ตอนที่ 1,472 บทสนทนา
ฉินโซวมีความคิดมากมายอยู่ในหัว แต่เขาก็ทราบดีว่านี่ไม่ใช่เวลามานึกถึงอดีต ชายฉกรรจ์จึงรีบตั้งสมาธิอีกครั้ง
เขาดันฝ่ามือออกมาข้างหน้า
สองแม่ลูกพลันลอยตรงเข้าไปหาหลินเป่ยเฉิน
พวกนางอยู่กับหลินเป่ยเฉินจะปลอดภัยกว่าติดตามเขา
“ท่านผู้มีพระคุณ…”
ฉู่จิวอี้ทั้งตกใจและรู้สึกเสียใจในเวลาเดียวกัน
“ท่านลุง เซวียนเซวียน… อยากจะติดตามท่าน”
เจิ้งเซวียนเซวียนพูดออกมาด้วยความกระวนกระวายใจ
ถึงอย่างไรฉินโซวก็เป็นผู้ที่ช่วยเหลือพวกนาง ในสายตาของสองแม่ลูก ฉินโซวจึงเป็นผู้ที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกปลอดภัยมากที่สุด
รอยยิ้มอย่างที่หาได้ยากยิ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉินโซว
“ข้าจะแวะมาหาพวกเจ้าบ่อย ๆ”
เขาปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หลินเป่ยเฉินไม่ปฏิเสธ โคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาเล็กน้อย เพื่อส่งตัวสองแม่ลูกขึ้นสู่รถม้าทองคำ
“นี่ไม่ใช่เวลามาสนทนา… ดูเหมือนครั้งนี้ข้าคงรั้งตัวท่านเอาไว้ไม่ได้ แต่มีประโยคหนึ่งที่ข้าต้องการจะบอกท่าน”
หลินเป่ยเฉินมองออกอย่างชัดเจนว่าฉินโซวไม่ต้องการติดตามไปพร้อมกับเขา
“มีเรื่องอันใดหรือ?”
ฉินโซวถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะทราบดีว่าการกระทำของหลินเป่ยเฉินย่อมหมายถึงว่าเด็กหนุ่มยินดีรับสองแม่ลูกฉู่จิวอี้กับเจิ้งเซวียนเซวียนไปดูแล
หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “บุตรสาวของท่านคิดถึงท่านมาก นางอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนดินแดนทวยเทพ นางอยากจะพบเจอบิดาของนาง”
พูดจบ หลินเป่ยเฉินก็ยกมือขึ้น
บนฝ่ามือของเขามีแสงสว่างวูบวาบ
แล้วศิลาบันทึกภาพก้อนหนึ่งก็ลอยไปอยู่เบื้องหน้าฉินโซว มันเป็นศิลาที่บันทึกภาพของเด็กหญิงฉินเฉียนเซวียนที่ได้พูดข้อความ ซึ่งนางอยากจะกล่าวต่อบิดาของตนเอง
นี่คือศิลาบันทึกภาพตัวแทนแห่งความคิดถึง
ฉินโซวรับศิลาก้อนนั้นไปพร้อมกับก้าวถอยหลัง
“หากท่านอยากจะเอาชนะเว่ยหมิงเฉิน ท่านก็ต้องยุติการฆ่าฟันที่กำลังเกิดขึ้นให้ได้เสียก่อน”
ร่างของฉินโซวละลายหายไปในเงามืดของกลุ่มก้อนเมฆ แต่เสียงของเขายังดังกังวานอยู่ในอากาศว่า “เว่ยหมิงเฉินรับประทานความตายและความหวาดกลัวเป็นอาหาร ยิ่งได้เสพพวกมันมากเท่าไหร่ เว่ยหมิงเฉินก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น”
หลังจากพูดจบ ฉินโซวก็หายตัวไปโดยสมบูรณ์
“ท่านลุง…”
เจิ้งเซวียนเซวียนร้องไห้และโบกมือบ๊ายบายไปยังทิศทางของเงามืด “ข้าจะคิดถึงท่าน”
ไม่มีเสียงตอบรับจากเงามืด
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ หันหน้ากลับมา
เขาได้ข้อมูลสำคัญมาพอสมควร
การกระทำของฉินโซวในขณะนี้ ไม่น่าเป็นเพราะความแค้นในอดีตเพียงอย่างเดียว
ดูเหมือนฉินโซวกำลังวางแผนทำอะไรบางอย่าง
จากข้อมูลการพูดคุยเมื่อสักครู่ เห็นได้ชัดว่าฉินโซวรู้ความลับสำคัญบางประการ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ยอมบอกออกมา
บางทีอาจเป็นเพราะมีไป๋ชินอวิ๋นยืนอยู่ตรงนี้ด้วยอีกหนึ่งคนกระมัง?
หลินเป่ยเฉินมองเด็กสาวร่างเล็กหน้าอกโตพร้อมกับกล่าวว่า “ได้ยินว่าบัดนี้เจ้าเป็นขุนศึกอันดับหนึ่งของกองทัพเทพอสูรแล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็คงรู้แล้วสินะว่าองค์ราชันย์เทพของพวกมันคือเว่ยหมิงเฉิน?”
ไป๋ชินอวิ๋นตอบกลับมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “ย่อมรู้ดี”
“ข้าอยากให้เจ้ากลับไปพร้อมกับข้า”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยเสียงที่แสดงออกถึงความจริงใจ
ไป๋ชินอวิ๋นมองใบหน้าอันหล่อเหลาที่ครั้งหนึ่งตนเองเคยหลงรัก เขายังคงมีเสน่ห์ดังเดิมทุกประการ แต่เด็กสาวก็ยังคงส่ายศีรษะตอบกลับไปว่า “ไม่กลับ”
หลินเป่ยเฉินถามย้ำว่า “จะไม่กลับจริง ๆ หรือ?”
ไป๋ชินอวิ๋นพยักหน้าตอบรับ “ไม่กลับ”
“มีเหตุผลหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
ไป๋ชินอวิ๋นยิ้มเล็กน้อยด้วยความเย็นชา “ข้าอยากมีชีวิตตามเส้นทางที่ข้ากำหนดเอง”
“เจ้าลืมความเกลียดชังที่ตนเองมีต่อเว่ยหมิงเฉินไปหมดแล้วหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยังคงถามต่อไป
ไป๋ชินอวิ๋นหัวเราะในลำคอ “ความเกลียดชังเพียงเล็กน้อย เทียบไม่ได้กับชีวิตที่ยืนยาว”
“สรุปว่าเจ้าไม่ได้จะแก้แค้นอีกแล้ว?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว
ไป๋ชินอวิ๋นตอบกลับเสียงเรียบ “ตอนแรกยังเป็นการแก้แค้น แต่ตอนนี้ไม่ใช่การแก้แค้น”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าทำไปเพื่ออะไร?”
หลินเป่ยเฉินถามคำถามที่ยากลำบากออกมาได้ในที่สุด
ไป๋ชินอวิ๋นตอบ “เพื่อให้ตนเองแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
“งั้นเจ้ากลับไปกับข้า ข้าจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นเอง”
หลินเป่ยเฉินเอ่ยคำเชิญอีกครั้ง
ไป๋ชินอวิ๋นส่ายศีรษะ “ข้าเห็นภาพอนาคตที่ตนเองแข็งแกร่งได้โดยไม่ต้องมีเจ้า”
“ในอนาคตยังมีอีกหลายอย่างสามารถเกิดขึ้นได้”
หลินเป่ยเฉินไม่อยากยอมแพ้ง่าย ๆ และพยายามเกลี้ยกล่อมต่อไป
ไป๋ชินอวิ๋นจ้องมองเข้ามาในดวงตาของหลินเป่ยเฉิน ทันใดนั้น แววตาของนางก็มีความเศร้าปรากฏขึ้นมาวูบหนึ่ง “ข้าเห็นเพียงสิ่งที่ข้าอยากจะเห็น ข้าไม่ต้องการเห็นสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากนี้”
เมื่อบทสนทนาดำเนินมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็รู้แล้วว่าตนเองคงไม่สามารถเปลี่ยนใจไป๋ชินอวิ๋นได้อีก
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ในที่สุด เขาก็พูดประโยคอันตรายออกมา…
“หากเจ้าไม่กลับไปกับข้า เงินที่ข้าเคยติดค้างเจ้าอยู่ถือเป็นอันโมฆะ”
เขาจ้องมองไป๋ชินอวิ๋นด้วยความโกรธแค้น
เด็กสาวร่างเล็กหน้าอกโตยิ้มออกมาเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นข้าจะคิดดอกเบี้ยเพิ่ม… ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องจ่ายหนี้”
กล่าวจบ ร่างของนางก็ค่อย ๆ ลอยถอยไปข้างหลัง
“หลินเป่ยเฉิน ข้าเคยติดหนี้บุญคุณเจ้ามากมาย วันนี้ข้าจึงถอยให้กับเจ้า แต่หากเราได้พบกันวันหน้า ข้าคงถอยให้เจ้าเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว”
หลังจากนั้น ใบหน้ารูปไข่ที่ประดับรอยยิ้มงดงามราวกับบุปผาบานสะพรั่งก็เลือนหายไปในอากาศ
ตัวคนก็เลือนหายไปเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ไล่ตามไป
เขาขับรถม้าทองคำพุ่งทะยานไปบนท้องฟ้าและปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ประจำตำแหน่งเทพเจ้าสายฟ้าออกมา
เพียงไม่กี่ลมหายใจ ท้องฟ้าก็ปกคลุมไปด้วยเมฆฝนดำทะมึน
สายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ในกลุ่มก้อนเมฆ
ในนครหลวงที่ล่มสลาย หุ่นเหล็กมฤตยูที่เหลืออยู่อีกสามตัวถูกสายฟ้าฟาดใส่ไม่หยุดยั้ง
การสังหารหุ่นเหล็กทั้งสามตัวในเวลาเดียวกัน แม้ว่าจะต้องใช้พลังมหาศาล แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลินเป่ยเฉินแม้แต่น้อย
ชาวเมืองที่ยังรอดชีวิตอยู่เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็ต้องตกตะลึงจนแทบลืมหายใจ
หุ่นเหล็กยักษ์เหล่านี้คือฝันร้ายของทุกคน
เป็นต้นกำเนิดแห่งการทำลายล้าง
และเป็นต้นกำเนิดแห่งความเจ็บปวด
ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งหุ่นมรณะเหล่านี้ได้ แต่ในขณะที่ชาวเมืองเตรียมตัวเตรียมใจรอรับชะตากรรม กลับมีวีรบุรุษได้ปรากฏกายออกมา…
เด็กหนุ่มในชุดขาวผู้ขับรถม้าทองคำสามารถเอาชนะหุ่นเหล็กยักษ์เหล่านี้ได้จริง ๆ หรือ?
ทุกคนเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เพราะพวกเขากลัวว่านี่อาจเป็นเพียงภาพฝัน ที่เมื่อหลับตาแล้วลืมตาขึ้นมาอีกที ภาพเหล่านี้ก็จะสลายหายไป
แต่โชคดีที่โชคชะตาไม่ได้ใจร้ายกับผู้คนเกินไปนัก
ในที่สุด หุ่นเหล็กยักษ์ทั้งสามตัวนั้นก็ถูกสายฟ้าฟาดพังถล่มลงไป แต่พวกมันยังไม่ทันล้มลงบนพื้นดินด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มผู้ขับรถม้าทองคำก็เก็บพวกมันกลับไปเรียบร้อย
เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังกังวานไปทั่วเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยเปลวไฟและความตาย
เสียงโห่ร้องเหล่านั้นทำให้ภูเขาสั่นสะเทือน
ราวกับเป็นคลื่นสึนามิ
บรรดาผู้รอดชีวิตจากจักรวรรดิต้าเกี๋ยนต่างก็บูชาในตัวหลินเป่ยเฉินตาม ๆ กัน
หลายคนร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ
ฉู่จิวอี้และบุตรสาวกอดกันกลมอยู่ในห้องโดยสารของรถม้า ร้องไห้ออกมาด้วยความปลาบปลื้ม
ในที่สุด พวกนางก็ได้รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหลินเป่ยเฉิน
ฉินโซวผู้ช่วยชีวิตพวกนางเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าเป็นเทพเจ้าผู้แข็งแกร่งแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะหุ่นเหล็กมฤตยูทั้งสามตัวได้ในเวลาเดียวกัน… เด็กหนุ่มชุดขาวผู้นี้เป็นผู้ใดกันแน่? เหตุไฉนเขาจึงได้หล่อเหลาและแข็งแกร่งถึงเพียงนี้?
หลินเป่ยเฉินยอมรับความชื่นชมทั้งหมดด้วยความเต็มใจ
…
“นายหญิงจะถอนกำลังออกมาเช่นนี้เลยหรือขอรับ?” นกอินทรีที่มีรูปร่างเป็นมนุษย์และมีวงแหวนเทพเจ้าอยู่หลังศีรษะเอ่ยถามข้างกายไป๋ชินอวิ๋น สีหน้าแววตาแสดงออกถึงความเคารพและความวิตกกังวล “เราเสียหุ่นเทพศักดิ์สิทธิ์ไปถึงสี่ตัวในครั้งเดียว องค์ราชันย์จะต้องไม่พอใจ…”
ไป๋ชินอวิ๋นยืนเอามือไขว้หลัง ยืดอกขึ้น ยิ่งขับเน้นความอะร้าอร่ามของสองเต้ามากกว่าเดิม “นี่เจ้ากำลังสอนข้าอยู่หรือ?”
อินทรีร่างมนุษย์ตัวนั้นแม้จะมีตำแหน่งเป็นเทพเจ้าระดับสูง แต่บัดนี้มันกลับตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว รีบคุกเข่าลงกล่าวละล่ำละลักว่า “ผู้ต่ำต้อยมิบังอาจ ผู้ต่ำต้อยพูดมากเกินไปแล้ว”
ไป๋ชินอวิ๋นไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่ดวงตาจ้องมองไปยังนครหลวงของจักรวรรดิต้าเกี๋ยนที่อยู่ห่างไกลออกไป “เดี๋ยวข้าจะรายงานเรื่องทั้งหมดนี้ให้องค์ราชันย์ทราบเอง พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”
“ถ้าอย่างนั้นให้เปิดค่ายอาคมสวรรค์มืดตามเดิมไหมขอรับ?”
มนุษย์อินทรีอีกตัวหนึ่งถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
“ไม่ต้องแล้ว บอกทุกคนว่ายกเลิกภารกิจ”
ไป๋ชินอวิ๋นส่ายหน้า “ข้าบอกให้ทุกคนถอนกำลังไงล่ะ ครั้งนี้เราจะโจมตีเขาไม่ได้ ยิ่งเปิดค่ายอาคม ก็ยิ่งเท่ากับเราไปดึงดูดความสนใจของเขา และนั่นก็คงเป็นการฆ่าตัวตายโดยแท้… จงไปแจ้งข่าวให้ส่วนอื่น ๆ ทราบ พวกเขาจะได้เตรียมตัวรับมือทันเวลา”