นางกับหยางเซียวไม่คาดคิดว่า อักษรที่ซ่อนอยู่บนกระดาษหิมะจะเป็นจดหมายลับที่จางเจียนเขียนถึงฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน! ทุกการกระทำของเสด็จน้ายามอยู่ในกองทัพรุ่ยเฟิง ถูกเขาจดบันทึกเอาไว้อย่างละเอียดไม่มีขาดตกบกพร่อง ยามนี้จางเจียนตายไปแล้ว ฉะนั้นพวกเขาสองคนจึงไม่กล้ารอช้า รีบเดินทางเข้าวังมาถามความจริงกับฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนทันที
และทั้งสีหน้ากับการกระทำของเขาในยามนี้ ล้วนกำลังยืนยันว่าเนื้อหาในจดหมายเป็นความจริงทั้งสิ้น ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนรู้ฐานะของมือสังหารจางเจียนเป็นอย่างดี หรือว่า…เรื่องการลอบสังหารทูตในครั้งนี้เป็นคำสั่งของฮ่องเต้จริงๆ? หากเป็นเช่นนั้นจริง เช่นนั้นเขาต้องเป็นคนน่ากลัวขนาดไหนกัน จึงได้วางแผนการซับซ้อนขนาดนี้เพื่อใส่ร้ายเสด็จน้า พลันนั้นนางนึกขึ้นได้ หยางเจิ้นเคยบอกกับนางหลายครั้ง ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเขา ยามนี้ดูแล้วไม่ใช่วาจาไร้มูลเหตุแต่อย่างใด
นางใคร่ครวญอีกครั้ง แล้วก็เกิดสงสัยขึ้นมา แม้ว่าฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนจะเป็นคนลงมือทำร้ายหยางเจิ้น แต่เหตุใดเขาจึงต้องเลือกลงมือในเวลานี้? สัญญาสงบศึกเพิ่งจะถูกลงนามไป เงื่อนไขชดเชยที่แคว้นเฉิงเสนอให้ในคราวนี้ยอดเยี่ยมมาก ทว่าเงินทองจำนวนมหาศาลขนาดนั้นยังไม่ทันถึงมือ ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนจะใช้วิธีโง่เง่าเช่นนี้มายั่วยุให้ทูตจากแคว้นเฉิงโกรธได้อย่างไรกัน?
ตอนแรกหลักฐานชี้ไปที่เสด็จน้า จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทางมายังฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน เบาะแสทุกอย่างชัดเจนมาก แต่กลับมีจุดน่าสงสัยซ่อนอยู่ด้วยเช่นกัน เรื่องนี้…มีความซับซ้อนมากมายซ่อนอยู่ในความชัดเจน ผู้ใดกันแน่…ที่เป็นคนร้ายตัวจริง?
หยางเซียวยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน เขามองเห็นท่าทางของซูหลีที่กำลังมองพิจารณาสีหน้าของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนอย่างชัดเจน เขาพลันนึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย ตอนนั้นเขาพยายามร้องขอให้ซูหลีมาช่วยสืบคดี เพียงเพราะต้องการให้นางเห็นจิตใจอันทะเยอทะยานที่หยางเจิ้นซุกซ่อนเอาไว้ แต่นึกไม่ถึงว่าทุกอย่างกลับตาลปัตร เบาะแสที่สืบเจอกลับชี้มาที่เสด็จพ่อ!
หยางเซียวเอ่ยเสียงเบา “กรมอาญาเจอสิ่งนี้ในที่พักของผู้ต้องสงสัย ลูกเองก็ตกใจ เหตุใดกระดาษหิมะที่มีเฉพาะในวังหลวง จึงได้ปรากฏอยู่ในที่พักของผู้ต้องสงสัย เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นของบรรณาการ เสด็จพ่อเองก็ใช้น้อยครั้งมาก และเนื้อความบนกระดาษ…” เขาหยุดพูด ลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ลูกไม่กล้าเสียเวลา จึงตั้งใจกลับมาถามเสด็จพ่อให้แน่ชัดทันที”
สีหน้าของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนตึงเครียด เขาจ้องกระดาษหิมะแผ่นนั้นพูดอะไรไม่ออก คล้ายไม่อยากเชื่อ ทำได้เพียงแค่นหัวเราะเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ดี ช่างดีเหลือเกิน! นึกไม่ถึงว่าข้ากลับเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ไว้! เสียแรงที่ข้าไว้ใจเขาถึงเพียงนี้!”
ครั้นวาจานี้หลุดออกไป ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนได้ยอมรับอย่างไร้ข้อกังขาแล้วว่า เนื้อหาในกระดาษเป็นความจริง จางเจียนที่ตายไปแล้วมีการติดต่อกันอย่างลับๆ กับเขาดังคาด หยางเซียวสะท้านไปทั้งใจ อดหันไปมองซูหลีไม่ได้
“คนผู้นี้รับคำสั่งจากฝ่าบาทจริงหรือเพคะ?” ซูหลีจ้องตรงไปที่ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเงยหน้าช้าๆ สายตาคมปลาบพาดผ่านทันใด เขากล่าวว่า “เจ้ากำลังสงสัยข้า?”
“ซูหลีมิกล้า เพียงต้องการทูลถามสาเหตุ และสืบหาความจริงให้ชัดเจนเพคะ” ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงเฉียบแหลม ซูหลีเพียงยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เกี่ยวพันถึงความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองแคว้น สมควรต้องตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ฝ่าบาทโปรดตรัสอย่างตรงไปตรงมาด้วยเพคะ”
หยางเซียวเองก็มีแต่คำถามอยู่เต็มหัวไปหมด เขารีบกล่าวเสริม “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ นี่มันเรื่องอันใดกันแน่?”
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จึงค่อยเปิดปากพูดว่า “ห้าปีก่อนในหน่วยองครักษ์หลวง มีคนผู้หนึ่งนามว่าจางเจียน คนผู้นี้มีศิลปะการต่อสู้อันโดดเด่น ใจกล้าละเอียดรอบคอบ มีผลงานด้านการคุ้มกันหลายครั้ง ข้า ค่อนข้างชื่นชมในตัวเขา”
“กระทั่งสามปีก่อน ข้าสั่งให้เขาทำภารกิจพิเศษอย่างหนึ่ง ข้าถอดเขาออกจากหน่วยองครักษ์หลวง แล้วย้ายไปประจำในกองทัพ ไม่นาน เซียวอ๋องก็เล็งเห็นฝีมือของเขา จึงสั่งย้ายเขาไปอยู่ในกองทัพรุ่ยเฟิงด้วยตนเอง สุดท้ายจางเจียนก็ทำให้เซียวอ๋องไว้วางใจสำเร็จ”
หยางเซียวกับซูหลีสบตากันทันที นางกล่าวเสียงขรึม “ซูหลีขอบังอาจทูลถาม ภารกิจที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้จางเจียนไปทำ คือจับตาดูพฤติกรรมของเซียวอ๋องหรือเพคะ?”
“ถูกต้องแล้ว” ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนพยักหน้า ครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้ เขาก็มองซูหลีด้วยสายตาลึกซึ้ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้าสัมผัสได้แต่แรกแล้ว หยางเจิ้นผู้นี้มีเจตนาแอบแฝงอันยากจะคาดเดา จึงได้ส่งจางเจียนไปอยู่ข้างกายเขา เพื่อสืบหาความจริง สองปีมานี้ จางเจียนคอยเก็บรายละเอียดทุกการเคลื่อนไหวของหยางเจิ้น และใช้กระดาษหิมะส่งข่าวมาให้ข้าตรงเวลาเสมอ”
เขาค่อยๆ พลิกกระดาษที่มีสีขาวดั่งหิมะในมือ พลางเอ่ยเสียงเย็นชา “เนื้อหาเหล่านี้ เป็นข้อมูลในสองปีที่ผ่านมา ดูท่าเขาคงทรยศข้ามานานแล้ว!”
หยางเซียวกล่าวอย่างดูแคลน “จางเจียนเจ้าคนสารเลว เข้าไปอยู่ในกองทัพรุ่ยเฟิงเพียงหนึ่งปีก็ถูกหยางเจิ้นซื้อตัวไปแล้ว! กระดาษหิมะจำต้องใช้น้ำยาชนิดนั้นทำให้ปรากฏร่องรอย ภายนอกดูเหมือนเป็นแค่กระดาษสีขาวธรรมดา เขากลับซ่อนมันไว้อย่างมิดชิดถึงเพียงนี้ จดหมายทุกฉบับถูกคัดลอกเอาไว้อย่างละเอียด เห็นได้ชัดว่ามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่!”
“เหอะ! แล้วอย่างไรเล่า?” ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกล่าวเสียงเย็นชา “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารทูต ข้าไม่เคยสั่งให้จางเจียนลอบสังหารทูตจากแคว้นเฉิง!”
หยางเซียวเอ่ยอย่างเคียดแค้น “เรื่องนี้หยางเจิ้นเป็นผู้สั่งให้เขาลงมือทำแน่นอน!” ความแค้นทั้งเก่าและใหม่ประดังประเดเข้ามา เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธแค้นถึงขีดสุดแล้ว ถึงขั้นเรียกชื่อหยางเจิ้นออกมาโดยตรง
“ข้าสั่งให้ผู้ใดกระทำสิ่งใดงั้นหรือ? องค์ชายสี่มิสู้อธิบายให้ข้าฟังสักหน่อย?” เสียงคำรามเคร่งขรึมเสียงหนึ่งพลันดังเข้ามาจากด้านนอกตำหนักฉินเจิ้ง ไม่นานคนผู้หนึ่งก็สาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามา ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววเย็นยะเยือกอย่างเห็นได้ชัด
กลับเป็นเซียวอ๋องหยางเจิ้น!
ทั้งสามคนหน้าเปลี่ยนสีไปทันที
ซูหลีลอบขมวดคิ้ว เหตุใดจู่ๆ เสด็จน้าจึงได้เสด็จมา?
หยางเจิ้นสาวเท้ายาวๆ เข้ามาในตำหนัก แล้วกล่าวเสียงดัง “ถวายบังคมฝ่าบาท!” ไม่รอให้ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเอ่ยปาก เขาลุกขึ้นเอง แล้วเดินตรงไปหาหยางเซียว ถามเน้นย้ำทีละคำ “เจ้าเอาแต่บอกว่าข้าบงการคนให้ทำเรื่องชั่วช้า มีหลักฐานหรือไม่?” เขาเค้นถาม แววเหี้ยมเกรียมพาดผ่านดวงตา เห็นได้ชัดว่าเริ่มโกรธแล้วจริงๆ
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกับหยางเซียวหน้าเปลี่ยนสีทันใด ถึงแม้กระดาษกองนี้จะไม่ได้มีหลักฐานยืนยันว่าการลอบสังหารเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน แต่หากหยางเจิ้นรู้เนื้อหาที่อยู่ในกระดาษ ดูจากความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายในยามนี้ มีแต่จะเป็นการราดน้ำมันลงบนกองเพลิงเท่านั้น
ซูหลีพลันสงสัย นางกับหยางเซียวเจอเบาะแสในกรมอาญาก็รีบเข้าวังมาทันที ไม่รอช้าแม้แต่น้อย เหตุใดหยางเจิ้นกลับมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนในยามนี้อย่างพอดิบพอดี ราวกับคำนวณเอาไว้แล้วอย่างไรอย่างนั้น? ครั้งที่แล้วที่เขาปกป้องนางจากโทษตาย ก็บังเอิญมาได้ถูกเวลามากเช่นกัน
นางสะดุดใจเล็กน้อย ลอบสังเกตเขาเงียบๆ เขาในยามนี้อารมณ์พลุ่งพล่าน ถมึงตาจ้องหน้าหยางเซียว ไอพิฆาตเย็นเยียบพาดผ่านดวงตา พริบตาเดียวก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
“เหตุใดจึงไม่ตอบ? หรือมีเรื่องใดปิดบังไว้เช่นนั้นหรือ?” หยางเจิ้นยังคงเค้นถามต่ออย่างไม่ยอมลดละ พลันนั้น เขาตวัดสายตาไปยังกระดาษหิมะกองนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะทรงงาน บนกระดาษแผ่นที่อยู่ด้านบนสุด อักษรคำว่าหยางเจิ้นโดดเด่นสะดุดตา
สีหน้าของหยางเจิ้นพลันเปลี่ยน เขาสาวเท้ายาวๆ ไปที่โต๊ะ แล้วเอื้อมมือไปหยิบ
หยางเซียวตาไวมือไว ชิงคว้ากระดาษกองนั้นไว้ก่อน เงาร่างสีแดงโฉบไหว พริบตาเดียวก็ไปปรากฏกายอยู่กลางตำหนักฉินเจิ้งแล้ว
หยางเจิ้นพลาดท่า จึงตะโกนถามด้วยเสียงเกรี้ยวกราดทันที “เจ้าซ่อนอันใดไว้? มีเรื่องใดที่เปิดเผยไม่ได้งั้นหรือ?” วาจาและการกระทำของเขาเหิมเกริมเช่นนี้ คล้ายไม่เห็นฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนอยู่ในสายตา
ซูหลีเองก็อดไม่ได้ที่จะหน้าเปลี่ยนสี เหตุใดเสด็จน้าจึงได้บุ่มบ่ามเช่นนี้?
“บังอาจ!” เกียรติของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนถูกลบหลู่ท้าทายอย่างไม่ต้องสงสัย เขาตบโต๊ะด้วยความพิโรธ ชี้หน้าหยางเจิ้นแล้วตวาดเสียงเกรี้ยว “หยางเจิ้น ข้าอยู่ตรงนี้ เจ้าถึงขั้นบังอาจหยิบฉวยของโดยไม่ขออนุญาต ยังเห็นข้าอยู่ในสายตาหรือไม่!”
หยางเจิ้นพลันหมุนกาย สีหน้าเขียวคล้ำ เห็นได้ชัดว่าโกรธจัดไม่น้อย หลักฐานอยู่แค่ตรงหน้าแท้ๆ แต่กลับมิอาจหยิบมาดูให้เห็นกับตา เขายืนแผ่นหลังเหยียดตรงเผชิญหน้ากับเสียงตวาดของฮ่องเต้ โต้กลับด้วยวาจาเสียดสีอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์ของน้อง น้องย่อมต้องใส่ใจเป็นพิเศษ! ขอบังอาจทูลถามฝ่าบาทสักคำ เหตุใดหยางเซียวจึงต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่ยอมส่งมอบหลักฐาน?”
…………………………