ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก – ตอนที่ 152

ตอนที่ 152

ตอนที่ 152 คาถา VS ระเบิด

 อืม..  เสี่ยป้าพยักหน้าเห็นด้วยกับกําจวนเล็กน้อยมันแน่นอนอยู่แล้วหากว่าพวกเขายังคงเสียเวลาแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ แบบไม่ก่อประโยชน์อะไรขึ้นมาเสบียงของพวกเขาที่เหลือน้อยอยู่แล้วก็จะต้องหมดอย่างรวดเร็ว….

และจํานวนสมาชิกที่ต้องบาดเจ็บเพราะเรื่องนี้ก็อาจจะมีเยอะขึ้นและถึงตอนนั้นพละกําลังของทีมนักล่าอสูรจะต้องลดลงอย่างแน่นอน… เมื่อกําลังทีมลดลงสิ่งที่ตามมาก็คือจิตใจของสมาชิกทีมจะต้องได้รับผลกระทบและค่า S ของพวกเขาจะต้องลดลงอย่างมากและเป็นไปได้ว่าทุกคนอาจจะสูญเสียจิตใจไปตั้งแต่ภารกิจยังไม่เสร็จนี่เป็นเรื่องที่เลวร้ายอย่างมากในฐานะหัวหน้าทีมเขาไม่อาจจะมองข้ามมันได้

และที่สําคัญ! พวกเขายังมีบุคคลซึ่งอาจจะเป็นระเบิดเวลาของภารกิจในครั้งนี้….. ซึ่งเขาก็ไม่ใช่ใครอื่นนั่นก็คือเด็กหนุ่มมหัศจรรย์  กู้จวิน  เขาเป็นสมาชิกของเฟคต้าคนเดียวที่มาจากภูมิหลังที่แสนจะละเอียดอ่อน

ภูมิหลังและทุกสิ่งทุกอย่างของเขาดูเหมือนคล้ายจะเป็นบ่อเกิดแห่งโศกนาฏกรรม… และถ้ามันเกิดขึ้นอีกทีมของเขาอาจจะต้องล่มสลายแน่นอน… ถึงตอนนั้นสมาชิกในทีมพวกเขาทั้งหมดอาจจะเปลี่ยนจากความกลัวที่มีต่อกู้จวินจนกลายเป็นความแค้นที่ยากระงับถึงตอนนั้นต่อให้เขาอธิบายยังไงเขาก็คงไม่สามารถหยุดความโกลาหลได้อย่างแน่นอน มันจะต้องกลายเป็นสงครามที่ดุเดือดและต้องฆ่าฟันกันเพื่อเอาตัวรอด

และเขาก็ไม่อยากให้เกิดสงครามเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองแบบนั้นเกิดขึ้น!

ฐานะของชายคนนี้มันช่างละเอียดอ่อนในแง่หนึ่งเขาก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ร้ายและอาจจะเป็นเทพเจ้าของศัตรูที่มองไม่เห็น

 เตรียมวัตถุระเบิดให้พร้อม!  เสี่ยป้าได้ตัดสินใจแล้ว เขาได้คํานวณความเป็นไปได้ผลดีและผลเสียของกา รกระทําเช่นนี้เมื่อทุกอย่างถูกคํานวณได้แล้วและพบว่ามันน่าจะเสี่ยงน้อยกว่าที่จะปล่อยให้สมาชิกทั้งหมดจะต้องโดนกับดักจากประตูสีแดง และต้องผ่าตัดเพื่อรักษาชีวิต…รวมถึงเสียพละกําลังของสมาชิกโดยรวมแม้จะเสียงต่อถูกฝ่ายตรงข้ามจับได้หรือรู้สึกตัวมันก็เป็นทางที่ดีที่สุดที่เขาจะสามารถคุ้มครองสมาชิกในทีมได้

เมื่อตัดสินใจได้แล้วเขาก็ไม่เปลี่ยนใจอีกเด็ดขาดคุณสมบัติของหัวหน้าก็คือความไม่ลังเล เขายึดตัวขึ้นและสั่งลูกน้อง

 พวกเราจะเปิดทางทั้งหมดและถล่มประตูสีแดงนี้ให้ราบคาบพวกเราจะทําลายคําสาปที่อยู่ที่ประตูให้พังพินาศด้วยมือของเรา 

กู้จวินพยักหน้าด้วยความตื่นเต้นไฟแห่งการต่อสู้ในดวงตาของเขาได้ลุกโชนเขาแทบรอไม่ไหวที่จะเห็นประตูบานนี้ถูกทําลายลงและกลายเป็นแค่เศษเหล็ก พวกเขาอาจมีเวทมนตร์….แต่เรามีระเบิด! 

เมื่อคิดถึงประโยคนี้ เขาก็หวนนึกถึงนิยายกําลังภายในแนวย้อนยุคเรื่องหนึ่งที่ตัวเอกมาจากต่างโลกตัวเอกที่มาจากต่างโลกนั้นมีศัตรูเป็นถึงยอดยุทธที่อยู่ในยุทธภพ กล่าวขานกันว่ายอดยุทธคนนั้นมีพลังที่มหาศาลและสามารถใช้เพลงกระบี่ได้ดั่งใจ และทันทีที่ตัวเอกได้พบกับศัตรูที่ว่านั้นมันก็จู่โจมเขาทันที

พลังยุทธ์ทั้งหมดของศัตรูคนนั้นทําเอาพื้นดินที่อยู่รอบๆตองสั่นสะเทือนด้วยพลังในจังหวะนั้นเองในขณะที่ตัวเอกกาลังจะตายเขาก็หยิบปืนขึ้นมาแล้วยิงไปที่หัวของศัตรูและนิยายก็จบลงอย่างรวดเร็ว….

ต่อให้ฝึกวรยุทธมาแค่ไหนสุดท้ายก็สู้ปืนไม่ได้ มันก็เหมือนกับคําสาปที่อยู่ที่ประตูนี่ มันจะไปสู้ระเบิดได้อย่างไร

เนื่องจากหัวหน้าทีมได้ทําการตัดสินใจแล้วสมาชิกทั้งหมายจึงย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ และการคัดค้านเพียงอย่างเดียวนั้นมาจากเสียงของลู่เสี่ยวหนิงเธอนั้นต้องการวางระเบิดด้วยตัวเอง

แต่ในที่สุดด้วยอาการบาดเจ็บ เธอถูกขอร้องปนข่มขู่และสุดท้ายเธอก็ถูกปล่อยให้นอนนิ่งๆอยู่กับเปลในขณะที่สมาชิกคนอื่นของหน่อยนักล่าอสูรเตรียมตัวปฏิบัติตามแผน

โจวยและคนอื่น ๆ อีกสองสามคน พวกเขาไปคว้าหนึ่งในสามเครื่องระเบิดระยะไกลที่เหลือและ C4 หนึ่งกิโลจากนั้นพวกเขาติดมันไว้ที่ประตูสีแดง และคู่จวินได้ถอดตะเกียงน้ํามันทั้งสองหลอดออกไปแล้วก่อนหน้านี้…ดังนั้นปัจจัยสภาพแวดล้อมอย่างตะเกียงน้ํามันหยุดการระเบิดคงจะไม่เกิดขึ้น

 พวกเราจะต้องทําการระเบิดพื้นที่นี้แล้ว… แยกย้ายการปฏิบัติงานหน้าที่ซะใครว่างก็ไปขนย้ายคนเจ็บลงไปข้างล่างใครมีแรงหน่อยก็มาช่วยจัดการเรื่องสถานที่

พอเสี่ยป้าสั่งการเสร็จ…เหล่าลูกน้องก็รีบปฏิบัติตามคําสั่งทันทีจากนั้นก็มีผู้ชายหลายคนมาช่วยกันขนย้ายข้าวของรวมถึงยกคนป่วยอย่างหลินม่อและลู่เสี่ยวหนิงไปที่ด้านล่าง….

แม้พื้นที่จะไม่กว้างนักแต่อุโมงค์ก็ยาวมาก ดังนั้นที่ซ่อนที่หลบจึงมีเยอะแยะมหาศาล

อีกทั้งประตูสีแดงนั้นมันอยู่บนเพดานหินที่ลาดเอียง ดังนั้นต่อให้ระเบิดรุนแรงแค่ไหน มันก็ไม่มีทางมาถึงตําแหน่งปัจจุบันที่พวกเขาแอบอยู่แน่นอนดังนั้นตามหลักการพวกเขาจะต้องปลอดภัย

 ทุกคนพร้อมนะ  เสี่ยป้ายกมือและแจ้งคนที่เหลือให้ระวัง

ทีมจู่โจมที่นําโดยโจวยคุ้มกันที่ด้านหน้าแน่นอนพวกเขาได้รับการฝึกฝนในการบุกโดยเฉพาะ…และพวกเขาก็มีแผนแล้ว เมื่อการระเบิดจางหายไป พวกเขาจะบุกเข้าไปในห้องทันที

ในขณะที่หยางเหอหนานและคนอื่น ๆ กําลังหลบที่กําบัง จากนั้นเสวี่ยป้าก็เริ่มนับถอยหลัง

 สาม สอง… 

ในขณะนั้นสายตาทุกคนก็จริงจังกว่าที่เคยเป็นมา ปู่จวินยืนอยู่ตรงกลางกลุ่ม ริมฝีปากของเขาโค้งงอเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน  เจ้าเสียงกระซิบ…เจ้าประตูสีแดง มาดูกันว่าพวกแกจะสามารถสู้กับการระเบิดได้อย่างไร? 

 หนึ่ง!  จบคําพูดนี้เขาก็กดระเบิดทันที

ตูม!!!

หลังจากเสียงดังสนั่น คนทั้งทีมก็รู้สึกได้ว่าอุโมงค์หินสั่นไหวคล้ายจะพังทลาย และรอบๆ ดูเหมือนว่าอากาศจะหยุดนิ่ง ในขณะที่ข้างหน้ามีเสียงของบางอย่างที่พังทลาย มันดังก้องอยู่นานราวกับเป็นการระเบิดครั้งใหญ่

 บุกกกก!  เสี่ยป้าหยิบปืนขึ้นมาและพาทีมจู่โจมบุกเข้าไปในห้องทันที่ ดวงตาของพวกเขาลุกโชนด้วยไฟแห่งการต่อสู้ พลังของพวกเขาแทบจะไม่อ่อนแอไปกว่าการระเบิดเลยแม้แต่น้อย

พวกเขาวิ่งไปที่ประตูทันที จากนั้นพวกเขาก็พบว่าประตูที่เคยแข็งแรงและผนังที่เคยแข็งแกร่งตอนนี้มันกลับยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยซากปรักหักพังแล้ว กําแพงหินบางส่วนได้ถูกพังทลายลงประตูสีแดงที่เคยตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้ก็เหลือเพียงเศษซากไม้สีแดงที่แตกหักอยู่บนพื้นเท่านั้น…. เพียงเวลาไม่นานประตูสีแดงที่เต็มด้วยซากของอารยธรรมและความเจริญจู่ๆก็ถูกมนุษย์นําระเบิดมาระเบิดจนสิ้น

มันเป็นไปตามที่กู้จวินบ่นไว้ พวกมันมีคาถา แต่เรามีระเบิด

กําแพงหินและประตูสีแดงก่อนหน้านี้ถูกทําลายลงจนย่อยยับ และการระเบิดของ C4 หนึ่งกิโลนั้นไม่รุนแรงพอที่จะทําให้คนที่แอบดูตาบอดและไม่ก่อให้เกิดไฟไหม้ใด ๆ นับเป็นระเบิดที่  ถ้า  หลบดีๆ ก็จะปลอดภัยได้ไม่ยาก แม้จะไม่เหมาะในการโจมตีศัตรู…แต่การระเบิดประตูที่ไม่มีทางสู้.. มันเป็นอะไรที่เหมาะสมมากที่สุดแล้ว

ทีมจู่โจมที่นําโดยเสวี่ยป้าบุกเข้าไปในห้องนั้นทันที การเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นแบบการบุกมาตรฐาน

และพวกเขาก็พบว่า…พวกเขาไม่เห็นแสงสีขาวที่ลู่เสี่ยวหนิงกล่าวถึงสักนิด พลังงานผิดปกติจากลูกตาที่สามารถรบกวนจิตใจของผู้คนทั้งหลายก็ไม่ปรากฏขึ้น

แต่ท่ามกลางเศษหิน … พวกเขาเห็นลวดลายสีแดงเข้มบนก้อนหิน มันกําลังไหลลงมาราวกับหยดเลือดอย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาพยายามเพ่งมองดู และมองดูครั้งที่สองสาม…และอีกหลายๆรอบพวกเขาก็ยืนยันว่า นั่นอาจจะเป็นแค่ภาพลวงตา

หลังจากก้าวผ่านธรณีประตูที่แตกสลายมาแล้ว พวกเขาก็มาถึงพื้นที่ที่เดิมที่อยู่หลังประตูสีแดงสถานที่นี้ดูเหมือนจะเป็นห้องหินขนาดประมาณสามร้อยลูกบาศก์เมตร มีบันไดหินที่หมุนขึ้นไปตรงกลางห้องแต่ละขั้นสูงประมาณยี่สิบเซนติเมตรและแคบกว่าขั้นบันไดหินด้านนอกมาก การแกะสลักทั้งหมดดูเหมือนว่ามันถูกแกะสลักจากหินตามธรรมชาติเช่นกัน การแกะสลักนั้นราวกับใช้ช่างและเครื่องมือชั้นสูงแม้แต่จุดโค้งก็ดูเรียบเนียนจนน่าตกใจ

สมาชิกในทีมนักล่าอสูรบางคนหยิบไฟฉายอันทรงพลังของตนขึ้นมาแล้วส่องไปทางด้านบน แต่…มันก็ไม่มีเพดานและบันไดเวียนที่ว่าก็ดูเหมือนว่าจะนําทุกคนไปสู่ความมืดมิดอันไร้สิ้นสุด

เสวี่ยป้าใช้กล้องส่องทางไกลเพื่อดูมัน เขาอยากจะรู้ว่าปลายบันไดอยู่ที่ไหนและความมืดนั่นกินพื้นที่ไปเท่าไหร่ แต่แม้จะขยายเจ็ดเท่าเขาก็ไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดได้ บันไดดูเหมือนจะถูกดูดเข้าไปในความมืดซึ่งขัดกับเหตุการณ์ปัจจุบัน…เพราะตอนนี้พวกเขาอยู่ใต้ดินห้าพันเมตร ดังนั้นหากบันไดวนขึ้นสู่ผิวน้ํามันจะสูงห้าพันเมตร!!

หลังจากนั้นหน่วยจู่โจมได้ตรวจค้นห้องนี้ แต่พวกเขาก็ไม่พบสิ่งของมีค่า หรือเบาะแสใดๆที่มีประโยชน์ ทั้งหมดเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เศษฝุ่น ความผิดหวังครอบงําเหล่านักล่าอสูรกันทั้งหมด! ทั้งศัตรูและทางออกที่พวกเขาคาดหวังไม่ได้อยู่ที่นี่…แต่สิ่งที่รอพวกเขาอยู่นั้นเป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่ดูเหมือนจะนําไปสู่อะไรสักอย่างหรือที่ไหนสักแห่งที่พวกเขาเองก็ไม่รู้

 ทุกอย่างชัดเจนแล้ว! อาจขึ้น มาสิ เธอลองมาดู  เสวี่ยป่าตะโกนกลับทันที เสียงของเขาถูกส่งผ่านตัวสื่อสารไปยังสมาชิกทุกคน ดังนั้นเหล่าสมาชิกที่พากันรุมล้อมอยู่ที่บันไดจึงพากันหลบกู้จวินที่ละคนทุกคนล้วนเปิดทางให้กู้จวินเดินไปถึงหน้าบันไดได้อย่างสะดวก

ฉากนี้มันคล้ายกับเวลาที่คนใหญ่คนโตเดินมาและเหล่าลูกน้องจะต้องเปิดทางให้พวกเขาเดินแต่ว่าดูเหมือนในกรณีนี้จะเป็นตรงกันข้าม…กู้จวินรู้สึกว่าตนเองเป็นคนร้ายที่มาชี้ทางเล่าเบาะแสและสารภาพมากกว่า

แต่…ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาเองก็มีความต้องการเช่นกัน…ดังนั้นกู้จวินจึงยอมร่วมงานด้วย

เมื่อเขาเห็นห้องหินนี้ทั้งหมด เขาก็ปล่อยลมหายใจที่เขากลั้นไว้ออกมา ที่นี่ไม่มีเพดานไม่มีของเบ็ดเตล็ดและไม่มีโต๊ะไม้ยาว นี่ไม่ใช่ห้องใต้ดินที่แลนดอนบุตรแห่งเหล็กได้ทําการชันสูตรพลิกศพสิ่งมีชีวิตที่ผิดปกติเหล่านั้นเพื่อร่างพิมพ์เขียวออกมา

แต่พื้นที่นี้ที่พวกเขาอยู่ … มันยังสามารถเป็นส่วนหนึ่งของเมืองริเกอร์ได้ กู้จวินมองไปที่ก้อนหินที่แตกหักรอบ ๆ ช่องโหว่ที่ประตูเคยอยู่ แต่เขาก็ไม่รู้อะไรเลย…จากนั้นความคิดที่เขาเก็บงําไว้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

 ฉันต้องการรางวัลภารกิจนั้น…  เขาคิดกับตัวเอง  มีดผ่าตัดคาร์ลอตอาจให้เงื่อนงําบางอย่างในนิมิต

ในสถานการณ์แบบนี้…ในกรณีที่ศัตรูคํานวณการเคลื่อนไหวทุกอย่างของพวกเขาได้ วัตถุที่เขาได้มาอย่างกะทันหันนี้อาจเป็นกุญแจสําคัญในการแก้ปัญหาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาจากมุมมองของศัตรูที่คิดว่าพวกเขาได้กําหนดแผนการเดินทางเอาไว้แล้วการมีของ  แปลก  หรือปัจจัยภายนอก  เพิ่มขึ้นมาบางทีอาจจะทําให้สถานการณ์ในภายหน้าดีขึ้นมาบ้างก็ได้

 

ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก

ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก

Status: Ongoing

เรื่องย่อ ครั้งหนึ่ง ถนนเส้นนี้เคยคึกคักครึกครื้น และเต็มไปผู้คนหัวเราะเสียงดัง ทว่าเวลาผันผ่าน..ตอนนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร บรรยากาศบนท้องถนนเต็มไปด้วยความเงียบที่น่าขนลุก เสียงกระซิบที่แหบแห้งและบ้าคลั่งดังก้องอยู่เหนือท้องฟ้า มีปีศาจยักษ์ใหญ่จากโบราณอันน่ากลัวจนที่ไม่อาจอธิบายได้ แฝงตัวอยู่ในเงามืดของมหาสมุทรที่ไร้ก้นบึ้ง ภัยพิบัติลึกลับได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเเละขยายตัวกระจายไปยังทั่วโลก การระบาดของโรคร้ายและความหายนะทำให้ฝูงคนทั่วโลกตื่นตระหนก ผู้คนหวาดกลัวเเละพากันอพยพหนีตายกันจ้าล่ะหวั่น..มีเพียงหนึ่งเดียวที่พวกเขาต้องการนั่นคือ ที่ซุกหัวที่อบอุ่นเเละปลอดภัยเพียงเท่านั้น หยาดฝนโลหิตไหลรินทั่วแผ่นดิน ในขณะที่มวลมหาสายฟ้าผ่าทั่วท้องนภาอย่างบ้าคลั่ง เเสงสว่างของมันส่องให้เห็นฝูงกาที่กำลังบินฉวัดเฉวียนอยู่ด้านบน “ เราจะเห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างผิดปกตินี้มีซี่โครงสิบสองคู่เหมือนมนุษย์ แต่ยังมี“ กระดูกขวาง” ที่มนุษย์ไม่มี…” ในโรงเรียนแพทย์ กู้จวินยังคงนำมีดผ่าตัดของเขา ผ่าลงที่ซากศพโดยแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างทรวงอกที่ผิดปกติของซากศพ โดยรอบๆโต๊ะผ่าศพมีนักเรียนหลายคนมองดูอยู่ ช่วงเวลาที่เลวร้ายและการเเก่งเเย่งได้ใกล้เข้ามา! ความจริงและตรรกะที่พังทลายคำสั่งวิปริตเข้าสู่ความบ้าคลั่ง มนุษยชาติสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ด้วยพลังแห่งสติปัญญาและสติ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท