กฎในลัทธิธิดาเทพ ธิดาเทพห้ามแต่งงานและมีบุตรตลอดชีวิต หลังจากไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดข้าก็ตัดใจทิ้งลูกในท้องไม่ได้ จึงได้ตัดสินใจไปจากแคว้นเปี้ยนโดยไม่สนใจผลที่จะตามมา!
หากท่านยังเห็นแก่ความรัก ณ หุบเขา ก็ขอให้มาพบกันที่เรือนหลังเก่าสักครั้ง
ท้ายจดหมายประทับตรารูปแหวนไว้ ซูหลีหยิบแหวนมาทาบ แล้วก็ค้นพบว่าพอดีดังคาด น้ำตาพลันหลั่งริน
จดหมายฉบับนี้เป็นลายมือของเสด็จแม่ ถึงแม้สั้นกระชับ แต่กลับบ่งบอกถึงปมในอดีตระหว่างนางกับฮ่องเต้ได้อย่างชัดเจน แต่ละคำล้วนแฝงไว้ด้วยน้ำตาที่หลั่งไหลเป็นสายเลือด ซูหลีสามารถจินตนาการได้ว่ายามนั้นเสด็จแม่สับสน หวาดกลัว และทุกข์ใจถึงเพียงใด…แต่กลับไม่อาจจินตนาการถึงความสิ้นหวัง ที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจเลือกและรอคอยเช่นนั้นได้
ฮ่องเต้กล่าวด้วยสีหน้าโศกเศร้ารันทด “ปีนั้น ข้าไม่ได้ทอดทิ้งนาง เพียงแต่ยามนั้นเกิดเหตุการณ์ก่อกบฏ ตำหนักบูรพาขององค์รัชทายาทถูกหัวหน้ากบฏยึดครอง จดหมายถูกส่งมาที่ตำหนักบูรพา จึงถูกพวกกบฏยึดไป ข้าได้รับบาดเจ็บหนักระหว่างทางกลับวัง จึงซ่อนตัวดูสถานการณ์อยู่ข้างนอก จนกระทั่งเหตุการณ์ก่อกบฏสงบลง กว่าข้าจะพบจดหมายฉบับนั้นก็ผ่านไปหลายวันแล้ว…ข้า รีบเดินทางหามรุ่งหามค่ำไปที่หุบเขาอวี๋ชิง แต่มารดาเจ้ากลับไม่อยู่ที่นั่นแล้ว…”
ครั้นย้อนนึกถึงวันเวลาอันมืดมนที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเจ็บปวด ฮ่องเต้ก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว ทรมานจนไม่อาจพูดต่อไปได้
หลางฉ่างถอนหายใจ กล่าวว่า “เพราะอาการบาดเจ็บสาหัสยังไม่หายดีก็เร่งเดินทางแล้ว จากนั้นมาเสด็จพ่อจึงมีอาการป่วยเรื้อรัง รักษามาเป็นเวลานานก็ไม่หาย ตั้งแต่นั้นมา เสด็จพ่อส่งคนจำนวนมากออกไปตามหา แต่ค้นหาทั่วทั้งแคว้นติ้งแล้วก็ยังไม่มีเบาะแสของมารดาเจ้า ต่อมาสืบรู้ว่าพวกกบฏที่เคยได้รับจดหมาย เพื่อบังคับให้เสด็จพ่อยอมจำนน พวกเขาเคยส่งคนไปจับตัวมารดาเจ้าที่หุบเขาอวี๋ชิง…ข้าเดาว่า ตอนนั้นเสด็จแม่ของเจ้าจะต้องคิดว่าเสด็จพ่อเป็นคนส่งพวกนั้นไปแน่นอน ฉะนั้นจึงได้เจ็บปวดและสิ้นหวัง สุดท้ายก็ตัดสินใจแต่งงานกับเซ่อเจิ้งอ๋อง”
ซูหลีตะลึงงัน ที่เขากับเสด็จแม่ต้องแยกจากกันกลับเป็นเพราะความเข้าใจผิด! “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?!”
ฮ่องเต้ขอบตาร้อนผ่าว “ตลอดชีวิตนี้ข้าไม่เคยเลิกตามหามารดาเจ้าและลูกของเราเลย ภายหลังมีข่าวว่ามารดาเจ้าอาจอยู่ที่แคว้นเฉิง ข้าให้ฉ่างเอ๋อร์ไปสืบหามากว่าสิบปี แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีเบาะแสของพวกเจ้า ต่อมา…ฉ่างเอ๋อร์อาศัยโอกาสที่ท่านอ๋องแห่งแคว้นเฉิงเลือกพระชายา เดินทางไปยังแคว้นเฉิงพร้อมคณะทูต ข้าเคยเอารูปมารดาเจ้าให้เขาดู ให้เขาถือโอกาสไปตามหาพวกเจ้า แต่ว่า…”
หลางฉ่างกล่าว “เสด็จพ่อ! เพราะลูกรู้สึกว่าท่านหญิงหมิงซีคล้ายคนในภาพวาดมาก สงสัยว่านางเป็นทายาทรุ่นหลังของคนในภาพ ฉะนั้นจึงได้มอบหยกห้อยเอวให้นาง และนัดหมายให้นางมาหาที่นี่ เพื่อให้เสด็จพ่อยืนยันเรื่องนี้ด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หันไปมองหลางฉ่าง “ดีมาก! เด็กดี พ่อตำหนิเจ้าผิดไปแล้ว เรื่องนี้เจ้าทำได้ดีมาก!”
หลางฉ่างแย้มยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ยามนี้ในที่สุดลูกก็ตามหาน้องหญิงเจอแล้ว เสด็จพ่อทรงวางพระทัยได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกเราครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว”
ฮ่องเต้กุมมือซูหลีแน่น ยิ้มทั้งน้ำตา “ดี ดีเหลือเกิน หลายปีมานี้…ข้าตามหาเจ้ามานาน ในที่สุดก็ได้เจ้าเจอแล้ว…องค์หญิงฉางเล่อของข้า!”
ซูหลีเงยหน้ามองเขา ยิ่งนานอารมณ์ก็ยิ่งสับสนยากจะสงบ
ฮ่องเต้กล่าวเสียงปนสะอื้น “หากมารดาเจ้ายังอยู่…ไม่รู้ว่านางจะให้อภัยข้าหรือไม่…ตอนที่ข้ารู้ว่านางเป็นคนของลัทธิธิดาเทพ ข้าโกรธแค้นจนเกือบสังหารนางด้วยมือตนเอง แต่สุดท้ายข้าก็ยังคงสังหารนางไม่ลง…เดิมทีนึกว่าพวกเราแยกจากกันอย่างนี้ อาจเป็นจุดจบที่ดีที่สุดแล้ว นึกไม่ถึง…สุดท้ายข้าก็ยังทำร้ายนางอยู่ดี!”
น้ำตาของซูหลีหลั่งรินออกมา สายตาพร่ามัว เขาไม่ใช่ฮ่องเต้ที่น่าเกรงขามเช่นเมื่อครู่อีกแล้ว แต่เป็นบิดาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเฝ้ารอคอยเสมอมา หัวใจอันแข็งกร้าวของนางพังทลายลงมาในที่สุด
หลางฉ่างดุนหลังนางเบาๆ “ฉางเล่อ เรียกเสด็จพ่อเร็วเข้า!”
ซูหลีอ้าปาก แต่กลับไม่อาจเปล่งเสียง
ฮองเฮาทนดูไม่ได้ จึงก้าวออกมา แล้วกล่าวว่า “เด็กดี ลำบากเจ้ามานานแล้ว ถึงแม้ตอนนั้นพ่อเจ้าจะมีความผิด แต่เห็นแก่ที่เขาทุกข์ทรมานด้วยความคะนึงหามานานหลายปี อย่าได้ถือโทษโกรธเขาอีกเลย ได้หรือไม่? หากมารดาเจ้ายังอยู่ จะต้องหวังให้ลูกของนางกลับมาหาบิดาบังเกิดเกล้าอย่างแน่นอน!”
ซูหลีก้มหน้า ปล่อยให้น้ำตาไหลริน ลึกๆ ในใจกลับรู้สึกหวาดกลัว
ฮ่องเต้ลุกขึ้นยืน เอื้อมมืออันสั่นเทาไปกุมแขนนาง “ฉางเล่อ! ตั้งแต่ที่ข้ารู้ว่ามีเจ้า ข้าก็ตั้งชื่อให้เจ้าว่าฉางเล่อทันที ฉางเล่อ หวังว่าเจ้าจะมีความสุขไปตลอดชีวิต! นึกไม่ถึง ข้ากลับทำให้เจ้าลำบากตรากตรำ…ขอโทษจริงๆ…ชีวิตนี้ขอเพียงได้ยินเจ้าเรียกว่าเสด็จพ่อสักครั้ง แม้ตายข้าก็ไม่เสียดายอีกแล้ว…”
เท้าของเขาอ่อนแรง แทบจะหมดสติล้มลงไปอีกครั้ง ซูหลีตกใจ รีบเข้าไปประคองเขา
มือของนางจับมือของเขา สายตาสองคู่สานประสบ เลือดข้นกว่าน้ำ สายสัมพันธ์ของครอบครัวหยั่งรากลึกลงไปในสายเลือด
ฮ่องเต้ขานเรียกเสียงสั่น “ฉางเล่อ…”
น้ำตาไหลอาบใบหน้าของนาง นางสะอื้นไห้แล้วขานเรียก “เสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้รั้งซูหลีเข้าไปกอด ร้องไห้ด้วยความปลื้มปีติ หลางฉ่างที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง ในที่สุดก็ยิ้ม
“หม่อมฉันยินดีกับฝ่าบาทด้วยเพคะ ในที่สุดครอบครัวก็พร้อมหน้า!” ฮองเฮากล่าวด้วยความยินดี
“ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท! ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิงฉางเล่อ!” ทุกคนคำนับอย่างพร้อมเพรียง เสียงสรรเสริญดังก้องตำหนักอี๋หวา
วันต่อมา ฮ่องเต้แคว้นติ้งมีพระราชโองการประกาศให้ไพร่ฟ้าปวงชนทราบโดยทั่วกัน องค์หญิงฉางเล่อที่หายสาบสูญไปนานหลายปีกลับมาแล้ว พระราชทานนามว่าหลางชิง บันทึกในลำดับวงศ์ตระกูล เป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ติ้งอันรุ่งเรืองตลอดไป และสั่งให้จัดงานเฉลิมฉลองการกลับมาขององค์หญิงพร้อมกับงานชุมนุมไป่จี๋ที่จะมีขึ้นในอีกหนึ่งเดือนกว่าๆ ให้หลังเป็นเวลาสามวัน
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น ตำหนักฉางเซิงของซูหลีมีแขกมาเยือนไม่ขาดสาย สมบัติล้ำค่ากองพะเนิน เสมือนกับว่าฮ่องเต้แคว้นติ้งต้องการชดเชยความรักของบิดาที่ขาดหายไปสิบเก้าปีให้กับนางด้วยวิธีนี้
ซูหลีนั่งเหม่อลอยอยู่บนทางเดินไม้นอกตำหนัก มองดูกล่องสมบัติล้ำค่าที่ฮ่องเต้เพิ่งสั่งให้คนยกมา ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจดี
หลางฉ่างกล่าวหยอกล้อ “ดูเหมือนเสด็จพ่อจะอยากย้ายสมบัติทั้งวังมาไว้ที่ตำหนักเจ้า อีกไม่นาน ตำหนักฉางเซิงของเจ้าคงจะกลายเป็นตำหนักฉางเป่า[1]แล้วกระมัง”
นางกำนัลที่อยู่รอบๆ อดหัวเราะไม่ได้
ซูหลีเองก็แย้มยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็รบกวนเสด็จพี่ที ช่วยบอกเสด็จพ่อว่าอย่าส่งอะไรมาอีกเลย มิเช่นนั้นจะไม่มีที่วางแล้วจริงๆ”
นับตั้งแต่คืนดีกับตงฟางเจ๋อ และมาตามหาครอบครัวที่แคว้นติ้ง ปมในใจถูกคลี่คลาย นางก็ดูผ่อนคลายต่างจากยามปกติ และเริ่มพูดคุยหยอกล้อบ้างเป็นบางครั้ง
หลางฉ่างเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยามนี้ในใจเสด็จพ่อ เจ้าเปรียบเสมือนไข่มุกล้ำค่าที่ประคองไว้กลางฝ่ามือ เสด็จพ่อแม้มอบสิ่งที่ดีที่สุดในโลกให้เจ้าทั้งหมดก็ยังกลัวจะไม่พอ จะยอมฟังคำข้าได้อย่างไร”
นางกำนัลคนหนึ่งอดกล่าวแทรกอย่างใจกล้าไม่ได้ “องค์รัชทายาทตรัสถูกแล้วเพคะ แม้แต่ยามเสวยอาหารฝ่าบาทก็ยังให้องค์หญิงเสวยด้วยทุกมื้อ ไม่เช่นนั้นก็เสวยไม่ลง เห็นได้ว่าฝ่าบาททรงรักองค์หญิงเพียงใด”
เพราะเป็นเช่นนี้ ซูหลีจึงมีเรื่องให้กังวลเพิ่มขึ้นอีกเรื่อง นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้แคว้นติ้งกับนางรู้จักกัน ปมในใจก็ค่อยๆ ถูกคลาย กอปรกับมีเจียงหยวนคอยช่วยจัดยารักษาให้ ถึงแม้ร่างกายจะฟื้นฟูกลับมาไม่น้อย แต่จิตใจกลับยังคงจมดิ่ง คะนึงหาเสด็จแม่ไม่เสื่อมคลาย วันเวลาล่วงเลยไปทีละวันๆ
ฮ่องเต้เห็นซูหลีเป็นดั่งสมบัติล้ำค่า กลัวว่านางจะใช้ชีวิตในวังไม่สบาย แม้แต่ฮองเฮาก็ปฏิบัติต่อซูหลีอย่างจริงใจ ถามสารทุกข์สุขดิบ เป็นห่วงเป็นใย ไม่ต่างจากที่ปฏิบัติต่อหลางฉ่างเลยแม้แต่น้อย นับตั้งแต่ที่ซูหลีผ่านความทุกข์ยากมาสารพัดรูปแบบ นางก็กลัวที่จะมีห่วงในโลกมนุษย์อีก แต่เพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งเดือน นางกลับเริ่มมีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์แล้ว
หลางฉ่างเห็นสีหน้านางไม่ดี จึงถาม “ทำไมจู่ๆ ก็ขมวดคิ้วเล่า? มีเรื่องในใจหรือ?”
…………………………