ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 293 หากปราศจากข้า ดินแดนตะวันตกคงพังพินาศแน่!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 293 หากปราศจากข้า ดินแดนตะวันตกคงพังพินาศแน่!

แม้ว่าเหล่าผู้บำเพ็ญจะยังรอคอยศาสตราวุธปราบมารชิ้นที่หกปรากฏออกมา แต่พวกเขากลับได้รับข่าวที่น่าตกใจกว่า… จู่ ๆ พลังปีศาจในสนามรบโบราณเฉียนซีก็ไหลทะลักออกไปยังดินแดนตอนเหนือ

“เป็นไปไม่ได้ วิหารเสินโม่เพิ่งจะเปิดไปเมื่อครั้งก่อนเองไม่ใช่รึ!”

ซูซวงไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ถึงแม้จะถึงเวลาเปิดอีกครั้ง มันก็ควรจะเป็นสำนักเหอตงหรืออย่างแย่ที่สุดก็ดินแดนทางตอนใต้ เหตุใดถึงเป็นดินแดนทางตอนเหนือได้เล่า!

ข่าวนี้ต้องผิดพลาดแน่ ๆ!

“วิหารเสินโม่มิได้เปิดออก แต่พลังปีศาจไหลออกมาจากส่วนลึกของทะเลทรายต่างหาก”

วิหารเสินโม่ของดินแดนทางตอนเหนือนั้นตั้งอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับทะเลทราย

ชิงยวนขมวดคิ้ว เหมือนนางจะรู้สึกเลือนรางว่า พลังปีศาจที่ดินแดนทางตอนเหนือนั้นอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ดินแดนทางตอนใต้และสำนักเหอตงก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้เช่นกัน

“มิน่าเล่า เหล่าสัตว์เทพโบราณถึงได้จากไปกะทันหัน พวกเขาอาจจะรู้ตัวมาก่อนแล้วก็เป็นได้”

ถ้าหากเล่อเหอจำไม่ผิด ทิศทางที่อิงหลงจากไปก็คือทิศเหนือเช่นกัน

หลิงเยว่ซึ่งรู้ความจริงเกี่ยวกับการจากไปของสี่สัตว์เทพโบราณ “…”

นางควรจะบอกความจริงออกไปหรือไม่?

ไม่สิ บางทีพวกสัตว์เทพโบราณอาจจะรู้ตัวจริง ๆ ก็ได้!

พลังปีศาจที่ไหลทะลักออกมาจากดินแดนทางตอนเหนือ ทำให้โลกผู้บำเพ็ญเซียนตกอยู่ในความหวาดกลัวอีกครั้ง นี่หรือว่าเป็นการประกาศถึงการกลับมาของเขตแดนปีศาจอย่างนั้นหรือ?!

[ภารกิจหลักที่ 17 : เดินทางไปยังทะเลทรายต้องห้ามในดินแดนทางตอนเหนือ สังหารหมอกแดงและนำเปลวเพลิงม่วงมากลั่น รางวัลคือ ค่าพลังวิญญาณ +1,000,000,000,000 แต้ม ค่าอายุขัย +50,000 วัน ไข่ปีศาจโลหิตหนึ่งฟอง บทลงโทษเพิ่มเป็นสองเท่า]

“ไข่ปีศาจโลหิตคืออะไร?!”

[สัตว์อสูรผู้พิทักษ์ดอกไม้โลหิตปีศาจ]

“!!!”

สัตว์อสูรพิทักษ์ของฮวนฮวนงั้นหรือ?

“มันมีประโยชน์อะไร?”

[การรวมกันของสัตว์อสูรพิทักษ์ดอกไม้โลหิตปีศาจ สามารถช่วยเจ้าแทรกซึมเข้าไปในเขตแดนปีศาจได้]

“ไม่ต้องรอให้ฮวนฮวนโตก่อนหรือ?”

[ไม่ต้อง]

เช่นนั้นแล้ว ดูเหมือนว่าการเดินทางไปยังดินแดนทางตอนเหนือในครั้งนี้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ระบบจะไม่บอก แต่หลิงเยว่รู้ดีว่าอีกครึ่งหนึ่งของเมล็ดพันธุ์ในร่างจริงของนางน่าจะอยู่ในเขตแดนปีศาจเช่นกัน

“ข้าจะไปดินแดนทางตอนเหนือ”

เหล่าผู้อาวุโสที่กำลังถกเถียงกันอยู่ต่างพากันเงียบลงทันทีที่ได้ยินคำพูดของหลิงเยว่

“เจ้าจะไปดินแดนทางตอนเหนือทำไม? ที่นั่นส่งคนไปแล้ว” ผู้อาวุโสมู่มองหลิงเยว่ด้วยสายตาไม่เห็นด้วย

ไม่ใช่แค่ผู้อาวุโสมู่เท่านั้น ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ล้วนไม่เห็นด้วย

ศาสตราวุธปราบมารยังสร้างไม่เสร็จ มีเพียงหลิงเยว่เท่านั้นที่สามารถปลอบประโลมวิญญาณที่แตกสลายได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากปราศจากสุราปราบมารที่เติมเข้าไปอย่างต่อเนื่อง จะยิ่งทำให้การสร้างสมบัติยากขึ้นไปอีก

ถ้าพูดให้ใหญ่โตกว่านี้ก็คือ หากควบคุมพลังไม่ได้และศาสตราวุธสักชิ้นเกิดล้มเหลวขึ้นมาจะทำอย่างไร?

หลิงเยว่สำคัญต่อศาสตราวุธปราบมารเป็นอย่างมาก สำคัญถึงขั้นที่ว่าหากปราศจากนาง สมบัติอาจจะล้มเหลวได้เลยทีเดียว

ดังนั้น เหล่าผู้อาวุโสจึงไม่ต้องการให้นางจากไป

“ข้าไม่ได้บอกว่าจะไปตอนนี้ แต่ข้าจะไปอีกสองปีข้างหน้าต่างหาก” นี่เป็นผลลัพธ์จากการต่อรองกับระบบ หากช้ากว่านี้ หมอกแดงอาจจะรักษาอาการบาดเจ็บจนหายดีแล้ว และอาจจะหนีไปก่อความวุ่นวายที่อื่นพร้อมกับเปลวเพลิง!

การหลอมศาสตราวุธปราบมารในเวลาสองปีนั้น ถือว่าสั้นนัก แต่คิดว่าน่าจะเพียงพออยู่ เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็สามารถหลอมออกมาได้ถึงห้าชิ้นแล้ว

“เลื่อนไม่ได้แล้วรึ?” บรรพจารย์เล่อเหอถามหลิงเยว่อีกครั้ง

หลิงเยว่พยักหน้าอย่างมั่นใจ ดังนั้น ทุกคนจึงจำใจยินยอม แต่มีข้อแม้ว่าในเวลานั้น ศาสตราวุธปราบมารทั้งสิบแปดชิ้นจะต้องสร้างเสร็จสิ้นแล้ว

แน่นอนว่าทำได้!

หลิงเยว่เชื่อมั่นในเหล่าวิญญาณระดับปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่

โม่จวินเจ๋อซึ่งรู้ข่าวจากเล่อเหอ ได้เอ่ยปากพูดกับหลิงเยว่เป็นประโยคแรกว่า “พาข้าไปด้วย”

“ได้สิ”

โม่จวินเจ๋อซึ่งเตรียมคำพูดมากมายไว้ในใจเผื่อว่าจะถูกปฏิเสธ “…”

ไม่คิดจะเกลี้ยกล่อมกันหน่อยหรือ?

โม่จวินเจ๋อไม่ได้ถามว่าหลิงเยว่จะไปทำอะไร แต่เขารู้ดีว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับฐานะผู้สืบทอดของนางแน่นอน

“แล้วจะพาพวกเขาไปด้วยไหม?”

หลิงเยว่มองตามสายตาของโม่จวินเจ๋อไปยังกลุ่มสหายที่กำลังวิ่งตรงเข้ามาหานาง

“พาไปสิ!”

เพียงแค่นางคนเดียว… จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะเอาชนะหมอกแดงได้ ถึงแม้จะพาสหายทั้งห้าคนไป… อีกทั้งรวมกับโม่จวินเจ๋อแล้ว ก็ดูเหมือนจะยังไม่พอด้วยซ้ำ

ดวงตาของหลิงเยว่เป็นประกาย นางคิดถึงตัวเลือกที่เหมาะสมออกแล้ว นั่นคือพี่สาวคนโตที่นางรัก หลงว่านโหรว สือเชี่ยน และฉีซิวซี รวมแล้วมีเก้าคนพอดีกับจำนวนมังกรอสูรเลย!

ส่วนนางที่เหลืออยู่คนเดียว แน่นอนว่าต้องเรียกเหล่าวิญญาณออกมา และจัดการกับ หมอกแดงด้วยตัวเอง!

แผนการนี้ช่างสมบูรณ์แบบ! หลิงเยว่แทบอดใจรอไม่ไหวแล้ว ทว่า… นางยังไปจากที่นี่ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นดินแดนตะวันตกจะต้องพังพินาศแน่หากปราศจากนาง!

“ข้าจะพาพวกเจ้าไปด้วยแน่นอน!”

ก่อนที่เหล่าสหายจะเอ่ยปาก หลิงเยว่ก็รีบตอบตกลงก่อน

ติงหลิวหลิ่วรู้สึกว่านางต้องมีแผนการร้ายแอบแฝงอยู่ แม้แผนการนั้นจะอันตรายขนาดไหน แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่ศิษย์น้องห้าจะทำร้ายพวกเขา?

เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!

ทุกคนเข้าใจกันดี พวกเขาไม่ได้ถามว่าจะไปทำอะไรที่ดินแดนทางตอนเหนือ เพราะพวกเขารู้ดีว่าการติดตามหลิงเยว่ไป… แม้ว่าระหว่างทางอาจจะยากลำบาก แต่ตราบใดที่ผลลัพธ์ออกมาดี การไปสักครั้งจะเป็นไรไป!

หลิงเยว่ได้เชิญหลงว่านโหรว สือเชี่ยน และฉีซิวซีมาร่วมทีม ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมกับศาสตราวุธชิ้นที่หก ขวานยักษ์ปราบปีศาจ!

ทันทีที่ปรากฏตัว มันก็พุ่งเข้าหาทัณฑ์สวรรค์ และต่อสู้กับสายฟ้าที่ยังไม่ได้ก่อตัวขึ้นอย่างเต็มที่ เรียกได้ว่าดุร้ายอย่างยิ่ง!

“มันเข้ากับข้าได้ดีจริง ๆ!” อวี้เจินร้องลั่นด้วยความตื่นเต้น

ทุกคน “???”

ถ้าจะให้พูดจริง ๆ แล้ว ความแตกต่างของความสูงระหว่างทั้งคู่นั้นดูน่ารักดี ขวานยักษ์สูงสองเมตรกับเด็กสาวหน้าอ่อนสูงร้อยหกสิบเซนติเมตร

แม้ว่าอวี้เจินจะร้องเรียกด้วยความดีใจและซาบซึ้งเพียงใด แต่ขวานยักษ์ก็ไม่ได้ชายตามองนางแม้แต่น้อย มันมาหยุดอยู่ตรงหน้า… หลิงเยว่ด้วยท่าทางเย็นชา

“เจ้าคิดว่าข้ามีพรสวรรค์ในการฝึกฝนร่างกายหรือ?”

“ใช่!”

สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือ วิญญาณของขวานยักษ์นั้นกลับเป็นหญิงสาวร่างเล็ก หน้าตาน่ารัก

“นางเป็นอย่างไรบ้าง?” หลิงเยว่ดึงอวี้เจินเข้ามา

อวี้เจินซึ่งตะโกนอย่างบ้าคลั่งเมื่อครู่นี้ ทันใดนั้นก็เขินอายจนตัวแดงก่ำ นางก้มหน้ามองปลายเท้าอย่างประหม่า ไม่แม้แต่จะกล้ามองขวานยักษ์ด้วยซ้ำ

เหล่าสหาย “…”

แสบตาชะมัด!

“ไม่ได้ นางอ่อนแอเกินไป”

อวี้เจินซึ่งไม่เคยถูกใครว่าอ่อนแอมาก่อน พลันรู้สึกงุนงง นางเป็นศิษย์เอกที่แข็งแกร่งที่สุดในยอดเขาบ่มเพาะกายา กลับถูกบอกว่า… อ่อนแออย่างนั้นหรือ!

อวี้เจินซึ่งเมื่อครู่นี้ยังคงเขินอาย ก็แปลงร่างเป็นมังกรแม่ลูกอ่อนขึ้นมาทันที ไม่ว่านางจะเป็นผู้อาวุโสหรือศาสตราวุธอะไรก็ตาม นางต้องด่ากลับเพื่อศักดิ์ศรีของนาง!

“ข้าไม่ต้องการวิญญาณที่ตาบอดเช่นเจ้าหรอก!”

“เจ้าพูดว่าอะไร พูดใหม่อีกครั้งซิ!”

“ไม่เพียงแต่ตาบอด เจ้ายังหูหนวกอีกด้วย!”

และแล้วการโต้เถียงอันดุเดือดก็ได้เริ่มต้นขึ้นต่อหน้าทุกคน คนหนึ่งกับขวานยักษ์เล่มหนึ่ง พวกเขาทะเลาะกันตั้งแต่เย็นจนถึงบ่ายของอีกวัน และดูเหมือนว่าจะยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่าย ๆ

ในที่สุดหลิงเยว่พลันรู้สึกว่าทั้งคู่นั้นเหมาะสมกันจริง ๆ ด้วยความสามารถในการทะเลาะกันได้ถึงขนาดนี้ นางต้องช่วยให้อวี้เจินได้สิทธิ์ในการใช้ขวานยักษ์นี้ในอนาคตให้ได้

แต่ตอนนี้… ยังไม่ได้

ศาสตราวุธปราบมารชิ้นที่หกได้ปรากฏขึ้นแล้ว ชิ้นที่เจ็ดคงอีกไม่นานกระมัง?

เพียงไม่นาน ชิ้นที่เจ็ด ชิ้นที่แปด และชิ้นที่เก้า ศาสตราวุธปราบมารสามชิ้นลอยขึ้นฟ้าพร้อมกัน ทัณฑ์สวรรค์เหนือดินแดนตะวันตกก่อตัวเป็นกลุ่มเมฆขนาดใหญ่ ดาบคู่ กระบี่คู่ และค้อนคู่ที่ปรากฏตัวออกมา ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความตื่นเต้น!

ผู้คนต่างพากันคาดเดาว่าศาสตราวุธอีกไม่กี่ชิ้นที่เหลือจะเป็นอะไร และคิดฝันกลางวันว่าหากพวกเขาได้ครอบครองศาสตราวุธเหล่านั้นสักชิ้น มันคงจะเป็นความฝันที่วิเศษยิ่งนัก

ไม่อยากตื่นขึ้นมาเลยจริง ๆ!

“นั่นอะไรน่ะ? นั่นมันสร้างมาเพื่อข้าโดยเฉพาะเลยหรือเปล่า!”

ติงหลิวหลิ่วชี้ไปยังกำไลสีดำที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะก้มลงมองกำไลนับพันเส้นที่ข้อมือของตัวเอง พวกมันช่างคล้ายคลึงกันราวกับแกะ นางไม่เชื่อว่ามันจะไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อนาง!!

“นั่นคืออาวุธลับ”

เพียงประโยคเดียวของหลิงเยว่ ทำให้ติงหลิวหลิ่วตกสู่หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง

นางใช้อาวุธลับไม่เป็น…

แต่… นางสามารถเรียนรู้ได้!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท