“โรคมนุษย์ต้นไม้หรือต้นไม้มนุษย์นั้นมีความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร มันมีความสามารถในการแพร่กระจายเชื้อได้อย่างรวดเร็ว ส่วนผู้ป่วยที่ติดเชื้อไปนั้นก็จะมีอาการแย่ลงอย่างมากและมีแผลขึ้นเต็มตัว ซึ่งแผลนั่นหากสัมผัสกับผู้ป่วยคนอื่นจะเกิดการหลอมรวมกันทันทียิ่งจำนวนคนเยอะมากเท่าไหร่ยิ่งหลอมรวมกันใหญ่โตมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้มันจะหลวมรวมกันแต่มันก็ยังมีชีวิตอยู่และสามารถเติบโตต่อไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนเรื่องอัตราความเร็วในการเจริญเติบโตและสาเหตุที่เกิดโรคนี้นั้น ทางเรายังไม่สามารถสรุปได้อย่างแน่ชัด จึงไม่สามารถบอกอะไรนักศึกษาได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราแน่ใจก็คือมันอันตราย”
ศาสตราจารย์ฉินอธิบายต่อไป เขาไม่สนใจปฏิกิริยาใดๆของคนฟังทั้งสิ้น
“ เมื่อเราวางมนุษย์ต้นไทรไว้ในห้องทดลองที่ปิดผนึกด้วยสุญญากาศและกำจัดอากาศออกไปเกือบทั้งหมด มนุษย์ต้นไทรก็จะตายในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากสังเกตเราก็พบว่าหัวใจทั้งหมดจะหยุดเต้นเเล้ว เลือดและของเหลวสีดำในร่างกายของพวกเขาก็หยุดไหลเวียนและแสดงพฤติกรรมเช่นเดียวกับศพคนตาย หลังจากที่มันกลาบเป็นศพเเล้ว เราจึงต้องใช้ฟอร์มาลินในการรักษาสภาพศพ….ดังนั้นมนุษย์ต้นไทรที่อยุ่ต่อหน้าพวกคุณ มันไม่ได้น่ากลัวอะไรอีก เพราะมันคือ ต้นไทรที่ ‘ตายเเล้ว’” ศาสตราจารย์ฉินอธิบายต่อไปจนจบประโยคเเล้ว พักหายใจครู่หนึ่งก่อนที่จะเร่งอธิบายอีก
“ สภาพการตายของมัน… จริงๆไม่ได้ต่างอะไรกับซากศพทั่วไปของมนุษย์ เพราะเลือดในกายและของเหลวสีดำได้หยุดการไหลเวียนไปจนหมดสิ้น ดังนั้นโดยพฤตินัยมันไม่สามารถโต้ตอบ ใช้ความคิดหรือว่ามีชีวิตได้อีกต่อไป เเต่ก็เพราะว่ามันก็ยังเหลือปฏิกิริยาหลังการตายอยู่… เมื่อมีสิ่งมีชีวิตมาเข้าใกล้มันสามารถแสดงปฏิกิริยาออกมา อาจจะเป็นปฏิกิริยาเสียง ปฏิกิริยาแรงกดดัน เรื่องนี้พวกคุณก็ได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว แต่มันไม่อันตราย ทางเราเคยพิสูจน์มาเรียบร้อยด้วยเครื่องเอกซเรย์ พวกเราพบว่าเสียงเหล่านั้นเกิดจากการบีบของอวัยวะหลายๆ อย่างในลำคอ ส่วนเสียงและคำพูดที่มันพูดออกมานั้น เราตั้งสมมติฐานว่า มันอาจจะเป็นคำสั่งเสียหรือคำพูดสุดท้ายก่อนที่ผู้ตายจะสูญเสียชีวิต.. และเมื่อปิดตา พวกเขาก็จะหยุดเเละสงบลง อย่างไรก็ตามสิ่งที่ฉันพูดมาเกี่ยวกับเรื่องนี้มันอยู่ในระหว่างการศึกษาทดลอง ผลวิจัยยังไม่ออกมาอย่างแน่ชัด”
หน้าจอขนาดใหญ่เล่นวิดีโอเกี่ยวกับการเอ็กซ์เรย์เเละฉายข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทำให้ทุกคนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเสียงที่ออกมาจากหลอดลมและหลอดอาหารของต้นไทรถูกบีบในลักษณะแปลก ๆ อย่างไร
ในวิดีโอมีคำว่า “ วันแห่งความตายที่สิบ” กำกับไว้ เเม้ต้นไทรในวีดีโอจะถูกเเช่เป็นเวลานาน อีกทั้งยังเป็นการแช่ในฟอร์มาลิน แต่มันก็ยังจะอุตส่าห์ แสดงปฏิกิริยาหลังตายออกมาได้ นี่นับเป็นเรื่องน่าเชื่อจริงๆ ศาสตราจารย์ฉินคิดในใจด้วยความไม่อยากเชื่อ
จริงๆแล้วการทดลอง สังเกตการณ์ และวิเคราะห์ ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ นี่เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่เขาพบว่าต้นไทรนี้มีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงหลังจาก ‘ตาย’ เมื่อคิดได้อย่างนี้สายตาที่เขามองกู้จวินก็เริ่มมีความอบอุ่นประปรายขึ้นมาบ้าง
หลังจากดูวิดีโอทั้งหมด กู้จวินนึกถึงการทดลองกับสัตว์ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยทำในชั้นเรียนขึ้นมาได้ กู้จวินหันไปเเละเริ่มพูดกับคนอื่น ๆ เพื่อปรึกษาทันที
“ ทุกคน! เห็นการทดลองในวีดีโอเเล้วไม่นึกถึงการทดลอง ‘ผ่ากบ’ ของพวกราตอนนั้นเหรอ? ไอ้ที่ว่า…กบที่ถูกตัดหัวไปเเล้วมีปฏิกิริยาตอบสนองน่ะ…”
ไช่ฉีซวนและคนอื่น ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของกู้จวิน และทันใดนั้นเองทุกคนก็รู้สึกเหมือนว่าพวกเขาเข้าใจปมของปัญหาที่เกิดขึ้นเเล้ว!
“ คล้ายกัน….มันคล้ายกันมาก” หวังรั่วเซียงหันไปมองวีดีโออีกครั้งและเริ่มคิดอย่างละเอียด
“ไม่เเน่ว่าของเหลวสีดำอาจทำให้ผิวหนังของต้นไทรยัง ‘ทำงาน’ ได้อยู่? เเละทันทีที่กู้จวินเข้าใกล้ ลมหายใจที่กู้จวินหายใจออกมาก็อาจจะทำให้ผิวหนังของต้นไทรระคายเคือง เส้นประสาทในผิวหนังที่ยังคงสภาพอยู่ก็เกิดปฏิกิริยารับรู้และเปล่งเสียงออกมา ทำให้เราเข้าใจว่ามันยังชีวิตอยู่ จึงทำให้เกิดการสะท้อนกลับเเบบนี้…” หวังรั่วเซียงวิเคราะห์ออกมา จากนั้นก็หันไปกู้จวิน
“อ่า ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” กู้จวินคิดอย่างลึกซึ้งและพยักหน้าตอบรับ “ เเละสิ่งนี้ได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง…”
[Scratch reflex] เป็นการทดลองที่น่าสยดสยอง พวกเขาต้องตัดหัวของกบทดลองและเอาสมองออกไป พอทำเสร็จ…ในขณะนี้กบตัวนั้นได้ถือว่าตายตามหลักวิทยาศาสตร์เเล้ว หลังจากศพกบพร้อม พวกเขาก็ทาผิวหนังบริเวณท้องของกบด้วยกระดาษที่ชุบกรดซัลฟิวริกความเข้มข้นต่ำเอาไว้ เเละผลที่ได้ก็ทำให้พวกเขาตกใจกันมาก! เพราะกบนั้นดันเอาเเขนเล็กๆของมันมาเกาบริเวณที่พวกเขาเอากระดาษชุบกรดซัลฟิวริกเเปะไว้
นั่นเป็นเพราะมีศูนย์ประสาทอีกเส้นหนึ่งอยู่ที่ไขสันหลังของกบที่ยังไม่ถูกทำลาย นอกจากนี้ยังมีวิถีประสาทที่ควบคุมอาการรีเฟล็กซ์หลายตัวในร่างกายกบด้วยซึ่งมันจะตอบสนองทันทีเมื่อถูกกระตุ้น
เเต่นั่นเป็นเรื่องของกบ….ซึ่งมันต่างจาก ‘มนุษย์ต้นไทร’ อย่างมาก ขนาดผู้ป่วยที่เป็นมนุษย์ไทรเเม้จะถูกโรคประหลาดครอบงำ เเต่พวกเขาก็ไม่ตาย เเละกับอีเเค่ไม่มีอากาศหายใจ พวกมันจะตายว่องไวขนาดนั้นได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของเสียงมาเกี่ยวข้องอีก ถึงจะบอกว่ามันคือปฏิกิริยาระยะสั้น แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าสั้นสำหรับมนุษย์หรือสั้นสำหรับสิ่งประหลาดมันต่างกันอย่างไร
ช่วงเวลาแห่งความตายนั้นยาวนานมากสำหรับมนุษย์ ส่วนช่วงเวลาแห่งความตายสำหรับมนุษย์ต้นไทรนั้นพวกเขาก็ไม่ทราบเหมือนกัน ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่ามนุษย์ต้นไทรต้นนี้อาจจะเพิ่งตายมาได้ไม่นาน… ดังนั้นมันจึงยังมีปฏิกิริยารีเฟลกซ์อยู่ สิ่งที่พิสูจน์ได้ก็คือ พวกมันเหมือนถูกกระตุ้นทันทีที่มีสิ่งชีวิตเข้ามาใกล้
“ การสะท้อนเพราะเเรงขีดข่วนจากภายนอก!” ศาสตราจารย์กู้ได้ยินการอภิปรายของพวกกู้จวิน เขาก็กล่าวถึง ‘ชื่อการทดลอง’ ครั้งนั้นด้วยความยินดี เขาดีใจมากที่ ‘ลูกๆ’ ของเขาฉลาดเเละปราดเปรื่องจนคาดไม่ถึง เเต่ทั้งหมดนี่…จริงๆศาสตราจารย์ก็กำลังจะอธิบายต่อไปอยู่เเล้ว
ดังที่ศาสตราจารย์ฉินได้กล่าวไว้แล้ว ว่านี่เป็นการสะท้อนกลับที่ไม่มีเงื่อนไข เเละกู้จวินก็ไม่ใช่คนเดียวในสนามกีฬาที่คิดถึงการสะท้อนกลับเพราะรอยขีดข่วนจากภายนอก อาจารย์มหาลัยและนักศึกษาเเพทย์หลายคนต่างก็พากันกระซิบอย่างตื่นเต้นเกี่ยวกับเรื่องนี้
นักศึกษาและอาจารย์มหาวิทยาลัยทุกคนยังอยู่ในอาการตกใจ เเต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ในฐานะ ‘ทาส’ ทางการแพทย์ พวกเขาก็สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วโดยการใช้เหตุผลปัจจุบันเพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนตรงหน้านี้ ส่งผลให้พวกเขาไม่กลัวมัน แต่ก็ยังหลงเหลือความประหลาดใจเพิ่มขึ้นมามหาศาลแทน
ในเวลานี้ ‘ซุนอี้เหิง’ จากทีมพิเศษของมหาวิทยาลัยชิงหยุนก็ยกมือขึ้นและถามด้วยความสงสัย
“ ศาสตราจารย์ฉินครับ แล้วเชื้อโรคที่เกี่ยวข้องกับต้นไทรที่คุณพูดถึงล่ะครับ? นี่คือไวรัสหรือไม่? วิธีการแพร่กระจายคืออะไร?”
คำถามต่อเนื่องสามคำถามนี้เป็นสิ่งที่อาจารย์และนักศึกษาเเพทย์ทั้งหมดในปัจจุบันทุกคนอยากรู้อยากเห็น….โดยเฉพาะคำถามเเรก!!
น่าเสียดายที่ศาสตราจารย์ฉินตอบกลับเค่ว่า
“ ฉันไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับเชื้อโรคได้มากเกินไป นี่คือไวรัส โชคดีที่เราพบว่ามีเพียงสองวิธีในการแพร่กระจาย ประการแรกคือการสัมผัสทางชีวภาพกับแหล่งที่มาของต้นไทรเท่านั้น ประการที่สองคือการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวสีดำจากผู้ป่วยที่อยู่ในระยะที่ 3”
หลังจากฟังคำตอบเหล่านี้ทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตราบใดที่ต้นไทรที่เป็นโรคที่ไกลตัว….และผู้ป่วยในขั้นตอนการปลิดชีพได้รับการกักกันอย่างเหมาะสม สถานการณ์ก็จะไม่เลวร้ายเกินไป
ความเป็นไปได้ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ หากไวรัสสามารถติดต่อผ่านทางเดินหายใจ เช่นโรคซาร์สหรือ แม้แต่ไวรัสอีโบลาที่สามารถติดต่อทางอากาศได้ พวกเขาที่เป็นหมอในอนาคตคงม่องเท่ง