บทที่ 418 ลูกผู้ดีมีเงินไม่ทำการทำงาน
ในห้องโถงใหญ่
เจ้าพระยาเซียวที่วันๆเอาแต่อยู่ในห้อง หาได้ยากที่วันนี้จะตื่นเช้าได้ เมื่อถึงเวลาอาหารเช้า ก็ไปรออยู่ในห้องโถงก่อนตั้งนานแล้ว
หลานเยาเยามาถึงห้องโถงพร้อมกับเซียวจิ่นหยู เมื่อเห็นเจ้าพระยาเซียวที่นั่งตัวตรงเป็นทางการ สีหน้าเคร่งขรึม หลานเยาเยายกมุมปากขึ้น แล้ว
จากนั้นก็กอดกำปั้นทักทายไปทางเขา แสดงการทำความเคารพอย่างสุภาพ
โดยทั่วไปแล้ว
หลานเยาเยาเป็นถึงเทพธิดา ฮ่องเต้แต่ละประเทศยังยอมนางสามส่วน เป็นการดำรงอยู่อย่างหนึ่งที่นอกเหนือความคิดของผู้คน และตอนที่อยู่ประเทศก่วงส้า เห็นฮ่องเต้ยังไม่ทำคาราวะเลยด้วยซ้ำ ยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากฮ่องเต้ ตำแหน่งเท่าเทียมกับองค์หญิง
เจ้าพระยาเซียวควรจะทำคาราวะนางถึงจะถูก
แต่ในสายตาหลานเยาเยา เจ้าพระยาเซียวเป็นแม่ทัพที่ควรค่าแก่การเคารพนับถือ และยังเป็นผู้อาวุโส
ที่สำคัญคือ เห็นแล้วเจริญตา
สำหรับคนที่เห็นแล้วเจริญตา ไม่ว่าจะมีตำแหน่งฐานะแบบไหน นางก็จะปฏิบัติด้วยอย่างมีมารยาท อย่างไรเสียการทำความเคารพก็ไม่ทำให้เนื้อน้อยลงไปชิ้นหนึ่ง
เมื่อเซียวจิ่นหยูเห็นว่าท่านพ่อของตนเองก็อยู่ ในสายตาก็มีความประหลาดใจแวบขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เขามองไปที่เทพธิดาที่อยู่ข้างกายครู่หนึ่ง ก็พอจะเดาได้แล้ว สาเหตุที่ท่านพ่ออยู่ที่นี่ ดังนั้น ยกมือคำนับ กล่าวว่า
“ท่านพ่อ ท่านมาแล้ว พอดีเลย เรามากินข้าวร่วมกัน”
ฟังจากน้ำเสียงของเซียวจิ่นหยู และความประหลาดใจในแววตาของเขา
ดูเหมือนเจ้าพระยาเซียวจะไม่ได้กินข้าวร่วมกับเซียวจิ่นหยูบ่อยๆ วันนี้จู่ๆก็ตื่นแต่เช้า แถมยังเจตนารออยู่ที่นี่อีก
ดูท่าทาง……คงเป็นห่วงลูกชายคนนี้ของเขา!
เหมือนกลัวว่านางจะนำพาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาไปในที่ไม่ดี ดังนั้นเลยคิดจะหยั่งเชิงเจตนาในใจของเทพธิดาอย่างนางแทนลูกชายของเขา
คิดแล้วก็ถูก
อย่างไรเสียนางคือเทพธิดา ใช้คำขวัญว่าเป็นการขอพรให้ประชาชน เล่นกับแผนชิงอำนาจในประเทศต่างๆ และทุกที่ที่นางไปถึง ราชสำนักของประเทศนั้นก็จะต้องมีบรรยากาศการนองเลือดเกิดขึ้นทั้งนั้น
และนางกับจวนเจ้าพระยาซื่อสัตย์ของพวกเขาก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกัน กับเซียวจิ่นหยูไม่ได้ไปมาหาสู่กัน จู่ๆเมื่อคืนก็มาเยี่ยมถึงบ้านกะทันหัน ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร
เจ้าพระยาเซียวก็สมควรจะมีความกังวลใจเล็กน้อยอยู่แล้ว!
เขากลัวว่าความผันผวนไม่แน่นอนของราชสำนักจะส่งผลกระทบผัวพันมาถึงจวนเจ้าพระยาซื่อสัตย์ของพวกเขา
หลังจากที่เจ้าพระยาเซียวตอบรับคำทักทายอย่างสุภาพแล้ว พวกเขาสามคนก็นั่งลงไปยังที่นั่ง ถึงแม้จะนั่งกินข้าวด้วยกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่กินข้าวกับเจ้าพระยาเซียวที่หัวโบราณเช่นนี้ หลานเยาเยารู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
ถึงอย่างไร!
เจ้าพระยาเซียวก็ไม่เหมือนกับตาเฒ่าเย่นและบรรดาตาเฒ่าหนังเหนียวพวกนั้น ที่นางจะทำอย่างไรก็ได้ และยิ่งไม่เหมือนกับคนที่เสแสร้งไม่จริงใจพวกนั้น ที่นางแค่ต้องมาอย่างลึกล้ำอย่างไรก็คืนกลับไปอย่างนั้น
ตอนนี้……
เวลากินไม่พูดคุยเวลานอนไม่พูดคุยดีกว่า!
ดังนั้นช่วงเวลาที่กินข้าว หลานเยาเยาไม่พูดแม้แต่คำเดียว
ถึงแม้เวลากินข้าวจะไม่ได้มีมารยาทงามเหมือนกุลสตรีที่มาจากตระกูลใหญ่มีฐานะ แต่ก็ไม่ได้จงใจแสดงอารมณ์ใดๆ ควรกินกิน ควรดื่มดื่ม ตรงจุดนี้ เจ้าพระยาเซียวพอใจอย่างมาก
เพียงแต่ตอนที่เห็นตาโตๆของเทพธิดามองไปที่น่องไก่ตัวโตๆที่อยู่กลางโต๊ะอาหารอันนั้นเป็นระยะๆ ในสายตาของเขากลับมีรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
จู่ๆก็รู้สึกว่าเทพธิดาคนนี้น่ารักเล็กน้อย!
หลานเยาเยาจนใจมาก!
นางคือนักกินโดยสมบูรณ์คนหนึ่ง เห็นอาหารเลิศรสอยู่ตรงหน้า กลับทำได้แค่มองไม่สามารถกินได้ ในใจรู้สึกเหมือนถูกแมวข่วน รู้สึกคันๆในใจเป็นพิเศษ
หลานเยาเยาจ้องไปที่น่องไก่นานมาก บอกตัวเองซ้ำๆอยู่ตลอดเวลา ที่นี่ไม่ใช่ตำหนักเทพธิดาของตน ต้องระวังคำพูดและการกระทำ
ดังนั้น!
นางแอบตัดสินใจเงียบๆ บีบบังคับให้สายตาของตัวเองมองไปทางอื่น
เพียงแต่เมื่อสายตามองออกไป เสียงของเจ้าพระยาเซียวก็ดังมาจากอีกด้านหนึ่ง “เทพธิดาไม่ต้องเกรงใจ อยากกินอะไรก็กินเลย”
เอ่อ?
นางก็อยากนะ!
แต่น่องไก่อันนี้ใหญ่ไปหน่อย ตอนที่กินต้องใช้มือจับ เช่นนั้นมันจะไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่
“ได้!”
ถึงแม้จะตอบกลับอย่างดี แต่นางตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปคีบน่องไก่แล้ว
และในตอนนี้ ตะเกียบคู่หนึ่งคีบเอาไว้อย่างแม่นยำ น่องไก่ที่หลานเยาเยาเล็งเอาไว้ก่อนหน้านี้ ภายใต้สายตาของนาง น่องไก่ก็ถูกวางไว้ในถ้วยของนาง
และเจ้าของตะเกียบคู่นั้น ก็คือเซียวจิ่นหยูที่นั่งอยู่ข้างๆ เขายิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน กล่าวด้วยเสียงถ่อมตน:
“กินเยอะๆหน่อย!”
“ขอบคุณมาก!”
หลานเยาเยารู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย นางจะกินดีไหม? หรือจะกินดี? หรือจะกินดี?
การกระทำเช่นนี้ของเซียวจิ่นหยู เจ้าพระยาเซียวกลับรู้สึกประหลาดใจมาก จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างสังเกตเห็นได้ยาก
หลังจากที่กินข้าวเสร็จกันแล้ว เจ้าพระยาเซียวก็หาข้ออ้าง คุยกับหลานเยาเยาตามลำพัง
ในห้องหนังสือ
หลานเยาเยาเม้มปากกลืนน้ำลายเบาๆ กล่าวถามอย่างตรงไปตรงมาว่า:
“เจ้าพระยาหาข้ามีธุระอันใดหรือ?”
รู้ว่านางเป็นคนฉลาด เจ้าพระยาเซียวก็ไม่พูดอ้อมค้อม
“ขอเทพธิดาโปรดอภัยด้วย จวนเจ้าพระยาซื่อสัตย์เราไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องในราชสำนักมานานแล้ว เซียวจิ่นหยูก็ไม่มีใจที่จะก้าวหน้าในวิถีทางในการเป็นขุนนาง
ตระกูลเซียวของเรามีแค่สายเลือดเดียวที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน สืบทอดมาถึงรุ่นนี้ ก็มีแค่เซียวจิ่นหยูที่เป็นลูกชายคนเดียวเท่านั้น
ร่างกายข้าก็แย่ลงไปทุกวัน รู้ตัวว่าอยู่ได้อีกไม่กี่ปี ถึงแม้จะไม่มีอะไรให้เสียใจ แต่กลับหวังให้เซียวจิ่นหยูใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยชั่วชีวิต เช่นนั้นข้าก็พอใจแล้ว”
เขาไม่ได้พูดออกมาตรงๆว่าเป็นเรื่องอะไร แต่จากคำพูดนี้ของเขา หลานเยาเยาก็เข้าใจความหมายที่แท้จริงของเขา
ดังนั้น!
หลานเยาเยาจิบน้ำชาอีกครั้ง ริมฝีปากแดงที่มีคราบน้ำอยู่มีสีแวววาวดึงดูดน่าหลงใหลเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยปากกล่าวว่า:
“เจ้าพระยาเซียวคงจะเข้าใจอะไรผิดไปแล้ว เดิมทีเมื่อวานไม่ได้ตั้งใจจะรบกวน ทุกอย่างเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น เพราะเรื่องที่วิวาทะกับอ๋องเย่เมื่อหลายวันก่อนหน้านี้ร่ำลือกันไปทั่ว
ตาเฒ่าหนังเหนียวในตำหนักคนนั้น…….พ่อบ้านเลยคุมเข้มมาก เกรงว่าข้าจะไปก่อเรื่องอะไรข้างนอกอีก ดังนั้นจึงสั่งคนเพิ่มกำแพงให้สูงขึ้นอีกสามฟุต
แต่ว่า พอดีวันนี้มีเรื่องที่สำคัญมากต้องไปทำ เพื่อสามารถออกมาได้ เลยจำต้องหนีออกมากลางดึก ไม่คาดคิดว่าจะเจอกับนักฆ่าที่เก่งกาจมากบนถนน และตอนนั้นเองก็บังเอิญพบกับเซียวซื่อจื่อพอดี
เซียวซื่อจือมีจิตใจที่มีคุณธรรม ช่วยข้าเอาไว้ ดังนั้นข้าถึงได้ปรากฏตัวที่นี่ได้”
ในเมื่อนางพูดไปตามความจริง เชื่อไม่เชื่อก็อยู่ที่เจ้าพระยาเซียวแล้ว
สำหรับคำอธิบายเช่นนี้ของนาง ดูท่าทางไม่ค่อยมีน้ำหนักเล็กน้อย และดูสายตาของนางก็ดูไม่เหมือนกำลังโกหกอีก เจ้าพระยาเซียวรู้สึกประหลาดใจมาก
“เทพธิดาก็มีคนที่กลัว?”
ไม่ว่าที่เทพธิดาพูดจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ สิ่งที่เจ้าพระยาเซียวอยากรู้คือคนที่ทำให้เทพธิดากลัว
“เหอะๆ เจ้าพระยาพูดเล่นแล้ว ถึงแม้ชื่อเสียงข้าจะแผ่ไพศาล แต่ถ้านับโดยรวมแล้ว ข้าก็แค่เด็กสาวอายุสิบแปดคนหนึ่งเท่านั้น พ่อบ้านที่ตำหนักเข้มงวดมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ไม่ใช่คนใจแข็งไร้ความรู้สึกโดยกำเนิด ผู้อื่นดีต่อข้า ข้าก็เคารพเขาสามส่วน หากผู้อื่นต้องการทำร้ายข้า ข้าก็ต้องไม่ปล่อยไปอยู่แล้ว ดังนั้นเจ้าพระยาเซียววางใจได้ ข้ากับเซียวซื่อจื่อไม่มีความแค้นต่อกัน
และข้าสามารถได้รับการขนานนามว่าเทพธิดาในประเทศต่างๆ ยังสามารถอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็ต้องมีความสามารถเฉพาะตัวอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องแสวงหาซื่อจื่อที่ไม่อยู่ในวิถีทางก้าวหน้าไปเป็นขุนนางมาคอยสนับสนุนข้า”
กล่าวถึงตรงนี้
หลานเยาเยาหยุดไปครู่หนึ่ง เห็นคิ้วของเจ้าพระยาเซียวที่คลายออก กล่าวต่อไปอีกว่า:
“เรื่องในราชสำนัก เปลี่ยนแปลงไปได้มากมายหลากหลาย บางทีเซียวซื่อจื่ออาจไม่ใช่ลูกผู้ดีมีเงินที่ไม่ทำการทำงานอย่างที่ท่านเห็นก็ได้ เท่าที่ข้าเห็น เขาเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ไม่ใช่ว่าจะถูกชักจูงไปได้ง่ายๆ”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้
เจ้าพระยาเซียวพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าคิดมากไปเองแล้ว”
แต่ที่น่าแปลกก็คือ……
เซียวงจิ่นหยูวันๆเอาแต่กินดื่มเที่ยวเล่นสนุก ไม่ดูแลจัดการเรื่องในจวน และไม่มีใจในวิถีทางก้าวหน้าไปเป็นขุนนาง มักจะดื่มเหล้ากับเพื่อนที่เอาแต่กินและเที่ยวเล่นพวกนั้นจนดึกดื่นค่อนคืนถึงจะกลับมา นี่ไม่ใช่ลูกผู้ดีมีเงินไม่ทำการทำงานแล้วคืออะไร?
เพราะอะไรเทพธิดาถึงบอกว่าเซียวจิ่นหยูไม่ใช่?
หรือว่าเซียวจิ่นหยูมีเรื่องอะไรปิดบังเขาอยู่?