ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 461 แทงใจ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 461 แทงใจ

บรรยากาศจริงจังซึ่งแตกต่างจากวันวานภายในตำหนักหย่างซินไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเว่ยหาน เมื่อเห็นสีพระพักตร์บึ้งตึงของจักรพรรดิหย่งอัน เขาก็ถวายความเคารพด้วยท่าทางสงบเยือกเย็น “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่”

จักรพรรดิหย่งอันมองเด็กหนุ่มซึ่งมีบุคลิกไม่ธรรมดา แววตายากจะเข้าใจแล้วค่อยๆ เอ่ย “ติ้งตงอ๋องก่อกบฏแล้ว”

เว่ยหานรักษาท่าทีการถวายความเคารพเอาไว้โดยมิเอ่ยอันใด

“น้องสิบเอ็ด เจ้าเป็นคนที่เราไว้วางใจมากที่สุด เราอยากจะส่งเจ้ายกทัพไปปราบปรามการก่อกบฏทางทิศตะวันออกให้สงบลง”

เว่ยหาน นิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วเอ่ยนิ่งๆ ว่า “กระหม่อมรับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”

ติ้งตงอ๋องก่อกบฏ ทางตะวันออกวุ่นวายโกลาหล ราชสำนักส่งกองทัพออกรบนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับวัตถุประสงค์ในการถูกเรียกตัวเข้าวัง เขาได้เตรียมใจไว้แล้ว

จักรพรรดิหย่งอันสีพระพักตร์อ่อนโยน ในตอนที่เว่ยหานนึกว่าสามารถถอยออกไปได้แล้วก็พลันตรัสขึ้นว่า “น้องสิบเอ็ด ปีนี้เจ้าอายุยี่สิบเอ็ดแล้วสินะ”

เว่ยหาน หลุบตาตอบ “ผ่านปีนี้ก็ยี่สิบสองแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหย่งอันพยักพระพักตร์ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังไม่ออกว่ารู้สึกเช่นไร “บุรุษต้องแต่งภรรยา สตรีต้องออกเรือน น้องสิบเอ็ดก็ถึงช่วงเวลาที่จะแต่งภรรยาแล้ว”

เว่ยหานอดเหลือบตาขึ้นมองจักรพรรดิผู้น่าเกรงขามซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรไม่ได้

จักรพรรดิหย่งอันเผยรอยยิ้มจางๆ “น้องสิบเอ็ดมีสตรีที่ถูกใจแล้วหรือยัง”

ทันทีที่ได้ยินวาจานี้ สมองเว่ยหานพลันปรากฏเงาร่างของลั่วเซิงแวบผ่านไป

สตรีที่ถูกใจ…ย่อมมีเป็นธรรมดา

เมื่อเห็นเว่ยหานนิ่งเงียบ จักรพรรดิหย่งอันก็ตรัสยิ้มๆ “น้องสิบเอ็ดไม่ต้องเขินอาย หากมีคนที่ถูกใจก็สามารถบอกเราได้ จะได้หมั้นหมายกันเอาไว้ก่อนที่เจ้าจะเดินทัพออกรบ”

จักรพรรดิหย่งอันตรัสถึงตรงนี้ แววตาก็ยิ่งลึกล้ำ “หากไม่มี เราจะเลือกคนที่เหมาะสมคนหนึ่งให้น้องสิบเอ็ด”

เว่ยหานข่มอารมณ์ความรู้สึกขึ้นๆ ลงๆ ในใจพร้อมกับเอ่ยปฏิเสธนิ่งๆ “โบราณกล่าวเอาไว้ว่า ไม่แต่งภรรยาในเดือนหนึ่ง ไม่หมั้นหมายในเดือนสิบสอง อีกอย่างกระหม่อมต้องออกรบ เป็นตายมิอาจคาดเดา คงไม่ทำให้ผู้อื่นเสียเวลาดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

เขาชื่นชอบคุณหนูลั่ว แต่กลับไม่หวังให้คุณหนูลั่วอยู่กับเขาเพราะสมรสพระราชทาน

จักรพรรดิหย่งอันจ้องมองเว่ยหานครู่หนึ่งแล้วยิ้ม “ในเมื่อน้องสิบเอ็ดคิดเช่นนี้ เช่นนั้นก็รอเจ้ากลับมาพร้อมกับชัยชนะค่อยว่ากัน”

“ขอบพระทัยเสด็จพี่ที่เป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ”

“น้องสิบเอ็ดกลับไปเตรียมตัวสักหน่อยเถอะ”

“กระหม่อมทูลลา”

จักรพรรดิหย่งอันเหลือบพระเนตรขึ้นมองเงาร่างในชุดแดงที่จากไปพลางถามโจวซาน “ระยะนี้ไคหยางอ๋องยังไปที่หอสุรานั่นบ่อยไหม”

โจวซานรีบเตือน “มีหอสุราพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม” จักรพรรดิหย่งอันพยักพระพักตร์

“ทูลฝ่าบาท ไคหยางอ๋องแทบจะไปทุกวันพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหย่งอันแววพระเนตรเปล่งประกาย “เราจำได้ว่าเป็นหอสุราที่บุตรสาวของลั่วฉือเปิด?”

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหย่งอันครุ่นคิดพลางตรัสว่า “เรียกตัวลั่วฉือเข้าวัง”

หลายวันมานี้แม่ทัพใหญ่ลั่วรับผิดชอบสอบสวนนักแสดงกายกรรม แม้ว่าจะไม่มีความคืบหน้า แต่กลับไม่กังวล

ในฐานะผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลิน เขาย่อมรู้ว่าการลอบสังหารที่ทำให้ราชสำนักและราษฎรตื่นตะลึงนั้นเป็นการวางแผนของฮ่องเต้ ยื้อต่อไปโดยไม่มีกำหนดนั้นถึงจะเป็นที่พอพระทัยของฝ่าบาท

ตอนถูกเรียกตัวเข้าวัง แม่ทัพใหญ่ลั่วยังสงสัยอยู่บ้าง

“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหย่งอันจ้องแม่ทัพใหญ่ลั่วแวบหนึ่ง หยิบที่ล้างพู่กันซึ่งวางอยู่บนโต๊ะเขวี้ยงไป

ที่ล้างพู่กันลอยมาทางศีรษะ แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่ได้หลบและใช้บ่ารับมันทั้งแบบนั้น

แม่ทัพใหญ่ลั่วที่เดิมเพียงแค่ประสานมือถวายความเคารพ คุกเข่าลงไปดังตึง เสียงพิโรธดังลอยมาจากด้านบน

องครักษ์จิ่นหลินกระจายไปทั่วพื้นที่สำคัญทางการทำสงคราม เมืองที่จวนติ้งตงอ๋องตั้งอยู่ย่อมขาดไปไม่ได้

แม่ทัพใหญ่ลั่วเงยหน้าประหลาดใจ “กลยุทธ์ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อหรือพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหย่งอันหน้าตึง ไม่สนใจเขา

โจวซานเข้าใจความคิดของจักรพรรดิหย่งอัน กระแอมไอเบาๆ พลางอธิบาย “เมื่อครู่ติ้งตงอ๋องซื่อจื่อยอมรับว่า ความจริงแล้วเขาเป็นบุตรชายคนรองของติ้งตงอ๋อง ไม่ใช่ซื่อจื่อที่แท้จริงขอรับ”

“ถึงกับมีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” แม่ทัพใหญ่ลั่วหน้าเปลี่ยนสี แนบหน้าผากลงพื้นขอรับโทษ “กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ ฝ่าบาทโปรดลงอาญาพ่ะย่ะค่ะ”

ความเย็นเยียบบนแผ่นอิฐทองส่งผ่านจากหน้าผากไปถึงหัวใจ

“ซื่อจื่อคนอื่นๆ ล่ะ มีปัญหาหรือไม่” จักรพรรดิหย่งอันก้มมองแม่ทัพใหญ่ลั่วที่คุกเข่าขอรับโทษ พลางถามเสียงเข้ม

แม่ทัพใหญ่ลั่วรีบตอบ “ซื่อจื่อคนอื่นๆ ไม่มีปัญหาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้ากล้ารับรองหรือไม่”

“กระหม่อมรับรองด้วยชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”

จวนอ๋องแต่ละจวนล้วนเป็นเป้าหมายสำคัญในการจับตาดูขององครักษ์จิ่นหลิน ตอนที่เหล่าซื่อจื่อออกเดินทาง องครักษ์จิ่นหลินล้วนตรวจสอบเงียบๆ แน่นอนว่าสถานที่ห่างไกลจากฮ่องเต้ จะเกิดความผิดพลาดอย่างการใช้กลยุทธ์ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อเช่นนี้ของจวนติ้งตงอ๋องก็ไม่นับว่าแปลกประหลาด

ซื่อจื่อของจวนอ๋องอื่นๆ ไม่ได้มีพี่น้องที่หน้าตาคล้ายคลึงกันจนสามารถปลอมตัวแทนได้

“ลั่วฉือ ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ใช้ไม่ได้ สมควรจะเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน”

ประโยคนี้มีความหมายโดยนัยเป็นคำตักเตือน แม่ทัพใหญ่ลั่วนัยน์ตาหดวูบ ก้มศีรษะรับคำพ่ะย่ะค่ะ

จักรพรรดิหย่งอันน้ำเสียงอ่อนลง ตรัสเรียบๆ ว่า “ลุกขึ้นเถอะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วลุกขึ้นอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน

“ลั่วฉือ บุตรสาวเจ้าอายุไม่น้อยแล้วสินะ”

เมื่อมองพระพักตร์สงบนิ่งของจักรพรรดิหย่งอัน หากไม่มีที่ล้างพู่กันข้างเท้าที่เขวี้ยงมาเตือนอยู่ การตำหนิตักเตือนเมื่อครู่นี้ก็คล้ายจะไม่เคยเกิดขึ้น

จิตใจจักรพรรดิยากจะคาดเดา ยิ่งติดตามฮ่องเต้มานานก็ยิ่งรู้สึกได้ลึกซึ้ง

เห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วไม่เอ่ยอะไร จักรพรรดิหย่งอันก็ขมวดพระขนง “หืม?”

แม่ทัพใหญ่ลั่วพยักหน้าอึ้งๆ

“ยังไม่ได้หารือเรื่องการแต่งงานหรือ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วรู้สึกเจ็บปวดในใจ เจ็บยิ่งกว่าบ่าที่ถูกที่ล้างพู่กันกระแทก ขณะเอ่ยด้วยสีหน้าซับซ้อน “กระหม่อมมีบุตรสาวสี่คน ล้วนยังไม่ได้หารือเรื่องการแต่งงานพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ไม่พอใจที่องครักษ์จิ่นหลินปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ลงโทษก็ลงโทษไปเถอะ จะมาถามเรื่องแทงใจเช่นนี้ทำไมกัน

“ล้วนยังไม่ได้หารือเรื่องการแต่งงานหรือ” คราวนี้เปลี่ยนเป็นจักรพรรดิหย่งอันตะลึงบ้าง

แม้ว่าเขาจะคุ้นเคยกับการควบคุมขุนนาง แต่กลับไม่ถึงขนาดก้าวก่ายเรื่องการแต่งงานของบุตรชายและบุตรสาวของขุนนาง

แม่ทัพใหญ่ลั่วนิ่งเงียบ

เขามองออกแล้วว่า นี่ก็คือการลงโทษของฝ่าบาท สังหารคนผู้หนึ่ง มิสู้ประณามแรงจูงใจและแนวคิดของคนผู้นั้น!

แต่ทว่าคำถามของฮ่องเต้ ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้

แม่ทัพใหญ่ลั่วข่มกลั้นความอับอายที่แปรเปลี่ยนเป็นความโมโห ตอบว่า “บุตรสาวทั้งสี่คนของกระหม่อมล้วนรอการออกเรือนพ่ะย่ะค่ะ”

“อ้อ” จักรพรรดิหย่งอันพยักพระพักตร์ พลันถามว่า “เจ้าคิดว่าไคหยางอ๋องเป็นเช่นไร เราได้ยินมาว่าบุตรสาวคนที่สามของเจ้าค่อนข้างสนิทสนมกับไคหยางอ๋อง”

แม่ทัพใหญ่ลั่วอึ้ง

ฮ่องเต้เรียกตัวเขาเข้าวังมาด่าสาดเสียเทเสียยกหนึ่ง จากนั้นก็จะผูกด้ายแดงหรือ

การเปลี่ยนแปลงนี้มากไปหน่อย เขาจึงดึงสติกลับมาไม่ได้ชั่วคราว

จักรพรรดิหย่งอันเห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วเหม่อลอยอีกก็หงุดหงิดเล็กน้อยแล้ว

ทำไมพอเอ่ยถึงบุตรสาว ลั่วฉือจึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองช้าเช่นนี้ เหมือนกับเอ่ยวาจาโดยไม่ผ่านการใช้สมอง?

“ทำไมหรือ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วได้สติคืนมา รีบตอบว่า “กระหม่อมไม่เคยถามพ่ะย่ะค่ะ รู้เพียงแค่ว่า ไคหยางอ๋องมักจะไปที่มีหอสุรา หากจะบอกว่าสนิทสนมกับบุตรสาวก็เป็นเรื่องปกติ”

“อ้ายชิงมีความคิดจะเลือกอนุชาของเราเป็นลูกเขยหรือไม่”

แม่ทัพใหญ่ลั่วเบิกตากว้าง “ฝ่าบาท…”

เขายังไม่ได้เสพสุขกับการสู่ขอจากเจ้าเด็กนั่นเลย หรือว่าจะพระราชทานสมรสแล้ว

ความจริงจะพระราชทานสมรสก็ได้ ถือว่ามีบุตรสาวคนหนึ่งสามารถแต่งออกไปได้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเซิงเอ๋อร์ยินดีหรือไม่

แม่ทัพใหญ่ลั่วกำลังว้าวุ่นใจก็ได้ยินจักรพรรดิหย่งอันตรัสว่า “ตอนนี้ไคหยางอ๋องยังไม่มีความคิดที่จะแต่งงาน แต่เราทนเห็นเขาที่มีอายุเท่านี้แล้วตัวคนเดียวไม่ได้ เรื่องนี้เกรงว่าลั่วอ้ายชิงคงต้องเป็นฝ่ายรุกเสียหน่อยแล้ว…”

แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่ได้ยินวาจาด้านหลังแล้ว

อะไรนะ ตอนนี้ไคหยางอ๋องยังไม่มีความตั้งใจจะแต่งภรรยาหรือ

ทั้งยังต้องให้เขาเป็นฝ่ายรุกด้วย?

จักรพรรดิหย่งอันรออยู่นานก็ไม่ได้รับคำตอบจึงมีสีหน้าเคร่งขรึม “ลั่วฉือ เข้าใจความหมายของเราหรือไม่”

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาต้องพิจารณาเปลี่ยนผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินที่ใช้งานได้ดีแล้ว

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท