บทที่ 91-92 : การผ่าคลอด ความสุข
“คุณหนู เด็กคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บจากรถม้า”
“เขาอยู่ที่ไหน?”
เฉิงหรันปิดริมฝีปากของเขาเบา ๆ แล้วตอบ “ยังอยู่บนถนนขอรับ” ตอนนี้เขากําลังจะออกไปข้างนอกแต่เจอซูมู่เก๋อที่ประตูก่อน
“นําทางไป ข้าจะไปดูกับเจ้า”
” ขอรับ”
อุบัติเหตุเกิดขึ้นที่ถนนเจิ้งหยาง ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่สําคัญในเมืองหลวงและมักถูกขุนนางหลายคนยึดครอง
“เจ้ารู้รายละเอียดหรือไม่?”
เฉิงหรันเหลือบมองเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่กําลังเดินอยู่ข้างหน้าพวกเขาและตอบว่า “เด็กที่มีปัญหาคือน้องชายของเทียนย่า สองชั่วโมงที่แล้ว ข้าขอให้พวกเขาออกมาซื้อของที่ถนน จู่ๆ เทียนย่าก็รีบกลับมาบอกข้าว่าฮู่น้อย น้องชายของนางถูกรถม้าชนทับโดยไม่คาดคิด นางไม่รู้ว่าต้องทําอย่างไรจึงรีบกลับมาหาข้า”
ที่เกิดเหตุอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา หลังจากเดินมานานกว่าสิบห้านาที ซูมู่เก๋อก็พบว่าทั้งถนนถูกปิดกั้นโดยผู้คนจํานวนมาก
ซูมู่เก๋อถอนหายใจและวิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้าขณะที่เฉิงหรันเปิดเส้นทางให้นาง “ขออภัยหลีกทางด้วยขอรับ “ขออภัยขอรับ”
พวกเขาเข้าไปข้างในและพบว่าทหารองค์รักได้แยกที่เกิดเหตุออกจากฝูงชน
นางได้ยินเสียงร้องของความเจ็บปวดในรถม้าที่แยกออกมาจากฝูงชน
“มันคือฮู่ตัวน้อย พี่เฉิงหรัน ข้าเห็นฮู่น้อย” เทียนย่ารีบชี้ไปที่ร่างเล็กๆ ข้างรถม้า เขาได้รับการช่วยเหลือจากทหารองค์รักให้พิงกับกําแพง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือด
“คุณหนู ได้โปรดช่วยฮู่น้อยด้วยเจ้าค่ะ” เทียนย่าหลั่งน้ำตาเมื่อเห็นการบาดเจ็บของน้องชายนาง
ซูมู่เก๋อขมวดคิ้ว สามารถเรียกทหารองค์รักษ์ของจักรพรรดิได้ ดังนั้นบุคคลที่อยู่ในรถม้าต้องเป็นใครสักคน
“อย่าร้องไห้เลยเทียนย่า ข้าจะปกป้องน้องชายของเจ้า”
“ท่านลุง ข้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ เหตุใดทหารองครักษ์ของจักรพรรดิจึงตื่นตัวเช่นนี้เจ้าค่ะ?” เฉิงหนถามลุงที่อยู่ข้างๆ เขา
“ว่ากันว่าองค์หญิงหลิงฮวาและหวางเฟยชิงกําลังนั่งอยู่บนรถม้า ทันใดนั้น ก็มีเด็กคนหนึ่งรีบวิ่งออกมาจึงชนรถม้า จากนั้นรถม้าก็หยุดและไม่นานก็เรียกทหารองครักษ์มา”
ทันทีที่ลุงพูดจบ ทหารสองสามคนก็ดึงบางคนเข้ามาหาพวกเขา
ผู้ชายที่ดูเหมือนหมอถูกพาไปหาฮู่น้อยเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่ศีรษะของเขา
หญิงวัยกลางคนได้รับการพยุงให้ขึ้นรถม้าโดยทหารองค์รักษ์
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้หญิงในชุดสวยสง่าก็ออกมาจากรถม้า ด้วยการสวมหมวกผ้าไว้บนศีรษะ ใบหน้าของนางไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
“มันคือองค์หญิงหลิงฮวา” ซูมู่เก๋อเหลือบมองกระเป๋าเงินรอบๆ เอวของผู้หญิงและกระซิบ นางเคยเห็นกระเป๋าเงินเดียวกันกับอินฟานต้า เจียวเยวในงานชุมนุมล่าสัตว์ ว่ากันว่าองค์หญิงหลิงฮวาและอินฟานต้าเจียวเยวมีความสนิทสนมกันมาก จึงเป็นเรื่องปกติสําหรับพวกเขาที่จะใส่กระเป๋าเงินที่มีลวดลายเหมือนกัน
องค์หญิงหลิงฮวาเข้าหาสู่ตัวน้อยและมองดูอาการบาดเจ็บของเขา
“เด็กคนนี้สบายดีหรือไม่?”
หมอรีบหยุดการเคลื่อนไหวและโค้งคํานับ “องค์หญิง เด็กมีแค่เพียงบาดแผลที่หน้าผาก เขาสบายดีพะย่ะค่ะ”
องค์หญิงหลิงฮวาพยักหน้า “ดีแล้ว ครั้งหน้าระวังตัวด้วย”
คนข้างๆ ผลักฮู่น้อย “รีบไปกราบขอบพระทัยองค์หญิงเร็วเข้า”
ฮู่น้อยยังคงสับสนและคุกเข่าคํานับองค์หญิงหลิงฮวา “ขอบพระทัย ฝ่าบาท”
องค์หญิงหลิงฮวาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ จ้องไปที่รถม้าด้วยสีหน้ายุ่ง คิ้วขมวดเล็กน้อย
“อา…”
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องในรถม้าก็ดังขึ้น และองค์หญิงหลิงฮวาก็ดูเคร่งขรึม
เมื่อเห็นว่าฮู่น้อยไม่เป็นไร ในที่สุดซูมู่เก๋อก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง นางเดาว่ามันน่าจะเป็นคนที่กําลังให้กําเนิดเด็กในรถม้า ซึ่งอาจจะเป็นหวางเฟยชิง หญิงตั้งครรภ์สูงอายุที่เพิ่งเป็นประเด็นร้อนเมื่อเร็วๆนี้
อ๋องชิงอายุเกือบสี่สิบปี ซึ่งแต่งงานกับหวางเฟยชิงตั้งแต่อายุยังน้อย ฮูหยินนี้มีอายุพอสมควรแล้ว หลังจากแต่งงานกับอ๋องชิง นางให้กําเนิดบุตรสาวคนหนึ่ง แต่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้เป็นเวลานานเนื่องจากนางสุขภาพไม่ดี ปีที่แล้ว ในที่สุดนางก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง นางยืนกรานที่จะให้กําเนิดลูกโดยไม่คํานึงถึงอันตราย
นางได้ยินสิ่งนี้จากการนินทาของเยว่รู่
“องค์หญิง ไม่ ไม่ เด็กตัวโตเกินกว่าจะคลอดได้!” หญิงวัยกลางคนที่เพิ่งถูกพาเข้ามาคือหญิงผดุงครรภ์ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ในขณะนี้ นางยกม่านด้วยมือที่เปื้อนเลือดและพูดด้วยเสียงสั้น
“อา!”
เสียงร้องจากรถม้าเริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ ในยุคนี้ สตรีที่คลอดบุตรเป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดไม่ต้องพูดถึงหญิงสูงอายุที่ตั้งครรภ์
“เพราะเหตุใด?” องค์หญิงหลิงฮวาและหวางเฟยชิงเป็นคนสนิทที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก
นางชักชวนหวางเฟยชิงให้เลิกกับเด็กคนนี้แต่ถูกปฏิเสธ
“เร็วเข้า! ไปที่วังและหาหมอซู!” หมอชูเป็นแพทย์ที่ดีที่สุดในการทําคลอดและผู้หญิง
เพื่อไปยังพระราชวังจากที่นี่ด้วยความเร็วสูงสุด ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมงในการกลับไปกลับมา เมื่อหมอไปถึงก็คงจะสายเกินไป
ซูมู่เก๋อเดินไปที่ทหารองครักษ์และกล่าวว่า “พี่ชาย ช่วยบอกองค์หญิงให้ข้าที่ว่าข้าสามารถทําได้หรือไม่? ข้าชื่อซูมู่เก๋อ” มันไม่เกี่ยวอะไรกับนางเลยจริงๆ และถ้าองค์หญิงหลิงฮวาเย่อหยิ่งและไร้เหตุผลเหมือนองค์หญิงแปด นางก็คงจะเพิกเฉย ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพราะความดื้อรั้นของฮู่น้อย ตามที่เทียนย่า บอกกับนางในตอนนี้ว่าเขาชนรถม้าและได้รับบาดเจ็บ องค์หญิงหลิงฮวาไม่เพียงแต่ไม่ได้ตําหนิเขาเท่านั้น แต่ยังตามหมอมารักษาด้วย เมื่อเห็นสิ่งนี้ซูมู่เก๋อก็เต็มใจที่จะช่วยเหลือ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ซูมู่เก๋อได้รับชื่อเสียงอย่างมาก การปฏิบัติต่อองค์จักรพรรดิไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยหลังจากสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง ทหารองครักษ์ก็หันไปหาองค์หญิงหลิงฮวา
ไม่นานหลังจากนั้น ซูมู่เก๋อก็สบตากับองค์หญิงหลิงฮวา
สักพัก ทหารองครักษ์ก็กลับมา “องค์หญิง เชิญท่าน มาเถอะค่ะ คุณหนูซู”
“คุณหนู” เฉิงหรันกระซิบอย่างกังวล
“นําฮู่น้อยกลับไปรอสักครู่ เขากลัวและควรจะสงบลง”
“ขอรับ”
ขณะที่ซูมู่เก๋อเดินผ่าน นางสัมผัสได้ถึงสายตาขององค์หญิงหลิงฮวาที่กําลังตรวจสอบนาง
“ถวายบังคมเพคะ องค์หญิง”
“คุณหนูซู ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเจ้ามามากแล้ว”
“ทรงให้คําชมหม่อมฉันเกินไปเพค่ะ องค์หญิง”
องค์หญิงหลิงฮวามาถึงประเด็น “เจ้าช่วยหวางเฟยชิงคลอดลูกอย่างราบรื่นได้หรือไม่?”
“หม่อมฉันยังไม่รู้สถานการณ์ของฮูหยินและยังไม่กล้าสรุปเพค่ะ”
“พาคุณหนูซูเข้าไป”
มีคนก้าวไปข้างหน้า ยกม่านรถม้าขึ้น และช่วยให้ซูมู่เก๋อเข้าไปในรถม้า
ทันทีที่ม่านรถม้ายกขึ้น ซูมู่เก๋อรู้สึกได้ถึงกลิ่นเลือดรุนแรงในรถม้า นอกจากหวางเฟยชิงที่เกือบจะหมดสติแล้ว ยังมีหญิงผดุงครรภ์และแม่แก่ที่กลัวตายด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ฮูหยินตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
ซูมู่เก๋อตรงเข้าไป พับแขนเสื้อขึ้นและเตรียมทํางาน!
เมื่อเห็นซูมู่เก๋อ ผู้หญิงสองคนในรถม้าก็งง เนื่องจากองค์หญิงหลิงฮวากําลังเฝ้าอยู่ข้างนอก จึงไม่น่าจะมีปัญหากับเด็กสาวที่เข้ามา แต่พวกเขายังรู้สึกว่าไม่สมควรที่เด็กสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานจะได้เห็นฉากดังกล่าว
“น้ำคร่ำของฮูหยินออกมาและปากมดลูกก็ขยายแล้ว แต่หัวของเด็กใหญ่เกินกว่าจะออกมาได้”
หวางเฟยชิงกลัวว่าอายุของนางจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารก ดังนั้นนางจึงรับประทานอาหารเสริมจํานวนมากในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งทําให้ลูกของนางตัวใหญ่มาก
ซูมู่เก๋อเอื้อมมือไปสัมผัสท้องของหวางเฟยชิง ตําแหน่งของทารกในครรภ์เป็นปกติและทารกก็ใหญ่มากอย่างแน่นอน ในยุคปัจจุบัน นางจะแนะนําการผ่าคลอดสําหรับหญิงมีครรภ์
นางมองลงมาระหว่างขาของหวางเฟยชิง นางสูญเสียน้ำคร่ำไปมากแล้ว การคลอดบุตรจะยากขึ้นหากน้ำคร่ำระบายออกจนหมด และทารกก็จะเป็นอันตรายเช่นกันหากอยู่ในมดลูกนานเกินไป
แต่การผ่าคลอดมีความเสี่ยง ซึ่งนางต้องทําให้ชัดเจน
ซูมู่เก๋อยกม่านขึ้นและเดินออกไป เมื่อเห็นนาง องค์หญิงหลิงฮวาเริ่มประหม่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“การคลอดลําบากเพคะ หากไม่ดําเนินการใดๆ ทั้งมารดาและบุตรจะเป็นอันตราย วิธีเดียวคือการผ่าคลอด – เพื่อผ่าท้องของนางและนําเด็กออกมา ข้ามีโอกาส 50-50 ที่จะช่วยชีวิตพวกเขา”
“อวดดี!” โดยไม่คาดคิด ซูมู่เก๋อแทบจะยังพูดไม่จบเมื่อองค์หญิงหลิงฮวาตําหนินางอย่างโกรธเคือง
ซูมู่เก๋อไม่แปลกใจกับปฏิกิริยาของนาง การผ่าคลอดได้รับการฝึกฝนมาก่อนในอู่ แต่ผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจ – มีเพียงมารดาและบุตรคนเดียวเท่านั้นที่รอดได้
ในฐานะเพื่อนสนิทของหวางเฟยชิง องค์หญิงหลิงฮวาไม่ต้องการให้นางเสี่ยง
“ซูมู่เก๋อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากําลังพูดถึงอะไร!?”
เมื่อเผชิญหน้ากับดวงตาที่เฉียบคมขององค์หญิงหลิงฮวา ซูมู่เก๋อยังคงจ้องหน้านาง “ข้าค่อนข้างชัดเจน แต่ต้องบอกก่อนว่าถ้าคลอดไม่ได้ทั้งมารดาและบุตรจะตกอยู่ในอันตราย โปรดตัดสินใจเถิด”
องค์หญิงหลิงฮวาตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ!
แม้ว่านางจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหวางเฟยชิง นางก็ไม่ใช่ครอบครัวของนาง หากการตัดสินใจใด ๆ ๆ
ธ์ที่คาดเดาไม่ได้ ตําหนักท่านอ๋องชิงจะไม่ปล่อยนางไปแน่
“เร็วเข้า! ไปหาท่านอ๋องชิง”
“องค์หญิง มันสายเกินไปแล้ว หากองค์หญิงตัดสินใจไม่ได้ โปรดสอบถามความคิดเห็นของหวางเฟยชิง”
เมื่อมองไปที่ซูมู่เก๋อ องค์หญิงหลิงฮวาก็กัดฟันและขึ้นไปบนรถม้า
สักพัก นางลงจากรถม้าและมองที่ซูมู่เก๋ออย่างจริงจัง
“คุณหนูซู ข้าหวังว่าเจ้าจะทําให้ดีที่สุด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูมู่เก๋อก็รู้ว่าหวางเฟยชิงเห็นด้วย “หม่อมฉันจะทํามันอย่างสุดความสามารถเพคะ”
เนื่องจากรถม้ามีพื้นที่จํากัด ซูมู่เก๋อจึงขอให้พาหวางเฟยชิงไปที่โรงหมอในบริเวณใกล้เคียงโชคดีที่นางได้นําชุดเครื่องมือแพทย์มาด้วย ซึ่งเครื่องมือผ่าตัดก็ครบครันมาก
เมื่อรู้ว่าเป็นหวางเฟยชิงที่ต้องคลอดบุตร ผู้อํานวยการโรงหมอจึงทําได้เพียงออกจากห้องว่างที่สะอาดแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการทําก็ตาม
หลังจากที่หวางเฟยชิงถูกอุ้มขึ้นไปบนเตียงแล้ว ซูมู่เก๋อก็มัดผมด้วยผ้าผืนหนึ่ง พับแขนเสื้อขึ้น สวมถุงมือ และขอให้คนอื่นๆ ออกไป ยกเว้นหญิงผดุงครรภ์
“ทําตามที่ข้าบอก เข้าใจหรือไม่?”
หญิงผดุงครรภ์พยักหน้าซ้ำๆ “เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ”
ซูมู่เก๋อฆ่าเชื้อร่างกายของหวางเฟยชิงด้วยสุราในตอนแรก และทําให้นางดื่มยาชาหนึ่งชาม จากนั้นหวางเฟยชิงก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเช่นนั้น หญิงผดุงครรภ์ก็ตกใจ นางจะคลอดลูกได้อย่างไรถ้านางหลับไป!
ซูมู่เก๋อหยิบมีดผ่าตัดที่ฆ่าเชื้อแล้วออกจากชุดเครื่องมือแพทย์ของนาง และเดินไปที่ท้องที่บวมของหวางเฟยชิง ปลายมีดผ่าตัดเคลื่อนผ่านท้องของหวางเฟยชิงอย่างนุ่มนวล
บทที่ 92 ความสุข
ถุงน้ำคร่ำถูกเปิดออกและเนื่องจากเยื่อหุ้มน้ำคร่ำแตก น้ำคร่ำส่วนใหญ่จึงไหลออกไปแล้ว ดังนั้นซูมู่เก๋อจึงเอื้อมมือตรงไปที่ท้องของนางและนําทารกออกมา
เมื่อเห็นเด็กที่มีเลือดปนออกมาจากท้องของหวางเฟยชิง หญิงผดุงครรภ์ก็มึนงงไปหมด
เป็นหญิงผดุงครรภ์มาหลายปี นางไม่เคยเห็นการผ่าตัดคลอดลูกมาก่อนเลย
หลังจากที่นําเด็กออกมาแล้ว นางพบว่าเด็กมีสายสะดือพันที่คออย่างรุนแรง หากเด็กถูกบังคับให้คลอดตามธรรมชาติ สายสะดือรอบคอจะทําให้เด็กที่อยู่ในครรภ์หายใจไม่ออกได้หลายระดับ
หลังจากที่ซูมู่เก๋อตัดสายสะดือและทําความสะอาดจมูกและปากแล้ว เด็กก็ครางและร้องไห้ออกมา เสียงไม่ดังแต่พอได้ยิน
“รักษาเด็กด้วย”
ซูมู่เก๋อส่งทารกให้กับหญิงผดุงครรภ์ ซึ่งจู่ ๆ ก็หายจากอาการช็อกและรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อดูแลเด็ก
นางมีประสบการณ์ในการดูแลเด็กทารก ดังนั้นนางจึงทําได้ค่อนข้างราบรื่น
หลังจากที่ซูมู่เก๋อนรกออกมาและยืนยันว่างานทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว นางก็เริ่มเย็บแผลของหวางเฟย
เย็บแผลได้ไม่ยาก ดังนั้นซูมู่เก๋อจึงรีบทําแผลให้เสร็จ แล้วนางก็ทายาบาง ๆ ที่แผลเพื่อป้องกันการอักเสบและการติดเชื้อ ในยุคนี้ไม่มียาปฏิชีวนะ การอักเสบและการติดเชื้อจึงลําบากมาก
หลังจากทําทุกอย่างเสร็จแล้ว ซูมู่เก๋อก็เช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากของนางออก นางหันกลับมาและพบว่าหญิงผดุงครรภ์ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความงุนงงขณะอุ้มทารกและมองดูนาง
“ทําไมเจ้าไม่ออกไปประกาศข่าวดี?”
จากนั้นหญิงผดุงครรภ์จึงตอบสนองและเดินออกไปพร้อมกับเด็กในอ้อมแขนของนาง
องค์หญิงหลิงฮวานั่งอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ของโรงหมอ หลังจากได้รับข่าวแล้ว ท่านอ๋องชิงก็รีบวิ่งกลับไปกลับมาอย่างกังวลใจ
“แคว็ก”
ทันทีที่ประตูเปิด อ๋องชิงก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างประหม่า
“แม่นาง ฮูหยินข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องชิง! เป็นนายน้อยเจ้าค่ะ”
อ๋องชิงจ้องไปที่เด็กที่มีผิวแดง…ในอ้อมแขนของหญิงผดุงครรภ์ “ลูกชายข้า…”
ชิงล่ะ?” องค์หญิงหลิงฮวาก้าวไปข้างหน้าและถาม
“เอ่อ … ข้าน้อยไม่รู้ ”
“ฮูหยินชิงยังอยู่ในอาการง่วงซึม และต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่นางฟื้นขึ้นมา” ซูมู่เก๋อออกมาจากห้องและบิดประตู
“ขอข้าเข้าไปพบนาง”
ซูมู่เก๋อหยุดเขา
“ท่านอ๋องเพคะ ฮูหยินยังไม่ฟื้น อย่าเข้าไปข้างในจะดีกว่า”
อ๋องชิงอายุ 38 ปีในปีนี้ ด้วยรูปลักษณ์ที่ดี แต่ตอนนี้เขาดูค่อนข้างกังวลด้วยดวงตาสีแดงและเสื้อคลุมแขนดาบคาดเข็มขัดที่มีลวดลายไม้ไผ่สีเขียวถูกรื้อทิ้ง
“ทําไมไม่ได้?”
“ท่านอ๋อง ท่านก็รู้ด้วยว่าข้าได้ทําการผ่าคลอด ดังนั้นจึงมีบาดแผลบนร่างของฮูหยิน รอให้นางตื่นก่อนดีกว่า”
“เจ้าหมายความว่าฮูหยิน … สบายดีใช่หรือไม่?” อ๋องชิงแทบไม่เชื่อหูของเขา เขาพร้อมที่จะเข้าไปข้างในและพบภรรยาของเขาเป็นครั้งสุดท้าย!
“ไม่มีปัญหาระหว่างการผ่าตัดเพคะ แต่เรายังต้องรอดูสภาพจริงของนางหลังจากที่ฮูหยินรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว” ซูมู่เก๋อจะไม่พูดจาตรงไปตรงมาต่อหน้าคนเหล่านี้
อ๋องชิงและคนอื่นๆ ไม่มีความคิดเรื่องการผ่าตัด แต่พวกเขาคงเข้าใจว่าฮูหยินชิงปลอดภัยแล้ว!
“ตกลง ข้ารบกวนเจ้าดูแลนางด้วย คุณหนู!”
ฮูหยินชิงตื่นขึ้นหลังจากผ่านไปสองชั่วโมง ด้วยผลของการดมยาสลบที่ค่อย ๆ จางหายไป ความเจ็บปวดจากบาดแผลนั้นเหลือทนสําหรับนางมาก
“ลูก ลูกข้าอยู่ที่ไหน…”
เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว อ๋องชิงที่รออยู่ข้างนอกก็รีบเข้าไปทันที “เจียวเจียว ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว” เจียวเจียวเป็นชื่อเล่นของหวางเฟยชิง
เมื่อเห็นอ๋องชิง ดวงตาของฮูหยินชิงก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที พี่เลี้ยงที่เตรียมพร้อมมายาวนานก็ถูกส่งมาจากตําหนักท่านอ๋องชิงด้วยเช่นกัน
พี่เลี้ยงอุ้มเด็กขึ้นมา เมื่อเห็นเด็ก ฮูหยินชิงก็น้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นไม่ได้
แม้ว่าสามีและภรรยาจะเข้ากันได้ดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่แม่สามีของนางกลับไม่แยแสกับนางมากนักเพราะนางไม่สามารถให้กําเนิดลูกชายได้ แต่ตอนนี้ ในที่สุด นางก็สามารถกําจัดความรู้สึกผิดของนางได้
“เจียวเจียว อย่าร้องไห้ คุณหนูซูบอกว่าตอนนี้เจ้าเศร้าไม่ได้แล้ว และเจ้าต้องทํางานหนักเพื่อสร้างร่างกายให้แข็งแรง”
“คุณหนูซู – นางช่วยชีวิตข้าและบุตรชายของเรา ท่านอ๋อง พวกเราต้องขอบคุณ คุณหนูซู”
เมื่อยืนอยู่ที่ห้องด้านนอก ซูมู่เก๋อยังได้ยินการสนทนาระหว่างสามีและภรรยา
ใช่ พวกเขาต้องขอบคุณนาง!
คงจะดีไม่น้อยหากพวกเขาสามารถส่งทอง เงิน และเครื่องประดับมาให้นางมากกว่านี้ได้!
“องค์หญิง ไท่เฟยตําหนักท่านอ๋องชิงส่งคนมาที่นี่เพื่อพาหวางเฟยกลับไปที่ตําหนักพะย่ะค่ะ” มันไม่สมควรอย่างยิ่งที่หวางเฟยระดับ 1 จะอยู่ในโรงหมอขนาดเล็ก
“อืม ให้พวกเขาเข้ามา”
” พะย่ะคะ”
ไม่นานนัก หญิงวัยยี่สิบต้นๆ สวมชุดผ้าไหมที่ไม่มีสายหนังสีน้ำเงินแนทเทียร์เดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้
เมื่อเห็นนาง องค์หญิงหลิงฮวาก็ทําหน้าเคร่งขรึมทันที
“องค์หญิง หม่อมฉันขอคารวะเพคะ”
“เจ้ามาทําอะไรที่นี่?”
“องค์หญิง เป็นไท่เฟยที่ขอให้หม่อมฉันพาหวางเฟยกลับไปที่ตําหนักเพคะ หวางเฟยได้รับความทุกข์ทรมานมากมายในการให้กําเนิดบุตรชายคนแรกของตําหนักชิง เราจะทิ้งพระนางไว้ในโรงหมอเล็กๆ แห่งนี้ได้อย่างไร?”
คําพูดของนางสุภาพ แต่ก็สุภาพเกินกว่าจะได้ยิน ดูเหมือนนางจะไม่ได้ปฏิบัติต่อหวางเฟยชิงเหมือนครอบครัวเลย
ในระหว่างการกล่าววาจาเหล่านั้น ท่านอ๋องชิงเดินออกจากห้อง เมื่อเห็นผู้หญิงคนนั้น เขาขมวดคิ้ว “เสด็จแม่ให้เจ้ามาหรือ?”
เมื่อเห็นอ๋องชิง ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นและมองเขาอย่างเสน่หา
“เพคะ หม่อมฉัน…”
“เจ้ากลับไปก่อนและทิ้งผู้คนไว้ที่นี่”
ผู้หญิงคนนั้นร้องคร่ำครวญด้วยความคับข้องใจ แต่อ๋องชิงได้ละสายตาไปจากนาง ดังนั้นนางจึงทําได้แค่ออกจากโรงหมอไปเท่านั้น
ซูมู่เก๋อแอบขดริมฝีปากของนาง เมื่อเห็นว่าอ๋องชิงรู้สึกหวาดวิตกจริงๆ เกี่ยวกับหวางเฟยชิง ซูมู่เก๋อคิดว่าเขามีใจเดียวกับภรรยาของเขามาก อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าเขายังมีนางสนมอีกด้วย
ท่านอ๋องชิงแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อซูมู่เก๋อ โดยกล่าวว่าเขาจะไปที่จวนตระกูซูเพื่อขอบคุณนางด้วยตนเอง
หลังจากพูดจาอย่างถ่อมตัวไม่กี่คํา ซูมู่เก๋อบอกเขาถึงข้อควรระวังในการผ่าคลอด และบอกว่านางจะกลับไปและเอาไหมออกหลังจากนั้นเจ็ดวัน จากนั้นอ๋องชิงก็พาหวางเฟยชิงไปที่รถม้าและจากไป
องค์หญิงหลิงฮวาเสนอตัวที่จะไปส่งซูมู่เก๋อกลับ แต่ถูกซูมู่เก๋อปฏิเสธ นางไม่ขัดขืนและขึ้นรถม้าและจากไป
ซูมู่เก๋อนั่งบนเก้าอี้ของโรงหมอ รู้สึกเหนื่อย นางวางแผนที่จะพบเฉิงหรันในวันนี้ แต่กลับต้องพบกับวันทํางานที่ยุ่งวุ่นวายโดยไม่คาดคิด
ตอนนี้เริ่มมืดแล้ว ซูมู่เก๋อมองดูท่าทางคับอกคับใจของนาง และออกจากโรงหมอไปพร้อมกับชุดเครื่องมือแพทย์ของนาง
นางต้องไปที่บ้านของเฉิงหรัน แต่นางรู้สึกเหนื่อยมากและยอมแพ้
นางไม่ได้เช่ารถม้าแต่เดินเพียงลําพังบนถนนโดยมีคนเดินถนนจํานวนน้อยลงโดยถือชุดเครื่องมือแพทย์ของนาง
จู่ๆ นางก็นึกถึงใบหน้ายั่วยวนของนางสนมของอ๋องชิง
หวางเฟยชิง ซึ่งมีอายุเกือบสี่สิบปี ยืนกรานที่จะให้กําเนิดลูกชายของนางโดยไม่คํานึงถึงอันตราย นางอาจทําอย่างนั้นไม่เพียงเพื่อเห็นแก่อ่องชิงแต่เพื่อตัวนางเองด้วย ในโลกนี้ ผู้หญิงยังอ่อนแอเกินไป
เมื่อนางหมดหวังที่จะให้กําเนิดลูกชายให้กับสามีของนาง เขายังคงระบายความปรารถนาของเขากับผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าและผู้หญิงที่น่ารักกว่าในตอนกลางคืนในขณะที่รู้สึกเป็นทุกข์กับภรรยาของเขา
ซูมู่เก๋อก็นึกถึงตัวเอง ถ้านางต้องแต่งงานกับใครสักคน นางจะแต่งงานกับผู้ชายแบบไหน?
“มืดแล้ว เจ้ามาทําอะไรที่นี่?”
เมื่ออยู่ในความคิด ซูมู่เก๋อตกใจกับเสียงลึกๆ จากด้านหลังอย่างกะทันหัน
นางหันกลับไปและเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของเซี่ยโฮวโม่ ซึ่งทําให้หัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นอย่างลึกลับ
ซูมู่เก๋อละสายตาหนีออกไปทันที “องค์ชาย”
เชียโฮวโม่กําลังขี่ม้าสีดําและเกือบจะซ่อนตัวอยู่ในคืนที่มืดมิด
เซี่ยโฮวโม่ลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็วและมาที่ซูมู่เก๋อ
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้ทําการผ่าคลอดสําหรับหวางเฟยชิงในวันนี้”
ในเวลานั้นเองครักษ์ของจักรพรรดิมากมาย จึงไม่น่าแปลกใจที่เซี่ยโฮวโม่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของราชองครักษ์จะรู้เรื่อง
“เพค่ะ”
“เจ้าไม่กลับบ้านหรือ?”
ซูมู่เก๋อมองขึ้นไปที่เขา แม้ว่าแสงสลัวจะเบลอใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา แต่นางก็รู้สึกว่าเซี่ยโฮวโม่เป็นจริงในเวลานี้มากกว่าปกติ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันหิวมากหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน และหม่อมฉันไม่รู้ว่าหม่อนข้าจะทานอาหารเย็นได้หรือไม่ถ้ากลับบ้านตอนนี้ พระองค์อยากทานอาหารเย็นกับหม่อมฉันหรือไม่เพคะ?”
เซี่ยโฮวโม่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เมื่อคิดถึงอุ้งตีนหมีที่นางปรุง เขารู้สึกว่ารสชาติยังติดอยู่ในปากของเขา
“ตกลง”
ซูมู่เก๋อยิ้มทันที เผยให้เห็นฟันขาวเรียงกันเป็นแถวสวยในความมืด
เมื่อมองดูฟันขาวของนาง เซี่ยโฮวโม่ก็รู้สึกมึนงงเล็กน้อย
“ไปกันเถอะเพคะ ฝ่าบาท”
ในชั่วพริบตา เด็กสาวขี้เล่นก็จากไป
เซี่ยโฮวโม่ยิ้มและจูงม้าเดินตามไป
ในที่สุดทั้งสองก็หยุดที่หน้าร้านเกี่ยว
ร้านเกี้ยวดําเนินกิจการโดยคู่หนุ่มสาวที่ทักทายพวกเขาอย่างอบอุ่น เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา
ซูมู่เก๋อวางชุดเครื่องมือแพทย์ลงบนโต๊ะ นั่งลงและหันไปมองเซี่ยโฮวโม่ราวกับรอให้เขาโกรธและจากไป
หลังจากพูดคุยกับตงหลินไม่กี่คํา เชียโฮวโม่ก็นั่งตรงข้ามกับซูมู่เก๋อ ด้วยความประหลาดใจของตงหลิน
“เถ้าแก่ บะหมี่เกี้ยวสองชาม”
“ได้ ได้ รอสักเดี๋ยวนะแม่นาง”
ซูมู่เก๋อมองดูร่างที่ยุ่งวุ่นวายของทั้งคู่โดยใช้มือหนุนศีรษะ นอกจากนี้ยังมีตลาดกลางคืนในเมืองหลวง ทั้งคู่ดูเหมือนจะเพิ่งเปิดร้านของพวกเขา
เมื่อเห็นซูมู่เก๋อซึมซับอะไรบางอย่าง เซี่ยโฮวโม่ก็จ้องมองนาง
มีอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับการขายเกี่ยว? เขามีเสน่ห์มากกว่าคู่สามีภรรยาไม่ใช่หรือ!?
“ฝ่าบาท ทรงมองดูสิเพค่ะว่าพวกเขามีความสุขแค่ไหน”
ไม่ว่าทั้งคู่จะทําอะไร พวกเขามักจะมีรอยยิ้มจาง ๆ ในดวงตาของพวกเขา ดูเหมือนจะมีความสุขมาก
“ทําไมพวกเขาถึงมีความสุขมาก?” เขาสงสัยว่าทําไมการทําเกี้ยวจึงทําให้พวกเขาหัวเราะได้อย่างมีความสุข
“เพราะความสุขเพคะ” ซูมู่เก๋อหันไปมองเซี่ยโฮวโม่
“การที่ผู้หญิงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับสามีมันคือความสุขทั้งหมดในชีวิตเพค่ะ”
ด้วยดวงตาสีดําสนิทของเขา เซี่ยโฮวโม่รู้สึกถึงกับเด็กสาวที่ยังไม่แต่งงานพูดถึง “สามี” และ “ความสุข” ต่อหน้าเขา มันเป็นคําพูดที่หลุดจากปากหรือคําใบ้สําหรับเขาหรือไม่?
บทที่ 90 กินอิ่ม
ตงหลินหายใจเข้าลึก ๆ อยากจะกลืนตีนหมีที่วางอยู่บนโต๊ะ!
เขารู้สึกขบขันเมื่อนึกถึงท่าทางที่ตกใจของสาวใช้ตัวน้อยในขณะที่ถือลิ้มทองคําที่ได้รับพระราชทานเป็นรางวัลจากองค์ชาย
“ฝ่าบาท แล้วพวกเราจะทดสอบซุปตีนหมีกับตีนหมีย่างหรือไม่ พะย่ะค่ะ?”
“ใช่ พะย่ะค่ะ ให้เราดูว่ามีพิษหรือไม่?” พวกเขาสงสัยว่าคุณหนูซูปรุงอุ้งเท้าหมีได้อย่างไรซึ่งมีกลิ่นหอมมาก!
ตงหลินและโจวนิ้วแทบจะพูดยังไม่จบเมื่อเชียโฮวโม่มองพวกเขาอย่างเข้มงวด
“ไม่ เจ้าถอยออกไปได้แล้ว”
ตงหลินและคนอื่น ๆ ถอยห่างอย่างไม่เต็มใจในขณะที่มองอุ้งเท้าหมีบนโต๊ะ
“เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะกินมันหรือไม่?” อยู่กับเซี่ยโฮวโม่มาหลายปีแล้ว พวกเขารู้ว่าเซี่ยโฮวโม่จะไม่กินอะไรง่ายๆ
“นี่เป็นเรื่องยากที่จะพูด มันมีกลิ่นหอมมาก”
โจวเหว่ยต่อยโจวฉิว “เจ้าคิดว่าฝ่าบาทเหมือนกับคุณ…”
ในห้อง เสี่ยโฮวโม่ได้เปิดที่กระเช้าและฝาหม้อแล้ว ทันใดนั้นทั้งห้องก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอม
เยว่รู่กลัวว่ามันจะเย็นและห่อด้วยผ้านวมก่อนที่จะออกมา ตอนนี้อุณหภูมิกําลังพอดี
เซี่ยโฮวโม่หยิบเนื้ออุ้งตีนหมีย่างขึ้นมาด้วยตะเกียบและเคี้ยวมันในปาก
ตีนหมีกรอบนอกนุ่มใน ทานคู่กับเครื่องเทศและซอส มันอร่อยจริงๆ
จากนั้นเขาก็ดื่มน้ำซุปหนึ่งชาม ซึ่งอร่อยอย่างน่าประหลาดใจ โดยไม่รู้ตัว เขากินทุกอย่างจนหมด
เขากลั้วคอด้วยน้ำชาพร้อมกับรอยยิ้มอ่อน ๆ บนริมฝีปากของเขา
เขาไม่ได้คาดหวังว่าหญิงสาวจะมีทักษะการทําอาหารที่น่าประหลาดใจเช่นนี้
“ตงหลิน”
ตงหลินที่เฝ้าอยู่ข้างนอกผลักประตูให้เปิดและเข้าไปเมื่อเห็นหม้อเปล่าและตะกร้า เขาก็ตะลึง
ฝ่าบาทชอบรับประทานอาหารเบา ๆ แต่พระองค์ทรงกินอุ้งเท้าหมีหมดทั้งตัว!
ตงหลินรู้สึกมึนงงในใจ แต่ดูเหมือนจะจริงจังมาก
“หม่อมฉันยินดีรับใช้ พะย่ะค่ะ ฝ่าบาทรับสั่งสิ่งใด??”
“ส่งแกะในจวนไปที่จวนตระกูลซู”
“อะไรนะ?” ตงหลินสับสนไปหมด
“เป็นของขวัญแห่งความขอบคุณของข้า”
ตงหลินเข้าใจเจตนาของเซี่ยโฮวโมในทันที
หลังจากได้อุ้งตีนหมีคู่หนึ่ง คุณซูก็ส่งอุ้งตีนหมีทั้งตัวกลับมา และตอนนี้ถ้าเขาส่งแกะไปให้นางนางก็อาจจะคืนครึ่งหนึ่งเช่นกัน!
แกะครึ่งตัวก็มากเกินไปสําหรับฝ่าบาทจะเสวยจนหมดแน่นอน!
เมื่อคิดเช่นนั้น ตงหลินแทบรอไม่ไหวที่จะส่งแกะไปที่จวนตระกูลซูทันที
“พะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะส่งมันในวันพรุ่งนี้”
“อืม”
ซูมู่เก๋อสะอีกหลังจากเพลิดเพลินกับอาหารค่ำในลานดอกท้อด้วยความพึงพอใจ แต่นางไม่เคยคาดหวังว่าทักษะการทําอาหารของนางจะเป็นที่ต้องการนับจากนี้ไป
หลังจากรับประทานอาหารที่น่าพอใจ ซูมู่เก๋อก็เอนกายลงบนม้านั่งตัวยาวและลูบท้องของนาง
“ท่านแม่ โปรดให้อาหารเหวินโม่มากขึ้นในวันนี้ อย่าให้เขาดื่มนมของพี่เลี้ยง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางจ้าวก็ดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย
“นางมีอะไรผิดปกติหรือ?”
“นมของนางมีรสชาติที่แตกต่างจากของท่านแม่เล็กน้อย ในช่วงเวลานี้ ให้ท่านแม่เลี้ยงและให้นมเหวินโม่มากขึ้น แต่ในขณะนี้ อย่าทําให้นางฟางสงสัย ปล่อยให้นางบีบนมออกตอนกลางคืน แล้วเราจะเทมันทิ้ง”
ในช่วงบ่าย นางได้ศึกษานมของทั้งสองและพบว่านมของนางฝางมีรสเปรี้ยวนิดๆ หลังจากนั้นนางก็ป้อนนมทั้งสองชามให้กับหนูสองตัวตามลําดับเพื่อดูว่ามีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันหรือไม่
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว”
หลังจากกลับจากงานล่าสัตว์ชีวิตของพวกเขาดูเหมือนจะกลับไปสู่ความเงียบสงบเช่นก่อนหน้านี้
ซูมู่เก๋อเข้าวังเป็นครั้งคราวเพื่อล้างพิษองค์จักรพรรดิ เนื่องจากองค์หญิงเซี่ยโฮวหยินถูกกักบริเวณและสนมฉินไม่ได้อยู่ในวัง นางจึงไม่พบปัญหาใด ๆ
อยู่มาวันหนึ่ง ซูมู่เก๋อเข้าวังอีกครั้งเพื่อรักษาองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย
“คุณหนุซู ท่านมาถึงแล้ว ฝ่าบาททรงรออยู่ข้างในแล้ว”
“ขอบคุณ ขันทีอี” ซูมู่เก๋อเดินเข้าไปในห้องโถงและองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยยืนหันหลังให้ประตูหันหลังกลับมา
ขณะที่ซูมู่เก๋อกําลังคํานับเซี่ยโฮวรุยโบกมือ “ไม่จําเป็นต้องมีมารยาทมากเกินไป ข้าไม่คิดว่าเจ้าจริงใจทุกครั้งที่เจ้าทําการคารวะ”
”…” ท่านรู้ได้อย่างไร!
“หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ”
องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยยิ้มให้นาง “เจ้าไม่ใช่ผู้หญิงที่ถ่อมตัว”
“ข้ารู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยในช่วงสองวันที่ผ่านมา มาดูข้าสิ”
“เพคะ”
ซูมู่เก๋อ ขึ้นไปตรวจชีพจรขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยและพบว่าQiของตับและไตของเขาอ่อนแอลงกว่าเดิม เหมือนอาการที่รุนแรงขึ้นจากพิษ
“วันนี้นอกจากรู้สึกเวียนหัวแล้วฝ่าบาททรงมีอาการไม่สบายอะไรอีกหรือไม่เพคะ”
“ก่อนนี้ข้ารู้สึกเชื่องซึม” องค์จักรพรรดิเชียโฮวรยกล่าว
ซูมู่เก๋อขมวดคิ้ว
อาหารและการพักผ่อนขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยล้วนเป็นไปตามข้อกําหนดของนางและขันทีอีก็ควบคุมทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัด ปัญหาน่าจะเป็นอย่างอื่น
เมื่อเห็นท่าทางง่วงนอนขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย ขันทีอีกก้าวไปข้างหน้าและกระซิบว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทรงต้องการพักผ่อนหรือไม่ พะย่ะค่ะ?”
องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยลืมตาและยืนขึ้น
“ไม่ ไปเดินเล่นที่สนามหญ้ากันดีกว่า” หลังจากพูด เขาก็มองไปที่ซูมู่เก๋อ “ไปเดินเล่นกับข้า”
ซูมู่เก๋อนึกไม่ออกในขณะนี้และคิดว่าเป็นการดีที่จะฟื้นฟูจิตใจของนางให้สดชื่น นางจึงลุกขึ้นยืน
“เพคะ”
มีสนามหญ้าขนาดกลางนอกห้องขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย ซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้และต้นไม้ตลอดทั้งปี
องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยเดินมือไขว้หลังในสนามและซูมู่เก๋อก็เดินตามเขาไปห่างกันก้าวเดียว
“ข้าจะเดินเล่นที่สนามหญ้าทุกครั้งที่ข้ารู้สึกง่วงนอน แล้วข้าจะมีพลังมากขึ้น”
คําพูดขององค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยมีเหตุผล คนที่อยู่กับที่นานๆมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะขาดออกซิเจนในสมอง ซึ่งจะทําให้ง่วงนอน แต่พื้นฐานก็คือเขาต้องเป็นคนที่มีสุขภาพดี
องค์จักรพรรดิเชียโฮวรุยเดินไปที่บ่อปลาและหยุด
ขันทีส่งอาหารปลาให้เขาทันที
องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยคว้าอาหารปลาแล้วโยนลงน้ำ และปลาทั้งหมดในน้ำก็มารวมตัวกันเพื่อกินอาหาร
“ปลาค่อนข้างมีชีวิตชีวา”
หลังจากเหลือบไปเห็นฝูงปลา ซูมู่เก๋อก็เลื่อนสายตาไปที่ดอกไม้ข้างบ่อปลา
นางเคยเห็นกลุ่มดอกไม้นี้ครั้งสุดท้าย แต่ดูเหมือนว่าดอกไม้สีม่วงเข้มนี้จะยังไม่บานสะพรั่งเหมือนตอนนี้
ซูมู่เก๋อเคยเห็นดอกไม้สีม่วง แต่กลุ่มดอกไม้สีม่วงนี้สว่างเกินไป
“ฝ่าบาท ดอกไม้เหล่านี้สวยงามยิ่งนัก”
องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยโยนอาหารปลาทั้งหมดในมือลงในน้ำและใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือ
“ดูสิ ดอกไม้ในกองดินนี้บานสะพรั่งสดใสที่สุดในสนามหญ้า”
ซูมู่เก๋อพูดติดตลกว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทรงหมายถึงดินในบริเวณนี้ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดสําหรับดอกไม้ใช่หรือไม่เพคะ? ไม่ว่าที่นี่จะปลูกดอกไม้ชนิดใดก็จะบานสะพรั่งสวยงามกว่าดอกไม้ที่อื่น ๆ ?”
“ใช่ คนสวนจะย้ายดอกไม้ที่กําลังจะตายในสวนมาที่บริเวณนี้และพวกมันจะฟื้นขึ้นมาภายในสองสามวัน”
ซูมู่เก๋อย่อตัวลงด้วยความอยากรู้หยิบดินขึ้นมาหนึ่งกํามือแล้วดมมัน แน่นอนว่านางรู้สึกได้ถึงกลิ่นยาจาง ๆ
ดินนี้ได้รับการบํารุงด้วยยา
เมื่อเห็นพฤติกรรมที่ผิดปกติของซูมู่เก๋อ องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยก็ดูเคร่งขรึมขึ้น “ทําไม? ดินนี้มีปัญหาหรือ?”
ซูมู่เก๋อรักษาสีหน้าและช่อนดินไว้ในแขนเสื้อ
“หม่อมฉันปลูกดอกไม้ไม่เก่งเพคะ จะรู้ได้อย่างไรว่าดินมีปัญหา?”
“ฝ่าบาท กลับวังกันเถอะเพคะ”
หลังจากเดินไปสักพัก องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยก็รู้สึกดีขึ้นมาก “ตกลง”
กลับเข้ามาในห้ององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยจ้องมองซูมู่เก๋อ
“ที่นี้เจ้าบอกความจริงกับข้ามาได้หรือยัง?”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันพบกลิ่นยาจาง ๆ ในดิน ยังไม่พบสาเหตุที่แท้จริงของการเป็นพิษของฝ่าบาท หม่อมฉันต้องการตรวจสอบว่าดินมีปัญหาหรือไม่เพค่ะ?”
นางสามารถล้างพิษองค์จักรพรรดิเชียโฮวรุยได้ แต่ถ้านางไม่พบสาเหตุที่แท้จริงของพิษในตัวเขา องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยก็จะติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ของพิษและการล้างพิษตลอดไป
“ได้”
ซูมู่เก๋อเบิดชุดเครื่องมือแพทย์ของนางใส่ดินลงในจานกระเบื้องและเทน้ำยาลงไปเพื่อทดสอบความเป็นพิษ
ไม่นาน ยาสีดําในจานกระเบื้องก็ค่อยๆกลายเป็นของเหลวสีเขียวสดใส มีบางอย่างผิดปกติกับดิน!
จากนั้นนางก็เทยาให้องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยและสีของของเหลวที่ผสมก็จางลงมาก
ดินจะต้องเป็นต้นเหตุของการเป็นพิษขององค์จักรพรรดิเซียโฮวรุย!
“ฝ่าบาทเพคะ ดินเป็นพิษและเป็นพิษชนิดเดียวกับพิษในร่างกายของพระองค์ นี่อาจเป็นสาเหตุที่แท้จริงของพิษในร่างกายของพระองค์เพค่ะ
” ปัง!”
องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยตบโต๊ะมังกรซึ่งกําลังสั่นอย่างรุนแรง ซูมู่เก๋อก้มหัวลง นางได้ทําในสิ่งที่ควรทําและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิธีที่องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยจะกําจัดคนที่วางยาพิษเขา
“ฝ่าบาท อย่าทรงกริ้วพะย่ะคะ” ขันทีอีคุกเข่าตัวสั่น
“เจ้าแน่ใจไหม?”
“หม่อมฉันแน่ใจว่าดินนั้นเกี่ยวข้องกับพิษของพระองค์เพคะ”
“ขันทีอี เจ้ารู้ใช่ไหมว่าต้องทําอะไร?”
” พะย่ะค่ะ หม่อมฉันทราบดี หม่อมฉันจะทํามันเดี๋ยวนี้”
“สืบเรื่องนี้อย่างลับๆ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้ามาในห้องของข้าได้”
“รับพระบัญชา พะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยหันไปหาซูมู่เก๋อ “ซูมู่เก๋อ ข้าให้เวลาเจ้าอีกหนึ่งเดือนในการล้างพิษให้ข้า เจ้าทํามันได้หรือไม่?”
หนึ่งเดือนเป็นเพียงเวลาที่ต้องใช้ในการขับไล่พิษที่เหลืออยู่ในร่างกายขององค์จักรพรรดิเซียโฮวรุย
” หม่อมฉันจะทําให้ดีที่สุด เพคะ”
เนื่องจากพิษในร่างกายขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยรุนแรงขึ้น ซูมู่เก๋อจึงทําได้เพียงฝังเข็มเพื่อขับไล่พิษของเขาอีกครั้ง
เมื่อนางออกจากวังก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว
สาวใช้ตัวน้อยพาซูมู่เก๋อออกจากวัง เมื่อไม่มีอะไรเป็นอาหารกลางวัน นางรู้สึกหิวมากในขณะนี้
“ข้าได้ยินมาว่าราชาติงฉีกําลังจะกลับมา”
“ราชาติงฉี? หากปราศจากพระราชโองการของฝ่าบาท เขาก็ไม่สามารถกลับมาที่เมืองหลวงได้!”
“ข้าได้ยินมาว่าจักรพรรดิองค์ก่อนตรัสว่าเขาจะกลับมาได้เมื่อพระมารดาขององค์จักรพรรดิฉลองวันเกิดของนาง ปีนี้เป็นวันเกิดครบรอบ 60 ปีของนาง!”
คนในวังสองคนกําลังกระซิบอย่างลับๆ ในความมืด แต่ซูมู่เก๋อได้ยินบทสนทนาของพวกเขา
ราชาติงฉีกําลังจะกลับมาที่เมืองหลวง!
ซูมู่เก๋อไม่ได้กลับไปที่จวนตระกูลซู แต่ไปที่ถนนฝั่งตะวันตก
สนามหญ้าเล็ก ๆ ที่เฉิงหรันเช่าอยู่ในซอยบนถนนสายนี้
ซอยนั้นค่อนข้างห่างไกลจึงไม่มีแม้แต่ร่างเดียวในระหว่างทางของนาง นางเดินไปที่บ้านหลังสุดท้ายในซอยและได้ยินเสียงเด็ก ๆ คุยกันอยู่ข้างใน
ก่อนที่ซูมู่เก๋อจะหยุดเคาะประตู มีคนเปิดประตูจากข้างใน
“คุณหนู?” มันคือเฉิงหรัน เมื่อเห็นซูมเก๋อยืนอยู่ข้างนอกเขาก็ประหลาดใจ
ซูมู่เก๋อยิ้ม “อืม ข้าว่างและได้มาดู”
เฉิงหรัน ก้าวเบี่ยงตัวหลบเพื่อให้ซูมู่เก๋อเข้ามา
ทันทีที่ซูมู่เก๋อเข้ามาเด็ก ๆ ในลานบ้านก็มองไปที่นางอย่างอยากรู้อยากเห็น
“มานี่สิ นี่คือคุณหนูใหญ่”
เด็ก ๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่อฟังและทักทายซูมู่เก๋อ เฉิงหรันต้องเคยสอนพวกเขามาก่อน
“คุณหนู คารวะคุณหนูขอรับ”
“ไม่จําเป็นต้องมีมารยาทมากเกินไป ลุกขึ้น”
ซูมู่เก๋อสังเกตเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ยืนอยู่ท้ายกําลังจ้องมองเฉิงหรันด้วยสายตาอ้อนวอน
“ทําอะไรกันอยู่หรือ?”
บทที่ 89 ข้าไม่ควรสนุกกับพวกเขาคนเดียว
“คุณหนูเจ้าค่ะ โปรดยกโทษให้กับความเกียจคร้านของข้า เมื่อคืน ข้าให้อาหารนายน้อยเพิ่มอีกนิดหน่อยก่อนนอน แต่เขาไม่หลับจนกว่าเขาจะสะอึกเสร็จ ข้าพบว่าเขาไม่ได้กินอาหารมากเกินไป ดังนั้นข้าจึงไปนอน” นางฟางสําลักด้วยเสียงสะอื้น
โดยปกติ เหวินโม่ตัวน้อยจะต้องดื่มนมอย่างน้อยทุกๆสองชั่วโมง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความขี้เกียจของนาง นางฟางให้อาหารเขามากเกินไปในคราวเดียวและงดมื้ออาหารตลอดทั้งคืน
ซูมู่เก๋อมองเหมยฮัว “เมื่อคืนนายน้อยร้องไห้หรือไม่?”
ระหว่างที่นางจ้าวไม่อยู่ เหมยฮัวนอนในห้องด้านนอกของห้องของเหวินโม่ในตอนกลางคืน ส่วนนางฟางนอนอยู่ในห้องด้านใน
เหมยฮัวส่ายหัว “ไม่เจ้าค่ะ เมื่อคืนนายน้อยไม่ได้ร้องไห้เลย”
เด็กจะร้องไห้ทุกครั้งที่หิวหรืออยากปัสสาวะ อย่างไรก็ตาม หลังจากดื่มนมมากก่อนเข้านอนเมื่อคืนที่ผ่านมา เหวินโม่ตัวน้อยไม่ได้ปัสสาวะหรือรู้สึกหิวอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
ซูมู่เก๋อเหลือบมองสาวใช้คนอื่น ๆ “เจ้าไม่ได้ยินเลยหรือ?”
สาวใช้ส่ายหัวทีละคน
ในพื้นที่จํากัดของลานดอกท้อ คุณสามารถได้ยินการเคลื่อนไหวใด ๆ ในโถงได้ ไม่ต้องพูดถึงเสียงร้องไห้ของทารกในเวลากลางคืน
เนื่องจากหลายคนไม่ได้ยินเสียงเหวินโม่ตัวน้อยร้องไห้ในตอนกลางคืน มันจึงต้องเป็นเรื่องจริง
“เจ้าให้อาหารนายน้อยกี่ครั้งก่อนที่เราจะกลับ?”
นางฟางรีบตอบ “สามครั้งตามปกติเจ้าค่ะ”
“มูมู่ โม่เอ๋อหลับไปแล้ว” นางจ้าวกระซิบ
ซูมู่เก๋อเดินไปและพบว่าเด็กน้อยนอนอยู่บนเตียงโดยกําหมัดสองข้างแน่นและผล็อยหลับไป
“เหวินโม่อาจจะเหนื่อยหลังจากร้องไห้ ไม่ต้องกังวลท่านแม่”
นางจ้าวพยักหน้าอย่างเหม่อลอย นางจะไม่ห่วงลูกชายที่ป๋วยแบบนี้ได้อย่างไร?
ซูมู่เก๋อหยุดชักชวนนางจ้าวและพูดกับนางฟางว่า “บีบนมมาหนึ่งชาม”
เมื่อเห็นว่าซูมู่เก๋อไม่ได้ตั้งใจจะลงโทษ นางฟางจึงพยักหน้าซ้ำ ๆ “เจ้าค่ะ เจ้าคะ ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
“ฟาง เจ้าควรจะชัดเจนว่านายน้อยเป็นทายาทชายคนเดียวของจวนตระกูลซูในตอนนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เจ้าคิดว่าเจ้าจะมีจุดจบที่ดีได้หรือไม่?”
เสียงของซูมู่เก๋อไม่ดัง แต่เพียงพอที่จะทําให้นางฟางตัวสั่น “เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ ข้าสาบานว่าข้าไม่มีเจตนาที่จะทําร้ายนายน้อย และข้าไม่กล้าที่จะขี้เกียจอีกต่อไป ครั้งนี้ คุณหนูใหญ่โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
ซูมู่เก๋อหยิบวันที่บนโต๊ะและเล่นด้วยปลายนิ้วของนาง “คราวนี้ ข้าจะหักค่าจ้างครึ่งเดือนถ้าเกิดขึ้นอีก อย่าโทษว่าข้าโหดร้าย!”
“เจ้าค่ะ คุณหนู ขอบคุณมากสําหรับความกรุณาของท่าน! ขอบคุณเจ้าค่ะ!”
นางฟางถอยออกไปและหลังจากนั้นไม่นานนางก็เอานมมาให้
ซูมู่เก๋อยังขอให้นางจ้าวบีบนมและนํากลับไปที่ห้องของนาง
“คุณหนู จะทําอะไรกับนมสองชามนี้เจ้าค่ะ?”
ซูมู่เก๋อมองไปที่ชามนมสองใบบนโต๊ะและยิ้ม “เจ้าอาจไม่รู้ว่านมแม่มีคุณค่าทางยา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยว่รู่และคนอื่น ๆ ต่างก็ประหลาดใจ “ท่านหมายถึงนมใช้เป็นยาได้หรือเจ้าคะ?”
“ใช่ ถ้าใช้นมแม่กับแผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวกจะมีผลในการซ่อมแซมผิวหนังและบรรเทาอาการปวด
“งั้นแปลว่าคุณหนูจะทํายาจากนม?”
ซูมู่เก๋อเลิกคิ้วและไม่ตอบ
เป็นเรื่องปกติที่เด็กจะสํารอกนม แต่นางมักจะรู้สึกว่ามันแปลก ๆ อยู่เสมอ นางไม่สามารถระมัดระวังตัวมากเกินไป เหวินโม่ตัวน้อยยังเด็กเกินไปที่จะรับความเสี่ยงได้
ดังนั้นนางจึงต้องค้นหาว่านมของนางฟางกับนางจ้าวมีความแตกต่างกันหรือไม่
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เยว่รู่ก็เข้ามา
“คุณหนูเจ้าค่ะ ตอนนี้เฉิงหรันกําลังรออยู่ข้างนอกประตูเจ้าค่ะ”
“บอกให้ซินหลันพาเขาไปที่ประตูด้านข้างและรอข้า”
“เจ้าค่ะ”
มีห้องบีกเล็กที่ประตูด้านหลังของจวนซูซึ่งแทบไม่มีคนเข้าไป
ซูมู่เก๋อเก็บข้าวของบนโต๊ะ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปที่ห้องปักเล็ก
เฉิงหรันและซินหลันรออยู่ในห้อง เมื่อเห็นซูมู่เก๋อเข้ามา ทั้งคู่ก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อคํานับ
“คุณหนู”
ซูมู่เก๋อเดินเข้าไปนั่ง “ไม่จําเป็นต้องมีมารยาทมากเกินไป ลุกขึ้นมานั่งเถิด”
ซินหลันถอยออกไปและเฝ้าอยู่ข้างนอกที่ประตู
เฉิงหรันไม่ได้นั่งลง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะผ่อนคลายกว่าครั้งที่แล้วมาก
“คุณหนูขอรับ ข้าทํางานเสร็จแล้ว” เฉิงหรันหยิบกระเป๋าใบเล็กออกมา
“นี่คือสัญญาทาสของพวกเขา ข้าได้ประทับตราไว้ในหย่าหเมิน และนี่คือเมล็ดพันธุ์พืชที่ท่านขอให้ข้านํามาให้ท่านเมื่อครั้งล่าสุด”
ซูมู่เก๋อมองไปที่พวกเขาและพยักหน้า “ทําได้ดี! น้องชายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อพูดถึงน้องชายของเขาเฉิงหรันรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “ขอบคุณมากขอรับ คุณหนู น้องชายของข้าดีขึ้นมากแล้ว เขาสามารถไปที่ตรอกและเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ ได้แล้วขอรับ”
“ดี มันเป็นเรื่องดีที่เด็ก ๆ จะกระตือรือร้นมากขึ้น หยุดใช้ใบสั่งยาในเดิม นี่คือใบสั่งยาของอาหารยา ให้เขารับประทานอาหารที่กําหนดตามสูตรอาหารเป็นระยะเวลาหนึ่ง เขาจะหายดีในไม่ช้า” ซูมู่เก๋อให้สูตรที่นางเขียนไว้ก่อนหน้านี้แก่เขา
เฉิงหรันไม่ได้ปรับแต่งเพื่อสร้างสถานะและยอมรับสูตรด้วยความขอบคุณซ้ำ ๆ
จากนั้นซูมู่เก๋อก็มอบ10 เหลียงให้เขา
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉิงหรันก็รีบพูดว่า “คุณหนูขอรับ เงินที่ท่านให้ข้าครั้งที่แล้วยังไม่หมดขอรับ”
ซูมู่เก๋อไม่เอาคืน “เด็กเหล่านั้นต้องการที่พักอาศัยเป็นเวลานาน เจ้าเช่าลานสะอาดชั่วคราวเพื่อให้พวกเขาอาศัยและจัดหาสิ่งจําเป็นในชีวิตซึ่งต้องใช้เงินจํานวนมาก หลังจากนั้นให้หาครูที่น่าจะรู้จักร้านขายยาเล็กน้อยเพื่อสอนให้พวกเขาอ่านออกเขียนได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉิงหรันก็เงยหน้าขึ้นมองนางด้วยความประหลาดใจ “คุณหนู ท่านอยากสอนพวกเขารู้หนังสือหรือขอรับ?!”
“ใช่ ข้าไม่ต้องการให้พวกเขาทํากุลีเมื่อพวกเขาโตขึ้น”
“แล้ว น้องชายของข้า…”
“แน่นอนว่าจะดีที่สุด ถ้าเขาต้องการเรียนกับพวกเขา”
“ขอบคุณ คุณหนู ขอบคุณมาก” เฉิงหรันไม่สามารถปกปิดความสุขบนใบหน้าของเขาได้
“เจ้าควรรายงานให้ข้าทราบเกี่ยวกับการศึกษาของพวกเขาทุกๆ ครึ่งเดือนเพื่อที่ข้าจะได้เตรียมการได้”
“ได้ขอรับ ได้ๆ”
หลังจากเฉิงหรันจากไป ซูมู่เก๋อก็กลับไปที่ลานดอกท้อ
ลานดอกท้อมีขนาดไม่ใหญ่นัก มีเพียงเส้นทางเดียวที่ปูด้วยหินและพื้นที่ส่วนที่เหลือถูกปกคลุมไปด้วยโคลน
“เยว่รู่เอาพลั่วเล็ก ๆ มาให้ข้า”
ด้วยความงงงวยอยู่
ทําตามที่นางบอก “คุณหนู ท่านต้องการพลั่วสําหรับอะไรเจ้าค่ะ?”
ซูมู่เก๋อสวมเสื้อผ้าเก่าและพับแขนเสื้อขึ้น “สําหรับใช้งาน”
นางเดินลงไปในโคลนและนั่งยองๆเพื่อขุดหลุม
เมื่อเห็นเช่นนี้ เยว่รู่และคนอื่น ๆ ก็กลัวกันหมด “คุณหนูเจ้าคู่ ท่านกําลังทําอะไร? ให้เราทํามันเถอะเจ้าค่ะ!”
ซูมู่เก๋อตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง “ไม่ ข้าจะทําเอง เจ้าไม่สามารถทํางานนี้ได้”
เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ถูกซื้อโดยเฉิงหรันด้วยเงินจํานวนมาก หากปลูกอย่างไม่เหมาะสม นางจะสูญเสียเงินก้อนใหญ่ ดังนั้นเมื่อพิจารณาว่าตอนนี้นางยังขาดแคลนเงินอยู่ นางจึงต้องปลูกมันด้วยตัวเอง!
ในขณะที่ซูมู่เก๋อคอยขุดและปลูก มันค่อยๆ มีดลง
ซูมู่เก๋อวางพลั่วและกลับไปที่ห้องของนางพร้อมกับเมล็ดพันธุ์ที่เหลืออยู่
เยว่รู่รีบบอกให้ซินหวั่นนําน้ำร้อนเข้ามาและขัดตัวนาง
“ว่าแต่อุ้งเท้าหมีสองตัวที่ราชาแห่งจินมอบให้อยู่ที่ไหน?” ตอนนี้มันยังร้อนอยู่และอุ้งเท้าหมีที่ยังไม่ได้แปรรูปอาจจะเสียได้ง่าย ดังนั้นควรปรุงและทานมันโดยเร็วที่สุด
“ข้าเก็บไว้แล้วฮูหยินขอให้ส่งหนึ่งอันไปยังใต้เท้าเจ้าค่ะ”
ส่งสิ่งดีๆเช่นนี้ให้กับพ่องั้นหรือ?
ซูมู่เก๋อไม่เต็มใจเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นก็ส่งไปให้เขาหนึ่งในสี่ของอุ้งเท้า!”
ด้วยอุ้งเท้าหมีสองตัว พวกเขาแค่ส่งมันไปหนึ่งในสี่ ..
เยว่รู่รู้สึกว่าคุณหนูใหญ่ทําแบบนั้นค่อนข้างดี!
ซูมู่เก๋อตั้งใจทําอาหารด้วยตัวเอง – ย่างกุ้งตีนหมีตัวหนึ่งและปรุงซุปกับอีกอัน
นางไม่ได้ปรุงอาหารเป็นเวลานาน ดังนั้นนางจึงสงสัยว่านางจะทําให้มันอร่อยได้หรือไม่
มีห้องครัวเล็ก ๆ ที่ด้านหลังของลานดอกท้อ ซึ่งแทบจะไม่เคยใช้เลย แต่โชคดีที่เครื่องครัวค่อนข้างครบ
หลังจากนั้นไม่นานกลิ่นหอมที่เชิญชวนก็มาจากห้องครัวเล็ก
“ว้าว คุณหนู มันมีกลิ่นหอมจัง ข้าแทบจะน้ำลายไหลแล้วเจ้าค่ะ”
ซูมู่เก๋อโรยพริกไทยบนตีนหมีย่าง ทันใดนั้นกลิ่นก็ยิ่งแรงขึ้น
“ฮ่า ๆ ข้าปรุงมันด้วยตัวเองเสร็จแล้ว”
ซูมู่เก๋อเปิดหม้อต้ม ซุปตีนหมีเกือบเสร็จแล้ว
“ว้าว น่ากินมาก”
ซูมู่เก๋อใส่เนื้ออุ้งเท้าหมีและซุปลงในหม้อใบเล็กและขอให้ซินเอ๋อส่งให้ซูหลุน
จากนั้นนางก็หยิบหม้ออีกใบออกมาแล้วเติมอุ้งตีนหมีครึ่งตัวและซุปจํานวนมากจนเต็ม
“คุณหนู นี่สําหรับฮูหยินหรือเจ้าค่ะ?”
สําหรับนางอันงั้นหรือ?
ซูมู่เก๋อหัวเราะเบา ๆ นางไม่ได้ใจดีขนาดนั้น
หลังจากนั้น นางก็ห่ออุ้งเท้าหมีย่างครึ่งตัวแล้วเรียกเยว่รู่
“ส่งมันไปที่ตําหนักจนเดี๋ยวนี้”
เยว่รู่ตกใจ “คุณหนู ท่านหมายถึงส่งไปให้ราชาแห่งจินหรือเจ้าค่ะ?”
ซูมู่เก๋อรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลและพยักหน้า “ใช่ อุ้งเท้าหมีคู่นี้มอบให้โดยราชาแห่งจิน ดังนั้นข้าไม่ควรมีความสุขกับมันคนเดียว”
ในการทําเช่นนั้น นางต้องการแสดงความขอบคุณต่อเซี่ยโฮวโม่
ตําหนักจินตั้งอยู่บนถนนสายกลางของเมืองหลวง ซึ่งค่อนข้างห่างจากจวนตระกูลซูในพื้นที่ห่างไกล นางกลัวว่าอาหารจะเย็นลงหลังจากไปถึง
“เจ้าค่ะ ข้าจะหาวิธีส่งมอบทันที”
“ดีมากสาวน้อย ข้าจะเตรียมซุปตีนหมีไว้ให้เจ้า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยว่รู่ก็มีพลังขึ้นมาทันที “คุณหนู ท่านมั่นใจได้เลย ข้าจะจัดส่งให้โดยเร็วที่สุด”
ซูมู่เก๋อจิบน้ำซุปเพื่อลิ้มรส
ว้าว!
มันอร่อยมาก!
เยว่รู่ยัดเหรียญทองแดงหนึ่งร้อยเหรียญให้กับคนส่งข่าวของจวนตระกูลซู และเน้นย้ำคําสั่งของคุณหนูใหญ่ จากนั้นคนขับรถม้าออกเดินทางไปยังตําหนักราชาแห่งจินโดยรถม้าทันที
ด้านนอกตําหนักราชาแห่งจิน เซี่ยโฮวโม่กลับมาบนหลังม้า หลังจากลงจากหลังม้า เขาก็โยนแส้ม้าไปที่โจวฉิ่ว
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
เซี่ยโฮวโม่พยักหน้าและกําลังจะเข้าประตูจวน
“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ นั่นรถม้าจอดอยู่ที่นั่นจนถึงตอนนี้” โจวเหว่ยชี้ไปที่รถม้าในความมืด
เซี่ยโฮวโม่เหลือบมองไปที่รถม้าเล็กน้อยก่อนที่จะจับจ้องดวงตาสีดําของเขา
บนรถม้าเยว่รู่ที่ถือหม้ออยู่รู้สึกหนาวและกลัว นางไม่กล้าขยับเมื่อเห็นประตูตําหนักราชาแห่งจีน!
“ไปตรวจดูกันเถอะ”
” พะย่ะคะ”
โจวฉิ่วเดินไป หลังจากนั้นไม่นานเขาก็นําเยว่รู่ที่ตัวสั่นพร้อมหม้อและกระเช้า
“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ นางบอกว่านางเป็นสาวใช้คนสําคัญของคุณหนูใหญ่ซูและนางมาเพื่อส่งบางอย่างให้ฝ่าบาท”
เยว่รู่พยักหน้าอย่างแข็งขันและคํานับเซียโฮวโม่ “ฝ่าบาท ถวายบังคมเพคะ คุณหนูใหญ่ทําอุ้งเท้าหมีด้วยตัวเองและขอให้หม่อมฉันส่งบางส่วนมาให้ฝ่าบาท นางบอกว่าพวกมันถูกส่งมาโดยฝ่าบาทและนางไม่ควรมีความสุขกับพวกมันเพียงลําพังเพค่ะ”
เซียโฮวโม่กลอกตาเล็กน้อย “คุณหนูซูสั่งให้เจ้ามาส่งมัน?”
“เพค่ะ”
“พระสนมฉินเพค่ะ แผลของพระสนมยังไม่หายดีการเคลื่อนไหวพระวรกายยังทําไม่ได้เพค่ะ”
ซูจิงเหวินวางเบาะหลังเอวของสนมฉินอย่างประหม่า
“พระสนมฉิน คุณหนูใหญ่ซูมาถึงแล้ว เพค่ะ”
ด้วยความเกลียดชังในดวงตาของนาง สนมฉินก็กลับสู่สภาวะปกติทันที “ให้นางเข้ามา”
*เพคะ”
เมื่อได้ยินว่าซูมู่เกืออยู่ที่นี่ ซูจิงเหวินก็เบิกตากว้างและยืนอยู่ข้างๆ อย่างไม่พอใจ
ซมู่เกือเดินเข้าไปในห้องอย่างมั่นคงและโค้งคํานับเพื่อแสดงความเคารพ “ขอถวายบังคมเพค่ะ พระสนมฉิน”
“ลุกขึ้น”
ซูมู่เกือลุกขึ้น
นางสนมฉินพิงขอบเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียวและจิตวิญญาณที่ไม่ดี ดวงตาฟีนิกซ์ของนางไม่ดุร้ายและแหลมคมอีกต่อไป แต่อ่อนแอและบอบบาง
“ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายสองฟื้นแล้ว ซูมู่เกือเป็นความดีความชอบของเจ้า”
ซูมู่เก่อตอบอย่างว่างเปล่า “ต้องขอบพระทัยสําหรับเลือดของพระสนมเพคะ ที่ทําให้องค์ชายสองสามารถฟื้นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้”
เมื่อมองไปที่รูปลักษณ์ที่ไม่แยแสของซูมู่เกือ และปานที่เข้มแรงที่มุมดวงตาของนาง สนมฉินรู้สึกว่าหน้าอกของนางเริ่มเจ็บอีกครั้ง
“เจ้ามีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม นี่คือความดีความชอบของเจ้า อย่าถ่อมตัวเลย”
เมื่อเห็นสนมฉันยังคงยกย่องซูมู่เกือและลืมเรื่องการดํารงอยู่ของนางไปโดยสิ้นเชิง ซูจิงเหวินก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาและโกรธในใจ
“พระสนมฉิน พระนางพูดถูกเพคะ ทักษะทางการแพทย์ของพี่สาวคน โตของหม่อมฉันยอดเยี่ยมมากจนสามารถทําให้คนตายกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งเพคะ”
ซูมู่เก๋อตากระตุกโดยคิดว่าซูจิงเหวินกระตือรือร้นที่จะแสวงหาชื่อเสียง “น้องสาว เจ้า กําลังประจบข้าเกินไปข้าไม่ใช่เทพเจ้าที่สามารถควบคุมชีวิตและความตายได้”
“องค์ชายสองและข้าทั้งคู่ต่างต้องการการพักผ่อนที่เงียบสงบและไม่ควรเคลื่อนไหว ข้าคิดเสมอว่าเจ้าเป็นเด็กขี้เกรงใจ อยู่ในที่พักเพื่อดูแลข้าและองค์ชายสองในวันนี้” นางสนมฉันพูดอย่างเงียบ ๆ
ซูมู่เกือชะงักไป ทันใดก็ตระหนักถึงจุดประสงค์ของนาง
ถ้านางอยู่ที่นี่ นางคงมีปัญหาแน่ นางไม่ได้โง่ขนาดนั้น
“พระสนมฉินเพค่ะ โปรดอภัยแก่หม่อมฉันด้วย หม่อมฉันเกรงว่าจะอยู่ที่นี่ตลอดไม่ได้”
นางสนมฉินหรี่ตาและพูดด้วยน้ําเสียงเย็นชาและไม่พอใจ “ทําไม? เจ้ารู้สึกผิดที่รับ ใช้ข้าและองค์ชายที่สองงั้นหรือ?”
“นี่เจ้า! เจ้าเป็นเกียรติเพียงไรที่ได้มีโอกาสรับใช้พระสนมฉินและองค์ชายรอง! ทําไมเจ้าไม่สํานึกขนาดนี้ได้ยังไง?!”
“พระสนมฉินเพค่ะ หม่อมฉันยังต้องให้การรักษาต่อจากองค์จักรพรรดิ์ เกรงว่าจะไม่เห มาะสมที่จะพักอยู่ที่นี้”
นางสนมฉินก็สะอึก นางลืมมันไปแล้วจริงๆ!
“ยังมีรองผู้อํานวยการเฉินอยู่ข้างๆ องค์จักรพรรดิ
“พระสนมฉินเพค่ะ พระนางอาจไม่ทรงทราบว่ารองผู้อํานวยการเฉินไม่สบายเมื่อเร็ว ๆ นี้และหม่อมฉันได้รับมอบหมายให้ทําการรักษาองค์จักรพรรดิ”
หลังจากรองผู้อํานวยการเฉินปวดท้องในวันนั้น องค์จักรพรรดิก็ไม่เคยขอให้หมอเฉินรักษาพระองค์เลย ตอนนี้แพทย์ที่เข้ารักษาขององค์จักรพรรดิคือซูมู่เกื้อ
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จงลืมมันไปซะ เข้ามา! นําสิ่งของขึ้นมา”
เมื่อได้ยินดังนั้น นางกํานัลสองคนก็ถือกล่องเข้ามาในห้อง
“เจ้าได้ช่วยองค์ชายสอง สิ่งเหล่านี้เป็นรางวัลแก่เจ้า จากข้า”
ซูมู่เก่อเหลือบมองและพบกล่องผ้าไหมและผ้าซาติน ที่ดูสบายตา แต่ไร้ประโยชน์
“ขอบพระทัยเพค่ะ สําหรับรางวัลของพระนาง พระสนมฉิน”
“อืม ข้าเหนื่อย เจ้าออกไปได้”
ซูมู่เกือเลิกคิ้วอย่างสงสัย นางสนมฉินจะปล่อยนางไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร
ถึงกระนั้นนางก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะปล่อยให้นางพักผ่อนง่ายๆ!
“ พระสนมฉินเพค่ะ เมื่อคืนข้านอนไม่หลับทั้งคืนและทําขี้ผึ้งที่จะทําให้แผลของพระนางหายเร็วขึ้นโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
นางสนมฉินก็ลืมตาขึ้นทันที
“จริงรึ?” ไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกนี้ที่ไม่ใฝ่หาความงาม โดยเฉพาะผู้หญิงที่รับใช้จักรพรรดิแม้ว่านางจะอายุมากแล้ว แต่นางก็ไม่ต้องการมีข้อบกพร่องใด ๆ ในร่างกายของนาง
“หม่อมฉันไม่กล้าโกหกเพค่ะ พระสนมฉิน พระนางสามารถลองได้”
ในสายตานางมีความไม่เชื่อ แต่นางสนมฉันเชื่อว่าซูมู่เกือไม่กล้าทําร้ายนาง “ตกลง ข้า จะลองดู”
ซูมู่เกือเพิกเฉยต่อสายตาที่มุ่งร้ายของซูจิงเหวินและหยิบตลับขี้ผึ้งออกมา นางฆ่าเชื้อ บาดแผลของนางสนมฉินแล้วทาขี้ผึ้งสีดําลงไป
เมื่อทาขี้ผึ้งแล้ว รู้สึกสดชื่นมาก ทําให้นางรู้สึกสบายใจกว่าเมื่อก่อนมาก
หลังจากทาขี้ผึ้งแล้ว ซูมู่เกือก็พันแผลของนาง
“พระสนมฉินเพค่ะ พระนางต้องป้องกันไม่ให้ขี้ผึ้งนี้โดนน้ํา ไม่เช่นนั้นแผลจะติดเชื้อและอาจทําให้แผลลุกลามได้เพคะ”
“ข้ารู้”
ในไม่ช้า ซูมู่เก๋อก็เดินออกจากห้องไป
“ซูมู่เก๋อ หยุดนะ!”
ซูจึงเหวินวิ่งเหยาะๆ ไปที่ซูมู่เกือและขวางทางของนาง
ในที่สุด นางก็มีโอกาสปรากฏตัวต่อหน้านางสนมฉินในวันนี้ แต่ถูกซูมู่เก้อทําลายลงอย่างสม บูรณ์
“นังสัตว์ประหลาดหน้าตาน่าเกลียด เจ้าเล่ห์ เจ้าคิดว่าจะได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างออกไปจากพระสนมฉินหากเจ้ามีทักษะทางการแพทย์งั้นหรือ? ข้าบอกเจ้า อย่าแม้แต่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้องค์ชายสองจะไม่มีวันชอบเจ้า!”
ซูมู่เกือทําหน้าทิ้งตึง นางไม่สนใจปานบนใบหน้าของนาง แต่นางไม่ยอมให้ใครมาทําร้ายนางเพราะมัน
“ โอ้? เขาจะไม่มีวันชอบข้างั้นหรือ? เขาชอบเจ้าหรือไม่เล่า?”
“แก! ข้า ข้า”
ซูมู่เกือไม่ยอมให้นางพูดจบ “เจ้าคิดว่าพระสนมฉินจะให้องค์ชายสองแต่งงานกับเจ้าหรืออ ย่างไร?”
” ทําไมจะไม่ล่ะ?!”
ซูมู่เกือพ่นลมหายใจอย่างเอือมระอา “เจ้าพอที่จะเป็นได้แค่นางบําเรอ”
หลังจากพูดจบ ซูมู่เกือก็เดินผ่านนางไป
ซูจิงเหวินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและโกรธขึ้นมาทันที “ ซูมู่เกือ หยุด!”
ในตอนเช้าของวันที่สามของงานชุมนุมล่าสัตว์ ทุกคนยกเว้นพระสนมฉินและเซี่ยโฮวคุณที่พักฟื้นจะต้องกลับบ้าน
ขณะที่ซินเอื้อพยุงชูมู่เกือขึ้นรถม้า เสียงเกือกม้าก็ดังมาจากด้านหลัง
“คุณหนูซู โปรดรอสักครู่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูมู่เก๋อจึงหยุดมองย้อนกลับไปและพบว่าเป็นตงหลินกําลังขี่ม้าเข้ามา
ตงหลินลงจากหลังม้าอย่างชํานาญและถอดกระเป๋าที่ห้อยอยู่บนตัวของเขาออก
“สิ่งนี้ส่งมาจากองค์ชายเพื่อช่วยให้คุณหนูซูหายจากอาการตกใจ”
เซี่ยโฮวโม่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดขององครักษ์ของจักรวรรดิ และอุบัติเหตุของซูม่เกือในสนามล่าสัตว์ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่ของทหารองครักษ์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสมควรที่เขาจะส่งของขวัญขอโทษให้นาง ยิ่งไปกว่านั้นต่อหน้าผู้คนมากมาย พวกเขาไม่ได้ส่งผ่านสิ่งต่างๆ ระหว่างบุคคลอย่างผิดกฎและอย่างลับๆ
ซูมู่เกือรับกระเป๋าขึ้นมาถือไว้ “ข้าขอขอบคุณในน้ําพระทัยจากองค์ชายของท่านด้วยเจ้าค่ะ”
“ข้ามีอย่างอื่นที่ต้องทํา อภัยให้ข้าด้วย ข้าขอลา”
”รักษาตัวด้วย”
ตงหลินขี่ม้าและจากไปเหมือนลมกระโชกแรงทางเดิมที่เขามา
ซูมู่เก่อส่งกระเป๋าให้ซินหลันและซินหลันกระซิบ
“คุณหนู นี่คืออะไรเจ้าค่ะ? มันหนักมาก”
ซูมู่เกือเลิกคิ้วและไม่เปิดกระเป๋าจนกว่านางจะขึ้นรถม้า
ข้างในมีอุ้งเท้าหมีน่ากลัวสองตัว!
นางจ้าวหน้าซีดด้วยความตกใจ “นี่ นี่คือสิ่งที่ราชาแห่งจินมอบให้เจ้าหรือ?”
ซูมู่เกือบิดตาของนางในขณะที่มองไปที่อุ้งเท้าซึ่งใหญ่กว่าใบหน้าของนางด้วยซ้ํา
เพื่อช่วยให้นางหายตกใจด้วยการส่งสิ่งที่น่ากลัวนี้มา ….
“อืม ข้าจะทําอุ้งตีนหมีย่างให้ทานหลังจากกลับบ้านนะเจ้าค่ะ ท่านแม่”
ในขณะที่พูด นางปล่อยให้ซินหลันวางกระเป๋าไปห่างๆ
เป็นเวลาบ่ายแล้วเมื่อซูมู่เก้อกลับไปที่จวนตระกูลซู
“คุณหนู ฮูหยิน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว” เหมยฮัวและเยารูรออยู่นอกประตูเพื่อรับข่าว
“ใช่ เรากลับมาแล้ว”
หลังจากการเดินทางอันยาวนานและเป็นหลุมเป็นบ่อ ทุกคนก็เหนื่อยล้า ซูมู่เกือกลับไปที่ลานดอกท้อ และอาบน้ําก่อนที่จะไปที่ห้องของนางจ้าว
ไม่ได้เห็นลูกชายของนางมาหลายวันแล้ว นางจ้าวเปลี่ยนเสื้อผ้าและขอให้พี่เลี้ยงช่วยอุ้มเหวินโม่ตัวน้อยมาให้นาง
ซูมู่เกือมองไปที่ใบหน้าที่ดูค่อนข้างดีขึ้นมากของเหวินโม่และยิ้ม “ท่านแม่ น้องชายของข้าเหมือนท่านจริงๆ”
รูปลักษณ์ของนางจ้าวค่อนข้างเรียบร้อย นอกเหนือจากการดูแลเอาใจใส่อย่างดีในปัจจุบันนางยังดูอ่อนกว่าวัยมาก
“ข้ามักจะดูตัวเองในกระจกและมักจะรู้สึกว่าตัวเองดูไม่เหมือนท่านแม่หรือท่านพ่อ บางทีคนแปลกหน้าจะไม่เชื่อว่าข้าเป็นลูกของท่าน”
“ปัง!”
ถ้วยกระเบื้องในมือของนางจ้าวตกลงที่พื้น ทําให้คนในห้องทั้งหมดตกใจ
ซูมู่เกือมองไปที่นางจ้าวที่ตกตะลึงและสงสัย “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่เจ้าค่ะ?”
นางจ้าวรู้สึกตัวและหันไปกอดเหวินโม่ตัวน้อย “ไม่มีอะไร มันเป็นเพียงแค่มือของข้าเท่านั้นเจ้าสบายดีหรือไม่?”
ซูมู่เกือมองไม่เห็นการแสดงออกของนางและคิดว่านางก็กลัวเช่นกัน จากนั้นนางก็พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าจะเจ็บง่ายขนาดนี้ได้ยังไง? ข้าไม่ได้บอบบางขนาดนั้น”
“ฮะ-ฮือ-โฮ…”
นางจ้าวอาจกอดเขาแน่นเกินไปหรือเขาอาจจะหิว เหวินโม่ตัวน้อยก็ร้องไห้ออกมา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางจ้าวก็วางทุกอย่างลงและอุ้มเหวินโม่ตัวน้อยขึ้นมาเพื่อปลอบเขาอย่างนุ่มนวล
ปกติหนูน้อยจะเงียบหลังจากที่นางจ้าวปลอบ แต่วันนี้เขาร้องไห้ตลอดเวลา ทําให้นางจ้าวทําอะไรไม่ถูก
“เด็กคนนี้เป็นอะไร? เขาไม่สบายหรือเปล่า?”
ขณะที่เหวินโม่ตัวน้อยยังคงร้องไห้ ซูมู่เกือพบว่าใบหน้าของเขาแดงและแขนขาเล็ก ๆ ของเขากําลังดิ้นรน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สบายอย่างมาก
“ท่านแม่ วางเขาลงก่อน ให้ข้าดูว่าเขาไม่สบายหรือไม่?”
นางจ้าวพยักหน้าซ้ํา ๆ และวางเหวินโม่ลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง
โดยไม่คาดคิดทันทีที่นางจ้าววางเขาลง เด็กชายตัวน้อยก็สํารอกนมออกมา
“ไม่เอ๋อ!” นางจ้าวประหลาดใจและหน้าซีด
ซูมู่เกือขมวดคิ้วและขอให้เหมยฮัวเช็ดนมที่สํารอกออก
หลังจากที่เหวินโม่สํารอกนมออกมาจนหมด ซูมู่เกือก็จับชีพจรของเขา
ซูมู่เกือแทบจะยังไม่ได้ปล่อยมือ เมื่อนางจ้าวถามอย่างรีบร้อน “เขาเป็นยังไงบ้าง? โม่ เอ๋อปวยหรือไม่?”
“ท่านแม่ ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ พิจารณาจากชีพจรของเขา เขามีอาการท้องอืด เขาอาจกินมากเกินไปและย่อยได้ไม่ดี”
เหวินโม่น้อยได้รับการเลี้ยงดูจากนางจ้าวและพี่เลี้ยงของเขามาโดยตลอด และจํานวนครั้งในการดื่มนมได้รับการกําหนดทุกวัน
“ไปเรียกพี่เลี้ยงมา”
“เจ้าค่ะ”
พี่เลี้ยงของเหวินโม่ตัวน้อยไม่ใช่คนก่อนหน้านี้ที่มาจากเมืองชุนหยาง แต่คือนางฟางที่พวกเขาจ้างหลังจากย้ายมาที่เมืองหลวง
นางฟางเป็นคนท้องถิ่นในเมืองหลวง แต่ครอบครัวของสามีไม่ได้ร่ํารวย นางจึงออกมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก นางมีหน้าที่ป้อนอาหารเด็กในตอนกลางวัน ส่วนนางจ้าวเลี้ยงเขาด้วยตัวเองในตอนกลางคืน
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเมื่อนางจ้าวเข้าร่วมงานชุมนุมล่าสัตว์(คัดลอกมาจากไทยโนเวล) นางฟางจึงมีหน้าที่เลี้ยงเหวินโม่ตัวน้อยทั้งกลางวันและกลางคืน
“คุณหนู พี่เลี้ยงมาแล้วเจ้าค่ะ”
นางอาจรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และรู้สึกประหม่าเกินไปที่จะพูดในตอนนี้
ซูมู่เกือนั่งบนเก้าอี้ ทิ้งถ้วยน้ําชาลงบนโต๊ะอย่างแรง
“ปัง!” นางฟางตกใจและตัวสั่น
“คุณหนู โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ข้าไม่รู้อะไรเลย…”
ซูมู่เก๋อยกมุมริมฝีปากของนางอย่างเย็นชา “งั้น เจ้าได้ทําอะไรบางอย่างลงไป?”
บทที่ 86 ต้องเป็นเลือดหัวใจของท่าน
“องค์ชายสองเสียเลือดมากเกินไปและต้องการเลือดของคนในครอบครัวเป็นยานําทางเพคะ”
นางสนมฉินกําผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือ “เพื่อช่วยคุนเอ๋อร์ข้าเต็มใจที่จะบริจาคชีวิตด้วยซ้ําไปนับป ระสาอะไรกับเลือด เจ้าต้องการเลือดเท่าไหร่?”
เมื่อเห็นการแสดงตัวของนางสนมฉินของมารดาผู้เปี่ยมด้วยความรักซูมู่เก่อเผยให้ เห็นร่องรอยของการประชุดในดวงตาของนางสงสัยว่านางจะพูดคําที่ยิ่งใหญ่ของนางต่อไปได้หรือไม่ภายหลังนี้
“พระสนมฉินโปรดมั่นใจ ข้าไม่ต้องการเลือดมาก หนึ่งชามก็พอแล้ว”
เมื่อได้ยินมัน สนมฉินก็หายใจออกอย่างลับๆ ชามเลือดไม่มากนัก นางยังสบายดีหลังจากเสียเลือดมากในช่วงที่มีระดูในทุกเดือน
“ตกลง เข้ามา นําถ้วยมา”
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยสัมผัสได้ถึงความรักของมารดาและบุตรชายคู่นี้ แม้ว่าเขาจะเป็นดาผู้ให้กําเนิดของเซียโฮวคุณ แต่เขาก็ไม่สามารถทําอะไรได้เนื่องจากสุขภาพที่ไม่ดี
ทันใดนั้น องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยมองไปที่สนมฉินด้วยความรู้สึกอ่อนโยนและปกป้อง
“อย่ากังวลใดๆ ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า”
นางสนมฉันมองไปที่องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยอย่างอ่อนโยนด้วยสายตาที่น่าเวทนาจริงๆ
เหล่านางกํานัลนําสิ่งของที่จําเป็นสําหรับการเจาะเลือดมาให้
“พระสนมฉิน โปรดถอดเสื้อคลุมของท่านออก”
ซูมู่เกือหยิบมีดผ่าตัดออกจากชุดเครื่องมือแพทย์ของนางและเริ่มฆ่าเชื้อ
“ถอดเสื้อคลุมทําไม? ทําไมต้องถอดเสื้อเพื่อเก็บเลือด?” นางสนมฉินงงงวย
ซูมู่เกือเดินมาหานางพร้อมกับมีดผ่าตัด คมมีดดูน่ากลัวมากภายใต้แสงเทียน
“โอ หม่อมข้าลืมบอกไปว่าหม่อมข้าต้องการเลือดจากหัวใจของท่านเพค่ะ พระสนมฉิน”
“เลือดหัวใจ!” นางสนมฉินแทบจะกระโดดขึ้นจากเก้าอี้
“เจ้าหมายความว่าเจ้าต้องการเอาเลือดหัวใจของข้า!?”
ซูมู่เกือพยักหน้าอย่างจริงจัง “เพคะ”
“เจ้า เจ้า”
“ พระสนมฉินโปรดมั่นใจเพค่ะ หม่อมข้าแค่ต้องเจาะมีดผ่าตัดเข้าไปในหัวใจของท่านและดึงเลือดออกมาพระองค์จะไม่เป็นอันตรายเพคะ”
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยต้องการที่จะเข้าใจกลอุบายของซูมู่เก๋อ อย่างไรก็ตาม ใบหน้าที่ซีดเล็กน้อยของนางนั้นดูจริงจังมาก “เลือดหัวใจเท่านั้นที่ทําได้หรือ?”
“ฝ่าบาท มีเพียงเลือดหัวใจเท่านั้นที่จะทําให้ดีที่สุดเพคะ”
หลังจากคําพูดของนางออกมาก็มีความเงียบแปลก ๆ ในห้อง
แม้ว่านางสนมฉินจะไม่เข้าใจยา แต่นางก็รู้ถึงความสําคัญอย่างยิ่งของหัวใจที่มีต่อบุคคล ถ้าซูมู่เก๋อทําผิดพลาดนางคงจะตาย!
แม้ว่าซูมู่เกือจะต้องรับผิดชอบในภายหลัง แต่ก็ไร้ผลหากนางตาย!
แต่นางได้สัญญาไว้แล้วในตอนนี้ จึงไม่มีทางกลับคําได้เลย
เมื่อเห็นสนมฉินนั่งตัวแข็ง ซูมู่เก่อรู้ว่านางกลัว
นางกลัวแล้วหรือยังไง? มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น!
“ถ้าพระองค์กลัว พระสนมข้า หม่อมข้าต้องหาทางอื่น แต่หม่อมข้าไม่รู้ว่าองค์ชายสอง จะอดทนได้นานแค่ไหนก่อนที่จะเลือดไหลจนตาย…”
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยมองไปที่เชี่ยโฮวคุณที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง “เจ้ามั่นใจได้หรือไม่ว่าการเจาะเลือดจะประสบความสําเร็จ”
ซูมู่เกือโค้งคํานับเล็กน้อย “ฝ่าบาท อัตราความสําเร็จคือ 70%”
กล่าวคือมีความไม่แน่นอน 30%!
นางสนมฉินจ้องมองซูมู่เก้ออย่างลับๆ สัญชาตญาณของนางบอกนางว่าซูมู่เก้อต้องตั้งใจ!
“ดี! มาเลย!” หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเซียโฮวคุณ นางจะไม่มีจุดจบที่ดีหากไม่มีลูกชายอยู่เคียงข้างหลังจากการตายขององค์จักรพรรดิเชี่ยโฮวรุย ดังนั้นนางจึงอยากเดิมพันครั้งนี้
เมื่อมองไปที่รูปลักษณ์ที่ชัดเจนของนางสนมฉิน ซูมู่เก่อรู้ว่านางตั้งใจจริง “โปรดยกโทษให้กับความผิดของข้าด้วย เพคะ”
ซูมู่เก่อนําโซฟาไม้ไผ่เข้ามาในห้องและขอให้นางสนมฉินนอนลงและถอดเสื้อคลุมของนางจากนั้นซูมู่เกือกมัดแขนขาของนางด้วยเชือก
นางสนมฉันตื่นตระหนก ความรู้สึกของการถูกควบคุมทําให้นางตื่นตระหนก!
“เจ้ากําลังทําอะไร?”
“ พระสนมฉิน หม่อมข้าเกรงว่าพระองค์อาจดิ้นรนระหว่างการผ่าตัดและทําร้ายตัวเองเพคะ”
องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุย ขอให้คนอื่นถอยออกไป
ซูมู่เก๋อหยิบมีดผ่าตัด มองไปที่นางสนมฉินจากด้านบนและฆ่าเชื้อหน้าอกของนางด้วยผ้าฝ้ายฆ่าเชื้อ
“อย่าประหม่าเพค่ะ มันอาจจะเจ็บเล็กน้อย สักประเดี๋ยว มันจะปกติ”
*อา!”
ก่อนที่ซูมู่เกือจะพูดจบ นางสนมฉันก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอกของนางจนอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
ซูมู่เกือยัดสําลีเข้าไปในปากของนางทันที
นางแอบใช้ยาสลบเพียงเล็กน้อยกับนางสนมฉิน
“อืม อื่ม…”
นางสนมฉินแทบจะหมดความเจ็บปวด แต่นางไม่สามารถแม้แต่จะส่งเสียงใดโดยที่ปากของนางถูกปิดกั้นได้
แม้ว่าองค์จักรพรรดิเชี่ยโฮวรุย จะได้เห็นการเสียชีวิตมากมาย แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจที่คอของเขาแห้งเล็กน้อยขณะมองไปที่หน้าอกของสนมฉินที่ถูกเจาะ
ซูมู่เกือแทงมีดผ่าตัดเข้าไปในกระดูกอกของสนมฉินอย่างแม่นยํา เมื่อใบมีดที่แหลมคมชนเข้ากับกระดูกของนางมันเจ็บปวดอย่างแท้จริงโดยไม่ต้องดมยาสลบ
“เอ๊ะ! อา!” ในไม่ช้านางสนมฉินก็เริ่มตัวสั่น
เมื่อซูมู่เก๋อหยิบมีดผ่าตัดออกมา นางสนมฉินก็กลอกตาไปมาด้วยความเจ็บปวด
ซูมู่เกือวางชามลงเพื่อเก็บเลือดของนาง
หลังจากชามเต็มไปด้วยเลือด นางก็ค่อยๆพันแผล
“พระสนมฉินได้ทําการเสียสละเพื่อองค์ชายสอง ข้ารู้สึกประทับใจพระองค์มาก”
องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยกระตุกตาของเขา รู้สึกได้ถึงคําพูดของซูมู่เก๋อที่ประชดประชันอย่างแรง
ซูมู่เกื้อกลับไปที่เตียงของเซียโฮวคุณ นางหายใจเข้าลึก ๆ และวางฝ่ามือของนางลงบนบาดแผลที่มีเลือดออกของเซี่ยโฮวคุณ
ชั่วระยะเวลาหนึ่ง นางรู้สึกได้ถึงความร้อนและพลังงานอย่างต่อเนื่องจากฝ่ามือของนางหลังจากเลือดเกือบหยุดแล้วนางก็กัดฟันและถอนมือออกอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองไปที่บาดแผลของเซี่ยโฮวคุณ นางพบว่าเลือดส่วนใหญ่หยุดแล้ว
ซูมู่เกือทําความสะอาดบาดแผลให้สะอาดและพันผ้าพันแผล
เมื่อเห็นซูมู่เก๋อหยุดการเคลื่อนไหวของนาง องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย ก็รีบถามว่า “เจ้าหยุดเลือดขององค์ชายสองแล้วหรือ?”
“ฝ่าบาท ส่วนใหญ่เลือดหยุดไหลแล้วเพค่ะ ตราบใดที่องค์ชายอยู่นิ่ง ๆ ก็จะไม่มีปัญหาใหญ่แต่องค์ชายสองเสียเลือดมากเกินไป และยังไม่ผ่านช่วงอันตราย ดังนั้นหม่อมข้าจึงต้องทําใบสั่งยาโดยมีชามเลือดนี้เป็นยานําทางสําหรับองค์ชาย หลังจากกินยาแล้วเขาจะฟื้นขึ้นมาได้”
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยพยักหน้า “ได้ รีบไปเตรียมยาให้พร้อม
”เพคะ”
ซูมู่เกือเก็บชุดเครื่องมือแพทย์ของนางและนําชามเลือดออกจากตําหนักจิงอัน
ในอีกด้านหนึ่ง เซี่ยโฮวโม่ยังคงดูแลกิจการในค่ายทหารรักษาการณ์ของจักรวรรดิ
“ฝ่าบาท เราพบสิ่งนี้ในท้องของหมีดํา”
ตงหลินวางถุงผ้าที่เปียกและเหนียวลงบนโต๊ะแล้วเปิดออก
โจวนิ้วและโจวเหว่ย ทั้งคู่ก้าวขึ้นมาเพื่อดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น “นี่คืออะไร?”
ตงหลินเลิกคิ้ว “มันเป็นยาที่ค้นพบในกระเพาะของหมีดํา หมอกุยหม่ากล่าวว่ายานี้จะ ทําให้สัตว์ร้ายตื่นเต้นและทําให้พวกมันกลายเป็นสัตว์ที่น่ากลัวนอกจากนี้ ไม่มีร่องรอยของหัวแร้งบนหมีดําสองตัวพะย่ะค่ะ”
หลังจากที่เซี่ยโฮวโม่เข้ารับตําแหน่งองครักษ์ของจักรพรรดิ เขาได้รับคําสั่งให้ทําเครื่องหมายสัตว์ร้ายทุกตัวในสนามล่าสัตว์ด้วยหัวแร้งที่ตัวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุดังกล่าว แต่งานนี้แอบทําลับๆ มีไม่กี่คนที่รู้
โจวคิ้วขมวดคิ้วและก้าวถอยหลัง “ฝ่าบาท มันต้องเป็นการสมรู้ร่วมคิด ถ้าไม่ใช่เพื่อการปรากฏตัวขององค์ชายสองในเวลาที่เหมาะสมเช่นนั้น อุ้งเท้าหมีดําจะตกอยู่กับองค์จักรพรรดิ
เซี่ยโฮวโม่ทําให้ตาของเขามืดลง “ใครติดตามองค์ชายสองหลังจากแยกย้าย กันไปในป่าในตอนนั้น?”
โจวเหว่ยกล่าวว่า “มันคือหลินซานพะยะค่ะ เขาบอกว่าเขาอยู่กับองค์ชายสองเสมอในเวลานั้นและเขาพบว่าองค์ชายสองค่อนข้างแปลกและดูเหมือนจะอยู่ในความคิดลึก ๆ เมื่อพวกเขาต้องเข้าไปในปาลึกทันใดนั้นองค์ชายสองก็หันหลังกลับและควบม้าหนีไป”
จู่ๆ ตงหลินก็มีเงื่อนงําแวบเข้ามาในสมอง “ฝ่าบาท อาจเป็นองค์ชายสองหรือไม่…”
เซี่ยโฮวโม่เคาะโต๊ะด้วยปลายนิ้ว “การฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว เขาโหดร้ายกับตัวเองมาก!
โจวจิ๋วยังไม่คิดออก “ตงหลิน องค์ชายรัชทายาทหมายความว่าอย่างไร?”
ตงหลินเหลือบมองเขา “มันมีความหมายอื่นอีกหรือพะย่ะค่ะ? มีคนแสดงละครที่กํากับตนเองและลงมือทําเอง!”
ในที่สุดโจวซิ่วก็เข้าใจและประหลาดใจกับการเสียสละครั้งใหญ่ เขายังอยู่ในเวลานั้นและได้เห็นเบื้องหลังที่อาบไปด้วยเลือดขององค์ชายสอง ถ้าหมีดําฆ่าเขาโดยตรงด้วยอุ้งเท้าของมัน ความพยายามอย่างมากของเขาก็จะไร้ผล!
“ฝ่าบาท เราจะทําอย่างไรดี?”
“ไม่มีอันใด ข้าส่งจดหมายสารภาพผิดไปแล้ว”
ตงหลินขมวดคิ้ว “ฝ่าบาท เห็นได้ชัดว่า…”
เชี่ยโฮวโม่ยืนขึ้นและมองไปที่ความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุดนอกหน้าต่าง “ตอนนี้ เสด็ดพ่อเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าเชียโฮวคุณปกป้องพระองค์โดยการเสี่ยงชีวิตของตัวเอง ถ้าข้าพูดอะไรกับพระองค์ในตอนนี้ เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อจะเชื่อข้าหรือไม่?”
องค์จักรพรรดิจะยืนยันอย่างแน่นอนว่าองค์ชายของเขากําลังปัดความรับผิดชอบและโกรธแค้
ในความเป็นจริง ตงหลินรู้สึกสับสนเล็กน้อย ในอดีตเขามักจะรู้สึกว่ามีความรักใค ร่ของพ่อและลูกระหว่างองค์ชายเก้ากับองค์จักรพรรดิแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับคนในบังคับของเขา
ในลานสําหรับแขกของบ้านพักของจักรวรรดิ
หลี่มาม่าเดินเข้าไปในห้องของนางอันด้วยความรีบร้อน
“ฮูหยิน หลี่มาม่ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ” รูบี้ยกม่านขึ้นแล้วกระซิบ
นางอันนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างครุ่นคิด เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางก็เงยหน้าขึ้นและปล่อยให้หลี่มาม่าเข้ามา
รูบี้ถอยหลังเมื่อเห็นว่าพวกเขามีอะไรจะพูด
“เป็นยังไงบ้าง?” ถามด้วยเสียงต่ํา
“ว่ากันว่าจู่ๆ จักรพรรดิก็สั่งให้ส่งองค์หญิงแปดกลับวังหลวงเมื่อคืนนี้เจ้าค่ะ สําหรับเห ตุผลนั้นข้าคิดไม่ออก” เพื่อให้ได้ข่าวนี้ หลี่มาม่าได้ใช้เงินจํานวนมากและในที่สุดก็ได้รู้เรื่องราวจากสาวใช้
“องค์หญิงแปดจะถูกส่งกลับวังโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร?” ใบหน้าของนางอันเปลี่ยนเป็นซีดนางรู้สึกหวาดหวันในใจ กลัวว่าอุบัติเหตุจะนําหายนะมาสู่นาง
“แล้วสนมฉันล่ะ? มีข่าวเกี่ยวกับนางหรือไม่?”
“โอ้ นายหญิงข้าจะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไรและได้รับข้อมูลเกี่ยวกับพระสนมฉิน?” ใน บ้านพักจักรวรรดิที่ได้รับการดูแลอย่างดี นางจะถูกจ้องมอง แม้ว่านางจะก้าวไปอีกขั้นก็ตาม
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ นายหญิง มันไม่มีผลอะไรกับท่าน หากท่านถูกสอบปากคําก็ แค่ยืนยันว่าท่านไม่รู้”
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “อย่างไรแม่ลูกสารเลวสองตัวนั้นจะโชคดีขนาดนี้ได้ยังไง?”
ตอนนี้ซูมู่เกือปรากฏตัวต่อหน้าองค์จักรพรรดิ ทําให้นางอันยากยิ่งขึ้นที่จะทําลายนางอีกครั้ง
นางคิดว่านางสามารถทําลายพวกมันได้ด้วยมือของสนมฉินในครั้งนี้ โดยไม่คาดคิด สนมฉินก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน!
บทที่ 85 การตอบโต้
ซูมู่เก่อเดินตามนางกํานัลในตําหนักไปตามทางเดินที่มีโคมไฟส่องสว่าง พระ ตําหนักจิงอันเป็นขององค์จักรพรรดิเป็นไปได้ไหมที่องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุย ไม่สบายอีกครั้ง?
“พี่สาว ข้าสงสัยว่าทําไมองค์จักรพรรดิทรงมีรับสั่งให้ข้ามาในเวลานี้เจ้าค่ะ เกิดอะไรขึ้นกับพระองค์หรือไม่?” ในขณะที่พูดซูมู่เก๋อยัดเงินในกระเป๋าใส่มือของนางกํานัล
เมื่อเห็นเช่นนี้ นางกํานัลจึงตอบซูมู่เกืออย่างยิ้มแย้ม “คุณหนูซู องค์ชายสองได้รับบาดเจ็บจากการปกป้ององค์จักรพรรดิ และองค์จักรพรรดิทรงเป็นกังวลมาก แต่องค์ชายสองได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมอหลวงไม่สามารถทําอะไรกับมันได้ องค์จักรพรรดิได้ยินว่าท่านกลับมาอย่างปลอดภัยและรับสั่งให้เรียกท่านมาให้ความช่วยเหลือ”
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย ตั้งใจจะให้นางช่วยเชียโฮวคุณ!
บ้าเอ้ย!
องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินเกือบจะฆ่านาง และตอนนี้นางถูกขอให้รักษาเชี่ยโฮวคุณ พวกเขาคิดว่านางเป็นคนที่ทําอะไรได้ทุกอย่างหรือ!?
นางกํานัลพาซูมู่เกือไปที่พระราชวังจิงอันและขันที่คนหนึ่งก้าวเข้ามาหาเพื่อนํานางเข้าไป
“ฝ่าบาท คุณหนูซูมาถึงแล้วพะย่ะค่ะ”
“รีบให้นางเข้ามา!” องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย กล่าวด้วยเสียงแหบ
ซูมู่เก่อเดินเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนที่องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยจะเปิดปาก ซูมู่เกือกคุกเข่าลงและด้วยความโกรธและสะอื้น “ฝ่าบาท โปรดทรงให้ความยุติธรรมแก่หม่อมฉันด้วยเพค่ะ!”
องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยที่กําลังจะพูดก็รู้สึกสับสนกับซูมู่เก้อ
เขาได้ยินจากวันที่อีว่านางได้พบกับสัตว์ร้ายในสนามล่าสัตว์ของผู้หญิง เขาจึงคิดว่านางน่าจะหวาดกลัว
ความวิตกกังวลเดิมขององค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยได้รับการบรรเทาลงโดยซูมู่เก้อ “เจ้ากําลังทําอะไร? เจ้าต้องการให้ข้าทําเพื่อความยุติธรรมอะไร?”
ซูมู่เกือคุกเข่าบนพื้นและตอบกลับด้วยเสียงสะอื้น แต่ดังก้อง “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่มีความแค้นกับองค์หญิงแปด แต่ไม่รู้ว่าทําไมองค์หญิงถึงต้องการฆ่าหม่อมฉันเพค่ะ หม่อมฉันไปล่าสัตว์ในสนามล่าสัตว์ตามคําเชิญขององค์หญิงแปด อย่างไรก็ตามองค์หญิงแปดแทงม้าของหม่อมฉันและทิ้งหม่อมฉันไว้ในสนามล่าสัตว์ หลังจากนั้น จู่ๆ ก็มีผู้ชายกลุ่มหนึ่งโผล่เข้ามาในปาและจับตัวหม่อมข้าไป ถ้าไม่ได้ราชาแห่งจิน หม่อมฉันคงตายไปแล้วเพคะ”
พระราชวังจิงอันเงียบสงบอย่างมากเสียงร้องของซูมู่เก๋อจึงดังก้อง
องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยใบหน้ามืดลง เต็มไปด้วยความโกรธ
“ซูมู่เก่อเจ้ากําลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร? กล้าใส่ร้ายข้าต่อหน้าเสด็จพ่อได้ยังไง! กล้าดียังไง?!” องค์หญิงเซียโฮวหยินรีบเข้ามาจากด้านนอกและตําหนิซูมู่เกือด้วยความโกรธ
“เสด็จพ่ออย่าฟังเรื่องไร้สาระของนาง ทําไมหม่อมฉันถึงต้องทําร้ายนางโดยไม่มีเหตุผล?”
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยกล่าวด้วยการแสดงออกที่คลุมเครือ “ทําไมนางถึงใส่ร้ายเจ้าโดยไม่มีเหตุผล?”
องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินมองไปที่องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยด้วยความตกใจ “หม่อมฉัน…บางทีนางอาจจะมีเรื่องไม่พอใจกับหม่อมฉันมาก่อน นางก็เลยล้อมกรอบหม่อมฉันไว้”
องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ และมองไปที่ซูมู่เกือ “ซูมู่เกือ เจ้าพูดว่าองค์หญิงแปดทําร้ายเจ้า เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”
“ใช่แล้ว เจ้าบอกว่าข้าทําร้ายเจ้า เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?” องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินกลอกตาของนาง นางปล่อยคนเหล่านั้นออกไปทันที และซูมู่เก๋อก็ไม่มีทางจับพวกเขากลับมาได้!
“ฝ่าบาท ราชาแห่งจินส่งข้อความมาว่ามีชายน่าสงสัยสองสามคนถูกจับได้นอกบ้านพักพะย่ะค่ะ ชายเหล่านั้นอ้างว่าเป็นผู้ติดตามขององค์หญิงแปด”
“องค์หญิงแปด?” องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยถามด้วยเสียงต่ํา
” พะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ องค์หญิงเซียโฮวหยินก็รู้สึกกังวลขึ้นมาทันที มันบังเอิญขนาดนี้ได้ยังไง?นางปล่อยชายเหล่านั้นทิ้งไปแล้ว พวกเขามาที่บ้านพักอีกครั้งได้อย่างไร!?
ซูมู่เกือคุกเข่าบนพื้นถึงงงวยเช่นกัน ฝนตกพอดีจริงๆ
“นําตัวพวกเขามาหาข้า”
” พะย่ะค่ะ”
ไม่กี่อึดใจ ชายหนุ่มหลายคนถูกพาเข้าไปในตําหนัก
ด้วยความกลัวอย่างมากบนใบหน้าพวกเขา พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นซูมู่เกือที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นสักพักแล้ว แต่เมื่อเห็นองค์หญิงเซี่ยโฮวหยินยืนอยู่ข้างๆ พวกเขาก็ร้องไห้และขอร้อง “องค์หญิงแปดช่วยด้วย ช่วยเราด้วย…”
ร่องรอยของความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นทั่วใบหน้าขององค์หญิงเซี่ยโฮวหยิน “เจ้าเป็นใคร? ข้าไม่รู้จักเจ้า!”
“คุกเข่า!” ทหารองครักษ์กดพวกเขาให้คุกเข่าลงบนพื้น
องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยลุกขึ้นยืนด้วยมือของเขาที่ด้านหลังและมองดูพวกเขาจากความสูงส่ง
“เจ้าเป็นใคร?”
เมื่อเห็นเสื้อคลุมมังกรบนร่างองค์จักรพรรดิเชียโฮวรุย คนเหล่านี้กลัวมากจนไม่กล้าพูดพวกเขาตัวสั่นและบางคนก็ขี้ขลาดตาขาวมากจนถึงกับร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ฝ่าบาท โปรดไว้ชีวิตของเราด้วยพะย่ะค่ะ เราไม่รู้อะไรเลยจริงๆ”
องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินกลัวว่าพวกเขาจะเปิดเผยการกระทําของนางและรีบขัดจังหวะเขา “องค์จักรพรรดิกําลังถามว่าเจ้าเป็นใคร? และทําไมเจ้าถึงปรากฏตัวนอกบ้านพัก!”
เมื่อได้ยินคําพูดขององค์หญิงเซี่ยโฮวหยิน พวกเขาก็กลับมามีสติ
“ฝ่าบาท พวกกระหม่อมมาจากเมืองหลวง เมื่อไม่นานมานี้พวกกระหม่อมได้ยินมาว่าฝ่าบาทกําลังจะออกล่าสัตว์ที่ทุ่งล่าสัตว์แห่งนี้ พวกกระหม่อมชื่นชมฝ่าบาทมาโดยตลอดจนกระตือรือร้นที่จะแอบดูพระพักอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ นอกบ้านพักพะย่ะค่ะ หากพวกกระหม่อมทําให้พระองค์ทรงขุ่นเคือง พวกกระหม่อมขอประทานการอภัยจากพระองค์ด้วยพะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นว่าปฏิกิริยาของพวกเขาค่อนข้างรวดเร็ว องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินก็ถอนหายใจออกมาอ ย่างโล่งอก ซูมู่เกือ เจ้าไม่มีทางลากข้าลงได้
หลังจากที่หนึ่งในนั้นกล่าวคําอธิบาย คนอื่น ๆ ก็จะสะท้อนกับเขาอย่างแน่นอน “พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมยอมรับผิดแล้ว โปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วยเทอญ ฝ่าบาท”
ซูมู่เกือที่ก้มศีรษะลงและคุกเข่าข้าง ๆ เผยให้เห็นการเยาะเย้ยที่มุมริมฝีปากของนาง
การตอบสนองของพวกเขารวดเร็ว แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะปล่อยไป!
เมื่อนางมองขึ้นไป นางก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “เจ้า เจ้า มันคือพวกเจ้า! ช่วยด้วยฝ่าบาทช่วยด้วย! ”
ซูมู่เกื้อหนีออกไปและเดินไปหาองค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยด้วยสีหน้าหวาดกลัว ความห วาดวิตกอย่างมากของนางช่างดูเหมือนจริง
ชายหนุ่มเหล่านั้นตกตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อเห็นการปรากฏตัวของซูมู่เกือ พวกเขาทุกค นต่างหวาดกลัวแทบตาย
“ผี! ผี!”
โถงทั้งโถงกลับวุ่นวาย
หน้าผากขององค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยกลายเป็นเส้นเลือด
ขันทีอีเลิกคิ้ว “อวดดี! จับผู้กระทําความผิดเหล่านี้!”
ทันใดนั้น ทหารองครักษ์ก็เข้ามาเพื่อจับคนเหล่านั้น
“ฝ่าบาท นี่แหละพวกนั้นแหละที่จับหม่อมฉันเข้าไปในป่าและตั้งใจจะผลักหม่อมฉันตกหน้าผาเพื่อฆ่าหม่อมฉันเพค่ะ!” ซูมู่เกือชี้ไปที่ชายเหล่านั้นด้วยดวงตาสีแดง
ชายหลายคนตระหนักว่าซูมู่เก๋อยังมีชีวิตอยู่และต้องการโต้แย้ง แต่เซียโฮวรุยไม่ได้ตั้งใจจะให้โอกาสนี้แก่พวกเขา
“พาพวกเขาไปที่จิงจ้าวหยิน ข้าเชื่อว่าเขารู้ว่าต้องทําอะไร!”
” พะย่ะคะ”
“ฝ่าบาท โปรดไว้ชีวิตเราด้วย! ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเราด้วย!”
องครักษ์ของจักรวรรดิปิดปากด้วยผ้าขี้ริ้วและลากพวกเขาออกไป
องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินยืนอยู่ที่นั่นอย่างอับอาย “เสด็จพ่อ หม่อมฉันจะไปพบพี่สอง”
“เดี๋ยว!”
ใบหน้าขององค์หญิงเซี่ยโฮวหยินเปลี่ยนเป็นซีดเผือด “เสด็จพ่อ…”
องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยหรี่ตาลงอย่างเคร่งเครียด
“เข้ามา! ส่งองค์หญิงแปดกลับตําหนักทันที โดยไม่ได้รับอนุญาตจากข้า นางไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากตําหนักของนาง!”
องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินคุกเข่าลงพื้น
“เสด็จพ่อ ทําไม? ข้าทําผิดอะไร?”
“เจ้ารู้ดีกว่าข้าไม่ใช่หรือ?”
นางกํานัลสองนางเดินเข้ามาและพยุงตัวเชียโฮวหยินออกไป เมื่อพวกเขากําลังจะออกไปจากตําหนัก เซี่ยโฮวหยินก็หันกลับมาและจ้องมองซูมู่เก้ออย่างประสงค์ร้าย
ซูมู่เก้อ มารอดูกัน!
ซูมู่เกือไม่พอใจอย่างมากกับการลงโทษที่ผิวเผินขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย แม้ว่านางจะรู้ว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยจะลงโทษองค์หญิงเซี่ยโฮวหยินอย่างรุนแรง
“ขอบพระทัยฝ่าบาทสําหรับการผดุงความยุติธรรมให้หม่อมฉันเพคะ”
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย ตะคอกเบา ๆ “ตอนนี้เจ้าเข้าไปรักษาองค์ชายสองได้แล้วหรือไม่?”
ซูมู่เก่อเช็ดน้ําตาที่หางตาของนางด้วยผ้าเช็ดหน้า คิดว่าการแสดงนั้นเหนื่อยมาก
นางเดินเข้าไปในห้องด้านในพร้อมกับองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยและเห็นสนมฉินนั่งอยู่หน้า เตียงด้วยดวงตาสีแดงและน้ําตานอง
เห็นได้ชัดว่านางได้ยินการเคลื่อนไหวข้างนอกในตอนนี้ แต่นางไม่ได้ออกไปอ้อนวอนแทนองค์หญิงเซี่ยโฮวหยิน มันหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่านางรู้เรื่องนี้หรือนางสั่งให้เซี่ยโฮวหยินทํา!
นางเห็นได้ชัดว่าองค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยจะไม่ทําอะไรกับองค์หญิงเซี่ยโฮวหยินเพราะลูกสาวของขุนนาง นางจึงแสร้งทําเป็นไม่รู้และอยู่เคียงข้างเชียโฮวคุณ
“ฝ่าบาท..”
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยเดินไปจับมือนางและกอดนางไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างแผ่วเบา
“ไม่ต้องเสียใจ ข้าจะไม่ปล่อยให้อะไรเกิดขึ้นกับคุนเอ๋อ ซูมู่เกือ ไปตรวจรักษาองค์ชายสอง”
“เพค่ะ”
ซูมู่เกือเดินไปที่เตียง เซี่ยโฮวคุณนอนคว่ําอยู่บนเตียงห่อด้วยผ้าพันแผล แต่ในเวลานี้ผ้าชุ่มไปด้วยเลือดแล้ว
“หมอหลวงไม่สามารถห้ามเลือดขององค์ชายสองได้ เจ้าช่วยได้หรือไม่?”
ซูมู่เก้อขอให้นําชุดเครื่องมือแพทย์มาให้นางและตัดผ้าพันแผลที่ตัวของเซี่ยโฮ วคุณด้วยกรรไกรฆ่าเชื้อ
ทันใดนั้น กลิ่นเลือดผสมกับความร้อนและยาก็พุ่งเข้าจมูกของนาง
แพทย์ของจักรพรรดิได้ให้ยาเชี่ยโฮวคุณแต่ก็ไม่ได้ผล เขายังคงตกเลือด
บาดแผลของเซี่ยโฮวคุณปกคลุมไปเกือบครึ่งหลังของเขา กระดูกสะบักขวาของเขาเกือบจะมองเห็นได้
ต้องเย็บแผลดังกล่าว มิฉะนั้นจะรักษาได้ยาก
สาเหตุที่ทําให้เลือดไหลไม่หยุดอาจเป็นเพราะเส้นเลือดใหญ่ของเขาได้รับบาดเจ็บ
เมื่อเห็นซูมู่เกือยืนอยู่ที่นั่นและไม่ทําอะไร นางสนมฉินก็กลัวว่านางไม่เต็มใจที่จะรักษาองค์ชายสอง แม้ว่านางจะรักษาเขาได้ เพราะความเกลียดชัง!
“คุณหนูซู ข้าได้ยินมาว่าแม่ของเจ้าก็ตกใจกลัวอยู่ในปา ข้าสงสัยว่าตอนนี้นางเป็นยังไงบ้าง?”
ซูมู่เกือ หยุดชั่วคราวและตอบด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ขอบพระทัยสําหรับความห่วงใจต่อมารดาหม่อมฉันเพค่ะ พระสนม มารดาหม่อมฉันไม่เป็นไร”
“ดีแล้ว มันอันตรายมาก คราวหน้าต้องระวังนะ เจ้าอาจไม่โชคดีอย่างนี้ ถ้าเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ขึ้นอีก”
ทันใดนั้น ซูมู่เก๋อก็กํากรรไกรในมือแน่น นางสนมฉันกําลังข่มขู่นาง!
ฉะนั้นอุบัติเหตุของนางจ้าวที่เกี่ยวข้องกับนางเช่นกัน!
ซูมู่เกือหายใจเข้าลึก ๆ และทําให้ความโกรธในใจของนางสงบลง “พระสนมเพค่ะ พระองค์พูดถูก”
นางสนมฉันคิดว่าซูมู่เกือเข้าใจแล้วว่านางหมายถึงอะไร และหยุดพูด
“ซูมู่เก๋อ เจ้ารักษาองค์ชายสองได้หรือไม่?” องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยถามอีกครั้ง
ซูมู่เก่อเหลือบมองไปที่บาดแผลที่หลังของเซี่ยโฮวคุน แม้ว่าบาดแผลนี้จะดูน่ากลัว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสําหรับนาง
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเต็มใจที่จะลองดู แต่..”
องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยขมวดคิ้ว “แต่อะไร?”
“แต่หม่อมฉันต้องการบางสิ่งจากพระสนมฉิน เพคะ”
นางสนมฉินขมวดคิ้ว ” อะไรที่เจ้าต้องการ?”
“องค์ชายองค์สองได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียเลือดมากเกินไป หากเขาตกเลือดเช่นนี้ เขาอาจได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ พระสนมฉินเพค่ะ พระองค์เป็นมารดาที่เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดทางสายเลือดขององค์ชายสอง ดังนั้นหม่อมฉันจึงต้องการเลือดของพระองค์เพคะ”
“อะไรนะ?”
บทที่ 84 ข้าไม่รู้จักท่าน
ซูมู่เก้อรู้สึกหนาวราวกับว่านางถูกโยนลงไปในน้ําแข็งและหิมะและตัวสั่นเทา
“หนาว หนาวมาก…”
เซี่ยโฮวโม่มองไปที่เด็กผู้หญิงตัวผอมที่ตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนของเขาและค่อยๆเอื้อมมือไปกอดนาง
“อืม..”
เมื่อรู้สึกถึงอุณหภูมิที่อบอุ่นของเซี่ยโฮวโม่ซูมู่เกือก็ยิ้มฮัมอย่างสบายๆและอยู่ในอ้อม แขนของเขาด้วยท่าทางที่สบาย
เชี่ยโฮวโม่วางฝ่ามือหนาลงบนไหล่บางของนางเบาๆเมื่อสัมผัสนางเขารู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตและกอดนางไว้ในอ้อมแขนของเขาแน่นขึ้น
ช่วงเวลาที่ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางกดเข้ากับหน้าอกของเขา เขารู้สึกได้ถึงกระแสน้ําอุ่นที่ไหลเข้าสู่หัวใจของเขา
มันรู้สึกดีถ้าเขาจะกอดนางไว้แบบนี้ตลอดไป
ซูมู่เกือรู้สึกขมเล็กน้อยในปากและขมวดคิ้วอย่างอึดอัดนางฟื้นคืนสติอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“ดูสิ นางตื่นแล้ว”
“ดี!”
ซูมู่เกือค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความเจ็บปวดที่จุดระหว่างนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของนาง
เมื่อลืมตาขึ้น นางก็เห็นใบหน้าที่เย็นชาและหล่อเหลาของเซี่ยโฮวโม่ “ฝ่าบาท”
เมื่อเห็นนางตื่นขึ้น เซี่ยโฮวโม่ก็ขยับคิ้ว “เจ้าฟื้นแล้ว”
ซูมู่เกือลุกขึ้นนั่งด้วยการสนับสนุนจากมือของนางและทันทีที่เห็นกุยหม่าพร้อมกับรอยยิ้มที่เข้าใจยาก “เจ้าโชคดีนะ ถ้าข้าไม่ช่วยเจ้าทันเวลา เจ้าก็คงตายไปแล้ว”
ซูมู่เกื้อตะลึงงันไปชั่วขณะและแสดงความขอบคุณทันที่ราวกับว่านางไม่รู้จักเขา “ขอบคุณสําหรับความช่วยเหลือของท่าน”
กุยหม่าหัวเราะ “ไม่จําเป็นต้องขอบคุณข้า ข้าจะให้เจ้าชดใช้คืนข้าแน่พิษในร่างกายของเจ้าได้รับการล้างพิษพื้นฐานแล้ว ทานยาขับพิษต่อไปอีกอย่างน้อยสามวัน เพื่อขับพิษที่เหลือออกให้หมด”
หลังจากที่นางรู้สึกตัว ซูมู่เก๋อก็นึกบางอย่างขึ้นมาทันทีและยกผ้าห่มขึ้นเพื่อลุกจากเตียง
เซี่ยโฮวโม่ขมวดคิ้ว “เจ้ากําลังจะไปไหน?”
“ท่านแม่ ข้าจะไปตามหาท่านแม่”
“ข้าส่งคนไปตามหานางแล้ว ถ้าจะเกิดอะไรขึ้น มันก็เกิดขึ้นแล้วมันสายไปแล้วสําหรับเจ้าที่จะไปตอนนี้”
เมื่อนึกถึงคําพูดขององค์หญิงแปดในสนามล่าสัตว์ซูมู่เก๋อก็ดูเศร้าหมองยิ่งขึ้น
“ฝ่าบาท เราพบนางแล้วพะย่ะค่ะ”ตงหลินเข้ามาในห้องและกระซิบรายงาน
เชี่ยโฮวโม่พยักหน้าด้วยท่าทางเย็นชา “แม่ของเจ้าถูกพบแล้วไม่ต้องกังวล”
เมื่อรู้ว่านางจ้าวสบายดี ซูมู่เกือก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
“องค์หญิงแปดบอกว่าเจ้าถูกสัตว์ร้ายโจมตีในสนามล่าสัตว์เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อนึกถึงฉากนั้น ซูมู่เกือไม่สามารถระงับความโกรธของนางได้ “ตอนนั้นข้าเข้าไปในสนามล่าสัตว์กับองค์หญิงแปด.” นางอธิบายสถานการณ์สั้น ๆ ยิ่งเชี่ยโฮวโม่ได้ยินมากเท่าไหร่เขาก็กลายเป็นคนบึงตึง
องค์หญิงเซี่ยโฮวหยิน เจ้ากล้าดียังไง?!
“อย่างไรก็ตาม ข้าไม่คิดว่าคนที่วางยาข้าคือองค์หญิงแปด” ด้วยความคิดที่หลากหลายในใจของนางซูมู่เก๋อจึงลังเลว่าจะบอกเซี่ยโฮวโม่ถึงคนที่นางได้พบหรือไม่
เมื่อมองไปที่ท่าทางที่รอบคอบของนาง เซี่ยโฮวโม่รู้ว่านางต้องปกปิดอะไรบางอย่างจากเขา
“มันเป็นใคร?”
อย่างไรก็ตาม นางอยู่บนเรือลําเดียวกันกับเซี่ยโฮวโม่ ดังนั้นจึงไม่จําเป็นต้องซ่อนตัวจากเขา “ชายคนนั้นดูเหมือนองค์จักรพรรดิมากเพคะ”
ผู้ชายที่นางเห็นก่อนที่จะคลานออกจากบ้านไม้นั้นคล้ายกับองค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยมาก! ในตอนนั้น นางคิดว่ามันคือองค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยด้วยซ้ํา!
เชี่ยโฮวโม่ หรี่ตา “เหมือนองค์จักรพรรดิ…”
“เพคะ หม่อมข้าค่อนข้างแน่ใจในเรื่องนั้น”
“ข้ารู้” เซี่ยโฮวโม่ยืนขึ้นหลังจากพูด “ไปกันเถอะ”
ซูมู่เกือสับสนอยู่พักหนึ่ง ไปกันเถอะ? ไปที่ไหน?
เมื่อเห็นนางไม่มีแนวโน้มที่จะจากไป เซี่ยโฮวโม่จึงหันกลับมามองนาง “ทําไม? เจ้าอยากค้างคืนที่นี่?”
“ไม่” ซูมู่เก้อเดินตามไปสองก้าว แต่ยหม่าหยุดกลางคัน
“ข้ายังพูดไม่จบ”
เมื่อมองไปที่กุยหม่า ซูมู่เก๋อก็รู้สึกปวดหัว “เจ้าค่ะ มีอันใด?”
กุยหม่ามองนางขึ้นและลงอย่างพินิจพิเคราะห์ “อะไร? เจ้าจําข้าไม่ได้? ข้าช่วยเจ้า ไปแล้วสองครั้งเจ้าปฏิบัติต่อผู้ช่วยชีวิตของเจ้าเช่นนี้หรือ?”
สําหรับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ซูมู่เก่อตัดสินใจแสร้งทําเป็นไม่รู้ “ข้าไม่รู้ว่าท่านหมายถึงอะไรใต้เท้า”
กุยหม่าใส่ท่าทางดุ ๆ “ผู้หญิงอกตัญญ! ข้าไม่น่าช่วยเจ้าเลย!”
“เจ้ากําลังรออะไรอยู่? เจ้าไม่ต้องการออกไป?” เซี่ยโฮวโม่กระตุ้นด้วยเสียงต่ํา
ซูมู่เก๋อยิ้มให้กุยหม่า “ข้าจะตอบแทนท่านอย่างแน่นอนใต้เท้า พบกันคราวหน้า” หลังจากพูดจบนางก็เดินผ่านเขาไป
เซียโฮวโม่นั่งบนหลังม้าแล้ว
ซูมู่เก๋อหยุดชั่วคราว สงสัยว่านางต้องเดินกลับไปที่บ้านพัก
“ขึ้นมา” เซี่ยโฮวโม่ยื่นมือเรียวและใหญ่ของเขาไปหานาง
“ฝ่าบาท มันไม่เหมาะสมที่ชายและหญิงจะสนิทสนมกันมากขนาดนี้” หากเห็นพวกเขานั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกัน พวกเขาอาจประสบปัญหาโดยไม่จําเป็น
เซี่ยโฮวโม่ดึงมือออกอย่างไม่แยแส “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็วิ่งตามหลังม้าได้” หลังจากพูดจบเขาก็ขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังเส้นทางข้างหน้า
วิ่งตามหลังม้า!?
ยังคงมีพิษบางอย่างหลงเหลืออยู่ในร่างกายของนาง ถ้านางวิ่งกลับไปที่บ้านพัก การไหลเวียนของเลือดนางจะถูกเร่งและพิษอาจกําเริบ ดังนั้นนางจึงอยากจะพูดคุยและแสดงความคิดเห็นมากกว่า!
“ฝ่าบาท รอหม่อมข้าด้วย..อา!”
ในพริบตา ซูมู่เกือก็นั่งบนอานม้าอย่างมั่นคงแล้ว
ด้วยการเคลื่อนไหวเล็กน้อย นางรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิของเซี่ยโฮวโม่
เพื่อที่จะแนบชิดกับเขาน้อยลง ซูมู่เก้อทําได้เพียงยืดตัวของนางให้ตรงและกําบังเหียนไว้ในมือให้แน่น
รู้สึกถึงร่างกายที่แข็งเล็กน้อยของนาง เชี่ยโฮ่วโม่จึงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย และยกแส้ ในมือขึ้นเพื่อฟาดม้าของเขา”จับแน่นๆ!”
“โอ้!” ซูมู่เกือร้องด้วยน้ําเสียงต่ําและสะดุดแขนของเซี่ยโฮวโม่ รู้สึกถึงอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น ที่หลังของนาง นางกระตือรือร้นที่จะลุกขึ้นนั่ง แต่ความเร็วของม้านั้นเร็วมากจนนางไม่สา มารถนั่งบนหลังได้อย่างมั่นคง นับประสาอะไรกับการนั่งตัวตรง!
ไอ้ เซี่ยโฮ่วโม่! เขาต้องตั้งใจ!
หลังจากการเดินทางอันยาวนานและเป็นหลุมเป็นบ่อ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงประตูหลังของที่พักของจักรวรรดิ
เซี่ยโฮวโม่กอดเอวของนางด้วยแขนที่แข็งแกร่งของเขาและบินเข้าไปในบ้านพัก
“แม่ของเจ้าถูกส่งไปที่ลานบ้านที่มอบให้ตระกูลซูแล้ว”
ซูมู่เกือกังวลเมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่ไม่รู้จักของนางจ้าว “ขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท สําหรับความช่วยเหลือของพระองค์ในวันนี้” นางกล่าวด้วยความจริงใจ ถ้าไม่ใช่เซี่ยโฮวโม่ นางคงจะตายไปแล้ว
“มั่นใจได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าในการตอบแทนข้าแน่”
ซูมู่เกือกล่าวลาเชี่ยโฮวโม่และเดินเข้าไปในบ้านพัก ในขณะที่มันมืดลง มีทหารรักษาการณ์ มากขึ้นเรื่อย ๆ กําลังลาดตระเวน
“มันคือใคร? ใครอยู่ที่นั่น?”
ซูมู่เก๋อออกมาจากความมืดและลดสายตาลง “ข้ามาจากจวนตระกูลซูของใต้เท้าซู ซูหลุนข้าหลงทางโดยบังเอิญหลังจากเดินเล่น ข้าไม่รู้จะกลับไปทางใด”
“ห้องพักของใต้เท้าซูอยู่ด้านหลังสวนหน้าบ้าน มันกําลังจะดึกแล้ว คุณหนูซู ท่า นควรกลับไปให้เร็วเผื่อว่าจะเกิดอันตรายขึ้น”
“ขอบคุณท่าน”
ซูมู่เกือเดินตามทิศทางของทหารองค์รักษ์บอกและพบลานกว้าง ก่อนที่นางจะเข้าไป นางได้ยินเสียงร้องไห้ของนางจ้าว
“พี่สาว อย่าเสียใจ ราชาแห่งจินได้เข้าไปในปาเพื่อมองหานางแล้ว จะมีข่าวเร็ว ๆ นี้” นางอันปลอบโยนนางด้วยน้ําเสียงที่อ่อนโยน
“อืม หยุดร้องไห้ซะ! โชคร้ายมาก!”
เมื่อซูมู่เกือเดินไปที่ประตูสาวใช้ที่เฝ้าด้านนอกก็ตกตะลึง
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูกลับมาแล้ว!”
เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวข้างนอก คนในห้องก็เงียบลงทันที
ทันใดนั้น ประตูห้องก็เปิดออกและนางจ้าวก็ออกมาด้วยดวงตาสีแดงและน้ําตาไหล จากข้างใน เมื่อเห็นซูมู่เกือยืนอยู่ข้างนอก นางจ้าวก็รีบเข้าไปกอดนางไว้ในอ้อมแขน
“มูมู่ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว ข้ากลัวมาก”
ซูหลุนและนางอันตามนางจ้าวออกมาและทั้งคู่ก็ตกใจเมื่อเห็นซูมู่เกือยืนอยู่ที่ด้านนอก
ซูจิงเหวินตกตะลึงงันในตอนแรกและเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่เป็นอันตราย
นางกลับมาได้อย่างไร? ทําไมนางกลับมาได้?!
ถ้านางอันไม่ดึงนาง นางคงรีบไปสอบปากคําซูมู่เกือแล้ว
ซูหลุนไม่คาดหวังว่าซูมู่เก๋อจะกลับมาอย่างปลอดภัย “ก็ดีแล้วที่ได้กลับมาอีกครั้ง วัน นี้ทุกคนเหนื่อยแล้วไปพักผ่อนเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ซูมู่เก่อเหลือบมองนางอันและซูจิงเหวินอย่างเย็นชา เมื่อได้พบกับดวงตาของซูมู่เก๋อ นางอันก็ถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว
แอบสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ผู้หญิงเลวคนนี้ค้นพบอะไรหรือไม่?
ซมู่เกือประคองนางจ้าวเข้าไปในห้องของพวกเขา
“ท่านแม่ ท่านไปไหนเมื่อบ่ายนี้?”
เมื่อได้ยินคําพูดของนาง นางจ้าวก็ขมวดคิ้วและเทาจ่อที่อยู่ข้างๆ นางพูดอย่างรวดเร็วว่า “คุณหนูเราได้ยินมาว่ามีคนบาดเจ็บและถูกยกออกจากสนามล่าสัตว์ ฮูหยินใหญ่กลัวว่าอาจเป็น ท่านนางจึงไปกับข้าเพื่อดู อย่างไรก็ตาม เราไม่พบใครเลยหลังจากไปถึงที่นั่นและเราหลงทางเจ้าค่ะ”
“ยังไงก็ตาม นายหญิงกับข้าเข้าไปในปาและไม่สามารถกลับออกมาได้ ทันใดนั้น หมี ดําก็ออกมาจากปาหมีตัวนั้นสูงเท่าเราสองคน มันน่ากลัวมาก”
ซูมู่เกือกําหมัดแน่นในแขนเสื้อ นางสามารถจินตนาการได้ว่าสถานการณ์นั้นอันตรายเพียงใด “โชคดีที่ข้าได้ยินจากผู้สูงอายุว่าเราควรจะปีนขึ้นต้นไม้ถ้าเจอหมีดําดังนั้นเราจึงรอดชีวิตและรอการช่วยเหลือจากองครักษ์ของจักรวรรดิเจ้าค่ะ”
นางจ้าวเติบโตในชนบทตั้งแต่อายุยังน้อยและไม่ค่อยละเอียดอ่อน เป็นเรื่องปกติที่นางจะปีนต้นไม้และภูเขาเมื่อนางยังเด็ก หากผู้หญิงคนใดที่เติบโตลึกในห้องส่วนตัว ประสบเหตุเช่นนี้นางจะต้องสูญเสียชีวิต
ในเวลานั้น นางจ้าวได้ยินจากสาว ๆ เหล่านั้นว่ามีคนได้รับบาดเจ็บและริเริ่มที่จะไปที่นั่น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะหาเบาะแสใด ๆ
แต่ตามสัญชาตญาณของซูมู่เก้อ เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับนางอันและบุตรสาวของนาง!
และเซียโฮวหยิน! ความจริงแล้วนางไม่ได้เกลียดชังองค์หญิงเซียโฮวหยินมากนัก นางเป็นคนที่น่ายกย่อง ถ้าองค์หญิงเซี่ยโฮวหยินไม่บ้าจี้ตาม นางคงจะเลวร้ายเกินไป
แต่ถ้ามีใครบางคนอยู่ข้างหลังนาง ซูมู่เก๋อก็ไม่สามารถนึกถึงใครอื่นได้นอกจากสนมฉิน
“วันนี้เกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง?”
สาวใช้รินชาสองถ้วยให้แม่และลูกสาวก่อนจะพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายสองได้รับบาดเจ็บสาหัสจากหมีดําเพื่อปกป้ององค์จักรพรรดิขณะออกล่าสัตว์เจ้าค่ะ”
ซูมู่เกือเลิกคิ้วเล็กน้อย “องค์ชายสองได้รับบาดเจ็บสาหัส?”
“เจ้าค่ะ ข้าได้ยินมาว่าองค์จักรพรรดิทรงกริ้วมาก”
ทันทีที่คําพูดสุดท้ายของนางออกมา สาวใช้ตัวน้อยก็วิ่งไปที่ประตูด้านนอก “คุณหนูใหญ่คุณหนูเจ้าค่ะ องค์จักรพรรดิส่งคนมาที่นี่เพื่อให้คุณหนูรีบเข้าไปที่พระราชวังจิงอันเจ้าค่ะ”
บทที่ 83 การล้างพิษแบบใกล้ชิด
ซูมู่เกือทนความเจ็บปวดอย่างรุนแรงและปืนออกจากบ้านที่มืดสลัวยาแก้พิษของนาง ที่ซ่อนอยู่ในปั่นถูกนําไปแล้วนางจึงไม่สามารถจัดการกับพิษในร่างกายของนางได้ในตอนนี้
นางอยู่ในป่าบนภูเขาซึ่งอาจเป็นไปได้ที่จะหาสมุนไพรเพื่อบรรเทาความเป็นพิษได้ นางหวังเพียงว่านางจะโชคดีพอที่จะไม่เจอสัตว์ร้ายใด ๆ
แต่ในขณะที่หน้าผากของนางถูกปกคลุมไปด้วยเม็ดเหงื่อและมือของนางก็ค่อยๆ ปกคลุมไปด้วยเลือด
“โฮววว บรูววววว…”
เสียงหอนต่ําดังก้องในหูของนาง ซูมู่เก้อรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที
ถ้าโชคไม่ดีแม้แต่นางอาจถูกฟันแหลมคมจมเนื้อได้
นางค่อยๆเงยหน้าขึ้น และเห็นดวงตาคู่หนึ่งระยิบระยับด้วยแสงสีเขียวในปา
มันคือหมาป่า!
หมาปาดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอของเหยื่อและเดินออกจากป่ามายังซูมู่เกื้อ ทีละก้าวอย่างเงียบ ๆ
ซูมู่เก๋อหลับตาลง เมื่อนางเปิดมันขึ้นมาอีกครั้งดวงตาของนางก็มีความเย็นชาที่น่ากลัวนางมองตรงไปที่หมาป่าตัวนั้นโดยไม่กลัว
ไม่สําคัญว่านางจะอ่อนแอกว่าในด้านความแข็งแกร่ง แต่นางก็ไม่สามารถสูญเสียการทรงตัวของนางได้!
นางแอบคว้าก้อนหินที่พื้น ยังไง นางก็ไม่ยอม!
เมื่อเสียงฮีม ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ซูมูเกือก็กําหินแน่นขึ้นและแน่นขึ้น
หมาปาแยกเขี้ยวยิงฟันและพุ่งเข้าหาซูมู่เกือพร้อมเสียงคําราม
ด้วยดวงตาสีแดง ชูมู่เกือยกหินขึ้นสูงด้วยกําลังทั้งหมดของนาง
“ไปลงนรกซะ!”
“ไอ้บ้า!”
“ดี!”
ทันทีที่นางขว้างหินออกไป ทันใดนั้น นางก็พบกับใบหน้าที่คุ้นเคยและพูดสองสามคําด้วยน้ําเสียงที่อ่อนแอ
เชี่ยโฮวโม่กวัดแกว่งดาบคมในมือของเขาเข้าไปในดวงตาของหมาปา จากนั้นตงหลิ นและคนอื่นๆก็ติดตามและต่อสู้กับหมาปาที่โกรธเกรี้ยว
เซี่ยโฮวโม่มองไปที่ซูมู่เกือที่สลบไสลอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วยมือที่เปื้อนเลือดของนางคิ้วที่ขมวดของเขาขมวดแน่นและดูเหมือนว่าหัวใจของเขาจะถูกแทง
“เก็บกวาดที่นี่ให้เรียบร้อย และส่งคนไปหาฮูหยินใต้เท้าซู”
” พะย่ะค่ะ”
ก่อนที่ซูมู่เกือจะหมดสติไป นางขอให้ช่วยแม่ของนาง เสียงของนางเบาและอ่อนแอมากแต่เซียโฮวโม่ได้ยินมัน
เซี่ยโฮวโม่ขี่ม้าไปกับซูมู่เก๋อและหายเข้าไปในปา
ในขณะเดียวกัน ผู้เข้าร่วมในงานชุมนุมล่าสัตว์เกือบทั้งหมดก็มาถึงบ้านพัก
เนื่องจากองค์ชายสองได้รับบาดเจ็บทุกคนจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวใด ๆ และอยู่ในห้องพัก
“หึ มันแปลกมาก พี่สาวจ้าวอยู่ที่ไหน? ทําไมนางยังไม่กลับมาอีก?”
ซูหลุนกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บขององค์ชายสอง ในตอนนี้ เมื่อได้ยินคําพูดของนางอันเขาก็รู้สึกงงงวยเล็กน้อยเช่นกัน “มีขุนนางมากมายในงานล่าสัตว์นี้ นางเดินไปรอบ ๆ ได้อย่างไร? จะเป็นอย่างไรถ้านางทําผิดต่อขุนนาง!”
เผยให้เห็นความวิตกกังวลระหว่างคิ้วของนาง “ที่กระโจมนั่งพักข้าเห็นนางเดินออกไป จะนางจะหลงปาหรือไม่เจ้าค่ะ?”
“ใต้เท้าเจ้าค่ะ องค์หญิงแปดส่งข้อความมาว่าคุณหนูใหญ่และองค์หญิงแปดพบสัตว์ร้ายที่ดุร้ายขณะออกล่าและคุณหนูก็รีบวิ่งเข้าป่าไปและ และ …” สาวใช้รีบวิ่งเข้าไปในห้องด้วยความหวาดกลัว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูหลุนก็เลิกคิ้วลุกขึ้นจับสาวใช้แล้วพูดด้วยน้ําเสียงที่ดุดัน “แล้วอะไร?”
สาวใช้ตัวสั่นเมื่อมองที่ซูหลุน “ และ และนางก็ถูกสัตว์ร้ายพาตัวไป ตอนนี้เหล่าองครักษ์ได้เข้าไปในป่าเพื่อตามหา ”
“เอ้ย! มันเป็นไปได้ยังไง” ซูจึงเหวิน “ตกใจ” และปิดตาของนางด้วยดวงตาของนาง ที่เปลี่ยนเป็นสีแดง
นางอันตกใจมากจนน้ําตาของนางไหลลงมา
“ไม่ เป็นไปไม่ได้ องค์หญิงแปดเข้าใจผิดหรือไม่?”
“ฮูหยิน มันเป็นสาวใช้คนสําคัญขององค์หญิงแปดที่ส่งข้อความมา จึงไม่น่าจะมีอะไรผิดเจ้าค่ะ”
“ใต้เท้า” เมื่อเห็นซูหลุนตกใจและยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น นางอันรู้สึกรําคาญจริงๆ แต่แสร้งทําหน้าเป็นเศร้าสร้อย
“ส่งผู้คุมคนหนึ่งไปนอกสนามล่าสัตว์และรายงานให้ข้าทราบทันทีที่มีข่าวคราว!” ซูหลุนพูดด้วยดวงตาสีแดง
ตอนนี้องครักษ์ของจักรวรรดิได้เข้าไปในปาเพื่อค้นหา พวกเขาไม่ยอมให้ใครเข้าไปอยู่ดี
“มีสัตว์ร้ายในสนามล่าผู้หญิงได้อย่างไร” ซูหลุนจิบชาเย็นและจิตใจของเขาก็ชัดเจนขึ้น
นางอันกําผ้าเช็ดหน้าของนางไว้ในแขนเสื้อแล้วกระซิบว่า “บางที่สนามยังไม่ได้รับการทําค วามสะอาดมาก่อน…”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูหลุนก็แสดงความแปลกประหลาดในดวงตาของเขา การขับไล่สัตว์ร้ายออกไปนั้นมักจะทําโดยองครักษ์ของจักรพรรดิซึ่งนําโดยราชาแห่งจินในปัจจุบัน
ณ ตอนนี้ ซู่หมุนลืมการหายตัวไปของนางจ้าวไปนานแล้วในความเป็นจริง เขาแอบขยับเข้าไปใกล้องค์ชายสองแม้ว่าพ่อตาของเขาจะบอกว่าสถานการณ์ยังไม่ชัดเจนและขอให้เขาอย่าทําผลีผลามแต่ซูหลุนก็ยืนยันว่าเขาจะต้องคว้าโอกาสในเรื่องนี้ให้ได้
หน้าที่ขององครักษ์ของจักรพรรดิคือปกป้องความปลอดภัยของจักรพรรดิและเมืองหลวง
อย่างไรก็ตาม สัตว์ร้ายได้ปรากฏตัวในสนามล่าสัตว์ของผู้หญิงซึ่งพวกมันไม่น่าจะปรากฏตัวได้นอกจากนี้ยังมีการบาดเจ็บและการหายตัวไปนี่คือการละทิ้งหน้าที่ของราชาแห่งจิน!
นอกจากนี้ องค์ชายสองยังได้รับบาดเจ็บสาหัสเพื่อความปลอดภัยขององค์จักรพรร ตอนนี้องค์จักรพรรดิอาจจะคลายความมีอคติต่อองค์ชายสองลงบ้าง ..
เมื่อคิดอย่างนั้น ซูหลุนก็อารมณ์ดีขึ้นมาก เขาเพียงหวังว่าองค์ชายสองจะสบายดีและฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด!
ที่เชิงเขาด้านหลังนอกสนามล่าสัตว์
ร่างสีขาวถูกอุ้มโดยโจวซิ่วไปที่บ้านไม้ที่เชิงเขา
“เฮ้ ข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวง นายท่านรอที่จะพบเจ้าไม่ไหวแล้ว?ข้ารู้เสมอว่าเขาทิ้งข้าไปไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ยอมรับมัน! อา…”
ก่อนที่กุยหม่าจะพูดจบ โจวฉิวก็พาเขาเข้าไปในบ้าน เมื่อโจวฉิวปล่อยเขากุยหม่าก็สะ ดุดและเกือบล้มลงกับพื้น
กุยหม่าจ้องมองเขา “โจวซิ่ว เจ้ากําลังทําอะไรอยู่! ชีวิตสบายมากจนอยากลองของใหม่ไหม!?”
โจวซิ่วเหลือบมองไปที่เขาอย่างเงียบ ๆ และถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ช่วยข้าช่วยชีวิตใครสักคน” เซี่ยโฮวโม่ลุกขึ้นจากเตียงและมองไปที่กุยหม่า
เมื่อได้ยินเช่นนี้ กุยหม่าก็สนใจ “ข้าอยากเห็นแล้วสิว่าใครสามารถให้ท่านขอให้ข้ารักษาได้”
ในขณะที่พูด กุยหม่าเดินไปที่เตียง
เมื่อเขาเดินไปที่เตียงและเห็นซูมู่เกือนอนอยู่บนเตียง กุยหม่าก็ตกใจ
“นาง!”
“เจ้ารู้จักนาง?”
กุยหม่าจงใจเหล่มองเซียโฮวโม่ “อย่าเพิ่งรีบร้อน ขอข้าดูหน่อย”
กุยหม่าวางมือบนข้อมือของซูมู่เก้อและจับชีพจรของนางอย่างระมัดระวัง ตอนแรก เขามีรอยยิ้มขี้เล่นบนใบหน้า แต่รอยยิ้มที่มุมริมฝีปากของเขาค่อยๆหายไป
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของเขา เซี่ยโฮวโม่ก็ทําหน้าเศร้าหมองยิ่งขึ้น เขาไม่ได้ถามจนกว่า กุยหม่าจะปล่อยมือนาง “นางเป็นอย่างไร?”
กุยหม่ารู้สึกประหลาดใจที่พบว่าพิษของเปลวเพลิงแดงในตัวซูมู่เกือได้รับการล้างพิษแล้วจริงๆ!
เพื่อที่จะคิดหาพิษของเปลวเพลิงแดง เขาอยู่ในหนานมันเป็นเวลานาน เขาสงสัยว่า ใครเป็นคนช่วยล้างพิษให้นาง
“เอ่อ นางถูกวางยาพิษด้วยพิษร้ายแรง ถ้านางไม่ล้างพิษทันเวลา นางอาจไม่เห็นดวงอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้”
“เจ้าสามารถล้างพิษของนางได้”
กุยหม่ายิ้มและขยับเข้าไปใกล้เชี่ยโฮวโม่ ในขณะที่มองเขาด้วยใบหน้าที่อ่านยาก “ฝ่าบาทพระองค์ขอร้องข้าตอนนี้หรือไม่? ถึงแม้ว่าหญิงผู้นี้จะค่อนข้างเรียบร้อย แต่นางก็ยังห่างไกลจาก สิ่งนั้น”
เซี่ยโฮวโม่เพิกเฉยต่อเรื่องตลกของกุยหม่าด้วยใบหน้าที่บูดบึง
“นางได้รับพิษอะไร?”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าเฉยเมยของเขา กุยหม่าก็รู้สึกเบื่อ เดินไปที่เก้าอี้แล้วนั่งลงขณะเปาเล็บ“ไม่มีอะไรพิเศษ มันเป็นเพียงการรวมกันของพิษงูและพิษจากดอกไม้นานาชนิด
กล่าวคือ พิษที่ซูมู่เกือกลืนเข้าไปนั้นผสมพิษร้ายแรงทุกชนิด ดังนั้นจึงเข้าใจได้ว่า อาจเป็นอันตรายถึงตายได้ในเวลาอันสั้นแต่ก็ไม่ยากที่จะล้างพิษ
“ล้างพิษนาง”
“ฝ่าบาท นางสําคัญกับพระองค์มากหรือ?”
เชี่ยโฮวโม่ยืนอยู่หน้าเตียงโดยเอามือไขว้หลังไว้ เมื่อมองไปที่ซูมู่เก้อที่ซีดและไม่มีชีวิตชีวาเขารู้สึกทุกข์ใจอย่างอธิบายไม่ได้ เขาพยายามที่จะเพิกเฉยต่อความรู้สึกอึดอัดนี้และพูดอย่างเย็นชาว่า “นางยังมีประโยชน์
กุยหม่าเม้มริมฝีปากของเขาและจงใจเหยียดเสียงของเขา “โอ้…นางกลายเป็นคนที่มีประโยชน์ ตกลง ข้าจะช่วยนางเอง” แน่นอนเขาจะ เขาต้องถามนางว่าใครล้างพิษไฟแดงในตัวนาง!
“อย่างไรก็ตาม กระบวนการล้างพิษอาจจะยุ่งยากเล็กน้อย”
เซี่ยโฮวโม่มองไปที่กุยหม่า ซึ่งรอยยิ้มนั้นค่อนข้างชั่วร้าย
“ข้าต้องถอดเสื้อผ้าของนางและดันฉีแท้เข้าไปในร่างกายของนางเพื่อขับพิษออกจากร่างกายนางแล้วหลังจากทานยาล้างพิษแบบพิเศษของข้านางก็จะสบายดี”
เซียโฮวโม่จับจ้องดวงตาที่เย็นชาของเขาที่กุยหม่า “เพียงแค่ขับพิษออกจากร่างกายของนางด้วยฉีแท้?”
เดิมที่กุยหม่าตั้งใจจะแกล้งเขา แต่เมื่อได้พบกับดวงตาที่เยือกเย็นของเขา กุยหม่าก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงประตูและหน้าต่างของบ้านไม้ทั้งหลังก็ถูกปิดอย่างแน่นหนา
กุยหม่ายืนอยู่ข้างนอกและยืดคอเพื่อมองดูสถานการณ์ในบ้านแต่โจวนิ้วและโจวเหว่ยเฝ้าประตูไว้เขาไม่สามารถมองเห็นอะไรได้
ภายในห้องนั้นมืด
เชียโฮวโม่นั่งตรงข้ามกับซูมู่เกือบนเตียง
เซี่ยโฮวโม่หลับตาและคลําหาเข็มขัดของซูมู่เก๋อ ด้วยการใช้นิ้วดึงเบาๆเข็มขัดก็หลุดออกทันที
ด้วยการครูดเบาๆ เสื้อผ้าชุดขี่ม้าของซูมู่เก้อถูกถอดออกและนางอยู่ในชุดรัดหน้าท้องสีฟ้าและกางเกงชั้นในสีขาวนวลของพระจันทร์
เมื่อสัมผัสไหล่อันบอบบางของนางด้วยมือที่หยาบกร้านเล็กน้อยของเขา เชี่ยโฮวโม่กําหมัดแน่นราวกับถูกไฟฟ้าช็อต
เชี่ยโฮวโม่หายใจเข้าลึก ๆ และค่อยๆทําให้การเต้นของหัวใจคงที่ จากนั้นเขาก็ควบฉีแน่นฉีแท้ของเขาจากบริเวณหัวหน่าวไปยังฝ่ามือของเขาและผลักมันเข้าไปในร่างซูมู่เก๋อเพื่อบังคับให้ พิษออกจากร่างกายของนาง
ซูมู่เกือค่อยๆยืดหลังของนางให้ตรงพร้อมกับเม็ดเหงื่อบาง ๆ ที่ทะลักออกมาจากร่างกายของนางในชั่วเวลานั้น นางขมวดคิ้วอย่างหนักและไม่สามารถช่วยได้นอกจากส่งเสียงอิ่มออกมาดูเหมือนว่าจะต้องทนกับความเจ็บปวดอย่างมาก
“หนาว…หนาวมาก…”
“ร้อนมาก”
การเปลี่ยนแปลงของความร้อนและความเย็นและการบังคับใช้ลมปราณและเส้นเลือดคู่ขนานทําให้นางตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว
เซี่ยโฮวโม่ลืมตาขึ้นจับมือนางและตัดปลายนิ้วของนาง
ทันใดนั้น เลือดสีดําก็พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของซูมู่เกือพร้อมกลิ่นเหม็น
จนกระทั่งเลือดสีดําหมดไปและเลือดสีแดงสดเริ่มไหลออกมาจากปลายนิ้วของนาง เซี่ยโฮวโม่ก็หยุดถ่ายทอดฉีของแท้และเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปลายนิ้วที่มีเลือดออก
หากปราศจากการสนับสนุนจากฉีที่แท้จริง ซูมู่เกือก็ล้มลงและทรุดตัวลงในอ้อมแขนของเชี่ยโฮวโม่ ..
บทที่ 82 ไม่น่าเชื่อ
“พวกเจ้าทุกคนไปที่อื่นเพื่อตามหาเสือดาว”
” พะย่ะคะ”
หลังจากเข้าสู่สนามล่าสัตว์ องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยได้รับสั่งให้เหล่าทหาร ขุนนางในทีมแยกย้ายกันไป เหลือเพียงสิบคนที่ติดตามเขา
เซี่ยโฮวโม่และเซี่ยโฮวคุณตามองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยเข้าไปในป่า
“เสด็จพ่อ ทอดพระเนตรพะย่ะค่ะ มันเป็นเสือดาว!” เสี่ยโฮวคุณไปข้างหน้า องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยมองตามสายตาของเขาและเห็นเสือดาวกําลังคลานอยู่บนพื้นหญ้า เมื่อพิจารณาจากท่าทางของเสือดาว มันก็กําลังรอโอกาสในการล่าเหยื่อ
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยยืดคันธนูในมือจนสุดและเล็งไปที่เสือดาว ซึ่งมองมาทางเขาช้าๆ
ขณะที่ลูกศรในมือขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยกําลังจะถูกยิง เสือดาวก็รีบวิ่งเข้าไปในป่า
“เร็วเข้า! แยกย้ายกันไปล้อมจับมัน!” องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย สนใจทันทีและปล่อยให้ทุกคนไล่ตามเสือดาว
เซี่ยโฮวคุณรีบควบม้าไปด้านหน้าดูเหมือนจะเป็นคนที่จริงจังที่สุด
“เสด็จพ่อ มั่นใจได้ ข้าจะไล่ต้นมันออกมา!”
ตั้งแต่ต้นจนจบ เซี่ยโฮวโม่ติดตามองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยโดยตลอด เพื่อปกป้องความปลอดภัยของเขา
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยมองไปที่เซี่ยโฮวโม่ด้วยรอยยิ้ม “เป็นเรื่องยากที่เจ้าจะออกมา เจ้าไม่จําเป็นต้องอยู่กับข้า เข้าไปในปาและช่วยข้าจับเสือดาว”
“หม่อมข้าต้องปกป้องความปลอดภัยของเสด็ดพ่อ”
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยจงใจทําหน้าทิ้งตึง “ทําตามที่ข้าบอก ไม่มีการโต้แย้ง นี่เป็นรับสั่งของจักรวรรดิ
เซี่ยโฮวโม่รักษาสีหน้าและขี่ม้าเข้าไปในป่า
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยยังออกตามหาเสือดาวด้วยจิตวิญญาณชั้นสูง
ทันใดนั้น เสียงฮืด ๆ ก็มาจากปา องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยทําให้ตาของเขาสว่างขึ้นและสั่งให้ทหารองค์รักษ์สามคนที่อยู่ข้างหลังเขาชะลอตัวลง และเคลื่อนตัวไปยังแหล่งกําเนิดเสียงอย่างช้าๆ
ยิ่งเข้าไปใกล้ กลิ่นก็ยิ่งแรงขึ้น
“ฝ่าบาท มันเป็นหมีดํา”
องค์รักษ์ด้านหลังสีหน้าเปลี่ยนทันที
สัตว์ร้ายในทุ่งล่าแห่งนี้ล้วนแต่ดุร้าย ซึ่งอันตรายยิ่งกว่าเสือดาวเสียอีก
“ฝ่าบาท โปรดระวังพะย่ะค่ะ ให้หม่อมข้าดูก่อน”
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของพวกเขาทําให้หมีดําในปาตื่นตระหนก
ก่อนที่องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยและคนอื่น ๆ จะล่าถอย หมีดําก็คํารามและยืนขึ้น ขี่ม้าของพวกเขาให้กลับจนตาย
“ปกป้ององค์จักรพรรดิ! ปกป้ององค์จักรพรรดิ!”
ชายหลายคนตกจากหลังม้าและวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก แต่พวกเขาจะวิ่งหนีหมีดําได้อย่างไร?
“เร็วเข้า! นําองค์จักรพรรดิออกไป!”
ทหารองค์รักษ์คนหนึ่งดึงดาบในมือออกมาเพื่อหยุดหมีดํา อย่างไรก็ตาม หมีดําหิวมากจนคํารามและตบองค์รักษ์อา!”
ทันใดนั้น ใบหน้าของผู้พิทักษ์ก็ถูกทําลายอย่างรุนแรงและพร่ามัวไปด้วยเนื้อและเลือด และแม้แต่ตาของเขาก็หลุดออกมา
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยเคยออกรบมาก่อนและยังคงสงบในเวลานี้
“กระจายกําลังไปทุกทิศทาง!”
ทหารองค์รักษ์อีกคนส่งสัญญาณ ดังนั้นกําลังเสริมจะมาถึงที่นี่ในไม่ช้า
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีหมีดํามากกว่าหนึ่งตัว!
เมื่อเห็นหมีดําคลานออกมาจากอีกด้านหนึ่งของปา องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยแอบเสียใจที่สั่งให้เซี่ยโฮวโม่ทิ้งเขาไป
“เร็วเข้า! ปกป้ององค์จักรพรรดิ ขึ้นไปบนต้นไม้”
ทหารองค์รักษ์สองคนนําองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยไปที่ต้นไม้ องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยโยนคันธนูและลูกศรในมือลงเพื่อปืนขึ้นต้นไม้ แต่หมีดําจะให้โอกาสพวกเขาได้อย่างไร?
หมีดําวิ่งมาจากด้านหลังพร้อมเสียงคํารามและพุ่งเข้าหาองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย มันยกอุ้งเท้าขึ้นสูงและตีไปทางด้านหลังขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย
“เสด็จพ่อ ระวัง!”
ในขณะนั้น มีร่างหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็วและปกป้ององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยจากด้านหลัง
”อา!”
ร่างนั้นถูกตบลงกับพื้นอย่างแรง
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยหันกลับไปมองและพบว่าอุ้งเท้าหมีกําลังมาอีกครั้ง เช่นเดียวกับที่กําลังจะตบลงบนองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย …
“ฝ่าบาท!”
ในพริบตา หมีดําคํารามด้วยความเจ็บปวด
“อ๊าย!”
หมีดําโจมตีองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยล้มลงกับพื้นอย่างแรง พร้อมกับลูกศรที่เย็นเฉียบในอุ้งเท้าของมัน
เซี่ยโฮวโม่วิ่งเข้ามาและเตะที่จมูกของหมีดําอีกตัว หมีดําส่งเสียงคํารามอย่างโกรธเกรี้ยวและพุ่งเข้าหาเซี่ยโฮวโม่
ด้วยสีหน้าสงบ เซี่ยโฮวโม่จึงยึดคันธนูในมือไปจนสุดและยิงลูกศร เมื่อหมีดําอยู่ห่างจากเขาไม่เกินสิบก้าว ด้วยเสียงที่คมชัดของอากาศลูกศรถูกยิงเข้าไปในบริเวณดวงตาที่สามของหมีดํา
หมีดําที่สูงเท่าคนครึ่งก็แข็งที่อและล้มลงกับพื้น
“ปกป้ององค์จักรพรรดิ!”
ทหารองค์รักษ์กลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาล้อมหมีดําทั้งสองตัวและแทงพวกมันจนตาย
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยก็ลงมาจากต้นไม้ด้วยความช่วยเหลือของทหารองค์รักษ์
“เสด็จพ่อ ข้ามาช้า”
ด้วยเหงื่อเย็นที่หน้าผากของเขา องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยดูซีดมาก แต่ก็ยังสงบ
“เร็วเข้า! รีบไปตรวจสอบองค์ชายสอง! เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
ตอนนี้เขาเห็นชัดเจนแล้วว่าคนที่ปกป้องเขาจากอุ้งเท้าหมีที่อันตรายคือเซี่ยโฮวคุน
ยามได้ไปตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเซี่ยโฮวคุณ เซี่ยโฮวคุณครึ่งหนึ่งนอนอยู่บนพื้นโดยที่หลังของเขาอาบไปด้วยเลือด เนื้อและแม้แต่กระดูกของร่างกายเขาก็เผยให้เห็นในบางส่วน
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยขมวดคิ้ว “เร็วเข้า! ส่งองค์ชายสองออกไป เรียกหมอหลวงมา!”
เมื่อมองไปที่หมีดําที่ตายแล้ว เซี่ยโฮวโม่ก็ทําหน้าตาดุดันและบึ้งตึง
“ตงหลิน”
” พะย่ะคะ”
“ไปตรวจสอบว่าทําไมหมีดําสองตัวนี้ถึงมาปรากฏตัวที่นี่”
สัตว์ร้ายในสนามล่าสัตว์ถูกพูดกันว่าไม่ถูกจํากัด แต่จักรพรรดิกําลังล่าสัตว์ที่นี่ ดังนั้นทุกคนจึงให้ความสําคัญอย่างจริงจังที่จะไม่ปล่อยให้สัตว์ร้ายใด ๆ เข้าใกล้องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย ดังนั้นหมีดําจึงต้องถูกปล่อยออกมาโดยเจตนา
ทุกคนชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่จะไม่เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา
หมีดําสองตัวนั้นอยู่ใกล้กับองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยมาก ซึ่งน่าสงสัยจริงๆ
องค์ชายสองปกป้องจักรพรรดิจากอุ้งเท้าหมีและได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งในไม่ช้าก็แพร่กระจายไปในหมู่ผู้คนในงานเลี้ยงล่าสัตว์
เมื่อเห็นว่าองค์ชายสองถูกยกออกไป นางสนมฉินก็กลัวแทบตาย
เนื่องจากอุบัติเหตุครั้งนี้ งานเลี้ยงล่าสัตว์จึงถูกระงับลงเพียงชั่วครู่เท่านั้น และองค์ชายสองจะถูกส่งไปยังพระราชวังชั่วคราวเพื่อรับการรักษาพยาบาล
ผู้ที่เต็มใจที่จะอยู่สามารถออกล่าสัตว์ต่อไปได้ และผู้ที่เหนื่อยล้าก็สามารถกลับไปที่ที่พักพร้อมกับพวกเขาได้
ด้วยอุบัติเหตุดังกล่าวไม่มีใครอยากออกไปล่าสัตว์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่อยากกลับไปที่บ้านพักด้วมือเปล่า แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเดินต่อไปในทุ่งล่าสัตว์
ทั้งเหอฮัวและซินเอ่อล้มเหลวในการเข้าไปในสนามล่าสัตว์ และทําได้เพียงรออยู่ในกระโจม เมื่อเห็นผู้คนจากไป พวกเขาก็ยืดคออย่างใจจดใจจ่อ เพื่อมองหานายหญิงและคุณหนู
“แปลกมาก! ข้าพบว่าคนที่นั่นหายไปหมดแล้ว ทําไมหนายหญิงใหญ่และคุณหนูใหญ่ยังไม่ออกมาเลย”
“ไปถามใครดีกว่า ข้าชักจะเริ่มกังวลแล้ว”
ทันทีที่พวกเขาเดินออกจากกระโจม ซินหลันก็วิ่งมาอย่างไร้ลมหายใจ “โอ้ไม่ ฮูหยินใหญ่และคุณหนูใหญ่หายไป!”
เมื่อได้ยินดังนั้น พวกเขาก็ดูจริงจัง “ไม่ต้องกังวล ซินหลัน พูดให้จบ”
ซินหลันสูดลมหายใจและเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ “ฮูหยินใหญ่กลัวว่าผู้บาดเจ็บจะเป็นคุณหนูใหญ่ นางจึงไปหากับเทาจื่อ ข้าไปถึงที่นั้นช้าไปจนไม่พบฮูหยินใหญ่และคุณหนูใหญ่”
“อะไร เราจะทํายังไง?” ทั้งซินเอ๋อร์แล เหอฮัวหน้าซีด หลังจากได้ยินเรื่องนี้
เหอฮัวพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสงบสติอารมณ์และพูดว่า “ไม่ต้องห่วง! ตอนนี้พวกเขาหายไปแล้ว มันช่วยไม่ได้ที่จะกังวล ซินเอ๋อร์ เจ้าไปหาพวกเขากับข้า และซินหวั่น เจ้าไปถามว่ามีใครเห็นฮูหยินใหญ่และคุณหนูใหญ่หรือไม่”
ซินหวั่นและซินเอ๋อร์พยักหน้า “ตกลง”
ทันทีที่เหอฮัวและซินเอ๋อร์วิ่งไปที่สนามล่าสัตว์ของผู้หญิง องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินและคนอื่น ๆ ก็รีบวิ่งขึ้นมา
องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินคว้าทหารรักษาพระองค์ด้วยท่าทางกังวลและกรีดร้องด้วยเสียงโหยหวน “โอ้ไม่นะ คุณหนูซูถูกสัตว์ร้ายพาตัวไป เร็วเข้า รีบไปช่วยนาง!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฮ่อฮัวและชินเชื่อต่างหวาดผวาจนแทบจะสะดุดล้ม
“เจ้าพูดอะไร?” ทันใดนั้นก็มีเสียงต่ํา
องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินเงยหน้าขึ้นและพบเซี่ยโฮวโม่ที่เพิ่งออกมาจากสนามล่าสัตว์อีกด้านหนึ่ง
“ข้าบอกว่าซูมู่เก๋อถูกสัตว์ร้ายพาไป และข้าไม่รู้ว่าตอนนี้นางตายหรือยังมีชีวิตอยู่”
เซี่ยโฮ่วโม่ก็กําบังเหียนไว้แน่น “ นางหายไปตรงไหน?”
“ในทุ่งล่าสัตว์…”
ก่อนที่องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินจะพูดจบ เซี่ยโฮวโม่ก็ไม่อยู่ในสายตาของนางแล้ว
เซี่ยโฮวโม่ขี่ม้าเข้าไปในสนามล่าสัตว์และส่งสัญญาณขึ้นไปบนท้องฟ้า ในขณะที่สองร่างปรากฏขึ้นข้างหลังเขา
“นางอยู่ที่ไหน?”
ทั้งสองคนคุกเข่าสารภาพ “ฝ่าบาท โปรดอภัยให้เราด้วยที่ไร้ความสามารถ หลังจากติดตามคุณหนซูเข้าไปในสนามล่าสัตว์ ทันใดนั้นเราก็มีใครบางคนเข้ามาพัวพัน หลังจากที่เรากําจัดเขาแล้ว คุณหนูซูก็หายตัวไปแล้วพะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวโม่หรี่ตามืดลงและสัมผัสได้ถึงอันตราย
“ส่งคนออกตามหานางเพิ่มขึ้น!”
” พะย่ะค่ะ”
เมื่อเซี่ยโฮวโม่ขี่ม้าเข้าไปในส่วนลึกของป่า ทันใดนั้นม้าที่ไม่ได้มีผู้ควบคุมก็วิ่งออกมาอย่างเร็ว
เซี่ยโฮวโม่บินไปข้างหน้าเพื่อหยุดม้าและพบว่าดวงตาของมันถูกแทง
เซี่ยโฮวโม่จับจ้องไปที่กระเป๋าเงินขนาดเล็กบนอาน กระเป๋าเงินถูกปักด้วยกล้วยไม้ มันเป็นของ ซูมู่เก๋อจริงๆ!
“สาด!” (เสียงน้ำ)
ความหนาวเหน็บทําให้ซูมู่เก๋อตื่นขึ้นด้วยความตกใจ
นางลืมตาอย่างอ่อนแรงและรู้สึกว่าแสงสลัวยังคงอยู่
นางกํามือแน่น มันยังเจ็บปวดอยู่
ปรากฏว่านางยังมีชีวิตอยู่
ในบ้านไม้ ทันทีที่ชายคนนั้นใส่ยาเข้าไปในปาก นางก็รู้ว่านางตกอยู่ในอันตราย
เพราะมันเป็นยาที่มีพิษร้ายแรง!
“ตื่นแล้ว?”
ซูมู่เก๋อกลอกตาของนางอย่างกระตือรือร้นและในที่สุดก็จับจ้องไปที่ร่างที่กําลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยหันหลังให้นาง
” ท่านเป็นใคร?”
ชายคนนั้นยิ้มด้วยน้ำเสียงต่ำ ดูเหมือนจะคิดว่าคําถามของนางโง่มาก ไม่สําคัญว่าข้า เป็นใครสิ่งที่สําคัญคือเจ้ายังมีชีวิตอยู่”
ซูมู่เก๋อหายใจอย่างอ่อนแรง หลังจากฟื้นขึ้นมา ความเจ็บปวดของนางก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นเช่นกัน ทําให้นางเจ็บปวดเกินกว่าที่จะพูด
” ท่านต้องการทําอันใด?”
“ข้าได้ยินมาว่าทักษะทางการแพทย์ของเจ้ายอดเยี่ยมมาก ดังนั้นข้าจึงอยากดูว่าตอนนี้เจ้าสามารถช่วยตัวเองเพื่ออยู่ช่วยชีวิตผู้อื่นได้หรือไม่ พิษในร่างกายของเจ้าจะฆ่าเจ้าหลังจากผ่านไปยี่สิบชั่วโมง ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าเจ้าจะอยู่รอดได้หรือไม่ ฮ่า ฮ่า…”
หลังจากพูดจบ ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วค่อยๆหันกลับมา
ยืนหยัดต่อสู้กับแสง เขาค่อยๆเดินไปหานาง เมื่อซูมู่เก๋อเห็นรองเท้าคู่ของเขาที่มีลวดลายเมฆมงคลและมังกรอย่างชัดเจน นางก็ตกตะลึงและค่อยๆเงยหน้าขึ้น เพื่อดูใบหน้าของชายคนนั้นที่ซ่อนอยู่ในผ้าคลุมของเขา
จู่ๆ ชายคนนั้นก็หัวเราะเยาะและถอดผ้าคลุมออกเพื่อเผยให้เห็นใบหน้าด้านใน
เมื่อเห็นการปรากฏตัวของเขา ซูมู่เก๋อตกใจมากรูม่านตาของนางขยายใหญ่ขึ้นทันทีและร่างกายของนางก็แข็งทื่อ!
” ท่าน…”
บทที่ 81 ความทุกข์ทรมาน ชีวิตและความตาย
องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินเปิดเผยความโกรธในดวงตาของนางในขณะที่มองซูมู่เก๋อใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ
หลังจากเข้าใกล้ซูมู่เก๋อก็สังเกตเห็นว่าชุดขี่ม้าของนางคล้ายกับองค์หญิงเซี่ยโฮวหยินมาก
ยกเว้นสีแดงสดที่มีสีเดียวกัน เข็มขัดที่เข้าคู่กันนั้นแทบจะไม่เหมือนกันเลย
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ!
ซูมู่เก๋อ ไม่สนใจ แต่องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินไม่มีความสุข
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเห็นลวดลายหางนกยูงที่มุมตาของซูมู่เก๋อ นางก็อดอิจฉาไม่ได้ “นอกจากใบหน้าที่น่าเกลียดของเจ้าแล้ว เจ้ายังน่ากลัวกว่าเดิมด้วยสิ่งที่น่าขยะแขยงบนดวงตาของเจ้าแบบนั้น มีเพียงเจ้าเท่านั้น ซูมู่เก๋อ ที่สามารถทําได้”
ซูมู่เก๋อไม่ต้องการโต้เถียงกับนาง “หม่อมข้าไม่กล้าที่จะทําให้องค์หญิงทรงไม่พอพระทัยด้วยใบหน้าที่น่าเกลียดของหม่อมข้าเพค่ะ โปรดทรงประทานอภัยให้หม่อมข้าด้วยเพคะ”
เมื่อเห็นว่าซูมู่เก๋ออยากจะจากไป เซี่ยโฮวหยินก็มีใบหน้าบึ้งตึง
“ซูมู่เก๋อ เจ้าต้องการถูกขับออกจากสนามล่าสัตว์งั้นหรือ? กลับมาเดี๋ยวนี้!”
เพียงแค่นั้นซูมู่เก๋อก็หยุด
องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินสั่งให้นําม้าไปให้ซูมู่เก๋อ ซูมู่เก๋อพบว่าม้าตัวนี้ไม่แข็งแรงเท่าม้าของเซี่ยโฮ่วหยิน แต่มันค่อนข้างเชื่องนางจึงดึงบังเหียนและขึ้นม้าไป
ซูมู่เก๋อตามพวกเขาไปที่ทางเข้าทุ่งล่าสัตว์สตรี ซึ่งมีกลุ่มคนรออยู่ที่นั่นแล้ว
เซี่ยโฮั่วหยินหยุดอยู่หน้ากลุ่ม และมองไปที่ผู้หญิงที่เป็นหัวหน้าในชุดขี่สีน้ำเงินเข้ม “หยุนซุยเหยา ปีนี้เจ้าอยากแข่งกับข้า?”
หยุนซุยเหยาลูกสาวคนโตขององค์หญิงหลิงฮวา มีบรรดาศักดิ์เป็นอินฟานต้า เจียวเยว่
องค์หญิงหลินฮัวเป็นบุตรสาวคนเล็กของพระมารดาเดียวกับองค์จักรพรรดิและเป็นที่โปรดปรานของนางมาก หลังจากที่จักรพรรดิขึ้นครองราชย์ เขาก็รักน้องสาวคนนี้มากเช่นกัน ดังนั้นสถานะของอินฟานต้า เจียวเยว่และขององค์หญิงแปดจึงมีความเท่าเทียมกัน
“ปีนี้ มีกวางซิก้ามีเขาในทุ่งล่าสัตว์ด้วย กวางซิก้านั้นแข็งแรงและว่องไว ดังนั้นใครก็ตามที่ล่ากวางซิก้าได้ก่อนที่จะมืดจะเป็นผู้ชนะ”
“เรียบร้อยแล้ว เอาล่ะ! ไปกันเถอะ! กวางซิก้าเป็นของเรา!” องค์หญิงเซี่ยโฮวหยิน ยกแส้ม้าในมือของนางขึ้นฟาดและรีบควบไปที่สนามล่าสัตว์
ซูมู่เก๋อใช้เวลาของนางและค่อยๆ เข้าไปในสนามล่าสัตว์ด้านหลังพวกเขา
แม้ว่าทุ่งล่าสัตว์ของผู้หญิงจะไม่ใหญ่ไปกว่าสนามของผู้ชาย แต่ก็ยังดูไร้ขอบเขตล้อมรอบไปด้วยป่า ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่ซ่อนตัวอยู่
หลังจากเข้าสู่สนามล่าสัตว์ ทั้งสองกลุ่มก็แยกย้ายกันไป มีเจ็ดคนที่ด้านข้างของซูมู่เก๋อ
ในเวลานี้ องค์หญิงเซี่ยโฮวหยิน ผู้ที่วิ่งอยู่ด้านหน้าหยุดกะทันหัน “ซูมู่เก๋อ มาหากวางกับข้า แล้วพวกเจ้าที่เหลือแยกไปหามันอีกกลุ่ม หลังจากที่เจ้าพบแล้วให้หาวิธีไล่ต้อนมันมาที่นี่”
“เพคะ”
คนอื่น ๆ แยกย้ายกันไปหลังจากได้ยินคําสั่ง เหลือเพียงซูมู่เก๋อและองค์หญิงเซี่ยโฮวหยิน
ซูมู่เก๋อ สงสัยว่าองค์หญิงเซี่ยโฮวหยินต้องการทําอะไร
องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินมองไปที่ซูมู่เก๋ออย่างเงียบ ๆ และขี่ม้าตรงเข้าไปในป่า
ซูมู่เก๋อยังคงตามหลังนางไปโดยไม่เร่งรีบ องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินไม่หยุดจนกระทั่งนางจะเข้าไปในป่าลึก
ซูมู่เก๋อรักษาระยะห่างกับองค์หญิงเซี่ยโฮวหยิน ในกรณี ทันใดนั้น องค์หญิงเซี่ยโฮวหยิน ก็หยุดชั่วขณะจากนั้นก็ควบม้าไปหาซูมู่เก๋อ
“ซูมู่เก๋อ เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าทําไมข้าถึงขอให้เจ้าติดตามข้ามา?”
ซูมู่เก๋อเลิกคิ้วและไม่ตอบกลับ
องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินดูเหมือนจะไม่ต้องการคําตอบของนาง และมองไปที่ใบหน้าของซูมู่เก๋อด้วยความเย้ยหยัน “เพราะข้าอยากเห็นเจ้าทรมานอย่างมาก จนอยากตาย!”
หลังจากพูดจบ เซี่ยโฮวหยินก็เอื้อมมือออกไป และผลักซูมู่เก๋อ
ซูมู่เก๋อถูกเซี่ยโฮวหยินผลักถอยหลังโดยไม่คาดคิด และเกือบตกม้า
แต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินดึงกริชที่เอวของนางและแทงเข้าไปที่ดวงตาของม้าที่ซูมู่เก๋อขี่อยู่
ม้าไม่หลบกริชและถูกแทงจากองค์หญิงเซี่ยโฮวหยินโดยตรง จากนั้น มันก็กระทืบกีบด้วยความเจ็บปวดและยกตัวขึ้นสูง
”อา!”
แม้ว่าซูมู่เก๋อจะขึ้นหลังม้าในทันที แต่นางก็ถูกเหวี่ยงออกไปอย่างดุเดือด
องค์หญิงเซี่ยโฮวหยินเชิดคางขึ้นและมองไปที่ซูมู่เก๋ออย่างพอใจ “ซูมู่เก๋อ การแสดงยังไม่เริ่ม! ใช้เวลาอีกไม่นานก่อนที่เจ้าและแม่ของเจ้าจะหายตัวไปอย่างสมบูรณ์ในเมืองหลวงนี้ ฮ่าฮ่า!” หลังจากที่นางพูดจบ นางก็รีบยกแส้ขึ้นและหมุนตัวเพื่อออกจากป่า
ด้วยใบหน้าทิ้งตึง ซูมู่เก๋อจึงลุกขึ้นโดยใช้มือข้างหนึ่งปิดทับอีกข้างที่ได้รับบาดเจ็บ
ลมกระโชกแรงและต้นไม้ในปาก็ส่งเสียงกรอบแกรบ
ซูมู่เก๋อขมวดคิ้ว เมื่อพบว่าจู่ๆ ตาข่ายสีดําก็ตกลงมาจากท้องฟ้าและปกคลุมนาง
“ฮ่า ฮ่าๆ จับเต่าใส่โกศ!”
เงาดําหลายเงากระโดดลงมาจากต้นไม้และมองไปที่ซูมู่เก๋อในตาข่าย ด้วยท่าทางที่ชั่วร้าย
ซูมู่เก๋อดึงกริชที่เอวของนางและต้องการตัดตาข่าย แต่ไม่ว่านางจะตัดมันอย่างไร ตาข่ายก็ไม่ได้รับความเสียหายเลย
ชายร่างสูงใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อย่าเสียพลังงานไปเปล่า ๆ เลย ตาข่ายนี้ทําขึ้นเป็นพิเศษโดยข้า แม้ว่ากริชของเจ้าจะเสียหาย ตาข่ายของข้าก็ไม่ขาด!”
เมื่อได้ยินคําพูดของเขา ซูมู่เก๋อกํากริชในมือของนางและเอื้อมมือไปหาอะไรบางอย่างที่เอวแต่ล้มเหลว
ชิบหาย! แป้งที่นางพกมาหายไป!
“พี่น้องของข้า เจ้ากําลังรออะไรอยู่? มาเลย!”
ในเวลาต่อมา ซูมู่เก๋อรู้สึกเพียงสายตาของนางสลัวลงและมีกลิ่นฉุนที่ปลายจมูก นางกลั้นหายใจอย่างรวดเร็ว แต่นางรู้สึกเวียนหัวมากขึ้นและหมดสติไปในไม่ช้า
นอกสนามล่าสัตว์ นางจ้าวนั่งบนเก้าอี้ด้วยความวิตกกังวล และมองไปที่ทางเข้าสนามล่าสัตว์เป็นครั้งคราว
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฮูหยินท่านแม่ทัพหลินทําได้เพียงปลอบนางด้วยความอดทน
“ฮูหยินท่านแม่ทัพหลิน ท่านนั่งทําอะไรอยู่ที่นั่น? ท่านไม่ได้สัญญาว่าจะไปล่าสัตว์หรือ?” หญิงสาวในชุดขี่ม้าแอปริคอทก้าวเข้ามาและดึงฮูหยินแม่ทัพหลินออกไป
ฮูหยินแม่ทัพหลินมองไปที่นางจ้าวอย่างเป็นห่วง
“วันนี้ข้ารู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ก็เลยไม่ไป”
หญิงสาวมองไปที่นางจ้าวและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินแม่ทัพหลินเป็นคนใจดีมาก ถ้าเป็นเช่นนั้นให้นายหญิงผู้นี้ไปกับเราเถอะ”
ฮูหยินท่านแม่ทัพหลินตีมือผู้หญิงคนนั้น “เจ้ากําลังพูดถึงอะไร? ฮูหยินซูไม่สามารถล่าได้ ลืมไปซะ ข้าจะไปกับเจ้าเอง” หลังจากพูดจบฮูหยินแม่ทัพหลินก็หันไปหานางจ้าว
“ฮูหยินใต้เท้าซู ถ้าท่านรู้สึกเหนื่อยก็กลับไปพักผ่อนเถอะ”
นางจ้าวพยักหน้าเบา ๆ “ขอบคุณ ฮูหยินแม่ทัพหลินมาก ขอท่านสนุกกับการล่าสัตว์”
เมื่อเห็นว่าผู้คนในปัจจุบันต่างก็พูดคุยกันฮูหยินแม่ทัพหลินก็รู้สึกว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร นางจึงฝากไว้กับผู้หญิงคนหนึ่ง
“โอ้ ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนถูกยกออกจากสนามล่าสัตว์ นางจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่? ไม่น่ามีสัตว์ร้ายในทุ่งล่าสัตว์ของผู้หญิง แต่ใครจะรู้ว่าจะมีการละเว้นหรือไม่”
“มีอะไรแปลกหรือ? สนามล่าสัตว์ใหญ่มากจนเป็นเรื่องปกติสําหรับสัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด”
นางจ้าวที่รู้สึกกังวลอยู่แล้ว จึงลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจและคว้ามือของเทาจ่อด้วยใบหน้าซีดเซียว
“เทาจื่อ เราไปดูกันเถอะ มาเร็ว”
เทาจื่อก็กังวลเช่นกัน “ไม่ต้องห่วงเจ้าข้า มันจะไม่ใช่คุณหนูใหญ่”
เมื่อได้ยินนางพูดถึงซูมู่เก๋อ นางจ้าวแทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่
“เร็วเข้า! เร็วเข้า!”
คนที่นั่งอยู่ข้างหลังนางจ้าวดูเหมือนจะไม่เห็นนางจ้าวจากไป และยังคงสนทนากับผู้หญิงรอบ ๆ ตัวนางด้วยรอยยิ้ม
ซูมู่เก๋อรู้สึกเจ็บหัวมากราวกับถูกรถม้าวิ่งทับ
นางค่อยๆ ตื่นขึ้นมาและนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
นางพยายามที่จะลุกขึ้น แต่นางก็อ่อนแอเกินกว่าจะออกแรงบีบมดได้
นางมองไปรอบ ๆ มันมืดสลัว โดยรอบมีเพียงแสงจาง ๆ ที่ส่องผ่านรอยแตกในประตูไม้เก่าๆ
ซูมู่เก๋ออ้าปากและพยายามตะโกน แต่เสียงของนางอ่อนแอมากจนนางเองยังไม่ได้ยินชัดเจน
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก และในไม่ช้าประตูไม้ก็เปิดออก ผู้ชายที่จับนางเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
“โอ้ ในที่สุดความงามก็ตื่นขึ้นแล้ว”
ซูมู่เก๋อจ้องมองพวกเขาอย่างเย็นชา
ศีรษะของชายผู้นั้นก้มต่ำลงและยกคางนางขึ้น “ใบหน้าสวยจริงๆ และภาพวาดบนใบหน้าก็ดูสดใสมาก ข้าชักสงสัยแล้วสิว่าความงามนั้นรสชาติเป็นอย่างไร”
“เจ้านาย อย่าเสียเวลาเลย เพียงแค่เดินหน้าต่อ เราจะต้องกลับไปรายงานภารกิจของเราในอีกประเดี๋ยว!” ชายร่างอ้วนพูดอย่างไม่อดทน
“เจ้าช่างน่าเบื่อซะจริง”
หลังจากที่ชายคนนั้นพูดจบ เขาก็อุ้มซูมู่เก๋อขึ้นจากพื้น แล้วโยนนางลงบนเตียงไม้เพียงตัวเดียวในห้อง
“ความงามตัวน้อย ที่นี่มันโทรม เจ้าคงต้องทนอยู่ชั่วครู่ ชายคนนั้นหัวเราะอย่างชั่วร้าย เอื้อมมือไปจับมือของซูมู่เก๋อไว้ แล้วยัดยาเข้าไปในปากของนาง
ซูมู่เก๋อมีความเชี่ยวชาญด้านเภสัชวิทยาและรู้ว่ามันคืออะไรทันทีที่นางได้ลิ้มรสยา!
ไอ้เลว!
ซูมู่เก๋อหายใจเข้าลึก ๆ และพยายามคายเม็ดยาออกมา แต่ถูกชายคนนั้นบังคับให้กลืนลงไป
“รสชาติดีหรือไม่? ไม่ต้องกลัว จะมีสิ่งที่ดีกว่าเกิดขึ้นในอีกไม่นาน”
แต่ครู่หนึ่ง ซูมู่เก๋อรู้สึกเจ็บแปลบในร่างกายราวกับว่ามีดสั้นหลายพันเล่มถูกแทงเข้าไปในร่างกายของนางพร้อมๆกัน
“อึก” นางขดตัว กัดฟันแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองส่งเสียง
“มันเป็นเรื่องแปลก มีอะไรผิดปกติหรือไม่?” เมื่อเห็นผิวที่ไม่สบายและซีดของซูมู่เก๋อ ชายคนนั้นก็หันไปมองคนของเขาด้วยความสับสน
“เจ้านาย ท่านป้อนยาผิดให้นางหรือ?”
ชายหัวหน้ากลุ่มส่ายหัว เขาจะมียาเม็ดอื่นได้อย่างไร?
“ถ้าอย่างนั้น เราจะทําอย่างไร? เราจะดําเนินการต่อหรือไม่?”
ชายผู้เป็นหัวหน้าก็งงงวยเช่นกัน พวกเขาถูกบอกให้ทรมานความงามตัวเล็ก ๆ นี้ แต่คนที่ อยู่เบื้องหลังไม่ได้ขอให้พวกเขาฆ่านาง
“เอ่อ!”
ซูมู่เก๋อรู้สึกปวดกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ซึ่งเจ็บปวดมากจนนางอยากจะตายไป แต่ยิ่งนางมีความเจ็บปวดมากเท่าไหร่ นางก็กลับเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะ
“อา!!”
“เจ้านาย นางเลือดออกจากอวัยวะทั้งเจ็ดของนาง!” ชายอ้วนตกใจแทบสิ้นสติ
ชายผู้เป็นหัวหน้าตกใจและหันกลับไปมอง เห็นเพียงใบหน้าซีดเซียวของซูมู่เก๋อที่เต็มไปด้วยเลือด
“เร็ว! วิ่ง! เจ้ากําลังรออะไรอยู่? หนีเร็ว!”
พวกผู้ชายเหล่านั้นรีบออกจากบ้านไม้อย่างเร่งรีบ ทิ้งซูมู่เก๋อนอนจมกองเลือดอยู่ที่นั่น
หลังจากคนเหล่านั้นจากไปภาพเงาสีดําก็พุ่งออกมาจากความมืด ภายใต้แสงแดดกริชในมือของเขาสะท้อนแสงเย็นที่พร่างพราว เขาเดินเข้าไปในบ้านมองไปที่ซูมู่เก๋อที่ไม่เคลื่อนไหวและยกกริชขึ้นสูง!
บทที่ 80 ขอให้โชคดี
เมื่อซูมู่เก๋อและนางจ้าวเดินออกจากประตู ซูหลุนและนางอันก็เข้าไปในรถม้าแล้ว หากไม่มีรถม้ามากมายในคฤหาสน์ตระกูลซู ซูมู่เก๋อ และ นางข้าว สามารถนั่งตรงที่คนขับได้เท่านั้น
งานชุมนุมล่าสัตว์อาจกล่าวได้ว่าเป็นงานใหญ่ประจําปีในแวดวงขุนนางในเมืองหลวง คฤหาสน์ทุกหลังที่ได้รับคําเชิญจะต้องรวมตัวกันนอกประตูพระราชวังและออกเดินทางไปสนามล่าสัตว์นอกเมืองในรูปแบบขบวนเดียวกัน
ระหว่างทางจากเมืองหลวงไปยังรอบนอกของเมือง จะมีกิจกรรมการโปรยเหรียญทองแดงและคนทั่วไปทุกคนสามารถหยิบมันได้
ตําแหน่งทางการของซูหลุนไม่สูงนัก ดังนั้นรถม้าของเขาจึงสามารถตามหลังรถม้าของตระกูลขุนนางเหล่านั้นได้เท่านั้น
“คุณหนูขอรับ องค์จักรพรรดิจะเข้าร่วมงานล่าสัตว์ในปีนี้ด้วย” ซินหลันที่เดินตามรถม้าออกไปนอกเมืองด้วย เดินเข้ามาหาม่านแล้วกระซิบ
ครั้งนี้ซูมู่เก๋อออกมาพร้อมกับสาวใช้สองคน ซินหลันและชินเอ๋อ และทิ้งเยว่ไว้ที่ลานดอกท้อ ท้ายที่สุดนางไม่สามารถวางใจได้ที่จะทิ้งเหวินโม่ไว้ที่บ้านคนเดียว
“เมื่อปีที่แล้ว องค์จักรพรรดิไม่ได้เข้าร่วม เนื่องจากอาการประชวร ในปีนี้ หลังจากการรักษาของคุณหนู องค์จักรพรรดิสามารถมาที่งานล่าสัตว์ได้ คุณหนู ท่านยอดเยี่ยมจริงๆ” เทาจื่อยิ้มให้อีกฝ่าย
ไม่ว่าจักรพรรดิจะเข้าร่วมงานล่าสัตว์หรือไม่ และเหตุผลของมันก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พวกเขาเอามมาพูดคุยกันได้
นางจ้าวก็กังวลเกี่ยวกับซูเหวินโม่มาก นางจึงทิ้งเหมยฮัวไว้ที่บ้านเพื่อดูแลเขาและพาเหอฮัวและเทาจื่อออกมากับนาง
“เทาจื่อ อย่าพูดเรื่องไร้สาระ!” เมื่อได้ยินคําพูดของเทาจื่อ เหอฮัวก็ขัดจังหวะและตําหนินางทันที
เหอฮัวเคยเป็นสาวใช้คนสําคัญของนางจ้าว แม้ว่านางจะอารมณ์ร้อน แต่นางก็มีความมั่นคงและมั่นคงมากกว่าเทาจื่อ เมื่อถูกเหอฮัวดุทําให้เทาจื่อไม่กล้าพูดอะไร
ซูมู่เก๋อยกม่านขึ้นเล็กน้อยและมองออกไป ถนนทั้งสายเต็มไปด้วยรถม้า “จงใส่ใจกับคําพูดและการกระทําของเจ้า อย่าสร้างปัญหาโดยไม่จําเป็นเพราะลิ้นที่หละหลวม ๆ ของเจ้า”
เมื่อได้ยินคําพูดของนาง สาวใช้ทุกคนก็ก้มหัวขอโทษ
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ในที่สุดรถม้าที่อยู่ด้านหน้าก็เคลื่อนตัวต่อไป
ซูมู่เก๋อปิดม่านและนั่งเงียบ ๆ ในรถม้า
“มู่มู่ เจ้าคิดว่าข้าควรทําอะไรในอีกสักครู่? ข้าทําอะไรไม่ได้” นางจ้าว พูดอย่างเชื่องช้าเล็กน้อย
นางตัดสินใจเข้าร่วมงานล่าสัตว์ โดยไม่ได้คํานึงถึงว่าซูมู่เก๋ออยู่ในวัยที่แต่งงานได้ และนางต้องการมองหาครอบครัวที่ดีสําหรับนาง นางไม่สนใจว่าตระกูลของเขาจะสูงส่งเพียงใด นางหวังเพียงว่าจะได้พบกับผู้ชายที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์
แต่ตลอดชีวิต นางอยู่แค่ที่ลานเล็ก ๆ ของคฤหาสน์ซูตลอดทั้งปีและไม่ได้เห็นคนแปลกหน้ามากนัก นับประสาอะไรกับการเข้าร่วมในงานใหญ่เช่นนี้
เมื่อคิดว่านางจะต้องเผชิญหน้ากับขุนนางเหล่านั้นที่นางไม่เคยพบมาก่อน นางรู้สึกประหม่าอย่างมากทําให้ร่างกายของนางแข็งเกร็ง
“ท่านแม่ ลองนึกดูว่าท่านกําลังดื่มน้ำชายามบ่ายที่ลานบ้านของเรา หากมีคนคุยกับท่าน เพียงแค่ตอบกลับ เป็นเพียงงานพบปะพูดคุยและท่านไม่จําเป็นต้องมีทักษะใด ๆ” ซูมู่เก๋อย้ายไปนั่งข้างนางจ้าว และจับมือนาง ขณะที่ปลอบโยนนางอย่างอ่อนโยน
นางคิดว่านางจ้าวจะต้องรู้สึกอายเกี่ยวกับโอกาสแบบนี้ เมื่อแม่ของนางบอกว่านางอยากมาตอนแรกนางก็แปลกใจเล็กน้อย แต่เนื่องจากแม่ของนางริเริ่มที่จะปรับตัวให้เข้ากับแวดวงนี้ นางจึงไม่มีเหตุผลที่จะกีดกันแม่ของนางได้
เป็นครั้งแรกที่นางจ้าวปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนจํานวนมาก ดังนั้นนางจึงรู้สึกประหม่าและเสียหน้าได้อย่างง่ายดาย ซูมู่เก๋อจึงตัดสินใจที่จะอยู่กับนางจ้าว หลังจากนั้นสักครู่เพื่อไม่ให้ท้อแท้ในความกระตือรือร้นในการเข้าสังคมในอนาคต
หลังจากนั้นไม่นาน ซูมู่เก๋อก็ได้ยินเสียงดังอยู่ข้างนอก มันน่าจะเป็นเสียงโปรยเหรียญทองแดง
ซูมู่เก๋อไม่ได้เห็นฉากที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้มานานแล้ว และยังรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยในใจของนาง นางแอบเปิดม่านขึ้นและมองไปที่ผู้คนทั่วไปทั้งสองฝั่งของถนน ที่กําลังจับเหรียญอย่างตื่นเต้น
“คุณหนู รีบปิดม่านไม่งั้นจะมีคนเห็นเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของซูมู่เก๋อเผยให้เห็นครึ่งหนึ่ง ซินเอ๋อก็รีบเอื้อมมือไปบิดม่าน ซูมู่เก๋อยักไหล่และเอนตัวลงบนรถม้าโดยหลับตาเพื่อพักผ่อน
เซี่ยโฮวโม่ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดขององครักษ์ของจักรวรรดิต้องคอยปกป้ององค์จักรพรรดิตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัยของเขา
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย ในชุดคลุมมังกรสีเหลืองสดใส นั่งอยู่ในรถม้าที่ล้อมรอบด้วยผ้าโปร่ง เมื่อมองไปที่ผู้คนที่ตื่นเต้นอยู่ด้านล่างเขาก็มีหน้าตาร่าเริง
นางสนมฉิน ด้วยความสง่างามอย่างราชวงศ์ นั่งถัดจากองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย เมื่อเห็นองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยอารมณ์ดี นางก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ราชอาณาจักรฉู่ รุ่งเรืองมากภายใต้การปกครองของฝ่าบาท เพค่ะ”
จักรพรรดิทุกพระองค์ต้องการให้แคว้นของเขาเจริญรุ่งเรืองและมีอํานาจมากขึ้น รวมถึงองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย
“ผิวพรรณของเสด็จพ่อเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้าได้นําเสือดาวหลายตัวกลับมาจากทางตะวันตกและข้าเกรงว่าในไม่ช้าพวกมันจะต้องร้องขอความเมตตาภายใต้ลูกศรของเสด็จพ่อ ” เซี่ยโฮวคุณควบม้าไปที่รถม้าขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย และส่งเสียงของเขา
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยไม่ได้รู้สึกสดชื่นมานานและกระตือรือร้นที่จะต่อสู้ “ฮ่า ฮ่าๆ พูดได้ดี!”
เซี่ยโฮวโม่กําลังขี่ม้าอยู่อีกด้านหนึ่งของรถม้าและอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่หางของขบวน
งานชุมนุมล่าสัตว์จัดขึ้นที่สนามล่าสัตว์ของจักรวรรดิในเขตชานเมือง ครอบคลุมพื้นที่หลายหมื่นเอเคอร์และเชื่อมต่อกับภูเขา
งานล่าสัตว์กินเวลาสองวันและทุกคนจะพักผ่อนในกระโจมและที่พักชั่วคราวขององค์จักรพรรดิในตอนกลางคืน
หลังจากการเดินทางที่ทําให้มึนงง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่หมาย
“นายหญิง คุณหนูเจ้าค่ะ มีคนที่อยู่ข้างหน้ามาบอกเราว่า เราควรพักผ่อนในกระโจมและงานล่าสัตว์จะเริ่มหลังอาหารกลางวัน” ซินเช่อยกม่านประตูขึ้นและช่วยซูมู่เก๋อและจ้าวออกไป
เมื่อออกจากรถม้า ซูมู่เก๋อสัมผัสได้ถึงสายตาที่เป็นอันตรายและเงยหน้าขึ้น ก็สบเข้ากับสายตาซูจิงเหวิน
ซูจิงเหวินไม่ได้คาดหวังว่าซูมู่เก๋อจะมองไปที่นางอย่างกะทันหันและสบตากับซูมู่เก๋อโดยตรงก่อนที่นางจะมองเลยไป
ซูจิงเหวินยืนนิ่งพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของซูมู่เก๋อ อย่างไม่สามารถควบคุมได้ เพื่อให้ดวงตาของนางแม่นยําขึ้น
ซูจิงเหวินยกมุมริมฝีปากขึ้นอย่างไม่เต็มใจ “พี่สาว ตาท่านทาสีอะไร? สวยมาก!”
ซูมู่เก๋อแสดงออกอย่างเหนื่อยหน่าย และช่วยพยุงนางจ้าว “ไม่มีอะไรพิเศษ แค่ภาพวาดของข้า”
เสียงของซูจิงเหวินดังพอที่จะดึงดูดหญิงสาวสองสามคนให้หันมามองนาง
ด้วยใบหน้าที่สวยงามและอารมณ์ที่สง่างามเป็นพิเศษ ซูมู่เก๋อจึงสะดุดตาในชุดขี่ม้าสีแดงที่ร้อนแรงของนาง
“ภาพวาดบนใบหน้าของนางสวยงามมาก”
“สวยจริง แต่มันเกินจริงไป”
เมื่อเห็นว่าซูมู่เก๋อเอาชนะนางได้ทั้งหมด ซูจิงเหวินก็รู้สึกหงุดหงิด
อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้ทําตัวให้ดูออกว่าเป็นศัตรูกับซูมู่เก๋อ
“พี่ใหญ่ งานชุมนุมล่าสัตว์จะไม่เริ่มจนถึงบ่าย ไปพักผ่อนในกระโจมของเราก่อนเถอะ”
ซูหลุนและนางอันนั่งอยู่ในกระโจมที่พักเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา นางอันก็รีบจัดคนเพื่อรับใช้พวกเขา
“พี่จ้าว ท่านจะไปล่าสัตว์อีกสักครู่หรือไม่เจ้าค่ะ?” นางอันถามนางจ้าวด้วยรอยยิ้ม ขณะที่ยื่นขนมให้นาง
ทันใดนั้น นางจ้าวก็รู้สึกประหม่า “ข้าไม่สามารถล่าสัตว์ได้ ดังนั้นข้าจะไม่ไป”
นางอันที่รับรู้ถึงความกังวลใจและปลอบโยนนาง “พี่สาว อย่าได้กังวลไปเลยเจ้าค่ะ ข้าทําไม่ได้เช่นกัน มารอที่เพิงพักรอชมด้วยกันเจ้าค่ะ ใต้เท้าบอกว่าวันนี้องค์จักรพรรดิจะเสด็จล่าเสือและเสือดาว เราอาจมีเนื้อเสือดาวสําหรับมื้อเย็นคืนนี้”
อาหารกลางวันถูกส่งโดยราชสํานักอย่างสม่ำเสมอ หลังจากรับประทานอาหารกลางวันและก่อนที่พวกเขาจะงีบหลับ พวกเขาได้รับแจ้งว่างานล่าสัตว์กําลังจะเริ่มขึ้น
ในฐานะขุนนางที่จะเข้าร่วมงาน ซูหลุนได้ออกจากกระโจมที่พักของแล้วและมุ่งหน้าไปที่งาน
ซูมู่เก๋อ และทุกคนก็ถูกนําตัวไปยังพื้นที่รอของผู้หญิง
“พี่ใหญ่ ท่านอยากไปล่าสัตว์หรือไม่?”
มีสนามล่าสัตว์ล้อมรอบเป็นพิเศษสําหรับผู้หญิงที่ต้องการล่าสัตว์
ซูมู่เก๋อเคยได้ยินจากเยว่รู้ว่าจะมีการจัดการแข่งขันล่าสัตว์สําหรับผู้หญิงทุกปี แต่นางไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้าร่วม
“เจ้าจะไปงั้นหรือ?”
ซูจิงเหวินเชิดหน้าของนาง “แน่นอน ข้าสัญญากับท่านแม่ว่าจะล่ากระต่ายสองตัวเพื่อให้นางทําถุงมือ”
“งั้น ข้าขอแสดงความยินดีล่วงหน้าด้วยนะ” ในขณะที่พูด ซูมู่เก๋อช่วยนางจ้าวนั่งลงข้างๆ
“ซูมู่เก๋ออยู่ไหน? ทําไมนางยังไม่มา?”
ก่อนที่ซูมู่เก๋อจะนั่งลง นางก็ได้ยินเสียงที่ค่อนข้างโกรธเกรี้ยว
ทุกคนมองขึ้นไปและเห็นองค์หญิงเซี่ยโฮวหยิน องค์หญิงแปดในชุดล่าสัตว์สีแดงสดอยู่บนหลังม้า
ด้านหลังของนาง มีผู้หญิงหลายคนที่สวมชุดล่าสัตว์และสะพายธนูพร้อมลูกศรไว้ด้านหลัง
เมื่อเห็นซูมู่เก๋อนั่งอยู่บนที่นั่งผู้ชม เชียโฮวหยินก็ขึ้นเสียงของนาง “ซูมู่เก๋อ เจ้านั่งทําอะไรอยู่ที่นั่น? เร็วเข้า! การแข่งขันกําลังจะเริ่มขึ้น เจ้าต้องการให้ข้าขึ้นไปและเชิญเจ้าลงมางั้นหรือ?”
ซูมู่เก๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย เซี่ยโฮวหยินดูเหมือนจะเตรียมตัวมาอย่างดี
“หม่อมข้าไม่อาจรู้ความหมายที่องค์หญิงทรงรับสั่งได้เพค่ะ? หม่อมข้าไม่ได้ให้สัญญาว่าจะเข้าร่วมการแข่งขันใด ๆ เพคะ?”
เมื่อได้ยินคําพูดของนาง เซี่ยโฮวหยินก็หัวเราะเยาะ “ไม่สัญญางั้นรึ? เจ้าตอบรับคําเชิญของข้ามาร่วมงานล่าสัตว์ครั้งนี้ เจ้ากล้าปฏิเสธได้อย่างไร?”
“คุณหนซู ท่านตอบรับคําเชิญจากองค์หญิงแปดหรือไม่?” ฮูหยินแม่ทัพหลินในชุดขี่ม้าสีแดงอมม่วงเดินเข้าไปหาซูมู่เก๋อโดยไม่รู้ตัวจากด้านหลังและถาม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูมู่เก๋อก็ตระหนักได้ทันทีว่าคําเชิญที่นางได้รับในพระราชวังนั้นถูกส่งมาโดยเซี่ยโฮวหยิน
น่าเสียดายที่นางประมาทเกินไป และคิดว่าเป็นองค์หญิงเซี่ยโฮวซี ส่งมา!
“คุณหนูซู ท่านอาจไม่รู้ว่าองค์ชายและองค์หญิงต่างก็มีคําเชิญหลายคําเชิญ และใครก็ตามที่ได้รับคําเชิญจะต้องเข้าร่วมทีมล่าสัตว์ของพวกเขา ตราบใดที่พวกเขาไปที่สนามล่าสัตว์ผู้ได้รับคําเชิญจะต้องร่วมล่าสัตว์กับพวกเขาด้วย”
เป็นอย่างนั้น!
“ถ้าข้าไม่ไปล่ะ?” นางไม่คิดว่าเซี่ยโฮวหยินมีเจตนาที่ดีที่จะเชิญนาง
ฮูหยินแม่ทัพหลินขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณหนูซู ถ้าท่านไม่ไป ท่านต้องหาคนมาทําหน้าที่แทนท่าน ไม่เช่นนั้นท่านจะถูกขับออกจากสนามล่าสัตว์” การถูกขับออกจากสนามล่าสัตว์ต่อหน้าทุกคนในเมืองหลวงเป็นเรื่องที่น่าอับอายจริงแท้ แน่นอน
ซูมู่เก๋อหรี่ตาเล็กน้อย “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณที่เตือนข้าฮูหยินท่านแม่ทัพหลิน”
นางจ้าว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและมองไปที่ซูมู่เก๋ออย่างเป็นห่วง
“มู่มู่เกิดอะไรขึ้น”
ซูมู่เก๋อช่วยนางจ้าวนั่งลง “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ องค์หญิงแปดขอให้ข้าไปล่าสัตว์กับนาง”
“ล่าสัตว์? เจ้าไม่สามารถขี่ม้าได้ เจ้าจะล่าได้อย่างไร?” เมื่อได้ยินคําพูดของนาง นางจ้าวก็ยิ่งกังวลมากขึ้น
“ท่านแม่ ตอนที่ข้าไปที่คฤหาสน์แม่ทัพหลิน เพื่อรักษาฮูหยินแม่ทัพหลิน นางเคยสอนข้าขี่ม้า”
“นี่มันจะดีจริงหรือ?”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฮูหยินแม่ทัพหลินจับแขนของนางจ้าวและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินซู มั่นใจได้ คุณหนูซูกําลังจะสนุกไปกับเหล่าองค์หญิงและไม่มีอะไรต้องกังวล” หลังจากพูดจบ นางทําให้ซูมู่เก๋อดูผ่อนคลายและส่งสัญญาณให้รีบไปตามคําเชิญของเซี่ยโฮวหยินและคนอื่น ๆ
“ ขอบคุณ ฮูหยินแม่ทัพหลิน”
“ไปเถอะ”
เมื่อมองไปที่ร่างที่ถอยห่างออกไปของซูมู่เก๋อ ซูจิงเหวินก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มแห่งความสําเร็จที่ชั่วร้าย เมื่อนางมองไปที่เซี่ยโฮวหยิน นางก็แสดงออกอย่างสุภาพ
ซูมู่เก๋อ ขอให้โชคดี!
บทที่ 79 : งานชุมนุมล่าสัตว์
ซูมู่เก๋อจ้องมองเซี่ยโฮ่วโม่ที่นั่งลงบนรถม้า
หลังจากนั่งลง เซี่ยโฮวโม่ก็มองไปที่นาง
“เนื่องจากเจ้าชอบกาน้ำชาเคลือบหยกที่มีลวดลายนกที่แสดงความเคารพต่อนกฟีนิกซ์มาก ข้าจะมอบมันให้เจ้า”
ซูมู่เก๋อมองลงไปและพบว่านางกํากาน้ำชาไว้แน่นราวกับว่านางไม่เต็มใจที่จะปล่อยมันไป
นางวางกาน้ำชากลับลงบนโต๊ะอย่างเขินอาย
“ท่านไม่ได้ขี่ม้าออกไปแล้วหรือ?” เขากลับมาทําไม?!
เซี่ยโฮวโม่หยิบกาน้ำชาและรินชาให้ตัวเอง “จู่ๆ อากาศเริ่มหนาวเย็นลงทันใด ข้าก็เลยรู้สึกอยากนั่งรถม้า”
ซูมู่เก๋อพยักหน้า ในพื้นที่แคบของรถม้า นางมักจะรู้สึกท่วมท้นด้วยลมหายใจของเซี่ยโฮวโม่
เมื่อเห็นนางนั่งอยู่ที่มุมเหมือนลูกแมว เซี่ยโฮวโม่ก็รู้สึกอยากแกล้งนาง
“เจ้าได้รับคําเชิญไปงานงานชุมนุมล่าสัตว์หรือไม่?”
งานชุมนุมล่าสัตว์เป็นหัวข้อที่ซูมู่เก๋อได้ยินบ่อยที่สุดในทุกวันนี้
“ฝ่าบาทจะเข้าร่วมงานชุมนุมล่าสัตว์ด้วยหรือไม่ เพค่ะ?”
เซี่ยโฮวโม่ไม่ตอบกลับ แต่ถามว่า “เจ้าต้องการให้ข้าไปไหม?”
“เอ่อ…” มันยากมากที่จะสนทนากับเขา ซูมู่เก๋อรู้สึกว่านางต้องอยู่ในความปกป้องตัวเองเพื่อรับมือกับเขา
“ฝ่าบาทกล้าหาญและไม่มีใครเทียบได้ หญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานหลายคนหวังว่าจะได้พบพระองค์ในงานงานชุมนุมล่าสัตว์ เพค่ะ”
เซี่ยโฮวโม่ยกมุมริมฝีปากขึ้นและมองนางด้วยรอยยิ้มจาง ๆ
ซูมู่เก๋อรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่ถูกเขาจับตาดู แต่โชคดี รถม้าหยุดลงในเวลานี้
“คุณหนูซู ถึงแล้วขอรับ”
ซูมู่เก๋อยกม่านประตู แล้วกระโดดลงไป โดยไม่เหยียบที่เหยียบเท้าเหมือนวิ่งหนี
“ขอบพระทัย ฝ่าบาทเพคะ โปรดอภัยแก่หม่อมข้าด้วย หม่อมข้าขอทูลลา”
เซี่ยโฮวโม่ยกม่านขึ้นเล็กน้อยและมองดูร่างเล็ก ๆ ของนางค่อยๆหายไปที่ประตูของคฤหาสน์ตระกูลซู พร้อมกับรอยยิ้มที่สั่นไหวในดวงตาสีดํามืดของเขา
“ฝ่าบาท คนขององค์ชายสองยังไม่ยอมแพ้และเดินไปรอบ ๆ เหมืองทองคํา ข้ากลัวว่าเขาจะดําเนินการ” โจวคิ้วขี่รถมาเทียบรถม้าและกระซิบกับหน้าต่าง
พวกเขาพยายามอย่างมากที่จะปกปิดเหมืองทองคําที่พวกเขาค้นพบก่อนหน้านี้ ตอนนี้เหมืองทองถูกใช้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดในเวลานี้
ในรถม้า เสี่ยโฮวโม่สวมรูปลักษณ์เข้มและมืดมน “จะใช้เวลานานแค่ไหนในการหาประโยชน์จากเหมืองทองให้เสร็จ”
“อย่างน้อยหนึ่งเดือน พะยะค่ะ”
เหมืองทองแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนหน้าด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด
“พี่สองยุ่งกับการวิ่งดําเนินการเรื่องนี้มานานแล้ว และถึงเวลาที่เขาต้องพักผ่อนสักพัก”
ได้ยินคําพูดของเขา โจวซิ่วรู้ความหมายในใจของเขาเป็นอย่างดี “พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท หม่อมข้าจะจัดการมันทันที”
ในอีกด้านหนึ่ง ซูมู่เก๋อกลับไปที่ลานดอกท้อ และไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้จนกว่านางจะดื่มน้ำร้อนหมดไปสองถ้วย
ให้ตายสิ ทุกครั้งที่นางพบเซี่ยโฮวโม่ นางอยู่ในสภาพที่น่าอับอาย
“คุณหนูเจ้าค่ะ คนเฝ้าประตูชื่อหลี่ปิงบอกว่าชายหนุ่มชื่อเฉิงหรันมาหาท่านเมื่อสองชั่วโมงก่อน หลี่ปิงพบว่าคําพูดของเขาค่อนข้างน่าเชื่อถือและปล่อยให้เขารออยู่ข้างนอก”
เจิ้งหรันเป็นเด็กชายที่ซูมู่เก๋อเคยช่วยชีวิตบนถนนก่อนหน้านี้ เมื่อนางจากมา นางบอกให้เขามาหานางที่คฤหาสน์ตระกูลซูหลัง จากที่น้องชายของเขาอาการดีขึ้น
“ไปพาเขาไปที่สวนเล็ก”
“เจ้าค่ะ”
ซูมู่เก๋อเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงแขนยาว แขนกว้างลายดอกโบตั๋น สีขาวพระจันทร์แบบสบาย ๆ โดยไม่ต้องใช้เข็มขัดและประดับผมยาวของนางด้วยกบหยกธรรมดา
นางขอให้เยว่รู้ตัดผมหน้าม้าเพื่อปกปิดปานที่มุมดวงตาของนาง มองแวบแรกนางดูเหมือนคนธรรมดา
เมื่อซูมู่เก๋อมาถึงสวนเล็ก เฉิงหรันรออยู่นอกศาลาในสวนพร้อมกับซินเอ๋อร์
“คุณหนูใหญ่”
“คุณหนูใหญ่ซู ข้าขอคารวะ”
เมื่อเห็นซูมู่เก๋อมา ทั้งสองก็โค้งคํานับเพื่อแสดงความเคารพ
เฉิงหรันสวมเสื้อคลุมสีเทาเหล็กเรียบร้อยในวันนี้ซึ่งสะอาดและสดชื่นแต่สีจางหายไป ซูมู่เก๋อรู้ว่ามันอาจจะเป็นเสื้อคลุมที่ดีที่สุดของเด็กคนนี้
ซูมู่เก๋อเดินเข้าไปในศาลาและนั่งลงขอให้เยวรูและสาวใช้คนอื่น ๆ ถอยออกไปและปกป้องอยู่ด้านนอก
ศาลาเปิดทุกด้านเผยให้เห็นสถานการณ์ภายในอย่างชัดเจน แต่ด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี นางจึงรักษาระยะห่างกับเจิ้งหรัน เพื่อไม่ให้ใครเห็นและเอาไปพูดได้
“น้องชายของเจ้าดีขึ้นหรือยัง?”
“คุณหนู ขอบคุณมากสําหรับการดูแลน้องชายของข้า เขาดีขึ้นมากในทุกวันนี้ ขอรับ”
“อาการป่วยของน้องชายของเจ้าเกิดจากการขาดสารอาหารมายาวนาน เขาจะสบายดีหลังจากได้รับดูแลอย่างใกล้ชิดในอนาคต มั่นใจได้เลย”
“คุณหนูซู ท่านรักษาอาการป่วยของน้องชายข้าแล้ว ท่านจึงเป็นผู้มีพระคุณของข้า ข้าเต็มใจที่จะให้การตอบแทนท่านอย่างดีที่สุด”
“ตอนนี้ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า แต่เจ้าต้องคิดมันให้ชัดเจน อิสรภาพและชีวิตของเจ้าจะถูกควบคุมในอนาคต ตอนนี้ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้งที่จะคิดเพื่อไม่เสียใจ ถ้าเจ้าจากไปตอนนี้ ข้าจะถือว่าการทําความดีของข้าเป็นการสะสมบุญ”
เฉิงหรันคุกเข่าลงด้วยท่าทางที่มั่นคง “ข้าเฉิงหรันจะไม่เสียใจ”
“ตกลง แล้วเซ็นชื่อ” ซูมู่เก๋อหยิบเอาหนังสือสัญญาทาสออกมาให้เขา
เฉิงหรันไม่ลังเลมากเกินไปและกดลายนิ้วมือของเขาโดยตรง
ซูมู่เก๋อขอให้เยว่รู่เก็บรวบรวมสัญญายอมรับสภาพความเป็นทาศและวาง 50 เหลียงไว้บนโต๊ะ
“รับไปและช่วยข้าหาเด็กที่ไร้เดียงสาห้าถึงสิบคน และเด็กที่ฉลาดแต่จรจัดอายุประมาณสิบขวบห้าถึงสิบคน เด็กชายและเด็กหญิงที่ดูปลอดภัย หลังจากนั้นข้าจะบอกเจ้าว่าต้องทําอย่างไรต่อไป”
เฉิงหรันไม่ถามอะไรอีก รับ 50 เหลียงอย่างเคร่งขรึม
ในมุมมองของเขา มันเป็นเพราะซูมู่เก๋อเชื่อใจเขา นางถึงให้เงินจํานวนมากสําหรับงานแรกของเขา ดังนั้นเขาต้องทําให้ดีที่สุดเพื่อทํางานให้ลุล่วง
“คุณหนู มั่นใจได้เลย ข้าจะทําสิ่งต่างๆให้เสร็จ”
“ขอใจเจ้ามาก เอาเงินนี้ไปซื้ออาหารอร่อย ๆ ให้น้องชายรวมทั้งเสื้อผ้าให้ตัวเองด้วย ตอนนี้เริ่มหนาวแล้ว อย่าเป็นหวัด”
เจิ้งหรันรู้สึกว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณซูมู่เก๋อ และไม่สามารถรับเงินได้อีก แต่เมื่อนึกถึงน้องชายที่ป่วยและผอมของเขา เขาก็รับเงินด้วยดวงตาสีแดงและน้ำตาไหล
“ขอบคุณมากขอรับ คุณหนู
หลังจากเจิ้งหรันจากไป เยวรูและซูมู่เก๋อก็เดินเล่นในสวนเล็ก ๆ
“คุณหนู ท่านทําอะไรลึกลับ?”
แน่นอนมันต้องเป็นสิ่งที่บรรลุอย่างยอดเยี่ยม!
แต่มันเป็นเพียงการเริ่มต้นในตอนนี้ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ตั้งใจที่จะบอกพวกเขาในขณะนี้
ซูมู่เก๋อยิ้มอย่างสนุกสนาน “อยากรู้ไหม?”
เยว่รู่พยักหน้า
“มันเป็นความลับ!” หลังจากเสร็จสิ้น ซูมู่เก๋อก็วิ่งเข้าไปในลานดอกท้อทันที
เยว่รู่ตระหนักได้ทันทีว่านางถูกหลอกและกระทืบเท้าของนาง “คุณหนู ท่านดื้อมาก!”
หลังจากรักษาองค์จักรพรรดิ์เซี่ยโฮวรุยเป็นเวลาครึ่งเดือน ซูมู่เก๋อขับพิษในร่างกายไปที่ขาของเขาได้แล้ว
เป็นได้ชัดว่าจิตวิญญาณขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
ขันทีอถือชามยาเดินเข้าไปในวังหยางอี้ เขามองไปที่องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย ซึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งยาวและพูดเบา ๆ ว่า “ฝ่าบาท ได้เวลาเสวยโอสถแล้ว พะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยวางสิ่งเตือนความจําในมือของเขา หยิบชามและดื่มยาโดยไม่ได้มองไปที่มัน
ขันทีอีรีบยื่นขนมหวานให้เขา แต่จักรพรรดิเซี่ยอาวฮุยส่ายหัว
“ข้าไม่ได้รู้สึกมีพลังมานานแล้ว”
ขันทีอีหัวเราะ “ผิวพรรณของฝ่าบาทดีขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละวัน ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นานในการฟื้นตัวเต็มที่ ขอแสดงความยินดีล่วงหน้า พะย่ะค่ะฝ่าบาท”
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยหัวเราะ “ความสุขใจของข้า เจ้าเลือกเฉพาะคําพูดที่ดีเท่านั้น”
“ฝ่าบาท งานล่าสัตว์กําลังจะมาถึง เมื่อปีที่แล้วฝ่าบาทไม่ได้เข้าร่วมเนื่องจากทรงประชวรในปีนี้พระองค์ต้องการร่วมสนุกหรือไม่ พะย่ะค่ะ?” ขันทีอียื่นน้ำอุ่นให้เขาและถามอย่างไม่แน่ใจ
“งานชุมนุมล่าสัตว์” จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับขมวดคิ้ว
“พะย่ะค่ะ หม่อมข้าได้ยินมาว่าองค์ชายสองได้นําเสือดาวและเสือที่ดุร้ายบางตัวกลับมาจากตะวันตกในปีนี้ โดยอ้างว่าจะล่าพวกมันทั้งหมด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยก็เริ่มสนใจเล็กน้อย “ข้าไม่ได้ออกกําลังกายมานานแล้ว ข้าจะไปร่วมสนุกในครั้งนี้
“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท หม่อมข้าจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อม เพียงสามวันก่อนงานชุมนุมล่าสัตว์”
“จัดการตามนั้น”
สามวันต่อมางานชุมนุมล่าสัตว์ที่เปิดขึ้น
เหล่าข้าราชบริพารและลูก ๆ ของตระกูลขุนนางในเมืองหลวงทุกคนตื่นแต่เช้าและสวมชุดขี่ม้าที่เรียบร้อย พร้อมออกเดินทาง
คําเชิญไปงานล่าสัตว์ออกโดยราชสํานัก ขุนนางขั้น 3 หรือตําแหน่งที่สูงกว่าจะได้รับคําเชิญห้าใบ หนึ่งสําหรับตัวเองอย่างเป็นทางการและส่วนที่เหลือสําหรับฮูหยินและบุตรของเขา
ขุนนางขั้น 4 หรือระดับต่ำกว่าจะได้รับคําเชิญเพียงสามใบ บรรดาขุนนางในตระกูลชั้นสูงต่างก็เชิญมาเป็นของตัวเอง
อและนางจ้าวมีคําเชิญ ดังนั้นเขาจึงเอาบัตรเชิญอีกสองใบให้นางอันและซูจึงเหวิน
งานล่าสัตว์นี้ได้รับการกล่าวขานว่าออกไปล่าสัตว์ แต่ทุกคนทราบความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เหล่านายน้อยและคุณหนูสาวเริ่มเตรียมตัว ทุกคนอยากเป็นที่เจิดจรัสในงานชุมนุมล่าสัตว์นี้
ซูมู่เก๋อไม่อยากร่วมสนุกในตอนแรก แต่นางจ้าวดูตื่นเต้นมากกับงานชุมนุมที่นางสามารถไปกับซูมู่เก๋อได้
ก่อนรุ่งสางซูมู่เก๋อถูกปลุกโดยเยว่รู
“คุณหนู เจ้าค่ะ นี่คือชุดขี่ม้าที่นายหญิงของเราเย็บขึ้นมาเพื่อท่านโดยเฉพาะ รีบใส่เลยเจ้าค่ะ มันต้องดูดีสําหรับท่านแน่”
ซูมู่เก๋อรู้สึกหมดหนทางเล็กน้อยเกี่ยวกับชุดขี่ม้าสีแดงเพลิง
แม่ของนางมักจะรู้สึกว่านางแต่งตัวธรรมดาเกินไปโดยปราศความร่าเริงสดใจของความอ่อนเยาว์ ดังนั้นครั้งนี้นางจึงเย็บชุดขี่ม้าที่สะดุดตามาก
นางตั้งใจจะรักษาความฟูฟ่าไว้ แต่ด้วยชุดขี่ม้าเพียงชุดเดียว นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสวมมัน มิฉะนั้นนางต้องสวมชุดที่ไม่เป็นทางการ นางไม่สนใจแน่นอน แต่ซูหลุนและมารดาของนางไม่ยอมให้นางทําเช่นนั้นแน่
หลังจากแต่งตัว ซูมู่เก๋อยืนอยู่หน้ากระจก
หลังจากช่วงเวลาของการพยาบาลและปรับตัวได้ระยะหนึ่ง สภาพร่างกายของนางก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก และแม้กระทั่งผิวของนางก็ค่อยๆแดงก่ำและมีเลือดฝาด ตอนนี้นางดูแข็งแรงและสดใสขึ้นมาก
“คุณหนู ท่านสวยมาก” ซินเอ๋อร์ชื่นชม
ซูมู่เก๋อมองตัวเองในกระจก หากปานที่มุมตาของนางถูกมองข้ามไป นางก็สวยจริงๆและเหมาะกับสีสันสดใสมาก
“เยว่รู่ เอาสีแดงมาให้ข้าที”
“ท่านอยากแต่งหน้าหรือเจ้าค่ะ? ข้าจะไปทันที “เยวรูดีใจมาก ดีใจมากที่ได้เห็นคุณหนูเต็มใจแต่งตัว!
หลังจากได้สีแดงแล้ว ซูมู่เก๋อก็พุ่มมันลงบนใบหน้าด้วยนิ้วมือของนาง
เมื่อเห็นนางปกปิดปานของนางเท่านั้น เยารูรู้สึกกังวลเล็กน้อยและพยายามช่วยนางแต่งหน้าให้ทั่วใบหน้า
“คุณหนูเจ้าค่ะ ข้าขอช่วยท่านได้หรือไม่?”
ซูมู่เก๋อตอบโดยไม่กระพริบตา “ไม่”
หลังจากผ่านไปหนึ่งส่วน ซูมู่เก๋อก็แต่งหน้าเสร็จ นางทําความสะอาดนิ้วด้วยผ้าเช็ดหน้า แล้วหันไปมองเยว่รู่และสาวใช้คนอื่น ๆ ด้วยรอยยิ้ม “เป็นไงล่ะ? มันดูดีไหม?”
“คุ คุณหนูเจ้าค่ะ ใบหน้าของท่าน…”
“คุณหนู อะไร อะไรอยู่บนใบหน้าของท่าน?”
บทที่ 78 : ท่านไม่กลัวรี?
ไม่จนกระทั่งซูมู่เก๋อกลับไปที่ลานดอกท้อ นางจึงนําคําเชิญงานล่าสัตว์ทั้งสองใบออกมาและวางไว้บนโต๊ะ
เมื่อมองแวบแรกไม่มีความแตกต่างระหว่างคําเชิญทั้งสอง แต่เมื่อดูใกล้ ๆ พบว่าดอกไม้ที่ฝังไว้ที่มุมล่างขวาของคําเชิญนั้น แตกต่างกัน
คําเชิญที่ฮูหยินหลินมอบให้นางคือดอกโบตั๋นสีทอง แต่คําเชิญของสาวใช้ตัวน้อยในวังนั้นเป็นดอกกล้วยไม้สีขาวตามจันทรคติ
“คุณหนูเจ้าค่ะ นี่เป็นคําเชิญไปงานงานชุมนุมล่าสัตว์หรือเจ้าค่ะ?”
เยวรูเข้ามาในห้องพร้อมกับน้ำชาและพูดด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นคําเชิญบนโต๊ะ
“เจ้าจําได้ด้วยหรือ?”
เยวรูพยักหน้า “ข้าน้อยเห็นยู่เอ๋อร์ของคุณหนูสองอวดโฉมเมื่อไม่กี่วันก่อน จึงได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เจ้าค่ะ คุณหนู ข้าน้อยเคยได้ยินจากยู่เอ๋อร์ว่าคําเชิญร่วมงานชุมนุมล่าสัตว์นี้หายากมาก ผู้ที่สามารถเข้าร่วมได้ส่วนใหญ่เป็นขุนนางและตระกูลชนชั้นสูงของเมืองหลวง”
ซูมู่เก๋อรินชาให้ตัวเองโดยไม่สนใจอะไรมาก “งานชุมนุมล่าสัตว์นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อการล่าสัตว์ใช่หรือไม่?”
“ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ นายหญิงและสาว ๆ บางคนที่ไม่ชอบวิ่งเล่นจะมารวมตัวกันเพื่อเพลิดเพลินกับทิวทัศน์และพูดคุยกันเจ้าค่ะ”
พูดตรงไปตรงมา มันเป็นการนัดบอดที่คลุมเครือ
“คุณหนูเจ้าค่ะ เมื่อถึงเวลานั้น ท่านและนายหญิงจ้าวต้องแต่งตัวให้พวกเขาประทับใจ!”
เมื่อเห็นเยวรูพูดเหมือนแทบจะตะคอกเพื่อแสดงความไม่พอใจของนาง ซูมู่เก๋อรู้สึกขบขัน
ชุมนุมล่าสัตว์จะจัดขึ้นในต้นเดือนหน้า ซึ่งหลังจากนี้อีกสิบวัน ท่านแม่ของนางสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ สําหรับนาง นางจะคิดเรื่องนี้ในภายหลัง
หลังจากอาบน้ำยาเป็นเวลาสามวัน องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยไม่ได้ถูกล้างพิษ แต่เขามีชีวิตชีวาและกระปรี้กระเปร่ากว่าเดิมมาก
ซูมู่เก๋อหยิบกระเป๋าเข็มเงินออกมาจากชุดเครื่องมือแพทย์ของนางและหันไปมองที่องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย เป็นเวลาสามวันแล้ว ที่รองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินยังไม่หายจากอาการป่วย ดังนั้นการรักษาต่อไปนี้จะต้องดําเนินการโดยซูมู่เก๋อเพียงลําพัง
“ฝ่าบาทเพค่ะ โปรดถอดเสื้อคลุมของพระองค์เพื่อที่หม่อมข้าจะได้ทําการฝังเข็ม เพค่ะ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ขันทีอีก้าวเข้าไปหาเพื่อช่วยองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยถอดเสื้อคลุมของเขา
“มันจะเจ็บเล็กน้อยเมื่อสอดเข็มเข้าไป เพค่ะ ฝ่าบาท โปรดทรงผ่อนคลายและไม่กลัวอันใด”
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยรู้สึกสนุกที่ได้ยินน้ำเสียงปลอบโยนของนาง “ข้าจะไม่กังวลใจ”
“หม่อมข้าให้การรักษาด้วยการฝังเข็มเพื่อขับพิษในร่างกายของฝ่าบาทลงไปที่เท้าเพคะ ดังนั้นเท้าของฝ่าบาทจะอึดอัดเล็กน้อยก่อนที่จะล้างพิษออกไป แต่มันจะหายไปอย่างสมบูรณ์หลังจากนั้น” ในขณะที่พูด ซูมู่เก๋อสอดเข็มเงินเข้าไปในร่างกายของจักรพรรดิ
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยรู้สึกเจ็บเล็กน้อยที่คอตามมาด้วยความรู้สึกเสียวซ่า ทําให้กล้ามเนื้อของเขาตั้งขึ้นในทันที
“ฝ่าบาท โปรดทรงผ่อนคลายเพคะ อาการไม่สบายจะหายไปในไม่ช้า” เสียงของนางนุ่มนวล แต่ทรงพลัง องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยค่อยๆผ่อนลมหายใจและรู้สึกสบายขึ้นมาก
องค์จักรพรรดิผู้ซึ่งนอนอยู่บนเตียงโดยหันหลังให้ซูมู่เก๋อ มองไม่เห็นเทคนิคของนาง แต่ขันทีอีซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เห็นได้ชัดว่าการใช้เข็มแม่นยําและมีทักษะของซูมู่เก๋อ ในวังหลวงและจักรวรรดิทั้งหมดของแคว้นนุ่ มีแพทย์เพียงไม่กี่คนที่มีความเชี่ยวชาญในการฝังเข็ม เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับเทคนิคการฝังเข็มที่เชี่ยวชาญของซูมู่เก๋อมาก่อน แต่เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยจนกว่าจะได้เห็นมันด้วยตัวเองในตอนนี้
ในขณะที่ด้านหลังขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยถูกปกคลุมไปด้วยเข็มสีเงิน
ซูมู่เก๋อเอื้อมมือไปเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากของนาง
“ฮืม…”
ทันทีที่ซูมู่เก๋อหมุนตัวกลับ องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยครวญครางด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับค่อยๆ เกร็งกล้ามเนื้อของเขา
“ฝ่าบาท พระองค์ทระเป็นอันใด?” เมื่อเห็นสิ่งนี้ ขันทีอีรีบเข้ามาดูและสอบถาม “คุณหนูซู มีปัญหาเกี่ยวกับการฝังเข็มหรือไม่?”
ซูมู่เก๋อขมวดคิ้ว “ขันทีอี โปรดมั่นใจ มันเป็นครั้งแรกที่องค์จักรพรรดิขับพิษจากเลือดและกระดูกด้วยเข็ม ความรู้สึกไม่สบายจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เจ้าค่ะ”
“เอ่อ!”
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยงอหลังของเขาอย่างกะทันหัน ทําให้เข็มเงินบางส่วนหลุดออกจากหลังของเขา และบางเล่มก็แทงลึกเข้าไปเนื้อของเขาจนงอ!
“ฝ่าบาท! ข้าควรทําอย่างไร?”
ซูมู่เก๋อก้าวไปข้างหน้าและดึงเข็มสีเงินบนร่างขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยออก หากไม่มีความอดทนเพียงพอ ตราบใดที่เขารู้สึกตึงเครียดในระหว่างการรักษาด้วยการฝังเข็ม กล้ามเนื้อของเขาจะเกร็งกระชับได้ง่ายและร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ มันไม่เพียงแต่จะสูญเสียผลการรักษา แต่ยังอาจนําไปสู่ความผิดปกติและความไม่ลงรอยกันของลมปราณและเลือดอีกด้วย!
เข็มเงินถูกดึงออกทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการต่อสู้ของเขาในตอนนี้ แผ่นหลังของจักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยถูกทิ่มแทงด้วยบาดแผล เลือดไหลหลายจุดซึ่งดูน่ากลัว
“ฝ่าบาท อย่าทรงทําให้หม่อมข้าตกใจ!” ขันทีอีรู้สึกกังวลมาก จนตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงและเขามองไปที่ซูมู่เก๋อด้วยความโกรธ
“คุณหนูซู เกิดอะไรขึ้นฮะ?”
ซูมู่เก๋อลูบจุดต้าซุยของจักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยด้วยความขมวดคิ้ว หลังจากนั้นไม่นาน องค์จักรพรรดิก็ค่อยๆฟื้นคืนสติ
ขันทีอีรีบเข้ามาช่วยองค์จักรพรรดิลุกขึ้นพิงหมอนนุ่มๆ
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยต่อสู้ดิ้นรนด้วยสายตาอันเฉียบคมของเขาที่จ้องมองไปยังซูมู่เก๋อ
รู้สึกได้ถึงสายตาอันเฉียบคม ซูมู่เก๋อบิดริมฝีปากแน่นและคุกเข่าลงที่หน้าแท่นบรรทมขององค์จักรพรรดิ
“ซูมู่เก๋อ เจ้ากล้าฆ่าข้าได้อย่างไร?!”
“หม่อมข้าไม่กล้าเพค่ะ ฝ่าบาท”
“เจ้าไม่กล้างั้นเหรอ?! เจ้ากําลังทําอะไรในตอนนี้?! เข้ามานี่”
“ฝ่าบาท ราชาแห่งจินขอเข้าเฝ้า พะย่ะค่ะ ”
ก่อนที่องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยจะพูดจบ พระองค์ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของขันทีที่เฝ้าอยู่ด้านนอกประตู
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยเหล่มองซูมู่เก๋ออย่างเย็นชา
“ให้เขาเข้ามา”
” พะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวโม่ได้ยินเสียงคํารามของเซี่ยโฮวรุยที่ด้านนอกประตูในตอนนี้ เขาเข้าไปในห้อง มองไปที่ซูมู่เก๋อที่คุกเข่าอยู่บนพื้น และคํานับองค์จักรพรรดิ
“เสด็จพ่อ”
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยตะคอกอย่างเย็นชา “เจ้าช่างมาได้ทันเวลาพอดี! เจ้ารู้ไหมว่านางเกือบจะฆ่าข้าแล้ว!” เขายังคงจําความรู้สึกหมุนเวียนในสมองได้อย่างชัดเจน ความรู้สึกของชีวิตของเขาที่ถูกควบคุมและความไร้พลังของเขาทําให้จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยหงุดหงิดมาก!
ซูมู่เก๋อเงยหน้าขึ้นมองดวงตาที่โกรธเกรี้ยวขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยอย่างใจเย็น
“หม่อมข้าไม่มีเจตนาที่จะฆ่าพระองค์เพค่ะ ฝ่าบาท พระองค์เพิ่งมีอาการคล้ายจะเป็นลมหมดสติจากการฝังเข็ม ซึ่งเป็นผลมาจากสุขภาพที่ไม่ดีของพระองค์”
“เจ้าหมายความว่าตอนนี้ข้าเกือบจะเป็นลมเพราะข้าอ่อนแอ!?” คําอธิบายของซูมู่เก๋อไม่ได้ทําให้อารมณ์ขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยเย็นลง
เซี่ยโฮวโม่มองไปที่ซูมู่เก๋อและพบว่านางค่อนข้างสงบและเรียบง่าย นางไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้านางทําให้องค์จักรพรรดิหงุดหงิดหรืออย่างไร? หรือนางเชื่อว่าเขาจะช่วยนางได้อย่างแน่นอน?
อย่างไรก็ตาม ข้อสันนิษฐานหลังทําให้เสี่ยโฮวโม่ยิ้มเล็กน้อย
“เสด็จพ่อ ซูมู่เก๋อกําลังพูดความจริง พะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินคําพูดของเซี่ยโฮวโม่ องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยมองไปที่เขา “ข้าสงสัยว่าเมื่อใดที่เจ้าเริ่มเข้าใจเรื่องการรักษา”
เซี่ยโฮวโม่รักษาสีหน้าของเขา “ในเมืองชุนหยาง หม่อมข้าได้รับบาดเจ็บโดยบังเอิญ และคุณหนูซูก็ปฏิบัติกับหม่อนข้าด้วยวิธีนี้ พะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยโล่งใจเล็กน้อยจากสีหน้าแข็งกร้าวของเขา
“นั่นเป็นความจริงหรือ?”
” พะย่ะค่ะ”
ซูมู่เก๋อประหลาดใจ เมื่อไหร่ที่นางรักษาเซี่ยโฮวโม่ในเมืองชุนหยาง?
ในอีกความคิด นางเดาว่าเซี่ยโฮวโม่แค่หาข้อแก้ตัว ดังนั้นนางจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป
“ซูมู่เก๋อเนื่องมาจากราชาแห่งจิน ข้าจะเชื่อเจ้าอีกครั้ง แต่ถ้าถ้าเจ้ากล้าที่จะไม่ซื่อสัตย์ต่อข้า ข้าจะไม่ปล่อยตระกูลซูทั้งหมด!” ดวงตาขุนของจักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยเต็มไปด้วยความเย็นชา
ซูมู่เก๋อจับมือของนางไว้ในแขนเสื้อ “ฝ่าบาทเพค่ะ หม่อมข้าเป็นหมอที่ฝึกฝนรักษาด้วยอาชีพแพทย์ไม่ใช่นางฟ้าที่ร่ายเวทย์มนตร์ ไม่ว่าหมอจะเชี่ยวชาญแค่ไหน เขาไม่สามารถรักษาโรคได้หากไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วย”
“โอ้ นี่เจ้ากําลังโทษว่าข้าไม่ร่วมมือกับเจ้า?”
ซูมู่เก๋อก้มหัวลงอย่างเงียบ ๆ
“เจ้าเด็กน้อย เจ้ากล้ามาก!”
ในชั่วพริบตา ซูมู่เก๋อรู้สึกว่าอากาศเย็นยะเยือกกระจายไปทั่วทั้งห้อง
“ฝ่าบาท หากพระองค์ไม่สามารถแบกเข็มได้ครั้งละมาก ๆ หม่อมข้าจะใช้น้อยลงในครั้งต่อไปเพค่ะ แต่ด้วยวิธีนี้กระบวนการบําบัดจะใช้เวลานานขึ้น”
“ฮัม” จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยเห็นด้วย ด้วยน้ำเสียงต่ำ
“ลุกขึ้น”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา เพคะ”
“ไหนๆเจ้าก็อยู่ที่นี่ในวันนี้แล้ว อย่าเสียเวลา เริ่มใหม่อีกครั้ง”
จักรพรรดิเซี่ยโฮวโม่เดินไปที่เก้าอี้ข้างๆ และนั่งลง ซูมู่เก๋อลุกขึ้นเปิดชุดเครื่องมือแพทย์ของนาง หยิบผ้าฝ้ายออกมาแล้วจุ่มลงไปในแอลกอฮอล์เพื่อเช็ดเลือดที่หลังของจักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย
“ฝ่าบาท โปรดทรงผ่อนคลายเพคะ การกระวนกระวายมีแต่จะทําให้การฝังเข็มส่งผลให้เป็นลมหมดสติอีกครั้ง เพคะ”
“ ข้ารู้”
ซูมู่เก๋อฆ่าเชื้อเข็มเงินและเริ่มสอดเข้าไปในจุดฝังเข็มที่คอของจักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย
บางทีการเตรียมจิตใจในครั้งนี้ องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยรู้สึกว่ามันไม่อึดอัดเหมือนเมื่อครั้งก่อน และซูมู่เก๋อใช้เข็มเพียงหนึ่งในสาม
มองไปที่ซูมู่เก๋อ เซี่ยโฮวโม่พบว่านางจริงจังดูน่าสนใจ
หลังจากสอดเข็มเงินเล่มสุดท้ายแล้ว และเห็นว่าองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยไม่มีอาการที่ไม่พึงประสงค์ใดๆ ซูมู่เก๋อลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ซูมู่เก๋ออกมาจากตําหนักหยางอี้ การได้ออกไปสูดอากาศข้างนอก นางรู้สึกโชคดีมาก
“ทําไม? เจ้ากลัวหรือไม่?”
เซี่ยโฮวโม่ตามนางออกมาจากตําหนักหยางอี้และอดไม่ได้ที่จะยิ้ม เมื่อเห็นนางกําลังงุนงง
ซูมู่เก๋อเรียกความรู้สึกตัวของนางกลับมา และเร่งฝีเท้าเพื่อให้ไปไกลจากตําหนักหยางอี้
“เจ้าไม่เคยเกรงกลัวฝ่าบาทเลยหรือ?!”
มันเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการให้ความช่วยเหลือองค์จักรพรรดิก็เหมือนกับการไปพบเสือและความคิดขององค์จักรพรรดิเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากที่สุด
“อะไรที่ต้องกลัว?”
ซูมู่เก๋อตระหนักว่าองค์จักรพรรดิเป็นคนที่น่ากลัว เขามีความรู้สึกแบบเดียวกับนางได้ยังไง!
ทั้งสองเดินไปจนสุดประตูพระราชวัง เป็นอีกครั้ง ซูมู่เก๋อรู้สึกอายที่พบว่าไม่มีรถม้านอกวังเพื่อส่งนางกลับ!
หลังจากขึ้นมาแล้ว เซี่ยโฮวโม่เห็นซูมู่เก๋อยืนอยู่นอกประตูพระราชวังพร้อมกับเม้มริมฝีปากของนางด้วยความโกรธเกรี้ยวและรู้สึกมีความสุขมากขึ้น
“ตงหลิน ไปขับรถม้าของข้ามาที่นี่”
ตงหลินมองไปที่ซูมู่เก๋อและรีบเดินออกไป
ในขณะที่ซูมู่เก๋อรู้สึกหดหูที่จะเดนิผ่านถนนสายนี้ รถม้าก็แล่นผ่านนางไปอย่างช้าๆ
นางก้าวออกไปเพื่อหลักทาง แต่รถม้าหยุดข้างๆนาง
ตงหลินยิ้ม “ฝ่าบาททรงรับสั่งให้หม่อมข้าส่งท่านกลับจวน เชิญขึ้นรถม้าขอรับ คุณหนูซู”
ซูมู่เก๋อมองขึ้นไปและพบว่ารถม้าสีดําสนิทมีป้ายชื่อตําหนักของราชาแห่งจินอยู่ด้านนอก ไม่มีอะไรพิเศาเกี่ยวกับมันจากรูปลักษณ์ของมัน
เมื่อพิจารณาว่าความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยโฮวโม่และนางเป็นเพียงการใช้ประโยชน์จากกันและกัน นางรู้สึกว่าไม่จําเป็นต้องให้เกียรติขนาดนี้!
จากนั้นซูมู่เก๋อก็ก้าวเหยียบและเข้าไปในรถม้า
“ขอบคุณสําหรับการแก้ไขปัญหานี้ให้ข้า”
ซูมู่เก๋อยกม่านประตูเพื่อเข้าไปในรถม้า ทันทีที่นางเข้าไป นางได้กลิ่นชาหอมจาง ๆ
ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับรถม้าคันนี้เมื่อมองจากภายนอก แต่ความงามที่ซ่อนอยู่ภายในนั้นยอดเยี่ยมมาก
พรมขนสัตว์ใต้เท้าของนางเป็นสีขาวละเอียดและนุ่ม ทําให้นางรู้สึกเหมือนเหยียบฝ้าย นอกจากนี้ยังมีโต๊ะน้ำชาขนาดเล็กพร้อมชุดน้ำชา กลิ่นของชาน่าจะมาจากกาน้ำชานี้
ขณะที่ซูมู่เก๋อนั่งด้านในสุดและเอื้อมมือไปรินชาให้ตัวเอง ทันใดนั้น ม่านประตูก็ถูกยกขึ้นและมีร่างสูงเพรียวเข้ามา
เมื่อเห็นเขา ซูมู่เก๋อตัวแข็งที่อ มือของนางที่ถือกาน้ำชาแข็งเกร็ง
บทที่ 77 : ขอเชิญร่วมงานเลี้ยงล่าสัตว์
ในตําหนักหยางอี้ของวังหลวง
“ฝ่าบาท หมอเฉินและคุณหนูซูมาแล้ว พะย่ะค่ะ”
ขันทีน้อยเดินเข้าไปในห้องโถงและกระซิบ เพราะกลัวว่าจะรบกวนองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยที่กําลังหลับตาพักผ่อนอยู่บนม้านั่งตัวยาว
นางสนมฉินเอนกายทิ้งม้านั่งและนวดขาให้องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย เมื่อได้ยินคําพูดนั้น สนมฉินก็เผยให้เห็นการสั่นไหวของสีหน้าที่แข็งกร้าวในดวงตาที่สวยงามของนาง
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยลืมตาขึ้นและพูดด้วยเสียงแหบ “ปล่อยพวกเขาเข้ามา”
” พะย่ะค่ะ”
นางสนมฉินมองไปที่องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทเพค่ะ คุณหนูซูมีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ หม่อมข้าเชื่อว่านางจะช่วยให้พระองค์ทรงฟื้นตัวได้เพค่ะ”
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยหมดสติในระหว่างการแข่งขันของซูมู่เก๋อและจางเยว่เมื่อสามวันก่อน ในเวลานั้น พระสนมฉินชี้แนะเป็นอย่างยิ่งว่าให้ซูมู่เก๋อควรปฏิบัติต่อองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย แต่เซี่ยโฮวโม่ก็หยุดนางไว้
สนมฉินคิดว่ามันจะสร้างความรําคาญต่อองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ และท่าทีของพระองค์ที่มีต่อนางไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
อย่างไรก็ตาม สนมฉินก็ยังรู้สึกไม่พอใจกับปฏิกิริยาของเขาเพิ่มมากขึ้น และที่ได้ดูแลองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยมาเป็นอย่างดีในทุกวัน
เมื่อเห็นว่าทัศนคติขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยที่มีต่อนางไม่แตกต่าง ในที่สุดนางก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม สนมฉินไม่พอใจซูมู่เก๋อที่นางแสดงท่าทีต่อหน้านางและแสดงต่อพระองค์ลับหลังนาง!
ไม่นาน หมอเฉินและซูมู่เก๋อก็เดินตามกันเข้ามาในห้องโถง
เมื่อรู้ว่าซูมู่เก๋อต้องปฏิบัติต่อจักรพรรดิกับเขาเมื่อวันวานนั้น รองเสนาบดีสํานักหมอหลวงหมอเฉินโกรธมากจนโยนโสมร้อยปีลงพื้นทันที
แต่มันเป็นคําสั่งขององค์จักรพรรดิ หมอเฉินไม่มีความกล้าที่จะฝ่าฝืนรับสั่งของจักรพรรดิอย่างโจ่งแจ้ง
“ขอถวายบังคม ฝ่าบาท”
สนมฉินช่วยองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยลุกขึ้นนั่ง และองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยโบกมือให้ทั้งสองคนอย่างอ่อนแรง เพื่อให้พวกเขาลุกขึ้น
“ไม่จําเป็นต้องรับใช้ข้าที่นี่ กลับไปพักผ่อนเถอะ” องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยมองไปที่สนมฉินและรับสั่งออกมา
สนมฉินยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าของนาง แต่จับมือไว้ในแขนเสื้อ “เพค่ะ ฝ่าบาท โปรดอภัยให้หม่อข้าด้วยเพค่ะ หม่อมข้าขอทูลลา”
หลังจากสนมฉินจากไป ขันทีอีกบิดประตูห้อง เหลือเพียงสี่คนในห้อง
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยมองไปที่ซูมู่เก๋อและหมอเฉิน “จากนี้ไป ซูมู่เก๋อ เจ้าจะรักษาข้าร่วมกับหมอเฉิน เจ้าเข้าใจไหม?”
ซูมู่เก๋อ ก้มหัวลง “น้อมรับพระบัญชาเพคะ ฝ่าบาท”
“อืม”
เพียงแค่ซูมู่เก๋อจะทําการตรวจองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย หมอเฉินก็ปิดท้องของเขาด้วยเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวด
“โอ๊ย! เจ็บ…”
ขันทีอีเลิกคิ้วและทําได้เพียงแค่ก้าวเข้าไปหาเพื่อช่วยพยุงหมอเฉิน “หมอเฉิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
หมอเฉินขมวดคิ้วด้วยใบหน้าเหี่ยวย่นราวกับดอกเบญจมาศที่ขาดน้ำ “อูยยย โปรดอภัยแก่หม่อมข้าด้วยพะย่ะค่ะ ฝ่าบาท จู่ๆ หม่อมข้าก็ปวดท้อง หม่อมข้ากลัวว่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร พะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยหายใจออกอย่างหนักและพูดกับซูมู่เก๋อ “ไปดูหมอเฉินที”
“เพคะ”
ซูมู่เก๋อเดินไปหาหมอเฉินที่จ้องมองนางอย่างลับๆ เขาคิดว่ามันปกปิดได้ดี แต่ซูมู่เก๋อยังคงมองเห็น
นางเอื้อมมือไปจับชีพจรของเขา เมื่อพิจารณาจากชีพจร กระเพาะอาหารของเขาเย็นและมีอาการอักเสบเล็กน้อย
เมื่อเห็นซูมู่เก๋อปล่อยมือของหมอเฉินแล้ว องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
“ฝ่าบาท เพค่ะ หมอเฉินเป็นไข้หวัด ซึ่งส่งผลต่อกระเพาะอาหารของเขา หม่อมข้าเกรงว่าเขาจะต้องพักฟื้นสักสองสามวัน เพค่ะ”
เมื่อได้ยินคําพูดนั้น หมอเฉินก็คุกเข่าต่อหน้าองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยทันที “ฝ่าบาท พะย่ะค่ะ โปรดยกโทษให้หม่อมข้าด้วย มันอาจเป็นความหนาวเย็นในวันนี้และหม่อมข้าก็ไม่ได้สังเกตอะไรมากนัก…”
“ลืมมันไปซะ อยู่บ้านเพื่อพักผ่อนวันนี้และกลับมาเมื่อเจ้าดีขึ้น”
หมอเฉินคํานับซ้ำ ๆ เพื่อแสดงความขอบคุณ “ขอบพระทัยในความเมตตาของฝ่าบาท พะย่ะค่ะ”
จากนั้นเขาก็ถอยกลับไปโดยได้รับความช่วยเหลือจากขันทีน้อยสองคน
“เนื่องจากหมอเฉินไม่สบาย เจ้าจึงรักษาข้าด้วยตัวเอง”
“เพคะ”
“หม่อมข้าเอาตัวอย่างเลือดของฝ่าบาทเมื่อสามวันก่อนเพื่อทําการวินิจฉัย ได้รับการยืนยันแล้วว่าพิษอยู่ในร่างกายของฝ่าบาท ทรงได้รับมาเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งปี เพค่ะ”
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยมองด้วยใบหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์ใด “ดําเนินการต่อไป”
“ อาหารและชาประจําวันของพระองค์ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างรอบคอบก่อนส่งถึงพระองค์เพค่ะ หากมีปัญหาใด ๆ คนเหล่านั้นคงไม่สบายดีในตอนนี้”
ขันทีอีไม่รู้ว่าองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยถูกวางยาอย่างไร พวกเขาให้ความสําคัญกับรายละเอียดมากมาย
“ในความคิดของหม่อข้า เราควรหาสาเหตุที่แท้จริงของการเป็นพิษก่อนที่จะล้างพิษของพระองค์เพคะ”
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยพยักหน้า “ข้าได้ทําการตรวจสอบอย่างลับๆ แล้ว แต่ไม่พบสิ่งใด”
ซูมู่เก๋อไม่แปลกใจกับคําตอบเช่นนี้ นางคาดไว้แล้วว่าชายคนนี้ต้องเป็นใครสักคนที่สามารถวางยาพิษองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยได้โดยไม่มีร่องรอยใดๆ
“หม่อมข้าจะเริ่มการรักษาต่อฝ่าบาทตั้งแต่วันนี้ไปเพค่ะ หม่อมข้าหวังว่าฝ่าบาทจะร่วมมือกับหม่อมข้าอย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มผลการรักษาให้ได้มากที่สุด”
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยมองนางด้วยความสนใจ “เจ้าหมายความว่าข้าควรฟังเจ้าในช่วงเวลานี้ใช้ไหม?”
ซูมู่เก๋อรีบพูดว่า “โปรดอย่างทรงถือโทษหม่อมข้าเลย เพค่ะ หม่อมข้าแค่หวังว่าฝ่าบาทจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ความร่วมมือในการควบคุมอาหาร และพักผ่อนเพื่อให้พระองค์ทรงฟื้นตัวได้เร็วขึ้นเพคะ”
“ได้ ข้าสัญญากับเจ้า”
คําสัญญาของผู้ป่วยที่จะร่วมมือกับการรักษาเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสําหรับแพทย์
ซูมู่เก๋อนําออกหลายรายการ
“ต่อไปนี้เป็นสูตรยารักษาสําหรับฝ่าบาทเพค่ะ ตลอดจนบันทึกย่อบางส่วนและขั้นตอนการรักษาของหม่อมข้า”
ขันทีอีรับมันมาจากซูมู่เก๋อและส่งมอบให้องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย
หลังจากอ่านจบ องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยก็หัวเราะออกมาดัง ๆ
“สาวน้อย เจ้าเป็นคนรอบคอบมาก”
“ตามขั้นตอนที่เจ้าเขียนไว้ ในสามวันแรกข้าจะทําการอาบน้ำด้วยตัวยาก่อนใช่หรือไม่”
“เพคะ ฝ่าบาท”
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยยิ้มให้กับขันทีอีและส่งรายการชื่อยาให้เขา “รับไป? รีบเตรียมมัน!”
เมื่อเห็นองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยอารมณ์ดี ขันทีอีก็ยิ้มรับมันและเดินออกไป “พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท
ขันทีอีไปที่สําหนักหมอหลวงในพระราชวังด้วยตนเอง และสั่งให้ชงยาตามใบสั่ง หลังจากทําทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาก็ดูแลยาที่จะนําไปใส่อ่างอาบน้ำที่จะนําไปไว้ในพระราชวังหยางอี้
“ในช่วงสามวันแรก ฝ่าบาท พระองค์จําเป็นต้องดึงฟื้นฟูเส้นลมปราณและเส้นเลือดในร่างกายของพระองค์ เพื่อให้ง่ายขึ้นต่อการล้างพิษในภายหลัง เพค่ะ”
เนื่องจากการอาบน้ำยาเป็นขั้นตอนเดียวในช่วงสามวันแรก ซูมู่เก๋อจึงออกจากห้องโถงทันทีที่องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยออกมาจากอ่างอาบน้ำ
เดินเล่นนอกโถงหยาง ซูมู่เก๋อมองไปรอบ ๆ ในสวนเล็ก ๆ ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง และใบไม้ที่ร่วงหล่นดูเหมือนจะอ้างว้างเล็กน้อย
แต่หลังจากข้ามโค้งครึ่งวงกลม นางก็ตาสว่างขึ้นทันที
“ดอกไม้บานสะพรั่งมากมาย”
เมื่อได้ยินคําพูดของนาง ขันทีน้อยที่เดินไปข้างหน้าก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนูซู องค์จักรพรรดิชอบกล้วยไม้สีขาวข้างสระว่ายน้ำมาก พระองค์จะไปดูด้วยตนเองทุกวัน”
ซูมู่เก๋อเหลือบมองกล้วยไม้สองสามกลุ่มโดยไม่สนใจมากนัก
“คุณหนูซู คุณหนูซู เดี๋ยวก่อน”
ขณะที่ซูมู่เก๋อกําลังติดตามวันที่ออกจากวัง นางก็ถูกนางกํานัลในวังหยุดกลางคัน
สาวใช้ตัวน้อยวิ่งไปหานางและทักทายนางในขณะที่อ้าปากค้าง “คุณหนูซู มันดีมากที่ได้พบท่าน วันนี้องค์หญิงของเราเป็นห่วงท่าน นางต้องการเชิญท่านเข้าร่วมงานเลี้ยงล่าสัตว์ในวันที่ 1 ของเดือนจันทรคติถัดไป นี่คือคําเชิญ เจ้าค่ะ”
ในขณะที่พูด นางกํานัลตัวน้อยใส่คําเชิญไว้ในมือของซูมู่เก๋อและหันกลับมาเพื่อลานาง ก่อนที่นางจะได้เห็นมันอย่างชัดเจน
ซูมู่เก๋อรู้สึกว่านางกํานัลในวังคนนี้ค่อนข้างคุ้นเคย แต่ก็ไม่สามารถนึกมันออกได้ในเวลาเพียงครู่นั้น นางจะเป็นใช่นางกํานับในวังขององค์หญิงเก้าหรือไม่?
“คุณหนูซู มันจะมืดแล้ว” ขันทีเตือนนางด้วยเสียงต่ำ
ซูมู่เก๋อมองดูพระอาทิตย์ที่กําลังจะตกดิน ประตูวังหลวงจะถูกล็อคหลังจากพระอาทิตย์ตกดินและเป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปโดยไม่มีตราประทับ
ซูมู่เก๋อเลิกสงสัยและตอบรับคําเชิญ หากนางไม่ต้องการไปร่วมงาน นางก็สามารถแสร้งทําเป็นปวยในวันนั้น
“ไปกันเถอะ”
ซูมู่เก๋อขึ้นรถและกลับไปที่คฤหาสน์ซู ทันทีที่นางลงจากรถม้า สาวใช้สองคนก็ทักทายนาง
“คารวะ คุณหนูใหญ่”
ซูมู่เก๋อมองไปที่พวกเขาและพบว่าพวกเขาเป็นสาวใช้หลักของซูหลุน ซูอันและรั่วชิน
ทั้งสองไม่รอที่นี่โดยไม่มีเหตุผล พวกเขาต้องถูกซูหลุนส่งมา “ว่าอย่างไร?”
ทั้งสองค่อนข้างไม่พอใจกับท่าที่เฉยเมยของซูมู่เก๋อ แต่เมื่อพิจารณาสถานะที่เพิ่มขึ้นล่าสุดของนาง พวกเขาตอบได้เพียงยิ้ม ๆ ว่า “คุณหนูใหญ่ ฮูหยินหลินมาที่นี่เพื่อขอบคุณ ตอนนี้นางอยู่ในห้องโถงใหญ่พร้อมกับนายหญิงของเรา เจ้าค่ะ”
“ฮูหยินหลินอยู่ที่นี่” ซูมู่เก๋อรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็สมเหตุสมผล หลังจากออกใบสั่งยาให้กับคฤหาสน์หลิน นางไม่ได้ไปที่นั่นมาสองสามวันแล้ว
“ใช่เจ้าค่ะ ใต้เท้า ขอให้ท่านไปพบหลังจากกลับมา”
ซูมู่เก๋อพยักหน้า “ข้ารู้”
เมื่อเห็นซูมู่เก๋อถือชุดเครื่องมือแพทย์ ซูเหลียนจึงยื่นมือเข้ามาช่วยนางถือมัน แต่ถูกซูมู่เก๋อหลีกเลี่ยง
“ไปเรียกเยว่รู่มาพบข้าที่นี่”
ซูมู่เก๋อปฏิเสธซูเหลียนเผยความขุ่นเคืองในดวงตาของนาง หลังจากรั่วซินขยิบตาให้นางแล้วนางก็ไปที่ลานดอกท้ออย่างไม่เต็มใจเพื่อส่งข้อความ
ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงห้องโถงใหญ่ เยวรู่ก็วิ่งกระหืดกระหอบมา
“คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว”
ซูมู่เก๋อรู้สึกขบขันทีเห็นใบหน้าเล็ก ๆ ของนางแดงก่ำและยื่นมือที่ถือชุดเครื่องมือแพทย์ให้นาง
“รอข้างนอกสักพัก”
“เจ้าค่ะ”
ทันทีที่ซูมู่เก๋อมาถึงนอกห้องโถงใหญ่ สาวใช้ตัวน้อยก็เข้าไปรายงาน
“นายหญิง คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว เจ้าค่ะ”
นางอันกําลังคุยกับฮูหยินหลิน เมื่อได้ยิน นางก็พูดด้วยรอยยิ้ม “รีบไปเชิญคุณหนูเข้ามา ฮูหยินหลินรอนางมาสักพักแล้ว”
คําพูดของนางอันฟังดูล้อเล่นแต่จริง ๆ แล้วเป็นการตําหนิซูมู่เก๋อว่าไม่สุภาพทําให้แขกต้องรอนาน
อย่างไรก็ตาม ฮูหยินหลินรู้สึกสนุกสนานเกินกว่าที่จะใส่ใจอะไรเกี่ยวกับพิธีการดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้น ซูมู่เก๋อยังไปรักษาองค์จักรพรรดิในพระราชวัง
–
เมื่อเข้าไปในห้องโถง ซูมู่เก๋อเห็นฮูหยินหลินนั่งอยู่ในที่นั่งแขก และมองนางด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นการแสดงออกของฮูหยินหลิน นางก็รู้ว่าอาการของแม่ทัพหลินจะต้องดีขึ้น
ซูมู่เก๋อก้าวไปข้างหน้าเพื่อคํานับ แต่ถูกฮูหยินหลินหยุดไว้ทันที
“ไม่เป็นไร อย่ามีมารยาทมากเกินไป ในวันนี้ ข้ามาที่นี่เพื่อขอบคุณ”
เมื่อเห็นฮูหยินหลินสุภาพกับซูมู่เก๋อมาก นางอันก็นึกถึงท่าทีที่ดูดีกับนางในตอนนี้และรอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ดูแข็งกระด้าง
“ขอบคุณความช่วยเหลือของท่าน คุณหนูซู เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว ข้ามาที่นี่วันนี้เพื่อแสดงความขอบคุณต่อท่าน”
ฮูหยินหลินขอให้สาวใช้นาของขวัญมาให้ เพื่อเป็นการขอบคุณ
ซูมู่เก๋อมองไปที่ของขวัญด้วยรอยยิ้มที่จริงใจกว่าบนใบหน้าของนาง “ฮูหยินหลิน ท่านเป็นคนสุภาพเกินไปแล้ว เจ้าค่ะ”
หลังจากคุยกับซูมู่เก๋อไม่กี่ครั้ง ฮูหยินก็พร้อมที่จะจากไป
“โอ้ ข้าเกือบลืมบอกไปว่ามีงานเลี้ยงล่าสัตว์ทุกปีในเมืองหลวง ท่านกับมารดาของท่านยังไม่เคยเข้าร่วมใช่หรือไม่? ข้ามีคําเชิญสําหรับมารดาของท่านด้วย ให้นางได้มาร่วมสนุกกัน” ในขณะที่พูดฮูหยินหลินได้รับคําเชิญจากสาวใช้ของนางและส่งให้ซูมู่เก๋อ
ซูมู่เก๋อมองไปที่คําเชิญในมือของนาง ซึ่งแตกต่างจากคําเชิญที่นางได้รับในวัง
“มันอาจไม่ใช่การไปล่าสัตว์ ในฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศแจ่มใสและสดชื่นนี้ การออกไปพักผ่อนนอกบ้านก็เป็นเรื่องดี”
ซูมู่เก๋อเห็นความใจดีของฮูหยินหลินและตอบรับคําเชิญ
“ขอบคุณท่านมาก เจ้าค่ะ ฮูหยินแม่ทัพหลิน”
เมื่อเห็นฮูหยินหลินเชิญนางจ้าวแทนนาง นางอันโกรธมากจนกํามือแน่นและจิกเล็บลงไปในเนื้อโดยไม่รู้สึกเจ็บ
หลังจากเห็นฮูหยินหลินออกไป ซูมู่เก๋อก็กลับไปที่ลานดอกท้อ
เมื่อมองไปที่ร่างที่ซีดจางของซูมู่เก๋อ ทันใดนั้นนางอันก็ถอนยิ้มบนใบหน้าของนาง
นางสารเลว เราจะมาดูกันว่าแกจะภูมิใจได้นานแค่ไหน!
บทที่ 76 : คลื่นใต้น้ํากําลังเดือด
ซูมู่เก๋อยกเท้าขึ้นและเตะข้อมือของเขาทําให้ไม้ล้มลงกับพื้น
“ถ้าเขาขโมยสิ่งของของท่านไป ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ ข้าเชื่อว่าเจ้าหน้าที่จะพิจารณาเรื่องนี้เอง ท่านควรเตรียมพร้อมที่จะอธิบายให้ชัดเจนว่าเงินถูกวางไว้ที่ใด มีลักษณะอย่างไร เมื่อมันหายไปและเมื่อมันถูกขโมยไป รวมทั้งเงินที่ขโมยไปตอนนี้อยู่ที่ไหน หากท่านไม่สามารถบอกได้ อย่าโทษเจ้าหน้าที่ว่าหยาบคายกับท่าน!”
ได้ยินคําพูดของนาง ผู้เฒ่าจางหันมามองอย่างโกรธเคือง “เจ้าเป็นใคร นังหนู? ออกไปจากที่นี่ซะ! หรือข้าจะตีเจ้าเหมือนกับมัน!”
ผู้เฒ่าจางยกไม้ในมือขึ้นแล้วฟาดเข้าหาซูมู่เก๋อ เช่นเดียวกับที่ผู้พิทักษ์ลับที่ซ่อนอยู่ต้องการที่จะออกมา ผู้เฒ่าจางปิดตาของเขาและกลิ้งไปบนพื้นด้วยความเจ็บปวดในช่วงเวลาต่อมา
ผู้พิทักษ์ลับคนที่ 1 ถาม “นางลงมือเมื่อไหร่?”
ผู้พิทักษ์ลับคนที่ 2 ส่ายหน้า “ข้าไม่เห็น!”
ซูมู่เก๋อบัดมืออย่างสบายๆ และก้าวเข้าหาเพื่อมองเด็กชายที่ยังคงนอนอยู่ที่พื้น
“เจ้าลุกขึ้นได้ไหม?”
เด็กชายจ้องมองซูมู่เก๋อด้วยความงุนงง สงสัยว่านางเอาชนะผู้เฒ่าจางได้อย่างไรในพริบตา
เด็กชายกัดฟันและพยักหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนด้วยความช่วยเหลือจากซูมู่เก๋อ
ไม่เห็นความสนุกในการรับชมอีกต่อไป เหล่าไทยมุงทุกคนต่างก็พากันเดินหนีออกไป
“ข้าจะพาเจ้าไปหาหมอ”
ซูมู่เก๋อช่วยเขาไปที่หอม แต่เด็กชายไม่เต็มใจที่จะไป
“มันไม่เป็นไร ขอบคุณที่ช่วยข้า คุณหนู ข้าจะตอบแทนคุณทุกอย่างที่ข้าสามารถทําได้”
เมื่อมองไปที่ร่างบางของเด็กชาย ซูมู่เก๋อยิ้มอย่างอ่อนโยน “ได้”
เมื่อได้ยินคําตอบของนาง เด็กชายก็ตกตะลึงไปชั่วขณะราวกับว่าเขาไม่คาดคิดว่าซูมู่เก๋อจะเห็นด้วย
“บอกข้าทีว่าเจ้าจะตอบแทนขาเมื่อไหร่?”
คําถามนี้ทําให้เด็กชายตะลึงอีกครั้ง
เมื่อเห็นการแสดงออกของเขา ซูมู่เก๋อจงใจเลิกคิ้วด้วยใบหน้าเรียบนิ่งอย่างสมบูรณ์แบบ “ทําไม? แค่เจ้าพูดมา?”
ใบหน้าของเด็กชายเปลี่ยนเป็นสีแดงมาก “ไม่แน่นอน!”
มองไปที่ใบหน้าของเขา ซูมู่เก๋อหยุดแกล้งเขาอีก “เนื่องจากเจ้าไม่ต้องการไปหมอ ข้าจะส่งเจ้ากลับ”
เด็กชายต้องการปฏิเสธ แต่เขาเจ็บปวดมากจนต้องยอม
“ขอบคุณมาก คุณหนู”
ทั้งสองเดินข้ามถนนที่พลุกพล่านและเดินเข้าไปในตรอกแคบ ๆ ท้ายซอยมีบ้านทรุดโทรม ประตูซึ่งเป็นเพียงแผงประตูที่สึกกร่อน
ทันทีที่ซูมู่เก๋อช่วยเด็กชายเข้าไปในบ้าน นางได้กลิ่นยาจาง ๆ ในห้อง
แม้ว่าเด็กชายคนนี้จะผอม เขาแข็งแรงและมีสุขภาพดี ดังนั้นต้องมีคนอื่นอาศัยอยู่ ในห้องด้วย
“ท่านพี่?” เสียงที่สุภาพและนุ่มนวลดังมาจากข้างใน ร่างผอมแห้งผลักเปิดประตูและออกมา
“เจ้าตื่นขึ้นมาได้อย่างไร? เจ้ายังไม่สบาย กลับไปนอนเถอะ” เด็กชายกล่าวอย่างกังวล
“เขาเป็นน้องชายของเจ้าเหรอ? เขาอายุเท่าไหร่?”
เด็กชายพยักหน้า ” ขอรับ เขาคือเฉิงเฉิงอายุสิบเอ็ดปี”
ซูมู่เก๋อมองไปที่เฉิงเฉิงซึ่งมีผิวซีดเซียว
เฉิงเฉิงเปิดประตูอย่างมีสติเพื่อให้ซูมู่เก๋อเข้าไปในบ้าน และรินน้ำให้นางหนึ่งถ้วยด้วยถ้วยน้ำชาใบเดียวในบ้านของพวกเขา
“พี่สาว กินน้ำให้หน่อย”
ห้องพักมีเพียงเตียงไม้ซอมซ่อและโต๊ะที่ชํารุดและสีส่วนใหญ่ลอกออก
เด็กชายยืนอยู่ข้างๆพร้อมกับข่มกลั้นบางอย่าง “คุณหนู ที่นี่โทรมเกินไป ท่านกลับบ้า นก่อนดีกว่า มั่นใจได้ว่าข้าจะรักษาสัญญา”
ซูมู่เก๋อไม่ได้รีบออกไป นางช่วยเด็กคนนี้ไม่ใช่ด้วยความสงสาร นางต้องการใครสักคนคนที่อยู่ข้างนอกรับคําสั่งจากนาง
“ข้าจะช่วยเจ้ารักษาโรคของน้องชายเจ้า แต่เจ้าจะเป็นผู้ติดตามของข้าในอนาคต เจ้าจะตกลงหรือไม่?” การยอมจํานนไม่ได้หมายความว่าซูมู่เก๋อคิดว่าพวกเขาด้อยกว่านาง ควรถือเป็นสัญญาจ้าง
“ท่านหมายความว่าท่านสามารถรักษาโรคของน้องชายข้าได้งั้นหรือขอรับ?” ดวงตาของเด็กชายเฉิงหรันเต็มไปด้วยความหวัง
“ใช่”
เฉิงหรันดึงเฉิงเฉิงให้คุกเข่าลงต่อหน้าซูมู่เก๋อ “ตราบใดที่ท่านสามารถรักษาโรคของน้องชายข้าได้ คุณหนู ข้ายินดีจะทําทุกอย่างเพื่อท่าน”
หลังจากที่ซูมู่เก๋อจับชีพจรเฉิงเฉิงแล้ว นางเขียนใบสั่งยาและทิ้งสิบเหลียงไว้ให้พวกเขา ก่อนออกจากซอยไป
มันเป็นเวลาพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เมื่อตอนที่นางกลับถึงคฤหาสน์ซู
ซูมู่เก๋อแทบจะไม่ได้เข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลซู เมื่อคําสั่งขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยมาถึง
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงรับสั่ง มันเพียงพอแล้วที่จะทําให้ซูหลุนรู้สึกเป็นเกียรติและรุ่งโรจน์
ขันทีอี สั่งให้ผู้ติดตามนํากล่องขึ้นมา
“มันเป็นสิ่งที่องค์จักรพรรดิมอบแด่คุณหนูซู”
กล่องนั้นเป็นของขวัญสําหรับซูมู่เก๋อ ซูหลุนก้าวออกไปอย่างยิ้มแย้มเพื่อยัดกระเป๋าเงินให้ขันทีอี “ขอบพระทัยฝ่าบาท และขอขอบคุณท่านที่มาเยี่ยม ขันทีอี”
ขันทีอีรับกระเป๋าเงินอย่างใจเย็นและตอบด้วยท่าทีที่อ่อนโยน สงบ “คุณหนูซู ท่านควรอยู่ที่เรือนจะดีกว่า องค์จักรพรรดิอาจเรียกหาท่านเมื่อใดก็ได้”
“เจ้าค่ะ” ซูมู่เก๋อตอบเบาๆ เมื่อได้ยินว่านางรอเรียก นางรู้สึกว่ามันลําบากจริงๆ
หลังจากที่ขันทีอีจากไป ซูหลุนสั่งให้คนรับใช้แบกกล่องเข้าไปในห้องโถงใหญ่
เนื่องจากต้องมีการประกาศคําสั่งของจักรพรรดิต่อหน้าคนทั้งคฤหาสน์ นางอันเหลือบมองไปที่กล่องอย่างมุ่งร้าย พร้อมกับยิ้มเยาะ “ใต้เท้าเจ้าค่ะ ข้าสงสัยว่าจักรพรรดิส่งอะไรมาให้คุณหนูใหญ่ของเรา”
“รางวัลของจักรพรรดิต้องไม่ธรรมดา” ซูหลุนพูดด้วยใบหน้าตรงและรีบเปิดกล่องไม้ทันที
สาวใช้ก้าวไปข้างหน้า ปลดล็อกกล่องไม้และเปิดมัน
“อา!”
ในขณะที่เปิดกล่อง สาวใช้ก็ล้มลงกับพื้นด้วยใบหน้าที่หวาดกลัว
“หยุดเอะอะ!” นางอันตําหนิด้วยความไม่พอใจและก้าวไปข้างหน้าเพื่อดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อ้ายยยย!”
ในช่วงเวลาต่อมา นางส่งเสียงกรีดร้องอย่างรุนแรง
“นายหญิง!” หลี่มาม่ารีบลุกขึ้นมาพยุงนางอัน
ซูมู่เก๋อยืดคอเล็กน้อยและมองไปที่กล่อง
มือเปื้อนเลือดที่น่ากลัวคู่หนึ่งนอนอยู่ข้างใน เลือดสีแดงสดได้แทรกซึมเข้าไปในผ้าสี ขาวในกล่องและมีกลิ่นเลือดที่น่าขยะแขยงแทรกซึมอยู่ในอากาศ เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูหลุนก็อดไม่ได้ที่จะมองไปอย่างเคร่งเครียด
“เจ้ากําลังรออะไรอยู่? รีบปิดมันแล้วโยนทิ้ง!”
ซูมู่เก๋อจิบชาและพูดอย่างใจเย็นว่า “ท่านพ่อ อย่าลืมสิ่งนี้มาจากองค์จักรพรรดิ ฝังมันไว้ที่ไหนสักแห่ง”
องค์จักรพรรดิกําลังเตือนไม่ให้นางเปิดเผยอะไรกับใคร รวมถึงครอบครัวของนางด้วย ถ้าไม่ มือของจางเยว่จะไม่ถูกส่งมาที่คฤหาสน์ตระกูลซูเป็นแน่
คนรับใช้หลายคนเข้ามาทันที ปิดกล่องและยกมันออกไป
หลังจากกลับไปที่ลานดอกท้อ ซูมู่เก๋อเขียนใบสั่งยาและส่งให้เยว่รู่
“จงมอบมันแต่ใต้เท้า เขารู้ว่าต้องทําอะไร”
เยว่รู่รับใบสั่งยามา พยักหน้าและออกจากลานดอกท้อ
ซูมู่เก๋อหยิบตัวอย่างเลือดที่ได้มาจากเซี่ยโฮวรุยและเทลงในจานกระเบื้องสามจานตามลําดับ
หลังจากปิดประตู นางเริ่มหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาพิษขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย
นางอันกลับไปที่ลานบ้านด้วยอารมณ์ไม่ดี ทันทีที่นางเข้าไปในห้องของนาง นางเห็นซูจิงเหวินนั่งอยู่ในห้องด้วยใบหน้านิ่งเรียบ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ซูจิงเหวินพยายามดิ้นรนเพื่อเข้าร่วมวงสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงซึ่งนางอันก็พยายามอย่างเต็มที่เช่นกัน ซูจิงเหวินได้ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของเมิ่งซูซูเมื่อเช้านี้และเพิ่งกลับมา
ก่อนหน้านี้ เมิ่งฉางเต๋อ อาจารย์ของสถาบันการศึกษาฮันหลิน ส่งนายหญิงผู้เฒ่าเมิ่งไปยังคฤหาสน์เก่าของพวกเขาเพื่อพักฟื้น ไม่นานหลังจากตระกูลซูไปเมืองหลวง เมิ่งฉางเต๋อและนายหญิงเมิ่งคนโตก็เดินทางกลับเมืองหลวงเช่นกัน ในฐานะสะใภ้ใหญ่ในตระกูลเมิ่ง นายหญิงใหญ่ควรที่จะอยู่ดูแลนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่ง แต่เนื่องจากนายน้อยและคุณหนูสาวของตระกูล เมิ่งที่อยู่ในวัยแต่งงานได้แล้ว นายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งขอให้เมิ่งฉางเต๋อนําพวกเขาทั้งหมดกลับ เมืองหลวงด้วยและจัดการหมั้นหมายที่ดีให้กับพวกเขา
“เจ้ากลับมาแล้ว วันนี้เจ้ามีความสุขในคฤหาสน์ตระกูลเมิ่งหรือไม่?”
ซูจิงเหวินส่งเสียง หึ และยกเท้าถีบเก้าอี้ไม้ข้างๆนาง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ นางอันขยิบตาให้หลี่มาม่าพาเหล่าสาวใช้ให้ล่าถอยออกไป
นางอันไม่ได้ถามซูจิงเหวิน แต่เดินไปที่เก้าอี้ยาวช้าๆ และนั่งลง
เมื่อเห็นนางอัน ไม่สนใจนาง ซูจิงเหวินก็อดไม่ได้ที่จะมานั่งข้างนาง
“ท่านแม่ ท่านแม่ไม่กังวลเกี่ยวกับสถานะของนายหญิงอันที่จะถูกพรากไปหรือ?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ นางอันก็มองอย่างดุร้าย
“ทําไม? หลังจากหงุดหงิดข้างนอกแล้วเจ้ากําลังระบายความโกรธใส่มารดาของเจ้าใช่ไหม!?”
เมื่อเห็นนางอันกําลังอารมณ์เสีย ซูจิงเหวินปรับน้ำเสียงเบาลงและลดท่าที่ลง
“ท่านแม่ ข้าเป็นห่วงท่านมาก! ท่านคงนึกไม่ออกว่าวันนี้คนในคฤหาสน์เมิ่งพูดอะไร ข้าด้อยกว่านังเด็กนั่นเหรอ? อึบ! นางกล้าเทียบชั้นกับข้าได้ยังไง!?”
ปรากฏว่าเมิ่งเถียนเถียนได้กล่าวคําพูดดีๆ มากมายให้กับซูมู่เก๋อในงานวันเกิดของเมิ่งซูซู เนื่องจากครอบครัวเมิ่งรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณกับซูมู่เก๋อ นอกจากนี้ ซูมู่เก๋อยังได้รับการยกย่องจากองค์จักรพรรดิเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นบางคนจึงส่งเสียงสะท้อนตามธรรมชาติ
คําพูดของพวกเขาทําให้ซูจิงเหวินอึดอัดมาก นางรู้สึกเสมอว่าคนเหล่านั้นจงใจเปรียบเทียบนางกับซูมู่เก๋อ
“สิ่งที่น่ารําคาญที่สุดก็คือแม้แต่นายท่านผู้เฒ่าเมิ่งก็ยังพูดถึงนังผู้หญิงตัวนั้น นางมีอะไรดีบ้าง? แค่นางมีทักษะทางการแพทย์บางอย่าง!”
ตอนนี้ซูมู่เก๋อได้รับรางวัลชนะเด็กฝึกงานของรองผู้อํานวยการสํานักหมอหลวง หมอเฉิน ถ้าทุกคนรู้ ซูมู่เก๋อจะกดพวกเขาลงอย่างรุนแรงแน่นอน!
เมื่อเห็นนางอันไม่มีความตั้งใจที่จะพูด ซูจิงเหวินได้แต่กัดฟันต่อไป “ท่านแม่ ท่านก็รู้ ว่าตอนนี้นังเด็กนั่นกําลังมีโชค ท่านคิดว่านังเมียเก่าสารเลวยังคงเต็มใจที่จะอยู่ในมุมที่ซื่อสัตย์เหมือนเดิมหรือ? ตอนนี้นางมีลูกชายคนโตของตระกูลซู!”
คําพูดของซูจิงเหวินกระทบจุดอ่อนของนางกันอย่างจัง แม้ว่าซูหลุนจะนอนในห้องของนางเกือบตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก
มันเป็นความเจ็บปวดที่ลบไม่ออกสําหรับนางที่ไม่มีลูกชาย
“เจ้าอยากจะพูดอะไร?”
“ท่านแม่ เราไม่ทําลายพวกมันชีวิตของเราจะยากขึ้นในอนาคต วันนี้ท่านพ่อไปลานดอกท้อกี่ครั้งแล้ว?!”
นางอันเกิดความอยากรู้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวิหารลั่วอินทําให้นางต้องระวังตัว ถ้านางจ้าวและซูมู่เก๋อประสบอุบัติเหตุอีกครั้ง ซูหลุนอาจสงสัยนางเป็นครั้งที่สอง
“ท่านแม่ ท่านกลัวจะถูกจับได้ในภายหลังหรือไม่? ข้ามีความคิดที่ดีเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครสงสัยเรา”
เหลือบมองไปที่ลูกสาวนาง “บอกแม่มา”
ซูจิงเหวินกลอกตาและกระซิบข้างหูนางอัน
บทที่ 75 : พิษ
ด้วยความประหลาดใจที่เห็นสนมฉินและเซี่ยโฮวคุณมา ขันทีอีรู้สึกตัวทันทีและก้าวเข้าไปหาโค้งคํานับ
“พระสนมฉิน องค์ชายสอง ขอถวายบังคมพะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นประตูปิดนางสนมฉินก็จ้องไปที่ขันทีอี
“ข้าได้ยินว่าองค์จักรพรรดิทางฟื้นแล้ว ข้ากังวลมาก ข้าและองค์ชายสองจึงมาขอเข้าเฝ้า ทําไมเจ้าไม่อยู่รับใช้ภายในขันทีอี? องค์จักรพรรดิทรงรับสั่งกับผู้ใด?”
ขันทีอีหัวเราะ “นั่นเป็นสิ่งที่ดีมากสําหรับท่าน พระสนมฉิน องค์เหนือหัว ทรงฟื้นแล้วและตอนนี้พระองค์อยู่ข้างในกับราชาแห่งจิน พะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยโฮวคุณก็เผยให้เห็นความไม่พอใจในดวงตาของเขา เจ้าจิ้งจอกเซี่ยโฮวโม่ทําลายแผนการของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าและมักจะเป็นคนเอาความดีความชอบไป!
“ราชาแห่งจินต้องเป็นห่วงเสด็จพ่อด้วยเช่นกัน ข้ารู้สึกละอายใจจริงๆ ที่ได้เป็นแค่เจ้าชาย” ในขณะที่พูดเซี่ยโฮวคุณเดินไปที่ห้อง เมื่อเห็นสิ่งนี้ขันทีอีรีบก้าวไปหน้าเขา เพื่อหยุดเขา
“องค์ชายสอง รอสักครู่…”
ในห้อง ซูมู่เก๋อและเซี่ยโฮวโม่ได้ยินการเคลื่อนไหวที่ด้านนอก
ซูมู่เก๋อมองไปที่เซี่ยโฮวโม่ แล้วมองไปที่เซี่ยโฮวรุยที่ยังไม่ได้สติ
เซี่ยโฮวโม่มองมาที่ซูมู่เก๋อ
“ข้าจะออกไปดูด้านนอก” เขาลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ประตู
เมื่อได้ยินเสียงเบิดและปิดประตู ซูมู่เก๋อตระหนักว่าเซี่ยโฮวโม่ออกจากห้องไปแล้ว นางเงยหน้าขึ้นและก็พบกับดวงตาที่เฉียบคมคู่หนึ่ง….
เมื่อเปิดประตู เซี่ยโฮวโม่เดินออกจากห้องไป
เมื่อเห็นเซี่ยโฮวโม่ออกมา สนมฉินและเซี่ยโฮวคุณมองหน้ากันอย่างเงียบๆ
“น้องเก้า เสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง?” เซี่ยโฮวคุณก้าวเข้าไปหาและถาม
เซี่ยโฮวโม่ด้วยท่าทางเย็นชา ไม่สนจคําถามของเซี่ยโฮวคุณ “เสด็จพ่อให้ข้ามา ถามสนมฉันว่าทําไมถึงกบฏต่อพระประสงค์ของพระองค์”
เมื่อได้ยินเช่นนี้สนมฉินสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เสด็จแม่ทําเพื่อเสด็จพ่อ…”
ดวงตาอันเฉียบคมของเซี่ยโฮวโม่ปักลงที่เซี่ยโฮวคุณเหมือนลุกศร
“พี่สอง ท่านหมายความว่า ท่านทําอะไรก็ได้ด้วยการกล่าวอ้าวเรื่องดูแลเสด็จพ่องั้นหรือ?”
ในชั่วพริบตา เซี่ยโฮวคุณมองอย่างร้ายแรง
“ข้าจะอธิบายกับเสด็จพ่อด้วยตัวข้าเอง ออกไปให้พ้นทางของข้า!”
เซี่ยโฮวคุณยังคงนิ่ง
“เสด็จพ่อตรัสว่า…”
“ตรัสว่าอะไร?”
“ออกไปจากตรงนี้ซะ!”
“ !!”
สนมฉินและเซี่ยโฮวคุณตัวสั่นด้วยความโกรธ
สนมฉินก้าวไปข้างหน้าด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ฝ่าบาทเพค่ะ หม่อมฉันกังวลและร้อนใจเกี่ยวกับพระวรกายของพระองค์จนทําผิดพลาดไป ครั้งนี้โปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพค่ะ ฝ่าบาท”
“นางสนมฉิน อย่ารบกวนการพักผ่อนของเสด็จพ่อ”
เห็นทั้งสองฝ่ายหยุดนิ่ง ขันทีอีไม่รู้สถานการณ์ข้างในห้อง เข้าใจว่าเขาไม่สามารถปล่อยให้สนมฉินและองค์ชายรองเข้าไปในห้องตอนนี้ได้
สนมฉินและเซี่ยโฮวคุณจะเต็มใจจากไปโดยไม่เข้าใจสถานการณ์ข้างในได้อย่างไร!?
แต่ถ้าพวกเขายืนกรานที่จะอยู่ตรงนี้ พวกเขากลัวว่าองค์จักรพรรดิจะรําคาญพวกเขาจ ริงๆ…….
เมื่อเห็นทางทางดิ้นรนของสนมฉิน ขันทีอีก้าวเข้าหาและกระซิบว่า “ พระสนมฉิน ฝ่า บาทเพิ่งตื่นขึ้นมา ตอนนี้ข้ากลัวว่าพระองค์จะยังทรงรําคาญพระทัย โปรดมาเข้าเฝ้าในภายหลังเถิด เนื่องจากพระสนมทําไปด้วยทรงห่วงใยในองค์เหนือหัว พระองค์จะไม่เข้าใจได้อย่างไร?”
น้ำตายังคงไหลคลออยู่ในดวงตาของสนมฉิน ซึ่งดูเหมือนน่าสงสาร
“เจ้าพูดถูก ขันทีอี ข้าช่างโง่นัก”
สนมฉันมองอย่างลับๆที่เซี่ยโฮวคุณ ผู้ยกเสื้อคลุมขึ้นอย่างรู้ทันและคุกเข่าลงทันทีพร้อมกับก้มหัวคํานับสามครั้งไปที่ประตู
“เสด็จพ่อ โปรดถนอมพระวรกายด้วยพะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะมาขอเข้าเฝ้าในครั้งต่อไป”
“โปรดอภัยหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันขอทูลลา”
สนมฉินและเซี่ยโฮวคุณจากไปอย่างไม่เต็มใจ
เมื่อเซี่ยโฮวโม่กลับเข้าไปในห้อง เขาเห็นซูมู่เก๋อคุกเข่าอยู่หน้าเตียงและขมวดคิ้วเล็กน้อย
“โม่เอ๋อร์ เจ้ากล้าดียังไง!” เสียงแหบต่ำทําให้ฝีเท้าของเซี่ยโฮวโม่หยุดลง
เซี่ยโฮวรุยซึ่งนอนอยู่บนเตียง ได้ลุกขึ้นนั่งแล้วในตอนนี้
เซี่ยโฮวโม่ลดสายตาลงและคุกเข่าข้างหนึ่งที่หน้าเตียง
“เสด็จพ่อ ลงโทษหม่อมฉันเถิดพะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวรุย ด้วยความหดหูใจ อ้าปากค้าง “การกระทําของเจ้า! เจ้ามั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ! ไม่มีใครทําให้ข้าเป็นอิสระจากความกังวลใจได้เลย!” ด้วยคําพูดเหล่านี้ เขาต้องรู้สถานการณ์ด้านนอกนั่นแล้ว
เซี่ยโฮวโม่ตอบโดยไม่ลังเล
“หม่อมฉันไม่อยากเห็นสุขภาพของเสด็จพ่อแย่ลงทุกวัน พะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวรุยมองไปที่ทั้งสองด้วยสายตาเลือนราง แต่ไม่ใช่ด้วยความชื่นชม เขารู้สึกเห นื่อยและพูดว่า “เจ้าต้องการบังคับข้าด้วยงั้นรึ?”
เซี่ยโฮวโม่เริ่มจริงจัง “หม่อมฉันไม่กล้า เสด็จพ่อ”
ในตอนนี้ ซูมู่เก๋อหวังว่านางจะหายไปจากห้องนี้ทันที นางไม่ควรได้ยินบทสนทนาระหว่างพ่อกับลูกชาย ไม่ นางไม่อยากได้ยิน
“เจ้าช่วยให้ข้าฟื้นหรือไม่?”
ทันใดนั้นซูมู่เก๋อตระหนักได้ว่าองค์จักรพรรดิกําลังถามนาง
“เพค่ะ ฝ่าบาท”
“ฝ่าบาท พระวรกายของพระองค์อ่อนแอเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากความเจ็บป่วย…”
“มันเป็นพิษ” ซูมู่เก๋อถูกเซี่ยโฮวรุยขัดจังหวะก่อนที่นางจะพูดจบ
ซูมู่เก๋อรู้สึกประหลาดใจที่องค์จักรพรรดิทรงทราบ
เมื่อเห็นเซี่ยโฮวโม่ประหลาดใจ นางตระหนักว่าเขาไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยส่ายหัว บ่งบอกว่านางไม่น่ารู้เรื่องนี้ หรือทั้งสองคนไม่น่าจะต้องรู้
“ข้าปกปิดเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ในที่สุดเจ้าก็รู้”
ซูมู่เก๋อเม้มริมฝีปากของนางและกล่าวว่า “ราชาแห่งจินทรงเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของพระองค์เพค่ะ ตอนนี้พวกเขาอยู่บนเรือลําเดียวกัน มันจึงสมเหตุสมผลที่จะทําหลุดพ้น”
“แม้แต่หมอหลวงก็ไม่มีเงื่อนงํา เจ้ามีวิธีแก้ไขหรือ?” จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยกล่าวอย่างสบายๆ ด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าสามารถล้างพิษให้เสด็จพ่อได้หรือไม่?” เซี่ยโฮวโม่ถาม
ซูมู่เก๋อพยักหน้าช้าๆ ซึ่งทําให้จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยประหลาดใจ
“เจ้าหมายความว่าเจ้าสามารถล้างพิษให้ข้าได้งั้นหรือ?”
ซูมู่เก๋อพยักหน้าหนักแน่นมากขึ้นในครั้งนี้ “แม้ว่าพิษในร่างกายของฝ่าบาทจะแทรกซึมเข้าในกระแสเลือดแล้ว มันไม่ใช่ว่าจะรักษาไม่หายเพคะ”
ได้ยินคําพูดของนาง จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยเปิดเผยความหวังในดวงตาที่สลัวและไร้ชีวิตชีวาของเขา
“เจ้าจริงจังใช่หรือไม่?
“หม่อมฉันมกล้าหลอกหลวงเบื้องสูงเพค่ะ ฝ่าบาท!”
“ตกลง ข้าจะให้โอกาสเจ้า หากเจ้าสามารถล้างพิษให้ข้าได้ ข้าจะตอบแทนคุณอย่างงาม”
ซูมู่เก๋อกลอกตาอย่างลับๆในใจ ดูเหมือนว่านางขอร้องให้ได้รับการรักษาจากเขา
“หม่อมฉันจะทําให้ดีที่สุด เพค่ะ”
“เจ้าเป็นผู้กําชัยชนะในการแข่งขันวันนี้ และข้าจะไม่ผิดสัญญา” จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยมองนางอย่างลึกซึ้งและพูดช้าๆ
“เพค่ะ” ซูมู่เก๋อไม่มีความตั้งใจที่จะขอร้องให้จางเยว่ วันนี้จึงคิดริเริ่มเสนอบทลงโทษ ถ้าผู้แพ้เป็นนางละก็มือของนางขาดไปแล้ว!
“จากนี้ไป ให้ข้ายังรักษาจากหมอเฉิน”
“เพค่ะ ฝ่าบาท”
“เจ้าออกไปได้”
เมื่อรู้ว่าองค์จักรพรรดิมีเรื่องจะคุยกับเซี่ยโฮวโม่ตามลําพัง ซูมู่เก๋อลุกขึ้นและถอยออกไปทันที
เดินออกจากประตูพร้อมชุดเครื่องมือแพทย์ นางรู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดเบาๆ ซึ่งทําให้นางรู้สึกหนาวสั่นเล็กน้อย ตอนนั้นเองที่นางรู้ว่าเสื้อผ้าของนางเปียกไปด้วยเหงื่อเย็น
นางไม่รู้ว่าสิ่งที่นางเลือกนั้นผิดหรือถูก แต่ตอนนี้นางได้ตัดสินใจแล้ว นางควรจะเดินหน้าต่อไป
แม้ว่าสนมฉินจะถูกปฏิเสธโดยคําพูดของเซี่ยโฮวโม่ แต่นางก็ไม่มีวันปล่อยมันไปง่ายๆ
เมื่อเห็นซูมู่เก๋อออกมาจากห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิ นางกํานัลที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ และสังเกตการณ์อยู่นอกห้องก็เดินไปที่ตําหนักจ้าวเหอทันที
หลังจากที่ซูมู่เก๋อออกไป เซี่ยโฮวรุยก็ขอให้เซี่ยโฮวโม่นั่งที่หน้าเตียงของเขา
“ใครวางยาพิษเสด็จพ่อ?”
เมื่อมองไปที่เซี่ยโฮวโม่ เซี่ยโฮวรุยชายตามองยิ้มๆ
“มีการผสมยาพิษในมื้ออาหารและน้ำชาที่ข้าทานทุกวัน มีกี่คนในแคว้นฉู่สามารถทําเช่นนั้นได้?”
“เขาอยู่ในวังมานานกว่าทศวรรษ…”
เซี่ยโฮวโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับคําตอบในใจของเขา
……………..
หลังจากถูกส่งออกมาที่ประตูพระราชวัง ซูมู่เก๋อพบว่าซูหลุนกลับบ้านไปแล้ว โดยไม่รอนาง
ยืนอยู่นอกประตูวังที่ว่างเปล่า ซูมู่เก๋อทําอะไรไม่ถูกจริงๆ เนื่องจากจักรพรรดิไม่ได้ส่ง รถม้าไปส่งนางด้วยเช่นกัน
เป็นทางเลือกสุดท้าย ซูมู่เก๋อทําได้เพียงเดินไปที่ถนนและเช่ารถม้าเดินทางกลับ
มันเพิ่งผ่านมาเป็นเวลาเที่ยงวัน ถนนก็เต็มไปด้วยคนเดินเท้า
ด้วยความกระตือรือร้นที่จะคนหาพิษของจักรพรรดิ ซูมู่เก๋อตรงไปที่ตัวแทนเช่ารถม้า
“ฮืม ของราคาถูก วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ตัวแทนเช่ารถม้าอยู่ที่แผงขายของที่มุมถนน ทันที่ที่ซูมู่เก๋อเดินผ่านไป นางเห็นชายร่างกํายําโบกไม้ซึ่งหนากว่าแขนของนางและฟาดชายคนหนึ่งล้มลงกับพื้น
ยิ่งนางเข้าใกล้ ยิ่งนางมองร่างที่อยู่บนพื้นได้ชัดเจน มันเป็นเด็กชายอายุสิบสามขวบ
เมื่อเห็นท่อนไม้อันหนักหน่วงฟาดเข้าที่ตัวของเขา นางกลัวว่ากระดูกของเขาจะหัก
ไม่นานผู้สังเกตการณ์กลุ่มหนึ่งก็มาล้อมพวกเขา ชี้และพูดคุยกัน
“ผู้เฒ่าจางคนที่สามกลับมาแล้ว คนงานหนุ่มสาวหลายคนถูกเขาทุบตีจนตายไปกว่าครึ่ง โดยไม่ได้รับค่าจ้างใดๆ เด็กคนนี้ต้องถูกเขาใส่ร้ายด้วยเป็นแน่ เขาไม่เพียงให้ทําทุกสิ่ง แต่ยังถูกทุบตีอย่างหนักด้วย”
“นั่นเรื่องจริง! ใครไม่รู้จักผู้เฒ่าจางคนที่สามในตัวแทนเช่ารถม้าแห่งนี้บ้าง?! ข้าแค่รู้สึกสงสารเด็กคนนี้”
ซูมู่เก๋อฟังผู้สังเกตการณ์ที่มองชายร่างกํายําอย่างดูถูกเหยียดหยาม แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นและไม่พอใจ ไม่มีใครมีความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นและช่วยเด็ก
ซูมู่เก๋อมองเด็กน้อยที่ขดตัวอยู่บนพื้นโดยใช้มือลูบหลังศีรษะ
แม้จะเจ็บปวดจนทนไม่ไหว เขาไม่ได้เปล่งเสียงเลย
บางที่สัมผัสได้จากความดื้อรั้นของเขา ซูมู่เก๋อเดินเข้าไปในฝูงชน ก่อนที่ชายผู้แข็งแกร่งจะตีอีกครั้ง นางคว้าไม้ไว้
ผู้เฒ่าจางคนที่สามหยุดชั่วคราวและมองไปที่ซูมู่เก๋อ เมื่อเห็นนางแต่งตัวเป็นหญิงสาวที่บอบบาง เขาเผยให้เห็นการสั่นไหวของความชั่วร้ายในดวงตาของเขา
“เจ้ากําลังทําอะไร สาวน้อย?”
ซูมู่เก๋อปล่อยไม้ด้วยท่าทางเย็นชา “เขาเป็นคนรับใช้ที่ท่านซื้อมาใช่หรือไม่?”
“ไม่”
“แล้วเขาเป็นใครสําหรับท่าน?”
ผู้เฒ่าจางก้าวเข้ามาใกล้ซูมู่เก๋อด้วยรอยยิ้มสกปรกและน่ากลัว “ทําไมเจ้าถามข้าเช่นนั้นล่ะ สาวน้อย?”
“ถ้าท่านทุบตีผู้บริสุทธิ์โดยไม่มีเหตุผล ท่าจะถูกจําคุก” ซูมู่เก๋อกล่าวด้วยท่าทางเย็นชา ทําให้ผู้เฒ่าจางที่อยากจะเข้าใกล้นางหยุดการเคลื่อนไหว และสงสัยว่าดวงตาของหญิงสาวที่มีเสน่ห์น่ากลัวขนาดนี้ได้อย่างไร?!
“เขาขโมยของของข้า! ห้าเหลียง!”
“ข้า ข้าไม่ได้ทํา เงินนั้น ท่านนําไปเล่นการพนันและเสีย…” เด็กชายบนพื้นพยายามที่จะพูด
“ไอ้สารเลว! แกกล้าปฏิเสธได้ยังไง?! ข้าจะข้าแก!” ผู้เฒ่าจางจ้องมองเขาอย่างดุร้ายและไม้ในมือของเขาก็กําลังจะฟาดลงไป
บทที่ 74 : การบรรลุข้อตกลง
“ฝ่าบาท!” รองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินก้าวเข้าอย่างรีบ ตั้งใจจะรักษาองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย
พระสนมฉินก้าวออกมาจากด้านหลังฉากกั้นและหยุดรองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินไว้
“ท่านรองเสนาบดี หมอเฉินให้การรักษาต่อฝ่าบาทมาเป็นเวลาเนิ่นนาน แต่ไม่เห็นการปรับปรุงใดๆ คุณหนูซูมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมและเพิ่งเอาชนะเด็กฝึกของท่านได้ ให้คุณหนูซูเข้ามารักษาฝ่าบาท!”
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยเกือบจะหมดสติลงแล้ว นอนอยู่บนบัลลังก์มังกร
เซี่ยโฮวโม่ยืนขึ้นและก้าวออกมา “ฝ่าบาทอาการแย่แล้ว ท่านเสนาบดี ท่านอาจะต้องถอย”
เมื่อรู้ว่าการปรากฏตัวของพวกเขาไม่ได้รับการต้อนรับอีกต่อไป เสนาบดีจึงลุกขึ้นและถอยกลับ
ถูกขัดขวางจากสนมฉิน หมอเฉินรู้สึกรําคาญ “พระสนม ฝ่าบาทได้รับการรักษาจากหม่อมฉัน โปรดหลีกทางด้วย การรักษาอาการประชวรของฝ่าบาทไม่สามารถล่าช้าได้!”
รองเสนาบดี หมอเฉินกล้าที่จะมีปากเสียงกับสนมฉินอย่างโผงผางเพราะเขารู้ว่าเซี่ยโฮวรุยจะไม่ยอมให้คนอื่นดูแลรักษาเขา
มองไปที่หมอเฉิน สนมฉินปฏิเสธที่จะยอมแพ้และหัวเราะเยาะ “ข้าบอกแล้ว่าฝ่าบาทไม่ได้ทรงมีพระวรกายดีขึ้นหลังจากที่ท่านให้การดูแลพระองค์มาช้านาน ท่านไม่สามารถรักษาพระองค์ให้ดีขึ้นได้ จึงควรที่จะหลักทางให้ผู้อื่น” แล้วนางก็หันไปหาซูมู่เก๋อ “คุณหนูซู มานี่ หากเจ้าสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของฝ่าบาทได้ เจ้าจะได้รับรางวัลมากมายอย่างแน่นอน”
ซูมู่เก๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ตระหนักจึงจุดประสงค์ของนางสนมฉินในการกล่าวร้ายนางก่อนหน้านี้
ไม่มีใครในวังหลวงที่จะแสดงความโปรดปรานของพวกเขาโดยไม่มีเหตุผลหรือผลประโยชน์ องค์จักรพรรดิมักจะรักษาสภาพของพระองค์จากผู้อื่น นางสนมฉินต้องการใช้ซูมู่เก๋อเพื่อตรวจสอบสภาพอาการของเขา เมื่อนางก้าวไปข้างหน้า เซี่ยโฮวรุยจะถือว่านางเป็นพรรคพวกของสนมฉินโดยปริยาย หลังจากทรงฟื้นสติ ซูมู่เก๋อไม่ต้องการให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น
“รองผู้อํานายการสํานักหมอหลวง หมอเฉินได้ให้การดูแลรักษาองค์จักรพรรดิมาช้านาน ดังนั้นเขาจึงรู้สภาพอาการของพระองค์ดีกว่าหม่อมฉัน ขอโปรดอภัยแก่หม่อมฉันด้วย พระสนมฉินเพค่ะ”
เซี่ยโฮวโม่มองไปที่สนมฉินอย่างลึกซึ้งและก้าวเข้าไป แต่เซี่ยโฮวคุณหยุดเขาไว้
“น้องเก้า มันไม่ใช่ธุระกงการของเจ้า เจ้าไม่อยากให้ท่านพ่อทรงประชวรเช่นนี้ ใช่หรือไม่?”
“หลีกไป” เซี่ยโฮวโม่ผลักเซี่ยโฮวคุณออกไป
เซี่ยโฮวคุณเกือบสะดุดล้ม เขาจ้องมองด้านหลังเซี่ยโฮวโม่และกัดฟันด้วยความแค้น
“เซี่ยโฮวโม่!”
เซี่ยโฮวโม่มองไปที่สนมฉินอย่างเย็นชา ทําให้นางตัวสั่นเมื่อเห็นความเยือกเย็นจากรูม่านตาสีดําสนิทคู่นั้น
“องค์ชายเก้า ท่านไม่ได้ยินในสิ่งที่ข้าเพิ่งพูดไปหรือ?”
เซี่ยโฮวโม่ดึงรองผู้อํานวยการสํานักหมอหลวง หมอเฉินไปที่เซี่ยโฮวรุยโดยตรง
“ท่านรออะไรอยู่ หมอเฉิน!?”
หมอเฉินฟื้นสติรู้สึกตัวและรีบไปตรวจรักษาองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย
สนมฉินโกรธมาก หลังจากแผนการมากมาย นางถูกทําลายจากเซี่ยโฮวโม่!
นางไม่เชื่อว่าเซี่ยโฮวโม่ไม่สนใจสภาพร่างกายของเซี่ยโฮวรุย เขาอาจจะรู้เขาจึงขัดขวางนางทุกวิธีทาง!
ซูมู่เก๋อสังเกตว่าวิธีการปฐมพยาบาลของหมอเฉินยังคงเหมือนกับครั้งที่แล้ว ท้ายที่สุดมันเป็นวิธีแก้ปัญหาในการจัดการกับอาการ แต่ไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง ดังนั้นมันทําให้จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยคงอยู่ต่อไปในสภาพที่แย่ลงเรื่อยๆ
หลังจากการปฐมพยาบาลของหมอเฉิน ผิวของเซี่ยโฮวรุยค่อยๆดีขึ้นและลมหายใจของเขาก็คงที่ แต่ตาของเขายังคงปิดสนิทโดยไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมา
เซี่ยโฮวโม่มองไปที่ขันทีอี ซึ่งเป็นกังวลอย่างมาก “นําส่งฝ่าบาทเสด็จกลับที่ตําหนักของพระองค์”
“พะย่ะค่ะ”
ออกจากท้องพระโรง ซูมู่เก๋อเห็นเสนาบดีหลายคนอยู่ด้านนอกรวมทั้งซูหลุน
เมื่อเห็นซูมู่เก๋อ ซูหลุนรีบก้าวเข้ามาหา
“ฝ่าบาททรงเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าของเขา ซูมู่เก๋อก็นึกถึงฉากในท้องพระโรง นางกําลังจะถูกตัดนิ้ว แต่ซูหลุนไม่มีความตั้งใจที่จะยืนหยัดเพื่อขอร้องให้กับนาง แม้ว่านางจะไม่มีความคาดหวังจากเขาเช่นนั้น แต่นางก็ยังคงรู้สึกผิดหวังในตอนนี้
“รองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินเป็นผู้ให้การดูแลต่อฝ่าบาท”
ขณะที่ซูมู่เก๋อกําลังจะออกจากวังหลวง คนในวังก็วิ่งมาหานาง
“คุณหนูซู รอสักครู่ องค์จักรพรรดิทรงฟื้นแล้วและต้องการพบท่าน ได้โปรดมากับข้า”
เซี่ยโฮวรุยฟื้นแล้วงั้นเหรอ?
“โปรดนําทางด้วย”
ซูหลุน ไม่แปลกใจ แค่กระซิบบอกซูมู่เก๋อว่าอย่าทําให้เกิดเรื่องขุ่นเคืองจากองค์จักรพรรดิ
ตําหนักในห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิเงียบมาก นางกํานับและขันทีทุกคนระมัดระวังไม่ให้ส่งเสียงดัง
“คุณหนูซู ฝ่าบาททรงอยู่ด้านใน โปรดเข้าไปเถิด”
ทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องของจักรพรรดิ
ซูมู่เก๋อเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับกลิ่นยาจาง ๆ ที่ลอยอยู่ภายใน
หลังจากผ่านฉากกั้นที่มีลวดลายดอกพลัมในหิมะ ซูมู่เก๋อก็เห็นเซี่ยโฮวโม่ทันที เขานั่งอยู่บนเก้าอี้
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยนอนอยู่บนเตียงไม้พะยูงซึ่งน่าจะตื่นแล้ว
หลังจากที่ซูมู่เก๋อเข้ามา ขันที่อีซึ่งรับใช้อยู่ข้างๆ โค้งคํานับเล็กน้อยและถอยออกไป
ซูมู่เก๋อประหลาดใจเล็กน้อย สงสัยว่าเซี่ยโฮวโม่ตั้งใจจะทําอะไร นางก้าวไปข้างหน้าอย่างใจเย็น“ฝ่าบาท”
“เมื่อไหร่ที่เจ้าจําข้าได้?”
คําพูดลอยๆของเขาอาจไร้สาระสําหรับคนอื่น แต่ซูมู่เก๋อเข้าใจความหมายของเขา
ก่อนหน้านี้เขามักจะปรากฏตัวในฐานะ “ใต้เท้าเซี่ย” ปลอมตัวและไม่เคยเปิดเผยตัวตนต่อหน้าซูมู่เก๋อ
เซี่ยโฮวโม่ปลอมตัว แต่ลูกน้องรอบตัวเขาไม่ได้ไปไหน มันยากแค่ไหนกันที่จะรู้
ซูมู่เก๋อกลอกตาอย่างลับๆ ในใจ
“ฝ่าบาทมีกฎระเบียบของพระองค์ในการทําสิ่งต่างๆ ซึ่งหม่อมฉันมิอาจถามหรือแทรกแซงได้ เพค่ะ” แต่เนื่องจากเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเปิดเผยตัวตนของเขา นางจึงต้องแสร้งทําเป็นไม่รู้ ท้ายที่สุดเขาเป็นองค์ชายเก้าและราชาแห่งจิน
เซี่ยโฮวโม่หัวเราะด้วยเสียงต่ำ
เสียงที่น่าพอใจของเขา เหมือนเสียงของการเชลโล กวาดไปทั่วหัวใจของนางเบาๆ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันสงสัยว่าพระองค์ทรงต้องการให้หม่อมฉันทําสิ่งใดเพค่ะ?”
“ดังที่สนมฉินกล่าว หมอที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ดีกว่าเป็นสิ่งจําเป็นสําหรับการรักษาอาการประชวรของเสด็จพ่อ”
ซูมู่เก๋อขมวดคิ้ว เซี่ยโฮวโม่ขอให้นางรักษาองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยที่ยังไม่ได้สติ มันจึงไม่ใช่ความตั้งใจขององค์จักรพรรดิที่ให้นางรับช่วงต่อในการรักษา
เมื่อนึกถึงการต่อต้านของเซี่ยโฮวรุยในครั้งสุดท้ายนั้น ซูมู่เก๋อลังเลอยู่ครู่หนึ่งโดยไม่ตอบรับ
ถ้าเซี่ยโฮวรุยตําหนินางหลังจากฟื้นขึ้นมา นางคงถึงคราวเคราะห์เป็นแน่
เมื่อเห็นความกังวลของนาง เซี่ยโฮวโม่พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “มั่นใจได้ ข้าจะทําให้เจ้าปลอดภัย”
ซูมู่เก๋อรู้ดีว่าตราบใดที่นางทําตามที่เซี่ยโฮวโม่พูด นางจะถูกมองว่าเป็นพรรคพวกของเซี่ยโฮวโม่ในสายตาคนอื่นแม้ว่านางจะไม่คิดอย่างนั้นก็ตาม
นางอยากจะเชื่อในเซี่ยโฮวโม่มากกว่าสนมฉิน แต่เนื่องจากเป็นกรณีนี้ ซูมู่เก๋อรู้สึกว่าจําเป็นต้องชี้แจงบางอย่างกับเซี่ยโฮวโม่
“หม่อมฉันมีข้อกําหนดสองข้อเพค่ะ”
เซี่ยโฮวโม่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย คิดว่านางกล้าที่จะเจรจากับเขาด้วยซ้ำ
“บอกข้ามา”
“ข้อแรก หม่อมฉันจะไม่ละเมิดจริยธรรมทางการแพทย์และทําสิ่งชั่วร้าย ข้อสอง หม่อมฉันหวังว่าพระองค์จะสามารถให้ความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยของมารดาและน้องชายของหม่อมฉันเพคะ ฝ่าบาท”
“อืม ข้าให้สัญญากับเจ้า”
“ขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท”
บรรลุข้อตกลงแล้ว ซูมู่เก๋อเดินเข้าไปหาองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย
ผิวขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยแย่กว่าที่เขาอยู่ในท้องพระโรงเสียอีก ใบหน้าของพระองค์ดูไร้ชีวิตไม่อาจคาดเดาได้
นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย
นางจับชีพจรขององค์จักรพรรดิ
ตัดสินจากชีพจร นางพบว่าองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยมีเสียงของไตที่อ่อนแอมาก นางรู้สึกได้ถึงเสียงปอด หัวใจเต้นเร็ว หัวใจขาดเลือดอาจหัวใจวายเฉียบพลันได้ ไตอยู่ในภาวะขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ความแห้ง-ร้อนในหัวใจ และความร้อนในร่างกายส่วนบนและร่างกายส่วนล่างเย็น มันเป็นเรื่องยุ่งมาก!
หากสภาพของพระองค์ยังคงดําเนินต่อไปเช่นนี้ องค์จักรพรรดิไม่สามารถดํารงอยู่ได้ในเดือนนี้
“ฝ่าบาท องค์จักรพรรดิทรงเริ่มประชวรตั้งแต่เมื่อใด เพค่ะ?”
“ครึ่งปีที่แล้ว”
เซี่ยโฮวโม่ขอให้ตงหลินนําหนังสือเล่มเล็กมาให้ด้วย ซึ่งได้บันทึกประวัติทางการแพทย์ของเซี่ยโฮวรุยไว้อย่างชัดเจน
ตอนแรก เซี่ยโฮวรุยรู้สึกเหนื่อยง่ายและเขาคิดว่าเป็นเพราะสถานการณ์ที่หนักหน่วง หมอเฉินจึงสั่งปรุงยาบํารุงเพื่อให้ความอบอุ่นกับเขา
ยาบํารุงเหล่านี้เป็นเหมือนยากระตุ้นชั่วคราว ซึ่งสามารถใช้ได้ผลในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สุขภาพของเซี่ยโฮวรุยกลับแย่ลงเรื่อยๆ
จนเมื่อสองเดือนมานี้ จู่ๆ เขาก็ตกอยู่ในอาการโคม่าเป็นครั้งคราว
บํารุงไต – ฉีเพื่อรักษาภาวะไตบกพร่อง และขับสารพิษที่สะสมอยู่ในปอด ใบสั่งบาของรองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินไม่มีปัญหา
ซูมู่เก๋อหยิบเข็มเงินออกมาจากชุดเครื่องมือแพทย์ของนาง เจาะปลายนิ้วของเซี่ยโฮวรุยและบีบเลือดออกมาหนึ่งหยด
เมื่อนางกําลังจะเปิดขวดกระเบื้องลายครามเพื่อเก็บตัวอย่างเลือด นางพบว่าสีของหยดเลือดสลัว
ซูมู่เก๋อคิดว่าดวงตาของนางพร่ามัว นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วหยดเลือดลงไป หลังจากหยดแล้วมันแพร่กระจายบนผ้าเช็ดหน้าสีขาวทันที
นางเดินไปที่หน้าต่างพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าเพื่อดูใกล้ๆ
นางขมวดคิ้ว แทงเข็มเงินเข้าที่ปลายนิ้วของตัวเองทันทีและบีบเลือดหนึ่งหยดลงบนผ้าเช็ดหน้าอีกผืน
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของนาง เซี่ยโฮวโม่ก็ลุกขึ้นยืน
“เจ้ากําลังทําอะไร?”
ซูมู่เก๋อถือผ้าเช็ดดหน้าสองผืนยื่นต่อหน้าเซี่ยโฮวโม่
“ฝ่าบาท โปรดทอดพระเนตรผ้าเช็ดหน้าสองผืนนี้เพคะ พระองค์ค้นพบความแตกต่างระหว่างผ้าสองผืนนี้ได้หรือไม่?”
ผ้าเช็ดหน้าทั้งสองผืนเปื้อนเลือด มองแวบแรกไม่มีความแตกต่าง แต่หากสังเกตดีๆ อาจพบแสงสีฟ้าจางๆ บนหนึ่งในนั้น
“ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มีปัญหาหรือเปล่า?”
“เลือดของคนปกติจะไม่มีปฏิกิริยาเช่นนี้เพค่ะ องค์จักรพรรดิอาจถูกวางยาพิษ”
ดวงตาของเซี่ยโฮวโม่มืดลง “ได้รับพิษ?”
“เพค่ะ”
ซูมู่เก๋อหยิบยาล้างพิษออกมาจากชุดแพทย์ของนางและส่งให้เซี่ยโฮวโม่
“นั่นคืออะไร?”
“นั่นคือยาล้างพิษที่หม่อมฉันปรุงขึ้นเพค่ะ สามารถบรรเทาการแพร่กระจายของพิษได้ หากพระองค์ทรงตื่นขึ้นภายในหนึ่งชั่วโมงหลังจากรับประทานยาล้างพิษแสดงว่าร่างกายของพระองค์มีพิษที่เป็นอันตราย”
ในตําหนักจ้าวเหอ
สนมฉินอยู่ในอารมณ์ที่น่ากลัว ทําให้นางกํานัลในห้องกลัวจนไม่กล้าหายใจ
“ถวายบังคมเพค่ะ องค์ชายสอง”
เซี่ยโฮวคุณยกม่านและเข้าไปในห้อง โบกมือ ทุกคนรู้ในทันทีและถอยออกจากห้องไป
“เสด็จแม่ หม่อมฉันได้ยินว่าเสด็จพ่อทรงฟื้นแล้วและเรียกหาตัวซูมู่เก๋อ” เซี่ยโฮวคุณนั่งลงและกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางสนมฉินก็ขมวดคิ้ว “เร็วขนาดนี้! สิ่งที่เราได้ทําในวันนี้ผูกพันพอที่จะทําให้องค์จักรพรรดิระคายเคืองได้ ไปสารภาพกับพระองค์กันเถอะ” ขณะพูดสนมฉินก็ลุกขึ้นยืน
“เสด็จแม่ ท่านทําไปเพราะนึกถึงสุขภาพของเสด็จพ่อ พระองค์จะตําหนิท่านได้อย่างไร?”
สนมฉินหัวเราะเยาะ “เขาเคยปกป้องพวกเรา! มากับข้า อย่าทําให้ใครใช้โอกาสนี้ซ้ำเติมเราได้”
เซี่ยโฮวคุณไม่สามารถทําอะไรได้นอกจากพยักหน้า “ได้ เสด็จแม่”
รองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินเย้ยหยันเล็กน้อย ฮึ หลังจากฝึกฝนแพทย์มาหลายปี เขาสามารถพูดได้อย่างแน่นอนว่าชายผู้นั้นมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
ซูมู่เก๋อวางมือของนางบนผ้าฝ้ายที่ชุ่มเลือด นางหายใจเข้าลึกๆแล้วกระตุ้นความสามารถวิเศษในร่างกายนาง ในไม่ช้านางก็รู้สึกถึงกระแสความร้อนจากฝ่ามือของนาง
นางเงยหน้าขึ้นมองรองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินด้วยสีหน้าจริงจังและเคร่งขรึม “เขาอยู่ในอาการช็อคไปชั่วครู่ เขายังไม่ตาย!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ รองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอแนเบิกตากว้างด้วยความโกรธ เขาแค่เตือนนางด้วยความสงสาร นังเนรเจ้า!
หึ เขาจะรอดู เวลาที่นางร้องไห้และขอร้องอ้อนวอนเมื่อนางแพ้การแข่งขัน!
ดวงตาของเซี่ยโฮวโม่ตกลงไปที่มือของซูมู่เก๋อที่วางทับบนผ้าฝ้าย
ในขณะที่กําลังคิดว่าซูมู่เก๋อกําลังจะพ่ายแพ้ ซูมู่เก๋อโยนผ้าฝ้ายทิ้งแล้วลุกขึ้นไปหยิบยาบนโต๊ะ นํามาทาที่แผลและพันผ้าพันแผลไว้
“ดูเหมือนว่าเลือดจะหยุดแล้ว…….”
“โอ้ ใช่ มันหยุดไหลแล้วจริงๆ!”
ซูมู่เก๋อหยิบยาเม็ดสีดําออกมาจากชุดเครื่องมือแพทย์ให้ผู้ป่วยกิน หลังจากนั้นนางก็ตรงไปยังผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บอีกราย
มองไปที่ผู้ป่วยที่ถูกพันแผล รองเสนาบดีสํานักหมอหลวงหมอเฉินตาเบิกโพลงอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ
“เป็นไปได้ยังไง…” เขาเห็นชัดเจนว่าชายคนนั้นหายใจเฮือกสุดท้ายและอาการเลือดออกไม่หยุดที่ต้นขาจนแทบไม่สามารถรักษาได้ นางจะห้ามเลือดได้อย่างไร!
หากมันไม่ได้อยู่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ เขาจะเดินออกไปและฉีกผ้าพันแผลออกดู!
ผู้ป่วยรายที่สองของซูมู่เก๋อถูกแทงที่หน้าอก ลูกศรที่แหลมคมแทงจากหน้าอกผ่านกระดูกทะลุออกไปที่ด้านหลังของเขา
การบาดเจ็บนี้ไม่สามารถรักษาได้ง่ายไปกว่าผู้บาดเจ็บคนก่อน!
ด้วยรูปลักษณ์ที่สงบ ซูมู่เก๋อหยิบมีดผ่าตัดออกมาจากชุดเครื่องมือแพทย์ของนางเพื่อตัดลูกศรที่ยื่นออกมาจากร่างกายทั้งสองด้านออก ด้วยใบมีดคมอบาด้วยผงห้ามเลือดที่แผล และให้ยาระงับความรู้สึกแก่ผู้ป่วยเพื่อให้เขาหมดสติชั่วคราว
หลังจากเขาหมดสติแล้ว ซูมู่เก๋อก็ค่อย ดึงลูกธนูออกจากอกของเขา
“ฉีด”
เลือดของผู้บาดเจ็บกระเซ็นไปทั่วใบหน้าของนาง!
ไม่มีเวลาเช็ดเลือดบนใบหน้า ซูมู่เก๋อพันบาดแผลอย่างรวดเร็วและเรียบร้อย
อีกด้านหนึ่ง จากเยวพันแผลของผู้ป่วยคนที่ห้าเสร็จพอดี
เมื่อสังเกตเห็นว่าซูมู่เก๋อย้ายไปยังคนปวยคนที่สามแล้ว จางเยวทําผงยาหกใส่จมูกคนป่วยโดยไม่ได้ตั้งใจ
“…ฮัดเช่ย เอิ่ม อะ-แฮม”
จางเยว่ก็รู้สึกตัวและรีบเดินต่อไป
เมื่อเทียบกับจางเยว่ ซูมู่เก้อสงบกว่ามาก นางแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงและจริงจังเกินวัยซึ่งทําให้เซี่ยโฮวรุยประหลาดใจ
ซูมู่เก๋อกําลังย้ายจากคนป่วยที่ยากที่สุดไปง่าย ดังนั้นนางจึงเร็วขึ้นและเร็วขึ้น
ในขณะที่จางเยว่ทําจากง่ายไปยาก ทําให้ช้าลงเรื่อยๆและทําผิดพลาดมากขึ้นเรื่อยๆ
รองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินซึ่งเดิมมั่นใจว่าประสบความสําเร็จแน่ ค่อยๆหน้าเศร้าลง
เมื่อทรายในนาฬิกาไหลอย่างรวดเร็วจึงเหลือเวลาอีกเพียงสองในสิบของเวลาที่กําหนด
เข้าใกล้ผู้ป่วยรายที่เจ็ดของนาง ซูมู่เก๋อพบว่าบาดแผลของเขาอักเสบและเนื้อเน่า ต้องตัดเนื้อเน่าออกไม่งั้นการติดเชื้อจะลุกลาม
“ยาแก้อักเสบ…”
ซูมู่เก๋อหมุนตัวกลับไปหายาแก้อักเสบ ในขณะที่นางยื่นมือออกไปก็มีอีกมือรีบเอื้อมหยิบขวดยานั้นที่ควรจะอยู่ในมือของนางไป
มือของนางหยุดกลางอากาศเบาๆ แล้วซูมู่เก๋อขมวดคิ้วและกลับไปหาคนป่วยของนางโดยไม่สนใจท่าทางยั่วยุของจางเยว่ จากนั้นนางก็ไปเปิดชุดเครื่องมือแพทย์ของนางหยิบมีดผ่าตัดออกมาและเริ่มเฉือนเนื้อเน่าออก
มียาต้านการอักเสบบางชนิดในชุดเครื่องมือแพทย์ของนาง แต่ก็ไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตามยังคงสามารถรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบันได้
มันเป็นการแข่งขัน ไม่มีใครอยากแพ้!
“ปุง!”
เสียงฆ้องและกลองดังขึ้น
“หมดเวลา!”
ซูมู่เก๋อพันผ้าพันแผลบนมือที่บาดเจ็บแล้วก้าวออกไปยืนด้านข้าง
อย่างไรก็ตาม จางเยวหลังจากเสียงฆ้องและกลองดังขึ้นแล้วก็ยังคงขยับมือของเขาต่อ เมื่อรองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินส่งเสียงดังด้วยความไม่พอใจ เขาจึงยอมถอยอย่างไม่เต็มใจจากผู้ป่วย
เซี่ยโฮวรุยที่นั่งพิงเก้าอี้ที่ดูเหมือนหลับไปแล้ว
ขันทีอีก้าวเข้าไปหาองค์จักรพรรดิและเรียกเบาๆ “ฝ่าบาท การแข่งขันสิ้นสุดแล้วพะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวรุยดูเหมือนจะตื่นขึ้นและส่งเสียงดังอย่างไม่พอใจ
“ดี มันจบแล้ว เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม หมอหลวงของจักรวรรดิควรไปตรวจสอบ
แพทย์อาวุโสห้าคนของสํานักหมอหลวงของจักรวรรดิได้รับเลือกให้เป็นผู้ตัดสิน
“ฝ่าบาท หม่อมฉันสงสัยว่าหมอหลวงของจักรวรรดิจะตัดสินใจได้อย่างไร?”
จํานวนผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโดยซูมู่เก๋อและจางเยวภายในเวลาที่กําหนดมีทั้งหมดเจ็ดคน แต่อาการผู้ป่วยของซูมู่เก๋อนั้นยากกว่า ในแง่นี้ผู้ชนะควรเป็นซูมู่เก๋อ
อย่างไรก็ตาม มันไม่ชัดเจนว่านางได้รับการรักษาแบบขอไปทีหรือไม่ ดังนั้นพวกเขาจึงแก้ผ้าพันแผลออก
นี่เป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
หมอหลวงที่มีผมสีขาวครึ่งหัวยกคางขึ้นแล้วพูดว่า “เรามีกฏของเราเอง คุณหนูซู ไม่ต้องกังวล เราจะไม่มีอคติ”
“ฝ่าบาทเพค่ะ ขอโปรดทําให้มั่นใจด้วยเถิดเพค่ะว่าหมอหลวงจะไม่ทําร้ายผู้ป่วย” ซูมู่เก๋อก้าวไปข้างหน้าและร้องขออย่างใจเย็น
เซี่ยโฮวรุยหรี่ตา
“ในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ หลักการสําคัญที่สุดสําหรับเราคือการให้ความสําคัญกับผู้ป่วยเป็นอันดับแรก หากพวกเขาเจ็บปวดเป็นครั้งที่สองเนื่องจากการแข่งขัน ข้ายินดีที่จะยกเลิกการแข่งขัน”
เมื่อกล่าวจบ ซูมู่เก๋อก็บีบมือภายใต้แขนเสื้อของนางแน่น
ฉับพลันโถงทั้งโถงก็เงียบลงพร้อมกับอากาศที่ค่อยๆเย็นลง มีเพียงเซี่ยโฮวโม่เท่านั้นที่มีสีหน้าและเพลิดเพลินกับเหล้าบนโต๊ะ
ด้วยรอยยิ้มขี้เล่นบนใบหน้าของเขา เซี่ยโฮวคุณหมุนถ้วยเหล้าในมือเล่นต่อไป
“ถ้าเจ้าแพ้ เจ้าจะต้องโดนตัดมือและไม่ฝึกฝนทางการแพทย์อีกเลย เจ้าได้คิดทบทวนมันหรือไม่?”
นั่งอยู่ท่ามกลางฝูงชน ซูหลุนไม่เคยคาดหวังว่าซูเก๋อจะโง่ขนาดนี้
นางกําลังเล่นกับไฟ! นางจะคาดเดาความคิดในใจของจักรพรรดิได้อย่างไร!
เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่กล้าลุกขึ้นหลังจากอยากจะทําอยู่หลายครั้ง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าองค์จักรพรรดิพิโรธและลงโทษเขาพร้อมกับลูกสาวของเขา!?
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมันใจเพค่ะ”
“ดี ในกรณีนี้ ขันทีอี”
“พะย่ะค่ะ”
“ซูมู่เก๋อแพ้”
ทันที่คําพูดของเซี่ยโฮวรุยออกมา ซูมู่เก้อรู้สึกได้ทันทีว่าสายตาทุกคู่ตกอยู่ที่ตัวนาง
ได้รับความสงสารหรือการหัวเราะเยาะ อย่างไรก็ตาม ซูมู่เก้อไม่สนใจ
ขันที่อีรุ้งานสั่งให้ทหารองค์รักษ์นําโต๊ะกลมเล็กๆ มาให้ซูมู่เก๋อ
“ซูมู่เก๋อ ยอมรับความพ่ายแพ้สําหรับการเดิมพันซะ เจ้าแพ้ เจ้าจะต้องถูกลงโทษ”
องค์รักษ์ก้าวเข้าไปหาซูมู่เก๋อ ดึงมือของนางวางไว้บนโต๊ะ
เซี่ยโฮวซีนั่งอยู่ที่ด้านหลังอยากออกมาด้านหน้า แต่ถูกเซี่ยโฮวหยินหยุดไว้
“เจ้ากําลังจะทําอะไร น้องเก้า? เจ้าเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าซูมู่เก๋อจะไม่แพ้ ตอนนี้นางแพ้การแข่งขันและท่านพ่อต้องตัดมือของนางทิ้ง เจ้าคิดว่าท่านพ่อจะปล่อยนางไปเพียงเพราะเจ้าออกไปอ้อนวอนแทนนางงั้นรึ?”
เซี่ยโฮวซีมองไปมีเซี่ยโฮวหยินด้วยใบหน้าซีดเซียว แต่นางก็ยังพูดออกมาว่า “ท่านพ่อ คุณหนูซูช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้ เพื่อเห็นแก่หม่อมฉัน โปรดอภัยให้นางด้วยเพค่ะ!”
“เพื่อให้รางวัลแก่ผู้ชนะและลงโทษผู้แพ้ ข้ามักจะรักษากฏอย่างเคร่งครัด เพื่อให้รางวัลและการลงโทษ” เซี่ยโฮวรุยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เสด็จพ่อ ได้โปรด หม่อมฉันขอร้อง…”
สนมฉินยกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย หลังจากรับใช้เซี่ยโฮวรุยมาหลายปี นางรู้อารมณ์ของเขาเป็นอย่างดี ตอนนี้เขาถ้าเขาไม่มีความสุขน้ำเสียงไม่เป็นแบบนี้ “องค์หญิงเก้าเหนื่อยแล้ว พา นางไปพักผ่อน”
“เพค่ะ”
นางกํานัลในวังสองคนเดินเข้าหาเซี่ยโฮวซีและบังคับนางออกไปทันที
“ดําเนินการเกี่ยวนี้!” เสียงแหลมของขันที่อีดังขึ้นในท้องพระโรง ซึ่งดูรุนแรงเป็นพิเศษ
ซูมู่เก๋อหลับตาลง
มีดในมือของผู้คุมยกสูงและเหวี่ยงเข้าหามือของซูมู่เก๋อด้วยความเร็วที่มองเห็นได้
“ช้าก่อน!”
เมื่อใบมีดกําลังจะสัมผัสมือของซูมู่เก๋อ เซี่ยโฮวรุยก็พูดขึ้น
อากาศที่แข็งตัวในโถงดูเหมือนจะละลายในทันที
“ฮ่าๆๆๆๆๆ” เซี่ยโฮวรุยหัวเราะดังๆ ซึ่งดังก้องไปทั่วห้องโถง
“สาวน้อย เจ้ากล้าหาญมาก!” เซี่ยโฮวรุยแสร้งทําเป็นจริงจังและจ้องไปที่ซูมู่เก๋ออย่างจงใจ
ซูมู่เก๋อมองไปที่มีดที่อยู่เหนือมือของนางเพียงไม่กี่เซนติเมตรและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดนางก็ชนะพนัน
เซี่ยโฮวโม่ค่อยๆวางแก้วเหล้าในมือลง และทันทีที่แก้วถึงพื้นโต๊ะมันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที
“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะสับมือของเจ้าออกจริงๆหรือ?”
ซูมู่เก๋อคุกเข่าลงที่กลางห้องโถงและก้มศีรษะหน้าผากจรดพื้น “หม่อมฉันเชื่อว่าฝ่าบาทเป็นราชาที่ทรงรักผืนแผ่นดินของพระองค์และราษฎรของพระองค์เพคะ”
เซี่ยโฮวรุยหัวเราะอีกครั้ง “ข้าจะไม่เข้าข้างเจ้าถ้าเจ้าทําให้ข้าผิดหวัง!”
ก่อนที่รองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินจะยิ้มด้วยความพอใจ สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ทําให้เขาสับสนอยู่พักหนึ่ง องค์จักรพรรดิทรงหมายถึงอะไร?
จางเยว่รู้สึกงงงวยและมองไปที่หมอเฉิน
เซี่ยโฮวรุยโบกมือ “หมอ แค่ทําตามที่เด็กสาวบอก อย่าทําร้ายผู้บาดเจ็บอีก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้บรรดาแพทย์ของจักรวรรดิก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย พวกเขาจะรู้วิธีการรักษาโดยไม่ตรวจดูบาดแผลได้อย่างไร?
“พะย่ะค่ะ แพทย์อาวุโสตอบรับคํามั่นไป แต่พวกเขาไม่เต็มใจเห็นด้วย พวกเขาเดินไปหาผู้ป่วยและถามคําถามจางเยว่เป็นครั้งคราว
“ ข้าอยากรู้ คุณหนูซู เจ้าสามารถเริ่มการรักษาจากผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุดได้ ทําไมเจ้าถึงเลือกคนที่บาดเจ็บหนักที่สุดก่อน?” เซี่ยโฮวคุณถาม
ซูมู่เก๋อก้มหน้ามองต่ำและกล่าวว่า “ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุดคือผู้ปวยหนัก อาการบาดเจ็บของพวกเขาอาจรักษาได้ยากกว่าก็จริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากหม่อมฉันรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยก่อน ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตลงก่อนที่ยังไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีเพคะ”
“เจ้าหมายความว่ามันผิดที่ให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บน้อยที่สุดก่อน ใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่แน่นอนเพค่ะ ไม่ว่าจะทําการรักษาอย่างไร ทุกวิธีล้วนเป็นการช่วยชีวิตคนด้วยวิธีที่แตกต่างกัน”
คําตอบนี้ทําให้เซี่ยโฮวคุณไม่สามารถหักล้างได้
“พี่สองสนใจที่จะรักษาและช่วยชีวิตผู้ป่วยหรือไม่?” เซี่ยโฮวโม่ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ข้าไม่มีความสามารถขนาดนั้น แค่อยากรู้”
หลังจากพูดคุยกันสักครู่ ผลก็ออกมา
“ฝ่าบาท เราได้ผลการแข่งขันแล้ว พะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวรุยอาจจะหมดเรี่ยวแรงไปแล้วในตอนนี้และดูเหมือนจะเหนื่อยและอ่อนแอกว่ามาก
“เจ้าประกาศผลได้”
“คุณหนูซูและจากเยวีรักษาผู้ป่วยได้เจ็ดคนเท่ากัน แต่ตามความรุนแรงของอาการผู้ป่วยแล้ว คุณหนูซูมีมากกว่า”
“พูดได้ว่า คุณหนูซูเป็นผู้ชนะงั้นสิ?”
“พะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวรุยมองไปที่ซูมู่เก๋อ เมื่อเขากําลังจะพูดจู่ๆ เขาก็รู้สึกปวดจี๊ดในหัวใจของเขา ตาของเขาเบิกกว้างทันทีและหมุนค้าง!
“อ๊ะ!”
หลังส่งเสด็จองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยและเซี่ยโฮวหยินกลับไปแล้ว สนมฉินเดินเล่นในสวนขององค์จักรพรรดิโดยการดูแลจากมาม่า
“มันหนายขึ้นเรื่อยๆ แจ้งห้องเครื่องขององค์จักรพรรดิทําซุปกระดูกเนื้อแกะถวายด้วย เพื่อทําให้ร่างกายของพระองค์อุ่นขึ้น”
สนมฉินลูบไล้กล้วยไม้ที่งดงามด้วยนิ้วเรียวยาวและเรียงสวยของนาง พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลซึ่งทําให้ผู้คนรู้สึกเหมือนต้องสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
มาม่าตอบด้วยรอยยิ้ม “เพค่ะ สนมฉิน พระองค์ทรงมีน้ำพระทัยดีต่อองค์จักรพรรดิด้วยใจจริง”
นางสนมฉินยกริมฝีปากของนาง แต่ไม่ยิ้ม
มาม่ามองไปที่สาวใช้ที่เดินอยู่ด้านหลังพวกเขา และสาวใช้ก็ถอยห่างจากทั้งสองอย่างรู้งาน
“พระสนมเพค่ะ ทําไมพระองค์ไม่หยุดองค์หญิงแปด? องค์จักรพรรดิดูเหมือนจะไม่พอพระทัยกับการแข่งขันนี้ว”
“ตั้งแต่องค์จักรพรรดิเริ่มประชวร พระองค์อนุญาตให้รองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินดูแลพระวรกายของพระองค์เพียงคนเดียว จากทั่วทั้งแคว้นฉ่มีเพียงหมอเฉินและขันที่อีเท่านั้น ที่รู้เรื่องสุขภาพของพระองค์ ข้าเสียใจมากที่เพิกเฉยต่ออาการประชวรของพระองค์!”
เมื่อได้ยินคําพูดของนาง มาม่าก็นิ่งเงียบ บิดาของสนมฉินเป็นเสนาบดีฝ่ายขุนนางและองค์ชายสองมีความสามารถด้านนี้และด้านการทหารก็โดดเด่นในบรรดาองค์ชายทั้งหมด เขาจงมีข้อได้เปรียบอย่างมากในการเข้าชิงตําแหน่งองค์ชายรัชทายาท
หนึ่งในคู่แข่งที่ทรงพลังของเขาคือองค์ชายใหญ่ที่ได้รับการเลี้ยงดูจากพระอัครมเหสี แม้ว่ามารดาผู้ให้กําเนิดของเขาไม่ได้มีฐานะสูงส่ง แต่เขาก็มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงองค์ชายใหญ่ที่เกิดจากองค์จักรพรรดิ นอกจากนี้องค์ชายใหญ่ยังมีความสุขุม ผ่านโลกมามาก เขาจึงเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขององค์ชายสอง
อย่างไรก็ตาม ความกังวลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสนมฉินไม่ใช่เขา แต่เป็นราชาแห่งจินที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลฝั่งมารดาของเขา แต่เป็นเจ้าของพลังอันยิ่งใหญ่!
ราชาแห่งจินมีอํานาจทางทหารเป็นค่ายขนาดใหญ่อยู่ข้างนอกเพื่อปกป้องหยานเซี่ย และยังทําหน้าที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดขององค์รักษ์ในจักรวรรดิ ดังนั้น เขาจึงเป็นผู้ได้เปรียบมากกว่าองค์ชายใหญ่และองค์ชายสองมาก!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สนมฉินต้องได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่
ตัวแปรที่สําคัญที่สุดคือสุขภาพขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย.
“รองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินและขันที่อีต่างก็เป็นผู้รับใช้ที่เชื่อถือได้ขององค์จักรพรรดิเพค่ะ พวกเขาจะไม่มีวันเปิดเผยอาการประชวรของพระองค์ หม่อมฉันจึงหาวิธีอื่นได้เท่านั้น ?
หากซูมู่เก๋อชนะการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ นางจะหนทางที่จะให้ซูมู่เก้อรักษาองค์จักรพรรดิ!
“สําหรับการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ อะไรคือโอกาสความเป็นไปได้ของเจ้า?”
ไม่นานก่อนที่ซูหลุนจะได้ยินเกี่ยวกับการแข่งขันทางการแพทย์ระหว่างซูมู่เก๋อและหมอฝึกหัดของสํานักหมอหลวงในความดูแลของหมอเฉิน เมื่อทราบข่าวเขาแทบรอไม่ไหวที่จะกลับมาที่คฤหาสน์ซูและถามซูมู่เก๋ออย่างละเอียด
ซูมู่เก๋อไม่กังวลกับการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ เมื่อพิจารณาจากการรักษาของหมอเฉินต่อองค์จักรพรรดิแล้ว นางมีโอกาสที่จะเอาชนะหมอเฉินได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับเด็กฝึกงานของเขา
“ข้าไม่เคยพบหมอฝึกหัดของหมอเฉินแม้ซักครั้ง ข้าจะรู้ได้อย่างไร ท่านพ่อ?”
ซูหลุนทําหน้าตาเฉยชาและเดินไปรอบๆ ห้องอย่างร้อนรนใจ
“ยังไงก็ช่าง วันพรุ่งนี้เจ้าต้องชนะการแข่งขัน!”
ซูมู่เก๋อยกเปลือกตาขึ้นและกัดขนมโดยไม่ตอบสนองใดๆ
หลังจากกลับไปที่ลานดอกท้อ นางได้บรรจุยาและผงยาที่เตรียมไว้ทั้งหมดลงในกล่องเครื่องมือแพทย์ของนาง
องค์จักรพรรดิมีความเฉลียวฉลาดมากจนเขาไม่ประกาศกฏเกณฑ์การแข่งขันจนกว่าจะถึงเวลาแข่งในวันพรุ่งนี้ นางต้องเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่
“ไม่ว่าพรุ่งนี้ผลจะออกมาเป็นเช่นไร เจ้าไม่สามารถทําให้ท่านขุนนางขุ่นเคืองหรือระคายเคืองได้ ข้าขอเพียงให้เจ้าปลอดภัยและมีสุขภาพดี” เมื่อได้รู้เกี่ยวกับการแข่งขัน นางจ้าวก็ขมวดคิ้วอย่างกังวลมา
มันอยู่ต่อหน้าพระพักองค์จักรพรรดิ ความผิดพลาดใดๆ อาจทําให้นางถูกฆ่า
“ท่านแม่ ข้าจะทําให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้…องค์จักรพรรดทรงพระปรีชา พระองค์จะทรงไม่บังคับให้เด็กสาวทําอะไรก็ตามแม้ว่าข้าจะแพ้”
มันเป็นเรื่องจริง แต่นางจ้าวมั่นใจได้อย่างไร?
“มู่มู่ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนใจร้อน แม้ว่าเมืองหลวงแห่งนี้จะดูเจริญรุ่งเรือง แต่ก็มีความลับซ่อนอยู่มากเกินไป หลังจากนี้ข้าจะขอให้ท่านพ่อของเจ้าให้เจ้าพบกับครอบครัวที่ดี เจ้าไม่จะไม่ไปรักษาใครอีกแล้ว ตกลงหรือไม่?”
มองไปมีสีหน้าเป็นกังวลของนางจ้าว ซูมู่เก๋อเบาเสียงลง “ท่านแม่ มีบางอย่างที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แม้ว่าเราจะไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นก็ตาม สิ่งที่ข้าต้องทําตอนนี้คือสามารถปกป้องเราได้มากขึ้น”
ทันใดนั้น ดวงตาของนางจ้าวก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและน้ำตาไหล นางสงสัยว่านางควรจะมีความสุขหรือเศร้า
เช้าวันรุ่งขึ้น ซูมู่เก้อเข้าไปในวังพร้อมกับซูหลุน
ซูหลุนต้องเข้าราชสํานักในตอนเช้าก่อน ส่วนซูมู่เก๋อถูกนําตัวไปที่พระราชวัง
การแข่งขันอยู่ในช่วงบ่าย แต่นางต้องเข้าวังแต่เช้า นางจึงถูกทิ้งไว้ข้างนอก นี่เป็นความอัปยศอดสูสําหรับนางหรือไม่?
เมื่อเวลาประมาณเที่ยง นางกํานัลในชุดสีฟ้าก็เข้ามาพร้อมกับภาชนะใส่อาหาร
“คุณหนูซู ข้าชื่อหลิงเอ๋อร์ นางกํานัลในสนมฉิน พระสนมฉินทรงรู้ว่าท่านเข้าวังมาแต่เช้าและกลัวว่าท่านจะหิว พระสนมจึงรับสั่งให้ข้านอาหารมาให้ท่าน”
หลิงเอ๋อร์เปิดภาชนะใส่อาหารที่มีอาหารสามอย่างและซูปหนึ่งถ้วย ซึ่งดูเหมือนธรรมดา แต่ก็ดูปราณีตมาก
ซูมู่เก๋อรักษาสีหน้าของนางและยืนขึ้นเพื่อแสดงความขอบคุณ
“ขอบคุณสําหรับพระเมตตาของพระสนมฉิน”
“พระสนมของเรารับสั่งว่าการแข่งขันจะท้าทายร่างกาย ท่านสามารถพักผ่อนในห้องโถงด้านข้างนี้หลังอาหารกลางวันได้”
ดวงตาของซูมู่เก๋อกระพริบเล็กน้อย
งานที่ท้าทายร่างกาย?
สนมฉินบอกเป็นนัยกับนางหรือ
“ขอบพระทัยสําหรับคําแนะนําของพระสนมฉิน”
หลังจากที่หลิงเอ๋อร์ออกไป ซูมู่เก๋อไม่ได้ไปที่ห้องโถงด้านข้างหลังทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว แต่หลับตาลงเพื่อพักผ่อนบนเก้าอี้ที่นางนั่งอยู่นั้น
เหล่าชนชั้นสูง ขุนนางเหล่านี้ล้วนฉลาดเฉลียวและมีเล่ห์เลี่ยมมากมาย ไม่ใช่เพราะสนมฉินพบว่านางน่าเอ็นดูจนพูดเหมือนมีนัยกับนาง แต่เพราะสนมฉินพบว่านางอาจมีประโยชน์ในอนาคต นางจึงตัดสินใจทิ้งความประทับที่ดีไว้ก่อนด้วยการพูดคําหวานๆและทานอาหารสักมื้อซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสําหรับนาง
“คุณหนูซู คุณหนูซู องค์จักรพรรดิรับสั่งให้ท่านไปที่พระตําหนักซีหมิง การแข่งขันจะเริ่มเร็วๆ นี้แล้วเจ้าค่ะ”
ซูมู่เก๋อพยักหน้าและออกเดินทางไปยังตําหนักซีหมิงพร้อมชุดอุปกรณ์การแพทย์ของนาง
น่าแปลกที่เมื่อนางมาถึงตําหนักซีหมิง สถานที่ถูกจัดเตรียมเรียบร้อย
“คุณหนูซูมาแล้ว…”
ด้วยรายงานของคนในตําหนัก ซูมู่เก๋อเดินเข้าไปในท้องพระโรง
ซูมู่เก้อมองไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและก้าวย่อเข่าลงเพื่อถวายความเคารพ
“ขอถวายบังคมเพค่ะ ฝ่าบาท”
เซี่ยโฮวรุยนั่งอยู่ที่ด้านบนของท้องพระโรง สวมชุดคลุมมังกร
“ลุกขึ้น”
“ขอบพระทัยเพค่ะ ฝาบาท”
ซูมู่เก๋อเหลือบมองไปรอบๆ ท้องพระโรงและพบเซี่ยโฮวโม่!
เซี่ยโฮวโม่นั่งอยู่ทางด้านขวาของเซี่ยโฮวคุณ สบตากับนางชั่วขณะ เขามองไปที่นางเพียงเล็กน้อยจากนั้นก็ละสายตาไปทันที
ด้านหลังเซี่ยโฮวรุยคือฉากกั้นขนาดใหญ่ ถ้านางเดาถูก สนมฉินและเซี่ยโฮวหยินนั่งอยู่ด้านหลังฉากนั่น
นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกหลายคนในเครื่องแบบที่นางไม่เคยเห็น ในหมู่พวกเขา ซูหลุนสามารถนั่งในตําแหน่งท้ายสุดเท่านั้นและไม่เด่นที่สุด
ตําแหน่งนี้สงวนไว้สําหรับเขาจากองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย เนื่องจากเขาเป็นบิดาของซูมู่เก๋อ
“เมื่อวานเจ้าบอกว่าเจ้าต้องการแข่งขันกับรองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินในด้านทักษะทางการแพทย์ ข้าจึงให้เจ้าพบกับคนไข้บางคน พาพวกเขาเข้ามา” เซี่ยโฮวรุยสั่ง
ในทันใดนั้น ทหารองครักษ์ของจักรวรรดิก็แบกไม้กระดานที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บเข้ามายืนเรียงในโถง ทันใดนั้นโถงกว้างก็เต็มไปด้วยกลิ่นเลือด
“นี่คือผู้ปวยทั้งหมดยี่สิบคน เจ้ามีเวลาเพียงสองชั่วยามในการรักษาพวกเขาทั้งหมด ตอนสุดท้าย แพทย์ของจักรวรรดิแห่งสํานักหมอหลวงของวังหลวงจะเป็นผู้ตัดสินผลงานของเจ้า ผู้ชนะจะได้รับรางวัล ส่วนผู้แพ้…”
ในขณะที่พูดเซี่ยโฮวรุยมองไปที่รองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินที่ยืนอยู่ด้านข้าง ด้านหลังหมอเฉินมีชายหนุ่มในชุดคลุมสีฟ้าซึ่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงและคํานับอยู่
“ฝ่าบาท หม่อมฉันจางเยว่ ขอถวยบังคมพะยะค่ะ ในนามของอาจารย์ของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะแข่งขันกับคุณหนูซูในวันนี้ ถ้าหม่อมฉันแพ้ หม่อมฉันยินดีที่จะตัดมือและไม่ได้ฝึกฝนด้านการแพทย์ดีต่อไปตลอดชีวิต!”
เซี่ยโฮวโม่กําลังหยิบถ้วยขึ้นมา เมื่อได้ยินคําพูดของเขา เขาหยุดเล็กน้อยและมองไปมีซูมู่เก๋อ
เซี่ยโฮวรุยมองไปที่ซูมู่เก๋อ “ซูมู่เก๋อ เจ้าคิดเยี่ยงไร?”
ซูมู่เก๋อยังคงสงบนิ่งและก้าวออกไปประสานมือไว้ด้านหน้าก้มหัวลงและทูลว่า “หม่อมฉันไม่ขัดข้องเพคะ”
ขันที่อีขอให้คนนําโต๊ะกลมที่มีวัสดุยาต่างๆ มาวางบนโต๊ะ จากนั้นเขาก็หยิบนาฬิกาทรายออกมาทันที ก้าวไปด้านหน้าและประกาศ “การแข่งขันเริ่มณบัดนี้!”
“ตึง!”
ด้วยเสียงฆ้องและกลองซูมู่เก๋อและจางเยว่เดินเข้าหาผู้บาดเจ็บ
จางเยวตรวจสอบการบาดเจ็บของผู้ป่วยทุกรายก่อน จากนั้นจึงเลือกผู้ที่ได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุดเพื่อเริ่มการรักษา
ในทํานองเดียวกัน ซูมู่เก๋อตรวจสอบสภาพบาดเจ็บของผู้บาดเจ็บทั้งหมด แต่ในที่สุดนางก็มาถึงผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุด
ต้นขาของชายฉกรรจ์ถูกผ่าออกในแนวนอนโดยมีบาดแผลยาวและผ้าที่พันไว้เลือดไหลท่วมเมื่อซูมู่เก๋อแก้ผ้าคลุมร่างของเขา คนส่วนใหญ่ในห้องโถงต่างประหลาดใจอย่างมาก
ซูมู่เก๋อขมวดคิ้วเมื่อเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากต้อนขาของเขา
เขาได้รับบาดเจ็บที่หลอดเลือดแดงใหญ่ หากไม่สามารถหยุดเลือดได้ก็ใช้เวลาไม่นานในการที่เขาจะเสียชีวิตเพราะเลือดออกมากเกินไป
ซูมู่เก้อเอาผ้าฝ้ายกดที่แผลให้แน่นพยายามห้ามเลือด
ในอีกด้านหนึ่งจางเยว่ได้ทําการพันผ้าพันแผลและรักษาผู้ป่วยรายแรกเรียบร้อยแล้ว เขาหยิบยาจากโต๊ะกลมมาโดยตลอด เนื่องจากยาบนโต๊ะมีจํานวนจํากัด หากยาตัวใดตัวหนึ่งหมด ก็จะไม่มียาตัวนั้นใช้!
เมื่อจางเยว่เดินไปที่ผู้ปวยคนที่สองเขามองไปที่ซูมู่เก๋อด้วยความเย่อหยิ่งที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของเขา
นางโง่มากที่จัดลําดับความสําคัญของผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุด มันไม่เพียงแต่เสียเวลาแต่ยังมีโอกาสน้อยมากในการรักษาที่จะประสบความสําเร็จ มันเป็นเรื่องน่าขันสําหรับเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่ไร้ปัญญาที่มาแข่งขันกับเขา!
เมื่อเห็นผู้ป่วยที่จางเยว่รักษาเพิ่มจํานวนขึ้น ซูหลุนที่นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งไม่สามารถหยุดความกระวนกระวายใจได้ หากพ่ายแพ้ นางจะต้องมือขาด! มาถึงตอนนี้นางยังสามารถช่วยเหลือเขาได้ แต่ถ้าไม่มีมือ นางก็เปล่าประโยชน์:
เซี่ยโฮวคุณรู้สึกเบื่อ เขาหมุนถ้วยเหล้าในมือขณะมองซูมู่เก๋อที่กําลังนั่งยองๆ เขาค่อยๆ รู้สึกว่าร่างของนางคุ้ยเคยมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเขาเคยเห็นนางมาก่อน ในขณะที่กําลังสงสัย เขาก็คิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่ เลือดไม่สามารถหยุดได้!” ซูมู่เก๋อพบว่าผ้าฝ้ายบนมือของนางเปื้อนเลือดและสัญญาณชีพของผู้บาดเจ็บ อ่อนแอลงเรื่อยๆ
พิษในร่างกายของนางได้รับการล้างพิษออกแล้ว และความสามารถพิเศษของฝ่ามือของนางยังมีอยู่เหมือนเดิม แต่มันยากที่นางจะทําต่อหน้าผู้คนมากมาย…
ซูมู่เก๋อแอบกัดฟัน!
ฉิบหาย!
“เขากําลังจะตาย ไปรักษาผู้ป่วยรายอื่นหากเจ้าไม่ต้องการพ่ายแพ้ในความอัปยศ”
เซี่ยโฮวคุณก็พูดขึ้น เสียงของเขาดังขึ้นเล็กน้อยในห้องโถงที่เงียบสงบ
ซูมู่เก๋อเม้มริมฝีปากของนางไว้แน่น แต่ไม่ขยับ เซี่ยโฮวคุณคิดอย่างลับๆว่านางไม่รู้จักบุญเจ้ามาก เขาพ่นลมหายใจดังๆและนิ่งเงียบ
ขณะที่ซูมู่เก๋อพยายามใช้ความสามารถพิเศษบนฝ่ามือของนาง ผู้บาดเจ็บที่นอนบนกระดานก็หายใจกระตุก ศีรษะตกและหยุดหายใจทันที!
“ชายผู้นั้นตายแล้ว”
“ด้วยความรู้ทางการแพทย์ที่กว้างขวางมากในโลกนี้ ไม่มีใครสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญในทุกเรื่องได้เพค่ะ หม่อมฉันเพิ่มเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบางแง่มุมของพวกเขาเท่านั้นเอง”
ซูมู่เก๋อไม่ได้ถ่อมตัวหรือพูดเพื่อเอาใจ ซึ่งดึงดูดความสนใจของสนมฉิน
ขณะที่เซี่ยโฮวซีกําลังจะพูด เชี่ยโฮวรุยที่นั่งอยู่ข้างหลังนางก็ไออย่างหนักแล้วปากอ้าค้างอย่างรุนแรง
“แคร็กๆๆ อะ-แฮ่ม ฮืบบ-อึมม”
เสียงหอบเหมือนกับเสียงของการสูบลมหีบเพลงที่เป็นสนิม ซึ่งทําให้ผู้คนขนลุก
“ฝ่าบาท พระองค์รู้สึกอย่างไรเพค่ะ? เร็วเข้า ตามหมอหลวง!” สนมฉินมีปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วและก้าวเข้าไปหาเพื่อพยุงตัวองค์จักรพรรดิด้วยความหวาดวิตกในดวงตาของนาง
ขันที่อีตกใจอย่างมากและรีบสั่งคนในวังรีบไปตามหมอหลวงที่สํานักหมอหลวงในทันที
ยืนอยู่อย่างตกใจ เซี่ยโฮวซีและเซี่ยโฮวหยินรู้สึกหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้เช่นกัน
“เสด็จพ่อ ท่านเป็นอะไร จู่ๆ ท่านเป็นได้ยังไง”
คุณหนูซู เร็วเข้า เร็วขึ้นไปตรวจเสด็จพ่อของข้า!”
มันไม่ใช่เรื่องตลกที่จะได้ตรวจองค์จักรพรรดิ แม้จะลังเลซูมู่เก๋อก็ก้าวเข้าไปในศาลา
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่นางกําลังจะขึ้นไป เซี่ยโฮวรุยที่ใกล้หมดสติก็ลืมตาขึ้นและจ้องมาที่ซูมู่เก๋อ
“อย่าเข้ามา!” เสียงแหบนั้นเด็ดเดี่ยวมาก
ซูมู่เก๋อชะงักเล็กน้อย หยุดการก้าวเดินของนาง ยืนอยู่ที่ตรงนั้นดังเดิม สังเกตอาการของเซี่ยโฮวรุย
ใบหน้าซีดเซียวเกือบเป็นสีเทาของเขาไร้ชีวิตชีวา ริมฝีปากคล้ำและเปลือกตาล่างบวมทําให้ดูเหมือนศพขึ้นอืด
เซี่ยโฮวซีรู้สึกประหลาดใจที่เซี่ยโฮวรุยปฏิเสธซูมู่เก๋อ เหตุผลเดียวที่นางคิดได้คือเซี่ยโฮวรุยไม่เชื่อในทักษะทางการแพทย์ของซูมู่เก๋อ นางต้องการเกลี้ยกล่อมเขา แต่เมื่อเห็นใบหน้าของเซี่ยโฮวรุย นางก็ยอมแพ้
“ใต้เท้าเฉินมาแล้ว ใต้เท้าเฉินมาถึงแล้วพะย่ะค่ะ”
ทหารสองคนอุ้มชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามา
เครื่องแต่งกายสีดําของชายคนนั้นยับยู่ยี่และผมที่มัดรวบสูงของเขาก็เอียงไม่เป็นทรง ทําให้ดูงุ่มง่าม
เขาคือใต้เท้าเฉินรองหมอหลวงแห่งสถาบันการแพทย์วังหลวง
หลังจากถูกวางลง ใต้เท้าเฉินไม่กล้าที่จะหยุดฝีเท้าและก้าวเข้าไปทันที
“ใต้เท้าเฉิน เข้ามาตรวจองค์จักรพรรดิเร็ว พระองค์อาการกําเริบอีกแล้ว!”
หลังตรวจอาการของเซี่ยโอวรุยได้ไม่นาน หมอเฉินก็ป้อนยาเม็ดสีดําจากชุดเครื่องมือแพทย์ของเขา และฝังเข็มเงินเข้าไปที่จุดระหว่างนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย
ซูมู่เก๋อมองไปที่มือขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยและพบว่ามีรอยช้ำเล็กน้อยระหว่างนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ ซึ่งดูเหมือนจะเกิดจากการฝังเข็มมาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เซี่ยโฮวรุยที่เพิ่งหมดสติหายใจติดขัด ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมา หายใจเป็นปกติ และผิวพรรณของเขาดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ซูมู่เก๋ออดไม่ได้ที่จะมองไปที่ชุดเครื่องมือแพทย์ของใต้เท้าเฉิน ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แม้ว่านางจะไม่ได้จับชีพจรขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยหรือสอบถามเกี่ยวกับสภาพของเขา แต่เมื่อพิจารณาจากอาการของเขาแล้ว นางก็สามารถยืนยันได้ว่าอาการป่วยของเขาค่อนข้างรุนแรง ซึ่งไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็วขนาดนี้
ยานี้ช่างมีประสิทธิภาพอย่างน่าประหลาดใจ แต่มันต้องมีผลข้างเคียงที่ยอดเยี่ยม
“ข้าดีขึ้นแล้ว”
เซี่ยโฮวรุยฟื้นตัวขึ้นมา มองกราดยังผู้คนที่อยู่ในศาลาและพูดด้วยเสียงต่ำ
“ฝ่าบาทเพค่ะ ชั่วครู่นี้หม่อมฉันรู้สึกหวาดกลัวมาก”
ซูมู่เก๋อไม่อยากเชื่อคําพูดของนางสนมฉิน นางดูเหมือนจะกังวลในตอนนั้น แต่มารยาของนางแสดงให้เห็นถึงความสงบอย่างไม่น่าเชื่อ
นางดูเหมือนจะเคยชินกับสถานการณ์เช่นนี้ หรือดูเหมือนว่ากําลังรอคอยอะไรบางอย่าง
“ใช่เพ่ค่ะ เสด็จพ่อ หม่อมฉันตกใจอย่างมาก” เซี่ยโฮวซีเข้าใกล้เซี่ยโฮวรุยอย่างใจจดใจจ่อ มันเป็นครั้งแรกที่นางต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้
“ทําไมพระองค์ถึงไม่ให้คุณหนูซูตรวจอาการเพค่ะ เสด็จพ่อ?”
ทันใดนั้น ศาลาทั้งหลังก็เงียบลงอีกครั้ง
ซูมู่เก้อรู้สึกอึดอัดอย่างมาก นางไม่สามารถพูดอะไรได้ในตอนนี้ มิฉะนั้น นางอาจจะทําให้ไม่เป็นที่พอพระทัยของเซี่ยโฮวรุย!
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยโฮวหยินก็แทบกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้!
เซี่ยโฮวซีไม่ได้คํานึงเลยว่าคําพูดของนางทําให้ซูมู่เก๋อตกอยู่ในอันตราย!
“น้องสาว เจ้ากําลังพูดอะไร? มันแน่นอนว่าเพราะทักษะทางการแพทย์ของคุณหนูซูไม่ดีเท่ารองเสนาบดีสํานักหมอหลวง เฉิน ท่านพ่อเป็นถึงองค์จักรพรรดิ ผู้ปกครองแคว้นของเรา ใครจะได้รับอนุญาติให้แตะต้องพระองค์ง่ายๆได้อย่างไร?”
เห็นได้ชัดเจน เซี่ยโฮวหยินจงใจตีความคําพูดของเซี่ยโฮวซีให้ผิด ถ้าเซี่ยโอวซีมีสติพอที่จะคิดได้นางก็ควรปล่อยมันไป
แต่เด็กสาวคนนั้นเป็นคนซื่อ ไม่รู้เดียงสาหลังจากศึกษาตําราทางการแพทย์มาหลายปี
“ไร้สาระ! คุณหนูซูช่วยชีวิตหม่อมฉันครั้งล่าสุดและรักษาโรคระบาดในมณฑลโจวได้ ทักษะทางการแพทย์ของนางดีมาก!”
“ดีอย่างไร? ดียิ่งกว่าทักษะทางการแพทย์ของรอบเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินของเรางั้นหรือ?”
“แน่นอน…”
เด็กสาวทั้งสองไม่ยอมหลีกทางให้อีกฝ่าย ทําให้ซูมู่เก๋อพูดแทรกได้ยาก เมื่อเห็นใบหน้าของเซี่ยโฮวรุยเปลี่ยนไปมืดมน ซูมู่เก๋อต้องพูดอะไรบางอย่าง
“ขอประทานอภัย ฝ่าบาท….”
“ท่านพ่อ ให้คุณหนูซูแข่งกับรองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินของเรา แล้วเรามาดูกันว่าใครจะยอดเยี่ยมมากกว่ากัน” เซี่ยโฮวหยินเดินเข้าไปหาเซี่ยโฮรุยและจับชายแขนเสื้อของเขาเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม
“ได้!” เซี่ยโฮวซีสัญญาแทนซูมู่เก๋อโดยไม่มีการหยุดคิดทบทวนให้ดี
ซูมู่เก่อเหลือบมองไปที่กล่องตําราทางการแพทย์ด้านข้างอย่างเงียบๆ ซึ่งกลายเป็นต้นตอของปัญหาโดยเซี่ยโฮวซี
เมื่อเห็นว่าการโต้เถียงเกือบจะจบลงแล้ว นางสนมฉินก็พูดเบาๆขึ้นว่า “ฝ่าบาทเพค่ะ อย่าทรงถือโทษเด็กซนสองคนนี้เลย พวกนางหยอกล้อกันเล่น อย่าทรงจริงจังกับมันเลยเพคะ”
หากปล่อยให้เด็กสาวที่เพิ่งได้รับชื่อเสียงด้านการแพทย์ มาแข่งขันกับผู้เชี่ยวชาญอายุมากกว่าห้าสิบปี ใครที่พร้อมมีอํานาจมากในด้านการแพทย์? การยื่นข้อเสนอดังกล่าวถือเป็นการสร้างความอับอายให้กับรองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉิน!
ใครก็ตามที่มีทักษะทางวิชาชีพจะอารมณ์ดีอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะการมีอยู่ของเซี่ยโฮวซี รองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินคงจะระเบิดอารมณ์แล้ว ถึงตอนนี้ เขาจะเก็บอารมณ์ไม่ได้อยู่ดี
เซี่ยโฮวรุยเงียบมาตั้งแต่ต้น
ซูมู่เก่อรู้ว่าเซี่ยโฮวรุยกําลังรอให้นางพูด
“องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าเพค่ะ พวกท่านกําลังล้อเล่น หมอเฉินเป็นถึงหัวหน้าของหมอหลวงของจักรวรรดิ ทักษะทางการแพทย์ของเขานั้นโดดเด่นอย่างแน่นอน” นางยอมรับทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมของรองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉิน แต่ไม่ได้บอกว่านางด้อยกว่าเขา
มันทําให้รองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินดูแย่มากยิ่งขึ้น
ฮึมม สาวน้อยผู้หยิ่งผยองคนนี้เป็นใครกัน? เมื่อได้เรียนรู้ความรู้ตื่นๆ แล้ว นางถึงกลับกล้าแข่งกับเขาเงั้นหรือ?
“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ หม่อมฉันเพิ่งรับเด็กฝึกงานมาหนึ่งคนเป็นคนที่สามารถแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์กับคุณหนูซูได้พะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวรุยหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาและค่อยๆจิบ เมื่อวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ มันส่งเสียงดังเล็กน้อย
“คุณหนูซู ท่านยินดีที่จะแข่งขันหรือไม่?”
เซี่ยโฮวรุยกล่าวว่า “แข่งขัน” แทนที่จะเป็น “แลกเปลี่ยน”
เนื่องจากเป็นการแข่งขัน ควรมีผู้ชนะและผู้แพ้ รางวัลและบทลงโทษเป็นธรรมดา!
ถึงตอนนี้ นางไม่มีทางกลับตัวได้แล้ว
“ฝ่าบาท เช่นดังที่พระองค์รับสั่งเพคะ”
“ดี เป็นไปตามนั้น พรุ่งนี้ตอนบ่ายมาดูกัน สําหรับวิธีการแข่งขัน เจ้าจะรู้ในเวลานั้น”
“เพค่ะ ฝ่าบาท”
“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ข้าเหนื่อยแล้ว”
นางสนมฉินรีบเข้าช่วยเซี่ยโฮวรุยขึ้นมา “ให้หม่อมฉันตามเสด็จกลับตําหนัก เพค่ะฝ่าบาท”
เซี่ยโฮวรุยพยักหน้าและมุ่งหน้าออกจากศาลา รองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินเดินตามหลังขบวนเสด็จไปโดยไม่มองซูมู่เก๋อเลย
เซี่ยโฮวหยินก็ยืนขึ้นและมองไปที่ซูมู่เก๋อด้วยรอยยิ้มปลอมๆ
“คุณหนูซู เจ้าจะต้องทํางานหนักแล้ว อย่ายอมแพ้ในความอัปยศเสียล่ะ”
หลังจากที่เซี่ยโฮวหยินจากไป เซี่ยโฮวซีก็มองไปมีซูมู่เก๋อและพูดว่า “คุณหนูซู ข้าเชื่อในตัวเจ้า”
สายตาของซูมู่เก๋อที่มีต่อเซี่ยโฮวซีดูหมางเมินเล็กน้อยและไม่แยแสเล็กน้อย “ชาเหมาเจี้ยนดีมาก แต่หม่อมฉันไม่เคยชอบดื่มชาเลย มันสายมากแล้ว หม่อมฉันขอทูลลา”
จนกระทั่งซูมู่เก๋อเดินลับสายตาไป เซี่ยโฮวซึมองกลับไปที่น้ำชาบนโต๊ะ สูญเสียไปการสะท้อนกลับ
“ข้าข้าพูดอะไรผิดหรือ?”
สาวใช้ในวังที่อยู่ข้างหลังเซี่ยโฮวซีส่งเสียงพึมพํา คุณหนูซูกําลังตําหนิองค์หญิง แต่นางไม่เข้าใจ
เซี่ยโฮวรุยไม่ได้กลับไปที่ห้องบรรทมเพื่อพักผ่อน แต่ตรงไปที่ห้องทรงอักษร
“ฝ่าบาท องค์ชายสองขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”
“ให้เขาเข้ามา”
” พะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวคุณในชุดคลุมปักสีน้ำเงินเข้ม เดินเข้ามาในห้องทรงอักษร
“ถวายพระพร เสด็จพ่อ”
“ลุกขึ้น”
“ขอบพระทัย เสด็จพ่อ”
เซี่ยโฮวคุณยืนขึ้นเงียบๆ พร้อมกับก้มหัวลงชั่วขณะแล้วพูดว่า “หม่อมฉันมีเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับคดี พะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวรุยถอนหายใจหนักๆ “บอกข้ามา”
“หม่อมฉันพบว่ามือสังหารบนเรือเป็นคนเร่ร่อน พวกเขาแอบเข้ามาในเมืองหลวงเมื่อสามเดือนก่อนและรอคอยโอกาสที่จะลงมือ พะย่ะค่ะ”
แล้วเซี่ยโฮวคุณก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อส่งหลักฐานของเขา
หลังจากดูหลักฐานแล้ว ดวงตาของเซี่ยโฮวรุยก็ขึ้นโกรธ
เนื่องจากเซี่ยโฮวรุยนิ่งเงียบ เซี่ยโฮวคุณ จึงพูดต่อ “ดูเหมือนว่าพวกเร่ร่อนจะมีบทบาทอยู่ในเขตอํานาจใต้ปกครองของท่านลุงสาม หม่อมฉันส่งจดหมายไปถึงท่านลุงให้สอบสวนได้หรือไม่ พะย่ะค่ะ?”
“ลุงคนที่สามของเจ้าอยู่ในอํานาจของเขามาหลายปีแล้ว ยกเว้นวันเกิดเสด็จย่าของเจ้า เขา ไม่เคยกลับเมืองหลวงเลย มันเหมาะสมที่จะเขียนและถาม”
เซี่ยโฮวคุณแอบสังเกตสายตาของเซี่ยโฮวรุยด้วยหวังว่าจะได้เห็นเบาะแสบางอย่างจากใบหน้าของเขา อย่างไรก็ตาม เขาเห็นเพียงผิวที่เป็นคนปวยของเขา
“พะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะรีบส่งทันที”
“ไปทําเถอะ”
หลังจากเซี่ยโฮวคุณจากไป เซี่ยโฮวรยก็มองไปที่โต๊ะทํางานด้วยสีหน้าหลากอารมณ์
เมื่อออกมาพ้นจากพระราชวังแล้ว เซี่ยโฮวคุณลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
ผู้ติดตามที่วางใจของเขากําลังรออยู่ที่นอกประตู ซึ่งก้าวมาข้างหน้าและกระซิบว่า “ฝ่าบาท พระองค์เป็นเช่นไรพะย่ะค่ะ?”
หลังจากทั้งสองขึ้นรถม้าแล้ว เซี่ยโฮวคุณก็ตอบด้วยใบหน้าทิ้งตึงว่า “เสด็จพ่อดูเหมือนจะเชื่อข้า”
เซี่ยโฮวรุยมีพี่น้องหลายสิบคน แต่เมื่อเซี่ยโฮวรุยขึ้นครองบัลลังก์ มีเพียงสามคนที่ยังเหลือ
หนึ่งคือ เซี่ยโฮวรุยที่ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ แล้วก็มีราชาติงฉีที่เกิดจากพระสนมหม่า คนสุดท้ายคือราชาหนานหยางซึ่งเป็นพี่ชายของเซี่ยโฮวรุย
ราชาทั้งสองนี้ได้ไปยังอาณาจักรของพวกเขาเป็นเวลาหลายปีแล้วและจะไม่มีวันกลับมาที่เมืองหลวง หากไม่มีเหตุการณ์สําคัญๆ
“ฮี เสด็จพ่อเชื่อได้อย่างไรว่าบัลลังก์ของพระองค์มั่นคงถ้าพวกเขาอยู่ในอาณาจักรของพวกเขา? หาไม่ใช่สําหรับการค้นพบของข้าในครั้งนี้ เขาจะถูกไล่ลงจากบัลลังก์และขับออกจากพระราชวังอย่างไม่รู้ตัวเลย”
“ฝ่าบาท ตอนนี้นั้นราชาติงฉีได้ใส่ร้ายท่านในครั้งนี้เราจะเตรียมการบางอย่างหรือไม่?”
เซี่ยโฮวคุณตอบด้วยความเย็นชาในดวงตาของเขาว่า “ห์ เขากล้าเอาข้าเป็นเครื่องมืองั้นเหรอ? เขาคิดว่าไม่มีใครรู้ว่าเขาทําอะไร? เสด็จพ่อประชวรและอ่อนแอลงทุกวัน แต่พระองค์ยังคงเลื่อนการสถาปนารัชทายาท กระจายข่าวว่ากําลังฝึกกองกําลังส่วนตัวที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ เสด็จพ่อแกล้งทําเป็นไม่รู้ไม่ได้”
“พะย่ะค่ะ”
หลังจากที่กลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลซู ซูมู่เก๋อก็ตรงไปที่โถงดอกท้อบาน
กําลังจะเข้าไปในโถง นางได้ยินเสียงหัวเราะนุ่มนวลของนางจ้าว
ซูมู่เก๋อคิ้วขมวดบางๆ มองไปที่เยว่รู่และก้าวเข้าไปในห้อง
เมื่อพวกเขามาถึงประตู พวกเขาก็เห็นเหมยฮัววิ่งเข้ามาพร้อมกับชาเย็น ซึ่งก็ตะลึงงันเมื่อนางเห็นซูมู่เก๋อและเยว่รู่
“คุณหนูใหญ่ ข้าขอโทษเจ้าค่ะ! ท่านต้องตกใจก็เพราะข้า” เหมยฮัวขอโทษในทันที
ซูมู่เก๋อพบว่านางค่อนข้างปกติ ไม่มีร่องรอยของความวิตกกังวลแม้แต่น้อย “เจ้าบอกกับเยว่รู้ว่าท่านแม่ของข้ารู้สึกไม่สบาย เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหมยฮัวก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย
“ข้าขอโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ควรแจ้งข่าวแก่ท่านก่อนที่จะสืบสาวราวเรื่องให้แน่ชัดในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โปรดอภัยให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่”
เมื่อนึกถึงการแสดงออกของเหมยฮัวในตอนนั้น เยว่รู่รู้ว่าตอนนั้นเหมยฮัวเป็นยังไง นางจริงจังมากกับเรื่องราวที่แจ้งกับนาง นางจึงถามว่า “แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?”
เหมยฮัวนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นอีกครั้ง
ในเวลานั้น นางจ้าวอยู่กับซูเหวินม่อตามปกติ ขณะที่เหมยฮัยนั่งอยู่ข้างๆนางและกําลังพับเก็บเสื้อผ้าและถุงเท้าเล็กๆของซูเหวินม่อ
ทําใดนั้น นางจ้าวก็เอามือกุมหน้าอกของนางด้วยความเจ็บปวด
เมื่อเห็นเช่นนั้น เหมยฮัวก็กลัวอย่ามาก นางรีบวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นให้ไปตามหมอ และไปแจ้งข่าวของนางจ้าวให้กับเยว่รู่ แต่เมื่อนางกลับมาที่ห้องนางจ้าว นางจ้าวเป็นปกติ นอนพักอยู่บนขอบเตียงเหมือนไม่ได้เป็นอะไร
“ต่อมา นายหญิงได้เชิญหมอมาดูอาการของนายหญิงใหญ่ หมอบอกว่านายหญิงใหญ่อาจจะเหนื่อยเกินไปกับการดูแลนายน้อยและนางไม่ได้มีปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินคําพูดของนาง ซูมู่เก๋อพยักหน้าและเดินเข้าไปในห้อง
นางจะจับชีพจรของนางจ้าว ทุกๆห้าวันเพื่อให้แน่มจว่าสุขภาพแข็งแรง ครั้งล่าสุดที่นางตรวจร่างกายนางจ้าวก็คือเมื่อสามวันที่แล้ว และนางไม่เห็นสิ่งผิดปกติใด นางจ้างสุขภาพดีกว่าเมื่อก่อนมาก
นั่งอยู่ด้านในห้อง นางจ้าวได้ยินการเคลื่อนไหวที่ข้างนอก แต่ไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดอย่างชัดเจน
“เจ้ากลับมาแล้ว นายหญิงท่านแม่ทัพอาการดีขึ้นหรือไม่?”
ตามปกติ ซูมู่เก๋อนั่งข้างๆ นางจ้าวและตอบอย่างยิ้มแย้มว่า “นางดีขึ้นมาก ข้าได้ยินจากพี่เหมยฮัวว่าท่านแม่รู้สึกไม่สบาย ให้ข้าจับชีพจรท่านแม่ดูอาการด้วยเจ้าค่ะ”
“อย่างกังวลเลย ข้าสบายดี ข้าแค่นอนหลับไม่สนิทและมันให้ข้ารู้สึกเหนื่อยขึ้นมาในตอนนั้น”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าของนางจ้าว ซูมู่เก๋อพบว่าดวงตาของนางมีดลงและเศร้าโศก
“ข้าจะรู้สึกสบายใจก็ต่อเมื่อแน่ใจว่าท่านแม่สบายดีเจ้าค่ะ”
นางจ้าวจึงยื่นแขนออกมาอย่างเชื่อฟังเพื่อให้นางจับชีพจร
จาการตรวจจับชีพจรนางจ้าวไม่มีปัญหา ซูมู่เก๋อถามเพิ่มเติมกับนางและคิดถึงเหตุในใจนางก่อนกลับไปที่ห้องของนาง นางขอให้เหมยฮัวใส่ใจดูแลกับอาการของนางจ้าวให้มากขึ้น
หลังจากซูมู่เก๋อกลับไป นางจ้าวก็ถอนหายใจเล็กน้อยมองไปที่ผ้าม่านที่พลิ้วไหว
“ทําไมท่านถึงถอนหายใจล่ะเจ้าค่ะ นายหญิง? มันไม่ดีต่อสุขภาพของท่าน” เหมยฮัวเดินเข้ามาพร้อมกับชาร้อนและเห็นนางจ้าวนั่งนิ่งๆที่เตียง
นางจ้าวส่ายหน้าและปล่อยให้พี่เลี้ยงอุ้มเหวินม่อน้อยออกไป
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สิ่งเดียวที่ข้ารอคอยคือการที่มู่มู่จะได้แต่งงานกับครอบครัวที่ดีในอนาคต สามีไม่จําเป็นต้องร่ำรวยหรือสูงศักดิ์ แต่เขาต้องดีกับนาง แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
“คุณหนูของเรามีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมมากถึงขนาดนายหญิงท่านแม่ทัพมาที่คฤหาสน์ของเราเพื่อให้นนางไปรักษา ไม่จําเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการแต่งงานในอนาคตของนางเลยเจ้าค่ะ
ผู้หญิงที่มีพรสวรรค์คือผู้หญิงที่มีตราบาป ซึ่งนางจ้าวรู้ดี
นางแค่อยากให้ซูมู่เก๋อมีชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุขในอนาคต แต่ซูหลุนก็ไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับนาง
เช้าวันรุ่งขึ้น
ในตอนรุ่งสาง ซูมู่เก๋อตื่นขึ้นมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ดังจากนอกห้อง
“คุณหนูใหญ่ตื่นหรือยังเจ้าค่ะ?” ซินเอ๋อร์ถาม จงใจลดเสียงของนางให้เบา
“ยังไม่ตื่น นางจะต้องนอนต่ออีกหนึ่งชั่วโมง มีอะไร?” เยว่รู่พูด
“มีคนจากโถงใหญ่เพิ่งส่งข้อมความมาว่าองค์หญิงเก้าต้องการพบคุณหนูใหญ่และขอให้นางเข้าวังหลวงเดี๋ยวนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูมู่เก๋อก็ลุกขึ้น ทําเสียงที่เตียงเบาๆ เพื่อแสดงว่านางตื่นแล้ว
เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว เยว่รู่ก็เข้ามาในห้องพร้อมกับซินเอ่อร์
“คุณหนู ท่านตื่นแล้ว”
ซูมู่เก๋อยืดตัว รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยเมื่อคืนนี้นางนอนหลับไม่สนิท
“ใช่ ข้าจําเป็นต้องเข้าวังหลวงงั้นรึ?”
ซินเอ๋อร์ตอบทันที่ว่า “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนู นายหญิงเชิญผู้ส่งสารไปรอที่โถงใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
“เยว่รู่ ช่วยฉันทําความสะอาดและแต่งตัวด้วย”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ เซี่ยโฮวโม่ขอให้นางเข้าวังในวันนี้ นางสงสัยว่าองค์หญิงต้องการพบนางหรือมีคนขอให้นางเข้าวังโดยอ้างองค์หญิง ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร นางต้องคิดมันให้ออก
หลังจากอาหารเช้าง่ายๆ ซูมู่เก๋อขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังพระราชวัง
มันเป็นเวลารุ่งสาง ซูหลุนออกไปศาลตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว แต่ถนนด้านนอกยังคงเงียบสงบและมีคนเดินไปมาเพียงไม่กี่คน
รถม้าหยุดอยู่ที่ประตูนอกพระราชวัง จากนั้นนางกํานัลในชุดสีชมพูของวังหลวงก็ก้าวเข้ามาหาและนําซูมู่เก๋อเข้าไป
“พี่สาว ข้าสงสัยว่ามีเหตุอันใดองค์หญิงเก้าถึงได้มีคําสั่งให้ข้าเข้าพบ ข้าแทบไม่มีโอกาสได้เข้าวังหลวงเลย ข้ากลัวว่าจะทําให้องค์หญิงทรงไม่พอพระทัยได้ พี่สาวช่วยเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าค่ะ?” ในขณะที่พูดคุยกันซูมู่เก๋อก็ยัดกระเป๋าเงินให้กับนางกํานัลผู้นําทาง
นางกํานัลในวังรู้จักตัวตนของซูมู่เก๋อ แม้ว่าดวงตาข้างหนึ่งของนางจะมีผมปกปิดไว้ แต่คําพูดและการกระทําของนางก็เป็นธรรมชาติและสง่างาม ทําให้คนอื่นประทับใจ
“คุณหนูซู ท่านเคยช่วยองค์หญิงเก้าที่ทะเลสาบพระจันทร์ในครั้งก่อน องค์หญิงเก้าจึงรู้สึกขอบคุณและนางอยากจะขอบคุณท่านด้วยตัวเอง”
ดวงตาของซูมู่เก๋อเต้นระริก เป็นวิธีที่โดดเด่นในการแสดงความขอบคุณ
นางกํานัลในวังให้ซูมู่เก๋อรออยู่ด้านนอกตําหนักกงยู
นางกํานับที่เฝ้าประตูรีบเข้าไปรายงานทันทีและในไม่ช้าก็กลับมาเพื่อนําซูมู่เก๋อเข้าไปในตําหนัก
เซี่ยโฮวซีมองมาที่ทางเดินที่ปูด้วยหินอ่อน ดวงตาของนางสว่างขึ้นเล็กน้อยเมื่อมองเห็นซูมู่เก๋อ
ซูมู่เก๋อก้าวเข้าไปในศาลาและคํานับเพื่อแสดงความเคารพ “ขอถวายพระพรเพค่ะ องค์หญิงเก้า”
เซี่ยโฮวซีลุกขึ้นยืนและช่วยซูมู่เก๋อลุกขึ้นด้วยท่าทางที่อ่อนโยนมาก
“คุณหนูซู ไม่จําเป็นต้องคํานับข้าขนาดนี้ นําชาเหมาเจียนของข้ามา”
“เจ้าค่ะ”
“คุณหนู เชิญนั่ง”
ซูมู่เก๋อเดินไปที่ม้านั่งหินและนั่งลง นางกํานัลนําชาร้อนเข้ามาและเดินออกไปจากศาลา
“คุณหนูซู ขอบคุณมากที่ช่วยข้าขึ้นเรือและข้าขอโทษที่ไม่สามารถไปเยี่ยมเจ้าที่คฤหาน์ตระกูลซูเพื่อแสดงคําขอบคุณได้” เซี่ยโฮวซีกวักมือเรียกนางกํานัลที่อยู่ข้างหลังนาง นางกํานัลก็ยกกล่องใบใหญ่ขึ้นมา กล่องสูงครึ่งตัวของคนๆหนึ่ง
“องค์หญิง พระองค์ทรงให้เกียรติหม่อมฉันเกินไปเพค่ะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่” นางไม่ได้คิดมากเกินไปในตอนนั้นที่ช่วยเซี่ยโฮวซี
เมื่อมองไปที่ใบหน้าอันสงบนิ่งของนางและรู้สึกถึงความจริงใจในคําพูดของนาง เซี่ยโฮวซีก็ยิ่งชอบนางมากยิ่งขึ้น
“นี่เป็นของตอบแทนน้ำใจสําหรับเจ้า คุณหนูซู โปรดรับไว้และข้าหวังว่าเจ้าจะชอบมัน”
นางกํานัลเปิดกล่องที่บรรจุหนังสือทางการแพทย์ที่เรียงกันไว้อย่างเรียบร้อย
ซูมู่เก๋อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ลึกๆ แล้วนางรู้สึกมีความสุขมาก
มีการเผยแพร่หนังสือทางการแพทย์เพียงไม่กี่เล่มในแคว้นฉู่ ส่วนใหญ่เป็นสําเนาของแต่ละคน ท้ายที่สุดทักษะเหล่านั้นเป็นทักษะที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของครอบครัวและจะไม่แพร่กระจายได้ง่ายๆ รางวับที่เซี่ยโฮวซีให้นั้นเหมาะกับซูมู่เก๋อ
“ข้าหมกมุ่นอยู่กับยามาตั้งแต่เล็กและเคยเรียนรู้จากหมอหลวงในสํานักหมอหลวงของวังแห่งนี้ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีความสามารถในด้านนี้ หนังสือทางการแพทย์เหล่านี้ได้รับการรวบรวมในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและมีค่าอย่างยิ่ง วันนี้ข้าอยากจะมอบมันให้กับเจ้า คุณหนูซู ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้” เซี่ยโฮวซีมองไปที่หนังสือในกล่องด้วยความเสียดายในสายตาของนาง
“ข้าไม่สมควรรับเอาสมบัติของพระองค์ไปเพค่ะ องค์หญิง”
เซี่ยโฮวซีส่าวยหน้า “พวกมันอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์กับข้า คุณหนูซู อย่าปฏิเสธอีกเลย”
เมื่อได้ยินคําพูดของนาง ซูมู่เก๋อก็ไม่ยืนกรานอีก “ขอบพระทัยองค์หญิงเพคะ”
“จากที่เจ้าช่วยข้าจากสถานการ์คับขันนั้นได้ ข้าจึงยินดีที่จะส่งบ้านหนังสือนี้ให้เจ้า”
“ข้าสงสัยว่าทําไมองค์หญิงเก้าไม่อ่านหนังสือทางการแพทย์ในห้อง ที่แท้นางอยู่กับแขกผู้มีชื่อเสียงที่นี่นี่เอง”
บนทางเดิน มีคนหลายคนกําลังเดินเข้ามาหาพวกเขา
ซูมู่เก๋อมองย้อนกลับไปและเห็นเซี่ยโฮวหยินในชุดคลุมสีน้ำเงินอมฟ้าเดินมาหาพวกเขาพร้อมกับองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย
หญิงที่จับแขนของเซี่ยโฮวรุย หน้าตาดูคล้ายกับเซี่ยโฮวหยินมาก นางสวมเสื้อคลุมสีม่วงทอง พร้อมปิ่นปักผมนกฟินิกซ์สีทองห้าหางซึ่งส่องแสงเป็นประกายเมื่อต้องแสงแดดยิ่งทําให้ใบหน้าที่ได้รับการตกแต่งอย่างปราณีตดูกระจ่างมากยิ่งขึ้น
นางต้องเป็นแม่ของเซี่ยโฮวหยินแน่ นางสนมฉิน (สนมชั้นสาม)
เมื่อเห็นเช่นนั้น เซี่ยโฮวซีจึงเดินออกมาจากศาลา “อย่ากลัวไปเลย ข้าอยู่นี่”
เมื่อมองไปที่ร่างเพรียวตรงหน้านาง ซูมู่เก๋อเลิกคิ้วเล็กน้อยและเดินตามนางไปเพื่อคํานับ
“ขอถวายบังคมฝ่าบาท พระสนมฉินและองค์หญิงแปดเพคะ”
“ขอถวายบังคมเสด็จพ่อ พี่แปดและสนมฉินเพคะ”
เซี่ยโฮวรุยเดินเข้ามาหาเด็กสาวทั้งสองและตอบด้วยเสียงต่ำและแหบแห้ง “ลุกขึ้น”
สนมฉินช่วยเซี่ยโฮวรุยเข้าไปในศาลาและนั่งลง
“เสด็จพ่อ หม่อมฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมของคุณหนูซู และน้องเก้าก็หมกมุ่นอยู่กับยามากจนนางต้องขอให้คุณหนูซูสอนยาให้นางในตอนนี้” เซี่ยโฮวหยินมองไปที่ซูมู่เก๋อ
ด้วยรอยยิ้มที่ปลอม
ซูมู่เก๋อเลิกคิ้วเล็กน้อยและสังเกตเห็นความอาฆาตพยาบาทของเซี่ยโฮวหยิน โดยรู้ดีว่านางจะไม่ปล่อยซูมู่เก๋อไปง่ายๆ
“พี่แปดพูดถูกเพค่ะ แต่คราวนี้หม่อมฉันเชิญคุณหนูซูมาที่ตําหนักเพื่อขอบคุณที่นางช่วยชีวิตหม่อมฉันบนเรือ”
“ข้ายังได้ยินมาว่าองค์หญิงเก้ามีอาการหัวใจวายบนเรือและได้รับการช่วยเหลือจากคุณหนูซูได้ทันเวลา ทักษะทางการแพทย์ของคุณหนูซูนั้นโดดเด่นมาก นางไม่เพียงรักษาโรคระบาดในเมืองโจวได้ แต่ยังช่วยองค์หญิงด้วย ฝ่าบาทเพค่ะ พระองค์จะทรงประทานรางวัลอะไรแก่นางดีเพคะ”
สนมฉินยิ้มน้อยๆบนใบหน้านางตลอดการพูด แต่นางไม่สามารถทําให้คนที่ไม่คุ้นเคยรู้สึกถึงความเป็นมิตรได้เพราะมีความเย่อหยิ่งแอบแฝงอยู่ตลอดในดวงตาเรียวที่ดูเชิดของนาง
ด้วยรอยยิ้มในดวงตามัวอันริบหรี่ของเขา เซี่ยโฮวรุยจ้องมองไปที่ซูมู่เก๋ออย่างพินิจตั้งแต่หัวจรดเท้าและมองหลับจากเท้าจรดหัว
ซูมู่เก๋อกํามือเล็กน้อยในแขนเสื้อ เขาเป็นถึงองค์จักรพรรดิของแคว้น แค่แรงกดดันเพียงเล็กน้อยจากเขาก็ทําให้คนอื่นรู้สึกหายใจไม่ได้แล้ว
แต่ในไม่ช้า เซี่ยโฮวรุยก็ยับยั้งท่าทางสง่าสูงส่งของเขา “เจ้าพูดถูก นางสมควรได้รับรางวัล”
เซี่ยโฮวหยินไม่สามารถทนดูความชื่นชมของเซี่ยโฮวรุยที่ซูมู่เก๋อได้ ในฐานลูกสาวของขุนนางชั้นต่ำที่มีแม่โง่เขลา นางจึงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นนางกํานัลของนางด้วยซ้ำ!
“เสด็จพ่อเพค่ะ จากที่คุณหนูซูมีทักษะการปรุงยาดีมาก ข้าสงสัยว่านางจะเก่งกว่าหมอหลวงในวังหรือไม่? หากหมอที่มีอายุห้าสิบปีเครายาวสีขาวด้อยกว่าเด็กสาวอายุต่ำกว่าสิบห้าปีจริง มันคงจะเป็นเรื่องตลกและน่าอับอายยิ่งนะเพคะ”
ทันทีที่เซี่ยโฮวหยินพูดจบอากาศในศาลาก็เหมือนถูกแช่แข็งทันที
“บิดาของเด็กคือแม่ทัพหลิน”
หลังจากซูมู่เก๋อออกจากบ้านหลังนั้นและกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซู นางก็หยิบตัวอย่างเลือดของแม่ทัพหลินออกมาและผสมกับเลือดของทารกในครรภ์และตัวยาบางชนิดลงไปปฏิกิริยาทางการแพทย์พิสูจน์แล้วว่าบิดาของเด็กในท้องของมี่เอ๋อร์คือแม่ทัพหลิน
ขณะตรวจร่างกายของมี่เอ๋อร์ ซูมู่เก๋อไม่ได้พบเพียงฝ่าเท้าของนางเท่านั้นแต่ยังพบว่าเล็บเท้าของนางเป็นสีดําอีกด้วย นี่ไม่ใช่อาการของโรคทางเพศ แต่มันคือการได้รับพิษ
หลังจากผ่าเปิดเส้นเลือดที่เท้าของมี่เอ่อร์แล้ว นางก็ไม่พบเลือดไหลจากแผลนั้น ต้องเป็นพิษที่ทําให้เลือดแข็งตัว
ซูมู่เก๋อขมวดคิ้วและค้นหาหนังสือทางการแพทย์เก่าๆออกมาจากกล่อง
หนังสือเล่มนี้ข้าได้รับมาจากเซี่ยโฮวซีเพื่อแสดงความขอบคุณ
มันเป็นบันทึกสมุนไพรทุกชนิดที่สามารถใช้เป็นยาได้ นางจําได้ว่าการกินกลีบดอกจากดอกไม้ชนิดหนึ่งอาจทําให้เลือดแข็งตัวได้
“ข้าเจอมันแล้ว! ดอกซู่เฉิง!”
มันมีบันทึกไว้ในหนังสือว่าดอกซู่เฉิงเติบโตในที่มืด ชื้นและสถานที่ที่มีหมอกหนาซึ่งเป็นช่วงเวลาส่วนใหญ่ของปีและบานเพียงครั้งเดียวในรอบทศวรรษ กลีบดอกมีพิษ หากใช้เกินขนาดมันอาจทําให้เลือดแข็งตัวในเวลาอันสั้นและถึงขั้นเสียชีวิตได้
“ในที่มืด ชื่นและมีหมอกหนาหนานปัน!”
มันมีบันทึกไว้ในหนังสืออีกว่าดอกไม้ดังกล่าวไม่เคยปรากฏในแคว้นฉู่เพราะสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมที่ดอกซู่เฉิงจะเติบโตได้
“แม้ว่ากลีบดอกซู่เฉิงจะมีพิษ แต่ก้านช่อดอกสามารถล้างพิษได้ ตราบใดที่หาก้านช่อดอกของดอกไม้นี้มา แม่ทัพหลินก็สามารถรักษาให้หายได้เ”
หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว ซูมู่เก๋อก็เรียกเยว่รู่เข้ามา
“ให้ข้าช่วยอะไรท่านดีเจ้าค่ะ คุณหนู?”
“นําสิ่งนี้ไปมอบให้นายหญิงหลินด้วยตัวเอง จําไว้ว่าอย่ามอบมันให้คนอื่นเด็ดขาด”
เยว่รู่รับซองจดหมายมาและพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “คุณหนูเจ้าค่ะ ไม่ต้องกังวล ข้าจะมอบมันให้กับนายหญิงแม่ทัพหลินด้วยตัวข้า”
เนื่องจากกลีบดอกซู่เฉิงมีพิษ พ่อค้ายาเมืองหนานบันแทบจะไม่ขายพวกมันให้กับแคว้นฉู่ ไม่ต้องพูดถึงเมืองหลวงซึ่งอยู่ห่างไกลพรมแดนระหว่างทั้งสองแคว้นเลย ดังนั้น มันจึงไม่สามารถซื้อจากร้านขายยาทั่วไปได้ อย่างไรก็ตาม หากคฤหาสน์แม่ทัพต้องการมัน มันง่ายมากที่จะหามาได้
อย่างแน่นอน ภายในสองวัน นางหลินส่งข้อความมาว่าได้ยามาแล้วและขอให้นางไปที่คฤหาสน์แม่ทัพหลิน
ซูมู่เก๋อเตรียมชุดเครื่องมือแพทย์ของนางและขึ้นรถม้าตรงไปทันที
หลังจากมาถึงคฤหาสน์แม่ทัพ ซูมู่เก๋อก็ถูกนําไปที่ห้องโถงใหญ่
นางหลินสวมชุดสีแดงเข้ม ผมปักด้วยปืนหยก ดูค่อนข้างซีดและเหลือง
“นายหญิง คุณหนูซูมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
นางหลินตื่นตัวขึ้นมาทันทีและเงยหน้าขึ้นมองไปที่ซูมู่เก๋อดูสดชื่นขึ้นมาก
“คุณหนูซู”
ซูมู่เก๋อก้าวเข้าไปหานางเพื่อแสดงความเคารพ แต่ก่อนที่นางจะโค้งคํานับ นางก็ถูกนางหลินรั้งไว้
“คุณหนูซู ท่านสามารถรักษาท่านแม่ทัพได้จริงหรือ?”
ซูมู่เก๋อมองไปที่นางหลินผู้กระตือรือร้นและพยักหน้าเล็กน้อย “ด้วยก้านช่อดอกซู่เฉิง โอกาสในการรักษาตัวท่านแม่ทัพจึงมีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากเจ้าค่ะ”
“เยี่ยมมาก เข้ามา เอามันเข้ามา”
จากนั้นสาวใช้ที่อยู่ด้านนอกก็นํากล่องไม้เคลือบเงาเข้ามา
นางหลินส่งมันให้กับซูมู่เก๋อ ผู้เปิดกล่องและพบก้านดอกซู่เฉิงสองก้านวางเรียงกัน
ก้านดอกซู่เฉิงได้ผ่านกระบวนการทําให้แห้งแล้ว นางจึงสามารถนํามาบดผสมกับยาตัวอื่นได้เลย
หลังจากปรุงยาเสร็จแล้ว นางก็ให้ท่านแม่ทัพดื่มยานั้น
ซูมู่เก๋อเขียนใบสั่งยาสองฉบับให้กับนางหลิน “ใบแรกนี้สําหรับวันพรุ่งนี้และใบที่สองสําหรับสามวันถัดไป หลังจากนั้น ข้าจะมาตรวจให้คําปรึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับท่านแม่ทัพหลินเจ้าค่ะ”
“ได้ ขอบคุณ คุณหนูซู”
ตราบใดที่พิษของดอกซูเฉิงได้ถูกล้างออกไป โรคทางเพศของแม่ทัพหลินก็จะหายขาด อย่างน้อยเขาก็สามารถอยู่รอดได้ภายใต้การรักษาของนาง
ทันทีที่ซูมู่เก๋อออกไปนอกคฤหาสน์แม่ทัพหลิน นางก็เห็นร่างที่คุ้นเคยวิ่งตรงเข้าหานาง
“คุณหนู มีบางอย่างเกิดขึ้นเจ้าค่ะ!” เยารูรีบวิ่งออกมาจากคฤหาสน์หลินเพื่อมองหา ซูมู่เก๋อพลางหอบหายใจอ้าปากสูดอากาศอย่างหนัก
ซูมู่เก๋อถึงนางเข้าหาแล้วถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
“ข้าก็ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ หลังจากที่ท่านออกมา พี่เหมยฮัวก็มาหาข้าและบอกว่านายหญิงไม่สบาย ข้าไม่กล้ารอและรีบวิ่งออกมาหาคุณหนูทันทีเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินคําพูดของนาง ซูมู่เก๋อก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “นางจะป่วยโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ พี่เหมยฮัวขอให้ข้ารีบนําความมาส่งให้คุณหนูว่านายหญิงป่วยหนัก!”
เหมยฮัว มีบุคลิกที่มั่นคง ไม่มีทางที่นางจะพูดเกินจริง สถานการณ์ของนางจ้าวจะต้องแย่มากแน่
“กลับบ้าน”
“เจ้าค่ะ”
ซูมู่เก๋อกังวลมากจนนางไม่ได้สังเกตเห็นความเย็นชาในดวงตาของคนขับรถม้า
ซูมู่เก๋อขึ้นรถม้าไปกับเยว่รู่และตรงกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซู
วันนี้นางจ้าวรู้สึกหดหู่ มันจึงเป็นไปได้ว่านางอาจรู้สึกไม่สบาย แต่ก็แปลกที่จู่ๆ นางก็ป่วยหนัก
มันเป็นไปได้หรือไม่ที่นางอันกระทําการอะไรบางอย่างลับหลัง?
เมื่อนึกถึงนางอัน ซูมู่เก๋อก็รู้สึกกังวลมาก
รถม้ากําลังเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว ในตอนแรก ซูมู่เก๋อไม่ทันได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติจนกระทั่งรถม้าวิ่งเร็วจนเกือบร่างกระเด็นออกนอกตัวรถ
นางเอื้อมมือไปยกม่านรถม้าขึ้นและพบว่าสถานที่นั่นเงียบมาก
แม้ว่าซูมู่เก๋อจะไม่ได้อยู่บนถนนที่พลุกพล่านในเมืองหลวง มันไม่น่าจะเงียบและร้างได้ขนาดนี้ แปลกมาก!
“หยุดรถ!” ซูมู่เก๋อตะโกนสั่งคนขับรถ
แต่คนขับรถม้ากลับยกเชือกบังคับขึ้นและกระตุกเชือกพร้อมตีแส้ใส่ม้าที่กําลังวิ่งอย่างดุเดือดราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคําสั่งของนาง
หลังจากนั้นซูมู่เก๋อก็พบว่าคนขับรถม้าไม่ใช่คนเดียวกับที่ไปรับนางมา!
“ฉิบหายล่ะ!”
ซูมู่เก๋อดึงปินปักผมออกมาและแทงไปที่ด้านหลังของคนขับรถม้า ถีบลงจากรถม้า
“โอ้ย!”
คนขับรถม้าส่งเสียงร้องและกลิ้งตกจากรถม้า
ซูมู่เก๋อคว้าบังเหียนและควบคุมม้าไว้ แต่มันวิ่งเร็วเกินที่จะหยุดได้ในทันที
“คุณหนู ระวัง!” เยว่รู่ร้องเตือน
ซูมู่เก๋อมองไปข้างหน้าและเห็นหินก้อนใหญ่ขวางอยู่ข้างหน้า ถ้าพุ่งไปแบบนี้ พวกเขาถ้าไม่ตายก็พิการแน่!
“ข้าจะบังคับสายบังเหียนไว้ และเจ้าก็กระโดดลงไปเมื่อข้านับถึงสาม”
“แต่ แล้วท่านล่ะเจ้าค่ะ คุณหนู?”
ซูมู่เก๋อกดริมฝีปากของนางแน่น “ข้าจะตามเจ้าไปทีหลัง หนึ่ง สอง สาม!”
“แต่ คุณหนู ท่าน…”
“ไม่ต้องสนใจข้า ไป!”
“อ้า!”
เยว่รู่กระโดดพุ่งหน้าออกไป กลิ้งไปมาบนพื้นหลายรอบจนกระทั่งนางหยุดได้เอง
ซูมู่เก๋อคลายบังเหียนและกระโดดออกจากรถม้า
ต่อจากนั้นในทันที รถม้าทั้งคันก็พุ่งเข้าชนกับก้อนหินใหญ่
“ปัง!”
ซูมู่เก๋อรู้สึกว่าร่างกายของนางลอยอยู่ในอากาศชั่วขณะและสายตาของนางก็หมุนตลอดเวลา หลังจากที่เท้านางแตะลงพื้น นางก็ได้กลิ่น เป็นกลิ่นที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกประหลาด
นางเงยหน้าขึ้นและเห็นคางที่สมบูรณ์แบบของเซี่ยโฮวโม่
นางสะดุ้ง รีบกําจัดมือของเขาออกและก้าวห่างออกไป
เซี่ยโฮวโม่ก็ปล่อยตัวนาง
ซูมู่เก๋อมองย้อนกลับไปและพบว่ากะโหลกศีรษะของม้าแตก ก้อนหินเต็มไปด้วยเนื้อสมองและเลือดสดๆ รถม้าก็แตกหลุดออกจากกัน ถ้าตอนนั้นนางยังอยู่บนรถม้า ผลที่ตามมาคงแทบจะดูไม่ได้เลย
เซี่ยโฮวโม่ช่วยนางไว้
“ขอบคุณที่พระองค์ทรงช่วยหม่อมฉันไว้เพค่ะ ฝ่าบาท” ซูมู่เก๋อคํานับเซี่ยโฮวโม่ด้วยการแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ
“ข้าจะจําความรู้สึกนี้ไว้”
“……..”
ซูมู่เก๋อพูดไม่ออกและทําได้เพียงแค่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “มีคนต้องการฆ่าหม่อมฉัน”
ตงหลินรีบรุดเข้ามา “ฝ่าบาท คนขับรถม้าตายแล้วพะย่ะค่ะ”
“ท่านเห็นสาวใช้ของข้าหรือไม่?” เมื่อคิดได้ว่าเยว่รู่กระโดดลงไปด้วยความเร็วสูงขนาดนั้น นางก็กังวลเกี่ยวกับอาการของนาง
“คุณหนู ข้าสบายดี”
เยว่รู่เดินโซเซมาหานางโดยได้รับความช่วยเหลือจากโจวฉิว นางข้อเท้าแพลงและข้อศอกถลอก โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บร้ายแรง
“ตงหลิน ส่งคุณหนูซูกลับ” เซี่ยโฮวโม่กล่าวเบาๆ
“พะย่ะค่ะ”
ซูมู่เก๋อมองไปที่เซี่ยโฮวโม่ “ชายคนนั้นกล้าก่ออาชญากรรมในที่สาธารณะ มันช่างน่าต่ำช้ามาก ฝ่าบาท โปรดหาผู้กระทําความผิดและทําให้เกิดความสงบสุขในเมืองหลวงด้วยเถิดเพคะ” เนื่องจากเซี่ยโฮวโม่เป็นผู้สั่งการขององครักษ์ในวังหลวง นางจึงใช้เหตุผลนั้นเพื่อที่จะพูดทุกอย่างเช่นนั้น
นางรู้ดีว่าคนขับรถม้าจะต้องถูกบงการโดยใครบางคนที่ต้องการให้นางตาย และมันอาจเกี่ยวข้องกับอาการป่วยของแม่ทัพหลิน เนื่องจากนางไม่มีผู้หนุนหลังในเมืองหลวง นางและคนรอบตัวนางทั้งหมดจะตกอยู่ในอันตรายหากผู้กระทําความผิดไม่ยอมปล่อยนางไป
จนถึงตอนนี้ ซูมู่เก๋อตระหนักดีถึงความยากลําบากในการมีชีวิตอยู่หรือแม้แต่การเอาชีวิตรอดในเมืองหลวงที่วุ่นวายแห่งนี้โดยไม่มีใครคอยสนับสนุนนาง!
ซูมู่เก๋อเหลือบมองเซี่ยโฮวโม่อย่างรวดเร็ว ชายคนนี้อันตรายเกินไป นางควรจะคิดให้ดีอีกครั้งดีกว่า!
เซี่ยโฮวโม่ก็หันกลับมาสบตากับนางและพบว่าซูมู่เก๋ออยู่ในความสับสน
“ตงหลิน ส่งคุณหนูซูกลับคฤหาสน์”
“พะย่ะค่ะ”
มันไม่น่าแปลกใจเลยที่ซูมู่เก๋อไม่ได้รับคําตอบจากเซี่ยโฮวโม่ อย่าไรถึงจะทําให้ราชาแห่งจินที่มีอํานาจทางทหารอันยิ่งใหญ่ ทําตามคําสั่งง่ายๆ เพียงไม่กี่คํา?
“หม่อมฉันขอทูลลาเพค่ะ ฝ่าบาท”
ตงหลินหารถม้าที่ไม่ได้เด่นและช่วยซูมู่เก๋อและเยว่รู่ขึ้นรถ
จนกระทั่งรถม้าลับจากสายตาไป เซี่ยโฮวโม่เดินไปที่ม้าที่ชินกับหินจนหัวแบะ แล้วดึงลูกดอกดาวสีดําออกมาจากสะโพกม้า มันมีขนาดเท่าหัวแม่มือ
โจวฉิ่วรู้สึกหนาวสั่นอย่างฉับพลัน “มันเป็นอาวุธลับของนักฆ่ามืออาชีพทั่วไปใช้กัน ฝ่าบาท…หม่อมฉันกลัวว่าคุณหนูซูจะตกเป็นเป้าหมาย”
เซี่ยโฮวโม่หมุนลูดดอกรูปดาวในมือเบาๆด้วยท่าทางที่น่ากลัว “ส่งคนตามคุ้มครองนางอย่างลับๆสองคน นางไม่สามารถตายตอนนี้ได้”
“รับบัญชา!”
บนรถม้า เยว่รู่ซึ่งนั่งข้างซูมู่เก๋อไม่สามารถซ่อนอาการสั่นอย่างไม่รู้ตัวได้
ซูมู่เก๋อพบว่านางกลัวมากจึงเอื้อมมือไปจับมือนางบีบเบาๆ “กลัวเหรอ?”
เยว่รู่กัดฟันข่มอาการสั่นและพยักหน้า “คุณหนู นั่นคือราชาแห่งจินหรือเจ้าค่ะ? เขาเป็นคนช่วยท่าน?”
ซูมู่เก๋อพยักหน้า “ใช่ ต้องขอบคุณเขาในครั้งนี้”
“ข้ากลัวแทบตาย ขอบคุณพระพุทธองค์ที่คุณหนูปลอดภัย ใครเป็นคนทําเรื่องชั่วช้านี้? เขาสมควรได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง!”
แม่ทัพหลินเป็นแม่ทัพที่มีอํานาจทางทหารมากมาย นางกลัวว่าการรักษาของนางต่อแม่ทัพหลินจะต้องขัดขวางแผนการของใครบางคนเป็นแน่
“หลังจากกลับถึงคฤหาสน์เจ้าต้องเก็บมันเป็นความลับ เข้าใจหรือไม่?
เยว่รู่พยักหน้า “ข้าทราบเจ้าค่ะ ข้าสงสัยว่าตอนนี้นายหญิงจะเป็นอย่างไร”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูมู่เก๋อก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากล่าช้าไปมาก นางก็กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของนางจ้าว
นางปรารถนาให้เรื่องนั้นเป็นเหมยฮัวทําโวยวาย!
ในหอบุปผชาติ เซี่ยโฮวคุณจ้องไปที่จิงหงส์ด้วยรอยยิ้มและดื่มเหล้าในถ้วย
จึงหงส์เฝ้ามองเซี่ยโฮวคุณด้วยความสับสน สงสัยว่าทําไมนางถึงพบแขกผู้สูงศักดิ์ มากที่สุดในคืนนี้ทั้งสองคน
“ราชาแห่งจินเล่าเรื่องตลกอะไรให้เจ้าฟังเมื่อกี้นี้”
“พระองค์จะเล่าเรื่องตลกอันใดให้หม่อมฉันฟังได้อย่างไรเพคะ? พระองค์ให้หม่อมฉันขับร้องเท่านั้น”
เซี่ยโฮวคุณไม่พอใจ เขามีความสุขกับการใช้ตะเกียบคีบเนื้อเข้าปากแทน “ชายที่มา พร้อมกับราชาแห่งจินในห้องนั้นค่อนข้าไม่คุ้นหน้านัก”
“เพค่ะ หม่อมฉันได้พบหน้าเขาเป็นครั้งแรก”
เซียโฮวคุณถามคําถามที่คลุมเครือ แต่ไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากจิงหงส์ เขาจึงปล่อยนางไป
“เขามาทําอะไรที่นี่?” เซี่ยโฮวโม่เป็นชายที่ละเว้นเรื่องนี้และไม่เคยปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้มาก่อน
หลังจากนั้นไม่นาน ทหารองค์รักษ์หยูเป่ยก็เดินเข้ามาในห้อง
“ฝ่าบาท คนของหม่อมฉันไม่สามารถติดตามราชาแห่งจินได้พะย่ะค่ะ และพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติในหอบุปผชาติ”
เมื่อนึกถึงทักษะวิชาตัวเบาของเซี่ยโฮวโม่ มันเป็นเรื่องปกติที่คนของเขาจะไม่ได้ร่องรอยของเขา
“ฝ่าบาท มันเป็นไปได้หรือไม่ที่ราชาแห่งจินมาที่นี่หลังจากทราบการมาของพระองค์”
“ตรวจสอบต่อไป”
“พะย่ะค่ะ”
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่จําเป็นต้องรายงานให้พระองค์ทราบอย่างละเอียด ใช่หรือไม่?”
“เรื่องส่วนตัว? แม่ทัพหลินเป็นกระดูกสันหลังของแคว้นเรา ข้าต้องรู้ว่าใครคิดจะทําร้ายเขาหากเจ้าปกปิดเบาะแสและแม่ทัพหลินมีเหตุเป็นไปในภายหลัง เจ้าจะรับผิดชอบได้หรือไม่?”
ซูมู่เก๋อขมวดคิ้วและจับจ้องไปที่เซี่ยโฮวโม่ รู้สึกว่าตัวนางมึนเมามากขึ้นอีกครั้ง
“หม่อมฉันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของขุนนางของท่านด้วยหรือ? ทําไมหม่อมฉันซึ่งเป็นหมอต้องแบกรับความรับผิดชอบแทนพระองค์ด้วยเพคะ?” ซูมู่เก่อสะดุดอย่างไม่มั่นคงแต่นางไม่กลัวรัศมีความเย็นชาของเซี่ยโฮวโม่
“มีกฏใดในแคว้นนี้หรือไม่? พระองค์ตั้งกฎเพื่อความสนุกในแคว้นฉ่หรือเพคะ?”
หลังจากตะโกนออกไป ซูมู่เก้อรู้สึกว่าความหงุดหงิดของนางหายไปมาก นางต้องทนกับความคับแค้นใจมาตลอดทั้งตั้งแต่ที่นางรักษานายหญิงแม่เฒ่าเพิ่ง
“เสร็จหรือยัง?” เซี่ยโฮวโม่เฝ้ามองนางอย่างเงียบๆ เขาไม่โกรธเลยและดูเหมือนจะสนใจนาง
ซูมู่เกือครุ่นคิดในใจ คิดว่าคนเหล่านี้เป็นพวกชอบเห็นความเจ็บปวดของคนอื่นจริงๆ
“หม่อมฉันยังมีสิ่งอื่นที่ต้องทํา ขอตัวลาเพคะ” นางหมุนตัวกลับไปเพื่อจะจากไป แต่ก็ ถูกดึงกลับเข้าสู่อ้อมกอดที่แข็งแกร่งของเขา
“อุ้ย!”
ซูมู่เก้อรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก พยายามที่จะกําจัดแขนของเขาที่รวบเอวนางไว้ออกไป
“ท่านทําอะไร? ปล่อยข้า!”
รู้สึกถึงเอวที่บอบบางของนาง เซี่ยโฮวโม่ยกแขนขึ้นเล็กน้อยและยกตัวซูมู่เก่อขึ้น ให้หน้าของนางมาอยู่ตรงหน้าเขา
ซูมู่เกือจ้องเขา “ท่าน ท่านเฉไฉ ปล่อยข้า!”
เซี่ยโฮวโม่กอดนางให้แน่นขึ้นและค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้นางอย่างช้าๆ
เมื่อมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลา ซูมู่เกือรู้สึกว่าหัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นและเร็วขึ้น
เช่นเดียวกับที่ปลายจมูกของพวกเขาแตะกัน ซูมู่เก๋อกัดฟันถอยออกอย่างรวดเร็วและกระแทกจมูกเขาอย่างแรง
“โอ้ย!”
เซี่ยโฮวโม่ครางเสียงต่ํา และซูมู่เก่อฉวยโอกาสนั้นที่จะผละออกจากเขาและมองเขาอย่างยั่วยุยืนห่างออกไปไม่กี่เมตร
เซี่ยโฮวโม่ก้าวเข้าไปหานาง แต่ละก้าวอย่างช้าๆและมั่นคงราวกับสัตว์ร้ายกําลังล่าเหยื่อของ มัน ค่อยๆใกล้เหยื่อของเขาอย่างช้าๆ
ซูมู่เก้อรู้สึกประหม่ามาก สงสัยว่าเมื่อกี้นางคงทําให้เขาโกรธ!
อากาศเย็นยะเยือกในทันที
“สาวน้อยผู้กล้าหาญ”
ซูมู่เกือยืนนิ่งและตั้งตรง ไม่เต็มใจที่จะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง แต่เมื่อเซี่ยโฮวโม่เข้าใกล้ที่ละก้าวๆ อากาศรอบตัวนางก็ตึงเกินกว่านางจะหายใจได้
“บอกข้า ท่านต้องการอะไรกันแน่?!”
“คุณหนู คุณหนูเจ้าค่ะ ท่านเป็นอะไร?”
ซูมู่เก่อลืมตาขึ้นทันทีและเห็นแสงจันทร์เย็นๆ ม่านเตียงที่คุ้นเคยท่ามกลางความมืดสลัวนางหายใจเข้าลึกๆ ให้ตายเถอะ! ทําไมนางถึงได้ฝันถึงปีศาจเซียโฮวโม่?!
เพื่อไม่ให้เยวู่่เป็นกังวล นางจึงสงบลงและพูดเบาๆว่า “ไม่มีอันใด ข้าแค่ฝันร้าย เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด ไม่ต้องเฝ้าข้าหรอก”
เยวรูพูดเสียงกระซิบว่า “ข้าจะอยู่กับท่านเจ้าค่ะ คุณหนู เรียกหาข้าได้ทุกเมื่อที่ท่านต้องการนะเจ้าค่ะ”
ซูมู่เก๋อไม่ได้บังคับให้นางเข้านอนอีก
นางหลับตาลงและคําพูดของเซียโฮวโม่ยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงคํานึงของนาง
“ห้ามเจ้าเข้าไปในหอบุปผชาติอีก”
นางจําได้ลางๆ ว่านี่เป็นคําพูดสุดท้ายที่เซี่ยโฮวโม่ทิ้งไว้ หลังจากที่เขาส่งนางกลับมาที่คฤหาสน์ซู ไม่ มันน่าจะเป็นคําสั่ง!
นางต้องบรรลุการรักษาอาการเจ็บป่วยของท่านแม่ทัพหลินให้ได้ในที่สุด เขาจะห้ามนางทํามากไปกว่านี้ได้อย่างไร!?
ถึงแม้นางสามารถทําการรักษากับความเจ็บป่วยตามสภาพของแม่ทัพหลินได้ แต่มันจะใช้เวลานานกว่านั้นมาก
ด้วยความโกรธซูมู่เก่อจึงกลิ้งตัวม้วนในผ้าห่มและหลับไป
เมื่อนางตื่นขึ้นมาในวันถัดไป มันก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว ซูมู่เกือขยี้ตาและขมวดคิ้ว รู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง
เยวู่่ผู้ที่เฝ้าอยู่นอกห้อง ได้ยินการเคลื่อนไหวจึงรีบเดินเข้าไปพร้อมกับน้ําร้อน
“คุณหนู ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว นายหญิงกังวลใจมากจนแทบจะตามหมอมาดูท่านเจ้าค่ะ”
ซูมู่เก่อนวดขมับของนางและขอให้เยวู่่รินน้ําให้นางหนึ่งถ้วย หลังจากดื่มน้ําแล้ว นางก็รู้สึกสบายขึ้นมาก
“ข้าสบายดี บอกท่านแม่ว่าไม่ต้องห่วงข้า” หากคนอื่นรู้ว่านางมีอาการเมาค้าง มันอาจก่อปัญหาให้นางโดยไม่จําเป็น
“คุณหนูเจ้าค่ะ เมื่อวานนี้ท่านหายไปที่ใดมาเจ้าค่ะ? ท่านไม่ได้กลับมาหลังจากถึงเวลามืดแล้วข้ากังวลมากเจ้าค่ะ” ในขณะที่นางกําลังเป็นกังวล นางเข้ามาในห้องและพบว่าซูมู่เก๋อหลับอยู่บนเตียงแล้ว พร้อมกลิ่นแอลกอฮอล์ ซึ่งทําให้นางตกใจมาก
ซูมู่เก๋อหลบสายตาต่ําลงและจิบน้ําซุป “อา ข้าหมกมุ่นอยู่กับยาสมุนไพรที่ดีมากจนลืมเวลาไปข้าเหนื่อยมากและหลับไปทันทีที่กลับมา”
นางได้กลิ่นแอลกอฮอล์อย่างรุนแรงจากสมุนไพรปรุงยาเช่นนี้ได้อย่างไร? เยว่ไม่ได้ถามอะไรมากแต่ตัดสินใจที่จะติดตามซูมู่เกือในครั้งต่อไปที่นางจะออกจากคฤหาสน์!
“ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง?” ตั้งแต่นางจ้าวกลับมาจากวัดลั่วหยิน นางก็อารมณ์ไม่ดีเลย
“ตอนนี้นายหญิงดูดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ พี่เหมยฮัวพบว่านายหญิงยิ้มเมื่ออยู่กับนายน้อยเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูมู่เก๋อก็พยักหน้า นางไม่ต้องการให้นางจ้าวรู้สึกผิด ทรมานตัวเองด้วยความผิดของคนอื่น
หลังอาหาร ซูมู่เก๋อออกไปเดินเล่นในบริเวณบ้านพักของนาง
เมื่อวานนี้ นางไปที่หอบุปผชาติเพื่อหาเหตุแห่งอาการป่วยของแม่ทัพหลินว่าเกิดจากจิงหงส์หรือไม่
นางได้รับคําตอบหลังจากที่นางได้สัมผัสกับจิงหงส์เมื่อวานนี้ นางไม่ใช่สาเหตุ หากนางมีโรคติดต่อทางเพศที่ทําให้แม่ทัพหลินรับเชื้อมา นางจะมีอาการร้ายแรงกว่าของแม่ทัพหลินแต่ผิวพรรณของนางเรียบเนียนและร่างกายของนางไม่มีกลิ่นแปลกๆ
ในทางตรงกันข้าม สาวใช้ที่ชื่อเอ่อร์ต่างหากที่อาจเป็นสาเหตุของอาการเจ็บป่วยของแม่ทัพ หลิน
ในขณะใช้สมาธิในการขบคิด นางรู้สึกว่ามีบางอย่างพุ่งเข้าใส่นางอย่างฉับพลัน
ซูมู่เก่อก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติและพบว่ามีลูกบอลกระดาษอยู่ที่พื้นกลิ้งมาที่เท้าของนาง
ซูมู่เกือมองไปรอบๆ และไม่พบใคร นางรีบหยิบลูกบอลกระดาษขึ้นมาและเปิดมันออกดู
“นี่เอ๋อร์ตายแล้ว”
ทันใดนั้นซูมู่เกือวางหน้าเรียบเฉยและรีบเก็บลูกบอลกระดาษไว้
หลังจากกลับมาที่ห้องพัก นางเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชายและกําลังจะออกไป
“คุณหนู ท่านกําลังจะไปไหนเจ้าคะ? ข้าจะไปกับท่านด้วย” เมื่อเห็นเช่นนั้น เยวรู่จึงก้าวไปขวางหน้าและหยุดคุณหนูของนางไว้
ซูมู่เก่อขมวดคิ้ว “ไม่ได้”
“แต่คุณหนู ข้าเป็นห่วงท่านอยู่ที่นี่คนเดียว…”
ซูมู่เกือต้องการให้มันเงียบและเป็นความลับที่สุด ถ้านางจ้าวรู้ นางจะห้ามไม่ให้ออกไปจากคฤหาสน์อย่างแน่นอน “เยวู่่ ข้าต้องการออกไปข้างนอกเพราะมันเกี่ยวข้องกับคฤหาสน์ท่านแม่ทัพ เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลที่ตามมาถ้าผู้ป่วยในคฤหาสน์ท่านแม่ทัพมีอันเป็นไปจะเป็นเช่นไร?”
เมื่อได้ยินคําพูดของนาง เยวู่่ก็หน้าซีดลงทันที
“คุณหนูเจ้าค่ะ ท่านหมายความว่ามีบางอย่างผิดปกติที่คฤหาสน์ท่านแม่ทัพ!”
ซูมู่เกือพยักหน้า “ข้าต้องคิดให้ออก เจ้าอยู่ที่นี่และดูแลท่านแม่และน้องชายของข้าให้ดีอย่าปล่อยให้นางอันและลูกสาวของนางมีโอกาสสร้างปัญหาได้”
เยวู่่พยักหน้า “คุณหนู ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ข้าจะดูแลโถงนี้อย่างดี!”
หลังจากออกมาจากลานดอกท้อบาน ซูมู่เก๋อออกจากคฤหาสน์ซูทางประตูหลัง
นางแปลกใจทันทีที่นางออกพ้นประตูไป นางอก็ถูกผู้ชายคนหนึ่งหยุดไว้ เมื่อมองขึ้นไปนางพบว่าเขาเป็นองครักษ์ของเซี่ยโฮวโม่ที่ชื่อตงหลิน
ตงหลินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้เห็นซูมู่เก๋อ เขาไม่ได้คาดหวังว่านางจะออกมาเร็วขนาดนี้ “ฝ่าบาทขอให้ข้ามารอรับคุณหนู ขอรับ”
ซูมู่เกือมองตรงไปที่เขา และถามตรงเข้าเรื่องทันที “ศพของนางอยู่ที่ไหน?”
“คุณหนูซู โปรดตามข้ามา”
ตงหลินพาซูมู่เก่อออกจากซอยตรงไปขึ้นรถม้าและมุ่งหน้าไปยังชานเมือง
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เมื่อวานนี้ หลังจากออกจากซอง ฝาบาทรับสั่งให้ข้าจับตาดูมีเอ๋อร์ต่อไป อย่างไม่คาดคิดมีเอ้อถูกฆ่าตายขณะที่นางอาบน้ํา เมื่อฆาตกรกําลังจะทําลายศพของนาง คนของเราก็คนพบได้ทันเวลาพอดีและหยุดชายฆาตกรไว้ได้”
มีเอ๋อร์เป็นผู้หญิงแม้ว่านางจะถูกจับตามองอย่างลับๆ แต่นางก็ไม่น่าจะถูกแอบตามดูขณะ อาบน้ํา ฆาตกรเลยต้องอาศัยโอกาสนั้นและฆ่านาง!
ช่างเป็นการกระทําที่หลักแหลมมาก!
รถม้าหยุดที่บ้านส่วนตัวในย่านชานเมืองหลังหนึ่ง ทั้งซอยแทบเกือบจะว่างเปล่า
ซูมู่เกือลงจากรถม้าและเดินตามตงหลินเข้าไปในบ้านด้านในสุด
บ้านหลังนี้มีขนาดเล็ก มีโต๊ะเพียงตัวเดียว ร่างของมีเอ่อร์นอนอยู่บนโต๊ะตัวนั้น
ซูมู่เก่อก้าวเข้าไปหาศพของนาง ยกเสื้อคลุมร่างของนางเปิดออกก็ได้เจอกับภาพที่ดวงตาของมีเอ๋อร์เบิกกว้างด้วยความตกใจและความกลัว นางไม่สามารถสงบสุขได้หลังจากถูกฆ่าตายอย่างคับแค้นใจ
ซูมู่เกือถอดเสื้อผ้าของนางออกและพบว่าร่างกายของนางเต็มไปด้วยทุ่มสีแดงและมีแผลคล้ําซึ่งดูน่าขยะแขยงมาก
“หลอดเลือกแดงใหญ่ของนางถูกตัดขาดและนางเลือดไหลจนตาย แผลเนียนและ เป็นการเชือดที่เดียวเหยื่อก็ตาย เขาต้องเป็นฆาตกรที่มีฝีมือมาก”
เมื่อได้ยินคําอธิบายของนาง ตงหลินประหลาดใจ เขารู้ว่าซูมู่เก้อมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม แต่เขาไม่คาดคิดว่านางจะเข้าใจการชันสูตรพลิกศพได้ดีขนาดนี้
“นางตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว” ตงหลินกล่าว
ซูมู่เก๋อตกใจเล็กน้อยและเอื้อมมือไปแตะหน้าท้องของมีเอ๋อร์ ทารกในครรภ์อายุสามเดือนกําลังค่อยๆสร้างรูปร่างเป็นมนุษย์ และท้องของหญิงตั้งครรภ์จะบวมขึ้นในระดับหนึ่งเมื่ออายุครรภ์เข้าเดือนที่สี่
“ใครเป็นพ่อของเด็ก?”
ตงหลินส่ายหัว “ไม่มีข้อมูล
“ท่านมีน้ําส้มสายชูและเหล้าหรือไม่?”
ตงหลินพยักหน้าและสั่งให้คนของเขาถือขวดน้ําส้มสายชูและเหล้าสองขวดเข้ามา
“ขออนุญาตขอรับ”
ซูมู่เกือเช็ดตัวของพี่เอ๋อร์ด้วยน้ําส้มสายชูก่อนลงมีดผ่าตัดหน้าท้องของนาง
ตงหลินสั่นสะท้านเมื่อเห็นนางเปิดท้องอย่างสงบนิ่ง
ซูมู่เกือใส่ใจอย่างเต็มที่จดจ่อกับการผ่าตัดของนางและดึงทารกในครรภ์ออกจากท้องของมีเอ้
“อ๊ก! อ๊วก!”
เมื่อมองไปที่สิ่งที่เต็มไปด้วยเลือด ตงหลินก็รู้สึกได้ถึงท้องที่ปั่นป่วนของเขา
บทที่ 67 ตัวตนที่แท้จริง
จิงหงส์ก้าวเข้าไปข้างหน้าพร้อมกับเหยือกรินเหล้าและเติมลงถ้วยจนเต็มให้ซูมู่เกอ แต่นางไม่ได้นั่งลง
“ใต้เท้า ท่านอยากฟังข้าร้องเพลงหรือดูข้าร่ายรําเจ้าค่ะ?”
ซูมู่เกอเอื้อมมือไปจับข้อมือของนางบังคับให้นางนั่งลงข้างๆตัว
“อ๊ะ!”
“ใต้เท้า ท่านกําลังทําอะไร!?”
จิงหงส์เป็นคนแข็งแกร่งกว่าที่ซูมู่เกอคาดไว้ แต่นางก็ไม่ได้กําจัดมือของซูมู่เกอออกไปให้พ้นตัวนาง
“ใต้เท้า ข้าเป็นเพียงผู้ให้ความบันเทิงเท่านั้นเจ้าค่ะ!”
ซูมู่เกอหัวเราะเบาๆ นางโอบมือที่เองของจิงหงส์จากด้านหลังฝังใบหน้าของนางลงที่คอของจิงหงส์แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ซูมู่เกอรู้สึกว่าร่างกายของจิงหงส์แข็งที่อขึ้น
ก่อนที่จิงหงส์จะขึ้นตัวออกไป ซูมู่เกอก็ปล่อยมือจากนาง
จิงหงส์จ้องมองซูมู่เกอด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธและหมุนตัวไปเปิดประตูโดยตั้งใจที่จะออกไป
ซูมู่เกอไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ นางรินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งถ้วยแล้วยกขึ้นจิบเหล้าไม่ได้เข้มข้นมาก แต่มีรสหวานเล็กน้อย
แน่นอน นางจะไม่ยอมเสีย 100 เหลียงที่จ่ายไปสําหรับค่ามื้ออาหารนี้แน่
อย่างไรก็ตาม จิงหงส์ยืนนิ่งหลังจากที่เปิดประตูราวกับว่านางถูกบังคับให้ยืนนิ่งอยู่กับที่
ซูมู่เกอคว้าน่องไก่บนโต๊ะกัดแล้วมองกลับไปที่นางอย่างอยากรู้อยากเห็น
น่าแปลกที่ มีร่างหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูดูเหมือนจะขัดขวางการออกจากห้องของจิงหงส์!
“ราชา ราชาแห่งจิน ทําไม ทําไมท่านถึงอยู่ตรงนี้ ” มองไปที่ชายตัวสูงตรงหหน้านาง จิงหงส์รู้สึกวิญญาณของนางหลุดลอยไปและหัวใจของนางเต้นกระหนําใกล้จะทะลุออกมานอกอก
ซูมู่เกอมองออกไปที่นอกประตูและตัวแข็งในทันทีที่เห็นหน้าชายผู้นั้น
ชายหนุ่มในชุดคลุมสายรัดเอวสีแดงเข้มรูปดาบไขว้ มงกุฎหยกสีขาวมัดผมยาวดําขลับของ เขามีรูปทรงที่ละเอียดอ่อนและดวงตาสีเข้มคู่หนึ่งใต้คิ้วที่ดูดุดันราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุความคิดของคนๆหนึ่งได้ในพริบตา
เขาหุ่นเพรียวมากและสูง เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆเขาก็น่ากลัวพอๆกับการมาถึงของกองทหารนับพัน
ซูมู่เกอสําลักไก่ที่เพิ่งกัดเข้าปากในทันที
“อะ-แฮ่ม อะ-แฮ่ม…”
เซี่ยโฮวโม่!
จิงหงส์เพิ่งเรียกเขาว่าราชาแห่งจิน!
นี่คือตัวตนที่แท้จริงของเขากลมกลืนลงตัว มีเพียงรูปลักษณ์ภายนอกแบบนี้เท่านั้นที่สามารถเข้ากับอารมณ์ของเขาได้
นางไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะหล่อขนาดนี้!
สายตาของเซี่ยโฮวโม่จ้องตรงไปที่ร่างที่แข็งเกร็งของจิงหงส์แทน
สายตาของเซี่ยโฮวโม่จ้องตรงไปที่ร่างที่แข็งเกร็งของจิงหงส์แทน
“หลบไป”
จิงหงส์มันงงและก้าวออกไปด้วยความกลัวและดีใจ นางหลงรักเขาตั้งแต่แรกเห็น และนี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พูดคุยกับเขา
เซี่ยโฮวโม่เดินไปหาซูมู่เกอและนั่งลง เพียงมองนางอย่างเงียบๆ
รู้สึกเหมือนถูกตรวจตราอย่างละเอียดและร่างกายของนางก็รู้สึกอึดอัด ซูมู่เกอทําได้เพียงหันไปมองเซี่ยโฮวโม่อย่างแข็งข็ง
เซี่ยโฮวโม่ยังมองดูนางในความเงียบๆ
บ้าเอ้ย! มันสั่นประสาทมาก!
“อืม มันดึกแล้ว ท่านแม่ของข้าอาจจะเรียกหาข้ากลับไปร่วมทานอาหารเย็น ข้าขออภัย” ซูมู่เกอต้องการหลุดพ้น ผู้ชายคนนี้อันตรายมากจนนางรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่านางควรอยู่ให้ห่างจากเขา
“หยุด”
ซูมู่เกอตัวแข็งและหยุด “ข้าจะสามารถรับใช้ท่านได้ขอรับ ฝ่าบาท?”
“นั่งลง”
ซูมู่เกอขมวดคิ้วและยังนิ่ง “ฝ่าบาท จิงหงส์จะอยู่กับท่านขอรับ”
จากนั้นจึงหงส์ก็รู้สึกตัว นางก้าวเข้าไปหาเขาอย่างเขินๆและเอียงอาย และกําลังจะรินเหล้าให้กับเซี่ยโฮวโม่
“ออกไป!” เซี่ยโฮวโม่พูดด้วยน้ําเสียงเย็นชา
จิงหงส์ตัวสั่นและมองไปที่เซี่ยโฮวโม่ด้วยความเศร้าสร้อย แต่นางไม่ได้ตอบรับคําสั่งของเขา
เมื่อเห็นความวางท่าของจิงหงห์ ซูมู่เกอหึในใจอย่างเย็นชา ด้วยความไม่พอใจ จิงหงส์ทําตัวดูเหมือนสาวพรหมจรรย์กับนางเมื่อกี้นี้ แต่ในเวลานี้นางแทบรอไม่ไหวที่จะแปะติดกับเซี่ยโฮวโม่!
เซี่ยโฮวโม่ก็ไม่ใช่คนดีแน่ มิเช่นนั้นเขาคงไม่มาหาความสําราญที่นี่!
ซูมู่เกอแอบตําหนิตัวเองที่ขี้ขลาดต่อหน้าเซี่ยโฮวโม่ การที่นางปลอมตัวเป็นซูหลุนในอดีต ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้! จึงไม่มีอะไรที่เซี่ยโฮวโม่สามารถทําอะไรนางได้!
หลังจากจินตนาการกับตัวเองอย่างต่อเนื่อง ซูมู่เกอก็สงบลง ดึงจิงหงส์เข้ามาใกล้นาง แล้วนั่งลง
“พระองค์ช่างไร้ความปราณีต่อสตรีนัก ฝ่าบาท จึงหงส์กลัวพระองค์มาก”
ซูมู่เกอดึงจิงหงส์มานั่งข้างนางและขอให้นางรินเหล้าให้ถ้วยหนึ่ง “ฝ่าบาท จากความสนพระทัยของพระองค์ ให้หม่อมฉันดื่มถวายพระพรสักถ้วยด้วยเถิดพะย่ะค่ะ” หลังจากนั้นนางก็ดื่มเหล้าในถ้วยจนหมด
เซี่ยโฮวโม่หันมาสบตาสีเข้มและแตะแก้วเหล้า เมื่อเห็นเช่นนั้นจิงหงก็รีบเข้ามารินเหล้าให้กับเขา เขายังคงนิ่งและดื่มเหล้าหมดแก้ว
“ฝ่าบาท พระองค์เป็นนักดื่มที่ยอดเยี่ยมมาก! มา เติมอีกแก้ว!”
ตั้งแต่เซี่ยโฮวโม่เข้ามาในห้องนี้ เซี่ยโฮวคุณในห้องฝั่งตรงข้ามก็เห็นทุกสิ่งอย่างชัดเจน
“เซี่ยโฮวโม่? เขามาทําอะไรที่นี่?! ไปหามาว่าเขาอยู่กับใครในห้องนั้น!”
“พะย่ะค่ะ”
ในห้องนั้น ซูมู่เกอถือแก้วเหล้า กําลังรู้สึกเวียนหัวอย่างมาก
เมาง่ายมาก นางไม่แตะเหล้าใดๆ ที่มีแอลกอฮอล์เกิน 10% ในอดีต
รู้สึกว่าเหล้ามีรสชาติเหมือนไวน์ผลไม้ที่นางเคยดื่มมาก่อน นางจึงผ่อนคลายความระมัดระวังและดื่มมากไป อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้คาดหวังว่ามันจะมีผลรุนแรงขนาดนี้
ไม่ นางไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป! สติที่เหลืออยู่ของนางเตือนให้นางออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด!
ซูมู่เกอยืนขึ้นโดยใช้มือของนางคําอยู่บนโต๊ะและดวงตาของนางเต็มไปด้วยความมึนเมา “ฝ่าบาท ข้าต้องขอตัวลากลับแล้วจริงๆ ข้าขออําลา”
แม้ว่านางจะรู้สึกเวียนหัว แต่ก็ยังสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้
นางเดินโซซัดโซเซไปที่ประตู แต่ยากมากเมื่อนางเปิดประตูนางก็ชนใครบางคน
“อา!”
“ใต้เท้า โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย! อภัยให้ข้าด้วย! ข้าไม่ได้ตั้งใจทําเยี่ยงนี้ขอรับ!”
ซูมู่เกอมองลงไปและเห็นรอยเปื้อนบนเสื้อผ้าของนางและนางก็ขมวดคิ้ว จากนั้นนางก็มองไปที่หญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้านาง จากนั้นซูมู่เกอก็หมอบลงเพื่อมองหน้านางพร้อมกับเอียงศีรษะ
“เจ้า อึก…เจ้าทําเสื้อผ้าของข้าเปื้อน! อึก…”
สาวใช้กลัวจนแทบจะหัวฟาดพื้น นางตอบด้วยความสิ้นหวังว่า “ใต้เท้า ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย! ได้โปรดเมตตาข้าด้วยเจ้าค่ะ! ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริงๆเจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอพ่นลมหายใจดัง เอื้อมมือไปเชยคางของนางขึ้นมา
สาวใช้มีใบหน้ารูปไข่น่ารัก ดวงตารูปอัลมอนด์คู่หนึ่งที่แวววาวและมีสีแดงในเวลานี้ และเม้มริมฝีปากรูปเชอร์รี่ใต้จมูกโด่งสวยเป็นเส้นตรง แม้จะมีผิวที่ซีด แต่ความงามของนางก็ไม่อาจซ่อนเร้นได้
แตกต่างจากความงามอันชดช้อยของจิงหงส์ ความงามแท้ของนางสามารถดึงดูดผู้คนได้เสมอ
“ตะ-ใต้เท้า….”
ซูมู่เกอรู้สึกได้ว่าตัวนางสั่น
“มี่เอ๋อร์ เจ้ากล้าทําให้แขกชั้นสูงของข้าขุ่นเคืองได้อย่างไร?! ออกไปให้พ้น! ข้าจะให้บทเรียนกับเจ้าในภายหลัง!” จิงหงส์คิ้วขมวดและตําหนินางอย่างเย็นชา จากนั้นนางก็ช่วยซูมู่เกอและยิ้มอย่างมีเสน่ห์ให้ “เจ้าเท้าเจ้าคะ ให้อภัยแก่ข้าด้วย นางยังเด็กไม่รู้กฎ ข้าหวังว่าท่านจะปล่อยนางไปในครั้งนี้เจ้าค่ะ”
ด้วยรอยยิ้ม ซูมู่เกอพิงจิงหงส์และกอดเอวนางแน่นเข้า เมื่อมือเล็กๆของนางกําลังจะถึงหน้าอกของจิงหงส์ จู่ๆข้อมือของนางก็ถูกใครบางคนจับเอาไว้
“โอ้ย! มันเจ็บ!”
ซูมู่เกอหันกลับไปและจ้องมองไปที่คนๆนั้น เพียงเพื่อจะพบหน้าเซี่ยโฮวโม่ยืนอยู่ด้านหลัง นางด้วยสายตาที่ดูเคร่งเครียด
“ท่านทิ้งข้างั้นหรือ ฝาบาท? ไม่ต้องกังวล คืนนี้ข้าไม่แย่งจิงหงส์กับพระองค์แน่พะย่ะค่ะ”
อย่างไม่คาดคิด เซี่ยโฮวโมดึงนางออกจากอ้อมแขนของจิงหงส์ จับเอวแล้วยกตัวนางขึ้นพาดไหล่ของเขา
“เอ๊ะ!”
ซูมู่เกอตกใจ แต่รู้สึกได้ว่าเลือดของนางพุ่งลงไปที่หัวของนางและนางก็ยิ่งหน้ามืดเวียนหัว ยิ่งขึ้น
นางรู้สึกได้เพียงภาพเบื้องหน้าที่กระพริบของนางตลอดเวลา เมื่อเท้าของนางแตะพื้น นางก็กลับมามีสติสัมปชัญญะมากขึ้น
นางเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยโฮวโม่ผู้ซึ่งใบหน้าซ่อนไว้ในความมืดครึ่งหนึ่ง รู้สึกว่าเลือดของนางพุ่งขึ้นมา
“ท่านกําลังทําอะไร?! มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่มีวิชาตัวเบา!”
นางมองไปรอบๆ และพบว่าตัวเองอยู่ในลานโล่งที่ล้อมรอบไปด้วยความมืดและความเงียบที่น่ากลัว
เซี่ยโฮวโม่มองไปที่ดวงตาที่เบิกกว้างอย่างโกรธเกรี้ยวของนาง และทันใดนั้นก็เอื้อมมือไปที่ใบหน้าของนาง
ซูมู่เกอยังคงโกรธอยู่ ยกมือของนางขึ้นและผลักมือเขาออกไป แต่เซี่ยโฮวโม่รวดเร็วมากจนซูมู่เกอรู้สึกเจ็บปวดอย่างกะทันหัน จากนั้นหน้ากากของนางก็ถูกฉีกออก
ในตอนนี้ ซูมู่เกอรู้สึกสติแตกอย่างสิ้นเชิง
นางจ้องไปที่ดวงตาสีเข้มของเซี่ยโฮวโม่ พร้อมกับการเต้นของหัวใจที่กระหน่ําขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูก
“คุณหนูซูมาเที่ยวหอนางโลมเพื่อความสนุกโดยการปลอมตัวงั้นรึ?” เสียงที่ไร้อารมณ์ของเซี่ยโฮวโม่ดังขึ้นท่ามกลางความมืด
ซูมู่เกอก็มีสติทันใด และคว้าหน้ากากมาไว้ในมือ “งานอดิเรกพิเศษ ฝ่าบาท มันไม่ใช่ธุระกงการของท่านมิใช่รึ?”
เซี่ยโฮวโม่มองไปที่นาง “มันกลายเป็นว่าคุณหนูซูมีงานอดิเรกในการปลอมตัว ข้าสามารถพูดได้ว่าในเมืองชุนหยาง เจ้าปลอมตัวของเจ้าและทําในสิ่งที่เจ้าไม่ควรทํา”
จู่ๆซูมู่เกอก็รู้สึกหวาดระแวง เซี่ยโฮวโม่หมายถึงอะไร? เตือนนางงั้นหรือ?
“ข้าไม่รู้ว่าพระองค์กําลังพูดถึงอะไร ฝ่าบาท!”
เซี่ยโฮวโม่มองนางด้วยรอยยิ้มที่เข้าใจยาก “อาการป่วยของแม่ทัพหลินมีปัญหาอะไร?”
“อะไรนะ?!
เขารู้จุดประสงค์ของนางที่ไปที่หอบุปผชาติได้อย่างไร? มีอะไรในโลกนี้ที่สามารถปกปิดจากเขาได้บ้าง?
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางจะไม่ยอมรับว่านางปลอมตัวเป็นซูหลุนเด็ดขาดเพื่อไม่ให้คนอื่นนํามาข่มขู่ได้
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงทราบเรื่องอาการป่วยของท่านแม่ทัพหลินหรือเพคะ?”
“ใช่”
ซูมู่เกอรู้โดยทันทีว่าที่เชี่ยโฮวโม่ต้องมาพบนางก็เพื่อข้อมูลเกี่ยวกับอาการป่วยของแม่ทัพหลิน
“ได้โปรดประทานอภัยแด่หม่อมฉันด้วยที่ไม่สามารถกราบทูลได้เพคะ” ด้วยเกียรติของแพทย์นางจะไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้ป่วยโดยง่าย
เซี่ยโฮวโม่เลิกคิ้วและไม่บังคับนาง
“เจ้าค้นพบอะไรในหอนางโลมได้บ้างล่ะ คุณหนูซู?”
เขารับรู้ด้วยว่านางมาสืบหาข้อมูลในซ่อง!
ซูมู่เกอเม้มริมฝีปากของนางแน่น รู้ว่าชายผู้นี้จะไม่ปล่อยนางไปโดยง่าย หากคืนนี้นางไม่ยอมเปิดเผยอะไร
“สาวใช้ที่ชื่อ มี่เอ๋อร์ค่อนข้างแปลก นางมีกลิ่นยาที่ต้องการปกปิดด้วยกลิ่นหอม”
ในสถานที่เช่นหอบุปผชาติ แขกที่เข้าและออกเป็นผู้ที่มีฐานะร่ํารวยหรือสูงศักดิ์ ไม่มีทางที่สาวใช้ที่ป่วยจะทํางานต่อไปได้ เพราะนางสามารถแพร่กระจายความเจ็บป่วยไปยังแขกและเกิดข้อพิพาทโดยไม่จําเป็นได้
กลิ่นของยาในตัวพี่เอ๋อร์ไม่สามารถกลบด้วยกลิ่นเครื่องหอมที่รุนแรงเช่นนี้ได้ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่านางป่วยหนักมาเป็นเวลานานแล้ว อย่างไรก็ตาม มันค่อนข้างผิดปกติที่ไม่มีใครในซ่องพบมัน!
“เจ้าจะตามหานางในภายหลังหรือไม่?”
บทที่ 66 หอนางโลมบุปผชาติ
“เจ้าต้องการทําอะไร!?”
ซูหลุนที่แทบจะไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์ซูก็ปรากฏตัวขึ้นในค่ํานั้น เมื่อเขาได้ยินเหตุการณ์ที่วัดลั่วหยิน จากนั้นเขาก็เดินไปที่โถงบ้านนางอันทันที ด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง
ไม่ช้ารอยยิ้มกว้างของนางอันที่มีเต็มใบหน้าก็ต้องหุบลง นางตกใจกับคําพูดดุดันของซูหลุน
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลี่มาม่าจึงรีบนําสาวใช้ออกจากห้อง ปิดประตูและรักษาการณ์ที่ด้านนอก
เมื่อมองไปที่ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธของซูหลุน นางอันก็รู้สึกกังวลเช่นกัน
“ท่านหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ ใต้เท้า? ข้าไม่รู้ว่าข้าทําอะไรที่จะทําให้ท่านโกรธขนาดนี้”
ซูหลุนตะคอกอย่างเย็นชา “เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าทําอะไรบ้างงั้นรึ? ข้ารู้ซึ้งถึงตัวตนอันแท้จริงของนางจ้าวหลังจากผ่านมาหลายปี นางทําเรื่องแบบนั้นไม่ได้แน่ แม้ว่านางจะเก่งกาจกว่านี้อีกหมื่นเท่าก็ตาม!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางอันก็ตระหนักว่าซูหลุนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวิหารลั่วหยินแล้ว โดยไม่มีหลักฐานใดๆหลงเหลืออยู่อีก นางจึงไม่สามารถถูกกล่าวหาได้ว่าเป็นผู้ก่อเหตุร้าย
อย่างไรก็ตาม นางยังคงรู้สึกหงุดหงิดกับการปกป้องนางจ้าวของซูหลุน
นางไม่เคยถูกซูหลุนต่อว่าเสียงดังเช่นนี้ หลังแต่งงานกับเขามาสิบกว่าปี
“ทําไมท่านถึงตําหนิข้าเช่นนี้ ใต้เท้า? ท่านคิดว่าข้าจงใจใส่ร้ายนางอย่างนั้นหรือ?”
ซูหลุนจ้องมองนางอย่างเย็นชาและเห็นได้ชัดว่าเป็นการยืนยันคํากล่าวอ้างนี้
นางอันหงุดหงิดใจมากจนหน้าอกกระเพื่อมอย่างรุนแรง นางแทบอยากจะเป็นลมลงตรงนั้น
“ดี นั่นดูเหมือนว่าจะไม่มีที่สําหรับข้าในคฤหาสน์ซูอีกแล้ว ข้าจะไปจากที่นี่กับเหวินเอ่อร์ เพื่อไม่ให้รบกวนใจท่าน!” พูดจบนางอันทําท่าว่าจะจากไป เมื่อเห็นความจริงจังของนางอัน ซูหลุนทําได้เพียงแค่ยื่นมือออกไปรั้งนางไว้
ถ้านางอันจากไป นางก็จะกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลอันอย่างแน่นอน จากนั้นพ่อตาของเขาต้องขุ่นเคืองใจ เขาไม่สามารถทําให้ใต้เท้าอันขุ่นเคืองได้ในตอนนี้
“เจ้ากําลังจะทําอะไร? นี่ข้าไม่สามารถถามอะไรเจ้าได้เลยรึ?”
ซูหลุนถือโอกาสหยุดการกระทําของนาง หากนางกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลอัน นางก็จะเสียหน้าเช่นกัน
“ท่านบอกชัดเจนแล้วว่า ท่านไม่เชื่อในตัวข้า ข้าจะพูดอะไรได้อีกเจ้าคะ!?”
เมื่อเห็นท่าทางที่นางอันแสดงออกมา ซูหลุนเริ่มไม่แน่ใจเล็กน้อย นางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้จริงๆหรือ?
“ใต้เท้า ท่านไม่ได้ไปที่ลานดอกท้อบานมาหลายปีแล้ว ดังนั้นท่านไม่อาจรู้เบาะแสบางอย่างว่ามีอะไรหรอกเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าซูหลุนไม่พูดอะไร เริ่มโอนอ่อนมาทางคําพูดของนาง นางอันจึงพูดด้วยเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานขึ้น
แน่นอน ซูหลุนรู้สึกบูดบึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้
มันเป็นเวลานานมากแล้วจริงๆ ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาไปที่ลานบ้านของนางจ้าว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาจะทานอาหารเย็นกับนางในช่วงเทศกาลเท่านั้น และเขาก็ไม่สนใจนางด้วยซ้ํา
ถ้านางมีความคิดทุกอย่างจริงๆ เขาก็ไม่จําเป็นต้องรู้!
เมื่อเห็นใบหน้าอันบึงตึงของซูหลุน นางอันก็เผยรอยยิ้มที่มีบางอย่างแอบแฝงและเอื้อมมือไปจับมือของซูหลุนในขณะที่เอนร่างพิงร่างของเขา
“ใต้เท้าเจ้าค่ะ อย่าทําผิดต่อข้าในภายหน้าได้หรือไม่เจ้าค่ะ”
เมื่อมองลงไปที่รูปลักษณ์ที่ออดอ้อนและน่ารักของนาง ซูหลุนรู้สึกว่าความโกรธของเขาหายไปมากทีเดียว
ในวัยสามสิบต้นๆของนาง นางอันยังคงดูแลตัวเองอย่างดี นอกจากนี้นางมักจะทําตัวเหมือนเด็กสาวอายุยี่สิบเมื่ออยู่กับซูหลุน ปราศจากความเขินอายและความไร้เดียงสาของเด็กสาว นางก็มีเสน่ห์ที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
ซูหลุนเริ่มฟุ้งซ่านทันที เขาเชยคางของนางขึ้นแล้วค่อยๆก้มเข้าไปหา…..
……………………
“คุณหนูเจ้าคะ คนจากคฤหาสน์ท่านแม่ทัพแจ้งว่านายหญิงท่านแม่ทัพรู้สึกไม่ค่อยสบายและขอให้คุณหนูไปพบนางเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!” เยว่รู่เดินเข้ามาในห้องและพูดด้วยเสียงเบา
ซูมู่เกอกําลังเตรียมใบสั่งยา เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางจึงหยุดมือลงทันที
มันไม่ใช่เวลาที่ได้กําหนดนัดหมายกันไว้ มันอาจเกิดเหตุไม่คาดคิดที่นั่น?
“ข้าจะไปที่นั่นทันที”
หลังจากเตรียมตัวพร้อมแล้ว ซูมู่เกอออกจากคฤหาสน์ตระกูลซูไปยังคฤหาสน์ท่านแม่ทัพพร้อมกับเยว่รู่
แตกต่างจากครั้งที่แล้ว สาวใช้ที่รอนางเผยให้เห็นความกลัวบนใบหน้าของพวกเขา
เมื่อนางเข้าไปในโถงที่ท่านแม่ทัพหลินอยู่ นางหลินก็รออยู่ที่ด้านนอกแล้วและก้าวเข้ามาหานางทันที
“คุณหนูซู ท่านมาแล้ว เชิญเข้าไปดู…”
โดยไม่ซักถามสิ่งใด ซูมู่เกอสวมหน้ากากและถุงมือแล้วเดินเข้าไปในห้อง
ท่านแม่ทัพหลินนอนอยู่บนเตียงเช่นเดิม ทันทีที่นางเข้าไป นางสังเกตเห็นว่ากลิ่นในห้องนั้นแรงกว่าครั้งที่แล้ว
นางยกผ้าห่มขึ้นจากตัวท่านแม่ทัพหลินและพบว่าตุ่มเปื่อยสีแดงบนร่างกายของเขาและแม้แต่ส่วนที่เป็นหนองบนใบหน้าของเขาก็เพิ่มขึ้น
หลังจากจับชีพจรของท่านแม่ทัพหลินแล้ว นางพบว่าชีพจรของเขาปั่นป่วนและแม้แต่ลมหายใจของเขาก็ถี่กระชั้นขึ้นมาก
“อาการของท่านแม่ทัพดีขึ้นในตอนแรกหลังจากกินยาที่คุณหนูซูสั่ง แต่จู่ๆอาการของเขาก็แย่ลงในเช้าวันนี้ ” หลังจากนายพลหลินเป็นโรค นางหลินได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว นางจึงไม่มีเจตนาที่จะตําหนิซูมู่เกอในเวลานี้
ซูมู่เกอขมวดคิ้วเล็กน้อยและตรวจดูบาดแผลบนใบหน้าและตุ่มแดงบนร่างกายอย่างพิจารณา จากนั้นนางก็หยิบเข็มเงินแทงเข้าไปในเลือดสีแดงบนตุ่มที่เปื่อยเน่าแล้วใส่กลับเข้าไปในหลอดยา
“ยกท่านแม่ทัพขึ้นไปวางบนโต๊ะเจ้าค่ะ”
นางกําลังจะทําการตรวจร่างกายของแม่ทัพหลินอย่างละเอียดมากขึ้น
นางหลินลังเล แต่ก็พยักหน้าในที่สุด
คนรับใช้เข้ามาและยกตัวแม่ทัพหลินขึ้นไปบนโต๊ะยาวที่สามารถรองรับตัวเขาได้
“ถอดเสื้อผ้าของท่านแม่ทัพออก”
เมื่อได้ยินคําพูดของนาง นางหลินเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ถ้าไม่ใช่เพราะอาการป่วยหนักของท่านแม่ทัพ นางคงสงสัยว่าซูมู่เกอมีเจตนาอื่นหรือไม่
แม้ว่าในแคว้นฉู่จะมีประเพณีที่เปิดกว้างแล้ว มันยังไม่เหมาะสมที่หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานจะมองเรือนร่างของชายแปลกหน้า
“คุณหนูซู มันไม่เหมาะสม!”
ซูมู่เกอยังคงสงบนิ่ง “นายหญิงหลินเจ้าคะ ตอนนี้ข้าเป็นเพียงหมอ ส่วนท่านแม่ทัพ หลินเป็นแค่คนป่วยที่ข้ารักษา ข้าต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาพของผู้ป่วย นี่เป็นขั้นตอนที่จําเป็นเจ้าค่ะ”
นางหลินกําผ้าเช็ดหน้าแน่นและพยักหน้า หลังจากดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง
“พวกเจ้าทุกคน ออกไป” ถือว่าซูมู่เกอช่วยเหลือตระกูลหลินทุกทาง นางหลินคิดว่านางควรช่วยรักษาชื่อเสียงของซูมู่เกอ
ซูมู่เกอถอดเสื้อผ้าของท่านแม่ทัพออกเหลือเพียงซับใน
จากนั้นนางก็เริ่มตรวจร่างกายของเขาจากบนลงล่าง
นางหลินไม่เข้าใจพฤติกรรมของซูมู่เกอในตอนแรก แต่เมื่อนางมองดูสีหน้าจริงจังและการตรวจอย่างละเอียดแล้ว นางรู้สึกมั่นใจมากขึ้น
ในขณะที่ตรวจสอบฝ่าเท้าของเขา ซูมู่เกอพบเบาะแส
“นายหญิงหลินเจ้าค่ะ ข้าสงสัยว่าท่านแม่ทัพหลินเพิ่งได้รับบาดเจ็บที่ฝ่าเท้าหรือไม่?”
นางหลินขมวดคิ้วและส่ายหน้าปฏิเสธ “เมื่อเร็วๆนี้ท่านแม่ทัพไม่จําเป็นต้องเข้าเวรหรือไปดูการฝึก และข้าไม่เคยได้ยินว่าเขาบาดเจ็บที่เท้าเลย”
ซูมู่เกอมองไปที่รอยช้ําบนฝ่าเท้าของเขา เอื้อมมือไปกดมันและพบว่ามันแข็งเล็กน้อย เนื่องจากรอยช้ําอยู่ตรงกลางฝาเท้าของเขาเพียงจุดเดียว มันจึงไม่สามารถถูกลบออกได้
ซูมู่เกอหยิบเข็มเงินออกมา แทงเบาๆลงไปที่รอยช้ําเล็กน้อย และพบว่าเนื้อใต้ผิวหนังเป็นสีดําอย่างน่าประหลาดใจ
หลังจากเก็บตัวอย่าง ซูมู่เกอก็คลุมตัวท่านแม่ทัพด้วยผ้าห่ม
“ข้ามีคําถามสองสามข้อจากท่านเจ้าค่ะ นายหญิงหลิน”
นางหลินพยักหน้า “ได้ เชิญถามได้”
“ผู้หญิงคนไหนในหอนางโลมที่ท่านแม่ทัพติดโรคมาเจ้าคะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางหลินหน้าถอดสี “คุณหนูซู ทําไมท่านจึงถามเช่นนี้?”
“ข้ายังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการป่วยของท่านแม่ทัพหลินเจ้าค่ะ ข้าจึงอยากเริ่มต้นจากที่มาของโรค”
นางหลินรู้สึกประหลาดใจ “ท่าน ท่านจะไปพบหญิงสาวเช่นท่านจะไปยังสถานที่แบบนั้น ได้อย่างไร?” นางตกใจแทบสิ้นสติ คิดว่าคุณหนูซูกล้าหาญมากจนไม่สนใจชื่อเสียงของนางเลย!
แต่เมื่อนึกถึงท่าทางที่สงบและนิ่งของนางในตอนนี้ นางหลินก็รู้สึกว่าตัวเองยุ่งยากเกินไป
“นายหญิงเจ้าค่ะ อย่าเข้าใจข้าผิด ข้าไม่ต้องไปที่นั่นด้วยตัวเอง”
เพียงเท่านั้นนางหลินก็พบว่ามันเป็นที่สามารถยอมรับได้มากขึ้น
“มันคือจิงหงส์แห่งหอบุปผชาติ ท่านแม่ทัพอยู่กับนางเมื่อเร็วๆนี้”
………………
ในหอคณิกาที่ชื่อบุปผชาติ
เซี่ยโฮวคุณ ในชุดคลุมคอกลมสีน้ําเงินกรมท่า เดินเข้าไปในห้องที่ชั้นสอง
ทันที่ที่ประตูปิดลง ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวในห้อง
“ฝ่าบาท”
เซี่ยโฮวคุณเดินไปที่เก้าอี้และนั่งลง “มันเป็นอย่างไร?”
“ข้าพบว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่คนในท้องถิ่นพะยะค่ะ”
“พวกมันไม่ยอมปริปากแม้แต่คําเดียว แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกมันไม่ใช่คนในพื้นที่?”
“ข้าพบว่าผิวของพวกมันเป็นสีเทาเข้ม ฟันของพวกมันขาวสว่าง ตัวพวกมันสูงและแข็งแรง และร่างกายของพวกมันได้กลิ่นเนื้อแกะจางๆ ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะของพวกยิปซีพะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวคุณขมวดคิ้ว “พวกคนเร่ร่อน…”
อาณาเขตของแคว้นฉู่อุดมไปด้วยภูเขาและเทือกเขา ทุ่งหญ้าหาได้ไม่ยาก แต่อยู่ห่างไกลมาก ซึ่งทอดยาวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ตะวันตกเฉียงเหนือ!
ตาของเซี่ยโฮวคุณหรี่แคบลงทันที
ทางตะวันตกเฉียงเหนือเป็นดินแดนของท่านลุงสาม กษัตริติงฉี!
ร่างในชุดสีขาวราวแสงจันทร์ปรากฏตัวที่ด้านนอกหอบุปผชาติพร้อมกับถือพัดขนนกในมือ และเผยให้เห็นอารมณ์ของบุรุษผู้หล่อเหลาและโรแมนติก
เมื่อเห็นเขา สาวงามต้อนรับที่อยู่นอกประตูก็ก้าวไปหาเขาอย่างยั่วยวน “ใต้เท้าเจ้าคะ ท่านต้องเป็นแขกที่ได้รับเกียรติของหอบุปผชาติใช่หรือไม่เจ้าค่ะ? เชิญด้านใน…”
ซูมู่เกอปลอมตัวโบกพัดขนนกของนางและมองไปที่หญิงงามที่ต้อนรับด้วยดวงตาชั่วร้ายแต่มีเสน่ห์ของนาง “แน่นอน ข้ามาที่หอบุปผชาติเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ”
แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มืด แต่ก็มีแขกมากมายในหอบุปผชาติ
“ใต้เท้าเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อน ต้องเป็นครั้งแรกที่ท่านมาที่นี่ใช่หรือไม่เจ้าค่ะ? ข้าจะเรียกสาวที่ดีที่สุดของเรามารับใช้ท่าน” สาวงามต้อนรับเรียกเด็กสาวตัวเล็กๆ “มานี่สิ ไปเรียกยู่เอ๋อร์มาหาข้า เร็วเข้า”
“เจ้าค่ะ”
“รอสักครู่นะเจ้าค่ะ”
“ใต้เท้า ท่านไม่ชอบยู่เอ๋อร์หรือเจ้าค่ะ? ข้าจะหาคนอื่นมาให้ท่าน”
“มันเป็นที่เลื่องลือให้รู้กันทั่วอยู่แล้วว่าหญิงงามที่โดดเด่นที่สุดในหอบุปผชาติคือจิงหงส์ ผู้ที่เก่งทั้งการร้องเพลงและการเต้นรํา ข้าต้องการนาง”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้สาวงามต้อนรับกล่าวด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น “ใต้เท้า มันเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับใช้ท่าน แต่เมื่อวานนางเป็นไข้หวัด ข้าเลยกลัวว่าตอนนี้นางจะรับใช้ท่านไม่ได้เจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอมองไปที่นางอย่างเฉยชา “นางป่วยทันทีที่ข้ามาที่นี่? เจ้ากลัวว่าข้าจะไม่มีปัญญาจ่าย ค่าตั๋ว!” ในขณะที่พูดนางหยิบตัวเงิน100เหลียงออกมาและโยนให้กับสาวงามต้อนรับ
สามงามต้อนรับตรวจสอบตั๋วเงินและยิ้มด้วยความจริงใจมากขึ้น “ใต้เท้าเจ้าค่ะ ท่านเข้าใจข้าผิด ข้าจะไปดูว่าตอนนี้นางดีขึ้นหรือไม่ นําใต้เท้าไปที่ห้องบนชั้นสอง”
“เจ้าค่ะ”
จากนั้นซูมู่เกอก็ถูกพาไปที่ห้องๆหนึ่ง และสาวใช้ก็นําเครื่องดื่มและผลไม้มาต้อนรับ
ไม่กี่อึดใจต่อมา ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกและมีร่างหนึ่งในชุดสีพีชเดินเข้ามา
นางสวมชุดเกาะอกสีพีชยาว คลุมด้วยผ้าโปร่งบางเบา ไม่มีปินปักผม ผมของนางประดับด้วยกล้วยไม้สีฟ้าอ่อนสองดอกเท่านั้น
“ข้าน้อยขอคารวะใต้เท้าเจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอยิ้มมุมปาก “มานี่ มานั่งข้างๆข้า”
บทที่ 65 การระเบิดอย่างหนัก
ทันใดนั้น ฉิงหยูส่งเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดทรมาน หรือสนุกสนาน ดังมาจากในห้อง ตามด้วยเสียงกรีดร้องอย่างตกใจ
ไม่นานหลังจากนั้น ทหารรักษาการณ์ที่ไม่เรียบร้อยและนิ่งหยุได้รับการจับกุมและถูกหลี่มาม่าพาตัวออกมา
ใบหน้าของฉิงหยูยังคงเต็มไปด้วยความเสน่หา แต่ร่างกายของนางสั่นสะท้านอย่างรุนแรงขณะที่นางมองไปที่นางอัน
“นะ นาย นายหญิง โปรดให้ข้าอธิบาย…”
นางอันเหล่มองนางอย่างอมทุกข์ “เจ้าเป็นสาวใช้ของนายหญิงใหญ่ มันจึงเป็นการตัดสินใจของนางว่าจะจัดการเจ้าอย่างไรแทนที่จะเป็นข้า เนื่องจากพ่อแม่ของเจ้าทั้งสองเป็นคนรับใช้มายาวนานในคฤหาสน์ของเรา เจ้าควรพูดความจริงมาดีกว่า”
หลี่มาม่าจับฉิงหยูไว้และแอบหยิกเนื้อของนาง ทําให้ฉิงหยูน้ําตาแทบไหล
ฉิงหยูชัดเจนเกี่ยวกับความนัยของนางอัน นางกําลังข่มขู่ด้วยพ่อแม่ของนาง!
“นายหญิง โปรดอภัยให้ข้าด้วย! ข้าไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรเจ้าค่ะ หลังจากนาย หญิงถวายเครื่องหอมแด่พระพุทธองค์แล้ว นางก็มาที่ห้องพักเพื่อพักผ่อนและขอให้ข้านําน้ําชามาให้นาง จู่ๆ ข้าก็รู้สึกเวียนหัวและเป็นลมไป หลังจากนั้นข้าก็หมดสติและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น…” ฉิงหยูร้องไห้ ขณะมองไปที่นางจ้าว
“นายหญิง ท่านขอให้ข้าไปพบท่านที่ห้องของท่าน แต่ท่านทิ้งสาวใช้ไว้ที่นั่นได้อย่างไร?” ทหารรักษาการณ์คนที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกผิดปกติเช่นกันและคํารามด้วยความขุ่นเคือง ขณะจ้องนิ่งไปที่นางจ้าวด้วยตาแดงก่ํา
คําพูดของพวกเขาสื่อข้อมูลมากมายที่ทําให้ทุกคนประหลาดใจ
“อะไรนะ? เจ้ากําลังพูดถึงอะไรกัน? ข้าไม่รู้จักเจ้าด้วยซ้ํา!” ทันทีที่นางจ้าวได้ยิน นางก็โกรธมาก แม้ว่านางจะเป็นคนอารมณ์ไม่รุนแรงก็ตาม
หากชื่อเสียงของนางถูกทําลาย ลูกๆของนางก็จะได้รับอิทธิพลอย่างมากเช่นกัน
“นายหญิง ท่านจําไม่ได้หรือว่าได้ส่งสิ่งเหล่านี้มาก่อน? ท่านโกหกข้าเกี่ยวกับพวกเขาหรือ? ท่านเคยบอกข้าว่าใต้เท้าปฏิบัติกับท่านไม่ดีและท่านก็เหงา แต่หลังจากได้อยู่ด้วยกันแล้วท่านรู้สึกมีความสุขมากขึ้น คําพูดเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงข้าหรือ?” ทหารรักษาการณ์น้ําตาไหลพรั่งพรู แสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวังและความโศกเศร้าของชายที่ถูกทอดทิ้งอย่างชัดเจน
“พี่สาว เกิดอะไรขึ้น? มันเป็นห้องของท่าน ทหารยามคนนี้ไปที่ห้องของท่านโดยไม่มีเหตุผลได้ยังไงแถมยังเข้าไปพัวพันกับ…กับสาวใช้ของท่าน..?”นางอันถามทันที
นางจ้าวกําลังสั่นอย่างกังวล แต่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร “ข้าไม่รู้จักเขา เขาเป็นคนโกหก! เขาพูดเรื่องไร้สาระ!”
เมื่อเทียบกับความตื่นตระหนกของนางจ้าว ซูมู่เกอสังเกตการแสดงออกของทุกคนอย่างใจ เย็น
“เจ้าบอกว่าท่านแม่ของข้ามีความสัมพันธ์กับเจ้า เจ้ามีหลักฐานอะไรที่จะพิสูจน์ได้หรือไม่?
“มี แน่นอน” ทหารยามหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและแสดงให้ฝูงชนดู มันเป็นผ้าเช็ดหน้าสีขาวเรียบๆ ปักคําว่า “ฉิ่ว” ที่ด้านล่าง “ฉิ่ว” เป็นชื่อเรียกของนางจ้าว ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั้งคฤหาสน์ตระกูลซู
“สิ่งนี้ข้าได้รับจากนายหญิงใหญ่ โดยบอกว่ามันเป็นความรักของนางที่มอบให้ข้า”
“ มันเป็นแค่ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง มีผู้คนมากมายเข้ามาและออกจากลานบ้านของแม่ข้า หากมีคนตั้งใจจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากห้องของนางก็ทําได้ไม่ยาก จะเป็นหลักฐานได้อย่างไร?”
ซูมู่เกอหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาแล้วเดินไปที่ฉิงหยู จ้องมองนางนิ่งๆ
“เจ้ามีเรื่องรักๆใคร่ๆกับฉิงหยูและนางเป็นสาวใช้ของท่านแม่ข้า นางต้องเป็นคนขโมยผ้าเช็ดหน้าไป”
“ไม่ ไม่ ข้าไม่ได้ทํา คุณหนูโยนความผิดให้ข้า! ท่านกําลังทําสิ่งนี้เพื่อให้นายหญิง ใหญ่พ้นผิด!” ฉิงหยูยังคงกลัวซูมู่เกอเล็กน้อย หลังจากใช้เวลาหลายวันในลานดอกท้อบาน นางเห็นได้ชัดเจนว่าซูมู่เกอได้รับการกล่าวขานที่สุดในลานบ้านนี้
“นายหญิงใหญ่ ท่านลืมคําพูดที่เคยบอกข้าไปแล้วหรือ? ท่านจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ได้ยังไง” ทหารยามจ้องมองไปที่นางจ้าวอย่างตําหนิ
พวกเขาพูดทีละคนและริเริ่มอย่างสมบูรณ์
และคนทั่วไปมองไปที่นางจ้าวอย่างดูถูกเหยียดหยามมากกว่าเมื่อก่อน
“แน่นอนมาก นางเป็นผู้หญิงบ้านนอกที่โง่เขลา มิฉะนั้นนางจะสร้างเรื่องอื้อฉาวที่น่าอับอายเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“พี่สาว ข้าเคารพท่านมาตลอด แต่ข้าไม่เคยคาดคิดว่าท่านจะทําแบบนี้ ท่านจะทรยศต่อใต้เท้าได้อย่างไร! เอาผู้หญิงไร้ยางอายคนนี้กลับไปที่คฤหาสน์และปล่อยให้นางไปรับโทษจากใต้เท้า!” นางอันไม่รออีกต่อไปและตัดสินความเชื่อมั่นของนางจ้าวโดยไม่มีที่ว่างให้นางจ้าวได้อธิบาย
“ไม่ ข้าไม่ได้ทํา ข้าไม่ได้ทํา!” นางจ้าวยุ่งเหยิงไปหมด หากนางถูกตัดสินเช่นนี้นางและลูกๆของนางจะต้องถึงคราวเคราะห์ในอนาคต!
“ใครกล้าแตะท่านแม่ของข้า?” ซูมู่เกอก้าวไปข้างหน้าเพื่อปกป้องนางจ้าวและสัง เกตเห็นรอยยิ้มที่แต้มบนใบหน้าของนางอัน
“นายหญิง เรายังไม่ได้ทําให้เรื่องมันชัดเจนเลย ท่านทําเกินไปหรือไม่?” ซูมู่เกอมองไปที่นางอันด้วยรอยยิ้มจางๆ ทําให้นางอันตะลึงทันที
“เกินไป? เจ้าต้องการให้คฤหาสน์ตระกูลซูของเราถูกหัวเราะเยาะงั้นรึ?”
“ถ้าทุกอย่างไม่ได้รับการชี้แจง เราจะถูกหัวเราะเยาะจริงๆ” ซูมู่เกอหันไปมองฉิงหยูด้ว ยสายตาที่สงบนิ่งของนาง ซึ่งทําให้การเต้นของหัวใจของฉิงหยูระรัวอย่างอธิบายไม่ถูก
“ พูดซ้ําในสิ่งที่เจ้าพูดเมื่อกี้สิ”
“อะไร อะไรนะ?”
“เจ้าบอกว่าเจ้ากลับไปพร้อมกับน้ําชาให้ท่านแม่ของข้าและก็หมดสติไปทันที เมื่อเจ้าเข้าไปในห้อง ใช่หรือไม่?”
ฉิงหยูตัวแข็งที่อชั่วขณะ และพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว “ใช่”
“เจ้ากลับไปตอนกี่ยาม?”
“มันเป็น” ฉิงหยูหยุดไปชั่วขณะ “มันเป็นเวลาราวๆ 7.30 ในยามเช้า” นางจําเวลาได้อย่างไร? นางเพิ่งสร้างขึ้นมา
“เจ้าบอกข้ามาว่าเจ้าเข้าไปเมื่อไหร่? ฉิงหยูอยู่ข้างในตอนที่เจ้าเข้าไปหรือไม่? ตอนนั้นนางอยู่ที่ไหน?” จู่ๆซูมู่เกอก็หันไปหาทหารยามและถามอย่างรวดเร็ว
ทหารยามประหลาดใจกับคําถามของนาง “เมื่อถึงเวลานัดหมายประมาณ 07:15 ข้าเข้าไปในห้องของนาง หลังจากเข้าห้องแล้ว ข้ารู้สึกอึดอัดและจําไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นอีก”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ได้โกหก? เจ้าสาบานได้ไหมว่าสิ่งที่เจ้าพูดตอนนี้เป็นความจริง”
“ใช่ สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริงจริงๆ”
“ข้าด้วย มันเป็นความจริง”
ทั้งคู่ยืนยันอย่างเด็ดเดี่ยว
จู่ๆ ซูมู่เกอก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองนางอันและยิ้ม
“นายหญิง เป็นข้าทาสดื้อด้าน! ทาสที่ชั่วร้าย!”
นางอันมองไปที่รอยยิ้มของนางและรู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าทําไม
“มันเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่คุณหนูใหญ่จะพิสูจน์ให้นายหญิงใหญ่ แต่นายหญิงใหญ่ทําสิ่งที่ผิดจริงๆ ซึ่งไม่สามารถปกปิดได้ด้วยคําพูดไม่กี่คํา”
ซูมู่เกอพยักหน้า “แน่นอน นายน้อย เชิญเจ้าค่ะ”
ทุกคนสับสนกับคําพูดของซูมู่เกอและพระภิกษุสงฆ์ตัวน้อยก็เดินออกมาท่ามกลางฝูงชน
“อมิตาพุทธ”
“ผู้มีพระคุณ ข้าช่วยผู้มีพระคุณท่านนี้ออกจากห้องกับผู้มีพระคุณคนนั้นในตอนเช้าเวลา 7.45 เพราะผู้มีพระคุณคนนี้หมดสติ เนื่องจากถูกวางยาที่ทําให้ไม่รู้สึกตัว ซึ่งได้รับการรักษาโดยท่านปรมาจารย์หวู่เฉิน”
“อะไรนะ?” ทุกคนมองไปที่พระเด็กด้วยความฉงน
“ถ้าท่านไม่เข้าใจ ข้าจะพูดอีกครั้ง”
พระเด็กพูดซ้ําคําพูดของเขาทําให้เห็นชัดว่าซูมู่เกอพบว่านางจ้าวหมดสติเลยขอให้เขาช่วยนางออกจากห้องและเชิญเจ้าอาวาสมาตรวจวินิจฉัยและรักษา ซึ่งพบว่านางถูกวางยาด้วยธูปที่ทําให้หมดสติ
“ท่านหมายความว่านายหญิงซูได้รับความช่วยเหลือจากท่านพานางออกมาจากห้องใช่หรือไม่? มีคนถามด้วยความสับสน
“ใช่ ตอนนั้นนายหญิงซูหมดสติ”
“งั้น เจ้าโกหกชัดๆ!” ซูมู่เกอมองไปที่ฉิงหยูและทหารยามอย่างรุนแรง
“ข้าไม่ได้…”
“เจ้าบอกว่าท่านแม่ของข้าอยู่ในห้องเมื่อเจ้าเข้าไป แต่ตอนนั้นข้าได้ช่วยท่านแม่ออกมาแล้วกับนายน้อย ไม่มีใครอยู่ในห้อง!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉิงหยูก็ตื่นตระหนกและมองไปที่นางอันอย่างลืมตัว
“นายหญิง ข้า ข้าผิดจริงๆ”
ด้วยการตอบกลับอย่างกะทันหัน นางอันคว้าไว้โดยไม่ได้เตรียมตัวและทําอะไรไม่ถูก
นางไม่คิดต่อการปรากฏตัวของซูมู่เกอได้อย่างไรและมาตการรับมือ?!
แม้แต่ปรมาจารย์หรูเฉินก็สามารถเป็นพยานแทนนางจ้าวได้ พวกเขาจึงไม่สามารถพูดอะไรได้ในตอนนี้
“เยี่ยม ช่างเป็นทาสที่ไร้ยางอาย! หลังจากทําสิ่งที่น่าอับอายแล้ว พวกเขาถึงกับอยากจะกล่าวโทษนายหญิง! เข้ามาปิดปากของพวกมันและนําตัวกลับไป!” นางอันร้อนใจหากพวกเขาเปิดเผยอะไรบางอย่าง นางจะมีปัญหาแน่!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉิงหยูก็เปิดปากและต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ปากของนางถูกปิดทันทีด้วยผ้าเช็ดหน้าของหลี่มาม่าซึ่งลากนางออกไปอย่างรวดเร็ว ซูมู่เกอที่ช่วยเหลือนางจ้าวไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ทันเวลา
“พี่สาว ท่านสบายดีใช่ไหม? ทาสที่ดื้อด้านเหล่านั้นช่างน่าสะอิดสะเอียน คนซึ่งเกือบจะทําลายความบริสุทธิ์ของท่าน มันจะสายมากแล้ว กลับกันเถอะ” นางอันยกมุมปากของนางขึ้นและออกจากวิหารไปซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสาวใช้ของนาง
“ทุกวันนี้ เราไม่จําเป็นต้องจ่ายเงินเพื่อชมการแสดงอีกแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมจริงๆ” ฟางหัวเราะออกมาดังๆ เมื่อดูร่างที่ทิ้งไปของนางอันแล้วเดินจากไป
ไม่มีนายหญิงผู้สูงศักดิ์คนใดที่มีจิตใจเรียบง่าย แม้ว่าพวกเขาจะสับสนเล็กน้อยในตอนแรก ทุกคนได้เห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในตอนนี้
แต่ใครจะห่วงว่าความจริงคือ? ท้ายที่สุดแล้ว มันไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย
“มูมู่…” นางจ้าวกํามือซูมู่เกอไว้แน่น และซูมู่เกอรู้สึกได้ถึงร่างสันสะท้านของนางที่เกิดจากความโกรธหรือความกลัว
“ท่านแม่ กลับบ้านก่อนเถิดแล้วเราค่อยคุยกันเจ้าค่ะ” ซูมู่เกอจับมือของนางจ้าวไว้แน่นโดยไม่พูดอะไรซักคํา
นางจ้าวพยักหน้าด้วยดวงตาแดงก่ําและเดินออกจากวัดลั่วหยินไปพร้อมกับซูมู่เกอ
บนรถม้ากลับไปที่คฤหาสน์ นางอันรู้สึกหดหูใจมาก
นางคิดว่าครั้งนี้ นางสามารถทําลายแม่และลูกสาวทั้งสองนางนี้ได้แน่ ไม่ปล่อยให้พวกมันมีโอกาสกลับมาได้ แต่ซูมู่เกอปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดคิดและทําลายแผนการอันสมบูรณ์แบบของนาง!
“อีเด็กบ้านี่ ดูเหมือนมันจะกลายร่างเป็นอีกคนหลังจากรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด!”
หลี่มาม่าเองยังรู้สึกได้ว่าซูมู่เกอแตกต่างจากในอดีตโดยสิ้นเชิง นิสัยใจคอของนางที่สะสมมานานกว่าสิบปีเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน
“เป็นไปได้ไหมเจ้าค่ะที่คุณหนูใหญ่จะถูกผีเข้าสิง..”
เมื่อได้ยินคําพูดของหลี่มาม่า นางอันก็หยุดคิดลึกๆในดวงตาของนาง
หลังจากมาถึงคฤหาสน์ตระกูลซูแล้ว นางจ้าวก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง
“มุมู่ อย่าสืบหาเรื่องนี้อีก แม่ขอร้อง” ก่อนที่จะเข้าไปในห้องนางจ้าวจับมือซูมู่เกอไว้แน่นและวิงวอน
นางจ้าวกลัวเรื่องนี้จะบานปลาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของซูมู่เกอ
ซูมู่เกอกดริมฝีปากของนางเข้าหากันเล็กน้อย นางแน่ใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนางอัน และเป็นไปไม่ได้ที่นางจะปล่อยนางอันไปง่ายๆแบบนี้! แต่นางต้องสัญญาอย่างชัดเจนกับแม่ของนางในเวลานี้เท่านั้น เพื่อที่นางจ้าวจะไม่คิดมากและทุกข์ร้อนใจอีก
รถม้าแล่นผ่านย่านที่มีพลุกพล่านและหยุดที่วัดลั่วหยินบนถนนถงลั่ว ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวง
“คุณหนู เรามาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว และเดินเข้าไปในวิหาร
วัดลั่วหยินที่อยู่นอกเมืองไม่ใหญ่นัก แต่ก็มีผู้มาเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง ทุกวันที่สิบของเดือนก่อนถึงวันจันทรคติจะมีผู้คนจํานวนมากมาถวายเครื่องหอม
ทันทีที่ซูมู่เกอเดินเข้ามา นางก็ได้อบอวลไปด้วยกลิ่นธูปที่ถูกเผาไหม้
วันนี้มันเป็นวันที่สิบห้า จึงมีผู้แสวงบุญจํานวนมากในวัด
ซูมู่เกอเข้าไปในห้องโถงของวิหารและมองไปรอบ ๆ แต่นางไม่พบร่องรอยของนางจ้าวที่ควรต้องอยู่ด้านในนี้
เมื่อเห็นพระอายุหกหรือเจ็ดขวบกําลังทําความสะอาดศาลาวัด ซูมู่เกอจึงก้าวเข้าไปหา
“ขออภัยเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ ข้าสงสัยว่านายหญิงขอคฤหาสน์ตระกูลซูอยู่ที่นี่หรือไม่เจ้าค่ะ?” นางถามออกไป ผู้มาเยี่ยมชมวัดทั้งหมดจะได้รับการลงทะเบียนไว้
“อามิตตาพุทธ ผู้มีพระคุณ นายหญิงทั้งสองกําลังพักผ่อนในบ้านพักด้านหลัง
ซูมู่เกอเลิกคิ้ว “ทั้งสอง?”
“ถูกแล้ว ถ้าแม่นางซูคือคนที่ท่านกําลังมองหา?”
“ทั้งสองคนมาจากคฤหาสน์ตระกูลเดียวกันหรือไม่?” มีอยู่ไม่กี่ครอบครัวที่ใช้นามสกุลในเมืองหลวง
“นายหญิงทั้งสองคนมาตัวยรถม้าคันเดียวกัน อามิตตาพุทธ” พระผู้น้อยตอบ
ซูมู่เกอขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้ได้ในทันทีว่านางอันมากับนางจ้าว
“ท่านอาจารย์ โปรดบอกข้าด้วยเถิตเจ้าค่ะว่านายหญิงซูทั้งสองอยู่ที่ใด”
“ห้องแรกและห้องสุดท้ายในห้องพักด้านหลัง”
“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอหมุนตัวกลับและมุ่งหน้าไปที่ห้องพักด้านหลังวัด
มีห้องหลายสิบห้องในสวนหลังวัดลั่วหยิน ซึ่งถูกจัดไว้สําหรับผู้มาปฏิบัติธรรมที่มีอํานาจเพื่อพักผ่อน
เมื่อเข้าไปในสวนด้านหลัง ซูมู่เกอพบว่านิ่งหยูออกมาจากห้องๆหนึ่ง ปิดประตูและมองไปรอบๆอย่างลับๆล่อๆ ก่อนจะรีบออกไป
หลังจากมั่นใจว่านางไปพ้นแล้ว ซูมู่เกอก็เดินน้ำเยว่ไปที่ประตูซึ่งถูกผลักให้เปิดออกอย่างง่ายดาย
ด้วยการตกแต่งแบบเรียบง่ายในห้อง พวกนางสามารถมองเห็นคนที่นอนอยู่บนเตียงได้ทันที
ทันที่ที่ซูมู่เกอเดินเข้าไปในห้อง นางก็ต้องกลั้นหายใจและผลักเยว่รู่ออกไป “มีคนใส่ยาที่ทําให้หมดสติในรูป”
เยว่รู่ตกใจและอยู่ข้างนอกอย่างเชื่อฟัง
ซูมู่เกอเปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็วเพื่อให้อากาศบริสุทธิ์เข้ามา พวกนางรอจนกระทั่งควันธูปที่เหลืออยู่ในห้องปลิวหายไป จากนั้นเยวรูที่เข้ามาในห้องและต้องตะลึงเมื่อเห็นคนที่นอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่ตัวยาว
“คุณหนู นั้นนายหญิงนิเจ้าค่ะ”
มันคือนางจ้าวที่กําลังนอนหมดสติอยู่บนเตียงยาว
เมื่อนึกถึงเครื่องหอมที่ทําให้มึนงงและฉิงหยูที่ทําตัวลับๆล่อๆ ซูมู่เกอแน่ใจว่านางจ้าวถูกฉิงหยูวางยาให้หมดสติ
“คุณหนูเจ้าคะ นายหญิงหลับหรือไม่?”
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้ามาทางห้องนี้ก็ดังขึ้นที่หน้าประตู ซูมู่เกอและเยว่รู่มองหน้ากัน
“ หลบ!”
ก่อนที่เยว่รู้จะตอบสนอง ซูมู่เกองนางไปที่ด้านหลังตู้เสื้อผ้าในห้องและซ่อนตัว
ในขณะนั้น ประตูห้องถูกผลักให้เปิดออก
เมื่อมองผ่านรอยแยกของตู้เสื้อผ้า พวกนางก็ได้เห็นชายคนหนึ่งในชุดทหารรักษาการณ์ของคฤหาสน์ตระกูลเดินเข้ามา
เขามองไปที่นางจ้าวที่นอนอยู่บนเตียงยาวพร้อมกับรอยยิ้มเยาะ ถูมือของเขาและกําลังจะลงมือ
เมื่อเห็นแบบนั้น ซูมู่เกอก็ก้าวเข้าไปหาทันที
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของนาง ทําให้เขาตกใจ ก่อนที่เขาจะได้ตอบสนอง ซูมู่เกอกฟาดเข็มฝังลงที่คอด้านหลังของเขาอย่างรุนแรง
“โอ้ย!”
ด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ชายคนนั้นก็ล้มลงกับพื้น
“คุณหนูเจ้าค่ะ เกิดอะไรขึ้น?” เยว่รู่มองไปที่ชายคนนั้นด้วยใบหน้าซีดเผือด
ซูมู่เกอมองชายคนนั้นอย่างเย็นชา
“ข้ากลัวว่าจะมีคนวางแผนให้ท่านแม่ของข้า สร้างความเสื่อมเสีย! เยว่รู่มานี่”
เยว่รู่โน้มตัวเข้าไปหานางและซูมู่เกอก็กระซิบที่หูของนาง
ในขณะที่ฟัง ดวงตาของเยารู่ก็เบิกกว้างขึ้นและความโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“คุณหนูเจ้าค่ะ ไม่ต้องกังวล ข้ารู้ว่าจะทําอย่างไร”
ในห้องแรกในสวนหลังวัตลั่วหยิน นางอันนั่งบนฟูกอย่างผู้เคร่งศาสนา สวมชุดสีฟ้าอ่อน นางไม่ได้สวมเครื่องประดับสีทองใดๆ และผมสีดํายาวของนางถูกมัดรวบสูงไว้ด้วยปิ่นปักผมหยก สีขาวราวน้ำนม ปิ่นปักนี้ดูเรียบง่ายในการออกแบบ แต่สร้างความสง่างามให้นางอันราวกับสตรีผู้สูงศักดิ์
“อามิตตาพุทธ วันนี้พอแค่นี้นะโยม”
ปรมาจารย์หวู่เฉินลุกขึ้นจากฟูกพร้อมกับประกบฝ่ามือของเขาเข้าด้วยกัน และนางอันซึ่งอยู่ทางขวาของเขาก็ลุกขึ้นยืนตามเขา
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์
ในห้องนั้นนอกจากนางอันแล้ว ยังมีนายหญิงอีกสี่คนที่มาฟังเทศน์เรื่องพระโพธิสัตว์ของปรมาจารย์หรูเฉินด้วย
“ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่ในคฤหาสน์ของท่านจมน้ำตายในเมืองชุนหยาง ผู้คนคิดว่านางตายไปแล้วและตั้งศพที่ห้องโถงไว้ทุกข์ แต่นางกลับมีชีวิตขึ้นมา นายหญิงซู เรื่องจริง หรือ?” หญิงสาววัย 25 และ 26 ปีในชุดสีกรมท่าถามด้วยรอยยิ้ม นางคือฟาง (นามสกุลเดิม) ลูกสะใภ้ของท่านเสนาบดีว่าการกระทรวงยุติธรรม เนื่องจากใต้เท้าติงเสนาบดีว่าการกระทรวงยุติธรรมมีความขัดแย้งกับซูหลุน นางจึงอยากหัวเราะนางอันที่ตั้งศพไว้ที่ห้องโถงไว้ทุกข์โดยไม่ทราบสภาพของคุณหนู ซึ่งอาจบ่งบอกว่านางอันต้องการให้คุณหนูสาวเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร
มันเป็นที่ทราบกันดีในบรรดาตระกูลขุนนางที่มีอํานาจในเมืองหลวงว่านางอันแต่งงานกับซูหลุนเป็นภรรยาคนที่สองของเขา มันฟังดูดีที่ได้เป็นภรรยา แต่จริงๆ แล้วนางก็เป็นนางบําเรอที่มีเกียรติดีๆนี่เอง ดังนั้น นางอันจึงถูกดูถูกจากนายหญิงขั้นสูงเหล่านั้นมาโดยตลอด
คําพูดของนางฟางเปรียบเสมือนมีดปลายแหลมแทงเข้าไปในหัวใจของนางอัน
ใบหน้าที่บอบบางของนางยังคงยิ้มอย่างสง่างาม แต่มือในแขนเสื้อของนางกําแน่นอย่างไม่รู้ตัว!
“มันเป็นความประมาทของข้าในเวลานั้น”
“อา…”
ก่อนที่นางอันจะพูดจบ นางก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกรีดร้องที่น่ากลัว ซึ่งตั้งมาจากทิศทางของห้องนางจ้าว
หมาม่าก้าวเข้าไปพร้อมกับกระพริบตาและพูดว่า “นายหญิงเจ้าคะ เสียงกรีดร้องดูเหมือนจะมาจากห้องนายหญิงใหญ่เจ้าคะ มันอาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นหรือไม่?”
นางอันแสดงให้เห็นถึงความวิตกกังวลบนใบหน้าที่สง่างามของนาง “รีบไปเร็วเข้า ดูว่าเกิดอะไรขึ้น?”
ผู้หญิงในห้องมองหน้ากันแล้วตามกันไป
ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงที่ประตูห้องนางจ้าว พวกเขาได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยราคะบางอย่างจากในห้อง
“นี่คือห้องพี่สาวจ้าว อย่างไรพี่สาว อย่างไรนางถึงทําเยี่ยงนี้”
นางอันยืนอยู่นอกประตูด้วยสีหน้าตะลึง เสียงในห้องดังพอที่ทุกคนที่อยู่ข้างนอกจะได้ยินอย่างชัดเจน ผู้มาปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ที่มาวัดเป็นหญิงสาวที่แต่งงานแล้วและมีชีวิตทางเพศ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน!
“ช่างน่าอับอายยิ่งนัก!” นายหญิงที่อยู่ด้านหลังนางอันโกรธมากจนใบหน้าของนางกลายเป็นสีแดง การที่ผู้หญิงทําเรื่องแบบนี้ในวัดเป็นเรื่องที่ไร้ยางอายมาก
สวนหลังวัดเดิมเงียบสงบและเงียบสงัด เสียงดังกล่าวจึงดึงดูดความสนใจมาก
“ไม่ มันเป็นไปไม่ได้ นายหญิง ข้าไม่เชื่อว่านายหญิงใหญ่จะทําเช่นนั้น นางต้องถูกใส่ร้าย!”
มันคล้ายกับว่าหมาม่าต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนางจ้าว แต่ประตูที่เปิดกว้างทําให้ทุกคนที่อยู่ข้างนอกเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน
มันเห็นได้ชัดว่าคนเปลือยเปล่าสองคนกําลังหมกมุ่นอยู่กับความสัมพันธ์อันเร่าร้อนของพวกเขาจนไม่เต็มใจที่จะแยกจากกันแม้ว่าหลี่มาม่าจะพุ่งเข้าไป
“ใคร ใครกล้าทําให้พี่สาวจ้าวเป็นมลทินเช่นนี้”
นางอันยังคว้าโอกาสและหลุดพูดชื่อนางจ้าวออกมาซ้ำๆ
“ข้ากลัวว่ามันจะเป็นหญิงบ้านนอกที่ไร้รสนิยมที่ไม่สามารถต้านทานการล่อลวงและทําสิ่งที่น่าอับอายต่อหน้าพระพุทธองค์!”
“นางน่าจะถูกขังอยู่ในกรงหมูแล้วโยนลงแม่น้ำ!”
ใครก็ตามที่สามารถพักผ่อนในสวนหลังวัดได้จะต้องเป็นมาดามผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง พวกเขาจะทนต่อสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?
“พี่สาว ท่านทําเช่นนี้กับใต้เท้าได้อย่างไร”
ได้ยินเสียงอันแหลมคมของนางอันจากด้านใน ทุกคนมั่นใจว่าคนในห้องคือนางจ้าว!
นายหญิงที่ยืนอยู่ด้านนอกทําหน้าตาเหยียดหยาม
“ช่างเป็นผู้หญิงบ้านนอกที่สกปรก!”
“อย่างแน่แท้ย”
เมื่อได้เห็นสิ่งนี้ ซูมู่เกอค่อยๆ เดินเข้าไปในฝูงชน พยุงนางจ้าวไว้ด้วยแขนของนาง คนที่เพิ่งตื่นและยังคงงุนงงเล็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้น? ทําไมคนจํานวนมากมารวมตัวกันที่นี่ ?” ซูมู่เกอก้าวไปข้างหน้าและถามด้วยท่าทางสับสน
“นางจ้าว นายหญิงใหญ่แห่งคฤหาสน์ตระกูลซู ถูกพบว่ามีความสัมพันธ์ชู้สาวอยู่ในวัด!” นายหญิงคนหนึ่งอธิบาย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางจ้าวซึ่งถูกพยุงตัวไว้โดยซูมู่เกอก็หน้าปิดทันที
ซูมู่เกอทําหน้าตาเฉยเมยและจ้องมองไปที่นายหญิงคนนั้น “นายหญิง ท่านกําลังพูดอะไร? ท่านแม่ของข้าอยู่กับข้านี่ ท่านควรพูดให้มันชัดเจนดีกว่า “มีชู้” !?”
ด้วยการจ้องนิ่งและเสียงตะโกนของซูมู่เกอ นายหญิงคนนั้นประหลาดใจและจ้องมองไปที่นางจ้าวที่ถูกจับโดยซูมู่เกอ ซูมู่เกอมีชื่อเสียงในเมืองหลวงเมื่อไม่นานมานี้และมันไม่ใช่ความลับที่แม่ของนางคือนางจ้าว
“คุณหนูใหญ่ ทําไมท่านถึงมาที่นี่?” สาวใช้ของนางอันตกใจเมื่อได้ยินเสียงของซูมู่เกอและหันกลับมามองนาง
“หงส์หยู เกิดอะไรขึ้น? ท่านแม่อยู่กับข้าตลอดเวลา เจ้าจะตีตรานางด้วยการกล่าวโทษว่ามีชู้ได้อย่างไร? !” เสียงของซูมู่เกอดังมากพอที่จะทําให้ทุกคนที่ยืนอยู่ได้ยินชัดเจน
นางฟางเคยเห็นนางจ้าวตอนที่นางมาถวายเครื่องหอมก่อนหน้านี้ และในพริบตา นางก็จําได้ว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ซูมู่เกอคือนางจ้าว นางกลอกตาและหัวเราะเบาๆ “อู๊บบ มันเป็นความเข้าใจผิดครั้งใหญ่ นายหญิงซูเพิ่งเอะใจว่านายหญิงใหญ่แห่งคฤหาสน์ชูกําลังเล่นชู้ในวัด มันกลายเป็นว่าเป็นความเข้าใจผิด คนข้างในไม่ใช่นายหญิงใหญ่ซูแต่อย่างใด ตัวจริงยืนอยู่ตรงนี้”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หงส์หยูจึงรีบเข้าไปในห้องเพื่อแจ้งให้นางอันรู้
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ นางอันก็มองไปที่คนทั้งสองบนเตียงด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น นางก็รู้สึกประหลาดใจมากจนพูดไม่ออกแม้แต่คําเดียว
“นายหญิง นั่น นั่นคือฉิงหยู” หมาม่าก็กลับมารู้สึกตัว
นางอันตระหนักได้ในทันที นางหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็หมุนตัวกลับและเดินออกมาด้วยตวงตาแดง
“พี่สาว มันรู้สึกดีมากที่ได้พบท่านยังเหมือนเดิม ตอนนี้ข้ากลัวมาก ข้าคิดว่ามันเป็นห้องของท่าน ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าสาวใช้ของท่านจะทําเยี่ยงนี้…”
นางจ้าวยิ่งสับสนกับคําพูดของนางอัน จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
คําพูดของนางอันแม้ดูเรียบๆ! นางหมายความว่าคนที่มีความสัมพันธ์แม้ว่าจะไม่ใช่นางจ้าว แต่มันเป็นสาวใช้ของนางที่ติดตามนางไปทั่ว!
อย่างไรซะซูมู่เกอจะปล่อยมันไปได้อย่างไร? “นายหญิง ท่านหมายความว่าอย่างไร? ถ้ามันไม่ใช่เพราะท่านยกย่องฉิงหยูในฐานะสาวใช้ที่มีสติและเชื่อฟัง ข้าก็คงไม่มีทางเลือกนางมารับใช้ท่านแม่ของข้า แต่ตอนนี้ นางได้สร้างเรื่องดังกล่าว จะเป็นความผิดของท่านแม่ได้อย่างไรกัน!?”
แค่เพียงนางอันจะสังเกตเห็นว่านั่นคือซูมู่เกอคนที่ยืนอยู่ข้างๆนางจ้าว อีกครั้ง นางกํามือแน่นในแขนเสื้อโดยไม่รู้ตัว
อีบ้านี่ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!?
“อา…อา!”
“นายหญิง ” มาม่าที่นั่งอยู่ด้านข้างเรียกนางเสียงต่ำ
นางหลินโบกมือปฏิเสธให้นางด้วยยิ้มเย็นชาซึ่งหมายความว่านางไม่ต้องกังวล “เขาไม่สนใจชื่อเสียงของตัวเอง ทําไมข้าต้องสนใจ?” แล้วนางก็หันไปหาซูมู่เกอ
“คุณหนูซู ที่จริง ข้าขอให้ท่านมาที่นี่ไม่ได้มารักษาข้า แต่เป็นท่านแม่ทัพ”
ซูมู่เกอสงบนิ่งโดยไม่แสดงท่าที่ประหลาดใจแม้แต่น้อย ซึ่งทําให้นางหลินคิดในเรื่องของนางมากยิ่งขึ้น ท่านนายพลเป็นอะไรเจ้าคะ?”
“โรคที่น่าอับอาย” มาม่าก้าวไปข้างหน้าและช่วยนางหลินลุกขึ้นยืน
“คุณหนูซู โปรดตามข้ามา”
ซูมู่เกอไม่ถามอะไรมาก ถือกล่องเครื่องมือแพทย์ของนางขึ้นและตามนายหญิงหลินออกไปที่ลานบ้าน
คฤหาสน์ของท่านแม่ทัพวัลกิมใหญ่โตมาก แต่การตกแต่งภายในตัวอาคารโครงสร้างเป็นอะไรที่เรียบง่ายมาก ด้วยเหตุนี้ คฤหาสน์จึงดูว่างเปล่าเล็กน้อย
หลังจากเดินไปได้ครึ่งทาง พวกเขาก็หยุดอยู่หน้าลานบ้านอันห่างไกล
“นายหญิง ท่านมาถึงแล้ว” พ่อบ้านที่เฝ้านอกประตูรีบเดินมาข้างหน้าและโค้งคํานับให้กับนางหลิน
“ท่านนายพลเป็นอย่างไรบ้าง?
“ท่านนายพลยังอาการคงเดิมขอรับ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“อืม”
นางหลินเดินเข้าไปในสนาม มายังห้องพักหลักและหยุดที่ประตูเพื่อมองกลับไปยังซูมู่เกอ “คุณหนูซู ท่านนายพลอยู่ด้านใน”
ซูมู่เกอเดินตามนางหลินเข้าไปในห้อง เมื่อเข้ามานางรู้สึกได้ถึงกลิ่นเหม็นเน่า
นางหลินใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูกของนางไว้ แสดงความรังเกียจอย่างชัดเจน “คุณหนูซู ท่านต้องรู้สึกอยากหัวเราะ ท่านนายพลมักชอบเรื่องทางเพศและกลายเป็นแบบนี้หลังจากกลับจากหอนางโลมเมื่อไม่นานมานี้”
ซูมู่เกอหยิบหน้ากากชนิดพิเศษและถุงมือออกมาจากกล่องเครื่องมือแพทย์ นางใส่ไว้ก่อนเข้าไปที่เตียง ยิ่งนางเข้าใกล้ กลิ่นเหม็นเน่าก็ยิ่งหนักขึ้น แม้ว่านางจะสวมหน้ากากที่เต็มไปด้วยผ ยา นางก็ยังได้กลิ่นเหม็นอยู่
ซูมู่เกอยกผ้าม่านขึ้นและเห็นใบหน้าที่เต็มไปตัวยตุ่มแดงเน่าเปื่อย นางยกผ้าห่มขึ้นและกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาอย่างรุนแรงมากกว่าเดิม นางหลินที่อยู่ด้านหลังนางไม่สามารถทําอะไรได้นอกจากผะอืดผะอม
“เปิดประตูและหน้าต่างออกเพื่อระบายอากาศ”
แม้นางหลินอยู่ในอาการลังเล นางยังคงเปิดประตูและหน้าต่าง “รอด้านนอก อย่าให้ใครเข้ามา”
“ขอรับ”
ซูมู่เกอถอดเสื้อคลุมของท่านนายพลออกและพบว่าตุ่มแดงเน่าเปื่อยบนร่างกายส่วนบนของเขาร้ายแรงน้อยกว่าที่ใบหน้าของเขา
เมื่อพิจารณาจากอาการอาจวินิจฉัยในเบื้องต้นได้ว่าเขาเป็นซิฟิลิสระยะกลางเกือบถึงระยะสุดท้ายแล้ว โรคนี้เรียกว่าโรคทางเพศในเมืองฉู่ เนื่องจากผู้ปวยส่วนใหญ่ติดเชื้อนี้จากการมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสมหรือสําส่อน
“หมอหลวงพูดว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางหลินก็กระพริบตาด้วยความลําบากใจ แม้ว่าเจ้าหน้าที่ในแคว้นฉู่จะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่หอนางโลม แต่มันก็ไม่ได้เป็นผลต่อทุกคน จักรพรรดิเข้มงวดและออกกฏด้วยตัวเอง ถ้าพระองค์รู้ว่าท่านแม่ทัพวัลกิมผู้สง่าผ่าเผยมีโรคเช่นนี้ ตระกูลหลินจะต้องได้รับความอับอาย!
“คุณหนูซู ท่านคงรู้ว่ามันเป็นเรื่องน่าอับอายที่จะให้ข่าวกระจายออกไป” เนื่องจากซูมู่เกอรู้ แล้วจึงไม่จําเป็นต้องปิดบังอะไรจากนาง
“คุณหนูซู นายหญิงยังได้เชิญหมอที่มีชื่อในเมืองหลวงมาตรวจรักษาแล้ว เต่..” มันไร้ประโยชน์
“อาการของท่านแม่ทัพหลินข้นข้างร้ายแรง” อย่างไรก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาโรคนี้ หากนางกําลังจะรับช่วงการรักษาต่อสืบเนื่องจากทั้งหมดทั้งมวล นางใช้เวลาทั้งปีในการศึกษาเพื่อรักษาโรคนี้ และโรคของท่านแม่ทัพหลินก็ไม่ยากเกินไปที่จะรักษาให้หายได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของนางหลินก็ซีดเผือดลง
ไม่ว่านางจะไม่พอใจท่านนายพลหลินเพราะความความโหดเหี้ยมของเขาอย่างไร เขาก็เป็นแกนนําหลักของคฤหาสน์นี้ นอกจากนี้ ลูกชายคนโตของนางยังเด็กนัก เด็กจะทําอย่างไรในอนาคตหากไม่มีท่านแม่ทัพหลิน?
“ท่านทําอะไรไม่ได้เลยรึ คุณหนูซู?”
ซูมู่เกอขมวดคิ้วด้วยความครุ่นคิด “ข้าจะลอดดู แต่การที่ท่านแม่ทัพหลินจะหายขาดได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับโชคของเขา”
เมื่อได้ยินมัน นางหลินก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ใต้ “จริงๆรึ?” แพทย์คนอื่นๆ มักแนะนําให้พวกเขาเตรียมตัวสําหรับงานศพของเขา!
“นายหญิงหลิน ถ้าท่านเชื่อใจข้า ข้าจะลองดูก็ได้”
“ได้ ได้ ข้าเชื่อในตัวท่าน คุณหนูซู”
“ข้าจะทําใบสั่งยาเพื่อตรวจสภาพของท่านนายพลก่อนที่จะตัดสินใจดําเนินการรักษาต่อไป”
“ตกลง ตกลง!”
ในคฤหาสน์ตระกูลซู หลี่มาม่าเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับถ้วยกระเบื้อง
“นายหญิงเจ้าค่ะ ข้าเพิ่งรู้ว่าคุณหนูใหญ่กําลังจะทําการรักษานายหญิงนายพลวัลกิม”
นางอันกําลังตรวจสอบสมุดบัญชี เมื่อได้ยินเสียงของผู้มาใหม่ มือนางก็หยุดชะงักลง
“นายหญิงท่านนายพลวัลกิม?”
“เจ้าค่ะ”
นางอันขมวดคิ้วและวางสมุดบัญชีในมือลง สถานะของท่านนายพลวัลกิมในเมืองหลวงนั้นสูงมากถึงขนาดที่พ่อของนางยังต้องสุภาพกับเขา หากซูมู่เกอรักษาอาการปวยของนางหลินได้ นางคงไม่กล้าคิดถึงผลที่ตามมา!
“ไม่ ข้ารอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว!”
“ท่านต้องการทําอะไร นายหญิง? นั่นคฤหาสน์นายพล”
นางอันเหลือบตามองไปที่หลี่มาม่า “ท่านคิดว่าข้าจะทําให้คนในคฤหาสน์นายพลไม่พอใจงั้นรึ?”
หลี่มาม่าตระหนักถึงความผิดพลาดของนางและกล่าวว่า “แล้วนายหญิงหมายความว่า…”
ดวงตาของนางอันหรูแคบลง “แน่นอน ข้าจะเลือกเริ่มจากคนที่อ่อนแอ!”
ซูมู่เกอเขียนใบสั่งยาสําหรับใช้ภายนอกและใช้ภายในสองรายการตามลําดับและมอบให้กับนางหลิน
“ทานยานี้เป็นเวลาสามวันและสังเกตผล ถ้าอาการไม่แย่ลง ข้าจะกลับมาในสามวัน” ซูมู่เกอบอกข้อควรระวังก่อนออกเดินทาง
ในห้องหลัง นางหลินขอให้ซุนมาม่านำกล่องไม้เล็กๆ ออกมา
“คุณหนู ขอบคุณสําหรับัญหาที่เกิดขึ้น มันเป็นรางวัลเล็กๆน้อยๆ”
ซุนมาม่าเปิดกล่องที่เต็มไปด้วยสีทองอร่าม!
ซูมู่เกอไม่ปฏิเสธ แต่ยอมรับหลังจากพูดด้วยความสุภาพเล็กน้อย “นายหญิงหลิน ไม่ต้องกังวล ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาอาการป่วยของท่านนายพล”
“นั่นเป็นสิ่งที่ดีสําหรับท่าน คุณหนูซู และนี่…โรคนี้… “
เมื่อเห็นท่าทางของนางหลิน ซูมู่เกอก็รู้ว่านางอยากจะพูดอะไร “ในฐานะแพทย์การรักษาข้อมูลของผู้ปวยเป็นความลับคือการให้ความเคารพพวกเขาเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินคําพูดของนาง นางหลินก็ยิ้มอย่างจริงใจมากขึ้น
ซูมู่เกอไม่ได้อยู่นาน นางขอลาออกมาหลังจากชาถ้วยนั้น
ซูมู่เกอนั่งบนรถม้ายิ้มอย่างมีความสุขถือกล่องทองคําไว้
นางเคยได้รับการดูสุขภาพอย่างประหยัดเนื่องจากเงินที่จํากัด ผลที่ได้ นางไม่ได้รับความโดดเด่นเป็นผลกระทบจนถึงขณะนี้ นางต้องปรับปรุงสุขภาพของนางให้ดีขึ้นและดําเนินการตามแผนในอนาคตของนาง
หลังจากกลับไปที่คฤหาสน์ซู ซูมู่เกอเดินตรงเข้าไปในห้องของนาง
แม้ว่านางจะสามารถรักษาอาการปวยของนายพลหลินได้ แต่นางก็ยังต้องมั่นใจว่านางจะไม่ทําผิดพลาดใดๆ ทั้งนั้น นางยังคงต้องทําการวิจัยและวางแผนการรักษาที่ดีกว่านี้
ในยามรุ่งสาง แสงแดดสีทองส่องผ่านกระดาษหน้าต่างเข้ามาในห้องที่มืดสลัวพร้อมกับแสดงอบอุ่นที่ตกกระทบใบหน้าของซูมู่เกอ
นางลืมตาขึ้นช้าๆ ลูบคิ้วแล้วลุกขึ้นนั่ง
เยว่รู่ได้ยินการเคลื่อนไหวและผลักประตูเข้ามา
“คุณหนูเจ้าค่ะ ท่านตื่นแล้ว”
“ใช่”
หลังจากซูมู่เกอทําความสะอาดเสร็จเรียบร้อย สาวใช้ก็ถืออาหารเช้าเข้ามา โดยปกติแล้วนางเจ้าจะมาทานอาหารเช้ากับนางเสมอ แต่วันนี้นางยังไม่ปรากฏตัว
“เยว่รู่ ท่านแม่ของข้าอยู่ที่ไหน?”
“คุณหนู มาตามเดินทางไปที่วัดลั่วหยินในแถบชานเมืองเพื่อไถ่ถอนความปรารถนาในวันนี้เจ้าค่ะ นายหญิงอยากทําเช่นนั้นมาตลอด แต่ก่อนหน้านี้นายหญิงไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวง มันเกิดขึ้นตั้งแต่กลางเดือนที่แล้ววันเดียวกันนี้ นายหญิงจึงได้เตรียมตัวล่วงหน้าและออกเดินทางแต่เข้าเจ้าค่ะ”
นางจ้าวเชื่อในพระพุทธศาสนา นางกระตือรือร้นที่จะถวายเครื่องหอมแก่พระพุทธรูปในเมืองชุนหยาง แต่นางไม่เคยไปวัดเพราะนางไม่กล้าขออนุญาต
“ท่านพ่อรู้เรื่องนี้หรือไม่?” ตอนนี้ซูหลุนยังคงต้องการให้ซูมู่เกอทํางานให้เขา ดังนั้นเขาจะไม่ปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับนางจ้าวได้
“เจ้าคะ นายหญิงทั้งสองของเราได้พูดคุยกับนายท่านเมื่อคืนนี้และนายท่านก็เห็นด้วย”
ซูมู่เกอพยักหน้าและไม่ถามอะไรอีก คิดว่าเป็นเรื่องดีที่นางข้าวจะได้ออกเดินทางเที่ยวเล่นบ้าง
หลังอาหารเช้า ซูมู่เกอไปที่ลานบ้านเพื่อออกกําลังกาย นางอ่อนแอเกินไป ตอนนี้นางจึงควรออกกําลังกายอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงทุกวันเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
หลังจากที่นางวิ่งไปรอบๆ ในสนามเป็นวงกลมเสร็จแล้ว นางก็เห็นสาวใช้คนหนึ่งอออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับกุมท้องของนาง เมื่อซูมู่เกอเห็นใบหน้าของนางอย่างชัดเจน นางก็พบว่าสาวใช้นางนั้นคือเหมยฮัว
นางเป็นสาวใช้คนสนิทของนางจ้าว และโดยปกติแล้วนางจะไปกับนางจ้าวโดยไม่ละไปซักครั้งเดียว ทําไมตอนนี้นางยังอยู่ในคฤหาสน์?
ด้วยความสงสัย ซูมู่เกอจึงก้าวไปหานาง “พี่เหมยฮัว ท่านรู้สึกสบายดีหรือไม่?
เมื่อเข้าใกล้นางมากขึ้น มู่เกอพบว่าใบหน้าของนางซีดเซียวและดวงตาของนางว่างเปล่า ตัดสินใจในคราแรกที่เห็นได้เลยว่านางป่วย
“คุณหนูใหญ่ ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ ข้าปวดท้องอย่างหนักเมื่อข้าตื่นนอนตอนเช้าและตอนนี้ข้ายังรู้สึกไม่สบายตัวมากขึ้น”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูมู่เกอจึงขอให้เยว่รู่ช่วยพยุงนางเข้าไปในห้องและจับชีพจรของนางอย่างสงบ
ดูเหมือนว่านางจะมีอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหารและท้องอืด ซึ่งทําให้อาเจียน ท้องร่วงและอ่อนแรงได้
“ พี่เหมยฮัว ท่านกินอะไรไม่ดีหรือไม่?”
เหมยฮัวส่ายหัว “ข้าเพิ่งทานอาหารเข้าจากห้องครัวเหมือนคนอื่นๆและไม่มีอย่างอื่นเลย”
อาหารที่ครัวทั่วไปเตรียมไว้สําหรับคนรับใช้ซึ่งปรุงในหม้อขนาดใหญ่ จึงไม่น่าเป็นสาเหตุ หากมันเป็นเพียงเหมยฮัวเท่านั้นที่มีอาการ
“เยว่รู่ ไปเปิดลิ้นชักที่สองของข้าแล้วหยิบขวดกระเบื้องสีขาวออกมา มีเมีดยาสีเทาอยู่ ในนั้น เอามันมาที่นี่”
“เจ้าค่ะ”
ไม่นานเยว่รู่กินเม็ดยามาให้นาง และซูมู่เกอก็ให้เหมยฮัวทานเข้าไป
หลังจากลืนเม็ดยา เหมยฮัวรู้สึกว่าท้องของนางอุ่นขึ้นและอาการปวดของนางก็บรรเทาลงอย่างมาก “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ คุณหนู”
“พี่เหมยฮัว พักผ่อนดีๆนะ” ซูมู่เกอลุกขึ้นเพื่อเดินออกไป เมื่อนางเกือบจะออกจากประตูห้อง จู่ๆนางก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และหันไปมองเหมยฮัว
“จู่ๆ ท่านไม่สบาย พี่เหมยฮัวใครไปกับท่านแม่ของข้าที่วัด?”
“คุณหนู ฉิงหยูและเหอฮัวไปด้วยเจ้าค่ะ” เดิมที่ทั้งสองได้รับมอบนางจ้าวโดยซูมู่เกอ หลังจากได้รับการฝึกฝนเป็นระยะเวลาหนึ่งพวกเขาก็ได้กลายเป็นสาวใช้รองของนางจ้าวไปแล้ว
“วันนี้ใครเอาอาหารเข้ามาให้เจ้า?”
“ฉิงหยูไปที่ห้องครัวและนํากลับมาที่ห้องของข้าเจ้าค่ะ”
ในความประทับใจของซูมู่เกอ ฉิงหยูเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักและพ่อแม่ของนางเป็นคนรับใช้อยู่ที่นี่มายาวนานในคฤหาสน์ซู นางจึงมีนิสัยเสียเล็กน้อย แม้ว่านางจะไม่กล้าอารมณ์เสียต่อหน้า นางจ้าว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะรับใช้สาวใช้คนอื่นๆ
มันผิดปกติจริง!
“พักผ่อนให้เพียงพอเถอะ”
ทันใดนั้นซูมู่เกอก็รู้สึกสังหรณ์ใจพร้อมกับความรู้สึกถึงลางร้ายที่เกิดขึ้นในใจของนาง ใบหน้าของนางบูดบึงเมื่อนางกลับไปที่ห้องของนาง
“เยว่รู่ เตรียมรถม้าและบอกพวกเขาว่าข้าจะไปที่วัดลั่วหยินเพื่อสวดมน”
“คุณหนู ท่านจะออกไปหรือเจ้าคะ?”
ซูมู่เกอเห็นท่าทางประหลาดใจและหัวเราะนาง “ท่านแม่พูดเสมอเมื่ออยู่ที่เมืองชุนหยางว่าข้ามีชีวิตขึ้นมาได้เพราะพรของพระพุทธเจ้าเป็นสําคัญ ข้าควรไปที่วัดเพื่อจุดธูปถวายสักการะแต่พระพุทธองค์”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยว่รู่รู้สึกแปลกเล็กน้อย แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ นางจึงขอให้สาวใช้ตัวน้อยเตรียมรถม้า
ซูมู่เกอสวมชุดที่สะดวกพร้อมหมวกผ้าโปร่งและออกจากคฤหาสน์ไป
บนรถม้าซูมู่เกอไม่มีอารมณ์ที่จะเพลิดเพลินไปกับความวุ่นวายบนท้องถนนและตาขวาของนางยังคงกระตุกอย่างดุเดือดตั้งแต่ที่นางขึ้นรถม้ามา
“ตาซ้ายกระตุกคือดี ขวากระตุกคือหายนะ!”
ห้องทรงอักษรเงียบลงทันที เซี่ยโฮวรุยหรี่ตาลง ด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยที่ปรากฏบนใบหน้าของเขา
“ข้าได้ยินมาว่าลูกสาวของซูหลุนช่วยซีเอ๋อบนเรือ?”
ไฟไหม้บนเรือและการลอบสังหารสุภาพสตรีและเจ้านายชั้นสูงมีความเกี่ยวข้องอย่างกว้างขวาง ดังนั้นเซี่ยโฮวรุยต้องได้รับแจ้งโดยละเอียด
“หม่อมฉันได้รับข้อมูลเช่นเดียวกันพะย่ะค่ะ”
“ หลังจากอยู่ที่เมืองชุนหยางไม่กี่วัน เจ้าได้เบาะแสอะไรบ้าง?” คําถามของเซี่ยโฮวรุยดูเหมือนจะธรรมดา แต่จริงๆแล้วคําถามนั้นบ่งบอกถึงความสงสัยของเขาเกี่ยวกับทักษะทางการแพทย์ของซูมู่เกอ
เซี่ยโฮวโม่เป็กตาดําเล็กน้อย รู้ว่าไม่ว่าเขาจะตอบอย่างไร เขาจะทําให้ซูมู่เกอตกอยู่ในสถานการณ์บางอย่าง
“นางเป็นคนฉลาด”
เมื่อได้ยินคําตอบนี้ เซี่ยโฮวรุยยิ้มและหยุดถาม
“ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้ากลับไปได้”
“หม่อมฉันกราบทูลลาพะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”
หลังจากเซี่ยโฮวโม่จากไป ขันทีอีก็เข้ามาพร้อมกับน้ำชา
เซี่ยโฮวรุยค่อยๆจิบชาร้อน
“ข้าไม่เคยเห็นเขาปกป้องผู้หญิงคนใดมาก่อน” จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยกล่าวด้วยรอยยิ้ม ซึ่งดูเหมือนจะอารมณ์ดี
เมื่อได้ยินเช่นนั้น วันที่ฮีก็รู้ทันทีว่าพระองค์พูดนั้นหมายถึงใคร
“ฝ่าบาท ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว คุณหนูไม่สามารถโอ้อวดได้ “
“ใช่ นางหน้าตาไม่ดี ช่างน่าเสียดาย!” เซี่ยโฮวรุยส่ายหัวและหลับตาลง
ทันทีที่เซี่ยโฮวโม่ออกไปจากวัง เขาได้พบกับเซี่ยโฮวคุณที่รออยู่ที่นั่น
รอยยิ้มตามปกติของเซี่ยโฮวคุณถูกแทนที่ด้วยตวงตาที่ไร้ความปรานี้ของเขาที่มองไปที่เซี่ยโฮวโม่
“ราชาแห่งจินมีความสามารถมาก!”
เยี่ยโฮวโม่มองเขาอย่างไม่แยแส
“ขอให้ท่านพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้เร็วที่สุด”
“เจ้า! ถ้าข้ารู้ว่าใครอยู่เบื้อหลังเรื่องนี้ละก้อ ข้าจะฉีกมันออกเป็นชิ้นๆ!” เสี่ยโฮวคุณจ้องมองเซี่ยโฮวโม่ด้วยอาการกัดฟันแน่น
เซียโฮวโม่เดินตรงผ่านเขาและเดินไปที่ตงหลิน จากนั้นเขาก็ขึ้นม้าของเขา ตงหลินขึ้นมาด้วยและทั้งสองก็จากไป
เซี่ยโฮวคุณโกรธมากจนหน้าอกของเขาขึ้นและลงอย่างรุนแรง
“องค์ชายสอง เราจะทําอย่างไรต่อไปดีพะย่ะค่ะ?”
“ส่งใครสักคนและค้นหาคนเหล่านั้นให้พบ! จับตาดูเซี่ยโฮวโม่ด้วย; หากมีสิ่ง ผิดปกติเกิดขึ้นกับเขา แจ้งให้เราทราบทันที”
“ พะยะค่ะ”
“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ ทําไมองค์จักรพรรดิจึงขอให้องค์ชายสองตรวจสอบด้วยตัวเอง?” ตงหลิน ที่ติดตามเซี่ยโฮวโม่ถามตัวยความสงสัย
เซี่ยโฮวโม่ตอบกลับด้วยสีหน้ามีตมัว “งูพิษ” จะต้องถูกล่อออกจากรูด้วยเหยื่อ”
มู่เกอทิ้งเรื่องถูกลอบสังหารไว้เบื้องหลัง นางไม่จํา
หลังจากกลับจากทะเลสาบพระจันทร์ เป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้
แม้ว่าไฟไหม้และการลอบสังหารได้ถูกกลบด้วยการช่วยเหลือองค์หญิงเก้า มันไม่อาจลืมเลือนได้ เพียงไม่กี่วัน มีคนมาเยี่ยมคฤหาสน์ตระกูล
เช้านี้ ซูมู่เกอถูกเรียกให้เข้าพบซูหลุนที่ห้องหนังสือของเขา
ในห้องหนังสือซูหลุนนั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยอาการคิ้วขมวด
ซูมู่เกอถูกคนรับใช้ส่วนตัวนํามา
“ใต้เท้า คุณหนูใหญ่มาถึงแล้วขอรับ”
ซูหลุนเงยหน้าขึ้นมองซูมู่เกอด้วยการแสดงออกที่ซับซ้อน
เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ของเขา นางรู้ว่าเขาลังเลที่จะขอให้นางทําอะไรบางอย่างให้
ซูมู่เกอเบื่อที่จะอ้อมค้อมกับเขาและพูดตรงไปตรงมาว่า “ท่านพ่อ พูดมาตรงๆดีกว่าเจ้าค่ะ”
ซูหลุนขมวดคิ้ว “คนของแม่ทัพวัลกิมมาที่นี่เมื่อวานนี้”
ซูมู่เกอรู้ว่าวันนี้มีคนมาที่ประตูของพวกเขาทีละคนๆ พวกเขาส่วนใหญ่ถูกซูหลุนปฏิเสธ แต่ เขาไม่สามารถทําให้แม่ทัพวัลกิมขุ่นเคืองได้ คนที่เป็นแม่ทัพระดับ 3 มีกําลังทหาร 50,000 นาย
“นายหญิงแห่งนายพลวัลกิมเพิ่งปวย นางอันได้มีการเชิญแพทย์ประจําจักรวรรดิมาตรวจรักษา แต่ไม่สามารถทําอะไรได้ ดังนั้นนางจึงอยากให้เจ้าลองดู”
ซูมู่เกอเล็กคิ้วเล็กน้อย สงสัยว่าทําไมนายหญิงแห่งแม่ทัพวัลกิมจึงไม่มาหาซูหลุนโดยตรงแทนที่จะไปหานางอันเพื่อขอการรักษาจากนาง
“ข้าได้ให้สัญญากับชายคนนั้นจากคฤหาสน์ท่านแม่ทัพไปแล้ว และพวกเขาจะมารับเจ้าในวันพรุ่งนี้
“ท่านพ่อ ท่านไปสัญญากับเขาโดยที่ไม่ถามข้าได้อย่างไร? ข้าไม่สามารถรับผิดชอบได้หากไม่สามารถรักษานางได้”
ซูหลุนไม่พอใจท่าที่ที่ไม่เชื่อฟังของซูมู่เกอ
“เจ้ากําลังพูดอะไร? อย่างไรชะพ่ออย่างข้าจะทําร้ายลูกสาวได้อย่างไร? ไม่มีใบหน้าที่สวยงาม เจ้าต้องมีพรสวรรค์ที่น่ายกย่อง ไม่เช่นนั้น เจ้าจะสร้างชื่อเสียงที่นี่ได้อย่างไรในอนาคต?”
“โปรดอภัยข้าด้วย ถ้าท่านไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
ซูหลุนจ้องมองมาที่นาง “เตรียมตัวให้พร้อมคืนนี้และพรุ่งนี้เช้าห้ามเจ้าสาย”
ซูมู่เกอออกจากห้องหนังสือ เมื่อนางกลับไปที่ลานดอกท้อบาน สาวใช้สองนางก็นําของขวัญมากมายมาให้
“คุณหนู นายหญิง สิ่งเหล่านี้สําหรับพวกท่านเจ้าคะ ใต้เท้าให้นํามา ใต้เท้าบอกว่าท่านทั้งสองมีสุขภาพที่ไม่ดีและแนะนําอาหารเสริมที่มีคุณค่าทางโภชนาการให้มากขึ้นเจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอมองไปที่รังนกและโสมบนโต๊ะด้วยรอยยิ้มแดกดัน นางมองไปที่เย่วรู่ จากนั้นก้าวไปข้างหน้าและยิ้มอย่างรู้ทัน “ขอบคุณพี่สาวทั้งสอง” ในขณะที่พูดนางยัดกระเป๋าเล็กๆ สองใบที่เต็มไปด้วยเงินใส่มือของพวกเขา
“ใต้เท้าเป็นห่วงคุณหนูใหญ่และนายหญิงใหญ่มากเจ้าค่ะ ใต้เท้าบอกตลอดเวลาว่าเขาจะได้ดูนายน้อยเติบโตขึ้นในอนาคต” หลังจากรับเงินแล้ว สองสาวใช้ทั้งสองก็หยิบยกคําพูดดีๆ มาพูด
เมื่อเห็นดวงตาของนางจ้าวสว่างไสวด้วยความหวัง ซูมู่เกอทําได้เพียงแค่ถอนหายใจ นางไม่คาดคิดว่านางจ้าวจะยังคงมีความรู้สึกต่อซูหลุนหลังจากผ่านมาหลายปี
หลังจากส่งสาวใช้ทั้งสองไปแล้ว นางจ้าวมองไปที่ซูมู่เกอด้วยรอยยิ้ม “พ่อของเจ้าเป็นห่วงเจ้าและโม่เอ๋อมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าโล่งใจมาก”
มองไปที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนางจ้าว ซูมู่เกอทนไม่ได้ที่จะบอกนางว่านั่นเป็นเพราะคุณค่าของนาง ซึ่งสามารถช่วยชูหลุนในอาชีพทางการของเขาได้ที่เขาทําเช่นนี้
สิ่งที่ทําให้ซูมู่เกอประหลาดใจก็คือหลุนไม่เพียงแต่ส่งของมาที่นี่ แต่ยังตรงไปที่ลานดอกท้อบานเพื่อร่วมทานอาหารค่ำกับพวกเขาในคืนนั้นด้วย!
เมื่อฟังข่าว นางอันเกือบทุบถ้วยกระเบื้องหยกที่นางถืออยู่”
“เจ้าว่ายังไงนะ? ใต้เท้าของข้าไม่เพียงแต่ให้คนส่งของไปให้เท่านั้น แต่ยังไปทานอาหารค่ำที่ลานดอกท้อบานด้วย!?”
สาวใช้ตัวน้อยที่ส่งข้อความไม่เคยเห็นนางอันดุร้ายเช่นนี้มาก่อนและตกใจมาก
“ใช่ เจ้าค่ะ”
“นังแก่! ช่างน่าอัปยศที่นางยั่วยวนท่านพ่อ! ไม่ ข้าต้องไปสอนบทเรียนให้พวกมัน!” จิงเหวินที่เพิ่งหายจากอาการหวาดผวาบนเรือหลังจากได้พักผ่อนมาสองสามวัน
ที่บ้าน ซูหลุนมักจะมาที่ลานบ้านของนางอันและทานอาหารกับนางเสมอและซูจิงเหวินจะมาร่วมทานกับทั้งสอง อย่างไรก็ตาม ใครจะรู้ว่าคืนนี้เขาไปที่ลานดอกท้อบาน!
“เหวินเอ๋อ หยุด! หายใจเข้าลึกๆ ระงับความโกรธในใจ แล้วไล่เด็กสาวใช้ออกไป
“ท่านแม่ หยุดข้าทําไม?! ท่านพ่อไม่เคยทําแบบนี้มาก่อน ท่านอยากเห็นผู้หญิงสองคนนั้นเหยียบย่ำเราจริงๆหรือ?”
นางอันจิบชาเพื่อระงับความโกรธให้เบาลง
“ถ้าเจ้าไปตอนนี้ พ่อของเจ้าจะคิดว่าเจ้าไม่สุภาพและลงโทษเจ้า”
ก่อนหน้านี้นางมองว่าซูมู่เกอไม่มีตัวตน แต่ตั้งแต่ที่ซูม่เกอไปที่เมืองโจวเพื่อหลุน นางอันไม่มีซักครั้งที่ประเมินผู้หญิงเลวตัวน้อยน้ำต่ำไป
“ทําไม? ถ้าท่านหยุดข้าไม่ให้ทําอะไรกับมัน ท่านสามารถรอให้แก่นั่นยึดคฤหาสน์ของเราได้เหรอ!” เมื่อคิดว่าซูมู่เกอได้รับความโปรดปรานจากองค์ชายสองบนเรือ ซูจิงเหวินไม่สามารถทนต่อนางได้อีกต่อไป!
เมื่อเห็นความวิตกกังวลของซูจิงเหวิน นางอันค่อยๆสงบลง
“ไม่ต้องห่วง พ่อของเจ้าเคยทานอาหารร่วมกับพวกเขามานานมากกว่าทศวรรษแล้ว แต่เขาเพิ่งไปทานอาหารกับพวกเขาแค่มื้อเดียว มันสมควรได้รับความวิตกกังวลมากขนาดนี้จริงหรือ?”
ซูจิงเหวินส่งเสียงค่อนขอด “ท่านแม่ ไม่ใต้สัญญาว่าจะกําจัดพวกมันก่อนที่จะมาถึงเมืองหลวงหรือ? แต่ตอนนี้พวกเขายังมีชีวิตอยู่และสบายดี”
นางอันจ้องมองลงไปที่เล็บสีแดงพราวของนางพร้อมกับความโหดเหี้ยมในดวงตาของนาง “อีกไม่นานพวกมันจะถึงวาระ!”
ในเช้าวันรุ่งขึ้น ซูมู่เกอลุกขึ้นเตรียมขุดกล่องเครื่องมือแพทย์ หลังอาหารเช้า นางขึ้นรถที่มาจากคฤหาสน์ท่านแม่ทัพ”
คฤหาสน์ของท่านแม่ทัพวัลกิมตั้งอยู่ที่ถนนหมายเลขสามในเมืองหลวง รถม้าไม่ได้หยุดอยู่ที่ประตูหน้าคฤหาสน์ท่านแม่ทัพ แต่เข้าไปในคฤหาสน์โดยตรงผ่านประตูด้านข้าง
ในขณะที่รถม้าหยุดลงอย่างมั่นคง
“คุณหนูซู เราถึงแล้วขอรับ”
ซูมู่เกอลงจากรถม้าโดยถือชุดกล่องเครื่องมือแพทย์ของนาง
สาวใช้ในชุดสีฟ้าอ่อนเดินมาข้างหน้า “คุณหนู ข้าขอคารวะ ข้าชื่อซือฮัว นายหญิงรอท่านอยู่เจ้าคะ โปรดตามข้ามา”
ซูมู่เกอพยักหน้าและเดินตามนางไป
“ข้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายหญิงของท่านนายพล”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สาวใช้ก็หยุดและขมวดคิ้วเล็กน้อย
มันเป็นเรื่องปกติที่แพทย์จะถามเกี่ยวกับอาการของผู้ป่วย อย่างไรก็ตามเมื่อมองไปที่ใบหน้าของสาวใช้ นางสงสัยว่ามันยากเกินไปสําหรับนางที่จะพูดถึง
“นายหญิงบอกว่าช่วงนี้นายหญิงนอนไม่ค่อยหลับและมักจะรู้สึกอารมณ์เสียเจ้าค่ะ เราได้เชิญหมอหลวงจากวังหลวงมาเพื่อจัดยารักษาแต่หลังจากกินยา นายหญิงก็ดูเหมือนจะไม่ดีขึ้นเลย มีการกล่าวกันว่าคุณหนูชูเป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคระบาดให้หายได้ เราจึงเชิญท่านมาตรวจวินิจฉัยเจ้าค่ะ”
ในขณะที่พูด สาวใช้ก็พาซูมู่เกอตรงไปที่ประตูห้องของท่านแม่ทัพ
“ พี่สาวเสี่ยหนวน คุณหนูซูมาแล้วเจ้าค่ะ” ซื้อตั๋วเดินไปหาสายใช้ในชุดสีชมพูและกล่าวด้วยความเคารพ
ซือฮัวพยักหน้าให้ซูมู่เกอ แล้วหมุนตัวกลับและเดินเข้าไปในห้อง
หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ออกมาและนาซูมู่เกอเข้าไป
“คุณหนูซู เชิญด้านในเจ้าคะ นายหญิงอยู่ข้างใน”
หลังจากซือฮัวยกม่านขึ้น ซูมู่เกอข้ามฉากกั้นที่มีภาพวาดของนกกระเรียนนางฟ้าและเห็นนายหญิงของท่านนายพลเอนกายอยู่บนเก้าอี้ยาว
นางหลิน (นายหญิงท่านแม่ทัพ) ดูเหมือนจะอายุราวๆ สามสิบ สวมเสื้อโค้ทแบบยาวสีขาวพระจันทร์ ชุดกระโปรงสีแดงซีดและกบหยกสีเขียวเรียบๆ ที่ผมของนาง นางดูเรียบง่ายแต่สง่างามและเฉยชา
การได้ยินการเคลื่อนไหว นางหลินลืมตาขึ้นและมองไปที่ซูมู่เกอ
สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบเข้าไปพยุงนางให้ลุกขึ้น
“คุณหนูซู มาแล้วเจ้าค่ะ เชิญนั่ง”
มีรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพยายามบนใบหน้าของนางหลิน
ซูมู่เกอก้าวไปข้างหน้าโค้งคํานับเล็กน้อยแล้วนั่งทางขวามือของนางหลิน
“ท่านรู้สึกมีปัญหาอะไรบ้างเจ้าค่ะ นายหญิงหลิน?”
ดวงตาของนางหลินดูไม่แน่นอนเล็กน้อยและนางตอบด้วยเสียงต่ำ “ข้าแค่นอนไม่หลับและไม่อยากอาหาร รู้สึกอารมณ์เสียอยู่เสมอ”
ซูมู่เกอพยักหน้า “ข้าขอจับชีพจรท่านได้หรือไม่คะ นายหญิง?”
นางหลินพยักหน้าและยื่นมือออกมา
ซูมู่เกอก้าวไปข้างหน้าและจับชีพจรของนางสักพัก ก่อนที่นางจะปล่อยมือ
“นายหญิง โปรดแสดงสิ้นของท่านให้ข้าดูด้วยเจ้าค่ะ”
นางหลินทําตามที่นางบอกและขมู่เกอที่ตรวจสอบอย่างรอบคอบก่อนจะนั่งลง
“เมื่อพิจารณาจากชีพจร ท่านไม่มีปัญหาร้ายแรงเจ้าค่ะ”
ชีพจรของนางอ่อนแรง มันเสถียรมากจึงไม่มีปัญหาใหญ่
“นายหญิง ขากลัวว่าความเจ็บปวยของท่านไม่ได้เกิดจากร่างกายของท่าน แต่เกิดจากจิตใจของท่าน ถ้าท่านต้องการฟื้นตัวท่านควรคลายปมในใจของท่านดีกว่าเจ้าค่ะ”
จากนั้นนางหลินก็เงยหน้าขึ้นมองซูมู่เกอ “คุณหนูซู ท่านยอดเยี่ยมมากจริงๆ ถูกต้อง ข้าไม่ได้ปวย เป็นคนอื่นที่ข้าอยากให้ท่านตรวจรักษาในวันนี้”
ซูมู่เกอเลิกคิ้วเล็กน้อย “คนอื่น?”
บทที่ 61 : ใครอยู่เบื้องหลังเขา?
“มันคือใคร?!”
ร่างสีดําค่อยๆก้าวออกมาจากป่าด้านหลังนาง
หลังจากเห็นใบหน้าของเขา ซูมู่เกอกตัวแข็งไปชั่วขณะ
“ท่านใต้เท้าเซี่ย?”
เซี่ยโฮวโม่มองนางจากบนลงล่างด้วยดวงตาสีเข้มราวกับว่าเขากําลังสํารวจว่านางได้รับบาดเจ็บหรือไม่
“เจ้าช่างเคราะห์มากนัก”
ซูมู่เกอกระพริบตา “อา-จิ๋ว!”
นางถูจมูกไปมา รู้สึกว่าอากาศเริ่มหนาวขึ้นแล้วจริงๆ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ซูมู่เกอและเซี่ยโฮวโม่นั่งตรงข้ามกันหน้ากองไฟ
ซูมู่เกอยังคงเปียกไปด้วยน้ําที่ไหลลงมาตามร่างกายของนางลมในป่ายิ่งทําให้หนาวมากขึ้นจนตัวสั่น
เซี่ยโฮวโม่มองดูริมฝีปากที่เย็นจัดของนาง ดวงตาสีเข้มของเขาลดลง เขายืนขึ้นเดินไปหานางแล้วดึงนางขึ้น
“อะไร ท่านกําลังทําอะไร?!”
ซูมู่เกอเซ นางมองลงไปและพบว่านิ้วเรียวยาวของเขากําลังเปลื้องผ้าของนาง!
“ท่าน ท่านไม่ยอมละทิ้งแม้แต่ผู้หญิงอย่างข้า ท่านเอาความคิดออกจากในใจของท่านซะ!”
ซูมู่เกอกําลังดิ้นรน แต่นางจะแข็งแกร่งพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเซี่ยโฮวโม่ได้อย่างไร? ทันใดนั้น เหลือเพียงชุดซับในสีชมพูที่เหลืออยู่บนร่างกายของนาง
เมื่อมองไปที่โหนกนูนเล็กๆบนหน้าอกของนาง เซี่ยโฮวโม่หยุดกึกและผลักนางไปหลังต้นไม้ใหญ่
ก่อนที่ซูมู่เกอจะอุทานออกมาดัง ๆ นางถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมที่เต็มไปด้วยกลิ่นของ
เขา
“ถอดเสื้อผ้าออก แล้วใส่มัน”
ซูมู่เกอโกรธมากจนดึงเสื้อคลุมของเขาลงโยนลงพื้นและเหยียบ มันอย่างเดือดดาล
มันน่า…น่าโมโหจริงๆ!
เขาจะเชื่อได้อย่างไรว่านางจะทําตามที่เขาพูด!
“อา-จิ๋ว!”
ลมกระโชกแรงทําให้ซูมู่เกอตัวสั่น นางมองลงไปที่เสื้อคลุมที่พื้นและกัดฟันแน่น
หลังจากนั้น นางก็ก้มลงและคว้ามันขึ้นมาอย่างโกรธแค้น นางจะไม่ทําให้ร่างกายของนางทรมาน!
หลังจากที่ซูมู่เกอสวมเสื้อคลุมของเชียโฮวโม่ออกมา นางก็แขวนชุดชั้นในไว้บนกิ่งไม้ข้างกองไปเพื่อตากให้แห้ง
เสื้อผ้าข้างกองไฟก่อให้เกิดเป็นเหมือนฉากกั้นเพื่อแยกซูมู่เกอออกจากเซียโฮวโม่
นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง เซี่ยโฮวโม่ดูเหมือนจะไม่มีความตั้งใจที่จะมาที่นี่
ซูมู่เกอครุ่นคิดในใจ คิดว่าเขาคงไม่ใช่คนชั่วโดยสมบูรณ์
เห็นได้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นบนเรือ และนางกลัวว่าคนที่ต้องการให้นางจมน้ําตายไม่ได้มุ่งเป้ามาที่นางแต่เพียงผู้เดียว
อยู่ในเมืองหลวงมานานกว่าหนึ่งเดือน นางแทบจะไม่ได้ออกไปจากคฤหาสน์ซู และนางมีความขัดแย้งกับองค์หญิงที่แปดนางอันและลูกสาวของนาง ซูจิงเหวินเท่านั้น
องค์หญิงแปดไม่น่าจะแก้แค้นนางในงานเลี้ยงที่ตัวองค์หญิงเป็นคนจัดงานขึ้นเอง ในขณะที่นางอันและลูกสาวของนางไม่น่าจะคิดดําเนินแผนการใหญ่เช่นนี้ได้
ในเวลานั้น ผู้คนบนเรือมีทั้งคหบดีหรือคนชั้นสูง ซึ่งไม่สามารถทําให้โกรธเคืองได้ง่ายๆ
ดังนั้น เหตุการณ์นี้ไม่ได้พุ่งมาที่นางคนเดียว
“ทําไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ ใต้เท้าเซี่ย?” เมื่อคิดว่าเซี่ยโฮวโม่มักปรากฏตัวในสถานที่ที่อธิบายไม่ได้ นางสงสัยว่ามันเป็นเหตุบังเอิญ รือหลีกเลี่ยงไม่ได้
มองผ่านเสื้อผ้าของนาง เซี่ยโฮวโม่มองเห็นซูมู่เกอนอนขดตัวอยู่
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าเสื้อผ้าตรงหน้านี้ช่างสร้างความรําคาญให้เขาซะจริง
“มีคนออกไปจุดพลุริมทะเลสาบพระจันทร์ ซึ่งทําให้ทหารองครักษ์ในวังหลวงตกใจ” ดอกไม้ไฟเคยแพร่หลายในแคว้นนุ่มานานหลายปี แต่ภายใต้การปกครองขององค์จักรพรรดิองค์ก่อนถนนทั้งสายเกือบถูกไฟไหม้จากดอกไม้ไฟ ดังนั้นจักรพรรดิองค์ก่อนจึงสั่งให้จํากัดการจุดพลุดอกไม้ไฟ”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง อาจไม่มีใครได้เล่นดอกไม้ไฟแม้ว่าจะมีเงินซื้อก็ตาม สามารถขายดอกไม้ไฟได้เพียงจํานวนหนึ่งในบางเทศกาลเท่านั้น
เนื่องจากในวันนี้ไม่ใช่เทศกาล จู่ๆมีการแสดงดอกไม้ไฟที่ริมทะเลสาบขึ้นมันจึงดึงดูดความสนใจของทหารองครักษ์ได้อย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ จู่ๆ ซูมู่เกอก็ตระหนักว่าเชี่ยโฮวโม่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของทหารองครักษ์ของวังหลวง!
มีอํานาจทางทหารถึงอยู่นอกวัง แต่เขายังกุมอํานาจที่ยิ่งใหญ่ในเมืองหลวงด้วย!
“มีคนต้องการเอาชีวิตอยู่บนเรือ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?
“หลังจากที่ข้าตกลงไปในน้ํา มีคนจับที่ข้อเท้าของข้าเพื่อไม่ให้ข้าขึ้นฝั่งได้ คนๆนั้น ตั้งใจจะทําให้ข้าจมน้ําตาย”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเซี่ยโฮวโม่ก็มืดลง
“เจ้าโชคดีมากที่รอดชีวิตมาได้”
เชี่ยโฮวโม่ลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปในปาที่ด้านหลัง
และตงหลินเดินออกมาจากป่า
“ฝ่าบาท เราจับได้สองคน อีกห้าคนตายและหนึ่งคนหนีไปได้พะยะค่ะ”
เซี่ยโฮวโม่ยืนเอามือไพล่หลัง “จะทําวิธีไหนก็ได้ ทําให้สองคนนั้นสารภาพออกมา”
“พะยะค่ะ
เมื่อเซี่ยโฮวโม่กลับมา ซูมู่เกอได้เปลี่ยนกลับไปใส่เสื้อผ้าของนางเองแล้ว ซึ่งได้รับการอบให้แห้งจากกองไฟเป็นอย่างดี
“ใต้เท้าเซี่ย ขอบคุณสําหรับความช่วยเหลือของท่าน” นางพับเสื้อคลุมของเขาและยื่นคืนให้เขา เซี่ยโฮวโม่ทําแค่มอง แต่ก็ไม่รับมันมา
“เก็บมันไว้กับเจ้า”
ซูมู่เกอชะงัก สงสัยว่าความจริงเขาไม่ชอบที่นางสวมเสื้อผ้า!
“ข้าจะทําความสะอาดแล้วส่งให้ท่านในภายหลังเจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในอีกด้านหนึ่ง สุดท้ายแล้วเยว่รูยังครองนางอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำ
“ข้าขอบคุณท่านมาก ใต้เท้า”
เซี่ยโฮวโม่เหลือบมองนางด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ไม่จําเป็นต้องขอบคุณข้า ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ตอบแทนข้าในอนาคต”
หลังจากออกจากป่า เซี่ยโฮวโม่ขอให้โจวจิ๋วส่งซูมู่เกอกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซู แต่ซูมู่เกอกังวลเกี่ยวกับเยวรูและยืนยันที่จะกลับไปที่ทะเลสาบพระจันทร์แม้จะเสี่ยงต่อการกระโดดออกจากรถม้าก็ตาม
โจวซิ่วไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพานางไปที่นั่น
มองจากระยะไกลทะเลสาบพระจันทร์ถูกล้อมรอบไปด้วยทหารองครักษ์ของวังหลวง เมื่อเข้าไปแม้จะยังอยู่ห่างจากฝั่ง ซูมู่เกอยังสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือด
เมื่อนางเข้าไปใกล้ นางเห็นศพเรียงรายอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ํา
“คุณหนู! คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ! ในที่สุดท่านก็มาแล้ว!” ในขณะที่ซูมู่เกอกําลังมองหานางก็เห็นเยวู่่วิ่งมาหานางด้วยดวงตาสีแดงและน้ําตาไหล
ซูมู่เกอถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นนางปลอดภัยและไม่ได้รับอันตรายใด
“ข้าได้รับการช่วยเหลือจากองครักษ์ของวังหลวง ข้าสบายดีตอนนั้นเจ้าอยู่บนฝั่งเจ้าเห็นไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
เยว่รูเช็ดน้ําตามและพูดว่า “ตอนนั้น ข้าน้อยเห็นเรือกําลังลุกเป็นไฟและต้องการตามหาท่าน แต่ไม่มีเรือแล้ว ข้าจึงทําได้แค่รออยู่ริมฝั่ง หลังจากได้ยินว่ามีคนตาย ข้าตื่นตระหนกมากจนขอให้ซินเอ๋อ
กลับไปแจ้งนายหญิงในขณะที่ข้าตามหาท่านที่ริมฝั่งตลอดเจ้าค่ะ
ซูม่เกอมองไปที่ศพที่นอนเรียงรายอยู่ พบว่าหลายๆ คนแต่งตัวภูมิฐาน พวกนางต้องเป็นสุภาพสตรีหรือเจ้านายของตระกูลขุนนางชั้นสูงแน่
“กลับกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากที่ซูมู่เกอกลับถึงที่คฤหาสน์ตระกูลซู นางได้รับรู้ว่าซูจิงเหวินถูกส่งกลับมาแล้ว แต่ดูเหมือนนางจะตกใจมากจนต้องเชิญหมอมาตรวจดูอาการ
เรื่องไฟไหม้ร้ายแรงมากจนทําให้นางจ้าวเครียดเกือบสิ้นสตินางจับมือซูมู่เกอทันทีที่กลับมาถึงและไม่ปล่อยไป
“ข้าได้ยินมาว่ามีอุบัติเหตุที่ทะเลสาบพระจันทร์ เมื่อเห็นว่าเจ้ายังไม่กลับมาข้าเป็นห่วงเจ้ามาก”
“ตอนนั้นมันอันตรายมากเจ้าค่ะ ข้าเกือบถูกฆ่าตายในน้ํา แต่โชคดีที่ข้ากลับมาได้อย่างปลอดภัย” ตอนนนี้พวกเขาอยู่ในเมืองหลวง ซูมู่เกอไม่มีแผนสํารองที่จะละเว้นการแจ้งข่าวร้ายต่อนางจ้าวเพราะนางคิดว่านางจ้าวควรมีความสามารถในการรับข่าวเลวร้า ยต่างๆ
แน่นอน นางจ้าวเปลี่ยนสีหน้าทันที่ที่นางได้ยิน
“อันตรายมาก! อมิตาพุทธ พระพุทธองค์โปรดประทานพรให้กับมูมู่ของลูกด้วยเทอญ มูมู่ ตามข้ามาไปจุดธูปต่อหน้าพระพุทธองค์”
ซูมู่เกอแค่นยิ้มออกมา
ในห้องทรงอักษร องค์จักรพรรดิในวังหลวง
จักรพรรดิเซียโฮวรุยนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ใช้มือข้างหนึ่งประคองหน้าผากไว้และคิ้วขาวขมวดมุ่น
เชี่ยโฮวคุณ โค้งคํานับ “ถวายบังคมเสด็จพ่อ มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้นสิบห้าชีวิตในคดีทะเลสาบพระจันทร์ แปดคนเป็นสมาชิกในตระกูลของเสนาบดีระดับสูงของราชสํานักและส่วนที่เหลือเป็นข้ารับใช้ที่ติดตามไปด้วยพะย่ะค่ะ”
หลังจากที่พูดจบ เซี่ยโฮวคุณมองไปที่เซี่ยโฮวรุยและเห็นว่าเขาไม่มีความตั้งใจที่จะพูด เขาทําได้เพียงพูดต่อ “คนเหล่านั้นกล้าเกินไปที่จะก่อความรุนแรงในเมืองหลวงกลางวันแสกๆ! ถ้าจําไม่ผิด องครักษ์ของน้องเก้าน่าจะต้องส่งเจ้าหน้าที่มาลาดตระเวนริมทะเลสาบพระจันทร์เพิ่มเติมในวันนี้”
หลังจากที่สิ้นสุดคําพูด เซี่ยโฮวรุยก็ลืมตาขึ้นในที่สุด “เจ้ากําลังบ่งบอกว่าภัยพิบัติเกิดจากการที่น้องชายคนที่เก้าของเจ้าละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ ใช่หรือไม่?”
เซี่ยโฮวคุณลดศีรษะลงทันที “หม่อมฉันแค่พูดความจริงพะย่ะค่ะ มันคงต้องอาศัยการตรวจสอบอันชาญฉลาดของเสด็จพ่อและพระปรีชาญาณ เสด็จพ่อ”
ขณะนั้น วันที่อีเข้ามาในห้อง
“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ ราชาแห่งจินขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”
“ให้เขาเข้ามา”
“พะยะค่ะ”
ในขณะที่เซี่ยโฮวโม่เดินเข้าไปในห้อง “หม่อมฉันขอถวายพระพร เสด็จพ่อ”
“เจ้าได้สอบปากคําคนทั้งหมดที่ถูกจับในทะเลสาบพระจันทร์แล้วหรือไม่?
“หม่อมฉันพบเครื่องหมายบนรอยฝ่าเท้าของพวกเขาในขณะที่ซักถามชายชุดดําพะย่ะค่ะ” เซี่ยโฮวโม่หยิบภาพวาดจากเขา และขันที่อีก้าวไปข้างหน้าเพื่อนําภาพวาดไปวางบนโต๊ะมังกรให้ทอดพระเนตร
องค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยลืมตาขึ้นและเห็นเครื่องหมายจันทร์เสี้ยวบนกระดาษ
ด้วยความโกรธที่ปรากฏบนใบหน้าของเขา เซี่ยโฮวรุยจึงโยนภาพวาดตรงหน้าเซี่ยโฮวคุณ “บอกข้ามา ว่ามันคืออะไร!?”
เชี่ยโฮวคุณรู้สึกสับสนเล็กน้อยในตอนแรก เขาย่อตัวลงเพื่อหยิบมันขึ้นมาและตรวจดูอย่างใกล้ชิด จากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดลงอย่างรวดเร็ว
“เสด็จพ่อ มัน…หม่อมฉัน…”
“บางครั้งข้าก็เมินเฉยทํามองไม่เห็นบางอย่าง แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าทําอะไรลงไปบ้าง!”
เซี่ยโฮวคุณคุกเข่าลงทันที
เครื่องหมายบนภาพวาดนั้นเป็นเครื่องหมายขององครักษ์ลับของเขา!
“เสด็จพ่อ โปรดทรงพิจารณาให้ตรวจสอบเรื่องนี้เพิ่มเติมเถิดพะย่ะค่ะ หม่อมฉันเป็นคนทําผิด! หม่อมฉันจะได้ประโยชน์อะไรในการฆ่าสตรีและนายน้อยเหล่านั้น? เห็นได้ชัดว่ามีคนใส่ความหม่อมฉัน!”
ในขณะที่พูดเสี่ยโฮวคุณจ้องไปที่เซี่ยโฮวโม่ มันต้องเป็นเขา!
องค์จักรพรรดิเซียโฮวรุยหรี่ตาลงและพ่นลมหายใจออกมา ก่อนที่จะหันไปหาเซียโฮวโม่ “เจ้าได้อะไร เพิ่มเติมจากการสอบสวนหรือไม่?”
เซี่ยโฮวโม่ลดสายตาลง “พวกเขาบอกเพียงแค่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาต้องการฆ่านายน้อยทั้งหมดและคุณหนูทั้งหลายบนเรือพะย่ะค่ะ”
“ปัง!”
“สามหาว!”
จักรพรรดิเซียโฮวรุยกระแทกโต๊ะอย่างแรงและส่งเสียงอึดฮัด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยโฮวคุณก็ยิ่งกังวลใจ เขากัดฟันและพูดว่า “เสด็จพ่อ แม้ว่าคนเหล่านั้นจะมีเครื่องหมายขององครักษ์ลับของหม่อมฉัน มันเป็นไปได้ว่ามีใครบางคนกําลังทําให้หม่อมฉันเป็นผู้รับผิด เสด็จพ่อโปรดเชื่อใจหม่อมฉัน และให้โอกาสหม่อมฉันได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของหม่อมฉันด้วยพะย่ะค่ะ”
เซียโฮวรุยจ้องเซียโฮวคุณอย่างค้นหา
“ได้ ข้าจะให้โอกาสนี้แก่เจ้า ถ้าเจ้าไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ก็อย่ามาพบหน้าข้าอีก”
“รับด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ” เซี่ยโฮวคุณกําหมัดแน่น
“เจ้าออกไปได้”
“หม่อมฉันขอกราบทูลลาพะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”
เซี่ยโฮวคุณจากไปด้วยความโกรธเป็นอย่างมาก มีเพียงเซี่ยโฮวโม่และเซี่ยโฮวรุยเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้องทรงอักษร
“บอกข้ามาว่าเจ้าคิดอย่างไร”
“รอยประทับนั้นชัดเจนเกินไปพะย่ะค่ะ” หลายตระกูลในเมืองหลวงจะฝึกฝนองครักษ์ลับประจําตระกูล องครักษ์ลับทุกคนจะมีเครื่องหมายที่ไม่ซ้ํากัน ซึ่งจะถูกลบออกไปชั่วขณะเมื่อพวกเขาปฏิบัติภารกิจ เพื่อที่พวกเขาจะไม่ทิ้งร่องรอยของเจ้านายที่สั่งการไว้
ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่ดีต่อเซี่ยโฮวคุณแน่นอน
ภายใต้การตรวจสอบอย่างใกล้ชิดของจักรพรรดิ เขาไม่โง่เกินไปที่จะทําเช่นนั้น
“เจ้าหมายความว่าไม่ใช่พี่ชายคนที่สองของเจ้าที่ทําสิ่งนี้?”
“หม่อมฉันไม่กล้าสรุปก่อนที่จะมีตรวจสอบเพิ่มพะย่ะค่ะ”
เชี่ยโฮวรุยดูเหมือนจะหัวเราะเบา ๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าใจเย็นและมั่นคงมาตลอด คราวนี้ แค่คอยดูและปล่อยให้พี่ชายคน ที่สองของเจ้าหาทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขา”
“หม่อมฉันรับพระบัญชา พะย่ะค่ะ” เซี่ยโฮวโม่รักษาสีหน้าของเขา
ซูมู่เกอหยุด ทำการจับชีพจรขององค์หญิงเก้า
แม้ว่าชีพจรของนางจะยังอ่อนอยู่ แต่อย่างน้อยการเต้นของหัวใจของนางก็ฟื้นตัวแล้ว!
ซูมู่เกอถอนหายใจด้วยความโล่งอก พร้อมกับเหงื่อที่ไหลซึมบนหน้าผากของนาง
นางยกมือขึ้นเช็ดมัน แล้วยืนขึ้น
“ประคององค์หญิงขึ้นมา ให้องค์หญิงนั่งบนเก้าอี้”
การฟื้นคืนชีพขององค์หญิงเก้าทำให้นางกำนัลของนางไม่สามารถฟื้นตัวจากอาการช็อกได้
มันจนกระทั่งซูมู่เกอหันหลังกลับจากนั้นนางกำนัลก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยความงุนงงและช่วยประคององค์หญิงเก้าขึ้นนั่งบนเก้าอี้
องค์หญิงเก้าลืมตาขึ้นด้วยใบหน้าซีดเซียวและลมหายใจอ่อนแรง นางมองทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้านางด้วยความว่างเปล่า
นางเอามือจับที่อก เพราะรู้ว่าตัวเองมีอาการหัวใจวาย ไม่อย่างนั้น ตอนนี้หัวใจของนางคงไม่อึดอัด
“ยามาแล้วเพค่ะ ยาสำหรับองค์หญิงเก้ามาแล้วเพค่ะ”
ในที่สุดนางกำนัลก็นำยามาให้กับองค์หญิงเก้า หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ดูดีขึ้นเล็กน้อย
“น้องหญิงเก้า เจ้ารู้สึกอย่างไร?” เซี่ยโฮวคุณถาม
เซี่ยโฮวซีเป็นโรคหัวใจตั้งแต่นางถือกำเนิด ดังนั้นทุกที่ที่นางไป ผู้ติดตามของนางจะต้องพกยาสำหรับโรคหัวใจของนางไปด้วย แต่คราวนี้ ยาไม่มีเหลืออยู่บนรถม้าอย่างไร้เหตุผล
“ท่านพี่สอง ข้าสบายดี” เซี่ยโฮวซีตอบอย่างอ่อนแรง
“ดีแล้ว รีบส่งองค์หญิงเก้ากลับวัง”
“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
สายตาของเซี่ยโฮวซีตกลงไปที่ซูมู่เกอ ซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง
“เจ้าเพิ่งนำยามาให้ข้า แล้วใครช่วยข้าตอนที่ข้าหัวใจวาย?”
นางกำนัลก้าวไปข้างหน้า และกระซิบว่า “มันคือ มันคือหญิงผู้นั้นเพค่ะ” หลังจากพูดจบนางก็ชี้ไปที่ซูมู่เกอ
สายตาของเซี่ยโฮวซีที่มีต่อซูมู่เกอเปิดเผยความคิดของนางในทันที
ซูมู่เกอยืนยืดตัวขึ้นและกล่าวว่า “องค์หญิงเพค่ะ ท่านตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน โปรดอภัยแก่ความผิดของหม่อมฉันด้วยที่ได้ล่วงเกินพระองค์”
ดวงตาของเซี่ยโฮวคุณหันไปที่นางกำนัล “เมื่อครู่ องค์หญิงเก้าหยุดหายใจจริงๆรึ?” เขาได้ยินมันเมื่อตอนที่เขามาถึง
แต่เขาไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าคนตายจะฟื้นขึ้นมาได้
นางกำนัลยังคงตกใจเล็กน้อย พยักหน้าด้วยความหวาดกลัว “เพค่ะ ฝ่าบาท หม่อมฉันรู้สึกถึงลามหายใจขององค์หญิง ตอนนั้นองค์หญิงไม่มีลมหายใจแล้วจริงๆเพค่ะ”
เซี่ยโฮวคุณเปลี่ยนความคิดของเขาเล็กน้อย และในที่สุดก็หันมาสบตากับซูมู่เกอ สายตามองประเมินและจับผิดของเขาทำให้นางรู้สึกใจเสียอย่างมาก
ทันใดนั้น เขาก็ยิ้มให้ซูมู่เกอ
เซี่ยโฮวคุณสวมมงกุฎหยกสีม่วงและทองประดับมรกต ภายใต้คิ้วหลักแหลมของเขามีดวงตาที่แคบและเรียวยาวคู่หนึ่ง จมูกคมสันและริมฝีปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย รวมกับใบหน้าเหลี่ยมคมของเขา เขาเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลา
เสื้อคลุมสีน้ำเงินกรมท่าของเขาทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเพื่อนรุนราวคราวเดียวกัน ริบบิ้นสีเขียวหยกรอบเอวของเขาแสดงให้เห็นถึงเอวที่แน่นของเขา ตอนนี้เซี่ยโฮวคุณดูเป็นชนชั้นสูงมากกว่าตอนที่เขาอยู่ที่เมืองชุนหยาง
แม้จะมีตัวตนของเซี่ยโฮวคุณ เขายังคงมีเสน่ห์พอที่จะดึงดูดผู้หญิงได้
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นลูกสาวของซูหลุน ใต้เท้าซู และได้รักษาโรคระบาดในเขตเมืองโจวในเมืองชุนหยางได้ใช่หรือไม่?”
เมื่อดวงตาของเซี่ยโฮวคุณสบกับปานบนดวงตาของซูมู่เกอ ความรู้สึกแปลกๆ วูบวาบในดวงตาที่อ่อนโยนของเขาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าเขาจะเคยไปที่คฤหาสน์ตระกูลซู เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้หญิงที่นั่นมากนัก แม้ว่าพวกเขาจะเดินทางมาเมืองหลวงพร้อมกัน ทั้งสองก็ไม่เคยพบหน้ากัน
ซูมู่เกอก้มหน้าลงเล็กน้อย “เพค่ะ ฝ่าบาท เป็นหม่อมฉัน”
“ด้วยคุณหนูซูได้ช่วยชีวิตองค์หญิงเก้า ข้าจะไปเยือนคฤหาสน์ของเจ้าและขอบคุณเจ้าด้วยตัวข้าเอง เมื่อได้เห็นทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมของคุณหนูซู ข้าสางสัยว่าครูของเจ้าคือใคร?”
เมื่อเห็นเซี่ยโฮวคุณพูดคุยกับซูมู่เกออย่างอ่อนโยน ซูจิงเหวินรู้สึกโกรธแทบไหม้ภายในใจของนาง
“ฝ่าบาท พี่สาวของหม่อมฉันแค่บังเอิญได้ทำการนั้นเพื่อช่วยองค์หญิง นางสมควรที่จะให้พระองค์มาเยี่ยมคฤหาสน์ของเราเพื่อรับการขอบคุณนางได้อย่างไร?” ซูจิงเหวินออกมายืนและพูดอย่างเบาๆและเขินอาย
น้ำเสียงช่างน่ารังเกียจซะจนทำให้ซูมู่เกอขนลุก
“มันเป็นเกียรติของนางที่ได้ช่วยองค์หญิง ท่านพี่ ท่านจะลดตัวเองลงแบบนั้นได้อย่างไร?” เซี่ยโฮวหยินก็ไม่พอใจอย่างมากที่เห็นเซี่ยโฮวคุณสุภาพกับซูมู่เกอ
เซี่ยโฮวคุณมองไปที่เซี่ยโฮวหยินอย่างเข้มงวดและกล่าวว่า “อย่าพูดจาไร้สาระ!”
เซี่ยโฮวหยินต้องการที่จะลบล้าง แต่เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของเซี่ยโฮวคุณ ในที่สุกนางก็หุบปาก ท้ายที่สุด นางมีโอกาสมากมายที่จะสอนบทเรียนซูมู่เกอและไม่จำเป็นต้องทำตัวน่าอายแก่พี่ชายนางต่อหน้าผู้คนมากมาย
“ฝ่าบาท…..” ทหารองค์รักษ์ของเซี่ยโฮวคุณก้าวไปข้างหน้าและกระซิบข้างหูของเขา
เซี่ยโฮวคุณลดสายตาลงและพยักหน้าช้าๆ “ข้ารู้”
หลังจากนั้น เขาก็มองไปที่สองพี่น้องตระกูลซู เมื่อเขามองไปที่ซูมู่เกอดวงตาของเขานุ่มนวลและอ่อนโยนเป็นพิเศษ
“ข้าต้องไปจัดการเรื่องอื่นเดี่ยวนี้ ข้าจะไปเยี่ยมคฤหาสน์ตระกูลซูในวันอื่นและขอบคุณเจ้าด้วยตัวเอง”
มันจนกระทั่งร่างของเซี่ยโฮวคุณไม่สามารถมองเห็นได้ซูจิงเหวินจึงหยุดมองเขาอย่างไม่เต็มใจ นางหันไปหาซูมู่เกอ ดูเหมือนจะสนิทสนมกับนาง แต่ใจจริงกัดฟันข่มกลั้น แล้วพูดว่า “ท่านพี่ ท่านเก่งมาก!”
ซูมู่เกอถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างใจเย็นและยิ้ม “อย่างที่เจ้าพูด มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ”
ซูจิงเหวินแอบจ้องมองนางพลางคิด “ซูมู่เกอ ข้าจะดูว่าแกจะภูมิใจแบบนี้ได้นานแค่ไหน!”
“คุณหนูซู ทักษะทางการแพทย์ของเจ้ายอดเยี่ยมมาก” ในที่สุดเซี่ยโฮวซีก็พบโอกาสที่จะพูด นางรู้สภาพตัวเองดีกว่าใครๆ ทุกครั้งที่นางมีอาการหัวใจวาย ถ้านางไม่กินยาให้ทันเวลา นางก็อาจตายได้ทุกเมื่อ แม้แต่หมอหลวงก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย แต่ครั้งนี้ซูมู่เกอได้ช่วยชีวิตนางไว้!
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเพค่ะ องค์หญิง ไม่ต้องกล่าวถึงเพค่ะ”
“คนใกล้ตายทำลายความสนใจของข้าไปเสียหมด! เจ้ามาทำอะไรที่นี่? รีบเตรียมตัวให้พร้อม! เจ้าไม่ต้องการให้ข้าได้ชื่นชมทิวทัศน์นี้งั้นรึ?” เซี่ยโฮวหยินไม่พอใจอย่างมากที่ทุกคนให้ความสนใจกับซูมู่เกอและเซี่ยโฮวซี
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง หญิงสาวในที่นั้นก็ฟื้นไหวพริบทันที แม้ว่าทั้งสองจะเป็นองค์หญิงทั้งคู่ องค์หญิงแปดเป็นลูกสาวของนางสนมฉินที่เป็นที่โปรดปราณมากที่สุดโดยมีตำแหน่งเป็นนางสนมขั้นสามในองค์จักรพรรดิ นางยังเป็นน้องสาวขององค์ชายสองที่มีอำนาจมากในราชสำนัก ในขณะที่องค์หญิงเก้าถือกำเนิดจากนางสนมยู่โดยมีบรรดาศักดิ์เป็นนางสนมขั้นหก คนที่อยู่ในความโปรดปราณเมื่อนานมาแล้ว ตระกูลของนางไม่ได้มีอำนาจเช่นคนอื่น ด้วยเหตุนี้ เป็นที่ชัดเจนสำหรับหญิงสาวทั้งหลายที่จะประจบข้าที่สูงกว่า
ทุกคนจึงกลับมาหัวเราะและยิ้ม ล้อมรอบองค์หญิงแปด
ในบัดดล เรือกลับเต็มด้วยเสียงหัวเราะและเสียงเซ็งแซ่ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้
“องค์หญิงเก้าเพค่ะ ตอนนี้ท่านยังอ่อนแอ ท่านควรเสด็จกลับไปตอนนี้จะดีกว่าและพักผ่อนเพค่ะ” ซูมู่เกอรู้สึกปวดหัวเล็กน้อยที่เห็นความอยากรู้อยากเป็นขององค์หญิงเก้า
ในที่สุด หลังจากได้พบกับซูมู่เกออีกครั้ง เซี่ยโฮวซีจะไม่จากไปง่ายๆ
“ข้าสงสัยว่าคุณหนูซูช่วยข้าได้อย่างไร?”
“การช่วยให้หัวใจกลับมาเต้น”
“หัวใจ…การช่วยกู้คืนการเต้น? นั่นคืออะไร? เจ้าช่วยสอนข้าได้ไหมคุณหนูซู?”
ซูมู่เกอกดขมับของนาง “องค์หญิง….”
ปัง ปัง
“ดอกไม้ไฟ มีคนจุดพลุอีกแล้ว!”
ดอกไม้ไฟทำให้เรื่อมีชีวิตชีวาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทุกคนไม่กล้าที่จะทำผลีผลามอีกต่อไป ทุกคนทำได้เพียงนั่งนิ่งๆ
“โอ้ ฝนตกหรือ? ฝนกำลังหยดลงบนใบหน้าของหม่อมฉัน….”
“ใช่ ข้ารู้สึกเหมือนกัน ฝนกำลังตก…”
ซูมู่เกอสัมผัสหยดน้ำที่ตกลงบนปลายจมูกของนางแล้วรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเมื่อนางเช็ดมันออกด้วยผ้าเช็ดหน้าของนาง
เม็ดฝน….มันจะลี่นได้อย่างไร?
ทันทีที่นางกำลังจะดมของเหลว นางก็เห็นเงาอยู่เหนือศีรษะและมองขึ้นไปเพื่อดูใบหน้าเฉยเมยของเซี่ยโฮวซี
“มันดูเหมือนว่าฝนจะตก คุณหนูซูเจ้าไม่ได้เอาร่มมา ข้าสามารถส่งเจ้ากลับไปที่คฤหาน์ของเจ้าได้”
ซูมู่เกอมองไปที่สตรีผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่บนดาดฟ้าและรู้สึกเบื่อหน่าย
“ขอบพระทัยเพค่ะที่ทรงให้หม่อมฉันสัมผัสพระหัส องค์หญิงเก้า”
ซูมู่เกอแทบจะไม่หันกลับไปเพื่อจากไปเมื่อจู่ๆก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากห้องโดยสาร “ไฟไห้ม! ช่วยด้วย! ห้องโดยสารไฟไหม้!”
“ไฟไหม้เหรอ?” เซี่ยโฮวหยินขมวดคิ้ว ก่อนที่นางจะตอบสนองคนในห้องโดยสารก็รีบหนีออกมา
“ช่วยด้วย ห้องโดยสารถูกไฟไหม้!”
“อ้า!”
ชายคนหนึ่งที่เสื้อผ้าถูกไฟไหม้วิ่งหนีออกจากห้องโดยสารและกลิ้งไปบนดาดฟ้าซึ่งทำให้ดาดฟ้าลุกพรึบขึ้นทันที
“อา…ช่วยด้วย!”
“เร็วเข้า วิ่ง!”
“คุณหนู ปกป้องคุณหนู”
“องค์หญิง พาองค์หญิงออกไป…”
สถานการณ์บนดาดฟ้ากลายเป็นเรื่องโกลาหลในทันที มองดาดฟ้าสว่างขึ้นในทันใด ซูมู่เกอลดสายตาลง “มันคือน้ำมัน!” ไม่น่าแปลกใจที่นางรู้สึกว่าของเหลวแตกต่างจากน้ำฝนทั่วไป! ดาดฟ้าถูกหยดน้ำมันเพื่อให้ไฟลุกลามเร็วขึ้น!
ซูมู่เกอหันกลับมาและเห็นเซี่ยโฮวซียังคงยืนอยู่ที่นั่นอย่างว่างเปล่า นางเม้มริมฝีปากและดูความวุ่นวายบนดาดฟ้า “ใครว่ายน้ำได้บ้าง?”
“ข้า ข้าทำได้” นางกำนัลที่อยู่เบื้องหลังเซี่ยโฮวซีตกใจอย่างเห็นได้ชัด ตอบด้วยเสียงสั่น
ซูมู่เกอคว้าชูชีพจากกาบเรือใส่ให้เซี่ยโฮวซี
“ทุกอย่างยุ่งเหยิงไปหมด ทุกคนจึงกระตือรือร้นที่จะหลบหนีและไม่สนใจว่าท่านจะเป็นองค์หญิงหรือไม่ หากท่านต้องการที่จะอยู่รอด ให้ไต่เชือกนี้และว่ายน้ำไปที่ตลิ่ง!” ในขณะที่พูด ซูมู่เกอผูกปลายเชือกด้านหนึ่งไว้กับเรือ
“แต่ แต่ข้าทำไม่ได้ ข้าว่ายน้ำไม่เป็น…” นางไม่เหลือบุคลิกที่สงบ เซี่ยโฮวซีไม่เคยประสบอุบัติเหตุเช่นนี้มาก่อนและรู้สึกหวาดกลัว
“ใจเย็น ๆ เรือลำนี้อยู่ไม่ไกลจากฝั่ง ท่านสามารถทำมันได้!” ในขณะที่พูด ซูมู่เกอผลักนางไปที่กาบเรือ
“อา! ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”
“ไฟไหม้รุนแรงขึ้น!”
ในขณะที่เซี่ยโฮวซียังคงลังเล ซูมู่เกอกัดฟันและผลักนางลงจากเรือ
ในขณะเดียวกัน จู่ๆ นางก็ถูกใครบางคนตีและตกลงไปในน้ำอย่างควบคุมไม่ได้
มีคนกระโดดลงไปในน้ำจากเรือ ทันทีที่ซูมู่เกอจมดิ่งลงไปในน้ำ นางถูกทุบไหล่และจมลงไปในน้ำ
“อา…”
มันมืดไปหมดในน้ำนี่ ซูมู่เกอต้องการว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำ แต่นางรู้สึกว่าไหล่ของนางเจ็บปวดอย่างมากและเท้าของนางก็พัวพันกับบางสิ่งที่นางไม่สามารถกำจัดได้
“อา….”
ซูมู่เกอสงบลง เอื้อมมือที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของนาง ดึงกริชที่ผูกไว้ที่เอวของนางออกมา แล้วแทงที่เท้าของนาง
ทันทีที่มีดสั้นแทงออกไป จู่ๆก็มีคนจับมือนางและดึงนางลงไปด้านล่าง
ฉิบหาย!
นางพยายามกำจัดคนๆนั้น แต่คนๆนั้นมีพลังมากจนนางไม่สามารถหลุดพ้นได้
ในไม่ช้า นางก็รู้สึกว่าข้อมือของนางถูกมัดด้วยเชือก
ซูมู่เกอตกใจมากที่คน ๆ นั้นต้องการจับนางมัดไว้ที่ก้นน้ำและทำให้นางจมน้ำตาย!
นางดึงเข็มเงินที่ซ่อนอยู่ในสร้อยข้อมือออกมา แล้วแทงไปที่มือของบุคคลนั้น ทันใดนั้นคนๆนั้นก็ปล่อยมือของนาง และซูมู่เกอก็คว้าโอกาสที่จะว่ายดำดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว
มันมืดเกินไปในน้ำที่จะมองเห็นอะไรทั้งสิ้น ถ้านางหนีรอด คน ๆ นั้นต้องคิดว่านายลอยขึ้นเหนือน้ำ
นั่นล่ะ หลังจากดำลงไปสักพัก คนๆนั้นก็ตามไม่ทัน
จากนั้น ซูมู่เกอพยายามว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำ
(น้ำกระเซ็น)
นางรีบขึ้นจากน้ำและมองไปรอบ ๆ แต่ก็พบว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ !
นางว่ายน้ำห่างออกจากฝั่งโดยไม่รู้ตัว
ด้วยความเหนื่อยล้าหลังจากการต่อสู้ในน้ำ ซูมู่เกอว่ายเข้าฝั่งด้วยแรงเฮือกสุดท้าย เมื่อนางปีนขึ้นไปบนฝั่ง นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้ในที่สุด
เมื่อตะกี้ นางคิดจริงๆว่านางกำลังจะตายในน้ำ อะไรคือสิ่งที่คว้าจับนางไว้?
มันมีความหมายเฉพาะนางหรือทุกคนบนเรือ?
นางปีนขึ้นไปและจู่ๆ ก็ตรวจพบการเคลื่อนไหวที่อยู่เบื้องหลังของนาง
ซูมู่เกอรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที!
“อา! น่าเกลียดมาก! อย่างที่องค์หญิงแปดพูด นางดูน่ากลัวจริงๆ!” หญิงหน้ากลมในชุดผ้าไหมสีชมพูดพีชกรีดร้องด้วยความสยดสยอง
“นางเป็นคนจงใจทำให้เจ้าจมน้ำตายในเมืองชุนหยางใช่หรือไม่? ช่างเป็นหญิงเลวทรามมาก!” ผู้หญิงในชุดสีน้ำเงินก็ดูหวาดกลัวเช่นกัน
“อย่าพูดเรื่องนั้นเกี่ยวกับพี่สาวคนโตของข้าเลย นางแค่ล้อเล่นกับข้า”
“คนคนหนึ่งจะสามารถล้อเล่นกับชีวิตของอีกคนได้อย่างไร!?”
ก่อนที่ซูมู่เกอจะกลืนขนมลงไป นางถูกล้อมรอบไปด้วยกลุ่มหญิงสาวที่พูดพล่อยๆ เหล่านั้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกนางถูกชี้นำโดยซูจิงเหวิน น้องสาวของนางที่เป็นคนนำความลำบากมาสู่นาง
คุณหนูสาวทั้งหลายกำลังมองไปที่ซูมู่เกอราวกับว่านางเป็นสัตว์ร้ายในสวนสัตว์ ทำให้นางอารมณ์เสียจริงๆ
“อย่างพูดอย่างนั้น พี่สาวคนโตของข้าได้รับการยกย่องจากองค์จักรพรรดิในเรื่องทักษะทางการแพทย์ของนาง….” ซูจิงเหวินกล่าวขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล นั่นยิ่งทำให้เหล่าคุณหนูสูงศักดิ์เหล่านั้นถึงกับโกรธ
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ารางวัลขององค์จักรพรรดิเป็นเกียรติอย่างยิ่ง แต่ผู้หญิงที่น่าเกลียดและเลวทรามคนนี้จะได้รับมันได้อย่างไร?
“พี่ใหญ่ ท่านต้องอยู่ที่นี่คนเดียวอย่างน่าเบื่อ ทำไมไม่มาร่วมสนุกกับเราเจ้าค่ะ” ซูจิง เหวินเดินไปข้างหน้าด้วยรูปลักษณ์เหมือนน้องสาวแสนดี แสดงให้เห็นถึงความกลัวในสายตาของนางที่มองไปยังซูมู่เกอ
ในสายตาของผู้อื่น ดูเหมือนนางจะมีความกลัวโดยสัญชาตญาณราวกับว่านางถูกซูมู่ เกอรังแกและกดขี่ข่มเหงเป็นเวลานาน
ตอนนี้นางกำลังแสดงละคร แต่ซูมู่เกอก็มีพรสวรรค์ในการทำเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน
ซูมู่เกอแอบบีบฝ่ามือของนางและดวงตาของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที จากนั้นนางก็มองไปที่ซูจิงเหวินด้วยท่าทางประจบยกยอ
“จริงๆนะ? นั่นเยี่ยมมาก!”
ซูจิงเหวินต้องการเพียงแค่นำสตรีสูงศักดิ์เหล่านี้มาเพื่อหัวเราะเยาะนาง นางจะเต็มใจให้ซูมู่เกอรู้จักพวกเขาได้อย่างไร!
ชั่วขณะหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าของซูจิงเหวินดูแข็งกระด้างขึ้น
“องค์หญิงแปดเสด็จแล้ว! อา องค์หญิงเก้าก็เสด็จที่นี่เช่นกัน!”
ด้วยเสียงโห่ร้องในฝูงชนทุกคนหมุนตัวกลับไปมองข้างหลังทันที
ซูจิงเหวินไม่มีเวลาจัดการกับซูมู่เกอ นางหันกลับไปและก้าวไปข้าหน้า
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและเห็นองค์หญิงแปดในชุดผ้าโปร่งสีชมพูอมเทาอ่อน ตามด้วยองค์หญิงเก้าในชุดสีฟ้าอมชมพูคนที่เรียกนางเข้าเฝ้าเป็นการเฉพาะเมื่อวันก่อน
ซูมู่เกอไม่ประทับใจองค์หญิงทั้งสองนี้ นางแค่อยากจะใช้โอกาสนี้เรียนรู้เมืองหลวงให้รอบๆ
“ขอถวายบังคมเพค่ะ องค์หญิงแปด องค์หญิงเจ้า”
องค์หญิงแปดนั่งลงบนที่นั่งแรกพร้อมกับดวงตาที่แข็งแกร่งคู่หนึ่งเชิดขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นถึงความเย่อหยิ่งของเชื้อพระวงศ์
องค์หญิงเก้านั่งลงข้างๆนางด้วยท่าทางเฉยเมยมากราวกับทุกสิ่งรอบตัวไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนาง อย่างไรก็ตาม นางกำลังค้นหาในฝูงชนราวกับว่านางกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
“ลุกขึ้นเถิด วันนี้ข้าค่อนข้างเบื่อในวังและแค่อยากออกมาพักผ่อน ไม่จำเป็นต้องเป็นพิธีการนัก”
เหมือนดวงจันทร์ที่ล้อมรอบด้วยดวงดาวมากมาย องค์หญิงแปดถูกห้อมล้อมในเวลาไม่นาน
“นั่น นั่นคือองค์ชายสองที่อยู่ตรงนั้นใช่หรือไม่?”
“องค์ชายสอง มันเป็นพระองค์จริงๆ พะย่ะค่ะ?”
ด้วยเสียงตุ้งติ้งบนเรือ เหล่าสาวๆผู้สูงศักดิ์ที่อยู่รอบๆองค์หญิงแปดทุกคนหันไปมองเรือที่อยู่ตรงข้ามกับพวกนาง
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นซูมู่เกอมองขึ้นไปอีกด้านหนึ่ง เพียงเท่านั้นก็ได้เห็นร่างเพรียวที่คุ้นเคยลางๆ
“ปัง – ปัง”
“ดอกไม้ไฟ! ดูสิ มันเป็นการแสดงดอกไม้ไฟ!”
ทันใดนั้น ดอกไม้ไฟก็ระเบิดขึ้นบนท้องฟ้า ดึงดูดความสนใจของทุกคน
ซูมู่เกอมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สงสัยว่าทำไมมีคนมาจุดดอกไม้ไฟในตอนกลางวันเช่นนี้เมื่อมันมองไม่เห็นอะไรเลย
“มันเป็นฝั่งตรงข้าม…..”
“ดูสิ มีคนโปรยดอกไม้ลงในน้ำด้วย ว้าว สวยมาก!”
“จริงด้วย! สวยมาก! มันคือใครกัน?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้คนบนเรือต่างพากันขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าเรือเพื่อชมความคึกคัก ชั่วขณะ ดาดฟ้าเรือก็วุ่นวายเล็กน้อยพร้อมกับเสียงดังทำให้เรือสั่นอยู่ใต้เท้า
องค์หญิงแปดยังเดินไปดูที่เกิดเหตุด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“บูมมม”
“องค์หญิงเก้า พระองค์ทรงรู้สึกไม่สบายหรือเพค่ะ?”
คำอุทานที่คมชัดก็ระเบิดออกมา น่าเสียดายเนื่องจากดอกไม้ไฟดังเกินไปและบนดาดฟ้าก็มีเสียงดังเกินไปจึงมีคนเพียงไม่กี่คนที่สังเกตเห็นสถานการณ์ดังกล่าว
ซูมุ่เกอเดิมยืนอยู่ในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านน้อย เหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์รีบวิ่งไปที่ดาดฟ้าโดยเว้นที่ว่างไว้รอบตัวนาง
เมื่อได้ยินเสียง นางหันไปมองหาแหล่งที่มาและพบว่าองค์หญิงเก้าซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตอนนี้กำลังขดตัวและเอามือกดที่หน้าอกของนางด้วยท่าทางเจ็บปวด
“เร็วเข้า! องค์หญิงเก้าหัวใจวาย ไปเอายาของพระองค์มาเร็วเข้า!” นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตะโกนลั่น
“ยา ข้าไม่ได้นำมันมาด้วย ไปตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!”
ในเวลานี้ องค์ชายสองเซี่ยโฮวคุณ ซึ่งยืนอยู่บนเรืออีกลำมองดูผู้คนที่โปรยดอกไม้ลงน้ำด้วยการขมวดคิ้วและหันไปหาผู้ติดตามของเขา “ไปดูซิว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น”
“พะย่ะค่ะ”
ซูมู่เกอพบว่าสตรีสูงศักดิ์ไม่กล้าออกไปข้างหน้าอีกต่อไปหลังจากเห็นอาการขององค์หญิง ด้วยกลัวว่าจะมีปัญหา
การนอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้ขององค์หญิงเก้าด้วยอาการหายใจไม่ออก ครั้งสุดท้ายเมื่อนางได้เข้าเฝ้าองค์หญิงในวังหลวง ซูมู่เกอสังเกตเห็นผิวที่ผิดปกติของนาง
ซูมู่เกอมองไปที่ริมฝีปากของนางที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีม่วงและขมวดคิ้ว โดยไม่ลังเล นางผลักฝูงชนออกไปและเดินหน้าเข้าไป
ในฐานะแพทย์ นางจะไม่ยืนดูชีวิตที่อยู่ตรงหน้าพินาศไปต่อหน้านาง
“เจ้าเป็นใคร? เจ้ากำลังจะทำอะไร?”
นางกำนัลข้างตัวองค์หญิงเก้ามองนางด้วยความตื่นตัว
“ข้าสามารถรักษาชีวิตขององค์หญิงได้จนกว่าเจ้าจะได้ยามา”
นางกำนัลตะลึงงัน และก่อนที่นางจะพูด ซูมู่เกอก้าวไปข้างหน้าและจับมือขององค์หญิงเก้า
เพียงแค่นางจับชีพจร องค์หญิงเก้าหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน!
เมื่อรูม่านตาของนางแคบลง ซูมู่เกออุ้มองค์หญิงเก้าขึ้นจากเก้าอี้และวางนางนอนราบกับพื้น
“เจ้า เจ้ากำลังทำอะไรกับองค์หญิงเก้า!”
ในเวลานี้ ผู้คนที่เฝ้าดูเหตุการณ์บนดาดฟ้าก็ตระหนักถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในที่สุด
“อา! เกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิงเก้า?”
จากนั้สไม่นานผู้คนมากมายมารวมตัวกัน
ในฝูงชน ซูจิงเหวินมองไปที่ซูมู่เกออย่างสงสัย คนที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆองค์หญิงเก้าอย่างสงสัยว่านางกำลังทำอะไร
“องค์หญิงเก้าหัวใจวายหรือ?”
“ข้ากลัวจะเป็นอย่างนั้น ใคร ใครเป็นอะไร? นางกำลังทำอะไรกับองค์หญิงเก้า?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ซูจิงเหวินตระหนักว่าซูมู่เกอตั้งใจจะช่วยเหลือองค์หญิงเก้า นางคิดว่านางเป็นใคร? นางไม่รู้หรือว่ากำลังช่วยองค์หญิง?
นางคิดว่าทักษะทางการแพทย์ของนางยอดเยี่ยมขนาดนั้นจริงหรือ?
แต่ถ้าองค์หญิงเก้ามีเหตุร้ายที่ไม่คาดคิด ซูมู่เกอจะถึงคาด! เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ซูจิงเหวินแอบรู้สึกยินดี
“คลายร่างของนาง” ซูมู่เกอกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง ตอนนี้พบภาวะหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน นางต้องได้รับการช่วยชีวิตฉุกเฉินทันที มิฉะนั้นองค์หญิงอาจจะตาย
“เจ้าทำบ้าอะไรกับองค์หญิงเก้า?”
“ตอนนี้องค์หญิงหยุดหายใจแล้ว หากไม่มีความช่วยเหลือฉุกเฉินพระองค์ก็สามารถตายได้เท่านั้น” ดวงตาของซูมู่เกอสงบ แต่คำพูดของนางทำให้นางกำนับเป็นอัมพาต
“อะไรนะ? เก้า องค์หญิงเก้า หยุด หยุดหายใจ…” นางกำนัลเอื้อมมือที่สั่นระริกของนางไปที่ใต้จมูกขององค์หญิงพร้อมกับทั้งร่างของนางแข็งทื่อทันที
องค์หญิงเก้า จริง จริงไม่มี ไม่มีลมหายใจ!
“จริงๆ จริงไม่มีลมหายใจ…” นางกำนัลตกใจกลัว
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเหลือ ซูมู่เกอทำได้เพียงวางร่างขององค์หญิงเก้าลงอย่างรวดเร็ว จับมือและปั๊มหน้าอกหลาย ๆ ครั้ง แต่การเต้นของหัวใจนางไม่แสดงอาการว่าจะฟื้นตัว
นางปั๊มหน้าอกภายนอกของนางซ้ำ ๆ โดยใช้มือวางทับกัน
“องค์หญิงเก้าไม่มีลมหายใจ เจ้า เจ้ากำลังทำอะไรอยู่!” นางกำนัลตกใจเมื่อเห็นการกระทำของซูมู่เกอ
“อะไรนะ? องค์หญิงเก้าไม่มีลมหายใจ?”
“อา น่ากลัวมาก!”
เมื่อได้ยินว่าองค์หญิงเก้าเสียชีวิตแล้วทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็พลันหน้าซีดและกลับและไม่กล้ามองไปที่คนที่นอนอยู่บนพื้น
“ภายนำไม่กี่นาทีหลังจากหัวใจหยุดเต้น มีโอกาสที่ดีที่จะช่วยนางได้”
ซูมู่เกอไม่ได้หยุดการปั๊มหน้าอกขององค์หญิงเก้า แต่นางกดซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางดูสงบและจริงจังราวกับว่าไม่มีอะไรมารบกวนนางได้
เซี่ยโฮวคุณยืนอยู่บนดาดฟ้าของเรืออีกลำสังเกตห็นเหตุการณ์ที่นั่น
สตรีผู้สูงศักดิ์เหล่านี้มักจะมีสง่าราศีและมีเกียรติที่เหมาะสมต่อหน้าผู้คน ความยุ่งเหยิงเช่นนี้หายากจริงๆ
“ส่งคนไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น”
“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท หม่อมฉันรับคำสั่ง”
ไม่กี่นาทีต่อมาทหารที่ไปสอบถามข้อมูลก็กลับมา
“ว่าอย่างไร?”
“องค์ชายสองพะย่ะค่ะ มันคือองค์หญิงเก้าโรคหัวใจกำเริบพะย่ะค่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยโฮวคุณก็ขมวดคิ้ว “ไปดูกันเร็วเข้า”
เซี่ยโฮวคุณไม่ต้องการมีปัญหาใดๆ แต่ถ้าเขาไม่ดำเนินการใดๆ เหตุการณ์นี้จะต้องถูกท่านพ่อทรงทราบแน่นอน เขาคนที่จะกลายเป็นคนเลือดเย็นเกินไปและไม่สนใจน้องสาวของตัวเอง
“องค์ชายสองเสด็จแล้ว ถวายบังคมฝ่าบาท”
“มันคือองค์หญิงเก้า ฝ่าบาท”
“ฝ่าบาทเพค่ะ องค์หญิงเก้า องค์หญิงเก้าหยุด หยุดหายใจ….”
เซี่ยโฮวคุณเดินเข้าไปในฝูงชนและเห็นซูมู่เกอคุกเข่าอยู่ที่พื้นและทำการช่วยฟื้นคืนชีพให้กับองค์หญิงเก้า
การเคลื่อนไหวของนางเรียบง่ายและแปลกประหลาดและยังคงทำซ้ำๆ
“เจ้ากำลังทำอะไร?” เซี่ยโฮวคุณถามด้วยความสงสัยที่สั่นไหวในดวงตาสีอ่อนของเขา
“ข้ากำลังช่วยชีวิตนาง”
ซูมู่เกอไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง
“ช่วยนาง….”
“ท่านพี่ใหญ่ ท่านไม่ควรสร้างความขุ่นเคืองกับองค์หญิงเก้านะเจ้าค่ะ ตอนนี้องค์หญิงเก้าได้หยุดหายใจไปแล้ว ทำไมท่านยังรั้งนางไว้ ท่านยังต้องการที่จะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท องค์ชายสอง โดยใช้องค์หญิงเก้า!” ซูจิงเหวินพบคำบอกกล่าวต่อเซี่ยโฮวคุณเกี่ยวกับซูมู่เกอและเดินไปข้างหน้าพร้อมกับสะอึกสะอื้น
คำพูดของนางหมายความว่าซูมู่เกอไม่ได้ช่วยองค์หญิงเก้า แต่เพื่อขโมยความสนใจของสาธารณชนและเอาชนะความสนใจของเซี่ยโฮวคุณ!
“พี่ใหญ่ โรคหัวใจขององค์หญิงเก้าเป็นเรื่องยากที่จะรักษาให้หายขาด แม้แต่หมอหลวง ท่านคิดว่าจะช่วยนางได้จริงหรือ?”
นางช่างชั่วร้ายเพียงใดที่ดึงดูดความสนใจจากการตายขององค์หญิง!
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนที่มีต่อซูมู่เกอก็เปลี่ยนไป
ซูมู่เกอสงบนิ่งโดยใช้มือกดปั๊มหัวใจต่อไป
เซี่ยโฮวหยินไม่ได้คาดคิดว่าซูมู่เกอจะมา นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ นางเอื้อมมือไปและผลักนางด้วยความไร้ปรานีในการแสดงออกของนาง
ซูมู่เกอลดสายตาลงและหลีกเลี่ยงมือของนางอย่างคล่องแคล่ว
คิ้วที่ดูดีของเซี่ยโฮวคุณขมวดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยกับคำพูดของซูจิงเหวินในระดับหนึ่ง เมื่อเขากำลังจะสั่งให้พานางออกไป องค์หญิงเก้าที่ไม่มีลมหายใจขยับตัวกะทันหัน
“ฮู้วววว”
“ฮา”
ทันใดนั้นองค์หญิงเก้าก็หอบหายใจ ทำให้เหล่าขุนนางตกใจกลัว
“นางยังมีชีวิตอยู่!”
“อ้า! สัตว์ประหลาด!”
เซี่ยโฮวหยิน เซถอยหลังด้วยความตกใจและล้มลงบนพื้น
เซี่ยโฮวซีตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของซูมู่เกอและไม่สามารถพูดได้ชั่วขณะ
ด้วยตาที่น่าสยดสยอง ซูมู่เกอมองที่เซี่ยโฮวหยินแต้มรอยยิ้มที่น่ากลัว
“องค์หญิงเพค่ะ พระองค์ทรงพอพระทัยกับสิ่งที่เห็นหรือไม่?” ในขณะที่พูด นางเดินเข้าหาพวกเขาช้าๆ
เซี่ยโฮวหยินกลัวมากจนนางหดตัวกลับ “เจ้า เจ้าเป็นสัตว์ประหลาด มาเร็ว เร็วเข้าจับสัตว์หระหลาดตัวนี้!”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง นางกำนัลในวังที่รออยู่ด้านนอกก็รีบเข้ามาในศาลา พวกเขาตกใจเช่นกันที่เห็นใบหน้าของซูมู่เกอ แต่พวกเขาไม่ขลาดกลัวเช่นองค์หญิงและรีบวิ่งไปหาซูมู่เกอ
ซูมู่เกอก้าวถอยหลังหลบผู้คนทั้งหมดที่มาจับนาง และตรงไปที่ศาลา
“เมื่อองค์หญิงทรงไม่เป็นอะไรร้ายแรง หม่อมฉันขอประทานอภัย กราบทูลลาเพค่ะ”
“เจ้า เจ้าสัตว์ประหลาด เจ้ากล้าหนีไปได้อย่างไร?” เมื่อซูมู่เกอจากไป เซี่ยโฮวหยินก็กล้ามากขึ้น
“พวกเจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่? จับนาง! เร็วเข้า!”
“ท่านพี่แปด พอ! พวกเจ้าทุกคนกลับมา!” เซี่ยโฮวซีรู้สึกตัวและหยุดสาวใช้ที่กำลังจะจับซูมู่เกอ
มันเป็นตำหนักของเซี่ยโฮวซี ดังนั้นนางกำนัลส่วนใหญ่จึงอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง เมื่อได้ยินคำสั่งของนางพวกเขาจึงไม่กล้าขยับตัวต่อ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เซี่ยโฮวหยินก็แสดงออกอย่างรุนแรง “เซี่ยโฮวซี เจ้ากล้าฝ่าฝืนคำสั่งของข้าได้เยี่ยงไร?”
เซี่ยโฮวซีดูเฉยเมยและดูเหมือนจะไม่กลัวการคุกคามของเซี่ยโฮวหยิน “ท่านพี่ ข้าไม่ได้ตำหนิท่านที่ทำลายแผนของข้า อย่างไรท่านพี่ถึงจะโทษข้าได้?”
“ฮึ! สัตว์ประหลาดน่าเกลียดตัวนี้สามารถทำอะไรได้? เช่นเดียวกับเจ้าที่อ่านหนังสือแพทย์มาหลายปีและเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์จากรองสำนักหมอหลวงในวังหลวงเจ้าก็ยังไม่สามารถรักษาแม้กระทั่งอาการเป็นไข้หวัดของเสด็จแม่ได้ เจ้าทำให้ตัวเองเป็นเช่นเดียวกับคนที่ตายไปแล้วด้วยซ้ำ ถ้าข้าไม่บอกความจริงกับเจ้า เจ้ายังคิดว่าเจ้าเก่งเรื่องยาอยู่งั้นหรือ!?”
ใบหน้าของเซี่ยโฮวซีซีดลงและเซี่ยโฮวหยินก็เสียงดังอย่างภาคภูมิใจ
“กลับตำหนักของข้ากันเถอะ”
“เพค่ะ”
เมื่อออกจากตำหนักของเซี่ยโฮวซี เซี่ยโฮวหยินวางใบหน้าเฉยเมยอีกครั้ง
“แม้กระทั่งลูกสาวของขุนนางชั้นต่ำยังกล้าที่จะทำให้ข้าขุ่นเคือง ข้าจะสอนบทเรียนสำหรับการกระทำที่สิ้นคิดของเจ้า!”
ซูมู่เกอถูกนางกำนัลพาออกจากวังและมุ่งหน้ากลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซู สำหรับความขัดแย้งกับองค์หญิงทั้งสอง นางไม่ได้ใส่ใจจริงจังกับมันนัก
ในห้องทรงอักษรขององค์จักรพรรดิ
หลังจากซูหลุนและซูมู่เกอจากไป เซี่ยโฮวรุยเอนหลังพิงบัลลังก์มังกรอย่างอ่อนแรง
ขันทีอีที่รออยู่ด้านข้างบัลลังก์ยกน้ำชาร้อนๆถวยให้กับองค์จักรพรรดิหนึ่งถ้วย
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ในที่สุดเขาก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขาในอก
“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ พระองค์ทรงรู้สึกดีขึ้นหรือไม่พะย่ะค่ะ?”
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยลุกขึ้นยืนและแย้มสรวล “ชาที่เจ้านำมาให้ข้าดื่มนั้นทำให้ข้ารู้สึกสบายขึ้นมาก”
“หม่อมฉันรู้สึกยินดียิ่งฝ่าบาท เป็นพระมหากรุณาธิคุณของหม่อมฉันที่ได้รับใช้พระองค์พะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยถอนหายใจเบาๆ “ข้ากลัวว่าร่างกายของข้าจะอยู่ได้อีกไม่นาน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ขันทีอีก็เปลี่ยนการแสดงออกของเขาหลายครั้ง “ฝ่าบาท อย่าทรงตรัสเช่นนั้นพะย่ะค่ะ พระองค์คือจักรพรรดิ จะเป็นเยี่ยงไรถ้าพระองค์…”
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยขัดจังหวะเขาด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ “เหล่าขุนนางในราชสำนักทั้งหลายปรารถนาให้ข้ามี ‘อายุยืนยาวครองราชน์ชั่วกัลป์’ แต่ข้าจะอยู่ตลอดไปได้อย่างไร?”
“ฝ่าบาท เนื่องจากคุณหนูสามารถรักษาโรคระบาดได้ ทำไมไม่ให้นางลองดูพะย่ะค่ะ?”
ให้เด็กคนนั้นรักษาเขา? เซี่ยโฮวรุยส่ายศีรษะก่อนจะคิดด้วยซ้ำ “ลืมมันซะ อย่างทำให้เด็กตกใจ ถ้าวันนี้ข้าไม่ได้เห็นซูหลุน ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กจากชนบทจะมีทักษะเช่นนั้น”
ขันทีอียังจำได้ว่าเหตุใดซูหลุนจึงถูกส่งไปนอกเมืองหลวงเพื่อเป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ใต้เท้าซูต้องพยายามอย่างมากในการปลูกฝังคุณหนูคนโตของตระกูลซูในปีนี้”
ใช้ความพยายามอย่างมากในการปลูกฝังนาง?
เซี่ยโฮวรุยไม่มั่นใจนัก เด็กที่ทำร้ายศักดิ์ศรีของบิดดาทางอ้อมและเป้าหมายใหม่ไม่สามารถทำให้ซูหลุนปลูกฝังนางด้วยความพยายามอย่างเต็มที่
“จริงๆ? มันเหมือนว่าซูหลุนจะก้าวหน้าไปมาก” จากนั้น เซี่ยโฮวรุยก็หลับตาและหยุดพูด
ขันทีอีฮึ่มฮั่มในลำคอ แต่ในที่สุดก็ไม่พูดอะไร
……………………….
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยไม่ทำให้ซูหลุนรอนานเกินไปหลังจากที่เขามาถึงเมืองหลวง คำสั่งแต่งตั้งขององค์จักรพรรดิก็ประกาศในไม่กี่วัน
ซูหลุนได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับ 9 ของกระทรวงการงาน หลังจากที่ซูหลุนได้รับคำสั่งแต่งตั้งขององค์จักรพรรดิและส่งคนจากวังหลวงกลับไป ซูมู่เกอรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจของเขาอย่างชัดเจน
เขาได้รับการเลื่อนขั้นเพียงระดับเดียว และเป็นตำแหน่งที่ไม่สำคัญ เขายังมีหนทางอีกยาวไกลที่จะไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งเสนาบดีว่าการกระทรวงการงาน!
ไม่พอใจอย่างที่เขาเป็น ซูหลุนไม่กล้าแสดงอารมณ์ของเขา แต่ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นสนุกสนานและไปราชสำนักในตอนเช้า
………………………….
“คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ ใต้เท้าขอให้ท่านและนายหญิงใหญ่ไปที่โถงหยงเหอเพื่อรับอาหารค่ำเจ้าค่ะ”
ปิดหนังสือทางการแพทย์ในมือของนาง ซูมู่เกอมองไปที่เยว่รู่และพูดว่า “ได้ ข้าจะไป”
อาศัยอยู่ที่เมืองหลวงมานานกว่าหนึ่งเดือน นางแทบจะไม่ได้ออกจากลานดอกท้อบานเลยและดูแลนางจ้าวและตัวนางเองอย่างพิถีพิถัน
วันนี้ นางขอให้เยว่รู่หาหนังสือทางการแพทย์ให้นาง เพื่อที่นางจะได้รู้เกี่ยวกับพัฒนาการทางการรักษาในยุคนี้ น่าเสียดายที่หลายวันมานี้ เยว่รู้พบเพียงเล่มเดียวซึ่งอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับโรคและอาการที่พบบ่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นคำอธิบายในหนังสือยังคลุมเครือมาก ดังนั้นมันจึงช่วยนางได้แค่เพียงเล็กน้อย
“รายงานท่านแม่ของข้าและเตรียมตัวให้พร้อม”
“เจ้าค่ะ”
ก่อนเวลาอาหารค่ำ ซูมู่เกอขอให้เยว่รู่ช่วยนางสวมชุดสีขาวนวลของดวงจันทร์ให้นาง
ด้วยรูปร่างที่เพรียวบางของนางและสีขาวราวดวงจันทร์ของชุด นางจึงดูเหมือนความสวยที่สง่างาม
เมื่อนางแต่งตัวเสร็จและเดินออกจากห้องไป นางจ้าวรออยู่ที่ด้านนอกแล้ว ในแวบแรกนางจ้าวมีรูปร่างอวบและดวงตาของนางทอประกาย
แม่และลูกสาวจับมือกันเดินไปที่โถงหยงเหอ
ก่อนเข้าห้องโถง พวกเขาได้ยินเสียงหัวเราะอันร่าเริงและดังกึกก้อง
“ท่านพ่อ ท่านชอบแกล้งข้ามาก…..
ทันทีที่ซูมู่เกอเดินผ่านม่านประตูที่ปักด้วยดอกไม้เข้ามา เสียงหัวเราะในห้องก็หยุดลงทันที
ซูมู่เกอมองไปรอบๆ พบว่ามีคนจำนวนมากยืนอยู่ในห้อง นอกจากนางอันและลูกสาวของนางแล้ว ยังมีนางสนมสามคนของซูหลุนและลูกสาวสองคนของนางสนม ซูยู่รั่ว คุณหนูคนที่สามและ ซูยู่ม้าน คุณหนูคนที่สี่
นางจ้าวมีโอกาสได้ร่วมโต๊ะอาหารกับซูหลุนในช่วงเทศกาลเท่านั้น ดังนั้นนางจึงดูอึดอัดเล็กน้อยในเวลานี้
“ใต้เท้า”
“ท่านพ่อ”
ซูหลุนเหลือบมองทั้งสองอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ซูมู่เกอสองสามวินาทีและพยักหน้า
“นั่งเถอะ”
ทันที่ที่ซูมู่เกอนั่งลง ซูจิงเหวินซึ่งนั่งอยู่ข้างนางอันเดินมาข้างหน้าและจับมือซูมู่เกอไว้
“ท่านพี่ ทำไมวันนี้ท่านไม่มาหาข้าล่ะ? ท่านดูถูกข้าเพราะข้าไม่เข้าใจหนังสือทางการแพทย์หรือ?”
ตั้งแต่ซูมู่เกอได้รับการยกย่องในการรักษาโรคระบาดในเมืองโจว ชื่อเสียงของนางในด้านทักษะทางการแพทย์จึงแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางในเมืองหลวง
มีสตรีจากตระกูลชั้นสูงหลายพันคนในเมืองหลวง แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับยกย่องจากองค์จักรพรรดิ ดังนั้นซูมู่เกอจึงมีชื่อเสียง
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องแปลกที่ตั้งแต่พวกเขาตั้งถิ่นฐานในเมืองหลวงเป็นเวลานานกว่าหนึ่งเดือน ไม่มีใครสักคนเดียวที่มาหาซูมู่เกอเพื่อรับการรักษา
เมื่อได้ยินคำพูดของซูจิงเหวิน สายตาของซูหลุนที่มองซูมู่เกอดูเคร่งขรึมเล็กน้อย
เป็นความจริงที่ซูมู่เกอน่าจะมีประโยชน์มากกว่านี้ แต่ถ้านางไม่เชื่อฟังและยังดูหมิ่นครอบครัวของนางดังที่ซูจิงเหวินกล่าว….นางจะไม่ช่วยเหลืออะไรเขา!
“มู่เกอ เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ รึ?”
ซูมู่เกอดึงมือของนางออกจากซูจิงเหวินอย่างใจเย็นและลดสายตาลง เพื่อปกปิดรูปลักษณ์ที่เยือกเย็นและเฉยเมยของนาง
“ไม่แน่นอนเจ้าค่ะ ท่านพ่อ เราคือครอบครัว ข้าจะดูถูกน้องสาวของข้าได้อย่างไร? ข้ากลัวจะเป็นการรับกวนเจ้าเมื่อเจ้าพักผ่อน ข้าไม่คาดคิดว่าน้องสาวคนที่สองของข้าจะเข้าใจผิดและตำหนิข้า”
“มู่เกอพูดถูก ใต้เท้า มันค่ำมากแล้ว มาทานอาหารเย็นกันเถอะเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่เชื่อฟังและถ่อมตัวของซูมู่เกอ ซูหลุนก็ยอมทิ้งประเด็นนี้ไป “อืม”
อาหารค่ำจืดชืดและน่าเบื่อ แม้ว่าอาหารจะดีกว่าที่ลานดอกท้อบานมาก ซูมู่เกอไม่สามารถเพลิดเพลินกับมันต่อหน้าโต๊ะที่เต็มไปด้วยผู้คนที่น่ารังเกียจ
“เกือบลืมไปเจ้าค่ะ ใต้เท้า ข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงแปดวางแผนที่จะเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่ทะเลสาบพระจันทร์และต้องการหาเพื่อนร่วมชื่นชมร่วมกัน เมื่อพิจารณาว่าเหวินเอ๋อร์และคุณหนูใหญ่ยังไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย ข้าขอพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าสำหรับสองคำเชิญนี้เจ้าค่ะ แล้วจะให้เหวินเอ๋อร์กับคุณหนูใหญ่ไปร่วมงานกับองค์หญิงแปดได้หรือไม่?”
ลูกสาวของเขาสามารถปรากฎตัวต่อหน้าองค์หญิงแปดซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการแต่งงานในอนาคตของพวกเขา แน่นอน ซูหลุนจะไม่คัดค้าน
“ได้สิ เจ้าต้องปฏิบัตตามกฎระเบียบต่อหน้าองค์หญิงแปดในวันพรุ่งนี้ อย่าทำให้ตระกูลซูต้องอับอาย เจ้าเข้าใจไหม?”
ซูยู่รั่วและซูยู่ม้านที่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆมองไปมี่ซูหลุน จากนั้นก็ลดสายตามองลงอย่างผิดหวัง
จากทัศนคติที่ดีขึ้นของซูหลุนที่มีต่อซูมู่เกอ นางอันทำให้ซูจิงเหวินไปกับซูมู่เกอ อย่างน้อยที่สุด มองอย่างผิวเผิน นางไม่ได้เป็นศัตรูกัน
ซูมู่เกอทำให้นางหายใจไม่ออกแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่สนใจลูกสาวที่เกิดจากสนมทั้งสองคน
“เจ้าค่ะ”
ก่อนออกจากโถงหยงเหอ ซูจิงเหวินเดินไปหาซูมู่เกอและหัวเราะเบาๆ “พี่สาว ท่านต้องแต่งตัวอย่างพิถีพิถันและเป็นทางการในวันพรุ่งนี้นะเจ้าค่ะ ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายสองจะอยู่ที่นั่นด้วย” ทันทีที่นางพูดจบ นางก็หมุนตัวกลับและเดินไปที่ห้องพักของนาง
องค์ชายสอง….
ซูมู่เกอไม่อยากไปจริงๆ!
…………………………………
เมืองหลวงเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการเมืองของแคว้นฉู่ ถนนขยายออกไปทุกทิศทุกทาง นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบไหลผ่านเมือง ทะเลสาบพระจันทร์ ในทะเลสาบ มีเรือหลายลำล่องผ่านตลอดทั้งปี
ฤดูร้อนในตอนนี้ ทะเลสาบเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสี และกิ่งใบหลิวกำลังร่ายรำไปกับสายลม สร้างทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิที่สวยงาม
“คุณหนู เราถึงแล้วเจ้าค่ะ”
รถม้าหยุดที่ริมทะเลสาม ทันทีที่ซูมู่เกอลงจากรถม้า นางเห็นเรือที่สวยงามในทะเลสาบ
ในการลงจากรถม้า ซูจิงเหวินขึ้นเรือโดยมีสาวใช้รายล้อม จากนั้นนางก็เข้าร่วมกลุ่มหญิงสาวที่แต่งกายอย่างปราณีตทันที
มันดูเหมือนซูจิงเหวินจะยุ่งอยู่กับการสังสรรค์ในแวดวงตระกูลขุนนางในเมืองหลวงตลอดเวลานี้
ในเมืองชุนหยาง เนื่องจากการเกิดที่ต่ำต้อยของนางจ้าวและนางถูกซูจิงเหวินข่ม ซูมู่เกอมีโอกาสเข้าร่วมงานสังสรรค์ดังกล่าวน้อยกว่าน้องสาวที่เกิดจากนางสนมทั้งสอง ในตอนนั้น นางแทบจะไม่มีเพื่อนเลยและตอนนี้ในเมืองหลวงก็ไม่มีใครรู้จักนางเลยแม้แต่คนเดียว
เรือค่อนข้างใหญ่ บนดาดฟ้ามีโต๊ะกลมและโต๊ะน้ำชาขนาดเล็กหลายตัว สุภาพสตรีที่คุ้นเคยเหล่านั้นรวมกลุ่มกันเป็นสองหรือสามคนคุยกันและหัวเราะ ตอนนี้ซูมู่เกอดูเหงาเล็กน้อยและไม่เหมาะกับสถานที่
ซูมู่เกอไม่สนใจและหาที่นั่งให้ตัวเองได้ จากนั้นนางก็เริ่มดื่มชาและกินของว่า’
อย่างไรก็ตาม คนบางคนแค่อยากให้นางรู้สึกอึดอัดใจ
“จิงเหวิน นี่คือพี่สาวของเจ้าหรือ?”
“เจ้ารักษาโรคระบาดได้อย่างไร?”
ซูหลุนจับจ้องดวงตาคมของเขาบนใบหน้าของซูมู่เกอราวกับจะบอกว่า ถ้าเจ้ากล้าโกหกข้า ข้าจะเปิดโปงการโกหกของเจ้าทันที!
ซูมู่เกอได้คาดคิดว่าซูหลุนจะขอให้นางมาอธิบายเรื่องนี้
นางเป่าชาในถ้วยอย่างไม่แยแสและพูดยิ้มๆ ว่า “ท่านพ่อเจ้าค่ะ ท่านอาจลืมไปแล้ว”
“อะไร?” ซูหลุนขมวดคิ้ว
“ข้าได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูหลุนสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
“อย่าคิดว่าเจ้าจะหลอกข้าด้วยเรื่องแบบนี้ได้! ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องผีและเทพเจ้า!”
“ท่านพ่อ ท่านไม่เคยตาย ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่มีผีหรือเทพเจ้า?”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าของซูมู่เกอภายใต้แสงเทียน ซูหลุนก็พบว่ามีปานสีแดงเข้มที่หัวตาของนางสะท้อนให้เห็นจากผิวที่ซีดจาง จากมุมหัวตาของนางกลายเป็นแผลเป็นมากขึ้น
ทั้งๆที่เขาจะไม่เคยใส่ใจลูกสาวที่เกิดมาอย่างถูกต้องของเขาเลย เขายังสามารถรู้ได้อย่างชัดเจนว่าลักษณะของนางเป็นอย่างไรในการติดต่อกันมาไม่กี่ปี……
แต่เมื่อนางพุ่งออกมาจากโลงศพ….ทุกอย่างดูเหมือนจะแตกต่างออกไป!
ซูหลุนเปลี่ยนการแสดงออกของเขาอีกครั้งและถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
พฤติกรรมของเขาเป็นเรื่องตลกสำหรับซูมู่เกอ
“ท่านพ่อ ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ตั้งแต่ข้ากลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ข้าก็เป็นคนที่มีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน”
“เจ้า เจ้า…..”
หลังจากการเดินทางอันยาวนาน ซูมู่เกอเหนื่อยมาก รู้สึกว่าร่างกายของนางแทบจะแหลกสลาย ดังนั้นนางจะไม่เสียเวลาที่นี่กับซูหลุนอีกต่อไป
“ท่านพ่อ ถ้าท่านไม่มีอันใดอีก ข้าขอลา”
เมื่อเห็นซูมู่เกอจากไป ซูหลุนก็ตระหนักว่าเขาลืมจุดประสงค์หลักที่เขาตั้งใจไปแล้ว!
ใช่ อะไรที่ทำให้เขากลัว? นางเป็นคนที่มีชีวิต เช่นเดียวกับลูกสาวของเขา! นอกจากนี้ บางทีนางอาจกำลังพูดเรื่องไร้สาระ!
“ช้าก่อน! ไปที่วังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิพร้อมกับข้าในเช้าวันพรุ่งนี้”
ซูมู่เก๋อหยุดชะงัก ขมวดคิ้วและหันกลับไปมอง “อะไรนะ? เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ? ข้า?”
เมื่อเห็นซูมู่เกอขมวดคิ้วยุ่ง ซูหลุนก็รู้สึกมีชัย เชิดหน้าขึ้นและกล่าวว่า “ใช่ ข้าได้อธิบายให้องค์จักรพรรดิฟังแล้วว่าเจ้าเป็นผู้รักษาโรคระบาดให้หาย”
ซูมู่เกอตกใจมาก นางไม่เคยคาดหวังว่าซูหลุนจะทำเช่นนั้น
แน่นอน ซูหลุนต้องการเอาความดีความชอบแก่ตนเอง แต่เขาไม่เคยอ่านหนังสือทางการแพทย์เลย นับประสาอะไรกับโรคระบาด ด้วยความที่ผู้คนที่อาศัยส่วนใหญ่ในเมืองหลวงเป็นขุนนาง เขาจึงกลัวที่จะถูกเชิญให้ไปรับบริการทางการแพทย์ ถ้าเป็นเช่นนั้น คำโกหกของเขาจะถูกเปิดเผยได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น เขาจึงยอมกัดฟันสารภาพการกระทำของซูมู่เกอ อย่างไรก็ตาม กระบวนการโดยละเอียดจะไม่ถูกสอบสวนเรื่องที่เกี่ยวข้อง ตราบเท่าที่พวกเขารู้ว่าเป็นลูกสาวของเขาที่รักษาโรคระบาด!
“คืนนี้เตรียมตัวให้ดี พรุ่งนี้เจ้าต้องไม่มีข้อผิดพลาด”
หลังจากออกมาจากห้องของซูหลุน ซูมู่เกอก็ค่อยๆ คลายคิ้วลง
นางอยากมีชื่อเสียงมาโดยตลอดและตอนนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนาง
อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยโดยซูหลุนยังคงทำให้นางอึดอัด
หากไม่มีการสนับสนุนที่ดีในเมืองหลวง นางต้องระมัดระวังอย่างถี่ถ้วนให้มากขึ้น ไม่งั้นนางอาจถูกเหยียบย่ำให้ตายได้ทุกเมื่อ!
เช้าวันรุ่งขึ้น
ก่อนรุ่งสาว ซูมู่เกอถูกเยว่รู่ปลุกให้ลุกขึ้นจากเตียง
อุณหภูมิในเมืองหลวงต่ำกว่าที่ชุนหยางเล็กน้อย ตอนนี้อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ นางรู้สึกหนาวที่ต้องตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
“คุณหนู ใต้เท้าส่งคนมาที่นี่แล้วเจ้าค่ะ เร็วเข้า”
เมื่อคืนที่ผ่านมาที่ได้รู้ว่าซูมู่เกอกำลังจะได้เข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ เยว่รู่ทำงานอย่างเต็มกำลังด้วยความกลัวว่าจะตื่นสายและทำผิดพลาด
เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย ซูมู่เกอเข้าไปในรถม้าและมุ่งหน้าไปที่พระราชวัง
ไม่มีรับสั่งขององค์จักรพรรดิ ตำแหน่งหรือการเลื่อนขั้นของซูหลุนยังไม่ได้รับการตัดสิใจ เขาจึงไม่จำเป็นต้องเข้าราชสำนักในเช้าวันนี้
ทันทีที่พวกเขามาถึง คนในพระราชวังพาพวกเขาเข้าไปและให้พวกเขารออยู่ด้านนอกห้องทรงอักษร
ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่โดยที่ยังไม่ได้กินอะไรเลย ซูมู่เกอได้สาปแช่งองค์จักรพรรดิในใจของนางหลายพันครั้งแล้ว ยิ่งเวลานี้ที่ต้องยืนอยู่ใต้ดวงอาทิตย์!
โดยแท้แน่นอน มันเป็นสังคมที่ชั่วร้ายที่ถูกปกครองโดยอำนาจจักรวรรดิ!
“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงอันแหลมของขันที ซูมู่เกอก้มตัวลงและก้าวไปข้างหน้าเพื่อคำนับพร้อมซูหลุน
“ขอถวายบังคม พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ซูมู่เกอเพียงรู้สึกได้ถึงเสื้อคลุมสีเหลืองสดใสที่ผ่านเข้ามาในดวงตาของนางด้วยเสียงต่ำและว่างเปล่า
“ลุกขึ้น”
ซูมู่เกอลุกขึ้นยืนกับซูหลุนและติดตามเสด็จองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยไปที่ห้องทรงอักษร
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยนั่งลงบนบัลลังก์มังกรและมองไปที่ซูมู่เกอซึ่งยืนอยู่ด้านหลังซูหลุน
“อี้-ชิง ซู นี่คือลูกสาวคนโตที่เกิดจากเจ้าจริงหรือ?”
ซูหลุนก้าวไปข้างหน้าและกล่าวด้วยความเคารพยิ่งว่า “พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ซูมู่เกอรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาที่นางด้วยการตรวจตราอย่างละเอียดและเพ่งพินิจ
“เจ้ามีทักษะทางการแพทย์ที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย ตามที่ อี้-ชิง ซู ว่า เจ้าหลงใหลในยามาตั้งแต่ยังเยาว์ใช่หรือไม่?”
ซูหลุนให้เหตุผลที่ดี แน่นอน นางต้องใช้ประโยชน์จากมันให้เกิดประโยชน์อันดี
“เพค่ะ ฝ่าบาท หม่อมฉันป่วยตั้งแต่เยาว์วัย ดังนั้นหม่อมฉันจึงตัดสินใจที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เมื่อหม่อมฉันเติบโตขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่เจ็บป่วยเช่นหม่อมฉันเพค่ะ
“ดี เจ้าเป็นเด็กที่พัฒนาตนเอง อืม อย่าเพิ่งอดกลั้น ข้าไม่อยากทำให้เด็กน้อยเช่นเจ้ากลัว” เซี่ยโฮวรุยหัวเราะด้วยเสียงต่ำ
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูคนที่นั่งบนบัลลังก์มังกรตรงหน้านาง
เซี่ยโฮวรุย ในวันสี่สิบของเขาควรจะเป็นชายวัยกลางคนที่หล่อเหลา แต่ผมของเขาเกือบครึ่งขาว ถุงใต้ตาของเขาห้อยลงที่ใต้ตา ดวงตาของเขาขุ่นมัวเล็กน้อยและหมองคล้ำ แต่ยังคงแสดงถึงความสง่างามและศักดิ์ศรี ร่างกายของเขาบวมเล็กน้อย และผิวของเขาดูซีดผิดปกติ
แค่เพียงมองแค่แวบแรก นางก็รู้ว่ามันคือความบกพร่องของม้ามและไต
“เจ้ารักษาโรคระบาดให้หายได้ บอกข้ามาว่าเจ้าต้องการรางวัลอันใด?”
เงิน!
“หม่อมฉันยังไม่ได้คิดอันใดไว้เลยเพค่ะ ฝ่าบาท เมื่อตัดสินใจได้แล้วหม่อมฉันขอกราบทูลในภายหลังได้หรือไม่เพค่ะ”
“มู่เกอ! อย่ากล่าววาจาสามหาว!” ใบหน้าของซูหลุนเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก นางพูดแบบนั้นได้ยังไง!
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยตัวแข็งไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะออกมาดังๆ “ฮ่าๆๆๆๆ ได้ ตามนั้น เจ้ามีสัญญาของข้า ข้าจะสงวนรางวัลนี้ไว้ให้เจ้า” หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ซูหลุน “อา อี้-ชิง ซู อย่าทำให้ลูกตกใจ”
“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เมื่อเห็นว่าองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยมิได้ทรงกริ้ว ซูหลุนก็โล่งใจเป็นที่สุด
หลังจากนั้น องค์จักรพรรดิทรงรู้สึกไม่สบายและปล่อยให้พวกเขาล่าถอยออกไปจากห้อง
หลังจากออกมา ซูหลุนพยายามตำหนิซูมู่เกอ แต่เมื่อพิจารณาแล้วว่ามันไม่เหมาะสมที่จะทำเช่นนั้นในเขตพระราชวัง เขาจึงอดกลั้นคำพูดของเขาไว้
เดินเร็วๆ บนถนนอันยาวในวังหลวง ซูมู่เกอเพียงต้องการออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
ร่างท้วมในชุดขุนนางเต็มยศเดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างช้าๆ
ในตอนแรก ซูมู่เกอไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก แต่นางสังเกตเห็นร่างกายของซูหลุนแข็งขึ้น
ซูมู่เกอสังเกตชายคนนั้นอย่างลับๆ และพบว่าลักษณะของเขาคล้ายกับนางอันเล็กน้อย
“ใต้เท้าอัน” ผู้คนที่เขาเดินผ่านต่างพากันทำความเคารพ
เมื่อทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กัน ซูหลุนก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อโค้งคำนับ “ใต้เท้าอัน”
ซูมู่เกอก็หยุดและก้มตัวทำความเคารพ
อันจงซิงมองไปที่ทั้งสองและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “อืม ลุกขึ้นเถอะ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าพาเด็กคนนี้เข้าวังในวันนี้ ข้าจึงมาที่นี่เพื่อพบเจ้า เขตพระราชวังไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการพูดคุยกัน ออกไปด้านนอกกันเถอะ”
ซูหลุนก้มหัวลง ซ่อนรูปลักษณ์ของเขา
“ขอรับ ใต้เท้า”
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นมอง ยิ่งนางเข้าใกล้กับพ่อตาคนที่สองของซูหลุนมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งพบว่าเขาเหมือนรูปปั้นพระโพธิสัตว์
อย่างไรก็ตาม ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาจะทรงมีพระกรุณาและเมตตาเฉกเช่นพระโพธิสัตว์หรือไม่
“คุณหนูซู โปรดรอสักครู่” ขันทีหนุ่มวิ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างไร้ความปราณีและกล่าวหลังจากคารวะตามลำดับแล้ว “คุณหนูซู องค์หญิงเก้ารับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้า”
เชิญนาง?
ซูมู่เกอรู้สึกงงงวย แม้แต่ซูหลุนก็ยังคิดไม่ออกว่าทำไมองค์หญิงเก้าถึงต้องการพบนาง
อันจงซิงหัวเราะและพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงเก้าสนใจเรียนการแพทย์มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เมื่อได้ยินเกี่ยวกับเด็กคนนี้ พระองค์อาจทรงอยากพบหน้านาง”
นางไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไป ยังไม่มีตำแหน่งทางการที่ชัดเจน ซูหลุนไม่ต้องการให้ใครขุ่นเคืองได้
“เนื่องจากองค์หญิงเก้าเป็นผู้เชิญเจ้า ไปเถอะ อย่าลืมมารยาท”
ซูมู่เกออยู่ในความไม่เต็มใจไป นางรู้ว่านางไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
ราชวงศ์เหล่านี้ช่างมีแต่ปัญหาทำให้นางลำบากมาก
“เจ้าค่ะ”
ก่อนที่จะเข้ามาในพระราชวัง ซูหลุนเคยบอกนางอย่างคร่าวๆ ว่า พระมเหสีและสนมขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยนั้นให้กำเนิดลูกมากกว่าหนึ่งโหล แต่รอดชีวิตเพียงเครึ่งเดียว เติบโตขึ้นเพียงไม่กี่คน
องค์หญิงเก้าผู้นี้ประสูติโดยกุยเรน (พระสนมในองค์จักรพรรดิระดับหก) ซึ่งเป็นหญิงสาวมาจากครอบครัวนายพล ด้วยตำแหน่างระดับกลางในวังหลวง กุยเรนไม่สามารถขัดขวางการเลื่อนตำแหน่งของสนมคนอื่นหรือปราบปรามพวกเขาได้ เป็นผลให้นางสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆได้และองค์หญิงเก้าคนนี้จึงสามารถเติบโตขึ้นมาอย่างปลอดภัยและมีสุขภาพดีจนถึงตอนนี้
ผ่านพี่ตำหนักมาสองช่วง นางออกมาถึงด้านนอกวังขององค์หญิงเก้า
“น้องเก้า เจ้าต้องไปพบเด็กผู้หญิงจากชนบทจริงๆหรือ?”
“ท่านพี่แปด ถ้ามันทำให้ท่านรำคาญ ท่านก็สามารถกลับตำหนักได้เพค่ะ”
“อึ่มมมม!”
“องค์หญิงเก้า คุณหนูคนโตตระกูลซูมาถึงแล้วพะย่ะค่ะ “
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยโฮวซีก็พยักหน้าและพูด้วยใบหน้าเฉยเมย “พานางเข้ามา”
“พะย่ะค่ะ”
ซูมู่เกอถูกแม่บ้านพาไปที่ศาลา เมื่อนางมองขึ้นไปก็เห็นผู้หญิงสองคนในชุดของหญิงชาววังนั่งอยู่ข้างใน
“หม่อมฉันขอถวายบังคมองค์หญิงเพค่ะ”
ซูมู่เกอยืนอยู่ที่ขั้นบันไดโค้งคำนับ
เซี่ยโฮวหยินมองไปที่ซูมู่เกอ จากนั้นก็แสดงท่าทีรังเกียจ
“โทรมมาก ชุดเครื่องแต่งกายของนางยังไม่ดีเท่าสาวใช้ด้วยซ้ำ”
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จ้องมองหญิงสาวที่กำลังพูดในชุดสีม่วง
ในวัยใกล้เคียงกับนาง นางใบหน้ารูปไข่และผิวของนางอ่อนโยนมากจนดูเหมือนน้ำจะไหลออกมาถ้ามีคนมาสะกิดที่แก้มของนาง ดวงตาของนางที่มีมุมยกขึ้นเล็กน้อยเป็นดวงตาที่เหมือนนกฟีนิกซ์ แต่ก็เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่โดดเด่น เด็กสาวต้องเป็นเด็กซนเอาแต่ใจแน่
“ท่านพี่แปด ท่านควรกลับตำหนักได้แล้วเพค่ะ” เซี่ยโฮวซียงคงไม่แสดงออก
จากนั้นซูมู่เกอก็มองเห็นเซี่ยโฮวซี
เมื่อเทียบกับหุ่นที่สวยและน่ารักของเซี่ยโฮวหยินแล้ว เซี่ยโฮวซีในชุดสีฟ้าอ่อนดูบอบบางกว่ามาก ดวงตาที่เหมือนอับมอนด์สีอ่อนของนางแสดงอารมณ์ที่ค่อนข้างเฉยเมย ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับวัยเด็กเช่นนี้
ขณะที่ซูมู่เกอมองเซี่ยโฮวซีขึ้นลง เซี่ยโฮวซีมองไปที่นางด้วย แต่เนื่องจากซูมู่เกอก้มศีรษะเล็กน้อย เซี่ยโฮวซีไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของนางได้อย่างชัดเจน แต่ชุดของนางนั้น…..ธรรมดามากจริงๆ
เซี่ยโฮวหยินสะบัดหน้าและไม่สนใจคำพูดของเซี่ยโฮวซี นางเดินไปหาซูมู่เกอเชิกคางขึ้น และใช้หางตามอง
“เจ้าเป็นคนที่ท่านพ่อรับสั่งว่ารักษาโรคระบาดได้ใช่หรือไม่? เจ้าดูโทรมมากจนข้าเชื่อเจ้าอ่านหนังสือไม่ออก ใช่หรือไม่? เจ้าจะรักษาผู้ป่วยเหล่านนั้นได้อย่างไร?!”
เมื่อคืนที่ผ่านมา เซี่ยโฮวรุยนอนในห้องของแม่ของเซี่ยโฮวหยินและพูดถึงซูมู่เกอ ซึ่งกระตุ้นความเกลียดชังของเซี่ยโฮวหยิน เมื่ออายุมากขึ้นเด็กสาวไม่สามารถทนต่อความจริงที่ว่ามีใครบางคนที่ดีกว่านาง!
“ทำไมเจ้าไม่พูด? เจ้าเป็นใบ้? !”
เซี่ยโฮวหยินรู้สึกรำคาญเล็กน้อยที่เห็นว่าไม่มีการตอบสนองใด ๆ จากซูมู่เกอ ดังนั้นนางจึงเอื้อมมือไปหาซูมู่เกอ
“อา!”
ซูมู่เกอขมวดคิ้วขณะลูบบีบจมูกที่เจ็บ เพราะกลัวว่าจมูกจะแบน
“ท่าน…”
เมื่อซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นชายตรงหน้านาง นางก้าวถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว!
“เซี่ย…ใต้เท้าเซี่ย!”
ข้าโชคร้ายเกินไป ข้าเดินชนเซี่ยโฮวโม่ที่นี่ได้อย่างไร? !
เซี่ยโฮวโม่สวมเสื้อคลุมลายตารางหมากรุกสีแดงเข้ม แขนแคบ เอวของเขาถูกรัดด้วยเข็มขัดหยกดำ แม้ว่าซูมู่เกอจะเคยพบเขาหลายครั้งก่อนหน้านี้ แต่นางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งที่พบเขา
รัศมีของผู้ชายคนนี้ทรงพลังเกินไป ทำให้นางรู้สึกถึงการกดขี่ที่มองไม่เห็นอยู่เสมอ
เซี่ยโฮวโม่มองลงไปและสบตากับดวงตาที่ตื่นตระหนกของนาง เมื่อแสงจันทร์ส่องลงบนใบหน้าเล็ก ๆ ของนาง ดวงตาของนางจึงดูชัดเจนและสดใสมาก
แต่ผมสีดำที่ห้อยลงมาได้บดบังรัศมีของนางมาก
“เจ้ารู้จักข้าได้อย่างไร?”
ซูมู่เกอตกใจ ผู้ชายคนนี้จะระแวดระวังมากขนาดนี้ได้อย่างไน?
“ข้าเพิ่งเห็นท่านผ่านฉากกั้น” ซูมู่เกอดูเหมือนจะตกใจมากจนร่างกายของนางสั่นสะท้าน เสียงของนางเบาลงและศีรษะของนางแทบจะหดเข้าไปในอก
ตอนนี้ นางหวังเพียงเซี่ยโฮวโม่จะออกไปโดยเร็วที่สุด!
“เงยหน้าขึ้น” เซี่ยโฮวโม่พูดเบา ๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ตะ ใต้เท้า มัน มันไม่เหมาะ ข้าคิดว่ามันไม่เหมาะสม…ที่จริงแล้ว ข้าคือ คือ….”
“เมิ่งซิ่วเหวินสามารถมองหน้าของเจ้าได้ แต่ข้ามองไม่ได้งั้นหรือ?” เสียงเริ่มเย็นชาลงเล็กน้อย
หัวใจของซูมู่เกอจมลง เขาเพิ่งเห็นนางกับเมิ่งซิ่วเหวิน?
คิดได้อย่างนั้น ซูมู่เกอรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นขี้อาย
เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองไปที่หน้าอกของเซี่ยโฮวโม่
“ข้าจะช่วยอะไรท่านได้บ้าง ใต้เท้า?”
เซี่ยโฮวโม่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของซูมู่เกอ ริมฝีปากของเขาก็ยกขึ้น
ลูกแมวใจร้อน
“ข้าหลงทาง นำทางให้ข้า”
หลงทาง?!
เซี่ยโฮวโม่บอกว่าเขาหลงทาง?!
มันอาจเป็นเรื่องตลกที่ใหญ่ที่สุดที่นางเคยได้ยินมา
“ใต้ท้าวเซี่ย โปรดรอสักครู่ ข้าจะไปหาสาวใช้เพื่อนำทางให้แก่ท่าน”
“ไม่จำเป็น ไปกันเถอะ”
ซูมู่เกอตกตะลึง นางเกลียดน้ำเสียงสั่งการที่ไม่สามารถต่อรองได้จริงๆ!
“เจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอจงใจเดินอ้อมไปรอบ ๆ คฤหาสน์ซู นางเกือบจะพาเขาเดินไปทุกถนนในคฤหาสน์
อย่างไรก็ตาม คืนนี้อิ่มเกินไป นางก็แค่ต้องการเดินเล่นเพื่อช่วยย่อย เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่ไม่ต้องสงสัยของเซี่ยโฮวโม่ นางก็ไม่มีอะไรต้องกลัว!
มันจนกระทั่งซูมู่เกอสะอึกหลายครั้งและรู้สึกว่าอาการปวดท้องของนางดีขึ้นมาก นางจึงพาเซี่ยโฮ่วโม่ไปที่ประตูห้องโถงต้อนรับ “ใต้ท้าวเซี่ย เรามาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากเดินตามซูมู่เกอมาอย่างเงียบ ๆ เซี่ยโฮวโม่รู้ว่าเป็นกลอุบายของนาง แต่เขาไม่เสียใจเลย
“ข้ารู้สึกไม่สบายนิดหน่อย โปรดอภัยให้ข้าด้วย ข้าขอลา” ซูมู่เกอหันกลับและหลบหนีไป
เซี่ยโฮวโม่มองไปที่ร่างที่ถอยไปของนางด้วยความสนใจ
เมื่อซูมู่เกอกลับไปที่ลานดอกท้อบาน นางจ้าวได้กลับมาแล้ว
“คุณหนู มาดามกลัวว่าท่านจะหิว และขอให้น้องสาวเหมยฮัวนำขนมกลับมาด้วย”
หลังจากดื่มชาย่อยอาหารแล้ว ซูมู่เกอรู้สึกสบายท้องขึ้นมาก
“พวกเจ้ามาทานเป็นของว่างกันเถอะ คืนนี้ข้ากินไม่ได้อีกแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นสาวใช้ในห้องต่างก็ดีใจ ทุกคนแสดงความขอบคุณและเริ่มเพลิดเพลินกับของว่าง
“องค์ชายสองดูหล่อมาก เขาดูดีกว่านายท่านเมิ่งคนโตเสียอีก” ซินหลานเด็กสาวไร้เดียงสาพูดคุยโดยไม่คิดทบทวน
“ไร้สาระ เจ้ากล้าแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับองค์ชายสองได้อย่างไร?” เยว่รู่เคาะหัวของนาง จากนั้นซินหลานก็หดคอและแลบลิ้นออกมา
“ตรงกันข้าม…ใต้เท้าเซี่ยดูน่ากลัวมาก ข้ามองเขาจากระยะไกล ยังรู้สึกว่าขนของข้าลุกชันหมดแล้ว” ซินเอ๋อเริ่มกล้าพูดเมื่อเห็นว่าซูมู่เกอไม่มีเจตนาที่จะดุด่าพวกเขา
ในฐานะแม่บ้านของคฤหาสน์ตระกูลซู พวกเขามีข้อห้ามไม่มากเท่ากับคุณหนูทั้งหลาย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะมีปฏิกิริยากับคนอย่างเซี่ยโฮวคุณ
“ข้าไม่กล้ามองเขาด้วยซ้ำ”
ซูมู่เกอหัวเราะในใจ เซี่ยโฮวโม่ใช้เวลาหลายวันในการฆ่าฟันในสนามรพ คงแปลกที่เขาจะดูไม่น่ากลัว
“พอแล้วพวกเจ้า มันดึกแล้ว ไปเตรียมน้ำอาบให้คุณหนูได้แล้ว” เยว่รู่หยุดการซุบซิบของพวกเขาได้ทันเวลา
“เจ้าค่ะ”
ในห้องทำความสะอาด ซูมู่เกอจมร่างของนางลงในน้ำร้อน
ไม่ว่าในชีวิตที่ผ่านมาหรือชีวิตนี้ นางชอบอาบน้ำ การอาบน้ำที่เหมาะสมสามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อและกระดูกและช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต สำหรับผู้ใหญ่การอาบน้ำสามารถบรรเทาร่างกายและจิตใจได้ ดังนั้นความฝันอันแสนหวานจะเกิดขึ้นในเวลากลางคืน
เมื่อวางทุกอย่างลง เยว่รู่ก็ถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ
เธอรู้ดีว่าซูมู่เกอไม่ชอบให้ดูแลบริการนางขณะอาบน้ำ
ซูมู่เกอวางมือของนางไว้ที่ขอบถัง น้ำร้อนทำให้แก้มของนางแดงขึ้นเล็กน้อยและตาของนางมัว
“เขาจำข้าไม่ได้งั้นเหรอ?” นางนึกถึงทุกการเคลื่อนไหวของเซี่ยโฮวโม่และพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติจากนั้นรอยยิ้มเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
……………………..
มณฑลโจวได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ซึ่งทำให้เขื่อนแตกและทำให้ผู้คนจำนวนมากจมน้ำตาย ซูหลุนเจ้าเมืองชุนหยางไม่น่าจะรอดพ้นจากความผิด
อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดอุทกภัย ซูหลุนไปที่มณฑลโจวอย่างแข็งขันเพื่อบรรเทาภัยพิบัติและเสี่ยงชีวิตอยู่ที่นั่น ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้ใช้ความพยายามร่วมกับองค์ชายสองในการปราบปรามภัยพิบัติหลังน้ำท่วมและหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของโรคระบาด
หลังจากรับรู้สิ่งนี้จักรพรรดิในเมืองหลวงอันห่างไกลก็พอพระทัยเป็นอย่างมาก บังเอิญว่าการดำรงตำแหน่งของซูหลุนครบกำหนด ดังนั้นจักรพรรดิจึงสั่งการให้ซูหลุนไปเมืองหลวงพร้อมกับเซี่ยโฮ่วคุณ
หลังจากการประกาศรับสั่งขององค์จักรพรรดิ ซูมู่เกอไม่มีความตื่นเต้นในใจของนางมากนัก สิ่งเหล่านี้ถูกทำโดยนางตั้งแต่ต้นในนามของซูหลุน
แต่นางสงสัยว่าความดีความชอบของเซี่ยโฮวโม่นั้นจงใจเอาไปโดยเซี่ยโฮวคุณ หรือเขาไม่สนใจที่จะแข่งขันกับคนอื่น คำสั่งขององค์จักรพรรดิไม่มีอะไรเกี่ยวกับ “ใต้เท้าเซี่ย” เลย อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนางเช่นกัน
“ใต้เท้าซู ยินดีด้วย” หลังจากการประกาศเซี่ยโหวคุณมองไปที่ซูหลุนอย่างยิ้มแย้ม
ซูหลุนไม่สามารถซ่อนความสุขของเขาได้ เขาควรจะเป็นคนผิด แต่ตอนนี้เขาเป็นผู้บริสุทธิ์และได้รับการตอบแทน เขาจะไม่ปลื้มได้ยังไง!
“ต้องขอบพระทัยองค์ชายสองพะย่ะค่ะ ถ้าไม่ใช่สำหรับฝ่าบาท ภัยพิบัติในมณฑลโจวจะบรรเทาลงอย่างรวดเร็วได้อย่างไร?”
เซี่ยโฮวคุณไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ กับคำพูดของซูหลุน
“ใต้เท้าซู จงเตรียมการบางอย่างในวันนี้ให้พร้อมเถิด เพื่อที่จะไปเมืองหลวงกับข้า”
“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ใต้เท้า มันยิ่งใหญ่นัก ข้าจะเขียนจดหมายถึงท่านพ่อทันที ท่านพ่อต้องมีความสุขมาก” นางอันมองซูหลุนด้วยความตื่นเต้น แม้ว่าคำสั่งขององค์จักรพรรดินี้จะไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าซูหลุนจะต้องได้รับการเลื่อนตำแหน่งเมื่อเขาเข้าสู่เมืองหลวงในครั้งนี้และเขาจะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในเมืองหลวง!
แม้ว่าคำสั่งของจักรพรรดินี้จะไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าซูหลุนจะต้องได้รับการเลื่อนตำแหน่งเมื่อเขาเข้าสู่เมืองหลวงในครั้งนี้และเขาจะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในเมืองหลวง!
ซูหลุนมีความสุขมาก แต่เมื่อได้ยินนางอันเอ่ยถึงพ่อตาของเขา เขาก็ลดสายตาลงเล็กน้อยและพูดอย่างเย็นชาว่า “ได้ เวลามีจำกัด รีบตระเตรียมทุกอย่างให้พร้อมไว้ เรากำลังจะเดินทางไปเมืองหลวงในอีกไม่กี่วันนี้”
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ ข้าจะเตรียมการในทันที”
หลังจากนางอันหมุนตัวออกไป ซูหลุนดูเศร้าหมองลงทันที
“พ่อตาของข้า ท่านต้องไม่คาดคิด…..”
ในลานดอกท้อบาน
ด้วยหาได้ยากยิ่งและความสุขที่ได้ไม่อาจคาดเดา นางเจ้าให้สาวใช้จัดเก็บสิ่งของด้วยรอยยิ้ม
ในความเป็นจริง ดังซูมู่เกอพูดไว้ จริงๆแล้วพวกเขาไม่มีอะไรจะนำไป สิ่งมีค่าเพียงอย่างเดียวคือตั๋วเงิน 500 เหลียงที่นางมีในมือและเสื้อผ้า เครื่องประดับที่ซูหลุนส่งมาให้เท่านั้น
อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องยากที่จะเห็นนางจ้าวมีความสุขมากเช่นนี้ ดังนั้นซูมู่เกอจึงไม่ต้องการทำให้อารมณ์ดีๆของนางเสียไป
การไปเมืองหลวงครั้งนี้ตระกูลซูจะต้องอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน ดังนั้นควรนำสิ่งของที่จำเป็นทั้งหมดติดตัวไปด้วย
ซูมู่เกออุ้มเหวินโม่ตัวน้อยที่อายุเกินสองเดือนจากพี่เลี้ยงเด็ก เด็กชายตัวเล็กน่ารักและน่ารักมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขาโตขึ้น แต่ร่างกายที่เล็กและอบอุ่นของเขายังคงทำให้นางพิถีพิถันมากเพราะกลัวว่าจะทำร้ายเขา
“น้องชาย เจ้าดูสิว่าท่านแม่มีความสุขแค่ไหน มาทำให้นางมีความสุขในอนาคตตลอดไป เอาไหม?”
เหวินโม่น้อยดูเหมือนจะเข้าใจคำพูดของซูมู่เกอมองดูนางด้วยดวงตากลมโตของเขา กลอกไปมาอย่างรวดเร็ว
“เด็กดี” ซูมู่เกอจูบใบหน้าของเขาและพาเขาเข้าห้องเพื่อนอน
สามวันต่อมาตระกูลซูเริ่มออกเดินทางสู่เมืองหลวง
ซูหลุนแต่งงานเมื่อสิบกว่าปีก่อน หลังจากนั้น เสนาบดีอันก็มองคฤหาสน์ให้พวกเขาในเมืองหลวงหลังหนึ่ง แม้ว่ามันจะไม่ใหญ่เท่าคฤหาสน์ตระกูลซูในเมืองชุนหยางนี้ แต่ในเมืองที่ที่ดินมีราคามาก มันค่อนข้างดีสำหรับขุนนางระดับล่างที่ถูกส่งไปเมืองหลวง
หลังจากการเดินทางอันยาวนานและเหน็ดเหนื่อย ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงนอกเมืองหลวง
ซูมู่เกอยกม่านขึ้นที่มุมหนึ่งและเห็นประตูเมืองสูงตระหง่านอยู่ไม่ไกล
ไม่น่าแปลกใจที่มันเป็นเมืองหลวงของแคว้น แรงขับเคลื่อนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“มู่มู่วางลงเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นคนอื่นจะเห็นเจ้า”
นางจ้าวรู้ดีว่าเมืองหลวงมีระเบียบวินัยมากกว่าเมืองชุนหยางมาก ดังนั้นนางจึงไม่กล้าทำผิด
ซูมู่เกอลดม่านลงอย่างเชื่อฟัง
มันไม่นานก่อนที่จะมีเสียงจอแจดังมาจากภายนอก ซึ่งบ่งบอกว่าพวกเขาเข้ามาในเมืองแล้ว
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปรถม้าก็ค่อยๆหยุดลง
“คุณหนู นายหญิงเรามาถึงคฤหาสน์แล้วเจ้าค่ะ”
เยว่รู่ยกม่านขึ้นและช่วยนางจ้าวและซูมู่เกอลงมาจากรถม้า
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นมองสถานที่ที่นางกำลังจะอาศัยอยู่ ประตูนั้นเล็กกว่าประตูคฤหาสน์ซูหลังเดิมมาก แต่คำพูด “คฤหาสน์ตระกูลซู” บนประตูทางเข้าใหม่นั้นส่องแสงให้เห็นอย่างชัดเจน
“เก็บข้าวของของเจ้าเสีย ข้าจะไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิในวังหลวง” ซูหลุนกล่าวขณะมองไปทางนางอัน
“ใต้เท้า ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลมันอย่างดี”
“อืม” ซูหลุนขึ้นรถม้าและจากไป
“หึ คฤหาสน์หลังเล็กอยู่แล้ว เรายังต้องแบ่งห้องให้สำหรับพวกทาส ช่างโชคร้ายอะไรอย่างนี้!”
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และพบกับดวงตาที่ไม่พอใจของซูจิงเหวิน
“น้องสาว ถ้าเจ้าคิดว่าคฤหาสน์ของเราเล็กเกินไป เจ้าสามารถไปหาคฤหาสน์หลังที่ใหญ่กว่านี้ได้นะ”
“เจ้า!”
“เหวินเอ๋อ อย่าพูดหยาบคาย ทำไมพวกเจ้ายังยืนอยู่ตรงนี้? รีบไปช่วยคุณหนูเร็วเข้า” นางอัน จะเต็มใจที่จะเห็นซูมู่เกอ แม่และน้องชายของนางในเมืองหลวงได้อย่างไร? แต่ในเมืองชุนหยาง ซูหลุนไม่มีความตั้งใจที่จะทิ้งพวกเขาไว้ที่นั่น ดังนั้นนางจึงไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากระวังสำหรับที่จะก้าวต่อไป!
คฤหาสน์ซูในเมืองหลวงมีขนาดไม่ใหญ่นัก โถงที่มอบหมายให้ซูมู่เกอและทั้งหมดมีขนาดเล็กกว่าเดิมมาก แต่ยังคงถูกเรียกว่าลานดอกท้อบานเช่นเดิม ยกเว้นเยว่รู่และเหมยฮัว สาวใช้ที่เหลือสามารถแบ่งเตียงขนาดใหญ่ได้เพียงเตียงเดียว
โชคดีที่พวกเขาไม่ได้มีสิ่งของมากมาย มันจึงดูไม่แออัดเกินไปนัก
หลังจากที่เพิ่งย้ายเข้ามาโดยมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ได้รับการจัดเรียง พวกเขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ทานอาหารเย็นในค่ำนี้
มันมืดลงเรื่อยๆและลานดอกท้อบานก็สว่างไสวด้วยโคมไฟ
“คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ ใต้เท้ากลับมาแล้วและเรียกหาท่านเจ้าค่ะ ให้ท่านไปพบที่โถงด้านหน้า”
“อะฮือออฮืออ …”
เสียงเด็กร้องไห้ดังเข้ามาในห้อง ค่อยๆปลุกให้ซูมู่เกอตื่นขึ้น
เมื่อลืมตาขึ้น นางก็เห็นม่านเตียงสีฟ้ากลางเก่ากลางใหม่และยกยิ้มเล็กน้อย
อธิบายไม่ได้ว่าห้องเล็กๆ แห่งนี้ทำให้นางรู้สึกเป็นเจ้าของ
นางพลิกตัวและลุกขึ้น เมื่อได้ยินเสียง เยว่รู่ผลักอ่างล้างหน้าเข้าไป
“คุณหนู ในที่สุดท่านก็ตื่น ข้าคิดว่าท่านจะนอนจะถึงเที่ยงซะอีกเจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอเหล่มองนาง “เด็กจอมซนอย่างเจ้า เรียนรู้ที่จะหยอกล้อข้าแล้วรึ”
ซูมู่เกอนั่งอยู่หน้ากระจกแต่งตัวของนาง เมื่อมองไปที่ปานอันโดดเด่นบนดวงตาของนาง นางยิ้มด้วยความเยาะเย้ยตัวเอง
หลังจากปลอมตัวมานาน นางรู้สึกแปลกๆเล็กน้อยที่จู่ๆก็เห็นใบหน้าของตัวเอง
เมื่อเห็นซูมู่เกอจ้องมองที่กระจกอย่างเหม่อลอย เยว่รู่คิดว่านางกังวลเกี่ยวกับปานบนใบหน้าของนาง
“คุณหนู เอาผมของคุณหนูลงมาคลุมบ้างเล็กน้อยหรือไม่เจ้าค่ะ?”
ซูมู่เกอส่ายหัว “มันจะหายไปไหมถ้ามันถูกปกคลุมไว้?”
“คุณหนู น้องสาวหยู่เซียงจากบ้านนายหญิงแจ้งมาหาท่าน ขอให้ท่านไปที่นั่นเพื่อร่วมทานอาหารเช้ากับนายหญิงเจ้าค่ะ” ซินหลันแจ้งมาจากนอกห้อง
ไม่น่าแปลกใจที่นางอันจะขอให้นางไปพบ “ได้ ข้าจะไปที่นั่น บอกท่านแม่ของข้าด้วยว่าข้าจะไม่ร่วมทานอาหารกับนาง”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากใส่ชุดที่สะอาดด้วยความช่วยเหลือของเยว่รู่แล้ว ซูมู่เกอไปที่ลานธารดอกไม้ไหลริน แม่บ้านที่ดูแลก็พานางเข้าไป
นางอันนั่งอยู่ในห้องและดูเหมือนจะร้อนรนเล็กน้อย เมื่อนางเห็นซูมู่เกอเข้ามานางก็คลายความกังวลลง
“นายหญิง คุณหนูใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ” หยู่เซียงรายงานที่นอกห้อง
“ให้คุณหนูใหญ่เข้ามา”
ม่านยกขึ้น ซูมู่เกอเดินเข้าไปและลดสายตาลง
นางอันพบว่าซูมู่เกอยังเหมือนเดิม รู้สึกอึดอัดขึ้นมา
“นายหญิง”
นางอันซ่อนความรู้สึกของนางและยิ้มบนใบหน้าของนาง “มู่เกอมานี่เถอะ มานั่งนี่”
ซูมู่เกอนั่งลงฝั่งขวามือของนาง และสาวใช้ก็มาพร้อมกับอาหารชั้นดีสำหรับมื้อเช้า
นางอันมองไปที่หลี่มาม่าที่พาสาวใช้ทั้งหมดให้ออกไปอย่างรู้กัน
“มู่เกอ เจ้าคงหิว มาทานอาหารเช้ากันเถอะ”
ซูมู่เกอไม่ปฏิเสธข้อเสนอของนางด้วยความนอบน้อม เมื่อรู้ว่านางอันไม่จำเป็นต้องวางยาพิษในอาหารในเวลานี้ นางหยิบตะเกียบขึ้นมาและทานอาหารอย่างสบายใจ
หลายครั้ง นางอันต้องการพูดคุย แต่เมื่อเห็นซูมู่เกอไม่ได้ตั้งใจจะหยุดกินเลย นางกลืนคำพูดของนางกลับคืน
นางต้องการพูดแบบนั้นนางอันมีชีวิตที่สุขสบายมาก อาหารทุกจานบนโต๊ะนี้สวยงามและอร่อยมาก
เมื่อเห็นซูมู่เกอวางตะเกียบลง ยิ้มและพูดว่า “อิ่มแล้วหรือไม่? เจ้าคงต้องทนทุกข์ทรมานมากมายข้างนอกในแต่ละวัน”
ซูมู่เกอหยิบถ้วยน้ำชามาดื่มล้างปากแล้วพูดว่า “นายหญิง ท่านต้องรู้ว่าท่านพ่อถึงเมืองโจวแล้ว ไม่ใช่หรือ?”
นางอันกระพริบตาอย่างไม่สบายใจและพยักหน้า
“แล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านพ่อมาถึงเมืองโจวเมื่อไหร่?”
นางอันขมวดคิ้วเล็กน้อย สงสัยจุดประสงค์ของซูมู่เกอในการถามคำถามนี้
เมื่อหลี่มาม่าส่งคนไปที่เมืองโจวเพื่อตรวจสอบนั้น มันมีรายงานแล้วว่าซูหลุนอยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่นั้น นางแค่ต้องสั่งให้คนของนางค้นหาสักพัก แต่ซูมู่เกอหมายความว่าอย่างไรเมื่อถามคำถามนี้กับนางโดยเฉพาะ?
“แต่ละวันที่ผ่านมาเจ้าอยู่ที่ไหน? เจ้าพบพ่อของเจ้าหรือไม่?” นางอันไม่ต้องการวกไปเวียนมาหรือพูดอ้อมใดๆอีก นางถามตรงๆ
“ข้าใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองโจว มันคือท่านพ่อของข้าเองที่ส่งข้ากลับ”
“แล้วพ่อของเจ้าสบายดีหรือไม่?” นางอันกุมผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือโดยไม่รู้ตัว
“เขาสบายดี”
“แล้ววันที่หายไปเขาไปอยู่ที่ไหนมา?”
ซูมาเกอเม้มริมฝีปากของนาง “นายหญิง มันรอให้ท่านพ่อกลับมาก่อนไม่ดีกว่าหรือ และท่านสามารถถามเข้าด้วยตัวเองได้ มันสายมากแล้ว ท่านต้องจัดการกับเรื่องทั่วไป ข้าขอตัว”
ซูมู่เกอลุกขึ้นยืนและออกจากห้องก่อนที่นางอันจะพูดอะไรอีก
มองดูม่านที่สั่นเล็กน้อยดวงตาของนางมืดลง
หลี่มาม่าเข้ามาและสั่งให้สาวใช้มาทำการเก็บโต๊ะ หลังจากสาวใช้ทำเสร็จแล้ว นางปิดประตูและเดินไปที่นางอัน
“นายหญิง คุณหนูใหญ่ว่าอย่างไรบ้าง?”
นางอันส่ายหัว “นางทำตัวมีความลับและพูดแต่เรื่องไร้สาระ นางต้องเก็บงำบางอย่างไว้กับนางแน่”
“ทำไมท่านไม่ถามนางตรงๆไปเลยเจ้าค่ะ นายหญิง”
นางอันเหลือบมองหลี่มาม่าแวบหนึ่ง “มาม่า นางไม่ใช่เด็กสาวที่ไร้ปัญญา ยอมใหใครบีบบังคับเค้นคอนางได้อีกแล้ว ข้าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่านางกลายเป็นคนประหลาดหลังจากรอดจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิดนั้น….”
หลังจากกลับไปที่ลานดอกท้อบาน ซูมู่เกอเรียกเยว่รูมาพบ
“มีอันใดให้ข้ารับใช้เจ้าค่ะ คุณหนู?”
“เจ้าได้ส่งจดหมายถึงนายท่านอาวุโสเมิ่ง ตอนที่ข้าจากไปหรือไม่?”
เยว่รู่พยักหน้าและลดเสียงลง “คุณหนู ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ข้าส่งจดหมายให้เขาแล้ว นายท่านอาวุโสเมิ่งยังกล่าวอีกว่า หากคุณหนูมีจดหมายถึงเขาในอนาคต ข้าสามารถไปที่โรงน้ำชายบนถนนเมืองตะวันตกและให้จดหมายกับเจ้าของร้านได้เลยเจ้าค่ะ”
“อืม” ซูมู่เกอพยักหน้าหยิบจดหมายอีกฉบับออกมา และมองมันให้นาง
“คุณหนู นี่คือ….” เยว่รู่มองไปที่จดหมายอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ทำตามที่เขาบอก นำมันไปส่งที่โรงน้ำชา”
รับจดหมายมาถือ เยว่รู่พยักหน้า “เจ้าค่ะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
หลังจากเยว่รู่จากไป ซูมู่เกอไปที่ห้องของนางจ้าว และเล่นกับเหวินโม่ตัวน้อยที่เพิ่งตื่นนอน
“ท่านแม่ โม่เอ๋อดูคล้ายท่านมากจริงๆ เขาดูน่ารักมาก” ดวงตาและคิ้วของเหวินโม่น้อยดูคล้ายกับของนางจ้าวมาก ดูเหมือนว่าเขาจะกลายเป็นเด็กที่อ่อนโยนและหล่อเหลาเมื่อเขาโตขึ้น
ราวกับรู้ว่าซูมู่เกอกำลังชื่นชมเขา เด็กชายตัวน้อยหันมาตาโตและมองไปที่ซูมู่เกอ
“ข้าไม่รู้ว่าท่านพ่อของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างในเมืองโจว” นางจ้าวกำลังปักเย็บชุดชั้นในให้กับซูมู่เกอพลางพึมพำเสียงเบา
ซูหลุนเป็นหนี้บุญคุณนางจ้าวมากนัก หลังจากแต่งงานกับนางอัน เขาไม่เคยสนใจนางจ้าวและลูกสาวของนางเลย
แต่นางจ้าวยังคงมองว่าเขาเป็นสามีของนาง แนวคิดในการภักดีติดตามสามีหลังแต่งงานฝังแน่นอยู่ในใจของนางจ้าว ซึ่งไม่สามารถสั่นคลอนได้ง่ายๆด้วยคำพูดไม่กี่คำ
ซูมู่เกอมองไปที่รูปลักษณ์ของนางจ้าวที่แสดงออก ในขณะที่จับมือเล็กๆของเหวินโม่ตัวน้อยเบาๆ
ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่นางจะหนีออกไปจากคฤหาสน์ซูและนางก็คิดที่จะพานางจ้าวไปกับนางด้วย แต่สุดท้ายแล้วนางก็ยังคงเคารพความคิดเห็นของแม่
“นายหญิงบอกว่าเขาสบายดีในเมืองโจวเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางจ้าว
“จริงๆเหรอ? ดี เป็นสิ่งที่ดี ท้ายที่สุด เขาเป็นพ่อของเจ้า เด็กที่ไม่มีพ่อจะถูกดูถูกในที่สุด…..”
………………………..
ในคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง
เมิ่งซิวเหวินนั่งอยู่ในห้องในมือถือจดหมายด้วยความมึนงง
“นายท่าน?” หวู่หมิงเด็กหนุ่มรับใช้ของเขาพบว่าเขานั่งนิ่งมาสักระยะ เรียกเขาเบาๆ
นายท่านอาวุโสอยู่ในตำแหน่งนั้นนับตั้งแต่เขาอ่านจดหมาย
เมิ่งซิ่วเหวินรู้สึกตัวและวางจดหมายลง
“เจ้าทำทุกอย่างเสร็จหรือยัง?”
เด็กรับใช้ตอบอย่างรวดเร็วว่า “นายท่าน โปรดมั่นใจ ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ”
“อืม” เมิ่งซิ่วเหวินยืนขึ้นและไปที่ห้องหนังสือของเมิ่งฉางเต๋อ
เมื่อเห็นเมิ่งซิ่วเหวินมา เด็กรับใช้ที่เฝ้าหน้าห้องรีบเข้ามารายงานและกลับออกไปอย่างรวดเร็ว
“นายท่านอาวุโส เชิญขอรับ”
เมิ่งฉางเต๋อเป็นขงจื้อ(ลัทธิคลั่งการเรียน) มีชั้นหนังสือขนาดใหญ่หลายชั้นในห้องหนังสือของเขาและเขาชอบอยู่ที่นี่ในเวลาว่าง
“ท่านพ่อ”
ยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือ เมิ่งฉางเต๋อเงยหน้าขึ้นจากการอ่านหนังสือ มองไปที่เมิ่งซิ่วเหวินและพูดเบาๆ ว่า “มานั่งตรงนี้”
เมิ่งซิ่วเหวินเดินไปที่เก้าอี้อีกฝั่งและนั่งลง
เมิ่งฉางเต๋อวางหนังสือที่เขาถือไว้และหัวเราะ “เจ้ารู้มาโดยตลอดว่าข้าไม่ชอบถูกรบกวนขณะอ่านหนังสือ ทำไมวันนี้เจ้าถึงมาที่นี่ได้?”
“ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องอยากจะพูดคุยกับท่านขอรับ”
เมิ่งฉางเต๋ออยากรู้เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่เคร่งขรึมของเมิ่งซิ่วเหวิน “โอ้? บอกข้ามาสิ มีเรื่องอะไร?”
มันกลับกลายเป็นว่า ก่อนที่ซูมู่เกอจะไปที่เมืองโจว นางเขียนจดหมายถึงเมิ่งซิ่วเหวินและขอให้เขาเตรียมรวบรวมยาที่จำเป็นหลังจากเกิดภัยพิบัติ ท้ายที่สุดมันจะไม่เป็นอันตราย แต่เป็นผลดีต่อตระกูลเมิ่ง ไม่ว่าจะการทำให้รวยขึ้นหรือได้รับความชื่นชมจากจักรพรรดิ
“เจ้าหมายถึงคุณหนูใหญ่ซูที่บอกเจ้าเตรียมพร้อมงั้นรึ?” เมิ่งฉางเต๋อประหลาดใจ ผู้ที่อยู่ในราชสำนักมาหลายปีอาจรู้ประเด็นสำคัญบางประการ แต่นางจะรู้ได้อย่างไรเมื่อนางเป็นเพียงแค่เด็กสาวที่ถูกขังไว้ในเรือน?
“ท่านพ่อ เตรียมยาไว้แล้ว ข้าเพิ่งส่งคนไปสอบถามและพบว่าราคายาเพิ่มขึ้นมาก” เมิ่งซิ่วเหวินค่อนข้างประหลาดใจเมื่อได้รับจดหมายจากซูมู่เกอเป็นครั้งแรก
เขาคิดว่านางเขียนจดหมายถึงเขา…เพื่อแสดงความรักของนาง อย่างไรก็ตาม…..
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เมิ่งซิ่วเหวินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับตัวเอง
“นางบอกหรือไม่ว่ากำลังจะทำอะไร?” ซูมู่เกอเคยช่วยรักษานายหญิงเมิ่ง แต่หลังจากนั้นครอบครัวเมิ่งปฏิเสธที่จะให้นางรับการรักษาต่อ อย่างไรก็ตามครอบครัวของเมิ่งเป็นฝ่ายผิด และซูมู่เกอควรจะโกรธพวกเขา
เมิ่งซิ่วเหวินคิดไม่ออกจริงๆ ว่า ซูมู่เกอกำลังทำอะไร!
“ไม่ทราบขอรับ” ซูมู่เกอส่งข้อความถึงเขาอีกครั้งในวันนี้ บอกว่าตอนนี้สามารถวางขายยาบางชนิดได้แล้ว เขาอยากรู้จริงๆว่านางรู้ได้อย่างไร?
“ท่านพ่อ ท่านคิดว่าเราควรทำอย่างไรขอรับ?” ตอนนี้ชุดยาจะทำให้พวกเขาร่ำรวยมากขึ้นเมื่อพวกเขาขายต่อ
เมิ่งฉางเต๋อนั่งนิ่งใช้สมาธิสักพัก จำข้อความที่ส่งถึงเขาเมื่อวานนี้โดยอ่านว่าเมืองโจวต้องการวัสดุยามากมาย ช่างเป็นเรื่องบังเอิญซะจริง
“ขายให้เมืองโจวในราคาเดิม” หากพวกเขาส่งชาชุดนั้นให้ฟรีเขาจะได้รับความชื่นชมจากจักรพรรดิ แต่สุดท้ายแล้วตระกูลเมิ่งทำได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ชอบการมีชื่อเสียงมาโดยตลอด เขาค่อนข้างจะยกเลิกความคิดแนวนี้ไปเลย
“ขอรับ” เมิ่งซิ่วเหวินรู้สึกว่าเหมาะสมกว่าที่จะทำเช่นนั้น
“สำหรับตระกูลซูนั้น มันขึ้นอยู่กับเจ้า”
“ขอรับ”
หลังจากออกจากห้องหนังสือ เมิ่งซิ่วเหวินก็ยังคงครุ่นคิดถึงตลอดการเดินทางกลับไปที่ลานบ้านของเขา
ซูมู่เกออาจทำเช่นนั้นด้วยเจตนาที่ดีต่อตระกูลเมิ่ง เมื่อเมิ่งซิ่วเหวินนึกถึงดวงตาที่โตและสดใสของนาง การเต้นของหัวใจของเขาก็เริ่มกระหน่ำขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้
“หวู่หมิง”
หมู่หมิงเดินเข้ามาในห้อง
“พร้อมรับคำสั่งครับ นายท่าน?”
เมิ่งซิ่วเหวินส่งจดหมายให้เขา “รับไป อย่าลืมส่งไปให้คุณหนูใหญ่ซู”
หวู่หมิงรับจดหมายมาด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน โปรดมั่นใจ ข้าน้อยจะมองมันให้กับคุณหนูใหญ่ซู่ด้วยมือขอรับ”
ทันทีที่ซูมู่เกอออกกำลังกายในสนามเสร็จ นางก็ได้รับจดหมายจากเมิ่งซิ่วเหวิน
ซูมู่เกอเอนกายบนเก้าอี้ยาวและเปิดจดหมาย เมื่ออ่านจดหมายดวงตาของนางก็สว่างขึ้น
เยว่รู่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นการเปลี่ยนแปลงของการแสดงออกของซูมู่เกอ นางอยู่ในความงงงวย
มีกระดาษสองแผ่นอยู่ในซองจดหมาย หนึ่งคือคำตอบจากเมิ่งซิ่วเหวินเพื่อขอบคุณนาง
อีกใบ…เป็นตั๋วเงินมูลค่า 500 เหลียง!
นี่คือ “ทองคำถังแรก” ที่นางได้รับจากการเดินทางย้อนกลับมาในสมัยโบราณ!
“ฝ่าบาท นี่เป็นของซุ…ชุดเครื่องมือแพทย์ของคุณหนูใหญ่ซูมอบให้แด่ฝ่าบาทเมื่อคืนนี้พะย่ะค่ะ”
ด้วยแสงแดดสีทองที่ส่องผ่านก้อนเมฆและส่องสว่างไปทั่วโลก เซี่ยโฮวโม่กลับไปที่บ้านพักหย่าเหมินหลังรุ่งสาง
เขาเปิดชุดอุปกรณ์การแพทย์ซึ่งมีขวดยาหลายขวดวางตามใบสั่งแพทย์อย่างเป็นระเบียบ
ดวงตาของเซี่ยโฮวโม่มือลง “เกิดอะไรขึ้น?”
ตงหลินเล่าว่า “คุณหนูซูรีบร้อนผลักชุดเครื่องมือแพทย์นี้มาให้หม่อมฉันแล้วจากไปพะย่ะค่ะ ในเวลานั้น คนของหม่อมฉันดูเหมือนจะเห็นผู้ติดตามขององค์ชายสองตามนางพะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวโม่รู้สึกตกใจกับคำพูดที่ทำให้ดวงตาของเขามืดลงพร้อมกับอากาศที่หนาวเย็นและมืดมน
หลังจากปิดชุดเครื่องมือแพทย์แล้ว เซี่ยโฮวโม่ก็เดินไปที่ประตู
ช่างบังเอิญ เซี่ยโฮวคุณเพิ่งถึงประตูของเขาเช่นกัน
เซี่ยโฮวคุณหยุดเซี่ยโฮวโม่ “เจ้าจะไปไหน น้องเก้า?”
เซี่ยโฮวโม่มองเขาอย่างเย็นชาและเดินผ่านเขาไป
ในเวลานี้ประตูของซูมู่เกอเปิดออกและซูหลุนก็ก้าวออกจากห้อง
เซี่ยโฮวโม่หยุดชะงัก แต่ไม่หยุดเดิน
ซูหลุนยืนตัวตรงและมองไปรอบๆ หลังจากเห็นเขาดวงตาของเซี่ยโฮวโม่ก็มืดลง
เมื่อเห็นทั้งสองคน ซูหลุนรีบโค้งคำนับและถวายบังคม “ยินดีที่ได้พบท่าน องค์ชายสอง และ….ใต้เท้าเซี่ย”
เซี่ยโฮวคุณเดินไปหาซูหลุนด้วยความเย็นชาในสายตาของเขา “ใต้เท้าซู เจ้าจะไปพบคนไข้เหล่านั้นอีกหรือ?”
ซูหลุนพูดไม่ออกไปชั่ววินาที จากนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดของซูมู่เกอ และทำได้เพียงจำใจกัดฟันตอบว่า “ขอรับ”
“มันเป็นการเอาใจใส่ต่อผู้อื่นอย่างยิ่งของใต้เท้าซูในการดูแลประชาชน ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจนัก”
ซูหลุนตื่นตระหนก “องค์ชายสอง ท่านชื่นชมข้าน้อยเกินไปพะย่ะค่ะ มันเป็นหน้าที่ของหม่อมฉัน”
เซี่ยโฮวคุณพบว่ามันน่าเบื่อที่ได้เห็นรูปลักษณ์ที่อ่อนน้อมของซูหลุน ซึ่งไม่น่าสนใจเท่า “ซูหลุน” ที่ผอมเหมือนลูกแมวเมื่อคืนนี้
ทันทีที่ซูหลุนปรากฏตัว เซี่ยโอวโม่รู้ว่านี่คือตัวจริงของ “ใต้เท้าซู” แต่เขาก็ไม่รู้ว่าซูมู่เกอและซูหลุนตั้งใจจะทำอะไร
เซี่ยโฮวโม่หมุนตัวกลับไปที่ห้องของเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึงทำให้ตงหลินค่อนข้างงงวย
“ซูหลุนอยู่ที่ไหนก่อนหน้านี้?” เซี่ยโฮวโม่ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ในโรงแรมริมถนนด้านหลังของหย่าเหมินพะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวโม่ก็ลุกขึ้นยืน นั่นทำให้ตงหลินประหลาดใจ
“ข้าจะไปขี่ม้า” ตงหลินหมุนตัวกลับและเดินไปที่ประตู
“กลับมา เมื่อไหร่ที่ข้าบอกว่าจะออกไปข้างนอก?”
เอ่อ….
ท่าทางของท่านมีความหมายอย่างไรนอกจากการออกไปข้างนอก…?
ด้วยบรรยากาศที่หดหู่ใจอย่างมากภายในห้อง ตงหลินสามารถทำได้เพียงพูดว่า “พะย่ะค่ะฝ่าบาท ข้ากำลังไปและหาคุณหนูซูว่า….”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขารู้สึกว่าอากาศหนาวเกินไปที่จะหายใจ
“ทำไมข้าถึงต้องไปหานาง? ออกไป”
“พะย่ะค่ะฝ่าบาท หม่อมฉันขออภัย”
ตอนนี้เซี่ยโฮวโม่อยู่คนเดียวในห้อง
เขาปิดตาสีดำลงและหมุนแหวนหยกบนนิ้วหัวแม่มือเบาๆ ความเร็วของการหมุนค่อยๆเร็วขึ้นๆ
ตงหลินต้องประหลาดใจเมื่อเห็นพฤติกรรมของเขาในตอนนี้ เพราะมันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อฝ่าบาททรงไม่พอพระทัย
โจวฉิ่วเดินออกจากห้องและรู้สึกอยากรู้เมื่อเห็นใบหน้าอันขมขื่นของตงหลิน “ดูหน้าเจ้าสิ เจ้าครองความโสดมานานเกินไปหรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ตงหลินก็ต่อยเขา “ไร้สาระ”
โจวฉิ่วยิ้มเล็กน้อย “ฝ่าบาทประทับที่นี่งั้นหรือ?”
“ใช่” ตงหลินเสียงดังขึ้น “ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ โจวฉิ่วกลับมาแล้ว”
ไม่มีเสียงตอบรับมาจากในห้อง
คิดถึงอารมณ์ที่ไม่ดีของเซี่ยโฮวโม่ในวันนี้ ตงหลินรวบรวมความกล้าและพูดอีกครั้งว่า “ฝ่าบาท โจวฉิ่งมีบางอย่างจะรายงานพะย่ะค่ะ”
ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับจากห้องพัก
ทั้งสองมองหน้ากับและกัน แม้ว่าพระองค์จะไม่ต้องการเห็นหน้าพวกเขา พระองค์จะไม่นิ่งเฉยเช่นนี้
ตงหลินผลักประตูให้เปิดออก แต่ไม่มีร่องรอยของเซี่ยโฮวโม่ในห้องพัก
“มันแปลกมาก เมื่อกี้พระองค์อยู่ในห้องแน่นอน…..”
โจวฉิ่งเหลือบมองไปที่หน้าต่างด้านหลังของห้อง “อาจมีมือสังหารหรือไม่?”
ตงหลินดูซีดลงเล็กน้อย
พวกเขารู้จักกังฟูอันทรงพบังของฝ่าบาทเป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเขาจึงสงสัยว่านักฆ่าประเภทใดที่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าเขาอย่างเงียบๆ โดยไม่ทำให้คนอื่นสังเกตเห็น
ในเวลานี้เซี่ยโฮวโม่ที่หายไป ปรากฏตัวในโรงแรมหลังหย่าเหมิน
ตั้งแต่น้ำท่วมได้ลดลงไปแล้ว โรงแรมขนาดเล็ก ร้านอาหาร และร้านค้าก็กลับมาดำเนินการ ค้าขายได้อย่างช้าๆ
บริกรวางศีรษะบนโต๊ะเพื่องีบหลับ ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงอากาศเย็นรอบตัวเขาและเขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับร่างกายที่สั่นเทา
มองขึ้นไปเห็นชายร่างสูงเพรียวยืนอยู่ตรงหน้า เขากลัวมากจนตกจากเก้าอี้!
“ท่าน….ขอรับท่านที่เคารพ คือ..คือท่านจะพักที่นี่หรือขอรับ?”
เซี่ยโฮวโม่เดินออกไปจากโรงแรมทันทีโดยไม่ได้มองไปที่เขา
เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าสาวน้อยจะจากไปแล้ว!
“อ่า-โชวว!”
ซูมู่เกอซึ่งนั่งอยู่บนรถม้า ทันใดนางก็จามออกมา นางลูบจมูก ดังม่านเปิดออกและมองไปนอกหน้าต่าง
นางออกเดินทางก่อนรุ่งสางวันนี้ ถ้านางเร็วพอ นางน่าจะกลับถึงเมืองชุนหยางได้ก่อน มืด
ดึงม่านปิด ซูมู่เกอพิงผนังรถม้าและหลับตาลง
วันนี้นางเหนื่อยมากเกิน
นางเอื้อมมือไปคลำหน้าอก มันคือ…แบนเกินไป!
ผู้หญิงทุกคนต้องการที่จะสวยงาม ดูเหมือนว่านางจะต้องมีการทำพิธีกรรมความงามที่บ้านแล้ว
“ท่านลุง ถนนค่อนข้างเรียบ โปรดเร่งความเร็วเถิด”
“ได้ขอรับ!”
คนขับรถม้ายกแส้ขึ้นหวด ทำให้รถม้าวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิมมาก
หลังจากนั้นไม่นาน การเดินทางผ่านถนนหลุมเป็นบ่อ ในที่สุดพวกเขาก็เข้าสู่ประตูเมืองชุนหยาง
แม้ว่านางจะออกจากเมืองชุนหยางเป็นจำนวนหลายวัน ซูมู่เกอรู้สึกเหมือนผ่านไปเป็นทศวรรษ
ทันทีที่ซูมู่เกอลงจากรถม้า หลี่มาม่ากลับมาจากข้างนอกพอดี
หลี่มาม่าแทบไม่เชื่อสายตานางเองเมื่อมาที่ประตูและได้เห็นซูมู่เกอที่ข้างประตู ใช้เวลาสักครู่ นางคิดว่าตานางคงเฝื่อนฝาด นางยืนนิ่งด้วยความงุนงง
เมื่อซูมู่เกอลงจากรถม้านั้น นางเห็นหลี่มาม่าในทันที นางเดินเข้าไปกาและเหลือบมอง “หลี่มาม่า แค่ภายในเวลาสิบกว่าวันท่านจำข้าไม่ได้เทียวหรือ?”
ทันใดนั้นหลี่มาม่าก็ได้รู้สึกตัวพร้อมกับความประหลาดใจไม่น้อยในสายตาของนาง แต่นางระงับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วและลดสายตาลง “มันคือคุณหนูใหญ่นี่เอง เชิญเข้ามาข้างใน”
อย่างไรก็ตาม ซูมู่เกอออกจากคฤหาสน์ตระกูลซูเพื่อไปตามหาซูหลุน ซึ่งถูกปกปิดจากนางอัน นางไม่ต้องการให้ซูมู่เกอถูกยกย่องว่าเป็นลูกสาวกตัญญูที่ยิ่งใหญ่ในเมืองชุนหยาง ในขณะเดียวกัน นางกลัวว่าซูมู่เกอจะสร้างปัญหาเมื่ออยู่นอกเรือน ซึ่งอาจลากนางเข้าไปพัวพันด้วย
หลังจากเข้าสู่คฤหาสน์ตระกูลซู ซูมู่เกอมุ่งหน้ากลับไปที่ลานดอกท้อบาน
ทุกอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก มันยังคงเงียบและสงบ
ซูมู่เกอก้าวเข้ามาในสนามด้วยรอยยิ้มที่หายไปนาน
ตอนนี้อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ นางจ้าวจะอุ้นเหวินโม่ตัวน้อยไปที่สนามเพื่อเดินเล่นทุกวัน
มันเป็นเวลามืดแล้วและไฟก็สว่างขึ้นแล้ว
นางจ้าวใช้เวลาทั้งคืนในการเย็บปักถักร้อยใต้โคมไฟ และเมื่อนางรู้สึกเหนื่อยล้า นางจะไปดูเหวินโม่ตัวน้อยและตรวจดูว่าเจ้าตัวเล็กหลับสนิทหรือไม่
เมื่อไม่มีซูมู่เกอในคฤหาสน์ เยว่รู่ไม่มีงานต้องทำมากนัก นางจึงเข้านอนแต่หัววัน
หงส์เหมยถือกาน้ำชาออกมา ทันใดนั้นก็เห็นซูมู่เกอยืนอยู่ที่ลานบ้าน นางตกใจมากจนเกือบจะทิ้งกาน้ำชาลงกับพื้น
“คุณหนู…คุณหนู…คุณหนูใหญ่!”
“อะไรนะ? มู่มู่! มู่มู่อยู่ที่ไหน?”
เสียงตะโกนดังของหงส์เหมยดึงดูดนางจ้าว ที่รีบวิ่งออกมาและเห็นซูมู่เกอเดินมาที่ประตู นางโผไปข้างหน้าและโอบกอดซูมู่เกอไว้ในอ้อมแขน ตาของนางเป็นสีแดงและมีน้ำตาไหลนอง
“มูมู่ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว เจ้ากำลังทำให้แม่ของเจ้าเป็นห่วงมาก” นางจ้าวหายใจไม่ออกพร้อมกับสะอื้น กอดซูมู่เกอไว้ในอ้อมแขนแน่น ซูมู่เกอรู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจที่ดังก้องและน้ำตาอันร้อนแรงของนาง
รู้สึกอบอุ่นภายใน จู่ๆซูมู่เกอก็รู้สึกเจ็บจมูก
แม่เป็นคนที่ห่วงใยนางอย่างแท้จริง แม้ว่านางจะไม่ได้มีพลังมากมาย นางเป็นฝ่ายสนับสนุนที่น่าเชื่อถือที่สุดของนาง พวกมันเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด
“ท่านแม่ อย่าร้องไห้ ข้าแค่เพิ่งออกไปเรียนรู้กฎและมารยาทจากคนอื่น … ”
นางจ้าว น้ำตาไหล ปล่อยตัวซูมู่เกอออกจากอ้อมแขน ซับตาด้วยผ้าเช็ดหน้า และดึงซูมู่เกอเข้าไปในห้อง
หงส์เหมยคงไม่มีความสุขไปมากกว่านี้แล้วที่ได้เห็นซูมู่เกอกลับมา ดังนั้นนางจึงรีบไปปลุกเยว่รู่และคนอื่นๆ
“อืม อย่ามาขวางทางข้า ให้ข้าได้คุยกับมู่มู่”
นางจ้าวบอกให้สาวๆถอยห่าง
“ทำไมนายหญิงถึงจัดให้เจ้าไปเรียนรู้กฎและมารยาทในเวลานี้? ข้าได้ยินมาว่าบางเมืองนอกเมืองชุนหยางถูกน้ำท่วม ซึ่งอยู่ในความยุ่งเหยิง”
เมื่อออกจากคฤหาสน์ซู ซูมู่เกอได้ทำข้ออ้างกับนางอันที่จะออกจากคฤหาสน์ มีข้ออ้างว่าแม่เฒ่าคนหนึ่งในวังหลวงได้เกษียณอายุแล้วและกลับไปบ้านเกิดในเมืองชุนหยาง ดังนั้นนางอันจึงต้องการคว้าโอกาสนี้และส่งซูมู่เกอไปเรียนรู้กฎและมารยาท
แต่มาม่ามีอารมณ์แปลก ๆ นางจะไม่อยู่ในคฤหาสน์ของผู้อื่น แต่คุณหนูแต่ละบ้านทั้งหมดถูกส่งไปที่บ้านของนางเพื่อเรียนรู้กฎและมารยาท เพื่อผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ดีขึ้น พวกเขายังสามารถอาศัยอยู่กับนางได้
ข้อแก้ตัวไม่ดีนัก แต่เป็นไปได้
วันก่อน นางอันเข้ามาหานางจ้าว คนที่สงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้สังสัยนักเพราะนั่นเป็นผลประโยชน์ของซูมู่เกอ แต่นางก็ยังคงกังวลอยู่ทุกวัน และไม่สามารถปลดปล่อยอารมณ์ที่ถูกเก็บกดไว้ของนางได้ต่อเมื่อซูมู่เกอกลับมาได้กลับมาแล้ว
“ท่านแม่ ไม่ต้องกังวล ข้าเพิ่งเรียนรู้กฎและมารยาทในบ้านของมาม่าและไม่ได้ออกไปข้างนอก วันนี้น้องชายของข้าประพฤติตัวดีหรือไม่?”
เมื่อพูดถึงลูกชาย นางจ้าวยิ้มแย้ม “แน่นอน เขากินดีและนอนหลับสนิท เขาจะไม่ดีได้อย่างไร?”
“ข้ากำลังจะไปดูน้องชายของข้า”
เมื่อนึกถึงร่างกายที่เล็กและนุ่มของเหวินโม่ตัวน้อย ซูมู่เกอไม่สามารถรอที่จะสัมผัสเขาได้ในตอนนี้
ในขณะนี้เจ้าตัวน้อยหลับอยู่ และพี่เลี้ยงดูแลทารกอยู่บนเก้าอี้ยาว เมื่อเห็นซูมู่เกอกลับมาแล้ว นางตกตะลึงและกำลังจะโค้งคำนับ ก่อนที่นางจะทำเช่นนั้น ซูมู่เกอไดหยุดนางไว้
“เหวินโม่ พี่สาวกลับมาแล้ว” ใกล้กับเปล ซูมู่เกอจิ้มแก้มอวบอิ่มของเหวินโม่เล็กน้อย
เจ้าตัวเล็กดูเหมือนจะรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว เม้มริมฝีปากของเขา และขยับมือของเขา
“นายน้อยนอนหลับสบายมากในตอนกลางคืน และเขาตื่นขึ้นมาเพียงครั้งเดียวเพื่อดื่มนม ข้าไม่เคยเห็นเด็กว่านอนสอนง่ายขนาดนี้”
ซูมู่เกอซุกผ้าห่มให้เหวินโม่ตัวน้อยก่อนที่นางจะลุกขึ้นยืน “ดูแลนายน้อยให้ดี และข้าจะรับประกันชีวิตที่ดีให้เจ้าในอนาคต”
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ ข้าไม่กล้าแม้แต่น้อย”
ซูมู่เกอใช้เวลาอยู่กับนางจ้าวก่อนจะกลับไปที่ห้องของนาง เมื่อรู้ถึงการกลับมาของซูมู่เกอ เยว่รู่และคนอื่นๆ รออยู่ข้างนอกแล้วในเวลานี้ด้วยความกระตือรือร้น
“คุณหนู ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว…” ทั่วทั้งคฤหาสน์ซู เยว่รู่เป็นคนเดียวที่รู้ว่าซูมู่เกอไปทำอะไร นอกเหนือจากนางอันและหลี่มาม่า เมื่อเห็นซูมู่เกอกลับมาอย่างปลอดภัยและมั่นคง นางโล่งใจในที่สุด
“อืม ข้ากลับมาแล้ว เจ้าไม่ควรมีความสุขหรือ? เตรียมน้ำร้อนสิ ข้าอยากอาบน้ำสบายๆให้สะอาดๆ”
“เจ้าค่ะ เดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ” ซินเอ๋อและเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ตอบสนองและเริ่มลงมือทำงาน
ในห้องทำความสะอาดที่ปกคุลมไปด้วยไอน้ำ ซูมู่เกอจมลงไปในน้ำร้อน และทุกเซลล์ในร่างกายของนางก็ผ่อนคลายและโล่ง
ดีมากจริงๆ ทุกอย่างจบลงแล้ว…
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่?” เสียงที่ชัดเจนและเบามาจากด้านหลัง
ทันที่ที่ซูมู่เกอหันกลับไปเธอก็เห็นเซี่ยโฮวคุณในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มมีลวดลายเมฆมงคลยืนอยู่นอกประตู
เมื่อเห็นเซี่ยโฮวคุณ ผู้นำทหารเดินไปอย่างรวดเร็ว โค้งคำนับ “องค์ชายสอง”
เซี่ยโฮวคุณมองไปที่ผู้ป่วยที่นอนอยู่บนพื้น จากนั้นมองไปที่ซูมู่เกอด้วยความสงสัยในดวงตาของเขา
“เกิดอะไรขึ้น?” เซี่ยโฮวคุณถาม
ผู้นำทหารชำเลืองมองซูมู่เกออย่างลับๆ และตอบว่า “องค์ชายสอง คนเหล่านี้ติดโรคระบาด ข้าน้อยจะพาพวกเขาออกไป แต่ใต้เท้าซูขัดขวางเรา ข้าน้อยสงสัยว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไร?”
เซี่ยโฮวคุณได้รับแจ้งในตอนเช้าถึงกลุ่มคนที่ติดเชื้อโรคเดียวกันนี้ ไม่มีแพทย์ประจำจักรวรรดิคนใดที่เขาพามาที่นี่สามารถบอกสาเหตุได้หลังการวินิจฉัย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากในเวลาเดียวกัน มีนมีโอกาสมากที่จะเป็นโรคระบาด
ดังนั้น เซี่ยโฮวคุณจึงสั่งให้ฆ่าผู้ติดเชื้อที่ใดที่หนึ่งที่ถูกทิ้งร้าง
ซูมู่เกอก้าวไปข้างหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “องค์ชายสอง คนเหล่านี้ไม่ติดโรคระบาด” เมื่อได้ยินเสียงของเธอ เซี่ยโฮวคุณมองกลับไปที่ซูมู่เกออีกครั้งรู้สึกถึง “ซูหลุน” ที่อยู่ตรงหน้าเขา แตกต่างจากที่เขาเห็นเมื่อเช้า
รู้สึกแปลกๆ เมื่อได้พบกับ “ใต้เท้าซู” คนก่อน หลังกจากนั้นเขาก็ให้ความสนใจกับชายตรงหน้านี้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองอย่างใกล้ชิด ตอนนี้เขามีเบาะแสมากมาย ผู้ชายตรงหน้าเขาผอมกว่าที่เห็นเมื่อเช้ามาก
เซี่ยโฮวคุณขมวดคิ้วเงียบๆ “มีหลายคนป่วยในเวลาเดียวกันด้วยอาการเดียวกัน ใต้เท้าซู เจ้าจะว่าอย่างไรถ้านี่ไม่ใช่โรคระบาด?”
ซูมู่เกอมองไปที่เซี่ยโฮวคุณอย่างจริงจัง “พวกเขามีปัญหาเกี่ยวกับปอด และข้าได้พบวิธีรักษาแล้วพะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวคุณหรี่ตา “เจ้าหมายความว่าเจ้าสามารถรักษาโรคระบาดนี้ได้งั้นรึ?”
ซูมู่เกอพยักหน้าอย่างมั่นใจ “พะย่ะค่ะ แต่นี่ไม่ใช่โรคระบาด”
เซี่ยโฮวคุณหัวเราะเบาๆ โดยไม่ได้ตั้งใจถามว่า “ทำไมข้าถึงต้องเชื่อเจ้า?”
“ข้าเชื่อเจ้า มั่นใจและดำเนินการต่อไป” นี่เป็นเสียงที่แตกต่างกัน
ทันทีที่เซี่ยโฮวคุณพูดจบร่างเพรียวก็ก้าวเข้ามาอย่างตั้งใจ
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นและพบกับดวงตาสีเข้าของเซี่ยโฮวโม่
ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะมีออร่าที่สามารถแสดงจุดแข็งที่ทรงพลังของเขาได้ ทำให้คนอื่นมองข้ามเขาได้ยาก
แสงแห่งความเป็นปรปักษ์ฉายในดวงตาที่เบิกโพลงเล็กน้อยของเซี่ยโฮวคุณ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นทุกอย่างก็ดูเป็นปกติ “เซี่ย…ใต้เท้าเซี่ยกำลังตั้งคำถามกับการตัดสินใจของข้างั้นรึ?”
ด้วยรูปลักษณ์ที่แปลกแยกและไม่แยแส เซี่ยโฮวโม่เหลือบมองใบหน้าของเซี่ยโฮวคุณด้วยหางตาของเขา เขาเดินไปหาซูมู่เกอและยืนข้างๆเธอเหมือนการหนุนหลังที่มั่นคงที่สุดของเธอ
“องค์ชายสองที่เป็นผู้มาใหม่ เขาจึงพอให้อภัยได้ที่ไม่รู้สถานการณ์”
ริมฝีปากที่ยกขึ้นของเซี่ยโฮวคุณสั่นระริก “ดี เป็นเพราะใต้เท้าเซี่ยเชื่อใจใต้เท้าซูมาก ข้าอยากจะเห็นว่าทักษะทางการแพทย์ของใต้เท้าซูยอดเยี่ยมเพียงใดในการรักษาผู้ป่วยเหล่านี้ ซึ่งทำให้แพทย์ของจักรวรรดิยำเกรงนัก”
ได้รับการพยักหน้าอนุญาตจากเซี่ยโฮวโม่ ซูมู่เกอก้มศีรษะให้เขาและส่งคนไข้ทั้งหมดกลับเข้าห้องรักษาไป
ที่ลานโล่ง เซี่ยโฮวโม่และเซี่ยโฮวคุณยืนอยู่ตรงข้ามกัน คนหนึ่งมีท่าทางมืดมนและอีกคนหนึ่งมีสีหน้าหนักแน่น ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างชัดเจน
“น้องเก้ากลายเป็นคนชอบยุ่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด? เซี่ยโฮวคุณเกลียดความรู้สึกของเซี่ยโฮวโม่ที่ครอบงำในตอนนี้ ไอ้เด็กสารเลว มันกล้าดียังไง?
“ข้าแค่ทำตามคำสั่ง” ได้รับการแต่งตั้งจากจักรพรรดิเพื่อบรรเท่าทุกข์แก่ผู้คน แน่นอน เขาจะไม่เพิกเฉยต่อชีวิตราษฎร
เขาไม่ได้ออกหน้าเพราะอารมณ์ร้อน เมื่อเห็นซูมู่เกอถูกเซี่ยโฮวคุณข่มเหง!
ซูมู่เกอมาหาเด็กน้อยที่นางได้ผ่าตัดก่อน วันนี้เขามีอาการเบลอ เขาตื่นขึ้นมาหลายครั้ง แต่อาการของเขาดีขึ้นเล็กน้อย
ซูมู่เกอหยิบยาที่มีเลือดของเซี่ยโอวโม่ออกมาเป็นยาทดลองและป้อนยาเข้าปากเขา
เมื่อวานนี้ นางนอนไม่หลับทั้งคืนและในที่สุดก็พบว่าหนอนดูเหมือนจะตายอย่างรวดเร็วหลังจากกินเลือดของเซี่ยโฮวโม่
ถือเป็นความก้าวหน้าในการวิจัย ในที่สุดนางก็จ่ายยาได้ก่อนรุ่งสาง
อย่างไรก็ตามเธอได้ทดลองยานี้กับหนูเท่านั้น นางไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันใช้ในคน
สร้างความประหลาดใจกับนาง ยานี้รุนแรงกว่าที่นางคาดไว้
ภายในหนึ่งในสี่ส่วนของชั่วโมง เด็กที่เวียนหัวและง่วงนอนก็เริ่มอาเจียนอย่างรุนแรง
ซูมู่เกอหยิบอ่างทองแดงเพื่อเก็บอาเจียนของเขาและสังเกตการอาเจียนหลังจากที่เขาเกือบจะเสร็จแล้ว
วันนี้ เด็กอยู่ในสภาพกึ่งสลบ และแทบจะไม่ได้กินอาการเลย แต่อาเจียนของเขามีสิ่งเล็กๆ มากมายและแตกสลายจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นหนอนที่ตายแล้ว
มันได้ผล!
ซูมู่เกอไม่สามารถซ่อนความสุขในสายตาของนางได้
นางนำยาที่เตรียมไว้ให้กับผู้ป่วยอีกสองสามคนที่มีอาการค่อนข้างร้ายแรง
ในทำนองเดียวกัน มันใช้เวลาไม่นานก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะเริ่มอาเจียน
เซี่ยโฮวคุณซึ่งหมดความอดทนได้ออกจากที่รักษาไปในตอนเช้านั้นแล้ว และมันเป็นเวลาค่ำแล้วเมื่อซูมู่เกอทำงานของนางเสร็จ
เมื่อมีเวลาจำกัด นางจึงไม่สามารถเตรียมยาสำหรับผู้ป่วยทุกรายได้ นางจึงต้องรับกลับไปทำยาเพื่อนำมาจ่ายยาต่อ
โดยไม่คาดคิด ทันทีที่นางกลับไปที่บ้านพักหย่าเหมิน ผู้ติดตามของเซี่ยโฮวคุณก็หยุดนางไว้
“ใต้เท้าซู ท่านได้รับเชิญจากองค์ชายสองให้เข้าพบ”
ซูมู่เกอหยุดเล็กน้อย “เหตุใดองค์ชายสองถึงเรียกพบข้า?”
“ท่านจะได้รู้หลังจากได้พบฝ่าบาทด้วยตัวท่านเอง ใต้เท้าซู”
ซูมู่เกอไม่ต้องการไป แต่คนที่อยู่ข้างหน้านางเป็นปรมาจารย์ด้านกังฟู เห็นได้ชัดว่าเซี่ยโฮวคุณไม่ได้ปล่อยให้นางปฏิเสธได้
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ซู่มู่เกอไม่ต้องการสร้างปัญหาใดๆ และตามทั้งสองคนไปที่ประตูห้องของเซี่ยโฮวคุณ
“องค์ชายสองพะย่ะค่ะ ใต้เท้าซูมาแล้วพะย่ะค่ะ”
“เข้ามา”
“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ทหารรักษาการเปิดประตูห้องออก “ใต้เท้าซู เชิญ”
เซี่ยโฮวคุณยืนอยู่ในห้อง เหมือนกับรอคอยนางโดยเฉพาะ
“ถวายบังคมพะย่ะค่ะ องค์ชายสอง” ซูมู่เกอยืนใกล้ประตูอย่างตั้งใจ ในกรณีที่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
เซี่ยโฮวคุณเดินไปหาซูมู่เกอและเดินวนรอบๆตัวนาง
“ใต้เท้าซู เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงเชิญเจ้ามาพบ?”
ซูมู่เกอมองไปด้วยความตื่นตัว “ได้โปรดรับสั่งให้ข้าน้อยได้ทราบเถิดพะย่ะค่ะ องค์ชายสอง”
“ข้ามีการติดต่อกับใต้เท้าซูหลายครั้ง และข้ามักจะรู้สึกแปลกๆ เกี่ยวกับเจ้า”
ซูมุ่เกอไม่ตอบ หัวใจของนางกระหน่ำอย่างรุนแรง
จู่ๆ เซี่ยโฮวคุณก็เดินไปที่ด้านหลังของนางอีกครั้ง โน้มตัวเข้าหาคอนางอย่างรวดเร็วและสูดดม
ซูมู่เกอกำหมัดของนางไว้ใต้แขนเสื้อแน่น และหมุนตัวไปเพื่อผลักเซี่ยโฮวคุณออก
“องค์ชายสอง ข้าไม่สนใจเรื่องชายชาย ถ้าท่านไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า ข้าขอตัว”
เซี่ยโฮวคุณไม่ได้คาดหวังว่าจะมีการผลักและเซไปข้างหลัง ก่อนที่เขาจะตอบสนอง ซูมู่เกอได้เปิดประตูและวิ่งหนีไปแล้ว
“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ สบายดีไหมพะย่ะค่ะ?”
เซี่ยโฮวคุณผลักทหารออกไป และมองด้วยใบหน้าที่เศร้าหมองไปยังทิศทางที่ซูมู่เกอจากไป “ข้าแน่ใจแล้ว เขามีความลับ! พาเขามาพบข้า!”
“พะย่ะค่ะ ”
ซูมู่เกอรู้ว่าเซี่ยโฮวคุณต้องสงสัยแน่ หลังจากที่เขาได้พบกับซูหลุนแล้ว เมื่อเปรียบเทียบนางกับซูหลุน นางต้องระวังว่าจะมีคนพบเบาะแส
ถ้านางถูกลูกน้องของเซี่ยโฮวคุณจับได้ นางอาจต้องตาย!
นางรีบกลับไปที่ห้องของนางบรรจุยาทั้งหมดลงในกล่องเครื่องมือแพทย์และรีบไปที่ประตูห้องของเซี่ยโฮวโม่
“ใต้เท้าเซี่ย ท่านอยู่หรือไม่?”
“ใต้เท้าซู ใต้เท้าเซี่ยออกไปแล้วขอรับ” เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่รีบร้อนของซูมู่เกอ ตงหลินก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย
ไม่ นางไม่มีเวลาแล้ว!
ซูมู่เกอยื่นกล่องเครืองมือแพทย์ใส่มือของตงหลิน “นี่คือใบสั่งยาสำหรับโรคเป็นอยู่ ได้โปรดช่วยข้าโดยการมองมันให้ใต้เท้าเซี่ยด้วย”
หลังจากนั้นนางก็หมุนตัวกลับไปและจากไป ในไม่ช้าร่างของนางก็หายไปในความมืด
ไม่ว่าเซี่ยโฮวโม่จะวางแผนอย่างไร นางเชื่อว่าเขาจะไม่เพิกเฉยต่อคนป่วย สำหรับอนาคตจะเป็นอย่างไรนั้น มันอยู่นอกเหนือการควบคุมของนาง
ตงหลินมองไปที่กล่องเครื่องมือแพทย์ในมืออย่างสงสัยและขมวดคิ้ว
ซูมู่เกอวิ่งไปที่โรงแรมที่ซูหลุนพูดถึงและพบเขาตามข้อมูลติดต่อที่เขาทิ้งไว้
ซูหลุนอยู่ในห้อง แต่เขาไม่คาดหวังว่าซูมู่เกอจะมาในเวลานี้
“มีอะไรผิดปกติหรือ?”
ซูมู่เกอพยักหน้าด้วยท่าทางเคร่งเครียด “องค์ชายสอง กำลังสงสัยในตัวข้า ท่านพ่อ ท่านรีบใส่เสื้อผ้าของข้าแล้วกลับไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในสองวันที่ผ่านมานี้”
โชคดีที่ หลังจากได้พบกับซูหลุน นางจงใจเลียนแบบท่าทางและการแสดงออกของเขาเพื่อปลอมตัว เมื่อพบหน้าในคราแรก ทั้งสองคนดูเหมือนกัน
ในโรงแรม ตะเกียงถั่วกำลังริบหรี่ ภายในหนึ่งชั่วโมงร่างๆหนึ่งก็ออกทางประตูหลังโรงแรมอย่างรวดเร็ว
ทันที่ที่ซูหลุนเข้าไปใสเขตหย่าเหมิน เขาก็ถูกผู้ติดตามของเซี่ยโฮวคุณรายล้อม
ซูหลุนเหลือบมองพวกเขา จากนั้นเดินตามพวกเขาไปที่ห้องของเซี่ยโฮวคุณโดยไม่โต้แย้งใดๆ
เซี่ยโฮวคุณมองไปที่คนตรงหน้าเขา เขารู้สึกเหมือนถูกหลอก!
“เจ้าเป็นใครฮะ?”
หลังจากที่เคยอยู่ในตำแหน่งทางราชการมาหลายปี ซูหลุนสงบอย่างเร็ว “ข้าน้อยซูหลุน เจ้าเมืองชุนหยาง ขอถวายบังคม องค์ชายสองพะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวคุณขมวดคิ้ว คิดว่าน้ำเสียงเป็นทางการและท่าทางของเขามีเหตุมีผลสมกับที่เขารับใช้ราชสำนักมานานหลายปี
เซี่ยโฮวคุณสังเกตซูหลุนขึ้นลง รู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่าเขาไม่ใช่คนที่เพิ่งวิงหนีออกไป!
แต่ปราศจากหลักฐานที่ตรงจุด เขาไม่สามารถใช้มาตรการใดๆ ได้
“ใต้เท้าซูคงจะเหนื่องมากในวันนี้ กลับไปพักผ่นให้เต็มที่เถิด”
“พะย่ะค่ะ องค์ชายสอง หม่อมฉันขอทูลลา”
ซูหลุนโค้งคำนับและถอยกลับ ขณะกำลังเดินในลานบ้าน เขารู้สึกถึงสายลมยามค่ำคืนและเริ่มรู้สึกถึงความหนาวเย็นจากด้านหลังของเขา
หลังจากซูหลุนจากไป ฮันหยูเดินเข้าไปในห้อง
“ฝ่าบาท”
“อือ-ฮึ”
ฮันหยูเหลือบมองเซี่ยโฮวคุณ เดินไปด้านข้างและกระซิบ “ฝ่าบาท ราชาแห่งจินไปที่ภูเขาพะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยโฮวคุณพ่นลมหายใจอย่างแรง และหยุดลงชั่ววินาที “อะไรนะ? เขาไปที่ภูเขาทำไม!?”
“กระหม่อมไม่ทราบพะย่ะค่ะ กระหมิ่มรู้แค่ว่าราชาแห่งจินได้เรียกกองกำลังจากค่ายหยานเซี่ยและส่งพวกเขาไปที่นั่น”
“ส่งทหารไป….” เซี่ยโฮวคุณโกรธมาก เซี่ยโฮวโม่รู้เรื่องเหมืองทองคำในภูเขางั้นหรือ!?
“พะย่ะค่ะ”
“ตรวจสอบต่อไปและหาให้ได้ว่าพวกเขากำลังทำอะไร!”
“พะย่ะค่ะ”
คืนนั้นเป็นคืนที่หนาวราวกับน้ำแข็ง กับลมภูเขาที่โหยหวน
บนภูเขาหลังหมู่บ้านต้าหวัง เซี่ยโฮวโม่ยืนอยู่ในป่าโดยสมเสื้อคลุมสีดำ
โจวฉิ่วก้าวไปหาเขาและกระซิบ “ฝ่าบาท องค์ชายสองส่งคนมาที่นี่ด้วยพะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวโม่ยกมุมริมฝีปากขึ้นอย่างเย็นชา “ไม่จำเป็นต้องกังวล”
เซี่ยโฮวโม่มาที่นี่ณช่วงเวลานี้เนื่องจากการค้นพบของโจวฉิ่วว่ามีร่อยรอยของการสำรวจของมนุษย์บนภูเขาลูกนี้
มีการขุดแร่ทองคำจำนวนมากเกินไปในราชวงศ์ก่อนหน้าราชวงศ์ฉู่ ส่งผลให้ เป็นเรื่องยากที่จะหาเหมืองทองคำขนาดใหญ่และมีคุณภาพมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
เนื่องจากร่องรอยของการสำรวจทองคำปรากฏขึ้นที่ภูเขาแห่งนี้ เขาจะไม่พลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน
ไม่ว่าเซี่ยโฮวคุณจะมาที่อุโมงค์หรือเหมืองทอง เขาไม่สามารถบรรลุทั้งสองอย่างนี้ แต่เพื่อบรรลุผลงานบรรเทาสาธารณะภัยในที่สุด!
ซูหลุนมองไปที่ซูมู่เกอ ที่แสดงท่าทางให้เขาเงียบไว้
“เจ้าเป็นใคร?” ซูมู่เกอกดเสียงให้ต่ำลงและถาม
“ใต้เท้าซู ข้าเองเจ้าค่ะ” ยายฟางตอบมา
“ยายฟาง เจ้าทีอะไรรึ?”
“เอ่อ ใต้เท้า ท่านไม่ได้ทานอาหารเช้าและข้ากลัวว่าท่านจะหิว ข้าจึงนำอาหารมาให้เจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร ท่านยาย ขอบคุณ ข้ากินอาหารมาจากข้างนอกแล้ว ตอนนี้ข้ายังไม่หิว ท่านกลับไปทำงานท่านเถอะ”
“เจ้าค่ะ ข้ากลับก่อน ถ้าท่านหิว โปรดแจ้งข้าด้วย ข้าจะนำมาให้ท่าน”
“ได้ท่านยาย ขอบคุณ”
เสียงฝีเท้าของยายฟางดังห่างออกไป
ซูมู่เกอเดินกลับไปที่เก้าอี้เพื่อนั่งลงและมองไปที่ซูหลุนซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม
“ท่านพ่อ ท่านจะเชื่อมันหรือไม่ มาถึงจุดนี้แล้ว เราควรมาคิดหาวิธีแก้ปัญหาต่อไปข้างหน้ากันดีกว่า”
แน่นอน ซูหลุนรู้ว่าอะไรสำคัญกว่า และซูมู่เกอพูดถูกในสิ่งนี้
ถ้านางไม่ได้ปลอมตัวเป็นเขา การหายตัวไปอย่างกะทนหันของเขาย่อมถูกเอามาเป็นข้อได้เปรียบของผู้ไม่หวังดี ตอนนี้ตระกูลซูทั้งหมดอาจถูกลงทัณฑ์ไปแล้ว
แต่สำหรับพฤติกรรมที่อาจหาญของซูมู่เกอ ซูหลุนยังคงคิดว่ามันไม่น่าเชื่อ
“ข้าจะบอกให้ใครสักคนส่งเจ้ากลับไปที่เมืองชุนหยาง เก็บไว้เป็นความลับจนกว่าเจ้าจะตาย”
“ไม่ ยังไม่ได้” ซูมู่เกอปฏิเสธเขาโดยไม่คิด
ความโกรธที่ซูหลุนเพิ่งระงับไว้กลับเพิ่มขึ้นอีกครั้ง “เจ้าคิดว่ากำลังเล่นเกมอยู่หรือ? เมื่อไหร่เจ้าจะหยุด!”
ซูมู่เกอยิ้มเยาะจากใจของนาง นางถือได้ว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตของคนทั้งตระกูลซู แม้ว่าจะไม่ใช่จุดเริ่มที่นางทำ แต่ซูหลุนกลับตำหนินางโดยบอกว่านางแค่พูดเล่น
คิดถึงสิ่งนี้ ซูมู่เกอแสดงสีหน้าเย็นชาต่อซูหลุน
“ท่านพ่อ ท่านคิดว่าข้าทำเล่นๆหรือ? อาจมีโรคระบาดในเขตและข้าเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องนี้ แน่ใจหรือว่าต้องการให้ข้ากลับไปตอนนี้?”
“โรคระบาด!” รูม่านตาของซูหลุนขยายออกด้วยความประหลาดใจ
“ท่านพ่อ ผ่านคลาย ข้ากำลังพูดถึงความเป็นไปได้”
“คนไข้เหล่านั้นอยู่ที่ไหนจงพาพวกเขาออกจากเขตโจวทันที พวกเขาต้องไม่อยู่ที่นี่” เขาไม่สนใจชีวิตของผู้ป่วยเลย
“ตอนนี้องค์ชายสองและใต้เท้าเซี่ยกำลังเฝ้าดูอยู่”
“ใต้เท้าเซี่ย?” ในช่วงที่เขาเข้าสู่เขตหย่าเหมินเขาถูกเรียกตัวจากผู้บังคับบัญชาของเขา องค์ชายสอง องค์ชายสองกล่าวถึงราชาแห่งจินในคำพูดของพวกเขาหลายครั้ง เขาไม่คาดคิดว่าราชาแห่งจินจะปรากฏตัวในเขตโจว ราชาแห่งจินคนนี้น่าจะคือใต้เท้าเซี่ยที่ซูมู่เกอพูดถึง
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? และเจ้ามีความสามารถแค่ไหนที่จะรักษาผู้ป่วยเหล่านั้นได้?”
“ข้ากำลังพยายาม”
“นานแค่ไหน ใช้เวลานานแค่ไหนที่เจ้าจะรักษาคนเหล่านั้นได้?”
ซูมู่เกอไม่ตอบ แต่ลุกขึ้นไปเปิดชุดเครื่องมือแพทย์และหยิบขวดกระเบื้องออกมา เมื่อวานนางแช่หนอนไว้บางส่วน
ซูมู่เกอคาดว่าจะได้เห็นหนอนที่ตายแล้ว แต่หนอนที่แช่อยู่ในยายังมีชีวิตอยู่!
ซูมู่เกอมองไปที่ขวดกระเบื้อง ตกใจและพูดไม่ออก
“ด้วยยาเดียวกัน ปริมาณหนอนเท่ากัน และในเวลาเหมือนกัน หนอนพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่”
เกิดอะไรขึ้น…..
มีอะไรผิดพลาดหรือ?
“ข้าจะให้เวลาเจ้าสามวัน ถ้าเจ้าไม่สามารถรักษาคนเหล่านี้ให้หายภายในสามวัน เจ้าจะต้องกลับเมืองชุนหยางทันที” หลังจากซูหลุนพูดจบ เขาหงุดหงิดเมื่อพบว่าซูมู่เกอไม่ได้ฟังเขาเลย
“เจ้าได้ยินข้าไหม?”
“ตกลง!”
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นทันใด หากมีความแตกต่าง มันเป็นเลือดที่นางตั้งใจหลอกเซี่ยโฮวโม่เมื่อวันก่อนให้หยดลงในขวดกระเบื้องที่มีหนอน
เป็นเพราะเลือดของเขาหรือเปล่า?
“ดี ข้าสัญญากับท่าน แต่ถึงตอนนั้น ‘ใต้เท้าซู’ ก็เป็นเพียงแค่ข้า” ซูมู่เกอวางฝาขวดและมองไปที่ซูหลุน
ซูหลุนกำลับจะหักล้าง แต่เนื่องจากไม่มีใครเคยเห็นการปลอมตัวของนางในวันนี้ เขาโล่งใจเล็กน้อย
เขามองไปที่ซูมู่เกอและต้องยอมรับว่าการปลอมแปลงใบหน้าของนางนั้นคล้ายกับของเขาจริงๆ อย่างไรก็ตามนางมีความสูงน้อยกว่าเขา ซึ่งสามารถรับรู้ได้โดยคนใกล้ชิดเขาเท่านั้น
“ตกลง แต่เจ้าควรป้องกันไม่ให้ตระกูลซูมีปัญหา ไม่เช่นนั้น….”
“ท่านพ่อ ข้าหวงแหนชีวิตของข้ามากกว่าท่าน” ซูมู่เกอขัดจังหวะซูหลุน สิ่งที่นางต้องการตอนนี้คือไม่หาเซี่ยโฮวโม่ให้เร็วที่สุดและพิสูจน์การคาดเดาของนาง
“ข้าจะอยู่ในโรงแรมที่ถนนด้านหลังเขตหย่าเหมิน อีกสามวันข้างหน้า ไปหาข้าที่นั่นถ้าจำเป็น”
“ไม่มีปัญหา ท่านพ่อ ท่านควรระวังและอย่าให้ใครเห็นหน้าท่าน”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ซูหลุนเปิดประตูและตรวจดูว่ามีใครอยู่หรือไม่ จากนั้นเขาก็เดินออกไปจากประตูทางด้านหลังเขตหย่าเหมิน
หลังจากที่ซูหลุนจากไปแล้วซูมู่เกอก็ไปที่ห้องของเซี่ยโฮวโม่พร้อมกับขวดกระเบื้องในมือนาง “ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องพูดกับใต้เท้าเซี่ย” นางพูดกับผู้คุ้มกันที่หยุดนางอยู่นอกประตู
“ปล่อยเขาเข้ามา”
ช่วงเวลาที่ซูมู่เกอพูดจบ มีเสียงของเซี่ยโฮวโม่ดังออกมา
เธอเดินเข้ามาและเห็นเขานั่งอยู่หน้าโต๊ะในชุดคลุมสีเข้มที่เป็นระเบียบเรียบร้อย
“ใต้เท้าเซี่ย ข้ามีการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ ข้าคงรู้วิธีฆ่าหนอนพวกนั้นแล้ว”
คิ้วของเซี่ยโฮวโม่เลิกขึ้นเล็กน้อย “โอ้?”
“ อย่างไรก็ตาม ข้าต้องการให้ท่านเสียสละ”
ก่อนที่เซี่ยโฮวโม่จะตอบว่ารับ ซูมู่เกอไม่รอช้าที่จะจับมือใหญ่ของเขา ชูนิ้วขึ้นและแทงด้วยเข็มเงิน
เซี่ยโฮวโม่รู้สึกเสียวจิ๊ดเล็กน้อยจากปลายนิ้วของเขา และเลือดของเขาก็ถูกบีบลงในขวดกระเบื้องโดยซูมู่เกอแล้ว
ริมฝีปากของเซี่ยโฮวโม่กระตุก “เลือดของข้าใช้เป็นยาได้จริงหรือ?”
ซูมู่เกอเทหนอนลงในขวดกระเบื้อง และหยดเลือดละลายลงในยาด้วยความเร็วที่รวดเร็วและมองไม่แทบไม่ทัน ในไม่ช้าสีของหนอนที่ดิ้นอยู่ในยาก็เปลี่ยนไป และตายลงในไม่ช้า!
“เยี่ยม มันทำ…” ซูมู่เกอมองไปที่นิ้วที่มีเลือดออกของเซี่ยโฮวโม่อย่างตะกละตะกลามเหมือนหมาป่าเห็นเนื้อ
เซี่ยโฮวโม่ยังยืดตัวตรงนั่งบนเก้าอี้และมองไปที่จานกระเบื้อง
“ข้าคิดว่าหนอนพวกนี้ถูกวางยาพิษจากยา แต่ต่อมาข้าได้ทำการทดลองอีกครั้งและพบว่าพวกมันจะไม่ถูกฆ่าหากเพียงแค่แช่ในน้ำยานั้น ใต้เท้าเซี่ย ท่านจำได้ไหมว่าข้าเคยหยดเลือดของท่านลงไปในขวดลายครามตอนที่นั่งในรถม้าก่อนหน้านี้”
เซี่ยโฮวโม่ลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร?
แน่นอน ซูมู่เกอจะไม่บอกเขาว่าตอนนั้นนางตั้งใจ!
“อืม”
“รอก่อนนะ ใต้เท้าเซี่ย” ซูมู่เกอกล่าวจบจากนั้นนางก็หันหลังวิ่งไปที่ห้องของนาง นางได้แบ่งหนอนจากปอดของเด็กออกเป็นหลายๆส่วน เพื่อเก็บไว้ใช้ในการทดลอง
นางเอาหนอนอีกสองส่วนกลับมาที่ห้องของเซี่ยโฮวโม่
“ใต้เท้าเซี่ย ลองดูอีกครั้ง”
เซี่ยโฮวโม่ไม่รังเกียจ เขาแทงนิ้วอีกครั้งด้วยเข็มเงินและหยดเลือดลงในขวดกระเบื้องที่มีหนอนอยู่
เลือดสีแดงหยดลงบนหนอนสีขาวและเพียงครู่เดียว หนอนที่มีชีวิตชีวาก็เหี่ยวเฉาและตายไป
“ใต้เท้าเซี่ย ข้าขอขอบคุณท่านในนามชาวเมืองโจว”
ดวงตาของเซี่ยโฮวโม่มืดลงเมื่อเขาเห็นซูมู่เกอพยายามกลั้นริมฝีปากที่กำลังอยากจะยิ้มกว้างของนาง
นางเอาเลือดจากเขาไปศึกษาในภายหลัง ตั้งใจว่าจะพยายามทำยาให้ดีที่สุดภายในสามวัน
เซี่ยโฮวโม่มองไปที่นิ้วของเขาและขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทำไมเลือดของเขาถึงฆ่าหนอนพวกนั้นได้? เป็นเพราะเขาถูกวางยาพิษโดยพิษเลือดแดงหรือไม่? และหนอนพวกนั้นถูกฆ่าด้วยเลือดอาบยาพิษ?
“ใต้เท้า โจวฉิ่วและกองทหารที่เขานำไปกลับมาแล้วขอรับ” ตงหลินเดินเข้าไปในห้องและกระซิบ
เซี่ยโฮวโม่ยับยั้งความคิดของเขา “ให้พวกเขาเข้ามา”
โจวฉิ่วและโจวเหว่ยเดินเข้ามาในห้อง
“ใต้เท้า”
“ว่ามา”
โจวฉิ่วมองไปที่โจวเหว่ยและพูดรายงาน “ใต้เท้า เราเดินไปตามถ้ำเมื่อวานนี้และพบรอยเท้ามากมายเต็มไปหมดในนั้น และอุโมงค์นำเราออกไปสู่เชิงเขา!”
มีการกระตุกเล็กน้อยระหว่างคิ้วของเซี่ยโฮวโม่
“เราสำรวจรอบๆเชิงเขาสักพักก่อนที่เราจะพบว่ามีภูเขาอีกสองลูกจากทางออก มันเป็นชายแดนของแคว้นฉู่ขอรับ” โจวเหว่ยกล่าว
“การขุดอุโมงค์แบบนี้จะใช้เวลานานแค่ไหน?” เซี่ยโฮวโม่ถามเขาช้าๆ
“มันต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีในการขุดอุโมงค์ดังกล่าวขอรับ”
เซี่ยโฮวโม่ใช้นิ้วเคาะเก้าอี้เบา ๆ “พวกเขากำลังจะทำงานร่วมกัน ร่วมมือจากภายในกับอีกฝ่ายจากภายนอก แต่พวกคนตะวันตกเหล่านั้นทำงานกับใคร?”
“ใต้เท้า ท่านหมายความว่าบางคนในแคว้นฉู่สมรู้ร่วมคิดกับคนตะวันตกหรือไม่ขอรับ?” ตงหลินกัดฟันและพูดอย่างโกรธ ๆ นายท่านของพวกเขาหยุดคนตะวันตกเหล่านั้นด้วยเลือดของเขาในสนามรบ แต่มีบางคนในราชสำนักของจักรวรรดิสมรู้ร่วมคิดกับคนตะวันตกเพียงเพื่อเห็นแก่ความต้องการส่วนตัวที่เห็นแก่ตัวของพวกเขา!
“ใต้เท้า เราควรทำอย่างไรต่อไป?”
เซี่ยโฮวโม่ค่อยๆเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ฝนตกปรอยๆ นอกหน้าต่าง เสียงของเขาฟังดูห่างไกล “ส่งคนไปจับตาดูมันอย่างลับๆ ข้าจะรายงานเรื่องนี้ต่อองค์จักรพรรดิ”
“ขอรับ”
“ใต้เท้า มีอีกเรื่อง….” ตงหลินเดินไปหาเซี่ยโฮวโม่และกระซิบกับเขา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาสีดำของเซี่ยโฮวโม่ก็เหลือบมองเล็กน้อย
…………………….
หลังจากที่ซูมู่เกอมั่นใจว่าหนอนสามารถฆ่าได้ด้วยเลือดของเซี่ยโฮวโม่ นางทำยาในตอนกลางคืนและไปที่หอผู้ป่วย ผู้ป่วยจะถูกระงับชั่วคราวในวันรุ่งขึ้น
แม้ว่านางจะหาวิธีฆ่าหนอนพวกนั้นได้แล้ว นางต้องรอบคอบมากขึ้นในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น
ช่วงเวลาที่ซูมู่เกอถือชุดยาของนางไปที่ประตูห้องพักผู้ป่วย เสี่ยวหู่วิ่งออกมา
“ใต้เท้าซู ท่านอยู่นี่เอง ตามข้ามาข้างในเถอะขอรับ คนกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาจากไหนไม่รู้ พวกเขากล่าวว่าควรนำผู้ป่วยที่เป็นโรคระบาดทั้งหมดออกไป”
หัวใจของซูมู่เกอเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง “โรคระบาดอะไรกัน! เรื่องไร้สาระ!”
ซูมู่เกอวิ่งเข้าไปพร้อมกับเสี่ยวหู่และเห็นผู้ป่วยถูกพาออกไปจากห้องพักรักษาโดยกลุ่มคนที่ดูเหมือนทหาร
“พวกเจ้ากำลังทำอะไร? หยุด!”
พวกเขาทั้หมดหันมาสบตากับซูมู่เกอ
ผู้นำของพวกเขามองไปที่ซูมู่เกอ เริ่มก่อน
“เจ้าเป็นใคร?”
มองผู้ป่วยที่ถูกโยนลงบนพื้นระเกะระกะ ซูมู่เกอหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความโกรธของนาง “ข้าเป็นเจ้าเมืองชุนหยาง เจ้ากำลังทำอะไร และเจ้าจะพาพวกเขาไปที่ไหน?”
ผู้นำไม่สนใจตัวตนของซูมู่เกอเลย
“คำสั่งนี้ข้าได้รับจากองค์ชายสอง ผู้ที่มีโรคระบาดควรย้ายออกไปจากเขตโจวทันที ผู้ใดฝ่าฝืนต้องตาย”
“โรคระบาด? พวกเขานี่นะ พวกเขามีโรคระบาดอะไร?!”
“ใต้เท้า พวกนี้เป็นผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคระบาด!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้นำพูด คนเหล่านั้นที่ให้บริการทั้งในและนอกหอผู้ป่วยต่างหวาดกลัวและจ้องไปที่ผู้ป่วยที่นอนอยู่บนพื้น ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้
ซูมู่เกอกำหมัดแน่น “เรื่องไร้สาระ โรคนี้ไม่ใช่โรคติดเชื้อ มันไม่ใช่โรคระบาดแต่อย่างใด เจ้าห้ามเอาเขาไปไหน!”
ผู้นำหัวเราะเยาะ “หยุดพล่ามซะ พาพวกเขาออกไป!”
ซูมู่เกอกัดฟันและเดินไปปิดประตูอย่างกล้าหาญ “ใครกล้า?”
เมื่อเซี่ยโฮวโม่และซูมู่เกอเพิ่งมาถึงทางเข้าถ้ำ โจวฉิ่วและโจวเหว่ยก็มาถึง
“ใต้เท้า ท่านสบายดีหรือไม่ขอรับ?”
ทั้งโจวฉิ่วและโจวเหว่ยได้รับบาดเจ็บ โชคดีที่บาดแผลของพวกเขาไม่ลึก ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายมากนัก
“แล้วคนพวกนั้นล่ะ?” เซี่ยโฮวโม่ถาม
โจวฉิ่วขมวดคิ้ว “ในระหว่างต่อสู้ ชายชุดดำเหล่านั้นดูเหมือนจะได้รับข้อความบางอย่าง พวกเขาละทิ้งไปทีละคนโดยไม่ต่อสู้ให้จบ เราสองคนพยายามตามจับ แต่ถูกพาไปที่เขาวงกตและเราเพิ่งหนีออกมาได้ขอรับ”
“พาคนกลุ่มหนึ่งสำรวจว่าถ้านำไปสู่ที่ไหน”
โจวเหว่ยมองไปที่ถ้ำด้านหลังเซี่ยโฮวโม่และซูมู่เกออย่างสงสัย ในถ้ำมีอะไร?
“ขอรับ”
โจวเหว่ยส่งสัญญาณออกไป และหน่วยคุ้มกันลับที่ซุ่มอยู่ในหมู่บ้านต้าหวังจะมาถึงในไม่ช้า
เซี่ยโฮวโม่มองไปบนท้องฟ้าและเห็นเมฆดำที่ลอยต่ำ ซึ่งหมายความว่าพายุฝนกำลังจะมา
“ใต้เท้า ไปที่เนินเขากันเถอะขอรับ”
“ไปล่ะ”
โจวฉิ่งและโจวเหว่ยยังอยู่เพื่อสำรวจทางออกของถ้ำ ขณะที่ซูมู่เกอและเซี่ยโฮวโม่ลงจากภูเขา
เมื่อพวกเขามาถึงหมู่บ้านต้าหวัง เม็ดฝนตกลงมาจากท้องฟ้าห่าใหญ่ ขนาดเท่าเม็ดถั่ว
พวกเขาไม่มีทางเลือก แต่หาบ้านที่มีหลังคากระเบื้องอิฐสีดำเพื่อหลบฝน
“ฝนหยุดตกมาหลายวันแล้ว ทำไมต้องเริ่มตกอีกครั้ง?” บ้านหลังคามุงกระเบื้องค่อนข้างมืดมนและหนาวเหน็บ ซูมู่เกอหาเก้าอี้นั่งลงและถูมือเพื่อทำให้ตัวเองอุ่นขึ้น นางมีอาการเหมือนจะไม่สบายในร่างกายของนางและกลัวความหนาว
ทันใดนั้น ซูมู่เกอก็เห็นเพียงความมืดในสายตาของนาง เสื้อคลุมที่มีกลิ่นชาอ่อนๆ สวมอยู่บนศีรษะของนาง
“เอ่อ!”
ซูมู่เกอถอดเสื้อคลุมและมองไปที่เซี่ยโฮวโม่อย่างไม่พอใจ
“ใส่มันไว้”
ซูมู่เกอเป็นคนฉลาดมาโดยตลอด แม้ว่านางจะเกลียดน้ำเสียงเจ้ากี้เจ้าการของเซี่ยโฮวโม่ ตอนนี้นางหนาวมาก ไม่จำเป็นที่จะต้องลำบากกับร่างกายของนางเอง
“ขอบคุณ ใต้เท้าเซี่ย”
เซี่ยโฮวโม่ยกเสื้อคลุมของเขาออกเพื่อนั่งลงตรงข้ามซูมู่เกอ เขาจ้องมองนางด้วยดวงตาสีดำของเขา
“ใต้เท้าซู ร่างกายของเจ้าบอบบางและอ่อนแอ ดังนั้นข้าควรดูแลเจ้าให้ดี”
ซูมู่เกอตกตะลึงในตอนแรก แต่ก็เข้าใจคำพูดของเขาทันที
“ตอนนี้นางปรากฏตัวเป็นชาย! ผู้ชาย! เจ้าเป็นคนละเอียดอ่อนและเปราะบาง! สมาชิกในครอบครัวของเจ้าทุกคนคงบอบบางและเปราะบาง!” นางคำรามในใจ
เกิดความเงียบชั่วขณะในห้อง เซี่ยโฮวโม่หลบสายตาของเขาไปแล้วและหลับตาลง ซูมู่เกอกอดตัวเองบนเก้าอี้และแทบจะทนไม่ไหวกับความเงียบที่น่าอึดอัด
“ข้าถามที่ปรึกษาหลี่ก่อนหน้านี้ และได้รับการบอกเล่าว่าจากความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับซูนกั๋ว ผู้พิพากษาเมืองโจว เขาเป็นคนที่หวงแหนชีวิตของเขาอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยโฮวโม่ก็เบิกตาดำและมองไปที่นางอย่างสงสัย
ซูมู่เกอเลียริมฝีปากของนางและพูดต่อว่า “หลังจากน้ำท่วมทำให้เขื่อนแตก หมู่บ้านทั้งหมดในเขตโจวก็จมอยู่ใต้น้ำ ดังนั้นข้าคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่ซุนกั๋วจะเสี่ยงชีวิตเพื่อตรวจสอบภัยพิบัติในเวลานั้น”
มันสามารถเรียนรู้ได้ว่าคำพูดของที่ปรึกษาหลี่ที่ว่าซุนกั๋วไม่เคยเป็นคนเที่ยงธรรมหรือเป็นข้าราชการที่ดี และเขากลัวความตายมาก นับประสาอะไรกับการตรวจสอบสถานการณ์ในพื้นที่ประสบภัย คงจะดีไม่น้อยถ้าเขาไม่ได้หยิบสิ่งของและนำมันทั้งหมดไปด้วย
“ใต้เท้าซู เจ้าคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับการตายของซุนกั๋วหรือ?”
ซูมู่เกอมองไปที่เซี่ยโฮวโม่และพยักหน้าช้าๆ
ในความเป็นจริงในฐานะแพทย์ ซูมู่เกอไม่ต้องการมีส่วนร่วมในความขัดแย้งทางการปกครองใด ๆ ที่ซับซ้อน แต่ตอนนี้ซูหลุนหายไป และนางรู้สึกมาตลอดว่าการเสียชีวิตโดยบังเอิญของซุนกั๋วมีส่วนเกี่ยวข้องกับมัน
“ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้”
มีเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง
ซูมู่เกอที่กอดตัวเองอยู่บนเก้าอี้รู้สึกว่าหัวใจของนางเต้นระรัว
จู่ๆนางก็มีลางสังหรณ์ …
มีฝนตกเกือบตลอดทั้งคืน
ฝนค่อยๆหยุดลงขณะที่แสงสีทองฉายแสงทะลุเมฆขึ้นมา
“ใต้เท้า เราจะมองหาไก่ที่ยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนได้ในตอนนี้?”
“จัดการมันได้เลย จัดการมันได้เลย! เราจะไม่ปล่อให้องค์ชายสองผู้สูงศักดิ์กินแกลบและหัวปลีกับเรา!”
ที่ปรึกษาเตะผู้ส่งข่าวหย่าเหมินข้างๆเขา ทุกวันนี้พวกเขากินผักดองหรือซาลาเปาและพวกเขาถึงรอดชีวิตมาได้
แต่ตอนนี้มันต่างออกไป ผู้ชายในห้องคือองค์ชายสอง เมื่อคืนเขาไม่ได้แตะต้องอาหารที่ยายฟางส่งมาด้วยซ้ำ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย องค์ชายสองนั้นบอบบางและสูงส่ง และเขาจะชินกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร
ที่ปรึกษาหลี่จึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหาเนื้อมาให้เซี่ยโฮวคุณ
“ได้ ขอรับ เราจะไปหามัน”
“ไม่มีใครแก้ไขปัญหาให้ข้าได้เลย!” ที่ปรึกษาหลี่ปาดเหงื่ออย่างเหนื่อยล้า นับตั้งแต่ใต้เท้าซูแห่งเมืองชุนหยางมาที่เขตโจว เขายุ่งมาก
อย่างไรก็ตาม มันยากที่จะบอกได้ว่าเป็นโชคดีของเขาหรือไม่ที่ได้พบกับเจ้าหน้าที่ศาลระดับสูงและองค์ชายสอง มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนในชีวิต
ขณะที่ที่ปรึกษาหลี่กำลังคิดเช่นนี้กับตัวเอง เขากลัวชายในชุดคลุมสีดำและหมวกที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาเมื่อมองย้อนกลับไป
“เจ้าไม่มีตารึ? เจ้ากล้ามาที่แบบนี้อย่างไม่ใส่ใจได้ยังไง? ไปให้พ้น!”
ชายคนนั้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและดึงหมวกลงเพื่อแสดงใบหน้าของเขา
ที่ปรึกษาหลี่มองเขาอย่างสับสนในตอนแรก แต่เหมือนถูกแช่แข้งเมื่อเขาเห็นรูปลักษณ์ของชายคนนั้น!
“ท่าน ท่าน ท่านคือ……”
ในหมู่บ้านต้าหวัง
ซูมู่เกอลืมตาขึ้นด้วยความงุนงงและพบว่านางก็หลับไปบนโต๊ะในเวลาใดเวลาหนึ่ง
นางลุกขึ้น เปิดประตู และออกไปในขณะที่เซี่ยโฮวโม่เพิ่งกลับมา
“ใต้เท้าเซี่ย ในที่สุดฝนก็หยุดตกแล้ว กลับกันเถอะ”
เซี่ยโฮวโม่พยักหน้าและมองไปทางด้านหลังภูเขาก่อนที่พวกเขาจะจากไป
ตลอดทั้งคืน ไม่มีข่าวใดๆ จากโจวฉิ่ว
พวกเขากลับไปที่บ้านพักเขตหย่าเหมิน เซี่ยโฮวโม่ไปห้องหนังสือในขณะที่ซูมู่เกอไปที่ห้องในสวนหลังบ้าน ก่อนที่นางจะจากไปเมื่อวานนี้ นางได้แช่หนอนลงในยา นางจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนอนพวกนั้น
แต่ก่อนที่นางจะมาถึงสวนหลังบ้าน นางพบที่ปรึกษาหลี่กำลังเข้ามา
ที่ปรึกษาหลี่กำลังรีบและดูเหม่อลอย
ซูมู่เกอหยุดเขา “ที่ปรึกษาหลี่”
ที่ปรึกษาหลี่ยืนนิ่งราวกับว่าเขาถูกตรึงอยู่ที่พื้น เขามองกลับไปที่ซูมู่เกอด้วยความตกใจ
“ใต้ ใต้เท้าซู? ท่าน ท่าน…” ที่ปรึกษาหลี่ตรวจสอบซูมู่เอตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างกล้าหาญ แล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
ซูมุ่เกอขมวดคิ้วและคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับที่ปรึกษาหลี่
“มีอะไรรึ?”
ที่ปรึกษาหลี่ฟื้นขึ้นทันทีจากความเงียบสงบของเขา “ใต้เท้าซู ไม่ ไม่อยู่ในห้องขององค์ชายรอง….”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูมู่เกอก็รู้สึกประหลาดใจ
นางอยู่ในห้องของเซี่ยโฮวคุณ?!
ไม่นะ มันไม่ใชนาง เพราะชายที่ที่ปรึกษาหลี่เอ่ยถึงคือ “ใต้เท้าซู!”
ซูมู่เกอหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์และมองไปที่ปรึกษาหลี่ราวกับว่าไม่มีอะไรผิดปกติ “ข้าเพิ่งออกมา ท่านสามารถไปทำงานต่อได้”
ที่ปรึกษาหลี่พยักหน้าพร้อมกับคอแข็งทื่อ จากนั้นก็หันหลังกลับและวิ่งหนีไป
จนกระทั่งเขาออกจากเขตหย่าเหมิน ที่ปรึกษาหลี่จึงชะลอตัวลง
คนที่เขาเห็นนอกประตูเมื่อเช้านี้ และใต้เท้าซูที่เขาเพิ่งได้พบ…พวกเขาเป็นคนเดียวกันหรือไม่?! หรือระหว่างพวกเขาใครคือใต้เท้าซูตัวจริง?!
ที่ปรึกษาหลี่เช็ดเหงื่อเย็นที่หน้าผาก สงสัยว่าเขารู้มากเกินไป!
ในขณะเดียวกัน ซูมู่เกอไม่กล้าที่จะหยุดการก้าวของนาง นางเดินกลับไปที่ห้องของนางอย่างรวดเร็วและปิดประตู
นางคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าที่ปรึกษาหลี่พูดอะไรและเขารู้สึกตกใจแค่ไหน มีใครมองผ่านข้ออ้างของนางบ้างไหม?
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ตอนนี้นางคงจะถูกจับได้
เกิดอะไรขึ้น?
ซูมู่เกอขมวดคิ้วและครุ่นคิด หากไม่มีใครเปิดเผยตัวตนของนาง อะไรทำให้ที่ปรึกษาหลี่ตกใจมากขนาดนั้นเมื่อเห็นนาง มันอาจจะเป็น …
รูม่านตาของนางหดตัวลงด้วยความประหลาดใจ!
หมายความว่า ซูหลุนปรากฏตัวแล้ว?!
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกถึงความเป็นไปได้มากขึ้น ตามที่ที่ปรึกษาหลี่ได้กล่าวไว้ ซูหลุนอยู่ในห้องของเซี่ยโฮวคุณ เพื่อเห็นแก่พระเจ้าเขาไม่สามารถให้ความลับเปิดเผย นอกจากนี้ นางยังดีใจที่นางไม่ได้ติดต่อกับเซี่ยโฮวคุณมากเกินไป
แต่เซี่ยโฮวโม่ล่ะ?
ชายคนนี้มีจิตใจที่ชั่วร้ายและดวงตาของเขาก็เฉียบคมด้วยการสังเกตที่ดี แน่นอนเขาจะรู้เรื่องนี้!
ซูมู่เกอรู้สึกว่านางกำลังมีปัญหาใหญ่!
ไม่สินางต้องหาทางคุยกับซูหลุน มิฉะนั้นสิ่งที่นางทำก่อนหน้านี้จะไร้ประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นการปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของศาลของจักรวรรดิอาจทำให้ความผิดใหญ่หลวง
“ปัง ปัง ปัง”
มีเสียงเคาะประตูอย่างกะทันหัน ซูมู่เกอเริ่มขึ้นแล้ว นางหายใจเข้าลึก ๆ และลดเสียงลง
“เจ้าเป็นใคร?”
“เปิดประตู”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูมู่เกอจึงก้าวไปข้างหน้าเพื่อเปิดประตู และเห็นซูหลุนยืนอยู่ด้านนอกด้วยใบหน้ามืดมัว
ซูหลุนตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของซูมู่เกอ และในไม่ช้าเขาก็โกรธมาก
“แกเป็นใคร…”
ซูมู่เกอดึงเขาเข้าไปในห้องและปิดประตูก่อนที่ซูหลุนจะพูดจบ
“ท่านพ่อ ข้าเองเจ้าค่ะ!”
เสียงของซูมู่เกอถูกเปลี่ยนแปลงโดยยา และฟังดูต่ำกว่าเสียงของตัวนางเอง
นางมองขึ้นไปในดวงตาของซูหลุน ซึ่งเต็มไปด้วยข้อสงสัยและอธิบายว่า “ท่านพ่อ ข้าคือมู่เกอ และข้าปลอมตัวว่าเป็นท่าน”
ซูมู่เกอหันกลับมาและกินยา นางฟื้นคืนเสียงของนางในช่วงเวลาสั้น ๆ
ยืนอยู่ที่นั่นด้วยความตกใจ ซูหลุนมองไปที่ซูมู่เกออย่างไม่เชื่อ
“เจ้า มันคือเจ้า…”
ดูเหมือนว่าซูหลุนจะไม่ยอมแพ้ต่อหน้าเซี่ยโฮวคุณ ซูมู่เกอหายใจออกด้วยความโล่งใจ
“เจ้าค่ะ ข้าเอง”
เมื่อได้ยินเสียงของซูมู่เกอ ซูหลุนต้องเผชิญกับความเป็นจริง แม้ว่าเขาจะยังไม่เชื่อก็ตาม หลังจากรวบรวมตัวเองแล้ว ซูหลุนโกรธมาก “เจ้ากล้าปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ราชสำนักของจักรวรรดิได้อย่างไร! เจ้าพยายามที่จะฆ่าคนทั้งตระกูลซูหรือไง?”
ซูมู่เกอไม่มีความรู้สึกใด ๆ ต่อพ่อของนางคนที่ไม่เคยปฏิบัติต่อนางอย่างดี และสงบนิ่งเหมือนปกติโดยไม่คำนึงถึงคำถามที่รุนแรงของเขา
“ถ้าท่านต้องการให้คนรู้จักมากขึ้น ท่านสามารถพูดให้ดังขึ้นอีกได้”
“เจ้า เจ้า…” มือและเคราของเขาสั่นเทาด้วยความโกรธ
จนกระทั่งช่วงเวลานี้ ซูมู่เกอสังเกตเห็นว่าซูหลุนน้ำหนักลดลงไปมากและมีอารมณ์ที่มืดมนปกคลุมเขา
“บอกข้ามา ใครขอให้เจ้าทำแบบนี้!”
ซูมู่เกอรินชาให้ตัวเอง “ไม่มีใคร ข้าแค่พยายามช่วยท่านแม่และน้องชายของข้า”
ซูหลุนหัวเราะเยาะและเห็นได้ชัดว่า เขาไม่เชื่อในสิ่งที่ซูมู่เกอพูด
มันฟังดูน่าขันที่ลูกสาวที่เขาไม่เคยดูแล มาวันหนึ่งแสร้งเป็นเขา และนางก็แสร้งทำได้เป็นอย่างดี
“ถ้าไม่มีข้าตระกูลซูทั้งหมดจะถูกนำตัวไปที่เมืองหลวงและถูกตัดหัวในตอนนี้แล้ว ท่านพ่อ ท่านน่าจะรู้ดีเกี่ยวกับอาชญากรรมของการหนีด้วยความรู้สึกผิดมากกว่าสิ่งที่ข้าทำ”
ซูหลุนรู้แน่นอนว่ามันรุนแรงแค่ไหน!
เขาคิดว่านั่นจะไม่มีวันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง!
แต่คาดไม่ถึง พวกเขาปล่อยเขา …
ซูหลุนมองไปที่ซูมู่เกอด้วยความพินิจพิเคราะห์
“ปัง ปัง ปัง”
ก่อนที่พวกเขาจะพูดอะไรมากกว่านี้ ประตูถูกเคาะอีกครั้ง
สองพ่อลูกมองหน้ากันนิ่ง
“ใต้เท้าเซี่ย อะไรที่บอกว่าคนเหล่านั้นมีร่วมกัน?”
“ที่ปรึกษาหลี่กล่าวว่าคนป่วยมาจากหมู่บ้านเดียวกัน”
ซูมู่เกอขมวดคิ้ว “พวกเขามาจากสถานที่เดียวกัน?”
“ใช่ ตอนนี้น้ำท่วมลดลงแล้ว เจ้าอยากไปดูไหม ใต้เท้าซู?”
ซูมู่เกอไม่ตอบ สถานการณ์ของผู้ป่วยยังไม่แน่นอนและนางคงกังวลถ้านางจะจากไป
“ผู้พิพากษาของเขตโจวก็ถูกน้ำท่วมพัดหายไปที่หมู่บ้านนั้น” เซี่ยโฮวโม่พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม ขณะที่เขาสังเกตเห็นความเงียบของซูมู่เกอ
“อะไรนะ!?” ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ
“ เนื่องจากใต้เท้าซูไม่เต็มใจที่จะไป เพียงแค่อยู่ที่นี่และให้ความร่วมมือกับองค์ชายสอง ตงหลินเตรียมม้าให้พร้อม”
“ขอรับ ใต้เท้า”
หากมีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับโรคในหมู่บ้าน มันจะไม่เสียเวลาที่ไปเยือน
“ใต้เท้าเซี่ย ข้าอยากไปกับท่าน”
ริมฝีปากของเซี่ยโฮวโม่ยกขึ้นเล็กน้อย และเขาก็เดินออกไปอย่างก้าวกระโดด
……………………….
ในทางกลับกัน เซี่ยโฮวคุณออกปากไล่ที่ปรึกษาหลี่ให้ออกไป
อยู่ในห้องจึงมีเพียงเซี่ยโฮวคุณและหนึ่งในผู้ติดตามที่ไว้ใจของเขา
เซี่ยโฮวคุณเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาของเขาเย็นชาและมืดมน “ฮันหยู ทำไมข้ารู้สึกว่าซูหลุนคนนี้แปลกไปหน่อย?”
“แบบไหนรึพะย่ะค่ะ องค์ชายสอง?” ในฐานะผู้ติดตามที่ไว้เนื่อเชื่อใจขององค์ชายสอง ซึ่งเป็นผู้ที่น่าจะได้ครองราชย์มากที่สุด ฮันหยูไม่ได้ให้ความสนใจกับซูหลุนเลย ขุนนางท้องถิ่นตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับใดๆ ในราชสำนักมานานหลายปี
เซี่ยโฮวคุณส่ายหน้า ซูหลุนถูกราชสำนักส่งตัวมาที่นี่เมื่อหลายปีก่อน และเขาจะมองคนประเภทนี้อย่างไง
เซี่ยโฮวคุณโบกมือและเห็นได้ชัดว่า เขาไม่ต้องการพูดเรื่องนี้ต่อ
“มันเกิดจากความพยายามของข้าอย่างมากในการที่จะให้ท่านพ่อประทานอนุญาตให้ข้ามาที่นี่ ใครจะรู้ว่าสิงโตขวางทางอยู่ที่นี่!”
ฮันหยูก็รู้สึกเช่นเดียวกัน การปรากฏตัวของราชาแห่งจินเป็นอุปสรรค
“มันชัดเจน มันเป็นท่านพ่อของข้าที่ส่งเขามาที่นี่เพื่อบรรเทาภัยพิบัติ แล้วทำไมเขาถึงยอมให้ข้ามาที่นี่ด้วย? บอกข้าว่าเจ้าคิดว่าท่านพ่อของข้ารู้อะไร?” เซี่ยโฮวคุณยืดหลังของเขาและลุกขึ้นนั่งหลังตรงในขณะที่พูดจบ
เขาได้รับการปกปิดอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ พ่อของเขาค้นพบอะไร?
“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ เราไม่ควรตื่นตระหนก การไม่ลงมือทำในตอนนี้ถือเป็นแผนการที่ดีที่สุด”
เซี่ยโฮวคุณพยักหน้าและกล่าวว่า “เจ้าพูดถูก จับตาดูเซี่ยโฮวโม่ ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาทำลายอะไรได้!”
“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
………………………….
มันเป็นการเดินทางที่ยากลำบากหลังฝนตกหนัก บนหลังม้า ซูมู่เกอรู้สึกว่ากีบของม้าเกือบจะลื่นไถลไปหลายครั้ง หากไม่ใช่เพราะการขี่ม้าที่นางเคยเรียนรู้ในชีวิตก่อนหน้านี้ นางคงจะตกลงไปในโคลนแล้ว
โจวฉิ่วและโจวเหว่ยอยู่ข้างหน้าเพื่อสำรวจทาง ตามที่ผู้คนจากมณฑลโจว หมู่บ้านต้าหวังเป็นหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับเขตใจกลางเมืองของเขตโจวมากที่สุด
หญ้าและต้นไม้ที่ถูกน้ำท่วมสามารถมองเห็นได้ทุกที่ และพวกเขายังสังเกตเห็นซากศพบางส่วนเริ่มเน่าเปื่อย
“ใต้เท้า หมู่บ้านต้าหวังอยู่ข้างหน้าแล้วขอรับ”
ซูมู่เกอมองขึ้นไปและเห็นเศษกระเบื้องและอิฐแตกจากไกลๆ
“ใช่ล่ะ” เซี่ยโฮวโม่ลงจากหลังม้าและเดินไปข้าหน้าซูมู่เกอ
โจวฉิ่วสะบัดม้าเพื่อไปข้างหน้าและปัดโคลนสีเหลืองบนหินก้อนใหญ่ “หมู่บ้านต้าหวัง” ชื่อที่สลักบนนั้นถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน
ยกเว้นบ้านที่สร้างด้วยอิฐสีดำที่ยังคงตั้งอยู่ นอกนั้นทั้งหมดเป็นเศษซาก
ซูมู่เกอกระโดดลงจากหลังม้าและเริ่มเดินไปบนซากปรักหักพัง
หมู่บ้านนี้ไม่ใหญ่นัก และใช้เวลามากที่สุดเพียงสิบห้านาทีจากปลายด้านหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่ง บ้านส่วนใหญ่ถูกโคลนพัดหายไปหมดและทุกอย่างสามารถมองเห็นได้ในพริบตา
“ใต้เท้า ข้าพบว่าทุกวันผู้คนในหมู่บ้านไปที่ภูเขาด้านหลัง และพวกเขาจะอยู่ที่นั่นทั้งวันและจะไม่ลงมาจนกว่าจะมืด แต่ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไปทำอะไรที่นั่น” โจวเหว่ยชี้ไปที่ภูเขากว้างที่อยู่ด้านหลังหมู่บ้านและกล่าว
“ เราจะไปและลองดูกัน”
พวกเขาผูกม้าและเดินไปที่ภูเขา
ทันทีที่พวกเขาอยู่บนภูเขา ซูมู่เกอรู้สึกถึงบางอย่างที่แตกต่าง ไม่มีสัญญาณว่าน้ำท่วมจะชะล้างพืชพันธุ์บนภูเขานี้มากนัก ซึ่งหมายความว่ามันไม่สามารถจมอยู่ใต้น้ำที่นี่ได้
ยิ่งพวกเขาขึ้นไปบนภูเขามากเท่าไหร่ซูมู่เกอก็พบว่ามันคือความผิดปกติ แต่เธอบอกไม่ได้ว่าที่ไหนหรืออย่างไร
“มันเข้ามาในภูเขาลึกมากแล้วตอนนี้ ชาวบ้านทำอะไรที่นี่ทุกวัน” ซูมู่เกอกล่าว
คิ้วขมวดและพูดต่อ “แม้กระทั่งการล่าสัตว์ มันไม่จำเป็นต้องมีคนจำนวนมากมารวมตัวกันในเวลาเดียวกัน”
เซี่ยโฮวโม่ยืนนิ่งและมองไปรอบๆ “มีสิ่งไม่มีชีวิต”
ไม่มีชีวิต!
ใช่แล้ว นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงรู้สึกแปลก ๆ พวกเขาไม่เห็นนกแม้แต่ตัวเดียวตลอดทางได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ไม่มีนกแม้แต่ตัวเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่บนภูเขาขนาดใหญ่ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม
“มีเสียงกรอบแกรบ”
“เริ่มต้นขึ้นแล้ว”
เสียงกิ่งไม้สั่นก็มาเช่นกัน ทุกคนหยุดและมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตัว
“ใต้เท้า ระวัง!”
โจวฉิ่วและโจวเหว่ยเข้าไปในตำแหน่งป้องกันเซี่ยโฮวโม่ทันที
เงาต้นไม้ร่วงลงบนพื้นเมื่อจู่ๆเงารอบเท้าของซูมู่เกอก็มืดลง แล้วเงาที่น่ากลัวก็พุ่งตรงมาหานางจากด้านบน นางสะดุ้ง แต่หมุนตัวเพื่อพยายามหลบหลีกการโจมตี วินาทีถัดมาก็มีมือโอบรอบเอวของนางและยกขึ้นทั้งตัว
“ปัง!”
ชายชุดดำมากกว่าหนึ่งโหลล้อมรอบพวกเขา
เซี่ยโฮวโม่ปล่อยซูมู่เกอลงและให้นางอยู่ข้างหลัง
“ผู้บุกรุกสมควรตาย!”
คนเหล่านี้เริ่มการต่อสู้อย่างดุเดือดโดยไม่แม้จะปล่อยให้ได้หายใจ
หลายคนกำลังมุ่งเข้าหาซูมู่เกอและเซี่ยโฮวโม่
ดวงตาของเซี่ยโฮวโม่มืดลงและลึกล้ำ และเขาเหวี่ยงหมัดหนักใส่หน้าชายคนหนึ่ง ซูมู่เกอเชื่อว่าสมองของชายคนนั้นแหลกสลาย!
ซูมู่เกอกำลังมองไปที่เซี่ยโฮวโม่และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาก็เหมือนโล่สูงยืนอยู่ตรงหน้าและป้องกันการสังหารทั้งหมดให้ห่างจากนาง
ซูมู่เกอจับกริชของนางแน่นเพื่อป้องกันการโจมตีจากด้านหนังของเซี่ยโฮวโม่
“ไปกันเถอะ!” เซี่ยโฮวโม่พูดด้วยเสียงต่ำ แล้วเขาก็จับเอวของนางและเหาะขึ้นไปที่ต้นไม้
ผ่านกิ่งไม้ ซูมู่เกอตระหนักว่าคนเหล่านั้นมาจากด้านซ้ายของพวกเขา
แน่นอนว่าเซี่ยโฮวโม่สังเกตเห็นเช่นกันและมีความคิดเช่นเดียวกับซูมู่เกอ
เขาพานางผ่านต้นไม้และเหาะลึกเข้าไปในป่า
ชายชุดดำเหล่านั้นไล่ตามพวกเขาทันที อย่างไรก็ตาม วิชาตัวเบาของพวกเขาเทียบชั้นไม่ได้กับเซี่ยโฮวโม่ ไม่ถึงสิบห้านาที พวกเขาก็หายไปจากสายตาทั้งสอง
ความโหดเหี้ยมกระหายเลือดฉายชัดในดวงตาของชายเหล่านี้
“แยกกันไปและตามหาให้พบ!”
“ขอรับ!”
อีกด้านหนึ่งของภูเขา เซี่ยโฮวโม่หยุดและมองลงไป ร่างทั้งร่างของซูมู่เกอกำลังเกาะติดกับเขา
ซูมู่เกอเอามือของนางโอบรอบคอของเขาแน่น และขาของนางพันรอบเอวของเขาเช่นเดียวกับหัวของนางฝังอยู่ที่คอของเขา ไม่สามารถมองเห็นความเป็นชายจากนางได้เลย
“ใต้เท้าซู ดูเหมือนว่าเจ้าจะกลัวไม่น้อย” เสียงทุ้มและแหบทำให้จิตใจของซูมู่เกอกลับมา ดังนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นจากคอของเซี่ยโฮวโม่และมองเขาด้วยความงุนงง
ตาของพวกเขาถูกตรึง ซูมู่เกอโทรทำเสียงเบาๆ และปล่อยตัวเองจากเซี่ยโฮ่วโม่อย่างไม่รีบร้อน
น่าอายแค่ไหน!
นางไม่กลัวอะไรในโลกนอกจากความสูง!
นางไม่มีวันยอมรับว่านางกลัวแค่ไหนเมื่อเซี่ยโฮวโม่อุ้มนางเหาะลอยไปท่ามกลางต้นไม้สูง
ช่างเป็นอะไรที่แย่มากและผู้ชายที่ไร้มารยาท เขาทำให้นางเป็นเรื่องสนุกแบบนั้น!
ซูมู่เกอเปล่งเสียงไม่พอใจและคว้าแขนเสื้อไว้แน่นโดยไม่พูดอะไรอีก
เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่ไม่พอใจของนาง แต่ทำอะไรไม่ถูก เซี่ยโฮวโม่ยิ้มและเขาแทบอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปจิ้มแก้มที่พองป่องเหล่านั้น มันน่าจะรู้สึกดี
หลังจากหายใจเข้าลึก ๆ หลายครั้ง ซูมู่เกอรู้สึกสงบขึ้นมาก และนางมองไปรอบ ๆ เพื่อหาสิ่งที่ทำให้ไขว้เขว
อย่างน่าแปลก นางเห็นถ้ำที่ซ่อนอยู่ในขณะที่นางหันกลับมา
นางเดินไปที่ถ้ำและดึงต้นไม้ออก ค้นพบทางเข้าสูงครึ่งเมตร
ซูมู่เกอย่อตัวลงและสังเกตไปรอบๆ แล้วนางก็ลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ผู้คนเข้าออกถ้ำแห่งนี้เนื่องจากพืชภายนอกไม่ได้เติบโตตามธรรมชาติมานานหลายปีแล้ว พวกมันถูกใช้เพื่อปิดปากถ้ำเมื่อเร็วๆนี้”
“ถูกต้อง” เซี่ยโฮวโม่ทิ้งร่องรอยไว้ให้ลูกน้องของเขาและจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในถ้ำด้วยตัวเอง
ซูมู่เกอจ้องมองเขาจากข้างหลังและเดินตามอย่างเชื่องๆ
ตอนแรกมืดมากและมองไม่เห็นอะไรเลย แต่เมื่อเปิดประตูไม้ธรรมดาๆ นั้น มันสว่างวาบขึ้นในทันที
“ทำไมดูเหมือนอุโมงค์”
เซี่ยโฮวโม่เอื้อมมือของเขาหยิบโคลนจากทั้งสองข้างและสูดดม “นี่เป็นโคลนเก่าจึงไม่ได้ขุดขึ้นใหม่”
ซูมู่เกอสังเกตเห็นรอยเท้าที่ยุ่งเหยิงบนพื้นซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีคนเดินผ่านไปมาค่อนข้างบ่อย
พวกเขาเดินไปเรื่อย ๆ และรู้สึกเหมือนว่ามันจะไม่มีวันสิ้นสุด นาน ๆ ครั้งพื้นที่เล็ก ๆ ที่มีกระดานไม้และฟางก็ปรากฏขึ้นที่ด้านข้าง ราวกับเป็นสถานที่พักผ่อน
หลังจากเดินประมาณครึ่งชั่วโมง เซี่ยโฮ่วโม่ชะงักกึก
ซูมู่เกอเสียสมาธิและเกือบชนหลังของเขา
“หยุดทำไม? ท่านพบอะไร?”
เซี่ยโฮวโม่หยิบเศษดินขึ้นมาจากพื้นและตรวจสอบ “สิ่งสกปรกที่นี่ดูใหม่กว่าบริเวณทางเข้าเสียอีก แต่มันอยู่ที่นี่มาระยะหนึ่งแล้ว”
ซูมู่เกอมองเขาด้วยความสับสน
เซี่ยโฮวโม่ทิ้งดินและถูมือของเขา “มันดูเหมือนจะอีกยาวไกล”
“ท่านไม่อยากรู้ว่ามันไปยังที่ใดหรือ ใต้เท้าเซี่ย?”
“มีหลายสิ่งที่ข้าไม่จำเป็ฯต้องทำด้วยตัวเอง”
ซูมู่เกอรู้สึกสับสนกับคำตอบของเขา นางหันหน้าหนีและรู้สึกว่าเท้าของนางเตะอะไรบางอย่าง จากนั้นนางก็มองลงไปและเห็นขวดกระเบื้องสีแดง นางก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาและดมโดยไม่รู้ตัว
จมูกของนางไวต่อยามาก ทันใดนั้นนางก็ได้กลิ่นบางอย่างผิดปกติ
“มันคืออะไร?”
“ข้าพบมันบนพื้นและกลิ่นยาข้างในมีกลิ่นแปลกๆ”
“ให้ข้าดู”
ซูมู่เกอมองไปที่มือที่ยื่นมาตรงหน้านางและรู้สึกประหลาดในเล็กน้อย แต่ก็ยังส่งขวดกระเบื้องให้เขาอยู่ดี
เซี่ยโฮวโม่เอามันไปดม “สมุนไพรซูซิน?”
“สมุนไพรซูซิน…” มันเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่ขายดีที่สุดชนิดหนึ่งที่ขายให้กับแคว้นฉู่จากพวกตะวันตก ซึ่งใช้ในการบำรุงปอดของคน
“ใต้เท้าเซี่ย ท่านรู้จักสมุนไพรนี้หรือไม่?”
เซี่ยโฮวโม่คืนขวดกระเบื้องให้นางและพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “นิดหน่อย ได้เวลากลับแล้ว”
“ได้เลย”
พวกเขารู้สึกได้ถึงอากาศเย็นที่พัดเข้ามา ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าปลายอีกด้านของอุโมงค์ยาวๆนี้ได้ทะลุออกไปแล้ว
ซูมู่เกอเดินตามหลังเซี่ยโฮวโม่และนางรู้สึกว่ามีสายตาจ้องมองพวกเขาตลอดทาง อย่างไรก็ตามเมื่อนางหันกลับไป นางมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากอุโมงค์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
“จะเป็นอย่างไรถ้าชายชุดดำรอเราอยู่ที่ทางออก?”
“ถ้าพวกเขารู้ว่าเราอยู่ที่นี่ พวกเขาจะเข้ามาและไล่ล่าเรา”
มีเงาออกมาจากความมืดหลังจากที่พวกเขาเดินไกลออกไป…
“ยังไม่ได้ระบุอาการป่วย ท่านไม่ควรเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้!”
ผู้ช่วยแพทย์หนุ่มรู้สึกหวาดกลัวซูมู่เกอ และเขาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“บอกที่ปรึกษาหลี่ทำความสะอาดห้องหลายๆห้องและจัดแยกผู้ป่วยตามอายุและเพศของพวกเขา”
“ขอรับ”
ตอนนี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่ายาทั่วไปจะกลายเป็นสารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสำหรับหนอนเหล่านั้น ดังนั้น ซูมู่เกอจึงไม่ได้เขียนใบสั่งยาให้กับคนเหล่านี้
เมื่อนางออกมา เซี่ยโฮวโม่ก็จากไปแล้ว
“ที่ปรึกษาหลี่ ไปและค้นหาให้เจอว่ามีคนที่มีอาการป่วยเหมือนกันของโรคนี้มาจากที่เดียวกันไหม”
ที่ปรึกษาหลี่ยังคงพูดไม่ออกสักพักและเกาหัวด้วยความสับสน ขณะเฝ้าดูร่างของซูมู่เกอจากไป “ทำไมใต้เท้าเซี่ยและใต้เท้าซูถึงพูดเหมือนกัน? มีความเกี่ยวพันระหว่างคนที่ป่วยหรือ?”
หลังจากขบคิด ที่ปรึกษาหลี่ก็ส่งคนไปตรวจสอบทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา
การสอบสวนมีความคืบหน้าและที่ปรึกษาหลี่รู้สึกประหลาดใจ
ผู้ลี้ภัยทั้งหมดที่เป็นโรคเดียวกันมาจากหมู่บ้านต้าหวัง!
ที่ปรึกษาหลี่รับฟังรายงานจากคนของเขาด้วยใบหน้าที่มืดมนและเศร้าหมอง หมู่บ้านต้าหวังแห่งนี้ทำให้เขาประทับใจอย่างมาก!
ผู้พิพากษาประจำเขตถูกน้ำท่วมพัดหายไปเมื่อเขาไปเยี่ยมหมู่บ้านต้าหวัง!
มันบังเอิญหรือมีอย่างอื่น? ที่ปรึกษาหลี่ไม่กล้ารออีกต่อไป และกลับไปหาซูมู่เกอและเซี่ยโฮวโม่เพื่อเล่าเรื่องนี้ให้พวกเขาฟัง
เมื่อเทียบกับความสงสัยของที่ปรึกษาหลี่แล้วอารมณ์ของซูมู่เกอนั้นซับซ้อนกว่ามาก นางไม่สามารถหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาได้
นางมองดูหนอนในจานกระเบื้อง ซึ่งไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไปและไร้คำพูด
เมื่อคืนที่ผ่านมาหนอนเหล่านี้ถูกนางแช่ในยาเพื่อเป็นการทดลอง นางแค่อยากจะดูว่ายาสามารถฆ่าพวกมันได้หรือไม่
นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าหนอนจะฆ่าตายได้!
ซูมู่เกอมองไปที่หนอนที่ตายแล้วลอยอยู่ในยาด้วยคีมของนางและหนอนสีขาวก็ค่อยๆกลายเป็นสีแดงของเลือด
“มันจำเป็นจริงๆหรือที่จะต้องใช้ยาพิษเพื่อให้หนอนตาย?”
เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้องของการทดลอง ซูมู่เกอวางแผนที่จะใส่ส่วนอื่นๆของหนอนลงในยาเดียวกันกับเมื่อวาน แต่ยานั้นเก็บไว้ที่ที่พักในหย่าเหมิน และนางต้องกลับไปเอามัน
……………
ชายและม้ากลุ่มหนึ่งหยุดที่ประตูเมืองโจว
ชายในเครื่องแบบเรียบร้อยขี่ม้าอยู่ด้านหน้ากลุ่มหยุดม้าลง และวิ่งไปที่รถม้าตรงกลางขบวน
“องค์ชายสอง เรามาถึงประตูเมืองแล้วพะย่ะค่ะ”
“เข้าไปกันเถอะ” เสียงผู้ชายที่ดูสุขใจดังออกมาจากรถม้า
“พะย่ะค่ะ” ผู้คุ้มกันของจักรพรรดิกลับขึ้นม้าของเขาอีกครั้งและออกเดินหน้าต่อ “ออกเดินทาง”
ทันทีที่เซี่ยโฮวโม่กลับไปที่ที่พักหย่าเหมิน มีข้อมูลใหม่จากค่ายหยานเซี่ย
“ใต้เท้า มีการกระทำที่ผิดปกติอีกอย่างหนึ่งในดินแดนของพวกตะวันตกขอรับ เมื่อคืนจู่ๆ พวกเขาก็ส่งกองกำลังออกมาโจมตีค่ายหยานเซี่ย” ตงหลินพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
โจวฉิ่วตะคอกอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “พวกตะวันตกที่บ้าบิ่นและตาบอด! พวกมันคิดว่าพวกมันกำลังเล่นกับแมวรึ?!”
………………….
เมื่อซูมู่เกอมองไปที่รถม้านอกเขตหย่าเหมิน มีแววสับสนในดวงตาของนาง ไม่ใช่รถม้าของเซี่ยโฮวโม่
นางกระโดดลงจากรถม้าและเดินไปข้างหน้า ที่ปรึกษาหลี่กำลังพูดบางอย่างกับคนบนรถม้า และเขาทำตัวพินอบพิเทาและอย่างเคารพยิ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน ม่านบนรถม้าก็เปิดออก และมีร่างสีขาวปรากฏอยู่ตรงหน้านาง
ชายผู้นั้นเจิดจรัสและหล่อเหลา ผมสีดำมัดเป็นมวยสูงพร้อมมงกุฎหยกบนศีรษะ เสื้อคลุมสีขาวของเขาสะท้อนแสงสีทองของดวงอาทิตย์ และเขาเต็มไปด้วยคุณสมบัติพิเศษที่ได้รับการชื่นชมและเป็นที่ยอมรับในทุกการเคลื่อนไหวของเขา
ที่ปรึกษาหลี่อยู่ด้านข้างเขา โดยที่เอวของเขาแทบจะโค้งจรดพื้น
ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี!
ไม่นานชายคนนั้นก็สังเกตเห็นซูมู่เกอ เมื่อนางใกล้เขาเข้ามา
ชายคนนั้นมองนางอย่างพิจารณาด้วยความสงสัย ซึ่งทำให้นางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“องค์ชายสอง หม่อมฉันไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จมา หม่อมฉันขออภัยที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับพระองค์ล่วงหน้า….” ที่ปรึกษาหลี่กล่าวด้วยริมฝีปากอันสั่นเทา
“ที่ปรึกษาหลี่”
ที่ปรึกษาหลี่เงยหน้าขึ้นมองซูมู่เกอ “ตะ ใต้เท้าซู ท่าน ท่านกลับมาแล้ว ข้ากำลังจะส่งคนไปหาท่าน”
ซูมู่เกอมองชายในชุดขาว “นี่คือ….”
“เจ้ากล้าดียังไง! เจ้าไม่คุกเข่าที่พื้นเพื่อถวายบังคมองค์ชายสองได้อย่างไร!”
องครักษ์ของจักรพรรดิต่อว่าซูมู่เกอ แต่นางยืนนิ่งด้วยความตกใจ
อะไรนะ?
องค์ชายสอง!
ลูกชายอีกคนขององค์จักรพรรดิ์?!
มีเงินมีทองซ่อนอยู่ในภูเขาเขตเมืองโจวรึไง? ทำไมลูกชายของจักรพรรดิถึงมาที่นี่ทีละคนๆ?!
ซูมู่เกอมองลงไปที่แผ่นหยกลายมังกรที่เอวของชายคนนั้น ในแคว้นฉู่นอกจากองค์จักรพรรดิที่แท้จริงแล้ว มีเพียงลูกหลานของมังกรโดยแท้เท่านั้น จักรพรรดิ มีคุณสมบัติในการใช้รูปมังกรเป็นสัญลักษณ์
เนื่องจากเซี่ยโฮวโม่ผู้ที่มีอำนาจมาก อยู่ในเขตหย่าเหมิน ซูมู่เกอไม่กลัวแม้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้านางจะเป็นคนปลอมตัวมา
“ยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบท่านองค์ชายสอง”
มีรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าของเซี่ยโฮวคุณซึ่งทำให้ซูมู่เกอรู้สึกขนลุก “นี่คือใต้เท้าซูจากเมืองชุนหยาง?” เขาถาม
ซูมู่เกอเผชิญหน้ากับเขาอย่าสงบเหมือนปกติและตอบว่า “ขอรับ”
“ข้ามาที่นี่เพื่อบรรเทาภัยพิบัติตามรับสั่งขององค์จักรพรรดิ ข้าได้รับแจ้งว่าในเมืองนี้ ใต้เท้าซูได้จัดเตรียมเรื่องต่างๆ หลังเกิดภัยพิบัติได้อย่างเหมาะสม”
“พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในงานของข้า”
หลังจากทักทายแลกเปลี่ยนกันไม่กี่ครั้ง เซี่ยโฮวคุณเข้าไปในหย่าเหมิน
ที่ปรึกษาหลี่ติดตามซูมู่เกอด้วยเหงื่อเย็นเพราะความกลัวและความตึงเครียด
“ใต้เท้าซู มี มีที่นั่นเพียงห้องเดียวที่เหลืออยู่ในเขตหย่าเหมิน…” และห้องนั้นก็คือห้องเอนกประสงค์! ถ้าเซี่ยโฮวคุณจะอยู่ที่หย่าเหมิน
ซูมู่เกอเหลือบมองเขา “แล้วจะไล่ท่านออกไปแล้วให้ท่านกลับบ้านไปอยู่กับภรรยาตอนกลางคืนได้อย่างไร?” ที่ปรึกษาหลี่ยังอาศัยอยู่ในเขตหย่าเหมินในทุกวันนี้เพื่อความสะดวกในการจัดการเรื่องต่างๆ
“ใต้เท้า ได้โปรดอย่าล้อเล่นกับข้าน้อยเลย” ตอนนี้เขามีพลังใจมากกว่าช่วงใดในชีวิตของเขา จักรพรรดิส่งใต้เท้าเซี่ยมาที่นี่ก่อน แล้วก็ยังส่งลูกชายของเขามาอีก สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญอย่างยิ่งของเมืองโจวในความคิดของจักรพรรดิ คืนนี้เขาคงตื่นเต้นจนแทบจะนอนไม่หลับ!
“เนื่องจากเหลือห้องเดียว ยังต้องทำความสะอาด มันเป็นทางเลือกที่สองขององค์ชายที่จะอยู่ต่อหรือไม่?”
“ได้ ได้สิ”
เซี่ยโฮวคุณไม่ได้ไปที่ห้องหนังสือ เขาตรงไปที่ห้องของเซี่ยโฮวโม่
โจวเหว่ยเข้าไปในห้องและมองไปที่เซี่ยโฮวโม่ด้วยการแสดงออกที่ผิดปกติบนใบหน้าของเขา
เซี่ยโฮวโม่เงยหน้าขึ้นมองเขา ตะลึงเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น?”
“ใต้เท้า องค์ชายสองเสด็จมาอยู่ที่เขตโจวแล้วขอรับ”
ตงหลินและโจวฉิ่วมองหน้ากันเงียบๆ
“เหตุใดองค์ชายสองจึงมาที่เขตโจวในเวลาเยี่ยงนี้?”
เซี่ยโฮวโม่หมุนแหวนหยกที่นิ้วหัวแม่มือของเขาอย่างช้าๆ “สิ่งต่างๆกำลังน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ในเขตโจวแห่งนี้……….”
“ถ้าไม่ได้ยินจากคนอื่นๆ ข้าไม่รู้เลยว่าราชาแห่งจินก็อยู่ในเขตโจวเช่นกัน” เสียงของเซี่ยโฮวคุณดังมาจากด้านนอก
เซี่ยโฮวโม่มองไปที่ตงหลินและส่งสัญญาณให้พวกเขาออกไป
องค์รักษ์ที่ด้านนอกปล่อยให้เซี่ยโฮวคุณเข้ามา
เซี่ยโฮวคุณมองไปที่เซี่ยโฮวโม่ด้วยรอยยิ้มและมองเห็นเก้าอี้ให้ตัวเองนั่ง จากนั้นเขาก็รินชาให้ตัวเองจิบ และวางมันลงพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ข้าเกือบเข้าใจผิดว่าเจ้าเป็นคนอื่นก่อนที่ข้าจะพบตงหลิน มันเหมือนว่าใบหน้าของราชาแห่งจินคนนี้จะไม่เหมาะกับเจ้า”
เซี่ยโฮวโม่มองไปที่เขาอย่างรวดเร็วโดยไร้อารมณ์
“แล้ว ราชาแห่งจิน เจ้าละทิ้งหน้าที่ประจำโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่? ข้าได้ยินมาว่าค่ายหยานเซี่ยไม่ได้สงบสุขเมื่อเร็วๆนี้ เจ้าเกียจคร้านถึงกับหลบมาซ่อนตัวที่นี่หรือ?”
เซี่ยโฮวคุณมาพร้อมกับข้อกล่าวหานี้ต่อเซี่ยโฮวโม่ หากแม่ทัพใหญ่ไม่อยู่ในระหว่างสงคราม ความวุ่นวายจะเกิดขึ้นโดยเจ้าหน้าที่พลเรือนในราชสำนักของจักรวรรดิ เนื่องจากนี่เป็นความผิดทางอาญาที่ยิ่งใหญ่
เซี่ยโฮวโม่ไม่ได้กลัวมันเลย เขาไม่ต้องกังวลที่จะจัดการกับปัญหาที่ไม่จำเป็น
“องค์ชายสอง พี่ชายของข้า งั้นที่ท่านอยู่ที่นี่ในเขตโจวเพื่อมาบรรเทาภัยพิบัติตามคำสั่งของจักรพรรดิ์?”
“แน่นอน เจ้าคงไม่บอกข้าหรอกนะว่าเจ้าก็อยู่ในรับสั่งของจักรพรรดิด้วย ใช่ไหม?”
เซี่ยโฮวโม่โยนจดหมายลงบนโต๊ะ เซี่ยโฮวคุณหรี่ตามองเขาดวงตาของเขาราวนกฟีนิกซ์ ซึ่งเชิดขึ้นเล็กน้อยที่หางตาทั้งคู่ และหยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็วางจดหมายกลับลงบนโต๊ะ
“มันดูเหมือนว่าท่านพ่อของเราทรงให้ความสำคัญกับน้ำท่วมมาก มิฉะนั้นเขาจะไม่ส่งเราท้งสองคนมาทีละคนเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากท่านพ่อของเราส่งข้ามาที่นี่ เจ้าสามารถปล่อยให้ข้าจัดการทุกอย่างได้และจัดการกับความวุ่นวายในค่ายหยานเซี่ย”
เซี่ยโฮวโม่ลดสายตาลงและมองไปที่เซี่ยโฮวคุณด้วยความเย็นชา
เมื่อเห็นเซี่ยโฮวโม่นิ่งอยู่ในความเงียบของเขา เซี่ยโฮวคุณกล่าวต่อว่า “เจ้าปกป้องค่าย หยานเซี่ยมาหลายปีและท่านพ่อของเราเชื่อมั่นในตัวเจ้าเสมอ ไม่สามารถถไลได้ในตอนนี้”
เซี่ยโฮวโม่ขดมุมปากของเขา “องค์ชายสอง ขอบคุณในความห่วงใย”
“เราเป็นพี่น้องกันและเจ้าสุภาพกับข้ามากเกินไป มันเป็นเรื่องฉุกเฉินที่มีในค่ายหยานเซี่ย และเจ้าควรกลับไปโดยเร็วที่สุด”
เซี่ยโฮวโม่ยืนขึ้นและเดินไปที่ประตู
เมื่อเห็นสิ่งนี้มีรอยยิ้มบนใบหน้าของเซี่ยโฮวคุณเนื่องจากเขาคิดว่าเซี่ยโฮวโม่กำลังจะจากไป
อย่างไรก็ตาม เซี่ยโฮวโม่ก็หยุดอยู่ที่ประตู “ข้าจะไม่ยอมแพ้กลางคัน”
หลังจากพูดสิ่งนี้เขาก็หันไปมองเซี่ยโฮวคุณ “ข้ากำลังจะพักผ่อน พี่ชาย โปรดอภัยที่ไม่อาจพบปะกับท่านต่อได้”
รอยยิ้มตรึงบนใบหน้าของเซี่ยโฮวคุณทันที มีอาการกระตุกที่มุมปากของเขา เขาพยายามสงบสติอารมณ์แล้วเดินไปที่เซี่ยโฮวโม่ “น้องเก้า เจ้าไม่เชื่อฟังข้า เจ้ากลัวว่าข้าจะเอาความดีความชอบของเจ้าไปหมดหรือ?”
เซี่ยโฮวโม่มองเห็นซูมู่เกอมาที่สนามอย่างไม่แยเส “พี่ชาย จริงๆแล้ว มันไม่ไม่จำเป็นสำหรับท่านที่ต้องมาที่นี่ในตอนนี้เลย”
“เจ้า!” เซี่ยโฮวคุณตระหนักดีว่าน้องชายคนนี้ไม่เคยง่ายที่จะเข้ากับเขา อย่างไรก็ตาม น้องชายของเขาซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพ่อของพวกเขาถืออำนาจทางทหาร จึงไม่สามารถทำให้โกรธเคืองได้ง่าย
“ดี เนื่องน้องเก้าคิดว่าสงครามที่ค่ายหยานเซี่ยไม่สำคัญนัก ข้าสมควรเงียบดีกว่า เจ้าน่าจะทำด้วยความเหมาะสมแล้ว” เซี่ยโฮวคุณสะบัดแขนเสื้อและจากไป
ซูมู่เกอพบเซี่ยโฮวคุณรีบออกไปขณะที่นางกำลังจะกลับไปที่ห้องของนางเพื่อเอายา นางลดสายตา ก้มหน้าเล็กน้อยและถอยห่างเพื่อหลีกทางให้เขา อย่างไรก็ตามเซี่ยโฮวคุณก็หยุดอยู่ตรงหน้านางและมองไปที่นางด้วยรูปลักษณ์ที่คาดเดาไม่ได้
“ใต้เท้าซู มากับข้า” เขาจากไปทันทีโดยไม่มีเวลาให้ซูมู่เกอได้ปฏิเสธ
ซูมู่เกอมองเขาอย่างดูถูกในใจ องค์ชายเหล่านี้ช่างน่ารำคาญเสียจริง!
ขณะที่นางกำลังจะตามไปเสียงของเซี่ยโฮวโม่ก็ดังขึ้นจากข้างหลังนาง
“ใต้เท้าซู มานี่”
ซูมู่เกอหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นมองชายที่ยืนพิงประตูด้วยความสับสนบนใบหน้าของนาง
“ใต้เท้าเซี่ย องค์ชายสองให้ข้าไปกับเขา ข้ากลัวว่าเขามีอะไรจะบอกกับข้า…..”
เซี่ยโฮวโม่เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยและจับจ้องนิ่งที่เธออย่างเฉื่อยชา
มีความรู้สึก ซูมู่เกอรู้สึกว่านางเป็นเหมือนเหยื่อ เป็นเหยื่อที่ถูกเล็งเอาไว้!
“เจ้ารู้ไม่มากเท่าที่ปรึกษาหลี่ เจ้าไม่สงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้ป่วยเหล่านั้นมีอาการเหมือนกันหรือ?” เสียงของชายคนนั้นต่ำและแหบพร่า เต็มไปด้วยการล่อหลอก
“ในการร่วมกัน?” เขาค้นพบอะไร?
ครั้งนี้อย่างไม่ลังเล ซูมู่เกอเกินไปหาเซี่ยโฮวโม่
ตามคำสั่งของซูมู่เกอ ที่ปรึกษาหลี่ทำความสะอาดห้องที่เขาอยู่ก่อนอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจัดการกับห้องนั้นสำหรับเซี่ยโฮวคุณ มันดูไม่โกโรโกโสมากแล้ว
ใบหน้าของเซี่ยโฮวคุณไม่มีอะไรไม่พึงประสงค์เมื่อเขาก้าวเข้ามาในห้อง เขาเพียงขอให้ที่ปรึกษาหลี่บอกเขาเกี่ยวกับสถานการณ์สำคัญของเขตโจว
“เจ้าหมายถึง ขุนนางซูมีทักษะทางการแพทย์ที่ไม่ธรรมดาหรือ?” เซี่ยโฮวคุณขัดคำพูดของที่ปรึกษาหลี่และขมวดคิ้ว
ที่ปรึกษาหลี่พยักหน้าอย่างแรงและตอบว่า “พะย่ะค่ะ ทักษะทางการแพทย์ของใต้เท้าซูนั้นยอดเยี่ยมมาก!”
ตงหลินหยิบขวดกระเบื้องเคลือบสีดำออกมา แล้ววางไว้บนโต๊ะ “แผนที่บนตัวเด็กแสดงให้เห็นเพราะยานี้”
หลังจากที่เซี่ยโฮวโม่ตกลงที่จะให้เวลากับนางหนึ่งคืน ซูมู่เกอสามารถทำให้ตัวเองสงบลงได้
ซูมู่เกอวางถงเอ๋อลงบนโต๊ะ โดยเผยให้เห็นทั้งหลัง ในไม่ช้านางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเพื่อปกปิดหลังส่วนใหญ่ของเขา เหลือไว้เพื่อสังเกตแค่เพียงครึ่งฝ่ามือ
เซี่ยโฮวโม่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
กลิ่นฉุนลอยออกมาทันทีที่ซูมู่เกอเปิดขวดกระเบื้องเคลือบที่ตงหลินมอบให้เธอ
“ข้าต้องไปหาอะไรบางอย่างจากห้องของข้า” ซูมู่เกอพูดพลางมองไปที่เซี่ยโฮวโม่
เขาพยักหน้า
จนกระทั่งนางออกไปจาห้องของเขา นางพบว่าหลังของนางชุ่มไปด้วยเหงื่อ
นางสาบานกับตัวเองว่าเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นในเขตโจว นางจะอยู่ให้ห่างจากผู้ชายคนนี้อย่างแน่นอน!
ภายในห้องของเซี่ยโฮวโม่ ตงลินมองไปที่ถงเอ๋อบนโต๊ะด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสน
ปีที่แล้วหมอกุ่ยได้พบสิ่งที่คล้ายกับยาที่ใช้กับเด็กคนนี้อยู่บนร่างของสายลับของพวกคนตะวันตก เขาอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้และบอกว่าเขาคิดออก
ใต้เท้าไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้และปล่อยให้หมอกุ่ยจัดการเรื่องทั้งหมด ประมาณครึ่งเดือนต่อมา หมอกุ่ยเข้าเฝ้าใต้เท้าด้วยความตื่นเต้นบนใบหน้าของเขา เขาได้ค้นพบความลับเบื้องหลังการปรุงยาและยังพัฒนายาเหลวชนิดหนึ่งเพื่อลบแผนที่
กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกเขามียาเหลวอยู่ในมือซึ่งสามารถลบแผนผังการป้องกันของเด็กคนนี้ได้ แต่เหตุใดใต้เท้าจึงขอให้คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลซู…
“ออกไป”
“ขอรับ”
ตงหลินออกไปพร้อมกับคำถามที่ยังไม่ได้ไขในใจของเขา
หลังจากให้ที่ปรึกษาหลี่ส่งต่อข้อความเรื่องถงเอ๋อให้กับท่านยายฟางแล้ว ซูมู่เกอกลับไปที่ห้องของนางเพื่อไปหาชุดอุปกรณ์การแพทย์
เมื่อนางเปิดขวดกระเบื้องมียาเพียงสามชนิดที่นางจำได้ซึ่งนางก็เคยใช้มาจนถึงทุกวันนี้ พวกเขามีกำเนิดในดินแดนของพวกคนตะวันตก
มีเพียงเซี่ยโฮวโม่และถงเอ๋อที่อยู่ในอาการโคม่าเท่านั้นที่อยู่ในห้องเมื่อนางกลับมา
นางไม่รอช้าและเริ่มการรักษาด้วยเครื่องมือทั้งหมดจากกล่องเครื่องมือแพทย์ของนาง
เซี่ยโฮวโม่มองนางจากเก้าอี้โดยที่สายตาของเขาไม่ละไปจากนางเลย
เนื่องจากเขามียาเหลวอยู่แล้ว ทำไมเขาจึงขอให้นางทำ?
เขาโค้งมุมปากเล็กน้อย บางครั้งราชาแห่งจินจะทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยอารมณ์ของเขา ตัวอย่างเช่นในตอนนี้การดูซูมู่เกอทำงานหนักตรงหน้าเขา ทำให้เขารู้สึกดี
ถ้าซูมู่เกอรู้ว่าเซี่ยโฮ่วโม่คิดอะไรอยู่ในตอนนี้ นางคงแทบจะกระอักเลือดด้วยความโกรธ
นางผสมสมุนไพรหลายชนิดเพื่อทำเป็นยาเหลวเช็ดซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนถงเอ๋อ และทำซ้ำการกระทำเดิม ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อเวลาผ่านไปการแสดงออกบนใบหน้าของนางก็เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นและแสงสีทองแรกของวันส่องแสงเข้ามาในห้อง นางหยุดชั่วครู่ แล้วจากนั้น นางก็ทำต่อไป!
เซี่ยโฮวโม่ลืมตาขึ้นมองใบหน้าที่ดื้อรั้นของนางและพูดอย่างใจเย็นว่า “พอแล้ว”
มือของซูมู่เกอยังคงเคลื่อนไหวราวกับว่านางไม่ได้ยินเขา
“ข้าบอกว่า ‘พอแล้ว’ และอย่าได้ทำให้ข้าต้องพูดซ้ำเป็นครั้งที่สาม”
ทันใดนั้นซูมู่เกอก็กำขวดยาในมือของนางแน่น จ้องมองเขาด้วยดวงตาสีแดงก่ำด้วยความโกรธ
“ข้าใกล้แล้ว! ข้าสามารถทำมันได้ขอเวลาอีกสักหน่อย!”
“พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว”
“แต่….”
“ออกไป”
ซูมู่เกอจับมือถงเอ๋อแน่นและไม่ขยับ
“ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านทำร้ายเขา!”
“เจ้านะ?” เซี่ยโฮวโม่หัวเราะเยาะ
ซูมู่เกอมองไปที่เขานิ่งๆ “ใช่ ข้าจะหยุดท่านเอง”
เขาหัวเราะเยาะนางออกมาทันที และบรรยากาศที่หดหู่ในห้องก็หายไปในทันใด
“ข้าจะไม่ทำร้ายเขา”
ซูมู่เกอมองเขาด้วยความประหลาดใจ หน้าผู้ชายคนนี้เปลี่ยนเร็วยิ่งกว่าพลิกหนังสือ!
เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนั้น เซี่ยโฮวโม่ก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างมีชัย “ถ้าข้าอยากให้เขาตาย ข้าคงฆ่าเขาตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมข้าต้องให้เขามีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้”
นางแทบสำลักลมหายใจตัวเอง!
เขาก็เลยเล่นบ้าๆบอๆกับนาง!
เขาทำให้จิตใจของนางตึงเครียดตลอดทั้งคืนและเพื่อความสนุกของตัวเขาเองเท่านั้น!
เลว!
นางไม่เคยเห็นผู้ชายที่มีเล่ห์เหลี่ยมขนาดนี้มาก่อน!
นางกัดฟันแน่นด้วยความโกรธและพูดว่า “งั้นข้าพาเขากลับไปเดี๋ยวนี้ได้ใช่ไหม?”
“อะไรนะ? เจ้าไม่เชื่อข้าเหรอ?”
“…..”
ในที่สุดซูมู่เกอก็ออกไปจากห้องพร้อมลมหายใจออกหนักๆที่ดุด่าเซี่ยโฮวโม่รวมถึงบรรพบุรุษของเขาในใจ
เมื่อตงหลินเข้ามา เขาเห็นเซี่ยโฮวโม่นั่งที่เก้าอี้ เล่นถ้วยน้ำชาในมือ
ใต้เท้าอารมณ์ดีอะไร?
“พาเขาออกไปและลบแผนที่บนหลังของเขา” เซี่ยโฮวโม่กล่าว
“ขอรับ ใต้เท้า” ตงหลินรับคำสั่ง
ขณะที่ตงหลินกำลังจะไปเอาตัวเด็กเขาเห็นด้านหลังและตะลึง
“ใต้เท้า!”
เซี่ยโฮวโม่หันหน้ามาและมองไปที่เขา “ว่าอะไร?”
“ผะ แผนที่หายไปแล้ว!”
เซี่ยโฮวโม่ลุกขึ้นและเดินมามอง
แผนที่ด้านหลังของถงเอ๋อไม่สมบูรณ์อีกต่อไป ส่วนที่ซูมู่เกอทำการรักษานั้นได้หายเกลี้ยงไปหมดแล้ว!
จ้องมองไปที่ส่วนที่หายไป ตงหลินรู้สึกประหลาดใจมาก หมอกุ่ยใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนในการคิดค้นยา และคุณหนูใหญ่ซูก็ทำสิ่งเดียวกันได้ภายในคืนเดียว!
ถ้าเขาไม่เห็นสิ่งนี้กับตา เขาไม่เคยเชื่อเลยว่าทักษะทางการแพทย์ของใครบางคนจะพิเศษกว่าหมอกุ่ยมาก!
ตงหลินคิดกับตัวเองว่าถ้าหมอกุ่ยรุ้เรื่งอนี้ เขาคงจะแทบบ้า….
ยังมีข้อสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับเซี่ยโฮวโม่ ซูมู่เกอจึงยังรออยู่ที่ห้องพักหย่าเหมินเพื่อรอให้ถงเอ๋อถูกส่งตัวกลับมา
“ใต้เท้าซู เกิดปัญหาใหญ่!”
ที่ปรึกษาหลี่รีบวิ่งเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าเป็นทุกข์ ตะโกนก้อง
ซูมู่เกอกำลังศึกษาหนอนในมือของนาง นางคิ้วขมวด
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เช้าตรูวันนี้ ผู้ลี้ภัยที่เพิ่งมาถึงสิบคนมีไข้กะทันหันเช่นเดียวกับเด็กที่ท่านรักษา ข้าไม่กล้ารออีกต่อไป รีบกลับมารายงานให้ท่านทราบ”
ซูมู่เกอคิ้วกระตุกเมื่อนางได้ยินเช่นนั้น
“พวกเขาอยู่ที่ไหน?”
“ข้าจัดให้พวกเขาอยู่ที่ห้องว่างอีกห้อง”
“ดี ข้าจะไปดูเดี๋ยวนี้”
ซูมู่เกอถือกล่องเครื่องมือแพทย์ของนางและตามที่ปรึกษาหลี่ออกจากห้อง เซี่ยโฮวโม่ยืนอยู่ข้างรถม้าเมื่อพวกเขาออกมา
ใบหน้าของซูมู่เกอแข็งกระด้าง คงไม่มีใครมีความสุขเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายที่หลอกพวกเขามาตลอดทั้งคืน
ในขณะท่เขากำลังรับที่ปรึกษาหลี่ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ “ใต้เท้าเซี่ย”
เซี่ยโฮวโม่มองไปที่ซูมู่เกอและในที่สุดก็หยุดที่ที่ปรึกษาหลี่ “ข้าได้ยินมาว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับผู้ลี้ภัย?”
“ขอรับ…”
“โรคระบาดสำคัญที่สุด ที่ปรึกษาหลี่ไปกันเถอะ” ซูมู่เกอกระโดดขึ้นรถม้าตรงหน้านาง ปิดม่านและปิดกั้นสายตาของคนอื่นๆ
ที่ปรึกษาหลี่ตกใจยืนนิ่ง เกิดอะไรขึ้น?
ใต้เท้าซูเพิกเฉยต่อใต้เท้าเซี่ยต่อหน้าคนอื่น!
เซี่ยโฮวโม่ลดดวงตาสีเข้มลงเล็กน้อยและขึ้นรถม้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ ปล่อยให้ที่ปรึกษาหลี่อยู่คนเดียวพยายามหาคำตอบจากสถานการณ์
“ที่ปรึกษาหลี่ โปรดขึ้นม้า”
ตงหลินมีน้ำใจมากและเขาก็นำม้าที่แข็งแรงและสุขภาพดีมาหยุดหน้าเขา มันเป็นม้าที่หล่อเหลาสีแดงอมม่วง
เมื่อเห็นม้าอยู่ตรงหน้าเขา ที่ปรึกษาหลี่รู้สึกว่าขาของเขาสั่น ถ้าเขาบอกพวกเขาว่าเขาไม่สามารถขี่ม้าได้ในตอนนี้ มันจะน่าอายเกินไปไหม….
ภายในรถม้า ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นและเห็นเซี่ยโฮวโม่นั่งอยู่
นางหลับตาลง ไกลตา ไกลใจ!
แต่กลิ่นและลมหายใจของผู้ชายคนนี้แรงเกินกว่าจะละเลย!
นางลืมตาขึ้นและพบกับดวงตาที่มืดมิดของเขาและลึกล้ำราวกับสระว่ายน้ำเย็นฉ่ำ
“ใต้เท้าซู เจ้ารู้หรือไม่ว่าโรคนั้นเป็นอย่างไร?”
ซูมู่เกอสูดลมหายใจเบา ๆ จัดการรวบจิตใจตัวเองเข้าด้วยกันและตอบว่า “ยังไม่ได้”
หลังจากการสนทนาที่เรียบง่าย รถม้าก็เงียบสนิท ซูมู่เกอเริ่มเปลี่ยนความสนใจไปที่กระบวนการและผลการวิจัยของนางเกี่ยวกับหนอนในตอนนี้
หนอนเหล่านี้หนังเหนียวมากและทนทานต่อยาหลายชนิด ยิ่งนางใช้ยามากเท่าไหร่ความสามารถในการสืบพันธุ์ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
นางเปิดชุดแพทย์ของนางในรถม้าและหยิบขวดระเบื้องที่มีหนอนออกมา
เมื่อวานนี้นางแช่มันไว้ในยาพิษเพื่อดูว่ายาเหล่านั้นสามารถฆ่าได้หรือไม่
“นี่คืออะไร?” เซี่ยโฮวโม่ถามพลางมองไปที่ขวดกระเบื้องในมือของนาง
“หนอนที่เอาออกมาจากปอดของเด็กที่ป่วยคนนั้น”
ใบหน้าของเซี่ยโฮวโม่แข็งขึ้นเล็กน้อย “หนอน?”
“ใช่ พวกมันสามารถอาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้ ข้าได้ทดลองยาหลายขนานแล้วและไม่สามารถฆ่ามันได้”
ซูมู่เกอพูดจบ มองที่เซี่ยโฮวโม่และแค่นยิ้มออกมา “ใต้เท้าเซี่ย ท่านเป็นคนเลือดเย็น บางทีเลือดของท่านอาจจะทำให้พวกมันหนาวจนตายได้นะว่าไหม?”
ซูมู่เกอไม่คิดจะยอมรับ ที่นางพูดไปนางมีจุดประสงค์
“ได้”
ซูมุ่เกอไม่คาดคิดว่าจะได้คำตอบนี้ ได้เหรอ? เขาหมายถึงอะไร?
“ใต้เท้าซู เอาเลือดให้มากเท่าที่ต้องการ” เซี่ยโฮวโม่ยื่นมือของเขาไปตรงหน้าซูมู่เกอก่อนที่เขาจะพูดจบ
มองไปมี่มือเรียวๆ ซูมู่เกอกัดฟันแน่น เขาคิดว่านางไม่กล้าทำเหรอ?
นางหยิงมีดเล็กๆ ออกมาแล้วแทงลงบนนิ้วมือของเขา เลือดสีแดงสดเริ่มหยดลงในขวดกระเบื้องที่ถืออยู่ในมือของนาง นางเอาสำลีกดหลายนิ้วของเขาเมื่อได้เลือดเต็มขวด
“ใต้เท้าเซี่ย ท่านเป็นข้าแผ่นดินที่ดีทั้งต่อบ้านเมืองและประชาชน!”
เซี่ยโฮวโม่มองลงไปในมือเล็กๆ ที่กดปลายนิ้วของเขาและกำลังคิด
หลังจากประสบความสำเร็จในเกมของเขา ซูมู่เกออารมณ์ดี นางใส่ขวดกระเบื้องกลับเข้าไปในกล่องเครื่องมือแพทย์ของนาง
รถม้าค่อยๆลดความเร็วลง
เนื่องจากมีผู้ลี้ภัยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ปรึกษาหลี่จึงขอให้ผู้คนเข้าพักในห้องว่าง
ผู้ลี้ภัยจากการเจ็บป่วยกะทันหันนี้ถูกจัดให้พักในบ้านหลังวัดร้าง
ทันทีที่ซูมู่เกอออกมาจากรถม้า ผู้ช่วยแพทย์หนุ่มก็พาพวกเขาไปข้างนอกที่พักผู้ป่วย
“ผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยเหล่านี้ตามข้ามา และคนอื่นๆ อยู่ที่ด้านนอก”
เซี่ยโฮวโม่ที่ยืนอยู่ข้างหลัง นางไม่สนใจอย่างสิ้นเชิง นางเดินเข้าไปที่พักผู้ป่วยโดยตรง
คราวนี้เขาไม่ตามนางเขาไป แต่เขาหันกลับไปมองที่ปรึกษาหลี่ ซึ่งกำลังเดินมาหาเขาด้วยขาอันสั่นเทา
“คนเหล่านี้เข้ามาเมื่อไหร่?”
เช็ดเหงื่อที่หน้าผากออก ที่ปรึกษาหลี่ตอบว่า “ใต้เท้า พวกเขามาที่นี่เมื่อสามวันก่อน พวกเขาทั้งหมดเป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบในเขตโจวขอรับ”
มีกระดานไม้กว่าโหลบนพื้น แต่ละอันมีคนนอนอยู่ ทั้งเด็กและคนแก่ ผู้ชายและผู้หญิง
ซูมู่เกอไปหาชายที่มีใบหน้าแดงซึ่งแทบไม่รู้สึกตัวและมองเขา เห็นได้ชัดว่าท้องของชายคนนั้นบวมและอุณหภูมิในร่างกายของเขาก็สูงมากเกินไป
“ใต้เท้า คนพวกนี้ป่วย ป่วยเป็นโรคระบาดหรือไม่?” ผู้ช่วยแพทย์มองคนไข้ที่นอนอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าซีดเซียว ตามปกติ ผู้คนจะต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคระบาดหลังภัยธรรมชาติ มันเป็นอำนาจลึกลับที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้
ซูมู่เกอจับตัวยายฟางไว้ ที่เดินโซซัดโซเซ
“ยายฟาง อย่ากังวลไปเลย มาทำให้ทุกอย่างชัดเจนก่อน” ซูมู่เกอเดินเข้าไปในหย่า เหมินโดยมียายฟางอยู่ในอ้อมแขน
เสียงของยายฟางสั่นเล็กน้อย
“มันเป็น…เป็นเวลาค่ำแล้ว ข้าน้อยกำลังเตรียมอาหารเย็นสำหรับทุกคนและขอให้ถงเอ๋อเอาน้ำมาให้ แต่เขาไปเป็นเวลานานมากแล้วและไม่กลับมา ข้าน้อยเป็นห่วงและไปตามหาเขา แต่ข้าน้อยได้ค้นหาทั่วเขตหย่าเหมินแล้ว และก็ไม่พบเขาที่ไหนเลย…” ยายฟางได้ร้องไห้เรียบร้อยแล้ว บอกเล่า
“ใต้เท้าซู ได้โปรดช่วยเราด้วย ถงเอ๋อเป็นลูกชายคนเดียวและเป็นทายาทของครอบครัวของเรา และข้าน้อยจะปล่อยให้สิ่งผิดพลาดเกิดกับเขาไม่ได้….”
ซูมู่เกอช่วยพยุงยายฟางเข้าไปในห้อง “ยายฟาง ไม่ต้องกังวล ข้าจะส่งคนไปตามหาเขาตอนนี้เลย บอกข้ามาว่าถงเอ๋อชอบไปที่ใดบ้างในเวลาว่าง มีโอกาสหรือไม่ที่เขาจะออกไปเล่นกับเด็กคนอื่นแล้วลืมเวลากลับ?”
ยายฟางเอาแต่ร้องไห้และส่ายหัว “ไม่ หลานน้อยของข้ามักจะประพฤติตัวดีและรับฟังคำพูดของข้า หลังจากเรามาถึงที่นี่ในเขตโจว ข้าบอกเขาว่าข้างนอกมันอันตรายและเขาต้องไม่ออกไปข้างนอก เด็กนั้นเชื่อฟังและจะไม่มีวันเดินไปมาโดยไม่มีข้า”
“ข้ารู้ ข้าจะส่งคนไปค้นหาเขาเดี๋ยวนี้ล่ะ”
ซูมู่เกอกังวลเล็กน้อย แต่นางก็ไม่แสดงมันออกมา ความรู้สึกและกลิ่นของชายในชุดดำที่ทำร้ายนางเมื่อคืนก่อนนั้นค่อนข้างคล้ายกับคนในป่า แม้ว่าชายชุดดำจะถูกจับโดยคนของเซี่ย โฮวโม่ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดอีก หากพวกเขาเริ่มมุ่งเป้าไปที่ถงเอ๋อ…
นางขอให้ที่ปรึกษาหลี่ส่งคนไปตามหาเด็กน้อยทันที ที่ปรึกษาหลี่ไม่กล้าออกไป และได้ส่งคนของเขาออกไปแทน
แสงจันทร์ส่องสว่าไปทั่วทั้งเขตเมืองโจว ถนนก็ว่างเปล่าในตอนดึกเช่นนี้
ทันใดนั้น ร่างสีดำก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางแสงจันทร์ ถ้าได้มองใกล้ๆ จะพบว่าเขาได้พกอะไรติดตัวไปด้วย
เงานั้นพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วในความมืดไกลเกินกว่าที่แสงจันทร์จะส่องถึงและในเวลาเพียงสั้นๆ มันหายไปในซอยลึก
ในไม่ช้ามีอีกสองร่างก็แวบผ่านไป พวกเขาเห็นเงาดำหายไป จากนั้นก็มองหน้ากัน
“เขาเห็นเราไหม?”
“เราซ่อนตัวอย่างดีเมื่อเราตามเขามา เขาจะไม่สังเกตเห็นเราแน่”
“แล้วตอนนี้เราจะทำยังไงดี?”
“ตามดูเขาต่อไปสิ”
ร่างทั้งสองหายไปพร้อมกับเสียงของพวกเขา เข้าไปในซอยมืด
ในบ้านที่อยู่อาศัยในตรอก ชายชุดดำโยนคนที่แบกบนไหล่ของเขาลงไปที่พื้นแล้วนั่งยองๆ เพื่อมองหาอะไรบางอย่างบนตัวเขา
แต่เขาไม่พบสิ่งใดเลยหลงจากค้นหามาหลายรอบแล้ว
“ไอ้บ้านั่น มันซ่อนไว้ตรงไหนของมัน!”
ชายคนนั้นจุดเทียนให้แสงสว่างทั้งห้อง ด้วยแสงสลัวทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าเด็กนอนอยู่บนพื้นคือถงเอ๋อ เด็กน้อยที่ซูมู่เกอกำลังตามหา!
ชายในชุดดำสะกิดเด็กชายหลายครั้งและถงเอ๋อก็รู้สึกตัวเงียบๆ เมื่อเขาเห็นสภาพแวด ล้อมรอบๆ และชายในชุดดำ เขาก็กลัวและคู้ตัวเข้า
“ใคร ท่านเป็นใคร? ท่านต้องการอะไร!”
“บอกข้ามา มันอยู่ที่ไหน?”
ถงเอ๋อยังคงส่ายหัวพร้อมสั่นไปทั้งตัวด้วยความหวาดกลัว “ข้าไม่รู้ ไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงอะไร…”
“เจ้าไม่ยอมบอกข้าเหรอ? เจ้าสัตว์ดื้อรั้นตัวน้อย!” ชายชุดดำรีบวิ่งไปคว้าตัวถงเอ๋อขึ้นจากพื้น เด็กน้อยดิ้นรนด้วยความกลัว
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย….”
“เจ้าอยากตายรึไง?”
ทันทีที่ส่งเสียงขู่ดังกล่าว
ชายชุดดำโยนถงเอ๋อลงกับพื้นขณะที่เสื้อผ้าของเขาถูกเล็บเกี่ยวอย่างไม่ตั้งใจทำให้เสื้อของถงเอ๋อฉีกออกเป็นชิ้นใหญ่ เปิดเผยให้เห็นแผ่นหลังบอบบางของเขา
ชายชุดดำเดินไปข้างหน้าและกำลังจะทรมานเขาต่อ เมื่อจู่ๆเขาก็ได้เห็นอะไรบางอย่างที่ด้านหลังของถงเอ๋อ
“เจ้าคนฉลาดน้อย เจ้ากล้าคิดว่าจะซ่อนมันไว้ที่ตรงนี้เหรอ!” ชายชุดดำจับถงเอ๋อหยิบขวดกระเบื้องเคลือบสีดำออกจากร่างของเขาแล้วเทราดลงบนหลังของเด็กน้อย
“ทีสสส-สส” เสียงราวกับเนื้อและหนังที่ปิ้งอยู่บนกองไฟดังขึ้นในห้องพร้อมกับกลิ่นไหม้
“อ๊ากกก!” ก่อนที่เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของถงเอ๋อจะดังออกมาอย่างเต็มที่ ชายชุดดำก็ทุบเขาให้หมดสติไป
เมื่อเห็นเช่นนั้น ชายสองคนที่แอบสังเกตการณ์อยู่ด้านนอกทั้งคู่ขมวดคิ้ว
ผ่านรอยแตกของหน้าต่าง พวกเขาสามารถมองเห็นบางสิ่งบางอย่างค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่แผ่นหลังของถงเอ๋อ
ทั้งสองสบตากันอย่างรวดเร็วและบุกเข้าไปในห้องทันที
ชายที่จับถงเอ๋อในมือสะดุ้ง และเขาดึงถงเอ๋อที่ไม่รู้สึกตัวไว้ด้านหลังเขาโดยอัตโนมัติ
ด้วยการสบตาเพียงครั้งเดียวพวกเขาทั้งสามก็เริ่มต่อสู้กัน
สองต่อหนึ่ง ชายชุดดำค่อยๆสูญเสียการป้องกันของเขาเพรี่ยงพร้ำให้กับอีกสองคน
“เจ้าเป็นใคร?” ชายชุดดำถูกต้อนให้จนมุมและเขาก็ส่งเสียงข่ม เขามองไปที่ถงเอ๋ออีกครั้งอย่างเสียดายและโยนถงเอ๋อใส่สองคนนั้นอย่างไม่เต็มใจเพื่อเปิดทางหนี แล้วเขาก็หมุนตัวหลบหนีไปทันที
“เจ้าตามเขาไป ส่วนข้าจะพาเด็กกลับไปรายงาน”
“ตกลง”
โจวเหว่ยอุ้มถงเอ๋อขึ้นมาพาดไหล่ของเขา จากนั้นเขาก็จากไปทันที
เขากลับมาพร้อมเด็กน้อยบนไหล่ที่ห้องพักในเขตที่พักอย่างเหมินภายในเสี้ยวชั่วยาม
ตงหลินมาที่ประตูและพูดเสียงเบาจากด้านนอกว่า “ใต้เท้า โจวเหว่ยกลับมาแล้วขอรับ”
“ให้เขาเข้ามา”
“ขอรับ”
โจวเหว่ยเดินเข้าไปในห้องโดยมีถงเอ๋ออยู่บนไหล่ของเขา
เซี่ยโฮวโม่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนที่นั่ง เขาสามารถรวมพลังลมปราณทั้งหมดของเขาเคลื่อนไหวไปทั่วร่างกายของเขา หลังจากโจวเหว่ยเข้ามา แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ
“ใต้เท้า มันอยู่ที่เด็กคนนี้จริงๆ ขอรับ”
โจวเหว่ยดึงเสื้อของถงเอ๋อออก เผยให้เห็นแผ่นหลังของเขาทั้งหมด มีรอยแผลเป็นราวกับว่ามีคนลวกมันด้วยกระบอกไฟ อย่างไรก็ตามแผนที่ปรากฏขึ้นซึ่งกระจายไปทั่วทั้งหลังของถงเอ๋อและดูน่ากลัว
โจวเหว่ยอุ้มถงเอ๋อขั้นไปบนโต๊ะนอนคว่ำเผยให้เห็นแผ่นหลังทั้งหมดของเขาอย่างชัดเจน
เซี่ยโฮวโม่เดินไปข้างหน้าและมองอย่างถี่ถ้วน รูปแบบด้านหลังนี้เป็นแผนที่การป้องกันของค่ายหยานเซี่ย
“ชายคนนั้นอยู่ที่ไหน?ไ
“โจวฉิ่วตามเขาไปขอรับ”
หลังจากมองดูถงเอ๋ออีกครั้ง เซี่ยโฮวโม่พูดด้วยเสียงต่ำ “เรียก ใต้เท้าซู มาที่นี่”
โจวเหว่ยตะลึงไปชั่วขณะโดยไม่คาดคิดว่าจะมีคำสั่งนี้จากนายท่านของเขา
“ขอรับ”
ซูมู่เกอค้นหาทั่วเขตหย่าเหมิน และนางไม่พบถงเอ๋อ นางพบรองเท้าของเด็กชายอยู่ข้างบ่อน้ำเท่านั้น
นางจับรองเท้าไว้แน่นในมือและดูเคร่งเครียด
“ใต้เท้าซู ท่านอยู่นี่เอง”
ซูมู่เกอข่มใจลงและเงยหน้าขึ้น นางรู้ว่าเขาเป็นผู้คุ้มกันของเซี่ยโฮวโม่
“ใต้เท้าเซี่ยมองหาข้าหรือไม่?”
“ขอรับ ใต้เท้าเซี่ยมีเรื่องจะพูดคุยกับท่านขอรับ ใต้เท้าซู”
“ข้ารับทราบ ไปกันเถอะ”
มันเป็นเวลาดึกแล้ว เซี่ยโฮวโม่ต้องการอะไร?
ด้วยความสับสนในใจ ซูมู่เกอผลักประตูให้เปิดและเดินเข้าไปในห้องของเซี่ยโฮวโม่
ถงเอ๋อเข้ามาในสายตาของนางเมื่อนางก้าวเข้าไป นอนอยู่บนโต๊ะ คว่ำหน้า โดยไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ตาย
“ถงเอ๋อ!”
ดวงตาของนางกระตุกและเดินไปหาเขาทีละก้าว ทีละก้าวอย่างใช้เวลา เพื่อตรวจสอบสภาพของเขา
นางปล่อยลมหายใจยาวๆออกมาอย่างโล่งอก เมื่อแน่ใจว่าเด็กคนนั้นเพียงแค่หมดสติเท่านั้น
ซูมู่เกอมองไปที่เซี่ยโฮวโม่อย่างรวดเร็ว และพูดว่า “ใต้เท้าเซี่ย ข้าไม่รู้ว่าถงเอ๋อทำให้ท่านขุ่นเคืองอย่างไร แต่ท่านจะโหดร้ายกับเด็กขนาดนี้เลยหรือ?”
คิ้วของเขายกขึ้นเล็กน้อย เซี่ยโฮวโม่มองเข้าไปในดวงตาของซูมู่เกอตรงๆ “เจ้าคิดว่าข้าทำแบบนี้กับเขารึ?”
ซูมู่เกอขมวดคิ้วและก้มศีรษะลง ทันใดนั้นนางก็เห็นแผนที่บนหลังของเด็กและรู้สึกประหลาดใจ
“อะไร..นี่คือ?”
มองไปที่ใบหน้าอันประหลาดใจของซูมู่เกอ เซี่ยโฮวโม่ตอบอย่างใจเย็น “ใต้เท้าซู เจ้าเคยเห็นแผนผังการป้องกันของค่ายหยานเซี่ยหรือไม่?”
แผนผังการป้องกันของค่ายหยานเซี่ย คือแผนผังการป้องกันทางทหารของฉู่!
ซูมู่เกอฉลาดพอที่จะเข้าใจว่าผู้ชายที่ติดตามนางกำลังพยายามหาสิ่งที่อยู่ด้านหลังของถงเอ๋อ
แผนผังการป้องกันทางทหาร ซึ่งเป็นความลับทางทหารที่สำคัญได้ปรากฎตัวบนตัวเด็กชายชาวบ้านคนหนึ่ง ทำไมกัน?
มันอธิบายได้เพียงว่าถงเอ๋อเป็นเพียง “เครื่องมือ” ในการซ่อนแผนที่นี้ ที่ถงเอ๋อหายตัวไปในวันนี้อาจเป็นเพราะชายคนนั้นกลับมาเอาแผนที่นี้
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เซี่ยโฮวโม่ด้วยความคิดของนางเพียงเพื่อที่จะได้เห็นความเย็นชาและไอสังหารที่มองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา
เขาสงสัยนาง เขาสังสัยว่านางมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับมัน จากทั้งหมดแล้ว นางพา ถงเอ๋อมาที่เขตโจว
ไม่น่าแปลกใจที่ขุนนางที่มีความสำเร็จอันยอดเยี่ยมในสงคราได้มาที่เขตโจว เขามาที่นี่เพื่อหาแผนผังการป้องกัน แต่ไม่ใช่น้ำท่วม!
“ใต้เท้าเซี่ย ข้าจะมีโอกาสได้เห็นมันได้อย่างไร?” ซูมู่เกอกำมือแน่นขึ้นเรื่อยๆ
เซี่ยโฮวโม่จ้องมองนิ่งมาที่นาง เดินเข้ามาทีละก้าวๆ
ก้าวของเขาเบา แต่การเข้าใกล้ของเขาทำให้นางหายใจหนักขึ้น
ชายคนนี้กำลังกดดันนาง!
ซู่มู่เกอหายใจเข้าลึก ๆ และพยายามสงบสติอารมณ์
“ใต้เท้าซู ท่านรู้ผลที่ตามมาของแผนที่รั่วไหลหรือไม่?”
แน่นอนว่าซู่มู่เกอรู้!
การป้องกันค่ายทหารก็เหมือนกับความสามารถทางเวทย์มนตร์ในการรักษาแรงขับของอาวุธที่แหลมคมลงบนผิวหนังที่เปลือยเปล่าของคนๆหนึ่ง หากไม่มีมันก็เกือบจะเทียบเท่ากับการเปิดเผยค่ายทหารทั้งหมดให้ศัตรูได้รับรู้
“แม้ว่าข้าไม่รู้ว่าจะสู้รบหรือจัดการทหารอย่างไร ข้าตระหนักดีถึงความสำคัญของแผนผังการป้องกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดสิ่งสำคัญเช่นนี้จึงปรากฏบนหลังของเด็ก?”
เซี่ยโฮวโม่มองลงไปที่ซูมู่เกอ แต่ไม่ตอบนาง
“ ตงหลิน”
ตงหลินผลักประตูและเข้ามา
“ใต้เท้า ท่านต้องการสิ่งใดขอรับ?”
“ ทำให้แผนที่นี้หายไปจากความหลังของเด็ก”
ตงหลินตกใจเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็พยักหน้าดึงกริชออกมาจากตัวและพยายามแทงลงไปที่หลังของเด็ก
“ท่านกำลังทำอะไร!” ซูมู่เกอถลาเข้าไปและหยุดเขา
เซี่ยโฮวโม่มองไปที่นางและรอยยิ้มก็เกิดขึ้นที่ริมฝีปากของเขา “แผนที่บนหลังของเขาวาดด้วยยาพิษชนิดหนึ่ง แผนที่จะไม่มีวันหายไปจากเขาได้”
เมื่อได้ยินสิ่งเหล่านี้ ดวงตาของซูมู่เกอก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ แต่ในไม่ช้านางก็มีสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“ถงเอ๋อเป็นผู้บริสุทธ์ ถ้าท่านถลกหนังของเขา ท่านสามารถฆ่าเขาได้!”
“ยังมีคนบริสุทธิ์อีกมากมายดังเช่นเขา ตงหลินทำมัน”
“ขอรับ”
ตงหลินก้าวเข้าไปอีกครั้ง และซูมู่เกอยืนตรงหน้าถงเอ๋อพร้อมปกป้องเขา
ตงหลินขมวดคิ้วและกำลังจะดึงตัวนางให้พ้นไป แต่นางก็หลบเขาได้อย่างชาญฉลาด
“ใต้เท้าซู ได้โปรดอย่างทำให้ข้าต้องสะดุดด้วยเรื่องเช่นนี้เลย” ตงหลินตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจากเขาไม่แน่ใจว่าเซี่ยโฮวโม่ต้องการอะไร
ซูมู่เกอเหวี่ยงตัวไปที่ถงเอ๋อจับเขาขึ้นมาและกำลังจะพาเขาออกไปเมื่อตงหลินเดินไปดักหน้านางไว้อย่างรวดเร็วเพื่อหยุดนาง
นางจ้องมองเซี่ยโฮวโม่ด้วยดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธ “ใหเวลาหนึ่งวัน และข้าจะทำให้แผนที่หายไปจากหลังเขา!”
เซี่ยโฮวโม่นั่งบนเก้าอี้และเล่นกับแหวนหยกที่นิ้วหัวแม่มือของเขา เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง
“ใต้เท้าเซี่ย ท่านเป็นขุนนางที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก ท่านจะเหยียบย่ำชีวิตผู้คนราวกับเป็นโคลนตมและขี้เถ้าได้อย่างไร!” ซูมู่เกอกัดฟันด้วยความโกรธและเกลียดชัง
“ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น” ในที่สุดเซี่ยโฮวโม่ก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่นาง
ซูมู่เกอพยักหน้าด้วยความเคารพ “ได้ ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น”
“ใต้เท้า ชายคนนั้นสารภาพแล้วขอรับ”
เซี่ยโฮวโม่กำลังอ่านแผนที่และเขาก็หยุดชะงักทันที
“เขาสารภาพ?”
“ขอรับ”
ในความเป็นจริง ตงหลินก็สงสัยเล็กน้อยเช่นกัน หลังจากนั้น เมื่อคืนชายคนนี้ถูกทรมานจนเกือบตายและเขาก็ยังไม่พูดอะไร ชายคนนั้นดื้อรั้นและไม่เต็มใจเพื่อยืดเวลา ตงหลินคิดว่าจะใช้เวลาอีกสองหรือสามวันก่อนที่เขาจะบอกอะไรพวกเขา แต่ตอนนี้เขาสารภาพแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถจัดการได้จนกว่าจะถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
ลูบแหวนหยกที่นิ้วหัวแม่มือของเขาเบา ๆ เซี่ยโฮวโม่ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เขาพูดอะไร?”
“เขาบอกว่ามันอยู่ที่คุณหนูใหญ่ตระกูลซูคนนั้นขอรับ”
เซี่ยโฮวโม่ลืมตาขึ้น “อยู่กับซูมู่เกอ?”
“ขอรับ เขาบอกว่าเขาซ่อนมันไว้กับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง แต่เมื่อเขาไปหากับเด็กคนนั้นในภายหลัง มันก็หายไป คุณหนูใหญ่อยู่กับเด็กนั่นตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงบอกว่าคุณหนูใหญ่ต้องเป็นคนเอาไป”
ตงหลินเหลือบมองเซี่ยโฮวโม่และพูดต่อ “เด็กคนนั้น ถงเอ๋อ ถูกนำตัวไปที่เขตหย่า เหมินโดยคุณหนูใหญ่ ท่านคิดว่านางเป็นคนเอาไปหรือไม่ขอรับ?”
“นางต้องการสิ่งนั้นเพื่ออะไร?”
“นาง….แต่นางทำตัวแปลกๆ ทำไมนางถึงปลอมตัวเป็นบิดาของนาง? นางไม่รู้หรือว่านี่เป็นความผิดทางอาญา?”
มีรอยยิ้มที่เปล่งประกายอย่างรวดเร็วในดวงตาของเซี่ยโฮวโม่ เมื่อเขานึกถึงร่างผอมบางนั้น “แน่นอนว่านางรู้” เขากล่าว นั่นเป็นเหตุผลที่นางพยายามอย่างเต็มที่ที่จะระวังตัวต่อหน้าเขา
“จับตาดูเด็กคนนั้นอย่างใกล้ชิดเมื่อมันยังอยู่ในเขตปกครองหย่าเหมิน”
ตงหลินยังรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ง่ายอย่างที่เห็น “ขอรับ ข้าจะเพิ่มคนเข้าไปตอนนี้เลย”
…
เปลือกตาของซูมู่เกอยังคงกระตุกเมื่อนางตื่นขึ้นมาในตอนเช้า และนางรู้สึกว่ามีบางอย่างที่น่าร้ายแรงกำลังจะเกิดขึ้น
หลังจากล้างตัวและรับประทานอาหารเช้าแล้ว นางถือชุดเครื่องมือแพทย์และกำลังจะไปตรวจเด็กๆ
มันช่วยนางประหยัดพลังงานได้มากเนื่องจากเซี่ยโฮวโม่ช่วยจัดการบรรเทาอุทกภัยในเมืองทั้งหมด
เมื่อนางเดินออกจากห้องของนาง นางมองไปที่ห้องของเซี่ยโฮวโม่อย่างไม่รู้ตัว เมื่อเห็นประตูห้องของเขาปิดแน่น นางก็เดินจากไปทันที
เสี่ยวอู๋กำลังงีบหลับเมื่อซูมู่เกอมาถึงห้องพักผู้ป่วย นางเอื้อมมือไปบีบใบหน้าของเขา เขาตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ลืมตาขึ้นอย่างฉับพลันทันใด และยืนขึ้นเพื่อทักทายซูมู่เกอทันทีที่เห็นนาง
“ไม่เป็นไร อย่าใส่ใจสำหรับความรื่นรมย์เหล่านี้ แล้วเด็กล่ะ? เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เด็กตื่นแล้วและเอาแต่พูดว่ามันเจ็บขอรับ”
ซูมู่เกอไม่ได้เข้าไปในห้องพักผู้ป่วยจนกว่านางจะเปลี่ยนเป็นชุดทำงานที่สะอาดหมดจด
เด็กรู้สึกตัวโดยที่ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปข้างหนึ่งด้วยความเจ็บปวด เขาร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นซูมู่เกอเดินเข้ามา
“มันเจ็บมาก! อะฮึก บูฮือๆๆๆ….”
เด็กได้รับการผ่าตัดและความเจ็บปวดที่บาดแผลเป็นเรื่องปกติหลังการระงับความรู้สึกจากยาหมดฤทธิ์
“เป็นเด็กดี และอย่างร้องไห้ ผ่านสิ่งนี้ไป ในไม่ช้าเจ้าก็จะกลายเป็นชายหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สามารถกระโดดโลดเต้นไปมาได้ หลังจากเวลาผ่านไป”
เสี่ยวอู๋มองไปที่ซูมู่เกอด้วยความโง่เล็กน้อย ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนบนใบหน้าของนาง นางให้ความชุ่มชื้นแก่ริมฝีปากของเด็กด้วยผ้าฝ้ายชุบน้ำ
ใต้เท้าซู….อ่อนโยนมาก!
“หลังจากนี้ ทุกครั้งที่เปลี่ยนผ้าปิดแผลให้ใส่ใจและสังเกตว่าแผลอักเสบหรือไม่”
เสี่ยวอู๋มาดูด้วยตัวเองและสัญญากับนาง
หลังจากนั้นซูมู่เกอก็ไปพบผู้ป่วยคนอื่นๆ ก่อนที่นางจะกลับไปที่ห้องที่นางได้ศึกษาอาการป่วย
หนอนประหลาดที่พบในปอดที่นางตัดออกเมื่อวานนี้จำเป็นต้องได้รับการสำรวจเพิ่มเติม นางต้องหาว่ามันเป็นพยาธิหรืออย่างอื่น
…………….
ภายในคฤหาสน์ตระกูลซู
หลี่มาม่ารีบวิ่งไปที่ลานดอกท้อบานด้วยความตื่นตระหนกและขับไล่สาวใช้ทั้งหมดออกไปเมื่อนางเข้าไปในห้อง
นางอันมองไปที่นางด้วยความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากหลี่มาม่าเป็นคนที่รอบคอบ สงบมาตลอด “มาม่า เป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้น?” ใบหน้าของนางดูแข็งกระด้างเมื่อนางถาม
จับมือนางอันไว้แน่น ในที่สุดหลี่มาม่าก็สามารถพูดได้หลังจากหยุดไม่นาน “นายหญิงเจ้าค่ะ ชายที่ข้าส่งไปไม่ได้รับข้อมูลใดๆของคุณหนูใหญ่ แต่….”
“แต่อะไร!”
“แต่ได้รับข้อมูลของใต้เท้า!เจ้าค่ะ”
ใบหน้าของนางอันกระตุกขึ้นอย่างกะทันหัน “ใต้เท้า ข่าวอะไรเกี่ยวกับท่านใต้เท้า?”
“ชายคนนั้นกลับมาและบอกว่าใต้เท้าไปที่เขตเมืองโจวเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้เขาและใต้เท้าเซี่ยซึ่งถูกส่งตัวมาจากราชสำนักกำลังจัดการกับปัญหาน้ำท่วมในเขตโจว!”
“อะไรนะ!”
นางอันยืนขึ้นด้วยความสับสนและมองไปที่หลี่มามาอย่างไม่อยากเชื่อ
“แล้ว แล้วทำไมท่านพ่อ….”
หากซูหลุนอยู่ในเขตโจวมาหลายวันแล้ว ทำไมคนที่พ่อของนางส่งไปถึงไม่รู้เรื่องนี้ พ่อของนางคิดแบบเดียวกับนางหรือเปล่า? นางคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่ใต้เท้าจะปรากฏตัวที่เขตโจว นางจึงไม่ต้องกังวลที่จะส่งคนไปตรวจที่นั่น
ไม่ ไม่มีทาง!
นางรู้จักพ่อของนางดี เขาพิถีพิถันมาตลอดและเป็นคนที่มีน้ำใจมากที่สุดในครอบครัวของนาง อย่างไรเสียเขาจะยอมละเลยให้เกิดข้อผิดพลาดต่อชีวิตของคนๆหนึ่งได้อย่างไร?
แต่ถ้าเขารู้ว่าใต้เท้าอยู่ในเขตโจว ทำไมเขาถึงเขียนจดหมายบอกนางว่าเขาตายแล้ว…..
มันเป็นเรื่องวุ่นวายในใจของนางอัน และนางก็ไม่มีเบาะแสใดๆ
“มาม่า ข้าจะทำยังไงดี?”
หลี่มาม่าไม่เคยเห็นความยุ่งยากเกิดขึ้นเช่นนี้มาก่อน เช่นเดียวกับนางอัน
“นายหญิง อาจจะมีความผิดพลาดในการจัดเตรียมของท่านเสนาบดี นายหญิงควรเขียนจดหมายถึงท่านและทำมันให้ชัดเจนเจ้าค่ะ”
นางอันพยักหน้า ทั้งสองคนคิดว่าเป็นท่านเสนาบดีที่เข้าใจเรื่องราวผิด
“ตกลง ข้าจะเขียนจดหมายถึงท่านพ่อของข้าเดี๋ยวนี้”
……………
ปัง ปัง ปัง
มีเสียงเคาะประตูและซูมู่เกอก็ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์
นางเกลียดที่จะถูกขัดจังหวะไม่ว่าจะเป็นตอนที่ทำการรักษาหรือการวิจัยของนางก็ตาม
แต่นางต้องวางคีมในมือลงแล้วหันไปเปิดประตูด้วยเสียงเคาะดังขึ้นอย่างเร่งรีบนั้น
หลี่ต้าเหมายืนอยู่ที่ด้านนอกนั่น
“ว่าไง?” เกิดอะไรขึ้น?” ซูมู่เกอพยายามรักษาน้ำเสียงให้ดูสงบ
“ใต้เท้าซู ที่นั่น ที่นั่นแย่ลง! มีผู้ป่วยมากขึ้น!”
ซูมู่เกอตะลึงงัน “อะไรนะ? พาข้าไปดูเร็ว”
ซูมู่เกอตามหลี่ต้าเหมาไปยังห้องที่ผู้ป่วยพักอยู่
นางเคยบอกเขาก่อนหน้านี้ว่ามีคนมากกว่าสองคนที่มีอาการคล้ายกัน พวกเขาจำเป็นต้องแยกตัวจากคนอื่น ๆ ให้อยู่คนเดียว
“พวกเขานั่นแหละ”
มีคนสามคนนอนอยู่บนแคร่ไม้ – หญิงสาวสองคนและชายชรา
ซูมู่เกอตรวจสอบพวกเขาและพบว่าอาการของพวกเขาคล้ายกับเด็กมาก ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือพวกเขาไม่ได้เป็นอะไรในขณะนี้ พวกเขามีเพียงไข้เล็กน้อยและหน้าท้องไม่บวมอย่างเห็นได้ชัด
นางเขียนใบสั่งยาและมอบให้กับผู้ช่วยแพทย์หนุ่มเพื่อทำตามนั้น
“ให้พวกเขาดื่มยานี้ในตอนเช้าและอีกครั้งในตอนเย็น ดูแลเขาอย่างใกล้ชิดดูความเปลี่ยนแปลงในอาการของพวกเขาดีๆ”
“ได้ขอรับ ใต้เท้า”
ซูมู่เกอกลับไปที่ห้องที่นางทำการวิจัย นางใส่หนอนจากปอดลงในจานกระเบื้องที่สะอาด แล้วเทยาน้ำที่เตรียมไว้ลงไป
ตอนนี้นางต้องตรวจสอบว่าหนอนเป็นพยาธิหรืออย่างอื่น จากนั้นนางก็สามารถศึกษาเพิ่มเติมว่ายาชนิดใดสามารถฆ่ามันได้
หลังจากที่หนอนสีขาวแช่ในยาเหลวแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้รับผลกระทบ และร่างกายของมันยังคงบิดเป็นระยะ ๆ
ซูมู่เกอมองไปที่นาฬิกาทรายและไม่สนใจหนอน แต่นางไปเรียนรู้ปอดที่ผ่าออกมา
ปอดเปลี่ยนเป็นสีดำและเน่าในอัตราที่ไม่ธรรมดา
“หนอนชนิดนี้สามารถเร่งการสลายตัวของอวัยวะ…”
ซูมู่เกอกลับไปดูหนอนที่แช่ในยาน้ำเมื่อมันเริ่มมืดแล้วและนางก็ต้องตะลึง!
“เป็นไปได้ยังไง!”
ในยาน้ำสีเทาเข้ม หนอนกลายเป็นสีขาวเดินเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามหนอนที่มีความยาวเพียงนิ้วกลับกลายเป็นตัวเล็กๆจำนวนมากราวกับว่ามันถูกตัดออกเป็นหลายส่วน!
ซูมู่เกอใช้คีมหยิบหนอนขึ้นมาและมองดูมัน มันยังมีชีวิตอยู่!
นางเอาหนอนทั้งหมดออกมาใส่ในจานที่สะอาดอีกใบ จากนั้นนางก็สังเกตดูพวกมันอีกครั้ง หนอนเริ่มนิ่งและเคลื่อนไหวน้อยลง แต่พวกมันยังมีชีวิตอยู่!
“มันมันเป็นตัวบ้าอะไรกัน?”
ซูมู่เกอทดลองยาทุกชนิด แต่พวกมันก็ไร้ประโยชน์สำหรับหนอนพวกนี้ พวกมันยังมีชีวิตอยู่และเต็มไปด้วยพลัง!
“ใต้เท้าซู ที่ปรึกษาหลี่มาขอพบท่านขอรับ”
ผู้ช่วยแพทย์หนุ่มที่ประตูกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ซูมู่เกอรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในตรอกที่มืดบอด นางวางยาน้ำลงในมือและถอดถุงมือออก จากนั้นนางก็เปิดประตูและออกไป
ที่ปรึกษาหลี่ยืนอยู่ที่นั่น
“ใต้เท้าซู”
ซูมู่เกอเดินเข้าไปหาและพยักหน้า “ทำไมท่านถึงมาที่นี่ ที่ปรึกษาหลี่? มีอะไรงั้นรึ?”
ที่ปรึกษาหลี่ขมวดคิ้วด้วยความลำบากใจ “ใต้เท้าซูน้ำท่วมหยุดแล้ว และน้ำได้ลดระดับลงเรื่อย ๆ ในช่วงสองวันที่ผ่านมา หากไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น น้ำท่วมเจ็ดสิบหรือแปดสิบเปอร์เซ็นต์จะลดลงในหนึ่งหรือสองวันข้างหน้า”
“เยี่ยมมาก ในที่สุดน้ำก็ลดลงแล้ว”
“ใช่ขอรับ ในที่สุดก็ลด… แต่…หมู่บ้านในเขตโจวได้รับผลกระทบอย่างหนัก ตอนนี้ชาวเมืองที่ประสบปัญหาหลายรายมาแล้ว…ท่าน ใต้เท้า อย่างที่ทราบในสถานที่เล็ก ๆ เช่นเขตโจวไม่มีธัญพืชสำหรับชาวเมืองมากนัก ด้วยคนจำนวนมากที่วิ่งเข้ามาในเวลาเดียวกัน ข้ากลัวว่าอาหารในยุ้งฉางในเขตโจวจะอยู่ได้ไม่นาน”
เมื่อผู้คนกลับเข้าสู่เขตเมือง พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการดูแลเรื่องอาหารและที่พัก มิฉะนั้น อาจเกิดการจลาจลเช่นการทุบตีและการปล้นสะดมได้
ซูมู่เกอขมวดคิ้วและคิดชั่วขณะ “ตอนนี้อาหารที่เก็บในยุ้งฉางอยู่ได้นายแค่ไหน?”
“สามวันขอรับ”
มันน่าจะเป็นฤดูแห่งการเก็บเกี่ยว อย่างไรก็ตามน้ำท่วมมาโดยไม่คาดคิด และไม่ได้เก็บเกี่ยวข้าวแม้แต่เมล็ดเดียวในเขตโจวทั้งหมด พืชพันธุ์ธัญหารในยุ้งฉางนี้เป็นผลจากปีที่แล้ว
“สามวัน” เป็นช่วงเวลาที่น้ำท่วมจะลดลงเกือบทั้งหมดและผู้คนจะกลับเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ
ซูมู่เกอเม้มริมฝีปากแน่น “ข้ารู้ ข้าจะพยายามหาทางออกให้ได้ ไปปลอบโยนชาวเมืองและอย่าให้เกิดการจลาจล”
“ขอรับ”
ซูมู่เกอมองไปที่ห้องพักผู้ป่วยที่ปิดอยู่รู้สึกว่าหัวของนางกำลังจะระเบิด
แม้ว่านางจะไม่มีประสบการณ์ในตำแหน่งทางการ แต่นางก็รู้ว่าการสำรองอาหารนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย!
แต่ถ้านางทำไม่ได้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครทำได้ ที่นี่มีใครบางคนที่เป็นถึงลูกชายขององค์จักรพรรดิ!
ซูมู่เกอเก็บข้าวของของนางเอาหนอนสีขาวไปด้วยเพื่อศึกษาในเขตหย่าเหมิน
รถม้าแล่นไปข้างหน้าบนถนน
ระหว่างทางกลับ ซูมู่เกอรู้สึกว่ามีคนจำนวนมากขึ้นตามท้องถนน พวกเขาส่วนใหญ่สวมเสื้อผ้าเก่าบ้าง มอมแมม ขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า พวกเขาดูสิ้นหวังและสับสน
มองไปที่หย่าเหมินที่อยู่ไม่ไกล นางค่อยๆปิดม่านลง และรถม้าก็หยุดลงในเวลาที่เหมาะสม
นางยกม่านและกระโดดลงมาจากรถม้า ไม่คาดคิดว่าจะมีใครบางคนพุ่งเข้าหานางในทันทีที่นางก้าวเท้า
ซูมู่เกอจับจ้องและก็พบว่ามันคือยายฟาง
“ใต้เท้า ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว! ถงเอ๋อ ถงเอ๋อ หายตัวไป!
“เกิดอะไรขึ้น?” ซูมู่เกอถามด้วยเสียงที่แผ่วเบา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในถนนที่เงียบและแปลกๆ
นางขมวดคิ้วและดึงกริชที่ขาของนางออกมาอย่างรวดเร็วในสภาพที่ตื่นตัวเต็มที่
เปิดม่านรถม้าอย่างระมัดระวัง นางเห็นคนขับของนางนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นอย่างชัดเจนพร้อมกับแสงจันทร์
ทันใดนั้น มีลมกระโชกรุนแรงจนทำให้นางสะดุ้ง นางรีบดึงม่านไปข้างๆแล้วกระโดดลงจากรถม้า หลังจากกลิ้งไปบนพื้นหลายครั้ง ในที่สุดนางก็พบความสมดุลของนาง
ร่างมืดดำเดินตรงมาหยุดตรงหน้านาง ที่คมดาบในมือของเขามีเลือดไหลอาบ
“เจ้าต้องการอะไร!”
“มอบมันมาให้ข้า ไม่งั้นเจ้าตาย!”
ซูมู่เกอขมวดคิ้วสับสนกับคำพูดเหล่านั้นอย่างเห็นได้ชัด มอบอะไร? ผู้ชายคนนี้หมายถึงอะไรกัน?
ชายชุดดำเห็นความเงียบของนางเป็นการปฏิเสธและให้รู้สึกหงุดหงิด เขายกดาบขึ้นพร้อมพ่นลมหายใจหึ และเตรียมที่จะต่อสู้
ซูมู่เกอเพิ่งเรียนรู้ทักษะการป้องกันตัวของการต่อสู้ระยะประชิดในชีวิตก่อน ซึ่งแทบไม่เพียงพอที่จะจัดการกับนักรบ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับระดับปรมาจารย์ที่มีพลังภายใน นางต้องยอมแพ้!
การเคลื่อนไหวของชายชุดดำนั้นโหดร้ายมาก แม้ว่าทุกส่วนในร่างกายจะยังไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิต มันดุร้ายจนถึงขั้นทำให้แขนและขาของนางแยกออกจากกัน!
หลังจากเคลื่อนไหวหลายสิบครั้ง ซูมู่เกอก็อยู่รอดมาอย่างหวุดหวิด วันนี้นางลืมนำผงป้องกันตัวมาด้วย!
ไอ้ระยำเอ้ย!
ในขณะที่นางต่อสู้กับชายคนนั้น นางจับตาดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ ถนนในเขตโจวไม่กว้างนักและมีตรอกซอกซอยเล็กๆมากมาย
นางหลบดาบของชายชุดดำพร้อมกับม้วนลงบนพื้นและวิ่งไปที่ตรอกที่ใกล้ที่สุด
ชายชุดดำติดตามนางไปอย่างรวดเร็ว
“อยากหนีรอดอย่างนั้นเหรอ? ไม่มีทาง!”
ซูมู่เกอไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะโชคร้ายจนต้องเจอทางตัน!
เมื่อเห็นชายในชุดดำเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ นางทำได้เพียงพยายามปกป้องตัวเองอย่างเต็มที่ นางบดฟันลงด้วยความโกรธและกลัว
ซอยนั้นแคบมากจนแทบไม่สามารถหลบได้ การเคลื่อนไหวโจมตีของชายชุดดำรุนแรงขึ้นและดุดันมากขึ้น หลายครั้งที่นางสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีของเขาได้จนมาถึงสิ้นสุดของตรอกนั้น
ทันใดนั้น ชายชุดดำก็แทงดาบลงมาที่ใบหน้าของนาง นางตกใจและหลบไปด้านข้างใช้มือกำบังไว้
สิ่งที่ไม่คาดคิดคือทิศทางของดาบในมือของชายชุดดำเปลี่ยนไปเล็งที่แขนของนาง
ไม่มีเวลาพอที่นางจะหลบได้และนางก็รอคอยคมดาบนั้น
“เอือก!”
ปัง!
จู่ๆ ก็มีลมพักกระหน่ำมาอย่างแรง ซูมู่เกอเห็นชายชุดดำตรงหน้านางลอยออกไปและกระแทกพื้นอย่างแรง ราวกับว่าเขาถูกซัดด้วยพลังอันแข็งแกร่ง
เขาคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด มือคว้าดาบไว้และวิ่งหนีไปทันที มีร่างอีกสองร่างรีบวิ่งตามเขาไป
มีชายร่างสูงและสมส่วนยืนอยู่ที่ทางเข้าซอยเมื่อซูมู่เกอเงยหน้าขึ้น
เขายืนหยัดต่อสู้กับแสง และแสงจันทร์ที่เย็นเยียบ มีหมอกปกคลุมเขา นางมองไม่เห็นดวงตาของเขา แต่เมื่อเขาเคลื่อนเข้าหานางเส้นประสาทที่ตึงเครียดของนางดูเหมือนจะผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ
ซูมู่เกอก้าวไปข้างหน้า และเมื่อรองเท้าบูทสีดำเข้ามาในสายตาของนาง นางก็หยุดอยู่กับที่
แม้ว่านางจะรู้ว่าชายคนนี้ตัวสูง นางยังคงประหลาดใจกับความสูงที่แตกต่างกันมากเมื่อนางยืนอยู่ต่อหน้าเขา
อย่างน้อยตอนนี้นางก็ปลอมตัวเป็นผู้ชาย
มันแปลกมากเมื่อนางยืนอยู่ตรงหน้าชายผู้นี้ซึ่งทำให้นางดูเหมือนถั่วงอก!
“ขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตข้าได้ท้านเวลา ใต้เท้าเซี่ย”
“ทักษะการป้องกันตัวของเจ้าไม่เลว ใต้เท้าซู” เซี่ยโฮวโม่พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
นางคว้ากริชในมือไว้มั่น
เขาพยายามทดสอบนางอีกครั้ง!
เขาควรจะอยู่ที่นี่ก่อนที่ชายชุดดำจะปรากฎตัวและเขาก็ไม่ยอมแสดงตัวออกมาเพื่อช่วยนางเพื่อที่เขาจะได้ดูว่านางจะหาทางรอดให้ตัวเองได้หรือไม่!
นางไม่ค่อยแน่ใจเกี่ยวกับสิ่งอื่น ยกเว้นว่าซูหลุนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้!
ตายล่ะ!
“ข้าขออภัยที่ทำตัวโง่เขลาต่อหน้าท่าน ใต้เท้าเซี่ย เมื่อผู้คนกำลังจะตาย พวกเขาจะทำการต่อสู้จนสุดกำลังสุดท้ายไม่ว่ากรณีใดๆ หางไม่ใช่เพื่อการมาของท่าน ข้าคงกลายเป็นผีภายใต้คมดาบของชายผู้นั้นแล้ว”
ตงหลินปรากฏตัวขึ้นเมื่อนางพูดจบ
“ใต้เท้า เราจับชายผู้นั้นได้แล้วขอรับ”
เซี่ยโฮวโม่เคลื่อนสายตาของเขาออกไปจากด้านบนของศีระษะของซูมู่เกอ “พาตัวเขากลับไปสอบสวนอย่างเคร่งครัดและหาสาเหตุที่เขาโจมตีใต้เท้าซูมาให้ได้”
“ขอรับ ใต้เท้า”
ตงหลินจากไป เหลือเพียงทั้งสองในตรอกนั้น
“ใต้เท้าเซี่ย มันดึกมากแล้ว กลับกันเถอะ”
“ได้”
พวกเขาเดินออกมาจากตรอกนั้นทีละคน ซูมู่เกอตะลึงค้างไปเมื่อนางออกมาพบกับถนนที่ว่างเปล่า
เซี่ยโฮวโม่เดินออกหน้านางไปทันที และนางก็ต้องเดินตามเขาไป
ไม่มีรถม้าบนถนน ซึ่งหมายความว่าพวกเขาต้องเดินกลับ!
มันคือความตั้งใจ! ผู้ชายคนนี้ต้องตั้งใจ!
ซูมู่เกอเริ่มสงสัยว่าชายคนนี้รู้เรื่องที่นางปลอดตัวเป็นซูหลุนแล้วหรือไม่
เซี่ยโฮวโม่เป็นคนตัวสูงและขายาว เขาก็เดินปกติ แต่สำหรับซูมู่เกอที่ร่างกายไม่แข็งแรงและสามารถสูงเพียงแค่หน้าอกของเขา นางได้แต่ยืนมองเขาก้าวยาวไปแค่นั้น มันเร็วเกินไป!
เซี่ยโฮวโม่กำลังเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ สบายๆ ในขณะที่นางต้องวิ่งตามเขา!
การเดินจากที่นี่โดยรถม้าไปหย่าเหมินใช้เวลาครึ่งชั่วโมง และถ้าเป็นการเดินอย่างน้อยต้องใช้เวลา 1 ชั่วโมง
ซูมู่เกอเดินตามจังหวะของเขาไปชั่วขณะ จากนั้นนางก็เหนื่อยมากจนช้าลงๆ ท้ายที่สุดแล้วไม่ได้มีกฎว่านางต้องเดินติดตามเขาไปอย่างใกล้ชิด!
ราชาแห่งจินที่เดินอยู่ด้านหน้าไม่ได้สังเกตเห็นรายละเอียดใดเลย แต่พอเดินไปได้สักพัก เขารู้สึกได้ว่าเสียงด้านหลังของเขาเงียบเกินไป เขาหยุดและหันกลับไปมอง จากนั้นเขาก็เห็นร่างบางเดินตามมาด้านหน้าด้วยความกระเสือกกระสน
ตามปกติ เขาใช้ “วิชาตัวเบา” ในเวลากลางคืนซึ่งเป็นทักษะศิลปะการต่อสู้ที่ช่วยให้เขาลอยบนชายคาและเดินบนกำแพง อาจเร็วกว่านี้มาก แต่ตอนนี้เขาต้องเดินเพราะซูมู่เกอ คนที่ต้องลากตัวเองกลับอย่างลำบาก!
ด้วยการทำงานหนักมาทั้งวันและการต่อสู้ในช่วงเย็นนี้อย่างตึงเครียด ตอนนี้นางต้องเดินอีกนับชั่วโมงกว่าจะกลับถึงที่พักได้ ความโกรธเริ่มลุกไหม้ในใจนาง
โดยไม่คาดคิด นางเห็นเซี่ยโฮวโม่อยู่ไม่ไกลต่อหน้านาง เมื่อนางเงยหน้าขึ้นไปมอง
เขารอนางอยู่หรือ?
ซูมู่เกอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยและตามด้วยการกัดฟัน
“ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องรอ ใต้เท้าเซี่ย ขาของข้าสั้นไปหน่อย”
หลังจากเหลือบไปมองขาของนาง เซี่ยโฮวโม่หมุนตัวกลับไปและออกเดินต่อ “ขาสองข้างสั้นเกินไปจริงๆ”
“!!”
………………….
เมื่อพวกเขากลับไปที่บ้านพักหย่าเหมิน ซูมู่เกอก็ล้างหน้าอย่างเรียบง่ายและนอน บางทีนางอาจเหนื่อยเกินไป ในไม่ช้านางก็หลับสนิท
ในห้องของเซี่ยโฮวโม่ มีแสงไฟริบหรี่
ตงหลินเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ “ใต้เท้า ชายคนนั้นบอกว่าเขาไม่มีมันอยู่กับเขา” ตงหลินรายงานด้วยเสียงเบา
“เขาเป็นผู้นำมันออกไปจากค่ายหยานเซี่ย และเขาบอกว่าเขาไม่มีมัน?”
“ขอรับ เขายังคงปฏิเสธที่จะสารภาพและคนของเราก็ยังคงสอบสวนเขาต่อ”
“ดี”
“ใต้เท้า คนของข้าพบว่าซูหลุนถูกใครบางคนลักพาตัวไป และผู้ติดตามเขาทั้งหมดถูกพบกลายเป็นศพ” ถ้าคนๆนั้นต้องการฆ่าซูหลุนก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องนำศพของเขาไป เนื่องจากศพของคนอื่นๆถูกค้นพบในเวลาอันรวดเร็ว ซูหลุนอาจยังมีชีวิตอยู่ขอรับ”
“ค้นหาต่อไป”
“ขอรับ ใต้เท้า”
………………………………
ในคฤหาสน์ตระกูลซูซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปในเมืองชุนหยาง บรรยากาศก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
ในลานสายธารดอกไม้ นางอันมองไปที่โต๊ะอาหารเย็นๆ ด้วยความงุนงง
หลี่มาม่าเข้ามาพร้อมกับถ้วยชาและขอให้สาวใช้ทั้งหมดออกไป เมื่อนางเห็นนางอันเป็นแบบนั้น
“นายหญิง” หลี่มาม่าเดินเข้ามาหานางอันและเรียกเบาๆ
ด้วยความตกใจอย่างฉับพลัน จดหมายที่ถูกจับไว้แน่นในมือของนางอันร่วงลงพื้น นางอันเงยหน้าขึ้นมองหลี่มาม่าด้วยความประหลาดใจและรีบก้มหยิบมันขึ้นมา
“มาม่า……”
หลี่มาม่าแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรและเพียงแต่นำชาร้อนมาให้นาง
“นายหญิง ท่านไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว จะรักษาตัวเองให้ดีได้อย่างไรเจ้าค่ะ?”
นางอันจิบชาในถ้วยแล้วถอนหายใจ
“หลี่มาม่า ท่านพ่อของข้าตอบกลับจดหมายข้ามาแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลี่มาม่ามึงโบกมือเพื่อให้นางอันหยุด และบอกให้สาวใช้ที่อยู่นอกประตูทุกคนออกไปจากห้องพัก จากนั้นนางก็กลับมาหานางอัน
“นายหญิง ท่านกำลังจะพูดอะไร?”
“ท่านพ่อของข้า เขียนจดหมายมาถึงข้าและบอกว่า….”
“ว่าอย่างไรเจ้าค่ะ?”
ใบหน้าของนางซีดและปลายนิ้วที่ถือจดหมายสั่น
“พ่อของข้าบอกว่า ระหว่างทางไปยังเขตโจว ใต้เท้าพบกับกลุ่มโจร และ และเขาก็ถูกฆ่า ร่างของเขาถูกน้ำท่วมพัดหายไป!” นางอันหายใจติดขัดเมื่อพูดคำสุดท้าย ก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่คอ
“อะไรนะเจ้าค่ะ?” หลี่มาม่ารู้สึกตกใจมาก “ใต้เท้า ท่านใต้เท้า อย่างไรถึงเป็นเขา….”
นางอันเช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าปักสวยงาม “ท่านพ่อของข้าบอกว่าเขาส่งคนไปตาหาใต้เท้า บุคคลนั้นยังบอกท่านพ่อด้วยว่าเขาพบหลุมฝังศพของใต้เท้า……ฮึกฮือฮือ…หลี่มาม่า บอกข้าที ทำไมชีวิตข้าถึงได้รับความทุกข์ขนาดนี้? อย่างแรกข้าคิดว่าข้าได้แต่งงานกับชายในฝันและพบว่าเขามีภรรยาแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ ตอนนี้เราก็ผ่านมาหลายปีแล้ว….ทำไมตอนนี้….ทำไมเขาถึงได้ทิ้งข้าไปเช่นนี้……”
หลี่มาม่ารีบเข้าไปปลอบนางอันที่ร้องไห้อย่างขมขื่น “อย่างร้องไห้เจ้าค่ะ แม้ว่า แม้ว่าคนที่ถูกส่งออกไปตามหาใต้เท้าจะบอกเยี่ยงนั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่แน่ชัด แม้ว่าใต้เท้าจะถูกฆ่าเราก็ยังต้องเห็นศพของใต้เท้าก่อน ถูกไหมเจ้าค่ะ…..”
“แต่ท่านพ่อของข้าบอกว่าศพถูกน้ำพัดหายไป ข้าจะพบร่างของเขาได้ที่ไหน….”
หลี่มาม่าไม่เห็นด้วยเล็กน้อยกับการขมวดคิ้วของนาง
ท่านเสนาบดีอันอยู่ห่างไกลตั้งเมืองหลวง คนที่เขาส่งออกมาไม่สามารถไปถึงเขตโจวได้เร็วกว่าพวกเขาที่อยู่ที่นี่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาอยู่ในเมืองชุนหยางมาหลายปีแล้ว ซึ่งหมายความว่าคนของพวกเขาคุ้นเคยกับเส้นทาง สถานการณ์รอบตัวมากกว่า
ทำไมพวกเขาไม่พบร่องรอยของใต้เท้าซู ในขณะที่คนของเสนบาบดีอันส่งมาไปได้ข้อมูลนั้นมาจากไหน?
แม้ว่าหลี่มาม่าจะอยู่ในคฤหาสน์ซูเกือบตลอดชีวิตของนาง นางได้แต่งงานกับผู้ช่วยมือดีที่ใกล้ชิดที่สุดของใต้เท้าซู และโดยปกติแล้วนางจะมีความคิดที่ไม่เหมือนใครต่อเรื่องภายนอก
ตอนี้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในเขตโจวของเมืองชุนหยาง และไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร ซูหลุนก็จะต้องรับผิดชอบ หากจักรพรรดิทรงพิโรธ ท่านเสนาบดีอันอาจมีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วย ในกรณีนี้มันจะดีกว่าที่ซูหลุนจะตาย และจักรพรรดิอาจยกโทษให้พวกเขาเพราะเห็นแก่คนชราและเด็กๆในคฤหาสน์หลังนี้
เมื่อนางอันสงบลง หลี่มาม่าได้บอกนางอันเกี่ยวกับความคิดของนางด้วยวิธีที่ละมุนละม่อม
ตามที่คาดไว้หลังจากได้ยินสิ่งนี้ นางอันมีสติและกลับมามีสติสัมปชัญญะอย่างสมบูรณ์
“ท่านหมายความว่า ท่านพ่อของข้าต้องการรักษาความปลอดภัยของทุกชีวิตในคฤหาสน์ซูด้วยวิธีนี้งั้นหรือ?”
กล่าวอีกนัยหนึ่งเขาต้องการปกป้องตัวเอง!
หลี่มาม่าคิดกับตัวเองและไม่ได้บอกแก่นางอัน ท้ายที่สุดแล้วเขาเป็นพ่อแท้ๆของนางอัน
“ซูมู่เกอไปมณฑลโจวเพื่ออะไร? ท่านส่งใครมาตรวจสอบหรือไม่?”
ถ้านางอันอยากจะรับมือกับสิ่งนี้ ตามความปรารถนาของพ่อนาง นางจะต้องเตรียมห้องโถงไว้ทุกข์สำหรับซูหลุนในวันนี้ราวกับว่าเขาได้ตายไปแล้วจริงๆ!
หลี่มาม่าส่ายหัว “คนขับรถม้าที่ไปกับนางกลับมา มันอยู่ในความชุลมุนวุ่นว่าย ข้าจึงยังไม่ส่งใครไป”
“ไป ส่งคนไปเดี๋ยวนี้ ข้ารู้สึกร้อนรนใจอยู่ตลอดเวลา”
“ได้เจ้าค่ะ ข้าจะจัดการให้เดี๋ยวนี้”
มีช่วงหนึ่งที่ซูมู่เกออยากจะร้องไห้ ทำไมนางถึงโชคร้ายนัก นางไม่กล้าคิดว่าถ้าตัวตนของนางถูกเปิดเผย จะเกิดอะไรขึ้นกับนาง ราชาแห่งจินผู้นี้จะโกรธนางและนำนางเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยตรงหรือไม่?!
แน่นอน ไม่มีใครชนะเกมที่เล่นกับพระเจ้าได้!
เซี่ยโฮวโม่รักษาสัญญาของเขาและมอบมีดผ่าตัดของนางก่อนที่จะมืดตามภาพวาดก่อนหน้านี้ของนางที่มอบให้กับเขา หลังจากรู้จักตัวตนของเขาแล้ว นางไม่แปลกใจอีกต่อไปที่เขาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงขนาดนี้
มันจะเป็นเรื่องตลกถ้าคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของแคว้นอย่างเขาไม่มีความสามารถเหนือกว่าคนในหมู่บ้านทั่วไป
ซูมู่เกอหยิบมีดผ่าตัดและตรวจอูอย่างระมัดระวัง มันยากกว่ามีดผ่าตัดสมัยใหม่ แต่นางเชื่อว่าถ้าเขาได้รับเวลาเพิ่มเป็นในอีกสองวันเขาสามารถทำให้มีดผ่าตัดได้ดีกว่าแบบสมัยใหม่เป็นแน่
ขณะที่นางกำลังจะเฉือนปลายนิ้วด้วยคมมีดผ่าตัดเพื่อทดลอง เอวของนางก็ถูกเขาจับ
“ใต้เท้าซู ท่านไม่จำเป็นต้องทดสอบความคมของมีดผ่าตัดเล่นนี้ด้วยเนื้อและเลือดของท่านหรอก” เซี่ยโฮวโม่จ้องมองนางมาระยะหนึ่งแล้วและไม่รู้ว่านางกำลังมองหาอะไรอยู่ เขาหยุดนางทันเวลาที่นางกำลังจะแตะขอบมีดผ่าตัด
ซูมู่เกอหยุดชะงักด้วยความสงสัย เพียงเพื่อดูว่าเขาดึงผมหลายเส้นออกจากหัวของนาง
“โอ้ย!”
ซูมู่เกอจ้องเขาด้วยความไม่พอใจ เขาดึงผมแบบนั้นได้ยังไงทั้งๆที่เขาเป็นถึงเชื้อพระวงศ์! แต่ความไม่พอใจของนางถูกเขาเพิกเฉย
เซี่ยโฮวโม่เป่าเส้นผมเบาๆ ลอยไปที่คมมีดผ่าตัด
ซูมู่เกอเห็นเส้นผมถูกตัดก่อนที่จะแตะคมมีด!
ตอนนี้นางจินตนาการได้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้านางเอามือไปแตะที่มีดผ่าตัด!
“ขอบคุณอย่างสูงขอรับ ใต้เท้าเซี่ย”
“ท่านจะรักษาคนไข้เมื่อไหร่รึ ใต้เท้าซู?”
เมื่อวานซูมู่เกอได้จัดคนมาช่วยนางทำความสะอาดห้องผ่าตัด เมื่อคืนนางได้นอนไปแค่สองชั่วโมง เพื่อเตรียมยาที่จำเป็นสำหรับการผ่าตัดในวันนี้
นางมองไปบนท้องฟ้า ยังไม่เที่ยง นางสามารถผ่าตัดได้ในช่วงบ่าย
“ในช่วงบ่าย” นางตอบ
ก่อนที่ซูมู่เกจะมาที่นี่ เยว่รู่ได้เย็บชุดผ่าตัดหลายชุดให้นางแล้วตามคำแนะนำของนาง และนางยังทำหน้ากากแยกชิ้นหลายๆอันสำหรับพื้นที่การผ่าตัดเมื่อคืนนี้
ในเวลาเที่ยง หลังจากอาหารกลางวันนางก็พร้อมที่จะไปที่ห้องพักผู้ป่วยชั่วคราว
มันเพียงแค่นั้น… เซี่ยโฮวโม่ต้องการไปกับนาง เขาเป็นปัญหาจริงๆ ที่ไม่สามารถสลัดทิ้งได้!
“ใต้เท้าเซี่ย ท่านต้องมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ ดังนั้นข้าไม่อยากจะรบกวนท่าน”
“ไม่เป็นไร” เซี่ยโฮวโม่ดึงแขนเสื้อของเขาเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“…..”
ซูมู่เกอไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากปล่อยให้เขาตามนางไป
ที่ปรึกษาหลี่ออกมาทักทายซูมู่เกอเมื่อนางมาถึง “ใต้เท้าซู ท่านมาแล้ว”
ซูมู่เกอพยักหน้าและเดินไปที่ห้องข้างๆ นางเอาของทั้งหมดออกจากห่อของนาง
“พวกนี้คืออะไร?”
เซี่ยโฮวโม่ถามด้วยเสียงต่ำเมื่อเห็นชุดและหน้ากากสีขาว
ซูมู่เกอตอบเขาโดยไม่เงยหน้าว่า “นี่คืออุปกรณ์สำหรับใช้ในการผ่าตัด”
ดวงตาสีเข้มของเซี่ยโฮวโม่มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่รู้ว่าต้องใช้เสื้อผ้าและหน้ากากที่สะอาดในการรักษาผู้ป่วย
ซูมู่เกอเพิกเฉยต่อเซี่ยโฮวโม่ที่อยู่เบื้องหลังนาง นางถอดเสื้อคลุมและสวมชุดผ่าตัดที่สะอาด นางไม่ได้เดินไปที่ห้องผ่าตัดจนกว่าหลี่ต้าเหมาจะฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อให้นาง นางหยุดอยู่ที่ประตู
“เอารองเท้าที่บอกให้เตรียมเมื่อวานนี้มาให้ข้าด้วย”
“รองเท้า….”โจวฉิ่วมองอุปกรณ์ที่ซับซ้อนของซูมู่เกออย่างไร้คำพูด มันคือวิธีที่กำลังรักษาคนไข้ แต่ไม่มีพิธีการสำคัญ!
หลี่ต้าเหมาช่วยซูมู่เกอใส่รองเท้า
ตอนที่ซูมู่เกอถอดรองเท้า ดวงตาของเซี่ยโฮวโม่จับจ้องไปที่เท้าอันบอบบางและเรียวเล็กของนางชั่วขณะ
“เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่สะอาดเข้ามาในห้องระหว่างการผ่าตัด ได้โปรดรอที่ด้านนอก เสี่ยวอู๋เข้ามากับข้า” ซูมู่เกอพูดพร้อมผลักประตูให้เปิดแล้วเดินนำเข้าไป
ผู้ช่วยแพทย์ที่นางเรียกว่าเสี่ยวอู๋ได้เปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆเป็นแบบเดียวกับซูมู่เกอ เขาถือชุดเครื่องมือแพทย์และกำลังจะเดินเข้าไป
อย่างไรก็ตามในขณะที่เท้าของเขากำลังจะก้าวเข้าไป มีคนคว้าคอเสื้อของเขาเพื่อยกตัวเขาขึ้นแล้ววางเขาลงด้านข้าง
เสี่ยวอู๋มองยอ้นกลับไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อดวงตาของเขาพบกับตาคู่สีดำสนิท…และลึกล้ำคู่หนึ่ง……
ซูมู่เกอล้างฆ่าเชื้อมือของนางอีกครั้งหลังจากที่นางเข้ามาในห้องแล้ว คนที่เข้ามาตามหลังนางเหลือบมองน้ำที่นางใช้และทำเช่นเดียวกัน
นางมาที่โต๊ะผ่าตัดเพื่อตรวจสอบอาการของเด็กน้อย อุณหภูมิของตัวเด็กสูงขึ้นเรื่อยๆ เพียงแค่สัมผัสมือของเขานางก็มั่นใจว่าอุณภูมิน้อยที่สุดประมาณสี่สิบเซ็นติเกรด
นางหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาให้เด็กกินเพื่อทำให้ร่างกายเย็นลงและจือจางยาชาให้เขาดื่ม จากนั้นนางใช้ผ้าพันแผลมัดมือและเท้าของเขาเพื่อกลีกเลี่ยงอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการผ่าตัด
“กรรไกร” ซูมู่เกอยืนอยู่หน้าโต๊ะผ่าตัดเอื้อมมือออกไปโดยไม่หันไปมอง
ชายที่อยู่ด้านหลังของนางหยุดเล็กน้อยมองไปที่มีดผ่าตัดอันแหลมคมบนโต๊ะตัวเล็กแล้วยื่นมันให้กับนาง
ซูมู่เกอหยิบกรรไกรตัดเสื้อผ้าบนร่างกายเด็กอย่างรวดเร็วและเรียบกริบ ตอนนี้ท้องของเด็กชายถูกเปิดเปลือยจากนั้นนางก็เช็ดฆ่าเชื้อ
“มีดผ่าตัดเลข 1”
มองไปที่มือเล็กๆ ที่ยื่นออกมาตรงหน้า ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังก็วางมีดผ่าตัดที่มีหมายเลขกำกับไว้ในมือของนาง
ในไม่ช้าท้องก็เปิดออกโดยมีดผ่าตัดที่เลื่อนโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก
หลังจากวางมีดผ่าตัดแล้ว ซูมู่เกอเปิดแผลที่ท้องและเริ่มตรวจอวัยวะภายใน
นางเปิดมันอย่างระมัดระวัง แต่ท่าทางของนางสงบมากเหมือนเช่นการเลือกกะหล่ำปลีหัวที่ดีที่สุดในตลาดสด
“ปอดมีปัญหาแน่นอน ไม่น่าแปลกใจที่มีอาการท้องมาน! มันสึกกร่อนด้วยอะไรบางอย่างเลวร้ายมาก! มีดผ่าตัดเลข 2”
มือที่เอื้อมออกไปคราวนี้เปื้อนเลือดไปทั่ว
ซูมู่เกอตัดปอดที่สึกกร่อนออกแล้วขับเลือดสีดำออกและตรวจดูอวัยวะอื่นๆ อีกครั้ง หลังจากนั้นนางก็นับเครื่องมือผ่าตัดอย่างระมัดระวังและใช้เข็มและด้ายเย็บท้องของเขา
เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จสิ้น ซูมู่เกอก็หายใจเข้าลึก ๆ การดำเนินการครั้งแรกในยุคนี้อาจทำให้เธอกังวลใจไม่มากก็น้อย แต่ผลที่ได้คือดี
“วิธีของใต้เท้าซูในการรักษาผู้ป่วยเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงอย่างยิ่ง”
ซูมู่เกอสะดุ้ง เมื่อได้ยินสิ่งนี้ และมีดผ่าตัดในมือของนางเกือบตกลงพื้น
นางมองไปที่เซี่ยโฮวโม่ด้วยความประหลาดใจ และนางไม่รู้ว่าเขาเข้ามาเมื่อไหร่ เขายังคงสวมชุดผ่าตัดซึ่งตั้งใจว่าจะเหมาะกับผู้ชายทั่วไป อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยู่บนตัวเขาดูเหมือนจะหดตัวลง
“ท่านเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ใต้เท้าเซี่ย?”
“เมื่อตอนที่ข้ายื่นกรรไกรให้ท่าน”
“………….”
มันจึงไม่ใช่เสี่ยวอู๋ที่ช่วยถือมีดผ่าตัดของนางในระหว่างการผ่าตัดทั้งหมด แต่เป็นชายคนนี้ที่อยู่ตรงหน้านาง!
ดีมาก กษัตริย์ซึ่งมีตำแหน่งเหนือกว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดในแคว้นนี้เคยเป็นผู้ช่วยของนางเป็นการส่วนตัว นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่นางภาคภูมิใจและอยากอวด!
“การดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วและเสี่ยวอู๋สามารถจัดการส่วนที่เหลือได้”
เซี่ยโฮวโม่พยักหน้า เขาหันหลังกลับและเดินออกจากห้อง
ซูมู่เกอตามเขาไปพร้อมกับสิ่งของในมือของนาง
“เสี่ยวอู๋” ซูมู่เกอมองไปที่เสี่ยวอู๋ที่กำลังกอดตัวเองอยู่ด้านนอก เขารีบเดินไปหานางด้วยความรู้สึกผิด
“ใต้เท้าซู ตอนนี้ ข้า….”
ซูมู่เกอตบไหล่เขาเบา ๆ “เจ้าไม่ต้องอธิบายใดๆ ข้าเข้าใจ” ผอมและตัวเล็กเหมือนเสี่ยวอู๋ เขาจะยืนหยัดสู้กับเซี่ยโฮวโม่ที่แข็งแกร่งและทรงพลังได้อย่างไร?
“เริ่มตรวจสภาพผู้ป่วยทุกๆสองชั่วโมงนับจากนี้เป็นต้นไป หากผู้ป่วยตื่นขึ้นมาให้จุ่มสำลีชุบน้ำแตะปากเขา เพื่อให้ปากชุ่มแล้วให้เขาดื่มเล็กน้อย แต่อย่ามากเกินไป แผลจะเจ็บหลังจากฤทธิ์ยาชาหายไป อย่าปล่อยให้เขาขยับตัว เจ้าเข้าใจไหม?”
เสี่ยวอู๋เขียนอย่างระมัดระวัง “ไม่ต้องกังวลขอรับ ใต้เท้าซู ข้าเข้าใจ”
เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อในปอดที่นางตัดออก นางจึงตัดสินใจทำการศึกษาที่นี่ในทันที
“ข้ามีอย่างอื่นที่ต้องทำ ดังนั้นข้าจะไม่ไปกับท่าน ใต้เท้าซู”
เซี่ยโฮวโม่พูดก่อนที่ซูมู่เกอจะเปิดปาก
ซูมู่เกอยิ้มให้เขา “ใครต้องการให้ท่านติดตามกัน? ท่านมายึดติดกับข้าด้วยตัวท่านเองโดยไม่มีความละอายตั้งแต่แรก!” นางเยาะเย้ยในใจ
เมื่อเซี่ยโฮวโม่จากไป ซูมู่เกอก็เข้าไปในห้องเพื่อทำการวิจัยของนาง
นางเอาปอดที่ตัดออกมาและทำความสะอาดด้วยน้ำยาเหลว นางพบว่ามีรูเล็กๆ อยู่มากมาย
มีขนาดใหญ่เท่ารูเข็มเท่านั้น หากไม่ตรวจสอบอย่างรอบคอบภายใต้แสงไฟ รูพวกนั้นก็จะมองไม่เห็น
“พวกมันเป็นพยาธิหรือ?”
ซูมู่เกอตัดปอดด้วยมีดผ่าตัดและทันทีก็เห็นหนอนยาวและผอมเหมือนเส้นผม นางหนีบมันด้วยคีมอย่างรวดเร็วแล้วดึงออก …
…
หลังจากออกไป เซี่ยโฮวโม่ไม่ได้กลับไปที่บ้านพักที่หย่าเหมินแต่เข้าไปในบ้านที่ต่ำต้อยมาก
“ใต้เท้า ข้าได้ส่งคนไปที่คฤหาสน์ซูเพื่อสอบสวนอย่างรอบคอบ นายหญิงอัน ฮูหยินของซูหลุนได้ส่งคนไปตามหาเขาอย่างลับๆ เขาหายตัวไปเมื่อสิบกว่าวันก่อนขอรับ”
นิ้วของเซี่ยโฮวโม่เคาะลงบนโต๊ะส่งเสียงดัง ตงหลินรู้ว่านายท่านของเขากำลังขบคิด
“มีอะไรอีก?”
“ข้าน้อยยังพบสิ่งแปลกๆ อีกอย่างหนึ่งขอรับ ไม่กี่วันที่ผ่านมาคุณหนูใหญ่แห่งคฤหาสน์ซูได้จากมาพร้อมกับคนขับรถม้าหนึ่งคน และมุ่งหน้ามายังเขตโจว แต่คนขับได้กลับไปเมื่อเดินทางมาได้ครึ่งทางขอรับ”
เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าคุณหนูของคฤหาสน์ ที่มักจะอยู่บ้านและไม่ออกไปข้างนอกจะมีความกล้าที่จะไปยังพื้นที่ประสบภัยคนเดียว
นิ้วหยุดทันทีและเซี่ยโฮวโม่เงยหน้าขึ้นมองไปที่ตงหลิน “คุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์ซู”
“ขอรับ แต่คุณหนูใหญ่ไม่ใช่ลูกสาวของท่านขุนนางกับฮูหยินอัน แต่เป็นลูกสาวของหญิงในหมู่บ้านที่แต่งงานกับซูหลุนก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จในการสอบที่เมืองหลวงขอรับ”
“ดี”
ตงหลินพูดจบเขาก็คิดอะไรบางอย่างได้ เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เซี่ยโฮวโม่ด้วยความประหลาดใจ “ใต้เท้า นั่นคือ ‘ใต้เท้าซู’…..”
เซี่ยโฮวโม่หัวเราะเบาๆ “แน่นอน”
แม้ว่าตงหลินจะติดตามเซี่ยโฮวโม่มาหลายปีแล้ว แต่ความจริงดังกล่าวก็ยังทำให้เขาเหมือนถูกน๊อค
ถ้า “ใต้เท้าซู” คนนี้ปลอมตัวมาโดยคุณหนูใหญ่แห่งคฤหาสน์ซู นางก็กล้ามาก!
มันเป็นความผิดทางอาญาที่สมควรถูกม้าสี่แยกร่าง ที่แอบอ้างเป็นขุนนางผู้ปกครองเมือง!
“ใต้เท้า จะ…ข้าจะส่งคนไป…”
“ไม่ต้อง มาดูกันว่านางกำลังจะทำอะไร”
“ขอรับ ใต้เท้า”
……………
ซู่มู่เกอซึ่งยังคงศึกษาเรื่องการติดเชื้อในปอด ก็จามอย่างรุนแรง
นางทำจมูกฟุตฟิตดมกลิ่นและมองออกไปนอกหน้าต่าง มันเป็นเวลาค่ำแล้ว
“เสี่ยวอู๋ ตอนนี้กี่ยามแล้ว?”
“ใต้เท้า ประมาณยามสิบขอรับ”
“ดึกมากแล้ว” ซูมู่เกอเก็บทุกอย่างเข้าที่ นางได้ทิ้งของบางอย่างกลับไปที่บ้านพักหย่า เหมินที่นางต้องไปเอามาและสะดวก นางจะได้พักผ่อนที่นั่น
พร้อมบรรจุทั้งหมด ซูมู่เกอขึ้นรถพร้อมชุดแพทย์ของนาง
ถนนเงียบมาก
ซูมู่เกอหลับตาปี๋พิงรถม้าและพยายามจัดระเบียบ แต่ทันใดนั้น รถม้าก็หยุดด้วยเกิดสั่นอย่างรุนแรง!
ซูมู่เกอก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว “ข้ามีไปตรวจเยี่ยมคนไข้คนอื่นอีก โปรดรอที่นี่เถิด ท่านใต้เท้าเซี่ย”
“ท่านไม่สามารถช่วยอะไรได้!” นางรำพึงออกมา
เซี่ยโฮวโม่ไม่ปฏิเสธในครั้งนี้ “ก็ดี”
หลังจากกำจัด “หาง” ที่เป็นปัญหานี้แล้ว ซูมู่เกอพรูลมหายใจออกมาเป็นเวลานานและเดินไปที่หอผู้ป่วยต่างๆพร้อมชุดอุปกรณ์การแพทย์
จ้องมองร่างของนางที่กำลังถอยห่างไป มีความเย็นชาเล็กน้อยในดวงตาของเซี่ยโฮวโม่ “โจวเหว่ย”
โจวเหว่ยเข้ามาจากด้านนอกเมื่อนายท่านของเขาเรียกหา
“ขอรับ ใต้เท้า”
“กุยหม่าหายไปไหน?”
“หมอกุยได้ออกจากค่ายหยานเซี่ยไปแล้วขอรับ และน่าจะเดินทางไปยังดินแดนพวกตะวันตก”
เซี่ยโฮวโม่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “เขาไปยังดินแดนพวกตะวันตก?”
“ขอรับ”
“อืม ปล่อยเขาไป”
“ใต้เท้า ที่ท่านกำลังมองหาหมอกุยเพราะรู้สึกไม่สบายหรือไม่ขอรับ? อย่างไรเสียส่งข้อความและเรียกให้เขากลับมาไหมขอรับ?”
เซี่ยโฮวโม่ส่ายหัว “ไม่ ไปหาหมอที่เชี่ยวชาญมาให้ได้ก่อนเย็นวันพรุ่งนี้”
“ขอรับ”
ซูมู่เกอเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยและเริ่มตรวจเพิ่มเติมและบอกวิธีการรักษา การดูแลกับผู้ป่วยแต่ละราย ถามพวกเขาเกี่ยวกับปฏิกิริยาของพวกเขาหลังจากรับประทานยา
เมื่อนางมาถึงเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่นอนอยู่ที่มุมห้อง ซูมู่เกอขมวดคิ้ว
“ขอบันทึกทางการแพทย์ให้ข้าด้วย” นางได้จดบันทึกสถานการณ์ของทุกคนเมื่อนางไปตรวจเยี่ยมผู้ป่วยทุกคนเมื่อวานนี้
วันนี้ ที่ปรึกษาหลี่ขอให้ผู้ช่วยแพทย์รุ่นใหม่หลายคนมาช่วยนาง และทุก ๆ สามคนได้รับการจัดสรรให้ดูแลผู้ป่วยในหนึ่งห้อง
ผู้ช่วยแพทย์อายุราวๆสิบสองปี หรือสิบสามปีไปเอาเวชระเบียนที่แขวนไว้ตรงผนังห้อง และส่งมอบให้ซูมู่เกอตามคำขอของนาง
ซูมู่เกอดูบันทึกเกี่ยวกับอาการของเด็กหญิงตัวเล็กๆคนนั้นในเวชระเบียน เมื่อนางตรวจสอบอาการเมื่อวานนี้ เด็กหญิงตัวเล็กอ่อนแอและเบื่ออาหาร ตอนนั้นเด็กหญิงตัวเล็กไม่มีไข้และชีพจรปกติ
“มีอะไรผิดปกติกับเด็กหลังจากทานยาเมื่อวานนี้หรือไม่?”
ผู้ช่วยแพทย์หนุ่มคนหนึ่งส่ายหน้า “เนื่องจากน้องสาวยังเด็กมาก ข้าดูแลนางเป็นพิเศษในบางเวลาข้าเข้ามาดูนางอีก นางหลับไปหลังจากทานยาและทานโจ๊ก ตอนนั้นไม่มีอะไรผิดปกติขอรับ”
ซูมู่เกอตรวจสอบสาวน้อยอีกครั้งและพบว่ามีอาการคล้ายๆกับเด็กชายที่เป็นไข้
“ถ่ายทอดคำพูดของข้าไป และเตรียมห้องว่างเพิ่มเติม ทำความสะอาดด้วยน้ำส้มสายชูต้มน้ำเดือดเพื่อฆ่าเชื้อโรค แล้วห้ามไม่ให้คนอื่นเข้ามาในห้อง”
ผู้ช่วยแพทย์หนุ่มเกาหัวด้วยความสับสน “ใต้เท้าซู เรามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นหรือ?”
ซูมู่เกอส่ายหัวและอธิบายว่า “ในกรณีนี้มันจำเป็น ลงมือทำมันตอนนี้เลย”
“ขอรับ”
ซูมู่เกอจึงขอให้ผู้ช่วยแพทย์อีกสองคนช่วยพาเด็กหญิงไปยังห้องว่างอีกห้องหนึ่ง
นางไปตรวจคนไข้คนอื่น ๆ อีก และหลังจากไม่พบความผิดปกติ นางจึงออกจากห้องผู้ป่วยมา
พระอาทิตย์กำลังตกดินเมื่อในที่สุดนางก็ออกมา
“ใต้เท้าซู ห้องว่างตามความต้องการท่านพร้อมหมดแล้วขอรับ”
ซูมู่เกอพยักหน้า “ดี พาเด็กหญิงตัวเล็กคนนั้น เข้าไปและคืนนี้ดูแลนางเป็นพิเศษด้วย หากมีอะไรผิดปกติให้รีบมาเรียกข้าที่บ้านพักหย่าเหมินโดยเร็วที่สุด”
“แน่นอนขอรับ ใต้เท้า ข้ารับทราบ”
จนกระทั่งซูมู่เกอเดินออกจากประตูโดยมีชุดเครื่องมือแพทย์อยู่ด้านหลังนางก็ตระหนักถึงสิ่งที่น่าอึดอัดใจ เงยหน้าขึ้น นางเห็นเซี่ยโฮวโม่ยืนอยู่ข้างรถม้า และหยุดชั่วขณะ
“ใต้เท้าเซี่ย…” นางอยู่ในหอผู้ป่วยนานจนลืมผู้ชายคนนี้ไปเสียสนิท คาดไม่ถึงว่าเขายังอยู่ที่นั่น!
ใบหน้าของเซี่ยโฮวโม่ดูเฉยเมยและไม่สามารถรับรู้อารมณ์ของเขาได้ เขากล่าวว่า “ท่านใต้เท้าซู ท่านทำงานเสร็จแล้วหรือ?”
“ขอรับใต้เท้า ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องรอนาน”
“ไปกันเถอะ” เซี่ยโฮวโม่หันกลับไปและขึ้นรถม้า แม้ว่าจะรู้สึกไม่เต็มใจ ซูมู่เกอก็ตามเขาไปเนื่องจากนางไม่ต้องการเดินกลับไปที่ที่พักหย่าเหมิน
รถม้าแล่นไปข้างหน้าบนถนน
ในพื้นที่ปิด ซูมู่เกอรู้สึกง่วงงุนกับบรรยากาศอันเงียบสงบ ต่อสู้กับเปลือกตาที่จะปิดของนาง ในขณะที่กลิ่นรอบจมูกของนางยังคงบอกนางว่า นางต้องตื่นให้ได้!
เมื่อพวกเขามาถึงจวนหย่าเหมิน ตาของนางเป็นสีแดงด้วยความเหนื่อยล้าและง่วงนอน
เซี่ยโฮวโม่ลงจากรถม้าก่อน ตามมาด้วยซูมู่เกอ อย่างไรก็ตามด้วยชุดแพทย์ในมือของนาง นางสะดุดและรู้สึกเจ็บที่เข่าอย่างกะทันหัน นางงอเข่าโดยไม่รู้ตัว ตกลงสู่พื้น
โอ้ย ไม่นะ!
อีกแล้วเหรอ!
เวลานี้ อย่างไรก็ตาม คราวนี้ซูมู่เกอตอบสนองอย่างรวดเร็ว นางสามารถทรงร่างกายของนางไว้ได้ตราบเท่าที่นางเอื้อมมือไปที่ขอบของรถม้า
แต่มีคนเร็วกว่า เซี่ยโฮวโม่เอื้อมมือจับนางไว้และดึงนางเข้าสู่อ้อมแขนของเขา
“อุ๊ย!”
ด้วยความประหลาดใจ ซูมู่เกอไม่ได้รู้สึกผิดอะไรก่อนที่นางจะพบสมดุลของนาง
นางก้มศีรษะลงและเห็นมือใหญ่ แต่เรียวบนหน้าอกของนาง นางพลิกตัวในอ้อมแขนของเขาและดิ้นรน
“ปล่อยข้า!”
เซี่ยโฮวโม่ปล่อยมือออกช้าๆ
ซูมู่เกอจ้องมองเขาด้วยอาการอ้าปากค้างจากอุบัติเหตุนี้
“นี่เป็นครั้งที่สอง อืม ดูเหมือนว่าท่านใต้เท้าซู ขาของท่านสั้นเกินไปจริงๆ” ดูเหมือนจะมีประกายหยอกล้อในดวงตาสีดำเข้มที่ลึกล้ำนั้น
ซูมู่เกอกัดฟันด้วยความโกรธ ซูมู่เกอสาบานกับตัวเองในใจว่า “ขอให้ท่านเป็นคนที่มีขาขึ้นมาก!” ครอบครัวของท่านทุกคนมีขาสั้น!”
“ใต้เท้าเซี่ย ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านลำบาก! ข้าขอลา” ซูมู่เกอหยิบอุปกรณ์การแพทย์ของเธอไว้ในมือและเดินเข้าไปในเขตบ้านพัก ผ่านเซี่ยโฮวโม่ ที่ปรึกษาหลี่ที่เพิ่งออกมาและเข้าไม่รู้เรื่องเสียหน้าของนาง
“ใต้เท้าเซี่ย….ใต้เท้าซู เขา….”
มองลงไปที่มือของเขา มีรอยยิ้มจางๆเกิดขึ้นบนใบหน้าของเซี่ยโฮวโม่
“ไม่มีอะไร” หลังจากนั้นเขาก็เดินผ่านหน้าที่ปรึกษาหลี่และเดินเข้าสู่เขตบ้านพักเช่นกัน
ที่ปรึกษาหลี่ยืนนิ่งพร้อมกับคำถามนับพันในใจของเขา ทำไมมีบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างใต้เท้าทั้งสอง?
“ปัง!” ซูมู่เกอปิดประตูตามหลังนางอย่างแรงหลังจากที่นางกลับมาที่ห้องและนั่งลงบนเก้าอี้ ความโกรธในตัวนางไม่ได้หายไปจนกว่าจะถึงเวลาต่อมา
นางวางมือบนหน้าอกและสัมผัสมัน ด้วยการขาดสารอาหาร ดังนั้นลักษณะความเป็นหญิงของนางจึงไม่เติบโตดีมากขนาดนั้น นอกจากนี้นางยังยุ่งอยู่กับการจัดการกับสิ่งของต่างๆโดยแทบไม่ได้ใส่ใจกับอาหารและการพักผ่อนของนางเลย แม้ตอนนี้นางดูดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีเครื่องรัดตัวที่สวมอยู่บนตัวนางซึ่งทำให้รู้สึกแข็ง ไม่น่าจะมีข้อบกพร่องให้เขาจับได้
ชายคนนี้อันตรายเกินไป นางเริ่มสงสัยว่านางอันได้รับข่าวที่ส่งกลับไปที่คฤหาสน์ซูหรือยัง นางขอให้นางอันจัดคนเพื่อมาค้นหาซูหลุนอย่างลับๆ เมื่อนางออกมาจากคฤหาสน์
สิ่งสำคัญคือต้องทำให้ชัดเจนว่าซูหลุนถูกจับหรือถูกฆ่า อาจมีปัญหาหลายอย่างในภายหลัง แม้ว่านางจะแก้ไขปัญหาในตอนนี้ที่เขตโจวตราบจนที่ยังไม่พบตัวซูหลุน
หลังจากทานอาหารเย็นที่ยายฟางนำมาให้อย่างเร่งรีบ ซูมู่เกอนำตัวอย่างเลือดที่ได้จากเด็กทั้งสองคนในวันนี้ออกมา
ถ้ามีเพียงคนเดียวที่เป็นโรคนี้ก็คงจะดี แต่ตอนนี้มีสองคนแล้วและนางก็อดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจมันเป็นพิเศษ
นอกเขตหย่าเหมินมีร่างสีดำสองร่างซ่อนตัวอยู่ในตรอกลึกตรงข้าม
หลังจากสังเกตอย่างลับๆมานาน พวกเขาจากไปอย่างรวดเร็ว ไปยังบ้านที่อยู่ห่างไกล
ในความมืด คนหนึ่งผลักประตูให้เปิดและเข้าไป ในขณะที่อีกฝ่ายเฝ้าดูสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวัง ก่อนจะปิดประตูตามหลังพวกเขา
“นายท่านกำลังกระตุ้นพวกเรา ท่านจะได้รับมันเมื่อไหร่?” เสียงแหบดังออกมาจากความมืด
“ข้าวางแผนที่จะดำเนินการก่อนที่ข้าจะมาถึงที่นี่เขตโจว แต่ดูเหมือนชายคนนั้นจะเป็นเชี่ยวชาญ ข้ากลัวที่จะกระตุ้นความสงสัยของเขาดังนั้นข้าจึงไม่ลงมือ”
เสียงแหบแห้งด้วยความเย็นชา “หลังจากผ่านมาหลายปีกับใต้เท้า ดูเหมือนท่านจะยังไม่ใจเลย! ท่านไม่รู้วิธีซ่อนสิ่งที่สำคัญเช่นนี้ไว้กับตัวเอง!”
“ถ้าข้ามีมันกับข้า ข้าไม่สามารถออกจากค่ายหยานเซี่ยได้”
“ข้าไม่สนใจเรื่องนั้น หากเจ้าไม่ได้อะไรเลยก่อนสิ้นเดือนนี้ เจ้าไม่ต้องกลับไป!”
ร่างในความมืดกัดฟันกรอด ตอนนี้มันเหลือเวลาแค่เพียงไม่กี่วันก่อนสิ้นเดือน!
“ข้าทราบ!”
…………….
“ดูซิ ใต้เท้าซู คนที่ใต้เท้าเซี่ยจัดเตรียมไว้ได้ยกตลิ่งด้วยทรายและหิน น้ำหยุดไหล!” ที่ปรึกษาหลี่ชี้ไปที่ริมฝั่งแม่น้ำไม่ไกลด้วยความตื่นเต้น
ที่ปรึกษาหลี่มาหานางเมื่อเช้านี้บอกว่าน้ำท่วมหยุดแล้ว และมันจะไม่มาถึงเขตโจวอีกต่อไป ตามความเร็วก่อนหน้าของน้ำท่วม เขตโจวทั้งหมดจะถูกน้ำท่วมหมดแล้วในตอนนี้!
ซูมู่เกอยังสงสัยว่าใต้เท้าเซี่ยจะหาคนที่มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขนาดนี้ได้ที่ไหน ดังนั้นนางจึงตามที่ปรึกษาหลี่ไปที่ริมฝั่งแม่น้ำเพื่อตรวจสอบ
“มานี่เร็ว ยกกระสอบทราบมาที่นี่ ยังมีช่องว่าอยู่ตรงนี้อีก!”
“เร็วเข้า!”
เมื่อมองไปที่ชายในเครื่องแบบที่ทำจากผ้าเนื้อหยางในดวงตาของซูมู่เกอก็มีแต่ความประหลาดใจ
คนเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีและมีพลังพร้อมกับความแข็งแกร่ง เมื่อพวกเขาทำมัน พวกเขาไม่พูดอะไรซักคำ แต่แค่จดจ่อกับงานของตน
พวกเขาไม่ใช่คนที่จับพลัดจับพลูมาจากหมู่บ้านหนือเขตเมืองใกล้เคียงเลย แต่กลับดูเหมือนกลุ่มทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี!
เบื้องหลังของใต้เท้าเซี่ยท่านนี้คืออะไรกันแน่? เขาสามารถหากองทัพที่แข็งแกร่งเพื่อแบกกระสอบทรายได้ในเวลาอันสั้น!
ฝนค่อยๆหยุดตกในสองวันนี้ ด้วยแนวโน้มนี้น้ำท่วมจะไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้
“ที่ปรึกษาหลี่ ตำแหน่งทางการของใต้เท้าเซี่ยในราชสำนักของจักรพรรดิคืออะไร?” ซูมู่เกอถามระหว่างเดินทางกลับ
ที่ปรึกษาหลี่รู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินคำถามเช่นนี้จากซูมู่เกอ เจ้าเมืองชุนหยางจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?
สังเกตเห็นความประหลาดใจในดวงตาของเขา ซูมู่เกอไอเบาๆ และพูดว่า “ที่ปรึกษาหลี่ ท่านรู้ว่าข้ายุ่งอยู่กับงานบรรเทาอุทกภัยในสองสามวันมานี้ และข้าไม่ได้นำใครมาด้วยเพื่อช่วยเหลือ มันจึงเป็นเรื่องทียอมรับได้สำหรับข้าที่จะเพิกเฉยต่อบางสิ่ง”
ที่ปรึกษาหลี่เชื่อในคำอธิบายนี้และตอบนางว่า “ใต้เท้าเซี่ยดำรงตำแหน่งก่อนตำแหน่งอันดับหนึ่งในราชสำนัก และตราประทับอย่างเป็นทางการของเขานั้นไม่ธรรมดา”
ที่ปรึกษาหลี่ใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งในเขตโจว และเขาได้ตำแหน่งนี้ในเขตหย่าเหมินโดยอาศัยความสัมพันธ์อันใกล้ชิด เขาไม่ได้มีการศึกษาในระดับดี แต่เขาก็รู้ดีเกี่ยวกับโลกและผู้คน ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขารักษาตำแหน่งนี้ได้จนถึงตอนนี้
มันไม่เคยมีมาถึงเขาเลยที่เขาได้ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ของราชสำนักในช่วงชีวิตของเขา คงเป็นเรื่องน่ายินดีที่ต้องถ่ายทอดต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน!
“ก่อนการจัดอันดับแรก?”
ทันใดนั้น หัวใจของนางก็ขึ้นมาจุกที่ลำคอ
ที่จริงแล้ว ที่ปรึกษาหลี่ไม่ค่อยชดเจนเกี่ยวกับการจัดอันดับในระดับนั้น ซูมู่เกอรู้ นางให้เยว่รู่ช่วยรื้อฟื้นข้อมูลมากมายเกี่ยวกับราชวงศ์นี้เมื่อนางรู้ว่านางได้รับประสบการณ์ในการเดินทางข้ามเวลา
ตำแหน่งสูงสุดอย่างเป็นทางการของฉู่เป็นอันดับแรก นั้นเรียกว่า “ก่อนอันดับหนึ่ง” สามารถเป็นเพียงตำแหน่งขุนนางเท่านั้น องค์ชายแห่งราชวงศ์ หรือสถานะราชาผู้ครองแผ่นดินแห่งข้าราชบริพาร!
นั่นหมายความว่า “ใต้เท้าเซี่ย” คนนี้ก็คือองค์ชายแห่งราชวงศ์ หรือราชาแห่งข้ารับใช้ทั้งหลาย!
เดี๋ยนะ เซี่ย….ถ้านางจำไม่ผิด ชื่อสกุลของราชวงศ์ฉู่ มีตัวอักษรสองตัว….เซี่ยโฮว…ดังนั้นชื่อแรกของเขาคือเซี่ยโฮว แทนที่จะเป็นเซี่ย!
เยว่รู่เคยกล่าวไว้ว่าในค่ายหยานเซี่ย ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองชุนหยางหนึ่งร้อยไมล์ มีกษัตริย์ที่อยู่ยงคงกระพัน ราชาแห่งจิน เซี่ยโฮวโม่!
ด้วยท่าทางที่สง่าผ่าเผยนี้ “ใต้เท้าเซี่ย” คนนี้ รวมกับกองทัพที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีที่นางเพิ่งได้เห็น นางมั่นใจแล้วในตอนนี้ว่าใต้เท้าเซี่ยคนนี้ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากราชสำนัก แต่เป็นเซี่ย โฮวโม่ ราชาแห่งจิน ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์กับจักรพรรดิ!
ที่ปรึกษาหลี่เห็นใบหน้าของซูมู่เกอในตอนแรกเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีขาวซีดเผือด แล้วเปลี่ยนจากซีดเป็นดำ ในที่สุดมันก็ดูตกใจราวกับถูกฟ้าผ่า เขางงงวยเกี่ยวกับปฏิกิริยาของนาง
“ใต้เท้าซู ท่าน ท่านสบายดีไหมขอรับ?”
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นมองที่ปรึกษาหลี่ นิ่งและเงียบ
ข้าทำอะไรไม่ถูก ข้าพูดอะไรไม่ได้เลย!
มันคือเวลาเที่ยงแล้ว?!
ท้องฟ้ามืดครึ้มอย่างไร้วี่แววว่าเป็นเวลาไหน ซูมู่เกอไม่รู้ว่านางจะตื่นตอนเที่ยงวัน และสิ่งเดียวที่นางจำได้คือเมื่อคืนนางนอนไม่ค่อยจะหลับ
“แล้ว เจ้ามีแผนรับมือกับน้ำท่วมแบบไหนกัน ท่านขุนนาง ซู?”
เซี่ยโฮวโม่เปลี่ยนหัวข้อการสนทนาของพวกเขา และซูมู่เกอฉลาดพอที่จะต่อกรกับเขา นางกล่าวว่า “ใต้เท้าเซี่ย โปรดติดตามข้าไปที่ห้องศึกษาและเราจะพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดกันที่นั่นจะดีกว่า”
“เชิญ”
พวกเขาทั้งสองก้าวเข้ามาและท่านยายฟางจากไปหลังจากที่นางนำชาเข้าวางให้ทั้งสองแล้ว
แผนที่ภูมิประเทศโดยละเอียดของเขตโจวถูกเปิดต่อหน้าพวกเขาโดยซูมู่เกอ และมือของเธอก็ชี้ไปที่แม่น้ำมี่ไหลผ่านทั้งมณฑล
“ในความคิดของข้า มันเป็นการสร้างเขื่อนที่มีความสำคัญมากตอนนี้ และยกทำนบเขื่อนด้วยทรายและหิน…..”
ในตอนแรกเซี่ยโฮวโม่เพียงฟังด้วยท่าทีราวกับปีศาจที่ไม่ใส่ใจภาพพจน์ใด แต่แล้วใบหน้าของเขาก็จริงจังขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ซูมู่เกอวิเคราะห์สถานการณ์ของนางต่อไปเรื่อยๆ เขาคว้าถ้วยชาบนโต๊ะแล้วยกจิบ
“หน้าที่ของเราในตอนนี้คือหลีกเลี่ยงความสูญเสียที่เกิดจากน้ำท่วมอีกครั้งและการป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้นได้” หลังจากพูดจบซูมู่เกอก็หยิบถ้วยชาที่วางบนโต๊ะขึ้นดื่มมันจนหมด การ พูดมากๆ ทำให้นางกระหายน้ำ
เมื่อมองไปที่ถ้วยชาที่ว่างเปล่าที่ซูมู่เกอวางลง และเหลือบมองอีกถ้วยที่เหมือนยังไม่ได้สัมผัส ในที่สุดเซี่ยโฮวโม่ก็มองไปที่ซูมู่เกอซึ่งตอนนี้เหมือนกำลังดิ้นรนกับอะไรบางอย่างและคิ้วขมวดอยู่
“ปัญหาในปัจจุบันคือเรามีคนไม่เพียงพอ มีคนหนุ่มสาวและแข็งแรงน้อยเกินไปในมณฑล และเต็มใจที่จะมีส่วนร่วมน้อยมาก ซึ่งมันเป็นเรื่องค่อนข้างเร่งด่วนและจำเป็นต้องแก้ไข”
“ข้ามีผู้ชายเพียงพอ”
“ท่านพาคนมาด้วยเหรอขอรับ ใต้เท้าเซี่ย?” ซูมู่เกอสงสัย แต่ที่ปรึกษาหลี่บอกว่าใต้เท้าเซี่ยผู้นี้มากับกลุ่มคนเพียงไม่ถึงสิบคน
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่มีความสำคัญในตอนนี้เมื่อเทียบกับคำพูดที่เขาเพิ่งสัญญา
“ขอบคุณมาก ใต้เท้าเซี่ย”
“ไม่เป็นไร”
“ข้าจะออกไปล่ะ” มีออร่ามหาศาลจากการปรากฏตัวของใต้เท้าเซี่ยคนนี้ ซึ่งทำให้ ซูมู่เกอรู้สึกอึดอัดด้วยแรงกดดันอย่างมาก นางไม่ชอบมัน
“ใต้เท้าซู เจ้ากำลังจะไปไหน?”
ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเซี่ยโฮวโม่ยืนขึ้นและเดินไปที่ด้านข้างของซูมู่เกอก่อนที่เขาจะพูดจบ
“เมื่อวานตอนไปตรวจสอบผู้ประสบภัยน้ำท่วมในวัดซอมซ่อ ข้าพบว่าพวกเขาหลายคนป่วย ดังนั้นข้าจะไปที่นั่นอีกครั้งเพื่อตรวจคนไข้เหล่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปกับท่าน ใต้เท้าซู”
อะไร?! มีความไม่พอใจในหัวใจของซูมู่เกอ เหตุใดเจ้าหน้าที่เมืองหลวงคนนี้จึงออกมาจากที่ใดก็ไม่รู้จึงคอยรบกวนนางเช่นนี้ ทำไมไม่หาที่สบาย ๆ และน่าอยู่สำหรับตัวเอง!
“ตงลิน เจ้าเข้าใจคำพูดของใต้เท้าดซูหรือไม่?”
ตงหลินที่ยืนฟังการสนทนาของพวกเขาอยู่ด้านข้าง ตอบกลับว่า “ข้าเข้าใจขอรับ ใต้เท้า”
เซี่ยโฮวโม่มองไปที่ซูมู่เกอและพูดว่า “ใต้เท้าซู ไปกันเถอะ”
ซูมู่เกอคร่ำครวญด้วยความโกรธลึกลงไปในหัวใจของนาง นางหันซ้ายหันขวาและออกจากห้องศึกษา หลังจากที่นางดึงกล่องเครื่องมือแพทย์จากห้องของนาง นางมาที่ด้านนอกของเขตหย่าเหมิน
มีรถม้าเพียงคันเดียว
ระหว่างที่นางกำลังลังเลอยู่นั้น มีเสียงออกมาจากรถม้า ซึ่งซูมู่เกอรู้สึกไม่เต็มใจที่จะได้ยิน “ใต้เท้าซู เจ้ารออะไรอยู่ที่นั่น?”
ซูมู่เกอหายใจเข้าลึกๆ และปีนขึ้นไปบนรถม้า
มันไม่ใช่รถม้าขนาดใหญ่ และหุ่นที่เพรียวและสูงของเซี่ยโฮวโม่ก็กินพื้นที่ส่วนใหญ่ไปแล้ว ซูมู่เกอต้องบีบตัวเองให้พอดีกับที่นั่งในมุมด้านในสุด
กลิ่นชาจากชายคนนี้อบอวลไปทั่วรถม้า และซูมู่เกอก็ถูกล้อมรอบไปด้วย
ภายในรถม้าเซี่ยโฮวโม่นั่งอยู่ในความเงียบโดยหลับตาพริ้ม
ซูมู่เกอพยางยามสงบสติอารมณ์จากความโกรธก่อนหน้านี้ และเริ่มนึกถึงภาพเมื่อวานนี้ตอนที่นางกำลังรักษาคนข้า
มีสิ่งแปลกๆ….แต่บรรยากาศภายในรถม้าดูสบายๆ
เช่นเดียวกับซูมู่เกอหมกมุ่นอยู่กับความทรงจำของนาง รถม้าก็กระแทกกับบางสิ่งบางอย่างจนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง นางเสียการทรงตัวและล้มหน้าคะมำไปข้างหน้า
“อ๊ะ!”
“ฮึ่มมม!”
เสียงครางสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน
ซูมู่เกอยั้งร่างของนางด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างปิดจมูก
“มันเจ็บ….”
เมื่อมองลงไป เซี่ยโฮวโม่เห็นมือบอบบางจับอยู่ที่หน้าอกของเขาและเขาก็คิ้วขมวดเล็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้น?” เซี่ยโฮวโม่ดึงม่านออกเล็กน้อยและมองออกไปข้างนอกรถม้า
“มันเป็นความผิดของข้าน้อยเองขอรับ มีแอ่งน้ำที่ข้าน้อยมองไม่เห็นและวิ่งผ่านมาโดยบังเอิญ ข้าน้อยขออภัย….”
“ระวังหน่อย”
“ขอรับ”
ซูมู่เกอยังไม่ได้ฟื้นตัวจากการกระแทกที่รุนแรงนั้นชั่วขณะจนกระทั่งนางพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมแขนของเซี่ยโฮวโม่
นางรีบเอามือออกจากอกของเขา ดึงไปข้างหลังนาง และสาบานกับตัวเองโดยที่มืออีกข้างยังอยู่ที่จมูกของนาง
“ข้าน้อยขอโทษสำหรับความไม่สุภาพของข้าน้อยเมื่อครู่นี้”
เซี่ยโฮวโม่หลังตาลงอีกครั้งและพูดว่า “อย่าใส่ใจ”
รถม้าหยุดลงหลังจากนั้นไม่นาน
“ใต้เท้า เรามาถึงแล้วขอรับ”
เซี่ยโฮวโม่ลืมตาขึ้นและหายออกไปจากรถม้า เฉกเช่นแสงแวบผ่านหน้าซูมู่เกอไป แล้วก็เหลือเพียงนางที่นั่งอยู่ตัวคนเดียว เขาเร็วมาก!”
พร้อมด้วยกล่องเครื่องมือทางการแพทย์ในมือของนาง ซูมู่เกอกระโดดลงจากรถม้า
นางพาเขาไปยังวัดซอมซ่อที่ซึ่งผู้ประสบภัยน้ำท่วมทั้งหมดถูกรวบรวมให้พักที่นี่ จากนั้นก็พาเขาไปดูห้องรักษาผู้ป่วยชั่วคราว
“ใต้เท้าเซี่ย โปรดรอด้านนอกขอรับ”
“ทำไม?”
ทำไม? ก็เพราะเจ้าขวางทางข้านะสิ!
“ข้ากลัวว่าโรคบางอย่างอาจจะติด….”
“ไม่ต้องห่วง”
หลังจากนั้น เซี่ยโฮวโม่ก็ก้าวเข้าไปโดยไม่รอคำตอบจากซูมู่เกอเลย นางทำได้แค่เดินตามเขาเข้าไปอย่างไม่เต็มใจ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับตำแหน่งอันสูงส่งของราชสำนัก ดูเขาประพฤติตัว!
มีชายคนหนึ่งวิ่งมาหาซูมู่เกอทันทีที่เดินเข้ามา
“ใต้เท้า มี มีบางอย่างผิดปกติ! เด็กตกอยู่ในอันตราย!”
ซูมู่เกอมองชายตรงหน้านางและพบว่ามันคือผู้ส่งข่าวหย่าเหมิน หลี่ต้าเหมาที่ถูกขอให้ดูแลเด็กที่ป่วยเป็นไข้เมื่อวานนี้
“เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้น?”
“เด็กคนนั้นไม่ได้ตัวร้อนมากเมื่อท่านกลับไปเมื่อคืนนี้ แต่เมื่อข้ามาหาเขาในเช้าวันนี้ ข้าพบว่าตัวเขาร้อนเหมือนเตาไฟและเขาก็ไม่ตอบสนองกลับข้าเลย”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ใบหน้าของนางแข็งกระด้าง ซูมู่เกอเดินไปหาเด็กพร้อมกล่องเครื่องมือแพทย์ของนาง ทิ้งเซี่ยโฮวโมไว้
นางรู้สึกถึงชีพจรของเด็ก และผิวหนังของเขาร้อนมากราวกับว่ามันจะลวกมือข้างนั้นได้เลย
สภาพชีพจรของเขาค่อนข้างอ่อนแอ ริมฝีปากของเขาแห้ง ทั้งตัวเป็นสีแดง และหัวใจของเขาเต้นเร็ว แต่เสียงชีพจรของอวัยวะอื่น ๆ ของเขาอ่อนแอมาก
เมื่อวานนี้นางได้สั่งยาต้านแบคทีเรียและยาต้านการอักเสบเพื่อลดไข้ของเด็กชาย ตามเวลาตอนนี้ เด็กควรพากินยาไปอย่างน้อยสี่ครั้ง แต่อาการเหล่านั้นก็ยังไม่หายไป แต่กลับกำเริบทำให้เด็กแย่ลง
นางหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาจากกล่องยาและป้อนกับให้กับเด็กชายคนนั้น
“ไปหาเหล้าแรงๆมา จากนั้นเช็ดตัวเขาเพื่อให้ตัวเขาเย็นลง”
เซี่ยโฮวโม่ซึ่งถูกซูมู่เกอเพิกเฉยตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในห้องยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบเชียบ และเฝ้าดูทุกช่วงเวลาของนาง
“ได้ ขอรับ ขาจะไปเดี๋ยวนี้”
ซูมู่เกอเปิดเสื้อผ้าของเด็ก วางหัวของนางแนบท้องของเขาและตั้งใจฟัง จากนั้นนางก็เอื้อมมือไปกดมัน
“มันแปลก ท้องของเขาดูใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อวาน….”
ท้องของเด็กชายคนนั้นพองราวกับมีลูกแตงโมอยู่ในนั้น และไม่ใช่อาการท้องอืด มันเป็นอะไร? มีอาการท้องมานหรือ?
ซูมู่เกอรู้สึกถึงชีพจรของเขาอีกครั้งด้วยความระมัดระวัง และพบว่าสภาพชีพจรในปอดของเขายังไม่เสถียรราวกับว่าปอดถูกอันแน่นไปด้วยอากาศเสีย
“ใต้เท้าซู นี่ นี่คือเหล้ารสเข้มแรงที่ท่านขอ ข้าจะเช็ดตัวให้เด็กเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“รอก่อน รอสักครู่”
ด้วยความห้าวหาญบนใบหน้าของนาง นางกดมือของนางหนักขึ้นที่หน้าท้องของเด็กคนนั้น
“อึกก เอออออ…..”
ทันใดนั้น เด็กที่อยู่ในลักษณะตัวงอก็อ้าปาก และอาเจียนออกมา “อั๊วะ!”
หน้าอกของซูมู่เกอแทบจะสั่นสะท้าน นางสวมถุงมือและเดินไปตรวจสอบ
อาเจียนมีสีแดงเข้ม เข้มมาก เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น
ซูมู่เกอจุ่มมือที่สวมถุงมือลงไปแล้วดมกลิ่นอย่างมีสมาธิ
เมื่อเห็นเช่นนั้น เซี่ยโฮวโม่ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเกิดประกายอย่างผิดปกติในแววตาของเขา
“มันเป็นเลือดที่ออกมาคั่งอยู่ภายใน”
“เลือดคั่ง เลือดที่ไหลออกมาไม่หยุด?” ใบหน้าของหลี่ต้าเหมาอยู่ในความสับสน
“มันไม่ดีเลยที่เกิดขึ้นแบบนี้ แล้วก็ไม่รู้สภาพอวัยวะภายใจของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะต้องได้รับการผ่าตัด” ซูมู่เกอคว้าแปรงมาและจดใบสั่งยาสองสามใบ นางส่งใบสั่งทั้งหมดให้หลี่ต้าเหมาและขอให้เขาซื้อยาตามรายการนั้นมา
“ไปรับยามาสามชุด”
หลี่ต้าเหมาพยักหน้าในขณะที่เขาเข้าไปรับใบสั่งยา “ใต้เท้า ไม่ต้องกังวล ข้าจะนำยากลับมาให้โดยเร็วที่สุดขอรับ”
ซูมู่เกอยืนขึ้นพร้อมกับก้มหัวให้เขาเล็กน้อย
แม้ว่าเด็กจะได้รับการผ่าตัดที่ดีที่สุด นางไม่มีเครื่องมือสำหรับมันยกเว้นยางบางชนิด การผ่าตัดที่ไม่ได้เตรียมการทำโดยรีบร้อนอาจทำให้คนป่วยเสียชีวิตได้
เดินวนไปมา นางได้หยุดเดินและมองไปที่เซี่ยโฮวโม่หลังจากเดินเป็นวงกลมสองรอบในห้องนั้น
“ข้ามีเรื่องขอให้ท่านช่วย และท่านอยากให้ข้าทำความดีความชอบให้หรือไม่ ใต้เท้าเซี่ย?”
นางมีความรู้สึกนี้ออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้สามารถทำทุกอย่างที่นางขอได้ รวดเร็วและดี
เซี่ยโฮวโม่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและถามว่า “ใต้เท้าซู เจ้าต้องการขออะไร?”
“อย่างที่ท่านเห็นเด็กมีอาการป่วยแปลก ๆ ตอนนี้เราต้องหาสิ่งที่ผิดปกติกับเด็กในเวลาอันสั้นที่สุดเพื่อที่จะรักษาและเยียวยาเขาให้ได้ ข้าจะผ่าตัดให้เขา”
ใบหน้าของเซี่ยโฮวโม่ดูสับสน “ผ่า….ผ่าตัด?”
“ใช่ มันเป็นการบำบัดแบบหนึ่ง”
ซูมู่เกออธิบายโดยอ้อมในกรณีที่ใต้เท้าเซี่ยคนนี้แสดงปฏิกิริยามากเกินไปกับการรักษาด้วยวิธีเปิดท้องของใครคนหนึ่ง
“ใต้เท้าซู ต้องการให้ข้าทำอะไร?”
“ข้าต้องการเครื่องมือบางอย่าง อยากให้เตรียมไว้ให้ภายในเย็นวันพรุ่งนี้”
“ไม่มีปัญหา”
มันเป็นไปตามความคาดหมายของซูมู่เกอที่เซี่ยโฮวโม่เห็นด้วยกับนางโดยไม่ลังเลใดๆ
“ขอบคุณท่านมาก ใต้เท้าเซี่ย ข้าน้อยจะวาดเครื่องมือที่ต้องการให้เดี๋ยวนี้ขอรับ”
ซูมู่เกอไปที่ห้องแยกและขอให้คนนำแปรงและหมึกมาให้นาง จากนั้นนางก็วาดสิ่งที่นางต้องการลงบนกระดาษทีละขั้นตอน
ในขณะนี้ นางรู้สึกโชคดีที่นางรักการประดิษฐ์ตัวอักษรและภาพวาดหมึกในโรงเรียน แม้ว่าตอนนี้จะมีร่างกายที่แตกต่างกัน นางยังคงมีพื้นฐานในทักษะด้านนี้
ภาพที่นางวาดมีรายละเอียดมากโดยมีการทำเครื่องหมายทุกส่วนแม้แต่ส่วนเล็กๆ นางมีสมาธิมากและนางไม่ได้สังเกตเห็นเซี่ยโฮวโม่ที่ด้านหลังของนาง
มีทั้งความประหลาดใจและความสับสนในดวงตาสีดำของเขาเมื่อเซี่ยโฮวโม่มองไปที่ภาพวาด
หลังจากซูมู่เกอวาดเสร็จ ข้อมือของนางรู้สึกชา นางทำให้กระดาษแห้งด้วยพัด และเห็นเซี่ยโฮวโม่ยืนอยู่ข้างหลังนางเมื่อนางหันหัวไปโดยบังเอิญ
“นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการให้ข้าทำ?”
เซี่ยโฮวโม่คว้าภาพวาดแห้งจากโต๊ะและเขาไม่สามารถเข้าใจมันได้
“ขอรับ”
“จื่อชิว”
จื่อชิวที่เฝ้าอยู่นอกประตูเดินเข้ามา
“ใต้เท้า ท่านต้องการอะไรขอรับ?”
ด้วยสายตาของเขาอยู่ที่ภาพวาดเซี่ยโฮวโม่เปิดปากของเขาด้วยเสียงทุ้ม “เตรียมสิ่งเหล่านี้ให้พร้อมก่อนค่ำวันพรุ่งนี้”
จื่อชิวเข้ารับภาพวาดและมองภาพวาดที่อยู่บนกระดาษ สิ่งของที่อยู่บนนั้นไม่มีความคล้ายคลึงกับอาวุธที่ซ่อนอยู่หรือกริชใดๆเลย แต่เขาตอบว่า “ขอรับ”
จื่อชิวจากไป พร้อมกับนำภาพวาดไปด้วย
ก่อนที่ซูมู่เกอจะแสดงความขอบคุณเซี่ยโฮวโม่ นางเงยหน้าขึ้นและพบว่าเขาอยู่ตรงหน้านางแล้วโดยห่างกันไม่ถึงครึ่งก้าว
“ใต้เท้าเซี่ย ท่าน….”
“ตกลง ท่านไปจัดการกับพวกเขาก่อน” ซูมู่เกอพูดแล้วหันกลับไปและเดินกลับไปที่ห้องพักชั่วคราวของผู้ป่วย
ที่ปรึกษาหลี่รู้สึกโง่เขลาอย่างสิ้นเชิง
“ใต้เท้าซู…..”
“ปังงง!”
ประตูถูกปิดเสียงดัง ที่ปรึกษาหลี่ถูกปฏิเสธ เขากังวลมากจนอยากจะร้องไห้ให้ได้
กล่าวกันว่าใต้เท้าเซี่ยดำรงตำแหน่งลำดับที่สามหรือสูงกว่าในราชสำนักจักรพรรดิ และท่าทางสง่าที่เขาได้รับเป็นสิ่งที่ต้องถือ ที่ปรึกษาหลี่ไม่เคยเห็นใครเหมือนเขามาก่อนในชีวิต เมื่อเจ้านายระดับสูงคนนี้มาถึงแล้ว ใต้เท้าซูไม่ได้พยายามทำให้เขาพอใจและไม่ได้ไปรับเขาทันที ไม่ใช่เขาแค่พยายามโยนชื่อทิ้ง!
ที่ปรึกษาหลี่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเดินกลับไปที่ที่ทำการหย่าเหมินเพียงลำพัง
ซูมู่เกอไปดูเด็กชาย ในระหว่างการตรวจเบื้องต้น ดูเหมือนว่าเขาจะมีไข้ แต่หลังจากจับชีพจรอย่างถี่ถ้วนแล้ว นางตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติกับปอดของเขา
อย่างไรก็ตาม ในยุคนี้ ไม่มีวิธีอื่นใดในการตรวจเพิ่มเติม นางต้องวางแผนในการรักษาในตอนนี้
ซูมู่เกอหยิบเข็มเงินหนึ่งเล่มออกมาจากน้ำยาฆ่าเชื้อ เจาะนิ้วของเด็กชายและบีบเลือดเพื่อตรวจในภายหลัง จากนั้นนางหยิบยาจากขวดกระเบื้องของนางให้เขาเพื่อลดอุณหภูมิ
เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ที่รุนแรงของเด็กชาย ซูมู่เกอจัดห้องแยกให้เขาและมอบหมายให้คนดูแลตลอด 24 ชั่วโมง
นางยุ่งอยู่กับห้องพักผู้ป่วยชั่วคราวตลอดทั้งวัน เมื่อนางจับชีพจรของผู้ป่วยรายสุดท้ายเสร็จสิ้น ข้างนอกก็มืดสนิทแล้ว
ซูมู่เกอวางพู่กัน เรียงลำดับตามลำดับหมายเลข และจัดลูกน้องเพื่อรับสมุนไพรทางการแพทย์และจัดเรียงให้กับผู้ป่วยตามรายการนั้น
ซูมู่เกอยืนยึ้นและยืดตัว เหนื่อยแค่ไหนที่ได้ดูแลคนไข้จำนวนมากในวันเดียว!
“ใต้เท้าซู มันค่ำมากแล้ว ท่านต้องการกลับไปที่ทำการหย่าเหมินหรือไม่ขอรับ?” ชายหนุ่มดูฉลาดจากที่ปรึกษาหลี่ถาม
ซูมู่เกอหยิบกล่องยาขึ้นมาบนหลังและพยักหน้า “ใช่ กลับกันเลย”
ชายหนุ่มเกาหัวของเขาในขณะที่เขาสังเกตซูมู่เกอถือกล่องเครื่องมือแพทย์อย่างสบายๆ เขาสงสัยว่าทำไมเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าใต้เท้าซูรู้ทักษะทางการแพทย์
ในขณะนี้ฝนเบาบางลงมาก ซูมู่เกอพิงรถม้าและตกอยู่ในภวังค์
วันนี้ใช้พลังงานทั้งทางจิตใจและร่างกายของนางไปมาก นางไม่ได้ทำจากเหล็กและไม่ต้องสงสัยเลยว่านางรู้สึกอ่อนเพลียมาก
“ใต้เท้าซู ใต้เท้าซู เรามาถึงแล้วขอรับ”
ซูมู่เกอลืมตาขึ้น นางน่าจะหลับไป
นางขยี้ตา ยกกล่องเครื่องมือแพทย์ขึ้นแล้วกระโดดลงจากรถม้า
มันไม่ใจว่าเป็นเพราะนางยังไม่ตื่นหรือเท้าเริ่มหย่อนยาน ซูมู่เกอเซและล้มลงไปข้างหน้าเมื่อนางกระโดดลงจากรถม้า
นางตื่นเต็มตา แต่ไม่มีเวลาช่วยตัวเอง
ซูมู่เกอตระหนักว่าใบหน้าของนางใกล้พื้นมากขึ้นเรื่อยๆและนางก็หลับตาลงอย่างสิ้นหวัง มันเป็นอะไรก็ให้มันเป็น นางปลอมตัวเป็นซูหลุนจึงไม่มีใครรู้ว่านางเป็นใครที่ล้มลง
แต่สักพักนางก็ยังไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับพื้นโลก
ซูมู่เกอลืมตาขึ้นและต่อหน้านาง มันคือกำแพงผู้ชายคนหนึ่ง นางถูกยกขึ้นด้วยมือข้างเดียวโดยที่แขนของนางห้อยลงเช่นเดียวกับไก่ที่ถูกนกอินทรีจับ
“โอ้!”
ซูมู่เกอหายใจไม่มัน นางดิ้นรนอย่างหนักและสามารถหลุดออกจากมือนั้นได้
“ใต้เท้าซู เจ้าสบายดีไหม?”
ในขณะที่ซูมู่เกอขมวดคิ้วและลูบคอ ที่ปรึกษาหลี่รีบวิ่งไปด้านหน้านางด้วยใบหน้าที่กังวลและกระพริบตาปริบๆ
ซูมู่เกอยังคงตอบสนองช้า นางมองไปที่ที่ปรึกษาหลี่ที่ริมฝีปากกระตุก “ที่ปรึกษาหลี่ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน?”
ที่ปรึกษาหลี่กังวลมากจนแทบจะตบต้นขาของตัวเองได้ ไม่มีทางเลือกอื่น เขาเผชิญหน้ากับบุรุษผู้เป็นอุปสรรคเดียวด้วยความกลัวและหวาดหวั่น “ใต้เท้าเซี่ย นี่คือใต้เท้าซูแห่งเมืองชุนหยางขอรับ”
ใต้เท้าเซี่ย?
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นช้าๆ ยกขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งคอของนางงอไปข้างหลัง นางถึงสามารถมองเห็น “กำแพง” ได้อย่างชัดเจน
เซี่ยโฮวโม่ลดดวงตาสีเข้มของเขาลง สายตาส่องแสงด้วยความหยิ่งผยองในยามค่ำคืน ซึ่งทำให้ไม่มีใครกล้ามองเข้าไป
ซูมู่เกอว่างเปล่าไปชั่ววินาที และลดสายตาลงอย่างรวดเร็วในขณะที่ดวงตาของชายคนนี้เฉียบคมมาก มันรู้สึกเหมือนมองได้แค่แวบเดียว เขาสามารถมองทะลุการปลอมตัวของนางได้แล้ว
ซูมู่เกอขยับก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว แล้วโค้งคำนับเล็กน้อย “ใต้เท้าเซี่ย”
เซี่ยโฮวโม่มองไปที่ซูมู่เกอด้วยมือของเขาที่ประสานไว้ด้านหลัง “ท่านขุนนางซู” คนนี้ช่างดูตัวเล็กและน่าสงสารซะจริงๆ
“ใต้เท้าซูทำงานหนักเพื่อประชาชนในเขตโจว ข้ายินดียิ่งนัก”
ซูมู่เกอเลิกคิ้ว ทุกคนสามารถพูดเฉกเช่นเจ้าขุนมูลนายได้ “ในฐานะเจ้าเมือง เราต้องให้คนของเราอยู่เหนือสิ่งอื่นใด โปรดอภัยให้ข้าด้วยที่ไม่ได้มาทักทายท่านในเวลาที่เหมาะสม ใต้เท้าเซี่ย”
ดูเหมือนว่าเจ้านายทั้งสองคนไม่มีแผนที่จะเข้าไปในหย่าเหมินเลย ที่ปรึกษาหลี่ต้องออกมาข้างหน้าพวกเขาและพูดด้วยเสียงต่ำ “ใต้เท้าซู ใต้เท้าเซี่ย ฝนยังคงตกอยู่ อากาศก็เย็นและจะทำให้เปียกในตอนค่ำเช่นนี้ ท่านทั้งสองอยากเข้าไปข้างใน….?”
“ที่ปรึกษาหลี่พูดถูก ใต้เท้าเซี่ย เชิญ”
ซูมู่เกอเหนื่อยมากจนจะหลับในทันทีเมื่อล้มตัวลงนอน แต่ตอนนี้นางต้องรับมือกับใต้เท้าบางคนจากราชสำนักที่ทำให้นางกำลังโกรธ!
เซี่ยโฮวโม่เหลือบมองซูมู่เกอเล็กน้อยแล้วหันกลับมาและเดินเข้าไปในประตูทางเข้า
ภายในห้องศึกษา
ท่านยายฟาง หญิงชราที่ซูมู่เกอช่วยชีวิตไว้ เดินเข้ามาพร้อมกับถ้วยชาที่อบอุ่นเหมือนบ้านในมือของนาง นางวางถ้วยชาลงมองที่ซูมู่เกอด้วยความกังวล จากนั้นก็ออกจากห้องไป ใต้เท้าซูยังไม่ได้ทานอาหารเลย…..
เซี่ยโฮวโม่นั่งอยู่บนที่นั่งหลัก และซูมู่เกอนั่งบนเบาะขวามือโดยมีที่ปรึกษาหลี่ยืนอยู่ด้านหลัง
ครู่หนึ่งก็ยังไม่มีใครยอมส่งเสียงปรึกษาหารือออกมา เงียบมาก!
ซูมู่เกอไม่สนใจที่จะคาดเดาความคิดของใต้เท้าคนนี้ ตอนนี้นางแค่อยากจะนอนหลับสบายๆ!
“ใต้เท้าเซี่ยคงต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ที่ปรึกษาหลี่ ท่านต้องไม่สุกเอาเผากินนะ”
ที่ปรึกษาหลี่ตอบว่าใช่ซ้ำๆ เขากล้าที่จะไม่ตั้งใจได้อย่างไร? เขารับใช้ใต้เท้าเซี่ยเหมือนยิ่งกว่าบูชาบรรพบุรุษของเขาเอง!
“ใต้เท้าซู ท่านสามารถฝึกฝนการแพทย์ได้หรือ?” เซี่ยโฮวโม่ถามด้วยเสียงทุ้มซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยินในคืนที่เงียบสงบ แต่ซูมู่เกอไม่มีอารมณ์ที่จะชื่นชมมัน
ชายคนนี้ถามคำถามที่เฉียบคม แม้ว่าซูมู่เกอจะเตรียมคำตอบไว้แล้ว นางยังคงถูกกดดันและหายใจไม่ออก เหมือนเผชิญหน้ากับภูเขาขนาดมหึมา
นางหายใจเข้าลึกๆ ตอบเบาๆ “ข้าได้ศึกษามาก่อน ตอนนี้เขตโจวขาดแพทย์ ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องช่วยเหลือ โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยถ้าหากข้าน้อยสนุกกับสิ่งที่ข้าน้อยได้ทำ”
เซี่ยโฮวโม่เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ซูมู่เกอ ในขณะที่เขาค่อยๆหมุนแหวนที่นิ้วหัวแม่มือหยกสีขาวและพูดว่า “ข้าเพิ่งมาถึงและไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับสถานการณ์ที่นี่ โปรดอธิบายให้ข้าได้รู้เพิ่มเติม ใต้เท้าซู”
ซูมู่เกอก้มหัวลงเล็กน้อยและขมวดคิ้ว นางไม่รู้เป้าหมายของผู้ชายคนนี้คืออะไร นางรู้สึกว่าเขากำลังจับเสียงที่นางเปล่งออกมา หากเขาพบบางสิ่งบางอย่าง หรือเขารู้จักพ่อที่เข้าหาง่ายของนางซึ่งทำให้เกิดความสงสัยแก่เขา?
ครู่หนึ่ง ซูมู่เอตื่นตระหนกเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปลอมตัวเป็นซูหลุน ถ้านางถูกจับได้นางจะตกที่นั่งลำบาก
ที่ปรึกษาหลี่คิดว่าซูมู่เกอไม่ตอบเพราะเหนื่อย เขาจึงก้าวไปข้างหน้าและตอบว่า “ใต้เท้าเซี่ย ใต้เท้าซูเพิ่งมาถึงเขตโจวในช่วงเวลาสั้นๆ ข้าน้อยยังไม่ได้แจ้งถึงสถานการณ์ใดต่อใต้เท้าซูเลยขอรับ ถ้ามีอะไรที่ท่านต้องการรู้ โปรดถามข้าน้อยมาได้ตามที่ท่านต้องการ”
ด้วยความช่วยเหลือของที่ปรึกษาหลี่ ซูมู่เกอรู้สึกโล่งใจ แต่สิ่งที่นางไม่รู้คอืปฏิกิริยาทั้งหมดของนางถูกสังเกตพบโดยเซี่ยโฮวโม่
เซี่ยโฮวโม่ยืนขึ้นและพูดว่า “มันดึกมากแล้ว เราจะคุยกันในวันพรุ่งนี้” เขาเดินตรงไปที่ประตูทันทีที่เขาพูดจบ เมื่อเขาเดินผ่านซูมู่เกอเท้าที่กำลังก้าวของเขาก็หยุดลงชั่วครู่ ในทันใดนั้น ซูมู่เกอก็ไม่รู้สึกตัวและความกดดันเดียวกันก็โจมตีนางอีกครั้ง บอกตามตรงว่านางไม่ชอบความรู้สึกกดขี่เช่นนี้เลย
ในที่สุด เซี่ยโฮวโม่ก็จากไป ที่ปรึกษาหลี่รู้สึกโล่งใจมาก
“ใต้เท้าซู ท่านงานยุ่งทั้งวันและมันก็ดึกมากแล้ว โปรดพักผ่อนให้ดีในตอนนี้เถิดขอรับ ถ้าคุณต้องการ”
ซูมู่เกอพยักหน้าและเดินออกจากห้องศึกษา
ท่านยายฟางยังคงอุ่นอาหารอยู่ในครัว นางพาบางคนไปที่ห้องของซูมู่เกอ เมื่อรู้ว่านางกลับมาแล้ว
“ใต้เท้าซู ท่านเป็นขุนนางที่ดีจริงๆ ได้โปรดทานอาหารร้อนๆเจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอมองไปที่ยายฟางยิ้มด้วยความขอบคุณและกล่าวว่า “ขอบคุณมาก ท่ายยายฟาง ตอนนี้ดึกมากแล้ว โปรดไปพักผ่อนให้เต็มที่เถิด”
“เจ้าค่ะ นายท่าน”
ซูมู่เกอไม่ได้ทานอาหารกลางวันด้วยซ้ำ ตอนนี้นางหิวมากเกินกว่าจะรู้สึกว่าหิวแล้ว ดังนั้นนางจึงกินอะไรนิดหน่อยก่อนเข้านอน
นางง่วงมาก แต่จิตใจของนางเต็มไปด้วยความคิดต่างๆนาๆเมื่อนางหลับตาลง
“ทุกสิ่งย่อมมีทางออกเสมอ! ทำไมคิดมาก!” ซูมู่เกอดึงผ้านวมคลุมหัวและหลับตาลง ในไม่ช้านางก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
สนามหลังบ้านของเขตหย่าเหมินไม่ใหญ่นัก มีเพียงห้าหรือหกห้อง ในขณะที่ห้องของเซี่ยโฮวโม่อยู่ตรงข้างกับซูมู่เกอซึ่งมีบันไดไม่ถึงสิบก้าว
ภายในห้องของเซี่ยโฮวโม่ตะเกียงน้ำมันกำลังเปล่งแสงสลัวและเงาดำก็ส่องเข้ามา
“นายท่าน”
เซี่ยโฮวโม่นั่งอยู่หลังโต๊ะอ่านเอกสารที่ที่ปรึกษาหลี่มอบให้มาก่อนหน้านี้
เขาตอบกลับว่า “ใช่”
เงาดำกล่าวว่า “ซูหลุนออกจากเมืองชุนหยางไปยังเขตโจวเมื่อสิบกว่าวันก่อน แต่เขาที่นี่เพียงวันนี้วันเดียวที่ผ่านมา”
ตงหลินตอบพร้อมกับยกคิ้ว “จากเมืองชุนหยางไปยังเขตโจว มันจะใช้เวลาไม่ถึงสิบวันโดยการเดินเท้า!”
สายลับมองไปที่เซี่ยโฮวโม่และพูดว่า “นายท่านขอรับ ข้ายังพบว่าสายลับที่ขโมยแผนผังการป้องกันปรากฏขึ้นรอบ ๆ เขตหย่าเหมินของโจว ผู้ติดตามรายงานว่าสายลับเดินไปรอบ ๆ และพยายามเข้าไปข้างใน แต่เมื่อมันเห็นนายท่านของท่านไปถึง มันกลับออกไปตามทางที่มันมา”
เซี่ยโฮวโม่เก็บเอกสารและพูดว่า “จับตาดูสายลับและ ‘ใต้เท้าซู’ คนนี้ด้วย เราจะค้นหาว่าคนเหล่านี้กำลังทำอะไร”
“ขอรับ นายท่าน”
………………………..
ในวันต่อมา
ซูมู่เกอลุกขึ้นมาพร้อมด้วยความรู้สึกหนักหัว นางทำให้ตัวเองสดชื่นขึ้น เปิดประตูออกไปและรู้สึกได้ทันทีว่านางถูกจับตามอง
ซูมู่เกอขมวดคิ้ว แต่เดินไปที่ลานบ้านอย่างใจเย็น
ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้ม แต่ในที่สุดฝนก็หยุดตก
ซูมู่เกอได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ข้างหลัง นางหันกลับไปและเห็นเซี่ยโฮวโม่ยืนอยู่ที่ระเบียบ สูงและเพรียว
เมื่อคืนนางเหนื่อยเกินกว่าจะทันเห็นรูปลักษณ์ของเขา แต่ตอนนี้นางสังเกตเห็นว่าเขาดู … ธรรมดาเกินไปซึ่งไม่ได้เข้ากับนิสัยใจคอของเขาเลย
“อรุณสวัสดิ์ ใต้เท้าเซี่ย”
เซี่ยโฮวโม่เดินไปที่ซูมู่เกอมองลงไปและพูดว่า “เช้าเหรอ? ใต้เท้าซูเกือบจะเป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว”
ซูมู่เกอตัวแข็งทื่อและมองเข้าไปในดวงตาของเขาอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาที่ลึกล้ำเหล่านี้ทำให้นางประหลาดใจอย่างหมดจด
ทำไมดวงตาคู่นี้ถึงได้ดูคุ้นขนาดนี้?
ซูมู่เกอเหลือบมองเหนือไหล่ของนางและเมื่อตอนนางขับรถม้าออกมา
นางสังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกเขา นางจึงแทบไม่ได้นอน
คนที่อยู่ในป่าไม่ปรากฏตัวจนกระทั่งหญิงชราและหลานชายของนางปรากฏตัว ซึ่งหมายความว่าเป้าหมายของมันคือสองคนนั้น
หญิงชราและหลานชายของนางถูกสะกดรอยตาม แล้วพวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซูมู่เกอต้องให้ความสำคัญกับบุคคลที่น่าสงสัยที่ปรากฎตัวในเขตโจวในเวลานี้
ถ้านางไม่พาทั้งสองคนไปด้วย พวกเขาอาจถูกชายคนนั้นฆ่าไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืนนี้
ในที่สุดพวกเขาทั้งสามก็มาถึงเมืองโจวก่อนที่จะมืด
ตามที่หญิงชรากล่าวไว้ ร้านค้าต่างๆ ปิดหมดและมีคนไม่กี่คนบนถนน
และบรรดาผู้ที่อยู่บนถนนกำลังแบกสัมภาระของพวกเขาด้วยความรีบร้อนเพื่อหนีออกจากเขตโจว
ซูมู่เกอพาหญิงชราและหลานชายของนางไปที่หย่าเหมินแห่งเมืองโจว
ข้างนอกไม่มีแม้แต่คนเฝ้าประตู ซูมู่เกอเดินตรงเข้าไปกับหญิงชราและหลานชายของนาง
มันว่างเปล่าไร้ผู้คนอยู่ในนั้น จนกระทั่งพวกเขาเข้าไปในลานโล่งด้านหลังที่ว่าการหย่าเหมิน พวกเขาเห็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทา ยืนอยู่ที่นั่น
ซูมู่เกอเอื้อมมือไปแตะเคราบนใบหน้าของนาง นางเคยคิดที่จะเปลี่ยนตัวเองเป็นรูปลักษณ์ของซูหลุนมานานแล้วก่อนที่นางจะมาที่นี่ แม้ว่านางจะดูไม่เหมือนกับซูหลุน แต่คนที่ไม่คุ้นเคยกับเขาก็ไม่สามารถบอกความแตกต่างได้
บางทีอาจเป็นเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขา ชายวัยกลางคนก็หันหน้ากลับมามอง
“ข้าได้บอกพวกเจ้าไปแล้วว่าอาหารที่ช่วยน้ำท่วมจากราชสำนักยังมาไม่ถึง ข้าไม่สามารถทำอะไรได้แม้ว่าเจ้าจะมาที่นี่ทุกวันแบบนี้ ครอบครัวของข้าก็เกือบจะขาดแคลนอาหารเช่นกัน”
ซูมู่เกอขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำนั้น
“นายท่าน ท่านเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของเมืองโจวรึ?”
ชายวัยกลางคนมองไปที่ซูมู่เกออย่างสงสัย “เจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อขอรับอาหาร? เจ้าเป็นใครและมาที่นี่เพื่ออะไร?”
“ท่านรู้จักผู้นำเมืองชุนหยางหรือไม่?”
ชายวัยกลางคนจ้องมองซูมู่เกอด้วยความประหลาดใจ เขาตบที่ต้นขาของเขาทันที “ท่านคือใต้เท้าซู!? พระเจ้าช่วย ใต้เท้าซู ในที่สุดท่านก็มา”
“ใต้เท้า ใต้เท้าซู? ท่านคือใต้เท้าซูแห่งเมืองชุนหยาง?” หญิงชรามองไปที่ซูมู่เกอด้วยความประหลาดใจ
ซูมู่เกอเลิกคิ้วและไม่ตอบ “ท่านคือ….”
ชายวัยกลางคนพูดต่อ “ข้าเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของเมืองโจว เนื่องจากผู้พิพากษาเมืองถูกน้ำท่วมพัดหายไป ข้าดูแลเรื่องในเขตเมืองโจวแทน”
“คนอื่นๆ ในหย่าเหมินอยู่ที่ไหน? พวกเขาหายไปไหน?”
ใบหน้าของที่ปรึกษาหลี่แข็งกระด้างด้วยความเศร้าโศก ทุกคนในเขตหย่าเหมินที่สามารถหนีไปได้ได้จากไปนานแล้ว เมื่อซูหลุนหายตัวไปไม่มีใครยอมอยู่ที่นี่เพื่อสะสางความวุ่นวาย
“ใต้เท้าซู มันเป็นเรื่องดีมากที่มีท่านอยู่ที่นี่ ตอนนี้สิ่งต่างๆในเมืองนี้กำลังยุ่งเหยิง ท่านมาที่นี่ทันเวลาพอดี”
ที่ปรึกษาหลี่พาพวกเขาไปสู่การรับรู้เรื่องราว และซูมู่เกอขอให้เขาจัดการหาที่พักให้หญิงชราและหลานชายของนางที่ไหนสักแห่งหนึ่ง
ที่ปรึกษาหลี่หยิบหนังสือเล่มเล็กเล่มหนาออกมา ซึ่งบันทึกข้อมูลหมู่บ้านและนาข้าวไว้อย่างคร่าวๆที่ถูกน้ำท่วมในเขตเมืองโจว ณ วันนี้
ซูมู่เกอวางหนังสือเล่มเล็กไว้และไม่ได้สนใจมองมัน
“ตอนนี้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมอยู่ที่ไหน?”
“ผู้คนส่วนใหญ่หลบหนีมาได้ รวมตัวกันตั้งอยู่ในวัดร้างในเมือง”
ซูมู่เกอพยักหน้าพร้อมกับยืนยัน ตอนนี้เขตเมืองโจวได้รับผลกระทบอย่างหนักจากน้ำท่วม สิ่งสำคัญที่สุดคือการจัดการกับคนที่หลบหนี
ซูมู่เกอและที่ปรึกษาหลี่อยู่ในห้องศึกษาจนกระทั่งมืดค่ำ ในที่สุดพวกเขาก็แยกแยะเบาะแสในการจัดการกับความยุงเหยิงได้
“ใต้เท้าซู เราจะทำอะไรต่อไป?”
“ช่วยชีวิตผู้คน”
“ช่วย ช่วยชีวิตผู้คน?” ที่ปรึกษาหลี่มองไปที่ซูมู่เกอด้วยความประหลาดใจ ในช่วงวิกฤตนี้ เขาอยู่ในอารมณ์ของการช่วยชีวิตคน? ที่นี่ไม่มีทางออกเมื่อน้ำท่วมมาถึงแม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากนางฟ้าก็ตาม การคิดวิธีซ่อนปัจจัยจากหน่วยงานที่สูงกว่านั้นสำคัญกว่าหรือไม่? มิฉะนั้น หากมีการกล่าวหาพวกเขา พวกเขาอาจจะตายได้ นับประสาอะไรกับการตกงาน!
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นมองที่ปรึกษาหลี่ด้วยความสงบ “ถูกตัอง! ท่านส่งคนไปเตรียมเรือไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ พาคนที่คุ้นเคยกับน้ำมาด้วย และใช้มาตรการด้านความปลอดภัย หลังจากนั้นไปที่แต่ละหมู่บ้านและค้นหาผู้คนที่ต้องได้รับการช่วยเหลือ”
“ขอรับ”
ซูมู่เกอจัดแจงสิ่งของต่างๆอย่างเป็นระบบระเบียบ มันมืดแล้วเมื่อนางทำงานทั้งหมดเสร็จ
ซูมู่เกอได้ข้อยุติโดยที่ปรึกษาหลี่ในสวนหลังบ้านของหย่าเหมิน
นอกจากที่ปรึกษาหลี่ คนเดียวที่เหลืออยู่ในหย่าเหมินคือชายชราผู้รับผิดชอบการทำความสะอาด ส่วนหญิงชราที่ซูมู่เกอได้ช่วยชีวิตไว้นั้น นางเริ่มทำอาหารให้พวกเขาโดยสมัครใจ
ซูมู่เกอไม่รับของหวาน หลังจากทานอาหารและล้างตัวเสร็จเรียบร้อย นางเริ่มอ่านแผนที่ภูมิประเทศของเมือง
เมืองชุนหยางตั้งอยู่ทางใต้และเมืองโจวอยู่ใต้ลงไปอีก กล่าวคือ ปริมาณน้ำฝนรายปีมีเป็นจำนวนมากและเขื่อนและการระบายน้ำควรจะดี
สิ่งนี้สามารถพิสูจน์ได้โดยการอ่านข้อมูลของปีก่อนหน้าในเมืองโจว มีการกล่าวกันว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขื่อนในเขตเมืองโจวเมื่อฝนตกลงมาเกือบหนึ่งเดือนเมื่อสามปีก่อน แต่ครั้งนี้ทำนบเขื่อนถูกน้ำพัดหายไปโดยฝนตกหนักไม่ถึงครึ่งเดือน
ทุกปีจะมีการตรวจสอบและซ่อมแซมอย่างเข้มงวดในเขตโจว การตรวจสอบและซ่อมแซมในปีนี้มีขึ้นเพียงหนึ่งเดือนก่อนที่เขื่อนจะพังลง ทำไมเขื่อนแตกหลังจากการตรวจสอบเมื่อเดือนที่แล้ว? สิ่งนี้อาจค่อนข้างน่าสงสัย
…………………..
ภายในคฤหาสน์หวังของค่ายหยานเซี่ย
ตงหลินที่เหงื่อออกอย่างหนักกึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา พวกเขาได้รับข้อมูลจากหน่วยสอดแนมว่าสายลับของกองกำลังตะวันตกได้ขโมยแผนผังการป้องกันการตั้งรับและหลบหนีไปยังเขตโจว!
หากแผนผังการป้องกันตกอยู่ในมือของพวกตะวันตกผลที่ตามมาไม่อาจคาดเดาได้!
“ฝ่าบาท หม่อมฉันขออาสาไปจับสายลับพวกนั้นในเขตโจวพะย่ะค่ะ!
เซี่ยโฮวโม่นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยหลับตาลงครึ่งหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรอยู่ในใจของเขา
“ดูเหมือนว่ามันเป็นความผิดของข้าที่ทำตัวหย่อนยานและปล่อยให้พวกตะวันตกฉวยโอกาสถึงสองครั้ง!”
“ฝ่าบาท มันเป็นความผิดของหม่อมฉันที่ดูแลไม่ดีพะย่ะค่ะ!
“เจ้าอยู่ที่นี่และแก้ปัญหาทั้งหมดที่นี่ให้หมด แล้วข้าจะไปที่เขตโจวด้วยตัวข้าเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ตงหลินก็เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ สายลับเหล่านั้นสร้างปัญหาและน่ารำคาญก็จริงแต่ไม่จำเป็นที่กษัตริย์แห่งจินต้องลงมือไปจับพวกเขาเอง
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงมีรับสั่งอื่นหรือไม่พะย่ะค่ะ?”
จดหมายลับถูกโยนลงบนโต๊ะโดยเซี่ยโฮวโม่
ตงหลินหยิบมันขึ้นมาอ่านด้วยความตกใจในดวงตาของเขา “ข้ารู้ว่าเขตโจวถูกน้ำท่วม แต่เนื่องจากจักรพรรดิรู้ว่าเจ้ากำลังต่อสู้กับพวกตะวันตก ทำไมเขาถึงขอให้เจ้าไปที่เขตโจวเพื่อจัดการกับปัญหาน้ำท่วม?”
มันเป็นที่รู้กันดีทุกคนว่ากษัตริย์แห่งจินเป็นผู้นำกองกำลังตลอดหลายปีที่ผ่านมาและแทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองภายในราชสำนัก น้ำท่วมไม่ควรเป็นความรับผิดชอบของฝ่าบาท ดูเหมือนจะเป็นเรื่องทันทีทันใดและไร้สาระที่จะขอให้พระองค์จัดการกับน้ำท่วม!
แสงในดวงตาของเซี่ยโฮวโม่กระพริบ “อะไร? เจ้าต้องการปฏิบัติตามคำสั่งของจักรพรรดิ?”
ตงหลินอยากจะหัวเราะและร้องไห้พร้อมกัน “ข้าน้อยกำลังจะไปเตรียมตัวสำหรับมันเดี๋ยวนี้พะย่ะค่ะ”
“หยุดกองทหารและวันนี้รอก่อน”
“พะย่ะค่ะ”
…………………..
ในวันที่สองที่ซูมู่เกอมาถึงเมืองโจว ฝนเริ่มไหลรินอีกครั้ง
ซูมู่เกอสวมเสื้อฟางกันฝนและเตรียมพร้อมที่จะไปยังสถานที่ที่ผู้ประสบภัยจากน้ำท่วม
ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนชื้น จึงง่ายต่อการติดเชื้อจากไวรัส
ที่ปรึกษาหลี่วิ่งมาพร้อมกับเสื้อคลุมฟางกันฝนบนไหล่ของเขา “รถม้าพร้อมแล้วขอรับ”
ซูมู่เกอพยักหน้าและเดินออกไปพร้อมกับกล่องยาที่นางนำมาด้วย
ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนหนีได้ถูกให้รวมตัวกันพักอยู่ในวัดซอมซ่อในเมืองซึ่งยังสามารถรองรับผู้คนได้อีก
ถือกล่องยาไว้ในมือ ซูมู่เกอเข้าไปในวัดแห่งนั้น ผู้ประสบภัยที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นเห็นซูมู่เกอมาและทุกคนก็มองไปที่นาง
ที่ปรึกษาหลี่เดินขึ้นมาและบอกทุกคนว่า “ทุกท่านนี่คือใต้เท้าซูแห่งเมืองชุนหยาง”
“ใต้เท้าซู ใต้เท้าซู โปรดช่วยเราด้วย! หมู่บ้านของเราถูกน้ำท่วมและไม่มีอะไรเหลือ….”
“ใช่ ใต้เท้าซู ได้โปรดช่วยเราด้วย….”
ผู้ประสบภัยแต่ละคนกำลังโห่ร้องขอความช่วยเหลือจากซูมู่เกอด้วยความตื่นเต้นในสายตาของพวกเขา
“ใต้เท้าซู โปรดช่วยหลานของข้าน้อยด้วย เขากำลังจะตาย!” ทันใดนั้นหญิงชราผมสีขาวก็รีบวิ่งออกมาคว้าชุดของซูมู่เกอแล้วร้องด้วยเสียงแหบแห้ง
“ทุกท่าน โปรดลุกขึ้นเถิด ราชสำนักจะไม่ทิ้งพวกท่านไว้ข้างหลัง”
ซูมู่เกอมองไปข้างหลังของหญิงชราและเห็นเด็กชายอายุราวสองหรือสามขวบนอนอยู่ที่พื้น
“ท่านแม่เฒ่าไม่ต้องกังวล ข้าจะช่วยเขาเอง”
นางเดินไปหาเด็กชายสะพายกล่องยาไว้ที่หลังและนั่งลง นางเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของเด็กชายและพบว่ามันร้อนจนน่ากลัว
จากนั้นนางก็ตรวจดูปากและตาของเด็ก “หลานชายของท่านมีไข้และต้องรีบรักษโดยด่วน”
ข้าสูงอาจเป็นอันตรายต่อเด็กได้ ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดขั้นตอนแรกของการรักษาคือการทำให้ร่างกายของผู้ป่วยเย็นลง
“ที่ปรึกษาหลี่ไปหาห้องที่อากาศถ่ายเทและพาเด็กไปที่นั่น”
หลายคนออกจากเขตโจว แม้ว่าแทบจะไม่เหลืออะไรเลย มีห้องว่างมากมาย ที่ปรึกษาหลี่สั่งให้คนของเขาเตรียมรับมือทันที
“ใต้เท้าซู หลายชายของข้าน้อยเป็นอย่างไรบ้าง?”
“อย่างห่วงไปเลย การตรวจเบื้องต้นของข้าบ่งชี้ว่าเด็กเป็นหวัดและมีไข้ อาการป่วยของเขาต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ผล”
หญิงชราพยักหน้าด้วยความสับสน และสายตาของนางที่มีต่อซูมู่เกอไม่สามารถละสายตาไปได้
ไม่นาน ที่ปรึกหาหลี่ก็เตรียมห้องพร้อมให้นางใช้งาน
ซูมู่เกอสั่งให้พวกเขาอุ้มเด็กน้อยอย่างระมัดระวังเข้าไปในห้องสะอาดที่จัดเตรียมไว้
จากนั้นนางก็ขอให้ทุกคนที่รู้สึกไม่สบายออกมาและจัดให้พวกเขาอยู่ในห้องแยกต่างหากอย่างเป็นระเบียบ
“ที่ปรึกษาหลี่ ในเมืองนี้สามารถใช้วัสดุยาได้กี่ชนิด?”
“การแพทย์ วัสดุทางการแพทย์?” ที่ปรึกษาหลี่รู้สึกสับสนเล็กน้อย ใต้เท้าของข้า ท่านไม่ควรกังวลเกี่ยวกับปริมาณอาหารที่เรามีในขณะนี้!
“ข้า ข้าไม่ ไม่รู้…”
“ไปหาคำตอบมา ซื้อวัสดุทางการแพทย์ที่สามารถใช้ได้มาด้วย”
ซูมู่เกอหันหลังและเดินเข้าไปในห้องโดยไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมกับที่ปรึกษาหลี่
เขตโจวไม่ได้ใหญ่โต มีแพทย์น้อยมาก พวกเขาเกือบทั้งหมดหนีไปเพราะน้ำท่วม นับประสาอะไรกับผู้ที่สามารถรักษาผู้ป่วยได้
มีห้องเกือบสามห้องที่เต็มไปด้วยผู้ป่วยและหัวใจของซูมู่เกอก็ปวดร้าว
นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าหลังจากที่นางหันกลับมาและเข้าไปในห้องผู้ป่วย ที่ปรึกษาหลี่กลับมาด่วน!
ซูมู่เกอเป็นคนสุดท้ายที่ถูกขัดจังหวะเมื่อนางให้การรักษา นางหายใจเข้าลึก ๆ และมองไปที่ที่ปรึกษาหลี่
“ท่านควรมีบางอย่างที่สำคัญมากจริงๆที่จะบอกข้า!”
ที่ปรึกษาหลี่ตัวสั่นมาที่ซูมู่เกอ ใบหน้าของเขาเย็นชืดราวกับน้ำค้างแข็ง “ใต้เท้า มันสำคัญมาก!”
“อะไร?”
“ราชสำนักได้ส่งคนมาที่นี่เพื่อช่วยเราในเรื่องน้ำท่วม!”
ซูมู่เกอตะลึงเล็กน้อย “อะไรนะ?”
“จริง ใต้เท้า ตอนนี้ขุนนางจากราชสำนักได้มาถึงหย่าเหมินแล้ว ได้โปรดกลับไปกับข้าเดี๋ยวนี้เถอะ!”
ซูมู่เกอไม่ขยับ “เจ้านายคนไหนจากราชสำนัก”
“ท่านอ๋องเซี่ย!”
ฝนตกลงมาทำให้พื้นดินกลายเป็นโคลน อากาศชื้นและมีกลิ่นเหม็นไปทั่ว
ตามทิศทางที่คนขับบอก ซูมู่เกอเห็นร่างสีขาวบวมอืดอยู่ใต้ล้อรถม้า!
ซูมู่เกอสวมเสื้อคลุมฟางกันฝนแล้วกระโดดลงจากรถม้า “ทำการถอยรถม้าออกไปสักหน่อย”
คนขับรถม้าดึงบังเหียนด้วยมืออันสั่นเทาและทำให้รถม้าถอยหลังด้วยความยากลำบาก
เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวออกไป มีศพนอนหลาอยู่บนถนน
ซูมู่เกอหยิบถุงมือหนังแกะออกมาเป็นถุงมือที่นางใช้สำหรับปรุงยาและสวมมัน จับศพพลิกหงายหน้าขึ้นมา
จากหลักฐานทางร่างกายและความบวมอืด มันสามารถบอกได้ว่าศพนั้นตายมาแล้วอย่างน้อยห้าวัน
“มะ-มันคือ มันคือ ฮู่ ชายชราฮู่ มันคือชายชราฮู่!” คนขับเบียดตัวเองเข้ากับที่นั่งของเขา ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่คิดเลยว่าทำไมสาวน้อยถึงนิ่งสงบได้ขนาดนี้เมื่อนางเห็นศพ แต่เขากลับสั่นสะท้านมองไปที่ใบหน้าซีดไร้สีเลือดของศพหลังจากที่ซูมู่เกอจับร่างพลิกหงายขึ้นมา
“เจ้ารู้จักเขา?” ซูมู่เกอมองไปที่คนขับรถม้า
คนขับพยักหน้ารับ “คุณหนูใหญ่ เขายังเป็นคนขับรถม้าจากคฤหาสน์ซูด้วยขอรับ เขาไปเขตเมืองโจวกับใต้เท้าเมื่อไม่นานมานี้”
ซูมู่เกอคิ้วขมวด “เจ้าหมายถึงเขาออกจากคฤหาสน์ซูพร้อมกับท่านพ่อ?”
“ใช่ๆ ขอรับ”
ซูมู่เกอตรวจสอบศพอย่างละเอียด อาการบาดเจ็บสาหัสของผู้ตายอยู่ตรงหัวใจของเขาซึ่งเกิดจากอาวุธมีคม เขาตายด้วยการถูกแทงเพียงครั้งเดียว ไม่มีร่องรอยที่เห็นได้ชัดจากการต่อสู้บนร่างกายของเขา
อีกอย่าง คนที่แทงผู้ชายคนนี้ต้องอยู่ในระดับปรมาจารย์ เขาเร็วมากขนาดที่ไม่ปล่อยให้คู่ต่อสู้มีเวลาได้ต่อต้านเขาได้
“รอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปตรวจรอบๆ และดูว่ามีเบาะแสอย่างอื่นๆอีกหรือไม่”
ซูมู่เกอตรวจสอบรอบๆ แต่ไม่พบอะไร ฝนตกมาหลายวันแล้วและร่อยรอยใดๆ ที่เป็นไป ได้ถูกชะล้างไปหมดแล้ว
เมื่อเดินกลับไปที่รถม้า ดวงตาของซูมู่เกอยังคงจับจ้องไปที่ร่างที่นอนสิ้นใจบนพื้น ดวงตาของนางมืดมน
“คุณหนูใหญ่ ปะ ไปกันเถอะขอรับ กลับไป”
“เจ้าขี่ม้ากลับไปเพื่อขอให้ใครมาจัดการศพ ทำการตรวจสอบหาความจริงเกี่ยวกับมัน ข้าคิดว่าท่านพ่อของข้าคงถูกปล้น ข้าจะไปเขตเมืองโจวด้วยตัวข้าเอง”
คนขับมองไปที่ซูมู่เกอด้วยความประหลาดใจ
“คะคุณหนูใหญ่ ท่านไป ท่านกำลังจะเดินทางไปด้วยตัวเอง……”
“ใช่”
ซูมู่เกอเดินไปที่รถม้าและดึงกริชของนางออกมาเพื่อตัดบังเหียนออกจากม้าตัวหนึ่ง
“ถ้า ถ้าเช่นนั้นโปรดดูแลตัวเองด้วยขอรับ คุณหนูใหญ่”
ซูมู่เกอพนักหน้าตอบรับ ดึงศพออกไปด้านข้างและคลุมด้วยกิ่งไม้ หลังจากนั้นนางก็กระโดดขึ้นบนรถม้าและหวดแส้ วิ่งออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
คนขับก็กระโดดขึ้นไปบนหลังม้าของเขาเช่นกัน ถ้าทุกอย่างราบรื่น เขาจะสามารถกลับไปที่เมืองชุนหยางได้ก่อนที่ฟ้าจะมืด
ซูมู่เกอขี่รถม้าไปตามถนนเส้นหลัก ยิ่งใกล้เขตเมืองโจว ถนนก็ยิ่งยากขึ้น มีร่อยรอยของการถูกน้ำท่วมในบางแห่ง
มันมืดลงแล้วและซูมู่เกอมองไม่เห็นถนนตรงหน้านางอย่างชัดเจน นางต้องตั้งแคมป์ในคืนนี้และโชคยังดีที่ฝนตกน้อยลง
ก่อนที่ความมืดจะมืดสนิทลง เธอพบพื้นที่ว่าง ผูกรถม้าไว้และกลับขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้น
ซูมู่เกอพบตะเกียงน้ำมันจากลิ้นชักเล็กๆ ภายในรถม้าและจุดมัน จากนั้นนางก็นทานอาหารเย็นห่ออาหารสำหรับที่นางพร้อมทาน พร้อมด้วยน้ำ
จุดประสงค์ของนางในการไปเยือนเขตเมืองโจวคือเพื่อค้นหาสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบันที่นั่น ช่วยน้ำท่วมและตามหาซูหลุน
ไม่ว่าซูหลุนจะหายตัวไปจริงหรือไม่ เขาจะต้องปรากฏตัวในช่วงเวลาวิกฤตนี้!
ลมพัดแรงอยู่ด้านนอกรถม้าทำให้ผ้าม่านมีเสียงดัง มันมีเสียงกรอบแกรบดังในความเงียบโดยรอบ แต่ที่ได้ยินตอนนี้มีเพียงเสียงสายฝนที่โปรยลงมาและเสียงของซูมู่เกอเคี้ยวและกลืนอาหารของนาง
ทันใดนั้น มีเสียงกรอบแกรบดังขึ้นอีกครั้ง
ซูมู่เกอหยุดชั่วขณะตอนที่นางถือกาต้มน้ำไว้ในมือ นางปิดหน้าด้วยผ้าดึงกริชออกมาจากขาของนาง แนบตัวกับผนังด้านข้างของรถม้าและตั้งใจฟังเสียงนั้นด้วยความระมัดระวัง
เสียงกรอบแกรบหยุดและดังเรื่อยๆ หากไม่ใช่เพื่อการได้ยินที่ละเอียดอ่อนของซูมู่เกอ มันอาจเป็นเรื่องยากที่จะสังเกตได้
ครู่ต่อมาเสียงดังใกล้เข้ามา และซูมู่เกอกระชับมือเข้ากับกริช
พร้อมกับเสียงลมที่รุนแรง ซูมู่เกอเปิดม่านอย่างฉับพลันและกระโดดออกจากรถม้า กริชในมือของนางกระพริบในความมืดด้วยความเย็นและแทงออกไปอย่างแม่นยำยังทิศทางของเสียงที่ดังอย่างรวดเร็วและรุนแรง
“โอ้ย!” มีเสียงเด็กร้องออกมาด้วยความตกใจ ซูมู่เกอยั้งมือที่ถือกริชค้างไว้ได้ทัน เพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายเด็ก ด้วยแสงจางๆ นางเห็นเด็กอายุหกหรือเจ็ดขวบอยู่ในมือของนาง
ในขณะนั้น เด็กก็มองนางด้วยสายตาหวาดผวา เขากำลังสั่นสะท้าน
“ถงเอ๋อร์!”
เสียงกรีดร้องดังออกมาข้างหลังนาง ซูมู่เกอปล่อยเด็กและขยังร่างกายอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงการจู่โจม
“โอ้ย!”
หลังจากเสียงกรีดร้องไม่นานก็มีบางอย่างตกลงที่พื้นอย่างแรง
ซูมู่เกอพยายามรักษาสมดูลการทรงตัวและมองย้อนกลับไป สิ่งที่ตกลงบนพื้นคือหญิงชราที่อายุมากกว่าห้าสิบปี
ซูมู่เกอขมวดคิ้ว
“ท่านย่า ท่านยาเป็นยังไงบ้าง?” เด็กน้อยลุกขึ้นจากพื้นและรีบไปช่วยหญิงชรา
มันชัดเจนว่าหญิงชราอาการไม่ดีนักจากการล้มลงบนพื้นเนื่องจากนางต้องใช้เวลาสักพักก่อนที่นางจะสามารถลุกนั่งได้จากความช่วยเหลือของเด็กชายตัวน้อย
“เจ้าเป็นใคร?”
“พวก พวกเราเพิ่งหนีออกจากเขตเมืองโจว…” เด็กชายตอบซูมู่เกอในขณะที่ตัวสั่นด้วยความกลัวและตื่นตัว
ซูมู่เกอขมวดคิ้ว “เจ้าออกมาจากเขตเมืองโจวงั้นรึ?”
“เจ้าค่ะ นายน้อย โปรดเมตตาเราด้วยและช่วยเราด้วยเจ้าค่ะ เราไม่มีอาหารมาหลายวันแล้ว ระหว่างทางเราไม่พบผู้ใดแม้สักคนเดียว เราเห็นรถม้าของท่านและต้องการที่จะมาขออาหาร” หญิงชราอ้าปากค้างและพูดอย่างอ่อนแรง นางขอร้องซูมู่เกอ
“มีเพียงเจ้าสองคนเท่านั้นหรือ?”
เด็กน้อยพยักหน้า “ขอรับ คนในหมู่บ้านหนีออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ บางส่วนถูกน้ำพัดหายไป….”
ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้แกล้งทำ เมื่อซูมู่เกอกำลังจะเก็บกริชที่นางถือไว้ในมือ ทันใดนั้น นางก็หยุดมองไปที่ป่าด้านหลังพวกเขา
“อยู่นิ่งๆและห้ามขยับ!”
ซูมู่เกอกำกริชไว้ในมือของนางและตั้งท่าพร้อมที่จะต่อสู้เมื่อความรู้สึกถึงไอสังหารจากในป่าแล้วจู่ๆมันก็หายไป
ซูมู่เกอตรวจสอบมันหลายครั้ง หลังจากที่นางมั่นใจว่าไม่มีอันตรายแล้ว นางก็หายใจเข้าลึกๆ และเก็บกริชของนาง
นางเดินไปช่วยหญิงชราและหลานชายขึ้นยืน “ข้าไม่รู้ว่าฝนจะหยุดตกเมื่อไหร่ คืนนี้ท่านสามารถพักบนรถม้ากับข้าได้”
เมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้พวกเขากำลังจะคุกเข่าลงและคำนับเพื่อขอบคุณซูมู่เกอ นางหยุดพวกเขาไว้
เสื้อผ้าของทั้งคู่เปียก และพวกเขาคงป่วยแน่ ๆ ที่อยู่แบบนี้ นางทำได้เพียงแค่นำเสื้อผ้าที่เตรียมไว้สำหรับตัวเองและให้พวกเขาเปลี่ยน
นางหยิบห่ออาหารออกจากย่ามของนางให้พวกเขาด้วย “เจ้าไม่ได้กินอาหารมาหลายวันแล้วดังนั้นอย่ากินมากเกินไป กระเพาะอาหารต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว”
“ขอบคุณ นายน้อย ขอบคุณมาก”
เมื่อทั้งสองอิ่มแล้ว นางให้ยาสองเม็ดกับพวกเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหวัดและเป็นไข้ และทั้งสองก็นอนในรถม้า
รถม้าก็ไม่ใหญ่ ซูมู่เกอกังวลว่าจะมีคนเข้ามาในตอนกลางคืน ท้ายที่สุดนางกลัวความรู้สึกของอันตรายที่มาจากในป่า
………………………….
นอกเมืองหยานเซี่ย
เซี่ยโฮวโม่กำลังควบม้าสีดำ เขาสวมชุดเกราะสีม่วงและทองดูหนักและกระหายเลือดไปตามความมืด
กองทัพตะวันตกบุกโจมตีค่ายหยานเซี่ยในเวลาเที่ยงคืนและเซี่ยโฮวโม่ กษัตริย์แห่งจิน นำกองกำลังต่อสู้กลับด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเซี่ยโฮวโม่มาถึงก็ไม่พบกองทัพตะวันตกเลย
คนในหมู่บ้านของพวกเขา ออกมาต่อสู้เอง แต่เมื่อพวกเขาออกมาและพร้อมที่จะต่อสู้ คู่ต่อสู้ก็หายไป และสิ่งที่น่าขันที่สุดคือคนที่เซี่ยโฮวโม่ส่งออกไปนั้นไม่พบร่องรอยของกองทัพตะวันตกเลย
มันเหมือนกับจินตนาการที่หลอกลวงเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นกับกองกำลังของเซี่ยโฮวโม่
กษัตริย์แห่งจินโกรธ และผลที่ตามมาอาจร้ายแรงมาก
หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็ขึ้นม้า
“ฝ่าบาท เราได้ค้นหาสถานที่ที่เป็นไปได้ทั้งหมดแล้วและไม่พบร่องรอยของกองทัพตะวันตกเลยพะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้ที่กราบทูลก็รู้สึกเพียงอากาศเย็นยะเยือกรอบตัวพวกเขา และแม้แต่ลมหายใจของพวกเขาก็หดหู่!
ดวงตาของเซี่ยโฮวโม่ผสานเข้ากับความมืด และดวงตานั้นก็เปี่ยมไปด้วยความเย็นชา
นอกจากนี้ยังมีความขึงขังบนใบหน้าของตงหลิน
“พวกสามารถซ่อนตัวอยู่ที่ไหน?”
รองแม่ทัพมองไปที่เซี่ยโฮวโม่
“ฝ่าบาท เราจะทำเยี่ยงไรดี?”
ดวงตาสีเข้มของเซี่ยโฮวโม่ขยับเล็กน้อย “เจ้าค้นหาสถานที่ทั้งหมดแล้วหรือยัง?”
“ครั้งนี้พวกมันขนกองกำลังมาทั้งหมดเกือบห้าพันคนจากกองทัพตะวันตก ซ่อนตัวอยู่นอกค่ายหยานเซี่ย จะไม่พบร่องรอยหรือทิ้งหลักฐานใดๆเลย มันแทบจะเป็นไปไม่ได้!”
“แล้วค่ายพักทหารล่ะ?”
ตงหลินมองไปที่เซี่ยโฮวโม่ด้วยความประหลาดใจ “ค่ายพักทหารเป็นที่ที่ทหารและม้าของเรามักจะพักผ่อนหลังการฝึก พวกมันจะไม่ไปที่นั่นได้อย่างไร?”
เมื่อดวงตาของเซี่ยโฮวโม่เคลื่อนไหว ตงหลินรู้สึกหายใจลำบากขึ้น “ข้าน้อยจะส่งคนไปค้นหาเดี๋ยวนี้พะย่ะค่ะ”
รองแม่ทัพยังไม่เชื่อเรื่องนี้ “ฝ่าบาท พระองค์คิดว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ในค่ายพักทหารของเราจริงๆหรือพะย่ะค่ะ?”
“เราจะรู้คำตอบเร็วๆนี้”
คนของตงหลินกลังมาในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
“ฝ่าบาท คนของเราพบร่องรอยที่น่าสงสัยในค่ายพักทหารพะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของเซี่ยโฮวโม่ดูมืดมน
“แน่ใจ?”
“มีรอยฝีเท้าใหม่ๆมากมายในค่ายพักทหาร แต่เราหยุดฝึกคนและม้าของเราไปเมื่อสามวันก่อนแล้วพะย่ะค่ะ”
ดวงตาของรองแม่ทัพเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
“พวกมันกล้าซ่อนตัวอยู่ในค่ายพักทหารของเราได้อย่างไร! พวกมันไม่กลัวที่จะถูกจับใส่เหยือกเหมือนเต่าหรือ?”
“พวกกองทัพตะวันตกได้เรียนรู้ที่จะเล่นกลกับเรา!”
เซี่ยโฮวโม่กุมบังเหียนไว้ในมือของเขาแน่น “เนื่องจากพวกเขาต้องการที่จะถูกจับใส่เหยือกเหมือนเต่า งั้นข้าขอเป็นผู้เติมเต็มความฝันของพวกมัน! ไปที่ค่ายพักทหาร!”
“พะย่ะค่ะ!”
ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนเป็นสว่าง
ซูมู่เกอลืมตาและขยับร่างกาย
ขณะนี้ฝนยังไม่ตกหนัก แต่ก็ไม่หยุด
หญิงชราและหลานชายของนางก็ลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงข้างนอก
เปิดม่านรถม้า หญิงชรามองไปที่ซูมู่เกอด้วยความขอโทษ
ซูมู่เกอตกแต่งใบหน้าด้วยเคราดำ เปลี่ยนหน้าตาของนางคล้ายซูหลุน เมื่อคืนนี้หลังจากที่ทั้งสองนอนหลับ
“นายน้อย ขอบคุณที่ช่วยพวกเรา ถ้าไม่ได้ท่าน พวกเราอาจตายแล้ว!”
ซูมู่เกอล้างหน้าด้วยเม็ดฝนและมองไปที่พวกเขา “พวกเจ้ามีแผนจะทำอย่างไรต่อ?”
หญิงชราถอนหายใจขณะที่มองไปที่หลานชาย “เด็กคนนี้มีชีวิตวัยเด็กที่น่าสังเวชนัก พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตและข้าก็เลี้ยงเขามา ตอนนี้หมู่บ้านของเราถูกน้ำท่วม เราไม่มีที่อาศัยและไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน”
“ท่านพอรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของเมืองโจวหรือไม่?”
“หมู่บ้านรอบๆ เมืองโจวถูกน้ำท่วมทั้งหมดหลังจากทำนบเขื่อนแตก สถานที่แห่งเดียวที่สามารถเข้าพักหลบภัยได้คือในตัวเมือง แต่ตอนนี้ฝนตกและไม่มีใครแน่ใจว่าถูกน้ำท่วมหรือไม่ ดังนั้นผู้คนจำนวนมากในเมืองก็เลยหนีไป”
“ท่านคุ้นเคยกับภูมิประเทศรอบๆ เขตเมืองโจวหรือไม่?”
หญิงชราพยักหน้า “ข้าอาศัยอยู่ในเขตโจวมาเกือบทั้งชีวิต ข้าไม่รู้มันครอบคลุมทั้งหมดไหม แต่ข้ารู้มากที่สุด “
“ท่านอยากเป็นเพื่อร่วมเดินทางกลับเข้าเมืองกับข้าหรือไม่?”
หญิงชราลังเลเล็กน้อยและไม่ตอบ
เด็กน้อยเดินมาและดึงเสื้อของนาง “ท่านย่า นายน้อยช่วยเรา เราจะไม่ตอบแทนเขาหรือ?”
เมื่อมองไปที่เด็กน้อย หญิงชราก็ตอบตกลงและพยักหน้าให้ซูมู่เกอ “นายน้อย มีอะไรสำคัญที่ท่านต้องจัดการในเขตโจวหรือไม่? หรือสิ่งอื่นไม่งั้นท่านคงไม่เดินทางไปในเวลาเช่นนี้”
ซุมู่เกอพยักหน้า แต่ไม่พูออะไรออกมาอีก
หลังจากอาหารเช้า หญิงชราและหลานชายของนางขึ้นรถม้า ทั้งสามออกเดินทางไปด้วยกัน
หลังจากนั้นไม่นาน ร่างสีดำออกมาจากป่าและไล่ตามพวกเขาไปในทิศทางที่พวกเขาออกไป…..
หลังจากหยุดชั่วขณะ ซูมู่เกอก็หันศีรษะและมองไปที่เมิ่งซิ่วเหวิน
“นายท่านอาวุโสเมิ่ง มีอันใดอีกรึเจ้าค่ะ?”
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ตระกูลเมิ่งได้ส่งคนมาแจ้งกับนางว่า นางไม่จำเป็นต้องไปที่คฤหาสน์เมิงเพื่อรักษานายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งอีกต่อไปแล้ว ในวันนั้นซูมู่เกอได้แจ้งให้ผู้แจ้งข่าวเพื่อนำข้อความกลับไป จากนั้นก็เป็นการพบกันระหว่างนางกับเมิ่งซิ่วเหวิน
“ท่านยายของข้า….” เมิ่งซิ่วเหวินต้องการอธิบายให้นางฟังว่าทำไมพวกเขาจึงหยุดการรักษานายหญิงเมิ่ง อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นสำหรับมัน เพราะไม่ว่าจะทางใด หญิงชราก็ใช้มันเป็นข้ออ้างในการที่พวกเขาตัดขาดกับตระกูลซู
“นายท่านอาวุโสเมิ่ง ท่านไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องเหล่านี้เจ้าค่ะ ตระกูลเมิ่งได้ให้ประโยชน์ตอบแทนแก่ข้าแล้ว” ซูมู่เกอยกกล่องเล็กๆในมือขึ้นและอธิบาย นางทำการรักษานายหญิงชราเมิ่งและตระกูลเมิ่งช่วยนางหาสิ่งที่นางต้องการแล้ว ตอนนี้พวกเขาใช้หนี้ซึ่งกันและกันเรียบร้อย
“ข้าขอลา”
ซูมู่เกอก้มหัวคำนับและหมุนตัวเดินจากไป
คราวนี้แทนที่จะหยุดนางไม่ให้ไป เมิ่งซิ่วเหวินทำเพียงแค่ยืนมองนางจากไป ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ซูมู่เกอนำกล่องเล็กๆ กลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซู
“คุณหนูใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว” เยว่รู่นำขนมเข้ามาในห้องและเห็นกล่องวางบนโต๊ะ นางตกใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรับใช้ที่นี่แล้ว ออกไปเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
เยว่รู่ออกไปหาซินเอ๋อร์และคนอื่นๆ
ซูมู่เกอเปิดกล่องไม้ มีโสมนอนอยู่ในกล่องซึ่งน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าสามร้อยปี และเห็นหลินจือมันวาวสีแดงเพลิงอายุหลายร้อยปีแต่ไม่น่าจะถึงพันปี
มันเป็นความในใจของนางว่ามันเป็นเพราะตระกูลเมิ่งที่ทำผิดเมื่อคนๆนั้นถูกส่งมาบอกให้นางหยุดรักษา
นางจึงช่วยให้นางได้ค้นพบโสมและเห็นหลินจือเพื่อเป็นการชดใช้
ซูมู่เกอนำพวกมันออกมาจากกล่องและทำความสะอาดด้วยน้ำ จากนั้น โสมและเห็ดหลินจือก็ถูกเติมลงในของเหลวเพื่อทำยาซึ่งนางเตรียมไว้ก่อนหน้านี้
นางทำการครุ่นคิดมาหลายคืนหลายวันแล้วเพื่อศึกษาพิษในร่างกายนาง แล้วนางก็พบว่ามันเป็นกลลวง และเล่ห์เหลี่ยมนางรู้ความหมายของมันแล้วว่าการล้างพิษไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันเกี่ยวกับสมุนไพรในการทำยาแก้พิษ
ด้วยสมุนไพรชนิดเดียวกันที่เติบโตขึ้นในสถานที่ต่างกันในเมืองฉู่และดินแดนพวกตะวันตก ยาที่ทำจากพวกมันอาจมีผลแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
นางรู้เรื่องนี้โดยบังเอิญตอนที่นางอยู่ที่ร้านขายยา พวกเขามีการติดต่อค้าขายระหว่างเมืองฉู่และพวกตะวันตกซึ่งสมุนไพรเป็นที่ต้องการมากโดยเฉพาะจากพ่อค้าของฉู่
ตอนนั้นนางซื้อกลับมาบ้าง เพื่ออยากจะลอกดู กลับกลายเป็นว่าผลของยาที่ทำนั้นดีกว่าของฉู่มาก
ซูมู่เกออยู่ในห้องของนางเป็นเวลาห้าวันและนางไม่ได้ออกจากห้อง ซึ่งคาดหวังว่าจะได้กลับทานอาหารกับนางจ้าวหลังจากนี้
“สมบูรณ์แบบ! ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จแล้ว!”
ประตูห้องถูกเปิดออกโดยซูมู่เกอเสียงดังโครม นางมีความสุขเหมือน…เหมือนเช่นคนบ้าในขณะที่นางเต้นรำด้วยยาเม็ดสีดำขนาดใหญ่ในมือ….
เยว่รู่เป็นห่วงนางและกลัวว่านางจะเป็นบ้าไปแล้วเพราะนางเก็บตัวอยู่ในห้องเป็นเวลาหลายวันเพื่อทำของแปลกๆ
“คุณหนูใหญ่ เป็น ท่านเป็นอย่างไรเจ้าค่ะ?”
ยกก้อนยาในมือของนางอย่างมีความสุข ซูมู่เกอโบกมือด้วยความตื่นเต้น
“เกิดอะไรขึ้นกับฉัน? เอาเงินไปและซื้อเนื้อและปลากลับมาที่ครัวใหญ่ ข้าจะทำอาหารดีๆให้ท่านทาด้วยตัวเองในคืนนี้”
ซินหลันสาวใช้ที่อายุน้อยที่สุดเดินไปหาพวกเขาอย่างรีบเร่งก่อนที่เยว่รู่จะตอบ
“คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ บาง มีบางอย่างผิดปกติ! ท่านขุนนาง ท่านขุนนางหายตัวไปเจ้าค่ะ!”
“อะไรนะ!”
ก่อนที่ซูมู่เกอจะพูดอะไร มีอีกหนึ่งร่างวิ่งเข้ามาหานางแล้วจับมือนางด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
“เจ้ากำลังพูดอะไร? ท่านขุนนางหายไป!?”
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นและพบร่างนั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแม่ของนาง
“ท่านแม่ ไม่ต้องกังวล มาคุยกันห้อง”
นางจ้าวพยักหน้าและพวกเขาทั้งหมดก็กลับเข้าไปในห้อง
ซูมู่เกอมองไปที่ซินหลันที่ยืนอยู่กลางห้อง “เกิดอะไรขึ้น?”
ร่างของซินหลันยังคงสั่นสะท้านด้วยความกลัว
“ข้า ข้าได้ยินเรื่องนี้จากคนอื่นๆ พวกเขาบอกว่าท่านขุนนางไปที่เขตเมืองโจวเมื่อสองวันก่อนเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ที่นั่น แต่ผู้คนในเขตเมืองโจวบอกว่าท่านขุนนางไม่เคยปรากฏตัวที่นั่น ตอนนี้มีข่าวลือในคฤหาสน์ว่าท่านขุนนางได้หลบหนีไปอย่างลับๆ เพื่อไม่ต้องรับโทษจากการถูกคุมขังของจักรพรรดิ!เจ้าค่ะ”
ใบหน้าของทุกคนยกเว้นซูมู่เกอซีดลง
“เป็นไปไม่ได้! ใต้ท้าวไม่มีวันที่จะทิ้งพวกเราไว้ข้างหลัง!” นางจ้าวตอบโต้โดยไม่รู้ตัว
ซึ่งแตกต่างจากปฏิกิริยาทางอารมณ์ของนางจ้าว ซูมู่เกอ ในความรู้สึกของนาง เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่ซูหลุนจะทำสิ่งที่โง่เขลาเช่นนั้น เขาฉลาดพอที่จะรู้ว่าถ้าเขาหนี เขาจะทำให้ตระกูลซูทั้งหมดตกอยู่ในห้วงเหวลึกที่ไม่อาจคาดเดาได้ ยิ่งกว่านั้นชีวิตที่เหลือของเขาจะสิ้นสุดลง
“นายหญิงอันส่งใครไปตามหาเขาหรือเปล่า?”
“ข้า ข้าไม่รู้….” แม้ว่าซินหลันจะเกิดและโตในคฤหาสน์ พ่อแม่ของนางทำงานอยู่ในหมู่บ้าน นางจึงไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดภายในคฤหาสน์มากนัก
“มูมู่ ข้า ข้าไม่เชื่อมัน ท่านพ่อของเจ้า เขาจะไม่มีวันทอดทิ้งพวกเรา….” นางจ้าวไม่ค่อยเข้าใจว่ามันว่าจะมีความหมายอย่างไรสำหรับพวกเขา ถ้าซูหลุนหนีไปแบบนี้จริงๆ
ซูมู่เกอจับมือแม่ของนาง “ไม่แน่นอนเจ้าค่ะ ซินหลัน เจ้ารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ในคฤหาสน์และกลับมาหาเราทันทีที่เจ้าได้ข่าว”
“เจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่ต้องกังวลและทำงานของเจ้าให้ดี หากพบว่าใครทำงานไม่ดีหรือมีความคิดอื่นๆ ข้าจะไม่ปล่อยมันไปอย่างแน่นอน!”
ซินหลันและคนอื่นๆ คุกเข่ารับคำของนาง
“เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่”
สิ่งที่ไม่คาดคิดคือไม่มีข่าวจากซูหลุนเป็นเวลาหลายวัน ราวกับว่าเขาหายไปจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิง
นางอันแสร้งทำเป็นสงบมาหลายวันแล้ว และตอนนี้นางไม่สามารถซ่อนมันได้อีกต่อไป หากจักรพรรดิรู้เรื่องนี้และลงโทษพวกเขา จะไม่มีใครเหลือรอดแม้แต่คนเดียว!
“มาม่า ใต้ท้าวตายไปแล้วหรือไม่? เขาจริงๆเหรอ…” นางอันนั่งหน้าซีดราวกระดาษ นางกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น
หลี่มาม่าก็ลูกลี้ลุกลนเช่นกัน แต่นางต้องสงบสติอารมณ์และนางกล่าวว่า “นายหญิงเจ้าค่ะ อย่าพูดไร้สาระ ท่านรู้ดีว่าการไปเขตเมืองโจวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะน้ำท่วม ท่านขุนนางอาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งระหว่างทาง….”
“มาม่า อย่าโกหกเพื่อปลอบใจข้าเลย จากที่นี่ไปยังเขตเมืองโจวใช้เวลาเดินทางเพียงสามวัน และเขาไปที่นั่นโดยรถม้า! ข้าควรทำอย่างไรดี? ข้าได้เขียนจดหมายถึงท่านพ่อของข้าเมื่อไม่กี่วันก่อน และเขายังไม่ตอบกลับมาเลย”
“นายหญิงเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ต้องการขอเข้าพบท่านเจ้าค่ะ” เสียงแม่บ้านดังมาจากด้านนอกห้อง
นางอันไม่ได้ซ่อนความรำคาญไม่พอใจบนใบหน้าของนางเมื่อได้ยินมัน
“นางมาทำอะไรตอนนี้? นางต้องการขอให้ข้าช่วยชีวิตคนทั้งสามเหรอ! บอกให้นางกลับไป และบอกนางว่าข้าหลับแล้ว”
“เยี่ยม ประมาทขนาดไหนที่ท่านยังมีอารมณ์หลับลงได้”
“นี่ เจ้าไม่ควรเข้ามา….”
ก่อนที่นางอันจะพูดจบ ซูมู่เกออยู่ในห้องของนางแล้ว สาวใช้ที่อยู่เบื้องหลังไม่สามารถหยุดนางได้
นางอันได้แต่โบกมือให้สาวใช้ออกไป
“คุณหนูใหญ่ เจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร?”
ซูมู่เกอเพิกเฉยต่อความไม่อดทนบนใบหน้าของนางอัน เดินไปที่เก้าอี้และนั่งลง
“นายหญิง ข้ารู้ว่าท่านกังวลเรื่องอะไร ข้ามาที่นี่ในวันนี้เพื่อพูดกับท่านเกี่ยวกับทางเลือกในการแก้ปัญหา”
นางอันเหลือบมองนางด้วยความถากถาง “ทางเลือก? เจ้ามีวิธีแก้ปัญหาแบบไหนกันล่ะ?”
“ข้าจะไปตามหาท่านพ่อที่เขตเมืองโจว”
ทั้งสองคนตกอยู่ในความประหลาดใจ นางอันและหลี่มาม่ามองไปที่ซูมู่เกอราวกับว่าพวกเขากำลังสนทนากับคนบ้า
“เจ้ากำลังพูดถึงอะไร? เจ้ากำลังจะไปที่เขตเมืองโจวและไปตามหาท่านพ่อของเข้า?”
“นั่นถูกต้องแล้ว”
“คุณหนูใหญ่ เจ้ามีความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้ากำลังพูดหรือไม่?” ใบหน้าของหลี่มาม่าประหลาดใจมากยิ่งขึ้น
ซูมู่เกอมองนางด้วยความสงบ “ข้ารู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ นายหญิง ข้ามาหาท่านเพื่อสองสิ่ง สิ่งแรก คือขอให้ท่านเตรียมของสำหรับการเดินทางของข้า สิ่งที่สองคือ ข้าต้องการตราประทับอย่างเป็นทางการของท่านพ่อ”
“เจ้าต้องการตราประทับอย่างเป็นทางการสำหรับอะไร?”
“ข้าไม่สามารถตามหาท่านพ่อด้วยตัวของข้าเองได้ ข้าต้องการคน ตอนนี้ทุกคนอยู่ในความตระหนกในคฤหาสน์ตระกูลซู นายหญิง ท่านคิดว่าพวกเขาวางใจได้หรือ?”
นางอันจ้องไปที่ซูมู่เกอ นางไม่เคยคิดว่าซูมู่เกอจริงจังกับการตามหาพ่อของนาง ซูหลุน!
“แล้วถ้าท่านพ่อของข้า…หายไปจริงๆ ท่านสามารถทำอะไรกับตราประทับที่เป็นทางการของเขาได้?”
นางอันขมวดคิ้ว นางรู้ว่าซูมู่เกอพูดถูก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับซูหลุน หรือถ้าเขาหนีไป ไม่มีใครสนใจตราประทับอย่างเป็นทางการใดๆ
จากที่ซูมู่เกอต้องการตามหาพ่อของนาง ทำไมไม่ให้นางไปล่ะ? นางแทบรอไม่ไหวที่จะเห็นว่าซูมู่เกอจะมีกลเม็ดแบบไหน
“ดี เจ้าจะไปเมื่อไหร่?”
“ยิ่งเร็วยิ่งดี”
………………………
ซูมู่เกอบรรจุยาเม็ดด้วยความระมัดระวังเมื่อนางกลับมาที่ลานดอกท้อ
“คุณหนูเจ้าค่ะ ท่านจริงๆ…” เยว่รู่เป็นคนเดียวในลานบ้านดอกท้อบานที่รู้ว่าซูมู่เกอกำลังจะมุ่งหน้าไปที่ใด
“ท่านพ่อของข้าไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรในตอนนี้ ในฐานะลูกสาวของเขาข้ามีหน้าที่ต้องไป” ซูมู่เกอเก็บข้าวของของนางอย่างสงบนิ่ง
“แต่คุณหนู ท่านไม่รู้หรอกว่าสถานที่นั้นจะอันตรายแค่ไหน…ข้ารู้สึกกังวลเกี่ยวกับการเดินทางคนเดียวของท่าน”
ซูมู่เกอผูกกริชไว้ที่ขาของนางและเปลี่ยนเป็นเครื่องแต่งกายชายที่นางเตรียมไว้
“คุณหนูเจ้าค่ะ ให้ข้าไปด้วยเถิด อย่างน้อยข้าก็ดูแลท่านระหว่างทางได้”
“ข้าต้องห่วงใครสักคนแล้วข้าไม่รู้สึกสนุก”
“คุณหนู….”
ซูมู่เกอหยิบกระดาษโน้ตออกมาจากร่างของนาง “หลังจากที่ข้าออกเดินทางไปแล้ว จัดการมอบสิ่งนี้ให้กับนายท่านผู้อาวุโสเมิ่งให้ข้าด้วย”
เยว่รู่รับจดหมายมาโดยอัตโนมัติ แต่ยังอยู่ในความพิศวง
“เจ้าค่ะ ข้าจะมอบสิ่งนี้ให้กับนายท่านอาวุโสเมิ่ง”
“และบอกแม่ของข้าดูแลน้องชายของข้าด้วย ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้า ข้าจะไปแล้ว”
ซูมู่เกอจากไปโดยไม่ลังเลใดๆ เวลาเป็นเงินเป็นทอง และนางไม่สามารถเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวเพราะนางไม่รู้ว่าสถานการณ์ในเขตเมืองโจวเลวร้ายแค่ไหน
นางอันทำงานอย่างเงียบๆด้วยความมีประสิทธิภาพดี ตอนที่ซูมู่เกอไปที่ประตูทางออก รถม้า แม้จะไม่ใหญ่มาก แต่ก็มั่นคงเพียงพอรออยู่ด้านนอก หลี่มาม่าส่งเจ้าหน้าที่มาให้ ซูมู่เกอด้วยตัวนางเอง
“นายหยิงได้เตรียมสิ่งของทั้งหมดที่ท่านต้องการไว้ในรถม้าแล้ว ท่านสามารถทิ้งความกังวลอื่นๆได้เลย” แม้ว่าหลี่มาม่าไม่เคยชอบซูมู่เกอ ในตอนนี้นางชื่นชมซูมู่เกอ ที่จริงแล้วหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานจากคฤหาสน์แทบจะไม่มีความกล้าหาญใดเลย
ซูมู่เกอนำสิ่งของติดตัวมาด้วยและขึ้นรถม้า
นางอันได้จัดคนขับรถม้าให้นางเพียงคนเดียว มีสมุนไพรและยาสามัญบางอย่างอยู่ในรถม้านอกจากอาหารแห้ง
ถ้าเร็วพอนางสามารถไปถึงเขตเมืองโจวได้ในหนึ่งวันเป็นอย่างเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ด้วยฝนตกตลอดวัน ถนนสายหลักจึงเป็นหลุมเป็นบ่อ เพียงครึ่งวันหลังจากพวกเขาออกจากเมืองชุนหยาง ม้าเหนื่อยและรถม้าก็ชะลอตัวลง
ซูมู่เกอพิงผนังรถม้าเมื่อนางเกือบจะหลุดออกมาเพราะการกระแทกอย่างฉับพลัน
นางพยายามรักษาสมดุลการทรงตัวและเปิดม่าน “เกิดอะไรขึ้น?”
“ใหญ่ คุณหนูใหญ่ขอรับ ที่นั่น ที่นั่นมี…..” ใบหน้าของคนขับซีดเผือดและมีความหวาดกลัวในสายตาของเขาเมื่อเขามองมาที่ซูมู่เกอราวกับว่ามีผี……
ในห้องที่มีแสงสลัว มีสองร่างนั่งอยู่ตรงข้ามกัน
กุยหม่ามองไปที่เซี่ยโฮวโม่ด้วยความสบายๆ เล่นกับถ้วยชาในมือของเขา
ในอีก้านหนึ่ง ใบหน้าของเซี่ยโฮวโม่เย็นชาราวกับน้ำแข็งพร้อมกับความเยือกเย็นที่รายล้อมรอบตัวเขาซึ่งป้องกันไม่ให้คนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ๆ
“อะชิ่ว!” กุยหม่าลูบจมูกของเขา เขาใช้สบู่ที่มีกลิ่นหอมมากและกลิ่นนั้นก็ค่อนข้ารุนแรง
“ใต้เท้าที่เคารพ ท่านต้องการอะไรจากข้าที่พาข้ามาที่นี่?”
“ข้าถูกวางยาพิษ”
“อะไรนะ?” กุยหม่ากระโดดขึ้นยืน ความเกียจคร้านของเขาหายไปภายในหนึ่งวินาที เขาเดินมาข้างหลังเซี่ยโฮวโม่และจับชีพจรของเขา
ตอนนี้ใบหน้าของเขาอยู่ในความจริงจัง
“ท่านถูกวางยาพิษโดยเปลวเพลิงเลือด!”
ไม่มีการแสดงออกมากมายบนใบหน้าของเขา เซี่ยโฮวโม่เอามือของเขาออก
“ใช่”
“เมื่อไหร่?”
“ประมาณครึ่งเดือนที่แล้ว”
หลังจากที่เขาได้ยินคำตอบ กุยหม่าขมวดคิ้วและสงสัยว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่เนื่องจากผู้หญิงที่หลบหนีคนนั้นถูกวางยาพืษในเวลาเดียวกัน
เปลวเพลิงเลือดเป็นสารพิษชนิดหนึ่งที่หายากมาก ซึ่งหมายความว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่จะได้รับพิษจากมัน
“ใครทำสิ่งนี้กับท่าน?”
“พวกขบถทางใต้”
การแสดงออกบนใบหน้าของกุยหม่าบ่งบอกว่าเขาคาดไว้แล้ว “ไม่น่าแปลกใจ มียากระตุ้นอย่างหนึ่งที่เราไม่มีในฉู่ และพบได้ในดินแดนอันน่าสยดสยองของอนารยชนทางตอนใต้เท่านั้น”
“เจ้าไม่มียาถอนพิษนี้หรือ?”
กุยหม่าหยุดชะงักและยืดคอของเขาให้ตรงขึ้นเล็กน้อย “ทำไมล่ะ? ข้าสามารถปรุงยาแก้พิษได้ และข้าแค่ขาดสมุนไพรไม่กี่ชนิด!”
เซี่ยโฮวโม่ขมวดคิ้ว
“อธิบายมันให้ชัดเจน”
กุยหม่าเหลือบมองเขา “แม้ว่าตอนนี้ข้ายังไม่มียาถอนพิษ ข้ามียาบางชนิดสำหรับควบคุมพิษ ด้วยยากหนึ่งเม็ดทุกเดือน ท่านจะไม่ต้องกังวลกับการตายอย่างน้อยในครึ่งปีนี้”
กุยหม่าหยิบขวดกระเบื้องออกมาและมอบมันให้เซี่ยโฮวโม่
เซี่ยโฮวโม่หยิบขวดขึ้นมาและสังเกตว่าดวงตาของกุยหม่ายังคงจับจ้องเขาอยู่
“พิษออกฤทธิ์กับท่านหรือไม่?”
“ใช่” เซี่ยโฮวโม่ตอบราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ
มีเสียงคล้ายการสูดหายใจดังฮึดๆ
กุยหม่าอ้าปากค้างกลางอากาศ
“แล้วท่านทนมันไหว?”
เซี่ยโฮวโม่หลับตาที่มืดมนของเขาและไม่ได้พูดอะไร
มีอาการสั่นไปทั่วร่างของกุยหม่าอย่างไม่รู้ตัว
คนตรงหน้านี้ช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้! แม้ว่าความจริงที่ว่าเขาไม่เคยมีประสบการณ์จากการถูกพิษเปลวเพลิงเลือดทำลาย เขารู้ดีว่ามันเจ็บปวดเหลือแสนและน่ากลัวกว่าการถูกเอาเลือดออกและถลกหนังในขณะที่ยังมีชีวิต แล้วผู้ชายคนนี้ เขาทนไหว!
ตงหลินอยู่ที่ประตูในตอนที่พวกเขาคุยกัน
“ใต้เท้า ขบถทางใต้เริ่มปฏิบัติการแล้วขอรับ”
ดวงตาที่ลึกล้ำและมืดมิดของเซี่ยโฮวโม่เปิดขึ้นในทันทีด้วยรูปลักษณ์ที่น่ากลัว
“เดินทางสู่หยานเซี่ย ข้าไม่ได้กลิ่นเลือดมานานแล้ว เตรียมม้าให้พร้อม เรากำลังจะกลับไปที่หยานเซี่ยเดี๋ยวนี้”
“ขอรับใต้เท้า”
กุยหม่ามองไปที่เซี่ยโฮวโม่ที่ยืนขึ้น “ท่านกำลังจะไปต่อสู้ด้วยตัวท่านเองหรือ?”
“มันถึงเวลาสำหรับพวกมันแล้วที่จะต้องรู้ว่าใครคือนายที่แท้จริง!”
…………………
“อะไร เกิดอะไรขึ้นกับนายหญิง?” มาม่าจ้องนิ่งที่ซูมู่เกอดวงตาของนางเป็นสีแดงด้วยความโกรธ
ซูมู่เกอกำลังจะก้าวเข้าไปและจับชีพจรของนายหญิงเมิ่ง แต่มาม่าหยุดนางไว้
“คุณหนูซู ท่านจะทำอะไรอีก!?”
สิ่งนี้กระตุ้นความไม่อดทนอย่างฉับพลันของซูมู่เกอ นางไม่เคยอารมณ์ดีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับญาติหรือคนที่มาพร้อมกับผู้ป่วย
“ท่านกำลังทำให้เสียเวลาในการรักษาของนายหญิงเมิ่ง หากมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น ท่านจะรับผิดชอบอย่างไร?” น้ำเสียงที่แข็งกร้าวและนิ่ง เกือบจะทำให้อีกฝ่ายหนาวสั่น
มาม่าตัวสั่นและมองไปที่นายหญิงเมิ่งที่หมดสติ นางขยับร่างกายของนางอย่างไม่เต็มใจ แต่สายตาของนางก็ยังจ้องไปที่ซูมู่เกอด้วยสายตาเชือดเฉือน
ซูมู่เกอรู้สึกถึงชีพจรของหญิงชราเมิ่ง และหยิบเข็มเงินออกจากร่างของนาง
“เกิดอะไรขึ้น?”
“นายหญิงเป็นลมเพราะนางกังวลเกินไป อีกไม่นาน และนางจะฟื้นในไม่ช้า”
มาม่าเม้มริมฝีปากแน่นและมองไปที่รู่เหม่ยในห้อง รู่เหม่ยกลัวความตายเช่นกันเมื่อนางเห็นกระบวนการทั้งหมด ดังนั้น นางจึงไม่ได้รับความหมายจากสายตาของมาม่า
ซูมู่เกอถอดกระบอกไม้ไผ่ทั้งหมดออกจากร่างของหญิงชราเมิ่ง ก่อนที่รู่เหมยจะเข้าใจรูปลักษณ์นั้น
“นายหญิงไม่สามารถสัมผัสน้ำหรือกินอาหารเย็น ๆ ได้จนถึงเช้าวันพรุ่งนี้”
ซูมู่เกอเริ่มบรรจุกล่องยาของนางหลังจากที่นางทิ้งคำพูดนั้น หญิงชราเมิ่งไม่ได้ตื่นขึ้นมาตามเวลาที่นางออกจากโถงอายุมั่นขวัญยืน
“เร็วเข้า! ไปรับหมอหู!”
มาม่าพูดเช่นนั้นกับสาวใช้หลังจากที่ซูมู่เกอจากไป
รู่เหม่ยไม่เชื่อมาม่า เนื่องจากซูมู่เกอปฏิบัติต่อนายหญิงเมิ่งตลอดหลายวันมานี้ และพวกเขาไม่เคยขอให้หมอหูมารักษาเลย
“แต่มาม่า….”
“แต่อะไร? เร็วเข้า! เจ้าไม่เห็นหรือว่านายหญิงยังอยู่ในอาการโคม่า!”
ในที่สุดรู่เหม่ยก็ไปตามหมอมาดูนายหญิง
………………..
ซูมู่เกอสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติในคฤหาสน์ตระกูลซูเมื่อนางกลับมาถึง
เมื่อนางเข้ามาที่ลานดอกท้อบาน เยว่รู่ก็ออกมาทักทายนางด้วยความตึงเครียดบนใบหน้าจองนาง
“คุณหนใหญ่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”
ซูมู่เกอก้าวเข้าไปในหร้องพร้อมกับคิ้วขมวด “เกิดอะไรขึ้น?”
เยว่รู่มองไปที่ซินเอ๋อสาวใช้ที่รออยู่นอกประตูและพูดว่า “ซินเอ๋อขอชาขิงอุ่นๆของคุณหนูใหญ่หนึ่งถ้วย”
ซินเอ๋อจากไปราวกับลูกธนู
หลังจากปิดประตูอย่างระมัดระวังแล้ว เยว่รู่เดินกลับไปข้างๆ ซูมู่เกอ
“คุณหนูใหญ่ ผู้คนต่างพูดกันว่าเขตปกครองของใต้เท้าถูกน้ำท่วม! และไม่มีที่ใดจะพบผู้พิพากษาเขตได้เลย!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากเยว่รู่ ซูมู่เกอขมวดคิ้ว “เขตปกครองของใต้เท้า?”
“เจ้าค่ะ มีทั้งหมดสิบมณฑลอยู่ภายใต้การบริหารของใต้เท้า ตอนนี้พวกเขากำลังบอกว่าใต้เท้าจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ ถ้าจักรพรรดิทรงรู้เรื่องนี้และกล่าวหาเขาในเรื่องนี้ ทั้งครอบครัวอาจถูกประหาร!”
ใบหน้าของซูมู่เกอแข็งกร้าวด้วยความขึงขัง
แม้ว่าคำพูดของเยว่รู่จะน่าตกใจ แต่ก็มีความเป็นไปได้
ทำนบเขื่อนควรจะต้องแข็งแรงมาก แล้วมันพังง่ายๆขนาดนี้ได้ยังไง? แม้ว่านางจะไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์เกี่ยวกับปัญหาเขื่อนแตก อย่างน้อยนางก็มั่นใจได้ถึงเจ็ดสิบหรือแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นเช่นนั้นในฐานะเจ้าหน้าที่สูงสุดในเขต ไม่มีทางที่ซูหลุนจะรอดไปจากมันได้
เมื่อถึงเวลานั้น มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะปกป้องทั้งตระกูลซูจากการลงโทษใด ๆ พร้อมกับการสูญเสียชีวิตของเขาเอง นับประสาอะไรกับการเลื่อนตำแหน่ง
หากวันนั้นมาถึง เมื่อตัวนางเอง น้องชายและแม่ของนางก็หนีไม่พ้น นางคงไม่มีความคิดที่จะเชื่อว่านางสามารถต่อสู้กับพระราชาแห่งแคว้นนี้ได้
“อย่าตระหนกมากนักและอย่าปล่อยให้ข่าวลือและจินตนาการเหล่านั้นทำให้เจ้ากลัวมากเกินไป”
“เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว”
หลังจากรายงานข่าวในเรื่องอื่นๆเกี่ยวกับคฤหาสน์ให้กับซูมู่เกอฟังแล้ว เยว่รู่ก็จากไป
ซูมู่เกอจึงนำสิ่งของทั้งหมดของนางไปทำยาแก้พิษ
สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดคือการล้างพิษในตัวของนางเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น มันไม่ใช่ตรวนของนาง
แม้ว่าจะมีเครื่องมือที่จำกัดให้นางใช้ ซูมู่เกอพบว่าตัวเงื่อนไขปัญหาในตัวเอง
นางจำได้ว่าเมื่อวันก่อนบนถนน ชายคนนั้นกำลังมองหาโสมที่มีอายุมากกว่าห้าร้อยปี และเห็ดหลินจือมันวาวอายุมากกว่าหนึ่งพันปี นางตระหนักว่าในยาที่นางทำขึ้นเพื่อควบคุมพิษนี้ นางไม่ได้ใช้สมุนไพรทั้งสองชนิดนี้จะยังได้ผลหรือไม่
สิ่งเหล่านี้อาจเป็นประเด็นสำคัญในการสร้างยาแก้พิษสำหรับพิษเปลวเพลิงเลือด
เมื่อพบทิศทางนี้ การวินิจฉัยของนางเกี่ยวกับการทำยาแก้พิษมีความก้าวหน้าอย่างมาก
นางเชื่อว่าจะใช้เวลาไม่นานในการหาวิธีทำยาแก้พิษได้!
………………….
ภายในหย่าเหมิน
ซูหลุนเหงื่อแตกเพราะเหตุฉุกเฉินนั้น เดินกลับไปมาและศึกษาสถานการณ์น้ำท่วมอย่างเป็นกังวล
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับเขตโจว แม้แต่รับใช้ของคฤหาสน์ซูก็รู้ผลที่ตามมาและเขาจะไม่คิด!
มีคนวิ่งเข้าในหย่าเหมินจากข้างนอก
“ใต้เท้า บางอย่าง บางสิ่งผิดปกติ!”
“อะไร เกิดอะไรขึ้นตอนนี้?!”
“มีการต่อสู้ การต่อสู้ที่หยานเซี่ย!”
ซูหลุนผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินว่ามีสงครามซึ่งไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจการปกครองของเขา แต่เขาสะดุดใจบางอย่าง และจับเสื้อของผู้ส่งข่าวหย่าเหมิน ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเป็นสีแดงด้วยความโกรธเขาถามอีกครั้งว่า “ที่ไหนนะ? เจ้าพูดว่าการต่อสู้อยู่ที่ไหน?”
ผู้ส่งข่าวแทบจะร้องไห้เมื่อตกใจกับการมองของซูหลุน
“มันคือ….มันคือหยานเซี่ย พวกกบฏทางใต้เริ่มการโจมตีที่หยานเซี่ย”
“กษัตริย์แห่งจินได้นำกองกำลังทหารเข้าสู้รับด้วยตัวเอง”
ชุนหยางเป็นเมืองเดียวที่อยู่ใกล้หยานเซี่ย จะเป็นเมืองแรกที่มีส่วนร่วมในการสู้รบหาก ค่ายหยานเซี่ยแตก ไม่น่าแปลกในที่ซูหลุนตื่นตระหนกมาก
“เจ้าบอกว่ากษัตริย์แห่งจินนำกองกำลังทหารมาด้วยตนเองรึ?”
“ใช่ ขอรับใต้เท้า”
สีหน้าของซูหลุนกลับมาพร้อมกับคำตอบที่เป็นการยืนยันนั้น
ทุกคนในฉู่รู้ว่าพระราชาแห่งจินเป็นผู้ปกป้องรัฐโดยธรรมชาติ เขารับผิดชอบกองทหารและการรบ ฉู่ไม่เคยผิดพลาด ตอนนี้ซูหลุนรู้แล้วว่าเข่อยู่ที่ด่านหยานเซี่ย เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวการบุกรุกของกบฎทางใต้เหล่านั้น
ซูหลุนหายจากความกลัวอันเลวร้ายนี้ซึ่งเขาไม่สามารถอธิบายได้หลังจากเขื่อนแตกในเขตโจว
อย่างไม่คาดคิด มีคนจากคฤหาสน์เมิ่งมาหาซูมู่เกอและบอกนางว่าอาการของนายหญิง เมิ่งดีขึ้นมากหลังจากการบำบัดด้วยบ้องดูดเลือด และไม่จำเป็นที่นางจะต้องไปดูแลนายหญิงเมิ่งทุกวัน
ซูมู่เกอส่งเสียงทางจมูกและไม่พูดอะไร
ไม่ว่าตระกูลเมิ่งจะมีเจตนาอะไร นางก็จะไม่ปฏิบัติต่อหญิงชราเมิ่งอีก!
ตระกูลเมิ่งเป็นหนี้นาง อย่างไรก็ตามนางควรได้รับมันกลับคืนมา
“คุณหนู ท่านกำลังจะออกไปข้างนอกหรือเจ้าค่ะ?”
เยว่รู่ถามซูมู่เกอด้วยความอยากรู้เมื่อเห็นนางเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับออกข้างนอก
ซูมู่เกอพยักหน้า “ใช่”
นางอันคงเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องแคว้นโจวอยู่ในขณะน้าและไม่น่าจะมีเวลามาตุกติกกับพวกเขาได้ ดังนั้นซูมู่เกอจึงแน่ใจว่ามันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับนางที่จะออกไปนอกคฤหาสน์
ยังไม่มีวี่แววว่าฝนจะหยุดตก ซูมู่เกอตรงไปที่โรงน้ำชาทันทีหลังจากที่นางออกจากรถม้าของคฤหาสน์ซู
นางเดินไปที่ห้องปีก และเห็นร่างรางๆคลุมเครือ ซึ่งนั่งอยู่ข้างในห้องแล้ว
นางผลักประตูให้เปิดออก และคนที่นั่งอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมองนาง
ซูมู่เกอเดินไปข้างหน้าและนั่งลงตรงข้าม
“นายท่านเมิ่ง ขอโทษที่ทำให้ท่านรอ”
เมิ่งซิ่วเหวินอยู่ในชุดคลุมไม้ไผ่สีเขียว คาดเอว ซึ่งทำให้เขาดูผอมและสง่างาม
มีหมวกคลุมศีรษะของซูมู่เกอ เมิ่งซิ่วเหวินไม่สามารถบอกการแสดงออกของนางได้
“ข้าเพิ่งมาถึงเช่นกัน”
ซูมู่เกอรินชาให้ตัวเอง มองนิ้วบอบบางของนางที่วางไว้รอบถ้วยชา เมิ่งซิ่วเหวินหยิบกล่องเล็กๆ ออกมาจากด้านหลังของเขา
“คุณหนูซู ข้าได้นำสิ่งที่เจ้าของมาให้เจ้าแล้ว”
ดวงตาของซูมู่เกอตกลงบนกล่องผ่านห่อผ้าแพร นางเอื้อมมือไปรับมัน เปิดกล่องและพยักหน้า
“นายท่านเมิ่ง ขอบคุณท่านมาก” จากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืน
เมื่อเห็นเช่นนี้เมิ่งซิ่วเหวินก็ยืนขึ้นและหยุดนางไว้ “คุณหนูซู โปรดรอสักครู่”
ไม่มีใครในห้องนี้คาดคิดว่าซูมู่เกอจะมา และพวกเขาก็ต่างตกตะลึง
นางอันจับมือนางจ้าวราวกับว่าเป็นพี่สาวที่สนิทกันมาก ซึ่งมันตรงกันข้ามกับความเป็นจริง
“ทำไมเจ้าไม่รายงานการมาถึงของคุณหนูใหญ่?” นางอันอ้าปากเอ่ยขึ้นก่อน
ซูมู่เกอเดินเข้าไปโค้งคำนับเล็กน้อยและพูดว่า “ข้าเดินเร็วเกินไปและสาวใช้ก็ไม่มีเวลาพอที่จะรายงานได้ โปรดอย่าตำหนิพวกเขา”
นางอันละมือออกจากนางจ้าวและกำลังจะจับมือของซูมู่เกอ แต่ซูมู่เกอหันหลังกลับเดินไปนั่งที่เก้าอี้อย่างชาญฉลาดเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสร่างกายกับนางอัน
“นายหญิง วันนี้ท่านมีเวลามาที่นี่ได้อย่างไรเจ้าค่ะ?”
“อืม ฟังเสียงเจ้าเหมือนกับไม่ยินดีที่จะต้อนรับข้า”
เมื่อพูดเช่นนั้น นางอันก็มองไปที่นางจ้าวด้วยสายตาขุ่นมัวและแข็งกร้าว นางจ้าวเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
“มู่มู่ นายหญิงอันมาเยี่ยมแม่และน้องชายของเจ้า”
ซูมู่เกอมองไปที่นางอันอย่างไม่แยแส นางเริ่มสงสัยเกี่ยวกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของนางอัน จากที่เมื่อไม่นานมานี้ที่นางเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ
“นายหญิง มันเป็นความเกรงใจท่านอย่างมาก มันก็ค่ำแล้วและข้าเชื่อว่ามีงานและหน้าอื่นๆ ในคฤหาสน์รอให้ท่านจัดการ ข้าไม่กล้าให้ท่านเสียเวลาของท่านต่อแม่ของข้าและน้องชาย”
นางอันยังนั่งนิ่งโดยไม่มีเจตนาที่จะจากไปราวกับว่านางไม่รู้ว่าซูมู่เกอไม่ชอบนาง “อันที่จริงแล้ว ข้ากำลังคุยกับพี่สาวว่าเจ้าจะอายุสิบห้าปีนี้แล้วและเป็นวัยที่ต้องคิดเรื่องแต่งงานของเจ้าได้แล้ว เจ้าเป็นลูกสาวที่เกิดมาแท้จริงของคฤหาสน์ของเรา และเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าจะเรียนรู้ทักษะการดื่มและอาหาร ข้ากำลังคิดว่าถ้าเจ้ามาที่บ้านของข้าในวันนี้ถ้าเจ้าว่าง และเจ้าสามารถเรียนรู้ทักษะเหล่านั้นร่วมกับน้องสาวของเจ้าได้”
นางจ้าวพยักหน้าเป็นการเห็นด้วย
“มู่มู่ นายหญิงพูดถูก”
ไม่เหมือนเด็กสาวคนอื่นๆในวัยเดียวกัน ไม่มีความเขินอายในสายตาของซูมู่เก๋อ เมื่อพูดถึงการแต่งงานของนาง มีแต่ ความเศร้าโศก แทน
“นายหญิง ขอบคุณท่านมากสำหรับความมีน้ำใจ แต่ข้าต้องรักษานายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งในความเจ็บป่วยของนางในวันนี้และข้ากลัวว่าจะไม่มีเวลา”
“เจ้าเป็นคนที่น่าทึ่งจริงๆ ข้าได้ยินมาจากพ่อของเจ้าว่าแม้แต่หมอของจักรพรรดิก็ไม่สามารถทำอะไรกับอาการป่วยของนางได้ เจ้าได้พบกับปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่คนไหนที่สอนทักษะอันโดดเด่นเช่นนี้ให้กับเจ้า?”
เห็นได้ชัดว่านางอันต้องการให้ซูมู่เกอบอกความลับของนาง
ซูมู่เกอยิ้มและมองไปที่นางอัน “ข้าไม่รู้จะตอบคำถามของท่านอย่างไร นายหญิง ท่านก็รู้ว่าข้าเกือบจะตายไปแล้วก่อนหน้านี้ ในฐานะคนที่เคยเห็นราชาแห่งนรกอย่างข้าคงจะรู้อะไรมากกว่าคนอื่น ๆ ถูกหรือไม่?”
สีหน้าของนางอันเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และมือของนางที่ถือผ้าเช็ดหน้าก็กำแน่นขึ้นและเกร็งขึ้น นางหายใจเข้าลึก ๆ และยืนขึ้น
“เจ้าพูดถูกแล้ว มันค่ำมืดมากแล้วและข้าไม่ควรรบกวนพี่สาวของข้า ไปกันเถอะ”
ซูมู่เกอขอให้เหมยฮัวออกไปและปิดประตูทันทีที่นางอันก้าวพ้นไปแล้ว
นั่งในห้องโดยไม่มีคำพูดอีก ซูมู่เกอเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาบนโต๊ะช้าๆ แล้วจิบ
เป็นเวลานานพอสมควรเมื่อนางจ้าวสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องในห้อง นางเริ่มรู้สึกไม่สบายตัว
“มูมู่…เมื่อวาน เมื่อวานเจ้าเหนื่อยมากไหมที่ไปคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง?” นางเจ้าไม่กล้าที่จะถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับทักษะทางการแพทย์ของซูมู่เก๋อ เนื่องจากนางบอกพวกเขาไปแล้วว่ามีบางอย่างเกี่ยวข้องกับราชาแห่งนรก
หลังจากที่ซูมู่เกอวางถ้วยชาในมือของนางลง นางมองไปที่นางจ้าวอย่างสิ้นหวัง เมื่อเห็นความสับสนในดวงตาของนาง ซูมู่เกอก็ถอนหายใจออกมา
“ท่านแม่ ท่านลืมไปแล้วเหรอรึเปล่าว่านางเคยปฏิบัติกับเราอย่างไรมาก่อน?”
ซูมู่เกอเป็นคนประเภทที่ต้องแบกรับความขุ่นเคือง ยิ่งไปกว่านั้นการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของนางอันอย่างฉับพลันนั้นแปลกพอที่จะทำให้พวกเขาตื่นตัว แม่ของนางจะไม่รู้สึกอะไรได้อย่างไร!
“ข้า ในฐานะแม่ ข้าคิดว่า…นางพูดถูก” นางจ้าวมองไปที่ซูมู่เกออย่างซื่อบื้อ “มูมู่ เจ้าไม่ใช้เด็กผู้หยิงตัวเล็กๆ อีกต่อไปแล้วและถึงเวลาที่เจ้าจะต้องพิจารณาการแต่งงานของเจ้าแล้ว ข้าไร้ประโยชน์มากที่ข้าไม่เคยออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลซูเลย นับประสาอะไรกับการหาครอบครัวที่เหมาะสมให้เจ้าแต่งงาน นางอันเท่านั้นที่ทำได้….”
ความโกรธเริ่มจางหายไปเมื่อซูมู่เกอได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากแม่ของนาง
“ท่านแม่ อย่าได้กังวล แม้ว่านายหญิงอันจะไม่สนใจข้า ข้ายังมีพ่ออยู่”
“ท่านพ่อของเจ้า? เขาจะจัดการสิ่งเหล่านั้นให้เจ้า…” น้ำเสียงของนางเจ้ามีความสงสัย
“แน่นอน! ท่านไม่เห็นของที่เขาส่งมาให้ข้าเมื่อไม่กี่วันก่อนเหรอ? เขาจะทิ้งลูกสาวโดยไม่ดูแลได้อย่างไร?” เพื่อให้อารมณ์ของนางราบรื่น ซูมู่เกอต้องเอาซูหลุนออกมาเป็นโล่ของนาง
“นายหญิงอันไม่เคยชอบท่านมาก่อน และนางจะไม่เป็นแบบนี้ในอนาคต ท่านเข้าใจที่ข้าหมายถึงไหม?” เป็นไปไม่ได้เลยที่ใคร ๆ จะหลงรักคนที่พวกเขาไม่ชอบโดยจงใจขนาดนี้ มีแต่คนงี่เง่าเท่านั้นที่จะเชื่อการเปลี่ยนแปลงแบบนั้นโดยไม่มีเหตุผล!
นางจ้าวไม่ได้โง่และนางรู้ว่าซูมู่เกอหมายถึงอะไร
“ข้ารู้และข้าจะระวังตัว”
“ท่านแม่ เป็นเรื่องดีที่เข้าใจลูก น้องชายของข้าอยู่ที่ไหน? เขาหลับหรือ?”
ดวงตาของนางจ้าวสว่างขึ้นด้วยความสุขเมื่อพูดถึงลูกชายของนาง
“เขาหลับ เขาเป็นเด็กประเภทที่เงียบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา เขาไม่ชอบเสียงดังอย่างมาก”
……………………
เสียงฟ้าร้องดังก้องบนท้องฟ้า
สายฟ้าแลบเข้ามาด้านในฝาแคร่จนสว่าง
เป็นวันที่สามแล้วที่ซูมู่เกอไปรักษานายหญิงเมิ่ง
สภาพร่างกายของหญิงชราเมิ่งคงที่แล้ว หลังจากสองวันแรกของการรักษา อย่างน้อยก็ไม่มีสถานการณ์เฉียบพลันที่ทำให้คนอื่นๆไม่ได้เตรียมตัว
ซูมู่เกอขมวดคิ้ว เมื่อดึงม่านรถม้าออกไปและมองสายฝนที่กำลังโปรยปราย
ฝนตกมาหลายวันแล้ว โดยไม่ว่างเว้น บางครั้งฝนดูเหมือนว่ามันจะหยุดตก แต่จริงๆแล้วมันก็ยังตกพรำๆ
เมฆสีดำปกคลุมปทั่วท้องฟ้าราวกับสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ที่หนาแน่นและมืดมิดพุ่งเข้าใกล้พื้นดินซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกหายใจลำบาก
“หลีกทาง! ให้เร็ว! พวกเจ้าทุกคน!”
ร่างบนม้าเต็มด้วยความเร็วสูงสุดกำลังวิ่งมาตามถนน และผ่านรถม้าไป นับว่าโชคดีที่มีคนไม่มากนักบนถนนในวันที่ฝนตก
“นั่นใคร? ม้าเร็วมากท่ามกลางสายฝน! มันอาจชนใครบางคน!”
คนขับรถม้าบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยความไม่พอใจ ด้วยแส้บนหลังม้าของเขา เขาไปเร็วด้วยเช่นกัน มันเป็นกลางวันที่มืดเหมือนกลางคืนเนื่องจากสภาพอากาศ และจะเป็นการดีกว่าที่พวกเขาจะไปถึงคฤหาสน์เมิ่งโดยเร็วที่สุดเผื่อฝนอาจจะตกหนักยิ่งขึ้นไปอีก
ร่างของม้าที่วิ่งเร็วอย่างไม่หยุดจนกว่าเขาจะถึงหย่าเหมิน
“ใต้เท้า วิกฤตการณ์! มีสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตเมืองโจว!”
ซูหลุนกำลังอ่านเอกสารราชการเมื่อมีคนวิ่งเข้ามาในหย่าเหมินด้วยความเร่งรีบตื่นตระหนก มีชายอีกคนตัวเปียกปอนวิ่งตามเขามา
“เกิดเหตุอันใด?”
ชายที่ตัวเปียกหมดตัวคุกเข่าลงบนพื้นตาแดงก่ำมองไปที่ซูหลุน
“ใต้เท้าซู ทำนบเขตเมืองโจวแตกขอรับ และผู้พิพากษามณฑลก็ถูกน้ำท่วมขอรับ!”
หนังสือราชการในมือของซูหลุนร่วงหลุดลงไปกองกับพื้นและเขาเหมือนถูกแช่แข็งด้วยความตระหนก “เจ้ากำลังพูดอะไร?!”
……………………….
เมื่อซูมู่เกอถูกพาไปที่ลานอายุมั่นขวัญยืนโดยสาวใช้ มาม่าก็เดินออกมา
“มันคือคุณหนูใหญ่ซู ไปและเอาเตาอุ่นๆมา เร็วเข้า!” หลังจากทิ้งคำพูดเหล่านั้นไปยังสาวใช้ มาม่าก็พาซูมู่เกอเข้าไปในห้อง
“ขอโทษที่รบกวนท่านมาก คุณหนูใหญ่ซู ฝนตกหนักมาก! โปรดผลัดเสื้อผ้าของท่านเพื่อเอาไปทำความสะอาด”
หลังจากคืนก่อนหน้านี้ใช้เวลาอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง ซูมู่เกอพาเยว่รู่ไปกับนางในวันรุ่งขึ้น และนางจะได้เตรียมชุดที่สะอาดให้เจ้านายของนางในวันที่ฝนตกเช่นนี้
“ได้เจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอเข้าไปในห้องของนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่ง หลังจากที่นางผลัดผ้าแล้ว
นางเห็นเมิ่งฉางเต๋อออกมาจากห้องด้วยใบหน้าที่ดูแข็งกร้าวและดวงตาที่เศร้าหมอง และคิดว่ามีบางอย่างเลวร้ายเกิดขึ้นกับหญิงชราเมิ่งอีกครั้ง
เมิ่งฉางเต๋อหยุดชะงักเมื่อเห็นซูมู่เกอ
“คุณหนูซู เจ้ามาถึงแล้ว ข้ามีบางอย่างที่ต้องจัดการ ข้าขอฝากท่านแม่ไว้กับท่านด้วย ขอบคุณมาก”
“ได้เจ้าค่ะ ใต้เท้าเมิ่ง ไม่ต้องเป็นกังวล”
เมิ่งฉางเต๋อจากไปพร้อมกับคนของเขาทันที
“เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร! แล้วผู้เสียชีวิตล่ะ?”
เสียงของเมิ่งฉางเต๋อจางหายไปในขณะที่เขาเดินออกไปไกล ๆ ซูมู่เกอละสายตาและเดินเข้าไปในห้อง
มีเพียงหญิงชราเมิ่งและสาวใช้สองคนในห้อง และสาวใช้ก็ก้าวไปข้างหลังเมื่อเห็นซูมู่เก๋อเข้ามา
“นายหญิง ท่านดูดีขึ้นมากเจ้าค่ะ”
เมื่อสองวันก่อน ใบหน้าของหญิงชราเมิ่งซีดขาวราวกับกระดาษ แต่ตอนนี้ใบหน้าของนางขึ้นซับสีเลือดบ้างแล้ว
“ใช่ ข้ารู้สึกมีพลังมากกว่าเมื่อก่อน”
ซูมู่เกอเปิดกล่องทางการแพทย์ของนางและหยิบเข็มเงินออกมาและท่อไม้ไผ่ดูดเลือดสำหรับการบำบัดโรค
“จุดประสงค์ของการบำบัดในวันนี้คือเพื่อช่วยขจัดความอับชื้นและความเย็นในร่างกายของท่านและทำให้หลอดเลือดของท่านไม่มีสิ่งกีดขวางมากขึ้น ท่านอาจจะรู้สึกเจ็ดปวดระหว่างการรักษานะเจ้าค่ะ แต่ได้โปรดอดทนต่อความเจ็บปวดแล้วทุกอย่างจะดี”
“บ้องไม้ไผ่ดูดบำบัด?” นายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งมองไปที่กระบอกไม้ไผ่ในมือของซูมู่เกอด้วยความอยากรู้
มีหนังสือทางการแพทย์มากมายที่อ่านในรัฐฉู่ ซูมู่เกอรู้ดีว่าการบำบัดด้วยบ้องดูดเลือดไม่ใช่เรื่องธรรมดา และคนทั่วไปไม่ทราบเรื่องนี้ แม้แต่แพทย์เอง
เมื่อร่างกายของนางฟื้นตัว นายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งมีความเชื่อมั่นในทักษะทางการแพทย์ของซูมู่เกอมากขึ้น และนางก็พยักหน้า นางนอนคว่ำหน้าลงบนเตียงตามที่ซูมู่เกอสั่ง ปล่อยหลังและขาของนางเปลือยเปล่า
“ข้าจะใช้การฝังเข็มเพื่อไล่ความชื้นและความเย็นเคลื่อนไปที่ส่วนล่างของร่างกายท่าน แล้วข้าจะใช้การบำบัดด้วยการดูดเพื่อขจัดสิ่งเหล่านี้ออกจากร่างกายของท่านต่อเจ้าค่ะ” เป็นขั้นตอนปกติสำหรับซูมู่เกอในการอธิบายลำดับการรักษาของนาง เพื่อเป็นการให้คนไข้ผ่อนคลายในการรับฟังนาง
นางหยิบเข็มเงินขึ้นมาและแทงเข้าที่จุดฝังเข็มในส่วนบนของร่างกายของนายหญิงเมิ่ง เมื่อร่างกายค่อยๆผ่อนคลาย จากนั้นเธอก็เอากระบอกไม้ไผ่อังไฟ แล้ววางกระบอกไส้ไผ่ไว้ที่ขาอย่างรวดเร็วหลังจากอุ่นด้วยไฟแล้ว
“อุ๊ยย!”
นายหญิงเมิ่งส่งเสียงด้วยความประหลาดใจซึ่งทำให้มาม่าตกใจ นางเดินออกมาสองก้าวพร้อมกับใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความตื่นตระหนกและตรวจสอบนายหญิงเมิ่ง
“นายหญิง เป็น ท่านเป็นอย่างไร?”
“อืมม….”
ผลของกระบอกไม้ไผ่เริ่มเผยให้เห็น นายหญิงเมิ่งเกร็งตัวเพราะความเจ็บปวด และมีเหงื่อเย็นที่หน้าผากของนาง
“คุณหนูซู เกิดอะไรขึ้นกับนายหญิง? ไม้ไผ่สามารถ กระบอกไม้ไผ่ใช้รักษาผู้ป่วยได้จริงหรือ?” มาม่ามองไปที่ซูมู่เกอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เนื่องจากนายหยิงเมิ่งเจ็บปวดอย่างสาหัส แต่ซูมู่เกอก็ไม่ได้ทำอะไรเลย มาม่าไม่พอใจ
ด้วยการจ้องอย่างเย็นชาจากมาม่า ซูมู่เกอไม่ได้หยุดการกระทำของนาง
“เส้นเลือดของนายหญิงถูกปิดกั้นไม่ดี ข้ากำลังขจัดความชื้นและความเย็นออกจากร่างกายของนางหลังจากที่ข้าปลดล็อคเส้นเลือดของนางด้วยเข็มเงินของข้า ปฏิกิริยาเป็นเรื่องปกติสำหรับการเริ่มต้นของการรักษานี้เจ้าค่ะ”
ด้วยการวางกระบอกไม้ไผ่อันที่สองจากซูมู่เกอ นายหญิงเมิ่งเริ่มส่งเสียงดังขึ้นจากความเจ็บปวด
“คุณหนูซู โปรดหยุดเถอะ! นายหญิงไม่สามารถทนสิ่งนี้ได้!” เมื่อเห็นนายหญิงกัดฟันด้วยความเจ็บปวด มาม่ามองไปที่ซูมู่เกอด้วยความตื่นตัว
ในที่สุด ซูมู่เกอก็หยุดมือของนางและมองไปที่นายหญิงเมิ่ง
“นายหญิง ท่านรู้สึกว่าตัวเองสามารถทนสิ่งนี้ได้หรือไม่เจ้าค่ะ?”
รู้สึกเจ็บปวดอย่างมากราวกับว่ามีคนเอาของบางอย่างออกจากร่างกายของนางพร้อมกับเส้นเลือดและกระดูกของนาง นายหญิงเมิ่งยืนยันว่าซูมู่เกอไม่ควรหยุด
“เจ้า…ทำการรักษาของเจ้า ทำมัน!” นายหญิงเมิ่งกัดฟันพูด และเลือกที่จะดำเนินการต่อไปด้วยความเจ็บปวด แม้ว่านางแทบอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ
ซูมู่เกอหยิบกระบอกไม้ไผ่ที่เหลือออกมา และวางทั้งหมดไว้บนขาของนายหญิงเมิ่ง
ร่างกายของนางสั่นสะท้านอย่างกะทันหันและดวงตาทั้งสองข้างเหลือกขึ้น นายหญิงเมิ่งตกอยู่ในอาการโคม่า
ตอนนั้นมาม่าตกใจมาก “นายหญิง! ได้โปรด! อย่าทำให้ข้ากลัว!”
มีเพียงเมิ่งฉางเต๋อและฮูหยินของเขา นายหญิงอาวุโสเมิ่งในลานอายุมั่นขวัญยืนเมื่อซูมู่เกอเดินเข้ามา
ระหว่างทางนางได้รับแจ้งจากเม่งเถียนเถียนว่าพ่อของนางออกไปที่เมืองหย่าเหมินเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนนี้แล้ว ด้วยตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ เขาไม่สามารถหย่อนยานในการทำงานได้ง่ายๆ
“ท่านขุนนางเมิ่งและท่านนายหญิงอาวุโสเมิ่ง ข้าขอคาราวะ”
“คุณหนูใหญ่ซูไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไป” รอยยิ้มของเมิ่งฉางเต๋อนั่นอ่อนโยน และใบหน้าของผู้อาวุโสเมิ่งก็แสดงความอ่อนโยน
“เมื่อคืนเจ้านอนหลับสบายในคฤหาสน์เมิ่งหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ หลับสบายดี นายหญิงผู้อาวุโสเมิ่ง ขอบคุณสำหรับคำถามเจ้าค่ะ”
มาม่าเปิดม่านและเดินออกมาจากห้องหลักในขณะที่พวกเขากำลังทักทายกัน
“ท่านขุนนางเมิ่ง นายหญิงอาวุโสเมิ่ง นายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งตื่นแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งฉางเต๋อลุกขึ้นยืน “คุณหนูใหญ่ซู โปรดมากับข้าและไปดูท่านแม่ของข้าด้วย”
ซูมู่เกอพยักหน้า “เจ้าค่ะ”
เมื่อพวกเขาเข้ามาในห้อง หญิงชราเมิ่งกำลังนั่งพร้อมความช่วยเหลืออย่างระมัดระวังของมาม่า
แม้ว่าใบหน้าของนางจะยังซีดและเทาอยู่บ้าง แต่หญิงชราเมิ่งก็มีจิตใจปรอดโปร่งขึ้น
“ท่านแม่ ท่านรู้สึกดีขึ้นหรือไม่?” เมื่อคืนนี้หลังจากกินยาไม่นานแม่เฒ่าเมิ่งหลับสนิท
นางมองไปที่ซูมู่เกอและพยักหน้า “ดีขึ้นมาก”
ซูมู่เกอเดินเข้าไปหานาง “ข้าขออนุญาตตรวจชีพจรของท่านเจ้าค่ะ”
“ได้สิ”
นายหญิงเมิ่งเอื้อมมือออกมาจากผ้าห่มและซูมู่เกอนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กข้างเตียง ตรวจจับชีพจรของหญิงชราอย่างระมัดระวัง
ครู่ต่อมาซูมู่เกอขมวดคิ้วทั้งสองข้างของนางแทบจะชนกัน
เมิ่งฉางเต๋อที่ผ่อนคลายจิตใจก่อนหน้านี้ขมวดคิ้วตามนาง แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
ซูมู่เกอวางมือลง ก่อนที่เมิ่งฉางเต่อจะเปิดปากถาม หญิงชราถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น? ข้ากำลังจะตายหรือ?”
นางพูดคำเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายโดยไม่มีทีท่าตื่นตระหนกหรือหวาดกลัว มีคนตายอยู่เสมอ มันน่าเสียดายที่จะตายตอนนี้แต่นางก็ยอมรับมันได้
“ท่านแม่!” ใบหน้าของเมิ่งฉางเต๋อบิดเบี้ยว
“ท่านย่าของข้าเป็นอย่างไร? บอกเรามาเถอะ!” เมิ่งซูซูใช้ความเงียบนี้เป็นสัญญาณว่าซูมู่เกอต้องการให้ทุกคนคาดเดาอย่างจงใจ
ซูมู่เกอก้มนา ไม่ได้พูดชั่วขณะ ในที่สุดนางก็พูดว่า “สภาพร่างกายของนายหญิงเมิ่งค่อนข้างซับซ้อน”
นายหญิงอาวุโสเมิ่งตกอยู่ในความกังวล “รักษาให้หายได้ไหม?”
ซูมู่เกอขมวดคิ้วหนักขึ้น
“คุณหนูใหญ่ซู ถ้าท่านมีปัญหาหนักใจใด มันไม่เป็นไร แต่โปรดแจ้งให้เราทราบ” หลังจากหลายปีในการรับราชการ ในไม่ช้าเมิ่งฉางเต๋อก็เข้าใจว่ามีบางอย่างที่ไม่สะดวกสำหรับ ซูมู่เกอที่จะพูดออกมา
“อาการเจ็บป่วยของนายหญิงเมิ่งสามารถรักษาให้หายได้ หากโรคเรื้อรังและโรคดื้อได้รับการรักษาในเวลาที่เหมาะสม มันอาจไม่สามารถรักษาได้ มันขึ้นกับเรื่องของเวลา”
เมิ่งฉางเต๋อสับสนเล็กน้อย ในขณะที่นายหญิงอาวุโสเมิ่งและหญิงชราเมิ่งรู้ได้ทันทีว่าซูมู่เกอพูดถึงอะไร
ผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งงานเช่นซูมู่เกอ ถ้านางไปคฤหาสน์เมิ่งบ่อยเกินไป อาจมีข่าวลือที่อาจทำลายชื่อเสียงของนาง เมื่อเป็นเช่นนั้น นางจะสามารถหาครอบครัวที่สืบเชื้อสายมาเพื่อแต่งงานได้อย่างไร?
ด้วยการสบตาโดยปริยาย ทั้งนายหญิงอาวุโสและนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งต่างรู้เหตุผลเบื้องหลังความลังเลของนาง
หากชื่อเสียงของซูมู่เกอถูกทำลายลง ตระกูลเมิ่งก็ไม่ต้องสงสัยเลย เนื่องจากนางเป็นผู้มีพระคุณของพวกเขา พวกเขาไม่สามารถให้ลูกชายของพวกนางแต่งงานกับลูกนางสนมที่ไร้ชื่อเสียงและห่างไกล……
ซูมู่เกอกำลังคิดหนังกับการบำบัดหลังจากนี้ที่ต้องอยู่ที่นี่ นางไม่ต้องการเชื่อมต่อกับครอบครัวเมิ่ง อย่างไรก็ตามสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ แต่ตราบเท่าที่นางสามารถได้รับอิสรภาพในการเข้าออกคฤหาสน์ซู นางไม่มีข้อติเตียนใด เพียงแค่นางไม่ได้คาดหวังว่าแม่และลูกสะใภ้จะถูกพิจารณามากขนาดนี้
เมิ่งฉางเต๋อไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มีใครพูดอะไร แต่ดูเหมือนว่าเขาจะถามมากกว่านี้ก็ไม่เหมาะ เขาจึงพูดขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ซู ถ้าเจ้าคิดว่ามันไม่สะดวก เราสามารถจัดคนไปที่คฤหาสน์ซูเพื่อรับเจ้าทุกวันได้”
นายหญิงอาวุโสเมิ่งขยับริมฝีปากเมื่อนางได้ยินเมิ่งฉางเต๋อพูดเช่นนั้น แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไร ถ้านางห้ามไม่ให้ซูมู่เกอมาที่คฤหาสน์เมิ่งในตอนนี้ สามีของนางคงคิดว่านางไม่ต้องการให้แม่สามีของนางหายขาด!
หญิงชราเมิ่งมองไปที่ซูมู่เกออย่างลึกซึ้ง “ข้างวางใจให้เจ้ารักษาร่างกายชราของข้า!”
ซูมู่เกอพยักหน้าเบาๆ “ข้าจะทำให้ดีที่สุดเจ้าค่ะ”
หลังจากรักษาด้วยการฝังเข็มอีกครั้ง ซูมู่เกอออกจากห้องอายุมั่นขวัญยืน
นางปฏิเสธคำเชิญร่วมรับประกชทานอาหารกลางวันของนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งโดยบอกว่านางคิดถึงแม่และน้องชายของนาง
เมิ่งฉางเต๋อบอกว่านางต้องมาที่คฤหาสน์เมิ่งทุกวันตลอดทั้งเดือนนี้ เพราะแม่เฒ่าเมิ่งต้องการการรักษาทุกวัน
นางทิ้งสิ่งอื่น ๆ ไว้ข้างหลังให้เมิ่งฉางเต่อซึ่งกำลังจะคุยกับซูหลุน พ่อของนางเกี่ยวกับการเตรียมการ และนางเชื่อว่าซูหลุนจะมีความสุขมากที่ได้พบกับเมิ่งฉางเต๋อ
…………………….
ในเมืองห่างจากเมืองชุนหยางเพียงไม่กี่ไมล์ มีเงาสีดำสองสามเงาพุ่งเข้ามาในบ้านที่ต่ำต้อย
ไม่มีใครอยู่ในสนาม อากาศรอบ ๆ ก็จมลงเมื่อเงามืดเข้าไปข้างใน
ซีเยว่มองไปรอบ ๆ “นั่นคือพวกเรา”
ไม่นาน อากาศก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
หว่เยว่ช่วยหลิวเยว่เดินเข้าไปในห้องที่ส่วนกลางสุด
มันค่อนข้างสลัวและอาจทำให้คนรู้สึกอึดอัดเมื่อเข้ามาครั้งแรก
“ท่านขุนนาง หลิวเยว่กลับมาแล้ว”
เซี่ยโฮวโม่กำลังอ่านข้อมูลในมือของเขาจากสายลับเมื่อพวกเขาเข้ามา เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองพวกเขา
เพียงแค่มองเพียงครั้งเดียวทั้งสามคนก็อยู่ภายใต้ความกดดันอย่างมาก ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกหายใจลำบาก
“ข้าขออภัยที่เรื่องสายลับคนนั้นข้าไร้ความสามารถและได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าไม่ควรปล่อยเขาหลบหนีไป!”
“ออกไปและรับการลงโทษของเจ้าซะ” น้ำเสียงของเซี่ยโฮวโม่เป็นปกติโดยไม่มีความสุขหรือความโกรธ อย่างไรก็ตามหลิวเยว่และผู้ที่รับใช้เขามานานหลายปีรู้ดีว่านั่นเป็นสัญญาณแห่งความโกรธ!
“ขอรับ”
ทั้งสามคนกำลังจะจากไป
“เดี๋ยว”
ทั้งสามตัวแข็งทื่อขึ้นทันที
“นายท่าน ท่านจะสั่งการใด?”
ดวงตาสีเข้มของเซี่ยโฮวโม่ถูกพุ่งเจาะจงไปที่หลิวเยว่
“เจ้าบอกว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเขา?”
“ขอรับ ข้าถูกเขายิ่งด้วยลูกศรเข้าที่ช่องท้องในระหว่างที่ข้าหมดสติไปชั่วขณะ….ถ้าไม่ใช่หญิงอัศจรรย์ – หมอรักษา ข้าอาจจะ….”
เซี่ยโฮวโม่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แพทย์หญิงที่ทำการรักษาอย่างอัศจรรย์?”
หลิวเยว่พยักหน้า เขายังจำมันได้อย่างชัดเจนว่าเขาหายใจด้วยความเจ็บปวดและเกือบจะตายก่อนการรักษาของหมอหญิงคนนั้น แต่แล้วนอกจากความอ่อนแอที่เขารู้สึกได้ บาดแผลของเขาก็เกือบจะหายแล้ว!
ถ้าไม่ใช่เพราะพบหมอด้วยตัวเอง เขาไม่เคยเชื่อเลยว่านอกจากหมอกุ่ยจะมีคนที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้
เมื่อมองลงไปเล็กน้อย ร่างเพรียวบางก็ฉายแววในความคิดของเซี่ยโอวโม่
“ตอนนี้เจ้าออกไปได้”
“ขอรับ”
ตงหลินเดินเข้ามาเพื่อพวกเขาออกไปแล้ว
“นายท่าน มันเหมือนว่าจะมีการกระทำที่ผิดปกติจากคนป่าเถื่อนของพวกตะวันตกเหล่านั้น ข้าคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับองค์หญิงฮวาเจิ้งเกี่ยวข้องกับพวกเขา”
เพียงไม่กี่วันหลังจากที่เซี่ยโฮวโม่ส่งองค์หญิงฮวาเจิ้งไปยังเมืองหลวงพวกทางตะวันตกก็พร้อมที่จะสร้างปัญหา ดังนั้นจักรพรรดิจึงขอให้เขากลับไปที่ชายแดนเพื่อปกป้องเมือง
“อืม ฝนตกมากี่วันแล้ว?”
ตงหลินไม่เร็วพอที่จะตอบสนองต่อคำถามนี้ และเขาหยุดชะงัก นายท่านขอเขากำลังเปลี่ยนหัวข้าสนทนาอย่างรวดเร็ว!
“มันเป็นเวลาสามวันเต็มแล้วขอรับ”
เซี่ยโฮวโม่เคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างเป็นจังหวะ กระดูกข้อต่อของนิ้วเขาชัดเจนพอกับไม้ไผ่
“เร็วๆนี้”
ตงหลินมองอย่างงงงวย เร็วๆนี้? นายท่านหมายถึงเรื่องอะไร?
ก่อนที่ตงหลินจะเอ่ยปากถาม ประตูก็เปิดออกด้วยแรงผลัก ทันใดนั้นร่างที่เต็มไปด้วยความโกรธก็วิ่งถลาเข้ามาในห้อง
“เซี่ยโฮวโม่! ไอ้บ้า! ความเป็นชายของเจ้าผิดปกติ? หัวของมันถูกลาเหยียบไปแล้วหรือ? ข้าอยู่ในอ่างอาบน้ำมีโฟมเต็มตัวแล้วพวกเขาก็ลากข้าออกไป! ข้าต้องการหน้าข้ากลับคืนมา!” เสียงด่าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ตงหลินเงยหน้าขึ้นและเห็นชายคนหนึ่งที่มีผมเผ้ายุ่งเหยิง ชายคนนั้นสวมเสื้อคลุมครึ่งตัวโปร่งใส ซึ่งเกือบจะถือได้ว่าโล่งโจ้งเลยแหละหากมีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย …
เซี่ยโฮวโม่ขมวดคิ้วเมื่อเห็นชายคนนั้น
“พาเขาออกไปและแต่งตัวให้เขา”
ชายคนนั้นแทบจะกระโดดย่ำเท้าอยู่ตรงนั้นเมื่อได้ยิน
“ดี เจ้ารักความสะอาดและเจ้าไม่สามารถทนมองข้าแบบนี้ได้ เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าคนอื่นว่าใครทำให้ข้าเป็นแบบนี้! เจ้ากล้าไม่ชอบได้อย่างไรและหลีกเลี่ยงข้าแบบนี้ได้ยังไง!”
กุยหม่ากำลังจะเสียสติ!
เขากำลังอาบน้ำในโรงแรมแห่งหนึ่งของเมืองชุนหยาง เมื่อจู่ๆก็มีคนจำนวนมากบุกเข้ามา และอุ้มเขาขึ้นไปบนถนนโดยไม่พูดอะไร เขาแทบจะขย้อนอาหารออกจากกระเพาะตั้งแต่เมื่อคืนเพราะการกระแทก!
แต่เมื่อเขามาถึงตำแหน่งของตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังฉากนั้น เขาก็ถูกตำหนิว่าสกปรกและไม่เป็นระเบียบ!
มีบางอย่างแกว่งไปมาภายใต้เสื้อคลุมสีขาวของชายคนนั้นและเซี่ยโฮวโม่ไม่สามารถยืนมองมันได้อีกต่อไป
“พาเขาออกไป!”
“หมอกุย ได้โปรดมากับข้าแล้วเราจะแต่งตัวให้ท่าน…”
ดูเหมือนว่าการสบถไม่เพียงพอสำหรับกุยหม่า อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นดวงตาของเซี่ยโฮวโม่ที่เต็มไปด้วยความเย็นชา เขาตะคอก โบกแขนเสื้อและจากไป
“ข้าอยากอาบน้ำร้อน และโรยด้วยกลีบดอกลิลลี่! กลีบดอกลิลลี่ทั้งตะกร้า! สบู่หอมด้วย!”
เซี่ยโฮวโม่ชอบความสะอาดและเขาไม่ชอบกลิ่นใด ๆ ? เยี่ยม! ตอนนี้เขาคงมีกลิ่นหอมมากพอแล้ว!
……………………
ซูมู่เกอถูหว่างคิ้วของนางอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อนางเห็นคนที่ขวางทาง
“ซูมู่เกอ บอกข้ามา เจ้าเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์เหล่านั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?!” ซูจิงเหวินจ้องมองซูมู่เกอด้วยความอิจฉาราวกับว่านางกำลังจะฉีกซูมู่เกอออกเป็นชิ้นๆ
“แน่นอน มันเป็น….มันเป็นช่วงเวลาที่เจ้าไม่มีทางรู้”
“เจ้า! อย่าคิดว่าพี่เมิ่งจะชอบเจ้า! ผู้หญิงชั้นต่ำเช่นเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นนางบำเรอเขาได้!”
“อืม เจ้าหมายความว่าเจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะเป็นนางบำเรอของนายท่านเมิ่งเหรอ?” ซูมู่เกอยิ้มเยาะ
“เจ้า!” ซูจิงเหวินหน้าอกกระเพื่อมจากการหายใจแรงๆด้วยความโกรธ
“นังเลว ถ้าเจ้ากล้าเอาชนะความเสน่หาจากพี่เมิ่งของข้า….ข้าจะแก้แค้นเจ้ากลับอย่างสาสมแน่!”
ประโยคสุดท้ายฟังดูเหมือนสงครามได้เกิดขึ้นแล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซูมู่เกอขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่านางจะไม่สามารถนึกถึงวิธีการที่ยอดเยี่ยมของซูจิงเหวินได้ แม่และน้องชายของนางยังไม่เข้มแข็งพอที่จะต่อสู้ไปพร้อมกับนางได้
ความคิดดังกล่าวทำให้เกิดความโกรธและความเกลียดชังกับซูมู่เกอ นางเลิกคิ้วและจ้องมองซูจิงเหวินอย่างเยือกเย็น จ้องนิ่ง
“ซูจิงเหวิน เจ้าอย่าทำให้ตัวเองเสียใจจะดีกว่า ข้าสามารถช่วยชีวิตคน ๆ หนึ่งได้ และข้าสามารถทำให้คนตายอย่างเงียบ ๆ ได้ด้วย!”
“ยังไง เจ้ากล้า!”
“ทำไมข้าจะไม่กล้า? ทำไมไม่ลองมันดูล่ะ?”
ซูมู่เกอไม่สนใจนางและมุ่งหน้าไปที่ลานดอกท้อบาน
ดูร่างของซูมู่เกอที่หายไปที่ประตูโค้ง ซูจิงเหวินเซและเกือบล้มลง สาวใช้จับนางได้ทันเวลา
“คุณหนูสอง ท่านสบายดีไหม?”
หงายฝ่ามือขึ้น ซูจิงเหวินพบว่าฝ่ามือของนางเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น นาง…กลัวซูมู่เกอจนเหงื่อแตก!
เมื่อซูมู่เกอเข้าไปในลานดอกท้อบาน นางเห็นหลีหม่ายืนอยู่นอกประตู ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นเย็นชา
หลีหม่าเห็นซูมู่เกอเช่นกัน นางเดินมาข้างหน้าและโค้งคำนับด้วยความสุภาพ “คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว”
“ใช่” นางอันและนางจ้าวนั่งอยู่ในห้องเมื่อซูมู่เกอเข้ามาและพวกเขาก็กำลังยิ้มแย้ม!
“เปาะ-แปะ ซ่า!” ฝนกำลังตกบนรถม้าเสียงดังเช่นเดียวกับสิ่งที่น่ารำคาญในใจของซูหลุน
เพียงครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เมิ่งฉางเต๋อปรากฎตัวขึ้นที่คฤหาสน์ตระกูลซูโดยไม่คาดคิด ขอให้เขาพาซูมู่เกอไปที่บ้านของเขาเพื่อรักษานายหญิงแม่เฒ่าเมิ่ง และบอกเป็นนัยว่าสามารถช่วยประเมินการเลื่อนตำแหน่งงานได้อย่างแน่นอน
ซูหลุนกำลังตัดสินใจว่าจะแนบชิดความสัมพันธ์กับเมิ่งฉางเต๋ออย่างไร แล้วเขาจะคาดหวังว่าสิ่งดีๆเช่นนี้ลอยมาสู่ตัวเขาเองได้ยังไง!
เขาถูมือไปมาในรถม้า เขาพยายามอย่างหนักที่จะซ่อนความตื่นเต้น ซึ่งซูมู่เกอยังคงรู้สึกได้อย่างง่ายดายจากดวงตาของเขา
ซูหลุนจับนางขึ้นรถม้าก่อนที่นางจะเข้าไปนั่งในห้องศึกษาและนางไม่รู้ว่าพวกเขากำลังจะไปที่ไหนกัน
ด้วยอาการไอเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูด ซูหลุนอ้าปากด้วยอารมณ์ปกติและกล่าวว่า “นายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งรู้สึกไม่สบายในคืนนี้และหมอหลวงของจักรวรรดิที่กลับมาพร้อมพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการให้เจ้าไปตรวจรักษา”
ซูมู่เกอขมวดคิ้วด้วยสีหน้าหนักใจ “ท่านพ่อ ถ้าข้าทำอะไรไม่ได้เล่า?”
นางรู้ว่าซูหลุนตกลงกับพวกเขาแล้ว แม้ไม่จำเป็นต้องถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะสัญญาของเมิ่งฉางเต๋อไม่น่าจะมีอะไรอื่น สิ่งไหนจะทำให้เขาตื่นเต้นได้ขนาดนี้!
เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูแข็งกร้าวของซูมู่เกอ ซูหลุนรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “เราต้องไปดู อย่างไรก็ดี ครอบครัวเมิ่งคือผู้มีพระคุณของเรา”
ซูมู่เกอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไร
หลังจากนั้นไม่นานรถม้าก็อยู่หน้าคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง คนรับใช้เปิดประตูออกเพื่อให้รถม้าตรงเข้าไปข้างในได้เลยหลังจากที่พวกเขาแจ้งว่าพวกเขาเป็นใครและมาที่นี่เพื่อการใด สถานการณ์ของนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้ว
ฝนก็ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยม่านสายฝนเกือบจะปิดกั้นสายตาของผู้คน
มีคนมากมายในลานอายุมั่นขวัญยืนที่หญิงชราเมิ่งอาศัยอยู่ เมิ่งฉางเต๋อเดินโซเซออกมาจากห้องด้วยความตระหนกเมื่อซูมู่เกอและพ่อของนางมาถึง
“คุณหนูใหญ่ซู ได้โปรดช่วยท่านแม่ของข้าด้วย!”
เมิ่งซิ่วเหวินยืนอยู่ด้านหลังของเมิ่งฉางเต๋อมองไปที่ซูมู่เกอด้วยใบหน้ามืดมน
“ได้โปรดยกโทษให้เราหากเจ้าคิดว่าเราเคยทำให้เจ้าขุ่นเองใจมาก่อน”
ซูมู่เกอสงบนิ่งและเหลือบมองพวกเขา
“พาข้าเข้าไปข้าในเถอะ และข้าจะได้ตรวจดู”
“ได้สิ ได้แน่นอน เชิญทางนี้ คุณหนูใหญ่ซู”
ซูมู่เกอตามเมิ่งฉางเต๋อและคนอื่น ๆ เข้าไปในห้อง และมีคนเกือบสิบคนอยู่ในนั้น
“มีสองคนที่คุ้นเคยกับสถานการณ์นี้มากที่สุดและหมอหลวงของจักรพรรดิให้อยู่ต่อ คนอื่นควรจะออกไป”
คำพูดทื่อเกินไปและผู้หญิงในห้องหลายคนเกิดความรู้สึกไม่พอใจ แต่ไม่มีใครกล้าที่จะโต้แย้งนางในตอนนี้เนื่องจากพวกเขารู้ว่าเมิ่งฉางเต๋อคิดหวังในตัวซูมู่เกอสูงมาก
เมิ่งซิ่วเหวินเข้าหาเมิ่งฉางเต๋อ “ท่านพ่อ ได้โปรดออกมากับคนอื่นๆด้วยเจ้าค่ะ คนมีจำนวนมากเกินไปอาจทำให้เกิดความโกลาหลได้”
เมิ่งฉางเต๋อมีความเชื่อมั่นในตัวซูมู่เกออย่างไม่คาดคิด เขาผงกศีรษะและออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ เหลือเพียงสาวใช้สองคนและหมอหลวงจักรวรรดิ หมอหู
อย่างไรก็ตามเมิ่งซิ่วเหวินยังคงอยู่ และซูมู่เกอไม่ได้พูดอะไร
นางเดินไปที่เตียงของหญิงชราเมิ่ง และเห็นนายหญิงแห่งตระกูลเมิ่งนอนหลับตาแน่นอยู่บนเตียง
“ผลการวินิจฉัยก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร?” ซูมู่เกอมองไปที่หมอหูและถามขึ้น
หมอหูทำงานในสำนักหมอหลวงของจักรวรรดิมาเป็นเวลาหลายปี โดยเด็กผู้หญิงอายุต่ำกว่าสิบห้าถามคำถามแบบนี้ หมอหูเกิดความไม่พอใจเล็กๆ แต่เขาไม่ได้แสดงมันออกมา เขาตอบว่า “นายหญิงเมิ่งมีอาการหนาวสั่นในกระดูกมาตลอด ก่อนหน้านี้มีเสมหะชื้นและด้วยความชื้นที่เกิดจากฝนตกทำให้อาการป่วยกำเริบขึ้นมาอีกจากการถูกกระตุ้นทั้งหมดเหล่านั้น”
“ขอใบสั่งยาของท่านหน่อย”
ใบหน้าของหมอหูแข็งกระด้างขึ้นและเขาก็หยุดนิ่ง
เมิ่งซิ่วเหวินรับใบสั่งยามาและส่งมันให้ซูมู่เกอ
“ขอบคุณ”
ซูมู่เกออ่านตามใบสั่งยาอย่างละเอียด เป็นยาที่เหมาะสมกับอาการเหล่านั้นที่เขาอธิบายไว้ แต่หญิงชราก็ไม่ได้มีอาการดีขึ้นแต่อย่างใดหลังจากได้ทานยาตามรายการนั้น อาการของนางกลับแย่ลงยิ่งไปกว่าเดิม หมายความว่าหญิงชราถูกวินิจฉัยผิดพลาด
ซูมู่เกอก้าวขึ้นนั่งบนเตียงและเริ่มจับชีพจรของนาง จากสภาพชีพจรมันเหมือนกับว่าร่างกายได้รับความชื้นมากซึ่งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการปิดกั้นพลังงานสำคัญและการไหลเวียนของเลือด
“ทุกวันนางขับถ่ายเป็นอย่างไรบ้าง?”
ใบหน้าของนางแดงซ่านด้วยความตระหนกเล็กน้อย รู่เหม่ยไม่รู้จะตอบคำถามอย่างไร
เมิ่งซิ่วเหวินก็ตกใจเช่นกันที่ซูมู่เกอถามคำถามที่ตรงไปตรงมามาก
“ชรา นายหญิงแม่เฒ่า นาง นางไม่…”
“ดี บอกข้ามาเกี่ยวกับสิ่งที่นางได้รับประทานในวันนี้”
“ได้เจ้าค่ะ ตอนเช้านางมีโจ๊กรังนกพื้นเมืองหนึ่งชาม แป้งม้วนนึ่งพร้อมเครื่องเคียง…”
หลังจากได้ยินคำตอบของรู่เหม่ย ซูมู่เกอพบว่านายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งมีอาการท้องผูก
นางเอื้อมมือไปกดที่ท้องของหญิงชราและมันมีลมเล็กน้อยอย่างที่คาดไว้
โดยปกติความเย็นจะทำให้ท้องเสีย อย่างไรก็ตามหญิงชราเมิ่งมีอาการท้องผูกซึ่งหมายความว่านางมีความร้อนภายในสะสมอยู่พอสมควร
ซูมู่เกอบีบแขนและขาของหญิงชรา และพบว่านางตัวแข็งมาก ด้วยความเปียกชื้น ความเย็นและความร้อนทั้งสามรวมกันในเวลาเดียวกันจึงไม่น่าแปลกใจที่นางป่วยหนัก
“คุณหนูใหญ่ซู อย่างไร นายหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?” เมื่อเห็นใบหน้าจริงจังของซูมู่เกอ รู่เหม่ยก็รู้สึกลมหายใจจุกที่ลำคอ
อาการป่วยของนายหญิงเมิ่งนั้นค่อนข้างง่ายที่จะแก้ไขเมื่อสาเหตุถูกทำให้กระจ่าง
โดยไม่รีบร้อนที่จะทำการักษาต่อ ซูมู่เก๋อขมวดคิ้วอย่างเงียบๆ
ยิ่งนางทำตัวแบบนี้คนในห้องก็ยิ่งวิตกกังวลมากขึ้น หมอหูทำตัวเฉยชาและเขาเชื่อว่ามันเป็นฝันกลางวันที่งี่เง่าที่ทักษะทางการแพทย์ของเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้จะสามารถเอาชนะเขาได้!
เมิ่งซิ่วเหวินไม่แน่ใจเกี่ยวกับการแสดงออกของซูมู่เกอเช่นกัน
“เจ้าสามารถรักษาท่านยายของข้าได้หรือไม่ คุณหนูซู?”
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นมามองเขา “เจ้าค่ะ แต่ขึ้นอยู่กับนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งเองว่านางจะรักษาให้หายขาดได้หรือเปล่า”
“เจ้ามีวิธีรักษา?” หมอหูเต็มไปด้วยความสงสัย
“ถึงจะยากลำบาก มันไม่ใช่ไม่มีทางแก้” ซูมู่เกอพูดจบหยิบถุงเข็มเงินออกมาหนึ่งถุงและเปิดมัน
หมอหูประหลาดใจมากขึ้นเมื่อเห็นเข็มเงิน ดวงตาของเขาเบิกกว้าง “เจ้ารู้วิธีใช้เข็มเงิน?”
ซูมู่เกอเลิกคิ้วอย่างไม่ใส่ใจ “ยากเกินไปสำหรับท่านหรือ?”
หมอหูแทบสำลักเมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้ นั่นมากกว่าคำว่า “ยาก!” แทบไม่น่าเชื่อเลย
เขาเรียนรู้มาหลายปีแล้ว และเขาได้รับความรู้เพียงผิวเผิน แม้จะร่ำเรียนมาหลายปี ตลอดที่เรียนผ่านมาเขากลับการใช้เข็มเงินที่สุด และยิ่งกลัวมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งใช้มันน้อยลงเท่านั้น ในที่สุดเขาก็กลัวเกินกว่าจะแตะต้องพวกมัน! แม้แต่อาจารย์ที่เคารพของเขาก็แทบไม่เคยใช้เข็มเงินเลย เห็นได้ชัดว่าทักษะการฝังเข็มนั้นยากแค่ไหน!
คุณหนูจากคฤหาสน์ซู อย่างไรถึงไม่กลัวที่จะใช้เข็มเงินเหล่านั้นในการรักษาผู้ป่วย นางกล้าดียังไง!
ซูมู่เกอซึ่งตอนนี้ได้ทำการฆ่าเชื้อเข็มเงินแล้วไม่มีเวลามากพอที่จะกังวลเกี่ยวกับความคิดของหมอหู นางใช้เพียงเพราะการฝังเข็มเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
“ยืดขาของนายหญิงผู้เฒ่าออก”
รู่เหม่ย ร่วมกับสาวใช้อีกคนที่ชื่อรู่ซิ่วทำตามที่นางบอก
ซูมู่เกอหยิบเข็มในมือของนาง และฝังพวกมันเข้าไปในจุดลมปราณโดยหมุนเล็กน้อยระหว่างปลายนิ้วของนาง หลังจากนั้นไม่นานก็มีเข็มสีเงินปักอยู่ที่ขาและเท้าของนายหญิงแม่เฒ่า
ในขณะที่รอนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งรู้สึกตัว ซูมู่เกอจดรายการใบสั่งยาและมอบมันให้กับ รู่เหม่ย “ไปเอายาตามนี้มา นำไปให้นายหญิงเมิ่งทันทีเมื่อทำการต้มอย่างดีแล้ว”
“ได้เจ้าค่ะ ข้าจะทำอย่างดี”
“คุณหนูซู ท่านยายของข้าจะตื่นเมื่อไหร่?”
“ในไม่ช้านี้”
หนึ่งในสี่หลังจากนี้ ด้วยการไออย่างรุนแรงหญิงชราก็ฟื้นขึ้นมา
“ท่านยาย!” เพียงก้าวเท้าสองก้าวเมิ่งซิ่วเหวินก็มาถึงเตียงของนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่ง
หมอหูตาเบิกโตมองไปที่หญิงชราด้วยความอัศจรรย์ใจ
“ยังไง มันเป็นไปได้ยังไง!”
ซูมู่เกอเดินไปข้างหน้าและถอนเข็มเงินออกทีละเล่มจนหมด
ตาของหญิงชราเมิ่งยังคงพร่ามัว หลังจากถอดเข็มเงินออกหมด นางก็สามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน
“ฮันหยู…..”
“ข้าอยู่นี่ท่านยาย”
เมิ่งซิ่วเหวินช่วยพยุงหญิงชราเมิ่งให้ลุกขึ้นนั่ง
เมื่อนางเห็นซูมู่เกอยืนอยู่ในห้องของนาง หญิงชราเมิ่งตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นนางก็มองไปที่หมอหูอีกครั้งซึ่งยืนอยู่ข้างๆด้วยใบหน้าซีดเซียว
“ทำไม…ทำไมเด็กคนนี้ถึงอยู่ที่นี่?”
เมื่อเห็นความสับสนในสายตาของนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่ง เมิ่งซิ่วเหวินตอบนางด้วยความอ่อนโยน “ท่านพ่อนำนางมาที่นี่ขอรับ”
หญิงชราเมิ่งพยักหน้า และเอนกายลงบนหมอนนุ่มพร้อมกับร่างกายอันอ่อนล้าของนาง
“ท่านแม่ ท่านฟื้นแล้ว!”
เมื่อได้รับการบอกว่านายหญิงเมิ่งรู้สึกตัวแล้ว เมิ่งฉางเต๋อก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับคนอื่นๆ
ซูมู่เกอวางสิ่งของของนางไว้
เมื่อเห็นซูมู่เกอออกมาซูหลุนก็ก้าวเข้าไปหานางและถามด้วยเสียงต่ำว่า “ทุกอย่างเป็นอย่างไร?”
“นางฟื้นแล้ว”
ซูหลุนรู้สึกตื่นเต้นมาก แต่เขาก็ไม่กล้าแสดงความสุขใด ๆ
เมิ่งซิ่วเหวินเดินตามซูมู่เกอออกมาและเดินไปยืนตรงหน้านาง “คุณหนูใหญ่ซู ข้าขอบคุณมากที่ช่วยชีวิตท่านย่าของข้า”
พ่อของเขาต้องเชิญพวกเขาออกมาจากคฤหาสน์ซูในตอนดึกเนื่องจากทุกคนรีบเมื่อหมอหูบอกพวกเขาว่าท่านย่าของเขาอาจจะอยู่ต่อไม่ถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
มันจนกระทั่งถึงเวลานี้เขาคลายข้อสงสัยทั้งหมดเกี่ยวกับทักษะทางการแพทย์ของซูมู่เกอ นางมีพรสวรรค์อย่างแม้จริง
ดังนั้น ความขอบคุณที่เขาแสดงในตอนนี้จึงมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ซูมู่เกอยิ้มรับ แต่ด้วยความเฉยชาเล็กน้อย “ตราบเท่าที่นายท่านเมิ่งไม่คิดว่าข้ามีเจตนาอื่นใด” แม้ว่านางต้องการขอบางสิ่งบางอย่าง เขาไม่สามารถปฏิเสธความจริงที่ว่านางคือผู้ช่วยชีวิต
คำพูดเหล่านั้นทำให้เมิ่งซิ่วเหวินรู้สึกอับอายเนื่องจากเขาคิดว่าซูมู่เกอเข้าหาท่านย่าของเขาด้วยจุดประสงค์ที่เห็นแก่ตัวของนาง
หลังจากนั้นไม่นานเมิ่งฉางเต๋อกับฮูหยินของเขาก็ออกมา
“ขุนนางซูและคุณหนูใหญ่ซู ขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตท่านย่าของข้า”
“ด้วยความยินดียิ่ง ท่านขุนนางเมิ่ง นายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งมีเมตตากับลูกสาวของข้า มู่เกอ และเป็นหน้าที่ของเราที่จะตอบแทนน้ำใจของนาง”
“ข้าขอโทษที่ขอให้พวกท่านทั้งสองมาที่นี่กลางดึกเช่นนี้ เกือบเที่ยงคืนแล้ว ทำไมไม่พักที่คฤหาสน์ของเราล่ะ ท่านสามารถคฤหาสน์ในเช้าพรุ่งนี้”
“มันจะ…”
“ข้าสามารถบอกได้ว่าคุณหนูใหญ่ซูคงจะเหนื่อย ดังนั้น ท่านขุนนางเมิ่ง โปรดอยู่ที่นี่เถิด” นายหญิงอาวุโสก็พยายามขอให้พวกเขาอยู่ต่อ
มันจะเป็นการหยาบคายมากไปที่จะปฏิเสธเมิ่งฉางเต๋อ ดังนั้น ซูหลุนจึงยอมรับคำเชิญนั้น
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับซูมู่เกอ หลังจากต้องใช้แรงกายเป็นอย่างมากในการเรียกตัวขึ้นมากลางดึกเพื่อรักษาคนไข้
ซูมู่เกอถูกแม่บ้านพาไปที่ห้องพักสำหรับผู้หญิงซึ่งได้รับคำสั่งจากนายหญิงอาวุโสเมิ่ง ซูมู่เกอมีความสุขกับทุกสิ่งมาโดยตลอด การช่วยเหลือตัวเองในทุกสถานการณ์อาจเป็นสิ่งดี และนางไม่มีนิสัยชอบนอนบนเตียงของตัวเอง ดังนั้นนางจึงหลับไปทันทีหลังจากที่นางล้มตัวลงนอน
ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วเมื่อนางตื่นขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น
“พี่ซูยังหลับอยู่หรือ?”
“เจ้าค่อ เมื่อคืนนางนอนดึกและตอนนี้ก็ยังหลับอยู่”
“ฮืม ช่างเป็นมารยาทที่ดี เป็นแขกจะตื่นสายขนาดนี้ได้ยังไง?”
ซูมู่เกอถูที่มุมคิ้วด้านในและลืมตาขึ้น จะดีกว่าถ้านอนในห้องของนางเองโดยไม่มีใครมา รบกวนนาง
สาวใช้ข้างนอกได้ยินเสียงซูมู่เกอดึงกระดิ่งข้างเตียง จึงเข้าไปช่วยนางทำความสะอาดและแต่งตัว
“พี่ซู ท่านตื่นแล้ว” เมื่อยื่นหน้าเข้าไปในห้องเมิ่งเถียนเถียนยิ้มให้ซูมู่เกอด้วยความอ่อนหวาน
“คุณหนูสามตระกูลเมิ่ง”
“ท่านพี่ โปรดอย่างห่างเหินเช่นนี้เลย เพียงแค่เรียกข้าว่า เถียนเถียน ท่านย่าของข้าตื่นแล้วและนางกำลังรอพบท่านอยู่”
“คุณหนูใหญ่ซู เจ้าคิดว่าตัวเองสำคัญแค่ไหน ให้คนทั้งห้องรอเจ้า!” เมิ่งซูซูที่ยืนอยู่ที่ประตูเบิกตากว้างด้วยความโกรธ
ซูมู่เกอลุกขึ้นยืนโดยไม่ใส่ใจ “ขออภัยที่ทำให้ทุกคนต้องรอนาน ไปกันเถอะ”
ซูมู่เกอเดินเข้าไปในลานดอกท้อบานและประหลาดใจกับสิ่งของในห้อง
มีผ้าซาตินรูปแบบทันสมัย ชุดกระโปรงชั้นเลิศและของใช้สำหรับสุภาพสตรี
ซูหลุนส่งสิ่งเหล่านี้มาหรือ?
“คุณหนูใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว” เยว่รู่เข้ามาพร้อมกับผ้าคลุมเตียงระยิบระยับ
“สิ่งของเหล่านี้มาจากไหน?”
“สิ่งเหล่านี้ถูกส่งมาจากนายหญิงเจ้าค่ะ”
“นายหญิง?”
ซูมู่เกอเลิกคิ้ว ผ้าห่มที่เยว่รู่ถืออยู่นั้นดูดีมาก ในคฤหาสน์ตระกูซูทั้งหมดมีเพียงมีเพียงสามคนในครอบครัวเท่านั้นที่สามารถใช้ผ้าเนื้อดีชนิดนี้ได้ นางอันส่งสิ่งเหล่านี้ให้พวกเขาตอนนี้ นางเป็นคนดีได้ยังไง?
“เจ้าค่ะ นายหญิงบอกว่าสิ่งเหล่านี้มีไว้สำหรับคุณหนูใหญ่ และนายหญิงของเรากับนายน้อยด้วยเจ้าค่ะ”
“ไปเถอะ ดูของทั้งหมดอย่างระวังนะ และเก็บได้หากเจ้าไม่พบสิ่งผิดปกติ”
เยว่รู่พยักหน้าด้วยความเข้าใจ “ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ ข้าได้พิจารณาทุกสิ่งอย่างรอบคอบแล้ว ข้ายังแกผ้านวมออกเพื่อตรวจสอบและไม่พบสิ่งใดผิดปกติเจ้าค่ะ”
“ดี”
ซูมู่เกอไม่ที่ห้องของนางจ้าวเพื่อดูนางและเหวินม่อตัวน้อย หลังจากที่เยว่รู่หยิบสิ่งของเหล่านั้นขึ้น ซูมู่เกอก็กลับไปที่ห้องของนาง ปิดประตู วางของที่ซื้อมาลงบนโต๊ะ
“ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?” นางคิดกับตัวเอง ในความเป็นจริง นางยังอยากรู้เกี่ยวกับผลของการใช้พลังวิเศษเมื่อนางได้รับยาพิษ
หลิวเยว่ผู้น่าสงสารไม่รู้ตัวว่าเขาเป็นหนูทดลอง
ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ซูมู่เกอจากไป เพื่อนของหลิวเยว่ก็พบเขา
ซีเยว่ย่อตัวลงและกำลังจะแตะดูลมหายใจของหลิวเยว่ หลิวเยว่ก็กัดนิ้วของเขา
“โอ้ย พี่ ท่านยังมีชีวิตอยู่!”
“พู่ว ข้ามีชีวิตยืนยาว!” หลิวเยว่พ่นลมหายใจ ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านั้น เขาคิดว่าเขาคงจะตายที่นี่ แต่พระเจ้าส่งแพทย์หญิงที่มีวิธีรักษาอย่างปาฎิหาริย์มาช่วยเขา!
แพทย์หญิงที่มีพลังรักษามหัศจรรย์มาก ลูกศรนั้นทำร้ายอวัยวะของเขาอย่างแน่นอน แต่เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดมากเลย ยกเว้นเพียงความอ่อนเพลียของเขาเท่านั้น
หวู่เยว่เหลือบมองทั้งสองคน และพยุงหลิวเยว่ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
“เอาล่ะ หยุดเถอะ เราควรรีบกลับไปรายงานผลให้ท่านขุนนางท่านทราบ”
“ดี”
……………..
ตกกลางคืน
“เปรี้ยง!” ทันทีที่ฟ้าร้องก็ปลุกซูมู่เกอขึ้น
ลมด้านนอกพัดอย่างแรง ทำให้หน้าต่างที่เปิดอยู่กระแทกพร้อมกับเสียง “ปัง”
ซูมู่เกอลุกขึ้นและปิดหน้าต่าง
หลังจากนั้นไม่นาน ข้างนอกมีฝนตกหนักและเม็ดฝนตกลงมาที่พื้นทำให้มีกลิ่นโคลนคาวเค็ม
ซูมู่เกอนอนไม่หลับทั้งคืน
เมื่อนางตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ฝนข้างนอกไม่ตกหนักเหมือนเมื่อคืน แต่ก็ไม่เบาเกินไป ท้องฟ้าเป็นสีเทาและไม่มีวี่แววว่าฝนจะหยุดตก
“คุณหนูใหญ่ ท่านตื่นแล้ว”
เยว่รู่เดินเข้าไปในห้องพร้อมอาหารเช้า มีหมั่นโถวหนึ่งจาน เครื่องเคียงสองอย่างและโจ๊กเนื้ออีกหนึ่งชาม ดูเหมือนง่าย แต่ก็ดีกว่าโจ๊กบูดและซาลาเปาแข็งที่กินแทบไม่ได้ก่อนหน้านี้มาก
“เมื่อคืนนายน้อยเป็นยังไงบ้าง? เขากลัวไหม?”
“ข้าไปตรวจเมื่อเช้านี้ ว่ากันว่าเมื่อคืนเขาตื่นมาสักพัก และหลังจากนายหญิงขอให้พี่เลี้ยงพาเขาไปที่ห้องของนางเนื่องจากนางรู้สึกเป็นกังวล เขาก็นอนหลับสบายหลังเที่ยงคืนเจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอพยักหน้า จากการที่เหวินม่อตัวน้อยถูกพากลับมา นางจ้าวดูมีพลังมากกว่าเมื่อก่อนมาก
“คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ นายหญิงส่งคนมาบอกเราว่าหลังจากนี้จะมีผู้ค้าทาสมาพร้อมกับคนรับใช้และท่านสามารถเลือกบางคนได้”
มีเสียงจากหญิงคนเฝ้าประตู เนื่องจากผู้รับใช้ลานบ้านดอกท้อบานมีน้อยเกินไป ไม่มีแม้แต่สาวใช้ชั้นสามที่สามารถส่งต่อข้อความได้
“ข้ารู้แล้ว”
ซูมู่เกอแต่งตัวและมาถึงลานด้านหน้าหลังผ่านไปหนึ่งไตรมาส เนื่องจากฝนยังคงตกอยู่ เสื้อผ้าของนางจึงเปียกเมื่อนางมาถึงที่นั่น
นางอันและซูจิงเหวินนั่งอยู่ในห้องโถงของลานหน้าบ้าน พูดคุยบางสิ่งบางอย่างกันอยู่ และซูจิงเหวินดูไม่ดีเท่าไหร่
“นายหญิง คุณหนูสอง คุณหนูใหญ่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
ได้ยินอย่างนั้น นางอันเหล่ตามองกับซูจิงเหวิน แม้ว่าซูจิงเหวินไม่ต้องการ นางยังคงต้องปรับอารมณ์เล็กน้อย
ซูมู่เกอเข้าไปในห้องโถง และทักทายพวกเขาด้วยการคำนับเล็กน้อย
“นายหญิง”
“เจ้ามาแล้ว นั่งลงก่อน คนอื่นๆ จะมาในอีกสักครู่” ท่าทางที่ดูสุภาพและดี ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับท่าทางดุร้ายของนางเมื่อวันวาน
นางได้ทำลายการเสแสร้งทั้งหมดเป็นจริงใจอย่างสิ้นเชิง แต่ตอนนี้ยังสามารถต้อนรับซูมู่เกอด้วยรอยยิ้ม นางกำลังทำอะไร?”
ซูมู่เกอรักษาสีหน้าของนาง “ขอบคุณเจ้าค่ะ นายหญิง”
ซูจิงเหวินจ้องมองซูมู่เกอในขณะที่นางเข้ามา และความเกลียดชังในดวงตาของนางก็ไม่อาจละเลยได้
นางรู้ว่านังสารเลวตัวนี้ไปคฤหาสน์ตระกูลเมิ่งกับพ่อของนางเมื่อวาน!
ไม่กี่นาทีต่อมาผู้ค้าทาสได้พาคนประมาณยี่สิบคนมาที่ด้านนอกของลานหน้าบ้าน
นางอันมองไปที่ซูมู่เกอ “พวกเขามาแล้ว และเจ้าอาจเลือกก่อน”
เมื่อได้ยินสิ่งที่นางอันพูด ซูจิงเหวินซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ นางไม่สามารถรักษาความสงบได้และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่นางอันหยุดนางไว้
ซูมู่เกอนั่งนิ่ง “น้องสาวของข้าอายุน้อยกว่าข้า ข้าจะแย่งนางได้อย่างไร ให้เธอเลือกก่อน”
ก่อนที่นางอันจะทันได้พูดอะไร ซูจิงเหวินก็ลุกขึ้นยืน “เจ้าพูดเองนะ” แล้วนางก็เดินออกไปที่ลานด้านนอกก่อนที่นางอันจะหยุดนาง
ซูมู่เกอมองไปที่นางอันอย่างสงบ และก็เดินออกไป
มีเด็กสาวประมาณยี่สิบคนอายุราวสิบสามหรือสิบสี่ปียืนอยู่ที่ลานบ้าน ซูจิงเหวินเชิดหน้าเดินท่ามกลางพวกเขา และในที่สุดก็เลือกมาสามคนที่ดูงามพร้อมทั้งดูฉลาด
เมื่อมองไปที่สามคนที่ซูจิงเหวินเลือก นางอันเลิกคิ้วเบาๆ
“มู่เกอ มันถึงตาเจ้าแล้ว”
ซูมู่เกอมองไปในหมู่พวกเขา เลือกเด็กสาวมาหกคน แล้วก้าวออกมา
“ข้าเสร็จแล้ว”
นางอันมองไปที่คนเหล่านั้นที่ซูมู่เกอเลือกด้วยแววตาระยับบางๆ “เจ้าควรดูแลคุณหนูใหญ่ให้ดี และจะต้องไม่มีความเกียจคร้าน เข้าใจ?”
“เจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอไม่ได้อยู่ต่อ นางพาสาวใช้ที่เพิ่งเลือกทั้งหกคนกลับไปที่ลานดอกท้อบาน
สาวใช้ทั้งหกยืนเรียงแถวในห้อง พร้อมกับก้มหน้าลง
ซูมู่เกอหยิบถ้วยชาขึ้นจิบขณะที่สายตาของนางก็มองไปทั่วๆ สาวใช้เหล่านั้น
“เจ้ามีชื่อมาก่อนหรือไม่”
สาวใช้ทั้งหกคุกเข่าลง “คุณหนูใหญ่ โปรดตั้งชื่อให้กับพวกเราด้วยเจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอเหลือบมองสาวใช้เหล่านั้นทีละคน ในความเป็นจริงระหว่างการคัดเลือก ซูมู่ เกอสามารถบอกได้ว่า อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของสาวใช้ทั้งยี่สิบคนนั้นเกิดและเติบโตในคฤหาสน์ซู แต่นางอันไม่ได้ทำมันให้ชัดเจน
ในบรรดาหกคนที่นางเลือก พวกเขาสามคนเกิดและเติบโตในคฤหาสน์ซู ได้รับการปกป้องจากครอบครัวของพวกเขา พวกเขาดูแตกต่างจากคนที่มาจากภายนอกไม่ว่าจะในลักษณะหรือรูปลักษณ์ก็ตาม
“เจ้า เจ้า และเจ้าชื่อว่า ซินเซ่อ ซินจิง ซินหลาน ตามลำดับ” ซูมู่เกอชี้ไปที่คนที่สูงที่สุด และอีกสองคนที่มีใบหน้ากลม คนสูงที่สุดถูกเรียกว่า ซินเซ่อ คนหน้ากลมตาเล็กเรียกว่าซินจิงและคนหน้ากลมที่มีดวงตากลมโตเรียกว่าซินหลาน
“คุณหนูใหญ่ ขอบคุณท่านมากที่ตั้งชื่อให้กับพวกเราเจ้าค่ะ”
“สำหรับเจ้าอีกสามคน ข้าจะไม่ตั้งชื่อให้พวกเจ้า”
สามใช้ทั้งสามได้ยินเช่นนั้นคิดว่าซูมู่เกอไม่พอใจพวกเขา รีบคุกเข่าลงเอาหน้าผากแตะพื้นด้วยความกลัว
“ลุกขึ้น ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเจ้า แต่ข้าไม่ต้องการคนจำนวนมากที่นี่ ข้าจะส่งเจ้าไปรับใช้นายหญิงใหญ่”
สาวใช้ทั้งสามฟังด้วยความโล่งใจเล็กน้อย
สาวใช้สองในสามคนนั้นถูกซื้อมาจากภายนอก และพวกเขากลัวที่จะถูกซูมู่เกอทอดทิ้ง ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเขาจะต้องกลับไปหาผู้ค้าทาสอีกครั้งและใช้ชีวิตอย่างน่าสังเวชต่อไป
“ให้การรับใช้ในลานบ้านดอกท้อบาน ชีวิตของเจ้าจะไม่ยากเกินไปตราบเท่าที่เจ้าคำนึงถึงหนึ่งคำ ความภักดี เจ้าควรจ่ายค่าความภักดีทั้งหมดของเจ้าให้กับเจ้านายของเจ้า มิฉะนั้น ข้าจะทำให้เจ้าเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าการทรยศมีความหมายกับเจ้าอย่างไร!”
เสียงของซูมู่เกอไม่ดังและนางดูสงบ แต่ดวงตาที่เฉียบคมทำให้พวกเขาสั่นไหวโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าค่ะ เราไม่กล้าที่จะไม่ซื่อสัตย์”
“ดี เยว่รู่พาพวกเขาไปพัก”
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
หลังจากพวกเขาออกไปซูมู่เกอก็เอายาออกมา จากนั้นนางก็เอาเข็มเงินทิ่มนิ้วแล้วหยดเลือดลงในจานกระเบื้องเคลือบฆ่าเชื้อ
หลังจากนั้น นางก็เทยาออกจากขวดกระเบื้องที่นางถือมา ยาเม็ดนี้มอบให้โดยนักบวชเต๋าตัวปลอมคนนั้นซึ่งสามารถยับยั้งพิษในร่างกายของนางได้ ไม่ว่าในกรณีใด มันจำจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อยับยั้งพิษก่อนที่จะทำยาแก้พิษได้
ซูมู่เกออยู่ในห้องจนถึงเย็น ในบ่ายวันนี้ นางได้ค้นพบยามากกว่าสิบชนิดในยาเม็ดนั้นแล้ว และในอีกวันหนึ่ง นางก็ค้นพบยาทุกชนิด สำหรับปริมาณนางยังคงต้องใช้เวลาในการคิดมันให้ออก
“คุณหนูเจ้าค่ะ แม่บ้านเหมยฮัวมาส่งข้อความว่านายหญิงขอให้ท่านทานอาหารเย็นกับพวกเขา” ด้านนอกประตูมีเสียงของเยว่รู่ดังขึ้น
ซูมู่เกอเหนื่อยมากจึงยืดตัวตรงและเก็บสิ่งของของนาง
“ได้”
ซูมู่เกอตกใจกับอาหารที่เสิร์ฟบนโต๊ะเมื่อนางมาถึงยังห้องของนางจ้าว
“ท่านแม่ ทำไมวันนี้มีอาหารเยอะจัง?” ไม่ว่าจะเป็นไก่ เป็ด ปลาและเนื้อ มันมีครบทุกอย่าง
วันนี้นางจ้าวอยู่ในชุดกระโปรงปักลาย นั่งบนเก้าอี้ “นายหญิงขอให้คนส่งสิ่งเหล่านี้มาและบอกว่าเป็นวันสุดท้ายของเดือนที่ถูกกักตัวหลังจากที่ข้าให้กำเนิดเหวินม่อ นางต้องการให้ข้ารักษาสุขภาพด้วยการทานอาหารบำรุงร่างกาย”
ซูมู่เกอเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ คืออะไร นางอันผู้เอาใจใส่ผู้อื่นยิ่ง?
ทัศนคตินี้ไม่แปลกเกินไปหรือ
“เมื่อพวกเรามาพร้อมแล้ว เรามากินกันเถอะ”
ซูมู่เกอมีซูปหนึ่งชามและตักมันให้กับนางจ้าว หลังจากที่นางได้กลิ่นและมั่นใจว่าปลอดภัย
ระยะหลังนี้นางจ้าวอารมณ์ดี และอาหารของนางก็ไม่เลวร้ายเกินไป ซึ่งทำให้นางมีพลังมากขึ้นเมื่อผิวพรรณของนางขาวขึ้นและผ่องใสขึ้นมาก
หลังจากรับประธานอาหารอย่างอบอุ่นและพูดคุยอย่างดีกับนางจ้าว ซูมู่เกอเดินกลับไปที่ห้องของนาง
อาจเป็นเพราะนางเหนื่อยเกินไป ซูมู่เกอหลับไปด้วยความงุนงงหลังอาบน้ำ
ในขณะที่นางนอนหลับ ซูมู่เกอรู้สึกว่ามีบางอย่างดินอยู่ในผิวหนังของนาง นางอยากจะจับมันด้วยมือของนาง แต่ทันที่ที่นางเอื้อมไปถึง มันวิ่งไปที่อื่น นางอารมณ์เสียมากจนอยากจะเปิดผิวหนังแล้วดึงมันออกมา
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ ตื่นได้โปรด….”
“ไปให้พ้น ไอ้เชี่ยเอ้ย!”
จู่ๆซูมู่เกอก็ลืมตาขึ้นและอ้าปากค้าง
“คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ ท่านเป็นอะไรไป? อย่าทำให้ข้าตกใจ” เยว่รู่พุ่งไปข้างหน้อย่างกังวลใจ
ซูมู่เกอยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนศีรษะ นางเปิดผ้านวมและลุกขึ้นนั่ง มองออกไปนอกหน้าต่าง นางพบว่ามันยังมืดอยู่ และคืนนี้ฝนก็ยังไม่หยุดตก
“ว่าไง?”
“คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ เมื่อตะกี้ ท่านขุนนางส่งคนมาเรียกให้ท่านไปที่ห้องหนังสือโดยด่วนเจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอขมวดคิ้ว “ตอนนี้?”
“เจ้าค่ะ ตอนนี้”
เมิ่งซิ่วเหวินยิ้มให้ซูมู่เกอด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักมองไปที่นางและนั่งลงตรงหน้าซูมู่เกอเหมือนคนคุ้นเคย
แม้ว่าซูมู่เกอต้องการสร้างชื่อให้ตัวเองเกี่ยวกับทักษะทางการแพทย์ของนาง โดยใช้ประโยชน์จากคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางต้องการมีส่วนร่วมกับครอบครัวนี้มากนัก
นางสามารถบอกได้ว่าการสอบสวนและข้อสงสัยจากเมิ่งซิ่วเหวิน เมื่อไม่นานมานี้ เขาไม่ใช่คนง่ายๆอย่างที่เขาปรากฎตัวตอนนี้
ขณะที่เมิ่งซิ่วเหวินนั่งลง ซูมู่เกอลุกขึ้นยืนและก้าวถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่างจากชายหนุ่ม
“ทิวทัศน์ของคฤหาสน์ตระกูลเมิ่งตรงนี้สวยงามมาก ข้ามาที่นี่โดยบังเอิญ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนท่านเลย นายท่านเมิ่ง ข้าขอลา” ซูมู่เกอหันกลับและกำลังจะจากไป
“ว่ากันว่าคุณหนูใหญ่ซูสามารถรักษาคนได้โดยไม่รู้สึกถึงชีพจร?”
ซูมู่เกอหยุดอย่างนุ่มนวล และตระหนักว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเมิ่งซูซูและนาง ณ ห้องโถงเกียรติยศที่ผ่านมา
“มันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้สึกถึงชีพจรอย่างถี่ถ้วนเท่านั้น ข้าจึงจะรู้สภาพร่างกายที่แท้จริงของคุณหนูเมิ่งคนที่สองได้เจ้าค่ะ”
เมิ่งเสี่ยวเหวินเดินตามหลังนางไป เมื่อเห็นปานของนาง ความรู้สึกรังเกียจปรากฏในดวงตาของเขา แต่เขาปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว
เขาเข้าหาซูมู่เกออย่างช้าๆ และหยุดห่างกันเพียงครึ่งฟุต
ซูมู่เกอป่วยเป็นโรคขาดสารอาหารซึ่งทำให้นางดูผอมมาก ผิวของนางมีสีเหลืองอมฟ้าเล็กน้อย แม้นางจะมีใบหน้าที่บอบบาง นางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำว่า “สวย” กับสีผิวเช่นนี้
มีกลิ่นหอมของผงชาดจากเมิ่งซิ่วเหวิน ซูมู่เกอกำลังจะถอยห่างออกไปเมื่อมีเสียงแหลมเรียกชื่อนางดังขึ้นจากเบื้องหลัง
“ซูมู่เกอ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่กับพี่ชายของข้า เจ้าต้องการทำสิ่งใด?”
เมิ่งซูซูมาพร้อมกับสาวใช้บางคน ดูปกป้องเมิ่งซิ่วเหวินข้างหลังนางเหมือนแม่ไก่ปกป้องลูกไก่ของมัน
เมิ่งซิ่วเหวินเลิกคิ้วและมองไปที่ซูมู่เกอ ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดสิ่งใด
“ข้าก็สงสัยเช่นกันว่าทำไมนายน้อยเมิ่งถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่”
เมิ่งซูซูจ้องไปที่ซูมู่เกอ พูดขึ้นว่า “ซูมู่เกอ เจ้าเจตนาอันใด! ที่นี่คือคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง พี่ชายของข้าต้องบอกหรือไม่ว่าเขาอยู่ที่ใด?!”
ซูมู่เกอมองพี่ชายและน้องสาวอย่างไม่แยแส
“อืม ข้าไม่รู้คำตอบของคำถามของท่านหรอก คุณหนูสอง”
เมิ่งซูซูตกใจและเมิ่งซิ่วเหวินก็เช่นกัน คำถามคือทำไมซูมู่เกอถึงมาที่นี่กับเมิ่งซิ่วเหวิน เนื่องจากเมิ่งซิ่วเหวินเป็นนายท่านของคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง เขาสามารถปรากฏตัวได้ทุกที่ที่ต้องการ ซูมู่เกอไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่ทั้งสองคนมาเจอกันที่ตรงนี้
“เจ้า เจ้านี่ช่างอัปลักษณ์ไม่พอยังเต็มด้วยลิ้นที่แหลมคมน่าเกลียด!” เมื่อรู้ว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูมู่เกอ เมิ่งซูซูมีแนวโน้มที่จะใช้กลยุทธ์ในการข่มเหงลักษณะของรูปร่างส่วนตัว
เมิ่งซิ่วเหวินคิ้วขมวดเล็กน้อยมองไปที่ซูมู่เกอที่สงบนิ่งเหมือนเคย แล้วตวาดด้วยเสียงต่ำ “ซูซู หยุดเรื่องไร้สาระของเจ้าซะ ขออภัยต่อคุณหนูซูเดี๋ยวนี้!”
แม้ว่าเมิ่งซูซูจะกลัวพี่ชายของนางที่ยิ้มตลอดทั้งวัน แต่ก็ไม่เคยตามใจนางเลย นางเพียงยืนเชิดหน้ายืดคออย่างดื้อรั้น
“ข้าไม่ได้พูดสิ่งใดผิด นางเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียด หรือไม่จริง? ถ้าข้าโตมาแบบนั้น ข้าคงอับอายเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับผู้อื่นได้”
“ซูซู หุบปาก!”
ซูมู่เกอเหลือบมองพี่ชายและน้องสาว “อืม ข้าได้เรียนรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับการเลี้ยงดูในคฤหาสน์ตระกูลเมิ่งจากท่านทั้งสองแล้ว”
ก่อนที่พวกเขาจะพูดอีกครั้ง นางจากไปตามทางเดินที่นางเดินมาแล้ว
นางจะหาทางอื่น และมันจะดีกว่า ถ้าอยู่ห่างจากคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง
เมื่อซูมู่เกอเดินกลับไปที่ห้องโถงเกียรติยศ ซูหลุนส่งคนมาหานางและบอกนางว่าพวกเขากำลังจะกลับแล้ว ซูมู่เกอคำนับหญิงชราเมิ่ง มันการเป็นอำลาและลาจาก
ทันทีที่ซูมู่เกอจากไป สาวใช้คนหนึ่งไปที่ห้องโถงเกียรติยศและบอกกับนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในสวน
นายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งหรี่ตาแคบลง โบกมือให้สาวใช้ออกไป
มามะแม่นมที่รับใช้แม่เฒ่าเมิ่ง เดินเข้ามาในห้องพร้อมซุปเม็ดบัวหวานหนึ่งถ้วย
“นายหญิง ท่านดูเหนื่อยๆ ทานต้มเม็ดบัวหน่อยเจ้าค่ะ”
นายหญิงเมิ่งเงยหน้าขึ้นมองนาง พร้อมกับลมหายใจแผ่วเบาออกมา
“เจ้าคิดว่านางหาเรื่อง?”
มามะขึ้นไปหานางและนวดไหล่ของนาง “นายหญิง ท่านไม่ชอบคุณหนูซูหรือ?”
“นางมีความสามารถมากและมีแผนการของตัวเอง แต่นางไม่เหมาะกับคฤหาสน์ตระกูลเมิ่งของเรา ดังนั้นจากนี้ไปจะดีกว่าถ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนาง”
พ่อของซูมู่เกอเกิดในครอบครัวที่ยากจน และเขามีตำแหน่งสูงเช่นนี้ได้ก็เพียงเพราะเขาละทิ้งภรรยาเก่าของเขาและแต่งงานกับอีกคนที่มาจากชนชั้นสูง ยิ่งไปกว่านั้นสถานะของมารดาผู้ให้กำเนิดของนางต่ำเกินไป ถ้าสำหรับนางลูกนางบำเรอที่จะได้แต่งงานกับลูกชายของตระกูลเมิ่ง มันจะเป็นเกียรติอย่างยิ่งกับนาง
“แต่นายหญิงเจ้าค่ะ อย่างไรก็สุขภาพของท่าน….”
นายหญิงเมิ่งโบกมือของนาง “ซูซูพูดถูกในสิ่งหนึ่ง ข้าได้ไปพบแพทย์ของจักรวรรดิมามากมาย และข้ารู้ว่ามันต้องรออีกสักปีหรือสองปีตามคำพูดอันคลุมเครือของพวกเขา เด็กผู้หญิงอายุต่ำกว่าสิบห้าจะเก่งกาจเช่นนี้ได้อย่างไร? ครั้งล่าสุดในคฤหาสน์ตระกูลซู ข้าจ่ายเงินให้นางไปแล้ว”
มามะบีบริมฝีปากของนางแน่น มันไม่ง่ายไปหรือเพื่อที่จะตอบแทนใครสักคนที่ช่วยชีวิต แต่นางไม่กล้าพูดมันออกไป
“แล้วอาการป่วยของคุณหนูสอง…”
“ภรรยาของนายท่านใหญ่จะเป็นผู้ดูแลมัน เมืองชุนหยางไม่ใช่เมืองเล็กๆ ที่นี่น่าจะมีแพทย์หญิงที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้”
“เจ้าค่ะ” มามะไม่ตอบอะไรอีกและนวดหญิงชราไปเรื่อยๆ
………………….
เมื่อออกจากคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง ซูหลุนบอกว่าเขาต้องไปพบหย่าเหมิน ที่ทำการเมือง เพื่อจัดการบางสิ่งบางอย่าง เขาขอให้คนรับใช้ไปส่งซูมู่เกอกลับบ้าน แล้วเขาก็จากไป
มันเป็นเวบาเกือบเที่ยงแล้วและถนนก็แออัดมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยชุดกระโปรงและเครื่องประดับที่ส่งมาในวันนี้ยังมีเงินมูลค่าห้าสิบเหลียง มันน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของเงินออมส่วนตัวของเขา
ตั้งแต่นางอยู่ที่นี่ ไม่มีเหตุผลที่ซูมู่เกอจะกลับไปมือเปล่า
“แวะร้านขายยาข้างหน้า” ซูมูเกอเปิดม่านเล็กน้อยและกล่าวกับคนขับรถม้า
“คุณหนูใหญ่ นายท่านบอกว่าให้ท่านกลับบ้านเลย….”
“หยุดแวะร้านขายยาข้างหน้า และอย่าทำให้ข้าต้องพูดเป็นครั้งที่สาม!” ซูมู่เกอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้ว่าคนขับจะไม่ต้องการทำตามคำสั่ง เขาก็ยังคงหยุดรถม้า
ซูมู่เกอยกม่านและกระโดดลงจากรถ “รอข้าอยู่ที่นี่”
ซูมู่เกอเดินเข้าไปในร้านขายยา เสียงที่คุ้นเคยทำให้นางชะงักค้าง นางหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็วและซ่อนตัวอยู่หลังประตู
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ร่างในเสื้อคลุมนักบวชเต๋าก็เดินออกมาจากร้านขายยา
“นักพรตเต๋าอาวุโส เราไม่มีสมุนไพรที่ท่านต้องการจริงๆ โปรดถามที่อื่น”
นักพรตเต๋าบ่นด้วยเสียงเย็นชาและดูเหมือนไม่พอใจอย่างมาก “เจ้าจะเปิดร้านขายยาโดยไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร!” เขาเหวี่ยงแขนเสื้อและจากไป
ซูมู่เกอไม่ได้ออกมาจากหลังประตูจนกว่าเธอจะแน่ใจว่าร่างนั้นเดินจากไปแล้ว
นักบวชลัทธิเต๋าคนนี้เป็นคนที่ให้ยาพิษแก่นางหลายเดือนมาแล้ว แต่ทำไมเขามาที่นี่ เขามาจับเธอหรือ?
เจ้าของร้านยาไม่พอใจที่ถูกบ่นด่า และตกใจเมื่อหันกลับมาและเห็นคนๆ หนึ่งปรากฏตัวขึ้น
“ผี!”
ซูมู่เกอรู้สึกพูดไม่ออก แต่ทำใจเย็นพูดออกมาว่า “ท่านมีเห็ดหลินจือแดงหรือไม่?”
เจ้าของร้านค่อยๆ รู้สึกตัว แต่ก้มหน้าลงไม่มองหน้าของซูมู่เกอ ปานนั่นช่างน่ากลัวมาก!
“เห็ดหลินจือแดงรึ ใช่ มีขอรับ เรามีมัน”
ในรัฐฉู่ พบว่าเห็นหลินจือแดง คุณภาพธรรมดามีอยู่ทั่วไป และก็ไม่ได้มีค่าขนาดนั้น
ซูมู่เกอมองไปที่เห็ดหลินจือแดงบนเคาน์เตอร์และมันก็คุณภาพแย่มากจริงๆ
“นักพรตเต๋าท่านนั้นมองหาอะไร แล้วทำไมเขาถึงได้โกรธขนาดนั้น?”
เมื่อพูดถึงสิ่งนี้ เจ้าของร้านตะคอกออกมา
“เขาต้องการซื้อโสมที่มีอายุมากกกว่าห้าร้อยปี และเห็ดหลินจือแดงที่มีอายุมากกว่าหนึ่งพันปี! ฉันไม่มีให้หรอก และทั้งเมืองชุนหยางก็เช่นกัน”
ซูมู่เกอไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม แต่ซื้อสมุนไพรอื่นๆ มากมายและเครื่องมือบางอย่างในการทำยา
“นำสิ่งเหล่านี้ไปที่รถม้า”
เด็กฝึกงานร้านขายยาเอาของมาให้แล้วพูดว่า “เจ้าค่ะ ข้าจะขนไปให้ที่รถม้า”
ซูมู่เกอเดินออกจากร้านขายยาและกำลังจะไปร้านหนังสือ หลังจากเรื่องทั้งหมด นางรู้ว่ามีความรู้น้อยเกินไปกับโลกในตอนนี้
“ปัง!” เมื่อผ่านตรอกเล็กๆ ร่างสีดำล้มลงแทบเท้าของนางร่วงจากท้องฟ้า
ซูมู่เกอก้าวถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก นางขมวดคิ้วและมองคนที่กำลังนอนอยู่บนพื้นและคุดคู้ตัวเองขึ้น
ชายคนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส มีกลิ่นคาวเลือด นางไม่ต้องการประสบปัญหาที่ไม่จำเป็น ดังนั้นนางจึงหันหลังกลับ แต่จู่ๆ ชายคนนั้นก็เอื้อมมือจับที่ข้อเท้าของนาง
ซูมู่เกอตัวสั่นเทา หยุดหายใจ และหันกลับไปมองเขา
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นด้วยความยากลำบากเลือดไหลอาบทั่วใบหน้า มันไม่สามารถบอกลักษณะเดิมของเขาได้…..
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย”
ซูมู่เกอขยับเท้าและพยายามสลัดชายคนนั้นออก แต่เขาจับไว้มั่น จับข้อเท้าของนางแน่นและไม่ยอมปล่อยมัน
ยิ่งซูมู่เกอพยายามดิ้นรนมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งจับแน่นขึ้นเท่านั้น
ในที่สุด ซูมู่เกอก็ต้องหยุด
“ภายใต้สภาพที่อ่อนแอเช่นนี้ ท่านยังคงจับข้าไว้แน่นเป็นเวลาหนึ่งนาที ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการเอาชีวิตรอดของท่าน ดี ข้าจะช่วยท่าน”
ชายคนนี้ดูเหมือนจะได้ยินสิ่งที่ซูมู่เกอพูด และค่อยๆคลายมือของเขา
เสียงฝีเท้าดังเข้ามาในหูของซูมู่เกอ นางจึงจัดการพาชายคนนั้นเข้าไปในบ้านที่ว่างเปล่า
ในไม่ช้า กลุ่มชายในชุดเสื้อผ้าเนื้อหยาบก็มาถึงสถานที่ที่พวกเขาอยู่เมื่อครู่
“มีคราบเลือดอยู่ที่พื้น เขาอยู่ไม่ไกล! เร็วเข้า!”
หลังประตูที่ซ่อนตัว ซูมู่เกอได้ยินคำพูดที่มาจากภายนอกอย่างคลุมเครือ หลังจากเสียงฝีเท้าของคนเหล่านั้นค่อยๆ หายไป นางก็นั่งยองๆลงที่พื้นเพื่อดูชายคนนั้น
เขามีบาดแผลถูกแทงหลายแห่ง แต่ไม่มีแผลใดอันตรายถึงชีวิต บาดแผลร้ายแรงมีเพียงแห่งเดียวคือลูกศรที่ช่องท้อง
ลูกศรถูกดึงออกมา แต่เงี่ยงของเหล็กปลายแหลมต้องทำให้เจ็บที่อวัยวะและบาดแผลมีเลือดไหลออกมา
แต่ตอนนี้นางไม่มียา ไม่มีเครื่องมือ และไม่ใช่สิ่งพื้นฐานใดที่ดีที่สุดสำหรับการห้ามเลือด ชายคนดังกล่าวเสียเลือดมาก ถ้าปล่อยให้เขาไม่ได้รับการรักษาเขาก็คงจะตาย
ซูมู่เกอมองลงไปที่ฝ่ามือของนาง นางไม่ได้ใช้พลังวิเศษของนางตั้งแต่ถูกวางยาพิษ
“ท่านขอให้ข้าช่วยท่าน และท่านจะต้องรับผลที่ตามมาไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร”
ซูมู่เกอยื่นมือออกไป และขยับฝ่ามือไปที่หน้าท้องที่มีบาดแผลของชายคนนั้นทีละน้อยๆ ในไม่ช้านางก็รู้สึกว่าฝ่ามือของนางอุ่นขึ้น และรู้สึกเหมือนความร้อนบนฝ่ามือจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่รักษาบาดแผล
มันจนกระทั่งความร้อนบนฝ่ามือค่อยๆจางลงความรู้สึกไม่สบายของนางก็เริ่มหมดลง
ซูมู่เกอเอาฝ่ามือออกจากบาดแผล นั่งลงบนพื้น และเช็ดหน้าผากของนางซึ่งมีเหงื่ออยู่เต็ม
บาดแผลของชายคนนี้ดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลง คาดว่าเลือดจะหยุดไหลแล้ว แต่ซูมู่ เกอรู้ดีว่าพลังในตอนนี้จะช่วยรักษาอวัยวะที่เสียหายของชายคนนี้ได้อย่างแน่นอน
หลังจากพักหายใจ ซูมู่เกอพยายามที่จะลุกขึ้นยืน และใส่ยาเข้าไปในปากของชายคนนั้น
“ตายหรืออยู่ มันขึ้นกับตัวท่านเองแล้วตอนนี้”
ขณะที่นางจากไป เปลือกตาของชายที่อยู่บนพื้นก็ขยับ แล้วเขาก็ค่อยๆลืมตาขึ้น……
“คุณหนูใหญ่กำลังจะโยนนายน้อยลงน้ำ พวกเจ้ารออะไรอยู่? ไปห้ามนางเร็วสิ!” นางอันหน้าตาทะหมึงถึงและฉีกภาพลักที่เก็บซ่อนออกมา
เสียงที่เยือกเย็นและเสียดแทงของนางกระตุ้นสาวใช้ทั้งหนุ่มและแก่ที่อยู่รอบๆ ทั้งหมดต่างก็รีบตรงไปที่ซูมู่เกอและล้อมรอบนางไว้
ซูมู่เกอเปลี่ยนตำแหน่งของเหวินม่อตัวน้อยเอามากอดไว้ในอ้อมแขนของนาง
“คุณหนู ท่านไปกับนายน้อยก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะอยู่ที่นี่และต่อสู้กับพวกเขาเอง” เยว่รู่ยืนยันที่จะปกห้องซูมู่เกอและน้องชายของนางแม้ว่านางจะกลัวมาก ริมฝีปากนางสั่นด้วยความกลัว
“เจ้ากล้าหาญมากจริงๆ แต่เมื่อแขนและขาของเจ้าผอมขนากนี้ เจ้าควรพานายน้อยไปด้วยดีกว่า และปล่อยให้ข้าอยู่ที่นี่เอง” ซูมู่เกอส่งเหวินม่อตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนของเยว่รู่ และให้ทั้งสองหลบหลังนาง
“เจ้ากำลังทำอะไร? รีบคว้าและจับไว้!” นางอันจ้องไปที่ซูมู่เกอด้วยใบหน้าอันบิดเบี้ยวของนาง นางเชื่อว่าเมื่อมีคนจำนวนมากหยุดพวกนาง ซูมู่เกอจะพ่ายแพ้ด้วยจำนวนที่ด้อยกว่า!
ซูมู่เกอเตะสาวใช้คนเก่าแก่ที่กำลังต่อสู้อยู่ด้านหน้าสุด “โอ้ย!” สาวใช้ล้มลงกระแทกสาวใช้สาวสองนางลงนอนที่พื้นด้วย
“ข้าจะเปิดช่องทางให้เจ้าและเจ้าวิ่งตรงกลับไปที่ลานดอกท้อบานเลยนะหลังจากที่ผ่านมันไปได้”
“แล้วถ้าคุณหนูล่ะ….”
“พวกเขาทำร้ายข้าไม่ได้หรอก”
ซูมู่เกอจับชายเสื้อของสาวใช้คนหนึ่งอย่างเต็มมือ และผลักนางไปหาสาวใช้คนอื่นๆ ที่วิ่งมาด้านหน้า สาวใช้เซและล้มลงทีละคน เกิดช่องทางในวงล้อมของคนเหล่านั้นและเยว่รู่ก็วิ่งออกไปในเวลานั้น
“อย่าปล่อยให้นังคนใช้ราคาถูกนั่นหนีไปได้ มาจับเธอไว้!” เมื่อเห็นว่าซูเหวินม่อถูกอุ้มไป นางอันก็เดินขวางและโวยวาย
หลังจากที่เยว่รู่ออกจากลานบ้านไป ซูมู่เกอรีบไปที่ประตูเพียงสองก้าว ปิดประตูและอยู่บังที่นั่นไว้
สาวใช้วัยละอ่อนเหล่านั้นถูกซูมู่เกอทำร้ายอย่างหนัก และไม่มีใครกล้าก้าวไปข้าหน้าโดยมีซูมู่เกอยืนขวางประตูเหมือนเทพธิดาเฝ้าไว้
“ซูมู่เกอ ให้ข้าดู เจ้าจะต่อต้านขัดขืนข้าเพื่ออะไร!”
นางอันโกรธซูมู่เกอมากและนางเกือบพุ่งไปข้างหน้าด้วยตัวเอง!
“ข้าจะเป็นใบ้ยืนนิ่งเฉย รอให้คนของท่านตีข้างั้นรึ?”
“ดี วิเศษ เจ้าสบายดี! ทุกคนมาจับนางให้ข้าสิ! นังบ้าที่กล้าหาญนี่!”
ซูมู่เกอยิ้มเยาะรีบเปิดประตูและหลบหนีไป นางล็อคประตูจากด้านนอกปล่อยให้สาวใช้ทั้งหนุ่มและแก่อยู่ด้านในโดยไม่มีเวลาตอบโต้
“เปิดประตู! นังสารเลว! แกกล้าล็อคประตูลานบ้านของข้าได้เยี่ยงไร! ข้าจะดูแกตายด้วยความทรมาน!W
ซูหลุนแสดงท่าทีสงบเสงี่ยมและขอโทษเมิ่งฉางเต๋อหลายครั้งก่อนที่เขาจะจากไปในที่สุด
ขณะที่เขากำลังจะไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นในลานบ้านของนางอัน เขาได้ยินเสียงกรีดร้องและตะโกนด่าจากระยะไกลแล้ว
ใบหน้าของซูหลุนกลายเป็นสีเข้มเหมือนก้นกระทะ
“พวกแกรออะไรอยู่! ไปเปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
คนรับใช้ชายเงียบเหมือนจักจั่นในปลายฤดูใบไม้ร่วง พวกเขารีบไปที่ประตูลานพร้อมกับดึงจนตัวงอ หลังจากความวุ่นวายและความโกลาหลอยู่พักหนึ่งในที่สุดลานก็กลับมาเงียบสงบ
………………..
ณ คฤหาสน์เมิ่งในเมืองชุนหยาง
เมิ่งชุนประคองหญิงชราเมิ่งและช่วยนางเข้าไปในลานบ้าน บรรดาสาวใช้ออกมาต้อนรับนายท่านแม่เฒ่าเมิ่งหลังจากยุ่งกับงานอยู่ด้านใน เมิ่งชุนดูแลแม่เฒ่าเมิ่งเพียงลำพังและรู้ว่านางมีบางอย่างจะพูดด้วย
“ข้าได้ยินมา เจ้าชอบลูกสาวคนที่สองของซูหลุนงั้นรึ?” หญิงชราพูดช้าๆ สบายๆ โดยไม่มีความโกรธใดๆ ปรากฏบนใบหน้าของนางเลย
เมิ่งชุนตกตะลึงและนางกำลังจะตอบกลับ หญิงชราเมิ่งโบกมือและหยุดนาง
“ข้าจะไม่ค้นหาว่าเจ้าวางแผนอันใดไว้มาก่อนบ้าง แต่จากนี้ไป เจ้าอาจไม่ได้รับการพิจารณาใดๆเช่นนั้นอีก”
“เจ้าค่ะ”
…………..
นางจ้าวได้รับแจ้งว่าซูมู่เกอนำเหวินม่อตัวน้อยกลับมาแล้วและขอให้ใครก็ได้นำเขามาหานาง มองไปที่ใบหน้าที่อ่อนโยนและขาวของลูกชายของนาง นางไม่สามารถปล่อยเขาไปได้ ในที่สุดซูมู่เกอก็ขอให้เยว่รู่พาเขาไปที่ห้องของนางเองโดยพิจารณาว่ามันอาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของนางจ้าวได้ เนื่องจากนางเหนื่อยเกินไป
ซูมู่เกอจับชีพจรของเหวินม่อตัวน้อยตรวจดูเขาอย่างใกล้ชิดแล้วขอให้เยว่รู่พาเขาไปนอน
แม้ว่าเด็กจะถูกนำกลับมา แต่คนที่รับผิดชอบในอาหารทุกวันและวัตถุดิบของคฤหาสน์ทั้งหลังยังเป็นนางอัน แม้ว่าซูหลุนจะสั่งให้นางมอบอาหารให้เพียงพอต่อการเลี้ยงเด็กน้อยก็ตาม นางอันยังสามารถทำภารกิจให้สำเร็จเนโครกการไร้สาระได้
สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือการมีเงินให้เพียงพอ มิฉะนั้นจะไม่มีอะไรง่ายสำหรับพวกเขา
“มันดูเหมือนว่าเราต้องหาช่องทางทำเงิน”
อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดเกี่ยวกับผู้หญิงค่อนข้างรุนแรงในยุคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนนั้นเป็นลูกสาวของเจ้าหน้าที่รัฐ หากนางไม่สามารถมีอิสระเพียงพอในการกระทำของนาง อาจเป็นอุปสรรคใหญ่ที่นางจะก้าวต่อไป
“เยว่รู่ เจ้าดูแลบ้านให้ดี ล็อคประตูทางเข้าและอย่าให้ใครเข้ามาจนกว่าข้าจะกลับมา”
หลังจากเหตุการณ์นั้นในลานลำธารดอกไม้ไหลริน นางรู้สึกกล้าๆกลัวๆ และนางก็ไม่ได้ถามว่าซูมู่เกอกำลังมุ่งหน้าไปที่ใด “คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครเล็ดรอดเข้ามาแม้แต่คนเดียว”
ซูมู่เกอยิ้ม “เยี่ยมมาก ข้าวางใจในตัวเจ้าได้”
ซูมู่เกอสวมผ้าคลุมหน้าและกำลังเดินไปที่ห้องทำงานของซูหลุน นางวิ่งเข้าไปหาซูหลุนที่ทางเดิน เขาเพิ่งออกจากลานลำธารดอกไม้ไหลริน
เมื่อเห็นซูมู่เกอคลุมผ้ามา เส้นเลือดดำขึ้นเป็นเส้นนูนเด่นหราบนหน้าผากของซูหลุน
“กล้าดียังไงถึงเสนอหน้าของเจ้ามาให้ข้าเห็น!”
ซูมู่เกอมองไปที่เขาหลับผ้าคลุมหน้าด้วยความเย็นชา
“ท่านพ่อ ข้ามาที่นี่เพื่อคุยเรื่องนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งกับท่าน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูหลุนก็รู้สึกตีบตันกับคำพูดที่เขาไม่มีเวลาพูดถึง เขาจ้องนางเขม็ง ตะคอกอย่างหนักและหันหน้าไปที่ห้องทำงานของเขา
“เจ้า! ตามมา!”
ทัศนคติดังกล่าวไม่ได้รบกวนซูมู่เกอเลย นางเดินตามเขาเข้าไป
ซูหลุนนั่งบนเก้าอี้ทันทีที่เขาเขาเข้ามาในห้องทำงาน สายตาของเขาจ้องไปที่ซูมู่เกอ “พูดมา”
ซูมู่เกอหาเก้าอี้และนั่งลงเช่นกัน นิ่งสงบ ซูหลุนเห็นเช่นนั้นก็เม้มปากด้วยความเก็บความโกรธ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ซูมู่เกอก้มหน้ามองด้วยรอยยิ้มประชด จ้องมองไปยังซูหลุน นางสันนิษฐานว่าเขารู้ว่าเกิดเหตุการที่บ้านของนางอัน นางสร้างความวุ่นวายในบ้านของนางอันและไม่แปลกใจเลยที่นางอันจะฟ้องซูหลุนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่คราวนี้ซูหลุนระงับความโกรธและไม่ทำอันใดเลย บางทีเขากำลังคำนวณมูลค่าของตัวหมากรุกของเขา ซูมู่เกอ
“ท่านพ่อเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าที่รู้แล้วที่ข้าพาน้องชายของข้ากลับไปที่ลานดอกท้อบาน”
ซูหลุนสูดจมูกหนักๆ “เจ้าบังอาจมาก!”
“มันเป็นความผิดของข้าเองที่เมื่อก่อนข้าตัดสินใจเช่นนั้น นายหญิงอันต้องจัดการคฤหาสน์ซูทั้งหมดซึ่งมีขนาดมหิมา และให้อบรมให้ความรู้แก่ลูกสาวของนางด้วย มันเป็นความที่ข้าต้องคิดถึงคนอื่นบ้างข้าละอายที่จะฝากน้องชายไว้ให้นางดูแต่ต่อ”
“มันเป็นเรื่องดีที่ตอนนี้เจ้ารู้ตัว!”
“ด้วยเหตุนั้นข้าจึงตัดสินใจพาน้องชายของข้ากลับไปดูแลที่ลานดอกท้อบาน ข้าได้ยินมาว่าน้องสาวของข้าจะไปรับสาวใช้เพิ่มอีกหลายคนในอีกสองวัน ข้าสงสัยว่าในวันนั้นข้าจะไปรับผู้ช่วยได้หรือไม่?“
ซูหลุนขมวดคิ้วกับคำพูดเหล่านั้น แต่เขาโกรธน้อยลงเมื่อเห็นสภาพชุดเก่าเสื่อมสภาพบนตัวนาง
“ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าคือคุณหนูแห่งตระกูลซูของเราและต้องได้รับการดูแลจากใครสักคน เลือกสาวใช้ให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าต้องการ ส่วนน้องชายของเจ้า เจ้าสามารถเลี้ยงเขาได้ในลานดอกท้อบาน แต่นำคนที่คอยดูแลเขาไปด้วย”
คำพูดเห่านั้นเป็นที่ไม่คาดคิด ซูมู่เกอรู้สึกประหลาดใจ
มันคงไม่ใช่สำหรับนางที่จู่ๆซูหลุนกลายเป็นคนมีเมตตา
“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
ซูหลุนกระแอมเบาๆ
“เจ้าพบกับนายหญิงผู้เฒ่าเมิ่งได้อย่างไร? ข้าได้รับคำบอกกล่าวว่าเจ้าช่วยชีวิตนาง มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่? เจ้าเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์เหล่านั้นเมื่อใด ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้เลย?”
ซูมู่เกอเข้าใจดีก็ตอนนี้ สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้ความคิดของพ่อนางเปลี่ยนไปนันเป็นเพราะตระกูลเมิ่ง
“ข้าไปเยี่ยมท่านยายและกำลังเดินทางกลับมาที่คฤหาสน์ของเรา จากนั้นข้าก็พบคนกลุ่มหนึ่งพร้อมกับนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งในเมืองที่ติดกับหมู่บ้านจ้าว ตอนนั้นแม่เฒ่าเมิ่งอาการกำเริบและข้าก็รักษานางด้วยสิ่งที่ข้าได้อ่านจากตำราทางการแพทย์ในเวลาว่าง”
ซูหลุนมองไปที่ซูมู่เกอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยควมสงสัย เขาเคยทำงานด้านนี้แต่ออกจากตำแหน่งราชการนั้นมาหลายปีแล้ว และเขาไม่เคยเชื่อเลยว่ามีหนังสือทางการแพทย์เพียงไม่กี่เล่มเท่านั้นที่คนทั่วไปใช้อ่านแล้วสามารถช่วยผู้ป่วยให้พ้นจากความตายได้!
“เจ้าอ่านหนังสือทางการแพทย์ตั้งแต่เมื่อไหร่? หนังสือพวกนั้นอยู่ที่ไหน?”
ซูมู่เกอไม่ได้ตื่นตระหนกแม้จะเจอกับสายตาอันเฉียบคมของซูหลุนที่จ้องมองนาง นางตระหนักดีว่าใครก็ตามที่มีสติปัญญาปกติจะไม่เชื่อในคำพูดเหล่านั้น แต่แล้วยังไงเล่า?
“ถ้าท่านพ่ออยากเห็นข้าจะกลับไปหาหนังสือพวกนั้นและนำมันมาให้ท่านเจ้าค่ะ”
ซูหลุนโบกมือปฏิเสธและแสดงความไม่สนใจ “เจ้าสามารถรักษาอาการป่วยของแม่เฒ่าเมิ่งได้หรือไม่?”
ซูมู่เกอยืนตัวตรงและส่ายหน้า “ไม่ได้เจ้าค่ะ ข้าทำไม่ได้”
“ทำไมเจ้าทำไม่ได้?!”
“นายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งมีอาการป่วยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เจ้าค่ะ แต่ควบคุมได้เท่านั้น” อายุเท่าหญิงชราเมิ่ง นางมีทั้งความดันโลหิตสูงและอาการเจ็บป่วยอื่นๆ ที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นได้ จะรักษาให้หายได้ง่ายๆได้อย่างไร?
หน้าของซูหลุนแข็งกระด้างขึ้นเมื่อซูมู่เกอพูดจบ
“แต่…..”
“แต่อันใด?”
“ถ้านายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งดูแลตัวเองอย่างที่ข้าแนะนำ มันจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับนางที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักยี่สิบปี”
ในปีนี้หญิงชราเมิ่งน่าจะอายุประมาณห้าสิบปีและนั่นถือได้ว่ามีอายุยืนยาวมากในสมัยโบราณนี้ ถ้านางสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกสักยี่สิบปี นั่นจะเท่ากับว่านางอายุยืนยาวอย่างแท้จริง
“เจ้าแน่ใจ?”
“แปดสิบเปอร์เซ็นต์แน่ใจเจ้าค่ะ”
“เยี่ยมมาก แล้วข้าจะพาเจ้าไปที่คฤหาสน์เมิ่งเพื่อแสดงความขอบคุณ ตอนนี้เจ้ากลับไปได้”
ซูมู่เกอรู้สึกพอใจเมื่อนางก้าวได้อีกก้าว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป นางเพียงแค่ต้องก้าวให้ทันและก้าวหน้าทีละเล็กทีละน้อย
นางแปลกใจที่นางอันไม่ได้ส่งใครมาทำให้ตัวนางและแม่เดือดร้อนตลอดทั้งคืน มันค่อนข้างสงบ บางทีอาจเป็นซูหลุนที่ระงับเรื่องนี้
เช้าวันรุ่งขึ้น สาวใช้ในชุดกระโปรงยาวสีพีชมาที่ประตูลานดอกท้อบานฉ่ำพร้อมถาดในมือ
หลังจากนั้นไม่นาน เยว่รู่ก็ดึงผ้าม่านออกและเข้าไปในห้อง
“คุณหนูเจ้าค่ะ นายท่านส่งบางอย่างมาให้ท่าน”
ซูมู่เกอเล่นกับเหวินม่อต้วน้อยอยู่ขณะที่ก้มหัวอยู่นางก็พูด “ปล่อยนางเข้ามา”
“เจ้าค่ะ”
สาวใช้เข้ามาในขณะที่ม่านถูกเปิดออก
“คุณหนูใหญ่ สิ่งของเหล่านี้นายท่านให้นำมาให้เจ้าค่ะ และให้แจ้งคุณหนูว่าเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเยี่ยมคฤหาสน์ตระกูลเมิ่งในภายหลังเจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอเหลือบมองไปที่ถาด มีชุดกระโปรงยาวสีเหมือนสายน้ำไหลกับผ้าพลิ้ว นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับบางอย่าง
“อืม ข้ารู้แล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอลาเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่”
หลังจากสาวใช้จากไป เยว่รู่มองไปที่เสื้อผ้าและเครื่องประดับด้วยความยินดีติดบนใบหน้าของนาง
“คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ เห็นไหมเจ้าค่ะ ชุดสวยมาก ข้าไม่เคยเห็นผ้าผืนไหนดีเท่านี้มาก่อน”
ซูมู่เกอเฝ้าดูด้วยเสียงหัวเราะเรียบๆของนางและเล่นกับมือเล็กๆของเหวินม่อตัวน้อยต่อ
“บอกแม่นมของนายน้องให้พานายน้อยไปที่ห้องท่านแม่ของข้า เมื่อข้าออกไป”
“เจ้าค่ะ”
เยว่รู่ช่วยซูมู่เกอแต่งตัว นางผอมจนชุดดูใหญ่เกินไป ทำให้ดูเหมือนไม้แขวนเสื้อ ถ้านางพูดถูกเสื้อผ้าชุดนี้ถูกตัดเย็มมาเพื่อซู่จิงเหวินเป็นแน่และตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นเนื่องจากซูมูเกอต้องการเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับฐานะต่อการไปเยี่ยมคฤหาสน์ตระกูลเมิ่งของนาง
เมื่อสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว เยว่รู่เอื้อมมือไปหาผ้าคลุมและกำลังจะสวมมันลงบนหัวของซูมู่เกอ แต่นางถูกหยุดไว้
“ไม่จำเป็น”
เยว่รู่ชะงักเล็กน้อย “คุณหนูใหญ่…ท่านแน่ใจหรือเจ้าค่ะ?”
ซูมู่เกอมองไปที่ใบหน้าอันบอบบางของนางในกระจก ปานบนตาของนางค่อนข้างโดดเด่นในทางที่ไม่พึงประสงค์
“ไม่จำเป็นต้องปิด มันไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด”
ซูมู่เกอลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะ”
บทที่ 29 : เปิดเผย
“คุณหนู่ เรามาถึงแล้วเจ้าค่ะ” เยว่รู่กระโดดลงจากรถม้าก่อน แล้วช่วยซูมู่เกอลงมา
“ทำไมวันนี้เจ้าถึงไม่ใส่ผ้าคลุมหน้า?!”
เมื่อซูมู่เกอเงยหน้าขึ้น นางเห็นซูหลุนจ้องเขม็งที่นางห่างออกไปสามก้าว ซูหลุนไม่เห็นนางจนเมื่อถึงตอนนี้ เนื่องจากเขานั่งอยู่ในรถม้ามาก่อนที่ซูมู่เกอจะมาถึงประตูบ้านของพวกเขา
เมื่อวานนี้นางสวมผ้าคลุมหน้าและเขารู้สึกว่าทุกอย่างเป็นปกติ แต่ตอนนี้ไร้ซึ่งผ้าคลุม เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนาง มันชัดเจนเกินไปสำหรับผู้อื่นที่จะเห็นปานแดงเข้าอันน่าเกลียดของนางเมื่อมันอยู่ในที่แดดจ้าเช่นนี้!
“มานี่! ถอดผ้าคุลมเจ้าออกแล้วให้คุณหนูใหญ่ใส่มัน!”
ความเย็นชาและความสงบในดวงตาของซูมู่เกอไม่ได้อ่อนแอต่อความโกรธและความไม่ชอบหน้าของซูหลุน “ท่านพ่อเจ้าค่ะ ข้าไม่สวมผ้าคลุมหน้า”
“เจ้า เจ้า…..”
ยังพูดไม่จบเมื่อพ่อบ้านของตระกูลเมิ่งที่รออยู่ออกมาต้อนรับพวกเขาแล้ว
แม้จะตกใจเมื่อเห็นปานบนใบหน้าของซูมู่เกอ ไม่นานพ่อบ้าเมิ่งก็รวบรวมสติและเดินเข้าไปทักทายพวกเขาเหมือนไม่มีอะไร
“ขุนนางซู คุณหนูซู ข้าขอคารวะท่านทั้งสอง ท่านขุนนางและนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งรอท่านอยู่ในคฤหาสน์ขอรับ เมื่อพวกเขาได้ยินเกี่ยวกับการมาของท่าน โปรดตามข้ามา”
ซูหลุนจ้องมองซูมู่เกอ “ขอบใจ”
ซูมู่เกอได้รับการบอกเล่าจากเยว่รู่ว่าบ้านเกิดของตระกูลเมิ่งคือเมืองชุนหยาง เมื่อหลายสิบปีก่อนท่านพ่อของขุนนางเมิ่งได้รับตำแหน่งในวังเป็นตำแหน่งสูงสุด ดังนั้น ทั้งตระกูลเมิ่งจึงย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวง ท่านพ่อของขุนนางเมิ่งได้จากไปเพราะโรคภัยไข้เจ็บเมื่อหลายปีก่อน และสุขภาพของหญิงชราเมิ่งก็อยู่ในสภาพที่เปราะบางตั้งแต่นั้นมา เวลานี้ เมิ่งเฉิงเตอ ส่งนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งกลับมาที่เมืองชุนหยางเพื่อพักฟื้น
ตลอดทางมีสาวใช้เดินผ่านแล้วผ่านเล่า พวกเขาประหลาดใจกับใบหน้าของซูมู่เกอ แต่ก็ไม่กล้ามองนางอีกรอบ หลังจากเหลือบมองอย่างรวดเร็ว พวกเขาก็เดินต่อไปและหลีกเลี่ยงการสบตาโดยการก้มนห้า
เมื่อพ่อบ้านรายงานว่าซูมู่เกอและพ่อของนางกำลังเข้ามาที่โถงเกียติยศ ร่างบอบบางก็ออกมาและมันคือรู่เหม่ยสาวใช้ประจำตัวของนายหญิงแม่เฒ่าเมิ่งนั่นเอง
รู่เหม่ยเห็นซูมู่เกอซึ่งยืนอยู่ข้างๆซูหลุน ตั้งแต่แรกเจอนาง เมื่อพวกเขาอยู่ระหว่างเดินทางกลับเมืองชุนหยาง ซูมู่เกอปิดตาของนางด้วยแผ่นปิดและจากนั้นใช้ผ้าคลุมหน้า เมื่อนางเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นหญิง นี่จึงเป็นครั้งแรกที่รู่เหม่ยได้เห็นใบหน้าอันแม้จริงของนาง บางทีปานก็ชัดเจนเกินไปจนไม่พึงประสงค์ รู่เหม่ยตะลึงค้างทันทีเมื่อเห็นมัน
แต่ในไม่ช้านางก็กลับมาเป็นปกติและพาทั้งสองเข้าไปในห้องโถง
“นางเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเมิ่งของเรา แน่นอน ในฐานะหลานชายของท่าน ข้าจะขอบคุณนางเป็นการส่วนตัว”
“ลูกท่าน…”
ขณะที่พวกเขาอยู่นอกประตูพวกเขาก็ได้ยินเสียงร่าเริงที่กำลังรายงานการมาถึงของซูหลุน เมื่อรู่เหม่ยเข้าไปพร้อมกับดึงม่าน เสียงนั้นก็หายไปในไม่ช้า
“ท่านขุนนางซู คุณหนูซู เชิญเจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอติดตามซูหลุนเข้าไปในห้อง พวกเขาเข้ามาและได้เห็นผู้คนจำนวนมากในห้องโถงเกียติยศนี้
พวกเขาไร้เสียงหายใจออกเมื่อซูมู่เกอก้าวเข้ามาและนางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มนั้นเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น
ซูมู่เกอยังคงสงบและทักทายหญิงชราเมิ่งในห้องโถงพร้อมกับซูหลุน
“ข้าน้อยขอคารวะท่าน นายหญิงเมิ่งเจ้าค่ะ”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าของซูมู่เกอ หญิงชราเมิ่งก็ตัวแข็งเล็กน้อย แต่ในไม่ช้านางก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรและขอให้ซูมู่เกอลุกขึ้น
“ไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไป”
หญิงชราเมิ่งเป็นถึงองค์หญิงในอาณัติของจักรพรรดิ ซึ่งเป็นตำแหน่งกิตติมศักดิ์สำหรับสุภาพสตรีที่มีตำแหน่งสูงสุดที่จักรพรรติกำหนดไว้ ดังนั้น จึงสมควรที่ซูหลุนจะทักทายนางด้วยความสุภาพที่สุด
“ข้าน้อยนำลูกสาวของข้าน้อยมาคารวะท่านที่นายหญิงเมิ่งได้ช่วยเมตตานางตลอดการเดินทางขอรับ”
“ข้าน้อยของขอบคุณนายหญิงเมิ่งมากเจ้าค่ะ” ซูมู่เกอโค้งคำนับพร้อมกล่าวขอบคุณนาง
“ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า หากไม่ใช่การรักษาของเจ้าอย่างทันเวลา ข้าอาจอยู่ในสภาพที่แย่กว่านี้ก็เป็นได้”
เมื่อหญิงชราเมิ่งพูดจบ ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่านางก็ลุกขึ้นยืน และโค้งคำนับต่อซูมู่เกอโดยใช้มือพับไว้ที่ด้านหน้า เขาอยู่ในชุดคลุมสีขาวอมฟ้าซีดพร้อมเข็มขัดประดับหยกรอบเอวของเขา
“คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลซู ข้าขอขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตท่านย่าของข้า”
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นมองชายคนนั้น ใบหน้าของเขาเกิดมาพร้อมความอ่อนโยน ถึงแม้จะไม่ยิ้ม แต่ก็มีความอ่อนโยนในดวงตาของเขา ราวกับว่าพวกเขากำลังบอกคำพูดต่อคนรักเป็นพัน ๆ คำ
อย่างไรก็ตาม ซูมู่เกอมองเพียงแวบเดียวก็สังเกตเห็นความเจ้าเล่ห์ฉายแววในดวงตาของเขา ปีศาจร้ายซ่อนตัวอยู่ใต้หนังแกะที่ไม่เป็นอันตรายอะไรเช่นนี้!
ซูมู่เกอหลับตาลงด้วยความสงบ นางหันหน้าไปทางอื่นเล็กน้อยและไม่ยอมรับการโค้งคำนับของเขา
“ระวัง น่ากลัวว่าเจ้าจะอายุมากกว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลซู” หญิงชราเมิ่งพูดทันเวลา
เมิ่งซิ่วเหวินยืนขึ้น มองไปที่นายหญิงแม่เฒ่าเมิ่ง และพูดอย่างจริงใจว่า “ท่านย่า หลานชายของท่านไม่ใช่สัตว์ร้ายแล้วคุณหนูใหญ่ตระกูลซูจะกลับข้าได้เยี่ยงไร?”
“ปากข้าเงอะงะอะไรกัน! เจ้าชนะ พ่อของเจ้ากำลังรอเจ้าอยู่ในห้องหนังสือมิใช่รึ ทำไมไม่พาขุนนางซูได้ด้วยเล่า เขาจะได้เล่นหมากรุกกับพ่อของเจ้า?”
เมิ่งซิ่วเหวินมองไปที่ซูมู่เกอที่ยังคงมองลงมาและพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม “ขอรับ”
หลังจากที่ซูหลุนจากไปพร้อมกับเม่งซิ่วเหวิน รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงชราก็คลายลงเล็กน้อย นางขอให้ซูมู่เกอนั่งลง
ซูมู่เกอทำตามอย่างเชื่อฟัง “นายหญิงท่านรู้สึกดีขึ้นหรือไม่?”
“เมื่อคืนข้ากินยาตามสูตรของเจ้า และนอนหลับสบาย”
“ทำตามสูตรเป็นเวลาหนึ่งเดือนนะเจ้าค่ะ จากนั้นท่านอาจพักยากได้แล้วดูแลเรื่องอาหารที่ท่านกินเป็นพิเศษ”
“คุณหนูใหญ่ซู ท่านหมายความว่าท่านย่าไม่ต้องกินยาขมอีกต่อไปเหรอ?”
ซูมู่เกอเงยหน้าขึ้นและมองไปยังทิศทางของเสียงนั้น มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุสิบสองหรือสิบสามผมหน้าม้าสวมชุดสีเหลืองอ่อนซึ่งทำจากผ้าสี่ชิ้น
“นี่คือหลานสาวคนที่สามของข้า เมิ่งเถียนเถียน นางเป็นคนที่ดื้อที่สุด”
โดยไม่อายต่อความคิดเห็นดังกล่าวเลย เมิ่งเถียนเถียน บีบจมูกของนางอย่างน่ารัก
“หมอหลวงของจักรวรรดิบอกว่าท่านย่าต้องกินยาไปตลอดชีวิตเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง แต่ตอนนี้เจ้ากำลังบอกว่าแค่เดือนเดียวก็เพียงพอแล้ว เจ้าเก่งกว่าหมอหลวงของจักรพรรดิรึ?”
หญิงสาวในชุดสีฟ้าผมหน้าม้านั่งอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าเมิ่งเถียนเถียนถาม นางไม่ได้ปกปิดคำพูดถากถางหรือการเหยียดหยามบนใบหน้าของนาง
นายหญิงใหญ่แห่งตระกูลเมิ่ง นั่งข้างๆนางขมวดคิ้วและมองนางด้วยความไม่พอใจ
“ซูซู เจ้ากำลังพูดอะไร!”
เมิ่งซูซูส่งเสียงหึออกมา เห็นได้ชัดว่านางไม่กลัวนายหญิงใหญ่แห่งตระกูลเมิ่ง “ท่านแม่ ข้าพูดอันใดไม่ถูกต้องรึ ท่านย่านางอายุเท่าข้า แล้วนางจะมีทักษะทางการแพทย์ที่โดดเด่นเช่นนี้ได้อย่างไร!? ข้าพนันได้เลยว่านางโกหก!”
ใบหน้าของหญิงชาเมิ่งมืดลงในทันที
“ซูซู หุบปาก!” นายหญิงใหญ่แห่งตระกูลเมิ่งดุนาง
ซูมู่เกอไม่ได้ตื่นตระหนก นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ เพื่อมองสาวน้อยคนนี้ที่เป็นศัตรูกับนาง นางเชื่อในความทรงจำของนาง มีผู้หญิงคนหนึ่งในคฤหาสน์เมิ่งที่น้องสาวของนางมีความสัมพันธ์ที่ดีด้วย แล้วมันต้องเป็นคนนี้แน่
มันถูกต้องที่จะมาออกหน้าแทนเมื่อเพื่อนอยู่ในปัญหา อย่างไรก็ตาม ควรเลือกเวลาและคนอย่างรอบคอบ ถ้าไม่เช่นนั้น ความผิดพลาดที่น่ากลัวอาจเกิดขึ้นได้
“ข้าพนันได้ว่าเจ้าไม่รู้สึกดี เมื่อรอบเดือนมาทุกครั้ง”
มันเป็นเรื่องไม่ปกติและไม่คาดคิดที่จะมีคนนำหัวข้อเช่นนี้มาเปิดเผยในที่สาธารณะ ท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นความลับเล็กๆน้อยๆของเด็กสาวซึ่งอาจทำให้คนอื่นขุ่นเคือง
แม้แต่หญิงชราเมิ่งก็ดูไม่พอใจเล็กน้อยพร้อมกับคิ้วขมวดเมื่อนางหันไปหาซูมู่เกอ
“ซูซู มานี่ ขออภัยคุณหนูใหญ่ซูซะ!”
“นายหญิง มันไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเข้าใจข้อสงสัยของคุณหนูสอง แต่สิ่งที่ข้าพูดไปตอนนี้ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ร่างกายของคุณหนูสองเป็นธาตุเย็นซึ่งหมายความว่านางแทบจะไม่มีเหงื่อออกเลย แม้ในช่วงที่ร้อนที่สุดสามช่วงในช่วงฤดูร้อนและแม้ว่านางจะมีเหงื่อออก จะเป็นเหงื่อเย็น ซึ่งบ่งบอกถึงอาการป่วยจากความเย็นของร่างกาย”
ซูมู่เกอมองไปที่เมิ่งซูซู สงบนิ่งและไม่เคลื่อนไหว “เป็นความจริงหรือไม่ที่คุณหนูสองไม่กล้าดื่มน้ำเย็นแม้แต่นิดเดียวในแต่ละวัน? และเจ้าเคยท้องเสียอย่างต่อเนื่องเมื่อทานอาหารประเภทเย็น ใช่หรือไม่? และเจ้ามีอาการปวดหัวและรู้สึกหายใจลำบากเมื่ออยู่ในช่วงมีประจำเดือนถูกหรือไม่?
เมิ่งซูซูไม่สามารถโต้เถียงคำพูดเหล่านั้นได้อีกต่อไปและใบหน้าของนางก็ซีดเผือดเมื่อได้นางได้ยินคำพูดของซูมู่เกอ
หน้าตาของนายหญิงใหญ่ตระกูลเมิ่งเปลี่ยนไปเช่นกัน นางมีลูกเพียงสองคนกับนายท่านคนโตแห่งคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง เมิ่งซิ่วเหวินลูกชายของนาง เมิ่งซูซู ลูกสาวของนาง
เมิ่งซูซูมีประจำเดือนครั้งแรกเมื่อสองหรือสามปีที่แล้วปละนางได้รับทุกข์ทรมานจากมันตลอดมา มันเหมือนกับว่านางป่วยหนักทุกครั้ง นายหญิงเมิ่งพาลูกสาวไปพบแพทย์หลายท่าน แต่ก็ไม่ได้ผล นางกังวลเพราะผู้หญิงที่มีลูกจะรู้ว่าการตั้งครรภ์ด้วยสภาพร่างกายเช่นนี้อาจเป็นเรื่องยากมาก
หญิงชราเมิ่งรู้สึกได้ถึงความไม่เหมาะสมบางอย่าง นางไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีและนับประสาอะไรกับหลานสาวของนาง
ซูมู่เกอก้มหัวลงจิบชาจากถ้วยกระเบื้องบนโต๊ะตรงหน้านางและไม่พูดอันใดอีก
“มองดูข้าสิ ตอบช้ามาก ตั้งแต่คุณหนูใหญ่ซูมาที่คฤหาสน์ของเรา ข้าจะให้เจ้าพานางไปเดินเล่นในสวนของเรา ข้าได้นำดอกไม้และพืชอื่นๆ กลับมาด้วย พวกเด็กสาวชอบพวกมันมาก ให้เถียนเถียนพาไปเดินเล่นในคฤหาสน์ดีกว่า” นายหญิงใหญ่แห่งตระกูลเมิ่งมองไปที่เมิ่งเถียนเถียนซึ่งนั่งอยู่ในขณะนี้ เมิ่งเถียนเถียนเป็นลูกสาวคนที่สามของเมิ่งเฉิงเต๋อที่มีกับนางสนม นางอ่อนโยนและรู้ศิลปะในการสนทนา ดังนั้นมันจึงเป็นชีวิตที่ไม่ยากเกินไปสำหนับนางในคฤหาสน์เมิ่ง
หญิงชราเมิ่งยิ้มและพยักหน้า “ไปเถอะ เดินดูให้รอบๆ นะ ดูแลคุณหนูใหญ่ซูให้ดีที่สุด”
“เจ้าค่ะ”
เมิ่งเถียนเถียนก้าวไปข้างหน้าและจับมือซูมู่เกอ “พี่ซู ไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
แม้ว่าจะรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจนัก เมิ่งซูซูก็ลุกขึ้นยืนด้วยสายตาบังคับแข็งกร้าวจากนายหญิงใหญ่แห่งตระกูลเมิ่ง มีเด็กสาวตามมาอีกสองสามคนและซูมู่เกอก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการรบกวน
ขนาดของคฤหาสน์เมิ่งใหญ่กว่าคฤหาสน์ซูมาก มีศาลาริมน้ำในสวน ฤดูกาลของดอกบัวหมดไปแล้ว แต่ดอกบัวประดับทะเลสาบยังสวยงามมาก
“พี่ซู ท่านเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์จากอาจารย์หรือเจ้าค่ะ?” เมิ่งเถียนเถียนมีคำถามมากมายสำหรับนาง
ซู่มู่เกออดทนมากพอที่จะรับมือกับสิ่งเหล่านี้ และนางเลือกคำถามที่ไม่มีความสำคัญมาตอบ
“ข้าเหนื่อยมาก ข้าต้องไปพักผ่อนแล้ว” เมิ่งซูซูรู้สึกหงุดหงิดเมื่อนางนึกถึงสิ่งที่ซูมู่เกอพูดในห้องโถง นางใช้ช่วงเวลามีรอบเดือนมาพูด และการนำเรื่องส่วนตัวมากมาเปิดเผยในที่สาธารณะ จึงไม่มีใครมีความสุขได้
ซูมู่เกอเหลือบมองนางด้วยความเฉยเมย
“โอ้ย!”
ทันใดนั้นเมิ่งเถียนเถียนสะดุดก้อนหินและเกือบจะล้มลง
แต่ถูกซูมู่เกอจับตัวไว้อย่างรวดเร็ว นางยังคงข้อเท้าแพลง
“อืออ มันเจ็บ” เมิ่งเถียนเถียนคิ้วขมวดและนางเกือบร้องไห้ออกมา
“ให้ข้าดูสักนิด” ซูมู่เกอย่อตัวลงและกำลังจะตรวจดูเท้าของเมิ่งเถียนเถียน สาวใช้จับเมิ่งเถียนเถียนไว้ข้างตัวและดึงนางออกไป
“มันรบกวนท่านมากเกินไป คุณหนูซู เราจะเอาคุณหนูสามกลับเอง คุณหนู โปรดไปที่ศาลาริมน้ำเพื่อพักผ่อนเจ้าค่ะ”
เมิ่งเถียนเถียนมองไปที่ซูมู่เกอพร้อมกับเงยหน้าขึ้น “พี่ซู ข้าสบายดี”
ซูมู่เกอพยักหน้า “แน่ใจ ตามสบายเจ้าค่ะ”
สาวใช้หลายคนช่วยเมิ่งเถียนเถียนออกไป
เมื่อเห็นเมิ่งซูซูและคนอื่นๆ นั่งอยู่ในศาลาริมน้ำ ซูมู่เกอหันหลังเดินไปนั่งบนม้านั่งหินในสวนแทน
“คุณหนูซู ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่คนเดียว?”
ร่างเพรียวเดินออกมาจากหลังต้นไม้ช้าๆ
ด้วยคำพูดที่ออกมาจากปากนางอันต่อหน้าฝูงชนจำนวนมาก มันบอกเป็นนัยว่าซูมู่เกอลงจากรถม้าระหว่างทาง
หญิงชราเมิ่งไม่ได้ช่วยซูมู่เกอในครั้งนี้
มีความเย็นชาในดวงตาของนางเมื่อซูมู่เกอมองลงมา แล้วมันก็กลายเป็นความเกลียดชัยเมื่อนางเงยหน้าขึ้นสบตากับนางอัน
“ดีเยี่ยม มันไม่ใช่ท่านหรือนายหญิงที่จัดหาคนรับใช้เจ้าเล่ห์เหล่านั้นให้ทิ้งข้าไว้กับรถม้าเพียงลำพัง?” เสียงของนางไม่ดัง แต่เพียงพอสำหรับทุกคนที่อยู่ตรงนั้นจะได้ยินมันอย่างชัดเจน
แม้ว่าจะตกใจอยู่ในอกและคว้าผ้าเช็ดหน้าของนางด้วยความเข้มแข็งตามสัญชาตญาณ ท่าทางสงบลงพร้อมกับลมหายใจของนางคลายลงเมื่อคิดถึงคนรับใช้โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะรับคำสั่งจากนาง
“มู่เกอ อย่างไร อย่างไรเจ้าถึงคิดว่าพ่อของเจ้าเป็นคนแบบนี้? คนคุ้มกันได้รับการคัดเลือกจากเขาด้วยตนเองทั้งหมด และพวกเขาจะทำร้ายเจ้าได้เยี่ยงไร?”
นางไม่ได้โง่ขนาดนั้น ดังนั้น นางจึงไม่ได้พูดถึงสาวใช้ที่นางจัดหาไว้แม้แต่คำเดียว แต่มีเพียงคนคุ้มกันที่ซูหลุนส่งมา ซูมู่เกอเคยเห็นกลอุบายทั้งหมดนี้ผ่านมาแล้ว
สำหรับนางอัน นางเคยล้มเหลวในการต่อสู้กับซูมู่เกอ เมื่อนางปล่อยให้เรื่องมันออกสู่สาธารณชน
ซูมู่เกอจ้องไปที่ดวงตาของนางอันอย่างไม่เกรงกลัว มันทำให้นางอันก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัวด้วยรูปลักษณ์ที่ขุ่นใจของนาง
“ข้าลงจากรถม้าเพียงแค่อยากได้อากาศบริสุทธิ์ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้รับใช้ชั่วร้ายทิ้งข้าไว้ที่นั่น? ถ้าไม่ใช่เพื่อนบ้านที่แสนดีในหมู่บ้านของท่านยายที่ได้ช่วยข้าไว้ ข้าก็คงจะตายไปแล้ว!”
“นั่นเป็นไปไม่ได้ คนรับใช้บอกว่าเจ้าหนีไปกับใครบางคน!”
ซูมู่เกอมองไปที่นางอันด้วยสายตาเย็นชาอีกครั้ง
“คำพูดที่เต็มไปด้วยการดูถูก เป็นข้อแก้ตัวของคนรับใช้ที่จะแก้ต่างให้ตัวเองจากการถูกลงโทษ ท่านเชื่อพวกเขาได้อย่างไรเจ้าค่ะ นายหญิง?”
“ข้า….”
“นายหญิง ท่านสับสนเกินไปจนบอกว่าถูกเป็นผิดหรือไม่?”
ก่อนที่นางอันจะตอบได้ เสียงดุเข้มงวดก็ดังมาจากด้านหลังของนาง มันคือซูหลุน และใบหน้าของเขามืดมนด้วยความโกรธ
“นายท่านของข้า….”
เขาไม่ได้มองไปที่นางอัน แต่เดินตรงไปยังแม่เฒ่าเมิ่ง เขายื่นมือทับซ้อนกันที่ด้านหน้าโค้งคำนับให้นางเมิ่ง
“ข้าน้อยขออภัยอย่างจริงใจขอรับ สำหรับความหยาบคายของลูกสาวของข้า ได้โปรดอภัยให้นางจะได้หรือไม่ขอรับ?” ซูหลุนเหลือบมองซูมู่เกออย่างเฉยเมยหลังจากพูดคำเหล่านั้นออกไป
“ข้าได้รับแจ้งว่านายหญิงดูแลมู่เกอมาตลอดการเดินทาง ข้าจะพานางไปที่คฤหาสน์ของท่านเพื่อขอบคุณต่อท่านในวันข้างหน้า มู่เกอเจ้าต้องเหนื่อยมากหลังจากการเดินทางอันยาวนาน กลับไปที่คฤหาสน์และพักผ่อนเถอะ”
ซูมู่เกอเข้าใจว่าซูหลุนต้องการยุติละครเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด มันไม่ควรแพร่กระจายออกไปตั้งแต่แรก!
แต่มันไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับนางที่จะต่อสู้กับซูหลุนเนื่องจากนางยังไม่มีอะไรอื่นแต่มีเพียงแม่ที่อ่อนแอของนางและน้องชายที่เพิ่งลืมตามาดูโลก
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
ซูมู่เกอหันหน้าไปด้านข้างและโค้งคำนับให้นายหญิงแม่เฒ่าเมิ่ง หญิงชราพยักหน้ารับ
“กลับเข้าบ้านเถอะ”
ซูมู่เกอไม่สนใจนางอันที่รวบรวมตัวเองจากความโกรธและความเจ็บปวด และเดินเข้าคฤหาสน์ไป
“ข้าก็เหนื่อยเหมือนกัน เจียง มาพาข้ากลับบ้านที”
นายหญิงเมิ่งและนายหญิงเมิ่งเจียงพากันมาพยุงแม่เฒ่าเมิ่งอย่างเชื่อฟัง “เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นหญิงชราเมิ่งและนายหญิงเมิ่งกลับไปแล้ว นางอันนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีผู้คนอีกมากจะหลีกเลี่ยงอย่างไรให้สุภาพ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หญิงชราเมิ่งทำและพูดคำพูดเหล่านั้นติดอยู่ในลำคอของนางโดยไม่ได้เอ่ยออกมา
“นายหญิงซู มันเริ่มค่ำแล้วและมันไม่สะดวกที่เราจะอยู่นานต่อไปกว่านี้อีก เราจะกลับเดี๋ยวนี้แล้ว”
หลังจากแม่เฒ่าเมิ่งจากไป ผู้ที่มาเพื่อแสวงหาความสัมพันธุ์กับตระกูลซูในนามของวันเกิดของซูจิง เหวินก็จากไปเช่นกัน มันง่ายที่บอกว่า นางอันไม่ด้อยู่ในอารมณ์ที่จะยินดีต้อนรับขับสู้แขกในตอนนี้
แม้ว่านางจะได้รับรูปลักแปลกๆมากมาย ซูมู่เกอกลับไปที่ลานดอกท้อโดยไม่ได้มองรอบข้างเลย
ลานดอกท้อเป็นสถานที่ที่เงียบที่สุดในคฤหาสน์ซู แม้ว่าจะมีเสียงดังและมีชีวิตชีวาที่สวนหน้าบ้านก็ตาม มันยังคงรู้สึกห่างไกลที่นี่ในลานแห่งนี้
เหมยฮัวแบกอ่างน้ำออกมาเมื่อซูมู่เกอเดินตรงเข้าไปในลานดอกท้อและนางก็หยุดด้วยความตกใจ
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่ใช่ไหม?”
ซูมู่เกอพยักหน้าให้นางด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ ข้าเอง”
ความยินดีอันสวยงามแผ่กระจายไปทั่วใบหน้าของเหมยฮัว “มันเป็นความจริงที่คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว!”
หลังจากโค้งคำนับด้วยความสุภาพกับซูมู่เกอแล้ว เหมยฮัวกลับไปที่ห้องของนางจ้าว
ซู่มู่เกอเดินก้าวต่อไปและได้ยินเสียงของนางจ้าวรีบร้อน “มูมู่กลับมาแล้ว?”
เมื่อซูมู่เกอก้าวเข้ามาในห้อง นางเห็นนางจ้าวกำลังจะลงจากเตียงโดยได้รับความช่วยเหลือจากเหมยฮัว
“มูมู่ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว”
ซูมู่เกอเดินไปที่เตียงของนางจับมือและนั่งลง
“ท่านแม่ อย่าร้องไห้ ข้ากลับมาแล้ว ท่านยังอยู่ในเดือนแห่งการพักรักษาและระวังร่างกายของท่านนะเจ้าค่ะ”
ดูเหมือนว่านางจ้าวน้ำหนักลดลงไปหลังจากที่นางจากไป
“มันดีใจที่ได้พบเจ้าอีกครั้ง ตอนนี้เจ้ากลับมาแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเจ้าแล้ว แล้ว…ท่านยายของเจ้าล่ะ?”
“ท่านแม่ ท่านทำใจให้สบาย ท่านยายของข้าสบายดีและนางจะหายดีในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว”
นางจ้าวไม่ได้คาดหวังต่อสิ่งนี้
นางเตรียมตัวต่อการเสียชีวิตและงานศพของแม่นางระหว่างที่ซูมู่เกอไม่อยู่ ดังนั้น มันจึงเป็นเหมือนคำปลอบโยนเมื่อซูมู่เกอพูดเช่นนั้น
“เจ้าแน่ใจใช่หรือ?”
“แน่นอน! ท่านยายบอกอีกว่านางจะมาเยี่ยมเราเมื่อนางรู้สึกดีขึ้น”
“จริงๆรึ?”
นางจ้าวไม่เคยเห็นแม่ของนางเลย นางจาง ตั้งแต่พวกเขาพบกันครั้งสุดท้ายก็เมื่อหลายปีก่อนพร้อมกับซูมู่เกอตอนเป็นทารกอยู่ เมื่อได้ยินว่านางจางจะมาเยี่ยมนาง นางเริ่มสดใสขึ้น แต่ในไม่ช้านางก็รู้สึกเสียใจอีกครั้งด้วยความกังวล เมื่อนึกถึงสถานการณ์ปัจจุบันของนาง
ซูมู่เกอไม่พูดอะไรอีก ขอเพียงเหมยฮัวดูแลแม่ของนางให้ดีและกลับไปที่ห้องของนางเอง
เยว่รู่ถือถ้วยชาร้อนเข้ามาในห้องพร้อมกับความสุขที่เปล่งประกายบนใบหน้าของนาง
“คุณหนูใหญ่ ในที่สุดท่านก็กลับมา”
“ทุกอย่างในคฤหาสน์เป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
“หลังจากท่านออกเดินทาง นายหญิงอันส่งคนมาที่นี่ทุกวันเพื่อรายงานท่านแม่ของท่านเกี่ยวกับนายน้องที่เกิดใหม่ และท่านแม่ของท่านจะไม่กินหลังจากที่นางได้ฟังเรื่องนี้…”
ซูมู่เกอถูระหว่างคิ้วของนางหลังจากได้ยินเรื่องนี้
มันเป็นความผิดของนางส่วนหนึ่ง นางไม่เคยเป็นแม่มาก่อนจึงไม่เข้าใจความเสียใจของแม่เมื่อต้องพรากจากกันกับลูก นางคิดเพียงว่าจะดีกว่ามากที่ทารกจะเติบโตในสภาพแวดล้อมทางวัตถุที่ดีกว่า
นางลุกขึ้นยืนและลูบ ปัดชุดของนางแม้ว่าจะไม่มีรอยยับก็ตาม
“ คุณหนูใหญ่ ท่านกำลังจะไป…”
“มันเป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้เจอน้องชายของข้า ข้าอยากไปเยี่ยมเขา วันนี้เป็นวันเกิดของคุณหนูสองด้วย ให้ผ้าเช็ดหน้าที่ดีที่สุดผืนหนึ่งที่เจ้าเย็บติดมือไปด้วย”
เยว่รู่พยักหน้าและทำตามคำสั่ง แม้ว่านางจะสับสนเล็กน้อย
ซูมู่เกอตรงไปที่ลานดอกไม้ไหลรินที่นางอันอาศัยอยู่ นางอันยังคงมองเห็นผู้มาเยือนอยู่ข้างนอกและมีสาวใช้เพียงสองหรือสามคนที่เหลืออยู่ที่ลานบ้าน
ซูมู่เกอถูกสาวใช้เก่าหยุดก่อนที่นางจะก้าวเข้าไปในลานบ้าน
สาวใช้เก่าดุซูมู่เกอที่มีผ้าคลุมหน้า “เจ้าสาวป่าไร้มารยาท! เจ้าไม่รู้หรือว่าไม่อนุญาตให้เข้าไปในลานบ้านของนายหญิง?”
“หุบปาก! กล้าพูดกับคุณหนูใหญ่แบบนี้ได้เยี่ยงไร!” เยว่รู่จ้องมองไปที่สาวใช้เก่าด้วยท่าทางที่ค่อนข้างวางท่า
“คุณหนูใหญ่?” สาวใช้เก่าที่ดูแลประตูลานบ้านมองไปที่ซูมู่เกออย่างสงสัย เห็นได้ชัดว่าข่าวของเหตุการณ์ที่เกิดหน้าบ้านยังมาไม่ถึงที่นี่
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นางอันเพิ่งแจ้งทุกคนว่าซูมู่เกอ นางไม่ได้ป่วย ไม่ได้รับการรักษาจริงในหมู่บ้าน แต่ได้หนีไปกับชายคนหนึ่ง แล้วนางจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?
ซูมู่เกอไม่ต้องกังวลที่จะอธิบายกับนางเพียงแค่ผลักสาวใช้คนนั้นพ้นออกไปและเข้าไป
“นี่เจ้า! กล้าบุกเข้าไปในลานนายหญิงแบบนี้ได้ยังไง? นังผู้หญิงหยาบช้า!” ดูเหมือนว่าซูมู่เกอจะผลักนางโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม แต่นางก็ถูกผลักออกไปแล้วหลังจากนั้น จากประสบการณ์ดังกล่าว มีบางอย่างในสายตาของสาวใช้เก่าที่มองไปที่ซูมู่เกอ
ซูมู่เกอไม่สนใจนางและเดินมุ่งหน้าเข้าไป
“ไปและหาว่านายน้อยอยู่ห้องไหน”
“เจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอมองไปรอบๆลานดอกไม้ไหลริน มันใหญ่กว่าลานดอกท้อที่นางอาศัยอยู่ถึงสามเท่าและมีดอกไม้แปลกมากมาย สมุนไพรหายากอยู่ทุกที่
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ดังมาจากห้องทางขวาสุด นางหมุนเท้ามุ่งไปอย่างรวดเร็วและเดินเข้าไปหามัน
“เจ้าเป็นใครบนโลกนี้? กล้าดีเยี่ยงไรมาพานายน้อยไป!”
ทันทีที่นางเดินเข้าไปใกล้ประตูก็มีเสียงโหยหวนให้นางได้ยิน นางขมวดคิ้วและเดินเข้าไปในห้อง
หญิงสาวในวัยยี่สิบปีที่มีใบหน้ากลมมองไปที่เยว่รู่ด้วยความไม่เป็นมิตร โดยมีเด็กอยู่ในอ้อมแขนของนาง
หลังจากที่ซูมู่เกอเข้ามาในห้อง นางยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น
“ข้าคือคุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์หลังนี้และข้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมน้องชายของข้า
“คุณหนูคนโต?”
สาวหน้ากลม นางชุน เป็นแม่นมของนายน้อย ซูเหวินม่อ นางอันส่งนางมาที่นี่เพื่อดูแลทารก เมื่อนางได้ยินเกี่ยวกับตัวตนของซูมู่เกอคิ้วสีอ่อนของนางก็ขมวด
“ให้น้องชายข้ากับข้า” ซูมู่เกอเอื้อมมือทั้งสองข้างออกโดยที่หญิงสาวไม่ขยับ
“ร่างกายของคุณหนูใหญ่ควรได้รับการปฏิบัติราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า เด็กตัวหนักเกินไป ข้ากลัว กลัวว่าท่านจะเหนื่อย….”
ซูมู่เกอยิ้มเยาะ “เขาเป็นน้องชายของข้า ข้าจะกลัวว่าจะเหนื่อยจากการอุ้มเขาได้อย่างไร? ส่งเขามาให้ข้า!”
ไม่มีใครสามารถปฏิเสธเสียงที่เยือกเย็นและหนักแน่นเช่นนี้ได้ นางชุนถังกับสั่นเล็กน้อยและส่งเด็กน้อยของนางด้วยมือสั่นเทา
ทารกจะมีอายุครบหนึ่งเดือนในไม่ช้า ดวงตาของเขาเบิกกว้าและดูเข้มแข็ง น่ารักเช่นเดียวกับแม่ของเขา
ดูเหมือนว่าเหวินม่อน้อยจะรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในอ้อมแขนของพี่สาวของเขา เขามองนางด้วยดวงตาที่เบิกกว้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ซูมู่เกอสะกิดใบหน้าเขาเบาๆและยิ้ม นางอุ้มเขาไว้ในอ้อมแขนของนางหันหลังและกำลังจะจากไป
นางชุนอยู่ในอาการตื่นตระหนกและกลัวว่าทารกจะถูกพรากไป นางเดินไปข้างหน้าเพื่อพยายามหยุดซูมู่เกอ
“คุณหนูใหญ่ ท่านกำลังจะพานายน้อยไปไหน?”
ซูมู่เกอหยุดชั่วครู่ “แล้วทำไมข้าต้องรายงานเจ้า”
“แต่ แต่นายหญิงบอกว่า….”
“ดูสิว่าคุณหนูใหญ่นิสัยดีขนาดไหน! เจ้ามาที่นี่ทำไมกล้ามาทำให้พื้นในลานบ้านของข้าสกปรก?”
นางอันยืนอยู่ตรงกลางลาน โดยหน้าอกของนางขยับขึ้นลงจากการหายใจเข้าลึกๆที่เกิดจากความโกรธ สายตาของนางจับจ้องไปที่ซูมู่เกอราวกับว่าพวกเขากำลังจ้องมองเธออยู่
ซูมู่เกอมองลงไปและดึงผ้าคลุมร่างเหวินม่อตัวน้อย จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นไปมองนางอัน
“นายหญิง ท่านกลับมาทันเวลาพอดี ข้าอยากจะขอบคุณท่านจริงๆสำหรับการดูแลน้องชายของข้าในวันนี้ มันเป็นความผิดของข้าที่รบกวนท่านเป็นเวลานานแล้ว ท้ายที่สุด ท่านไม่ใช่แม่ที่แม้จริงของเขา ข้าจะพาเขากลับไปเพื่อไม่ให้ท่านเดือดร้อนมากกว่านี้แล้ว”
ดวงตาของนางหรี่แคบจนเป็นเส้นตรง และปลายนิ้วของนางสั่นด้วยความโกรธ
กล้าดียังไงที่กล้าเอาไอ้เด็กคนนี้มาเสียดสีนาง ที่ไม่มีลูกชายเป็นของตัวเอง!
“มันเป็นเจ้าที่ขอให้นายน้อยพักฟื้นที่นี่ ถ้าเจ้าต้องการเอาเด็กคืน ข้าสงสัยว่าต้องให้นายท่านเห็นด้วย!”
แม้ว่านางอันอยากจะไล่ซูมู่เกอออกไปมานานแล้ว แต่นางก็อยากจะเก็บไอ้เด็กนี้ไว้เพื่อดูหน้าที่ตายซากไปครึ่งหนึ่งของนางจ้าว
“ข้าจะอธิบายให้พ่อของข้าฟังเอง”
นางอันก้าวไปข้างหน้าและหยุดซูมู่เกอ นางเดินเข้าไปใกล้ซูมู่เกอแล้วพูดเสียงเบาพร้อมกับกัดฟัน “เจ้าคิดว่าจะพาเขาไปได้อย่าง่ายดายขนาดนี้เลยรึ เมื่อตอนนี้เจ้าอยู่ในที่ของข้า!”
ซูมู่เกอมองไปที่นางอันด้วยความเฉยเมย “ถ้าข้าพาเขาไป ท่านจะทำการอันใด? ตั้งแต่แม่เฒ่าเมิ่งพาข้ากลับมา ท่านไม่คิดว่านางรู้เรื่องการกระทำชั่วร้ายของท่านบ้างหรือ ให้ข้าเดา พ่อของข้าไม่ต้องการที่จะทำให้ขุนนางเมิ่งขุ่นเคืองใจเป็นแน่ใช่หรือไม่?”
มีทั้งความกลับและความประหลาดใจในสายตาของนางอันที่จ้องมองซูมู่เกอ
“เจ้า เจ้า….”
ซูมู่เกอยิ้มอย่างนุ่มนวล แต่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
“นายหญิง ท่านควรรู้ว่าท่านจะต้องจ่ายสำหรับสิ่งที่ท่านทำ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น!”
มาดามเมิ่งเป็นผู้หญิงชาวบ้านจากภูมิภาคทางใต้ของแม่น้ำแยงซี นางมีรูปร่างเล็กกระทัดรัดและใบหน้าที่บอบบาง มีความอ่อนโยนและความอบอุ่นออกมาจากทุกอาริยาบทของนาง ด้วยความที่อายุใกล้เคียงกับนางอัน นางยังดูสาวกว่านางอันมาก แม้ว่านางอันจะใส่ใจเรื่องความงามและสุขภาพร่างกายของตัวเองมาโดยตลอดก็ตามที
“ไม่ได้เจอกันนานเลย นายหญิงเมิ่ง” นางอันเดินไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม
ด้วยการแสดงออกที่นุ่มนวลและน่าพอใจบนใบหน้าของนาง มาดามเมิ่งเหลือบมองซูจิงเหวิน ซูจิง เหวินที่ยืนอยู่ข้างนางอันมองย้อนกลับไปราวกับว่านางกำลังว้าวุ่นใจเล็กน้อย มาดามเมิ่งรีบมองออกไปและส่งสายตากลับมาที่นางอัน
“อย่างแน่นอน ไม่กี่วันที่ผ่านมา ข้าได้ยินว่านายหยิงผู้เฒ่าเมิ่งกำลังจะกลับมา และกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวสำหรับการมาถึงของนาง”
“เรารู้ว่าท่านเป็นลูกกตัญญูของแม่เฒ่าดีกว่าใครๆ ข้ายังจำได้ว่าตอนที่แม่เฒ่าเมิ่งป่วย ท่านอยู่ที่นั่นเพื่อดูแลนางเป็นเวลาสามวันสามคืนโดยไม่ได้ละไปไหนเลย”
หลังจากแลกเปลี่ยนคำทักทายและคำชมตามปกติแล้ว นางอันเชิญนายหญิงเมิ่งเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยตัวนางเอง
ทันทีที่พวกเขานั่งในห้องนั่งเล่นแล้ว นางอันแอบแตะซูจิงเหวินเพื่อเป็นการเตือนความทรงจำ ซูจิง เหวินควรจะแสดงมารยาทกับนายหญิงเมิ่งที่ตรงประตู แต่อย่างใดเด็กคนนี้ก็หยุดนิ่งราวกับว่านางกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่กับบางสิ่ง
เมิ่งซิ่วเหวิน นายท่าน ไม่ได้ปรากฏตัวมาพร้อมกับนายหญิงเมิ่ง ซูจิงเหวินจึงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่ในไม่ช้านางก็ลุกขึ้นยืนและก้าวไปข้าหน้าด้วยรอยยิ้มที่เหมาะสม
“ข้าขอคารวะอย่างจริงใจ นายหญิงเมิ่งเจ้าค่ะ”
ซูจิงเหวินโค้งคำนับเล็กน้อยด้วยความสุภาพตามมายาททั่วไป จนกระทั่งช่วงเวลานี้ นายหญิงเมิ่งจึงหันกลับมามองซูจิงเหวินอีกครั้ง
“วันนี้เป็นวันเกิดของคุณหนูสอง ดังนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไปนัก”
นายหญิงเมิ่งตอบด้วยใบหน้าเฉยเมย ไม่มีอารมณืใดปะปนในคำพูดของนาง นางอันขมวดคิ้ว นางเคยพูดกับนายหญิงเมิ่งเกี่ยวกับการแต่งงานระหว่างสองครอบครัวอย่างไม่ชัดเจนนัก และแม้ว่านายหญิงเมิ่งจะไม่ได้แสดงความยินยอมในตอนนั้น อย่างน้อยก็มีที่ว่างสำหรับการพิจารณา แต่ด้วยท่าทีของนางในวันนี้ นางหมายความเยี่ยงไร?
นายหญิงเมิ่งมีคำพูดสบายๆ กับซูจิงเหวิน สั่งให้คนรับใช้ของนางนำของขวัญวันเกิดออกมา และเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาจากซูจิงเหวินเป็นเรื่องอื่น
ซูจิงเหวินไม่ได้หูหนวกตาบอดและนางสัมผัสได้ถึงความเย็นชาของนายหญิงเมิ่ง ทันใดนั้นใบหน้านางก็ซีดเผือดลงทันทีและนางกำลังจะทิ้งตัวลงนั่ง
นางอันแอบหยิกลูกสาวนางไว้
“เจ้าไม่จำเป็นต้องระมัดระวังมากเกินไปที่จะไปกับเพื่อนของเจ้า ทำไมไม่ไปเป็นเจ้าภาพที่ดีกับเพื่อนผู้หญิงที่มาฉลองวันเกิดของเจ้าล่ะ?”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่”
จากนั้นซูจิงเหวินก็พาหญิงสาวกลุ่มหนึ่งไปที่สวน
ในไม่ช้าเด็กผู้หญิงหลายคนก็เดินวนรอบซูจิงเหวิน เมื่อพวกเขาอยู่ในสวน
“น้องสาวจิงเหวิน วันนี้เจ้าดูสวยมาก” เด็กผู้หญิงหน้ากลมกำลังคุยกัน ชื่อของนางคือฮูเล่อและนางเป็นลูกสาวของผู้พิพากษามณฑลที่มีที่ดินอยู่ในเขตอำนาจปกครองของเมืองชุนหยาง
“ในคำพูดของท่าน พี่ฮู ท่านพูดอย่างกับว่าน้องจิงเหวินแต่ก่อนไม่สวยงั้นแหละ” ด้วยสายตายั่วยุไปที่ฮูเล่อ หญิงสาวที่มีใบหน้ารูปไข่พูดคำพูดนั้นขึ้นมาแทน พวกเขาทั้งหมดเป็นลูกสาวของผู้ใต้บังคับบัญชาของซูหลุนและทราบมานานแล้วว่า ซูจิงเหวินเป็นที่ชื่นชอบของพ่อของนางมากที่สุด เมื่อครอบครัวซูมาถึงที่นี่ พวกเขาชื่นชมนางตลอดมา
“เจ้า!”
“หยุดต่อล้อต่อเถียงกัน! เจ้าไม่รำคาญกันรึ” ซูจิงเหวินดึงดอกไม้ออกมาหนึ่งกำมืออย่างไม่สบอารมณ์และปามันลงบนพื้น สองสาวหุบปากที่เถียงกันอย่างรวดเร็ว
“ข้าได้ยินมาว่าพี่สาวของเจ้าป่วยหนักและถูกส่งตัวไปที่หมู่บ้านเพื่อพักฟื้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเจ้าเพราะไม่อย่างนั้นนางอาจจะต้องเป็นที่น่าอับอายในคฤหาสน์” ฮูเล่อรู้ว่าซูจิงเหวินเกลียดซูมู่เกอมาก และไม่เคยพลาดที่จะดูแคลนซูมู่เกอตลอดเวลา
แน่นอนว่าซูจิงเหวินหัวเราะเยาะด้วยความพึงพอใจทันทีที่มีคนพูดดูถูกซูมู่เกอ
“เหอะ พักฟื้นร่างกายนางในหมู่บ้านงั้นรึ? ที่จริงนางหนีไปกับผู้ชายในป่า!”
ดวงตาของหญิงสาวต่างตกตะลึกกับคำพูดที่ไม่คาดคิดเช่นนั้น
“น้องจิงเหวิน เจ้าพูดจริงหรือไม่?”
เรื่องราวกเกี่ยวกับหญิงสาวจากครอบครัวของขุนนางได้หลบหนีไปกับชายคนหนึ่ง! ถ้านางถูกจับตัวกลับมา นางจะถูกแขวนคอในกรงหมูและจับถ่วงน้ำ! และนั่นไม่ใช่การลงโทษอย่างหนักรึ!
“ทำไมข้าต้องโกหกเจ้าด้วย? ท่านแม่ของข้าช่วยปกปิดความความจริงให้นาง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่านางไปพักฟื้นที่หมู่บ้าน?”
“โอ้พระเจ้า! คุณหนูใหญ่กล้าเกินไปแล้ว!”
ยืนอยู่ที่ทางเข้าสวนด้วยใบหน้าซีดเผือด นางอันพยายามเงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มและแสร้งทำเป็นว่านางไม่ได้ยินอะไร แต่นางทำไม่ได้ คนเราทุกวันนี้ไม่มีคนหูหนวก และพวกเขาทุกคนก็ได้ยินคำพูดดังๆ ของซูจิงเหวินซึ่งชัดเจนมาก
นายหญิงเมิ่งซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ดวงตามืดมิดและมืดมนของนางมองไปที่นางอันอย่างรวดเร็ว นางอันทำได้เพียงกัดปากและจิกตัวเองเพื่อสงบสติอารมณ์ นางอ้าปากค้างพร้อมกับมีก้อนสะอึกในลำคอ “ขออภัย ขออภัยสำหรับเรื่องงี่เง่าเรื่องนี้น่างจะเป็นเรื่องอื้อฉางในครอบครัว และเราไม่รู้เลยว่ามู่เกอทำเช่นนั้น นางเติบโตมาพร้อมกับพี่สาวของข้าและมักจะประพฤติตัวดี…”
นากจากนายหญิงเมิ่งแล้วคนส่วนใหญ่ที่มากับนางอันในสวนเป็นภรรยาของขุนนางในเมืองขุนหยางทั้งนั้น แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อน และพวกเขาคิดว่าซูจิงเหวินกำลังพูดถึงลูกสาวของนายหญิงอีกคนของซูหลุน นายหญิงเมิ่งเป็นคนเดียวที่รู้ว่ามู่เกอคือใคร
“ไม่ต้องกังวลกับมัน นายหญิงซู มันไม่ควรเสียอารมณ์เพราะคนไม่มีตัวตน ท้ายที่สุด นางเป็นลูกสาวของนายหญิงที่ไม่มีความสำคัญใด และท่านเป็นนายหญิงที่แท้จริงของตระกูลนี้ ดูลูกสาวของท่านสิ คุณหนูสองของเรา นางสง่างามและมีคุณธรรมเพียงใด! เราสามารถบอกได้ว่านางถูกเลี้ยงดูจากท่านมาอย่างดีได้รับการศึกษาที่ดีมาก”
“ใช่เจ้าค่ะ อย่างแน่นอน”
ด้วยคำชมเหล่านั้น นางอันแทบจะไม่สามารถซ่อนเสียงหัวเราะของนางได้เลย
ไม่มีตัวตน! นางจ้าว เจ้าได้ยินมันไหม!
“ทำไมไม่กลับไปที่ห้องแล้วนั่งที่นั่นล่ะ? ดวงอาทิตย์กำลังจะแผดเผา” จู่ๆ นายหญิงเมิ่งก็พูดขึ้น คิดว่านางเมิ่งกำลังช่วยนางจากความอับอาย ดังนั้นนางจึงรวบรวมภรรยาขุนนางกลุ่มนั้นและจากไป
การหนีไปกับผู้ชายคนหนึ่งขอซูมู่เกอก็กระจายออกไปทั่วคฤหาสน์ซู
…………………………
รถม้าของตระกูลเมิ่งแล่นผ่านประตูเมืองอย่างช้าๆ
หลังจากเข้าเมืองแล้วรถม้าไม่ได้มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์เมิ่งแต่พวกเขามุ่งหน้าไปที่ตระกูลซู
รถม้าจอดอยู่ด้านนอกคฤหาสน์ซู ในขณะที่นางอันกับเหล่านายหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังดูการละเล่นอยู่ในขณะนั้น
สาวใช้ในชุดน้ำเงินเดินไปหามาดามเมิ่งและกระซิบข้างใบหูของนาง มาดามเมิ่งดูตกใจมากเมื่อนางได้ยินคำพูดของสาวใช้รายนั้น นางหันกลับไปมองซูจิงเหวินซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ นางอัน
ที่จมอยู่กับความตื่นเต้นของการดูถูกจากผู้อื่นต่อซูมู่เกอ ซูจิงเหวินไม่ได้สังเกตว่ามีใครมองนางอยู่ อย่างไรก้ตามรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก่อนที่นางจะพูดอันใด หลีหม่าก็เข้ามาข้างๆนาง
“ขุนนางเมิ่งและนายแม่ผู้เฒ่าเมิ่งจากคฤหาสน์เมิ่งมาถึงแล้วเจ้าค่ะ!”
“อะไรนะ?”
ความประหลาดใจบนใบหน้าของนางอันไม่น้อยไปกว่านายหญิงเมิ่ง นายหญิงเมิ่งไม่คาดคิดมาก่อนว่าวันเกิดของลูกสาวจ้าวเมืองจะดึงดูดความสนใจจากทั้งสามีของนางและแม่สามี
นางอันลุกพรวดขึ้นและลากซูจิงเหวินผู้ซึ่งจมอยู่กับการละเล่น “เร็วเข้า ไปทักทายแขกของเรา”
นายหญิงเมิ่งยืนขึ้นเช่นกันและเดินตามนางอันออกไป
พวกเขาทิ้งคนอื่นๆไว้ในความสับสน
“เกิดอะไรขึ้น? นายหญิงซูและนายหญิงเมิ่งดูแปลกๆ เมื่อพวกเขาออกไปข้างนอกกัน”
“ไม่รู้ เราตามพวกเขาไปกันหรือไม่? แต่การแสดงยังไม่จบนะ?” นายหญิงในชุดสีเหลืองยิ้มเล็กน้อยพลางเอามือปิดปาก
แม้จะมีคำยกย่องสรรเสริญให้นางอันหลังกลับจากในสวน แต่ก็คือ หลังจากนั้นทั้งหมด มันคือการเปิดโปงเรื่องราวภายในตระกูลที่หญิงสาวของครอบครัวคนหนึ่งในคฤหาสน์หนีไปกับชายหนึ่งคน มันควรถูกปกปิดด้วยความระมัดระวัง แต่คุณหนูคนที่สองได้เล่าเรื่องนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการอบรมเลี้ยงดูที่ไม่ดีของนาง
ด้านนอกประตูคฤหาสน์ นายหญิงเมิ่งทักทายนายแม่ผู้เฒ่าเมิ่งด้วยใบหน้าเคารพนบนอบ ในขณะที่นางอันเดินไปข้างหน้าโดยจูงซูจิงเหวินไปด้วยเพื่อแสดงความเคารพ
“นายหญิงผู้เฒ่าเมิ่ง ขอคารวะเจ้าค่ะ”
หญิงชราเมิ่งเพียงแค่พยักหน้าและไม่ขยับ นางมองเลยไปด้านหลัง
“เด็กที่ไหนกัน? ออกมา ทำไมไปแอบที่ด้านหลังท่าน?”
ความสนใจทั้งหมดถูกพุ่งไปที่จุดเดียวเบื้องหลังหญิงชรา แล้วหุ่นผอมบางก็ก้าวออกมา นางอันเป็นคนแรกที่ผงะตกใจสำหรับการที่ไม่ได้เตรียมรับกับสถานการณ์ครั้งนี้!
ซูมู่เกอ!
นางมาอยู่กับนายหญิงผู้เฒ่าเมิ่งได้ยังไง!
“มาได้อย่างไร? นางไม่ได้หนีไปกับผู้ชายคนหนึ่งหรือ ซูมู่เกอ? เจ้ากล้ากลับบ้านมาได้เยี่ยงไร!” ซูจิงเหวินตะโกนออกอย่างไม่คิด
ซูมู่เกออยู่ในชุดกระโปรงสีเขียวควันบุหรี่แบบพื้นเมือง ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมกันเมื่อสองปีมาแล้วในเมืองชุนหยาง มีเพียงกิ๊บหยกอันเดียวที่ปักไว้ด้านข้างผมสีดำของนาง คุณภาพไม่ดีนัก เครื่องแต่งกายแบบนี้แย่ยิ่งกว่าสาวใช้ของตระกูลขุนนางชั้นสูงบางครอบครัวเสียอีก
นางเดินไปด้านข้างนายหญิงผู้เฒ่าเมิ่งอย่างสงบและจับมือนางไว้เบาๆ โดยไม่สนใจทางทางแปลกใจ ของคนอื่น
นายหญิงผู้เฒ่าเมิ่งรู้สึกยินดีและนางยิ้มออกมา นางหันไปมองซูจิงเหวิน
“นี่ต้องเป็นคุณหนูคนที่สองของตระกูลซูสินะ”
หญิงชราเฉยเมยต่อซูจิงเหวิน ซึ่งทำให้นางหดตัวเล็กลงด้วยความกลัว
นางอันก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวไม่คำนึงถึงคำถามและอยู่ในความโกรธของตัวเอง “ท่านพูดถูกแล้ว นายหญิงแม่เฒ่าเมิ่ง”
นายหญิงผู้เฒ่าเมิ่งพยักหน้า
“แล้วนางกำลังพูดถึงอะไร?”
“นาง….”
ความโกรธแค้นปกคลุมซูจิงเหวินเมื่อนางมองไปที่นางอันโดยไม่ตอบคำถามของหญิงชรา และยิ่งไปกว่านั้น ซูมู่เกอยังอยู่ในสภาพที่บริสุทธิ์และสูงสง่า!
“นายหญิงเมิ่ง นางเป็นพี่สาวของข้า นางออกจากบ้านไปเมื่อหลายวันก่อนโกหกเราว่าจะไปดูแลยายของนาง แต่แล้วนางก็หนีไปกับผู้ชาย! มันน่าอับอายที่นางยังกล้าที่จะกลับมาเช่นนี้ หากไม่ถูกทอดทิ้งและไม่มีที่ไป นางไม่มีวันกลับมาแน่!”
“จิงเหวิน เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร!”
“ท่านแม่ ข้าพูดอะไรผิด นางคือคนที่ทำผิดนะและตอนนี้นางกลัวที่จะยอมรับผิด ไม่ใช่รึ?”
“มันช่างไร้ยางอายเหลือเกินที่ถูกผู้ชายทิ้งและมีหน้ากลับมา ถ้าข้าเป็นนาง ข้าคงจะเอาเชือกแขวนคอตัวเองซะ!”
“มันเป็นความจริง จะมีคนแบบนี้บนโลกที่ไม่มีความละอายได้อย่างไร”
“ไร้สาระ!” เสียงแหบเล็กที่โกรธเกรี้ยวจากแม่เฒ่าเมิ่งนั้นทำให้พวกเขาทั้งหมดเงียบลง
“แม่เฒ่าเมิ่ง ท่านอย่าโง่ให้นางหลอก!” ซูจิงเหวินเถียง นางไม่เข้าใจว่าข้อแก้ตัวที่ไม่ดีเลวร้ายยิ่งกว่าไม่พูดแก้ตัว
“เด็กคนนี้อยู่กับข้ามาตลอดการเดินทางกลับเมืองชุนหยาง ข้าไม่เห็นผู้ชายซักคนเดียว! มันเป็นเจ้า เจ้าที่เอาแต่พูดว่าร้ายให้พี่สาวตัวเอง มันทำให้ข้าผิดหวังอย่างมาก!”
นางอันตกใจแทบตายเมื่อได้ยินที่หญิงชราพูด
ตระกูลเมิ่งมีบทบาทสำคัญไม่เพียงแต่ในเมืองชุนหยางเท่านั้น แต่ในเมืองหลวงก็เช่นกัน หากคำพูดแพร่ออกไปเช่นนี้จะทำให้มองว่าซูจิงเหวินเข้ากันไม่ได้กับพี่สาวของนางและยังใส่ร้ายนางอีกด้วย นางจะไม่สามารถแต่งงานกับครอบครัวที่สืบเชื้อสายได้!
“จิงเหวิน เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอะไร! วันนี้คุณหนูเหนื่อยเกินไปแล้ว พานางกลับห้องเพื่อพักผ่อน เร็วเข้า!”
สาวใช้ที่อยู่เบื้องหลังซูจิงเหวินมาพานางกลับมาอย่างเร่งรีบ และนางหยุดพูดโดยไม่เต็มใจเพียงเพราะใบหน้าของนางอันที่ซีดเผือด
“นายหญิงผู้เฒ่าเมิ่งขอโปรดอภัยให้เราด้วยเจ้าค่ะ เด็กคนนั้นนิสัยเสีย ข้าจะลงโทษนางอย่างหนักในภายหลัง” นางอันรีบเดินมาขอโทษแทนลูกสาว แต่การมองไปยังซูมู่เกอยังคงงงงวย และสิ่งนี้ถูกมองเห็นโดยคนส่วนใหญ่
“มู่เกอวันนั้นเจ้าอยู่ที่ไหนบนโลกนี้? พ่อของเจ้าได้ส่งคนรับใช้ไปกับเจ้าเพื่อพาไปเมืองหนานเจิง แล้วระหว่างทางเจ้าหนีไปเองได้อย่างไร? เราเป็นห่วงเจ้ามาก”
นางอันตั้งใจที่จะทำลายซูมู่เกอ นางอันจะปล่อยมู่เกอไปได้อย่างไร ในเมื่อนางทำให้ลูกสาวของนางดูโง่ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้!
ซูมู่เกอรู้สึกได้ถึงชีพจรของหญิงชราเป็นครั้งแรกและพบว่าหัวใจของนางเต้นเร็วมาก ชีพจรของนางไม่น่าไว้วางใจเช่นกัน บ่งชี้ว่าอาการป่วยของนางเกิดจากเสมหะ นางแนบหูลงที่หน้าอกของหญิงชราและฟังอยู่พักหนึ่ง นางได้ยินเสียงหายใจเหมือนกรน
เมื่อมู่เกอตรวจดูการเคลือบลิ้นของหญิงชราเสร็จแล้ว ยืนยันได้ว่าเสมหะในหน้าอกของนางคือปัญหาสำคัญ เมื่อเสมหะชื้นเหนียวติดอยู่ในหลอดลม คนอาจหายใจติดขัดจตายได้อย่างง่ายดาย
มู่เกอรีบหยิบเข็มเงินสองเล่มออกมาพร้อมกัน ฆ่าเชื้อด้วยเปลวไฟบนโต๊ะเล็กๆ ดึงเปิดเสื้อคลุมส่วนหน้าออกของหญิงชราออกแล้วแทงเข็มลงไป
สาวใช้เฝ้าดูทุกการกระทำด้วยความประหลาดใจ เมื่อพูดถึงการฝังเข็มผู้คนในรัฐฉู่ก็ทำเช่นนี้กับผู้ป่วยเช่นกัน แต่เนื่องจากสภาพร่างกายที่แตกต่างกันจุดฝังเข็มและเส้นลมปราณในร่างกายของแต่ละส่วนจึงยากที่จะจดจำ นอกจากนี้ความสามารถทางการแพทย์ประเภทนี้ไม่สามารถแพร่กระจายหรือส่งต่อให้ผู้อื่นได้โดยง่าย จนถึงขณะนี้มีไม่กี่คนที่สามารถใช้การฝังเข็มได้แม้แต่หมอของจักรพรรดิในวังก็ไม่ค่อยใช้มัน
มันไม่เคยเกิดขึ้นกับนางเลยที่เด็กหนุ่มคนนี้อายุยังไม่ถึงยี่สิบด้วยการคาดเดาของนาง สามารถใช้ทักษะดังกล่าวเพื่อรักษาหญิงชราได้! แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกิดความผิดพลาดลงไปเมื่อเขาฝังเข็มลง!
บางทีอาจเป็นเพราะกลิ่นอายที่สงบของซูมู่เกอที่มีต่อนาง สาวใช้จึงพยายามจะพูดหลายครั้ง แต่คำพูดกลับไปติดอยู่ที่ลำคอของนาง
หลังจากเข็มแทงเข้าไปที่หน้าอกของหญิงชราแล้ว ลมหายใจของนางก็ค่อยๆเบาลง เมื่อซูมู่เกอดึงเข็มออกมาหญิงชราก็แทบจะหายใจได้เป็นปกติ
สาวใช้มองไปที่ซู่มู่เกอด้วยความประหลาดใจตลอดความคืบหน้าของการรักษาทั้งหมด
ซูมู่เกอวางเข็มอย่างระมัดระวังโดยไม่ได้มองไปข้างๆ
“ท่านหมอ แม่เฒ่าเป็น…”
“แม่เฒ่าป่วยเพราะเสมหะติดอยู่ในเส้นเลือดที่หน้าอก เมื่อล้างการติดขัดของเส้นต่างๆด้วยการฝังเข็มแล้ว นางสามารถฟื้นตัวได้ในไม่ช้าด้วยยาพิเศษสำหรับลดเสมหะและขจัดความชื้นออกจากร่างกาย”
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ท่านหมอ”
หญิงชราส่งเสียงดังและกลับมารู้สึกตัวพร้อมกับดวงตาที่สลัวของนาง
รู้สึกประหลาดใจและด้วยความยินดี สาวใช้เดินไปข้างหน้า “ท่านแม่เฒ่า ท่านฟื้นแล้ว” จากนั้นนางก็หันไปและเปิดม่านเพื่อรายงานชายที่ยืนอยู่ด้านนอก
ชายคนนั้นดูเหมือนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อทราบข่าวการรักษา “นั่นวิเศษไปเลย!”
ภายในรถม้าซูมู่เกอตรวจสอบชีพจรของหญิงชราอีกครั้ง อาการเต้นขอชีพจรของนางมีแนวโน้มที่จะคงที่
หญิงชราเบิกตาเล็กน้อย แม้ว่าจะมีความมัวเล็กน้อย แต่ในที่สุดดวงตาของนางก็มองตกลงไปที่ใบหน้าของซูมู่เกอ
“นี่คือ….”
“ท่านแม่เฒ่า นี่คือท่านหมอที่นายท่านส่งมารักษาท่านเจ้าค่ะ”
“หมอ?”
หญิงชราเหมือนกำลังสูญเสียชั่วคราว จากนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่านางรู้สึกเวียนหัวกะทันหันบนรถม้าและหมดสติไป นางมีปัญหาเก่า ทำให้ป่วยในตอนนี้และต่อไป นั่นคือเหตุผลที่นางพาหมอหลวงมาด้วยในครั้งนี้
แต่นางก็ทราบดีว่าหมอหลวงป่วยมาสองวันแล้ว
“ข้าขอบใจท่านมาก ท่านหมอ”
ซูมู่เกอลดสายตาลง “แม่เฒ่ามีอาการกำเริบเพราะเหนื่อยเกินไปเจ้าค่ะ จะเป็นการดีที่สุดที่จะ
จับตาดูอย่างใกล้ชิดตลอดการเดินทางนี้ ข้าขอลา”
ซูมู่เกอเปิดม่านทันทีโดย ไม่ต้องการอยู่ในรถม้านานมากกว่านี้
ชายคนนั้นเดินเข้ามาหานาง ในขณะที่นางลงมาและคำนับโดยใช้มือพับไปด้านหน้า “เราโชคดีที่เจอท่าน ขอบคุณนายน้อยมาก”
ซูมู่เกอหันหน้าไปและคำนับตอบ “มันไม่เป็นไรหรอกท่าน ข้าไม่กล้ารับการคำนับจากท่าน”
พฤติกรรมของซูมู่เกอทำให้ชายคนนี้รู้สึกสบายใจมาก แล้วท่านจะเดินทางไปที่ใด นายน้อย?”
“ข้ากำลังเดินทางไปเมืองชุนหยาง”
“เมืองชุนหยาง?” ชายคนนั้นประหลาดใจเล็กน้อย “เรากำลังไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าท่านตัวคนเดียว นายน้อยทำไมไม่มากับข้าล่ะ ยังมีเวลาอีกสองสามวันก่อนที่เราจะไปถึง” ชายหนุ่ม เมิ่งฉางเต๋อมองไปที่ซูมู่เกอและพูดชวนออกมา
ซูมู่เกอพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอันดียิ่ง มันเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับการเดินทางไกลคนเดียวเช่นนี้ ดังนั้นข้าจะปฏิเสธได้เยี่ยงไร”
“ดีๆท่าน อาการของท่านแม่ข้าเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้?”
“มันจะเป็นการดีที่จะลดความเร็วของการเดินทางลงสักเล็กน้อย”
ซูมู่เกอกลับไปที่รถม้าของนางหลังจากสนทนากับชายคนนั้นไม่นาน
มองไปที่ตัวอักษร “เมิ่ง” บนรถม้าอยู่ไม่ไกลนัก นางปิดม่านลงช้าๆ
มันคือลูกชายของบัณฑิตเมิ่ง เมิ่งฉางเต๋อ ผู้ที่ทำให้ซูจิงเหวินฆ่าจ้าของร่างเดิมตาย
ซูมู่เกอเอนตัวพิงผนังรถม้า นางคิดว่าถ้านางกลับไปคนเดียว นางอันจะไม่ยอมรามือจากนางง่ายๆแน่ อย่างไรก็ตามหากตระกูลเมิ่งสนับสนุนนาง ซูหลุนไม่สามารถทำอะไรนางได้แม้ว่ามันจะเป็นการขัดใจนางอันอย่างใหญ่หลวงก็ตาม
หลังจากพักผ่อนผ่านมีกว่าครึ่งชั่วยาม ขบวนรถม้าของตระกูลเมิ่งก็พร้อมที่จะเดินทางต่อ
รถม้าของซูมู่เกอขับตามพวกเขาไปอย่างช้าๆ
ความเร็วของขบวนรถม้าช้าในการเดินทางช้าลงจากรถม้าคันหนึ่ง ด้วยร่างกายที่อ่อนแอของนายหญิงผู้เฒ่าเมิ่ง รถม้าจึงชะลอตัวลงมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการกระแทกใดๆ
คืนนั้นพวกเขาไปถึงหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดจากเมืองชุนหยาง
หมอหลวงชราที่เกษียณอายุราชการแล้ว ที่ตระกูลเมิ่งนำมาด้วยนั้นอายุมาก ร่างกายของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนักหลังจากอาการป่วยไข้และยังไม่หายป่วย เป็นซูมู่เกอที่เป็นผู้ตรวจจับชีพจรของแม่เฒ่าเมิ่งในทุกวัน
คนกลุ่มนั้นเข้านั่งพักในโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ซูมู่เกอแกะห่อผ้าหยิบเสื้อผ้าออกมา นางนำมันไปเปลี่ยน
“นายน้อยซู หญิงชราถามหาท่าน” เสียงของรู่เหม่ยสาวใช้ประจำตัวของแม่เฒ่าเมิ่งดังมาจากด้านนอก
“ได้ ข้าจะไปกับเจ้า” ซูมู่เกอผูกเข็มขัดไว้ข้างหลังนางและเปิดประตู “ขอใจที่นำทาง น้องรู่เหม่ย”
รู่เหม่ยมองไปที่ซูมู่เกออย่างเขินอายและเดินต่อไปโดยก้มหน้าลง
พวกเขาสองคนรอที่ประตูของหญิงชราจนกว่าจะมีคนเข้าไปรายงาน
แม่เฒ่าเมิ่งนอนอยู่บนเตียง ศีรษะของนางเอียงลงบนหมอนนุ่มๆ นางขอให้สาวใช้ช่วยนางด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าเมื่อนางมองเห็นซูมู่เกอที่กำลังเดินเข้ามา
“นายน้อยซู ท่านมาแล้ว! ขอบคุณมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเท่าน ข้าแทงจะไม่สามารถเดินทางไปเมืองชุนหยางได้”
แม่เฒ่าเมิ่งเอื้อมมือออกมา และซูมู่เกอก็ตรวจจับชีพจรของนาง
“ร่างกายของท่านแข็งแรงพอและท่านจะรู้สึกดีขึ้นมากหลังจากได้รับการดูแลมาระยะหนึ่งขอรับ”
“ดีมาก สำหรับข้าแล้ว ถ้าข้าสามารถมีชีวิตอยู่จนกระทั่งถึงวันที่หลานชายคนโตของข้าเกิดหลังจากการแต่งงานของหลานชายของข้าได้ ข้าจะไม่ขออะไรอีกแล้ว”
ซูมู่เกอเพียงแค่รับฟังและไม่ตอบสนองใด แต่นางกลับพูดเบาๆว่า “ท่านแม่เฒ่าเมิ่ง ข้าอยากจะขอความกรุณาจากท่าน”
ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง แม่เฒ่าเมิ่งกลั้นหายใจและมองไปที่ใบหน้าที่จริงจังของซูมู่เกอ “นายน้อยซู ท่านได้ช่วยชีวิตข้า เพียงแจ้งให้ข้ารู้ ถ้าหากท่านมีปัญหาใด”
ซูมู่เกอมองลงไปที่เท้าของนาง นางสังเกตเห็นวิธีการใช้ถ้อยคำของหญิงชรา หญิงชรากล่าวว่าซูมู่ เกอช่วยชีวิตนาง เป็นการพยายามหลีกเลี่ยงการเชื่อมต่อใดๆที่อาจเกิดขึ้นกับตระกูลเมิ่งทั้งหมด บางทีนางอาจกลัวว่าซูมู่เกอจะถามนางสำหรับคำขอที่ไม่สมเหตุสมผลใดๆ
อย่างไรก็ตาม ซูมู่เกอไม่สนใจเรื่องนี้ นางไม่เคยคิดว่าคนที่นางช่วยไว้จะต้องตอบแทนนางด้วยความบริสุทธิ์ใจ
เมื่อสังเกตเห็นว่าซูมู่เกอยังคงยืนอยู่โดยไม่พูดอะไรสักคำ แม่เฒ่าเมิ่งมองไปที่สาวใช้ในห้องของนางและบองให้ออกไป สาวใช้จึงจากไปอย่างเงียบ ๆ
“ได้โปรดพูดมันออกมา” ดวงตาของแม่เฒ่าเมิ่งเริ่มอบอุ่นเล็กน้อย
ซูมู่เกอลุกขึ้นยืน มองไปที่แม่เฒ่าเมิ่ง นางถอดเสื้อคลุมออกช้าๆ แม่เฒ่าเมิ่งกำลังจะตำหนินางด้วยความประหลาดใจ แต่ก็อดกลั้นไว้เมื่อนางเป็นชุดสตรีภายใต้เสื้อคลุมสีเรียบๆนั้น
แม่เฒ่าเมิ่งได้รับความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง จนอ้าปากค้าง “เจ้า เจ้าเป็น…จริงๆเป็นหญิงรึ?!”
ซูมู่เกอหลุบตาลง “มันเป็ฯความผิดของข้าเจ้าค่ะที่หลอกลวงท่าน ท่านแม่เฒ่าเมิ่ง แต่ข้าจำเป็นต้องทำเยี่ยงนี้”
“ชื่อสกุลของเจ้าล่ะ…มันคือ….”
“ข้าไม่ได้หลอกลวงท่านเจ้าค่ะ ด้วยความสัตย์จริง นามสกุลของข้าคือซู และข้ามีชื่อว่าซูมู่เกอ ลูกสาวที่เกิดจากซูหลุนจากเมืองชุนหยาง”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ แม่เฒ่าเมิ่งก็ขมวดคิ้วหงิก ดูเหมือนนางจะจำอะไรบางอย่างได้ “เจ้าคือ…ลูกสาวของใต้เท้าซู…”
เป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่แม่เฒ่าเมิงอาศัยอยู่ในเมืองหลวง และนางก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์ซูในสมัยนั้น นางสามารถจินตนาการได้ไม่มากก็น้อยว่าเด็กสาวคนนี้ต้องทนทุกข์ทรมานมากแค่ไหนเพื่อที่จะได้มาที่เมืองหลวง
มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด แม้ว่า วันหนึ่งนางสามารถได้พบลูกของนาง ซึ่งนางได้ยินมาว่าผอมเหมือนลูกลิงในตอนนั้น
“ไม่กี่วันที่ผ่านมา ท่านยายของข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย แม่ของข้าเพิ่งคลอดบุตรและไม่สะดวกที่จะเดินทาง ในขณะที่พ่อของข้าทำงานของเขา ข้าไม่อยากเห็นแม่ต้องกังวลแบบนั้น ดังนั้น ข้าจึงเดินมาไปที่เมืองหนานเจิงเพื่อเยี่ยมท่านยายของข้า แต่ข้าจะรู้ได้อ่างไรว่าคนรับใช้เจ้าเล่ห์เกิดเจตนาชั่วร้าย ในระหว่างทางพวกเขาปล้นข้าเพื่อหาเงินและทิ้งข้าไว้ในป่า ถ้าไม่ใช่ชาวบ้านแสนดีที่มาจากหมู่บ้านท่านยายของข้าช่วยไว้ ข้าไม่รู้ว่าจะอยู่ที่ใดบนโลกนี้และอาจจะตายไปแล้วก็เป็นได้”
เมื่อพูดถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้น น้ำเสียงของนางก็สงบราวกับว่านางกำลังเล่าเรื่องของคนอื่นให้อีกคนฟัง
“ปัง!” แม่เฒ่าเมิ่งตบเตียงของนางและส่งเสียงดัง “คนรับใช้เจ้าเล่ห์และช่างกล้า! พวกมันไปไกลถึงขนาดที่จะวางแผนลอบทำร้ายเจ้านายของพวกมันรึ!” แม่เฒ่าเมิงมาจากครอบครัวที่มีตำแหน่งสูงสุด ดังนั้น นางจึงให้ความสำคัญกับกฎมาก แม้ว่านางจะไม่ชอบครอบครัวของแม่ของซูมู่เกอและนางก็ดูถูกซูหลุนที่ละทิ้งภรรยาเดิมมาแต่งงานกับอีกคน
ท้ายที่สุด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของครอบครัวซู และไม่สะดวกสำหรับนางที่จะแสดงความห่วงใยมากนัก
ตอนนี้นางเข้าใจและเดาได้แล้วว่าทำไมซูมู่เกอจึงเปิดเผยตัวตนของนางในตอนนี้ เมื่อพวกเขาเข้าใกล้เมืองชุนหยาง
“เป็นเด็กผู้หญิงและอยู่คนเดียวมาหลายวันแล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะได้รับการลงโทษแบบไหน ดังนั้น ข้าขอให้ท่านกลับไปที่เมืองชุนหยางกับข้าได้หรือไม่เจ้าค่ะ?”
เมื่อมองไปที่ซูมู่เกอหมอบตัวลงและก้มหัวแม่เฒ่าเมิ่งถอนหายใจ
แม้ว่าจะเปิดใจกว้างเช่นเดียวกับรัฐฉู่ แต่ความซื่อสัตย์ทางศีลธรรมของผู้หญิงก็ยังคงมีค่า หากซูมู่ เกอกลับคฤหาสน์เพียงลำพังจะมีเรื่องราวต่อต้านนาง อย่างไรก็ตาม หากผู้คนรู้ว่านางอยู่กับแม่เฒ่าเมิ่งตลอดการเดินทาง อาจเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
“ไม่มีปัญหา ข้าสามารถช่วยเจ้าได้”
“ข้าขอบคุณท่านมาก ท่านแม่เฒ่าเมิ่ง” ความกตัญญูกตเวทีแสดงออกมาด้วยความจริงใจอย่างสุดซึ้งจากใจของนาง
“ลุกขึ้นเถิด เด็กดี”
ไม่นานหลังจากที่ซูมู่เกอออกไป เมิ่งฉางเต๋อก็เข้าไปในห้องของแม่เฒ่าเมิ่ง
ซูมู่เกอนอนลงบนเตียงของนางพร้อมกับชุดที่นางสวมอยู่และค่อยๆหลับตาลง
“นางอัน เราจะพูดถึงความเกลียดชังและการแก้แค้นหลังจากที่ข้ากลับถึงบ้าน!”
……………………….
ในคฤหาสน์ตระกูลซู เหล่าสาวใช้กำลังเดินไปมาอย่างวุ่นวายในห้องดอกไม้พร้อมจานกระเบื้องในมือ นางอันก้าวออกมาจากห้องและพยักหน้าด้วยความความพึงพอใจ
“นายหญิง มันจวนจะเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
นางอันพยักหน้ารับรู้ให้สาวใช้
คนรับใช้สาวเดินเข้าไปในห้องและโค้งคำนับให้นางอัน “นายหญิง คุณหนูสองกำลังรอท่านอยู่ที่ในห้องนั่งเล่นเจ้าค่ะ”
นางอันพยักหน้าอีกครั้งแล้วเดินไปที่ห้องนั่งเล่นโดยมีสาวใช้จับแขนนางพาเดินไป
ซูจิงเหวินเดินมารับนางอันจับมือพาเดินเข้าในห้องพร้อมรอยยิ้มของหญิงสาวที่มีนิสัยเอาแต่ใจของนาง
“ท่านแม่”
นางอันมองดูลูกสาวนางอย่างพินิจและนางก็ให้พอใจ “เหวินเอ๋อลูกสาวที่รักของข้า เจ้าสดใจขึ้นเยอะและสวยขึ้นมาก”
“ท่านพูดถูกแล้วเจ้าค่ะ นายหญิง ข้าสงสัยว่านางฟ้าคนนี้มาจากไหนกัน” หลีหม่ายิ้มด้วยคำชมและเยินยอ
ซูจิงเหวินเชิดคางขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ และไม่มีความเจียมตัวในสายตาของนางเลย
“ท่านแม่ ท่านบอกว่าวันนี้นายหญิงเมิ่งจะมาหรือเจ้าค่ะ?”
นางอันมองไปที่ซูจิงเหวิน และการแสดงออกในดวงตาของนางบอกซูจิงเหวินแล้วว่านางรู้ดีเกี่ยวกับแรงจูงใจเล็กน้อยของนาง “ถูกต้องแล้ว นางได้รับแจ้งว่ามีการนำเสนอผลการประเมินของบิดาเจ้าต่อองค์จักรพรรดิและนางจะยืนยันเรื่องนี้กับเราอย่างแน่นอน”
“แล้ว นายน้อยเมิ่งล่ะ….”
ถอนหายใจกับตัวเองและมองไปที่ลูกสาวของนาง เห็นได้ชัดว่าใบหน้าขี้อายของซูจิงเหวินอธิบายว่านางเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำพูดของนางอัน นางอันให้ความสำคัญกับลูกสาวของนางมากเกินไป ซูจิงเหวินต้องการเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเมิ่งด้วยการแต่งงาน แต่เป็นที่น่าสงสัยว่าจากนั้นนางสามารถมีชีวิตที่สงบสุขและมีความสุขได้เพราะความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนในครอบครัวนั้นได้ แม้ว่าจะเป็นครอบครัวของบัณฑิตผู้รู้ก็ตาม
“นายหญิง นายหญิงเมิ่งมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
นางอันลุกขึ้นยืนทันที “ไปกันเถอะ”
เป็นเวลาเกือบเที่ยงวันเมื่อพวกเขามาถึงเมือง ซูมู่เกอไปที่ร้านขายยาก่อนเพื่อซื้อยา จากนั้นก็เสื้อผ้ากันหนาวที่อบอุ่นให้นางจาง เมื่อเสร็จแล้ว นางกลับไปที่ประตูทางเข้าเมือง รอจ้าวต้าหราง
ในไม่ช้า จ้าวต้าหรางก็หลับมาพร้อมกับขวดเหล้าและตะกร้า
เขาวางมันลงบนรถเข็น คลำขึ้นและลงในเสื้อผ้าของเขาสำหรับห่อกระดาษมัน และส่งมอบให้ซูมู่เกอ “เป็นเวลาบ่ายแล้ว เจ้าคงหิวใช่หรือไม่? ข้าซื้อเค้กแป้งที่ทำจากธัญพืชของโรงกลั่นให้เจ้า มันเป็นขนมหวาน”
การซื้อของให้ท่านยายถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ของซูมู่เกอ ดังนั้น นางจึงลืมอาการกลางวันไปสิ้น ยังคงต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งหรือสองชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะกลับไปได้และนางไม่อยากหิวระหว่างเดินทางไกลครั้งนี้ นางเอื้อมมือไปหยิบห่อของขณะที่จ้างต้าหรางกำลังมองมาที่นางอย่างคาดหวังและรอคอย
“ขอบใจเจ้ามากที่มีน้ำใจกับข้า”
จ้าวต้าหรางระเบิดเสียงหัวเราะออกมาขณะที่เขามอบมันใส่มือนาง แล้วขี่เกวียนเทียมวัวของเขาออกจากเมืองมา
เมื่อนางเปิดห่อกระดาษเคลือบมันออกกลิ่นของเหล้าหมักก็เข้ามาทักทายนางพร้อมกับกลิ่นยั่วยวนของเค้กแป้งทอด
ในฐานะที่เป็นคนดื่มเหล้าหนังในชาติที่แล้ว ซึ่งนางไม่เคยแพ้แอลกอฮอล์ นางไม่ได้ให้ความสำคัญกับเนื้อหาของธัญพืชที่กลั่นเหล้านั้นอย่างจริงจัง นางเริ่มกินมันช้าๆ
เมื่อเค้กแป้งอยู่ในท้องของนาง ร่างกายของนางก็เริ่มอุ่นขึ้นเรื่อยๆ
เป็นฤดูใบไม้ร่วงและอุณหภูมิจะลดต่ำลงในช่วงบ่ายก่อนพระอาทิตย์ตก อย่างไรก็ตาม ซูมู่เกอรู้สึกอุ่นมาก และพูดอีกอย่างก็คือเหมือนมีไข้เล็กน้อย นางเวียนหัวและเซื่องซึม มองไปที่จ้าวต้าหรางที่ขับเกวียนด้วยเงาคู่
นางยกมือขึ้นตบแก้ม มันเหมือนกำลังไหม้
เมื่อรู้ถึงสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นางบีบตัวเองอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดทำให้นางตื่นขึ้นชั่วขณะ
นางเมาหรือ?
นางลืมไปได้อย่างไรว่านั่นเป็นร่างกายของคนที่นางใช้ในชาตินี้ ไม่ใช่ร่างเดิมที่มีสติดีหลังจากดื่ม แต่ตอนนี้ มันต่างออกไป……
ในขณะที่เงาหนามากขึ้นเรื่อยๆ รวมตัวกันต่อหน้านาง นางแทบจะไม่สามารถบอกได้ว่าใบหน้าที่เคลื่อนใกล้เข้ามานั้นเป็นของจ้าวต้าหรางด้วยซ้ำ……
“ลูกพี่ลูกน้อง ลูกพี่ลูกน้อง……” ทั้งตื่นเต้นและประหม่า หัวใจของจ้าวต้าหรางแทบกระโดดออกมานอกอก
ท่านพ่อของเขาบอกว่าผู้หญิงอย่างซูมู่เกอไม่สามารถถือเหล้าได้มากนัก เขาจึงขอให้เจ้าของร้านผสมเหล้าลงในแป้งเค้กธัญพืช เขาไม่คิดเลยว่านางจะอ่อนแอถึงเพียงนี้ หลังจากกินเข้าไป!
เขาขี่เกวียนเข้าไปในจอดใกล้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ ด้วยความกระวนกระวาย เขาจำสิ่งที่ท่านแม่ของเขาพูด : เมื่อความสัมพันธ์ทางร่างกายเกิดกับลูกพี่ลูกน้องของเขาแล้ว นางก็จะหลายเป็นภรรยาของเขาได้ง่ายๆ!
เขาอุ้มซูมู่เกอลงจากรถลากและวางนางไว้ใต้ต้นไม้ มันทั้งมืดและมิดชิด
มองไปที่ใบหน้าสีเทาเข้มของซูมู่เกอ เขาหันไปจุ่มแขนเสื้อลงในเหยือกน้ำและเช็ดใบหน้าของนาง คราบฝุ่นบนใบหน้าของนางรบกวนเขามานานแล้ว
เมื่อใบหน้าของนางได้รับการทำความสะอาดคราบดำออกไปแล้วรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนางก็ปรากฏขึ้น จ้าวต้าหรางยืนมองอยู่ด้วยความประหลาดใจ
รูปลักษณ์นี้สวยกว่าหญิงสาวที่แม่ของเขาจัดหามาให้เขาอย่างมาก
ยังมีสิ่งหนึ่งบนใบหน้าของนางที่ทำให้จ้าวต้าหรางรำคาญคือผ้าคลุมที่ปิดตาข้างหนึ่งของนางไว้ เขาสงสัยมาตลอดตั้งแต่เห็นหน้านางว่าทำไมคลุมผ้าปิดตาไว้เพื่ออันใด ดังนั้น เขาจึงหยิบมันออกด้วยความอยากรู้อย่างเห็น…..
“ตายห่า โอ้ย ผี!!!!”
เสียงร้องดังและผงะล้มนั่งลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว เขาจ้องมองนางด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“ผี นางเป็นผี! ผี!” เขาตะเกียกตะกายหาทางขึ้นรถลาก เมื่อขึ้นไปได้แล้วก็รีบสะบักแส้ให้วัยกระโดดออกไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ซูมู่เกอนอนอยู่บนพื้น เข็มสีเงินระหว่างปลายนิ้วของนางตกลงที่พื้นพร้อมกับเสียงสั่นเล็กน้อย
นางเมา ร่างกายรู้สึกมึนชา แต่จิตใจของนางกลับยังคงมีสติ นางทำได้เพียงโทษตัวเองที่ประมาทปล่อยโอกาสให้จ้าวต้าหรางฉวยโอกาส!
ก้อนธัญพืชที่นางกินนั้นต้องเป็นชนิดที่รุนแรง มิเช่นนั้น นางไม่สามารถเมาได้ง่ายๆในเวลาสั้นๆเช่นนี้ การแก้ปัญหาการเมาสุรานี้ไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งเดียวที่นางต้องทำคือแทงตัวเองด้วยเข็มสองสามเล่ม เพื่อฝังเข็มตามจุด แล้วนางก็จะฟื้นตัวได้ทีละน้อยๆ
ป่าไม้นี้อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากจัก หากนางเริ่มเดินกลับตอนนี้หลังจากที่สร่างเมาแล้ว นางจะถึงหมู่บ้านจ้าวในเช้าวันรุ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานอยู่นอกบ้านทั้งคืน!
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว นางไม่สามารถรอจนกว่าจะถึงวันรุ่งขึ้นเพื่อจะเดินทางกลับไปหามารดา นางต้องเดินตามแผนที่วางไว้ โดยทิ้งท่านยายไว้กับคนเหล่านั้น นางเชื่อว่าท่านยายของนางสามารถจัดการกับพวกเขาได้
ในทางกลับกัน มันเป็นเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนแล้วเมื่อจ้าวต้าหรางกลับไปถึงหมู่บ้าน เขากระโดดลงจากเกวียนลากและวิ่งเข้าไปในลานหน้าบ้านเกือบจะชนกับใครบางคน
“อุ๊ย!”
ถอยหลังไปหนึ่งก้าว นางหวังเกือบจะตะคอกด่าออกมา แต่แล้วนางก็เห็นว่ามันเป็นจ้าวต้าหราง นางเหลือบมองไปที่ด้านหลังของเขาสองสามครั้ง
“เจ้าหนุ่มจอมซน! กลับดึกขนาดนี้ได้ยังไง! นางอยู่ที่ไหน?”
“ท่านแม่ ข้าจะไม่แต่งงานกับสัตว์ประหลาดน่าเกลียดตัวนั้น!” เขาพูดอย่างนั้นและผลักนางหวังออกไป ก้าวเข้าห้องอย่างเร่งรีบ
นางหวังเดินตามเขาเข้าไปข้างในด้วยความตกตะลึงและสับสน
“เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอันใด! ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
ภาพจุสีแดงบนดวงตาของซูมู่เกอ เมื่อถอดผ้าคลุมหน้าออกยังติดตาเขาอยู่ เขาพึมพำอยู่พักหนึ่งและในที่สุดก็พูดออกมา “อยู่ในป่า…..”
นางหวังเหมือนถูกแช่แข็งด้วยความตกใจ “เจ้ากำลังบอกว่าอะไรนะ? เจ้าทิ้งนางไว้คนเดียวในป่า!”
ครึ่งหลับครึ่งตื่น จ้าวเต๋อลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเสียงตะคอกอันดังของนางหวัง
“ต้าหรางกลับมาแล้วรึ?”
“ชิงชิง! ต้าหรางทิ้งผู้หญิงคนนั้นไว้ในป่า!”
“ท่านแม่ นางเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียด ไม่น่าแปลกใจที่นางปิดตาด้วยผ้าคลุมหน้าตลอดเวลา นางกำลังซุกซ่อนความน่าเกลียดของนางไว้! ข้าจะไม่แต่งงานกับนางตราบเท่าที่ข้ายังมีลมหายใจอยู่!” จ้าวต้าหรางตะโกนก้องใส่นางหวัง
“อธิบายทั้งหมดนี้มาเดี๋ยวนี้!” จ้าวเต๋อตบเข้าที่หัวของเขา
จากนั้นเขาก็บอกคนในครอบครัวของเขาว่าเกิดอะไรขึ้น
“เหอะ ใบหน้าอันน่ากลัว นั่นอธิบายได้ว่าทำไมพี่เขยของเราถึงไม่กังวลว่านางจะเดินทางมาที่นี่เพียงลำพัง!” เมื่อนางหวังได้ยินดังนั้น นางไม่เต็มใจที่จะให้ซูมู่เกอเป็นลูกสะใภ้ของนางเด็ดขาด นางจะไม่ปล่อยให้คนในหมู่บ้านมาเยาะเย้ยลูกชายของนางได้
“นั่นสิ”
“มันเป็นป่าเล็กๆ โดยปกติจะไม่มีสัตย์ป่า แค่ปล่อยให้นางอยู่ที่นั่น แค่คืนเดียว มันจะไม่เป็นไรหรอก” นั่นคือการตัดสินใจสุดท้ายของจ้าวเต๋อ
จ้าวเต๋อเป็นผู้ดูแลหอนางโลมในเมืองและมีประสบการณ์เกือบทุกสีสันของผู้ชายและสิ่งต่างๆ เขาคงจะสุขุมกว่าภรรยาและลูกชายแน่นอน ซูมู่เกอเป็นลูกสาวของเจ้าหน้าที่ทางการ เมื่อคนอื่นรู้ว่านางออกไปข้างนอกทั้งคืน หรือที่แย่กว่านั้นคือถ้าจ้าวต้าหรางกลายเป็นคนที่ต้องโทษสำหรับสถานการณ์เช่นนี้ครอบครัวจ้าวจะสูญเสียคำพูด!
เมื่อคิดว่าจะสามารถยื่นข้อเสนอกับพี่เขยของเขาที่เป็นเจ้าหน้าที่ได้ จ้าวเต๋อเกือบจะสูญเสียความคิดของเขาไปกับชัยชนะเล็ก ๆ ทำไมเขาต้องกังวลว่าซูมู่เกอยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว?
ในห้องปีกที่นางจางอาศัยอยู่ นางหลับไปตั้งแต่หัวค่ำเพราะฤทธิ์ยา …
…………………………..
ในคฤหาสน์ตระกูลซูของเมืองชุนหยาง
นางอันยังนั่งอย่างเกียจคร้านอยู่บนที่นั่งไม้ยาวเนื่องนุ่มที่แกะสลักรูปดอกแพร์ทิ้งให้หลีหม่านั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กข้างเท้านาง ดูแลเล็บเท้าให้นางอยู่
“นายหญิง นายหญิง พวกเขา พวกเขากลับมา…..” สาวรับใช้ผมมวยวิ่งไปที่ห้องด้วยความรีบร้อนและหยุดเดินตรงหน้าประตู
“มารยาทของเจ้าหายไปไหน! บุกเข้ามาในห้องนายหญิงเยี่ยงนี้ได้อย่างไร!”
สาวใช้หน้าซีดด้วยความกลัว
นางอันโบกมือเมื่อได้ยินเสียงดัง
“ปล่อยนางเข้ามา”
“ขอรับ นายหญิง”
หงหยูเปิดม่านและให้สาวใช้เข้าไปด้านใน
“ข้าขอคารวะด้วยความจริงใจเจ้าค่ะ นายหญิง”
“เข้ามา มีเรื่องอันใด?”
“นายหญิง คนที่พาคุณหนูใหญ่ไปยังเมืองหนานเจิงกลับมาแล้วเจ้าค่ะ แต่ แต่…..” สาวใช้คุกเข่าบนพื้นพร้อมกับเสียงของนางสั่นด้วยความตื่นตระหนก
แววตาของนางอันเข้มขึ้นเป็นประกาย “แต่อันใด?”
“แต่ แต่คุณหนูใหญ่หายตัวไปเจ้าค่ะ!”
“เจ้ากำลังพูดว่าอันใดนะ!” ทันใดนั้น นางอันก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้นั่งอยู่พร้อมน้ำชาที่หกลงบนพื้น
บทที่ 24 : ข้าจะลองดู
“นายท่าน นายหญิง พวกเราเป็นคนรับใช้ที่ไร้ประโยชน์และสมควรตาย เราทำหน้าที่ในการปกป้องคุณหนูใหญ่ไม่สำเร็จเจ้าค่ะ”
ในห้องกลางของคฤหาสน์ซูมีสาวใช้สองนางกับบอร์ดี้การ์ดสามคนและคนขับรถม้ากำลังทำหน้าเศร้าสร้อยอย่างสลด พวกเขาเป็นคนรับใช้ที่พาซูมู่เกอไปยังตระกูลจ้าวเมืองหนางเจิง
นางอันคิ้วขมวดด้วยความกังวล “ทูนหัวของข้า เราจะทำเยี่ยงไรดี? ถ้ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับเด็กคนนั้น มู่เกอ….”
ซูหลุนก็ดูไม่ดีเช่นกัน ใบหน้าของเขาซีดเผือด ไม่ใช่สถานการณ์ของซูมู่เกอที่เขากังวล แต่เป็นความจริงที่ว่าเขาสูญเสียตัวหมากรุกไปตัวหนึ่ง ซึ่งทำให้เขาชะงัก
“เจ้ามันไร้ประโยชน์! เจ้าไม่สามารถปกป้องคุณหนูใหญ่ได้ด้วยซ้ำ อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่ทำให้เจ้าได้อยู่ในคฤหาสน์!ฮะ” ซูหลุนตะโกนออกไปด้วยความโกรธ
“นายท่าน โปรดเมตตาพวกเราด้วย เรากำลังจะผ่านป่าไปแล้วเมื่อมันใกล้จะมืด เราต้องการไปที่โรงแรมที่ใกล้ที่สุดให้ได้โดยเร็ว แต่คุณหนูใหญ่ยืนกรานที่พักในรถม้า เราไม่สามารถหยุดนางได้เราจึงปล่อยให้นางลงจากรถม้า ใครจะไปรู้ว่า…..” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งเดินเข้ามาคุกเข่าขออโหสิกรรม
ใบหน้าของซูหลุนดูแย่ลงไปอีกเมื่อผู้คุ้มกันพูดจบ
“นางต้องการอะไรถึงต้องลงจากรถม้า!”
“ข้าน้อย ข้าน้อยไม่รู้ขอรับ แต่ แต่ข้าน้อยเห็นร่างบางร่างที่นั่น….”
“ร่าง?!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้วขอรับ! ร่างนั้นดูราวกับว่าเป็นชาย….”
“ร่าง? จะมีผู้ชายไดอย่างไร? เจ้ากล้าสร้างเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?!” นางอันรู้สึกมึนงงหลังจากนั้นนางฟื้นจากความประหลาดใจอย่างรวดเร็ว
“นายหญิง ข้าเชื่อมั่นในการตัดสินอันชาญฉลาดของท่าน ข้าไม่มีความคิดที่จะหลอกลงท่านและนายท่าน ถ้าข้าโกหกแม้แต่คำเดียว ขอให้ข้าตายอย่างไร้ค่าและไม่มีลูกหลานสืบสกุล!”
ซูหลุนตบโต๊ะเสียงดังแล้วลุกขึ้นยืน เห็นได้ชัดว่าเขาเชื่อในเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องจริง
“ช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่รอบคอบและอกตัญญูซะจริง
นางอันก้าวไปข้างหน้าด้วยความเป็นกังวลและจับมือซูหลุนมาโอบไว้ในมือนาง “ทูนหัวของข้า อย่างโกรธมากไปนักเลยเจ้าค่ะ มันจะทำร้ายร่างหายของท่านได้ เรายังไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราจะรู้ความจริงได้อย่างไรโดยอาศัยแค่คำพูดของคนรับใช้เจ้าค่ะ?”
ซูหลุนตะคอกด้วยความเสียงเย็นชา “ถ้านางไม่ได้นัดหมายกับชายสักคนในป่า นางจะลงจากรถม้าในเวลานั้นได้อย่างไรในเวลาอันเร่งรีบเช่นนั้น!” เห็นได้ชัดว่าซูหลุนเชื่อในคำพูดของคนรับใช้เหล่านั้น
“ทูนหัวของข้า ข้าได้ยินมาว่าอีกไม่กี่วัน ขุนนางเมิ่งจากสำนักการศึกษาฮานหลินอาจจะพาท่านแม่ของเขากลับมาที่ชุนหยางเพื่อพักฟื้นนะเจ้าค่ะ” คล้องแขนซูหลุนเข้ามาใกล้ๆ นางอันพูดเบาๆ
ซูหลุนตกตะลึงและกระโดดบนปลายเท้าของเขา
“ข้าลืมมันไปได้อย่างไร!”
เขาลืมไปได้อย่างไรว่าจ้าวเมิ่งกำลังจะกลับมา!
ขุนนางเมิ่งเป็นผู้สำเร็จการศึกษาจากสำนักการศึกษาฮานหลินและผลการประเมินของเขาถูกส่งไปยังจักรพรรดิแล้ว อีกไม่นานเขาจะกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อรายงานผลงานของเขา หากเขาได้รับความชื่นชอบจากขุนนางเมิ่ง และขอให้ท่านขุนนางแนะนำเขากับองค์จักรพรรดิด้วยคำพูดดีๆสองสามคำ เขาก็สามารถกำจัดการควบคุมอำนาจจากพ่อตาของเขาได้อย่างสมบูรณ์ เขาหลุดพ้น
ซูหลุนชำเลืองมองนางอัน
เขาได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากพ่อตาของเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่มีขอบเขตมากขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับการสนับสนุนที่มากขึ้น
เขารู้ว่าขุนนางเมิ่งยกย่องทฤษฎีที่ว่าควรควบคุมครอบครัวของเขาให้ดีก่อนที่จะปกครองเมือง หากข่าวที่ซูมู่เกอหายตัวไปถูกแพร่กระจายออกไป คนอื่นๆ จะครหาว่าเขามีความไม่เข้มงวดดูแลครอบครัวไม่ดี ซึ่งอาจส่งผลเสียอย่างมากต่อชื่อเสียงของเขา
ไม่มีทาง! เขาปล่อยให้คำครหานี้เกิดขึ้นไม่ได้
นางอันรู้ได้อย่างไรว่าซูหลุนยังเหลือความกลัวและกังวลต่อพ่อของนาง? เมื่อมองดูใบหน้าของเขาที่เปลี่ยนไปและไม่แน่นอน นางอันยิ้มเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจถือเป็นสัญญาณเชิงบวกของการมาถึงของขุนนางเมิ่ง
หลังจากนั้นไม่นานซูหลุนก็พูดขึ้น “คุณหนูใหญ่เป็นหวัดเมื่อไม่กี่วันก่อน และนางยังคงป่วยหลังจากการรักษามาตลอดทั้งวัน นางต้องได้รับการดูแลในสถานที่เงียบสงบในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ดังนั้น นายหญิง โปรดจัดเตรียมการเดินทางโดยเร็วที่สุด”
จากนั้นซูหลุนก็เหลือบไปเห็นคนรับใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เขาดูเศร้าหมองและหดหู่
“พวกเจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดไปหรือไม่?”
พวกเขาจะกล้าแสดงความไม่มั่นใจได้อย่างไร? พวกเขาคุกเข่าคำนับรับทราบทันที
“ขอรับ เจ้าค่ะ พวกเราเข้าใจเจ้าค่ะ นายท่าน”
ซูหลุนโบกมืออย่างกระสับกระส่าย
นางอันบอกให้คนรับใช้ออกไปให้หมด
นางรินชาใส่ถ้วยแล้วยกยื่นให้ซูหลุน “ทูนหัวของข้า เราจำเป็นต้องบอกเรื่องนี้กับพี่หญิงของข้าหรือไม่?”
เมื่อนึกถึงปัญหาที่ซูมู่เกอนำพามาให้เขา เขาหงุดหงิดและกัดฟันจนเป็นสันนูน “รู้? อะไรคือการศึกษาที่ดีที่นางมีให้กับลูกสาวของนาง! แค่บอกนางว่าข้าพูดอะไรก่อนหน้านี้พอ หากนางพยายามสร้างความวุ่นวายให้หาคนคอยจับดูนางให้อยู่ภายใต้การควบคุมให้ได้”
“ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ ข้าเข้าใจ”
แล้วซูหลุนเดินไปที่ห้องหนังสือ
ในทันทีนางอันกลับไปที่ลานดอกไม้หรูหรา หลีหม่าก็เข้ามารายงาน
นางเดินเข้าไปใกล้ๆนางอันและกระซิบเสียงเบา
“นายหญิง ข้าสอบถามคนรับใช้เหล่านั้นแล้วเจ้าค่ะ พวกมันบอกว่าคุณหนูใหญ่หนีไปได้เจ้าค่ะ”
ดวงตาของนางอันหรี่แคบลงลงเป็นเส้นอย่างมุ่งร้าย แผนของนางคือใช้ประโยชน์จากเรื่องราวของผู้รับใช้และใช้มันเพื่อทำลายชื่อเสียงของซูมู่เกอ ในเมื่อเรื่องนี้ไม่สำเร็จนางโกรธอย่างมาก ซูหลุนจะห้ามไม่ให้ซูมู่เกอและแม่ของนางกลับมาที่เมืองหลวงอีก จากนั้นมันจะง่ายกว่ามากสำหรับนางที่จะฆ่าพวกมันและยิ่งงายกว่านั้นที่จะบีบมดตัวน้อยให้ตายคามือของนาง ใครจะคาดคิดว่าซูมู่เกอจะหนีไปได้!
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ในตอนนี้ก็ไม่เลวร้ายเกินไปนัก มันเพียงพอที่จะทำให้ซูหลุนเชื่อว่าซูมู่เกอได้หลบหนีไปกับใครบางคน
แม้ว่านางจะกลับมาด้วยความยากลำบากแต่ชื่อเสียงของนางก็หมดไปแล้วในเวลานั้น และซูหลุนจะไม่ยอมให้คนที่สร้างความอับอายมาสู่ครอบครัวปรากฎตัวขึ้นในคฤหาสน์ซูอีกเป็นแน่
นางอันเล่นอยู่ในสวน เคาะนิ้วบนโต๊ะด้วยความพึงพอใจ “เจ้าดูแลทุกอย่างดีแล้วหรือไม่?”
“มั่นได้ได้เจ้าค่ะ นายหญิง เชื่อมือข้า พวกมันไม่ผิดคำพูดแม้แต่คำเดียวแน่นอนเจ้าค่ะ”
นางอันส่ายหน้า “ในกรณีนี้ถ้ามีปัญหาเพิ่มเติม เจ้าควรคิดวิธีที่จะส่งพวกมันออกไปดีกว่า เมื่อไม่ให้เกิดเหตุการ์ใดๆขึ้น”
“เจ้าค่ะ ข้าจะหาเหตุผลที่เหมาะสมเพื่อส่งพวกมันออกไปในไม่ช้านี้”
“ดี”
………………………
รถม้าที่เรียบง่ายและหยาบกำลังแล่นผ่านไปอย่างช้าๆบนถนนสายหลักที่มีต้นไม้สีเขียวตลอดสองข้าทาง
ม่านรถม้าถูกเปิดออกและใบหน้าเล็กๆมีเทาเข้มปรากฏขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นดวงตาบนใบหน้านั้นก็ยังสดใสมากและเปล่งประกายดั่งคริสตัล ทำให้ไม่สามารถเพิกเฉยได้
เช่นเดียวกับที่ซูมู่เกอกำลังจะปิดม่านลง นางหันไปและเห็นกลุ่มคนที่ขี่ม้ามาจากด้านหลัง อย่างเร็วและเร็วขึ้น
ถนนสายหลักไม่ได้กว้างนักและมันยากสำหรับรถม้าขนาดเล็กสองคันที่จะสวนหรือวิ่งเคียงกัน นับประสาอะไรกับรถม้าที่มีขนาดเป็นสองเท่าของรถม้าซูมู่เกอ นางขมวดคิ้วมองรถม้าที่กำลังวิ่งมา
“หยุดรถเข้าข้างทาง และให้กลุ่มรถม้าข้างหลังผ่านไปก่อน”
“ใจเย็นๆ”
คนขับรถม้ายกเชือกยังเหียนม้าขึ้นในมือ และบังคับรถม้าเข้าไปด้านข้าง
ในรถม้าที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มซึ่งอยู่ตรงกันข้าม เสียงแหลมของผู้หญิงดังออกมาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“ไม่ เข้ามา หยุด นายหญิงผู้เฒ่าไม่ไหวแล้ว!”
ม่านของรถม้าถูกดึงกลับ เด็กสาว หน้ากลม ตกอยู่ในความวิตกกังวลอย่างมาก
หลังจากนั้นไม่นานรถม้าที่เคยอยู่ข้างหลังก็มาอยู่ต่อหน้าซูมู่เกอ และคนขับรถม้าก็หยุดกลางถนนตามคำสั่งของใครบางคน นอกจากนี้ยังหยุดรถม้าของซูมู่เกอไม่ให้เคลื่อนไปข้างหน้าได้ด้วย
คนขับรถม้าของซูมู่เกอไม่สามารถรักษาความสงบได้อีกต่อไป เขาไม่ต้องการเดินทางครั้งนี้ตั้งแต่แรกเพราะมันไกลเกินไปสำหรับเขา เขาเป็นห่วงภรรยาและลูกๆที่บ้าน แต่แล้วเขาก็หวังเพียงว่าจะพาหญิงสาว กลับไปให้เร็วที่สุดที่ที่จะเป็นไปได้
“เฮ้ สาวน้อย ถนน มันถูกปิดกั้น เราควรไปต่ออย่างไร?”
ซูมู่เกอเห็นชายวัยกลางคนลงมาจากรถม้าคันหนึ่ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ชายคนนี้มีหนวดเคราที่บอบบางและดูเป็นนักปราชญ์เช่นขงจื้อ และเขาอยู่ในชุดคลุมสีเขียวลายไม้ไผ่ เขารีบตรงไปยังรถม้าที่ใหญ่ที่สุด
“นายหญิงผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“นายท่าน นายหญิงผู้เฒ่าสบายดีในตอนนี้ แต่จู่ๆก็มีเสมหะติดอยู่ที่หน้าอกของนาง และนางก็เป็นลมไป”
ชายคนนั้นกระทืบเท้าด้วยความกังวลใจ “ตอนนี้เราทำอะไรได้บ้าง? แพทย์ของจักรวรรดิที่อยู่ร่วมกับเรานอนอยู่บนเตียงของเขาเพราะเขาจับไข้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ เขาไม่สามารถลุกขึ้นได้ และเขาเป็นหมอคนเดียวที่เรามี!”
ซูมู่เกอเกือบจะเข้าใจสถานการณ์หลังจากได้ยินบทสนทนาของพวกเขา
นางมองลงไปหลังจากเหลือบไปเห็นสัญลักษณ์รถม้า นางเปิดม่านและกระโดดลงจากรถม้ายืนบนพื้น
“โปรดรอข้าอยู่ที่นี่ซักครู่ ข้าจะกลับมาในไม่ช้า”
“อืม ได้”
ซูมู่เกอเกินไปที่กลุ่มรถม้า เสื้อผ้าของนางไม่ใช่แบบเดียวกับที่คนกลุ่มนั้นสวมใส่ ดังนั้น ในไม่ช้านางจึงเป็นที่สังเกตเห็นเมื่อเดินเข้าไปใกล้ารถม้า
ผู้คุ้มกันก้าวไปข้างหน้าและหยุดนาง “เจ้าเป็นผู้ใด?”
ซูมู่เกอหยุดและไม่รีบก้าวไปข้างหน้าต่อ นางมองไปยังทิศทางของชายในชุดคลุมสีเขียวอย่างใจเย็น
“ข้ากลัวว่ารถม้าของพวกท่านปิดกั้นการเดินทางของข้า”
เมื่อมองขึ้นไปเจ้าหน้าที่ก็เห็นรถม้าคันเล็กซอมซ่อบนถนนแคบๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกผลักออกให้พ้นทาง แต่มีความโกลาหลอยู่เบื้องหน้าใครจะมีเวลาย้ายกลุ่มรถม้าออกไปได้
ใบหน้าของผู้คุมผ่อนคลายลงเล็กน้อย “เจ้ากลับไปรอที่เดิมเถอะ”
แทนที่จะกลับออกไปซูมู่เกอกลับเยี่ยมหน้าออกไปมองรถม้าที่อยู่ด้านหลังผู้คุ้มกันผู้นั้นแทน
“อากาศยังคงร้อนและแห้งในตอนกลางวันของวันนี้ ถ้าคนในรถม้าป่วยเพราะเป็นลมก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นโรคอื่นๆ หรือแม้ว่าคนนั้นจะแข็งแรงดี ความแห้งกร้านและอากาศถ่ายเทภายในไม่ดีอาจทำให้สถานการณ์แย่ลงได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของผู้คุ้มกันก็เปลี่ยนเป็นขาวและโกรธเกรี้ยว “ท่านกำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอะไรที่นี่ เร็วเข้า ออกไป!”
ซูมู่เกอไม่ได้ลดเสียงลงอย่างตั้งใจเมื่อพูดสิ่งนี้ ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าก็ได้ยินคำพูดของนางเช่นกัน เขาหันไปมองซูมู่เกอโดยไม่รู้ตัว เมื่อสังเกตเห็นว่าเป็นเพียงเด็กผู้ชายตัวผอมๆที่พูด แต่เขาก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง
ซูมู่เกอจ้องนิ่งและจ้องไปที่ทิศทางของรถม้า
“ด้วยเสมหะที่หน้าอกอาจทำให้หลอดลมอุดตันได้ ตอนนี้นางเข้าสู่อาการโคม่าแล้วถ้าไม่ช่วยให้ทันเวลานางอาจจะ……”
ชายคนนั้นหันไปหาซูมู่เกออีกครั้ง พร้อมกับจ้องมองเธอ อย่างระมัดระวัง
“เจ้ารู้ทักษะทางการแพทย์อยู่บ้างใช่หรือไม่?”
“นายท่าน ถ้าท่านวางใจในตัวข้า ข้าสามารถจะลองพยายามดู”
ซูมู่เกออยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ หลังจากที่นางพูดและชายคนนั้นก็มองนางไปอีกครั้งด้วยความสงสัย แต่อย่างใดเขาก็พยักหน้าเมื่อเห็นความจริงใจและความซื่อตรงในดวงตาของนาง
“นายท่าน ไม่! จะทำอย่างไร! นายหญิงผู้เฒ่า นาง นางกำลังจะตาย!” สาวใช้ที่กรีดร้องขึ้น ก่อนที่จะเปิดม่านอีกครั้ง แต่ครั้งนี้น้ำตานองเต็มหน้า
ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและคำนับ
“ขอบคุณน้ำใจของท่าน นายน้อย”
ซูมู่เกอยิ้มพร้อมกับยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย “ไม่เป็นปัญหาหรอกท่าน”
ซูมู่เกอปีนขึ้นไปบนรถม้า นางขมวดคิ้วขณะดึงม่านออก ข้างในมันอบอ้าวเหลือเกิน นอกจาหญิงชราที่นอนป่วยอยู่บนพื้นแล้วยังมีสาวใช้อีกสี่คน รถม้าขนาดใหญ่มีผู้คนมากมายอัดอยู่
“ใครที่พอบอกอาการของผู้ป่วยได้ให้อยู่หนึ่งคน คนอื่นๆนอกนั้นกรุณาลงจากรถเดี๋ยวนี้”
เหล่าสาวใช้ไม่คาดคิดว่าซูมู่เกอจะปรากฎตัวในรถม้าและทุกคนเหมือนถูกแช่แข็งโดยไม่ขยับ
ชายคนนั้นเริ่มร้อนรน “เจ้ากำลังรีรออะไรอยู่? ลงมา ลงจากรถม้าและให้มีที่ว่างสำหรับหมอ!”
สาวใช้กระโดดลงจากรถม้าทีละคน แม้ว่าพวกเขาจะสับสนและสงสัยเกี่ยวกับทักษะทางการแพทย์ของชายร่างผอมและตัวเล็กคนนี้ พวกเขาไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งเจ้านายของพวกเขา
ซูมู่เกอดึงม่านออกทันทีเมื่อนางขึ้นรถม้ามาและปล่อยให้มีแสงและอากาศเข้ามามากขึ้น
สาวใช้ที่อยู่บนรถม้ารีบย้ายที่ว่างให้กับนาง
นางคลานเข่าเข้าไปหาคนป่วย และจากประสบการณ์ที่นางเคยเห็นว่าคนป่วยมีอากการชักอย่างรุนแรง เมื่อได้มองหน้าอย่างชัดๆ
พร้อมกับยกริมฝีปากของนางขึ้นเล็กน้อย ซูมู่เกอฝืนยิ้มออกมา แต่ไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นในดวงตาของนาง น่าเสียดายที่อารมณ์ของนางถูกคนเหล่านี้เพิกเฉยเพราะพวกเขาจมจ้องอยู่กับสิ่งที่นางอาจจะนำกลับมาด้วย
“ข้าทิ้งทุกอย่างไว้ที่ในเมือง ข้าจะนำพวกเขามาให้ท่านยายเมื่อข้าจะกลับ”
ตอนนี้พวกเขาได้คำตอบแล้ว ครอบครัวจ้าวแยกย้ายกันไปหลังจากพูดคุยสบายๆกับซูมู่เกอ
จ้าวหมิงเสนอที่จะรับรองนางโดยให้นางใช้ห้องนอนร่วมกับลูกสาวคนโต แต่ถูกปฏิเสธ มู่เกอบอกเขาว่านางต้องดูแลนางจาง
“เจ้ารู้ไหมว่าน้องสาวของเจ้าเอาของดีอะไรมาให้เราบ้าง? ต้าหรางกำลังจะไปยื่นข้อเสนอ และของกำนัลจากในเมืองจะสมบูรณ์แบบอย่างสมศักดิ์ศรี” นางหวังกลับไปที่ห้องของนางและความโลภบนใบหน้าของนางนั้นชัดเจนเกินกว่าจะปกปิด
จ้าวชุนนั่งอยู่ด้านข้างและคำพูดเหล่านั้นทำให้เขานึกถึงใบหน้าอันสกปรก แต่บอบบางของซูมู่เกอ
“ท่านแม่ เด็กสาวบ้านป่าในแถบนี้ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะแข่งขันกับลูกพี่ลูกน้องของข้าได้”
คำพูดไม่ได้ตั้งใจที่หลุดออกจากปากของจ้าวชุนทำให้ห้องทั้งห้องเงียบกริบลงในทันที
ดวงตาของนางสว่างไสวด้วยความตื่นเต้น นางหวังมองไปที่จ้าวเต๋อ
“ลูกชายของเราพูดถูก! เด็กสาวบ้านป่าในหมู่บ้านแถบนี้ไม่มีใครเป็นลูกสาวที่เกิดจากครอบครัวที่รับราชการ เนื่องจากซูมู่เกอเป็นลูกสาวของน้องสาวคนเล็กของท่านพี่ ทำไมไม่แต่งงานกับนางและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของเราทั้งสองล่ะ?”
จ้าวเต๋อเคยเป็นธุระจัดหาให้ใครๆในเมืองและด้วยเหตุนี้เขาจึงมักจะเกรงใจภรรยามาก
“น้องเขยของข้าจะพอใจและยอมรับกับเรื่องนี้ไหม? ท้ายที่สุดแล้ว นี่คือการแต่งงานนะ ดังนั้น น้องสาวของข้านางไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่จะสามารถพูดเรื่องสำคัญเช่นนี้ได้”
“ท่านจะให้ปัญหามันหายไปเช่นนี้หรือ? เราจะคว้าโอกาสนี้และขอให้นางแต่งงานกับลูกชายของเรา เมื่อถึงเวลาที่นางกับต้าหรางมี….พ่อแม่ของนางไม่มีทางไม่เห็นด้วย?”
“ท่านแม่ จะ..ข้าจะสามารถแต่งงานกับญาติผู้น้องของข้าได้จริงๆรึ?” เมื่อได้ยินคำพูดจากแม่ของเขา ใบหน้าจ้าวชุนดูหม่นหมองลง
“ทำไมจะไม่ได้? นางไม่ใช่นางฟ้านางสวรรค์มาแต่ที่ใด! ชิงชิงเจ้าค่ะ ท่านต้องรีบเดี๋ยวนี้ บางทีน้องรองของท่านก็กำลังคิดจะทำสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน”
คำพูดของนางหวังทำให้จ้าวเต๋อเงียบลงอย่างใช้ความคิด
ในทางกลับกัน ซูมู่เกอไม่ได้ระแคะระคายถึงแนวคิดของคนเหล่านั้นเลย
นางจางเคยมีร่างกายที่แข็งแกร่ง และจากนั้นไม่นานก็กลับมารู้สึกตัวในตอนกลางคืนของคืนหลังการผ่าตัด นางสับสนเล็กน้อยเมื่อพบว่าตัวนางเองได้กลับมานอนอยู่ในห้องเดิมที่นางเคยอยู่ก่อนหน้านั้น
“ชินอ้ายเป่าเป้ย อะไร…เจ้าให้อะไรบ้างกับเจ้าสารเลวพวกนั้น” นางจางคิดว่านางถูกอุ้มกลับมาเพียงเพราะซูมู่เกอได้ให้อะไรแลกเปลี่ยนกับนางหวังและคนอื่นๆ
ด้วยชามโจ๊กไข่ในมือ ซูมู่เกอเดินมาหานางด้วยรอยยิ้ม “อย่าเป็นกังวลเจ้าค่ะ ท่านยาย ข้าไม่ได้ให้สิ่งใด”
“แต่ แต่ พวกนี้มัน…” อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ว่า นางจางรู้สึกละอายใจอย่างยิ่งที่นางเลี้ยงลูกชายของตัวเองให้กลายเป็นคนสารเลวเช่นนี้
“ท่านยาย ท่านต้องมีใครซักคนคอยดูแลท่านหลังจากนี้ แผลจะไม่หายในเวลาอันสั้นแม้ว่ามันจะดูขึ้นมาก แต่คิดว่าท่านลุงหรือครอบครัวของเขาคอยดูแลท่าน….ยังไงก็ตาม หลานเพิ่งคิดหาวิธีที่พวกเขาจะไม่ทำร้ายท่านยายได้ ท่านอยากฟังหรือไม่ ท่านยาย?”
ซูมู่เกอมองดูลูกชายทั้งสามของนางจางและตัดสินใจได้ว่ายกเว้นคนที่สามที่เป็นเกษตรกรที่ซื่อสัตย์และนิสัยดี คนอื่นๆ ต่างก็เป็นคนขี้โกงและมีอีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือความโลภ ตราบใดที่ใช้ประโยชน์ด้านดีจากสิ่งนี้ พวกเขาสามารถจัดการได้
นางจางไม่ตอบสนองนาง ซูมู่เกออดทนต่อเรื่องนี้ ที่นางจางถูกลูกชายของนางปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ นางจางต้องหมดหวังที่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปด้วยหัวใจที่เจ็บปวดของนาง
“ท่านยาย ท่านไม่ได้เห็นหน้าท่านแม่ของข้ามานานหลายปีแล้ว และนางก็คิดถึงท่านยายมากเช่นกัน จนกว่าแผลของท่านจะหายดีและท่านรู้สึกดีขึ้น ท่านสามารถไปที่เมืองเพื่อเยี่ยมข้าและท่านแม่ได้ ถูกต้องไหมเจ้าค่ะ?”
การกล่าวถึงนางจ้าวทำให้ใบหน้าของนางจางเปล่งประกายแห่งความสุขและความหวังขึ้นมาทันที
“แม่ของเจ้า…ปีนี้นางเป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
“มันเป็นเรื่องยางที่จะอธิยายอย่างง่ายๆว่าดีหรือไม่ดีเจ้าค่ะ แต่ก็เพียงพอแล้วที่นางจะใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกังวลกับเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้าเจ้าค่ะ”
นางจางฉลาดและมีประสบการณ์มากพอที่จะชี้ประเด็นของนางได้อย่างรวดเร็วและรู้ว่าซูหลุนแต่งงานกับหญิงอื่นอีกคนที่มาจากครอบครัวของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งชีวิตไม่อาจทัดเทียมกันได้กับหญิงสาวที่มาจากชาวบ้านทั่วไปได้!
“ท่านไม่อยากไปเยี่ยมท่านแม่และลูกชายที่เพิ่งถือกำเนิดของนางหรือเจ้าค่ะ?”
พวกเขาเป็นลูกสาวที่รักมากที่สุดและเป็นหลายชายของนางที่เพิ่งถือกำเนิดมา นางจะต้านทานพวกเขาได้อย่างไร?
ซูมู่เกอกำลังรอคอยคำตอบของนางและไม่พูดอันใดอีก มันคือสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะปล่อยให้นางจางโน้มน้าวใจตัวเองก่อน
ทั้งสองอยู่ในความเงียบในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
“ได้ ยายจะเชื่อฟังเจ้า!” โดยไม่ต้องใช้เวลาร่วมกันมากนัก นางจางยังสามารถบอกได้ว่ามีความแตกต่างอย่างมากระหว่างลูกสาวและหลานสาวของนาง บุคลิกของพวกเขาช่างแตกต่างกันมาก
ซูมู่เกอตอบนางด้วยรอยยิ้มจริงใจ “ใช่เลยเจ้าค่ะ” นางเอื้อมมือไปป้องที่หูนางจาง แล้วกระซิบอะไรบางอย่าง
นางจางฟังอย่างเงียบๆ แม้จะมีความขมขื่อนอยู่ในดวงตา แต่จิตใจของนางกลับแข็งแกร่งขึ้น
ซูมู่เกอดูแลนางจางอยู่เคียงข้างนางเป็นเวลาสามวัน และยังจะอยู่ต่ออีกซักสองสามวัน เนื่องจากจำเป็นต้องดูแลแผลที่เย็บไว้และตัดด้ายออกก่อน ตามที่คิดนางอยากกลับไปก่อนหน้านี้แล้ว
“ลูกพี่ลูกน้อง นี่ นี่สำหรับเจ้า”
จ้าวชุนวางห่อกระดาษเคลือบมันไว้ในอ้อมแขนของซูมู่เกอและรีบวิ่งหนีไป ก่อนที่นางจะทันได้ตอบอันใด จากนั้นนางก็ไปเก็บยาในลานที่ตากไว้
เมื่อมองเห็นจ้าวเอ้อหรัง น้องชายของจ้าวชุน เดินผ่านไป นางให้ห่อกระดาษนั้นกับเขาโดยที่ยังไม่ดูมันด้วยซ้ำ
“มันมาจากพี่ชายของท่าน” จากนั้นนางก็หันหลังจากไปและเดินเข้าไปในห้อง
ค่อนข้างเรียบง่ายและซื่อตรง จ้าวเอ้อหรังเปิดห่อกระดาษเคลือบมันออกและพบว่ามันเป็นขาหมูตุ๋นสีน้ำตาลอยู่ในนั้น เขาเริ่มกินอย่างเพลิดเพลินโดยไม่ต้องคิดอันใด
จ้าวเอ้อหรังวิ่งกลับไปที่ห้องของเขาซึ่งนางหวังกำลังนั่งทานผลไม้อย่างเพลิดเพลนอยู่
“ท่านแม่ ทำไมลูกพี่ลูกน้องของข้าถึงไม่ล้างหน้าให้สะอาด?” เขาไม่เคยเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของซูมู่เกอ
“ทำไมเจ้าต้องกังวลกับเรื่องนี้ลูกชายแม่? เมื่อนางกลายเป็นภรรยาของเจ้าเมื่อใด เจ้าสามารถมองหน้านางได้ตลอดเวลาที่เจ้าต้องการ”
จ้าวเอ้อหรังหัวเราะอย่างพอใจกับคำพูดของแม่เขา “ถ้าอย่างนั้น เมื่อไหร่นางถึงจะได้เป็นภรรยาของข้า?”
“เจ้าเร่งรีบอันใดลูกชายข้า? นางไม่หนีหายไปไหนหรอ!”
อันที่จริง นางหวังเป็นกังวลอยู่บ้างในเรื่องนี้และนั่นคือสาเหตุที่นางยอมคุมขังตัวเองอยู่ในห้องนี้ ในทุกวันนี้นางอยากรู้มากว่าซูมู่เกอได้นำสิ่งของอะไรมาบ้าง และวางแผนที่จะได้ครอบครองมันก่อนใครอื่น นางไม่ยอมให้สิ่งของของลูกสะใภ้ในอนาคตของนางเล็ดลอดไปที่ผู้ใดในอีกสองครอบครัวนั้นได้เด็ดขาด
นี่ก็เข้าคืนที่ห้าแล้ว ครอบครัวจ้าวไม่สามารถรอได้อีกต่อไปเนื่องจากซูมู่เกอยังไม่ได้นำสิ่งของที่ควรจะมีมาแสดง
จ้าวหมิงสบโอกาสและพูดขึ้นกลางโต๊ะทานข้าว
“นี่หลานสาว เจ้าเก็บสิ่งของที่นำมาให้เราไว้ที่ไหน? ข้าสามารถช่วยเจ้าได้นะ ข้าสามารถนำเกวียนลากไปเอาสิ่งของทั้งหมดมาที่นี่ได้ ช่วยคนของเจ้าไม่ต้องมาที่นี่”
ซูมู่เกอวางตะเกียบลง ยิ้มให้คนอื่นๆ และพูดว่า “ขอบคุณในความมีน้ำใจของท่านลุง ปล่อยให้ข้าได้จัดการมันด้วยตัวเองเถิด ข้าจะกลับไปวันมะรืนนี้แล้ว และบอกพวกเขาให้นำสิ่งของทั้งหมดมาที่นี่”
“เยี่ยมมาก! ไม่ ข้าหมายความว่า ทำไมเจ้าถึงได้กลับเร็วนัก? ทำไมไม่อยู่กับเราอีกสักสองสามวัน…”
“ท่านแม่ของข้าเพิ่มให้กำเนิดน้องชายของข้า ไม่มีใครดูแลนางที่บ้าน และข้าก็เป็นกังวลเกี่ยวกับพวกเขา”
จ้าวต้าหรางเริ่มใจเสียและวิตก ใครจะเป็นภรรยาของเขาถ้าซูมู่เกอกลับไป!
ซูมู่เกอเพิกเฉยต่อแผนการของพวกเขาและตรงกลับไปที่ห้องของนางจางหลังอาหารค่ำเสร็จสิ้นแล้ว
หลังจากไม่กี่วันที่ได้รับการปฐมพยาบาลและดูแลอย่างดีจากหลานสาว นางจางค่อยๆฟื้นฟูร่างกายของนางและกลับมามีพลังมากขึ้น สุขภาพค่อยๆดีขึ้น
“ท่านยายเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ทำแผลให้ท่านเสร็จแล้ว วันรุ่งขึ้นหลานจะเดินทางกลับนะเจ้าค่ะ”
นางจางมองไปที่ซูมู่เกอที่จับมือของนางอยู่ “ขอบใจเจ้ามาก ชินอ้ายเป่าเป้ย ยายเป็นภาระความลำบากของเจ้า”
“อย่าพูดเยี่ยงนั้นเลยเจ้าค่ะ ท่านยาย เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ดวงตานางจากเต็มไปด้วยความสุข “เจ้าช่างเป็นเด็กที่จิตใจดีจริงๆ”
บรรยากาศอันอบอุ่นและสบายใจที่นี่ ช่างตรงกันข้ามกับอีกห้อง คนในห้องนั้นต่างพากันกระสับกระส่าย
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านได้ยินรึไม่! ลูกพี่ลูกน้องของข้ากำลังจะกลับบ้านแล้ว!”
นางหวังจ้องไปที่จ้าวต้าหราง ที่เดินกลับไปกลับมาไม่ยอมหยุดหลังจากมื้ออาหารค่ำมา แล้วหันหน้าไปทางจ้าวเต๋อ
“ซินอ้าย ลูกชายของเราเจ้าพูดถูก นางกำลังจะกลับไป และเราจะปล่อยให้นางจากไปเช่นนี้ไม่ได้” นางไม่ได้เป็นใบ้หูหนวก นางจะเอาซูมู่เกอมาเป็นลูกสะใภ้ของนางได้อย่างไรเมื่อนางจากไป!
จ้าวเต๋อยังคงเงียบอยู่บนเก้าอี้ของเขา นางหวังและจ้าวต้าหรางมองเขาด้วยสายตาที่กระตือรือล้นต้องการคำตอบ
จ้าวเต๋อเงยหน้าขึ้นด้วยความสับสนและอย่างมีแผนการ เขาลดเสียงของเขาเบาลง “สิ่งที่ทำไปแล้วไม่สามารถยกเลิกได้ มาทำให้นางแต่งงานกับต้าหรางเถอะ! แล้วตระกูลซูก็จะปฏิเสธไม่ได้!”
“เยี่ยมมาก! เมื่อนางกลายเป็นภรรยาของต้าหรางทางร่างกายแล้ว ตระกูลซูจะต้องยอมประนีประนอมรา!”
ใบหน้าของจ้าวต้าหรางแดงไปทั่วเมื่อสนทนากับพ่อแม่ของเขาถึงเรื่องสามีภรรยานี้ และเขาก็ฮัมเพลงไม่พูดไม่จาอีก
“ชิงชิงเจ้าค่ะ เราจะทำอย่างไรกันดี?”
“มานี่มา พวกเจ้าสองคน ฟังคำของข้าแล้วทำตามที่ข้าบอก”
สามคนหัวรวมเข้าหากันมีเพียงเสียงกระซิบกระซาบ พึมพำเท่านั้น
……………………
เช้าวันรุ่งขึ้น ซูมู่เกอจัดการดูแลแผลให้นางจางเรียบร้อย ทายาที่แผลอีกครั้ง เมื่อแผลสมานกันดี นางจางก็จะมีสุขภาพดีเหมือนเดิม
“ท่านยาย ท่านลองเดินบนพื้นดูนะเจ้าค่ะในอีกเจ็ดวันข้างหน้านี้ มันจะดีต่อการฟื้นตัวของท่าน”
“ได้ ได้ โชคดีแค่ไหนที่ข้ามีหลานสาวเยี่ยงเจ้า! ไม่อย่างนั้น….” ความรู้สึกทุกๆอย่างกำลังรวมกันที่หัวใจของนาง นางจะคาดหวังได้อย่างไรว่านั่นคือหลานสาวของนางที่มาจากเมืองชุนหยาง มาและช่วยชีวิตนางไว้!
“ซินอ้ายท่านยาย ได้โปรด อย่าพูดราวกับว่าข้าเป็นคนนอก! สิ่งที่ท่านยายต้องทำอย่างเร่งด่วนที่สุดตอนนี้คือการดูแลตัวเองและฟื้นตัวให้ได้โดยไวเจ้าค่ะ!”
“ใช่ แน่นอนเจ้าพูดถูก”
นางป้อนอาหารนางจางแล้วตามด้วยยาและกำลังจะไปพบหมอเท้าเปล่าอีกครั้งเพื่อหายามาเพิ่มสำหรับการบำบัดของนางจางในส่วนที่เหลือ
เมื่อนางก้าวเท้าออกจากห้อง บางสิ่งที่ใหญ่ ผ้าซาตินสีแดงแปลกๆ ปิดที่ตาของนาง มันถูกแขวนห้อยในห้องรับรองหลักของบ้านและอีกสองสามห้อง รวมถึงห้องนั่งเล่นด้วย
…………………………………………
“พี่สาว ท่านกำลังเตรียมงานแต่งงานกับต้าหรางหรือไม่? ข้าไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำว่าเขาหมั้นกับผู้หญิงคนไหน” นางซัน ป้ารอง เริ่มล้อเลียนเล่นกับแพรแดงที่บานประตู
“พรึด!” นางหวังพ่นเปลือกเมล็ดแตงโมในปากของนางไปที่นางซัน “มีอะไรอีกมากมายที่เจ้าไม่รู้!”
นางหันหลังกลับและเห็นซูมู่เกอ ที่กำลังจะออกไปจากลานหน้าบ้าน นางหวังรู้สึกไม่พอใจกับผู้หญิงคนนี้ เริ่มจินตนาการว่านางเป็นลูกสะใภ้ของนาง “นี่หลานสาว เจ้าจะไปหาหมออีกแล้วรึ? เจ้าไม่ต้องซื้อยากลับมามากมายให้สิ้นเปลืองนะ ท่านยายของเจ้ามีสุขภาพสมบูรณ์….”
ซูมู่เกอรีบเดินออกจากลานหน้าบ้านไปโดยไม่หันไปมองทางนางหวังเลย แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของนาง
“นี่ ข้ายังพูดไม่จบ! เจ้าช่างหยาบคายนัก!” นางหวังถุยน้ำลายสองครั้งด้วยความหงุดหงิด
นางซันหัวเราะชอบอกชอบใจให้กับการถากถางในเหตุการณ์นี้อย่างมาก “ดี เยี่ยมมาก! พี่สาว ท่านเห็นตัวท่านเองหรือไม่? นั่นมันเป็นวิธีการของแม่สามีที่สั่งสอนลูกสะใภ้!”
แต่ไม่ใช่ตามปกติ นางหวังไม่ได้โต้กลับนางซันในครั้งนี้ นางซันไม่สังเกตเห็นความแตกต่างที่นั่นและนางก็ไม่อยากตื้อ นางจากไปด้วยตัวเองเพื่อมองหาการพูดคุยอื่นที่น่าสนใจ
เมื่อมาถึงสถานที่ของหมอเท้าเปล่า ซูมู่เกอได้รับแจ้งว่าหมอออกไปหาสมุนไพรที่ภูเขา และจะไม่กลับมาในอีกสองหรือสามวันนี้
นางรอได้ไม่นานขนาดนั้น และใครจะรู้ว่านางอันจะเตรียมกลอุบายแบบไหนให้นาง
มีทางเดียว นางจะต้องเข้าเมืองเพื่อไปรับยา
ก่อนที่นางจะเข้าประตูไปที่ลานบ้าน จ้าวต้าหรางออกมาพร้อมกับรถลากเทียมวัว
“ลู….ลูกพี่ลูกน้อง”
ซูมู่เกอไม่เคยชอบจ้าวต้าหราง เพราะมีความปรารถนาและตัณหาแฝงอยู่ในรูปลักษณ์ของเขาที่แสดงออกมา
“ลูกพี่ลูกน้อง” ซูมู่เกอเดินเข้าไปในลานบ้านหลังจากส่งคำทักทายอย่างไร้อารมณ์ไปให้
“ลูกพี่ลูกน้อง ข้ากำลังจะไปซื้อของในเมือง เจ้ามีอันใดต้องการจะซื้อหรือไม่?”
หยุดชะงักชั่วขณะ ซูมู่เกอหันหน้าไปมองเขา “เจ้ากำลังจะไปในเมืองเช่นนั้นหรือ?”
จ้าวต้าหรางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เขารู้สึกยินดีที่ซูมู่เกอมองมาที่เขา “ได้ ได้สิ”
ริมฝีปากระชับ ซูมู่เกอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อเร็วๆนี้ นางได้ยินเกี่ยวกับหมู่บ้านนี้มามากและรู้ว่าตระกูลจ้าวค่อนข้างมีฐานะดีในหมู่บ้านแห่งนี้ ทั้งหมดมันมาจากเงินมูลค่าสิบหลียงที่แม่ของนางส่งมาทุกปี
ยกเว้นหัวหน้าหมู่บ้าน ตระกูลจ้าวเป็นเพียงครอบครัวเดียวที่เป็นเจ้าของวัว เวลาผ่านไปสำหรับเครื่องมือการขนส่งอื่นๆ หากไม่มีรถลากเทียมวัวของจ้าวต้าหราง คงไม่มีทางอื่นนอกจากการเดิน แต่การไป-กลับแบบนั้น ทำให้นางเสียเวลาไปจนดึกดื่นค่อนคืน
“ข้าต้องหาซื้อตัวยาบางอย่างในเมือง ข้าจะไปกับเจ้า”
เมื่อได้ยินเช่นั้น รอยยิ้มแปลก ๆ ประดับบนใบหน้าของจ้าวต้าหราง เกือบจะทรยศเขา แต่ซูมู่เกอก็พลาดการแสดงออกดังกล่าวในขณะที่นางกำลังกลับไปหยิบของในห้อง
………………………………………….
* ‘ซินอ้าย’ คำนี้สามารถใช้เรียกคนที่เรารักได้ทั้งหมด ไม่จำกัดเฉพาะแฟนหรือคนรัก มีความหมายตรงกับคำว่า ‘Dear’
** ‘เป่าเป้ย’ คำนี้คล้ายกับคำว่า ‘Baby’ ความหมายตรงตัวก็คือ สิ่งของที่มีค่า ใช้เรียกคนที่เรารัก
** ชิงชิง ใช้เรียกระหว่างสามีภรรยาหรือคนสนิท มีความหมายว่า ‘ที่รัก’ ถ้าใช้คำนี้เรียกอีกคนถือเป็นการแสดงความรักวิธีหนึ่ง
*มีเปลี่ยนชื่อตัวละครนะคะ จาก ‘ดารัง’ เป็น ‘ต้าหราง’ ชื่อแรกดูเป็นผู้หญิงไป
** เนื้อหาที่ลงแต่ละตอนจะตัดรวบตามความสั้น-ยาวนะคะ
————————————————-
“พี่ซู แม่ของข้าให้เอาน้ำร้อนมาให้ท่านเจ้าค่ะ” เอย่าพูดพร้อมกับเชือกร้อยเหรียญทองแดงที่มือ เอย่ารู้สถานการณ์ของนางจางดี แม่ของนางยังให้โจ๊กแก่นางจางบางครั้งด้วยความสงสาร
“ท่านแม่ของข้าบอกข้าว่าเราไม่สามารถรับเงินนี้ได้ พี่ซูช่วยรับมันไว้ด้วยเจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอไม่ได้รับมัน “นี่สำหรับเจ้า โปรดรับมันไว้เถิด ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าอีกชั่วขณะ”
“หากมีสิ่งใดที่ท่านต้องการ เพียงแค่เอ่ยปากบอกเจ้าค่ะ”
เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ของนางจาง ซูมู่เกอไม่ได้ยืนด้วยพิธีการใด นางบอกกับเอย่าในสิ่งที่นางต้องการ ปล่อยให้เอย่ามองตามหลังนางไป นางไปที่ท้ายหมู่บ้านกับฮูเทาและถามหาหมอเท้าเปล่าในหมู่บ้านเพื่อหายาบางอย่างให้กับนางจาง
ขาของนางจางเริ่มเน่าแล้ว เนื้อเน่าจะต้องถูกตัดออก มิเช่นนั้นขาจะไร้ประโยชน์
นางมีพิษ นางจึงไม่กล้าที่จะใช้พลังบนฝ่ามือของนาง เนื่องจากนางยังไม่เข้าใจการใช้งานของมันอย่างกระจ่าง
มันดึกมากแล้วหลังจากทุกสิ่งอย่างสงบลง
นางจางยังคงอ่อนแรและแสงก็สลัว นางไม่สามารถทำการผ่าตัดได้จนถึงวันพรุ่งนี้ ดังนั้น ซูมู่เกอจึงทำได้เพียงแค่สอบถามเอย่าเพื่อปรุงยาให้นางจาง
“ขอบคุณในความมีน้ำใจที่เจ้าได้ให้ในวันนี้!”
“พี่ซู ท่านไม่กลับบ้านกับเราจริงหรือ? ที่นี่….ไม่มีที่ให้พักผ่อน” เมื่อเห็นเตียงดินเพียงเตียงเดียวและโต๊ะหักพร้อมเก้าอี้หักสองตัว เอย่าถามอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร ข้าขอบใจเจ้ามาก!”
“เราจะกลับบ้านก่อนวันนี้ พรุ่งนี้เราจะกลับมาใหม่อีกครั้งนะเจ้าค่ะ”
เอย่าออกไปพร้อมกับฮูเทาและนางจางก็หลับไปแล้ว
ยกตะเกียงน้ำมันชูขึ้น ซูมู่เกอได้เห็นยาจากหมอเท้าเปล่า
ยาแลดูคุณภาพต่ำ นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้มัน
กลางคืนในหมู่บ้านเงียบมาก ซูมู่เกอพิงโต๊ะค่อยๆหลับไป
“ใคร? เจ้าเป็นใคร?”
เสียงร้องอันแหลมคมปลุกซูมู่เกอให้ตื่นขึ้นมา ผู้หญิงอ้วนหน้าผากแคบและโหนกแก้มที่โดดเด่นชี้มาที่นาง
ซูมู่เกอลุกขึ้นนั่งและหันไปมองนางนางที่นอนอยู่บนเตียง นางจางตื่นขึ้นมาและจ้องมองไปที่หญิงอ้วนด้วยดวงตาโตอย่างขุ่นเคือง
“หวัง เจ้ามาทำอันใด? เจ้ามาดูว่า….ดูว่าข้าอดตายแล้วงั้นรึ?” นางจางดูโกรธมากและอยากจะลุกขึ้น
มันคือนางหวัง ลูกสะใภ้คนโตของนางจาง ที่จะมาดูนางจางทุกสองหรือสามวันว่านางจางตายแล้วหรือไม่
นางหวังเหลือบมองนางจากอย่างไม่พอใจ “ท่านแม่ ข้าเพิ่งเอาอาหารมาให้ท่าน อย่ามาพูดเยี่ยงนี้ ต้าหรางยังไม่ได้แต่งงาน”
ตามประเพณีท้องถิ่นถ้ามีใครในครอบครัวเสียชีวิตลงจะไม่สามารถจัดงานแต่งงานได้ภายในสามปี สิ่งที่นางหวังพูดเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างแท้จริง
ซูมู่เกอยิ่งทำมันชัดเจนว่านางหวังคือใครหลังจากได้ยินนางจางเรียกนางหวังว่าอย่างไร ก่อนที่นางจะเดินทางมา แม่ของนางได้แนะนำสมาชิกในครอบครัวของนางจางให้นางรู้จัก
“ท่านต้องเป็นท่านป้าของข้า มันเป็นความมีน้ำใจอย่างยิ่งที่ท่านนำอาหารมาให้ท่านยายของข้าตั้งแต่เช้าตรู่เยี่ยงนี้”
หลังจากได้ยินสิ่งที่ซูมู่เกอพูด นางหวังมองมาที่นางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าแลมองกลับจากเท้าจรดศีรษะอย่างพิถีพิถัน
สิ่งที่ซูมู่เกอสวมใส่ดูไม่เหมือนกับชาวบ้านธรรมดาทั่วไปในหมู่บ้าน และตาของนางถุกปิดด้วยผ้าเช็ดหน้า แม้ว่ามันจะมืดเกินไปที่จะมองเห็นว่านางหน้าตาเป็นอย่างไร นางหวังยังรู้สึกว่าซูมู่เกอดูมีเสน่ห์
“เจ้าเป็นใคร? เจ้าเป็นลูกสาวของน้องสะใภ้ใช่หรือไม่?” นางหวังพูดและรู้สึกถึงบางสิ่งที่แปลกๆ ยกเว้นนางจ้าวแล้ว นางมีน้องสาวที่แต่งงานแล้วกับพ่อค้าเร่ในเมืองและมีลูกสาวสองคนและลูกชายอีกหนึ่งคน นางเคยพบกับลูกสาวคนหนึ่งมาก่อนที่ไม่มีนิสัยเยี่ยงนี้
“ครอบครัวของข้าเป็นห่าวงท่านยายของข้าหลังจากรู้ว่านางล้มพวกเขาจึงขอให้ข้ามาเยี่ยมนาง”
“พ่อแม่ของเจ้า….” นางหวังขมวดคิ้วและประหลาดใจเบิกตากว้าง นางปรบมือและพูดว่า “เจ้าเป็นลูกสาวของน้องสะใภ้ใช่หรือไม่?”
ซูมู่เกอพยักหน้าแทนที่จะปฏิเสธนาง เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ของนางจางแล้ว นางรู้สึกว่าตัวนางเองเท่านั้นคงไม่เพียงพอ นางจึงเจรจากับนางหวัง
“คือ…คือมันเป็นแม่ของเจ้าหรือไม่ที่ขอให้เจ้ามาเยี่ยมยายแก่..ยายของเจ้า? เป็นเจ้านั่นเอง! เจ้าไปที่เมืองหลวงและกลายเป็นหญิงสาวในครอบครัวอย่างเป็นทางการ ข้าต้องกลับไปเดี๋ยวนี้ บอกลุงของเจ้าโดยด่วน” นางหวังเปลี่ยนสีหน้าและตื่นเต้นมากจนไขมันของนางกระเพื่อม นางหันหลังและวิ่งหนีไปลืมแม้กระทั่งตะกร้าของนางกลับไปด้วย
ซูมู่เกอเหลือบมองไปที่ตะกร้า มีโจ๊กเหม็นเน่าอยู่ในชามแตก
“ใครจะรู้ว่าสิ่งชั่วร้ายที่ผู้หญิงหน้าด้านผู้นั้นกำลังคิดทำอะไรอยู่ มู่เกอ ยายของเจ้าไม่เป็นอันใด เจ้า เจ้าควรกลับไปดีที่สุด” เมื่อมองไปที่ซูมู่เกอนางจางเกิดความกังวลมาก จึงพูดเช่นนั้นออกมา นางเคยคิดว่านางจ้าวมีชีวิตที่มีความสุขกับซูหลุน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่านางจ้าวได้ปกปิดหลายๆอย่างเพราะมู่เกอควรมาที่นี่ด้วยตัวเองและเชี่ยวชาญในการดูแลคนอื่น
“ท่านยาย ข้าจะกลับไปได้ก็ต่อเมื่อท่านจะรู้สึกดีขึ้น ไม่เช่นนั้น ท่านแม่ของข้าจะกล่าวโทษข้าได้”
ซูมู่เกอออกไปด้านนอก นางเริ่มปรุงยาให้นางจางก่อนจากนั้นจึงปรุงโจ๊กด้วยหม้อใบเล็กที่เอย่านำมาไว้ให้
“พี่ซู ท่านตื่นเข้าจัง” เอย่ากระโดดๆเข้ามาในห้องพร้อมตะกร้าที่แขนของนาง
“ท่านแม่ขอให้ข้าเอาแพนเค้กมาให้ท่านกับป้าจาง และให้ข้าเอาสิ่งของที่ท่านต้องการเมื่อวานนี้มาให้ด้วยเจ้าค่ะ”
ซูมู่เกอไม่ได้ยืนขึ้นรับของอย่างเป็นพิธีการในครั้งนี้และนางพูดว่า “ขอบใจเจ้ามาก!”
หลังจากให้ยากับนางจางแล้ว ซูมู่เกอจุดตะเกียงน้ำมันที่มีเพียงอันเดียวในห้องและเจาะจุดฝังเข็มของนางจางด้วยเข็มสีเงินที่ยืมมาจากหมอเท้าเปล่า หลังจากนั้นไม่นานนางจากก็หลับไป
เอย่ารู้สึกประหลาดใจ “พี่ซู อะไรรึ ท่านกำลังทำอันใด?”
ซูมู่เกอก้มหน้าตอบ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา “ข้าจะผ่าตัด หรือหาไม่แล้วขาก็จะไร้ประโยชน์”
นางเปิดหน้าต่างและประตูเพื่อให้มีแสงสว่างเพียงพอในห้อง จากนั้น นางก็เอามีดไปฆ่าเชื้อด้วยเหล้าที่หยิบมาจากตะกร้าและเตรียมจัดการกับส่วนที่เน่าตรงขา
“ออกไปรอที่ด้านนอกนะ และอย่าให้ใครเข้ามา”
เอย่าตกใจกับขาของนางจาง นางจึงรีบพยักหน้า วิ่งหนีไปพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเซียว
หลังจากฆ่าเชื้อมีดด้วยไฟสักพัก ซูมู่เกอเริ่มทำความสะอาดแผลเน่าเสียอย่างชำนาญ
ซูมุ่เกอมีประสบการณืในการผ่าตัด นางเกิดมาในครอบครัวแพทย์แผนจีน หลังจากหลายปีก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่นี้ นางสามารถวาดการอนุมานเกี่ยวกับกรณีอื่นๆ จากกรณีหนึ่งไปอีกหนึ่งได้ดี ด้วยเหตุนี้นางจึงใช้เวลาเรียนแพทย์แผนตะวันตกทุกวัน ซึ่งช่วยให้นางได้รับการผสมผสามที่ลงตัวระหว่างการแพทย์แผนจีนและตะวันตก
ซูมู่เกอไม่ได้ทำการผ่าตัดแบบช้าๆ จะว่าไปแล้ว นางทำได้ค่อนข้างเร็ว แต่ทุกขั้นตอนถูกต้อง
“เอย่า เจ้ามาทำอะไรที่นี่? เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นบ้านของเจ้าเองรึไง? ไปให้พ้น!”
“ไม่ พี่ซูขอให้ข้ารออยู่ที่นี่ ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องก่อนที่นางจะออกมา”
“ข้าเป็นลุงของนาง นางจะไม่กล้าหยุดข้า” จ้าวหมิงผลักเอย่าออกไปให้พ้นทางและเข้าไปในห้อง
หลังจากทำแผลเสร็จแล้ว ซูมู่เกอห่มผ้าให้นางเจ้า ก่อนที่ซูมู่เกอจะทันได้ลุกขึ้นยืน จ้างหมิงและคนอื่นๆก็เข้ามาแล้ว
“หลานสาวคนโตของข้ามาถึงแล้ว ทำไมไม่บอกลุงของเจ้าตั้งเมื่อตอนที่เจ้ามาถึง?” จ้าวหมิงลูกชายคนที่สองของนางจางอยู่ที่บ้านในวันนี้
นางหวังตั้งใจจะจับมือของซูมู่เกอด้วยรอยยิ้มปั้นแต่งบนใบหน้า แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกจืดเจื่อนหลังจากที่ซูมู่เกอหลีกเลี่ยงนาง นางชำนาญมากในการปรับแต่งหน้าตา
“หลานสาวคนโตของข้า เราเข้าไปคุยกันที่บ้านของลุงกันเถอะ เจ้าต้องหิวมากแน่ๆ ป้าของเจ้าจะทำอาหารให้เจ้าในขณะที่คุยกัน”
ซูมู่เกอมองไปที่ใบหน้าของคนทั้งสองพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของนางเช่นกัน
“ถ้าข้าจากไปจะเกิดอะไรขึ้นกับท่านยายของข้า?”
หลังจากพูดถึงนางจางทั้งสองรู้สึกว่ามันไม่เป็นคำพูดที่เป็นมงคลเลย
จ้าวหมิงกล่าทันทีว่า “เจ้าไม่รู้ว่ายายของเจ้าล้มเมื่อไม่นานมานี้และไม่สามารถลุกขึ้นเดินได้อีกหลังจากนั้น นางยืนยันว่าจะย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังเก่านี้เพื่อไม่ให้เรายุ่งยาก เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากย้ายนางมาอยู่ที่นี่”
นางหวังพยักหน้ารับลูกและกล่าวเสริมว่า “ถูกต้องแล้ว เราไม่มีทางเลือกอื่น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูมู่เกอก็หันหน้ามาอย่างเศร้าใจ “จริงหรือ? แต่ท่านยายของข้าบอกข้าว่านางอยากกลับบ้านไปนอนพักฟื้นที่บ้านตอนนี้นะ”
“มัน….” นางหวังมองมาอย่างรันทด นางจางจะจากไปไม่ช้าก็เร็ว นางไม่ต้องการให้มาตายในบ้านของนางเพราะลูกชายของนางโตพอที่จะแต่งงานได้แล้ว
จ้าวหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับกลอกตา และยิ้มให้นาง “ท่านแม่ของข้าอยากกลับบ้าน ไม่มีปัญหา ข้าจะขอให้ใครซักคนมาอุ้มแม่ของข้ากลับเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้นางหวังไม่พอใจอย่างยิ่งและจ้องเขม็งมาที่พวกเขา เมื่อนางกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง จ้าวหมิงจ้องกลับมาที่นางนิ่งๆ “พี่สะใภ้ของข้า กลับไปกับข้าเพื่อขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเถอะ”
นางหวังฮึดฮัดและเดินออกไป
นางหวังเมื่อเดินห่างจากลานบ้านโทรมๆนั้นออกมาแล้ว ถามขึ้นว่า “เจ้ากำลังทำอะไร? เจ้าต้องการให้นังหญิงชรานั่นไปตายที่บ้านหรืออย่างไร? ข้าบอกได้เลยนะว่าห้องของนางถูกจองไว้สำหรับการแต่งงาน ของต้าหรางแล้ว”
จ้าวหมิงโกรธแต่เขารู้ว่าอะไรสำคัญกว่ากัน “เจ้าไม่ต้องการเงินใช่ไหม?”
“อะไร?”
“น้องสาวของข้าขอให้ลูกสาวของนางกลับบ้านมาอย่างเร่งด่วน ถ้านางรู้ว่าเราทำอะไรกับแม่ ท่านคิดดูสิว่านางจะยังให้เงินเราไหม?” นางหวังสงบลงหลังจากได้ยินเรื่องนี้
“อย่างไรก็ตาม นางจะไม่อยู่ที่นี่นานอย่างแน่นอน เราสามารถแบกนางจางกลับมาไว้ที่นี่ได้หลังจากได้เงินแล้ว”
“เจ้าพูดถูก เจ้านี่ฉลาดมาก!”
นางหวังกลับไปขอให้ลูกชายทั้งสองของนางมาแบกนางจากกลับไปที่บ้าน หลังจากต่อสู้ทุ่มเถียงกันอย่างหนัก นางจางก็ถูกพากลับไปที่บ้าน
ดังที่ซูมู่เกอคิดไว้ นางหวังได้สร้างบ้านใหม่หลังจากได้รับเงินที่นางจ้าวส่งกลับมาให้ มีสนามหญ้า ลานหน้าบ้าน มีห้อง 11 ห้อง ยกเว้นห้องนั่งเล่นและห้องก่อนหน้าของนางจ้าว ลูกชายทั้งสามแต่ละคนมีห้องคนละสามห้อง
ซูมู่เกอขอน้ำร้อนจากนางหวัง หลังจากทำความสะอาดให้นางจางเสร็จ ซูมู่เกอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าของนาง
มองไปที่ขาของนางจากที่มีการดูแลบาดแผลอย่างดี นางหวังรู้สึกกระดากใจ
“เจ้าได้เชิญหมอมาตรวจดูท่านแม่อีกครั้งหรือ? หมอบอกว่าขา…รักษายาก”
ซูมู่เกอไม่ได้พูดตอบอะไรเกี่ยวกับคำถามของนางหวัง แต่กลับหันไปปรุงยาด้วยตัวเอง
ตราบใดที่ท่านยายอยู่ได้อีกสามวัน มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับนางที่จะฟื้นตัวหลังจากดูแลอย่างระมัดระวัง
“มู…มู่เกอ ล้าง…ล้างหน้า” จ้างชุนลูกชายคนโตของนางหวังมาพร้อมกับอ่างน้ำ จ้องมองไปที่ใบหน้าของซูมู่เกออย่างกระตือรือร้น ซึ่งนั่นทำให้ซูมู่เกอขมวดคิ้ว
“ไม่ ขอบคุณ!”
จ้าวชุน จ้องไปที่มือบอบบางของซูมู่เกอและกลืนน้ำลายอย่างเสียดาย เขาไม่เต็มใจที่จะจากไป
เขาอายุสิบหกปีและแม่ของเขาพยายามตามหาลูกสะใภ้ของนาง เขาคิดว่าถ้าเขาสามารถแต่งงานกับหญิงสาวลูกพี่ลูกน้องคนนี้ได้….มันจะวิเศษแค่ไหน!
ในตอนกลางคืนครอบครัวของนางจ้าวทั้งหมดกลับมากันครบ พวกเขาอยู่ในห้องนั่งเล่นมองไปที่ซูมู่ เกอราวกับว่านางเป็นนักโทษ
ซูมู่เกอเหลือบมองพวกเขาแต่ละคนและนั่งเงียบๆ
นางหวังหมดความอดทนและอดไม่ได้ที่จะสะกิดจ้าวเต๋อสามีของนาง
จ้าวเต๋อกะแอม “คราวนี้เจ้ากลับมาคนเดียวรึ?”
ซูมู่เกอรู้ว่าคำถามคือการทดสอบทัศนคติที่ซูหลุนมีต่อภรรยาและลูกสาวของเขา หลังจากฟังมาทั้งหมด มันดูแปลกที่ซูมู่เกอปรากฎตัวขึ้นที่นี่เพียงลำพัง
“ท่านพ่อของข้าจัดผู้คุ้มกันสามคนและสาวใช้สองคนพร้อมคนขับรถม้ามากับข้าด้วย ข้ากลัวว่าพวกเขาจะไม่มีที่อยู่ ดังนั้น ข้าจึงปล่อยให้พวกเขารออยู่ในเมือง” ถ้าทั้งหกคนมาก็ไม่มีที่ว่างสำหรับพวกเขา ครอบครัวจ้าวยอมรับคำตอบนี้
“หลานสาวของข้า คราวนี้…แม่ของเจ้าให้นำของอะไรกลับมาบ้างหรือไม่?”
………………………………………….
**หมอเท้าเปล่า (Barefoot doctor ; คือเกษตรกรที่ได้รับการฝึกการแพทย์และผู้ช่วยแพทย์พื้นฐานขั้นต่ำ ทำงานในหมู่บ้านชนบทในประเทศจีน เพื่อนำสาธารณสุขสู่พื้นที่ชนบท ส่งเสริมการสุขาภิบาลเบื้องต้น สาธารณสุขป้องกนและการวางแผนครอบครัว ตลอดจนรักษาความเจ็บป่วยสามัญ ตั้งชื่อจากเกษตรกรในภาคใต้ ซึ่งมักทำงานเท้าเปล่าในนาข้าว
“ข้าช่วยเจ้า เหมาะสมหรือไม่ที่จะปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้?” กุยหม่าจุดคบเพลิงและวางตะกร้าไว้บนก้อนหินใหญ่
ซูมู่เก๋อนั่งลงหน้าไฟ “ท่านช่วยข้า?”
เขาถูกเปิดโปงแต่เขาไม่โกรธ “ใช่ ข้าช่วยเจ้าไว้”
กุยหม่าหยิบอาหารออกมาจากตะกร้าแล้วโยนให้นาง
ซูมู่เก๋อไม่รู้ว่านางอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว และนางก็หิวโซ นางเลยหยิบซาลาเปาขึ้นมากินโดยไม่สนใจว่ามันจะสกปรกแค่ไหนก็ตาม
กุยหม่านั่งตรงข้ามกับนางและถามว่า “เจ้าถูกวางยาพิษที่ไหน?”
ซูมู่เก๋อกัดซาลาเปา และเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาใสแจ๋วของนางซึ่งเต็มไปด้วยปริศนา
“พิษ พิษอะไร? ข้าถูกวางยาพิษ?” ความกลัวปรากฏในดวงตาของนาง “แล้ว ข้าจะตายเร็วๆนี้หรือไม่?”
กุยหม่ารู้สึกงงงวยเมื่อเห็นว่านางไม่รู้และเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ซูมู่เก๋อส่ายหน้าอย่างกับท่อนไม้
“ทำไมเจ้าถึงขับรถม้าในป่าด้วยตัวเอง?”
ซูมู่เก๋อหลังตาลงและพูดว่า “ข้าจะไปเยี่ยมท่านยายของข้า แต่ข้าได้พบกับโจรบางคนและสาวใช้และผู้คุ้มกันก็ถูกแยกออกไปจากข้า….”
กุยหม่าไม่สงสัยเกี่ยวกับคำอธิบายของนางเพราะเขาเห็นว่ามีสิ่งของจำเป็นในการเดินทางในรถม้า รถม้าของนางและการแต่งตัวแสดงให้เห็นว่านางเป็นหญิงสาวที่มาจากครอบครัวที่เป็นทางการ
“เจ้าถูกวางยาพิษและเจ้าอาจจะตายได้ทุกเมื่อ แต่ข้าได้ให้ยาล้างพิษที่สามารถระงับพิษชั่วคราว มิเช่นนั้นเจ้าต้องตายไปแล้ว”
ว่าแล้วไง ซูมู่เก๋อซ่อนแสงไฝ้ในดวงตาของนางและมองเขาอีกครั้งด้วยดวงตาที่ไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ชัดเจน
“ขอบคุณในความมีน้ำใจของท่าน”
กุยหม่าหยิบขวดกระเบื้องสีขาวขนาดเล็กออกมา
“มียาสามเม็ดที่สามารถทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ได้ภายในสามเดือน แต่เจ้าจะตายหลังจากสามเดือนนั้นถ้าเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าไม่พบยาถอนพิษ”
ซูมู่เก๋อตกใจกับคำพูดของเขา
“แล้วข้าจะทำยังไง?”
“ติดตามข้าและข้าจะทำให้เจ้ามีชีวิตยืนยาว”
ซูมู่เก๋อหยิบขวดยาสีขาวขึ้นมาและนิ่งเงียบ
“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าควรอาบน้ำในสระไอเย็นเป็นเวลาสามวันเพื่อกดเลือดแห่งเปลวเพลิงลงไปข้างใน” กุยหม่ามองนางด้วยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของเขาและพูด จากนั้นเขาก็ออกจากถ้ำไป
ซูมู่เก๋อกระชับมือของนางที่คว้าขวดกระเบื้องยาไว้
นางคิดว่านักพรตลัทธิเต๋าไม่มียาแก้พิษของเลือดแห่งเปลวเพลิง สาเหตุที่เขาจับนางได้ก็คือเขาตั้งใจจะค้นคว้าเกี่ยวกับนาง!
สองวันถัดมา ซูมู่เก๋ออาบน้ำในสระเป็นเวลาสามชั่วโมงทุกวัน นางไม่ได้ปีนออกไปจนกว่าแขนและขาของนางจะชาเพราะความหนาวเย็น
ซูมู่เก๋อสวมชุดแห้งของนาง หลังจากอาบน้ำในสระน้ำเย็นเป็นเวลาสามวัน นางรู้สึกว่าความร้อนที่แผดเผาภายในอ่อนแรงลงมาก แต่นางว่านั่นเป็นเรื่องแค่ชั่วคราว
กุยหม่าดูเหมือนจะมั่นใจว่านางจะไม่หนีไปไหน เขาจึงไม่ได้เฝ้านาง
ซูมู่เก๋อสวมชุดของนางเรียบร้อย เดินออกจากถ้ำพร้อมกับขวดยาสีขาว นางไม่สนใจที่จะเป็นวัตถุในการวิจัย
ถ้ำอยู่บนไหล่เขา นางพบทางที่ซ่อนอยู่และเดินลงเขาไป โชคดีที่ภูเขาไม่สูง ไม่นานนางก็มาถึงด้านล่างของเนินเขา
มีทางเดินเป็นดินโคลนที่เชิงเขา แต่ฝนไม่ตกมาหลายวัน ดังนั้นถนนจึงค่อนข้างแข็ง
“แกร็ก” ซูมู่เก๋อได้ยินเสียงล้อและนางลงไปซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้
“พี่ เราสามารถถึงบ้านก่อนค่ำนี้ไหม?”
“ใช่ เรากลับถึงบ้านก่อนค่ำได้อย่างแน่นอน”
ซู่มู่เก๋อเห็นเด็กหญิงอายุประมาณสิบขวบนั่งอยู่บนรถเข็นและเด็กวัยรุ่นอายุสิบหกหรือสิบเจ็ดปีกำลังเข็นรถเข็นอยู่ข้างหลัง
ทั้งสองคนคนเดินมาใกล้ตรงที่ซูมู่เก๋ออยู่ นางริบหยิบดินมาทาหน้า จากนั้นนางก็เดินไปหาพวกเขา
ทั้งสองคนตกใจเมื่อเห็นซูมู่เก๋อ
ซูมูเก๋อถามว่า “เจ้าช่วยบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าหมู่บ้านจ้าวของเมืองหนานเจิงอยู่ไกลแค่ไหน?”
เด็กชายหน้าแดงเพราะความเขินอายเมื่อเห็นซูมู่เก๋อ แม้ว่าใบหน้าของนางจะสกปรก
เด็กหญิงตัวเล็กผู้กล้าหาญตอบว่า “พี่สาว ท่านจะไปหมู่บ้านจ้าหรือ?”
“ใช่ ข้าจะไปเยี่ยมญาติ แต่ข้าหลงทางในป่า”
“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ เรามาจากหมู่บ้านจ้าว ท่านสามารถไปกับเรา พี่ชายท่านตกลงไหม?”
ทั้งเด็กหญิงตัวน้อยและซูมู่เก๋อมองไปที่เขาทำให้เด็กชายรู้สึกอึดอัดใจมากขึ้น
“ได้ ไม่เป็นไร”
“ขอบคุณเจ้ามาก”
“พี่สาว นั่งบนรถเข็นแล้วพี่ชายของข้าจะลากมันไปเอง”
ซูมู่เก๋อยังอ่อนแอ นางจึงพยักหน้าและขึ้นรถเข็น
ระหว่างทางเด็กหญิงตัวน้อยพูดคุยตลอดเวลาและเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พอค่ำก็มาถึงทางเข้าหมู่บ้าน
ซูมู่เก๋อมีที่อยู่ใช้เดินทางไปบ้านของนางจาง ระหว่างทาง นางบอกลาพวกเขาและจากไป
เมื่อนางมาถึงประตูบ้านของนางจาง นางประหลาดใจ
บทที่ 20 : รู้สึกเศร้า
ซูมู่เก๋อมองไปที่ลานบ้านและขมวดคิ้ว
ใกล้มืดค่ำแล้ว ในลานบ้านมันมืดมาก เงียบและแปลกๆ ซึ่งเข้ากันไม่ได้กับควันที่ลอยไปทั่วบริเวณโดยรอบ
ซูมู่เก๋อเปิดประตูรั้ว ไม่มีอะไรเลยนอกจากบ้านอิฐดินเก่าๆสามหลังในสนาม
นางอันให้เงินนางจ้าวและมู่เก๋อเป็นมูลค่าสามเหลียงต่อเดือนเพื่ออยู่ได้ นางจ้าวเก็บหนึ่งเหลียงไว้ใช้ส่วนที่เหลือจะแอบเก็บไว้ นางส่งอย่างน้อยสิบเหลียงให้นางจางทุกปี
ซูมู่เก๋อรู้ว่านางจางมีลูกชายสามคนและลูกสาวสองคนและแต่งงานกันหมดแล้ว พวกเขามีที่ดินมากกว่าสิบเอเคอร์ นางจ้าวบอกมู่เก๋อว่าลุงของนางไม่ได้ไร้ประโยชน์ ลุงคนที่สามของนางเป็นชาวนา ส่วนลุงอีกสองคนทำงานในเมืองและมีรายได้ทุกเดือน ยิ่งไปกว่านั้นนางจ้าวยังส่งเงินให้พวกเขาทุกปี การสร้างบ้านดีๆ หลายหลังไม่ใช่เรื่องยาก
ด้วยความงงงวย ซูมู่เก๋อผลักประตูห้องโถงเข้าไปและได้กลิ่นเหม็นฉุนทำให้นางขมวดคิ้ว
ห้องเงียบมากจนนางได้ยินเสียงหายใจอ่อนแรงอย่างชัดเจน
มีคนอยู่ข้างใน!
นางหยิบม้วนไฟออกมาและจุดฟางที่พื้น จากนั้นนางก็เห็นคนนอนอยู่บนเตียงนอนดินเตี้ยๆแบบดั้งเดิม
คนที่นอนอยู่บนเตียงมีผมหงอกและแก้มตอบจม ศีรษะของนางเหมือนโครงกระดูกไม่มีผิวหนังและเนื้อ ผ้าห่มของนางหมดสภาพ สีซีดจางและเหม็นอย่างหนัก
ตั้งแต่นางจ้าวแต่งงานกับซูหลุน นางไม่เคยกลับมาดูนางจางเลย ซูมู่เก๋อจึงไม่แน่ใจว่าคนบนเตียงคือนางจางหรือไม่
ซูมู่เก๋อก้าวไปข้างหน้า คนที่อยู่บนเตียงสังเกตเห็นและลืมตาขึ้นช้าๆ ด้วยท่าทางหมองคล้ำของนาง
“เจ้ามันสารเลว! เพื่อรับเงินที่พี่สาวของเจ้าส่งมาที่นี่ทุกปี เจ้าปล่อยให้ข้าใช้ชีวิตของฉันด้วยตัวเอง ไอ้สารเลว!” เสียงที่กลวงพอๆกับเสียงร้องที่แตกออกมาหลอกหลอนในห้องที่ว่างเปล่า
ซูมู่เก๋อไม่ใช่คนเลือดเย็น ดังนั้น นางจึงรู้สึกเศร้าใจกับหญิงชรามาก
“จ้าวเสี่ยวคุย เป็นลูกสาวคนเล็กของท่านใช่หรือไม่?”
การได้ยินเสียงของซูมู่เก๋อ นางจางเปิดตาขุ่นๆของนางอย่างกว้าง ในที่สุดนางก็เห็นซูมู่เก๋อ แต่ห้องมันมืดเกินไป นางสามารถมองเห็นเพียงร่างบางสลัวๆ
“เจ้า เจ้า….”
“ท่านยาย ข้ามู่เก๋อ หลานสาวของท่าน”
“มู่เก๋อ เจ้าคือมู่เก๋อ….”
นางจ้าวเขียนจดหมายถึงนางจางเพื่อให้นางรู้เกี่ยวกับตัวเองและมู่เก๋อ
“ใช่จริงรึ? เจ้าคือมู่เก๋อ?” นางจางรู้สึกตื่นเต้นและจับมู่เก๋อด้วยมือที่ผอมแห้งของนาง
ซูมู่เก๋อจับมือนางเบาๆ “ข้าเองจ้าค่ะท่านย่า ท่านแม่ส่งให้มาดูท่าน นางเพิ่งให้กำเนิดน้องชายของข้า ดังนั้นท่านแม่จึงไม่สามารถกลับมาเยี่ยมท่านย่าได้ ท่านย่ารอสักประเดี๋ยวนะเจ้าค่ะ ข้าจะกลับมาให้เร็ว”
ซูมู่เก๋อปล่อยมือนางจางและเดินออกจากลานโล่งของบ้านไป
มืดสนิทและไม่มีใครอยู่ข้างนอก นางไปที่ลานท้ายหมู่บ้าน
ที่ที่เด็กหญิงตัวน้อยส่งนางให้มาที่หมู่บ้านที่อาศัยอยู่
“แม่นาง เจ้า ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่….” เด็กหนุ่มที่เข็นรถมีชื่อว่าฮูเทา ลูกชายคนโตของครอบครัวนี้ เขาเขินอายและเคอะเขินเมื่อเห็นซูมู่เก๋อ
“ข้าต้องการซื้อของบางสิ่งที่นี่” ซูมู่เก๋อบอกกับเขา
หลังจากนั้นไม่นาน ซูมู่เก๋อก็กลับไปที่บ้านของนางจางพร้อมกับตะเกียงน้ำมันและตะกร้า
ตะเกียงน้ำมันไม่สว่างมากนัก แต่มันก็สามารถให้แสงสว่างมากขึ้น
“ท่านยาย นี่ของกิน” นางซื้อไข่ต้มสองฟองและตะเกียงน้ำมันและสาวน้อยเอย่าคนนั้นให้ขนมปังนึ่งสองก้อนกับโจ๊กหนึ่งชามกับนาง
นางจางแทบรอไม่ไหวที่จะได้กินโจ๊ก เมื่อเห็นเช่นนั้นซูมู่เก๋อก็รู้สึกไม่สบายใจ
ถ้านางจากได้รับการดูแลเป็นอย่างดี นางไม่ควรมีสภาพน่าอนาถเช่นนี้!
นางจางกินโจ๊กหนึ่งชามและซาลาเปาไปครึ่งลูกแล้วซูมู่เก๋อจึงหยุดป้อนอาหารนาง
เมื่อกินอิ่มนางจางมีแรงเพิ่มมากขึ้น
“ท่านยาย ให้ข้าจับชีพจรท่านดูหน่อย ท่านพ่อของข้าจ้างครูมาสอนข้าและเขาก็รู้บางอย่างเกี่ยวกับยา ข้าจึงได้เรียนรู้อย่างลับๆ”
นางจางให้ความสำคัญกับซูมู่เก๋อมากจนนางไม่สงสัยในสิ่งที่หลานของนางพูด
ซูมู่เก๋อรู้สึกได้ถึงชีพจรนางจาง ชีพจรอ่อน แต่ไม่ได้หมายความว่านางกำลังจะตาย มีความเป็นไปได้มากกว่าว่าความเจ็บป่วยของนางจางเกิดจากการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง
นางเปิดผ้าห่มและเห็นขาของนางจางที่เนื้อเน่า นางจางถึงกับกำผ้าห่มไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มีของนาง
เมื่อมู่เก๋อเข้ามาใกล้ นางก็สามารถเห็นตัวหนอนที่ดิ้นได้!
“บ้าเอ้ย!”
ในขณะนั้นมีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้อง
มันไม่ใช่แค่เพียงใบหน้าของเขาเท่านั้นแต่ยังรวมถึงความสูงตระหง่านและอารมร์อันสูงส่งที่ทำให้ผู้อื่นหลงใหล ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นดาบที่ยังไม่ดึงออกจากฝัก แม้ว่าเขาจะยืนเฉยๆ เขายังดูน่ากลัว
ชายคนนี้สวมชุดสีขาวลวดลายสีเข้มและมีเข็มขัดหยกคาดเอว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่เพรียวและเป็นชายทั้งแท่ง อย่างไรก็ตาม ซูมู่เก๋อคิดว่าชุดสีขาวของเขาเหมือนเสื้อคลุมรบเพราะบรรยากาศที่น่ายำเกง
เซี่ยโฮวโม่มองตรงไปข้างหน้าโดยไม่แม้จะหยุดเหลือบมองซูมู่เก๋อเลย
ฮวาเจิ้งยิ้มหวานบนใบหน้าสวยงดงามของนางเมื่อนางเห็นเซี่ยโฮ่วโม่และตรัสว่า “ฝ่าบาท เมื่อคืนพระองค์หลับสบายดีไหมเพค่ะ?”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่?” เซี่ยโฮวโม่ไม่สนใจคำถามของฮวาเจิ้งและกล่าวกับผู้คุ้มกันของเขา
“ฝ่าบาท ทุกอย่างเรียบร้อยดีพะย่ะค่ะ”
“ออกเดินทาง”
สิ่งที่เซี่ยโฮวโม่พูด ทำให้ซูมู่เก๋อกลับมาเป็นตัวของตัวเอง นางคิดว่าผู้ชายไม่รู้เรื่องความรักเลยสักนิดและไม่มีความอ่อนโยนต่อสตรีเลย เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงแอบชอบเขา แต่เขาก็ไม่ตอบสนองนางด้วยซ้ำ
เซี่ยโฮวโม่ออกจากโรงแรมและไม่ได้แม้แต่จะมองฮวาเจิ้ง
มีความมืดมนในดวงตาของฮวาเจิ้ง
“องค์หญิง เชิญเสด็จเพค่ะ”
สาวใช้จับฮวาเจิ้ง แล้วพวกเขาก็เดินออกจากโรงแรมและเข้าไปในรถม้า ทหารและม้ากลุ่มใหญ่หายไปในถนนอย่างรวดเร็ว
บนถนนสายหลัก เซี่ยโฮวโม่นั่งบนหลังม้าสีดำราวติดปีก ตงหลินขี่ม้าไปข้าหน้าและกระซิบกับเซี่ยโฮวโม่ “ฝ่าบาท มือสังหารคนนั้นไม่ยอมปริปากแม้แต่คำเดียวพะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวโม่จับบังเหียนไว้แน่นขึ้นพร้อมกับความเย็นชาในดวงตาของเขา
ตงหลินก้มหัวลงและนิ่งเงียบ ความหนาวเหน็บของเซี่ยโฮวโม่ทำให้เขาเหงื่อออกที่หน้าผาก
องค์รัชทายาทได้พบกับองค์หญิงแห่งแคว้นบูรพา ภายใต้รับสั่งจากองค์จักรพรรดิเมื่อเดือนก่อน ในระหว่างการเดินทาง พวกเขาถูกโจมตีมากกว่าสิบครั้ง
องค์หญิงฮวาเจิ้งถูกส่งตัวจากเมืองบูรพาให้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีผ่านการแต่งงาน ถ้านางมีบางสิ่งเกิดจากเซี่ย เขาจะต้องเดือดร้อนแน่!
เซี่ยโฮวโม่เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บทั่วร่างกาย “ไม่พูดอะไร? สับเขาออกเป็นชิ้นๆให้สุนัข! ตรวจสอบว่าเขารับใช้ใคร!”
“พะย่ะค่ะ”
เซี่ยโฮวโม่เหลือบมองและพูดว่า “แจ้งให้กุยหม่ามาพบข้า”
“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง พะย่ะค่ะ”
………………………….
ซูมู่เก๋อเดินออกจากโรงแรมและได้ที่ตั้งของหมู่บ้านจ้าว นางขับรถม้าและไปที่หมู่บ้านจ้าว
ถนนไม่เรียบและมือของนางที่ดึงบังเหียนเริ่มออ่นแรง
ดวงอาทิตย์ร้อนขึ้นและร้อนขึ้นเรื่อยๆ นางกำลังจะเป็นลม
นางหลังตาและส่ายหน้า อย่างไรก็ตาม การเต้นของหัวใจของนางพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
นางขับรถม้าไปด้านข้างและเอนกายลงบนรถม้า กุมหัวใจของนางและหายใจหอบถี่
“มันแปลกอะไรอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้นกับข้า!”
นางอยากจะเช็ดเหงื่อด้วยมือของนางแต่เมื่อมองเห็นว่าฝ่ามือของนางกลายเป็นสีดำ!
ซูมู่เก๋อตกใจมาก มองไปที่ฝ่ามือของนางอย่างว่างเปล่า
นางหายใจเข้าลึกๆ และรู้สึกถึงชีพจรของนางอย่างเงียบๆ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็ขมวดคิ้วอย่างหนัก
ให้ตายเถอะ นี่ข้าถูกวางยา!
มันวางยาพิษข้า?
ทันใดนั้น นางก็มีอาการเจ็บแปลบอย่างรุนแรงราวกับว่ามีคนมาล้วงเข้าไปที่ท้องของนางและทำให้อวัยวะภายในของนางบิดสั่น นางเจ็บปวดจนต้องกรีดร้องออกมา!
พิษร้ายกาจนี้คือพิษอันใด!
ซูมู่เก๋อพยายามที่จะลุกขึ้นยืน แต่นางเจ็บปวดจนแทบจะเป็นลม
ในที่สุด นางก็ขับรถม้าไปที่เชิงเขาด้วยแรงเฮือกสุดท้าย นางไม่สามารถประคองตัวได้อีกต่อไปและล้มลงจากรถม้า
“ติ้ง ติ้ง….”
“เดินไปและเดินมา เป็นคนโง่เขลาและไร้ความสามารถและข้าจะไม่กังวล….”
มีเสียงระฆังที่คมชัดและเสียงฝีเท้าอันรวดเร็งที่เชิงเขาว่างเปล่าและเงียบสงบ เงาร่างปรากฎขึ้นจากอีกด้านหนึ่งของเนินเขา
เขาสวมเสื้อคลุมเต๋าสีซีดจาง ถือแส้ปัดป่ายกับผมประปรายซึ่งดูตลกมาก
นักบวชลัทธิเต๋ามองเห็นซูมู่เก่อที่กำลังตกจากรถม้าแล้วเดินตรงไปหานาง….
บทที่ 18 : ได้รับสมบัติ
“โอ้ นางยังมีชีวิตอยู่” นักพรตลัทธิเต๋าเอื้อมมือไปที่ปลายจมูกของซูมู่เก๋อและรู้สึกได้ว่านางยังหายใจอยู่
เมื่อมองไปที่ซูมู่เก๋อที่หมดสติ นักพรตเต๋าก็ลังเลและคิ้วขมวด “มันไม่ใช่ความผิดของข้า แต่เจ้าก็อาการแย่มาก” เขาเอื้อมมือไปที่เอวของนางและเอาเงินของนาง ชั่งน้ำหนักพวกมัน
“แม่นาง ตายเถอะ ดีกว่ามีชีวิตอยู่” กุยหม่าเก็บเงินและกำลังจะจากไป ทันใดนั้น เขาก็ถูกใครบางคนจับ
เขามองย้อนกลับไปและเห็นซูมู่เก๋อฟื้นขึ้นมา!
“คืนมันมาให้ข้า!” ซูมู่เก๋อจ้องมองกุยหม่าด้วยดวงตาสีอ่อนของนาง ปลายนิ้วของนางขาวซีดจากที่บีบเขาแน่น
นางจ้าวและร่างก่อนหน้าของนางถูกนางอันรังแกมาหลายปีและนางจ้าวเกิดในครอบครัวชาวนา ดังนั้น นางจึงไม่มีสินเดิมมากนัก แม้ว่านางจะพอมีอยู่บ้าง แต่นางก็ให้ซูหลุนเพื่อให้เขาใช้สอบในเมืองหลวง เงินยี่สิบเหลียงในกระเป๋าถือเป็นเงินออมส่วนตัวของนางจ้าวทั้งหมด หากไม่มีเงินนี้ นางจะไม่อดตาย แต่ตอนนี้ ถ้าไม่มีมัน ชีวิตของนางคงจะแย่แน่
หนวดของกุยหม่ากระตุกเล็กน้อย เขามองไปที่มือของนางที่จับเขาไว้แน่นและดึงรอยยิ้มที่น่าดึงดูดออกมาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ้าชู้ ซึ่งดูมีเสน่ห์มากต่อผู้หญิง “แม่นาง ข้าไม่ได้รักผู้หญิง”
ซูมู่เก๋อหลับตาลงและหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความเจ็บปวด
“หยุดเรื่องไร้สาระของเจ้าซะ!” ซูมู่เก๋อยกตัวขึ้นและตะครุบเขาทั้งตัว
กุยหม่าไม่มีเวลาตอบโต้ เขาคิดว่าซูมู่เก๋อกำลังจะตายและไม่มีแรงพอที่จะจับเขาไว้ได้ เขาสะดุดล้มลงพร้อมกับซูมู่เก๋อ
กุยหม่าถูกซูมู่เก๋อกดไว้และส่งเสียงฮึดฮัด
“เจ้ารอไม่ไหวที่อยากจะมอบตัวของเจ้าให้ข้ารึ ได้ ข้าจะทำให้เจ้าพอใจ”
ดวงตาที่เหมือนอัลมอนด์ของเขาแสดงออกถึงรอยยิ้มอันชั่วร้าย เขาจับมือของซู่มู่เกอและพลิกตัวเพื่อกดนางไว้ใต้ร่างของเขา
ซูมู่เก๋อใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของนางไปแล้วในตอนนี้ ดังนั้น นางจึงไม่สามารถทำอะไรเพื่อต่อต้านเขาได้
“ฮืม..ข้าจะดูว่าเจ้าจะดุดันแค่ไหน…” เขาเห็นแขนขาวๆของนาง ที่แขนนาง ขึ้นเส้นเลือดดำพันกันเหมือนรากต้นไม้ไปหมด
“เลือดแห่งเปลวไฟ…เจ้าได้เปลวไฟสีแดงมาได้อย่างไร!” กุยหม่าพลิกตัวและลุกขึ้นนั่ง เขาคว้ามือของนางมา สายตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ข้าแสวงหามันมาสามปีแล้ว แปลกใจอะไรเช่นนี้ เจ้ามีมัน! ข้ามีสมบัติแล้ว!” ดวงตาของกุยหม่าเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น เขาหยิบยาเม็ดสีดำใส่เข้าไปในปากของมู่เก๋อ
ซูมู่เก๋อตั้งใจที่จะคายมันออกมา แต่เขาบีบคอของนางไว้ นางจำต้องกลืนมัน
“ผ่อนคลาย ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตายเร็วแบบนี้แน่”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งซูมู่เก๋อก็หมดสติ
กุยหม่าอุ้มซูมู่เก๋อและพานางเข้าไปในรถม้า เขาขับรถม้ามุ่งหน้าไปทางตรงกันข้ามกับหมู่บ้านจ้าว
ความเย็นยะเยือกทำให้ซูมู่เก๋อตื่นขึ้นมาพร้อมกับเริ่มรู้สึกตัว
นางลืมตาขึ้นและเห็นว่านางถูกล้อมรอบด้วยอากาศที่เย็นราวกับน้ำแข็งเหมือนมีม่านหมอก
นางอยู่ในสระน้ำที่อุณหภูมิต่ำ นางหนาวถึงกระดูกและสั่นรัว
มันมืดสลัวไปทั่ว มีความชื้นในอากาศอย่างหนัก นางจำได้ว่านางอยู่ในถ้ำ
นางขยับมือและเท้าที่ชาจากความเย็นและปีนขึ้นไปบนตลิ่ง
ถ้าไม่ใช่นักพรตเต๋าที่เจ้าเล่ห์นั่น ไม่มีใครสามารถพานางมาที่นี่ได้
เขาเป็นคนน่ารังเกียจ แต่ปฏิเสธไม่ได้ เขาช่วยนาง เพราะนางไม่ได้รับการล้างพิษ….
“เปลวเพลิงสีแดง….”
นางรู้สึกถึงชีพจรของตัวเองและพบว่าชีพจรของนางไม่เป็นระเบียบราวกับว่ามีไฟที่สามารถเผาผลาญอวัยวะภายในของนางได้ทุกเมื่อ
นางอันเป็นเพียงผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในลานบ้าน เป็นไปไม่ได้ที่นางจะมียาพิษนั่น มันไม่ใช่นาง มันต้องเป็นผู้ชายในวัดร้างนั่น!
มันง่ายสำหรับผู้ชายคนนั้นที่จะฆ่านาง ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องวางยาพิษนาง เป็นไปได้ว่าเมื่อนางรักษาบาดแผลด้วยพลังพิเศษของนาง นางก็ดูดพิษของเขามา อย่างไรก็ตาม พลังพิเศษของนางไม่สามารถกำจัดพิษได้ นางจึงเป็นคนที่ถูกพิษเอง
ข้าช่างโชคร้าย!
“เจ้าตื่นแล้ว เร็วมาก!”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ซูมู่เก๋อก็หันสายตาของนางมา
กุยหม่เดินอย่างสบายๆในเสื้อคลุมเต๋าพร้อมตะกร้าในมือ หนวดของเขาไม่มี ใบหน้าของเขาเปล่งประกายด้วยผิวขาวในถ้ำที่มืด ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ้าชู้คู่หนึ่งแสดงรอยยิ้มอ่อนๆ เสมอ มีลักยิ้มลึกสองข้างปากของเขาเมื่อเขายิ้ม เขาดูเหมือนเด็กวัยรุ่นที่ไร้เดียงสาและบริสุทธิ์จริงๆ!
ซูมู่เก๋อมองเขาอย่างเฉยเมยและเข้าใกล้นาง “ท่านต้องการอะไร?”
ซูมู่เก๋อออกรถม้าและเดินทางต่อไปยังเมืองหนานเจิง นางต้องการไปเยี่ยมนางจางในนามของนางเจ้า เนื่องจากนางได้ทำตามสัญญาแล้ว
นางใช้เวลาทั้งวันในการเดินทางไปตามถนนหลักและในที่สุดก็เห็นประตูสูงตระหง่านทางเข้าเมืองหนานเจิง
เมื่อนางเข้ามาในเมือง มันมืดแล้วและสายเกินไปที่จะเดินทางต่อไป นางต้องมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านนางจ้าวถึงวันพรุ่งนี้
การเดินทางหลายวันทำให้ซูมู่เก๋อเหนื่อยล้า ดังนั้น นางจึงพบโรงแรมขนาดเล็กเพื่อรองรับตัวเองหลังจากซื้อยาบางอย่างที่นางอาจต้องการ
“โปรดจัดห้องหนึ่งห้องให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ”
เจ้าของโรงแรมมองไปที่ดวงตาของนางที่ปกคลุมไปด้วยความเย็นและพูดว่า “ได้เจ้าค่ะ นายหญิง โปรดรอสักครู่”
เสียงตะโกนดังมาจากข้างนอกเมื่อเจ้าของโรงแรมพูดจบ
“ผู้จัดการอยู่ที่ไหน? มานี่เร็วๆ”
ซูมู่เก๋อหันกลับไปและเห็นทหารสองคนสวมเครื่องแบบทหาร ตามด้วยชายสวมเสื้อผ้าอย่างประณีตสีแดงเข้ม
“นายท่าน มีอันใดให้กระผมรับใช้ขอรับ?”
“เราต้องการจองห้องพักในโรงแรมทั้งหมด นี่คือตั๋วฝากเงิน ไล่คนอื่นออกไปเร็วเข้า”
ด้วยทองคำมูลค่าสิบเหลียงวางอยู่บนเคาน์เตอร์ ผู้ดูแลโรงแรมจึงทำได้แค่จ้องมองตาเป็นมัน เขารู้ว่าทองคำที่ให้มานั้นสามารถเช่าห้องพักของโรงแรมทั้งหมดได้เป็นเดือนๆ!
“ได้ขอรับ ไม่มีปัญหา กระผมจะทำให้พวกเขาออกไป”
ซูมู่เก๋อขมวดคิ้ว ก่อนที่นางจะพบโรงแรมแห่งนี้ นางถามที่อื่นๆหลายที่แล้วก็ไม่มีที่ใดเหลือว่างเลย ตอนนี้ข้างนอกมืดแล้วและนางไม่คุ้นเคยกับเมือหนานเจิง นางจะหาโรงแรมอื่นได้อย่างไร?
“มีคำกล่าวว่า มาก่อนได้ก่อน มันค่ำมากแล้ว แต่ท่านขับไล่แขกออกไป มันเป็นสิ่งหยาบคายของท่านมาก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนสามคนที่กำลังจะจากไปทั้งหมดหันมาที่นาง
ซูมู่เก๋อยืดหลังตั้งตรงโดยไม่กลัวการจ้องมองของพวกเขาเลย
“ผู้หญิงอวดดีอะไรอย่างนี้ เจ้ากล้าที่จะขัดขวาเจ้าหน้าที่ ไม่ไหวพริบและออกไปซะ หรือต้องให้ข้าลากเจ้า!
ชายสวมเสื้อผ้าประณีตด้านหลังทหารทั้งสองมองไปที่ซูมู่เก๋อ
“ข้าจ่ายค่าที่พักไปแล้ว ทำไมข้าต้องจากไป”
“นายหญิง ข้าจะคืนเงินของท่านและท่านควรไปหาที่พักอื่นจะดีกว่า” ผู้ดูแลโรงแรมไม่มีความกล้าที่จะคัดค้านเจ้าหน้าที่เพียงเพราะซูมู่เก๋อ นอกจากนี้ทหารยังมอบทองคำมูลค่าสิบเหลียงให้แก่เขาอีกด้วย เงินมากขนาดนั้น!
เขาไม่คาดคิดว่าซูมู่เก๋อจะดื้อรั้นขนาดนี้ เขาพูดกับมู่เก๋อว่า “ถ้าท่านไม่รังเกียจ มีห้องเล็ก ๆ ที่ใช้เก็บเรือสำเภาและท่านสามารถอาศัยอยู่ในห้องนั้นได้ สิบเหรียญทองแดงก็ได้”
มู่เก๋อเหลือบมองทหารทั้งสอง มีคำกล่าวว่า คนทั่วไปไม่มีความสามารถในการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ได้ ถ้านางดินรนต่อไปนางจะได้รับอันตราย
นางมีห้าเหรียญและพูดว่า “ห้าเหรียญ ไม่มีมากกว่านี้อีกแล้ว”
เจ้าของได้รับทองสิบเหลียงและเขาพอใจแล้ว เขาแค่ต้องการแก้ปัญหาตรงหน้าให้ได้โดยเร็ว เขาหยิบเหรียญและขอให้คนรับใช้เป็นคนนำทางให้นาง
ช่วงเวลาที่ซูมู่เก๋อเดินไปที่สนามหญ้าด้านหลัง ทั้งโรงเตี้ยมถูกล้อมไปด้วยทหารอย่างเป็นทางการ
ด้านนอกโรงแรม มีรถม้าสีแดงเข้มจอดอยู่ด้านหลังทีมทหาร
หญิงสาวร่างบางสวมหมวกผ้าโปร่งเดินลงมาจากรถม้า ดูไม่เข้ากันกับโรงแรมเลย ด้วยเสื้อผ้าที่หรูหราของนาง
“ฝ่าบาท เรามาถึงโรงแรมแล้วพะย่ะค่ะ”
ฮวาเจิ้ง เจ้าหญิง มองไปรอบๆอย่างคาดหวัง แต่ไม่เห็นร่างที่เพรียวสูง นางรู้สึกผิดหวัง
“องค์เหนือหัวส่งหม่อมฉันมากราบทูลองค์หญิงว่าเมื่อคืนสถานที่ขนส่งเกิดเพลิงไหม้ ดังนั้นเราจึงต้องพักค้างคืนที่โรงแรมนี้พะย่ะค่ะ” ชายสวมเสื้อผ้าประณีตโค้งคำนับและกล่าว
“อืม”
สาวใช้ผู้ติดตามฮวาเจิ้งเข้ามาเพื่อพานางไปที่ห้องที่ดีที่สุด
คนรับใช้พาซูมู่เก๋อไปที่ห้องเก็บของ ห้องเก็บของไม่ใหญ่และกว้างไม่ถึงสิบตารางเมตร เต็มไปด้วยโต๊ะและเก้าอี้ต่างๆ
“นี่คือกระดาน ข้าจะเอาผ้าห่มมาให้ท่าน”
มันมืดและไม่มีไฟในห้อง ซูมู่เก๋อต้องหาที่ทางของนางในความมืดและวางกระดานไม้ลง หลังจากพนักงานเสิร์ฟนำผ้าห่มมาให้ นางให้เหรียญแก่เขาเพื่อต้มยาเพื่อคลายความหนาวให้นางและขอให้เขาหาอะไรมาให้กิน ทุกอย่างเรียบร้อยดีและนางก็ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจากนั้นก็นอนพักผ่อน
บางทีมันอาจจะเป็นผลของยาที่ทำให้นางหลับไปอย่างรวดเร็ว
“ไฟมันลุกโหมแล้ว ช่วยด้วย ไฟไหม้โรงแรม!”
“วิ่ง วิ่ง ถ้าไฟรุนแรงขึ้น เราจะออกไปไม้ได้!”
ซูมู่เก๋อซึ่งอยู่ในความงุนงงถูกปลุกด้วยเสียงรบกวนจากภายนอก นางลูบคิ้วไปมา มันทำให้คนหนึ่งรู้สึกไม่รู้ตัวเมื่อเขาป่วย
นางเห็นผ่านหน้าต่างว่าในโรงแรมเต็มไปด้วยไผ
“ไฟมันลุกโชน!”
นางเปิดประตูและพร้อมที่จะวิ่งออกจากโรงแรม
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่นางเพิ่งวิ่งเข้าไปในสนาม ชายในชุดดำกระโดดออกมาจากห้องๆหนึ่ง
ซูมู่เก๋อถอนหายใจที่น่างช่างโชคร้ายมาก
ชายในชุดดำยกดาบขึ้นแทงนางทันทีที่เห็น
มู่เก๋อถอยหลังและล้มลง
ฉึก!
ชายคนนั้นจะแทงนางอีกครั้ง!
บทที่ 16 : มีเสน่ห์ดึงดูด
“มีมือสังหาร จับเขา!” ทหารรีบวิ่งไปหาชายชุดดำที่สนามหญ้า
ชายชุดดำเห็นทหารจำนวนมากกำลังกรูมาหาเขา และเขาคว้าเอาตัวซูมู่เก๋อ นางหลบเลี่ยงเขาแต่ก็สายเกินไปที่จะหลบหนีได้ ในที่สุด นางก็ถูกชายชุดดำจับตัวไว้ เขารัดตัวนางมาไว้ด้านหน้าเป็นโล่กำบัง และใช้ปลายดาบแหลมจ่อที่คอของนาง
“อย่าเข้ามา ไม่งั้นข้าจะฆ่านางซะ!”
ซูมู่เก๋อหลับตาและหายใจเข้าลึกๆ นางบอกตัวเองว่าใจเย็นๆ!
ทหารลังเลอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นซูมู่เก๋อถูกจับเป็นตัวประกัน แต่พวกเขาก็สบายๆลงในทันที
สำหรับพวกเขาการช่วยชีวิตคนทั่วไปนั้นสำคัญน้อยกว่าการจับมือสังหารที่เล็งไปที่เจ้าหญิง!
“จับเขา และต้องให้เขายังมีลมหายใจอยู่!”
ไอ้ระยำ!
ซูมู่เก๋อไม่ได้คาดหวังว่าพวกเขาจะช่วยนาง แต่นางก็ยังคงโกรธเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางกัดผู้ชายชุดดำที่มือเมื่อเขาไม่ได้สนใจนาง
“โอ้ย!” ชายชุดดำร้องด้วยความเจ็บ มู่เก๋อฟันศอกเข้าที่หน้าเขาและผลักเขาออกไปเพื่อหลบหนี
ชายชุดดำไม่ได้ไล่ล่านาง แต่กระโดดตัวลอยออกไปจากโรงแรมทันที
ซูมู่เก๋อเห็นภาพเงาสีแดงเข้มกระพริบต่อหน้านางทันทีที่นางยืนได้อย่างมั่นคง เร็วมากจนนางมองไม่ชัดว่าร่างนั้นเป็นหญิงหรือชาย!
ชายในชุดดำพุ่งตัวสลับไปมาหนีไปตามถนน เมื่อเขารู้สึกว่าได้อยู่ห่างไกลออกมาจากคนพวกนั้นแล้ว เขาถูกโจมตีด้วยพลังที่น่ากลัว
เขาเริ่มตึงเครียดและกำลังจะเร่งความเร็ว อย่างไรก็ตาม หลังจากเสียง “ปัง” เขาก็ถูกเหวี่ยวออกไปไม่กี่เมตร
“อัก อ๊วก!” ชายในชุดดำกระอักเลือดออกมา
เขาเบิกตากว้ามองคนที่มาใกล้เขาด้วยความตื่นตระหนก
“อึก!” เขาตั้งใจจะกัดพิษที่ซ่อนอยู่ระหว่างฟันของเขา แต่ทันใดนั้นขากรรไกรของเขาก็บิดเบี้ยว
เขาจ้องมองชายในความมืดด้วยความกลัว
“พาเขาไปและให้เขาสารภาพให้ได้” เซี่ยโฮวโม่ กล่าวอย่างสงบนิ่ง
“ขอรับ” จั้วฉือ ยกชายคนนั้นและหายไปในความมือของถนน
………………………….
ซูมู่เก๋อซ่อนตัวอยู่ในห้องครัวของโรงแรม เสียงในโรงแรมค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆและทหารก็พากันกำลังดับไฟ
เมื่อถึงรุ่งเช้า มู่เก๋อเดินออกมาจากครัวหลังจากมั่นใจว่าปลอดภัยดีแล้ว
นางสังเกตเห็นว่าไฟเริ่มจากห้องบนชั้นสอง โชคดีที่พวกเขาค้นพบไฟเร็ว จึงไม่ต้องเสียงค่าใช้จ่ายมากนัก
ซูมู่เก๋อไม่ได้วางแผนที่จะอยู่ต่อนานนักนางจึงเก็บกระเป๋าพร้อมออกเดินทาง
นางมาที่ส่วนต้อนรับของโรงแรม มีทหารคอยดูแลสถานที่อย่างแน่นหนา นางอยากรู้ว่าใครที่จองห้องพักทั้งโรงแรมเมื่อวานนี้
เมื่อนางเดินเข้ามา ทหารทุกนายจ้องมองมาที่นางอย่างตื่นตัว
“เจ้าเป็นใคร?”
“ลูกค้าของโรงแรม”
ผู้นำขมวดคิ้ว “ลูกค้าทั้งหมดออกไปเมื่อวานนี้หมดแล้ว จะมีคนอื่นอยู่ได้อย่างไร! นางต้องสงสัย จับนาง!”
ทหารหลายนายก้าวเข้ามาและล้อมรอบตัวนาง
“ช้าก่อนขอรับ นายท่าน นางอาศัยอยู่ที่นี่เมื่อวานนี้ ได้โปรดปล่อยนางด้วยขอรับ” เจ้าของโรงแรมเดินเข้ามาจากสวนด้านหลังและพูดด้วยรอยยิ้มประจบ
ทหารหยุดการกระทำของพวกเขา
“ขอบคุณขอรับ นายท่าน” จากนั้นซูมู่เก๋อกำลังเดินจากไป
นางเพียงแค่ก้าวเดินได้สองก้าว และเห็นว่ามีร่างสง่างามกำลังเดินลงบันไดมา โดยมีสาวใช้คอยช่วยให้นางจับแขนไว้
“ฝ่าบาท เรื่องเมื่อคืนนี้มันคงทำให้พระองค์กลัว”
“ไฟไหม้กะทันหันเป็นเรื่องที่น่ากลัวจริงๆ องค์หญิงทรงเป็นเช่นไรเพค่ะ?”
ซูมู่เก๋อชะงักไปเล็กน้อย แต่ไม่หันกลับไป เมื่อนางกำลังจะเดินต่อไปนางรู้สึกว่ามีบางอย่างบังแสงแดดอยู่ด้านข้างนาง มองขึ้นไปนางเห็นร่างสูงเพรียวกำลังเดินเข้ามา
เขายืนอยู่ตรงนั้นกับแสงราวกับว่าเขามาพร้อมกับแสงแดดยามเช้า
แสงแดดสีทองอ่อนๆ เปล่งประกายบนใบหน้าด้านข้างที่สลักเสลาของเขา ทำให้ผู้คนหลงระเริง
ซูมู่เก๋อเคยพบกับผู้ชายที่หล่อเหลามากมายในชีวิตก่อนหน้านี้ของนาง แต่ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์ดึงดูดมาก!
“เจ้าพูดอะไร?” ชายคนนั้นเหล่มองนางอย่างตกใจ
ซูมู่เก๋อถูนิ้วระหว่างคิ้วและสวมเสื้อชั้นนอกของนาง นางเป็นไข้และรู้สึกหนาว จึงทำให้ร้อนขึ้น
“ท่านได้รับบาดเจ็บที่เอว ถ้าท่านไม่ถอดเสื้อข้าก็จัดการมันไม่ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายคนนั้นก็จ้องมองมาที่นางและสังเกตนางอย่างระมัดระวัง
นางเอาผ้าเช็ดหน้าปิดตาข้างหนึ่ง นางดูเหมือนจะอายุเพีงสิบสี่หรือสิบห้าปี แต่นางกล้าหาญและสงบ เมื่อเผชิญหน้ากับเขา
เขาดึงเสื้อของเขาออก มู่เก๋อเห็นกล้ามเนื้อหน้าอกของเขา
นางเกลียดที่จะยอมรับมัน แต่เขามีรูปร่างที่ดีจริงๆ และร่างกายของเขาก็ไม่มีที่ติเลย
“หยุดจ้องฉันซะที” เสียงของเขายังคงเย็นชา
ซูมู่เก๋อเข้าใกล้เขามากขึ้น และจ้องมองร่างของเขาอย่างระมัดระวังมากขึ้น “ถ้าข้าไม่สังเกตอย่างละเอียด ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าบาดแผลของท่านอยู่ที่ใด?”
นางย่อตัวลงเพื่อตรวจสอบเองของชายคนนั้น บาดแผลที่เอวน่าจะมาจากของมีคมเพราะมันเรียบ แต่ลึกมากนางมีเพียงยาบางชนิดสำหรับห้ามเลือดและต้านการอักเสบ ซึ่งไม่เพียงพอที่จะจัดการกับบาดแผลดังกล่าว
“เจ้ากลัว?” ชายคนนั้นยิ้มเยาะเมื่อเห็นมู่เก๋อนิ่งก่อนที่จะทำแผล
นางไม่สนใจเขาและเอายามาราดที่แผลของเขา ซึ่งทำให้เขาปวด ตึงแผล
“มันเหมือนกับเนื้อวัวถูกเฉือนออกจากกัน”
ชายคนนี้เจ็บปวดมากจนยาโป๊ไม่ได้ผลในขณะนี้ เหงื่อเย็นปรากฏบนหน้าผากของเขา
ผู้หญิงคนนี้กล้ามากที่เปรียบเทียบเขากับวัวควาย!
เป็นไปตามที่ซูมู่เก๋อคาดไว้ยาเหล่านี้ไม่สามารถห้ามเลือดเขาได้ นางขมวดคิ้วและลังเลว่าควรจัดการกับบาดแผลของเขาด้วยมือวิเศษของนางหรือไม่ แต่มือของนางกดลงบนบาดแผลโดยสัญชาตญาณ
กระแสความร้อนไหลเวียนอยู่ในฝ่ามือของนางและร้อนขึ้นเรื่อย ๆ นางตกใจมากและตั้งใจจะชักมือกลับ แต่ก็สายเกินไป
หลังจากนั้นไม่นาน เลือดก็หยุดไหลออกมาจากบาดแผล เพื่อป้องกันไม่ให้เขาสังเกตเห็นความลับของนาง นางขยับมือออกทันที อย่างไรก็ตาม นางรู้สึกเหนื่อยล้ามาก
นางคิดว่าความสามารถในการรักษาอาการบาดเจ็บของนางไม่สม่ำเสมอ แต่ต่อมานางพบว่าสามารถใช้ได้วันละครั้งเท่านั้น ยิ่งบาดแผลใหญ่เท่าไหร่นางก็จะสูญเสียพลังงานมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อพันบาดแผลเสร็จ ซูมู่เก๋อเลือกสถานที่ที่อยู่ไกลที่สุดจากชายคนนั้น นางคิดว่าชายผู้นั้นค่อนข้างอันตราย ดังนั้นควรอยู่ห่างจากเขาดีกว่า
ชายคนนั้นรู้ดีว่าบาดแผลของเขาลึกแค่ไหน เขาปล่อยให้นางได้ลอง ไม่คาดคิดเลยว่าซูมู่เก๋อทำมันได้และบรรเทาความเจ็บปวดได้ แม้แต่ยาโป๊ในร่างกายของเขาก็ค่อยๆลดลง
แม้ว่าจะนั่งอยู่หน้ากองไฟ ในตอนนี้ซูมู่เก๋ออ่อนแอเพราะนางเป็นไข้และใช้พลังพิเศษของนาง จากนั้นดวงตาของนางก็หนักเกินกว่าจะเปิดไว้ได้
“หนาว ข้าหนาวมาก….” ซูมู่เก๋อขดตัว ตัวสั่นเนื่องจากความเย็นทั้งภายในภายนอก
ชายคนนั้นเหลือบมองนางและพบว่ามู่เก๋กำลังขดตัวสั่นอยุ่
ตอนนี้นางกล้าหาญมากเหมือนเสือชีต้า แต่ตอนนี้นางเงียบมาก
“ หนาว…” ซูมู่เก๋อตัวสั่นมากขึ้น
ชายคนนั้นสังเกตเห็นว่านางหน้าแดงผิดปกติ เขาขมวดคิ้วบนหน้าผากอันหล่อเหลาและพูดว่า “ผู้หญิงช่างลำบากนัก”
จากนั้นเขาก็ดึงเสื้อผ้าชั้นนอกของเขาที่แห้งแล้วโยนไปคลุมซูมู่เก๋อ
ซูมู่เก๋อต่อต้านกลิ่นแปลก ๆ โดยไม่รู้ตัว แต่นางหนาวมากจนรีบม้วนตัวในผ้าผืนใหญ่
ซูมู่เก๋อรู้สึกราวกับว่านางกำลังเดินอยู่บนถนนที่ร้อนถึง 40 ℃ ร้อนมากจนเหงื่อออกอย่างหนักและต้องการหาที่เย็นและร่มรื่น แต่นางตื่นขึ้นมาพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่
แสงแดดยามเข้าสาดส่งวัดโทรมผ่านผ้าต่าง ซูมู่เก๋อรู้สึกตัวและตระหนักว่านางฝัน ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้วและข้างนอกก็สว่างแล้ว
นางเหงื่อออกจนหมดไข้ หายเองแล้ว แต่นางก็ยังค่อนข้างอ่อนเพลีย
นางมองไปรอบๆ ไม่มีใครอื่นนอกจากตัวนางเอง แต่สำหรับยานั้นหายไป นางอาจจะคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นแค่ฝันร้าย
ผู้ชายคนนั้นไปแล้ว นางหวังว่าพวกเขาจะไม่ได้พบกันอีก!
“เปรี้ยง!”
สายฟ้าฟาดลงมาที่วัด และซูมู่เก๋อสามารถมองเห็นรูปปั้นที่ทรุดโทรมและน่ากลัว ซึ่งทำให้นางหวาดกลัว
วัดที่โทรมแต่มันเป็นที่หลบลมและฝนได้ ซูมู่เก๋อจุดไม้และฟางด้วยHuozhezi ม้วนกระดาษที่ลุกเป็นไฟได้ เสื้อผ้าของนางเปียกฝนและควรทำให้แห้งจะดีกว่า มิฉะนั้น นางจะเป็นไข้จากการสวมเสื้อผ้าเปียกฝน
ซูมู่เก๋อหยิบอาหารจากรถม้าและขัดไม้ไว้ด้านหลังประตูวัดเพื่อความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม วัดไม่รู้อยู่ท่ามกลางที่ไหนและไม่มีใครมาที่นี่ได้
นางถอดเสื้อผ้าชั้นนอกและทำให้แห้งด้วยไฟ
“ฮัดชิ้ว” มู่เก๋อจามออกมา
ข้างนอกมืดมาก ฝนก็ยังตกอย่างต่อเนื่อง
“มันหนาวมาก”
หลังจากการเดินทางอันยาวนาน และความตรึงเครียดตลอดเวลา นางเหนื่อยมากจนพิงเสาเพื่อพักสายตาหลับตาลง อย่างไรก็ตามนายค่อยๆหลับไป
ขณะที่นอนหลับ ซูมู่เก๋อรู้สึกว่ามีเตาอยู่ใกล้นางมากขึ้นเรื่อยๆ มันร้อนมากจนนางอึดอัด ไม่นานนางก็หายใจลำบาก ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่ามีบางสิ่งบางอย่างเปียกและอ่อนนุ่มคลานอยู่บนใบหน้าของนาง ทำให้รู้สึกจั๊กจี้และอบอุ่น
นางรู้สึกไม่สบายตัวและผลักมันออกไป แต่มันก็เหมือนกลับมาอีกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า
นางส่งเสียงครวญครางอย่างอึดอัดและตื่นขึ้นมา เพียงเพื่อที่จะเห็นดวงตาสีเข้มสองดวงที่ส่องแสดงราวกับดวงดาว
มู่เก๋อตกใจมาก นางสะอึกเมื่อเห็นชายคนหนึ่งอยู่ข้างกาย นางผลักเขาออกไป
ชายคนนั้นไม่ทันระวังตัวและล้มลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด
“นี่เจ้ากล้าปลุกปล้ำข้า ข้าจะทำให้เจ้าไม่มีลูกหลานตลอดไปเลย!” นางโกรธมากและกำหมัดแน่น เตะไปที่ความเป็นชายของเขา
ชายที่นอนบนพื้นพลักตัวหลบการเตะและลุกขึ้นยืน
ซูมู่เก๋อมองขึ้นไปและเห็นว่าชายคนนั้นมองกดเธอลงมาราวกับภูเขา เขาสวมหน้ากากเผยให้เห็นแค่เพียงดวงตาสีเข้มคู่หนึ่ง ริมฝีปากตึงและคางที่เต่งตึง นัยน์ตาสีดำเต็มไปด้วยความเยือกเย็นดังเปลวเพลิง
“ท่านเป็นใคร? ท่านต้องการอะไร?”
เขาจับมือนางแน่นด้วยมือที่เหมือนคีมจนกระดูกของนางกำลังจะหัก เขาโอบกอดนางทั้งตัวและมู่เก๋อไม่สามารถขยับได้เลย เพราะเขาสูงและแข็งแรงมาก
“อย่าขยับ!” เสียงของชายคนนั้นแหบแห้งและเย็นชา
“ไอ้เลว!” ซูมู่เก๋อรู้สึกวิงเวียนและร้อน อ่อนแอเกินกว่าจะขยับได้ นางเป็นไข้จากความหนาวเย็น
แม้ว่านางจะแข็งแรง แต่นางก็ไม่สามารถหนีจากเขาได้ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่นางทั้งป่วยและอ่อนแอ
ชายผู้นี้มีพลังที่แข็งแกร่งมาก อย่างที่นางไม่เคยพบมาก่อน!
นางเป็นเหมือนมดต่อหน้าผู้ชายคนนั้นและมันเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้กับเขา!
เสื้อผ้าชั้นนอกของนางแห้งด้วยไฟแล้ว และนางสวมเพียงผ้าสีขาวท่ามกลางพระจันทร์ ชุดชั้นในสีชมพูของนางมองเห็นได้บางส่วน
ชายคนนั้นกอดนางแน่นและหายใจหนักขึ้นและหนักขึ้น ซูมู่เกอรู้สึกว่าร่างกายของเขาร้อนขึ้นและร้อนขึ้น ดูเหมือนมีบางอย่างกระแทกเข้าที่เอวของนางจนเกือบทะลุเอว!
ชายที่มีความต้องการทางเพศไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาคงไม้ได้กินยาโด้ป?
ซูมู่เก๋อสงบลงและสังเกตพฤติกรรมของเขาอย่างระมัดระวัง นางรู้ว่านางเดาถูก
เมื่อนางดิ้นรน นางได้กลิ่นคาวและหวาน นางสัมผัสร่างกายของเขาและมีเลือด เขาได้รับบาดเจ็บและมีเลือดออก ตอนนี้ควรแต่งแผลให้ดีกว่านี้ มิฉะนั้นเขาคงยากที่จะอยู่รอด
พระเจ้าทรงไม่ทอดทิ้งนาง!
“ท่าน ท่านได้รับบาดเจ็บ ท่านจะตายถ้าไม่ได้ทำแผลทันเวลา ถ้าท่านปล่อยข้า ข้าจะช่วยท่านได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายคนนั้นลังเล มู่เก๋อคิดว่าเขากำลังคิดถึงคำแนะนำของนา’
นางพูดต่อว่า “ยาโป๊…ข้าจัดการกับมันได้ด้วยนะ”
ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมองนางด้วยดวงตาสีเข้ม
ในวัดมืดสลัว แต่ใบหน้าของมู่เก๋อสว่างมาก นางบังคับตัวเองให้ระงับความกลัวในดวงตา
ชายคนนั้นดึงมุมริมฝีปากเล็กน้อยไม่ปล่อยนาง แต่จับนางแน่นกว่าเดิม
“อ๊ะ!”
ซูมู่เก๋อคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด “ถ้าท่านไม่เชื่อใจข้า ท่านจะเสียเลือดมากเกินไปเพราะบาดแผลของท่านแม้ว่าท่านจะล้างพิษยาโป๊ด้วยการนอนกับข้า ท่านจะไม่ตายในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ท่านจะไม่สามารถป้องกันตัวเองจากศัตรูได้”
เขามองนางด้วยสายตาที่แหลมคมราวกับดาบทำให้นางประหม่าและต้องกำหมัดแน่น
“แม้ว่าข้าจะบาดเจ็บ แต่มันก็ง่ายสำหรับข้าที่จะฆ่าเจ้า”
เสียงของชายคนนั้นเหมือนผีที่สิงสู่อยู่ในวิหารว่างเปล่า จากนั้นเขาก็ปล่อยมือนาง
นางรู้แน่นอนว่าเขาสามารถฆ่านางได้อย่างง่ายดาย!
ดังนั้แม้ว่านางอยากจะฆ่าเขา นางไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้ นางกลัวว่าก่อนที่นางจะฆ่าเขา นางถูกเขาฆ่าตายก่อน
มู่เก๋อพยายามอย่างหนักที่จะลุกขึ้นนั่งจ้องเขาและพูดว่า “ถอดเสื้อผ้าของท่าน!”
“ทำไม?”
“ท่านแม่ ไม่ต้องกังวล เมืองหนานเจิงอยู่ใกล้กับเมืองชุนหยาง ข้าจะกลับมาในอีกสิบวัน”
“แต่ข้าเป็นห่วงท่าน”
“ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าจะเดินทางตามถนนสายหลักและข้ามีคนคุ้มกัน ข้าจะปลอดภัย”
นางจ้าวกังวลเกี่ยวกับมู่เก๋อ แต่นางเห็นว่ามู่เก๋อมีความมุ่งมั่นและนางกังวลเกี่ยวกับนางจาง ดังนั้น ในที่สุดนางก็ต้องตอบตกลง
“เจ้าจะไปไกลบ้าน สัญญากับแม่ว่าเจ้าจะระวังตัวให้มาก”
“ท่านแม่ มันง่ายมาก ข้าจะไม่เป็นอันใด”
ก่อนที่นางจะจากไป มู่เก๋อกำชับเยวร์รู่ในหลายๆเรื่อง
“คุณหนูใหญ่ ข้าจะจำไว้เจ้าค่ะ”
ซูหลุนได้รับแจ้งว่ามู่เก๋อจะไปเมืองหนานเจิง เป็นเรื่องยากที่เขาจะจัดรถม้าผู้คุ้กันสามคนและคนขับหนึ่งคนให้กับมู่เก๋อ
“เจ้าเป็นหญิงสาว ทำไมไม่พาสาวใช้ออกไปกับเจ้าด้วย?” ซูหลุนสังเกตว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ ซูมู่เก๋อและขมวดคิ้ว
นางเป็นลูกสาวของเขาที่เกิดมาเป็นคนโตในครอบครัวอย่างเป็นทางการ เขาคิดว่าการไม่โอ้อวดจะทำให้เขาอับอาย
“มันเป็นความผิดของข้าเอง เมื่อวานข้าได้เลือกสาวใช้ที่มีความสามารถสองนางเพื่อติดตามมู่เก๋อไปยังเมืองหนานเจิงแล้ว” นางอันกล่าว
สาวใช้ร่างสูงสองนางที่อยู่ข้างหลังนางอันก้าวออกมาด้านหน้าแล้วพูดว่า “ยินดีรับใช้เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่”
ซูมู่เก๋อเหลือบมองสาวใช้ทั้งสองคน ดึงหมวกลงและเข้าไปในรถม้า
รถม้าแล่นอย่างเร็วและมาถึงถนนสายหลักหลังจากนั้นไม่นาน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกไปข้างนอกหลังจากที่เธอเดินทางมายังโลกนี้
ซูมู่เก๋อเปิดม่านเล็กน้อยและมองไปที่ทิวทัศน์บนถนน ถนนในเมืองชุนหยางนั้นกว้างขวางมาก จนสามารถรองรับรถม้าขนาดใหญ่อย่างน้อยสองคันที่แล่นสวนกันได้ มันสว่างมากแล้ว มีพ่อค้าเร่และผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อของตลอดสองข้างทาง ช่างเป็นภาพที่ดูคึกคัก
ซูมู่เก๋อไม่ได้ปิดม่านจนกว่าพวกเขาจะถึงประตูเมือง ดูเหมือนเธอจะมีความสุขกับทิวทัศน์บนถนน ในความเป็นจริงเธอยังจำเส้นทางระหว่างทางได้ด้วยในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น
สาวใช้ทั้งสองดูไม่เป็นอันตราย นั่งเงียบๆ
มันน่าจะใช้เวลาเกือบสามวันในการเดินทางจากเมืองชุนหยางไปหนานเจิงตามถนนสายหลัก
ซูมู่เก๋อหลับตาพิงรถม้า แต่เธอไม่ได้หลับจริง ตื่นตัวอยู่
การเดินทางหนึ่งวันเป็นไปอย่างราบรื่นและพวกเขาพักผ่านในเมืองเล็กๆ ในตอนกลางคืน
“ข้าไม่มีอันใดต้องการอีกแล้ว พวกเจ้าไปได้”
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
ในโรงแรม หลังจากสาวใช้ออกไปแล้ว ซูมู่เก๋ออาบน้ำอย่างสบายตัว ก่อนนอนนำเก้าอี้และโต๊ะมาวางในตำแหน่งที่แน่ใจ ดังนั้นถ้ามีคนเข้ามามันจะเสียงดังทันที
เธอนอนหลับสนิท
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาทานอาหารเช้าในโรงแรมและออกเดินทางต่อ
ออกจากเมืองมาพวกเขาไปทางทิศใต้และสามารถไปถึงเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้กับเมืองหนานเจิงก่อนค่ำได้
“ปอบ..แปบ…”
น่าเสียดายที่ในช่วงครึ่งทางของพวกเขาจู่ๆก็มีลมพัดแรง ฝนเริ่มลงเม็ด
ซู่มู่เก๋อเปิดม่านและเห็นว่าท้องฟ้ามือสนิท หลังจากเที่ยงมาเพียงครู่เดียว
“มันจะมีพายุกฝน ไปหาที่พักดันเถอะ”
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
รถม้าเร่งความเร็วขึ้นและในรถม้าก็เข้มขึ้นเรื่อย ๆ ซูมู่เก๋อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เธอเปิดม่านและเห็นว่ารถม้ากำลังเข้าไปในป่า นี่ไม่ใช่ถนนที่เป็นสายหลักนิ แต่อย่างใดและเป็นไปไม่ได้ที่จะหาที่พักพิงที่นี่!
“หยุด! เปลี่ยนทิศทางและออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”
เสียงร้องของเธอปลิวหายไปกับสายลม เธอต้องการจับคนขับ แต่ทันใดนั้น เธอก็ถูกสาวใช้ทั้งสองจับได้ พวกเขาลากร่างทั้งหมดของมู่เก๋อกลับไปที่รถม้า
มีแสงมืดเข้ามาในดวงตาของเธอ
ไอ้เหี้ย!
“เจ้ากำลังทำอะไร!”
“คุณหนูใหญ่ ทำตัวให้สนุก!” สาวใช้ทั้งสองกดเธอแน่นและรถม้าก็หยุดลง
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีรึไม่?” คนขับถาม
“เข้ามา เร็วเข้า”
“ฮ่าฮ่า ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว” คนขับหัวเราะอย่างหลาบโลน เขาเปิดม่านและกระโดดขึ้นรถม้าโดยมีคนคุ้มกันสามคนยืนอยู่ข้างหลัง
“เร็วเข้า ฝนกำลังจะตก เหมาะดีสำหรับอีลูกไม่มีพ่อนี่” สาวใช้กล่าว
ในความมืดซูมู่เก๋อมองเห็นรอยยิ้มที่หยาบโลนของคนขับรถม้าที่กำลังจะเข้ามาหานาง
เมื่อเขามาใกล้เธอ ซูมู่เก๋อก็ยกขาขึ้นและเตะเขาไปที่เป้ากลางตัวมันอย่างแรง
“อ๊ะ!”
คนขับส่งเสียงดังด้วยความเจ็บปวดและตกลงไปจากรถม้า
ซูมู่เก๋อยกสองขาของนางขึ้นอีกครั้งและถีบไปที่หัวของสาวใช้ทั้งสองอย่างแรง
“โอ้ย!”
สาวใช้ทั้งสองเพรี่ยงพร้ำ ซูมู่เก๋อคว้าโอกาสที่จะเตะพวกเขาออกจากรถ แล้วนางก็นั่งตำแหน่งคนขับ เตะหลังม้า ม้าเริ่มวิ่งเร็วอย่างเจ็บปวด
“จับนางไว้ จับนาง!”
หลังจากนั้นไม่นานคนคุ้มกันก็ตามนาง กำลังไล่ล่าซูมู่เก๋อ แต่นางอยู่ห่างจากพวกเขาแล้ว
สายฝนโปรยปรายลงบนใบหน้าและดวงตาของนาง ในขณะเดียวกันลมก็พัดแรงจนนางแทบจะลืมตาไม่ขึ้น ซึ่งทำให้ซูมู่เก๋อมองไม่เห็นอะไรชัดเจน
“เปรี้ยง! ปัง!”
ฟ้าร้องสว่างวาบและนางสังเกตเห็นวัดเก่าซอมซ่อ นางจึงขี่ม้อเข้าไปในวัด
วัดโทรมทั้งมืดและน่าขนลุก ซูมู่เก๋อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวิ่งเข้าไปในวิหารเพื่อหลีกเลี่ยงสภาพอากาศเลวร้าย
ทันทีที่นางเข้าไปในวัด ลมหนาวที่มืดมน หนาวเหน็บก็เข้ามาปะทะร่างนาง…..
“นายหญิง ชอนจูคุกเข่าอยู่ที่สนาม นางบอกว่าคุณหนูใหญ่จะขับไล่นางออกจากคฤหาสน์ นางขอร้องให้ท่านช่วยนาง” หลีหม่าเปิดม่านและเดินเข้าไปในห้อง กระซิบบอกนางอัน
นางอันอารมณ์เสียกับการร้องไห้ไม่หยุดของซูเหวินม่อซึ่งเป็นชื่อของลูกชายนางจ้าวและซูหลุนให้ชื่อนี้กับเขา
ทารกร้องไห้มาตลอดตั้งแต่ถูกส่งมาที่นี่ นางอันโกรธมากจนอยากโยนเขาลงบ่อน้ำไปเลย
ชอนจูเป็นสายให้นางอันวางตัวนางไว้รอบๆนางจ้าว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่แปลกที่นางมาที่นี่ตอนนี้
“นางทำผิดอะไร? เพียงเพราะนางเรียกหาหมอไม่ได้ ซูมู่เก๋อจึงขับไล่นางออกจากคฤหาสน์งั้นรึ?”
“ข้าน้อยได้ยินมาว่าเป็นเพราะ….” หลีหม่าเล่าลำดับเหตุการณ์เกี่ยวกับยายของมู่เก๋อ – แม่ของนางเจ้า
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางอันสงบลง
“ตอนนี้นางทำพลาดครั้งใหญ่แล้ว ไม่ใช่ทำให้นางออกไปง่ายเกินหรือ? เจ้ารู้ว่าข้าหมายถึงอะไร หลีหม่า”
…………………..
นางจ้าวเกือบเสียชีวิตจาการคลอดครั้งนี้ นางอ่อนแอมากจนมู่เก๋อต้องดูแลนางอย่างเป็นห่วงมาก
“มู่มู่ เจ้าขอให้คนอื่นไปสอบถามเกี่ยวกับท่านยายของเจ้าหรือไม่?”
มู่เก๋อรู้ว่านางจ้าเป็นห่วงท่านยายของนางเสมอ
“คุณหนูมู่เก๋อ นายหญิงอันกำลังมาเจ้าค่ะ”
มู่เก๋อยังพูดไม่จบ และมีเสียงของเยว์รู่
นางอันกำลังมา เดายาก
“พี่สาว เจ้าสบายดีหรือ?” มู่เก๋อไม่ได้พูดอะไร แต่นางอันคุยก่อนแล้วเดินไปหานางเจ้าอย่างนุ่มนวล นางอันสวมชุดสีแดงอ่อนสวยงามและสง่างาม
นางเจ้ายังคงไม่กล้ามองนางอัน เนื่องจากความกลัวและความด้อยกว่าหลายปี แม้ว่านางจะไม่พอใจกับนางอันที่เลี้ยงดูลูกชายของนางก็ตาม
นางจ้าวก้มหน้าและพึมพำ “ขอบใจ นายหญิงอัน ข้ารู้สึกดีขึ้นมาก ข้าอยากรู้เกี่ยวกับลูกชายของข้าที่….”
นางเจ้ายังพูดไม่ทันจบประโยค นางอันก็พูดอย่างมีชัยว่า “เจ้ารู้ไหมเหวินม่อค่อนข้างน่ารักและสนิทสนมกับข้า เขาหวังว่าจะได้นอนด้วยกันกับข้าในตอนกลางคืน” ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้และหยุดลง
“บางทีเจ้าอาจไม่รู้ว่านายท่านให้ชื่อกับนายน้อยว่า ซูเหวินม่อ”
นางอันกำลังโกรธนางจ้าวโดยเจตนา แม้แต่ชื่อของลูกชายของนางต้องให้ผู้อื่นเป็นคนบอก ดังนั้นนางจ้าวจึงปวดใจ
นางจ้าวตาแดงก่ำ
“น้องชายของข้าอายุเพียงไม่กี่วันและเขาไม่รู้อะไรเลยนอกจากกินและนอน แต่ข้าก็รู้สึกขอบคุณที่ท่านกรุณาดูแลเขาอย่างตั้งใจ”
นางอันสะอึกและมองไปที่ซูมู่เก๋อ นางรู้สึกว่าซูมู่เก๋อเปลี่ยนไปมาก ในอดีตซูมู่เก๋อไม่มีความกล้าหาญและไม่มีปัญญาจะพูดประโยคดังกล่าวแน่
แต่มันไม่สำคัญ……
นางอันหยุดยิ้มและขมวดคิ้ว “ข้ามีอะไรจะบอกเจ้า พี่สาว ในวันที่เจ้าต่อสู้กับความลำบาก ชาวบ้านจากหมู่บ้านจ้าว เมืองหนานเจิงชื่อจวนซีส่งข่าวว่ามารดาของเจ้าป่วยหนักและจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้น นางจึงกระตือรือร้นที่จะได้พบกับเจ้าและมู่เก๋อ บังเอิญว่าเจ้าเพิ่งให้กำเนิดเหวินม่อและไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ ยิ่งไปกว่านั้น นายท่านมีงานราชการที่ต้องจัดการและเขาไม่มีเวลาที่จะไปไหนได้”
นางจ้าวรู้จักจวนซีและนางมักจะขอให้สามีของจวนซีนำสิ่งของไปให้มารดาของนาง
เมื่อนางจ้าวได้ยินเช่นนั้น นางก็กังวล นางจึงเปิดผ้าห่มขึ้นและตั้งใจจะลูกขึ้น
ซูมู่เก๋อหยุดนางอย่างรวดเร็ว
“ท่านแม่ ท่านอยู่ในช่วงของการกักตัวหลังคลอด ท่านจึงไปไหนไม่ได้”
“แต่ มู่มู่ ท่านยายของเจ้าอยากที่จะเจอแม่มาก แม่ต้องกลับไป”
ในขณะนั้น นางอันเสริมอย่างไม่แยแสว่า “ข้าได้ยินจากนายท่านว่ามารดาของเจ้ารักเจ้ามากที่สุดตั้งแต่วันแรกที่เจ้าเกิด….”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น นางจ้าวยิ่งเศร้ามากขึ้นและตาแดงก่ำ
“มู่มู่ อย่าหยุดแม่ แม่ต้องกลับไป”
นางจ้าวโง่มาก มู่เก๋อต้องการทำให้นางมีสติ เพราะรู้ว่านางอันมีเจตนาไม่ดี
ถ้านางจ้าวกลับไปที่หมู่บ้านนั้น นางจะกลับมาได้อย่างปลอดภัยได้ไหม?
“ตอนนี้ ท่านไม่ได้อยู่ในสภาพดี ท่านจึงไม่สามารถเดินทางไกลได้ ถ้ามู่เก๋อกลับไปพบมาดาของเจ้า มันจะแสดงถึงความกตัญญูของเจ้าด้วย” นางอันกล่าว
นางจ้าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและส่ายหน้า
ซูมู่เก๋อเป็นผู้หญิงที่จะแต่งงาน มันสมควรหรือไม่ที่จะปล่อยให้นางไปไกลๆคนเดียว? นางจ้าวสับสน แต่นางยังคงมีสติเมื่อมีบางอย่างเกี่ยวกับลูกสาวของนาง
“เจ้ากังวลเรื่องความปลอดภัยของมู่เก๋อใช่หรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าจะขอให้นายท่านจัดให้มีคนคุ้มกันเพิ่มขึ้นเพื่อติดตามนาง ข้าคิดว่าป้าจางจะมีความสุขมากที่ได้เห็นมู่เก๋อ บางทีนางอาจจะฟื้นฟูสุขภาพของนางได้” นางอันกล่าว
“แต่มู่เก๋อ….” นางจ้าวพูดขัด
“ตอนนี้เจ้าได้เห็นด้วยกับข้อตกลงนี้แล้วนะ ข้าจะเตรียมทุกสิ่งให้” นางอันไม่ไห้เวลานางจ้าวในการโต้กลับ ที่จริงนางแค่มาแจ้งการตัดสินใจ แต่ไม่ปรึกษากับพวกเขา
“มู่มู่ ท่านยายของเจ้า…” นางเจ้ากังวลเกี่ยวกับมู่เก๋อ แต่นางจางก็เป็นมารดาของนาง
ซูมู่เก๋อรู้ดีว่าถ้านางไม่ไป นางอันจะทำทุกวิถีทางเพื่อทรมานนางจ้าว นอกจากนี้ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งเยวร์รู่และเหมยฮัวไป
“ท่านแม่ ข้าจะไปเอง”
“ข้าอยากบีบคอมันให้ตายนักไอ้ลูกไม่มีพ่อ!”
“ปัง!” นางอันทุบโต๊ะลูกแพร์อย่างแรง
“โอ้ นายหญิงของข้า ท่านกำลังทำอันใด? มันจะทำร้ายตัวท่านเอง”
“ทำไมนางไม่ตายๆไปซะ!” นางอันโกรธแทบคลั่ง อกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนัก หลายปีที่ผ่านมา นางได้สรรหาวิธีการต่างๆในการฆ่านางเจ้าและมู่เก๋อ แต่นางไม่ได้ลงมือทำ เหตุผลที่นางยังให้นางเจ้าท้องหลายเดือนเป็นเพราะนางตั้งใจจะทำให้นางเจ้าและลูกในท้องของนางตายทั้งคู่ จะได้ไม่ใครสงสัยนางได้
“ผ่านคลายเจ้าค่ะ นายหญิง ตอนนี้เด็กอยู่ที่นี่ ท่านกังวลอันใด?”
“ไอ้เด็กไม่พ่อนั่น? เจ้าคิดว่าข้าควรจะเลี้ยงมันไว้เหรอ? อย่าลืมว่ามันเป็นลูกของนางเจ้า และเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนังสารเลวนั่น!”
หลี่หม่าเข้าใจว่านางอันมีชาติกำเนิดที่สูงกว่านางเจ้าที่ต่ำต้อย นางอันดูถูกนางเจ้ามาตลอด อย่างไรก็ตามนางอันไม่สามารถให้กำเนิดลูกชายได้
แต่นางหลี่พูดออกมาไม่ได้
“นายหญิง นายน้อยเป็นสมบัติของนายท่านและไม่สามารถมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาได้ เขายังเล็กเกินไปที่จะรู้ว่าแม่ตัวเองคือใคร ท่านสามารถเอาเขามาเป็นลูกชายของท่านได้ เพื่อให้เขาดูแลท่านภายหลังเมื่อคุณหนูสองแต่งงานแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางอันก็ไม่พอใจมากยิ่งขึ้น
นางไม่สามารถมีลูกได้อีก เพราะตอนที่นางเจ้ามาที่คฤหาสน์ซูและทำให้นางโกรธมากจนต้องเจ็บท้องคลอด นั่นทำให้นางมีปัญหาในการตั้งครรภ์
“ข้าคิดดูก่อน”
นางหลี่หยุดพูด นางรู้ว่าไม่ใช่เรื่องงายเลยที่นางอันจะระงับความแค้นได้
…………………………
“มู่มู่….” นางเจ้าเปิดริมฝีปากที่แห้งผากของนางขึ้นเล็กน้อย มองไปที่มู่เก๋อนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงและดวงตาของนางเปียก
“ท่านแม่ ในที่สุดท่านก็ตื่น” เมื่อได้ยินเสียงมู่เก๋อก็ลืมตาขึ้น
“ข้าเป็นตัวไร้ประโยชน์…..”
นางเจ้าเกือบจะร้องไห้ มู่เก๋อให้น้ำอุ่นกับนางดื่มหนึ่งถ้วย
“ท่านแม่ อย่าร้องไห้ ท่านอยู่ในช่วงพักรักษาตัว การร้องไห้ไม่ดีต่อสุขภาพของท่าน น้องชายของข้ายังเด็กเกินไปและเขาต้องการท่าน ดังนั้นท่านต้องมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรง”
นางเจ้าดูอ่อนแอ แต่ภายในนางแข็งแกร่ง ลูกชายของนางยังเด็กมากจนไม่สามารถปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวได้
“ได้ แล้วน้องของเจ้าอยู่ที่ใด? อุ้มเขามาให้ข้าดูเขาหน่อย”
“ท่านแม่ ไม่ต้องรีบ ท่านมีอาการย่ำแย่ทั้งวันทั้งคืน กินอะไรก่อนดีกว่า”
“ได้จ๊ะ”
หลังจากที่นางเจ้ากินข้าวเสร็จ มู่เก๋อพูด “พ่อของข้าจ้างพี่เลี้ยงให้น้องชายของข้า ท่านไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดี ท่านฟื้นตัวดีแล้ว น้องชายของข้าจะกลับมา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางเจ้าก็ค่อนข้างกังวล
“มันคือนางอัน นางพาน้องชายของเจ้าไปใช่หรือไม่?”
มู่เก๋อปลอบโยนนางและพูดว่า “ท่านแม่ ไม่ต้องกังวล ท่านเชื่อข้าไหม?”
นางเจ้าตกใจกลัวและเงยหน้าขึ้นมองมู่เก๋อ หลังจากเห็นดวงตาที่สดใจและใสสะอาดของนาง นางเจ้าพูดว่า “แน่นอน แม่เชื่อเจ้า”
“มันง่ายมาก ข้ารับประกันว่าเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย”
“แต่…..”
“ไม่มีแต่”
มองไปที่ดวงตาแน่วแน่ของนาง นางเจ้าขยับริมฝีปากเล็กน้อย แต่หยุดพูด
มู่มู่ของนางแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก
มู่เก๋อมาที่ห้องนั่งเล่น นางมองชอนจูที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างไม่แยแส
นางเจ้าอยู่ในห้องคลอดและเป็นช่วงเวลาสำคัญ แต่ชอนจูวิ่งเข้าไปในห้องและพูดเสียงดังว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับแม่ของนางเจ้า นางต้องไม่มีเจตนาดี!
“ใครบอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องยายของข้า?”
ชอนจูไม่กลัวซูมู่เก๋อเลย แต่ตั้งแต่มู่เก๋อตื่นขึ้นมาจากโลงศพ นางรู้สึกว่ามู่เก๋อดูคุกคามเล็กน้อยและน่ากลัว
“ข้า….ข้าอยากไปเชิญหมอ และพบกับเพื่อนชาวบ้านของนายหญิงที่ประตูทางเข้าหมู่บ้าน ที่เคยมาส่งของให้นายหญิงมาก่อน นางบอกว่ายายของท่านประสบอุบัติเหตุล้มและกำลังจะสิ้นลมหายใจ”
มูเก๋อยังคงสีหน้าเดิมและวางถ้วยกระเบื้องลง “นางอยู่ที่ไหน?”
“นางมาส่งข่าวและกลับไปแล้ว ข้าไม่รู้ว่านางอยู่ที่ไหน”
มู่เก๋อมองต่ำลงและชายตามองนาง “แม่ของข้าล้มลงได้อย่างไร?”
ดวงตาของชอนจูเป็นประกายและหมอบลงแทบพื้นเพื่อขอความเมตตา “อภัยให้ข้าด้วย คุณหนู นายหญิงเจ้าเหนื่อยขณะเดินและบอกว่าอยากดื่มน้ำ ข้าจึงไปเอาน้ำมาให้นายหญิง แต่นางล้มลงกับพื้นแล้วเมื่อข้ากลับไปถึง ข้าไม่รู้จริงๆ”
ซูมู่เก๋อเหล่มองและตะคอก “เจ้าไม่รู้งั้นรึ? อะไรกันแน่ที่นายหญิงเจ้าต้องการจากเจ้า!”
“คุณหนูมู่เก๋อ อภัยข้าด้วย อภัยข้าด้วย” ชอนจูตกใจเมื่อนึกถึงคุณหนูสองถูกคุณหนูใหญ่กดลงไปในอ่างและเกือบหมดสติไป
“ให้อภัยเจ้างั้นรึ? ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับแม่ของข้า เจ้าสามารถชดใช้ได้หรือไม่? ลากนางออกไป! และโบยนางสี่สิบครั้ง! แล้วโยนนางออกจากคฤหาสน์!”
มู่เก๋อไม่เปิดโอกาสให้ชอนจูร้องขอความเมตตา นางเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นทันที
ชอนจูตกใจมาก “คุณหนูมู่เก๋อ ข้ารับใช้นายหญิง ท่านไม่สามารถขับไล่ข้าออกไปได้!”
มู่เก๋อหยุดการก้าวเดินของนางและมองไปที่ชอนจู “รับใช้ให้นายหญิงรึ นายหญิงคนไหน?”
“ขอแสดงความยินดีด้วยเจ้าค่ะ นายท่าน นายหญิงเจ้าได้ให้กำเนิดบุตรชายเจ้าค่ะ”
ซูหลุนกลับมาจากร่ำสุรา และทุกคนก็แสดงความยินดีที่เขาได้บุตรชาย เขาตื่นเต้นมาก เขาสั่งสาวใช้ให้ดูแลลานดอกท้อให้ดีขึ้น
เขาอายุสามสิบปีและคาดหวังว่าจะมีลูกชายมานาน เขาจึงตื่นเต้นมากที่ได้เห็นลูก
นางอันติดตามซูหลุน และนางต้องบังคับตัวเองให้ฝืนยิ้มออกมา ใช้เล็บจิกนางหลี่หม่าอย่างแรงจนนางหลี่คิ้วขดด้วยความเจ็บปวด
นางให้กำเนิดลูกแล้วจริงๆ และเป็นลูกชาย!
“ยินดีด้วย นายท่าน สวรรค์ประทานพรกับท่านแล้ว”
“มันจริง นายท่าน นายหญิงอันสวดอ้อนวอนให้นายหญิงเจ้าในพระวิหารตอนกลางวันและนายหญิงเจ้าให้กำเนิดบุตรชายของนางในตอนเย็น”
ซูหลุนมองไปที่นางอันอย่างนุ่มนวล “เจ้าช่างใจดีเหลือเกิน”
เหลือบมองไปที่ลานและพูดว่า “นายท่าน นายน้อยมีค่าและเขาควรได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แต่นางเจ้ายังอ่อนแอจากการคลอดจนนางไม่มีความพยายามที่จะเลี้ยงลูก ข้ายินดีที่จะดูแลนายน้อยจนกว่านางเจ้าจะฟื้น ท่านว่าเช่นไร?”
“ความคิดที่ดี” ซูหลุนไม่ต้องการให้ลูกชายที่มีค่าของเขาได้รับการเลี้ยงดูจากนางเจ้าที่ต่ำต้อย
พวกเขามัวอยู่แต่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง ไม่สนใจอาการเกือบตายระหว่างคลอดของนางเจ้าเลย
มู่เก๋อบอกเยว์รู่และเหมยฮัวให้นวดจุดฝังเข็มบางจุดให้นางเจ้าเพื่อช่วยให้นางสบาย
มู่เก๋อต้องหยุดเลือดด้วยมือของนาง ทันใดนั้นความร้อนในมือของนางและร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนมารวมกันที่กลางฝ่ามือ ดูเหมือนมีพลังแปลกๆที่ทำให้มือของนางเคลื่อนไปที่นางเจ้า
“คุณหนู เลือดหยุดแล้ว มันหยุดแล้ว!” เหมยฮัวร้องไห้ด้วยความประหลาดใจ
มู่เก๋อมองลงไปและเห็นว่าไม่มีเลือดไหลอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม….แขนและขาของนางยังอ่อนแรงเกินกว่าจะขยับได้
“คุณหนูมู่เก๋อ ท่านสบายดีหรือไม่?”
เยว์รู่ก้าวไปหานางและพยุงนางลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
มู่เก๋อนักพักผ่อนบนเก้าอี้และรู้สึกดีขึ้น
“ดูแลนายหญิงให้ดีด้วย”
นางคุยกับเยว์รู่ จากนั้นก็เดินออกจากห้องด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่าและร่างกายอ่อนล้า นางสังเกตเห็นซูหลุนที่ไม่ตั้งใจจะเข้าไปในห้องเพื่อดูนางเจ้าเลย
นางได้ยินบทสนาของพวกเขาชัดเจน!
“ท่านพ่อ ท่านไม่ได้แค่ห่วงบุตรชายแต่ไม่สนใจท่านแม่ของข้าเลย”
ซูหลุนตกใจกับมู่เก๋อเพราะมันเป็นความจริงที่ว่าเขาไม่ได้คิดถึงนางเจ้าในตอนนี้เลย
“แม่เจ้าเป็นไงบ้าง?”
“แม่ของข้าคลอดก่อนถึงเวลา และคลอดอย่างแสนลำบาก ตอนนี้นางหมดแรง แต่ท่านสนใจแค่บุตรชายและไม่สนใจนาง ท่านใจดำมาก!”
“เจ้ากล้ากล่าวเยี่ยงนี้กับข้าได้ยังไง!” ซูหลุนอายและหยุดยิ้ม
“นี่คือใบสั่งยา ท่านควรส่งคนไปรับยาโดยด่วนไม่เช่นนั้น ถ้าแม่ของข้าเกิดอันใดขึ้น….ท่านจะไม่ได้มีชีวิตที่สงบสุขแน่”
ซูหลุนเข้าใจว่าซูมู่เก๋อกำลังข่มขู่เขา!
ในเวลานั้น เรื่องราวของนางเจ้าถูกทูลเกล้าโดยเจ้าหน้าที่ที่เกรี้ยวกราดต่อองค์จักรพรรดิผู้ซึ่งรักอดีตจักรพรรดินีมากและจะไม่เอาผิดกับช้าราชบริพารที่ละทิ้งภรรยาเดิม
จักรพรรดิวิจารณ์ซูหลุนต่อหน้าเจ้าหน้าที่ทุกคนและบอกให้ซูหลุนปฏิบัติต่อนางเจ้าอย่างดี เหตุผลที่นางอันไม่ฆ่านางเจ้าก็คือความห่วงใยที่องค์จักรพรรดิทรงมีต่อนาง
เขาเดาว่านางเจ้าต้องบอกมู่เก๋อเรื่องในอดีตเป็นแน่!
“ไปรับยา!” ซูหลุนสั่งกับคนรับใช้ ซูหลุนคิดมาก เขาคิดว่ามีหมอมาพบนางเจ้าและเขียนใบสั่งยา แต่พวกเขาหยุดไปหลังคุยกันเรื่องยา
มู่เก๋อมองไปที่นางอันยิ้มจางๆบนใบหน้าของนางและพูดว่า “ทารกร้องเสียงดังมากจนแม่ของข้าไม่ได้ดูแลเขา ดังนั้น ข้าหวังว่านายหญิงอันจะดูแลเขาจนกว่าแม่ของข้าจะฟื้น”
นางอันประหลาดใจที่มู่เก๋อยอมให้นางเลี้ยงลูกเลว แต่ในอีกความคิด นางคิดว่ามู่เก๋อยังเด็กเกินไปที่จะปกป้องน้องชายของนาง
“น้องชายของข้าเป็นทารกที่คลอดก่อนกำหนดและเขาก็อ่อนแอมากเกินไป ท่านควรส่งคนมารายงานให้ข้าทราบเกี่ยวกับอาการของเขาทุกวัน ที่สุดแล้วเขาเป็นน้องชายของข้า แต่ข้าไม่สามารถไปดูแลเขาได้ทุกวัน ข้ารู้สึกผิดมาก ถ้าข้าไม่สามารถรู้สภาพของเขาได้ทุกวัน ข้าค่อนข้างจะไร้ประโยชน์ในฐานะพี่สาว”
มู่เก๋อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมอบน้องชายให้กับนางอัน เนื่องจากลานดอกท้อนั้นโทรมเกินไปสำหรับการอยู่อาศัยและนางอันจะยังคงสร้างปัญหาเรื่อยๆ เป็นความคิดที่ดีที่จะให้นางอันดูแลทารกน้อยชั่วคราว
นอกจากนี้ ทารกยังเป็นลูกชายคนเดียวของซูหลุน นางอันจะไม่ทำร้ายเขามิฉะนั้นซูหลุนจะลงโทษนาง
ซูหลุนพอใจที่มู่เก๋อไม่ทำให้เขาลำบากใจ “นางพูดถูก เจ้าต้องดูแลลูกชายของข้าให้ดี อย่าให้มีผิดพลาด”
นางอันยิ้มอย่างผิดธรรมชาติ นางรู้สึกแย่ที่ซูมู่เก๋อเห็นด้วย แม้ว่านั่นจะเป็นความคิดของนางเองก็ตาม!
“เจ้าค่ะ ท่านพี่ ข้าแน่ใจข้าจะทำ”
ซูหลุนสั่งให้สาวใช้อุ้มทารกและออกไป ลานดอกท้อกลับมาเงียบอีกครั้ง
เลือดที่ไหลอย่างหนักหยุดลงแล้ว แต่นางเจ้าไม่พ้นอันตรายและยังคงต้องการการดูแลอย่างระมัดระวัง
“คุณหนูมู่เก๋อเจ้าค่ะ ยาสมุนไพรวางตรงนี้นะเจ้าค่ะ”
มู่เก๋อหยิบสมุนไพรและตรวจสอบอย่างรอบคอบ นางแน่ใจว่าปลอดภัยและสั่งให้เหมยฮัวต้มยา
เหมยฮัวหันหลังเพื่อกลับไป มู่เก๋อเกือบจะเป็นลม
อาการเจ็บครรภ์รุนแรงขึ้นหลังจากที่นางเจ้ากินโจ๊กหวาน
ซูมู่เก๋อดูปากช่องคลอดของนางเจ้า เปิดแค่สองเซนติเมตร “ท่านแม่ รอก่อนนะ ปากมดลูกเปิดแล้ว”
โดยทั่วไปนางจางเจ้ามีความแข็งแรง แต่ถูกนางอันรังแกเป็นเวลาหลายปีจึงส่งผลอันตรายต่อสุขภาพของนางในระดับหนึ่ง นางต้องคลอดก่อนกำหนด นางเวียนหัว แต่ก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้จิตใจแจ่มใส นางไม่มีแรงที่จะคิดว่าทำไมมู่เก๋อจึงรู้เรื่องการทำคลอดมากมายนัก
ซูมู่เก๋อส่งเยว์รู่ไปรวบรวมทุกอย่างที่นางต้องการ ในขณะเดียวกัน ปากมดลูกก็เปิดเต็มที่
“ท่านแม่ ฟังข้านะ หายใจเข้าและหายใจออกช้าๆ พยายามอย่างหนัก!”
นางเจ้าจับผ้าห่มไว้และเชื่อฟังมู่เก๋ออย่างไม่รู้ตัว
นางเจ้าให้กำเนิดลูก และนี่เป็นครั้งที่สองของนาง มันควรราบรื่น อย่างไรก็ตาม มันเป็นเวลานาน ยังไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติม
เหมยฮัวและสาวใช้คนอื่นๆ ยังเด็กเกินไปที่จะรู้เรื่องการคลอดบุตรและพวกเขาต่างก็หวาดผวากับเลือด
นางอัน ผู้ที่ควรจัดการกับเรื่องทั่วไปในคฤหาสน์ตอนนี้ กำลังเพลิดเพลินกับละครเวทีแบบดั้งเดิมในโรงละครบนถนนสายหลักของเมืองซุนหยาง ด้วยรอยยิ้มที่สง่างามและสุขุม
หลี่หม่าเข้าไปในห้องวีไอพีของโรงละครและกระซิบกับนางอันว่า “นายหญิงเจ้าล้มเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น นางอันก็ยิ้มอย่างพอใจและยิ้มต่อไป “น่าเสียดายจริงๆ นางตั้งครรภ์มาก็หลายเดือน หากนางตายลงจากการล้มจะมีศพถึงสองศพ นายท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอันใดขึ้น?”
“วันนี้นายท่านเลิกงานแล้วและกำลังดื่นอยู่ในโรงเตี้ยมซุยฮัวกับเพื่อนๆเจ้าค่ะ”
นางอันจ้องมองไปที่เวทียิ้มกว้างขึ้น “น่าสนใจจริง”
“อ้า!” นางเจ้าร้องเสียงดัง ทำให้ใจสั่น
ซูมู่เก๋อมองดูพระอาทิตย์ตกและคิดว่ามันนานมากเกิน หากยังไม่มีความคืบหน้า ทั้งสองคนจะตกอยู่ในอันตราย!
มู่เก๋อยังคงลูบท้องของนางเจ้า ทารกในครรภ์อยู่ในตำแหน่งและนางเจ้าเคยคลอดลูกมาก่อน ดังนั้นครั้งนี้ไม่น่าจะลำบาก
“นายหญิง ข่าวร้ายเจ้าค่ะ ชายคนหนึ่งบอกข้าว่าแม่ของท่านล้มบนสันเขาและนางเสียชีวิตแล้วเจ้าค่ะ!”
ชอนจูไม่ได้ไปพาหมอมา แต่แจ้งข่าวฟ้าผ่า!
นางเจ้าเบิกตากว้างและเหลือกลาน จ้องไปที่ชอนจู หายใจติดขัดอย่างหนัก
มู่เก๋อไม่มีเวลามากพอที่จะหยุดคำพูดแบบนั้นของชอนจู นางโมโหมากจนเตะชอนจูออกจากห้อง “หุบปากของเจ้าซะ!”
แม่ของนางเจ้าอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเจ้าของเมืองหนานเจิง นางเจ้ากตัญญูแต่แม่มาก แม้ว่าชีวิตของนางจะลำบากในคฤหาสน์ซู นางพยายามอย่างดีที่สุดในทุกปีเพื่อส่งของไปให้แม่เป็นกำลังใจแก่หญิงชรา
มู่เก๋อเข้าใจดีว่าในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ นางเจ้าจะทรุดลงเมื่อรู้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติกับแม่ของนาง!
นางเจ้าเป็นแบบนั้นจริง นางร้องไห้อย่างหนัก เสียงของนางแผ่วลงและเศร้าโศกราวกับว่านางจะเป็นลมให้ได้
มู่เก๋อบีบริมฝีปากบนของนางทันที เพราะกลัวนางเจ้าจะตายถ้านางไม่ตื่นในขณะที่ถูกส่งตัว!
“ท่านแม่ ท่านต้องคลอดลูกอย่างปลอดภัยก่อนตอนนี้ นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด!”
นางเจ้าจับมือของมู่เก๋อ และกัดฟัน “ใช่ มันคือลูกของข้า ข้าต้องให้กำเนิดลูกของข้า!”
มู่เก๋อนนวดจุดฝังเข็มของนางเจ้าเพื่อให้นางมีพลังมากชึ้น จนกระทั่งมืดค่ำ เสียงร้องดังมาจากลานบ้านซอมซ่อแห่งนี้ คลอดแล้ว
“แว้ แว้…..”
“ยินดีด้วย นายหญิง เป็นเด็กผู้ชาย!” เหมยฮัวอุ้มทารกที่ทำความสะอาดแล้ว และเกือบไม่มีเสียงเพราะร้องไห้
ใบหน้าของนางเจ้าไร้สีเลือดและซีดเผือด นางจับมือของมู่เก๋อไว้แน่น
“มู่มู่….ดูแลน้องชายของเจ้าให้ดี และ ไปหายายของเจ้า…..”
มู่เก๋อกำลังทำความสะอาดร่างกายของนางเจ้าแต่ได้กลิ่นเลือดรุนแรงพร้อมกับไอร้อนเมื่อเปิดผ้าห่ม
นางมองลงไปและอ้าปากค้างกับภาพที่เห็น
เลือดท่วม!
ซูจิงเหวินสำลักน้ำและเมื่อนางถูกอุ้มไปที่ลานกล้วยไม้ นางก็เป็นลม
ลูกสาวที่นางรักมากที่สุด และนางเจ็บปวดหัวใจมากเมื่อเห็นเช่นนั้น
“นายท่านของข้า ถ้ามีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับเหวิน ข้าจะตายไปพร้อมกับนาง”
ซูหลุนก็กังวลเกี่ยวกับซูจิงเหวินเช่นกัน
“ไม่ต้องกังวล เหวินจะไม่เป็นไร”
หมอมาเร็วและคลำชีพจรของซูจิงเหวิน
“ หมอลูกสาวของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
หมอชรายืนขึ้นและพูดว่า “นายท่านและนายหญิง ไม่ต้องกังวล คุณหนูแค่สำลักน้ำและกลัวเท่านั้น หลังจากทานยาเป็นเวลาสองวันก็จะหาย”
“ขอบคุณท่านหมอ” นางอันส่งสายตาไปที่สาวใช้เก่าแก่ของนาง และนางหลี่ยื่นถุงเงินให้กับหมอ
“ข้าจะพาท่านออกไปส่ง”
“ลาก่อน”
ซูจิงเหวินตื่นขึ้นมาหลังจากกินยา
ดวงตาของนางแดงไปด้วยเลือดเพราะเลือดคั่ง
“ท่านแม่ ข้าจะฆ่ามัน ฆ่านังสารเลวนั่น!” ซูจิงเหวินโกรธเกรี้ยวเมื่อคิดถึงซูมู่เก๋อที่กดหัวนางลงไปในน้ำและนางกลัวมากแค่ไหน
นางอันโกรธมากกว่าซูจิงเหวิน แต่นางสงบลง นางกล่าวว่า “เหวินเชื่อแม่ แม่จะไม่ปล่อยให้พวกมันมีชีวิตที่สงบสุข!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูจิงเหวินก็ยิ่งเพิ่มประกายในดวงตาที่ไม่พอใจของนาง
ดวงตาที่ซูหลุนคิดว่ามีเสน่ห์ฉายแววน่ากลัว
“เจ้าแค่ทำตามที่แม่พูด…”
ซูจิงเหวินยิ้มอย่างดุร้าย
“ท่านแม่ ท่านฉลาดมาก เราจะทำให้พวกมันไม่มีวันฟื้นคืน!”
…………………….
ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง และภาพความหนาวเย็นในลานดอกท้อ
มู่เก๋อเอนกายลงบนเบาะ เป็นภาพอันเงียบสงบ
“คุณหนูมู่เก๋อ มีบางสิ่งเกิดขึ้น นายหญิงเจ้าล้มลงที่พื้นขณะที่นายหญิงเดินเล่นเจ้าค่ะ ตอนนี้ใบหน้านางซีดมากเพราะเจ็บที่ช่องท้อง”
เหมยฮัวสาวใช้วิ่งเข้ามาในห้องด้วยหน้าซีดเผือดและเสียงสั่นเครือ
มู่เก๋อปิดหนังสืออย่างรวดเร็วและยืนขึ้น
มู่เก๋อสงบกว่าเหมยฮัว ใบหน้าที่ดูผอมและจริงจังของนางทำให้เหมยฮัวตกใจ
คุณหนูใหญ่เปลี่ยนไปมากจริงๆ ถ้านางเป็นคนเดิม นางจะเป็นลม เมื่อรู้ข่าวเช่นนี้
“แม่ของข้าล้มงั้นรึ? ผ่อนคลาย เล่ารายละเอียดให้ข้าฟังระหว่างทาง” มู่เก๋อออกจากห้องไปพร้อมกับพูดคุยไปด้วย
เหมยฮัวเพ่งความสนใจของนางและเดินตามมู่เก๋อ เล่าว่า “นายหญิงจ้าวกระสับกระส่าย แม้ว่าตอนนี้ท้องลูกของนางจะหนัก แต่นายหญิงจะเดินเล่นในสนามทุกเข้าและกลางคืน วันนี้นายหญิงเดินเล่นที่สนามหญ้าตามปกติ แต่ชอนจูมาบอกกับข้าว่านายหญิงลื่นล้มอย่างไม่ตั้งใจ” ชอนจูเป็นสาวไช้อีกคน
จบประโยค ซูมู่เก๋อมาถึงประตูของนางเจ้าและได้ยินเสียงคร่ำครวญของนาง เมื่อมู่เก๋อเข้าไปในห้อง
ในลานดอกท้อ มีสาวใช้หลายคน เช่น เหมยฮัว ชอนจู เยว์รู่ และผู้หญิงต่ำกว่าที่ทำความสะอาดสนาม เหมยฮัวไปหามู่เก๋อเรพาะไม่มีใครสามารถไปตามหมอมาได้
มู่เก๋อเดินไปที่เตียงของนางเจ้าอย่างรวดเร็ว เห็นนางหน้าซีด ไม่มีสีเลือด ผมของนางเปียกโชก ชอนจูไม่ทำอะไรนอกจากคุกเข่าและร้องไห้
“หยุดร้อง ไปบอกนางอันให้เชิญหมอมา!” มู่เก๋อคำรามใส่ชอนจู ซึ่งทำให้นางตัวสั่น ชอนจูเช็ดน้ำตาและเดินเซออกไป
“มู่มู่ ทำไมเจ้ามาที่นี่? กลับไป เจ้า พามู่มู่ออกไป…” นางเจ้าพูดอย่างอ่อนแรง เมื่อเห็นมู่เก๋ออยู่ในห้อง ลูกในท้องของนางดิ้น และนางกำลังจะคลอด สาวโสดเข้าห้องคลอดจะเคราะห์ร้าย
ซูมู่เก๋อก้าวไปข้างหน้าและจับมือของนางเจ้า ดวงตาของนางดูอบอุ่น แต่หนักแน่น “ท่านแม่ ไม่ต้องกังวล ข้าจะทำให้ท่านเอง ตกลง อย่าพูด เก็บความแข็งแรงของท่านไว้ ทำตามที่ข้าพูด”
“แต่….”
“ชู่วว์ๆๆๆ”
มู่เก๋อบอกเป็นนัยว่าห้ามนางพูด และรู้สึกถึงชีพจรของนาง
นางเจ้าผอมมาก นางมีชีวิตอยู่ในฟาร์มเมื่อยังเด็กอยู่ในครอบครัวชาวนา นางกินอาหารแย่ลงเมื่ออยู่ในคฤหาสน์ซู แต่ร่างกายของนางยังดีมาก แม้ว่านางอันจะปฏิบัติต่อนางอย่างรุนแรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นางก็ยังมีสุขภาพดี
ตอนนี้ทารกในครรภ์ตกใจ และนางต้องคลอดลูกก่อนกำหนด
ซูมู่เก๋อเปิดผ้าห่มของนางเจ้าขึ้นดู น้ำคล่ำแตกแล้ว แต่ปากมดลูกยังไม่เปิด
เห็นสถานการณ์ชัดแจ้งแล้ว ซูมู่เก๋อถอนหายใจหนัก
“เหมยฮัว ไปเตรียมน้ำร้อนและอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการหรือมีน้ำตาลมา”
เหมยฮัวพยักหน้า “ได้เจ้าค่ะ ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
“เจ้า เจ้าเป็นคนสับปรับ!”
ซูหลุนชี้ไปที่ซูมู่เกอด้วยมืออันสั่นเทา และดวงตาของเขาก็ดุร้ายราวกับว่าเขาจะขย้ำนาง
“ท่านไม่สนใจหรอกว่าข้าถูกซูจิงเหวินผลักตกน้ำและเกือบตาย ท่านเป็นห่วงแค่นางเท่านั้น นางได้รับการลงโทษแค่เล็กน้อย หัวใจของท่าน ตับ ม้ามและปอดทั้งหมดเจ็บปวดใช่หรือไม่? นั่นคือสิ่งที่มันเป็นอยู่ ข้าต่ำกว่าต้อยมากกว่าคนรับใช้ในใจท่าน!”
เขารู้!
นางอันร้องไห้ออกมาเมื่อนางเห็นซูจิงเหวินสำลักจนเป็นลมล้มพับไป
พวกต่างประหลาดใจที่มู่เก๋อกลายเป็นคนวาทศิลป์เก่งกล้ามากหลังจากที่นางตายแล้วฟื้นในครั้งนี้
“เจ้า มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะอยู่หรือตาย!” แม้ว่าเขาจะคิด เขาไม่สามารถพูดออกมาได้
เหล่าเสนาบดี ขุนนางบางคนกล่าวหาเขาลับหลังเมื่อเขาละทิ้งนางเจ้าและแต่งงานกับนางอัน หากพวกเขารู้ว่าเขาไม่สนใจแม้กระทั่งชีวิตของภรรยาเก่าและลูกสาวที่เกิดจริงๆ เขาฉาวโฉ่ทั่วเมืองเป็นแน่
“ข้าคิดว่าวิธีของเจ้าไม่สมควร ท้ายที่สุดแล้ว นางเป็นน้องสาวของเจ้าไ
เมื่อเห็นซูหลุนกลั่นกรองน้ำเสียงของเขาออกมา ดวงตาของซูมู่เก๋อแต้มด้วยรอยยิ้มหยันบางๆ แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ส่งออกมาสุดตานาง
“ท่านพ่อ ท่านพูดถูก ครั้งหน้า ข้าจะไม่ทำอีก”
“ทำไมพวกเจ้ายังมายืนอยู่ที่นี่อีก อุ้มคุณหนสองไปเร็วแล้วรีบตามหมอมารักษานางสิ” นางอันร้องไห้ระงับความโกรธของตัวเอง
นางคิดในใจว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเหวิน นางจะฆ่านางจ้าวและลูกสาวมันให้ตาย
คนรับใช้อุ้มซูจิงเหวินและเดินออกไป จากนั้นห้องที่คึกคักก็เงียบลงทันที
“มู่มู่ เจ้า เจ้าไม่ใช่มู่มู่ของข้า…”
ทุกคนออกไปหมดแล้ว และนางเจ้ามองไปที่มู่เก๋ออย่างเหม่อลอยและเศร้าศร้อย
“เจ้าเป็นใคร มู่มู่ของข้าล่ะ มู่มู่อยู่ที่ไหน?”
ซูมู่เก๋อรู้ว่านางแตกต่างจากคนเดิมมาก ซึ่งกระตุ้นความสงสัยของนางเจ้า
ซูหลุนและนางอันไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของมู่เก๋อ แต่นางเจ้าที่อยู่กับลูกทุกวันนางรู้
ซูมู่เก๋อต้องการบอกนางว่าลูกสาวแท้ๆของนางได้ตายไปแล้ว แต่มันดูโหดร้ายเกินไปมาก ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่ต้องการถูกมองว่าเป็นผี ดังนั้นนางจึงจับมือนางเจ้าและปลอบอย่างนุ่มนวล
“ท่านแม่ ข้าเป็นลูกสาวของท่าน ข้าตายไปแล้วครั้งหนึ่งและเมื่อข้าไปถึงประตูนรก ราชาแห่งนรกสอนข้ามากมาย ดังนั้นข้าจึงเปลี่ยนไปมาก”
นางเจ้าอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ในวัยเด็กของนาง นางจึงเชื่อเรื่องทฤษฎีผี
“เจ้า เจ้าเห็นราชาแห่งนรกหรือ?”
“ใชท่านแม่ ราชาแห่งนรกบอกข้าว่าข้ายังไม่ถึงเวลาตายและข้าควรกลับมา”
“ขอบคุณสวรรค์ ข้าจะภาวนาต่อพระโพธิสัตว์เพื่อขอบคุณ ที่ประธานชีวิตใหม่ให้กับเจ้า”
นางเจ้าออกจากห้องและมู่เก๋อนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
ดอกไม้และเครื่องประดับเป็นของตกทอดที่ถูกใช้แล้วทั้งนั้น มันเป็นของมือสองจากซูจิงเหวินหรือไม่ก็คือนางไม่เอา แต่ถึงจะเป็นของตกทอดก็ยังมีความสุขที่มี
ซูมู่เก๋อหยิบกระจกทองแดงขึ้นมามองใบหน้าที่ไม่ค่อยชัดในกระจก
“โอ้ พระเจ้า!”
หญิงสาวในกระจกมีใบหน้างดงาม แม้ว่าผิวจะเป็นสีเหลืองซีดเนื่องจากการขาดสารอาหาร แต่ก็แลดูบอบบาง ด้วยใบหน้ารูปไข่กลมกลึง นางไม่ได้สวยมาก แต่ดูดี ข้อบกพร่องเพียงประการเดียวคือไฝแดงบนดวงตาข้างหนึ่งเช่นเดียวกับชุดสีขาวและอาจไร้ที่ติถ้าไม่ถูกสาดน้ำมัน ซึ่งทำให้คนอื่นไม่สนใจความงามที่มีอยู่ สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือข้อบกพร่องที่ชัดเจน
ในความทรงจำของอันเก่าก่อน ไฝนี้ดูเหมือนจะมีมาตั้งแต่นางยังเด็ก หากเป็นไปตามธรรมชาติก็ไม่ง่ายนักที่จะเอาออก
“ คุณหนู ได้เวลาอาหารเช้าแล้วเจ้าค่ะ”
เยว์รู่เข้ามาในห้องพร้อมอาหารเช้าซึ่งมีเพียงชามโจ๊กและซาลาเปา
มู่เก๋อเดินมาหานางและลูบใบหน้าที่แดงและบวมของนาง
อย่างไรก็ตาม เมื่อมือของนางสัมผัสใบหน้าของเยว์รู่ ฝ่ามือก็ร้อนขึ้น ส่งความร้อนแปลกๆ
ความร้อนเป็นเหมือนแผ่นดูดที่ทำให้มือเคลื่อนไปบนใบหน้าของเยว์รู่
เพียงครู่เดียวความร้อนก็หายไป
ในขณะที่ใบหน้าของเยว์รู่ก็ดูดีดังเดิม!
“อะไร? มันแปลกมาก ทำไมความเจ็บปวดบนใบหน้าข้าหายไปแล้ว?” เยว์รู่จับหน้าของนางและมันก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย
มู่เก๋อก็ประหลาดใจเกินกว่าจะพูดออกมา
“คุณหนู ท่านทายาขี้ผึ้งที่หน้าข้าหรือ?”
มู่เก๋อมองไปที่ฝ่ามือของนางแล้วพูดว่า “ใช่ มันเป็นยาขึ้ผึ้งที่ดีมาก มันมีประสิทธิภาพจริงๆ”
“ขอบคุณ คุณหนูของข้า มันเป็นความผิดของข้า…”
“จำไว้ว่าเจ้าเป็นสาวใช้คนสนิทของข้า เจ้าเป็นสาวใช้คนสนิทของคุณหนูตั้งแต่เกิด และไม่มีใครสามารถกลั่นแกล้งเจ้าได้ เจ้าเข้าใจใช่ไหม?”
เยว์รู่มองไปที่ซูมู่เก๋อที่สงบ แต่ดูมีศักดิ์ศรีและความมั่นใจ พยักหน้ารับอย่างแข็งทื่อ
คุณหนูคนปัจจุบันแปลกมาก แต่นางคิดว่าคุณหนูแปลกคนนี้ดีกว่าคนก่อน
“เจ้าค่ะ คุณหนู ข้าจะจำไว้”
หลังจากที่เยว์รู่ออกจากห้องไป มู่เก๋อจ้องไปที่ฝ่ามือของนาง สูญเสียความคิด
ฝ่ามือของข้าสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้หรือ?
เพื่อขจัดข้อสงสัยนี้ นางเอากิ๊บและแทงที่นิ้ว การเฉือนไม่ใหญ่ แต่มีเลือดไหลล้นออกมา
นางเหยียดฝ่ามือออกและค่อยๆ ปิดลงบนนิ้ว สักพัก ฝ่ามือก็ไม่มีความร้อน
เมื่อยกฝ่ามือขึ้น ยังคงมีบาดแผลที่นิ้ว
“มันใช้ไม่ได้?”
นางเกิดภาพลวงตารึ?
มันเจ็บใจที่ซูหลุนให้นางเจ้าคุกเข่าลงให้กับซูจิงเหวิน แม้ว่าเขาจะไม่ชอบนางเจ้าและเขาก็ไม่ได้ถือว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ นางเป็นภรรยาคนเดิมของเขาและเขาคิดว่าซูจิงเหวินดูถูกเขาเพราะกลั่นแกล้งนางอย่างโจ่งแจ้ง อาจเป็นเพราะเขาเกิดมาต่ำต้อย จิตใต้สำนึกของเขาเพียรบอกว่าเขาด้อยกว่า
“เจ้าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าน้องสาวของเจ้าทำให้เจ้าจมน้ำตายโดยเจตนา?”
“ท่านพ่อ บางทีท่านอาจไม่รู้ว่าข้าสามารถว่ายน้ำได้ตั้งแต่เด็กแล้ว ข้าสามารถว่ายน้ำในแม่น้ำใหญ่ได้นับประสาอะไรกับสระบัวเล็กๆนั่น”
“เรื่องไร้สาระ เจ้าว่ายน้ำไม่เป็น!” ซูจิงเหวินเป็นกังวลเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ท่านพ่อ ถ้าท่านไม่เชื่อว่าข้าว่ายน้ำได้ ข้าพิสูจน์มันได้นะ”
นางเจ้าคิดว่ามู่เกอคนนี้แปลกมากและนางก็แตกต่างจากเมื่อก่อน
ซูหลุนคิดว่ามู่เกอไม่มีเหตุผลที่จะโกหก
เขาขมวดคิ้วและหันไปหาซูจิงเหวิน ตอนนี้เขาคิดว่านางโกหก
เขารู้ว่านางอันและลูกสาวของนางไม่น่าจะชอบนางเจ้าและมู่เกอมาโดยตลอด แต่ก็คิดว่านางอันนาจะใจกว้างมีน้ำใจที่จะสนับสนุนพวกเขา พวกเขาต้องการเมล็ดพืชเพียงเล็กน้อยและคฤหาสน์ซูอาจมีราคาไม่แพง
“จิงเหวิน เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ซูจิงเหวินไม่อยากจะเชื่อเลยว่าซูหลุนที่มีใบหน้าตรงไม่ได้สงสัยเธอ
ซูหลุนรักนางที่สุดและไม่สนใจซูมู่เกอ
แต่ตอนนี้เขาตั้งคำถามกับนางเกี่ยวกับซูมู่เกอผู้ต่ำต้อย!
นางอันรู้ว่าซูหลุนโกรธ และพูดเบา ๆ ว่า “นายท่านของข้า บางทีพวกเขาอาจจะเล่นตีกัน ในขณะที่เล่น มู่เกอจึงตกลงไปในน้ำ พวกเขาเป็นพี่น้องกันไม่มีความเกลียดชังอย่างลึกซึ้ง ไม่จำเป็นต้องดุร้าย จิงเหวินผิดในบางประการ จิงเหวินไปขอโทษพี่สาวของเจ้า”
นางอันเดินไปหาซูจิงเหวิน ด้วยความอ่อนโยนแต่มุ่งมั่นในดวงตาของนาง
แม้ว่าซูจิงเหวินจะเอาแต่ใจ แต่นางก็ยังกลัวนางอัน
แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะขอโทษซูมู่เกอ!
เมื่อเห็นว่าซูจิงเหวินยืนนิ่งอยู่กับที่ โดยไม่มีการกระทำใด ๆ ซูหลุนก็นิ่งเงียบ
“จิงเหวินรีบขอโทษพี่สาวของเจ้าซะ!”
“แม่….”
“ข้าไม่ต้องการคำขอโทษ” มู่เกอปล่อยมือนางเจ้าและเดินไปที่ซูจิงเหวิน
“ท่านพ่อ ข้าคิดคำถามอยู่เสมอว่าถ้ามีใครทำอะไรผิดจะทำให้เขาเรียนรู้บทเรียนเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดเดิม ๆ ได้อย่างไร? ตอนนี้ข้าได้รับคำตอบแล้ว”
“อย่างไร?” ซูหลุนถามโดยไม่รู้ตัว
“มันคือ…ปล่อยให้นางต้องทนทุกข์กับสิ่งที่ทำกับคนอื่น เพียงเท่านี้นางก็สามารถเรียนรู้บทเรียนได้อย่างลึกซึ้ง!” เพียงแค่จบประโยค นางก็จับคอของซูจิงเหวินแล้วกดลงไปในอ่างล้างหน้า
“อ้า! …” (เสียงดังก้อง)
ใบหน้าของซูจิงเหวินถูกกดลงในน้ำ ด้วยความตื่นตระหนกน้ำจำนวนมากถูกเทลงในจมูกและปากของนาง ความกลัวที่จะเข้าใกล้ความตายทำให้นางต่อสู้อย่างหมดหวัง
ซูมู่เกอจับนางแน่นจนขยับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ทุกคนในห้องต่างหวาดกลัวการกระทำที่กะทันหันของนาง
นางอันมีปฏิกิริยาก่อนคนอื่น พูดขึ้นว่า “ซูมู่เกอเจ้ากำลังทำอะไร!” นางวิ่งไปที่มู่เกอในขณะที่พูด
มูเก๋อขยับร่างกายของนางและหลีกเลี่ยงนางอันโดยยังคงกดหัวซูจิงเหวินไว้
ผู้หญิงบอบบางที่ไม่สามารถก้าวอย่างมั่นคงได้ไม่มีความสามารถที่จะหยุดนางได้
เสียงกรีดร้องของนางอันทำให้ซูหลุนตื่นตัวขึ้นมา เขาจ้องไปที่มู่เกอและดวงตาของเขาแทบจะหลุดออกมา
“ซูมู่เกอ เจ้ากล้าดียังไง ปล่อยน้องสาวเดี๋ยวนี้!”
มู่เกอคิดว่าเพียงพอแล้วและปล่อยมือของนาง
“เคร้ง”
“อ๊ะ แค็ก แค็ก….”
ซูจิงเหวินยกศีรษะขึ้นจากน้ำและทรุดตัวลงบนพื้นไออย่างหนัก
“เหวิน เหวิน เจ้าเป็นอย่างไร ดีหรือไม่?”
“ซูมู่เกอ เจ้ากล้าดียังไง!” ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้ากล้าฆ่าแม้กระทั่งน้องสาวของเจ้าต่อหน้าข้า!” ซูหลุนโกรธ แต่เขาโกรธมากที่ซูมู่เกอไม่ได้จริงจังกับเขากว่าการดูแลซูจิงเหวิน
เขาคิดว่าซูมู่เกอกำลังท้าทายอำนาจของเขาในคฤหาสน์นี้
นางสมควรตายไปซะจริงๆ!
มู่เกอแสร้างทำเป็นไร้เดียงสา ข้าแค่อยากให้จิงเหวินรู้ว่าความรู้สึกของการจมน้ำคืออย่างไรและรับรู้ความทุกข์ทรมานของข้าเมื่อตอนที่ข้าตกลงไปในน้ำและเกือบจะจมน้ำตาย มีเพียงนางเท่านั้นที่จะผ่านไปได้ นางจึงจะเข้าใจและไม่ทำผิดพลาดอีก ใช่ไหม?”
ซูหลุนเดินเข้ามาในบ้านหลังนี้ สวมชุดผ้าปักสีน้ำเงิน คาดด้วยเข็มขัดหินมโนราซึ่งแสดงให้เห็นถึงสถานะของเขา เขาดูสง่างามยิ่งขึ้นกว่าสวมชุดเสื้อคลุมหลวมๆเมื่อคืนนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะนางเจ้าไม่พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ามู่เกอยังไม่ตาย เขาคงไม่เหยียบเข้ามาในห้องนี้
ช่างโชคร้ายเหลือเกิน!
อันแ ที่อยู่ข้างๆเขาสวมชุดสีดอกบัวที่มีลายพระจันทร์สีนวลปักอยู่บนชุดกระโปรงของนาง ทำมุมตรงลงไปที่ข้อเท้า ทำให้นางดูสง่างามและสวยงาม
นางอันเพิ่งอายุสามสิบต้นๆในปีนี้ จากการบำรุงรักษาเป็นอย่างดี ผิวของนางจึงเรียบเนียนและบอบบาง เมื่อเทียบกับผิวสีเหลือง เหี่ยวเฉาของนางเจ้า ซึ่งแข็งแกร่งกว่ามาก
“ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย ให้ท่านพี่ให้อภัยแก่ข้า ได้โปรด”
ซูหลุนเมื่อเห็นว่าลูกสาวคนโปรดของเขากำลังร้องไห้อย่างหนัก ใบหน้าของเขาก็ขุ่นมัวทันที
“ทำไมเจ้าถึงต้องโทษน้องสาวของเจ้าด้วย? มันเป็นความคิดของตัวเจ้าที่จะลงไปเล่นน้ำในสระบัวแล้วตกลงไปเอง นี่มันเป็นความผิดของน้องสาวเจ้าหรือ?”
ซูมู่เกอยอมแพ้ต่อพ่อขี้ลำเอียงของนางแล้ว แต่นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะออกตัวเป็นฝ่ายของซูจิงเหวินขนาดนี้
นางมองไปที่นางอันและคิดว่านางอันต้องเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและทำให้ซูหลุนเดือดดาลมากขนาดนี้เป็นแน่
“ท่านพ่อ นางเป็นคนผิด ข้าถูกซูจิงเหวินผลักตกน้ำ ไม่ใช่ข้าตกลงไปเอง”
“อะไร?” ซูหลุนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ซูหลุนคิดว่าซูจิงเหวินเป็นคนน่ารักและเด็กสาวที่น่ารักแม้ว่าจะยังเด็กอยู่ก็ตาม แต่นางไม่สามารถทำอะไรแบบนั้นได้ ซูมู่เกอต้องทำผิดกับนาง
“ท่านพี่ ทำไมท่านถึงใส่ร้ายข้า ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย พี่สาวทำผิดต่อข้า”
ซูจิงเหวินแปลกใจที่ซุมู่เกอกล้าพูดเช่นนั้น แต่นางแสร้งทำเป็นเศร้าเสียใจ
จากที่เห็นซูจิงเหวินร้องไห้และถูกทำให้กลัวโดยซูมู่เกอ ซูหลุนเอาความเมตตาเล็กน้อยที่มีกลับคืนมาจากมู่เกอ และขุ่นมัว “นางสารเลว แกกล้าใส่ร้ายน้องสาวได้อย่างไร ไปขอโทษนางเดี๋ยวนี้!”
“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้โทษพี่สาวมู่เกอ ข้ามีความสุขดี น้องสาวคนนี้สบายดี” ซูจิงเหวินเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ ตาของนางแดงและบวมจากการร้องไห้ ซึ่งนั่นทำให้หัวใจของซูหลุนปวดร้าว
“นางกล้ารังแกเจ้าต่อหน้าข้า ไม่ต้องพูดถึงในชีวิตประจำวันจะไม่ยิ่งไปกว่านี้รึ เจ้าบอกว่านางเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน! คุกเข่าขอโทษจิงเหวินซะ!”
ดวงตาของซูมู่เกอหรี่ลงเล็กน้อยซ่อนความเย็นชาไว้ในดวงตา
เขาจะพูดได้อย่างไรว่าให้นางคุกเข่าลงไปหาซูจิงเหวิน?
“นายท่าน อย่าได้โกรธไปเลย ข้าจะคุกเข่าลงและขอโทษคุณหนูรอง….”
ในขณะนั้น นางเจ้าเข้ามาในห้องสวมชุดสีขาวธรรมดาและกล่าว ตาของนางบวมเหมือนวอลนัททั้งสองข้างเพราะการร้องไห้มาทั้งวันทั้งคืนตั้งแต่เมื่อวานเพราะความทุกข์ของมู่เกอ ใบหน้าของนางสีเหลืองซีดเซียว ยิ่งทำให้รูปลักษณ์และอารมณ์ของนางต่ำลง เมื่อเปรียบเทียบกับนางอันนางดูน่าเกลียดมาก
ซูมู่เกอถอนหายใจและคิดว่านางเจ้าจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำ
นางเจ้าต้องคุกเข่าให้ซูจิงเหวิน แต่มู่เกอหยุดนางไว้
“ท่านแม่ ท่านเป็นผู้อาวุโส ถ้าท่านคุกเข่าลงให้นาง นางจะทำให้ชีวิตของตัวเองสั้นลงโดยการถูกตามใจมากเกินไป!”
ซูจิงเหวินหยุดแสร้งทำเป็นเศร้าเสียใจเมื่อได้ยินเช่นนั้นและพูดว่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ!”
“ยิ่งไปกว่านั้น แม่ของข้าตั้งท้องลูกของท่าน ท่านพ่อ ท่านไม่สามารถปล่อยให้นางคุกเข่าลงได้!”
ในอดีตที่ผ่านมา นางเจ้าและมู่เกอต้องคุกเข่าลงให้นางอันและซูจิงเหวินที่ชอบทำตัวเหนือกว่าเพื่อมองดูความต่ำต้อยของพวกนางที่คุกเข่าให้ ซึ่งคนอื่นไม่เข้าใจหากพวกเขาไม่ยอมรับ
แม้ว่าซูมู่เกอจะเป็นลูกสาวที่เกิดมาจริง นางต้องขอความสงสารภายใต้เท้าของนางอันและซูจิงเหวิน!
เมื่อได้ยินสิ่งที่มู่เกอพูด ซูหลุนมองไปที่ท้องของนางเจ้า ซูหลุนไม่ได้ไปที่ห้องของนางเจ้าหลังจากที่เขามีนางอัน อย่างไรก็ตาม ครั้งหนึ่งเขาดื่มจากข้างนอกด้วยความอารมณ์ดีและเห็นนางเจ้าที่กำลังไปขอร้องให้นางอันเชิญหมอให้มาดูมู่เกอ
แม้ว่านางเจ้าจะผอม แต่นางก็ยังมีใบหน้าที่สวยงามและนางก็มีเสน่ห์มากภายใต้แสงจันทร์ที่มืดสลัวที่ซูหลุนมีเซ็กส์กับนางในคืนนั้น จากนั้นนางเจ้าก็ท้อง
“มูมู่…ข้า…” นางเจ้ามองไปที่มู่เกออย่างเป็นห่วง ในชีวิตประจำวันพวกเขาไม่กล้าที่จะโกรธนางอันและลูกสาวของนาง เพราะซูหลินมักจะเชื่อในตัวพวกเขาโดยไม่มีเงื่อนไขและเกลียดนางเจ้าและมู่เกอมากขึ้นเรื่อยๆ
มู่เกอมองไปที่ซูจิงเหวินและพูดว่า “เจ้าบอกว่าข้าตกน้ำโดยบังเอิญและสาวใช้ของเจ้าสามารถพิสูจน์ได้ใช่หรือไม่?”
“ใช่ สาวใช้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นพิสูจน์ได้!”
ซูมู่เกอยิ้มและหันไปหาซูหลุน แล้วพูดว่า “ทำไมท่านพ่อถึงเชื่อในซูจิงเหวิน แต่ไม่ใช่
ซูมู่เกอและนางเจ้าออกจากห้องโถงไว้ทุกข์ไปที่ Peachblossom Courtyard แม้ว่าเธอจะเตรียมพร้อม แต่เธอก็ประหลาดใจเมื่อเห็นสนาม
สนามแห่งนี้ห่างไกลและว่างเปล่า ยกเว้นต้นไม้ที่แก่และกำลังจะตายไม่มีอะไรอยู่ในสนามเลย ไม่สอดคล้องกับชื่อเรียก Peachblossom Courtyard
โต๊ะและเก้าอี้ในห้องสีซีดจางมากและมีจุดด่างดำจนจำไม่ได้ว่าสีเดิมเป็นสีอะไร
นางเจ้าและบรรพบุรุษมีชีวิตอยู่ภายใต้เงื่อนไขนี้เป็นเวลาหลายสิบปี อย่างไรก็ตาม ในฐานะสามีและพ่อ ซูหลุนไม่สนใจเลย
“มูมู่ เจ้าตกลงไปในน้ำและคงกลัวมาก คืนนี้เจ้านอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ แม่จะเชิญหมอมาตรวจเจ้าในเช้าวันพรุ่งนี้”
“เจ้าค่ะ”
เธอเพิ่งตื่นขึ้นมาและอ่อนแอ ดังนั้นเธอจึงหลับไปทันทีที่เธอล้มตัวลงนอนและปิดตาลง
คืนนี้คฤหาสน์ซูทั้งหลังยุ่งเหยิง แต่ “หัวหน้าอาชญากร” กลับนอนแน่นิ่ง
…………………………………
“คุณหนูของข้าต้องการพบคุณหนูใหญ่ หลีกไปให้พ้นเร็วๆ!”
“คุณหนูใหญ่ยังไม่ตื่นเจ้าค่ะ คุณหนูจิงเหวิน ได้โปรด…อ๊ะ!”
“ทาสโสโครก เจ้ากล้าห้ามคุณหนูรองได้ยังไง!”
ในตอนเช้าของวันถัดมา การโต้เถียงด้านนอกห้องปลุกซูมู่เกอให้ตื่นขึ้น เมื่อเธอลุกขึ้นจากเตียง ประตูถูกผลักเปิดออก
ซูจิงเหวินเดินเข้ามาในลักษณะคุกคามพร้อมสาวใช้ของนาง ซูมู่เกอเห็นความหวาดกลัวที่หายวับไปในดวงตาของนางและเดาได้ว่าเมื่อคืนนางคงกลัวมาก
ซูจิงเหวินสวมชุดลายดอกบีโกเนีย คาดเข็มขัดที่เอว ที่มุมชุดของนาง มีดอกไม้น่ารักๆ เมื่อนางเดินช่วยเพิ่มความรู้สึกพริ้วไหวไปมา
ซูจิ่งเหวินดูเหมือนนางอันแม่ของนาง มีใบหน้ากลม สีชมพู น่ารัก หน้าผากเต็ม ดวงตากลมโต จมูกงอเล็กน้อยและริมฝีปากสีกุหลาบเหมือนเชอร์รี่ สิ่งเหล่านี้ทำให้คนรักเธอมากไม่ว่าเธอจะยิ้มหรือกำลังโกรธ
น่าเสียดายที่นางอันมักจะเอาแต่ใจนางเสมอจนเสียนิสัย กลั่นแกล้งและหยิ่งผยอง นางจึงดูไม่น่ารัก แต่น่าเกลียดแทน
ซูมู่เกอหันไปมองสาวใช้เยว์รู่ที่กำลังร้องไห้ เป็นสาวใช้คนสนิทของแม่เธอ คนเดียวที่พยายามช่วยเธอเมื่อเธอตกน้ำ
“เยว์รู่หน้าเจ้าเป็นอันใด?”
เยว์รู่สูดลมหายใจและสะอื้น “คุณหนูมู่เกอ ข้าไม่เป็นไร ข้าเผลอชนบางสิ่งมันเป็นอุบัติเหตุ”
ดวงตาของซูมู่เกอขยับเล็กน้อยและคิดว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่มีตารึ?”
“อะไรตีเจ้าถึงสามารถทำให้เป็นรอยนิ้วได้เช่นนั้น?”
ซูจิงเหวินสังเกตว่าซูมู่เกอไม่สนใจนางเลย และคิดได้ว่าเมื่อคืนหล่อนทำให้นางกลัว ก็เกิดความโกรธขึ้นมาอีก
“พี่มู่เกอ สาวใช้นางนี้ไม่นำทางมาดีๆ ข้าจึงสั่งสอนนางแทนพี่”
“โอ้ จริงๆรึ? สาวใช้คนไหนนำทางเจ้า?”
หยิงหงส์สาวใช้คนสนิทของซูจิงเหวิน ก้มหน้าเล็กน้อยโดยไม่ทำความเคารพใดๆ แล้วพูดว่า “ข้าเอง… อ๊ะ!”
“เพี๊ยะ!”
หยิงหงส์ยังพูดไม่ทันจบประโยคและใบหน้าของนางก็ถูกตบ
การตบไม่เพียงทำให้หยิงหงส์เท่านั้นที่ตกใจ แต่ยังรวมถึงซูจิงเหวินด้วย
หลังจากสิ่งที่ตัวเองได้รับ ไม่ว่าซูมู่เกอจะเป็นคนหรือผี ซูจิงเหวินขมวดคิ้วและกัดฟันพูดว่า “ซูมู่เกอ เจ้ามาตบสาวใช้ของข้าได้ยังไง!”
ซูมู่เกอมองไปที่นางและยิ้มบางๆให้
“ทำไมเจ้าถึงได้พูดเยี่ยงนี้ละน้องสาวของข้า ข้ากำลังสอนสาวใช้ที่ไม่มีวินัยให้เจ้า เพราะนางไม่ยอมคำนับข้า เมื่อนางเข้ามาในห้องนี้ เจ้าไม่คิดว่านางขาดวินัยหรือ?”
“เจ้า ดี เจ้ากล้าที่จะโต้เถียงข้า!
ซูจิงเหวินจ้องมองซูมู่เกอและคิดว่าหญิงสาวนั้นแปลกประหลาดเพียงใด โดยเฉพาะใบหน้า ที่เหมือนเดิม แต่มีความรู้สึกที่แตกต่างกัน
ในอดีต ไม่ว่านางจะรังแกซูมู่เกออย่างไร เธอแค่ร้องไห้จนเป็นลม แต่ไม่กล้าพูดโต้กลับมา
มีสิ่งสกปรกอยู่ในร่างกายของนาง!
แสงแดดส่องลงบนใบหน้าขาวซีดของซูมู่เกอ ซูจิงเหวินเห็นปานสีแดงเข้มบนตาขวาของนางทั้งหมด เห็นได้ชัด
นางไม่กลัวแสงและนางมีเงา ตอนนี้ ซูจิงเหวินเชื่อว่าซูมู่เกอเป็นมนุษย์ไม่ใช่ผี
ไม่ว่าซูจิงเหวินจะคิดอย่างไร ตอนนี้ ซูมู่เกอได้ครอบครองร่างนี้แล้วและนางตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร
ซูมู่เกอกลับลงไปนอนในโลงศพและหลับตาลงราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ท่านขุนนาง มันเป็นเรื่องจริง เราทุกคนเห็นว่าคุณหนูใหญ่ลืมตาขึ้นมา! นางตายด้วยความเสียใจชั่วนิรันดร์!”
“พวกเจ้าทุกคนหุบปากซะ!” ซูหลุนเข้ามาในห้องโถงไว้ทุกข์โดยสวมชุดหลวม ๆ ด้วยสีหน้าร้อนรนราวกับว่าหญิงสาวที่ตายแล้วไม่ใช่ลูกสาวของเขา
เขาตื่นขึ้นมาในห้องของนางสนม ดังนั้นเขาจึงเต็มไปด้วยความโกรธและความไม่อดทน
เขาไม่เชื่อในคำกล่าวที่ว่า“ ตายด้วยความเสียใจชั่วนิรันดร์” อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเข้าไปในห้องโถง ลมหนาวพัดผ่านฝ่าเท้าของเขาและวิ่งตรงไปด้านหลัง เขาตัวสั่นอย่างช่วยไม่ได้
เข้าไปในห้องโถง ซูหลุนได้เห็นโลงศพสีดำ เขากลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ชอบลูกสาวคนนี้มาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่านางจะตายไปแล้วก็ตาม นางก็ยังคงขัดจังหวะเขา
“ท่านขุนนาง มันมืดมากในตอนเย็น ข้ากลัวว่าพวกเขาจะแตกตื่น หมอยืนยันว่าคุณหนูใหญ่ไม่มีลมหายใจแล้ว”
เสียงของผู้หญิงมาจากนายหญิงอันผู้เป็นที่รัก ซูมู่เกอยืนยันได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้นซูหลุนก็ใส่ความรู้สึกผิดของเขาลงไป
เขาเดินไปที่โลงศพอย่างรวดเร็วและขมวดคิ้วเมื่อเห็นมัน
ซูมู่เกอเป็นแบบเดียวกับที่ถูกบรรจุลงในโลง ไม่มีอะไรแตกต่าง!
“คุณหนูใหญ่ก็ปกติ มีอะไรไม่ปกติ?”
“ตะ….แต่ เมื่อ….กี้นี้ พวกเราและคุณหนูสองทุกคนเห็นว่าคุณหนูใหญ่ลืมตาขึ้นมา!”
“ไร้สาระ!” ซูหลุนโกรธเกรี้ยวเพราะสิ่งที่ไร้ประโยชน์ทำลายความสุขของเขา
หากเหลือบตาไปมองที่โลงศพ ดวงตาที่ปิดสนิทนั้นหลบตาซ่อนเสียงหัวเราะของเธอไว้
“ท่านขุนนาง มันดึกมากแล้ว ท่านควรได้พักผ่อน ท่านต้องเข้าราชสำนักร่วมประชุมในตอนเช้า ข้าจะดูแลที่นี่เอง”
“ได้”
“อาห้าว!”
ซูหลุนกำลังจะจากไปในขณะที่ได้ยินเสียงหาวอย่างหนัก ราวกับว่ามีลมหายใจที่คน ๆ หนึ่งทำให้เขาแทบหมดแรง
เขาหยุดก้าวและมองไปที่นางอัน เขาถามว่า “ท่านกำลังทำอะไร?”
ตื่นเต้นเล็กน้อยและกล่าว่า “ข้าไม่ได้ทำอันใดเลย”
“ห้าวว!”
มีการหาวอีก
แน่ใจกับหาวครั้งนี้
ทั้งสองแข็งทื่อทันทีเพราะเสียงมาจากโลงศพ!
“ห้าวว!”
เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ
ซูหลุนรวบรวมความกล้าที่จะหันกลับไปมอง เขาเห็นซูมู่เกอเอื้อมแขนของเธอเหยียดตรงขึ้นมาและนั่งตรงในโลงศพ!
ดวงตาสีเข้มของซูมู่เกอที่ส่องแสงแปลกประหลาดมาที่ซูหลุน ริมฝีปากที่ปราศจากเลือดของนางเปิดขึ้นเล็กน้อย และดูเหมือนว่าซูหลุนจะเห็นฟันแหลมยาวในปากของนางซึ่งสามารถกินคนได้
“ ผะ ผะ ผี มีผีจริงๆ!”
นางอันกลัวแทบตาย จับมือซูหลุนตัวสั่นเทา
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย คุณหนูใหญ่เป็นผีดุราย นางเป็นผีดุ”
ทันใดนั้นดวงตาของนางอันหมุนคว้างและนางก็เป็นลมล้มตึง
ซูหลุนไม่ได้ดีไปกว่านางอัน ขาของเขาสั่นและทั้งร่างทรุดลงกับพื้น ดวงตาหวาดกลัวของเขาจ้องไปที่ซูมู่เกอที่กระโดดออกมาจากโลงศพ
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”
ซูมู่เกอกระโดดเข้าหาซูหลุนเหมือนผีดิบด้วยขาสองข้างพร้อมกัน ดวงตาสีเข้มของเธออยู่ใกล้กับเขาทีละนิดยกปากขึ้นเล็กน้อย
“เซอร์ไพรส์!”
“อ้ายยยยย!”
เสียงกรีดร้องแทบจะทำให้แก้วหูแตก ซูหลุนจ้องมองซูมู่เกอตัวสั่นสะท้านและปวกเปียก
ซูมู่เกอลอบมองของเหลวสีเหลืองกลิ่นเหม็นที่นองใต้ร่างของซูหลุน
“นั่นคือความกล้าหาญทั้งหมดของท่าน”
ผู้คนในห้องโถงแทบจะวิ่งหนี ซูมู่เกอคลายตัวเองและกัดไก่ย่างบนแท่นบูชา
“มูมู่ มูมู่ตื่นหรือยัง? มูมู่ของฉันตื่นหรือยัง?”
ซูมู่เกอยังไม่สมบูรณ์และเธอส่งเสียงโศกเศร้าอยู่นอกห้องโถงไว้ทุกข์
ซูมู่เกอเห็นหญิงตั้งครรภ์ผอมโซและเดินโซเซไปที่ห้องโถงสวมชุดสีขาวเรียบๆ
“มูมู่ท่านคือมูมู่จริงๆ ที่รักของข้า….” ผู้หญิงคนนั้นมีใบหน้ารูปไข่สวย เมื่อแรกเห็นคุณจะรู้ว่าเธอเป็นความงามอย่างไรก็ตามเธอร้องไห้บ่อยมากดวงตาสีอัลมอนด์ของเธอจึงแดงและบวมและใบหน้าของเธอซีดซึ่งซ่อนความงามดั้งเดิมของเธอไว้
เธอคือนางเจ้าแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอ ไม่มีเหตุผลที่ซูมู่เกอรู้สึกอึดอัดและเปรี้ยวใจเมื่อเห็นนางเจ้า
บางทีมันอาจจะเป็นความรู้สึกของคนรุ่นก่อน ท้ายที่สุดนางก็เป็นแม่ของเธอ
ในฐานะที่เป็นเด็กกำพร้า ซูมู่เกอไม่รู้ว่าจะจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร
ลังเลอยู่ครู่หนึ่งเธอตอบนางเจ้าว่า “ข้าเอง”
“มูมู่เจ้าสบายดีใช่ไหม? ขอพระเจ้าคุ้มครอง ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง”
ซูมู่เกอสวมกอดนางเจ้า ปลอบนางด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและเธอรู้สึกว่านางเจ้าผอมมากจริงๆ
“ใช่ข้ากลับมามีชีวิตอีกครั้ง” และข้าจะมีชีวิตที่ยอดเยี่ยมในนามของลูกสาวของท่าน!
โลงศพอันน่ากลัวตั้งอยู่กลางห้องโถงที่เรือนพำนักของซู คฤหาสน์ของเจ้าเมืองซุนหยาง
ลมหนาวพัดผ้าไหมสีขาวที่ประตูปลิวเอื่อยๆจนน่าขนลุกและทำให้น่าหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น
หญิงสาวชุดขาว นอนอยู่ในโลงศพ ดวงตาของเธอปิดสนิท ; ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยเลือด เธอหมดลมหายใจไปแล้ว
“คุณหนู คุณหนูใหญ่ตายแล้ว ปล่อยนางไปเถอะ อนุญาตเถอะเจ้าค่ะ?”
“ปล่อยมันไปเหรอ? ข้าจะไม่มีวันปล่อยนางไปแม้นางจะตายไปแล้ว ลากนางออกมา!”
หน้าโลงศพ หญิงสาวสวมชุดสีชมพูพีชจ้องมองหญิงสาวที่นอนอยู่ในโลงด้วยแววตาน่าเกลียดและสั่งให้คนรับใช้ลากศพนางออกมาอย่างดูถูกเหยียดหยาม!
เปลวเทียนสลัวริบหรี่ท่ามกลางลมหนาว กระพริบบนใบหน้าซีดเซียวของหญิงสาวในโลงศพ ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุก
คนรับใช้ที่ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งเอื้อมมือไปจับศพหญิงสาวด้วยความสั่นเทาและหวาดกลัว
เมื่อพวกเขาเข้าใกล้หญิงสาว นิ้วของเธอก็ขยับ
“ฮ๊ะ! โอ้วพระเจ้า! ผี! ผี!” คนรับใช้ตกใจร้องลั่นขาทรุดลงกับพื้น
คุณหนูคนที่สอง ซูจิงเหวินก็ตกใจเช่นกัน แต่นางก็ไม่กลัว แม้ว่าหญิงสาวในโลงศพจะยังมีชีวิตอยู่ นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่นางตายไปแล้ว
“สิ่งไร้ค่า!”
ซูจิงเหวินกล่าวและเตะพวกเขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อมองหญิงสาวในโลงศพ
หญิงสาวในโลงยังคงนอนอยู่ข้างในโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ซูจิงเหวินเชื่อมั่นมากว่าคนรับใช้กลัวกันไปเอง
“พวกแกคิดมากไปเอง มองข้าสิ…..”
ซูจิงเหวินจ้องคนรับใช้อย่างดูถูก เมื่อนางมองกลับไปที่โลงศพ หญิงสาวในโลงลืมตาตื่นขึ้นฉับพลัน!
การสบตากันทำให้ซูจิงเหวินกลัวจนไม่ตอบสนองใด
หญิงสาวในโลงมองไปที่ซูจิงเหวินด้วยดวงตาที่ลึกล้ำและมืดมน
“อ๊ะ อ๊ะ! หญิงสาวตายแล้วฟื้น นางลุกขึ้นมาแล้ว!” ซูจิงเหวินกรีดร้องและหันหน้าวิ่งออกจาห้องโถงไว้ทุกข์ไป
หญิงสาวในโลงศพลุกขึ้นตัวแข็งทื้อ หน้าไร้สีเลือดของนางดูน่ากลัวมากภายใต้เปลวเทียน
“ผี มีผี พี่ใหญ่กลายเป็นผีดุ!”
ทุกคนในห้องโถงไว้ทุกข์ตัวสั่นด้วยความกลัว พวกเขากลิ้งและคลานตะเกียกตะกายออกจากห้องโถง เสียงกรีดร้องอย่างตกใจทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนของคฤหาสน์ซูแตกสลาย
หญิงสาวในโลงศพชื่อซูมู่เกอมองดูผู้คนที่พ่ายแพ้และหนีไป เสียงเยาะเย้ยจาง ๆ ติดอยู่บนริมฝีปากที่ปราศจากเลือดของนาง
การเยาะเย้ยนั้นน่าขนลุกบนใบหน้าเล็ก ๆ ที่ซีดขาวของนาง
“ฉันไม่ได้คาดคิดว่าพระเจ้าจะเล่นตลกกับฉันขนาดนี้” ซูมู่เกอหัวเราะกับตัวเอง
เธอเป็นผู้นำทางการแพทย์ในศตวรรษที่ 21 เธอเพิ่งพัฒนายาตัวใหม่ที่สามารถฟื้นฟูจากการติดยาได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่คาดคิดเธอตกเป็นเป้าหมายของพ่อค้ายาและพวกมันจับเธอได้ เมื่อเพื่อนของเธอไปช่วยเธอทั้งคู่ก็ตกหน้าผาและเสียชีวิต
แทนที่จะตาย เธอได้เดินไปยังอีกเมืองทางอากาศ เมืองจูเพราะการเปลี่ยนแปลงของห้วงเวลาและได้กลายเป็นซูมู่เกอ หญิงสาวที่ตายอย่างอนาถ ลูกสาวคนโตของเจ้าเมืองซูนหยางชื่อ ซูหลุน
ซูมู่เกอเป็นลูกสาวคนแรกของนางเจ้า ภรรยาเดิมของซูหลุน ซูหลุนผู้ยากจนแต่กำเนิดได้แต่งงานกับนางเจ้าก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จในการสอบจองหงวนและมีซูมู่เกอ หลังจากประสบความสำเร็จ เขาได้รับความชื่นชอบจากเสนาบดีกรมพระคลังและได้แต่งงานกับลูกสาวของเขา อันยูหรง เหตุการณ์ไม่คาดคิด เมื่ออันยูหรงให้กำเนิดลูก นางเจ้ามาหาเขาพร้อมกับซูมู่เกอวัยหนึ่งขวบ นางอันโกรธมากทั้งที่นางเพิ่งให้กำหนิดลูกชื่อซูจิงเหวินในเช้าวันนั้น
ในเวลานั้น ขุนนางหลายคนดูหมิ่นซูหลุนและรวมกลุ่มรุมต่อต้านเขา เสนาบดีกรมพระคลังจึงต้องจัดให้เขาไปอยู่ในที่ห่างไกล เมืองหนึ่งของเขตปกครองหนานทงในฐานะผู้พิพากษาประจำเขต ซูหลุนไม่มีข้อเรียกร้องใด เขาค่อยๆก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าเมืองซุนหยางและในที่สุดความโกรธของเสนาบดีก็คลายลง เมื่อถึงเวลาซูหลุนสามารถกลับเข้าเมืองหลวงเพื่อรายงานงานของเขาได้
นางอันกลัวเป็นข่าวลือดังนั้นนางจึงแนะนำให้ซูหลุนพานางเจ้าและลูกสาวของนางไปด้วย เมื่ออยู่ต่อหน้า นางจะปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเคารพ ในขณะที่อยู่คนเดียว นางทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อขัดขวางพวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขามีชีวิตเลวร้ายด้อยกว่าคนรับใช้เก่าแก่บางคน
สาเหตุที่ทำให้ซูมู่เกอเสียชีวิตคือลูกชายของนายท่านแห่งสำนักการศึกษาหัวหลิน เมิ่งซิ่วเหวินมาเยี่ยมคฤหาสน์ซูเมื่อหลายวันก่อน และซูจิงเหวินผู้ชื่นชอบในตัวเมิ่งเห็นว่าซูมู่เกอแอบมองเขา นางคิดว่ามู่เกอกล้าที่จะรักชายในดวงใจของนาง ดังนั้นนางจึงหลอกล่อให้มู่เกอไปที่สระบัวและทำให้นางจมน้ำตาย
ซูจิงเหวินยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอและนางยังต้องการที่จะทารุณศพหลังจากมู่เกอเสียชีวิตไปแล้ว!
เมื่อซูมู่เกอกำลังคิดอยู่นั้น ก็มีเสียงฝีเท้าที่หยุ่งเหยิงมุ่งหน้ามา เมื่อได้ยินเช่นนี้ความตั้งใจที่เย็นชาในดวงตาของนางก็ยิ่งใหญขึ้น
เพิ่งมาถึงที่นี่ ขอจัดเซอร์ไพรครั้งใหญ่หน่อยเถอะ!