ฮ่องเต้ย่างกรายลงจากบัลลังก์ สาวเท้าไปหยุดตรงหน้าฮองเฮา แล้วกล่าวเสียงเย็น “กู้หยวนถง ข้าคิดผิดที่หลงไว้ใจเจ้า!” ยังกล่าวไม่ทันจบ เขาพลันยกเท้าขึ้นถีบไปที่หน้าอกฮองเฮา!
ตงฟางจั๋วหน้าถอดสี รีบกดตัวฮองเฮาลงบนพื้น ยังไม่ทันลุกขึ้น ฝ่าเท้านั้นก็ถีบลงมาที่กลางหลังเขาอย่างแรงอีกครั้ง! ของเหลวอุ่นคาวพลันทะลักขึ้นมาในลำคอ เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากมุมปากช้าๆ
ฮองเฮากรีดร้องเสียงแหลม “จั๋วเอ๋อร์! จั๋วเอ๋อร์!” ครั้นเห็นใบหน้าซีดเผือดของตงฟางจั๋ว หัวใจนางเจ็บปวดทรมาน พลันหันไปตวาดเสียงเกรี้ยว “ตงฟางทั่ว! ท่านยังเป็นคนอยู่หรือไม่! แม้แต่โอรสของตนเองก็ยังไม่ละเว้น!” นางโกรธเกรี้ยวจนเสียสติ ถึงขั้นขานเรียกชื่อเดิมของฮ่องเต้
ไอสังหารพาดผ่านดวงตา ฮ่องเต้กล่าวอย่างดุร้าย “เจ้าคงเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว!” วาจานี้แทบจะกล่าวเสียงลอดไรฟัน
“ใช่! ท่านไม่เห็นพวกเราสองแม่ลูกอยู่ในสายตาตั้งแต่แรกแล้ว!” เรื่องมาถึงขั้นนี้ ฮองเฮาไม่หวาดกลัวอะไรอีกแล้ว นางลุกนั่งหลังตรง สายตาเต็มไปด้วยเพลิงโกรธแค้น เอ่ยเสียงชิงชัง “ในหัวใจของท่าน ไม่เคยมีข้ากับจั๋วเอ๋อร์อยู่แม้แต่น้อย อย่าว่าแต่นางแพศยาเหลียงจื่อโหรวนั่นเลย ท่านไม่เคยรักใคร ไม่เคยรักใครเลย! คนที่ท่านรักที่สุดมีเพียงตัวท่านเท่านั้น!”
ฮองเฮาที่สูญเสียสติ ไม่มีความสูงสง่าเช่นในยามปกติอีกแล้ว นางในยามนี้ ไม่ต่างอะไรกับอวิ๋นเฟยที่เป็นบ้าไปแล้ว
เหล่าขุนนางที่เคยสนับสนุนฮองเฮายืนก้มหน้าเงียบอยู่ในตำหนัก ไม่ต้องเงยหน้าก็รู้สึกได้ถึงเพลิงโทสะที่ลุกท่วมฟ้าของฮ่องเต้แล้ว ยามนี้หากใครเสนอหน้าออกไปช่วยก็มีแต่จะกลายเป็นตัวกันกระสุนเท่านั้น!
สายตาคมปลาบของฮ่องเต้รุนแรงมากขึ้นเรื่อย เขาพยักหน้าพร้อมกับแสยะยิ้มเย็นชา ตะโกนสั่ง “ทหาร! ถอดยศฮองเฮาของกู้หยวนถง แล้วจับตัวนางไปขังในคุกมืดเดี๋ยวนี้!”
ตงฟางจั๋วหน้าถอดสี รีบตะโกนอย่างร้อนใจ “เสด็จพ่อโปรดอย่ากริ้ว เรื่องนี้จำต้องตรวจสอบให้ละเอียดอีกขั้นจึงจะตัดสิน…”
“หุบปาก!” ฮ่องเต้ตวาดเสียงเกรี้ยว “หลักฐานหนาแน่น ยังต้องตรวจสอบอันใดอีก? อวิ๋นเฟยและเถียนหย่ง พยานก็อยู่ที่นี่แล้ว กู้หยวนถงกระทำผิดอย่างไม่อาจให้อภัย นำตัวไปดำเนินคดีที่กรมอาญาบัดเดี๋ยวนี้!”
ครั้นวาจานี้ดังขึ้น กู้หยวนถงหน้าซีด ทุกคนในตำหนักก้มหน้าก้มตา หวาดกลัวอย่างไม่อาจบรรยาย มารดาแห่งแผ่นดินเช่นฮองเฮาถูกนำตัวไปดำเนินคดีที่กรมอาญา เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ได้มองและปฏิบัติต่อนางเฉกเช่นนักโทษที่มีความผิดมหันต์ไปแล้ว!
ตงฟางจั๋วหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ครั้นเห็นทหารนอกตำหนักเดินเข้ามาหมายจะจับกุมคน เขาไม่สนว่าจะเป็นการขัดราชโองการหรือไม่ ลุกขึ้นมาตะโกนเสียงดัง “ใครกล้าแตะต้องเสด็จแม่ของข้า?”
“จิ้งอันอ๋อง!” เสียงตวาดเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น ซูหลีเงยหน้ามอง กลับเห็นสายตาเคารพนบนอบของเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียน ในใจพลันบังเกิดหลากหลายความรู้สึก เสด็จพ่อจงรักภักดีกับฮองเฮาและตงฟางจั๋วมาโดยตลอด ยามนี้ครั้นเห็นฮองเฮาถูกถอดยศ เกรงว่าจะยิ่งห่างเหินกับนางไปเรื่อยๆ
ตงฟางจั๋วอึ้งงัน หลีเฟิ่งเซียนเดินเข้ามาคว้าแขนทั้งสองข้างที่ตั้งท่าเตรียมสู้ของเขา “ท่านอ๋องโปรดไตร่ตรองให้รอบคอบ! อย่าได้ละเมิดรับสั่งของฝ่าบาท!”
วาจาของเขาซื่อสัตย์จริงใจ ตงฟางจั๋วตาแดงก่ำ หมายจะเอ่ยวาจา กลับเห็นกู้หยวนถงหยัดกายยืนขึ้น นิ้วมือสั่นๆ ยกขึ้นสางเส้นผมที่ยุ่งเล็กน้อยตรงขมับ แล้วหันมามองเขา “จั๋วเอ๋อร์ แม่มีวันนี้ ล้วนเป็นเพราะทำตนเอง เจ้าจงจำไว้ให้ดี อย่าได้เชื่อใจคนข้างกายง่ายๆ โดยเฉพาะ…คนที่เจ้ารักที่สุด” นางตวัดสายตาโกรธแค้นไปที่ซูหลี ก่อนจะหมุนกาย แล้วเชิดหน้าเดินจากไป
“เสด็จแม่!” ตงฟางจั๋วตะโกนเสียงดัง น้ำตาหลั่งรินออกจากดวงตาในที่สุด!
ผ่านไปหลายวันแล้ว เหตุการณ์การเผชิญหน้ากันบนตำหนักจินหลวนอันชวนให้อกสั่นขวัญแขวน ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองซูหลี ทั้งสองคดีมีพร้อมทั้งหลักฐานและพยาน แม้ฮองเฮาจะเจ้าเล่ห์อีกเท่าใด ก็มิอาจหลุดพ้นความผิดไปได้ ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างยิ่ง สั่งถอดยศฮองเฮา ลดตำแหน่งให้เป็นสามัญชน ส่งตัวเข้าคุกมืดรอฟังคำตัดสิน ฮองเฮาถูกกุมตัวออกจากตำหนักท่ามกลางเสียงกรีดร้องอันโกรธแค้นและเศร้าโศก ซูหลีหันไปเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวจนกลายเป็นคับแค้นของตงฟางจั๋ว ความเจ็บปวดและสิ้นหวังในสายตานั้นวนเวียนอยู่ในใจของนางไม่ยอมหายไป
ซูหลีกับตงฟางเจ๋อร่วมมือวางอุบาย ไม่กลัวที่จะกระทำผิดด้วยการลบหลู่เบื้องสูง ฮ่องเต้ยังคงพิโรธไม่หาย เดิมหมายจะลงโทษสถานหนัก ตงฟางเจ๋อกับซูหลีต่างปกป้องซึ่งกันและกันด้วยชีวิต ขุนนางกว่าครึ่งราชสำนักพยายามเกลี้ยกล่อม แม้แต่เซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนก็ยังออกปากขอร้องด้วย ฮ่องเต้ทราบดี มิอาจมองข้ามความเห็นคนส่วนใหญ่ ชะตาของซูหลีไม่ธรรมดา หากสั่งลงโทษเกรงว่าจะมีผลเสียมากกว่าผลดี ฉะนั้นจึงลงโทษเล็กน้อยเพื่อเป็นการตักเตือน สั่งให้นางเดินทางไปคัดบทพระธรรมคำสอนที่อารามฝอกวงเป็นเวลาหนึ่งเดือน เพื่อเป็นการลงโทษ
วันนี้ แสงยามรุ่งอรุณเพิ่งจะมาเยือน ซูหลีก็พาโม่เซียงและหวั่นซินเดินออกจากเรือน หน้าประตูจวนท่านหญิง ไร้เงาคนส่ง ฮ่องเต้มีรับสั่ง ใครเล่าจะกล้าขัดขืน? นางอดทอดถอนใจไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะมีเกียรติสูงส่งเท่าใด ใต้ฟ้าก็ขึ้นอยู่กับคนที่มีอำนาจสูงสุดผู้นั้นแต่เพียงผู้เดียว มิน่าเล่าตั้งแต่ในอดีต จึงมีคนมากมายที่ทุ่มเทกายใจเพื่ออำนาจสูงสุดนั้น กระทั่งไม่ยอมไว้หน้าผู้ใด ไม่เลือกวิธี ฮองเฮาเป็นเช่นนี้ เกรงว่า…คนที่มีคุณสมบัติที่จะแย่งชิงอำนาจนั้นอย่างแท้จริง ยิ่งเป็นอย่างนี้
สายตาของซูหลีพลันหม่นหมองลงหนึ่งส่วน หวั่นซินเดินเข้ามาปลอบเสียงเบา “องค์หญิงเจาหวามีเรื่องต้องไปทำในวังแต่เช้า นางทิ้งข้อความไว้ ขอให้คุณหนูเดินทางปลอดภัย รีบกลับมาโดยเร็วเจ้าค่ะ”
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย “นางช่างใส่ใจยิ่งนัก ครานี้ที่สามารถล้มฮองเฮาได้ นางมีส่วนช่วยอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ บางที ข้าอาจเข้าใจนางผิดไป”
หวั่นซินดึงมือนางขึ้นรถม้า “คุณหนูไม่จำเป็นต้องคิดมาก ไปอารามฝอกวงเพียงหนึ่งเดือน ประจวบเหมาะพอดีจะได้สงบจิตสงบใจ ท่านจะได้ฝึกวรยุทธ์อย่างวางใจด้วย”
รถม้าเคลื่อนตัวออกจากเมือง ท่ามกลางหมอกบางยามเช้าตรู่ เหลือไว้เพียงเงามืดที่ทอดยาวบนพื้น
ครั้นออกจากเมืองเข้าสู่ถนนหลวง รถม้าเคลื่อนตัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ ต้นไม้สองข้างทางเคลื่อนผ่านไปข้างหลังอย่างรวดเร็วดั่งสายน้ำ ราวกับเป็นเงาลวงตา หัวใจของซูหลีสงบลงไม่น้อย หลังจากเดินทางมาได้หนึ่งลี้ เบื้องหน้าพลันปรากฏม้าสองตัวขวางถนนไว้ ม้าตัวหนึ่งในนั้นองอาจผึ่งผาย คือยอดอาชาอูจุยนั่นเอง
รถม้าพลันหยุดชะงัก หวั่นซินที่นั่งอยู่หน้ารถอึ้งงัน ยังไม่ทันเอ่ยคำใด บุรุษบนม้าก็พลันโฉบขึ้นมาบนรถม้าอย่างรวดเร็วราวกับว่าวถลาลม
“มีเรื่องใดหรือ?” ซูหลีแหวกม่านรถ ลมหนาวพัดปะทะเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว มีเพียงนัยน์ตาเปล่งประกายลึกล้ำของเขาที่มองมาด้วยรอยยิ้ม
โม่เซียงดีใจอย่างไม่อาจปกปิด รีบเดินออกไปนั่งหน้ารถอย่างรู้สถานการณ์ ขายาวก้าวเข้ามาในรถม้า นั่งลงข้างกายนาง และกุมมือนางไว้
ความอ่อนโยนที่คุ้นเคยทำให้หัวใจนางอบอุ่น ซูหลีอึ้งไปครู่หนึ่ง ก็ถามอย่างสงสัย “ท่านอ๋องมาได้อย่างไรเพคะ?”
“เจ้าคิดว่าข้าจะไม่มาหรือ?” เขามองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง ปกปิดความเสน่หาที่เอ่อล้นอยู่ในดวงตาไม่มิด
นางพลันหลุดหัวเราะ “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้หม่อมฉันไปรับโทษ ห้ามผู้ที่มีตำแหน่งทางการไปส่งเด็ดขาด”
“ข้าไม่มีตำแหน่งทางการ มาส่งว่าที่พระชายาของตนเอง ใครกล้าขัดขวาง?” เขายิ้มอย่างไม่ใส่ใจ มืออีกข้างก็ยกมากุมด้วย ไออุ่นแผ่ซ่าน ทำให้หัวใจนางอบอุ่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ซูซู” เขาเรียกนางเสียงเบา พาให้ใจนางสั่นไหว ถึงแม้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ใกล้ชิดกับเขา แต่ทุกครั้งที่ได้ยินเขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นนี้ นางก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะใจเต้น
“การตัดสินคดีเพิ่งอยู่ในระยะเริ่มต้น ท่านอ๋องยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก ความจริง…ไม่จำเป็นต้องมาส่งก็ได้” นางทอดถอนใจ ครั้งนี้แม้นางช่วยเขาไว้ แต่กลับเกือบทำให้เขาพลอยเดือดร้อนไปด้วยแล้ว
“ถึงแม้มีเรื่องใหญ่เพียงใด ก็ไม่สำคัญเท่าเจ้า” ราวกับอ่านความคิดนางออก เขากุมมือนาง แล้วยกขึ้นวางบนริมฝีปากตนเองเบาๆ “กู้หยวนถงมากเล่ห์เหลี่ยม หากคราวนี้ไม่ใช่เพราะความปราดเปรื่องของเจ้าที่สั่งให้หวั่นซินปลอมตัวเป็นอวิ๋นเฟยก่อน จนรู้สาเหตุที่ทำให้นางคลุ้มคลั่ง เกรงว่าเราคงล้มกู้หยวนถงไม่ได้!” เขาหยุดกล่าวไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาดำขลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้น จ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง “ซูซู…ขอบใจเจ้ามากนะ! แต่ข้ากลับทำให้เจ้าลำบากเสียแล้ว!”
…………………………………………………