บทที่ 795 พรสวรรค์บำเพ็ญตบะ

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 795 พรสวรรค์บำเพ็ญตบะ

เสียงร้องที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้กลุ่มสตรีในห้องโถงตกใจ อาสะใภ้กุมหน้าอก ตำหนิว่า

“พูดจาดีๆ เจ้าจะทำให้หญิงชราอย่างข้าตกใจตายรึ”

‘หญิงชรา’…จีไป๋ฉิงมองนางแวบหนึ่ง ไม่ได้กล่าวอะไร

อาสะใภ้ไม่ทันสังเกตเห็นสายตาจ้องเขม็งจากพี่สะใภ้ มองสวี่ชีอัน ถามว่า

“มีปัญหาอะไรหรือไม่”

สวี่หลิงเยวี่ยมองพี่ใหญ่ทันที แม่ผู้ให้กำเนิดก็มองตาม

สตรีของข้ากลายเป็นผู้อาวุโสอย่างไม่มีสาเหตุ เจ้าว่ามีปัญหาหรือไม่…สวี่ชีอันหัวเราะเจื่อนๆ

“ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ เพียงแต่ฐานะของนางไม่เหมาะสมอยู่บ้าง”

เพิ่งพูดจบ อาสะใภ้ก็ถอนใจ

“ข้ารู้หมดแล้ว”

นางมีสีหน้าสงสารโกรธแค้น

เจ้ารู้อะไรหมดแล้ว…สวี่ชีอันนิ่งเงียบอย่างชาญฉลาด ดูว่าอาสะใภ้จะพูดอย่างไร

อาสะใภ้พูดว่า

“ข้ารู้หมดแล้ว สามีของพี่หญิงล่วงเกินคนชั่วเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อน เจ้าชู้บ้ากาม คนชั่วผู้นั้นเป็นคนที่เขาไม่อาจยั่วยุได้

“คนชั่วฆ่าสามีของพี่หญิงต่อหน้าทุกคน ทำให้นางกลายเป็นหญิงม่าย เจ้ากับสามีของนางมีมิตรภาพที่ลึกซึ้ง หลังจากรู้เรื่องนี้ แก้แค้นให้นาง ดูแลนางมากขึ้น เชิญนางมาพักที่จวนสักระยะหนึ่ง”

มู่หนานจือเผยสีหน้าโศกเศร้าอย่างสอดคล้องกัน

สวี่ชีอันฟังแล้วแทบอึ้ง คิดในใจว่าคนชั่วเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนเจ้าชู้บ้ากามผู้นั้น คงไม่ใช่ข้ากระมัง

อาสะใภ้พูดต่อ

“ที่เรียกว่าหน้าบ้านหญิงม่ายมากเรื่องวุ่นวาย พี่หญิงไม่อาจพักที่จวนโดยไม่มีเหตุผล ข้าจึงสาบานเป็นพี่น้องกับนาง ภายหลังเจ้าต้องเรียกนางว่าน้ามู่”

จนถึงยามนี้อาสะใภ้ยังเชื่อมั่นว่ามู่หนานจือกับหลานชายบริสุทธิ์

สวี่หลิงเยวี่ยกลับคิดว่าน้ามู่ที่มีฐานะไม่ชัดเจนแต่สูงส่งแน่นอน หลังจากที่สามีตายก็แอบรักพี่ใหญ่ คิดจะมั่วโลกีย์กับเขา…นี่คือสิ่งที่สวี่หลิงเยวี่ยคาดเดาเอง

แต่สวี่หลิงเยวี่ยก็เชื่อมั่นว่านี่คือรักข้างเดียวของน้ามู่

เทพดอกไม้อาศัยรูปร่างหน้าตา ‘ช่ำชอง’ ของตน ฉกฉวยความไว้ใจจากคนบ้านสกุลสวี่

มู่หนานจือมองสวี่ชีอันแวบหนึ่ง ยิ้มพูดว่า

“ตัวข้าเองอายุมากกว่าหนิงเยี่ยนสิบห้าปี เรียกน้าก็ไม่เกินไป”

…สวี่ชีอันมุมปากกระตุก ฝืนยิ้มเรียกว่า

“น้ามู่”

เทพดอกไม้พยักหน้าอย่างพอใจ

จีไป๋ฉิงมองเขา เหมือนอยากพูดแต่ตัดสินใจไม่พูด

สวี่ชีอันเข้าใจอย่างชัดเจน พูดเสียงเรียบ

“พรุ่งนี้ข้าจะพาสวี่หยวนซวงกับสวี่หยวนไหวออกมา อาสะใภ้ ที่พักของท่านแม่ข้ากับผู้…ผู้อ่อนอาวุโสสองคนนั้น รบกวนท่านจัดเตรียมแล้ว”

เดิมทีจวนสกุลสวี่เป็นจวนใหญ่สามลานบ้าน ภายหลังอารองสวี่ซื้อลานบ้านข้างๆ ล้อมกำแพงทะลุถึงกัน สร้างขยายใหญ่ขึ้น

เพราะสมาชิกบ้านสกุลสวี่มีน้อย ทุกที่จึงมีห้องว่าง

เพียงแต่ ความคิดของสวี่ชีอันคือแม่ผู้ให้กำเนิดพักที่ลานด้านในจวนสกุลสวี่ได้ สวี่หยวนซวงกับสวี่หยวนไหวต้องย้ายไปลานบ้านข้างๆ ที่เพิ่งซื้อใหม่นั้น แยกจากกันอย่างเหมาะสม

มิฉะนั้นคนแปลกหน้าสามคนเข้ามาอยู่กะทันหัน ไม่เพียงแต่คนบ้านสกุลสวี่อึดอัด สวี่หยวนซวงกับสวี่หยวนไหวก็ไม่แน่ว่าจะสบายใจ

แน่นอน ถ้าพวกเขาสามคนอยากย้ายออกไป สวี่ชีอันก็ไม่คัดค้าน แต่จะไม่เป็นฝ่ายเสนอให้พวกเขาพักข้างนอก

เขาคิดเช่นนี้ ความรักลูกที่จีไป๋ฉิงมีต่อเขาไม่ปะปนสิ่งอื่น ยามนั้นถ้าไม่ใช่นางทุ่มเททั้งกายและใจหนีกลับเมืองหลวงคลอด ‘สวี่ชีอัน’ ออกมา ก็ไม่มีเขาในวันนี้

ดังนั้น ในฐานะลูกชายคนโต เขาจะไม่ปฏิเสธหน้าที่ ‘เลี้ยงดู’ ท่านแม่ที่เป็นม่าย

จีไป๋ฉิงโล่งอก ยามนี้สวี่ชีอันยอมรับนาง หยวนซวงกับหยวนไหวยังอยู่ข้างกาย นางก็ไม่เสียใจแล้ว

ที่จริงนางอยากพักที่จวนสกุลสวี่ ไม่ใช่พึ่งพาเพราะไม่มีที่อยู่อาศัยเช่นนั้น แต่เพราะไม่อยากห่างจากลูกชายคนโตเกินไป

นางคิดถึงลูกชายผู้นี้มายี่สิบเอ็ดปีแล้ว อุตส่าห์ได้อยู่พร้อมหน้า ไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ

ตำหนักเฟิ่งชี

ไทเฮาง่วงซึมในฤดูใบไม้ผลิ นอนตะแคงบนตั่งนุ่ม สะลึมสะลือใกล้หลับ

‘แอ๊ด…’

นางได้ยินเสียงเปิดประตู ไม่ได้ลืมตา ขมวดคิ้วพูดว่า

“ข้าเหนื่อยแล้ว ไม่อยากพูดซ้ำอีก”

นางนึกว่านางกำนัลในตำหนักเข้ามา

ไทเฮามีนิสัยสันโดษ โมโหและดีใจน้อยครั้ง นางกำนัลและขันทีในตำหนักเฟิ่งชีทำผิด นางก็คร้านจะตำหนิ

ดังนั้น เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีนางกำนัลและขันทีบางส่วนที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์

‘แอ๊ด…’ ประตูห้องปิดลง เสียงฝีเท้าสุขุมเชื่องช้าขยับเข้าใกล้

ไทเฮาไม่พูดอีก นิ่งเงียบสิบกว่าวินาที จากนั้น ลืมตาขึ้นช้าๆ

ระหว่างนี้ สายตาของนางไม่ได้จ้องผู้มาเยือนโดยตรง แต่มองรองเท้าหุ้มข้อก่อน จากนั้นมองเสื้อคลุมยาว สุดท้ายถึงมองใบหน้าของผู้มาเยือน

ราวกับนักพนันที่ไม่มีอะไรอีกแล้วเปิดไพ่ตายสุดท้าย

นางไม่ผิดหวัง นางเห็นใบหน้าหล่อเหลา จอนผมสีขาวแซม รวมทั้งสายตานุ่มนวลที่แฝงไว้ด้วยประสบการณ์โชกโชน

ดวงตาของไทเฮาเลือนรางในชั่วพริบตา

“ข้ามาแล้ว ยังไม่สายกระมัง”

น้ำตาเอ่อล้นเบ้าตาทันที ไทเฮาหันหน้าออกไป ปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลรินพรั่งพรู

นางรอคำกล่าวนี้มาครึ่งค่อนชีวิต

โคมไฟงดงามสว่างวาบ

ข้างโต๊ะอาหาร สวี่ซินเหนียนถือชาม ก้มหน้ากินข้าว เงยหน้าพินิจจีไป๋ฉิงแวบหนึ่งเป็นบางครั้ง

การปรากฏตัวของสตรีท่านนี้ทำให้เขาทั้งแปลกใจและไม่แปลกใจ

ในบ้านมีผู้อาวุโสเพิ่มขึ้นกะทันหัน เลี่ยงไม่ได้ที่จะแปลกใจ

ไม่แปลกใจตรงที่เขารู้ว่าหนานกงเชี่ยนโหรวยกทัพยึดครองทั้งเมืองเฉียนหลง ถ้าเช่นนั้นพา ‘เชลยศึก’ ไม่กี่คนกลับมาก็เป็นเรื่องธรรมดา

เขาคิดว่าดีมาก ในเมื่อพี่ใหญ่พาแม่ผู้ให้กำเนิดกลับมา เช่นนั้นท่านป้าผู้นี้ต้องไม่มีปัญหา

หลังจากที่สวี่ซินเหนียนและสวี่ผิงจื้อกลับจวน โดยเฉพาะฝ่ายหลัง ปกติบรรยากาศสนิทสนมกลมเกลียว ยามนี้ก็อึดอัดและหนักแน่นอยู่บ้างทันที

คงมีเพียงลูกสุนัขจิ้งจอกที่ไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อยว่าบรรยากาศเปลี่ยนไป ไป๋จีลุกขึ้นยืนบนตักของมู่หนานจือ อุ้งเท้าหน้าทั้งสองเกาะขอบโต๊ะอาหาร อยากกินไก่ย่างก็ใช้อุ้งเท้าน้อยชี้ ใช้เสียงเด็กหญิงสดใสพูดว่า

“จะกินอันนี้!”

อยากกินหมูสามชั้นน้ำแดง ก็ยกอุ้งเท้าชี้หมูสามชั้นน้ำแดง

มู่หนานจือก็จะคีบให้มัน

หลังจากทักทายพี่สะใภ้ สวี่ผิงจื้อที่ไม่ได้พูดอีกดื่มสุราหมดกา ในที่สุดก็อดไม่ได้ถามว่า

“หนิงเยี่ยน สวี่ผิงเฟิงหนีไปที่ใดแล้ว”

ได้ยินคำพูดนี้ สวี่ซินเหนียนมองพี่ใหญ่โดยไม่รู้ตัว

เรื่องสวี่ผิงเฟิงถูกฆ่า สองพี่น้องปิดบังอารองสวี่ ไม่ได้บอกเขา

สวี่ชีอันเคี้ยวข้าว ใช้น้ำเสียงราบเรียบดุจน้ำพูดว่า

“ตายแล้ว ตายตั้งแต่วันนั้นที่ข้ากลับเมืองหลวง ข้าฆ่าเขาเองกับมือ”

สวี่ผิงจื้อนิ่งเงียบชั่วครู่ ไม่มีสีหน้าอะไร ร้อง “โอ้” ก้มหน้ากินข้าวต่อไป พุ้ยข้าวเร็วขึ้นมาก

ไม่นาน เขากินข้าวเสร็จคนแรก เช็ดมุมปาก “ข้ากินอิ่มแล้ว”

ไม่ให้โอกาสทุกคนพูด ลุกขึ้นออกจากห้องโถงด้านใน เดินไปลานด้านในท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน

เพียงสองถึงสามนาที ทุกคนในห้องโถงได้ยินเสียงร้องไห้ฟูมฟายแว่วจากลานด้านในรำไร

ไม่มีคนพูด แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน กินข้าวต่อไป

หูแหลมของไป๋จีกระดิกเล็กน้อย หันหลังมองมู่หนานจือ กำลังจะพูดก็ถูกยัดเนื้อใส่ปาก

ไป๋จีกินเนื้ออย่างมีความสุข

“อะแฮ่ม!”

เมื่อเสียงร้องไห้ของบิดาเงียบลง สวี่เอ้อร์หลางกระแอมไอ เชิดคางขึ้น ประกาศว่า

“ข้าได้เลื่อนขั้นสู่ระดับกำเนิดปราชญ์ขั้นหก พวกเจ้าอาจไม่รู้ว่า ในระบบลัทธิขงจื๊อ ขั้นหกเป็นขั้นสำคัญ บัณฑิตที่ถึงระดับนี้จึงนับว่าเป็นเสาหลักที่แท้จริง

“เพราะระดับกำเนิดปราชญ์ขั้นหก มีพลังต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา ในระดับเดียวกันของแต่ละระบบใหญ่ นับว่าเป็นผู้ที่โดดเด่น”

เขาใช้คำว่า ‘เสาหลัก’ และ ‘ผู้ที่โดดเด่น’ บอกทุกคนเป็นนัย ตนเองอายุเท่านี้มาถึงขั้นนี้ได้ พูดได้เต็มปากว่าพรสวรรค์ล้ำเลิศ

สวี่ชีอันพยักหน้า

“ไม่เลว พรสวรรค์ของเอ้อร์หลางไม่เลวจริงๆ”

สวี่เอ้อร์หลางจะพูดถ่อมตัวไม่กี่ประโยค ก็ได้ยินพี่ใหญ่พูดว่า

“ถ้าไม่นับอาสะใภ้ พรสวรรค์ของเอ้อร์หลางแข็งแกร่งกว่าอารองอยู่บ้าง ในบ้านอยู่ที่สี่กระมัง”

‘ที่สี่หมายถึงอะไร พี่ใหญ่คงไม่ได้อิจฉาพรสวรรค์ของข้า จะขัดขาข้ากระมัง’…สวี่ซินเหนียนพูดเสียงเรียบ

สวี่ชีอันใคร่ครวญพูดว่า

“ที่สองที่สามพูดยาก แต่เจ้าอยู่ที่สี่แน่นอน”

สวี่ซินเหนียนเลิกคิ้ว พูดอย่างไม่สบอารมณ์

“หรือว่าพรสวรรค์บำเพ็ญตบะของหลิงเยวี่ยดีกว่าข้า?”

สวี่ชีอันมองน้องสาวที่งดงามสดใสโดดเด่นทันที

“ยามนี้หลิงเยวี่ยขั้นที่เท่าใด”

ด้วยตบะปัจจุบันของเขา สังเกตเห็นตั้งแต่แรกว่าสวี่หลิงเยวี่ยบำเพ็ญตบะพลังภายในลัทธิเต๋าอย่างลับๆ

สวี่หลิงเยวี่ยกระซิบกระซาบ

“สังเวยปราณขั้นเจ็ด ข้าถามอาจารย์ที่อารามรัตนะถามแล้ว”

‘??’ เครื่องหมายคำถามแวบผ่านในหัวของสวี่เอ้อร์หลาง

หลิงเยวี่ยขั้นเจ็ดแล้ว?

นางเริ่มบำเพ็ญธรรมยามใด เหมือนจะหลังจากที่พี่ใหญ่ท่องยุทธภพ นางไหว้อาจารย์ที่อารามรัตนะ เรียนรู้วิธีบำเพ็ญตบะลัทธิเต๋า

จนถึงวันนี้เหมือนจะเพียงสี่เดือน?

นึกถึงตรงนี้ สวี่เอ้อร์หลางนิ่งอึ้ง

สี่เดือนเลื่อนสู่ขั้นเจ็ด นี่เป็นพรสวรรค์เช่นไร

สวี่หลิงเยวี่ยพูดอย่างอึดอัด

“ข้าไม่รู้ว่านี่คือพลังสังเวยปราณขั้นเจ็ด เพราะตัวข้าเองลองผิดลองถูก บำเพ็ญตบะมั่วซั่ว”

ขณะพูด นางงอนิ้วเรียกจานอาหาร ให้มันลอยอยู่ตรงหน้าตนเอง

‘เรียนรู้เองถึงขั้นเจ็ด?!’ สวี่ซินเหนียนอ้าปากค้างช้าๆ มองน้องสาวอย่างงงเป็นไก่ตาแตก

‘ท่านพ่อ ร้องไห้ด้วยกันเถอะ’…เขาหันหน้าทันที มองลานด้านใน

ก้นทะเลอันมืดมิดไร้แสงสว่าง ร่างกายอันใหญ่โตของ ‘ฮวง’ ล่องลอยไปกับคลื่นใต้น้ำ เมื่อถึงหุบเหวแห่งหนึ่ง ในหุบเหวที่ไม่มีแสงสว่าง รยางค์หนาห้าถึงหกสายยื่นออกมากะทันหัน ขวางทางอย่างอุกอาจ

“โชคร้ายจริงๆ มาเจอสิ่งนี้ที่นี่” เสียงของฮวงทรงพลังกังวาน

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท