ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 508 ส่งคืน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 508 ส่งคืน

ค่ำคืนนี้ทุกอย่างเงียบสงบ

แม่ทัพใหญ่ลั่วนอนไม่หลับทั้งคืน เขาคิดเรื่องต่างๆ มากมาย

ลั่วเซิงกลับนอนหลับสบาย

สำหรับนางแล้ว สิ่งที่นางสามารถทำได้ก็ได้ทำเต็มที่แล้ว สิ่งที่นางทำไม่ได้ นางควรเชื่อใจคนที่คู่ควรกับความไว้ใจ

เช้าวันต่อมา ลั่วเซิงอาบน้ำเปลี่ยนชุดและทานอาหารเช้าเสร็จก็สั่งให้หงโต้วเรียกหมิงจู๋และคนอื่นๆ มา

ดอกไม้และต้นไม้ในลานอาบแสงฤดูใบไม้ผลิอันสดใส นกกระจอกส่งเสียงร้องจิ๊บๆ บนกิ่งไม้

หมิงจู๋ ฟู่เสวี่ย หลิงเซียวและเฟยหยาง

ชายหนุ่มรูปงามที่งดงามแตกต่างกันทั้งสี่ยืนเรียงหน้ากระดานตรงหน้าลั่วเซิง ดูสบายตาสบายใจเป็นพิเศษ

โอ้ นอกจากชายหนุ่มสี่คนแล้ว ยังมีห่านสีขาวตัวใหญ่ขนาดครึ่งคนยืนอยู่ข้างฟู่เสวี่ยด้วย

ขณะที่ลั่วเซิงเงียบ หมิงจู๋ก็ถามขึ้นเบาๆ ว่า “คุณหนูเรียกพวกเรามามีอะไรหรือขอรับ”

ดวงตาของเขามีแสงประกายแห่งความคาดหวัง

ลั่วเซิงกวาดตามองทั้งสี่แล้วยิ้ม “วันนี้เรียกพวกเจ้ามา เพราะมีเรื่องจะบอก”

นอกจากฟู่เสวี่ยแล้ว ที่เหลือสามคนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ความไม่สบายใจผุดขึ้นในใจ

พวกเขามองลั่วเซิงนิ่ง รอให้นางพูดต่อไป

“เมื่อวานข้าทะเลาะกับองค์หญิงฉางเล่อ เราตัดขาดกันแล้ว” บนใบหน้าเด็กสาวมีรอยยิ้มไม่ใส่ใจ ทว่าคำพูดของนางทำให้พวกเขาตกตะลึงอย่างยิ่ง “ในเมื่อตัดขาดกันแล้ว ย่อมเก็บของขวัญที่องค์หญิงฉางเล่อให้ข้าไว้ไม่ได้อีก”

ฟู่เสวี่ยกะพริบตาสองสามที ยังคงไม่เข้าใจความหมายของลั่วเซิง สามคนที่เหลือกลับหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน โดยเฉพาะหมิงจู๋ ใบหน้าที่เดิมขาวอยู่แล้วยิ่งซีดขึ้นกว่าเดิม

“หมิงจู๋ หลิงเซียว เฟยหยาง พวกเจ้าเป็นคนที่องค์หญิงฉางเล่อมอบให้ข้า กลับไปเก็บข้าวของเถอะ ข้าจะให้คนส่งพวกเจ้ากลับจวนองค์หญิง”

มองดูชายหนุ่มที่คุกเข่าวิงวอน ลั่วเซิงก็ถอนหายใจในใจ

สำหรับคนอย่างหลิงเซียวที่ต้องการเพียงแค่ที่ซุกหัวนอน ใช่ว่านางจะรับเขาไว้ไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรได้ ทุกคนในจวนลั่วจะหนีออกจากเมืองหลวงเร็วๆ นี้แล้ว ไม่มีทางที่จะพาเขาไปด้วยได้

“เจ้าลุกขึ้นเถอะ สิ่งที่ข้าตัดสินใจแล้วไม่เปลี่ยนแปลง”

ความสงบและเยือกเย็นของลั่วเซิงทำให้ชายหนุ่มที่คุกเข่าบนพื้นพูดไม่ออก ได้แต่เงยหน้าร้องไห้

หมิงจู๋ถามเสียงเบา “คุณหนูจะส่งพวกเรากลับไปจริงๆ หรือขอรับ”

ลั่วเซิงเหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร แค่พยักหน้าเบาๆ

หมิงจู๋ขนตาสั่นไหวเล็กน้อย มุมปากปรากฏรอยยิ้มขมขื่น

เขาคิดว่าการถูกขังไว้ในเรือนสี่เหลี่ยมไปจนแก่จะเป็นจุดจบของเขา คิดไม่ถึงว่าจะมีสิ่งที่แย่กว่า

มีเพียงเฟยหยางที่นัยน์ตาปรากฏรอยยิ้ม เขามีความสุขอย่างควบคุมมิได้

ดีจังเลย ในที่สุดเขาก็ได้กลับไปอยู่ข้างกายองค์หญิงแล้ว!

“หงโต้ว ให้คนส่งพวกเขาไปจวนองค์หญิง”

“เจ้าค่ะ” หงโต้วตอบเสียงใส เร่งทั้งสามคน “ทั้งสามรีบเก็บข้าวของเถอะ อย่าทำให้คุณหนูไม่พอใจ”

เมื่อเห็นลั่วเซิงลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในห้อง ฟู่เสวี่ยก็ราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน เขาวิ่งตามไปคว้าแขนเสื้อของนางไว้พลางขอร้องว่า “คุณหนู ขอร้องท่านให้พี่หมิงจู๋อยู่ต่อเถอะ พี่หมิงจู๋ชอบท่านมากนะขอรับ…”

“ฟู่เสวี่ย!” หมิงจู๋เอ่ยปากแทรกฟู่เสวี่ย

ฟู่เสวี่ยหันกลับไปมองเขาอย่างหมดหนทาง

หมิงจู๋ฝืนยิ้ม “อย่าทำให้คุณหนูโมโห ข้าแค่กลับจวนองค์หญิง ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันอีกเสียหน่อย”

“แต่ว่าองค์หญิงดุมาก…” ฟู่เสวี่ยอดร้องไห้ไม่ได้

เขาไม่ได้มาจากจวนองค์หญิง แต่ทุกครั้งที่องค์หญิงฉางเล่อเสด็จมาหอสุรา เขาก็รู้สึกว่าพระองค์น่ากลัวมาก แม้ท่านพี่หลิงเซียวไม่เคยพูดว่าองค์หญิงไม่ดี แต่เห็นได้ชัดว่าเขาชอบชีวิตในจวนแม่ทัพใหญ่มาก

เมื่อเห็นฟู่เสวี่ยร้องไห้ ต้าไป๋ก็ยืดคอของมันส่งเสียงร้องไปทางลั่วเซิง

ลั่วเซิงขมวดคิ้วหรี่ตามองต้าไป๋

“แกว๊กๆ!” ต้าไป๋หนีบปีกแน่น วิ่งไปที่ประตูโค้งแล้วหยุดลง

ลั่วเซิงลูบศีรษะฟู่เสวี่ยเบาๆ น้ำเสียงมิอาจคาดเดาอารมณ์ได้ “ฟู่เสวี่ยเป็นเด็กดีนะ พาต้าไป๋ไปหอสุราเร็วหน่อยเถอะ”

หงโต้วเองก็พูดว่า “ใช่แล้ว สือซานหั่วและสือซื่อหั่วจะสอนท่านั่งม้าให้เจ้ามิใช่หรือ ข้าบอกเจ้าให้นะ ผู้ที่อ่อนแอไม่มีทางอยู่กับคุณหนูได้ ตั้งใจเรียนดีๆ จะได้แข็งแกร่งไวๆ”

หมิงจู๋ถูกบังคับให้ออกจากจวนแม่ทัพใหญ่ก็เศร้าโศกมากอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ยิ่งเศร้า

บุรุษคนโปรดที่แข็งแกร่ง… ถึงครานั้นเกรงว่าฟู่เสวี่ยก็ต้องถูกคืนกลับไปแล้ว

ลั่วเซิงกลับห้อง จนเมื่อหมิงจู๋ทั้งสามจากไปก็ไม่ได้ปรากฏตัว

ลั่วเย่ว์ได้ยินเรื่องนี้ก็รีบส่งลี่ว์ฉี่ขึ้นรถม้าเช่นกัน

คุณหนูสี่บอกว่าลี่ว์ฉี่ก็เป็นคนที่องค์หญิงฉางเล่อมอบให้ ในเมื่อพี่สามและองค์หญิงฉางเล่อตัดขาดความสัมพันธ์กันแล้ว นางย่อมเก็บของขวัญที่องค์หญิงฉางเล่อให้ไว้ไม่ได้

แม่ทัพใหญ่ลั่วได้ยินว่าบุตรสาวทั้งสองส่งบุรุษคนโปรดคืนกลับไปแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจ แม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายก็ตาม

ส่งกลับไปก็ดีแล้ว หากหนีไปทางใต้ได้ราบรื่น ในสายตาของคนนอกแล้ว เหล่าบุตรสาวก็จะกลายเป็นสตรีธรรมดาทั่วไป ไม่แน่อาจจะแต่งงานได้ด้วย

องค์หญิงฉางเล่อทรงได้รับบุรุษคนโปรดเต็มคันรถม้า นางยิ้มหยันอย่างโมโห

ลั่วเซิงช่างกล้าทำทุกอย่าง ไม่กลัวอะไรเลย แม้แต่ฉีกหน้ายังทำอย่างเปิดเผยเช่นนี้

หากดูแค่เรื่องนี้ลั่วเซิงก็ยังเหมือนเมื่อก่อน นางจะรอดูเมื่อมีราชโองการให้ลั่วเซิงเข้าวังเป็นนางสนม ลั่วเซิงจะมีสีหน้าอย่างไร

“องค์หญิง พวกหมิงจู๋จะให้ทำอย่างไรเพคะ” หมัวหมัวผู้ภักดีถาม

องค์หญิงฉางเล่อหรี่ตามองนาง พูดเสียงราบเรียบว่า “ขังไว้ในเรือนไหนสักเรือนก่อน อย่ามาทำให้ข้าขัดเคืองตา”

เมื่ออารมณ์ดีแล้ว นางจะถามเหตุการณ์ครั้นอยู่จวนลั่วของทั้งสี่

ฤดูใบไม้ผลิสดใส ถนนและตรอกซอกซอยในเมืองหลวงมีชีวิตชีวาและสงบสุข สงครามในแดนไกลไม่ได้ทำให้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปมากนักในขณะนี้ กระแสน้ำที่พลุ่งพล่านบริเวณใกล้เคียงไม่ได้ทำให้ผู้คนที่ยุ่งอยู่กับการทำมาหากินรู้สึกตัว

วันนี้เป็นวันหยุด

สำหรับที่ว่าการชนชั้นสูงเช่นสำนักฮั่นหลิน เหล่าสหายร่วมงานยิ่งต้องออกไปฆ่าเวลาด้วยการทานข้าวด้วยกัน

จะไปมีหอสุรานั้นไม่ได้แน่นอน ไม่มีเงิน โชคดีที่สถานที่ดื่มสุรามีไม่น้อย ซูเย่าและสหายสองสามคนกินตั้งแต่ยามเที่ยงจนถึงยามเย็นแล้วจึงแยกย้ายกันกลับจวน

บัดนี้พระอาทิตย์กำลังตกดิน ลมอ่อนๆ พัดโชยมา ซูเย่าเดินบนถนน ไร้ซึ่งอาการเมามายแม้แต่น้อย

ในทางกลับกัน ดวงตาของเขาแจ่มชัด มีสติดีมาก

ยามดื่มสุรากับผู้อื่น เขาจะทำเป็นดื่มสุราไม่เก่ง แต่กลับไม่มีผู้ใดรู้ว่าอันที่จริงน้อยครั้งที่เขาจะเมา

เขาแค่ไม่อยากทำตัวเป็นจุดเด่นเท่านั้น เขารู้ดีมากว่าต้องปรับตัวเข้ากับกลุ่มคนอย่างไร

ซูเย่าถูกปกคลุมด้วยแสงอัสดง เขาเดินกลับไปที่จวน รู้สึกได้ใจเล็กน้อย เมื่อมองทะลุปรุโปร่งแล้วก็รู้สึกว่าคนเราน่าเบื่อเช่นนี้ ตราบใดที่เขาต้องการ ย่อมสมปรารถนาได้

ทันใดนั้นความเจ็บปวดสาหัสก็มาเยือน อาลักษณ์ซูที่กำลังได้ใจหน้ามืดและหมดสติไป

เรือนเสียนอวิ๋นย่วนจุดไฟสว่างไสว ดูแล้วไม่ต่างจากคืนธรรมดาที่ผ่านมา ในห้องของลั่วเซิงกลับมี ‘แขกผู้มีเกียรติ’ เพิ่มมาหนึ่งคน

หลุบตาลงมองชายที่นอนอยู่บนพื้นอย่างพินิจพิเคราะห์ ลั่วเซิงก็เผยรอยยิ้มจางๆ

ในเมื่อจะจากไปแล้วก็ต้องบอก ‘สหายเก่า’ ท่านนี้เสียหน่อย หากสามารถรู้ได้ว่าเขาเล่นบทบาทอะไรต่อหน้าองค์หญิงฉางเล่อก็ถือว่าได้กำไรแล้ว

ลั่วเซิงลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ ซูเย่า ยกเท้าขึ้นเขี่ยเขาเบาๆ “ยังไม่ฟื้นอีก”

ซูเย่าปวดศีรษะอย่างยิ่ง ได้ยินเสียงคนเรียกเขาเลือนราง เขาลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก

สิ่งที่เห็นคือใบหน้าที่งดงามและไม่แยแส ดูเหมือนไร้ซึ่งอารมณ์

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท