ตอนที่ 185 ดับเบิล คิล
เจสันยืนอยู่หน้าสนามประลองที่ดูมีเอกลักษณ์ซึ่งมีความสูงมากกว่า 30 เมตร รวมอย่างน้อยเจ็ดชั้น
แล้วไง? ฉันควรรอหรือเข้าไปข้างใน?
เจสันไม่แน่ใจว่าตอนนี้เขาควรทําอย่างไร…
มาเลียอยู่ข้างในหรือเปล่า
แม้ว่าเจสันจะเข้าไปข้างใน เขาจะไม่รู้ว่ามาเลียอยู่ในชั้นหรือสนามรบไหน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจรอมาเลียและและอาจจะรวมถึงเกร็กด้วย
แต่เกร็กก็ไม่ได้มีความสําคัญสําหรับแผนของเขาและเป็นอุปสรรคมากกว่า เพราะเนื่องจากเขานั้นมีระดับพอๆ กับ เจสันและค่อนข้างที่จะใช้กําลังมากกว่าสมอง และยังต่างกันตรงที่เจสันนั้นมีดวงตามานาที่สามารถมองเห็นแหล่งมานาและจุดความหนาแน่นได้
เขามั่นใจว่าเขาจะเป็นประโยชน์ต่อทีมสํารวจ ตราบใดที่มาเลียและทีมของเธอต้องเสี่ยงภัยในรอยแยกระดับสี่ดาว
ระหว่างรอ เขาคาดการณ์ว่าโอกาสที่มาเลียจะเข้าไปในรอยแยกระดับสี่ดาวนั้นสูงมาก เนื่องจากว่ากันว่ารอยแยกชั่วคราวนั้นมีสมบัติมากกว่าเมื่อเทียบกับรอยแยกถาวร
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของเกร็กและการขาดเครดิต เจสันมั่นใจว่ามาเลียจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อสนับสนุนครอบครัวของเธอด้วยสุดความสามารถ
สิ่งเดียวที่เจสันไม่รู้ได้ คือความทะเยอทะยานของเพื่อนร่วมทีมของเธอว่าจะมีอยากเข้าไปในรอยแยกชั่วคราวหรือไม่ เพราะเขาไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการสมบัติมากหรือน้อยเพียงใด
หากพวกเขาต้องการเครดิตหรือสมบัติล้ําค่า พวกเขาอาจจะยอมเสี่ยงเข้าไปในรอยแยกระดับสี่ดาว
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่สามารถขจัดปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเจสันได้
พวกเขาจะยอมรับฉันไหมนะ? ความสามารถในการต่อสู้ของฉันไม่สูงพอ และพวกเขาคงจะไม่เชื่อหรอกว่าจะมีคนแปลกหน้าที่บอกว่าเขามีความสามารถอันทรงพลังที่ทําให้พวกเขาติดตามสมบัติและวัสดุคุณภาพสูงได้
เจสันคิดพลางครุ่นคิด
ไม่มีอะไรมากที่เขาจะสามารถทําได้เพื่อโน้มน้าวให้เพื่อนร่วมทีมของมาเลียให้เชื่อเขา แต่สิ่งสําคัญอันดับแรกสําหรับเขาที่ต้องทําคือค้นหาว่าพวกเขาจะเสี่ยงภัยในรอยแยกระดับสี่ดาวหรือไม่
เขาจะต้องโน้มน้าวให้มาเลียในตอนแรก ซึ่งไม่น่าจะยากขนาดนั้น เพราะเธอรู้ถึงความสามารถของเขาก่อนที่เขาจะหาวิธีคิดที่จะโน้มน้าวเพื่อนร่วมทีมของมาเลีย
เกือบ 4 โมงเย็น ในขณะที่โรงเรียนเลิก เมื่อนักเรียนสองสามคนแรกออกจากสนามรบ พวกเขาหมดแรงอย่างเห็นได้ชัด
นักเรียนทุกคนสวมชุดนักเรียนชุดเดียวกัน และแต่ละคนก็มีอาการและท่าทางแตกต่างกัน บางคนดูเหมือนจะมั่นใจเป็นพิเศษในขณะที่บางคนดูหดหูใจด้วยรอยฟกช้ําเล็กน้อยที่ปกคลุมร่างกายและใบหน้าของพวกเขา
เมื่อเห็นเช่นนั้น เจสันยิ้มเบา ๆ ขณะที่เขาคิดว่า มีนักเรียนบางคนที่ตั้งคําถามกับการตัดสินใจของครูเกี่ยวกับคลาสการต่อสู้พิเศษ เหมือนกับว่าเพื่อนร่วมชั้นของเขาไม่พอใจกับพฤติกรรมของทิลล์ที่มีต่อเขาและเซรอน
เจสันได้สแกนผ่านแกนมานาของนักเรียนแต่ละคน และพยายามหาจุดแข็งโดยเฉลี่ยของเด็กนักเรียนภายในโรงเรียนหลัก
อย่างไรก็ตาม ยังไงก็ตาม มันแปลก… เจสันไม่แน่ใจว่าเขาควรจะผิดหวังกับอันดับและขนาดของแกนมานาหรือไม่ความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยของนักเรียนชั้นเกรด 1 ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะอยู่ที่อันดับผู้ชํานาญระดับ 8 โดยมีนักเรียนที่ยอดเยี่ยมเพียงไม่กี่คน
จากนักเรียน 10 คนในกลุ่มของพวกเขา สองคนเป็นนักเรียนเกรด 3 คนอื่นๆ เป็นนักเรียนเกรด 1และเกรด 2 สี่คน
แต่นั่นไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่สําคัญที่สุดเพราะใบหน้าของพวกเขาดูคล้ายคลึงกัน ทําให้เจสันคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นพี่น้อง หรือเป็นลูกพี่ลูกน้องกันทั้งหมด
แต่สิ่งที่ทําให้เจสันประหลาดใจยิ่งกว่าเกี่ยวกับนักเรียนชั้นเกรด 3 สองคนนั้น แกนมานาของพวกเขานั้นสูง กว่าของมาเลีย ซึ่งอยู่ในระดับมาสเตอร์ที่ 3 ซึ่งพวกเขาดูเด็กกว่าเธอมากๆ
(เปลี่ยนจากระดับ เป็นทับศัพท์แทนนะครับ จะแทนดังนี้ มือใหม่ – อเด็ป » เอ็กซ์เพิร์ต – มาสเตอร์ , เมกัส – แกรนด์เมกัส )
ถ้าเขาจําไม่ผิด มาเลียก็ถือว่าเก่งมากแล้วเนื่องจากความไวและการควบคุมมานาที่สูงของเธอแต่เมื่อเห็นพี่น้องสองคนที่ดูเหมือนจะอายุราวๆ กับระดับแกนมานาที่สูงกว่า ทําให้เจสันมองดูพวกเขาด้วยความสับสนอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากสัมผัสได้ถึงมานาที่แปรสภาพโดยเฉพาะ เจสันก็มั่นใจยิ่งขึ้นไปอีกว่าทั้ง 10 คนเป็นญาติกันและ อาจไม่ได้มาจากแอสทริกซ์ด้วยซ้ํา เนื่องจากมานาที่สามารถแปรสภาพได้โดยเฉพาะของพวกเขาค่อนข้างหายากในแอสทริกซ์
พวกเขาทั้งสิบคนอาจได้รับพันธะวิญญาณที่สัมพันธ์กับความมืด ทําให้มานาของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นเล็กน้อย
บางที่พวกเขาอาจเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน
เจสันสงสัยขณะจ้องมองไปที่กลุ่ม 10 คน ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่พวกเขามองข้ามไป
เมื่อพวกเขาหันมาทางเจสัน เจสันไม่ได้แม้แต่จะเพิกเฉยต่อสายตาของเขา ขณะที่เขายังคงจ้องไปที่เด็กหนุ่มที่ดูคล้ายคลึงกันสิบคนที่อยู่ข้างหน้าเขา
พวกเขาตกตะลึงเมื่อเห็นเจสัน เนื่องจากเด็กหนุ่มผมดําที่มีดวงตาสทองของเขาดูหล่อเหลาซึ่งเหาได้ยากแต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด
นกเค้าแมวสีขาวบริสุทธิ์ขนาดใหญ่ที่มีเขาสีดําสนิท ที่เกาะอยู่บนไหล่ของเขา และทั้ง 10 คนไม่เคยเห็นสัตว์ร้ายแบบนี้มาก่อน
ขณะที่ทั้ง 9 คนจ้องมองที่อาร์เทมิส นักศึกษาชั้นเกรด 3 คนหนึ่งก็ได้มองมาที่เจสัน ขณะที่เธอเลียริมฝีปากซึ่งเจสันสังเกตเห็น ทําให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
ฉันดูดีขนาดนั้นเลยหรอ
เจสันคร่ครวญในใจ ขณะที่เด็กสาวพูดบางอย่างกับกลุ่มของเธอซึ่งตัดสินใจหันความสนใจมาที่เขา
เขาถอนหายใจ และทักทายนักเรียนทั้ง 10 คนอย่างสุภาพ ขณะที่หญิงสาวเริ่มถามอย่างไร้ยางอายเกี่ยวกับ เรื่องส่วนตัวของเจสัน
เฮ้ นายหล่อมาก ฉันชื่อเจนนิเฟอร์ แดร์… นายมีแฟนรึยัง กําลังรอเธออยู่หรือ อยากไปแฮงเอาท์กับฉันไหม
เจนนิเฟอร์ไม่รู้สึกละอายกับวิธีการที่ตรงไปตรงมาของเธอเลยสักนิด อย่างไรก็ตาม คนอื่นๆรอบตัวเธอทําได้เพียงถอนหายใจเพราะพวกเขานั้นสนใจเจสันเพราะสัตว์ร้ายของเจสันแต่ดูเหมือนจะไม่ใช่กับเจนนิเฟอร์
ในขณะที่เด็กเกรด 3 กําลังจะพูดอะไรบางอย่าง เจสันก็ได้ยินคนข้างๆ ตะโกนชื่อเขา
เจสัน!? มาทําอะไรที่นี่?
เจสันได้หันไปทางเสียงพร้อมกับนักเรียนสิบคนที่อยู่ข้างๆ เขา และเห็นมาเลียวิ่งเข้ามาหาเขาทันทีมาเลยก็ได้มองเห็นเจนนิเฟอร์และกลุ่มของเธอ
โอ้ เจนนิเฟอร์ ธีโอ… ทําไมเธอถึงยังอยู่ที่นี่
มาเลียถามและหยุดอยู่ข้างๆ เจสัน
ธีโอ นักเรียนเกรด 3 อีกคนที่อยู่ถัดจากเจนนิเฟอร์กําลังจะตอบ ขณะที่เจนนิเฟอร์โพล่งออกมาอย่างตื่นเต้น
โอ้ย!!! มาเลีย ฉันไม่รู้ว่าเธอมีแฟนที่หล่อขนาดนี้…น่าเสียดายนะ…บอกฉันที่สิว่าจะเลิกกันตอนไหน…555
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มาเลียก็หน้าแดงเล็กน้อย แต่เจสันก็ขัดจังหวะการสนทนาก่อนที่จะดําเนินไปต่อไปในขณะที่เขาชี้แจง
มาเลียเป็นครอบครัวเดียวกับผม เราไม่ได้เป็นแฟนกัน…และผมไม่อยากไปเที่ยวกับคุณ ขอโทษด้วย เจสันกล่าวอย่างสภาพแต่ตรงไปตรงมา
ตอนที่ 184 การวางแผน
เมื่อเขาออกจากโรงเรียนตอนเวลา 14.00 น. เจสันจะกลับไปที่ที่ซ่อนในทะเลสาบเพื่อเพิ่มความชํานาญด้วยกระบวนการตีเหล็ก
แต่ไม่ใช่วันนี้!
เจสันไม่แน่ใจว่าแผนที่ก่อตัวขึ้นในใจของเขานั้นเป็นสิ่งที่โง่เขลาหรือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่เขาอยากจะลองดู
ดังนั้นเขาจึงสั่งรถรับส่งซึ่งพาเขาไปที่โรงเรียนแนวหน้าหลักภายใน 40 นาที
ขณะนั่งอยู่ในรถรับส่ง เจสันเริ่มอ่านหนังสือชุดใหม่ที่เขาได้รับจากเชนและดาเลีย
เขาไม่แน่ใจว่ามีหนังสือทั้งหมดกี่เล่ม แต่จํานวนไฟล์มีมากมายมหาศาล ในขณะที่บางเล่มเต็มไปด้วยหนังสือหลายเล่ม
อย่างไรก็ตาม คราวนี้ หนังสือไม่เพียงแต่ให้ความรู้เกี่ยวกับอาชีพพื้นฐานของอาชีพเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่ผู้สร้างสัตว์เดรัจฉาน และการวิวัฒนาการของสัตว์ร้าย ลักษณะเฉพาะ และส่วนผสมเวทย์มนตร์ที่ใช้ สําหรับการวิวัฒนาการอุทิศให้กับผู้สร้างสัตว์,
เจสันยังได้รับความรู้มากมายเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ ความแตกแยก เปลวไฟต้นกําเนิดสายใยวิญญาณ พิเศษ/เฉพาะความสัมพันธ์ และหัวข้อที่ซับซ้อนมากขึ้น
หนังสือเหล่านี้ได้จัดหมวดหมู่ไว้เป็นส่วนๆ หรือสาขาความเข้าใจ เพื่อให้เจสันตัดสินใจว่าจะอ่านอะไร แม้ว่าอาจเป็นเรื่องยากสําหรับเขาที่จะเข้าใจข้อความโดยปราศจากความรู้พื้นฐาน
ในความเห็นของอาจารย์ เขาเป็นหนอนหนังสือจอมบงการที่ต้องอ่านเพื่อให้รู้สึกอิ่ม ซึ่งคล้ายกับพฤติกรรมของดาเลียที่มีต่อความรู้ในการวิวัฒนาการของสัตว์ร้าย
เจสันมีพรสวรรค์อย่างมากในการต่อสู้ มีจิตวิญญาณที่กว้างใหญ่ ไม่เหมือนดาเลีย ในขณะที่พรสวรรค์ของเขาในการใช้ชีวิตขั้นพื้นฐานก็ดูจะสูงมาก ด้วยเนื่องจากดวงตาที่มีลักษณะพิเศษและความไวของมานาที่สูง
ทั้งเชนและดาเลียต่างก็อิจฉาและภูมิใจในตัวเจสันในเวลาเดียวกัน และศรัทธาของพวกเขาที่มีต่อเจสัน ซึ่งทําให้เขาสามารถรวมมนุษยชาติเป็นหนึ่งเดียวยังคงเติบโต สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องแน่ใจก็คือพวกเขานั้นสามารถเลี้ยงดูเจสันได้อย่างดี
สิ่งนี้อาจจบลงด้วยความผิดพลาดครั้งใหญ่หากเจสันทรยศพวกเขา แต่พวกเขาเชื่อหลักการของเจสันและไว้วางใจ ในขณะที่ตัวเขาเองไม่เคยสัญญาอะไรกับอาจารย์ทั้งสองของเขาเลย
เมื่อเดินไปที่ประตูโรงเรียน เจสันเห็นชายชราคนหนึ่งประจําการเป็นทหารรักษาพระองค์ซึ่งทําให้เขาประหลาดใจ
อะไร? นั่นจําเป็นจริงๆเหรอ?
เขาคิดในขณะที่เขาสังเกตเห็นว่าชายชราอยู่ในอันดับแกรนด์เมกัส
ชายชราสังเกตเห็นเจสันและเครื่องแบบของเขาขณะที่ปล่อยให้เขาผ่านไปโดยไม่ตรวจดูสิ่งอื่นใด ซึ่งทําให้เจสันประหลาดใจไม่น้อย ทันใดนั้น เขารู้สึกว่าร่างกายของเขากําลังถูกสแกน และดวงตามานาของเขาก็รับรู้ถึงสิ่งแปลก ๆ
รู้สึกเหมือนกับว่าทั้งร่างของเขาถูกค้น ในขณะที่เดินผ่านยามประจําประตู
สําหรับดวงตามานา เจสันสามารถมองเห็นได้ว่า ชายชราได้ปล่อยมานาแปลกๆ ออกมาเพื่อตรวจสอบร่างกายของเจสัน ซึ่งแม้แต่ดวงตามานาของเขาก็ไม่สามารถทําได้
เจสันรู้สึกไม่สบายใจ แต่การได้รู้ว่าความสามารถในการตรวจจับความแข็งแกร่งทางกายภาพของใครบางคนได้นั้น เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งสําหรับเจสัน
เขาสามารถมองเห็นความแตกต่างของระดับแกนมานากับขนาดแกนมานาภายในมนุษย์คนอื่น ๆ ในขณะที่ชายชราสามารถสแกนระดับแกนมานาได้
ทั้งสองมีความสามารถในการประมาณความแข็งแกร่งของสายใยวิญญาณของผู้อื่นได้ด้วยความสามารถของพวกเขา
เมื่อพิจารณาว่าเด็กหนุ่มผมดําที่เดินผ่านมาเขามานั้นได้สวมชุดนักเรียนในโรงเรียนสังกัดที่ 6 เขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องขัดขวางเด็กคนนี้
งานรักษาความปลอดภัยทั้งหมดนี้ค่อนข้างจะไร้จุดหมายในตอนเริ่มแรก เนื่องจากเขาได้รับคําสั่งให้ปล่อยให้นักเรียนผ่านประตูในระหว่างการท้าทายชั้นเรียนการต่อสู้พิเศษ ในขณะที่เขาจําเป็นต้องปกป้องโรงเรียนจากผู้ก่อการร้ายหรือผู้ต้องสงสัยเท่านั้น
แม้ว่าคลาสการต่อสู้พิเศษจะถูกยกเลิกในอีกสามวันข้างหน้า แต่เขาไม่ได้รับคําสั่งอื่นใดที่บอกให้เขาป้องกันไม่ให้ใครเดินผ่านประตู
หลังจากผ่านประตูเข้ามา เจสันเพียงยืนยันบัตรประจําตัวและจุดประสงค์ในการเยี่ยมชมด้วยระบบอัตโนมัติ
ตามความรู้ของเจสันจะต้องมีป่าสักแห่งที่มีอาคารเรียนอยู่ใกล้ ๆ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของเขา เมื่อวิ่งหาไปเรื่อยๆ และในที่สุดเขาก็พบสิ่งที่เขากําลังค้นหาอยู่
อย่างไรก็ตาม มีปัญหาเพียงอย่างเดียวที่เจสันสังเกตเห็น ขณะที่เขายืนอยู่หน้าอาคารเรียนที่มีลักษณะเหมือนกันทั้งสามหลัง ทันใดนั้นเขาก็จบางอย่างได้ในขณะที่เขาตบหน้าผากและอุทานว่า
ฉันนี้โง่จริงๆ !
เมื่อหันหลังกลับ เขารีบวิ่งไปที่สนามประลองที่เขาเคยเห็นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
คล้ายกับตารางเวลาของเขามาเลียและเกร็กก็มีเรียนภาคปฏิบัติในตอนบ่ายด้วย ซึ่งหมายความว่าทั้งคู่อยู่ในสนามรบแทนที่จะเป็นอาคารเรียน
เจสันแค่ตามหามาเลียในขณะที่เขาจําได้ว่าเธอต้องออกสํารวจในฐานะ หนึ่งในการสอบที่สําคัญเพื่อสําเร็จการศึกษาจากโรงเรียนแนวหน้า
เมื่อคํานึงถึงสิ่งนี้ เขาคิดว่าบางทีมาเลียและทีมของเธออาจสนใจที่จะไปสํารวจรอยแยกระดับสี่ดาว มันจะพอดีกับความแข็งแกร่งที่จําเป็นสําหรับการสอบที่สําคัญของพวกเขา ซึ่งทําให้เขาเห็นรังสีแห่งความหวังเล็ก ๆ
หากสมมติฐานของเขาถูกต้อง เขาอาจจะสามารถโน้มน้าวในการที่เขาจะไปสํารวจพื้นที่รอยแยกระดับ 4 ดาวได้
ตอนที่ 183 ความเกรี้ยวโกรธ
การสร้างทางลาดเล็กๆ ตรงหน้าเพื่อนร่วมชั้นของเขานั้นไม่จําเป็นจริงๆ อย่างไรก็ตาม แต่การที่ต้องแวะและฟังคําพูดของเพื่อนร่วมชั้นนั้นช่างน่ารําคาญสําหรับเจสัน
ดังนั้นการที่หลบการเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมชั้นถือเป็นเรื่องที่ดี
ชะให้ฉันฝึกแบบสงบๆ ไม่ได้รึไง ทําตัวเป็นอันธพาลสมัยเด็กๆ ไปได้ พวกปัญญาอ่อนเขาคิดก่อนจะวิ่งต่อ
ถึงแม้เจสันจะสร้างเส้นทางเพื่อหลบการเผชิญหน้า เด็กเด็กพวกนั้นก็ไม่ลดความพยายามที่จะขัดขวางเจสัน
ไม่เพียงแต่พวกเขาจะมาขวางทางเจสันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้พวกเขาได้ใช้พลังเพื่อที่จะขัดขวางการฝึกของเจสั่น
นั้นทําให้เจสันต้องหยุดการฝึกฝน และก็เกิดความรําคาญใจมากมาย
ทําไมถึงน่ารําคาญแบบนี้นะ ไอพวกนี้
เจสันคิดพลางส่ายหัว
ทิลล์และนักเรียนคนอื่นๆ สังเกตเห็นเจสันและนักเรียนชั้นยอดที่กําลังหาเรื่องเขา ซึ่งทําให้พวกเขาหยุดสิ่งที่พวกเขากําลังทําอยู่ในขณะที่เซรอนก็ยังเสียสมาธิจากการรวบรวมมานาของเขา
เมื่อมองขึ้นไป เขาสังเกตเห็นเจสันยืนอยู่หน้ากลุ่มเล็กๆ ที่รวมนักเรียน 5 อันดับแรกไว้ด้วยยกเว้นลีโอฮาร์ท
เมื่อเห็นเช่นนั้นเจสันก็ยิ้มแห้งๆ ขณะมองไปรอบๆ และเห็นลีโอส่ายหัว สงสารเพื่อนร่วมชั้น
การที่ลีโอโดนเพื่อนทิ้งนั้นไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่เขาก็สงสารกลุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจสันจริงๆ
ช่วยหลบออกไปได้ไหม ฉันกําลังฝึกอยู่
เจสันเรียกร้องโดยไม่แสดงอารมณ์ของเขาผ่านการแสดงออกทางสีหน้า
เมื่อสองสามเดือนก่อน เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะทําแบบนั้นต่อหน้าคนอื่น แต่มีหลายอย่างเกิดขึ้นกับเขามากเกินไปที่จะทําตัวลังเลในการพูดจาแบบนั้น
นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่อาร์กอส เจสันก็เติบโตเต็มที่และในที่สุดก็เริ่มเข้าใจถึงสิ่งที่ต้องใช้เพื่อเอาชีวิตรอดในโลกนี้
ผู้แข็งแกร่งล่าผู้อ่อนแอและผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถมีชีวิตตามที่พวกเขาต้องการ ทั้งปกป้องผู้อื่นหรือจัดการสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง
สายตาของเจสันเย็นชา แล้วเมื่อเขาขอให้นักเรียนชั้นยอดปล่อยเขาไป ทําให้พวกเขาถอยออกมาพร้อมกัน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความได้เปรียบด้านจํานวนคน พวกเขาจึงรู้สึกแข็งแกร่งซึ่งทําให้พวกเขาทําตัวงี่เง่ามาก
พฤติกรรมของนายและสิทธิพิเศษที่นายได้รับจากครูของเรา ทําให้เราไม่พอใจ แต่ทัศนคติของนายแย่ที สุด… นายคิดว่านายเป็นใคร?… ฉันรู้ว่านายเป็นใคร… แค่คนที่ไม่มีอะไรเลยแม้แต่ครอบครัว…เด็กกําพร้า..ฮะฮะ..
ในตอนแรก เจสันไม่ได้คิดจะทําอะไรกับเพื่อร่วมชั้น แต่คําพูดนี้ได้จุดประกายความโกรธของเจสันขึ้นมา
เจสันปล่อยมานาทั้งหมดของเขาในดวงตาที่เย็นชาและไร้อารมณ์ เจสันจงใจปล่อยจิตสังหารออกมาทั้งหมดของเขาในทันที เขาไม่เคยทํามันมาก่อน เพราะเขาแทบจะไม่สามารถควบคุมส่วนเล็กๆของมันได้
นอกจากนี้ เขายังใช้เอฟเฟกต์อันลึกล้ําของดวงตามานา และบริเวณโดยรอบก็ดูน่าขนลุกและเงียบราวกับการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวจะหมายถึงความตายที่ใกล้เข้ามา
เพื่อคนที่พูดใส่เจสันไม่ทันได้หัวเราะจนจบด้วยซ้ํา เพราะรู้สึกเหมือนกับว่าลําคอของเขาถูกกดทับด้วยแรงกดดันเมื่อเขามองเข้าไปในดวงตาของเจสัน
เจสันไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คําเดียว แม้จะไม่ได้พูดอะไร เขาก็ทําให้กลุ่มนักเรียนชั้นยอดเล็กๆ ที่หยิ่งผยองพูดไม่ออกและหวาดกลัวเขา
พวกเขาตัวสั่นและเริ่มทรุดลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว
นักเรียนรู้สึกแต่เพียงความหวาดกลัวที่ฝังแน่นในท้องของพวกเขาและสามัญสํานึกของเขาก็เริ่มคิดออกมาซึ่งพวกเขาควรมีมันตั้งแต่แรกด้วยซ้ํา
เพื่อไม่ให้เยาวชนที่มีดวงตาสีทองขุ่นเคือง ดวงตาที่ดูน่าเกรงขามของเขาโอบล้อมพวกเขาไว้ด้วยคาวมหวานกลัวและแรงกดดัน
โดยไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน พวกเขาสัมผัสได้เพียงความกลัวและความกดดันอันชั่วร้ายที่ทําให้พวกเขารู้สึกแน่นหน้าออกอย่างมาก ขณะที่พวกเขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่จ้องมองมาที่พวกเขาอย่างตั้งใจจากที่ไกลๆ
จิตใจของพวกเขาจมอยู่กับความรู้สึกน่าขนลุก และพวกเขาไม่สามารถระบุได้ว่าใครหรือสิ่งที่กําลังจ้องมองอยู่แต่พวกเขาแน่ใจเพียงว่ามีบางอย่างกําลังไล่ล่าพวกเขาอยู่และตัวตนนิรนามนั้นแทบจะหยุดไว้ไม่อยู่
รู้สึกถึงความตายที่ใกล้เข้ามาด้วยการเคลื่อนไหวของนักล่า จิตใจของพวกเขาไม่สามารถทนต่อแรงกดดันได้อีกต่อไปและทุกอย่างก็ว่างเปล่า
ทุกคนตกใจกับความกดดันที่เจสันแผ่ออกมา และความกลัวที่ชัดเจนก็ปรากฏอยู่ในสายตาของนักเรียนขณะที่พวกเขาตะกายไป ทั้งสี่คนพยายามเว้นระยะห่างระหว่างเจสันกับตัวเองให้ได้มากที่สุด
ทิลล์เองก็รู้สึกอึดอัดที่จะอยู่ใกล้เจสันในตอนนี้ แต่เขาก็ต้องหยุดเจสัน
ดังนั้น ทิลล์จึงจับที่ไหล่ของเจสันให้หันมาหาเขา
เมื่อสบตากันทิลล์เห็นความน่ากลัวที่ปล่อยออกมาจากดวงตาของนักเรียนคนโปรด ความรู้สึกน่าขนลุกของบางสิ่งที่มองดูเขาจากที่ไกลๆ ถาโถมเข้าใส่จิตใจของเขาราวกับว่าเขาไม่คุ้มค่าแม้แต่จะเหลือบมองแม้แต่ครั้งเดียว
ทันใดนั้น ทิลล์ก็รู้สึกขนลุกทั่วทั้งตัว และราวกับถูกกระตุ้น ทิลล์ดึงมือกลับ ดวงตาของเจสันค่อยๆเริ่มกลับนสู่ความอ่อนโยนตามปกติ
เจสันสังเกตเห็นว่าทุกอย่างจบลงก่อนที่มันจะเริ่ม เขาหยุดใช้ทักษะขุมนรกที่เชื่อมโยงกับจิตสังหารของเขาเมื่อทิลล์ได้จับไหล่ของเขา
แม้ว่าเพื่อนร่วมชั้นที่พูดกับเขาจะทําให้เจสันไม่พอใจและเจสันเองก็เพียงแค่ต้องการที่จะสั่งสอนให้บทเรียนแก่เด็กพวกนั้นไม่ได้คิดจะทําอะไรที่เกิดเหตุ
อย่างไรก็ตาม ลึกๆ ในใจของเจสันรู้ว่าพวกเขาพูดเกี่ยวกับครอบครัวของเขา และหากพวกเขากล้าพูดถึงแม่ของเขาสักคําเดียว เจสันก็อาจจะโกรธและทําอะไรที่มากกว่านั้น
ถ้าบอกตามตรง เขาไม่แน่ใจว่ากรณีนั้นเขาจะทําเช่นไร… แต่มันคงเลวร้ายกว่านี้แน่ๆ
ขณะที่เขามองดูทิลล์ เจสันก็มองเห็นแต่ความประหลาดใจในดวงตาของครเท่านั้น เขาน่าจะตกตะลึงอย่างยิ่งกับความสามารถของดวงตาที่เชื่อมโยงกับจิตสังหารของเจสัน
หรืออาจเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วราวสายฟ้าของเจสันจากที่ปล่อยจิตสังหารที่น่ากลัวออกมาและเปลี่ยนกลับเป็นคนที่อ่อนโยนอย่างรวดเร็ว
เจสันหันศีรษะมองไปรอบ ๆ และรู้สึกถึงบางสิ่งที่เกาะบนไหล่ของเขา
อาร์เทมิสรู้สึกถึงอารมณ์ที่ระเบิดออกมาซึ่งส่งผลต่อมันเช่นกัน เนื่องจากช่วงที่เจสันปล่อยจิตสังหารออกมาตัวมันเองก็เริ่มดุร้ายขึ้นตามจิตสังหารของเจสัน
ครูช่วยดูพวกเขาหน่อยนะ ผมอาจจะทําเกิดเหตุไปหน่อย
เจสันถามทิลล์อย่างชัดถ้อยชัดคํา
เมื่อเรียกสายใยวิญญาณออกมา ทิลล์ก็เริ่มปล่อยออร่าการรักษาจากสายใยวิญญาญ เกรชเตอร์เบลสวูฟของเขา
เจสันรู้สึกหงุดหงิดเกินกว่าจะฝึกหลายๆ อย่างพร้อมกัน
ดังนั้นเขาจึงพูดว่า
วันนี้ผมขอลากลับบ้านก่อน เวลา ขอโทษนะครับ
เมื่อเจสันหันหลังกลับ ปล่อยให้เพื่อนร่วมชั้นที่ตกตะลึงและตกตะลึงจ้องมองมาที่เขาด้วยปากที่เปิดกว้าง
ก่อนหน้านี้ พวกเขายังสงสัยว่าเจสันสามารถอยู่ในคลาสการต่อสู้พิเศษได้นานเพียงใด แต่เหตุการณ์ในวันนี้ได้เปลี่ยนการรับรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับเพื่อนร่วมชั้นที่ทรงพลังอย่างประหลาด
ตอนที่ 182 การรบกวน
เจสันยังไม่แน่ใจว่าเขาควรจะทําตามความคิดของเขาหรือไม่ขณะที่เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
หากรอยแยกไม่มีข้อจํากัดใดๆ เขาจะถามพวกเฟลอร์ว่าพวกเขาต้องการเข้าไปในรอยแยกกับเขาไหมเนื่องจากพวกเขาต้องการเงินทุนอย่างมากในขณะที่ดวงตามานาของเขาสามารถตรวจจับความผันผวนของมานาได้ อย่างง่ายดาย
ด้วยความสามารถของเขา เจสันจึงมั่นใจในการค้นหาพื้นที่ที่มีมานาหนาแน่นที่อาจจะเต็มไปด้วยสมุนไพรคุณภาพสูงแร่หรือแม้แต่หินมานาหรือสมบัติเวทมนตร์ และพวกเฟลอร์ก็สามารถปกป้องเขาได้จากสัตว์ร้ายระดับสูง
ภายในหนึ่งเดือนพวกเขาสามารถรับทรัพย์สมบัติได้อย่างมากมาย แต่น่าเสียดายที่การจํากัดของรอยแยกดังกล่าวทําให้แผนของเขาไม่สามารถนําไปใช้ได้จริง ซึ่งทําให้เขาต้องพิจารณาเส้นทางที่ค่อนข้างอันตรายกว่า
เขาหลุดออกจากภวังค์เมื่อเขาได้ยินเสียงของทิลล์แนะนําเพื่อนร่วมชั้นในการใช้เทคนิคการต่อสู้
ทิลรู้ว่าใครเป็นคนใช้เทคนิคระดับ 2 หรือระดับ 3 เพราะเขาให้มันเป็นรางวัลภารกิจแรก
นักเรียนเหล่านี้มีทักษะที่แย่มากในเทคนิคเหล่านี้ แต่พลังที่ระเบิดออกมานั้นยังคงสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับความเชี่ยวชาญขั้นพื้นฐาน
ดังนั้น เจสันจึงมองไปที่การไหลเวียนของมานาของพวกเขา เพียงเพื่อสังเกตปริมาณมานาที่พวกเขาต้องหมุนเวียน มันดูหยาบและผิดทั้งหมด ซึ่งทําให้เจสันไตร่ตรองว่านักเรียนเหล่านี้อาจจะไม่รู้ว่าจะต้องทําอย่างไร
เขาทําได้เพียงส่ายหัว ซึ่งเซรอนสังเกตเห็นขณะที่เขาจ้องมอง
เมื่อเห็นนักเรียนที่กําลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสร้างความประทับใจให้ผู้อื่นด้วย พลัง แต่เนื่องจากมันผิดขั้นตอนจึงทําให้เซรอนอย่างหัวเราะออกมา
ทั้งเจสันและเซรอนพูดคุยกันและพยายามเบี่ยงเบนความสนใจจากความพยายามที่น่าหัวเราะของเพื่อนร่วมชั้น
พฤติกรรมของพวกเขาไม่ได้ถูกมองข้ามโดยคนอื่นๆ เนื่องจากทุกคนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปรับปรุงความสามารถด้วยเทคนิคที่พวกเขาฝึกฝน ไม่ว่าจะเป็นเวพโพนี่ ไนฟ์ หรือที่กษะและเทคนิคอื่นๆที่สูงกว่า
ในขณะเดียวกันเจสันและเซรอนไม่ได้ปะลองกัน เพื่อหาข้อบกพร่องในเทคนิคของพวกเขาซึ่งทําให้นักเรียนคนอื่นๆผิดหวัง
ความอิจฉาริษยาและความคับข้องใจที่ไหลผ่านค่อยๆ กลายเป็นความโกรธ เกลียด เพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่านักเรียนเหล่านี้จะถูกตราหน้าว่าแข็งแกร่งกว่าพวกเขาได้อย่างไร
แต่แม้หลังจากที่พวกเขาพูดจบ ดูเหมือนว่าพวกเขากําลังฝึกเทคนิคศิลปะการต่อสู้ของพวกเขาในขณะที่เจสันวิ่งไปรอบๆ แต่
ในเวลาเดียวกันที่พวกเขาไม่เข้าใจ ในทางกลับกันเซรอนค้นหา นั่งรวบรวมและดูดซับมานา
พวกเขาแค่ทําตามกฎเกณฑ์หรือทําในสิ่งที่ครูบอกให้เราทําไม่ได้งั้นหรอ!
นักเรียนบางคนคิด และนักสู้ระดับสูงคนหนึ่งที่กล้าหาญแต่โง่ก็บ่นกับทิลล์
อาจารย์ ทําไมไม่ทําอะไรบางอย่างกับเซรอนและเจสันล่ะ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ปฏิบัติตามคําสั่งและทําในสิ่งที่ไม่ควรทําในตอนนี้ เราควรจะฝึกเทคนิคศิลปะการต่อสู้ของเราและพัฒนาตนเองแทนที่จะวิ่งอย่างไรประโยชน์รอบๆหรือมานั่งดูดซับมานา
ทิลล์ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่โง่เขลาเช่นนี้ เพราะพวกเขาไม่รู้ถึงความสามารถในการต่อสู้ของเซรอนและเจสัน
พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ดีที่สุดสําหรับสองคนนี้คืออะไร?
ทิลล์รู้ว่าทักษะศิลปะการต่อสู้ของ เซรอนนั้นสูงเพียงใดในแต่ละเทคนิค ในขณะที่เทคนิคขั้นตอนเวทเลสสเต็ปของเจสันก็ได้บรรลุความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งแล้ว
เมื่อพิจารณาว่าระดับต่อไปหลังจากความเชี่ยวชาญเป็นทักษะขั้นสุดท้ายที่สมบูรณ์แบบ เจสันถึงเกือบถึงขีดจํากัดด้วยเทคนิคเวทเลสสเต็ป
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงต้องเปลี่ยนเทคนิคของเขาหรือปรับการไหลเวียนของมานาและคําอธิบายของเทคนิคเวทเลสสเต็ป เพื่อเพิ่มความเร็วในการเบิร์สหลังจากถึงขีดจํากัดของเทคนิค
ทิลล์ไม่แน่ใจว่าเจสันนั้นเชี่ยวชาญแค่ไหนกับเทคนิคการจัดลําดับชั้นอื่นๆ ที่เขาได้รับจากคลาสการต่อสู้พิเศษแต่ถ้าเขาต้องประเมินเทคนิคทรานเซียนสไตรและฮาซาดัสแอสซาซินก็น่าจะอยู่ในระดับที่มากอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับเทคนิคสปินนิ่งแอร์โรว์ เนื่องจากเขาไม่เคยเห็นเจสันใช้ธนูของเขา
ถึงกระนั้น ประสิทธิภาพของเจสันกับเทคนิคที่มีชื่อก่อนหน้านี้อยู่ในความเชี่ยวชาญนั้นสูงกว่าที่นักเรียนทั่วไปส่วนใหญ่จะสามารถทําได้ในเวลามากกว่าหนึ่งเดือน
ตามความเข้าใจของเขา มีนักเรียน 2-3 คนที่บรรลุความเชี่ยวชาญขั้นพื้นฐานของเทคนิคระดับ 1ของพวกเขาแล้วในขณะที่ความเชี่ยวชาญระดับสูงนั้นแทบจะไม่มี นับประสาผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์
จะต้องใช้เวลานานสําหรับนักเรียนคลาส 54 ในการเข้าถึงความเชี่ยวชาญระดับสูงหรือแม้แต่ความเชี่ยวชาญ ที่สมบูรณ์แบบด้วยเทคนิคเดียว
จ้องมองไปที่นักเรียนที่ถามคําถามโง่ ๆ กับเขา เขารู้สึกหงุดหงิดเมื่อตอบ
ท้าสู้กับพวกเขาซะ แต่อย่ากลับมาร้องไห้กับ
หยุดถามฉันด้วยคําถามโง่ๆ แบบนี้ ถ้าเธอมีอะไรกับพวกเขา ฉันนะ ตกลงไหม?
เมื่อได้ยินดังนั้น นักเรียนก็หน้าแดงด้วยความอับอายและโกรธเคืองเพราะเขาไม่เข้าใจครูของเขาอีกต่อไปแม้แต่นักเรียนที่อยู่รอบๆ ก็ยังประหลาดใจที่ได้ยินครูของพวกเขาพูดแบบนั้นกับนักเรียนของเขาขณะที่พวกเขาจ้องไปที่ทิลล์อย่างตะลึงงัน
อย่างไรก็ตาม ทิลล์ไม่สนใจพวกเขาอีกต่อไปขณะที่เขาจ้องมองเจสันด้วยความสนใจเล็กน้อยเป็นประกายในดวงตาของเขา
เซรอน…ลูกศิษย์ผู้น่าสงสารของฉันนายจะต้องฝึกให้หนักขึ้นถ้าไม่อยากเพิ่มช่องว่างระหว่างนายและเจสัน….ช่างเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ…
เขากําลังอ่าน ฝึกเทคนิคศิลปะการต่อสู้พัฒนาความชํานาญด้วยความสัมพันธ์ ออกกําลังกายซ่อมฝึกเทคนิคเฮฟเว่นเฮลหรือดูดซับมานาแม้ว่าจะไม่จําเป็น
นี่เป็นกําหนดการแม้แต่ครอบครัวใหญ่ก็ไม่บังคับลูกหลานของพวกเขาเพราะมันอาจจบลงด้วยการที่พวก เขาต่อต้านเนื่องจากขาดเสรีภาพ
ในขณะเดียวกัน เจสันทําทุกอย่างด้วยความต้องการของตนเอง โดยไม่มีใครจูงใจเขาหรือทําอะไรเพื่อเพิ่มความทะเยอทะยานของเขา ซึ่งทําให้เขาแตกต่างจากคนอื่นๆ
ขณะที่ทิลคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น เขาสังเกตเห็นนักเรียนชั้นนําสองสามคนกําลังเดินไปหาเจสันซึ่งยังคงวิ่งโดยไม่สนใจอะไรเลย
เมื่อเจสันมองเห็นเด็กนักเรียนเหล่านั้นมาขวางทาง
อีกแล้วเหรอ
เขาถามตัวเองเหมือนเดจาวู
อย่างไรก็ตาม แทนที่จะหยุดเดินด้วยท่าทีหงุดหงิด เจสันยังคงวิ่งต่อไป ขณะที่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บานบนใบหน้าของเขาด้วยแสงสีฟ้าปรากฏขึ้นในดวงตาสีทองของเขา
สิ่งเดียวที่เขาทําเพื่อเดือนพวกเขาคือตะโกนว่า
หลบออกไป!
ในขณะที่เกิดแผ่นน้ําแข็งเกิดขึ้นเป็นเส้นทาง เพื่อที่จะข้ามและหลบเหล่าพวกที่น่ารําคาญออกจากเส้นทางของเจสัน
ตอนที่ 181 โอกาส
เมื่ออ่านข้อความเจสันมั่นใจว่าข่าวเกี่ยวกับรอยแยกที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองไซโร
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่ารอยแยกนั้นเกี่ยวข้องกับคลาสการต่อสู้พิเศษอย่างไร และทําไมถึงจําเป็นต้องยกเลิกคลาสนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่เขาจะได้รู้ในไม่ช้า
เนื่องจากถึงเวลาต้องไปโรงเรียนแล้ว เชนจึงเปิดประตูมิติเพื่อให้เขาออกจากที่ซ่อนใต้น้ําอย่างปลอดภัย
หลังจากปรากฏตัวที่ด้านหน้าของทะเลสาบสีฟ้าที่ส่องแสงระยิบระยับ เจสันก็หันไปทางโรงเรียนก่อนที่เขาจะเริ่มวิ่งเพื่อคลายกล้ามเนื้อ
ขณะวิ่ง เจสันได้พยายามหมนเวียนมานาของเขาไปทั่วร่างกายในขณะที่ใช้พลังของสายใยวิญญาณไปพร้อมกันๆ
การทําเช่นนี้จะทําให้เขาเข้าใจวิธีเคลื่อนที่ ที่ดีที่สุดได้ง่ายขึ้นในขณะที่หมุนเวียนมานาและใช้พลังของสายใยวิญญาณไปพร้อมกันๆ
การเรียนรู้สิ่งนี้เป็นสิ่งสําคัญในการเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของเขาในอนาคต เนื่องจากที่จะหยุดใช้ประโยชน์จากสายใยวิญญาณเป็นการเสียเวลาและอาจนําไปสู่การบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้เพื่อชีวิตและความตาย
เจสันไม่ชอบการสูญเสียศักยภาพหรือโอกาสใด ๆ ซึ่งทําให้เขาต้องฝึกพลังหลายอย่างพร้อมกันด้วยการกระทําต่างๆ มากมาย ภายในเวลาที่เหลืออยู่สัปดาห์กว่าๆ
มันยากมาก แต่เขาเริ่มเห็นผลแรกอย่างช้าๆ มันไม่มีประโยชน์ที่จะหยุดวิ่งในขณะที่ใช้พลังจากสายใยวิญญาณของเขาแม้ว่าความสามารถของเขาจะถูกจํากัดไว้ในระดับหนึ่ง
ถึงกระนั้น เจสันก็ค่อนข้างพอใจกับความสามารถในการต่อสู้ของเขาที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามเวลา
เมื่อคิดถึงความแข็งแกร่งของเขาเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว เขารู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมในขณะที่เขาเริ่มเอาชนะเพื่อนที่แข็งแกร่งกว่าบางคนในโรงเรียนของเขาได้แล้ว
ยังมีทางอีกยาวไกลสําหรับเขาที่จะก้าวไปพร้อมกับอัจฉริยะจากแอสทริกซ์หมู่เกาะอื่น หรือคาเนียร์แต่เจสันมีความมั่นใจมากกว่าที่จะทําเช่นนั้น เนื่องด้วยจิตวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์และดวงตาที่พิเศษของเขา
เมื่อมาถึงสนามประลอง เขาเห็นว่ามีนักเรียนมากมายอยู่หน้าประตูและซุบซิบกัน เขาได้ยินชัดเจนว่าเกือบทุกคนกําลังพูดถึงคลาสการต่อสู้พิเศษที่ถูกยกเลิกและข่าวลือเกี่ยวกับรอยแยกชั่วคราวที่เกิดขึ้น
เจสันเองก็อยากรู้ความคิดเห็นของนักเรียนคนอื่นๆ ในตอนแรกเช่นกัน แต่สิ่งนี้เปลี่ยนไปเมื่อเขาพบว่าไม่มีแหล่งข้อมูลใดที่เชื่อถือได้เลย และทั้งหมดที่เขาได้ยินคือความความคิดที่คนเหล่านั้นคิดขึ้นเอง
นอกจากนี้ พวกเขาพูดเกินจริงถึงข้อเท็จจริงบางอย่าง และเจสันยังสังเกตเห็นว่านักเรียนบางคนพูดเรื่องไร้สาระทั้งหมดเกี่ยวกับการรอยแยกระดับอบิส
แม้แต่นักเรียนที่ไร้เดียงสาที่สุดก็ยังเข้าใจว่ามันไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่งที่รอยแยกระดับอบิสจะปรากฎภายในโดมโดยที่จะไม่สร้างความเสียหายแก่หมู่เกาะต่างๆ
นอกจากนี้ ปริมาณมานาที่จําเป็นในการทําให้เกิดรอยแยกดังกล่าวอาจจะทําให้เส้นมานาทั้งหมดไหลลงด้านล่างของเมืองไซโรหรือบางทีแม้แต่แอสทริกซ์ก็จะไร้มานา
หากมีภัยคุกคามต่อเมืองไซโรจริงๆจะไม่มีการประกาศจากโรงเรียน เนื่องจากคลาสการต่อสู้ปกติก็น่าจะ หยุดลงเช่นกัน
ขณะที่นักเรียนบางคนเดินเข้าไปในสนามประลองเพื่อไปยังห้องโถงที่กําหนดไว้ เจสันก็ตัดสินใจทําเช่นเดียวกันเพราะเขาไม่สามารถทนต่อเรื่องซุบซิบงี่เง่าที่เขาได้ยินจากบริเวณโดยรอบได้
เมื่อเห็นเพื่อนร่วมชั้นของเขา เจสันก็ยิ้มออกมาอย่างแผ่วเบา เนื่องจากมันเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่ที่เขาได้พบในขณะที่อาร์เทมิสดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก ทําให้เด็กนักเรียนจํานวนมากมาล้อมรอบเจสัน
จากที่ไกลออกไป เขาสังเกตเห็นนักเรียนชั้นนําจ้องมองมาที่เขา ในขณะที่ลีโอไม่แม้แต่จะมองไปที่เจสันเลยเพราะเขาเข้าชั้นเรียนการต่อสู้พิเศษด้วยในฐานะนักเรียนชั้นยอดเพียงคนเดียว
ลีโอนั้นรู้เกี่ยวกับความสามารถในการต่อสู้ของเจสันและเซรอน ซึ่งทําให้เขาตกใจอย่างมากแต่ยิ่งไปกว่านั้นมันยังช่วยให้ความมุ่งมั่นของเขาแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย
สิ่งนี้ช่วยเร่งความเร็วในการดูดซับมานาของเขาอย่างมาก ในขณะที่เขามีสมาธิมากขึ้นทําให้เขาสามารถเข้าสู่ผู้ชํานาญระดับที่ 7 หลังจากอดทนต่อการดูดซึมมานาที่น่าเบื่อและกระบวนการปรับแต่งมานาหลายชั่วโมงต่อวัน
ด้วยสายใยวิญญาณ ความแข็งแกร่งของเขาเทียบได้กับผู้ชํานาญระดับที่ 8 ซึ่งเกือบจะเป็นผู้ชํานาญระดับที่ 9 ทั่วไปในขณะที่ความสามารถในการต่อสู้ของเขาเองก็ไม่ใช่น้อยๆ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่กล้าที่จะท้าทายเจสัน เพราะเขาสังเกตเห็นว่าเพื่อนร่วมชั้นผมสีดําที่มีดวงตาสีทองเก่งกาจเกินไป
ด้วยพลังจากธาตุ เขาสามารถเอาชนะคนที่มีระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่ร่างกายของเจสันดู เหมือนจะมีระดับสูงแล้ว แม้ว่าแกนมานาของเขาจะไม่ได้อยู่ในระดับผู้ชํานาญ 3 ด้วยซ้ํา
ลีโอไม่ได้กลัวเจสัน แต่เขารู้สึกเคารพและชื่นชมในตัวเขาอย่างสุดซึ้งนับตั้งแต่เขาต่อสู้กับเจสัน
หลังจากที่จบการแข่งขัน ลีโอก็สามารถคิดอย่างใจเย็นได้มาก โดยไม่สะสมความโกรธมากเกินไปเขาเคยมีปัญหาในการจัดการกับความโกรธของเขา แต่ตอนนี้เขาได้เรียนรู้ที่จะควบคุมความโกรธของเขาในระดับหนึ่งแล้ว
ในขณะเดียวกัน นักเรียนคนอื่น ๆ จ้องมองที่เจสันด้วยความรังเกียจ
ก่อนที่พวกเขาจะได้ทําอะไร ทิลล์ก็มาถึงห้องโถงประลองการต่อสู้ ทําให้ทั้งห้องโถงเงียบลงภายในไม่กี่วินาทีเนื่องจากทุกคนจํามานาที่น่าสะพรึงกลัวได้อย่างชัดเจน
ทันใดนั้น เจสันสังเกตเห็นเซรอนปรากฏขึ้นข้างๆ เขา ด้วยสีหน้าที่มีความหวัง ทําให้เขาสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทิลล์ได้ประกาศขึ้น
สวัสดี นักเรียนชั้น 54 ที่รัก เป็นเวลานานแล้วที่ฉันไม่ได้สอนวิชาการต่อสู้ของคุณ และฉันได้รับคําสั่งให้ทําเช่นนั้นอีกสองสามวันข้างหน้า
แต่ก่อนที่เราจะเริ่ม ฉันเชื่อว่าทุกคนต้องสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุด และหากมีรอยแยกเกิดขึ้นที่เมืองไซโรอย่างที่ข่าวลือกล่าวไว้
คําตอบนั้นง่าย ใช่ มี แต่เราโชคดีพอเพราะเป็นเพียงรอยแยกระดับสี่ดาวที่มีข้อจํากัดที่ป้องกันไม่ให้บุคคลที่แข็งแกร่งกว่าระดับเมกัสและผู้วิเศษเข้าหรือออกจากรอยแยก
ซึ่งหมายความว่าเมืองไซโรจะไม่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์อื่นที่เทียบได้กับการโจมตีของก็อบลินตราบใดที่ทหารคอยตรวจสอบรอยแยก
อย่างที่ทุกคนควรรู้เพราะเป็นความรู้ทั่วไป รอยแยกส่วนใหญ่ที่เชื่อมระนาบอื่นๆ กับอีกรามีสมบัติมากมายเนื่องจากมานาที่หนาและอัดแน่นอยู่อีกด้านหนึ่ง
บางคนอาจต้องการลองและเสี่ยงไปอีกด้าน
โปรดจําไว้ว่าความแข็งแกร่งของคุณ ไม่มีสามารถเอาชนะกับความสามารถในการต่อสู้โดยเฉลี่ยของสัตว์ร้ายและสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในรอยแยกระดับสี่ดาว
บางที นักเรียนเกรด 3 ที่มีพลังมากกว่าจะเข้าสู่รอยแยกระดับสี่ดาว เนื่องจากความสามารถในการต่อสู้ที่สูงซึ่งทําให้พวกเขาสามารถฆ่าสัตว์ร้ายระดับสูงได้
ถ้าพวกคุณคนใดต้องการเข้าไปในรอยแยก อย่างน้อย ก็เตรียมมาตรการป้องกันให้เพียงพอเพื่อที่จะเอาชีวิตรอดจากสัตว์ร้ายระดับสูงสุด และถ้าจําเป็น ให้หนีจากสัตว์ร้ายที่มีระดับเวทย์มนตร์แต่ฉันจะไม่รับผิดชอบใดๆ ถ้ามีใครตายแบบนั้น
นอกจากนี้ สําหรับเยาวชนที่ไร้เดียงสาเหล่านี้ที่ต้องการเข้าสู่รอยแยกระดับสี่ดาวด้วยพละกําลังอันอ่อนแอของพวกเขา โดยลําพังและไม่ได้เตรียมตัวไว้ โปรดจําไว้ว่าพ่อแม่ของพวกคุณเลี้ยงดูคุณด้วยความรักทั้งหมด อย่าทิ้งมันไว้เพียงเพราะสมบัติบางอย่างที่เป็นไปได้
การมีชีวิตอยู่สําคัญกว่าการได้มาซึ่งสมบัติเพียงเล็กน้อย!
เจสันเริ่มไตร่ตรอง…
ฉันควรลองไปที่รอยแยกจริง ๆ ไหม?? แต่การไปคนเดียวก็เหมือนกับการไปฆ่าตัวตายเหมือนที่เชนและทิลล์พูดไว้แล้ว….เดี๋ยวนะ
ลําพัง?! ใครบอกว่าเขาอยู่คนเดียว? ด้วยความคิดผุดขึ้นในใจ เจสันก็สั่นสะท้านและราวกับว่าจิตใจของเขาสั่นคลอน เนื่องจากทางเลือกและเส้นทางที่เป็นไปได้ทุกรูปแบบที่เขาสามารถทําได้ขณะที่ความคิดบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขา
มันน่าลองนะ…ไม่ใช่หรอ
เจสันบอกกับตัวเอง ขณะที่เขารับรู้ถึงโอกาสที่เขาได้มองเห็น
ตอนที่ 180 ประกาศ
เมื่อมองตรงเข้าไปในดวงตาของเชน เจสันคาดว่าจะได้รับคําตอบที่น่าพึงพอใจ อย่างไรก็ตาม โชคไม่ดีที่เขาผิดหวังเมื่อเสียงของเชนดูจริงจัง
เจ้าไม่ควรคิดไปไกลถึงการเข้าสู่รอยแยกระดับสี่ดาวด้วยความสามารถในการต่อสู้ในปัจจุบันของเจ้า ตอนนี้เจ้ายังอ่อนแอเกินไป และเจ้าสามารถเอาชนะสัตว์ป่าได้เพียงแค่ระดับที่ไม่สูงมากจากพลังของเจ้า
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของพวกมันนั้นสูงกว่าของเจ้าหลายเท่า และพวกมันสามารถป้องกันการโจมตีของเจ้าได้เกือบสมบูรณ์ หากเจ้ายังไม่สามารถเอาชนะสัตว์ร้ายระดับสูงได้ ก็มีโอกาสรอดเพียงเล็กน้อย
การพยายามผจญภัยไปตามรอยแยกด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียวเพื่อค้นหาสมบัตินั้นช่างโง่เง่าและประมาท
แม้แต่ในขณะที่ต่อสู้กับสัตว์ร้ายในระดับเดียวกัน เจ้าก็ไม่ควรมั่นใจในตัวเองมากเกินไปด้วยขนาดร่างกาย และแกนมานาของเจ้า เจ้าอาจจะสามารถต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่อยู่ในระดับพลังที่ตื่นขึ้นได้
แต่หากปราศจากพลังธาตุที่เอาไว้เป็นพลังแก้ทาง เจ้าจะต้องถูกสัตว์ร้ายระดับสูงฉีกเป็นชิ้นๆ ภายในรอยแยกนั้น
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจสันต้องการจะได้ยินอย่างแน่นอนและการแสดงออกทางสีหน้าของเขา ท่าให้เชนและดาเลียยิ้มแห้งๆ เพราะพวกเขาเข้าใจเหตุผลของลูกศิษย์ได้คร่าวๆ
เมื่อเชนพูดต่อ อารมณ์ของเจสันก็ยิ่งแย่ลงไปอีก
รอยแยกระดับสี่ดาวนี้เองก็เป็นเพียงรอยแยกชั่วคราวซึ่งจะสลายตัวในอีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้ ภายในหนึ่งเดือน เจ้าจะไม่สามารถเข้าถึงความแข็งแกร่งที่จําในการผจญภัยในรอยแยกนั้นได้ ข้าขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้
แม้ว่าเจสันจะดื้อรั้น แต่มันคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนักหากเขาเข้าไปในรอยแยกในเวลานี้
และเขาเองก็รู้สึกเจ็บใจอยู่เล็กน้อย ในขณะที่เขาต้องการสัมผัสว่าอีกด้านของรอยแยกจะมีลักษณะอย่างไร
มีอาคารหรือโครงสร้างอื่น ๆ ที่สร้างขึ้นโดยเผ่าพันธุ์อื่น ๆ หรือมีเพียงธรรมชาติที่บริสุทธิ์อยู่กันนะ หรือจะเป็นสมบัติเวทมนตร์หายาก สัตว์ร้าย สมุนไพร แร่ และสิ่งลึกลับ ?
เขาต้องการรู้ทุกอย่างและเพียงแค่การอ่านหนังสือนั้นไม่เพียงพอต่อความอยากรู้อยากเห็นของเจสัน เพราะมันเกี่ยวข้องกับการที่เขาจ้องไปที่หน้ากระดาษและจินตนาการถึงสิ่งต่างๆ
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาไม่ได้ออกจากเมืองไซโรแม้แต่ครั้งเดียว และการผจญภัยครั้งสุดท้ายของเขาคือการเดินทางผ่านถิ่นฐานของก๊อบลิน
เขารู้สึกราวกับว่าเขาถูกคุมขังในเมืองไซโร แม้ว่าเขาจะมีงานมากมายที่ต้องทํา
ถ้าเขาทําทุกอย่างตามแผนของเขาโดยเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ให้ดีที่สุด เขาจะไม่ออกจากโดมไปสักระยะหนึ่ง สําหรับเขา เจสันรู้สึกว่าช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่แล้วเขานั้นขาดความแจ่มใสไปกับการฝึกสายสัมพันธุ์ การหลอม การฝึกฝนเฮฟเว่นเฮล และอื่นๆ
มีเมล็ดพันธุ์แห่งการทําลายล้างที่ปลูกอยู่ในหัวใจของเขาและแตกแขนงออกไปทุกตารางนิ้วภายในร่างกายของเขา ทําให้เขารู้สึกกระสับกระส่ายอย่างยิ่ง
เจสันมั่นใจว่าเขาจะเป็นบ้าโดยไม่ทําอะไรเลย หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงตารางงานของเขาในไม่ช้า
หลังจากพูดคุยและเรียนรู้เกี่ยวกับรอยแยกที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันกับข้อเท็จจริงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับรอยแยก เจสันก็เข้าใจเกี่ยวกับรอยแยกมากขึ้น
เนื่องจากยังเร็วเกินไป เขาจึงมีเวลามากเกินพอที่จะชําระแร่เกรด 1 ให้เป็นแท่งที่บริสุทธิ์ เพื่อที่จะเพิ่มความเชี่ยวชาญให้มากขึ้นกับกระบวนการชําระล้างประเภทต่างๆ ด้วยแร่ทุกชนิด ซึ่งจําเป็นต่อการสร้างรากฐานที่แข็งแรง
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ และก็ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้วเมื่อเขาฝึกฝนเทคนิคเฮฟเว่นเฮลในโลกวิญญาณของเขาเพื่อเพิ่มพลังงานวิญญาณของเขาเป็น 154.8 หน่วย
ต้องขอบคุณความต้องการพลังงานวิญญาณของอาร์เทมิสและสกอร์พิโอที่สูง เจสันจึงต้องมีหน่วยพลังงานวิญญาณ 200 หน่วยเพื่อเก็บโซลบอนด์ทั้งสองของเขาไว้ในโลกวิญญาณของเขา เปลวไฟต้นกําเนิดสีดําของเขาต้องการหน่วยพลังงานวิญญาณ 0.01 หน่วย
เปลวไฟต้นกําเนิดสีดําของเขามีพลังมหาศาลอยู่แล้ว โดยไม่ต้องผนวกหน่วยพลังงานวิญญาณและเจสันต้องการบํารุงด้วยพลังงานวิญญาณ
ปัญหาเดียวคือเขาต้องการกําาวไปทีละก้าว
หากเปลวไฟต้นกําเนิดสีดําของเขาสามารถปรับปรุงขนาดร่างกายและมานาคอร์โดยไม่ต้องรับบัพติศมา เจสันคงไม่คิดจะทําอะไร แต่ตามคําบอกของดาเลีย ครั้งเดียวที่เขาจะได้รับความแข็งแกร่งและขนาดแกนกลางที่เพิ่มขึ้นก็คือบัพติศมาแต่ละครั้ง
ในขณะที่ความสามารถของเปลวไฟจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณของหน่วยพลังงานวิญญาณที่มันถูกผนวกรวมเข้าด้วยกัน
เมื่อนึกถึงเปลวไฟต้นกําเนิดสีดําของเขา เจสันก็นึกถึงบางสิ่งที่เขาต้องการตรวจสอบ เมื่อเขาเข้าสู่โลกวิญญาณอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ เขาไม่แน่ใจว่าเปลวไฟต้นกําเนิดสีดํานั้นเทียบได้กับสายใยวิญญาณปกติหรือไม่ เพราะต้องใช้สัญญาผูกวิญญาณปกติ แต่หลังจากตรวจสอบสิ่งที่เขาต้องการจะทราบ เจสันก็ประหลาดใจที่เห็นว่าการเชื่อมต่อบางๆ ระหว่างเขากับเปลวไฟต้นกําเนิดส์ดํานั้นหนาขึ้น แม้ว่าเขาจะคาดหวังผลลัพธ์นี้อยู่แล้วก็ตาม
ดวงตาของเขาเบิกกว้างและจิตใจของเขาก็มีคําถามมากมาย หือ?
หลุดออกมาจากริมฝีปากของเขา ซึ่งเชนและดาเลี้ยสังเกตเห็นเนื่องจากค่าแกนมานาที่สูงขึ้นและประสาทสัมผัสพิเศษ
พวกเขาไม่เคยหันเหความสนใจของศิษย์ในระหว่างกระบวนการกลั่นพลังวิญญาณ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะทําเสร็จแล้ว เมื่อพวกเขาเข้าใกล้เจสันมากขึ้น
เป็นอะไรไป เจสัน มีอุปสรรคหรืออะไรขัดขวางในการฝึกฝนเทคนิคเฮฟเว่นเฮล หรือมีอะไรเกิดขึ้นไหม
ดาเลี้ยถามในขณะที่ เชนยืนอยู่ข้างๆ เธอที่อยากรู้อยากเห็นพอๆกัน ขณะที่เจสันมองตรงเข้าไปในดวงตาของดาเลีย
โดยไม่ได้พยายามปกปิดอะไรเลย ความอยากรู้ของเจสันเกี่ยวกับคําตอบของคําถามบางข้อก็เต็มไปทั้งความคิดของเขา และถูกครอบงําด้วยค่าถามอื่นๆ
เป็นไปได้ไหมที่เปลวไฟต้นกําเนิดจะสร้างการรวมพลังวิญญาณเข้าด้วยกัน?
เขาถามเพราะสายใยสัมพันธ์ระหว่างเขากับต้นกําเนิดเปลวไฟนั้นหนาขึ้น ไม่เพียงแต่บ่งชี้ว่าการสายใยและความสัมพันธ์ของเขาและเปลวไฟต้นกําเนิดนั้นได้เพิ่มมากขึ้นอย่างมาก
ดาเลี้ยผงกศีรษะของเธอและไตร่ตรองว่าจะตอบคําถามนี้อย่างไรเพื่อสนองความอยากรู้ของเจสัน
ก็…ตอบยากนะ..ใช่ เพราะความเชื่อมโยงระหว่างผู้ผูกมัดกับเปลวไฟต้นกําเนิดพลังวิญญาณจะแข็งแกร่งขึ้นด้วยความเข้ากันได้ที่จะเพิ่มขึ้นตามการใช้งานอย่างต่อเนื่อง
ในเวลาเดียวกัน ฉันต้องการตอบสิ่งนี้ด้วยคําว่า ไม่ เพราะถึงแม้หลังจากใช้เปลวไฟต้นกําเนิดสีเงินของฉันมานานกว่าร้อยปี ฉันก็ไม่สามารถสร้างการประสานที่เสริมความแข็งแกร่งกับมันได้ และฉันก็ไม่เคยได้ยินเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาก่อน มนุษย์สามารถทําสิ่งที่คล้ายกันได้
ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นไปได้จริง ๆ หรือไม่ แต่ตามความรู้ของเราเกี่ยวกับโลกแห่งวิญญาณและสายใยวิญญาณ มันควรจะเป็นเช่นนั้น
บางคนพยายามทดลองด้วยเปลวไฟต้นกําเนิดเพื่อสร้างการประสานวิญญาณที่เสริมความแข็งแกร่งโดยไม่มีผลลัพธ์ใดๆ
ด้วยเหตุนี้ มนุษยชาติจึงละทิ้งการทดลองของพวกเขาไปชั่วขณะ จนกว่าภัยคุกคามจากเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ และสัตว์ร้ายจะลดน้อยลงจนกว่าความสมงบสุขจะกลับมา พวกเขาอาจจะทําการทดลองต่อไป
นักทฤษฎีบางคนคิดว่าการเข้ากันได้โดยกําเนิดของโลกวิญญาณกับเปลวไฟต้นกําเนิดนั้นมีความสําคัญ ในขณะที่นักทฤษฎีอื่นๆ กล่าวว่าการใช้เปลวไฟต้นกําเนิดอย่างต่อเนื่องจะเป็นทางออกสุดท้ายของการเอาชีวิตรอด
เจสันพยักหน้าหลังจากฟัง ในขณะที่เขาจําได้ว่าโลกวิญญาณของเขาสั่นเล็กน้อยเมื่อรับรู้ถึงการมีอยู่ของเปลวไฟต้นกําเนิดสีดําที่พลังยังไม่ตื่น
นั่นเป็นสัญญาณหรือไม่
เขาสงสัย แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีคําตอบ และเขาทําได้เพียงเพิกเฉยต่อความคิดนี้ในขณะนั้น เมื่อสร้อยข้อมือ ควอนตัมของเขาสันอย่างรุนแรงในทันใด
เมื่อมองดูสร้อยข้อมือควอนตัม เขาสังเกตเห็นว่าเป็นเพียงประกาศจากโรงเรียนแนวหน้า ซึ่งเขาต้องการเพิกเฉย แต่มีบางอย่างดึงดูดความสนใจของเขา
[ประกาศโรงเรียน: คลาสการต่อสู้พิเศษจะถูกยกเลิกในอีกสามวันข้างหน้า คลาสการต่อสู้ปกติจะดําเนินต่อไปโดยมีที่นั่งคลาสการต่อสู้พิเศษเข้าร่วม]
นั่นเป็นเพราะรอยแยกระดับสี่ดาวหรือเปล่า เจสันถามตัวเองด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่อีกไม่กี่วันข้างหน้าอาจเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายสําหรับเขา
ตอนที่ 179 ข้อจํากัด
ก่อนที่เขาจะมีเวลาตอบโต้ เจสันก็ถูกลากผ่านประตูมิติกับอาร์เทมิสเมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่เสียหายไม่ไกลจากกําแพงเมืองไซโรที่พังยับเยิน
มีอาคารหลายหลังถูกพัดพาจนฝุ่นตลบไปด้วยโครงสร้างต่างๆ มากมายซึ่งมีรอยแตกตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง
แม้ว่าทุกคนบนท้องฟ้าจะมองเห็นสารประกอบมานาที่หนาแน่นและอัดแน่นแต่อยู่เหนือพื้นดินเพียงสิบเมตร
ด้วยดวงตาที่มีมานาพิเศษ เจสันสามารถบอกได้ทันทีว่าความหนาแน่นของมานานั้นสูงมากซึ่งทําให้เขาตกใจเล็กน้อยเนื่องจากเขาไม่สามารถเปรียบเทียบสิ่งนี้กับสัตว์ร้ายตัวไหนเลย
แม้แต่มานาที่ถูกบีบอัดของราชาก็อบบลินก็ดูอ่อนแออย่างมากเมื่อเทียบกับสิ่งนี้อาจจะเป็นเพราะการเชื่อมต่อมานา
หลายคนเรียกการเชื่อมต่อมานานี้ว่าสะพานโลกและเจสันชอบชื่อนี้แม้ว่าผลลัพธ์จะน่ากลัวก็ตามความแตกแยกตรงหน้าเขาดูเหมือนจะอยู่ในระดับสี่ดาวเป็นอย่างน้อย
ซึ่งหมายความว่าอีกด้านหนึ่งของสะพานโลกจะต้องมีสัตว์ร้ายจํานวนมากและจะต้องมีระดับเวทมนตร์เป็นอย่างน้อย
ในท้ายที่สุด เขาคิดว่าแม้แต่อันดับสี่ดาวก็อาจสร้างความเสียหายให้กับเมืองไซโรได้ เพราะไม่รู้ว่าจู่ๆจะมีสัตว์ร้ายโผล่ออกมาจากรอยแยกชั่วคราวกตัว
ขณะที่เจสันทําได้เพียงมองดูรอยแยกที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึงเชนก็สวมเสื้อคลุมหนาทึบเพื่อปกปิดพวกเขาจากสายตาของสาธารณชน
เชน ดาเลีย และเจสันค่อยๆ เข้าใกล้รอยแยก
ตามสายตาของเขา ความหนาแน่นของมานาทั้งหมดทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อความบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น
พื้นที่ฉีกขาดดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ขณะที่เจสันมองเห็นล่าธารมานาหนาทึบที่อยู่ด้านหลังอาคารหลังหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีอย่างอื่นภายในรอยแยก แต่เจสันไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามันคืออะไร
เขาแทบจะไม่เห็นสีที่ต่างกันสามสี ที่เปล่งประกายจากส่วนลึกในรอยแยก แสงสีทองที่ค่อนข้างคุ้นเคยสีเงินลึกลับและสีดําที่น่าขนลุกและน่ากลัว
อย่างไรก็ตาม พวกมันดูเหมือนรูปแบบความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ที่สุดที่เขาสังเกตเห็นในโลกวิญญาณของเขาแต่เจสันไม่แน่ใจในข้อเท็จจริงนี้เขาไม่กล้าพูดเรื่องไร้สาระต่อหน้าอาจารย์ของเขาที่ดูจริงจังมาก
ระหว่างที่เชนตรวจสอบรอยแยกที่ก่อตัวขึ้น มนุษย์คนอื่นๆ ก็เห็นได้วิ่งเข้าหารอยแยกด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวบางคนมีปีกบนหลังหรือส่วนล่างของสัตว์ประเภทว่องไว
เมื่อสแกนด้วยตามานา เจสันสามารถบอกได้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาเกือบจะเทียบเท่ากับของทิลล์เนื่องจากเขาคาดว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาอาจยังอยู่ในระดับแกรนด์เมกัสและใกล้เคียงกับระดับลอร์ด
โชคดีที่พวกเขาไม่สังเกตเห็นตัวตนของพวกเขาด้วยเสื้อคลุมสีเข้มของเชนซึ่งห่อหุ้มพวกเขาไว้อย่างสมบูรณ์
ขณะที่เชนตรวจสอบรอยแยกที่เกิดขึ้นจากระยะทางสั้นๆ ยานของพวกแกรนเมกัสที่มาถึงเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนก็ตัดสินใจที่จะรักษาระยะห่างไว้ในขณะที่ดึงเครื่องจักรสองสามเครื่องจากวงแหวนอวกาศเพื่อทดสอบรอยแยก
ผ่านไปมากกว่าหนึ่งนาทีก่อนที่เชนจะกลับไปหาเจสันและดาเลีย พวกเขาเฝ้าดูด้วยความสงสัยในขณะที่เหล่าแกรนเมกัสได้ล้อมรอยแยกด้วยเครื่องมือที่พวกเขานํามา
โดมรูปทรงประหลาดโผล่ออกมาจากเครื่องจักร และเจสันก็มองเห็นอักษรรูนภายในโดมได้ชัดเจน เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าเครื่องมือเหล่านี้เอาไว้ทําอะไรในขณะที่เชนกล่าว
กลับกันเถอะ ฉันได้ตรวจสอบรอยแยกอย่างสมบูรณ์แล้วและได้ค้นพบสิ่งที่สําคัญที่สุด มันแปลกอย่างแน่นอนแต่ในทางกลับกันมันอาจนําสมบัติที่ไม่คาดคิดมาให้…ใครจะรู้
เมื่อพูดอย่างนั้น เชนก็เปิดประตูมิติ และทุกคนก็ผ่านเข้าไป ขณะที่เจสันละสายตาจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้
มีบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ดึงดูดความสนใจของเขา แต่เจสันไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร ขณะที่เขาก้าวผ่านประตูมิติ
ดวงตาของเจสันยังคงจับจ้องอยู่ที่ความผันผวนของมานา ในขณะที่ได้ยินเสียงของเชนอยู่ข้างหลังเขา
ถ้าเจ้าอยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับรอยแยก อย่างน้อยก็ควรมองมาที่ข้า ขณะข้าพูด นั่นมากเกินไปไหม? เชนพูดพลางคร่ําครวญถึงพฤติกรรมของเจสันขณะหันหลังกลับโดยไม่ลังเล
แม้ว่ากระบวนการก่อตัวของรอยแยกที่อยู่ตรงหน้าเขาจะน่าดึงดูดใจและน่าสนใจอย่างยิ่งการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับมันก็ยังดีกว่าการจ้องมองอย่างโง่เขลาอย่างแน่นอน
หลังจากสังเกตว่าเจสันสนใจ เชนเริ่มอธิบายทุกอย่างที่เขาเข้าใจภายในเวลาอันสั้น
การประมาณการครั้งก่อนของข้า เกี่ยวกับรอยแยกที่เป็นรูปธรรมนั้น ต้องถูกต้องอย่างแน่นอนเนื่องจากความผันผวนนั้นเทียบได้กับรอยแยกระดับสี่ดาวที่ฉันเคยเห็นบ่อยพอแล้ว
แต่มีบางอย่างที่ทําให้ฉันไม่แน่ใจเกี่ยวกับกระบวนการทั้งหมด
หากความเข้าใจของฉันไม่ผิดทั้งหมด มนุษย์ระดับเมกัสหรือสิ่งมีชีวิตระดับเวทมนตร์จะไม่สามารถผจญภัยผ่านรอยแยกชั่วคราวซึ่งจะทําให้การเดินทางไปและกลับระหว่างรอยแยกส่าหรับตําแหน่งดังกล่าวมีขอบอย่างมาก
หากทั้งมนุษย์ในระดับเมกัสหรือสัตว์ที่มีระดับเวทย์มนต์ไม่สามารถเข้าไปยังอีกฝั่งได้
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจสันก็ประหลาดใจเพราะเขาไม่เคยได้ยินเรื่องข้อจํากัดของรอยแยกเลยสิ่งนี้ทําให้เขาดูสับสนเล็กน้อยซึ่งเชนสังเกตเห็นขณะอธิบายอย่างใจเย็น
เจสัน เจ้าอาจไม่ได้ตระหนักถึงความสําคัญของข้อจํากัด แต่มนุษยชาติอาจรอดได้ก็ต้องขอบคุณสิ่งนั่นเท่านั้นที่รอยแยกชั่วคราวระดับอบได้ปรากฏขึ้นบนคาเนียร์เมื่อกว่าศตวรรษก่อนทําให้ทุกคนในทวีปตกตะลึงเนื่องจากขนาดของรอยแยกนั้นใหญ่มาก
โชคดีที่มีสัตว์ร้ายระดับลอร์ดเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่สามารถผ่านมาได้ ในขณะที่มนุษยชาติแทบจะไม่สามารถรับมือกับความหายนะที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้
รอยแยกทุกที่มีข้อจํากัดของตัวมันเอง เนื่องจากมานาที่สะสมมาโดยกําเนิดและดูเหมือนว่าเมืองไซโรโชคดีมากสิ่งเหล่านี้ป้องกันสัตว์อสูรระดับเวทย์มนตร์ไม่ให้โผล่ออกมาจากประตูภายในรอยแยกได้เนื่องจากสิ่งมีชีวิตที่หายากและน่าสะพรึงกลัวบางตัวอาจจะสามารถปกปิดตัวเองและเดินทางไปทั่วเมืองโดยไม่มีใครสังเกต เห็นพวกมัน
ในช่วงเริ่มต้นของการระบาดของมานา รอยแยกชั่วคราวเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับมนุษยชาติและตอนนี้เท่านั้นที่เราจะเข้าใจอันดับและข้อจํากัดของพวกมันได้คร่าวๆ
ถ้าเมืองไซโรเป็นจุดศูนย์กลางของรอยแยกระดับขุมนรก เราจะหนีไปทันทีโดยไม่หันกลับมามองแอสทริกซ์อีกเลยเพราะอันตรายจะไม่คุ้มกับผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ด้วยรอยแยกระดับสี่ดาวนี้อาจมีโอกาสที่มนุษย์อัจฉริยะระดับปรมาจารย์บางคนจะได้รับประโยชน์มากมายจากการเข้าไปในรอยแยกชั่วคราวแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่งก็ตามซึ่งก็ไม่ต้องสงสัยเลย
เมื่อฟังเชนอย่างตั้งใจ ความอยากรู้ของเจสันเกี่ยวกับความแตกแยกชั่วคราวก็เพิ่มขึ้น เมื่อมีความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัวของเขา และเขาก็ได้ถามสิ่งต่างๆ กับเชนไปมากมาย
ถ้าผมเข้าไปในนั้นจะเป็นอันตรายมากไหม? หรือผมอาจจะได้อะไรมากมายจากมัน? แล้วช่วงเวลาที่รอยแยกชั่วคราวจะเปิดขึ้นล่ะ?มีวิธีหาว่ามันจะคงอยู่นานเท่าไหร่ไหม
เมื่อมองไปที่เชนด้วยสายตาที่คาดหวัง เจสันก็รอรับค่าตอบ
ตอนที่ 178 ความแตกแยก
แม้จะยังเช้าอยู่ เจสันก็ยังอยากเข้าไปในห้องตีเหล็ก เพราะเขาต้องการที่จะชําระแร่ให้บริสุทธิ์ให้ได้มากที่สุดและต้องการทํากริชและจารึกอักษรรูน
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะทําเช่นนั้น พื้นดินด้านล่างได้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ในขณะที่น้ําในทะเลสาบได้เกิดการกระเพื่อมเล็กน้อย
ตาของเขารู้สึกพร่ามัวจากการปรากฏขึ้นของมวลมานาที่หนาแน่นในระยะที่ไกลมาก เขามองดูเชนและดาเลียด้วยความสับสน ซึ่งดูเหมือนทั้งเชนและดาเลียก็ตกใจพอกัน
ความหนาแน่นของมานาเพิ่มมากขึ้นทําให้เกิดแรงกดดันที่รุนแรง และเจสันไม่สามารถหันไปทางที่เกิดการผันผวนของมานาได้ ดวงตาของเขาตรวจพบบางสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างยิ่งซึ่งอยู่ห่างจากเขาหลายกิโลเมตร
โดยปกติ เขาไม่สามารถมองเห็นมานาได้ในระยะที่ไกลขนาดนั้น ซึ่งปกติเขาจะสามารถเห็นได้เพียงระยะรัศมีไม่ไกลจากร่างกายของเขา
นี่เป็นเพราะมานาบริสุทธิ์และมีมวลมหาศาล ซึ่งทําให้เจสันตกใจเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ใหญ่กว่าในตอนนี้คือเจสันเห็นจุดเล็กๆ ห่างจากตําแหน่งปัจจุบันของเขาหลายกิโลเมตร ขณะที่เขาพยายามโฟกัส เขาเห็นว่าจุดนั้นกําลังขยายใหญ่ขึ้น ในขณะที่ความหนาแน่นของมานาที่เขารับรู้นั้นดูเหมือนจะหนาขึ้นทุกนาที
บ้าหน่า
เจสันโพล่งออกมาและอาจารย์ทั้งสองยของเขาสังเกตเห็นว่าเจสันมองตรงไปในทิศทางที่พวกเขามองเห็นความผันผวนของมานาจํานวนมหาศาล ในขณะที่เชนได้ถามเจสันว่า
เจ้าเห็นจุดสีน้ําเงิน-ด่าที่มีความหนาแน่นมานาที่หนาแน่นมากๆและมีความบริสุทธิ์สูงไหม
เจสันได้ตอบขระที่ไม่ได้หันหน้าไปหาเชนเพราะไม่อยากเสียจุดโฟกัสในขณะที่เขาจ้องมองจุดน้ําเงินนั้นอย่างไม่ละสายตา
ใช่ครับ…และจุดนี้ก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น
อย่างไรก็ตาม คําตอบของเขาทําให้ทั้งเชนและดาเลียถอนใจลาออก เจสันเริ่มสงสัยและกําลังจะถามในขณะที่เชนซึ่งพูดก่อน
หากประสาทสัมผัสของข้ายังทํางานได้ดี ตามความผันผวนเหล่านี้และจุดสีดําที่เจ้าเห็นคือการแสดงของรอยแยกชั่วคราว
สิ่งเดียวที่แปลกประหลาดคือตําแหน่งของรอยแยก….มันอยู่ในพื้นที่ตอนกลางของเขตรอบนอกตรงที่พวกก็อบลิ้นทําลายทุกอย่าง…
การได้ยินเชนพูด ทําให้เจสันสูดลมหายใจลึก และยังจ้องมองไปที่จุดน้ําเงินที่ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นซึ่งส่วนภายในดูเหมือนจะซับซ้อนแต่มันก็น่าดึงดูด
หากรอยแยกนี้นี้สูงกว่าระดับห้าดาว เมืองไซโรอาจจะต้องพบกับภัยพิบัติร้ายแรง
เท่าที่เจสันรู้ รอยแยกระดับหนึ่งดาวสามารถเพิ่มพลังให้กับสัตว์ป่าระดับต่ําให้แข็งแกร่งขึ้นได้
แต่รอยแยกระดับ 5 ดาวนั้น จะเพิ่มพลังให้กับสัตว์เวทย์มนต์และเป็นแห่ลงที่อยู่อาศัยของสัตว์ร้ายระดับสูงที่อันตราย
ปัญหาหลักสําหรับสถานการณ์โดยรวมของแอสทริกซ์นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อเกิดรอยแยกระดับเฮล (ระดับความยาก = นรกสุดๆ ยิ่งกว่า 5 ดาว)
สําหรับรอยแยกระดับสูงสุดนั้นถูกเรียกขานกันว่า ขุมนรก เจสันไม่อยากจินตนาการว่าสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวชนิดใดที่อาศัยอยู่ในรอยแยกระดับนั้น
รอยแยกระดับเฮลนั้นแตกต่างจากระดับดาว เนื่องจากไม่ทราบความสามารถและค่าพลังของสิ่งมีชีวิตในนั้นได้เนื่องจากมีสิ่งมีชีวิตระดับผู้พิทักษ์และระดับลอร์ดอาศัยอยู่
และถึงแม้จะมีสิ่งมีชีวิตระดับนั้นอยู่เหล่ามนุษย์ก็ไม่สามารถเข้าไปเพื่อค้นหาสมบัติหรือสิ่งของที่มีค่าหายากจากในนั้น เนื่องจากสิ่งมีชีวิตที่มีระดับผู้พิทักษ์และระดับลอร์ดนั้นแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งยิ่งกว่ามนุษย์ที่อยู่ในระดับจักรพรรดิ
นอกจากนี้ เขายังพบว่าเชนเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ทรงอิทธิพลที่สุดที่มนุษย์มี ในขณะที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่แข็งแกร่งกว่าเขา
เขายังไม่แน่ใจว่าระดับต่อไปจะเรียกว่าอะไร แต่เชนค่อนข้างแน่ใจว่ายังไม่มีตําแหน่งใหม่ที่จะค้นพบซึ่งใครบางคนสามารถสร้างผลึกคริสตัลขนาดใหญ่ภายในแกนมานาได้
ถ้ารอยแยกระดับเฮลยังมีสัตว์ร้ายระดับลอร์ด แล้วรอยแยกระดับอบสล่ะ?
แม้แต่สัตว์ร้ายระดับลอร์ดก็แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ที่ทรงพลังที่สุดเช่นกัน เนื่องจากช่องว่างที่เพิ่มขึ้นในความแข็งแกร่งโดยกําเนิดของมนุษย์และของสัตว์ร้ายที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติด้วยความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น
เขาไม่ต้องการที่จะจินตนาการถึงความน่าสะพรึงกลัวของรอยแยกระดับอบิส ที่สามารถกวาดล้างมนุษย์ได้จนหมดเกาะคาเนียร์
เชนยังบอกเขาด้วยว่าเคยมีช่วงเวลาที่สัตว์ร้ายระดับลอร์ดได้สร้างความหายนะให้กับคาเนียร์ ต้องใช้ความร่วมมือจากหลายครอบครัวใหญ่เพื่อจัดการสัตว์ร้ายให้ถอยออกไป แต่ไม่สามารถจัดการได้
เจสันรู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจว่ามนุษย์ถูกผลักให้อยู่ใต้ห่วงโว่อาหารหลังจากที่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะจากต่างโลกได้เกิดขึ้น เนื่องจากมนุษย์ไม่สามารถใช้มานาได้ในขณะนั้น
เมื่อคิดถึงเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ เจสันสงสัยว่าพวกมันแข็งแกร่งเพียงใด มีเพียงไม่กี่สายพันธุ์จากหลายเชื้อชาติที่ทําสงครามกับมนุษยชาติในคราวเดียวในขณะที่เขาเองก็ไม่เคยเห็นพวกนั้นมาก่อนเลย
จากความรู้ของเขา เจสันรู้สึกหวาดกลัว แต่เขาสังเกตเห็นเชนสงบซึ่งอาจเป็นประโยชน์ส่าหรับพลเมืองของแอสทริก
เมื่อได้ยินเขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก เจสันจึงตัดสินใจเลี่ยงการจ้องมองจากรอยแยกที่ก่อตัวขึ้น
เมื่อสังเกตเห็นว่าศิษย์ของเขามองมาที่เขาด้วยสายตาที่สงสัย เชนเริ่มอธิบาย
รอยแยกที่เจ้าเห็นน่าจะเป็นเพียงรอยแยกระดับดาวที่มีสัตว์ร้ายระดับสูงแต่ไม่ถึงกับเป็นระดับสัตว์เวทย์มนตย์ ซึ่งมีความสามารถในการต่อสู้หลัก
อย่างไรก็ตาม ข้ายังไม่แน่ใจในตอนนี้ เพราะอยู่ไกลเกินกว่าจะรับรู้รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆได้หวังว่าข้าจะคิดถูกเมืองไซโรจะได้รับความเสียหายมากเกินไปหากเป็นรอยแยกระดับห้าดาว
อย่างน้อย แอสทริกซ์จะรอด ตราบใดที่ไม่มีรอยแยกชั่วคราวระดับเฮล
ขณะที่เจสันมองตรงเข้าไปในดวงตาของเชน เชนดูอยากรู้เกี่ยวกับรอยแยกชั่วคราว ขณะที่เขาประกาศว่า
ลองดูสิ ข้าสามารถพาพวกเราทุกคนไปที่นั่นได้…
เขายังพูดไม่จบ เมื่อประตูมิติขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา โดยเชนจับเจสันและอาร์เทมิสด้วยมานาที่ปล่อยออกมา ขณะที่เขาม้วนตัว โอบรอบเอวของดาเลียเอาไว้
ไปกันเถอะ!!
ตอนที่ 177 สิ่งที่ต้องหา
เจสันรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าสกอร์พิโอได้วิวัฒนาการมาเป็นสัตว์ร้ายระดับสัตว์เวทย์มนต์โดยข้ามการวิวัฒนาการขั้นกลาง แต่มีบางอย่างที่เขารู้เท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
แม้ว่าสกอร์พิโอเป็นเพียงแมงปองไพลินที่ไม่สมบูรณ์ในตอนนี้ แต่มันก็มีศักยภาพที่จะเป็นสัตว์ร้ายระดับสูงสุด
ซึ่งหมายความว่าแม้ว่าสกอร์พิโอจะมีวิวัฒนาการ มันก็สามารถไปถึงจุดสูงสุดของสัตว์ร้ายระดับสูงสุด โดยไม่ต้องชำระล้างแกนมานา
อย่างไรก็ตาม เมื่อพบว่าสายใยวิญญาณดวงที่สองของเขามีวิวัฒนาการสูงอยู่แล้วตั้งแต่แรกเริ่มแรกที่เป็นพาราสกอร์จิ๋วระดับ 3 ดาว ทำให้เขารู้สึกปลาบปลื้มใจ
เจสันแค่ป้อนผลไม้บากรีสีขาวให้กับมันเพื่อเพิ่มศักยภาพในการปลุกพลัง และตอนนี้สกอร์พิโอได้บรรลุศักยภาพของสัตว์ร้ายระดับสูงสุดแล้วงั้นหรือ?
เขาไม่อยากเชื่อตาหรือหูของตัวเอง และเหลือบมองอุปกรณ์จัดเก็บของเขาที่มีหินมานาระดับสูงเหลืออยู่เพียงพวงเดียว
ร่างกายที่พิเศษของดาเลียมีประโยชน์อย่างยิ่ง แต่สิ่งที่ต้องใช้ที่ต้องใช้นั้นมากมายเกินไป เจสันไม่แน่ใจว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าใดในการเสริมพลังให้สกอร์พิโอให้สูงกว่าศักยภาพขึ้น เนื่องจากมานาที่ต้องใช้นั้นมากมายยิ่งกว่าตอนแรก
แต่แทนที่จะเน้นมากเกินไป เจสันมีปัญหาอื่นที่ต้องจัดการ เช่น การรวบรวมหินมานาจำนวนมากเพื่อชำระแกนมานาของสกอร์พิโอเพิ่ม
การทำเช่นนี้จะเป็นการเสียเวลา และเจสันเองก็ต้องซื้อทรัพยากรในการใช้เพิ่มมากขึ้นเพื่อที่จะทำให้การวิวัฒนาการเสร็จสมบูรณ์
นอกจากนี้ยังมีอาร์เทมิสซึ่งเขาต้องป้อนแกนมานาระดับเวทมนตร์ซึ่งมีราคาแพงมากเช่นกัน
ในท้ายที่สุด เจสันต้องการเงินอย่างมาก และการหลอมอาวุธจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการหาเงิน ด้วยสายตาที่น่าสงสาร เขามองที่เชนด้วยดวงตาที่พูดถึงความสิ้นหวังของเขา
เชนยังพบว่าเงินของเจสันจะลดลงอย่างรวดเร็วหลังการชำระล้างแกนมานา แต่เมื่อพบว่าศิษย์ของเขาต้องจัดหาสมบัติเวทย์มนต์ระดับสูงให้กับสายวิญญาณที่สองของเขา ก็จะจบลงด้วยการทำให้เจสันนั้นหมดเงิน
เมื่อสังเกตเห็นการจ้องมองของเจสัน เชนเพียงพยักหน้าเบา ๆ ก่อนหันหลังให้ดาเลียซึ่งดูอ่อนแอแต่ยังมีพลัง
เมื่อนึกถึงวิธีปรับปรุงปัญหาทางการเงิน เจสันก็นึกถึงการแข่งขันบิ๊กทรีซึ่งให้รางวัลแก่นักเรียนชั้นนำด้วยสมบัติวิเศษราคาแพงที่หายากมากมาย เขาสามารถแลกเปลี่ยนหรือขายรางวัลเพื่อรับสิ่งที่เขาต้องการ
ในขณะเดียวกัน สกอร์พิโอรู้สึกอึดอัดภายใต้การจ้องมองของดาเลีย ขณะที่มันวิ่งกลับไปหาเจสัน มีเพียงวงกลมเวทมนตร์สีเขียวอมฟ้าเท่านั้นที่ปรากฏขึ้นด้านล่าง
เมื่อเข้าสู่โลกวิญญาณ สกอร์พิโอรู้สึกดีขึ้นทันทีเมื่อโลกวิญญาณเป็นบ้านของมัน ซึ่งไม่มีคนแปลกหน้าสามารถแทรกซึมเข้าไปได้
ปัญหาเดียวที่มันมีในโลกวิญญาณคือออร่าที่น่าสะพรึงกลัวและน่าขนลุกซึ่งแผ่ออกมาจากเปลวไฟต้นกำเนิด ทำให้สกอร์พิโอรู้สึกแปลกและอึดอัดยิ่งเมื่อมันเข้ามาใกล้
ตราบใดที่สกอร์พิโอรักษาระยะห่างจากเปลวไฟสีดำซึ่งอยู่ใจกลางโลกแห่งวิญญาณ ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย โชคดีที่โลกวิญญาณนั้นใหญ่พอที่จะทำให้มันมีพื้นที่เพียงพอสำหรับอยู่อาศัย
ยังเป็นเวลาเช้าตรู่และหลังจากความอยากรู้ของดาเลียถูกทำเติมเต็มแล้ว เธอจึงให้รายการวัสดุแก่เจสัน ประกอบด้วยรายการที่จำเป็นในการเปิดผนึกสายเลือดที่มีระดับสูง ที่ไม่ใช่องค์ประก อบที่เหล่าเฟลอร์จะต้องรวบรวม
เธอไม่สนใจว่าคนอื่นจะรู้ว่าต้องใช้ส่วนผสมอะไรบ้างในการเปิดผนึกสายเลือดของสายใยวิญญาณของเกร็ก วิธีการจัดการทุกอย่างรวมกันอยู่ในความคิดของเธอ ในขณะที่ผู้สร้างสัตว์ร้ายระดับสูงอื่นๆ อีกหลายคนอาจใช้วิธีการที่แตกต่างกันในการเปิดผนึกสายเลือดของสัตว์อสูรที่ไม่มีธาตุ
เมื่ออ่านรายชื่อสิ่งของที่ดาเลียส่งให้เขา เจสันก็พบว่าเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับวัสดุเหล่านี้ส่วนใหญ่ แต่ราคาของพวกมันค่อนข้างสูงเนื่องจากขาดแคลน
อืม… ดูเหมือนว่าเจ้าเฟลอร์จะต้องสูญเสียเงินครั้งใหญ่
เขาคิดขณะยิ้มแห้งๆ แม้จะใช้เวลาอยู่นอกบ้านเป็นจำนวนมาก แต่เขาก็สังเกตเห็นตั้งแต่สองสามสัปดาห์ที่มาร์คและกาเบรียลลาอยู่บ้านตลอดเวลา ไม่สนใจที่จะล่าหรือจับสัตว์ร้ายใดๆ เพื่อให้ได้เครดิตมา
สิ่งนี้น่าจะเปลี่ยนแปลงได้ในขณะนี้เนื่องจาก เฟลอร์จะต้องทำงานหนักเพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เกร็ก
หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว เขาจะใช้เวลาหลายปีกว่าเขาจะรวบรวมเงินทุนได้ เพียงพอ ซึ่งจะลดความก้าวหน้าโดยรวมของเขาลงอย่างมาก
แม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา แต่ก็อาจต้องใช้เวลาสองสามเดือนในการรวบรวมเงิน
ทันใดนั้น เจสันสังเกตเห็นว่าเขาได้รับรายชื่อสิ่งของอื่นจากดาเลีย และเนื้อหาที่เขียนในแฟ้มนั้นเป็นส่วนผสมวิเศษที่มีราคาแพงกว่านั้น ทำให้เขาขมวดคิ้วอย่างสุดซึ้ง
เมื่อถอนหายใจ เขารู้ทันทีว่ารายการส่วนผสมเวทย์มนตร์รายการที่สองจำเป็นสำหรับสกอร์พิโอเพื่อให้วิวัฒนาการของเขาเสร็จสมบูรณ์
สตาร์โน็ต 1,000 ดวง เจสันใช้ 300 ดวง ในการซื้อเสื้อผ้าที่ทำความสะอาดตัวเองใหม่ หินมานาระดับเวทมนตร์ และอื่นๆ อีกมากมาย ในขณะที่หินมานาที่เขามีอยู่นั้นลดลงเหลือเพียง 5% จากกองขนาดใหญ่
ถึงกระนั้นก็ยังเพียงพอสำหรับเขาที่จะเร่งกระบวนการฝึกฝนของเขาถ้าเขาต้องการหรือให้สกอร์พิโอดูดซับมันเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเองในระยะเวลาหนึ่ง
ดังนั้น เจสันจึงต้องการใช้เงินของเขาเพียง 500 สตาร์โน็ตเพื่อซื้อส่วนผสมเวทมนตร์ระดับสูง ประมาณครึ่งหนึ่งของสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดเพื่อให้ได้ทุกอย่างที่จำเป็น
ดังนั้น ยังคงต้องการสตาร์โน็ตอีก 500 ดวงหรือ 50,000,000,000 เครดิต
เมื่อครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เจสันสงสัยว่าเขาจะได้รับเงินเท่าไรจากการขายแร่ 1 แท่งที่บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์หรือแม้แต่อาวุธถึงมานา ขณะที่เขาเปิดร้านค้าออนไลน์เพื่อเริ่มการค้นคว้าเล็กๆ
สำหรับกริชกึ่งมานาระดับสูงสุด 1 เล่มของเขา เจสันสามารถรับเครดิตได้ประมาณ 500,000 หน่วยเนื่องจากสถานะเป็นอาวุธถึงมานา
หากเป็นอาวุธมานาจริง จะยิ่งราคาสูงขึ้นมากกว่านี้
เมื่อพิจารณาถึงความสามารถในปัจจุบันของเขา เจสันสามารถสร้างอาวุธถึงมานาระดับ 1 ได้อย่างง่ายดายภายในสี่ชั่วโมงโดยไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ
แต่ถึงกระนั้น เจสันยังคงรู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อเขานึกถึงเรื่องต่างๆ
ถ้าฉันต้องผลิตอาวุธ 10,000 ชิ้น ฉันต้องใช้เวลา 40,000 ชั่วโมงหรือ 1,666 วัน โดยไม่ต้องนอนเลย!!!!!
ไม่นะ!!
เจสันร้องด้วยความหงุดหงิดดึงความสนใจของเชน ขณะที่เขาเห็นแววตาตื่นตระหนกของเขา
เชนยิ้มอย่างรู้เท่าทัน มองเห็นสิ่งที่เจสันกำลังคิดอยู่ แม้ว่าจะไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถช่วยเหลือเจสันเรื่องเงินได้ก็ตาม
ตรงกันข้าม เชนต้องการให้เจสันแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
หากปราศจากความล้มเหลว ก็จะไม่มีความสำเร็จ และเชนมั่นใจว่าความท้าทายนี้จะสำคัญสำหรับเจสันที่จะเอาชนะ
เจสันสามารถใช้เส้นทางที่ง่ายกว่าด้วยการขายสมุนไพรและแร่จำนวนมากที่เขาสะสมไว้ แต่สิ่งนี้จะง่ายเกินไปและขัดขวางความก้าวหน้าในอนาคตของเขา
เชนไม่พูดอะไรเลย ขณะถือดาเลียเองก็รู้ถึงความคิดปัจจุบันของเจสันด้วย
ตอนที่ 176 ความโปรด
เมื่อเรียกสกอร์พิโอออกมา เจสันก็ถอยออกมา ขณะที่ดาเลียเดินไปหามันอย่างค่อยๆ ก้าวโดยมีเชนช่วยพยุง
เขาไม่สามารถขัดใจเธอในการทําในสิ่งที่เธอต้องการได้ ดังนั้นเชนจึงตัดสินใจในการสนับสนุนเธอในทุกการตัดสินใจของเธอ
ไม่มีอะไรอื่นที่เขาสามารถทําได้
โอ้!…น่าสนใจ… โครงร่างภายนอกที่ส่องแสงระยิบระยับนี้…
เชนและเจสันได้ยินเพียงได้ยินดาเลียพึมพํากับตัวเอง ขณะที่เธอตรวจดูสกอร์พิโอต่อไป ในขณะที่ปล่อยมานาเพื่อตรวจหารายละเอียดในนาทีนั้น
เมื่อหันไปหาเจสัน เธอถามว่า
ขอฉันตรวจดูเลือดของมันออกมาเพื่อทําการทดสอบในเชิงลึกมากขึ้นได้ไหม ฉันค่อนข้างแน่ใจว่าสายใยวิญญาณเล็กๆของเธอมีสายพันธุ์แบบไหน แต่ฉันก็คิดผิดเหมือนกันที่มันมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป
เจสันพยักหน้าและได้ส่งความคิดไปยังสกอร์พิโอ และเข็มฉีดยาขนาดเล็กปรากฏขึ้นในมือของดาเลีย
เมื่อเจาะเลือดของสกอร์พิโอ เจสันเพิ่งถ่ายทอดความเจ็บปวดที่สายใยวิญญาณได้รับมาสู่ตัวเขาเอง
เมื่อดาเลียทําเสร็จแล้ว เธอหันไปหาเจสัน และมองไปที่อาร์เทมิสและมีความปรารถนาและความอยากรู้อยากเห็นส่องประกายในดวงตาของเธอ
อาร์เทมิสเจ้าหญิงผู้น่ารักของฉัน..ขอเลือดเจ้าด้วยได้ไหม
ดาเลียถามและพยายามหว่านล้อม แต่ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์ เมื่ออาร์เทมิสร้องเสียงดัง ปฏิเสธข้อเสนอทันทีโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่วินาทีเดียว
มันไม่ต้องการให้ใครมาแตะต้องเธอยกเว้นเจสัน หรือให้ใครสักคนมาเจาะเลือดของมันซึ่งเป็นสิ่งที่มันกลัวที่สุด
เจสันเพียงยิ้มให้กับปฏิกิริยาของอาร์เทมิส และเขารู้ว่ามันไม่ชอบ ถึงแม้ว่าเขาจะอยากรู้เกี่ยวกับผลการทดสอบของอาร์เทมิสเช่นเดียวกับดาเลียก็ตาม
ปริมาณมานาในเลือดของมันเพิ่มขึ้นอย่างมาก และหากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป มานาและเลือดของอาร์เทมิสจะถูกหลอมรวมอย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพทุกส่วนของร่างกายของมัน
ด้วยสิ่งนี้ มันน่าจะสามารถเอาชนะสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งกว่าได้
แต่ถึงแม้จะเป็นกรณีนั้น เจสันก็ไม่บังคับให้อาร์เทมิสทําการเจาะเลือด หากมันไม่ต้องการ
ดาเลียรู้สึกผิดหวังด้วยใบหน้าที่หดหู ก่อนที่เธอจะหยิบเครื่องทดสอบขนาดเล็กและกะทัดรัดออกมา ซึ่งจะทดสอบเลือดของสกอร์พิโอเพื่อค้นหาความเหมือนหรือความแตกต่างเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์อื่นๆ
การทดสอบจะใช้เวลาพอสมควร และจู่ๆเจสันก็จําสถานการณ์ของเกร็กได้ ในขณะที่เขาแสดงความกังวล
และเขารู้สึกอึดอัดอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเริ่ม
ท่านอาจารย์…ผมไม่อยากปิดบังความจริงที่ว่าสกอร์พิโอวิวัฒนาการได้ กับพวกเฟลอร์เพราะมันคงจะยุ่งยาก เกร็กเป็นเพื่อนที่ดีของผมที่ช่วยผมให้มาที่เมืองไซโรและเขาก็มีทอร์รัส สัตว์สายพันธุ์ไมโนทอร์แคระ
เมื่อพบว่าผมได้พบกับผู้สร้างสัตว์อสูร พวกเขาถามผมว่า ถ้าผมสามารถถามอาจารย์ได้ อาจารย์จะสามารถช่วยให้สายใยวิญญาณของเกร็กในเปิดผนึกพลังของมันได้ไหม
ฉันก็อยากช่วยเขาเหมือนกัน แต่ฉันไม่แน่ใจว่าอาจารย์สนใจจะช่วยได้ไหม…
ดาเลียมองมาที่เขาโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆเลย ซึ่งทําให้เจสันรู้สึกอึดอัดมากขึ้น ขณะที่เธอตอบว่า
ก็..การช่วยเพื่อนของเธอไม่น่าจะมีปัญหา ถ้าทอร์รัสนั้นเป็นสายพันธุ์ไมโนทอร์แคระที่ถูกผนึกพลังเอาไว้ การเปิดผนึกมันก็ไม่เป็นปัญหามากนัก ตราบใดที่มีความมุ่งมั่น ความทนทานต่อความเจ็บปวดและการจัดหารสิ่งจําเป็นในการเปิดผนึก
หากเธอมีข้อมูลของทอร์รัส เธอก็สามารถแสดงให้ฉันเห็น และฉันจะบอกเธอว่าต้องใช้ส่วนผสมใดบ้างในการที่จะเปิดผนึกพลังหรือช่วยในการวิวัฒนาการของมันได้
ตราบใดที่มีสิ่งจําเป็น ก็จะสามารถปรุงยาหรือยาเม็ดเพื่อเปิดผนึกพลังได้
ด้วยเหตุนี้ เจ้าทอร์รัสนั้นจะต้องทนต่อความเจ็บปวดไม่รู้จบเหมือนสกอร์พิโอ เนื่องจากมันจะได้รับการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
ข้อเท็จจริงที่สําคัญที่สุดสําหรับการเปลี่ยนแปลงนี้คือปริมาณมานาในบริเวณโดยรอบ
ด้วยมานาที่เพียงพอ จะสามารถช่วยมันในการวิวัฒนาการได้ แต่อย่างที่เธอเห็นว่าต้องใช้มานาในปริมาณที่มากมาย
ดังนั้นเกร็กเพื่อนของเธอควรเริ่มรวบรวมหินมานานอกเหนือจากสมบัติวิเศษ ฉันจะบอกในภายหลัง จะใช้เวลาค่อนข้างนาน
ในท้ายที่สุด กระบวนการเปิดผนึกอย่างช้าๆน่าจะง่ายกว่า แต่เจ็บปวดมากกว่าสําหรับทั้งเกร็กและสายใยวิญญาณของเขาที่จะสามารถอดทนได้
ถึงกระนั้น มันเป็นกระบวนการที่เร็วกว่า เนื่องจากทอร์รัสจะรับการเปลี่ยนแปลงและเข้าสู่กระบวนการเติบโตเต็มที่อีกครั้ง เหมือนกับสายใยววิญญาณทั้งสองของเธอ
เมื่อดาเลียพูดจบ เธอมองไปที่เจสันซึ่งแสดงอารมณ์ได้หลากหลายพร้อมๆกัน
ด้านหนึ่ง เขามีความสุขอย่างยิ่งที่เกร็กสามารถพัฒนาหรือเปิดผนึกพลังของสายใยวิญญาณได้ แต่ถ้าเพื่อนของเขาต้องทนต่อความเจ็บปวดเช่นเดียวกับที่เขาทํา มันก็เป็นสิ่งที่ลําบากใจ
ในท้ายที่สุด มันอาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของเกร็ก แต่เจสันก็มั่นใจในความอดทนของเพื่อน
ดังนั้น ทุกอย่างจึงเรียบร้อยดี ในขณะที่เขาส่งข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับทอร์รัสให้ดาเลียได้ดู
เมื่ออ่านข้อมูลแล้วดาเลียก็เผลอหลุดปาก โอ้ ขณะที่เธออ่านข้อมูลอย่างช้าๆ เพื่อจดจําทุกอย่าง
สองนาทีต่อมา สายตาของเธอกลับมาที่เจสัน ขณะที่เธอพูดว่า
ก็… มันน่าจะง่ายกว่าที่ฉันคิด… สายใยวิญญาณของเพื่อนเธอได้เริ่มที่จะเปิดผนึกพลังของมันแล้ว อาจจะไม่ได้สังเกตด้วยซ้ํา ดังนั้น สิ่งที่จําเป็นจะลดลงในการที่จะเปิดผนึกพลังอย่างสมบูรณ์และจะเจ็บปวดน้อยลง แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะยังคงเหมือนเดิม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจสันก็ประหลาดใจและทันใดนั้นเขาก็จําวันที่มีคลาสการต่อสู้พิเศษได้เริ่มต้น
แล้วอย่างนั้น
เขาถามตัวเองในขณะที่เขาจําได้ว่าเกร็กได้รับที่นั่งคลาสการต่อสู้พิเศษภายในโรงเรียนแนวหน้าหลัก แม้ว่าเขาจะเพิ่งเข้าสู่ระดับผู้ชํานาญ 4 ในเวลานั้นก็ตาม
นี่ต้องเป็นคําตอบ และเจสันรู้สึกกระปรี้กระเปร่าหลังจากที่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการจัดลําดับที่นั่งคลาสการต่อสู้พิเศษของเกร็ก ที่เขาทําได้ในตอนเริ่มต้น
เกร็กน่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้ เจสันคิดอย่างครุ่นคิดและไม่ได้ยินเดือน ที่ออกโดยเครื่องตรวจเลือดขนาดเล็กกะทัดรัด
เมื่อเขาได้ยินดาเลียร้องอย่างร่าเริง เจสันก็เงยหน้าขึ้นมอง เพียงเห็นหน้าจอโฮโลแกรมของอาจารย์
เชนก็ประหลาดใจเช่นกันที่เห็นดาเลียร่าเริง แม้ว่าเธอจะอ่อนแอมาก ขณะที่เธอตอบกลับไป
เจสัน เธอโชคดีจริงๆ ฉันไม่รู้จริงๆว่าสกอร์พิโอทําได้อย่างไร แต่การวิวัฒนาการของมันนั้นยอดเยี่ยมมาก
หากฉันจําไม่ผิด สกอร์พิโอจะวิวัฒนาการเป็นแมงปองไพลิน เรเดียนซึ่งเป็นสัตว์ร้ายระดับเวทมนตร์ หากได้รับศักยภาพและทรัพยากรเพียงพอ…เธอโชคดีจริงๆ!
ฮะ? เชนและเจสันอุทานพร้อมกันเพราะทั้งคู่แทบไม่เชื่อหูของตัวเอง
God’s eyes ตอนที่ 175 ความหมายที่แท้จริงของผู้สร้างสัตว์อสูร
แจ้งข้อผิดพลาดในการอ่านนิยายเสียง เฉิงไม่มั่นใจว่าควรคิดอย่างไรกับเจสันต่อ เนื่องจากความสามารถที่เขาแสดงนั้นไม่น่าจะเป็นของเด็กธรรมดาที่มีอายุ 14 ปีที่เพิ่งเริ่มเรียนรู้อาชีพทั้ง 3 อาชีพเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
อย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่แอนทาเรีย บอกเมื่อเขาถามเธอเกี่ยวกับเจสันเมื่อนานมาแล้ว
นี่เป็นเพราะความรู้ของเจสันที่เขาใช้ในการตอบคําถามการสอบของช่างฝีมือและส่วนใหญ่ มาจากหนังสือเกี่ยวกับการประกอบอาชีพขั้นพื้นฐานที่ผลิตโดยหอคอยช่างฝีมือ
คําตอบของเจสัน มาจากหนังสือเหล่านี้เกือบทั้งหมดโดยไม่มีความรู้เพิ่มเติม
ด้วยเหตุนี้ เฉิงจึงต้องสรุปว่าความรู้ของเจสันเพิ่งได้มาเพิ่มเมื่อไม่นานหรือเจสันจง ใจหลอกลูกสาวของเขาระหว่างการสอบซึ่งเป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้มากกว่า
เขาเรียนรู้ทักษะของช่างตีเหล็กมานานแค่ไหนแล้ว? และเขายังมีความสามารถในการสร้างรูน.. เด็กคนนี้เป็นสัตว์ประหลาด!!
เฉิงมองเจสันด้วยความอิจฉาและความกลัวผสมกันความสามารถของเด็กชายที่อยู่ข้างหน้า เขานั้นสูงกว่าความสามารถของเขามากซึ่งน่าเหลือเชื่อจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เจสันไม่หยุดหลังจากที่สร้างกริชกิ่งมานาระดับ 1 เสร็จสิ้นแต่เขากลับหยิบแร่ เหล็กหยกอีกชุดหนึ่งออกมาขณะที่เขาจุดไฟต้นกําเนิดสีดําของเขาอีกครั้ง
มีดอีกอันที่โค้งเล็กน้อยและยาวเพียง 28 ซม. สําหรับมืออีกข้างหนึ่งของเขา เขาจารึกอักษรรูนเดียวกันกับที่เขาทํากับอันแรก
เจสันถือผลงานของเขาไว้ที่ระดับสายตาและตรวจดูและพอใจกับผลลัพธ์ของเขาอย่างเต็มที่แม้ว่าความทะเยอทะยานของเขาบอกให้เขาลองสร้างอาวุธมานาจริง
อย่างไรก็ตาม ในการทําเช่นนั้น เจสันจะต้องผสมแร่บางชนิดกับเหล็กหยกที่บริสุทธิ์ และเขาไม่ชํานาญในการผสมโลหะผสมในขณะที่ต้องควบคุมการไหลของมานาอย่างคงที่
ค่าการไหลของมานาของอาวุธมานาที่แท้จริงนั้นมีค่ามากกว่าอาวุธถึงมานาที่เจสันสร้างขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นกรณีนี้ กริชกิ่งมานาของเขาก็สามารถเจาะทะลุผ่านหนังของสัวต์อสูรระดับสูงได้
บางทีมันอาจจะสร้างจัดการกับสัตว์ร้ายระดับเวทย์มนต์ได้ ถ้าหากเจสันใส่มานาลงไปมากพอ
เมื่อเจสันพอใจกับผลงานของเขา เขาก็ต้องการที่จะกลับบ้าน
เจสันยิ้มเบา ๆ และทําได้เพียงขอโทษที่ทําให้ประธานหอคอยช่างฝีมือต้องมาเสียเวลาขณะที่ เขาเดินออกจากห้องตีเหล็ก และเตือนเฉิงเกี่ยวกับสัญญาณวิญญาณอีกครั้งก่อนที่จะจากไป
เฉิงเหม่อ จนไม่ได้ยินสิ่งที่เจสันพูด และเจสันได้ออกจากห้องตีเหล็กไปอย่างเงียบๆ
หลังจากตื่นจากอาการมึนงงเป็นเวลานาน เขามองไปรอบๆ และสังเกตเห็นว่าเจสันไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ซึ่งทําให้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เนื่องจากมีคําถามมากเกินไปในใจของเขาและคนเดียวที่สามารถตอบเขาได้ ก็ได้ออกไปแล้ว
เจสันมาถึงบ้านเฟลอร์เมื่อเวลาเที่ยงคืนกว่า ทุกคนกําลังหลับและดูดซับมานาและเจสันไม่ต้ องการรบกวนใคร ดังนั้นเขาจึงตรงไปที่ห้องของเขาทันที
หลังจากอาบน้ําเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว เจสันนอนหลับสบายจนกระทั่งเขาตื่นขึ้นในตอนเช้าเนื่องจากอาร์เทมิสได้ร้องหิวข้าว
เจสันได้จัดหาแกนมานาระดับวิเศษให้กับกับมัน และมันย่อยแกนมานาเหล่านั้นได้รวดเร็วมาก
และเจสันสังเกตเห็นว่า เงินของเขานั้นลดน้อยลงมามาก เนื่องจากเขาเสียมันไปกับหินมานาที่ให้สกอร์พิโอ และบางส่วนเป็นอาหารของอาร์เทมิส ตอนนี้เจสันเหลือสตาร์โน้ตเพียงหยิบมือเดียว
แต่ถึงอย่างนั้น เจสันก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มากนัก เพราะเขาสามารถขายแร่บริสุทธิ์ทุกชนิดได้ในราคาสูง ถ้าหากเขาหมดเงินจริงๆ
วันนี้มันเป็นเช้าวันจันทร์ และเขาก็เดินทางมาถึงหน้าประตูโรงเรียน แม้ว่าเจสันจะไม่แน่ใจว่าดาเลียสบายดีหรือเปล่า แต่เขาก็ต้องการไปพบเธอ เพราะเขารู้สึกไม่สบายใจจากเหตุการณ์วันก่อน
เมื่อมาถึงหน้าทะเลสาบสีน้ําเงินที่ส่องแสงเจสันเปิดใช้งานรูนที่ปกคลุม ภาพตรงหน้าทําให้เขาผิดมากขึ้นดาเลียยืนอยู่ในขณะที่เชนประคองเธอไว้
เจสันรีบตรงไปที่ทั้งสองอย่างรู้สึกผิด
อาจารย์ เป็นยังไงบ้างครับ ผมขอโทษที่ให้อาจารย์ช่วยเรื่องสกอร์พิโอ ผมจะไม่ขอให้อาจารย์ทําแบบนั้นอีก
เสียงของเจสันหนักแน่นด้วยความรู้สึกผิดและกังวล ซึ่งทําให้เธอยิ้มอ่อนๆ ขณะที่เธอขี้ผม ของเขา
ทําไมเธอถึงใจอ่อนนัก ฉันเสนอความช่วยเหลือและไม่ใช่ความผิดของเธอ แทนที่จะมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เราควรคิดถึงสิ่งที่สกอร์พิโอได้รับสิ มันได้พัฒนาขึ้น และมันก็เป็นเหมือนบทเรียนถึงความหนาแน่นของมานาที่ใช้ในการพัฒนาสายใยวิญญาณ
ให้ใช้เป็นบทเรียนเพื่อให้พร้อมสําหรับการชําระครั้งต่อไปนอกจากนี้เชนบอกฉันว่าสกอร์พิโอ ได้รับการพัฒนาที่ไม่สมบูรณ์
เพราะฉะนั้น เราต้องมาจัดการต่อเพื่อให้มันพัฒนาอย่างสมบูรณ์ ไม่งั้นมันจะมีปัญหาตามมา
ดาเลียพยายามยืนให้มั่นคง แต่เธอก็ทรุดลงไปนิดหน่อย แต่เชนยังสามารถประคองเธอไว้ได้
ฉันได้ยินมาว่า เธอสามารถแบ่งบรรเทากับสายใยสัมพันธ์ของเธอได้ แต่นั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทํา เธอควรนึกถึงตัวเองก่อนเพื่อที่จะได้มีชีวิตรอดต่อไป แต่นั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะได้ยินมาจากเชนว่ามันทําให้สายสัมพันธ์ของเธอและสายใยวิญญาณนั้นมีเพิ่มมากขึ้น
ดาเลียถามเจสันโดยไม่ได้รอคําตอบ ก่อนที่จะถามต่อ
เธอช่วยเรียกสกอร์พิโอออกมาได้ไหม ฉันจะค้นหาวิธีการที่จะทําให้มันวิวัฒทนาการได้ใหม่
น้ําเสียงของดาเลียฟังดูตื่นเต้นและอยากที่จะทดลองอะไรบางอย่าง ทําให้เจสันรู้สึกไม่สบายใจ
เธอรู้สึกเตรียมพร้อมอย่างมาก เนื่องจากสกอร์พิโอนั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีการพัฒนาที่แปลกใหม่เหมือนกับอาร์เทมิส
เมื่อเห็นอาร์เทมิสอีกครั้ง ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้น แต่น่าเสียดายที่มันไม่ยอมให้ดาเลียเข้ามาใกล้มันมากเกินไป
ความรู้ของดาเลียเกี่ยวกับสัตว์ร้ายนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ การวิวัฒทนาการการเสริมความแข็งแกร่งให้กับสัวต์ร้ายนั้นๆ แล้วเมื่อเธอได้พบกับสิ่งแปลกใหม่ที่เธอไม่เคยรู้มากก่อน
ทําให้เธอมีความกระหายในการอยากรู้อยากเห็นมาก ทั้งเจสันและเชนไม่รู้ว่าความกระหายนี้มาจากไหน
และทั้งคู่ได้มีความคิดเดียวกัน คือ ผู้สร้างสัตว์อสูรที่แท้จริงนั้น มักจะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับสัตว์ร้าย การวิวัฒทการของสัตว์ร้ายในทุกๆ ความแปลกใหม่ หรือแม้แต่เซลล์ของสัตว์ร้าย
ตอนที่ 174 กริชถึงมานา
เจสันรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าเฉิงกําลังพิจารณาการเซ็นสัญญาวิญญาณกับเขา ซึ่งเขาไม่เคยคิดมาก่อน
เขาสนใจการทํางานของฉันจริงๆงั้นหรอ หรือสิ่งอื่นที่ดึงดูดความสนใจของเขา
เจสันครุ่นคิด เป็นวินาทีที่เขาครุ่นคิดว่าการเอ่ยถึงสัญญาวิญญาณอาจทําให้เฉิงอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นรึเปล่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาพูดไปแล้ว การกลับคําพูดอาจจะทําให้เกิดปัญหาตามมาที่หลัง
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เจสันก็พูดถึงบางสิ่งที่เขาเห็นว่าสําคัญ
ถ้าคุณต้องการสังเกตกระบวนการตีเหล็กของผม คุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้บอกใครเกี่ยวกับมัน ซึ่งรวมถึงการเขียนลงไปทุกที่
การบันทึกและวิธีการอื่นใดในการแบ่งปันสิ่งที่คุณเห็นให้กับผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาด
นอกจากนี้ ถ้าใครถาม คุณต้องกล่าวว่าคุณไม่เคยสังเกตฉันทําอะไรเลยภายในหอคอยช่างฝีมือ
ถ้าพนักงานต้อนรับบอกใครเกี่ยวกับผมที่พยายามหาห้องตีเหล็ก คุณต้องบอกพวกเขาว่าคุณรู้จักผมผ่านทางลูกสาวของคุณ และบอกว่าคุณพาผมไปที่ห้องตีเหล็ก เพราะคุณชื่นชอบในตัวของผม ตกลงไหม
นอกจากนั้น คุณไม่ควรพยายามค้นหาว่าใครเป็นอาจารย์ของผม หรือผมเรียนรู้สิ่งที่ในสิ่งที่ผมสามารถทําได้จากที่ใด ตกลงไหม
อา… และยิ่งกว่านั้น ทุกสิ่งที่เรากําลังพูดถึงในวันนี้จะถูกเก็บเป็นความลับตลอดไป!
เมื่อพูดอย่างนั้น เจสันก็ปล่อยด้ายแห่งจิตวิญญาณของเขาซึ่งมีรูปร่างเป็นแผ่นกระดาษ ขณะที่เขาจดเงื่อนไขที่เขาเคยระบุไว้ก่อนหน้านี้อย่างเป็นระเบียบ
หากคุณตกลงตามที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้ โปรดลงนามในสัญญา แล้วเราจะดําเนินการต่อ
เจสันกล่าวพร้อมยิ้มอย่างสดใสเพื่อบรรเทาความตึงเครียดที่ก่อตัวขึ้นระหว่างทั้งคู่
ตอนนี้เขาอาจจะเอาแต่ใจเกินไป แต่มันสําคัญมากสําหรับเขาที่ไม่ควรเปิดเผยเปลวไฟต้นกําเนิดสีดําของเขาในขณะนี้ เพราะเขายังไม่สามารถป้องกันตัวเองได้
เมื่อเห็นเจสันยิ้ม คลายความตึงเครียดของเฉิงเล็กน้อย แต่ข้อเท็จจริงที่ระบุมีรายละเอียดมากกว่าที่เขาคิด ขณะที่เขาอ่านสัญญาวิญญาณที่เกือบจะโปร่งใสต่อหน้าเขา
มันแตกต่างจากที่เจสันพูดเล็กน้อย แต่เนื้อหาก็ใกล้เคียงกัน
ทุกอย่างที่ระบุไว้ในสัญญาป้องกันไม่ให้เขาเผลอรั่วไหลข้อมูลใดๆที่เขาจะได้เห็นและได้ยิน จากเจสันโดยไม่ตั้งใจหรือรู้เท่าทัน
ยิ่งไปกว่านั้น มันเหมือนราวกับว่าเขาไม่เคยขอให้เด็กที่อยู่ข้างหน้าเขาตีเหล็กให้ดู ดังนั้น ทุกอย่างจะถูกเก็บเป็นความลับเพื่อไม่ให้ใครรู้
สิ่งเดียวที่ทําให้เขารําคาญเล็กน้อยก็คือมันเป็นสัญญาวิญญาณด้านเดียวโดยไม่มีการผูกมัดใดๆกับเจสัน
เจสันสามารถยกเลิกสัญญาวิญญาณได้หากต้องการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น
อากาศลึกลับรอบๆของเจสัน ทําให้ความอยากรู้อยากเห็นของเฉิงยิ่งสูงขึ้น ในขณะที่เขาตระหนักว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้น ถ้าเจสันพยายามที่จะเก็บทุกอย่างเป็นความลับ
และความอยากรู้อยากเห็นของเขาก็เพิ่มจนถึงขีดสุด และเขาได้ลงนามในสัญญาวิญญาณ
ซึ่งมันทําให้เจสันถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาทําแบบนั้น
เจสันเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาที่ขมับของเขา เขายิ้มให้เฉิงอีกครั้งขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปยังห้องเหล็กส่วนตัวของเฉิงที่ชั้นบนสุด
เมื่อเดินไปที่ห้องตีเหล็ก เจสันสังเกตเห็นว่าไม่มีใครเห็นพวกเขาเลย ซึ่งทําให้เขาประหลาดใจไม่น้อย
เฉิงสังเกตเห็นเจสันมองไปรอบๆ ขณะที่เขาอธิบายให้เขาฟัง
จะไม่มีใครเห็นคุณเพราะฉันเป็นคนเดียวที่ใช้เส้นทางไปยังห้องตีเหล็กของฉัน ฉันชอบทํางานคนเดียวและสิ่งที่กวนใจและรบกวนการทํางานของฉันจึงถูกกั้นไว้
บางครั้งมีความคิดผุดขึ้นมาในหัว และฉันต้องลองทํามันทันที
ฉันจะฟุ้งซ่านเมื่อมีผู้คนใกล้ๆ เพราะฉะนั้นฉันจึงสั่งให้ทุกคนที่อยู่ระหว่างทางไปห้องตีเหล็กของฉันให้ถอยออกจาเส้นทาง
เจสันพบว่าสิ่งนี้แปลก แต่เขาเพียงพยักหน้าราวกับว่าเห็นด้วยกับวิธีคิดของเฉิง เมื่อเข้าไปในห้องตีเหล็ก เจสันสังเกตเห็นว่ามันใหญ่กว่าที่เชนมีอยู่ด้วยซ้ํา
แต่เมื่อสแกนทุกสิ่งด้วยดวงตามานา เขารู้สึกผิดหวัง
เครื่องมือทั้งหมด แรง โรงตีเหล็ก และอื่นๆ ฉายแสงสีอ่อนกว่าในห้องตีเหล็กขนาดเล็กแต่สะดวกสบายของเชน
เจสันถอนหายใจลึกๆ มองเฉิงด้วยสายตาที่แหลมคมขณะที่เขาถาม
เริ่มตอนนี้เลยได้ไหม
เมื่อเห็นเจสันไม่ตื่นเต้นกับอุปกรณ์คุณภาพสูงที่เขาสะสมมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีทําให้เฉิงรู้สึกประหลาดใจ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรและทําได้แต่คิดว่าอาจารย์ของเจสันต้องเป็นช่างตีเหล็กที่มีระดับสูงกว่าเขา
คุณสามารถเริ่มต้นได้ทุกเมื่อที่ต้องการ และสามารถใช้อุปกรณ์ทุกอย่างได้ราวกับว่ามันเป็นของคุณ
เฉิงกล่าว ขณะที่เขาเห็นเจสันหยิบแร่เหล็กหยกขนาดเท่าบาสเก็ตบอลออกมา
มันดูไม่มีอะไรพิเศษ แต่เมื่อเห็นเปลวไฟสีดําลุกไหม้ในมือของเจสัน เปลวไฟต้นกําเนิดภายในตัวของเฉิงก็ได้มีความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ก่อนที่มันพยายามจะไปให้ไกลที่สุดจากเปลวเพลิงสีดําของเจสันภายในโลกวิญญาณของเฉิน
เกิดอะไรขึ้น!?!
เฉิงไม่เคยรู้สึกถึงอารมณ์ใดๆที่ส่งมาจากเปลวไฟต้นกําเนิดแรงค์ D ของเขา และตอนนี้ความรู้สึกหวาดกลัวและการยอมจํานนอย่างลึกล้ําก็ได้ครอบงําเขา
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และเหมือนกับว่าเจสันนั้นใช้พลังที่คล้ายคลึงกับเขาแต่กลับแตกต่างกันในเวลาเดียวกัน
ในขณะที่เจสันควบคุมอย่างระมัดระวัง เขาเริ่มทําหล่อหลอมแร่เหล็กหยกอย่างสมบูรณ์เพื่อที่จะขจัดสิ่งเจือปนในแร่และหล่อหล่อมให้เป็นแท่ง
เฉิงจะใช้เวลาสองสามนาทีเพื่อควบคุมเปลวไฟต้นกําเนิดของเขา ในขณะที่เขาเข้าใจอย่างคร่าวๆว่าทําไมเจสันไม่ต้องการให้เขาบอกใครเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนี้
เขามีต้นกําเนิดเปลวไฟด้วย!! และมีพลังวิญญาณสูงมาก…. ….เขาอายุแค่ 14 ปีเองไม่ใช่หรอ.. ได้ยังไงกัน!
เฉิงรู้สึกตกตะลึง ในขณะที่เฝ้ามองเจสันอย่างไม่กระพริบตา
เมื่อเขาจ้องมองเจสันด้วยความสับสน เจสันก็ชําระเหล็กหยกที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างง่ายดาย ขณะที่สิ่งสกปรกและกากตะกอนถูกนําออกจากแท่งเหล็กหยก
เจสันใช้ค้อนทุบแบบพิเศษเพียงไม่กี่ครั้ง และเฉิงก็ตรวจพบว่าเจสันใช้มานาของเขาได้อย่างแม่นยําอย่างยิ่งเพื่อนําสิ่งเจือปนออกจากแท่งเหล็กหยก โดยไม่ทําให้แท่งเหล็กเสียหายและไม่ใช้มานาอย่างสิ้นเปลือง
เมื่อเห็นเจสันเอาสิ่งเจือปนในเหล็กหยกออกอย่างง่ายดาย เฉิงก็สงสัยว่าเขากําลังฝันไปหรือเปล่า ทันใดนั้น เด็กหนุ่มผมดําก็เริ่มทุบแท่งเหล็กให้กลายเป็นรูปร่างคล้ายมีดสั้น
ในตอนนี้ เฉิงได้ตระหนักถึงบางสิ่งที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับเหล็กหยกในมือของเจสัน ซึ่งทําให้เขาโพล่งออกมาว่า
อะไรนะ!
ก่อนที่เขาจะตั้งสติจากการตกตะลึงได้
เขาสามารถทําชําระล้างแค่ระดับ 1 ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วหรือ? และในเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น
ใครเป็นอาจารย์ของเด็กคนนี้ !
สิ่งนี้ทําให้เฉิงตกตะลึงอย่างมาก แต่อย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถบอกใครในเรื่องนี้ได้
ชั่วโมงผ่านไป เจสันก็จดจ่ออยู่กับกระบวนการตีเหล็กอย่างเต็มที่ และเขาก็ลืมไปว่าเฉิงอยู่ใกล้ๆ เมื่อจับที่ระดับสายตา เจสันตรวจดูงานศิลปะของเขาในขณะที่เขาจ้องไปที่กริชสีเขียวสดใสในมือของเขาที่ยาว 30 เซนติเมตรและคมกริบ
เจสันยิ้มขณะมองดูสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาอย่างดีของเขา เจสันเห็นสีดําจางๆที่คุ้นเคยแผ่ออกมาจากมีดนั้น นั่นคือตอนที่เขารู้ว่ากริชนั้นเป็นอาวุธระดับ 1 ซึ่งทําให้เขาเองตกตะลึง
มันเป็นเพียงความพยายามครั้งที่สองของเขาในการสร้างอาวุธ แต่การลองครั้งที่สองของเขานั้นดีกว่าครั้งแรกของเขา แล้วในขณะที่เขาได้ใช้เทคนิคใหม่ๆหลายอย่าง เพื่อที่จะปรับใบมีดให้ดีขึ้นและสร้างกริชที่สวยงามยิ่งขึ้น
ในขณะที่ด้านหลังของกริชส่องแสงเป็นสีเขียวเข้ม ด้านที่แหลมคมนั้นมีสีเขียวอ่อนและเจสัน ได้ลับให้คมอย่างดีเยี่ยมด้วยหินลับมีดราคาแพง
เมื่อมองดูกริชในมืออีกครั้ง เจสันรู้สึกว่ามันยังไม่สมบูรณ์แบบเหมือนเป็นอาวุธชิ้นแรกของเขา ขณะที่เขานํากล่องนีออกซิไดซ์ออกมา
จากนั้นเขาก็นํากล่องนีออกซิไดซ์ออกมาและจารึกอักษรรูนจากการทดสอบขั้นพื้นฐานของรูนมาสเตอร์
เฉิงยังคงเฝ้าสังเกตเจสันอย่างตั้งใจและยากจะเชื่อในสายตาของเขา ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มอายุ 14 ปีที่อยู่ข้างหน้าเขาได้ทําสิ่งนี้มาหลายปีนี้
เมื่อทราบวิธีการจารึกของเจสัน ดวงตาของเฉิงก็เบิกกว้างและขนลุกซู่ไปทั่วร่างกาย
เขาสามารถจารึกอักษรรูนบนกริชโดยไม่ทําให้เส้นมานาในแร่เสียหายแถมยังเข้ากันได้กับรูน ฉันเจอสัตว์ประหลาดอะไรที่นี่…เดี๋ยวก่อน!!
กริชเหล็กหยกที่ชําระล้างอย่างสมบูรณ์ของเขาจะไม่ถือว่าเป็นกริชกิ่งมานารีเปล่า หากไม่จารึกด้วยอักษรรูนที่เหมาะสม?
ยิ่งเฉิงคิดถึงสิ่งที่เจสันทํามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตกใจมากขึ้นเท่านั้น ขณะที่เขาสังเกตเห็นเจสันเขียนอักษรรูนสองแบบบนกริชได้อย่างชํานาญ
มันเป็นอักษรรูนแข็งแกร่งที่เจสันจํามาจากรูนของเหล่าก็อบลิน
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการโดยที่ดวงตาของมานาเปิดใช้งานอยู่ตลอดเวลา เจสันก็พอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ จากนั้นเขาก็เติมมานาเข้าไปในใบมีด ซึ่งทําให้อักษรรูนสว่างขึ้นด้วยแสงสีขาว
เขาสร้างกริชกิ่งมานาจริงๆ ในขณะที่อายุแค่ 14 ปีเท่านั้น เฉิงมองสิ่งที่เจสันสร้างขึ้นด้วยดวงตาที่เป็นประกายและตกตะลึงในขณะที่เดียวกัน ในขณะที่กริชของเจสันส่องแสงไปทั่วห้อง
ตอนที่ 173 การหล่อหลอมลับ
หลังจากเรียกรถรับส่ง เจสันรู้สึกกระสับกระส่ายเนื่องความคิดต่างๆที่แทรกเข้ามาในหัวของเขา
เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามันขัดคําแนะนําของเชน เจสันก็ได้แต่ขอโทษเชนในใจของเขา
อย่างไรก็ตาม เจสันไม่สามารถทนรอได้อีกต่อไป เนื่องจากกริชของเขานั้นดูราวว่าจะสามารถฟังได้ทุกเมื่อ และมันทําให้เขารู้สึกเป็นกังวลใจถ้าหากมันเกิดพังขึ้นมาตอนที่กําลังต่อสู้ละ จะเป็นอย่างไร
เขาคงไม่สามารถต่อสู้ได้ หากไร้อาวุธ และมันต้องทําให้เขาพ่ายแพ้ต่อการประลองเป็นแน่
ถึงจะสามารถยืมอาวุธสําหรับการประลองได้ แต่มันจะไม่สะดวกสบายสําหรับเขาที่จะใช้มัน เนื่องจากอาวุธเหล่านี้ส่วนใหญ่มีความสมดุลที่ไม่สมบูรณ์
กริชเหล็กหยกเองตอนนี้ก็เช่นกัน มันไม่ได้มีความสมบูรณ์เท่าอาวุธที่เขาสร้างขึ้นเอง เพียง 40 นาทีต่อมา เจสันก็มาถึงหน้าหอคอยช่างฝีมือ ซึ่งเขาเข้าไปหลังจากผ่านการตรวจสอบตัวตนแล้ว
เมื่อเดินไปที่แผนกต้อนรับ เจสันเห็นคนที่คุ้นเคยขณะที่เขาเดินเข้าไปหาผู้หญิงที่พยายามขัดขวางไม่ให้เขาพบกับผู้ประเมินราคาสินค้าในครั้งแรกที่เขามา
เมื่อเห็นเจสันเดินเข้ามาหาเธอ เธอขมวดคิ้วขณะที่มีเหงื่อเริ่มตก และเธอก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับอย่างรวดเร็ว
เธอกระสับกระส่ายไปมาบนเก้าอี้ เธอพยายามขจัดความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเธอ
สวัสดีจ้ะ มีอะไรให้ช่วยไหมวันนี้
เธอถามอย่างสุภาพ โดยไม่มองเข้าไปในดวงตาของเขา
เธอได้เรียนรู้บทเรียนจากครั้งที่แล้วและรู้ว่าถ้าหากเธอกระทํามารยาทที่ไม่ดีใส่เจสัน เธออาจจะต้องได้รับการลงโทษ
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทําสิ่งที่เจสันต้องการ ตราบใดที่สิ่งเหล่านั้นอยู่ในอํานาจที่เธอสามารถจัดการให้ได้
สวัสดีครับ ผมอยากจะเช่าห้องตีเหล็กที่ดีที่สุดสักหกชั่วโมงถ้าเป็นไปได้
เจสันกล่าว ขณะที่เขาสังเกตเห็นท่าทางแปลกๆของผู้หญิงคนนั้น
คุณทราบหรือไม่ว่าช่างตีเหล็กที่ไม่ได้จดทะเบียนสามารถเช่าห้องตีเหล็กพื้นฐานได้เท่านั้น หากยังไม่เพียงพอ ทางเราต้องแจ้งผู้บริหารเพื่ออนุญาตพิเศษได้เท่านั้น หรือคุณต้องลงทะเบียนกับหอคอยช่างและผ่านการทดสอบตามที่กําหนด
พนักงานต้อนรับตอบด้วยน้ําเสียงลังเล พยายามทําเสียงให้เป็นประโยชน์ที่สุด
เมื่อได้ยินเจสันถอนหายใจอย่างแรง ขนเธอก็ลุกซู่ด้วยความกังวล
ก็ลองโทรหาหัวหน้าของคุณ ถ้าเป็นไปได้ ชารอนมีอํานาจสูงใช่ไหม บอกพวกเขาสิ ว่าผม เจสัน สเตลล่า ต้องการเช่า
เจสันยังคงสงบ แม้ว่าพนักงานต้อนรับจะประหลาดใจที่เขาพูด ชารอน โดยไม่เติมคํานําหน้าใดๆ เนื่องจากเป็นการไม่สุภาพและหยาบคาย
เขาจะพูดถึงประธานหอคอยช่างฝีมือของเราโดยไม่มีตําแหน่งได้อย่างไร?
เธอสงสัยแต่ไม่กล้าพูดอะไร เพราะเธอยังกลัวเขาอยู่
เธอโทรไปที่หมายเลขเลขาของประธานโดยตรง แต่ถึงแม้เธอจะแปลกใจ เธอตัดสินใจส่งต่อข้อความของเจสันไปยังประธาน
สิ่งที่ทําให้เธอประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือความจริงที่ว่าประธานาธิบดีรีบมาที่แผนกต้อนรับ ทันทีเมื่อได้ยินเธอกล่าวเช่นนั้น เขาปีนลงบันไดอย่างเร่งรีบไปถึงชั้นล่างเพียงเพื่อมาหาเจสันด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เจสันสังเกตเห็นความผันผวนของมานาที่รุนแรงเข้ามาใกล้เขาอย่างรวดเร็ว ขณะที่เฉิงปรากฏตัวข้างๆเขา ซึ่งทําให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย
พวกเขาทักทายกันโดยไม่สนใจพนักงานต้อนรับและคนอื่นๆ ในขณะที่เฉิงรีบพาเจสันไปอีกที ย่างรวดเร็ว
คุณต้องการแลกเปลี่ยน ขาย หรือซื้ออะไรไหม
เฉิงถามโดยหวังว่าจะได้ยินว่าเจสันอาจขายของมีค่าได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเจสันส่ายหัวและตอบว่า
ผมต้องการเช่าห้องตีเหล็กระดับสูงเพื่อที่จะหลอมอาวุญในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
เฉิงสับสนเมื่อได้ยินเขา เขาทําเพียงพยักหน้า จนกระทั่งเขาตระหนักถึงเจตนาของเจสัน
อะไรนะ คุณจะหลอมที่นี่เหรอ ทําไมเหรอ คุณไม่มีอาจารย์ที่มีห้องตีเหล็กเหรอ
สิ่งนี้ทําให้เฉิงตกใจอย่างมากและเขารู้สึกได้ถึงความหวังที่ริบหรี่ เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาก็ดับไป
อาจารย์ของผมไม่รู้ว่าผมอยู่ที่นี่ เขาไม่อนุญาตให้ผมตีอาวุธตอนนี้ เพราะมันเร็วเกินไปที่จะเรียนรู้…นั่นคือเหตุผลที่ผมต้องเช่าห้องตีเหล็กที่นี่
เจสันตอบโดยไม่ได้พยายามปิดบังอะไรจริงๆ
เฉิงเข้าใจสิ่งนี้ ในขณะที่เขาได้เรียนรู้พื้นฐานมานานกว่าหนึ่งปี ก่อนที่เขาจะได้รับอนุญาตให้ตีอาวุธด้วยซ้ํา
อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างพื้นฐานของเจสันกับพื้นฐานที่เฉิงกําลังคิด
อย่างไรก็ตาม เจสันได้เรียนรู้ทั้งหมดผ่านหนังสือและเริ่มทําชําระแร่โดยทันทีพร้อมกับบั้นเป็นแท่ง
ในท้ายที่สุด วิธีการเรียนรู้ของเจสันก็แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับเส้นทางแบบเดิมๆ ดวงตามานาและต้นกําเนิดเปลวไฟของเขา นอกเหนือจากความทรงจําที่เกือบจะสมบูรณ์แบบซึ่งเขาได้รับจากการพัฒนาสมอง ทําให้เขาแตกต่างจากคนรอบข้าง
เมื่อครุ่นคิดเล็กน้อย เฉิงตัดสินใจว่าเขาต้องการเห็นความก้าวหน้าของเจสัน ขณะที่เขาสนใจเด็กหนุ่มผมดําตาสีทองที่อยู่ตรงหน้าเขา
คุณสามารถใช้ห้องส่วนตัวของฉันได้ ที่ด้านบนสุดของหอคอย หรือห้องตีเหล็กชั้นสูงที่อยู่ใต้ดินได้ฟรี แต่ฉันขอดูขั้นตอนการตีเหล็กของคุณได้ไหม ฉันสนใจที่จะเห็นความคืบหน้าของคุณ
เฉิงกล่าวด้วยความตื่นเต้นและเจสันก็สังเกตเห็นเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เจสันตอบด้วยน้ําเสียงที่ชัดเจนและมั่นใจในทันทีว่า
คงไม่เป็นไปไม่ได้เ
ถ้าเขาปล่อยให้เฉิงสังเกตกระบวนการหลอมของเขา จะทําให้เฉิงรู้ความลับต่างๆของเจสัน
แต่ปัญหาที่แท้จริงคือเปลวไฟต้นกําเนิดสีดําของเขา ซึ่งเจสันไม่ต้องการแสดงให้ใครเห็นในตอนนี้
แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บเรื่องเปลวไฟต้นกําเนิดของเขาไว้เป็นความลับตลอดไป แต่ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา จะดีกว่าถ้าเข้าเก็บมันไว้เป็นความลับในตอนนี้
เฉิงผงะเมื่อได้รับการปฏิเสธโดยตรง เนื่องจากเขาคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นปัญหาสําหรับเขาที่จะสังเกตเทคนิคการตีเหล็กของเจสัน
จริงเหรอ?… ไม่มีทางที่ฉันจะสังเกตเทคนิคการตีเหล็กของคุณจริงๆเหรอ?
เขาไม่อยากยอมแพ้หากไม่ได้ซื้อเจสันอีกครั้ง เขาจ้องเจสันอย่างมีความหวังและเขาเชื่อว่าเขาได้ทําให้เขาเปลี่ยนคําตอบของเขา
แต่สิ่งที่ได้ยินทําให้เขาตกใจยิ่งกว่า
เป็นไปได้ที่คุณจะมาดูผมในระหว่างกระบวนการตีเหล็กของผม แต่ถ้าคุณเซ็นสัญญาจิตวิญญาณด้วยสัญญาพิเศษบางอย่างเท่านั้น
อะไร?!
เฉิงไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แต่เมื่อเห็นการแสดงออกที่จริงจังของเจสัน เขารู้ว่าเด็กที่อยู่ข้างหน้าเขาไม่ได้ล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นความจริงจังในเรื่องนี้ เฉิงก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นว่าเจสันกําลังซ่อนอะไรอยู่ และเขาไตร่ตรองว่าเขาควรยอมรับข้อเรียกร้องของเขาหรือไม่
คุณคงไม่อยากให้ฉันบอกใครว่าฉันจะเห็นอะไรในห้องตีเหล็กใช่ไหม คุณมีสัญญาพิเศษอะไรในใจที่คิดไว้บ้างละ
ตอนที่ 172 ฟิวชั่น
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันกับเหล่าเฟลอร์อย่างสนุกสนานแล้ว เจสันก็เข้า ไปในห้องของเขาเพื่อทดสอบสิ่งที่เขารอมาเป็นเวลานาน
เขาต้องการหลอมรวมตนเองเข้ากับสายใยวิญญาณและพยายามแสดงส่วนต่างๆ ของสายใยวิญญาณบนร่างกายของเขา
ก่อนหน้านี้ เจสันคิดว่าน่าจะเป็นไปได้มากกว่าที่อาร์เทมิสจะเป็นสายใยวิญญาณตัวแรกของเขาที่จะสร้างความแข็งแกร่งเข้ากับร่ากายของเขา แต่ที่น่าแปลกใจคือสกอร์พิโอนั้นดันสามารถเพิ่มพลังทางกายภาพให้กับเจสัน
อาจเป็นไปได้เนื่องเจสันได้ถ่ายทอดความเจ็บปวดบางส่วนให้กับตัวเองเพื่อปกป้องสัตว์ร้ายของเขาจึงทําให้สกอร์พิโอได้เสริมพลังทางกายภาพให้แก่เจสัน
อาร์ทิมิสนั้นอิจฉาความสําเร็จของสกอร์พิโอและต้องการเป็นสายใยวิญญาณเดียวของเจสันแต่ถึงแม้อาร์เทมิสจะรู้สึกไม่ชอบที่มีคู่แข่งแต่ความสัมพันธ์ของมันและเจสันยังคงแน่นแฟ้น
เมื่อความสัมพันธ์ของอาร์เทมิสกับเขาแน่นแฟ้นมามากตั้งแต่แรก ดังนั้นเจสันจึงมั่นใจว่าความสัมพันธ์ของเขากับอาร์เทมิสนั้นแน่นแฟ้นมากกว่าเขาและสกอร์พิโอ
ดังนั้น เจสันจึงคาดว่าจิตวิญญาณของเขาจะเชื่อมต่อกับอาร์เทมิส ในขณะที่เขาเข้าสู่โลกแห่งวิญญาณขณะที่อาร์เทมิสนอนอยู่บนเตียงด้วยอาการงอนๆ
ภายในโลกแห่งวิญญาณ เจสันเห็นสกอร์พิโอวิ่งเข้ามาหาเขา
เมื่อสัมผัสกับสกอร์พิโอ เขาสัมผัสได้ถึงความผูกพันอันแน่นแฟ้นที่เชื่อมต่อ เมื่อเขาเริ่ม ทดสอบหลายสิ่ง
ความรู้เกี่ยวกับการเสริมพลังวิญญาณของเขานั้นน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย เนื่องจากเขาไม่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน
สิ่งเดียวที่เขารู้เกี่ยวกับมันคือคําที่ทิลล์บอกกับเขา และมันก็ไม่มีอะไรพิเศษ
เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ําว่าควรมุ่งความสนใจไปที่สิ่งใดเพื่อดึงพลังด้านกายภาพของสกอร์พิโอออกมาบนร่างกายของเขา
อะไรคือการรวมพลังวิญญาณในการเสริมความแข็งแกร่ง
เจสันถามตัวเอง ขณะที่เขาพยายามนึกถึงคําพูดของทิลล์นอกเหนือจากการสันนิษฐานไปเองของเขาเอง
การประสานวิญญาณที่เสริมความแข็งแกร่งคือความเชื่อมโยงที่ชัดเจนอย่างยิ่งระหว่างผู้ผูกพันธะกับพันธะวิญญาณ ถือได้ว่าเป็นทั้งสองจิตวิญญาณนั้นรวมกันเป็นสิ่งเดียว ซึ่งช่วยให้ผู้ผูกพันธะหลอมรวมกับสายใยวิญญาณของเขา เผยให้เห็นส่วนต่างๆ บนร่างกายเช่นปีกกรงเล็บและอื่นๆ
เมื่อเขานึกถึงคําเหล่านี้ เจสันก็ยิ่งสับสนมากขึ้น
นี้หมายความว่าสกอร์พิโอนั้นอยู่ในตัวฉันและไม่สามารถอยู่ได้ถ้าฉันตาย? แล้วในทางกลับกันล่ะ? ฉันจะตายถ้าสกอร์พิโอตาย? และฉันสามารถแสดงพลังของสกอร์พิโอได้ในระดับใด? มันมีขนาดเพียง 80 เซนติเมตร ซึ่งหมายความว่าฉันไม่สามารถนําเกราะของมันมาปกคลุมร่างกายของตัวเองได้ หรือฉันทําได้… ฉันจะสามารถแสดงสิ่งใดนอกจากเกราะของมันได้ ก้ามและเหล็กในของมันล่ะ? ฉันจะแสดงออกมาไดยังไง
มีคําถามที่ยังไม่ได้คําตอบจํานวนมากเกินไป แต่ตอนนี้ไม่มีใครสามารถตอบคําถามได้ซึ่งทําให้ เขาต้องค้นหาคําตอบที่เป็นไปได้ด้วยตัวเขาเอง
เจสันพยายามสอนสกอร์พิโอด้วยบางสิ่งที่เขาควรลอง เจสันออกจากโลกวิญญาณ
เขายืนขึ้นเพื่อรอบางสิ่งที่จะเกิดขึ้น ขณะที่เขาเริ่มทดสอบบางอย่างกับสกอร์พิโอ
แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปหลายนาที ซึ่งทําให้เจสันสงสัยว่าเขาทําผิดพลาดหรือไม่
ฉันต้องให้ตัวสกอร์พิโอเต็มใจที่จะมอบพลังให้หรือเปล่านะ
เมื่อคิดว่านี่อาจเป็นวิธีแก้ปัญหา เจสันพยายามเข้าสู่โลกวิญญาณเพียงบางส่วน ทดสอบว่าเขาสามารถจัดการเปิดพลังได้หรือไม่
ทันใดนั้น เขาสังเกตเห็นบางอย่างในจิตใจของเขา ที่ซึ่งโลกวิญญาณถูกวางไว้ จุดสีทองขนาดเล็กที่เจสันแทบมองไม่เห็นว่ามันกําลังส่องประกาย
โดยมุ่งความสนใจไปที่จุดนั้น เจสันคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับการเปิดประตูระหว่างเขากับโลกแห่งวิญญาณ ขณะที่จุดสีทองเริ่มขยายขนาดขึ้น ทําลายกําแพงระหว่างผู้ผูกพันธะกับพันธะวิญญาณ
มันเจ็บปวดแต่ก็ทนได้ เมื่อเขาเข้าสู่โลกแห่งวิญญาณเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้
จากภายในโลกแห่งวิญญาณ เขาเห็นเพียงสกอร์พิโอที่ค่อยๆ เข้าใกล้ประตูสีทองขนาดใหญ่ที่จู่ๆ และจู่ๆ พวกเขาทั้งสองก็ไปปรากฏอยู่ที่ไหนสักแห่ง
และเช่นเดียวกันสกอร์พิโอหายตัวไป เมื่อร่างกายของเจสันเริ่มคันขึ้นและรู้สึกแปลกๆ อย่างมากในขณะที่แกนมานาของเขามีขนาดเพิ่มขึ้นและร่างกายของเขาก็เริ่มที่จะแข็งแกร่งขึ้น
เกิดอะไรนะ?
ไม่มีความเจ็บปวดจากการขยายของโลกวิญญาณ และรู้สึกเหมือนว่าเขาถูกแทรกซึมโดยบางสิ่งที่คุ้นเคยแต่ก็เป็นความรู้สึกที่แปลก
เมื่อออกจากโลกวิญญาณ เจสันมองตัวเองด้วยดวงตามานา ในขณะที่เขาสแกนร่างกายของเขา
เขาเข้าใจในทันทีว่าขนาดของร่างกายและแกนมานาของเขาได้รับระดับที่พิ่มขึ้นเป็นผู้ชํานาญลําดับที่ 8 และยิ่งกว่านั้นอีก ในขณะที่บางสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในแกนมานาของเขาทําให้เขาตกใจ
แม้ว่าเจสันจะไม่เข้าใจว่าสกอร์พิโอเข้าสู่แกนมานาของเขาอย่างไร เพราะมันเชื่อมโยงกับทุกสิ่งในร่างกายของเขา
มันทํางานยังไง
เจสันถามตัวเอง ขณะที่เขารู้สึกว่าสกอร์พิโอสามารถทําทุกอย่างที่มันต้องการภายในร่างกายของเขา
ทุกคนได้รับการวิวัฒนาการจากสายใยวิญญาณสูงเช่นฉันหรือเป็นเพราะจิตวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์ของฉันด้วย
เขาไม่รู้แน่ชัด แต่มันไม่สําคัญสําหรับตอนนี้
เจสันยิ้มแห้งๆ ต้องการทดสอบบางอย่างที่อาจเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของเขาได้สัก 23 อย่าง
เจสันได้ส่งความคิดของเขาไปยังสกอร์พิโอที่อยู่ภายในแกนมานาของเขา ในขณะที่คิดถึงมันเจสันรู้สึกคันที่ก้นกบ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่ว
ทันใดนั้นกางเกงยีนส์ของเขาที่ด้านหลังก็ปูดขึ้น และมีเสียงขาดจากบางสิ่งบางอย่าง
เจสันวิ่งไปที่กระจกในห้องของเขา รู้สึกถึงบางสิ่งที่เติบโตจากก้นกบของเขาด้วยความเร็วที่ช้ามากขณะที่เขามองกระจกด้วยความตกใจ
แม่เจ้า!
เจสันอุทานด้วยเสียงที่เกือบจะเหมือนเด็กเมื่อเห็นหางแมงปองที่มีเหล็กในสีฟ้าอมเขียวงอกออกมาจากหลังส่วนล่างของเขา ซึ่งมีขนาดประมาณครึ่งเมตร
แม้ว่ามันจะดูเท่มาก แต่เจสันก็สังเกตเห็นข้อเสียในทันที
ใช้เวลานานมากในการที่จะงอกออกมา และเขาคิดว่ามันอาจเกี่ยวข้องกับการรวมพลัง วิญญาณที่มีขนาดน้อยเกินหรือเพราะเป็นการทดลองครั้งแรกของพวกเขา
หลังจากที่เขาพยายามเร่งการงอกของหาง ความเร็วในการเติบโตก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังคงใช้เวลานาน และเจสันสรุปว่าเป็นเพราะความผูกพันของพวกเขายังไม่มั่นคงอย่างสมบูรณ์ และเวลาที่เขาทั้งสองได้ใช้ร่วมกันน้อยนั้นมาก
ดังนั้น เจสันจึงมั่นใจว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
มีข้อเสียเพียงสองประการกับความสามารถในการฟิวชั่นที่เจสันสังเกตเห็นในทันที
ในขณะที่ผสมร่างกับสกอร์พิโอ พลังงานและโภชนาการที่ต้องการเพื่อให้เหล็กในนั้นเติบโตนนดูค่อนข้างสูง ในขณะที่สกอร์พิโอเองก็ไม่สามารถต่อสู้เคียงข้างเขาได้ ในระหว่างการฟิวชั่น
และมันยังต้องการสารอาหารอย่างมากในการที่จะเจริญเติบโตบนร่างกายของเจสัน ซึ่งหมายความว่าเจสันจะไม่สามารถใช้งานได้บ่อยๆ ตามที่ต้องการ และต้องจํากัดการใช้งาน
เจสันเริ่มเล่นด้วยความสามารถที่ได้รับมาใหม่ของเขาในการแสดงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายด้วยพลังด้านกายภายของสกอร์พิโอ เจสันจดบันทึกหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาสามารถทําได้เนื่องจากกลยุทธ์การต่อสู้ที่หลากหลายปรากฏขึ้นภายในจิตใจของเขา
ถึงกระนั้น เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จนกระทั่งเจสันล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยความอ่อนเพลียขณะที่สกอร์พิโอออกมาจากแกนมานาเพื่อกลับไปยังโลกแห่งวิญญาณ
และเมื่อสกอร์พิโอได้อออกจากแกนมานาของเจสัน จึงทําให้ความแข็งแกร่งทางกายภาพจึงลดลงสู่ระดับของผู้ชํานาญขั้นที่ 7 อย่างที่เคย
คําถามในใจของเขาไม่ได้ลดลงและดูเหมือนว่ามันจะเพิ่มขึ้นเมื่อเขาอยากรู้เกี่ยวกับประตูทองและข้อกําหนดในการจัดตั้งการหลอมรวมพลังวิญญาณ
มันเป็นแค่บ่ายวันอาทิตย์เท่านั้น เจสันกระโดดขึ้นและลุกออกจากเตียงเพราะเขามีหลายสิ่งที่ต้องทํามากเกินไป ดังนั้นเขาจึงหยิบอาหารออกมากินก่อนจะวิ่งออกไปโดยที่ไม่ได้สนใจใครเลยแม้แต่เดียว
ตอนที่ 171 ผู้สร้างสัตว์อสูรลึกลับ
การถูกไล่ออกจากที่ซ่อนของอาจารย์นั้นทําให้เจสันรู้สึกไม่ดีอย่างแน่นอน และเจสันก็สงสัยว่าสายใยวิญญาณของเขาจะสามารถมาหาเขาได้อย่างไร แต่วินาทีต่อมา พวกมันก็ถูกโยนตามออกมา
สกอร์พิโอลืมตาขึ้นเมื่อเห็นเจสันยิ้มให้มัน
เมื่อเห็นเจสันอยู่ข้างหน้าสกอร์พิโอก็กระโดดเข้ามาหาเจสัน ในขณะที่ระยะระหว่างเจสันกับมันนั้นอยู่ห่างกันมาก แต่ด้วยความแข็งแกร่งที่เพิ่งได้พัฒนา ก็ทําให้มันสามารถกระโดดได้ถึงเจสัน
การรู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของมันทําให้เจสันมีความสุขอย่างมากในขณะที่เขาลูบตัวของสกอร์พิโอ
อาร์เทมิสตื่นขึ้นและสังเกตเห็นว่าศัตรูตัวฉกาจของมันได้รับความสนใจจากเจสัน ซึ่งทําให้มันรู้สึกไม่พอใจ
มันกรีดร้องในใจด้วยความรังเกียจ มันกําลังจะคว้าตัวสกอร์พิโอและโยนลงไปในน้ํา แต่เจสันจับที่ขนนกของมันซึ่งทําให้มันหยุดเกือบจะในทันที
ผ่านไปไม่กี่นาทีจนกระทั่งสายใยวิญญาณทั้งสองก้าวถอยหลังออกจากกัน
เมื่อนึกถึงคําพูดของเชนเกี่ยวกับการประสานจิตวิญญาณที่เข้มแข็งของเขา เจสันต้องการเข้าสู่โลกวิญญาณของเขาและค้นหาทุกสิ่ง
ในขณะที่เขารู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยในโลกวิญญาณของเขา
เห็นได้ชัดว่าทั้งอาร์เทมิสและสกอร์พิโอกําลังต่อสู้กับพลังวิญญาณของเขา
เจสันเองต้องแบ่งพลังวิญญาณของเขาให้กับสายใยวิญญาณของเขา
ตอนนี้เขามีหน่วยพลังวิญญาณ 150 หน่วย ต้องขอบคุณการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของสกอร์พิโอและความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น ทําให้เจสันไตร่ตรองว่าจะแบ่งมันอย่างไร
อย่างไรก็ตาม สกอร์พิโอได้รับพลังงานวิญญาณ 15 หน่วยจากเขาแล้ว
นี่หมายความว่าแม้ว่าอาร์เทมิสจะได้รับหน่วยพลังงานวิญญาณที่เหลืออยู่ที่เจสันสะสมไว้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มันจะไม่มีประโยชน์ เนื่องจากจะเหลือพลังวิญญาณไม่มากพอที่จะทําให้อาร์เทมิสเข้าสู่โลกวิญญาณได้
หลังจากเข้าสู่ขั้นวิวัฒนาการ พลังวิญญาณของอาร์เทมิสเพิ่มขึ้นเป็น 130 หน่วย แต่น่าเสียดายที่มันยังคงเติบโตเต็มที่และแข็งแกร่งขึ้น
ตอนนี้ พลังวิญญาณที่มันต้องการได้เพิ่มขึ้นเป็น 140 หน่วย มันยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ แม้ว่าเจสันจะป้อนมานาให้มันด้วยมานาที่มีระดับต่ําที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และแกนมานาที่มีการจัดอันดับเวทย์มนตร์เป็นครั้งคราว
สิ่งนี้ไม่ได้ทําให้มันรู้สึกหงุดหงิดน้อยลง ซึ่งมันแสดงด้วยพายุหิมะขนาดเล็ก ที่ห่อหุ้มตัวของมันเอาไว้ และเจสันต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะทําให้มันสงบลง
การอนุญาตให้สกอร์พิโอผนวกเข้ากับพลังงานวิญญาณเพิ่มเติมอีก 45 หน่วยช่วยให้มันเข้าสู่โลกวิญญาณของเจสันในทันที ที่ซึ่งเราสามารถเห็นความเชื่อมโยงระหว่างเจสันและสกอร์พิโอได้
เจสันได้คิดเอาไว้แล้ว แต่เมื่อเห็นว่าการเชื่อมต่อนั้นบางมาก เขาเริ่มสงสัยว่าเขาจะรวมตัวกับสกอร์พิโอเหมือนที่ทิลล์ได้ทํารวมกับสายใยวิญญาณของเขาหรือไม่
แต่ก่อนที่เขาจะคิดต่อไป เจสันก็รู้สึกคันไปทั้งตัว ขณะที่กําลังของเขาเริ่มเพิ่มมากขึ้นด้วยความแข็งแกร่งที่ร่วมกันของสกอร์พิโอผ่านแกนโลกวิญญาณ
โดยปกติจะใช้เวลานานกว่าการขยายพพลังทั้งหมดจากแกนโลกวิญญาณจะไปถึงเขาเพื่อเสริมสร้างร่างกายและขยายขนาดแกนมานา แต่ดูเหมือนว่าการรวมพลังวิญญาณที่เสริมความแข็งแกร่งจะทําให้กระบวนการทั้งหมดเร่งขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องน่าสนใจสําหรับเจสัน
เมื่อรู้สึกว่าผิวของเขาแข็งแรงขึ้น ในขณะที่กระดูกและเนื้อของเขาแข็งแรงเจสันเข้าใจว่าวิวัฒนาการของสกอร์พิโอนั้นช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้ายนกายภาพมากกว่าพลังมานา นี่เป็นเพราะขนาดแกนมานาของเขาเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับส่วนที่เหลือ
เขาไม่ได้อัพระดับที่สูงขึ้นผ่านการวิวัฒนาการในครั้งนี้ แต่ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่ขนาดแกนกลางมานาของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ขณะที่ร่างกายของเขายังมีอาการคัน อาร์เทมิสเกาะที่ไหล่ของเจสันเพื่อทําเครื่องหมายอาณาเขตของมัน ขณะที่เจสันยืนขึ้นเพื่อที่จะกลับบ้าน
รถรับส่งที่เขาเรียกว่ามาถึงใช้เวลาประมาณห้านาทีต่อมา
เจสันนั่งอยู่ข้างในนั้นตัดสินใจฝึกเทคนิคแฮฟเว่นเฮลด้วยพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นใหม่ของเขา
การฝึกครั้งที่เขาทําตอนนี้เพิ่มพลังวิญญาณของเขาประมาณ 1.2 หน่วย ซึ่งสูงมากและทําให้พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นอย่างคร่าวๆ 0.8% สําหรับการฝึกฝนแต่ละครั้ง
ดังนั้น เจสันจึงรู้สึกมั่นใจในการเข้าถึงพลังงานวิญญาณที่สูงขึ้นเพื่อเก็บอาร์เทมิสเอาไว้ในโลกวิญญาณ
เมื่อมาถึงบ้านเฟลอร์ก็เป็นเวลาวันอาทิตย์และเกือบจะเที่ยงแล้ว
เจสันมีความสุขที่ได้เห็นเฟลอร์ที่มองเขาด้วยความประหลาดใจเพราะพวกเขาไม่คิดว่าเจสันจะกลับบ้านเร็วขนาดนี้
ดังนั้นพวกเขาจึงถามเจสันว่ามีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเจสันไม่ได้ปฏิเสธ ในขณะที่เจสันบอกพวกเขาอย่างมีความสุขว่าสกอร์พิโอจะมีวิวัฒนาการในไม่ช้าและตอนนี้เขาได้รับการวิวัฒนาการแล้วแม้มันจะยังไม่สมบูรณ์
แม้ว่าเขาจะโกหกกับพวกเฟลอร์ ความจริงก็จะถูกเปิดเผยไม่ช้าก็เร็ว เพราะเขาไม่สามารถซ่อนการมีอยู่ของสกอร์พิโอได้ตลอดไป เพราะมันจะตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ในท้ายที่สุด การพูดความจริงง่ายกว่าการโกหก แต่ดูเหมือนว่าพวกเฟลอร์จะตกใจอย่างยิ่งกับการเปิดเผยของเขา ขณะที่เกร็กถามด้วยดวงตาเป็นประกาย
นายรู้จักผู้สร้างสัตว์อสูรมั้นหรอ!?
เกร็กเกือบจะตะโกนซึ่งทําให้เขาประหลาดใจ แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เจสันจําได้ว่าเพื่อนของเขามีไมโนทอร์แคระที่สามารถวิวัฒนาการได้ตราบเท่าที่มันมีมานาเพียงพอ พร้อมกับส่วนผสมอันมีค่าที่เหมาะสมซึ่งจะต้องปรุงเป็นสารละลายวิวัฒนาการ
เฟลอร์ได้ค้นหาผู้สร้างสัตว์อสูรมานานแล้ว เนื่องจากพวกเขาได้ค้นพบสายเลือดที่ซ่อนอยู่ของเกร็กและศักยภาพเพิ่มเติมของสายเลือดดังกล่าว แต่ข้อกําหนดในการนัดหมายเพื่อพบผู้สร้างสัตว์อสูรนั้นยากมากอยู่แล้ว
ในท้ายที่สุด ก็ไม่รับประกันด้วยซ้ําว่าผู้สร้างสัตว์อสูรจะช่วยพวกเขาได้ไหม
และแม้ว่าเขาสามารถช่วยได้ พวกเขาก็ต้องค้นหาวัสดุที่จําเป็นและจ่ายเงินสําหรับการวิวัฒนาการ
เมื่อคํานวณทุกอย่างร่วมกัน ข้อกําหนดในการวิวัฒนาการสัตว์ร้ายนั้นต้องใช้ทรัพยาการมากมายมหาศาล แม้ว่ามันจะคุ้มค่าทุกเครดิตก็ตาม
เมื่อรู้ว่าเกร็กหมายถึงอะไร เจสันไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไร จู่ๆ ก็มีความคิดผุดขึ้นในใจเขา
จากสิ่งที่ฉันอ่านในหนังสือ การพัฒนาสัตว์ร้ายที่มีสายเลือดที่ปิดผนึกไว้ในร่างกายของพวกมันนั้นง่ายที่สุดสําหรับผู้สร้างสัตว์อสูรที่เก่งกาจ ด้วยข้อมูลที่เพียงพอดาเลีย ควรจะสามารถบอกฉันได้ว่าวัสดุใดบ้างที่ไมโนทอร์แคระต้องการเพื่อที่จะวิวัฒนาการ ตราบใดที่เธอรู้เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์เลสเซอร์ไมโนทอร์ มันน่าจะเป็นไปได้…หรือว่าไม่ควรถาม? ลองดูก็ไม่เสียหาย!
เจสันครุ่นคิดว่าควรเริ่มต้นอย่างไรในขณะที่พูดอย่างลังเล
ฉันรู้จักผู้สร้างสัตว์อสูร แต่ฉันไม่รู้ว่าผู้สร้างสัตว์อสูรนี้อยู่ในระดับใด หรือแม้แต่ชื่อของเขาหรือเธอ
อาจกล่าวได้ว่า ฉันบังเอิญได้พบกับผู้สร้างสัตว์อสูรคนนี้ และเขาก็ชอบสกอร์พิโอ
ในขณะที่เขาสังเกตเห็นศักยภาพของสัตว์ร้ายของฉัน
บางที่ฉันอาจจะถามผู้สร้างสัตว์อสูรได้ว่าเขาสามารถช่วยทอรัสเพื่อวิวัฒนาการได้ไหม แต่ฉันไม่สามารถสัญญาอะไรได้นะ!
เจสันตอบด้วยการโกหกเล็กน้อยผสมกับความจริง เขาไม่สามารถเปิดเผยการมีอยู่ของอาจารย์ของเขาได้ เพราะเธอซ่อนตัวจากสายตาของสาธารณชน
ดังนั้น เจสันจึงตัดสินใจสร้างเรื่องของผู้สร้างสัตว์ร้ายลึกลับ ซึ่งหวังว่าจะสามารถแก้ปัญหาทั้งหมดของเขาได้
เขาไม่สามารถสัญญาอะไรได้ แต่เกร็กและเฟลอร์ดูเหมือนจะพอใจกับคําพูดง่ายๆ ของเจสันแม้ว่าเขาจะไม่ได้มั่นใจอะไรเลยก็ตาม แต่เจสันให้ความหวังเล็กน้อยแก่พวกเขาซึ่งเกือบจะหายไป
เนื่องจากเกณฑ์การเข้าพบที่เข้มงวดซึ่งระบุโดยผู้สร้างสัตว์อสูรระดับล่างของแอสทริกซ์
ตอนที่ 170 การเปลี่ยนแปลง
เมื่อรู้สึกตัว เจสันออกจากโลกวิญญาณของเขา ที่ซึ่งดูเหมือนว่าเขาติดอยู่มาเป็นเวลานานและเมื่อรู้สึกตัวเจสันพบว่าตัวเองนอนอยู่ในแอ่งน้ำ
อ่างนั้นเต็มไปด้วยสารละลายยาที่หลากหลายชนิดที่แข็งแกร่ง ซึ่งให้สารอาหารและความรู้สึกสงบในขณะที่เขาวางหินมานาคุณภาพสูงหลายก้อนไว้รอบตัวเขาและช่วยเพิ่มพลังเพิ่มขึ้น
เมื่อมองดูตัวเอง เจสันสังเกตเห็นเลือดที่แห้งบนหน้าอกและแขนของเขา
อย่างไรก็ตาม แทนที่จะรู้สึกอ่อนแอ เขากลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและเต็มไปด้วยพลัง เขามองไปรอบๆ และสังเกตเห็นเชนที่ใจกลางวงเวทย์ ดูแลดาเลียที่อาการแย่มาก
“เกิดอะไรขึ้น!
เจสันแทบตะโกนออกมาเพียงเพื่อสังเกตว่าเขาไม่สามารถพูดได้ ด้วยเสียงกรีดร้องที่ออกจากปากของเขา
พลังงานที่กระฉับกระเฉงภายในตัวเขาลดลงอย่างช้าๆ แทนที่จะมีพลัง เขากลับเริ่มรู้สึกอ่อน
ขณะมองดูดาเลีย ดวงตามานาของเขาบอกเขาว่าเธอใช้มานาไปมาก ในขณะที่หินมานาที่กองกันเหมือนภูเขาได้พังทลายลง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขากังวลยิ่งกว่าในตอนนี้คือเขามองไม่เห็นสกอร์พิโอ ซึ่งน่าจะอยู่ติดกับดาเลียโดยตรงในใจกลางของวงกลมเวทมนตร์
แต่ไม่มีใครเลยนอกจากอาจารย์ของเขา และมันทำให้เจสันรู้สึกไม่ดี ในขณะที่เป็นเพราะสายสัมพันธ์ที่ทำให้เจสันได้รู้ว่าสายใยวิญญาณของเขานั้นยังมีชีวิตอยู่
ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของสายสัมพันธ์ของพวกเขาทำให้เจสันตกใจไม่น้อย แต่ก็สำคัญน้อยกว่าการพบว่าสกอร์พิโอนั้นอยู่ดี
การเชื่อมต่อระหว่างจิตวิญญาณของเขากับสกอร์พิโอดูเหมือนจะไม่เสถียร แต่ตอนนี้มันได้รับการเสริมกำลังแล้วในขณะที่โลกวิญญาณของเขายุ่งเหยิง พูดง่ายๆ
แกนโลกวิญญาณของเจสันมีขนาดเพิ่มขึ้น ทำให้ประสาทสัมผัสของเขาเบลอภายในโลกแห่งวิญญาณ ซึ่งทำให้เขากังวลมากขึ้นไปอีก
เมื่อปล่อยมานาของเขา เจสันมองหากอร์พิโอขณะที่ดวงตามานาสังเกตเห็นบางสิ่งที่อยู่ข้างๆ เขาโดยตรง
ต่อจากนั้น เจสันก็ยกร่างของเขาออกจากอ่าง และมองเห็นอาร์เทมิสนอนอยู่ข้างอ่าง
สกอร์พิโอ ซึ่งปัจจุบันเป็นแมงปองยาว 80 ซม. มีหนามที่คมกริบอยู่รอบๆตัวของมัน ขณะที่ทั้งตัวของของมันถูกห่อหุ้มด้วยเกาะที่มีส่วนของสีเขียวเข้มและสีน้ำเงินเป็นประกาย
ขณะที่มันยังคงนอนหลับถัดจากอาร์เทมิสอย่างสงบ เจสันสังเกตว่ามันดูเหมือนจะโตขึ้นเกือบสามเท่า มันทำให้เจสันตกตะลึง ในขณะที่เขาไม่เคยจินตนาการถึงความเปลี่ยนแปลงที่มากมายขนาดนี้ในสายวิญญาณของเขา ถึงแม้เจสันจะเคยนึกถึงการพัฒนาที่มากมายแต่มันก็ยังคงน้อยกว่าที่เกิดขึ้นในตอนนี้
เมื่อเจสันสแกนผ่านสกอร์พิโอด้วยดวงตามานา สิ่งแรกที่พุ่งตรงมาที่เขาคือสีที่เปล่งออกมาจากมัน มันเป็นสีเขียวเข้ม บ่งบอกถึงศักยภาพของตว์ร้ายระดับที่สูงมาก จนสกอร์พิโออยู่ในระดับสัตว์เวทย์มนต์
สิ่งนี้ทำให้เจสันตกตะลึงเล็กน้อย ในขณะที่เขานึกไม่ออกว่าการชำระแกนมานาครั้งต่อไปจะเป็นอย่างไร เพราะครั้งแรกนั้นยากเย็นแสนเข็ญและน่ากลัวมาก ไม่ใช่แค่กับสายใยวิญญาณของเขาและตัวเขาเอง แต่กระทั่งดาเลียด้วย
เมื่อกลับมายืนได้ เจสันก็ทำความสะอาดตัวเอง ก่อนที่เขาจะสวมเสื้อผ้าสะอาดซึ่งเซนเตรียมไว้ให้เขา จากนั้นเขาก็ตรวจสอบสายใยวิญญาณของเขาต่อไป โดยไม่สนใจความเจ็บปวดที่แผดเผาในโลกวิญญาณของเขาและทำให้เกิดความเจ็บปวดทั่วร่างกาย
เจสันรู้ว่าเกิดความเจ็บปวดทั่วร่างกาย แต่เขารู้ว่าพลังวิญญาณของเขากำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากในขนาดไม่กี่หน่วยซึ่งทำให้เกิดความเจ็บปวด
เห็นได้ชัดว่าในขณะที่เขาสังเกตเห็นว่าราศีพิจิกมาถึงระดับกลางที่ตื่นขึ้นด้วยความต้องการหน่วยพลังงานวิญญาณ 60 หน่วย มันขยายพลังวิญญาณของเขาเอง 15 หน่วยด้วยการขยายโดย กำเนิด 1/3
ก่อนหน้านี้ ชาวสกอร์พิโอต้องการพลังวิญญาณเพียง 15 หน่วย แต่ตอนนี้มันต้องการมากถึง 3 เท่า ทำให้เจสันตกใจเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าสกอร์พิโอจะมีวิวัฒนาการมาในรูปแบบที่ไม่สมบูรณ์ ดังที่เห็นได้ชัดจากโครงร่างภายนอกของมัน
การวิวัฒนาการนี้ถูกบังคับโดยมานาจำนวนมหาศาลและแสงศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ซ่านแทรกซึมเขาทำให้เซลล์ของมันเปลี่ยนไป และดูเหมือนว่าร่างกายของดาเลียเป็นสาเหตุ นอกเหนือจากพันธะวิญญาณของเขาที่จะแข็งแกร่งขึ้น
เจสันขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าจะคิดอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ เนื่องจากทุกคนต้องทนรับความเจ็บปวดมหาศาลจากการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
ทันใดนั้น เขานึกถึงใบหน้าซีดขาวของดาเลียที่มีเลือดแห้งปกคลุมทั่วร่างกายของเธอ ขณะที่เขารีบวิ่งเข้าไปหาเธอ
สกอร์พิโอยังดูดีแม้ว่าวิวัฒนาการขอมันจะเสร็จสิ้นเพียงครึ่งเดียว มันอาจจะซับซ้อนเล็กน้อยแต่มันเป็นผลชั่วคราว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลกับมัน และหาเชนและดาเลียอีกครั้ง
เมื่อเข้าไปใกล้ดาเลีย เจสันสังเกตเห็นว่าเธอดูเหมือนหมดสติ ขณะที่เขาจ้องมองที่เชน และถามด้วยเสียงที่เงียบเชียบ
“เกิดอะไรขึ้น สกอร์พิโอคงตายถ้าไม่ให้ ผมแบ่งเบาความเจ็บปวดของมัน และทำไมอาจารย์ดาเลียถึงหมดสติ? เธอสบายดีไหม?”
แต่ดูเหมือนเชนจะไม่ได้ยินคำถามของเขา ขณะที่วงเวทย์สองวงปรากฏขึ้นข้างดาเลีย โดยมีนางไม้ปรากฏอยู่ภายในนั้น
นางไม้ทั้งสองได้ปลดปล่อยมานาที่สัมพันธ์กันตามธรรมชาติและความสามารถโดยกำเนิดเพื่อ รักษาผู้ถือครองของตนในทันที เชนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นสิ่งนี้ และในที่สุดก็สังเกตเห็น เจสันที่อยู่ข้างๆ เขา
เมื่อรู้ว่าเจสันถามคำถามหนึ่งกับเขา เชนก็ถอนหายใจลึกๆ เพื่อทำให้จิตใจที่ทรมานของเขาสงบลง เขากำลังจะตะโกนใส่เจสันแต่กลั่นตัวเองไว้ในขณะที่เขารู้ดีว่ามันจะเป็นความพยายามที่เปล่าประโยชน์และจะไม่แม้แต่จะไม่ได้ช่วยอะไร
“อืม…ข้าไม่แน่ใจนักเพราะเรื่องแบบนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ดูเหมือนว่าแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ควรจะชำระล้างแกนมานาของแมงปองตัวเล็ก ๆ ของเจ้าจากสิ่งสกปรกจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนรูปแบบทางพันธุกรรมของมัน และเสริมประสิทธิภาพอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าสายใยวิญญาณของเจ้าพัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงขึ้น
อย่างที่เจ้าอาจสังเกตเห็น แกนมานาของสกอร์พิโอได้รับการชำระแล้ว แต่ข้าสงสัยว่ามันสามารถไปถึงระดับเวทย์มนตร์ได้ด้วยจำนวนหินมานาที่ใช้ไปได้ยังไง เนื่องจากมานาส่วนใหญ่ใช้สำหรับวิวัฒนาการของมัน
ทั้งการชำระล้างและการวิวัฒนาการเกิดขึ้นพร้อมกัน ทำให้เกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้
โชคดีที่เจ้าได้ถ่ายทอดความเจ็บปวดของสายใยวิญญาณไปยังตัวคุณเอง ไม่เช่นนั้นมันคงไม่รอดจากการชำระล้างในครั้งนี้
สาหรับดาเลีย เธอสบายดีและหมดสติเพียงเท่านั้นเพราะเธอพยายามบังคับร่างกายของเธอเพื่อเปลี่ยนวิถีของแสงอันศักดิ์สิทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์เพื่อช่วยสกอร์พิโอ
แต่นั่นคือทั้งหมดที่ฉันรู้ ดาเลียน่าจะบอกเจ้าได้มากกว่านี้ เมื่อเธอตื่น”
เชนอธิบายก่อนจะหันกลับมามองดาเลียก่อนจะอุ้มเธอขึ้น
“ข้าคิดว่าเจ้าควรกลับบ้านได้แล้ว สองสามชั่วโมงที่ผ่านมาน่าจะเหนื่อยมากสำหรับทั้งร่างกายและจิตใจ พักผ่อนและกลับมาเมื่อเจ้าสบายดี ดาเลียก็ต้องพักผ่อนบ้าง”
เมื่อเปิดประตูมิติให้เจสัน เขาเสริมอย่างเงียบๆ
“ยังไงก็ตาม ขอแสดงความยินดีด้วยที่ได้สร้างจิตวิญญาณที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับพันธะวิญญาณที่สองของเจ้า เจ้าสัตว์ประหลาดตัวน้อย!”
เชนยิ้มอย่างภาคภูมิใจในขณะที่ปล่อยมานาเพื่อโยนเจสันผ่านประตูมิติ
ตอนที่ 168 การแข่งขันระหว่างปรมาจารย์
เจสันตั้งตารอสุดสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายวันเสาร์แล้ว เมื่อเขานั่งอยู่ในห้องช่างตีเหล็ก ทําการกลั่นแร่ทุกชนิดให้เป็นแร่ที่บริสุทธิ์อย่างที่เคยทํา
วันก่อนหลังจากที่ได้รับชัยชนะที่ค่อนข้างง่ายของเขา เขาได้เรียกคืนที่นั่งคลาสการต่อสู้พิเศษของเขาก่อนที่คลาสจะจบลง
แม็กซ์และเซรอนแยกทางกันหลังจากจบการประลอง ปล่อยให้เจสันอยู่คนเดียวในสนามประลอง ยกเว้นอาร์เทมิส
เห็นได้ชัดว่าเยาวชนทั้งสองได้รับการแจ้งเตือนหลังจากนั้นการแสดงออกของพวกเขาดูแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเด็กทั้งสองรีบออกจากสนามประลอง เจสันสงสัยว่าทําไมพวกเขาถึงต้องวุ่นวายกันขนาดนั้น
มีอะไรเกิดขึ้นกับครอบครัวใหญ่ ๆ หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นในแอสทริกซ์
เขาคิดอย่างสับสน แต่ก็ไม่มีใครตอบคําถามของเขาได้
ดังนั้น เจสันจึงตัดสินใจเปลี่ยนแผนเล็กน้อย ขณะที่เขาส่งข้อความถึงพวกเฟลอร์ว่าเขาจะไม่กลับบ้านในช่วงสุดสัปดาห์
เจสันมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของทะเลสาบสีฟ้าเล็กๆ ที่ส่องประกายซึ่งอยู่ในป่าอันอุดมสมบูรณ์ เพียง 15 นาทีต่อมา เจสันพบว่าตัวเองยืนอยู่หน้าทะเลสาบโดยมีซุ้มประตูโค้งแปลกตาอยู่ตรงกลาง
เมื่อปล่อยมานาของเขา เจสันก็เปิดใช้งานรูนบางอันใต้ลําต้นของต้นไม้ที่ปกคลุมไปด้วยรูนอีกสองสามรูนเพื่อซ่อนมัน
ราวกับว่าเจสันกดกริ่งประตูเมื่อจู่ๆ ประตูมิติปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา เขาก็กระโดดผ่านเข้าไปทันทีโดยไม่พิจารณาว่ามันเป็นกับดักหรืออะไรก็ตาม
เขาก้าวตรงเข้าไปในที่ซ่อนของเชนและดาเลีย เขามองไปรอบๆ และได้รับการต้อนรับด้วยรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าของดาเลีย ขณะที่เป็นเพียงยิ้มให้เขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อเห็นทั้งสองคนต้อนรับเขา ทําให้เจสันลืมอันดับความน่าเชื่อถือก่อนหน้านี้ไปชั่วขณะแม้ว่าจะยังแปลกสําหรับเขาอยู่ก็ตาม ขณะที่คําพูดของผู้เฒ่าเด็กยังคงอยู่ในใจของเขา
อย่างไรก็ตาม ภารกิจของเจสันในตอนนี้เป็นอย่างอื่น
เขาเพียงต้องการพัฒนาความชํานาญในการชําระสิ่งเจือปนของแร่ให้กลายเป็นแร่ที่บริสุทธิ์
ตอนแรกเจสันต้องการเกลี้ยกล่อมให้เชนปล่อยให้เขาสร้างอาวุธชิ้นแรก แต่ตอนนี้เขา มีแผนอื่นซึ่งเขาจะค่อยทํามันภายหลัง
เขาใช้เวลาทั้งวันในชําระแร่เหล็กให้บริสุทธิ์ ในขณะที่เขากินเพียงเล็กน้อยและฝึกฝนเทคนิคเฮเว่นเฮล
เมื่อเชนและดาเลียสังเกตเห็นว่าเจสันฝึกเทคนิคเฮเว่นเฮลบ่อยเพียงใด พวกเขาก็งุนงงและถามเขาเกี่ยวกับความเร็วในการเติมพลังวิญญาณของเจสัน ซึ่งเจสันก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา
เขาไม่จําเป็นต้องโกหกและได้บอกความจริงกับพวกเขาเกี่ยวกับกระบวนการเติมพลังวิญญาณเต็ม 6 ชั่วโมงของเขา
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เจสันไม่คาดคิดก็คือความตกใจ เมื่อพวกเขาจ้องมาที่เจสันด้วยดวงตาเบิกกว้าง
ก่อนหน้านี้ เช่นเคยประมาณการไว้แล้วว่ากระบวนการเติมพลังวิญญาณของเจสันจะเร็วกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่เขารู้สึกว่าเจสันนั้นจะสามารถพัฒนาทําให้เติมพลังวิญญาณได้เร็วกว่า 2 เท่า
กระบวนการเติมพลังวิญญาณ 12 ชั่วโมงจะถูกมองว่าเร็วมาก และไม่มีใครสนใจแม้แต่การเริ่มต้นของพลังงานวิญญาณด้วยเวลาการเติมเต็มที่สั้นเช่นนี้ เพราะมันพิสูจน์ได้ว่าดีกว่าการมีพลังงานวิญญาณสูงเมื่อเวลาผ่านไป
หากมีใครมีชีวิตอยู่ได้ 200 ปี เราสามารถฝึกฝนเทคนิคเฮเว่นเฮลได้บ่อยเป็นสองเท่าของเทคนิคอื่นๆ
เมื่อเจสันทําชําระแท่งเหล็กหยกอีกอันจนเกือบสมบูรณ์แล้ว เขาสังเกตเห็นดาเลียมองมาที่เขาอย่างตั้งใจขณะที่เธอทําอย่างนั้นมาสองสามวันแล้วเป็นนิสัย
ก่อนหน้านี้ เขาไม่แน่ใจว่าเธอต้องการอะไรจากเขา และเขารู้สึกไม่สบายใจที่จะถามเธอ
ดังนั้นเขาจึงพยายามเพิกเฉยต่อเธอที่กําลังจ้องมองมาที่เขา แต่เขาเริ่มตระหนักถึงการจ้องมองของเธอ และมันก็ยิ่งอึดอัดมากขึ้นที่จะจดจ่อกับการทํางานเพราะครึ่งหนึ่งของจิตใจของเขาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่อาจารย์ของเขากําลังคิดและหากเขาทําอะไรผิด
ในที่สุด เจสันก็หันไปหาดาเลียและถามว่า
“อาจารย์ครับ ต้องการให้ผมทําอะไรหรือเปล่า หรือมีอะไรรบกวนหรือเปล่า”
เจสันลังเลเล็กน้อย ขณะที่ดาเลียไม่ทันได้เตรียมตัวกับคําถามและเกิดอาการมึนงงกับคําถามของเจสัน
เธอตอบพลางกระแอมว่า
“เจสัน…ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าเธอจะหล่อเหล็กแค่ไม่กี่วัน ก่อนที่เธอจะถามฉันว่าฉันรออะไรอยู่แต่นี่มันหกวันแล้ว และฉันยังคงรอให้เธอถามว่าเธอต้องการอะไร ตั้งแต่เริ่มต้น..”
ดาเลียสูดหายใจเข้าลึกๆ ด้วยความหงุดหงิด
“เธอไม่ต้องการที่จะเพิ่มศักยภาพของสายใยวิญญาณของเธอหรือ? ฉันบอกเธอแล้วว่าฉันสามารถเพิ่มศักยภาพของพวกมันได้ด้วยหินมานาที่เพียงพอ และฉันก็ค่อนข้างแน่ใจว่าเธอได้รับ เพียงพอจากทั่งเวทมนต์ระดับ 3 ที่ขายไปใช่ไหม
ทําไมเธอไม่ขอให้ฉันช่วยเธอ ตอนนี้ฉันรู้สึกไร้ประโยชน์เพราะเชนมักจะโม้เกี่ยวกับความมุ่งมั่นและความสําเร็จของเธอในการชําระแร่ให้บริสุทธิ์ให้เป็นแท่ง
คิดว่าอีกไม่นานเธออาจจะเบื่อ ฉันรออย่างอดทน แต่จนถึงตอนนี้ ฉันยังไม่ได้สอนอะไรให้เธออย่างเป็นชิ้นเป็นอัน ดังนั้นให้ฉันช่วยเธอได้ไหม ฉันจะรู้สึกดีขึ้นด้วยวิธีนี้!”
เมื่อได้ยินดาเลียพูดดูแทบสิ้นหวัง เจสันสงสัยว่าเชนและดาเลียกําลังแข่งขันกันหรือเปล่า และเขาก็ดันปล่อยให้อารมณ์ของเธอบานปลายอย่างนั้น
เขารู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย แต่ราวกับว่าก้อนหินหนาๆ ถูกขว้างใส่หัวของเขา เมื่อเขาจําได้ว่าเขาต้องการเพิ่มศักยภาพของสกอร์พิโอ
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมองดูดาเลียด้วยรอยยิ้มอันเป็นประกาย ก่อนที่เขาจะยืนยันว่า
“ใช่เลยครับ ผมลืมไปเลย เอาละเรามาเริ่มกันเถอะ !”
เชนยืนอยู่ข้างพวกเขาและจ้องเขม็งไปที่ภรรยาของเขาเพราะเขาต้องการให้เจสันตีเหล็กต่อไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อเจสันฟุ้งซ่าน มันก็จะจบลงด้วยความยุ่งเหยิง ถ้าเขายังคงตีเหล็กต่อไปโดยโดยที่ดาเลียยังจ้องมองเขาแบบนั้น
ด้วยเหตุนี้ เชนจึงทําได้เพียงถอยกลับอย่างไม่เต็มใจและปล่อยให้สายใยวิญญาณที่สองของเจสันได้มีโอกาสในการเพิ่มศักยภาพเป็น ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร
ดาเลียเดินออกจากโรงตีเหล็ก ขณะที่เจสันเดินตามเธอไปด้วยรอยยิ้มสดใสหลังจากที่เขาดับเปลวไฟต้นกําเนิดสีดําของเขาและทําความสะอาดทุกอย่าง
ด้วยดวงตามานาของเขา เมื่อเขาก้าวเข้าไปในห้อง เขาสังเกตเห็นบางสิ่งที่คุ้นเคยบนพื้นห้องโถงใหญ่
วงแหวนเวทย์มนตร์ขนาดใหญ่ครอบครองศูนย์กลางของพื้น มันมีความสามารถในการละลายหินมานาและแยกทุกสิ่งภายในออกจากโลกภายนอก
เจสันคุ้นเคยกับวงเวทย์ของเจสันอยู่แล้ว เนื่องจากทิลล์วาดอันเดียวกันเพื่อให้เขาได้รับมานาเพียงพอเมื่อเขาปรับแต่งสมองเพื่อสร้างพื้นที่ย่อยภายในจิตวิญญาณของเขา
มันเป็นความทรงจําที่เจ็บปวดและเขาก็ยังกลัวอยู่เล็กน้อยเกี่ยวกับวงเวทย์นี้ เนื่องจากเขารู้ว่าไม่มีอนุภาคมานาแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะออกจากสนามได้ ขณะที่เขามองดูวงเวทย์อย่างวิตก ดาเลียขอให้เขาอัญเชิญสกอร์พิโอออกมา
เจสันทําตามคําแนะนําของอาจารย์ และครู่ต่อมา พาราสกอร์ขนาดจิ๋วยาว 30 ซม. ก็ปรากฏตัวขึ้นภายในฝ่ามือทั้งสองข้างของเขา
เมื่อเจสันจ้องมองมันอย่างอ่อนโยน สกอร์พิโอก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ แต่เมื่อมันสังเกตเห็นอาร์เทมิสนั่งอยู่บนไหล่ของเขาซึ่งทําให้มันรําคาญใจ
เจสันลืมไปว่าสายใยวิญญาณทั้งสองของเขาได้กลายมาเป็นคู่แข่งกันเพื่อดึงดูดความสนใจของเขา เนื่องจากทั้งคู่ต้องการเป็นที่สนใจของเจสัน
ดาเลียให้คําแนะนําเพิ่มเติมแก่เขาตามเจสัน ขณะที่เขาวางสกอร์พิโอไว้ตรงกลางวงเวทย์ ที่ซึ่งเขาสั่งสายใยวิญญาณของเขาให้อยู่นิ่ง
นอกจากนั้น เจสันหยิบหินมานาที่เก็บไว้มากกว่าครึ่งหนึ่งออกมา ซึ่งดาเลียสังเกตเห็นด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ
“เขาได้รับมันมามากขนาดนี้เชียวหรอ”
เธอคิดขณะมองดูท่าทางไม่พอใจของเชนที่ทําให้เธอแทบหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่
“คนโลภของฉัน…”
ตอนที่ 167 การยึดที่นั่งคืน
แทนที่จะกลับบ้าน แม็กซ์ตามพวกเขาไปที่สนามประลอง เพราะตอนนี้เขากระตือรือร้นที่จะค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสามารถของเจสัน
ตอนนี้ เขาต้องการเห็นความสามารถในการต่อสู้ของเจสัน ในขณะที่เขาต้องการดูว่าผู้ชํานาญอันดับ 3 สามารถทําอะไรกับผู้ชํานาญระดับสูงคนอื่น ๆ ด้วยการพัฒนาที่อาจทําให้นักเรียนบางคนมีร่างกายของระดับผู้เชี่ยวชาญโดยเฉลี่ย
เขาไม่รู้ว่าขนาดแกนกลางและมานาของเจสันนั้นอยู่ในขั้นผู้ชํานาญที่ 7 แล้ว นอกเหนือจากความสัมพันธ์ของเจสันที่ทําให้แม็กซ์ประหลาดใจเป็นครั้งที่สองในวันนั้น
สิ่งเดียวที่เขาสามารถประเมินได้คือระดับความสัมพันธ์ของอาร์เทมิสที่สืบทอดมาของเจสันในขณะที่เขาบอกได้เพียงว่าอาร์เทมิสเป็นสัตว์ร้ายที่มีวิวัฒนาการระดับต่ําในขณะนี้
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเธอโตเต็มที่แล้วหรือให้ความคิดกับเขาว่าสายใยวิญญาณของเจสันอาจจะยังสามารถเติบโตได้มากกว่านี้
ด้วยเหตุนี้ ความอยากรู้อยากเห็นของแม็กซ์จึงทําให้เขากระสับกระส่ายและเขาต้องการเห็นการต่อสู้ที่น่าพอใจ
มิฉะนั้น เขาจะไม่ออกจากสนามประลองหรือบังคับให้ใครมาซ้อมกับเขาเพื่อให้อะดรีนาลีนนั้นพลุ่งพล่าน
เมื่อเดินไปรอบๆ เจสันไตร่ตรองว่าจะเลือกใครเป็นเหยื่อ เนื่องจากเขาสามารถประเมินความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยของทุกคนได้คร่าวๆ
ณ ตอนนี้ ดูเหมือนว่าที่นั่งส่วนใหญ่จะถูกครอบครองโดยนักเรียนที่มีขนาดแกนมานาและร่า งกายของผู้ชํานาญที่ 8 ถึง 9 ซึ่งหลังจากที่พวกเขาขยายจากสายใยวิญญาณ
ด้วยความคิดนั้น ยศผู้ชํานาญที่ 7 ของเจสันจึงดูอ่อนแอกว่า แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องใส่ใจดวงตาของเขาช่วยให้เขาประมาณค่าอันดับความสนิทสนมของทุกคนและการระเบิดพลังจากการทดสอบหลายร้อยครั้งกับนักเรียนทุกประเภทและให้ข้อมูลที่เขาสามารถนําไปเปรียบเทียบ
ดังนั้น เจสันจึงอยากลองอะไรใหม่ๆ เมื่อเห็นผู้ใช้ที่มีสายสัมพันธ์น้ําที่มีขนาดแกนมานาผู้ชำนาญลําดับที่ 9
ลักษณะภายนอกของเขาค่อนข้างไม่น่าสนใจและเนื่องจากความสัมพันธ์ทางน้ํา เจสันคาดว่าสายวิญญาณของเขาจะอยู่ในระดับกลางๆ ซึ่งสูงกว่าความสัมพันธ์แบบน้ําแข็งเล็กน้อยและพอๆกันกับความสัมพันธ์ทางไฟของเขา
ถึงกระนั้น เจสันก็เดินไปหาเด็กหนุ่มที่อ่อนแอ ซึ่งทุกคนต่างหลีกเลี่ยงอย่างแปลกประหลาดจนทุกคนหลีกเลี่ยง ขณะที่เขาสังเกตเห็นเด็กสามคนที่มีกลิ่นอายหนาทึบเดินเข้ามาหาเขา
ไม่นานนักที่เด็กทั้งสามได้ที่นั่ง และเขาไม่อยากเสียมันไปอีก
ดังนั้น เขาจึงสแกนผ่านแกนมานาของเจสันและเซรอน เพียงเพื่อสังเกตว่าพวกเขาทั้งสองไม่ใช่ปัญหาสําหรับพวกเขาที่จะเอาชนะ
“ซ่อนเร้น? ความคิดของเด็กคนหนึ่งซึ่งเขามีลางสังหรณ์ เทคนิคการปกปิดอาจเป็นสัญญาณของความมั่งคั่งและอํานาจอย่างสุดโต่ง หรือว่ามีใครบางคนอยู่ในตําแหน่งผู้วิเศษซึ่งเด็กหนุ่มอายุ 14 ปีที่อยู่ข้างหน้าเขาไม่สามารถเป็นได้
ด้วยเหตุนี้ จึงต้องเป็นเหตุผลแรก และเขาพร้อมที่จะเสียที่นั่ง ขณะที่เด็กหนุ่มตาสีทองผมดําที่หน้ากลุ่มเริ่มพูด
“ฉันจะท้าทายนาย ไม่เป็นไรใช่ไหม”
เจสันถามอย่างไม่ใส่ใจ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ใช้สายน้ําอย่างมาก
ผู้ชํานาญขั้นที่ 3 ต้องการท้าทายฉันงั้นหรอ”
เด็กหนุ่มที่อ่อนแอคาดหวังว่าเซรอนจะท้าทายเขา แต่คําพูดของเจสันทําให้เขาไม่ทันตั้งตัวและเขามองมาที่เจสันอย่างตะลึงงัน
เจสันกล่าว
“ใช่ ฉันกําลังท้าทายนาย”
ก่อนที่เขาจะเดินผ่านเยาวชนที่อ่อนแอไปยังแท่นต่อสู้
ความมั่นใจของเจสันเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และเขาจะไม่ชอบการถูกดูหมิ่นซึ่งเป็นทัศนคติที่ค่อนข้างแย่
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจทําตามความปรารถนาของตนเอง ทําในสิ่งที่เขาต้องการเท่านั้น
เด็กหนุ่มไม่มีโอกาสตอบเลย เจสันเดินผ่านเด็กหนุ่มไป โดยไม่พิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่เขาจะปฏิเสธความท้าทายของเขา สิ่งนี้ทําให้นักเรียนที่มีสายสัมพันธ์น้ําไม่แน่ใจว่าควรจะทําอย่างไรอย่างไรกับเด็กหนุ่มผมดํา
“คิดว่าฉันจะกลัวอย่างงั้นหรอ!”
ถ้าเขาปฏิเสธการต่อสู้ เขาจะแพ้ นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาทั้งสองจะต่อสู้ในตอนนี้ แต่อย่างน้อยคู่ต่อสู้ของเขาอาจรอคําตอบของเขาแทนที่จะเพิกเฉยต่อเขา!
สิ่งนี้ทําให้เด็กหนุ่มหงุดหงิดและเขาก็เรียกหอกสีน้ําเงินของเขาขึ้นมาทันที เมื่อเขาเข้าสู่สนามประลอง
ตอนนี้ เจสันไม่ได้คิดเกี่ยวกับเด็กที่อยู่ข้างหน้าเขาด้วยซ้ํา ขณะที่เขาจ้องไปที่หอกสีน้ําเงินที่ส่องประกายด้วยความอิจฉาเล็กน้อย
อาวุธทั้งหมดที่เจสันมีอยู่ตอนนี้ไม่มีประโยชน์ะไรเลย แต่เขาตระหนี้เกินไปที่จะซื้ออา วุธใหม่เขามั่นใจว่าจะสามารถสร้างอาวุธใหม่ได้ในราคาที่ถูกกว่ามาก ในขณะที่เจสันสามารถรับประกันคุณภาพของอาวุธได้เพราะเขาทําเอง
อาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาคือกริชเหล็กหยกเกรด 1 ระดับกลาง ซึ่งสามารถเจาะทะลุหนังสัวต์ระดับพลังที่ตื่นขึ้นมาได้
เมื่อเช้าวันนี้เองที่เจสันได้คร่ําครวญเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ไม่มีอยู่จริงของเขาต่อหน้าเชน และเกือบจะขอร้องให้เขาทําอาวุธบางอย่างจากแท่งเหล็กหยกบริสุทธิ์จํานวนหนึ่งโหลที่เขาสร้างเอาไว้
โชคไม่ดีที่เชนตัดสินใจแน่วแน่ที่จะสร้างรากฐานที่สมบูรณ์แบบสําหรับเจสัน โดยไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแผนของเขา
ในขณะเดียวกัน เจสันรู้สึกหงุดหงิดอย่างยิ่งเพราะเหตุนั้น เนื่องจากกริชของเขาเกือบจะหมดประสิทธิภาพและกําลังจะพังลง อย่างไรก็ตาม เชนไม่สนใจจริงๆ ตราบใดที่เขาไม่ได้ออกไปนอกโดมซึ่งเขาจะได้รับการคุ้มครอง
เด็กหนุ่มถือหอกสังเกตเห็นว่า เจสันไม่แม้แต่จะมองมาที่เขาซึ่งทําให้เขาโกรธมากขึ้นไปอีก แต่ เมื่อเจสันได้ยิน AI นับถอยหลัง ซึ่งทําให้เขาดึงสติกลับมา
กริชทั้งสองของเขาปรากฏอยู่ในมือของเขาในขณะที่ AI ประกาศเริ่มการต่อสู้
น่าแปลกที่เจสันสังเกตเห็นคู่ต่อสู้ได้สร้างบางสิ่งขึ้นมา เขาเริ่มห่อหุ้มตัวเองด้วยเกราะหนาที่อัดแน่นด้วยน้ํา ซึ่งทําให้เจสันประหลาดใจอย่างมาก
เนื่องจากความสัมพันธ์ทางะาตุน้ําของเขาอยู่ในระดับปานกลาง จุดที่ถูกบีบอัดที่สุดของชุดเกราะน้ําที่เพิ่งปรากฏใหม่สามารถป้องกันการโจมตีในระดับเดียวกันได้ ซึ่งก็สามารถป้องกันการโจมตีจากคู่ต่อสู้ระดับเดียวกันได้
น่าเสียดายที่คู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจสันที่มีดวงตามานา ที่ทํางานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสองสามสัปดาห์
เมื่อสัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของมานาภายในชุดเกราะน้ํา เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าส่วนใดที่คู่ต่อสู้ของเขาให้ความสนใจมากที่สุดและเจสันก็ได้กําหนดเป้าหมายไปยังจุดที่อ่อนแอกว่า
มันโชคร้ายสําหรับคู่ต่อสู้ของเขา แต่เจสันไม่ต้องการลากการต่อสู้นานเกินความจําเป็นในขณะที่เขาเรียกแท่งน้ําแข็งขนาดเท่ากําปั้นสิบอันในครั้งเดียว และเริ่มการโจมตี
ด้วยแท่งน้ําแข็งขนาดเท่ากําปั้น 10 อัน เจสันกําหนดเป้าหมายสิบที่ที่แตกต่างกัน ซึ่งทั้งหมดค่อนข้างไม่เสถียร ในขณะที่เขาเริ่มการโจมตีของตัวเองหลังจากใช้เทคนิคการเคลื่อนไหวไร้น้ําหนักเพื่อเพิ่มความเร็วของเขาประมาณ 4096
ต้องขอบคุณความเชี่ยวชาญขั้นสูงของเขาในขั้นที่ลึกซึ้ง เทคนิคการเคลื่อนไหวไร้น้ําหนักของเขามีการขยายความเร็วที่สูงมาก ทําให้เจสันมีความเร็วที่เท่าเทียมกับคู่ต่อสู้ของเขา
เจสันประเมินว่าการใช้มานาของชุดเกราะน้ําของผู้ถือหอกนั้นค่อนข้างสูงมาก ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุของรอยร้าวหลายครั้งในชุดเกราะของคู่ต่อสู้ ซึ่งเขาสามารถมองเห็นได้ง่ายทีเดียว
เมื่อคํานึงถึงสิ่งนี้ เจสันรู้ว่าคู่ต่อสู้ของเขามักจะไม่สามารถแสดงเทคนิคอื่น ๆ หรือการโจมตีด้วยความสัมพันธ์ทางน้ําได้ในเวลาเดียวกัน ในขณะที่เขาสวมใส่ชุดเกราะน้ํา
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้รับโอกาสที่จะกําจัดคู่ต่อสู้ของเขาได้เร็วกว่าที่คาดไว้ในตอนแรก เนื่องจากผู้ถือหอกแทบจะหันเหแท่งน้ําแข็งหกอันในคราวเดียวในขณะที่หลบเลี่ยงอีกสี่เข็มที่เหลือ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือแท่งน้ําแข็งที่เหลืออยู่จะระเบิดต่อหน้าเขา โดยมีเศษเหล็กพุ่งเข้าใส่ชุดเกราะน้ําที่ไม่เสถียร ทําให้เกิดระลอกคลื่นรุนแรง
ก่อนที่คู่ต่อสู้ของเขาจะมีเวลาตอบโต้ เจสันก็เรียกลูกไฟสีดําออกมาแล้ว ซึ่งเขายิงไปที่เด็กหนุ่มที่กําลังวิตก ซึ่งแทบจะรับมือเกราะน้ําของตัวเองไม่ได้ในขณะนั้น
ด้วยลูกไฟสีดําที่อยู่ข้างหน้าเขา เขาไม่สามารถโฟกัสไปที่เกราะน้ําที่ยังคงกระเพื่อมและกําลังจะสลายไปมากเกินไป ในความพยายามครั้งสุดท้าย เขาได้ฟาดหอกสีน้ําเงินเข้าใส่ลูกไฟที่พุ่งเข้ามา
ลูกไฟสีดําระเบิดออกเมื่อมันถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน และทันใดนั้น เจสันก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆผู้ถือหอก และได้โจมตีเข้าไปในส่วนที่ไม่มั่นคงของเกราะน้ํา ซึ่งทําให้มันสลายไปในทันที
เจสันบิดตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีจากหอกที่กําลังพุ่งเข้าหาเขา จากนั้นเขาก็พลิกกริชกลางอากาศ ก่อนจะแทงเข้าไปในช่องอกของผู้ถือหอก และจบการต่อสู้
[ชัยชนะ เจสัน สเตลล่า]
AI ประกาศผลการแข่งขัน
เด็กหนุ่มทรุดตัวลงกับพื้นด้วยท่าทางตกใจ โดยไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ของเขาสามารถมองผ่านข้อบกพร่องของเทคนิคที่เขาสร้างขึ้นเองได้อย่างไร
ในขณะเดียวกัน เจสันออกจากเวทีการต่อสู้หลังจากบอกให้คู่ต่อสู้มุ่งไปที่คุณภาพมากกว่าลูกเล่น ปล่อยให้เด็กหนุ่มดูตกตะลึงอยู่ในเวที
ตอนที่ 166 เชื่อใจ?
เจสันยืนอยู่แล้วและพร้อมที่จะกลับไปที่ลานประลอง ซึ่งความท้าทายอื่นๆ ยังคงต่อสู้กันอ ยู่ เขาหันกลับไปทางประตู ในขณะที่พูดอะไรบางอย่างทําให้เขาต้องหยุดชะงัก
“เจสัน ถึงแม้ว่าภูมิหลังของเจ้าจะน่าทึ่ง แต่จะดีกว่าเสมอที่จะระมัดระวังมากกว่าการเชื่อใจ ใครก็ตามที่เจ้ารู้จัก เพียงเพราะว่าเจ้าได้รับประโยชน์จากพวกเขา
มนุษยชาติต้องการคนรุ่นใหม่ที่กล้าหาญ และเจ้าเป็นเมล็ดพันธุ์ที่มีแนวโน้มว่าจะผลิบาน”
เมื่อเขาพูดจบ ผู้เฒ่าเด็กก็ยืนขึ้น ก่อนที่เขาจะเดินออกจากสํานักงานและทิ้งแม็กซ์ไว้ คนเดียว
ผู้เฒ่าเดร็กไม่กลัวว่าความสามารถอันโด่งดังของหลานชายที่จะสร้างปัญหาอีกต่อไป เพราะเขาได้พบกับเจสันแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่เขากลัวมากที่สุด
นี่หมายความว่าแม็กซ์สามารถทําทุกอย่างที่เขาต้องการตราบเท่าที่เขาอยู่บนแอสทริกซ์โดยไม่สร้างปัญหามากเกินไป เช่น ทําลายเมืองไซโร
แม้ว่าเขาจะคอยดูแม็กซ์ มันจะไม่มีประโยชน์อะไร เดร็กจึงคลายเชือกที่พันรอบตัวแม็กซ์ที่เขาทําไว้
สายตาของเจสันมองตามผู้เฒ่าเดร็ก ขณะที่เขากําลังครุ่นคิดกับคําพูดของชายชรา ไตร่ตรองว่าเขาหมายถึงอะไรด้วยคําแนะนําของเขา
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ควรไว้ใจใครเลย แต่นั่นหมายความว่าเขาไม่ควรไว้ใจเชนด้วยใช่ไหมแล้วดาเลียล่ะ…เธอเกี่ยวข้องกับคําพูดของเด็กหรือเปล่า หรือทุกคนคิดว่าเธอตายไปนานแล้ว?
อย่างไรก็ตาม เจสันรู้สึกกังวลขึ้นมาทันทีโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะเขามั่นใจว่าสามารถไว้วางใจดาเลียได้ในระดับหนึ่ง ขณะที่เชนรู้สึกเหมือนเป็นหนังสือที่ถูกล็อกไว้สําหรับเขา
มีบางอย่างที่สําคัญซ่อนอยู่จากเขา แต่เจสันไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่
ก่อนหน้านี้ เจสันเชื่อว่าเขาไม่ควรไว้วางใจใครมากนัก และมีเพียงตระกูลเฟลอร์ที่สมควรได้รับความไว้วางใจจากเขา
นอกจากนี้ เขายังไม่แน่ใจว่าเหตุใดจึงมีการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงระหว่างตระกูลใหญ่และอาจารย์ของเขา และเจสันเองก็ยังหาเหตุผลที่จะเข้าข้างอาจารย์ของเขา หรือตระกูลใหญ่อื่นๆ
มันง่ายที่จะเล่าเรื่องทุกราวต่างๆให้เขาฟังผ่านมุมมองของคนเหล่านั้น เพื่อวาดภาพตัวเองให้เป็นคนดีหรือบางทีเพื่อให้คนอื่นดูเหมือนคนร้าย
เพื่อที่จะค้นหาว่าใครที่เขาสามารถไว้วางใจได้อย่างเต็มที่ เจสันจะต้องรู้ภูมิหลังของ ทุกคนนอกเหนือจากประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของอาร์กอส
ในที่สุด เจสันก็รู้ว่าเขาเชื่อมั่นในตัวเองอาร์เทมิส สกอร์พิโอ และแม่ผู้ล่วงลับของเขาเท่านั้นเขายอมตายเหากจําเป็นเพื่อช่วยสัตว์วิญญาณทั้งสอง ในขณะที่ความสําคัญของตระกูลเฟลอร์นั่นรองลงมา
เซรอนยังเด็กและไร้เดียงสามากกว่าที่เคยเป็น และเจสันไม่แน่ใจว่าเขาควรไว้ใจเซรอนหรือไม่เนื่องจากเขายังคงถูกครอบครัวครอบชักนําได้ ซึ่งเป็นข้อเสียแน่นอน
ทิลล์ เชนและดาเลียมักจะดีต่อเขาเสมอและมอบของขวัญมากมายให้เขา เช่น ทักษะต่างๆ แม้ว่าเขายังคงสั่นสะท้านกับความทรงจําอันเจ็บปวดเมื่อนึกถึงมัน
นอกจากนี้ เขาได้รับโอกาสหายากที่จะได้เห็นการตั้งถิ่นฐานของก็อบลินและได้รับสมบัติมหาศาลและเปลวไฟต้นกําเนิดสีดํา
สิ่งสําคัญที่สุดที่ทําให้เจสันไว้วางใจเชนและดาเลียมากกว่าทิลล์คือ ดาเลียเปิดเผยร่างกายของเธอให้เขาฟัง นอกเหนือจากข้อเสนอของเธอในการชําระสัตว์วิญญาณของเขาแม้ว่าการทําเช่นนั้นอาจเป็นอันตรายต่อเธอได้
หากเธอมีเจตนาร้าย เธอคงซ่อนความสามารถบางส่วนของเธอไว้ เพื่อป้องกันความเจ็บปวดใดๆ
ในท้ายที่สุด เป็นเรื่องยากมากสําหรับเจสันที่จะคิดออกว่าใครควรไว้ใจและใครที่น่าสงสัยโดยไม่ต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติม
ดังนั้น เจสันจึงตัดสินใจนึกถึงการจัดอันดับทุกคนคร่าวๆ และไม่น่าแปลกใจเลยที่เขานึกถึงสายใยวิญญาณของเขาเป็นสิ่งแรก
เขาเชื่อมั่นในสายใยวิญญาณของเขา 100% เพราะเขาเลี้ยงพวกมันมานอกเหนือจา กการควบคุมทั่วไปที่มีอยู่เหนือสายใยวิญญาณของพวกเขา ตราบใดที่คนๆ หนึ่งมีพลังงานวิญญาณเพียงพอ
นอกจากนั้น เขาไม่ไว้วางใจใครอย่างเต็มที่ แม้ว่าเฟลอร์ได้รับความไว้วางใจรองจากสายใยวิญญาณของเขา
และหลังจากที่เชนและดาเลียมาเป็นอาจารย์ของเขา ขณะที่ทิลล์และสมาชิกคนอื่นๆ ภายในกลุ่มใหญ่ยังคงได้รับการจัดอันดับให้เป็น น่าสงสัย” ซึ่งรวมถึงเซรอนด้วย
สําหรับเชนและดาเลีย ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้บังคับให้เจสันทําอะไรที่เขาไม่ต้องการ ซึ่งอาจส ร้างความเสียหายให้กับทุกคนรอบตัวเขา เจสันก็จะไว้วางใจพวกเขาให้มากที่สุดเพราะความรู้ สึกในใจของเขาบอกเขาว่ามันเป็น สิ่งที่ดีที่สุดที่จะทํา
คนอื่นๆ ในห้องทํางานยืนอยู่แล้วและกําลังจะจากไป เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นเจสันกําลังครุ่นคิดเกี่ยวกับคําพูดของ ผู้เฒ่าเดร็กซึ่งทําให้พวกเขารู้สึกค่อนข้างแปลก
ในขณะที่แม็กซ์และเซรอนสามารถเข้าใจคําพูดของผู้เฒ่าเด็กได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ทิลล์รู้ความหมายที่แน่นอนเบื้องหลังคําพูดของเขา
ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดเจนว่าเจสันกําลังคิดอะไรอยู่ในขณะที่เจสันจ้องมองเขาด้วยท่าทางครุ่นคิด
ตอนนี้ ศักยภาพของเจสันอยู่ในจุดสูงสุด และที่สําคัญกว่าสําหรับเขาคือวิธีเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของเขา เพราะสายพันธุ์ต่างโลกดูเหมือนจะเข้าใกล้คาเนียร์มากขึ้นทุกวันที่ผ่านไป
น่าเสียดาย ในความเห็นของทิลล์คําพูดของ ผู้เฒ่าเดร็กนั้นถูกต้อง
มนุษยชาติเต็มไปด้วยมนุษย์ที่โลภและน่าขยะแขยงที่จะทําทุกอย่างที่ทําได้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง แม้ว่ามันจะขัดขวางความก้าวหน้าของมนุษยชาติก็ตาม
ในขณะเดียวกัน มนุษย์บางคนถึงกับเชื่อมโยงกับเผ่าพันธุ์ต่างโลกเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นตามที่พวกเขาได้รับคําสัญญาว่าจะได้รับสมบัติใดๆ ก็ตามที่พวกเขาต้องการ
และไม่รู้ด้วยซ้ําว่าตระกูลใหญ่ตระกูลใดที่เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ต่างโลกหรือมนุษยชาติสามารถรวมตัวกันภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันได้หรือไม่
คําแนะนําที่ดีที่ผู้เฒ่าเดร็กบอกเล่าเป็นที่แน่นอนสําหรับเจสัน เพื่อที่จะครุ่นคิดถึงทุกสิ่งทุกอ ย่างที่อาจารย์คนใหม่ของเขาบอกกับเขา
ในท้ายที่สุด มันยังรวมทุกอย่างที่คนอื่นพูดด้วย เพราะตระกูลใหญ่ที่ปกครองเกาะต่างๆ ก็สามารถเผยแพร่ประวัติศาสตร์ที่บิดเบี้ยวได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มันแปลกที่ผู้เฒ่าเดร็กพูดแบบนี้ เพราะมันจะทําให้เจสันนั้นต้องสงสัยเขาเช่นกันซึ่งทิลล์พบว่ามันเป็นเรื่องแปลก
เขายังคิดถึงเชนที่เขารู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่เขาไม่แน่ใจว่าดาเลียยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะยังคงมีชีวิตอยู่เหมือนเชน เนื่องจากทั้งคู่หายตัวไปอย่างคร่าว ๆ พร้อมกัน
อย่างน้อยเขาก็หวังเช่นนั้นอย่างจริงใจ
เจสันดึงสติกลับมาและสังเกตเห็นท่าทางที่ซับซ้อนของทิลล์ที่ทําให้เจสันยิ้มได้เล็กน้อยขณะที่เขาเข้าใจอย่างคร่าวๆ ว่าครูของเขาคิดอย่างไร
ทิลล์ลบหัวเจสันเบาๆ ในขณะที่เขาเดินออกจากสํานักงานทันที อาร์เทมิสบินมาหาเจสันในขณะที่พยายามอยู่บนไหล่ของเจสัน ขณะที่มันเติบโตขึ้นมากตั้งแต่ที่มันวิวัฒนาการ
เมื่อเข้าสู่สนามประลองเพียงหนึ่งนาทีต่อมา เจสันไตร่ตรองว่าจะเลือกใครเป็นคู่ต่อสู้ เพื่อที่จะได้ที่นั่งคลาสการต่อสู้พิเศษกลับคืนมา
ตลอดทั้งสัปดาห์ อันดับเปลี่ยนแปลงไปมาก ทําให้เขาต้องสแกนแกนมานาทั้งหมดก่อนที่เขาจะสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด
เขาไม่แน่ใจว่าเขาควรจะรู้สึกภูมิใจหรือละอายใจกับความแข็งแกร่งของโรงเรียนในเครือที่ 6 หรือไม่เนื่องจากที่นั่งส่วนใหญ่ของพวกเขาถูกแทนที่โดยโรงเรียนที่เกี่ยวข้องอีก 5 แห่ง
แต่ถึงกระนั้น ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ยังดีกว่าที่เจสันคาดไว้ในตอนแรก และเจสันก็อดไม่ได้ที่จะยกย่องเพื่อนร่วมชั้นของเขาในใจ
หลังจากที่เขาสแกนแกนมานาทั้งหมด เจสันก็เข้าใจความสามารถของทุกคนอย่างคร่าวๆและตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาอื่น
นักเรียนที่น่าสงสารคนไหนที่ควรเป็นเหยื่อของเขา?
ตอนที่ 165 ดวงตาสวรรค์
ความเงียบงันที่กะทันหันทําให้เจสันสับสนเมื่อเขามองเข้าไปในดวงตาของ ผู้เฒ่าเดร็กที่มองมาที่เขา ขณะนั่นขนลุกก็ปรากฏขึ้นทั่วร่างกายของเจสัน
“เธอบอกได้จากตาเธองั้นหรอ”
ผู้เฒ่าเดร็กถามด้วยความสงสัยในขณะที่เขาถอนหายใจลึก ๆ เจสันพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติมนอกจากคําเดียว
“อืมมมม…”
ผู้เฒ่าเดร็กตั้งข้อสังเกตว่าควรระมัดระวังเมื่ออยู่กับเจสัน เนื่องจากเขาอาจเป็นอันตรายต่อพวกเขาอย่างมากในอนาคต หากเจสันเข้าสู่ความมืด
เขารู้จักเชนมานานแล้วและมั่นใจว่าจะไม่สอนเจสันเกี่ยวกับการทําลายล้างมนุษยชาติหรือสิ่งชั่วร้าย
อย่างไรก็ตาม เชนยังคงเป็นคนที่อันตรายในสายตาของเขา เพราะเขากําจัดแม้กระทั่งกลุ่มคนที่ทําให้เขาไม่พอใจทั้งหมดแบบนั้น ผู้เฒ่าเด็กตัดสินใจสังเกตเจสันเนื่องจากลักษณะพิเศษของเขานั้นเป็นปริศนามากเกินไป
หากเขารู้ว่าความรู้ของเขาเกี่ยวกับลักษณะพิเศษของเจสันนั้นยังไม่มากพอ และเจสันจงใจละทิ้งคุณลักษณะที่สําคัญที่สุดออกไป ผู้เฒ่าเด็กน่าจะฆ่าเจสันหรือตัดสัมพันธ์กับเชนเพื่อแย่งชิงเจสันไป
โชคดีที่ไม่เป็นเช่นนั้น เจสันยังสามารถเรียนรู้จากเชนและดาเลียต่อไปได้
ทุกคนตกใจยกเว้นเจสัน ที่กําลังสับสนระหว่างพูดคุยกันเกี่ยวกับคุณสมบัติพิเศษต่างๆ
ประโยชน์ของร่างกาย [ลอร์ดแห่งมหาสมุทร] คืออะไร มันทําให้เขาสามารถเสริมกําลังมานาของเขาได้ใช่ไหม เมื่อเขาใช้ร่างกายพร้อมกับความสัมพันธ์ทางน้ำของเขา”
เจสันถามเพื่อความมั่นใจ ว่าเขามองเห็นอะไรได้มากกว่าที่เขาพูด
ผู้เฒ่าเดร็กถอนหายใจและเกือบจะเสียใจที่ได้บอกเจสันเกี่ยวกับร่างกายของแม็ก เมื่อมีความคิดเกิดขึ้นในใจของเขา
“เธอสามารถมองเห็นไหมว่าร่างกายของเขาถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร เช่นเดียวกับส่วนต่างๆ ของร่างกายที่กลายพันธุ์เป็นโครงสร้างที่สัมพันธ์กับน้ำ”
ผู้เฒ่าเดร็กถามเจสัน ทําให้ดวงตาของเจสันเป็นประกาย
เมื่อมองผ่านแม็กด้วยดวงตามานาอีกครั้ง เจสันสังเกตเห็นสีหน้าของแม็กซ์ในขณะที่เขายิ้มอย่างแผ่วเบา
แม็กรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่งภายใต้สายตาของเจสัน แต่เขาไม่สามารถทําอะไรกับมันได้ เนื่องจากปู่ทวดของเขาขอให้เจสันบอกสิ่งที่เขาเห็น
” ผมบอกคุณไปแล้วว่าร่างกายของเขาน่าจะเพิ่มความสัมพันธ์ของแม็กซ์ได้ถึง 30% และดูเหมือนว่าช่องมานาของเขาจะถูกห่อหุ้มด้วยเมมเบรนสีน้ำเงินหนาๆ ซึ่งน่าจะทําให้ร่างกายกลายเป็นน้ำได้มากที่สุด
นอกจากนั้น ผมสามารถบอกได้เพียงว่าแกนมานาของเขาถูกห่อหุ้มด้วยเมมเบรนสีน้ำเงินนี้ด้วย และหากผมพูดถูก อนุภาคมานาที่แปรสภาพโดยรอบขององค์ประกอบอื่นๆ ในขณะที่อนุภาคที่แปรสภาพน้ำจะดึงดูดเข้าหาเขา
ด้วยเหตุนี้ เราอาจสรุปได้ว่าร่างกายของเขาดึงดูดมานาปกติและมานาที่แปรสภาพจากน้ำเท่านั้นขณะที่มันผลักส่วนที่เหลือออกไป
สิ่งนี้อาจฟังดูเกินจริงและเป็นเพียงทฤษฎี แต่ด้วยเหตุนี้แม็กอาจไม่สามารถทําสัญญากับสัตว์ที่มีความสัมพันธ์ที่แตกต่างจากน้ำหรือไม่มีธาตุ
มันเป็นแค่ความคิดของผม และผมอาจจะคิดผิดก็ได้”
เจสันอธิบายทฤษฎีของเขาและผู้เฒ่าเดร็กพยักหน้า ขณะที่แม็กเด้งตัวขึ้นมา
“นั่นเป็นสาเหตุที่ลูกของเวอร์มผู้ล่วงลับของพ่อฉันถึงไม่อยากสานสัมพันธ์กับฉัน! โธ่เว้ย!”
แม็กซ์ร้องไห้ออกมาดังๆ ในขณะที่เซรอนกลอกตา ราวกับว่าเขารู้สึกหงุดหงิดกับความต้องการของร่างกายของเขา
การเพิ่มความสัมพันธ์ของเขาขึ้น 30% นั้นเป็นมากกว่าที่เขาต้องการมาก เนื่องจากแม้แต่สายสัมพันธ์ทางน้ำที่ไร้ตําหนิบางอย่างก็อาจเทียบได้กับความสัมพันธ์ระดับเวทย์มนตร์ที่แข็งแกร่งเพียงเพราะการขยายที่ให้มา
ผู้เฒ่าเดร็กพยักหน้าในขณะที่พึมพํา
“นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทําไมมานาของเขาจึงดูดซับและปรับแต่งได้เร็วกว่าเมื่ออยู่ใกล้มหาสมุทร” ในขณะที่เจสันได้ยินเพียงเสียงแผ่วเบา ทําให้เขาสนใจร่างกายของแม็กมากขึ้นไปอีก
“พวกเขาควรจะรู้อะไรแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะคิดออก? เจสันรู้สึกว่าครอบครัวใหญ่ ๆ นั้นโง่มากหรือโง่เขลา
แม้ว่าเขาจะอิจฉาพลังของความสัมพันธ์ของเขาเพิ่มขึ้น 30% เล็กน้อย เจสันก็ไม่อยากเป็นแม็กซ์ เพราะเขาน่าจะสร้างสายใยวิญญาณด้วยสัตว์ร้ายสายน้ำ ซึ่งทําให้การโจมตีหลากหลายของเขาแคบลงอย่างมาก ระดับ.
อย่างไรก็ตาม มันยังคงทรงพลังอย่างมาก และเจสันรู้ว่าแม็กซ์สามารถกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวได้ในอนาคต ตราบใดที่ความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่นของเขาแข็งแกร่งพอที่จะกระตุ้นเขา
โลกวิญญาณของเขาคือสิ่งที่ทําให้เจสันรู้สึกดีที่ไม่มีรูปร่างเหมือนโลกวิญญาณของแม็กซ์ เนื่องจากความหลากหลายของเขาเองจะกว้างกว่าเขามากในอนาคต
เจสันรู้สึกว่าหากมีร่างกายที่คล้ายคลึงกันที่จะบังคับให้เขามีสายสัมพันธ์ธาตุเดียว โอกาสของเขาจะแคบลง ทําลายอนาคตของเขาเพียงบางส่วน
เมื่อเป็นเช่นนั้น เจสันยิ้มอย่างประหลาดเมื่อเขาได้ยินแม็กซ์บ่นเกี่ยวกับร่างกายของเขาครู่หนึ่ง ก่อนที่ ผู้เฒ่าเดร็กจะตบหัวแม็กซ์เพื่อให้เขาสงบลง
พวกเขาพูดคุยกันต่อไปประมาณครึ่งชั่วโมง และชั้นเรียนการต่อสู้พิเศษยังเต็มไปด้วยนักเรียนที่พยายามจะท้าทายที่นั่งเมื่อทั้งห้าคนพูดคุยกันเสร็จ
แทนที่จะพูดถึงคนห้าคน ดูเหมือนการสนทนาระหว่างเจสันและผู้เฒ่าเดร็กที่พูดคุยถึงความเป็นไปได้ทุกรูปแบบร่วมกัน เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับร่างกายของแม็กซ์
ด้วยเหตุนี้ เจสันจึงสามารถเข้าใจบางสิ่งได้ในที่สุด
อย่างแรก ดวงตามานาของเขามีพลังมากกว่าดวงตามานาปกติในทุกขั้นตอนอย่างแน่นอน ในขณะที่มันไม่รู้ว่าการกลายพันธุ์ของมันคืออะไรกันแน่
อาจกล่าวได้ว่าดวงตาของเขาเป็นรุ่นลิมิเต็ดที่หายากมากซึ่งมีมนุษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น และความจริงแล้วเจสันก็พึงพอใจอย่างมาก
สิ่งที่สองที่เขาค้นพบคือกลุ่มโบราณที่มีลักษณะพิเศษมีอยู่จริง ตามที่ผู้เฒ่าเดร็กบอกเขาสองสามอย่างเกี่ยวกับพวกเขา
นอกจากนี้ยังมีนิกายที่รับเฉพาะผู้ใช้คุณสมบัติพิเศษที่มีนิกายที่เล็กที่สุดที่มีสมาชิกทั้งหมดที่มีดวงตาที่มีลักษณะพิเศษซึ่งถูกเรียกว่า [ดวงตาสวรรค์]
ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่านิกายดังกล่าวมีอยู่กี่นิกาย แต่แน่นอนว่าครอบครัวใหญ่ไม่ใช่มนุษย์เพียงคนเดียวที่มีขุมพลังสนับสนุน เนื่องจากบางคนเกือบถูกฆ่าตายหลังจากที่พวกเขารุกรานนิกายโบราณ
สิ่งนี้ทําให้เจสันตกใจอย่างมาก แต่เขาเป็นคนเดียวในห้องที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคาเนียร์ ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานและถูกเลี้ยงดูมาบนคาเนียร์
ในขณะที่ข้อเท็จจริงประการที่สามและสําคัญที่สุดที่เขาเข้าใจก็คือตอนนี้เขาสามารถบอกได้ว่าร่างกายพิเศษสามารถขยายเสียงประเภทใดได้บ้าง
ในตอนแรก เจสันทําได้เพียงประมาณการคร่าวๆ เมื่อเขาเหลือบมองดูร่างกายของแม็กซ์เพียงแวบเดียว แต่การตรวจสอบสักสองสามนาทีก็เปิดประตูที่ปิดอย่างแน่นหนาสําหรับเจสัน ซึ่งเผยให้เห็นข้อมูลที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน
หลังจากที่พวกเขาพูดคุยกันเสร็จแล้ว ทุกคนก็ดูพอใจ ในขณะที่จิตใจของเซรอนและแม็กซ์ดูเหมือนจะถูกบดบังด้วยข้อมูลจํานวนมหาศาลที่พวกเขาได้รับจากการสนทนาของผู้เฒ่าเดร็ก และเจสัน
ทิลล์ยิ้มอย่างประหลาดให้ลูกศิษย์ของเขา และส่ายหัว ขณะที่เฒ่าเดร็กมองดูแม็กซ์อย่าง งงงวย
เจสันไม่ได้สนใจว่าพวกเขาทั้งคู่จะมีพฤติกรรมแบบนั้น เนื่องจากปริมาณข้อมูลที่พวกเขาได้รับนั้นมหาศาลจริงๆ ขณะที่เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้และประกาศด้วยเสียงของเขาอย่างมั่นใจ
“ตอนนี้เมื่อสิ่งที่ผมอยากรู้ก็ได้รู้หมดแล้ว ผมจะทวงที่นั่งคลาสการต่อสู้พิเศษของผมกลับคืนมา!”
ตอนที่ 164 เจ้าแห่งมหาสมุทร
ผู้เฒ่าเด็กไม่สนใจว่าเจสันจะถามคําถามที่ไม่สุภาพในขณะที่เดินเข้าไปใกล้เขา ทําให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจ
เมื่อสังเกตเห็นสิ่งนี้ ทิลล์ก็ได้เข้าไปขวางทางของผู้เฒ่าเดร็กและเตือนเขาอย่างอ่อนโยนว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน
“ที่นี้ไม่ใช่ที่ที่ดีสําหรับเราที่จะพูดถึงบางสิ่งที่เป็นความลับ ใช่ไหม จะดีกว่าถ้าเราเปลี่ยนที่พูดคุย เช่น ที่ทํางานของฉัน”
คําพูดและการกะพริบตาปริบๆของทิลล์ ทําให้ผู้เฒ่าเด็กนึกออกว่าไม่สมควรพูดในที่นี่
ราวกับว่าเขาเป็นพวกโรคจิตเฒ่า ทําให้เขารู้สึกละอายใจและพยักหน้าเป็นสัญญาณของข้อตกลง
เมื่อมาถึงห้องทํางานของทิลล์
ทุกคนนั่งลงบนโซฟา เจสันรู้สึกสบายตัว แม้ว่าผู้เฒ่าเด็กและแม็กซ์จะจ้องมองเขาราวกับว่าเขาเป็นเหยื่อ
อาร์เทมิสเกาะอยู่บนไหล่ของเจสัน ขณะที่มันจ้องคนอื่นๆ ด้วยดวงตาสีน้ําเงินที่เปล่งประกาย
ในตอนนี้เองที่ผู้เฒ่าเคร็กและแม็กซ์สังเกตเห็นการมีอยู่ของอาร์เทมิส เนื่องจากพวกเขาเพ่งความสนใจไปที่เจสันมากเกินไป อาร์เทมิสทําให้พวกเขาประหลาดใจ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ามันเป็นสัตว์ร้ายประเภทไหน
แม็กซ์รู้จักสัตว์ร้ายมากมาย แต่ประสบการณ์ของเขาในรอยแยกชั่วคราวและถาวรและแผ่นดินใหญ่อื่นๆของเขานั้นยังน้อย แต่นั่นไม่ใช่กรณีของผู้เฒ่าเดร็กที่อาศัยอยู่มานานกว่า 200 ปีและได้สัมผัสกับภูมิประเทศที่สวยงาม และสนามรบที่อันตรายมามากมาย
หากเป็นเพียงขนนกสีขาวและดวงตาที่เกือบจะเป็นสีฟ้าคราม ผู้เฒ่าเดร็กก็สามารถนึกชื่อเผ่าพันธุ์ได้สองสามเผ่า แต่การมีเขาสีดําสนิททําให้ผู้เฒ่าเด็กไม่รู้ว่ามันคือสายพันธุ์อะไร
หลังจากที่พบว่าเจสันไม่เพียงแต่มีดวงตาที่พิเศษเท่านั้นแต่ยังมีนกฮูกที่เขานั้นไม่รู้จักเป็นสายวิญญาณด้วย แม็กซ์ก็บอกกับตนเองว่าเจสันอยู่ในกลุ่มโบราณอย่างแน่นอน ในทางกลับกัน ผู้เฒ่าเดร็กคิดว่า เชนอาจเลือกเจสันเพราะเขาไม่เคยเห็นอาร์เทมิสมาก่อนและไม่รู้เกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของมัน
เจสันรู้ว่าเขาไม่สามารถปิดบังดวงตาของเขาได้ตลอดไป และโชคดีที่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครที่สามารถขโมยลักษณะพิเศษของเขาได้ เพราะถึงแม้จะเอาดวงตาเขาไปแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ลักษณะพิเศษของดวงตา
เจสันรู้เรื่องนี้เพียงเพราะมนุษยชาติได้ทดลองกับสิ่งเหล่านี้ อย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่เชนและดาเลียบอกเขา ซึ่งเขาพบว่าทั้งน่าขยะแขยงและน่าผิดหวังอย่างยิ่ง
โชคดีที่การย้ายปลูกเป็นไปไม่ได้ มิฉะนั้น เขาจะต้องหวาดระแวงกับการโดนขโมยดวงตา
ผู้ถือคุณสมบัติพิเศษแต่ละคนและทุกคนจะกลัวที่จะเสียชีวิต กังวลอยู่ตลอดเวลาว่าเขาจะถูกฆ่าเพื่อเสริมคุณสมบัติพิเศษให้กับผู้อื่น
ในท้ายที่สุดนี้หมายความว่าเจสันสามารถเปิดเผยดวงตาของเขาแบบนั้นได้ เนื่องจากเขาจะไม่สามารถโดนขโมยความสามารถ หรือความสามารถนี้จะนําความโชคร้ายมาให้เขา
สิ่งเดียวที่เจสันเก็บซ่อนไว้เพียงบางส่วนคือความสามารถของเขาในการค้นหาว่าสัตว์ร้ายมีศักยภาพสูงเพียงใด แม้ว่าเขาจะบอกความลับของเขาแก่พวกเฟลอร์ไปบ้างแล้วก็ตาม
หลังจากที่ทุกคนนั่งลง ห้องก็เงียบลงอย่างช้าๆ และทุกคนก็รอให้ใครซักคนเริ่ม
ผู้เฒ่าเด็กและแม็กซ์รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยกับการเปิดเผยใดๆ แต่เจสันเริ่มพูดโดยไม่สนว่าใครจะฟังความลับของเขา
“อย่างที่ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว ผมมีลักษณะพิเศษและมันคล้ายกับดวงตามานา ที่ช่วยให้ผมรับรู้ถึงกระแสมานาที่อยู่รอบๆ
นอกจากนี้ ผมยังมีคุณสมบัติเพิ่มเติมที่ช่วยให้ดวงตาของผม สร้างความหวาดกลัวให้กับศัตรูที่มองเข้ามาในดวงตาได้ในระดับหนึ่ง แต่ต้องอยู่ในระดับแกนมานาที่ต่ํากว่าผม หรือถ้าหากพบเจอศัตรูที่มีแกนมานาที่มีระดับสูงกว่า การใช้ปริมาณมานาในดวงตาก็จะยิ่งมากขึ้น
ผมเชื่อว่าทั้งคุณครูและเซรอนรู้เรื่องนี้แล้ว
แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ดวงตาของผมสามารถมองทะลุได้หลายสิ่งหลายอย่าง และเผยให้เห็นการปลอมตัวของแม็กซ์ นอกเหนือจากขนาดแกนกลางของเขา มานาที่แปรเปลี่ยนและอื่นๆ เนื่องจากการปกปิดของเขานั้นไม่ได้ปกปิดแบบสมบูรณ์
เหตุผลที่ผมขอให้คุณทั้งคู่เปิดเผยความลับของคุณ ก็เพื่อผมเท่านั้นที่จะค้นพบบางสิ่งที่ดวงตาของผมเห็น ซึ่งผมนั่นไม่เคยเห็นมาก่อน
เห็นได้ชัดว่าการเดาของผมเกี่ยวกับแม็กซ์ที่มีร่างกายพิเศษนั้นถูกต้อง แต่ผมอยากจะถามคําถามเพิ่มเติมหากได้รับอนุญาต
ผมหวังว่าจะสามารถเป็นไปได้ เพราะผมเปิดเผยลักษณะพิเศษของตัวเองเพื่อแลกกับความไว้วางใจของคุณในการเปิดเผยลักษณะลับของคุณ หากเป็นไปได้ “
สิ่งที่เจสันกล่าวนั้นเกือบจะเป็นความจริงทั้งหมด ยกเว้นว่าเขาไม่เคยเห็นใครที่มีร่างกายอย่างแม็กซ์มาก่อน ยกเว้นดาเลียเนื่องจากแม้แต่ ผู้เฒ่าเด็กและทิลล์ก็ไม่รู้เกี่ยวกับเธอเลย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือดวงตาสี่คู่ที่จ้องมองมาที่เขา อย่างตกตะลึง
“มีอะไรงั้นหรอ?”
เจสันรู้สึกสับสน เมื่อเซรอนที่นั่งอยู่ข้างๆเจสัน ถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดก่อนจะพูด
” ปัญหาคือ… ที่นายมีแนวโน้มว่าจะกลายพันธุ์มานาดวงตาด้วยการกลายพันธุ์ที่ได้เปรียบอย่างมากในตอนนั้น ความสามารถในการมองทะลุผ่านแกนมานาที่ซ่อนอยู่และบอกได้ว่าบุคคลนั้นมีความสัมพันธ์แบบใดนั้นเกินไปหน่อย แต่นายคงจะทราบความจริงแล้วว่า
ทุกครั้งที่นายต่อสู้กับใครเป็นครั้งแรก นายจะได้เปรียบตราบใดที่นายสามารถเห็นขนาดแกนมานาของพวกเขานอกเหนือจากความสัมพันธ์ของเขา
ด้วยข้อมูลนี้ นายสามารถประเมินความสามารถในการต่อสู้ของคู่ต่อสู้และแม้กระทั่งกลยุทธ์ของคู่ต่อสู้ได้ และตอนนี้นายกําลังถามเราว่าเกิดอะไรขึ้น?!”
เซรอนไม่สามารถยอมรับสิ่งนี้ได้อีกต่อไป เขารู้สึกไม่มีพลังเนื่องจากประวัติของเจสันนั้นค่อนข้างที่จะแย์ในอดีต…. แต่ถึงอย่างนั้น เจสันก็พากเพียรและตั้งใจมากกว่าทุกคนที่เขาเคยพบมา ทําให้เขารู้สึกอิจฉาแต่ไม่มีเจตนาร้ายใดๆ
จนกระทั่งรู้เรื่องเจสันมากกว่าใครๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ประหลาดใจ ขณะที่ผู้เฒ่าเด็กและแม็กซ์ก็ตกตะลึงกับเรื่องของเจสัน
เจสันมองทุกคนที่ล้อมรอบโต๊ะเล็กอย่างไร้เดียงสา ราวกับว่าสิ่งที่เซรอนพูดไม่เกี่ยวข้องกับเขา
ผู้เฒ่าเดร์กพบว่าเจสันต้องมีความพิเศษบางอย่างเพื่อดึงดูดความสนใจของเชน เนื่องจากเขารู้ว่าเชนเป็นคนจี้จี้จุกจิกในการเลือกลูกศิษย์และมีฉลาดปราดเปรื่อง
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงประเมินความสามารถบางอย่างของชายหนุ่มผมดํา ซึ่งรวมถึงความสามารถในการมองเห็นความผันผวนของมานา
อย่างไรก็ตาม เขาประเมินเจสันต่ําเกินไป ทําให้ตอนนี้เขารู้สึกตกใจ ในขณะที่แม็กซ์คิดอะไรไม่ออก
แม็กซ์อ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัวขณะจ้องเจสันด้วยความตกใจ
ก่อนหน้านี้ เจสันไม่ได้เป็นอะไรนอกจากอยู่ในระดับเริ่มต้น ผู้เชี่ยวชาญสําหรับแม็กซ์ แต่ตอนนี้เขาประหลาดใจมาก
ผู้เฒ่าเดร็กใช้เวลาสักครู่ในการรวบรวมความคิดก่อนที่เขาตัดสินใจที่จะตอบ เจสันบางส่วน มันอาจจะเป็นประโยชน์สําหรับอนาคตของพวกเขาที่จะได้รับความไว้วางใจจากเจสัน
นอกจากนี้ ร่างกายของแม็กซ์เองก็ไม่ได้เป็นความลับกับคาเนียร์มากนัก และหน่วยงานระดับสูงหลายคนก็รู้เรื่องนี้
ด้วยความสามารถและภูมิหลังของเจสัน อาจจะใช้เวลาไม่นานในการไปถึงคาเนียร์ และการค้นหาคุณลักษณะพิเศษของแม็กซ์ก็ไม่ยุ่งยากหากมีสตาร์โน้ตเพียงพอ
“เจ้าพูดถูกเกี่ยวกับลักษณะพิเศษของแม็กซ์ เขามีโครงสร้างที่มั่นคงหรือค่อนข้างมีร่างกายที่ทําให้เขามีแข็งแกรงมากขึ้นกับความสัมพันธ์ทางน้ํา”
ผู้เฒ่าเดร็กเปิดเผยและเจสันพยักหน้าโดยไม่แสดงอาการประหลาดใจใดๆ เพราะเขาเองก็รู้เรื่องนี้เหมือนกัน
“ร่างกายของเขามีชื่อพิเศษหรือไม่ และได้มันมาได้อย่างไร”
เจสันถามอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ปิดบังความอยากรู้เลย คําถามของเขาทําให้แม็กซ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่เฒ่าเดรกตอบ
“ครอบครัวของเราเรียกร่างกายของแม็กซ์ว่าจ้าวแห่งมหาสมุทร เพราะมันเอียงไปสายน้ํา”
เมื่อผู้เฒ่าเดร็กกําลังจะอธิบายร่างกายของแม็กซ์ต่อไป ทุกคนก็ตั้งใจฟังอย่างเงียบสงบ
“นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าการขยายเสียง 30% อย่างนั้นหรือ?”
เจสันพึมพํากับตัวเองเบาๆ แต่ทุกคนรอบตัวเขาได้ยิน ทันใดนั้น สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไปอย่างน่าขนลุก และเงียบสงบอย่างอันตราย ทําให้เขาเงยหน้าขึ้นมองคนอื่นๆ
“ฉันพูดอะไรผิดหรือเปล่า!”
ตอนที่ 163 ภาระของทายาท
แม็กซ์ไม่สามารถใช้กําลังเพื่อลากเจสันออมาได้ เพราะมีนักเรียนเฝ้าดูพวกเขามากเกินไป
สิ่งเดียวที่เขาทําได้คืออธิษฐาน เพื่อที่ปูทวดจะไม่กล่าวโทษกับเขา เพราะเขาเพิกเฉยต่อคําแนะนําที่ดีของปูทวด ซึ่งบางคนอาจมองว่าเป็นคําสั่ง
เขาสงสัยเกี่ยวกับเจสันซึ่งดูเหมือนจะรู้จักปูทวดของเขาซึ่งน้อยคนนักในแอสทริกซ์ที่จะรู้จัก
สิ่งนี้แปลก แต่แม็กซ์ไม่พบเหตุผลเชิงตรรกะสําหรับสถานการณ์นี้ ยกเว้นว่าภูมิ หลังของเจสันนั้นเป็นเรื่องปลอมๆ
ในท้ายที่สุด เขาเชื่อว่าเจสันมาจากกลุ่มโบราณขนาดใหญ่ เพราะมันง่ายกว่าสําหรับเขาที่จะเข้าใจว่าทายาทของตระกูลโบราณไม่สนใจอํานาจของตระกูลที่มีอํานาจ
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์นี้เป็นเหตุให้เจสันได้รู้จักกับทวดของเขา ทําให้แม็กซ์เข้าใจทุกอย่างได้ง่ายขึ้นมาก
แม็กซ์ตัดสินใจพยักหน้ากับตัวเองว่าความเข้าใจผิดของเขาเป็นคําอธิบายเชิงตรรกะเพียงอย่างเดียวในขณะที่เขาเดินตามเจสันซึ่งยังคงลากเซรอนอยู่
เจสันสังเกตเห็นว่าแม็กซ์ที่ตามเขามา เงียบลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเขาจะยังคร่ําครวญและสาปแช่งเป็นครั้งคราว
สิ่งนี้ทําให้เขาประหลาดใจในขณะที่เขาคิดว่าเด็กหนุ่มผมสีฟ้าที่น่ารําคาญอาจใช้กําลังดุร้ายเพื่อป้องกันไม่ให้เขาเดินไปหาผู้เฒ่าเดร็ก แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น
ผู้เฒ่าเดร็กยืนอยู่ข้างทิลล์โดยเอามือไขว้หลังเมื่อ เจสันและเซรอน เดินไปหาพวกเขาเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของมานาที่คุ้นเคยและมองไปรอบๆ ทันทีเพื่อค้นหาแหล่งที่มา
เพียงครู่ต่อมา เขาเห็นแม็กซ์ หลานชายของเขา และคิ้วของเขาย่นแทบจะในทันที่ทําให้แม็กซ์สะดุ้ง
“ฉันซวยแล้ว” เป็นความคิดเดียวในหัวของแม็กซ์ ขณะที่เขาวิ่งผ่านเจสันไปทางผู้เฒ่าเดร็ก
เมื่อเห็นเช่นนั้น เจสันก็ยิ้มเบา ๆ ขณะเดินเข้าไปใกล้ทิลล์
แม็กซ์ไม่รู้ว่าเจสันจะทําอะไร ทําให้เขารีบโพล่งออกมา
เขาไม่ต้องการให้เจสันบิดเบือนเรื่องราวให้ดูเหมือนว่าแม็กซ์เป็นผู้ร้าย
อย่างไรก็ตาม เจสันไม่คิดที่จะรบกวนผู้เฒ่าเด็กด้วยบางสิ่งที่ไร้สาระตั้งแต่แรก
แต่เขาเล่นเกมฝึกสมองเล็กๆ น้อยๆ กับแม็กซ์ และเขาเพียงต้องการแจ้งให้ทิลล์ทราบเกี่ยวกับการแข่งขันที่เสียไปเท่านั้น เนื่องจากนักเรียนทุกคนทําเช่นนั้น ด้วยวิธีนี้ ทิลล์สามารถติดตา มจํานวนนักเรียนในสังกัด 6 ที่สามารถนั่งในชั้นเรียนการต่อสู้พิเศษของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งได้ยินแม็กซ์สารภาพทุกอย่างกับผู้เฒ่าเดร็ก ขณะที่เขา หันไปมองเจสันด้วยคําถามที่ชัดเจนในใจ
“เห้อ เอาเถอะ” มีบางอย่างที่เรียกว่า “รั้งไว้”
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่พูดต่อหน้าเจสัน
แม็กซ์ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะท้าทายเจสันโดยไม่จําเป็นสําหรับที่นั่งคลาสการต่อสู้พิเศษของเขาในลักษณะดังกล่าว
ยิ่งไปกว่านั้นเพราะแม็กซ์ไม่ใช่นักเรียนโรงเรียนแนวหน้าตั้งแต่แรก
ไม่ใช่แค่แนวหน้า แต่เขาไม่ใช่นักเรียนของโรงเรียนใดๆ ในแอสทริกซ์ หรือเกาะอื่น ๆ โรงเรียนของเขาตั้งอยู่ห่างไกลจากคาเนียร์
นอกจากนี้ แม็กซ์ยังอยู่ในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งซึ่งไม่สามารถเทียบได้กับโรงเรียนแนวหน้าด้วยซ้ํา
เมื่อสังเกตเห็นการจ้องมองของทิลล์ เจสันเกือบหัวเราะคิกคักขณะถามอย่างมั่นใจโดยไม่ละอายใจกับการสูญเสียของเขา
“ผมไม่รู้ว่าผมเสียที่นั่งหรือยัง ผมควรท้าทายใครซักคนทันทีหรือต้องรอ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าที่สงสัยของทิลล์ก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มจางๆ ทันทีขณะที่เขาตอบ
“แม็กซ์ไม่ใช่นักเรียนของแอสทริกซ์ด้วยซ้ํา เธอยังไม่เสียที่นั่ง!”
เขาพูด แต่เจสันปฏิเสธทันทีที่ครูของเขาพูด
“ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แม็กซ์ก็แข็งแกร่งกว่าผม และเขาก็ เอาชนะ” ผมอย่างยุติธรรม ผมจะไม่เอาที่นั่งนี้กลับคืนมา”
เมื่อหันไปทางแม็กซ์ ซึ่งดูเหมือนจะกําลังอดทนอยู่กับผู้เฒ่าเด็ก โดยบอกผู้เฒ่าเดร็กถึงความผิดพลาดของเขา เจสันยิ้ม
เขาพอใจกับสิ่งนี้มากกว่าเดิม เพราะไม่มีแม้แต่จุดเล็กๆ ของทัศนคติที่เอาแต่ใจก่อนหน้านี้ที่แผ่ออกมาจากแม็กซ์อีกต่อไป
ในขณะเดียวกันเซรอน ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ และอาร์เทมิสก็ก้มลงบนหัวของเขา ปล่อยเสียงร้องเล็กๆ ดูเหมือนจะพยายามปลอบโยนเขา
เขายังคงรู้สึกแปลก ๆ ที่เห็นแม็กซ์อยู่ข้างหน้าและความทรงจําในอดีตก็ไหลย้อนกลับมาหาเขา ทําให้เขาทรมานซ้ําแล้วซ้ําเล่า
ครอบครัวที่มีอํานาจเล็กน้อยทุกคนชอบเปรียบเทียบลูก ๆ ของพวกเขากับลูกหลานคนอื่น ๆ และเนื่องจากเส้นมานาที่ผิดพลาดของเขา เขาจึงมักเป็นหัวข้อสนทนาของทุกคน
เรื่องนี้ไม่เพียงแต่สร้างความอับอายให้กับครอบครัวกิเออร์เท่านั้น แต่ยังทําให้ทายาทที่อายุราวๆ ของเซรอนกลั่นแกล้งเขาบ่อยๆ
ในขณะที่แม็กซ์นั้นมีร่างกายที่เหนือชั้นและความไวของมานาสูง เป็นอัจฉริยะคนล่าสุดของตระกูลเด็ก และพวกเขาก็บังเอิญอายุเท่ากันด้วยเวลาเพียงไม่กี่เดือนที่แยกพวกเขาออกจากกัน
เซรอนถูกมองว่าเป็นคนที่อ่อนแอ และการเปรียบเทียบกับแม็กซ์ซึ่งเป็นอัจฉริยะ นั้นเป็นเครื่องเตือนใจที่เจ็บปวดอย่างแน่นอน เหมือนเข็มที่ที่มแทงใจของเขาอยู่จนมาถึงทุกวันนี้
แม็กซ์ไม่ได้รังแกเขา ตรงกันข้าม เขาเมินเฉยต่อเซรอนราวกับว่าเขาไม่มีตัวตนด้วยซ้ําและนั่นยิ่งทําให้ความเจ็บปวดยิ่งแย่ลงไปอีก เพราะ แม็กซ์ปฏิบัติต่อเขาราวกับว่าเขาไร้ค่า
สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่มันยากที่เซรอนจะทนได้
อย่างไรก็ตาม เขาสงสัยว่าแม็กซ์รู้ชื่อของเขาได้ยังไงในเมื่อไม่เคยคุยกันเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสงสัย
เจสันรอให้ผู้เฒ่าเดร็กคุยกับแม็กซ์ให้เสร็จ และเมื่อเขาหันกลับมาหาเจสัน ทั้งเขาและ เซรอนก็ทักทายผู้เฒ่าเดร็กอย่างสุภาพ
ผ่านสายตามานาของเขา เจสันเห็นบางสิ่งที่ทําให้เขาอยากรู้เกี่ยวกับแม็กซ์
เจสันสัมผัสได้ถึงเมื่อหนึ่งเดือนก่อนภายในตัวของดาเลีย แต่มีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างทั้งสองคน เนื่องจากเขาสามารถมองเห็นทุกอย่างชัดเจนภายในแม็กซ์
แต่เขากลับไม่สามารถมองเข้าไปในดาเลียได้ และเพียงเพราะการเปิดเผยของเธอ
ตอนนี้เจสันสามารถยืนยันสมมติฐานของเขาผ่านแม็กซ์ได้
ผู้เฒ่าเดร็กรู้สึกอับอายเกี่ยวกับหลานชายของเขาซึ่งเขาได้มองหาตลอดทั้งเช้า และพบว่าหลานชายอยู่ในที่ที่ไม่ควรจะอยู่
ดังนั้น เขาจึงคุยกับเจสันสักสองสามนาที่และกําลังจะจากไป เมื่อเขาได้ยินเรื่องพิเศษบางอย่าง
“ผมขอคุยกับแม็กซ์สักครู่ได้ไหม ผมไม่รู้ว่าผมได้รับอนุญาตให้ถามได้หรือไม่ แต่ผมอยากรู้เกี่ยวกับร่างกายของเขา…มันอาจเป็นความลับของครอบครัว”
น้ําเสียงของเจสันจางลงทุกที่ที่พูดแต่ละคํา ขณะที่เขาตระหนักถึงสิ่งที่เขาจะพูดเมื่อกี้ได้
การถามใครสักคนเกี่ยวกับลักษณะพิเศษเหมือนกับว่ามีคนขอให้เจสันเปิดเผยโลกวิญญาณของเขาให้ละเอียดที่สุดและถือว่าไม่สุภาพอย่างยิ่ง
ทิลล์กําลังจะลากเจสันออกจากผู้เฒ่าเดร็ก เมื่อเขาสังเกตเห็นดวงตาที่เบิกกว้างของชายชรา
“เธอรู้เกี่ยวกับร่างกายของเขาได้อย่างไร”
ผู้เฒ่าเดร็กถามด้วยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด และเจสันก็ชี้มาที่ดวงตาของเขา
” ผมสามารถมองเห็นได้”
เขาเปิดเผยโดยไม่ลังเลและใครๆ ก็มองว่ามันเป็นข้อเสนอ เพราะเขาเปิดเผยบางอย่างเกี่ยวกับคุณลักษณะของเขาเอง โดยหวังว่าจะได้รับสิ่งตอบแทน
นี่อาจเป็นอันตรายได้ แต่เจสันต้องการทําความเข้าใจร่างกายและโครงสร้างพิเศษให้ดียิ่งขึ้นเพื่อที่จะรู้ว่าเขาควรใส่ใจอะไรในอนาคต
ทิลล์ก็สังเกตเห็นความสําคัญของคําพูดแรกๆ ของเจสัน ขณะที่ดวงตาของเขาเบิกกว้างเช่นเดียวกัน เซรอนเองก็ด้วย มีแต่แม็กซ์ที่ไม่รู้อะไรเลย
“เขาสามารถมองเห็นมันได้หรือไม่” แม็กซ์ดูสับสนอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อเห็นความอยากรู้อยากเห็นเป็นประกายในดวงตาของปูทวดของเขา เขาก็ยังคงนิ่งเงียบ
ตอนที่ 162 เด็ก
“นายเป็นคนในครอบครัวเดร็กใช่ไหม”
เจสันไม่ค่อยเก่งในการพูดอ้อมค้อมและถามตรงๆ โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ทําให้ เซรอนมองมาที่เขาและผงะกับคําถามอย่างกะทันหัน
เซรอนรู้สึกเฉยๆ ถ้าเจสันจะปฏิบัติแบบนั้นกับตัวเอง แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขาเป็นเพื่อนกันไม่ใช่คนแปลกหน้า
อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มผมสีฟ้าเป็นคนแปลกหน้าสําหรับเจสัน แต่เจสันก็ตัดสินใจคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมา
แม้แต่นักเรียนที่อยู่รอบๆ ก็ยังประหลาดใจกับพฤติกรรมของเขา เพราะพวกเขารับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของเยาวชนผมสีฟ้าอย่างแผ่วเบา
อย่างไรก็ตาม เจสันไม่ได้สนใจเลยสักนิด ขณะที่เขามองตรงเข้าไปในดวงตาสีฟ้าเป็นประกายของชายหนุ่มผมสีฟ้าราวกับว่าทั้งคู่แข็งแกร่งเท่ากัน
“แล้วรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร! นายกล้าดียังไงมาพูดกับฉันแบบนี้”
เด็กหนุ่มผมสีฟ้าโพล่งออกมาโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของเขาเหมือนอย่างที่เคยทําก่อนหน้านี้
“ทําไมฉันต้องสนใจเรื่องนั้นด้วย? งี่เง่า!” เจสันคิดอย่างไม่สะทกสะท้านกับอารมณ์ฉุน เฉียวของเขา
ตอนนี้เด็กหนุ่มผมฟ้าโกรธจัด เพราะเจสันซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา สร้างความยุ่งยากให้กับเขา มากเกินไป
“เห็นได้ชัดว่าฉันรู้จักครอบครัวของนาย แต่ฉันไม่รู้ว่าทําไมนายถึงมาที่นี่จริงๆ และฉันก็ไม่รู้ตัวตนของนายด้วย”
เจสันยอมรับก่อนจะหันหลังกลับไป ทิ้งเด็กหนุ่มผมสีฟ้าไว้ตามลําพัง
“จะไปแล้วงั้นหรอ…อย่างนั้นเหรอ?”
เด็กหนุ่มผมสีฟ้าพึมพํา และเขาเริ่มสงสัยว่าคนที่ไม่มีภูมิหลังอย่างเจสันทําไมถึงกล้าพูดอย่างนั้นกับเขา
อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้น เขาจําบางสิ่งที่ปูทวดบอกเมื่อเขามาถึงเมืองไซโร
“แม็กซ์ ปูรู้ว่าพรสวรรค์ของหลานนั้นน่ากลัว แต่หลานไม่ควรดึงดูดความสนใจจากบุคคลบางคนในแอสทริกซ์แม้ว่าเกาะนี้จะอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลของเรา จะเป็นการดีที่สุดถ้าหลานอยู่ห่างจากเจสัน เตลล่าและเพื่อนๆ ของเขา “
น่าเสียดายที่คําพูดของปูทวดของเขา ซึ่งบอกใบ้ถึงภูมิหลังที่ปลอมๆ ของเจสันอย่างแผ่วเบาแต่มันกลับส่งผลตรงกันข้ามกับแม็กซ์ที่เริ่มสงสัยเกี่ยวกับเจสันว่าเขาเป็นใครกันแน่
ในตอนแรก เมื่อแม็กซ์เห็นเจสัน แม็กซ์รู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งเนื่องจากระดับมา นาคอร์ของเจสันนั้นแทบจะไม่อยู่ที่ระดับผู้ชํานาญที่ 3 ซึ่งแทบไม่ใกล้เคียงกับระดับของเขาเลยด้วยซ้ํา
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของเจสันนั้นน่าสนใจและจุดประกายความอยากรู้อยากเห็นภายในหัวใจของแม็กซ์อีกครั้ง
“ทําไมปูถึงบอกฉันแบบนั้น และเจสันมีความพิเศษอย่างไร แม้แต่ปูก็ไม่ยอมบอกอะไรกับแม็กซ์เลย”
ไม่เพียงแต่เซรอน คนพิการเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ ในโรงเรียนที่โทรมเช่นนี้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นเพื่อนกันด้วย นอกจากนี้ เขาไม่สนใจฉันและไม่สนใจการมีอยู่ของฉันเลย! เขาเป็นใครกันแน่และเขาคิดอย่างไรกับตัวเอง?”
ความอยากรู้ของแม็กซ์เพิ่มมากขึ้น และเขาตัดสินใจที่จะไล่ตามเจสันที่กําลังลากเซรอนไป
กลุ่มนักเรียนที่อยู่รอบๆ หลีกทางให้แม็กซ์ ขณะที่ผิวสีครามเป็นประกายสีฟ้าของแม็กซ์เปล่งออร่าออกมา
เซรอนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่คําพูดที่มั่นใจและภาคภูมิใจของเจสันทําให้เขากลับมารู้สึกปกติอีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมองดูเพื่อนของเขา สงสัยว่าเจสันรู้ได้อย่างไรว่าแม็กซ์มาจากตระกู ลเดร็กและทําไมเจสันถึงเลือกที่จะไม่สู้กับแม็กซ์และปฏิเสธคําท้าของแม็กซ์อย่างรุนแรง
เซรอนมั่นใจว่าไม่มีแม้แต่นักเรียนในคลาสการต่อสู้พิเศษในชั้นเรียนใด ๆ ที่สามารถรับมือกับความแข็งแกร่งของแม็กซ์ได้ ยกเว้นอัจฉริยะที่ทรงพลังที่สุดจากโรงเรียนหลักแต่ก็ยังไม่ฉลาดพอที่ จะเพิกเฉยต่อความท้าทายของเขา
แม้แต่อัจฉริยะเหล่านั้นอาจต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลําบากในการเผชิญหน้ากับแม็กซ์ด้วยเหตุผลหลายประการ แต่สําหรับเซรอนดูเหมือนว่าเจสันจะเข้าใจภูมิหลังของแม็กซ์เมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว
“นายจะลากฉันออกมาทําไม นายไม่รู้หรือว่าการยั่วโมโหแม็กซ์ มันจะเกิดเรื่องงแย่ๆ ”
เซรอนถามอย่างกังวล และตอนนี้เจสันเพิ่งรู้ว่าเด็กหนุ่มผมสีฟ้าที่มีตาสีฟ้าชื่อแม็กซ์
“อ่อ ชื่อของเขาคือ แม็กซ์ เดร็ก… ช่างมันเถอะ! ทัศนคติของเขาทําให้ฉันไม่พอใจ!”
เจสันสารภาพด้วยรอยยิ้มแปลกๆ ในขณะที่รู้สึกว่ามีบางคนกําลังไล่ตาม
” ฉันทําให้นายโกรธ!?! ทําไมนายถึงเป็นตัวเองได้มากขนาดนี้ ฉันไม่สามารถแม้แต่จะท้าทายใครซักคนใน แอสทริกซ์ ถ้าทุกคนกลัวที่จะต่อสู้กับใครก็ตามเช่นเดียวกับนาย มนุษยชาติจะถูกทําลายเร็วภายในกระพริบตา! ”
แม็กซ์ได้กล่าวขณะที่เดินตามเจสันและเซรอน
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทําไมเจสันถึงเย่อหยิ่งได้มากขนาดนี้
“ฉันไม่รู้ว่านายแค่ทําตัวเป็นเด็กนิสัยเสียหรือนายเป็นแบบนั้นจริง ๆ แต่ทําไมฉันต้องเสี่ยงทําร้ายตัวเองด้วยการต่อสู้กับคนที่มีระดับมานาผู้ชํานาญระดับ 3 ที่มีสายใยวิญญาณที่ไร้ตําหนิในระดับที่เลวร้ายที่สุด ฉันควรพูดต่อเกี่ยวกับคุณสมบัติพิเศษของนายตอนนี้หรือหยุดกวนฉันเสียที”
เจสันหยุดฝีเท้าและหันศีรษะใส่แม็กซ์โดยหวังว่าจะเข้าใจเขาบ้าง สําหรับตอนนี้ เจสันเพียงต้องการมีความสงบสุขในที่สุด
เจสันยังคงเหน็ดเหนื่อยจากการฝึกฝนช่างตีเหล็กในตอนเช้า และเจสันไม่ใช่คน ที่ชอบเป็นจุดสนใจ
ต้องขอบคุณแม็กซ์ที่พยายามท้าทายเขาโดยไม่จําเป็น ทั้งที่รู้ผลลัพธ์ ทุกสายตาจับจ้องมาที่ เขาอีกครั้ง เจสันทําได้แค่สรุปว่าแม็กซ์ต้องการจะยั่วยุหรือทําให้เขาอับอายด้วยการเอาชนะเขาอย่างง่ายดาย
แต่แม็กซ์จะรู้ได้อย่างไรว่าเจสันรู้เกี่ยวกับระดับแกนมานาที่เขาตั้งใจปกปิดไว้?
หากนั่นคือทุกสิ่งที่เจสันรู้ แม็กซ์คงไม่แปลกใจเหมือนตอนนี้ แต่เจสันยังรู้ถึงอันดับสายวิญญาณของเขานอกเหนือไปจากร่างกายของเขา ซึ่งไม่ค่อยมีใครรู้จัก
อย่างมากที่สุด ครอบครัวใหญ่ เผ่า บริษัท และหน่วยงานระดับสูงในคาเนียร์รู้เรื่องนี้ เพราะมันเป็นอาวุธลับที่สําคัญของครอบครัวเขา
แต่ตอนนี้ไม่มีใคร” รู้ถึงความแข็งแกร่งของเขา แม็กซ์ไม่อยากจะเชื่อ
“นายเปิดเผยความลับของครอบครัวเรากับคนอย่างเขาเหรอ! นายไม่รู้เกี่ยวกับสนธิสัญญาเงียบที่ครอบครัวของเรามีเหรอ!!”
แม็กซ์ตะโกนเรียกความสนใจของนักเรียนรอบๆ อีกครั้ง
เมื่อสังเกตเห็น เจสันก็ก้าวไปข้างหน้า พยายามจะปลอบเขา
“ไม่ใช่อย่างนั้น ใจเย็นก่อน…ถ้านายยังตะโกนต่อไป ทุกคนจะรู้ความลับของนาย เพราะนายจะเปิดเผยตัวเองและไม่มีใครในที่นี้ต้องการอย่างนั้น ตกลงไหม”
แม็กซ์หันกลับมามองเจสัน ดวงตาของเขาดูสงบลงกว่าเมื่อก่อนมากตอนที่เขาพยายามจะยั่วยุเขา
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเขายังโกรธอยู่
เมื่อแม็กซ์สงบสติอารมณ์ได้ระดับหนึ่งแล้ว เจสันก็พยายามคุยกับเขาในขณะที่เขาพูด
“ผู้เฒ่าเด็กอยู่ที่นี่น่าจะคอยดูนายอยู่ใช่มั้ย? ฉันควรถามเขาไหมว่าทําไมนายถึงพยายามท้าทายฉันอย่างจงใจ ทั้งที่นายไม่ใช่นักเรียนของโรงเรียนหลักแวนการ์ดด้วยซ้ํา?”
ด้วยสายตาที่ดีของเขา เจสันสังเกตเห็นบางสิ่งที่ดูแปลก ๆ เมื่อทั้งแม็กซ์และเซรอนมองเขาอย่างประหลาด
”นายคิดออกได้อย่างไร ฉันอาจจะเป็นนักเรียนโรงเรียนหลักแนวหน้าเหมือนที่เซรอนเป็นนักเรียนของโรงเรียนในเครือที่ 6″
เมื่อมองดูเสื้อผ้าของเขา แม็กซ์ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ ในขณะที่เขาเหลือบมองเจสันด้วยความสงสัย พยายามบีบคําตอบออกจากตัวเขา
“ฉันไม่บอกนายหรอก! ไปหาผู้เฒ่าเดร็กกัน”
เจสันพูดอย่างเรียบง่าย ขจัดความอยากรู้อยากเห็นในแม็กซ์ ลางสังหรณ์ก่อตัวขึ้นในใจของเขา
ห่าเอ้ย!” แม็กซ์ทําได้แค่คิดด้วยความหงุดหงิด ลืมไปทันทีว่าการปลอมตัวของเขานั่น ถูกจับได้
แม้แต่เซรอนก็ยังไม่รู้ว่าอะไรทําให้เจสันรู้เรื่องต่างๆ ของแม็กซ์ เพราะชุดของแม็กซ์ดูธรรมดาสําหรับเขา แต่ถ้าเจสันตอบอย่างตรงไปตรงมา ทั้งคู่ก็จะมีคําถามมากกว่าเดิม
นั่นเป็นเพราะว่าดวงตาของมานาของเขาตรวจพบสิ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากดูเหมือนว่าเสี้อผ้าของแม็กซ์จะเป็นของผู้ใช้ที่มีความสัมพันธ์กับธาตุดิน ขณะที่ดวงตาของเขารับรู้ถึงร่องรอยของดินเปลี่ยนมานาที่ผันผวนที่เสื้อผ้า
ตอนที่ 161 ยอมแพ้
การบุกรุกของกลุ่มสัตว์อสูรทั้งสองที่เจสันได้เห็นนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเขา และด้วยเหตุนี้ การที่จะยอมแพ้จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เจสันจะเลือกทํา
ตราบใดที่เขารอดชีวิต เจสันจะยืนขึ้นทุกครั้งที่เขาล้มลง แม้ว่ามันจะเจ็บราวกับตกนรกก็ตาม
ค่าเฉลี่ยการฝึกฝนอย่างเป็นทางการของมนุษย์ทั้งหมดอยู่ที่ระดับผู้เชี่ยวชาญซึ่งรวมถึงคนหนุ่มสาวคนชราและคนป่วย
อย่างไรก็ตาม หากมนุษยชาติต่อสู้ร่วมกัน มันจะเป็นไปไม่ได้ที่สัตว์บนเกาะจะต่อสู้กับมนุษย์ระดับสูงจํานวนมาก
เมื่อพิจารณาว่าไม่มีแม้แต่เด็กบางคนที่อยู่โรงเรียนที่มั่งคั่งที่สุดในแอสทริกซ์ที่จะกล้าสู้กับคนที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขา ซึ่งนั่นบ่งบอกว่ามนุษย์ค่อนข้างหวาดกลัวและคิดที่จะหนีกําลังศึกที่ตนเองนั่นจะแพ้
ในความเห็นของเจสัน มนุษย์มีจิตใจที่อ่อนแออย่างยิ่ง และต้องขอบคุณมนุษย์ที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าเท่านั้นที่กล้ายอมรับภาระหนักของมนุษย์ในการเป็นผู้นํา หากเป็นไปได้ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะอยู่รอดได้ในช่วง 300 ปีที่ผ่านมาหลังจากมานาเริ่มแพร่กระจาย
ทว่าถึงกระนั้นก็ไม่มีสักคนเดียวที่ปกครองมนุษยชาติ แต่มีกลุ่มและหลายครอบครัวที่ปกครองอาณาเขตของตน และพยายามที่จะผนวกดินแดนเพิ่มเติมในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้
ในท้ายที่สุด มันก็ผิดในความคิดของเขาเช่นกัน และเมื่อเร็ว ๆ นี้เจสันก็เริ่มเห็นด้วยกับความคิดเห็นส่วนใหญ่ของอาจารย์ทั้งสองของเขา และหลังจากได้เห็นความโหดร้ายที่มนุษย์แสดงออก ระหว่างที่ถูกกลุ่มสัตว์อสูรบุกรุก เขาก็อดไม่ได้ที่จะปรับกระบวนการคิดของเขาไปตามแน วคิดของเชนและดาเลีย
แม้ว่าเจสันจะไม่ได้คิดว่าตนเองนั่นจะเป็นผู้ที่ปกครองผู้อื่น แต่เขาก็รู้ว่ามนุษยชาติต้องการเสาหลักที่มั่นคงซึ่งสามารถขจัดภัยคุกคามจากสัตว์ร้ายและเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ก่อนที่พวกเขาจะหันความสนใจไปที่รอยแยกถาวรและชั่วคราว ภายในอาณาเขตของมนุษยชาติ
ตราบใดที่มีคนรวบรวมทุกอย่างไว้ด้วยกันในระดับหนึ่ง ภัยคุกคามจากพื้นที่อื่นๆนั่นที่ท้าทายยิ่งกว่าก็สามารถกําจัดให้สิ้นซากได้
สิ่งที่จะตามมาในภายหลังนั้นไม่สําคัญในความเห็นของเจสัน เนื่องจากมนุษยชาติมีความสามารถเพียงพอที่จะจัดการกับปัญหาภายในของพวกเขา ตราบใดที่พวกเขารวมใจกันต่อต้านภัยคุกคามจากต่างประเทศที่อันตรายยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเขาเอง
บางทีความคิดของเขาอาจผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง และมันสําคัญกว่าที่จะบังคับให้มนุษยชาติทําสนธิสัญญา แต่ถึงแม้จะเกิดขึ้น สิ่งนั้นจะช่วยขจัดต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดได้จริงหรือ
แต่มันนั่นไม่ได้จริงๆ เนื่องจากผู้แข็งแกร่งสามารถทําทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ และภูมิหลังที่แข็งแกร่งอาจถือได้ว่าเป็นทําอะไรโดยที่ไม่มีผลหรือความผิดที่ตามมา และเจสันเกลียดมัน
แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการเป็นนักบุญหรือพระเมสสิยาห์ แต่เชนและดาเลียก็ไม่ผิดที่จะจินตนาการถึงการปกครองของผู้ปกครองหรือเสาหลักเพียงคนเดียวที่มนุษยชาติต้องการอย่างยิ่งแต่ลืมไป
ขณะที่เขาครุ่นคิดอยู่ลึกๆ เซรอนยังคงมองไปรอบ ๆ พูดคุยกับไมโล ซึ่งนั่งลงข้างเจสันที่ไม่สนใจอะไรหรือใคร ซึ่งก็ดูเหมือนเป็นวันธรรมดาและพวกเขาก็เริ่มคุ้นเคยกับพฤ ติกรรมของเจสันแล้ว
พวกเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติเพราะเจสันดูเหมือนอยู่ในโลกของเขาเองโดยคิดถึงบางสิ่งที่อยู่ข้างหน้าปล่อยให้พวกเขาอยู่ตามลําพังในความมืดมิดในปัจจุบัน
ไม่กี่นาทีผ่านไป เจสันเริ่มสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ ขณะที่เซรอนเอียงไหล่อย่างลังเล
เมื่อดึงกลับมาสู่ปัจจุบัน เจสันก็ตระหนักถึงสถานการณ์ที่เขาอยู่ และดูเหมือนว่าเขาจะหมดโชคแล้วเมื่อสังเกตเห็นเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเขา
เขาถอนหายใจลึก ๆ ถามคําถามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“นายต้องการท้าทายฉันหรือเพื่อนคนใดคนหนึ่งของฉันไหม”
เจสันไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ แม้ว่าหัวใจของเขาจะเต้นผิดจังหวะหลังจากที่เขาสแกนผ่านแกนมานาของเยาวชนที่อยู่ตรงข้ามอย่างสมบูรณ์
“ถ้านายคือเจสัน สเตลล่า ฉันอยากท้านาย!”
เด็กหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ขณะที่ผมสั้นสีน้ําเงินของเขาส่องแสงระยิบระยับท่ามกลางแสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่าง
เซรอนที่อยู่ข้างๆ เจสันรู้สึกอย่างไม่สบายใจในที่นั่งของเขา และเด็กหนุ่มก็จ้องมาที่เขาด้วยรอยยิ้มที่หยิ่งผยอง ซึ่ง เซรอนทําได้เพียงยอมรับอย่างไม่เต็มใจ ขณะที่เยาวชนหันกลับมาเพื่อเดินไปที่สนามกีฬา
“ฉันยอมแพ้!”
เสียงดังก้องไปทั่วสนามประลองที่พวกเขาอยู่ และเด็กหนุ่มผมสีฟ้าก็หยุดเดิน เพียง เพื่อมองย้อนกลับไปที่เจสันด้วยท่าที่ตกตะลึงในขณะที่เขาถาม
” นาย อะไรนะ???”
ราวกับว่าเขาได้ยินเจสันไม่เต็มที่และเขาก็สงสัยในหูของตัวเอง
เจสันรําคาญเมื่อเขารู้ว่าเด็กได้ยินเขาอย่างชัดเจน
เขากัดฟันพูดได้เพียงประโยคเดียวดังขึ้นอีก
“ฉันพูดว่า ฉันยอมแพ้ นายเป็นคนหูหนวกหรือเปล่า!”
เมื่อไม่สามารถระงับความโกรธได้ เขาได้เพิ่มการยั่วยุเล็กน้อยเมื่อสิ้นสุดประโยค
” นายพูดว่าอะไรนะ?”
เยาวชนตะโกน โกรธอย่างเห็นได้ชัดโดยความกล้าของเจสัน ทันใดนั้น ผิวสีครามของชายหนุ่มผมสีฟ้าก็ถูกห่อหุ้มด้วยสีน้ําเงินที่ส่องประกายระยิบระยับมาก เขาพุ่งเข้าหาเจสันซึ่งทําได้เพียงมองดูเด็กหนุ่มราวกับว่าเขาล้มลงบนศีรษะทันทีหลังคลอด
“ฉันจะไม่พูดซ้ํา… นายคงเข้าใจฉัน!”
เจสันพูด ขณะที่นักเรียนรอบๆ เริ่มเยาะเย้ยเขาเพราะความขี้ขลาดของเจสัน
“ถ้าพวกเขารู้!”
เจสันคิดพร้อมกับถอนหายใจ
พวกเขาไม่รู้ว่าชายหนุ่มผมสีฟ้ามีมานาหลักระดับไหน ดูเหมือนว่าเขาจะได้เรียนรู้เทคนิคการปกปิดระดับสูง
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ทราบว่าชายหนุ่มมีมานาระดับใด
อย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะได้และเรียนรู้เทคนิคการปกปิด ภูมิหลังของคนๆ หนึ่งต้องมีอิทธิพลแม้แต่ในหมู่ขุนนางและเจสันก็เป็นหนึ่งในนักเรียนที่ฉลาดกว่าเล็กน้อยที่รู้เรื่องนี้
หากเจสันต้องประมาณจํานวนเทคนิคการปกปิดที่เผยแพร่บนแอสทริกซ์พวกมันน่าจะเป็นตัวเลขสองหลัก ในขณะที่ตัวเลขนี้ลดลงอย่างมากเหลือหลักเดียว หากพิจารณาเฉพาะคนรุ่นใหม่เท่านั้น
นักเรียนเหล่านี้ไม่ได้หัวเราะเยาะเจสัน และเพียงเห็นด้วยเงียบๆ กับการตัดสินใจของเขา
หากพวกเขารู้ว่าเจสันสามารถสแกนแกนมานาผ่านการปกปิดตื้นๆ ได้ ความคิดเห็นของพวกเขาอาจเปลี่ยนไป แต่ไม่ใช่ด้วยข้อมูลปัจจุบันที่เจสันค้นพบเกี่ยวกับคู่ต่อสู้ของเขา
มีบางสิ่งที่เขาสังเกตเห็น
อย่างแรก ชายหนุ่มผมสีฟ้ารู้จักเซรอนและภูมิหลังของเขาดี แต่นั่นไม่ได้ทําให้เขาหยุดการเยาะเย้ย
นี่แสดงให้เห็นว่าครอบครัวกิเออร์ จะไม่ทําอะไรกับเด็กหนุ่มผมสีฟ้าคนนี้แม้ว่าเขาจะข้ามเส้น
ข้อเท็จจริงสําคัญประการที่สองที่เจสันเท่านั้นที่รู้คือระดับมานาคอร์ของเด็กหนุ่มผมสีฟ้านอกเหนือจากความสัมพันธ์เชิงธาตุของเขาพร้อมกับการประมาณคร่าวๆ ของการขยายมานาคอร์ของเด็กหนุ่ม ซึ่งดูเหมือนจะกว้างใหญ่มาก
เมื่อสรุปข้อมูลที่มีอยู่ เจสันพยายามคิดว่าใครคือเด็กที่อยู่ข้างหน้าเขา แต่ไม่มีคําตอบที่เป็นไปได้ในความคิดของเขา
เจสันยังคงสงบนิ่ง แม้ว่าเด็กที่อยู่ข้างหน้าเขาจะพยายามสร้างความประทับใจให้ผู้ชมด้วยเสียงที่เอาแต่ใจของเขา
อย่างไรก็ตาม เสียงที่เอาแต่ใจของเยาวชนนั้นก็ไร้ผลทันทีที่เขาเห็นดวงตาสีทองของเจสันโดยที่เจสันไม่รู้ ดวงตาของเขาเริ่มส่องแสงเป็นประกาย ช่วยลดมานาภายในดวงตาลงได้เพียงเล็กน้อย
“ยินดีด้วยที่ได้ที่นั่งคลาสการต่อสู้พิเศษ!”
เจสันพูดขณะที่ดึงเซรอนออกจากกลุ่มที่ก่อตัวขึ้นรอบตัวพวกเขาเนื่องจากการเผชิญหน้ากันอย่างเงียบๆที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสองที่ดึงดูดความสนใจของทุกคน
เด็กหนุ่มผมสีฟ้าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาเห็นและสิ่งที่ได้ยินในนาทีสุดท้าย เนื่องจากเขาไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน และเขากําลังจะไล่ตามเจสัน
ทันใดนั้น เจสันสังเกตเห็นความผันผวนของมานาที่คุ้นเคยจากอีกด้านหนึ่งของเวทีการต่อสู้ขณะที่เขาเหลือบมองไปทางทิศทาง
ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยและทุกอย่างก็สมเหตุสมผล
โดยไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป เจสันหันกลับมามอง
“ครอบครัวคุณชื่อเดรกหรือเปล่า”
ตอนที่ 160 ความสามารถสูง
เมื่อเจสันเข้าสู่สนามประลองอีกครั้งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยมีนักเรียนที่คล้ายกันหลายร้อยคนยืนอยู่ข้างหน้า และเจสันทําได้เพียงถอนหายใจอย่างผิดหวังในขณะที่สายตาของเขาได้สัมผัสถึงใครบางคนในหมู่เด็กนักเรียนนับร้อย
นั่นเป็นคนเดียวที่ดูแตกต่างจากนักเรียนคนอื่นๆที่ยืนอยู่มากมาย และด้วยดวงตามานาของเจสัน ทําให้เจสันรู้ว่านั้นคือเด็กที่มีความสามารถพอที่เหมาะสมที่จะต่อสู้ด้วย
สิ่งนี้ทําให้อารมณ์พุ่งพล่านของเจสันกระตุ้นขึ้นและเขายิ้มเบาๆ ขณะที่เจสันนั่งลงข้างๆเซรอนที่จ้องมองเขาอย่างประหลาด สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นในใจของเขา
อาร์ทิมิสนั่งบนไหล่ของเจสันเหมือนปกติ และทุกคนคุ้นเคยกับอาร์เทมิสแล้ว แต่พฤติกรรมของเจสันเปลี่ยนไปในช่วงสี่วันที่ผ่านมา มันทําให้นักเรียนคลาสการต่อสู้พิเศษตั้งคําถามว่า เขาทําอะไรมาบ้างในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากอารมณ์และพวกเขารับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเจสัน
เจสันนั้นไม่รู้ตัว ว่าการควบคุมมานาของเขานั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากในขณะที่ฝึกซ้อมในการกําจัดสิ่งเจือปนในแร่ธาตุให้บริสุทธิ์
ในความเป็นจริง อารมณ์ของเจสันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่ประสิทธิภาพของเขาในการใช้เทคนิคการรวบรวมมานาแบบพาสซีฟนั้นเป็นสิ่งที่ชัดเจนมากในการบ่งบอกถึงการควบคุมมานาที่ดีขึ้นของเจสัน
การรวบรวมมานาแบบพาสซีฟของเขาเป็นไปตามคําสั่งของเจสันเท่านั้น และในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาได้เปลี่ยนลักษณะของการรวบรวมมานาของเขาเล็กน้อยด้วยการควบคุมมานาที่ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
ด้วยเหตุนี้ ไม่เพียงแต่การรวบรวมมานาของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถในการดูดซับมานาในแกนมานาของเขานั้นยังเพิ่มขึ้นอย่างมากอีกด้วย
เมื่อพิจารณาว่าการดูดซับมานาแบบพาสซีฟของเขานั้นค่อนข้างเร็วอยู่แล้ว เจสันจึงมั่นใจในการเลื่อนระดับของแกนมานาภายในสามสัปดาห์ข้างหน้า โดยไม่จําเป็นต้องดูดซับอนุภาคมานาแม้แต่นิดเดียว
เจสันยิ้มอย่างสดใสภูมิใจที่ได้ก่อตั้งพื้นที่ย่อยภายในจิตใจ ในขณะที่ยังอยู่ในระดับมือใหม่ ขณะที่เขาเข้าสู่โลกแห่งวิญญาณเพื่อดูทุกสิ่ง
โชคไม่ดีที่สกอร์พิโอยังคงอยู่ที่ระดับการตื่นขึ้นด้วยพลังวิญญาณ 15 หน่วย และเจสันยังคงรอโอกาสที่สมบูรณ์แบบที่จะขอให้ดาเลียทําการชําระล้างสกอร์พิโอให้บริสุทธิ์ ในขณะที่เชนเชื่อว่าเจสันต้องโฟกัสไปที่การตีเหล็กเพียงอย่างเดียวในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม สกอร์พิโอไม่ได้ออกจากโลกวิญญาณแม้ว่ามันรู้สึกหงุดหงิดและหดหูอย่างเห็นได้ชัดซึ่งทําให้เจสันตกใจ ในขณะที่เจสันจําได้ว่าสายวิญญาณที่สองของเขาเป็นสัตว์อสูรที่เต็มไปด้วยพลัง
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่แน่ชัดว่าเจสันจะมุ่งความสนใจไปที่อะไรในวันต่อๆไปเท่านั้น เนื่องจากเขาไม่สามารถยอมรับภาวะซึมเศร้าของสกอร์พิโอได้ แม้ว่าเขาจะต้องต่อสู้กับความดื้อรั้นของเชน
สกอร์พิโอมีความสําคัญต่อเขามากกว่าเชน และเหมาะสมแล้วที่เจสันจะถามดาเลียว่าเธอจะช่วยเสริมความบริสุทธิ์ของสายใยวิญญาณที่สองของเขาได้หรือไม่ ตราบใดที่เขาให้ทรัพยากรเพียงพอกับเธอ มันจะไม่เป็นปัญหา และโชคดีที่เขาครอบครองมันด้วยทั่งมานาเกรด 3 ที่เขาขายไป เมื่อนานมาแล้ว
นอกจากสกอร์พิโอแล้ว เปลวไฟต้นกําเนิดสีดํายังคงกะพริบอยู่รอบๆ โดยไม่ได้รับหน่วยพลังงานวิญญาณแม้แต่หน่วยเดียว ซึ่งทําให้มันไม่พอใจอย่างมาก แต่เจสันไม่สามารถจัดหาพลังวิญญาณที่สามให้กับสายใยแห่งวิญญาณได้ เพราะการปล่อยให้อาร์เทมิสเข้าสู่โลกวิญญาณอีกครั้งคือสิ่งสําคัญที่สุดของเขา
การเข้าสู่โลกแห่งวิญญาณมีความสําคัญอย่างยิ่งสําหรับอาร์เทมิส แม้ว่าเจสันจะไม่แน่ใจว่าทําไมถึงเป็นเช่นนั้น
มันไม่ได้เป็นประโยชน์กับมันจริงๆ และมันก็มีอิสระมากกว่านั้น!
การถามมัน ทําให้เจสันไม่ได้รับําตอบใดๆ และเจสันทําได้เพียงเชื่อฟังพฤติกรรมของมันอย่างไม่เห็นด้วย
ณ ตอนนี้ พลังงานวิญญาณของเจสันมีถึง 129.6 หน่วย ต้องขอบคุณเกลียวพลังงานวิญญาณห้าสาย ซึ่งเขาใส่เข้าไปในแกนโลกวิญญาณของเขาสามครั้งต่อวันโดยไม่ล้มเหลว
อาจต้องใช้เวลาสักระยะสําหรับเขาในการตอบสนองความต้องการของสายสัมพันธ์ทั้งสามของเขาในคราวเดียว ซึ่งต้องใช้หน่วยพลังงานวิญญาณประมาณ 145 หน่วยในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด เขาก็เข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นทุกวันที่ผ่านไป
แม้ว่าหลังจากบรรลุข้อกําหนดเพื่อฝึกฝนเทคนิคเฮฟวี่เฮลล์ระดับที่สามแล้ว เจสันก็ยังลังเลที่จะฝึกฝนเนื่องจากเหตุผลหลายประการ
อย่างแรก เวลาของเขามีจํากัด และเขาไม่สามารถจัดสรรเวลาให้กับการฝึกซ้อมเทคนิคเฮฟวี่เฮลล์ได้ และประการที่สอง ประเด็นที่เขาจะต้องให้ความสําคัญนั้นเพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า แม้ว่าเจสันจะไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้จะเป็นไปไมากน้อยเท่าใด
ในท้ายที่สุด เขาต้องเปลี่ยนไปใช้ระดับความยากที่ต่ํากว่าของเทคนิคเฮฟวี่เฮลล์อีกครั้ง และเขาสงสัยว่านั่นมีประโยชน์หรือไม่ เพราะการเพิ่มพลังวิญญาณของเขาในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว
สิ่งนี้ทําให้เจสันไตร่ตรองในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา แต่จากความสําเร็จในปัจจุบันของเขา
เชนพอใจกับผลงานที่ได้รับในชั้นเรียนช่างตีเหล็กในช่วงเช้า และเจสันก็ลืมเข้าร่วมการบรรยายของช่างฝีมือของโรงเรียนที่เขาเคยใช้เมื่อตอนเริ่มต้น
อย่างไรก็ตาม การพลาดการบรรยายนั้นไม่ได้แย่นักสําหรับเขา เนื่องจากพวกเขามุ่งเน้นไปที่วิธีการพื้นฐานที่สุดในการหลอม ปรุงยา และจารึกอักษรรูน ซึ่งเจสันได้ค้นพบแล้วด้วยความรู้มากมายจากที่เชน, ดาเลีย และคนจํานวนมากมอบหนังสือให้เขา
ดังนั้น มันจะเป็นการเสียเวลาสําหรับเขาที่จะเข้าร่วมการบรรยายของช่างฝีมือ และเจสันต้องการมุ่งเน้นไปที่แร่บริสุทธิ์ที่สมบูรณ์แบบของเขา
เพียงไม่ถึงสามวันนับตั้งแต่เขาทําให้แท่งหยกเหล็กหยกก้อนแรกของเขาบริสุทธิ์ เจสันก็มีความชํานาญมากขึ้นในเรื่องนี้ เนื่องจากเขาทราบถึงข้อเท็จจริงที่สําคัญที่สุดที่เขาต้องดูแลอยู่แล้ว
การควบคุมมานา ความไวของมานา ความแม่นยํา และยิ่งไปกว่านั้น การควบคุมเปลวไฟ ต้นกําเนิดสีดําของเขาเป็นส่วนที่สําคัญที่สุด เนื่องจากความสามารถทั้งหมดนั้นมาจากความสามารถอันน่าทิ้งของดวงตามานาของเขา ซึ่งทําให้เจสันประหลาดใจในตัวเอง
ในท้ายที่สุด ดวงตามานาของเขาช่วยให้เขาเร่งกระบวนการทั้งหมดในการทําให้แร่เหล็กหยกบริสุทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบเมื่อเวลาผ่านไป และเพียงสามวันต่อมา เจสันก็เชี่ยวชาญในการทําให้แท่งเหล็กหยกบริสุทธิ์เพียงพอ เกือบจะขจัดสิ่งสกปรกทั้งหมดออกไป
แม้ว่าแร่เหล็กหยกเป็นแร่และวัสดุเกรด 1 พื้นฐานที่สุด แต่ก็ยังเป็นความสําเร็จที่น่าอัศจรรย์ในการทําให้บริสุทธิ์ด้วยการพยายามเพียงไม่กี่ครั้ง ทําให้เชนและดาเลียรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งในตัวเจสัน
นั่งถัดจากเซรอน ทั้งสองรอให้นักเรียนเข้าสู่สนามรบ ในขณะที่เจสันยังคงคิดถึงนักเรียนคนนี้ที่โดดเด่นกว่าคนอื่นด้วยสายตามานาของเขา
ผู้คนที่นั่งชั้นต่อสู้พิเศษคนอื่นๆ มาถึงเพียงไม่กี่นาทีหลังจากเจสัน แต่ดูเหมือนมีบางอย่างผิดปกติสําหรับพวกเขาสองคน เมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องซุบซิบ
“พวกคุณเคยได้ยินเกี่ยวกับโรงเรียนหลักที่ส่งนักเรียนคนแรกของพวกเขาเพื่อค้นหาความแข็งแกร่งของโรงเรียนในเครือหรือไม่”
เด็กนักเรียนคนหนึ่งได้กล่าวถามผู้คนที่อยู่รอบๆ
“จริงเหรอ ทําไมพวกเขาถึงต้องทําแบบนั้นด้วย พวกเราไม่ได้มีปัญหากับพวกนั้นนิ หรือพวกเขาแค่ท้าทายเรางั้นหรอ”
นักเรียนอีกคนโต้กลับ
ไม่มีใครตอบเขาและนักเรียนส่วนใหญ่ที่กําลังจะคุยกับเขาได้หันหลังให้ ทําให้บรรยากาศที่น่าอึดอัดกระจายไปทั่วสนามประลอง
เจสันรู้ว่ามีนักเรียนที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง แต่การที่นักเรียนคนนั้นถูกละเลยนั้นเป็นเรื่องที่แปลก
เป็นเรื่องกติไหมที่นักเรียนที่อ่อนแอ จะไม่โต้กับจากการถูกรังแก
ตอนที่ 159 ก้าวเล็กๆ
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เสื้อผ้าของเจสันก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ขณะที่เขาจ้องมองที่แท่งหยกเหล็กที่อยู่ด้านหน้าเขาด้วยความชื่นชอบและความภาคภูมิใจ
เขาลืมไปแล้วว่ากี่ครั้งที่เขาล้มเหลวในการขับสิ่งสกปรกภายในแร่หยกเหล็ก และมีเพียงเศษที่กองกันเป็นภูเขาเล็กๆ ทางด้านซ้ายของเขาเท่านั้นที่สามารถให้คําตอบกับเจสันได้
แต่เจสันไม่สนใจเรื่องนั้นในขณะที่แท่งหยกเหล็กที่อยู่ข้างหน้าเขาส่องประกายออกมาเล็กน้อย เผยให้เห็นออร่าสีดําจางๆ แม้ว่าจะไม่ได้มองเห็นได้ชัดแต่ก็มีออร่าจางๆอยู่
เชนมองเจสันอย่างประหลาด ขณะที่เขาตั้งคําถามกับตัวเองว่าดวงตาของเจสันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการหล่อหลอมหรือว่าเปลวไฟต้นกําเนิดที่เขาครอบครองนั้น เป็นสาเหตุของความสามารถที่มากมายของเขาในการทําให้แร่หยกเหล็กนั้นบริสุทธิ์
หลังจากตรวจสอบแท่งหยกเหล็กที่อยู่ต่อหน้าเจสัน เชนก็รู้สึกงงงันเมื่อพบว่าเป็นแท่งเหล็กหยกที่บริสุทธิ์นั่น บริสุทธิ์เกือบสมบูรณ์ ทําให้เขาตกตะลึงอย่างมาก
เชนเริ่มรู้สึกอิจฉาดวงตามานาและเปลวไฟต้นกําเนิดของเจสัน แต่ในทางกลับกัน มันเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากสําหรับทั้งคู่ เพราะนั่นจะช่วยให้เชนลดระยะเวลาที่กําหนดในการสอนเจสันลงได้ ภายในสองสามเดือนในทันที
ในขั้นต้น เชนคาดว่าเจสันจะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเรียนรู้วิธีหลอมแท่งที่บริสุทธิ์จากแร่ทุกชนิด แต่เจสันพิสูจน์ว่าเขาคิดผิด..
แม้ว่าเขนจะมั่นใจว่าเจสันจะเรียนรู้วิธีทําให้แท่งแร่บริสุทธิ์ได้เร็วกว่าตัวเองมาก เนื่องจากดวงตามานาและเปลวไฟต้นกําเนิดของเจสัน และเชนเองก็ประเมินความสามารถของลูกศิษย์ต่ําเกินไป
หากเขารู้ว่าเจสันมองเห็นอนุภาคของสิ่งสกปรกในแร่ทุกเม็ด เชนคงจะโกรธจัดและรู้สึกอิจฉามากเกินไป แต่โชคดีที่ไม่เป็นเช่นนั้น
แม้แต่เจสันเองก็ยังประหลาดใจกับการควบคุมเปลวไฟ หลังจากผ่านไปสองสามชั่วโมง เนื่องจากเขาสามารถรักษาอุณหภูมิที่ค่อนข้างคงที่ได้หลังจากทดลองมาระยะหนึ่งแล้ว
เจสันตัดสินใจใช้อุณหภูมิปานกลางระหว่างอุณหภูมิสูงสุดที่เป็นไปได้ในการทําให้แร่หยกเหล็กบริสุทธิ์กับอุณหภูมิที่ต่ําที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อรักษาภาวะคงตัวของแร่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทําให้เจสันรําคาญมากกว่าการควบคุมเปลวไฟต้นกําเนิดสีดําคือการฉีดมานาของเขาลงในแม่พิมพ์หยกเหล็ก ขับไล่สิ่งเจือปนออกอย่างแรงโดยนําพวกมันไปรอบๆ โดยไม่กระทบกับเส้นมานาที่อาจสร้างความเสียหายให้กับเขา ดูเหมือนจะใช้พลังงานมากกว่าขั้นตอนอื่นๆ
แม้ว่าแท่งหยกเหล็กที่บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ตรงหน้าเขาจะเป็นความสําเร็จครั้งแรกของเขา เจสันก็โชคดีเพราะสิ่งสกปรกอยู่ภายนอกและไม่ลึกเข้าไปในแม่พิมพ์เหล็กหยก
ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจสร้างความเสียหายให้กับเส้นมานา และลดประสิทธิภาพของการทําให้บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าจะไม่ได้ทําลายเส้นมานาภายในอย่างสมบูรณ์ก็ตาม
ในตอนแรก เจสันรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นและจดจ่อกับงานตรงหน้าเขา โดยไม่สนใจทุกสิ่งรอบตัวเขาในช่วงเวลานั้น
ตอนนี้เป็นเวลาอาหารกลางวันแล้วเมื่อเจสันเสร็จสิ้นการลองครั้งแรกของเขา และในตอนแรกเขาอยากจะฝึกต่อไปมากขึ้นไปอีกเมื่อเขาสังเกตเห็นเชนและดาเลียอยู่ข้างหลังเขา ในขณะที่อาร์เทมิสยืนอยู่บนโต๊ะห่างออกไปอีก
เขาไม่ได้สังเกตด้วยซ้ําว่าอาร์เทมิสกับดาเลียตามเขามาที่ห้องใต้ดิน และเจสันสงสัยว่าทําไมพวกเขาถึงมองตนเองอย่างผิดปกติ
ขณะที่เชนส่ายหัวปฏิเสธ ดาเลียก็หัวเราะก่อนที่เธอขอให้เจสันเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อให้ตัวเองพร้อมที่จะไปโรงเรียน
ก่อนหน้านี้ เธอต้องการสอนการเล่นแร่แปรธาตุให้เจสันและวิธีทําสร้างอักษรรูนที่สมบูรณ์แบบ แต่เมื่อเธอเห็นความมุ่งมั่นของเจสันขณะที่เอาสิ่งสกปรกในแร่ออก ดาเลียก็มั่นใจว่าเจสันจะทําได้ดี เธอจึงตัดสินใจว่าจะสอนเรื่องเหล่านั้นในภายหลัง
การเข้าสังคมและการอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงเป็นสิ่งสําคัญในความเห็นของดาเลีย และเธอต้องการให้เจสันใช้ชีวิตในวัยหนุ่มของเขาให้ดีที่สุดโดยไม่ต้องกังวลใดๆ แม้ว่าพวกเขาจะได้บังคับให้เจสันต้องรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวง
เจสันสามารถบรรลุความรับผิดชอบนี้ได้ในภายหลัง ถ้าเขาต้องการ และจะไม่มีประโยชน์ที่จะแยกเขาออกจากคนรอบข้าง
มันค่อนข้างจะเป็นอันตรายต่อการพัฒนาโดยรวมของเขาและทําให้เขามีมนุษยธรรมน้อยลง เขาอาจจะทําตัวลุ่มง่ามในสังคมและหลบกลับไปที่กระดองของเขา
สิ่งที่พวกเขาคาดหวังจากเจสันคือการนํามนุษยชาติไปสู่ยุครุ่งเรืองยิ่งขึ้น และเพื่อให้เป็นไปได้ เขาจะต้องมีทักษะในการเข้าสังคมที่เหนือขึ้นและไม่รู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ร่วมกับผู้คน
อาร์เทมิสรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมากตลอดสองสามชั่วโมงที่ผ่านมา และการชมเจสันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เมื่อมันเห็นว่าเขาทําเรื่องเดิมซ้ําแล้วซ้ําเล่า
มันไม่สามารถเข้าสู่โลกวิญญาณของเจสันได้ด้วยซ้ํา เพราะพลังงานวิญญาณที่มันต้องการนั้นสูงเกินกว่าที่เจสันจะรับมือได้และอยู่ใกล้เขาในขณะที่เขาทํางานก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน
ในทางตรงกันข้าม มันรู้สึกอึดอัดที่จะอยู่ใกล้เจสันเนื่องจากความร้อนจากแหล่งกําเนิดเปลวไฟ ซึ่งมันไม่ชอบเลยจริงๆ ที่น่าตลกคือ สกอร์พิโอและอาร์เทมิสเป็นคนละขั้วกัน ตัวหนึ่งชอบความอบอุ่นและความร้อน อีกตัวหนึ่งชอบความเย็น
เมื่อเจสันเหลือบมองดูนาฬิกา เขาเก็บแท่งเหล็กหยกบริสุทธิ์ของเขาไว้ ก่อนที่เขาจะออกจากห้องตีเหล็กและเข้าไปในห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่
เชนส่งเขากลับสู่พื้นผิว และอาร์เทมิสก็บินผ่านยอดไม้เพื่อต้อนรับอากาศบริสุทธิ์และแสงแดดที่ส่องขนนกสีขาวของเธอ
ความร้อนจากดวงอาทิตย์ไม่ได้ทําให้อาร์เทมิสอึดอัดใจ มีเพียงเปลวไฟสีดําที่เจสันมี แม้ว่าอาร์เทมิสจะไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
มันมีความรู้สึกแปลกๆ ในใจว่าเปลวไฟสีดําของเจสันเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดที่มันเคยสัมผัส
ด้วยเหตุนี้ อาร์เทมิสจึงบอกตัวเองว่าจะเอาชนะความร้อนของเปลวไฟหรือหนีไปให้ไกลที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้จากเปลวไฟ เพื่อที่จะไม่ต้องเผชิญหน้ากับเปลวไฟอีกเลย
น่าเสียดายที่ทั้งอาร์เทมิสและเปลวไฟต้นกําเนิดสีดําเป็นวิญญาณของเจสัน ทางเลือกหลังนี้เป็นไปไม่ได้และอาร์เทมิสสามารถเสริมกําลังตัวเองได้เพียงเพื่อบรรเทาความกังวลใจต่อเปลวไฟต้นกําเนิดสีดํา
ขณะที่เจสันวิ่งไปที่สนามประลอง เจสันพบว่ามีนักเรียนจํานวนมากที่ท้าทายพวกเขามากกว่าวันก่อน แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นมีมากกว่าผู้ท้าชิงครั้งก่อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
น่าเสียดายที่ไม่มีนักเรียนจากโรงเรียนหลักแม้แต่คนเดียวที่มาร่วมงานในวันนี้ และเป็นไปได้มากว่ามีนักเรียนระดับสูงจากโรงเรียนในเครือที่เหลือ ส่งผลให้เจสันรู้สึกหดหูเล็กน้อย
ยังมีเวลาเหลืออีกสักระยะก่อนที่บทเรียนการต่อสู้พิเศษจะเริ่มขึ้น และเจสันก็ตัดสินใจที่จะฝึกเทคนิคเฮฟวี่เอลล์เพื่อเพิ่มพลังวิญญาณของเขา
ตอนที่ 158 ความล้มเหลว คือ จุดเริ่มต้นของความสําเร็จ
ความคิดของเจสันนั่นโฟกัสที่จุดอื่นเพราะเขายังคงคิดถึงสีที่เปล่งประกายจากแท่งหยกเหล็กที่อยู่ตรงหน้าเขา แต่คําพูดของเชนก็สมเหตุสมผลสําหรับเขา เขาสงสัยว่าจะมีใครซักคนที่สามารถ ทําทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่ล้มเหลวแม้แต่ครั้งเดียว
เมื่อสติเขาเจสันกลับมา เจสันคิดว่ามันเป็นความจริงที่ชัดเจนว่าเขาจะต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดของเขา ซึ่งเขาจะต้องแก้ไขได้ในอนาคตอย่าแน่นอน
การเรียนรู้วิธีทําแท่งหยกเหล็กที่สมบูรณ์แบบเป็นขั้นตอนแรกที่เจสันต้องเชี่ยวชาญเพื่อที่จะเป็นช่างตีเหล็กที่มีชื่อเสียง
เขาไม่แน่ใจว่าเขานั้นต้องการที่จะเป็นช่างตีเหล็กระดับสูง นักเล่นแร่แปรธาตุ หรืออาจารย์รูนหรือไม่ แต่มันเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากที่จะรู้เกี่ยวกับอาชีพทั้ง 3 ในระดับหนึ่ง
ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดคือการเป็นช่างฝีมือระดับสูงสามารถช่วยให้บุคคลนั้นได้รับเครดิตและสตาร์โน้ตได้มากตราบเท่าที่เขาขยัน ในขณะที่การควบคุมมานาของเขาจะเพิ่มพูนขึ้นพร้อมๆกันกับการฝึกฝนของเขา
นอกจากนี้ เจสันยังเชื่อมั่นในอาวุธและชุดป้องกันที่ผลิตโดยคนที่เป็นช่างฝีมือระดับสูง
หากอาวุธแตกหักระหว่างการต่อสู้ ความตายคือผลลัพธ์เดียว และนี่คือสิ่งที่เจสันต้องการหลีกเลี่ยงในทุกกรณี
ต้องขอบคุณดวงตามานาของเขา เขาสามารถเห็นได้ว่าความทนทานของกริชหยกเหล็กที่ชุบแข็งของเขาแย่ลงทุกวัน และเขาโชคดีเท่านั้นที่เขาไม่ต้องออกไปล่าสัตว์ในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องซื้อ มีดสองสามเล่มเพื่อความปลอดภัย
แต่ถึงกระนั้น มีดสั้นระดับกลางขั้น 1 ที่เจสันกําลังใช้อยู่ในขณะนี้ ไม่แข็งแรงพอที่จะเจาะทะลุผิวหนังของสัตว์อสูรที่ตื่นขึ้นบนยอดเขาได้
ดังนั้น เจสันจึงต้องสร้างอาวุธให้ตัวเองโดยเร็วที่สุด ยิ่งเกรดสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
มันยังเป็นไปได้ที่จะสร้างอาวุธเกรด 2 ด้วยวัสดุเกรด 1 ตราบใดที่มันถูกทําให้บริสุทธิ์เพียงพอ โดยมันจะสามารถปลดปล่อยศักยภาพของวัสดุออกมา 100%
นอกจากนี้ หลังจากจารึกอักษรรูนลงไป เจสันจะสามารถปรับปรุงความคมและความทนทานของอาวุธของเขา เสริมความแข็งแกร่งและความสามารถในการใช้งานให้สูงกว่าอาวุธทั่วไปที่คนในระดับเดียวกับเขา
ในท้ายที่สุด เจสันก็มั่นใจในการผลิตอาวุธมานาหลอกด้วยแร่หยกเหล็ก ตราบใดที่เขามีเวลาเพียงพอ
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างอาวุธมานาที่มีหยกเหล็กเป็นส่วนประกอบเพียงอย่างเดียว เนื่องจากจําเป็นต้องมีแร่และส่วนผสมอื่นๆเพิ่มเติม นับตั้งแต่ที่อ่านเกี่ยวกับการตีขึ้นรูป เจสันก็หลงใหลในศิลปะการทําอาวุธและการสอบช่างฝีมือของเขาได้เติมพลังความทะเยอทะยานของเขาที่จะสามารถสร้างอาวุธมานาได้ ตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่าเขาได้ก้าวเข้ามาใกล้เพื่อเติมเต็มความฝันทั้งๆที่เขารู้ว่าเขายังมีหนทางอีกยาวไกล
ใครกันที่ไม่อยากสร้างอาวุธอันทรงพลังที่สามารถเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาให้เพิ่มขึ้นอย่างมาก และสามารถพลิกสถานการณ์การต่อสู้ได้
อาชีพของช่างตีเหล็กและรูนมาสเตอร์นั้นเชื่อมโยงกันและมักจะควบคู่ขนานกันไป นักเรียนจะเดินไปเรียนรู้งานฝีมือ เจสันรู้ว่าเขาต้องเชี่ยวชาญทั้งสองอย่างจึงจะสามารถผลิตอาวุธมานาได้ด้วยตัวเอง
ความฝันเล็กๆ อย่างหนึ่งของเจสันคือการผลิตอาวุธที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งจะทําให้เขาทําลายภูเขาให้แตกสลายได้เหมือนกับนิทานที่แม่ของเขาจะเล่าให้เขาฟังในวัยเด็ก
สิ่งที่เขาอยากรู้อย่างยิ่งคืออาวุธวิญญาณและอยากรู้ว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร แต่น่าเสียดายที่หนังสือเชิงทฤษฎีที่เขาได้รับจากเชนและดาเลียไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
เจสันเชื่อว่าเชนและดาเลียต้องการบันทึกข้อมูลนี้ และจนกว่าเขาจะถึงเกณฑ์ที่กําหนด และเขามั่นใจว่าจะบรรลุเป้าหมายในไม่ช้า
แม้ว่าเจสันจะมีความรู้เกี่ยวกับการสร้างอาวุธวิญญาณ แต่เขาก็ยังต้องเรียนรู้พื้นฐาน
เจสันน้ําแร่หยกเหล็กออกมา ซึ่งมันกองเป็นกองพะเนินเล็กๆ
ขณะที่ยกชิ้นส่วนขนาดใหญ่ขึ้น เจสันก็เข้าไปที่โรงตีเหล็ก ขณะที่เชนก้าวถอยหลังโดยไม่พูดอะไรเลย
เชนจะสังเกตทุกอย่างอย่างระมัดระวัง และเขาตัดสินใจที่จะอธิบายความผิดพลาดของเจสันหลังจากความล้มเหลวทุกครั้ง
ในขณะที่เจสันหายใจเข้าลึกๆ เจสันก็สงบสติอารมณ์ลงก่อนที่เปลวไฟต้นกําเนิดสีดําจะปรากฏขึ้นในมือของเขา
เจสันนําเปลวไฟไปทางโรงตีเหล็กอย่างช้าๆ เจสันกระตุ้นดวงตามานาของเขาโดยตรงเพื่อติดตามทุกย่างก้าวโดยละเอียดและสมบูรณ์แบบ
อย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่เจสันต้องการจะทําในขณะที่เขาทําให้เปลวไฟร้อนขึ้นจนถึงอุณหภูมิที่จําเป็นในการหล่อแร่หยกเหล็ก
เมื่อสังเกตเห็นออกไซด์ที่ทําปฏิกิริยากับหินปูนภายในโรงตีเหล็ก เจสันจึงนําหยกเหล็กออกจากโรงตีเหล็ก ก่อนที่เขาจะส่งมานาของเขาเข้าไปในแม่พิมพ์หยกเหล็กที่ร้อนระอุ
ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีและเขาก็เหงื่อออกอย่างมากแล้วเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าการดึงสิ่งสกปรกออกมาจากหลกเหล็กนั้นยากกว่าที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้มาก
ขณะฉีดมานาเข้าไปในแม่พิมพ์หยกเหล็กอย่างแรง เจสันสังเกตว่ามันยากขึ้นสําหรับเขาที่จะดําเนินต่อไปเมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น
เจสันสับสนและสังเกตเห็นว่าหยกเหล็กเย็นลงเมื่อเขาไม่สามารถขจัดสิ่งสกปรกออกได้ในชั่วขณะ
ด้วยความรู้สึกโง่เขลาอย่างยิ่ง เจสันสาปแช่งตัวเองโดยจําไว้ว่าจะสามารถดึงสิ่งสกปรกออกจากแร่ได้ ตราบใดที่มันยังร้อนเพียงพอ
การทําให้เหล็กหยกร้อนขึ้นอีกครั้ง เจสันได้เพิ่มอุณหภูมิของเปลวไฟต้นกําเนิดของเขาขึ้นสองสามองศา แล้วทําซ้ํากระบวนการฉีดมานาของเขาลงในหยกเหล็กอีกครั้ง
คราวนี้มันง่ายกว่ามากที่จะนําสิ่งเจือปนออกจากหยกเหล็ก ในขณะที่เขาเพิ่มความร้อนของเปลวไฟอีกครั้งด้วยความทะเยอทะยานที่ส่องประกายในดวงตาของเขา
น่าเสียดายที่เจสันลืมควบคุมเปลวไฟต้นกําเนิดสีดําของเขา และเพิ่มอุณหภูมิเป็นเปลวไฟสูง ซึ่งจะทําลายเส้นมานาภายในเหล็กหยกในทันที ทําให้มันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เมื่อมองดูเศษเหล็กที่อยู่ข้างหน้าเจสันก็ขมวดคิ้วอย่างสุดซึ้ง ขณะที่เขาหยิบแร่เหล็กหยกชิ้นต่อไป พยายามอีกครั้ง เพราะเขาไม่สามารถยอมรับความล้มเหลวของเขาได้
เชนไม่รู้สึกว่าจําเป็นต้องแก้ไขข้อผิดพลาดของเจสัน เพราะดูเหมือนว่าเจสันนั้นจะสังเกตเห็นด้วยตัวเอง
การทํางานด้วยอุณหภูมิที่ต่ํากว่านั้นเป็นไปได้ แต่จะเสียมานาจํานวนมากเนื่องจากความยากที่เพิ่มขึ้นและเสียเวลามากขึ้นไปอีก
ในขณะเดียวกัน การใช้อุณหภูมิสูงสามารถช่วยให้เขาดําเนินกระบวนการให้เสร็จสิ้นเร็วขึ้น แต่อุณหภูมิที่สูงเกินไปนั้นควบคุมได้ยาก มิฉะนั้น แร่จะค่อยๆเสื่อมสภาพลงเนื่องจากเส้นมานาที่เสียหาย
ในยุคที่ผ่านมา ทุกอย่างล้วนมีมานา และการตีอาวุธที่มีเส้นมานาไหม้เกรียมนั้นแย่ยิ่งกว่าการสร้างอาวุธไร้เกรด เนื่องจากมานาที่เพิ่มขึ้นภายในอาวุธเป็นสิ่งเดียวที่ทําให้พวกมัน “มีชีวิต” และมีประโยชน์
การฉีดมานาลงในอาวุธไม่เพียงแต่เพิ่มความคม ความทนทาน และประสิทธิภาพของอาวุธเท่านั้น แต่ที่สําคัญกว่านั้นคือ ความจริงที่ว่าอาวุธที่มีค่าการนํามานาสูงสามารถมีความรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเสริมของร่างกายของผู้ถืออาวุธ
การมีอาวุธที่มีค่าการนําามานาต่ําหมายความว่า ผู้ใช้จะไม่สามารถรู้สึกถึงอาวุธได้ จึงเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวของผู้ถืออาวุธและทําให้เขาไม่สามารถต่อสู้อย่างเต็มศักยภาพ
เส้นมานาคือทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ สัตว์ร้าย หรือมนุษย์ และยิ่งพวกมันบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ การเพิ่มประสิทธิภาพที่ได้รับจากมานาที่ฉีดยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น รวมถึงความรู้สึกของการเคลื่อนไหวของร่างกายแทนอาวุธที่ใช้สังหาร
เจสันรู้สึกถึงกับความรู้เชิงทฤษฎีทั้งหมดที่ฝังอยู่ในจิตใจของเขา เขาต้องการสร้างแท่งโลหะบริสุทธิ์ที่สมบูรณ์แบบโดยเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์หยาบเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสําคัญของการทําให้บริสุทธิ์ เนื่องจากมีทุกสิ่งที่เจสันได้เรียนรู้ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา
ดวงตามานาของเจสันตรวจจับโดมน้ำใต้ดินได้อย่างง่ายดายในขณะที่เขาดำดิ่งลึกลงไปในทะเลสาบเล็กๆ ภายในป่า
โดยที่เขาไม่รู้ตัว เชนและดาเลียต่างก็กระตือรือร้นที่จะพบเจสัน เหมือนกันและมารอตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเขาต้องการและอยากคิดออกว่าพวกเขาจะไปได้ไกลแค่ไหนกับพรสวรรค์ของเจสัน
นับตั้งแต่วันที่เจสันยอมรับข้อเสนอที่จะมาเป็นสาวก พวกเขาก็กังวลและตื่นเต้นไม่แพ้กัน
หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเจสัน มันคงเป็นความหายนะ ในขณะที่ความสำเร็จในอนาคตของเขาสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ ตราบใดที่พวกเขามีเวลาเพียงพอที่จะดูแลเขาให้เป็นคนเข้มแข็ง
ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นวิสุทธิชน แต่สิ่งนี้ไม่ได้เปลี่ยนความคิดเห็นของพวกเขาเกี่ยวกับความอยุติธรรมที่แพร่หลายในอาณาเขตของมนุษยชาติและภัยคุกคามอันตรายที่มาจากทวีปอื่น ๆ อันเนื่องมาจากเผ่าพันธุ์อัจฉริยะจากต่างดาว
ด้วยโลกวิญญาณที่กว้างใหญ่ไพศาลของเจสัน เขาจะไม่มีข้อจำกัดใดๆ ตราบใดที่พลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้น บางสิ่งบางอย่างที่จะเกิดขึ้นต่อไป เจสันจะฉีดพลังวิญญาณเข้าไปในแกนโลกวิญญาณเป็นประจำเพื่อเพิ่มอัตราการผลิต
มนุษย์บางคนเรียกสิ่งนี้ว่า “การฝึกพลังวิญญาณ” ในขณะที่คนอื่นเรียกง่ายๆ ว่า “การฝึกกล้ามเนื้อ” เพราะพวกเขาเห็นว่าแกนโลกวิญญาณเป็นกล้ามเนื้อที่ต้องได้รับการฝึกฝนและเสริมความแข็งแกร่ง
เจสันเกือบจะไปถึงโดมที่ห่อหุ้มด้วยรูนหลายร้อยหรืออาจจะเป็นพันรูน ขณะที่พื้นที่ข้างๆ เขาบิดเบี้ยวด้วยมือเก่าที่ยื่นออกมาจากภายใน
เขาผงะกับการปรากฏตัวของมืออย่างกะทันหันและใช้เวลาสักครู่เพื่อสังเกตเห็นความผันผวนของมานาที่คุ้นเคย เขาเอื้อมมือไปอย่างช้าๆ และถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปในโดมอีกสองสามเมตร
เนื่องจากเยื่อหุ้มมานาอยู่รอบๆ เสื้อผ้าของเจสันจึงยังแห้งอยู่ เขาล้มลงกับพื้นเนื่องจากการดึงอย่างกะทันหัน และเขามองไปรอบๆ โดมขนาดใหญ่มากอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นโครงร่างที่คุ้นเคยสองอันยืนอยู่ข้างหลังเขา
เจสันยืนขึ้นและทักทายกับอาจารย์ของเขาด้วยรอยยิ้มที่สดใสซึ่งเต็มไปด้วยความปิติยินดีซึ่งทักทายเขาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขา
เชนและดาเลียต้องการเข้าไปในบ้านไม้หลังเล็กๆ ที่พวกเขาสร้างขึ้นภายในโดม แต่เจสันหยุดพวกเขาไว้ตามทาง
“อาจารย์! เราไปทำอย่างอื่นก่อนได้ไหม?”
เขาถามทำให้เชนและดาเลียหันไปด้วยท่าทางสับสนเล็กน้อย
“อาร์เทมิส วิญญาณแรกของผมยังอยู่ข้างบน…เธอไม่อยากดำดิ่งลงไปในน้ำ….อาจารย์ ช่วยพาเธอลงมาด้วยความสามารถเชิงพื้นที่หน่อยได้ไหม?”
เจสันถามด้วยความลังเลเล็กน้อย เขาไม่ต้องการทำให้เจ้านายของเขารู้สึกเหมือนเด็กทำธุระกับคำขอของเขา แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือจู่ๆ ดาเลียก็หัวเราะ เสียงหัวเราะของเธอทำให้เชนจ้องเขม็งไปที่ภรรยาของเขาครู่หนึ่ง
จู่ ๆ อาร์เทมิสก็บินเข้ามาทางประตูเล็ก ๆ ที่สร้างขึ้นก่อนที่เธอจะวนรอบภายในโดมและร่อนลงบนไหล่ของเจสันอีกครั้ง
เมื่อมองดูชายชราและหญิงชราที่ไม่คุ้นเคยสองคนที่อยู่ข้างหน้า อาร์เทมิสตกใจอย่างยิ่งที่สังเกตเห็นว่าถึงอนุภาคมานาของทั้งสองนั่นมหาศาลมาก
มันได้ส่งความสับสนให้เจสัน และมองไปที่เขาเพื่อขอคำอธิบาย เจสันทำได้เพียงยิ้มแปลกๆ เห็นด้วยกับความสับสนของอาร์เทมิส
แม้แต่ตัวเจสันเองด้วยดวงตามานาของเขาเองก็ไม่สามารถตรวจจับได้อะไรมากจากอาจารย์ ยกเว้นระดับแกนมานาของพวกเขา เจสันไม่สามารถระบุขนาดของแกนมานาหรือมานาที่เป็นของเหลวหรือของแข็งได้ภายในแกนมานาของพวกเขา
สิ่งเดียวที่เจสันสามารถบอกได้อย่างแน่นอนก็คือเชนอยู่ในอันดับที่สูงกว่าระดับลอร์ด เนื่องจากเขาได้สร้างคริสตัลภายในแกนมานาของเขาแล้ว ในขณะที่ดาเลียมักจะอยู่ในขั้นลอร์ด แม้ว่าเจสันจะทำไม่ได้ บอกได้เลยว่าชัวร์
เจสันรู้ดีว่าเชนเกิดเมื่อ 250 กว่าปีที่แล้ว ในขณะที่ดาเลียน่าจะอายุ 200 ปีเหมือนกัน และด้วยความรู้มากมายและระดับแกนมานาที่สูง พวกเขาจึงน่าจะยอดหัวกะทิของเหล่ามนุษย์
อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงต้องหนีจากผู้ฝึกตนระดับสูงสุดของมนุษยชาติที่เหลือ เนื่องจากพวกเขาแข็งแกร่งพอๆ กัน
ตอนนี้ มหาอำนาจทั้งสองต้องการให้เขาเอาชนะสัตว์ประหลาดที่มีอายุ 250 ปี ด้วยอายุเพียง 14 ปี ซึ่งเจสันพบว่าไร้สาระทีเดียว
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ประหลาดใจมากขึ้นกับปฏิกิริยาของเชนและดาเลีย เมื่อพวกเขาเห็นอาร์เทมิส
ทั้งสองเดินเข้ามาใกล้โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ทันใดนั้นทั้งคู่ก็ยืนต่อหน้าเจสัน และเขาทำได้เพียงยืนนิ่ง ในขณะที่อาร์เทมิสรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเธอถูกสแกนไปทั้งตัว
“นั่นนกฮูกเกล็ดหิมะเหรอ???”
เชนถามอย่างไม่เชื่อสายตาของเขา
ทั้งคู่รู้ว่าสายใยวิญญาณของเจสันกำลังพัฒนา แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นในตอนนี้กลับทำให้งงงันที่จะพูดง่ายๆ
เมื่อมองไปที่ดาเลีย เชนสามารถถามได้เพียงว่า
“เธอรู้ไหมว่านกตัวนี้เป็นคนสายพันธุ์ไหน”
แต่ดาเลียส่ายหัวด้วยแววตาเป็นประกายเล็กน้อย
แม้ว่าความรู้ของเชนจะมีมากมาย แต่ดาเลียก็เชี่ยวชาญด้านโลเกียสัตว์ร้ายมากกว่ามาก และมีความรู้เกี่ยวกับสัตว์เดรัจฉาน
ถ้าดาเลียไม่รู้ว่าอาร์ทิมิสเป็นสัตว์เดรัจฉานชนิดใด ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะถามใครในแอสทริกซ์หรือเกาะอื่น
มีแนวโน้มว่าจะมีมนุษย์เพียงสิบคนที่มีความรู้เกี่ยวกับสัตว์ร้ายมากกว่าดาเลีย และเมื่อเห็นเธอส่ายหัว ทำให้เชนรู้สึกตกใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ภูมิใจในตัวเจสัน
`ฉันเลือกถูกแล้ว เจสันเป็นลูกศิษย์ของเรา!!’ เชนบอกตัวเองพร้อมรอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของเขา
ดาเลียหันไปหาเจสันด้วยความอยากรู้และถาม
“เธอป้อนส่วนผสมและวัสดุอะไรให้นกตัวนี้ ถึงทำให้เกิดการวิวัฒนาการเช่นนี้ มันเคยเป็นสัตว์ป่าระดับสามดาวมาก่อนใช่ไหม สัตว์อันดับไม่มีความอดทนสูงโดยกำเนิดต่อทรัพยากร…”
เจสันสังเกตเห็นว่าตาของดาเลียเป็นประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น และความปรารถนาของเธอที่จะรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิวัฒนาการของอาร์เทมิสทำให้เขาประหลาดใจ แต่โชคไม่ดีที่เขาช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าอาร์เทมิสมีวิวัฒนาการแบบนั้นอย่างไร
“ผมให้มันกลืนแกนเวทย์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำแข็งที่มีระดับเวทย์มนตร์ลงไป และเริ่มพัฒนาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า.. ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ เขาสีดำสนิทก็งอกออกมาจากหน้าผากของมัน หรือเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความหงุดหงิดในสายตาของเจสัน ความอยากรู้อยากเห็นของดาเลียก็ลดลงเมื่อเธอพยักหน้า
“ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่มันยังแข็งแรงอยู่ ก็โอเคแล้ว”
เธอพูดขณะพยายามปิดหัวข้อด้วยคำพูดนั้น ขณะที่หัวใจของเธอรู้สึกผิดหวังมากเพราะเธอต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาร์เทมิส
ไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป พวกเขาเข้าไปข้างในเพื่อนั่งลงที่โต๊ะไม้ที่ปล่อยมานาจำนวนมาก
ก่อนหน้านี้ เจสันคิดว่าเขาน่าจะถูก แต่ก่อนที่พวกเขาจะเริ่ม ดาเลียเตรียมชาให้เจสัน มันช่วยให้เขาสงบลงกับความตึงเครียดที่สะสมในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มตั้งคำถามกับเจสันเกี่ยวกับหัวข้อทางทฤษฎีต่างๆ
สิ่งนี้ทำขึ้นเพียงเพื่อหาว่าความรู้เชิงทฤษฎีที่เจสันท่องจำได้มากเพียงใดในช่วงเดือนที่ผ่านมา และถ้าเขาสามารถเข้าใจทุกอย่างที่เขาอ่าน หรือถ้าเขาเพิ่งคิดไปเองโดยไม่รู้ว่าคำนั้นหมายถึงอะไร
ที่น่าแปลกใจคือ ความจำของเจสันนั้นยอดเยี่ยม และเขาสามารถตอบได้เกือบทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ ในขณะที่ความเข้าใจของเขาล้าหลัง ซึ่งเห็นได้ชัดเจนเท่านั้น
เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่เขาสามารถอ่านหนังสือมากกว่าหนึ่งโหลที่มีความรู้หลายพันหน้าภายในหนึ่งเดือนและจดจำประเด็นที่สำคัญที่สุดได้อย่างง่ายดาย
ความเข้าใจสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการทดลองเชิงปฏิบัติ และตอนนี้เชนและดาเลียเข้าใจคร่าวๆ ว่าจะเริ่มต้นการสอนอย่างไร
การแข่งขันนั่นเป็นไปอย่างราบรื่นกว่าที่เจสันคาดไว้ และ ‘คลื่นลูกแรก’ ที่ครูของพวกเขาเรียก กลับกลายเป็นว่าน่าเบื่อมากสำหรับเจสันและเซรอน
เมื่อหมดเวลาเรียน ทั้งเจสันและเซรอนก็ถูกท้าทายเพียงครั้งเดียว ก่อนที่ผู้ท้าชิงที่เหลือจะขอตัวเพื่อหาคนที่จะท้าทาย
ทักษะการต่อสู้ของเจสันไม่เป็นที่รู้จักสำหรับพวกเขา แต่ความสัมพันธ์ทางธาตุทั้งสองของเจสันต้องอยู่ในอันดับที่วิวัฒนาการมาจากสายวิญญาณทั้งสองนอกเหนือจากความสามารถสูงของเขากับทั้งสองสายสัมพันธ์
ด้วยเหตุนี้เจสัน จึงไม่เป็นตัวเลือกสำหรับใครสักคนที่ไม่มีข้อได้เปรียบด้านธาตุที่สมบูรณ์แบบหรือร่างกายที่ยอดเยี่ยมเพื่อที่จะสามารถเอาชนะเจสันได้
ความสามารถในการต่อสู้ของเซรอนนั้นค่อนข้างแปลก แต่ประเมินได้ง่ายกว่าของเจสัน เนื่องจากร่างกายของเขาดูเหมือนจะอยู่ที่ในระดับผู้ชำนาญระดับ 7
สิ่งที่ทำให้การประเมินความสามารถในการต่อสู้ของเซรอน ทำได้ยากมากคือความผันผวนของมานาลึกลับภายในร่างกายของเขา ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงการปรากฏตัวของเขาในเวทีการต่อสู้
ดูเหมือนว่าเซรอน จะสามารถผลิตรังสีดาบระดับผู้เชี่ยวชาญที่มีมานาสำรองเพียงพอในสระมานาของเขาเพื่อกำจัดคู่ต่อสู้ของเขาภายในหมอกหนาทึบที่บดบังสายตาของผู้ชม
ในท้ายที่สุด เป็นวิธีที่ชาญฉลาดกว่าในการเลือกนักเรียนจากโรงเรียนแวน การ์ดในเครืออื่น ๆ เป็นเหยื่อของพวกเขา เพื่อให้ได้ที่นั่งพิเศษในชั้นเรียนการต่อสู้
ด้วยเหตุนี้เจสันและเซรอนจึงถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังอีกครั้ง
ทั้งคู่รู้สึกผิดหวังที่ไม่มีใครท้าทายพวกเขา แต่มันเป็นเพียงเหตุผลที่เลือกเป้าหมายที่ง่ายกว่า ก่อนที่ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจะกล้าเสี่ยงและท้าทายพวกเขา เจสันหวังว่าน่าจะใช้เวลาสักระยะก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น
เจสันคาดการณ์ว่า ‘คลื่นลูกแรก’ เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของพายุที่ทำให้นักเรียนกลุ่มแรกสามารถท้าทายพวกเขาได้ เพราะเขาไม่เคยเห็นนักเรียนจากโรงเรียนหลักเลย
มันค่อนข้างน่าเบื่อ แต่เจสันและเซรอนตัดสินใจที่จะสังเกตการต่อสู้รอบตัวพวกเขา เพื่อดูว่ามีใครที่แข็งแกร่งพอที่จะข่มขู่พวกเขาหรือไม่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้พวกเขาสนใจเพียงบางเวลาเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะประลองกันเองโดยไม่ต้องใช้ความสัมพันธ์และความสามารถ เนื่องจากขนาดร่างกายและแกนมานาของพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกันในขณะนี้
การปะทะกันทำให้เกิดแรงกดดันมากขึ้นเนื่องจากพวกเขารู้จักรูปแบบการต่อสู้ของกันและกัน ซึ่งบังคับให้ทั้งคู่ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้เป็นครั้งคราวเพื่อที่จะชนะในการประลอง
ด้วยเหตุนี้ ทั้งเจสันและเซรอนจึงปรับรูปแบบการต่อสู้หลายครั้ง และเพิ่มความสามารถในการต่อสู้อย่างช้าๆ แต่มั่นคง
เป็นเวลา 5 โมงเย็นที่ครูของพวกเขาส่งพวกเขาทั้งหมดกลับบ้าน และอาร์เทมิสก็กระโดดขึ้นบนไหล่ของเขาก่อนที่พวกเขาออกจากบริเวณโรงเรียนในวันนั้น
แม้ว่าวันแรกของความท้าทายในโรงเรียนแนวหน้าที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะค่อนข้างน่าเบื่อ เจสันตั้งตารออนาคตและเขารู้ว่าคู่ต่อสู้ ‘ของจริง’ จะเปิดเผยตัวเองในภายหลังหากพวกเขาไม่สามารถรักษาคลาสการต่อสู้พิเศษได้ ที่นั่งภายในโรงเรียนหลัก
การได้รับที่นั่งสำหรับคลาสการต่อสู้พิเศษจากโรงเรียนแนวหน้าหลักเป็นเพียงเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ ที่นั่งของโรงเรียนในเครือไม่ต่างจากที่นั่งของโรงเรียนแนวหน้า ซึ่งหมายความว่าไม่มีข้อดีและข้อเสีย
แต่ถึงแม้ว่าเจสันจะตื่นเต้นกับความท้าทายในอนาคต แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับเขาในตอนนี้ก็คือการพบกับอาจารย์ของเขาอีกครั้ง เพราะมันเป็นเวลามากกว่าหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่การพบกันครั้งล่าสุด
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องการเรียนรู้ และในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถามที่เขาถามตัวเองเมื่ออ่านหนังสือกองโต
นอกจากนี้ เมื่อเขาหลอม ปรุงยา และจารึกเป็นครั้งแรก เจสันรู้สึกไม่พึงพอใจอย่างยิ่งกับผลลัพธ์ของเขา แม้ว่าผู้ตรวจสอบจะรู้สึกเป็นอย่างอื่น
อย่างไรก็ตาม เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนชอบความสมบูรณ์แบบและมีข้อบกพร่อง
บางครั้งเขาต้องการทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบโดยไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย ในขณะที่บางครั้งเขาก็ทำได้ดีเต็มที่กับการทำสิ่งขั้นต่ำสุดเปล่าๆ
แต่อย่างหลังไม่ได้นำไปใช้กับอาชีพไลฟ์สไตล์เช่นช่างตีเหล็กการเล่นแร่แปรธาตุและอักษรรูนซึ่งเจสันพบว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง
จากประสบการณ์ครั้งแรกของเขา เขาพบว่ามันยากมากที่จะสร้างอุปกรณ์ระดับคุณภาพ เขาแทบจะไม่สามารถสร้างสิ่งที่หยาบคายและความไร้ความสามารถของเขาได้เพียงเติมพลังให้เขาก้าวไปสู่ความเป็นเลิศ
วันนั้นจึงผ่านไปอย่างเงียบๆ โดย มาถึงบ้านของเฟลอร์ เพื่อดูเกร็กนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางหงุดหงิดและหดหู่ เพียงเพื่อจะลุกขึ้นด้วยความโกรธ
ดูเหมือนเกร็กจะได้รับบาดเจ็บ และเจสันก็พบว่าเพื่อนของเขาดูเหมือนจะพ่ายแพ้ในวันแรกของการเรียนวิชาการต่อสู้พิเศษ
เจสันได้ทำนายผลลัพธ์ดังกล่าวแล้ว และเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่เกร็กสามารถยึดที่นั่งของเขาไว้ได้นาน นี่คือตอนที่เขาค้นพบว่า ‘คลื่นลูกแรก’ ที่ครูของเขาเรียกว่ามีความหมายอะไรจริงๆ
น่าจะเป็นนักเรียนชั้นนำทั้งหมดจากโรงเรียนแนวหน้าหลักได้ท้าทายผู้ที่ครอบครองที่นั่งของคลาสการต่อสู้พิเศษและข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวของเกร็ก คือการมีร่างกายของผู้ชำนาญระดับ 9 ที่เขาได้รับด้วยการขยายวิญญาณที่สูงจากพันธะวิญญาณ ที่พัฒนาในช่วงกลางของเขา
ในท้ายที่สุด ร่างกายของเขาและความสามารถในการต่อสู้ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเป็นสิ่งเดียวที่เขามี และเจสันเชื่อว่าเกร็กเคยต่อสู้ในลักษณะเดียวกับเขาและเด็กหนุ่มร่างใหญ่
เขาช่วยเกร็กไม่ได้จริงๆ และต้องค้นหาข้อบกพร่องของตัวเองเพื่อแก้ไข
ในท้ายที่สุดอาจกล่าวได้ว่าเกร็กโชคดีมากเพราะเขามีสองโลกวิญญาณ ทำให้เขามีโอกาสใช้ธาตุในขณะที่เข้าถึงร่างกายอันน่าสะพรึงกลัวจากสัตว์อสูรที่ไม่มีธาตุ
เจสันตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่ออารมณ์ที่วุ่นวายของเกร็กซึ่งผันผวนระหว่างความโกรธและความขุ่นเคือง เจสันเข้าไปในห้องของเขาเพื่ออ่านสัตว์เดรัจฉานขั้นสูง ก่อนที่เขาจะฝึกเทคนิคนรกสวรรค์
หลังจากฝึกเสร็จ เจสันก็ออกกำลังกาย อาบน้ำ และอ่านหนังสือต่อไปสักพักก่อนที่เขาจะเหนื่อย
เขาซุกตัวอยู่บนเตียงโดยให้อาร์เทมิสอยู่ข้างๆ และหลับลึกและผ่อนคลาย
**
ตื่นเช้าเหมือนทุกวัน เจสันฝึกเทคนิค Heaven’s Hell ก่อนออกกำลังกายอีกครั้ง
หลังจากอาบน้ำอย่างรวดเร็ว เจสันก็ลงไปชั้นล่างเพื่อพบกับกาเบรียลลาและมาร์คที่กำลังรับประทานอาหารเช้า และทักทายพวกเขาด้วย
กาเบรียลลาและมาร์ค กำลังพูดถึงความท้าทายของคลาสการต่อสู้พิเศษ และจากการสนทนาของพวกเขา เขาได้เรียนรู้ว่ามาเลียยังคงแข็งแกร่งและไม่แพ้ที่นั่งของเธอแม้จะถูกท้าทายสองสามครั้ง ในขณะที่เกร็ก เสียที่นั่งให้กับผู้ใช้ที่มีความสัมพันธ์เป็นองค์ประกอบ ขนาดแกนมานาของระดับผู้เชี่ยวชาญ
พวกเขาเกี่ยวข้องกับเจสันในการสนทนาโดยถามคำถามหลายข้อเกี่ยวกับความท้าทายภายในคลาสการต่อสู้พิเศษในเครือที่ 6 แต่เขาไม่สามารถบอกอะไรได้มากนักเนื่องจากเขาไม่ได้สังเกตการต่อสู้หลายครั้งด้วยความสนใจอย่างมาก
เกร็กและมาเลียยังคงดูดซับมานา ขณะที่เจสันตัดสินใจไปโรงเรียนเร็วกว่าปกติ
เมื่อเขาเข้าไปในบริเวณโรงเรียนเป็นเวลาเพียง 7.00 น. และเขาก็รีบไปที่ป่าทันที ซึ่งมีเพียงนักเรียนชั้นปีที่ 3 เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้
เจสันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แต่เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อกฎนี้ เมื่อเขาเห็นซุ้มหินขนาดใหญ่เหนือทะเลสาบสีน้ำเงินที่ส่องประกายระยิบระยับ
เจสันห่อหุ้มร่างกายทั้งหมดของเขาไว้ในเยื่อหุ้มมานาโดยไม่ลังเลเลยสักนิด ก่อนที่เขากระโดดลงไปในทะเลสาบที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ขณะที่ดวงตามานาของเขาตรวจพบบางสิ่ง
ความคิดที่น่าสะพรึงกลัวมากมายก่อตัวขึ้นในจิตใจของนักเรียนในสังกัด คนอื่นๆ จากโรงเรียนในเครืออื่นๆ ซึ่งสังเกตการต่อสู้ของเจสันกับเด็กหนุ่มร่างสูง ขณะที่คนหนึ่งพึมพำกับตัวเองเงียบๆ
“วิญญาณของเขาใหญ่แค่ไหน”
อย่างไรก็ตาม ทุกคนได้ยินเขาเพราะบริเวณโดยรอบเงียบสนิท และเด็กคนอื่นๆ รอบๆ ต่างก็สงสัยเหมือนกันเมื่อพวกเขาเริ่มนินทากัน
“คุณคิดว่าขนาดแกนและมานาของเขามีถึงระดับผู้ชำนาญที่ 6 แล้วด้วยสัตว์วิวัฒนาการสองตัวเป็นสายวิญญาณหรือเปล่า?”
“แล้วจิตวิญญาณของเขาล่ะ… ทำไมเขาถึงอยู่ที่โรงเรียนในเครือที่ 6 ที่มีโลกวิญญาณที่ใหญ่มาก นอกเหนือไปจากการทำสัญญากับสัตว์อันดับวิวัฒนาการสองตัวซึ่งบ่งบอกว่ามีพลังวิญญาณมากกว่า 200… “
“ทำไมคนอย่างเขาถึงไม่อยู่ที่โรงเรียนหลักแนวหน้า”
เจสันสูดหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้งเพื่อทำให้จิตใจที่ยุ่งเหยิงสงบลง เพราะมันเป็นเรื่องยากมากสำหรับเขาที่จะทำงานหลายอย่างพร้อมกันหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน
ไม่เพียงแต่เขาจะต้องจัดหาทุกอย่างด้วยมานาของเขาเท่านั้น แต่เขายังต้องควบคุมจังหวะเวลาที่สมบูรณ์แบบสำหรับการระเบิดของแท่งน้ำแข็ง ในขณะที่ออกแรงก้าวอย่างไร้น้ำหนักเพื่อพุ่งเข้าหาผู้สูงวัยและเอาชนะเขาในช่วงเวลาที่เหมาะสม .
ชายหนุ่มร่างสูงจ้องมาที่เขาด้วยความตกใจ ขณะที่เจสันกำมีดของเขาอีกครั้ง เพียงเพื่อจะยิ้มอย่างขอโทษที่ชายหนุ่มร่างสูง
“ขออภัยในความไม่สะดวก ครั้งต่อไปที่คุณเลือกคู่ต่อสู้ พยายามเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเขา/เธอก่อนที่จะทำเหมือนว่ารู้ทุกอย่าง”
เจสันกล่าวเสริมโดยปราศจากความหมายว่าโอ้อวด
“คุณสามารถเลือกคนที่ต่อสู้ได้ง่ายกว่าเพื่อรักษาตำแหน่งของคุณในคลาสการต่อสู้พิเศษ”
ไม่สนใจการแสดงออกที่ตกตะลึงของชายหนุ่มร่างสูง เขาเดินกลับไปที่เซรอน ที่แสดงความยินดีกับเขา แม้ว่าจะไม่พอใจเล็กน้อย
เซรอนมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเอง ในขณะที่เขามีร่างกายและขนาดแกนหลักมานาของผู้ชำนาญระดับ 7
นอกจากนั้น เขาสามารถเอาชนะคนที่มีร่างกายและขนาดแกนมานาในระดับนักเวทย์ที่ 9 ด้วยการฉีดมานาที่เพียงพอ
แม้ว่าฝีมือของเจสันจะดูเหมือนเก่งกาจเป็นอย่างมาก แต่เซรอนก็รู้ว่ามันเป็นความสำเร็จที่ยากมาก ความสง่างามและกลเม็ดเด็ดพรายที่แสดงโดยเจสัน นอกเหนือจากความสามารถอันน่าทึ่งของการสร้างแท่งไฟด้วยเปลวไฟที่ทั้งน่าดึงดูดใจและน่าตกใจเมื่อได้เห็น
เซรอนนั่นส่วนใหญ่อาศัยร่างกายของเขาและพลังของเขาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะเอาชนะคู่ต่อสู้ระดับสูง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ต้องยอมรับว่าการต่อสู้ของเขาขาดความสง่างามและความลื่นไหลซึ่งไม่ใช่กรณี กับการต่อสู้ของเจสัน
ในฐานะทายาทของตระกูลกิเออร์ เขาต้องรักษาชื่อเสียงของครอบครัวและต่อสู้อย่างรุ่งโรจน์ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาอยู่ที่แอสทริกซ์ซึ่งเป็นเกาะที่อ่อนแอ ต่อสู้กับนักเรียนระดับสูงที่ทำให้เขารู้สึกไร้ค่า
ราวกับว่าเขาไม่เคยมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการจัดการกับปีศาจภายในของเขา เขาได้ผูกมิตรกับเจสัน ซึ่งความสามารถในการต่อสู้ของเขาทำให้เขาหงุดหงิดไม่สิ้นสุด และนี่คือตอนที่เขาอยู่ต่ำกว่าเซรอนทั้งหมดสองระดับ!!
ความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นของเขาเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เห็นเจสันต่อสู้ และเซรอนมีแรงจูงใจมากขึ้นเมื่อเขาได้รับความท้าทายจากผู้ชำนาญ ระดับ 7
เมื่อยอมรับคำท้านี้ จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเซรอน ก็พุ่งสูงขึ้น และเจสันรู้สึกถึงเจตจำนงที่ไม่อาจทำลายล้างที่จะเอาชนะเซรอนได้ ทำให้เขาเพิกเฉยต่อสายตาที่แหลมคมที่พยายามมองทะลุผ่านตัวเขา
เมื่อมองไปที่สนามประลองที่เซรอนเดินเข้าไป ดวงตาของเจสันก็กวาดสายตามองผ่านผู้ท้าชิงในขณะที่เขาสังเกตเห็นว่าขนาดแกนหลักของเขาอยู่ที่ระดับผู้ชำนาญที่ 9 ในขณะที่เขามีธาตุน้ำเป็นพลัง
ขนาดมานาคอร์ของเซรอนอยู่ในระดับผู้ชำนาญระดับ 7 แต่เจสันสงสัยว่าเซรอน จะสูญเสียไปเนื่องจากความไวของมานาและความใส่ใจในรายละเอียดได้รับการกำหนดไว้อย่างดี นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสายใยวิญญาณ [การฉีดมานา] เป็นข้อได้เปรียบที่สามารถทำให้เขาไม่สนใจขนาดมานาคอร์ของคู่ต่อสู้
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างเซรอนกับคู่ต่อสู้ของเขาก็คือ ร่างกายของคู่ต่อสู้ของเขาน่าจะสูงกว่านอกเหนือจากความสัมพันธ์ทางน้ำ
ในบรรดาความสัมพันธ์พื้นฐานที่สุด ธาตุน้ำถูกมองว่าเป็นอ่อนที่สุดรองลงมาคือดิน ลม และไฟ แต่เจสันไม่เห็นด้วยกับข้อความดังกล่าว
ทุกสายสัมพันธ์มีจุดแข็งและจุดอ่อนของมัน และมันขึ้นอยู่กับความชำนาญของผู้ครอบครองอย่างมาก ไม่ว่าเขาจะเก่งในการใช้มันหรือกลายเป็นผู้ใช้ความสัมพันธ์ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
ตัวอย่างเช่น ถ้าเจสันที่มีความสามารถในการเข้าใจสูงจะมีความสัมพันธ์ทางน้ำ เขาจะฝึกฝนมันหลายชั่วโมงต่อวันเพื่อค้นหาคุณลักษณะทั้งหมดก่อนที่เขาจะพยายามหาวิธีที่จะโจมตีคู่ต่อสู้ด้วยการโจมตีที่ร้ายแรง
ความใกล้ชิดทางน้ำถือว่าค่อนข้างอ่อนแอเนื่องจากขาดความสามารถในการโจมตีและการป้องกันเมื่อเทียบกับความใกล้ชิดกับไฟและดิน ในขณะที่ความใกล้ชิดกับลมสามารถเพิ่มความเร็วได้อย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เจสันชอบความสัมพันธ์ทางน้ำมากกว่าเหตุผลอื่นๆ ด้วยเหตุผลหลายประการ และเขารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นว่าคู่ต่อสู้ของเซรอน จะใช้ความสัมพันธ์ของเขาเพื่อต่อสู้กับความก้าวหน้าเชิงกลยุทธ์เชิงรุกของเซรอนได้อย่างไร มันจะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด ทำให้เกิดแรงกดดันอย่างมาก เจสันได้เห็นมาแล้วหลายร้อยครั้ง
เมื่อ AI เริ่มต้นการต่อสู้ ดวงตาของเจสันสังเกตเห็นว่าเซรอนฉีดตัวเองด้วยการฉีดมานาสามครั้งในทันที ขณะที่มานาที่ผันผวนรอบๆ เซรอนเพิ่มขึ้นในระดับที่คิดไม่ถึง ขณะที่ดาบของเซรอน เริ่มเรืองแสงเป็นสีขาว
‘ฮะ?’ เจสันตั้งคำถามในใจในขณะที่เขาสังเกตเห็นรังสีดาบพิเศษของเซรอนที่ใช้กับเขาเมื่อเดือนที่แล้ว
การโจมตีครั้งนี้อย่างน้อยก็อยู่ในระดับที่พัฒนาแล้ว และดวงตาของเจสันเบิกกว้างด้วยความคาดหวังว่าคู่ต่อสู้ของเซรอนจะป้องกันรังสีเบลดได้อย่างไร ในขณะที่เขาดูต่อไป
ในขณะที่เซรอนสั่งให้มานาของเขาไปที่ดาบ คู่ต่อสู้ของเขาก็ไม่ได้ยืนนิ่งเช่นกัน และเขาก็ร่ายมนตร์รูปร่างหยาบยาวห้าเมตรขึ้นมาจากอากาศบางๆ ด้วยมานาที่บีบอัด เขาบีบอัดมันให้ดียิ่งขึ้นไปอีก บังคับให้มันมีรูปร่างที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ
‘เป็นการปะทะกันแบบตัวต่อตัวใช่มั้ย’ เจสันสงสัย
จากการประเมินของเขา การโจมตีทั้งสองจะสลายตัวเมื่อปะทะกัน ซึ่งหมายความว่าลำดับต่อไปนี้มีความสำคัญเท่าเทียมกัน
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่น่าผิดหวังอย่างหนึ่งก็คือ คู่ต่อสู้ของเซรอนใช้มานามากกว่าครึ่งหนึ่งเพื่อสร้างหอกน้ำอันดับที่วิวัฒนาการแบบบีบอัด ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองมานาอันล้ำค่าระหว่างการต่อสู้ ในขณะที่เซรอนใช้มานาเพียงสามมานาเท่านั้น ฉีดโดยไม่ใช้มานาของตัวเองแม้แต่หยดเดียว
เมื่อถึงเวลาที่เซรอนปล่อยรังสีใบมีดของเขาด้วยฟันแนวนอน เขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าหอกน้ำของคู่ต่อสู้น่าจะทำให้ลำแสงดาบของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่หอกน้ำพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว
เมื่อการโจมตีทั้งสองปะทะกันในใจกลางของเวทีการต่อสู้ เสียง *บูม* ก็ดังขึ้นรอบ ๆ ขณะที่กำแพงหมอกกระจายไปทั่ววงแหวนต่อสู้ บดบังทัศนวิสัยของผู้ชมเป็นเวลาหนึ่งนาที
มีเพียงเจสันที่มีตามานาของเจสันเท่านั้นที่มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในในขณะที่เขารู้สึกจิกที่ไหล่ของเขาและหันความสนใจไปที่การกอดรัดอาร์เทมิสที่จู้จี้ใส่เขาตลอดเวลาและขอตบเบาๆ อีก
“น่าเบื่อ”
เจสันพึมพำ ทำให้นักเรียนรอบๆ มองเขาราวกับว่าเขาโง่
การต่อสู้เช่นนี้จะน่าเบื่อไปได้อย่างไร การโจมตีของพวกเขานั้นงดงาม และทุกคนต่างก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน
ไม่มีทางที่พวกเขาจะรู้ว่าเซรอนได้ใช้เทคนิคการเคลื่อนไหวบนท้องฟ้าของเขาทันทีหลังจากที่หมอกกระจายไปทั่วเวทีเล็ก ๆ เพื่อกำจัดคู่ต่อสู้ของเขาซึ่งเหนื่อยมากแล้ว
ด้วยหอกของเขา ผู้ใช้ที่มีความใกล้ชิดทางน้ำพยายามต่อสู้กับเซรอนด้วยร่างกายของเขา แต่เนื่องจากความได้เปรียบของเซรอนกับมานาทั้งหมดของเขาและการฉีดมานาสำรอง เขาจึงสามารถกำจัดคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างง่ายดาย
ในท้ายที่สุด ผู้ใช้สายสัมพันธ์ทางน้ำทำให้เจสันผิดหวัง ทำให้เขาต้องแสดงความเห็นออกมา
AI ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนผู้ชนะ เซรอน กิเออร์] และ เจสันให้ความสำคัญกับอาร์เทมิส มากกว่าเยาวชนที่ประหลาดใจรอบตัวเขาที่เริ่มนินทาอีกครั้ง
‘นักเรียนเหล่านี้มาที่นี่เพื่อท้าทายเราหรือล้อเลียน? พวกเขาเชื่อหรือไม่ว่านี่เป็นวันหยุด?’
เจสันคิดในใจ ไม่เข้าใจความคิดของเพื่อนวัย 14 ถึง 15 ปีของเขา
ดวงตาของเจสันปล่อยมานามากกว่าครึ่งหนึ่งในคราวเดียว ดวงตาของเจสันเปล่งประกายความร้อนและความเย็นที่น่าสะพรึงกลัวพร้อมๆ กับเปลวไฟสีดำขนาดเล็กที่ปรากฏขึ้นรอบตัวเขา
เจสันสร้างพวกมันให้เป็นหนามแหลม ห่อหุ้มพวกมันไว้เป็นแท่งมานา ก่อนที่เขาจะจ้องมองไปที่เด็กหนุ่มร่างสูงที่พุ่งเข้าใส่เขาด้วยความเร็วเต็มที่
แม้แต่เจสันที่ขัดเกลาสมองและเชี่ยวชาญในการทำงานหลายอย่างพร้อมกันมากกว่าคนอื่นๆ การทำหลายๆ อย่างพร้อมๆ กันก็เป็นเรื่องยากมาก แต่เขาก็ยังสามารถทำให้กำแพงน้ำแข็งนั่นได้สูงถึง 5 เมตร เปลี่ยนเป็นพื้นผิวเรียบอย่างสมบูรณ์
นี่อาจถูกมองว่าเป็นอุปสรรคเล็กๆ แต่จุดสนใจของนักเรียนส่วนใหญ่ รวมทั้งเด็กหนุ่มร่างใหญ่ที่พุ่งเข้าใส่เขา ส่วนใหญ่อยู่ที่กำแพงน้ำแข็งที่มีเปลวไฟสีดำเผาไหม้อยู่ภายใน
น้ำแข็งและไฟเป็นองค์ประกอบที่ตรงกันข้าม เนื่องจากเปลวไฟร้อนจะละลายน้ำแข็งและในทางกลับกันน้ำก็จะดับเปลวไฟ
เมื่อเห็นแท่งน้ำแข็งหลายสิบแท่งที่ปกคลุมเปลวไฟสีดำ ทุกคนก็ตกตะลึง ไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียวที่ตกลงสู่พื้น
เจสันเพียงยิ้มเบา ๆ เพราะนี่เป็นหนึ่งในความสำเร็จล่าสุดของเขา
เนื่องจากความชอบทั้งสองเป็นของเขา เจสันสามารถควบคุมพวกมันได้ตามที่เขาต้องการด้วยความชำนาญเพียงพอ ซึ่งรวมถึงความร้อนจากเปลวไฟต้นกำเนิดสีดำของเขาด้วย
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่สำคัญที่สุดก็คือเจสันสามารถตั้งเวลาคร่าวๆ เพื่อให้เปลวไฟต้นกำเนิดสีดำของเขาระเบิดด้วยความร้อนที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน
เขายังคงต้องจัดหามานาให้ทั้งเปลวไฟเล็กๆ และแท่งน้ำแข็ง แต่การใช้ไม่ได้มากมายขนาดนั้น ต้องขอบคุณความร้อนต่ำของเปลวไฟ ซึ่งทำให้กระบวนการหลอมละลายช้าลง
เนื่องจากเปลวไฟต้นกำเนิดสีดำเป็นสายวิญญาณของเขา เขาจึงควบคุมมันได้ง่ายกว่าความสัมพันธ์ใดๆ และการส่งคำสั่งรู้สึกราวกับว่าเขากำลังควบคุมเปลวไฟต้นกำเนิดได้เหมือนเป็นอวัยวะหนึ่งในร่างกาย
เจสันสั่งให้มีอุณหภูมิต่ำมากภายในแท่งน้ำแข็ง และผลลัพธ์ที่ได้ก็ทำให้เขาดูเหมือนนักมายากล อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่ามันจะกลายเป็นกลไกที่ไร้ประโยชน์หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เจสันยิ้มอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม ทำให้เด็กหนุ่มตัวสูงหันเหความสนใจจากพื้นเรียบตรงหน้าเขา ขณะที่เจสันยิงแท่งไฟสีดำจำนวนมากใส่เขา
ตอนนี้เวลาของเจสันต้องสมบูรณ์แบบ ขณะที่เขาเพ่งความสนใจไปที่แท่งน้ำแข็งสองอันที่เขายิงไปทางชายหนุ่มร่างสูง
ความเร็วของแท่งน้ำแข็งนั้นไม่ได้เร็วเกินไป แต่นั่นไม่ใช่หน้าที่ของมันด้วยซ้ำ ดังนั้น มันไม่มีประโยชน์เลยที่พวกมันจะไปถึงความเร็วสูง เมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากเด็กหนุ่มตัวสูงราวหนึ่งเมตร เขาก็โจมตีด้วยขวานต่อสู้ของเขา
เจสันพบช่องเปิดที่สมบูรณ์แบบ ขณะที่เขาสั่งให้เปลวไฟต้นกำเนิดเพิ่มความร้อนของเปลวไฟให้สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนไปใช้น้ำแข็งพร้อมกันเพื่อบังคับให้แท่งน้ำแข็งระเบิดต่อหน้าเด็กหนุ่มร่างสูง
เศษน้ำแข็งนับพันกระจายไปทั่วอารีน่า บดบังทัศนวิสัยของชายหนุ่มร่างสูงในขณะที่ขวานของเขาฟาดลงมาโดยไม่กระแทกสิ่งใดๆ
ทว่าจู่ๆ เด็กหนุ่มร่างสูงก็สังเกตเห็นความร้อนอันน่าสะพรึงกลัวแพร่กระจายจากจุดที่น้ำแข็งได้ระเบิดไปก่อนหน้านี้ ขนลุกปกคลุมทั้งตัวราวกับกำแพงเพลิงมองเห็นได้ไกลจากเขาเพียงไม่กี่ฟุต
เด็กหนุ่มตัวสูงทำได้เพียงชะลอฝีเท้าของเขาเพื่อไปปะทะกับไฟร์วอลล์ที่อยู่ข้างหน้าเขาเพื่อพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้หรือเปลี่ยนทิศทางด้วยความเร็วปัจจุบัน ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังตัดสินใจว่าจะทำอะไร แท่งน้ำแข็งสองอันก็ปรากฏขึ้นที่ด้านข้างของเขาและระเบิดใกล้ตัวเขามากกว่าการระเบิดครั้งก่อน
ความร้อนที่แผ่กระจายไปทั่วสนามประลองกำลังเข้ามาใกล้เขา และมันก็ได้เผาแขนของชานหนุ่มไปบางส่วน ขณะที่เขาแยกตัวลงไปที่พื้นด้วยความโกรธที่มองเห็นได้
เขาไม่ยอมให้ผู้ชำนาญระดับ 3 ชนะได้หรอก!!! ความภาคภูมิใจของเขาอยู่ที่ไหน!
ชายหนุ่มร่างสูงต้องการชนะมากกว่าสิ่งใด แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ทำให้เขาขมวดคิ้วอย่างสุดซึ้ง
ในขณะเดียวกัน เจสัน ยังคงยิงแท่งน้ำแข็งอีก 6 แท่งที่เหลือตรงตำแหน่งที่แท่งน้ำแข็งเดิมที่มีเปลวไฟต้นกำเนิดสีดำได้ระเบิดขึ้น เขาตั้งเป้าที่จะบดบังการมองของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เป็นเวลานาน ขณะที่เขาใช้เทคนิคก้าวแบบไร้น้ำหนักของเขาอย่างเต็มศักยภาพ
ตลอดเดือนที่ผ่านมา เทคนิคการเคลื่อนไหวอย่างไร้น้ำหนักของเขามีความชำนาญอย่างลึกซึ้งและความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นประมาณ 40% ในขณะที่เขาพุ่งไปที่ไฟร์วอลล์สีดำที่ห่อหุ้มเด็กหนุ่มร่างใหญ่ร่างใหญ่ไว้
ด้วยดวงตามานาของเขา เขาจึงสามารถเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังไฟร์วอลล์สีดำได้อย่างสมบูรณ์แบบ และสิ่งที่เขาเห็นทำให้เขายิ้มอย่างผิดปกติ
ชายหนุ่มร่างสูงเกาะติดกับไฟร์วอลตรงหน้าเขาเพียงเพื่อจะสังเกตเห็นแท่งน้ำแข็งอีกชุดหนึ่งระเบิดตรงจุดที่เขาชนกับกำแพง ดังนั้นกำแพงไฟอีกอันเข้ามาแทนที่อันที่เขาตี ทำให้เขาหงุดหงิดไม่สิ้นสุด
เด็กหนุ่มร่างใหญ่ครุ่นคิดว่าเขาควรจะชาร์จผ่านไฟร์วอลล์หรือไม่ ก่อนที่เขาจะไม่สนใจในการเคลื่อนไหวที่ฆ่าตัวตายทันที เขาดึงขวานต่อสู้ของเขากลับมาเพื่อแยกไฟวอลทั้งหมดพร้อมกันด้วยเกลียวหมุน
เมื่อเห็นสิ่งนี้ผ่านไฟร์วอลล์ เจสันก็ยิ้มเมื่อไปถึงด้านข้างตัวสูงของหนุ่มๆ
เมื่อแยกออก เด็กตัวสูงตัดไฟวอล ดับไฟ ขณะที่เจสันตัดเสบียงมานาของเขาจนหมด ในเวลาเดียวกัน เขาห่อหุ้มร่างกายส่วนล่างของเขาด้วยมานา ในขณะที่หมุนเวียนไปในร่างกายส่วนล่างของเขาเพิ่มเติม ออกแรงก้าวไร้น้ำหนักอีกครั้ง
ในการต่อสู้กับขวาน ทุกการโจมตีต้องโจมตีเป้าหมาย เนื่องจากรูปแบบการต่อสู้ด้วยอาวุธหนักส่วนใหญ่เน้นไปที่การทำร้ายร่างกายอย่างหนักด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และไม่ปะทะกับใครหลายร้อยครั้งภายในหนึ่งนาที
ด้วยเหตุนี้ จึงต้องใช้เวลาพอสมควรในการดึงขวานศึกหนักกลับมา และเจสันก็ใช้เวลาที่สำคัญนี้เพื่อโจมตีเด็กหนุ่มร่างสูงที่ยังคงมองตรงไปข้างหน้าเขา เพียงเพื่อสังเกตว่าเจสันหายตัวไปจากตำแหน่งก่อนหน้าของเขา
เมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาจึงต้องการดึงขวานต่อสู้กลับเร็วขึ้น ขณะที่เขาไตร่ตรองว่าเขาควรละทิ้งอาวุธของเขาหรือไม่เมื่อมีบางสิ่งเย็นยะเยือกเข้าที่คอของเขา
[ชัยชนะ เจสัน สเตลล่า]
ได้ยินได้เพียงเสียงเมื่อกริชของเจสันวางบนคอของชายหนุ่มร่างสูง บ่งบอกว่าการตัดสินประหารชีวิตของเขาเป็นการสู้ชีวิตและความตาย
เซรอนและนักเรียนคนอื่นๆ ของคลาสการต่อสู้พิเศษในเครือที่ 6 ต่างก็รู้ดีถึงกลวิธีอันชาญฉลาดของเจสัน ในระดับหนึ่งแล้ว แต่พวกเขาก็ยังตกใจที่เห็นแท่งน้ำแข็งที่ปกคลุมไฟสีดำของเขา มันเป็นสิ่งที่มีเพียงผู้ที่มีความสามารถในการติดไฟสูงมากเท่านั้นที่สามารถทำได้
พวกเขารู้ว่าเจสันต่อสู้ส่วนใหญ่ด้วยกลวิธีซึ่งส่วนใหญ่เน้นไปที่การหลอกลวงและการใช้มืออันคล่องแคล่ว ทำให้พวกเขาแพ้แม้ว่าพวกเขาจะรู้เรื่องนี้ก็ตาม แต่ตอนนี้ คนแปลกหน้าทั้งหมดกำลังต่อสู้กับเขา และพวกเขาไม่รู้ถึงความฉลาดแกมโกงของเจสัน ซึ่งเอาชนะคู่ต่อสู้ของเขาด้วยกลยุทธ์และความชำนาญที่มีความสัมพันธ์สูง
แม้ว่านักเรียนเหล่านี้ไม่เคยรู้มาก่อนว่าผู้ชำนาญระดับ 3 สามารถเข้าสู่คลาสการต่อสู้พิเศษได้อย่างไร แต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้วและพวกเขาก็สงสารผู้ชำนาญระดับ 8 ที่กล้าสู้กับเจสันแบบตัวต่อตัว
ทุกคนคงประมาณได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างธาตุของเจสันทั้งสองแบบมีแนวโน้มมากที่สุดที่ระดับการพัฒนาต่ำ หากไม่สูงไปกว่านั้น แสดงว่าเขาได้สร้างสายใยวิญญาณด้วยสัตว์ร้ายที่พัฒนาแล้วสองตัว ซึ่งเป็นผลงานที่น่าอัศจรรย์
ไม่มีใครจะทำอะไรแบบนั้นได้ เพราะการเสียจุดสองจุดสำหรับสัตว์ที่พัฒนาแล้วนั้นสิ้นเปลืองอย่างมาก และพวกเขาสงสัยว่าทำไมเด็กผมดำที่มีตาสีทองผู้นี้ถึงทำแบบนั้นได้ ความคิดที่น่าตกใจก่อตัวขึ้นในจิตใจของพวกเขา
ประตูสนามประลองถูกเปิดออกอย่างช้าๆ และนักเรียนด้านนอกก็เดินไปหานักเรียนคลาสการต่อสู้ 150 คนที่ยืนอย่างทะเยอทะยาน และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งหมดมีบางอย่างที่เหมือนกัน พวกเขาคาดหวังต่อความท้าทายต่อไปนี้ เนื่องจากนักเรียนจำนวนมากที่เดินเข้าไปข้างในกระจายออกไปเพื่อมองหาการอธิษฐานที่เหมาะสม
เจสันประมาณการว่าขณะนี้มีนักเรียนอย่างน้อย 400 คนและอาจมากกว่านั้นที่จะตามมาในไม่ช้า
อย่างไรก็ตาม แม้แต่นักเรียน 400 คนเหล่านี้ก็เกินพอสำหรับทุกคนในคลาสการต่อสู้พิเศษที่จะต่อสู้สองครั้งกับนักเรียน 100 คนที่ต้องต่อสู้สามครั้งหากพวกเขาถูกท้าทาย
สิ่งเดียวที่ทำให้นักเรียนจำนวนมากไม่สามารถท้าทายที่นั่งพิเศษที่มีไว้สำหรับพักฟื้นจากการต่อสู้
ด้วยสิ่งนั้นและความรู้ที่แต่ละบทเรียนคลาสการต่อสู้พิเศษถูกกำหนดไว้เป็นเวลา 4 ชั่วโมง หนึ่งสามารถท้าทายนักเรียนคนเดียวได้มากถึง 7 ครั้งภายในหนึ่งวัน
หากนักเรียนได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้ครั้งก่อน ถือว่ายุติธรรมสำหรับนักเรียนที่จะได้รับการรักษาและได้รับเวลาพักฟื้น เนื่องจากการทำให้ใครบางคนอ่อนแอลงและปล่อยให้คนต่อไปครอบครองผู้ท้าชิงการต่อสู้พิเศษ
ด้วยเหตุนี้ มาตรการดังกล่าวจึงถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้นักเรียนจ่ายเงินให้ผู้อื่นวางแผนความก้าวหน้าของตนเองในคลาสการต่อสู้พิเศษเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน Big-Three ในอีกสองเดือนต่อมา
ขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่จากโรงเรียนในเครืออื่นๆ เดินเข้ามา เจสันและเซรอนก็พูดคุยกัน โดยไม่สนใจสายตาของทุกคนที่อยู่รอบๆ ตัว ขณะที่นักเรียนสองสามคนเดินตรงมาทางพวกเขาด้วยความไม่พอใจ ขณะที่พวกเขาเปล่งเสียงออกมา
“คุณสองคนผ่อนคลายเล็กน้อยสำหรับระดับแกนมานาระดับต่ำ ของคุณงั้นหรอ ระดับผู้ชำนาญที่ 5 และ 3 กล้าที่จะนั่งที่นั่งคลาสการต่อสู้พิเศษ….”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจ ทำให้เจสันและเซรอนมองดูกันอย่างสับสนอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพวกเขาหันกลับมามองที่นักเรียนที่ไม่พอใจ
ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่สนใจความโกรธของพวกเขา และในขณะที่เจสันและเซรอนกำลังจะพูดคุยกันต่อ นักเรียนสองสามคนก็ตะโกนออกมา
“ฉันขอท้านาย”
และเสียงของพวกเขาก็ดังขึ้นพร้อมกัน
เจสันมองดูนักเรียนที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาอย่างไม่ใส่ใจว่า
“มาสิ ใครก่อนละ ส่วนคนอื่นก็รอก่อนละกัน”
เจสันพูดขณะที่มองไปหาเซรอนและพยักหน้า
เหล่านักเรียนโกรธจัด ขณะที่หัวแดงแทบพองโตด้วยความโกรธ ขณะที่เยาวชนสูง 1.8 เมตรเดินออกจากกลุ่ม
“ฉันก่อนเลย โกลดี้”
เด็กหนุ่มพูดและเห็นได้ชัดว่าเขาหมายถึงเจสันด้วยคำว่า ‘โกลดี้’ ทำให้เจสันเลิกคิ้ว
เขาไม่เคยถูกใครเรียกว่าโกลดี้มาก่อน แต่จากน้ำเสียงของชายหนุ่ม มันไม่ใช่คำชมอย่างแน่นอน
การสแกนขนาดแกนมานาของคู่ต่อสู้ด้วยดวงตามานาของเขานอกเหนือจากมานา บางอย่างก็กระโดดเข้ามาในมุมมองของเขา ทำให้เขายิ้มออกมาอย่างแผ่วเบา
“ยิ้มอะไร? วันแรกที่เสียที่นั่งไปคิดว่าตลกไหม ฮ่าฮ่าฮ่า”
ชายหนุ่มร่างสูงพูด แล้วเจสันทำได้เพียงส่ายหน้าปฏิเสธ
เจสันอ่านนิทานกับแม่มากเกินไป จนทำให้เขารู้สึกประหม่า ทุกครั้งที่เขาได้ยินใครคุยโอ้อวดถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเด็กหนุ่มตัวสูงเป็นผู้ชำนาญระดับที่ 8? มันสำคัญสำหรับเจสันหรือเปล่า? ไม่!
“ถ้าพูดอย่างนั้น”
เจสันพูดโดยไม่สนใจการยั่วยุของเขาขณะที่เขาเข้าไปในเวทีต่อสู้ รอให้เด็กหนุ่มตัวสูงเข้ามา
“พร้อม?”
เจสันถามอย่างไม่อดทนก่อนที่เขาจะเปิดใช้งานการนับถอยหลังของ AI เมื่อเด็กหนุ่มพยักหน้า
เมื่อเรียกขวานศึกอันยิ่งใหญ่ ชายหนุ่มร่างสูงก็พร้อมที่จะพุ่งเข้าใส่เขา เพียงแต่รอให้นับถอยหลังเมื่อเจสันดึงมีดสองเล่มของเขาออกจากฝัก
เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อก่อน เจสันเริ่มสังเกตว่าเขาต้องการอุปกรณ์ใหม่เพื่อต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งกว่า เนื่องจากมีดสั้นของเขาในปัจจุบันไม่สามารถเจาะทะลุหนังสัตว์อสูรอันดับที่พัฒนาแล้ว ซึ่งแย่เป็นพิเศษ เนื่องจากเขาอยู่ที่ระดับ 7 จากขนาดแกนมานาของเขาแล้ว และร่างกาย ในขณะที่ระดับแกนมานาของเขาอยู่ที่ระดับ 3 ผู้ชำนาญ
เมื่อเห็นขวานรบอันยิ่งใหญ่ในมือของคู่ต่อสู้ เจสันยิ้มในขณะที่เขารู้ด้วยว่าคู่ต่อสู้ของเขาไม่มีมานาในการใช้พลังบ่งบอกว่าเขามีวิญญาณทางกายภาพ ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของเขาเพียงอย่างเดียว
ดังนั้น เจสันคำนวณว่าคู่ต่อสู้ของเขาต้องมีร่างกายที่มีระดับอยู่ในผู้เชี่ยวชาญระดับต่ำ ซึ่งอาจทำให้เขามีปัญหาใหญ่ถ้าเขาเป็นเหมือนเมื่อเดือนที่แล้ว
เจสันต่อสู้กับเกร็กบ่อยครั้งในช่วงเดือนที่ผ่านมา และแม้ว่าร่างกายของเกร็กจะอยู่ในระดับผู้ชำนาญลำดับที่ 9 ต้องขอบคุณการขยายทางกายภาพที่สูงจากจิตวิญญาณของเขา เจสันจึงค้นพบจุดอ่อนที่สำคัญที่วิญญาณทางกายภาพมีมาแต่กำเนิด
ตราบใดที่ร่างกายของพวกเขาสูงกว่าร่างกายของฝ่ายตรงข้ามมาก มันง่ายมากที่จะเอาชนะ แต่เมื่อมีใครสามารถต่อสู้กลับด้วยร่างกายของพวกเขาหรือลากการต่อสู้ต่อไปโดยใช้ความสัมพันธ์ของธาตุ มันจะกลายเป็นเรื่องยากมาก สำหรับคนที่มีโลกวิญญาณทางกายภาพที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ของเขา
การมีสัมพันธภาพเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากและเป็นร่างกายที่สูงส่ง ตราบใดที่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้
ตัวอย่างเช่น ร่างกายของเกร็กอ่อนแอกว่าพลังธาตุของเจสัน และเป็นไปได้ที่เขาจะเอาชนะได้ด้วยการใช้พลังนั่น
นอกจากนี้ พลังที่เกร็กได้รับจากทอรัสส่วนใหญ่มุ่งสู่ความแข็งแกร่งและความอดทนแทนที่จะเป็นความว่องไว และการขยายทางกายภาพแบบเดียวกันนี้ดูเหมือนจะอยู่ต่อหน้าเจสันในตอนนี้
เด็กที่อยู่ข้างหน้าเขาตัวเทอะทะและไม่แข็งแรงเลยแม้แต่น้อย เจสันคงสงสัยว่าเขามีความเร็วมากขนาดไหน
และแม้ว่าเด็กหนุ่มตัวสูงจะเร็วกว่าเขา เขาก็ยังคงมีพลังของธาตุซึ่งเพิ่มความมั่นใจให้เจสันขึ้นอย่างมาก
ยิ้มให้กับคู่ต่อสู้ของเขา ชายหนุ่มร่างสูงแทบจะอดกลั้นตัวเองไม่ได้ ในขณะที่ AI เริ่มต้นการเริ่มต้นการต่อสู้ ในขณะที่เขาผลักตัวเองลงจากพื้นด้วยกำลังทั้งหมดมีที่อยู่
ความแตกต่างระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่สามารถถือว่าไกลกันนักได้ และด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียวจากพื้นดิน เด็กคนนั่นสามารถพุ่งตัวไปไกลได้หลายเมตร
แม้ว่าเจสันจะทำนายว่าเด็กร่างสูงใหญ่โต แต่ความเร็วของเขาก็ทำให้เจสันประหลาดใจ..
อย่างไรก็ตาม เจสันยังคงสงบนิ่งอย่างยิ่ง และหากใครสแกนดูเขาอย่างระมัดระวัง ก็จะสามารถเห็นเปลวไฟสีดำเล็กๆ ภายในตาขวาของเขาที่แผ่ความร้อนอันชั่วร้าย ปกคลุมไปด้วยสีทองที่เด่นชัด ขณะที่ตาซ้ายของเขาปล่อยความเย็นที่น่าสะพรึงกลัว
เจสันยิ้มให้กับเยาวชนที่กำลังชาร์จด้วยขวานต่อสู้ในมือของเขา ดวงตาของเจสันกลับกลายเป็นเย็นชาเมื่อเขาปล่อยมานาของเขา
ประตูสนามประลองถูกเปิดออกอย่างช้าๆ และนักเรียนด้านนอกก็เดินไปหานักเรียนคลาสการต่อสู้ 150 คนที่ยืนอย่างทะเยอทะยาน และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งหมดมีบางอย่างที่เหมือนกัน พวกเขาคาดหวังต่อความท้าทายต่อไปนี้ เนื่องจากนักเรียนจำนวนมากที่เดินเข้าไปข้างในกระจายออกไปเพื่อมองหาการอธิษฐานที่เหมาะสม
เจสันประมาณการว่าขณะนี้มีนักเรียนอย่างน้อย 400 คนและอาจมากกว่านั้นที่จะตามมาในไม่ช้า
อย่างไรก็ตาม แม้แต่นักเรียน 400 คนเหล่านี้ก็เกินพอสำหรับทุกคนในคลาสการต่อสู้พิเศษที่จะต่อสู้สองครั้งกับนักเรียน 100 คนที่ต้องต่อสู้สามครั้งหากพวกเขาถูกท้าทาย
สิ่งเดียวที่ทำให้นักเรียนจำนวนมากไม่สามารถท้าทายที่นั่งพิเศษที่มีไว้สำหรับพักฟื้นจากการต่อสู้
ด้วยสิ่งนั้นและความรู้ที่แต่ละบทเรียนคลาสการต่อสู้พิเศษถูกกำหนดไว้เป็นเวลา 4 ชั่วโมง หนึ่งสามารถท้าทายนักเรียนคนเดียวได้มากถึง 7 ครั้งภายในหนึ่งวัน
หากนักเรียนได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้ครั้งก่อน ถือว่ายุติธรรมสำหรับนักเรียนที่จะได้รับการรักษาและได้รับเวลาพักฟื้น เนื่องจากการทำให้ใครบางคนอ่อนแอลงและปล่อยให้คนต่อไปครอบครองผู้ท้าชิงการต่อสู้พิเศษ
ด้วยเหตุนี้ มาตรการดังกล่าวจึงถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้นักเรียนจ่ายเงินให้ผู้อื่นวางแผนความก้าวหน้าของตนเองในคลาสการต่อสู้พิเศษเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน Big-Three ในอีกสองเดือนต่อมา
ขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่จากโรงเรียนในเครืออื่นๆ เดินเข้ามา เจสันและเซรอนก็พูดคุยกัน โดยไม่สนใจสายตาของทุกคนที่อยู่รอบๆ ตัว ขณะที่นักเรียนสองสามคนเดินตรงมาทางพวกเขาด้วยความไม่พอใจ ขณะที่พวกเขาเปล่งเสียงออกมา
“คุณสองคนผ่อนคลายเล็กน้อยสำหรับระดับแกนมานาระดับต่ำ ของคุณงั้นหรอ ระดับผู้ชำนาญที่ 5 และ 3 กล้าที่จะนั่งที่นั่งคลาสการต่อสู้พิเศษ….”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจ ทำให้เจสันและเซรอนมองดูกันอย่างสับสนอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพวกเขาหันกลับมามองที่นักเรียนที่ไม่พอใจ
ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่สนใจความโกรธของพวกเขา และในขณะที่เจสันและเซรอนกำลังจะพูดคุยกันต่อ นักเรียนสองสามคนก็ตะโกนออกมา
“ฉันขอท้านาย”
และเสียงของพวกเขาก็ดังขึ้นพร้อมกัน
เจสันมองดูนักเรียนที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาอย่างไม่ใส่ใจว่า
“มาสิ ใครก่อนละ ส่วนคนอื่นก็รอก่อนละกัน”
เจสันพูดขณะที่มองไปหาเซรอนและพยักหน้า
เหล่านักเรียนโกรธจัด ขณะที่หัวแดงแทบพองโตด้วยความโกรธ ขณะที่เยาวชนสูง 1.8 เมตรเดินออกจากกลุ่ม
“ฉันก่อนเลย โกลดี้”
เด็กหนุ่มพูดและเห็นได้ชัดว่าเขาหมายถึงเจสันด้วยคำว่า ‘โกลดี้’ ทำให้เจสันเลิกคิ้ว
เขาไม่เคยถูกใครเรียกว่าโกลดี้มาก่อน แต่จากน้ำเสียงของชายหนุ่ม มันไม่ใช่คำชมอย่างแน่นอน
การสแกนขนาดแกนมานาของคู่ต่อสู้ด้วยดวงตามานาของเขานอกเหนือจากมานา บางอย่างก็กระโดดเข้ามาในมุมมองของเขา ทำให้เขายิ้มออกมาอย่างแผ่วเบา
“ยิ้มอะไร? วันแรกที่เสียที่นั่งไปคิดว่าตลกไหม ฮ่าฮ่าฮ่า”
ชายหนุ่มร่างสูงพูด แล้วเจสันทำได้เพียงส่ายหน้าปฏิเสธ
เจสันอ่านนิทานกับแม่มากเกินไป จนทำให้เขารู้สึกประหม่า ทุกครั้งที่เขาได้ยินใครคุยโอ้อวดถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเด็กหนุ่มตัวสูงเป็นผู้ชำนาญระดับที่ 8? มันสำคัญสำหรับเจสันหรือเปล่า? ไม่!
“ถ้าพูดอย่างนั้น”
เจสันพูดโดยไม่สนใจการยั่วยุของเขาขณะที่เขาเข้าไปในเวทีต่อสู้ รอให้เด็กหนุ่มตัวสูงเข้ามา
“พร้อม?”
เจสันถามอย่างไม่อดทนก่อนที่เขาจะเปิดใช้งานการนับถอยหลังของ AI เมื่อเด็กหนุ่มพยักหน้า
เมื่อเรียกขวานศึกอันยิ่งใหญ่ ชายหนุ่มร่างสูงก็พร้อมที่จะพุ่งเข้าใส่เขา เพียงแต่รอให้นับถอยหลังเมื่อเจสันดึงมีดสองเล่มของเขาออกจากฝัก
เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อก่อน เจสันเริ่มสังเกตว่าเขาต้องการอุปกรณ์ใหม่เพื่อต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งกว่า เนื่องจากมีดสั้นของเขาในปัจจุบันไม่สามารถเจาะทะลุหนังสัตว์อสูรอันดับที่พัฒนาแล้ว ซึ่งแย่เป็นพิเศษ เนื่องจากเขาอยู่ที่ระดับ 7 จากขนาดแกนมานาของเขาแล้ว และร่างกาย ในขณะที่ระดับแกนมานาของเขาอยู่ที่ระดับ 3 ผู้ชำนาญ
เมื่อเห็นขวานรบอันยิ่งใหญ่ในมือของคู่ต่อสู้ เจสันยิ้มในขณะที่เขารู้ด้วยว่าคู่ต่อสู้ของเขาไม่มีมานาในการใช้พลังบ่งบอกว่าเขามีวิญญาณทางกายภาพ ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของเขาเพียงอย่างเดียว
ดังนั้น เจสันคำนวณว่าคู่ต่อสู้ของเขาต้องมีร่างกายที่มีระดับอยู่ในผู้เชี่ยวชาญระดับต่ำ ซึ่งอาจทำให้เขามีปัญหาใหญ่ถ้าเขาเป็นเหมือนเมื่อเดือนที่แล้ว
เจสันต่อสู้กับเกร็กบ่อยครั้งในช่วงเดือนที่ผ่านมา และแม้ว่าร่างกายของเกร็กจะอยู่ในระดับผู้ชำนาญลำดับที่ 9 ต้องขอบคุณการขยายทางกายภาพที่สูงจากจิตวิญญาณของเขา เจสันจึงค้นพบจุดอ่อนที่สำคัญที่วิญญาณทางกายภาพมีมาแต่กำเนิด
ตราบใดที่ร่างกายของพวกเขาสูงกว่าร่างกายของฝ่ายตรงข้ามมาก มันง่ายมากที่จะเอาชนะ แต่เมื่อมีใครสามารถต่อสู้กลับด้วยร่างกายของพวกเขาหรือลากการต่อสู้ต่อไปโดยใช้ความสัมพันธ์ของธาตุ มันจะกลายเป็นเรื่องยากมาก สำหรับคนที่มีโลกวิญญาณทางกายภาพที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ของเขา
การมีสัมพันธภาพเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากและเป็นร่างกายที่สูงส่ง ตราบใดที่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้
ตัวอย่างเช่น ร่างกายของเกร็กอ่อนแอกว่าพลังธาตุของเจสัน และเป็นไปได้ที่เขาจะเอาชนะได้ด้วยการใช้พลังนั่น
นอกจากนี้ พลังที่เกร็กได้รับจากทอรัสส่วนใหญ่มุ่งสู่ความแข็งแกร่งและความอดทนแทนที่จะเป็นความว่องไว และการขยายทางกายภาพแบบเดียวกันนี้ดูเหมือนจะอยู่ต่อหน้าเจสันในตอนนี้
เด็กที่อยู่ข้างหน้าเขาตัวเทอะทะและไม่แข็งแรงเลยแม้แต่น้อย เจสันคงสงสัยว่าเขามีความเร็วมากขนาดไหน
และแม้ว่าเด็กหนุ่มตัวสูงจะเร็วกว่าเขา เขาก็ยังคงมีพลังของธาตุซึ่งเพิ่มความมั่นใจให้เจสันขึ้นอย่างมาก
ยิ้มให้กับคู่ต่อสู้ของเขา ชายหนุ่มร่างสูงแทบจะอดกลั้นตัวเองไม่ได้ ในขณะที่ AI เริ่มต้นการเริ่มต้นการต่อสู้ ในขณะที่เขาผลักตัวเองลงจากพื้นด้วยกำลังทั้งหมดมีที่อยู่
ความแตกต่างระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่สามารถถือว่าไกลกันนักได้ และด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียวจากพื้นดิน เด็กคนนั่นสามารถพุ่งตัวไปไกลได้หลายเมตร
แม้ว่าเจสันจะทำนายว่าเด็กร่างสูงใหญ่โต แต่ความเร็วของเขาก็ทำให้เจสันประหลาดใจ..
อย่างไรก็ตาม เจสันยังคงสงบนิ่งอย่างยิ่ง และหากใครสแกนดูเขาอย่างระมัดระวัง ก็จะสามารถเห็นเปลวไฟสีดำเล็กๆ ภายในตาขวาของเขาที่แผ่ความร้อนอันชั่วร้าย ปกคลุมไปด้วยสีทองที่เด่นชัด ขณะที่ตาซ้ายของเขาปล่อยความเย็นที่น่าสะพรึงกลัว
เจสันยิ้มให้กับเยาวชนที่กำลังชาร์จด้วยขวานต่อสู้ในมือของเขา ดวงตาของเจสันกลับกลายเป็นเย็นชาเมื่อเขาปล่อยมานาของเขา
การตื่นแต่เช้าเพราะถูกต่อยและอาการหายใจไม่ออกภายในขนนกที่นุ่มฟูนั้นถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเจสันแล้วในขณะที่เขาลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
เมื่อมองดูร่างยาว 30 เซนติเมตรของสกอร์พิโอ ขณะที่อาร์เทมิสยืนอยู่ข้างเขา เจสันก็ยิ้มอย่างสดใส
ไม่เพียงแต่ขนาดที่เพิ่มขึ้นของสกอร์พิโอเท่านั้น แต่รอยต่อสีน้ำเงินของเปลือกภายนอกนั้นลึกขึ้น ในขณะที่มันก้าวเข้าสู่ระดับปลุกพลังที่มันโหยหามานานหลายสิบวัน
อาร์เทมิสที่อยู่ด้านหน้าของเจสันก็มีขนาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและตอนนี้มีความยาว 1.1 เมตรในขณะที่ปีกยาวถึง 3.3 เมตร
แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือมันได้ก้าวเข้าสู่ระดับวิวัฒนาการในช่วงต้นเมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งทำให้ เฟลอร์, ทิลล์, เซรอน และแม้แต่เจสันเองก็ตกตะลึง
เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่อาร์เทมิสเสร็จสิ้นวิวัฒนาการของเธอ และโชคดีพอที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น
สิ่งเดียวที่เจสันทำคือทำตามตารางเวลาที่เข้มงวดของเขาในขณะที่ยอมรับความท้าทาย สองสามคนจากเพื่อนร่วมโรงเรียนจอมปลอมของเขาในบทเรียนคลาสการต่อสู้พิเศษ
มันเหมือนกับการฝึกฝนของเจสันมากกว่า แต่ถึงแม้จะเป็นประโยชน์ เขาก็ไม่สามารถบ่นเกี่ยวกับการได้รับความท้าทายเล็กๆ น้อยๆ ได้
อย่างไรก็ตาม ข่าวลือเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเขาก็แพร่กระจายไปทั่ว และทุกคนในโรงเรียนต่างก็รู้ดีถึงความสามารถของเขา ทำให้พวกเขาเพิกเฉยต่อความคิดที่จะท้าทายเขา เหมือนกับที่เจสันวางแผนไว้
เขาป้องกันความยุ่งยากมากมายและสามารถแยกแยะทุกอย่างได้อย่างเงียบ ๆ
ตั้งแต่การฝึกฝนทักษะ ไปจนถึงการเพิ่มความชำนาญในด้านความสัมพันธ์นอกเหนือจากการฝึกฝน เฮลวี่เฮลล์ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นซึ่งทำให้เขาพอใจ
เจสันมีความสุขตลอด 30 วันที่ผ่านมาในขณะที่เขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับการตีเหล็ก การเล่นแร่แปรธาตุ รูนมาสเตอร์ และอื่นๆ ได้อย่างเงียบๆ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เขาต้องการ
แต่นั่นไม่ใช่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
เจสันไม่เคยลืมฝึกเทคนิคเฮลวี่เฮลล์แม้แต่ครั้งเดียวในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ทำให้พลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
แต่นี่ก็ต้องขอบคุณสกอร์พิโอที่บุกเข้าสู่ระดับปลุกพลัง 10 วันหลังจากอาร์เทมิสเสร็จสิ้นการวิวัฒนาการ
สกอร์พิโอถึงขีดจำกัดในอีกไม่กี่วันต่อมาด้วยยูนิตพลังงานวิญญาณ 15 หน่วย ทำให้เจสันมีแรงบันดาลใจมากขึ้นที่จะพบกับดาเลียอีกครั้ง
เขาต้องการเพิ่มขีด จำกัด ของสกอร์พิโอเพื่อที่จะพัฒนาหรือพัฒนาโดยไม่มีวิวัฒนาการหากเป็นไปได้
เหตุผลที่สำคัญที่สุดสำหรับเจสันในการเพิ่มพลังวิญญาณของเขาสัก สองสาม ครั้งก็คือ อาร์เทมิสซึ่งให้พลังงานวิญญาณเพิ่มขึ้นอย่างมากแก่เขา ต้องขอบคุณการขยายที่เขาได้รับจากโลกแห่งวิญญาณของเขา
ในวันที่ 20 หลังจากที่อาร์เทมิสเสร็จสิ้นการวิวัฒนาการ มันก็บุกเข้าสู่ระดับวิวัฒนาการระดับต่ำทันทีหลังจากย่อยแกนมานาของสัตว์เดรัจฉานหลายสิบตัวที่เจสันจัดหาให้
ด้วยเหตุนี้ พลังวิญญาณของอาร์เทมิสจึงเพิ่มขึ้นเป็น 130 หน่วย ซึ่งเพิ่มพลังวิญญาณของเจสันอีกครั้ง
มันเป็นเพียงวันที่ 25 เท่านั้นที่โลกวิญญาณของเจสันเริ่มสั่นคลอน ชั่วขณะหนึ่งเพราะมันมีขนาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นว่าสายสัมพันธ์ของเขากับอาร์เทมิสและสกอร์พิโอนั่นแข็งแกร่งขึ้น
ในการพยายามหาสาเหตุของมัน คำตอบที่ง่ายที่สุดอาจเป็นได้ว่าพลังวิญญาณของเจสันมีถึง 100 หน่วย ซึ่งเป็นระดับพลังงานวิญญาณเพียงเล็กน้อย
เจสันไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะไปถึง 100 หน่วยพลังงานวิญญาณเร็ว ๆ นี้และส่วนใหญ่ต้องขอบคุณอาร์เทมิสที่เขาทำสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม เขายังดีใจมากกว่าที่มาถึงเกณฑ์นี้และผ่านไปหลายวัน
28 วันหลังจากที่เขาบุกเข้าสู่ระดับผู้ชำนาญที่ 2 เจสันบุกเข้าสู่ระดับผู้ชำนาญที่ 3 อย่างเงียบๆ โดยไม่จำเป็นต้องดูดซับมานาด้วยตัวเอง
ต้องขอบคุณการรวบรวมและดูดซับมานาแบบพาสซีฟเท่านั้นที่ทำให้เขาสามารถบรรลุสิ่งนั้นได้ เนื่องจากเจสันไม่ได้ใช้เวลาแม้แต่วินาทีเดียวในการดูดซับมานาจากหินมานา
เขามีหลายสิ่งที่ต้องทำในคราวเดียวและอันดับแกนมานาของเขาเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถเพิ่มได้โดยไม่ใส่ใจ
เจสันก็เพิกเฉยและเมื่อเขาบุกเข้าไปเท่านั้น เขาสังเกตเห็นว่าผ่านไป 28 วัน
การเข้าสู่ระดับผู้ชำนราญที่ 3 โดยไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวในการรวบรวมและปรับแต่งมานาหลังจาก 28 วันนั้นเร็วมาก แม้ว่ามันจะค่อนข้างช้าสำหรับเขา ถ้าเขาดูดซับมันด้วยเวลามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เจสันสามารถทำอะไรได้มากมายในระหว่างนี้ ความสามารถในการต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่พลังวิญญาณของเขาสูงถึง 116.2 หน่วย
เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ปริมาณนี้มากมายมหาศาล แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับอาร์เทมิส เนื่องจากพลังงานวิญญาณที่เธอต้องการเพิ่มขึ้นเป็น 130 หน่วย ในขณะที่สกอร์พิโอครอบครองหน่วยพลังงานวิญญาณ 15 หน่วย
และด้วยการที่ไม่ต้องหล่อเลี้ยงออริจินเฟลม ด้วยเนื่องจากมันต้องการเพียงแค่ 0.01 หน่วยพลังงานวิญญาณ
โดยรวมแล้วเจสันต้องการหน่วยพลังงานวิญญาณ 145.01 หน่วยเพื่อให้อาร์เทมิสเข้าไปข้างในได้ และยังคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าที่เขาจะไปถึงเกณฑ์นี้
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เข้าใกล้เป้าหมายที่ต้องการมากขึ้นแล้ว
ในขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่ที่มีความถนัดสูง ต่อมานาในการเพิ่มระดับแกนกลางมานาอย่างน้อยหนึ่งอันดับ แต่อัจฉริยะบางคนก็เพิ่มอันดับของพวกเขาขึ้นสองอันดับภายในหนึ่งเดือนเนื่องจากความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้น เช่น เซรอนและแม้กระทั่งเกร็ก ซึ่งน่าประหลาดใจ
บุคคลสองคนนี้ตกใจมากเกี่ยวกับความสำเร็จของเจสัน พวกเขาทำได้เพียงฝึกให้หนักขึ้นและพยายามมากขึ้นเท่านั้น เพื่อไม่ให้เจสันก้าวนำไปไกลเกินโดยไม่ได้ตระหนักถึงจิตวิญญาณแห่งการแข่งขันที่มีต่อเขา
เจสันค่อนข้างพอใจที่เกร็กไปถึงผู้ชำนาญ 6 ซึ่งเป็นความสำเร็จที่เหลือเชื่อ เมื่อพิจารณาว่าเขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับผู้ชำนาญที่ 4 เมื่อไม่นาน หลังจากที่เจสันไปถึงระดับผู้ชำนาญ 2 ในครั้งนั้น
ดังนั้นเขาแทบจะใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนในการทำลายสองระดับ ซึ่งเป็นไปได้เพียงเพราะเขาดูดซับมานาของธรรมชาตินอกเหนือจากหินมานาคุณภาพสูงทั้งกลางวันและกลางคืนโดยไม่หยุดเป็นเวลานาน
เจสันมอบหินมานาคุณภาพสูงให้เกร็กสักสองสามก้อน ในขณะที่เขามีมากเกินพอสำหรับพวกมันในขณะนี้ ต้องขอบคุณ เฉิน และ ชารอน ที่มาเยี่ยมเจสันที่คฤหาสน์เฟลอร์
สิ่งนี้ทำให้เฟลอร์ตกใจและยิ่งกว่านั้นอีกหลังจากที่พวกเขาพบว่าเขาบุกเข้าไปในอันดับที่ 6 ช่างตีเหล็กซึ่งเรียกอีกอย่างว่าปรมาจารย์ช่างตีเหล็กในฐานะมนุษย์คนแรกในแอสทริกซ์
เมื่อ เฉิน มาที่บ้านของเจสันเพื่อมอบวัสดุที่จำเป็นทั้งหมดให้เขา เนื่องจากการได้แลกเปลี่ยนกับทั่งไททาเนียมคลาวด์ซึ่งเป็นไอเท็มระดับ 3 มายา ก่อนหน้านี้
เขาตกใจมากที่เห็นว่าเจสันอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ที่มีตระกูลขุนนางรอง ไม่มีแม้แต่กลิ่นของโรงตีเหล็กแม้แต่น้อย เขาบอกเฉินว่าเจสันต้องการแร่และสิ่งของอื่นๆ ที่เขาต้องการสำหรับอย่างอื่น
แต่เฉินไม่สงสัยในพฤติกรรมของเจสัน เขาจึงกลับบ้านหลังจากคุยกับเจสันสั้นๆ โดยไม่เสียเวลามากเกินไป
เด็กหนุ่มผมดำที่มีดวงตาสีทองยังคงเป็นปริศนาทั้งหมดสำหรับเขา และเขาค่อนข้างจะระมัดระวังแทนที่จะทำอะไรโง่ๆ
หลังจากที่เจสันได้รับทุกอย่างที่เขาขอจากเฉิน เขาต้องการมอบของขวัญให้กับกลุ่มเฟลอร์ที่เป็นหินมานาเกรด 3 ทั้งหมด เพราะเขายังเป็นหนี้พวกเฟลอร์อยู่ แต่กาเบรียลลาและมาร์กปฏิเสธอย่างตกใจ โดยบอกว่าทั้งสามคนนั่นต้องการมากกว่าพวกเขา ทั้ง 2 เนื่องจากพวกเขาสงสัยว่าพวกเขาจะสามารถเพิ่มระดับแกนมานาของพวกเขาได้มาก
และแม้ว่าพวกเขาจะทำได้ แต่วันที่มีปีที่ดีที่สุดของพวกเขาที่มีศักยภาพสูงสุดก็หมดลงแล้ว และเป็นการดีกว่าสำหรับคนรุ่นใหม่ที่จะใช้ทรัพยากรจำนวนจำกัดสำหรับตนเอง
เมื่อเกร็กและมาเลียยอมรับของขวัญของเจสันอย่างไม่เต็มใจ
มาเลียถึงระดับปรมาจารย์ที่ 2 ในขณะที่เกร็กถึงระดับผู้ชำนาญที่ 6 และเป็นเพราะพรสวรรค์ของเขา มันจึงเป็นไปได้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือความปรารถนาของพวกเขาที่จะแข็งแกร่งขึ้น เพราะพวกเขาสังเกตเห็นว่าเจสันดูเหมือนจะได้พบกับใครบางคนที่มีพลังอำนาจที่สามารถทำได้ เลี้ยงดูเขา
มิฉะนั้น ทำไมเจสันถึงมีหินมานาระดับ 3 เหลือใช้มากมายนัก?
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาตกใจและพวกเขาทำได้เพียงดูดซับมานาเข้าและออกอย่างน่าผิดหวังพยายามอย่างเต็มที่
ร่างกายของเกร็กนั้นแข็งแกร่งกว่าของเจสัน เนื่องจากการเพิ่มพลังทางวิญญาณของเขานอกเหนือจากทอรัสที่พัฒนาในช่วงกลางของเขา
แม้ว่าร่างกายของเกร็กจะแข็งแกร่งกว่าของเจสัน แต่เจสันก็เร็วกว่าและสามารถใช้ความสัมพันธ์สามอย่างได้ ต้องขอบคุณสกอร์พิโอที่สร้างธาตุพิษ ซึ่งได้ถูกปลุกในตัวของเจสัน ซึ่งค่อนข้างไม่มีประโยชน์สำหรับตอนนี้
อย่างไรก็ตามการมีความสัมพันธ์ที่ดีนั้นดีกว่าไม่มีเลย และเจสันก็ดีใจที่สกอร์พิโอนั่นฝึกอย่างหนักเพื่อให้เจสันได้มีโอกาสต่อสู้กับคู่ต่อสู้ได้มากขึ้น
น่าเสียดายที่ธาตุพิษที่ถูกปลุกขึ้นนั้นค่อนข้างไร้ประโยชน์สำหรับเขาในขณะนี้ เนื่องจากธาตุอีกสองอย่างของเขาอยู่ในระดับวิวัฒนาการ ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายได้รุนแรงกว่าธาตุพิษ
เมื่อเจสันก้าวขึ้นสู่ระดับผู้ชำนาญที่ 3 นอกเหนือจากการพัฒนาของอาร์ทิมิสและสกอร์พิโอ ร่างกายของเจสันและขนาดแกนมานาถึงระดับผู้ชำนาญที่ 7 ทำให้เขากลายเป็นสัตว์ร้ายในหมู่ผ้ชำนาญที่ 3 ภายในโรงเรียนในเครือที่
มันยังเป็นเวลาเช้าอยู่ แต่วันนี้สำคัญมากเมื่อผ่านไปหนึ่งเดือนนับตั้งแต่มีการสร้างคลาสการต่อสู้พิเศษขึ้น ทำให้โรงเรียนในเครือทั้งหมดและแม้แต่โรงเรียนหลักสามารถท้าทายทุกคนในคลาสการต่อสู้พิเศษได้
เจสันรู้ดีว่าโรงเรียนในเครือที่ 6 มักจะถูกมองว่าเป็นปรสิตจากขุนนางบางคน เพราะเขาเตรียมตัวเองให้พร้อมที่จะไปโรงเรียนเร็วกว่าปกติ
เจสันเรียกกำแพงน้ำแข็งหนามที่พุ่งเข้าหาไมโลที่มีกริช และกำแพงหนามสูงห้าเมตรพุ่งเข้าหาเขา ซึ่งไม่คาดคิดมาก่อน
ในมุมมองของเจสัน กำแพงนี้หยาบมาก เนื่องจากเป็นเพียงก้อนเล็กๆ เกือบ 30% ของมานาสำรองของเขาที่ถูกบีบให้รวมกันเป็นการโจมตีครั้งเดียว
ไมโลบิดร่างกายของเขาและร่อนลงจากพื้นห่างจากเจสันห้าเมตรและที่มองมาที่เขา เพียงเพื่อสังเกตว่าด้านซ้ายและด้านขวาถูกปิดผนึกไว้อย่างสมบูรณ์ด้วยกำแพงน้ำแข็งทำให้ไมโลมีทางเดียวที่จะโจมตี
ตรงไปทางเจสัน!
สิ่งที่ไมโลไม่รู้คือกำแพงที่เจสันสร้างขึ้นมาหลังจากใช้ก้อนน้ำแข็งก้อนใหญ่เพื่อหันเหความสนใจของเขา เป็นเพียงกำแพงบางๆ เท่านั้นที่แทบจะมองไม่เห็น
อย่างไรก็ตาม ด้วยแรงกดดันที่ไมโลมอบให้ตัวเอง เขาไม่ได้คิดแม้แต่จะพยายามแยกตัวออกจากพื้นที่ปิด ขณะที่เขาพุ่งตรงไปที่เจสันด้วยเทคนิคการเคลื่อนไหวของเขาที่ยังคงออกแรงจนถึงขีดจำกัด
เจสันยิ้มเบา ๆ ขณะที่ดวงตาสีขาวของเขาถูกแทนที่ด้วยเปลวไฟสีดำในขณะที่เขาใช้มานาอีก 30% เพื่อสร้างลูกไฟขนาดเท่ามือหกลูกที่เขาขว้างไปทางไมโล และทำให้ไมโลตกตะลึง
ทันใดนั้น เจสันหายตัวไปจากมุมมองของไมโล ขณะที่ลูกไฟสีดำสองลูกสุดท้ายบินมาที่เขาพร้อมๆ กัน
เมื่อแยกลูกไฟสีดำทั้งสองออก ไมโลแทบจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่วิ่งผ่านเขาไป ขณะที่ขนลุกลุกลามไปทั่วผิวของเขา
ไมโลสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นเล็กน้อยที่คอของเขา ในขณะที่เหล็กเย็นได้ฟันลงไป เมื่อ AI ประกาศผล
[ชัยชนะ เจสัน สเตลล่า!]
ทุกคนประหลาดใจที่การควบคุมของเจสันเกี่ยวกับพลังธาตุน้ำแข็งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดโดยไม่สนใจการต่อสู้ตามปกติที่ทุกคนต้องผ่าน
แต่สำหรับเจสัน เขาไม่ได้คิดว่ามันเป็นสิ่งที่พิเศษ เนื่องจากสมองของเขาได้รับการขัดเกลา เพิ่มความสามารถของเขาให้สูงที่สุด ในขณะที่อาร์เทมิสนำทางเขาด้วยความรู้สึกและความทรงจำ ที่ดูเหมือนจะได้รับมาเมื่อมันได้รับการวิวัฒนาการ
ยิ่งกว่านั้น เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ พลังธาตุน้ำแข็งของเจสัน นั้นยังคงหยาบและไม่ได้ละเอียดหรือประณีตมากนัก เนื่องจากกำแพงน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่มีหนามแหลมนั้นเป็นเพียงก้อนมานาที่ถูกกดเข้าด้วยกันโดยความสัมพันธ์น้ำแข็งของเขาโดยไม่ได้มีความการต้านทานที่สูง แต่ก็สามารถทำให้ใครซักคนตกใจได้มากที่สุด ในขณะที่กำแพงอีกสองด้านที่ผนึกเส้นทางของไมโลนั้นเกือบจะบางพอที่จะมองทะลุได้
ด้วยความสามารถในการยิง เจสันรู้ว่าเขาไม่สามารถซ่อนมันได้อีกต่อไป แต่นี่เป็นเพียงปัญหาเล็ก ๆ เท่านั้น เพราะเขาแสดงถึงพลังของออริจินเฟลมของเขาแล้วในการสอบภาคปฏิบัติของช่างฝีมือ
การเปิดเผยความสัมพันธ์ของไฟสีดำนั้นไม่ถือว่าเลวร้ายนัก
เขาต้องทำอย่างนั้นเพื่อให้เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ กลัวเขาอย่างน้อยก็เล็กน้อยเมื่อข่าวลือเริ่มแพร่ระบาด
เพื่อที่จะไม่ถูกท้าทายจากทุกคน เจสันต้องแสดงอำนาจเหนือพวกเขาและไมโลก็เป็นเป้าหมายที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ เนื่องจากเขาเป็นนักเรียนที่แข็งแกร่งที่สุดอันดับสองของโรงเรียนแวนการ์ดในเครือที่ 6
ในท้ายที่สุด เขาชนะเพียงเพราะไมโลประเมินค่าพลังของธาตุน้ำแข็งของเขาต่ำไป ในขณะที่เขาไม่รู้เกี่ยวกับความสามารถในการสร้างเปลวไฟของเขา แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญหรอก เพราะดวงตากว่าร้อยคู่จ้องมาที่เขาด้วยความชื่นชม ความหึงหวง ความกลัว และความโกรธด้วย เพราะพวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าไมโลแพ้เจสันอีกครั้ง แสดงว่าเมื่อวันก่อนไม่ใช่โชค
หากปราศจากแง่มุมที่น่าประหลาดใจในการโจมตี เจสันก็คงไม่สามารถเอาชนะไมโลด้วยความเร็วของตัวเองได้ เพราะช่องว่างระหว่างคนที่มีร่างกายและขนาดแกนมานาของผู้ชำนาญที่ 5 เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่มีร่างกายและมานา ขนาดของผู้ชำนาญที่ 9
ความแตกต่างนั้นกว้างใหญ่ แต่กลยุทธ์และการใช้ความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบก็เพียงพอที่จะเอาชนะความแตกต่างได้ในระดับหนึ่ง
ในการต่อสู้แบบประจัญบาน เจสันจะต้องสูญเสียความสามารถในปัจจุบันของเขาไปอย่างแน่นอน และเขารู้ดี แต่นั่นไม่ได้เปลี่ยนความสามารถในการต่อสู้ที่บ้าคลั่งของเขาในการต่อสู้กับใครบางคนในระดับที่สูงกว่าเขาสองสามระดับ
ในขั้นต้น เจสันเป็นเพียงผู้ชำนาญอันดับที่ 2 แต่หลังจากได้รับบัพติศมาจากเปลวไฟต้นกำเนิดสีดำ นอกเหนือไปจากการเพิ่มพลังของอาร์เทมิสและสกอร์พิโอผ่านสายวิญญาณ ร่างกายของเจสันและขนาดแกนมานาก็อยู่กึ่งกลางเส้นทางไปสู่ระดับผู้ชำนาญที่ 6 แล้ว ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของพลังเกือบ 4 ระดับ
การต่อสู้กับใครบางคนที่อยู่สูงกว่าสี่ระดับนั้นน่าทึ่งอยู่แล้ว แต่เจสันยังสามารถต่อสู้กับไมโล ซึ่งในตอนแรกนั้นเป็นเพียงผู้ชำนาญอันดับที่ 7 เท่านั้น โดยข้ามช่องว่าง 5 ระดับเพียงเพราะพลังวิญญาณของเขาได้ประโยชน์เนื่องจากออริจินเฟลมของเขาก็เป็นสายวิญญาณของเจสันเช่นกัน
เซรอนไม่เคยเห็นเจสันใช้พลังไฟสีดำและเขาก็ตกใจ ในขณะที่แอนทาเรียนักเล่นแร่แปรธาตุอันดับ 4 ได้แจ้ง ทิลล์เกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของไฟพิเศษของนักเรียนของเขา ด้วยการขอให้เจสันได้เข้าไปในหอคอยช่างฝีมือซึ่งทำให้ทิลล์ยิ้ม แห้ง
เขาจะบังคับให้เจสันเข้าไปในหอคอยช่างฝีมือได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นลูกศิษย์ของเชน?? สิ่งมีชีวิตที่มีคริสตัลพริสมารีนก่อตัวขึ้นในสระมานาของเขา บ่งบอกว่าเขาได้เสริมมานาบางส่วนในตัวมันแล้ว
ในท้ายที่สุด นี่หมายความว่าเจสันเป็นศิษย์ของหนึ่งในมหาอำนาจที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของมนุษยชาติ ซึ่งเรียกอีกอย่างว่ายศอธิปไตย หนึ่งอันดับเหนือยศลอร์ด
ทิลล์ไม่แน่ใจว่าจักรพรรดิ์ของมนุษย์มีอยู่กี่คน แต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตเพียงตัวเดียวที่ข้ามอาณาจักรนี้และเข้าสู่ตำแหน่งด้านบน มิฉะนั้น สิ่งมีชีวิตนี้น่าจะครองมนุษยชาติทั้งหมด รวมเป็นหนึ่ง ปราบปราม หรือครอบครองมัน
อย่างไรก็ตามทิลล์ไม่สามารถบังคับเจสัน ให้ทำอะไรได้หากเขาต้องการอยู่รอดและมีชีวิตที่สงบสุข
ดังนั้นเขาจึงเพิกเฉยต่อคำขอของนักเล่นแร่แปรธาตุระดับ 4 ในขณะที่เขาอ่านข้อความสองสามครั้ง
‘เขาสามารถชำระล้างสิ่งสกปรกในสมุนไพรและพืชได้ด้วย?…. เจสัน.. เธอเป็นใครกันแน่?’
ทิลล์ไม่รู้ว่าจะคิดยังไงกับเจสันอีกแล้ว ที่ทำให้เขาตกใจครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่ที่น่าตกใจที่สุดคือตอนที่เขาขัดเกลาสมองและสร้างพื้นที่ย่อยในขณะที่อยู่ในระดับมือใหม่ แม้ว่าเขาจะช่วยเหลือเจสันมากมาย
เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับเจสันที่จะควบคุมความสามารถของไฟของเขา เพราะมันทำงานได้ดีอย่างสมบูรณ์แบบด้วยความคิดเพียงจุดเดียวเกี่ยวกับเปลวไฟต้นกำเนิดของเขา ในขณะที่เขาต้องเรียนรู้พลังของธาตุน้ำแข็งของเขาทีละขั้น ซึ่งทำให้การตอบสนองความต้องการของเขาช้าลงเล็กน้อย ระยะขอบ
ในขณะที่ออริจินเฟลมของเขาตอบสนองในทันที แต่ธาตุน้ำแข็งใช้เวลาประมาณ 2 วินาที ซึ่งนานเกินไป พิจารณาว่าสามารถตัดสินได้ว่าจะมีคนอยู่หรือตาย รวมทั้งชีวิตของเขาเอง
เจสันมั่นใจในการเพิ่มความชำนาญทั้งด้านไฟและความชอบด้วยน้ำแข็ง ในขณะที่ความชอบด้านน้ำแข็งของเขาต้องการความสนใจมากที่สุด
เขาหยิบกริชของเขาออกจากคอของไมโล และเดินออกไปนอกลานประลอง ขณะที่กลุ่มนักเรียนคอยดูแลเขา
เจสันเดินไปที่ ทิลล์ขณะที่อาร์เทมิสแตะไหล่ของเขา
มันสายไปแล้วและอีกไม่นานก่อนที่คลาสการต่อสู้พิเศษจะสิ้นสุดลง และเจสันแจ้งทิลล์ว่าเขาจะออกไป ก่อนจะเดินออกจากโรงยิม
ตอนนี้ เจสันคิดว่าเขามีหลายสิ่งที่ต้องทำมากเกินไป และไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับทุกสิ่ง
เขาไตร่ตรองถึงสิ่งที่เขาควรให้ความสำคัญมากที่สุด ในขณะที่ด้านอื่นๆ ต้องให้ความสำคัญน้อยกว่า
เจสันต้องฝึกฝนความสัมพันธ์ของเขาในระดับหนึ่ง ฝึกฝนทักษะการต่อสู้ที่ได้รับใหม่นอกเหนือจากทักษะเดิมของเขา และออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
ถ้านั่นคือทั้งหมด เขาจะต้องทำอะไรอีกมาก แต่ไม่เพียงแต่เขาจะต้องรับผิดชอบในการอ่านหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพร พืช แร่ รูน การตีขึ้นรูป การเล่นแร่แปรธาตุ และอื่นๆ ทั้งหมดในขณะนี้
นอกจากนี้ เจสันยังต้องเพิ่มพลังวิญญาณของเขาเพื่อให้อาร์เทมิสเข้าสู่โลกวิญญาณของเขา ซึ่งเป็นที่ที่สะดวกสบายที่สุดสำหรับสัตว์ร้ายสายวิญญาณทุกตัว
แม้จะไม่ได้นอน เขาก็จะมีตารางงานที่แน่นหนา และเขาก็ทำได้เพียงขมวดคิ้วไม่พอใจกับเวลาที่สั้นลงเท่านั้น
การฝึกทักษะเฮลวี่เฮลล์สามครั้งต่อวันเป็นสิ่งที่ต้องทำซึ่งต้องใช้เวลามากกว่า 4 ชั่วโมงในหนึ่งวันของเขา ในขณะที่การฝึกฝนเทคนิคศิลปะการต่อสู้ของเขาสามารถทำได้ในชั้นเรียนตอนบ่ายของเขาในขณะที่ต้องชกกับนักเรียนชั้นเรียนการต่อสู้พิเศษที่แข็งแกร่งกว่าทุกประเภท
การฝึกพลังธาตุในตอนเช้าและอ่านหนังสือในตอนเย็นน่าจะได้ผลมากที่สุด ในขณะที่เขาสามารถออกกำลังกายในตอนเช้าและก่อนนอน
ด้วยตารางเวลาที่ยากลำบากในใจ เจสันเข้าไปในรถรับส่งข้างหน้าเขาอย่างมีความสุขด้วยรอยยิ้มที่พอใจ
การมีตารางงานคร่าว ๆ ย่อมดีกว่าการไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร และเจสันจะเริ่มใช้กำหนดการนี้ในอนาคตหากไม่มีเรื่องสำคัญเข้ามาเกี่ยวข้อง
ภายในกระสวยอวกาศ เขาฝึกเทคนิคเฮลวี่เฮลล์ด้วยพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลของเขา เพิ่มเวลาในการถักเปียและฉีดของเขาให้เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 90 นาทีเล็กน้อย
กระสวยมาถึงหน้าบ้านของเฟลอร์นานแล้ว แต่เจสันก็ยังไม่รู้ตัว
โชคดีที่บริการรถรับส่งไม่ไล่เขาออกจากรถและแต่จะคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มทุกนาที
เครดิตไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอีกต่อไป และเขาก็เข้าไปในคฤหาสน์ของเฟลอร์โดยมีอาร์เทมิสอยู่บนบ่าของเขา ดึงดูดความสนใจของทุกคน
ไม่เพียงแค่สิ่งสำคัญสำหรับพวกเขาที่อาร์เทมิสเสร็จสิ้นการวิวัฒนาการของเธอ แต่เจสันก็ดูดีด้วย แม้ว่าตอนนี้เขาจะดูสกปรกไปหน่อยก็ตาม
ทุกคนต่างมองมาที่เขาด้วยความตกใจ เมื่อพวกเขาสัมผัสได้ถึงแกนมานาของเขาในระดับผู้ชำนาญที่ 2
เกร็กกัดฟันรู้สึกหึงสุดๆ ในขณะที่มาเลียก็มองเจสันได้เพียงแววตาตกตะลึง
ครอบครัวเฟลอร์ทุกคนมีความคิดเหมือนกันเมื่อพวกเขาเห็นวิวัฒนาการของอาร์เทมิสไปสู่เผ่าพันธุ์ที่ไม่รู้จักนอกเหนือจากอัตราการก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเจสัน
แม้ว่าเจสันคาดว่าความชำนาญของเขาเกี่ยวกับพลังธาตุน้ำแข็งนั้นจะอ่อนแอ และสิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้มีประโยชน์มากนัก
เขาตั้งใจจะสร้างกำแพงน้ำแข็ง แต่สิ่งที่เขาทำได้คือสร้างการระเบิดของอนุภาคน้ำแข็งที่ก่อตัวเป็นเมฆน้ำแข็งรอบๆ ตัวทั้งสองคน
สิ่งเดียวที่มีประโยชน์คือป้องกันไม่ให้ใครเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้ปกป้องเขาจากดาบของเซรอน และเขาไม่สามารถทำอะไรกับมันได้
การคาดหวังว่าจะสร้างกำแพงดิบๆ อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่เขาคิดเอาไว้ และตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมการควบคุมและใช้ความสัมพันธ์ที่หามาได้ตามปกติจึงเป็นเรื่องยาก
ออริจินเฟลมของเขาเป็นข้อยกเว้น และเจสันอาศัยเพียงประสบการณ์ในการจัดการเปลวไฟของเขาเท่านั้น
เจสันยืนขึ้นช้าๆ เขารู้สึกได้ถึงสายตานับร้อยคู่ที่จ้องมองมาที่เขา และเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและความสนุกสนาน
เจสันที่พวกเขายกย่อง ชื่นชม และกลัวแม้กระทั่งการต่อสู้ของเขาเมื่อวันก่อน พ่ายแพ้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
บางคนถึงกับเริ่มสงสัยว่าการชกต่อยกับไมโลและเบลล่าอาจเป็นเรื่องปลอม ถ้าเจสันฆ่าอย่างน่าขนลุกและน่าขนลุกนั้นไม่เป็นความจริง
สถานการณ์ทั้งหมดเปลี่ยนไปอย่างกระอักกระอ่วนและเยาวชนบางคนเริ่มหัวเราะ มีความสุขที่ได้เห็นเจสันพ่ายแพ้ ในขณะที่คนอื่นๆ ตัดสินใจที่จะสนใจเรื่องของตัวเองและฝึกฝนตัวเองเพื่อเอาชีวิตรอดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจนกว่าการแข่งขันบิ๊กทรีจะเริ่มต้นขึ้น
เมื่อเจสันยืนนิ่งอยู่บนพื้น เซรอนก็จ้องมองเขาด้วยความสงสัย โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ขอโทษนะเซรอน.. ฉันต้องการทดสอบพลังน้ำแข็งที่ได้รับใหม่ของฉัน และดูเหมือนว่าฉันจะใจร้อนเกินไป ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับความสัมพันธ์นี้”
เจสันอธิบายและเซรอนทำได้เพียงพยักหน้า เพราะตอนนี้เขายังไม่มีพลังธาตุ แต่อาจารย์ของเขาบอกเขาว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะเรียนรู้ที่จะใพลังของธาตุนี้และต้องใช้เวลาและความอดทนในการทำความเข้าใจแม้แต่พื้นฐาน
การใช้พลังธาตุในแบบที่เราต้องการนั้นยากยิ่งขึ้นไปอีก และจะต้องใช้เวลานานกว่านี้ในการเรียนรู้วิธีจัดการกับมัน
การเรียนรู้พลังธาตุที่สอง สาม หรือมากกว่านั้นจะง่ายขึ้นมากเพราะเราจะเข้าใจคร่าวๆ ว่าควรใส่ใจกับสิ่งใด
เจสันสงสัยว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าใดในการเรียนรู้วิธีจัดการกับธาตุน้ำแข็ง และเขายิ่งอยากรู้มากขึ้นไปอีกว่าความสัมพันธ์อื่นๆ จะทำงานอย่างไร
จากความรู้ของเขาเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ดูเหมือนว่าเขาจะทำสัญญากับสัตว์ร้ายอะไรก็ได้ที่เขาต้องการโดยไม่มีข้อยกเว้น
นี่ถือได้ว่าดีแต่ปัญหาคือเจสันไม่มีเวลาพอที่จะเรียนรู้ทุกธาตุ
หลังจากหมุนเวียนมานาภายในช่องมานาของเขา เจสันก็ค่อยๆ กระตุ้นธาตุน้ำแข็งของเขาด้วยความปรารถนาที่จะสร้างแท่งน้ำแข็ง ดูเหมือนว่าจะใช้ได้ผลจนกว่าความสนใจของเขาจะลดลงและแท่งน้ำแข็งที่สร้างขึ้นอย่างเปราะบางก็ตกลงสู่พื้นจนแตกเป็นพันชิ้น
`นี่มันยากจริงๆ’
เจสันคิดในขณะที่เขาไม่สนใจเซรอนที่ยืนอยู่ข้างเขาในสนามประลอง
เมื่อลองรูปร่างที่แตกต่างกันหลายๆ แบบด้วยความชื่นชอบน้ำแข็งของเขา เจสันดูเหมือนจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว และอาร์เทมิสผู้ซึ่งตกใจที่เจ้านายของมันได้พ่ายแพ้ มันได้ทรุดตัวลง
มันถ่ายทอดความคิดหลายอย่างให้เขา โดยให้คำแนะนำแก่เจสันเกี่ยวกับวิธีจัดการกับธาตุเป็นน้ำแข็ง และด้วยคำแนะนำ เขาก็สามารถสร้างแท่งน้ำแข็งที่เสถียรได้สำเร็จในเวลาเพียง 30 นาทีต่อมา
พอใจกับความสำเร็จนี้ เขาโยนมันขึ้นไปบนเพดานและสังเกตว่าความเร็วของมันดูเหมือนจะช้าในขณะที่พลังที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีของเขานั้นดีพอ
แต่มันแตกง่ายเกินไป และไม่ยอมแม้แต่เจาะเข้าไปในผิวหนังหนา ๆ ซึ่งทำให้เจสันต้องกังวล
ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่แท่งน้ำแข็งของเขาแตกออกเนื่องจากสามารถสร้างความเสียหายเพิ่มเติมได้ แต่ควรจะแตกออกหลังจากแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของคู่ต่อสู้เท่านั้น ซึ่งสร้างความเสียหายร้ายแรงขึ้นมาก
เจสันคิดลึกๆ และลืมเวลาไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นเซรอนจึงตัดสินใจทิ้งเขาไว้ตามลำพังในสนามประลอง ในขณะที่ ทิลล์อุ้มเขาขึ้นมาเพื่อพาเขาออกไปนอกสนามประลองด้วยมานาที่โอบล้อมเขาไว้
การเบี่ยงเบนความสนใจของเจสันในตอนนี้จะเลวร้ายอย่างยิ่ง เนื่องจากดูเหมือนว่าเขาจะเข้าสู่สภาวะที่มีสมาธิเต็มที่ ซึ่งความเข้าใจของคนๆ หนึ่งเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง
อาร์เทมิสทำให้เขาเต็มไปด้วยภาพ ความรู้สึก และความคิด และคำพูดของมันทำให้เจสันประหลาดใจ เพราะมันไม่เคยใช้ความสัมพันธ์แบบน้ำแข็งของมันต่อหน้าเขา
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าอาร์เทมิสจะเชี่ยวชาญในการใช้ความสัมพันธ์แบบน้ำแข็ง และเจสันก็เข้าใจพื้นฐานได้เร็วกว่าที่เขาคาดไว้มาก
ในขณะที่กลุ่มคลาสการต่อสู้พิเศษอื่น ๆ มองเขาด้วยความเย้ยหยันและสนุกสนาน เซรอน และ ไมโล ต่อสู้กันเองอย่างกระตือรือร้น
ไมโลเอาชนะเซรอน ด้วยการได้เปรียบเล็กน้อยเนื่องจากระดับแกนมานาที่สูงกว่าของเขา แต่การฉีดมานาของ เซรอนทำให้การต่อสู้นั้นสมดุล ทำให้มันจบลงด้วยด้วยดี
ชั่วโมงผ่านไปและคลาสการต่อสู้พิเศษก็ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว เมื่ออาร์เทมิสบินกลับไปที่ม้านั่งหลังจากที่มันได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับพลังธาตุน้ำแข็ง โดยที่เจสันตื่นขึ้นจากความเข้าใจอันลึกซึ้งของเขา
เขาคิดว่าการใช้ความสามารถน้ำแข็งของเขาตลอดเวลาจะช่วยพัฒนาความสามารถของเขาให้ใกล้เคียงกับพื้นที่ย่อยด้วยการเติมมานาแบบพาสซีฟซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการให้มานาเพียงพอสำหรับปรับสมดุลการบริโภคของเขา
เมื่อเข้าใจพื้นฐานของความใกล้ชิดน้ำแข็งของเขาด้วยคำแนะนำของอาร์เทมิส เจสันก็พร้อมที่จะต่อสู้อีกครั้งและพร้อมที่จะต่อสู้กลับด้วยสุดกำลังของเขา
ขณะที่เขาเดินไปหาเซรอน ดวงตาสีทองของเขาดูเหมือนจะมีร่องรอยสีขาว เนื่องจากพลังจากธาตุน้ำแข็งของเขาถูกใช้อย่างต่อเนื่องโดยไม่สูญเสียมานาใดๆ
การรู้สึกถึงธาตุน้ำแข็งเป็นสิ่งสำคัญในการเรียนรู้วิธีควบคุมความสัมพันธ์ที่ได้รับใหม่
มันเหมือนกับว่าเจสันได้รับกล้ามเนื้ออีกชุดหนึ่งและการเรียนรู้วิธีเคลื่อนไหวและใช้งานมันเป็นสิ่งสำคัญ
สภาพแวดล้อมรอบๆ ของเขาเย็นกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ของเวที และดวงตาของเขาแผ่ซ่านไปด้วยความเย็น ทำให้เกิดขนลุกบนตัวนักเรียนที่มองตรงเข้าไปในดวงตาของเขา
เซรอนและไมโลเมื่อจบการต่อสู้ พวกเขาก็สังเกตเห็นเจสันเดินเข้ามาหาพวกเขา
เมื่อเห็นว่าเจสันเดินตรงเข้ามาหาพวกเขาอย่างมั่นใจ เซรอนก็รู้ทันทีว่าเขาเข้าใจบางสิ่งที่สำคัญ ในขณะที่ไมโลไม่แน่ใจว่าควรประพฤติตัวอย่างไรต่อหน้าเจสัน
ความรู้สึกพิเศษของเขายังคงบอกให้เขาติดตามเจสัน แต่การแสดงของเจสันในการต่อสู้วันนี้น่าอายอย่างยิ่ง และไมโลก็ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะภูมิใจกับความรู้สึกหรือไม่
แต่เมื่อเห็นความมั่นใจของเจสัน ไมโลก็มั่นใจว่าความรู้สึกของเขาต้องเป็นความจริง
เจสันมีแนวโน้มที่จะต่อสู้กับทั้งเซรอนและไมโลเมื่อเขาเข้าใกล้พวกเขา แต่ถ้าเขาทำอย่างนั้น เขาจะแพ้เท่านั้น และเป็นการดีกว่าที่จะหลีกเลี่ยงในตอนนี้ แม้ว่าความกดดันจะช่วยให้ความสามารถในการต่อสู้ของเขาทะยานสูงขึ้น
ในตอนแรก เขาต้องการต่อสู้กับเซรอนแต่เมื่อเขาเห็นธาตุและความเร็วลมของไมโล เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นไมโล
“สู้ ๆ นะไมโล!”
เจสันพูดก่อนจะพยักหน้าให้เซรอนซึ่งก้าวถอยหลัง
ไม่ใช่ว่าเจสันไม่ต้องการต่อสู้กับเซรอน แต่เขาเข้าใจดีว่าไมโลเป็นคู่หูฝึกหัดที่ดีกว่าในตอนนี้ ในขณะที่เซรอน ไม่สามารถกดดันคู่ต่อสู้ของเขาได้มากพอที่จะดึงศักยภาพของพวกเขาออกมา
ในความเห็นของเซรอน เจสันเป็นคู่ซ้อมที่ดีที่สุดสำหรับเขา เนื่องจากความแข็งแกร่งของเขาประเมินค่าไม่ได้
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน เขาต้องจำกัดแกนมานาและร่างกายของเขาให้ขยายขึ้น แต่ตอนนี้เขาสามารถต่อสู้กับเจสันด้วยกำลังและเทคนิคพิเศษทั้งหมดที่เขาควบคุมไม่ได้
นี่ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จระดับเทพ และเซรอนยังอิจฉาความสามารถในการต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ เจสันทำให้เขาต้องฝึกให้หนักขึ้น
ด้วยเหตุนี้ การดูดซับมานาและความเร็วในการกลั่นของเขาจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ยืนห่างจากไมโลประมาณ 30 เมตร เจสันจ้องไปที่คู่ต่อสู้ด้วยแกนมานาระดับผู้ชำนาญ 7
ในขณะเดียวกัน ขนาดร่างกายและมานาของไมโลก็อยู่ที่ระดับผู้ชำนาญ 9 ซึ่งบ่งชี้ว่าเขาได้ทำสัญญากับสัตว์ร้ายที่วิวัฒนาการมาซึ่งทำให้เขามีพลังธาตุลมแรงระดับวิวัฒนาการ
มันทำให้เขาประหลาดใจที่ไมโลและแม้แต่เบลล่าอยู่แค่โรงเรียนในเครือที่ 6 และไม่ใช่โรงเรียนในเครือที่มีตำแหน่งสูงกว่า แต่เป็นไปได้มากว่าเป็นเพราะภูมิหลังของพวกเขาหรือสิ่งที่คล้ายกัน
โรงเรียนในเครือ 6 แห่งได้รับการจัดอันดับจากอ่อนแอที่สุดไปหาแข็งแกร่งที่สุดและเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่โรงเรียนในเครือที่ 6 ถูกพิจารณาว่าอ่อนแอที่สุดซึ่งส่วนใหญ่เป็นกรณีเพราะมีนักเรียนในครัวเรือนเฉลี่ยที่มีศักยภาพสูงมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ยังมีพรสวรรค์ที่มหัศจรรย์โผล่ออกมาจากส่วนที่ถูกเหยียบย่ำของสังคม ไต่ขึ้นบันไดสังคมด้วยทักษะมานาและการจัดอันดับจิตวิญญาณของพวกเขา
เป็นเรื่องที่หาได้ยาก แต่เกิดขึ้นบ่อยมากพอที่จะถือว่าชั้นหนึ่งของโรงเรียนในเครือที่ 6 เทียบได้กับชั้นเรียนที่อ่อนแอกว่าของโรงเรียนแนวหน้าหลัก
ดังนั้น การเอาชนะห้อง 1 เหมือนกับว่าเจสันเอาชนะห้องที่อ่อนแอที่สุดของโรงเรียนหลัก ทำให้เจสันพึงพอใจอย่างมากกับผลงานในปัจจุบันของเขา
อย่างไรก็ตาม การมุ่งมั่นเพื่อสิ่งที่มากขึ้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเขา และความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของเขาสามารถมองเห็นเป็นประกายในดวงตาของเขา ขณะที่เขาจ้องไปที่ไมโล ในขณะที่ AI เริ่มนับถอยหลังเพื่อต่อสู้
ไมโลเริ่มห้อมล้อมตัวเองด้วยมานาที่แปรเปลี่ยนลมเป็นชั้นหนาในทันที ขณะที่เขาใช้เทคนิคการเคลื่อนไหวด้วยความสัมพันธ์กับสายลม
การข้ามระยะทาง 30 เมตรนั้นไม่มีอะไรสำหรับเขาด้วยร่างกายของเขาที่มีระดับผู้ชำนาญ 9 นอกเหนือจากการใช้เทคนิคการเคลื่อนไหวของเขาอย่างเต็มที่ในขณะที่ถูกห่อหุ้มด้วยมานาที่แปรสภาพด้วยลม
ไมโลไม่ได้โจมตีคู่ต่อสู้ของเขาจากด้านหน้าและพยายามโจมตีเจสันจากด้านข้าง ในขณะที่อุณหภูมิโดยรอบลดลงอย่างมาก
ทันใดนั้น ร่างของเจสันก็ถูกห่อหุ้มด้วยเครื่องกีดขวางน้ำแข็งหนาที่ขยายขนาดขึ้นและยิงไปที่ไมโลโดยตรง
กว่าครึ่งชั่วโมงผ่านไป เจสันตัดสินใจลุกขึ้นยืน
คลาสการต่อสู้พิเศษเริ่มต้นขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน แต่เจสันหันหลังให้ตรงอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะหันไปทางสนามประลอง
อาร์เทมิสที่มีร่างใหญ่เกาะตัวอยู่ที่ไหล่ของเจสันและเขาพยายามมองดูมันให้ดี
ขนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ในขณะที่มีเขาบนหน้าผากมีสีดำสนิท
เมื่อพิจารณาถึงดวงตาสีดำก่อนหน้านี้ อาร์เทมิสมีดวงตาสีฟ้า และมานาที่เติมในเลือดของเธอมีความบริสุทธิ์สูงกว่าเมื่อก่อนมาก
แต่แกนมานานั่นแปลก และเจสันรู้เพียงว่าอาร์เทมิสอยู่ที่ระดับการปลุกพลังสูงสุดในขณะที่ความต้องการพลังงานวิญญาณอยู่ที่ 90 หน่วย
จากความสามารถในการต่อสู้ที่บริสุทธิ์ของอาร์ทิมิส เจสันคิดว่ามันอาจจะสามารถเอาชนะสัตว์ร้ายที่มีวิวัฒนาการต่ำได้ ต้องขอบคุณความสัมพันธ์ นอกเหนือจากมานาที่หล่อเลี้ยงในเลือดอย่างต่อเนื่อง
เป็นเรื่องแปลกที่เจสันไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์นกฮูกยาวหนึ่งเมตรที่มีดวงตาสีฟ้าแหลมและเขาสีดำ
ดังนั้นเขาจึงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับขีดจำกัดทางเชื้อชาติของอาร์เทมิส ยกเว้นสิ่งที่อาร์เทมิสได้ถ่ายทอดให้เขา
จากความใกล้ชิดกับธาตุน้ำแข็งของมัน เจสันสามารถบอกได้ว่าอย่างน้อยก็อยู่ในช่วงที่ปลุกพลังให้ตื่นขึ้น ซึ่งทำให้เขาสงสัยว่าสายสัมพันธ์น้ำแข็งจะเติบโตไปพร้อมกับอาร์เทมิสหรือไม่ หรือนั่นเป็นจุดสิ้นสุดทางสายเลือดของมันหรือไม่
อย่างหลังไม่น่าจะเป็นไปได้ และเจสันยิ้ม รู้สึกถึงน้ำหนักของอาร์เทมิสบนไหล่ของเขา ขณะที่เขาเดินไปที่สนามประลอง
เจสันมาสายกว่าครึ่งชั่วโมงสำหรับคลาสการต่อสู้พิเศษ ซึ่งได้รับความสนใจเพราะเขาเป็นไฮไลท์ของคลาสพิเศษในการต่อสู้ขนาดใหญ่ครั้งแรก
ด้วยระดับแกนมานาที่ต่ำของเขา เขา ‘สามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างง่ายดาย’ การเอาชนะนักเรียนระดับ 2 อันดับแรกของโรงเรียนแนวหน้าแห่งที่ 6 โดยใช้ดวงตาลักษณะพิเศษของเขาและด้วยการสนับสนุนของ เซรอนซึ่งทุกคนมองว่าเป็นปริศนาเช่นกัน
เมื่อเห็นเจสันเดินเข้าไปในสนามประลองพร้อมกับอาร์เทมิสบนไหล่ของเขา ทุกคนก็มองมาที่เขาด้วยการแสดงออกที่แตกต่างกันออกไป
ความประหลาดใจ ความริษยา ความทะเยอทะยาน ความมุ่งมั่น ความกลัว และอื่นๆ อีกมากมาย
พวกเขาประหลาดใจที่เห็นอาร์เทมิสอยู่บนไหล่ของเขาเพราะพวกเขาไม่เคยเห็นเผ่าพันธุ์นกฮูกเช่นนี้
นอกจากนี้ ปกติมีกฏห้ามเรียกสายวิญญาณออกจากโลกวิญญาณระหว่างบทเรียน เมื่อพวกมันถึงระดับหนึ่งแล้ว
สายใยวิญญาณขนาดเล็กจะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นหรือขัดขวางพวกเขาในการทำกิจกรรมต่างๆ แต่อาร์เทมิสเปล่งประกายออร่าอันสูงส่งและสง่างามซึ่งดึงดูดความสนใจของคนรอบข้างโดยไม่รู้ตัว
ร่องรอยของความโกรธสามารถเห็นได้ในสายตาของนักเรียนระดับสูงเท่านั้น และพวกเขาไม่สามารถยอมรับได้ว่านักเรียนที่มีระดับแกนมานาที่อ่อนแอที่สุดในคลาสการต่อสู้พิเศษของพวกเขาสามารถเอาชนะนักเรียนที่ดีที่สุดของพวกเขาได้
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้สำหรับพวกเขา แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น ความกลัวก็ประกอบขึ้นเป็นอารมณ์ส่วนใหญ่ของพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่ท้าทายเจสันหรือเซรอนโดยไม่จำเป็น
พวกเขากลัวที่จะจบแบบไมโลกับเบลล่า
นักเรียนชั้นเรียนการต่อสู้พิเศษที่อ่อนแอกว่าเล็กน้อยซึ่งน่าจะถูกแทนที่ในหนึ่งเดือน จำได้ว่าการต่อสู้ของ เจสันกับคนที่อยู่เหนือระดับของเขาเองเจ็ดระดับ กระตุ้นพวกเขาในขณะที่ความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่นค่อยๆ สะสมอยู่ภายในพวกเขา
หากปราศจากความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่น พวกเขาก็จะไม่สามารถไปถึงอาณาจักรแกนกลางมานาที่สูงขึ้นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหาคนที่พวกเขาสามารถมองหาได้
พลังของเจสันเมื่อวันก่อนมีเสน่ห์และมีอำนาจเหนือใคร ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความเคารพต่อเจสัน เติมเต็มด้วยความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่น
เมื่อเขาเดินลงไปที่สนามประลอง เขาพยายามทดสอบความใกล้ชิดกับน้ำแข็งที่ได้รับใหม่ แต่ยากกว่าที่เขาคาดไว้มาก
ไม่มีอะไรได้ผลอย่างที่เขาต้องการจริงๆ และเขาทำได้เพียงบ่นว่าความพลังเปลวไฟที่เป็นแหล่งกำเนิดไฟของเขานั้นควบคุมได้ง่ายกว่ามาก
อาจเป็นเพราะพันธะวิญญาณเปลวไฟสีดำในเวลาเดียวกันกับความสัมพันธ์ของเขาซึ่งจะฟังความคิดที่ส่งผ่านของเขาในขณะที่เจสันต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความสัมพันธ์น้ำแข็งที่เขาได้รับจากอาร์เทมิสด้วยตัวเขาเอง
มันดูสมเหตุสมผลและเจสันตัดสินใจที่จะฝึกความสามารถในการน้ำแข็งและไฟของเขาให้มากขึ้นในอนาคต เนื่องจากเขายังคงเห็นการพัฒนาในหลาย ๆ ด้านในทุกที่
ความใกล้ชิดของเขาแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะผู้ที่มีระดับแกนมานากว่าและความสัมพันธ์น้ำแข็งของเขาอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับปลุกพลัง ในขณะที่ความสัมพันธ์ไฟสีดำของเขาอยู่ที่ระดับกลาง/พัฒนาปลาย
ด้วยเหตุนี้ เขาอาจจะสามารถเอาชนะใครบางคนในระดับผู้เชี่ยวชาญในภายหลังได้ ตราบใดที่ความเชี่ยวชาญของเขากับความสัมพันธ์ของเขาเพิ่มขึ้น แม้ว่าระดับมานาหลักและร่างกายของเขาจะอ่อนแอกว่ามาก
ไม่ใช่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับระดับร่างกายและมานาหลัก มิฉะนั้น เราจะไม่เรียนรู้กลยุทธ์ ความรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศ จุดอ่อน และจุดแข็งของศัตรู และการทำสัญญาสายใยวิญญาณกับความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งจะไร้ประโยชน์
ทิลล์สังเกตเห็นว่าเจสันมาสาย แต่เขาไม่ได้คิดว่าเรื่องนั้นสำคัญหลังจากเห็นอาร์เทมิสอยู่บนไหล่ของเขา
`นกเค้าแมวตัวนั้นคืออะไร’
เขาสงสัยเพราะเขาไม่เคยเห็นวิญญาณของเจสันที่เหมือนนกฮูก ทำให้เขาเกิดความสงสัย
เจสันเดินไปหาเขาก่อนจะพูดว่า
“ขอโทษครับที่มาช้า วิวัฒนาการของอาร์เทมิสเสร็จสิ้นเมื่อเช้านี้ และการปรับตัวเข้ากับการขยายของอาร์เทมิสต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้”
แต่แทนที่จะสนใจเรื่องนี้ ทิลล์กลับสังเกตเห็นสิ่งอื่นที่ทำให้เขาประหลาดใจ
“นายทะลวงเข้าสู่ระดับผู้ชำนาญขั้นที่สองแล้วหรือ?”
เขาถามอย่างงุนงง จำได้ชัดเจนว่าเจสันบุกเข้าสู่ตำแหน่งผู้ชำนาญเมื่อสัปดาห์ก่อน
เหล่านักเรียนรอบๆ เริ่มนินทาพยักหน้าเบาๆ แต่ก็เทียบไม่ได้กับใบหน้าที่อัศจรรย์ใจของครูของพวกเขามากนัก นอกเหนือไปจากเซรอนที่ได้ยินสิ่งที่อาจารย์ของเขาถาม
เซรอนสแกนมานาของเจสัน ทำให้เซรอนเบิกตาเบิกกว้างขึ้นขณะที่เขาถามตัวเองด้วยความตกใจว่าเจสันเป็นสัตว์ร้ายชนิดใด
‘ฉันต้องพยายามให้หนักขึ้น!’
เซรอนคิด จำได้อย่างชัดเจนว่าเจสันบุกเข้าสู่ตำแหน่งผู้ชำนาญเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ความแตกต่างระหว่างระดับผู้ชำนาญที่หนึ่งและที่สองนั้นถูกมองว่าเป็นก้าวแรกของการฝึกฝน เนื่องจากความแตกต่างระหว่างระดับผู้ชำนาญเริ่มกว้างขึ้น นอกเหนือจากการขยายสายวิญญาณ
อาจกล่าวได้ว่าทุกคนต่างเดินตามเส้นทางที่แตกต่างกัน โดยพิจารณาว่าพวกเขาสามารถทำสัญญากับสัตว์ร้ายชนิดใดได้ และหากพวกเขาต้องการเดินตามเส้นทางที่มีขนาดแกนมานาที่ใหญ่กว่าหรือร่างกายที่แข็งแรงกว่า
บางคนพยายามรักษาขนาดแกนกลางที่เพิ่มขึ้นด้วยการปรับปรุงร่างกายเล็กน้อยจากพันธะวิญญาณเพื่อใช้ความสัมพันธ์ในรูปแบบที่ใหญ่ขึ้น ในขณะที่คนอื่นๆ มุ่งเน้นไปที่ร่างกายมากขึ้นด้วยเส้นทางที่แตกต่างกันทั้งหมด เช่น ความว่องไว ความอดทน ความแข็งแกร่ง และอื่นๆ .
พ่อแม่ส่วนใหญ่เล่าเรื่องราวให้ลูกฟังเกี่ยวกับพ่อมดที่ปกครองสรรพธาตุ นักรบทำลายภูเขา และเส้นทางชีวิตอื่นๆ อีกมากมายที่เราสามารถทำได้ เนื่องจากจำนวนของสายใยวิญญาณที่ทำสัญญาได้นั้นถูกนับไว้
การเป็นผู้รอบรู้นั้นยากอย่างยิ่งโดยมีพื้นที่ว่างสำหรับสายใยวิญญาณในดวงวิญญาณน้อย ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะเป็นผู้ที่ดีที่สุดในสนามเดียวเพื่อที่จะเอาชนะสัตว์ร้ายและศัตรูด้วยวิธีนี้ ในขณะที่การปลุกวิญญาณก็สามารถป้องกันได้ บางเส้นทางโดยการปลุกวิญญาณทางกายภาพโดยไม่เข้ากันได้กับองค์ประกอบใด ๆ
มีคนตามเส้นทางการเสริมความแข็งแกร่งมากมายอยู่เสมอด้วยพลังวิญญาณที่สูงและพื้นที่สายใยวิญญาณของพวกเขา แต่เจสันถือได้ว่าเป็นข้อยกเว้น
หากพลังวิญญาณของเขามีมากมายนอกเหนือจากจิตวิญญาณปัจจุบันของเขา เจสันอาจจะเข้าโรงเรียนระดับแนวหน้าของทุกระดับชั้น โดยไม่จำเป็นต้องให้ใครมาพิจารณาด้วยซ้ำ
หลังจากที่เจสันพูดกับทิลล์เสร็จ ซึ่งมองมาที่เขาค่อนข้างซับซ้อน เขาเห็นเซรอน
เจสันแนะนำอาร์เทมิสสายใยวิญญาณตัวแรกของเขาให้รู้จักกับเซรอน
‘ทำไมต้องแนะนำสายใยวิญญาณของเขาด้วย’
เซรอนคิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกมาดังๆ เพราะความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างสายใยวิญญาณกับคู่สัญญาของพวกเขามีความพิเศษ ทำให้พวกเขาเป็นเหมือนเจสัน
ด้วยความท้าทายของเซรอนในการต่อสู้ เจสันต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับน้ำแข็ง
เมื่อเดินไปที่สนามรบเจสัน และเซรอนได้รับความสนใจมาก แต่ก็ไม่มีอะไรมากให้พวกเขาทำ เนื่องจากพวกเขาถูกมองว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่อันตรายที่สุดในคลาสการต่อสู้พิเศษทั้งหมดนี้ ทั้งที่เจสันเป็นเพียงคนเดียว ที่เป็นผู้ชำนาญอันดับ 2 ในขณะที่เซรอนอยู่ที่อันดับ 3 ของผู้ชำนาญ
ร่างกายและขนาดแกนมานาของพวกมันใกล้เคียงกัน โดยเจสันแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่เขาได้รับการขยายพลังจากอาร์เทมิส
เจสันผ่านเข้าสู่ระดับผู้ชำนาญที่ 6 ได้ครึ่งทางแล้ว ในขณะที่เซรอนอยู่ที่อันดับ 5 ของผู้ชำนาญทั้งในด้านขนาดแกนมานาและร่างกาย ซึ่งทำให้เจสันประหลาดใจ
สายใยวิญญาณของเขาเป็นสไลม์โดยไม่มีการเพิ่มประสิทธิภาพใดๆ ในร่างกายตามปกติ แต่อย่างใดเขายังคงเพิ่มร่างกายของเขา
แต่มันไม่ได้สำคัญอะไรมาก และเจสันก็ยืนตรงข้ามกับเซรอน ผู้เปล่งประกายจิตวิญญาณการต่อสู้ที่ชัดเจน
รอให้ AI ประกาศเริ่มการต่อสู้เจสันได้หมุนเวียนมานาภายในตัวเขาแล้ว เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ในน้ำแข็งของเขา ขณะที่อาร์เทมิสนั่งอยู่บนม้านั่ง มองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้
เมื่อสัญญาณดังขึ้น เซรอนก็ได้ใช้เทคนิคลอยฟ้าของเขาอย่างเต็มที่ในขณะที่ความเร็วของเขาเร่งจากศูนย์เป็น 100% ภายในครู่หนึ่ง
การเคลื่อนไหวนี้เป็นสิ่งที่ เซรอนคิดไว้และก่อนหน้านี้ความเร็วของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ แต่ตอนนี้ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างระเบิด เขาจะสามารถเอาชนะเจสันได้
แต่ด้วยสายตาของเจสันไม่ธรรมดาและเขาสามารถติดตามเส้นทางของเซรอนได้อย่างง่ายดาย แต่ปัญหาที่เขาต้องเผชิญในตอนนี้แตกต่างออกไป
‘ฉันจะสร้างกำแพงน้ำแข็งหรืออะไรทำนองนั้นได้อย่างไร’
เขาถามตัวเองด้วยท่าทางแปลก ๆ เมื่อเซรอนปรากฏตัวต่อหน้าเขาพร้อมกับแทงดาบไปข้างหน้า
เจสันได้ปลดปล่อยพลังน้ำแข็งของเขาด้วยพลังทั้งหมดของเขา สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นคืออนุภาคน้ำแข็งจำนวนมากที่แตกกระจายออกจากมือของเขา ซึ่งมันทำให้ใครไม่มีใครได้เห็นทั้งเจสันและเซรอนปะทะกัน
ทันใดนั้น บริเวณโดยรอบก็เงียบลง และสิ่งเดียวที่ได้ยินคือ AI ประกาศ
[ผู้ชนะ: Seron Gier]
ทุกคนได้แต่มองดูหมอกน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างประหลาด
‘ทำไมเจสันถึงพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว? ทำไมเขาถึงอ่อนแอนัก? มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า’
ไม่มีใครสามารถเข้าใจอะไรได้เลยแม้แต่ เซรอนที่ดาบเกือบแทงเจสันก็มองมาที่เขาอย่างตะลึงงันด้วยเครื่องหมายคำถามในดวงตาของเขา
“แฮะ”
เจสันพูดด้วยรอยยิ้มแบบเด็กๆ ขณะมองเซรอน
“นั่นเป็นความผิดของฉันเอง ”
อุณหภูมิของเจสันลดลงอีก ในขณะที่สกอร์พิโอกระโดดหนีจากเขาเนื่องจากความหนาวเย็นที่คาดไม่ถึง
เจสันเข้าสู่โลกวิญญาณของเขา เขาจ้องไปที่สีของอาร์เทมิสซึ่งดูคล้ายกับรูปลักษณ์ก่อนหน้านี้
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวที่เขาสังเกตเห็นในทันทีคือการเติบโต
อย่างไรก็ตาม เขาไม่แน่ใจว่าขนาดเท่าไหร่ในโลกแห่งวิญญาณ
ขณะที่อุณหภูมิรอบๆ เจสันลดต่ำลง เขาก็ห่อหุ้มตัวเองด้วยเปลวไฟจางๆ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
เจสันคิดว่าเขาควรเพิ่มความร้อนจากเปลวไฟสีดำของเขาและรออย่างอดทนเพื่อให้เกล็ดหิมะรอบๆ อาร์เทมิสหายไปอย่างช้าๆ
ในขณะเดียวกัน สกอร์พิโอไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน เพราะมันไม่ชอบอากาศหนาว ทำให้มันเกลียดการเข้าสู่โลกแห่งวิญญาณ เนื่องจากวิวัฒนาการของอาร์เทมิสทำให้อุณหภูมิภายในลดลง
ตอนนี้อาร์เทมิสได้ลดอุณหภูมิรอบตัวลง วงกลมเวทมนตร์ก็ปรากฏขึ้นใต้สกอร์พิโอในขณะที่มันปรากฏตัวในโลกวิญญาณ
เจสันสังเกตเห็นและยิ้มจาง ๆ โดยไม่หันเหความสนใจของเขาจากอาร์เทมิสในโลกวิญญาณ ขณะที่วงกลมเวทมนตร์สีขาวบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นต่อหน้าเจสันด้วยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 80 เซนติเมตร
ออกจากโลกวิญญาณอย่างสมบูรณ์ เจสันจ้องไปที่วงกลมเวทมนตร์ด้วยความประหลาดใจด้วยการขมวดคิ้ว
`อย่าบอกฉัน…
*กรีกกกกกก*
เป็นสิ่งเดียวที่เจสันได้ยินเมื่อคลื่นอารมณ์เข้าครอบงำเขาในขณะที่ขนนกสีขาวบริสุทธิ์โจมตีเขา
เจสันรู้ว่าเป็นอาร์เทมิส แต่เขาก็ยังตกใจที่เห็นว่าไม่เพียงแต่ขนาดของอาร์เทมิสเพิ่มขึ้นเป็นความยาว 1 เมตรจากขนหางถึงศีรษะและปีกกว้าง 3 เมตรเท่านั้น แต่ดวงตายังเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเหมือนน้ำแข็งในขณะที่มีเขาสีดำปรากฏขึ้นเหนือดวงตาของเธอจนทำให้เขาตกใจถึงแก่น
ตอนนี้น้ำหนักของอาร์เทมิสน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10 กก. แต่แทนที่จะเห็นว่าเป็นปัญหา ขนของมันนั่นฟูมากๆ จนเจสันหายใจไม่ออก
หัวเราะออกมาด้วยรอยยิ้มที่สดใส เขามีความสุขอย่างยิ่งที่มีอาร์เทมิสอยู่ข้างๆ อีกครั้ง หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนเต็ม
เป็นเวลานานและเขาคิดถึงมันมาก
อย่างไรก็ตาม เจสันรู้สึกผิดหวังเพราะวิวัฒนาการของอาร์เทมิสดูไม่สวยงามกว่าที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้ แต่ก่อนที่ความผิดหวังจะแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา เขาถูกโจมตีด้วยความเจ็บปวดที่แผดเผาซึ่งจู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นภายในร่างกายทั้งหมดของเขา แกนมานา และแม้แต่แกนโลกวิญญาณ .
ทุกอย่างดูเหมือนจะลุกเป็นไฟ เจสันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ทำให้อาร์เทมิสมองมาที่เขาอย่างกังวล
วิวัฒนาการของเธอใช้เวลานานมากเพราะเธอต้องการใช้วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของเธอเพื่อช่วยให้เจสันแข็งแกร่งขึ้น ทำให้เธอย่อยแกนมานาระดับเวทย์มนตร์อย่างช้าๆ นำกลุ่มพันธุกรรมของเธอเปลี่ยนไป แต่เห็นได้ชัดว่า ไม่ได้คิดดีออก
อาร์เทมิสไม่เพียงแต่พัฒนาและขยายความแข็งแกร่งของเธอเท่านั้น แต่เธอยังสร้างแกนมานาที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น นอกเหนือไปจากเมล็ดความสัมพันธ์น้ำแข็งภายในแกนมานาของเธอ
เจสันต้องต่อสู้กับความเชื่อมโยงอย่างกะทันหันของความสัมพันธ์ ซึ่งตรงกันข้ามกับออริจินเฟลมที่มีอยู่แล้วโดยสิ้นเชิง แต่ร่างกายและแกนมานาของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นและขยายใหญ่ขึ้นด้วยการขยายโลกแห่งวิญญาณของเขา
หากนั่นคือทั้งหมด เขาสามารถทนต่อมันได้อย่างง่ายดาย แต่พลังวิญญาณของอาร์เทมิสมีมากกว่าที่เขาคาดไว้มาก
ตอนนี้เจสันถูกบังคับให้เข้าสู่โลกวิญญาณของเขาเพราะแกนโลกวิญญาณของเขาสั่นอย่างรุนแรงเพราะการเพิ่มพลังของอาร์เทมิสหนึ่งในสามของเธอทำให้แกนโลกวิญญาณถูกครอบงำ
เมื่อถือมันไว้ด้วยพลังทั้งหมดของเขา จิตใจของเจสันเริ่มลุกไหม้เมื่อแกนโลกวิญญาณของเขาใหญ่ขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
โดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เขายังคงนั่งอยู่ในโลกวิญญาณของเขา ในขณะที่อาร์เทมิสต้องการติดตามเขาเนื่องจากความกังวล
แต่มันเป็นไปไม่ได้เพราะพลังวิญญาณของเจสันต่ำเกินไปที่จะเก็บอาร์เทมิสไว้ในโลกแห่งวิญญาณของเขา ทำให้มันรู้สึกหงุดหงิด
มันไม่สามารถทำอะไรเพื่อช่วยเจสันได้ ซึ่งแย่กว่านั้นเมื่อเห็นเหงื่อหยดจากขมับของเขา
การเช็ดพวกมันด้วยปีกขนนกสีขาวบริสุทธิ์เป็นสิ่งเดียวที่อาร์เทมิสสามารถทำได้ในตอนนี้ขณะที่มันรออย่างอดทน
หลายชั่วโมงผ่านไป ความกังวลในดวงตาสีฟ้าเหมือนธารน้ำแข็งของอาร์เทมิสกลับกลายเป็นชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อมันสังเกตเห็นใบหน้าซีดของเจสัน
ดูเหมือนว่าเขาจะเจ็บปวดและมันก็ช่วยอะไรไม่ได้ มากกว่าที่มันเป็นต้นเหตุของความเจ็บปวดที่ทำให้มันรู้สึกบอบช้ำทางใดทางหนึ่ง
ตอนนี้ เจสันแทบจะจับแกนโลกวิญญาณไว้ด้วยกันไม่ได้เพื่อไม่ให้แตกสลาย และหลังจากนั้นก็เกิดขึ้น แกนโลกวิญญาณก็ค่อยๆ เสถียร ทำให้เจสันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
พลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดถึง 46.7 ยูนิต ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า
น่าทึ่งมาก อาร์เทมิสพัฒนาเป็นสัตว์อสูรที่ปลุกพลังด้วยความต้องการพลังงานวิญญาณ 90 ยูนิต
เจสันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นสัตว์ร้ายชนิดไหน ยกเว้นเผ่าพันธุ์ที่เป็นนกฮูก
ทันใดนั้นเธอก็มีดวงตาสีฟ้าเป็นประกาย มีเขาสองเขาบนหัวของเธอปรากฏขึ้น และขนาดของเธอก็เพิ่มขึ้นสามเท่า
นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าอาร์เทมิสจะได้รับมานาจำนวนมากในเลือด ทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น
แม้ว่าแกนมานาที่เกือบจะสมบูรณ์ของอาร์เทมิสจะมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าสัตว์อสูรที่ถูกปลุกให้ตื่น แต่เจสันก็มองเห็นและรู้สึกว่าอาจจะสามารถต่อสู้กับสัตว์ที่วิวัฒนาการได้โดยตรงด้วยธาตุน้ำแข็งของอาร์เทมิส
‘รอ!’
เจสันตะโกนในหัวซึ่งรู้สึกเหมือนถูกบดขยี้
‘เธอกำลังจะสร้างแกนมานาเกือบสมบูรณ์? ยังไง?’ เจสันโจมตีตัวเองด้วยคำถาม และดูเหมือนว่าอาร์เทมิสไม่เพียงแต่ย่อยแกนกลางเท่านั้น แต่ยังใช้มานาเหลวภายในแกนเพื่อสร้างแกนมานาของเธอเองอย่างช้าๆ และปรับปรุงมัน
‘หมายความว่าการป้อนแกนมานาที่เป็นของเหลวให้อาร์เทมิสมากขึ้นจะทำให้มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดในฐานะสัตว์วิเศษหรือเปล่านะ! หลังจากวิวัฒนาการเพียงครั้งเดียว?!’
เขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่วิวัฒนาการของอาร์เทมิสนั้นวุ่นวายเกินไป และเจสันไม่แน่ใจว่าจะคิดอย่างไรกับมัน…เขาโชคดีมากที่ได้พบมัน และการกลายพันธุ์ของมันคืออะไรกันแน่?
เจสันไม่รู้และหัวของเขายังคงรู้สึกถึงการเผาไหม้จากความเจ็บปวดอันรุนแรงเนื่องจากแกนโลกวิญญาณเกือบจะแตกเป็นเสี่ยง
การคิดถึงความเป็นไปได้ในการเติมแกนมานาของอาร์เทมิสด้วยแกนมานาสัตว์เวทย์บางตัวดูเหมือนง่ายเกินไป และเขาบอกตัวเองว่าให้ซื้อแกนมานาระดับเวทย์มนตร์สองสามอันเพื่อจุดประสงค์ในการเลี้ยงอาร์เทมิสเท่านั้น
โลกวิญญาณของเขายังคงสั่นไหว และเมื่อมันจบลง เจสันก็ออกจากโลกวิญญาณ ที่ซึ่งเขาสามารถสังเกตเห็นได้ทันทีว่าอาร์เทมิสมองมาที่เขาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
เจสันรู้สึกถึงอารมณ์ของเธอ แต่แทนที่จะโกรธ เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่อาร์เทมิสได้พัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงาม
การขยายผลที่เขาได้รับจากอาร์เทมิสยังไม่สมบูรณ์ เพราะพลังวิญญาณของเขาไม่เพียงพอ แต่ก็ยังมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก
ด้วยความแข็งแกร่งร่วมกัน ขนาดแกนกลางและร่างกายของเจสันถึงระดับผู้ชำนาญที่ 5 โดยมีส่วนเกินอยู่เล็กน้อย
อาร์ทิมิสกระโดดเข้าหาเจสัน โจมตีเขาด้วยขนนก ขณะที่เจสันลูบตัวมัน
เมื่อมองดูเวลา เจสันสังเกตเห็นว่าเหลือเวลาไม่มากสำหรับเขาในขณะที่เขายืนขึ้นด้วยความยากลำบากเล็กน้อย
น่าเสียดายที่เขาต้องเข้าร่วมคลาสการต่อสู้พิเศษ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้รับอนุญาตให้สายเกินไป!!
มันอาจจะไม่ได้รับอนุญาต แต่เจสันก็ไม่สนใจน้อยลงในตอนนี้
เขาพบว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่หลายคนจะกล้าท้าทายเขาในสัปดาห์นี้ เนื่องจากมีเพียงคนในคลาสการต่อสู้พิเศษเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้นได้ในตอนนี้
เพียงสามวันต่อมาเมื่อสัปดาห์ใหม่เริ่มต้นขึ้น นักเรียนนอกชั้นเรียนการต่อสู้พิเศษได้รับอนุญาตให้ท้าทายนักเรียนในชั้นเรียนพิเศษ ตราบใดที่พวกเขามีคะแนนเลชเพียงพอ
นอกจากนี้ ความท้าทายยังได้รับการยอมรับในชั้นเรียนการต่อสู้พิเศษเท่านั้น ดังนั้นนักเรียนทุกคนจึงต้องเข้าร่วมในช่วงบ่ายตั้งแต่วันจันทร์ของสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป
อาร์เทมิสได้เสร็จสิ้นวิวัฒนาการแล้ว และเจสันก็ไม่ได้สนใจคนอื่นๆ มากนัก
เขานั่งบนพื้นดินลูบตัวขณะที่อาร์เทมิสนอนบนตักของเขา
‘ฉันหวังว่าจะไม่เพิ่มขนาดมากเกินไป มิฉะนั้น ฉันจะไม่สามารถพาไปด้วยตลอดเวลา’
เจสันคิดกังวลและอาร์เทมิสได้ยินเขาก่อนที่เธอจะส่งความคิดที่ทำให้เขาสงบลง
เห็นได้ชัดว่าอาร์เทมิสจะโตขึ้น แต่มันสามารถปรับขนาดของมันให้เป็นขนาดปัจจุบันซึ่งเป็นรูปแบบที่เล็กที่สุดที่มันสามารถปรับได้
ณ ตอนนี้ มันเป็นขนาดที่ใหญ่ที่สุดของเธอด้วย เนื่องจากมันยังเด็กในวิวัฒนาการใหม่ ซึ่งทำให้เจสันตกตะลึง
`สามารถเข้าถึงระดับเวทย์มนตร์ได้จริง ๆ โดยไม่ต้องพัฒนาอีกครั้งหรือไม่’
เจสันคิดในใจด้วยรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าของเขา
เขาคิดถึงมันมากและพบว่ามันจะไม่ทิ้งเขาไปในอนาคตอันใกล้นี้เพื่อวิวัฒนาการใหม่ ทำให้เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เป็นเวลาบ่ายแล้วที่เจสันอยู่ในจุดที่เหมาะสมซึ่งมีมานาสูงอยู่ภายในป่า
เขาไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถฝ่าฟันไปถึงระดับต่อไปได้หรือไม่ แต่เจสันอยากจะลองดู
สิ่งเดียวที่เขาต้องการจะทำระหว่างนั้นคือการฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์
สกอร์พิโอหยิบหินมานาระดับ 1 ออกมาจำนวนมาก มันกระโดดไปมาบนไหล่ของเจสันอย่างมีความสุข ก่อนที่มันจะกระโดดขึ้นไปบนตักของเขา
สกอร์พิโอขดตัวและเริ่มดูดซับมานาที่ปล่อยออกมาโดยไม่รอช้า
เมื่อมองดูสิ่งนี้ เจสันยิ้มอย่างสนุกสนานและเริ่มสูญเสียเส้นไหมนับไม่ถ้วนจากหินมานาที่อยู่รอบตัวเขาในเวลาเดียวกัน
เจสันนำมานาที่อยู่ภายในเข้ามาหาเขานอกเหนือจากมานาที่อยู่รอบตัวเขา มานาจากรอบตัวจำนวนมากได้บุกรุกช่องมานาของเขา
การหมุนเวียนมานาภายในช่องที่ชำระแล้วของเขานั้นง่ายกว่ามากหลังจากรับบัพติศมา แต่มานาจำนวนมหาศาลที่บุกรุกเขาก็ยิ่งบังคับให้เขาจดจ่อกับการหมุนเวียนมานาภายในตัวเขาอย่างสมบูรณ์ ก่อนที่เขาจะฉีดเข้าไปในแกนมานาของเขาเพื่อผนวกเข้ากับมัน
ความรู้สึกของการหมุนเวียนมานาและการรวมเข้ากับแกนมานาของเขาทำให้เจสันปีติยินดีและดีกว่าเมื่อเทียบกับวันนั้น
การนั่งระหว่างต้นไม้ภายในธรรมชาติ การดูดซับมานาของธรรมชาตินอกเหนือจากมานาที่ถูกบีบอัดภายในหินมานานั้นทำให้รู้สึกสดชื่น และเจสันรู้สึกมีพลังมากกว่าเดิมในทันที
เจสันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด และเขาเพียงสังเกตเห็นดวงอาทิตย์กำลังตกอยู่ใต้จิตใต้สำนึกเท่านั้น
แผนแรกของเขาคือการฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ในตอนนี้ แต่นั่นไม่สำคัญสำหรับเจสันในตอนนี้ เนื่องจากเขารู้สึกว่าร่างกายของเขาค่อยๆ เต็มไปด้วยมานาที่อยู่รอบตัวเขา และความรู้สึกเสพติดที่โอบล้อมเขาไว้ เติมเต็มดวงตาของเขาด้วยความปรารถนา .
แทนที่จะรวมมานาทั้งหมดลงในแกนมานาของเขา เจสันก็ตัดสินใจเติมมานาให้ดวงตาของเขามากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้เขาละเลยไป
แต่นั่นจะเปลี่ยนไปในตอนนี้
ด้วยหินมานานับพันภายในพื้นที่ของเขา เขามีมานามากเกินพอที่จะเติมเต็มแกนมานาของเขา และในขณะเดียวกันเจสันก็ต้องการเพิ่มระดับดวงตาของเขาอีกระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ เป็นเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์แล้วที่เขาเข้าสู่ตำแหน่งผู้ชำนาญ และด้วยช่องทางมานาที่สะอาดของเขา เทคนิคการรวบรวมมานาแบบพาสซีฟของเขาทำให้แกนมานาของเขาเต็มเร็วมาก
เขาใช้เวลาเพียงสัปดาห์เดียวในการไปถึงกำแพงกั้นระหว่างระดับผู้ชำนาญ 1 และ 2 ซึ่งเร็วมาก
โดยปกติแล้ว เราต้องใช้เวลาสองสามเดือนในการไปถึงระดับผู้ชำนาญ 3 อันดับแรก โดยพิจารณาว่ามีพรสวรรค์ด้านมานาโดยเฉลี่ย
แต่ละคนมีความแตกต่างกันอยู่เสมอและบางครั้งอาจใช้เวลานานหรือสั้นลง
นอกจากความถนัดของมานาแล้ว การเพิ่มระดับของสัตว์พันธะก็เป็นสิ่งที่จำเป็น เนื่องจากเราต้องเติมแกนมานาที่ใหญ่ขึ้นมากซึ่งเกิดจากการขยายของโลกแห่งวิญญาณที่เพิ่มขนาดของมัน
ค่าเฉลี่ยของเยาวชนในระดับแกนกลางมานาคือต้องการเวลามากกว่า 3 ถึง 4 ปีเล็กน้อยจากมือใหม่จนถึงระดับผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากการเริ่มต้นยากที่สุดในการสำรวจความหมายของมานา วิธีการทำงาน และวิธีหมุนเวียนมานาโดยปราศจาก สร้างความเสียหายให้กับช่องมานา ในขณะที่อายุเฉลี่ยสำหรับเด็กที่จะรับรู้มานาคือ 10 ขวบ
เด็กส่วนใหญ่ไม่เข้าใจถึงความสำคัญของมานา ดังนั้น พวกเขาจึงค่อนข้างเกียจคร้านกับการดูดซึมมานาจนต้องเสียใจในสักวันหนึ่ง
หลังจากที่ได้เข้าสู่ระดับผู้ชำนาญแล้ว ผู้ที่มีทักษะมานาโดยเฉลี่ยจะใช้เวลาประมาณห้าปีในการเข้าสู่ระดับผู้เชี่ยวชาญ
จากนั้นช่วงของความถนัดมานาโดยเฉลี่ยก็เปลี่ยนไปและไม่รู้ว่าต้องใช้นานแค่ไหน
การขยายสายวิญญาณทำให้การค้นคว้าวิจัยอย่างแม่นยำแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่มันทำให้เจสันสงสัย ว่าเขาต้องการเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ในการเติมเต็มแกนมานาของเขาในระดับผู้ชำนาญ 1 ให้มีขนาดเท่ากับผู้ชำนาญอันดับ 4 เกือบสมบูรณ์
อาจจะเป็นเพราะบัพติศมาเท่านั้น แต่เจสันคาดว่าการพัฒนาครั้งต่อไปของเขาจะใช้เวลานานกว่านี้มาก โดยพิจารณาว่าไม่เพียงแต่แกนมานาของเขาจะเพิ่มขนาดขึ้นเนื่องจากการที่เขาเข้าสู่อันดับ 2 ผู้ชำนาญในไม่ช้า แต่การวิวัฒนาการของอาร์เทมิสก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน
วิวัฒนาการของอาร์เทมิสยังคงเป็นปริศนาสำหรับเจสัน แต่เขาตื่นเต้นที่รอมันกลับมาหาเขา
เจสันยังคงหมุนเวียนมานาอย่างระมัดระวังภายในช่องมานาของเขาและฉีดมันเข้าไปในแกนมานาของเขาในขณะที่เวลาผ่านไปโดยที่เขาไม่สังเกตว่าข้างนอกมืดแล้ว
เมื่อมานาที่เขาดูดซับจากภายนอกลดลงเท่านั้น เจสันก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
หินมานารอบตัวเขากลายเป็นสีเทาและไม่สามารถแยกความแตกต่างจากหินทั่วไปได้อีกต่อไป
เมื่อมองไปรอบๆ สีหน้าที่งงงวยของเจสันบอกได้คำมากกว่าพันคำ เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าข้างนอกมืดแล้ว
เมื่อส่งข้อความถึงพวกเฟลอร์ เจสันได้บอกพวกเขาว่าเขาจะไม่กลับบ้านในวันนี้เพราะเจสันคิดว่าเขาจะสามารถบุกทะลวงไปสู่ระดับผู้ชำนาญที่ 2 ได้ ถ้าเขาฝึกหนักมากพอในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
เมื่อเหลือบมองสกอร์พิโอ เจสันเห็นด้วยความประหลาดใจ เปลือกภายนอกขอสกอร์พิโอเป็นประกายจางๆ และกระตุ้นดวงตามานาของเขา เขาก็ผงะไปเมื่อเห็นเมล็ดพันธุ์ธาตุเล็กๆ ที่แทบจะมองไม่เห็น ได้ถูกสร้างขึ้น
‘เจ้าตัวเล็กคนนี้ก็พยายามอย่างหนัก งั้นเรามาพยายามให้หนักกันเถอะ!!’
เจสันคิดในขณะที่เขาเหลือบมองที่ราศีพิจิก
เมื่อนำหินมานาระดับ 1 ออกมาเป็นสองเท่าจากเดิม เจสันคลายเส้นมานาอีกครั้ง นำพวกมันเข้าไปในตัวเขา
เสียงคร่ำครวญจากมานาที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน เขาเริ่มเหงื่อออกทันที แต่ด้วยความช่วยเหลือของการรวบรวมมานาแบบพาสซีฟและเทคนิคการปรับแต่ง การดูดซับมานาอย่างแข็งขันนั้นง่ายกว่ามาก
ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้มานาในปริมาณมากได้แทนที่จะปรับไปชั่วขณะ ก่อนที่เจสันจะสูญเสียเวลาไปอีกครั้ง
โดยที่เขาไม่รู้ เขาลืมแม้กระทั่งการฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ซึ่งค่อนข้างสำคัญ
มานาที่เต็มไปด้วยมานา ความมุ่งมั่นของเขาที่จะดูดซับมันเพิ่มมากขึ้น และเจสันก็ดูดซับมันเข้าไปในแกนมานาของเขาอย่างราบรื่นหลังจากที่เขาหมุนเวียนมันอย่างระมัดระวังผ่านเส้นเลือดมานาของเขา
มันเกือบจะเป็นการเคลื่อนไหวครั้งเดียวโดยที่ไม่เสียเวลามากนักและแรงดูดของเจสันก็เร่งขึ้นอย่างช้าๆ
มานาที่อยู่รอบตัวเขาเริ่มห่อหุ้มเขา แยกเขาออกจากภายนอก
เมื่อบีบอัดรอบๆ เจสัน มานาดูเหมือนรังไหมเมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
ในขณะที่รังไหมมีขนาดโตขึ้น เจสันก็ดูดซับมานาจากภายในอย่างตะกละตะกลาม โดยไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงและดวงอาทิตย์ก็เริ่มส่องแสงบนรังไหมที่ห่อหุ้มเจสันไว้
เยื่อบางๆ ที่มีสิ่งเจือปนติดอยู่ที่เสื้อผ้าของเจสัน และส่วนใหญ่เป็นสิ่งสกปรกที่ร่างกายของเขาสร้างขึ้นหลังจากรับบัพติศมา
ลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาสีทองของเจสัน สะบัดอย่างแรงด้วยเปลวไฟสีดำเล็กๆ ที่ส่องประกายอยู่ภายนัยต์ตา เรียกร้องให้แข็งแกร่งขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณภายในแกนโลกวิญญาณของเจสันมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อยืนขึ้น เขาสังเกตเห็นฟิล์มบาง ๆ ของสิ่งสกปรกที่ห่อหุ้มเขาไว้
เขาไม่ได้ถอดเสื้อผ้าของเขา แต่ได้ใช้เปลวไฟสีดำที่ลุกโชนเผาใหม้สิ่งสกปรกที่อยู่บนเนื้อตัวของเขา แต่เสื้อผ้าของเขาก็เผาไหม้ไปด้วย
ด้วยวิธีนี้เขาจะไม่ต้องล้างตัวในทันที
เมื่อมองไปที่นาฬิกาควอนตัม เขาสังเกตเห็นข้อความสองสามข้อความและเวลาด้วย
ขณะนี้เป็นเวลาตี 5 และเจสันก็พยักหน้า
เมื่อตรวจสอบร่างกายของเขาเองแล้ว เขาทำได้เพียงหัวเราะออกมาดังๆ ยังเปลือยเปล่าอยู่
เขาไปถึงระดับผู้ชำนาญระดับ 2 เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้นหลังจากที่เขาเข้าสู่ผู้ชำนาญระดับ 1 ซึ่งสามารถอธิบายได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น
แม้ว่าเขาจะสังเกตเห็นว่าแกนมานาของเขาไม่สามารถรักษาความเร็วนี้ได้ แต่เขาก็ยังภูมิใจในความสำเร็จของเขาอย่างมาก
เมื่อตรวจสอบขนาดของแกนมานาของเขา เจสันก็รู้ว่าเขาอยู่ใกล้กับระดับผู้ชำนาญลำดับที่ 5 อย่าง ในขณะที่ร่างกายของเขานั้นใกล้เคียงกับระดับผู้ชำนาญที่ 5 อย่างมาก
สกอร์พิโอตื่นขึ้นจากการสร้างเมล็ดพันธุ์ธาตุเพราะเจสันโยนมันออกจากตักโดยไม่รู้ตัว
การได้เห็นเจ้านายหัวเราะขณะเปลือยกายเป็นภาพตลก และสกอร์พิโอถ่ายทอดสิ่งที่เห็นให้เจสันฟัง
เมื่อได้เห็น เขาก็หยุดเคลื่อนไหวทันที
เสื้อผ้าปรากฏออกมาจากวงแหวนอวกาศของเขาและเขาสวมมันโดยไม่สนใจเสียงแปลก ๆ ของสกอร์พิโอที่พยายามเลียนแบบเสียงหัวเราะในใจของเขา
เจสันไม่สนใจสกอร์พิโอและเข้าสู่โลกแห่งวิญญาณอย่างเฉยเมยที่สุด
รอบๆ อาร์เทมิสมีเพียงแผ่นมานาและเกล็ดหิมะแผ่นบางๆ และเจสันก็สามารถเห็นโครงร่างของอาร์เทมิสได้จางๆ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
‘ใกล้แล้วสินะ!’
เจสันคิดอย่างมีความสุข ขณะที่เขาเข้าใกล้แก่นโลกวิญญาณของเขา ซึ่งเพิ่มขึ้นหนึ่งหน่วย ต้องขอบคุณเขาที่บุกเข้าสู่อันดับ 2 ของผู้ชำนาญ
ด้วยพลังวิญญาณ 18.2 ยูนิต เจสันฝึกฝนเทคนิค Heaven’s Hell ภายใน 84 นาที เพิ่มขึ้น 0.1 ยูนิตอีกครั้ง
ตอนนี้เป็นเวลา 6:30 น. และก่อนที่เจสันจะทำอะไรอย่างอื่น เขาตอบกลับข้อความจากการแชทเป็นกลุ่มของ ตระกูลเฟลอร์
ทุกคนถามเขาว่าทำไมเขาถึงอยู่ข้างนอกและตอนนี้เขาตอบว่าเขาฝึกฝนตลอดทั้งคืนซึ่งบรรเทาความกังวลของผู้อื่นได้มาก
มันไม่ใช่ว่าเจสันเป็นญาติของพวกเขา แต่สำหรับพวกเฟลอร์ เขารู้สึกสบายใจ ถึงแม้ว่าเขาจะแทบไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย
เจสันรู้ว่ามันอาจจะโง่ แต่ใจของเขาอุ่นขึ้นเพราะพวกเขาเป็นห่วงเขา
แม้แต่มาร์คก็ยังเป็นกังวลเพราะเหตุการณ์เกี่ยวกับการไม่บอกกล่าวครั้งสุดท้ายก็ตราตรึงอยู่ในใจ
หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น (หลังจากที่เจสันได้กินผลปีศาจวัลคีรีชิลด์) มาร์คได้ค้นคว้าเกี่ยวกับผลปีศาจวัลคีรีชีล์ดและข้อมูลตื้นๆ ทำให้เขารู้สึกเสียใจต่อเจสันที่ต้องอดทนกับสิ่งเลวร้ายเช่นนี้
มาร์คยังรู้สึกว่าความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่นของเจสันนั้นไม่มีใครเทียบได้กับใครก็ตามที่เขารู้จัก แม้แต่ลูกสาวของเขาที่เป็นอัจฉริยะ ก็ไม่ใช่ความทะเยอทะยานที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งเหมือนเจสัน
ด้วยเหตุนี้ การอยู่ข้างนอกโดยไม่ได้แจ้งให้ทราบแต่ละครั้งจะไม่เพียงแต่ทำให้มาร์คกังวลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสมาชิกทุกคนในครอบครัวด้วย แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจสัน
พวกเขาพยายามเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการอ่านหนังสือ ดูดซับมานา และซ้อมกันเอง แต่มันก็มีประโยชน์เพียงบางส่วนเท่านั้น
เมื่อสัมผัสได้ถึงความรักและความห่วงใยที่จริงใจของเฟลอร์ เจสันรู้สึกเป็นเกียรติและอบอุ่นในใจ
เขาสาบานกับตัวเองว่าจะบอกข้อมูลเพิ่มเติมแก่พวกเขาในครั้งต่อไป เมื่อเขาคิดจะไม่กลับบ้าน แม้ว่าเขาจะไม่สามารถบอกพวกเขาได้ทุกอย่างได้ เพราะบางครั้งเขาอาจจะอยู่กับเชนและดาเลียเป็นบางครั้ง
ความรู้สึกผิดเล็กๆ น้อยๆ ที่ก่อตัวขึ้นภายในเจสัน ก่อนที่อะไรจะเกิดขึ้น
ทันใดนั้น ร่างกายของเจสันก็เย็นลงและเขาก็ตัวสั่นในขณะที่อุณหภูมิลดลง รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
อุณหภูมิโดยรอบลดลงสองสามองศาและมีสีหน้าสับสนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจสัน ขณะที่โลกวิญญาณของเขาเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
“เจ้าหญิงน้อย วิวัฒนาการเสร็จแล้วสินะ”
เจสันคิดด้วยรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าที่เย็นเยียบของเขา
ยาระงับความรู้สึกเป็นหนึ่งในยาสามัญที่สุด และมีประโยชน์พอๆ กับชาราคาแพง
การดื่มยาจะรู้สึกสดชื่นและความตึงเครียดของร่างกายก็จะบรรเทาลง
–
ยานี้ส่วนใหญ่ใช้ก่อนกิจกรรมสำคัญและการสอบเพื่อสงบสติอารมณ์ เพิ่มสมาธิของจิตใจอย่างมาก
การเคร่งเครียดจะทำให้นักเรียนมีอาการแย่ลงระหว่างการสอบและการทดสอบ ในขณะที่คนๆ หนึ่งจะสามารถคิดได้เร็วขึ้นเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาด้วยความสงบหลังจากดื่มยาระงับความรู้สึก
แอาทาเรียตรวจสอบยาอย่างระมัดระวัง
ก่อนที่เธอจะได้เห็นเจสันใช้ความใกล้ชิดกับเปลวไฟสีดำแทนเตา ซึ่งเธอถือว่าเป็นธาตุไฟที่กลายพันธุ์
แต่มีบางอย่างที่เธอสงสัยและการตรวจสอบยา แอนทาเรียสังเกตเห็นว่ายานั้นได้รับการชำระบางส่วนซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คนที่ต้มเป็นครั้งแรกควรทำ
มันเป็นเพียงยาที่ทำให้สงบและการสกัดสิ่งเจือปนภายในก็ไม่ยากแม้แต่สำหรับนักเล่นแร่แปรธาตุระดับ 1 ที่เหมาะสม แต่แอนทาเรียไม่เคยเห็นเจสันใช้วิธีการใด ๆ ในการดึงสิ่งสกปรกที่จะอธิบายความบริสุทธิ์ของยาที่สงบอยู่ตรงหน้า ของเธอ.
เธอถามอย่างไม่แน่ใจ:
“ธาตุที่กลายพันธุ์ของคุณมีความสามารถในการล้างส่วนผสมในระดับหนึ่งใช่เปล่า”
แอนทาเรียไม่ได้คาดหวังว่าเจสันจะเปิดเผยความลับของเขา แต่เธอจะรวมความรู้ต่างๆ เข้ากับตัวเองเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเจสัน
อย่างไรก็ตาม เจสันตอบเธออย่างแปลกใจซึ่งเธอไม่คาดคิด
“พูดได้เลยว่า ใช่”
ก่อนหน้านี้เขากังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับวิธีการอธิบายความบริสุทธิ์สูงของส่วนผสมและยาปรุงที่จารึกไว้ แต่แอนทาเรียให้คำตอบที่ดีที่สุดที่เขาเลือกได้
ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสนี้และยอมรับความคิดของเธอ
ดาเลียบอกเขาว่าเขาสามารถขับสิ่งเจือปนออกจากแร่ได้ แต่นั่นต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างมากและทำให้ร่างกายต้องเสียพลังงานเป็นอย่างมาก
เพื่อความปลอดภัยในการทำให้แร่คุณภาพสูงบริสุทธิ์ เจสันจะต้องไปถึงระดับผู้วิเศษหรือพัฒนาออริจินเฟลมเนิดแบบไม่มีชั้นของเขา ในขณะที่แร่เกรด 1 นั้นเป็นข้อยกเว้น
ปัญหาเดียวคือทั้ง เจสัน เชน และดาเลีย ไม่รู้ว่าออริจินเฟลมของเจสันนั่นต้องการวิวัฒนาการมากแค่ไหน
แม้แต่ออริจินเฟลมสีเงินของดาเลียก็ต้องการหน่วยพลังงานวิญญาณสองสามร้อยหน่วย และมันก็เป็นเพียงออริจินเฟลมระดับ b ในขณะที่เปลวไฟสีดำของเจสันนั้นก็มีระดับที่สูงกว่าอย่างน้อยหนึ่งระดับ
ในขณะที่แอนทาเรียเข้าใจคำตอบของเจสัน เธอก็ไม่ได้ตกใจมากเกินไปเพราะเธอคาดการณ์ถึงผลลัพธ์นี้ แต่มันก็เหมือนกับว่าเธอรู้สึกอิจฉาที่เจสันค้นพบสายใยวิญญาณที่สมบูรณ์แบบสำหรับอาชีพช่างฝีมือทั้งหมด
การทำงานกับวัสดุบริสุทธิ์จะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพดีขึ้นซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น
ถ้าเจสันจดจ่ออยู่กับอาชีพช่างฝีมือของเขา และด้วยความสามารถของแอนทาเรีย เจสันอาจจะสามารถไปถึงตำแหน่งที่เร็วกว่าของเธอได้อย่างน้อยในหนึ่งในสามอาชีพและมีอันดับที่ต่ำกว่าเล็กน้อยในส่วนที่เหลือ
บางทีเขาอาจจะทะยานสูงขึ้นไปอีกหากความทะเยอทะยานของเขาสูงพอ
เมื่อมองดูเจสันที่มีดวงดาวระยิบระยับ แอนทาเรียก็ถามคำถามที่เธอต้องการถามในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาตั้งแต่เขาได้พบกับพ่อของเธอ
“อยากเป็นลูกศิษย์ของฉันไหม พ่อของฉันก็บอกว่าเขาสนใจเธอ แต่เขาบอกฉันว่าอย่าถามอะไรเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันไม่สนใจสิ่งที่พ่อพูดและอาจจะไม่มีอะไรพิเศษ บางทีพ่อก็อยากถามเธอเหมือนกันว่าอยากเป็นลูกศิษย์เขาไหม มันคงจะดีมากไม่ใช่หรอ?”
แอนทาเรียที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและมุ่งมั่นในขณะที่ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความคาดหวัง
“โปรดนำข้อเสอนของฉันไปพิจารณา! ฉันสามารถให้ข้อมูลและทรัพยากรมากมายแก่เธอได้ และถ้าเธอต้องการ พ่อของฉันและฉันสามารถสอนความรู้ทั้งหมดของเราร่วมกันกับเธอได้… คงจะดีไม่น้อยที่มีอาจารย์ที่เกือบจะ ระดับ 6 ในแง่ของการตีขึ้นรูปและการตีเหล็กนอกเหนือจากนักเล่นแร่แปรธาตุอันดับ 5 ในอนาคต?”
เธอพูดอย่างภาคภูมิใจที่ไม่ลืมอวดพรสวรรค์ของตัวเองและพ่อของเธอ แต่เจสันก็ยิ้มจางๆ เท่านั้น
‘ถ้าคุณรู้.’
เจสันคิดและเขาก็แทบจะกลั้นหัวเราะไม่ได้
ก่อนที่เขาจะทำลายช่วงเวลาแห่งความสุขของเธอ เขาถามว่าเขาสอบผ่านหรือไม่ ซึ่งเธอยืนยันอย่างกระตือรือร้น
เธอเพียงต้องการได้ยินเจสันอนุมัติให้เธอเป็นอาจารย์ แต่คำพูดต่อมาของเขาทำให้ความฝันของเธอแตกสลายในทันที
“คุณชารอน ขอบคุณสำหรับข้อเสนอแบบนี้ แต่ฉันต้องปฏิเสธ ฉันมีแผนอื่น โปรดจำไว้ว่าคุณยังมีคำสัญญาอะไรกับผมไว้ ที่หอคอยช่างฝีมือนี้”
เจสันพูดก่อนจะรับยาที่สงบสติอารมณ์กลับมาซึ่งเขาเก็บไว้ในอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลของเขา
แอนทาเรียมองมาที่เขาด้วยสีหน้าตกตะลึงและหดหู่ โดยไม่รู้ว่าเธอทำอะไรผิด หรือทำไมเจสันควรปฏิเสธข้อเสนอใจกว้างของเธอ และเธอกำลังจะประณามการปฏิเสธของเขา เมื่อความรู้สึกเป็นลางไม่ดีเข้าใกล้เธอ ขัดขวางไม่ให้เธอพูดอะไร
เจสันสังเกตเห็นและลืมตาขึ้นเพื่อเห็นความผันผวนของมานาที่คุ้นเคยภายในเงามืดที่ห่อหุ้มแอนทาเรีย
เชนไม่ชอบหญิงสาวหน้าอกใหญ่ที่อยู่ถัดจากเจสันและหลังจากพยายามหลอกล่อลูกศิษย์ของเขา เขาต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อปลดปล่อยความโกรธของเขา แม้ว่ามันจะเป็นเพียงการเปิดเผยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ด้วยการปล่อยมานาเล็กน้อย เชนทำให้แอนทาเรียไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือพูดได้
เธอไม่ได้บาดเจ็บแต่อย่างใด แต่เพียงถูกจำกัดไว้เท่านั้น
ดังนั้น เจสันจึงตัดสินใจปล่อยมันไปในขณะที่เขามองไปที่เชนในเงามืด ก่อนที่เขาจะหันไปทางบันไดที่เขาเดินลงมาช้าๆ
ถ้าเจสันพูดตรงๆ เขารู้สึกผิดหวังอย่างมากกับการสอบของวันนี้ และในเพื่อนร่วมชั้นของเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดหวังมากขึ้นไปอีก
จากนักเรียนเริ่มต้น 30,000 คน น้อยกว่า 10,000 คน มีความถนัดมานาที่ต้องการ ในขณะที่น้อยกว่า 2,000 คน ถูกตัดสิทธิ์ในการสอบภาคทฤษฎี เนื่องจากพวกเขาเกียจคร้านหรือไม่มีความสามารถที่จะเรียนรู้
ถึงกระนั้น เจสันก็ยังไม่เห็นการหบอมอาวุธการปรุงยา หรือรูนที่จารึกไว้อย่างเหมาะสม และทุกอย่างดูหยาบกระด้าง
เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นมาตรฐานที่สูงหรือต่ำมากสำหรับอาชีพช่างฝีมือ แต่เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความเสียใจ
‘บางทีพรสวรรค์ที่แท้จริงได้เริ่มต้นจากการตีเหล็กหรือการประกอบอาชีพอื่น ๆ เมื่อนานมาแล้ว? ทำไมพวกเขาถึงสนใจที่จะเข้าร่วมการทดสอบหากพวกเขาไม่ต้องการการบรรยาย?’
บางทีเจสันคงไม่คิดอย่างนั้น ถ้าเขาไม่มีความรู้จากอาจารย์ของเขา ซึ่งทำให้มาตรฐานของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่โชคดีที่เขาได้รู้จักพวกเขา ทำให้เขาสนใจอาชีพช่างฝีมือพื้นฐานทั้งหมดอย่างสูง
เมื่อเดินออกจากอาคารที่โทรมเล็กน้อย เจสันก็ได้ยินเสียงด้านล่างเขา
“ทำได้ดีมาก! ฉันไม่เคยคิดว่าการหลอมอาวุธชิ้นแรกของเจ้าและรูนที่จารึกไว้จะออกมาดีขนาดนี้
แต่อย่าคิดมากไปเอง!! เจ้าทำตัวช้าเกินไปและมีข้อบกพร่องมากมายในเทคนิคของเจ้า ในขณะที่เวลาที่เจ้าจัดสรรสำหรับทุกขั้นตอนก็ผิดเช่นกัน
มีอะไรอีกมากสำหรับฉันและดาเลียที่ต้องทำเมื่อเจ้าอ่านหนังสือเกี่ยวกับทุกสิ่งตามทฤษฎีเสร็จแล้ว..”
แน่นอน เชนพูดและเขาชมเจสันก่อนจะบ่นเกี่ยวกับเขา ทำให้เจสันสะดุ้งเล็กน้อย
แต่ถึงกระนั้น เจสันก็ต้องยอมรับว่างานแรกของเขานั้นหยาบ ในขณะที่งานชิ้นแรกของเขาก็ยังมีค่าสำหรับประสบการณ์การฝึกฝนของเขา
เจสันรู้ว่าเชนเพียงต้องการกระตุ้นให้เขามากขึ้น แต่เขารู้สึกว่าเชนสามารถใช้คำพูดที่ดีกว่าเพื่อทำให้เขาพยายามมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากวันนี้ ความปรารถนาของเจสันในการประกอบอาชีพช่างฝีมือเพิ่มขึ้น แม้ว่าการสอบจะน่าเบื่อก็ตาม
ด้วยความพยายามครั้งแรกในอาชีพต่างๆ เขาได้ค้นพบประโยชน์จากแต่ละอาชีพ
เจสันพบว่าการเล่นแร่แปรธาตุง่ายที่สุดในขณะนี้ เนื่องจากความต้องการโฟกัสและการควบคุมมานา ในขณะที่การหลอมใช้เวลาและความแข็งแกร่งส่วนใหญ่
อาชีพรูนมาสเตอร์ค่อยข้างอยู่กึ่งกลางระหว่างทั้งสองอาชีพอื่น
เชนอยู่ในเงาของเจสันและเจสันสงสัยว่าเชนสามารถทำได้อย่าง
‘นี่คือความสามารถ? แต่จากวิญญาณ? แน่นอนว่าไม่ใช่จากเดธไนท์และไม่ได้มาจากความหายนะของหมาป่าพันตา…เขาศึกษาความสัมพันธ์ในความมืดของเขาหรือเปล่า…หรือเป็นอย่างอื่น ไม่สามารถผสมผสานระหว่างความมืดกับความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ได้ใช่ไหม’
เจสันรู้สึกประหลาดใจอย่างมากและนั่นคือสิ่งที่เชนต้องการจากลูกศิษย์ของเขา
ความปรารถนาที่จะค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากการระบาดของมานา
ตราบใดที่เชนปลุกความปรารถนาในตัวเจสัน ศักยภาพทั้งหมดของเขาอาจปะทุขึ้นได้
นอกเหนือจากศักยภาพที่เหนือจินตนาการของเปลวไฟสีดำของเจสันแล้ว เขามีอาร์เทมิส นกฮูกเกล็ดหิมะที่กำลังวิวัฒนาการ ซึ่งยังไม่ทราบถึงศักยภาพอีกด้วย
เชนสงสัยว่าเจสันจะไปได้ไกลแค่ไหนโดยมีเวลาเพียงพอ
การไปถึงอันดับของตัวเองไม่น่าจะมีปัญหาตราบใดที่เจสันรอดชีวิตมาได้ และบางทีมนุษยชาติอาจจะสามารถต่อสู้เพื่อพิชิตทวีปหลักได้อีกครั้ง
ตราบใดที่มนุษยชาติรวมกันเป็นหนึ่ง การยึดแผ่นดินใหญ่อื่นกลับคืนมาได้ก็สามารถทำได้โดยมีเวลาเพียงพอ
ความปรารถนาของเจสันยังไม่ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ แต่ความสนใจในความสัมพันธ์ทุกประเภทเพิ่มขึ้น ทำให้เขาสงสัยว่าเขาจะทำอะไรได้บ้างด้วยความสามารถของตัวเองที่เขาได้รับจากออริจินเฟลมสีดำ
ความสามารถนั่นสามารถอธิบายได้ว่าเป็นความรู้ที่ตราตรึงจากลักษณะพิเศษของพันะะวิญญาณอย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่หนังสือที่เชนและดาเลียมอบให้เขา
สไลม์กลายพันธุ์ของเซรอนสามารถเก็บมานาจำนวนมากและปล่อยมันออกมาด้วยความเร็วที่ระเบิดได้ ซึ่งเป็นการตอบแทนการฉีดมานา
ตราบใดที่สไลม์กลายพันธุ์สามารถเก็บมานาได้เพียงพอ เซรอนก็สามารถแข่งขันกับเหล่าจอมเวทได้ด้วยมานาจำนวนมหาศาลของเขา
แต่การที่จะเก็บมานาได้มากพอที่จะสู้กับระดับจอมเวท ในขณะที่สไลม์กลายพันธุ์อยู่ในอันดับที่วิวัฒนาการ จะใช้เวลาพอสมควร และมันก็ไม่คุ้มกับความพยายามที่ต้องทำ เนื่องจากด้านหนึ่งยังมีร่างกายที่อ่อนแอกว่าและไม่มีมานาเหลวเพียงพอที่จะขยายความแข็งแกร่ง
ยังมีอะไรอีกมากที่เจสันต้องเรียนรู้ และเขาได้พูดคุยกับเชนอยู่พักหนึ่งก่อนที่พวกเขาทั้งสองจะแยกจากกัน ขณะที่เจสันเข้าไปในป่าเพื่อรวบรวมและปรับแต่งมานา
เจสันเสร็จสิ้นการจารึกของเขาภายใน 30 นาที และมีดของเขามีอักษรรูนสำหรับลับมีดอีกสี่รู ประดับส่วนนอกของใบมีด
ด้วยวิธีการ ‘ง่ายๆ ‘ นี้ เจสันใกล้จะได้เรียนรู้วิธีสร้างอาวุธมานาแล้ว
ความแตกต่างระหว่างอาวุธธรรมดาและอาวุธมานาส่วนใหญ่เป็นเพราะวัสดุที่ใช้ในการผลิตอาวุธที่มีมานาสูง แต่มีรูนจำนวนมาก
อักษรรูนเหล่านี้มีพลังมากกว่าอักษรรูนที่เจสันจารึกไว้มาก แต่ถึงกระนั้น เขาก็สร้างอาวุธไร้ระดับด้วยอักษรรูน
ขณะที่ฉีดมานาเข้าไปในใบมีด เจสันสังเกตว่าอักษรรูนเริ่มเรืองแสงเล็กน้อยและรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา
ขณะจารึก ไม่เพียงแต่สำคัญที่จะนำเส้นมานาภายในสารละลายจารึกเข้าด้วยกัน แต่ยังต้องจารึกอักษรรูนในตำแหน่งที่แน่นอนที่เส้นมานาของอาวุธกระจายไปทั่ว
คงจะดีที่สุดถ้ารูนถูกจารึกไว้ในส่วนที่มีการหมุนเวียนมากที่สุดและเจสันทำเช่นนั้น
ดังนั้นอักษรรูนและกริชดิบที่หลอมแล้วจึงเกือบจะเทียบได้กับอาวุธที่มีเกรดแย่ที่สุด ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งและความสวยงามของมันจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยสำหรับอาวุธที่มีการจัดระดับ ในขณะที่มันจะถึงเกณฑ์ที่กำหนดในแง่ของความคมชัด
เจสันยิ้มอย่างสดใสเดินไปหารูนมาสเตอร์ระดับ 3 ที่ตกตะลึง และเจสันได้ยื่นกริชให้เขา
รูนมาสเตอร์ตรวจสอบอักษรรูนอย่างระมัดระวัง และตอนนี้อักษรรูนที่ค่อนข้างคุ้นเคยก็ส่งเสียงกริ่งในใจของเขาเท่านั้น
“นี่คืออักษรรูนที่พวกก๊อบลินใช้หรือเปล่า?”
รูนมาสเตอร์หนุ่ม ถามเจสันซึ่งเจสันตอบด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจเท่านั้น
“ได้ยังไงกัน?”
เป็นสิ่งเดียวที่รูนมาสเตอร์ถามต่อหน้าเจสันถามได้ เพราะแม้แต่อาจารย์ของเขายังไม่ได้ค้นคว้าอักษรรูนอย่างเต็มที่
พวกมันไม่ได้ซับซ้อนมากนัก แต่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จัดการกับอักษรรูนทั้งหมด ในขณะที่ปรมาจารย์ของรูนมาสเตอร์รุ่นเยาว์มีรูนที่เหลือจากการถูกทำลาย ครั้งตอนที่พวกก็อบบลินบุกเข้ามา
เมื่อมองไปที่เด็กหนุ่มผมดำที่อยู่ข้างหน้าเขา อาจารย์อักษรรูนหนุ่มก็ค่อนข้างกลัว
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ซื้อกริชดิบที่ไหนสักแห่ง แต่มันคือกริชที่เจสันตีขึ้นก่อนที่จะมาทดสอบอาชีพรูนมาสเตอร์ต่อ
ดูเหมือนว่าเจสันจะสอบผ่านช่างตีเหล็กซึ่งไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย แต่การแก้คำจารึกนั้นยากมากอยู่แล้วในขณะที่เด็กหนุ่มผมดำคนนี้ทำวิธีแก้ปัญหาที่เกือบจะสมบูรณ์แบบในการลองครั้งแรกของเขา
ถ้านั่นคือทั้งหมด รูนมาสเตอร์จะปล่อยให้เจสันผ่านไปแล้ว แต่เจสันยังได้จารึกไว้ในตำแหน่งที่ดีมากด้วยการไหลเวียนมานาที่สูง อัศจรรย์!
‘เด็กคนนี้…เก่งเกินไปแล้ว !!’ อาจารย์รูนคิดและพยายามจะคุยกับเขา แต่ก่อนหน้านั้น เจสันก็หยิบมีดสั้นของเขากลับคืนมาและถามว่าเขาสอบผ่านหรือไม่
รูนมาสเตอร์พยักหน้าเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงที่เจสันพูด
“ขอโทษที่รบกวน…ขอให้มีความสุขมากๆ ผมจะไปสอบการเล่นแร่แปรธาตุเดี๋ยวนี้!”
และถ้าเจสันมองดูรูนมาสเตอร์ในตอนนี้ เขาก็จะได้เห็นคนที่กำลังอ้าปากค้าง
`เขาเมินฉันเหรอ’ รูนมาสเตอร์คิด ทำหน้าบึ้งเล็กน้อย แต่อย่างใดเขาไม่กล้าขัดจังหวะชายหนุ่มผมดำ .. มีบางอย่างแปลกเกี่ยวกับเขา
เชนที่รับรู้ทุกอย่างผ่านพื้นดิน ขมวดคิ้วอย่างลึกซึ้งเพราะเขาเข้าใจว่าเขาต้องเปลี่ยนแผนเพื่อกดดันเจสันอีกครั้งเมื่อเจสันต้องการเรียนรู้วิธีการหลอม จารึก ปรุงยา และอื่นๆ
การชมเชยเจสันอาจจะไม่เป็นที่ยอมรับ เพื่อให้เขาไม่ต้องหยิ่งทะนงและเต็มไปด้วยตัวเองและเชนก็ครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ ขณะที่เจสันปรากฏตัวที่ชั้นสามและชั้นสุดท้าย
ผ่านไปประมาณ 5 ชั่วโมงนับตั้งแต่การสอบเริ่มขึ้น และแอาทาเรียก็ประหลาดใจที่เห็นเจสันปรากฏตัวบนชั้นสามแล้ว
เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาหาเธอ เธอยิ้มอย่างสดใสเพื่อปกปิดความประหลาดใจของเธอ
“ผมสอบผ่าน 2 วิชาแรกแล้ว ผมควรทำอย่างไรในการสอบเล่นแร่แปรธาตุ?”
เจสันถามและแม้ว่าแอนทาเรียจะเตรียมใจไว้ แต่เธอก็ยังประหลาดใจที่เจสันทำได้จริงๆ
เธอเคลียร์ลำคอของเธอได้สักพักเพื่อฟื้นความสงบ
“งานของฉันเหมือนกับสองข้อแรก เพื่อที่จะผ่านการสอบ เธอต้องปรุงยาที่มีประสิทธิภาพโดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ”
เมื่อพูดอย่างนั้น เจสันก็หันหลังกลับก่อนจะพูดเบาๆ
“ขอบคุณครับ อย่าลืมสิ่งที่คุณสัญญาไว้”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น แอนทาเรียก็จำได้ว่าเธอบอกเจสันว่า ถ้าเขาสอบผ่านข้อเขียน 100% และสอบช่างฝีมือได้ครบ 100% เธอจะให้โอกาสเขาขออะไรก็ได้จากหอคอยช่างฝีมือ
เมื่อมองดูเจสันอย่างสิ้นหวัง เธอมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีว่าเขาจะทำข้อสอบได้ค่อนข้างง่าย
วิธีแก้ปัญหาการจารึกเพียงอย่างเดียวถือได้ว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพแม้ว่าจะเป็นเพียงหมวดหมู่ย่อยและหาก แอนทาเรียรู้ว่าเจสันได้ต้มสารละลายจารึกด้วยตัวเองแล้วรังสีแห่งความหวังสุดท้ายของเธอก็จะแตกสลายทันที
การสอบรูนมาสเตอร์อนุญาตให้นักเรียนใช้ส่วนผสมการเขียนยากที่สุดเพื่อที่จะผ่านการทดสอบ เพราะพวกเขามุ่งความสนใจไปที่กระบวนการจารึกมากกว่าตัวผสมเอง
เจสันนั่งลงในสถานที่ที่กำหนดของเขา และเขาสามารถมองเห็นสิ่งของและสมุนไพรต่างๆ มากมายต่อหน้าเขาบนโต๊ะขนาดใหญ่
นอกจากนี้ยังมีหลอดทดลองมากมาย ขาตั้งสามขา และหัวเผาที่เจสันคิดที่จะไม่ใช้
แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจสร้างยาพิษ เจสันก็ยืนกรานที่จะฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์เพื่อเพิ่มพลังวิญญาณให้สูงสุดโดยเร็วที่สุด
เขานั่งลงบนพื้น ไม่สนใจผู้เห็นเหตุการณ์ใดๆ และเข้าสู่โลกวิญญาณของเขา
เมื่อมองดูรังไหมเกล็ดหิมะเย็นๆ ของอาร์เทมิส เจสันยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะออกจากโลกวิญญาณอีกครั้งในอีก 85 นาทีต่อมา หลังจากถักเกลียวเกลียวทั้งห้าของเขาและฉีดเข้าไปในแกนโลกวิญญาณของเขา
ความเจ็บปวดลดลงอย่างต่อเนื่องและเจสันก็มีความเชี่ยวชาญมากขึ้นในการถักเกลียวและให้ความสำคัญกับสิ่งต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ทำให้เวลาในการฝึกลดลงเล็กน้อย
บางทีเขาอาจจะลดเวลาลงได้อีก แต่เขาไม่แน่ใจว่ามันจะไปได้ไกลแค่ไหนและความคาดหวังเล็กน้อยก็ก่อตัวขึ้นในใจ
เมื่อยืนขึ้น เจสันสังเกตเห็นว่ามีนักเรียนน้อยลงรอบตัวเขา และดูเหมือนว่าพวกเขาจะผ่านไปแล้ว ขณะที่นักเรียนที่เกรียมด้วยสีหน้าสิ้นหวังจ้องมองไปที่ส่วนผสมที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา
นักเรียนบางคนถึงกับผมพองและเจสันพยายามอย่างหนักที่จะไม่หัวเราะออกมาดังๆ
หลังจากหัวเราะกับตัวเองเป็นบางครั้ง เจสันก็หันไปที่โต๊ะและตัดสินใจทำยาที่ง่ายที่สุดที่เขารู้
นำทรายหลัวและสมุนไพรไร้เกรดสี่ชนิดออกมา เจสันวางมันไว้ข้างหน้าเขา ขณะที่เขาทิ้งสมุนไพรที่ไม่จำเป็นอื่นๆ
เจสันจุดเปลวไฟต้นกำเนิดสีดำอีกครั้งในมือของเขา วางมันไว้ใต้ขาตั้งกล้อง เติมน้ำลงในขวดเล็กน้อย เขาวางมันไว้ตรงกลางขาตั้งกล้อง ก่อนที่เจสันจะมอบทรายหลัวให้กับมัน
อนุภาคมานาในทรายทำปฏิกิริยากับน้ำ ทำให้ทรายสูญเสียความแวววาวจางๆ
ความเป็นประกายเล็กน้อย น้ำปกติก่อนหน้านี้ถูกเติมด้วยอนุภาคมานาจำนวนเล็กน้อย และเมื่อความร้อนถึงระดับหนึ่ง เจสันก็ใส่สมุนไพรลงไปทีละชนิดโดยไม่ลืมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งที่ถูกต้อง
สมุนไพรบางชนิดสามารถทำปฏิกิริยากับยาที่ปรุงอย่างช้าๆ หลังจากปฏิกิริยาก่อนหน้านี้เกิดขึ้นโดยไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาอื่นใดที่อาจสร้างยาอื่นหรือทำให้เสียเปล่าโดยสิ้นเชิง
ดังนั้นเขาจึงตรวจสอบสองครั้งว่าเขาทำทุกอย่างถูกต้องหรือไม่เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดเล็กน้อย
ใส่สมุนไพรตัวสุดท้ายลงในขวดอย่างระมัดระวัง น้ำกลายเป็นสีฟ้าเล็กน้อยโดยมีกลิ่นจางๆ กระจายออกมาจากขวด
มันเป็นความรู้สึกที่สงบและเมื่อได้กลิ่น เจสันก็รู้ว่าถึงเวลาสำหรับขั้นตอนต่อไป
เจสันทำให้เปลวไฟของเขาร้อนขึ้นด้วยรอยบาก กลิ่นเหม็นน่าขยะแขยงปกคลุมกลิ่นหอมจางๆ และจมูกของเจสันก็กระตุก
สิ่งสกปรกถูกชะล้างอย่างช้าๆ ทำปฏิกิริยากับทราย แทนที่จะถูกยกขึ้นด้วยกลุ่มควันสีขาวราวกับเป็นกรณีของสารละลายจารึกของเขา
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพราะสิ่งเจือปนของสมุนไพรและแก่นเวทย์มนตร์ทำปฏิกิริยากับแกนมานาอันดับที่ปราศจากสิ่งมลทินเหลว เมื่อเขาสร้างส่วนผสมที่จารึกไว้
ด้วยตาเปล่าสามารถมองเห็นสิ่งเจือปนจำนวนหนึ่งได้ โดยที่เจสันไม่ได้ใช้มานาของเขา
เจสันดับไฟ และวางบีกเกอร์ไว้ข้างหน้าเขาด้วยตะแกรงด้านบนเพื่อแบ่งสารละลายด้วยของเสียและสิ่งสกปรก
เจสันกรองมันหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าจะกำจัดสิ่งสกปรกให้ได้มากที่สุด แต่ก็ยังมีจุดสีดำเล็ก ๆ ที่เขาสามารถมองเห็นได้ด้วยดวงตามานาของเขาเท่านั้น
สิ่งนี้ทำให้เจสันไม่เพียงแต่ตั้งคำถามว่าโพชั่นทุกตัวมีสิ่งเจือปนในตัวมันหรือไม่ ซึ่งไม่น่าแปลกใจขนาดนั้น แต่ยังรวมถึงจำนวนสิ่งเจือปนที่อยู่ในโพชั่นปกติด้วย
เนื่องจากเปลวไฟสีดำของเขา เขากำจัดสิ่งเจือปนมากมายที่ปกติจะไม่ถูกไล่ออก และเจสันตัดสินใจว่าเขาจะปรุงยาของเขาเองในอนาคต
เมื่อมองไปที่ยาสีน้ำเงินที่ส่องแสงระยิบระยับในบีกเกอร์ เจสันเติมขวดสามขวดก่อนที่บีกเกอร์จะว่างเปล่า
เมื่อเก็บขวดยาสองขวดออกไป เจสันเดินไปที่แอนทาเรียพร้อมกับยืดอก ต้องขอบคุณความภาคภูมิใจที่เพิ่งได้มาซึ่งสะสมอย่างช้าๆ
แอนทาเรียไม่เพียงแต่ถูกทำให้รู้สึกตกตะลึง แต่ยังรู้สึกทึ่งกับความสงบของเจสันในระหว่างกระบวนการปรุงทั้งหมด
ราวกับว่าเขาไม่ได้พยายามอย่างหนักเพื่อรักษาความคงตัวจากยาในระหว่างกระบวนการปรุง การควบคุมมานาที่จำเป็นในการนำส่วนผสมเวทย์มนตร์เข้าด้วยกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และเราจำเป็นต้องทำหลายๆ อย่างพร้อมกันซึ่งเจสันทำไม่ได้โดยกำเนิด
แต่ด้วยดวงตาที่เหนือชั้น สมองที่ปราณีต การบัพติศมาของเปลวไฟสีดำซึ่งทำให้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขาดีขึ้น และความรู้โดยละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการปรุงที่แน่นอนของยาสงบสติอารมณ์ทำให้เขาดูราวกับว่าเขาไม่ได้ทำเลยด้วยซ้ำ พยายามอย่างหนัก.
บอกตามตรง เจสันมีเหงื่อออกมากในระหว่างกระบวนการทั้งหมด และเหงื่อนั่นได้ระเหยออกไปก่อนที่ แอนทาเรียจะสังเกตเห็น
เจสันยังคงกระจุกตัวอยู่ในกระบวนการปรุงยาที่ทำให้สงบได้ในที่สุด ในที่สุดเจสันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกในขณะที่ส่งยาให้แอนทาเรียหนึ่งขวด
ผ่านไปเพียงสามชั่วโมงนับตั้งแต่การสอบเริ่มขึ้น และยังมีนักเรียนกลุ่มแรกที่พยายามทำการทดสอยให้สำเร็จ
เมื่อสังเกตเห็นเจสันเดินขึ้นไปบนชั้นสอง รูนมาสเตอร์รุ่นเยาว์อันดับ 3 คิดว่าเด็กหนุ่มผมดำที่อยู่ตรงหน้าเขา ทำหใ้เขาคิดว่าเจสันนั่นมาสาย หรือ ไม่ก็มีความใจร้อนอย่างมากในการทำแบบทดสอบของช่างตีเหล็ก
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร มันก็ไม่สำคัญหรอก และเมื่อเจสันมาถึงตรงหน้าเขา เขาก็ได้กลิ่นควันจางๆ จากตัวของเจสันซึ่งมันได้ตอบในสิ่งที่เขาสงสัยว่าเจสันนั่นมาสายหรือเพิ่งทำงานเสร็จ
เมื่อมองไปที่ ID ของเขา รูนมาสเตอร์สังเกตเห็นว่าเจสันผ่านการสอบทั้ง 3 อาชีพ ทำให้เขาต้องมองดูเด็กหนุ่มดวงตาสีทองอีกครั้ง
เมื่อเห็นดวงตาสีทองเป็นประกายด้วยมานา ความรู้สึกภายในของอาจารย์รูนก็บอกเขาว่า มันเป็นลักษณะพิเศษ แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจว่าตาเป็นแบบไหนก็ตาม
ลักษณะพิเศษที่พบบ่อยที่สุดสำหรับดวงตาคือดวงตามานา แต่เขาไม่เคยเห็นใครที่มีดวงตามานามาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเด็กที่อยู่ข้างหน้าเขามีลักษณะพิเศษอย่างไร
ก่อนหน้านี้ เจสันต้องการซ่อนมานาของเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาพบว่ามันไม่สมเหตุสมผล เพราะจะทำให้การพัฒนาของเขาลดลงอย่างมาก
ต่อจากนั้น เจสันก็ได้เข้าไปนั่งในพื้นที่สำหรับการทดสอบต่อไป และเขาก็พบอุปกรณ์และวัสดุจำนวนมากที่ใช้สำหรับการทดสอบ
เจสันมั่นใจในอักษรรูนมากที่สุดเนื่องจากดวงตาของเขามีมานา เพราะเขาสามารถอ่านส่วนที่ยากที่สุดในการจารึกคือสัมผัสถึงมานารอบๆ
หนึ่งจะต้องปั้นแกนมานาที่ไม่สมบูรณ์หรือแกนมานาระดับเวทมนตร์เพื่อจารึกอักษรรูนและมานาที่แผ่ออกมาจากวัสดุเหล่านี้สามารถระบุว่ากว้างใหญ่ แต่นี่เป็นเพียงกรณีก่อนที่จะขึ้นรูป
การนำมานาจากแกนมานานั้นซับซ้อนที่สุดในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด และต้องไม่ทำให้มันได้รับความเสียหายและจะต้องทำอย่างระมัดระวังอย่างยิ่งในการทำให้แกนมานาร้อนขึ้น เนื่องจากแกนมานาทุกอันมีอุณหภูมิการลอกคราบต่างกัน
ข้างหน้าเขามีเพียงแกนมานาที่ไม่สมบูรณ์และมันน่าจะช่วยประหยัดเครดิตได้บ้าง ในขณะที่มันก็ยังดีที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้นที่จะลองจารึก
สำหรับการสอบนี้ หอคอยช่างฝีมือได้ระบุชื่อแกนมานาจากสัตว์ร้ายต่างๆ เพื่อให้นักเรียนมีโอกาสใช้ความรู้โดยไม่จำเป็นต้องหาที่มาของแกนมานา
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปรอบๆ เจสันทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ เมื่อเห็นนักเรียนหลายคนยังไม่รู้ว่าพวกเขาต้องทำอะไร ในขณะที่บางคนจดจ่อกับงานของพวกเขา
เหมือนกับในการสอบช่างตีเหล็ก โดยที่บางคนรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ขณะที่คนอื่นๆ ทดลองอย่างผิดๆ ถูกๆ แต่ส่วนมากผิดโดยสิ้นเชิง เนื่องจากจุดไฟสูงเกินไป จึงใช้อัตราส่วนการผสมผิด สำหรับส่วนผสมของคำจารึกหรือถ้าทำสองสามขั้นตอนแรกอย่างถูกต้อง พวกเขาทำผิดพลาดกับการจารึกเนื่องจากขาดความสามารถในการรับรู้มานาภายในสารละลายจารึก
ขั้นตอนสุดท้ายนี้มีความสำคัญ เนื่องจากเราสามารถปรับกระแสมานาได้เล็กน้อยเพื่อรวมอักษรรูนที่จารึกไว้เข้าด้วยกันเพื่อสร้างรูนที่ใช้งานได้ อาจกล่าวได้ว่า การปรับการไหลของมานาภายในส่วนผสมคำจารึกเป็นสิ่งที่จำเป็น และหากไม่มีก็สามารถอธิบายได้ว่าโชคดีหากรูนทำงานตามที่เราต้องการ
เจสันยิ้มเมื่อได้ยินการพองตัวเล็กๆ จากรอบๆ ตัวเขา และควันเมฆลอยขึ้นมาในจุดที่ได้ยินเสียงพอง
ดูเหมือนว่างานนี้จะเหมือนกันสำหรับการสอบช่างฝีมือทุกครั้ง `สร้างสิ่งที่ใช้ได้ผล’ หรืออะไรทำนองนั้น และเจสันต้องจารึกอักษรรูนที่เขาต้องการลงบนอะไรก็ได้ที่เขาชอบ
เมื่อหยิบกริชที่เขาหลอมไว้ก่อนหน้านี้ออกมา เจสันตัดสินใจสลักอักษรรูนไว้
เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เจสันจึงตัดสินใจที่จะใช้ส่วนผสมจารึกทั่วไปโดยไม่ต้องเติมอะไรเป็นพิเศษลงไปเพื่อเพิ่มการขยายเสียงหรือระยะเวลาหลังจากฉีดมานา
`เรียบง่ายแหละดีที่สุด!` เป็นความคิดของเจสันสำหรับการสอบทั้งสามครั้งในขณะที่เขาหลอม ปรุงยา และจารึกเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา
ชั่งน้ำหนักส่วนผสม เขาวางส่วนที่เหลือบนไซต์ ก่อนที่เขาจะมองไปที่เตาและรีเอเจนต์
ขณะใช้หลอดทดลอง เขาไม่ได้สนใจเตาเผานั้นเพราะต้องการลองทำอะไรด้วยตัวเอง
เตาที่อยู่ข้างหน้าเขาแทบจะไม่สามารถรักษาอุณหภูมิให้คงที่ได้ และจะผันผวนบ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ไลฟ์สไตล์อาชีพใด ๆ อยากจะทำงานด้วย
ดังนั้นเขาจึงเปิดมือพร้อมกับเปลวไฟสีดำปรากฏขึ้นภายใน
เมื่อเห็นเช่นนั้น ดวงตาของอาจารย์รูนก็เบิกกว้างและเขาสงสัยว่าเด็กหนุ่มคนนี้พบไฟที่กลายพันธุ์เช่นนี้ได้อย่างไร ทำให้เขารู้สึกอิจฉา เนื่องจากไฟที่กลายพันธุ์นั้นแข็งแกร่งกว่าปกติโดยที่บางคนมีความสามารถพิเศษ
เจสันดึงดูดความสนใจของรูนมาสเตอร์ แต่หลังจากที่สังเกตเห็น เจสันก็เพิกเฉยและทำงานอย่างหนัก
ต้องขอบคุณผู้ตรวจสอบที่ให้ชื่อของเผ่าพันธุ์อสูรของแกนมานาที่ไม่สมบูรณ์ เจสันจึงสามารถปรับเปลวไฟของเขาให้อยู่ในอุณหภูมิที่ต้องการด้วยการผันผวนเล็กน้อยในขณะที่เขาเอาแกนมานาที่ไม่สมบูรณ์ในมือของเขาและปล่อยให้ออริจินเฟลมได้ปรับแต่งแกนมานา
เมื่อจับทั้งสองหลอดไว้เหนือหลอดทดลอง เจสันทำงานค่อนข้างหยาบในขณะนี้ แต่ผลลัพธ์คือสิ่งเดียวที่สำคัญ
เมื่อเห็นสิ่งที่เจสันทำ รูนมาสเตอร์ก็ขมวดคิ้วและต้องการบรรยายให้นักเรียนคนนี้เกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์และความภาคภูมิใจของรูนมาสเตอร์ เมื่อเห็นว่าแกนมานาที่ไม่สมบูรณ์ได้หลอมละลายไปแล้ว
มันเร็วกว่าที่เขาคาดไว้ และในตอนแรกเขาคิดว่าเด็กหนุ่มผมดำมาที่นี่เพื่อเล่นเล่นตลกเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจได้เพียงชั่วครู่ว่าควรทำอย่างไร
แกนมานาที่ถูกหลอมเหลวได้ถูกเทลงในหลอดทดลอง และเมื่อปริมาณหนึ่งอยู่ภายใน เจสันก็วางแกนไว้ข้างๆ
มันค่อนข้างร้อนเล็กน้อย แต่เขามีภูมิคุ้มกันต่อเปลวไฟของตัวเองและจะไม่ถูกไฟไหม้
เปลวไฟสีดำยังคงอยู่ในมืออีกข้างหนึ่งของเขา เผาไหม้ด้วยอุณหภูมิที่ต่ำกว่าเล็กน้อย เมื่อเขาวางหลอดทดลองไว้บนขาตั้งกล้องซึ่งมีรูเล็กๆ อยู่ภายใน ซึ่งสามารถจับได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เจสันเทน้ำธรรมดาลงในหลอดทดลอง นอกเหนือจากทรายบางส่วน เจสันอุ่นหลอดทดลองก่อนที่จะคนส่วนผสมต่างๆ
เจสันส่องประกายจางๆ และรู้ว่าอนุภาคมานาในทรายได้ทำปฏิกิริยากับน้ำ เจสันได้เพิ่มสมุนไพรเกรด 1 ต่ำสุด 3 ชิ้นลงในหลอดทดลองในขณะที่ทำให้เปลวไฟของเขาร้อนขึ้น
ทรายหลัวส่วนใหญ่จะใช้เพื่อรวมเอฟเฟกต์เวทย์มนตร์ของส่วนผสมบางอย่างเข้าด้วยกัน ตราบใดที่พวกมันมีปฏิกิริยาน้อยกว่า
ด้วยสิ่งนี้ ยาและวิธีแก้คำจารึกง่ายๆ มากมายจึงเกิดขึ้นได้ และเจสันก็ใช้มันด้วยเหตุนั้น
การควบคุมความร้อนของเปลวไฟ เจสันตรวจสอบปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นอย่างระมัดระวัง โดยทำให้น้ำเป็นสีเขียวเล็กน้อย
นำคุณสมบัติของมานาออกมาเล็กน้อย ทำปฏิกิริยาซึ่งกันและกัน และน้ำก็มีความหนืดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและมีกลิ่นจางๆ กระจายออกจากหลอดทดลอง
เมื่อดับไฟ เจสันก็กรองทรายและสะเด็ดน้ำสมุนไพรออก เพื่อรับสารละลายสมุนไพรที่เข้มข้นของเขา นอกเหนือไปจากแกนมานาที่เหลวซึ่งยังไม่สมบูรณ์ในหลอดทดลองที่แตกต่างกัน
ตอนนี้ เจสันอยู่ในขั้นตอนสองขั้นสุดท้ายแล้ว และเขาได้จุดไฟสองดวงในมือ และวางไว้ใต้ขาตั้งกล้องทั้งสองที่หลอดทดลองตั้งอยู่ตามลำดับ
เจสันควบคุมด้วยอุณหภูมิที่เท่ากัน ทำให้เจสันมีเหงื่อออกอย่างมาก เนื่องจากเขาไม่เคยเรียกเปลวเพลิงหลายชุดพร้อมกัน และเขาไม่เคยควบคุมแบบนั้น
เมื่อสารภายในหลอดทดลองถึงอุณหภูมิที่กำหนด เจสันวางขวดยาไว้ข้างหน้าเขา ก่อนที่เขาจะเทเนื้อหาของทั้งแกนที่หลอมเหลวและสารละลายสมุนไพรภายในขวดลงไป ทำให้เกิดพัฟเล็กๆ เป็นปฏิกิริยา
‘น่าเสียดาย!’ รูนมาสเตอร์ถอนหายใจด้วยความเสียใจ ในขณะที่เขาคิดว่าเขาได้เห็นบางสิ่งที่พิเศษ แต่ควันที่ลอยขึ้นต่อหน้าเด็กหนุ่มผมดำบ่งบอกถึงความล้มเหลว
`เดี๋ยวนะ!’ ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าไม่ใช่ควันสีดำหรือสีเทา แต่ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งสกปรกอยู่ข้างในมากกว่าและดูราวกับว่ามีภาพลวงตาปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา
`เขาดึงสิ่งสกปรกในสมุนไพรออกมาได้อย่างไร’ รูนมาสเตอร์เกือบจะตะโกนแต่เขาก็อดกลั้นไว้ ไม่เช่นนั้น ภาพลักษณ์ของเขาจะพังทลาย
เมื่อมองไปที่เจสันด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง มีเพียงเชน ดาเลีย และเจสันเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เปลวไฟต้นกำเนิดสีดำของเจสัน นั้นเหมือนกับเปลวไฟต้นกำเนิดทุกตัวที่มีความพิเศษในระดับเดียวกัน
เช่นเดียวกับเปลวไฟต้นกำเนิดทุกแห่ง มันมีความสามารถในการชำระล้างไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสมุนไพรและแร่จากสิ่งเจือปนด้วย ซึ่งใครๆ ก็มองเห็นได้ในตอนนี้
ส่วนผสมของแกนมานาที่หลอมเหลวที่ไม่สมบูรณ์และสารละลายสมุนไพรผสมกันอย่างลงตัวเมื่ออนุภาคมานาทำปฏิกิริยาซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดสารละลายสีม่วงที่ส่องเป็นสีจางๆ และแผ่กลิ่นหอมอันเงียบสงบออกมา
ใครๆ ก็คิดว่าเจสันกำลังปรุงยาอยู่ตอนนี้ แต่แทนที่จะคิดอย่างนั้น เขาก็แค่ผสมสารละลายสำหรับจารึกของเขาเท่านั้น
ตอนนี้ แม้แต่ดวงตาของเชนก็ยังเบิกกว้างเมื่อเขามองเจสันอย่างประหลาด
‘เด็กคนนี้ ทำไมถึงได้เรียนรู้ได้มากขนาดนี้ได้อย่างไรโดยไม่มีใครสอนเขา?… ‘ เขาคิดและสิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกหดหู่เล็กน้อยในขณะที่เขาต้องการให้เจสันเรียนรู้ทุกอย่างตามทฤษฎี เพื่อให้ความรู้เชิงปฏิบัติแก่เจสันต่อไปเมื่อเวลาผ่านไป…
เมื่อมองไปที่เจสัน เขาก็เห็นเจสันหยิบปากกาลูกลื่นที่ทำขึ้นเป็นพิเศษซึ่งว่างเปล่าและไม่ได้เติมอะไรเลย
‘ฉันควรทำอย่างไรกับอัจฉริยะเช่นนี้?’ เชนถอนหายใจขณะที่มองเจสันด้วยความอิจฉา
ขนาดปากกาลูกลื่นยาวกว่า 20 เซนติเมตร ซึ่งไม่ธรรมดาแต่เติมน้ำยาจารึกอย่างระมัดระวัง
ยังคงมีสารละลายจารึกของเขาเหลืออยู่มากมายซึ่งเขาเก็บไว้ในกล่องนีออกซิไดซ์ยืนต้น
เมื่อมองดูกริชของเขา เจสันไตร่ตรองว่าควรจารึกอักษรรูนชนิดใดเมื่อมีความคิดผุดขึ้นในใจ
เจสันยิ้มและคิดว่า ‘ทำไมไม่’ ก่อนที่เขาจะเริ่มจารึกอักษรรูนที่คุ้นเคยแต่ก็ค่อนข้างไม่คุ้นเคยบนพื้นผิวของกริช
ขณะที่รูนมาสเตอร์มองดูอักษรรูนด้วยท่าทางสับสน ราวกับว่าเขาไม่เคยเห็นอักษรรูนเหล่านี้ เชนก็อุทานขึ้นมา
อีกครั้ง
‘นี่ต้องขอบคุณดวงตามานาของเขาด้วยเหรอ!’ เชนคร่ำครวญเมื่อเห็นว่าคาถาที่เจสันจารึกไว้บนกริชของเขา
มนุษย์ได้เขียนอักษรรูนของเล่าก็อบบลินยังไม่ได้รับการค้นคว้าอย่างเต็มที่ !!
ชายวัยกลางคนร่างใหญ่ยืนนิ่งอยู่บนพื้น หลังเหยียดตรง มองดูเหล่านักเรียนที่มองมาที่เขาอย่างตั้งอกตั้งใจรองานให้สำเร็จ
“ถึงนักเรียนของโรงเรียนแวนการ์ดในเครือที่ 6 วันนี้เป็นการสอบปฏิบัติของการทดสอบช่างฝีมือ และฉันคาดว่าคงมีพวกคุณส่วนมากอาจจะไม่เคย ปรุงยา หรือจารึกอะไรในชีวิตของคุณเลย
หากคุณเคย….ยินดีด้วย แต่นั่นไม่สำคัญสำหรับเรา
งานที่เราต้องการมอบให้ทุกคนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก… สำหรับการสอบช่างตีเหล็ก ให้สร้างอาวุธโดยไม่ทำลายค่าการนำไฟฟ้ามานาของแร่ทั้งหมด
เราไม่สนใจเกี่ยวกับเกรดอาวุธ ความสวยงาม หรืออย่างอื่น
อาวุธต้องมีการนำมานาในระดับหนึ่งเท่านั้นและไม่ควรพังทลายภายใต้แรงกดดัน การทดสอบจะไม่มีการจำกัดเวลา แต่ถ้าคุณต้องการเข้าร่วมในการสอบอื่น ๆ คุณไม่ควรเสียเวลามากเกินไป เพราะเราทดสอบแค่วันนี้เท่านั้น”
จบคำพูดสั้น ๆ แอนทาเลียและรูนมาสเตอร์ พูดอย่างอื่นก่อนที่พวกเขาจะขึ้นบันไดไปที่พื้นซึ่งจะทำการทดสอบ
เจสันเหงื่อตกจากสายตาที่แอนทาเลียมองใส่เขา และเขารู้สึกอึดอัดอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเสียงดังๆ หลายครั้งที่ชายร่างใหญ่ยืนขึ้น
เมื่อหันกลับมา เขาก็เห็นแร่ทุกชนิดที่ใช้ทำอาวุธ ในขณะที่ไม่เห็นแร่เกรด 2 แม้แต่ชิ้นเดียว
‘พวกเขาต้องการให้นักเรียนทำปาฏิหาริย์อะไรกับโรงตีเหล็กคุณภาพสูงเหล่านี้? นักเรียนส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะใช้โรงตีเหล็กอย่างไรเพราะความรู้ที่ให้มานั้นน้อยมาก…’
เจสันสงสัย
อย่างไรก็ตาม แร่มีค่าค่อนข้างมากและนักเรียนสามารถหยิบชิ้นใดก็ได้ตามต้องการ
ขณะที่นักเรียนคนอื่นๆ วิ่งไปข้างหน้า เจสันก็กระตุ้นดวงตามานาเพื่อตรวจสอบแร่ทุกชนิดที่อยู่ข้างหน้าเขาอย่างรวดเร็ว
และไม่น่าแปลกใจเลยที่มีแร่จำนวนมากที่มีเส้นมานาแห่งความตายอยู่ภายใน บ่งบอกว่าแร่นั้นตายแล้วและไม่สามารถใช้เป็นอาวุธปลอมแปลงที่ต้องอาศัยการนำมานาเพื่อให้ได้ค่าความแข็งแกร่งและความคมชัดที่แน่นอน
เจสันยิ้มเบา ๆ สังเกตเห็นนักเรียนสองสามคนกำลังหยิบแร่ที่ใหญ่ที่สุดที่พวกเขาเห็น และในหมู่พวกเขามีแร่ที่ตายแล้ว ทำให้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
เจสันถอนหายใจลึกๆ มองหาแร่ที่คุ้นเคย และเมื่อเขาพบบางสิ่ง รอยยิ้มเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
‘แร่หยกเล็ก!…และมีจำนวนที่มาก’
ในขณะที่บาชิ้นตายไปแล้ว เจสันก็เลือกสิ่งที่ดีที่สุด ก่อนที่เขาจะกลับไปที่โรงตีเหล็กที่กำหนดไว้
โรงตีเหล็กสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายส่วนดังนี้
ขั้นตอนแรกจำเป็นเฉพาะเมื่อทำงานกับแร่และเรียกว่าขั้นตอน ‘การลด’ ซึ่งใช้ในการออกไซด์แร่เพื่อให้ได้แท่งโลหะบริสุทธิ์
ขั้นตอนนี้ไม่ยากนัก เนื่องจากเจสันรู้ว่าแร่หยกเหล็ก ต้องใช้ความร้อนที่คงตัวในการทำให้ร้อนขึ้น
ความร้อนที่มากเกินไปจะทำให้เส้นมานาระเหยและตายไป ในขณะที่แร่เองก็จะละลาย
ความร้อนต่ำจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงเนื่องจากออกไซด์จะไม่ทำปฏิกิริยากับถ่านในเปลวไฟเพื่อสร้างคาร์บอนไดออกไซด์ โดยทิ้งโลหะบริสุทธิ์ไว้
เจสันค่อนข้างไวต่อความร้อนเนื่องจากออริจินของเขา และเขาไม่จำเป็นต้องมองที่แผงควบคุมเพื่อดูว่ามันร้อนแค่ไหนเมื่อเขาหยุดเพิ่มความร้อนอย่างสมบูรณ์
ผ่านไปไม่กี่นาทีก่อนที่เจสันจะเห็นเส้นมานาภายในแร่เหล็กหยกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเล็กน้อย
เจสันหยิบแร่หยกเหล็กที่ลดลงด้วยแหนบเสริมความแข็งแรงออกมา เจสันสังเกตเห็นประกายไฟสีเขียวภายในแท่งโลหะที่ร้อนขึ้นสีแดง
เมื่อหันไปทางค้อนกด เขาใช้ค้อนแทนค้อนเพื่อสร้างหยกเหล็ก เพราะเขาไม่ต้องการเสียพลังงานมากเกินไปในทันที
เจสันใช้เท้ากดค้อนอย่างระมัดระวัง เขาใช้แหนบเพื่อสร้างรูปร่างที่ต้องการอย่างช้าๆ
เจสันใช้แร่หยกเหล็กชิ้นใหญ่เป็นพิเศษเพราะเขารู้ว่าขนาดจะลดลงมากกว่า 50% จนกว่าเขาจะได้ก้อนที่ต้องการและหากไม่ได้ใช้เวลาอันมีค่ามากกว่านี้ เขาก็ไม่สามารถถลุงแร่เหล็กหยกได้อีก
ในท้ายที่สุด มันก็ไม่สำคัญด้วยซ้ำว่าเขาสร้างอาวุธชนิดใด ตราบใดที่มันไม่หักขณะตี
ดังนั้นเจสันจึงทำกริชหยาบและทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จโดยเร็วที่สุด
เจสันค่อยๆ จับกลุ่มเป็นก้อน โดยถูกมองจากด้านข้างเพราะนักเรียนคนอื่นๆ คิดว่าเขาเป็นใบ้ โดยเจสันใช้ค้อนทุบสร้างก้อนโดยไม่ทำลายเส้นมานา
อย่างไรก็ตาม นักเรียนเหล่านี้ลืมสิ่งสำคัญบางอย่างไป เพราะพวกเขาไม่เคยคิดว่าเจสันไม่เพียงแต่ประหยัดเวลาได้มากเท่านั้น แต่แร่หยกเหล็กยังมีความยืดหยุ่นต่อการสร้างเส้นมานาที่รุนแรงเมื่อเทียบกับแท่งโลหะอื่นๆ ทำให้เป็นวัตถุดิบที่ดีที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้น ใช้.
อย่างไรก็ตาม การใช้ค้อนกดเพื่อรักษาเส้นมานาที่ไม่เสียหายและไม่เสียหาย ยังคงค่อนข้างผิดปกติ แต่ข้างหน้าเขายืนหนึ่งเส้น และโดยไม่เสียเวลามากเกินไป เขาอุ่นชิ้นที่ก่อตัวขึ้นเล็กน้อยใหม่จนใกล้จุดหลอมเหลว สมบูรณ์แบบ เพื่อให้เขาสร้างมันขึ้นมา
เจสันทำซ้ำขั้นตอนนี้สองสามครั้งก่อนที่จะมีความยาว 15 ซม. กว้าง 5 ซม. และหนา 1 ซม. ในที่สุดก็ก่อตัวขึ้น 1 เซนติเมตรเหมาะสำหรับงานของเขาและเขาไปที่ขั้นตอนที่สองโดยตรง
เจสันทำให้แท่งเหล็กหยกร้อนขึ้นอีกครั้ง เขาวางปลายแท่งไว้บนทั่งที่อยู่ข้างหน้าเขา ขณะที่ปลายอีกข้างถูกคีมจับ
เมื่อหยิบค้อนกลมออกมา เจสันก็ใช้ค้อนทุบที่มุมของก้อนเพื่อค่อยๆ ปั้นส่วนปลายของก้อนให้เป็นรูปทรงมีด้านกลมควรจะเป็นด้านหลังในขณะที่ขอบแบนจะกลายเป็นคมตัด
การอุ่นและปั้นก้อนหยกเหล็กสองสามครั้ง เจสันต้องระวังเนื่องจากก้อนไม่หนามากและสามารถแตกหักได้ง่าย แต่โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เจสันเหลือที่ที่ไว้ให้ที่คีบจับส่วนท้ายของชิ้นส่วนเพียงพอแล้ว มองไปยังชิ้นส่วนของแร่หยกเหล็กด้วยรอยยิ้มที่น่าพึงพอใจ
มันดูดีกว่าที่คาดไว้ และตอนนี้เขาต้องสร้างใบมีด
เจสันทำให้แร่นั่นร้อนขึ้นอีกครั้ง เขาได้แตะก๊อกเล็กๆ หลายแถวโดยใช้ค้อนทุบใบมีดเพื่อทำให้ตัวแร่นั่น แคบลง
เจสันทำงานทั้งสองด้านเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบิดเบี้ยวซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาสมดุลที่ดี
เจสันไตร่ตรองว่าเขาควรจะมีเทเปอร์ส่วนปลายหรือไม่ ซึ่งหมายความว่าใบมีดจะบางลงเมื่อเข้าใกล้ส่วนปลายมากขึ้น แต่เขาตัดสินใจไม่ทำเพราะมันไม่จำเป็นสำหรับงานของเขา
กริชขนาดเล็กเกือบจะเสร็จแล้ว และเจสันก็อุ่นชิ้นเหล็กหยกอีกครั้ง ทำให้เขาเหงื่ออกเป็นจำนวนมาก
แม้ว่าเขาจะทนความร้อนได้ แต่มันก็ยังร้อนและร่างกายของเขาไม่ได้ถูกปรับให้เข้ากับความร้อน ทำให้เขามีเหงื่อออกมาก
เมื่อมองไปรอบ ๆ เขาสังเกตเห็นว่าเพื่อนร่วมชั้นของเขาดูเหมือนพวกเขากำลังจะตายในกองไฟ เนื่องจากชุดนักเรียนส่วนใหญ่ติดไฟแล้ว ทำให้ผู้ตรวจสอบกระโดดมาดูทันที
เจสันสวมเสื้อคลุมกันไฟและอุปกรณ์ป้องกันใบหน้ามานานแล้ว เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น แม้ว่าความสามารถในการทนไฟของเขาจะเหนือกว่าเปลวไฟที่อยู่ตรงหน้า
เจสันต้มน้ำมันคริโลเกรด 1 ที่อยู่ข้างๆ เขาให้ร้อนที่ 50°C เจสันหยิบกริชที่มีรูปร่างออกมาแล้วปรับตำหนิเล็กน้อยที่เขาไม่ชอบ ก่อนที่เขาจะหล่อหลอมแท่งเหล็กหยกร้อนภายในน้ำมันที่ร้อนขึ้นเล็กน้อยที่อยู่ข้างหน้า ของเขา.
เจสันได้ยินเสียงร้อนๆ และหากเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร เขาคงจะกลัวมาก แต่โชคดีที่การดับไฟสำเร็จ
น้ำก็ใช้ได้เช่นกัน แต่เจสันต้องการให้แน่ใจว่าจะเย็นลงอย่างรวดเร็วภายในก้อนของหยกเหล็กภายในน้ำจะช่วย ป้องกันไม่ให้เกิดรอยร้าวขณะดับ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้โดยใช้น้ำ
โอกาสมีน้อยแต่ปลอดภัยแน่นอน และหลังจากที่กริชเย็นลงถึงระดับหนึ่งแล้ว เขาก็หยิบมันออกมาอุ่นและดับอีกครั้งก่อนที่จะปล่อยให้มันค่อยๆ เย็นลงในอากาศ
เมื่อปิดทุกอย่าง เปลวไฟก็หายไป และเจสันหันออกจากโรงตีเหล็กไปยังโต๊ะม้านั่งทำงานที่อยู่ข้างๆ เขา
ถึงเวลาลับมีดให้คมในระดับหนึ่ง แล้วเจสันวางหินลับที่เขาพบในลิ้นชักของโรงตีเหล็ก จุมลงในน้ำจนไม่เห็นฟองสบู่ลอยขึ้นมาจากมันอีกต่อไป ซึ่งเป็นสภาพที่สมบูรณ์มากก่อนจะรับไป ออกมาวางบนผ้าเช็ดตัว
การวางกริชลงบนหินลับ เขายกด้านหลังของมีดขึ้นทำมุม 20 องศา ทำให้ใบมีดสัมผัสกับหินลับ
เมื่อลากส้นมีดลงไปแล้วกดมีดลงไปที่หินลับ เจสันต้องโฟกัสไปที่ใบมีดให้เต็มที่
จากปลายด้ามไปจนสุดปลาย และเคลื่อนไหวไปมาอย่างลื่นไหล
ด้านหนึ่งแล้วอีกด้านหนึ่ง และสิ่งเดียวที่เขาต้องกังวลคือการรักษามุม 20 องศาโดยคงความกดดันไว้เท่าเดิม
เมื่อหินลับแห้งเล็กน้อย เจสันก็ใช้น้ำราดก่อนจะลับให้คมบนด้านที่หยาบกว่าของหินลับ
หมุนหินลับมีดแล้วรดน้ำด้านที่ดีและทำซ้ำขั้นตอนเดิมจนกระทั่งเจสันคิดว่ามีดคมพอ
เขาไม่ค่อยพอใจกับผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกของเขาเลย แต่มันดูดีกว่าที่เขาคาดไว้ และถ้าเจสันรู้ว่าขั้นตอนทั้งหมดของเขาถูกเชนสังเกตได้ เขาคงจะพยายามให้มากกว่านี้
โชคร้ายที่มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่เชนซึ่งซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของอาคารพยักหน้าเห็นด้วย ในขณะที่ช่างตีเหล็กอันดับ 3 สังเกตเห็นเจสันเดินเข้ามาหาเขา พร้อมกับเครื่องหมายคำถามในดวงตาของเขา ก่อนที่เขาจะแสดงออกถึงความประหลาดใจเมื่อ เห็นมีดในมือของเจสัน
เจสันรู้ว่าเขาจะผ่านการสอบนี้และเขารอให้ช่างตีเหล็กที่งุนงง ได้หายสงสัยให้เสร็จก่อนจะขึ้นไปบนชั้นสองหลังจากที่เขานำกริชที่ผลิตครั้งแรกของเขากลับคืนมา
เจสันเหนื่อยเกินกว่าจะสู้ต่อไปได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้พวกเขา แม้ว่าไมโลจะมองไปรอบๆ อย่างโง่เขลา ขณะที่เบลล่ามองเขาเหมือนคนงี่เง่า
ไม่มีอะไรให้เจสันทำ ยกเว้นการเฝ้าดูเสากระโดงข้างหน้าเขา และในขณะที่สังเกตพวกมัน เขาพยายามรวบรวมมานาอย่างอดทนในขณะที่จิตแยกของของเขาทำเช่นเดียวกัน
เจสันต้องการที่จะคิดออกว่าเขาสามารถซ้อนเอฟเฟกต์เทคนิคติดตัวและเพิ่มการรวบรวมมานาของเขาและการดูดซับแบบนั้นได้หรือไม่
หากเป็นไปได้ เขาสามารถใช้มานาได้มากขึ้นในระหว่างการต่อสู้โดยไม่ต้องกังวลกับพลังมานาที่ใช้ออกไปของเขา
นอกจากนี้ เขายังสามารถเพิ่มเอฟเฟกต์การดูดซึมได้โดยไม่เสียเวลามาก และเพิ่มระดับของแกนมานาของเขาเร็วขึ้น…
เจสันใกล้จะเข้าสู่ระดับ 2 ของผู้ชำนาญแล้ว และต้องขอบคุณการชำระล้างร่างกายที่เขาได้รับ และมนัจะใช้เวลาอีกไม่กี่วันกว่าจะถึงเกณฑ์ที่เขาจะพัฒนาสู้ระดับ 2
ด้วยหินมานาที่เขาได้รับ เขามีความมั่นใจที่จะพัฒนาหลายครั้งในอีก 3 เดือนข้างหน้า จนกว่าทัวนาเมนต์จะเริ่มต้นขึ้น และสิ่งเดียวที่เขาต้องดูแลคือไม่ต้องบาดเจ็บสาหัสหรืออะไรทำนองนั้น
ไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะตัดสิทธิ์ออกจากคลาสการต่อสู้พิเศษภายใน 2- 3 ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ไม่แน่ เมื่อพิจารณาว่าเขาจะต้องต่อสู้กับนักเรียนหลายพันคนในโรงเรียนสาขาที่ 6
ด้วยความหวังเกี่ยวกับข่าวลือของเขาจะแพร่กระจาย เจสันจึงต้องเอาชนะไมโลและเบลล่าโดยทำให้ทั้งคู่นั่นหวาดกลัวอย่างยิ่ง
เขามั่นใจว่ามีข่าวลือแพร่สะพัดไปรอบๆ ตัวเขาแล้ว เนื่องจากในช่วง 300 ปีที่ผ่านมาไม่เพียงแต่เป็นช่วงอายุของการระบาดของมานาเท่านั้น แต่ยังเป็นเวลาสำหรับเทคโนโลยีที่จะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ต้องขอบคุณมานาที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
นอกเหนือจากการดูการต่อสู้แล้ว เจสันพบว่าจากประสบการณ์การต่อสู้ของเขาเพียงอย่างเดียว เจสันนั่นมีประสบการณ์ที่เหนือกว่าพวกเขาอย่างแน่นอน โดยมีข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือความสามารถที่ไม่ความสัมพันธ์กับธาตุต่างๆ ของเขา นอกเหนือจากออริจินเฟลม
สิ่งนี้จะทำให้เพื่อนร่วมชั้นของเขาได้เปรียบอย่างมาก แม้ว่าความสามารถในการต่อสู้ของเขาในทุกแง่มุมจะดีกว่าด้วยความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องของเกร็กและเซรอนในฐานะคู่ซ้อม
เจสันไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรกับไมโล แต่เวลาจะบอกเขาและเขาไม่ต้องการเสียเวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้
ก่อนกลับบ้านเจสันตัดสินใจบอกทิลล์เกี่ยวกับสถานการณ์ของเขากับอาร์เทมิส และขออนุญาตให้มันได้เข้าไปในบริเวณโรงเรียนและสนามรบ เพราะเขาต้องเข้าไปในพื้นที่ต่อสู้ทุกวันด้วยคลาสการต่อสู้พิเศษและการท้าทายที่จะเกิดขึ้น
ทิลล์ทำได้เพียงพยักหน้าโดยไม่สนใจเรื่องนี้มากนักเพราะคำขอดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักในโรงเรียนมัธยมของคาเนียร์ ก่อนที่เขาจะส่งข้อความถึงอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนในเครือ
ขณะที่อาจารย์ใหญ่มองดูข้อความด้วยความตกใจ เพราะเนื่องจากเขาไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างเจสันมาก่อน
หากผู้เฒ่าเดร็กได้ยินเรื่องนี้ เขาก็คงจะประหลาดใจกับสายใยวิญญาณของเจสันที่พัฒนาขึ้นหลังจากผ่านไปสองสามเดือนแล้ว แม้ว่าเขาจะค่อนข้างอดทนต่อข่าวที่น่าตกใจ แต่โชคดีที่เขาเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนหลัก
ณ คฤหาสน์ เฟลอร์ เจสันเห็นเกร็กและมาเลียและทั้งคู่ดูเหมือนทุบตีกันจนตาย ทำให้เจสันวิ่งเข้าหาพวกเขา
แต่เมื่อพบว่าพวกเขาทั้งสองนั่นได้เข้าสู่ชั้นเรียนการต่อสู้พิเศษในระดับเดียวกัน เจสันก็เริ่มหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง
แม้ว่าเจสันจะหัวเราะ แต่เขารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งที่เห็นเกร็กได้รับตำแหน่งในคลาสการต่อสู้พิเศษ และดูเหมือนว่าเขาจะต่อสู้อย่างสุดกำลัง ขณะที่เจสันชื่นชม
และตอนนี้เองที่เขารู้ด้วยว่าเกร็กทะลวงเข้าสู่ระดับผู้ชาญ 4 ซึ่งอาจเป็นเพราะความกดดันที่เขาต้องเอาชนะระหว่างการต่อสู้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี
เมื่อพิจารณาถึงความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยของเพื่อนร่วมชั้นของเกร็กในระดับผู้ชำนาญระดับ 7 นักเรียนระดับสูงในชั้นเรียนของเขาน่าจะอยู่ในขั้นผู้ชำนาญ 9 แล้ว
การเพิ่มสัตว์เดรัจฉานระดับต่ำ/กลางในการคำนวณของเขา เจสันคำนวณว่าเกร็กต้องเอาชนะคนที่มีร่างกายระดับผู้เชี่ยวชาญ
‘เขาชนะได้ยังไง’
เจสันถามตัวเอง แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรว่ากระทิงมีเขาเสริมกำลังปลดผนึกส่วนหนึ่งของสายเลือดที่ซ่อนอยู่ ทำให้มันเพิ่มร่างกายของเกร็กได้สองสามระดับในระยะเวลาอันสั้น
เนื่องด้วยทักษะ [Berserk] นี้ เกร็กจึงเรียกได้ว่า มันอาจจะเป็นไปได้ที่เขจะสามารถเข้าสู่คลาสการต่อสู้พิเศษ
*ในขณะเดียวกัน ความคิดของเจสัน*
ยังคงมีความเป็นไปได้ที่ชั้นเรียนของเกร็กจะมีเพียงนักสู้ที่อ่อนแอหรือเต็มไปด้วยเยาวชนที่อาจจะมีระดับต่ำ แต่เมื่อพิจารณาว่าเป็นโรงเรียนหลักและตรวจดูอาการบาดเจ็บของเกร็ก ที่ดูจริงจังมากแม้หลังจากที่กาเบรียลลารักษาเขาแล้ว และเจตนารมณ์ของเกร็กที่มุ่งมั่นในการเข้าร่วมคลาสการต่อสู้พิเศษ
เจสันทำได้เพียงพยักหน้าชื่นชมเมื่อเกี่ยวกับเกร็ก ที่เปลี่ยนไปบ้าง
มาเลียดูดีกว่าเกร็กแต่ยังบาดเจ็บอยู่ ด้วยเสื้อผ้าที่ไหม้เกรียมและผมที่กระเซิง
เห็นได้ชัดว่าเธอยังต่อสู้เพื่อให้ตัวเองนั่นมีระดับสูงสุดของห้องตัวเองเพื่อเข้าสู่คลาสการต่อสู้พิเศษ และเมื่อพิจารณาว่าเธออยู่ใน 10 อันดับแรกของห้องแล้ว มันก็ยิ่งยากสำหรับเธอมากขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าเธอจะอยู่ที่ระดับปรมาจารย์ขั้นต้น
ถึงแม้เธอจะอยู่ในระดับปรมาจารณ์แต่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่มาเลียจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ของเธอ เนื่องจากความสามารถในการต่อสู้ของเธอค่อนข้างแย่เมื่อเทียบกับอัจฉริยะตัวจริงในแอสทริกซ์
ความถนัดด้านมานาของเธอนั้นเหนือกว่าคนอื่น ซึ่งที่ความถนัดในการต่อสู้ของเธอน่าจะดีกว่านี้ แต่ก็ไม่สำคัญเลยเพราะเธอมีความรู้มากมาย
นอกจากนี้ จะไม่มีใครบังคับเธอให้สู้กับใครสักคนที่มีชีวิตหรือความตาย อย่างน้อยเจสัน ก็หวังเช่นนั้น
เมื่อถึงระดับปรมาจารย์ตอนอายุ 16 เธออาจจะสามารถบีบอัดมานาของเธอและสร้างมานาเหลวหนึ่งหยดก่อนที่เธอจะอายุ 20 ปีซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน
ความถนัดต่อมานาในคาเนียร์นั้นไม่ได้ดีไปกว่าหมู่เกาะ ในขณะที่มีเพียงกลุ่มครอบครัวใหญ่และเหล่าองค์กรเท่านั้นที่เพิ่มอัตราส่วนความถนัดนี้เล็กน้อย โดยส่งต่อความถนัดมานาไปยังผู้สืบทอดทางพันธุกรรม
มีข้อยกเว้นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นบวกหรือลบ ในขณะที่ทั้งเจสันและมาเลียอาจกล่าวได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดี
หลังจากพูดคุยกันซักพัก ทุกคนก็เข้าไปในห้องของตัวเองเพื่อดูดซับมานาหรือฝึกข้างนอก ฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้ของพวกเขา
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกคนคือการเพิ่มความสามารถในการต่อสู้และระดับแกนมานาเพื่อให้ได้อันดับที่ดีในทัวร์นาเมนต์ Big-Three หากพวกเขายังคงสามารถรักษาตำแหน่งไว้ได้ เพราะเนื่องจากผลประโยขน์ที่จะได้รับนั้นดีมากมาย
เจสันต้องการจะบุกเข้าสู่ระดับผู้ชำนาญ 2 ก่อนวันศุกร์หรืออาจจะมากกว่านั้นก่อนที่อาร์เทมิสจะวิวัฒนาการเสร็จ และด้วยเหตุนั้น เขาจึงหยิบหินมานาสองสามก้อนออกมาเพื่อดูดซับมานาอย่างแข็งขัน ก่อนที่เขาจะนำสกอร์พิโอออกจากถุงพร้อมกับหินมานาทั้งหมดอยู่ภายใน
หินมานาบางส่วนสูญเสียความแวววาวไปเล็กน้อย แต่อัตราการดูดซับมานาของสกอร์พิโอนั้นค่อนข้างช้ากว่าอาร์เทมิสและของเขามาก ทำให้เจสันวางสกอร์พิโอไว้ข้างๆ ตัวเขา ก่อนที่เขาจะดูดซับมานาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจนกว่าเขาจะเปลี่ยน สู่เทคนิคเฮลวี่เฮลล์
หลังจากเสร็จสิ้นการจัดเกลียวพลังงานวิญญาณห้าสาย เจสันก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งทำให้เขาดูดซับมานาอีกสองสามชั่วโมง
เขารู้ว่าการสอบเชิงปฏิบัติของช่างฝีมือจะเริ่มในวันพรุ่งนี้ แต่เขาไม่ได้กังวลแม้แต่น้อยนิด เนื่องจากเขารู้จุดสำคัญของงานพื้นฐานส่วนใหญ่ที่ต้องทำด้วยหนังสือที่เขาเริ่มอ่าน
เจสันหวังว่าเขาจะได้รับอนุญาตให้สร้างอาวุธแทนสิ่งพื้นฐานบางอย่างที่เกือบจะไร้ค่า
นอกจากนั้น เขาคาดหวังว่าจะได้รับสมุนไพรบางชนิดเพื่อปรุงยา และรูนชนิดใดที่เขาจะต้องจารึกเพื่อให้ผ่านการสอบ
แต่อย่างใด เจสันรู้สึกไม่ดีว่าเขาจะต้องผิดหวังในวันพรุ่งนี้
การอ่านหนังสือที่ลึกซึ้งสองสามโหลซึ่งมีไซต์หลายพันแห่งนอกเหนือจากคำสอนของเชนและดาเลียน่าจะมีประโยชน์มากกว่าการบรรยายระดับ 3 และอันดับ 4 ที่เขาจะสามารถเข้าร่วมได้
เจสันมีสัตว์ประหลาดสองตัวที่มีระดับสูง หลังจากท่องจำหนังสือในชิปหน่วยความจำของเขา ในที่สุดเขาก็สามารถเรียนรู้บางอย่างจากพวกมันได้ และดาเลียอาจเพิ่มศักยภาพของสกอร์พิโอเมื่อเขาได้พบกับดาเลียอีกครั้ง
ณ ตอนนี้ เจสันถูกห้ามไม่ให้ติดต่อพวกเขา เพื่อเป็นแรงจูงใจหรือการลงโทษ ซึ่งเขาไม่เข้าใจจริงๆ
ข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือหากมีเรื่องเร่งด่วนเกิดขึ้นหรือเขาท่องจำหนังสือทุกเล่มเสร็จ
นี่เป็นการทรมานแบบเฉยเมยสำหรับเขาและเขาคร่ำครวญเรื่องนี้มากก่อนจะอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และเข้านอน
—-
เจสันตื่นแต่เช้าอีกครั้งเพราะโดนสกอร์พิโอต่อยเขา เจสันออกกำลังกายตอนเช้าเสร็จ อาบน้ำ เปลี่ยนชุด และกินบางอย่างเป็นอาหารเช้าเมื่อรถรับส่งมาถึง
ภายในกระสวยอวกาศ เจสันฝึกฝนเทคนิคเฮลวี่เฮลล์เช่นเคย และสังเกตว่าเขามีพลังงานวิญญาณถึง 17.1 หน่วย ทำให้เขามีความสุข แม้ว่ามันจะไม่เพียงพอสำหรับอาร์เทมิสก็ตาม
ภายในโรงเรียน เขาได้รับสถานที่สำหรับการทดสอบภาคปฏิบัติ และอยู่ในอาคารเสริมเล็กๆ ที่ดูเหมือนหอคอยช่างขนาดเล็ก
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง อาจเป็นเพียงโกดังที่สวยงามเท่านั้น เนื่องจากเขาสังเกตเห็นว่าโรงตีเหล็กที่เขามองเห็นนั้นเคลื่อนย้ายได้และค่อนข้างล้ำหน้าในตอนนั้น
ภายในห้องโถงใหญ่ที่พวกเขาอยู่ภายในนั้นหยาบ และถ้าเจสันกลับมองเห็นได้ว่า อาคารนี้ไม่ได้รับการดูแลพอสมควรเนื่องจากจะสามารถมองเห็นใยแมงมุมได้จากบริเวณมุมต่างๆ ของอาคาร
เจสันยิ้มอย่างประหลาดเมื่อเห็นความแตกต่างระหว่างโรงตีเหล็กขั้นสูงที่มีเทคโนโลยีสูงและอาคารทั้งหลัง
เหมือนพวกเขาพยายามเพิ่มชื่อเสียงของหอคอยช่างฝีมือ แม้ว่าครูในโรงเรียนบางคนจะดูไม่พอใจก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เจสันไม่สนใจว่าจะไปทางใด เขานั่งบนเตาหลอมที่กำหนด อดทนรอให้ทุกคนเข้ามาในห้อง
ผู้ตรวจสอบเข้ามาทีละคน และไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาเป็นช่างตีเหล็กและอาจารย์รูนคนเดิมที่เขาเคยเห็นมาก่อน ขณะที่แอนทาเลียยืนอยู่ข้างหน้าอีกครั้ง มองเจสันด้วยความอยากรู้
สิ่งนี้ทำให้เขาตัวสั่นและเขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อสายตาของหญิงสาวหน้าอกใหญ่ โดยมุ่งความสนใจไปที่โรงตีเหล็กของเขา เมื่อเขาได้ยินงานที่พวกเขาต้องทำ
ไมโลซึ่งอยู่ห่างจากเจสันเพียงไม่กี่เมตรเริ่มลังเลในเสี้ยววินาทีซึ่งเพียงพอสำหรับเขาที่จะมองตรงเข้าไปในดวงตาสีทองของเจสันซึ่งเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและจิตสังหารที่รุนแรง
โดยจิตใต้สำนึก การโจมตีของเขาหยุดลงและกริชของเขาตกลงไปที่พื้นอย่างไร้ชีวิตชีวา ขณะที่เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่ลึกล้ำเหล่านี้ และตกลงไปในขุมนรกที่ไม่มีอะไรเลย….
ทันใดนั้น ไมโลสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่อยู่ไกลออกไปซึ่งดูถูกเขา ราวกับเปรียบเทียบการมีอยู่ทั้งหมดของเขาราวกับมด
เมื่อสังเกตเห็นความกดดันที่แผ่ออกมาจากสิ่งมีชีวิต ไมโลก็เบิกตากว้างและน้ำตาไหลอาบแก้ม เมื่อเขาคุกเข่าลงโดยที่ไม่อยากลุกขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ดวงตาที่เปียกชื้นของเขาก็ดูไร้ชีวิตชีวา
สายน้ำที่พุ่งเข้าหาเจสันสลายตัวเป็นเศษ เนื่องจากแรงกดที่แผ่ออกมาจากเจตนาและมานาในจิตสังหารของเจสัน ขณะที่เบลล่าสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติเมื่อดวงตาของเจสันจ้องเข้าไปในใจของเธอ
*** เหมือนฮาคิราชันย์ เลย 555555 ***
สิ่งนี้ทำให้เธอเข้าสู่ขุมนรกสีดำลึกเช่นเดียวไมโล โดยไม่มีอะไรนอกจากความกดดันที่แปลกประหลาดแต่น่าตกใจและอันตรายที่แผ่ออกมาจากภายใน
เธอล้มลงบนพื้นโดยไม่รู้ตัวเหมือนไมโล ขณะที่ตาของเธอยังคงแห้งอยู่ เนื่องจากเธออยู่ห่างจากเจสัน
และมีอาการตัวสั่นอย่างรุนแรง ความรู้สึกที่น่ากลัวและอึดอัดที่เกิดจากแรงกดดันได้ทำลายความตั้งใจของเธอที่จะต่อสู้กับเจสันอย่างสิ้นเชิง
เธอเพียงแต่กล้ามองลงไปที่พื้น และไม่กล้าแม้แต่จะลองมองเข้าไปในดวงตาของเจสันด้วยความกลัวและร่องรอยความเคารพเล็กน้อยก็ปรากฎขึ้นภายในตัวเธอโดยที่เธอไม่รู้
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ประทับลึกลงไปในจิตใจของเธอ ทำให้เกิดความกลัวอย่างลึกซึ้งต่อเจสันปรากฏขึ้น
ในขณะเดียวกัน เจสันก็ลดจิตสังหารของเขาลงในขณะที่ร่างกายของเขาอ่อนแอลง เกือบจะบังคับให้เขาทรุดตัวลงกับพื้นแต่เซรอนจับตัวเขาไว้
“นายฉีดมานาอีกได้ไหม”
เซรอนแทบจะไม่ได้ยินเสียงที่อ่อนแอของเจสันเลย แต่เขาเพียงพยักหน้าและฉีดมานาให้กับเจสันอีกรอบ
หลังจากได้รับมานาเต็มส่วนแล้ว เจสันก็หมุนเวียนพลังงาานไปทั่วร่างกายของเขาทันทีและเข้าสู่ดวงตาที่ปวดเมื่อยบางส่วน
เมื่อยืนนิ่งเจสันมองไปรอบ ๆ และรู้สึกว่าเกือบทุกคนกำลังมองพวกเขาอยู่
ปัญหาเดียวคือพวกเขามองมาที่เจสันราวกับว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาดที่ฝึกฝนตัวเองให้เป็นมนุษย์และพยายามจะบุกรุกมนุษยชาติ
อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังความหวาดกลัวที่เห็นได้ชัดของเหล่านักเรียนชั้นยอดเหล่านี้ ยังมีความรู้สึกเคารพสักการะผู้แข็งแกร่งอีกด้วย
การเอาชนะนักสู้ระดับสูงสองคนจากห้อง 1 ในฐานะผู้ชำนาญระดับ 1 นั้นไม่มีใครสามารถทำได้อย่างแน่นอน
พวกเขามีปัญหาที่ครอบงำนักเรียนทั่วไปหนึ่งหรือสองระดับที่สูงกว่าพวกเขาหรือนักเรียนที่แข็งแกร่งกว่าที่มีขนาดแกนมานาเท่ากัน
ความสำเร็จของเจสันได้ทำลายโลกทัศน์ของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง และสิ่งเดียวที่ทำให้เขามั่นใจคือความอ่อนล้าของเขาที่ทุกคนมองเห็นได้ชัดเจน
ขณะที่เพื่อนร่วมชั้นนอกสนามประลองมองเจสันด้วยความเกรงกลัว ไมโลและเบลล่ามีใบหน้าซีดเซียว ขณะที่ไมโลหมดสติ เบลล่ายังคงมองเจสันด้วยความกลัว
ตั้งแต่เบลล่าเข้าโรงเรียนในเครือที่ 6 เธอก็ไม่เคยแม้แต่จะมองนักเรียนในชั้นต่ำและมุ่งแต่ตัวเองเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่จะได้เข้าเรียนในโรงเรียนหลัก อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มผมดำที่อยู่ตรงหน้าเธอคนนี้ก็ควรจะแค่เป็นผู้ชำนาญระดับ 1 จากห้อง 54 เท่านั้น แต่เขากลับทำให้เธอต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เธอตกใจกลัว…ถ้ามีเด็กอย่างเจสันมากกว่านี้ ทำไมเธอถึงพยายามแข็งแกร่งขึ้นในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา…
เบลล่าเชี่ยวชาญเทคนิคการต่อสู้แบบหลายขั้น และเพิ่มระดับมานาหลักของเธอให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพื่อที่จะได้รับเงินค่าขนมจากการล่าสัตว์ป่าที่แข็งแรงกว่า และหลังจากการปลุกวิญญาณของเธอ เธอไม่เพียงแต่ได้รับการยอมรับในสาขาของโรงเรียนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในแอสทริกซ์ แต่แม้กระทั่งสายใยวิญญาณของเธอก็พิเศษ
และตอนนี้เด็กชายที่อ่อนแอกำลังยืต่อหน้าเธอเอาชนะเธอภายในไม่กี่วินาทีด้วยการมองเพียงครั้งเดียว!
เธอรับไม่ได้! พยายามจะยืนขึ้น เธอดันตัวเองขึ้นจากพื้นและกำลังจะยืนขึ้นอย่างมั่นคงบนพื้น เมื่อสายตาของเธอพร่ามัว ทำให้เธอเสียการทรงตัวก่อนจะล้มลงกับพื้น
ทิลล์เขาก้าวเข้ามา เมื่อเขารู้สึกถึงจิตสังหารที่รุนแรงนอกเหนือไปจากความสามารถของดวงตาของเจสัน ทำให้เขาลังเลเล็กน้อย
ขณะวิ่งไปหาไมโลและเบลล่า ทิลล์อยู่ในห้วงความคิดลึกๆ คิดว่าดวงตาของเจสันไม่ใช่แค่ดวงตามานาเท่านั้น…
‘ภูมิหลังของเขาเป็นเรื่องโกหกหรือเปล่า? เขาอาจจะ…? ไม่! ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่มีวันยอมรับเชนเป็นอาจารย์ของเขาแน่!’
ทิลล์มองว่าเจสันเป็นคนลึกลับ ซึ่งเขารู้สึกไม่สบายใจ และยิ่งกว่านั้นเพราะลูกศิษย์ของเขาและเจสันดูเหมือนจะมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน
ไมโลและเบลล่า ถูกทิลล์นำออกจากพื้นที่ต่อสู้ ในขณะที่เจสันได้รับความช่วยเหลือจากเซรอน
เมื่อพวกเขานั่งลงแล้ว ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้พวกเขา
เจสันตัดสินใจเพิกเฉยต่อคนรอบข้าง ในขณะที่เซรอนไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นพวกเขาตั้งแต่แรก เพราะเขามองเพื่อนของเขาอย่างสับสนเหมือนคนอื่นๆ
แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ข้างหลังเจสัน แทนที่จะถูกรุกรานโดยจิตสังหารเซรอนกลับรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวเมื่อมานาในตัวเจสันพุ่งออกมาจากความสามารถที่ไม่รู้จัก ซึ่งน่าจะมาจากลักษณะพิเศษของเจสัน
เพราะเจสันไม่ต้องการสร้างจิตสังหารให้กับให้กับเซรอน เจสันแทบจะไม่สามารถป้องกันไม่ให้มันพุ่งเข้าหาเพื่อนของเขาที่อยู่ข้างหลังเขาได้
สิ่งนี้ทำให้จิตสังหารโดยรวมลดลงเล็กน้อย แต่ผลลัพธ์ก็ดีกว่าที่เจสันคาดไว้
ขณะที่เซรอนมองดูเจสันเขากำลังคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับความสามารถของดวงตาของเขาและเขาจะไปกับพวกเขาได้ไกลแค่ไหน
เจสันต้องการเข้าร่วมทัวร์นาเมนต์ Big-Three และได้รับรางวัลทุกประเภท ซึ่งเป็นเหตุผลมากเกินพอสำหรับเขาที่จะมีเล่ห์เหลี่ยมหนึ่งหรือสองอย่างในแขนเสื้อของเขา ซึ่งไม่เลวอย่างแน่นอน และออริจินเฟลมของเขาถือได้ว่าเป็นหนึ่งเดียว มันแข็งแกร่งพอ ๆ กับความใกล้ชิดทางไฟที่พัฒนาขึ้นในช่วงกลางและปลาย
ต้องมีจุดกระตุ้นเล็กน้อยเพื่อก่อให้เกิดจิตสังหารที่สะสมอยู่ภายในตัวเขา แม้ว่ามันจะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยและเขาไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์
หากไม่มีมานาเพียงพอ ความสามารถของดวงตาของเขาก็ไม่แข็งแกร่งพอและคิดเกี่ยวกับมัน เจสันคาดว่าเขาแทบจะไม่สามารถข่มขู่ใครก็ตามที่มีระดับแกนมานาเท่ากันหรือสูงกว่าเล็กน้อยในขณะที่สร้างเมล็ดพันธุ์แห่งความกลัวเล็กๆ ในตัวพวกเขา
เพื่อให้บรรลุผลนี้ เขาต้องฉีดมานาทั้งหมดลงในความสามารถ ซึ่งเกือบจะทำลายความสามารถในการต่อสู้ของเขาจนหมด เนื่องจากการต่อสู้โดยไม่มีมานาไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้
มันเป็นการโจมตีครั้งเดียว
หมาป่าศักดิ์สิทธิ์รักษาไมโลและเบลล่า ขณะที่ไมโลตื่นขึ้นหลังจากผ่านไป 10 นาที
เบลล่าสามารถยืนขึ้นได้อีกครั้งหลังจากพักฟื้นช่วงสั้นๆ และมองไปทางเจสัน สายตาของเธอเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ก็เต็มไปด้วยความกลัวเล็กๆ
เธอไม่เคยกลัวใครเลยจนถึงตอนนี้ เนื่องจากทักษะมานาของเธอก้าวหน้าและเมื่อวิญญาณของเธอตื่นขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เธอจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะ
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอกลับจูบพื้นต่อหน้าเด็กอีกคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ต่ำกว่าเธอเจ็ดระดับ
ไมโลตื่นขึ้นและมองไปรอบๆ อย่างสับสน โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเขาเห็นเด็กหนุ่มผมดำที่มีดวงตาสีทอง และดูเหมือนว่าเขากำลังครุ่นคิดอยู่ลึกๆ
เหงื่อเย็นเยียบไหลลงมาที่หลังโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด เขารีบวิ่งไปหาเจสันตามสัญชาตญาณของเขา
สิ่งหนึ่งที่ต้องรู้คือ สัญชาตญาณของไมโลนั้นดีมาก และตั้งแต่เขายังเด็ก และนั้นก็ให้ประโยชน์กับเขาเสมอ
เขาไม่ได้ร่ำรวยเป็นพิเศษ แต่ด้วยสัญชาตญาณของเขา เขาจึงเลือกสัตว์ร้ายอันดับที่พัฒนาแล้วซึ่งมีศักยภาพที่จะไปถึงระดับเวทย์มนตร์ ซึ่งทำให้ไม่เพียงแต่ตัวเขาเองเท่านั้น แต่ยังทำให้ครอบครัวของเขาภาคภูมิใจด้วย
นอกเหนือจากสายใยวิญญาณจำนวนมากที่เขาสามารถสร้างขึ้น บางครั้งเขายังพบสมุนไพรหายากภายในเขตป่าซึ่งถูกปกคลุมไว้อย่างดี
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขายังช่วยหญิงชราคนหนึ่งที่ล้มลงกับพื้นขณะข้ามถนน
ไม่เพียงแต่สัญชาตญาณของเขาเท่านั้นที่ทำให้เขาช่วยเหลือเธอ แต่ยังรวมถึงจิตใจที่อ่อนโยนโดยกำเนิดของเขาด้วย ในขณะที่เขาดูค่อนข้างหยาบและนิสัยเสียจากภายนอก
ขอบคุณที่ช่วยหญิงชรา เขาพบว่าเธอเป็นแม่ของผู้ที่เป็นผู้วิเศษขั้นสูง ผู้ซึ่งรู้สึกขอบคุณมากที่ช่วยแม่ของเขา
เขาจึงมอบของขวัญราคาแพงให้ไมโลเป็นของขวัญ
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็เชื่อในสัญชาตญาณของเขาอย่างสมบูรณ์
เมื่อปรากฏตัวต่อหน้าเจสัน ชายหนุ่มผมดำก็ถูกโยนออกจากความคิดขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ว่าไมโลต้องการอะไรจากเขา
แม้ว่าไมโลจะสะดุ้งเมื่อมองตากัน เขาก้มลงและตะโกนสุดกำลัง
“ฉันขอโทษที่กวนประสาทคุณสองคน!”
ซึ่งทำให้สถานการณ์วุ่นวายยิ่งกว่าเจสันและเซรอนในการเอาชนะไมโลและเบลล่า เนื่องจากทุกคนคิดว่ามันจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว เนื่องจากนักเรียนชั้นนำประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป
ทุกคนมองไมโลและเจสันอย่างงุนงง ขณะที่เบลล่าหันกลับมาด้วยดวงตาเบิกกว้าง ตกใจกับสิ่งที่เพื่อนของเธอพูดกับเจสัน และไม่เข้าใจสิ่งที่ไมโลคิด
เจสันมองตรงเข้าไปในดวงตาของไมโลที่สั่นเทาและเขามองเห็นความจริงใจได้ แม้ว่าจะดูเหมือนมีอะไรอย่างอื่น
ดังนั้นเขาจึงยอมรับคำขอโทษของไมโล เพราะเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ มากกว่าที่จะทุบตีเขา
“ไม่เป็นไร”
เขาไม่ได้สนใจไมโลเลย แต่มันแปลกมากที่ดูเหมือนว่าเขาจะยอมรับความสามารถที่ก้นบึ้งจากสายตาของเขาได้ค่อนข้างง่าย เมื่อเทียบกับเกร็กและลีโอ ฮาร์ทที่ทำให้เขาประหลาดใจ
โดยไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป ไมโลทำตามสิ่งที่เจสันพูดและความคิดของเซรอนดูเหมือนจะซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่า
“เขาเป็นกษัตริย์ในชาติที่แล้วหรือเปล่า”
เซรอนไม่ต้องการเทคนิคการต่อสู้ใด ๆ เนื่องจากสร้อยข้อมือควอนตัมของเขาแล้วเต็มไปด้วยเทคนิคนับร้อยที่เขาได้รับจากครอบครัวของเขาและเขามีเพียงระดับแกนมานาที่อ่อนแอของเขาเท่านั้น ที่เป็นข้อจำกัดในการเพิ่มความแข็งแกร่งของเขา
แต่สำหรับเจสัน มันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขามีเทคนิคพื้นฐานที่ไร้ระดับ เทคนิค weapon knight ระดับ 1 ที่รอบด้าน และเทคนิคพิเศษเพียงอย่างเดียวที่เขามีคือ weightless steps
ณ ตอนนี้ เจสันสามารถใช้เทคนิคระดับ 1 เท่านั้นสำหรับการต่อสู้ระยะยาว โดยไม่ทำร้ายตัวเอง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกเทคนิคระดับ 1 โดยเฉพาะสองแบบสำหรับการเริ่มต้น
[Transience Strike] เทคนิคระดับ 1 ที่เน้นการโจมตีครั้งเดียว เพื่อสังหารศัตรูโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก
[Hazardous-Assassin] อีกเทคนิคระดับ 1 ที่มีหลายลำดับที่ใช้ในการโจมตีศัตรูอย่างรุนแรงด้วยมีดสั้นสองเล่ม
ทั้งสองเทคนิคที่เขาเลือกได้เพิ่มความก้าวหน้าของเจสัน และเหตุผลเดียวที่ทำให้เขาทำเช่นนั้นก็คือเขารู้เทคนิคการป้องกันแบบไร้ระดับที่ต่ำอยู่แล้ว เขาไม่เคยใช้ในระหว่างการต่อสู้
ในท้ายที่สุด เขาใช้มีดต่อสู้ และถือว่าโง่ที่จะหันเหใส่อาวุธทื่อและใหญ่ด้วยกริช
ดังนั้นเขาจึงต้องการเน้นที่ความเร็วและการโจมตีของเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เข้าสู่ตำแหน่งที่เสียเปรียบ
มันอาจจะดูงี่เง่า แต่สำหรับเป้าหมายปัจจุบันของเขา มันเป็นทางเดียวที่เขาสามารถเลือกได้
หลังจากที่เขาพบเทคนิคทั้งสองนี้แล้วเจสัน ก็มองหาเทคนิค Archer และเทคนิคระดับสูงสุด 1 ที่เรียกว่า [Spinning Arrow]ก็ได้ปรากฏขึ้นในหัวของเขา
ตามชื่อ เทคนิคนี้ทำให้สามารถยิงลูกธนูหมุนที่เปลี่ยนวิถีของมันในอากาศ เนื่องจากการหมุนเวียนของมานาภายในลูกธนู และกล่าวกันว่าเป็นเทคนิคระดับ 1 ที่ยาก
เมื่อดาวน์โหลดเทคนิคทั้งสาม เจสันดูจะพอใจและเซรอนถามเจสันว่าตอนนี้เขาต้องการเรียนรู้เทคนิคนี้หรือไม่ หรือควรค้นหาคู่ต่อสู้ เมื่อเด็กชายและหญิงสาวผมสีบลอนด์เดินตรงมาทางพวกเขาโดยไม่สนใจใครเลยที่อยู่รอบตัวพวกเขา .
ดูเหมือนว่าสนามประลองการต่อสู้จะเป็นของพวกเขา และพวกเขาเป็นราชาและราชินีในคลาสการต่อสู้พิเศษ ซึ่งทำให้เจสันยิ้มออกมาอย่างแผ่วเบา
เด็กชายที่มีผมสีน้ำตาลและตาสีเขียวทักทายพวกเขา ขณะที่สาวผมบลอนด์ยังคงนิ่งเงียบ
“สวัสดี ฉันชื่อไมโล เด็ค และนี่คือเพื่อนร่วมชั้นของฉัน เบลล่า วอล เราสังเกตว่านายทั้งคู่อยู่ในห้อง 54 และพวกเราชอบที่จะต่อสู้กับคนดังในโรงเรียนของเรา”
ไมโลพูด แต่เจสันกับเซรอนมองหน้ากันอย่างสับสน `คนดัง? ใคร?` ก่อนที่ทั้งสองาจะหันกลับมาสนใจเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล และมองดูเขาราวกับว่าเขาเป็นคนเลวทราม
เมื่อเห็นว่าทั้งสอง สับสนและมองเขาแบบนั้น ริมฝีปากของไมโลก็กระตุกเล็กน้อย ซึ่งยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อเบลล่าที่อยู่ข้างๆ เขาเริ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนที่เธอถาม
“พวกเธอทั้งสองมียินดีที่จะต่อกรกับพวกเราหรือไม่ ตามแกนมานนาของพวกนาย มันจะใช้เวลาไม่นานจนกว่าพวกนายสองคนจะถูกโยนออกจากชั้นเรียน ขอฉันดูหน่อยเถอะว่าพวกนายทั้งสองแข็งแกร่งแค่ไหน”
เธอกล่าว
เห็นได้ชัดว่าเธอคล้ายกับเจสัน แม้ว่าทั้งคู่จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกันและกันเลย
เธอเป็นเด็กกำพร้าและถูกเลี้ยงดูมาโดยครอบครัวบุญธรรมที่น่ารัก แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีเงินมาก แต่พ่อบุญธรรมของเธอก็เป็นนักล่าที่ดี และเมื่อเธอปลุกจิตวิญญาณของเธอขึ้น เขาก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนเธอ ทำให้เธอต้องจบลงที่โรงเรียนแวนการ์ดในเครือที่ 6
เธอต้องการดูแลครอบครัวของเธอที่รับเธอมาเลี้ยงและเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะแข็งแกร่งขึ้น
ด้วยพลังงานวิญญาณจำนวนมากและจุดสายวิญญาณสี่จุด เธอจึงมั่นใจในการเอาชนะเยาวชนสองคนที่อยู่ข้างหน้าเธอ
ว่ากันว่าห้อง 54 เป็นคลาสที่อันตรายที่สุดในบรรดาห้องทั้งหมด เพราะมีสัตว์ประหลาดสองตัวที่เพิ่งโผล่ออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ซึ่งเอาชนะทุกคนในห้องของพวกเขาในระหว่างบทเรียนการต่อสู้ และเธอต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพวกเขา
หลังจากที่เธอสังเกตเห็นว่าระดับแกนมานาของพวกเขาอ่อนแอมาก เธอรู้สึกผิดหวังในทันที
เจสันสังเกตเห็นว่าเบลล่ามองพวกเขาด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ แต่เบื้องหลังนั้น เขายังสามารถเห็นร่องรอยของความผิดหวังและความรังเกียจที่ทำให้เขาประหลาดใจได้เล็กน้อย
ทั้งเซรอนและเจสันยอมรับข้อเสนอของพวกเขา และพวกเขาไปที่สนามรบในฐานะหนึ่งในกลุ่มนักเรียน 150 คนแรกที่อยู่ในสนามรบ และไม่นานนักที่สองสามคนแรกเริ่มนินทาและหัวเราะเยาะเจสันและเซรอนเพราะพวกเขากล้า เพื่อต่อสู้กับนักเรียน 2 อันดับต้น ๆ ของห้อง 1 แม้ว่าคู่ต่อสู้ของพวกเขาจะมีระดับสูงกว่าพวกเขาหลายระดับ
ความภาคภูมิใจของเจสันที่เขาสั่งสมมาตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับการดูถูกอย่างน้อยพอๆ กับของเซรอนที่มาจากครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง
ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เจสันได้เพิ่มกำลังของเขาขึ้นสองสามครั้ง และแม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังมีคนที่ดูถูกเขาซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เขาผิดหวังเท่านั้น แต่ยังมีความรู้สึกโกรธลึกๆ ผุดขึ้นในใจของเขา ซึ่งเขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เป็นเวลานานแล้วที่เซรอนถูกกักขังและในอดีตมีเพียงครอบครัวของเขาเท่านั้นที่กล้าดูถูกเขา
เขาดูถูกสถานการณ์ของตัวเองเพราะเขาเริ่มดูดซับมานาเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ … ถ้าเพียงเส้นมานาของเขาไม่ได้ทำงานผิดปกติ เขาจะไปถึงระดับผู้เชี่ยวชาญแล้วและทุบตีไอ้โง่พวกนี้ให้กลายเป็นเยื่อกระดาษ ในขณะที่พวกนั้นมองดูเขาและเจสันอย่างน่าตลก
จิตใจของเซรอนกำลังจะเข้าสู่สภาวะที่เทียบได้กับโหมดบ้าระห่ำเมื่อเจสันดึงไหล่ของเขา
เมื่อหันกลับมาด้วยความโกรธ เขากำลังจะระเบิดพยายามจะปลดปล่อยความโกรธ แต่เมื่อเขาจ้องเข้าไปในดวงตาของเจสัน…
เซรอนก็เกิดหวาดกลัวโดยไม่รู้ตัว เซรอนทำได้เพียงมองสายตาที่เย็นชาของเจสันที่ฉายแววจิตสังหารในขณะที่ความสงบภายในนั้นดูเหมือนจะอันตรายกว่าสภาพของเขาเอง
“คุณใช้มานาฉีดกับคนอื่นได้ไหม”
เจสันถามอย่างใจเย็นและเซรอนเพียงพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
‘นายเป็นใครกัน’
เซรอนอดคิดไม่ได้ ในขณะยังคงจ้องตาเจสัน
เขาไม่เคยเห็นใครที่เทียบได้กับเจสันมาก่อน ยกเว้นทหารผ่านศึกและคนแก่ที่รอดชีวิตจากความตายนับพันด้วยเส้นด้ายเส้นบางๆ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เจสันมีเหมือนกันกับพวกเขาคือความสงบที่พวกเขาเปล่งออกมา
ถ้าเขารู้ว่าจิตสังหารที่เจสันได้รับมานั้น เป็นความผิดของอาจารย์ของเขาด้วยผลของวาลคิรีและการทรมานที่เขาต้องทนทุกข์ทรมาณที่เหนือจากการถูกชำระจากออริจินเฟลม ซึ่งทำให้เขามองเห็นทุกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เซรอนไม่รู้ว่าจะมองเจสันอย่างไร
เจสันพยักหน้าคิดครู่หนึ่งจนพูดขึ้น
“ถ้านายสามารถฉีดมานาให้ฉันได้สี่ครั้งขึ้นไปทันทีหลังจากการต่อสู้เริ่มต้น เราจะแสดงให้พวกมันได้เห็นว่าใครกันที่โง่”
ด้วยริมฝีปากของเขาขดเป็นรอยยิ้มที่เย็นชา
เขาไม่ได้มีอะไรกับเบลล่าหรือไมโล แต่ต้องมีตัวอย่างเพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาหัวเราะเยาะใคร
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเจสัน เบลล่าก็รู้สึกแปลกๆ ขณะที่ไมโลเริ่มดูถูกนักเรียนสองคนที่อยู่ข้างหน้าเขา ที่มีแกนมานาที่อ่อนแอที่สุดในบรรดานักเรียนคลาสการต่อสู้พิเศษทั้งหมด 150 คน
พวกเขากำลังจะเริ่มนับถอยหลังเมื่อเจสันหันหลังกลับ
“ครูครับ ช่วยดูแลการต่อสู้และเรียก Greater Blessed Wolf ออกมาเพื่อป้องกันไม่ให้ใครได้รับบาดเจ็บได้ไหม เราไม่ต้องการให้ใครได้รับบาดเจ็บถาวรใช่ไหม”
ประโยคนี้ทำให้คนรอบข้างหัวเราะออกมา ราวกับว่าเจสันไม่ต้องการได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ แต่ทิลล์รู้สึกแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงกับลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจของเขา
เขาไม่สามารถจับเจสันได้เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อต่อสู้กับใครบางคน
เจสันนั้นคาดเดาไม่ได้ ซึ่งทำให้แม้แต่ทิลล์รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยในขณะที่เขาเรียกหมาป่าสีขาวขนสีทองของเขา
เมื่อหันกลับไปหาเบลล่าและไมโล เจสันเห็นความโกรธของไมโล และยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มที่เปล่งประกาย ทำให้เขารู้สึกโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น
ราวกับว่าดวงตาของเขาพูดว่า
“ฉันอยากจะทุบไอ้โง่สองคนนี้ให้เป็นเนื้อ”
ทิลล์สั่งให้สายวิญญาณของเขาฉายความสามารถในการรักษาของเขาออกมาทันที เพราะเขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกมาก และความรู้สึกไม่สบายใจได้กระจายไปทั่วร่างกายของเขา เมื่อการนับถอยหลังเริ่มดังก้องไปทั่วเวทีการต่อสู้อย่างช้าๆ
“3….2…1”
เมื่อนับถอยหลังถึงหนึ่ง เจสันก้าวไปข้างหน้า ขณะที่เซรอนวางมือทั้งสองบนหลังเจสันไว้ที่กึ่งกลางกระดูกสะบักของเขา และในขณะที่เสียงกลไกอุทานว่า “เริ่มการต่อสู้” เซรอนปล่อยมานาสี่ระลอกทันที การฉีดภายในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้เจสันท่วมท้นด้วยมานาที่ทำลายล้างและแทบจะควบคุมไม่ได้ ทำให้เลือดไหลออกจากปากของเขา
ในขณะเดียวกัน ไมโลก็ปกปิดตัวเองด้วยพลังลมที่แปรเปลี่ยนมานาในขณะที่เขาพุ่งเข้าหาพวกเขาสองคนด้วยดวงตาแดงก่ำและกริชทั้งสองในมือของเขา ขณะที่เบลล่ายิงไอพ่นน้ำสามลำใส่เจสันและเซรอน
ผ่านไปไม่ถึงวินาทีจนกระทั่งเจสันฉีดมานาทั้งหมดภายในตัวเขาเข้าไปในดวงตาของเขา พร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารที่สะสมไว้จนเต็มศักยภาพในสายตาของเขา
ในขณะเดียวกัน เขายังใช้พลังจากดวงตา ซึ่งพลังของมันเพิ่มขึ้นถึง 2-3 เท่าด้วยการเพิ่มระดับแกนมานา บัพติศมา และการฉีดมานาสี่ครั้ง
“คุกเข่า!”
มีเพียงคนๆ หนึ่งที่ได้ยินแต่เสียงที่แผ่วเบาจากเจสัน แต่มันกลับเติมเต็มทั้งห้องต่อสู้ด้วยความรู้สึกถึงความตายและจิตใต้สำนึกที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของเขา
นักเรียนที่มีเจตจำนงอ่อนแอสองสามคนที่ระดับผู้ชำนาญ 4 ปฏิบัติตามคำสั่งของเจสันโดยไม่รู้ตัวแม้ว่าเจสันจะไม่ได้สั่งพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่สามารถต่อต้านกับคำสั่งนี้ได้
ความกลัวแผ่ซ่านไปทั่วทุกเซลล์ภายในร่างกาย ทำให้สัญชาตญาณของของพวกเขาดำเนินการโดยที่พวกเขาไม่ได้สังเกต และพวกเขานึกไม่ออกว่าจะรู้สึกอย่างไรหากสิ่งนี้ได้รับคำสั่งโดยตรงไปยังพวกเขา
นักเรียนคนอื่นๆ รู้สึกว่านั่นไม่ยุติธรรมเกี่ยวกับการตัดสินใจของโรงเรียน แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้เพราะพวกเขาต้องยอมรับว่าเจสันและเซรอนแข็งแกร่งเกินไปสำหรับพวกเขา
อย่างน้อยก็เพราะความสามารถแปลก ๆ ของทั้งสองส่วนใหญ่ พวกเขายังต้องวิเคราะห์
เจสันและเซรอนมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มสดใส เมื่อพวกเขาได้ยินว่าพวกเขาจะสู้กับนักเรียนที่แข็งแกร่งที่สุดจากทุกชั้นเรียน
นี่ถือได้ว่าเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ และเจสันก็มีความสุขยิ่งขึ้นที่ได้รับสิทธิพิเศษที่น่ายินดีเช่นนี้
เมื่อนึกย้อนไปในสมัยที่เขายังเป็นเพียงระดับมือใหม่และอ่อนแออย่างยิ่ง เจสันสังเกตเห็นว่าไม่นานนักตั้งแต่เขาแข็งแกร่งพอที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อน ๆ และคิดถึงความสามารถในการต่อสู้ในปัจจุบันของเขา เขาทำได้เพียงยิ้มออกมา
ด้วยระดับมานาคอร์ของผู้ชำนาญระดับ 1 เขาสามารถเอาชนะเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ และตอนนี้ด้วยระดับมานาคอร์ของผู้ชำนาญระดับ 5 หลังจากเพิ่มพลังจากสายวิญญาณ และในกรณีของเจสัน การรับบัพติศมาของเขา
ขนาดและร่างกายหลักของเจสันถึงระดับ 4 ของผู้ชำนาญในขณะที่เขายังสามารถเอาชนะผู้ชำนาญระดับ 7 ด้วยกลยุทธ์ของเขา ดวงตามานา และอันดับความสัมพันธ์ของเพลิงสีดำที่พัฒนาขึ้น
การถูกประเมินต่ำไปนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ในคลาสการต่อสู้พิเศษ และเจสันก็คาดหวังว่าจะได้เห็นความแข็งแกร่งของคลาสอื่นๆ
หลังจากทิลล์ เจสันและเซรอนคุยกัน ประมาณว่านักเรียนส่วนใหญ่มีพลังที่เทียบเท่ากับพวกเขาเมื่อพวกเขาไม่ได้ใช้การโจมตีที่ทรงพลังที่สุด
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในความคิดของเขาคือความสัมพันธ์ทางธาตุที่มีพลังมากเกินไปจากสัตว์ที่พัฒนาแล้วและบางคนถึงกับบอกว่ามีสายวิญญาณสัตว์ร้ายระดับสูงภายในโรงเรียนแวนการ์ดในเครือที่ 6 ซึ่งทำให้เจสันตกใจ
แม้ว่าจะบอกว่านักเรียนคนนี้มีจุดเชื่อมวิญญาณเพียงไม่กี่จุด แต่ก็หายากสำหรับคนที่จะทำสัญญากับสัตว์ร้ายที่ระดับสูงในฐานะสายวิญญาณตัวแรก แต่เซรอนกลับมองไปรอบ ๆ อย่างไม่ใส่ใจ
ตามความเห็นของเจสันพฤติกรรมของเซรอนนั้นสามารถอธิบายได้เพียงว่าไม่ใส่ใจ ดังที่เซรอนบอกกับเขาว่า พันธะวิญญาณตนที่สองของเขาจะเป็นลูกสัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์ที่หายาก ซึ่งน่าตกใจยิ่งกว่าการรู้ว่ามีคนทำสัญญากับสัตว์ร้ายระดับสัตว์วิเศษ
พวกเขาเดินตามหลังทิลล์ประมาณ 5 นาทีจนกระทั่งมาถึงชั้นสูงสุดของสนามประลอง ซึ่งนักเรียนคนอื่นๆ กำลังรอพวกเขาอยู่
เมื่อมองดูป้ายบนเครื่องแบบนักเรียน เราสามารถเห็นตัวเลขที่แตกต่างกัน 74 คู่ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นคู่สุดท้ายที่มาถึง
เมื่อพวกเขาเข้าสู่สนามประลอง ทุกคนก็เริ่มสแกนระดับมานาคอร์ของพวกเขาทันที ก่อนที่พวกเขาจะยิ้มอย่างประหลาด
‘ผู้ชำนาญอันดับ 1 กับผู้ชำนาญอันดับ 3 งั้นเหรอ? นั่นเป็นเรื่องล้อเล่นหรือเปล่า ฮ่าๆ ?’
พวกเขาถามตัวเองถึงการตรวจสอบแก่นของเจสันและเซรอน ในขณะที่เซรอนและเจสันก็ทำแบบเดียวกันทุกประการ
(เว็บชมพูๆ อะ เลิกก็อบของคนอื่นไปลงได้ละนะ)
ทุกคนยกเว้นเจสันมองเห็นเพียงระดับมานาหลักเท่านั้น ในขณะที่เขาเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของทุกคนอยู่เบื้องหลัง ทำให้เขาต้องยิ้มอย่างประหลาด
ในขณะที่เซรอนเห็นระดับมานาคอร์ระหว่างระดับ 4-7 เจสันสังเกตเห็นว่ามีนักเรียนเพียง 30 คนเท่านั้นที่มีขนาดแกนมานาเท่ากับผู้ชำนาญระดับ 5 ในขณะคนที่ดูแข็งแกร่งที่สุดดูเหมือนจะมีขนาดแกนมานาใกล้เคียงกับระดับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างกว้างระหว่างผู้แข็งแกร่งที่สุดและอันดับสองที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งมีแกนมานาขนาดใกล้เคียงกับอันดับผู้ชำนาญระดับ 9
โชคดีที่มีเพียงคนเดียวเท่านั้น และเจสันคิดทันทีว่าต้องเป็นนักเรียนที่ทำสัญญากับสัตว์ร้ายระดับสัตว์วิเศษ
เมื่อเห็นสายตาของเจสันจ้องมาที่เธอนานกว่าคนอื่นๆ เด็กสาวร่างบางที่มีผมสีบลอนด์และตาสีฟ้าก็ไม่แน่ใจว่าจะคิดอย่างไรกับเขา ยกเว้นสิ่งหนึ่งที่แน่นอน
`ว้าวววว -////- !!`
เธอคิดในขณะที่เธอจ้องมองเจสัน แม้ว่าเขาจะเมินเฉยเพื่อสแกนดูนักเรียนคนอื่นๆ รอบตัวเธอ
เจสันรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่านักเรียนชั้นหนึ่งเป็นสาวผมบลอนด์ที่มีรูปร่างผอมเพรียว แต่ขนาดแกนหลักของเธอนั่นเรียกได้ว่าไม่ใช่ย่อยๆ
เมื่อรวมตัวเองเข้ากับนักเรียนอีก 148 คน เซรอนและเจสัน มองไปที่ทิลล์ที่เริ่มพูดสั้น ๆ ของเขา
“วันนี้ทุกคนที่นี่ถือได้ว่าดีที่สุดในบรรดานักสู้ในชั้นปี 1 ของโรงเรียนของเรา เนื่องจากความประมาทของเรา
โรงเรียนจึงไม่ได้จัดตั้งคลาสการต่อสู้พิเศษในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับนักรบที่เก่งที่สุดของคนรุ่นใหม่ แต่หลังจากเกิดการรุกรานของกองทัพก็อบลิน
ทุกโรงเรียนจะเริ่มให้ความสำคัญกับการเพิ่มความสามารถของนักสู้อีกครั้ง นี่คือเหตุผลที่เราก่อตั้งคลาสการต่อสู้พิเศษขึ้น
ในคลาสการต่อสู้พิเศษนี้ ทุกคนจะต่อสู้กันเองและเรียนรู้เกี่ยวกับรูปแบบการต่อสู้ทุกประเภทโดยตรง ในขณะที่เราจะมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้เทคนิคต่างๆ ตามลำดับชั้นที่หลากหลาย
ทางโรงเรียนจะจัดเตรียมเทคนิคจำนวนมากเพื่อให้ทุกคนที่นี่มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น แต่อย่าคิดว่าทุกอย่างฟรี!
คุณจะสามารถเรียนรู้เทคนิคเหล่านี้ได้ตราบเท่าที่คุณยังคงอยู่ในคลาสการต่อสู้พิเศษ ซึ่งหมายความว่าเมื่อผู้ที่ปรารถนาจะเข้าสู่คลาสการต่อสู้พิเศษเอาชนะคุณได้ การอนุญาตให้คุณอ่านเทคนิคนี้จะถูกลบออกทันที
บางท่านอาจสงสัยว่าทำไมเราถึงแจกทักษะศิลปะการต่อสู้ และคำตอบนั้นมีเหตุผลหลายประการ
อย่างแรก เราต้องการเสริมความแข็งแกร่งให้กับคนรุ่นต่อไป เพื่อป้องกันอุบัติเหตุเช่นการรุกรานของเหล่าก็อบบลินที่เกิดขึ้น
เราทนทุกข์ทรมานมามากพอแล้วในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา โดยมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมากเกินไปในการบุกรุกของเหล่าสัตว์ร้าย เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในเมืองจิโรและเมืองไซโร
สิ่งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้และรัฐบาลให้กองทุนขนาดเล็กแก่โรงเรียนเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในอนาคตของแอสทริกซ์
สำหรับเหตุผลที่สอง โรงเรียนใหญ่สามแห่งและรัฐบาลตัดสินใจจัดการแข่งขันหลังปีใหม่ซึ่งเหลือเพียง 100 วันนับจากนี้เป็นต้นไป
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสามกลุ่มใหญ่จึงต้องการกระตุ้นให้ทุกคนพยายามมากขึ้น เนื่องจากรางวัลนั้นถือได้ว่าเป็นรางวัลใหญ่ เพื่อทำให้ง่ายขึ้น
ในบรรดารางวัลคืออุปกรณ์ระดับสูงสุด 3 ชิ้น อุปกรณ์มานาระดับ 3 และแม้แต่อาวุธและชุดเกราะวิญญาณ ผลไม้คุณภาพสูงเพื่อเพิ่มพลังวิญญาณ ผลไม้ชำระล้างมลทิน และแม้แต่บางอย่างที่เพิ่มความสัมพันธ์ ไปสู่ความผูกพันบางอย่าง
แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด และยังมีอีกรางวัลมากมายที่ตระกูลเดร็ก ได้จัดเตรียมไว้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับคนรุ่นใหม่ล่าสุดของเรา!
ไอเทมเหล่านี้ไม่มีอยู่ทั่วไปบนเกาะอื่น และอาจกล่าวได้ว่าของรางวัลเหล่านี้หายากแม้แต่ในคาเนียร์
โดยรวมแล้ว นักเรียน 3000 คนจากทุกระดับชั้นจะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ ในขณะที่ 1,000 จุดเป็นของโรงเรียนแนวหน้า
คุณอาจคิดว่าทุกสาขาจะมี 150 จุด ในขณะที่โรงเรียนหลักมี 100 จุด ตามอัตราส่วนนักเรียนที่เข้าเรียนในโรงเรียน แต่นั่นผิดทั้งหมด
ตอนนี้ มีเพียงนักเรียนจากโรงเรียนของคุณเองเท่านั้นที่สามารถท้าคุณในชั้นเรียนพิเศษได้ แต่หนึ่งเดือนต่อจากนี้ แม้แต่สาขาอื่นและนักเรียนในโรงเรียนหลักก็สามารถท้าทายคุณได้
เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจถึงความแข็งแกร่งของนักเรียนจากโรงเรียนหลักแนวหน้า
ขณะนี้ ภายในโรงเรียนหลัก มีนักเรียนมากกว่า 500 คนถึงระดับผู้ชำนาญ 8 และในหมู่พวกเขามีนักเรียนเกือบ 100 คนได้มาถึงอันดับผู้ชำนาญที่ 9 ในขณะที่บางคนขึ้นสู่ระดับผู้เชี่ยวชาญ
เมื่อรวมสายใยวิญญาณของพวกเขาแล้ว ใครๆ ก็ประเมินได้ว่านักเรียนประมาณ 1,000 คนที่มีขนาดแกนมานาระดับผู้ชำนาญที่ 9 อยู่ในโรงเรียนแนวหน้า
900 ในบรรดา 1,000 สิ่งเหล่านี้จะท้าทายคุณหากไม่มากไปกว่านั้นและคุณจะต้องชนะหรือต่อสู้อย่างสิ้นหวังเพื่อเข้าร่วมใน “ทัวร์นาเมนต์บิ๊กทรี”
นี่อาจเป็นเรื่องน่าตกใจและบอกตามตรง ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกงุนงงเพราะระดับมานาที่สูงเช่นนี้ไม่ค่อยพบเห็นในหมู่เกาะเมื่อตอนที่ฉันยังเด็ก
ความแข็งแกร่งของมนุษย์เพิ่มขึ้นในแต่ละวันที่ผ่านไป เมื่อมานาของอาร์กอน (ชื่อของโลกใบนี้) เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ และทรัพยากรที่สร้างขึ้นมีมากขึ้น เพิ่มโอกาสให้เยาวชนเช่นพวกคุณทุกคนได้ขึ้นไปสู่อาณาจักรที่สูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้น
สิ่งนี้หมายความว่าสำหรับทุกคนอย่างชัดเจน พวกคุณส่วนใหญ่อ่อนแอเกินไป และในสองเดือนเราต้องการให้ทุกคนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น
ถ้าพวกคุณแต่ละคนต้องการที่จะรักษาตำแหน่งในคลาสการต่อสู้พิเศษ ทุกคนจะต้องเพิ่มพลัง 150% เป็นเวลาสามเดือนข้างหน้าจนกว่าการแข่งขันจะเริ่มขึ้น
ทุกคนได้รับรหัสอนุญาตพิเศษไปยังนาฬิกาควอนตัมและสร้อยข้อมือ เมื่อคุณถูกท้าทายแล้ว สัญญาณจะถูกส่งไปยังคุณ และทั้งคู่จะต้องพบกันที่โรงเรียน
เวลาที่สามารถรับการท้าทายได้เฉพาะในชั้นเรียนการต่อสู้เท่านั้น ไม่เช่นนั้น จะหาเวลามาพบกันได้ยากยิ่ง นอกจากนี้ การส่งคำท้าตอนตีสองก็ไม่ยุติธรรมใช่หรือไม่
หลักๆคือ….ทุกคนได้รับอนุญาตให้เข้าถึงเทคนิคทุกประเภทแล้ว แต่อย่าลืมว่าเมื่อออกจากคลาสพิเศษแล้ว การเข้าถึงเทคนิคเหล่านี้จะถูกล็อคจนกว่าจะสามารถเอาชนะคนอื่นจากคลาสพิเศษได้ ชั้นเรียกที่นั่งของพวกเขา
พยายามให้มากขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือความปรารถนาของฉันสำหรับทุกคนและอย่าปล่อยให้คนอื่นเตะก้นของคุณ!!”
ทิลบล์สิ้นสุดการพูดและบริเวณโดยรอบก็ดูเงียบสงัด ขณะที่เจสันและเซรอนมองหน้ากัน
ตอนนี้พวกเขาแทบจะไม่สามารถเอาชนะใครบางคนในระดับผู้ชำนาญที่ 5 ด้วยการขยายโลกแห่งวิญญาณของพวกเขาและโรงเรียนหลักแวนการ์ดได้รับการกล่าวขานว่าในปีนี้มีขุมพลังจากเผ่าและครอบครัวที่ซ่อนเร้นทุกประเภทและพวกเขามีเทคนิคที่แข็งแกร่งเป็นมรดกตกทอดเช่นที่เซรอนและครอบครัวมี.
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าทั้งคู่จะท้อแท้ มันเป็นเพียงความท้าทายใหม่สำหรับพวกเขาในการแสดงความมุ่งมั่นและความทะเยอทะยานที่เพิ่มมากขึ้น
สกอร์พิโอนั่งอยู่ในกระสวยอวกาศปรากฏตัวต่อหน้าเจสันเพื่อขอหินมานาซึ่งทำให้เจสันสงสัย
สกอร์พิโอได้ขออาหารจนถึงตอนนี้ แต่เจสันรู้สึกคันที่มาจากสายใยวิญญาณเล็กๆ ของเขา ทำให้เขารู้สึกคาดหวัง…
‘ถึงเวลาแล้วหรือ’
เขาสงสัยในขณะที่เขาหยิบหินมานาก้อนเล็กๆ ออกมาจากอุปกรณ์เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ของเขา
เฉิงต้องใช้เวลาพอสมควรในการรวบรวมวัสดุทั้งหมด แต่เพื่อปลอบเจสัน เขาให้หินมานา “ชุดเล็ก” แก่เจสันแล้ว และเขาถามตัวเองว่าเพียงพอแล้วสำหรับดาเลียที่จะเพิ่มศักยภาพของสกอร์พิโอ แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้
แต่นั่นอาจรอสักครู่ เนื่องจากวิวัฒนาการของอาร์ทิมิสสำคัญกว่าการเพิ่มศักยภาพของสกอร์พิโอ
เมื่อศักยภาพของสกอร์พิโอเพิ่มขึ้น เจสันจะมองหาเส้นทางวิวัฒนาการที่เหมาะสมสำหรับแมงป่องที่น่ารักซึ่งวางบนหินมานาระดับ 1 บนตักของเขา
มานาเติมพลังงานทั้งหมดให้แก่สกอร์พิโอ และมันได้ดูดซับทุกอย่างอย่างตะกละตะกลามจนกระทั่งพวกเขามาถึงหน้าประตูโรงเรียน
เจสันจับสกอร์พิโอและหินมานาอย่างระมัดระวังด้วยมือทั้งสองข้าง เขาออกจากกระสวยโดยไม่รบกวนการดูดซับมานาของสายใยวิญญาณ
เมื่อค้นหาสถานที่เงียบสงบเจสัน นั่งลงเอนกายพิงต้นไม้ก่อนจะวางสกอร์พิโอลงบนตักของเขาอีกครั้ง
นำหินมานาออกมาอีกจำนวนหนึ่ง เขาเริ่มดูดซับมานาที่อยู่ภายในและรอบๆ ตัวเขา
เขามีภูเขาหินมานาระดับ 1 ระดับต่ำ/กลาง/สูง และระดับสูงสุด และระดับ 2 จำนวนมาก และมีแนวโน้มมากเกินกว่าที่เขาจะไปถึงระดับผู้เชี่ยวชาญได้
ตอนนี่เจสันมีหินมานาจำนวนมากมาย แต่เขาก็จำคำพูดของดาเลียเกี่ยวกับมานามหาศาลที่เธอต้องการเพื่อเพิ่มศักยภาพของสัตว์ร้ายได้ เจสันจึงตัดสินใจที่จะไม่ใช้มันทั้งหมด
หินมานาระดับ 1 และ 2 นั้นบริสุทธิ์และมีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับคนที่จะไปถึงระดับผู้วิเศษด้วยความเร็วที่ค่อนข้างเร็ว ในขณะที่หินมานาระดับ 3 จะมีบริสุทธิ์และหนาแน่นยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน หินมานาระดับ 4 ไม่สามารถใช้งานได้โดยผู้ที่มีระดับต่ำกว่าผู้วิเศษ ยกเว้นในกรณีที่มีโอกาสพิเศษเช่นเทคนิคการแยกจิต
เมื่อมานาที่อยู่ภายในหินมานาจะถูกปลดปล่อยออกมา เราต้องดูดซับมัน มิฉะนั้นมันจะเริ่มกระจายอย่างช้าๆ และด้วยเทคนิตการแยกจิตเจสันก็สามารถดูดซับทุกอย่างได้
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งและต้องขอบคุณผลวาลคิรีที่ชั่วร้ายเท่านั้นที่เขารอดชีวิตมาได้
เมื่อนึกถึงความเจ็บปวด เจสันก็ตัวสั่นโดยไม่ตั้งใจ ก่อนที่เขาจะหันเหความสนใจของตัวเองอีกครั้ง
เวลาผ่านไปและเป็นเวลากลางวันแล้วเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าสกอร์พิโอลอกคราบอีกครั้ง
เปลือกภายนอกสีเขียวแบบเก่าถูกขับออกอย่างช้าๆ ในขณะที่มองเห็นเปลือกภายนอกที่เข้มกว่าและแวววาวกว่า
ภายในเปลือกภายนอกนั้นมีร่องรอยสีน้ำเงินจาง ๆ เปล่งประกายราวกับมีชีวิต
ความยาวของสกอร์พิโอเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 18 เซนติเมตร และสัมผัสได้ถึงแกนมานาที่ไม่สมบูรณ์ของมัน เจสันมั่นใจว่าสายใยวิญญาณของเขาจะไปถึงระดับห้าดาว
เปลือกภายนอกนั้นแข็งแกร่งและใหญ่กว่าเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ และเจสันคิดว่าสกอร์พิโออาจโตขึ้นอีกหน่อย เนื่องจากขนาดของเปลือกภายนอกนั้นมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการเติบโตเล็กน้อย
ร่างกายของเจสันได้ขับผิวเก่าบางส่วนออกไปหลังจากการดูดซึมมานาของเขาเสร็จสิ้น แต่โดยรวมแล้วไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากเขาได้รับการชำระจากสิ่งสกปรกส่วนใหญ่แล้ว
เจสันคงจะสงสัยว่าเขามีสิ่งเจือปนในร่างกายของเขาเหลืออยู่ที่มากแค่ไหนหรือไม่จนกว่าเขาจะไปถึงระดับผู้เชี่ยวชาญ
แต่ผิวของเขาแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่แกนมานาและร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับการเพิ่มเติมที่เกิดจากเปลวไฟออริจินเฟลมแล้ว แทบไม่ค่อยต่างอะไรจากเดิมเท่าไหร่
สิ่งที่เจสันสับสนเกี่ยวกับออริจินเฟลมของเขาคือทุกครั้งที่เขาเห็นออริจินเฟลม ตัวเขาเองจะสั่นไหวอย่างรุนแรง และถ่ายทอดความคิดถึงความหิวโหยที่ไม่รู้จักพอ
บางทีออริจินเฟลมของเขาอาจต้องการกินออริจินเฟลมดวงอื่น แต่ก็ไม่มีทางที่จะทดสอบได้โดยไม่ค้นหาออริจินเฟลมอื่นหรือทดลองกับเปลวไฟอื่น
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงอันตราย เจสันต้องเพิกเฉยต่อความคิดนี้
ไม่นานนักที่สกอร์พิโอจะฟื้นความรู้สึกหลังจากการลอกคราบเสร็จสิ้น และมันกระโดดไปมาอย่างสนุกสนานเมื่อความแข็งแกร่งของมันก้าวหน้าต่อไป
มันมีความปรารถนาที่จะช่วยเจสันให้พ้นจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก และมันแข็งแกร่งขึ้นทุกวันหลังจากที่เจสันได้รับบัพติศมาจากออริจินเฟลม
เนื่องจากสกอร์พิโอต้องการแข็งแกร่งขึ้นและเมื่อดูดซับมานา มันจึงเริ่มเพาะเมล็ดความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ เมื่อมันสะสมเพียงพอแล้ว
เป็นที่เข้าใจโดยคร่าวว่าอาจารย์คนใหม่ของเจสันสามารถเสริมความแข็งแกร่งของมันได้ แต่ตอนนี้มันมีศักยภาพที่ดีพอที่จะไปถึงขั้นที่พลังจะตื่นขึ้นมา
เนื่องจากสกอร์พิโอต้องการมอบความสัมพันธ์ที่เป็นพิษแก่เจสันภายในมานาของเขา ซึ่งหมายความว่าเขาต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ
โดยไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน สกอร์พิโอจึงเกาะติดหินมานาและดูดซับต่อไป โดยไม่สนใจเจสันที่มองดูมันอย่างสับสน
‘นายดูเป็นคนตระกละนะเนี่ย’
เจสันสงสัย แต่คงไม่ถือว่าเลวร้ายหากสายใยวิญญาณของเขาจะมีความทะเยอทะยาน
แม้ว่าการเพิ่มความแข็งแกร่งของสกอร์พิโออาจถือได้ว่าเป็นบวก แต่ปริมาณพลังงานวิญญาณที่ต้องการเพิ่มขึ้นเป็น 10 หน่วย ในขณะที่พลังงานวิญญาณของเจสันเองถูกขยายเป็น 16.75 หน่วย
ถ้าอาร์เทมิสต้องการพลังงานวิญญาณ 11 อย่าง เจสันต้องเพิ่มพลังวิญญาณของเขาเองมากกว่า 2 หน่วยเพื่อให้อาร์เทมิสได้รับ
และถึงแม้จะเป็นกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็ไม่สามารถบรรลุได้สำหรับเจสันที่สามารถเพิ่มพลังวิญญาณของเขาได้มากที่สุด 1 หน่วยจนถึงเย็นวันศุกร์
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อความเป็นไปได้ในการเพิ่มพลังวิญญาณของเขาเพื่อให้อาร์เทมิสเข้ากับโลกวิญญาณของเขา
แม้ว่าเขาจะไม่มีที่ว่างเพียงพอสำหรับอาร์เทมิส แต่มันก็มักจะยังคงฟังคำสั่งของเขา
ปัญหาเดียวคือ เจสันไม่สามารถเก็บอาร์เทมิสไว้ในโลกวิญญาณของเขาได้หากไม่มีพลังวิญญาณเพียงพอ และด้วยเหตุนี้ มันจึงต้องอยู่กับเขาตลอดเวลา
เจสันไม่แน่ใจว่ารูปลักษณ์ของอาร์เทมิสจะเปลี่ยนไปขนาดไหน และหากอาร์เทมิสได้รับอนุญาตให้ออกจากโลกวิญญาณในขณะที่เขาอยู่ในโรงเรียนได้ เป็นไปได้หรือไม่ เพราะอาจจะน่าจะดึงดูดความสนใจมากกว่าสกอร์พิโอซึ่งอยู่บนไหล่ของเขา กระเป๋าเสื้อสวมหัวของเขาหรือซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อไม่ให้เข้าสู่โลกแห่งวิญญาณด้วยออร่าน้ำแข็งของอาร์เทมิสที่เกิดจากวิวัฒนาการของเธอ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาจะต้องแจ้งจนถึงเรื่องนี้ และปัญหาน่าจะได้รับการแก้ไข แต่ก็ยังรบกวนเขาอยู่ว่าเขามีพลังงานวิญญาณไม่เพียงพอสำหรับอาร์เทมิส ทำให้เขาถอนหายใจลึกๆ
เจสันหยิบกระเป๋าจากอุปกรณ์จัดเก็บของเขาด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่และหินมานาอีกสองสามก้อน
วางหินมานาไว้ใต้ผ้าขนหนู เขาวางสกอร์พิโอไว้บนผ้าขนหนูเพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบาย เมื่อเขาวางกระเป๋าอย่างระมัดระวัง
และเดินช้าๆ ไปที่สนามประลอง และเจสันยังคงอ่านหนังสือจากดาเลียและเชนต่อไป
เขาพบว่าความรู้ของเขาเพิ่มขึ้นในแต่ละวันที่ล่วงเลยไป ในขณะที่ภูมิปัญญาและประสบการณ์ของเชนและดาเลียเรียกได้ว่ากว้างใหญ่ไพศาล
เขาใช้เวลาไม่นานก่อนที่เขาจะไปถึงสนามประลองการต่อสู้ และไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงเป็นคนแรกที่มาถึง เนื่องจากยังเหลือเวลาอีกกว่าหนึ่งชั่วโมงกว่าที่ชั้นเรียนการต่อสู้จะเริ่มขึ้น
เจสันนั่งลงและฝึกเทคนิคเฮฟวี่เฮลล์เพื่อเพิ่มพลังวิญญาณ 0.1 หน่วยด้วยการนั่งเพียงครั้งเดียว
เมื่อเจสันลืมตาขึ้น เขาสังเกตเห็นว่าเซรอนนั่งอยู่ข้างๆ เขา ขณะที่เพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่มาถึงแล้ว
เมื่อเห็นเจสันลืมตา เซรอนก็ถาม
“นายคิดว่าเราต้องต่อสู้กันตลอดเวลาหรือเปล่า หวังว่าอาจารย์จะมีอย่างอื่นทำ ไม่อย่างนั้นเราจะต้องปรับให้เข้ากับรูปแบบการต่อสู้ของกันและกัน และมันจะกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ จริงไหม?”
เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“เราต้องการคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าด้วยรูปแบบการต่อสู้ที่แตกต่างกัน…เพื่อนร่วมชั้นของเราอ่อนแอเกินไป”
และราวกับว่าทิลล์ได้ยินเซรอนพูดกับเจสัน เขาเดินเข้าไปในสนามประลองถัดจากผู้สอนไบรอัน ผู้สอนเทคนิค ‘อัศวินอาวุธ’ ให้พวกเขา
เมื่อมองไปรอบ ๆ ผู้สอนไบรอันสังเกตเห็นเจสันและเมื่อตรวจสอบแกนมานาของเขา ดวงตาของเขาโป่งขึ้นและมองเห็นร่องรอยของความกลัวภายในตัวพวกเขา ก่อนที่เขาจะละสายตาไปที่นักเรียนคนอื่นๆ
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะรับผิดชอบการฝึกรบของห้อง 54 เนื่องจากประสบการณ์การต่อสู้ที่หลากหลาย โรงเรียนจึงตัดสินใจเลือกนักสู้ที่ดีที่สุดจากทุกคลาส เพื่อสร้างคลาสการต่อสู้พิเศษเพื่อพัฒนาพวกเขาต่อไป ความสามารถในการต่อสู้ตามลำดับมากยิ่งขึ้น
เจสัน สเตลล่า และ เซรอน กิเออร์ โปรดติดตามครูกรีลไป เขาจะรับผิดชอบคลาสการต่อสู้พิเศษ!”
หลังจากที่ผู้สอนพูดสั้น ๆ จบ ทั้งชั้นเรียนก็โกลาหล
ขณะที่เจสันและเซรอนมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มที่สดใส นักเรียนที่อ่อนแอกว่าก็ซุบซิบกันว่าบทเรียนการต่อสู้พิเศษคืออะไร
อย่างไรก็ตาม เสียงที่ดังที่สุดคือนักเรียนชั้นนำที่ไม่สามารถยอมรับการตัดสินใจนี้ได้
‘ทำไมครูถึงพาพวกเขาไปที่คลาสการต่อสู้พิเศษ? พวกเขาเป็นนักเรียนชั้นยอดของชั้นเรียน?!?’
และก่อนที่สนามประลองจะเข้าสู่รังไก่ที่โกลาหลจนหมดสิ้น
“ตอนนี้จะมีการคัดเลือกนักเรียนเพียง 2 คนจากทุกชั้นเรียนเพื่อเข้าสู่บทเรียนนี้
ถ้าใครในพวกคุณมีความกล้าที่จะสู้กับเจสันหรือเซรอน ได้โปรดออกมาเถอะ มิฉะนั้น พยายามและรอจนถึงสัปดาห์หน้า ซึ่งทุกคนจะได้รับอนุญาตให้ท้าทายที่นั่งคลาสการต่อสู้พิเศษ 150 คน
เพื่อป้องกันไม่ให้นักเรียนจำนวนมากเกินไปท้าทายใครก็ตาม คุณจะต้องจ่าย 10 คะแนนเลชเพื่อทำเช่นนั้นทุกคน
แต้มเลช 10 แต้มจะถูกหักและจะไม่คืน ชนะหรือแพ้ไม่สำคัญ รางวัลสำหรับการชนะคือการได้รับอนุญาตให้เข้าสู่หลักสูตรพิเศษของฉัน ในขณะที่การแพ้จะลงโทษคุณด้วยการแบนสองสัปดาห์จากการท้าทายใครก็ตาม
อาจารย์ไบรอันจะดำเนินการและอธิบายทุกอย่างให้พวกคุณฟัง”
ทันใดนั้น ทั่งสีน้ำเงินเข้มก็โผล่ออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ และหล่นลงกับพื้น พื้นแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เนื่องจากน้ำหนักมหาศาลของมัน ทั่งมีขนาดใหญ่และสูงพอๆกับเอวเจสันมันแผ่มานาอย่างเรียบง่ายออกมา
โชคดีที่พวกเขาอยู่ในห้องตีเหล็กซึ่งต้องรับน้ำหนัก มิฉะนั้น เจสันอาจะไม่เอามันออกมาอีกหลังจากที่เอามันออกมาแล้วทำให้พื้นร้าวก่อนหน้าที่
เขาได้ทำลายพื้นโถงทางเข้าซึ่งทำให้เขาอึดอัดอยู่แล้ว
ในขณะที่เฉิงตรวจสอบอาวุธหินอย่างระมัดระวังด้วยอักษรรูน เขาได้หันกลับมาด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงอันดังที่เกิดจากการกระแทกพื้น เขารู้ทันทีว่ามันเป็นบางสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง
แต่เมื่อเขาเห็นทั่ง การหายใจของเขาก็หยุดลง และเขาก็เดินโซเซไปทางทั่งอย่างช้าๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำในขณะที่เหงื่อเริ่มผุดขึ้นที่หน้าผากของเขา
แอนทาเรียได้สังเกตเห็นพฤติกรรมแปลก ๆ ของพ่อของเธอ.ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนและขมวดคิ้วเพราะเธอตรวจไม่พบสิ่งใดเป็นพิเศษจากทั่ง
แต่เจสันรู้สึกประหลาดใจมากหลังจากเห็นพฤติกรรมของเฉิงเพราะเชนประพฤติตัวคล้าย ๆ กันแต่ยับยั้งชั่งใจมากกว่า ก่อนที่เขาจะบอกเจสันว่าทั่งนั้นคืออะไรกันแน่
หลังจากที่เชนบอกเขาว่าทั่งคืออะไร ในตอนแรกเจสันไม่คิดจะขายมัน แต่เชนก็กล่าวว่าให้เจสันขายมันออกไป
เพราะเชนกล่าวว่าทั่งของเขาดีกว่ามาก และเจสันก็ต้องการสตาร์โน๊ตอย่างมากเพื่อเพิ่มการฝึกฝนของเขาให้เร็วขึ้น
การขายทั่งจะดีกว่า เพราะเจสันไม่ต้องการมันอยู่แล้ว
ก่อนที่เฉิงจะพูดอะไร เขาก็ต้องตกใจกับคำพูดต่อไปของเจสันอีกครั้ง
ทั่งไททาเนียมคลาวด์มานาระดับสูง เกรด 3 และมันมีผลทำให้จิตใจของช่างตีเหล็กสงบลง ในขณะที่ยังเพิ่มอุณหภูมิของแท่งโลหะที่มีรูปร่างบนนั้น”
เมื่อได้ยินดังนั้น ขาของเฉิงแทบอ่อนลง และมองไปที่ท่าทางที่สงบของเจสัน เฉิงสงสัยว่าลูกสาวของตน ได้พาเด็กที่มีน่าตกตะลึงนี่มาหาเขาได้อย่างไร
`มหาเศรษฐี!`
เป็นความคิดเดียวที่วิ่งเข้ามาในหัวของเขา ในขณะที่ความมุ่งมั่นของเขาที่จะได้ทั่งไททาเนียมคลาวด์ก็เพิ่มสูงขึ้น
เขาค้นหาอุปกรณ์การตีรูปใหม่มาเป็นเวลานาน และทั่งที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะได้รับ เมื่อพิจารณาถึงตอนเน็กชั่นที่เขามีทั่วทั้งหมู่เกาะและบางส่วนของคาเนียร์
มีเพียงปัญหาเดียวที่ใหญ่มาก…ราคา!!
เฉิงขมวดคิ้วอย่างสุดซึ้ง เพราะเขารู้ว่าเขามีเงินทุนไม่เพียงพอที่จะซื้อสมบัติดังกล่าว แม้ว่าเขาจะสะสมทรัพย์สมบัติเล็กน้อยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
เขาหน้าซีดเล็กน้อยและมองเจสันอย่างไม่แน่ใจ
“ฉันต้องการทั้งหมด..แต่ราคาเท่าไหร่?”
เฉิงถามด้วยความลังเลเล็กน้อยซึ่งทำให้แอนทาเรียมองทั้งเจสันและเฉิงอย่างตกตะลึง
เธออยากจะอวดว่าพ่อของเธอเป็นประธานของหอคอยช่างฝีมือ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพ่อของเธอกำลังพยายามที่จะประจบประแจงกับเจสันที่เป็นนักเรียนทั่วไป?
สิ่งนี้ดูแปลกมากและทำให้เธอตกใจถึงแก่นเพราะปกติแล้วพ่อของเธอนั่นมีภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
เจสันมองไปที่เฉิงและไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไร…เชนไม่ได้บอกราคาทั่งไททาเนียมคลาวด์ซึ่งทำให้เขาขมวดคิ้ว
เฉิงเห็นความขมวดคิ้วของเจสันและเหงื่อที่ขมับขมับหนาขึ้นเมื่อเขาต้องการทั่งที่อยู่ข้างหน้าเขา แม้ว่าเขาจะต้องกู้เงินก็ตาม
“10,000 สตาร์โน้ตงั้นหรอ??? แต่ตอนนี้ฉันมีไม่พอ… มันต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะรวบรวมมันได้ทั้งหมด…”
เฉินเสนอและแอนทาเรียก็ร้องด้วยความตกใจ
“อะไรนะ!!!!!!”
ในขณะที่เจสันแทบจะกลั้นอารมณ์ไว้ไม่ไหว
เขารู้ว่าอุปกรณ์เกรด 3 นั่นมีมูลค่าหลายร้อยล้านเครดิต ซึ่งเทียบเท่ากับสตาร์โน๊ตสองสามตัว และเมื่อพิจารณาว่าทั่งไททาเนียมคลาวด์เป็นวัตถุระดับ 3 ที่มีเวทย์มนตร์สูง เจสันเคยคิดว่าเขาน่าจะได้ซักระหว่างโน้ต 300 ถึง 500 สตาร์โน๊ตซึ่งเพียงพอสำหรับเขา
แต่โน้ต 10,000 ดวง… นั่นคือ 1 ล้านล้านเครดิต และดวงตาของเจสันก็โป่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อคิดถึงโชคนี้และเขาทำได้แค่มองเฉิงด้วยความตกใจเท่านั้น
“ไม่”
เจสันพูดได้เพียงแผ่วเบาซึ่งทำให้เฉิงดูสิ้นหวังยิ่งขึ้นไปอีก
“แล้วถ้า 15,000 สตาร์โน๊ตล่ะ ฉันไม่มีอีกแล้ว แม้ว่าฉันจะกู้เงินก็ตาม…”
แต่เจสันต้องฟื้นสติก่อนจึงจะพูดได้
“เปล่าครับ 10,000 ก็มากเกินพอแล้ว แต่ขอแลกเปลี่ยนสตาร์โน๊ตกับสิ่งของจำเป็นอื่นๆ ได้ไหม”
เจสันถามเริ่มเหงื่อตก…
อะไรคือการใช้สมบัติ ถ้าเขาไม่สามารถซื้อบางสิ่งบางอย่างที่เด็กนักเรียนทั่วไปนั่นไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ซื้อ ถึงแม้จะมีทรัยพ์สมบัติมากมาย
เมื่อพิจารณาถึงเรื่องนี้ เจสันจึงต้องใช้เฉิงเป็นตัวเชื่อมเพื่อที่จะได้มาซึ่งสิ่งต่างๆ
ความตึงเครียดของเฉิงผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“ได้ๆ ได้สิ!! เป็นไปได้แน่นอน โปรดระบุสิ่งที่คุณต้องการ…”
แต่จิตใจของเจสันแทบจะว่างเปล่า และเขาแทบจะคิดไม่ออกเลยว่าสิ่งที่เขาต้องการนั้นมีสิ่งใดบางในตอนนี้
“ฉันต้องการเพียง 1,000 สตาร์โน๊ต, 50% มานาหินตั้งแต่เกรด 1 ถึง 3 ในปริมาณมาก, เหล็กดำ 2-3 อัน, เหล็กหยก, แทนซาไนต์, เงินเวทย์มนตร์, ทรายดวงดาว, พวงของแกนมานาระดับเวทมนตร์จากทุกชนิด ของธาตุต่างๆ ได้แก่ เชิงพื้นที่ แสงสว่างและความมืด เอสเซนตบลัด 1 ชิ้น ดอกไนท์เฉดจำนวนมาก เมเปิ้ลเบลซ สโตนครอป กิ่งก้านที่สดใส ชวนชม ครีโอ ดอกโบตั๋นภูเขา น้ำผึ่งน่ารักเกียจ …. และตันเกรด- 2 ดิน”
ก่อนที่เจสันจะรู้ เขาได้ระบุหลายสิบอย่างในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว และแอนทาเรียก็ได้เปิดหน้าจอโฮโลแกรมและจดทุกอย่างในสิ่งที่เจสันได้เอ่ยออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อมองดูรายการ เธอเริ่มขมวดคิ้วอย่างลึกซึ้ง
สิ่งเหล่านี้ล้วนใช้สำหรับช่างฝีมือระดับ 0 ถึงระดับ 3 จากทั้งสามอาชีพและชาวสวน
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงได้แต่สงสัยว่าเจสันต้องการทำอะไรกับวัสดุมากมายขนาดนี้
“โอ้! และฉันต้องการเปลี่ยนอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลของสร้อยข้อมือควอนตัมของฉันเป็นอุปกรณ์ขั้นสูงซึ่งรวมถึงอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีฟังก์ชั่นการเก็บรักษา ฉันหวังว่ามันจะเป็นไปได้ ถ้าฉันขอมากเกินไปฉันหวังว่าอักษรรูนจะจารึก อาวุธก็เพียงพอที่จะชดเชยมันได้”
เจสันพยายามทำหน้าใจกว้าง แต่แอนทาเรียทำได้แค่สบถในใจ
‘ย๊าาา!! นายไม่คิดว่านายจะเอาเปรียบไปหรออออออ !’
แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไร พ่อของเธอก็แสดงรอยยิ้มเป็นประกายและตอบ
“ยอมรับข้อเสนอ!”
ขณะยื่นมือออกไปเขย่ามือของเจสัน
เฉิงใช้เวลาไม่นานในการพิจารณาข้อตกลงนี้ เนื่องจากเขาจะไม่มีวันพบสมบัติล้ำค่าอย่างทั่งไททาเนียมคลาวด์อีกเลย ยกเว้นในคาเนียร์… ซึ่งก็อาจจะหาได้เท่านั้นแต่ก็ไม่ได้มั่นใจว่าจะหาเจออย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ราคาสมบัติดังกล่าวกลับทำลายล้างได้มากกว่าเดิม เนื่องจากตระกูลใหญ่ที่พยายามจะผูกขาดทุกอย่าง และเขาดีใจยิ่งกว่าที่ได้แลกเปลี่ยนกับวัสดุคุณภาพต่ำจำนวนมาก เนื่องจากพ่อค้าที่เขารู้จักจะให้ ส่วนลดสำหรับการซื้อจำนวนมาก
ในท้ายที่สุด เขาจะจ่ายให้มากที่สุดสำหรับหินมานา เนื่องจากพ่อค้าที่ซื้อขายพวกมันให้ส่วนลดน้อยที่สุด
เมื่อคิดทบทวนทุกอย่างแล้ว เฉิงก็คำนวณว่าเขาจะต้องจ่ายให้เจสันมากสุด 9,000 สตาร์โน้ต ซึ่งเป็นส่วนลด 10% และแม้ว่าเขาจะต้องจ่ายมากกว่านั้น มันก็คงจะดีสำหรับเขา
การเซ็นสัญญาทั้งเฉิงและเจสันดูเหมือนจะพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้
เฉิงได้รับทั่งมานาขั้นสูงเกรด 3 ซึ่งเพิ่มโอกาสในการเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก (6) และเจสันได้รับวัสดุมูลค่ามหาศาล
เมื่อนึกถึงสมุนไพรและพืชที่เขาจะได้รับในไม่ช้า เจสันจึงตัดสินใจปลูกไว้ในเรือนกระจกเพื่อให้พวกมันเติบโตและคงความสด
บางทีเขาอาจจะเก็บเกี่ยวพืชผลจากพวกมันได้ด้วยซ้ำ ในตอนแรกเจสันจะได้เรียนรู้วิธีหลอมจากเชน ซึ่งยังอีกไม่ถึงหนึ่งเดือน
ก่อนที่เขาจะเรียนรู้วิธีการตีเหล็ก เชนบอกเขาว่าเขาต้องจดจำแง่มุมที่สำคัญทั้งหมดจากหนังสือจำนวนมากที่เขาส่งให้เขา
หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เขาก็จะเริ่มหลอมจริง ๆ และเรียนรู้สิ่งนั้น เขาจะต้องใช้วัสดุจำนวนมากในการที่จะเชี่ยวชาญอะไรก็ได้ มีแต่เรียนรู้วิธีหลอมจากความล้มเหลวเท่านั้น
ไม่มีอาจารย์คนไหนตกลงมาจากฟ้าเพื่อเป็นอาจารย์ให้ใคร ยกเว้นว่าคนนั้นจะเป็นจุดสิ้นสุดของความโชคร้าย
ก่อนที่เจสันจะไปโรงเรียน เฉิงบอกให้เจสันตามเขาไปเพื่อเปลี่ยนอุปกรณ์จัดเก็บสร้อยข้อมือควอนตัม
เฉิงผลิตนาฬิกาควอนตัมพิเศษร่วมกับรูนมาสเตอร์เมื่อไม่นานนี้ด้วยอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่เขาต้องการมอบให้เจสัน
สร้อยข้อมือควอนตัมทำจากวัสดุเกรด 2 สูงสุดและเกรด 3 ระดับต่ำและมีสีดำสนิท ในขณะที่อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลมีพื้นที่ 100 ม. x 100 ม. x 10 ม. ซึ่งมากกว่าอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเดิมของเขาถึง 40 เท่า
อาจกล่าวได้ว่าเป็นของขวัญจากเฉิงถึงเจสัน และเจสันขอบคุณเฉิงอย่างสุภาพซึ่งทำให้ช่างตีเหล็กอันดับ 5 ตกตะลึง
‘ทำไมเด็กคนนี้ถึงสุภาพกับคนอย่างฉัน? เขาไม่เข้าใจหรอว่าฉันกำลังเอาใจเขา?’
เขาคิดโดยไม่พิจารณาว่าภูมิหลังของเจสันอาจตื้นเขิน
ถ้าเฉิงรู้ว่าเจสันเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีทรัพย์สมบัติ เขาจะสงสัยว่าสมบัติอย่างทั่งไททาเนียมคลาวด์นั่นไปอยู่ในมือเขาได้อย่างไร
ด้วยสร้อยข้อมือควอนตัมที่เพิ่งได้รับ เจสันออกจากหอคอยช่างฝีมือหลังจากการกำหนดค่าเสร็จสิ้น
ในที่สุด เจสันก็สามารถดาวน์โหลดไฟล์ทั้งหมดที่เชนและดาเลียส่งจากเมมโมรี่สติ๊กขนาดใหญ่ของเขาได้
ระหว่างรอรถรับส่งเขาได้รับแจ้งจากแอนทาเรีย
<พรุ่งนี้จะเป็นการสอบ ช่างฝีมือภาคปฏิบัติ ฉันหวังว่าคุณจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง (♥‿♥)>
ด้วยอิโมติคอนแปลกๆ ที่อยู่เบื้องหลังซึ่งเกือบทำให้เจสันต้องอ้วก
`เธอแก่เกินไปหน่อยไปหน่อยหรือที่จะโยนตัวเองใส่นักเรียนอายุ 14 ปี’
เจสันคิดขณะเปิดหนังสือเล่มหนึ่งที่ดาเลียและเชนส่งมาให้
“อ๊ะ…”
เจสันพูดเมื่อเขาสังเกตเห็นรอยร้าวปรากฏขึ้นบนพื้นที่สวยงาม ในขณะที่ใบหน้าของพนักงานต้อนรับหน้าซีดภายในไม่กี่วินาที ขณะที่เธอเห็นทั่งตีเหล็กขนาดมหึมาตกลงบนพื้น
เธอไม่เพียงแต่หน้าซีดเท่านั้น แต่แม้แต่ผู้คนรอบๆ โถงทางเข้าก็ยังตื่นตระหนกกับการที่ทั่งไททานิคสีน้ำเงินเข้มที่ปรากฏขึ้น และผู้คุมที่ทางเข้าก็พุ่งเข้าหาเจสันด้วยอาวุธ
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่!?”
ยามให้เวลาเจสันได้คิดนขณะที่เขาจ้องเจสันอย่างจริงจัง… การทำลายทรัพย์สินของหอคอยช่างฝึมือนนั้นไม่มีอะไรต้องประนีประนอม และเห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ
เจสันเกาศีรษะด้านหลังอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ และใบหน้าของพนักงานต้อนรับก็ซีดยิ่งขึ้น โดยคิดถึงความเป็นไปได้ที่เธอจะถูกไล่ออกหรือแย่กว่านั้น
ดวงตาของเธอเปียกไปด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
‘เอ่อ ไม่เวรอ์ไปหน่อยหรอ’
เจสันคิดในใจ และตอนนี้เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาเป็นศูนย์กลางของความสนใจ
‘แปลกแฮะ’
เจสันบอกตัวเอง แต่โดยไม่ได้ให้เวลาเขาครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ผู้หญิงที่คุ้นเคยได้เดินเข้ามาในสายตาของเขาทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
“คุณชารอน!!”
เจสันพูดอย่างมีความสุขโดยไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมีความสุขที่ได้พบเธอ
เจสันไม่ชอบสถานการณ์ที่เขาอยู่ตอนนี้ และเขามีหลายสิ่งที่ต้องทำมากกว่าการเสียเวลามานั่งอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิด
“โอ้…เจสัน สเตลล่า?”
แอนทาเรีย จำเด็กหนุ่มที่ทำข้อสอบพื้นฐานของช่างฝีมือได้ทั้งหมดด้วยคะแนนเต็ม แม้ว่าเขาจะเรียนรู้ได้เพียงสัปดาห์เดียว และดวงตาของเธอมีแสงวาววับแปลก ๆ
“เกิดอะไรขึ้น?”
เธอถามและเจสันสรุปว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งทำให้เธอมองพนักงานต้อนรับอย่างประหลาด
แอนทาเรียรู้จักพนักงานต้อนรับคนนี้มา 2-3 ปีแล้ว และเธอก็มีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง และจากที่เธอได้รู้จัก เธอรู้คร่าวๆ ว่าพนักงานต้อนรับไม่ต้องการรบกวนการตรวจสอบของช่างฝีมือมากเกินไปหากไม่จำเป็น และโดยส่วนใหญ่แล้วเธอก็ทำถูกต้อง แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ครั้งนี้
แอนทาเลียถอนหายใจกล่าวว่า
“ไม่เป็นไร… ซาร่าห์ คราวหน้าอย่าทำจนเกินหน้าที่ ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ฉันช่วยเธอไม่ได้”
ก่อนที่เธอจะไม่สนใจพนักงานต้อนรับที่กำลังร้องไห้อยู่บนพื้น ขณะที่เธอมองเจสัน
“ตามฉันมา”
ชารอนเมื่อหันหลังกลับ เธอเดินไปที่ลิฟต์ และเจสันต้องห่อหุ้มทั่งไว้อย่างรวดเร็วด้วยมานาของเขาก่อนที่มันจะถูกเก็บไว้
หลังจากนั้น เขามองย้อนกลับไปที่ทหารรักษาการณ์และพนักงานต้อนรับที่กำลังร้องไห้เป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาที่สงสารเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะรีบตามแอนทาเรียไป
เจสันไม่แน่ใจว่าพวกเขากำลังจะไปที่ไหน แต่เขาคิดว่าแอนทาเรียอาจพาเขาไปหาผู้ตรวจการซึ่งทำให้เขาตามเธอไป
เมื่อเข้าไปในลิฟต์ พวกเขาลงไปที่ชั้นใต้ดิน และเพียงไม่กี่วินาทีต่อมาประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นโถงทางเดินสีขาวเงินขนาดใหญ่ที่ส่องประกายพร้อมประตูหลายสิบบานที่นำไปสู่ห้องอื่นๆ
เมื่อดวงตาของเขาเปิดใช้งาน เจสันสามารถเห็นความผันผวนของมานาผ่านประตู และมีเครื่องทดสอบทุกประเภท โรงตีเหล็ก ห้องปรุงยา และห้องสำหรับรูนมาสเตอร์เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการจารึก
แอนทาเรียอธิบายว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนและเห็นได้ชัดว่าห้องที่อยู่เหนือพื้นนั้นเป็นของช่างฝีมือระดับ 2 และในขณะที่ระดับ 0 ผู้ฝึกหัดและระดับ 1 ต้องอยู่ใต้พื้นดิน
นี่เป็นเพียงเพราะว่ามีช่างฝีมือระดับ 0 และอันดับ 1 มากเกินไปที่จะจัดพวกเขาไว้เหนือพื้น มิฉะนั้น หอคอย ช่างฝีมือจะต้องมีความสูงมากกว่าสองสามพันเมตร ซึ่งโดมมานาคงจะไม่รองรับ
แอนทาเรียพูดมาก และดูเหมือนว่าเธอจะภูมิใจกับหอคอยช่างฝีมือของเมืองไซโรมากเกินไป ทำให้เจสันกลั้นหัวเราะ
‘คงจะตลกดีถ้าจะบอกเธอเกี่ยวกับอาจารย์ของฉัน และระดับช่างฝีมือของพวกเขา’
เจสันคิดในใจพลางหัวเราะในใจ
แต่แอนทาเรียดูพึงพอใจอย่างยิ่ง ซึ่งเจสันพบว่ามันค่อนข้างน่าสนใจ เขาจึงตามเธอไปที่ห้องที่ดูเหมือนธรรมดา พวกเขาเข้ามาโดยไม่เคาะประตู
เมื่อเข้าไปในห้อง เจสันเห็นชายวัยกลางคนกำลังทุบแร่สีแดงเป็นประกาย ซึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นภายใต้การทุบอย่างรุนแรงของค้อน ขณะที่เม็ดสีดำและสิ่งสกปรกต่างๆ ดูเหมือนจะถูกขับออกไป
แท่งโลหะเย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่ชายวัยกลางคนปล่อยเปลวไฟสีส้มแดงออกจากมือของเขา ห่อหุ้มก้อนโลหะก่อนที่จะจุดไฟอีกครั้ง
ดวงตาของเจสันถูกดึงดูดไปยังแร่ที่ส่องแสงสีแดงอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นก้อนที่สมบูรณ์ ดวงตาของเจสันที่ถูกดึงดูดไปที่แร่นั้นในขณะที่เขาสังเกตเห็นบางสิ่งที่สำคัญ
อย่างแรก แร่ก้อนสีแดง คือแร่ผสมธาตุไฟระดับ 3 ที่เรียกว่าเฮเฟสติต ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในการผลิตอาวุธมานาที่สัมพันธ์กับไฟ และเส้นมานาภายในก้อนสีแดงดูเหมือนจะชำระให้เจสันบางส่วน แม้ว่าเจสันจะไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
ประการที่สอง และปัจจัยที่น่าตกใจที่สุดคือที่อยู่ตรงหน้าเขาคือออริจินเฟลม D ระดับ 1 ซึ่งกล่าวกันว่าหายากมาก…
‘เชนกับดาเลียโกหกฉันหรือเปล่า’
เจสันสงสัย แต่เขาก็จำได้ว่าแม้แต่เชนก็ไม่มี ดังนั้นมันคงจะหายากจริงๆ
‘ผู้ชายคนนั้นคือใคร?’
ลองคิดดูดีๆ ว่ามีมนุษย์จำนวนไม่มากในแอสทริกซ์ที่มีเปลวไฟอันล้ำค่าเช่นนี้
‘นั้นอาจจะเป็นช่างตีเหล็กระดับ 5 ในเมืองไซโร ซึ่งเป็นประธานหอคอยช่างฝีมือใช่หรือเปล่า’
อแอนทาเรียพยายามติดสินบนเขาหรือเกิดอะไรขึ้น? เจสันสงสัยและรู้เพียงว่าชายวัยกลางคนร่างใหญ่ที่สังเกตเห็นแขกของเขา
“โอ้ ตาลี มาทำอะไรที่นี่ แล้วเด็กคนนั้นเป็นใคร”
เขาถามและเจสันสงสัยว่า `ตาลี? `
แต่เมื่อได้ยินคำตอบของแอนทาเรียทุกอย่างก็ชัดเจนในทันที
“พ่อ! นี่คือเด็กนักเรียนของโรงเรียนแวนการ์ดในเครือที่ 6 ที่ผ่านการสอบพื้นฐานของช่างฝีมือผ่านทั้งหมด 100%”
อันตาเลียพูดและเจสันคิดว่าพฤติกรรมของเธอนั้นมีความหมายเบื้องหลัง
แต่อย่างไรก็ตาม ชายคนนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ในขณะที่เขาต้องการทำงานของเขาให้เสร็จ
“สวัสดีครับท่าน…ผมชื่อเจสัน สเตลล่า และวันนี้ผมมาเพื่อทำธุรกิจกับหอคอยช่างฝีมือเท่านั้น”
เจสันอธิบายทุกอย่างให้ชัดเจนโดยไม่สร้างความเข้าใจผิดใดๆ ขณะจ้องมองไปที่คุณชารอนโดยไม่มีใครพูดอะไร
ชายวัยกลางคนดูเป็นคนดีและเขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อแผนการของลูกสาวในขณะที่เขาทักทายเจสันที่เป็นมิตร
“สวัสดี เจสัน ฉันชื่อเฉิง ชารอน และฉันเป็นประธานของหอคอยช่างฝีมือ และยังเป็นช่างตีเหล็กอันดับ 5 เพียงคนเดียวในที่นี่”
รอยยิ้มของเฉิงดูจริงใจ และเจสันก็จับมือเขาด้วยรอยยิ้มที่สดใส และเฉิงแทบจะไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของเขาได้
“สวยจัง! คุณแน่ใจนะว่าคุณเป็นผู้ชาย?”
เขาถามทำให้เจสันขมวดคิ้ว
ตั้งแต่รับบัพติสมา ผิวของเขาดูเรียบเนียนขึ้นมาก และหากใบหน้าของเขาไม่คม ใครๆ ก็จะคิดว่าเขาเป็นผู้หญิงที่หน้าอกแบน
เมื่อมองไปที่เฉิง เจสันได้สงสัยว่าทำไมเฉิงนั้นไม่ได้เหมือนเขามากนัก แต่เมื่อนึกถึงความแตกต่างของอันดับระหว่างออริจินเฟลท เจสันกล่าวว่าบัพติศมาระดับ D ค่อนข้างอ่อนแอ และจะชำระล้างสิ่งเจือปนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่สิ่งที่ทำให้เฉิงและลูกสาวประหลาดใจคือเจสันดูไม่สะทกสะท้านกับความคิดเห็นของเขาว่าเขาเป็นประธานของหอคอยช่างฝีมือและช่างตีเหล็กอันดับ 5 เพียงคนเดียว
โดยปกติทุกคนต้องการเข้าหาพวกเขามากขึ้นเมื่อพบว่าเฉิงเป็นประธานหรือแอนทาเรียลูกสาวของเขา
แต่เจสันขมวดคิ้ว ซึ่งทำให้ความรู้สึกของเฉิงดีขึ้นในขณะที่เขาหัวเราะ
ขณะที่เฉิงหัวเราะ แอนทาเรียมองดูเจสันอย่างจริงจังและเธอก็เลี่ยงที่จะถามไม่ได้
“ทำไมไม่ตกใจเลยละ”
และคำตอบของเจสันทำให้เฉิงหยุดหัวเราะทันที ราวกับว่ามันติดอยู่ในลำคอของเขา
“ผมไม่คิดว่าประธานของหอคอยช่างฝีมือที่เป็นช่างตีเหล็กระดับ 5 จะมีออริจินเฟลมด้วย”
ทั้งแอนทาเรียและเฉิงมองเจสันด้วยดวงตาเบิกกว้าง เนื่องจากการมีอยู่ของออริจินเป็นความลับของครอบครัว และ เจสันทำได้เพียงแต่หัวเราะคิกคักและพูดว่า
“ถ้าคุณปลดปล่อยเปลวเพลิงแบบนั้น คนแบบผมที่ต้องมองเห็นมันได้อยู่แล้ว”
เจสันพูดถึงดวงตามานาของเขา
“เรามาเริ่มธุรกิจกันเลยไหม”
เจสันถามอย่างสุภาพและเฉิงพยักหน้าโดยไม่รู้ตัวโดยไม่สนใจว่าก่อนหน้านี้เขาต้องการสร้างอาวุธมานาจากชิ้นส่วนเฮเฟสติตที่เขาเตรียมไว้ให้เสร็จ
“คุณมาที่นี่เพื่อตรวจสอบบางอย่างใช่ไหม ถ้าลูกสาวของฉันพาคุณมาหาฉัน คุณต้องมีของแพงติดตัวไปด้วย โปรดแสดงให้ฉันดู!”
เฉิงมีจิตใต้สำนึกอย่างสุภาพต่อเจสันซึ่งมีอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น เนื่องจากไม่ใช่เรื่องปกติที่เยาวชนในวัยของเขาจะรู้จักออริจินเฟลมหรือวิธีการระบุตัวตน
‘บางทีเขาอาจจะเป็นทายาทจากเกาะอื่นหรือแม้แต่คาเนียร์ ใครจะไปรู้… อะไรก็เกิดขึ้นได้ และมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วย’
เฉิงคิดขณะจับเจสันอีกครั้ง
หลังจากได้รับบัพติศมา จิตใจของเจสันก็มีเหตุผลมากขึ้นกว่าเดิม และเขาไม่สนใจทัศนคติที่คนอื่นมอบให้เขามากเท่ากับเมื่อก่อน
ดังนั้นเขาจึงเข้าไปในอุปกรณ์เชิงพื้นที่ด้วยความคิดและนำสิ่งต่างๆ ออกไป: อาวุธหิน 215 ชิ้นพร้อมจารึกรูน, อาวุธเหล็ก 60 ชิ้นที่ทำจากแร่ไรโอไลต์, อาวุธระดับต่ำและกลาง 125 ชิ้นที่เคยเป็นของนักล่า, สามระดับสูงสุด- 1 อาวุธจากพวกฮ็อบก็อบลิน และในห้องใหญ่ซึ่งตอนนี้เกลื่อนไปด้วยอาวุธ
ในมือของเจสัน เราสามารถเห็นจี้ป้องกัน 15 อัน และด้วยรอยยิ้ม เขาแทบจะไม่สามารถดึงดูดความสนใจของช่างฝีมือทั้งสองที่อยู่ข้างหน้าเขาได้
แอนทาเรียไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเธอได้เพราะเกือบทั้งห้องเกลื่อนไปด้วยอาวุธ แต่ดูเหมือนว่ามีบางอย่างขาดหายไป?
ในขณะเดียวกัน ความคิดของเฉิงก็ต่างจากลูกสาวของเขาอย่างสิ้นเชิง
‘อาวุธหินที่มีอักษรรูน? เป็นของพวกก็อบบลินงั้นหรอ! ถึงแม้ว่ารูนเกือบทั้งหมดถูกทำลายโดยฝนที่กัดกร่อน…` เฉิงคิดในขณะที่เขาได้ยินเสียงลูกสาวของเขาแผ่วเบา
“ทั่งอยู่ที่ไหน”
*บูม*
เป็นเวลาเย็นแล้วและผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายได้ต่อสู้กัน และเซรอนได้มอบยาเพิ่มพลังให้เจสันอีกสองขวดแล้ว เนื่องจากการต่อสู้ของพวกเขาดูเหมือนจะเหนื่อยมากขึ้นหลังจากที่ต่อสู้มาติดต่อกัน
ทั้งสองไม่สามารถแม้แต่จะเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป แม้ว่าจิตใจของพวกเขาจะยังทำงานด้วยความเร็วเต็มที่ ขณะที่พวกเขาจำลองการต่อสู้ พวกเขาก็นอนราบกับพื้น
เมื่อไม่มีความสามารถในการเคลื่อนไหวอีกต่อไป นั่นเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้เพราะจิตใจของพวกเขาเป็นสิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะได้ผล
การสร้างการต่อสู้ขึ้นใหม่เป็นวิธีหนึ่งในการปรับปรุงประสบการณ์การต่อสู้ และเจสันคิดว่าการต่อสู้กว่า 100 ครั้งที่เขาทำในวันนี้ได้เพิ่มการสังเกตและการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของเขาอย่างมาก ในขณะที่เขารู้สึกสบายตัวหลังจากได้รับการชำระล้าง
โดยรวมแล้วไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นจากการบัพติศมาเท่านั้น แต่ยังเพิ่มการไหลเวียนมานาของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งช่วยเพิ่มความเชี่ยวชาญในเทคนิคของเขาและแม้กระทั่งการเติมเต็มและการดูดซับมานาแบบพาสซีฟของเขาซึ่งทำโดยพื้นที่ย่อยของเขา
เจสันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาแทบจะไม่สามารถฝืนยิ้มบนใบหน้าได้
ทิลล์ได้ปล่อยให้นักเรียนคนอื่นๆ กลับบ้านได้ ขณะที่เขาหยิบเจสันและเซรอนขึ้นมาโดยมีปีกสีขาวทองปรากฏอยู่บนหลังของเขา
เขาพาทั้งสองคนกลับบ้าน ขณะที่เซรอนถูกส่งไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งมีสาวใช้รออยู่แล้ว
เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาที่สกปรกและไม่เรียบร้อยของเซรอน เธอก็เกิดขาอ่อนขึ้นมา เธอมองดูทิลล์อย่างหวาดกลัว ก่อนที่เธอจะจะพาเซรอนเข้าไปข้างใน
เจสันมองทิลล์ที่กำลังครุ่นคิดอยู่ลึกๆ และก่อนที่เจสันจะพูดอะไรก็ได้ที่ทิลล์พูด
“ฉันคิดว่าตอนนี้คุณเป็นลูกศิษย์ของเชนแล้ว… คุณไม่จำเป็นพูดอะไร แต่จำไว้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง
แต่จงพิจารณาว่าคุณสามารถดึงพวกเฟลอร์เข้ามาในการตัดสินใจนี้ด้วย …คุณเคยคิดเรื่องนี้หรือไม่”
ทิลล์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและ เจสันก็ลืมไปแล้วว่าเขาอาจดึงพวกเฟลอร์เข้าสู่การต่อสู้โดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้หน้าของเขาเกิดครุ่นคิด… เขาคิดแต่เรื่องของตัวเองและไม่รู้ว่าตอนนี้เขาควรทำอย่างไร
แต่ทุกอย่างได้ทำไปแล้วและเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ
สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือถามอาจารย์ของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากเขาไม่อยากเห็นพวกเฟลอร์ได้รับบาดเจ็บเพราะการกระทำที่ผิดของเขา
เจสันพยักหน้าอย่างจริงจังก่อนที่เขาแทบจะไม่เปิดปากและพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“เกิดอะไรขึ้นกับภารกิจของโรงเรียนและอื่นๆ ผมยังสามารถรับคะแนนลูกไม้สำหรับก็อบลินและอาวุธที่มีอักษรรูนจากพวกก็อบบลินอยู่หรือเปล่า”
ทิลล์มองเจสันด้วยสีหน้างุนงง
‘อยากคุยเรื่องนั้นเหรอ? การคุ้มครองครอบครัวเฟลอร์สำคัญกว่าไม่ใช่เหรอ’
แต่เขาเพิกเฉยต่อความคิดนี้ในขณะที่เขาคิดว่าเจสันคงได้ถามเชนเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว
ทิลล์ตอบว่า:
“คุณจะยังได้รับรางวัลเหมือนเดิม ข้อเสียอย่างเดียวคือ อาวุธหินที่มีอักษรรูนนั้นมีค่าน้อยกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย และจี้ป้องกันของพวกมันก็เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม คุณจะยังคงได้สิ่งตอบแทนจากของเหล่านั้น เพราะอักษรรูนส่วนใหญ่ที่จารึกไว้บนอาวุธหินสึกกร่อนเนื่องจากเมฆฝนที่เป็นพิษ
พรุ่งนี้คุณสามารถไปที่หอคอยช่างฝีมือได้ และฉันคิดว่าว่าคุณจะผิดหวังกับสิ่งที่คุณได้รับ”
คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่ารัฐบาลยังคงต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้เชน 20% สำหรับวัสดุทั้งหมดที่พวกเขาได้รับจากห้องใต้ดินก็อบลิน
“โปรดบอกท่าแบลร์ว่าว่าเขาควรบอกเราว่าเราควรส่งโน้ตสตาร์และเครดิตไปที่ใด… เราต้องขอบคุณเขาเป็นอย่างมาก และโชคดีที่เมืองไซโรยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง แม้ว่าเราจะมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก .”
“อ๊ะ!”
ขณะที่พวกเขากำลังบิน เจสันยังจำได้ว่าเชนต้องได้รับค่าคอมมิชชั่นจากห้องใต้ดินก็อบลิน แต่เขาคิดว่าการส่งเงินไปยังบัญชีธนาคารของเขาอย่างที่เชนต้องการนั้นน่าสงสัยเกินไป
เจสันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่
“ให้สตาร์โน๊ตและเครดิตในวงแหวนอวกาศ.. อ่า ได้โปรดอย่าพยายามหาฐานของเขา ตาของผมสามารถเห็นอุปกรณ์ GPS และอื่นๆ ได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ”
ทิลล์พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ แต่เขาต้องยอมรับว่าเจสันไม่ได้โง่อย่างแน่นอน โชคที่เชนจะได้รับนั้นมหาศาลและถึงกับต้องพูดว่าเขาอิจฉามัน แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำได้
เชน แบลร์ช่วยชีวิตทั้งเกาะในที่สุด ไม่เช่นนั้นผู้เฒ่าเดร็กคงจะถูกฆ่าตายและเมืองทั้งเมืองคงจะต้องพังทลาย
แม้ว่าเขาจะอยู่บนแอสทริกซ์ แต่เขาก็แทบจะไม่สามารถฆ่าราชาก็อบบลินได้ และตามจริงแล้วที่ทิลล์สามารถเอาชนะราชาก็อบบลินได้เป็นเพราะอุปกรณ์จากเชน
มิฉะนั้น ราชาก็อบลินคงจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
“ครูครับ? ผมนขอคะแนนลูกไม้จากครูได้ไหม ฉันไม่อยากไปโรงเรียนพรุ่งนี้เช้าและหอคอยช่างฝีมือก็อยู่ห่างจากโรงเรียนค่อนข้างไกล”
ทิลล์เลิกคิดและเขาก็พยักหน้าเพียงเพราะไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธข้อเสนอของเจสัน และเพียงไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็ลงจอดที่หน้าบ้านของเฟลอร์
พวกเขาแลกเปลี่ยนทหารก็อบลิน นักเวทย์ก็อบลิน และซากศพของฮ็อบก็อบลินที่ถนนแห่งหนึ่งซึ่งเพื่อนบ้านของเขามองเห็นและตกตะลึง ก่อนที่เจสันจะได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับสร้อยข้อมือควอนตัมของเขา
ประวัติโรงเรียนของเขาได้รับการอัปเดต และตอนนี้เจสันมีคะแนนลูกไม้ 100 คะแนน ซึ่งเทียบได้กับความมั่งคั่งที่ห้อยอยู่รอบคอของเขาในเรือนกระจก ทำให้เขายิ้มแห้งๆ
สร้อยข้อมือควอนตัมของเขาเต็มไปด้วยอาวุธหินสลักและวัสดุการตีจนเต็มไปหมด แต่เขาลังเลที่จะขายวัสดุการตีเพราะเขาจะเรียนรู้วิธีการตีเร็วพอ
สิ่งเดียวที่เขาไม่ชอบเลยคือทั่งที่ไม่น่าดูอย่างยิ่งซึ่งหนักกว่าสิ่งใดๆ ที่เขาเคยยกขึ้น
เจสันบอกลาทิลล์ที่มองเขาด้วยแววตาสนใจก่อนจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
เมื่อมองไปที่ทิลล์ที่บินอย่างว่องไว เจสันก็อยากจะบินได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เมื่อเขาเข้าไปในบ้าน โดยคิดว่าจะบินไปรอบๆ ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
เจสันทักทายกาเบรียลลาและมาร์คซึ่งนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะอาหารค่ำและนั่งลงกับพวกเขาเพื่อรับประทานอาหารบางอย่าง
เห็นได้ชัดว่าเกร็กกำลังดูดซับมานาราวกับว่าเขากำลังหมกมุ่นอยู่ หลังจากที่พลังของเจสันเพิ่มขึ้น
แม้แต่มาเลียก็ยังรู้สึกท่วมท้นกับความแข็งแกร่งที่พุ่งสูงขึ้นของเจสัน ทำให้เธอมีสมาธิกับการเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองมากขึ้นแทนที่จะช่วยเจสันด้วยการตอบคำถามตลอดเวลา
เมื่อเจสันกินข้าวกับกาเบรียลลาและมาร์คก่อนจะกลับขึ้นไปที่ห้องของเขา เขานั่งลงบนเตียงอย่างระมัดระวังก่อนที่จะฝึกเทคนิคนรกสวรรค์
หลังจากนั้น เขารู้สึกหมดแรงอย่างมาก และหลังจากให้อาหารสกอร์พิโอด้วยความแข็งแกร่งที่เหลืออยู่ เจสันก็หลับสนิท
***
เมื่อเวลา 8.00 น. เจสันตื่นขึ้นมาด้วยเหล็กไนอันน่ารักที่ทิ่มแทง และเขาเห็นสกอร์พิโอที่มองมาที่เขาอย่างตั้งใจขณะส่งความปรารถนาจะกินอะไรบางอย่าง
เจสันให้อาหารสกอร์พิโอและให้หินมานาก้อนเล็กๆให้มันสามารถดูดซับได้บางส่วน เจสันตรวจสอบสายใยวิญญาณของเขาในขณะที่เขาสังเกตเห็นว่าเกล็ดของมันดูแข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่มันมีความยาวถึง 16 เซนติเมตร
แกนมานาที่ไม่สมบูรณ์ของมันได้บอกเจสันว่าอีกไม่นานสกอร์พิโอจะไปถึงอันดับสัตว์ป่าระดับห้าดาว และเจสันมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีว่าเมื่ออาร์เทมิสตื่นขึ้นมาพร้อมกับตอนนั้นจะเป็นยังไง และเจสันเขาก็เรียกรถรับส่งทันที
ภายในรถรับส่งเขาจะฝึกเทคนิคเฮฟเว่นเฮล
แต่ก่อนที่กระสวยจะมาถึง เจสันก็ออกกำลังกายและอาบน้ำ
เมื่อเข้าไปในรถรับส่งและฝึกเทคนิคเฮฟเว่นเฮล เจสันตั้งข้อสังเกตว่าพลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 15.4 ซึ่งทำให้เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หากการเพิ่มพลังวิญญาณของเขายังคงเท่าเดิม เขาจะไปถึง 16 หน่วยภายในวันศุกร์ ซึ่งอาจเพียงพอสำหรับทั้งอาร์เทมิสแลสกอร์พิโอ
อย่างน้อยเจสันก็หวังเช่นนั้น
เมื่อไปถึงที่หมาย เขาก็มองเห็นหอคอยขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าเขาด้วยขนาดไม่กี่ร้อยเมตร ทำจากแก้วนิรภัยและหินอ่อน โดยวัสดุทั้งคู่เป็นระดับ 2
เมื่อมองขึ้นไป เจสันก็เกิดอาการวิงเวียนศีรษะและเขาเกือบจะสูญเสียการทรงตัว
เจสันแทบจะไม่สามารถยืนได้ เขาเข้าไปในหอคอยช่างฝีมือ ซึ่งเขาถูกยามที่ประตูหน้าขัดขวางทันที
เห็นได้ชัดว่าหอคอยช่างฝีมือมีศัตรูไม่กี่คนและบางคนก็พยายามจะวางระเบิดหอคอย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม และเจสันพบว่าสิ่งนี้เกินจริงไปหน่อย
แต่เขาไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกต่อไป และอุปกรณ์จัดเก็บสร้อยข้อมือควอนตัมของเขาถูกสแกน มีเพียงยามเท่านั้นที่จะมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง ขณะที่ยามมอบสร้อยข้อมือกลับคืนด้วยมือที่สั่นเทา
เห็นได้ชัดว่าเขาได้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในของอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลของเขาที่อัดแน่นไปด้วยแร่ราคาแพง ไม่ค่อยมีคนสามารถซื้อได้ และทั่งที่ใหญ่โตมโหฬารก็เป็นภาพที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่า
ทหารรักษาการณ์สร้างพื้นที่ให้เจสัน เพราะเขาคิดว่าเด็กหนุ่มผมดำที่อยู่ข้างหน้าเขาอาจเป็นศิษย์ของช่างตีเหล็กระดับสูงหรืออะไรทำนองนั้น
การหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นมาดูถูกเจสัน คือสิ่งสำคัญที่สุดของเขาเสมอ มิฉะนั้น เขาอาจถึงกับเสียชีวิตได้ถ้าเขาทำอะไรผิด
เมื่อเข้าสู่หอคอยช่างฝีมือของเมืองไซโร เจสันอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาขณะมองไปรอบๆ
โถงทางเข้าทั้งหมดเต็มไปด้วยมานาหนาแน่นและความรู้สึกภายในสามารถอธิบายได้ว่าเย็นและผ่อนคลายอย่างยิ่ง
เมื่อเดินไปที่แผนกต้อนรับ เจสันขอให้พนักงานประเมินค่าวัสดุและอาวุธบางอย่างของเขา
พนักงานต้อนรับมองไปที่บัตรประจำตัวของเจสันที่เขาส่งให้เธอ และเธอทำได้เพียงมองดูบัตรประจำตัวและบุคคลที่อยู่ข้างหน้าเธออย่างประหลาด
‘รูปนั้นเก่าหรือเปล่า? เขาเพิ่งจะอายุ 14 ขวบเองนะ?!’
เธอสงสัยในสายตาของเธอและมองไปที่รูปบัตรประจำตัวโฮโลแกรมของเขาและเจสันที่อยู่ตรงหน้าเธอ สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่เมื่อสังเกตว่าเขาอายุเพียง 14 ปี เธอสงสัยว่าจะต้องให้ใครมาตรวจสอบหรือไม่
ด้วยจิตวิญญาณในการทำงานของเธอ เธอจะไม่ยอมให้ผู้ตรวจการที่เคารพนับถือคนใดของเธอเสียเวลากับสิ่งที่ไม่คู่ควร
เมื่อมีอคติเล็กๆ น้อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจเธอ โดยบอกกับเธอว่าเจสันไม่มีอะไรคู่ควรกับเขาเพราะเขาไม่ได้มาจากครอบครัวหรือกลุ่มที่ได้รับการต่ออายุ ซึ่งมิฉะนั้นจะระบุในบัตรประจำตัวของเขา
ในขณะเดียวกัน เจสันก็สงสัยว่าทำไมท่าทางของพนักงานต้อนรับจึงดูจริงจังในไม่กี่วินาที
“ก่อนที่ฉันจะให้คุณผ่านไปยังผู้ตรวจการได้ ฉันต้องดูก่อนว่ารายการที่คุณต้องการประเมินนั้นคุ้มที่จะเรียกมันหรือไม่ กรุณาแสดงให้ฉันเห็นสิ่งที่คุณต้องการตรวจสอบ!!”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา…
“ที่นี่?”
เจสันถามอย่างลังเลและพนักงานต้อนรับก็หัวเราะอย่างเย็นชาในใจว่า
“ค่ะ!”
“ตกลง….”
โดยไม่สนใจทัศนคติของพนักงานต้อนรับ เจสันเข้าไปในกำไลควอนตัมด้วยความคิด และทันใดนั้นด้วยเสียง *บูม* อันดัง ทั่งหนักสองสามตันตกลงบนพื้น ทำให้เกิดรอยแตกหลายจุดบนพื้นหินอ่อนที่เสริมความแข็งแกร่งด้วยอักษรรูนที่แข็งแกร่ง
“อุ้ยยย.”
เนื่องจากความเร็วในการเติมมานาที่รวดเร็วของเขา เจสันจึงตัดสินใจใช้เทคนิคการเคลื่อนไหวก้าวแบบไร้น้ำหนักอย่างเต็มที่ เพื่อพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ทั้งสองของเขา ซึ่งทั้งคู่อยู่ในระดับผู้ชำนาญ 2 และจากการได้รับพลังจากพันธะวิญญาณ ทำให้พวกเขามีความสามารถระดับผู้ชำนาญ 3
แม้ว่าเจสันจะอยู่เพียงผู้ชำนาญ 1 เนื่องจากการชำระล้างจากเปลวไฟต้นกำเนิดสีดำ ความแข็งแกร่งและขนาดแกนของมานาของเขาจึงเทียบได้กับระผู้ชำนาญ 4
ดังนั้นเขาจึงแข็งแกร่งและเร็วกว่าคู่ต่อสู้สองคนแรกของเขา
ก้าวเดินอย่างไร้น้ำหนัก ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้น 20%
เจสันสะท้อนจากโจมตีจากหอกตรงของคู่ต่อสู้ด้วยมีดสั้นหนึ่งเล่ม เขาเอนตัวลงไปที่พื้น ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวต่อหน้าผู้ถือหอก
เจสันเห็นแต่ความตกใจบนใบหน้าของคู่ต่อสู้ ขณะที่เขากรีดคอของคู่ต่อสู้ด้วยกริชทื่อ
คนถือหอกถอยหลังหนึ่งก้าว ขาของเขาเริ่มสั่น และยอมแพ้
เจสันไม่สนใจคู่ต่อสู้ที่ ‘ตาย’ ของเขา และเขาเห็นเซรอนโจมตีคู่ต่อสู้ของเขาโดยไม่ใช้มานาใดๆ ขณะที่เจสันปรากฏตัวขึ้นหลังผู้ถือดาบและจัดการอย่างง่ายๆ
ตอนนี้ การรักษามานาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้มีความสำคัญมากกว่า อย่างน้อยสำหรับเซรอนในขณะที่ เจสันสามารถใช้ได้เกือบเท่าที่เขาต้องการ ซึ่งทำให้เซรอนรู้สึกอิจฉานิดๆ
พันธะวิญญาณของเขามหดพลังแล้วและไม่สามารถเพิ่มมานาให้กับเซรอนได้ ในขณะที่เจสันสามารถต่อสู้จนสุดหัวใจด้วยการปรับเล็กน้อย
เขาต้องปรับรูปแบบการต่อสู้มากกว่าเจสันและด้วยเหตุนี้ การต่อสู้ของเจสันจึงดูเชี่ยวชาญและสง่างามมากกว่า
ดูเหมือนว่ามานาของเจสันจะไร้ขีดจำกัด และทั้งเซรอนและเจสันก็ดูดีในการจัดการคนไป 20 คนติดต่อกัน มีเพียงเหงื่อที่ไหลผ่านขมับของพวกเขา
เพื่อนร่วมชั้นของพวกเขามองดูพวกเขาราวกับว่าสัตว์ร้ายระดับลอร์ดสองตัวปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา และพวกเขาสงสัยว่าจู่ๆ สัตว์ประหลาดสองตัวนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นในชั้นเรียนของพวกเขาโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวได้อย่างไร
เวลาผ่านไปและเมื่อการต่อสู้คั้งที่ 50 เริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เจสันเริ่มปรับรูปแบบการต่อสู้ของเขาให้มากขึ้นอีกเล็กน้อย ขณะที่เซรอนก็หมดแรงอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน
ทันใดนั้นที่การต่อสู้ที่ 51 กับ ลีโอ ฮาร์ทและนักเรียนที่มีระดับสูงอีกคนในชั้นเรียนก็เข้าสู่สนามประลอง
ด้วยแกนมานาระดับ 5 และร่างกายที่ใหญ่กว่า พวกเขาอยู่ในอันดับที่ 6 และ 7 ตามลำดับ และเจสันก็ขมวดคิ้ว
“ฉันจะจัดการเอิร์ก”
เจสันพูดกับเซรอน ซึ่งเซรอนทำได้เพียงพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้
ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขานั้นดีมากเมื่อเทียบกับระดับแกนมานา แต่ถึงแม้จะเป็นกรณีนี้ ความแตกต่างในระดับแกนมานาและร่างกายของพวกเขาแตกต่างอย่างชัดเจน
นอกจากนั้น พวกเขาได้ต่อสู้มาแล้ว 51 ครั้ง ซึ่งได้ใช้พลังงานส่วนใหญ่ไปแล้ว
เมื่อมองไปที่ทิลล์ เซรอนได้แต่คร่ำครวญในใจ
‘อาจารย์ต้องการอะไร หรือเขากำลังคิดอะไรอยู่ อาจารย์!’
เขาถามในใจเมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น
เมื่อเอนไปข้างหน้า เจสันก็พุ่งเข้าหาเอิร์ก นักเรียนที่มีแกนมานาขนาดเท่ากับผู้ชำนาญ 7 ขณะที่เขาปล่อยเปลวไฟสีแดงสดที่ห่อหุ้มแขนของเขา
เอิร์กได้รับความสัมพันธ์ทางไฟจากสัตว์ร้ายที่มีวิวัฒนาการต่ำและเขาภูมิใจในความแข็งแกร่งของเขาอย่างมาก
แต่เมื่อเขาถูกจัดให้อยู่ในห้อง 75 ความภาคภูมิใจในตนเองของเขาดูเหมือนจะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากเขาไม่สามารถเข้าใจถึงความไม่ยุติธรรมแบบนี้ได้
เขาคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะ เขาไม่แม้แต่จะเข้าใจด้วยซ้ำว่าการปลุกจิตวิญญาณของเขามีแนวโน้มที่จะว่างถึง 3 ตำแหน่งและและมีสิ่งเดียวก็คือการมีธาตุสัมพันธ์กับไฟ
สิ่งเดียวที่ค่อนข้างดีเกี่ยวกับการปลุกจิตวิญญาณของเขาคือพลังงานวิญญาณของเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็แทบจะไม่สามารถนับได้ว่าเป็นไปตามข้อกำหนด
ด้วยระดับแกนมานาที่ค่อนข้างสูง เขามีความมั่นใจในการเอาชนะใครก็ได้ในห้องและแม้กระทั่งห้องที่สูงกว่า แต่ตอนนี้ตัวตลกสองคนที่อยู่ข้างหน้าเขา ขโมยความสนใจที่เขาต้องการที่จะได้รับ
เอิร์กต้องการได้รับคำชมจากอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้นของเขา ดังนั้นเขาจึงทุ่มสุดตัวและเปลวเพลิงที่ห่อหุ้มแขนของเขาก็สั่นสะท้านด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า
เจสันรู้ดีว่าคู่ต่อสู้ของเขามีความนั่นมีพลังธาตุไฟ ซึ่งในขณะเดียวกันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกคู่ต่อสู้คนนี้
ในมือของเอิร์กถือดาบยาว มันเป็นหนึ่งในอาวุธธรรมดาที่สุดชนิดหนึ่งที่นักล่าส่วนใหญ่ใช้และเจสันยิ้มกว้างขึ้น ทำให้ เอิร์กรู้สึกอับอายและโกรธเคืองมากขึ้นไปอีก
เอิร์กขว้างลูกไฟมาใส่เจสันโดยไม่ได้เล็งอะไรมาก ในขณะที่เจสันได้หลบลูกไฟอย่างง่ายดาย
ด้วยฝีเท้าที่ไร้น้ำหนัก เจสันมีความคล่องตัวอย่างมากและสามารถหลบหลีกลูกไฟที่ค่อนข้างช้าจากเอิร์กได้อย่างง่ายดาย ซึ่งทำให้คู่ต่อสู้ของเขาโกรธจัดมากยิ่งขึ้น
เนื่องจากเจสันอยู่ห่างจากเอิร์กเพียงห้าเมตร เขาจึงใช้ทักษะไฟร์วอลล์มาข้างหน้าเขา ก่อนที่เขาจะทะลุผ่านไฟร์วอลล์ของตัวเอง
ไฟร์วอลล์ควรปิดบังการโจมตีของเขาและกลยุทธ์นี้ใช้ได้ผลภายใต้สถานการณ์ปกติ
โชคไม่ดีที่สิ่งนี้ใช้ไม่ได้กับเจสัน ผู้ซึ่งใช้มานามานาตลอดในการต่อสู้
เมื่อเห็นดาบยาวทะลุผ่านไฟร์วอลล์ เจสันก็หลบการโจมตี
ไฟร์วอลล์ยังคงอยู่แม้ว่าส่วนบนจะถูกตัดและสลายไป
เอิร์กได้จัดหามานาให้กับส่วนล่างของไฟร์วอลล์เพราะเขาต้องการให้มีเวลาเพียงพอ เพื่อเข้าสู่ท่าต่อสู้ของเขาอีกครั้ง
เขารู้ได้อย่างไรว่าเจสันไม่สนใจไฟร์วอลล์อันดับต่ำ เพราะเนื่องจากเจสันที่ครอบครองออริจินเฟลม ทำให้เขานั้นสามารถทนทานเปลวไฟที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าได้
ไฟร์วอลล์ที่เป็นเครื่องกีดขวางถูกเพิกเฉยอย่างสมบูรณ์ และเจสันก็พุ่งผ่านเข้าไปในขณะที่ผมของเขาไม่ไหม้เกรียม ซึ่งเป็นความจริงที่น่าอัศจรรย์ก่อนที่กริชของเขาจะตัดผ่านน่องของเอิร์ก
เจสันจบการเคลื่อนไหวที่ราบรื่นของเขาด้วยฟันกริชไปที่คอของเอิร์ก ซึ่ง “ฆ่า” เขาภายในไม่กี่วินาที
แม้ว่าเจสันรู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ค่อนข้างสั้น แต่เขารู้สึกผิดหวังกับประสบการณ์การต่อสู้ของเอิร์ก และกลวิธีโง่ ๆ ทำให้เขาคร่ำครวญถึงความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยของโรงเรียน
ด้วยมานาที่เหลืออยู่ภายในแกนมานาของเขา เจสันเพิกเฉยต่อการจ้องมองของเอิร์กที่กำลังโกรธแค้น ในขณะที่เจสันพุ่งเข้าหาด้านหลังของลีโอ
เมื่อลีโอกับเขาอยู่ห่างกันสองเมตร กำแพงดินก็โผล่ขึ้นมากั้นระหว่างเขาทั้งสอง
เซรอนกำลังต่อสู้กับลีโอแบบตัวต่อตัว โดยสำรองมานาบางส่วนของเขาไว้ และจิตวิญญาณนักสู้ของเขาก็จุดประกายขึ้นอีกครั้งเมื่อเขาเห็นว่าเจสันเข้ามาใกล้พวกเขา
เขาไม่ต้องการรอเจสัน แต่เมื่อเขากำลังจะพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้อีกครั้งเซรอน ก็สังเกตเห็นว่าลีโอสร้างกำแพงดินไว้ข้างหลังเขา และลางสังหรณ์ที่ไม่ดีก็ก่อตัวขึ้นในใจของเขา
“อย่านะเจสัน !!”
เซรอนตะโกนเมื่อเขาเห็นดวงตาสีทองส่องประกายออกมาจากด้านขวาของกำแพง พร้อมกับกริชของเขาพร้อมที่จะพุ่งเข้าหาลีโอ
เซรอนไม่ชอบให้เจสันได้รับคำชมทั้งหมด และเขาเองอยู่ห่างจากคู่ต่อสู้เพียงไม่กี่เมตร
เมื่อเปิดใช้เทคนิคการเคลื่อนไหวบนท้องฟ้า เขาก็ปรากฏตัวต่อหน้าลีโอ และเนื่องจากแรงกดดันจากทั้งสองฝ่าย ลีโอจึงรู้สึกท่วมท้นอย่างเต็มที่ขณะที่เขาปกคลุมตัวเองด้วยเมมเบรนดินหนา
โชคไม่ดีที่สิ่งนี้ค่อนข้างจะไร้ประโยชน์ เมื่อเซรอนเปิดใช้งานเทคนิคดาบของเขา ทำให้แผ่นดินที่ปกคุลมร่างของลีโอถูกแยกออก ก่อนที่เจสันจะปรากฏตัวใต้ตัวของเซรอน และแทงเข้าไปที่หน้าอกของลีโอเพื่อจัดการ
เจสันและเซรอนชนะการต่อสู้อีกครั้ง และพวกเขายิ้มอย่างหมดแรง แม้ว่าเซรอนจะโกรธ ซึ่งเขาแสดงโดยการต่อย เซรอนที่ไหล่ของเขาด้วยแรงด้านหลัง
“อย่าขโมยเหยื่อของฉัน”
เขาพูดหัวเราะเบา ๆ เมื่อพวกเขากลับไปที่ตำแหน่งเริ่มต้น
ยังมีการต่อสู้อยู่ข้างหน้าพวกเขามากกว่า 50 ครั้ง อย่างน้อยตราบเท่าที่ทุกคนต้องการต่อสู้กับพวกเขา ซึ่งทั้งสองก็ไม่ได้หวังไว้
หลังจากต่อสู้กับลีโอและเอิร์กซึ่งเป็นหนึ่งในนักเรียน 5 อันดับแรกในชั้นเรียน นักเรียนคนอื่นๆ ต่างก็หมดกำลังใจและไม่มีใครอยากต่อสู้กับพวกเขา ยกเว้นนักเรียนชั้นนำคนอื่นๆ ที่ต้องการฟื้นชื่อเสียงของพวกเขา
ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นเซรอนหยิบน้ำยาสีส้มแดงออกมาสองอัน
ขณะที่กลืนกินเข้าไปหนึ่ง เขาก็ให้เจสันอีกตัวหนึ่ง ซึ่งทำให้พวกเขาสงสัยในความยุติธรรมของการต่อสู้ครั้งนี้
และคร่ำครวญถึงครูของพวกเขา คำตอบเดียวที่นักเรียนชั้นนำเหล่านี้ได้รับคือ:
“ก่อนอื่นพวกคุณแสดงให้ฉันเห็นก่อนว่า พวกคุณสามารถที่จะยืดหยัดต่อสู้กับคน 50 คนอย่างต่อเนื่องได้ก่อนโดยไม่ใช้น้ำยาเพิ่มพลัง แต่ถ้าหากทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาพูดเรื่องนี้กับฉัน”
คำพูดนี้ทำให้นักเรียนพวกนั้นเงียบลงทันที โดยไม่มีใครบ่นเกี่ยวกับเจสันและเซรอนอีกต่อไป
เจสันดีใจที่ได้รับน้ำยาเติมพลังจากเซรอนนื่องจากตัวเขาเองไม่มีน้ำยาใดๆ ซึ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดและต้องหามาใช้ในไม่ช้า
เมื่อกลืนของเหลวลงไป พลังงานของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเขาก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างมากภายในเวลาไม่กี่วินาที
เช่นเดียวกันอาจกล่าวได้สำหรับเซรอน และนักเรียนชั้นยอดมองดูพวกเขาด้วยความกลัว ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาจะสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กทั้งสอง
ทิลล์เห็นสิ่งนี้และพูดว่า
“ฉันเพิ่มรางวัลสำหรับการเอาชนะเซรอน และเจสัน เป็นคะแนนเลช 100 คะแนน และใครสามารถยืดหยัดต่อสู้ได้ถึง 5 นาที จะได้รับคะแนนเลช 50 คะแนน”
คำพูดนี้ทำให้เยาวชนหลายคนมองดูเซรอนและเจสันด้วยความโลภมากกว่าเดิม และไม่สำคัญว่าพวกเขาจะแพ้ ตราบใดที่พวกเขารอดมาได้ห้านาที พวกเขาก็จะได้รับ 50 คะแนน
ด้วยโชคเล็กๆ น้อยๆ นี้ พวกเขาสามารถซื้อเทคนิคการต่อสู้ใหม่หรือของหายากที่คล้ายกันได้ในเวลาที่สั้นกว่ามาก
เมื่อเข้าสู่สนามรบทีละคน เจสันและเซรอนมองทิลล์อย่างรำคาญ
หากการชำเลืองมองสามารถฆ่าได้ ทิลล์คงตายไปหลายร้อยครั้งในตอนนี้
ในท้ายที่สุด ทั้งคู่ก็ทำได้เพียงมอง ในขณะที่ทั้งคู่เตรียมที่จะต่อสู้ต่อไป
*บูม* ฝุ่นหนาทึบลอยขึ้นปกคลุมพื้นที่การต่อสู้ทั้งหมดขณะที่ทิลล์พุ่งเข้าหาพวกเขา เพื่อดูว่าเจสันสบายดีหรือไม่เพราะมองไม่เห็นเปลวไฟสีดำ
ออริจินเฟลมสีดำของเจสันนั้นแข็งแกร่งพอ ๆ กับธาตุไฟอันดับสูงสุดและการทำลายรังสีดาบนั้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องยากของออริจินเฟลม
อย่างไรก็ตาม เจสันไม่เคยใช้มันมาก่อน
ดังนั้นเขาจึงสามารถเรียกเปลวไฟในวินาทีสุดท้ายก่อนที่แสงกระบี่จะมาถึง
จากภายนอก ดูเหมือนเจสันกำลังจะบังลำแสงดาบด้วยมือของเขา ซึ่งมันช่างโง่เขลาเกินกว่าจะจินตนาการได้ ทำให้ทิลล์พุ่งเข้าหาพวกเขา
หากมีอะไรเกิดขึ้น ทิลล์จะโยนเจสันลงในแคปซูลกาลเวลาทันทีและทุ่มเททุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้เขามีชีวิตอยู่
*** แคปซูลกาลเวลา มากจากคำว่า freezing capsule ซึ่งหมายถึงใครก็ตามที่อยู่ในแคปซูลจะถูกหยุดเวลา
และถูกแช่แข็งเอาไว้ ***
อย่างไรก็ตามเมื่อเมฆฝุ่นหายไปทิลล์ยืนอยู่ที่ที่เจสันควรยืนอยู่ เขาเห็นเจสันอยู่ตรงหน้าเซรอนดวงตาของเขาเบิกกว้างและมองไปที่เจสัน
หลังจากใช้ความสามารถของสายวิญญาณหลายครั้งแล้ว นอกเหนือจากเทคนิคดาบที่อันตรายที่สุดของเขาแล้ว มานาของเซรอนก็ถูกใช้จนหมด และการเห็นว่าเจสันนั้นปกติดี ซึ่งทำให้ทิลล์รู้สึกสับสน
เขาไม่สามารถพูดอะไรได้ก่อนที่เจสันจะพูดว่า
“วันนี้เป็นชัยชนะของฉัน”
ด้วยรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าของเขา
เมื่อเก็บมีดสั้นในมือของเขาเจสันก็ช่วยพยุงเซรอนที่หมดแรงอย่างมากที่จะออกจากพื้นที่การต่อสู้ที่พวกเขาในขณะที่ทิลล์มองเจสันอย่างสับสนและประหลาดใจ
‘ความแข็งแกร่งของเขาแข็งแกร่งกว่าเมื่อ 3 วันก่อนมากแค่ไหน? รังสีดาบของเซรอนควรจะไปถึงพลังของการโจมตีระดับวิวัฒนาการแล้ว!’
เห็นได้ชัดว่าเจสันไม่สามารถทำลายรังสีของดาบด้วยมือเปล่าได้ ดังนั้นจึงต้องมีบางอย่างที่แตกต่างออกไป ทิลล์ไม่สามารถรู้ได้ว่ามันคืออะไร
เจสันและเซรอนพยุงซึ่งกันและกันขณะที่พวกเขาออกจากสนามรบ ขณะที่เพื่อนร่วมชั้นมองดูพวกเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างและร่องรอยความตกใจที่เน้นย้ำถึงความประหลาดใจที่เห็นได้ชัดของพวกเขา
เพื่อนร่วมชั้นบางคนถึงกับทำอาวุธหล่นโดยไม่ตั้งใจขณะสังเกตการปะทะที่รุนแรงของเซรอนและเจสัน
พวกเขานั่งลงที่ฝั่งใกล้ ๆ ในห้องโถงและไม่ได้พูดคุยกันสักระยะหนึ่งโดยไม่สนใจผู้เห็นเหตุการณ์
ความเงียบนั้นน่าอึดอัดใจ แต่คำถามที่ผุดขึ้นในหัวของพวกเขาสามารถตอบได้โดยการเปิดเผยความลับของกันและกันและอย่างไม่ต้องร้องขอ
ในท้ายที่สุดเจสันตัดสินใจที่จะไม่ถามเซรอนเกี่ยวกับสายใยวิญญาณของเขา และแทนที่จะให้คำชมนั้นเหมาะสมเพราะพันธะวิญญาณของเซรอนนั่นค่อนข้างแข็งแกร่ง
ในระหว่างการต่อสู้ทั้งหมดเซรอนได้เติมมานาของเขาอย่างน้อยสิบครั้งในขณะที่เจสันต้องลดการใช้มานาของเขาแม้ว่าเขาจะมีเทคนิคการรวบรวมมานาแบบพาสซีฟก็ตาม
เจสันถอนหายใจ
“การต่อสู้ของเราดีมาก และความสามารถของสายใยวิญญาณของนายก็คาดไม่ถึงจริงๆ!”
เจสันพยายามทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดใจและเซรอนตอบอย่างจริงจัง
“มันก็นานมากแล้วที่ฉันได้ต่อสู้กับเพื่อน ๆ ของฉันโดยไม่ลังเล และการเติมมานาของนายก็ทำให้ฉันไม่ทันตั้งตัว!”
เมื่อได้ยินว่าเจสันรู้สึกสับสนเล็กน้อย
“คุณทิลล์ไม่ได้บอกนายเหรอว่าฉันปรับแต่งพื้นที่ย่อยในร่างกายและสมองของฉัน”
เจสันพูดอย่างไร้เดียงสาขณะมองดูเซรอน
“นะ นาย…หมายถึงเคล็ดวิชาแยกจิตขั้นแรกเหรอ? นายทำไปแล้วเหรอ?? นายอยากตายรึไง!?”
เซรอนตะโกน กระโดดขึ้นจากที่นั่ง มองเจสันราวกับว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาดที่มึนงง
ปรับแต่งสมองของเขาและแยกชิ้นส่วนเล็กๆ เพื่อสร้างพื้นที่ย่อยที่ระดับนักเวทย์.. มันไม่ใช่สำหรับผู้ที่ในระดับมือใหม่
‘อาจมีบางอย่างผิดปกติกับสมองของเจสัน? หรือเขาแค่อยากตาย…?’
เจสันดูตกตะลึงกับอารมณ์ที่ระเบิดออกมาของเซรอนและหัวเราะเบา ๆ… อาจกล่าวได้ว่าการแบ่งจิตที่เขาได้รับนั้นเทียบได้กับความปรารถนาความตายในระดับของเขา แต่ต้องขอบคุณผลปีศาจวาคีรีชิลด์ เขารอดมาได้ แม้ว่าเขาเกือบจะเป็นบ้าไปแล้ว และจบลงด้วยบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ…
เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงอันตรายที่เขาเผชิญ เจสันตัวสั่นก่อนจะมองดูเซรอนอีกครั้ง
“อืม… ฉันสบายดีใช่ไหม เนื่องจากพื้นที่ย่อยและกระบวนการเติมมานาอัตโนมัติแบบพาสซีฟ ฉันจึงสามารถเอาชนะนายได้ในที่สุด”
เขาพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ซึ่งทำให้เซรอนโกรธเคือง
“นั่นเป็นเพียงเพราะสไลมี่หมดแรง!”
เซรอนเผลอพูดออกไป ทำให้เขารู้สึกอยากจสาปแช่งตัวเอง
“สไลมี่? พันธะวิญญาณของนายเป็นสไลม์งั้นหรอ”
เจสันถามอย่างสงสัยในขณะที่เขานึกภาพไม่ออกว่าจะตั้งชื่อวิญญาณบอนด์สลิมมี่ ยกเว้นว่ามันเป็นน้ำเมือกหรือสัตว์ “สไลม์”
`ฉันมันงี่เง่า!’ เซรอนคิด แต่ตอนนี้เจสันรู้แล้วว่าสายใยวิญญาณของเขาคืออะไร เมื่อเขาค้นคว้าสักนิด
ดังนั้นเซรอนจึงตัดสินใจบอกความจริงกับเจสัน
เขากระแอมก่อนที่จะเริ่มพูด
“สายใยวิญญาณของฉันเป็นสไลม์มานากลายพันธุ์โดยไม่มีธาตุใดๆ แทนที่จะเป็นเพราะคุณสมบัติโดยกำเนิดของสไลม์ ช่องมานาที่ผิดพลาดของฉันสามารถแก้ไขได้ในระดับหนึ่ง
เนื่องจากการกลายพันธุ์ของมัน ฉันได้รับความสามารถที่เรียกว่า [Mana Injections] ซึ่งสามารถเติมมานาของฉันในระดับหนึ่งได้ทันที
โดยปกติ ฉันสามารถใช้ความสามารถนี้ได้เพียงวันละครั้ง แต่สไลม์มานาที่กลายพันธุ์สามารถจัดเก็บการใช้งานได้ในระดับหนึ่ง
ในระหว่างการต่อสู้ ฉันใช้ [Mana Injections] ที่เก็บไว้มากเกินไปในเวลาเดียวกัน ทำให้สไลมี่หมดแรงอย่างมาก…
โชคไม่ดีที่ฉันไม่สามารถเอาชนะคุณได้ แต่ที่ทำให้ฉันสงสัยมากขึ้นคือคุณปกป้องรังสีดาบของฉันอย่างไร !! รังสีดาบนี้ควรจะอยู่ในระดับวิวัฒนาการ!”
เซรอนอธิบายก่อนตัดสินใจถามเจสันเพราะว่าเขาอยากรู้ว่ามันคืออะไร
ทั้งสองได้บอกความลับบางอย่างแก่กันแล้ว และเซรอนคิดว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะซ่อนความลับอื่น ๆ ที่ไม่เป็นความลับ
เจสันรู้จักเขามากกว่าคนส่วนใหญ่ในตระกูลของเขา ยกเว้นพ่อแม่และพี่น้องของเขา
ในขณะที่ความรู้ของเจสันนั้นค่อนข้างมาก แต่เขาไม่รู้ว่ามีความสามารถเช่น [Mana Injection] ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจและเผลอกล่าวออกมา
“เจ๋งมาก”
เซรอนมองไปที่เจสันก่อนที่เขาจะเริ่มหัวเราะอย่างเต็มที่
เซรอนคิดหนักเกินไป คิดว่าเจสันสามารถบอกความลับของเขาให้กับครอบครัวอื่น ๆ ได้ ตระกูลของพวกเขาเป็นศัตรูกันเพื่อให้ได้มาซึ่งเครดิต แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของเจสัน เซรอนรู้ว่าจะไม่มีปัญหาที่จะบอกความจริงกับเจสัน
นัยน์ตาของเจสันดูน่าเชื่อถือกว่าครอบครัวที่ใกล้ชิดของเขา ซึ่งดูน่ากลัวแต่ในขณะเดียวกันก็อุ่นใจ
เนื่องจากเสียงหัวเราะของเซรอนเจสันก็ติดเชื้อด้วย และพวกเขาก็เริ่มหัวเราะอย่างจริงใจ ทำให้คนรอบข้างมองดูแปลก ๆ ด้วยการแสดงออกที่ซับซ้อน
‘คุณสองคนเป็นเครื่องต่อสู้รู้หรือเปล่า และตอนนี้เรามีบทเรียนการต่อสู้แล้ว’
และไม่นานนักก่อนที่เซรอนและเจสันจะสังเกตเห็นว่าพวกเขาถูกห่อหุ้มด้วยมานาหนาทึบและถูกลากผ่านห้องโถงจนกระทั่งพวกเขามาถึงสนามประลองอีกครั้ง
“ถ้าคุณหัวเราะได้ การฝึกฝนทักษะของคุณก็ไม่น่าจะมีปัญหา! ได้เวลาต่อสู้ต่อ!”
ทิลล์พูดขณะพยายามแสดงสีหน้าจริงจัง แต่ทั้งเซรอนและเจสันสังเกตเห็นว่าทิลล์รู้สึกขบขันกับพวกเขาและค่อนข้างภูมิใจในความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขา
แต่การประกาศครั้งต่อไปของทิลล์ทำให้ทั้งเจสันและเซรอนขมวดคิ้วอย่างหนัก
“ตอนนี้เราจะทำการต่อสู้แบบทีมเป็นภารกิจเล็ก ๆ แต่ละทีมที่สามารถเอาชนะเจสัน และ เซรอนได้ จะได้รับคะแนนเลซ 10 คะแนน ในขณะที่รอดชีวิตได้ 5 นาที จะตอบแทนคุณด้วยคะแนนเลซ 5 คะแนน”
ทันใดนั้น พื้นที่การต่อสู้ทั้งหมดกลายเป็นฝูงไฮยีน่าที่จ้องมองเจสันและเซรอน ซึ่งยืนอยู่ในสนามรบโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่มีอะไรจะเสียสำหรับเพื่อนร่วมชั้นของพวกเขาเพราะจะไม่มีการหักจุดลูกไม้แม้แต่จุดเดียว และพวกเขาก็เริ่มเข้าแถวเพื่อต่อสู้กับเจัสนแลเซรอนด้วยความโลภ ท่วมท้นอารมณ์ของพวกเขา
มีเพียง 5 ถึง 10 แต้มลูกไม้ที่พวกเขาได้รับ แต่แปลงกลับเป็นเงินได้ 100,000 ถึง 200,000 เครดิต
ทั้งเจสันและเซรอนต่างสับสนว่าการสนทนาของพวกเขากลายเป็นสนามรบกับเพื่อนร่วมชั้นทุกคนได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม เจสันไม่ได้ต่อสู้กับกลุ่มธาตุต่างๆ ดังนั้น เขาจึงคาดหวังที่จะต่อสู้กับเพื่อนร่วมชั้นของเขา ซึ่งมองดูพวกเขาอย่างระมัดระวัง
ตัวเขาเองอยู่ในระดับผู้ชำนาญอันดับ 1 เท่านั้น แต่ความแข็งแกร่งและแกนมานาของเขาเทียบได้กับระดับผู้ชำราญ 4 ทั่วไป เนื่องจากมีเพื่อนร่วมชั้นจำนวนไม่มากที่มีข้อได้เปรียบในด้านนี้
หลังจากต่อสู้กับเกร็กและเซรอนมาหลายสัปดาห์ ประสบการณ์การต่อสู้ของเขาก็สูงกว่าเมื่อก่อนมาก แม้ว่าจะมีความสามารถและความสัมพันธ์ที่ไม่คุ้นเคยมากมายที่เขายังไม่เคยสัมผัสมาก่อน
เพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่ตัดสินใจรอให้จบสองสามรอบแรกจนกว่าพวกเขาจะท้าทายเจสันและเซรอนเพื่อที่จะจัดการเมื่อทั้งสองเริ่มหมดแรง
ดังนั้นความอ่อนล้าจึงควรครอบงำพวกเขาหลังจากการต่อสู้บางอย่างเพราะพวกเขาจะไม่ชนะมากกว่า 100 ครั้งติดต่อกันอย่างแน่นอน
การสามารถบรรลุผลเช่นนั้นได้นั้น จะต้องใช้พลังงาน มานา และสมาธิจำนวนมหาศาล ซึ่งแทบจะไม่สามารถหาได้ในระดับผู้ชำนาญ
บางทีอาจจะมีคนสามารถต่อสู้เป็นเวลานานเมื่อถึงระดับผู้ผู้วิเศษหรือระดับที่คล้ายกัน แต่ในระดับผู้ชำนาญการสู้ต่อเนื่องมากกว่าคนหนึ่งถือเป็นเรื่องที่ยาก
แต่แทนที่จะรู้สึกหมดกำลังใจ ไฟสีดำลุกไหม้ภายในดวงตาสีทองของเจสันโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่จิตวิญญาฯแห่งการต่อสู้ของทุกคนได้ถูกปลดปล่อยออกมาจนทั่วห้อง มันขับไล่ความลังเลเล็กน้อยของเซรอนผ่านจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ให้เขา.
“มาเริ่มกันเลยดีกว่า!”
เจสันพูดอย่างใจเย็นเมื่อการต่อสู้ครั้งแรกเริ่มต้นขึ้น
ยังเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ชั้นเรียนการต่อสู้จะเริ่มขึ้น และเจสันมองหาที่เงียบๆ เพื่ออ่านหนังสือของเขา
มันเป็นช่วงอาหารกลางวันเท่านั้นเมื่อสกอร์พิโอเริ่มต่อยเขาอีกครั้งเพื่อไล่เจสันออกจากการอ่านที่จดจ่อ
สกอร์พิโอเป็นเหมือนนาฬิกาจับเวลาสำหรับเจสัน และทุกๆ สองสามชั่วโมงมันจะปลุกเขาขึ้นมาเพราะมันเบื่อหรือหิว
เมื่อมองไปที่สกอร์พิโอ เจสันคิดว่าอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่วันกว่าจะถึงระดับสัตว์ป่าห้าดาว ซึ่งน่าจะดี เมื่อพิจารณาว่าอาร์เทมิสจะเสร็จสิ้นการวิวัฒนาการในไม่ช้า
เจสันให้อาหารสกอร์พิโอกินก่อนจะฝึกเทคนิคนรกสวรรค์
หลังจากนั้น ก็ได้เวลาที่เขาต้องรีบไปที่สนามประลอง ซึ่งเขาได้พบกับเซรอนและเพื่อนร่วมชั้นบางคนของเขา
เซรอนก็หายไปในบทเรียนภาคทฤษฎีด้วย ซึ่งอาจเป็นเพราะเหตุผลเดียวกันกับเจสัน
วิชาที่โรงเรียนแวนการ์ดในเครือที่ 6 จัดให้สำหรับนักเรียนเป็นวิชาพื้นฐานที่สามารถเรียนรู้ได้ภายในไม่กี่สัปดาห์โดยใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย
เมื่อเห็นเจสัน เซรอนก็ตกตะลึง ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่สูงกว่าเซรอนเท่านั้น แต่เขายังดูดีกว่าด้วย
ดูเหมือนว่าเซรอนจะยังอยู่ในระดับผู้ชำราญ 3 และเจสันก็เริ่มยิ้ม ด้วยการเสริมประสิทธิภาพของเซรอนจากสายวิญญาณของเขา เขาควรจะสามารถไปถึงอันดับ 4 ของผู้ชำนาญทั้งในด้านขนาดและร่างกาย ซึ่งหมายความว่าทั้งเจสันและเซรอนมีความแข็งแกร่งเท่ากัน
เมื่อก่อนตอนที่เจสันอ่อนแอกว่า เซรอนสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดายซึ่งทำให้เขาผิดหวังอย่างมาก แต่บางทีวันนี้อาจจะแตกต่างออกไป
พวกเขาทักทายกันและเริ่มการสนทนาเบาๆ จนกระทั่งเพื่อนร่วมชั้นทุกคนมาถึง
เมื่อเข้าไปข้างใน พวกเขาไปที่กลุ่มเช่นเคยและรอผู้สอนหรือครูของพวกเขามาถึง
แต่ไม่ใช่กับเจสันและเซรอน พวกเขาทั้งสองเดินอย่างเงียบๆไปยังสนามรบที่พวกเขาจะมีพื้นที่ของพวกเขา
พวกเขาไม่ต้องการรอใครเพราะการเพิ่มความเชี่ยวชาญในเทคนิคศิลปะการต่อสู้นั้นส่วนใหญ่ทำภายใต้แรงกดดันระหว่างการต่อสู้
ด้วยความคิดนี้ AI จึงเริ่มนับถอยหลังสำหรับการต่อสู้
[3….2….1…เริ่ม!]
เริ่มการต่อสู้ ทั้งเซรอนและเจสันได้เรียกอาวุธออกมาพร้อมกันก่อนที่พวกเขาจะใช้เทคนิคการเคลื่อนไหวโดยไม่ลังเลสักครู่
แต่การเคลื่อนไหวของเจสันนั้นดูเร็วขึ้นเล็กน้อย และตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างช่องมานาที่สะอาดและช่องมานาที่ไม่บริสุทธิ์ซึ่งขัดขวางการไหลเวียนของมานาของเขา
เทคนิคการเคลื่อนไหวของเจสันนั้นอ่อนลงเล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าการควบคุมเทคนิคของเขาจะพุ่งสูงขึ้นเมื่อความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นเกือบ 20% ซึ่งมากกว่าปกติมากด้วยเทคนิคการก้าวแบบไร้น้ำหนักในความเชี่ยวชาญในปัจจุบันของเขา
ทั้งสองใช้เวลาไม่ถึงลมหายใจในการไปถึงกัน ขณะที่มีดสั้นของ เจสันหมุนไปรอบๆ ทำให้เกิดประกายไฟที่ดาบของเซรอนที่แทบจะหลบเลี่ยงการโจมตีด้วยกริชหลายครั้งแทบไม่ได้
เซรอนไม่คาดคิดมาก่อนว่าความเร็วของเจสันจะถึงระดับดังกล่าว และจากผลกระทบที่เกิดจากการจู่โจมของเขา เซรอนสามารถบอกได้ว่าร่างกายของเจสันไม่ได้แย่ไปกว่าตัวเขาเองมากนัก
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าที่จริงจังของเจสัน เซรอนก็ไม่สนใจที่ที่จะนึกถึงสิ่งที่ทิลล์พูดไว้กับเขาก่อนที่จะเข้ามาที่แอสทริกซ์
‘อย่าดึงดูดความสนใจมากเกินไป ควบคุมพลังของนาย ปกปิดตัวตนของนาย`
เจสันรู้จักตัวตนของเขามานานแล้ว และการต่อสู้กับเจสันก็น่าพอใจและเป็นประโยชน์สำหรับตัวเซรอน เขาอดไม่ได้ที่จะปล่อยโซ่ตรวนที่เขาสวมอยู่
การใช้เทคนิคลอยฟ้าอย่างเต็มศักยภาพ ความเร็วของเซรอนพุ่งสูงขึ้น ขณะที่เจสันสังเกตเห็นว่าแกนมานาของเซรอนมีขนาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่เจสันเริ่มที่จะโจมตีได้ยากขึ้น
แทนที่จะเอาชนะเซรอนด้วยความแข็งแกร่งที่ได้มาใหม่เจสันสังเกตว่าเซรอนหยุดรั้งไว้เพื่อต่อสู้ด้วยกำลังทั้งหมดของเขา
นี่ทำให้รอยยิ้มที่สดใสอยู่แล้วของเขากว้างขึ้น
“อย่าคิดที่จะเก็บมันไว้”
เจสันตะโกนเมื่อมานาของเขาระเบิด อัดฉีดเทคนิคการเคลื่อนไหวของเขาให้มากขึ้น นอกเหนือไปจากร่างกายส่วนล่างของเขา
เจสันดูช้ากว่าเซรอนมาก แต่การเลือกอาวุธของเขาดีกว่าการต่อสู้ระยะประชิดมาก เนื่องจากเขาสามารถโจมตีอย่างคล่องแคล่วในขณะที่หลบเลี่ยงดาบของเซรอนที่ดูช้ากว่าเล็กน้อย
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเซรอนจะไม่มีโอกาส มากกว่านั้นเจสันอาจถูกเอาชนะเมื่อร่างกายของเซรอนและขนาดแกนมานาถึงมาตรฐานของผู้ชำนาญที่ 5 ทั่วไปใกล้กับระดับที่ 6
ภายใต้ความกดดันที่รุนแรง จิตใจของเจสันกำลังคิดหาหนทางหลายทางที่จะหาทางออกจากคลื่นฟันที่เกิดจากเซรอน
น่าเสียดายที่เทคนิคของเซรอนดูเหมือนจะใช้อย่างแม่นยำมาก และเมื่อเจสันพบข้อบกพร่องของเซรอน ก็ถอยกลับทันทีเมื่อ เจสันฟันด้วกริช
การต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับเซรอนนั้นยากมาก และเจสันก็ขาดประสบการณ์การต่อสู้ในการต่อสู้กับมนุษย์แบบตัวต่อตัว
ทั้งเกร็กและเซรอนไม่ได้ต่อสู้กับเขาอย่างจริงจังจนถึงตอนนี้และการต่อสู้กับเซรอนอย่างสุดกำลัง เห็นได้ชัดว่าเซรอนมีประสบการณ์การต่อสู้ที่หลากหลายมากขึ้น
แต่เจสันมีเจตจำนงยิ่งใหญ่เกินกว่าใครจะคิดได้ ในขณะที่การยอมแพ้ไม่ใช่สิ่งที่พบในคำศัพท์ของเขา
สายตาที่เฉียบคมของเขาจึงค้นหาวิธีที่จะออกจากการต่อสู้ครั้งนี้ ในขณะที่เขาหลบเลี่ยงการฟัน และแทงด้วยความกว้างของเส้นผมเพื่อค้นหาข้อบกพร่องในการป้องกันของชารอน
นาทีผ่านไป และทั้งคู่ก็ใช้มานาของพวกเขาจนหมด…
อย่างน้อยก็ดูเหมือนเป็นแบบนั้น แต่เจสันรู้ดีกว่าในขณะที่รอยยิ้มที่แข็งทื่อระหว่างการต่อสู้เบ่งบานอีกครั้ง
ในขณะที่เซรอนระงับการใช้มานาของเขาในขณะที่พยายามมุ่งเน้นไปที่เทคนิคการเติมมานาแบบพาสซีฟซึ่งต้องรับภาระมากเกินไป บ่อมานาของเจสันได้รับการเติมเต็มแล้ว
การต่อสู้ดำเนินต่อไปและ เซรอนต้องใช้มานาสำรองบางส่วนของเขาในบ่อมานาของเขา ทำให้เจสันใช้มานามากขึ้นในการโจมตีของเขา
ความเร็วของ เจสันเพิ่มขึ้นอีกในขณะที่ความชำนาญของเขาเกี่ยวกับเทคนิคการก้าวแบบไร้น้ำหนักได้ก้าวข้ามความเชี่ยวชาญขั้นพื้นฐานไปแล้วและกำลังอยู่ในเส้นทางสู่ความเชี่ยวชาญที่คุ้นเคย
ความเร็วของเซรอนลดลงเนื่องจากขาดมานาและความเร็วของเจสันเพิ่มขึ้นในเวลาเดียวกัน
เขาคิดว่ามันจะจบลงในไม่ช้าเมื่อมานาของเซรอนระเบิดอย่างกะทันหัน ซึ่งมันเติมมานาส่วนใหญ่ของเขาในทันที
เจสันเบิกตากว้างอย่างอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
‘นั่นคือผลจากการผูกพันวิญญาณของเขางั้นหรอ? ไม่เลว!’
เขาคิดโดยไม่นึกถึงความตกใจที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมของพวกเขา
การต่อสู้ระหว่างพวกเขาทั้งสองใช้เวลานานกว่าสิบนาที ในขณะที่การต่อสู้ของพวกเขาได้กดดันเยาวชนที่อยู่รายรอบซึ่งต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง
ทิลล์มาถึงไม่นานหลังจากที่ทั้งสองเริ่มปะทะกัน และใบหน้าของทิลล์ขมวดคิ้วก็ปรากฏให้เห็น เมื่อเห็นเซรอน ทุ่มสุดตัว เผยให้เห็นถึงความสามารถพิเศษของสายใยวิญญาณที่สืบทอดมา
‘เซรอนอย่าลีรอที่จะสู้….เจสันมีมานาที่แทบจะไร้ขีดจำกัดในปัจจุบันของเขา…’
เขาถอนหายใจ แต่ทิลล์ต้องบอกว่ามันน่าตกใจที่เห็นเจสันสามารถป้องกันเซรอนได้เป็นเวลานาน
ถ้าเซรอนเชี่ยวชาญด้านกริชหรืออาวุธความเร็วสูงอื่น ๆ มากกว่าดาบยาว เขาอาจจะชนะ แต่เซรอนชอบต่อสู้ด้วยดาบยาวซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้รับอาวุธวิญญาณดาบยาวจากพ่อของเขา เมื่อเขาปลุกจิตวิญญาณของเขาให้ตื่นขึ้น แม้ว่าช่องมานาของเขาเกือบจะพิการแล้วก็ตาม
ขณะที่เซรอนฝึกฝนร่างกายและศิลปะการต่อสู้ด้วยดาบโดยไม่ใช้มานาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เจสันยังขาดประสบการณ์การต่อสู้ และการต่อสู้ของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเยาวชนที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งในขณะที่พยายามค้นหาข้อบกพร่องของกันและกัน
ข้อบกพร่องเหล่านี้ได้รับการแก้ไขทันทีที่พวกมันถูกพบและความสามารถในการทำความเข้าใจที่แสดงออกมาก็ตกตะลึงกับนักเรียนที่อยู่รอบๆ
ทิลล์ยิ้มในขณะที่เขาถูกเตือนอีกครั้งว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีที่จะลากเซรอนมาที่แอสทริกซ์ แม้ว่าในตอนแรกมันจะเป็นเพียงเพื่อสายใยวิญญาณที่สองของเขาเท่านั้น….
การพบเจสันน่าจะดีกว่าการหาสายใยวิญญาณที่สองมาก
การต่อสู้ของพวกเขายืดเยื้อต่อไปอีกสิบนาทีและทั้งคู่ก็มีเหงื่อออกมาก
การเติมมานาของเจสันค่อยๆ สูญเสียเอฟเฟกต์ไปอย่างช้าๆ เนื่องจากการใช้งานพลังมานาของเขาเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ในขณะที่เซรอนใช้เอฟเฟกต์พิเศษของพันธะวิญญาณ หลายครั้งติดต่อกัน ซึ่งดูแปลกสำหรับ เจสันเนื่องจากทั้งคู่ต่างห่างเหินกัน
หายใจเข้าลึกๆ สักครู่ เซรอนเตือน
“ระวังตัวเอาไว้ดีว่า ถ้าไม่อยากเจ็บตัว ก็ใช้มานาทั้งหมดเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีจากฉันดีกว่านะ !”
ด้วยมานาที่เปิดใช้งาน เจสันสังเกตเห็นว่าเซรอนใช้สระมานาทั้งหมดของเขา นอกเหนือไปจากการเติมทันทีสองครั้ง ซึ่งดูน่าสงสัยมากกว่าเมื่อก่อน เนื่องจากเยื่อบาง ๆ สีขาวอมฟ้าเริ่มห่อหุ้มดาบยาวของเขา
การไหลเวียนมานาในเส้นทางที่แน่นอนของเซรอน เขาได้ดึงดาบของเขากลับและกำลังจะเหวี่ยงลงมา และขนลุกลุกลามไปทั่วผิวหนังของเจสันด้วยความรู้สึกอันตรายที่เติมเต็มจิตใจของเขา
‘โอ้ แย่แล้ว’
เขาอุทานในใจเมื่อสังเกตเห็นว่าดาบ พุ่งตรงเข้ามาหาเขา
ด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว ทิลล์ถึงกับประหลาดใจ เจสันก็ทำได้เพียงมองแสงกระบี่ที่พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเขารู้สึกสัญชาตญาณบางอย่างในโลกวิญญาณสั่นไหวอย่างรุนแรง
เขายกแขนขึ้นและเปลวไฟสีดำก็ปรากฏขึ้นก่อนที่ลำแสงดาบจะเจาะเข้าไปในมือของเจสัน ขณะที่เขาปล่อยมานาทั้งหมดของเขาในทันที
*บูม*
เจสันกลับมาถึงบ้าน แต่ยังคงถูกรบกวนโดยความคิดที่ครุ่นคิดในใจของเขา
สิ่งมากมายเกิดขึ้นมากเกินไปในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา และเจสันแทบจะไม่สามารถมีสมาธิพอที่จะฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ภายในกระสวย
แต่มันจำเป็นเพราะใกล้จะถึงเวลาที่วิวัฒนาการของอาร์เทมิสจะเสร็จสิ้น
เมื่อมาถึงบ้านของเฟลอร์ตอนดึก เขาก็เข้าไปในบ้านอย่างเงียบๆ และได้รับการต้อนรับใครบางคนที่ทำตัวเป็นเด็กๆ ที่กอดเขา ขณะที่แขนเรียวยาวบีบแขนหนาๆ ที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาไว้ทั้งหมด
เกร็กและมาเลียกำลังกอดเขาและข้างหลังพวกเขา เจสันมองเห็นกาเบรียลลาและมาร์ค
กาเบรียลมองดูเขาอย่างกังวล แต่เห็นว่าเขาสบายดี ความตึงเครียดของเธอก็ผ่อนคลายลง
มาร์คก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าเจสันสบายดี เขาหายไปสามวันติดต่อกันโดยไม่ได้ส่งข้อความแม้แต่ข้อความเดียว ซึ่งไม่ปกติสำหรับเขา
ครูของเขาโทรหาพวกเขาโดยบอกว่าเจสันกำลังอยู่ในช่วงการพัฒนาที่สำคัญ แต่สำหรับพวกเขาดูเหมือนแปลกเพราะเวลาไม่เหมาะสม
การพัฒนาแบบใดที่จะใช้เวลา 3 วัน ที่ระดับแกนมานาของเจสัน
บางทีถ้าใครต้องการที่จะบุกเข้าไปในอันดับผู้วิเศษการพัฒนาอาจใช้เวลานาน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ เจสัน สามารถทำได้ในตอนนี้
เจสันใช้เวลามากกว่าสามนาทีกว่าเขาจะสามารถหลุดพ้นจากเงื้อมมือของพี่น้องและพวกเขาก็เริ่มสงบลง
“นายไปไหนมาบ้างในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา และการพัฒนาแบบไหนถึงต้องใช้เวลาถึง 3 วัน”
เกร็กถามด้วยความสงสัย และเจสันก็สงสัยว่าเขาหมายถึงอะไร
‘ฉันเคยบอกพวกเขาไหมว่าฉันกำลังพัฒนาบางอย่าง?… ฉันควรบอกพวกเขาอย่างไร’
เจสันไม่แน่ใจว่าต้องทำอย่างไรและเขาตัดสินใจที่จะซ่อนความจริงด้วยการโกหกเล็กน้อย
“แทนที่จะเป็นการพัฒนา วิญญาณที่สามของฉันมีภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง
เพราะสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง มีการกลายพันธุ์ของสายใยวิญญาณธาตุไฟที่กำลังจะตายและฉันทำ
สัญญากับมันเพื่อป้องกันไม่ให้… น่าเสียดาย
ฉันประเมินการใช้พลังงานวิญญาณต่ำเกินไปที่เกิดจากธาตุไฟที่กลายพันธุ์นี้ มันทำให้มันหลุดออกจากการควบคุม ไม่กี่วันที่ผ่านมาฉันเหนื่อยมากแต่ตอนนี้ทุกอย่างโอเคและเรียบร้อยดีแล้ว”
เจสันพยายามอธิบายโดยไม่บอกอะไรเกี่ยวกับออริจินเฟลมของเขา เพราะเชนบอกเขาว่าเขาควรซ่อนการมีอยู่ของ ออริจินเฟลมเป็นความลับ
อย่างน้อยตราบเท่าที่เป็นไปได้
เชนบอกว่าเขาควรอธิบายว่าเขามีธาตุไฟกลายพันธุ์เป็นพันธะถ้ามีคนถาม เพราะนี่มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับธาตุไฟกลายพันธุ์ที่มีเปลวไฟสีดำเป็นพันธะวิญญาณ แม้ว่าจะหายากก็ตาม
ปล่อยเปลวไฟสีดำขนาดเล็กบนมือของเขา ทุกคนมองดูด้วยความประหลาดใจ
แม้แต่กาเบรียลลาและมาร์คก็ไม่เคยเห็นเปลวไฟสีดำและมันน่ามอง
ครู่ต่อมา เจสันปิดกำปั้นและเปลวไฟก็หายไปในอากาศ
กาเบรียลกลับมารู้สึกตัวและถามด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย เมื่อเธอตรวจดูเจสันเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของเขาเสร็จแล้ว
“แต่เธอไม่เป็นไรใช่ไหม ไม่มีการบาดเจ็บภายในร่างกายหรือจิตใจของเธอ?”
ซึ่งเจสันพยักหน้า
เฟลอร์ทุกคนใจดีและใจดีกับเขา และ เจสันยินดีที่ได้พบพวกเขาและเขารู้สึกแย่ที่โกหกพวกเฟลอร์
พวกเขาคุยกันอยู่พักหนึ่ง และ เจสันได้รับข้อมูลมากมายเกี่ยวกับกองทัพของก็อบบลิน และตำแหน่งของเฟลอร์ ในช่วงเวลานั้น
เห็นได้ชัดว่าเฟลอร์ กำลังนอนหลับอยู่ที่บ้านหรือกำลังดูดมานา และพวกเขาได้ยินเพียงเสียงเตือนฝูงของสัตว์ร้ายทั่วทั้งเมืองและรายงานเกี่ยวกับฝูงของสัตว์ร้ายในภายหลัง
แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ทุกอย่างก็จบลง และพวกเขาไม่เห็นก็อบลินสักตัวอยู่ใกล้พวกเขา
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจะมีเหยื่อมากกว่า 1 ล้านคนจากสลัมหรือเขตที่ค่อนข้างยากจน และผู้วิเศษและผู้วิเศษขั้นสูงต้องออกไปต่อสู้เพื่อปกป้องเมือง
หลังจากพูดคุยกันเสร็จ เจสันก็ขึ้นไปบนเตียงซึ่งดูเหมือนว่าเตียงนั้นได้ดูดกลืนเขาจนหลับสนิท
***
เป็นเวลา 6 โมงเช้าที่เจสันรู้สึกว่าเหล็กในจู่โจมเขา และสกอร์พิโอปลุกเขาให้ตื่น
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา สกอร์พิโอถูกบังคับให้อยู่ในโลกแห่งวิญญาณโดยที่ไม่เต็มใจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะเจสันตามล่าก็อบลินที่สามารถฆ่าสกอร์พิโอได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ
หลังจากกองทัพของก็อบบลินและการรับการชำระ เจสันก็ไม่มีโอกาสที่ทำอะไรให้สกอร์พิโอ และอาจกล่าวได้ว่าโชคดีที่สายใยวิญญาณยังมีชีวิตในขณะที่กินมานาของเจสัน
มันมีประสิทธิภาพน้อยกว่าอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงที่มีมานาจำนวนมาก แต่ก็ยังเพียงพอที่จะอยู่รอด
เจสันนำแมลงมานาแห้งจำนวนมากออกมา แล้วป้อนให้กับสกอร์พิโอ
ดูเหมือนว่าสายใยวิญญาณที่สองของเขาจะไปถึงระดับห้าดาวในไม่ช้า และเจสันหวังว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นหลังจากอาร์เทมิสเสร็จสิ้นการวิวัฒนาการ เพราะปริมาณมานาที่อาร์เทมิสต้องการนั้นมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสกอร์พิโอ
อย่างไรก็ตาม เจสันต้องเพิ่มพลังวิญญาณให้กับสายใยวิญญาณทั้งหมด ซึ่งรวมถึงออริจินเฟลมซึ่งยังคงผนวกรวมเพียง 0.01 หน่วยเท่านั้น
*
หลังจากออกกำลังกายตอนเช้าด้วยจำนวนครั้งเท่าเดิม เจสันก็อาบน้ำ เปลี่ยนชุดนักเรียน และลงไปกินอาหารเช้า ก่อนที่เขาจะโทรหารถรับส่ง
การฝึกเทคนิค Heaven’s Hell ภายในกระสวยอวกาศ เจสันประเมินว่าพลังงานวิญญาณของเขามีถึง 15.2 หน่วย และเขายังอยู่ห่างจากพลังงานวิญญาณขั้นต่ำที่จำเป็นอยู่บ้าง แม้ว่าเขาจะได้รับพลังงานวิญญาณบางส่วนจากอาร์เทมิสร่วมด้วยก็ตาม
ในที่สุดการจัดการสิ่งต่างๆ อย่างปลอดภัยก็มีความสำคัญในเรื่องนี้
อาจารย์คนใหม่ของเขาหรือที่เรียกว่า ดุชต์มาสเตอร์ บอกเขาว่าเขาควรจะอยู่ในโรงเรียนและเรียนต่อราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในเดือนหน้า เขาควรอ่านหนังสือทุกเล่มที่พวกเขาส่งให้ ในขณะที่อย่างน้อยเจสันก็ควรเข้าใจพื้นฐาน
เชนและดาเลียรู้เกี่ยวกับเขาที่เข้าร่วมการสอบเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของช่างฝีมือและอาจกล่าวได้ว่าเป็นภารกิจเล็กๆ จากพวกเขา
ด้วยดวงตามานาของเขา เจสันจึงมั่นใจที่จะผ่านการทดสอบภาคปฏิบัติเหล่านี้ด้วยสีสันอันเย้ายวน
ไม่มีรางวัลหรือการลงโทษในขณะนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเจสันจะสูญเสียความโปรดปรานจากเชนและดาเลียเล็กน้อย ถ้าเขาล้มเหลวในภารกิจเล็กๆ ครั้งแรก
เมื่อมาถึงโรงเรียน เจสันก็เข้าห้องเรียนหมายเลข 54 ขณะที่เขาเห็นเพื่อนร่วมชั้นนั่งอยู่ที่นั่นแล้ว
เมื่อมองไปที่เจสัน บางคนก็ตกตะลึง…
‘เขาทำศัลยกรรมพลาสติกในช่วงสุดสัปดาห์หรือไม่?’
‘เขาไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะความเจ็บปวดของเขาหลังการผ่าตัดเหรอ’
มีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับเยาวชนที่อิจฉา ในขณะที่สาวๆ มองดูไหล่กว้างของเจสันและใบหน้าที่สลักเสลาของเขา เพราะพวกเขาแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้
พวกเขาต้องการเข้าหาเขาและทำให้เจสันเป็นของพวกเขา
ขณะที่สาวคนแรกกำลังจะลองดู จนกระทั่งทิลล์ได้เข้าไปในห้อง ทำให้หญิงสาวที่ก้าวแรกหันหลังกลับด้วยความเร็วราวสายฟ้าก่อนจะนั่งลง
ทิลล์สังเกตเห็นการมาของเจสันและประหลาดใจ
‘รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปมากในช่วงสามวันที่ผ่านมาอย่างไร? ร่างกายของเขาดูมีกล้ามเนื้อมากขึ้น และรอบรู้กับการเคลื่อนไหวทุกประเภท…’
เมื่อเขาห่อหุ้มเจสันไว้ด้วยมานาของเขา จนกระทั่งพบว่าร่างกายของเจสันดูสมบูรณ์แบบสำหรับภูมิประเทศทุกรูปแบบ กล้ามเนื้อของเขาดูยืดหยุ่น แข็งแรง และเหนียวแน่น
อย่างไรก็ตาม ทิลล์ผู้ซึ่งได้ทำนายบางสิ่งไว้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานั้นทำได้เพียงถอนหายใจด้วยความเสียใจ
‘เขารับเจสันเป็นลูกศิษย์จริงๆเหรอ’
นี้เป็นความคิดของเขาและเขาทำได้เพียงคร่ำครวญ เจสันเป็นเด็กที่มีความหวังจริงๆ แต่การมีเชนเป็นอาจารย์ของเขานั้นเป็นดาบสองคมอย่างแน่นอน
ด้านหนึ่ง เชนสามารถสอนความรู้มากมายและเทคนิคศิลปะการป้องกันตัวที่เขารู้ ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง เจสันอาจตายเร็ว เมื่อพบว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของเชน
แต่เขาทำอะไรไม่ได้ในขณะที่เขาเริ่มบทเรียน
หลังจากที่โรงเรียนแบ่งมานา ออกเป็นบทเรียนภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
ในขณะที่สอนวิชาทฤษฎีในตอนเช้า ช่วงบ่ายเต็มไปด้วยบทเรียนเชิงปฏิบัติ เช่น การต่อสู้
เจสันเพิกเฉยต่อวิชาในเชิงทฤษฎีโดยสิ้นเชิง เพราะเขารู้ทุกอย่างที่ทิลล์สอนแล้วในตอนนี้
ดังนั้นเขาจึงเปิดไฟล์ที่เล็กที่สุดที่เขาได้รับจากเชนขณะเริ่มอ่าน
หนังสือของเชนส่วนใหญ่เกี่ยวกับอักษรรูนและช่างตีเหล็ก
หนังสือแต่ละเล่มมีความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการประมวลผลเฉพาะซึ่งต้องทำให้สมบูรณ์
ขณะอ่านหนังสือ เจสันลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าเขาอยู่ในโรงเรียน และเขารู้สึกเหมือนกำลังเข้าสู่สภาวะจดจ่ออย่างมาก
เวลาผ่านไปโดยที่เขาไม่รู้ตัว และเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงมานาที่ผันผวนอย่างแรงที่ห่อหุ้มเขา เจสันเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเขายังอยู่ในโรงเรียน
เมื่อมองขึ้นไป เจสันสังเกตเห็นเพื่อนร่วมชั้นหลายคนมองเขาขณะที่ทิลล์มองมาที่เขาอย่างตั้งใจ
“คุณสเตลล่า บทเรียนของฉันน่าเบื่อสำหรับคุณหรือเปล่า”
เจสันมองดูทิลล์ด้วยความสับสนเล็กน้อย และตอนนี้เขาเพิ่งเข้าใจว่าเขาบ่อนทำลายอำนาจของครู
“เอ่อ ครูครับ บทเรียนของครูไม่น่าเบื่อ แต่ผมรู้ทุกอย่างที่สำคัญหมดแล้ว”
เจสันกล่าว
ทิลล์มองเจสันอีกครั้ง ทิลล์มีความคิดในขณะที่เขาโต้กลับ
“ถ้าบทเรียนของฉันน่าเบื่อและคุณรู้มากแล้ว โปรดบอกฉันว่าออริจินเฟลมคืออะไร ซึ่งรวมถึงข้อดีและข้อเสียของมันด้วย”
‘เปลวไฟต้นกำเนิด? ทำไมคนนั้น…’ เจสันคิดและเริ่มเหงื่อออกเบา ๆ โดยคิดว่าอาจารย์ของเขาอาจรู้ความลับของเขาแล้ว
แต่ความกังวลของเขานั้นไร้เหตุผล และเจสันก็สงบลงได้ภายในไม่กี่วินาที
“ออริจินเฟลมคือเปลวไฟที่ได้รับความรู้สึก มันอยู่ลึกลงไปในภูเขาไฟที่มีมานาเข้มข้นอยู่รอบ ๆ พวกมันหายากมากและหลังจากได้รับความรู้สึก พวกมันจะสร้างชั้นคริสตัลเพื่อไม่ให้พลังงานอันทรงพลังที่อยู่รอบ ๆ […]
ราคาของออริจินเฟลม ที่ยังไม่ตื่นนั้นแพงมากเพราะเราสามารถสร้างสายใยวิญญาณกับพวกมันก่อนที่พวกมันจะตื่นขึ้นและเพื่อแลกกับพลังงานวิญญาณ เป็นการเริ่มบัพติศมาที่จะชำระร่างกายจากสิ่งสกปรกและเพิ่มอายุขัย[…]
ข้อเสียขอออริจินเฟลมมีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือมันใช้พื้นที่ในโลกวิญญาณจนหมด และมีมนุษย์จำนวนไม่มากที่พบออริจินเฟลมที่ยังไม่ตื่น
ข้อเสียอีกประการหนึ่งคือข้อดีในเวลาเดียวกัน
เราต้องหล่อเลี้ยงออริจินเฟลมด้วยพลังงานวิญญาณโดยปล่อยให้มันครอบครองพลังวิญญาณมากขึ้น[…]
เมื่อออริจินเฟลมถึงเกณฑ์ที่กำหนด มันจะพัฒนาไปสู่ระดับที่สูงขึ้น โดยให้ผู้ผูกพันธะได้รับบัพติศมาอีกครั้ง ซึ่งจะชำระสิ่งสกปรกอีกรอบหนึ่งและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย”
เจสันพูดจบยาว ขณะที่ทิลล์มองเจสันราวกับว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาด
‘นักเรียนมัธยมปลายจะตอบคำถามนี้ได้อย่างไร? เขารู้เกี่ยวกับออริจินเฟลมได้อย่างไร!’
ทิลล์รู้สึกท้อแท้เมื่อเขาคิดว่าเขาจะหลอกเจสันได้
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ามันจะเป็นคนละทางกันและพวกเขาก็มองหน้ากัน และทิลล์ตัดสินใจทำให้เกิดความโกลาหลทั่วทั้งห้องเรียน
“เจสัน คุณไม่ต้องเข้าเรียนในชั้นเรียนเช้าอีกต่อไป แค่อ่านหนังสือที่จำเป็นทั้งหมดแล้วมาเรียนในช่วงบ่าย ฉันไม่คิดว่ามันจำเป็นสำหรับคุณที่จะเสียเวลากับบทเรียนเชิงทฤษฎีของฉันที่นี่…ไปซะ! ”
ทิลล์พูดด้วยพลังบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังคำพูดของเขา และเจสันก็ยิ้มเพียงเบา ๆ ขณะที่เขาโค้งคำนับครูของเขาก่อนออกจากชั้นเรียนในขณะที่ถูกมองด้วยตามากกว่า 200 คู่
ชั่วโมงผ่านไปและเกือบจะเย็นแล้วเมื่อทั้งสามคนจบการสนทนา
เฉพาะตอนนี้เท่านั้นที่อาจารย์คนใหม่ของเจสันจะเข้าใจความต้องการ ความรู้ของเขาเพราะเจสันถามคำถามหลายร้อยข้อเกี่ยวกับเกือบทุกอย่าง
ซึ่งรวมถึงสมุนไพร แร่ อันดับของพวกมัน สัตว์ร้าย ที่อยู่อาศัย ภูมิประเทศ รอยแยกชั่วคราวและความเกี่ยวข้องกับรอยแยกถาวร และสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น…
อีกด้านหนึ่งมีดาวเคราะห์ทั้งดวงหรือเป็นเพียงชิ้นส่วนของโลก เครื่องบิน หรืออย่างอื่น? ถ้ามันเป็นดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์ดวงนี้ตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่?
จักรวาลที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มีเพียงไม่กี่ระบบดาวหรือกาแล็กซีหลายแห่งที่อยู่ห่างออกไป
แล้วอาร์กอสล่ะ…มนุษย์แข็งแกร่งเพียงใดเมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ ลำดับหลังอันดับลอร์ดเป็นอย่างไร และบุคคลดังกล่าวมีอยู่กี่คน?
เมื่อไหร่ที่เขาสามารถเรียนรู้การตีขึ้นรูป การปรุงยา การจารึก และทุกสิ่งที่สำคัญในการทำความเข้าใจวิธีวิวัฒนาการสัตว์ร้าย…..และอื่นๆ…
เชนและดาเลียมองเจสันอย่างหมดเรี่ยวแรงซึ่งยังมีความกระตือรือร้นที่จะถามเพิ่มเติม
ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่แน่ใจว่าเจสันจะสามารถเรียนรู้อาชีพพื้นฐานของช่างสองอาชีพจากพวกเขาได้หรือไม่ แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ต้องลังเลแม้แต่วินาทีเดียวที่จะตอบคำถามง่ายๆ เช่นนี้
ถ้าเจสันไม่สามารถเรียนรู้สองอาชีพได้ คงไม่มีใครทำได้และพวกเขามอบเมมโมรี่สติ๊กให้กับเจสันที่มีไฟล์หนังสือสองสามร้อยเล่มที่มีขนาดใหญ่มาก
น่าเสียดายที่สร้อยข้อมือควอนตัมของเขาเริ่มทำงานช้าลงเมื่อเขาได้รับไฟล์ทั้งหมด และเจสันสังเกตเห็นว่าที่เก็บข้อมูลหน่วยความจำเต็มไปหมด
เพราะเขาใช้ที่เก็บข้อมูลหน่วยความจำภายนอกสำหรับสิ่งต่างๆ จากครูคนใหม่ เจสันต้องซื้อชิปหน่วยความจำที่ดีกว่าเพื่อเข้าถึงทุกอย่างได้โดยง่ายและรวดเร็ว
ไฟล์ถูกล็อคและมีเพียงลายนิ้วมือของ เจสันและการสแกนม่านตาเท่านั้นที่สามารถปลดล็อกได้
เมื่อเขาซื้อชิปหน่วยความจำใหม่แล้ว เขาก็จะซื้ออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีระบบทำความเย็นในตัวและพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้นพร้อมฟังก์ชันอื่นๆ อีกมากมาย
มันจะมีราคาแพง แต่เจสันสามารถขายผลไม้วิเศษ 2-3 ลูกได้ และเขาก็โยนของทั้งหมดลงในช่องเก็บของในกำไลข้อมือ
ที่เก็บของเขาทั้งหมด 2,500 ลูกบาศก์เมตรเต็มไปด้วยสิ่งของต่างๆ และเจสันสงสัยว่าเขาจะยังคงได้รับคะแนนเลนซ์ จากซากศพของก็อบลินหรือไม่ เพราะตอนนี้พวกมันถูกทำลายไปหมดแล้ว
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เจสันสังเกตว่ามันไม่สำคัญเท่าเมื่อก่อน เพราะเขาสามารถได้รับเครดิตมากขึ้นจากการขายอาวุธรูนและจี้ที่หอคอยช่างฝีมือ ในขณะที่สิ่งอื่น ๆ ที่เขาได้รับจากห้องใต้ดินก็อบลินนั้นมีค่ายิ่งกว่า
เมื่อมองดูสมุนไพรที่ปิดผนึกไว้ภายในอุปกรณ์เก็บของ เจสันก็ขมวดคิ้วซึ่งเชนและดาเลียสังเกตเห็น
ในช่วงสองสามชั่วโมงที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีขึ้นมาก และเทียบได้กับความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ที่แท้จริง ในขณะที่เจสันมีครูที่มีความรู้สองคน ซึ่งรู้เกือบทุกอย่าง
หลังจากสอบถามว่ามีอะไรผิดปกติ เจสันกล่าวถึงปัญหาของสมุนไพรที่ปิดสนิท และเขาไม่สามารถปลูกมันไว้ที่บ้านของเฟลเลอร์ได้เพราะมันมีค่าเกินไปและจะดึงดูดความสนใจได้มาก
วิธีแก้ปัญหานั้นง่ายกว่าที่เขาคาดไว้มากเมื่อดาเลียนำเรือนกระจกขนาดเล็กออกมาจากวงแหวนของเธอซึ่งเป็นอุปกรณ์เชิงพื้นที่ที่เชนทำขึ้นเป็นพิเศษ
อุปกรณ์เชิงพื้นที่ที่สร้างโดยเชนไม่สามารถเก็บสัตว์ร้ายหรือสัตว์ร้ายได้ อย่างไรก็ตาม มีส่วนที่ทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการทำสวน ซึ่งดาเลียชอบใจ
ด้วยเหตุนี้ดาเลียจึงสามารถเก็บกระถางสมุนไพรและต้นไม้ไว้ในอุปกรณ์เชิงพื้นที่ได้ โดยที่มันจะยังมีชีวิตอยู่
ด้วยสิ่งนี้ พวกมันจะเติบโตภายในวงแหวนมิติที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ ในขณะที่เวลายังคงดำเนินไปตามปกติ
สิ่งที่ดาเลียมอบให้เจสันก็คล้ายกัน มันเป็นเรือนกระจกขนาดเล็กที่ปรับได้ ซึ่งสามารถขยายได้ และเดิมมีขนาดใหญ่ 10,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่น่าตกใจที่จะจินตนาการ
เขาไม่สามารถเก็บมันไว้ในห้องเก็บของทั่วไปได้ แต่เรือนกระจกนั้นทำมาจากโลหะหายากและกระจกเทมเปอร์ และยังสามารถรับโจมตีจากสัตว์ร้ายที่มีระดับสัตว์วิเศษได้โดยไม่ทำให้แตก
มีแม้กระทั่งระบบน้ำวิเศษที่ต้องจัดหาน้ำและหินมานาให้เพียงพอเพื่อที่จะทำงานเป็นเวลานาน
ด้วยเหตุนี้ดาเลียจึงมอบเถาวัลย์เสริมความแข็งแกร่งให้กับเจสันจากหนึ่งในนางไม้เพื่อเปลี่ยนเรือนกระจกให้เป็นจี้
เรือนกระจกในรูปแบบที่เล็กที่สุดมีความยาวเพียง 3 ซม. กว้าง 3 ซม. และสูง 0.5 ซม. ซึ่งน่าทึ่งมาก เชนมองผลงานชิ้นเอกของเขาด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ
การผลิตเรือนกระจกนี้ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และแกนมานาของความสัมพันธ์เชิงพื้นที่จำนวนมากต้องเสียสละเพื่อค้นหาการทำงานร่วมกันระหว่างอวกาศ เวลา และชีวิต
การบีบอัดสิ่งมีชีวิตถูกมองว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่ามันทำงานอย่างไรและกระจายข่าวลือว่าเป็นไปไม่ได้นั้นเป็นสองเรื่องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในขณะที่เชนรู้วิธีที่จะทำมันแล้ว
การให้ของขวัญล้ำค่าแก่เจสันเป็นวิธีที่ดีในการได้รับความโปรดปราน แต่ถ้าดาเลียให้ของขวัญนั้นแก่เจสันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เชนอาจจะโกรธ
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่เขาค้นพบความกระหายในความรู้ของเจสันในทุกแง่มุม ซึ่งทำให้เขาชื่นชมศิษย์ใหม่ของเขาเล็กน้อย
ดาเลียพาเจสันออกไปข้างนอก ซึ่งเขาสังเกตเห็นเป็นครั้งแรกว่าพวกเขาอยู่ใต้ทะเลหรือทะเลสาบ
เจสันมองเห็นความพร่ามัวของซุ้มหินเหนือผิวทะเลสาบ และดูเหมือนคุ้นเคย…
ในขณะที่เจสันมองไปที่เชนด้วยสีหน้างุนงง ดาเลียหัวเราะคิกคักขณะพูด
“คราวหน้าอย่าโดดลงทะเลสาปตัวเปล่าอีกนะ ฮ่าๆ ..”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เจสันหน้าแดงทันทีและรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน
‘โรงเรียนแนวหน้าแห่งที่ 6 ใต้ทะเลสาบในป่า…บ้าเอ้ยยย ‘
และเจสันทำได้แค่ร้องไห้อยู่ข้างใน ขณะที่เขานึกถึงวันแรกของการเรียนตอนที่เขากระโดดลงไปในทะเลสาบโดยเปลือยกายอยู่ตรงนั้น…
“ตอนนี้ ขยายเรือนกระจกเล็กน้อยแล้วปลูกสมุนไพรและต้นไม้ การปิดผนึกไว้นานเกินไปจะสร้างความเสียหายและลดประสิทธิภาพของพืชของเจ้า”
ตามคำอธิบายของดาเลีย เจสันได้ขยายเรือนกระจก และตอนนี้เขาสังเกตเห็นว่าจริงๆ แล้วมันใหญ่แค่ไหน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ขนาดที่ใหญ่ที่สุดก็ตาม
อย่างไรก็ตาม มันยังคงเข้ากันได้ดีภายในโดมที่ล้อมรอบที่ซ่อนจากปรมาจารย์คนใหม่ของเขา และเขาสงสัยว่าพวกเขาสามารถสร้างฐานใต้น้ำนี้ได้อย่างไร
เจสันนำดินออกก่อน เขาเติมโพรงเพื่อปลูกต้นไม้และสมุนไพรภายใน
หลังจากใช้ดินหมดแล้ว เจสันก็นำต้นไม้ออกมาทีละต้น
ก่อนหน้านี้ เขาไม่แน่ใจว่าการเดินทางของเขาผ่านห้องใต้ดินก็อบลินมีประโยชน์เพียงใด และตอนนี้เขามองเห็นทุกอย่างชัดเจนเท่านั้น
มีเพียงสมุนไพรที่เจสันรวบรวมมาเพียงลำพัง มีสมุนไพรถึง 51 สี ในขณะที่พืชไร้สีจำนวนมากถูกโยนลงในพื้นที่จัดเก็บของเขา
แม้แต่พืชที่ไม่มีสีก็ยังหายาก และเจสันก็ต้องการให้พวกมันมีชีวิตอยู่ เนื่องจากวัตถุดิบที่สดใหม่มักจะมีค่ามากกว่าพืชที่เก็บเกี่ยวเมื่อสองสามวันก่อนเสมอ
ดังนั้น เจสันจึงเริ่มใช้มือปลูกต้นไม้ทั้งหมดทีละต้น
เชนไม่เคยคิดว่าเจสันได้รวบรวมสมุนไพรมากมายภายในเวลาอันสั้น และความสงสัยของเขาเกี่ยวกับมานาของเจสันก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
“เจสัน ถือว่าเราเป็นอาจารย์ของเจ้าแล้วใช่ไหม ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่รังเกียจที่จะบอกเราเกี่ยวกับดวงตามานาของเจ้าใช่ไหม”
เชนแค่ถามและเชนมั่นใจว่าเจสันจะตอบทุกอย่างเพราะทั้งเขาและดาเลียบอกความลับของพวกเขากับเจสัน
เจสันไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นจากการทำงานและตอบโดยไม่ได้คิดอะไรมากนัก
“ผมไม่รู้จริงๆ ผมมีดวงตามานาหรือพลังอะไร แต่ผมมองเห็นเกือบทุกอย่างกับพวกมัน ตัวอย่างเช่น คุณมีสัตว์ร้ายสี่ชนิดที่หดตัวอยู่ ในขณะที่พวกมันสองตัวเป็นความมืด อีกตัวหนึ่งมีความสัมพันธ์ทางน้ำ และสายใยวิญญาณสุดท้ายของคุณมีความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ผมสามารถบอกได้ว่าเพราะมานาที่แปรสภาพและสีภายในมานา
มานาของดาเลียถูกเปลี่ยนโดยออริจินเฟลมสีเงินของเธอและความสัมพันธ์ที่ทำด้วยไม้
นอกจากนี้ ดวงตาของผมยังมีเอฟเฟกต์แปลกๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นสามารถบอกได้คร่าวๆ ถึงศักยภาพของสัตว์ร้าย สารชำระล้าง หรือแกนมานาของพวกมัน ผมไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
มีสีต่างๆ ที่เปล่งออกมาจากสัตว์เดรัจฉานเกือบทุกชนิด และจนถึงตอนนี้ ผมไม่เคยเห็นสัตว์ร้ายที่มียศสูงกว่าสีที่ผมเคยเห็นมาก่อน
และพลังอีกอย่างจากดวงตาของผมก็คือมันสามารถข่มขู่ผู้อื่นได้เมื่อผมโกรธ สิ่งนี้ใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตที่ต่ำกว่าอันดับของผมหรือมนุษย์ที่ไม่ได้รับการปกป้องเท่านั้น
เอฟเฟกต์สุดท้ายที่ฉันรู้จักเรียกว่า [ดวงตาขุมนรก] และเกิดจากจิตสังหารของผม นอกเหนือจากการเพิ่มมานาให้กับดวงตา ผมไม่รู้ว่าอาจารย์เชนได้ดูการแข่งขันของผมกับลีโอหรือเปล่า แต่ถ้าคุณเห็น คุณน่าตะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน
ผมเกือบจะสามารถเอาชนะใครซักคนที่อยู่เหนือระดับของผมถึง 2 ขั้น
น่าเสียดายที่ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสายตาของผมเลย และข้อมูลที่ผมให้ไปก็ยังไม่ได้รับการพิสูจน์หรืออะไรทำนองนั้น
สายตาของผมเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษด้วยการเพิ่มอันดัแกนมานาของผม และสามารถพูดได้เหมือนกันสำหรับคุณสมบัติของผม
ยิ่งฉันแข็งแกร่งขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งเข้าใจในดวงตา มากขึ้นเท่านั้น”
เจสันกล่าวเสร็จแล้วและเขาก็ปลูกต้นไม้และสมุนไพรเกือบเสร็จแล้วเมื่อเขามองเข้าไปในดวงตาที่น่าสงสัยของเชนในขณะที่เขาสังเกตเห็นสิ่งแปลก ๆ
‘ทำไมฉันถึงบอกพวกเขาทุกอย่าง? ฉันซ่อนข้อเท็จจริงบางอย่างไว้ไม่ได้เหรอ..’
เจสันถอนหายใจ เธอสังเกตว่ามันสายเกินไปแล้ว เขาจึงต้องเร่งรัดทุกอย่างอย่างมั่นใจ
“ข้าควรพิสูจน์ข้อมูลของข้าบ้างไหม”
เขาเพียงถามโดยไม่แสดงท่าทีกังวลใจว่าจะสงสัย
“ข้าเชื่อเจ้า แต่เจ้ายังสามารถแสดงให้ข้าเห็นได้ว่าเจ้าหมายถึงอะไร ให้ข้าได้เห็นศักยภาพ”
เชนกล่าวและสัตว์สี่ตัวถูกเรียกตัวมาที่ด้านหน้าเรือนกระจก
ข้างหน้าเชนปรากฏงูเกล็ดสีน้ำเงินขนาดใหญ่ที่มีดวงตาไพลิน ถัดจากหนูทอง ที่มีดวงตาสีทอง
เจสันรู้สึกหนาวสั่นเมื่อเห็นสัตว์ตัวต่อไป และในตอนแรก สายตาของเขาจ้องมองไปที่ความหายนะของหมาปีศาจพันตา เขาหลีกเลี่ยงในทันที และมองดูเพียงชุดเกราะสีดำสนิทที่มีเปลวไฟสีน้ำเงินพ่นออกมาจากช่องเปิดกระบังหน้า
ความตายสามารถรับรู้ได้จากทิศทางนี้ และดาเลียบอกให้เจสันเก็บเรือนกระจกไว้ ก่อนที่สมุนไพรจะเหี่ยวเฉาและเน่าเปื่อย
รัศมีแห่งความตายที่แผ่ออกมาจากชุดเกราะสีดำนี้ท่วมท้น และดาเลียก็กังวลเกี่ยวกับสวัสดิภาพของพืช ซึ่งลดลงหลังจากเจสันปรับขนาดของเรือนกระจก
หลังจากที่เจสันสวมสร้อยคอเรือนกระจกแล้ว ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี เนื่องจากวัสดุที่เรือนกระจกสร้างขึ้นสามารถป้องกันไม่ให้รัศมีภายนอกแทรกซึมเข้าไปในเรือนกระจก ตราบใดที่ไม่ได้ถูกดันเข้าไปอย่างแรง
“จงบอกข้าว่าศักยภาพของพวกมันคืออะไรและอันดับของพวกมัน ถ้าเป็นไปได้”
เชนกล่าว มองดูเจสันอย่างระมัดระวัง ซึ่งตอนนี้ดวงตาของเขาเป็นประกายเจิดจ้า
เจสันเห็นสีใหม่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน…เดี๋ยวก่อน! ‘ราชาก็อบลินก็มีสีนี้ไม่ใช่หรอ’ เขาถามตัวเองและตอนนี้เขารู้แล้วว่าไม่ใช่แค่เปลวไฟสีน้ำเงินที่แผ่ออกมาจากราชาก็อบบลิน แต่ยังเป็นสีน้ำเงินเข้มที่บ่งบอกถึงศักยภาพของมันด้วย
“หนูสีทองเป็นสัตว์ร้ายที่มีระดับสัตว์วิเศษที่มีความสัมพันธ์เชิงพื้นที่และเป็นสายใยวิญญาณที่อ่อนแอที่สุดของคุณ
หมาปีศาจพันตาเป็นสัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์ ซึ่งถึงขีดจำกัดตามศักยภาพที่ฉันเห็น
ในขณะที่งูสีเงินอาจมีสายเลือดมังกรอยู่บ้าง เพราะอันดับของมันอยู่ที่จุดสูงสุดของอันดับผู้พิทักษ์ในขณะที่ ศักยภาพไม่น่าจะถึงระดับลอร์ด
เกราะที่เปล่งประกายและปลดปล่อยออร่าความตายซึ่งน่าจะเป็นเดธไนท์ ควรอยู่ในระดับลอร์ดในขณะที่ศักยภาพของมันก็ถึงขีดจำกัดเช่นกัน
มีเพียงงูสีเงินเท่านั้นที่สามารถเติบโตได้เล็กน้อย ในขณะที่สัตว์อื่น ๆ ทั้งหมด ศักยภาพของพวกมันด้ถึงขีดจำกัดและไม่สามารถพัฒนาได้อีก”
เจสันพูดจบและเชนทำได้เพียงพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ สมมติฐานของเขาถูกต้องอย่างยิ่ง พลังงานวิญญาณของเขาสูงมากตั้งแต่เขาปลุกจิตวิญญาณของเขาขึ้นมา และด้วยเหตุนี้ เขาได้เพียงสร้างสายใยวิญญาณด้วยสัตว์ร้ายที่มีศักยภาพสูง ยกเว้น ‘เจ้าหนูอวกาศจอมเจ้าเล่ห์’ ในขณะที่เขาต้องการสัตว์ร้ายที่มีความสัมพันธ์เชิงพื้นที่และ สัตว์ร้ายตัวนี้ถือเป็นหนึ่งในสัตว์ที่ดีที่สุด เนื่องจากเขาสามารถทำสัญญากับสัตว์อสูรที่มีอันดับสูงสุดได้เท่านั้น เนื่องจากเขามีความสัมพันธ์ที่ต่ำกับคุณลักษณะเชิงพื้นที่
“เยี่ยมมาก! ด้วยวิธีนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ร่างกายของดาเลียเพื่อที่ผูกมัดวิญญาณที่ดีด้วยซ้ำ!”
เชนพูด พยายามซ่อนความหึงหวงของเขา
มันเป็นเวลาเย็นแล้วและเจสันควรกลับไปที่คฤหาสน์เฟลเลอร์ เนื่องจากพวกเขาอาจกังวลเกี่ยวกับเจสัน ถึงแม้ว่า ทิลล์ จะโทรหาพวกเขาก็ตาม
เขาได้รับจี้ที่มีอักษรรูนสีทองสลักจากเชน ซึ่งเขาจะสามารถเข้ามาในที่หลบภัยใต้น้ำได้ และเจสันก็มีความคิดนับล้านที่ทรมานจิตใจของเขา
มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
เมื่อได้ยินเหตุผลว่าทำไมเชนถึงต้องการพรสวรรค์ของเขา เจสันก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
‘พวกเขาต้องการเลี้ยงดูฉันเพื่อให้ฉันสามารถรวมมนุษยชางั้นหรอ? พวกเขาล้มลงศีรษะหรือรู้สึกโดดเดี่ยว หรือพวกเขามีจิตใจที่หม่นหมอง?’
เจสันเป็นเด็กที่ค่อนข้างอ่อนโยน แต่เขาไม่เคยเป็นผู้นำใครเลย เพราะเขามักจะเป็นคนพิการทางสังคมที่ไม่สามารถเข้าสังคมในโรงเรียนได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วเขาจะเปลี่ยนความคิดของเขาเกี่ยวกับพลังที่เทียบเท่ากับเชน
แม้ว่าเขาจะไม่ชอบสังคมที่มีระบบลำดับชั้น แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่จะปล่อยให้คนที่เข้มแข็งกว่าเป็นผู้นำมนุษย์ที่อ่อนแอกว่า ยกเว้นชายหญิงที่ฉลาดเพียงไม่กี่คน
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาตกใจมากคือความเป็นปฏิปักษ์ในหมู่มนุษย์และกลุ่มใหญ่
พวกเขาอยู่ภายใต้การคุกคามที่ทำลายล้างอยู่แล้ว และตอนนี้ เจสันพบว่ามนุษย์ยังต่อสู้กันเองอีกด้วย
ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลกที่ไม่ดี และเจสันคิดเกี่ยวกับมนุษย์หลายล้านคนที่เสียชีวิตโดยไม่จำเป็นเพราะเรื่องนั้น
เชนและดาเลียสังเกตว่าพวกเขาไม่สามารถทำอะไรเพื่อช่วยให้เจสันนั่นเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันได้
ปัญหามากที่สุดคือข้อมูลที่พวกเขาให้เกี่ยวกับคาเนียร์ที่ล้าสมัยไปแล้วและภัยคุกคามจากเผ่าพันธุ์อัจฉริยะอาจเพิ่มขึ้นอย่างมาก
‘แต่ทำไมต้องเป็นฉัน พวกเขาหาคนอื่นไม่ได้เหรอ ฉันไม่ใช่นักบุญหรืออะไรสักอย่าง’
เจสันต้องการเวลาคิดข้อเสนอของพวกเขาเมื่อมีคำถามบางอย่างจู้จี้กับเขา
“ฉันมีคำถามเกี่ยวกับก็อบบลินที่ตายไป … คุณทั้งสองสันนิษฐานว่าออริจินเฟลมสีดำไม่สามารถมาจาก แอสทริกซ์ และอาจมาจากใครบางคนที่สนับสนุนราชาก็อบบลินให้ปกครองเกาะนี้ใช่ไหม?
เป็นไปได้ไหมที่อีกฝ่ายจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์สนับสนุนราชาก็อบบลินและจัดหาทรัพยากรให้เพียงพอ หล่อเลี้ยง รูนมาสเตอร์, และช่างตีเหล็ก และแม้แต่ออริจินเฟลมที่ยังไม่ตื่น? ให้กับพวกมัน”
คำถามนี้จำเป็นสำหรับเจสันในการที่คิดออกว่าต้องทำอย่างไร แม้ว่าโอกาสจะมีเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจยอมรับได้ว่ามนุษย์บางคนจะตัดสินใจที่จะทำลายล้างกว่า 300 ล้านชีวิตได้เพียงเพราะผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เขารู้ว่าเซรอนและทิลล์ เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับทายาทจากครอบครัวใหญ่ และ เจสันก็คิดว่าไม่ใช่ทุกครอบครัวใหญ่จะเสียสละมนุษย์เพื่อรับผลประโยชน์เล็กน้อย แต่อาจจะเป็นครอบครัวให้ครอบครัวหนึ่ง
เจสันได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์มามากพอที่จะพบว่าพวกเขาโลภมากพอที่จะสังหารผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งและอำนาจ
เชนถอนหายใจขณะที่ดาเลียมองลงมาอย่างเศร้าสร้อย
“ในความเห็นของฉัน เหตุการณ์นี้น่าจะมาจากเผ่าอื่น อย่างไรก็ตามแอสทริกซ์เป็นหนึ่งในเกาะที่ไกลที่สุดจากทวีปหลักที่มีเผ่าอื่นๆ ตั้งอยู่ ดังนั้น ฉันค่อนข้างแน่ใจว่ามนุษย์มีส่วนร่วมในเรื่องของราชาก็อบบลินนี้แน่นอน ฉันไม่สามารถพูดได้อย่างแน่นอนว่ามีครอบครัวใหญ่ เผ่า หรือบริษัทหนึ่งเข้าร่วม แต่มีโอกาสอยู่ที่นั่นแน่นอน และบอกตามตรงว่าไม่น่าแปลกใจเลย”
เชนกล่าวและเจสันเห็นว่าดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความโกรธและความขุ่นเคือง ในขณะที่เขาเองก็ตกเป็นเหยื่อของความโลภเช่นกัน
พวกเขาทั้งหมดต้องการร่างกายที่พิเศษของดาเลียและเขาต้องการปกป้องเธอ ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นปีศาจในสายตาของมนุษยชาติ ในขณะที่ปีศาจที่แท้จริงอาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์
เขาต้องซ่อนตัว ในขณะที่คนอื่นๆ ยังคงทำท่าที่น่าสะพรึงกลัวต่อไปได้
เจสันมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีว่ามนุษย์นั่นจะสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าพันธุ์อัจฉริยะมาเป็นเวลานาน แต่การรู้ความจริงก็ยังน่าตกใจ
เวลาผ่านไปกว่าสิบนาทีและเขายังไม่สามารถรวบรวมความคิดได้ ในขณะที่ดาเลียสั่งให้พวกนางไม้ปล่อยกลิ่นหอมของเจสันเพื่อทำให้จิตใจของเจสันสงบลง
เธอเสียใจกับเจสันเพราะเขาอายุเพียง 14 ปีและพวกเขาขอให้เจสันรวมมนุษย์ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
ดูเหมือนผิดอย่างมหันต์ที่จะบังคับให้เขาต้องรับผิดในสิ่งที่ใหญ่หลวง แต่หลังจากค้นหา 70 ปี เจสันเป็นคนแรกที่ดูเหมือนจะมีศักยภาพที่จำเป็นในการทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ
ขนาดของจิตวิญญาณของเขาใหญ่มากอย่างไม่น่าเชื่อ การเพิ่มของพลังงานวิญญาณของเขานั้นรวดเร็ว และเขาสามารถฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ห้าถักเปียได้
นอกจากนี้ ร่างกายของเขาได้รับการชำระล้างด้วยออริจินเฟลมที่ไม่มีใครรู้จัก แต่มีระดับสูง แกนมานาของเจสันจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและความสามารถในการต่อสู้ของเขานั้นเหนือกว่าคนอื่นๆ โดยไม่ได้รับคำแนะนำพิเศษใดๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย
พวกเขายังพบว่าความรู้ของเจสันนั้นมากมาย ในขณะที่ความทรงจำของเขาดูไม่ธรรมดา เนื่องจากการที่เขาได้ขัดเกลาสมองของเขาแล้ว ซึ่งเชนก็สังเกตเห็นเช่นกัน
การก่อตั้งพื้นที่ย่อยเมื่ออายุ 14 ปีก็เป็นความสำเร็จเช่นกัน มีไม่กี่คนที่สามารถทำได้สำเร็จ
และในท้ายที่สุด เจสันก็ดูสงบมากในช่วงเวลาสำคัญ ในขณะที่ความมุ่งมั่นของเขาไม่แน่นอน
ดาเลียสงสัยว่าเชนพบเจสันได้อย่างไร แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นทางออกสุดท้ายของพวกเขา!
มันเป็นเวลาอาหารกลางวันแล้วเมื่อเจสันรวบรวมความคิดของเขา
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เขาก็มาถึงการตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่คำถามอื่นในใจน่าจะให้คำตอบในขั้นสุดท้าย
“คำถามนี้อาจฟังดูหยาบคาย แต่คุณทั้งคู่จะให้อะไรกับผมได้บ้าง ถ้าผมพยายามทำให้ดีที่สุดในการรวมตัวของมนุษยชาติ? ตอนนี้ผมยังขาดอยู่ไม่มาก… มีเวลาและซื้อทรัพยากรด้วยของที่ริบได้มาจาก ห้องใต้ดินของราชาก็อบบลิน”
ตอนนี้เจสันมีทรัพย์สมบัติมากพอที่จะซื้อทรัพยากรจำนวนมหาศาล หลังจากที่ขายสมุนไพรและแร่ที่เขารวบรวมมาได้
มีความจำเป็นที่เขาจะสัญญากับแบลร์เพื่อรวมมนุษยชาติเข้าด้วยกัน หากเขาไม่มั่นใจในการนำใคร หรือแม้แต่บรรลุความแข็งแกร่งตามที่ต้องการ
ไม่จริง!
ในท้ายที่สุด เจสันคิดได้เพียงสองสามอย่างเท่านั้น พวกเขาสามารถจัดหาได้ และเจสันต้องการได้ยินพวกเขาพูดก่อนที่เขาจะบอกการตัดสินใจขอตัวเองให้กับพวกเขาได้ฟัง
ทั้งสองคนพร้อมที่จะตอบคำถามนี้ และเห็นได้ชัดว่าหลังจากที่พวกเขาสังเกตเห็นว่าเจสันได้รับโชคลาภจากห้องใต้ดินและนอกจากนี้แม้แต่ออริขินเฟลมที่ไม่มีใครรู้ว่ามันมีพลังขนาดไหนและไม่รู้อันดับของมัน
“อย่างแรกเลย เราไม่ต้องการให้หินมานาและทรัพยากรอื่นๆ แก่เจ้า เพราะพวกเราคิดว่าเจ้าไม่ควรพึ่งพามันโดยสิ้นเชิง
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราไม่สามารถให้อะไรคุณได้ ในขณะที่ฉันเป็นช่างตีเหล็กระดับ 7 และ ดาเลียเป็นรูนมาสเตอร์ระดับ 5 เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุอันดับ 7 และยังเป็นผู้สร้างสัตว์ร้ายระดับ 6 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะร่างกายของเธอ เราสามารถสอนทุกไลฟ์สไตล์ของช่างฝีมือและอาชีพผู้สร้างสัตว์ร้าย ด้วยเหตุนี้ เจ้าสามารถได้รับโชคลาภจากการขายสินค้าของเจ้าในภายหลัง
ความรู้ของเรานั้นเหนือกว่ามนุษย์เกือบทุกคน ยกเว้น 3 จอมแม่มดที่ฉันรู้จัก และมันหายากมากที่คนในวัยของเราจะมีสาวกหลายคน
เราทั้งคู่ต้องการสอนเจ้าทุกอย่าง ในขณะที่ดาเลียสามารถช่วยเจ้าควบคุมออริจินเฟลมได้ ซึ่งมีคนจำนวนน้อยที่จะสอนเจ้าได้
และเจ้าจะไม่มีวันผิดหวังกับทักษะและเทคนิคการต่อสู้ต่างๆ ที่พวกเรารู้ อย่าลืมว่าเราทั้งคู่มาจากตระกูลที่มั่งคั่ง แม้ว่าข้าจะออกมานานแล้ว
ข้าสังเกตว่าเจ้าหนูทิลล์ได้ให้เทคนิคพิเศษแก่เจ้า [Splitting Mind] หลังจากที่คุณทำภารกิจสำเร็จ…ขอพูดตรงๆนะ… ข้าจะให้มากกว่านี้ก็ได้ เมื่อร่างกายของเจ้าพร้อม… ยังมีครอบครัวอีกด้วย มรดกตกทอดจากตระกูลชอร์ ซึ่งเป็นเทคนิคระดับพรที่พบได้ในรอยแยกที่ปรากฏชั่วคราว”
เชนพูดจบและเจสันที่ต้องการสงบสติอารมณ์ อดไม่ได้ที่จะเหงื่อออกขณะที่ดวงตาของเขาฉายแสงด้วยความปรารถนา
‘หัวกะทิแหล่งเหล่ามนุษย์..’ เจสันคิดขณะได้ยินเกี่ยวกับยศช่างฝีมือของเชนและดาเลีย…
พูดตามตรง มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะยอมรับข้อเสนอของพวกเขา…
ความปรารถนาของเขาที่จะได้รับความรู้มากขึ้นนั้นไม่เพียงพอ และยิ่งไปกว่านั้น เขาได้รับโอกาสในการเรียนรู้เทคนิคศิลปะการต่อสู้ที่หายากและพิเศษเฉพาะตัว
ดังนั้นเขาจึงควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป แม้ว่าเชนจะไม่พูดในสิ่งที่เจสันต้องการจะได้ยินก็ตาม
“จริงๆหรอ ” เขาตะโกนและกระโดดขึ้น
“ผมสามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้งั้นหรอ”
ความปรารถนาในสายตาของเจสันทำให้เชนและดาเลียตกใจ ดาเลียยิ้มอย่างสดใสและพูดเบา ๆ
“แน่นอน เจ้าทำได้…”
ก่อนจะเสริมว่า
“ถ้าเจ้าให้มานาเพียงพอแก่ข้า ข้าก็สามารถเพิ่มศักยภาพของสัตว์วิญญาณของเจ้าได้ในระดับหนึ่ง หากเจ้าต้องการ”
ตอนนี้คำพูดที่เจสันอยากได้ยินก็ได้ออกมาและมองดูดาเลียอย่างจริงจัง
“จริงๆ นะ” และเสียงของเจสันก็ตื่นเต้นมากขึ้น
เชนมองดูดาเลียด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
`เธอชอบเด็กคนนี้มากขนาดนั้นไหม’ เขาสงสัยว่าการเพิ่มศักยภาพของสัตว์ร้ายจะทำร้ายเธอ แม้จะมีทรัพยากรที่จำเป็นที่จัดหาให้
มันจะไม่ทำให้อายุขัยของเธอสั้นลง แต่ดาเลียไวต่อความเจ็บปวดและจะหลีกเลี่ยงถ้าเป็นไปได้
“อืม” ดาเลียพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เธอสังเกตเห็นการจ้องมองของเชน แต่ตัดสินใจเพิกเฉย
เชนถอนหายใจแล้วหันไปหาเจสัน
“มีบางสิ่งที่เจ้าควรรู้ เมื่อเจ้าตัดสินใจที่จะยอมรับหรือปฏิเสธข้อเสนอของเรา หากปฏิเสธ เจ้าจะต้องสร้างสัญญาวิญญาณล่วงหน้า ซึ่งเจ้าต้องทำเป็นไม่เคยเห็นหรือเคยได้ยินเกี่ยวกับเรามาก่อน โกหกเราหรือคิดจะผิดสัญญาจะเราฆ่าเจ้าทันที แต่ก็ยังดีกว่าการทรมานใช่ไหม?
การยอมรับข้อเสนอของเราหมายความว่าครอบครัวใหญ่ส่วนใหญ่จะตามล่าเจ้าเพราะการเรียนรู้จากเราทำให้เจ้าเป็นสาวกของเรา โอกาสตายเมื่อเกิดขึ้นนั้นมีสูง พูดง่าย ๆ
นอกจากนี้ เมื่อคุณยอมรับข้อเสนอของเรา อย่าบังคับให้ดาเลียใช้ร่างกายของเธอบ่อยเกินไป มันอันตราย!”
เจสันทำนายไว้แล้วว่าจะถูกล่าเมื่อเขายอมรับข้อเสนอของเชน แต่ประโยคสุดท้ายทำให้เจสันดูสับสน
“การเพิ่มศักยภาพของสัตว์ร้ายนั้นอันตรายจริงหรือ?”
เขาถามอย่างไร้เดียงสา กังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับดาเลีย
เธอใจดีกับเจสันมากและสามารถถือได้ว่าเป็นย่าที่น่ารัก
คิดว่าเธอจะตกอยู่ในอันตรายเพราะถ้าเธอเพิ่มศักยภาพของสัตว์ร้ายจะน่าผิดหวัง
เชนกำลังจะตอบขณะที่ดาเลียขัดจังหวะ
“โดยส่วนตัวแล้วไม่อันตราย แค่เจ็บและร่างกายไวต่อความเจ็บปวด จะไม่ตายหรือได้รับบาดเจ็บถาวร”
แต่เจสันมองดูดาเลียเป็นกังวลและพูดว่า
“ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือป้องกันได้หรือ?”
เชนกล่าว
“มันสามารถป้องกันได้ แต่ทรัพยากรที่จำเป็นในการอัพเกรดศักยภาพของสัตว์ร้ายสามเท่าหรือเพิ่มขึ้นอีกและด้วยเหตุนี้ มันจะง่ายกว่ามากในการค้นหาขุมทรัพย์เวทย์มนตร์ที่มีผลเช่นเดียวกัน
โชคดีที่ ดาเลียไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนักในการเพิ่มศักยภาพของสัตว์ร้ายที่ต่ำกว่าระดับเวทย์มนตร์ ดังนั้น หลังจากที่เจ้ายอมรับข้อเสนอของเรา เราจะยอมรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ของเราทันที”
เชนกัดฟันพูดเสริม
“เมื่อคุณมีทรัพยากรที่จำเป็นแล้ว ดาเลียจะสามารถเพิ่มศักยภาพสายใยวิญญาณของคุณไปสู่อันดับที่สัตว์วิเศษ โดยไม่ได้รับแบ็กสแลชมากมาย แต่หลังจากนั้น มันจะเจ็บปวด”
เจสันแน่ใจแล้วว่าจะตัดสินใจอย่างไร แต่หลังจากได้ยินข้อเสนอของดาเลีย เขาก็ประทับใจ
“ฉันไม่ต้องการให้คนอ่อนแอต้องทนทุกข์ แต่ฉันไม่สามารถสัญญาอะไรได้เลย…”
เขาลังเลเพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะทำได้หรือไม่
นอกจากนี้ เขายังไม่แน่ใจว่าเขาต้องการจะทำอะไรในอนาคต และหากการยอมรับข้อเสนอของพวกเขามีประโยชน์สำหรับเขาด้วยซ้ำ เนื่องจากเขาต้องแบกรับความรับผิดชอบมหาศาลในกรณีนี้
เมื่อเงยหน้าขึ้น เชนและดาเลียมองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า ยอมรับว่าเจสันจะต้องทำให้ดีที่สุด เนื่องจากเจสันเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่พวกเขาพบในช่วง 70 ปีที่ผ่านมา
พวกเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าการค้นหานั้นนานเกินไปและอาจสายเกินไปแล้ว
เมื่อสังเกตเห็นการอนุมัติของพวกเขา เจสันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกในขณะที่เขาพูด
“ศิษย์ทักทายอาจารย์เชนและอาจารย์ดาเลีย… เป็นเกียรติที่ได้พบท่านทั้งสอง”
บรรยากาศทั้งหมดยกขึ้นและรอยยิ้มของดาเลียตอนนี้ยิ่งสว่างขึ้น แทบจะแผ่กระจายไปทั่วทั้งห้อง แม้แต่เชนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ
ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แต่การตัดสินใจของเจสันที่จะยอมรับ “อาจารย์ 2 ด้าน ” เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่เขาเคยทำ
พวกเขาใช้เวลาครู่หนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะฟื้นความรู้สึกและเชนได้หัวเราะออกมา
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เก่งมาก เก่งจริงๆ ฮ่าๆ ฮ่า”
เชนหัวเราะเพียงครู่หนึ่งก่อนที่จะเขาจะสงบลง
ดาเลียได้สงบสติมากขึ้นและตอบคำถามของเจสัน
“พลังงานวิญญาณของเจ้าจะไม่ถูกใช้จนหมด เจ้าจะยังสามารถได้รับการขยายวิญญาณตามปกติ หากเจ้ามอบพลังวิญญาณ 100 หน่วย แก่ออริจินเฟลม พลังวิญญาณเจ้าจะได้รับการเปลี่ยนแปลงและได้รับคืน 5 หน่วย”
สำหรับระดับของออริจินเฟลมของเจ้า ข้าเองพูดตามตรงก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเราไม่รู้ว่ามันมาจากไหน ข้าคิดว่าเจ้าก็คงเห็นด้วยว่ามันไม่สมเหตุสมผลที่สมบัติดังกล่าวจะอยู่ในโรงตีเหล็กของราชาก็อบบลิน โดยไม่มีที่มาที่ไป
พวกทีพวกมันต้องการบางสิ่งบางอย่างเพื่อที่จะใช้เปลวเพลิงสีดำนี้ และเป็นไปได้ว่าราชาก็อบบลินต้องการดูดซับเพื่อที่จะเพิ่มระดับของตัวมันเอง ซึ่งนั้นก็เป็นเหตุผลที่เป็นไปได้มากที่สุดเนื่องจากตัวมันเองก็มีธาตุไฟอยู่ในตัส
เราอยากรู้ด้วยว่าใครนั้นที่อยู่เบื้อองหลังเรื่องทั้งหมดนี้ เพราะการที่สนับสนุนราชาก็อบบลินในการทำลายล้างเกาะของมนุษย์นั้นไม่ได้มีปะโยชน์อะไร
หากเผ่าพันธุ์อัจฉริยะสามารถแทรกซึมเข้าไปในอาณาเขตของพวกมนุษย์ได้โดยไม่ถูกตรวจจับ มันคงจะไม่ดี จะเป็นอันตรายต่อพวกเรา
ระดับออริจินของเจ้าก็เป็นที่ไม่แน่ชัด แต่เมื่อพิจารณาถึงกองของสิ่งสกปรกที่เจ้าได้ขับออกมาในระหว่างการชำระล้าง และการเพิ่มขนาดของแกนมานาและร่างกายแล้ว มันอาจจะมีระดับย่างน้อบก็ A และอาจจะจะเป็นระดับ S ได้ แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ เพราะฉันไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับออริจินเฟลมระดับ S
อาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้ติดต่อกับฝั่งคาเนียร์ในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่นั้นเป็นเรื่องที่ต่างออกไป”
เจสันพยักหน้าและต้องการที่จะรู้ข้อมูลเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับคาเนียร์และเรื่องราวของพวกเขา
“แล้ว คาเนียร์ละ ทำไมพวกคุณถึงต้องซ่อนตัวกันที่นี่ แล้วทำไมถึงไม่ติดต่อกับ”
ในขณะที่กำลังพูด เขาก็ถูกขัดจังหวะโดยเชน
“หยุดก่อน ! ก่อนที่เจ้าจะถามคำถามต่อไป พวกเราควรบอกเรื่องราวของพวกเราก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าถามคำถาม บางอย่าง ตกลงไหม”
เขาพูดและเจสันพยักหน้าอย่างคาดหวัง
“ข้านจะสรุปสั้นๆ ให้ฟัง การอธิบายทุกอย่าง อย่างละเอียดมันอาจจะใช้เวลานานเกินไป”
เชนกล่าวก่อนที่จะเริ่มเล่า
“ข้าเกิดเมื่อ 250 ปีที่แล้ว ตอนที่มานาระบาดมาได้เพียง 50 ปี เท่านั้น ในขณะที่มนุษย์ชาติยังคงท่วมท้นไม่เพียงแค่เผ่าอัจฉริยะจากมิติต่างๆ เท่านั้น แต่ยังหมายถึงสัตว์ร้ายมากมายที่บุกรุกอาร์กอสด้วย
โชคดีที่ข้าเกิดในคาเนียร์และครอบครัวของข้าก็มีแห่งขุมพลังงานที่แข็งแกร่งกว่า 2-3 แห่ง มันปกป้องเราและหมู่บ้านโดยรอบ
หลายปีผ่านไป เหล่ามนุษย์ได้ปกครองดินแดนคาเนียร์ และข้าก็ได้เสริมกำลังตัวเองด้วยการดูดซับมานา ในขณะที่เติบโตขึ้น หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปสำหรับเหล่ามนุษย์ และปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือการมีอยู่ของลูกแก้วปลุกวิญญาณที่เจ้ารู้จักอยู่แล้ว และนั่นเป็นเพียงเพราะเราขโมยลูกแก้วเหล่านั้นจากเผ่าพันธุ์อัจฉริยะที่เราสามารถค้นพบได้
เรารู้ว่าเผ่าพันธุ์อัจฮริยะนั่นไม่ได้ใช้ลูกแก้วเหล่านี้ในการปลุกวิญญษณเพราะเราไม่เคยเห็นพวกมันใช้สายใยวิญญาณ แต่ลูกแก้วนี้อาจจะใช้สำหรับอย่างอื่นในกรณีของพวกมันตามสายพันธุ์
อย่างไรก็ตามนี้เป็นเพียงสมมุติฐานเท่านั้น และยังไม่รู้ความจริง หลังจากการปลุกวิญญาณของฉัน พลังวิญญาณของข้านั้นถือว่าสูงมาก ทำให้คนในครอบครัวต่างสนับสนุนข้าทำให้ตัวข้านั้นแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว
การถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะนั้นทำให้ข้ารู้สึกดีและหยิ่งผยองในช่วงเวลานั้น แต่นั้นก็เป็นช่วงที่ครอบครัวของข้าได้จัดตั้งกลุ่มเล็กๆ ขึ้นมา แต่มันก็ถูกทำลายโดยฝูงของสัตว์ร้ายระดับสูงที่มีสิ่งมีชีวิตระดับลอร์ดเป็นผู้นำ
ในช่วงเวลานั้น มนุษย์ที่มีระดับลอร์ดนั้นเป็นเพียงแค่ความฝันและหากปราศจากความช่วยเหลือจากตระกูลอื่น ครอบครัวของข้าก็จะทำได้เพียงส่งข้าไป
โดยไม่ต้องพึ่งพาใครและความรู้สึกที่ถูกหักหลังจากครอบครัวใกล้ชิด ข้าฝึกฝนอย่างหนักเพื่อที่จะเพิ่มความแข็งแกร่ง
โดยที่ไม่สนใจใครเลย ข้ากลายเป็นคนที่ใจดำ ไม่สนใจใคร จนกระทั่งข้าได้พบดาเลียเมื่อ 150 ปีก่อน เธอพาข้ากลับสู่เส้นทางที่ถูกต้อง พวกเราตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในอีกไม่กี่ปีต่อมา และต้องขอบคุณความแข็งแกร่งของข้า ข้าได้เป็นที่ยอมรับจากครอบครัวเธอ
ดาเลียมีร่างกายที่พิเศษและเธอไม่สามารถที่จะมีลูกได้ ซึ่งครอบครัวของเธอก็ดูถูกเธอลับหลัง พวกเขาไม่กล้าทำอย่างนั้นต่อหน้าของเธอ เพราะร่างกายที่พิเศษของเธอนั้นมีประโยชน์ต่อพวกเขา และความสามารถของเธอในการเล่นแร่แปร่ธาตุนั้นก็ทำให้ใครๆ ก็มองว่าเธอนั่นสมบูรณ์แบบถ้าหากตัดปัญหาเรื่องการมีลูกไม่ได้ของเธอทิ้ง
เมื่อไม่สามารถมีลูกได้ เหล่าผู้เฒ่าก็ไม่สนใจการมีอยู่ของเธอมากขึ้นและข้าคิดว่าประมาณ 70 ปีที่แล้ว เมื่อข้ากำลังทำภารกิจจากรัฐบาล ดาเลียได้ถูกลักพาตัวไปจากตระกูลซอร์ซึ่งพวกเขาอยู่เบื้องหลังจากที่ดาเลียมีร่างกายที่พิเศษ”
เชนหยุดเล่าเรื่องครู่หนึ่ง และมองไปที่ดาเลียก่อนที่เขาจะหันไปหาเจสันและกล่าวว่า
“ข้าจะให้ดาเลียเล่าเรื่องราวเกียวกับร่างกายที่พิเศษให้ฟังทีหลัง”
“กลับไปที่เรื่องราวของข้า เมื่อข้ากลับมาจากภารกิจ และไม่พบเธอและผู้และพระสังฆราชได้บอกข้าว่าเธอนั้นสมัครใจที่จะไปกับตระกูลซอร์ แต่ฉันนั้นรู้ดีและรู้ทันทีว่าเกิดบางอย่างผิดปกติ
เมื่อมาถึงคฤหาสน์ซอร์ ฉันพบว่าดาเลียถูกบังคับให้ให้ออกแรงเพื่อที่จะดึงพลังชีวิตของเธอ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้ทำให้ข้านั้นโกรธเป็นอย่างมาก
สรุปสั้นๆ คือ ฉันได้ทำลายล้างตระกูลซอร์และพาดาเลียกลับ และพวกเราก็ถูกผู้เฒ่าโกรธและขับไล่พวกเรา ไม่นานนักข่าวนั้นก็แพร่กระจายและใครๆ ก็มองว่าเราเป็นปีศาจ และลือว่าพวกเราเป็นพันธมิตรกับเผ่าผันธุ์อัจฉริยะและมันก็แพร่กระจายออกไป
พวกเราหนีและเปลี่ยนรูปลักษณ์ในขณะที่ซ่อนตัวอยู่บนเกาะต่างๆ และเมื่อ 20 ปีที่แล้ว พวกเราตัดสินใจที่จะอยู่บนแอสทรกซ์ซึ่งเป็นที่ที่ยังไม่มีใครพบเราจนถึงตอนนี้”
เชนพูดจบและเจสันก็มองเชนอย่างสงสัยและการที่ทำลายล้างตระใหญ่เป็นสิ่งที่แน่นอนว่ามีเพียงแค่เหล่าหัวกะทิเท่านั้นทีจะทำได้ แต่มีบางอย่างทีเจสันนั้นไม่เข้า
“แล้วทำไมคุณถึงต้องการผม คุณต้องการให้ผมแข็งแกร่งกว่าคนพวกเหล่านั้น เพื่อที่จะได้ปลดปล่อยพวกคุณให้พวกคุณได้ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระอย่างงั้นหรอ และยิ่งไปกว่านั้นของร่างกายของคุณดาเลียนั้นพิเศษอย่างไร ผมเห็นแต่แสงสีขาวที่แผ่วเบาไปเปล่งประกายออกมา มันดูบริสุทธิ์แต่ผมก็ไม่เข้าใจ”
เจสันพบว่าข้อมูลที่เชนให้มานั้นมันยังมีส่วนที่ขาดหายไป และอาจจะมีบางสิ่งที่เขาไม่ต้องการที่จะพูดและจากการมองดูสิ่งต่างที่พวกเขานั้นไม่อยากทำในตอนแรก
ถึงอย่างนั้นร่างกายที่พิเศษของดาเลียก็ทำให้เจสันอยากรู้ และด้วยดวงตามานาของเจสัน ร่างกายของดาเลียไม่ได้มีอะไรพิเศษยกเว้นแสงสีขาว คราวนี้ดาเลียเริ่มพูด ในขณะที่เธอสนใจเจสันมากขึ้นกว่าเดิม
ดวงตาของเจสันนั้นมีค่าอย่างยิ่งและมันไม่ใช่ดวงตามานาธรรมดาที่จะมองเห็นได้
“ร่างของข้ามีความพิเศษเพราะบางอย่าง ที่พวกเราเรียกกันว่าผลการชำระล้าง และข้าคิดว่าเจ้าคงรู้ว่าผู้สร้างสัตว์ร้ายคืออะไรใช่ไหน พวกเขาสามารถทำให้เกิดการวิวัฒนาการของสัตว์ร้ายได้ ตราบใดที่เส้นทางการวิวัฒนาการยังอยู่ในขอบเขตที่สามารถเป็นไปได้
บางทีเจ้าอาจจะได้เคยได้ยินทฤษฎีเกี่ยวกับการชำระล้าง ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพของสัตว์ร้ายได้อย่างมากจากการย่อยสมบัติเวทย์มนต์ ชำระร่างกายของสัตว์ร้ายจากสิ่งสกปรก ซึ่งอันที่จริงแล้วเป็นสาเหตุที่สามารถเพิ่มศักยภาพของพวกมันได้
สมบัติระดับสูงที่สามารถชำระล้างสิ่งสกปรกจากสัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์นั้นหาได้ยากมาก และร่างกายของข้าก็เรยกได้ว่าเป็นสมบัติที่ล้ำค่า”
ดาเลียลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ ว่าไม่ค่อยมีใครรู้ความลับของเธอนัก
“ถ้าข้าปลดปล่อยร่างกายที่พิเศษนี้ มันจะสามารถชำระล้างสัตว์ร้ายและเพิ่มศักยภาพได้ในระดับหนึ่ง ในการแลกเปลี่ยน ข้าจะต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลและมีราคาสูงกว่าสมบัติทั่วๆ ไม่อย่างนั้นข้าจะต้องใช้พลังชีวิตของตัวเอง
ด้วยพลังชีวิตของข้า ปีหนึ่งสามารถเปลี่ยนสัตว์ร้ายระดับสัตว์วิเศษให้สามารถพัฒนาไปถึงระดับผู้พิทักษ์ได้ ตระกูลซอร์ยังบังคับให้ข้านั้นชำระล้างสัตว์ร้ายระดับสัตว์วิเศษหลายตัว และหากพวกเขารู้ว่าร่างกายที่พิเศษของข้าทำงานอย่างไร ข้าคงตายไปแล้วหรืออ่อนแอมากจนขนาดไม่สามารถพูดคุยกับเจ้าได้
ข้าได้เพิ่มศักยภาพของสัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์ให้กลายเป็นสัตว์ระดับลอร์ดเพียงแค่ครั้งเดียว และมันใช้ทรัพยากรมากเกินไปและสมบัติเวทย์มนต์จะมีราคาที่ตกลง
แบบนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันจะต้องเสียเวลาอีกกี่ปีเพื่อที่จะเพิ่มศักยภาพของสัตว์ร้ายให้ได้ขนาดนี้…”
ดวงตาของเจสันเบิกกว้างและตั้งคำถามกับตัวเองว่าร่างกายนั่นมีพลังอำนาจขนาดนี้เลยหรอ แต่คำพูดต่อมาของดาเลียทำให้เจสันนั้นตกใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“บางทีเจ้าอาาจะไม่เชื่อข้า แต่การปลุกวิญญาณของข้านั้นแย่มากและแย่ที่สุดในครอบครัว ข้าตื่นขึ้นพร้อมกับธาตุไฟและไม้ และมีพลังวิญญาณต่ำกว่า 3 หน่วย
และในตอนนี้ก็ยังไม่พบสัตว์ร้ายที่มีธาตุไม้ ชเ่น ทรีแอนท์หรือนางไม้ และด้วยพลังวิญญาณที่ต่ำของข้า ครอบครัวของข้าได้มอบทรัพย์สมบัติเกือบทั้งหมดของพวกเขาเพื่อที่จะได้รับออริจินเฟลมระดับ B
ร่างกายที่พิเศษอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ได้รับออริจินเฟลมเพื่อที่จะเพิ่มอายุขัย ซึ่งร่างกายของข้าสามารถเผาผลาญมันได้
หลายปีผ่านไปและข้าได้แต่งงานกับเชน แต่พวกเราก็ยังไม่พบต้นไม้ที่มีความรู้สึกแม้แต่ต้นเดียวหรือสิ่งมีชีวิตที่คล้ายคลึงนี้ แต่เมื่อเชนกลับมาพร้อมสมบัติพิเศษที่น่าจะทำให้ป่านั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกจากมานา
ข้าใช้มันกับกิ่งก้านสองกิ่งแทนที่จะเป็นต้นไม้ต้นเดียวเพราะกลังวิญญาณของข้ายังน้อยมากและยิ่งไปกว่านั้นข้ายังสามารถสร้างสายใยวิญญาณได้เพียงแค่ 2 ตัวเท่านั้น
และเมื่อไม่มีความปราถนาที่จะต่อสู้ ข้าจึงได้สร้างพันธะที่เป็นไม้ 2 ตัว”
เมื่อกล่าวเธอก็เรียกนางไม้ระดับผู้พิทักษ์ 2 ตัว
“นี้คือสายใยวิญญาณทั้ง 2 ของข้า นอกจากทรัพยากรจำนวนมหาศาล ข้าจึงเพิ่มศักยภาพของพวกมันและพัฒนาพวกมันทั้งสองให้กลายเป็นนางไม้”
เจสันรู้สึกสับสนกับร่างกายที่พิเศษนี้ แต่ดูเหมือนมันก็อันตรายเช่นเดียวกัน
และเจสันไม่คิดที่จะต้องการร่างกายแบบนี้ เพราะเขาไม่คิดว่าดาเลียจะสามารถระงับร่างกายของเธอได้อย่างสมบูรณ์เพื่อป้องกันไม่ให้ใครพบโดยสัมผัสผ่านตัวเธอ
‘ก็ ไม่ใช่ว่าดวงตามานาของผมจะไม่ค่อยชัด’ เจสันครุ่นคิด และเชนก็ตัดสินใจนำการสนทนาอีกครั้ง
“พูดตามตรงนะ ข้าติดตามเจ้าตั้งแต่ที่เจ้าได้ปลุกวิญญาณแล้ว และข้าได้ตรวจสอบว่าเจ้านั้นเหมาะสมกับพวกเราหรือ
ไม่และมันก็เกินความคาดหมายของข้าและอาจจะรวมถึงดาเลียด้วย
พวกเราไม่ได้ต้องการให้เจ้าต่อสู้เพื่อพวกเราหรืออะไรแบบนั้น แต่สิ่งที่สำคัญนั่นคือสิ่งสำคัญที่มนุษย์จะได้เห็นแสงแห่งความหวัง
เจ้าอาจจะไม่ได้ตระหนักถึงความสามารถ แต่การปลุกวิญญาณของเจ้าเพียงอย่างเดียวนั้นดีพอที่จะถือว่าเจ้านั้นเป็นคนพิเศษ
ข้าไม่รู้หรอกว่าจำนวนพันธะที่เจาจะสามารถทำได้นั้นมีจำนวนเท่าไหร่ และดเหมือนว่าพลังวิญญาณของเจ้าจเพิ่มขึ้นหลายเท่าในอีกม่กี่เดือนหรือเมื่อหลายปีผ่านไป
ข้ามั่นใจในความสามารถในการต่อสู้ของเจ้าแและข้อเท็จจริงเหล่านี้ ข้าคิดว่าเจ้าสามารถช่วยให้มนุษยชาติรวมกันเป็นหนึ่งเดียวหรืออย่างน้อยก็อาจจะสร้างแนวป้องกันสำหรับคาเนียร์
เจ้าอาจจะไม่รู้ถึงความอันตรายที่เหล่ามนุษย์จะต้องเผชิญในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่แม้กระทั่งก่อนที่พวกเราจะหนีจากคาเนียร์ สัตว์ร้ายก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บุกมาจากรอยแยกที่เกิดขึ้นในช่วงที่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะเข้ามาในคาเนียร์
ในขณะที่ทุกคนเชื่อว่ามนุษย์นั้นรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวในสหพันธ์ นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เจ้ารู้อยู่แล้วว่าหมนู่เกานะนั้นแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ครอบครัว องค์กร ในคาเนียร์ประเทศส่วนใหญ่ปกครองโดยกลุ่มและแทนที่จะต่อสู้กับภัยคุกคามที่พวกเราเผชิญ พวกเขากลับแย่งชิงกันเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินและทรัพยากรมากขึ้น
สิ่งนี้ทำได้โดยอุบาย เลห์กล แม้แต่การสู้แบบเปิดโล่ง และแม้ว่าประเทศจะถูกทำลายเนื่องจากการรุกรานของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ ข้าก็สงสัยว่ากลุ่มอื่นก็อาจจะช่วยได้
พวกเขาอาจจะรอจนกว่าทุกคนจะอ่อนแอลงก่อนที่จะเริ่มการพิชิตและทำลายล้างเผ่าพันธุ์ต่างชาติ
เมื่อพิจารณาถึงศักยภาพที่คาดไม่ถึงของการปลุกจิตวิญญาณของเจ้า เราคิดว่าด้วยการสนับสนุนของเรา เจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างได้ และตามการวิจัยของเราเกี่ยวกับตัวเจ้า เราคิดว่าเจ้าต้องการเปลี่ยนสังคมนี้ได้ และมันจะช่วยคนที่อ่อนแอกว่าได้ก็ต่อเมื่อทุกคนทำงานร่วมกัน . “
เจสันมองเชนด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน ก่อนที่เขาจะโพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เมาหรือเปล่าเนี่ย?!”
เชนไตร่ตรองว่าจะเริ่มต้นอย่างไร แต่เขาต้องการให้มันเรียบง่ายดังนั้นเขาจึงตอบอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าอยากรู้ใช่ไหมว่าข้าต้องการอะไร ง่ายมากๆ ข้าต้องการเจ้า !! แต่ไม่ใช่ต้องการร่างกายหรืออะไรแบบนั้นนะ แต่มันมากกว่านั้น นั้นก็คือพรสวรรค์รวมถึงดวงตามานาของเจ้า ลักษณะพิเศษและการปลุกวิญญาณที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร
แต่อยากที่เจ้ารู้ข้านั้นห่างไกลจากการเป็นชาวสะมาเรีย และเจ้าจะเปลี่ยนไปเมื่อเจ้ารู้ว่าโลกแห่งความจริงนั้นเป็นอย่างไร
ในตอนนี้เจ้ายังเด็กเกินไปที่จะรู้ และการพาเจ้าไปที่ฝูงกองทัพของก็อบบลินเพื่อที่เจ้าจะได้เห็นความโหดร้ายของทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งมนุษย์และสัตว์ร้าย และข้าคิดว่านี้เป็นการประสบความสำเร็จบางส่วน เจ้าไม่คิดอย่างนั้นรึ
ข้าตั้งใจที่จะวางแผนเพื่อให้เจ้ารู้สึกติดหนี้บุญคุณข้า แต่เจ้าก็คิดออกแล้ว แต่แน่นอนว่าการที่เจ้าได้พบกับแบล็คออริจิ้นเฟลมนั้นไม่ได้ถูกวางไว้ในแผนของข้า
และสุดท้าย เจ้านั้นโชคดีมากที่ได้พบกับออริจิ้นเฟลม และข้าก็อิจฉาเจ้ามากที่เจ้าได้พบมัน และเจ้าคงรู้ว่าข้านั้นโลภ และมันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ดังนั้นข้าจึงไม่มีอะไรต้องละอาย
หากไม่มีทรัพยากรมากพอเจ้าจะไม่สามารถอยู่รอดได้นานพอในอาร์กอสหรือแม้แต่ในเมืองอันตรายบางแห่ง ความอ่อนแอจะทำให้เจ้าลำบากในอนาคต “
เชนพูดจบและมองเจสัน รอคำถาม แต่ความคำตอบของเชนทำให้เจสันยิ่งมีคำถามมากขึ้น
“ทำไมคุณถึงต้องการผม พลังวิญญาณของผมนั้นอ่อนแอมาก และต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่ผมจะสามารถทำพันธะกับสัตว์ร้ายระดับสัตว์วิเศษได้ และไม่ต้องพูดสัตว์ร้ายที่ระดับสูงกว่านั้นเลย”
เจสันกล่าวและโกหกเกี่ยวกับพลังวิญญาณ ในความจริงเจสันไม่ต้องใช้เวลานานขนาดในเพื่อที่จะให้มีพลังวิญญาณเพียงพอในการทำพันธะกับสัตว์วิเศษ เพราะพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของเจสัน และเขาจะใช้เวลาไม่นานนัก
นอกจากนี้ด้วยพลังวิญญาณที่มากขึ้นและการฝึกฝนแต่ละครั้งด้วยเทคนิค แฮฟเวนเฮล เจสันจะสามารถเพิ่มพลังวิญญาณของเขาได้แบบทวีคูณ
และนอกเหนือจากอัตราการเพิ่มพลังวิญญาณที่ยอดเยี่ยมแล้ว เจสันยังมั่นใจถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของอาร์เทมิส
“ผมได้สังเกตเห็นความโหดร้ายของมนุษย์แล้ว และพวกเราก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกสัตว์ร้าย และที่สำคัญออริจิ้นเฟลมคืออะไรกัน และเห็นได้ชัดว่าผมได้ผูกพันธะเข้ากับมันแล้ว”
เจสันตระหนักถึงความโหดร้ายของโลกใบนี้และความโลภที่ไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ที่จะแข็งแกร่งขึ้น ด้วยความคิดนี้เจสันนึกถึงออริจิ้นเฟลมที่เขาไม่รู้จัก
“ก่อนที่ข้าจะอธิบายว่าทำไมข้าถึงต้องการเจ้า มันจะดีกว่าถ้าข้าจะบอกเรื่องของออริจิ้นเฟลม แต่ก่อนหน้านั้นข้ารู้เรื่องการปลุกวิญญาณของเจ้า เจ้าไม่ต้องมาบอกข้า
พลังวิญญาณของเจ้านั้นอ่อนแอก็จริง แต่อย่างน้อยเจ้าก็มีพลังวิญญาณ 10 หน่วยและมันก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และด้วยนกฮูกเกล็ดหิมะที่ได้กลายพันธุ์ เจ้าก็จะได้รับสัตว์ระดับสัตว์วิเศษภายใน 1 ปี
และข้ายังสามารถสอนให้เจ้าในการฝึกทักษะแอฟเว่นเฮลด้วยด้ายวิญญาณ 5 เส้น มันจะเพิ่มพลังวิญญาณให้กับเจ้าวันลถึง 1.5 % ในแต่ละวัน เพื่อที่จะเพิ่มพลังวิญญาณให้แก่เจ้า”
เชนกล่าวอย่างภูมิใจ เป็นเรื่องยากสำหรับเด็กที่จะสามารถบรรลุการพันเกลียว5เกลียวด้วยด้ายวิญญาณหลังจากที่ได้ปลุกวิญญาณมาเพียงไม่กี่เดือน
“ขอบคุณที่เป็นห่วงเรื่องพลังวิญญาณของผม แต่ผมสามารถฝึกเกลียวพลังวิญญาณ 5 เส้น ได้ด้วยตัวของผมเองแล้ว โดยที่ไม่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากคุณ และตอนนี้พลังวิญญาณผมก็เพิ่มขึ้นวันละ 2.5% ด้วยความสามารถของผมเอง”
เจสันไม่มีอะไรต้องโกหก เพราะยังไงเชนก็จะได้รู้เรื่องนี้ไม่ช้าก้เร็ว จึงไม่มีอะไรต้องปิดบัง
“ฮ่าๆ เห็นไหมตอนนี้เจ้าเพิ่มได้แค่ 2.5 % ต่อวัน ….. ห๊ะอะไรนะ”
เชนคิดว่าเขานั้นได้ยินผิดเพราะก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเจสันนั้นเพิ่มพลังวิญญาณได้เพียงวันบะ 0.5% ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของการฝึกเทคนิคแฮฟเว่นเฮลขั้นสอง
ดวงตาของดาเลียเป็นประกายและสามารถมองเห็นความสุขในดวงตาของเธอ นั่นเป็นเพราะเหตุผล 2 ประการ ซึ่งมันเป็นเวลานานมากแล้วที่เธอไม่ได้เห็นเชนร้องเสียงหลงแบบนี้และท่าทีที่สับสนของเขา และความสำเร็จของเจสันที่ทำได้โดยไม่ได้รับความช่วยจากใครซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ
‘บางทีเขาอาจจะเป็นสมบัติที่เราตามหาจริงๆ’ เธอคิดแล้วยิ้มในใจ
เจสันสัมผัสถึงร้อยยิ้มที่ผุดขึ้นมาในใจเขา และเขาไม่สามารถที่จะหันไปมองทางขวาได้ เพราะเขาจะรู้สึกอึดอัดใจเมื่อได้เห็นดาเลียยิ้มให้
เชนใช้เวลาสักครูในการรวบรวมความคิดก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มขรึมเล็กน้อย
“งั้นลืมสิ่งที่ข้าพูดเกี่ยวกับพลังวิญญาณของเจ้าไป โอเคข้าจะบอกต่อ เกี่ยวกับออริจิ้นเฟลม เพราะอะไรมันถึงพิเศษ อย่างที่เจ้าอาจจะสังเกตเห็น ออริจินเฟลม เชื่อต่มกับจิตวิญญาณของเจ้าเหมือนกับสัตว์พันธะตัวอื่นๆ ที่เจ้าได้สร้างสายใยวิญญาณ แต่พวกสัมพันธ์นั้นจะแตกต่างกันเล็กน้อย
สัตว์ร้ายนั้นให้มอบความแข็งแกร่งทางกายภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์ร้ายและผู้ผูกพันธะ แถมยังสามารถเรียกออกมาเพื่อช่วยในการต่อสู้ได้อีกด้วย
ซึ่งออริจินนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เพราะเมื่อพวกมันถูกปลุก มันจะทำการชำระล้างผู้ผูกพันธะซึ่งจะชำระเอาสิ่งสกปรกจำนวนมากออกไปซึ่งผู้ผูกพันธะจะได้รับความสามารถในการรวบรวมมานา การกลั่น และดูดซับ เนื่องจากสิ่งสกปรกได้ออกไปแล้ว จึงไม่มีอุปสรรคใดที่มากั้นในการดูดซับมานา และเจ้าจะเพิ่มระดับแกนมานาได้อยากรวดเร็วมากๆ
นอกจากนี้ หลังจากการชำระล้างเสร็จในตอนแรกมันจะช่วยเพิ่มขนาดของแกนมานาและเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของเจ้า
นอกเหนือจากนั้น เจ้าจะดูดีขึ้นมากและการบวนการการชราภาพของเจ้าก็จะลดต่ำลงอย่างมากเนื่องจากสิ่งสกปรกภายในตัวถูกกำจัดออก ทำให้โอกาสที่จะใช้มานาในการฟื้นฟูเซลล์นั้นง่ายขึ้นอยากมาก
และเจ้าจะได้รับความพลังจากออริจินเฟลม ซึ่งมันจะมีประสิทธิภาพมากกว่าความสามารถจากเปลวไฟส่วนใหญ่จากสัตว์ร้าย
ข้อเสียของออริจินเฟลมนั้นมีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือ ออริจินเฟลมนั้นใช้จุดสำหรับสัตว์วิญญาณ ซึ่งมีมนุษย์น้อยคนนักที่จะได้พบ และพวกเขานั้นสามารถที่จะขายออริจินเฟลมที่ยังไมไ่ด้ถูกปลุกด้วยราคาที่คิดไม่ถึง เพราะคุรสมบัติแห่งการชำระล้างนั้นมีค่ามากเกินกว่าจะตีราคาได้
อย่างที่สอง มันเป็นทั้งข้อเสียและข้อดีรวมกัน เพราะเจ้าจะต้องหล่อเลี้ยงออริเจนเฟลมด้วยพลังวิญญาณโดยเจ้าจะต้องหลอมรวมเข้ากับมันมากขึ้น ตอนนี้ออริจินเฟลมของเจ้าไม่ควรใหญ่ขนาดนั้น ในขณะที่พลังวิญญาณที่มันต้องาการนั้นน้อยกว่า 1 หน่วย มันจะเพิ่มขนาดและแข็งแกร่งขึ้นตามพลังวิญญาณที่มันได้หลอมรวมเข้า
เมื่อออริจินเฟลมถึงขีดจำกัด มันจะพัฒนาขึ้นไปในระดับที่สูงขึ้น และเจ้าจะได้รับการชำระล้างอีกครั้ง มันจะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกที่หลงเหลือและเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของเจ้าอีกครั้ง
ออริจินเฟลมนั้นมีระดับต่างๆ ตั้งแต่ระดับ E ถึงระดับ S
ตอนนี้เปลวไฟของเจ้ายังไม่มีระดับและหลังจากที่มันพัฒนาในครั้งแรกจะเรียกว่าระดับ 1 มีออริจินเฟลมหลายสิบชนิด ซึ่งที่พบบ่อยที่สุดก็จะเป็นสีแดงทั่วไป ซึ่งจะบ่งบอกว่าอยู่ในระดับ E การชำระล้าง และเสริมความแข็งแกร่งนั้นไม่ได้ยอดเยี่ยมแต่มันก็หาได้ยากและมีค่ามาก
ออริจินเฟลมที่มีระดับจะให้การชำระล้างมากกว่าและมีคุณภาพที่สูงขึ้นมากในทุกด้าน ”
เชนพูดจบและให้โอกาสดาเลียได้พูดอะไรบางอย่าง และพยายามที่จะปลอมเพราะคิดว่าเจสันนั้นถูกเผาทั้งเป็นในตอนที่ถูกชำระ
“เจสัน เจ้าไม่ต้องกลัวเรื่องการถูกชำระ เพราะมันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเจ้าต้องการให้เปลวไฟนั้นวิวัฒนาการขึ้นเท่านั้น
หากการชำระล้างครั้งแรกนั้นน่ากลัวเกิดไปสำหรับเจ้า เจ้าสามารถที่จะทิ้งออริจินเฟลมได้ แต่จำควรจำไว้ว่าการที่ได้รับมันมานั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เนื่องจากออริจินเฟลมจะพบได้เฉพาะในภูเขาไฟที่มีความเข้มข้นสูงมากที่สุดเท่านั้นและที่นี่นต้องีจำนวนมานาที่หนาแน่นอยากมาก ซึ่งจะพบได้ในรอยแยกพิเศษและในทวีปหลัก
เป็นเรื่องยากมากที่เปลวเพลงจะสร้างความรู้สึกนึกคิดและสร้างคริสตัลรอบๆด้วยเพื่อทำให้ตัวมันมีสติและความคิดได้
หากปราศจากคริสตัลพวกมันจะถูกมานาและลาวาปกคลุม ซึ่งจะใช้เวลาอีกหลายปีนับไม่ถ้วนที่จะสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่”
เมื่อพูดจบก็มีเปลวไฟสีเงินปรากฏขึ้นบนมือของเธอ และลอยไปรอบๆ ราวกับว่ามันกำลังเล่นกับเธอและเจสันก็เปิดดวงตามานามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
`สีเทาอ่อน?`
เจสันเห็นแสงที่เปล่งออกมาและสงสัยในความหมายว่ามันคืออะไร จิตใจของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
“เลดี้เบลล์…” เขาสัมผัสถึงแสงจ้าจากดาเลีย
“ดาเลีย เปลวไฟสีเงินนี้เป็นออริจินเฟลมใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นนั้นเป็นออริจินระดับ 2 ใช่ไหมครับ !”
เจสันถามหลังจากที่เห็น ทำให้ดาเลียประหลาดใจ
‘เขารู้ได้ยังไง’
ก่อนที่เธอจะพูดอะไร เจสันก็พูดต่อ
“สายตาของผมสุดยอดมาก ผมแค่เดาหน่ะ อย่าถือสากับความหยาบคายของผมเลยนะครับ ผมขอโทษ”
เจสันหันไปหาเชนและคงถามคำถามต่อ
“ถ้าผมปล่อยให้ออริจินเฟลมนั้นดูดซับพลังวิญญาณมากขึ้น มันจะเพิ่มพลังวิญญาณที่ใช้ร่วมกันในโลกวิญญาณของผมหรือเปล่า หรือพลังวิญญาณที่ถูกดูดซับไปมันจะหายไป นอกจากนี้ ออริจินเฟลมของผมอยู่ในระดับไหน มันเพิ่งถูกปลุก ? แต่ความแข็งแกร่งของแกนมานาของผมเพิ่มขึ้นตลอดในระหว่างการชำระ ผมรู้สึกเหมือนพลังของความสัมพันธ์กับเปลวไฟสีดำนั้นเมื่อเทียบกับสัตว์ร้ายธาตุไฟ มันก็อาจจะเทียบกับสัตว์ร้ายที่มีระดับสูงสุดที่มีธาตไฟ”
ก่อนหน้านี้ ทั้งเชนและดาเลียคิดว่าพวกเขาจะทำให้เจสันนั้นมึนงงกับข้อมูลต่างๆ แต่ดูเหมือนเจสันจะสามารถเข้าใจและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ข้อมูลที่เจสันให้มานั้นมันน่าตกใจมากกว่าข้อมูลของพวกเขา
ตาของเจสันสามารถตรวจพบเปลวไฟของดาเลียได้ และการชำระก็เพิ่มระดับแกนมานาของเจสันมากกว่าปกติ และยังเทียบได้กับสัตว์ธาตุไฟที่แข็งแกร่งที่หลังจากที่มันตื่นขึ้น …
นี้คงเป็นเป็นเราตลกที่ไม่ค่อยดี และเจสันมองเชนและดาเลียอย่างมีความหวัง ในขณะที่พวกเขานั้นไม่รู้จะคิดอย่างไรกับเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา
เห็นได้ชัดว่าเปลวเพลิงสีดำนั้นไม่เป็นอันตรายต่อโลกวิญญาณของเจสัน แต่ดูเหมือนว่าโลกวิญญาณนั้นกำลังทำให้ชำระล้างพลังวิญญาณของเจสันให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ในขณะที่พลังวิญญาณที่อยู่ใกล้กับเปลวเพลิงสีดำกำลังดูสดใสและเปล่งประกายเจิดจ้ามากขึ้นเทียบเทียบกับส่วนต่างๆ
ดังนั้นเจสันจึงพยายามใช้การเชื่อมต่อของเขากับเปลวเพลิงสีดำเพื่อใส่ให้มันอยู่ใต้แกนโลกวิญญาณ และหลังจากที่เจสันกล่าวกับมันอย่างสุภาพ มันก็ค่อยๆ ลอยไปอยู่ใต้แกนโลกวิญญาณและมันชำระล้างทุกสิ่งที่อยู่ใกล้
เจสันพยักหน้าอย่างพึงพอใจและตัดสินใจที่จะออกจากโลกวิญญาณหลังจากตรวจสอบพลังวิญญาณที่เขาสะสมและการวิวัฒนาการของอาร์เทมิสว่าไปถึงระดับไหนแล้ว
ดูเหมือนว่าการวิวัฒนาการของอาร์เทมิสใกล้ที่จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ซึ่งก็ดีเพราะพลังวิญญาณของเจสันในตอนนี้มีถึง 15 หน่วย
และเจสันสังเกตเห็นว่าเปลวเพลิงสีดำนั้นใช้พลังวิญญาณของเขาไป 0.01 หน่วย ซึ่งมันก็น่าสงสัยมากสำหรับเจสัน
‘มันเป็นพันธะวิญญาณหรือเปล่านะ เปลวไฟสีดำนี้คืออะไรกัน’
เมื่ออกจากโลกวิญญาณ เจสันตัดสินใจที่จะทดสอบบางสิ่ง หลังจากที่สังเกตเห็นบางสิ่งที่พิเศษภายในโลกวิญญาณ เขาหมุนเวียนมานาในขณะที่มองด้วยดวงตามานา และสิ่งที่เขาสงสัยนั้นก็เป็นสิ่งที่ถูกตรง
‘มานาของฉันมันแปรเปลี่ยนและสัมผัสได้ถึงสายสัมพันธ์กับเปลวไฟสีดำ’
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เจสันก็รู็สึกตื่นเต้นมากขึ้น
‘ฉันเองก็ได้รับพลังจากดวงไฟสีดำนั้นด้วยหรือเปล่านะ’
เจสันสงสัยและรู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างเขาและเปลวเพลิงสีดำ เจสันปล่อยมานาบางส่วนไปยังมือ และเปิดใช้งานการเชื่อมต่อระหว่างเปลวเพลิงสีดำกับเขา
เปลวเพลิงสีดำขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนมือของเจสัน และเขาก็กระโดดไปมาด้วยความตื่นเต้นและดีใจ แต่หลังจากที่เสียสมาธิไปกับความดีใจ เปลวไฟสีดำก็จางหายไป แต่มันก็ไม่สำคัญในตอนนี้
เขาได้รับพันธะวิญญาณดวงใหม่และมันคือเปลวเพลิงสีดำ ที่จะทำให้เจสันนั้นแข็งแกร่งขึ้น
‘ฮ่าๆ ๆๆๆ ไม่เพียงแต่ฉันที่มีโชคที่สามารถเก็บสมนุไพรหายากเหล่านั้น แต่ยังได้สายใยวิญญาณอันน่าทึ่งเพิ่มมาอกี 1 ดวง ‘
เจสันคิดอย่างภาคภูมิใจและตอนนี้เขาก็มีสายใยวิญญาณถึง 3 ดวง แต่พวกมันก็ใช้พลังวิญญาณของเจสัน ทำให้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
‘ฉันยังไม่สามารถให้พลังวิญญาณแก่สายใยวิญญาณทั้ง 2 อย่างเพียงพอได้ แล้วพลังวิญญาณที่ฉันมีจะเพียงพอแก่ดวงไฟสีดำนั้นได้อย่างไร มันจะทำลายฉันไหมถ้าฉันให้พลังไม่เพียง’
เจสันคิดและทำหน้าบึ้ง
ดาเลียและเชนนั่งอยู่ด้านนอกห้อง ที่โซฟาและเมื่อพวกเขาได้ยินเสีงเจสันที่ตื่นแล้ว ดาเลียจึงรีบลุกไปหาเจสัน แต่ก่อนที่เธอจะลุกไป เชนก็ได้รั้งเธอไว้ และพูดอย่างใจเย็น
“ให้เวลาเขาได้ปรับตัวกับทุกสิ่ง”
“เอ่อ..ค่ะ..”
ดาเลียตอบอย่างผิดหวังเล็กน้อย เธอต้องการดูว่าเจสันเป็นอย่างไร แต่คำพูดของ เชนก็เป็นสิ่งที่ควรทำ
หลังจากรับการชำระมาและสามารถเอาชนะความเจ็บปวดจากการถูกชำระมาได้เขาต้องปรับร่างกายให้เขากับพละกำลังที่เพิ่มขึ้นและร่างกายที่บริสุทธิ์ขึ้น
ทั้งสองคนไม่คิดว่าเจสันจะไม่ได้สนใจต่อบาดแผลที่ถูกไฟไหม้จากข้างในสู่ภายในนอกเลยแม้แต่น้อย ในขณะเดียวกัน เจสันก็คาดหวังว่าร่างกายของเขานั้จะปรับตัวได้ต่อการเปลี่ยนแปลง และตอนนี้เจสันก็เริ่มได้กลิ่นที่น่ารังเกียจที่มันฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง
เสื้อผ้าของเขาเน่าเหม็นอย่างน่าขยะแขยงและห้องที่เขาอยู่ก็มีกลิ่นเหมือนถุงขยะที่ค้างมาหลายปี การเปลี่ยนเสื้อผ้านั้นไม่เพียงพอต่อการชำระล้างกลิ่นเหม็นนี้ และตอนนี้เจสันต้องการที่จะอาบน้ำ ซึ่งเขาก็หาห้องน้ำเจอหลังเปิดประตูที่อยู่ภายในห้อง 2-3 ประตู
ดวงตาของเจสันเบิกกว้างเมื่อเขาถอดเสื้อผ้าออก
`โว้ว!`
เขาคิดพลางมองดูกล้ามท้องของเขาด้วยความชื่นชม
เขาไม่เคยเห็นหน้าท้องแบบนี้มาก่อน และเจสันตัดสินใจส่องกระจกเป็นครั้งแรกในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา
ในกระจกจะสามารถมองเห็นหนุ่มผมค่อนข้างยาวสีดำที่มีดวงตาสีทอง แต่ผมด้านข้างยังคงสั้น ชายหนุ่มที่มีใบหน้าคงได้รูปและมีสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบที่สามารถเห็นได้ในกระจก ทำให้เจสันตั้งคำถามกับตัวเอง
‘ใช่ฉันจริงๆ เหรอ’
นอกจากนี้ เจสันสังเกตว่าเขาสูงขึ้นไม่กี่เซนติเมตร
ตอนนี้เจสันสูงกว่า 1.7 เมตร และมีกล้ามเนื้อ และเขาก็ไม่เห็นไขมันบนใบหน้า หน้าเขาตอบและกระชับเห็นโครงกล้ามได้ชัด
ถ้าบอกว่าเขาอายุ 14 คงไม่มีใครเชื่อเพราะตอนนี้เขาดูเป็นเด็กอายุ 16 ปี ผิวสีขาวซีดนั้งบ่งบอกถึงความอ่อนแอและใบหน้าที่หล่อเหลา ในขณะที่มีกล้ามเนื้อที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งที่ขัดแย้งกับสีผิว
เมื่อเข้าห้องน้ำและอาบน้ำเป็นเวลา 30 นาที และกลิ่นเหม็นสกปรกของเจสันก็ค่อยๆ ถูกชะล้างออกจากร่างกาย ดาเลียและเชนที่อยู่นอกห้องเมื่อได้ยินเสียงเปิดน้ำพวกเขาก็ต่างสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น
‘เขาเพิ่งตื่นขึ้นเมื่อ 20 นาทีที่แล้วไม่ใช่หรอ’ พวกเขาต่างคิดอย่างสบัสนและดาเลียตกใจเพราะว่าเมื่อครั้งที่เธอได้รับบาดแผลจากการที่สร้างสายใยกับออริจิ้นเฟลมมันได้สร้างบาดแผลที่เจ็บปวดให้กับเธอ
เธอใช้เวลากว่า 2-3 กว่าจะเอาชนะความกลัวหลังจากที่ถูกเผาทั้งเป็นด้วยออริจิ้นเฟลม แต่เจสันกลับอาบน้ำราวกับว่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากที่ตื่นนอน
เมื่อเจสันอาบน้ำเสร็จ เขาก็เปลี่ยนชุดใหม่และออกจากห้องที่ยังมีกลิ่นเหม็นและเข้าไปในห้องนั่งเล่นเล็กๆ ที่มีเฟอร์นิเจอร์เก่าและดูลึกลับ
เมื่อออกมาเจนสันเห็นเชนและผู้หญิงที่ยื่นข้าง เชน และเขาก็สงสัยว่าเธออาจจะเป็นภรรยาของเชนและพวกเขาก็ทักทายอย่างสุภาพ
“สบายดีไหม เจสัน”
เชนถามและมองเจสันอย่างสงสัย เขารู้ว่าเจสันนั้นเคยกินผลปีศาจวัลคีรีลชิลด์ แต่เขาก็ประหลาดใจที่เจสันนั้นยังดูปกติมาก เมื่อเขาเพิ่งได้รับความเจ็บปวดที่ใกล้เคียงกับการกินผลปีศาจ
“ครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง เชน “
“เชน ?” ดาเลียหันไปมองชายชราด้วยสายตาที่เป็นประกายและรอยยิ้มเล็กๆ
เชนหลีกเลี่ยงสายตาของภรรยาเขาก่อนที่เขาจะพูดอะไร ดาเลียก็ได้แนะนำตัว
“สวัสดีจ้ะ เจสัน ฉันชื่อ ดาเลีย แบลร์ และเชนเป็นสามีของฉัน เรียกฉันแค่ดาเลียก็ได้”
สิ่งที่เจสันคิดนั้นถูกต้องและเขาก็ได้ยิ้มอย่างสุภาพและแนะนำตัว
“สวัสดีดาเลีย ผมชื่อเจสัน สเตลล่า ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“อ่ะ อ่า ไม่ต้องสุภาพแบนั้นก็ได้ เชนชอบเจ้า แค่ทำตัวสบายๆ ก็พอแล้ว” ดาเลียกล่าวและพยายามพูดจาไม่สุภาพจนเกินไป
เธอไม่ชอบการพูดจาสุภาพเนื่องจากมันทำให้เธอนึกถึงลำดับชั้นทางสังคมของเหล่ามนุษย์
แต่เจสันค่อนข้างประหลาดใจ ‘เชนชอบฉันงั้นหรอ ?’
“สิ่งที่ภรรยาของฉันพูดเป็นเรื่องจริง ตัวเจ้ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันชอบ และตอนนี้ก็ดึกแล้ว และเจ้าก็ไม่ได้อยู่บ้านของตระกูลเฟลอร์ ฉันหวังว่าเจ้าจะมีเวลาคุยกับเราบ้าง แต่พวกเฟลอร์ก็เป็นห่วงเจ้ามาก แต่ฉันได้โทรหาเจ้าหนูทิลล์แล้วบอกว่าเจ้ามีเรื่องสำคัญต้องเข้าร่วม และตอนนี้ทุกอย่างน่าจะเรียบร้อยแล้ว
เจ้าอาจจะสงสัยเกี่ยวกับเปลวไฟสีดำที่เจ้าได้สรางสายใยวิญญาณและสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 30 ชั่วโมงที่ผ่านมา นอกจากนั้นฉันอยากจะคุยกับเจ้าเกี่ยวกับเรื่องสำคัญ แต่ก่อนที่เราจะคุยกัน ฉันจะให้เจ้าถามคำถามในสิ่งที่เจ้าอยากรู้ และฉันจะตอบให้อย่างละเอียด”
เชนพูดขณะที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน และเจสันสงสัยว่า คนคนหนึ่งจะมีบุคลิคหลากหลายได้อย่างไร เชนนั้นค่อนข้างโหลดร้ายและไม่ใส่ใจผู้อื่น ในขณะที่เขาสายตาที่เขามองภรรยาของเขานั้นเต็มไปด้วยความรักและเชนก้ยังใจดีและเมตตาเขา ซึ่งมันก็น่าแปลก
นอกจากนี้เชนก็ยังดูโลภ ซึ่งอาจจะมากแต่มันก็ไม่แปลก เจสันมีคำถามมากมายในหัว และเขาก็ไม่รู้ว่าจะถามอะไร ดังนั้นเขาจึงทำตามความรู้สึกนึกคิดและเริ่มถามด้วยคำถามของเขา
“มีอะไรอีกมากที่ผมอยากรู้และก็เรื่องราวของคุณ แต่ตอนนี้ผมอยากรู้ว่าคุณต้องการอะไรจากผม และคุณจะทำตัวเป็นคุณปู่แสนดีไปถึงเมื่อไหร่ และทำไมถึงไปที่เขตรักษาพันธุ์ และทำไมถึงพาผมไปดูกองทัพของพวกก็อบบลิน และการที่ให้ผลประโยชน์อย่างลับๆ ด้วยการพาผมไปที่อาณาจักรใต้ดินของพวกก็อบบลินนั้นก็เป็นแผนของคุณใช่ไหม ไม่อยากนั้นคุณคงเอาของพวกนี้ไปก่อนที่ผมจะได้เอามาใช่ไหมละ”
เมื่อเจสันพูดจบ ดาเลียได้มองเจสันด้วยร้อยยิ้มแต่ทำหน้าเมินเฉยต่อเชน เมื่อเหันดังนั้น เชนจึงหัวเราะเบาๆ ซึ่งทำให้สถานการณ์ที่น่าอึดอัดคลี่คลายลงเล็กน้อย
เชนไม่คิดว่าเจสันจะพบอะไรมากมาย
“เข้าใจแล้วเจ้าหนู ฉันจะอธิบายทุกอย่าง แต่จะเริ่มจากตรงไหนดีละ “
เจสันรู้เพียงว่าร่างกายของเขากำลังลุกไหม้ ในขระที่ไม่มีหนทางให้เขาหนีจากไฟนรกนี้ มันไหลผผ่านช่องมานาและเส้นเลือด และกระจายไปทั่วร่างกาย
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่มันมีแต่ความเจ็บปวดที่เจสันได้รับรู้แต่ก็ไม่สามารถขยับตัวได้แม้แต่นิดเดียวเมื่อการเชื่อมต่อของเขากับเปลวเพลิงสีดำได้เกิดขึ้น
เปลวเพลิงนี้มันไม่ได้แค่เชื่อมกับจิตวิญญาณของเจสันเท่านั้น แต่มันยังแผดเผาไปทั่วร่างกายซึ่งมันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในและภายนอก
ตอนนี้เจสันกำลองนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ และมีหญิงชรายืนอยู่ข้างๆ เชน ในขณะที่หญิงชรากำลังกังวลใจ เมื่อเห็นชายผมดำกำลังหอบอย่างทุกข์ทรมาณ เจนเองก็มองไปเจสัน แต่เขากลับรู้สึกอิจฉาเจสัน
“เขาหาออริจิ้นเฟลมเจอได้อย่างไรกัน ทำไมมันถึงมาอยู่ในอาณาจัรของก็อบบลิน” เชนบ่น
“ไม่สามารถทำอะไรได้แล้วแหละ ฮ่าๆ ” เธอหัวเราะเบาๆ
เชนถอนหายใจเพราะรู้ว่ามันเป็นความจริง
“อ๊ากก ถ้าฉันยังเหลือที่ว่างในโลกวิญญาณนะ “
ทันใดนั้นเจสันก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและห้องก้เริ่มร้อนขึ้นเล็กน้อย เปลวเพลิงสีดำได้พุ่งกระจายออกมาจากร่างกายของเจสันพร้อมกับสิ่งสกปรกที่มีกลิ่นเหม็น ซึ่งทำให้เชนและหญิงชราเบิกตากว้าง
“ดาเลีย เจ้าเคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับออริจิ้นเฟลมมาก่อนหรือเปล่า”เชนถาม
ในขณะที่หญิงชราได้ส่ายหัว
เมื่อเธอไปสัมผัสกับเปลวเพลิง เธอก็ได้สัมผัสถึงความร้อนอันน่าสะพรึงกลัวที่ต้องการจะกลืนกินเธอ เธอรีบชักแขนออก
“นี่ไม่ใช่ออริจิ้นเฟลมธรรม ออริจิ้นเฟลมปกติจะมีระดับต่ำกว่า B แต่นี้มันอาจจะเป็นระดับ A-S แต่ฉันก็ไม่แน่ใจ อาจจะเป็นเพราะมันเพิ่งถูกปลุกขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน แต่ถ้าเวลาผ่านไปสักพักมันอาจะอยู่ในระดับ D “
เชนเริ่มสับสนและครุ่นคิด
“ราชาก็อบบลินอาจจะได้รับการสนับสนุนจากใครบางคนที่เป็นเผ่ามนุษย์หรือเผ่าพันธุ์อัจฉริยะเผ่าอื่น การที่จะมอบออริติ้นเฟลมระดับ A นั้นไม่ใช่เรื่องทื่จะให้กันได้ง่ายๆ หากไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยนที่มากพอ “
เชนกล่าวอย่างไม่มั่นใจ เมื่อดาเลลียได้ยินดังนั้นเธอก้สับสนพอๆ กับเชน
เนื่องจากพวกเขาทั่งคู่ต้องหนีจากคาเนียร์และซ่อนตัว เนื่องจากร่างกายที่พิเศษของดาเลีย และมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เปลี่ยนไป
สิ่งนี้ทำให้เธอหดหู่ใจกับความรู้สึกผิดที่สะสมมา
เห็นได้ชัดว่าเจสันนั้นได้รับการชำระจากการที่ผูกพันธกับเปลวเพลิงสีดำ เจสันนั้นจะต้องเอาตัวรอดจากการชำระในครั้งนี้
ถึงจะเป็นเปลวเพลิงในระดับ D แต่มันก็เทียบได้กับระดับผู้เชี่ยวชาญของเหล่ามนุษย์ และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเจสันนั้นจะสามารถเอาชีวิตรอดจากมันได้หรือไม่ เพราะเจสันอยู่ในขั้นผู้ชำนาญระดับ 1 เท่านั้น ในขณะที่เขาได้รับการชำระจากออริจิ้นเฟลมที่ไม่มีใครรู้ว่ามันอยู่ในระดับไหน
เจสันอยู่ภายใต้ความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องและเลือดสีก็ค่อยๆ ซึมออกมาจากรูขุมขน และก็ไหลออกมาจากทวารทั้ง 7 ในขณะที่ดาเลียไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไป และก็มีวงเวทย์สีเขียวปรากฏขึ้น 2 วง
ต้นไม้สองต้นปรากฏขึ้น ในขณะที่ต้นหนึ่งมีเถาวัลย์สีเขียวที่เปรียบเสมือนผมและอีกต้นมีเถาวัลย์สีออกฟ้า และมีอัญมณีสีเขียวที่ดูราวกับดวงตา
ลำต้นดูคล้ายผู้หญิงที่งดงาม สัตว์ร้ายสองตัวนี้ คือนางไม้ พวกมันเป็นสัตว์ที่หาได้ยากมากและกำลังสูญพันธุ์ การที่ได้เห็นนางไม้ถึงสองตัวถือว่าเป็นอะไรที่หาดุได้ยากมากๆ
ในขณะที่เจสันยังคงถูกชำระล้าง และเนื่องจากออริจิ้นเฟลมนั้นมีไว้สำหรับเหล่าผู้วิเศษขั้นสูงที่จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่หลงเหลืออยู่ในร่างกาย แต่เนื่องจากเจสันอยู่ในระดับผู้ชำนาญ 1 เท่านั้น ทำให้เขาต้องถูกชำระอย่างยาวนานเนื่องจากสิ่งสกปรกที่มีอยู่มาก
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่รู้ว่าออริจิ้นเฟลมนั้นอยู่ในระดับไหน พวกเขาทำได้แค่ประเมินระดับการชำระอย่างคร่าวๆ สถานการณ์ทั้งหมดนี้สามารถสังเกตได้เป็นเวลาหลายชั่วโมง และเจสันก็เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกจำนวนมาก
ทั้งสองคนทำได้แต่ค่อยกำจัดของสิ่งสกปรกที่ถูกขับออกมาเหล่านี้ออกไป ในขณะที่นางไม้ทั้งสองค่อยใช้เวทย์ในการฟื้นฟูเพิ่มพลังและมานาให้กับเจสัน และยังใช้เวทย์ที่ช่วยฟื้นฟูจิตใจ
ไม่นานนักเจสันก็หยุดครวญครางในขณะที่เลือดไหลน้อยลง ชายหนุ่มทั้งอ่อนล้าและไร้เรี่ยวแรง เจสันรู้สึกชาไปหมดและหลายชั่วโมงผ่านไปเจสันยังหมดสติอยู่ ในขณะที่ความรู้สึกเย็นยะเยือกเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวา และในที่สุดเจสันก็ลืมตาตื่นขึ้นหลังจากที่เวลาผ่านไปนานมาก
เจสันไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เขาจำได้แค่ว่าเปลวเพลิงสีดำได้เข้าไปในโลกวิญญาณของเขาและมันก็เกิดความโกลาหลขึ้น
เจสันพยายามขยับร่างกาย และรู้สึกราวกับว่าเขานั้นเต็มไปด้วยพลัง เจสันจึงลึกขึ้นนั่งและมองไปรอบๆ อย่างสงสัย ห้องของเขาว่างเปล่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์
พยายามขยับร่างกาย เจสันรู้สึกราวกับว่าเขาเต็มไปด้วยพลังอย่างเต็มที่
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจนั่งตัวตรงก่อนจะมองไปรอบๆ อย่างสงสัย
ห้องที่เขานอนว่างเปล่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์มากนัก ยกเว้นเตียงขนาดคิงไซส์ ในขณะที่ผนังดูเหมือนทำจากไม้คุณภาพสูงเพราะดูปราณีตสุดๆ
เจสันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนตั้งแต่เขาสร้างสัมพันธ์กับเปลวไฟสีดำประหลาด
เมื่อมองดูวันที่ เจสันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
‘มันวันจันทร์แล้วเหรอ!’ เวลาผ่านไปกว่า 30 ชั่วโมง และเจสันไม่แน่ใจว่าครอบครัวเฟลอร์จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับการที่เขาหายไปอีกครั้ง
‘บางทีพวกเขาอาจไม่สนใจ?’ เจสันคิดและพยายามสร้างความมั่นใจเพราะเขาไม่ใช่ลูกหรือญาติของพวกเขา
เจสันยืนขึ้นและพยายามที่จะประคองตัวเองให้มั่นคง เจสันรู้สึกว่าตัวเขานั้นเหมือนได้เกิดใหม่ ผิวของเจสันนั้นดูกระจ่างใสขึ้นอย่างมาก และกล้ามเนื้อก็กระชับมากกว่าเดิม ในขณะที่เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพลัง
เขาชกหมัดออกไปและมันรุนแรงจนกระทั่งสร้างแรงอัดลมออกไปได้ ทำให้เจสันประหลาดใจ เมื่อสัมผัสร่างกายของตัวเอง เจสันตรวจพบความแตกต่างมากมายที่เกิดขึ้น
แต่ที่สำคัญ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าร่างกายของเขานั้นจะสะอาดและปลอดโปร่งมาก เพราะสิ่งเจอปนที่อยู่ในร่างกายส่วนใหญ่ได้ถูกขับออก
และแกนมานาของเจสันก็ส่องสว่างจางๆ ซึ่งทำให้เจสันประหลาดใจ แต่นั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจที่สุด หลังจากที่ตรวจสอบร่างกายของตัวเองแล้ว เจสันก็ได้พบว่าเขานั้นเข้าถึงผู้ชำนาญระดับ 4 แล้ว ซึ่งทำให้เจสันตกใจเป็นอย่างมาก
‘ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเปลวเพลิงสีดำงั้นหรอ’
เจสันคิดและสงสัยในขณะที่เจสันเข้าสู่โลกวิญญาณและได้เห็นดวงไฟสีดำดวงเล็กลอยอยู่ถัดจากแกนโลกวิญญาณของเขา
‘ทำไมมันถึงมาอยู่ใกล้กับแกนโลกวิญญาณของฉันละ !’
เจสันคิดในขณะที่ขอบคุณการเปลี่ยนแปลงนี้ที่เกิดจากเปลวเพลิงสีดำ ถึงแม้ว่ามันจะเจ็บปวดแต่มันก็คุ้มค่ามาก
หนึ่งนาทีก่อนที่เจสันจะเข้าไปในห้องโถงที่สอง เขาได้ครุ่นคิดว่าจะเข้าห้องไหนต่อ ด้านซ้ายมือดูจะมีขุมทรัพย์มากกว่าด้วยมานาสีขาว แต่เจสันถูกดึงดูดให้ไปอีกห้อง
ทำให้เจสันรู้สึกสับสันแต่เขาก็ทำตามความรู้สึกของเขา เพราะเขาไม่อยากจะเสียใจในภายหลัง ดวงตามานาของเขานั้นมันยังไม่สมบูรณ์และมีโอกาสที่จะผิดพลาดด้วยการตัดสินใจอย่างเร่งด่วน
เจสันไม่คิดว่าสีที่อ่อนมากจะสามารถมองเห็นได้ผ่านผนัง และในท้ายที่สุดเจสันก็ทำตามความรู้สึกของเขา และเจสันก็ประหลาดใจกับคลื่นความร้อนที่แผ่ออกมา ในขณะที่เขาเปิดประตูห้องโถงห้องถัดไป
‘ห้องตีเหล็ก ? บางทีนี้อาจจะเป็นห้องสำหรับตีอาวุธที่พวกมันใช้’
เจสันรู้ว่าพวกก็อบบลินนั้นมีช่างตีเหล็กระดับสูงอย่างน้อง 1-2 ตัว เนื่องจากอาวุะบางชิ้นถูกสร้างเลียนแบบอาวุธของมนุษย์
เจสันรู้ว่าพวกเขานั้นไม่มีเวลามากที่นี่เพราะเชนจะต้องหลบหนีก่อนที่หน่วยกู้ภัยจะมาถึง เพราะเขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
อย่างไรก็ตามเจสันก็ต้องคอยระวังตัวเอไว้
หากมีใครรู้ว่าเขาพบสมบัติในที่นี่ เจสันมั่นใจว่าคนหลายคนจะต้องเฝ้าดูเขา และพวกเขาจะขโมยสมบัติเหล่านี้ปจากเจสันอย่างแน่นอน เพราะเจสันไม่ได้แข็งแกร่งขนาดที่จะสามารถปกป้องสมบัติเหล่านี้
เมื่อเดินผ่านห้องโถง เจสันรู้สึกถึงความร้อนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาเดินไปถึงประตู้สุดท้ายที่อยู้ดานในสุด เมื่อเปิดปะตู เจสันก็พบห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีไว้สำหรับการตีเหล็กและอาวุธ
แต่ที่ทำให้เจสันประหลาดใจคือห้องตีเหล็กนี้เต็มไปด้วยสีสันต่างๆ แร่ต่างๆ นับสิบชนิดสามารถมองเห็นได้จากในหีบที่อยู่มุมห้อง
อย่างไรก็ตามเจสันเพิ่งจะเคยเห็นโรงตีเหล็กแบบนี้เป็นครั้งแรก
‘แม้ว่ามันจะเลียนแบบขึ้นมาแต่มันก็เปล่งแสงได้อย่างงั้นหรอ’
เจสันคิดอย่างประหลาดใจ เขาไม่เคยเห็นแสงสีจากอาวุธและเสื้อผ้ายกเว้นอาวุธวิญญาณของเซรอนและทิลล์
‘สิ่งเหล่านี้มีค่ามหาศาล !!’
เจสันคิดและนี้เป็นครั้งแรกที่เจสันรู้สึกถึงไฟโลภในตัวเขา เขาต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วและความมั่งคั่งก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นได้
ดังนั้นเจสันจึงรวบรวมสิ่งของต่างๆ ที่เขาจะสามารถนำมันไปได้และเก็บแร่ทั้งหมดใส่เข้าไปในพื้นที่เก็บของ เวลาผ่านไปเกือบ 5 นาที เจสันก็สามารถเก็บแร่ทั้งหมดไปได้ และเขาก็รู้ว่าพวกแร่นั้นหากยาก ซึ่งทำให้เจสันรู้สึกปลื้มใจ
หลังจากนั้นเจสันพยายามที่จะยกทั่งขึ้นมา แต่ก็พบว่าน้ำหนักของมันนั้นหนักมากกว่า 1 ตัน ซึ่งทำให้เจสันต้องใช้มานาในการเสริมแรงกายของเขา เมื่อเก็บสิ่งของทั้งหมดเจสันก็ตรวจดูว่ามีสิ่งใดเหลืออยู่ไหม
ในขณะที่ตรวจดูสิ่งต่างๆ จู่ๆ โลกวิญญาณของเจสันก็สั่นไหวซึ่งทำให้จเสันตกใจเล็กน้อย ทันใดนั้นก็เจสันก็เกิดอาการวิงเวียนหัวในขณะที่โลกวิญญาณเริ่มที่จะสั่นไหวรุนแรงขึ้น จนทำให้เจสันล้มลง
‘กะ เกิดอะไรขึ้น’
เจสันสับสนและไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ เนื่องจากความสมดูลในตัวของเขาถูกสับเปลี่ยนโดยสมบูรณ์ เจสันล้มลงและจับหัวด้วยความเจ็บปวด
ความเจ็บปวดนั้นมาจากโลกวิญญาณของเขาทำให้เขาประลหาดใจ และเจสันก็ไ่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมเขาถึงรู้สึกเจ็บอย่างกระทันเหันเช่นนี้
‘อาร์เทมิส วิวัฒนาการเสร็จแล้วงั้นหรอ’
สิ่งเดียวที่เจสันทำได้ในตอนนี้คือการเข้าไปในโลกวิญญาณของเขา เขาสังเกตเห็นว่าอาร์เทมิสยังคงอยู่ในการวิวัฒนาการ ทำให้เจสันสงบลงเล็กน้อย
เมื่ออกจากโลกวิญญาณ ความเจ็บปวดก็หายไป ทำให้เจสันรู้สึกสับสนมากขึ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น ขณะที่เจสันกำลังจะลุก เขาก็ได้เห็นบางสิ่งบางอย่างในเตาหลอม
‘คริสตัลสีดำ ?’
เจสันสงสัยและมองมันด้วยดวงตามานา มันไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่เจสันยังคงสนใจกับมัน
ภายในผลึกสีดำนั้นแทบจะมองไม่เห็นเปลวไฟสีดำเล้กๆ ที่แทบจะแยกไม่ออกจากผิวด้านนอก มันเป็นภาพที่ชวนให้หลงไหล
มีเปลวเพลิงขนาดเล็กอยู่ภายใน และมันก็ดูน่ารักในความคิดของเจสัน ยิ่งเขามองดูเปลวไฟมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเท่านั้น และเจสันก็ติดสินใจที่จะเอามันกลับไปด้วย
เจสันถือคริสตัลสีดำอย่างระมัดระวัง และรู้สึกว่าคริสตัลนั้นให้ความรู้สึกที่เย้น ซึ่งไม่ใช่สิ่งท่เขาคาดเอาไว้ ทันใดนั้นโลกวิญญาณของเจสันก้สั่นไหวอีก แต่ครั้งนี้มันไม่เจ็บปวด และเจสันีู้สึกว่าโลกวิญญาณของเขามันต้องการคริสตัลสรีดำนี้
‘คริสตัลนี้มันเป็นสิ่งสำหรับโลกวิญญาณหรือเปล่านะ’
เจสันครุ่นคิด
เจสันคิดในขระที่สังเกตว่า ด้ายแห่งโลกวิญาณได้แยกตัวออกมาภายนอกและมันไหลผ่านร่างกายเขาไปที่คริสตัลสีดำนั้น
‘นี้มัน เกิดอะไรขึ้น’
เจสันอุทานขึ้น และสัมผัสได้ว่าโลกวิญญาณนั้นกำลังต้องการบางสิ่งบางอย่าง
‘ผู้คริสตัลนี้ไว้กับตัวเองงั้นหรอ ตอนนี้โลกวิญญาณของฉันกำลังคิดว่าคริสตัลนี้เป็นสัตว์พันธะหรือเปล่านะ ?’
เจสันไม่แน่ใจ แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจทำอะไน ด้ายวิญญาณก็พยายามที่จะเจาะเข้าไปในคริสตัลสีดำนั้น ในขณะที่คริสตัลเริ่มร้อนขึ้นโดยที่เจสันไม่ได้สังเกต
ภายในไม่กี่นาที ผิวหนังของเจสันก็ไหม้และวิญญาณของเขาก็พุ่งเข้าไปในแกนของคริสตัลสีดำโดยไม่ฟังคำสั่งของเจสัน
‘เฮ้ย เกิดอะไรขึ้น ทำไมด้ายวิญญาณของฉันถึงควบคุมตัวมันเองได้’
เจสันกล่าวในขณะที่รู้สึกถึงความเชื่อมโยงบางอย่างกับคริสตัลสีดำ
ทันทีที่รอยต่อบางๆ ถูกสร้างขึ้น รออยแตกเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นบนคริสตัล และมันก็กระจายไปทั่วภายในเวบลาเพียงแปปเดียว
เจสันสงสัยและตกตะลึง เพราะเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในขระที่เจสันจ้องมองไปที่คริสตัล เปลวเพลิงสีดำเริ่มสั่นไหว ทำให้คริวตัลสีดำแตกกระจายออก
เปลวเพลิงสีดำมีขนาดเท่าปลายนิ้ว กำลังลุกโชนอยู่ในมือของเจสันโดยที่ไม่สร้างบาดแผล หรือ เผาไหม้ผิวหนังของเจสัน
ดวงตามานาของเขาสัมผัสได้ถึงความพิเศษของเปลวเพลิงสีดำนี้ และเจสันก็ไม่เคยเห็นมันมาก่อน แต่ก่อนที่เจสันจะได้ทำอะไร เชนก้ปรากฏตัวด้านหลังเจสัน และกล่าวว่า
“เจสัน เราต้องไปกันแล้ว ทีมกู้ภัยเข้ามาแล้ว และกำลังอยุ่ที่โถงถ้ำแรก และเราต้องไปเดียวนี้”
เจสันไม่ขยับแม้สักก้าวเดียว และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินเชนเลย เวลาผ่านไปยังคงนิ่งสงบ และชนรู้สึกถึงความผิดปกติเล็กน้อย และเขาเรียกเจสันอีก 2-3 ครั้ง ในขระที่เจสันยังคงนิ่งสนิท
เชนเดินไปที่เจสันเพื่อดูว่าเขาเป็นอะไร
`หืม?`
ตอนนี้เชนได้เห็นบางสิ่งบางอย่างและเขามองไปที่มือของเจสันที่มีเศษคริสตัล เมื่อมองไปที่ใบหน้าของเจสัน เชนได้เห็นสีหน้าที่เจ็บปวดขณะที่เหงื่อของเจสันแตกพลั่ก
ภายในดวงตาสีทองของเจสัน มันมีเปลวเพลิงสีดำเล็กๆ ที่ริบหรี่และมันเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะมีชีวิต
เมื่อจับไปทีหัวของเจสัน เชนรู้สึกมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี ในขระที่พบว่าร่างกายของเจสันนั้นร้อนเกินไป เหมือนว่ากำลังถูกแผดเผาจากภายใน ด้วยการปล่อยมานาออกมา เชนสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ทรงพลังแต่ก็อันตรายอยู่ภายในตัวเจสัน
“แย่แล้ว เด็กคนนี้ไปเจอสิ่งนี้มาจากไหน เขาพบแหล่งกำเนิดของเปลวเพลิงทั่งปวงได้อย่างไร !”
เชนอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงและใช้เวทย?มนต์ควบคุมพื้นที่และเทลเพอร์ตออกไปด้วยเอาไฮออร์คที่จับมาไปด้วย
เมื่อเข้าไปยังห้องถัดไป เจสันเห็นว่ามันใหญ่กว่าห้องโถงห้องแรก มันเป็นเหมือนเมืองใต้ดินขนาดใหญ่ และแต่ละห้องโถงก็จะมีสะพานไม้แขวนเชื่อมต่อกัน
ใจกลางเมืองใต้ดิน จะมีแม่น้ำใต้ดินขนาดใหญ่ และมีตึกที่ดูเหมือนของมนุษย์ แต่วัสดุที่ใช้ในการสร้างนั้นไม่เหมือนกับพวกมนุษย์แต่ก็คล้ายๆ และมันมีมานาแผ่กระจายไปทั่วทั้งตึก
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญกว่านั้นคือสิ่งที่เขาเห็นภายในอาคาร เจสันยังไม่เชี่ยวชาญการใช้ตามานามากนัก เขาจึงไม่สามารถมองทะลุผ่านชั้นหินจำนวนมากได้ หรือวัสดุที่มีปริมาณมานาที่มาก
แต่อย่างไรก็ตาม เจสันสามารถมองเห็นได้ว่ามันมีออร่าของมานาหลายสีที่เปล่งออกมาจากภายในตึก และมันก็เป็นสิ่งที่แตกต่างจากเหล่าสัตว์ร้าย มันลักษณะที่ค่อนข้างอ่อนและไม่เคลื่อนไหว
มีโอกาสที่ความคิดของเจสันอาจจะผิดพลาด พวกมันอาจจะเป็นก็อบบลินหรือสัตว์ชนิดอื่นที่กำลังหลับ แต่เจสันไม่คิดว่าราชาก็อบบลินจะปล่อยให้พวกก็อบบลินระดับต่ำหรือสัตว์ที่มีระดับต่ำเข้ามาอยู่ในตึกที่สวยงามแบบนี้
เชนมองไปที่ตึกขาดใหญ่และหันมามองเจสันด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“บอกตามตรง ทีมกู้ภัยจะมาในระยะเวลาที่ไม่ถึง 20 นาที พวกเราเหลือเวลาน้อยลง ซึ่งหมายความว่าฉันจะรวบรวมสมบัติได้น้อยลง ตอนนี้ไม่มีสัตว์ร้ายหรือพวกก็อบบลินแล้ว ฉันคงทิ้งเจ้าไว้ที่นี่สักพักได้ใช่ไหม”
เชนพูดขบและเจสันยังไม่ทันได้กล่าวอะไร เขาก็ได้หายวับไปแล้ว
‘เขาจะทิ้งฉันไว้คนเดียวจริงๆ หรอ ตาลุงนั้น ‘
เจสันสงสัยและยอมรับกับความโลภของเชนและยังเรื่องของความโหดร้ายเล็กน้อยของเขาที่มีให้กับคนอื่นๆ เรื่องนี้ทำให้เจสันนึกถึงพฤติกรรมของเชนที่ปฏิบัติต่อเขา ซึ่งมันค่อนข้างดีและอ่อนโยน
สิ่งเหล่านี้ทำให้เจสันสับสนและไม่แน่ใจว่าเชนนั้นต้องการอะไรจากเขา ก่อนหน้านี้เชนบอกต้องการคุยอะไรบางอย่างกับเจสัน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขานั้นยังไม่ได้พูดคุยอะไรกันแบบจริงๆ จังเลย
เจสันเชื่อคำพูดของเชนที่ว่าไม่มีสัตว์ร้ายและก็อบบลินเหลืออยู่แล้ว และเจสันก็คิดถึงบางสิ่ง
‘ยิ่งสีมีความชัดเจนมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีค่ามากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ความหนาและขนาดของเฉดสียังถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ตีราคาของสิ่งต่างๆ อีกด้วย’
จากการสังเกตเป็นเวลานาน เจสันสามารถรู้ได้ว่าแสงสีเท่าอ่อนนั้น มีค่ามากกว่าแสงสีดำ นอกจากนี้ยังสามารถระบุได้ีอกว่าสิ่งของสองอย่างที่มีสีเดียวกันแต่คุณภาพของมันอาจจะไม่เท่ากัน
จากการดูความหนาและเฉดสี สิ่งไหนหนาแน่นกว่ากัน เอฟเฟกต์หรือความแข็งแกร่งของมันก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น ปัญหาเดียวคือไอเท็มหายากนั้นไม่มีเฉดสีใดๆ เนื่องจากเขาเคยเห็นอาวุธมานา ซึ่งมันไม่เปล่งหรือฉายแสงใดๆ แม้ว่าจะมีค่าและราคาแพง
แต่เจสันไม่มีเวลาคิดเรื่องนั้น ด้วยอยากรู้ เขาจึงก้าวเข้าไปในตึกนั้น เมื่อมองไปรอบๆ เจสันก็เห็นโถงทางเข้าขนาดใหญ่ที่มีเสาสีขาวสี่เสารองรับตัวอาคาร
มีบันไดขนาดใหญ่เป็นเกลียว และมีประตูบานใหญ่ สามารถมองเห็นได้ทุกทิศทาง และมีอักษรหรือสัญลักษณ์อะไรซักอย่างที่เจสันไม่รู้จักอยู่เหนือประตูดังกล่าว
เจสันไม่รู้ว่าควรจะไปตรงไหนดี แต่เมื่อเห็นความเร็วในการรวบรวมของมีค่าต่างๆ ที่เชนทำ ซึ่งเจสันคิดว่าเขาน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการขโมย
สิ่งของแต่ละชิ้นที่เชนนำมานั้นล้วนมีออร่าของความแข็งแกร่งที่มากมาย แต่เจสันนั้นรู้ว่าเขานั้นทำอย่างเชนไมไ่ด้ ดังนั้นเจสันจะใช้กลวิธีเดียวกับพวกก็อบบลิน ในขณะที่เจสันใช้เทคนิคไร้น้ำหนัก พุ่งตัวไปด้วยความรวดเร็ว ไปที่ประตูด้านขวาซึ่งมันมีสีอ่อนที่สุดกำลังเปล่งประกาย และพวกมันอยู่กองรวมกันและมีจำนวนมาก
เจสันไม่มั่นใจว่ามันคืออะไร แต่เขามีลางสังหรณ์เล็กๆ และถ้าเขาคิดถูก เขาจะได้รับเครดิตเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่เพราะว่าเจสันนั้นโลภ แต่เขารู้ว่าทรัพยากรนั้นมีความสำคัญในการเพิ่มความแข็งแกร่งและความสามารถ
หากไม่มีความมั่งคั่ง แม้จะมีความสามารถสูงสุดในการดูดซับมานาแต่เขาก็มีเงินไม่เพียงพอที่จะเพิ่มระดับความแข็งแกร่งให้รวดเร็ว เมื่อพิจารณาเรื่องต่างๆ เจสันนั้นมีความสามารถในทุกๆ ด้าน แต่เขาก็ยังมีความสามารถที่แย่กว่าคนที่มีความสามารถน้อยกว่าเขาแต่ร่ำรวยกว่า
ผ่านไปไม่ถึงนาที เมื่อเจสันเข้ามาในห้อง มันก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมที่ฟุ้งอยู่ภายใน เมื่อหายใจเข้าลึกๆ เจสันก็รู้สึกกระฉับกระเฉงทันที และเมื่อมองไปรอบๆ เขาก็พบว่าเขาอยู่ในสวนสมุนไพรและผลไม้ต่างๆ
สมุนไพรและผลไม้เหล่านี้แต่ละชนิดเปล่งแสงแตกต่างกันโดยสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดคือสมุนไฟสีเขียวเข้มบางๆ ที่อยู่ตรงกลางสุด
เจสันมีความสุขมากๆ ที่ได้พบกับสมุนไพรแลละพืชผลเหล่านี้
‘ต้องขอบคุณเชนที่พาฉันมาที่นี่ !!’
เจสันคิดขณะที่เลือดสมุนไพรตามความรู้ที่เขามี จากหนังสือสมนุไพรที่เขาเคยอ่าน เจสันพยายามเก็บมันโดยที่พยายามทำให้มันเสียหายน้อยที่สุด และเพื่อทำให้ปลูกมันได้อีกครั้ง และเนื่องจากผลไม้บางอย่างดูเหมือนยังไม่สุก
เจสันคิดไตร่ตรองถึงสิ่งที่ควรทำ เนื่องจากสมุนไพร ลำต้น นั้นมีขนาดใหญ่พอสมควร เขาไม่สามารถเอากระเป๋าใบใหญ่ออกมาและเก็บมันได้ทั้งหมด เนื่องจากมันมีขนาดและน้ำหนักมาก
เจสันกำลังไตร่ตรองถึงสิ่งที่เขาควรทำ เนื่องจากสมุนไพร ลำต้น และลำต้นเหล่านี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่
เจสันตัดสินใจ ใช้มานาคลุมและผนึกผลไม้ที่ยังไม่สุก มันอาจจะลดประสิทธิภาพของผลไม้แต่เจสันก็ทำได้เพียงเท่านี้ และเขาจะสามารถนำสมุนไพรและผลไม้ทั้งไปได้
เมื่อเก็บครบเจสันก็ตัดสินใจที่จะเอาอุปกรณทำสวนที่มีอยู่ในห้องกลับไปด้วย เขาเก็บทุกอย่างไปจนห้องนั้นโล่ง
เมื่อมองดูเวลา ทำให้เจสันคิดว่าเขายังเหลือเวลาพอที่จะไปเคลียร์ห้องอีก 2-3 ห้อง เจสันเดินออกไป และเดินไปอีกห้องโถงหนึ่ง
เมื่อเจสันกลับมาถึงโถงหลัก เขาก็เดินต่อไปจนไปถึงห้องโถงอีกห้องหนึ่ง เมื่อเข้าใกล้ห้องนั้น คลื่นความร้อนที่แผดเผาก็ได้พัดเข้ามา
เชนปล่อยให้สัตว์พันธะของเขาออกล่าในขณะที่เขาบินผ่านป่าลึกไปยังทางเข้าถ้ำที่มีออร์คระดับผู้พิทักษ์และก็อบบลินจอมเวทย์
พวกมันคำรามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว ทันทีที่เห็นเจสัน เชนและไฮออร์คที่ถูกมัด เชนดึงพลังออกมาและยิงกระสุนความมืดเล็กๆ ออกไป ทำให้พวกมันตายภายในเวลาอันรวดเร็ว
เจสันเริ่มชินกับความแข็งแกร่งของเชน เชนสังเกตเห็นว่าเจสันนั้นเริ่มชินกับเขาเวลาที่เขาใช้มานา ทำให้เชนยิ้มเบาๆ
พวกเขาเข้าไปในถ้ำที่ลึกถึง 10 เมตร เชนได้สร้างคริสตัลเรืองแสงขึ้น ด้วยความหนาแน่นของมานาภายในดินแดนต้องห้าม พวกมันกลายเป็นหินมานามากมาย
ภายในถ้ำถูกแกะสลักจามอุโมงค์ที่สามารถมองเห็นได้ ในขณะที่เข้าไปเรื่อยทางข้างหน้าก็กว้างขึ้น เชนเดินตรงเข้าไปในอุโมงค์ โดยไม่เสียสมาธิ ในขณะที่เขาปลดปล่อยมานาออกมาเพื่อป้องกันเซอร์ไพรส์ต่างๆ
เดเมียนเดินตามเชนเข้าไป และมองไปรอบๆ เขามองเห็นกระแสมานาทั่วทุกพื้นที่ และเมื่อพวกเขาเข้าใกล้แสงสีม่วงที่ดูหนาและบริสุทธิ์ มันรายล้อมได้วยสีต่างๆ ออร่ามานาเหล่านี้กระจายไปทั่วถ้ำ และมันยาวไปยั้นภายในถ้ำ
เมื่อเดินเข้ามาเรื่อยๆ เจสันก็คิดว่าพวกเขานั้นพบปลายอุโมงค์แล้ว เพราะมันส่างขึ้นด้วยมานาที่หนาแน่นในขณะที่มีอักษรรูนรายล้อม
เมื่อเดินไปถึงปลายอุโมงค์พวกเขาก็ได้เห็นว่ามันเป็นโถงถ้ำขนาดใหญ่ เมื่อก้าวเข้ามา เชนได้ทำลายกำแพงมานา และแสงจ้าที่เกินจากมานาและรูนก็จางหายไป และมันก็ปรากฏห้องอีกห้อง
เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถง เจสันก็พบกรงจำนวนมาก เป็นพันๆ กรงวางเรียงแถวกัน ภายในกรงมีสัตว์หลากหลายชนิด เจสันประหลาดใจกับพฤติกรรมของสัตว์ที่อยู่ในกรง
พวกมันไม่สนใจใครเลยสักคน มันเงียบสนิทราวกับว่าพวกมันตายไปแล้ว แต่จากมานาเจสันก็รู้ว่าพวกมันนั้นยังไม่ตาย
มันดูแปลกๆ และเชนก็ได้ตอบคำถามของเจสันก่อนที่เจสันจะได้ถาม
“ฉันคิดว่าสัตว์เหล่านี้ทั้งหมดเป็นเพศหญิง มันอาจจะถูกลักพามาและถูกพวกก็อบบลินผสมพันธุ์เพื่อเพิ่มจำนวนประชากรของพวกมัน น่าแปลกที่แม้แต่สัตว์ที่มีลักษณะที่แตกต่างไปจากพวกมันโดยสิ้นเชิงพวกมันยังเอามาผสมพันธุ์”
เชนรู้สึกประหลาดใจ ที่ดูเหมือนว่าพวกก็อบบลินนั้นลักพาสัตว์ทุกชนิดที่เป็นเพศเมียมา เพื่อผสมพันธุ์และหวังที่จะเพิ่มเผ่าพันธุ์ตัวเอง
พวกเขาามารถมองเห็นสระน้ำเทียมขนาดเล็กที่มีสัตว์ะเลอยู่ภายใน และเจสันไม่สามารถบอกได้ว่าพวกมันคือสัตว์ชนิดไหน มันน่าตกใจจริงๆ ที่ได้เห็นแบบนี้ และเมื่อผ่านไปสักพักพวกเขาก็ได้พบมนุษย์ที่เป็นเหยื่อของพวกก็อบบลิน
เจสันเบิกตากว้างด้วยความตกใจและรีบเดินตรงไปหาพวกเขา และเขาก็ได้มองเห็นดวงาไร้วิญญาณของผู้หญิงคนแรกที่เขาพบ
‘พวกเขาสูญเสียความตั้งใจที่จะมีชีวิตอยู่’
เขาคิดเศร้าขณะที่เขายังคงเดินไปที่กรงที่มนุษย์อาศัยอยู่ มีกรงแบบนี้มากมายหลายร้อยกรง เจสันรู้สึกเวทนาเมื่อได้เห็นผู้หญิงเหล่านี้ เสื้อผ้าพวกเขาถูกฉีกออก แม้แต่เนื้อหนังก็ถูกฉีกออก พวกเขาเหมือนไม่มีความรู้สึกและเหมือนได้ตายไปนานแล้ว
ใครจะรู้ว่าพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมาณมานานขนาดไหน ไม่แปลกใจที่พวกเขาเป็นแบบนี้ เจสันหันไปหาเชนและพูดอย่างลังเล
“ช่วยพวกเขาได้ไหมครับ บางทีอาจจะยังไม่สายเกินไป”
เชนที่อยู่มานานและคุ้นเคยกับกรณีนี้ แต่มันก็แตกต่างกัน
“ฉันจะเปิดประตูกรงให้ทุกคน และหากใครที่อยากจะเอาตัวรอดพวกเราก็จะช่วย แต่ถ้าหากใครที่เกินเยียวยา เราก็จะปลดปล่อยพวกเขาจกความทุกข์ทรมาณ”
หลังจากที่พูดเช่นั้นเชนก็ปลดปล่อยมานาออกมาและมันทำให้ประตูกรงทุกบานเปิดออก
ดวงตาของเจสันเบิกกว้าง
‘ปลดปล่อยพวกเขาจากความทุกข์ทรมาณงั้นหรอ หมายถึงฆ่าพวกเขาหรอ’
เขากลืนน้ำลายและคิดว่าทำแบบนั้นไม่ได้
เจสันฆ่าสัตว์ร้ายหลายชนิด แต่มันแตกต่างจากมนุษย์เหล่านี้ เจสันสับสนว่าควรทำอย่างไรในสถานการณ์นี้ ในขณะที่มีผู้หญิง 2-3 กำลังใช้กำลังทั้งหมดของตัวเธอเพื่อลุกขึ้นและออกจากกรง
เมื่ออกมานอกกรง พวกเขาก็ได้เห็นเจสันและเชน ทำให้พวกเขาร้องไห้และทรุดลงกับพื้น เจสันอยากวิ่งไปหาพวกเขาแต่เชนรั้งเอาไว้
“อย่า คนพวกนั้นอาจจะติดโรคติดต่อมาจากพวกก็อบบลิน เจ้าจงแยกแยะความคิด ในสถานการณ์แบบนี้ อย่าปล่อยให้ตัวเองนั้นทำตามใจคิด จำเอาไว้”
เจสันหยุดฟังเชน และคำพูดของเชนก็ทำให้เจสันสงบลง หนังสือที่เจสันอ่านบางเล่มได้เล่าถึงโรคติดต่อมากมายทำให้เจสันสั่นเทาด้วยความตกใจ
เชนครุนคิดและเจสันมองเชนอย่างมีหวัง เพราะเจสันเองไม่เคยพบสถานการณ์แบบนี้และไม่รู้ว่าควรทำอะไรยังไง และเขาหวังว่าเชนจะทำอะไรซักอย่าง
แต่ความคิดของเจสันก็ต้องพังลงเมื่อเชนกล่าวขึ้น
“เอาเถอะ อย่างไปสนใจผู้หญิงเหล่านี้เลย หลังจากที่เราผ่านถ้ำแล้ว เราจะโทรหาทิลลื และไม่ต้องสนใจสิ่งที่ฉันพูดเกี่ยวกับการปลดปล่อยพวกเขาออกจากความทุกข์ทรมาณ ไปกันเถอะ”
แต่ถ้าพวกเขาตายละ อย่างน้อยก็ให้โอกาสคนที่อยากมีชีวิตรอด เจสันตกใจมากที่ได้ยินเชนพูดเช่นนั้น เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือเผ่าพันธุ์ของตัวเอง
ครุ่นคิดอยู่สักพัก เชนก็พูดขึ้นมา
“อ๊ากก ลืมไปว่าเจ้าเพิ่งเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ครั้งแรก เอางี้โอเค ฉันจะโทรหาเรียกหน่วยกู้ภัยให้มาช่วยละกัน แต่แต่พวกเขาต้องยอมรับเงื่อนไขของฉัน”
เจสันมองเชนด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
“คุณลองพูดมา”
เจสันกล่าวอย่างลังเล
“ง่ายมาก ทีมกู้ภัยเหล่านี้จะไม่ได้ช่วยเพียงแค่มนุษย์ แต่จะช่วยสัตว์ทุกตัวที่อยู่ที่นี่ เนื่องจากพวกมันหายากและดีที่จะขยายพันธุ์เพื่อเป็นสัตว์พันธะของพวกมนุษย์ แต่พวกเขาต้องจ่ายราคา 20% ของราคาตลาด และอีก 20%จากอุปกรณ์ต่างๆ ภายในที่นี่ ซึ่งฉันรับเป็นสตาร์โน๊ตและหินมานาเท่านั้น”
เชนกล่าวด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เจสันมองเห็นความโลภในดวงตาของเชน
เมื่อพิจารณาว่าสัตว์เหล่านี้มีความอยากที่จะมีชีวิตต่อนั้นน้อยมาก 20%จึงถือว่าเป็นราคามหาศาล
เจสันพบว่าราคา 20% ของเหล่าสัตว์นั้นเป็นเพียงข้ออ้าง ในขณะที่ 20% สำหรับสิ่งของและอุปกรณ์นั้นดูจริงกว่า
ยิ่งไปกว่านั้นก็มีปัญหาอื่นๆ ปรากฏขึ้นในใจของเจสัน
“ผมคิดว่าอย่างที่สองพวกเขาอาจจะยอมรับ แต่อย่างแรกผมคิดว่าไม่นะ และจะเป็นยังไงหากเขารับปากว่าจะให้คุณ แต่สุดท้ายเขาไม่ให้คุณละ”
“ง่ายๆ ฉันแข็งแกร่งที่สุดในที่นี่ และพวกเขาจะได้เห็นว่าไม่ควรที่จะผิดคำพูดกับฉัน ปละข้อเสนอแรกนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายและมีค่าควรที่จะพิจารณา ”
เชนพูด
เจสันทำได้เพียงพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ และก็มีหน้าจอโฮโลแกรมปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา เชนเปิดดูและพบว่าทิลล์กลับไปอยู่ที่เมืองแล้ว
เจสันโทรหาทิลล์ เมื่อรับสายทิลล์รู้สึกประหลาดใจกับข้อมูลที่เจสันให้มา เขายอมรับเงื่อไขที่ระบุมาทั้งหมดอย่างไม่เต็มใจ แต่เชนก็ได้ช่วยเมืองเอาไว้และเรื่องที่มีแสงประหลาดต่อสู้กับไฮอร์คคงกระจายไปทั่วเมืองแล้ว
ผู้เฒ่าเดร็กที่ยืนข้างๆ ทิลล์เขาก็ยอมรับในข้อเสนอเช่นกัน และทุกที่ก็ปลอดภัยจากฝูงก็อบบลิน ยกเว้นบางพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบการจากบุกรุกของเหล่าก็อบบลิน
แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีสัตว์จำนวนมากที่ถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินของอาณาจักก็อบบลิน และพวกเขาต้องเสียเงินจำนวนมหาศาลหลังจากยอมรับเงื่อนไขของเชน เจสันได้ส่งพิกัดไปให้ ในขณะที่เชนหัวเราะออกมาด้วยความปิติ
“ฮ่าๆ ปกติแล้วฉันจะไม่สามารถขายสัตว์พวกนี้ได้ แต่ตอนนี้ฉันรวยแล้ว ฮ่าๆ “
เจสันขวมดคิ้วและมันก็เป็นเรื่องจริง เชนไม่สามารถเคลื่อนย้ายสัตว์เหล่านี้ไปยังเมืองไวโรได้ โดยไม่ทำให้เกิดโกลาหลและเขาก็ไม่สามารถขายพวกมันได้ในเมืองเนื่องจากเขาไม่ใช่พ่อค้าขายสัตวื และเขายังถูกหมายหัวจากครอบครัวใหญ่ต่างๆ
แต่ที่เจสันเป็นสื่อกลางในการต่อรอง ทำให้เชนสามารถได้รับโชคลาภมากมาย ทำให้เขามีความสุข
“ไปกันเถอะ พวกเรายังเหลือเวลาอีกมาก กว่าพวกกูภัยจะมาถึง”
เชนตะโกน ขณะที่อุ้มเจสันขึ้นและลอยผ่านอุไมงค์ไปถัดไป
ก่อนที่ราชาก็อบบลินจะตาย ลงมันฟันขวานของมันลงไปที่ไหล่ขวาของทิลล์ จนเกือบขาด เลือดไหล่ออกมาอย่างมาก และเจสันกังวลว่าทิลล์อาจจะตายได้หากเขาไม่รีบรักษาบาดแผลนั้น แต่ดูจากแกนมานาของทิลล์ ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะใช้มานาจนหมด
หลังจากนั้น ทิลล์ได้หยิบขวดสีแดงออกมา และดื่นมันเข้าไป เจสันสัมผัสได้ว่าแกนมานาของทิลล์นั้นฟื้นฟูขึ้น และร่างกายของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นฟู
ผลของยานี้ สามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บต่างๆ ได้ ไม่ว่าบาดแผลนั้นจะรุนแรงมากแค่ไหน มันก็สามารถฟื้นฟูให้ลับมาคงสภาพเดิมได้
โดมมานาเริ่มค่อยๆ จางหายไป และเชนได้เดินเข้าไปและมองดูร่างของราชาก็อบบลินและตรวจสอบอย่างละเอียด มองจากภายนอกมันก็ดูปกติไม่มีอะไรพิเศษ แต่เห็นได้ชัดว่าราชาก็อบบลินต้องกลายพันธุ์และมีเมล็ดพันธุ์ธาตุไฟเติมโตอยู่ในแกนมานาของมัน
เปลวไฟสีน้ำเงินเป็นธาตุที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ขั้นสูงของธาตุไฟ มันมีความรุนแรงมากกว่าเปลวไฟปกติเป็นอย่างมาก เนื่อจากเนื้อไฟมีความหนาแน่นและมีอุณหภูมิที่สูงกว่าหลายร้อยเท่า
เหล่าออร์คและก็อบบลินได้มองนายที่ตายไปแล้วด้วยความตกใจ และตอนนี้พวกมันรู้แล้วว่าชัยชนะของพวกมันได้จบสิ้น
พวกมันใช้เวลาหลายปีในการสร้างกองทัพและอาวุธด้วยอักษรรูน แต่ทุกอย่างนั้นพังทลายลง
เชนและเจสันได้ตรวจดูร่างกายของราชาก็อบบลินอย่างละเอียด อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้พบอะไรเพิ่มเติมยกเว้นเมล็ดพันธุ์เพลิงนรก
สิ่งของของราชาก็อบบลินทั้งหมด จะกลายเป็นของทิลล์ ทิลล์ใช้เวงลาสักพักกว่าจะฟื้นฟูร่างกายเสร็จ เขาเดินมาทางร่างของราชาก็อบบลิน และยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
การเอาชนะสัตว์ร้ายระดับลอร์ดได้ถือว่าเป็นความสำเร็จอันรุ่งโรจน์ และแม้ว่าราชาก็อบบลินจะเป็นลอดร์ดระดับต่ำ แต่มันก็ถือว่าเป็นชัยชนะที่ยอดเยี่ยม
ทั้งเชนและเจสันต่างยินดีกับทิลล์ ทิลล์เก็บร่างของราชาก็อบบลินเอาไว้ และหวังว่าจะนำส่วนต่างๆ ของมันไปเล่นแร่แปรธาตุได้
ทิลล์ตรวจดูอาวุธของราชาก็อบบลิน และเขาก็อุทานด้วยความตกใจ
“มันเหมือนกับอาวุธมานาเกรด 3 !!”
สิ่งนี้ทำให้แม้แต่เชนก็มองขวานด้วยความประหลาดใจ
เจสันไม่แน่ใจว่าหมายความว่าอย่างไร แต่เขารู้ว่าอาวุธมานาเกรด 3 ถือเป็นสุดยอดอาวุธของพวกมนุษย์ ในขณะที่ทิลล์เคยบอกไว้ว่า อาวุธมานาเกรด 2 สามารถเจาะทะลุการป้องกันของสัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์ได้
สายตาของเชนยังคงเพ่งเล็งไปที่ไฮออร์คที่เขาจับมา และเจสันคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไป
“ออร์คนี้สามารถสร้างอาวุธมานาเหล่านี้ได้โดยปราศจากความรู้เกี่ยวกับอาวุธมานาได้งั้นหรอ หรือพวกมันทดลองสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ จนประสลความสำเร็จ”
มันอาจจะเป็นเช่นนั้น เพราะขวานนี้มีน้ำหนักมากเกินที่มนุษย์จะสามารถใช้ได้ เห็นได้ชัดว่ามันถูกสร้างขึ้นเพื่อราชาก็อบบลินโดยเฉพาะ
เจสันสังเกตเห็นเชนและการจ้องมองของเขา แม้เป็นเวลาเสี้ยววินาที เจสันก็เห็นความโลถในดวงตาของเชน ขณะที่เชนถามทิลล์
“เจ้าหนูทิลล์ เจ้าเสร็จภารกิจแล้วใช่ไหม จะกลับเมืองตอนนี้เลยไหม”
ทิลล์นึกขึ้นได้ เชนเองก็กังวลเกี่ยวกับเมืองและชาวเมือง
ดังนั้นทิลลืจึงได้บอกเชนให้กลับไปด้วยกันที่เมือง ใแต่เชนปฏิเสธในขณะที่เขาลากเจสันและไฮออร์คเข้ามาใกล้ตัวและพวกเขาก็ได้หายวับไป
ทิลล์ยืนงงและสับสน
“อะไรกันน”
เขาสงสัยก่อนที่จะกางปีกออกและบินไปยังเมืองด้วยความรวดเร็ว
หลังจากที่เชนวาร์ปมาอยู่เหนือป่าทึบที่มีต้นไม้ยักษ์สูง 1000 เมตร การจ้องมองของเจสันนั้นพร่ามัวแต่เจสันก็พยายามที่จะใช้ดวงตามานาตลอดเวลา
ด้วยสายตาของเจสัน เขาสามารถมองเห็นกระแสมานาชนิดต่างๆ ได้มากมายออกมาจากต้นไม้ต่างๆ รอบตัว และเขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมต้นไม้ยักา์ถึงปลดปล่อยมานาบริสุทธิ์ออกมา
สำหรับเจสัน ต้นไม้ยักษ์นี้ดูเหมือนกันเป็นศูนย์กลางของป่า โดยต้นไม้ต้นเดียวแต่ใบและกิ่งก้านสาขาของมันแร่ออกไปปกคลุมรอบพื้นที่ป่า
‘หืม นั่นคืออะไร สัตว์ร้ายหรือสมบัติวิเศษ’
เจสันคิดขณะที่เห็นอ่อร่าสีม่วงแผ่ออกมาจากบริเวณใดบริเวณหนึ่งของป่า
“ที่นี่มีก็อบบลินอยู่อีกงั้นหรอ “
เจสันพึมพัมขณะที่เชนได้ยิน
“เปล่าหรอก ด้านหลังต้นไม้นั้นไม่มีเหล่าก็อบบลิน “
เชนกล่าวขณะที่ปลดปล่อยมานาออกมาเพื่อให้เหล่าต้นไม้ได้แยกตัวเปิดทางให้เขา
เชนนั้นยอมรับว่าราชาก็อบบลินนั้นเจ้าเล่ห์และแข็งแกร่ง ขณะที่เขามองไปที่เจสันอย่างสงสัย
สิ่งที่เข้ามาในสายตาของเขาคือเมืองในยุคกลาง ที่มีกระท่อมเล็กๆ นับพันที่ทำจากหินและต้นไม้ อย่างไรก็ตามนี่เป็นสิ่งน่าประหลาดใจ ป่าไม้ที่ล้อมรอบเป็นเหมือนกำแพง ในขณะที่มีสิ่งปลูกสร้างอยู่ภายใน
เมื่อมองไปรอบๆ เจสันสงสัยว่าต้องใช้เวลานานขนาดไหนถึงจะสามารถสร้างเมืองแบบนี้ขึ้นมาได้ และเมืองเหล่านี้ยังตั้งอยู่ทั้งบนต้นไม้และบนพื้นดิน ทุกส่วนเชื่อมต่อกันด้วยสะพานโยง
ที่นี่คือแหล่งหมู่บ้านของพวกก็อบบลิน ในขณะที่เจสันนั้นไม่สามารถมองเห็นขอบเขตของหมู่บ้านนี้ได้
เมืองเขาจะเดินดูรอบๆ เจสันก็สังเหตเห็นว่าตัวเขายังลอยอยู่บนอากาศ เขาขอให้เชนปล่อยเขาลงและเขาอยากจจะตรวจสอบรอบๆ เชนไม่สนใจคำขอของเจสัน ซึ่งมันทำให้เจสันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
แต่เวลาผ่านไปสักพักก็มีลูกธนูพุ่งตรงมาที่เจสัน แต่ดีที่ร่างกายของเขาถูกห่อหุ้มด้วยมานาของเชน
เจสันตกตะลึงและเริ่มเหงื่ออกอย่างมาก เขาก้มหน้าลงและพบว่ามีทหารก็อบบลินกว่า 100 ตัว และก็อบบลินระดับสูง 2-3 ตัว กำลังร้องด้วยความโกรธแค้น เนื่องจากพวกมันไม่ชอบให้ใครมาบุกรุกพื้นที่ของพวกมัน
เชนโบกมือในแนวนอนและปลดปล่อยมานาปีศาจออกมา มันกระจายครอบคลุมไปทั่วพื้นที่ เหล่าก็อบบลินตกตะลึงกับพลังนี้
และก็มีใบมีดคล้ายบูมเมอแรงสีดำ ลอยและปัดกวาดทุกสิ่งที่ขวางมัน พวกมันถูกฆ่าโดยไม่ได้ตั้งตัว หลังจากที่พวกก็อบบลินตาย เชนได้ยิ้มให้กับเจสันก่อนที่เขาจะพูดว่า
“เราออกล่าพวกก็อบบลินกันเถอะ”
และเมื่อกล่าวเสร็จก็เกิดวงแหวนเวทย์สำดำปรากฏขึ้น และมีหมาป่าสีดำขนาดใหญ่ออกมา
มันเป็นสัตว์ร้ายระดับผู้พักษ์ชั้นสูงสุด มันมีดวงตาสีแดงที่อยู่ด้านหลังและขนสีดำสนิท คล้ายหมานรก เจสันตกตะลึงและหวาดกลัว
และดวงตาก็เริ่มปรากฏทั่วร่างกายของหมาป่าสำดำ ทำให้มันสามารถมองเห็นได้รอบทิศทาง
ร่างกายของเจสันเกร็งขึ้นเมื่อได้เห็นหมาป่าที่น่าเกียจตัวนี้ เชนยิ้มและพูดขึ้น
“ฟุกุ ถึงเวลาล่าของเจ้าแล้ว จัดการพวกมันให้หมดอย่าให้เหลือแม้แต่ตัวเดียว ไปได้”
ดวงตาทั้งหมดของหมาป่าเบิกกว้าง ก่อนที่เจสันจะสัมผัสถึงอะไรบางอย่างที่ไม่คุ้นเคย และเขาเริ่มสั่นเทาอย่างไม่ตั้งใจ
“เจ้าหนู นี่คือหมาป่าแห่งความสิ้นหวัง เมื่อใครก็ตามได้จองเข้าไปในดวงตาของมัน คนคนนั้นจะูกสลายวิญญาณและตายไป มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่หายากจากนรก “
เชนกล่าว และพื้นป่าอันเชียวชอุ่มก็เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องอัน่าหวาดกลัวของพวกก็อบบลิน จากนั้นผ่านไปไม่นาน เสียงทั้งหมดก็ได้เงียบหายไป
“คุณเป็นใครกันแน่”
เจสันถามเชน โดยไม่สนใจไฮออรค์ที่อยู่เบื้องหลัง
“ฉันว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมพอที่จะมาเลล่าเรื่องราวๆ ต่างๆ ให้ฟังหรอกนะ”
เชนกล่าว
“หลังจากเรื่องนี้จบ ฉันจะพาเจ้ากลับบ้านและเราค่อยเจอกันวันเสาร์-อาทิตย์ โอเคไหมเจ้าเด็กน้อย”
เชนกล่าวทำให้เจสันตระหนักได้ว่าตอนนี้เป็นเวลา 5 ทุ่ม ในขณะที่ฝูงกองทัพของก็อบบลินยังคงบุกต่อ
ราชาก็อบบลินน่าจะยังมีชีวิตอยู่ ที่ไหนสักแห่ง และก็อบบลินและออร์คที่มีเวทย์มนต์และอยู่ในระดับสัตว์ผู้พิทักษ์กำลังโจมตีเมืองอย่างต่อเนื่อง
เมืองไซโรกำลังประสบปัญหามากมาย และหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเชน เมืองคงถูกทำลายไปแล้ว
แม้กระทั่งตอนนี้ ในเมืองถูกปกคลุมไปด้วยมานาปีศาจและทำให้พวกสัตว์ร้ายนั้นอ่อนแอลงเรื่องๆ เมื่อเวลาผ่านไป เจสันสงสัยเกี่ยวกับมานานี้
แต่เจสันก็กลับไปตั้งสมาธิที่การต่อสู้ และพยายามมองทุกอย่างด้วยสายตามานาของเขาเพื่อดูสิ่งต่างๆ และมองดูการต่อสู้ของเหล่าผู้วิเศษและผู้วิเศษขั้นสูง ในขณะที่เหล่าก็อบบลินและออร์คส่วนใหญ่จะใช้สัญชาตญาณในการต่อสู้มากกว่า
จากการมองดูการไหลของมานาที่เหล่าผู้วิเศษใช้ในการเคลื่อนไหว ทำให้เจสันได้รู้ถึงข้อมูลเชิงลึกมากมาย ดังนั้นเจสันจึงได้ประโยชน์อยากมากในการสังเกตนี้ และดูเหมือนเหล่ามนุษย์จะสามารถเอาชนะเหล่าก็อบบลินและออร์คได้
ในตอนนี้มีก็อบบลินและออร์คเพียงไม่กี่ตัวที่เหลือรอดจากการต่อสู้ ในขณะที่เหล่าก็อบบลินจอมเวทย์ระดับสูงที่กำลังจะตายบางตัวได้ใช้พลังชีวิตสุดท้ายเพียงร้ายเวทย์ในการทำลายอาคารบางส่วนของเมือง
สภาพเมืองในตอนนี้มันดูคล้ายกับเมืองจิโร่ ตอนที่ถูกฝูงสัตว์ร้ายโจมตีเมือง แต่มันแย่กว่ามาก เนื่องจากตึกระฟ้าหลายกำลังถล่มลง มีผู้คนตายมากมาย
เจสันรู้สึกแย่ที่เห็นผุ้คนได้ตายไปมากมาย และมันเป็นอีกครั้งที่เจสันรู้สึกอ่อนแอและไม่สามารถปกป้องใครได้
เมื่อมองไปรอบๆ ด้วยดวงตามานา เจสันสามารถเห็นได้ว่าทุกสิ่งที่มีพลังชีวิต จะมีมานาแผ่ออกมาจากทุกที่ และเจสันได้รับมองเห็นแรงระเบิดของมานาที่รุนแรงในระยะไกล
เชนบินตรงไปที่ทิศทางนั้น โดยพาเจสันและออร์คที่ถูกพันธนาการเอาไว้ด้านหลัง และยิ่งเข้าใกล้แรงระเบิดมานาของสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวยิ่งรุนแรงขึ้น
ในขณะนี้ภูมิประเทศที่เฟื่องฟูและสวยงามกำลังเสียหายอย่างมาก ต้นไม้ หิน แม่น้ำ เมืองถูกทำลายจนหมด ราวกับว่ามีอุกกาบาตขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงมา
เมืองมองอย่างชัดๆ เจสันได้เห็นว่ามีใครบางคนกำลังสู้กับสัตว์ร้าย 2 เท้า และเมื่อยิ่งเข้าใกล้ขึ้นเจสันก็รู้ทันทีว่านั้นคือ ราชาก็อบบลิน
ราชาก็อบบลินสูงกว่า 5 เมตร และมีลักษณะคล้ายมนุษย์ทั่วไป มีเพียงไม่กี่อย่างที่ดูแตกต่าง คือผิวสีเขียวเข้ม ร่างกายที่ใหญ่โต และใบหน้าที่น่ากลัว
หัวของมันมีขนาดใหญ่กว่าหัวของคนทั่วไปถึง 2 เท่า ในขณะที่มีรูนมากมายอยู่บนหน้าผากของมัน
ดวงตาของราชาก็อบบลินเป็นสีแดงเลือด เจสันตัวสั่นเมื่อเห็นมัน ในขณะมันปล่อยจิตสังหารที่รุนแรงออกมา
ราชาก็อบบลินมีบาดแผลมากมาย แต่มันยังดูแข็งแกร่งมากในขณะที่ทิลล์เหมือนจะได้รับบาดเจ็บหนักกว่ามัน เนื่องจากที่ขาของเขาดูเหมือนจะถูกไฟไหม้
สิ่งนี้สร้างความประหลาดใจแก่เจสัน หรือแม้กระทั่งเชนที่กำลังมองทิลล์ด้วยความสับสน ก่อนที่จะมองไปที่ราชาก็อบบลินอย่างประหลาดใจ
“ทำไมเจ้าหนูทิลล์ถึงได้รับบาดเจ็บมากขนาดนั้น แทนที่จะเป็นราชาก็อบบลินที่เสียเปรียบแต่กลับเป็นเจ้าทิลล์ และบาดแผลนั้นทำไมถึง ?”
เจสันได้เสียงเสียงของเชนที่กำลังบ่นเมื่อเห็นสิ่งต่างๆ และเจสันที่เปิดดวงตามานาอยู่ตลอดเวลาจึงสังเกตเห็นบางสิ่งแปลกๆ
เจสันไม่แน่ใจว่านั้นคือสิ่งที่ทำให้ราชาก็อบยบลินกำลังได้เปรียบทิลล์อยู่หรือเปล่า แต่เจสันจะต้องบอกเชนเกี่ยวกับสิ่งนั้น
ดังนั้นเจสันจึงดึงชายเสื้อขงเชนและก่อนที่เชนจะหันไปเจสันก็กระซิบที่ข้างหู
“ราชาก็อบบลินมีพลังธาตุไฟ”
เจสันพูดและดวงตาของเชนก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
ทิลล์ได้สังเหตเห็นเขนและเจสัน เขาได้ตะโกนออกไปว่า
“นี้คือเหยื่อของฉัน !!!”
และก่อนที่เชนจะทำอะไร ทิลล์ก็ได้หยิบลูกแก้วที่เชนให้ไว้ก่อนหน้านี้ออกมา และเปิดใช้งานโดมมานา
เจสันรู้อยู่แล้วว่าทิลล์จะต้องชนะ และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ต้องการรับความช่วยเหลือใดๆ จากเชน
ดังนั้นเขาจึงตะโกนออกมาและเปิดงานโดมมานา เมื่อเห็นเช่นนั้นเชนจึงตัดสินใจไม่เข้าไปช่วย ถ้าทิลล์กำลังจะตาย เขาค่อยเข้าไปช่วยในช่วงเวลานั้น
เจสันสังเหตเห็นว่าแกนมานาของทิลล์นั้นใหญ่กว่าของราชาก็อบบลิน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าทิลล์นั้นมีพลังงานสำรองที่มากกว่าและมีความแข็งแกร่งที่มากกว่า
อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วก็อบบลินไม่ใช่สัตว์ร้ายที่ใช้พลังธาตุในการเพิ่มพลังของตัวเอง
จู่ๆ เจสันก็สามารถสัมผัสพลังงานที่คุ้นเคยจากทิลล์ได้ีอกครั้ง ในขณะที่ทิลล์รักษาบาดแผลตามร่างกายได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วินาที
มันเป็นความสามารถในการรักษาของหมาป่าศักดิ์สิทธิ์ สัตว์พันธะอีกตัวของทิลล์ และทิลลืก็ได้เปลี่ยนอาวุธ ซึ่งทำให้เจสันประหลาดใจ
“อาวุธวิญญาณ”
เจสันกระซิบ เชนได้ยินเขาเบิกตากว้าง
‘ดวงตาของเด็กคนนี้สามารถแยกแยะได้หรอว่าอาวุธไหนเป็นอาวุธมานาหรือวิญญาณ’
เชนสงสัย
ในมือของทิลล์มีหอกสีขาวขนาดใหญ่ ใบมีดสีทอง และเจสันแน่ใจว่ามันคืออาวุธวิญญาณจากเอกลักษณ์ของมัน โดยเฉพาะสายใยวิญญาณที่เชื่ออยู่ระหว่างอาวุธและตัวของทิลล์ทำให้เจสันยิ่งมั่นใจขึ้นไปอีก
การเชื่อโยงของทิลล์กับอาวุธนั้น มันดูแข็งแกร่งกว่าของเซรอน ทำให้เจสันสังสัยว่ามันเป็นยังไงกันแน่
แต่สิ่งที่ทำให้เจสันยิ่งประหลาดใจขึ้นก็คือ ทิลล์ได้เพิ่มมานาของตัวเขาเองลงไปในหอกนั้น และมันก็เริ่มเรืองแสงและสว่างขึ้น ทิลล์ได้เปลี่ยนมานาของตัวเอง กลายเป็นมานาศักดิ์สิทธิ์และอัดมันเข้าไปในหอกทำให้แสงนั้นดูอ่อนโยนแต่ก็แข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน
มานาศักดิ์สิทธิ์เป็นแสงที่มีประโยชน์ต่อความมืดและสิ่งชั่วร้าย และก็อบบลินที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ชั่วร้ายมันอาจจะได้รับผลกระทบจากพลังก็เป็นได้
เมื่อสังเกตเห็นแสงศักดิ์สิทธิ์ที่สว่างขึ้นจากหอก ท่าทีของราชาก็อบบลินก็สับสนและกระสับกระส่ายเล็กน้อย มันยกขวานในมือขึ้นและสร้างเปลวไฟสีน้ำเงินที่ลุกโชน
จู่ๆ ทิลล์ก็ได้หายวับไปจากพื้นที่ตรงนั้น ราชาก็อบบลินไม่สามารถสัมผัสถึงตัวตนของทิลล์ได้ ก่อนที่จู่ๆ ทิลล์ก็พุ่งเข้ามาและเสียบหอกเข้าไปที่กลางอกของราชาก็อบบลิน ก่อนที่จะรู้ตัวราชาก็อบบลินก็ได้ตาพร่ามัว และมันก็ดับวูบไปพร้อมกับแสงสว่างจากหอก การโจมตีนี้สร้างคลื่นสันสะเทือนออกไปในวงกว้าง
เจสันมองไม่เห็นอะไรเลยในความือที่มืดมิดอย่างกระทันหัน ในขณะที่ดวงตาสามารถรับรู้ได้เพียงว่ามานาของราชาก็อบบลินค่อยๆ จางหายไป
‘เชนอยู่ที่ไหน’
เจสันสังและมองหาเชน
เมื่อไฮออร์คได้เห็นเจสัน มันก็กำลังจะฟาดฟันดาบลงมาใส่เจสัน แต่ถึงอย่างนั้นจู่ๆ มันก็ถูกพันธนาการด้วยโว่มานาบางอย่าง ทำให้มันไม่สามารถโจมตีเจสันได้
จากนั้นก็มีแสงสว่างจ้าเกิดขึ้น แสงนั้นได้พุ่งโจมตีไปที่ไฮออร์คและสู้กับไฮออร์คอย่างดุเดือน
การต่อสู้ผ่านไปไม่นา แรงต้านสุดท้ายของดาบไฮออร์คก็พังทลายลงหลังจากเกิดรอยร้าวบนใบดาบ
และมันก็ระเบิดออกไป ถึงจะเป็นการระเบิดที่รุนแรงแต่มันก็ไม่ได้เป็นอันตรายกับใคร การระเบิดนั้นทำให้ท้องฟ้าสว่างไสวจากมานาภายในตัวดาบ
หลังจากที่ดาบของไฮอร์คพังทลายลง แสงนั้นก็จางหายไป
‘นี้เป็นความฝันใช่ไหม ‘
“ทักษะการต่อสู้ไม่เลว และถ้าเจ้าแข็งแกร่งมากกว่านี้ ข้าออาจจะบาดเจ็บมากว่านี้”
เมื่อเจสันหันไปที่ทิศทางของเสียง เขาก็ได้พบกับเชนและมือของเชนก็มีบาดแผลตื้นๆ
‘เมื่อตะกี้คือเชนงั้นหรอ เขาทำลายดาบนั้นงั้นหรอ ‘
ไฮออร์คมองไปที่มือของเชนและมันก็เกิดความตกตะลึง มันเริ่มสั่นไหวด้วยความตกใจกลัว
“เจ้ารอดมาได้ยังไง เจ้ามนุษย์ ดาบของข้าแม้แต่ระดับปรมาจารย์ก็ต้องตายเมื่อเผชิญหน้ากับมัน !”
“หุบปากซะ ไออสูร “
เชนตะโกนขึ้น
“ถ้าเจ้าอยากตายอย่างสบายๆ ก็จงบอกความลับทั้งหมดมา ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องตายอย่างทรมาณและแม้แต่อักษรรูนเหล่านั้นก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ เจ้ารูนมาสเตอร์ออร์ค !!”
เชนกล่าวออกมาด้วยความดุดัน
เชนหันไปมองเจสัน
“ออร์คตัวนี้เป็นรูนมาสเตอร์ และมันสามารถสร้างรูนเพื่อพัฒนาสิ่งต่างๆให้มีพลังทำลายล้างที่สูง และด้วยสิ่งที่มันรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับรูน เราจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้”
เจสันพยักหน้าและยังคงสับสนแต่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรในตอนนี้และมองไปที่กำแพงเมืองเกือบจะพังทลายลงมาจากการโจมตีของออร์คและก็อบบลิน
ฝนพิษยังคงโปรยปรายลงมาจากนอกเมือง และหากมองจากเมืองออกไปจะได้เห็นทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยกองซากศพของพวกก็อบบลินที่เน่าเละ
ทหารก็อบบลินที่เหลือรอดก็พยามดิ้นรนเดินต่อไปเพื่อให้ถึงกำแพงเมือง แต่พวกมันก็ไม่สามารถรอดไปแม้แต่ตัวเดียว
ถึงแม้พวกก็อบบลินจะไม่สามารถเข้ามาใลก้กำแพงเมืองได้ แต่พวกออร์คนั้นทำได้ พวกมันอยู่หน้ากำแพงเมืองและมันก็ต่อยไปทีกำแพงทีละหมัด
ในขณะที่ก็อบบลินจอมเวทย์ขั้นสูงได้ปล่อยบลูกไฟขนาดใหญ่ออกมา เจสันกังวลเกี่ยวกับลูกไฟพวกนั้น และดูเหมือนว่าเชนจะไม่ได้ต้องการที่จะหยุดลูกไฟเหล่านี้
ในขณะที่มันพุ่งชนกำแพงเมืองและเกิดการระเบิดออก
‘เขาไม่เป็นห่วงพวกชาวเมืองเลยหรอ ??’
เหล่าชาวเมืองกรีดร้องจากการระเบิดของกำแพง และวิ่งหนีและมีบางคนที่ได้รับบาดเจ็บ เจสันเริ่มวิตกกังวลหลังจากเห็นก็อบบลินจอมเวทย์ขั้นสูงหลายพันตัว และก็อบบลินและออร์คในระดับสัตว์ผู้พิทักษ์อกี 2-3 ร้อยตัวกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองไซโรหลังจากที่กำแพงได้พังทลายลง
เจสันไม่ได้อยากเป็นฮีโร่ แต่เขาอยากที่จะช่วยเหลือทุกคน และสิ่งเดียวที่เจสันกังวลจริงๆ คือความปลอดภัยของพวกเฟลเลอร์ และเจสันก็รู้สึกผิดที่เห็นชาวเมืองต้องตายอย่างมาก
เจสันมองไปที่เชน และเชนโต้กลับด้วยสายตาที่รำคาญเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพูด
“เจ้าจะมีดวงตามานาเพื่ออะไร หากเจ้าไม่ใช้มัน ไม่เห็นหรือไงว่าพวกก็อบบลินและออร์คกำลังเข้ามาในเมือง เจ้าจะให้ข้าจัดการอยู่คนเดียวอย่างนั้นหรอ ฉันเป็นผู้พิทักษ์ของเมืองงั้นรึ หากพวกเขาและเจ้าไม่สามารถป้องกันเมืองนี้ได้ ก็ปล่อยให้มันถูกทำลายไปซะ และฉันเองก็ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของตัวเองได้ ไม่งั้นเจ้าก็ปล่อยมันไปไม่งั้นก็ลงมือจัดการพวกมันด้วยตัวเอง และตอนนี้พวกมันก็กำลังอ่อนแอลง!”
เจสันพยักหน้าด้วยสีหน้าที่สับสน และไม่ได้สังเกตว่าเชนได้ปลดปล่อยมานาปีศา่จออกมา และมันทำให้เหล่าก็อบบลินและออร์คที่เข้ามาในบริเวณเมืองนั้นอ่อนแอลง เนื่องจากแกนมานาของพวกมันถูกกัดกินด้วยมานาปีศาจ
หากเจสันเปิดดวงตามานาเขาก็จะได้เห็นมานาปีศาจที่ครอบคลุมไปทั่วทั่งเมือง และเจสันก็ได้เปิดดวงตามานา เจสันได้มองเหห็นมานาที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัว เมื่อเห็นเช่นนี้เจสันก็รู้ว่าสิ่งที่เชนพูดนั้น เขาไม่ได้โกหก และเจสันสงสัยว่าเชนนั้นน่าระอยู่ระดับที่เหนือว่าปรมาจารย์ แต่เขาเป็นใครกัน
เจสันยังคงมองดูพวกก็อบบลินและออร์คที่อ่อนแอลง ด้วยดวงตามานาและมันทำให้ดวงตาของเจสันมีเลือดไหลไม่หยุด
อย่างไรก็ตามเจสันก็คิดได้ว่านี้เป็นโอกาสสำหรับชาวเมืองแล้วที่จะโต้กลับ เพราะมานาปีศาจที่เชนปลดปล่อยออกมา มันทำให้ความแข็งแกร่งและความสามารถของพวกก็อบบลินและออร์คลดลงถึง 30%
สิ่งนี้ทำให้เจสันมองเข้าไปในดวงตาของเชนด้วยดวงตาสีทองที่เป็นประกาย และเจาะลึกเข้าไปในตัวของเชนและพยามค้นหาตัวตนของเขา ในขณะที่เลือดก็ไหลออกจากตาของเจสัน
“คุณเป็นใครกันแน่”
เจสันตกใจมากที่เห็บก็อบบลินจำนวนมาก และดูเหมือนว่าจะมีทหารก็อบบลินมากกว่า 2-3 ล้าน ตัว ทำให้เจสันหวาดกลัว
ผ่านไปไม่ถึงนาที เจสันไม่สามารถนับจำนวนก็อบบลินจอมเวทย์ได้ว่ามันเดินผ่านไปกี่ตัว แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือก็อบบลินและออร์คระดับผู้พิทักษ์และระดับวิเศษ พวกมันกำลังเดินทัพเข้าไปยังเมืองไซโรอย่างเป็นระเบียบ โดยแบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มต่างๆ
ในขณะก็อบบลินตัวอื่นที่อยู่ระดับที่ต่ำกว่าระดับวิเศษเดินอย่างไม่เป็นระเบียบและกระจัดกระจายอย่างพวกป่าเถื่อน อย่างไรก็ตามที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ ก็อบบลินที่มีระดับและตำแหน่งภายในสังคมของเผ่าที่สูงกว่านั้นดูเป็นระเบียบ
เจสันสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนมานาที่แข็งแกร่งที่มหาศาล เมื่อมองไปรอบๆ
เชนมองเจสันและยิ้มเบาๆ
‘ดวงตาของเจ้าหนูนี้ สวยงามจริงๆ ‘
“ระวัง”
เชนพูดเบาๆ และในขณะนั้น เจสันก็สามารถมองเห็นขีปนาวุธตกลงมาจากท้องฟ้า ทำให้เจสันเผลอร้องออกมาด้วยความตกใจ และมีอักษรรูนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาเป็นเกาะป้องกันเหนือพวกก็อบบลิน ก่อนที่พื้นที่นั้นจะมีแสงสว่างวาป
เมื่อสัมผัสได้ว่า พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงบางอย่าง มิสไซล์ก็ระเบิดกลางอากาศ และเผาไหม้อากาศ โดยไม่มีก็อบบลินตายสักตัว
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคืออักษรรูนยังคงอยู่ในอากาศไม่สลายหายไป และเจสันเพ่งความสนใจไปที่มานาภายในจี้ที่ใช้ป้องกัน
พวกมันยังความแข็งแกร่งพอที่จะป้องกันมิสไซล์อีก 2 – 3 ลุก ซึ่งมิสไซล์นี้สามารถฆ่าสัตว์ระดับวิเศษได้ 2-3ตัว แม้แต่ตัวของเชนเองก็เบิกตากว้าง และประหลาดใจเล็กน้อย และยกย่องรูนของพวกก็อบบลินในใจ
“ไม่คิดว่ารูนของพวกมันจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ไม่เลวเลย”
เรื่องนี้ทำให้เจสันขวมดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น ขณะที่มองท่าทางของเชนด้วยความสับสน
เชนสังเกตเห็นเจสันมองเขาจึงยิ้มให้
“ไม่ใช่ว่าฉันต้องการให้พวกก็อบบลินเข้ายึดเมืองเรา แต่สติปัญญาของพวกมันไม่ดีมากนัก แต่ว่าอักษรรูนที่แข็งแกร่งขนาดนั้น ฉันไม่คิดว่าจะมีใครในแอสทริกซ์สามารถสร้างได้
นอกจากนี้ สำหรับฉันแล้วดูเหมือนว่าวัสดุที่พวกมันใช้ทำจี้เหล่านี้ น่าจะหายาก และก็อบบลินหลายหมื่นตัวก็มีจี้เหล่านี้
แต่สิ่งที่ยากน่าจะเป็นการเติมมานาลงไปในจี้ห้อยคอ บอกตามตรงว่าฉันนั้นได้ตรวจสอบราชาก็อบบลินและเหล่าก็อบบลินที่ใกล้ชิด
พวกมันนั้นสามารถสร้างกลุ่มสังคมได้อย่างดีเยี่ยมในระยะเวลาที่สั้นแค่นี้ แต่การที่พวกมันจะรวมตัวกันได้มากขนาดนี้ ราชาก็อบบลินคงต้องอยู่ในดินแดนต้องห้ามมาเป็นเวลา และนั้นถือว่ามันมีความอดทนที่ดีเยี่ยม “
รูนนับร้อยปรากฏในอากาศ และส่องสว่างไปทั่วบริเวณ ในขณะที่มิสไซล์ระเบิดขณะที่กระทบกับรูนป้องกัน รูนป้องกันนั้นสามารถป้งองกันมิสไซล์ได้ถึง 2-3 ลูก ในขณะที่ฝ่ายมุนษย์นั้นพยายามโจมตีอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเหล่าก็อบบลินที่ถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง ทำให้รูนป้องกันที่สร้างขึ้นค่อยๆ พังทหลายลงๆ เมื่อรูนป้องกันของพวกก็อบบลินได้พังทหลายลง ก็อบบลิน 2 – 3 พันตัวที่อยู่ใกล้กับเขตเมืองก็ตายจากการโดนระเบิดของมิสไซล์
ผู้พิทักษ์ของเมืองต่างสัเกตว่า การยิงมิสไซล์ไม่ค่อยได้ผลนัก เนื่องจากยังมีรูนป้องกันบางส่วนที่สามารถป้องกันได้ ทำให้การระเบิดของมิสไซล์นั้นไม่ได้ผล 100%
แต่สักพักต่อมา เจสันก็แทบอยากจะตะโกนออกมาด้วยความดีใจ เมื่อมีบุคคลที่แข็งแกร่งมากๆ 2-3 คนปรากฏตัวขึ้นที่ทางด้านหน้าของเมือง ผู้แข็งแกร่งทั้ง 3 กำลังหมุนเวียนมานาที่เป็นสีน้ำตาลและสีน้ำเงิน
ภายในไม่กี่วินาที มานาก็ได้แพร่กระจายออกไปและครอบคลุมพื้นที่บริเวณนั้นทั้งหมด และภูมิทัศน์ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป ท้องฟ้าเริ่มที่จะครึ้มขึ้น และพื้นดินเริ่มแยกออกทำให้พวกก็อบบลินร่วงลงไปในรอยแยก
จากนั้นก็มีเหล่าผู้วิเศษออกมาอีก 3-4 คน พวกเขาได้สร้างเมฆพายุขึ้น
ท้องฟ้าเริ่มแปรปรวนและก็เกิดพายุขนาดใหญ่ เริ่มมีเม็ดฝนร่วงลงมา มันมีสีเขียว ใช่ และนั้นคือ พิษ เหล่าผู้แข็งแกร่งที่ออกมาป้องกัน พวกเขาได้แปรสภาพอากาศให้กลายเป็นพายุฝนพิษ ซึ่งมันทำให้พวกก็อบบลินที่โดนฝนเหล่านี้ เกิดความเสียหาย
เม็ดฝนค่อยๆ กัดกินเนื้อของก็อบบลิน ทุกสิ่งที่สัมผัสกับเม็ดฝนจะถูกกัดกร่อน
“อ่า ยังโหดร้ายเหมือนเดิม แต่ก็คงไม่มีวิธีอื่น “
เมื่อเชนหันไปหาเจสัน เขาเริ่มอธบายเมื่อเห็นท่าทีที่สับสนของหนุ่มผมดำ
“เจ้าเห็นผู้วิเศษเหล่านั้นหรือเปล่า พวกเขาได้สร้างเมฆพายุด้วย ธาตุน้ำลม ไฟ และเมื่อเมฆพายุก่อตัวขึ้น พวกเขาได้ใส่มานาลงเมฆเหล่านั้น ทำให้มันเกิดเป็นพิษที่มีลักษณะกัดกร่อน”
เมื่อมันหยดลงกระทบกับสิ่งต่างๆ สิ่งที่กระทบกับหยาดฝนจะถูกกัดกร่อนและลายไป ซึ่งรวมถึงมนุษย์ด้วย
มีผู้วิเศษที่เชี่ยวชาญพลังลมและน้ำอยู่ 2 – 3 คนที่กำลังควบคุมสภาพอากาศทั้งหมด
เมื่อไซโรนั้นมีมาตรการในการป้องกันฝูงสัตว์ร้ายได้ดีกว่าที่คาดไว้ ถึงแม้พวกเขาจะสามารถจัดการกับก็อบบลินได้หลายล้านตัวได้ง่ายๆ แต่ภัยคุกคามใหญ่ยังคงมีชีวิตอยู่
เจสันสนใจกับกลยุทธ์ของมนุษย์ที่ใช้ แต่ดูเหมือนเชนจะชื่นชมวพกก็อบบลินมากกว่าฝั่งมนุษย์ ซึ่งทำให้เจสันแปลกใจ
เชนเคลื่อนที่เข้าใกล้กำแพงเมื่องไซโรมากขึ้น และห่อหุ้มร่างกายของเขาและเจสันด้วยมานาอย่างมิดชิด ตอนนี้เขาอยู้เหนือกำแพงเมือง และเจสันสามารถพวกก็อบบลิจอมเวทย์ระดับสูง
พวกมันสามารถปล่อยลูกไฟที่มีขนาดเท่ารถยนต์ออกมา หินที่มีลักษณะแหลมคม ใบมีดลม และพลังอื่นๆ อีกมากมาย และโจมตีเข้าไปยังเมือง
ในขณะที่ทหารก็อบบลินกำลังดิ้นรนจากการโดนพิษ และทหารแนวหน้าที่ไม่สามารถทนไหวได้ ทำให้พวกมันไม่สามารถบุกเข้าไปยันเมืองได้
ก็อบบลินระดับสัตว์วิเศษและระดับผู้พิทักษญ์คำรามออกมาด้วยความโกรธ และมีไฮออร์คตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้ากำแพงเมือง
เมื่อเจสันมองมันด้วยดวงตามานา เขาก็ตกตะลึง
“รูน !”
เจสันตะโกนออกมา และเมื่อเชนมองไป เขาก็ตกตะลึงเช่นเดียวกับเจสัน
“มีอักษรรูนอยู่บนตัวของมัน ?!”
ทันใดนั้นอักษรรูนที่อยู่บ้นตัวของมันก็เริ่มทำงาน มันขยายตัวไฮออร์คขึ้นมาเล็กน้อย เจสันเห็นว่าตอนนี้ไฮออร์คนั้นมีระดับที่สูงขึ้น มันสามารถควบคุมพื้นดิน และใช้พื้นดินโจมตีเมือง โดยการควบคุมให้พื้นดินมีลักษณะแหลมคมพุ่งเข้าโจมตี
“รูนเพิ่มพลัง ?”
ดวงตาของเชนเบิกกว้างด้วยความตกใจ และทั้งคู่ก็มองออร์คที่มีระดับผู้พิทักษ์ มันกระโดดขึ้นไปบนแพงเมืองและเผชิญหน้ากับเหล่าผู้วิเศษจากเมืองไซโร
ในมือของไฮอร์คมีดาบดำขนาดใหญ่ และมันเต็มไปด้วยอักษรูน
“พวกแกจงรู้สึกถึงความแข็งแกร่งของสิ่งที่ฉันได้สร้างขึ้น พวกแกจงสูญพันธุ์ไป”
ออร์คพูดภาษามนุษย์อย่างหยาบๆ และดาบสีดำของมันปลดปล่อยออร่าออกมา ตอนนี้อักษรูนทั้งหมดบนดาบมันกำลังทำงาน !
ไฮออร์คฟาดฟันดาบลงไป ด้วยพลังทำลายที่รุนแรง มันสร้างความเสียดายเป็นเส้นตรงยาวไปถึงกลางเมือง มันรุนมาก แม้แต่ผู้วิเศษทั้งหลายยังต้องสั่นสะท้านด้วยความกลัว กับพลังทำลายที่รุนแรงนี้ พวกเขาถอยหลังกลับ 2-3 ก้าวเพื่อตั้งหลัก
ก่อนที่ลำแสงดาบจะพุ่งเข้าใส่ใจกลางเมือง มันจะต้องสร้างความเสียหายให้กับทุกเขตที่ขวางทาง
พลเมืองบางคนตื่นขึ้นเนื่องจากแรงสั่นสะเทือนจากพลังทำลายที่ไออร์คได้สร้างขึ้น โชคดีที่ไม่มีพลเมืองคนใดได้รับอันตรายจากการโจมตีนี้
เจสันเองก็ตกตะลึงการพลังโจมตีอันรุนแรงนั้น แต่จู่ๆ รอบตัวของเจสันก็เริ่มบิดเบียว และเจัสนก็ถูกห้อหุ้มด้วยกุญแจมือที่ทำจากมานา
จู่ๆ เจสันก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ ไฮออร์ค ทั้งเจสันและออร์คต่างตกใจกันและกัน และตอนนี้เจสันสังเกตว่าเขานั้นกำลังเผชิญหน้าอยู่ตรงหน้าของไฮออร์ค ในขณะที่ถูกใส่กุญแจมือ
`เชนอยู่ที่ไหน`
เจสันคิดในใจ ขณะที่กำลังตกตะลึง
แบลร์เดินเข้าใกล้เจสัน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าจำนวนมานาที่เขาปลดปล่อยออกมาทำให้เจสันรู้สึกกดดัน จนหายใจไม่ออก สายตาเจสันเริ่มพร่ามัว และเขาก็หมดสติไป
แบลร์สังเกตเห็นสีหน้าของเจาสันที่ดูไม่ดีเมื่อนึกได้ เขาจึงรีบผนึกมานากลับคืนอย่างรวดเร็ว
“โอ้ ขอโทษๆ “
แบลร์เดินไปหาเจสันและเอามือทาบที่อกแล้วปลอดปล่อยมานาจำนวนเล็กน้อยเข้าไปในตัว ทำให้เจสันฟื้นขึ้น
ผู้เฒ่าเดร็กและทิลล์มองอย่างตกตะลึง เมื่อเห็นว่าแบลร์นั้นพูดขอโทษ
ผู้เฒ่าเดร็กและทิลล์มองหน้ากันด้วยความตกใจ และคิดว่าเจสันเป็นลูกหลานของเขาหรือเปล่า
เจสันฟื้นขึ้นและมองไปที่ชายชราตรงหน้า เจสันมั่นใจว่าเขาคือชายชราคนที่ปลุกพลังวิญญาณให้กับเขา
อย่างไรก็ตาม เจสันรู้สึกประหลาดใจกับความแข็งแกร่งของแบลร์ และที่สำคัญทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่
“ท่านเป็นใครกันแน่”
เจสันถามและสังเกตว่าทิลล์และผู้เฒ่าเดร็กนั้นกังวลเกี่ยวกับชายชราคนนี้มากและสามารถมองเห็นร่องรอยของความหวาดกลัวจางๆ ภายในดวงตาของทั้ง 2 ทำไมพวกเขาถึงต้องกลัวชายชราคนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งมากก็ตาม แต่เขาก็ดูเป็นคนดี
“ฉันชื่อ เชนแบลร์ ไม่ต้องกลัวฉันหรอก เรียกฉันแค่เชนก็พอ และการที่ฉันมาที่นี่ฉันไม่ได้มาทำร้ายใคร แต่ฉันมาให้ความช่วยเหลือ “
เชนกล่าวขณะที่หันไปทางผู้เฒ่าเดร็ก
“แต่ฉันจะไม่สู้กับราชาก็อบบลิน ฉันจะมาแค่ช่วยป้องกันเมือง แต่ฉันจะช่วยเหลือในเงามือเท่านั้น จะต้องไม่มีใครรู้ถึงตัวตนของฉัน”
เป็นเรื่องยากที่จะคาดการความคิดของราชาก็อบบลิน และหากมันตัดสินใจโจมตีเมืองไซโร ก่อนที่กำลังเสริมจะมา มันก็อาจจะสายเกินไปหากไม่มีคนป้องกัน
ผู้เฒ่าเดร็กถอนหายใจอย่างหงุดหงิดและถาม
“คุณต้องการอะไร”
เชนชี้ไปที่เจสัน
“ให้ฉันคุยกับเขา และพวกคุณจะต้องทำสัญญาทางวิญญาณขั้นสูงกับฉัน เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้พวกคุณบอกใครเรื่องเกี่ยวกับฉัน”
สัญญาวิญญาณขั้นสูง หากใครผิดสัญญาผู้นั้นจะถูกทำลายวิญญาณ แต่ก่อนที่จะตายคนที่ผิดสัญญา วิญญาณของผู้นั้นจะถูกแผดเผาและตายอย่างทรมาณ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าเดร็กและทิลล์ก็ยอมรับข้อเสนอนี้ แต่ทั้งสองสงสัยว่าทำไมแบลร์ถึงสนใจในตัวเจสันมากนัก
แบลร์เป็นคนที่โหดร้ายและกระหายเลือดหากมีคนคิดจะมายุ่งกับคนของเขา
ทั้งสามกำลังลัเลว่าจะทำอย่างไร ในขณะที่สร้อยข้อมือของผู้เฒ่าเดร็กมีการแจ้งเตือนเข้ามามากกว่า 10 ครั้ง เขาขมวดคิ้วและเปิดหน้าจอโฮโลแกรม เมื่อเปิดข้อความ ผู้เฒ่าเดร็กก็มีสีหน้าที่กังวลอย่างมาก
เมื่อทิลล์หันไปมองใบหน้าของผู้เฒ่าเดร็กที่กำลังตกใจ ทิลล์ก็ได้มองเข้าไปในหน้าจอโฮโลแกรมและอ่านข้อความ และทั้งคู่ก็ตอบพร้อมกันทันที
“พวกเรายอมรับข้อเสนอ !!!!”
ทั้งสองตะโกนออกมาพร้อมกัน ในขณะที่เจสันเริ่มเข้าใจคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
เชนยิ้มเบาๆ และก็มีตัวแผ่นใสๆ และมีตัวอักษรสีเงินบนอากาศจางๆ เจสันมองเห็นด้ายวิญญาณที่ออกมาจากร่างกายของเชน
แผ่นใสนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังวิญญาณมันเป็นเหมือนกระดาษเซ็นสัญญาทางวิญญาณ ผู้เฒ่าเดร็กและทิลล์ได้เซ็นชื่อของตัวเองลงไปในกระดาษใสนี้ด้วยด้ายวิญญาณของพวกเขา
เมื่อเซ็นสัญญาเสร็จเรียบร้อย เชนก็หยิบหินเวทย์มนต์ก้อนใหญ่ออกมามันเต็มไปด้วยมานาที่หนาแน่น ซึ่งทำให้เจสันตกใจ
อักษรรูนมากมายถึกจารึกไว้ และเชนก็ได้มอบหินเวทย์มนต์ให้กับทิลล์
“หินเวทย์มนต์นี้จะสามารถบอกได้ว่าราชาก็อบบลินอยู่ที่ไหน นอกจากนี้มันยังสามารถแผ่ออร่าที่ทำให้ราชาก็อบบลินอ่อนแอลงเล็กน้อย และอีกหน้าที่หนึ่งของมันคือการสร้างโดมมานาระดับ 3 ที่แม้แต่สัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์ก็ไม่อาจจะทำร้ายได้ ต่อสู้กับราชาก็อบบลินภายในโดมนี้ คุณจะสามารถเอาชนะราชาก็อบบลินได้ “
เมื่อเชนพูดจบเขาก็หันไปทางเจสัน และพูดด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าหนู อยากดูฝูงสัตว์ร้ายขนาดใหญ่แบบใกล้ๆ ไหม”
เจสันพยักหน้า
เจสันไม่รู้วา่ตัวเขานั้นควรไได้รับความเมตตาจากชายชราคนนี้หรือไม่ เจสันอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเชน และทำไมเขาถึงซ่อนตัวอยู่ในอาร์เทสในเมื่อเขานั้นแข็งแกร่งมากๆ เขากำลังหลบซ่อนตัวเองจากใคร
แต่เจสันรู้ดีว่าเชนนั้นต้องการที่จะคุยกับเขาในเรื่องต่างๆ และตอนนี้เจสันก็ตั้งตารอที่จะดูฝูงสัตว์ร้ายระดับสูง
ไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธข้อเสนอของเชน เชนอยู่ข้างเจสันและเมื่อเขาเอามือแต่ที่ไหล่ของเจสัน ทั้งคู่ก็หายวับไป ในขณะที่ทิลล์เองยังตกตะลึงกับความสามารถของเขา
ผู้เฒ่าเดร็กหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะกล่าวขึ้นมา
“เขาไม่เปลี่ยนไปเลย ฮ่าๆ “
รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏบนใบหน้าของเดร็ก
“ถ้าตระกูลซอร์ไม่ลักพาตัวภรรยาเขาไป ตระกูลนั้นคงไม่ถูกเขาทำลายล้างทั้งทั้งกูล จนไม่เหลือสายเลือดของตระกูลนั้นเลย เขาคงไม่ถูกตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นๆ ตามล่า จนต้องหลบซ่อนตัว ทำราวกับว่าตัวเองนั้นตายไปแล้ว “
สักพักเจสันก็พบว่าตัวเองนั้นยืนอยู่เหนือเมืองและถูกห่อหุ้มร่างกายด้วยมานาของเชน และทั้งคู่ก็ยืนอยู่บนอากาศ เชนสามารถทำให้แรงโน้มถ่วงไร้ผลได้โดยไม่ต้องมีปีกหรือใช้ความสามารถลอยตัว และมีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถทำได้
เจสันประหลาดใจและสงสัยว่าเชชนนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน เนื่องจากตัวตนของเขานั้นลึกลับมาก เมื่อเจสันมองลงไป ก็พบว่ามีกองทัพสีเขียวขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนทัพเข้ามายังโดมของแมือง
เจสนัและเชนมองเห็นทุกอย่าง และเชนก็ฉีกพื้นที่ว่างเปล่า และทั้งคู่ก็เข้ามาใกล้กองทัพสีเขียว พวกมันคือก็อบบลินจำนวนมหาศาล ทั้งคู่อยู่เหนือกองทัพก็อบบลินเพียง 50 เมตร
แต่พวก็อบบลินไม่สามารถทำอะไรหรือมองเห็นทั้งคู่ได้ ในขณะที่พวกมันกำลังมุ่งไปหน้ายังเมือง
“มาดูกันดีกว่า ว่าผู้พิทักษ์ประจำเมืองจะจัดการสถานการณ์นี้ได้ยังไง”
เชนจะเข้าช่วยก็ต่อเมืองทุกอย่างนั้นลำบากเกินที่ผู้พิทักษ์ประจำเมืองจะสามารถจัดการได้ ตอนนี้เขาจะแค่เฝ้าดู ในขณะที่ทิลล์ต้องจัดการกับราชาก็อบบลิน
เจสันพยักหน้าและถามคำถามเกี่ยวกับพลังวิญญาณและความสามารถที่แท้จริงของมัน และทิลล์ต้องบอกความจริงกับเจสัน ขณะที่ทิลล์กำลังอธิบายว่าขีดจำกัดของเขานั้นสามารถใช้ปีกของนกอินทรีศักดิ์สิทธิ์ได้เต็มที่เพียง 2 ชั่วโมง
เจสันประหลาดใจและสงสัยว่าอินทรีศักดิ์สิทธิ์นั้น เป็นสัตว์พันธะตัวแรกของทิลล์หรือเปล่า
ในฐานะครู ทิลล์ไม่ได้รู้สึกรังเกียจในการตอบคำถามจากนักเรียนที่มีความทะเยอทะยาน และตอนนี้เป็นเวลา 22.00 น. เจสันยังคงถามคำถามหลายๆ อย่าง
เจสันถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุดของพกวก็อบบลินว่าทำไมถึงไม่มีใครสามารถทำอะไรกับพวกมันได้
แต่คำตอบนั้นทำให้เจสันรู็สึกแย่ลง
“หลังจากที่คุณนำหลักฐานต่างๆ จากพวกก็อบบลินมา พวกเราทุกคนนั้นต่างประหลาดใจรวมถึงพวกรัฐบาลด้วย เราส่งคนที่มีระดับผู้วิเศษไปจัดการพวกมัน และเขตป่าโดยรอบก็ถูกทำลายภายในหนึ่งวัน เขตป่าที่อยู่ติดกัน ก็ถูกพวกอ็อคลิน และฮ็อบก็อบบลินเข้ามาก่อกวน
พวกออร์คเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงกว่าพวกก็อบบลินและมีความแข็งแกร่งกว่ามาก แต่การแพร่พันธุ์ของพวกนั้นไม่ได้รวดเร็วเหมือนก็อบบลิน
ออร์คส่วนใหญ่จะก่อตั้งสังคมของพวกมันเอง แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ในกรณีนี้ พวกออร์คยังมีความทนทานและอึดเป็นอย่างมาก
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการพวกมันได้หมด พวกเราต้องรวบบรวมกลุ่มผู้วิเศษขนาดใหญ่ และหัวหน้ากลุ่มก็เป็นผู้วิเศษระดับสูง
ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ยังได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ถึงแม้จำสามารถจัดการพวกมันได้ ตอนแรกพวกเราคิดว่ามันจบลงแล้ว
จนเมื่อพวกเหล่าสัตว์ร้ายระดับสูงเริ่มมาลี้ภัย เราจึงรู้ข้อมูลของพวกก็อบบลินว่าพวกมันกำลังตั้งค่ายอยู่ที่ดินแดนต้องห้าม และก็กัปตันของเราที่มีระดับผู้วิเศษขั้นสูง
ยังไม่สามารถจัดการกับสัตว์ระดับผู้พิทักษ์บางตัวที่มาขอลี้ภัย
จึงเป็นไปได้ว่า พวกก็อบบลินที่นั้นต้องมีความแข็งแกร่งอย่างมากแน่นอน นี้จึงเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างมาก
และสัตว์ร้ายระดับลอร์ดสามารถที่จะทำลายกำแพงของเมืองไซโรได้อย่างง่ายดาย และถ้าพวกเราไม่มีสัตว์ระดับลอร์ดมาช่วยป้องกันแอสทริกซ์คงต้องพบกับปัษหาใหญ่
และเมื่อคุณส่งรูปจี้ห้อยคอของพวกก็อบบลินมา ทำให้รู้ว่าพวกมาันสามารถจัดหาอาวุธได้ ถึงแม้มันจะมีระดับต่ำ
ถ้าฉันต้องสู้กับราชาก็อบบลิน เมืองก็จะไม่มีใครมาปกป้อง เพราะผู้เฒ่าเดร็กก็ไม่สามารถต่อสู้ได้แล้ว
นอกจากนี้อาจจะมีก็อบบลินจอมเวทย์ระดับผู้พิทักษ์หลายร้อยตัว ลอร์ดก็อบบลินกลายพันธุ์ อัศวินเวทย์ก็อบบลิน หรืออร์คระดับสูงที่จะเข้าเมืองมาได้ถ้าไม่มีคนคอยปกป้องเมือง”
ทิลล์พูดจบเจสันก็มองด้วยดวงตาเบิกกว้าง ทิลล์ต้องการบอกทุกอย่างให้เจสันได้ฟังเพราะเจสันอาจจะมีทางออกสำหรับเรื่องนี้ได้
เซรอนนั้นรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามจากก็อบบลินทุกอย่าง แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และหากสถานการณ์เลวร้ายเกินไป ทิลล์ก็จะพาเซรอนหนีไปและทิ้งแอสทริกซ์ไว้ แต่ก่อนที่จะถึงตอนนั้นเขาก็จะพยายามช่วยอย่างเต็มที่
“เจ้าเด็กบ้า ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวปวดหัว ไซโรจะไม่เป็นอะไร”
เสียงที่ฟังดูคุ้นหูเอ่ยขึ้น
ทั้งเจสันและทิลล์หันไปมอง และเห็นชายชรายื่นอยู่ข้างๆ ผู้เฒ่าเดร็ก และเจสันก็ประหลาดใจอย่างมาก
“ท่านผู้เฒ่า !”
เจสันพูดอย่างสับสนและดีใจ นั้นคือชายชราเมื่อตอนที่ปลุกวิญญาตให้กับเจสัน
‘เขามาทำอะไรนี้ เขาอยู่ที่อาร์เทสไม่ใช่หรอ’
เจสันสงสัยขณะที่มองดู ผู้เฒ่าเดร็กที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย ทำให้เจสันยื่งสับสนมากขึ้น
“คะ … คุณแบลร์ !?”
ทิลล์พูดอย่างตกคะลึง
“ทำไมคุณยังมีชีวิตอยู่ ?”
ทิลล์กล่าวด้วยความตกใจ และห่อหุ้มร่างกายตัวเองกับเจสันด้วยมานา และพร้อมที่จะพาเจสันหนีไปหากเกิดอะไรขึ้น
“อย่าคิดแม้แต่ที่จะหนีข้า !”
ชายชรากล่าวและปลดปล่อยมานาที่บริสุทธิ์จำนวนมหาศาลออกมา เพื่อทำให้ไม่มีใครเคลื่อนไหวได้
พวกเขาไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิดเดียว ในขณะที่เจสันเห็นมานาจำนวนมากและหนาแนะบริสุทธิ์อย่างมาก ผ่านดวงตา
“แกนคริสตัลพริสมารีน”
เจสันหลุดคำพูดออกมาหลังจากที่มองไปที่แกนมานาของแบลร์
แบลร์มองเจสันด้วยความประหลาดใจและสนใจในความสามารถของดวงตาเจสัน
‘เหยื่อของฉัน ‘
แบลร์คิดในใจ
“ใช่ ฉันยังมีชีวิตอยู่ และฉันจะจัดการพวกเจ้า ”
แบลร์พูดอย่างดุดัน ก่อนที่จะหันไปมองเจสันและยิ้มอย่างอ่อนโยน
ตอนนี้แบลร์ได้พบสิ่งมีค่าราวสมบัติวิเศษ และเขาจะทำทุกอย่างเพื่อมห้ได้มันมา
“ฉันจะช่วยพวกเจ้าเรื่อง ราชาก็อบบลิน แต่ก่อนอื่น ฉันขอคุยกับเจ้าเด็กคนนั้น”
แบลร์กล่าวออกมาโดยไม่ให้ทิลบล์หรือเดร็กได้มีโอกาสพูดเลย
ทิลล์ประหลาดใจพอๆกับเจสัน เพราะเขารู้จักเดร็กตั้งแต่ยังเด็กๆ และไม่เคยเห็นเดร็กมีท่าทีที่หวาดกลัวเช่นนี้ และตอนนี้ก็ไม่มีใครสามารถตอบคำถามต่างๆ ของพวกเขาได้ ทิลล์จึงพูดคุยกับเจสัน
“คุณทำได้ดีมาก ตอนจากคุณเล่ามาทั้งหมด ดูเหมือนว่าความสามารถในการต่อสู้ของคุณจะเพิ่มมากขึ้น ขอแสดงความยินดีกับการพัฒนาศักยภาพของคุณ และในที่สุดคุณก็อยู่ในขั้นผู้ชำนาญและช่องว่างระหว่างคุณและเพื่อนๆ ก็ได้ลดน้อย”
เจสันยิ้มเบาๆ แต่ทันใดนั้นเจสันก็นึกถึงปีกสีขาวของทิลล์และพื้นที่ๆ ที่เขาอยู่กันในตอนนี้ มีความลับมากเกินไปและเจสันสึกสับสนกับสิ่งต่างๆ เจสันเพียงแค่อยากส่งซากศพของพวกก็อบบลินเพื่อลแกเป็นคะแนนเลซ แต่เขาก็ดันถูกพามาที่นี่
มีคำถามมากมายในใจของเจสันและเจสันก็หวังว่าทิลล์จะสามารถตอบคำถามทั้งหมดของเขาได้
“ครูครับ ช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยว่าทำไมถึงพาผมมาที่นี่ และทำไมครูถึงมีปีก ครูทำได้ยังไง และป่านี้มันคืออะไร ทำไมถึงถูกเรียกว่าเขตรักษาพันธุ์ และผมเข้าใจดีว่าพวกก็อบบลินนั้นอันตรายและน่ากลัว แต่พวกมันแข็งแกร่งขนาดที่ระดับผู้วิเศษขั้นสูงก็หวาดกลัวพวกมันอย่างงั้นหรอครับ”
ทิลล์เองก็ไม่มั่นใจว่าทำไมเขาถึงต้องพาเจสันมาที่นี่ แต่ตอนนี้เขาคิดแค่ว่าต้องพาเจสันมา
“ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงพาคุณมาที่นี่ แต่ป่าแห่งนี้ไม่ใช่ความลับของรัฐบาล อาจจะเป็นเพราะข้อมูลที่คุณให้มานั้นสำคัญมากสำหรับพวกเราในสถานการณ์นี้ เพราะราชาก็อบบลินนั้นพวกเรายังไม่รู้แหล่งกบดานของมัน ไม่มีเหตุผลอื่นที่ฉันพาคุณมาที่นี่ และในพื้นที่นี่ก่อนตั้งมากว่า 100 ปีแล้วและมันก็กำลังพังทลาย คุณเห็นวิหารตรงนั้นไหม ที่นั้นถูกสร้างขึ้นเนื่องจากปีศาจไฟที่มาโจมตีและเผาดินแดนเวทย์มนต์ แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แต่อาจจะมีสมบัติเวทย์มนต์อะไรบางอย่างที่พวกมันต้องการ และต้นไม้ภายในป่ากำลังจะถอนรากตัวเองออกจาเขตเวทย์มนต์นี้เพื่อเอาตัวรอด และเดร็กก็มาพบที่นี่เข้า จนกระทั่งเริ่มมีสัตว์ร้ายที่อพยพมาที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ และสัตว์ร้ายพวกนั้นได้ทำพันธะสัญญาที่จะแพร่พันธุ์สายพันธุ์ของมันในที่นี่และยอมให้มนุษย์นำลูกของพวะกมันไปเป็นสัตว์พันธะได้”
เจสันตั้งใจฟังและเข้าใจความหมายคร่าวๆ
และตอนนี้เจสันเข้าใจการคุกคามของพวกราชาก็อบบลิน และมันต้องมีลูกน้องที่ติดตามใกล้ชิดที่อยู่ในระดับสัตว์วิเศษและสัตว์ผู้พิทักษ์จำนวนมากอย่างแน่นอน มันจะทีพลังทำลายล้างที่มากมาย เอาการชีวิตของแอสทริกซ์เป็นสิ่งที่สำคัญ และพวกเขาจะต้องกำจัดราชาก็อบบลินให้เร็วที่สุด
และเจสันก็คิดต่อไปว่าทำไมเมื่อไซโรถึงยอมที่จะให้สัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์และระดับสัตว์วิเศษอพยพเข้า เพราะมันเป็นสิ่งที่เสี่ยงอย่างมาก
และทิลล์ก็ตอบคำถามโดยที่เจสันยังไม่ได้เอ่ยปากพูด ด้วยการดูจากสีหน้าของเจสัน
“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คนรุ่นใหม่มีการปลุกวิญญาณได้ดีกว่าเมื่อก่อนอย่างมากและมีเด็กหลายๆ ที่รอลูกสัตว์ร้ายระดับสัตว์วิเศษที่จะมาทำพันธะ และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี่น่าจะเป็นที่เพาะพันธุ์มากกว่าสถานที่ลี้ภัย เฒ่าแก่เดร็กให้โอกาสสัตว์ทุกตัวในการอยู่ที่นี่และมีข้อแลกเปลี่ยน จนกว่าเหตุการณ์การรุกรานของพวกก็อบบลินจะสิ้นสุดลง และนี่อาจจะเป็นเรื่องโหดร้ายอีกเรื่อง เพราะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เผ่าพันธุ์อื่นๆ บางกลุ่ม เริ่มที่จะโจมตีและรุกรานคาเนียร์ และพวกเราจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนและคุณภาพของผู้คนที่มีความสามารถ ซึ่งรวมถึงสัตว์พันธะที่ดีขึ้นด้วย คุณอาจจะไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์อื่นๆ สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอที่สุดในเผ่าพันธุ์ ยังมีระดับที่สูงกว่าผู้เชี่ยวชาญ ข้อได้เปรียบของเราคือมีจำนวนที่มากกว่า และยังไม่เคยมีเผ่าพันธุ์อัจฉริยะใดๆ ที่บุกโจมตีเรามาก่อน จนกระทั่งตอนนี้”
***เผ่าพันธุ์อัจฉริยะก็คือพวกเผ่าอื่นๆ ที่คล้ายมนุษย์***
เจสันไม่ค่อยรู้อะไรมากนักเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ที่บุกรุกเหล่า แต่ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะแข็งแกร่งมากแต่ก็ไม่ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่มากนัก และเผ่าพันธุ์เหล่านี้คงจะต้องแข็งแกร่งมาโดยกำเนิด
สิ่งต่อไปนี่ที่ทิลล์จะพูดขึ้น มันจะเป็นการเปิดโลกให้กับเจสัน และในที่สุดเจสันก็จะเข้าใจว่าทำไมการปลุกวิญญาณนั้นถึงสำคัญมาก
“เจสัน คุณเคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับ [Fortified Soul Concentrated’s] ไหม”
เจสันส่ายหน้า และเริ่มสนใจกับคำศัพท์ใหม่
“คุณอาจจะสังเกตเห็นว่าสายสัมพัมธ์ระหว่างคุณกับสัตว์พันธะตัวแรกนั้นแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนแม้ว่าจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
อารมณ์ ความคิด หรือแม้แต่การมองเห็นก็สามารถ่ายทอดให้กันได้ แต่นั้นไม่ใช่ทั่งหมด
เนื่องจากตวามเชื่อมโยงระหว่างสัตว์ร้ายและมนุษย์ สามารถแบ่งปันได้ในทุกสิ่ง และเมื่อข้ามขีดจำกัด สัตว์พันธะจะสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ก่อนที่จะเกิดขึ้นได้
มนุษย์บางคนได้สร้างพันธะขึ้นในหลายร้อยปีก่อน ยิ่งมนุษย์และสัตว์ต่อสู้ร่วมกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความผูกพันธ์กันมากขึ้น
[Fortified Soul Concentrated’s] ในกรณีนี้การเชื่อต่อระหว่างมนุษย์และสัตว์จะถูกรวมเข้าด้วยกันและมีความเสถียรภาพมากพอที่จะสามารถสละชีวิตเพื่อกันและกันได้
นี่ไม่ใช่การถูกบังคับจากผู้ผูกพันธะ แต่เป็นความจริงใจของทั้ง 2
และสัตว์พันธะจะได้รับการพัฒนาด้านสติปัญญา และการประสานวิญญาณเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง
อย่างที่คุณถามว่าทำไมฉันถึงได้มีปีก ซึ่งอันที่จริงปีกนั้นเป็นของอินทรีศักดิ์สิทธิ์ของฉัน หลังจากที่รวมพลังวิญญาณเข้ากับสัตว์ร้ายแล้ว ทั้งสายใยวิญญาณของคุณและสัตว์พันธะจะหลอมรวมกัน
การหลวมรวมวิญญาณในช่วงแรกจะเจ็บปวดเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเสร็จสิ้น คุณจะสามารถใช้ความสามารถด้านกายภายจากสัตว์พันธะได้ทุกส่วน และสามารถดึงเอาอวัยวะส่วนหนึ่งของสัตว์พันธะมาใช้ได้
ตัวอย่างเช่น ถ้าฉันแปลงมือให้กลายเป็นกรงเล็บอินทรี ความแข็งแกร่งของฉันก็จะเพิ่มขึ้น 10% ซึ่งถือว่าสูงมาก และอย่างที่เห็นฉันสามารถงอกปีกของมันมาใช้กับตัวเองได้ “
ตรงหน้าเจสันมีสัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์ 10 และสัตว์วิเศษอีกหลายร้อยตัว ในป่าลึกที่ดูอุดมสมบูรณ์และมีขนาดใหญ่เท่ากับสนามฟุตบอลหลายแห่งมารวมกัน ทุกอย่างราวกับความฝันสำหรับเจสัน
เจสันหยิกแก้มตัวเอง และรู้สึกเจ็บและเจสันเริ่มตื่นเต้นอย่างช้าๆ เพราะว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง มีนักล่าและเหยื่ออยู่รวมกันและพวกมันไม่โจมตีซึ่งกันและกัน
ดูเหมือนว่าพวกมันจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข และในแววตาพวกมันก็ไม่มีความดุร้าย มีบางอย่างทำให้พวกมันเชื่องอย่างหน้าแปลกใจ เจสันมองทิลลล์ด้วยสีหน้าสับสน และทิลล์กำลังจะพูดอะไรบางอย่างและก็มีเสียงแทรกขึ้นทางด้านหลังของพวกเขา
“สัตว์ร้ายเหล่านี้กำลังหาที่ลี้ภัยและพวกมันจะไม่ทำร้ายมนุษย์ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะราชาก็อบบลินและเผ่าพันธุ์ของพวกมันที่กำลังรุกราน อาจจะกล่าวได้ว่าที่นี่คือเขตรักษาพันธุ์สัตว์และเป็นพื้นที่เดียวที่พวกก็อบบลินไม่สามารถมาถึงได้”
เมื่อหันไปมอง เจสันเห็นชายชราผมขาวเครายาวกำลังเดิขเข้ามา พร้อมกับไม้เท้าที่พยุง เขาสวมชุดคลุมสีขาวเจสันรู้สึกได้ว่าชายคนนี้นั้นมีชีวิตมายาวนาน
เจสันได้เปิดดวงตามานาเพื่อมองดู แต่รากับว่ามีกระแสไฟฟ้าแพร่กระจายไปทั่วร่างและไม่สามารถควบคุมตัวเองในขณะที่กำลังสั่น เจสันตกตะลึงและพูดไม่ออก
เมื่อผ่านไปสักพักและได้สติเจสันได้ก็ได้ถาม
“คะ-คุณเป็นใคร?”
เจสันเห็นแกนมานาของเขาที่กำลังเสื่อมจากความชรา แต่นั้นก็ไม่ได้สำคัญมาก เพราะแกนมานาของชายชรานั้นแข็งแกร่งมากกว่าใครๆ ที่เขาเคยเห็นมา มันเป็นเหมือนคริสตัลพริสมารีนที่สวยงามและแข็งแกร่งอยู่ภายใน
แม้ว่าภายนอกเขาจะดูอ่อนแอ แต่การสัมผัสมานาเพียงครั้งเดียวจากชายชราคนนี้ ก็อาจจะทำให้เจสันเสียชีวิตด้วยความช็อคในทันที แต่สิ่งเดียวที่ดูน่าเสียดายคือความแข็งแกร่งที่กำลังลดลงของชายชรา และรอยแตกของแกนมานาที่ค่อยๆ สร้างรอยร้าวไปเรื่อยๆ
เจสันค่อยๆ ถอยหลังจนกระทั่งชนทิลล์
เจสันเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจและการแสดงท่าทีที่อ่อนโยนของทิลล์ทำให้เจสันรู้สึกสบายและปลอดภัยมากขึ้น ชายชราหัวเราะและก่อนที่จะกระอักเลือดออกมา
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะตาย และเจสันรู้สึกแย่ที่กลัวเขา
ชายชราใช้เวลาพอสมควรก่อนที่จะสามารถสงบลงได้ ในขณะที่เขามองไปที่ดวงตาของเจสันและพูดว่า
“เด็กน้อย ฉันเป็นผู้ว่าของแอสทริกซ์และเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนแวนการ์ด ฉันชื่อ แมททิว เดร็ก แต่เรียกฉันแค่เดร็กก็ได้ ฉันเองก็แก่มากแล้ว เจ้าหนูทิลล์เล่าเรื่องของฉันให้เจ้าฟังบ้างหรือเปล่าละ ฉันต้องขอโทษที่ให้เขาพาตัวเจ้ามาแบบนี้ แต่มันเป็นเรื่องสำคัญ และฉันหวังว่าเจ้าคงไม่ถือโทษชายแก่ๆ คนนี้นะ เจ้าหนูทิลล์สามารถอธิบายเกี่ยวกับเขตอนุรักษ์แห่งนี้ได้ในภายหลัง แต่ตอนนี้พวกเรามีอย่างอื่นที่ต้องทำ”
จากคำพูดของแมททิว เจสันรู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นคนสุภาพและมีเหตุผล
แต่เจสันไม่ได้สนใจมากนัก สิ่งที่เจสันสนใจคือทำไมผู้เฒ่าเดร็กถึงพาเขามาที่นี่ มีเหตุผลอะไร แล้วสิ่งที่เขาบอกว่าต้องไปทำคือออะไรกัน?
“เจ้าหนูทิลล์ บอกว่าเจ้าอยู่ในเขตป่า 2 ดาว และระหว่างการล่าเจ้าได้พบกับอักษรรูนบนอาวุธและจี้ของพวกก็อบบลินใช่ไหม และยังบอกอีกว่าพวกมันพัฒนาขึ้นและมีจำนวนมาก เจ้าช่วยบอกทุกอย่างเกี่ยวกับมันเท่าที่เจ้ารู้และเห็นมาให้ข้าฟังได้ไหม?”
เจสันยังคงงุนงงเล็กน้อยที่ชายชราพูดสุภาพกับเขามาก เจสันไว้ใจและหยิบอาวุธและจี้สร้อยคออกมาและเริ่มอธิบายทุกอย่างให้ทิลล์และแมททิวฟัง
ทิลล์และแมททิวฟังอย่างตั้งใจโดยไม่ขัดจังหวะเจสันแม้แต่นิดเดียว และครึ่งชั่วโมงต่อมา เจสันก็อธิบายทุกอย่างจบ ขณะที่ได้ฟังนั้นทิลล์และแมททิวต่างก็อยากรู้ความสามารถในการต่อสู้ของเจสัน
เจสันเล่าเหตุการณ์ต่างๆ และทั้ง 2 ประหลาดใจความสงบนิ่งของเจสันในการต่อสู้กับพวกฮ็อบก็อบลิน ด้วยเหตุนี้ทิลล์จึงยยอมรับความจริงที่เจสันนั้นแข็งแกร่งเกินวัย และความแข็งแกร่งนั้นก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทุกวัน
หลังจากนั้นผู้เฒ่าเดร็ก กับทิลล์ต่างตรวจสอบอาวุธและจี้ห้อยคออย่างระมัดระวัง ในขณะที่ผู้เฒ่าเดร็กขมวดคิ้วครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดอะไรบางอย่างกับทิลล์
เจสันตัดสินใจที่จะอยู่เงียบๆ หลังจากที่อธิบายเรื่องราวต่างๆ ทั้งทิลล์และผู้เฒ่าเดร็กเริ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับข้อเท็จจริงบางอย่าง
“คำสลักเหล่านี้สร้างขึ้นจากแกนสัตว์ร้ายระดับต่ำและคุณภาพไม่ได้ดีนัก แต่นั้นไม่สำคัญเมื่อพิจารณาว่าราชาก็อบบลิน ได้มอบอาวุธเหล่านี้ให้กับกองกำลังที่อ่อนแอที่สุด ดูเหมือนว่ามันกำลังใช้พวกนั้นเป็นหน่วยสอดแนมและล่าสัตว์ในเวลาเดียวกัน แต่สิ่งที่ทำให้ฉันกลัวคืออาวุธที่มีการสลักรูนมากมายและอักษรรูนที่แปลกประหลาดบนจี้ห้อยคอนี้อีก ฉันไม่เคยเห็นรูนที่สามารถป้องการโจมตีระยะไกลได้ที่สร้างจากแกนสัตว์ร้าย และรูนเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นรูนเอาไว้ป้องกันการลอบสังหารจากระยะไกล หากราชาก็อบบลินสามารถสร้างรูนที่มีระดับที่สูงกว่านี้ได้ ปืนใหญ่ของพวกเราอาจจะไร้ประโยชน์ และเราจะถูกบีบบังคับให้ต่อสู้ระยะประชิด ซึ่งจำนวนที่มากกว่าของพวกมันนั้นได้เปรียบอย่างมาก”
ชายชราอธิบายอย่างใจเย็น
ทิลล์ถอนหายใจและเสริมว่า
“นั้นก็จริง แต่เราทำอะไรไม่ได้มากนัก และเราก็ไม่รู้ว่าราชาก็อบบลินนั้นอยู่ที่ไหน หรืออยู่ในระดับไหนแล้ว เราสูญเสียหนวยสอดแนมที่มีระดับผู้วิเศษไปมากกว่า 10 คนที่มีความเชี่ยวชาญในการลอบสังหารและสอดแนม
และผู้วิเศษขั้นสูงที่มีความสามารถในการพลางตัวนั้นก็หายากมากในแอสทริกซ์ ถ้าฉันจะค้นหาราชาก็อบบลิน
มันอาาจใช้กองกำลังของมันมาจัดการฉัน นั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย ความเจ็บปวดและความแข็งแกร่งของคุณก็ลดลงทุกวัน ฉันไม่รู้เลยว่าคุณเหลือเวลาอีกนานเท่าไหร่ ผู้เฒ่าเดร็ก
ราชาก็อบบลินอาจจะเป็นสัตว์ร้ายระดับลอร์ดแล้ว และดูเหมือนมันจะมีสมุนที่ฉลาดและมีจำนวนมาก เพราะรูนมาสเตอร์คนเดียวไม่สามารถสลักอักษรรูนให้กับอาวุธที่มีมากมายมหาศาลได้ และข้อมูลที่ดีที่สุดตอนนี้คืออาวุธของฮ็อบก็อบบลินที่เจสันเอามา และหากเราไม่สามารถค้นหาราชาก็อบบลินเจอ
เราคงต้องมาระเบิดโซนเวทย์มนต์ !และหาตำแหน่งคร่าวๆ ของฐานที่มั่นของพวกมัน และทำลายล้างด้วยระเบิดไฮโดรเจนมานา”
เมื่อฟังทิลล์พูด เจสันก็เบิกตากว้าง พวกเขาต้องการระเบิดเขตเวทย์มนต์ และทำลายพื้นที่นั้นหรอ พวกก็อบบลินนี้อันตรายขนาดนั้นเลยหรอ
ผู้เฒ่าเดร้กได้กล่าว
“เจ้ารู้ว่าเจ้าสามารถฆ่ามดตัวเล็กๆ เหล่านี้ได้ด้วยการโบกมือ แต่ปัญหาหลักเราคือการเผชิญกับราชาก็อบบลินและลูกน้องของมัน อาจจะมีก็อบบลินระดับผุ้พิทักษ์ อยู่มากกว่า 10 ตัว ไม่อย่างนั้นสัตว์ร้ายต่างๆ คงไม่มาหลบอยู่ข้างหลังเรา ที่เป็นมนุษย์ที่พวกมันเกลียดชัง”
ผู้เฒ่าเดร็กคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“เจ้าหนูทิลล์ เจ้าสามารถขอความช่วยเหลือจากคาเนียร์ได้หรือไม่ เมื่อราชาก็อบบลินบุกมา เราอาจจะสามารถป้องกันได้ก่อนที่พวกมันจะมาถึงไซโร หรือแม้กระทั่งเกาะทั้งเกาะนี้”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เดร็กพูด ทิลล์ก็ขมวดคิ้วและก็ปฏิเสธไม่ได้ ทั้งเจสันและทิลล์ต่างได้ยินชายชราพึมพำก่อนที่หน้าจอโฮโลแกรมของเขาจะปรากฏขึ้น
“น่ารำคาญจริงๆ อย่าส่งเจ้าเด็กที่น่ารำคาญมาเลย”
ชายรชราคร่ำครวญขณะที่ส่งข้อความกลับไป
[หยุดเวลาจนกว่ากำลังเสริมจะมาถึง]
รัฐบาลคิดแผนที่จะหยุดเวลาเพื่อยื้อรอกำลังเสริมให้มีจำนวนที่มากหรือพอๆ กับพวกก็อบบลิน
ทิลล์หันไปบอกเจสันให้ถอยออกไปเล็กน้อย แต่ก่อนที่เดร็กจะได้ทำอะไร เขาก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังบุกเข้ามาในวงวเทย์มานาได้ คนธรรมนั้นสามารถเข้ามาได้อย่างแน่นอน แต่ผู้บุกรุกจะไม่สามารถทำได้ นี่หมายความว่าผู้บุกรุกจะต้องมีความสามารถอย่างมาก
เสียงหนึ่งถูกส่งเข้ามาในจิตของเดร็ก เดร็กได้ประหลาดใจและสับสนในเวลาเดียวกัน
‘เขายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร? เขารอดชีวิตมาได้… เป็นไปไม่ได้!’
ผู้เฒ่าเดร็กฟังเสียงอย่างประหลาดใจ ก่อนที่ทิลล์และเจสันจะแยกตัวออกจาผู้เฒ่าเดร็ก เมื่อทั้ง 2 บอกว่ามีบางอย่างที่ต้องทำ
ทั้งเจสันและทิลล์สังเกตเห็นเหงื่อที่ไหลชุ่มของผู้เฒ่าเดร็ก และดวงตาของเขานั้นดูหวาดกลัว และสามารถมองเห็นชายวัยกลางคนผมสีฟ้าตะโกนอะไรบางอย่าง ก่อนที่เขาจะหายวับไปจากสายตาภายในไม่กี่วินาที
เจสันสับสนอย่างมาก ว่ามันเกิอะไรขึ้น
เจสันรู้สึกสับสนกับข้อความของทิลล์ อย่างไรก็ตามเจสันก็ได้ส่งข้อความเพื่อถาม
[ผมไปนอกโดมมา มีอะไรหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้น]
เจสันถาม
[อย่าเพิ่งไปไหนนะ มีบางอย่างผิดปกติกับพวกก็อบบลิน และฉันก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร]
[โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นคุณ และนักเรียนที่มีระดับต่ำกว่าผู้เชี่ยวชาญห้ามออกนอกโดมในขณะนี้ ]
ทิลล์ตอบกลับข้อความของเจสันในทันทีและเจสันได้ถามตัวเองว่าทิลล์เขียนข้อความทั้ง 2 ในเวลาอันรวดเร็วได้ยังไง นอกจากนี้เจสันไม่เคยเห็นทิลล์ส่งข้อความมากมายขนาดนี้มาก่อน
เจสันครุ่งคิดถึงการต่อสู้เมื่อสักครู่ และสงสัยว่าทำไมคนระดับต่ำกว่าผู้เชี่ยวชาญถึงห้ามออกนอกโดม เพราถ้ามีปืนมานาสามารถเอาชนะพวกมันได้แล้ว
และเจสันยังคงคิดเกี่ยวกับการต่อสู้กับก็อบบลินจอมเวทย์และพวกฮ็อบก็อบบลิน และเจสันก็ได้ส่งข้อความไปหาทิลล์
[ทำไมระดับผู้เชี่ยวชาญถึงสามารถออกไปได้ เป็นเพราะก็อบบลินหลายร้อยตัวหรือก็อบบลินจอมเวทย์ที่มีมากเกินงั้นหรอ ]
อย่างไรก็ตาม ทิลล์ก็ตอบกลับมาด้วยคำถามแปลกๆ
[หมายความว่าไง ก็อบบลินหลายร้อยตัว ก็อบบลินจอมเวทย์กับฮ็อบก็อบบลิน ? คุณเห็นพวกมันหรอ และได้สู้กับพวกมันหรือเปล่า พวกมันอยู่ในเขตป่างั้นหรอ ?]
เจสันสับสนปฏิกิริยาของทิลล์ เหตุการณ์ทั้งหมดของก็อบบลินไม่น่าจะใช่เรื่องที่แปลกๆ แต่เมื่อเจสันเห็นท่าทีแปลกๆ ของทิลล์จึงคิดว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น
เจสันจึงตอบกลับด้วยข้อความง่ายๆ
[มีกลุ่มทหารก็อบบลินหลาย 100 ตัว นำโดยฮ็อบก็อบบลิน 3 ตัว และก็อบบลินจอมเวทย์ 10 ตัว อยู่ภายในเขตป่าระดับ 2 ดาว ดูเหมือนพวกมันกำลังจะไปที่ไหนสักแห่ง แต่ผมไม่รู้หรอกนะว่าพวกมันจะไปที่ไหน แต่ผมได้จัดการพวกมันจดหมดไปแล้ว จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วนะ ]
หลังจากส่งข้อความ เจสันก็ปิดหน้าจอโฮโลแกรม ระหวางรอรถรับส่ง เจสันได้คำนวนราคาของสิ่งของที่ได้จากพวกก็อบบลิน เจสันได้จัดการฮ็อบก็อบบลินไป 3 ตัว ซึ่งเขาจะได้คะแนนเลซ 3-4 คะแนน และก็อบบลินจอมเวทย์ทั้ง 14 ตัว ก็จะได้รับอีก 3 คะแนน และซากก็อบบลินที่เจสันมีมากกว่า 300 ตัว น่าจะได้คะแนนเลซ 7.5 คะแนน
เจสันไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะสามารถฆ่าก็อบบลินได้มากมายขนาดนี้ และเจสันเห็นว่ากว่า 70% อาวุธของพวกก็อบบลินที่ทำขึ้นเอง ส่วนมากทำมาจากหินและมีการสลักอักษรรูน ซึ่งสามารถเพิ่มควาทนทานและเพิ่มความแหลมคมให้กับอาวุธ
เจสันไม่สามารถประเมินราคาสำหรับพวกอาวุธได้ รวมถึงจี้ป้องกัน เจสันหยิบมันออกมาจากซากของก็อบบลินจอมเวทย์ และยังคงมีอาวุธของพวกนักล่าคนอื่นๆ อีกมากมาย ส่วนใหญ่เป็นอาวุธที่ไม่ได้สมบูรณ์และมีเกรดต่ำกว่า 1
และเนื่องจากความรู้เรื่องการตีเหล็กของเจสัน เจสันจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับแร่ที่ใช้ในการตีเหล็กอย่างมาก มันคือแร่ไรโอไลท์ซึ่งเป็นวัตถุดิบระดับ 2 ที่หายากและค่อนข้างแพง การได้เห็นอาวุธที่ทำจากแร่ไรโอไลท์จากอาวุธของก็อบบลินจึงมันค่อนข้างแปลกที่พวกมันสามารถนำมาตีและสร้างอาวุธได้
เจสันรู้ว่าแร่เหล่านี้สามารถพบในในรอยแยกถาวรแห่งหนึ่งของแอสทริกซ์ การมีรอยแยกถาวรเกินขึ้นทำให้พื้นที่ ภูเขาต่างๆ มีแร่มากมายอยู่ภายในรอยแยก และเป็นที่อยู่ของสัตว์ต่างๆ ที่ไม่มีอันตรายมากมาย
และมีสัตว์ร้ายวิเศษอยู่อีกนิดหน่อย แต่สัตว์ที่ไม่มีอันตรายมีมากกว่า ขนาดของรอยแยกนั้นใหญกว่าแอสทริกซ์และมีเหมืองหลายแห่งตั้งอยู่ภายใน ทำให้เจสันสงสัยว่า พวกก็อบบลินสามารถเอาแร่ไรโอไลท์มาได้อย่างไร
‘พวกมันตั้งเหมืองเอง หรือปล้นมาจากเหล่าพ่อค้าแร่’
เจสันสงสัย
เมื่อพิจารณามูลค่าของแร่ไรโอไลท์ เจสันก็มั่นใจว่าเขาจะได้รับเครดิตเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีอาวุธระดับ 1 อยู่ 2-3 ชิ้นที่มาจากพวกนักล่าที่ถูกพวกก็อบบลินสังหารและเจสันก็รู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามความรู้สึกนึกก้ไม่ได้เปลี่ยนใจเจสันที่จะขายพวกมัน ขณะที่เจสันกำลังคิดเรื่องมูลค่าและเงิน จู่ๆ ทิลล์ก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าต่อตาเจสัน ทำให้เจสันตกใจครู่หนึ่ง
‘ครูมีปีก ??? เขามาจากเผ่าพันธุ์ที่มีปีกงั้นหรอ’
เจสันสงสัยขณะที่นึกขึ้นได้ว่าทิลล์มาจากครอบครัวใหญ่ใน และความเร็วในการปรากฏตัวของทิลล์นั้นเร็วมาก และเจสันไม่สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้ เจสันนึกเล่นๆ ว่าถ้าหากทิลล์เป็นศัตรู เจสันคงโดนฆ่าอย่างง่ายดาย
เจสันสังเกตเห็นสีหน้าที่ดูกังวลของทิลล์ เจสันไม่รู้จะพูดว่าอะไรจนกระทั่ง ทิลล์ได้อุ้มเจสันและห่อหุ้มร่างด้วยมานาทั้งตัวเขาและเจสัน
ก่อนที่เจสันจะสงสัยว่าทำไม ปีกของทิลล์ก็กระพืออย่างรุนแรง และทำให้พวกเขาบินขึ้นไปบนอากาศ และทะยานผ่านท้องฟ้าไปยังเมือง
เจสันไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาบินไปเร็วแค่ไหน แต่เมื่อมองไปรอบๆ เจสันก็เห็นว่ามันพร่ามัวเล็กน้อย และเมื่อมองไปที่พื้น เจสันเห็นจุดสีดำขนาดใหญ่ กำลังเคลื่อนที่ไปที่โดม
สถานการณ์นี้น่าอึดอัดใจ เมื่อทิลล์จับเจสันไว้แน่น และเจสันต้องการที่จะถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ต้องรอ พวกเขาใช้เวลา 2-3นาทีก่อนที่จะถึงเมือง เมื่อไปถึงเมื่อทิลล์ก็ชะลอตัวลง
ไม่ถึง 5 นาที เจสันก็สังเกตเห็นว่าความเร็วนั้นลดลงอีกและดูเหมือนเขากำลังจะลงจอด ทันใดนั้นเจสันก็สังเกตว่าพวกเขานั้นอยู่เหนือโรงเรียนที่มีป่าใหญ่ล้อมรอบ
และมันดูเหมือนโรงเรียนของเขาเอง แต่พวกเขาไม่ได้บินลงมาที่หน้าอาหารเรียนหรือหน้าประตูทางเข้า และเหมือนว่าทิลล์จะไปที่ไหนสักแห่งในป่าใหญ่ เจสันสงสัยว่าทิลล์จะไปที่ไหน และได้เปิดดวงตามานาขึ้นมา และเห็นออร่าจากมานาปกคลุมบริเวณป่าลึก
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเจสันจะใช้ดวงตามานาแต่ก็ไม่สามารถมองท่าม่านออร่าของมานาได้เลย นี้เป็นครั้งแรกที่เจสันไม่สามารถมองทะลุในสิ่งที่อยากเห็นได้ และก็เกิดความสงสัยว่าพวกเขากำลังจะไปที่ไหน และทิลล์ก็ได้บินลงหลังม่านออร่าที่มองไม่เห็น
พวกเขาเคลื่อนตัวลงมาอย่างช้าๆ ผ่านม่านออร่า เมื่อร่างกายไปผ่านม่านไป เจสันก็เบิกตากว้าง เขาตรวจจับความผันผวนมานาที่น่าสะพรึงได้มากกว่า 10 แบบ และสามารถรับรู้ถึงมานาที่อ่อนแอได้หลายร้อยตัว
แต่ความผันผวนมานาที่น่าสะพรึงนั้นอ่อนแอกว่าของทิลล์ แต่ถ้าเทียบลักษณะโดยกำเนิด ความผันผวนมานาของทิลล์นั้นอ่อนโยนและใจดี
เจสันอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความตกใจ
“สัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ?!”
ด้วยอาวุธที่แข็งแกร่งและการร่วมมือกัน มนุษย์สามารถฆ่าสัตว์ร้ายในระดับที่สูงว่าตัวเองได้ และเมื่อได้เห็นอาวุธต่างๆของก็อบบลิน ก็ทำให้เจสันสงสัย
ถ้าพวกมันสามารถสร้างรูนที่สามารถป้องกันการโจมตีระยะไกลได้และเพิ่มความสามารถ ความแข็งแกร่งของอาวุธได้ ทำไมพวกมันถึงไม่สร้างขึ้นเยอะๆ หรือพวกมันกำลังรวบบรวมกองทัพเพื่อที่จะเข้ายึดครองไซโร และอย่างน้อยต้องมีก็อบบลินตัวหนึ่งที่มีความรู้ และมีความฉลาด
‘พวกมันวางแผนอะไรอยู่หรือกำลังรอบางสิ่งบางอย่าง ?’
เจสันครุ่นคิด
ในตอนนี้มีสิ่งเดียวที่ทำให้เจสันพอใจ คือแกนมานาของเขาที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้ หลังจากที่ต่อสู้กับก็อบบลินกลุ่มเล็กๆ อีก 2-3 กลุ่ม เจสันรู้สึกว่าแกนมานาของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างสมบูรณ์ และเมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน เจสันก็กลับเข้าไปในโดมและฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ขั้นสอง
และเจสันก็ส่งภาพของจี้ห้อยคอและอาวุธหินที่พวกก็อบบลินสลักอักษรรูนเอาไว้ และมั่นใจว่าทิลล์ต้องรู้อะไรบางอย่างและรู้เกี่ยวกับอักษรรูน จากสิ่งที่ทิลล์เคยวาดวงเวทย์ตอนที่เจสันฝึกเทคนิคแยกจิต
ถ้าทิลล์ไม่รู้เกี่ยวกับรูนพวกนี้ แสดงว่ามันต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น หลังจากฝึกเสร็จก็ยังไม่มีข้อความตอบกลับจากทิลล์ และเจสันก็ออไปล่าก็อบบลินอีกครั้ง
เมื่อเดินออกมาจากโดม เจสันเห็นทีมล่าสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ 2-3 ทีม ซึ่งมีเด็กบางคนที่แก่กว่าเขาเล็กน้อย กำลังเดินโซเซและช่วยหยุงกันเข้าไปในโดม
พวกเขาดูหวาดกลัวและกำลังหนีบางสิ่งบางอย่างและเจสันสงสัยว่ามันคืออะไร
ดวงตามานาของเจสันถูกกระตุ้นอยู่เสมอเมื่ออยู่นอกโดมและเมื่อมองมาที่พวกเด็กๆ ที่ได้รับบาดเจ็บ เจสันก็รู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติกับพวกเขา
‘นั่นมันพิษ เป็นฝีมือของพวกก็อบบลินงั้นหรอ ?’
เจสันถามตัวเองและเจสันรู้ว่าพิษนั้นไม่ได้ร้ายแรงมากพอที่จะฆ่าคนได้
และเจสันเองก็มีคาวมต้านทานพิษอยู่ จากสกอร์พิโอ เจสันได้เดินออกไปเพื่อหาต้นตอและเจสันก็ตัดสินใจที่จะไม่ใช้ธนูและจัดการก็อบบลินด้วยการบลิงค์เข้าสังหาร ซึ่งมันรวดเร็วกว่า
ยิ่งเจสันสังหารพวกก็อบบลินไปมากเท่าไหร่ เจสันก็ยิ่งรู้ถึงการเคลื่อนไหวของมันมากขึ้นเท่านั้น และหลังจากสังหารก็อบบลินกลุ่มใหญ่กลุ่มที่ 6 แล้ว ก็มีบางอย่างได้เปลี่ยนแปลงไป
เมื่อเวลาใกล้มืด เจสันได้สังเกตว่าก็อบบลินจำนวนมากใช่ท่อเป่าลูกดอกอาบยาพิษ เมื่อพวกมันสู้กับเจสัน แต่มันก็ทำอะไรเจสันไม่ได้ ดวงตาสีทองของเจสันสั่นไหวมากขึ้นและเมื่อพวกก็อบบลินมองเข้าไปทำให้พวกมันหวาดกลัวไปถึงกระดูกและไม่สามารถขยับได้ด้วยความหวาดกลัว
เจสันไม่ได้รับบาดเจ็บมากนั้น มีเพียงบาดแผลเล็กๆ จากลูกดอกพิษของพวกมัน แต่พิษน้ันก็ไร้ประโยชน์เมื่อใช้มันกับเจสัน และเมื่อจัดการพวกมันจนหมด ขณะที่เจสันกำลังเก็บซากของพวกก็อบบลิน เจสันก็ได้สัมผัสถึงมานาที่ด้านหลัง
เจสันได้รวบรวมพลังและใช้เทคนิคไร้น้ำหนักและบลิงค์หายไปจากพื้นที่ตรงนี้ เพียงครู่เดียวเจสันก็ได้ยินเสียงระเบิด ในจุดที่เจสันหนีออกมา เมื่อหันไปมอง เจสันเบิกดวงตากว้างด้วยความตกใจ
และลูกไฟอีกลูกกำลังพุ่งเข้ามาหาเจสันเจสันทำได้เพียงกระโดหลบและใช้จี้ห้อยคอที่เสริมพลังป้องกันที่ได้จากพวกก็อบบลิน เกาะขนาดใหญ่ได้ป้องกันเจสัน แต่ถึงอย่างมันมันก็มีลูกไฟอีก 5 ลูกที่พุ่งมา เกาะจากอักษรรูนไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด และแรงระเบิดทำให้เจสันกระเด็นออกไป 2 เมตร
เจสันกลิ้งไปที่พื้น และรีบกระโดดลุกขึ้นมา เมื่อสังเกตว่ามานาในจี้นั้นได้หมดลงไปแล้ว และมานาของเจสันในตอนนี้ก็ยังไม่พอที่จะสามารถใช้มันได้อีกครั้ง เจสันได้มองไปทางศัตรูและได้เห็นก็อบบลินจอมเวทย์ 10 ตัว
และมีก็อบบลินที่มีขนาดเท่ามนุษย์โตเต็มวัย มีกล้ามเนื้อและเขี้ยว
[นั่นมัน ฮ็อบกอบบลิน !!]
เจสันขมวดคิ้วด้วยความตึงเครียดและสแกนแกนมาของพวกและพบว่ามันยังไม่สมบูรณ์ แต่มันก็เป็นสัตว์ร้ายในระดับที่วิวัฒนาการแล้ว
แต่นั่นยังไม่พอ ด้านหลังของพวกฮ็อบก็อบบลิน ยังมีทหารก็อบบลินอีก 100 กว่าตัว เจสันคิดว่านี่มันไม่เรื่องปกติแล้ว และสถานการ์มันกำลังเลวร้ายมากขึ้น เจสันรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย และเวลาผ่านไปสักพักเจสันก็ได้สงบสติตัวเองลง
เจสันถอนหายใจและพูดกับตัวเองว่า
“สุดท้ายและก็อบบลินที่ดี คือก็อบบลินที่ตายแล้ว”
ในขณะที่เจสันกำลังคิดว่าตัวเองนั้นเป็นฮีโร่ และเจสันหยิบปืนมานาออกมา ดวงตาของเจสันเปลี่ยนไปกลายเป็นความเยือกเย็นและเจสันก็ปลดปล่อยจิตสังหารออกมา เจสันเปลี่ยนแม็กกาซีนเป็นกระสุนเวทย์มมนต์
เจสันยิงปืนใส่พวกก็อบบลินจอมเวทย์ที่อยู่ด้านหน้า
*ปังงงงง*
เสี่ยงดังกึกก้อง และรูนก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าก็อบบลินจอมเวทย์ กระสุนเวทย์มนต์ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แต่มันก็มีราคาที่แพงมากและมันสามารถทำลายรูนระดับ 1 ได้ แต่นั้นก็มากเกินพอที่จะทำลายรูนของพวกมันได้
ก่อนที่ก็อบบลินทั้งฝูงจะมีปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อได้ยินเสียลูกปืน รูนอีก 9 อันก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าก็อบบลินจอมเวมย์ และตัวหนึ่งที่เจสันได้ยิงใส่ มันก็ทรุดตัวลงด้วยความตาย
เจสันได้เปลี่ยนแม็กกาซีนเป็นกระสุนเจาะเกาะ พวกก็อบบลินและฮ็อบก็อบบลินได้ตกใจและเริ่มคลั่งในเวลาเดียวกัน ในขณะที่ฮ็อบก็อบบลินมีระดับที่สูงกว่าพวกก็อบบลินทั่วไป และก็อบบลินจอมเวทย์แล้วมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้รับความสำคัญจากเผ่าพันธุ์ของมัน เมื่อถูกฆ่าตายพวกมันจึงโกรธมาก
จากนั้นพวกมันเริ่มบุกโจมตีเจสัน โดยไม่ได้สนใจอาวุธปืนของเจสัน ฮ็อบก็อบบลินฉลาดกว่าก็อบบลินทั่วไปแต่ก็ไม่เท่ากับพวกก็อบบลินจอมเวทย์ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเจสันถึงฆ่าพวกมันก่อน
ฮ็อบก็อบบลิน 3 ตัว และก็อบบลินอีก 100 กว่าตัวได้พุ่งที่จะโจมตีเจสัน เจสันได้ยิ้มและยิงไปที่หน้าอกของฮ็อบก็อบบลินทั้ง 3 พวกมันได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดบริเวณหน้าอก ก่อนที่พวกมันล้มตัวลงไป
เจสันถอนหายใจเนื่องจากฮ็อบก็อบบลินได้ตายไปลง และหยิบบางสิ่งบางอย่างออกมา
‘ในที่สุดฉันก็ได้ใช้มัน !!’
เจสันยิ้มอย่างเจ้าเลห์และหยิบคริสตัลทรงกระบอกที่มีขนาดเท่ากำปั้นมืออกมา เจสันปล่อยมานาใส่ลงไป และโยนมันขึ้นไปบนฟ้า ก่อนที่เจสันจะหมอบลง
ขณะนี้เป็นเวลากลางคืน แต่ตอนนี้มันมีแสงจ้าสว่าง เมื่อเห็นดังนั้น เจสันดึงกริชออกมา และบลิงค์ไปหาพวก็อบบลินอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มที่เบ่งบานบนใบหน้า
รอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้น เมื่อพวก็อบบลินได้นองเลือดและตายไป และกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด คริสตัลที่เจสันโยนขึ้นไป มันจะระเบิดแสงออกมาทำให้พวกก็อบบลินตาบอดชั่วคราว
ตอนแรกเจสันไม่คิดว่าพวกก็อบบลินทั้งหมดจะมองไปที่มันและเจสันรู้สึกดีที่มันทุกตัวได้มองไป ทำให้เจสันสามารถสังหารพวกมันได้ง่าย เจสันจัดการก็อบบลินก่อนที่ระเบิดแสงจะหมดฤทธิ์
เจสันจัดการก็อบบลิน 100 กว่าตัว ภายในเวลาไม่กี่นาที และเจสันสงสัยว่าถ้ามีก็อบบลินตัวหนึ่งรอดไป มันจะไปบอกเกี่ยวกับความน่ากลัวของเขาให้ตก็อบบลินตัวอื่นๆ ได้รู้หรือไม่ เจสันเก็บซากของก็อบบลินและกำลังเดินกลับไปที่โดม
และเมื่อเดินเข้ามาในโดม ก็มีข้อความส่งมารัวๆ เพราะถ้าหากอยู่นอกโดมจะไร้สัญญาณ และข้อความก็ถูกส่งมาจากทิลล์มากมาย
[รีบกลับมาในทันทีที่เห็นข้อความเหล่านี้ !]
เจสันพักสูดหายใจ เนื่องจากการที่เขาต่อสู้กับก็อบบลินในระยะประชิดทำให้เจสันได้พลังงานไปมากและร่างกายเกิดความตึงเครียด และหากเจสันพลาดเพียงครั้งเดียวอาจจะทำให้ตายได้ และพวกก็อบบลินก็มีจำนวนที่มากกว่า
เจสันเก็บซากก็อบลินทั้งหมดและเก็บอาวุธและอุปกรณ์ของพวกมัน แล้วเมื่อตรวจดูเจสันก็พบว่าอาวุธของพวกมันส่วนใหญ่เป็นของพวกนักล่า และเจัสนก็ประหลาดเมื่อเห็นว่าสัญลักษณ์บนอาวุธนั้นคืออักษรรูนจริงๆ และเป็นแบบที่เจสันไม่เคยเห็นมาก่อนในหนังสือเตรียมสอบของรูนมาสเตอร์
รูนเหล่านี้เจสันไม่รู้จัก แต่เจสันก็สามารถเอาของพวกนี้ไปขายได้ราคาสูงทีเดียว อักษรรูนพวกนี้น่าจะเป็นอักษรสำหรับเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับอาวุธเช่น เพิ่มความทนทาน ความแหลมคม และอื่นๆ
และยิ่งไปกว่านั้นเจสันมั่นใจว่ารูนมาสเตอร์คนอื่นๆ ก็ไม่รู้จักรูนเหล่านี้ และบางทีการขายรูนเหล่านี้อาจจะขายได้ราคาดี นอกจากนี้เจสันก็อยากรู้ว่าทำไมพวกก็อบบลินเหล่านี้ถึงสามารถใช้สลักอักษรรูนเหล่านี้ลงในอาวุธได้
บางอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้หินมานาหรือแกนสัตว์ร้ายระดับสูงในการสลักอักษร หลังจากเก็บทุกอย่างแล้ว เจสันมั่นใจว่าเขาสามารถสร้างรายได้มากมายจากสิ่งของเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งภารกิจ หรือการเอาของพวกมันไปขาย
ปัญหาเล็กๆ มีเพียงอย่างเดียวคือเจสันหาลูกธนูบางลูกไม่เจอและบางลูกก็หักเมื่อเจาะเข้ากระดูกของก็อบบลิน เจสันมีลูกธนูเพียง 100 ลูก และไม่คิดว่าพวกมันจะหมดเร็วขนาดนี้
และการขวางมีดก็พอที่จะสกัดการเคลื่อนไหวได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถจัดการพวกมันได้และมีดบางส่วนที่ขวางออกไปก็ได้หายไปเช่นกัน และเจัสนไม่ต้องการที่จะเสียเวลาในการตามหาลูกธนูและมีดขวาง เจสันจึงเดินตามหาพวกก็อบบลินต่อไป
*
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เจสันก็ได้พบก็อบบลินกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่ง และเจสันก็สังเกตว่าเจสันไม่ได้พบกับสัตว์ตัวอื่นๆ เลย นอกจากก็อบบลินทำให้เจสันรู้สึกว่ามันเป็นสัญญาณที่ไม่ดี
สัตว์ร้ายอาจจะหลบซ่อนพวกก็อบบลิน หรือไม่พวกมันก็อาจถูกพวกก็อบบลินฆ่าไปแล้ว หรืออาจจะถูกจับเอาไปเป็นสัตว์เลี้ยง เมื่อเจสันได้นึกถึงนิทานที่มีก็อบบลินไรเดอร์ ที่ขี่สัตว์ร้ายและต่อสู้
แต่ข้อดีในสถานการณ์นี้คือ เจสันไม่ต้องระวังสัตว์ร้ายตัวอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้ความว่าเจสันจะลดการป้องกันตัวลง เมื่อมองดูก็อบบลินอีกกลุ่ม เจสันพบว่ากลุ่มนี้เล็กกว่ากลุ่มก่อนหน้า แต่ในกลุ่มนี้มีก็อบบลินจอมเวทย์อยู่ถึง 2 ตัว
เจสันหยิบลูกธนูออกมาและยิงไปที่ก็อบบลินจอมเวทย์ตัวหนึ่ง และเจสันก็ยิงลูกธนูออกไปอีก 2-3 ลูก ไปที่ตัวเดิมเพื่อฆ่ามันให้ตายอย่างสมบูรณ์ แต่เจสันสัมผัสได้ถึงมานาที่ผันผวนแปลกๆ รอบๆ ก็อบบลินจอมเวทย์
ก็อบบลินจอมเวทย์ทั้ง 2 ตัว มันอยู่ในขั้นพลังที่ตื่นขึ้นในระดับกลาง ลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยก่อขึ้นในใจของเจสัน ขณะที่ยิงธนูออกไปธนูนั้นแม่นยำและน่าจะเจาะกระโหลกของก็อบบลินได้ แต่ก่อนที่ลูกธนูจะเจาะเข้าไป รูนสว่างก็ปรากฏขึ้นและมันได้เบี่ยงลูกธนูของเจสันออกไป
ลูกธนูลูกแรกได้ถูกเบี่ยงออกไป และความผันผวนของมานาก็ลดลงในขณะที่ลูกที่สองได้ทำลายรูนที่พวกมันสร้างขึ้น และลูกที่สามก็พุ่งเข้าไปเจาะทะลุก็อบบลินจอมเวทย์
ลูกดอกลูกสุดท้ายที่โดนเป้าหมาย เนื่องจากเป็นเพราะรูนที่ทำให้ลูกธนูที่ 2 ลูกไม่สามารถโจมตีก็อบบลินได้ !!
และลูกศรลูกสุดได้ก็ไม่สามารถสังหารก็อบบลินได้ ทำได้เพียงแค่สร้างบาดแผลเท่านั้น มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและจอมเวทย์ก็อบลินอีกตัวก็ได้มองหาต้นตอของทิศทางลูกศร
ดูเหมือนว่ามันจฉลาดกว่าพวกก็อบบลินทั่วไป เจสันสามารถถูกพบแทบจะในทันที เมื่อมันพบเจสัน เจสันก็ตัดสินที่จะยิงธนูออกไปอีกลูกเพื่อฆ่าให้ได้สักตัวก่อน
มีก็อบบลินเกือบ 20 ตัวที่อยู่ห่างจากเจสัน 100 เมตร และเจสันก็ต้องสู้คนเดียว เนื่องจากอาร์เทมิสยังพัฒนาไม่เสร็จและสกอร์พิโอก็อ่อนแอเกินกว่าจะต่อสู้
เป้าหมายแรกของเจสันได้ตายลงไป และสิ่งที่เจสันกังวลคือก็อบบลินจอมเวทย์ที่ยังเหลืออยู่ เนื่องจากมันสามารถโจมตีโดยใช้เวทย์มนต์ใส่เจสันได้
เจสันได้ยิงธนูติดต่อกันในรวดเดียว เพราะต้องการที่จะสังหารก็อบบลินธนูทั้ง 4 ตัวที่อยู่ในกลุ่ม เมื่อเห็นมนุษย์ก็อบบลินจอมเวทย์ก็ได้ออกคำสั่งให้ที่เหลือโจมตีเจสัน
ความเร็วในการยิงธนูของเจสันเพิ่มขึ้น เนื่องจากรูนป้องกันที่ก็อบบลินจอมเวทย์สร้างขึ้น ทำให้เจสันไม่สามารถจัดการพวกมันได้ในทันที เมื่อเจสันถูกพวกมันเห็น การฆ่าพวกมันให้ไวที่สุดนั้นคือสิ่งจำเป็น เจสันได้เสริมมานาเข้าไปในลูกธนู ก่อนที่พวกมันจะเริ่มตอบโต้ เจสันก็ได้ฆ่าก็อบบลินธนูไปแล้ว
และก็มีลูกไฟพุ่งเข้ามาหาเจสัน เจสันได้ยิงธนูตอบกัลบแต่ลูกธนูมีความเร็วช้ากว่าลูกไฟ แต่เมื่อมันกระทบกันก็เกิดการระเบิดขึ้น เมื่อเกิดการระเบิดเจสันตัดสินใจที่จะเปลี่ยนจุดยืน แรงระเบิดไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับฝั่งไหนเลย
เจสันขวางมีดออกไปและพุ่งเข้าหาทหารก็อบบลินที่ เมื่อก็อบบลินจอมเวทย์จะยิงลูกไฟอีกลูกใส่เจสัน ก็พบว่าเจสันอยู่ท่ามกลางพรรคพวกของมัน มันจึงหยุดร่ายเวทย์
และเจสันได้ยิ้มขึ้นเพราะเจสันคิดไว้แล้วว่ามันจะไม่ฆ่าพรรคพวกของมัน และเมื่อเจสันเห็นมันหยุดร่ายเวทย์ก็เป็นไปตามที่สิ่งที่เขาคิด แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา เจสันก็ได้สังเกตว่าก็อบบลินจอมเวท์กำลังดูดซับมานารอบๆ ตัวของมัน และตอนนี้เจสันได้เห็นลูกไฟจากมือของมัน และมันมีขนาดใหญ่กว่า 2 เท่าจากลูกแรก
และมันก็ปล่อยลูกไฟลูกนั้นออกมา เจสันจึงใช้เทคนิคไร้น้ำหนักขั้นสูงสุดในทันที เพื่อที่จะหลบหนีออกจากบริเวณนั้น ลูกไฟพุ่งไปและเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง เจสันประหลาดใจมากที่ก็อบบลินจอมเวทย์สามารถสร้างลูกไฟที่รุนแรงขนาดนี้ได้ แต่มันก็ดูอ่อนแรงลงหลังจากที่ใช้
และรูนป้องกันที่มันวางไว้ก็ดูอ่อนแอลง ยังมีทหารก็อบบลินที่เหลือรอดจากแรงระเบิด เจสันจึงจัดการพวกมันที่เหลือ เจสันตัดสินใจผิดเมื่อเห็นว่ามันฆ่าพรรคพวกของตัวเองมากมายเพียงเพื่อที่จะฆ่ามนุษย์คนเดียว เจสันได้บลิงค์ไปหาก็อบบลินจอมเวทย์ที่เหลือเป็นตัวสุดท้ายย
ดูเหมือนรูนป้องกันจะสามารถทำอะไรบ้างอย่างได้ เพราะเจสันไม่คิดว่ามันจะสามารถป้องกันการโจมระยะไกลได้เพียงอย่างเดียว แต่อย่างไรก็จอมก็อบบลินจอมเวทย์ก็หมดพลัง และเจัสนก็ไม่กลัวการโต้กลับของมัน
เมื่ออยู่ห่างกับมัน 2 เมตร มันก็พยายามโจมตีเจสัน แต่ัมนก็ไม่มีประโยชน์เจสันได้ขวางมีดไปที่ข้อต่อของมัน ทำให้มันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ เจสันสังเกตเห็นสร้อยคอของมันสลักรูนป้องกันเอาไว้ และเจสันไม่เคยเห็นรูนรูปแบบนี้มาก่อน
อย่างไรก็ตามรูนนี้สามารถป้องกันได้แค่การโจมตีระยะไกล และเจสันก็จัดการพวกมันได้ และเอาของของพวกมันมาทั้งหมด การฉีดมานาเข้าไปในรูนที่กำลังจะหมดพลัง มันเริ่มส่องแสงขึ้นและมานาของเจสันก็ถูกใช้จนหมด
เจสันคิดว่าการที่ก็อบบลินสามารถสลักอักษรรูนประเภทต่างๆ ได้ นั้นแสดงว่าก็อบบลินรูนมาสเตอร์นั้นต้องมีความรู้อย่างมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นระดับต่ำก็ตาม
เช้าวันเสาร์ เจสันตื่นขึ้นมาอย่างตื่นเต้น และวันนี้เจสันเข้าสู่ป่านอกเมืองไซโรเพื่อทดสอบความแกร่งและทักษะการล่า และพิจารณาว่าสัตว์ส่วนใหญ่ที่อยู่ในป่าส่วนมากจะเป็นสัตว์วิเศษและมีพลังความแข็งแกร่งในระดับสูง
แต่เจสันก็ไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับพวกมัน สิ่งเดียวที่เจสันกังวลคือก็อบบลินที่บุกรุกเขตป่าและกลุ่มของพวกมันมาขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
บนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้เผยแพร่ถึงการรวบรวมก็อบบลินจอมเวทย์ และมันเริ่มที่พยายพันธุ์เพื่อจะโจมตีเมืองไซโร ในขณะที่คนอื่นๆ กล่าวว่า ราชาก็อบบลินกำลังจะสร้างอาณาจักรของมันในบริเวณใกล้ๆ
แต่มันยังเป็นเพียงแค่ข่าวลือ แต่เมื่อพิจารณาถึงการรวมตัวของพวกมัน ข่าวลืมอาจจะกลายเป็นจริงก็เป็นได้
ข่าวลือนี้น่ากลัว เพราะไม่เพียงแต่ความสามารถในการต่อสู้ขั้นสูงของพวกก็อบบลินระดับสูง และราชาก็อบบลินถือได้ว่าเฉลี่ยวฉลาดและแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ก็อบบลิน และพวกมันอาาจะวางแผนบางอย่าง
ก็อบบลินเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัว ถึงแม้พวกพวกก็อบลลินระดับล่างๆจะไม่มีความแข็งแกร่ง แต่พวกมันก็มีความสามารถในการขยายพันธุ์ได้เร็วกว่าพวกกระต่ายเสียอีก
ถ้าก็อบบลินตัวผู้เหลือรอด เผ่าพันธุ์ทั้งเผ่าของมันจะสามารถเติมโตได้อีกครั้ง มนุษยชาติพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำลายล้างพวกมัน แต่ก็ไม่สามารถกวาดล้างได้หมดและพวกมันก็เริ่มที่จะต่อต้านมนุษย์มากขึ้น
เจสันพบปัญหาในภารกิจมากมายในกระดานภารกิจของโรงเรียนซึ่งเชื่อมโยงกับสมาคมนักล่าและรัฐบาล เนื่องจากเขาออกภารกิจส่วนใหญ่ให้กับทางโรงเรียน
โรงเรียนใหญ่ 3 แห่ง จะยอมรับภารกิจเหล่านี้และให้รางวัลเป็นคะแนนเลซซึ่งมีค่าสำหรับเด็กนักเรียน ด้วยการแลกเปลี่ยนนี้โรงเรียนจะยังคงมีกำไร และรางวัลของภารกิจในการจัดการก็อบบลินนั้นสูงมาก ทำให้เจสันสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
เพื่อค้นดูรายละเอียด เจสันก็พบว่าการจัดการทหารก็อบบลิน 40 ตัว จะให้คะแนนเลช 1 คะแนน และจัดการก็อบบลินจอมเวทย์ 5 ตัว ก็จะได้รับคะแนนเลช 1 คะแนน
เป็นเรื่องยากที่จะได้พบกับก็อบบลินชั้นสูงหรือก็อบบลินกลายพันธุ์ที่ได้ปลุกพลังขึ้น และยิ่งหายากกว่านั้นคือฮอบก็อบบลินที่ได้รับการวิวัฒนาการ
การล่าก็อบบลินประเภทนี้ 1 ตัว จะได้รับคะแนนเลช 1-5 คะแนน ซึ่งเทียบเท่ากับเงิน 20,000 – 100,000 เครดิต เมื่อพิจารณาจากราคาทั่วไปของสัตว์ที่
โดยปกติแล้วก็อบบลินไม่ได้มีค่าอะไรมากและราคาปกติของก็อบบลินจะอยู่ที่ 100 เครดิต ในขณะที่อาวุธและอุปกรณของพวกมันนั้นมีค่ามากกว่าซากของมัน
เจสันได้รับภารกิจนั้นมาทำ และเมื่อเวลา ตี 5 เจสันได้เรียกรถรับส่งและหลังจากที่ออกกำลังกายและอาบน้ำเสร็จ ภายในรถรับส่ง เจสันก็ได้ฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ขั้น 2 อย่างปกติ เจสันได้คำนวณว่าการเพิ่มพลังวิญญาณของเขานั้นอยู่ที่ 25% ในแต่ละวัน
เมื่อรถรับส่งมาถึงหน้าโดม เจสันได้ลงจากรถและเดินออกไปนอกโดม เจสันจำช่วงเวลาที่เขาอ้วกออกมาเมื่อตอนที่ล่าสัตว์ครั้งแรก แต่หลังจากฆ่าสัตว์ร้ายมามากมายและได้เรียนรู้และฝึกฝนทักษะต่างๆ ทำให้เจสันสามารถที่จะจัดการกับพวกมันได้ด้วยการใช้กุลยุทธิ์และอาวุธต่างๆ
ถึงแม้ความสามารถในปัจจุบันของเจสันจะไม่สามารถจัดการสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นในระดับกลางได้ แต่เจสันก็สามารถวางและหาวิธีที่จะสามารถเอาชนะได้
เจสันได้ตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องใช้แล้ว และก็เดินออกไปจากโดม ภายนอกโดมที่มีมานาที่หนาแน่นทำให้เจสันต้องค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับความหนาแน่นของมานาภายนอก
และเจสันคิดว่าหากขเามีเงินมากพอ เขาจะสร้างแท่นรวบรวมมานาไว้ที่บ้านของพวกเฟลเลอร์ เมื่อเดินผ่านป่าระดับสองดาวในเขตนอกเมือง เจสันใช้เวลาไม่นานก็ได้พบกว่ากลุ่มก็อบบลิน ด้วยความประหลาดใจ เพราะเมื่อครั้งก่อนที่เจสันมาพวกมันส่วนมากอยู่กลุ่มละ 5-6 ตัว
แต่ดูเหมือนว่ากลุ่มนี้จะมีก็อบบลินถึง 30 ตัว และอาวุธของพวกมันก็ดูดีขึ้นกว่าครั้งก่อน แต่ดูเหมือนว่ามัจะมาจากนักล่าคนอื่นๆ ที่พลาดท่าให้กับพวกมัน ถึงแม้บางตัวจะยังใช้อาวุธหินที่เก่าแต่มันก็มีความแหลมคมกว่าครั้งก่อน
‘พวกก็อบบลินมีรูนมาสเตอร์ หรือ ช่างตีเหล็กเหมือนมนุษย์รึเปล่านะ’
เตสันถามกับตัวเอง
แม้ว่าอาวุธส่วนใหญ่จะดูค่อนข้างไม่สมบูรณ์ แต่มันยังมีการลงอักษรรูนด้วยสีแปลกๆ
‘ทำไมพวกชนชั้นสูงถึงไม่ทำอะไรกับพวกก็อบบลินพวกนี้ หากพวกมันเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เมืองไซโรอาจจะไม่สามารถต้านทานกองกำลังของพวกมันไหว’
โชคดีที่เจสันอยู่ห่างจากพวกมันมากกว่า 50 เมตร เจสันได้เฝ้ามองพวกมันและในกลุ่มของมันก็มีก็อบบลินธนูไม่กี่ตัว แต่ตอนนี้กลุ่มนี้กลับไม่มีก็อบบลินจอมเวทย์
ความสามารถในการยิงธนูของเจสันเพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนที่ผ่านมา และเจสันก็สามารถโจมตีสัตว์ร้ายระดับวิวัฒนาการระดับต่ำได้ แม้ว่าจะต้องใช้พลังอย่างมากในการจัดการ
แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเจสันอยู่ในระดับผู้ชำนาญแล้ว เจสันจึงมั่นใจที่จะเอาชนะพวกก็อบบลินที่อยู่ตรงหน้าได้ เจสันหยิบธนูออกมาและยิงไปที่พวกก็อบบลินตรงหน้า
แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเจสันเพิ่มขึ้นเป็นระดับนักเวทย์แล้ว เขาจึงมั่นใจที่จะเอาชนะพวกทหารก็อบลินที่อยู่ตรงหน้าเขาได้
เขาหยิบธนูออกมาแล้วเคาะลูกศรแรกที่สายธนูก่อนจะดึงกลับโดยเล็งไปที่ก็อบลินที่อยู่ห่างออกไป 100 เมตรจากเขา
ฟุ๊บ……ฟุ๊บ…..ฟุ๊บบบ
ลูกศร 3 ลูกพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วและเพื่อไม่ให้เสียเวลาเจสันก็ได้ยิงธนูลูกต่อไป ลูกศรลูกแรกเจาะเข้าไปที่หัวของพวกมัน
ลูกศรสามลูกพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว และเจสันก็ประหลาดใจกับลำดับที่แม่นยำและราบรื่นซึ่งเขาทำให้สมบูรณ์แบบในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา
เพื่อไม่ให้เสียเวลา เขาปักลูกศรต่อไปเพื่อยิงต่อไปอย่างรวดเร็วและลูกที่ 2 – 3 ได้เจาะทะลุหัวใจและท้องของก็อบบลินธนู
ก่อนที่พวกก็อบบลินจะรับรู้ถึงความเสียหายที่ได้รับ ลูกศรอีกลูกก็ได้ฆ่าพวกของมันไป 2-3 ตัว ก็อบบลินทหาร 2-3 ตายลง ในขณะที่ก็อบบลินธนูได้ตายหมด ก็อบบลินที่เหลือไม่สามารถหาต้นตอของลูกธนูได้ พวกมันต้องใช้เวลาสักพักในการค้นหาตัวของเจสัน เมื่อพวกมันพบ พวกมันได้คำรามออกมาและมันได้พุ่งเข้าใส่เจสัน
เจสันได้เก็บธนูและตอนนี้เจสันรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากการเสียเปรียบจากจำนวน ในขณะที่เจสันได้ขว้างมีดออกไปเพื่อสกัดการเคลื่อนไหวของพวกมัน
ยังเหลือก็อบบลินที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บอีก 10 ตัว เมื่อพวกมันเข้าใกล้เจสันในระยะ 5 เมตร เจสันก็หยิบกิช 2 เล่ม ออกมาและใช้เทคนิคผสมผสานระหว่างเทคนิคไร้น้ำหนักและวีโพนรี่ไนท์ เจสันบิลงค์ไปที่หน้าของก็อบบลินตัวหนึ่ง ทำให้พวกมันตกตะลึงเป็นอย่างมาก
พวกมันจะแทงหอกใส่เจสัน เแต่เจสันอยู่ใกล้เกินกว่าที่พวกมันจะใช้หอกได้ เจสันแทบไม่ต้องออกแรงมากในการฟันไปที่คอของมัน เมื่อฟันคอมันเสร็จเจสันได้บลิงค์ไปอยู่่กับก็อบบลินอีกตัว ทำให้พวกมันหวาดกลัว เ
เจสันสามารถจัดการพวกมันได้ด้วยท่าทางที่สง่างามในขณะที่ดวงตาสีทองของเขาเปล่งประกายไปด้วยชีวิตชีวา
แอนทาเรียกำลังยืนนิ่งอยู่บนเวที และมองไปที่ประตูที่กำลังจะปิดลง
‘ในที่สุดฉันก็ได้เจอ ในที่สุดฉันจะได้กลายเป็นอาจารย์ของอัจฉริยะ’
แอนทาเรียคิดกับตัวเองในขณะที่มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า และทำให้ชายทั้งสองบนเวทีตกใจ
ทั้งช่างตีเหล็กและรูนมาสเตอร์จ่างก็เป็นช่างฝีมือระดับ 3 ในขณะที่แอนทาเรียมีอายุที่น้อยกว่าแต่มีพรสวรรค์ในการเล่นแร่แปรธาตุ และยังอยู่ในระดับ 4 และมีการกล่าวกันว่าเธอจะไปถึงระดับ 5 ในอีกไม่กี่ 10 ปี ขณะที่แอนทาเรียกำลังนึกถึงเจสันที่กำลังกลับบ้าน
เจสันที่สอบเสร็จหมดแล้วจึงไม่มีอะไรที่ต้องทำ
ทันใดนั้นเจสันก็รู้สึกว่าแกนมานาของตัวเองกำลังสั่นอย่างรุนแรกและมันกำลังแยกตัวเพื่อพัฒนา มันรู้สึกอึดอัดและเจ็บปวดเล็กน้อย เนื่องจากการระเบิดของมานาที่อยู่ภายในแกน ตอนนี้เจสันยังพอมีหินมานาเหลืออยู่เพื่อการนี้ และเจัสนต้องหาที่สงบๆ ที่มีกระแสมานาเพื่อดูดซับ
ความเจ็บปวดได้เพิ่มากขึ้น อย่างไรก็ตามมันยังพอทนได้และเจสันก็ได้พบสถานที่ที่เหมาะสม
เจสันอยู่ที่เขตชานเมืองของป่าที่เจสันเข้ามาในวันแรกของการเข้าเรียน และเจสันจำได้ว่าทิลล์ได้เคยบอกไว้ว่าสถานที่นี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ใครเข้าไป
เจสันไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเขตหวงห้าม แต่เจสันก็ไม่สนใจอะไร เพราะถึงไม่เข้าไปมานาไหลออกมาจากจากป่านั้นก็เพียงพอที่จะให้เจสันสามารถดูดซับมานาได้ โดยไม่ต้องเข้าไป
การพัฒนาไปสู่อีกขั้นอาจจะใช้เวลา 2-3ชั่วโมง แม้จะใช้หินมานาในการช่วย ขณะที่เจสันหยิบหินมานาออกมาวางใกล้ๆ เจสันผ่อนคลายร่างกายและคลายแกนมานา และเริ่มดูดซับมานารอบๆตัว และจากหินมานาระดับ 1 เจสันได้ดูดซับเข้าสู่ร่างกาย ทำให้แกนมานาของเจสันเหมือนจะแตกออกและเวลาไม่นานแกนมานาของเจสันเริ่มแตกออกเล็กน้อย ก่อนที่มันจะแตกสลายไปจนหมด
อย่างไรก็ตาม่อนที่มันจะแตกออก ภายในแกนนั้นว่างเปล่าและมันเริ่มสร้างตัวใหม่ในขนาดที่ใหญ่ขึ้น เจสันถูกห่อหุ้มด้วยมานาอย่างสมบูรณ์ในขณะที่ร่างกายส่องแสงเล็กน้อย ทำให้มันดูลึกลับมากขึ้น เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เจสันเหงือออกท่วมตัวเนื่องจากการจดจ่อและการใช้สมาธิอย่างมหาศาล
มันไม่ยากที่จะดูดซับมานาเพื่อเติมเต็มแกนมานาในตอนนี้ แต่มันก็ไม่ง่ายที่จะเติมเต็มอย่างสมบูรณ์ เวลาผ่านไปกว่า 4 ชั่วโมง และเจสันลืมตาขึ้นและมันก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ดวงตาที่เปล่งประกายที่เหมือนมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ภายใน มันได้ปรากฏความมืดที่ลึกดิ่งลงไป ความลึกนี้ปรากฏไม่กี่วินาทีก่อนที่มันจะหายไป
และร่างกายของเจสันตอนนี้ก็เต็มไปด้วยคราบเลือดและสิ่งสกปรกที่มีกลิ่นเหม็น และมีบางสิ่งหอหุ้มผิวหนัง
เมื่อเจสันแกะสิ่งที่ห่อหุ้มอยู่ออก ก็พบว่าผิวหนังภายในของเจสันมันมีความหยืดหยุ่นและทนทานมากขึ้นเหมือนกับการลอกคราบ เจสันสามารถมองเห็นเส้นมานาที่เชื่อมกับเส้นเลือดของเขา โดยไม่ต้องใช้ดวงตามานาในการมอง
เจสันได้เปิดดวงตามานาและเปิดประสาทสัมผัสในเวลาเดียวกัน เจสันได้ตรวจสอบระดับแกนมานาของตัวองอย่างละเอียด และพบวา่แกนมานามีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย และเจสันรู้สึกได้ว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก และตอนนี้เจสันได้อยู่ในระดับ 1 ของผู้ชาญ
เจสันมีความสุขมาๆ และตอนนี้และมีความภูมิใจในตัวเองอย่างมาก เจสันได้เปลี่ยนเสื้อผ้าในพุ่มไม้ก่อนที่วิ่งออกไปด้วยรอยยิ้มที่แจ่มใส ทันใดนั้นหญิงสาวผมแดงที่มีหน้าแกอันเย้ายวน เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล และเด็กหญิงผมสีฟ้าก็เดินออกมาจากป่าและพวกเขาก็มีบางอย่างที่เหมือนกัน
ทั้ง 3 คนกำลังมองเจสันด้วยความคุ้นเคยด้วยแก้มที่แดง หญิงสาวผมแดงกระแอมในลำคอก่อน
“เราเคยเห็นเขามาก่อนใช่ไหม คนที่อยู่ในทะเลสาบ”
เธอพูดขึ้นเมื่อจดจำเด็กชายที่เปลือยเปล่าในทะเลสาบกลางป่า และแก้มของทุกคนยิ่งแดงขึ้น
“ชะ ใช่”
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลพูดอย่างเขินอาย ในขณะที่เขาสามารถพูดเรื่องแบบนี้ได้กับเพื่อนสองคนนี้เท่านั้น
แม้ว่าเด็กหญิงผมฟ้าจะไร้เดียงสาแต่เธอก็จดจำท่อนล่างของเจสันได้ทำให้เธอมีแก้มที่แดงขึ้น
“แต่ก่อนเด็กคนนั้นอยู่ระดับมือใหม่ ไม่ใช่หรอ แค่เดือนกว่าเองนะ ทำไมถึงได้พัฒนาไปผู้ชำนาญได้รวดเร็วขนาดนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเพื่อนทั้ง 2 ของเธอก็ตกใจเพราะไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น ทำให้ในหัวของเขาที่กำลังนึกถึงเด็กชายที่เปลือยกายได้หายไป และทั้งหมดก็สงสัยว่าเจสันสามารถทำอย่างนั้นได้อย่างไร เพราะพวกเขาไม่สามารถทำได้และคนอื่นๆ ก็เช่นกัน
ทั้ง 3 คนอยู่ในระดับชั่น ม.3 แต่ก็อยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญขั้นสูง แต่เมื่อพิจารณาการเพิ่มระดับของเจสัน สิ่งที่เขาได้เป็นอยู่นั้นไม่ได้ดูน่าภาคภูมิใจเลย
เจสันไม่รู้ว่าเด็กทั้ง 3 คนนี้จะได้เห็นตอนเจสันเปลือยถึง 2 รอบ ในขณะเดียวกันเจสันวิ่งไปที่ประตูโรงเรียนด้วยความเร็วอย่างมาก และเจสันได้สงสัยว่าอนาคตของเขากับเกร็กจะเป็นอย่างไร
เจสันสังเกตว่าตัวเองนั้นไม่ค่อยมีเงิน แม้เขาจะใช้มันหมดไปกับสัตว์พันธะ และหลังจากอาร์เทมิสพัฒนาเสร็จ มันก็ต้องการอาหารมากขึ้นและเจสันต้องเสียงานมากขึ้น แต่เจสันยังมีแกนสัตว์ป่าเหลืออยู่ 2-3 พันชิ้น และเจสันจะให้มันกินไปก่อน เมื่อนึกถึงเครดิต เจสันก็นึกถึงสมบัติวิเศษที่ปล่อยออร่าสีเทาอ่อนออกมา
เจสันรู้เพียงว่ามันคือดอกกาลักน้ำแต่ก็ไม่แน่ใจ เนื่องจากดอกไม้ชนิดนี้ไม่มีในหนังสือที่เจสันอ่านมาทั้งหมด และเจสันก็ไม่รู้วาทิลล์นั้นโดนต่อว่าที่เจสันเอาดอกกาลักน้ำไปในตอนแรก
ถึงแม้ว่าทิลล์จะมาจากครอบครัวที่สูงส่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถทำอะไรในสิ่งที่เขาต้องการได้และทิลล์ต้องจ่ายเงินคืนให้กับทางโรงเรียนตอนที่เจสันเก็บดอกกาลักน้ำวิเศษไป
เจสันไม่รู้ว่า ดอกกาลักน้ำวิเศษเป็นสมบัติมหัศจรรย์ที่ผู้สร้างสัตว์ร้ายได้ใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพ การรักษา ให้แก่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ บางสิ่งที่สามารถเพิ่มศักยภาพของสัตว์ร้ายได้นั้น หายากมากๆ แต่สมับติที่ช่วยเพิ่มศักยภาพของคุณสมบัติที่หาได้ยาก เช่น พืชที่มีชีวิตความคิดและความรู้สึก การรักษา
กล่าวกันว่าดอกกาลักน้ำวิเศษนั้นสามารถให้เพิ่มความรู้สึกของพืชที่มีเพียงครึ่งเดียว ทำให้พืชนั้นมีความรู้สึกอย่างเต็มสมบูรณ์ และสามารถปรับแต่งแกนมานาที่ไม่สมบูรณ์ให้มีสภาพที่สมบูรณ์และเพิ่มความสามารถในการดูดซับมานาได้ และเรื่องนี้ไม่มีใครรู้ยกเว้นตัวผู้สร้าง
และถ้าทิลล์รู้เรื่องนี้ เขาคงไม่อยากให้เจสันเอามันไป และท้ายที่สุดถ้าทิลล์รู้ ก็คงทำอะไรไม่ได้เพราะสกอร์พิโอนั้นได้กินดอกไม้วิเศษนี้ไปแล้วตอนที่เจสันได้ฝึกเทคนิคแยกจิต
“สอบผ่านทั้ง 3 อาชีพ ด้วยคะแนนเต็ม 100% งั้นหรอ”
แอนทาเรียมองดูเด็กหนุ่มด้วยร้อยยิ้มที่เยาะเย้ย
“การสอบผ่านหนึ่งอาชีพด้วยคะแนน 100% นั้นท้าทายอย่างยิ่งสำหรับเด็กนักเรียนทุกคนและมันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเราที่จะได้เด็กฝึกหัดที่มีความสามารถขนาดนั้น แต่ถ้าสามารถสอบผ่านทั้งหมดโดยไม่มีการผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ฮ่าๆ การที่จะทำข้อสอบเพียงอาชีพเดียวก็ยากพออยู่แล้ว อย่ามั่นใจในตัวเองขนาดที่จะสามารถทำข้อสอบทั้ง 3 ด้วยคะแนนที่เต็ม 100% เลย”
แอนทาเรีย พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง และเห็นได้ชัดว่าเธอไม่พอใจเจสัน
“แล้วถ้าผมทำได้ละ”
เจสันพูดออกมาอย่างมั่นใจและเด็ดเดี่ยว
เซรอนมองเจสันด้วยความตกตะลึง
เจสันดูมั่นใจมากจากภายนอก แต่ไม่มีใครรู้ว่าภายในของเจสันคิดอย่างไร และถ้าพวกเขารู้ว่าเจสันมีความมั่นใจจากภายเท่ากับภายนอกที่แสดงออกมา ทุกคนจะเข้าใจเจสันมีจิตที่ไม่ปกติ ในตอนนี้แม้แต่ทิลล์เองก็มองเจสันเป็นคนงี่เง่าคนหนึ่ง
ในขณะที่เจสันไม่สนใจใครของจ้องเขม็นไปที่แอนทาเรีย เธอได้มองเห็นความทะเยอทะยาน ความมุ่งมั่น และความมั่นใจในสายตาของเจสันทำให้ความโกรธเคืองของเธอหายไปเพราะเห็นได้ชัดว่าเจสันเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้
“เอาละถ้าอย่างนั้น หากเธอสามารถสอบผ่านทั้ง 3 อาชีพด้วยคะแนนเต็ม 100% ได้ ฉันจะมอบหนังสือแห่งประสบการณ์ให้กับเธอ ภายในหนังสือเล่มนี้มีสูตรทั้งหมดเกี่ยวกับการปรุงยา จากประสบการณ์ที่ฉันได้ค้นพบมาทั้งชีวิตของฉัน รวมถึงประสบการณ์ในการทำเบียร์ของฉันด้วย ฮ่าๆ “
เจสันตั้งใจฟังแต่ก็ไม่แน่ใจว่าหนังสือประสบการณ์ที่เธอได้กล่าวถึงนั้นเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตามทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุดต่างตกตะลึงและได้ซุบซิบกัน
เจสันก็ไม่รู้ว่าสูตรปรุงยาต่างๆ นั้นมีราคาแพงมาก และเจสันจะได้รู้ว่ารางวัลที่เธอจะมอบให้นั้นมีมูลค่ากว่า 2-3 พันล้านเครดิต
มีช่างฝีมือไม่มากที่จะขายประสบการณืที่ตัวเองสั่งสมมา และถึงมีมันก็มีราคาที่แพงมาก และราคาก็จะยิ่งสูงขึ้นในการประมูล การได้รับประสบการณ์โดยตรงจากช่างฝีมือระดับสูง เป็นสิ่งที่มีค่าเป็นอย่างมาก เนื่องจากการทดลองเองนั้นมีอันตรายหากเกิดความผิดพลาด
เจสันรู้แค่ว่า น้ำยาที่ทำให้เป็นอัมพาตนั้นไม่ได้มีราคาที่แพงมากเป็นเพราะวัสดุในการทำ แต่เนื่องจากราคาขายนั้นจะสร้างกำไรได้มากกว่าต้นทุนถึง 20 เท่า น้ำยารีเอเจนต์เหล่านี้มีราคาแพงเนื่องจากมีราคาสูงในเรื่องของการปรุงและโอกาสที่จะผิดพลาดในการปรุงยา และวัสดุที่หาได้ยาก
แอนทาเรียมองเจสันด้วยใบหน้าที่ภาคภูมิใจ แต่เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยเนื่องจากเห็นว่าเจสันไม่ได้มีความพอใจกับรางวัลที่เธอเสนอให้มากนัก เพราะเธอไม่รู้ว่า เจสันนั้นไม่รู้ว่ามูลค่าของหนังสือประสบการณ์ขั้น 4 นั้นมีค่ามากมาย เธอคิดว่าเจสันอาจจะเยาะย้ยเธอทำให้เธอโกรธจัด
ทำให้เธอพูดในสิ่งที่เจสันไม่ได้คิดจะร้องขอ ในขณะที่เจสันกำลัง งงกับหนังสือแห่งประสบการณ์ว่าคืออะไร
“นอกจากนี้ ฉันจะให้โอกาสเธอในการในการพบเจอช่างและขอในสิ่งที่เธอต้องการ ในหอคอยช่างฝีมือ ที่อยู่ในเมืองไซโร”
เมื่อเธอสังเกตในสิ่งที่เธอพูด มันก็สายเกินไปที่จะกลับคำ ทำให้เธอพูดเสริม
“แต่สิ่งนี้จะอยู่ภายใตเงื่อนไขว่าเธอจะต้องสอบทั้ง 3 อาชีพในคะแนน 100% เท่านั้น”
เมื่อแอนเทาเรียได้พูดสิ่งนี้ ความอยากรู้ของเจสันก็ผุดเข้ามา
‘การขอในสิ่งที่ต้องการภายในหอคอยช่างฝีมือ อาจจะหมายถึงทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแท่นรวบรวมมานาที่บ้านหรือการสร้างอาวุธมานาหรือแม้แต่อาวุธวิญญาณ หรือแม้แต่ยาสูตรลับที่หาได้ยาก จากช่างฝีมือระดับสูง !!’
เจสันรู้ว่าที่หอคอยช่างฝีมือในเมืองไซโร มีช่างตีเหล็กระดับ 5 ซึ่งกล่าวกันว่ากำลังจะเข้าสู่ระดับที่ 6 ด้วยเหตุนี้เขาจะสามารถสร้างอาวุธระดับ 3 หรืออาวุธมานาหรือวิญญาณได้
สิ่งที่แอนทาเรียได้พูดออกไป มันอาจจะทำให้เจสันขอบางอย่างจากช่างตีเหล็กระดับ 5 ได้ หรือที่แย่กว่านั้นคือการขอเป็นลูกศิษย์ และแอนทาเรียได้เพียงแต่ตบตัวเองเพราะความโง่ที่พูดออกไป
แต่สิ่งที่พูดไปนั้นจะทำลายชื่อเสียงของหอคอยช่างฝีมือถ้าเธอกลับคำพูด ในขณะที่เธอได้เป็นตัวแทนของหอคอยช่างฝีมือ
‘อั้ยยยยยยย ฉันนี้มันโง่จริงๆ ‘
เธอคิดและเจสันยิ้มออกมาเบาๆ ขณะที่กำลังถามกับตัวเองว่าเขาจะขออะไรในหอคอยช่างฝีมือ แต่อย่างไรก็ตามมันยากมากที่จะสามารถทำข้อสอบให้เต็ม 100% ได้ แม้ว่าจะทำเพียง 2 อาชีพก็อยากมากแล้ว และเจสันก็อยากถามในสิ่งนี้ จนกระทั่งทุกคนได้เงียบลงไปอีกครั้ง และแอนทาเรียก็พยายามที่จะไม่สนใจเจสันอีก
เธอหันไปและแตะหน้าจอโฮโลแกรม ในขณะที่หน้าจอโฮโลแกรมปรากฏขึ้นและมันแสดงถึงตารางข้อมูลของผู้เข้าสอบ หลังจากล็อกอินเข้าระบบ การสอบก็จะเริ่มขึ้นทันทีโดยไม่เสียเวลา
เจสันป้อนข้อมูลของตัวเองตอนจะไปดูไฟล์แรกเกี่ยวกับการจารึกและอักษรรูน ผ่านไปไม่กี่นาที แอนทาเรียได้มองดูแถวของนักเรียนและเธอได้เห็นสีหน้าของเด็กๆ ที่กำลังสิ้นหวังบางคน
ในความคิดของเธอ คำถามนั้นไม่ได้ยากขนาดนั้น มีเพียงบางข้อเท่านั้นที่ยากมาก รวมถึงคำถามเชิงลึกในบางข้อ การเรียนรู้สำหรับการสอบพื้นฐานนี้จะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน แต่เมื่อพิจารณาระยะเวลาใน 1 สัปดาห์ เธอหวังว่าจะได้เห็นต้นกล้าต้นใหม่ที่กำลังจะเติบโต
ในบรรดาเด็กนักเรียนที่กำลังขมวดคิ้วด้วยความเครียด เธอได้เห็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้หัวใจของเธอแทบจะปลื้มปิติและอยากจะหัวเราะออกมา เจสันเด็กหนุ่มผมดำกำลังขมวดคิ้วอยู่ ทำให้เธอแทบอยากจะหัวเราะออกมา
แต่เมื่อสังเกตเจสันด้วยมานาในการขยายการมองเห็น เธอสังเกตเห็นว่าเจสันไม่ได้มีเหงืออกจากการวิตกหรือแสดงอาการที่เคร่งเครียดออกมาแม้แต่น้อย ทำให้เธอเกิดความสงสัย
เมื่อได้เห็นเจสันที่กำลังเขียนคำตอบอย่างสม่ำเสมอ เธอคิดว่าเจสันกำลังเดาคำตอบเรื่อยเปื่อย
การเขียนคำตอบของเจสันเร็วเกินไปที่เด็กนักเรียนที่มีเวลาในการอ่านเพียง 1 สัปดาห์จะสามารถจดจำทุกอย่างได้ และเธอก็หมดความสนใจในตัวเจสันจนระยะเวลาผ่านไปสักครู่
อาจจะกล่าวได้ว่าแอนทาเรียผิดหวัง เพราะเธอหวังที่จะพบเพชรที่ซ่อนในโคลนตม แต่เมื่อพิจารณาเธอถูกบังคับให้มาทำหน้าที่วิทยากรให้กับโรงเรียนในเครือที่อ่อนแอที่สุด เธอก้ไม่เต็มใจตั้งแต่แรกแล้วแต่เจสันก็ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยจากความทะเยอทะยานของเขา
เธอจะไม่รู้สึกเสียดาย หากจะต้องมอบหนังสือแห่งประสบการณ์ให้กับเจสัน นอกจากนี้การส่งไฟล์ดังกล่าวไปยังอัจฉริยะท่สามารถทำคะแนนเต็มจากการทำข้อสอบทั้งสามได้ ภายในระยะเวลาในการอ่านเพียง 1 สัปดาห์ มันเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามากสำหรับเธอที่จะมอบหนังสือให้
หากความเชี่ยวชาญของเจสันนั้นดีมากและยังสามารถผ่านการทดสอบความถนัดในการเล่นแร่แปรธาตุได้ เธอจะขอให้เจสันเป็นศิษย์ของเธอในทันที และด้วยวิธีเธอจะกลายเป็นอาขารย์ของอัจฉริยะและมีชื่อเสียง
เธอนั้นใฝ่ฝันมานานหลายปี เช่นเดียวกับช่างฝีมือคนอื่นๆ ที่จะได้ลูกศิษย์ที่เป็นอัจริยะและสามารถสานต่อความสามารถและความรู้ได้ ถ้ามันเกิดขึ้นเหล่าช่างฝีมือต่างๆ จะหลอกล่อเด็กอัจฉริยะด้วยการให้สิ่งต่างๆ เพื่อดึงมาเป็นลูกศิษย์ของตน
แอนทาเรียได้เคยเห็นกรณีแบบเจสันแต่เธอก็ผิดหวังเสมอเวลาได้ผ่านไปหลายชั่วโมง และนั่งเรียนส่วนใหญ่ยังคงนั่งสอบด้วยสีหน้าที่หมดหวัง บางคนก็ร้องไห้ออกมาเพราะไม่สามารถตอบคำถามส่วนใหญ่ได้
และเมื่อช่างฝีมือที่มาเป็นวิทยากรทั้ง 3 ได้เห็นสีหน้าที่ผิดหวังของเด็กนักเรียนทั้งหลาย จิตใจของพวกเขาก็แตกสลายด้วยความผิดหวัง
นักเรียนที่เลือกการสอบความถนัดของอาชีพเดียวได้สอบเสร็จและออกไปก่อนหน้าแล้วและมันไม่ยากเลยที่จะดูว่าพวกเขาสอบผ่านหรือไม่ จากอารมณ์ที่พวกเขาทำเสร็จ เจสันยังคงเขียนคำตอบได้อย่างรวดเร็ว และดูเหมือนว่าความเร็วในการเขียนจะไม่ได้ตกลงไปเลยตั้งแต่ต้น
เพียงไม่กี่นาทีหลังจากที่ผ่านไป 6 ชั่วโมง เจสันก็ได้ส่งข้อสอบ และ AI จะสามารถตรวจได้ภายใน 5 นาที และเจัสนได้ตัดสินที่ใจที่จะมองดูปฏิกิริยาของนักเล่นแร่แปรธาตุระดับ 4 หลังจากผ่านไป 5 นาที เจสันก็ได้รับการแจ้งเตือนของคะแนน และมองไปที่แอนทาเรียน
คะแนนและข้อสอบของทุกคนจะถูกส่งไปที่หัวหน้าวิทยากร นั้นก็คือแอนทาเรีย
ก่อนหน้านี้แอนทาเรียไม่ได้มองการแจ้งเตือนใดๆ เพื่อพบว่าข้อความที่ส่งมาล้วนเป็นสิ่งที่น่าผิดหวัง และหลังจากที่ได้รับการแจ้งเตือนในครั้งนี้ เธอก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังมองเธอ แต่เะอไม่้รู้ว่าใคร มันน่าอึดอัดที่ไม่รู้ว่าใครกำลังมอง
เมื่อหันไปรอบๆ เธอเห็นเจสันที่กำลังมองมาที่เธอ และเมื่อสบตากันเจสันยื้มและเคาะนิ้วไปที่สร้อยข้อมือควอนตัม แอนทาเรียมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี และเธอรีบเปิดการแจ้งเตือนทันที และเธอได้มองเห็นในสิ่งที่เธอเฝ้ารอมาตลอดมันน่ายินดีและไม่น่าพอใจในเวลาเดียวกัน
เจสัน สเตล่า: ม.4 ห้อง:54 อันดับ:224
ข้อสอบพื้นฐาน-การเล่นแร่แปรธาตุ→ 100%
ข้อสอบฝึกหัดช่างตีเหล็กขั้นพื้นฐาน→ 100%
ข้อสอบฝึกหัดพื้นฐาน-รูนมาสเตอร์→ 100%
เธออ้าปากค้าง
“อะไรหน่ะ !!!”
เธออุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว และทำให้เด็กคนอื่นๆ ได้จ้องมองมาที่เธอ เจสันชอบใจในปฏิกิริยาของเธอเมื่อเขาสอบผ่าน 100% ในทุกข้อสอบ และเจสันก็เดินออกไปจากห้องโดยไม่สนใจดวงตาที่เร่าร้อนของแอนทาเรีย
แอนทาเรียที่กำลังมองดูเด็กหนุ่มอายุ 14 ปี ในขณะที่คิดว่าเป็นไปได้อย่างในที่จะเรียนรู้ใน 3 อาชีพ ภายในเวลาสัปดาห์เดียว และสามารถทำข้อสอบได้ถึง 100%
และน้อกจากนี้เจสันยังใช้เวลาในการสอบ ในแต่ละข้อสอบน้อยกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ เธอได้แสกนแกนมานาของเจสันและเธอก็ตกตะลึงมากกว่าการได้เห็นช่างฝีมือระดับ 5
เจสันยังไม่ลืมตาขึ้นในขณะที่ห้องเกิดความโกลาหล
“เมื่อกี้มันอะไรหน่ะ ?”
“ความเชี่ยวชาญระดับที่เหนือกว่างั้นหรอ อะไรกันเนี่ย ???”
“ขี้โกง ถ้าให้พวกเรายืนทำแบบนั้นก็อาจจะเพิ่มความสามารถได้เหมืนอกัน !”
นักเรียนบางคนตะโกนในขณะที่ทิลล์กำลังคิดว่าควรจัดการหรือปล่อยให้พวกนั้นพูดต่อไป คนอื่นๆอิจฉาโดยสัญชาตญาณ และทิลล์เองก็อิจฉาในตัวเจสันด้วย
‘เด็กหนุ่มอายุ 14 ปี จะมีทักษะการควบคุมมานาสูงอย่างนั้นได้ยังไง แล้วนั้นยังไม่ใช่ทั้งหมด ความสามารถของเจสันในแต่อย่างอย่างมันค่อยข้างสูงเมื่อเทียบกัขบคนอื่นๆ ในระดับเดียวกัน และทิลล์เองก็ช่วยเจสันในการฝึกแยกจิตด้วยเพื่อที่เจสันจะได้สามารถดูดซับมานาได้อย่างไม่ต้องเสียเวลา’
ทิลล์สงสัยว่าเจสันจะสามารถเข้าสู้ระดับผู้วิเศษในตอนไหน ด้วยความสามารถที่มีอยู่ แต่การนึกถึงสิ่งนั้นทำให้หัวใจของทิลล์ตุบ
หนึ่งนาทีผ่านไป ทิลล์สงบลองก่อนที่จะบังคับให้นักเรียนทุกคนเงียบ
“เงียบ!!”
ทิลล์ที่อารมณ์เสียเพราะความสามารถที่เกินตัวของเจสัน และยิ่งพวกนักเรียนมาโวกเวกต่อหน้าทิลล์ที่หงุดหงิด ทำให้ทิลล์ปล่อยจิตสังหารออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทุกเงียบภายในไม่กี่วินาที ในขณะที่เด็กบางคนน้ำตาคลอ เพราะไม่สามารถรับแรงกดดันในระดับจิตสังหารได้ ซึ่งมันค่อนข้างน่าขำสำหรับเจสัน
เจสันยังคงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น และความเชี่ยวชาญระดับที่เหนือกว่าคืออะไร แต่เจสันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศรอบตัว และมันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา เจสันกลับไปนั่งที่ของตัวเองอย่างเงียบๆ
ในขณะที่ไม่สนใจสายตาที่จ้องเขม็นจากเพื่อนๆ ใบหน้าของเจสันมีแต่รอยยิ้มที่สดใส ในที่สุดทิลล์ก็ประกาศผลหลังจากที่เจสันที่เป็นนักเรียนลำดับสุดท้ายได้ทดสอบแล้ว
“เซรอน กิเออร์ และเจสัน สเตลล่า ผ่านการทดสอบ คุณทั้งสองคนจะต้องไปทดสอบความรู้เชิงในเร็วๆ นี้ ส่วนคนอื่นๆ ฉันจะทดสอพวกคุณ หากพวกคุณไม่สามารถตอบคำถามได้ จะโดนลงโทษ !! อย่าจะคิดว่าทางจะโรงเรียนจะมอบหนังสือที่หาซื้อไม่ได้เกี่ยวกับทั้ง 3 อาชีพนี้ให้กับพวกคุณ โดยฟรีๆ หน่ะ”
ในห้อง 54 มีเพียงเจสันและเซรอนเท่านั้นที่ผ่านการทดสอบ เมื่อพิจารณาว่าชั้นเรียนของเจสันเป็นระดับที่แย่ที่สุดในตอนแรก และห้อง 20-30 ส่วนมากก็มีนักเรียนในระดับผู้ชำนาญ 7 ส่วนมาก เจสันจึงคิดว่าหากร่วมกันทั้งชั้น นักเรียนน่าจะมีอย่าง 3,000 คนที่ผ่านรอบแรก
โดยพิจารณาข้อสอบที่ยากที่สุดน่าจะเป็นการสอบปฏิบัติในขั้นตอนสุดท้ายซึ่งไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนจะแตกต่างออกไป ซึ่งเกี่ยวกับความรู้สึกที่รับรู้ต่อมานา การควบคุม ความแม่นยำ ความอดทน ควมาขยัน ความรู้ และคุณลักษณะอื่นๆ อีกมากมาย ที่สามารถทำได้แม้กระทั่ง สิ่งที่ง่ายที่สุด
เจสันรู้ดีว่าเป็นเรื่องยากที่จะผ่านการทดสอบความถนัดทั้ง 3 แบบ แต่อย่างนอยขเาก็จะลองดู และเจสันมั่นว่าจะผ่านการทดสอบทฤษฎีด้วยความรู้ที่อยู่เต็มหัวของเจัสน ดังนั้นเจสันและเซรอนจึงออกไปข้างนอกหลังจากที่ทิลล์ได้จบการบรรยายสั้นๆ
ทิลล์พาเจสันและเซรอนออกไปสอบภาคทฤษฎี ในขณะที่จะสอบเรื่องเกี่ยวกับอักษรรูนก่อน ละตามด้วยการเล่นแร่แปรธาตุ และลำดับสุดท้ายจะเป็นการตีเหล็กและโลหะ
ทั้งสองเดินตาทิลล์อย่างสงบและเข้าไปในห้องโถงใหญ่ซึ่งไม่เคยมากันมาก่อน หอประชุมของโรงเรียนที่เชื่อมต่อกับอาคารเรียนทั้ง 3 ตึก และมีขนาดที่ใหญ่พอที่จะรองรับคนได้หลายพันคน
ด้านหน้ามีเทวีสีขาวและมีแท่นไม้โบราณอยู่ตรงกลาง ขณะที่มีโต๊ะแกละเก้าอี้จำนวนมากถูกวางไว้ในห้องประชุม การทดสอบของพวกเราจัดอยู่ในห้องประชุมงั้นหรอ ในห้องประชุมโต๊ะแต่บละตัวห่างกัน 2 เมตร
และผู้อาวุโสสามารถที่จะมองโต๊ะในแต่ละตัวได้อย่าวงชัดเจน และทุกคนก็กำลังรอการเริ่มการทดสอบ ทุกคนที่เข้าแข่งขันอาจจะกระตือรือร้นที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพทั้ง 3 นี้เป็นโอกาสที่หายากที่จะได้เรียนรู้จากผู้ทำอาชีพทั้ง 3 โดยตรง
เจสันและเซรอนจัดอยู่ในหมุ่เด็กนักเรียนที่สงบเสงี่ยมที่สุดในขณะที่ทั่ง 2 นั่งข้างๆกันเพื่อรอการเริ่มการทดสอบอย่างเงียบๆ การขอพรหรืออวยพรให้แก่กันและกันเป็นเรื่องไร้สาระและไร้ประโยชน์เพราะการทดสอบไม่ได้ใช้โชค แต่ใช้ความรู้ที่อยู่ในหัวต่างหาก
ผ่านไปกว่า 20 นาทีและนักเรียนกลุ่มสุดท้ายก็เข้ามาที่ห้องประชุม ประตูห้องประชุมได้ถูกปิดลงแล้ว
จนกระทั่งชายร่างใหญ่ผมสีน้ำตาลมีเครายาวเดินขึ้นมาบนเวทีแบะถัดจากชายคนนั้นคือเด็กหนุ่มผมบลอนด์ที่มีดวงตาสีฟ้าส่วมแว่นตา และสวมเสื้อคลุมที่มีอักษรรูณโบราณ และระหว่างทั่งสองเป็นผู้หญิงผิวขาวผมดำหางม้้ารูปร่างของเธอดีมากมีขนาดหน้าอกและเอวที่มีสัดส่วน
‘เธอใช้น้ำยาฟีโรโมนหรอ ?’
เจสันถามกับตัวเองในขณะที่มองเห็นหมอกควันสีชมพูอยู่รอบๆ ตัวหญิงสาวผมดำคนนั้น
หญิงสาวยืนอยู่บนเวทีในขณะที่ชายทั้งสองอยู่ข้างๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าหญิงสาวมีอำนาจและยศสูงกว่าชายทั้งสอง
“สวัสดีนักเรียนที่รักทุกคนฉันชื่อ แอนทาเรีย ชารอน ฉันเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับ 4 ฉันรู้สึกเป็นเกีรติที่ได้มาที่นี่เพื่อทดสอบความรู้ของทุกคนเกี่ยวกับอาชีพทั้ง 3 และฉันหวังว่าเราจะพบอํญมณีที่ซ่อนอยู่ในหมู่พวกเธอ”
เธอพูดด้วยรอยยิ้มเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ
“เราทราบกันดีว่าพวกเธอบางคนสมัครสอบทั้ง 3 อาชีพ เพราะบ่อยครั้งที่นักเรียนพยายามที่จะทำให้ตัวเองได้สิ่งที่ดีที่สุดและได้รับโอกาสเพิ่ม แต่ก่อนหน้านั้นฉันอยากจะบอกว่า เราจะทำการทดสอบทั้ง 3 อาชีพติดต่อกัน และหวังว่านักเรียนที่สมัครสอบทั้ง 3 อาชีพคงจะมั่นใจในตัวเองดี ไม่อย่างนั้นพวกเธอคงไม่สมัครทั้ง 3 อาชีพใช่ไหม”
แอนทาเรียยิ้มแต่ดวงตานั้นเย็นชา
“หลังจากหารือกับอาจารย์ใหญ่แล้ว เราตัดสินใจเปลี่ยนแปลงข้อสอบเล็กน้อย ทุกคนที่สมัครมากกว่า 1 อาชีพ แล้วสอบไม่ผ่านจะต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนสำหรับหนังสือที่ได้มาจากการสอบผ่านอาชีพใดอาชีพหนึ่ง
ไม่อย่างนั้นคะแนนเลชของพวกเธอจะถูกหักตามค่าใช้จ่าย ด้วยเหตุนี้ทุกคนที่สอบไม่ผ่านและไม่สามารถชำระเงินได้จะต้องกู้เงินผ่านหอคอยช่างฝีมือหรือโรงเรียนแนวหน้า
แต่เนื่องจากพวกเราก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร ดังนั้นเราจะไม่คิดเครดิตสำหรับคนที่สมัคร 2 อาชีพและสามารถสอบผ่านอย่างน้อย 1 อาชีพ ในขณะที่นักเรียนที่สมัครทั้ง 3 อาชีพจะต้องสอบผ่าอย่างน้อย 2 อาชีพ”
คนส่วนใหญ่เริ่มคร่ำครวญจากสิ่งที่ได้ยิน นักเรียนบางคนถึงกับสาปแช่ง แต่เจสันอะไรมากนักในขณะที่จำได้ว่าในหนังสือมีการแจ้งตัวเล็กๆ ว่าอาจจะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นหากสอบตก
และเห็นได้ชัดว่านักเรียนส่วนใหญ่ไม่เห็นการแจ้งนี้ และมันยากที่เจสันจะหุบยิ้ม เจสันต้องกลั้นหัวเราะในขณะที่นักเรียนบางคนกระโดดขึ้นโต๊ะและสาปแช่งเจ้าหน้าที่ ที่เป็นระดับผู้วิเศษอยู่ข้างหน้า
เมื่อสถานการณ์ทั้งหมดเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น ก็ได้เกิดคลื่นมานาขนาดใหญ่ซัดกระจายไปทั่วห้อง ทำให้นักเรียนบางคนล้มลง เจสันและเซรอนรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้เลยห่อหุ้มร่างกายตัวเองด้วยมานาเอาไว้
“เงียบ!”
ทิลล์พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและเสียงดัง ขณะที่บลิงค์ไปบนเวที
“ถ้าพวกคุณอ่านคำชี้แจ้งไม่ออก หรือไม่เห็น ก็อย่ามาบอกว่าคนอื่นหลอกลวง ฉันคิดว่าหอคอยช่างฝีมือนั้นผ่อนปรนกับการลงโทษ หรือพวกคุณอยากตายจากการถูกทำลายแกนมานา ฉันไม่คิดว่าพวกคุณต้องการแบบนั้นหรอกนะ !”
ห้องประชุมเงียบลงอย่างน่าขนลุกและนักเรียนบางคนก็ร้องไห้ เมื่อคิดว่าพวกเขาจะเป็นหนี้ก้อนดต หากพวกเขาไม่สามารถสอบผ่านตามข้อกำหนดได้ บางคนก็เลิกพยายามและมองไปข้างหน้าอย่างไร้ชีวิตชีวา
หญิงสาวได้พูดต่อว่าโดยบอกว่ามีการเปลี่ยนแปลงอีกเล็กน้อย
“ปกติการสอบทุกครั้งจะใช้เวลา 4 ชั่วโมง แต่เราเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ทุกคนที่สมัครอาชีพเดียวจะมี 4 ชั่วโมง แต่นักเรียนที่สมัคร 2 อาชีพ จะมี 7 ชั่วโมงในการทำ 2 อาชีพ และสำหรับคนที่สมัคร 3 อาชีพจะมีเวลาในการทำข้อสอบทั้งสาม 9 ชั่วโมง”
เด็กทั้งหลายเริ่มคร่ำครวญด้วยความยากลำบาก แต่เนื่องจากกลัวคลื่นมานาจะซัดอีกรอบพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากคร่ำครวญในใจ
“การตอบถูกต้องเพียง 60% ก็เพียงพอสำหรับการสอบผ่าน และหอคอยช่างฝีมือของเราจะมีรางวัลให้สำหรับนักเรียนที่ทำคะแนนได้ 90%ขึ้นไป ด้วยของรางวัลที่เหมาะสม”
เมื่อเจสันได้ยินเรื่องนี้ เขาก็เงยหน้ามองด้วยตาที่เป็นประกาย
“เราได้ลด % ที่จะผ่านการทดสอบเนื่องจากเป็นการทดสอบที่ยากมากสำหรับนักเรียนที่เราได้รู้มา ฉันหวังว่าเราจะมีนักเรียนที่สามารถสอบภาคทฤษฎีผ่านไป หอคอยช่างฝีมือของพวกเราจะตั้งตารอ ขอให้พวกคุณพยายามให้สุดความสามารถ !!”
เธอพูดอย่างกระตือรือร้นและเมื่อเห็นการยกมือขึ้นในช่วง 2-3 แถวสุด
“หืม นักเรียนผมดำ ตาสีทอง เธอมีคำถามอะไรจ้ะ ?”
ทุกคนหันไปทางคนที่ยกมือและตอนนี้เจสันสังเกตเห็นว่ามีแต่เขาเท่านั้นที่กำลังยกมืออยู่ เจสันอยากรู้บางอย่าง การให้รางวัลนั้นเข้าใจได้หลายวิธี
เจสันกระแอมในลำคอและขยายเสียงด้วยมานาเล็กน้อยในขณะที่ถามด้วยน้ำเสียงที่มีความมั่นใจ
“ตามความเข้าใจของผม หอคอยช่างฝีมือคิดว่าจะไม่มีใครสามารถทดสอบผ่านทั้ง 3 อาชีพในทีเดียวใช่ไหม และถ้ามีคนสอบผ่านทั้ง 3 อาชีพแบบคะแนน 100% คุณจะให้รางวัลที่ดีกว่านี้ไหม ถ้ามันเกิดขึ้น”
เจสันถามด้วยความโลภในดวงตา
เช้าวันศุกร์แล้ว และทั้งสัปดาห์เจสันก็อ่านหนังสืออย่างมุ่งมั่น และฝึกเทคนิคนรกสวรรค์และฝึกซ้อมกับเกร็ก ในขณะเวลาส่วนใหญ่เจสันมักใช้ไปกับการอ่านหนังสือ
ภายในเวลาเพียง 5 วัน เจสันสามารถอ่านหนังสือกว่า 30 เล็มจบและจดจำมันได้อย่างแม่นยำ ในและวันสุดท้ายเจสันต้องทบมวนพวกมันเล็กน้อย การไปเรียนในตอนเช้ามีประโยชน์อย่างยิ่งซึ่งมีคำถามบางอย่างที่เจสันไม่เข้าใจ และทิลล์สามารถตอบคำถามให้เจสันได้ และช่วยได้มาก
นอกจากนั้น แกนมานาของเจสันก็กำลังพัฒนาเข้าสู่ผู้ชำนาญซึ่งอาจจะใช้เวลาอีก 2-3 วันและมันจะดีมากถ้าเจสันเข้าไปถึงระดับนั้นก่อนที่อาร์เทมิสจะพัฒนาเสร็จ
การเข้าสู้ผู้ชำนาญมันจะช่วยเสริมร่างกายให้กับเจสันโดยรวมรวมถึงสัตว์พันธะของเจสันที่จะได้รับศักยภาพเพิ่มเล็กน้อย
ตอนนี้เจสันมีพลังวิญญาณถึง 13 หน่วย ซึ่งไม่ห่างจากปริมาณที่เจสันต้องการมากนัก แต่เจสันยังต้องระมัดระวังและฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ขั้น 2 ต่อไป อย่างขยันขันแข็งวันลบะ 3-4 ครั้งโดยไม่พลาดแม้แต่ครั้งเดียว
มีหลายครั้งเจสันเกือบจะทำพลาดจากการถักทอเส้นวิญญาณ แต่เจสันก็สามารถแก้ไขมันได้ทุกครั้ง หลังจากเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ เจสันก็ฝึกเทคนิคนรกสวรรค์เกือบ 20 ครั้ง
สกอร์พอโอเหมือนจะมีปัญหาเล็กน้อย เพราะกำลังจะพัฒนาเข้าสู่สัตว์ระดับ 5 ดาว ซึ่งต้องใช้พลังวิญญาณในการควบคุมถึง 8-10 หน่วย
ทั้งสกอร์พิโอและอารืเทมสิกำลังจะดึงพลังวิญญาณของเจสันมากขึ้นในคราวเดียว นั้นคือปัญหาของเจสันที่กำลังจะเจอ แต่เจสันก็มั่นใจในความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างเขากับสัตว์พันธะ ตราบใดที่เจสันไม่ได้ทำร้ายพวกมัน เจสันก็สามารถควบคุมพวกมันได้ในระดับหนึ่ง
วันนี้เป็นวันสอบความรู้ด้านทฤษฎี แต่จะมีการทดสอบการควบคุมานาก่อนเพื่อดูว่าคน คนนั้นมีความสามารถในการควบคุมมานามากแค่ไหน
หลังจากทดสอบมานา ต่อไปจะเป็นการสอบความรู้ด้านทฤษฎี และจะเป็นการสอบปฏิบัติในขั้นสุดท้าย เจสันค่อนข้างมั่นใจในตัวเอง และเจสันเดินข้าไปในห้องเรียนที่มีหมายเลข 54 ติดอยู่
ทุกครั้งที่เห็นตัวเลข เจสันจะยื้มเล็กน้อย และมองไปรอบๆ เพื่อมองเพื่อนร่วมชั้นของเขา และตอนนี้ก็เช่นกัน เจสันมองเพื่อร่วมชั้นขณะที่พวกเขากำลังอ่านบางอย่างบนหน้าจอโฮโลแกรม ดูเหมือนเพื่อนๆ ของเจสันก็สนใจที่จะเข้าร่วมการทดสอบเพื่อที่จะได้เข้าการอบรมในแต่ละอาชีพแตกต่างกันไป
เจสันเห็นเซรอนที่กำลังหลบอยู่บนโต๊ะ แต่เมื่อเซรอนสัมผัสได้ถึงดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมอง เขาก็ลลืมตาขึ้นและเมื่อพบว่าเป็นเจสัน เซรอนก็กล่าวทักทาย
เจสันได้ตอบกลับ และนั่งลงบนที่นั่งของตัวเอง และทิลล์ก็ได้เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับก้อนหินที่มีขนาดเท่าหัวคน หินนี้ใช้ทดสอบมานาและแสงที่เปล่งออกมาจะบ่งบอกถึงศักยภาพในการควบคุม
แสงสีมี 3 โทนสีที่แตกต่างกันซึ่งจะบ่งบอกถึงความสามารถในการควบคุมานา ในขณะที่โทนสีที่อ่อนจะบ่งบอกถึงความสามารถที่ดีกว่าโทนสีเข้ม
สีแดงหมายถึงการควบคุมมานาในระดับต่ำ สีส้มมีค่าเท่ากับการควบคุมมานาระดับกลาง ในขณะที่สีเหลือแสดงถึงการควบคุมมานาขั้นสูง
เมื่อทิลล์วางหินอ่อนไว้ที่ตรงกลางของแท่นแล้ว นักเรียนทั้งหมดก็ได้กล่าวทักทายด้วยความเคารพ
“เอาละ วันนี้เราจะทดสอบการควบคุมมานาของทุกคน พวกคุณทุกคนคงสมัครเข้าร่วมการทดสอบทั้ง 3 อาชีพแล้ว และเห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีแค่พวกคุณดังนั้นเราจึงต้องทดสอบความสามารถในการควบคุมมานา เพื่อที่จะได้สามารถเข้าสู่การทดสอบต่อไปได้ เอาละเรียงคิวตามหมายเลขตัวเองเข้ามาได้เลย”
เมื่อทิลล์พูดจบและทุกคนก็เริ่มที่จะลงไปทดสอบมานาตามหมายเลขของตัวเอง และนักเรียนคนแรกที่ลงไปด้วยความมั่นใจ เพราะเขาอยู่ในขั้นผู้ชำนาญระดับ 6 เพียงอายุ 14 ปี ไม่เพียงแต่มีแกนมานาระดับสูง แต่เขายังแข็งแกร่งที่สุดในห้องนี้ และใบหน้าของเขาดูภูมิใจตลอดเวลา
แต่หลังจากที่เข้าไปตรงหน้าลองหินอ่อนและทดสอบมานาด้วยการถือหินอ่อน การแสดงออกทางสีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตกใจ และทุกคนก็กำลังจับตามอง หินอ่อนได้เรืองแสงสีส้มออกมา
“ระดับกลาง ไม่ผ่านเข้ารอบทดสอบต่อไป”
ทิลล์ประกาศออกมาโดยไม่ไว้หน้าใดๆ และเด็กคนนั้นก็ต้องการคัดค้านการตัดสินใจนี้ ในขณะที่ทิลล์จ้องเขม็น
“คุณไม่อยากให้เพื่อนคนต่อไปของคุณมาทดสอบงั้นหรอ” >>> ตรงนี้หมายความประมาณว่าทำไมยังยืนอยู่ตรงนี้ไม่ลงไปซักที คนอื่นรออยู่ อะไรมาณนี้ครับ อธิบายเผื่อใครงง ฮ่าๆ
ทิลล์ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ทิลล์เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้ใช้หินมานาจำนวนมาก เพื่อเพิ่มระดับแกนมานาของเขาเอง ทำให้ความสามารถในการดูดซับมานาตามธรรมชาติไม่ได้มีศักยภาพสอดคล้องกับระดับของแกนมานา
เด็กหนุ่มได้ยืนลูกแก้วให้เพื่อนคนต่อไปทันทีและออกจากห้องไป อย่างไรก็ตามเจสันรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่ทิลล์ได้ปล่อยจิตสงัหารออกมานิดหน่อยเพื่อข่มขู่ไม่ให้ใครต่อต้านเขา แต่เจสันก็ไม่ได้สนใจอะไร ขณะที่รอจนกว่าจะถึงคิวของตัวเอง เด็กในห้องมีไม่มากนักที่ผ่านเข้ารอบ
เมื่อถึงคราวของเซรอนเจสันก็มองไปที่หินอ่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็น ว่าความสามารถในการดูดซับมานาของเซรอนนั้นดีขนาดไหน แสงสีเหลืองเข้มส่องสว่าง และเจัสนก็พยักหน้าและนึกได้ว่าเซรอนเองก็เพิ่งที่จะสามารถดูดซับมานาได้เมื่อไม่นานนี้หลังจากที่ได้รับสัตว์พันธะตัวแรก
และเมื่อพิจารราถึงความสำเร็วก็น่าตกใจที่เซรอนสามารถดูดซับมานาและเพิ่มระดับของแกนมานามาได้ถึงขนาดนี้ภายในไม่กี่เดือน
ภายในความคิดของเจสัน เซรอนเป็นเด็กที่ดีที่สุดในห้อง 54 แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจเท่าไหร่ ในขณะที่ห้องนี้เต็มไปด้วยพวกที่ไม่เก่ง
ผ่านไป 10 กว่านาที ก็จะถึงตาของเจสัน และเจสันก็ได้มายืนตรงหน้าของหินอ่อน แล้วถือมันขึ้นโดยไม่ลังเล ในขณะที่ทิลล์เองก็อยากรู้อยากเห็นว่าความสามารถในการควบคุมมานาของเจสันนั้นดีขนาดไหน ขณะที่เจสันเปิดดวงตามานาและเปิดประสาทสัมผัสทั้งหมดออกไป
เมื่อทำเช่นนั้นเจสันได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างและรับรู้ได้ในเวลาเดียวกัน เขาเห็นเชือกพันกันหลาย 10 เส้น และเมื่อคลี่มันออก วินาทีผ่านไปยังไม่มีแสงสีเปล่งออกมาจากหินอ่อน และยิ่งเวลาผ่านไปทุกคนก็เริ่มที่จะมีความอดทนน้อยลงในขณะที่กำลังจ้องมองเจสัน
และนักเรียนบางคนก็ตะโกนว่าเจสันควรวางลูกแก้วลง และบางคนก็เยาะเย้ยขณะที่บางคนก็พยายามให้กำลังใจ แต่เจสันไม่ได้ยินอะไรเลย ทิลล์ที่กำลังสับสน เนื่องจากปกติการทดสอบการควบคุมมานานั้นใช้เวลาไม่นาน
เวลาผ่านไปนานกว่า 1 นาที โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น และทุกคนเริ่มที่จะหงุดหงิด ในขณะที่เจสันนั้นยังนิ่งเฉยไม่ทำอะไรและไม่รับรู้อะไรเลย
ทันใดนั้นแสงสีทองก๋ส่องประกายออกมาอย่างส่าวงจ้า จากหินอ่อน มันหนาแน่นและมีสีเหลืองทองซึ่งบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งกว่าเซรอนถึง 2-3 เท่า ซึ่งมันเป็นระดับความสามารถที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ จนทุกคนไม่สามารถที่จะลืมตาได้
ทิลล์ได้เบิกตากว้างและมองไปที่หินอ่อนและรู้ได้ทันทีว่าเจสันสามารถคลายเชือกมานาที่พันกันออกทั้งหมดภายในไม่ถึง 2 นาที
ทิลล์ใช้เวลาพอสมควรในการเคลียร์ความคิดของตัวเอง และแสงสีทองก็ค่อยๆ จางหายไป ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง
ทิลล์ได้ตั้งสติปละประกาศ
“ขั้นสูง ผ่าน !”
จากแม่ของเจสัน เจสันได้ยินนิทานเกี่ยวกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ อย่างเช่น ชุดเกราะที่ทำลายไม่ได้ น้ำยาที่ทำให้เป็นอมตะ จารึกศักดิ์สิทธิ์ และสัตว์ร้ายที่น่าสะพรึงกลัวที่สามารถแยกสวรรค์ ทำลายนรก และทำลายภูเขาได้ด้วยลมหายใจเพียงครั้งเดียว
เจสันไม่เคยคิดมาก่อนว่านิทานเหล่านี้จะเป็นเรื่องจริง แต่อย่างน้อยความจริงบางอย่างมักถูกซ่อนอยู่ในคำโกหก เจสันชื่นชมนิทานเกี่ยวกับวีรบุรุษผู้แข็งแกร่งและสง่างาม ปกป้องอาณาจักรด้วยอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเขา เมื่อคิดถึงอาชีพเหล่านี้ ความอยากรู้อยากเห็นของเจสันก็เพิ่มมากขึ้น และยังมีอาชีพอีกมากมาย ที่เจสันอดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับมัน
เจสันจึงเปิดเว็ปไซต์ดูอาชีพต่างๆ ตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ข้อกำหนดที่ง่ายและเจสันทำได้คือความเชี่ยวชาญมานาระดับสูงสุดและระดับกลางและการรับรู้ความไวของมานา
เจสันไม่แน่ใจว่าอะไรคือความเชี่ยวชาญขั้นกลางหมายถึงอะไร แต่เจสันมั่นใจว่าเขาไปถึงระดับนั้นมานาแล้ว แม้แต่ทิลล์เองยังยกย่องการควบคุมมานาของเจสัน
เมื่อพิจารณาว่าทิลล์นั้นมาจากครอบครัวใหญ่จากคาร์เนีย คำชมนั้นก็คุ้มค่ามากที่เดียว ซึ่งทำให้เจสันมั่นใจในการควบคุมมานามากขึ้นไปอีก
ความต้องการง่ายๆ อีกหนึ่งอย่างคือ ความรู้ของตนเอง ซึ่งต้องรู้ลึกซึ่งเกี่ยวกับอาชีพนั้น สำหรับช่างตีเหล็กต้องรู้เกี่ยวกับแร่ แท่งโลหะ ความร้อน เทคนิคการตีเหล็ก การลับคม
เจสันสามารถอ่านหนังสือที่จำเป็นละจดจำได้มากหลังจากอ่านเพียง 2 ครั้ง เนื่องจากการขัดเกลาสมองจากการฝึกแยกจิต ทำให้เจสันสามารถเข้าใจและจดจำได้ง่ายขึ้น
แต่มีปัญหาอย่างหลังอย่างหนึ่งคือ ค่าใช้จ่าย ไม่เพียงแต่การซื้อหนังสือของทั้ง 3 อาชีพจะมีราคาแพง และบางเล่มก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ขายกับพวกสามัญชน
วัสดุมีราคาแพงแลพใช้เวลานานกว่าจะถึงระดับ 0 ของอาชีพหรือที่เรียนกว่า ‘เด็กฝึกงาน’ นอกจากนี้ยังมีครูไม่มากที่สอนนักเรียนเพราะไม่ได้รับประโยชน์อะไร และก็มีราคาที่แพงมาก ซึ่งครอบครัวปกติหรือครอบครัวที่มีฐานะนิดหน่อยไม่สามารถจ้างครูสอนเหล่านี้ได้
แต่ทางโรงเรียนระดับสูงจะจ้างช่างตีเหล็ก นักเล่นแร่แปรธาตุ และรูนมาสเตอร์มาสอนเด็กนักเรียน เพราะพวกเขาจะได้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่ดี
และนั้นคือหัวข้อของโรงเรียนที่เจสันเปิดเจอ
อันดับของอาชีพจะแบ่งออกเป็น 3 ลำดับ
อันดับ 0 : เด็กฝึกงาน อันดับ 1 : ระดับเริ่มต้น อันดับ 2 : พื้นฐาน อันดับ 3 : ระดับกลาง เป็นต้น อาชีพระดับกลางสามารถผลิตอาวุธเกรด 2 ได้ ซึ่งสามารถรับเครดิตได้เป็นจำนวนมหาศาล
การเป็นระดับ 3 จะถือว่าเป็นค่าเฉลี่ยนสำหรับความสัมพันธ์การเป็นพันธมิตรของช่างตีเหล็ก และยังมีความหมายกับช่างตีเหล็กว่าพวกเขาสามารถสร้างอาวุธมานาโดยได้รับความช่วยเหลือจากรูนมาสเตอร์
แต่ยังต้องมีการสอบเพื่อที่จะไปฟังคำบรรยาจากบุคลลทั้ง 3 อาชีพนี้ การทดสอบจะตั้งคำถามถึงความรู้ การควบคุมานา และแม้แต่ความถนัดในการทดสอบภาคปฏิบัติ
เจสันพบว่าช่างตีเหล็กและนักเล่นแร่แปรธาตุนั้นน่าสนใจอย่างยิ่ง และจากอ่านคำอธิบายของรูนมาสเตอร์แล้ว เจสันก็ไม่สามารถเลือกได้ว่าอาชีพไหนดีที่สุด เพราะเจสันอยากเป็นทั้ง 3 อาชีพ
เจสันตั้งคำถามกับตัวเองอยู่พักหนึ่ง กระทั่งสังเกตเห็นข้อมูลบางอย่าง ที่ทำให้อารมณ์ขึ้งเจสันพุ่งขึ้น ในการทดสอบใมนแต่ละครั้ง ใช้เวลาแตกต่างกันและไม่ทับซ้อนกัน เจสันสามารถเข้าร่วมการทดสอบทั้งหมดได้ และบางทีเจสันอาจจะสามารถผ่านได้อย่าง 1 อย่าง หากเป็นอย่างนั้นเจสันจะได้รับการเข้าอบรบกับผู้สอนอาชีพระดับ 3 อาชีพใดอาชีพหนึ่ง
เจสันลงทะเบียนอย่างมีความสุขสำหรับการทดสอบทั้ง 3 อาชีพ และการสอบในแต่ละครั้งจะเริ่มในวันศุกร์ ในขณะที่แต่ละการสอบใช้เวลา 4 ชั่วโมง เมื่อลงทะเบียนเสร็จแล้ว เจสันก็ได้รับการแจ้งเตือนในสิ่งที่ควรรู้สำหรับการสอบและมอบหนังสือสำหรับการอ่านเพื่อทำการทดสอบ
`ขอบคุณสำหรับหนังสือฟรี!!’
เจสันคิดในใจพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
เจสันรู้ดีว่าทำไมจึงเป็นเรื่องยากสำหรับนักเรียนทั่วไปที่จะเรียนรู้อาชีพโดยไม่มีครูสอน ตอนนี้ตรงหน้าเจสันมีหนังสือมากกว่า 30 เล่มที่เจสันไม่สามารถหาซื้อได้ตามปกติ และยังเหลือเวลาอีก 6 วันก่อนที่จะเริ่มการทดสอบ และเจัสนต้งใจที่จะโดดเรียนเพื่อมาอ่านหนังสือ
แต่ก่อนหน้านั้นเจสันต้องส่งข้อความบอกทิลล์ก่อน เจสันรู้ดีว่าทิลล์นั้นแตกต่างกับครูคนอื่นๆ เจสันจึงเขียนอธิบายแล้วส่งข้อความไปหาทิลล์ แล้วเจสันก็ได้คำตอบกลับมาคือ
“เข้าเรียนในตอนเช้า แต่ตอนบ่ายไม่ต้องเข้าก็ได้เดียวจะส่งบทเรียนในช่วงบ่ายให้”
เจสันประหลาดใจเล็กน้อยเพราะถึงแม้ทิลล์จะไม่ใช่ครูจริงๆ แต่ก็ยังเป็นห่วงเรื่องการเรียนงั้นหรอ และดูเหมือนทิลล์รู้สึกไม่สบายใจกับการที่เจสันเลือกทดสอบทั้ง 3 อาชีพ
และทิลล์ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจเจสันได้ ทิลล์ กรีน รู้ดีว่าเจสันนั้นเป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุของเขา ในฐานะครูทิลลืเองก็อยากให้เจสันได้พบกับขีดจำกัดของตัวเอง
และถ้าเจสันผ่านการทดสอบทั้งหมดแสดงว่าเจสันนั้นมีความสามารถพอที่จะเรียนรู้อาชีพทั้ง 3 การรู้พื้นฐานของอาชีพเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็น และเซรอนเองก็รู้ข้อมูลพื้นฐานส่วนใหญ่อยู่แล้ว และเซรอนก็จะเข้าร่วมการทดสอบทั้ง 3 อาชีพด้วย และในฐานะอาจารย์ ทิลล์คงจะผิดหวังหากเซรอนทดสอบไม่ผ่าน
แต่ความจริงนั้นมีความเป็นไปได้น้อยมาก เมื่อเวลา 15.00 น. เจสันได้เปิดหนังสือเล่มแรกและอยู่ในพื้นที่ที่จะไม่โดนการรบกวนจากใครๆ เวลาผ่านไปจนถึง 19.00 เจสันก็ได้ลุกขึ้นเพื่อที่จะไปทานอาหารเย็น ทันใดนั้นก็มีคนเดินตรงเข้ามาหาเจสัน ขณะที่เจสันรู้สึกเหมือนโดนแบกขึ้นไหล่ใครสักคน และนั้นก็คือ เกร็กนั้นเอง
“เจสัน ฉันโทรหานาย 2-3 ครั้ง แล้วนะ อย่าบอกนะว่านายไม่ได้ยินเพราะอ่านหนังสืออยู่ อย่าโกหกนะ !!”
เมื่อโดนแบกบนไหล่แบบนี้ เจสันรู้สึกอับอายทันทีเพราะทุกคนเห็นเขาแบบนั้น
“ขอโทษๆ แต่ปล่อยฉันลงก่อนได้ไหม ๆ !!”
เจสันเกือบตะโกนและเกร็กก็วางเขาลง
ขณะที่ทั้งคู่กำลังลงนั่งบยนโต๊ะอาหาร ทุกคนรอบๆ ก็หัวเราะออกมาเบา เมื่อตอนนั้นสภาพเมื่อกี้นั้นดูตลกมาก
‘อ๊ะ….น่าอายจริงๆ -//-‘
เจสันมองไปรอบๆ โดยที่ไม่กล้าสบตากับใครเลย และใช้เวลาพอสมควรกว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติ
เจสันไม่กล้าเงยหน้ามองใครๆ และทุกคนก้เริ่มกินอาหารเย็นกัน เมื่อกินเสร็จเจสันก็รีบวิ่งขึ้นห้องตัวเองอย่างเร็วที่สุด
ในขณะที่กาเบรียลลาและมาเลียเห็นว่าท่าทางแบบนี้ของเจสันน่ารัก ในขณะที่มาร์คมองดูอย่างประหลาดใจ
เจสันสงบสติอารมณ์และมองดูหน้าจอโฮโลแกรม และเห็นว่าตัวเองนั้นอ่านหนังสือไป 3 เล่มแล้ว และเจสันก็สามารถจำเนื้อหาในหนังสือได้แทบจะทั้งหมดถ้าอ่านซ้ำอีกครั้ง เจสันก็จะจำได้ทั้งหมด ทำให้เจสันตกใจกับตัวเอง ตอนนี้เจสันเหมือนห้องสมุดเคลื่อนที่
เจสันดีใจกับความเร็วในการอ่านและความจำของตัวเอง และต้องขอบคุณทิลล์ที่ช่วยในการขัดเกลาสมอง แม้ว่ามันจะเจ็บปวดมากก็ตาม และต้องขอบคุณแม่ของเขาที่ให้เจสันรวบรวมมานาไว้ที่ตา ไม่อย่างนั้นเจสันคงมองไม่เห็นและไม่มีดวงตาที่พิเศษแบบนี้
หลังจากที่เจสันสงบลงก็ได้เข้าไปในโลกวิญญาณและฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ก่อนที่จะอ่านหนังสือต่อไปอยู่ในห้องเขาตัวเอง
เจสันตกตะลึงที่เห็นมาเข้าสู้ระดับผู้เชี่ยวชาญ 2 ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้ทั่วไปในเด็กอายุ 16
เมื่อนึกถึงความสำเร็จของมาเลีย เจสันก็สแกนตัวเองและพบว่าการรวบรวมมานาและเทคนิคการดูดซับนั้นใช้ได้ผลดีอย่างแน่นอน เนื่องจากเจสันเองก็จะเข้าสู้ผู้ชำนาญได้ในเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์
เจสันรู้ว่าการดูดซับมานาแบบพาสซีฟนั้นเป็นเพื่อเทคนิคขั้นพื้นฐานเท่านั้น และอาจจะมีการดูดซับมานาที่ดีกว่ามาก แต่เจสันไม่รู้
อย่างไรก็ตามตอนนี้เจสันไม่ได้สนใจเรื่องนั้น และเจสันก็มีเวลามากเกินพอทีจะพัฒนาตัวเอง
ขณะนี้เจสันและเกร็กกำลังยืนอยู่ในลานประลอง และทั่งคู่ก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อในห้องเล็กๆ ข้างๆ ลานประลอง เจสันตัดสินใจสวมชุดสำหรับการฝึก เพราะรู้ว่าการต่อสู้กับเกร็กนั้นต้องใช้เวลาพอสมควร นอกจากนี้ ถ้าต้องการฝึกเทคนิคไร้น้ำหนัก ก็ต้องเกิดการปะทะกันอย่างมากพอสมควร
“ฉันได้เรียนรู้เทคนิคการต่อสู้แบบใหม่มา ในช่วง 2-3 วันนี้ ระวังตัวไว้นะเจสัน !!!”
เกร็กกล่าว และเจสนพบว่ามันน่าสนใจที่ทั่งคู่จะได้ฝึกเทคนิคใหม่ในการประลองนี้
ทั่งคู่มายืนตรงข้ามกันระยะห่าง 30 เมตร เมื่อสบตากัน ก็บ่งบอกถึงการเริ่มต้นในการต่อสู้ เจสันหมุนเวียนมานาตามคำอธบายของคู่มือ และเจสันรู้สึกได้ทันทีว่าร่างกายนั้นเบาลงอย่างมาก เจสันจึงเคลื่อนไหวก่อน และความเร็วของเจสันจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20 % ถ้าเชี่ยวชาญขั้นพื้นฐานของเทคนิคนี้
ความเร็วที่เพิ่มขึ้นของเจสันในตอนนี้เพิ่มขึ้น 10% และพุ่งเข้าหาเกร็ก เทคนิคใหม่ของเกร็กดูคล้ายกับ วีโพนรี่ไนท์ ของเจสัน แต่ดูแข็งแกร่งกว่า ขณะเจสันพุ่งใส่เกร้ก ทั่งคู่ก็หมุนเวียนมานาตามเทคนิคของตัวเอง
ความเร็วของเจสันทำให้เกร็กประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม เกร็กก็ไม่ได้มีเวลามาชื่อชมเจสันในตอนนี้ ขณะที่เจสันแทงกริชเข้าไปที่เกร็ก แต่เกร็กสามารถป้องกันได้และจับเจสันเหวี่ยงออกไป
เจสันรู้ว่าไม่ดีแน่หากสู้กับผู้ที่ใช้ถุงมือด้วยกริซ เพราะอาวุธของเจสันจะถูกทำลายได้งายกว่าในระหว่างการต่อสู้ และเจสันต้องเสริมกริชด้วยมานาอีกเพื่อป้องกันมันพัง
เกร็กได้ตอบโต้คืนเจสัน โดยใช้เวลาในช่วงสั้นๆ ที่เจสันไม่ได้ป้องกันตัว เจสันมองการโจมตีของเกร็กออกและกระโดดหลบไป โดยไม่โดนการโจมตีเลยสักนิด
เกร็กและเจสันรู้จักรูปแบบการต่อสู้ของกันและกันดี ในขณะที่เกร็กบลิงค์ไปที่ด้านหลังของเจสันพร้อมที่จะโจมตีอีกหมัด
เพื่อหลบการโจมตีของเกร็ก เจสันก้าวไปด้านหน้าและเอนตัวลงด้านล่างและหมุนตัวเข้าหาเกร็ก เกร้กประหลาดใจที่เจสันทำเช่นนั้นแทนที่จะหลบและหนีไปตั้งหลัก ในขณะที่เจสันได้สวนกริชเข้าไปที่หน้าท้องของเกร็ก
การต่อสู้สิ้นสุดทันทีและเกร็กก็หยุดหมัดกลางอากาศก่อนที่มันจะโดนเจสันและถอยหลังไป 2-3 เมตร ทั่งคู่ตกลงกันไว้ว่าหากคนใดคนหนึ่งถูกโจมตี การต่อสู้จะจบลง และคนที่ถูกโจมตีจะเป็นฝ่ายแพ้ และครั้งนี้เจสันชนะเกร็กครั้งแรก
เจสันดีใจมากที่ความเร็วของเขาได้เปรียบเกร็ก ขณะที่เจสันยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และทำท่าทียกนิ้วขึ้นมาเพื่อแสดงคะแนน
“1:0”
การเห็นเช่นนั้นทำให้เกร็กหงุดหงิดเล็กน้อย ที่ประเมินความเร็วของเจสันต่ำไป นอกจากนี้เกร็กก็ไม่รู้ว่าเจสันได้เรียนรู้เทคนิคแบบใหม่มา ซึ่งทำให้เกร็กประหลาดใจ
เจสันได้ทดสอบทักษะ 2 ระดับในเวลาอันสั้น ซึ่งมันไม่ธรรมดาแม้แต่ในโรงเรียนแนวหน้า ในขณะที่เกร็กสงสัยว่าเจสันทำอย่างนั้นได้ยังไง แต่เกร็กก็ไม่ได้ไม่พอใจแบบจริงๆ จังๆ เขาแพ้เพราะการโจมตีที่ทำให้เกร็กประหลาดใจของเจสัน
“อีกรอบ 1 นะ !!”
เกร็กพูดอย่างมั่นใจก่อนจะกลับไปประจำตำแหน่ง
“เริ่ม !”
ทั่งสองคนพูดพร้อมกันและใครๆก็สามารถมองเห็นดวงตาที่เป็นประกายของทั้งสองคนได้ใน๘ระที่รอยยิ้มปรากฏบนหน้าของเด็กทั้งสองคน
แต่การต่อสู้เริ่มรุนแรงขึ้น เมื่อทั้งคู่ได้ปรับเทคนิคที่ได้มาใหม่ให้เข้ากับรูปแบบการต่อสู้ของตัวเอง แต่ละรอบใช้เวลานานขึ้นและนานขึ้น ในขณะที่ทั่งคู่ปรับเปลี่ยนเทคนิคการต่อสู้ในแต่ละครั้ง เพื่อที่จะโจมตีเพื่อให้อีกฝ่ายประหลาดใจ
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงก็เป็นเวลาอาหารกลางวัน ทั่งคู่นอนอยู่บนพื้น เหงื่อที่ชุ่มตัวและกำลังหอบกัน และยิ้มให้กันอย่างภาคภูมิใจ
ก่อนหน้านี้ ความชำนาญของเทคนิคใหม่ของทั่งคู่แย่มากแต่ตอนนี้ด้วยทั่งคู่เริ่มเชี่ยวชาญเทคนิคนั้นแล้ว
“6:10……..ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันชนะแล้ววววววว”
เกร็กพูดพร้อมหยอกล้อเจสัน ขณะที่เจสันทำหน้าเจื่อนๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เจสันไม่เคยเอาชนะเกร็กได้ แต่ตอนนี้เจสันสามารถเอาชนะเกร็กได้ถึง 6 ครั้ง
หลังจากประลองกับเซรอน ทำให้เจสันมีประสบการณ์มากขึ้นและได้เสริมความเร็วจากเทคนิคไร้น้ำหนักทำให้ความแข็งแกร่งยิ่งเพิ่มขึ้น
เจสันใกล้เคียงกับผู้เชี่ยวชาญในขั้นพื้นฐานของเทคนิคไร้น้ำหนักแล้ว และมีความเร็วเกือบ 20 %
ทั้งคู่ไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า เวลาตอนนี้ 13:00 น. และและทุกคนกำลังไปที่โต๊ะอาหาร
มาเลียเห็นทั่งคู่ซ้อมกันและไม่อยากรบกวน เนื่องจากทั่งคู่ดูเหมือนกับกำลังต่อสู้อย่างสุดกำลัง และปรับเปลี่ยนเทคนิค
กาเบรียลลาที่กำลังมองเด็กๆ ได้โบกมือให้พวกเขามาทานอาหารกลางวัน เกร็กและเจสันใช้พลังงานมากเกินไปในการต่อสู้ ทำใหพวกเขากินอาหารกลางวันกันอย่างบ้าคลั่งเติมครั้งที่สอง ครั้งที่ 3 ด้วยความรวดเร็ว
คนอื่นๆ ที่เห็นเกร็กและเจสันกินอย่างตะกละกะลามก็ยิ้มอย่างประหลาดใจ แม้แต่มาร์คเองก็หลุดยิ้มออกมา ก่อนที่จะกลับเข้าสู่ความนิ่งสงบของเขา
กลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จเจสันก็ล้างจานกับเกร็ก เมื่อล้างจานเสร็จเจสันก็ไปที่ห้องเพื่อฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ขั้น 2 ตอนนี้ใช้เวลาน้อยลง โดยใช้เวลาเพียง 85 นาที และเจสันมั่นใจว่าเขาสามารถลดเวลาในการฝึกได้อีก จนเหลือ 60 นาที
มันจะทำให้เจสันมีเวลามากขึ้นในการฝึกเทคนิคอื่นๆ หรือการอ่านหนังสือ ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ในอนาคต
เจสันรู้สึกเหมือนเป็นหนอนหนังสือ เพราะเจสันชอบอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากได้รู้จัก พืชวิเศษ และสัตว์ต่างๆ ลักษณะสำคัญและเรื่องต่างๆ การกลายพันธุ์ของสัตว์ร้ายที่เกิดจากแรงกดดัน การกลายพันธุ์จากพันธุกรรม แร่หายาก อาวุธวิญญาณและมานาเผ่าอื่นๆ ที่มาจากนอกโลก และข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณและแกนมานา
ความกระหายในความรู้ของเจสันมันแทบจะไร้ขีดจำกัด และเจสันต้องใช้เวลาอ่านอย่างน้อย 6 ชั่วต่อวัน และตอนนี้ความรู้ต่างๆ ของเจสันก็นำหน้าเพื่อนคนอื่นๆ ไปแล้ว
ขณะที่อ่านหนังสือหลายเล่ม เจสันมักจะอ่านเกี่ยวกับนักเล่นแร่แปรธาตุ ช่างตีเหล็ก และรูนมาสเตอร์ เจสันพบว่า 3 อาชีพนี้น่าสนใจมาก อาจกล่าวได้ว่าอาชีพเหล่านี้มีความสำคัญพอๆ กับผู้สร้างสัตว์ร้ายต่างๆ
น่าเสียดายที่เจสันไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับนักสร้างสัตว์ร้าย ในหนังสือ ทำให้เจสันรู้สึกเจื่อนเล็กน้อย
เจสันสงสัยว่าจะเป็นอย่างไรหากเขาเป็นช่างตีเหล็ก นักเล่นแร่แปรธาตุ หรือรูนมาสเตอร์ หรือแม้แต่เป็นผู้ส้รางสัตว์ร้าย
อาชีพพวกนี้เป็นอาชีพที่ได้กำไรมากที่สุด เพราะมีความต้องการสูงมาก มันเป็นความฝันอันยาวนานของเจสันและเจสันก็ได้อ่านกระดานบทสนทนาของโรงเรียน และมีมีหัวข้อที่น่าสนใจมาก
หลังจากกินข้าวเสร็จ เจสันก็ไปที่ห้อง และตั้งสินใจอ่านคู่มือเทคนิคไร้น้ำหนัก ในตอนแรก เจสันยังคงกังวลเรื่องที่ขาดพลังวิญญาณ แต่หลังจากอ่านไปได้ 2-3 หน้าเจสันก็รู้สึกเหมือนโดนมนต์สะกด เจสันประหลาดใจเกี่ยวกับเทคนิคไร้น้ำหนัก ดูเหมือนมันจะเป็นเทคนิคที่แยกออกมาจากเทคนิคโฟลติ้งสกาย
เมื่ออ่านไปไม่กี่ชั่วโมง เจสันก็สามารถเข้าถึงความเข้าใจอย่างรวดเร็วและเข้าใจถึงพลังของเทคนิคนี้ เมื่อเจสันเชี่ยวชาญถึงระดับหนึ่งแล้วอย่างแรกเจสันต้องฝึกเทคนนิคนี้ก่อนที่จะออกไปฝึกใช้จริงในการต่อสู้
ตอนนี้เจสันเปิดจอโฮโลแกรมเพื่อดูวิดีโอพิเศษบางรายการ เจสันเขินเล็กน้อยเมื่อคลิกที่วิดีโอ ถ้าใครเห็นเขาตอนนี้คงต้องหัวเราะเยาะ เจสันกำลังดูการรอยเส้นวิญญาณให้เป็นเกลียวเพื่อใช้ในการฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ขั้ร 2 เพราะเพียงแค่คำอธิบายนั้นซับซ้อนเกินกว่าที่เจสันจะเข้าใจ จึงต้องเปิดคลิปวิดีโอประกอบเพื่อที่จะได้เข้าใจได้ง่ายๆ
เจสันได้ดูหลังวิดีโอหลายรายการและดูซ้ำบางรายกาย ตอนนี้เจสันต้องตั้งสมาธิไปที่การจดจำการถักเกลียวก่อนที่จะเข้าไปในโลกวิญญาณ สักพักต่อมาเจสันก็ได้เข้ามาในโลกวิญญาณ เจสันหายใจเข้าลึกๆ และแบ่งวิญญาณออกเป็น 5 เส้นขนาดเท่าๆ กัน
เกลียวซ้ายสุดคือหมายเลข 1 ถันมาก้หมายเลข 2 จนถึงหมายเลข 5 ที่อยู่ขวาสุด
เจสันค่อยๆ ถักเส้นวิญญาณ 5 เส้นให้กลายเป็น 1 เกลียว นี่เป็นเพียงก้าวแรกเจสันก็เริ่มสับสนแล้ว และเจสันก็สงสัยว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นถูกต้องรึเปล่า แต่ก็สงสัยว่ามันจะทำร้ายตัวเองมากกว่าการช่วยตัวเอง
เจสันยิ้มเบาๆ และเห็นรากฐานของเกลียวในขณะที่เหงื่ออก เจสันทำต่อไปเรื่อยๆ และแน่ใจว่าร้อยเกลียวได้ถูกต้องตามแบบ
เกลียว 5 เกลียวนั้นยาว 10 เซนติเมตรและหนากว่าเกลียวทั่วไป 3 เท่า จิตใจของเจสันเต้นรัวๆ ในขณะที่กำลังฉีดเกลียวเข้าไปในแกนวิญญาณ ความเจ็บปวดจากการใส่เกลียวที่หนาและแข็งเข้าไปในแกนโลกวิญญาณนั้นเจ็บปวดมาก มันเป็นวิธีที่ลัดกว่าแต่ก็เจ็บปวดมากกว่าแน่นอน ผ่านไปไม่กี่วินาที ความเจ็บปวดในใจของเจสันก็ค่อยๆ ลดลง ในขณะที่เจสันออกจากโลกวิญญาณ
เจสันใช้สมาธิจนหมดไปกับการฉีดเกลียววิญญาณและเจสันนอนบนเตียง ขระที่เหงื่อออกอย่างมาก หลังจากนั้นเจสันก็เผลอหลับไปไม่รู้ตัว
—-
แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในหน้าต่าง เจสันตื่นขึ้นและมองนาฬิกาตอนนี้เป็นเวลา 9 โมงเช้า เจสันใช้เวลาสักพักกว่าจะจำในสิ่งที่ทำเมื่อคืนได้ เมื่อจำได้เจสันก็เข้าไปในโลกวิญญาณทันที
เมื่อสัมผัสถึงพลังงาน เจสันก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะยิ้มออกมา การฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์เพียงครั้งเดียวสามารถเพิ่มพลังวิญญาณได้ 0.1 หน่วย และการฝึกฝน 3 ครั้งต่อวัน จะทำให้มันเพิ่ม วันละ 0.3 หน่วย แต่ในสัปดาห์นี้เจสันจะทำ 3 ครั้งต่อวัน และในสัปดาห์ต่อไปเจสันจะทำ 4 ครั้ง ต่อวัน
หากอาร์เทมิสรอเวลาถึง 2 สัปดาห์พลังวิญญาณของเจสันก็จะมีถึง 15.9 หน่วย เจสันสามารถทนกับการฉีดเกลียววิญญาณ 5 เส้น ได้ เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว ความเจ็บปวดจากผลปีศาจวัลคีรี่ชิล์ดนั้น มากกว่ามากๆ
ตอนนี้เจสันจึงฝึกเทคนนิคสรกสวรร์ขั้น 2 ต่อ และมันใช้เวลา 90 นาที หลังจากนั้นเจสันก็เสร็จสิ้น เมื่อจัดการเสร็จเจสันหมดแรงจนไม่สามารถทำอะไรได้อีก และไม่มีแรงแม้กระทั่งเดินไปกินข้าวเช้า
เจสันใช้เวลา 20 นาที กว่าจะเดินไปได้ และเดินอย่างค่อยๆ ในขระที่เกร็กทักทายเจสันที่กำลังเดินอย่างช้าๆ แต่เจสันไม่สนใจขณะที่จดจ่ออยู่กับตู้เย็น เมื่อเดินถึงตู้เย็นเจสันก็เปิดและหยิบไส้หรอก 2-3 ชิ้นและขนมปังออกมา เกร็กมองเจสันด้วยความประหลาดใจ
‘เป็นอะไรของเขา ?’
เกร็กขณะที่นึกขึ้นได้ว่าจะฝึกต่อสู้
“เฮ้ เจสัน ไปต่อสู้กัน !!!!!”
เกร็กถามเจสัน
แต่ก่อนที่เจสันจะตอบเกร็กอุ้มตัวเจสันไป ขณะที่สายตาเจสันได้เฝ้ามองไส้หรอกและขนมปังที่ยังไม่ได้กินเลยแม้แต่คำเดียว และมันค่อยๆ ห่างไกลจากเจสันขึ้นเรื่อยๆ
แต่เจสันก็ทำไรไม่ได้ และเจสันก็คาดหวังกับการทดสอบเทคนิคไร้น้ำหนักที่เพิ่งได้มา และนี้อาจจะสามารถเอาชนะเกร็กได้ !!! แต่สักพักเจสันก็สังเกตเห็นว่าเกร็กนั้นต่างไปจากเดิม
“เกร็กนายเข้าสู้ผู้ชำนาญระดับ 4 แล้วหรอ ?!”
เจสันถามพลางดึงตัวขึ้น
“โอ้ยย ฮ่าฮ่าฮ่า ช่ายยยย แล้ว เมื่อวานนี้เอง อิอิ”
เกร็กพูดด้วยท่าทางกวนๆ
เจสันสบายใจเมื่ออยุ่กับเกร็กและการต่อสู้กับเกร็กนั้นก็ค่อนข้างดี เนื่องจากเกร็กเป็นพวกแฟร์ๆ ดังนั้นเกร็กจึงไม่เคยรังแกเจสันจากการต่อสู้ และมักจะจำกัดพลังไว้ในระดับเดียวกับเจสัน เพื่อที่จะได้ให้เจสันปรับปรุงการเคลื่อนไหว
ทันใดนั้นเด็กชายทั้ง 2 ก็เห็นมาเลียกำลังดูดซับมานาอยู่ในสวนหลังบ้านพร้อมกับสัตว์พันธะรอบๆ และดวงตาเจสันก็พบบางสิ่งอีกครั้ง
“กะ เกร็ก มาเลีย ! มาเลียเข้าสู่ระดับผุ้เชี่ยวชาญระดับ 2 แล้วหรอ และเธอมีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น เธอจะต้องแข็งแกร่งขึ้นมากแน่ๆ “
เจสันชมมาเลียและลงจากตัวเกร็กที่กำลังอุ้มเจสัน และเกร็กมองด้วยความไม่พอใจ
เกร็กสาบานว่าในอนาคตเขาจะต้องแกร่งกว่ามาเลียแน่ๆ เมื่อนึกถึงสัตว์พันธะตัวแรกที่ดีกว่ามาเลีย เกร็กลากเจสันไปที่สนามประลอง
เจสันเศร้าที่การต่อสู้ของเขาจบลงที่ห้อง 54 เนื่องจากเจสันคาดหวังที่จะได้เลื่อนห้องเยอะๆ เพื่อที่จะได้รับคะแนนเลซในการซื้อเทคนิค
เมื่อเจสันเข้าไปที่เว็บของโรงเรียนและคลิปไปที่ส่วนของคะแนนเลซ ซึ่งจะสามารถเห็นคอลัมน์ต่างๆ ได้ ในส่วนของร้านค้า การดานภารกิจ การซื้อและการขาย สิ่งที่ทำให้เจสัน
เขาเข้าไปในเว็บไซต์ของโรงเรียนทันทีก่อนจะคลิกตรงส่วนนั้นเพื่อหาจุดลูกไม้ ซึ่งจะเห็นคอลัมน์ต่างๆ เช่น ส่วนการค้า กระดานภารกิจ การซื้อ และการขาย
เมื่อมองไปที่ส่วนของการซื้อด้วยคะแนนเลซเจสันก็ต้องตกตะลึง เพราะสามารถซื้อคู่มือ พืชเวทย์มนต์ อาวุธ ชุดเกราะ และอื่นๆ ได้นับพันรายการ แต่ราคาก็ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคะแนนที่มีอยู่ 75 คะแนน
เจสันต้องการรู้ว่าเทคนิคระดับ 1 แบบไหนที่สามารถซื้อได้ เจสันมองเห็นเทคนิคกว่า 100 เทคนิคและเทคนิคที่ถูกที่สุดมีราคา 500 คะแนนเลซ 10 ล้านเครดิต หากแปลงมูลค่าแล้ว
และมันอาจจะราคาสูงกว่านั้น เนื่องจากการหาคะแนนเลซนั้นยากกว่า เจสันผิดหวังและปิดจอโฮโลแกรมของตัวเอง
ตอนนี้เจสันมี 75 คะแนนเลซและมันยังซื้อเทคนิคที่ราคาถูกที่สุดยังไม่ได้ และมันไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเจสันได้
*
บ่ายวันศุกร์เจสันกำลังเดินไปที่ประตูโรงเรียนเพื่อที่จะรอรถรับส่งและกลับบ้าน และสีหน้าที่หงุดหงิดในขณะที่เซรอนกำลังวิ่งหาเจสัน
“เจสัน หยุดก่อนๆ เจสัน “
เซรอนตะโกนเรียกเจสัน และเจสันก็หยุดและมองหาเซรอน
“หืม? มีอะไรงั้นหรอ”
เจสันถามเซรอน
เซรอนนั้นคล้ายเกร็กที่ไม่ค่อยมีเพื่อน และยังฉลาดตั้งแต่เด็ก แต่ช่องมานาที่ไม่สมบูรณ์ทำให้เขาต้องอับอายและถูกมองว่าเป็นขยะในครอบครัว
การที่ฝึกซ้อมกับเจสันตลอดทั้งสัปดาห์ และเซรอนก็ยอมรับในตัวของเจสันแม้ว่าเซรอนจะไม่เคยเอาจริงกับเจสัน และเนื่องจากเจสันจะปกปิดความลับของเขาให้และยังไม่คิดที่จะใช้เทคนิคโฟลติ้งสกาย ทำให้เซรอนรู้สึกแย่นิดหน่อย เดียวได้พูดคุยเกี่ยวกับทิลล์ในเรื่องนี้
เซรอนกระแอมเบาๆ ในลำคอและกล่าวว่า
“เจสัน ขอบคุณสำหรับที่จะปิดบังตัวตนของพวกเรานะ และอย่างนั้นฉันอยากให้ของขวัญบางอย่างแทนการขอบคุณ และนายต้องรับมัน ! พวกเรารู้สึกผิดที่ไม่ให้นายรู้ถึงพลังของเทคนิคโฟลติ้งสกาย ตอนนี้เราก็ขอให้นายหยุดใช้มัน แต่ของขวัญนี้จะทดแทนสิ่งนั้นและมันจะช่วยเพิ่มความแข้งแกร่งให้กับนายได้ ! ฮ่าๆๆ “
เสียงหัวเราะของเซรอนทำให้เจสันรู้สึกเบื่อหน่าย และเซรอนก็ส่งไฟล์เทคนิคให้กับเจสัน ก่อนที่จะวิ่งกลับไปในโรงเรียน และปล่อยให้เจสันที่กำลังงงวยยืนอยู่คนเดียวและรถรับส่งก็มาถึง เจสันได้ขึ้นไปแล้วเปิดไฟล์ที่เซรอนส่งมา
[เทคนิคระดับ 1 ทักษะไร้น้ำหนัก]
‘หือ?’
เจสันประหลาดใจที่เห็นเซรอนส่งเทคนิคการเคลื่อนไหวมาให้เขา!
เซรอนหรือทิลล์ที่อยากส่งเทคนิคนี้กับเจสัน นั้นเจสันไม่รู้แต่ที่แน่ๆ เจสันก็ขอบคุณสำหรับสิ่งนี้
เขาขอบคุณเซรอนด้วยใจแม้กระทั่งส่งข้อวคามเพื่อขอบคุณทิลล์ ในขณะที่เซรอนวัย 14 ปีดูมีความสุขมาก และทิลลืก็ส่งข้อวคามกลับไปหาเจสันว่า
[ไม่เป็นไร คุณสมควรได้รับมัน]
ซึ่งทำให้เจสันสับสน
ไม่ใช่ว่าเจสันทำบางสิ่งบางอย่างที่สมควรได้มันมางั้นหรอ เจสันส่งข้อความให้กับเซรอนโดยไม่รู้เกี่ยวกับคำตอบของทิลล์
[ต้องการความช่วยเหลือในการเลือกการเลือกสัตว์พันธะตัวที่ 2 ฉันก็สามารถช่วยได้นะ ฉันเก่งในการเลือกสัวต์ที่มีศักยภาพสูง]
คำพูดของเจาัสนที่มีต่อเซรอน นั้นไม่ค่อยมีอะไรมากนั้น แต่สำหรับเจสันการที่จะบอกใครๆเกี่ยวกับความสามารถในการแยกแยะความบริสุทธิ์ของแกนมานาสัตว์ร้ายนั้นค่อยข้างอันตราย
อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ เจสันได้ทบทวนความสามารถของดวงตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เจสันก็ไม่เข้าใจขีดจำกัดของมันหรือสิ่งที่สามารถทำได้ในเรื่องอื่นๆ
อย่างไรก็ตามเจสันรู้โดยคร่าวๆ ว่าควรทำอย่างไร แต่ก็ยังยากที่จะเข้าใจ ในท้ายที่สุด เจสันได้ตัดสินที่จะหยุดคิดถึงความสามารถของดวงตา โดยสรุปได้ว่าเจสันสามารถตรวจจับความบริสุทธิ์และความแข็งแกร่งของสัตว์ร้ายได้
นอกจากนี้เจสันยังรู้ดีว่า หากไม่ฉีดมานาลงไปในด้วยตา เจสันสามารถข่มขวัญศัตรูได้ เมื่อเพิ่มจิตสังหารที่ปล่อยออกมา แม้แต่คนที่ระดับสูงกว่ายังรู้สึกหวาดกลลัวเจสัน
เมื่อนึกถึงตอนที่ต่อสู้กับลีโอ ฮาร์ท เจสันรู้ว่าเอฟเฟกดวงตานรกนั้นเป็นเพียงการขายผลการคุกคามด้วยจิตสังหาร เจสันแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดวงตาของตัวเองเลย และเจสันก็หยุดคิดเรื่องนี้
เจสันเริ่มเปิดคู่มือเทคนิคไร้น้ำหนัก เพื่อเรียนรู้มัน เจสันได้รับอนุญาติให้ฝึกโดยไม่มีใครสามารถรบกวนได้ในโลกวิญญาณ และภายในโลกวิญญาณก็สั่นไหวเล็กน้อย
เจสันสังเกตุเห็นว่ารังไหมรอบๆ อาร์เทมิสนั้นเริ่มบางลง และเจสันก็มีเหงื่อออกจากแรงกดดันบางอย่าง
‘อย่าเพิ่งนะ ฉันยังไม่พร้อมมม ‘
เจสันคิดขึ้นและสังเกตว่าอาร์เทมิสจะพัฒนาเสร็จภายใน 1-2 สัปดาห์
‘แย่แล้ว’
นั้นเป็นความคิดเดียวของเจสัน ในขณะที่วางคู่มือเทคนิคไร้น้ำหนักและเข้าไปในโลกวิญญาณอีกครั้ง ตลอดทั้งสัปดาห์พลังวิญญาณของเจสันเพิ่มเป็น 11.1 หน่วย ในขณะที่ต้องใช้พลังวิญญาณ 10 หน่วย เพื่อพิจารณาว่าอาร์เทมิสจะเข้าศุ้สัตว์ร้ายระดับการถูกปลุกพลัง และเจสันต้องเร่งเพิ่มพลังวิญญาณขึ้นอย่างน้อย 2-3 เท่า
ตอนนี้เจสันไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ ในขณะที่ฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ขั้น 2 และหากไม่สามารถสงบจิตใจได้ การฝึกฝนเทคนิคนี้ก็ยากลำบากและอันตรายมาก แะเจสันก็ค่อยๆสงบสติอารมณ์ลง
และประมาณว่าพลังวิญญาณของเจสันเพิ่มขึ้น 0.1-0.2 หย่วยในทุกวัน ซึ่งเป็นเรื่องประหลาด เมื่อพิจารณาว่ามีพลังวิญญาณเพียง 11.1 หน่วยในขณะนี้
โดยปกติคนอื่นๆ มักจะใช้เวลา 3 วันสำหรับการเพิ่มขึ้นมา 0.1-0.2 หน่วย และเจสันมั่นใจว่าจะใช้เวลาเพียง 1 สัปดาห์ในความเร็วปัจจุบันที่จะเพิ่มพลังวิญญาณ 0.2 ในทุกๆ วันอย่างต่อเนื่อง
นี่หมายความภายใน 2 สัปดาห์เจสันจะเพิ่มพลังวิญญาณเป็น 13.2 หน่วย ซึ่งยังแย่อยู่ เมื่อหักพลังวิญญาณที่ใช้สำหรับสกอร์พิโอ เจสันจะเหลือ 7.2 หน่วย สำหรับอารืเทมิส แต่ถ้าอาร์เทมิสมีพลังวิญญาณอย่างน้อย 11 หน่วย เจสันจะได้รับพลังวิญญาณเพิ่ม 2.3 หน่วย
เมื่อคำนวณทุกอย่างแล้ว เจสันเห็นว่าพลังวิญญาณของเจสันยังคงต่ำอยูาประมาณ 1.5 หน่วย การคำนวณนี้ดีที่สุดแล้ว รวมถึงความจริงที่ว่าสกอร์พิโอจะเข้าสู่สัตว์ระดับ 5 ดาว ในระหว่างนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่อาร์เทมิสจะมีพลังวิญญาณมากกว่า 11 หน่วย
เจสันไม่ชอบที่สายใยพันธะของตัวเองไม่ได้รับพลังวิญญาณที่สูงกว่าจัวเจ้าของ เพราะมีโอกาสที่พวกเขาจะหลุดออกจากสายพันธะของกันและกัน และอาจจะแย่ยิ่งกว่านั้น คือความตาย
เจสันชื่อชอบสัตว์ของตัวเองมากกว่าสิ่งใด แม้แต่เกร็กที่เป็นเพื่อที่ดีที่สุดของเจสันก็ไม่สำคัญเท่ากับสัตว์ทั้ง 2 ตัวนี้
เจสันรู้สึกกดดันจากเหตุการณ์นี้ของอาร์เทมิส และก่อนที่จะคิดต่อรถรับส่งก็มาถึงหน้าบ้าน เจสันเดินลงและเดินเข้าบ้านไป และกินข้าวกับพวกเฟลเลอร์ ในขณะที่คนอื่นๆ สังเกตว่าช่วง 2-3ที่ผ่านมาเจสันดูไม่สนใจพวกเขาเลย
เกร็กไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเจสันมากนัก เพราะเขาต้องจดจ่อกับการต่อสู้ของเขา เพราะการต่อสู้ในระดับชั้นเรียนของ
เกร็กเพิ่งจะเริ่มขึ้นในขณะที่ของเจสันเพิ่งจะจบลง
ตอนนี้เท่านั้นที่เกร็กเข้าใจความแข็งแกร่งของเพื่อนร่วมชั้น แต่ก็ไม่มีอะไรต้องอายเมื่อทักษะการต่อสู้ของเกร็กนั้นเหนือกว่า
มาเลียเองก็ต้องออกจากบ้านเร็วๆ นี้เพื่อทำภารกิจของโรงเรียน เนื่องจากเป็นการสอบอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้มาเลียเครียดเล็กน้อย
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นระหว่างทำภารกิจอาจจะถึงตาย และการดูแลทีมสำรวจทั้งหมด ก็เป็นหน้าที่ของมาเลีย ที่อายุ 16 ปี ที่ต้องป้องกันหน่วยสำรวจ
กาเบรียลลาและมาร์คมองดูเด็กๆ อย่างเป็นห่วงแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ความแข็งแกร่งของกาเบรียลลาและมาร์คนั้นสูงมาก พวกเข้าอยู่ในขั้นผู้วิเศษ
แต่ในฐานะขุนนาง ตำแหน่งทางความแข็งแกร่งนั้นไม่มีค่าอะไรเลย เพราะถึงแม้จะเป็นระดับผู้วิเศษขั้นสูงมันก็เทียบอะไรไม่ได้กับระดับราชวงศ์และพวกขุนนาง
ในการพูดคุยเจสันพบว่าทั่งสองจะอยู่ที่นี่จนกว่าสัตว์ร้ายจะฟักตัว ซึ่งประมาณ 4-6 เดือน และในระหว่างนี้ทั่งคู่จะเล่นเป็นครูและนักเรียน ในขณะที่เซรอนจะปรับปรุงแกนมานาของเขา ทิลล์ก็จะเล่นเป็นครูต่อไป และทั่งคู่ขอให้เจัสนปกปิดตัวตนของทั้งสองไว้เป็นความลับ
เจสันไม่ได้สนใจที่จะเปิดเผย และการได้รู้ว่าทั้งสองจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน ทำเจสันมีโอกาสที่จะได้รับผลประโยชน์จากทั้ง 2 มากขึ้น
เจสันไม่ใช่คนโลภมาก แต่หลังจากพบว่าเทคนิคการเคลื่อนไหวนั้นสำคัญเพียงใด เจสันก็หมุกหมุ่นอยู่กับความคิดที่จะได้เทคนิคดังกล่าว
“ครู มีวิธีใดบ้างที่ผมจะได้ทักษะสำหรับการเคลื่อนไหว ป้องกัน การโจมตี การสนับสนุนและอื่นๆ โดยที่ไม่ต้องรับคะแนนตามข้อกำหนดของโรงเรียน ผมได้ยินว่าโรงเรียนจะให้รางวัลแก่นักเรียนที่มีคะแนนถึงข้อกำหนด
ฉันจะหามันได้อย่างไร ถ้าต้องการเทคนิคสำหรับการเคลื่อนไหวให้ไวท่สุดเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง”
เจสันที่ต้องการแข็งแกร่งขึ้น และไม่สนใจเรื่องครอบครัวใหญ่นั้นแล้ว ขณะที่กำลังครุ่นคิด ทิลล์ก็ตอบกลับมา
“อ่อ ฉันลืมบอกคุณ ว่าทุกคนในห้องจะได้รับคะแนน 2 คะแนน ในการเลื่อนห้องแต่ละขั้น และถ้าเลือดครบ 10 ห้อง ก็จะได้เพิ่มอีก 5 คะแนน และเนื่องจากพวกคุณชนะมา 21 ครั้ง ติดต่อกัน น่าจะได้คะแนน 75 คะแนน มันจะถูกเพิ่มลงไปในโปรไฟล์ของพวกคุณ
และคะแนนนี้สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเครดิตได้ เขาเรียกกันว่าคะแนนเลซซึ่ง 1 คะแนนจะมีค่าเท่ากับ 20,000 เครดิต แต่ฉันไม่แนะให้แลกเป็นเครดิต เพราะคะแนนนั้นมีค่ากว่ามาก ถ้าไปดูที่ร้านค้าหลังโรงเรียน”
ทิลล์เสริมขึ้นขณะที่ถอนหายใจ
“มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจ ที่คุณสามารถมาไกลกันได้ถึงขนาดนี้ แต่ฉันคิดว่าห้อง 53 คงเป็นห้องสุดท้ายที่พวกคุณจะสามารถจัดการได้หรืออาจะไม่ เพราะนักเรียนห้องนั้นค่อนข้างพิเศษและครูประจำห้องก็เจ้าเล่ห์นัก
อย่างไรก็ตาม ทุกคนทำให้ฉันประหลาดใจ”
เมื่อเจสันรู้ว่าจะได้คะแนนเลซ เจสันก็พอใจ บางทีเจสันอาจจะสามารถใช้มันแลกเป็นเทคนิคสำหรับการปรับเปลี่ยนการเคลื่อนไหวได้ และก็ถึงเวลาที่ต้องไปสู้กับห้อง 53 แล้ว
เมื่อเจสันเข้าไปในลานประลอง ก็ได้มอวเห็นห้อง 53 กับครูประจำห้อง และสิ่งที่เจสันได้เห็นคือนักเรียนที่ครบ 200 คน และเด้กนักเรียนกว่า ครึ่งหนึ่ง ที่มีตัวขนาดใหญ่ กล้ามเนื้อที่หนักแน่น
เจสันถามตัวเองว่า พวกนั้นกินสเตียรอยด์หรือยาเร่งกล้ามเนื้อรึเปล่า ทำให้เจสันและนักเรียนร่วมห้องตกใจ เพราะเด็กพวกนั้นสูงกว่า 1.8 เมตร ราวกับกว่าเป็นสัตว์ประหลาด
***แล้วห้องที่ 1 มันจะขนาดไหนนิ = =, ***
อย่างไรก็ตาม เด้กห้อง 53 นั้นมาจากเมืองเดียวกัน และเคยเรียนที่เดียวกันในมชั้นมัธยมต้น และอีกส่งที่น่าประหลาดคือ พวกเขาทั้งหมดได้ทำพันธะกับสัตว์ชนิดเดียวกันนั้นก็คือลิงภูเขาที่ดุร้าย ซึ่งเป็นสัตว์ระดับวิวัฒนาการระดับกลาง
ลิงถือเป็นสัตว์ร้ายที่สมบูรณ์แบบจากการเสริ่มความแข็งแกร่งทางกายภาพ เพราะมันเสริมทุกส่วนของร่างกาย ในขณะที่สัตว์ชนิดอื่นมักจะเสริ่มในส่วนๆ หนึ่งเท่านั้น เจสันมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในทันที
การตู่สู้ได้เริ่มต้น และดวงตาของเด็กห้อง 53 ก็เหมือนเป็นสีแดงและเข้าสู่สภาวะบ้าระห่ำที่เป็นความสามารถจะสัตว์พันธะ ในขณะที่เจสันต่อสู้กับผู้ใช้น้ำ ซึ่งดูเหมือนว่าเธอสามารถป้องกันตัวได้ด้วยโล่เล็กๆ และยิงกระสุนน้ำออกมา แต่ความรุนแรงของมันนั้นไม่มากนัก และต้องขอบคุณสายตาที่ยอดเยี่ยมของเจสัน จึงสันจึงหลบมันได้อย่างง่ายดาย
เจสันไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการใช้มานา ขณะที่พยายามกดดันผู้ใช้น้ำที่มีแกนมานาขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งทางกายภาพ
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเห็นใครบางคนใช้เทคนิคการเติมมานาแบบพาสซีฟและเจสันก็ตระหนักถึงความจริงนั้น ดังนั้นเจสันจึงกดดันมากขึ้น และเธอต้องมีสมาธิกับการต่อสู้กับเจสันเพื่อป้องกันที่จะได้ไม่เสียเปรียบ
การเสียสมาธิในชั่วขณะสามารถกำหนดการแพ้ชนะได้ ซึ่งผู้ใช้น้ำแต่ป้องกันการขว้างมีดของเจสันได้ด้วยแผ่นน้ำ แต่เธอไม่ได้คำนวณการใช้มานาของเธอ หลังจากที่เจสันขวางมีดทั้งหมดออกไป เจสันก็เสริมท่อนล่างด้วยมานา และเสริมความเร็วขณะที่แทงและฟันคู่ต่อสู้ด้วยความเร็ว
และเจสันก็ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ หลังจากนั้นเจสันก็เดินลงจากเวทีลานประลอง และดูการต่อสู้และเห็นว่ามีเพื่อนร่วมชั้นเหลือเพียง 40 คนเท่านั้น
เนื่องจากตอนนี้สามารถเลือกคู่ต่อสู้ได้ เจสันมองไปรอบๆ เพื่อหานักเรียนที่อ่อนแอ ในห้อง 53 และเจสันได้พบอีกคนที่ใช้น้ำเหมือนกันและมีแกนมานาในระดับ ผู้ชำนาญ 2
ขณะที่ต่อสู้ เจสันพบว่าคู่ต่อสู้ของเขาไม่ได้ใช้น้ำโจมตีเจสัน แต่ใช้ขวานในมือ เจสันได้หัวเราะในใจ
‘ต่อสู้กับมีดสั้นด้วยขวานหนัก โอเคๆ ได้ !’
เจสันยิ้มในขณะที่คาดว่าผู้ใช้น้ำมักพยายามป้องกันด้วยพลังน้ำ การคาดการณ์ของเจสันถูกต้อง แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อกำแพงน้ำบางๆ ระเบิดขึ้นเมื่อเจสันเข้าไปใกล้ๆ และกระสุนน้ำก็กระจายออกมา คู่ต่อสู้ของเจสันกำเลี้ยงเบี่ยงซ้าย ซึ่งคู่ต่อสู้ของเจสันก็คาดการณ์ว่าเจสันจะกระโดดไปพร้อมกัน เขาได้ดึงขวานกลับ ขณะที่เจสันทำในสิ่งที่ตรงข้าม
กำแะงน้ำข้างๆ มีความหนาแน่น 2-3เซน และไม่มั่นคงพอที่จะรับการโจมตีได้ แต่นั้นเป็นเพียงกลลวง เมื่อเจสันรู้ถึงแผนการของคู่ต่อสู้
แต่เจสันก็ไม่เปลี่ยนการตัดสินใจ ในขระที่เจสันฟันกำแพงน้ำ ก่อนที่จะกระโดดหลบ น้ำได้กระเด็นเข้าตาเจสัน แต่เจสันยังลืมตาไว้ ในขณะที่เห็นร่างอย่างพล่ามัว และคู่ต่อสู้ได้ยกขวานที่จะโจมตีเจสันแล้ว
เจสันขวางมีด 3 เล่มออกไป และเล่มหนึ่งมันก็ถูกกระแสน้ำพัด ในขณะที่ยังเหลือที่ 2 เล่ม และคู่ต่อสู้ต้องเบี่ยงขวานเพื่อที่จะป้องกันมีดอีก 2 เล่มของเจสัน
ตอนนี้เจสันมีเวลามากพอที่จะเสริมล่างกายส่วนล่างและบลิงค์ด้วยความรวดเร็วไปอยู่ที่ด้านหลังของผู้ใช้น้ำ ฉละจัดการเขาได้ในที่สุด
เมื่อการต่อสู้จบลงเจสันก็มองไปที่เวทีของเซรอนและทำให้รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ในขณะที่เซรอนก็จบการตอ่สู้แล้ว และได้มองไปที่เจสันและยิ้มให้อย่างแห้งๆ ในขณะที่เข้าใจว่าทำไมเจสันถึงทำหน้าแบบนั้น
ในการแข่งขัยรอบต่อไป เจสันนั้นเสียเปรียบเป็นอย่างมากเพราะต้องเจอกับผู้ชำนาญระดับ 3 ที่มีร่างกายอยู่ในระดับ 5 ในขณะที่มีนักเรียนห้อง 54 เหลืออยุ่ 8 คน โดยหนึ่งในนั้นคือเซรอน
การต่อสู้ได้จบลงทั้งหมด แต่ความสำเร็จของพวกเขานั้นก็ไม่น่าอับอาย
‘นั้นคือเจสันจริงๆ งั้นหรอ’
เซรอนคิดขณะที่ถอยห่างออกมา
ดวงตาสีทองของเจสันที่กำลังแทรกซึมทุกรูขุมขน ขณะที่กรีลใช้นิ้วที่ห่อหุ้มมานาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเจสันและเซรอน
“เจสัน ใจเย็นๆ เราไม่ได้เป็นคนผิดนะ”
เมื่อได้ยิน เจสันก็สงบลง แต่เจสันก็คิดทบทวนว่า กรีลนั้นสามารถจัดการสัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์ได้ ทำไมเขาถึงไม่ทำ และกรีลได้ตอบคำถามที่เจสันไม่ได้เอ่ยปากพูด
“คุณคิดว่ามันจะเป็นยังไง ถ้าฉันฆ่าสัตว์ร้ายเหล่านั้น ฉันทำไม่ได้หรอกนะ ถ้าฉันฆ่าพวกมันที่กำลังปกป้องสมบัติวิเศษที่กำลังเติบโต ฉันจะถูกล่าค่าหัวอย่างแน่นอน
หมูเกาะมีความคล้ายคลึงกับแผนครอบครัวใหญ่ที่แบ่งกระจายกันออกไปเหมือนหมู่เกาะเล็กๆ ที่แปบ่งตัวจากหมู่เกาะ
คุณจะบอกคุณจะเคลียร์เกาะ 2 3 เกาะ เพื่อคนอื่น แล้วเกาะอื่นๆ ละๆ ใครจะเป็นคนจัดการ และเกาะที่กำลังพัฒนาใหม่ละ ครอบครัวขนาดใหญ่ต้องยกพื้นที่ของตัวเองเพื่อให้คนที่อื่นๆ มาอยู่ร่วมงั้นหรอ
ฉันเข้าใจว่าคุณเกลียดที่เห็นคนอ่อนแอกว่าถูกรังแก แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และฉันเองก็อ่อนแอเกินกว่าจะสู้กับครอบครัวใหญ่เหล่านี้ ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวดังเดิมที่รอดพ้นจากการระบาดครั้งแรกของมานา และคนที่รอดชีวิตบางคนก็ยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ฉันอายุ 56 และความสามารถในการปรับแต่งแกนมานนและความสามารถในการดูดซับของฉันก็ดีมาก และคุณคิดว่าพวกพ่อมดแม่มดที่มีอายุมากกว่า 300 ปีนั้น จะเป็นอย่างไร “
“บอกตามตรง ฉันก็ไม่ชอบสิ่งที่ครอบครัวใหญ่พวกนี้ทำกับคนอ่อนแอคนอื่นๆ หรอกนะ พวกเขาแบ่งคาเนียร์ตามความแข็งแกร่งของพวกเขา แต่อย่าเข้าใจผิด ไม่ใช่ครอบครัวใหญ่ทุกครอบครัวที่ไม่ดี และคุณเองก็น่าจะสังเกตได้จากแอสทริซ์ว่าแม้ว่าลำดับชั้นนั้นไม่มีความเท่าเทียม และเกาะอื่นๆ ก็เป็นเช่นกัน
อย่างเกาะเบลกรา เกาะใหญ่ที่มีประชากรมากว่า 400 ล้านคน และได้แบ่งออกเป็น 5 ส่วน ในขณะที่ 2 ส่วนใช้เป็นที่อาศัยสำหรับมนุษย์ และสำหรับสัตว์ที่ไม่มีอันตราย ที่สามารถอยู่ร่วมกันได้
พวกมันค่อนข้างสงบ ในขณะที่พื้นที่ที่เหลือนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย และมีสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าของมนุษย์ และมีเพียงนักล่า ทหาร และผู้ที่มีความแข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถเข้าสู้ 3 ส่วนที่เหลือได้
ส่วนหนึ่งมีเพียงสัตว์ร้ายระดับต่ำเท่านั้น ในขณะที่อีกสองส่วนนั้นมีสัตว์แทบจะทุกระดับที่ต่อสู้กันกินกันเองจนเกิดความวุ่นวายต่างๆ
พวกมนุษย์ทำงานหนักเพื่อผลิตอุปกรณ์ เสื้อผ้า อุปกรณ์สำหรับนักล่า แทนที่จะเสี่ยงชีวิตไปสู้กับพวกสัตว์ร้าย “
กรีลพูดอย่างภูมิใจและเจสันก็มีลางสังหรณ์ผุดเข้ามาในใจ
“เบลกรา เป็นครอบครัวของครูใช่ไหม”
เจสันถามด้วยความลังเลเล็กน้อย
เซรอนสงบลงและมองดูเจสัน อย่างหวาดกลัวเล็กน้อย โดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ในขณะที่ท่าทีที่หยิ่งผยองของกรีลได้หายไป
กรีลกระแอมเล็กน้อยในขณะที่พูดว่า
“นั้นเป็นความจริงเพียงส่วนหนึ่ง ครอบครัวของกรีลและเซรอนปกครองเบลกราด้วยกัน และนั้นเป็นเพียงเพราะเราเป็นครอบครัวใหญ่ 2 ครอบครัวที่มีความคิดที่สงบสุขกว่าครอบครัวอื่นๆ ครอบครัวของเราทั้ง 2 จึงก่อตั้งเบลกราขึ้นมา ในพื้นที่ 2 ส่วน “
เจสันได้รู้ข้อมูลมกามายในครั้งนี้ และในที่สุดก็เข้าใจว่าทำเซรอนถึงแตกต่างมากเมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่นๆ และยังเข้าใจอีกว่าทำไมกรีลถึงแข็งแกร่งขนาดนี้
…………………………………………………………………………………………………
หลังจากนี้ขอเปลี่ยนจาก “กรีล” เป็น “ทิลล์” นะครับ เพราะคำว่ากรีล เป็นนามสกุล ผมเรียกผิดมาตลอด ขอโทษด้วยนะครับ
………………………………………………………………………………………………
เมื่อเจสันมองไปที่เซรอน เขาก็ได้ถามว่า
“นายไม่เคยสู้กับฉันอย่างเต็มกำลังใช่ไหม”
เซรอนมองหน้าเจสันและหยักหน้า
“บัดซบ”
เจสันอุทานออกมา เพราะคิดว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่งเกือบจะเทียบเท่ากับเซรอน ทิลล์และเซรอนก็เข้าใจในสิ่งเจสันกำลังคิด
“แต่พูดตามตรง ความสามารถของคุณนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยน ถ้าคุณดูค่าเฉลี่ยการต่อสู้ทั่วไปของแอสทริกซ์และแกนมานาของคุณในตอนนี้ คุณสังเกตุเห็นแล้วว่าในการต่อสู้ในวันี้ คุณรู้สึกหนักใจ และต้องขอบคุณการสังเกตที่ยอดเยี่ยมและความสามารถที่สามารถเลียนแบบเทคนิคโฟลติ้งสกาย ที่ทำให้คุณสามารถชนะได้
เมื่อพิจารณาจากคนอื่นๆ ในเมืองไซโรความแข็งแกร่งของคุณในตอนนี้อยู่ในระดับกลางเลยทีเดียว แต่รวมเฉพาะความแข็งแกร่งของนักเรียนชั้นมอปลายทั้งหมดในไซโรเท่านั้น”
เมื่อได้ยินทิลล์บอกเกี่ยวกับความแข็งแกร่ง เจสันก็ขมวดคิ้ว เจสันรู้ว่าสัตว์พันธของเขาอ่อนแอและแกนมานาก็มีระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนของเมืองไซโร แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเขานั้นค่อนข้างดีงั้นหรอ
จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งของเจสันที่เข้ามาในหัว
“ครู ถ้าผมได้เรียนรู้เทคนิคที่คล้ายกับเทคนิคโฟลติ้งสกาย ผมจะแข็งแกร่งขึ้นได้ใช่ไหม ?!”
“การเพิ่มความหลากหลายของเทคนิคนั้นยังไม่พอ เพราะความแข็งแกร่งโดยกำเนิดของคุณนั้นอ่อนแอเกินไป เมื่ออายุ 14 แต่เพิ่งจะอยู่ในมือใหม่ระดับสูง แต่เมื่อพิจารณาความสามารถของคุณ ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแกนมานาของคุณถึงยังต่ำอยู่”
เจสันหดหู่เล็กน้อยและรู้ว่าตัวเองนั้นยังคงอ่อนแอ และแม้ว่าจะแข็งแกร่งขึ้นแต่มันก็ไม่มากพอ ขณะที่เจสันเพิ่งจะนึกออกว่าจะถามว่าทำไมทั่งคู่ถึงมาที่นี่
“แล้วทำไมครูกับเซรอนถึงมาที่นี่ ละ”
ทิลล์คิดอยู่ครู่หนึ่ง เพราะยังไม่อยากบอกความลับในตอนนี้ เมื่อมองไปที่เซรอน เขาก็ได้รับสายตาที่จะบอกอะไรบ้างอย่าง อย่างเช่น ‘ไม่เป็นไร’ ในขณะที่ทิลล์เริ่มพูด
“เรามีเหตุผลหลายอย่างที่มาที่แอสทริกซ์พวกขเามีบางอย่างเกี่ยวกับเมืองไซโรและเซรอน ฉันไม่แน่ใจว่าจะบอกยังไง แต่เราจะจับสัตว์พันธะตัวที่ 2 ของเซรอนที่นี่ สัตว์ร้ายตัวนั้นหายากและในกำเนิดลูกหลายทุกๆ 2-3 ปี มันสำคัญมากเพราะสัตว์ร้ายตัวนี้สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์บางอย่างได้ ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าความหนาแน่นของมานาที่คาเนียร์นั้นหนาแน่นกว่าที่นี่
นั้นเป็นเรื่องจริงเพียงส่วนหนึ่ง เว้นมานาที่คาเนียร์น้นหากยาก และความหนาแน่นที่คาเนียร์ก็ไม่ได้ต่างจากที่นี่เท่าไหร่ ถ้าคุณดูที่เซรอนที่มี่แกนมานาที่ต่ำนอกจากนี้ฉันยังต้องสอนชั้นเรียนนี้ เพื่อทดสอบว่าฉันจะสามารถปรับปรุงความสามารถในการต่อสู้ของคนอื่นๆ ได้ไหม ฉันจึงมาสอนที่นี่”
เจสันได้สรุปสิ่งที่ทิลล์กล่าวมา และสิ่งที่ทั่งคู่กำลังรอคือ สัตว์ร้านที่กำลังเกิดใหม่ แล้วเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจทั้งสองก็จะจากไป เมื่อได้ฟังว่าทิลล์นั้นอายุ 56 เจสันก็ตกใจ ทิลล์ตัดสินใจมาสอนเพราะต้องการทดสอบความสามารถของตัวเองและทิลล์ยังให้เทคนิคที่หายากเพราะต้องการดูว่าเด็กนักเรียนจะสามารถทำได้ไหม
เจสันเข้าใจคร่าวๆ ว่าทำไมแกนมานาของเซรอนถึงอ่อนแอเมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของชาวคาเนียร์ และหลังจากที่เจสันมองแกนมานาของเซรอน เขาก็มีโครงสร้างร่างกายที่ดี ซึ่งทำให้เจสันประหลาดใจเมื่อช่องมานาของเซรอนดูแตกต่างกว่าที่มันควรจะเป็น
มานาของเซรอนมันไม่เสถียร มันกำลังยืดตัว บิดเบี้ยว พังทลาย และกลับเป็นปกติ วนลูปไป ด้วยเหตุนี้เจสันจึงคิดว่า เซรอนมีสัตว์พันธะที่ไม่เหมือนใคร มันอาจจะสามารถรักษาช่องมานาได้
นั่นหมายความว่าเซรอนสามารถใช้มานาได้หลังจากที่ทำพันธะกับสัตว์ร้ายตัวแรก เซรอนยังเงียบยิ่ง หลังจากที่ทิลล์บอกว่าเซรอนเองก็มีเหตุผลของตัวเองสำหรับแกนมานา แต่เจสันมองเห็นความไม่พอใจของเซรอนในสายตา
เจสันเข้าใจที่เซรอนหงุดหงิด เพราะครอบครัวของเขาก็ไม่พอใจที่ช่องมานาของเซรอนที่เหมือนจะพิการ เจสันไม่แน่ใจว่าเซรอนมีพี่น้องหรือไม่
เมื่อก่อนเซรอนไม่เคยพูดเกี่ยวกับตัวเอง และเจสันก็ไม่ได้อยากรู้มากนัก เพราะทั้งคู่เป็นแค่คู่ซ้อมการต่อสุ้ และไม่ได้รู้จักกันมานายาวจนถึงจะไว้วางใจหรือจริงใจต่อกันมากนัก
เซรอนมองดุเจสันอย่างสงสัยและสงสัยว่าทักษะโฟลติ้งสกายที่เป็นเคล็ดลับของครอบครัวของเขานั้น ถูกคัดลอกมาได้ยังไง
เมื่อตอนต่อสู้เซรอนได้ใช้ทุกษะนี้ในขั้นพื้นฐานเท่านั้นและไม่ได้ดึงพลังที่แท้จริงของทักษะออกมาใช้ เซรอนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เซรอนอดไม่ได้ที่จะตกใจถึงความเป็นไปด้ของเจสันที่จะเลียนแบบได้มากกว่านั้น
ถ้าพี่ชายและพ่อของเขารู้ มันคงกลายเป็นเรื่องใหญ่มาก เมื่อมองดูเจสัน เจสันยังคงมีแววตาที่จริงจังเล็กน้อย และเซรอนต้องทำอะไรบางอย่าง
“เจสัน ฉันคิดว่าเราต้องคุยกันเรื่องนี้ และความสามารถของนายที่เลียนแบบเทคนิคได้จากการมองเห็นการไหลเวียนของมานา”
กรีลยังคงยื่นอยู่ข้างทั้งสองและพยังหน้าเมื่อเห็นทั้งสองกำลังคุยกันอย่างจริงจัง ถ้าเจสันเลียนแบบเทคนิคทุกเทคนิคที่ต้องการได้ มันจะเป็นอันตรายกับตัวของเจสันเป็นอย่างมาก และยิ่งถ้าเจสันไปลอกเลียนเทคนิคเฉพาะของคนกลุ่มใหญ่ กิลด์ ครอบครัว อาณาจักรหรือองค์กรชั่วร้ายอื่นๆ เจสันมีแนวโน้มที่จะถูกพวกนั้นฆ่าได้
ใครจะให้เทคนิคเฉพาะให้แก่คนแปลกหน้า และการที่จะเลียนแบบมั่วซั่วจะทำให้คนอื่นๆ ที่ครอบครองเทคนิคพวกนี้ไม่พอใจได้ และจากการพูดของเซรอน กรีลมั่นใจว่าเจสันได้เลียนแบบทักษะการเคลื่อนไหวแห่งท้องฟ้า แม้ว่ามันจะยังไม่สมบูรณ์แบบ
แต่ก่อนที่พวกเขาจะคุยกันต่อ พวกเขาก็ได้ย้ายไปคุยในห้องเงียบๆ กัน ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังดูดซับมานาเพื่อเตรียมตัวในการแข่งขันต่อไป กรีลได้สอนเจสันมาระยะหนึ่งแล้ว เซรอนก็เกลี้ยกล่อมไม่ให้เจสันใช้เทคนิคนี้อีก แต่มีบางอย่างที่น่าสงสัยสำหรับเจสัน เมื่อกรีลและเซรอนคุยกับเขา
ดูเหมือนทั้งคู่จะรู้จักกันนานกว่าหนึ่งเดือน เพราะกรีลอธิบายเกี่ยวกับเทคนิคโฟลติ้งสกายและความพิเศษของมันเพื่อแสดงให้เจสันเห็นว่ามันอันตรายแค่ไหน หากเลียนแบบแบบไม่สมบูรณ์ต่อไป
เนื่องจากเทคนิคนี้มีความพิเศษมาก และเจสันต้องเรียนรู้และฝึกฝนอย่างถูกต้อง และไม่ควรใช้หากไม่รู้เทคนิคอย่างลึกซึ้ง ซึ่งกรีลก็อธิบายถึงความอันตรายของมันให้เจสันได้ฟัง
กรีลรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเทคนิคนี้ ทำให้เจสันเริ่มสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของกรีลและเซรอน
“ครูกับเซรอนรู้จักด้วยหรอ”
เจสันถามแบบตรงไปตรงมา
ขณะที่กรีลกำลังสร้างเรื่องปกปิด เซรอนที่อายุ 14 ปี ได้แสดงสีหน้าไร้เดียงสาแล้วพูดโพล่งออกมา
“ใช่ เขาเป็นอาจารย์ของฉันเอง”
เซรอนกล่าวออกมาและมองไปที่กรีล
***เพิ่มเติม อาจารย์ในที่นี่หมายถึงการเป็น master นะครับ ไม่ใช่อาจารย์ที่อยู่ในโรงเรียน เหมือนเซรอนเป็นลูกศิษย์ที่กรีลได้เลี้ยงดูมานานแล้ว ตั้งแต่อยู่ที่คาเนียร์ ***
กรีลตกใจกับความไร้เดียงสาของเซรอน
‘ฉันสอนเขาผิดไปรึเปล่าเนี่ย’
และเมื่อเซรอนสังเกตเห็นสีหน้าของกรีล เขาก็อุทานออกมา
“โอ้ เวรแล้ว”
เจสันมองเซรอนและกรีล เจสันประหลาดใจเกี่ยวกับสิ่งนี้ เจสันที่เคยเป็นเด็กที่มีอารมณ์อ่อนไหว แต่เมื่อเป็นเรื่องสำคัญเหตุผลต่างๆ ก็จะผุดขึ้นมาเนื่องจากได้รับการขัดเกลาจิตใจการผลปีศาจวัลครีรีส์ชิลด์ ความคิดต่างๆของเจสันจึงชัดเจนขึ้นและมีอารมณ์น้อยลง
“ทำไมคุณทั้งสองคนถึงมาที่แอสทริกซ์ละ คาเนียร์ไม่มีสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับการดูดซับมานาหรอ ? คุณทั้งสองก็ไม่ได้หลบซ่อนตัวจากใครนิ เพราะคุณก็เปิดเผยตัวจนและจิตวิญญาณ และมีอาวุธวิญญาณและทักษะอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบบเฉพาะ พิเศษหรือระดับ 3 แต่ไม่มีใครสงสัยในตั้วพวกคุณเลย ยกเว้นฉัน….”
เมื่อเจสันพูดถึงอาวุธวิญญาณ เซรอนและกรีลก็ประหลาดใจเพราะพวกเขาไม่คิดว่าเจสันจะสามารถแยกแยะอาวุธปกติกับอาวุธวิญญาณได้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย
ความแตกต่างระหว่างอาวุธปกติและอาวุธมานาคือประสิทธิภาพในการควบคุมในความแข็งแกร่งของอาวุธและบางประเภทก็สามารถเสริมพลังธาตุสำหรับการโจมตีได้หากมีคนโจมตีสัตว์ระดับวิวัฒนาการด้วยดาบระดับ 1 ดาบจะหัก แต่อาวุญมานาระดับ 1 จะสามารถแทงทะลุผิดหนังของสัตว์ระดับวิวัฒนาการได้
และไม้กายสิทธิ์ซึ่งเป็นอาวุธมานา สามารถโจมตีด้วยพลังของธาตุต่างๆและเสริมพลังให้กับการโจมตี ได้ เช่นการเพิ่มพลังของลูกไฟธรรมดาให้มีความรุนแรงเป็นสองเท่า
ในขณะที่อาวุญมานามีความพิเศษ และอาวุญวิญญาณก็มีความคล้่ายกับอาวุญมานาแต่เพียงเพิ่มการเชื่อมต่อและผูกพันธะกับผู้ใช้งานเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ในขณะที่อาวุญจะแข็งขึ้นตามการเติบโตของผู้ใช้งาน และคนอื่นๆ ไม่สามารถใช้อาวุญวิญญาญได้มั่วซั่ว เพราะอาวุญเหล่านี้จะถูกสร้างขึ้นด้วยจิตวิญญาญของผู้ใช้
อาวุญมานาและอาวุญวิญญาณไมท่สามารถแยกแยะได้ง่ายๆ และต้องใช้เวลาหลายปีของระดับผู้เชี่ยวชาญที่จะสามารถเรียนรู้เทคนิคที่ใช้ในการแยกแยะอาวุธทั้งสองประเภทได้
ด้วยเหตุนี้ กรีลจึงปรับความเข้าใจเกี่ยวกับดวงตาของเจสันใหม่ ขณะที่เซรอนมองเจสันด้วยดวงตาเบิกกว้าง คราวนี้กรีลได้ตอบคำถามของเจสัน และจะไม่ปิดบังเพราะกรีลต้องการจะบอกเรื่องนี้กับเจสันอยู่แล้ว แม้ว่าเจสันจะไม่ถาม
กรีลเองก็อยากรู้เกี่ยวกับเจสัน ซึ่งเป็นเหตุผลที่กรีลช่วยเจสันในการใช้เทคนิคแยกจิต บางทีเจสันอาจจะมีส่วนร่วมในงานของกรีลได้ ถ้าเจสันต้องการ แต่กรีลไม่รู้จะพูดยังไง
“ฉันจะเริ่มต้นยังไงดี อย่างแรกเลยคุณพูดถูก เราไม่ได้ปิดบังตัวตนและบอกตามตรงเราทั้งคู่เป็นคนจากคาเนียร์ และฉันสงสัยว่าคุณสามารถรู้เกี่ยวกับอาวุญวิญญาณของเซรอนได้ยังไง แต่นั้นก็ไม่สำคัญ มีเหตุผลหลายอย่างที่เรามาที่นี่ โดยหลักแล้ว เซรอนอยากรู้ว่ามนุษย์อาศัยอยู่บนเกาะได้ยังไง และความแตกต่างของความแข็งแกร่งทั่วอาณาเขตของมนุษย์
เมื่อเปรียบเทียบพลเมืองของคาเนียร์และ ความแข็งแกร่งที่เราเห็นจากที่นี่นั้น แทบจะเป็นเรื่องตลก และมนุษย์เองก็ไม่ได้รับผลกระทบจากสัตว์ร้ายมานาเลย ที่นี่ซึ่งมีแต่สัตวืร้ายระดับที่อ่อนแอ และสัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์ที่ไม่ได้เป็นสัตว์พันธะ ก็มีความแข็งแกร่งสำหรับที่นี่ แต่นั้นเป็นเรื่องตลกสำหรับชาวคาเนียร์
หากสัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์บุกชาวคาเนียร์สามารถจัดการได้อย่างง่ายๆ และสามารถป้องกันไม่ให้สัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์ปรากฏตัวขึ้นมาได้ แต่พวกเราไม่ทำแบบนั้น ฉันไม่รู้ว่าคุณสนใจเรื่องแบบนี้ไหม แต่ฉันอยากบอกคุณ คำตอบนั้นง่ายมาก สัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์เหล่านั้นกำลังปกป้องสมบัติวิเศษ ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปีที่จะเติบโตเมื่อสมบัติเหล่านั้นสุกงอม
จะมีผู้แข็งแกร่งดึงมันออกมา สัตว์ร้ายระดับนี้ก็เหมือนกับผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้องสมบัติเหล่านี้จนกว่าบุคคลที่แข็งแกร่งจะมาเอามันไป
อย่างที่คุณรู้ มนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในแอสทริกซ์คือระดับผู้วิเศษขั้นสูง และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ผู้วิเศษขั้นสูงส่วนใหญ่ในแอสทรกซ์หรือหมู่เกาะต่างๆ จะเป็นคนเก่าแก่หรือพูดง่ายๆ คือพวกที่เกษียณแล้ว และเด็กๆที่ไม่มีความแข็งแกร่งพอจะถูกเอารัดเอาเปรียบ ช่องว่างของการพัฒนาของใครบางคนในแอสทริกซ์นั้นเมื่อเทียบกับพลเมืองในคาเนียร์นั้น มีช่องว่างที่ใหญ่มาก ความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งที่ต่างกันมากเกินไป
อย่างแรก ต้นกำเนิดของเราเหมือนกันละมาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน
อย่างที่สอง เราต่างก็มีศัตรูเหมือยกันก็คือเผ่าพันธุ์อัจริยะที่บุกเข้ามาบนโลกและสัตว์ร้ายทั่วทุกที
อย่างที่สาม มนุษย์ทุกคนควรได้รับการปลุกวิญญาณและยังไม่รู้ว่าแนวโน้มการสร้างพันธะนี้เป็นไปอย่างไร
การที่จิตวิญญาณได้ตื่นขึ้นไม่ได้เลือกปฏิบัติการต้นกำเนิดของมนุษย์ ในขณะที่มีโอกาสสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยที่สามารถปลุกวิญญาณที่ดีได้ โดยไม่เกี่ยวกับต้นกำเนิดของคนคนั้น นั้นคือภารกิจของเราที่ต้องมาแก้ไข้
“เดียวๆๆๆ “
เจสันขัดจังหวะกรีลและเมื่อมองลงไปในดวงตาของเจสันซึ่งดูเย็นชา กรีลสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“คุณจะบอกฉันว่าการที่คนหลายคนต้องตายและต้องทุกข์ทนเป็นเพียงเพราะโรงงานไฟฟ้าบางแห่งต้องการเก็บสมบัติของพวกเขา พวกนั้นเป็นคนเหมือนกันรึเปล่า ทำไมถึงไม่เคลียร์พื้นที่เกาะให้กับมนุษย์ทุกคน ทำไมคนที่อ่อนแอถึงต้องทนทุกข์อย่างนั้น มนุษยธรรมและความเมตตาไปอยู่ที่ไหน !?”
โชคดีที่พวกเขาอยู่ในห้อง ขระที่เซรอนปิดประตูด้วยความกลัวและกรีลก็ประหลาดใจกับจิตสังหารที่เจสันปล่อยออกมา
‘เขาเกลียดทุกคนที่ที่ทำแบบนั้นงั้นหรอ’
กรีลที่เติบโตมาจากครอบครัวที่รักใคร่กันและครั้งเดียวที่กรีลทุกข์ทรมาณคือการกินผลปีศาจวัลคีรีส์ชิล์ด
เซรอนคุ้นเคยกับจิตสังหารที่อ่อนๆ ซึ่งกรีลได้ปลดปล่อยอกมาเพื่อแสดงให้เซรอนรู้ว่ามันเป็นอย่างไร เพื่อที่เซรอนจะได้ไม่หวาดกลัวเมื่อต้องต่อสู้กับสัตว์ที่กระหายเลือดหรือโจร หรือมนุษย์ที่มีจิตสังหาร
แต่ของเจสันนั้นมันแข็งแกร่งมาก เมื่อเทียบกับจิตสังหารระดับต่ำสุด
เซรอนถอยหลังไป 2-3 ก้าวเหงื่อไหลอย่างชุ่มตัว ขณะที่ดวงตานั้นกำลังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
‘นั้นเจสันจริงๆ หรอ ?’
เจสันต่อสู้กับเซรอนนานกว่า 2 ชั่วโมงและพัมนาความเชี่ยวชาญอย่างรวดเร็ว ในขณะที่คู่ต่อสู้ของเจสันนั้นเสียเปรียบเล็กน้อยจากการเคลื่อนไหวที่ว่องไวของเจสัน
สิ่งเดียวที่เซรอนทำได้คือการตั้งรับ ในขณะเดียวกันเจสันทำได้เพียงหาช่องว่างและใช้ดวงตามานามองการเคลื่อนไหวของเซรอน หลังจากผ่านไป 3 ชั่วโมง เจสันประทับใจกับการใช้มานาของเซรอน และจดจำการใช้เอาไว้ แต่เจสันไม่รู้ว่าน้ันคือเทคนิคแบบไหน
ทั่งคู่ยังคงปกติดี ในขณะที่เหงื่อซุ่มตัว แต่เซรอนมองดูเจสันราวกับว่าเป็นปีศา่จ ในขณะที่ทักษะของทั้ง 2 เพิ่มขึ้นในขณะที่สร้างแรงกดดันใส่กันและกัน หลังจากที่ชนะ เด็กนักเรียนในห้องนี้ก็ไม่ร่าเริงเหมือนตอนแรกๆ และต้องฝึกและแก้ไข้จุดบกพร่องของตัวเอง
เวลาก็ผ่านไปในแต่ละวัน เจสันก็ฝึกสอบกับเซรอนเป็นเวลากว่า3 ชั่วโมงในทุกวัน และมันก็แก้ไข้จุดบกพร่องของทั้ง 2 ได้อย่างมากมาย ในขณะที่เจสันรู้ว่าเซรอนนั้นกำลังซ่อนอะไรบางอย่าง และเซรอนก็ชอบเจสัน ทำให้ทั้งคู่เป็นคู่ฝึกกันเป็นเวลานาน
โชคไม่ได้สำหรับเจสันที่เซรอนได้พัฒนาจนมาถึงผู้ชำนาญระดับ 3 และตอนนี้เซรอนสามารถเอาชนะเจสันได้อย่างง่ายดายเนื่องจากแรงกดดันที่เจสันต้องเจอในการฝึกไได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่มันก็เป็นประโยชน์สำหรับเจสันในการฝึก
ถ่านจะกลายเป็นเพชรได้เฉพาะแรงดันที่สูงเท่านั้น
ในวันศุกร์ห้องของเจสันได้เลื่อนเป็นห้อง 55 และอุปสรรคขนาดใหญ่ก็เริ่มปรากฏ ช่องว่างระหว่างแกนมานานั้นเพิ่มขึ้นอยากมาก ในขณะที่ห้องที่ลำดับสูงกว่า มีสัวต์พันธะที่แข็งแกร่งและมีแกนมานาระดับสูงกว่า
ตัวอย่างเช่นห้อง 54 ส่วนใหญ่นักเรียนในห้องนั้นมีแกนมานาอยู่ในขั้นผู้ชำนาญระดับ 3-4 ซึ่งมีระดับที่สูงกว่าถึง 2-3 ระดับ
การต่อสู้ในครั้งนี้ยากกว่าครั้งก่อนๆ และยากที่จะบอกว่าจะสามารถชนะได้หรือไม่ กรีลเองก็สงสัยว่าเด็กของตัวเองนั้นจะไปได้ถึงระดับไหน ในขณะที่พวกเด็กที่ก้าวข้ามห้อง 60 มาได้ ก็ทำให้กรีลประหลาดใจมากพอแล้ว
คู่ต่อสู้ของเจสันเป็นผู้ชำนาญระดับ 3 ที่มีพลังธาตุลมทำให้ว่องไว เจสันไม่สามารถขวางมีดได้ เเนื่องจากสายลมทำให้มีดของเจนเบี่ยงไปทิศทางอื่น เจสันคิดวิธีเอาชนะไม่ออกแล้ว เจสันจึงตัดสินที่จะเลียนแบบทักษะของเซรอนถึงแม้ว่ามันจะอันตรายหากไม่ได้เรียนรู้อย่างถูกวิธีก็ตาม แต่เจสันก็ไม่สนใจเนื่องจากต้องการที่จะเอาชนะให้ได้
คู่ต่อสู้ของเจสัน สังเกตว่าตัวเองนั้นเคลื่อนที่ช้า….ไม่ ความเร็วของเจสันที่เพิ่มขึ้นต่างหาก เจสันใช้มานาที่เหลือเสริมร่างกายทั้งหมดและใช้เทคนิคการต่อสู้ที่ลอกเลียนเซรอนมา
ความเร็วของเจสันเพิ่มขึ้น 20 % มันเร็วขึ้นจนเจสันไม่สามารถตั้งตัวกับความเร็วนี้ได้ แต่เมื่อผ่านไปสักพักเจสันก็สามารถควบคุมความเร็วได้ เจสันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วจนคู่ต่อสู้ไม่สามารถรับรู้ตัวตนของเจสันได้
เจสันพุ่งโจมตีไปที่ขาของคู่ต่อสู้ทำให้เสียการตั้งหลักและเจสันก็ขวางมีดใส่ในช่องโหว่ที่ปรากฏขึ้น เซรอนที่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการต่อสู้ ก็ได้มาดูการต่อสู้อันดุเดือดของเจสัน และสังเกตุเห็นความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างมากขอเจสัน
อย่างไรก็ตาม เซรอนสงสัยว่าเทคนิคที่เจสันใช้มันดูคุ้นๆ สำหรับเขา
อยู่ๆ เซรอนก็อุทานออกมา
“อะไรหน่ะ !!!”
ก่อนที่จะเงียบลงเพราะการอุทานที่ดังจนเป็นจุดสนใจ
ปกติเซรอนเป็นคนพูดน้อย แต่เสียงอุทานของเขาดึงดูดความสนใจของเพื่อนและนักเรียนคนอื่นๆ ก่อนที่จะเซรอนจะหันกลับมาดูการต่อสู้ของเจสัน ที่เจสันสามารถชนะได้อย่างไม่คาดคิด
แม้แต่กรีลยังประหลาดใจกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นของเจสันอย่างกระทันหัน เนื่องจากไม่เคยเห็นเจสันใช้ความเร็วขนาดนี้ในชั้นเรียนต่างๆ
เจสันเป็นคนสุดท้ายในห้องนี่ที่เพิ่งจะต่อสู้เสร็จ และเพื่อนทุกคนกำลังดูเจสันต่อสู้ ตลอดการปะทะของเจสัน เห็นได้ชัดว่าเจสันน่าจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่อยู่การเคลื่อนไหวของเจสันก็เปลี่ยนไปและความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างกระทันหันและเซรอนก็อุทานออกมาเสียงดัง และเจสันเองก็ไม่สามารถดึงศักยภาพของทักษะนี้ออกมาได้ทั้งหมด เมื่อเจสันมองไปที่เซรอนก็พบกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ต่างๆ
และเห็นได้ชัดว่าเซรอนตกใจมากขณะที่มองเจสัน เซรอนไม่คาดคิดว่าเจสันจะสามารถลอกเลียนทักษะของเขาได้
‘เขากำลังลอกเลียนทักษะของฉันรึเปล่า ? เป็นไปได้ยังไง’
เซรอนคิด
‘จริงสิ ครูเคยพูดเกี่ยวกับดวงตามานากับเจสัน แสดงว่าเจสันสามารถมองเห็นการไหลเวียนของมานาได้งั้นหรอ งั้นที่ผ่านมา 2-3ที่ฝึกซ้อมกับเจสัน เขาได้ลอกเลียนทักษะของเราอย่างนั้นรึ’
ความคิดต่างๆ ได้แล่นเข้ามาในหัวของเซรอน แต่ความการแก้ไขปัญหาว่าเจสันได้ลอกเลียนหรือเปล่านั้นก็ง่ายๆ เพียงเซรอนเข้าไปถามตรงๆ
‘ถามเขาสิ !!
เซรอนพูดกับตัวเองขณะที่เดินไปหาเจสันที่กำลังเดินออกมาจากลานประลองอย่างหน้าซีด
“เจสัน คุณโอเคไหม?”
เซรอนถามอย่างกังวล เพราะเขาต้องใช้เวลาฝึกทักษะนั้นเป็นเวลาหลายเดือน แต่เมื่อเห็นเจสันสามารถใช้มันได้เลยเขาก็ตกตะลึง
เจสันที่ใช้ทักษะที่ตัวเองไม่รู้และไม่เข้าใจเกี่ยวกับทักษะนั้น ค่อนข้างอันตรายอย่างมาก กรีลที่สังเกตเห็นใบหน้าของเจัสนที่ดูไม่ค่อยดีนัก จึงบลิงค์มาตรงหน้าของเจสันและเซรอน ขณะที่นำน้ำยาฟื้นฟูระดับต่ำออกมาให้เจสันได้ดื่นเพื่อฟื้นฟู
เจสันที่กำลังเหนื่อยล้าอย่างมาก เมื่อได้ดื่มน้ำยาฟื้นฟู ก็รู้สึกดีขึ้น เจสันสามารถยืนได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง แต่ยังรู้สึกเหนื่อย ขณะที่รู้สึกหิวอย่างมาก เหมือนไม่ได้กินอะไรมานาหลายอาทิตย์
“ร่างกายของคุณดึงสารอาหารที่สะสมไว้ในร่างกายออกมาใช้เนื่องจากการใช้มานาที่เกินขนาด อย่าใช้ทักษะที่คุณไม่รู้ เจ้าเด็กโง่”
กรีลอธิบาย
หลังจากนั้นเจสันก็หยิบอาการออกมาจากพื้นที่เก็บของ ในขณะที่เซรอนกำลังแสกนร่างกายขอเจสันดูว่ามีอะไรผิดปกติไหม
เจสันเขินอายและถามว่าเกิอะไรขึ้น ในขณะที่เซรอนกำลังจะโมโหที่เจสันทำอะไรโง่ๆ
“คุณเลียนแบบเทคนิคโฟลติ้งสกายงั้นหรอ”
เซรอนถามด้วยความสงสัย และเซรอนก้ไม่ควรพูดชื่อมันออกมา
“อ่าาา นั่นน ฉันขอโทษนะเซรอนนน ฉันไม่รู้ว่าจะเอาชนะยังไงแล้ว ฉันเลยต้องเลียนแบบทักษะของนาย ฮี่ฮี่ๆ”
พวกเขาอยู่ห่างกันประมาณ 30 เมตร เจสันตะลึงเมื่อมองไปที่คู่ต่อสู้ของตัวเอง เจสันเคลือบมานาลงไปที่แขนเพื่อเพิ่มความเร็วและความแข็งแกร่งในการขว้างมีดขนาดเล็ก 5 เล่ม ออกจากมือภายใน 2 วินาที
คู่ต่อสู้ของเจสันสามารถปัดมีด 2 เล่มแรกได้ แต่ถูกเล่มที่ 3 พุ่งไปเสียบที่มือ และอีก 2 เล่ม ปักไปที่ท้องและหน้าอก เจสันรู้สึกแปลกๆ เมื่อเห็นว่า การต่อสู้ได้จบลงอย่างรวดเร็ว และคิดว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะสามารถปัดมีดได้ทั้งหมด
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาทำไม่ได้ เจสันหยุดการโจมตีที่กำลังจะโจมตีต่อเนื่องเมื่อ AI ประกาศผลชัยชนะที่เป็นของเจสัน เจสันไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ของเขายอมแพ้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วด้วยซ้ำเนื่องจากดวงตาที่น่ากลัวของเจสัน
ตอนนี้เจสันต้องรอให้เพื่อนคนอื่นๆ เสร็จสิ้นจากการต่อสู้ ขณะที่มองไปรอบๆ และพบว่าห้อง 74 นั้นอ่อนแอกว่าห้องของเขาเป็นอย่างมาก
จาก 200 คู่ ใน 2 ห้อง ห้อง75 ชนะการต่อสู้ถึง 163 ครั้ง ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กรีลยิ้มหลังจากเห็นผลการแข่งขัน ขณะที่ครูคนอื่นๆ ตกใจกับความสามารถของเด็กนักเรียนห้องนี้
ครูห้อง 74 มองด้วยความประหลาดในขณะที่ห้องของตัวเองเปลี่ยนไปเป็นห้อง 75
‘ทำไมความสามารถของเด็กพวกนั้นถึงสูงนัก ดูเหมือนว่าจะได้รับการฝึกเทคนิคที่คล้ายกันๆ เราควรสอนเทคนนี้หลังจากครึ่งหลังของปีไม่ใช่หรอ’
ครูคนนั้นจ้องมองกรีลราวกับว่าเขาเป็นคนทรยศและกรีลก็มองกัลบด้วยความเรียบเฉย
“ฉันไม่ได้โกงสักหน่อย”
กรีลพูดออกมาราวกับว่าอ่านใจคนได้
สิ่งที่เจสันและครูของห้อง 74 ไม่รู้ก็คือความกดดันที่เจสันได้สร้างขึ้นหลังจากการต่อสู้กับลีโอ ฮาร์ท ที่ทำให้เพื่อนในห้องทุ่มเทให้กับการฝึก และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่เจสันสู้กับไบรอัน ด้วยจิตสารที่น่ากลัว ยิ่งทำให้เพื่อนในห้องเกิดความกระตือรือร้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม
สิ่งนี่ทำให้พวกเขากดดันเหมือนถ้าทำไม่สำเร็จจะถูกเจสันฆ่าได้ และในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาทุกคนที่เพิ่มพลังความแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากเพราะสิ่งที่นักเรียนในห้อง 75 โดนเหมือนกันคือการโดนดูถูกว่าอยู่ในห้องเรียนที่แย่ที่สุดของระดับชั้น
แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ เด็กนักเรียนของห้อง 75 ต่อสู้ด้วยความตั้งใจและความแข็งแกร่งเท่าที่พวกเขาสามารถรีดมันออกมาได้ เจตจำนงของพวกเขามั่นคงและต้องการที่จะให้คนอื่นๆ อื่นยอมรับในความสามารถ ห้อง 75 รู้สึกประหลาดใจกับคาวมแข็งแกร่งและความอ่อนแอที่แตกต่างกันของห้อง 74 แต่ตอนนี้ห้องเรียน 74 ได้ถูกลดขั้นมาเป็นห้อง 75 และห้องเรียนของเจสันก็เลื่อนมาเป็นห้อง 74 แล้ว
การแข่งขันในรอบนี้ใช้เวลาไม่ถึง 25 นาที กรีลหยิบหมายเลข 75 ออกจากระเป๋าและวางลงบนมือของครูอีกคนที่กำลังอยู่ในท่าทางที่เหมือนวิญญาณหลงทาง
ห้องเรียน 75 ใหม่ รีบวิ่งออกจากพื้นที่นั้นทันทีและครูของพวกเขาก็เช่นกัน เนื่องจากความอับอายจากการโดนเยาะเย้ย เพียง 5 นาทีต่อมา ห้องเรียน 74 ที่ถูกจัดใหม่ก็ได้ครองพื้นที่นั้นไป
คลาส 75 ใหม่รีบวิ่งออกจากเวที เนื่องจากครูของพวกเขาเขินอายเกินกว่าจะเผชิญกับการเยาะเย้ยจากชั้นเรียนตรงข้าม เพียงห้านาทีต่อมา พื้นที่ทั้งหมดก็ถูกครอบครองโดยชั้น 74 ที่ก้าวหน้าขึ้นใหม่
ในขณะนั้นนักเรียนของห้องเจสันก็เริ่มส่งเสียงเชียร์ดังกระหึ่มจากชัยชนะ ในขณะที่เจสันยิ้มที่มุมปากแต่ยังคงนิ่ง กรีลกำลังมองดูทุกอย่าง และเห็นนักเรียนกำลังเชียร์ด้วยความดีใจ
ไม่นานนักนักเรียนทุกคนก็หยุดเชียร์และเริ่มพักผ่อนกันและเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ต่อไป ในขณะที่กรีลมั่นใจในตัวเด็กนักเรียนของเขา ในขณะที่กรีลเกือบลืมเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ในแอสทริกซ์
เมื่อนึงถึงงานของตัวเอง กรีลก็ไปหาเจสัน เจสันรู้สึกได้ถึงความผันผวนของมานาอย่างกระทันหันที่อยู่ด้านหลังของเขา เจสันหันหลังมองและเห็นกรีลที่มีสีหน้าแปลกๆ เจสันงงว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากผ่านไป 5 นาที ทุกคนก็เงียบจากการดีดนิ้วของกรีล
ทุกคนคุ้นชินกับบเสียงดีดนิ้ว
“ทุกคนทำได้ดีมาก แต่เรายังห่างไกลจากจุดหมายของเราใช่ไหม”
ทุกคนขานตอบรับด้วยเสียงที่ดัง
” ใช่ครับ/ค่ะ”
“เหลือเวลาอย่างน้อยอีก 1 ชั่วโมง ก่อนห้องอื่นๆ จะแข่งขันเสร็จ อย่าเสียเวลาและแก้ไขข้อบกพร่องของพวกคุณมราฉันมองเห็นได้จากการต่อสู้ พวกคุณยังคงผิดพลาดกับเทคนิคง่ายๆ แบบนี้ ไม่มีใครเลยที่บรรถุถึงความเชี่ยวชาญของเทคนิคยกเว้นเจสันและเซรอน ฉันเห็นตวามผิดพลาดของพวกคุณ และน่าแปลกที่พวกคุณคว้าชัยชนะมาได้”
กรีลกล่าว
ทุกคนคิดว่าพวกเขาทำได้ดีแล้ว และหลังจากที่ได้รับคำชม พวกเขาก็ได้รับคำติเช่นกัน
‘เราแย่ขนาดนั้นเลยหรอ’
แต่ก่อนที่จะได้คร่ำครวญ กรีลก็ได้จับคู่ให้พวกเขา ในขณะที่กรีลเลือดข้อบกพร่องของเด็กนักเรียนแต่ละคน เจสันก็ต้องการปรับปรุงความเชี่ยวชาญของเทคนิคการต่อสู้ ดังนั้นเจสันจึงเลือกคู่กับ เซรอน
เซรอน กิเออร์ เป็นผู้ชำนาญระดับ 2 ในขณะที่จิตวิญญาณของเขานั้นใหญ่กว่าผู้ชำนาญทั่วไปนิดหน่อย หมายความว่าสัตว์พันธะของเขาอ่อนแอเหมือนกับเจสัน
ความสำเร็จของเซรอนในเทคนิควีโพนรี่ ไนท์ นั้นเกือบจะเชี่ยวชาญเท่ากับเจสัน ในคณะที่เซรอนไม่ได้มองเห็นการไหลมานาแบบเจสัน ท้ายที่สุดเจสันต้องยอมรับว่า เซรอนนั้นมีความเข้าใจที่ฉลาดกว่าเจสันอย่างมาก ซึ่งทำให้เจสันประหลาดใจ เพราะเจสันทั้งมองเห็นการไหลของมานาและยังได้เริ่มการพัฒนาและปรับปรุงสมอง เจสันสงสัยว่าเซรอนทำได้อย่างไร และเรื่องที่แปลกอีกเรื่องคือ
มานาของเซรอนถูกแปลงจากมานาปกติ แต่เจสันไม่พบว่าเซรอนได้รับธาตุหรือความสามารถแบบไหน ทำให้เจสันถามตัวเองว่า เซรอนนั้นมีภูมิหลังเป็นแบบไหนเพราะเสื้อผ้า และเครื่องแต่งกายของเซรอนนั้นมีราคาแพงและยังเห็นว่าเซรอนมีอาวุธวิญญาณอยู่ด้วย
เป็นครั้งแรกที่เจสันเห็นอาวุธวิญญาณ และเมื่อเซรอนหยิบมันออกมา เจสันก็ตกใจราวกับฟ้าผ่า เส้นดายที่เชื่อมระหว่างเซรอนและอาวุญวิญญาณที่สามารถมองเห็นได้ด้วยดวงตามานา แม้มันจะเส้นบางและเจสันก็เริ่มสงสัย
หลังจากที่เห็นว่าเวรอนมีอาวุธวิญญาณ เจสันก็สรุปได้ว่าสัตว์พันธะวิญญาณของเซรอนนั้นไม่ได้ธรรมดาหรืออ่อนแอ แต่มันยังพิเศษอีกด้วย
ดังนั้นความเป็นไปได้จึงเข้ามาในหัวของเจาสัน
‘มีความเป็นไปได้ไหมที่จะมีสัตว์พันธะที่สามารถพัฒนาระบบสมองของเจ้าของ’
ซึ่งสามารถตอบได้ทันทีว่ามันมีสัตว์พันธะแบบนี้แน่นอน
เจสันตื่นแต่เช้า ออกกำลังกายก่อนที่จะอาบน้ำ และเปลี่ยนเป็นชุดนักเรียน วันนี้เป็นวันจันทร์และเป็นวันแรกของเทศกาลงานประลองระดับชั้น มีกฏไม่มากนักสำหรับงานประลองเริ่มต้น และค่อนข้างง่าย การต่อสู้ในชั้นม.4 ในห้องต่างๆ จะมีด้วยกัน 3 รอบ
***เพิ่มเติม เปลี่ยนจากระดับชั้นและชั้นคลาส เป็น ระดับ ม. และห้องต่างๆ แทนนะครับ จากที่เจสันเรียนชั้น 75 จะขอเปลี่ยนเป็นห้องที่ 75 แทน จะได้เข้าใจได้ง่าย ว่าตอนนี้เจสันเรียนอยู่ชั้น ม.4 ห้องที่ 75***
รอบแรกจะต้องต่อสู้กับห้องเรียนที่อยู่ตรงข้ามกัน เมื่อคนใครหลุดออกจากลานประลองหรือไม่สามารถต่อสู้ได้ เด็กนักเรียนคนนี้ก็จะหมดสิทธิ์ในการแข่งขัน
รอบสองนักเรียนห้องท้ายๆ จะสามารถเลือกคู่ต่อสู้ได้ ในขณะที่รอบสามจะเป็นสิทธิ์กรเลือกของนักเรียนห้องแรกๆ
ด้วยเหตุนี้จึงต้องเตรียมกลยุทรและวิธีเอาชนะต่างๆ เพื่อให้ได้ชัยชนะมายังห้องตนเอง แต่ไม่ใช่เรื่องแค่พละกำลังจากร่างกายเท่านั้น แต่รวมถึงจิตใตด้วย ครูประจำชั้นต่างๆ จะไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการแข่งขันได้ กลยุทธ์ การเรียนรู้ ทักษะ วิธีการและความเป็นหนึ่งเดียวมีความสำคัญสำหรับการล่าในอนาคต สำหรับการเข้าร่วมทีมล่าสัตว์
การสื่อสารและความรู้เป็นสิ่งสำคัญในระดับหนึ่ง สำหรับการออกล่าเพื่อการอยู่รอด ห้องที่ 75 ไม่ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับกลยุทธ์เลยตั้งแต่เริ่มเรียนมา แต่ความสามารถในการต่อสู้นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก และถ้าเมื่อจบการแข่งขันหากห้องไหนเหลือจำนวนนักเรียนมากที่สุดจะได้นับการเลื่อนห้องขึ้นไป
ห้อง 75 ต่อสู้กับห้อง 74 ในรอบแรก ถ้าห้องเรียน 75 ชนะจะได้เลื่อเป็นห้องที่ 74 และการแข่งขันก็กำลังจะเริ่มขึ้น ในแต่ละวัน ห้องเรียน 6 ห้องจะต้องต่อสู้กัน
ภายใต้สถานการณ์ปกติจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงลำดับชั้นของห้องโดยมีข้อยกเว้นเพียงเล็กน้อย และเนื่องจากห้อง 75 มีนักเรียนมากกว่าห้องอื่นๆ ถึง 25 คน นั้นคงไม่ยุติธรรมถ้าใช้กกเดียวกับคนอื่นๆ ดังนั้นเด็กทั้ง 25 คนนี้ จึงจะไม่ได้รับอนุญาติในการเข้าร่วมการแข่งขัน
ตัวอย่างเช่น เจสันเองก็เป็น 1 ใน 25 คน แต่เนื่องจากการเอาชนะลีโอ ฮาร์ทได้ ทำให้ลำดับของเจสันนั้นไม่เป็นทางการแถมแกนมานาของเจสันยังพั?นาได้ถึง 4 ระดับ จากตั้งแต่การเริ่มเข้ามาที่โรงเรียนจนถึงตอนนี้ ในขณะที่คนอื่นๆ พัฒนาอย่างช้าๆ และไม่ได้ก้าวกระโดดแบบเจสัน
และเจสันเกือบจะสามารถเอาชนะครูได้ในการต่อสู้ ดังนั้นเจสันจึงไม่ถูกจัดร่วมในกลุ่มนักเรียนที่แย่ที่สุด และจากการส่งงานล่าสัตว์ร้าย เจสันก็ยังเป็นคนแรกของห้องที่ส่งงานได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วัน
และยังมีนักเรียนแปลกๆ อยู่หลายคนที่อยู่ในอันดับที่ไม่ตรงกับความสามารถที่แท้จริงของตัวเองซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนที่เข้ามาโดยสิทธิพิเศษ ถึงแม้จะไม่ได้โดดเด่นภายในห้องแต่ไม่ได้หมายความความสามารถของเด็กพวกนั้นจะต่ำกว่าคนอื่นๆ
ตอนนี้เจสันอยู่อันดับ 200 ภายในห้อง จนกว่าการแข่งขันจะจบลง และเจสันสามารถต่อสู้ได้ทุกรอบหากเขาขนะอย่างต่อเนื่อง เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จ เจสันก้ได้ไปโรงเรียน และระหว่างทางเจสันก็ไม่พลาดที่จะฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ขั้น 2 อยู่เสมอ
เมื่อเจสันเดินเข้าไปในลานประลอง ซึ่งเพื่อนร่วมห้องก็อยู่ที่นั้นแล้ว ขณะที่เจสันมองเห็นดวงตาประมาณ 200 คู่กำลังแสกนตัวเจสันอยู่ และตกใจที่ตอนแรกเมื่อวันศุกร์เจสันอยู่อยู่ระดับ ผ่านไปแค่ 2 วันเจสันก็มาสู่ระดับ 9 แล้วและแกนมานาเจสันตอนนี้ก็ใกล้เคียงกับเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ แล้ว
เจสันรู้ว่าตัวเองนั้นต้องต่อสู้กับเด็กนักเรียนแบบไหน และตอนนี้เจสันสามารถเอาชนะนักเรียนที่อยู่ในขั้นผู้ชำนาญระดับเริ่มต้น(ระดับ 1-3) ของห้อง 74 ได้ ความแตกต่างระหว่างมือใหม่ระดับสูงและผู้ชำนาญระดับเริ่มต้นนั้น ความแข็งแกร่งต่างกันถึง 30%-50% แต่ถึงอย่างนั้นเจสันก็มั่นใจ
เจสันสามารถต่อสู้กับเกร็กได้แบบตัวต่อตัว ในตอนที่เกร็กจำกัดพลังเอาไว้ แต่เกร็กก็ได้รับการเสริมพลังจากทอรัส ทำให้ความสามารถในการต่อสู้สูงขึ้นถึงแม้จะจำกัดพลังให้เท่ากับเจสัน แต่เกร็กนั้นหัวไม่ได้ดี เจสันจึงต้องใช้กลยุทธ์ต่างๆ ในการต่อสู้
ในระหว่างที่รอการแข่งขันเด็กนักเรียนทุกคนได้ดูดซับมานาเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ และห้องต่างๆ ก็ถูกแบ่งไว้อย่างชัดเจน แต่คนจ้องหน้ากันด้วยจิตวิญญาณแห่งการแข่งขัน ไม่มีใครอยากยอมแพ้
เมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม กรีลเดินเข้ามาในลานประลองและมีชายวัยกลางคนยืนอยู่ข้างๆ เจสันมองด้วยดวงตามานาและเห็นว่าชายคนนั้นมีมานาเหลวเพียงเล็กน้อย และยังน้อยกว่าไบรอันซะอีก ครูประจำชั้นของห้อง 74 อ่อนแอกว่าไบรอัน ทำให้เจสันรู้สึกขบขัน
เื่อนักเรียนต่างๆ เห็นครูประจำชั้นของตัวเองเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ทุกคนก็เงียบกริบ กรีลเป็นคนแรกที่พูด
“วันนี้เราจะมีการแข่งขันของห้องเรียน ในชั้น ม.4 และทุกคนคงจะรู้กฏดี ถ้าไม่มีคำถามใดๆ ก็สามารถเริ่มการแข่งขันได้”
นักเรียนห้อง 75 รู้อยู่แล้วว่าครูประจำชั้นของตัวเองนั้นมีความอดทนต่ำ และเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ก็ตกใจที่กรีลประกาศเช่นนี้ด้วยตนเอง ในขณะที่การประกาศเริ่มการแข่งขันจะต้องมีการอธิบายอะไรหลายๆ อย่าง แต่กรีลประกาศอย่างสั้นๆ และครั้งเดียวก่อนที่จะประกาศเริ่มการแข่งขัน
การต่อสู้กว่า 200 ครั้ง ที่จะเกิดขึ้นพร้อมกัน นักเรียนจึงจะใช้สีนีอ่อนกับอาวุะของตัวเอง และเมื่อโจมตีคู่ต่อสู้โดนสีนีออนจะติดตามตัว และถ้าสีติดมากจนเกินขีดที่จำกัด คนคนนั้นจะถูกตัดสินว่าตายจาก AI
สีจะมีความผันผวนของมานา ซึ่ง AI จะตรวจจับสิ่งนี้เพื่อระบุว่าคนนั้นเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือ ไม่สามารถต่อสู้ได้อีก จะทำให้การแข่งขันถูกตัดสินทันที
และมันเป็นเรื่องง่ายและปลอดภัยในการแข่งขันที่จะเห็นได้ชัดว่าใครที่โดนโจมตีแล้วและบาดเจ็บเพียงใดจากปริมาณของสี
ทุกคนพร้อมที่จะเริ่มการแข่งขัน เจสันไปที่ลานประลองที่ 200 ซึ่งอยู่ห่างใกล้จากคนอื่นๆ และเป็นไปตามที่คาดไว้ เจสันได้สู้กับนักเรียนที่อ่อนแอที่สุดของห้อง 74
ทุกคนพร้อมที่จะเริ่มต้นเมื่อเจสันไปที่อารีน่า 200 ซึ่งอยู่ห่างจากทุกคนมากที่สุด เด็กคนนั้นลังเลที่จะต่อสู้เพราะดวงตาที่เย็นชาของเจสัน แม้ว่าจะมั่นใจว่าสามารถเอาชนะเจสันได้ เพราะเจสันอยู่อันดับสุดท้ายของห้อง 75 แต่เด็กคนนั้นกลับเกิดความหวาดกลัวอย่างน่าประหลาด
เจสันเดินเข้าใจคู่ต่อสู้และตั้งกระบวนท่าของเทคนิควีโพนรี่ ไนท์ และรอสัญญาณเริ่มการต่อสู้
“3……2……1 เริ่มได้”
เมื่อสัญญาณประกาศขึ้น เจสันก็หยิบมีดขวางออกมาขณะที่เด็กคนนั้นเอาชนะใจตัวเองต่อความหวาดกลัวและพุ่งเข้าหาเจสันด้วยดาบสั้นที่จะฟันไปที่เจสัน
***อธิบายเพิ่มเติม คือการต่อสู้อันนี้ก็โจมตีกันจริงๆ นะครับ เพียงลงสีในอาวุธเพื่อที่ AI จะได้ตรวจสอบสถานะการบาดเจ็บได้ว่าอยู่ในระดับไหน เพื่อที่จะได้ตัดสินได้ เพียงแค่นั้น ***
เจสันอธิบายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นกับแกนมานาและวิธีที่เพิ่มขึ้นใน 2 ดับอย่างรวดเร็ว และยิ่งไปกว่านั้น กาเบรียลลาและมาร์คเองก็คงรู้อยู่และแต่ทำไมถึงไม่ถามเจสันเลย
เจสันยังไม่รู้ว่า กรีลนั้นได้โทรบอกกาเบรียลลาและมาร์คในสิ่งที่เจสันได้ทำในระหว่างที่พักอยู่ที่โรงเรียนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่เจสันกลับมาในสภาพมอมแมมในวันนั้น ทำให้กาเบรียลลาและมาร์คตกใจมาก และเป็นห่วงว่าเจสันเป็นอย่างไร มาร์คนั้นค่อยๆ ใกล้ชิดกับเจสันมากขึ้นและเริ่มรู้สึกว่าเจสันนั้นเหมือนลูกคนหนึ่ง แต่เพียงแค่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แบบกาเบรียลลา
เมื่อมาเลียได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเจสันในขณะที่มาร์คและกาเบรียลลาพูดคุยกันถึงเจสัน ทำให้เธอตกใจมากกว่าทั้ง 2 ดังนั้นมาเลียจึงคอยดูแลเจสันตอนที่เจสันนอนหลับไปในวันนั้น และในวันศุกร์มึงมาร์คและกาเบรียลลาเห็นว่าเจสันตื่นขึ้นมา ทั้งคู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และทั้ง 3 อย่างคงกังวลเกี่ยวกับสุขภาพจิตของเจสัน
ในขณะที่เจสันลากเกร็กออกไปฝึกซ้อม ทั้ง 3คนก็คอยจับตาดูอย่างระมัดระวัง และเมื่อสักพักกรีลได้โทรบอกมาร์คเกี่ยวกับจิตสังหารของเจสัน ดูเหมือนจะควบคุมไม่ได้ ทำให้ทั้ง 3 เป็นห่วงทั้งเจสันและเกร็กว่าจะเกิดอะไรขึ้น
แต่ทั้ง 3 ก็เข้าใจว่า เจสันและเกร็กนั้นไม่คอยมีปัญหาขัดแย้งกันเหมือนกับไบรอันและเจสันในตอนแรก และก็เห็นว่าเจสันนั้นใช้มานาครุมกริชเพื่อให้มันทื่อเพื่อป้องกันเผื่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
ในขณะที่ต่อสู้ เกร็กสังเกตว่าการโจมตีของเจสันนั้นรุนแรงขึ้นและการเคลื่อนไหวของเจัสนก็ต่างไป เกร็กไม่สามารถโต้กลับเจสันได้
เกร็กได้ขมวดคิ้วและยิ้มอย่างเจ้าเลห์
“ตอนนี้ระดับของเราทั้งสองคนก้อยู่ใกล้ๆ กันแล้วสินะ ฮ่าๆ “
เกร็กพูดพลางหัวเราะ และเจสันก็ยิ้มตอบเช่นกัน
‘ในที่สุด’
เจสันคิดและยิ้มกว้างออกมา
ก่อนหน้านี้เจสันรู้สึกถึงความห่างระดับของเกร็กและตัวเองแต่ตอนนี้มันต่างกันแล้ว ความสามารถของเจสันเริ่มอยู่ในระดับเดียวกับเกร็ก
เจสันยังไม่คุ้นเคยกับเทคนิควีโพนรี่ ไนท์อย่างเต็มที่ ในขณะที่เกร็กสามารถควบคุมการไหลของมานาได้แม่นยำกว่า แต่เจสันก็สามารถปรับตัวได้ในขณะที่เกร็กเหนือกว่าเล็กน้อย
การใช้เทคนิคในการใช้มานาช่วยเสริมการเคลื่อนไหว เป็นเทคนิคการต่อสู้ที่ไม่มีวันเหน็ดเหนื่อยจากการเคลื่อนไหว แต่ระดับมือใหม่จะสามารถใช้เทคนิคได้ไม่เกิน 2 นาทีเนื่องจากปริมาณมานา
แต่ตอนนี้ผ่านไปกว่า 4 นาที และเจัสนเริ่มชะลอการใช้เทคนิค เพราะมานากำลังจะหมด และเกร็กเองยังมีปัญหาในการจัดการมานา ปัญหาของเกร็กก็คือ การจดจ่อกับการดูดซับมานามากเกินไป ในขณะที่ใช่การดูดซับมานาแบบพาสซีฟ ทำให้เกิดช่องโหว่ และเจสันใช้โอกาสนั้นในการโจมตีซึ่งทำให้เกร็กเสียสมาธิอย่างมาก
***เพิ่มเติม อธบายขั้นตอนการดูดซับมานานะครับ วิะีการดูดซับแบบปกติน่าจะมี 2 แบบ คือการนั่งสมาธิและดูดซับเหมือนที่เจสันทำเมื่อก่อน และใช้เวลานานกว่าจะดูดซับเสร็จ กับอีกแบบคือแบบพาสซีฟ ที่ร่างกายสามารถดูดซับได้อย่างต่อเนื่องถึงแม้จะทำอย่างอื่นอยู่ แต่ก็ต้องใช้สมาธิเหมือนกัน แต่ปกติคนที่เก่งมันก็จะกลายเป็นนิสัยติดตัว ร่างกายจะดูดซับเองเมื่อชินกับการดูดซับแบบพาสซีฟ เกร็กที่ไม่ได้ชำนาญขนาดนั้นจึงยังต้องตั้งสมาธิบางส่วนที่จะดูดซับ ***
แต่ในที่สุดเกร็กชนะ ในขณะที่หอบอย่างหนักด้วยคาวมเหนื่อยล้า ในขณะที่เจสันเองก็หอบเหนื่อยแต่ก็มีรอยยิ้มบนใบหน้า ในขณะที่นึกถึงจุดบกพร่อง
เจสันมองเกร็กด้วยตาที่เป็นประกายขณะที่เหงื่อชุ่มตัว เกร็กรู้สึกหงุดหงิดกับสมาธิของตัวเอง และรอยยิ้มบนใบหน้าของเจสันนั้นดูน่ากลัวสำหรับเกร็ก ทำให้เกร็กรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ในขณะที่เห็นว่าแววตาของเจสันดูผิดปกติไปจากเดิม ทำให้เกร็กรู้สึกกังวล
“มาดูดซับมานากันเถอะ เกร็ก !”
เจสันมองเกร็กด้วยสายตาอ้อนว้อน ซึ่งตอนนี้มันดูปกติแล้วสำหรับเกร็ก เกร็กขมวดคิ้วเพราะไม่สามารถปฏิเสธเจสันได้
สัปดาห์ต่อมาเป็นสัปดาห์ที่หนักหนาสำหรับเจสันและมีบางสิ่งเกิดขึ้น สกอร์พิโอกินทุกอย่างที่ขวางหน้า และมันโตเร็วมาก ตอนนี้มันมีขนาด 13 เซติเมตร และเริ่มที่จะกลายพันธุ์โดยไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่ามันจะหยุดเติบโต ตอนนี้มันกลายเป็นสัตว์ร้ายระดับ 4 ดาว
พลังวิญญาณของเจสันตอนนี้มี 10.3 หน่วยแล้ว และสกอร์พิโอก็กลายเป็นสัตว์ 4 ดาว ที่เหลือคือการฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ขั้น 2
เจสันไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลังจากที่เข้าสู่ระดับ 8 ได้ไม่นาน เขาก็กำลังจะเข้าสู่ระดับ 9 ในอีกไม่ช้า นี้ต้องขอบคุณการดูดซับมานาของจิตที่แยกออกมา อย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
***เพิ่มเติม การดูดซับมานาสำหรับการพัฒนาแกนมานากับการดูดซับมานาที่เอาออกมาใช้มันคนละอย่างกันนะครับ คือดูดซับเหมือนกันแต่กักเก็บไว้คนละส่วนเพียงเท่านั้น โดยสำหรับการพัฒนาแกนจะดูดซับมานาเข้าแกนมานา แต่ถ้าดูดซับมาใช้จะดูดซับเข้าบ่อมานาภายในร่างกาย***
ด้วยความมุ่งมั่นของเจสัน การที่จะไปถึงระดับ 9 เจสันดูดซับมานาเข้าแกนมานาอย่างขยันขันแข็ง และความเร็วในการดูดซับนั้นก็เพิ่มมากขึ้น และในที่สุดเจสันก็อยู่ในระดับ 9 ระดับขั้นสูงของมือใหม่แล้ว เจสันดีใจอย่างมาก
การที่จะพัฒนาเข้าสู่ระดับผู้ชำนาญนั้นต้องใช้เวลามากพอสมควรและยากกว่ามาก ในเย็นวันเสาร์เจสันอ่านเทคนิคนรกสวรรค์ขั้น 2 หรือที่เรียกว่า เฮลิกซ์ และความเจ็บปวดนั้นจะเพิ่มมากขึ้นกว่าในขั้นแรก
และต้องแบ่งด้ายวิญญาณออกเป็นสองเส้นและพันให้เป็นเกลียวเดียว และต้องพันเกลียวด้วยด้ายวิญญาณทั้ง 2 เส้นอย่างระมัดระวัง แต่เจสันสามารถควบคุมพลังวิญญาณได้อย่างดีเยี่ยมและจากการใช้เทคนิคนรกสวรรค์วันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 3 เดือน จึงทำให้สามารถทำได้ไม่ยากนัก
ไบรอันเหงื่ออย่างมาก และการหายใจได้แปรปรวนและจากปลดปล่อยแรงกดดันอันมหาศาลจากพลังเวทย์ทั้งหมดที่มี
เมื่อคิดได้ไบรอันตกใจมากที่ปล่อยพลังขนาดนั้นออกมา ในขณะที่กำลังแค่ต่อสู้กับเด็กนักเรียนที่อยู่ในระดับมือใหม่เท่านั้น
‘แย่ละ เราทำอะไรลงไป’
แต่เมื่อมองไปที่เจสันที่ดูปกติดี ไบรอันก็โล่งใจหน่อยๆ ที่เจสันไม่ได้เป็นอะไร
เพื่อนของเจสันต่างตกใจเป็นอย่างมาก จากจิตสังหารที่รุนแรง และเจตนาการสังหารที่สามารถมองเห็นอย่างชัดเจนของเจสัน ทำให้ทุกคนต่างกลัวและไม่กล้าที่จะยั่วยุเจสันอีก
และหากมองใกล้ๆ ที่คอของไบรอันจะพบบาดแผลที่ไม่ลึกมาก จากการโจมตีเฉียดฉิวของเจสัน ไบรวิ่งไปหาเจสันหลังจากปล่อยพลังออกไป และถามว่าเจสันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง และเจสันก็ได้บอกว่าไม่เป็นไรพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยน
แรงกดดันที่ถูกปลดปล่อยจากพลังเวทย์ของผู้เป็นระดับผู้วิเศษนั้น ไม่ใช่เรื่องตลก มันรุนแรงจนถึงขนาดที่คนที่อ่อนแอสามารถช็อคจากแรงกดดันและตายได้
‘เด็กคนนี้เพิ่งปล่อยจิตสังหารและตั้งใจที่ฆ่าฉันเมื่อตะกี้ แท้ ทำไมตอนนี้ดูราวกับเป็นคนละคน’
ไบรอันคิด
แต่ถึงอย่างนั้นไบรอันก็ได้ยอมรับความสามารถในการต่อสู้ของเจสัน เพราะถ้าเขาไม่ปลดปล่อยพลังออกมา ไบรอันคงโดนเจสันฟันคอด้วยมีดเล็กๆ นั้น
ไบรอันสงสัยว่าทำไมเจสันถึงสามารถปลดปล่อยจิตสังหารขนาดนั้นได้ในขณะที่อายุเพียงแค่นี้ เพราะถึงแม้คนที่อยู่ในขั้นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางยังไม่สามรถปล่อยจิตสังหารที่น่ากลัวขนาดนี้
***เพิ่มเติม จิตสังหารในเรื่องนี้จะบ่งบอกถึงความสามารถในการสังหารได้ ยิ่งมีมากเท่าไหร่ แสดงว่าอัตราการที่จะสังหารสำเร็จยิ่งมีมาก อย่างที่เจสันได้ปลดปล่อยออกมาไบรอันรู้ดีว่าถ้าไม่ปล่อยพลังทั้งหมดที่ตัวเองมีออกมา เขาจะถูกเจสันฆ่าในพริบตาเดียว ***
ไบรอันยังคิดอีกว่า ในอนาคตของเจสันต้องกลายเป็นคนที่มีควาวสามารถที่น่าสะพรึงกลัว และความคิดที่คิดว่าเจสันเป็นคนขี้เกรียจก็ได้หายออกไปจากหัวของไบรอันทันที
หลังจากจบการต่อสู้ เจาสันก็เอาสกอร์พิโอที่เจสันวางไว้ก่อนจะต่อสู้ ขึ้นมาบนไหล่อีกครั้ง หลังในตอนที่เจสันนั้นปล่อยจิตสังหารออกมา สกอร์พิโอก็มีแววตากลายเป็นสีแดงและในช่วงเวลานั้นเองสกอร์พิโอก็มีความกระหายเลือดเช่นเดียวกับตอนที่เจสันกำลังคลั่ง
แต่สุดท้ายก็โชคดีที่เจสันฟื้นคืนสติก่อน และหลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มพูดคุยกันถึงเรื่องนี้กันอย่างวุ่นวาย และใช้เวลาสักพักกว่าที่ไบรอันจะควบคุมสถานการณ์ได้ หลังจากที่ทุกคนเงียบลง ไบรอันก็ตัดสินใจที่จะให้นักเรียนทั้งหมดจับคู่กับเพื่อฝึกฝน และเนื่องจากภายในห้องนั้นมีจำนวนที่ไม่พอดีกัน
ไบรอันจึงเข้าไปเพื่อเป็นคู่ของใครคนหนึ่ง และคนคนๆ ก็คือเจสัน ที่ไม่มีใครกล้าจับคู่ด้วย ไบรอันมองเข้าไปในดวงตาของเจสัน ตอนนี้มันเต็มไปด้วยความอ่อนโยนผิดจากตอนต่อสู้ ทำให้ไบรอันรู้สึกไม่สบายใจเล็กในที่ปล่อยพลังใส่เจสันขนาดนั้น
“ผมไม่เป็นไรครับ ถ้าครูไม่ทำแบบนั้นผมคงฆ่าครูไปแล้ว”
เจสันพูดอย่างใจเย็น
ไบรอันได้แต่รับคำพูดจากเจสัน และเริ่มสอนเกี่ยวกับเทคนิควีโพนรี่ ไนท์ และสอนการเคลื่อนไหวทุกประเภทให้
*** เพิ่มเติม เทคนิคนี้มันมาจากคำว่า Weaponry Knight นะครับแต่ขอพิมพ์ว่า วีโพนรี่ ไนท์ แทนมันจะได้อ่านง่ายๆ นะครับ ***
เจสันมองการเคลื่อนไหวด้วยตามานา ทำให้เห็นการไหลเวียนของมานาที่ลื่นไหลไปกับท่วงท่าของไบรอัน ทำให้เจสันเข้าใจมันมากขึ้น หลังจากลองทำเพียงไม่กี่ครั้ง เจสันก็เข้าใจในขั้นแรก และไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เจสันก็เข้าใจมันอย่างลึกซึ้งทำให้ไบรอันตกใจอย่างมาก
`อัจริยะ!!`
ไบรอันคิด
ไบรอันไม่รู้ว่าภูมิหลังของเจสันเป็นเช่นไร ในตอนแรกไบรอันคิดว่าเจสันอาจจะมีครอบครัวคอยสนับสนุนสิ่งต่างๆ ให้ และภายหลังไบรอันก็พบว่าเจสันเป็นเพียงเด็กกำพร้าและเคยตาบอดมาก่อน ดังนั้นไบรอันจึงสงสัยว่าเจสันจะสามารถพัฒนาตัวเองไปได้ถึงไหน ในขณะที่ไบรอันมาสอนแทนกรีลใน 10 วันนี้
**
ในช่วงบ่ายเกือบเย็น เจสันในฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ภายในรถรับส่ง ขณะที่กลับบ้าน และหลังจากฝึกเสร็จก็นั่งทบทวนเทคนิควีโพนรี่ ไนท์ อย่างขนัยขันแข็ง ในขณะที่ไบรอันได้พูดคุยและเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในกรีลได้ฟัง
บ่ายวันศุกร์ หลังจากฝึกเทคนิค Heaven’s Hell ภายในรถรับส่ง เจสันกำลังอ่านเทคนิค Weaponry Knight อย่างขยันขันแข็ง
ในขณะเดียวกัน ผู้สอนไบรอันบอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับมิสเตอร์เกรลที่กังวลเล็กน้อยหลังจากได้ยินว่าเจสันสรุปเจตนาฆ่าขั้นสูงประเภทหนึ่ง เกือบจะฆ่าไบรอัน
ในขณะที่กรีลได้ฟัง และได้รู้ว่าเจสันยังสามารถเข้าใจเทคนิคที่ไบรอันสอนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งกรีลไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร
ผู้ที่มีดวงตามานานั้นสามารถอ่านการไหลของมานาได้ง่ายดาย จึงง่ายที่จะเรียนรู้เทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการใช้การไหลของมานาในการช่วยในการเคลื่อนไหว
แต่จิตสังหารที่หลุดออกมา ทำให้กรีลต้องช่วยเจสันในการควบคุมสติและจิตใจ ในช่วงที่เขากลับมาสอน เพราะมันอาจจะเกิดขึ้นเพราะความเจ็บปวดที่เจสันต้องเผชิญในตอนแยกจิต ทำให้เกิดการกระตุ้นสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดอย่างสุดขีด ทำให้กรีลนั้นรู้สึกผิดแต่นั้นก็ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน
โดยปดติและต้องใช้เวลานานมากและต้องต่อสู้เก็บประสบการณ์ที่มากมายกว่าจะสามารถปล่อยจิตสังหารได้ จิตสังหารของเจสันนั้นมันเข้มข้นและน่าสะพรึงกลัว ซึ่งไบรอันได้กล่าวมามันแสดงออกมาพร้อมกับความตั้งใจที่จะฆ่าอย่างจริงจัง
ไบรอันยังกล่าวอีกว่าจิตสังหารของตัวเขาเองนั้น ยังเทียบไม่ได้กับเจสัน ทั่งคู่สังสัยและกังวลเดียวกับความเก่งกาจของเจสันและอารมณ์ในบางช่วงที่ไม่อาจคาดเดาได้ ทั้งสองจึงเริ่มวางแผนที่จะจัดการและควบคุมเจสัน
และท้ายที่สุดทั้งสองจึงให้เจสันได้เรียนรู้เทคนิคไปก่อนในตอนเช้า ในขณะที่ช่วงบ่ายทั้งคู่จะสอนเจสันเรื่องการควบคุมและความเข้าใจเกี่ยวกับจิตสังหารและวิธีจัดการกับมันและควบคุมด้วยตนเอง
เจสันยังคงอ่านเทคนิควีโพนรี่ ไนท์ อยู่ที่บ้าน และดูเหมือนว่าเจสันจะสามารถเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ความคิด ความเข้าใจที่มีเพิ่มมากขึ้น แต่เจสันยังสามารถอ่านและจดจำทุกอย่างได้ในเวลาสั้นๆ
ความสำเร็จนี้เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมาก รวบถึงการดูดซับมานาอย่างต่อเนื่องจากการแยกจิตออกมา เมื่อเทียบกับการที่ต้องนั่งดูดซับมานาด้วยตัวเองในเวลา 3 ชั่วโมง กับการดูดซับมานาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันโดยไม่ต้องทำอะไรเลย ทำให้เจสันสามารถฝึกฝนและมีวลาทำอย่างอื่นมากยิ่งขึ้น
เมื่ออยู่บ้านเจสันอยากทดสอบว่าการดูดซับมานาอย่างต่อเนื่องนั้นมีประโยชน์ขนาดไหน ผลคือเมื่อเจสันดูดซับมานาด้วยตนเองนั้น มันทำให้การดูดซับมานานั้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก และอีกไม่นานเจสันจะมีระดับเทียบเท่ากับเพื่อนคนอื่นๆ ในระดับชั้น
ตอนนี้เหลือเพียงอย่างเดียวที่เจสันต้องจัดการ คือการควบคุมอารมณ์เมื่อปลดปล่อยจิตสังหารออกมา เจสันรู้ว่าสิ่งนี้เป็นปัญหา
ทุกวันที่ผ่านมาเจสันยังคงสงสัยเกี่ยวกับการตายของแม่ และเมื่อแข็งแกร่งจนถึงขีดสุด เจสันจะไปถามครอบรัวเซอร์รัส ว่าใครคือคนที่ฆ่าแม่ของเขา
แต่ถ้ารู้แล้วเจสันก็คิดว่าจะต้องทำอะไรซักอย่าง ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าต้องทำอะไร คนที่ฆ่าแม่ของเขาไม่พอใจอะไร หรือเพียงเพราะอาจจะทำ ?
ตอนนี่เจสันไม่สามารถฟุ้งซ่านได้ ไบรอันได้เคยแสดงลำดับแรกของเทคนิคการต่อสู้ได้เจสันดู เมื่อทบทวนจนเสร็จ เจสันต้องการเกร็กที่จะมาเป็นคู่ฝึกซ้อมให้กับเขาได้ หลังจากเดินตามหาเกร็ก เจสันก็พบมาเลียและกาเบรียลลากำลังทำข้าวเย็น เมื่อเจสันสังเกตว่านี้เป็นเวลาของมื้อเย็นแล้ว เจสันจึงตัดสินจะช่วยทั้งสองทำอาหารเย็นด และค่อยฝึกกับเกร็กเมื่อกินอาหารเย็นเสร็จ
เจสันไม่ใช่คนพูดมาก ต่างกับมาเลียและกาเบรียลลา ในตอนแรกเจสันคิดว่ากาเบรียลลาไม่ใช่คนพูดเยอะ เพราะใบหน้าที่เรียบเฉย แต่เมื่อได้มาอยู่ด้วยก็พบว่ากาเบรียลลาเป็นคนที่ชอบการพูดคย เมื่อเตรียมอาหารเสร็จแล้ว มาร์คและเกร็กก็เดินลงมา
หลังจากกินอาหารเสร็จ เจสันก็ลากเกร็กไปฝึกต่อสู้ เกร็กปกติจะเป็นคนที่บ้าการต่อสู้มากแต่ดูเหมือนว่าเกร็กจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย เกร็กรู้สึกตกใจเมื่อสังเหตเห็นว่าเจสันนั้นได้เป็นมือใหม่ระดับ 8 แล้ว
“เจสัน !!!!! นาย อยู่ระดับ 8 แล้ว ??!!”
เกร็กพูดอย่างตะกุกตะกักด้วยความตกใจ
‘เร็วเกินไปรึเปล่า เจสันโกงหรือใช้อะไร ทำไมถึงได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว’
`เขาเร็วเกินไปหรือเปล่า??? เขาโกงหรือเปล่า!!?!`
เมื่อทุกคนมารวมตัวกัน เจสันก็เดินตามหลังทุกคนไป ขณะที่ทั้งหมดกำลังเข้าแถวหน้ากระดานเป็นวงกลมโดยมีไบรอันอยู่ตรวงกลาง นี้เป็นครั้งแรกที่เจสันได้มองเห็นผู้สอน เขามีผมสีน้ำตาล และมีใบหน้าที่ไม่หล่อเท่าไหร่ ดูราวๆ น่าจะอายุ 30 ปี แต่ในยุคปัจจุบันไม่สามารถดูได้จากรูปลักษณ์ภายนอก
เมื่อสังเกตมากขึ้น เจสันก็ได้เห็นว่าไบรอันมีอันเป็นผู้วิเศษในระดับเริ่มต้นด้วยมานาเหลวเพียง 3-4 หยดในแกนมานา ซึ่งถือว่าโอเค เจสันสงสัยว่านี่คือความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยนของครูในโรงเรียน บางทีอาจจะมีเพียงอาจารย์ใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดแต่คงยังไม่ถึงผู้วิเศษระดับสูงใช่ไหม?
เจสันไม่รู้อะไรมากนั้น แต่การคาดเดาของเจสันก็ถูกต้อง
การอยู่ในขั้นผู้วิเศษถือเป็นจุดแข็งของครูในโรงเรียน ในขณะที่ระดับผู้วิเศษขั้นสูงนั้นส่วนมากเป็นครูชั้นสูงสำหรับหลักสูตรพิเศษของโรงเรียนและมีค่าแรงที่สูงมากและมีสิทธิ์พิเศษมากมาย
เมื่อทุกคนมารวมตัวกัน ไบรอันได้ตั้งคำถามต่างๆ เดี่ยวกับเทคนิคระดับ 1 ที่เด็กนักเรียนได้เรียนรู้ตลอดทั้งสัปดาห์ หรือที่เรียกว่าเทคนิควีโพนี่ ไนฟ์
เทคนนิคนี้เน้นไปที่การต่อสู้ระยะประชิดด้วยดาบ หอก ขวานและอาวุธหลากหลาย ในขณะที่มีดสั้น ธนูและรูปแบบการต่อสู้อื่นๆ ไม่ได้รับความสนใจที่จะใช้กับเทคนิคนี้
แต่ก็ยังคงใช้กับเทคนิค วีโพนี่ ไนฟ์ได้ แต่ศักยภาพจะลดลงเมื่อเทียบกับอาวุธเฉพาะ ขณะที่เจสันฟังไบรอัน และสังเกตุได้วามีดสั้นของเจสันนั้น ค่อนข้างยาวและเกือบจะเทียบได้กับดาบสั้นซึ่งหมายความว่าเขาสามารถใช้เทคนิคนี้ได้
ไบรอันสังเหตว่าเจสันได้ตั้งใจฟัง ความโกรธจึงค่อยๆ ลดลง เขาเป็นผู้สอนที่มีวุฒิภาวะแต่ก็มีความททะเยอทะยาน และสอนนักเรียนอย่างขันแข็ง ตราบใดที่นักเรียนตั้งใจเรียน ไบรอันก็พร้อมที่จะช่วยเหลือนักเรียนของเขาเสมอ
หลังจากที่ถามคำถามนักเรียนเสร็จแล้ว เขาก็เริ่มอธิบายรายละเอียดที่สำคัญและหันไปมองเจสันที่กำลังตั้งใจฟัง เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของเจสัน ไบรอันก็ประหลาดใจในทันทีที่เห็นดวงตาสีทองนั้น ซึ่งมันไม่ธรรมดา และเขาเกือบจะรู้ในทันทีว่ามันคือลักษณะพิเศษที่หาได้ยาก
หลังจากคิดอยู่สักครู่ ไบรอันก็ถามคำถามที่สงสัยมาตลอด แม้ว่าบางคนจะคิดว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่หยาบคาย
“คุณ คนนั้นนะ ทำไมคุณถึงไม่เข้าเรียนตลอดทั้งสัปดาห์นี้ คุณพลาดบทเรียนที่สำคัญและเพื่อนๆ ของคุณก็เรียนนำหน้าคุณไปมากแล้วนะ ในความเข้าใจของเทคนิควีโพนี ไนฟ์ นอกจากนี้ด้วยเหมือนแกนมานาของคุณจะอ่อนแอที่สุดในชั้นรียน กรีลได้บอกฉันว่าคุณจะไม่มาเรียนในสัปดาห์นี้เพราะเหตุการณ์บางอย่าง แต่การแข่งขั้นของคลาสจะเริ่มในอีก 10 วัน และคุณจะกลายเป็นตัวถ่วงของเพื่อนๆ คุณได้นะ”
เจสันขมวดคิ้วเล็กน้อยและรู้ว่าไม่ควรพูดความจริง เจสันไม่ชอบไบรอันเพราะดวงตาของไบรอันไม่น่ามอง ดังนั้นเจสันจึงรู้สึกรำคาญไบรอันอย่างยิ่ง
“ผมนอน”
เจสันพูดแบบห้วนๆ อย่างไม่สนใจ
เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ก็อยากรู้ว่าเจสันไปทำอะไรมาตลอดทั้งสัปดาห์ แต่เมื่อได้ยินเจสันพูดว่า ‘นอน’ นักเรียนบางคนเกือบจะเป็นลมกับคำตอบของเจสัน
ไบรอันสงบสติขณะที่กำลังโกระ
‘เขาขี้เกียจนี่เอง และอยากทำให้เพื่อนๆ แบกภาระมากขึ้นงั้นหรอ ? ทำไมเขาถึงเข้ามาเรียนโรงเรียนนี้ได้ หรือว่าโรงเรียนเราตกต่ำถึงขนาดนี้ ?’
นี่คือสิ่งที่ไบรอันคิดขณะเดินเข้าไปใกล้เจสัน
“ถ้าเธอเอาแต่นอน เธอคงมีแรงพอที่มาเป็นคู่ต่อสู้ของฉันจริงไหม”
ไบรอันถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย เจสันสังเกตว่าตอนนี้เขาอาจจะกำลังทำเรื่องที่ผิดพลาด
เจสันทำได้เพียงมองหน้า ขณะที่ไบรอันพยักหน้าให้
ผ่านไปไม่ถึงนาที ทั้งคู่กำลังยืนตรงข้ามกัน ในขณะที่ไบรอันใจกว้างพอที่จะให้เจสันได้เปรียบใน 1 ระดับ ขณะที่เขาลดความแข้งแกร่งเป็นมือใหม่ระดับ 7
เมื่อไบรอันกล่าวว่าเขาจะลดความสามารถลงให้เป็นมือใหม่ระดับ เพื่อที่จะให้เจสันได้เปรียบกว่า 1 ระดับ ทำให้เพื่อนๆ ของเจสันรู้สึกสับสน มันไม่โกงไปหน่อยหรอ เจสันอยู่แค่มือใหม่ระดับ 6 เองนะ นอกจากนี้เจสันยังมีประสบการณ์ต่อสู้ที่น้อยกว่ามาก จนมีนักเรียนบางคนร้องออกมาด้วยความตกใมจ
“มือใหม่ระดับ 8 เป็นไปได้ยังไง ?!!! “
เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งที่ยืนใกล้กับเจสันมากที่สุดตะโกนขึ้น ขณะที่เขาสแกนแกนมานาของเจสัน
‘ฮะ’
ทุกคนเบิกตากว้าง ขณะที่ปล่อยมานาออกมาเพื่อแสกนดูเจสัน และนักเรียนคนอื่นๆ ก็ร้องด้วยความตกใจ ในความสามารถของเจสันในการเพิ่มระดับแกนมานา ทำให้ทุกคนสงสัยในความสามารถของเจสัน ในความทรงจำของทุกคนเจสันยังเป็นแค่มือใหม่ระดับ 6 เท่านั้นเมื่อสัปดาห์ก่อน
” ได้ยังไงกัน เจสันทำอะไรในสัปดาห์ที่แล้ว ทำไมแกนมานาถึงเพิ่มขึ้นมาถึง 2 ระดับในเวลาสั้นๆ “
บางคนเห็นเจสันเมื่อวันอาทิตย์ และตอนนั้นเจสันอยู่เป็นมือใหม่ระดับ 6 อยู่ และตอนนี้ทุกคนกำลังมองเจสันด้วยความประหลาดใจ และคิดว่าเจสันคงได้สมบัติอะไรบางอย่างจากครอบครัว ที่สามารถเพิ่มระดับแกนมานาได้ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเจสันไม่มีญาติที่ไหนแล้ว ยกเว้นพวกเฟลเลอร์ซึ่งก็ไม่ใช่ญาติแท้ๆ ของเจสัน
และพวกเฟลเลอณืเองก็ไม่สมบัติดังกล่าว แม้ว่าจะมีทำไมถึงต้องให้กับเจสันละ เขาก็คงให้ลูกๆ ของตัวเอง เพื่อนร่วมชั้นไม่รู้ถูกความน่ากลัวตลอดทั้งสัปดาห์ของเจสัน ที่ต้องรู้สึกเหมือนตายไปเป็นพันๆ รอบ
ตอนนี้เจสันสงบนิ่ง และเห็นว่าไบรอันกำลังสั่งสอนเขา ไบรอันที่สังเกตุเห็นความวุ่นวายของนักเรียน และก็ได้ยินที่นักเรียนพูดไบรอันก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ
‘ฮะ ? เขาเพิ่มระดับแกนมานาถึง 2 ระดับ ในเวลา 5 วันหรอ ? แต่เขาเป็นเด็กที่ค่อนข้างกังขานัก ฉันแค่จะสั่งสอนเขาให้รู้ว่าควรประพฤติตัวยังไง’
เมื่อทุกคนเริ่มสงบนิ่ง เจสันก็หยิบมีด 2 เล่มออกมาและเข้าสุ่ท่าพื้นฐาน ไบรอันตั้งข้อสังเกตว่าจุดยืนของเจสัน นั้นไม่มีความบกพร่องใดๆ ในขณะที่พยักหน้าชื่นชม ทำให้เจสันแอบรู้สึกถึงอะไรบางอย่างในใจ
การต่อสู้ได้เริ่มขึ้น เจสันก้มตัวลงและเสริมร่างกายท่อนล่างด้วยมานา เพื่อเพิ่มความเร็วจนถึงขีดจำกัด เจสันยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับการใช้มานาหลลังจากที่เข้าสุ่มือใหม่ระดับ 8 และความแข็งแกร่งที่ได้รับจากสกอร์พิโอ ทำให้เจสันนั้นรวดเร็วกว่าที่ตัวเองคิดไว้
ทั้งคู่อยู่ห่างกันเพียง 30เมตรเท่านั้น และการพุ่งตัวที่รวดเร้วของเจสัน ทำให้เจสันอยู่หน้าไบรอันเพียง 4 เมตรในครู่เดียว ไบรอันไม่หยุดนิ่งที่จะรอให้เจสันโจมตี และทั้งคู่ก็พุ่งเข้าหากัน
เพียง 2 วินาทีต่อมาทั้งคู่ก็มาเผชิญหน้ากัน ขณะที่ไบรอันเหวี่ยงดายยาวใส่เจสันอย่างหนักหน่วงด้วยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งเจสันแทนขะหลบไม่ทัน แต่เจสันก็สามารถหลบได้แบบเชียดชิว ขณะที่เบี่ยงกริซไปตามวิถีดาบของไบรอัน แต่เจสันก็พลาดโดนไบรอันเตะทำให้เจสันเกือบจะเสียการทรงตัว
เจสันกระโดดถอยออกมา เจสันสามารถหลบการโจมตีได้ แต่ก็ได้รับความเสียหายจากการเตะเล็กน้อย ในขณะเดียวกันไบรอันก็รู้สึกประหลาดใจที่เจสันสามารถหลบการโจมตีแบบผสมผสานของเขาได้โดยไม่ยากนัก เนื่องจากเขาคิดว่าเจสันไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ในชีวิตจริงมาก่อน
หากปราศจากประสบการณ์การต่อสู้ เจสันคงไม่สามารถคาดเดาการโจมตีของไบรอัน หรือหลบการโจมตีนี้ได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากการโจมตีที่ต่อเนื่องโดยไม่มีช่องว่างนี้ ไบรอันได้จำกัดพลังไว้ แต่ก็ไม่สามารถจัดการอารมณ์ที่แปรปรวมของตัวเองได้และไบรอันก็คาดไว้ว่าโจมตีนี้ที่แม้แต่มือใหม่ระดับ 9 ก็น่าจะไม่สามารถหลบการดจมตีนี้ได้ แม้แต่ผู้วิเศษคนอื่นๆ คงต้องรับการโจมตีด้วยอาวุธอย่างอื่น
ทันใดนั้นเจสันก็เข้าสู่ดหมดกระหายเลือดหลังจากที่โดนไบรอันเตะ แต่ความเจ้บปวดนี้มันแทบจะเทียบไม่ได้เลยจากการที่ถูกทรมาณที่เจสันต้องทนเมื่อ 2-3 วันก่อน และจิตใจของเจสันได้สั่งให้เขาคิดว่านี้เป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดและการฆ่ามากกว่าการประลอง เจสันยืนขึ้น
ดวงตาที่อ่อนโยน และเห็นอกเห็นใจและสงบนิ่งของเจสัน ได้เปลี่ยนเป็นดวงตาที่ดุร้าย น่าหวาดกลัว และไร้ความเมตตาในดวงตา ทำให้เพื่อนร่วมชั้นต่างตกตะลึง ราวกับว่าดวงตาของเจสันเต็มไปด้วยความโหดร้ายและความปราถานาที่จะฆ่าคู่ต่อสู้
ไบรอันที่กำลังตกใจกับความรวดเร็วของเจสันที่ได้ปรากฏตัวอยู่ข้างหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว ไบรอันได้สัมผัสถึงจิตสังสารที่รุนแรงอยู่ด้านหลัง กำลังจะกำจัดเขาให้สิ้นซาก ถ้าเขาไม่ทำอะไรในตอนนี้
ไบรอันเหงื่ออกในทันที และโชคดีที่ประสาทสัมผัสของเขาไม่ได้ถูกจำกัดให้อยู่ในระดับต่ำตามความสำมารถที่ไบรอันได้จำกัดไว้ ไม่อย่างนั้นไบรอันอาจจะตายโดยไม่รู้ตัว
ไบรอันไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ดูเหมือนว่ากำลังโดนไล่ล่าจากความตาย หากจำกัดพลังไว้อย่างนี้ ไบรอันคงทำอะไรไม่ได้ จากนั้นไบรอันจึงปลดปล่อยพลังของผู้วิเศษออกมา และและสร้างแรงกดดัน ซึ่งพัดเจสันปลิวออกไป เจสันได้ฟื้นคืนสติเมื่อถูกแรงกดดัดพัดออกมาจากตัวของไบรอัน และสังเกตว่ามีสิ่งผิดปกติบางอย่างที่อยู่ในใจ เจสันรู้สึกที่อยากจะฆ่าไบรอันหลังจากที่ถูกไบรอันเตะ
การโจมตีของเจสันในครั้งนี้มันรุนแรงจนเกินไป และจิตใจเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดไร้ความลังเลใดๆ ในใจ ที่จะฆ่า สิ่งนี้ทำให้เจสันกลัวตัวเองและต้องบอกกรีลให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์แบบนี้
‘ถ้าคู่ต่อสู้ของเจสันไม่ใช่ครู แต่เป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมชั้น เจสันคงจะฆ่าพวกเขาไปในพริบตา’
สิ่งนี้ทำให้เจสันกลัว
เวลาผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งเจสันได้รวบรวมสติได้เล็กน้อย และคลายมือที่กำลังจับเสื้อของกรีลแน่น เจสันเห็นกรีลร้องไห้ขณะที่กอดเจสัน ทำให้เจสันแปลกใจ
“ฉันขอโทษ”
คำพูดที่ไร้ความกังขา และดูอ่อนแอ เป็นคำพูดแรงที่เจสันได้ยินจากกรีล
กรีลไม่รู้ว่ามันจะเจ็บปวดขณะที่ ในขณะที่เขาหวังดีและอยากช่วยเหลือเจสัน กรีลจึงวางหินเวทย์มนต์ระดับ 4 จำนวนมากเข้าไปในวงเวทย์โดยไม่คำนึงถึงจำนวนปริมาณมานาที่มากมายมหาศาลที่เกือบจะฆ่าเจสัน
ความจริงแล้วกรีลเคยกินผลปีศาจวัลคีรีชิล์ดมาก่อน เพื่อฝึกฝนบางอย่าง แต่กรีลสามารถทนความเจ็บปวดได้เพียง 12 ชั่วโมงเท่านั้น กรีลที่มีพลังและความแข็งแกร่งที่มากกว่าเจสันหลายเท่า กลับเทียบเจสันไม่ได้เลยแม้แต่น้อยในขณะกรีลรู้ว่าเจสันต้องทนความเจ็บปวดที่มากมายขนาดนั้นถึง 60 กว่าชั่วโมง
ในตอนนั้นกรีลไม่อยากแม้แต่จะกินมันอีกเลย ในขณะที่ตอนี้เขากลับยื่นผลไม้ที่น่ากลัวนี้ให้แก่ลูกศิษย์ของเขา และต้องทนกับคาวมเจ็บปวดมากกว่าตั้ง 5 เท่า ที่กรีลได้เผชิญ
เมื่อนึกนึงความเจ็บปวดที่เจสันต้องเผชิญ กรีลได้กอดเจสันอีกครั้งและได้แต่พูดว่า
“ฉันขอโทษ….ฉันขอโทษ….ฉันขอโทษ”
ไปเรื่อยๆ
เจสันยังคงรู้สึกตกตะลึงและใชช้เวลานานกว่าจะดึงสติตัวเองกลับมาได้ จนเสียงของกรีลได้แหบแห้ง
“ผมไม่เป็นไร”
เจสันพูดเบาๆ และเริ่มรู้ว่าทำไมกรีลถึงขอโทษ เจสันสังเหตเห็นหินเวทย์มนต์ระดับ 4 และรู้สึกขอบคุณกรีลที่ใช้หินระดับนี้กับเขา
*** เพิ่มเติม หินเวทย์มนต์กับหินมานาคือหินเดียวกันนะครับ แต่ใช้คำว่าเวทย์มนต์กับในระดับ 3-4 ขึ้นไปเพื่อความขลังของมานาที่มากมายในหิน ***
แต่ตอนนี้เจสันแทบไม่อยากเห็นหินระดับนี้อีกแล้ว อย่างไรก็ตาม เจสันก็เป็นคนที่ต้องการทำแบบนี้เอง ถึงกรีลจะเตือนถึงอันตรายหลายครั้ง
แม้ว่า 2-3ที่ผ่านมา ความเจ็บปวดจะฝังลึกลงในจิตใจไปตลอดชีวิต แต่เจสันก็สามารถสร้างพื้นที่ย่อยได้สำเร็จทั้งๆ ที่ยังอยู่ในขั้นมือใหม่เท่านั้น
ถึงอย่างนั้น เจสันก็ยังไม่ค่อยสบายใจ และสกอร์พิโอที่ตอนนี้ยาว 10 เซติเมตรกำลังพยายามปีนขึ้นเสื้อผ้าของเจสัน เพื่อที่มันจะไปอยู่บนหัวของเจสัน
กรีลคลายการโอบกอดและมองไปที่เจสัน เหลือบดูดวงตาว่ายังมีความมัวหมองหรือความเจ็บปวดอยู่หรือไม่ เมื่อเห็นว่าเจสันดีขึ้นมากกรีลก็สบายใจขึ้น
กรีลช่วยพยุงเจสันขึ้น ขณะที่เจสันกำลังถือสกอร์พิโอ เจสันหมดแรงภายในจิตใจ แต่ยังคงสังเหตเห็นเกราะกระดองของสกอร์พิโอที่มีสีเขียวชอุ่ม และสงสัยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
เมื่อกระตุุ้นดวงตามานา เจสันเห็นว่าแกนมานาของสกอร์พิโอกำลังส่องแสงออร่าสีดำที่หนาแน่น เมื่อกรีลสังเกตว่าเจสันกำลังมองดูแกนของเจ้าพาราสกอร์ตัวนี้
“ฉันต้องบอกคุณว่า บุคลิกของคุณแปลกมา คุรเป็นคนที่ใจร้อนและขี้รำคาญ แต่มันไม่อันตรายเกินไปหน่อยหรอที่ให้สัตว์พันธะกินผลไม้วิเศษ ? “
กรีลถามเจสันขณะที่หยิบกล่องไม้ที่ว่างเปล่าขึ้นมา
“เจ้าพาราสกอร์ตัวนี้ เปิดกล่องไม้ด้วยตัวมันเองและกินทุกอย่างที่อยู่ในนั้นจนหมดเกลี้ยง และมันก็เริ่มลอกคราบ ตอนนี้มันกลายเป็นสีเขียวและฉันรู้สึกว่ามันแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อน และแข็งแกร่งกว่าสายพันธุ์ปัจจุบันของมัน”
เจสันเกาหัวด้วยความอับอาย แต่เจ้าสกอร์พอโิก็ได้กินผลไม้จนหมดแล้ว เจสันไม่สามารถโกหกได้อีก ขณะที่บอกกรีล เกี่ยวกับการทดลองและทฤษฎีที่ได้ค้นคว้าและยังบอกอีกว่าสิ่งที่เจสันได้ทำนั้น เจสันทำด้วยความระมัดระวัง
“มันอาจจะเป็นอันตรายต่อสายใยวิญญาณของคุณทั้ง 2 นะ แต่ก็ช่างเถอะ มันก็ได้ผล แต่ฉันอยากรู้ว่าคุณรู้ได้ยังไงว่ามันจะได้ผล มีคนบอกหรอว่ามันได้รับการพิสูจน์แล้ว ซึ่งมันก็อาจจะเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่มากนะ หรือคุณคุณเพิ่งทดลองมันกับสัตว์พันธะและสายใยวิญญาณของคุณเอง?? เด็กโง่”
กรีลสั่งสอนเจสันเล็กน้อย ก่อนที่จะบอกความจริงว่าทฤษฎีนี้พิสูจน์แล้วว่าเป็นจริงและมันยังเป็นความลับสุดยอดของรัฐบาล มีคนจำนวนไม่มากบนเกาะที่รู้เรื่องนี้ ในขณะที่ผู้คนจำนวนมากตระหนักถึงเรื่องนี้บนคาเนียร์และมันก็ยังถูกกว่า การซื้อสัตว์ร้ายราคาแพง
เจสันยังคงสนใจกับข้อมูลนี้ ในขณะที่กรีลหยุดพูดและหยุดตอบคำถาม กรีบลยังคงเขินอายเพราะได้ร้องไห้ต่อหน้าลูกศิษย์ และกรีลได้บอกเจสันว่าควรกลับบ้านได้แล้วและนอนฟื้นจนกว่าจะดีขึ้นแล้วค่อยมาโรงเรียน
เกือบ 40 นาทีต่อมาเจสันก็ได้กลับมาที่บ้าน และได้รับการต้อนรับจากเฟลเลอร์ ขณะที่พวกเขาเข้ามากอดเจสัน ก่อนที่จะผลักเจสันออกเพราะเสื้อผ้าและเนื้อตัวของเจสันเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกและมีกลิ่นเหม็นมาก ตอนนี้เจสันเหมือนซอมบี้ที่กำลังเดินอยู่ เฟลเลอร์อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาก็เลือกที่จะปล่อยให้เจสันได้มีเวลาส่วนตัวและได้พักผ่อน
เจสันไม่ได้นอนมาเป็นเวลา 10 กว่าวัน ซึ่งรวมเวลาในขณะที่ทำความเข้าใจเทคนิคการแยกจิตในขั้นแรก และตอนนี้เป็นครั้งแรกในช่วงเวลาที่เนินนานที่เจสันจะได้นอนหลับอย่างสบายใจ เจสันล้มตัวนอนบนเตียงที่แสนอุ่น แล้วรู้สึกราวกับว่ามันดูดกลืนวิญญาณเจสันลงไป
ขณะที่นอนหลับ ความเจ็บปวดที่เจสันรู้สึกทำพิธี ก็ได้ปรากฏขึ้นมา และเจสันไม่สามารถตื่นจากฝันร้ายที่มีชีวิตนี้ได้ แม้ว่าจะหลับอยู่ก็ตาม เจสันรู้สึกว่าแขน ขา ของเขาถูกฉีกออก ดวงตาที่เบิกกว้างราวกับว่าจะฉีกขาด หนังที่ถูกถลก และสิ่งเดียวที่ทำได้คือการร้องไห้ เจสันร้องไห้ด้วยความเจ้บปวดและหวาดกลัวแต่เมื่อมันถึงจุดสูงสุดของความเจ้บปวด แสงสีทองก็เข้ามาปกคลุมและคลายความหวาดกลัวและความเจ็บปวดพวกนั้นออกไป
ร่างกายที่กำลังสั่นอย่างรุนแรงก็ถูกปลุกให้ตื่นจากฝันร้าย ในขระที่ตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทันใดนั้นมานาที่ถูกดูดซับไว้จำนวนมหาศาลภายในดวงตา ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่รู้สึกว่าความเจ็บปวดที่ฝั่งลึกในใจได้ค่อยๆ เสื่อมหายไป จนมันไม่สามารถทำอะไรเจสันได้อีก
ราวกับว่าควาทรงจำของความเจ็บปวดได้ถูกจัดเก็บด้วยการปิดตาย และทันใดนั้นเจสันก็รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะคิดสิ่งใดๆ ในขณะที่ล้มตัวนอนอีกครั้งอย่างไร้ความฝัน
*
เจสันไม่แน่ใจว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว เมื่อตื่นขึ้นมาท้องฟ้าก็สว่างแล้ว และเจสันรู้สึกแปลกๆ ไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง จากก่อนที่เจสันจะสร้างพื้นที่ย่อยสำหรับการแยกจิต
เจสันรู้สึกแข็งแกร่งขึ้น เจสันจำได้ว่าก่อนหน้านี้ดวงตาของตัวเองได้ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นจากฝันร้ายที่น่ากลัว เมื่อสัมผัสถึงมานาภายในดวงตา ก็พบว่ามานาเหลวจำนวนมหาศาลได้ถูกใช้จนหมด
ในขระเดียวกันสกอร์พอโอกำลังนอนข้างเจสันๆ และมันถ่ายทอดความหิวส่งไปให้เจสันได้รับรู้ เจสันมองดูที่หน้าจอโฮโลแกรม และตกใจว่ามันเป็นวันศุกร์แล้ว นี่เขาหลับไป 1 วันเต็มๆ เลยงั้นหรอ ตอนนี้เป็นเวลา 10.00 น และเจสันเตรียมตัวที่จะไปโรงเรียน แม้ว่าจะไปสายแต่ก็ต้องไป ตอนนี้เจสันเป็นคนเดียวที่อยู่ในบ้าน และเจสันก็ไม่อยากอยู่คนเดียว นั้นเป็นเหตุผลที่เขาจะไปโรงเรียนในตอนนี้
เวลาประมาณ 10:40 น รถรับส่งมาถึงที่ ระหว่างทางเจสันก็ฝึกเทคนิคนรกสวรรค์อย่างเคย และสังเกตุว่าพลังวิญญาณของเขานั้นมีถึง 9 หน่วยแล้ว
และสังเกตุว่า สกอร์พิโอนั้นโตมเต็มที่แล้วและมีระดับ 3 แล้ว และตอนนี้เจสันขาดพลังวิญญาณเพียงหน่วยเดียว ซึ่งตอนนี้มันไม่เพียงพอสำหรัลอาร์เทมิสและสกอร์พิโอที่กำลังจะกลายเป็นสัตว์ระดับ 4 ดาว เจสันอาจจะเสียการควบคุมพวกมัน
เจสันยังคงประหลาดใจเมื่อเห็นว่าพลังวิญญาณของเขามีถึง 9 หน่วย และนี้เป็นครั้งแรงที่เจสันเพิ่งสังเกตเห็นแกนมานาตัวเองว่ามันอยู่ในขั้นมือใหม่ระดับ 8 แล้ว ซึ่งทำให้เจสันตกใจ ขนาดร่างกายขอแกนมานาของเจสันได้อยู่ในขั้นมือใหม่รัดับ 8 แม้ว่าจะได้พลังจากอารืเทมสิและสกอร์พิโอ 33 % และกำลังจะเข้าสู้ระดับ 9 ในไม่ช้า
เจสันถือสกอร์พิโอตลอดเวลา ในขณะที่เดินเข้าดรงเรียน เจสันเดินมาถึงสนามหญ้า ซึ่งเห็นเพื่อนร่วมชั้นได้จากไกลๆ
‘พวกเขากำลังเรียนเทคนิคศิลปะการต่อสู้กันอยู่หรอ?’
เจสันสงสัยและเดินเข้าไปใกล้ๆ ในขณะที่วางสกอร์พิโอไว้บนไหล่ เจสันเดินเข้ามายันลานประลอง และมีคนสังเกตุเห็นเจสันเดินเข้ามา
“โอ้ เจสัน !!”
ใครสักคนพูดขึ้นและเพื่อนร่วมชั้นก็หันมามองเจสันพร้อมกัน นักเรียนบางคนนินทาทันทีขณะที่มองเจสัน ขณะที่นักเรียนคนอื่นๆ ไม่สนใจเรื่องของเจสัน เห็นได้ชัดว่ากรีลไม่ได้มาสอน และมีครูคนอื่นกำลังสอนอยู่ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และทั้งหมดก็กำลังเรียนรู้เทคนิคศิลปะการต่อสู้ระดับ 1 ที่สามารถใช้อาวุธควยคู่ไปได้ทุกชนิด ทำให้เทคนิคนี้สูญเสียศักยภาพไปบางส่วน
อย่างไรก็ตาม เทคนิคนี้ก็ยังดีกว่าเทคนิคอื่นๆ ที่ไม่สามารถใช้ควบคู่กับอาวุธได้ และนักเรียนหลายๆ คนก็มีความสุขที่ได้เรียนรู้เทคนิคนี้ ครูคนใหม่นี้ชื่อไบรอัน และไบรอันรู้ว่ามีนักเรียนคนหนึ่งของเขา ที่ไม่อยู่ตลอดทั้งสัปดาห์ ซึ่งทำให้ไบรอันรู้สึกโกรธเล็กน้อย
และเขาก็ไม่รู้เหตุผลที่นักเรียนคนนี้ขาดเรียน และไบรอันก็คิดไว้ว่าเด็กคนนี้เป็นคนขี้เกียจ ตอนนี้เป็นวันศุกร์แล้วและตอนนี้เขาก็ได้มาโรงเรียนสักที แถมยังทำให้เพื่อร่วมชั้นเสียสมาธิอีก
“นักเรียนทั้งหมด มารวมตัวกัน !!”
ไบรอันกล่าวประกาศ
ในตอนเริ่มพิธี เจสันไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ และกำลังคิดว่า กรีลนั้นพูดเกินความเป็นจริงถึงผลข้างเคียงจากผลปีศาจวัลคีรีส์ชิล์ เมื่อหมอกและละอองน้ำสีเงินคลุมร่างกายของเจสัน
หลังจากที่ห่อหุ้มอย่างสมบูรณ์และร่างกายของเจสันถูกปิดผนึก เจสันเเริ่มรู้สึกคันตามร่างกายเล็กน้อย และอึดอัด อาการคันเริ่มมากขึ้นเพียงผ่านไปไม่กี่วินาที จากนั้นเจสันเริ่มรู้สึกเหมือนโดนมีดแทงเข้าไปเซลล์ในร่างกาย
เจสันไม่อาจจดจ่อกับการขัดเกลาของสมองได้ หรือมุ่งสมาธิไปที่การแยกจิต เนื่องจากความเจ็บปวดที่แผดเผาเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมเมื่อเวลาเริ่มผ่านไป เจสันไม่ได้รู้สึกเพียงว่ามีมีดมาทิ่มแทงอย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังรู้สึกเหมือนโดนถลกหนังทั้งเป็น ไฟไห้มผิวหนัง อึดอัดเหมือนกำลังจมน้ำ หรือรู้สึกเหมือนร่างกำลังโดนฉีกออก และยังรู้ถึงความเจ็บปวดด้วยวิธีการต่างกว่าร้อยแบบที่กำลังทรมาณเจสัน
เจสันไม่เคยเจ็บปวดมากขนาดนี้มาก่อน
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก ”
เจสันร้องออกมา พร้อมกับเลือดที่ไหลออกจากตา ขณะที่กรีลมองเห็นทุกอย่างจากภายนอก อย่างวิตกกังวล
“โฟกัส เจสัน จงโฟกัสไปในสิ่งที่คุณต้องการที่จะทำ มันจะทำให้ความเจ็บปวดลดน้อยลง”
กรีลพยายามพูดดึงสติของเจสัน ในขณะที่เจสันโดนความเจ็บปวดเข้าปกคลุม ทำให้เจสันไม่ได้ยินเสียงของกรีลเลยแม้แต่น้อย
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เจสันที่จมอยู่กับความเจ็บปวด ยังไม่ได้เริ่มการพัฒนาศักยภาพของสมองหรือการแยกจิต
ในที่สุด หลังจากที่เจสันพยายามรวบรวมความคิดและสติภายใต้ความเจ็บปวด เจสันก็สามารถบังคับมานาเหลวที่อยู่รอบตัว ซึ่งเจสันดูดซับมันทันที เจสันรู้ว่ามันจะต้องเจ็บปวด แต่ไม่คิดว่ามันจะมากมายและทรมาณมากขนาดนี้
โชคดี ที่อย่างน้อยเจสันได้เตรียมใจที่จะรับมันไว้แล้ว มานาเหลวกำลังถูกดูดซับเข้าไปในดวงตาของเจสัน และแสงสีทองเป็นประกายเริ่มที่จะเปล่งประกายออกมา มันส่องสว่างผ่านม่านหมอกที่ปกคลุมตัวของเจสัน
จนกระทั่งกรีลสังเกตเห็นดวงตาที่ส่องประกายของเจสัน จึงดุเหมือนว่าความเจ็บปวดที่เจสันต้องเผชิญนั้น ลดลงเป็นอย่างมาก ทำให้กรีลใจชื้นขึ้นเล็กน้อย
`เขาทำได้!`
ความเจ็บปวดของเจสันถึงแม้จะลดลง แต่มันก็หยั่งลึกเข้าไปในร่างกาย แต่เจสันก็สามารถสงบลงได้ชั่วขณะ ดวงตาของเจสันดูดซับมานาเหลวอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเวลาผ่านไปสักพักเจสันหยุดดูดซับมันเพราะเนื่องจากเขาคิดว่ามันเพียงพอแล้วหลังจากที่ดูดซับมันมาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
หลังจากนั้นเจสันได้ทำการแยกจิตตามคำอธิบายในคู่มือในขั้นตอนแรกอย่างระมัดระวัง จิตใจที่สงบลงของเจสัน ทำให้เจสันสามารถจดจ่ออยู่ในกระบวนการแยกจิตได้อย่างเต็มที่
หลายชั่วโมงผ่านไป ความเจ้บปวดที่กำลังคลาย ได้เพิ่มทวีคูรขึ้นแต่มันก็ไม่สามารถทำอะไรกับเจสันได้อีกแล้ว ถึงแม้ความเจ็บปวดจะเพิ่มขึ้น แต่จิตใจของเจสันยังคงโฟกัสกับการแยกจิตอย่างคงที่
แสงแดดยามเช้าได้ส่องผ่าน หน้าต่าง กรีลยังคงรอเจสันอย่างอดทน และกรีลได้บอกให้ครูคนอื่นไปสอนศิลปะการต่อสู้ให้เด็กนักเรียนของเขาแทน ระหว่าง 2-3 วันนี้ โดยไม่ได้บอกเหตุผล
การที่จะปล่อยเจสันให้อยู่คนเดียวนั้น กรีลไม่สามารถทำได้ แต่นั้นไม่ได้หมายถึงการที่จะบอกคนอื่นว่าเจสันกำลังทำอะไร ถ้ามีคนอื่นรู้ คนอื่นๆ จะมองว่ากรีลนั้นโหดร้ายและป่าเถื่อน ที่ให้เด็กวัยรุ่นที่อยู่ในระดับมือใหม่กินผลปีศาจวัลคีรีส์ชิล์ด ซึ่งมันเป็นเรื่องที่บ้ามาก
และเขาคงถูกเรียกว่าปีศาจ และถูกล่าหัว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจสัน แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว เพราะเจสันกำลังดิ้นรนและแทบจะจดจ่ออยู่กับความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญ
เวลาผ่านไปช้า สำหรับเจสันเหมือนว่าเขากำลังจะตายครั้งแล้วครั้งเล่า เจสันไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว แต่เจสันรู้สึกว่ามันยาวนานเหมือนมันจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีที่สิ้นสุด
สิ่งเดียวที่เจสันยึดมั่น คือเจตจำนงในการแยกจิตแรกให้สำเร็จ เวลาได้ผ่านเลยไป ในที่สุดเจสันก็สามารถปับแต่งสมองของตัวเองจนเสร็จ และรู้สึกว่าความรู้สึก นึก คิด การวิเคราะห์ของเจสันนั้นเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากนี้คือการแยกจิตออกมา
ถ้าเปรียบจิตเหมือนเป็นเค้ก ตอนนี้เจสันสามารถหั่นมันได้เพียง 1/100 และสร้างเอกภาพเป็นของมันเอง ขั้นตอนนี้ยากกว่าขั้นตอนแรก เนื่องจากความเจ็บปวดมันไม่ได้ลดลงเลยและเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเจสันจะแยกจิต
ขณะที่กำลังเสียสมาธิและสติ ดวงตาสีทองของเจสันก็ส่องสว่างอีกครั้ง มันทำให้เจสันสงบลงเล็กน้อย ก่อนที่ความเจ็บปวดจะพุงทยานขึ้นอีกครั้ง เจสันไม่แน่ใจว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว ที่ความเจ็บปวดได้เพิ่มขึ้นหลังจากที่มันคลายลง เจสันเริ่มสร้างพื้นที่สำหรับจิตแยกของเขา
เนื่องจากเจสันผ่อนคลายลงอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่น่าสยดสยองก้ได้พุ่งขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันเจ็บปวดจนเจสันต้องร้องออกมา
เนื่องจากเจสันผ่อนคลาย ความตึงเครียดของเขาจึงคลายลงและความเจ็บปวดที่น่าสยดสยองที่เขาต้องทนตลอดเวลาในสภาพที่อ่อนแอก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งในทันที ทำให้เจสันร้องออกมาด้วยความตกใจและเจ็บปวด
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก !!!!!!”
เจสันได้แต่คร่ำครวญและอดทนต่อความเจ็บปวด ในขระที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ภายนอกเวลาได้ผ่านไปกว่า 30 ชั่วโมง และกรีลคาดว่าเจสันน่าจะทำสำเร็จในเร็วๆ นี้ และกรีลรู้สึกโล่งใจทุกคนที่เห็นเจสันได้ผอนคลายความเจ็บปวดลง
‘เกิดอะไรขึ้น เขาสร้างพื้นที่สำหรับจิตแยกเสร็จแล้วงั้นหรอ’
กรีลสังเกตท่าทีของเจสันที่สงบลงเล็กน้อย
เมื่อเห็นมานาเหลวล่องลอยอยู่รอบๆ ตัว ความรู้สึกที่ไม่ดีก็เกิดขึ้น เจสันไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ และต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อหาทางแก้ไขในขณะที่ทนกับความเจ็บปวดที่ไม่รู้จบ
‘ฉันยังทำไม่สำเร็จงั้นหรอ’
แต่เจสันไม่แน่ใจว่าจะสอนจิตแยกของเขาให้ทำการดูดซับมานาได้อย่างไร เพราะเจสันต้องทำเช่นนั้นหลังจากสร้างพื้นที่ย่อยสำหรับจิตเสร็จ เวลาผ่านไป เจสันรวบรวมมานาและเทคนิคการดูดซับอย่างหยาบๆ
ทว่าเจสันก็ต้องลองทำหลายๆ สิ่ง ในขณะที่ต้องทนกับความเจ็บปวด ราวกับว่าเขาตายแล้วเกิดใหม่เป็น พันครั้ง
เวลาเนิ่นนานผ่านไป เจสันไม่ได้สนใจกับความล้มเหลวหลายสิบครั้ง ก่อนที่จเจสันจะรวบรวมมานาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่มานากำลังรวบรวมและกลั่นเข้าไปในแกนมานา เจสันรู้สึกว่าความเจ็บปวดนั้นลดน้อยลง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงเจ็บปวดอย่างมาก
`ทำไมความเจ็บปวดถึงยังไม่หายไป ?’
เจสันถามตัวเองโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เจสันทำอะไรผิดไปรึเปล่า ? เหมือนกับว่าความเจ็บปวดมันมาจากผลปีศาจวัลคีรีส์ชิล์ด ไม่ได้มาจากสิ่งอื่น ตอนนี้เวลาผ่านไปนานมาก แต่เจสันยังคงทำอย่างต่อเนื่องจนกว่ามันจะเสร็จสิ้น
เจสันบังคับตัวเองให้ลืมตา และหลบตาลง หลังรู้ว่าเมื่อแสงสีทองได้ส่องผ่านด้วยตาออกไปมันจะง่ายต่อการทนต่อความเจ็บปวด ในช่วงวินาทีที่ลืมตา เจสันเห็นกรีนยืนอยู่ตรงหน้า ภายนอกวงเวทย์ และมองมาที่เจสันด้วยความเป็นห่วง
เจสันรู้ว่าตอนนี้กรีลไม่สามารถช่วยอะไรเจสันได้ เพราะถ้ากรีลเข้ามาขัดจังหวะ ความเจ็บปวดนี้มันจะคงไปอย่างถาวร และนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ
เมื่อกรีลเห็นว่าเจสันกำลังมองมาที่เขา จิตใจของกรีลก็คิดอะไรบางอย่าง อย่างรวดเร็วขณะที่เขาใช้มานาเขียนตัวอักษรบนอากาศ เจสันอ่านได้เพียงสองตัวอักษรแรก ก่อนที่ความเจ็บปวดจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทำให้เจสันต้องหลับตาตามสัญชาตญาณ
เจสันอ่านได้เพียงสองตัวอักษรแรก ก่อนที่ความเจ็บปวดจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทำให้เขาต้องหลับตาตามสัญชาตญาณอีกครั้ง
‘มานานั้นอะไรหน่ะ’ เจสันคิดก่อนที่ความเจ็บปวดจะเริ่มพลุ่มพลานอีกครั้ง
“อ๊ากกกกกกกกกกกก”
นาทีผ่านไป กรีลกำลังเขียนอย่างขยันขันแข็ง ในขณะที่เจสันไม่รู้วา่มันคืออะไร เมื่อเจสันคิดอยู่ครู่หนึ่ง
‘มา…..มานา?? ‘
‘มานา ? มานาอะไร ? ฉันไม่เข้าใจ ฉันต้องทำอะไรต่อ ?’
เจสันรู้เพียงว่า ตอนนี้หากดูดซับมานาอย่างต่อเนื่องมันจะทำให้ความเจ็บปวดของเขาลดน้อยลง เจสันจึงบรรเทาอาการความเจ็บปวดด้วยการดูดซับมานาอย่างตะกละตะกลาม ในขณะที่ดูดซับมันอย่างมากมาย จู่ๆ ความเจ็บปวดมันก็ได้เพิ่มขึ้นอีก
ถ้าั้นไม่ได้ผล เจสันก็ไม่รู้จะทำยังต่อไปแล้ว ในขณะที่กำลังดูดซับมานาอย่างสุดกำลัง ชั่วโมงผ่านไป จู่ๆ เจสันก็ได้พัฒนาสู่มือใหม่ระดับ 7 ผ่านไปอีก 2-3ชั่วโมงแกนมานาของเจสันได้หล่อหลอมใหม่ ขณะที่เจสันยังคงดูดซับมานาภายในวงเวทย์อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่มานาเหลวรอบตัวนั้นมันไม่ลดลงเลย
ปกติแล้ว การที่ได้รับการพัฒนาจะทำให้เจสันรู้สึกดีใจ แต่ตอนนี้เขามีแต่ความเจ็บปวดที่รุมล้อม และเจสันไม่รู้ว่าจะทนกับมันอีกกี่พันครั้ง ความเจ็บปวดได้เริ่มกัดกินภายในใจของเจสัน ทำให้เจสันเริ่มรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ราวกับว่าเจสันดูดซับมานาช้าเกินไป เพราะเขาไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้อีกแล้ว และเจสันก็ได้พัฒนาไปสู่มือใหม่ระดับ 8 ได้อย่างรวดเร็วหลังจากเพิ่งเข้าสู่ระดับ 7 ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจของเจสัน ขณะที่เจสันเริ่มจะยอมแพ้ให้กับความเจ็บปวด
‘ดวงตาของฉัน !!!’ … ด้วยแสงแห่งความหวังที่ปรากฏขึ้นในใจของเจสัน เจสันได้รวบรวมมานาไปที่ดวงตา และปลดปล่อยแสงสีท่องที่สงบนิ่งและความเจ็บปวดก็ค่อยๆ ลดลง ยังมีมานาอยู่มาก แต่ความเจ็บปวดนั้นลดลงอยางมาก เจสันได้ร้องไห้ด้วยความดีใจที่ความทุกข์ทรมาณได้ลดลง
แต่แทนที่จะมัวแต่ร้องไห้ เจสันจดจ่อไปกับการรวบรวมมานาในดวงตา ยิ่งมานาเหลวได้รวบรวมไปที่ดวงตา ความเจ็บปวดก็ลดลงอย่างมาก แสงสีทองนี้ช่วยชำระจิตใจของเจสันที่มัวหมองในขณะที่ทนกับความทรมาณ
ในขณะที่พื้นที่ย่อยได้สร้างเสร็จ มันได้หล่อหลวมเข้ากับแกนมานา และเจสันพัฒนาเป็นมือใหม่ระดับ 8 กว่า 60 ชั่วโมงที่ผ่านมา ตอนนี้ความเจ็บปวดได้หายไปอย่างสมบูรณ์ มานาเหลวได้จางหายไป วงเวทย์ก็สลายไป เจสันไม่สามารถมองเห็นอะไร เนื่องจากน้ำตาที่บังทัศนียภาพของสายตา เจสันเห็นเพียงลาง ๆ
ในขณะที่เห็นกรีลรีบเข้ามาหาเจสัน เจสันได้ร้องไหห้ออกมา ขณะที่จับเสื้อของกรีลไม่ยอมปล่อย กรีลได้จับเจสันไว้ในอ้อมแขน กับความรู้สึกผิดและเสียใจ
จสันยืดตัวขึ้น จากที่นั่งและพุดทันทีว่า
“ได้ครับ !!!”
กรีลมองเจสันด้วยความประหลาดใจในความกระตือรือร้นของเจสัน จนกระทั่งนึกถึงสมบัติที่เขาเจอเมื่อนานมาแล้ว มันเป็นสิ่งที่สร้างความหวาดกลัวต่อการเจ็บปวด ที่แม้แแต่กรีลเองก็ไม่อยากกินมัน
“ฉันมีผลไม้ชนิดหนึ่ง ที่สามารถปกป้องชีวติของคุณจนกว่าคุณจะแยกจิตแรกได้สำหรับ และมันจะทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง และมันอาจจะทำให้คุณอยากตายเพื่อที่จะหลุดจากความทรมาณนี้ นอกจากนี้ความเจ็บปวดที่คุณจะต้องทนเพราะการแบ่งแยกจิตและแยกตัวของสมอง ฉันไม่แน่ใจว่าถึงคุณจะอดทนมันได้แต่หลังจากนั้นสุขภาพจิตของคุณจะเป็นเช่นไร “
ตอนนี้เจสันลังเลอยู่ครู่หนึ่งและมองกรีลด้วยสายตาที่มีความหวาดกลัว อย่างไรก็ตามเจสันก็ยังแน่วแน่ที่จะทำมัน เจสันไม่ต้องการรอจนกว่าตัวเขาจะถึงระดับผู้วิเศษ เพื่อที่จะแยกจิตแรกของเขา
“อย่างน้อย ตอนนี้ผมก็รู้วิธีการแยกจิตแรกแล้ว ถ้าครูจะขายสมบัติให้ผม ผมจะขอบคุณมาก แต่ผมขอเวลาที่จะรวบรวมสตาร์โน๊ตเพื่อใช้คืน”
กรีลมองดูเจสันและรู้สึกชอบเด็กืี่อยู่ตรงหน้ามากที่สุดเพราะบุคลิก ความมุ่งมั่น หนักแน่นและพรสวรรค์ที่มีอยู่
‘ทำไมเจสันถึงอยากรีบแยกจิตเร็วๆ ในตอนนี้ มันเป็นเรื่องเร่งด่วนงั้นหรอ’
นานมากแล้วที่กรีลอดที่จะอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่อยุ่ในตัวผู้อื่นแบบนี้
“จะเกิดอะไรขึ้น หากฉันให้ทุกสิ่งที่คุณต้องการ เพื่อที่จะแยกจิตแรกของคุณ” กรีลถามอย่างเรียบเฉย โดยถูกคำถามแบบนี้เจสันจึงไม่รู้ว่าจะพูดอะไร แต่มันมี 2 ปัจจัยที่เจสันเองก็ยังไม่มั่นใจ
1. ทำไมครูต้องถามแบบนั้น
2.ฉันสามารถอดทนความเจ็บปวดที่จะต้องเผชิญได้จริงๆ งั้นหรอ และมันจะมีประโยชน์จริงๆ ใช่ไหม
ปัจจัยอย่างหลังสามารถตอบได้ว่า ใช่ การรวบรวมมานาตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันจะเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนของเจสันขึ้นอย่างมาก เมื่อพิจารณาว่ามานาที่ดูดซับโดยจิตใต้สำนึกนั้นมีประสิทธิภาพน้อยกว่า การทำเองเพียงเล็กน้อย
***เพิ่มเติม คือเจสันจะสร้างจิตแยกออกมา เพื่อใช้มันดูดซับมานาตลอดเวลา โดยที่ตัวจริงๆ ของเจสันไม่ต้องทำ เจสันเลยอยากแยกจิตแรกให้ได้ไว ๆ อธิบายไว้นะครับเพื่อใครอาจจะ งง ^^ ***
โดยปกติ เจสันจะดูดซับมานาอย่างน้อย 3 ชั่วโมงต่อวัน แต่หลังจากนี้เจสันไม่ต้องทำสิ่งนี้แล้วหลังจากแยกจิตได้ และเจสันจะมีเวลาที่จะมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนมากขึ้น โดยไม่ต้องเสียเวลาในการดูดซับมานา มันมีประโยชน์อย่างมาก และความเจ็บปวดที่จะต้องเผชิญ มันก็คุ้มค่าที่ต้องเผชิญเมื่อได้รับสิ่งที่มีประโยชน์ขนาดนี้
เจสันยังไม่แน่ใจว่า ทำไมหรีลถึงเสนออะไรแบบนี่ให้กับเขา แต่ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เจสันได้ทำความเข้าใจคร่าวๆ เกี่ยวกับนิสัยของกรีล กรีลนั้นซ่อนสิ่งที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ แต่ไม่ได้ปกปิดมันมากนั้น ไม่เช่นนั้น เขาคงจะไม่ได้รับอนุญาติให้สอนเทคนิคระดับ 3 ให้เด็กนักเรียน
นักเรียนจะบอกผู้ปกครองและเพื่อนๆ คนอื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และมันก็ง่ายที่จะตรวจสอบว่าใครฝึกเทคนิคเหล่านี้ไว้ นั่นหมายความว่า เขาไม่ใช่อาชญากรอย่างแน่นอน กรีลยังใจดีและอดทนที่จะตอบคำถามให้กับทุกคนด้วยข้อมูลที่ละเอียดและยอดเยี่ยม ปัญหาเดียวของกรีลคือ ความเข้มงวด ในขณะที่มันเป็นประโยชน์สำหรับเด็กนักเรียนทุกคน ถึงแม้คนอื่นจะมองว่าเขาหยาบคาย
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่สามารถปกปิดความเมตตาและความแบ่งปันของกรีลได้ ซึ่งบางคนก็อาจจะไม่เห็นมัน เนื่องจากผู้ปกครองบางคนบ่นเรื่องงานที่ยากเกินไป แต่กรีลก็ไม่สนใจเพระาไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้ และเจสันเห็นว่าเด็กนักเรียนและผุ้ปกครองเหล่านี้มีนิสัยที่หยาบคาย
‘พยายามทื่จะกดดันครู ด้วยความเรียกร้องไร้สาระงั้นเราะ ทุเรศ’ เจสันชอบกรีลเพราะความมั่นใจ ความแข็งแกร่ง และความรู้ที่มากมายของกรีล
“ผมทนกับคาวมเจ็บปวดนั้นได้ !!”
เจสันตะโกนออกมาอย่างหนักแน่น
กรีลสามารถมองผ่านความคิดเห็นของเจสันได้ และถ้ามีโอกาสตอนเขาอายุเท่าเจสัน เขาก็คงทำแบบนี้เหมือนกัน ตัวกรีลเองสามารถสร้างจิตแยกครั้งแรกได้ตอนเป็นผู้วิเศษขั้นสูง และการรวบรวมมานา ดูดซับและการแปลงมานาไปเป็นมานาเหลวอย่างอดทนโดยไม่หาวิธีที่ช่วยเร่งขั้นตอนนี้ มันแตกต่างกันมาก เพราะมันช้ามาก เมื่อพิจารณาการแปลงมานาไปเป็นมานาเหลว กรีลต้องทำมันอย่างขันแข็งและอดทน
นอกจากนี้กรีลยังชอบเจสันมากและต้องการให้ทางเลือกเจสันหลายๆ ทางในการตัดสินใจว่าจะเสี่ยงชีวิตหรืออดทนรอจนกว่าจะเข้าถึงขั้นผู้วิเศษ ส่วนเรื่องค่าตอบแทน เจสันจะไปถึงระดับผู้วิเศษก่อนที่จะรวบรวมสตาร์โน๊ตที่จำเป็นสำหรับสมบัติวิเศษ หินมานาและสิ่งของเวทย์มนต์ต่างๆ
“โอเค จะเริ่มตอนนี้ หรือจะรอพรุ่งนี้ ??”
“เดี๋ยวก่อนนะ !!”
เจสันอุทานออกมา
“ด้วยการควบคุมมานาในปัจจุบันของคุณ กระบวนการทั้งหมดในการสร้างร่างจิตแยกออกมา ต้องใช้เวลาน้อย 1 วัน ตอนคุณสามารถเลือกได้ ถ้าไม่อยากทำก็แค่บอกฉัน แต่ถ้ายังอยากทำอยู่ก็โทรบอกที่บ้านว่าจะนอนที่โรงเรียนสักวัน 2 วัน ถ้าตัดสินใจได้ก็มาหาฉันที่ห้องทำงาน”
“ได้ครับ ผมจะโทรเดียวนี้เลย “
เจสันไม่ได้นึกถึงเวลาที่จะต้องใช้ ตามที่กรีลบอกเลยแม้แต่น้อยถึงกระนั้น
เมื่อโทรหาพวกเฟลเลอรื ทุกคนดูตกใจและสับสนเล้กน้อยที่เจสันนอนค้างที่โรงเรียน สักวัน 2 วัน แต่ทุกคนก้ไม่ได้ถามเหตุผล พวกเฟลเลอร์นั้นมองว่าเจสันนั้นโตเป็นผู้ใหญ่และรู้ว่า เจสันรู้ว่ากำลังจะทำอะไร และนอกจากนี้พวกเฟลเลอร์ยังคงตระหนักว่า พวกเขานั้นไม่ใช่ครอบครัวจริงๆ ของเจสัน ดังนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถบังคับหรือจูจี้กับเจสันได้มากนัก หากอยู่นอกเวลาที่พวกเขาไม่ได้ดูแล และเจสันเองก็มีสิทธิ์ที่จะอยู่ในโลกภายนอก
หลังจากที่โทรเสร็จ เจสันก็รีบไปที่ห้องของกรีล ทันใดนั้นเจสันก็เห็นว่าภายในห้องมีหนังสือมากขึ้น ทำให้ปรระหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเดินลึกเข้าไป เจสันเห็นกรีลกำลังวาดวงเวทย์ขนาดใหญ่ อย่างสวยงามด้วยหินอ่อน ด้านล่างเป็นกล่องหยกที่มีจารึกที่สวยงาม เจสันสรุปได้ว่ามันเป็นหล่องสำหรับผลไม้วิเศษ เพื่อกักเก็บพลังของมันเอาไว้
เมื่อเจสันเดินเข้ามา กรีลก็อธิบายทุกอย่างอย่างใจเย็น
“ภายในกล่องหยก คือผลปีศาจวัลคีรีส์ชิล์ด ที่คุณต้องกินก่อนที่จะเปิดใช้งานวงเวทย์ หลังจากกินเสร็จคุณจะต้องนำแกนมานาโอเวอร์ลอร์ด เบฮีมอธ เอาไว้ในมือ ซึ่งจะกระตุ้นวงเวทย์เพื่อการรวบรวมมานาด้วยการฉีดมานาเพียงเล็กน้อย คุณไม่จำเป็นต้องใช้มานารอบๆ ตัว ในทันที มานาจะอยู่ภายในวงเวทย์ และใช้มันเพื่อปรับแต่งสมองอย่างช้าๆ ผลปีศาจวัลคีรีส์ชีล์ดจะป้องกันชีวิตไม่ให้ถึงแก่ความตาย แม้ว่ามันจะเจ็บปวดทรมาณขนาดไหน ให้อดทนและค่อยๆ คลายสมองและผ่อนคลายมันและแยกมันออกหลังจากที่ตรวจสอบว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และคุณไม่ได้รับอนุญาติให้ทำผิดพลาดนะ โอเคไหม !!”
จิตของเจสันว่างเปล่า…. ผลปีศาจวัลคีรีส์ชิล์ดคืออะไร โอเวอร์ลอร์ดเบฮีมอธคืออะไร ??
“โอเวอร์ลอร์ดเบฮีมอธเป็นสัตว์อสูรระดับผู้พิทักษ์หรือเปล่า”
นั้นเป็นสิ่งเดียวที่เจสันถามได้
***เพิ่มเติม สัตว์อสูรระดับผู้พิทักษ์จะต่างจากสัตว์ร้ายต่างๆ นะครับ สัวต์อสูรระดับผู้พิทักษ์นั้นหายากมากๆ และมีความสามารถที่แข็งแกร่งกว่าสัวต์วิเศษ มันเป็นสัตว์ที่ค่อยให้ความสามารถในการช่วยเหลือ ปกป้อง และฟื้นฟูรักษา อย่างเช่น หมาป่าสีขาวของกรีลที่ใช้รักษาตอนแข่งขันภายในห้อง และสัตว์พันธะของกาเบรียลลาเองก็เป็นสัตว์อสูรระดับผู้พิทักษ์ ***
“มันเป็นสัตว์อสูรระดับลอร์ด”
เป็นสิ่งเดียวที่กรีลพูดและเจสันก็รู้ว่ามันอยู่อันดับที่สูงกว่าระดับผู้พิทักษ์
เจสันเริ่มวิตกกังวล และมองดูแกนสัตว์อสูรระดับลอร์ดนี้เป็นร้อยๆ ครั้ง และบอกกับตัวเองว่าเขาจะสามารถอดทนกับมันได้ ในขณะที่ร่างกายสั่นไปทั้งตัว
เจสันไม่สามารถพาสกอร์พิโอเข้าไปอยู่ในวงเวทย์ได้ เพราะมันอยู่ภายใต้เส้นผมบนหัวของเจสันตลอดเวลา และมันก็ไม่อยากเข้าไปในโลกวิญญาณ ในระหว่างที่กรีลกำลังวาดวงเวทย์ เจสันก็ได้ให้สกอร์พิโอกินผลบาคูรีเพิ่ม เพราะเขาไม่สามารถให้มันได้ในวันพรุ่งนี้ มันกินไปสองชิ้น และบิดตัวด้วยความเจ็บปวดเล็กน้อย ซึ่งทำให้เจสันสบายใจขึ้น นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าสกอร์พอโอจะลอกคราบในวันพรุ่งนี้ เจสันก็คาดหวังอยู่ว่ามันจะใช้เวลานานขนาดไหน เพื่อที่จะกลายพันธุ์
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืน และกรีลก็วาดวงเวทย์เสร็จพอดี ในขณะที่วางหินเวทย์มนต์ในจุดที่กำหนด และหินเวทย์มนต์บางก้อนมีขนาดใหญ่เท่าลูกฟุตบอล เจสันสงสัยว่า นี้คือหินวิเศษระดับ 3 หรือระดับ 4 เนื่องจากมานาจำนวนมากที่แผ่ออกมาจากหินพวกนี้ทำให้เจสันปวดตาเมื่อมองมัน
ตอนนี้เจสันเข้าใจดีว่า ปริมาณมานาในวงเวทย์มีจำนวนมหาศาลและตอนนี้ก็รู้ถึงความร้ายแรงของสถานณ์นี้อย่างเต็มที่ แต่ตอนนี้เจสันถอยกลับไม่ได้ ในขระที่ค่อยๆ เดินเข้าไปในวงเวทย์ และนั่งรถ เจสันเริ่มเหงื่ออกทันทีเพราะความผันผวนของมานาที่มีปริมาณมากมายมหศาลและมีแรงกดดันสูง
เมื่อเปิดกล่องหยกที่อยู่ด้านหน้า กลิ่นเหม็นกระฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้อง และก็มีผลไม้สีเงินอยู่ตรงหน้าดูราวกับกับเป็นโล่อันจิ่วอ้วนๆ หากมองใกล้ๆจะเป็นใบหน้าที่โหดร้ายและบิดเบี้ยว เจสันได้ปิดตาลงทันทีที่เห็นมัน แต่นั้นไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เจสันสั่นไปด้วยความหวาดกลัว แต่ยังรวมถึงออร่าสีน้ำเงินเข็มที่แผ่กระจายออกมาจากผลไม้ลูกนี้ เจสันไม่เคยเห็นออร่าแบบนี้มาก่อน และมือของเขาที่ถือผลไม้ก็เริ่มสั่น
เพื่อเอาชนะความกลัว เจสันยัดผลไม้ทั้งลูกเข้าปากและเคี้ยวมัน มันมีรสชาติที่หวานมากจนแทบจะติดใจ ในขณะที่เจสันเองก็บังคับตัวเองให้รีบกลืนมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะกรีลบอกว่าความเจ็บปวดจะเกิดขึ้นหลังจาก นาทีครึ่งหลังที่กินเข้าไป
เมื่อนำแกนมานาระดับลอร์ดอสูรมาไว้ในมือ เจสันก็เปิดใช้งานวงเวทย์ทันที อักษรรูนส่องสว่างในวงเวทย์ โดมเล้กๆ ก่อตัวขึ้นรอบๆ วงเวทย์ ในขณะที่หินเวทย์มนต์ค่อยๆ ละลายหายไป ทำให้เกิดหมอกสีเงินหนาทึบภายในโดม
หมอกกำลังเปลี่ยนเป็นของเหลวและเหมือนฝนตกภายในโดมเล็กๆ กรีลมองสถานการณ์อย่างคาดหวังขณะที่กรีบสังเกตุเห็นมานาที่เป็นของเหลว
‘ฉันใส่หินเวทย์มนต์ระดับ 4 มากไปรึเปล่า’
กรีลรู้สึกกังวลเล็กน้อย
ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของสัปดาห์ ไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้น ในขณะที่นักเรียนคนต่างๆ เริ่มทำงานที่ได้รับมอบหมอยจนเสร็จ พวกเขาเลือกรางวัลกันด้วยตาที่เป็นประกาย ในขณะที่นักเรียนบางคนได้รับบาดเจ็บสาหัส ในช่วงสุดสัปดาห์ นักเรียนประมาณ 40 คน ได้คิดแผนที่จะสามารถทำงานให้สำเร็จ บางคนที่ใช้วิธีการลอบสังหาร ขณะที่บางคนใช้วิธีติดกับดัก หรือแม้แต่สู้กับพวกสัตว์ร้ายอย่างประจันหน้ากับพวกมัน
และก็มีนักเรียนเพียงไม่กี่คนที่ใช้ยาพิษช่วยในการจัดการกับสัตว์ร้ายเหมือนอย่างเจสัน ในขณะที่บางคนสามารถต่อสู้กับพวกมันด้วยการเผชิญหน้าได้อย่างง่ายดาย เมื่อมองใกล้ๆ เจสันสังเกตว่าแกนมานาของของพวกเขาค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าเกือบทั้งหมดจะเป็นนักเรียนทุน และบางคนก็ใช้สิทธิของขุนนางเช่นเดียวกับเจสัน
เจสันสรุปได้ว่า สัตว์พันธะแรกของพวกนั้นต้องเป้นสัตว์ระดับวิวัฒนาการ ไม่อย่างงั้นก็ต้องมีลักษณะเฉพาะในบางอย่าง แต่เจสันก็ไม่สนใจเด็กพวกนี้เท่าไหร่นัก เนื่องจากเจสันต้องอ่านทำความเข้าใจและฝึกฝนเทคนิคการแยกจิต
สัปดาห์ที่แล้ว มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเจสันเพราะ เจสันต้องทำความเข้าใจอย่างน้อยก็ขั้นแรกของการแยกจิต และเจสันเองก็ไม่ได้นอนเลยตลอดทั้งสัปดาห์ ในขณะเดียวกันเจสันก็สามารถผ่อนคลายได้ ด้วยช่วงเวลาที่ให้อาหารกับสกอร์พิโอด้วยน้ำของผลบาคูรีและการฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์
มันเหนื่อยมาก แต่การใช้หินมานาในการเติมานา เจสันสามารถอดหลับได้โดยไม่มีปัญหา การได้เห็นสกอร์พิโอ เริ่มกินผลของบาคูรีแทนที่จะกินน้ำหวาน ทำให้เจสันประหลาดใจมาก ขณะที่มันก็เริ่มบิดตัวด้วยความเจ็บปวดในทันทีที่แทะเล็มผลบาคูรี และที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือ สกอร์พิโอหยุดที่จะบิดตัวด้วยความเจ็บปวด และกินผลบาคูรีต่อไป
เจสันจึงแย่งหยิบผลบาคูรีออกมา ไม่เช่นนั้นสกอร์พิโอคงกินมันจนหมดและมันจะไม่สามารถทนกับความเจ็บปวดที่ตามมาได้ แต่บางทีมันอาจจะเจ็บปวดในช่วงเวลาสั้นๆ หากกินผลบาคูรีหมด หรืออาจจะไม่ แต่เจสันต้องคำนึงถึงความปลอดภัยไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม สกอร์พิโอก็โตขึ้นจนถึง 8 เซนติเมตรแล้ว และใกล้จะเข้าสู่สัตว์ป่าระดับ 3 ดาวแล้ว เจสันคิดว่ามันอาาจะเหลือการลอกคราบอีกเพียง 2 ครั้ง ก็อาจจะเข้าสู่สัตว์ป่าระดับ 3 ดาว
แต่นั้นไม่ได้หมายความว่ามันจะหยุดการเติบโต เจสันพบว่าทฤษฎีความบริสุทธิ์ของเขา กำลังทำงานในขณะที่เจสันเริ่มสังเกตุเห็นออร่าสีดำจางๆ ที่แทบจะมองไม่เห็น เปล่งออกมาจากแกนมานาของสกอร์พิโอ ทำให้เจสันรู้สึกดีใจ พลังวิญญาณของเจสันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอีกไม่นานมันจะไปถึง 10 หน่วย
พลังวิญญาณมีความเสถียรและบริสุทธิ์เพียงพอที่จะเริ่มฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ระดับ 2 ในขณะที่ข้อกำหนดเพียงอย่างเดียวคือการมีพลังวิญญาณ 10 หน่วย และเจสันใก้ลจะถึงระดับนั้นแล้ว และเจสันก็เข้าใจการฝึกแยกจิตในขั้นแรก ซึ่งจะทำให้เจสันสามารถสร้างส่วนแยกออกมาภายในจิตใจ ซึ่งเป็นเป้าหมายในตอนนี้
นี่จะเป็นเวลาที่สมบูรณ์แบบของเจสัน เมื่อเจสันสร้างจิตแยกแล้ว เจสันจะต้องมอบหมายงานให้กับมัน และเป็นการสั่งการทำงานที่ไม่ต้องออกคำสั่งและมันจะทำไปเรื่อยๆ ตอนนี้จสันนั่งในห้องเรียนกับนักเรียน 40 คนที่ทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้ว และกรีลกำลังเดินไปมาอย่างวุ่นวายและตอบคำถามของทุกคนอย่างละเอียด
เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ แย่กว่าเจสัน เพราะส่วนใหญ่ไม่กระตือรือร้นและตั้งใจเหมือนกับเจสัน แม้ว่าจะใช้เทคนิคระดับ 3 ที่มีความยากระดับ 1-2 ดาวเท่านั้น
***เพิ่มเติม เทคนิคและทักษะต่างๆ มีระดับเป็นของตัวเองอย่างที่อธิบายไว้ตอนที่แล้ว และก็มีระดับความยากอีกด้วย โดยแบ่งเป็น 1-5 ดาว ไล่จากง่ายไปยากสุด โดยระดับ 1-3 ที่เป็นระดับขั้นความแข็งแกร่งของเทคนิคและทักษะ นั้น แต่ระดับ 1-5 ดาวจะเป็นความยากที่จะต้องเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และฝึกฝน โดยส่วนมากเทคนิคระดับ 3 จะมีความยากที่อยู่ 5 ดาว เสมอ****
แม้ว่าจะไม่มีใครเลือกเทคนิคพิเศษเหมือนกับเจสัน นักเรียนที่มีพลังธาตุก็จะเลือกทักษะและเทคนิคการควบคุมธาตุนั้นๆ ในระดับสูง ในขณะที่นักเรียนคนอื่นๆ ที่ชื่นชอบการใช้อาวุธก็เลือกเทคนิคและทักษะที่เกี่ยวกับการใช้อาวุะนั้นๆ ในขั้นสูง
หากทุกคนสามารถฝึกฝนเทคนิคที่เลือกไปให้เสร็จในไม่กี่สัปดาห์ พลังการต่อสู้ของพวกนั้นจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก จนสามารถสู้กับสัตว์ร้ายที่มีระดับสูงกว่า 2 ขั้น ได้อย่าสบายๆ โดยไม่ต้องพึ่งการลอบสังหาร หรืออุปกรณ์ต่างๆ และกับดักในการเอาชนะ
เจสันคิดอย่างนั้น
แม้ว่าเจสันยังไม่แน่ใจว่าทำไมกรีลถึงมอบทักษะระดับสูงขนาดนี้ให้นักเรียนของเขา แต่ก็เห็นได้ชัดว่ากรีลต้องการปรับปรุงพลังต่อสู้ของเด็กนักเรียน เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสในการชนะ ในการแข่งขันของชั้นเรียน แต่ก็มีเหตุผลอื่นที่เจสันไม่รู้อยู่
เทคนิคการแยกจิต มีขั้นตอนและระดับต่างๆ และแต่ละเทคนิคจะช่วยให้สามารถแยกจิตเพิ่มขึ้นได้แม้ว่าระดับจะง่ายที่สุด แต่ระดับต่อๆ ไปความยากของมันจะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ แต่นั้นก็ไม่ได้แย่ที่สุด สมองยังคงลึกลับและเป็นปริศนาสำหรับมนุษย์ และก็อันตรายเกินไปถ้าแยกจิตมากเกินไป กรีลกล่าวไว้อย่างนั้น ควรแยกจิตเพียงแค่ 2-3 จิต เป็นอย่างมาก เนื่องจากการแยกจิตที่ 4 ไม่สามารถทำได้โดยวิธีปกติ และเจสันก็ยังไม่รู้วิธีการเหล่านั้น แต่มันอาจจะเกี่ยวข้องกับระดับของแกนมานาหรือระดับของสมอง
กรีลยังบอกเจสันว่า หากจเสันสามารถแยกจิตแรกได้ก่อนที่จะเป็นผู้วิเศษ เจสันก็ไม่ควรสร้างจิตที่ 2 ถ้าไม่อยู่ในระดับผู้วิเศษ หรือผู้วิเศษขั้นสูง
เจสันฟังคำแนะนำนี่เพียงครึ่งเดียว และเจสันต้องกากแยกจิตแรกให้ได้ไวที่สุด เนื่องจจากจะใช้มันในการรวบรวมมานาแบบพาสซีฟ และอีกหนึ่งความคิดก็ผุดเข้ามาให้หัวของเจสัน
การแบ่งแกนของโลกวิญญาณ ว่ากันว่าเราสามารถใช้พลังวิญญาณที่ผลิตออกมาจากโลกวิญญาณ ได้ทันทีโดยขับออกจากแกนโลกของวิญญาณ และอัดมันกลับเข้าไปในแกนโลกวิญญาณอีกครั้ง โดยสร้างเป็นวัฏจักร สิ่งนี้จะสามารถแบ่งโลกวิญญาณได้ อย่างไรก็ตามมันจะทำให้เสียพลังสมาธิอย่างมาก เพราะต้องจดจ่อและใช้สมาธิอย่างมหาศาล
ประการแรก ต้องระมัดระวังเพื่อให้ทุกอย่างนั้นถูกต้อง เพราะหากเกิดความผิดพลาดอยากทำให้วิญญาณนั้นเกิดความเสียหายได้ นอกจากนี้ จะต้องรวบรวมพลังวิญญาณที่ถูกปล่อยออกมา และทำการบีบอัดมันและใส่กลับเข้าไปในแกนโลกวิญญาณ ขั้นตอนเหล่านี้ใช้พลังสมาธิอย่างมาก
นอกจากนี้ยังมีปัญหากับเวลาที่พลังวิญญาณต้องสร้างออกมาใหม่ โดยปกติใช้เวลา 24 ชั่วโมงหรือ 1 วัน ในการสร้างพลังวิญญาณออกมา และถ้ามีพลังวิญญาณ 100 หน่วย พลังวิญญาณจะสร้างเพียง 4.2 หน่วย/ชั่วโมงเท่านั้น การสร้างห่วงโซ่การแยกโลกวิญญาณนั้นไม่มีทางเป้นไปได้สำหรับคนที่มีพลังวิญญาณที่น้อย
และมันก็ไม่มีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีพลังวิญญาณมากกว่า 1,000 หน่วย เพราะการฟื้นฟูจะอยู่ที่ 0.7 พลังวิญญาณ/นาที จะต้องแบ่งโฟกัสไปที่สิ่งจำเป็นที่สามารถทำได้ในขณะเดียวก็สร้างพลังวิญญาณอย่างระมัดระวัง และบีดอัดให้กลายเป็นเส้รด้ายวิญญาณและค่อยๆ ใส่เข้าไปในแกนโลกวิญญาณ
เจสันได้คิดไปเรื่อยเปื่อย ขณะที่จะดึงสติกลับมาและเริ่มจ่อสมาธิไปที่การอ่านเทคนิตการแยกจิต เป็นเวลาเย็นแล้ว และทุกคนก็กลับบ้านกันหมด มีแต่เจสันที่ยังอยู่กับกรีลและคอยถามคำถามต่างๆ กรีลรู้สึกดี ที่เห็นเจสันขยันมากและประหลาดใจกับความสามารถในความเข้าใจของเจสัน เพราะเพียงสัปดาห์เดียวเจสันสามารถเข้าใจเทคนิคการแยกจิตในขั้นแรกได้เกือบทั้งหมด และเจสันกำลังถามคำถามหลักๆ กับกรีล และกรีลคิดว่าเมื่อเขาตอบคำถามเจสันหมดแล้ว เจสันคงจะเริ่มแยกจิตแรกเช่นกัน หลังจากวันที่ 4 กรีลสังเกตเห็นความมุ่งมั่นของเจสัน ทำให้เกิดความประหลาดใจ และเจสันดูจะหมกหมุ่นกับมันอย่างมาก
ตอนนี้เจสันรู้แล้วว่าควรจะต้องทำอะไรและจะสร้างจิตแยกแรกได้อย่างไร แต่มีปัญหาหนึ่งที่จะต้องเผชิญ เมื่อคำนึงถึงสิ่งนี่ เจสันต้องขอคำปรึกษาจากกรีล และก็รู้สึกอายเล็กเล็กน้อย เจสันไม่รู้จะเริ่มอย่างไร จนกระทั่งกรีลเริ่มสังเหตุเห็น
“คุณอยากรู้วิธีรวบรวมมานาให้เพียงพอเพื่อทำให้สมองคุณสงบลงใช่ไหม จะสามารถบังคับให้มันแยกจิตโดยไม่สร้างภาระหรือความเสียหายในขณะที่อยู่ในขั้นมือใหม่ ได้ยังไงใช่ไหม”
ดวงตาของเจสันเบิกกว้างและทำได้เพียงพยักหน้า
สิ่งที่กวนเจสันที่สุดไม่ใช่การฝึกฝนในขั้นแรก แต่เป็นจำนวนมานาที่ต้องการจำนวนมาก แม้กระทั่งแค่คิดถึงปริมาณมานาที่เจสันต้องการ ก็ทำให้เจสันรู้สึกท้อแท้อย่่างมาก
คนที่มีระดับเป็นผู้วิเศษจะต้องงเขียนวงเวทย์เพื่อรวบรวมมานาขนาดใหญ่ที่มีแกนมานาระดับการ์เดี้ยน และวางหินมานาระดับ 3 มากกว่า 100 ก้อนไว้ในวงเวทย์นั้น แต่ แม้แต่หินมานาระดับ 1 100 ก้อน ยั้งต้องใช้เงิน 5 ล้านเครดิต แล้วหินมานาระดับ 3 ละ
และเจสันเองก็ไม่ได้เข้าใกล้คำว่า ผู้วิเศษเลยด้วยซ้ำ และเจสันได้ค้นหาเกี่ยวกับสมบัติวิเศษบางอย่างที่สามารถปกป้องสมองของคนๆ หนึ่ง ในระหว่างการแบ่งจิต แต่ก็ไม่พบสิ่งใดเลยและกรีลคือความหวังสุดท้ายของเจสัน
“อืม……. นั่นค่อนข้างอย่างสำหรับคุณในตอนนี้”
เมื่อได้ยินเจสันรู้สึกหมดหวัง
“การมีแกนมานาที่ไม่มีธาตุในระดับการ์เดี้ยน เป็นเรื่องง่าย แต่หินมานานั้นหายากและมีราคาแพง และต้องใช้สตาร์โน๊ตสัก 200-300 ร้อยดวง น่าจะได้ ปัญหาหลักน่าจะเป็นอย่างอื่น เมื่อพิจารณาถึงอันดับของคุณแล้ว คุณจะต้องมีสมบัติวิเศาระดับสูง เพื่อป้องกันสมองระหว่างทำขั้นตอนทั้งหมด และสมบัติดังกล่าวไม่สามารถหาได้ในแอสทริกซ์ และยังเป็นเรื่องยากที่จะหาในคาเนียร์”
เจสันรู้สึกหัวใจพองโตหลังจากพยายามอย่างหนักที่ทำเข้าใจกับเทคนิคนี้ และความหวังสุดท้ายของเจสันก็กำลังจะหายไปเพื่อได้ยินกรีลพูดพึมพัม
“ผมสามารถทำอะไรได้แบบ หรือบางอย่าง ?”
เจสันกล่าวขณะที่กำลังร้องไห้อยู่ในใจ กรีลอาจจะสามารถช่วยเจสันได้ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับเจสัน แต่การหาสมบัติวิเศษนั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับเจสัน ด้วยความสามารถในตอนนี้
ผ่านไปครู่หนึ่ง กรีลดูเหมือนจะนึกบางอย่างออกขณะที่มองมาที่เจสันด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนไม่อยากจะบอกเรื่องนี้
“เจสัน คุณทนความเจ็บปวดได้รึเปล่า ฉันหมายถึงความเจ็บปวดจริงๆ และบางที่ความตายมันก็อาจจะดีกว่าความเจ็บปวดนี้ แต่นั้นจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าคุณจะทำสิ่งนี้สำเร็จ”
กว่าครึ่งชั่วโมงที่ผ่านไปบนรถรับส่ง เจสันไม่สามารถอ่านให้เข้าใจได้แม้แต่หน้าเดียว นั่นเป็นภาษาเดียวกับหนังสืออื่นๆ หรือเปล่า เจสันคิดอย่างนั้น แต่ปัญหาคือ คำยากๆ เหล่านั้น มันยากเกินไปที่จะเข้าใจ ทำให้เจสันไม่สามารถอ่านมันให้เข้าใจได้
การอ่านคำศัพท์ยากๆ เหล่านี้ ไม่ใช่เรื่อง่ายเพราะมันต้องจำเป็นที่จะเข้าใจอะไรบ่างอย่างก่อน ทำให้เจสันขมวดคิ้ว เจสันเดินเข้าบ้านด้วยท่าทางผิดหวังเล็กน้อย ขณะที่ได้รับการต้อนรับจากเกร็กที่อยู่ในห้องนั่งเล่น และกำลังอ่านอะไรบางอย่าง เกร็กสังเกตเห็นอารมณ์ที่ขุ่นมัวของเจสัน บทสนทนาของทั้งสองจึงเริ่มขึ้น
เจสันไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเทคนิคการแยกจิต เพราะเขาต้องการเซอร์ไพรส์เกร็กด้วยความเร็วในการพัฒนาขึ้นไปสูงอันดับที่ใกล้เคียงกับเกร็ก อย่างไรก็ตาม เมื่ออ่านหน้าแรกของคำนำ เจสันเข้าใจได้ว่ามันมีกำแพงขนาดที่ใหญ่มากๆ กำลังขวางเขาไม่ให้เรียนเทคนิคนี้จากความรู้น้อยๆ ของเจสัน
เจสันไม่เคยเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับกายวิภาคของสมองมาก่อน และตอนนี้เขาต้องการที่จะลองวิธีการแยกจิตออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนที่แยกออกจะยังใช้งานไม่ได้
เจสันต้องการฆ่าตัวตายงั้นหรอ ??
สิ่งเดียวที่เจสันรู้คือ มีช่องมานาบางๆ มากมายในสมองของเขา ที่สามารถ รักษา บรรเทาและเร่งกระบวนการคิดได้ตลอดเวลา ว่ากันว่าช่องมานาบางๆ เหล่านี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้มีอันดับที่สูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และการประมวลผลสิ่งต่างๆ ก็มีศักยภาพมากขึ้นในขณะที่ความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นจนสามารถเพียงแค่กวาดสายตาก็สามารถเข้าใจในสิ่งที่อยู่ในคู่มือได้ทั้งหมด
แต่เจสันไม่รู้ว่านั้นเป็นความจริงหรือเปล่า
เมื่อเกร็กและเจสันได้พูดคุยกันนิดหน่อย เจสันก็ได้หยิบแซนวิส 2-3 ชิ้นจากตู้เย็นและเดินเข้าห้องไป โดยปกติแล้วเจสันจะอ่านหนังสือบางเล่มเกี่ยวกับสัตว์ร้าย การวิวัฒนาการ และส่วนผสมเวทย์มนต์ที่ใช้ในการวิวัฒนาการของสัตว์ร้าย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับเจสัน
แต่มันไม่ใช่วันนี้ที่เขาจะมานั่งอ่านเรื่องพวกนั้น
เจสันตัดสินใจที่จะอ่าน 2-3หน้าแรกของเทคนิคการแยกจิต โดยตั้งใจว่าไม่ต้องเข้าใจทุกอย่างโดยตรง เพียงแค่เข้าใจคราวๆ และค่อยๆ เรียนรู้เข้าไปเรื่อยๆ และจดศัพท์ที่ไม่รู้หลาย 10 คำ และคำหาคำเหล่านั้นเพื่อทำความเข้าใจในเนื้อหา 2-3 หน้าแรก หลังจากเรียนรู้ศัพท์เหล่านั้นเจสันก็อ่านอีกรอบ 2 รอบ เพื่อทำความเข้าใจ ใน 2-3 หน้าแรก
เหตุการณ์นี้ดำเนินไปเป็นเวลาหลายชั่วโมง เจสันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว มีแต่หน้าจอโฮโลแกรม 2 จอ ที่ทำให้ห้องมืดๆ ของเจสันสว่างขึ้นและดวงตาสีทองที่ส่องประกายในความมืดเมื่อกระทบกับแสงของโฮโลแกรม หน้าจอหนึ่งแสดงคู่มือการแยกจิต ในขณะที่จอหนึ่งเป็นคำขยายคำศัพท์และการวิจัยในเรื่องนี้ เจสันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแสดงแดดสาดส่องเข้ามาในห้องเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะเจสันเริ่มมีความดีใจที่เข้าใจคร่าวๆ ว่าบางหน้าที่ได้อ่านนั้นหมายถึงอะไร
เรื่องราวของสมองนั้นลึกลับอย่างยิ่ง และเจสันก็ประหลาดใจที่เห็นว่า นักวิทยาศาสตร์หลายคนค้นพบข้อมูลที่ซับซ้อนและลึกลับมากมายเกี่ยวกับสมอง เจสันไมมีวันที่จะได้รู้อะไรแบบนี้เลย และเจสันก็ดีใจมากที่มีคนมาอธิบายทุกอย่างให้ฟังเพียงแค่อ่านหนังสือเล่มนี้ เจสันเริ่มรู้สึกตัวและรู้ว่าตอนนี้นั้นกี่โมงแล้ว ความรู้สึกเจ็บที่มือขวาอย่างกะทันหันได้ดึงสติเจสัน
สกอร์พิโอต่อยเข้าที่มือของเจสัน เพราะรำคาญเสียงนาฬิกาปลุกของเจสัน ที่เจสันไม่รู้สึกตัว เมื่อมองดูมันเป็นเวลา 07.20 น เจสันรีบเรียกรถรับส่งทันทีและเข้าอาบน้ำล้างตัวและรีบเปลี่ยนชุดเครื่องแบบและรีบวิ่งออกจากบ้าน เจสันวิ่งผ่านกาเบรียลลาและมาร์คขณะที่ทั้ง 2 โบกมือให้อย่างรู้ทัน ทั้งคู่เพิกเฉยต่อต่อนาฬิกาปลุกของเจสัน โดยคิดว่าเจสันกำลังหลับสนิท
เนื่องจาก 2-3 สัปดาห์นั้นเจสันได้ทำงานหนักเกินไป และทั่งคู่คิดว่าเจสันต้องพักผ่อนเพื่อฟื้นพลังบางส่วน และการนอนเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการผ่อนคลายและเติมพลังให้กับตัวเอง ทำให้ทั้งคู่เลือกที่จะไม่สนใจกับนาฬิกาปลุกที่น่ารำคาญของเจสัน
แต่ทั่งคู่ไม่คิดว่าเจสันจะอดหลับอดนอนเพื่อที่จะอ่านคู่มือเทคนิคการแยกจิต ถ้าหากรู้กาเบรียลลาคงไม่พอใจที่เจสันไม่เลือกการพักผ่อนเพื่อร่างกายของตัวเอง เจสันนั่งอยู่บนรถรับส่ง และต้องการสงบสติอารมณ์ตัวเอง ในขณะที่ฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ อันแสนเจ็บปวดนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเจสันที่จะทำเช่นนั่น
เมื่อมาถึงโรงเรียน เจสันก็ได้ฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์เสร็จแล้ว และเจสันสังเกตเห็นว่าการฝึกเทคนิคนรกสวรรค์นั้นง่ายขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปขณะที่พลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยปกติมันควรจะเป็นอย่างอื่น แต่สำหรับเจสันมันไม่ใช่แบบนั้นเนื่องจากกระบวนการเติมพลังวิญญาณที่สูงขึ้นของเขา
เจสันอยู่ในห้องเรียนเพียงคนเดียว และสงสัยว่าเพื่อนร่วมชั้นของเขาจะทำงานนั้นเสร็จเมื่อไหร่กัน เพราะทุกคนไม่ได้มีวิธีจัดการที่ง่ายดายแบบเจสัน และอาจจะยุ่งยากกันอยู่ แต่นั้นไม่สำคัญสำหรับเจสัน เพราะเจสันฉลาดและขยัน แต่อ่อนแอ ในขณะที่ไม่กลัวว่าจะมีคนคิดอย่างไรกับวิธีที่เขาใช้ในการจัดการกับสัตว์ป่า เพื่อให้งานเสร็จ
และบางที่เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ อาจจะคิดว่าการใช้พิษนั้นไม่ยุติธรรม หรือเป็นข้อห้าม หรือบางทีพวกนั้นอาจจะต้องต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่สูงกว่าระดับของพวกเขาและมันอาจจะแข็งแกร่งกว่าที่เจสันจัดการในส่วนของเขา พูดตามหลัก คงเป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะสัตว์ร้ายที่มีระดับสูงกว่าโดยไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ จากสัตว์พันธะหรือคนอื่นๆ
ถึงแม้พลังที่ได้รับการแบ่งมาจากสัตว์พันธะจะสามารถทำให้มนุษย์แข็งแกร่งขึ้นจนสามารถต่อสู้กับสัตว์ที่มีระดับใกล้เคียงได้แบบตัวต่อตัว แต่นั้นมันไม่สามารถที่จะเอาชนะสัตว์ร้ายที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าถึง 2 ระดับ ยกเว้นหากสัตว์พันธะตัวแรกของคนบางคนอยู่ในระดับสัตว์วิเศษที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่เพียงพอต่อการเอาชนะสัตว์ร้ายระดับวิวัฒนาการในระดับสูง
หรืออาจมีใครบางคนที่มีพลังวิญญาณที่เสริมกายภาพที่แข็งแกร่งที่ทำให้ร่างกายนั้นแข็งแกร่งมากๆ หรือมีพลังวิญญาณที่มีธาตุต่างๆ ที่มีพลังสูงที่หายาก ซึ่งมีพลังที่แกร่งกล้า
หรืออาจจะเป็นคนที่พระเจ้าเลือกไว้ หรือ พระเอก ???
เจสันขณะที่กำลังรอครูอยู่ ก็มีข้อความของแชทกลุ่มของนักเรียนบางคนบ่นถึงงานที่ได้รับมองหมายที่ไม่เป็นธรรม ทำให้เจสันส่ายหน้า
‘คนพวกนั้น คิดว่ารางวัลจะตกลงมาจากฟ้าโดยไม่ต้องทำอะไรเลยรึไง ‘
นักเรียนเหล่านี้สามารถได้เรียนรู้เทคนิคที่ล้ำค่าเป็นรางวัล แต่เจสันก็ไม่สนใจพวกนั้นเพราะคิดว่า พวกนั้นเป็นคนโง่ที่ไร้ประโยชน์
ตอนแรกเจสันจะแนะนำในแชทกลุ่มว่า พวกเขาสามารถใช้ยาพิษเพื่อที่จะสามารถแก้ปัญหาในการเอาชนะพวกสัตว์ร้ายได้ และเจสันก็เข้าใจทันที่ว่ามันคงไม่มีประโยชน์กับคนพวกนี้
ตอนนี้เป็นเวลา 8 โมงเช้าพอดี และกรีลก็เข้ามาในห้องและนั่งลงตรงหน้าเจสัน เจสันควรจะเริ่มถามคำถามไหนก่อน เกี่ยวเทคนิคการแยกจิต และยังมีอีกหลายสิ่งที่เจสันไม่เข้าใจแม้จะค้นคว้าแล้วก็ตาม
“ครูครับ ช่วยอธิบายความเชื่อมโยงระหว่างส่วนย่อยของสมองในบริบทเกี่ยวกับความสำคัญของช่องมานาที่ไหลผ่านสมอง การใช้งาน ประโยชน์และปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการเปลี่ยนแปลงของสมองได้ไหมครับ ขณะที่ฝึกการแยกจิตในขั้นตอนแรก”
กรีลฟังเจสันก่อนที่ปากจะกระตุกอยู่ครู่หนึ่ง เขาเคยคิดว่าเจสันจะถามคำถามง่ายๆ เกี่ยวกับเบื้องต้นเพื่อที่จะให้กรีลอธิบายคำบางคำ แต่เด็กหนุ่มอายุ 14 ปีนี้กำลังถามคำถามแบบนั้น เจสันอ่านคู่มือไปถึงไหนแล้ว ??
“คุณเข้าใจส่วนก่อนของบทนำรึยัง ??”
กรีลเบลอพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตามเจสันได้พยักหน้ารับ ทำให้กรีลรู้สึกประหลาดใจเนื่องมันกรีลไม่คิดว่าเจสันจะสามารถอ่านได้
ตั้งแต่เกิดเจสันมีบุคลิกที่มีความมุ่งมั่น มิฉะนั้น เด็ก 4 ขวบจะทนต่อการรวบรวมอนุภาคมานาในดวงตาเป็น 10 ปีได้อย่างไร และหลังจากที่สามารถมองเห็น ความมุ่งมั่นของเจสันก็ยิ่งหนักแน่นขึ้น การเรียนรู้และทำความเข้าใจเทคนิค การแบ่งแยกจิต (ชื่อเต็มๆ ขอตำรา) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเจสัน ทำให้จิตใจของเจสันทำงานด้วยความเร็ว 200 % ตลอดทั้งคืนเพื่อที่จะทำความเข้าใจในทุกสิ่ง
โชคดีที่มานาในแกนมานาของเจสันกำลังฟื้นฟูพลังงานและสามารถเติมเต็มระหว่างที่รอกรีล กรีลยังสงสัยเกี่ยวกับเจสัน เพราะเจสันถามคำถามที่ซับซ้อนซึ่งต้องใช้ความเข้าใจในระดับหนึ่ง ดังนั้นกรีลจึงเริ่มถามคำถามกับเจสันเกี่ยวกับคู่มือเทคนิคแยกจิต อย่างไรก็ตามเจสันสามารถตอบคำถามของกรีลได้ง่ายๆ ทำให้กรีลรู้สึกตกใจ
‘อ๊ากกกกกกก ‘ กรีลรู้สึกอิจฉาในความสามารถในการเข้าใจของเจสันอย่างมาก เพราะเขาไม่สามารถทำแบบนี้ได้เมื่อตอนอายุ 14 ปี ขณะที่เจสันอายุเพียง 14 ปี เขาก็ต้องข้างมีความเป็นผู้ใหญ่ เนื่องจากเจสันมีออร่าแปลกๆ อยู่รอบตัวซึ่งมันดูเหมือนว่าเขานั้นโตเต็มที่แล้ว และการมองโลกที่แตกต่างกับเด็กคนอื่นๆ
หลังจากที่กรีลสงบลงได้ระดับหนึ่ง กรีลก็ตั้งใจที่จะตอบคำถามของเจสันโดยละเอียด เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง และคำถามของเจสันก็ดูเหมือนจะหาจุดจบไม่ได้
***เพิ่มเติม คือในช่วงเวลานี้เด็กนักเรียนคนอื่นๆ ในชั้นนี้ไปทำงานล่าสัตว์ร้ายกัน จึงไม่ได้มีใครมาเรียน ในห้องเรียนจึงมีแค่เจสันกับกรีล เด็กนักเรียนคนอื่นๆ จะมากันหลังจากที่ทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้วเท่านั้น ***
แทนที่คำตอบจะจบลง ดูเหมือนว่ามันจะซับซ้อนมาขึ้นเรื่อยๆ และดุเหมือนว่าเจสันจะสามารถเข้าใจในคำอธิบายของกรีลได้ ทำให้เกิดมากมายขึ้นในจิตใจ และคำถามบางอย่างก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเทคนิคการแยกจิตอีกด้วย
‘การแยกจิต : เป็นเทคนิคที่อันตรายที่เน้นการขัดเกลาสมองเพื่อแบ่งจิตของผู้ฝึก โดยมีสติปัญญาที่ยังคงทำงานได้ปกติ ในขณะที่แยกจิตออกมาใหม่ การเพิ่มความสามารถของสมองด้วยความละเอียดอ่อนในขณะที่ลดภาระการทำงานของร่างกายในส่วนต่างๆ และเทคนิคนี้อันตรายเนื่องจากพลังจิตที่จำเป็นในการฝึกฝนเทคนิคนี้ทำให้เกิดผลข้างเคียง หากเกิความผิดพลาดสมองอาจจะได้รับอาการบาดเจ็บจนทำให้ผู้ฝึกพิการได้’
เจสันพบมามันเป็นเทคนิคที่น่ากลัวและน่าตื่นเต้น เจสันมันจะคร่ำครวญกับตัวเองเกี่ยวกับการดูดซับมานาที่ไม่สามารถดูดซับได้ตลอดทั้งวัน แต่ตอนนี้มีเทคนิคแบบนี้โผล่เข้ามา ถ้าเจสันสามารถฝึกฝนเทคนิคนี้ได้ เจสันก็สามารถแบ่งจิตตัวเองเพื่อที่จะสามารถดูดซับมานาได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น บวกกับเทคนิคการดูดซับมานาแบบพาสซีฟ มันเป็นการผสมผสานเทคนิคที่สุดยอดมาก เจสันมั่นใจในการเพิ่มอันดับที่รวดเร็วของเขา
บางทีเจสันอาจจะไปถึงอันดับเดียวกับเกร็กภายในเวลาไม่กี่เดือน วิธีการนี้ได้จุดประกายความมุ่งมั่นให้กับเจสันมากยิ่งขึ้น เกร็กน่าจะเข้าสู่ขั้นผู้ชำนาญระดับ 5 ในเวลาประมาณ 3 เดือน ซึ่งนั้นไม่เร็วเกินไปแต่ก็ไม่ช้าเกินไป หลังจากเรียนรู้วิธีดูดซับมานาแบบพาสซีฟ ซึ่งเจสันเองก็เริ่มมั่นใจในความสำเร็จนี้เช่นกัน
ปัญหาเดียวก็คือ ความยากของเทคนิคนี้ เจสันรู้คร่าวๆ ว่า แม้เทคนิคระดับ 1 ก็ยังเข้าใจสำหรับมนุษย์ทั่วไปที่มีระดับต่ำกว่าผู้วิเศษ เทคนิคระดับ 2 ส่วนใหญ่ได้เรียนรู้หลังจากได้เป็นผู้วิเศษขึ้นไป และเจสันมั่นใจว่าแม้แต่เทคนิคระดับ 3 ต้องมีความยากมากๆ ที่จะเรียนรู้และฝึกฝน
และเทคนิคพิเศษนี้ก็มีความยากเท่ากับเทคนิคระดับ 3 ที่ยากที่สุด ถ้าไม่มีพรสวรรค์ก็ต้องเป็นคนที่อัจฉริยะมากๆ ที่จะสามารถเรียนรู้ได้
เจสันไม่เข้าใจว่าเทคนิคพิเศษอันดับเป็นเช่นไร แต่เขาเคยได้ยินมาว่า เป็นทักษะที่ได้รับพรจากรอยแยกระดับสูง ซึ่งเป็นทักษะและเทคนิคที่มีค่ามากที่สุดสำรหับมนุษย์ เพื่อที่จะเข้าใจ มีคนกล่าวว่าจะต้องมีความเข้าใจเหมือนพระเจ้าและมีความรู้มากมายหรืออะไรทำนองนั้น แต่เจสันก็ไม่สนใจเรื่องเทพนิยายหรือตำนานที่ใครๆ กล่าว
อย่างไรก็ตามมัน่าประหลาดใจที่ได้เห็นเทคนิคพิเศษ ที่ไม่เหมือนใครอยู่ตรงหน้าเขา จนกระทั่งกรีลสังเกตเห็นความอยากรู้อยากเห็นของเจสัน และความลังเล ทักษะและเทคนิคแบบไหนที่จะทำให้เจสันนั้นพอใจ
นักเรียนบางคนอาจคิดว่า งานที่ได้รับมอบหมายจะสิ้นสุดลงเมื่อเขาได้ส่งวิดีโอ แต่จริงๆ การทดสอบของจริงนั้นเป็นอย่างอื่น เทคนิคใดที่ดีที่สุดสำหรับนักเรียนแต่ละคน ที่จะเลือกเพื่อเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ให้แข็งแกร่งขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น กรีลรู้ว่ามันแปลกที่มีเทคนิคระดับสูงมากมาย และนักเรียนบางคนอาจจะสงสัยเกี่ยวกับตัวของเขา และกรีลก็ไม่คิดอย่างนั้นในตอนนี้และกรีลก็จ้องมองเจสันด้วยความสนใจ
การที่กรีลจะสนใจในตัวของคนคนหนึ่งนั้นยากมากและเขาก็ประหลาดใจที่เขาสนใจในตัวเจสันมากขนาดนี้ มันทำให้เขานึกถึงสมัยก่อนตอนที่กรีลเรียนเกี่ยวกับคาเนียร์ ในขระที่ความทรงจำทั้งดีและร้ายก็ผุดขึ้นมาในใจมากมาย เหลือเพียงเวลา 1 สัปดาห์สำหรับนักเรียนของเขาที่จะสามารถฝึกฝนเทคนิคระดับสูงพวกนี้ ซึ่งเหลือเวลาไม่นานนั้น
และกรีลเองก็ไม่มั่นใจว่าเด็กนักเรียนบางคนจะสามารถเข้าใจเทคนิคเหล่านี้ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ได้หรือไม่ และกรีลเองจะสอนเทคนิคอื่นๆ ให้กับนักเรียนในไม่ช้า แต่ตอนนี้เป็นโอกาสครั้งเดียวที่นักเรียนจะสามารถเรียนรู้เทคนิคการต่อสู้และทักษะต่างๆ ในระดับสูงได้
เด็กหนุ่มผมดำนี้จะเลือกทักษะหรือเทคนิคไหนกัน ??
การเลือกเทคนิคระดับ 3 ที่มีความยากสูง จะเป็นการเมินความสามารถที่สูงเกินไปและในขณะที่เลือกเทคนิคระดับ 2 จะเป็นการดีที่สุด แต่ก็จะทำให้กรีลรู้สึกผิดหวัง ขณะที่เจสันคิดว่าควรจะเลือดเทคนิคพิเศษแยกจิตดีหรือไม่ เจสันยังคงค้นหาผ่านทักษะต่างๆ น่าเสียดายที่ไม่มีเทคนิคไหนที่เจสันรู้สึกถูกใจเท่ากับเทคนิคพิเศษนี้ กรีลมองเจสันอย่างคาดหวังในถขณะที่นึกถึงความสามารถของเด็กหนุ่มคนนี้
ซึ่งจากที่ดูการต่อสู้กรีลเห็นว่าเจสันสงบมากกับการต่อสู้กับลีโอในการแข่งขัน และสามารถเอาชนะได้ด้วยความสามารถภายในดวงตาที่มีลักษณะพิเศษ นอกจากนี้เจสันยังไม่สนใจเกี่ยวกับความคิดของคนอื่นๆ แม้ว่าเขาจะสู้ด้วยวิธีที่มีทักษะของโกงเล็กน้อย ซึ่งนั้นก็เป็นวิธีการเอาชนะกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า
และพรสวรรค์ในการดูดซับมานาของเจสันยังมีมากกว่าเด็กคนอยู่ๆ ในคาเนียร์ และจะใช้เวลาไม่นานมากนักที่สามารถตามเพื่อนร่วมชั้นทัน แต่การมีพลังจิญวิญญารที่อ่อนแอของเจสัน และที่แย่ไปกว่านั้น พาราสกอร์ตัวจิ๋วที่เพิ่งมาเป็นพันธะตัวที่สองของเจสัน กรีลทำได้เพียงแต่สายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเขาคิดว่ามันเป็นเพียงสิ่งหนึ่งของเจสันที่สูญเปล่า
กรีลยังคงนึกนึกความเจสันและนักเรียนคนอื่นๆ เพื่อที่จะหาวิะีที่จะเพิ่มศักยภาพและความแข็งแกร่งของพวกเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะการแข่งขันของชั้นเรียน จะมีขึ้นในอีก 3 สัปดาห์ ทันใดนั้นความคิดทั้งหมดของกรีลก็ถูกขัดจังหวะ โดยเจสัน เจสันได้บอกกรีลถึงเทคนิคที่ต้องการที่จะเรียนรู้
“ครูกรีล ผมต้องการเรียนรู้เทคนิคพิเศษ การแยกจิต ได้โปรกสอนผมด้วยครับ !”
เมื่อเจสันพูดอย่างนั้น และด้วยความมั่นใจ ทำให้กรีลมองเขาด้วยความตกใจ
“คุณแน่ใจใช่ไหม ???”
กรีลถามอย่างลังเล และไม่คิดว่าเจสันจะเลือกเทคนิคนี้
ก่อนหนน้านี้กรีลลังเลว่าควรจะใส่เทคนิคนี้ลงไปในตารางเพื่อให้นักเรียนของเขาเลือกหรือไม่ แต่เข้าก็ตัดสินใจที่จะใส่มันลงไปเพื่อแสดงถึงเทคนิคต่างๆ ที่มีอยู่และไม่ได้หวังให้มีใครเลือกมัน
ตัวของกรีลเองได้ฝึกฝนเทคนิคนี้จนถึงจุดสูงสุดของขั้น 2 แต่ก็เท่านั้นและยิ่งไปกว่านั้นเขาใช้เวลามากกว่า 10 ปีที่จะถึงระดับนั้น กรีลไม่ใช่คนที่ชอบพูดถึงเรื่องอายุ แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนวัยหนุ่มอย่างที่ใครๆ คิด เพราะวัยหนุ่มของกรีลนั้นที่มีศักยภาพถึงจุดสูงสุดได้ผ่านไปนานมากแล้ว และกรีลเองก้เพิ่งได้รับเทคนิคนี้หลังจากที่พยายามอย่างหนัก
ตอนนี้เด็กชายอายุ 14 ปีคนนี้ ต้องการที่จะเรียนรู้เทคนิคนี้งั้นหรอ เจสันไม่ได้อ่านคำอธิบายเกี่ยวกับความอันตรายของมันหรอ ???
“ครับ ผมแน่ใจ ผมจะเลือกเทคนิคนี้”
กรีลรู้สึกเหมือนโดนต่อยท้องหลังจากที่เจสันพูดด้วยความมุ่งมั่น และมันทำให้กรีลสตั้นไป 2-3 นาที กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง ทำให้กรีลรู้สึกผิดหวัง และเจสันเห็นว่าเมื่อกรีลส่งไฟล์เทคนิคนี้ให้ เจสันก็ได้รับไฟล์ทันที มันมีขนาดไม่กี่กิกะไบต์ปรากฏขึ้นในสร้อยข้อมือ
‘มากกว่า 8,000 หน้า !!!!’ นั้นเป็นสิ่งเดียวที่เจสันรู้สึกเมื่อเปิดไฟล์
0.0 (มันคือหน้าตกใจ)
และตัวหนังสือที่เขียนขนาดเล็กมาก จนเจสันตกใจ ‘จะใช้เวลานาเท่าไหร่เนี่ยยย กว่าจะอ่านจบ =..=’
เมื่อเห็นท่าทางที่ตกใจของเจสัน กรีลได้ยิ้มแหยะๆ ออกมา โดยคิดว่ามันคงเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับเจสัน เมื่อเจสันพบว่าเทคนิคพิเศษนั้นยากเพียงใดในการเรียนรู้และฝึกฝน เจสันคงจะเสียใจกับความคิดของเขาทันที
กรีลได้ให้คำกับเจสันด้วยการพูดเบาๆ
“คุณเพียงต้องอ่านต้องอ่านส่วนแนะนำสำหรับขั้นแรก และฉันจะสอนคุณตลอดทั้งสัปดาห์ และหากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์และคุณยังไม่เข้าใจอะไรเลย ฉันจะให้โอกาสในการเลือกเทคนิคใหม่ เป็นเทคนิคระดับ 2 ที่ง่ายกว่าและไม่ให้เลือกเทคนิคระดับ 3 หรือระดับพิเศษอีกเป็นการลงโทษ แต่ครั้งนี้จะเป็นรางวัล สำหรับการส่งงานเป็นคนแรกในระยะเวลาอันสั้น !!”
กรีลคงคิดว่าตัวเองนั้นใจกว้างมาก เพราะกรีลเองก็ไม่อยากให้เจสันสูญเสียโอกาสต่างๆ
“จำต้องหรอกครับครู ผมจะพยายามเรียนรู้เทคนิคนี้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม!!!”
เจสันดูมั่นใจและมีความมุ่งมั่นมากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ใจของกรีลรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที
“งั้นก็ได้ เอาละ คุณควรกลับบ้านได้แล้ว อ่านบทในส่วนแรกให้จบ และดูคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจและจดไว้ ไว้มาถามฉันในวันพรุ่งนี้ และคุณควรมาโรงเรียนให้เร็วกว่าเดิม เพราะฉันจะสอนเธอตัวต่อตัวในระหว่างที่รอเพื่อนคนอื่นๆที่มาถึง และระหว่างรอโรงเรียนเริ่ม”
เจสันได้ฝึกเทคนิคสรกสวรรค์อย่างเคยก่อนที่จะเปิดคู่มือการแบ่งแยกจิต เมื่อพิจารณาจากขนาดหน้าที่ชัดเจนจากบทนำ ใบหน้าของเจสันก็ซีดเผือกทันทีที่รู้ว่ามันต้องเป็นค่ำคืนที่ยาวนาน เมื่อเจสันเริ่มอ่านบทส่วนเกริ่นบทนำ เขาคิดว่ามันง่ายสำหรับเขาที่จะอ่าน 2-3 ในคราวเดียวให้จบ เนื่องจากความสามารถในการอ่านที่รวดเร็ว แต่มันกลับตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง
เจสันไม่สามารถแม้แต่จะอ่านหน้าแรกให้จบและเจสันเงยหน้าขึ้นด้วยความหงุดหงิดขณะที่รถรับส่งมาถึงหน้าบ้านแล้ว
`นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ยยยยยยยยย !!!????`
ขณะที่กรีลกำลังนั่งดูเอกสารบางอย่างในห้องทำงาน และกำลังคิดหาวิธีในการสอนเด็กนักเรียนของเขา หลังจากที่ได้เห็นว่าเด็กนักเรียนในคลาสนั้นอ่อนแอเพียงใด เพราะส่วนใหญ่นั้นความสามารถยังไม่ถึงเป้าที่เขากำหนดไว้ จากนั้นก็มีเสียงข้อความดังขึ้นมา
‘หื้ม เจสัน ? ส่งคลิปวิดีโอแล้วงั้นหรอ เขาจัดการสัตว์ร้ายได้ตัวหนึ่งแล้วงั้นหรอ ถ้าจำไม่ผิดเจสันจะต้องจัดการสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นในระดับต่ำ บางที่เขาอาจจะสามารถจัดการสำเร็จได้ภายใน 2-3 วันนี้ ถ้าเจสันสามารถพบสัตว์ร้ายที่อยู่ตัวเดียวภายในป่า 2 ดาวนี้ได้ แสดงว่าต้องมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมมาก’
ขณะที่กรีลครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ได้เปิดวิดีโอที่เจสันส่งเข้ามาซึ่งมี 2 คลิปวิดีโอ และส่งข้อความว่าจะไปหาที่ห้องทำงาน
‘เจสันสามารถจัดการสัตว์ร้ายได้ 2 ตัวแล้วงั้นหรือ นั่นเป็นความสำเร็จที่ดีมาก ‘
แต่เมื่อกรีลเริ่มสังเกตุการต่อสู้ เขาก็ขมวดคิ้วทันที เพราะเขาแทบจะบอกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติกับลูกธนู และเจสันก็สามารถยิงมันได้อย่างแม่นยำด้วยสายตาที่ยอดเยี่ยมมาก แต่มันก็สังเกตุได้ไม่ยากว่ามีบางสิ่งบางอย่างในลูกธนู
เจสันจัดการทหารก็อบบลินตัวแรก มันถูกธนูยิงใส่จากนั้นเพียงชั่วครู่มันก็ขยับตัวไม่ได้ ซึ่งสาเหตุต้องมาจากลูกธนูเพราะเนื่องจากมันถูกยังเข้าไปที่ท้องของก็อบบลินเท่านั้น มันไม่สามารถที่จะจัดการพวกก็อบบลินได้ง่ายดายขนาดนี้
กรีลจึงสรุปได้ว่า เจสันได้ใช้พิษบางอย่างสำหรับการจัดการพวกก็อบบลินเหล่านี้ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ดีและง่ายในการต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้น นี้เป็นกลยุทธ์ที่กรีลตั้งใจให้เด็กนักเรียนของเขาได้เรียนรู้ เมื่อพวกเขาสังเกตว่าการเอาชนะสัตว์ร้ายระดับที่สูงกว่าตนเองที่ไม่มีทางเป็นไปได้หรือยากที่จะจัดการ
กลยุทธ์ในการใช้อาจจะมีราคาแพง และถ้านักเรียนของเขาสามารถที่จะจัดการกับสัตว์ร้ายได้ พวกเขาก็จะได้รับการสอนจากทักษะการต่อสู้ระดับ 3 ที่แม้แต่นักเรียนในโรงเรียนหลัก ยังไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาได้เรียนทักษะนี้ เพราะเนื่องจากทักษะนี้หาได้ยาก แม้แต่ในแอสทริกซ์
รางวัลนี้ดึงดูดความสนใจให้เหล่านักเรียนที่อยากมีความแข็งแกร่งและความสามารถ เมื่อดูวิดีโอที่เจสันส่งมา ก็ได้เห็นก็อบบลินอีก 2 ตัวถูกลอบโจมตีระยะไกลด้วยธนู ในคลิปแรกเจสันสามารถจัดการพวกก็อบบลินได้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งกรีลเองก็ดูพอใจกับสิ่งนั้น
เมื่อกรีลเปิดคลิปที่ 2 ดู ก็สังเกตเห็นว่ามีจอมเวทย์ก็อบบลินอยู่ในกลุ่มของก็อบบลินอีก 5 ตัว
‘จอมเวทย์ก็อบบลิน ?? ในเขตป่า 2 ดาว เกิดอะไรขึ้น ??’ กรีบเริ่มสับสนกับสิ่งที่เห็นภายในวิดีโอ ซึ่งดูเหมือนเป็นการลอบสังหารมากกว่าการต่อสู้แบบประชันหน้า เนื่องจากเจสันใช้พิษในการโจมตีอย่างเงียบๆ และพวกก็อบบลินก็ถูกสังหารด้วยความง่ายดาย
หลังจากวิดีโอจบลง กรีลก็ประหลาดใจเมื่อเจสันสามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ อย่างไรก็ตาม นั่นไม่สำคัญกับกรีลในตอน หากพบจอมเวทย์ก็อบบลินอยู่ในกลุ่มล่าสัตว์ของพวกก็อบบลิน แสดงว่าพวกก็อบบลินกำลังขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วโดยไม่สามารถควบคุมได้
หลังจากนั้นกรีลก็ได้ค้นหาข้อมูลของเขตป่า 2 ดาว จนกระทั่งพบว่า พวกมันได้รับการขึ้นทะเบียนในบันทึกของเมื่อไซโร ซี่งเป็นข่าวร้ายที่สำคัญ ทำให้กรีลมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
หลังจากค้นหาเพิ่มเติม กรีลก็ได้พบข้อมูลของความโกลาหลในเขตเวทย์มนต์เกี่ยวกับนักรบก็อบบลินระดับสูง จอมเวทย์ก็อบบลิน และก็อบบลินไรเดอร์ที่ฆ่านักล่าหลายด้วยในระดับผู้วิเศษ นั้นหมายถึงเขตเวทย์มนต์ถูกใช้โดยหัวหน้าหรือผู้คุมระดับสูงของก็อบบลิน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าราชาก็อบบลินคงไม่ได้อยู่ในแอสทริกซ์ แต่ก็ไม่แน่
ราชาก็อบบลินสามารถมอบความสามารถบางอย่างให้กับพวกลูกน้องของมัน ในอดีตมีราชาก็อบบลินอยู่ 2-3 ตน แต่ไม่มีตัวไหนที่อยู่ในแอสทริกซ์ และกรีลเองก็ไม่อยากนึกถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่คิดได้ อย่างไรก็ตามมันอันตรายอย่างยิ่งสำหรับนักเรียยนของเขา ที่ต้องออกล่าสัตว์สำหรับงานที่มอบหมาย
ด้วยการปรากฏตัวของกลุ่มก็อบบลิน และก็มีจอมเวทย์ก็อบบลินอยู่ภายในเขตป่า 2 ดาว กรีลไม่อยากนึกถึงว่ามีอะไรเกิดขึ้นในเขตป่า 3 ดาว ที่มีกลุ่มก็อบลินอยู่จำนวนมาก
ข้อเท็จจริงสำหรับพวกก็อบบลิน คือพวกมันมีความสามารถในการสืบพันธุ์ที่รวดเร็ว และมีความฉลาดกว่าสัตว์ร้าย พวกมันมีสังคมเป็นของตัวมันเองและทำงานหรือออกล่าเป็นกลุ่ม
เรื่องนี้ทำให้กรีลลังเลว่าจะเกิดอะไรขึ้น และควรจะทำอย่างไร กรีลคิดว่าเขาควรส่งคลิปวิดีโอของจอมเวทย์ก็อบบลินไปยังรัฐบาลและเพิ่มหน่วยรักษาความปลอดภายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบป้องกัน เพื่อที่จะคุ้มครองชาวเมือง
รัฐบาลจะได้ทำการตรวจสอบและวิจัยเกี่ยวกับขนาดของฐานก็อบบลินและขนาดสังคมของพวกมัน หลังจากเห็นว่างานนี้เริ่มีความอันตรายเกินไปและกรีลเองก็เน้นว่าชีวิตของเด็กนักเรียนนั้นสำคัญกว่างาน กรีลจึงทำการแจ้งให้นักเรียนทุกคนทราบถึง เกี่ยวกับก็อบบลินเพื่อให้นักเรียนทักคนระมัดระวังตัว แต่นั้นไม่ได้หมายความว่างานจะยุติลง
ทุกคนสามารถที่จะตัดสินใจได้ด้วยตัวเองว่าควรจะทำต่อหรือไม่ กรีลเองก้ไม่ได้บังคับว่าจะต้องทำงานนี้ให้สำเร็จ ถึงกระนั้นกรีลเองก็รอคำตอบของนักเรียน แต่ก้ไม่มีใครที่จะปฏิเสธที่จะไม่ทำงานนี้ เป็นเพราะของรางวัลที่จะได้รับ ทำให้พวกนักเรียนมีแรงจูงใจที่จะทำงานนี้ให้สำเร็จ
และยังมีเด็กนักเรียนบางคนที่ได้รับบาดเจ็บจากภารกิจนี้ แต่ไม่มีเด็กคนไหนที่เสียชีวิต ในขณะที่เดียวกันเจสันก็มาที่โรงเรียนและไปที่ห้องของกรีล และทำการเคาะประตูห้อง แต่ก็ไม่มีใครมาเปิดประตู และพบว่าประตูห้องถูกล็อคไว้
‘ครูกรีลอยู่ไหนนะ’
เจสันถามกับตัวเอง ขณะที่คิดว่าครูของเขาอาจจะผิดสัญญา ผ่านไปสิบนาทีก็ยังไม่มีใคร เจสันรู้สึกเหมือนโดนหลอกเมื่อมีคนเมินข้อความของเขา ผ่านไป 20 นาที เจสันก็ได้รับข้อความจากกรีล
‘รอก่อนนะ เดียวฉันกลับมา’
เห็นได้ชัดว่ากรีลมีบางสิ่งที่สำคัญที่ต้องทำ และเจสันรู้เพียงเล็กน้อยว่ามันต้องเกี่ยวกับเรื่องของจอมเวทย์ก็อบบลินที่เขาค้นพบ ไม่นานนักก็มีข่าวใหม่เกี่ยวกับก็อบบลินปรากฏขึ้นทุกหนทุกแห่งในพื้นที่ทางใจ้ของเมืองไซโร เนื่องจากเป็นพื้นที่ป่า 2 ดาวที่มีจำนวนก็อบบลินมาปรากฏเป็นจำนวนมาก และสังหารสัตว์และล่ามนุษย์ที่อ่อนแอกว่า
เจสันไม่รู้อะไรมากนักขณะที่นั่งอยู่ในห้องเรียนที่ว่างเปล่าและไม่รู้ว่าต้องทำอะไร หรือควรทำอะไร
‘รางวัลของฉันละ ??’
เขาทำได้เพียงร้องออกมามาในใจ ก่อนตัดสินใจป้อนน้ำผลไม้บาคูรีให้กับสกอร์พิโอ และฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ต่อหลังจากนั้น
สกอร์พิโอได้กินน้ำผลไม้บาคูรี และมันก็ดูดซับมานาจากหินมานาจำนวนเล็กน้อย เจสันสังเกตเห็นบางอย่างของสกอร์พิโอ และดูเหมือนจำนวนมานาที่สกอร์พิโอสา่มารถดูดซับนั้นมันมีปริมาณมากกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย เจสันรู้สึกดีใจนิดหน่อยและยิ้มเบาๆ ให้กับมัน
สกอร์พิโอนั้นมีความพัฒนาขึ้นและมันต้องเพิ่มขึ้นอยากมากในอนาคต โชคดีที่สกอร์พิโอนั้นดูจะไม่เจ็บปวดแบบคราวก่อน และดูเหมือนน้ำผลไม้บาคูรีจะกลายเป็นของชอบของมัน หลังจากให้กินจนหมด ความเจ็บปวดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง และดูเหมือนทั่งคู่จะสามารถรับรู้ได้
แมงป่องตัวเล็กไม่ได้ลอกคราบในตอนนี้ แต่ได้สำรอกน้ำลายออกมาเป็นสำดำๆ เป็นครั้งคราว ซึ่งเจสันก็ไม่ได้สังเกตุ หลังจากฝึกเสร็จเจสันก็ตัดสินใจที่จะออกมาดูดซับมานานอกโรงเรียน
เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ เจสันเสร็จสิ้นการดูดซับมานา และกรีลก็ปรากฏขึ้นอยู่ข้างหลังของเจสัน เมื่อมองหน้ากันกรีลเห็นได้ชัดว่าเจสันรู้สึกไม่พอใจ
“ทำได้ดีมากเด็กน้อย ตัดสินใจมานะว่าอยากเรียนเทคนิคอะไร เดียวฉันจะสอนให้”
‘เขาไม่ได้กล่าวขอโทษที่ปล่อยให้ฉันรอเป็นชั่วโมง โดยไม่มีคำอธิบายใดๆ งั้นหรอ ?’
เจสันไม่พอใจแต่ก็เก็บไว้ในใจ ขระที่มองเขม็งไปที่กรีล ทำให้กรีลรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย และหน้าจอโฮโลแกรมได้ปรากกฏขึ้นต่อหน้าเจสัน พร้อมกับแสดงทักษะและเทคนิคมากมาย
“ว้าว”
นี้เป็นสิ่งเดียวที่หลุดออกมาจากปากของเจสันในตอนนี้ และเจสันเริ่มมีความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นทักษะและเทคนิคการต่อสู้จำนวนมาก และเมื่อกรีลเห็นเจสันรู้สึกพอใจ เขาก็ยิ้มออกมา
`เทคนิคพิเศษ–การจัดการมานา`
`เทคนิคการไซเรนเดธ–ดาบ(ระดับ-3)
`เทคนิคการจัดการของเหลวขั้นสูง (ระดับ-3)
`เทคนิคพิเศษ- การรวมธาตุ
`เทคนิคชาโดว์เสต็ป (ระดับ-3)
.
…
…
มีทักษะระดับ 3 มากมายและเทคนิคพิเศษต่างๆ อย่างน้อย 3-4 ทักษะ อย่างที่เจสันได้เห็น เทคนิคด้านล่างน่าจะเป็นเทคนิคระดับ 2 และเจสันสงสัยว่าครูธรรมดาจะมีเทคนิคมากมายขนาดนี้ในสร้อยข้อมือควอตัมได้ยังไง
ยิ่งกว่านั้น อนุญาติให้แจกนักเรียนทั่วไปได้ยังไง ใครที่มีอำนาจในการทำเช่นนี้ ก็ครูของเขาไงง !!
การเลือกดูทักษะต่างๆ ทุกอย่างอย่างละเอียดพร้อมคำอธิบาย ส่วนใหญ่มีคะแนนอยู่ด้านหลังบ่งบอกถึงความยากลำบากในการเรียนรู้ และดูเหมือนว่าเทคนิคการจัดการของเหลวระดับสูงจะง่ายที่สุดในทักษะระดับ 3 เหล่านี้ แต่เจสันไม่มีธาตุน้ำและไม่มีแรงจูงใจสำหรับการฝึกทักษะนี้
การหลอมหรวมของธาตุได้ดึงดูดความสนใจของเจสัน แต่มันห่างไกลสำหรับเจสัน เจสันจึงได้เลือกดูไปสักพักจนมีทักษะบางอย่างที่ดูเหมือนจะเหมาะสมกับตัวเจสันอย่างมาก
`เทคนิคพิเศษ- แยกจิต
ยิ่งเจสันเดินออกมาไกลจากโดมมากเท่าไหร่ ความหนาแน่นของมานายิ่งน้อยลง เจสันจึงคิดว่าเป็นเพราะระยะห่างของเส้นมานา แต่นั้นไม่สำคัญเพราะเจสันมีสิ่งที่ต้องทำ เจสันต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จและจะได้รับรางวัลตามที่กรีลได้กล่าวไว้
เมื่อเปิดใช้งานวิดีโอเพื่อบันทึกทุกอย่าง เจสันก็พร้อมที่จะล่าสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้น แม้ว่าจะใช้ตัวช่วยก็ตาม นั้นเป็นสาเหตุที่เจสันได้ถามกรีลว่าสามารถใช้ทุกอย่างได้จริงหรือไม่ ยกเว้นข้อจำกัดที่กรีลได้กล่าวไว้
เจสันไม่แน่ใจว่ายาพิษที่ซื้อมานั้นอยู่ในข้อจำกัดหรือไม่เพราะกรีลไม่ได้ระบุมันไว้และพิษเองก็ไม่ได้ฆ่าพวกมันในทันทีเพราะกวมันก็มีความต้านทานพิษระดับหนึ่ง ซึ่งทำให้พวกมันจะตายลงเมื่อผ่านไป 1-2 นาที หากโจมตีไม่โดนจุดสำคัญ
หลังจากนั้นเจสันได้พบกลุ่มสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้น กลุ่มเล็กๆ พวกมันคือก็อบบลินที่ได้รับการปลุกของพลังระดับต่ำ ซึ่งดูเหมือนจะสามารถจัดการได้ง่าย เจสันคาดว่าขนาดของพวกมันอยู่ที่ประมาณ 1 เมตร และก่อนที่พวกมันจะเห็นเจสัน เจสันได้แอบย่องมาหาจนมีระยะห่างกับพวก็อบบลิน 70 เมตร ระยะทาง 70 เมตรถือเป็นระยะที่มากพอสมควรสำหรับเจสัน แต่พวกก็อบบลินก็เคลื่อนไหวเชื่องช้า
มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เจสันจะหามุมที่สมบูรณ์ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าเป้าหมายอยู่ห่างออกไปแค่ไหน เมื่อเจสันผ่อนคลายสายตาและปล่อยมานาเข้าไปในแคปซูล และยิงมันออกไป เพียงไม่กี่วิ ก็มีเสียงดัง ฟุ๊บบ วึ่งบ่งบอกว่าลูกธนูได้โดนได้ที่ก็อบบลินตัวหนึ่ง
และเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของก็อบบลินตัวอื่นก็ตามมา พวกมันได้มองเพื่อนของมันก็ล้มลงและชักกระตุกด้วยความตกใจ ลูกศรทะลุเข้าไปที่ท้องของมันและแคปซูลก็ละลายทันทีและปล่อยพิษร้ายออกมา
ในขณะที่ก็อบบลินตัวอื่นๆ เริ่มที่จะมองหาศัตรูของพวกมัน สักพักก็อบบลินอีกตัวก็ล้มลงจากการถูกธนูยิง ก็อบบลินตัวที่เหลือจึงสังเกตุเห็นเจสัน พวกมันเริ่มพุ่งใส่เจสัน ระยะ 70 เมตร ซึ่งห่างมากพอที่เจสันสามารถจัดการพวกมันได้อีกสักตัว
ก็อบลินเป็น 1 ในเผ่าพันธุ์ที่โง่เขลาที่สุด ที่ก่อตัวขึ้นเป็นสังคม สำหรับเจสันก็อบบลินเหล่านี้โง่กว่าสัตว์ป่าทุกชนิดที่เจสันได้ต่อสู้ด้วย ขณะที่พวกมันพุ่งเข้าหาเจสันโดยไม่ป้องกันตัวใดๆ ดวงตาของพวกมันแดงก่ำ และลูกศรอีกดอกก็เจาะทะลุเนื้อหนังของพวกมัน
ในขณะที่ก็อบบลิน 5 ตัว ล้มลง และมีอีกตัวที่ยืนห่างเจสันเพียง 20 เมตร มันได้มองเพื่อมันอีกตัวที่ล้มลง และเมื่อมันจะหันกลับไปโจมตีเจสัน เสียง ฟุ๊บบ ก็กองผ่านหัวของมัน ลูกศรอีกลูกได้ทะลุเข้าหัวมันของและมันก็ตายทันทีโดยไม่ได้รับความเจ็บปวดจากยาพิษ
เจสันส่ายหัวขณะที่นึกถึงนิทานเกี่ยวกับความร้ายกาจและโหดร้ายของพวกมัน การตายด้วยเงื้อมมือของก็อบบลินนั้น น่าจะเป็นเรื่องที่น่าอับอายหรือการถูกพวกมันข่มขืนเพราะเนื่องจากพวกมันเป็นสัตว์ที่โง่เขลาและหมกมุ่นกับราคะ พวกมันไม่สนใจว่าเหยื่อของพวกมันจะเป็นหญิงหรือชาย แต่เจสันก็มองว่าพวกมันนั้นโง่เขลาและอ่อนแอที่สุดในความคิดของเจสัน
อย่างไรก็ตามเจสันก็สามารถเข้าใจกับผู้คนที่เผชิยหน้ากับหัวหน้าก็อบบลินหรือราชาก็อบบลิน ที่เล่าลือกันถึงความแข็งแกร่งในการต่อสู้และสติปัญญาที่มากกว่าพวกก็อบบลินทั่วไป หลังจากเก็บซากของก็อบบลิน เจสันก็ค้นหาต่อและเจอกับฝูงก็อบบลินอีกฝูงหนึ่ง
แต่คราวนี้มันมี 6 ตัว ในขณะที่ตัวหนึ่งมีขนาดใหญ่กว่าตัวอื่นๆ เล็กน้อย และมีรอยสักของสัญลักษณ์อย่างหนึ่งบนหัวของมัน
‘หื้ม เจ้าตัวนั้นเป็นจอมเวทย์ก็อบบลินงั้นหรอ ?’
เจสันรู้สึกประหลาดใจเพราะมันหาได้าก แต่สิ่งนี่ทำให้เจสันเกิดความสงสัยเล็กน้อย
‘จอมเวทย์ก็อบบลิน ร่วมฝูงกับทหารก็อบบลินตั้งแต่ตอนไหน พวกมันมีอันดับที่สูงกว่า เกินที่จะมาล่าสัตว์อื่นๆ กับพวกทหารก็อบบลิน และไม่ใช่เรื่องปกติที่จะมีจอมเวทย์ก็อบบลินมาร่วมกับฝูงเพื่อมาล่าสัตว์ภายในเขตป่า 2 ดาว เจสันไม่มั่นใจว่าทำไม แต่มีบางอย่างที่ดูผิดไป’
แต่ก่อนที่จะคิดถึงสถานการณ์แปลกๆ เจสันต้องการที่จะมุ่งไปที่การทำงาน ล่าสัตว์ที่ได้รับมองหมายให้เสร็จสิ้นก่อน
จอมเวทย์ก็อบบลินอยู่ในอันดับสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นระดับกลาง แต่เจสันก็สามารถฆ่ามันได้ไม่ยาก เช่นเดียวกับกลุ่มก็อบบลินก่อนหน้านี้ที่พวกมันไม่คิดว่าจะโดนลอบสังหารด้วยาพิษที่อาบลูกธนู
ทุกอย่างจบลงอย่างรวดเร็ว จากการสังหารเหมือนก็อบบลินกลุ่มก่อนหน้านี้ เจสันได้หยิบซากพวกมันเพื่อที่จะเก็บ และเจสันสังเกตุว่าจอมเทยืก็อบบลินนั้นยังไม่ตายและเป็นอัมพาตเท่านั้น เจสันดึงลูกศรออกมาจากตัวมันและแทงทะลุลำคอขของมันโดยไม่ลังเล
สำหรับการฆ่าในครั้งนี้ เจสันไม่มีความลังเลเพราะเมื่อก่อนเผ่าพันธุ์นี้ได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นเผ่าพันะุ์ที่ชั่วร้ายที่สุดเมื่อ 300 ปีก่อน พวกมันลักพาตัวมนุษย์ทุกเพศทุกวัยไปหลายคนเพื่อข่มขืน ก็อบบลินเลวร้ายยิ่งกว่าพวกหนู พวกมันข่มขืนมนุษย์ทุกคนที่พวกมันจับได้
พวกมันก็เพิ่มจำนวนประชากรของพวกมันและโจมตีต่อไป มนุษย์หลายล้านคนเสียชีวิตด้วยน้ำมือของพวกมัน เมื่อตอนที่เกิดการระบาดของมานาในตอนแรก
อย่างไรก็ตามเจสันรู้สึกดีใจที่งานที่เขาได้รับการมอบหมายสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เจสันจึงส่งคลิปที่บันทึกไปให้กรีลทันขณะที่กลับไปที่โดม
เจสันนั้นอยู่ในขั้นมือใหม่ระดับ 6 เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเขาจะเอาจัดการสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นในระดับต่ำ ซึ่งงานนี้เป็นงานที่ทำให้เจสันตื่นเต้น ไม่ใช่เพราะเจสันมั่นใจที่สามารถเอาชนะสัตว์ร้ายเหล่านั้นได้ในการต่อสู้ด้วยตัวคนเดียวหรือการลอบสังหาร
แต่เป็นเพราะสัตว์ร้ายระดับที่ตื่นขึ้นระดับต่ำ มีอยู่ทั่วในป่า 2 ดาว รอบเมืองไซโรและมันก็มีจำนวนที่มากมาย 2 ชั่วโมงผ่านไปเสียงหึ่งๆ มาที่หน้าประตูพร้อมกับพัสดุที่อยู่ด้านล่าง เจสันก็ได้ลงไปรับ
จากนั้นเจสันก็ได้ทำการเรียกรถรับส่ง และในอีก ชั่วโมงครึ่งถัดมา เจสันก็ได้มายืนอยู่หน้าโดม โดยสวมเสื้อผ้าเกรด 2 ถือมีดและที่คันธนูอยู่ที่ด้านหลัง ภายในพัสดุที่เจสันได้สั่งมา มีโหลใส่ลูกธนูและที่หัวลูกศรมีช่องสำหรับใส่แคปซูลเล็กๆ และน้ำยา
ราคาของลูกศรที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษที่ราคา 150,000 เครดิต ที่มีช่องใส่แคปซููล และน้ำยา 3 ขวดที่มีราคา 120,000 เครดิต ภายในน้ำยาเหล่านี้ มีส่วนของพิษที่ได้สร้างขึ้นจากพืชและสัตว์หลายชนิด มันเกือบจะสามารถฆ่าสัตว์ป่าได้ทุกชนิดในทันทีและใช้เวลาเพียง 20 วินาทีในการแล่นพิษไปทั่วร่างกายของสัตว์ร้าย
แม้แต่สัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นก็สามารถฆ่าได้อย่างง่ายดาย กล่าวกันว่ายาชนิดนี้สามารถฆ่าสัตว์ที่วิวัฒนาการได้ โดยเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ และพิษได้ซึมไปทั่วร่างกาย และยาอีกแบบคือยาที่ทำให้เป็นอัมพาต สัตวฺร้ายระดับต่ำๆ จะไม่สามารถควบคุมร่างกายของมันได้ ประสาทสัมผัสของพวกมันจะถูกระงับ และสำหรับสัตว์ร้ายที่วิวัฒนาการระดับต่ำ ยานี้จะทำให้มันเป็นอัมพาตเป็นเวลา 5 นาที และถึงแม้สัตว์ร้ายที่วิวัฒนาการระดับกลางจะมีโอกาสที่ไม่เป็นอะไรกับยาที่ทำให้เป็นอัมพาติ
แตต่พวกมันก็จะตายด้วยยาพิษที่มีพิษร้ายแรง ตอนนี้เจสันกำลังกรอกยาใส่แคปซูลอย่างใจเย็น เมื่อเจสันเติมยาลงในลูกศรจนครบ 12 ดอก เจสันก็ได้ผนึกยาด้วยมานา ด้วยลูกศร 12 ดอก เจสันรู้ว่าเขาสามารถที่จะยิงพลาดได้แค่ 2 นัดเท่านั้น อย่างไรก็ตามทักษะการยิงธยูของเจสันก็พัฒนาขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้กระทั้งกับเป้าฝึกที่เคลื่อนที่ได้
กาเบรียลลาได้มอบบัตรสมาชิกสำหรับเข้าไปยิงธนูที่ศูนย์ยิงให้กับเจสัน และด้วยบัตรสมาชิก เจสันสามารถขอคำแนะนำจากครูฝึกยิงธนูและครูฝึกก็ได้ช่วยแกไข้ปัยหาต่างๆ ของเจสัน ทำให้การยิงธนูของเจสันบรรลุความเชี่ยวชาญที่ดีขึ้น และท้ายที่สุดก็ด้วยสายตาที่ยอดเยี่ยมของเจสันที่จะทำให้การยิงธนูมีประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมมากขึ้น
หลังจากที่เจสันได้เตรียมการเสร็จแล้ว เจสันได้เดินผ่านโดมอย่างมั่นใจ ซึ่งเจสันได้รับรู้ถึงมานาจำวนมากในทันที เจสันรู้ดีว่ามันจะเป็นเช่นนี้เมื่อออกจากโดม และปริมาณมานาภายนอกโดมนั้นหนาแน่นมากจนทำให้เจสันรู้สึกอึดอัดจากการถูกมานาห่อหุ้ม แต่เจสันก้ฝืนอดทนและเดินออกไปไกลยิ่งขึ้น ปริมาณมานายิ่งหนาแน่นขึ้น ถ้าเจสันอยู่ในสถานที่แบบนี้ที่มีมานาที่หนาแน่น เขาอาจจะอยู่ในขั้นผู้ชำนาญไปตั้งนานแล้ว
สิ่งนี้ทำให้เจสันอยากที่จะดูดซับมานาในตอนนี้ แต่อย่างไรก็ตามเจสันก็ได้เตือนตัวเองว่ามันอันตรายเกินไปที่จะทำอะไรแบบนั้นในตอนนี้ ภายในเขตป่า 2 ดาว เจสันได้เห็นเด็กวัยรุ่นหลายคนที่กำลังดูดซับมานาภายนอกโดม แต่เด็กพวกนั้นได้รับการปกป้องจากผู้เชี่ยวชาญและบอดี้การ์ด
หากเจสันมีเครดิตมากพอ เขาก็คงทำเช่นเดียวกัน ที่จะจ้างผู้คุ้มกันซึ่งมันอาจจะถูกกว่าหินมานาระดับสูงด้วยซ้ำ เมื่อนึกถึงสิ่งพวกนี้ เจสันได้แต่ยิ้มอย่างประหลาด และก้าวต่อไปในโซนป่า 2 ดาว
เจสันถือธนูไว้ในมือ และมุ่นความสนใจไปที่ภารกิจ เจสันได้เตรียมพร้อมสำหรับการล่าสัตว์ร้ายและดวงตาของเจสันก็ได้รับรู้ทุกสิ่ง
เจสันมองไปที่สกอร์พิโอ (ชื่อของแมงป่องเจสัน ) ด้วยความดีใจ แม้ว่าจะยังไม่แน่ใจอย่างสมบูรณ์ว่า มันจะสามารถพัฒนาไปสู่สัตว์ที่ตื่นขึ้นด้วยผลบาคูรีสีขาวหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ยังมีความคือหน้าที่สามารถรับรู้ได้ มันเพียงพอต่อการทดลองที่สามารถบอกได้ว่ามันสำเร็จ
ถึงอย่างนั้นเจสันก็ยังคงตกใจกับความเจ็บปวดของมัน อย่างไรก็ตามเจสันก็สามารถรับรู้ได้ถึงความต้องการที่อยากจะแข็งแกร่งขึ้นของ สกอร์พิโอ บางทีมันอาจจะได้แรงบันดาลใจมาจากความทะเยอทะยานของเจสันที่ต้องการแข็งแกร่งขึ้นในทุกวิถีทาง และมันอาจจะอยากพัฒนาไปถึงจุดสูงสุดเท่าที่มันจะทำได้โดยไม่มีข้อจำกัดทางสายเลือดของมัน
สกอร์พิโอมีอายุเพียง 5 วัน แต่มันก็สามารถพัฒนาตัวเองจนถึงสัตว์ระดับ 1 ดาบ ขั้นกลาง และเจสันก็สงสัยว่ามันจะใช้เวลานานแค่ในจนถึงระดับ 3 ดาว โชคดีที่ไม่ใช่แค่สกอร์พิโอเท่านั้นที่แข็งแกร่งขึ้นในช่วง 5 วันที่ผ่านมา แต่ความแข็งแกร่งของเจสันเองก็เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความพยายามอย่างต่อเนื่องที่เจสันได้ฝึกฝนจนตอนนี้ เจสันกำลังจะเข้าสู่ขั้นมือใหม่ระดับ 7 แล้ว
อาจจะใช้เวลาเพียง 1 สัปดาห์จนกว่าเจสันจะสามารถเข้าสู่มือใหม่ระดับ 7 ได้ ซึ่งมีความรวดเร็วเป็นอย่างมากสำหรับการก้าวขั้นจาก ระดับ 6 ไปยังระดับ 7 และเมื่อวันก่อนเจสันปวดร่างกายเป็นอย่างมากเนื่องจากการขยายโลกแห่งวิญญาณที่ร่วมกันของพาราสกอร์ สิ่งนี้บ่งชี้ว่าแกนมานาของเจสันมีขนาดใหญ่ขึ้น ร่างกายและพลังวิญญาณของเจสันก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
สกอร์พิโอเป็นสัตว์ร้ายทางกายภาพมากกว่าสัตว์ร้ายทางมานาหรือธาตุต่างๆ ยกเว้นพิษตามธรรมชาติของมัน เนื่องจากร่างกายของเจสันได้รับการปรับเปลี่ยน ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและทนทานมากขึ้น กระดูกและอวัยวะอื่นๆ ก็มีความทนทานมากขึ้น ในขณะเดียวกันแม้อันดับของเจสันจะอยู่ในขั้นมือใหม่ระดับ 6 แต่แกนมานานั้นอยู่ในระดับ 7 ที่กำลังจะพัฒนาเข้าสู่ระดับ 8 ในขณะที่ทางร่างกายกำลังเข้าสู่ระดับ 7
เมื่อสกอร์พิโอเติบโตเต็มที่ร่างกายและแกนมานาจะใกล้เคียงกับเจสัน เพราะอาร์เทมิสนั้นให้พลังทางมานามากกว่าการเพิ่มประสิทธิภาพทางกายภาพในขณะที่สกอร์พิโอนั้นให้พลังด้ายกายภาพมากกว่า ตอนนี้พลังวิญญาณของเจสันอยู่ที่ 7.2 หน่วย หรือมากกว่านั้น ถึงแม้การปลุกวิญญาณของเจสันจะเริ่มต้นได้ไม่ค่อยดีนัก แต่เมื่อเปรียบเทียบ 7.2 กับอดีตซึ่งพลังวิญญาณที่แทบจะไม่มี ตอนนี้มันแตกต่างออกไปมากทำให้เจสันดีใจเป็นอย่างมาก
วันนี้เป็นวันอาทิตย์และเกร็กก็อยู่บ้านโดยทำแบบฝึกหัดของตัวเอง เจสันไม่สนใจการบ้านของเกร็กเพราะเจสันนั้นทำของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว นอกจากแบบฝึกหัดที่เกร็กต้องทำ นอกจากนี้แบบฝึกหัดของเกร็กก็คล้ายๆกับแบบฝึกหัดของเจสันทำให้เจสันรู้คำตอบอยู่แล้ว เจสันรู้เรื่องราวส่วนใหญ่ในขณะที่อ่านหนังสือมาก่อน สกอร์พิโอกำลังนั่งเล่นอยู่บนผมของเจสันในขณะที่อาร์เทมิสยังคงหลับใหลอยู่ในโลกวิญญาณ
ปกติสกอร์พิโอจะอยู่ในโลกวิญญาณ แต่มันก็เหมือนกับอาร์เทมิสที่ชอบอยู่ใก้ลชิดกับเจสัน ซึ่งมันก็น่าแปลกสำหรับแมงป่องที่มีเข็มพิษและน่ากลัว แต่เจสันก็ไม่ได้รังเกียจ เจสันเคยถูกสกอร์พิโอต่อยโดยไม่ได้ตั้งใจก่อนหน้านี้แต่ดูเหมือนว่าเจสันจะมีภูมิต้านทานพิษของสกอร์พิโอทำให้ไม่เป็นอะไร
การต่อยไม่ได้ลึกมากเพราะมันแค่เล่นกับเจสันและเจสันก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากมายอย่างนั้น เมื่อเวลาผ่านไปเจสันเห็นว่าเกร็กทำการบ้านไม่เสร็จซักที จึงเข้าไปช่วยเกร็กทำการบ้าน เพื่อที่เกร็กจะได้มีเวลาพอที่มาจะมาเป็นคู่ซ้อมการต่อสู้ให้กับเจสัน
เกร็กระงับความแข็งแกร่งของตัวเองให้อยู่ในขั้นมือใหม่ระดับ 6 แบบคงที่ และเริ่มฝึกเจสันให้ใช้เทคนิคพื้นฐานทุกประเภท ในขณะที่เจสันว่องไวและใช้เทคนิคต่างๆ ตามลำดับ ซึ่งเกร็กค่อนข้างที่จะห้าวหาญขณะที่ใช้ร่างกายที่แข็งแกร่งเข้าสู้กับเจสัน แต่เจสันสามารถมองการโจมตีของเกร็กออกทั้งหมด และฝึกใช้การดจมตีด้วยกริซไม้ ขณะที่เกร็กสามารถใช้อาวุธได้ทุกชนิดและเช่นเดียวกับ ลีโอ ฮาร์ท
เกร็กก็ใช้ถุงมือสำหรับการต่อสู้ ดูเหมือนว่าถุงมือจะเป็นอาวุธทั่วไปที่นักต่อสู้นิยมใช้ อย่างไรก็ตามมันดีมากสำหรับเจสันที่ต้องการหาจุดด้อยของตัวเอง ในขณะที่ทั้งคู่ต่อสู้กันมาเป็นเวลา 30 นาที จนกระทั่งเจสันต้องยอมแพ้ด้วยรอยฟกซ้ำมากมายทั่วร่างกาย
แม้ว่าเกร้กจะระงับความแข็งแกร่งของตัวเองเอาไว้ แต่เกร็กก็ยังถูกครอบงำด้วยร่างกายและความแข็งแกร่งของการต่อสู้โดยกำเนิด เกร็กได้เรียนรู้ศิลปะการป้องกันตัวที่ดีขึ้นนอกจากนี้เกร็กยังมีความเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ที่เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากขึ้นเพีงไม่กี่ปี
เจสันเริ่มมองเห็นอะไรเล็กน้อยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงที่เขาพบในโลกนี้ เจสันสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวในแต่ละครั้งของเกร็ก แต่หลังจากนั้นไม่นานเจสันก็ไม่สามรถหลบการโจมตีของเกร็กได้ถึงแม้จะรับรู้ถึงการโจมตี เจสันจึงคิดว่านี้ไม่ใช่ทางเลือกในตอนนี้
เจสันยังมีประสบกาณ์ไม่เพียงพอ แต่เจสันรู้สึกว่าตัวเองนั้นใกล้ชิดกับเกร็กมากขึ้นในอีกระดับหนึ่ง ถ้าเจสันเรียนรู้เทคนิคเพิ่มเติมแทนการใช้พื้นฐานตลอดเวลา เจสันอาจจะสามารถหลบการโจมตีของเกร็กได้ แต่ตลอดทั้งสัปดาห์เจสันได้ไปโรเงรียนแต่ดูเหมือนจะไม่มีการสอนศิลปะการต่อสู้หรือการป้องกันตัวใดๆ ให้กับนักเรียน ซึ่งทำให้เจสันรู้สึกผิดหวัง แม้ว่าจะได้เรียนรู้ความสามารถในการปรับปรุงแกนมานาและเพิ่มความสามารถในการดูดวับมันก็ตาม
อะไรคือการใช้แกนมานาระดับสูง เมื่อเราไม่สามารถใช้ความแข็งแกร่งได้อย่างเต็มศักยภาพ ด้วยความคิดนี้เจสันยังคงออกกำลังกายทุกวันเพื่อฝึกกล้ามเนื้อทุกวันต่อไป ก่อนที่จะไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรและพืชวิเศษต่อจนกว่าจะจำข้อมูลทั้งหมดได้ครบถ้วน และเจสันไม่เคยลืมที่จะฝึกเทคนิคนรกสวรรค์สามครั้งต่อวัน เพราะมันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเขาไปแล้ว
**
เมื่อเข้ามาในห้องเรียนในวันรุ่งขึ้น มีเพื่อนร่วมชั้นหลายคนซุบซิบกันและเจสันได้ยินนักเรียนคนหนึ่งพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย สิ่งนี้ดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นของเจสัน แต่เจสันก็ไม่ได้ถามใครจนเมื่อประตูเปิดออก กรีลเดินเข้ามาในห้อง
“พวกคุณบางคนคงทราบกันแล้วและการบ้านของโรงเรียนได้หมดลงแล้วและต่อไปนี้ฉันสามารถตัดสินใจได้ว่าจะมอบงานอะไรนอกเนื่องจากคำสั่งของโรงเรียนให้ทุกคนได้ทำกัน เพราะฉันรู้ว่าทุกคนต่างโหยหาที่จะเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้แบบใหม่ที่ทรงพลัง ฉันจะสอนเมื่อทุกคนผ่านการมอบหมายงานในสัปดาห์ที่เหลือ หากใครไม่ส่งงานจะถูกลงโทษ นั้นหมายความว่ายิ่งส่งงานเร็วเท่าใดก็จะยิ่งได้เรียนรู้เทคนิคศิลปะการต่อสู้ได้เร็วขึ้นเท่านั้น หลังจากสัปดาห์นี้สิ้นสุด ฉันจะไม่อธิบายเกี่ยวกับเทคนิคอื่นๆ ยกเว้นเทคนิคที่ฉันจะมอบให้ และขอให้ส่งงานกันให้ตรงเวลา”
กรีลกล่าว
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับทุกคนและเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจคำพูดของกรีล แต่ความหมายก็ค่อนข้างเข้าใจได้ การส่งงานที่ได้รับมอบหมายให้เร็วที่สุดจะทำให้มีโอกาสที่จะได้เรียนรู้เทคนิคศิลปะการป้องกันตัวแบบใหม่จากครูของพวกเขาจนกว่าจะสิ้นสุดสัปดาห์
‘ครูของเรามีหน้าที่สอนศิลปะการป้องกันตัวไม่ใช่เหรอ!? ‘
นั่นคือความคิดในใจของเกือบทุกคน
“ถ้ามีคนสงสัย ฉันไม่ได้พูดถึงเทคนิคศิลปะการต่อสู้ระดับสูงหรือระดับ 1 ทั่วไป….. คุณสามารถเลือกเทคนิคใดก็ได้ที่ฉันเรียนรู้มาตลอดทั้งชีวิตซึ่งรวมถึงเทคนิคระดับ 3 เทคนิคพิเศษและไม่เหมือนใครหรือเรียกอีกอย่างว่าทักษะโดยยาก คิดว่าน่าจะพอทำให้ทุกคนพอใจกันนะ”
ทั่วทั้งห้องเกิดเสียงเฮลั่น ในขณะที่เจสันมองดูกรีลอย่างเงียบๆ
‘ทักษะระดับ 3 กรีลเป็นใครกันแน่ ? ฉันว่าไม่ใช่แค่ครูธรรมดาๆ และแหละ’
เทคนิคระดับ 3 ถือเป็นสมบัติจากแอสทริกซ์และยังถือว่าเป็นเทคนิคที่หายากในคาเนียร์ ทำให้เจสันสงสัยในตัวของกรีล
‘พูดถึงเทคนิคเฉพาะหรือพิเศษ ?? เขากำลังจะทำอะไรในหมู่เกาะอาร์คิเพลาโกส… เขาไม่ควรอยู่ที่คาเนียร์ เขาต้องเป็นผู้นำนิกายหรืออยู่ในปราสาทในฐานะเจ้าชายของอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ? ‘
เจสันรู้สึกประหลาดใจมากและอยากจะถามกรีลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เจสันก็นิ่งเงียบ นักเรียนคนอื่นๆ มีความสุขที่ได้ฟังอะไรแบบนั้น แต่มีนักเรียนบางคนที่เข้าใจถึงเทคนิคระดับ 3 กรีลไม่เพียงให้เทคนิคดังกล่าวแก่เด็กนักเรียนและประโยคถัดไปจะทำให้เด็กนักเรียนทุกคนรู้สึกไม่พอใจทันที
“งานแรกที่จะมอบให้ทุกคน คือ ทุกคนต้องฆ่าสัตว์ร้าย 10 ตัว เป็น 2 ขั้นตอน ที่มีอันดับเหนือกว่าพวกคุณ ข้อกำหนดของฉันงนั้นง่ายๆ คุณต้องจัดการมันด้วยความแข็งแกร่งของตัวเองด้วยไม่ใช้ปืนมานา หรืออาวุธวิญญาณในการสังหาร และไม่อนุญาติให้ใช้สัตว์พันธะสำหรับงานนี้ ห้ามร่วมกลุ่มกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น คุณต้องล่าเพียงคนเดียว นอเหนือจากนั้นคุณอาจจะใช้ทุกอย่างที่คุณต้องการ คุณสามารถดักจับสัตว์ร้ายหรือพยายามลอบสังหารมันฉันก็ไม่ได้ว่า ข้อกำหนดอีกอย่างคือคุณจะต้องบันทึกวิดีโอทุกอย่างด้วยม้วนเทปที่ฉันจะให้ไป มีปุ่มกดด้านข้างมันจะกระพริบเมื่อเริ่มบันทึก อุปกรณ์นั้นเต็มไปด้วยมานาและแบตเตอรี่สำหรับการใช้งาน 1 สัปดาห์ สำหรับงานนี้ไม่มีการลงโทษสำหรับผู้ไม่ส่งงาน แต่รางวัลที่คุณจะได้รับเมื่อส่งงานนี้ นั้นเป็นรางวัลที่หาไม่ค่อยได้นัก ยังไงก็ขอให้ทุกคนโชคดี”
ในขณะที่ม้วนวิดีโอติดปีกกำลังบินมาหาทุกคน ใบหน้าของทุกคนก็อยู่ในสภาพครุ่นคิด การเอาชนะสัตว์ร้าย 10 ตัวที่มีอันดับสูงกว่าโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใครหรือสัตว์พันธะของตัวเอง ?? ครูล้อเล่นหรือเปล่า ?
แต่ละอันดับแบ่งออกเป็น 3 ขั้น ระดับที่ 1- 3 เป็นระดับเริ่มต้น ในขณะที่ 4-6 เป็นขั้นกลาง 7-9 เป็นขั้นสูง นั้นหมายความว่าหากมีใครอยู่ในขั้นผู้ชำนาญระดับ 3 เหมือนนักเรียนส่วนใหญ่ พวกนั้นจะต้องเอาชนะสัตวืร้ายที่ตื่นขึ้นซึ่งมีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกัน
หากสามารถใช้สัตว์พันธะของพวกเขาได้สิ่งนี้จะไม่ถือว่าเป็นปัญหาเพราะนักเรียนส่วนในโรงเรียนนี้มีสัตว์พันธะเป็นสัตว์ร้ายที่มีระดับการตื่นขึ้นของพลัง ตัวอย่างเช่น ลีโอ ฮาร์ท ซึ่งเป็นผู้ชำนาญระดับ 5 และเขาจะต้องเอาชนะสัตว์ร้ายที่มีวัฒนาการขั้นต่ำ.. เขาจะทำอย่างนั้นได้ยังไง
***เพิ่มเติม ผู้แปลได้เรียงลำดับสัตว์ร้ายผิดนะครับ สัตว์ร้ายระดับวิวัฒนาการมีอันดับที่สูงกว่าสัตว์ที่พลังตื่นขึ้นมา ขออภัยด้วยนะครับ ***
มันเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน แม้ว่ามันจะยากมากแต่ผลประโยชน์ของมันก็มากมายพอที่จะลองทำดูโดยไม่ต้องกังวล และทุกคนรีบออกจากห้องทันทีที่กรีลอธิบายจบ มีเพียงเจสันที่ยังอยู่ในห้องกับกรีล
กรีลได้สังเกตเห็นเจสันและเจสันได้เอ่ยปากถาม
“สามารถใช้ได้ทุกอย่างใช่ไหม ยกเว้นข้อจำกัดที่ครูอธิบายไว้”
เจสันได้วางแผนคร่าวๆ เอาไว้ แต่อยากจะถามให้ชัวก่อนที่จะเริ่มแผนของเขา
“สามารถทำได้ทุกอย่าง ที่ไม่มีในข้อจำกัด”
เจสันได้บันทึกก่อนที่กรีลจะพูด ไว้เป็นหลักฐานเพราะเจสันไม่ไว้ใจกรีล ก่อนที่เจสันจะเดินออกไป
สัปดาห์แรกของการเปิดเทอมผ่านไป และกรีลก็ไม่ได้สอนศิลปะการต่อสู้ใดๆ ให้กับนักเรียนในคลาส
แต่ได้มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงแกนมานา เพื่อเพิ่มความสามารถในการดูดซับมานาของทุกคนอย่างช้าๆ ทำให้นักเรียนทุกคนมีความเร็วในการดูดซับเพิ่มมากขึ้น
เจสันเป็นเด็กนักเรียนที่น่าประหลาดใจที่สุด ในขณะที่เจสันเลือกจุดที่ดีที่สุดในการดูดซับมานา ทำให้การดูดซับมานาของเจสันนั้นรวดเร็วมากอย่างน่าตกใจ
แต่เนื่องจากเจสันยังไม่คุ้นชินกับการไหลเวียนมานาของเมืองไซโรที่หนาแน่น เจนสันจึงมีปัญหาในการดูดซับมานาอย่างต่อเนื่อง มันเป็นการรวบรวมมานาเพื่งมุ่งเน้นการหมุนเวียนมานาไปตามช่องมานาของเขาและดูดซับเข้าสุ่แกนมานาในเวลาเดียวกันมันก็นานกว่า 2 ชั่วโมง ในขณะที่คนอื่นๆ ทำอย่างช้าๆ และ สม่ำเสมอแต่ดูเหมือนเจสันจะต้องการมากยิ่งขึ้น
เจสันไม่จำเป็นต้องใช้หินมานาเพื่อเพิ่มมานาในสภาพแวดล้อมเพราะเขาไม่สามารถจัดการมันได้ เมื่อนึกถึงวันแรกที่พัฒนาเข้าสู้มือใหม่ระดับ 6 เจสันรู้สึกถึงแรงบันดาลและความมุ่งมั่นอย่างมาก ความเร็วในการดูดซับมานาของเจสันเพิ่มขึ้นเนื่องจากมานาในเมืองไซโรที่มีความหนาแน่สูงและตอนนี้ศักยภาพของเจสันก็เพิ่มขึ้นรื่อยๆ อย่างช้าๆ
คนอื่นๆ รู้สึกเหมือนเจสันเป็นปีศาจ เพราะเจสันไม่สนใจสภาพแวดล้อมและดูดซับมานาอย่างตะกละตะกลามรวมกับว่าเป็นศูนย์กลางของโลก การแข็งแกร่งขึ้นคือความทะเยอทะยานของเจสันและเขาเองก็ไม่สนใจคนที่อยู่รอบตัว ไม่มีเพื่อคนไหนเข้าใกล้เจสัน ในขณะที่ดูดมานา เพราะเนื่องจากรัศมี 3 เมตร รอบตัวเจสันมานาได้ดูดซับจนเบาบางมาก
แม้แต่กรีลก็ประหลาดกับการดูดซับมานาของเจสันที่รวดเร็ว และกรีลยังสงสัยอีกว่ามือใหม่ระดับ 6 สามารถควบคุมได้หลากหลายอย่างพร้อมกันได้โดยไม่ได้รับการฝึกฝนได้อย่างไร เทคนิคในการพัฒนาความคิดและสมองนั้นหายากและมีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนเทคนิคดังกล่าวได้
แต่เมื่อเห็นเจสันสามารถรวบรวมและเปลี่ยนแปลงมานาได้อย่างรวดเร็ว กรีลก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก เจสันสามารถทำแบบนั้นได้ก็ต่อเมื่อเขาอยู่ในขั้นผู้เชี่ยวชาญ ในขณะที่จิตได้รับการขัดเกลาอย่างต่อเนื่องกับการพัฒนาในแต่ละครั้ง
จนกระทั่งกรีลรู้ว่าเจสันเป็นคนพิเศษ แต่ละวันที่ผ่านไปยิ่งทำให้กรีลประหลาดใจมากขึ้นเกี่ยวกับเด็กหนุ่มผมดำเงาที่มีดวงตาสีทอง นอกจากนี้ยังมีสิ่งอื่นๆ ที่กรีลยังพบว่าแปลก
เจสันมาเรียนในวันพุธพร้อมกับพาราสกอร์ขนาดแรกเกิดสีเหลืองอมเขียวขนาด 1 เซนติเมตรในผมของเขา ซึ่งมันแทนจะมองไม่เห็นหากมันไม่ได้แผ่มานาบางส่วนอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่กรีลถามเจสันเกี่ยวกับเรื่องนี่ เจสันก็ตอบว่ามันคือสัตว์พันธะของเจสันซึ่งทำให้กรีลตกใจ
พาราสกอร์ขนาดเล็กเป็นเพียงสัตว์ระดับ 3 ดาว เมื่อเติบโตเต็มที่และไม่มีประโยชน์สำหรับเจสัน ในขณะที่เจสันนั้นแข็งแกร่งกว่าสัตว์ระดับ 3 ดาวส่วนใหญ่อยู่แล้ว การเติบโตของสัตว์ตัวเล็กระดับ 3 ดาว จะไม่สำคัญ
กรีลสรุปได้ว่าเจสันมีความสามารถในการต่อสู้ของสัตว์ระดับ 5 ดาวที่มีความยอดเยี่ยม และอาจจะเทียบเท่ากับสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นในระดับต่ำ ในขณะที่เจสันอยู่ในขั้นมือใหม่ระดับ 6 ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด
บางครั้งขุนนางชั้นสูงหรือเด็กๆ จากคาเนียร์ สามารถทำเช่นนี้ได้ แต่ต้องเป็นระดับอัจฉริยะ นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมกรีลถึงเข้าใจเหตุผล ยิ่งกว่านั้นทำไมเจสันถึงเลือกทำพันธะกับสัตว์ร้ายที่ไม่มีศักยภาพ
สำหรับ ทีล กรีล แม้แต่สัตว์ที่วิวัฒนาการแล้วยังมองว่ามันไร้ประโยชน์เพราะพลังวิญญาณของกรีลสูงกว่า 500 เมื่อได้รับการปลุกวิญญาณตอนอายุ 14 ปี กรีลไม่สามารถจับความคิดของเจสันได้และรู้สึกผิดหวังที่เจสันจะสูญเสียศักยภาพของตัวเองไป แม้ว่าเจสันจะไม่ต้องการหินมานาเพื่อใช้ในการดูดซับมานา
สัตว์พันธะใหม่ของเจสัน พาราสกอร์ดูดซับมานาบริสุทธิ์รอบตัวของมันอย่างตะกละตะกลามเพื่อเร่งกระบวนการให้ตัวมันนั้นแข็งแกร่งและเร่งการลอกคราบ มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดระหว่างอาร์เทมิสและพาราสกอร์ที่เจสันสังเกตุเห็น
อาร์เทมิสสามารถดูดซับและย่อยมานาได้มากเท่าที่มันต้องการแม้ว่ามันจะเป็นอันตรายในขณะที่พาราสกอร์สามารถดูดซับมานาได้เพียงเล็กน้อยและมันจะหยุดเมื่อได้รับมากจนเกินไป
วันสุดท้ายของสัปดาห์เมื่อเจสันฝึกเทคนิคนรกสวรรค์เสร็จ เจสันมองไปที่พาราสกอร์และคิดว่าถึงเวลาแล้วสำหรับการทดลองในครั้งแรก ตอนนี้พาราสกอร์เกือบจะมีขนาดตัวเท่ากับ 2เวนติเมตรและนั้นเป็นการลอกคราบครั้งแรกของมัน เจสันให้มันนอนลงบนโต๊ะ และทำการหยิบเข็มฉีดยาที่ใช้สำหรับผลไม้วิเศษ จากนั้นก็หยิบกล่องนีโอซิดขึ้นมา พร้อมกับผลไม้วิเศษ 2 ผล ที่อยู่ด้านใน เจสันเลือกหยิบลูกบาคูรีสีขาวออกมาและปิดกล่อง ภายในผลบาคูรีสีขาวมีน้ำผลไม้ที่เจสันต้องใช้กับพาราสกอร์
มีเหตุผลหลายประการสำหรับการตัดสินของเจสัน เหตุผลที่ชัดเจนที่สุดคือพาราสกอร์ที่มีความยาว 2 เซนติเมตรจะไม่สามารถกลืนผลไม้ขนาดเท่ากำปั้นได้ ในขณะที่เหตุผลที 2 ที่เจสันทำนั้นที่น้ำผลไม้ที่ส่องแสงสีดำอ่อนๆ ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ที่มีระดับต่ำ
โดยหวังว่ามันจะทำให้พาราสกอร์เจ็บปวดน้อยลง เจสันเจาะเข็มผ่านเปลือกของผลบาคูรีสีขาว และดูน้ำของมันออกมาจนหมด ซึ่งได้จำนวนเข็มถึง 3 หลอด เจสันได้ใช้เพียงหลอดเดียว ในขณะที่เก็บหลอดอื่นๆ เอาไว้
หาการทดลองในวันนี้สำเร็จ เจสันจะเลี้ยงพาราสกอร์ด้วยผลบาคูรีสีขาวทุกวันจนกว่ามันขะมีขนาดใหญ่พอที่จะกินผลไม้ชิ้นเล็กๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ แม้ว่าเผ่าของพาราสกอร์จะถูกเรียกว่าแมงป่องขนาดเล็ก โดยมันจะมีขนาดโตเต็มวัยเพียง 10 เซนติเมตรแต่เจสันมั่นใจว่า ขนาดของมันจะไม่อยู่ที่ 10 เซนติเมตรแน่นอนเมื่อมันพัฒนาไปในอันดับที่สูงกว่า
เจสันมั่นใจในการทดลองนี้ และเจสันได้หยดน้ำผลบาคูรีลงบนฝ่ามือ 2-3 หยด ตรงหน้าพาราสกอร์ เมื่อพาราสกอร์ได้กลิ่นน้ำหวานหอมๆ ที่อยู่ตรงหน้ามันก็กินจนไม่เหลือสักหยด หลังจากนั้นมันก็มองไปที่เจสันอย่างตะกละตะกลาม ตอนแรกเจสันรู้สึกแปลกๆ แต่ก็รู้สึกได้ว่าพาราสกอร์ต้องการขอมากว่านี้
ซึ่งทำให้เจสันมีความสุข เจสันจึงป้อนมันด้วยเข็มฉีดยาจนน้ำหวานที่อยู่ในหลอดนั้นหมดภายในไม่กี่นาที เจสันเริ่มเห็นสัตว์พันธะตัวเล็กดิ้นด้วยความเจ็บปวด และดิ้นไปรอบๆ ดวงตามานาของเจสันมองเห็นความเจ็บปวดของมัน ทำให้เขาเป็นกังวลเล็กน้อย
เจสันรู้สึกขอโทษที่ทำอะไรโง่ๆ อย่างกระทันหัน ความกังวลของเจสันยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อเห็นพาราสกอร์หยุดนิ่งหลังจากที่มันิ้นด้วยความเจ็บปวดเพียงไม่กี่นาที ไม่มีความผันผวนของมานาที่ปล่อยออกมาจากพาราสกอร์แม้แต่นิดเดียว เจสันกังวลเป็นอย่างมาก เจสันรู้สึกได้ว่าสัตว์พันธะของเขานั้นไร้ชีวิตไปแล้ว
แต่หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เจสันเริ่มสังเกตเห็นความผันผวนของมานนาที่แผ่ออกมาจากพาราสกอร์ มันดิ้นอย่างรุนแรงเพื่อลอกคราบเปลือกนอกของมันซึ่งมีสีเหลืองอมเขียวและมีจุดดำหน้า
ตอนนี้พาราสกอร์มีขนาด 3 เซน และเจสันสังเกตุว่าเปลือกภายนอกของมันเปลี่ยนเป็นสีเขียวเล็กน้อยจากสีเดิน เมื่อตรวจสอบแกนมานาของมันซึ่งยังอยู่ในระดับสัตว์ 1 ดาวและไม่มีออร่าใดๆ ที่แผ่ออกมา แต่เจสันได้เห็นว่ามานาภายในของมันแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้องเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
‘ ได้ผลหรือไม่ ‘
เจสันไม่รู้ แต่เห็นได้ชัดว่ามันเติบโตขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยแม้ว่าจะเป็นสัตว์ระดับ 1 ดาวก็ตาม สีของเปลือกมันก็ดูเปลี่ยนไปและมีขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้น มีสัญญาณเล็กๆ ที่บงบอกว่ามันจะไม่ใช่แค่พาราสกอร์ทั่วไปที่มีระดับ 3 ดาว แต่มันจะพัฒนาเป็นสัตว์ร้ายที่มีอันสูงที่มากขึ้น
ไม่กี่นาทีผ่านไป จนกระทั่งเจสันมาถึงชั้นที่สัตว์ร้ายได้คลอดลูก
เจสันได้เห็นว่าไม่มีสีที่เปล่งออกมาจากสัตว์ร้าย แต่เขาก็ทำใจยอมรับแล้ว เจสันมีแผนคร่าวๆ ภายในใจในทฤษฎีเกี่ยวกับการชำระเพื่อความบริสุทธิ์เป็นประเด็นหลักที่เจสันต้องทำ
หากทฤษฎีไม่ได้ผลเจสันต้องเตรียมการและเขาคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ เมื่อเจสันเข้าใกล้สัตว์แรกตัวที่มีขนาดตัวเล็ก
ผู้ดูแลที่ยืนข้างๆ เจสัน สังเหตุเห็นความตื่นเต้นของเจสันจึงได้พูดว่า
“คุณครับ ถ้าคุณต้องการทดสอบศักยภาพพื้นฐานเพื่อดูว่าสัตว์ร้ายตัวไหนดีที่สุด คุณต้องรออย่างน้อย 24 ชั่วโมง”
“ไม่เป็นไร!”
เจสันกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เจสันเห้นความบริสุทธิ์ของศักยภาพหรือแกนกลางของตัวร้ายและเจสันไม่พบความแตกต่างใดๆ ดังนั้นการทดสอบจึงเป็นเรื่องเสียเวลา ผู้ดูแลรุ้ดีว่าการทำพันธะโดยเร็วเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับจิตวิญญาณของทั้ง 2 แต่การไม่ใส่ใจถึงศักยภาพของสัตว์ที่ทำพันธะเป็นเรื่องที่แปลก
เจสันเข้ามาใกล้สัตว์ร้ายแรกเกิดซึ่งมันคือแมงป่องยาว 1 เซนติเมตรหลายสิบตัวพร้อมกับมีแถบสีเขียวอมเหลืองอยู่ตรงหน้า พวกมันดูอ่อนแอมากและอาจจะถูกฆ่าตายด้วยลมเบาๆ แต่มีการกล่าวกันว่าแมงป่องขนาดเล็กเหล่านีมีพิาที่มีศักยภาพที่ทำให้เป็นอัมพาตและทำให้สัตว์ระดับเดียวกันเกิดอาการมึนงงได้
ความแข็งแกร่งของพวกมันอ่อนแอและลักษณะแข้งแกร่งของมันมีเพียงเปลือกนอกที่ดูเหมือนเป็นโลหะหุ้มที่แข็งแรง ทนทนเป็นพิเศษและเคลือบด้วยพิษร้ายแรง
เจสันทำการเลือกแมงป่องพาราขนาดเล็กนี้ เป็นพันธะตัวที่ 2 ของเขา เนื่องจากเหตุผลหลายประการรวมถึงการเป็นสัตว์ป่า 3 ดาวที่มีโครงร่างภายนอกที่ดูแข็งแกร่งและเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด ซึ่งแมงป่องจะลอกคราบในแต่ละช่วงวัย ซึ่งยิ่งลอกคราบ ผิวด้านนอกก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
ซึ่งการให้ผลบาคูรีสีขาวเพื่อการชำระ สิ่งสกปรกอาจจะถูกขับออกมาพร้อมกับการลอกคราบของมัน ความเป็นไปได้สูงกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสัตว์ตัวอื่นๆ เจสันไม่ได้สนใจที่จะเลือกแมงป่องพาราตัวไหนเป็นพิเศษ เจสันหยิบมันขึ้นมาโดยหนึ่งในนั้น มีแมงป่องจิ๋วตัวหนึ่งคิดว่าเจสันเป็นแม่ของมัน
เจสันหยิบมันขึ้นมาและถอยออกมาพร้อมที่จะไป
“ฉันสามารถจ่ายเงินและทำพันธะได้เลยรึเปล่า หรือต้องทำอะไรก่อน?”
ผู้ดูแลฟังเจสันไม่ชัด
“หืม ? เราต้องกรอกข้อมูลการขายแมงป่องพาราจิ๋วให้คุณเท่านั้น เดียวเรื่องนี้ทางเราจะจัดการให้ทุกอย่าง สิ่งเดียวที่คุณต้องทำคือจ่ายค่าธรรมเนียมให้สัตว์ร้ายซึ่งสูงกว่าราคาปกติเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสัตว์ตัวอื่นๆ เพราะมันค่อนข้างหายากและมันให้กำเนิดลูกๆ เพียงแค่ 2 ครั้ง ในตลอดชีวิตของพวกมัน”
ผู้ดูแลอธิบายและดูจากการแต่งตัวของเจสัน เขามั่นใจว่าเจสันสามารถจ่ายได้ วึ่งเจสันสวมชุดนักเรียนที่เป็นเครื่องแบบของโรงเรียนในเครือแวนการืดที่มีชื่อเสียง
หน้าจอโฮโลแกรมพร้อมสัญญาก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าของเจสัน และหลังจากอ่านสัญญาจบเจสันก็เซ็นยินยอม เจสันต้องจ่าย 25,000 เครดิต ซึ่งราคาค่อนข้างสุงแต่เห็นได้ชัดว่ามันหายาก ค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับการซื้อสัตว์ร้ายแรกเกิดก็สูงเช่นกัน เนื่องจากมันจะช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีกว่าการทำพันธะกับสัตว์ที่โตเต็มวัย
เจสันจ่ายเงิน 25,000 เครดิจ ซึ่งมันจะไม่มากเกินไปหากทฤษฎีที่เจสันจะทดลองเป็นไปตามที่เขาคาดไว้
หลังจากทำธุรกิจเสร็จ ผู้ดูแลยังคงตั้งตารอที่จะดูเจสันทำพันธะกับแมงป่องพาราจิ๋วนี้ เจสันได้ทำการเฉือนไปบนนิ้วมือของตัวเองข้าง 1 และเข้าไปในโลกวิญญาณ และคลายด้ายแห่งจิตวิญญาณของเขาออกมา และทำการหยดเลือดที่มีสีแดงเข้มแต่มีอ่อร่าสีทองลงไปบนตัวแม่งป่องเพื่อทำการสร้างพันธะ ด้ายแห่งจิตวิญญาณถูกผูกเข้ากับจิตวิญญาณของแมงป่องพาราจิ๋วตัวนี้
เจสันรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและพาราสกอร์ (ขอเปลี่ยนมาเป็นทับศัพท์นะครับ) ในขณะที่เพื่อตัวน้อยของเจสันสั่นสะท้านเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะมีวงเวทย์สีเหลืองอมเขียวขนาดเล็กปรากฏ จากนั้นพาราสกอร์ก้ได้หายเข้าในโลกวิญญาณของเจสัน
อาจจะต้องใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงก่อนที่พันธะจะถูกสร้างอย่างสมบูรณ์และเป็นการดีที่สุดสำหรับตัวเจ้าของและสัตว์ที่จะได้อยู่ใกล้กันเท่าที่จะเป็นไปได้ในช่วงเวลานี้ เป็นการตัดสินใจโดยสัญชาตญาณของพาราสกอร์
เห็นได้ชัดว่าเมื่อทำพันธะเรียบร้อยผู้ดูแลที่พยักหน้า
นี้เป็นครั้งแรกที่เจสันได้ทำพันธะกับสัตว์ร้ายตัวที่ 2 มันยังคงยากมากแต่ก็ง่ายกว่าครั้งแรกมาก เจสันสงสัยเกี่ยวกับความเชี่ยวชาญในการเคลื่อนย้ายด้ายจิตวิญญาณของเขา เมื่อเวลาผ่านไป สำหรับคนอื่นๆ อาจจะไร้ประโยชน์เพราะคนส่วนใหญ่มีสัตว์พันธะ 2-5 ตัวเท่านั้น แต่ไม่ใช่สำหรับเจสัน เจสันและผู้ดุแลไม่ได้คุยกันและวิ่งเดียวคือการพูดอำลาเมื่อเจสันเดินออกไป
ผู้ดูแลไม่รู้จริงๆ ว่าควรคิดอย่างไรกับเด็กคนนี้ เพราะเขาทำสัญญากับสัตว์ร้าย 3 ดาวในขณะที่เป็นนักเรียนของโรงเรียนที่ดีที่สุดในแอสทริกซ์
แม้ว่าจะเป็นโรงเรียนในเครือลำดับ 6 แต่ก็ยังเป็น 1 ใน 20 โรงเรียนที่ดีที่สุดบนแอสทริกซ์ เป็นเรื่องโง่มากสำหรับคนที่ในระดับนี้ ที่ทำพันธะกับสัตว์ร้ายที่ไม่มีศักยภาพเช่นนี้
พุดตรงๆ สัตว์ร้ายระดับดาวแทบทุกพื้นที่ ถูกมองว่าเป็นขยะและไร้ประโยชน์ในการทำสัญญาและสัตว์พวกนี้ส่วนใหญ่ใช้เป็นอาหารเพื่อสัตว์พันธะที่แข็งแกร่งขึ้น
มีเพียงสามเหตุผลที่ชัดเจนในการผสมพันธุ์สัตว์ร้าย
→ปศุสัตว์
→ใช้สำหรับทำธุระ
→รับสัตว์ระดับดาวที่กลายพันธุ์ที่ได้เปรียบที่มีศักยภาพสูงเพื่อขายเป็นจำนวนมาก
เจสันไม่สนใจคำพูดของผุ้ดุแลที่ว่าแปลก แต่สิ่งที่สำคัญคือเจสันสามารถกลับบ้านได้แล้วตอนนี้เขาเองก็หิวอย่างมาก เมื่อนึกถึงอาหารเจสันก็ครุ่นคิดว่าจะซื้ออาหารอะไรให้กับพราราสกอร์ ในขณะที่รถรับส่งก็มาพอดี เมื่อเจสันขึ้นไปนั่งเจสันก้ได้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ พาราสกอร์และพวกมันก็กินอาหารเกือบทุกอย่างที่มีขนาดเล็กพอที่จะกินได้ เจสันตัดสินใจซื้อหิ่งห้อยมานาเกรด 1 มาจำนวนหนึ่งพร้อมกับมานาจำนวนเล็กน้อย
พวกมันมีคุณค่าทางโภชนาการและเป็นอาหารที่ดีสำหรับสัตว์เล็กๆ เช่นพาราสกอร์ขนาดเล็กแรงเกิดตัวนี้ และภายในเมืองไซโรนี้ที่มีนามาหนาแน่นรอบๆ ระยะการเติบโตของพาราสกอร์อย่าจะใช้เวลาเพียง 2 เดือน ในขณะที่เจสันพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นเพื่อรองรับพาราสกอร์ในขณะที่มันโตเต็มวัย
ดังนั้นเจสันจะใช้หินมานาสำหรับการนี้และใช้ผลบาคูรีสีขาวกับมัน
หลังจากตัดสินใจคร่าวๆ ว่าจะทำอะไรบ้างในอนาคต เจสันก้ได้ฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ระหว่างทางกลับบ้าน จึงมาถึงบ้านของเฟลเลอร์
เมื่อเลิกเรียน เจสันได้นั่งรถรับไปส่งไปยังเจดีย์สัตว์ร้าย ด้วยความตื่นเต้นที่เปล่งประกายในดวงตา
มันรู้สึกราวกับว่าเวลาได้ผ่านไปหลายชั่วโมงและเวลาดูเหมือนจะหยุดลงเมื่อเจสันมาถึงจุดหมายภายใน 25 นาที
เจดีย์สัตว์ร้ายที่นี่ใหญ่กว่าในเมืองอาร์เทสอย่างมาก มันมี 7 ชั้น ในขณะ 2 ชั้นมีไว้สำหรับฟักไข่ส่วนอีก 5 ชั้นที่เหลือสำหรับสัตว์ที่เกิดแล้วทุกชนิด (หมายถึงเกิดออกมาจากไข่นะครับ)
ในขระที่เจสันรู้สึกตกตะลึงกับความหนาแน่นของมานา ที่สามารถรับรู้ได้เจสันก็ได้เดินอย่างช้าๆ ไปที่ประตูบานใหญ่ที่เปิดออกทันที่เมื่อก้าวไปอยู่ตรงหน้าประตู
เจ้าหน้าที่ดูมีความสุขเมื่อได้เห็นเจสัน ซึ่งทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ความสามารถโดยกำเนิดในการปลุกวิญญาณของเด็กส่วนใหญ่ในเมืองไซโรคือมีพลังวิญญาณอย่างน้อย 11 หน่วย ซึ่งเพียงพอที่จะคุมสัตว์ร้านที่ตื่นขึ้นได้อย่างอยู่มัด
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าพลังวิญญาณของใครคนหนึ่งจะมีน้อย แต่การฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์สัก 2-3 เดือนก็สามารถไปถึงเกณฑ์ที่จะไปยันชั้น 2 ของเจดีย์สัตว์ร้ายได้ หรือสร้างพันธะกับสัตว์ร้ายจากพ่อค้าที่จับมา เนื่องจากรวดเร็วกว่าและเชื่อถือได้มากกว่าเจดีย์สัตว์ร้าย
เจสันเดินผ่านประตูที่เปิดอยู่และผู้ดูแลก็มุ่งตรงมาหาเขา
“สวัสดีครับผม คุณสเตลล่าใช่ไหมครับ?”
ผู้ดูแลทักทายและถามอย่างมีหวัง
เจสันพยักหน้าตอบ ขระที่ดวงตาของผู้ดูแลดูสว่างขึ้น
“ เชิญทางนี้ครับ คุณสเตลล่า”
เจดีย์มีขนาดใหญ่และใช้เวลากว่า 10 นาทีตนเดินมาถึงชั้นแรกซึ่งมีสัตว์ร้ายระดับดาวอยู่ภายใน ในช่วง 10 นาทีนี้ ผู้ดูแลได้ถามคำถามต่างๆ เกี่ยวกับสัตว์พันธะและเจสันก้ตอบคำถามเหล่านั้นเท่าที่เขาจะตอบได้ คำถามคือเจสันต้องการสัตว์ชนิดไหน และเจสันเองก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะเลือกสัตว์ชนิดไหน
ตอนนี้เจสันได้เลือกทิศทางของสัตว์พันธะแล้วว่าควรจะเป็นไปในทางไหน แต่เจสันยังไม่แน่ใจว่าสัตว์ชนิดใดในที่นี่ ที่เจสันจะสามารถทำพันธะได้
ตอนนี้เจสันอยากทดสอบทฤษฎีความบริสุทธิ์มากกว่าสิ่งอื่นๆ เพื่อความปลอดภัยและการทดสอบกับผลบาคูรีสีขาว เจสันต้องทำพันธะกับสัตว์ที่มีความอดทนสูง และน่าเสียดายที่พลังวิญญาณของเจสันทำให้เขาทำพันธะได้กับแค่สัตว์ที่ต่ำกว่า ระดับ 4 ดาว ซึ่งผิดแผนเขาไปในระดับหนึ่ง
แต่การทำพันธะกับสัตว์ 1 ดาว ก้ไม่ปลอดภัยเช่นกันเนื่องจากพวกมันอ่อนแอ อาจจะไม่สามารถทนต่อพลังอันแสนทรมาณของผลบาคูรีได้หรือเปล่า และมนุษย์ที่กินผลบาคูรีก็มีอันตรายเช่นกัน เพราะมันจะชำระล้างสิ่งสกปรกจำนวนหนึ่งออกไปและเจสันรู้ว่าสัวต์ระดับ 1 ดาวไม่สามารถทนกับมันไหว แต่เจสันก็ไม่มั่นใจว่าสัตว์ระดับ 3 ดาวจะทนไหวหรือไม่ เนื่องจากไม่รู้ศักยภาพของผลบาคูรีว่ารุนแรงขนาดไหน
ดังนั้นเจสันจึงเลือกสัตว์ร้ายที่มีความอดทนสูงและมีความสามารถในการรอดชีวิตจากการชำระในครั้งนี้ ในท้ายที่สุดสัตว์ร้ายหลายชนิด เจสันสามารถเลือกได้ก็น้อยลงตามเกณฑ์ที่เจสันวางเอาไว้
เจสันตัดสินใจ จำกัดการเลือกของเขาโดยเลือกเฉพาะสัตว์ระดับ 3 ดาวที่มีความอดทนสูงและมีพลังชีวิตที่สูงเพื่อการอยู่รอดจากการชำระด้วยผลบาคูรี เมื่อบอกผู้ดูแลถึงความต้องการ ผู้ดูแลไม่แน่ใจในความคิดของเจสัน เนื่องจากเกณฑ์ที่เจสันให้มามันดูคุ้นเคย
“ผมไม่ได้ต้องจะสงสัยว่าคุณมีเจตนาร้ายใดๆ แต่การซื้อสัตว์ร้ายในเจดีย์นี้มีไว้สำหรับการทำพันธะเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการทดลองกับพวกมัน”
เจสันต้องการทดลองกับสัตว์ร้ายเหล่านี้ แต่เขาไม่ได้ต้องการทำร้ายหรือฆ่าพวกมัน เนื่องจากข้อเท็จจริงเจสันต้องการผูกพันธะกับพวกมันอยู่แล้ว การห่าหรือทำให้มันพิการ มันจะลดความสามารถในการต่อสู้ของตัวเขาเอง และท้ายที่สุดอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายกับตัวผู้ทำพันธะเอง
“คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ฉันสามารถผูกพันธะกับสัตว์เหล่านี้ได้ต่อหน้าคุณ ถ้ามันทำให้ความกังวลของคุณลดลง”
เมื่อได้ยินลูกค้าพูดเช่นนี้ ผู้ดูแลก้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาไม่ได้ทำงานในเจดีย์สัตว์ร้ายมานา แต่เขาก้ได้เห็นคนบ้ามากมายที่ชั้น 1 ที่จะพยายามซื้อสัตว์ป่าด้วยเจตนาร้ายแอบแฝง
เมื่อได้ยินเจสันพูดดังนั้น ทำให้ความกังวลของเขาหายไป แต่ถ้าเขารู้ว่าเจสันต้องการทดสอบด้วยการให้ผลไม้วิเศษเพื่อที่จะชำระล้างสิ่งสกปรกของสัตว์พันธะที่เจสันจะทำพันธะด้วย เขาคงจะไล่เจสันออกไปจากเจดีย์สัตว์ร้าย และขึ้นบัญชีดำไปตลอดชีวิต มีคนจำนวนมากที่พยายามทำอะไรแบบนั้นและผลลัพธ์ที่ได้ก้ร้ายแรง ซึ่งเจสันไม่รู้เรื่องนี้
แต่การทดสอบเหล่านี้ไม่ได้ทำอย่างจริงจังหรือดำเนินไปอย่างปลอดภัย และผลไม้วิเศษเหล่านั้นมีพลังมากกว่าผลไม้ที่เจสันเป็นเจ้าของ ในความเห้นของเจสัน การทดลองส่วนใหญ่น่าจะให้พลังในการชำระมากเกินไปหรือสัตว์อาจจะอ่อนแอเกินไปทำให้ไม่สามารถทนต่อการชำระได้
เจสันได้ทำการวิจัยมามากมายเกี่ยวกับผลบาคูรีสีขาว และมันไม่ได้เป็นเพียงผลไม้พิเศษที่เลวร้ายที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เจสันมีตอนนี้มันอยู่ในระดับต่ำที่สุด
ด้วยระดับที่ต่ำนี้ มันน่าจะเป็นไปได้สำหรับสัตว์ที่มีความอดทนสูงที่จะผ่านขั้นตอนการชำระโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ในขณะที่เจสันเองก็จะพยายามช่วยทุกวิถีทาง
เมื่อไปถึงพื้นที่สัตว์ร้าย เจสันได้เปิดดวงตาเพื่อแสกนศักยภาพของสัตวืร้ายทุกชนิดและความบริสุทธิ์ของมัน แต่เจสันก็ต้องผิดหวัง เนื่องจากไม่มีสัตวืร้ายชนิดใดหรือจัวไหนที่เปล่งประกาย ซึ่งทำให้เจสันผิดหวัง
อย่างน้อยหากสถานการณืเลวร้ายเกิดขึ้น เจสันก็จะเลี้ยงสัตว์พันธะด้วยผลไม้เล็กๆ วึ่งช่วยลดเอฟเฟกต์การชำระ อย่างไรก็ตามมันดีกว่าการฆ่าสัตว์พันธะของตัวเองใช่ไหมละ
นอกจากนั้นยังมีความเป็นไปได้ ที่ผลการชำระจะถูกลบล้างออกไป โดยความสามารถทางร่างกายของสัตว์พันธะซึ่งมันอาจจะเป็นไปได้และถึงตอนนั้นมันก้คุ้มค้าที่จะลองใช้ผลไม้ชิ้นเล็กๆ เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยเพื่อจะลองทฤษฏี ตราบใดที่สัตว์พันธะมีความอดทนสูงมันก็จะไม่ตาย
เวลาผ่านไปสักพักเจสันเริ่มผิดหวังมากขึ้น ไม่มีสัตวืร้ายสักตัวที่ตรงตามเกณฑ์ที่เจสันวางเอาไว้ และเวลาก็ผ่านไป 2 ชั่วโมง ผู้ดูแลเริ่มกังวลเล็กน้อยเพราะเกณฑ์ที่เจสันวางไว้ค่อนข้างหากยากสำหรับสัตว์ระดับดาว
เวลาผ่านไปสักพักเจสันก็ค่อยๆเดินผ่านทางเดินมองดูสัตว์ร้ายแต่ละชนิดทำให้เขาผิดหวัง
เมื่อค้นหาในแคตตาล็อกสัตวืร้าย เจสันก้ไม่พบสัตว์ร้ายที่เหมาสมเช่นกัน เจสันจึงถามทันที่
“สัตว์ร้ายตัวนี้ไม่มีหรอ”
เจสันกำลังจะค้นหาต่อไป และได้เห็นตู้ที่ว่างเปล่าพร้อมภาพโฮโลแกรมที่แสดงให้เห้นสัตวืร้ายที่ดึงดูดความสนใจของเขา เมื่อเห็นภาพโฮโลแกรมดวงตาของผู้ดูแลก็ดูสว่างขึ้น และอารมณ์ของเขาก็พุ่งสูง เมื่อเห็นข้อมูลของสัตว์ร้ายตัวนั้น
“ดูเหมือนสัตว์ร้ายตัวนี้ กำลังจะคลอดลูกในขณะนี้”
ผู้ดูแลรายงานและดวงตาของเจสันก็สว่างขึ้น
ก่อนหน้านี้ เจสันต้องการสร้างพันธะกับสัตว์ 3 ดาวดตเต็มวัยและเชื่อง แต่การดูแลทารกแรกเกิดนั้นดีกว่า เพราะสามารถทำให้เชื่องได้ง่ายกว่าและการเชื่อมต่อระหว่างวิญญาณก็แข็งแกร่งกว่า
เจสันอารมณ์ดีมาก จนวิ่งไปหาผู้ดูแลและถามว่า
“เมื่อคลอดเสร็จ ฉันสามารถทำพันธะกับลูกของมันได้เลยหรือไม่??”
ผู้ดูแลรู้สึกประหลาดใจกับความกระตือรือร้นอย่างกระทันหันของเจสัน และบอกว่าต้องรอ 2-3 ตามปกติก่อนที่จะได้รับให้อนุญาตทำพันธะได้ หากสัตว์ที่เจสันต้องการทำพันธะ แต่ก็คิดว่าเจสันเป็นแม่ของมันจะง่ายกว่าที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของกับสัตว์ เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งผุ้ดูแลก็นึกได้ว่า มันไม่มีกฏหมายที่ว่าห้ามขายลูกสัตว์แรกเกิด แต่มันเพียงผิดศีลธรรม เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ดูแลจึงอนุญาตไปพูดคุยกับหัวหน้า
เมื่อเห็นการแสดงออกของผุ้ดูแลและได้ยินเสียงตะโกนของหัวหน้า เจสันรู้สึกผิดเล็กน้อย หัวหน้าไม่ได้สนใจชีวิตของสัตว์และโกรธเพราะคำถามงี่เง่านี้ แม้ว่าเจสันจะรู้สึกเสียใจกับผุ้ดูแล แต่คำตอยของเขาก็คือสามารถทำพันธะได้เลยหลังจากมันคลอด
บางทรเจสันอาจจะเปลี่ยนแผนของเขา โดยมีสัตว์ร้ายแรกเกิดเป้นพันธะตัวที่ 2 ของเขา เพราะเขาสามารถป้อมผลบาคูรีสีขาวได้ หากแบ่งมันเป้นส่วนๆ และป้อนมันทีละน้อยๆ วึ่งอาจมีความเป้นไปได้แต่อาจรอได้เพราะมีสิ่งที่สำคัยรอเขาอยู่ และตอนนี้เจสันได้เลือกคู่หูตัวที่ 2 ของเขาแล้ว!!
เจสันนอนอยู่บนเตียงและมองไปที่บัญชีธนาคารด้วยรอยยิ้มจางๆ
[1,000,000 เครดิต]
เฟลเลอร์ไม่รู้ว่าเจสันคิดอะไรอยู่ เมื่อเจสันบอกพวกเขาว่าจะทำพันธะกับสัตว์ร้ายอีกตัว ขณะที่อาร์เทมิสกำลังพัฒนา
มันกำลังจะพัฒนาไปสู่สายพันธุ์ที่สูงขึ้น โดยต้องการพลังงานวิญญาณที่สูงกว่าเมื่อก่อนมากและตอนนี้เจสันก็ยังต้องการที่จะทำพันธะกับสัตว์อีกตัว
เจสันไม่ได้สะสมพลังวิญญาณเพื่อที่จะรักษาความมั่นคงกับอาร์เทมิสงั้นหรอ
อย่างไรก็ตามกาเบรียลลาก็ได้ให้เครดิตกับเจสันไป เมื่อเห็นการแสดงออกที่มุ่งมั่นและทะเยอทะยานของเจสัน ทีนทีที่เขากลับมาจากโรงเรียน ดูเหมือนว่ามีบางสิ่งบางอย่างได้เปลี่ยนความคิดของเจสัน
เจสันครุ่นคิดอยู่นาน ว่าจะทำพันธะกับสัตว์ร้ายจำนวนมากหลายร้อยตัว ในขณะที่สะสมพลังวิญญาณเพื่อสัตว์ร้ายตัวเดียวที่มีศักยภาพสูง แต่เขาก็รู้สึกผิด
ในโลกวิญญาณของเจสันอาจจะสามารถทำได้ นั้นเป็นเพราะข้อมูลที่มีเกี่ยวกับการตื่นขึ้นของวิญญาณและโลกวิญญาณนั้นจำเป็นต้องมีโลกวิญญาณที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เมตรเพื่อที่จะสามารถกักขังสัตว์ร้ายอย่างน้อยก็ระดับดาว
มนุษย์บางคนที่มีโลกวิญญาณที่เล็กกว่ายังสามารถใช้ผูกพันธะกับสัตว์ร้ายระดับดาวได้ อย่างน้อยโลกวิญญาณของเจสันนั้นกว้างใหญ่มากน่าจะสามารถรองรับสัตว์ร้ายจำนวนมหาศาลได้
แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เจสันต้องการ เพราะเจสันต้องการเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ อย่างไรก็ตามหลังจากการต่อสู้ในวันนี้ เจสันก็ได้คิดแผนบางอย่างขึ้นมาได้
เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเจสัน และจะต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อเข้าถึงความแข็งแกร่งเพื่อให้อยู่สูงกว่าเพื่อนร่วมชั้นของเขา ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
นอกจากนี้เจสันเองก็ยังอยากที่จะลองใช้ผลบาคูรีสีขาว ที่ซื้อมาจากเมืองจิโร่ ซึ่งเป็นสาเหตุที่เจสันต้องการผูกพันธะกับสัตว์อีกตัว แต่ก่อนหน้านี้เจสันกังวลเกี่ยวกับการเลือกสัตว์พันธะอีกตัว เพราะเขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นของอาร์เทมิส แต่ถึงอย่างนั้นเจสันก็ได้คาดว่ามันอาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 1 เดือน กว่าการพัฒนาของมันจะสำเร็จ
ในขณะเดียวกันเจสันก็มั่นใจที่จะเข้าถึงพลังวิญญาณโดยกำเนิดอย่างน้อยประมาณ 10 ด้วยความเร็วในการสร้างพลังวิญญาณที่รวดเร็วของเจสัน
การต่อสู้ในวันนี้เปลี่ยนความคิดของเจสันไปโดยสิ้นเชิง เนื่องจากเขาต้องการเพิ่มพลังวิญญาณให้ได้เร็วๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกทำร้ายและโดนกลั่นแกล้ง
ตั้งแต่เขาสามารถมองเห็นได้และการปลุกวิญญาณได้ผ่านไป เจสันก็ไม่เคยได้อยู่ใกล้กับความตายเท่ากับวันนี้…ถ้าเจสันไม่ใช้ความสามารถของดวงตานรก ตอนนี้เจสันอาจจะบาดเจ็บสาหัสหรืออาจจะตายไปแล้ว
เจสันต้องการใช้ผลบาคูรีสีขาวสำหรับสัตว์ร้ายที่ยังไม่มีศักยภาพใดๆ เพื่อทดสอบทฤษฎีความบริสุทธิ์ของเขา ดังนั้นเจสันจึงนัดหมายที่จะเข้าไปในเจดีย์สัตว์ร้าย ในเมืองไซโร ที่ชั้น 1
ก่อนที่เจสันจะคิดว่า เขาอาจจะต้องรออย่างน้อย 2-3 อาทิตย์เพื่อที่จะเข้าไปในเจดีย์สัตว์ร้าย แต่ชั้นแรกของเจดีย์สัตว์ร้ายนั้นมีวันว่างมากมายต่างกับชั้น 2 หรือ 3 ที่มีคิวยาวเหยียด
เมื่อคิดครู่หนึ่ง เจสันก็รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้
ในเมืองอาร์เทส หรือเมืองที่เจสันอยู่ในตอนแรก สัตว์ร้ายทุกชนิดมีระดับที่ต่ำกว่าสัตว์ในชั้นแรกของเจดีย์สัตว์ร้าย ในเมืองไซโร ที่นี่ทุกอันดับมีพื้นที่ของตัวเองและเห็นได้ชัดว่าเจสันเลือกสัตว์ระดับดาว ซึ่งมีคนไม่มากในเมืองไซโรที่ใช้มันสำหรับการผูกพันธะ
ในเมืองไซโรมันเป็นเรื่องที่น่าอับอายที่ต้องทำสัญญากับสัตว์ร้ายที่ไม่มีศักยภาพ
แม้ว่าสัตว์เหล่านี้จะถูกขายให้กับครอบครัวใหญ่บางครอบครัวที่มีการปลุกวิญญาณที่โชคร้าย ซึ่งพลังวิญญาณของพวกเขาอ่อนแอกว่าที่จะสามารถทำพันธะกับสัตว์ร้ายระดับสูงๆ ได้
เจสันตัดสินใจที่จะเลือกนัดในวันพรุ่งนี้หลังเลิกเรียนและเจสันก็ได้แจ้งพวกเฟลเลอร์ด้วยข้อความสั้นๆ ว่าพวกเขาไม่ต้องกังวลหากพรุ่งนี้เจสันจะกลับมาช้าเหมือนวันนี้
หลังจากนั้นเจสันยังไม่ง่วงนอน จึงได้เปิดหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรและพืชวิเศษ มันค่อนข้างน่าสนใจ เจสันอ่านจนเริ่มง่วง เจสันจึงตัดสินใจที่จะเข้านอนโดยไม่ลืมที่จะตื่นเต้นกับการไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้และการเลือกพันธะที่ 2 ของตัวเอง
*
เจสันตื่นช้ากว่าปกติ ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลา 6 โมงเช้าแล้ว สิ่งแรกที่ทำก็คือการออกกำลังกายก่อนที่จะไปอาบน้ำล้างตัวและลงไปกินอาหารเช้า กาเบรียลลากำลังจะวางอาหารจานสุดท้ายบนโต๊ะเมื่อเจสันสันมาถึง ดูเหมือนว่าเกร็กและมาเลียยังหลับอยู่หรือไม่ก็กำลังซักเสื้อผ้าอยู่
เจสันได้คุยกับกาเบรียลลาเล็กน้อง แต่กาเบรียลลาก็ไม่ได้ถามเจสันว่าจะเลือกสัตว์ชนิดไหนในการทำพันธะ เจสันบยว่ามันแปลกเพราะกาเบรียลลาน่าจะอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้
เป็นเช่นั้นจริงๆ และเธอต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตัดสินใจของเจสันในการเลือกสัตว์พันธะเพิ่ม ‘ทำไมต้องเลือกในตอนนี้ รออีกหน่อยจะไม่ดีกว่าหรอ ‘ หรือ ‘ ต้องการทีเร่งการพัฒนาตัวเอง แต่ทำไมถึงคิดเช่นนั้น ‘ กาเบรียลลาได้แต่คิดแต่ไม่อยากทำลายบรรยากาศโดยรอบ
เจสันเองก็ไม่มั่นใจว่าจะถามคำถามอย่างไร ถ้าหากกาเบรียลลาถามขึ้นมาจริงๆ ไม่กี่นาทีผ่านไป เกร็กและมาเลียก็ได้ลงมาข้างล่าง และทักทาย ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มรับประทานอาหารเช้า และมาร์คลงมาเป็นคนสุดท้าย
อาหารเช้าเป็นมื้อเดียวที่ทุกคนกินกันอย่างผ่อนคลายสบายใจ ไม่มีใครถามคำถามของเจสัน แม้ว่าจะอยากรู้ เจสันเองก็อยากรู้เกี่ยวกับวันแรกในโรงเรียนของเกร็ก แต่เห็นได้ชัดว่าเกร็กอยู่ในคลาส 23 จาก 50 นั้นเป็นเพราะจิตวิญญาณระดับ 4 ดาวของเกร็ก
อันดับของเกร็กอยู่ในระดับกลางในชั้นเรียนเนื่องจากการได้รับพลังกายภาพจากทอร์รัส แต่เกร็กก็ไม่พอใจมันมากนั้น เกร็กทำได้เพียงฝึกฝนอยากหนังเพื่อเพิ่มอันดับของเขา เมื่อเวลาผ่านไปเกร็กรู้ว่าความมุ่งมั่นของเขานั้นมีมากเกินพอที่จะทำให้เขาสามารถพัฒนาขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว
ตอนนี้อันดับแกนมานาของเกร็กอยู่ในระดับผู้ชำนาญ 3 ในขณะที่เพื่อนร่วมชั้นทั้งหมดอยู่ในระดับผู้ชำนาญ 7 ซึ่งทำให้มาเลียตกใจ ในชั้นปี 2 ของมาเลีย มาเรียนอยู่ในคลาส 5 จาก 50 พร้อมกับการปลุกวิญญาณระดับ 3 ดาวครึ่ง และแกนมานาของเธออยู่ในระดับผู้ชำนาญ 8 และตอนนี้ทุกคนในชั้นเรียนปี 1 ในคลาส 23 มีแกนมานาเดียวกันกับระดับของเธอ มันไม่เกินไปหน่อยหรอ แล้วถ้าเป็นจริงแล้วคลาสอันดับต้นๆ ละ จะมีผู้เชี่ยวชาญที่มีอายุ 14 ปีหรือเปล่า ?
มาเลียรู้สึกตกใจกับความสามารถดังกล่าวเนื่องจากนักเรียนอายุ 14 ปี การจะเข้าสู่อันดับผู้เชี่ยวชาญในขณะที่อายุแค่นั้นถือว่าเร็วมาก เจสันรู้สึกประหลาดใจมากที่เห็นเกร็กได้รับการจัดอันดับให้อยู่กลางชั้นเรียน เพราะอันดับของแกนมานาเขานั้นอ่อนแอที่สุดแม้ว่าความสามารถในการต่อสู้ของเกร็กจะยอดเยี่ยมเมื่อได้รับการเพิ่มพลังจากทอรัส
โดยปกติเกร็กไม่น่าจะมีอันดับที่สูงขนาดนี้ และเจสันก็สงสัยว่าพรสวรรค์ของเกร็กในการต่อสู้นั้นอยู่เหนือกว่าเพื่อนร่วมชั้นของเขา หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จเป็นเวลา 7:20 น. เจสันก็เปลี่ยนชุดเป็นชุดนักเรียนที่สองเนื่องจากชุดแรกยังมีกลิ่นเหม็นอยู่ เจสันจึงต้องส่งไปยังร้านซักรีดก่อนที่จะไปโรงเรียน
เจสันมาถึงโรงเรียน แต่ยังเหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีก่อนที่โรงเรียนจะเริ่ม เมื่อเจสันเข้าห้อง นักเรียนทั้งหมดในห้องก็เงียบเมื่อเห็นเจสันเข้ามา ทำให้เจสันรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อดวงตากว่า 200 คู่จับจ้องมาที่เขาด้วยแววตาและสีห้นาสงสัย
เมื่อเจสันนั่งลง ลีโอ ฮาร์ทก็เดนปรี่เข้ามาหาเจสัน และเจสันมองว่าลีโอนั้นไม่ได้มีความโกรธหรือจะกลั่นแกล้งเจสันแล้ว ในขณะที่ลีโอกระแอมอยู่ในลำคอ
“เฮ้สวัสดีเจสัน …. ฉันคิดว่าฉันต้องขอโทษนายเรื่องเมื่อวานนี้… ฉันทำอะไรไร้สติไปหน่อยแต่ฉันไม่ได้คิดจะทำร้ายหรือฆ่านายเลยนะ ฉันแค่คิดว่าครูจะหยุดการต่อสู้หรือเปล่าหากฉันทำอะไรแบบนั้น หลังจากเมื่อวานที่ฉันฟื้นขึ้น ฉันก็นึกถึงแต่ความมืดมิดที่ไม่มีที่สิ้นสุดที่ฉันได้เห็น ฉันอยากจะขอโทษอีกครั้งและอย่าเกลียดฉันเลยนะ ^^”
เมื่อพูดจบลีโอก็หันหลังกลับและเดินกลับไปนั่งที่ของเขา เพื่อร่วมชั้นมองไปที่ลีโอด้วยความตกใจ
บางคนเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นในมัธยมต้นกับลีโอและพวกนั้นตกใจมากเมื่อเห็นลีโอพูดขอโทษ เจสัน
เหลือเชื่อ?!?!?
ลีโอขอโทษคนที่อยู่มือใหม่ระดับ 5 งั้นหรอ นักเรียนบางคนปลดปล่อยมานาและแสกนไปที่แกนมานาของเจสันเพราะสังเกตุเห็นบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป
มือใหม่ระดับ 6 เขาพัฒนาขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ กัน ??
เจสันไม่ได้เป็นที่รู้จัก แต่เจสันก็พัฒนาตัวเองจนไปถึงมือใหม่ระดับ 6 ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้นเมื่อวานนี้ แต่มันค่อนข้างแปลกและน่าตกใจขณะที่ลีโอยังสบายดีเมื่อได้รับเอฟเฟกต์ ดวงตานรก ความสามารถสูงสุดของเจสัน
‘ลีโอยังสบายดี แถมยังมีบุคลิกที่เปลี่ยนไป แปลกจังแฮะ’ เจสันคิดในใจ
เจสันถามตัวเองอีกครั้ง ว่าดวงตาของเขามันคืออะไรกันแน่ ดวงตามานาปกติไม่สามารถทำแบบนี้ได้ แต่ก่อนที่เจสันจะคิดต่อไป กรีลก็ได้เดินเข้ามาในห้องพร้อมบทเรียนในวันนี้
บทเรียนวันนี้เป็น ทฤษฎีที่น่ารำคาญที่สุดของพวกสมองกล้ามเนื้อบางคนที่อยากเรียนรู้วิธีการต่อสู้มากกว่า พวกนั้นแสดงถึงอาการเบื่อหน่าย
แต่กรีลก้ไม่ได้ว่าอะไร และเข้าใจในเด็กพวกนั้น ตราบใดที่พวกนั้นไม่ขัดจังหวะในการสอนของเขา เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเป็นเวลา 4 โมงเย็น และโรงเรียนก็ได้เลิกแล้ว
เจสันได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากมายและสมองของเจสันก็เหมือนฟองน้ำที่ดูดซับข้อมูลทั้งหมดที่กรีลได้ให้มาโดยไม่แยกระหว่างข้อมูลที่มีประโยชน์และข้อมูลที่ไร้ประโยชน์
ในช่วงพักกลางวันของวันนี้ เจสันได้ฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ และเจสันเริ่มที่จะพูดคุยกับเพื่อนร่วมชั้น 2-3 คน เกี่ยวกับบทเรียนในวันนี้ ในขณะที่ความรู้ของเจสันนั้นมีมากมาย ในขณะที่ลีโอเดินมาหาเจสัน เจสันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากเมื่อวาน อยู่ๆ วันนี้ก็มีเพื่อนร่วมชั้นมารายล้อมเจสัน
เจสันไม่รู้รู้ว่าดวงตาของเขามีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือเปล่า ในขณะที่ผู้คนรอบข้างดูสบายใจเมื่อได้อยู่กับเจสัน และหลายๆ คนที่มีคำถามมากมาย จนทำให้เจสันปวดหัว
เจสันไม่เคยต่อสู้กับใครในระยะประชิดยกเว้นเกร็ก แต่นั้นก้ไม่ได้ใช่การต่อสู้จริงๆ
ลีโอตะโกนอย่างหยิ่งผยอง
“ฮ่าๆ มาเป็นเด้กของฉันดีกว่า สาวน้อย”
เจสันประหลาดใจที่ถูกเรียกว่าสาวน้อย เจสันรู้ว่าตัวเองนั้นมีหน้าที่หล่อ แต่..ฉันเป็นผู้ชาย ..เอ๋หรือว่าฉันสวยด้วย …อ่าช่างมันเถอะ
แต่ถ้าพูดตามตรงเจสันนั้นก็หลงตัวเองอยู่มากตั้งแต่ที่สามารถมองเห็นได้ อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ เจสันไม่มั่นใจว่าร่างกายของตัวเองนั้นแตกต่างไปจากเดิมไหม แต่ที่แน่ๆ เจสันคิดว่าตัวเองนั้นหน้าตาดีมาก แต่มันสวยหรอ?
การต่อสู้เริ่มขึ้นและเจสันก็ถูกล็อกตัวในขณะที่มัวแต่นึกถึงความหล่อเหลาของตัวเอง พื้นดินได้กลางเป็นหนามแหลมและเสียบเข้าไปที่ขาของเจสัน โดยที่เจสันยังไม่ทันตอบสนองใดๆ
เจสันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และไม่สามารถหลุดออกจากพิ้นดินที่แหลมคนนี้ได้ และลีโอก็ปรากฏตัวอยู่หน้าเจสันพร้อมกับรอยยิ้มที่ชั่วร้าย และกำลังจะทำให้การต่อสู้นั้นจบลง
กรีลกำลังจะยุติการต่อสู้ แต่เมื่อเขาเห็นบางสิ่งบางอย่างในดวงตาของเจสัน มันก็ทำให้เขาลังเลไปชั่วขณะ
“แย่แล้ว อย่าตายนะเด็กน้อย !”
แต่มันสายเกินไปที่จะช่วยเจสัน แต่กรีลกลับเห็นบางสิ่งบางอย่างในดวงตาเจสัน มันเข้าครอบงำและเจาะทำลายเข้าไปในดวงตาของลีโอที่ดุร้าย และเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ก่อนที่ภายในตาของลีโอจะเกิดความว่างเปล่า
ลีโอทรุดตัวลงนอนกับพื้น ร้าวกับว่าเขาถูกเจสันจัดการโดยที่เจสันยังไม่ได้ทำอะไรและเวทีการต่อสู้ก็เงียบลง
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเพียงคนเดียวที่เห็นว่าเจสันกำลังดิ้นรนในการต่อสู้ ในขณะที่เลือดไหลออกจากตาของเจสันเหมือนสายน้ำ
* วินาทีก่อนหน้า *
ลีโอไม่ได้ต้องการฆ่าเจสันและเขาก็สงสัยว่ากรีลนั้นจะสามารถปกป้องเจสันได้หรือไม่ ลีโอจึงโจมตีเจสันด้วยพลังทั้งหมดที่มีในตัวและด้วยความโกรธแค้น แม้ว่าความโกรธแค้นนั้นมันจะไม่ได้มาจากเจสัน แต่เจสันที่อยุ่ต่อหน้าเขาก็เป็นเหมือนเหยื่อที่ไม่สามารถต่อต้านเขาได้
เจสันสังเหตุเห้นว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น กรีลไม่ได้หยุดการโจมตี แต่ด้วยการใช้มานาที่เก็บสะสมไว้อย่างเต้มที่และปริมารที่สะสมภายในดวงตาของเจสัน เจสันได้ปลดปล่อยมันออกมาเป็นจำนวนมหาศาลผ่านดวงตาในขณะที่จ้องมองไปที่ลีโอ
ลีโอที่จ้องเข้าไปในดวงตาของเจสัน ที่บอกว่าเจสันเหมือนเหยื่อที่ทำอะไรไม่ได้แล้ว แต่เมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาเจสันเจสันกลับกลายเป็นสิ่งที่มีแรงกดดันมหาศาลและการดจมตีทั้งหมดของลีโอก็ไม่อาจจะทำอะไรได้
ในขณะที่มองเข้าไปในดวงตาของเจสัน ประสาทสัมผัสทั้งหมดของลีโอก็ถูกผนึกลงอย่างสมบูรณ์ ลีโอรู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในความมืดมิดที่น่าหวาดกลัวและมันดุไร้ขอบเขตภายในดวงตาสีทองของเจสัน ดูเหมือนว่าจะถูกกักขังอยุ่ในขุมนรกที่น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันทำให้ลีโอรู้สึกเหมือนอยู่ในภวังค์นั้นไปชั่วนิรันด์ ลีโอค่อยๆ ลุกขึ้นและเริ่มเหงื่ออกมาอย่างหนัก ขณะที่เหมือนถูกแรงกดดันมหาศาลบังคับให้ลีโอถอยหลังออกไป ลีโอก้าวถอยออกไปด้วยความรู้สึกหนักหน่วงก่อนที่ดวงตาจะเปียกชื่อไปด้วยน้ำตา และความกลัวที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
จากนั้นความลึกล้ำก็จางหายไปจากใจของลีโอ ปล่อยให้เขาได้จดจำความหวาดกลัวอันชั่วนิรันด์เอาไว้ในจิตใจ และลีโอก็ได้ทรุดลงต่อหน้าเจสันและยอมแพ้
เจสันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลีโอ แต่เจสันรู้ว่าดวงตาของเขานั้นมีความสามารถบางอย่าง เป็นนี้เป็นสิ่งเดียวกันที่เกิดขึ้นกับเกร็กขณะที่ทั้งคู่กำลังฝึกซ้อมการต่อสู้กัน
ครั้งหนึ่งเจสันรู้สึกรำคาญเกร็กมา จนในมานาเพียงเล็กน้อยในสายตายในขณะที่ต่อสู้กับเกร็ก ทันใดนั้นการเคลื่อนไหวของเกร็กก็ช้าลงและถูกบางอย่างจำกัดเอาไว้ แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาทีเกร็กก็กลับมาเป็นปกติ แต่เมื่อเป็นเช่นนั้นเกร็กก็มองเจสันด้วยความตกใจ เมื่อเกร็กได้บอกว่าเขารู้สึกเหมือนโดนเวงตาของเจสันโอบล้อมเข้าและต้อมรับเกร็กสู้โลกแห่งความมืดมิดราวกับนรกที่มีแต่ความหวาดกลัวไปชั่วนิรันด์
และเกร็กก็ได้บอกกับเจสันว่า เขาไม่ต้องการโดนทำแบบนั้นอีก เพราะว่าแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เกร็กก็รู้สึกว่ามันยาวมากจนเกินไป จนเกร็กบอกว่าจะเรียกว่าดวงตาแห่งขุมนรกก็ยังไม่พอกับความน่าหวาดกลัวของมัน
แต่เจสันต้องการคนที่จะมาทดสอบความสามารถนี้ด้วยการใช้มานาที่ถึงขีดจำกัด แต่ก็ไม่มีใครที่เจสันจะสามารถทดสอบได้
เจสันต้องการทดสอบความสามารถนี้ด้วยมานาทั้งหมดของเขา แต่ไม่มีใครทดสอบได้
ตอนนี้ในขณะที่ต่อสู้กับลีโอ เจสันไม่รู้วิธีที่จะเอาชนะแล้ว และเหตุการณ์แต่ละอย่างมันก็กระทันหันเกินไป เจสันจึงตัดสินใจที่จะใช้มัน
[เอฟเฟกต์ดวงตานรก] เจสันตั้งชื่อให้กับความสามารถนี้
เจสันยังคงยืนอยุ่เพราะแรงหนุนจากพื้นดืนที่กำลังแทงขาของเขา ไม่เช่นนั้นเจสันก็คงล้มลงไปกับพื้นเพราะความเฉื่อยชา กรีลทำลายพื้นที่ลีโอสร้างขึ้นมาและเคลื่อนย้ายทั้ง 2 คน ไปใกล้กับหมาป่าศักดิ์สิทธิ์เพื่อรักษา ไม่เพียงแต่กรีลเท่านั้นที่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ทั้งชั้นเรียนก็ได้เงียบสนิทเช่นกัน
แต่ไม่นานนักทุกคนก็เริ่มซุกซิบกัน โดยถามเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’
เมื่อมองไปที่กรีล นักเรียนทุกคนก็เห็นการแสดงออกที่สับสนเหมือนกัน ดังนั้นทุกคนจึงนิ่งเงียบและรอให้กรีลทำอะไรบางอย่าง เมื่อกรีลตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเจสันและจิตใจของลีโอ กรีลก็ประกาศผลการแข็งขัน
“ศึกครั้งนี้เสมอกัน”
โดยปกติเจสันจะต้องเป็นฝ่ายชนะ แต่การต่อสู้ครั้งนี้เจสันได้หยุดนิ่งไปขณะที่ลีโอหมดสติไป นั้นหมายความว่าหมายเลขของเจสันจะเปลี่ยนเป็นหมายเลข 4 และลีโอจะเปลี่ยนเป็นหมายเลข 224 ซึ่งหากเป็นแบบนั้นเจสันอาจจะถูกรังแกและกรีลเองก็คงไม่สามารถปกป้องเขาได้ กรีลจคงประกาศผลให้เสมอกัน
เจสันยังอ่อนแอเกินไปแม้ความสามารถในการต่อสู้จะดุแข็งแกร่งมากสำหรับมือใหม่ระดับ 6 และการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปจนเสร็จสิ้นเด็กคนอื่นๆ บาดเจ็บเล็กน้อยในขณะที่เจสันหมดสติ ลีโอก็หมดสติเช่นกันและจิตใจของลีโอดูเหมือนจะกลับมาคงสภาพและต้องการการพักผ่อนเพื่อเยี่ยวยาจิตใจ และในกรณีเจสันก็เช่นกัน กรีลจึงนำตัวทั้งคู่ส่งโรงพยาบาล
*
เป็นช่วงเวลาบ่ายเจสันตื่นขึ้นมาโดยไม่พบใคร เจสันพยายามจะยืนขึ้นและพบว่่าขาของตัวเองนั้นหายแล้วแม้ว่าจะมีอาการชานิดหน่อย ถัดจากเตียงของเจสันก้เป็นเตียงขอลีโอที่กำลังนอนหลับอยู่ด้วยสีหน้าโง่ๆ
เจสันคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
‘เขาอยากจะฆ่าฉันจริงๆ หรอ หรือมันเป็นแค่อุบัติเหตุ แล้วทำไมครูกรีลถึงไม่ช่วยฉัน’
ความคิดหลากหลายแล่นเข้ามาในหัวของเจสัน และเปิดประห้องก็เปิดออกโดยกรีลเดินเข้ามาและมีพยาบาลตามหลัง กรีลสังเกตุเห้นว่าเจสันฟื้นแล้ว แล้วยังยืนได้อย่างมั่นคงเมื่อกรีลเดินเข้ามาใกล้ๆ
“เจสัน ฉันขอโทษที่ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเข้าไปช่วยคุณ ฉันเห็นภายในดวงตาของคุณมันทำให้หัวของฉันยุ่งเหยิง ดชคดีที่ไม่ได้มีใครบาดเจ็บมากนัก และหวังว่าคุณคงไม่เสียใจและโกรธฉันใช่ไหม”
กรีลก่าวด้วยความจริงใจ
เจสันสังเกตุเห็นความจริงใจของกรีล และยอมรับคำขอโทษ เจัสนรู้สึกดีที่ทุกอย่างจบลงด้วยการที่ไม่มีใครเป็นอะไรมาก แม้ว่าจะเสียใจเขาจะไปบ่นกับใครได้ละ และครูของเขาก็แข็งแกร่งมากและมีอำนาจมากในแอสทริกซ์
หลังจากที่นั้นเจสันก็ได้กลับบ้านเพราะโรงเรียนได้เลิกแล้ว เจสันลืมเปลี่ยนเสื้อผ้าตอนเรียกรถรับส่ง เพราะตอนนี้เขากำลังใส่กางเกงที่ขาดตรงบริเวณที่โดนโจมตี มันดูตลกและมีคราบเลือดที่เห็นได้ชัด เมื่อรถมาถึงเจสันก็เข้าไปและก็เข้าไปในดลวิญญาณเพื่อฝึกเทคนิคนรกสวรรค์
รถรีบส่งก็มาถึง และเจสันก็เดินเข้ามาในบ้านที่อาศัยอยู่กับพวกเฟลเลอร์ และกาเบรียลลาก้เห็นเจสันเป็นคนแรก เธอก็ได้กล่าวทักทายกับเจสันด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีจ้ะเจสัน ทำไมเธอกลับมาช้าจัง เรียนวันแรกเป็นอย่างไรบ้า…” ก่อนจะพูดจบกาเบรียลลาก็แทบจะร้องเสียงหลงเหมือนเห็นว่าสภาพเจสันตอนนี้เป็นอย่างไร
เจสันไม่ได้สวมเครื่องแบบนักเรียนและเต้มไปด้วยคราบสิ่งสกปรกและกางเกงก้มีคราบเลือด เหมือนกับว่าเขาเพิ่งรอดจากการสังหารหมู่มา กาเบรียลลาสังเกตุเห็นช่องขาดโหว่ตรงกางเกงและมีนก้มีคลายเลือดตรงนั้น เธอจึงรีบไปตรวจดูร่างกายของเจสัน และเจสันก็ได้บอกไปว่ามีการจัดการต่อสู้เล็กๆ ขึ้นในโรงเรียน
“เล็กเหรอออ??? ดูเหมือนเธอเพิ่งกลับมาจากสงคราม”
กาเบรียลลาอุทานออกมา แต่เจสันก็ขอบคุณที่เธอรู้สึกเป็นห่วงและวังวล แต่เสียงที่เธอร้องตกใจออกมาดังจนสมาชิกคนอื่นๆ ในบ้านหันมามองและอยากรุ้เกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่อพวกกเขาเห็นสภาพของเจสัน เกร็กและมาเลียก็รีบมาตรวจดูร่างกายของเจสันอย่างละเอียด และสังเกตุว่าเจสันนั้นสบายดี เจสันรู้สึกอายที่มีหลายมือมาจับเนื้อจับตัว จากนั้นเจสันก็เดินไปนั่งและอธบายทุกอย่างให้พวกเขาฟัง
แต่ก่อนที่จะเริ่มพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวันนี้ เกร็กก็ได้ตะโกนออกมา
“อะไรนะ !!! เธอเข้าสู่มือใหม่ระดับ 6 แล้วงั้นหรอ”
เกร็กร้องเสียงดัง และมาเลียก็ตกตะลึง ก่อนที่เจสันจะอธิบายถึงการดูดซับมานาจนพัฒนาเป็นมือใหม่ระดับ 6
“อะไร?!?!!”
ตอนนี้มาเลียร้องเสียงดังและเธอก็ดูตกใจเหมือนคนอื่น ๆ
แม้ว่ามือใหม่ระดับ 6 จะไม่ได้มีไรเป็นพิเศา แต่การรวบรวมมานาเข้าสุ่แกนแล้วพันฒนาภายใน 2 ชั่วโมงมันเร็วมาก และเมื่อเจสันได้เล่าอะไรหลายๆ อย่างให้ฟัง มาเลียและกาเบรียลลาก็ฟูมฟายด้วยความโกรธ
“ครูคนนั้นเป็นครูแบบไหนกัน ที่ละเลยการดูแลเด้กนักเรียน !!! ฉันจะโทรหาครูใหญ่และบ่นเรื่องของเขา คอยดู!!! “
กาเบรียลล่าพูดและเธอก็เปิดสร้อยข้อมือควอนตัมของเธอ เมื่อเจสันสงบ
เกร็กเงียบและความรู้สึกหวาดกลัวก็กลับมาเล็กน้อย เมื่อได้ยินว่าเจสันปล่อยมานาทั้งหมดจากดวงตาเพื่อเปิดใช้งาน ดวงตานรก ทำให้เกร็กได้รับความทรงจำเก่าๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และพยายามเลี่ยงที่จะไม่คิดถึงมัน
เจสันต้องการขึ้นไปชั้นบนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าจัดการซักชุดของเขาแต่ก่ออนที่จะขึ้นไปเจสันหันไปหาพวกเฟลเลอร์ร้าวกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน
“ฉันสามารถยืมเครดิตใครได้บางไหม ฉันต้องการทำสัญญากับสัตว์พันธะอีกตัว”
เจสันพูดอย่างสงบเงียบ ขณะที่ทุกคนดูสับสนเล็กน้อย
“หาาาาาา ???”
เจสันวิ่งกลับไปด้วยความเร็วเท่าที่เขาจะทำได้
เจสันไม่คิดเลยว่าเขาจะสามารถพัฒนาตัวเองไปอีกระดับได้โดยใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง มานารอบๆ ทะเลนั้นดูเหมือนสวรรค์สำหรับเจสัน และเจสันหวังว่าเขาจะกลับไปที่นั้นอีกครั้ง
ในขณะนี้เจสันได้อยู่ในมือใหม่ระดับ 6 แล้ว และแกนมานาเขาก็เข้าสู่มือใหม่ระดับ 7 เจสันได้เข้าไปในดลวิญญาณเพื่อดูพลังวิญญาณของเขา มันเพิ่มขึ้นมา 0.2 ซึ่งสูงกว่าคนทั่วไปที่อยู่มือใหม่ระดับ 6
เมื่อมาถึงที่ประลองก้เหลือเวลาเพียง 10 วินาที เจสันอยู่ยืนในขณะที่ หัวและเสื้อผ้าที่เปียกแฉะ เพราะเหลือเวลาไม่มา หลังจากที่ล้างเสื้อเจสันก็สวมมันทันที ไม่ได้มีเวลาตากให้มันแห้ง เพื่อรวมชั้นต่างหัวเราะเมื่อเห็นเจสันที่ตัวเปียกแฉะ
“ ฮ่าๆ เจ้านั้นไปจมน้ำที่ไหนมา?”
“ ฮ่าฮ่าฮ่า…. เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเลย!!”
“ เขาวิ่งหนีแล้วเผลอตกน้ำหรอ ฮ่าๆ ?”
“การว่ายน้ำจะช่วยเพิ่มความกล้างั้นหรอ?”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเพื่อนร่วมชั้น เจสันก็ตกตะลึง
‘ทำไมต้องจมน้ำ แล้วจและจะวิ่งทำไม ทำไมต้องวิ่งหนี และวิ่งนี้ต้องตกน้ำหรอ? สมองของคนพวกนี้คืออะไร เป็นขี้โคลนรึเปล่า?’
เจสันไม่ตอบคำถามต่างๆ ในขณะที่เขายืนอยู่ตรงหน้ากรีล ขณะที่กรีลบอกให้เจสันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำตัวให้แห้ง เมื่อรู้ว่าเจสันได้ลงทะเลสาปเพื่อล้างตัว จึงให้เวลาเจสันในการเช็ดตัวให้แห้ง
“มาเริ่มการแข่งขันกันเลย เจสันคุณสามารตามมาได้ทีหลัง หลังจากเช็ดตัวให้แห้งเรียบร้อย”
กรีลกล่าวประกาศ
10 นาทีต่อมา เจสันกำลังจะมุ่งไปที่ลานประลอง ก็มีเด็กหนุ่ม 2-3 ได้รับบาดเจ็บ แขนขาหัก และมีบาดแแผลแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครบาดเจ็บสาหัส
***เอ่อ กระดูกหักนั้นไม่ใช่สาหัส รึ 5555***
ถัดจากเด็กที่ได้รับบาดเจ็บ มีหมาป่าขนสีขาวแกมทองสูง 3 เมตร มีคริสตัลสีทอง 2 อันงอกขึ้นบนหน้าผาก และมันสามารถปล่อยพลังในการรักษาออกมาได้ ซึ่งช่วยให้อาการบาดเจ็บของเด็กนักเรียนค่อยๆ หายดีขึ้น
เจสันสังเหตุเห็นว่าหมาป่าตัวนี้มันมีพลังธาตุแสงศักดิ์สิทธิ์หรืออาจมีพลังที่เกี่ยวข้องกับพลังศักดิ์สิทธิ์
เมื่อมองไปรอบๆ ลานประลอง การสร้างมันดูเรียบง่ายโดยมีแท่นหิน 2 -3 อันเป็นพื้นที่สำหรับการฝึกและมีลานประลองอยู่ตรงกลาง สนามการฝึกนี้สามารถรับการโจมตีและดูซับได้ทุกรูปแบบแต่มันไม่สามารถรองรับการโจมตีของผู้วิเศษได้
เมื่อกรีลเห้นเจสัน กรีลจึงเรียกเจสันขึ้นไปบนที่นั่งชมโดยมีเพื่อนที่นั่งข้างๆ เจสันในห้องเรียน กำลังนั่งอยู่ที่แถวแรก เมื่อยืนอยู่ตรงข้ามกัน ทั้งคู่ก็เข้าสู่ตำแหน่งในขณะที่เจสันแกสนมานาของเพื่อร่วมชั้นว่ามีความสามารถทางด้านอะไรบ้าง อย่าไรก็ตามเจสันโชคดีที่ และมานาของเด็กนักเรียนอันดับ 224 ก็ดูเป็นปกติไม่มีพลังพิเศษใดๆ บนใบหน้าของเจสันจึงมีรอยยิ้มเล็กๆ
ฝ่ายตรงถามเกิดความสงสัย มันค่อนข้างแปลกที่คนที่อยู่ในมือใหม่ระดับ 5 จะยิ้มให้คู่ต่อสู้ที่อยู่เหนือกว่า เด็กคนนั้นคิดว่าเจสันประเมินการต่อสู้ของตัวเองสูงเกินไป
กรีลให้สัญญาฯเริ่มการต่อสู้ และในมือของเจสันก็ปรากฏมีดขนาดเล็ก 2 เล่ม ในขระที่คู่ต่อสู้ของเขาใช้ดาบยาวที่ดุหนังหน่วง คู่ต่อสู้พุ่งเข้าหาเจสันด้วยความเร็วที่เจสันเองก็ประหลาดใจ
เมื่อสงบลงภายในเสี้ยววิ เจสันได้ก้าวไปข้างหน้าห้าวหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนไหว และตั้งท่าในการรับมือ เจสันมีความสุขจากข้างใน ในขณะที่เจสันยิ้มอย่างเยือกเย็น ทำให้คู่ต่อสู้ของเขารู้สึกฮึกเหิม ก่อนที่การปะทะจะเริ่มขึ้น
ความเร้วของคู่ต่อสู้นั้นเร็วมาก แต่ก็ไม่เร็วพอที่จะเอาชนะเจสันได้ เนื่องจากต้องถือดาบยาวที่หนักและยุ่งยากในการใช้งาน ขณะที่เจสันถือมีดที่เบาแล้วสะดวกกว่า
เจสันได้ทำการขวางมีดที่ซ่อนไว้ใส่คู่ต่อสู้ทำให้ คู่ต่อสู้ตกตะลึง ความแม่นยำของเจสันที่มีมาก จึงทำให้คู่ต่อสู้ไม่สามารถหลบทิสทางของมีดได้ เจสันตั้งใจที่จะเล็งที่ขา เนื่องจากเขาถือดาบที่หนัก จึงเป็นการดีกว่าถ้าทำให้การเคลื่อนที่ของคู่ต่อสู้นั้นลำบาก เจสันขวางมีดไป 6 เล่ม และมันก็สามารถเจาะเกราะป้องกันของคู่ต่อสู้ได้ และมีดก็พุ่งเข้าไปที่ไหล่ ทำให้คู่ต่อสู้ของเจสันได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ซึ่งมันจะแย่ลงเมื่อคู่ต่อสู้พยายามที่จะใช้ดาบยาวที่หนัก
ผู้ชมเริ่มตำหนิว่าเจสันนั้นขี้ขลาด แต่เจสันที่จดจ่ออยู่กับการต่อสู้ จึงไม่ได้สังเกตุเห็นหรือได้ยินอะไรจากภายนอก และเมื่อคู่ต่อสู้อยู่ห่างจากเจสันระยะ 1 เมตร ด้วยความโกรธเกรี้ยวในดวงต่อ เขาถือดาบยาวฟันเข้ามาที่เจสัน แต่เจสันยังคงสงบนิ่งและวิเคราะห์สถานการณ์ภายในช่วงเวลาหนึ่ง ขณะที่ใช้มานาในการเสริมกำลังขา เจสันก้มตัวลงและพุ่งใส่คู่ต่อสู้
ขาของคู่ต่อสู้นั้นได้รับบาดเจ็บและปฏิกิริยาของเขาก็ช้ากว่าเจสันเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้เจสันได้เปรียบ ก่อนที่คู่ต่อสู้จะได้ทำอะไร เจสันได้เจาะเข้าไปในเส้นเลือดของขาทั้งสองข้างที่อยู่ระหว่างน่องและต้นขา ทำให้คู่ต่อสู้ของเขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและทรุดลงไป
การต่อสู้หยุดลงทันที เจสันมั่นใจว่าการต่อสู้ได้จบลงแล้ว ขณะที่หมายเลข 224 ถูกนำตัวไปใมนส่วนของการฟื้นฟูกับคนที่บาดเจ็บคนอื่นๆ
แม้ว่าเจสันและหมายเลข 224 จะมีระดับที่ห่างกันมาก แต่ด้วยประสบการณ์และการเลือกอาวุธที่เหมาะกับลักษะของเจสัน เจสันจึงได้เปรียบกว่า นอกจากนี้เจสันยังมีกลยุทธ์ในการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมกว่า
หมายเลข 224 ถูกล้อมรอบไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์เลือดและบาดแผลของเขาค่อยๆ ดีขึ้นและหายเป็นปกติ เขาดูเหมือนจะร้องไหน เจสันไม่รู้จะทำอย่างไร
‘ฉันคงไม่โหดร้ายไปใช่ไหม’
ตอนนี้เพื่อนร่วมชั้นของเจสันได้มองมาที่เขาด้วยความรังเกียจราวกับว่าการต่อสู้ที่เจสันชนะนี้นี้ได้สร้างยบาดแผลให้พวกนั้น
“ขี้ขลาด สิ่งเดียวที่ทำได้ก็มีแต่วิ่งหนี ฮ่าๆ ถึงแม้จะเอาชนะได้ ก็แค่เพียงหมายเลข 224 เจอคนอื่นก็ทำอะไม่ได้แล้ว”
“วิ่งหนีและขวางมีด ใครๆก็ทำได้ ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย”
“นั่นมันไม่ยุติธรรม !! ได้แต่วิ่งหนีและก็ขวางมีดใส่”
ตอนนี้เจสันเข้าใจในสิ่งที่พวกนั้นพูด และด้วยความโง่ของพวกนั้นทำให้เจสันรำคาญก่อนที่จะหันหน้าไปที่กรีล
“เจสัน เสตลล่าชนะการต่อสู้ และตอนนี้เจสันได้เลื่อนไปอยู่ที่หมายเลข224 ใครก็ตามที่บอกว่าเขาชนะเพราะเขาโกง งั้นพวกคุณก็ไปต่อสู้กับคนที่อยู่ในอันดับที่สูงกว่าโดยไม่ใช้เล่ห์กลซิ ทำได้แล้วค่อยมาพูด”
กรีลประกาศ ขณะที่หันไปถามเจสันอีกว่า
“คุณต้องการต่อสู้ในการแข่งขันต่อไปเลยไหม”
“ผมต้องการเวลาในการเติมมานาสักสิบนาที หลังจากนั้นก็พร้อมที่จะสู้ต่อ”
เจสันตอบอย่างตรงไปตรงมา
เมื่อได้ยินดังนั้นกรีลจึงเรียกคู่ต่อสู้คู่อื่นมาแทนที่ ในขณะเดียวกันเจสันก็เติมมานาด้วยหินมานาที่วางอยู่ข้างๆ การต่อสู้ 2-3ครั้งผ่านไปและกรีลก็สังเกตุว่าเจสันได้ดูการต่อสู้ทั้งหมดและดูดซับมานาไปด้วย
ถ้ากรีลรู้ว่าเจสันเรียนรู้สิ่งต่างๆ ภายในเวลา 2-3สัปดาห์ กรีลอาจจะดีใจและตกใจในเวลาเดียวกัน
10 นาทีผ่านไปเมื่อเจสันดูดซับมานาจนเต็ม ลีโอ ฮาร์ทก็ได้เข้าบอกกับกรีลว่า ให้เขาและเจสันได้สู้กันในตอนนี้อย่า
“ฮึ น่ารำคาญจริงๆ มันขึ้นอยู่กับคุณทั้งคู่ อย่าฆ่ากันเองละ ”
กรีลสังเกตุว่าลีโอนั้นรู้สึกไม่ชอบเจสันเล็กน้อยแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่กรีลก็อยากรู้ว่าเจสันสามารถต่อสู้ได้มากแค่ไหน เจสันยืนอยู่ตรงข้ามลีโอโดยอยู่ห่างกันประมาณ 50 เมตร เจสันมองเข้าไปที่แกนมานาของลีโอและเห็นว่ามานาของเขาเป็นสีน้ำตาบางๆ ซึ่งบงบอกว่าลีโอมีพลังธาตุดิน ซึ่งเจสันก็ได้นึกถึงโอกาสที่จะชนะ
`ฉันไม่อยากสู้เลย`
เขาคร่ำครวญเมื่อเสียงเริ่มต้นเริ่มขึ้น
ไม่มีใครพอใจกับการจัดอันดับชั้นเรียนของตัวเอง และพวกเขาต้องการเข้าสู่ชั้นเรียนที่มีอันดับที่สูงขึ้น การคิดเกี่ยวกับการต่อสู้กันในชั้นเรียน ก็เป็นเรื่องที่น่าพอใจ เพราะเด็กนักเรียนจะได้รู้สึกปลดปล่อยความตรึงเครียด
“เพราะการใช้มานาของทุกคนพร้อมกัน อาจจะเกิดแรงกดดันมหาศาลได้ ดังนั้นฉันจะจำกัดการต่อสู้โดยแบ่งการต่อสู้ไว้ 2 รอบ โดยแต่ละคนสามารถเลือกคู่ต่อสู้ของตัวเองได้ และหากมีคำถามก็สามารถถามฉันได้เช่นกัน นี่คือการป้องกันไม่ให้กลุ่มหนึ่งต่อสู่กับคน ๆ ติดต่อกันหลายครั้ง เอาละเลือกคู่ต่อสู้ของพวกคุณได้ “
หน้าจอโฮโลแกรมได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าของนักเรียนทุกคน
ในขณะที่ทุกคนตกตะลึง เจสันก็ได้ไล่ดูรายชื่อทันที และหลังจากที่เจสันได้เลือกชื่อชื่อหนึ่ง มันยังเร็วเกินไปสำหรับเจสันซึ่งตอนนี้เขาได้เลือกหมายเลข 224 ซึ่งนั่งถัดไป เนื่องจากมานาของเด็กคนนั้นอยู่ในผู้ชำนาญระดับ 1 และไม่มีอะไรพิเศษ เจสันจึงคิดว่านี้เป็นคู่ต่อสู้ที่เจสันมีโอกาสที่จะชนะได้มากที่สุด มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเจสันในการแข่งขันนี้
ในขณะที่เจสันเองก็หวังว่า เด็กที่อยู่ข้างๆ ก็จะเลือกเขาเช่นกัน และก็มีชื่อปรากฏขึ้นข้างๆ เจสัน
ลำดับที่ 4 ลีโอ ฮาร์ท ระดับแกนมานาผู้ชำนาญระดับ 5
ดวงตาของเจสันเบิกกว้าง และเจัสนก็ได้กระโดขึ้นมาโดยคิดว่ามันอาจจะเกิดความผิดพลาด ขณะที่เจสันหันไปมองเด็กหนุ่มกล้ามโตที่กำลังมองเจสันด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำให้เจสันต้องขมวดคิ้วใส่
‘ จะแกล้งกันงั้นหรอ โอเคได้เลย ‘
ทั้งห้องสงบลงด้วยการดีดนิ้วของกรีล จนกระทั่งกรีนเริ่มจับเวลาเพื่อให้ทุกคนได้เตรียมพร้อมในการต่อสู้ให้เรียบร้อย ทุกคนมีเวลาเตรียมตัว 4 ชั่วโมง ซึ่งมันยาวนานมากสำหรับการเตรียมตัว
เจสันรู้ว่า เขาจะต้องถูกเจ้าเด้กกล้ามเป็นมัดมาก่อกวน ทำให้เจสันรีบลุกจากเก้าอี้และรีบออกไปจากห้องเรียน
“ฮ่าฮ่าฮ่า เขาคิดว่าจะหนีไปได้หรอ ถ้าเขาไม่กล้าที่จะต่อสู้กับเพื่อนร่วมชั้นตัวเอง นั้นก็ขี้ขลาดมาก”
ลีโอฮาร์ทพูดพร้อมกับหัวเราะอย่างเต็มที่
กลุ่มเล็ก ๆ ที่รวมตัวกัน เหมือนไฮยีน่ากำลังส่งเสียงร้องเรียกเจสันว่า
“ขี้ขลาด”
“คนโง่”
“แมวขี้กลัว”
และอื่น ๆ อีกมากมาย
แม้แต่กรีลเองก็ยังสับสนกับการกระทำของเจสัน กรีลรู้สึกผิดหวังกับเด็กชายผมดำ โดยคิดว่าเจสันนั้นได้ยอมแพ้
“แยกย้ายได้”
กรีลพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเจสันได้ออกไปจากห้องแล้ว กรีลเดินตามเจสันไป ซึ่งดูเหมือนว่าเจสันจะทำอะไรบางอย่าง จนกระทั่งกรีลเห้นเจสันเข้าไปในป่าภายในบริเวณโรงเรียน
โดยปกติเจสันจะไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไป แต่เมื่อกรีลตามเข้าไปด้วยจึงไม่เป็นปัญหาใดๆ
เมื่อเข้ามาในป่าและเดินตามเจสัน ในขณะที่เจสันวิ่งเข้าไปในป่าเป็นเวลาเกือบ 10 นาที จนกระทั่งทั้ง 2 เริ่มเห็นทะเลสาบสีฟ้าเล็กๆ ที่กำลังส่องแสง และล้อมร้อบไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม
เหนือทะเลสาบมีซุ้มหินนานซึ่งดูแปลกตา และมีมานาที่หนาแน่นไหลผ่าน
แม้แต่มานาของเมืองไซโรก็หนาแน่นน้อยกว่าพื้นที่แห่งนี้ โดยทะเลสาปที่อยู่ตรงหน้าทั้ง 2 คนดูเหมือนจะมีความหนาแน่นของมานามากถึง 2 เท่า แต่ราวกับว่ามันยังไม่เพียงพอสำหรับเจสัน เจสันสังเกตุเห็นบางสิ่งบนต้นไม้ด้านบนของซุ้มหินซึ่งมันดึงดูดความสนใจของเจสัน
ยอดหินโค้งที่มีความสูงอย่างน้อย 30 เมตร และดูใหญ่โตเมื่อเจสันอยู่อยู่ตรงหน้า อย่างไรก็ตาม ความอยากรู้อยากเห็นของเจสัน ทำให้เจสันปีนขึ้นไป แม้ว่ามันจะใช้เวลาพอสมควร เกือบ 30 นาทีต่อมา เจสันก็ได้อยู่บนยอดสูงสุด นอกจากนี้ปริมาณมานาบนนี้ยังมากกว่าด้านล่าง เจสันมีความสุขเนื่องจากความหนาแน่นของมานา ได้สอบสนองความต้องการของเขา
ยิ่งเจสันเข้าใกล้สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของตัวเอง ปริมาณมานาตรงนั้นก็จะหนาแน่นขึ้น เมื่อเจสันค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านพุ่มไม้เล็กๆ เจสันได้พบกับทุ่งดอกไม้เล็กๆ ที่มีผลไม้หลานิด ส่งกลิ่นหอมพร้อมด้วยมานาที่เปล่างประกายออกมาจากพวกมัน ด้วยสายตาของเจสัน เจสันยังสามารถมองเห็นสีต่างๆ ที่ผลไม้เหล่านี้ปล่อยออกมา
มันไม่เพียงแต่เป็นสีดำ แต่ยังมีสีเทาอ่อนๆ ทำให้เจสันตกตะลึงเป็นอย่างมาก ทำให้เจสันนั้นเกิดความโลภเล็กๆ ในใจของเขา
‘ฉันสามารถเก็บผลไม้เหล่านี้ได้รึเปล่านะ หรือมันอาจจะเป็นของใครบางคน’
เจสันคิดในขณะที่มือนั้นค่อยๆ เอือมไปหยิบผลไม้เหล่านั้น เมื่อคิดได้นั้นเจสันคิดว่า การที่เขาค้นพบที่นี่ จะทำให้เขาเป็นผู้ที่น่าสงสัย และอาจจะถูกไล่ออกจากโรงเรียนนี้ เจสันจึงส่งข้อความถึงกรีล
“ผมเจอผลไม้วิเศษบนนี้ ผมสามารถหยิบมันไปได้ไหม”
เจสันได้ส่งข้อความด้วยคำถามที่ตรงไปตรงมา
“ได้สิ เลือกได้ตามสบาย”
เสียงของกรีลที่ดังขั้น ทำให้เจสันตกใจและหันไปมองรอบๆ กรีลที่ปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเจสันได้มองหน้าเจสัน และพยักหน้าให้กับเจสันเมื่อมองไปที่ผลไม้
เจสันเลือกผลไม้ที่มีสีเท่าอ่อนที่มีมานาหนาแน่นมากที่สุดเท่าที่ ได้ตรวจดู มันเป้นผลไม้ที่ดีที่สุด และกรีลเองก็มองมันอย่างขมวดคิ้ว และหายตัวไป
เจสันไม่ได้สังเกตุว่ากรีลนั้นหายไปแล้ว ในขณะที่หยิบกล่องนีโอซิสออกมาซึ่งมีผลบาคูรีสีขาวอยู่ด้านใน เจสันได้หยิบผลไม้วิเศษขึ้นมาและใส่ลงไปในกล่องนีโอซิส
ตอนนี้เจสันค่อนข้างกังวลว่าเอฟเฟกต์เวทย์มนต์ของผลไม้ทั้ง 2 จะลดลงไหมถ้าพวกมันอยู่ในกล่องใบเดียวกัน แต่ตอนนี้เจสันก็ทำได้แค่นั้น แม้ว่าพวกมันจะอยู่ในกล่องเดียวกัน คุณภาพของพวกมันคงลดลงไม่มากนัก
ตอนนี้เจสันเหลือเวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง เจสันจึงจะใช้เวลานี้ในการดูดซับมานาบริเวณนี้เพิ่มเสริมความแข็งแกร่ง และเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการประลองจะเริ่มขึ้น
เจสันได้นั่งอยู่เหนือทะเลสาปมานาที่หนาทึบ และหยิบหินมานาออกมา 2- 3 ก้อน เพื่อเพิ่มปริมาณมานาเพื่อที่จะดูดซับได้มากขึ้น เจสันสัมผัสได้ถึงสัตว์ป่าทั้งหมดที่อยู่รอบตัว ซึ่งเป็นความรู้สึกที่น่าอัศจรรย์
และดูเหมือนว่าแกนมานาของเขา จะต้องการมานาเพิ่มขึ้นอีก เมื่อรูขุมขนของเจสันเปิดแล้วดูดซับมานาโดยรอบอย่างหิวกระหาย ความไวในการควบคุมและดูดซับมานาของเจสันนั้นสูงมากเป็นพิเศษทำให้ร่างกายของเจสันเต็มไปด้วยมานาอย่างรวดเร็ว เจสันได้สร้างวงกลมขนาดใหญ่ก่อนที่จะตั้งสติแล้วค่อยๆ รวบรวมมานาเข้าไปยันแกนมานา
เจสันได้สงสัยกับตัวเองวา เขาจะหยิบหินมานาขึ้นมาทำไม เนื่องจากมานาโดยรอบนั้นมีมากมายพอที่จะทำให้ร่างกายนั้นท่วมท้นไปด้วยมานา
เจสันเกือบจะหลุดโฟกัสขณะที่รวบรวมมานาไปที่แกน แต่เขาก็ตั้งสติได้ก่อนที่จะเริ่มโฟกัสใหม่กับรวบรวมมานาเข้าไปในแกน ก่อนหน้านี้เจสันคิดว่ากว่าเขาจะได้ขึ้นสูงมือใหม่ระดับ 6 นั้น ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 วัน แต่ตอนนี้เขาคิดว่ามันใช้เพียงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
เมื่อดูดซับมานาอย่างตระกะตกลาม ก้เริ่มีรังไหมปกคลุมร่างกาย และเวลาก็ผ่านไป 1 ชั่วโมง เจสันสามารถได้ยินรอยแตกของรังไหม และเขาก็ได้ลืมตาตื่นขึ้น ดวงตาที่เป็นสีทองก็ส่องประกาย และเมื่อมองไปรอบๆ เจสันก็สังเหตุเห็นรังไหมมานา ที่หนาแน่นกำลังห่อหุ้มร่างกาย หลังจากนั้นเจสันก็ได้เข้าสู้มือใหม่ระดับ 6 ในที่สุด
งานของกรีลนั้น คือการดูแลเด็กนักเรียนทุกคน แต่ดูเหมือนเขาจะใส่ใจเจสันมากเกินไป เขาจึงกลับเข้ามาในห้องเรียน เมื่อเห้นสิง่ที่เจสันได้ทำ ทำให้เขาลืมไปแล้วว่าตอนนี้เขาเป็นครูอยู่ ขณะที่นึกถึงการจ้องมองไปที่เจสัน
‘งี่เง่าจริงเรานิ ที่ไปคิดว่าการควบคุมมานาของเด็กคนนั้นไม่ดี… แต่ทำไมเด็กคนนั้นถึงอยู่แค่ระดับมือใหม่กันละ ??’
ถึงแม้กรีลจะสับสนมากกว่าเดิม แต่ด้วยความสามารถที่กรีลได้เห็นในตัวเจสัน ทำให้เขาคิดได้ว่า เจสันไม่มีทางที่จะอยู่ในระดับมือใหม่ได้ อย่างน้อยด้วยความสามารถเช่นนี้ เจสันจะต้องอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญ เพียงครู่เดียว ครูที่มีหน้าตาหล่อเหลและผมสีทอง ก็ปรากฏตัวบนต้นไม้และจ้องมองรังไหมมานาที่ห่อหุ้มตัวเจสัน
* 2 ชั่วโมงต่อมา *
เจสันหลั่งของเหลวสีดำที่มีกลิ่นเหม็นออกมาจำนวนมาก ขณะที่เจสันกำลังถอดเสื้อผ้าออก เขาก็ได้กลิ่นหอมๆ เจสันจึงจำได้ว่าด้านล่างนั้นมีทะเลสาปอยู่ เจสันรีบลงจากซุ้มหินด้วยความรวดเร็วแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ร่วงลงมาทำให้หลังกระแทกกับพื้น แต่เจสันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนัก
เจสันรีบล้างตัวและเสื้อเสื้อผ้า และรีบวิ่งกลับไปที่ลานประลอง เจสันไม่ได้สังเกตุเห็นกลุ่มนักเรียนปี 3 กลุ่มเล็กๆ ที่เห็นเหตุการ์ทั้งหมดของเจสัน
“ ทุกคนเห็นแล้วใช่ไหม”
เด็กผู้หญิงผมสีฟ้าตัวเล็กถามด้วยแก้มที่แดง
“ใช่ เห็นสิ”
หญิงสาวผมแดงที่มีหน้าอกยั่วยวน กล่าวข้างๆพร้อมกับยิ้มอย่างประหลาด
“ฉันก็เหมือนกัน”
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล ตัวเล็กพูดอย่างมีความสุขขณะที่เขากระโดดไปรอบ ๆ อย่างขบขัน
ดวงตาของเจสันค่อนข้างชัดเจนเพราะสีของมันและความแวววาวสีทองรอบตัว ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสรุปได้ว่าดวงตาของเขาไม่ปกติ
“ใช่ครับ”
และด้วยคำ ๆ เดียวที่ออกมาจากปากของเจสัน ชั้นเรียนก็เริ่มพึมพำกันเอง ซึ่งครูก็จัดการด้วยการดีดนิ้วแต่ครั้งนี้ไม่มีการใช้มานา ซึ่งทำให้ทุกคนในห้องเงียบสนิท
สิ่งพิเศษนี้ นั้นหายากมากแล้วและอาจมีเพียง 1 ใน 1 ล้านเท่านั้น
ลักษณะสามารถสืบทอดได้ด้วยความเป็นไปได้บางอย่างและอัตราส่วนของผู้ถือลักษณะเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ แต่สายตามานา ผู้ได้ถือครองลักษณะนี้นั้นหายากอย่างมาก
“ระยะไหน?”
กรีลถามอย่างใจเย็น
ครับ?”
เจสันงง…ครูของเขาอยากรู้อะไร? เจสันไม่รู้
“ฉันถามคุณว่าดวงตามานาของคุณอยู่ในขั้นไหน?”
มิสเตอร์กรีลเป็นคนใจร้อนมากและเปิดเสียงดังขึ้นเล็กน้อยขณะถาม
“ เอ๋ … มันมีระดับของมันด้วยหรอ ??”
เจสันตอบอย่างลังเล
“โอ้พระเจ้า !!”
มิสเตอร์กรีลอยากจะด่า แต่อย่างน้อยเขาก็ต้องมีภาพลักษณ์อยู่บ้าง
เขาอธิบายอย่างช้าๆ
“จะอธิบายง่ายๆ
ลักษณะแบ่งออกเป็นขั้นตอนต่างๆ
ยิ่งระยะที่สูงขึ้นผลกระทบโดยรวมของลักษณะก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อคุณทำการทดสอบลักษณะพิเศษ เพื่อให้ได้ข้อสังเกต คุณควรได้รับการทดสอบเกี่ยวกับสายตาอนุภาคมานาที่มองเห็นได้ความสามารถพิเศษอื่น ๆ และอื่น ๆ
แค่บอกขั้นตอนที่หมอบอก “
จนกระทั่งกรีลหมดความอดทนและเจสันไม่ได้สังเกตเห็นพฤติกรรมที่หยาบคายมากของกรีล ซึ่งทำให้เจสันรู้สึกไม่สบายใจ
เจสันไม่รู้จักระดับของตามานาและแม้ว่าจะรู้ เจสันก็จะไม่บอกใครนอกจากเพื่อนสนิทและครอบครัวใหม่ของเขา
สิ่งเดียวที่เจสันรู้เกี่ยวกับดวงตา ก็คือมันพิเศษและมันสามารถมองเห็นสิ่งที่ไม่มีใครมองเห็นได้
“ผมไม่รู้ระดับของดวงตาผมหรอก เพราะผมมาจากเมืองเกรดต่ำที่ไม่มีเทคโนโลยีขั้นสูงที่จำเป็นและอุปกรณ์ที่นั้นก็ไม่สามารถบอกอะไรผมได้”
เจสันเชื่อว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะโกหกในตอนนี้และมันจะไม่เป็นเช่นนั้น เป็นเรื่องยุ่งยากมากที่จะบอกความจริงเพราะเขาแน่ใจว่าการทดสอบในเมืองเล็ก ๆ จะแย่กว่าการทดสอบในเมืองที่มีคะแนนสูงกว่าหลายเท่า
มิสเตอร์กรีลฟังสิ่งที่เจสันพูดและครุ่นคิดสักครู่ ก่อนที่กรีลจะตรวจสอบโปรไฟล์ของเจสัน
‘เมืองเกรด C? นั่นหมายความว่าอย่างน้อยขั้นที่ 2 … แม้ว่าอันดับแกนมานาของเขาจะไม่ดี แต่สายตาการมองเห็นการเคลื่อนไหวและการสังเกตการณ์ในระหว่างการต่อสู้ก็น่าจะค่อนข้างดี ด้วยความสามารถในการอ่านการไหลของมานาของคู่ต่อสู้ … ‘
กรีลสรุปข้อมูลนี้และคิดว่าเจสันน่าจะค่อนข้างดี แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้กรีลรำคาญคือระดับมานาที่ต่ำของเจสัน
‘ความไวมานาของเขาไม่ดี แม้ว่าเขาจะสามารถมองเห็นการไหลของมานาได้? ฉันสงสัยว่า…เขาอาจจะขี้เกียจ? .. ไม่จริงหรอก…ผลการสอบภาคทฤษฎีของเขาได้คะแนนเต็ม… หรือว่า ! เขาอาจขาดการควบคุมมานา…สิ่งนั้นเป็นไปได้!’
ทุกคนเงียบและมองไปที่ครูตรงหน้าอย่างระมัดระวัง
“ตอนนี้ทุกคนได้แนะนำตัวเองแล้ว … ในที่สุดเราก็เริ่มเรียนได้แล้ว … ในการเริ่มบทเรียน เราควรดูขั้นตอนการบ่มเพาะหรือกระบวนการรวบรวมมานา โดยรวมและวิธีที่จะเพิ่มความเร็วในการจัดอันดับโดยไม่ทำร้ายร่างกายสามารถทำได้อย่างไรบ้าง….
มีลักษณะสำคัญหลายประการซึ่งมีความสำคัญต่อการจัดอันดับอย่างรวดเร็ว
→การโฟกัส
→ความแข็งแกร่ง / ความอดทน
→ความทะเยอทะยาน
→การควบคุมมานา
→ความไวต่อมานา
คุณลักษณะเหล่านี้สามารถรวมกันเป็นสองส่วน ที่เรียกว่าพรสวรรค์โดยกำเนิดและพรสวรรค์ที่ฝึกฝนได้
ในขณะที่ความสามารถที่ฝึกฝนได้คือความแข็งแกร่ง / ความอดทนการ ควบคุมมานาและการโฟกัสพรสวรรค์ที่มีมา แต่กำเนิดคือความทะเยอทะยานที่จะพยายามเพื่อความไวมานาที่มากขึ้น
เป็นที่ถกเถียงกันสำหรับบางคนหากความทะเยอทะยานเป็นความสามารถโดยกำเนิด แต่ในความคิดของฉันมันเป็นเพราะ ยิ่งคุณมีความทะเยอทะยานมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งอยากที่จะพัฒนาตัวเอง
หากความทะเยอทะยานของคุณแข็งแกร่งพอที่จะอยู่รอดบนแอสทริกซ์และสร้างครอบครัวมีลูกได้มันจะทำให้คุณมีพลังน้อยกว่าคนที่ต้องการแก้แค้น ครอบครัวใหญ่บางครอบครัวหรือแม้แต่ความสามารถในการเข้าและเอาชีวิตรอดบนคาเนียร์
ในขณะที่ความทะเยอทะยานเป็นที่ถกเถียงกันไม่ว่าจะเรียกมันว่าพรสวรรค์ที่ฝึกฝนได้หรือมีมาแต่กำเนิด แต่ความไวของมานานั้น ไม่ใช่เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความไวในระดับหนึ่งและแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแก้ไขปรับปรุง
มีข้อยกเว้นที่รุนแรงบางประการ ที่มนุษยชาติพยายาม เช่น การทำให้มองไม่เห็นเพื่อบังคับให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่ต้องพึ่งพาประสาทสัมผัสเป็นเวลาหลายสิบปี
อีกวิธีหนึ่งในการปรับปรุงความไวมานาของตัวเอง คือ สมบัติวิเศษระดับสูงที่มีความสามารถในการปรับปรุงประสาทสัมผัสของร่างกาย แต่สมบัติเหล่านี้หาได้ยากแม้แต่ในคาเนียร์
ไอเทมเหล่านี้แทบไม่มีขาย หากพบมัน ส่วนใหญ่ใช้สำหรับตัวเองหรือมอบให้กับสมาชิกในครอบครัวที่มีความไวมานาไม่ดีเพื่อเพิ่มความถนัดในการรวบรวมมานา
ฉันไม่คิดว่าจะมีใครขายสมบัติแบบนี้ใช่มั้ย? นั่นจะไม่เป็นการสูญเปล่ามากหรือเปล่านะ?
กลับมาที่หัวข้อหลัก ความสามารถที่ฝึกฝนได้สามารถ เพิ่มขึ้นได้ด้วยความพยายามและนี่คือสิ่งที่เราต้องการทำในตอนนี้
ฉันต้องการให้ทุกคนเพิ่มการรวบรวมมานาและความเร็วในการหมุนวนเพื่อฝึกฝนให้เร็วขึ้น
ตอนนี้ชั้นเรียนของเราแย่ที่สุดในอันดับแกนมานาและผลการสอบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเรานั้นจะแย่ที่สุด
ทุกคนเข้าโรงเรียนนี้ ในขณะที่เด็กหลายล้านคนไม่สามารถเข้าโรงเรียนนี้ได้
แม้แต่คนที่อายุมากกว่า ทุกคนก็ลองดูและบางคนอาจใช้โอกาสนี้ในขณะที่อายุมากกว่าคนอื่น ๆ ปีหนึ่ง แต่ก็ยัง … ทุกคนที่มานั่งที่นี่ตอนนี้มีนักเรียนหลายล้านคนที่ไม่ได้รับโอกาสนี้ !!! .. !!
เราต้องการมุ่งมั่นให้มากขึ้นและก้าวต่อไป … ฝึกฝนอย่างหนักและก้าวไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเพื่อปกป้องคนที่คุณรักและทำลายล้างเผ่าพันธุ์ต่างชาติ !! “
ทุกคนเริ่มปรบมือแม้กระทั่งเจสัน แต่เจสันก็สงสัยว่าทำไมครูของเขาถึงปล่อยหมอกมานา โดยมีเจตนาการฆ่าอยู่ข้างในครูของเขา ราวกับว่าเขาต้องการสังหารเผ่าพันธุ์ต่างชาติในตอนนี้ถ้าเขาทำได้
เจสันตัวสั่นขณะที่ขนลุกกระจายไปทั่วผิวหนัง ก่อนที่เจสันจะปรบมือต่อไป
`อย่างน้อยเขาก็มีความทะเยอทะยานที่จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น ‘
คำอธิบายโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีฝึกสมาธิ ความอดทน ความแข็งแกร่ง และการควบคุมมานา ใช้เวลานานกว่าสองชั่วโมงและดูเหมือนว่าครูจะยังสอนไม่เสร็จสมบูรณ์เมื่อเสียงระฆังเพื่อเริ่มการพักช่วงสั้น ๆ เริ่มขึ้น
มิสเตอร์กรีลกล่าวว่าทุกคนมีเวลาพัก 10 นาที ในการคิดเกี่ยวกับความรู้ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในขณะที่ ครูเดินออกจากห้องไปในขณะนี้
ในขณะที่รวบรวมข้อมูลใหม่ในใจ นักเรียนคนอื่น ๆ ก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กและใหญ่ขึ้นเพื่อซุบซิบนินทาเกี่ยวกับครูหรือนักเรียนบางคน
เจสันเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ถูกพูดถึงมากที่สุดด้วยอันดับแกนมานาที่ต่ำ เมื่อเทียบกับพวกเขาและดวงตามานาที่เป็นเอกลักษณ์
บางคนถึงกับพูดถึงความดูดีของเจสัน แต่นี่เป็นเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้น เพราะพวกเขาอิจฉาและป้องกันไม่ให้สาว ๆ พูดถึงเรื่องนี้
เจสันตั้งข้อสังเกตว่า ต้องใช้ความรู้ที่เพิ่งค้นพบทันทีที่กลับบ้านโดยไม่สังเกตเห็นว่าครูกรีลเดินกลับเข้ามาแล้ว
เด้กคนอื่นๆไม่รู้จักเจสัน และเจสันถูกทำให้เป็นคนนอกคอกเพราะไม่สนใจแม้แต่นักเรียน2-3คนที่เรียกเขา เพราะเหตุผลแอบแฝง
สิ่งนี้ทำให้เด็กๆ เหล่านี้โกรธและพวกเขาต้องการสอนบทเรียนให้เจสันเมื่อครูเข้ามาข้างใน
“เชอะ !! จังหวะไม่ดี”
เด็กคนหนึ่งในแถวแรกอุทาน
เด็กคนนั้นดูเหมือนผู้ชายที่แข็งแกร่งที่มีกล้ามเนื้อมากกว่ามวลสมอง แต่เด็กหนุ่มคนนี้ยังคงเป็นผู้ชำนาญอันดับ 5
อันดับหลักมานาของเขาสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยในการเข้าโรงเรียนในเครือ แต่การสอบภาคทฤษฎีของเขานั้นแย่มากทำให้เขาต้องจบชั้นนี้และต้องได้รับความช่วยเหลือจากพ่อแม่เท่านั้น
ในชั้นเรียนนี้นักเรียนหลายคนมีลำดับแกนมานาที่ดี แต่พวกเขาก็ลงเอยด้วยชั้นเรียนที่แย่ที่สุด
ผลการสอบของพวกเขาไม่ดีอย่างยิ่งหรืออารมณ์ของพวกเขาถูกนำไปลบคะแนน จากผู้คุมสอบซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา
หรือบางทีการปลุกจิตวิญญาณของพวกเขาก็ไม่ดีพอสำหรับโรงเรียนในเครือที่ดีกว่านี้หรือแม้แต่โรงเรียนหลัก
เมื่อพิจารณาว่าระดับ 2.5 ดาวเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดที่จะได้รับการยอมรับภายใต้สถานการณ์ปกติ ก็ไม่ยากที่จะลงเอยในคลาส 75
เจสันยังคงไม่รู้และเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของมานาที่คุ้นเคยของครู เจสันก็สูญเสียสมาธิในความคิดและเงยหน้าขึ้นมอง
นี่เป็นครั้งแรกที่เจสันมองเข้าไปในแกนมานาของอาจารย์โดยตรงและมันก็น่าตกใจ …
‘โอ้พระเจ้า !! ของมานาเหลวงั้นเหรอ!?! ‘
น้ากาเบรียลลาและลุงมาร์คไม่ได้ใกล้เคียงกับปริมาณของของเหลวมานาในครูกรีลเลย
‘เขาเป็น ผู้วิเศษระดับสูงหรือเปล่า … หรืออาจจะเป็นอันดับที่สูงกว่า ???? ฉันเชื่อว่าชายชราที่ปลุกวิญญาณเองก็อยู่ในระดับนี้แม้ว่าความผันผวนของมานาของเขาจะถูกระงับ … แม้ว่าครูจะเป็นผู้วิเศษระดับสูงทำไม เขาต้องลดสถานะของตัวเองเพื่อสอนชั้นเรียนที่โรงเรียนในเครือลำดับ 6 ของโรงเรียนแวนการ์ด? เขาสามารถสมัครตำแหน่งที่สูงกว่าในโรงเรียนนี้หรือแม้แต่เกาะแอสทริกซ์ทั้งหมด ?? … .. น่าแปลก…’
ก่อนที่เจสันจะฝึกความคิดต่อไปมิสเตอร์กรีลยังคงสอนต่อไป แต่ตอนนี้กรีลกำลังพูดถึงสมุนไพร ผลไม้ ต้นไม้นานาชนิด ที่สามารถหาได้ทุกที่รวมถึงลักษณะของพวกมัน ความหายาก วิธีการเลือกและอื่น ๆ
บทเรียนนี้ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงและทุกคนจะได้รับไฟล์หนังสือสามเล่มที่ส่งไปยังกำไลควอนตัมของพวกเขา
‘วิธีค้นหาสมุนไพรวิเศษ สมุนไพรบำบัดและพืชวิเศษ การเดินทางเข้าไปในป่า’
“การบ้านของคุณคือต้องจบหนังสือเหล่านี้ภายในสัปดาห์นี้ และสัปดาห์หน้าเราจะทำการทดสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้”
ในขณะที่ทุกคนรู้สึกท้อแท้ในขณะที่มองดูไฟล์ขนาดใหญ่ที่อยู่ในสร้อยข้อมือควอนตัมและกลับไปหาครู
“ เรายังมีเวลาเหลืออีกมากสำหรับวันนี้ และวันพิเศษสำหรับทุกคน คุณต้องรู้จักกันอย่างน้อย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทุกคนควรรู้ถึงความกล้าหาญในการต่อสู้ของกันและกัน
ฉันจะให้เวลาทุกคนสี่ชั่วโมง ในการเข้าถึงรูปแบบการต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบที่สุด และหลังจากหมดเวลาเราจะมีการพัก เพื่อต่อระยะเวลาการฝึกหัดของเรา “
ครูพูดจบและชั้นเรียนก็คำรามด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
เนื่องจากเจสันไม่มีสัตว์ที่เขาสามารถขี่ได้ เขาจึงต้องเรียกรถรับส่ง
มีเลนสองประเภทที่แตกต่างกันในเมืองจิโร่ และเมืองไซโร ที่จะเจสันเห็น
ยานพาหนะชนิดหนึ่งถูกใช้ โดยยานพาหนะที่ใช้มานาเช่น รถยนต์ รถบรรทุก รถจักรยานยนต์ และมีการจำกัด ความเร็วที่เข้มงวดในเมือง ในขณะที่อีกสายหนึ่งใช้สัตว์พันธะเป็นวิธีการขนส่ง แม้แต่สัตว์ที่บินได้ก็สามารถใช้ภายในเลนเหล่านี้ได้
เลนสัตว์ร้ายเหล่านี้ไม่มีการจำกัดความเร็ว เนื่องจากสัตว์ร้ายมีการตอบสนองที่เร็วกว่าและสามารถหลีกเลี่ยงกันได้ง่ายกว่ามากและความกว้างของเลนนั้นใหญ่กว่าเลนของรถจักรกลมาก
ในขณะที่เกร็กสามารถขี่ทอรัส(ชื่อสายพันธุ์ของวัว)ได้ มาเลียก็ม้าปีศาจของเธอและความเร็วของพวกเขาก็เร็วมาก
คนส่วนใหญ่ในเมืองที่มีคะแนนสูงจะใช้สัตว์พันธะของพวกเขาเป็นวิธีการขนส่งและมันเร็วกว่าการนั่งรถรับส่งมาก
อย่างไรก็ตามเจสันยังไม่มีความสุขที่จะได้ขี่สัตว์พันธะและเขาต้องพอใจกับรถรับส่งธรรมดา ๆ ในตอนนี้
การนั่งรถใช้เวลานานกว่า 45 นาทีจนกระทั่งเจสันมายืนอยู่หน้าสนามที่มีรั้วล้อมรอบขนาดมหึมาที่มีสนามฟุตบอลขนาดหลายร้อยหรืออาจจะหลายพันสนาม
ตรงกลางของพล็อตทั้งหมดคือสนามประลองที่ทันสมัยขนาดมหึมาที่มีความสูงมากกว่า 40 เมตรรวมถึง 6 ชั้นซึ่งอาจใช้สำหรับนักเรียนในการต่อสู้กันเอง
แต่ละชั้นมีนักเรียนประมาณ 15,000 คนและในแต่ละปีจะมีอาคารสำหรับชั้นเรียนตัวเอง
เจสันนึกไม่ถึงว่าในปีเดียวกันนี้มีนักเรียน 15,000 คนได้รับการสอนในเวลาเดียวกันและเห็นได้ชัดว่าเขาคิดผิด
เมื่อเจสันเข้ามาในบริเวณโรงเรียนเขาต้องตรวจสอบบัตรประจำตัวของเขา
หลังจากนั้นเขาก็ได้รับแจ้งว่าอยู่ชั้นไหน
[ปี 1 ชั้น 75 อันดับ: 225]
เจสันสรุปได้ว่า นักเรียนใหม่แบ่งออกเป็น 75 ชั้นเรียน โดยมีนักเรียนประมาณ 200 คนขึ้นไปและเจสันคิดว่าชั้นเรียนนั้นน่าจะได้รับการจัดอันดับตามความแข็งแกร่งของพวกเขา
นั่นหมายความว่าเจสันอาจจะอ่อนแอที่สุด ในขณะที่นักเรียนมากกว่า 15,000 คนแข็งแกร่งกว่าเขา
แทนที่จะกลัวเจสันรู้สึกมีแรงบันดาลใจมากขึ้น
โลกกว้างใหญ่และเจสันอ่อนแอที่สุดในขณะนี้!
มันไม่น่าตื่นเต้นเหรอ? เขาจมอยู่กับความกดดันที่ตัวเองมอบให้
เจสันเดินไปตามทิศทางอาคารด้วยความช่วยเหลือของ GPS ในขณะที่คิดถึงอนาคตของเขา
เขาเข้าไปในอาคารและเหลือเวลาเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่จะถึงเวลาเริ่มบทเรียนแรก
เมื่อเวลา 8.00 น. เขาเข้าห้องเรียน ซึ่งดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับชั้นเรียนมัธยมต้น
ในตอนแรกเจสันคิดว่าเขาจะอยู่ในห้องเรียนธรรมดาเหมือนสมัยมัธยมต้น แต่เจสันเห็นว่าห้องเรียนนั้นเต็มไปด้วยโต๊ะที่เป็นโลหะระยิบระยับมากมายและหน้าจอโฮโลแกรมของเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่อยู่ข้างใน
เมื่อมองไปรอบ ๆ ห้องขนาดใหญ่ เจสันได้เห็นเด็กทุกประเภททั้งชายและหญิง ในขณะที่แง่มุมที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือผู้คนที่หลากหลาย
เจสันสามารถมองเห็นสีผม, เฟรม, ขนาด, อันดับแกนมานาและมานาที่ปรับเปลี่ยนได้ทุกประเภท
เห็นได้ชัดว่าเจสันเป็นคนสุดท้ายและเมื่อประตูหน้าใกล้กับแท่นเปิดออกทุกคนต่างพากันไปที่โต๊ะของพวกเขา พวกเขาก็ถูกนับ
เจสันมองไปรอบ ๆ และเห็นที่นั่งว่างในแถวสุดท้ายตรงหัวมุมพร้อมกับหมายเลขประจำตัวของเจสัน
เขานั่งลงและทักทายเพื่อนที่นั่งข้างๆ เพื่อนที่นั่งข้างเจสันได้ตอบกลับด้วยความเขินอาย
มีชายหนุ่มสวมแว่นตาเข้ามาข้างในด้วย ผมสีทองสั้น เสื้อผ้ามีสไตล์ และสัดส่วนของร่างกายที่สมบูรณ์แบบ เขาดูเหมือนอายุยี่สิบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีประสบการณ์
ในขณะที่สาว ๆ ชื่นชมในรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาของเขา หนุ่ม ๆ ก็มองเขาอย่างอิจฉาและกระซิบถึงผลงานของเขา
ชายหนุ่มยืนอยู่หลังแท่นและก่อนที่เขาจะพูดอะไรบางอย่าง คลื่นมานาขนาดใหญ่ถูกปล่อยออกมา เหมือนเป็นคำสั่งให้ทุกคนนั้นเงียบ แต่มันก็รุนแรงมาก แต่เจสันเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถสร้างเยื่อมานามาปกคลุมร่างกายของตัวเองได้ จนมันถูกทำลายไปด้วยคลื่นมานาที่ถูกปล่อยออกมา
ในขณะเดียวกันเจสันก้ได้สแกนอาจารย์ด้วยสายตามานา และเขาสังเกตเห็นความผันผวนของมานาที่รุนแรงรอบตัวครู
“ฉันชื่อ ทิล กรีล เป็นครูใหญ่ของคลาส Nr. 75 สำหรับปีนี้
ตอนนี้หากคุณถูกโจมตีด้วยคลื่นมานาโดยมีเจตนาที่จะฆ่าใครสักคน ทุกคนในห้องนี้ยกเว้นอันดับ 225 คงจะตายกันหมด
อันดับที่ 225 คุณอาจได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ยังมีชีวิตอยู่ ขอแสดงความยินดี…. เอาละ…การได้รับบาดเจ็บหนักเกือบถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้นนักเรียนทุกคน สอบตก! “
จนกระทั่งกรีลมีความเด็ดขาดและพร้อมที่จะทุบทุกคนด้วยคำพูดของเขา
ทุกคนมองเขาด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น
บางคนถึงกับเป็นลม แต่โชคดีก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น
“เอาละ ยืนขึ้นทักทาย!”
ทิลตะโกน
ในขณะที่ทุกคนตกตะลึง เด้กนักเรียนแต่ละคนพยุงร่างกายด้วยแขนโดยดันตัวเองออกจากโต๊ะด้วยกำลังทั้งหมดเพื่อที่จะยืน
หลังจากผ่านไป 5 นาทีทุกคนก็ยืนขึ้น ในขณะที่หลังของเจสันเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
ถ้าเขาไม่ปกป้องตัวเองจากคลื่นมานา เจสันก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะสามารถยืนได้หรือไม่ และมองไปที่ครูที่ยิ้มอย่างไร้เดียงสา เจสันก็สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
จากนั้นทุกคนก็ทักทายครูด้วยความเคารพและหลังจากนั้นพวกเขาก็เงียบโดยนั่งหลังตรง
“สิ่งแรกที่ฉันอยากจะบอกก็คือ พวคุณเนี่ยเป็นคนเฮฮา … พวกคุณมากกว่า 50 คนใช้ประตูหลังเพื่อเข้าโรงเรียนนี้และคุณคิดว่าคุณจะสามารถอยู่รอดได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อ่อนแอของพวกคุณ? … และสำหรับคนอื่น ๆ … พวกคุณไม่อายที่จะเข้ามาในชั้นเรียนที่อ่อนแอที่สุดในโรงเรียนในเครือลำดับ 6 เหรอ …ฉันจะพูดแบบนี้ครั้งเดียวเท่านั้น … ฉันจะไม่ดีกับใครเลย ฉันคาดหวังว่าพวกคุณแต่ละคนจะใช้พลังงาน 200% เพื่อเพิ่มอันดับและเอาชนะคลาสอื่น ๆ ในหนึ่งเดือนเมื่อการต่อสู้ในคลาสเริ่มต้นขึ้น! “
ในขระที่ครูพูด ทุกคนสับสนว่วเดือนหน้านั้นมีอะไร
“อ้อ .. อืม … ฉันลืมบอกพวกคุณไปบางอย่าง .. อย่างที่คุณทราบกันดีว่าโรงเรียนมีทรัพยากรจำกัด …เพื่ออธิบายให้เข้าใจง่าย ยิ่งชั้นเรียนของเราอยู่ในอันดับที่สูงขึ้นทรัพยากรที่มีให้ก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น อันดับส่วนตัวของพวกคุณ ซึ่งไม่สำคัญในขณะนี้
ชั้นเรียนของเราได้รับทรัพยากรที่น้อยที่สุดและพวกเราอาจจะแย่กว่าโรงเรียนเกรด B บางแห่งที่มีอุปกรณ์ที่จัดเตรียมให้ … พวกคุณไม่ละอายใจบ้างเหรอ? หากทุกคนทำงานหนักและพยายามอย่างเต็มที่ เราอาจจะได้รับทรัพยากรเพิ่มขึ้นในไม่ช้า !!
เดือนหน้าเป็นการต่อสู้ระดับไตรมาสแรก หากเราสามารถเอาชนะคลาส 74 ได้ เราจะเปลี่ยนคลาสของเรากับพวกเขาและทรัพยากรด้วย
ชื่อของเราจะเป็น 74 และ 75 จะเป็นของพวกเขา หากเราเอาชนะพวกเขาได้ …
หลังจากนั้นเราสามารถดำเนินการต่อไปได้จนกว่าเราจะพ่ายแพ้
แต่ละชั้นเรียนมีชีวิตเดียว เพื่อท้าทายชั้นเรียน แต่แต่ละชั้นก็สามารถท้าทายได้เช่นกัน “
การต่อสู้ในชั้นเรียนเหล่านี้ประกอบด้วยการต่อสู้ของสัตว์พันธะ การทดสอบความรู้ การต่อสู้เดี่ยว การต่อสู้แบบกลุ่มการปิดล้อมคลาส การต่อสู้ในเขตป่า และอื่น ๆ ดังนั้นเราจึงต้องทำงานอย่างหนักในอนาคต
แต่การต่อสู้ระดับเฟิร์สคลาสจะเกี่ยวโยงกับการต่อสู้เดี่ยวโดยไม่มีสัตว์พันธะให้ความช่วยเหลือ ดังนั้นเราจะมุ่งเน้นไปที่สิ่งนั้น
หากใครไม่ต้องการประสบความสำเร็จมากขึ้นในชั้นเรียนของเรา ฉันจะโยนคุณไปที่คลาส 74 หรือที่อื่นเพราะฉันไม่ต้องการคนขี้ขลาด … แต่ระวัง … ถ้าฉันโยนลงในคลาส 74 ใคร รู้ว่าคุณจะได้รับทรัพยากรใด ๆ ในเดือนหน้า… “
เจสันรู้สึกประหลาดใจเพราะครูของเขามีการแข่งขันสูงมาก แม้ว่าชั้นเรียนของพวกเขาจะเป็นกลุ่มคนที่แย่ที่สุดก็ตาม … บางทีนี่อาจเป็นการปลุกใจเพื่อกระตุ้นชั้นเรียนที่แย่ที่สุดหรืออาจจะเป็นอย่างอื่น แต่เจสันไม่สนใจเลย เนื่องจากจิตวิญญาณการต่อสู้ของอาจารย์นั้นเป็นสิ่งที่ดีอย่างแน่นอน
เจสันชอบคำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจของครูและเจสันต้องยับยั้งตัวเองไม่ให้กระโดดขึ้นไปเพื่อปรบมือให้กับครู
เจสันต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นด้วยทุกวิถีทาง ดังนั้นเขาจึงมีความสุขที่ได้มีครูที่ดี
“ฉันไม่สนใจอันดับของคุณ ว่าคุณจะรวยหรือมาจากสลัม … สิ่งเดียวที่สำคัญสำหรับฉันคือการทำงานหนักและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่เราต้องการเพื่อเอาชนะชนชั้นสูง … ฉันไม่ยอมรับคนขี้เกียจ!
อืม …. นั่นมัน แต่ก่อนที่เราจะเริ่มบทเรียนเรามาเริ่มด้วยบทนำ .. Nr.1 กันเถอะ “
ทุกคนแนะนำตัวเองด้วยชื่อของพวกเขา อันดับแกนมาน าอันดับความสัมพันธ์และอายุในขณะที่เวลาผ่านไปทั้งชั่วโมงจนกระทั่งถึงตาของเจสัน
เมื่อฟังคนอื่น ๆ เจสันพบว่าชั้นเรียนของเขาแทบจะแยกส่วนกับสัตว์พันธะทางกายภาพและความสามารถทางธาตุ
แต่ทุกคนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน อันดับแกนมานาของพวกเขาอย่างน้อยก็อยู่ที่อันดับ 1 ของผู้ชำนาญ แม้แต่เด็กขี้อายที่นั่งข้างๆเขา
มันแปลกมากที่ทุกคนอยู่ในอันดับต่ำและเขาจำเวลาที่เขาอ่านข้อมูลของโรงเรียนได้ว่านักเรียนส่วนใหญ่อยู่ในอันดับที่สูงและมีเพียงไม่กี่พันคนเท่านั้นที่ต่ำกว่าอันดับหลักของมานาที่ต้องการ
‘เป็นเพราะความสามารถอื่น ๆ ของพวกเขาที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ หรือพวกเขาเข้ามาแบบพิเสษเหมือนตัวเจสัน? ‘
“สวัสดีฉันชื่อเจสัน สเตลล่าฉันอายุ 14 ปี ฉันไม่มีความสามารถใด ๆ และอยู่อันดับที่ 5 ของระดับมือใหม่ และกำลังจะขึ้นไปในอัน 6”
เมื่อเจสันตื่นขึ้นมาในวันนี้เขาสังเกตเห็นว่ามันเป็นช่วงกลางเดือนสิงหาคมแล้วและวันเกิดของเขาก็ผ่านไปแล้วโดยไม่รู้ตัว … เขาไม่เคยฉลองเลยตั้งแต่แม่ของเขาเสียชีวิต เจสันจึงไม่ได้สนใจวันเกิดมากนัก
ทุกคนฟังเจสันและมันยากมากสำหรับพวกเขาที่จะกลั้นเสียงหัวเราะเมื่อได้ยินว่าเจสันอยู่ในอันดับ 5ของระดับมือใหม่เท่านั้น …
ทุกคนก็หัวเราะยกเว้นครู
เจสันไม่สนใจมันและมองไปที่ครูของเขาอย่างใจเย็น ขณะที่ครูก็จ้องมาทางเจสันเช่นกัน
ด้วยการดีดนิ้วด้วยมานาทุกคนก็เงียบทันทีและพวกเขารู้สึกราวกับว่าหัวใจของพวกเขาหนักขึ้นและหนักขึ้น
“อย่าหัวเราะเยาะเพื่อนร่วมชั้น”
ครูของพวกเขาพูดอย่างใจเย็น แต่ความคิดเดียวในใจของทุกคนคือ
‘น่ากลัว !!’
“ เจสัน สเตลล่า คุณมีตามาใช่ไหม?”
จนกระทั่งกรีลถามอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่สนใจเรื่องมารยาท เนื่องจากเป็นการหยาบคายที่จะถามเกี่ยวกับลักษณะของคนอื่นและเจสันก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะให้คำตอบที่ชัดเจนที่ทุกคนสามารถสรุปได้ด้วยข้อมูลเพียงเล็กน้อย
นาฬิกาของเจสันได้ปลุกตอนตี 5 ซึ่งเคยเกิดความเคยชินหลังจากผ่านสัปดาห์อันแสนหนักหน่วง นั้นเป็นเพราะเจสันต้องตื่นมาก่อนและฝึกฝนเทคนิตสรกสวรรค์ก่อนที่จะฝึกอย่างอื่นในตารางเวลาของเขา
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น เจสันได้กินอาหารเช้าพร้อมกับทุกคนและเริ่มเข้าโรงเรียนเป็นวันแรก ด้วยพลังวิญญาณ 6.5 แต้ม เจสันก้พอใจเพราะมันเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วขึ้นในแต่ละวัน เกร็กเคยบอกเจสันเกี่ยวกับความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยนของโรงเรียนในเครือของแวนการ์ด แต่เจสันนั้นไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจเกร้กแต่เจสันต้องการพิสูจน์ด้วยตัวเอง
สิ่งนี้เป็นไปได้เนื่องจากเว็บไซต์ของโรงเรียนนั้นเป็นสิ่งพื้นฐานที่นักสามารถเข้าชมได้ นักเรียนแต่ละคนเข้าไปที่เว็บไซต์และตั้งค่าโปรไฟล์ส่วนตัว เป็นอันดับของมานา อายุ และอื่นๆ เจสันสามารถเห็นความแข้งแกร่งโดยเฉลี่ยของเพื่อนร่วมชั้นของเขาได้
หลังจากดุดปรไฟล์ของเพื่อนร่วมชั้น เจสันก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
โรงเรียนในเครือแวนการ์ดแต่ละแห่งรับนักเรียน 15,000 คน ในแต่ละปี ในขณะที่โรงเรียนแนวหน้านั้นรับนักเรียน 10,000 คน
นั่นหมายความว่าโรงเรียนแนวหน้าที่มีสาขา รับนักเรียน 100,000 คน ซึ่งทำให้เจสันประหลาดใจมาก
แต่หลังจากคิดอยู่สักพัก เจสันก็เข้าใจว่าแต่ละโรงเรียนของเมืองไซโร ต่างยอมรับเฉพาะนักเรียนที่เก่งสุดในเกาะแอสทริกซ์ เว้นแต่คนที่ได้รับสิทธิ์จากขุนนาง หรือสิ่งอื่นๆ
เกาะแอสทริซ์มีมนุษย์อาศัยอยู่ราวๆ 300 ล้านคน และในแต่ละปีมาทารกเกิดโดยเฉลี่ย 10 ล้านคน เมื่อพิจารณาถึงความจริงที่ว่า คนส่วนใหญ่เกิดมาในครอบครัวที่มาฐานะยากจน การศึกษาของพวกเขานั้นค่อนข้างแย่และพวกเขาไม่สามารถจัดหาทรพยากรที่เหมาะสมเพื่อจัดอันดับแกนมานาหรือสามารถทำพันธะกับสัตว์ที่ดีได้
เจสันนั้นโชคดีที่สามารถเข้าโรงเรียนในเครือของโรงเรียน 1 ใน 6 โรงเรียนที่ดีที่สุดได้ เนื่องจากสิทธิขุนนางของเกร็ก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนเดียวที่เข้ามาด้วยเหตุนี้
เจสันยังคงดูโปรไฟล์ และพยายามหาคนที่มีอันดับใกล้เคียงกับตัวเอง
หลังจากข้ามผ่านโปรไฟล์ไม่กี่ร้อยหรืออาจมากกว่าพันโปรไฟล์ ต่อมาเจสันได้สรุปความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยอยู่ที่ ระดับผู้ชำนาญ ที่ 4 หรือ 5 ซึ่งเป็นขั้นกลางของระดับผู้ชำนาญ
วึ่งเจสันนั้นอยู่ในช่วง อันดับ 5 ของระดับมือใหม่แม้ว่ากำลังจะพัฒนาขึ้นเป็นอันดับ 6 ช่องว่างที่ใหญ่นี่ เจสันสงสัยว่าเขาอาจจะถูกเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ กลั่นแกล้งเพราะความอ่อนแอ
เจสันได้แต่มุ่งมั่นที่จะอดทน เนื่องจากเจสันไม่อาจจะสามารถต่อสู้กับ อันดับกลางของระดับผู้ชำนาญได้ เรื่องนี้ทำให้เจสันครุ่นคิดว่าเขาควรใช้ผลบาคูรีสีขาวสำหรับตัวเองหรือไม่ แต่เขาก็เลิกสนใจที่จะใช้มัน
เมื่อมองไปที่นาฬืกาเจสันได้เห็นว่าตอนนี้เป็นเวลา 06.30 แล้ว เจสันจึงกระโดดลงจากเตียงและออกกำลังกายเป็นเวลา 20 นาที
หลังจากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำและเปลี่ยนชุดเป็นชุดนักเรียนใหม่ ซึ่งประกอบไปด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว สูทสีน้ำเงินเข้ม เน็คไทสีดำ และกางเกงขายาวสีน้ำเงินเข้ม
เสื้อสูทสีน้ำเงินเข็มถูกแต่งแต้มด้วยสีดำและสามารถมองเห็นสัญลักษณ์ของหนังสือที่เปิดออกเป็นสีทองบนหน้าอกด้านขวา
ด้านบนของหนังสือเล่มนี้มีตัวอักษรขนาดเล้กและอาวุธลอยอยู่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลังแห่งความรู้ ความเท่าเทียม และความเข้มแข็ง
แม้ว่าจะเป็นคำขวัญของโรงเรียนในแนวหน้า แต่เจสันมั่นใจว่านักเรียนส่วนใหญ่คงไม่ได้สนใจกับมันนัก เนื่องจากการเรียนรู้ทฤษฎีไม่ใช่สิ่งที่หลายคนอยากทำในเวลาว่างนัก หากดูดซับมานา ฝึกการต่อสู้ หรือสิ่งสำคัญอื่นๆ ในเวลาเดียวกัน
เจสันส่วนเครื่องแบบได้พอดีตัวและแทบพูดได้เลยว่าตอนเจสันนั้นมีรูปลักษณ์ที่หล่อและดูดีอย่างไม่น่าเชื่อ
ผมสีดำนั้นยาวขึ้นเล็กน้อย และเจสันต้องการที่จะเล็มมันออกเล็กน้อยในขณะที่มันบังสายตาของเขา และดวงตาสีทองนี้ก็ไม่สามารถปกปิดได้ เมื่อมันส่องผ่านผมบางๆ ด้านหน้า
ในตอนท้ายเจสันได้รับการตัดผมจากกาเบรียลลา ซึ่งเธอชอบทำให้ทุกคนในบ้าน เมื่อกาเบรียลลาตัดผมให้เจสันเสร็จเรียบร้อย เมื่อมองผ่านเข้าไปในกระจกเจสันเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร และกาเบรียลลาก้ร้องเสียงหลงเหมือนเด็กผู้หญิง
มาร์คและเกร็กมองเจสันอย่างตั้งใจ ในขณะที่มาเลียได้มองสำรวจเจสันตั้งแต่หัวจรดเท้า
‘ฮิฮิ ในที่สุดฉันก็มีน้องชายที่หล่อเหล่าสักที….. ฉันจะเอารูปลักษณะเขาไปอวดให้เพื่อนๆ ดูดีไหมนะ คิคิคิคิคิ’
มาเลียคิดในใจ
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามาเลียยอมรับเจสันในฐานะคนในครอบครัวโดยให้เป็นน้องชาย เธอทิ้งหัวใจที่เต้นรัวๆ ไปโดยสิ้นเชิงเพื่อรับโอกาสที่จะได้น้องชายที่แสนน่ารักและหล่อเหล่าเช่นนี้
เธอพบว่าเจสันนั้นทั้งหล่อ และดูดี…. แต่เจสันนั้นเด็กเกินไปสำหรับเธอและหลังจากตัดสินใจแล้วเธอก็สังเกตว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่เป็นเรื่องน่าอายนั้นเห้นได้ชัดว่าไม่ใช่เพราะเจสันคนเดียวเท่านั้น
มาเลียเชื่อว่าตัวเธอเองจะตอบสนองแบบนี้กับทุกคนและตัดสินใจที่จะตัดความเป็นไปได้ที่จะมีความรู้สึกดีๆ ต่อเจสัน แต่พูดนั้นง่ายกว่าทำ เพราะเจสันนั้นไม่เพียงมีรูปลักษณ์ที่ดูดีและใบหน้าที่หล่อเหล่าเท่านั้นแต่ยังฉลาดมากอีกด้วย
แต่เจสันนั้นอายุกว่ามาก มาเลียจึงจะสร้างความรู้สึกดีๆ ระหว่างเธอกับเจสันเหมือนความรู้สึกของพี่สาวน้องชายเท่านั้น นั้นคือสิ่งที่เธอคอยบอกกับตัวเอง
หลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จ ทุกคนก็แยกย้ายที่จะเดินไปโรงเรียนในขณะที่เกร็กและมาเลียเดินไปย่ายใจกลางเพื่อไปยังดรงเรียนแนวหน้า และเจสันเดินไปอีกทางเพื่อไปยังโรงเรียนในเครือลำดับ 6 ซึ่งจัดนักเรียนระดับต่ำสุดเอาไว้ก่อนที่จะค่อยๆ ไต่ลำดับขึ้นไป
************************************************
เพิ่มเติม อาจมีใครบางคนสับสนในเนื้อเรื่องนะครับ ผู้แปลเลยจะมาอธิบาย ระดับของมนุษย์และสัตว์ร้ายนะครับ
โดยระดับของมนุษย์แบ่งจากอ่อนสุดไปเก่งสุดนะครับโดยเรียงลำดับดังนี้ มือใหม่ ↠ ผู้ชำนาญ ↠ ผู้เชี่ยวชาญ ↠ ผู้วิเศษ โดยแต่ละลำดับก็จะมีการจัดอันดับอีกที อย่างเช่น มือใหม่ระดับ 1 ไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนไป ผู้ชำนาญระดับ 1 โดยการดูดซับมานาไปเรื่อยๆ โดยการทำให้แกนมานาบริสุทธิ์ขึ้น ยิ่งบริสุทธิ์มากยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และการจะเป็นผู้วิเศษจะต้องอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงและแปรเปลี่ยนมานาที่มีลักษณะคล้ายกับก๊าซ ให้ไปอยู่ในลักษณะของ ของเหลวด้วยการบีบอัดมานา เมื่อมานาแปรสภาพเป็น มานาเหลวแล้วจะสามารถพัฒนาให้เข้าสู่ขั้นผู้วิเศษได้
ระดับความเก่งของสัตว์ร้ายจะแบ่งเป็น สัตว์ร้ายระดับ 1-5 ดาว ↠ สัตว์ที่พลังได้ตื่นขึ้น ↠สัตว์ร้ายระดับวิวัฒนาการแล้ว ↠สัตว์วิเศษ และระดับวิวัฒนาการแล้วกับการกลายพันธ์จะแต่งต่างกันนะครับ การกลายพันธุ์จะเป็นการพัฒนาของสัตว์ร้ายจากสายเลือดเดิมของพวกมัน โดยได้กลายพันธุ์เป็นสัตว์ร้ายในรูปแบบใหม่หรืออาจจะมีรูปแบบดังเดิมแต่พลังภายในอาจจะเปลี่ยนไป
เสริม โรงเรียนแนวหน้าในเรื่องนี้ จะมีการแบ่งสาขาย่อยเป็นโรงเรียนในเครือนะครับ อย่างโรงเรียนแวนการ์ดก็จะมีเครือแยกย่อยไปอีก 6 ที่ โดยใช้ชื่อโรงเรียนเดียวกัน โดยโรงเรียนในเครือก็จะมีการจัดอันดับเช่นกัน แต่ในส่วนของโรงเรียนแวนการ์ดจะจัดโดย 6-1 เรียงจากอ่อนที่สุดไปเก่งที่สุด โดยเจสันอยู่โรงเรียนในเครือของโรงเรียนแวนการ์ดลำดับที่ 6 ซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนที่อ่อนที่สุดในเครือนี้เท่านั้นนะครับ ไม่นับรวมกับโรงเรียนอื่น
ในช่วงสัปปดาห์ต่อมาเจสันพบว่าการฝึกเทคนิคสรกสวรรค์ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด เป็น 1 ในสิ่งที่ผ่อนคลายที่สุดที่เขาเคยทำมา เนื่องจากความเจ็บปวดที่รับได้จากการบีบอัดมานาเข้าไปในแกนมานานั้น มีวคามเจ็บปวดน้อยลงทุกครั้งที่เขาทำ
พลังวิญญาณของเจสันเองก็เริ่มีความเสถียรภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่การไหลเวียนของมันนั้นดีขึ้น เพราะสิ่งสกปรกได้ถูกกำจัดออก
ด้วยความช่วยเหลือของมาเลีย เจสันได้ความรู้เกี่ยวกับหนังสือพื้นฐานทั้งหมด แต่การที่เขาจะสามารถจดจำได้ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ยาก
เจสันรู้สึกปวดหัวเกือบตลอดเวลาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากภาษเทคนิคขั้นสูง มันเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก แต่เจสันก็ได้ตัดสินใจที่จะเรียนรู้ทักษะมีดคู่เป็นอาวุธหลัก เพราะเจสันในตอนนี้เชี่ยวชาญสิ่งนี้ที่สุดเนื่องจากประสบการณ์จากการต่อสู้โดยใช้มีดสั้นเป็นอาวุะหลัก
ในขณะที่เขาฝึกฝนพวกมันเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงถึง 2 ชั่วโมงในแต่ละวันกับการฝึกใช้มีดสั้น
แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ยากที่สุดในสัปดาห์ที่แล้ว เพราะสิ่งที่เจสันนั้นเหนื่อยที่สุดคือการออกกำลังกายแบบเข้มข้น ซึ่งมาร์คได้เตรียมไว้ให้เจสันโดยช่วยเสริมกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย
แต่นั่นไม่ใช่ส่วนที่ยากที่สุดในสัปดาห์ที่แล้วเพราะสิ่งที่เจสันทำเหนื่อยที่สุดคือการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูง โดยปัญหาหลักการที่ทำให้กล้ามเนื้อนั้นผ่อนคลายและกลับมาแข็งแรง โดยทำสลับกัน การออกกำลังกายวันละ 2 ครั้งนั้น มากเกินไปสำหรับเจสัน การรับประทานอาหารที่มีโภชนาการสูงและการอาบน้ำแบบทางการแพทยืที่ช่วยลดโอกาสที่จะเป็นตะคริวและกล้ามเนื้อฉีกขาด
ทำให้รูปร่างที่เล็กบางของเจสันมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก และตอนนี้ร่างกายของเจสันนั้นแข็งแรงขึ้นอย่างมาก โดยรูปร่างของเจสันดูไม่เหมือนเกร็ก เพราะโครงร่างและกล้ามเนื้อนั้นคล้ายกับพวกนักกีฬาซึ่งแตกต่างกับเกร็กที่ดูเหมือนนักเพาะกาย
นอกจากนี้เจสันยังสูงขึ้นอีก ไม่กี่เซน เนื่องจากได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์สูงทำให้ร่างกายได้ดูดซับสารอาหารและเติมโตด้วยความรวดเร็ว
เจสันในตอนนี้น่าจะสูงราวๆ 167 เซนติเมตร และร่างกายที่เปี่ยมไปด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรงแต่เบาบางนั้น ทำให้เกร็กรู้สึกอิจฉาในรูปลักษณ์ของเจสันซึ่งเกร็กแสดงออกมาได้อย่างชัดเจน เมื่อเกร็กฝึกซ้อมการต่อสู้ให้กับเจสัน
การต่อสู้นั้นดำเนินไปได้ไม่นาน แต่มันกลับรุนแรงสำหรับเจสัน เพราะความเข้มงวดของเกร็ก ทำให้เจสันได้เห็นจุดบกพร่องของตัวเองเป็นอย่างมาก และค่อยๆ รับมือกับการโจมตีของเกร็กได้ดีขึ้นในแต่ละวัน
บางครั้งเจสันก็สามารถโจมตีใส่เกร็กได้ แต่การโจมตีนั้นมันก็ถูกปัดออกไปได้อย่างง่ายดายตลอดเวลา เมื่อสิ้นสุดการต่อสู้เจสันมักจะเต็มไปด้วยรอยฟกซ้ำมมากมาย
ในเวลาทั้งวันของเจสันจะถูกกำหนดโดยกาเบรียลลา ซึ่งบางครั้งเจสันก็เรียกเธอว่า จอมขี้บ่น แต่เธอก็ชอบ
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ได้เปลี่ยนความโหดร้ายในตารางเวลาของเธอ
→ ตื่นขึ้นมา ตอน ตี 4 ครึ่ง
→อาหารเช้า
→ ดูบซับมานา 3 ชั่วโมง
→ 8 โมงเช้า : การฝึกความแข็งแกร่งการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูง
→ 9 โมงเช้า : อ่านหนังสือและคู่มืออาวุธ ศิลปะการป้องกันตัว 3 ชั่วโมง
→อาหารกลางวัน
→ซ้อมกับเกร็ก ~ 30 นาที
→ตรวจดูข้อบกพร่องและฝึกกริชมาสเตอร์
→ฝึกฝนความเชี่ยวชาญดาบคู่ 2 ชั่วโมง
→ฝึกมีดขว้างและยิงธนู 1 ชั่วโมง
→ 5 โมงเย็น : การออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูงครั้งที่สอง
→ 6 โมงเย็น : อาบน้ำด้วยเทคนิคทางการแพทย์
→อาหารเย็น
→เวลาสำหรับตัวเอง จะสามารถฝึกหรือพักผ่อนอะไรก็ได้
โดยรวมแล้วตารางเวลานี้ดูดีมากสำหรับเจสัน แม้แต่เกร็กและมาเลียก็ผ่านการฝึกแบบนี้มา แต่เจสันต้องเผื่อเวลาสำหรับการฝึกซ้อมเทคนิคนรกสวรรค์ ซึ่งทำให้ตารางนั้นซับซ้อนและวุ่นวาย แต่เจสันก็สามารถเห็นผลลัพธ์ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน
พลังวิญญาณของเจสันเพิ่มขึ้นเป็น 6.2 ในขณะที่ร่างนั้นอยู่ในอับดับ 6 ของมือใหม่อย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้ความสามารถทางกายภาพของเจสันอยู่ในอับดับ 6 ก็จริง แต่ความแข็งแกร่งจริงๆ นั้นอยู่ต่ำกว่ามาก แต่ตอนนี้มันแตกต่างกว่าโดยสิ้นเชิง
นอกจากนั้นการควบคุมมานานั้นยังดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูงนั้นรวมถึงการฝึกจิตใต้สำนึกและการควบคุมมานาที่แม่นยำเนื่องจากการออกำลังกายบางอย่างต้องใช้มานา
เจสันยังรู้สึกว่าความแข็งแกร่งในการต่อสู้นั้นก้เพิ่มขึ้นมาก ในช่วงท้ายของสัปดาห์เจสันสามารถยืนหยัดต่อสู้กับเกร็กได้ในเวลานานพอสมควร ก่อนที่จะถูกเกร็กจัดการ
เมื่อพิจารณาว่าเกร็กฝึกฝนเทคนิคศิลปะการต่อสู้มาสองปี และเจสันฝึกเพียงไม่กี่สัปดาห์นี่เป็นความสำเร็จที่น่าตื่นเต้นสำหรับเกร็ก แต่มันก็ทำให้ความภาคภูมิใจของเกร็กต้องเจ็บปวดเมื่อต้องคิดว่าเจสันจะเป็นนักต่อสู้ที่เก่งกาจ
ในตอนท้ายที่สุดมันทำให้ความมุ่งมั่นของเกร้ทพุ่งทะยานขึ้นและมีแรงจูงใจมากขึ้น เพราะเกร็กรู้สึกว่าเจสันนั้นพัฒนาได้เร็วมากแม้จะยังอยู่ในอันดับ 3 ของระดับมือใหม่ก็ตาม
มานาของเจสันเพิ่มขึ้นมากและแกนมานาก็มีความแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างช้าๆ มันต้องใช้เวลาเพียงไม่นานก่อนที่เจสันจะขึ้นสู่อันดับ 6 ของระดับมือใหม่
เจสันมีความคาดหวังว่าสัปดาห์ถัดไปวึ่งเป็นวันหยุดสัปดาห์สุดท้้ายก่อนที่โรงเรียนจะเปิด เจสันจะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้ได้มากที่สุด
มีหลายสิ่งที่เจสันได้คิดไว้ แทนที่จะตื่นเต้นจากการเข้าดรงเรียน เจสันได้แต่คิดว่าตัวเองนั้นจะทำให้ชื่อเสียงของพวกเฟลเลอร์นั้นแปดเปื้อนรึเปล่า เพราะความอ่อนแอของเขา
นี่คือสาเหตุที่เจสันในแต่ละวันจบลงด้วยการนอนหลับอย่างรวดเร็วเนื่องจากความเหนื่อยล้า แต่สิ่งหนึ่งที่เจสันภูมิใจอย่างยิ่งคือความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น
เจสันซึมซับเนื้อหาของหนังสือแต่ละเล่ม และเจสันสงสัยว่าความสามารถของตัวเองนั้นจะไปได้ถึงระดับไหน อาจกล่าวได้ว่าความทรงจำและความสามารถในการอ่านของเจสันนั้นมีประสิทธิภาพอย่างดีเยี่ยมซึ่งทำให้เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วกว่าคนอื่นๆ
กาเบรียลลาบอกว่าเจสันนั้น เมื่อเพิ่มระดับความสามารถแต่ละครั้งร่างจะเปลี่ยนไปและรวมถึงสมองด้วย นั้นหมายความว่ายิ่งระดับสุงขึ้นก็จะยิ่งฉลาดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามมนุษย์แต่ละคนไม่ได้มีความฉลาดเท่ากัน
วันหยุดสุดสัปดาห์ผ่านไปโดยใช้ตารางเวลาปัจจุบันและเจสันก็นอนหลับสนิทอย่างไร้ความฝันเที่ยงคืนในวันอาทิตย์
เป็นเวลาอาหารเย็น และสัตว์ทุกตัวก็ได้รับอาหารที่มีมานาหลายชนิด
เจสันต้องรอให้คนอื่นๆ และสัตว์ทั้งหลายกินอาหารเสร็จ เขาจึงเข้าโลกวิญญาณเพื่อฝึกเทคนิคนรรสวรรค์อย่างขยันขันแข็งเหมือนทุกวัน
หลังจากที่ทำเสร็จ คนอื่นๆ ก็ทำเสร็จเช่นเดียวกัน สัตว์ทุกตัวอยู่ด้านนอกยกเว้นลิงของมาร์คที่ชอบอยู่ใกล้ๆ กับมาร์ค
การรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ภายในใจของเจสันนั่นครุ่นคิดเกี่ยวกับเทคนิคศิลปะการต่อสู้ของเขากับการปรับเปลี่ยนอย่างที่เขาควรจะทำ ตามคำแนะนำของเกร็ก
เจสันถอนหายใจและไม่ได้สังเกตุว่าเกร็กนั้นได้ปัญหาของเจสันเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ให้ครอบครัวได้ฟัง ด้วยความรู้พื้นฐานของเจสันที่ไม่เลยเกี่ยวกับสภาพความแข็งแกร่งของร่างกาย เจสันเพียงรู้แค่วิธีการและลำดับของศิลปะการต่อสู้ สายตาของเจสันนั้นยอดเยี่ยม สามารถมองดูการโจทมตีได้ทั้งหมด แต่เพียงร่างกายของเจสันนั้นไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ทันตามใจคิด
เกร็กยกย่องความสามารถเหล่านี้ แต่เขาเองก็เข้มงวดกับความสามารถที่ขาดหายไปของเจสัน ที่เจสันนั้นต้องเติมเต็มช่องว่างต่างๆ เหล่านี้
ถ้าเจสันรู้พื้นฐานมากขึ้น เจสันจะต้องสามารถเคลื่อนไหวหลายๆ แบบร่วมกันแทนที่จะทำตามลำดับง่ายๆ ของเทคนิคการต่อสู้
ปัญหาหลักๆ ของเจสันคือ เจสันจะใช้เทคนิคสำหรับการต่อสู้มือเปล่ามาใช้ควบคู่กับอาวุธและดัดแปลงเทคนิค ทำให้ความแข็งแกร่งของมันหายไป และสิ่งสำคัญต่างๆ เองก็ถูกลดลงด้วยเช่นกัน
สิ่งนี้ทำให้ศักยภาพของเทคนิคและขีดจำกัดต่างๆ ถดถอยลง ซึ่งเจสันเองก็ไม่รู้เลย
กาเบรียลลาและมาร์คมีเทคนิคการเชี่ยวชาญอาวุธพื้นฐานทุกประเภทที่ซื้อมาก่อนที่ลูกๆ ของพวกเขาจะเกิด เพราะพวกเขาต้องเตรียมพร้อมสำหรับการดูแลครอบครัว
แต่ในที่สุดมันก็ไร้ประโยชน์เพราะมาเลียไม่ได้ใช้อาวุธใดๆ และสามารถโจมตีได้ด้วยการควบคุมไฟและน้ำ ในขณะที่เกร็กอาศัยการเคลื่แนไหวและร่างกายที่แข็งแกร่งและทนทาน มากกว่าการใช้อาวุธใดๆ
กาเบรียลลาและมาร์คนั้นรู้สึกเสียดายที่สิ่งที่เขาได้เตรียมไว้นั้นไร้ประโยชน์ แต่ตอนนี้ด้วยเหมือนว่ามันจะมีประโยชน์แล้ว
กาเบรียลลามองเข้าในช่องเก็บของที่มีขนาดใหญ่ของเธอ และค่อยๆ หยิบหนังสือออกมาทีละเล่ม ในตอนแรกเจสันไม่ได้สังเกตุว่ามีหนังสือมาวางอยู่บนโต๊ะ จนกระทั่งมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกองเป้นพะเนินอยู่บนโต๊ะ ความคิดฟุ้งซ่านของเจสันก็หายไปขณะที่มองไปที่กองหนังสือ
แต่เมื่ออ่านชื่อข เจสันก็เริ่มสงสัย
‘คู่มือกริชพื้นฐาน, คู่มือกริชคู่พื้นฐาน, คู่มือการยิงธนูขั้นพื้นฐาน, คู่มือการต่อสู้ระยะใกล้ขั้นพื้นฐาน ….. , การออกกำลังกายขั้นพื้นฐาน, การออกกำลังกายมานาขั้นพื้นฐาน, คู่มือการจัดการมานาขั้นพื้นฐาน, คู่มือการรวบรวมมานาพื้นฐานแบบพาสซีฟ, คู่มือท่าทางการต่อสู้ขั้นพื้นฐาน, มือใหม่ เชี่ยวชาญอาวุธมีดสั้นมือใหม่… ..`
มีหนังสืออย่างน้อย 50 เล่มต่อหน้าเจสันและแต่ละเล่มมีชื่อที่น่าสนใจ …
เมื่องมองไปที่กาเบรียลลาและมาร์ค กาเบรียลลาพยักหน้าและมาร์คได้พูดว่า
“ใช้พวกมันซิ”
มาร์คยังคงคงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่ออยู่กับเจสัน แต่มาร์คก็มีความรู้สึกอบอุ่นขึ้นเล็กน้อยอย่างช้าๆ เจสันกระโดดขึ้นและขอบคุณกาเบรียลลาและมาร์คอย่างดีใจ
“ขอบคุณครับคุรน้าคุณลุง…. อ๊ะ….. เอ๊ะ ผมขอโทษ”
เจสันพูดไปโดยไม่รู้ตัว แต่สังเกตุได้ว่าพวกเฟลเลอร์นั้นมีท่าทางตกใจทันที่ที่เจสันเรียกเขาว่า คุณลุง คุณน้า
ในยุคนี้เป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่จะเรียกผู้อื่นว่า ลุง น้า ป้า อา โดยไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องที่หยาบคาย
แม้ว่าเจสันจะคิดได้ว่ามันหยาบคายเพราะไม่ค่อยสุภาพและถูกมองว่าเป็นวิธีที่จะพยายามใกล้ชิดกับใครสักคนซึ่งใช้เรียกแทนชื่อของคนเหล่านั้น
ที่สำคัยเจสันเจสันไม่เคยคุยกับใครอย่างสนิทสนมมาก่อน ยกเว้นแม่ของตัวเองในขณะที่เขาคิดว่าตัวเองนั้นมีความคิดโง่ๆ
ทั่วทั้งห้องปกคลุมไปด้วยความเงียบสงบชั่วขณะ จนกาเบรียลลายิ้มออกมาและขบขันเพื่อสลายความอึดอัดในสถานการณ์นี้ ก่อนที่เธอจะพูดกับเจสัน
“ฉันไม่เคยถูกใครเรียกว่าน้า แต่ถ้าเธอเรียกแบบนั้น ฉันก็จะมองว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของเรา ตั้งแต่นี้เธอสามารถเรียกว่าคุณลุงคุณน้าอย่างสาบยใจได้เลยนะ “
เธอพูดขณะหัวเราะเบา ๆ
มาร์คมองเจสันอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยก่อนจะหันไปหาภรรยาด้วยสายตาแปลก ๆ
`ฉันตัดสินใจอะไรที่สำคัญแบบนั้นไม่ได้เหรอ!?! ฉันก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ด้วย !!! “
มาร์คได้คิดในใจ จนกระทั่งเกร็กกระโดดกอดเจสัน….
“ฮ่าๆๆๆ ฉันอยากมีน้องชายมาตลอด และตอนนี้นายต้องเป็นน้องชายของฉันไม่ว่านายจะชอบหรือไม่ก็ตาม ฮิฮิ”
แม้แต่มาเลียก็ยังคงนั่งยิ้มอย่างสดใส แสดงสัญลักษณ์มิตรภาพออกมา ทำให้มาร์คได้รับรู้และมาร์คก็คิดได้
`อย่างน้อยเขาก็จะไม่ไล่ตามเจ้าหญิงที่มีค่าของฉัน! ฮ่าฮ่า ‘
หลังจากนั้นกาเบรียลลาก้หันมาอย่างจริงจังและออกคำสั่ง
“ตอนนี้เธอเองก้เป้นส่วนหนึ่งของครอบครัวแล้ว ถึงแม้จะไม่มีพันธะอย่างเหมาะสม แต่เธอก็ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบบางอย่าง โรงเรียนจะเริ่มขึ้นใน 9 วัน พื้นฐานของเธอก็ยังไม่แข็งแรงพอ งานในวันนี้ก็คือ เธอจะต้องอ่านหนังสือทุกเล่มบนโต๊ะและทบทวนพวกมันให้หมด ถึงสิ้นสัปดาห์นี้ เธอจะต้องจำลายละเอียดต่างๆ ของหนังสือเหล่านี้ และตัดสินใจเลือกอาวุธที่เธอจะใช้ และใช้มันเป้นอาวุธหลัก ฉันจะมุ่งเน้นไปที่อาวุธนั้นเพื่อฝึกฝนเธออย่างถูกต้อง เราจะเตรียมการออกกำลังกายสำหรับเธอ และเตรียมอาหารเพื่อให้เธอได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ เธอจะไม่สามารถลดผ่อนการทำหน้าที่ต่างๆ นี้ได้ ฉันได้ยินมาว่าเธอฉลาดและการสอบทางทฤษฎีของเธอค่อนข้างดีเยี่ยม….. แต่ในเมืองไซโรนั้นแตกต่างเล็กน้อย คำถามที่ทดสอบนั้นตื้นและไม่มีคำถามที่ถามถึงความรู้ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับทางโลก เพียงคำถามเดียว”
เมื่อฟังกาเบรียลลา เจสันพบว่ามันตื่นเต้นที่มีตารางงานที่แน่น มันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยที่จะสามารถดูดซับมานาตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน การกินและการฝึกเทคนิคนรกสวรรค์นั้นเป็นข้อยกเว้น
ก่อนหน้านี้เจสันไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรในอีก 7 วัน ที่เหลือเพราะเขาค่อนข้างอ่อนแอเกินกว่าที่จะเข้าไปในเขตป่า 2 ดาวเพียงลำพัง
เมื่อมีหนังสือตรงหน้า ตอนนี้เจสันรู้ว่าควรทำอย่างไร การเก็บมันไว้ในสร้อยข้อมือ และได้แสกนหนังสือเพื่อมันเนื้อหาภายในแสดงบนโฮโลแกรม เจสันเกือบจะขอบคุณพวกเฟลเลอร์อีกครั้ง เพราะความตื่นเต้นเกินกว่าจะอ่านหนังสือกว่า 50 เล่มนี้
กาเบรียลลายิ้มให้เด็กหนุ่มที่วิ่งออกจากบ้านไปที่สวนหลังบ้าน ขณะที่ที่มาร์คเปิดหน้าจอโฮโลแกรมขึ้นมา
“ฉันจะเตรียมแผนการออกกำลังกายของเจสันให้”
มาเลียและเกร็กมองหน้ากันและสงสัยว่าเจสันจะสามารถอ่านหนังสือทั้ง 50 เล่ม ได้หรือไม่เพราะแต่ละเล่มนั้นมีเว็บไซต์เพิ่มเติมอีก 50 กว่าเว็บ และภาษทางเทคนิคที่ยากที่จะทำความเข้าใจ
เพียงไม่กี่นาทีต่อมาเจสันกลับเข้ามาด้วยสีหน้าสับสน …. และระดมยิงคำถามมากมาย มาเลียจึงช่วยเจสันในขณะที่เธออ่านหนังสือของเธอไปด้วย
เกร็กเบื่อกับการอ่านหนังสือคนเดียว เขาต้องอ่านทฤษฎีขั้นสูงเกี่ยวกับการผ่าวงล้อมมานาซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับเกร็ก
ทั้งสามคนนั่งพิงต้นไม้หนาทึบ ภายใต้เงาของมันและอ่านหนังสือของพวกเขาอย่างเงียบ ๆ
เวลาผ่านไปพอสมควรใบหน้าของเจสันเต็มไปด้วยรอยฟกซ้ำ เมื่อเกร็กอธิบายจุดอ่อนของเจสัน
“พูดง่ายๆ พื้นฐานของนายขาดไป เพราะนายฝึกศิลปะการป้องกันตัวระดับชั้นโดยไม่ได้ฝึกฝนร่างกายอย่างถูกต้อง แม้ว่าความสามารถศิลปะการป้องกันตัวของนายจะอยู่ระดับ 3 หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีประาสบการณ์ แต่ร่างกายของนายไม่สามารถตามทันความสามารถนี้ได้ ฉันเห็นดวงตาของนายซึ่ง สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของฉันได้ง่ายดายและคาดเดาได้ว่าฉันจะโจมตีนายตรงไหน แต่ร่างกายของนายเคลื่อนไหวช้าเกินไป ที่จะสามารถหลบการโจมตีของฉันได้ ตามที่ฉันแนะนำ สิ่งแรกที่นายต้องทำคือ
เทคนิคที่ได้รับการปรับเปลี่ยนจะไม่แข็งแกร่งเท่าต้นฉบับเพราะต้องเปลี่ยนลำดับสำคัญบางอย่างเพื่อปรับศิลปะการต่อสู้ที่ไม่มีอาวุธ ให้สามารถเป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธได้ ต่อมาเท่าที่ฉันได้ดู นายได้ใช้การปรับเปลี่ยนให้เทคนิคเข้าควบคู่กับดาบคู่ที่ไม่มีเกรด นอกจากนี้นายควรใช้น้ำหนักในการฝึกกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย นายควรออกกำลังกายให้เต็มที่ นั้นจะสามารถช่วยชีวิตนายได้
เจสันประหลาดใจกับความจริงจังของเกร็ก ซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อนและเขาพยักหน้ารับแม้ว่าร่างกายจะเจ็บ
ระหว่างที่เจสันต่อสู้กับเกร็ก เจสันก็ได้สังเกตเห็นว่าตัวเองนั้นอ่อนแอมากและพื้นฐานก็ไม่ได้รับการพิจารณาว่าดี
เจสันสงสัยว่าตัวเองจัดการกับสัตว์ร้ายระดับ 5 ดาวได้อย่างไร หรือเพราะความโชคดีและการได้รับความช่วยเหลือจากอาร์เทมิส
ยิ่งไปกว่านั้นเจสันสังเกตุว่าร่างกายของเขาปรับตัวเองอย่างช้าๆ เพื่อรับการโจมตีของเกร็ก บางทีถ้าพวกเขาฝึกต่อสู้ด้วยกันอาจจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
น่าเสียดายที่เกร็กเองนั้นยังตามหลังคนอื่นๆ ในอันดับแกนมานาของเขา ซึ่งเกร้กเองก็ยังต้องตามคนอื่นให้ทัน ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาว่างให้เจสันมากนัก
“ขอบคุณนะ เกร็ก!”
เจสันกล่าวด้วยความขอบคุณอย่างมีความสุข เมื่อสังเกตเห็นความผันผวนของมานาที่รุนแรง
เจสันหันไปมองเห็นวงเวทย์ 9 วงที่ปรากฏต่อหน้ามาเลีย มาร์คและกาเบรียลลา
ด้านหน้าของมาเลียปรากฏวงกลมเวทย์มนตร์ 2 วงมีการกะพริบสีแดงเข้มขนาดใหญ่หนึ่งวงและวงกลมเวทย์มนตร์ที่ส่องแสงสีน้ำเงิน
จากวงเวทย์ที่ส่องแสงสีน้ำเงินปรากฏขึ้นพร้อมกับเด็กผู้หญิงรูปร่างคล้ายมนุษย์ตัวจิ๋วที่มีปีกที่หลังและผมสีฟ้ากระโดดออกมาจากมัน
ในขณะเดียวกันออกมาจากวงเวทย์สีแดงเข้มก็ม้าสีดำสนิทกระโดขึ้นมาและมีเปลวไฟสีแดงเข้มที่แผงคอและ เหนือกีบของมันยังมีเปลวไฟห่อหุ้มส่วนเล็ก ๆ ของขาของมันและเมื่อเจสันเห็นดวงตาของมัน ก็ขนลุกทันทีเพราะมันเป็นสีดำสนิท
‘นางฟ้าตัวนี้น่ารักและน่าจะอยู่จุดสูงสุดของการวิวัฒนาการ แต่ม้าที่น่าขนลุกขร้คืออะไร มันยังคงอยู่ในอันดับที่ไร้ตำหนิ แต่ก็ยังน่ากลัว’
เจสันคิดในใจ ขณะที่มีวงเวทย์ 3 วง ปรากฏต่อหน้ามาร์ค
มาร์คมีวงเวทย์ทั้งหมด 3 วงอยู่ข้างหน้าเขา ในขณะที่วงหนึ่งเป็นวงเล็ก ๆ สีแดงอ่อนหนึ่งวง วงแหวนเวทย์สีแดงร้อนขนาดใหญ่และวงเล็ก ๆ สีเขียวจาง ๆ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า วงเวทย์ของอาร์เทมีสด้วยซ้ำ
ค้างคาวตัวเล็ก ๆ ออกมาจากวงเวทย์ขนาดเล็ก ในขณะที่ตัวของมันเป็นสีดำตาและหูเป็นสีหยกและมองไปรอบ ๆ เพื่อฟังเสียงก่อนที่มันจะพุ่งเข้าหามาร์ค
วงเวทย์สีแดงอ่อนขนาดเล็ก เรียกลิงสีแดงที่มีท้องสีน้ำตาลและมีเขาสีเหลืองอำพันขนาดเล็กที่กลางหน้าผากในขณะที่งูหลามยาวสิบเมตรที่มีหางไหม้ปรากฏอยู่ภายในวงเวทย์สีแดงที่ร้อนฉ่า
‘สัตว์พันธะของมาร์จะมีลิงมีเขาเหลืองอำพันที่ตื่นขึ้น ค้างคาวขนาดเล็กที่กลายพันธุ์และมีพลังเวทย์ต่ำ และงูโลกันต์ ทีมี่พลังเวทย์แข็งแกร่ง สุดยอดเลย ‘
เจสันรู้ว่ามาร์คทำพันธะกับสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่ง และสัตว์พันธะนั้นดูเหมือนจะมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าแอสทริกว์อย่างแน่นอน
‘บางทีมาร์คอาจจะต้องรอเป็นเวลานานจนกว่า เขาจะสะสมพลังวิญญาณมากพอที่จะผูกมัดสัตว์วิเศษตัวนี้ได้ หากพันธะตัวแรกของเขาเป็นสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นมาจริงๆ เขาจอดทนจริงๆ “
แต่เจสันรู้ดีว่ามาร์คใช้พื้นที่เขาหมดแล้ว สำหรับพันธะและดูเหมือนว่าศักยภาพของพันธะก้ถูกใช้ไปแล้ว
มาร์คสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาได้โดยการเพิ่มแกนมานาเท่านั้น และมาร์คไม่สามารถทำพันธะกับสัตว์ตัวอื่นได้อีก
เจสันรู้อีกว่า กาเบรียลลานั้นแข็งแกร่งกว่ามาร์ค และวงเวทย์ทั้ง 4 วงก้ปรากฏต่อหน้าเธอ มีวงเวทย์สีม่วง 2 วงที่ล้อมรอบไปด้วยสายฟ้า ในขระที่วงเวทย์อีก 2 วงนั้นดูอ่อนโยนแต่แข็งแกร่ง
งูหลามยาว 15 เมตรและหมาป่าตัวใหญ่กระโจนออกมาจากวงเวทย์สีม่วงที่ล้อมรอบไปด้วยสายฟ้า
เจสันมีความคาดหวังมากขึ้นในวงเวทย์อีกสองวงและสัตว์ร้ายที่คุ้นเคยก็ปรากฏออกมาในวงเวทย์สีขาว-เขียว และวงเวทย์สีขาวขนาดเล็ก
มันเป็นต้นไม้ที่ดูเหมือนระฆังในขณะที่ออกมาจากวงเวทย์สีขาว-เขียวที่ใหญ่ และอีกตัวคือปรากฏร่างของแกะที่มีเขาโค้งสีขาวนวล
เจสันพอได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับสัตว์ตัวนี้ มันมีความสามารถในการรักษาและแกะที่มีลักษณะเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพืชที่วิวัฒนาการเป็นสัตว์ร้าย และหมาป่ากับงูหลามนั้นคือ หมาป่าธันเดอร์สตรอม และงูหลามธันเดอร์สตรอม ทั่งคู่อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งอย่างมาก
เจสันไม่เคยได้ยินได้ยินอะไรเกี่ยวกับแกะตัวนี้ แต่เขารู้ได้ทันทีว่ากาเบรียลลานั้นมีพลัง 2 อย่างคือรักษาและสายฟ้า
ด้วยเหตุนี้แกะตัวนี้น่าจะมีพลังในการรักษาเช่นเดียวกันกับต้นไม้ เจสันจึงเรียกมันว่า
`แกะเขาโค้ง’.
ดูเหมือนว่าแกะตัวนี้ จะมีระดับแกนมานาที่แข็งแกร่งที่สุดและน่าจะอยู่ในจุดสูงสุดของระดับเวทย์มนต์
ในขณะที่มองดูสัตว์ร้ายที่โผล่ออกมาจากวงเวทย์และเดินเล่นไปรอบๆ เจสันสรุปได้ว่า
พลังวิญญาณของมาเลียนั้นยิ่งใหญ่มาก จนเธอสามารถทำพันธะกับสัตว์ร้ายที่มีการวิวัฒนาการสูงสุดเป็นพันธะตัวแรก วึ่งก็คือนางฟ้าตัวน้อยนั้น
สิ่งนี้หาได้ยากมาก เพราะไม่เพียงแต่เป็นนางฟ้าที่หายากเท่านั้น แต่ยังมีความตั้งใจอย่างมากด้วยการที่มันต้องการพลังงานวิญญาณที่สูงมาก
นอกจากนี้มันยังสามารถไปถึงอันดับที่ไร้ตำหนิจามสีที่แผ่ออกมาได้ แม้ว่าเจสันจะคาดการณ์ว่านางฟ้าจะต้องการของบางอย่างเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น
สัตว์พันธะตัวที่ 2 คือ ม้าปีศาจ เป็รสัตว์อสูรระดับเวทย์มนต์และต้องใช้พลังวิญญาณมากมายในการควบคุม เจสันรู้สึกประหลาดใจที่เห็นมาเลียมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง 2 ตัว ในขณะที่อายุแค่นี้
เจสันไม่มั่นใจว่า เธอจะสร้างพันธะได้อีกกี่ตัว แต่ตอนเธอมีธาตุไฟ-น้ำอยู่ในตัว ขระที่เจสันเห้นมานาในร่างของมาเลีย
เจสันยังคงสรุปพันธะของมาร์คและกาเบรียลลา
พันธะวิญญาณของมาร์คมีธาตุไฟและสัตว์ร้าย 2 ตัว อาจจะเป็นวิญญาณทางกายภาพวึ่งคือค้างค้าวหยกจิ๋ว ไม่ว่าจะกรณีนี้หรือพันธะตัวที่ 2 ของมาร์คมีส่วนเกี่ยวข้องกับเสียง แต่เจสันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันอาจจะเป็นการปลุกวิญญาณสองครั้ง ด้วยดวงวิญญาณดวงเล็กๆ
กาเบรียลลานั้นมีพื้นที่สำหรับการทำพันธะ 4 ตัว และธาตุสายฟ้ากับการรักษา ซึ่งหายากที่งคู่ในขระที่ความสามารถในการรักษาเป็น 1 ใน ความสามารถที่หาได้ยากมากและต้องการมากในโรงพยายาล โรงเรียนที่มีชื่อเสียง ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ และกลุ่มล่าสัตว์ป่า
พันธะวิญญาณของมาร์คและกาเบรียลลาดูเหมือนว่าพวกมันทั้งหมดจะอยู่ในขีดจำกัดทางสายเลือด และเจสันก็สงสัยว่ามีโอกาสที่พวกมันจะวิวัฒนาการได้หรือเปล่า เนื่องจากดวงตาของเขาดุเหมือนมันจะทำงานไม่ถูกต้องเพราะการนึงถึงทฤษฎีต่างๆ
สิ่งเดียวที่เจสันรู้คือ สีที่เปล่งประกายที่ได้เห็นนั้น เทียบเท่าหรือดีกว่าการทดสอบศักยภาพใหม่ล่าสุดที่พัฒนาโดยนักวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุด
เมื่อมองไปที่พันธะวิญญาณของพวกเฟลเลอร์ เจสันก็ประหลาดใจ
เกร็กและมาเลียดูเหมือนจะมีการปลุกวิญญาณที่ดีกว่า พ่อแม่ของเขามาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ 2.5 หรือ 3 ดาว ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ย
สัตว์พันธะแต่ละคนมีความสุขที่ได้อยู่ภายนอกด้วยกัน และวิ่งเล่นไปรอบๆ และทุกคนมีความสุขที่ได้มองดูพวกมัน
ไม่กี่ชั่วโมงแห่งความน่าอับอาย เจสันพยายามมุ่งเน้นไปที่ความสามารถในการเติมมานาแบบพาสซีฟของเขา
ในขณะที่เกร็กหยิบหินมานามา 2-3 ก้อนเพื่อรวบรวมมานาเข้าสู่แกนมานาของเขา
เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง รถก็ได้ชะลอการบินซึ่งทุกคนรู้สึกได้ เมื่อมองออกนอกหน้าต่างก็สามารถเห็นโดมขนาดใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวพร้อมด้วยกำแพงสูงอย่างน้อย 400 เมตร
เจสันยังไม่สามารถมองเห็นมานาที่แผ่ออกมาจากโดมได้ เนื่องจากมันอยุ่ไกลเกินไป แต่เจสันไม่คิดว่าวัสดุที่ใช้สร้างกำแพงสีเงินที่เปล่งประกายนี้จะมีคุณภาพต่ำ
วัสดุนี้มันสามารถป้องกันเหล่าสัตว์วิเศษประเภทความแข็งแกร่งได้ ซึ่งอาจจะเป็นสัตว์ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้พิทักษ์
เมื่อมาถึงหน้าโดม มาร์คก็ได้ทำการขออนุญาติเข้าเมือง และทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว เพราะพวกเฟลเลอร์นั้นเป็นขุนนาง และเจสันได้ขึ้นทะเบียนเป็นพนักงานของตระกูล ทำให้เจสันสามารถเข้าไปในเมืองได้
ความเร็วรถนั้นลดลงอย่างมาก พวกเขาต้องใช้โหมดการขับขี่เมื่อถึงรัศมีที่กำหนดเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาติให้บินภายในเมือง
ไม่ใช่แค่เรื่องน่าตกใจสำหรับเจสันที่ได้เห็นเมืองไซโรที่มีขนาดใหญากว่าเมืองจิโร่ถึง 2-3 เท่า และทุกเขตก็หรูหรายิ่งกว่าย่านต่างๆ ในเมืองเกรด C ที่เขาอาศัยอยู่ก่อนหน้านี่
เจสันนั่งรถไปบนถนนสายหลักที่มีความกว้าง 30 เมตร เมื่อมองไปรอบๆ เพื่อดูว่าทุกอย่างแผ่มานาออกมาแม้กระทั่งพื้นคอนกรีต
มานาบางจุดที่ปล่อยออร่าออกมาเจสันจึงเดาได้ว่ามันเป็นระดับความทนทานภายในคอนกรีต ทำให้มีอายุการใช้งานที่มากขึ้น เห็นได้ชัดว่าเมืองนี่มีคะแนนที่สูงมาก
เจสันไม่สามารถสัมผัสได้ถึงมานาของเมืองเพราะพวกเขายังนั่งอยู่บนรถ ซึ่งมันกั้นระหว่างเขากับภายนอกทำให้ไม่รู้สึกถึงมานาภายนอก แต่เขาสามารถมองเห็นกระแสของมานาที่อยู่ภายนอกและดวงตาของเจสันก็ส่องสว่างด้วยความโลภ
เมื่อเจสันมองลงไป เขาก็กรีดร้องออกมา ขณะที่ดวงตามีเลือดไหลออกเนื่องจากสิ่งที่เขาเห็น
“อ๊ากก นั้นอะไรหน่ะ “
“เจสัน นายเป็นอะไรไป”
เกร้กถามในขณะที่เข้าใกล้เจสัน และมาเลียกับกาเบรียลลาที่ได้ยินเสียงร้องของเจสันก็เกิดความประหลาดใจ
“เธอสามารถมองเห็นเส้นมานาตามธรรมชาติได้งั้นหรอ เจสัน”
กาเบรียลลาถามออกมา
“เส้นมานาตามธรรมชาต ??”
เจสันเช็ดเลือดที่ไหลออกมาและมองไปที่กาเบรียลลาอย่างสับสน
“ใช่ เมืองไซโรเป็นเมืองหลวงของแอสทริกซ์ และส่วนใหญ่มันสร้างขึ้นจากเส้นมานาธรรมชาติ ซึ่งเสริมพลังให้กับโดมมานาระดับสูง
สิ่งนี้ดึงดูดสำหรับมนุษย์และสัตว์ร้ายในเวลาเดียวกัน และโดยปกติสัตว์ร้ายระดับสูงจำนวนมากจะโจมตีเมืองนี้ แต่เนื่องจากความหนาแน่นของมานาสูงโดยกำเนิด สารขับไล่จึงมีประสิทธิภาพสูงตามวึ่งสามารถขับไล่สัตว์ร้ายระดับสูงได้ ในขณะที่สัตว์ร้ายระดับต่ำไม่สามารถสัมผัสถึงเส้นมานาธรรมชาตินี้ได้
แม้กว่าสัตว์ร้ายเหล่านี้จะไม่กลัวการขับไล่ พวกเราก็ไม่ต้องกลัวเพราะมีความหนาแน่นมานาสูงดรงไฟฟ้าหลายแห่งจึงใช้ป้องกันเมืองพร้อมกับพลเมือง
ในช่วงเวลา 100 ปีที่ผ่านมานับบตั้งแต่เมืองนี่ ไม่เคยมีสัตว์ร้ายที่สามารถบุกทะลุกำแพงมา และดูเหมือนว่าเธอเองก็ไม่สามารถจัดการการมองเห็นเมื่อมองเส้นมานาโดยตรง ซึ่งอาจจะทำได้เมื่อตอนที่เธอแข็งแกร่งขึ้น แต่ตอนนี้เธอต้องไม่มองมัน “
ดูเหมือนว่ากาเบรียลลาจะกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของเจสันด้วยเหตุนี้ เจสันจึงทำได้เพียงพยักหน้า
“ได้ครับ ผมจะไม่มองมัน”
เจสันเงยหน้าขึ้นและเริ่มใช้สายตามานาอีกครั้ง เพราะเขาแค่อยากรู้อยากเห็นและโดยไม่ต้องมองผ่านพื้นดินทุกอย่างก็น่าจะดี
เจสันอยากรู้ว่าในเส้นมานานั้นมีอะไรบ้าง แต่เขาก็ไม่อยากที่จะลองมันอีกครั้ง
‘สัตว์หรือพืชพวกนี้? … พวกมันไม่เคลื่อนไหวและมานาดูสงบ แต่ฉันมองไม่เห็นมานานและมันคลุมเครือมาก … ฮึน่ากลัว !! ‘
เจสันถอนหายใจและตัดสินใจที่จะลองอีกครั้งภายหลังเมื่อเขาแข็งแกร่งพอ เพราะถ้าทำตอนนี่ก็เหมือนกับการฆ่าตัวตาย
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่เมืองไซโร”
พวกเขาขับรถต่อไปเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงจนกระทั่งมาถึงพื้นที่ด้านนอกของย่านขุนนางที่ดูเหมือนจะดูผิดปกติ
มันสามารถมองเห็นบเานหลายหลัง และพวกเขาได้ขับรถไปตามถนนสักพัก จนมาหยุดอยู่ที่บ้านสูง 3 ชั้น ที่มีกลิ่นอายไม่น่าประทับใจแผออกมาเมื่อเทียบกับบ้านหลังก่อนและบ้านอื่นที่พวกเขาเห็น
พื้นที่หน้าบ้านประมาณ 300 ตร.ม. มีขนาดใหญ่ในขณะที่การตกแต่งภายในดูสวยงาม แต่ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่
อาจกล่าวได้ว่าบ้านหลังนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวห้าคนที่มีสัตว์พันธะ เพราะสวนหลังบ้านมีพื้นที่ 2,000 ตร.ม. ขนาดใหญ่พร้อมสระน้ำขนาดใหญ่ พื้นที่ต่อสู้และพื้นที่เพียงพอสำหรับสัตว์พันธะในการกินหญ้า
นอกจากนี้ยังมีต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ให้ร่มเงาต้นหนึ่งและเจสันก็ตกหลุมรักบ้านหลังนี้ทันที เขาไม่ชอบคฤหาสน์ของเฟลเลอร์ก่อนหน้านี้ แต่บ้านหลังนี้ดูเหมือนบ้านจริงๆสำหรับเขา
เกร็กก็อยู่ในสวนหลังบ้านและวงกลมโปร่งใสขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา พร้อมกับเส้นขอบสีดำและสีแดงที่แผ่ออกมา
ทันใดนั้นวัวตัวหนึ่งสีน้ำตาลเข้มสูง 2 เมตรที่มีเขายาวหนา ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างในก่อนที่จะพุ่งไปที่แพทช์สีเขียวพร้อมกับเสียงดัง
“มันดูไม่น่าประทับใจใช่มั้ยฮ่า ๆ … ถ้าไม่ใช่เพราะการทดสอบศักยภาพ อาจจะคิดว่านายเป็นคนหลอกลวง”
เกร็กพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ แต่เจสันสามารถมองเห็นอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ในดวงตาของเขาขณะที่เขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
“อ่า … โชคดีที่นายเชื่อฉัน … ตอนนี้นายต้องหาวิธีที่จะพัฒนาวัวที่มีสายเลือดมิโนทอร์ใช่มั้ย?”
เจสันยิ้มอย่างสดใสและมองไปที่เกร็กที่กำลังยิ้ม … ไม่มีคำพูดที่ต้องการระหว่างพวกเขามากนัก แต่มีบางอย่างที่ทำให้เจสันรู้สึกไม่สบายใจมาสักพักแล้วเมื่อรู้ว่า พื้นที่ป่าที่อ่อนแอที่สุดของเมืองนี้มีระดับ 2 ดาว
“ เกร็ก …. นายช่วยเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของฉันได้ไหม บางทีฉันต้องฝึกศิลปะการต่อสู้แบบอื่น ถ้ามีคนมาฝึกให้ แต่ฉันไม่รู้ว่าจะเพิ่มความสามารถอย่างไรด้วยการปรับเปลี่ยนศิลปะการต่อสู้”
เกร็กเข้าใจว่าเจสันหมายถึงอะไรและส่งสัญญาณให้เจาสันเดินตามเขามา
เจสันไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาเดินตามเกร็กโดยไม่พูดอะไรสักคำ
พวกเขาเข้าไปในพื้นที่เล็ก ๆ ที่กำหนดไว้สำหรับการฝึกการต่อสู้และเกร็กก็เข้าสู่ตำแหน่งโดยไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าหรือพูดอะไรเลย
ก่อนที่เจสันจะได้พูดอะไรที่เกร็กประกาศ
“พร้อมหรือยัง … 3 … 2 … 1 “
เกร็กจำกัดพละกำลังของเขาไว้ที่ระดับของเจสัน แต่ความเร็วของเขาดูเหมือนเร็วมาก เมื่อเกร็กปรากฏตัวต่อหน้าเจสันที่ไม่ระวังภายในเสี้ยววินาที
เจสันหลบหมัดตรงของเกร็กพร้อมกระโดดไปด้านข้าง เจสันพยายามหลบหลีกการโจมตีของเกร็ก เมื่อเกร็กเตะเข้าที่ท้องของเขาทำให้เขากระเด็นไป
เกร็กห่างเหินจากเจสันอีกครั้งและกล่าวอย่างไร้อารมณ์
“ยืนขึ้น!”
เจสันลุกขึ้นยืนคร่ำครวญในใจ
‘ทำไม เขาถึงเปลี่ยนทัศนคติได้เร็วขนาดนี้’
ทุกคนนั่งกินอาหารเช้าที่โต๊ะอาหาร บรรยาโดยรอบนั้นดีเยี่มม
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เจสันก็เดินตามคนอื่นๆ ไปนอกอพาร์ทเมนต์และดูเหมือนพว่าพวกเขาจะอยู่ที่โรมแรมขนาดใหญ่
เจสันไม่รู้ว่าเมื่อวันก่อนเขาอยู่ที่ไหน แต่ตอนนี้เขาสังเกตุเห็นว่าตัวเองนั้นอยู่บนตึกระฟ้า
พวกเขา เข้าไปในลิฟต์แก้วและเจสันสามารถมองเห็นถนนและอาคารที่พังพับเยินอยู่ไกลๆ การเปิดหน้าจอโฮโลแกรมเพื่อดูข่าวที่เกี่ยวข้องกับเมืองจิโร่และรายชื่อของคนที่เสียชีวิตที่ดุเหมือนจะยาวจนไม่มีที่สิ้นสุด
รายชื่อผู้เสียชีวิต 1,553,356 คนและบาดเจ็บ 1,423,541 คน
เมืองจิโร่มีประชากรกว่า 40 ล้านคนและเป็น 1 ในเมืองเกรด B ที่ใหญ่ที่สุดในแอสทริกซ์ ในขณะที่เมืองไซโรและเมืองเบงกอล เท่านั้นที่ใหญ่กว่าเมืองเกรด A เมืองอื่นๆ
เมืองไซโรมีประชากรประมาณ 80-90 ล้านคน ในขณะที่เมืองเบงกอลมีประชากรราวๆ 75 ล้านคน
เมืองหลวงบนเกาะแอสทริกซ์คือเมืองไซโร และที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกด้วย
ในขณะที่โรงเรียนหลายแห่งในเมืองไซโร ซึ่งหลายๆคนเรียกกันว่า เมืองแห่งการแข่งขัน เพราะไม่เพียงแต่นักเรียนจะมีความรู้สึกที่จะแข่งขันกันเพื่อให้ตนเองไปอยู่จุดสูงขึ้นเพื่อที่จะได้รับทรพยากรมากยิ่งขึ้น และโรงเรียนก็มีการแข่งขันที่ดุเดือดซึ่งกันและกัน
ในขณะที่โรงเรียนแนวหน้าถูกมองว่าเป็น 1 ใน 3 โรงเรียนที่มีขนาดใหญ่และมีโรงเรียนในเครือ 6 แห่ง แต่ก็ไม่ใช่โรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดและก็ไม่ใช่โรงเรียนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เพียงมีความสมดุลในระหว่างปัจจัย
สิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นโรงเรียนแนวหน้าคือรากฐานที่ลึกซึ้งและเต็มไปด้วยความรู้เชิงทฤษฎีที่ตราตรึงอยู่ในใจของนักเรียน
คติประจใจของพวกเขาคือ “ความรู้คือพลัง” แต่โชคไม่ดีนักสำหรับเจสัน คือความรู้ของเขาไม่ได้มีพลังขนาดนั้นและเขาได้แค่ คิดว่าคตินี้ถือเป็นสิ่งที่โง่เขลา
มนุษย์หลายคนเสียชีวิตในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาและเจสันรู้สึกเศร้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาจะทะเยอทะยานให้แกนมานาไปถึงระดับที่สูงขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น
เพียงไม่กี่นาทีต่อมา พวกเขาก็มาถึงข้างนอกและมาร์คก็เรียกรถลีมูซีนสีแดงเข้มที่ดูสปอร์ตมา ซึ่งมีความยาวมากกว่า 6 เมตร
อย่างไรก็ตาม รถลีมูซีนคันนี้ดูแพงกว่ารถบรรทุกที่ดูโฉบเฉี่ยวตอนที่นั่งมา และเจสันก็เห็นมานาแผ่ออกมาจากรถและเขารู้ได้ทันทีว่ามันสร้างขึ้นจากสัตว์ร้ายระดับเวทย์มนต์ที่แข็งแกร่ง
ในขณะที่ก้าวเข้าไปด้านใน เจสันรู้สึกแปลกประหลาดใจกับการตกแต่งภายในที่ล้ำยุกยุคสมัย และมันดูล้ำหน้าทางเทคโนโลยีมาก โดยมีหน้าจอขนาดใหญ่ด้านหน้า มีตู้เย็นอยู่ด้านข้างและมีเครื่องดื่มอยยู่ภายใน
ภายในรถกว้างขวางอย่างมาก และเบาะนั่งก็รู้สึกสบายมากเพราะเจสันรู้สึกว่าเขาจะสามารถเผลอหลับไปตอนไหนก็ได้
เมื่อมองไปรอบๆ แม้แต่เกร็กและมาเลียยังแสดงสีหน้าที่รู้สึกผ่อนคลาย และกาเบรียลลาก็ยิ้มออกมาเมื่อเห็นใบหน้าที่ประหลาดใจของเจสัน
“เจสันเพียงแค่เธอรู้ว่า รถลีมูซีนบินระดับสุงสุด 2 คนนี้สร้างขึ้นจากสัตว์ร้ายที่กักตุนอูราซินซึ่งเป็นสัตว์วิเศษที่หายาก อูราซินเพียวอย่างเดียวก็เป็นโลหะที่มีค่ามากอยู่แล้ว แต่เมื่อสัตว์ร้ายวิเศษนี้กักตุนโลหะชนิดนี้ไว้ด้วยความบริสุทธิ์ ทำให้พวกมันนั้นหายากและมีราคาที่แพงมากๆ มันสามารถทำให้รถลีมูซีนเคลื่อนที่ด้วยความเร็วได้สูงมาก พูดตามตรงรถคันนี้เป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดและราคาแพงที่สุดด้วย….. อิอิ”
กาเบรียลลาอธิบายให้เจสันได้ฟัง
“โอ้โห … แพงแค่ไหน ??”
เมื่อเจสันได้ฟัง ทำให้เขายิ่งอยากรู้ราคาของรถคันนี้ เจสันรู้ว่าพวกเฟลเลอร์นั้นร่ำรวยมาก แต่เขาอยากรู้ว่าทรัพย์สินที่ราคาแพงที่สุดของพวกเขาจะราคาแพงขนาดไหน
“เราจ่ายด้วยหินมาระดับสูงและสมบัติวิเศษอื่นๆ ที่ถูกดัดแปลง มันมีราคาอยู่ที่ประมาณ 100 สตาร์โน๊ต”
เจสันดูตกตะลึงและงงว่าสตาร์โน๊ตคืออะไร
“อ่อใช่ เธอคงยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสตาร์โน๊ต เครดิตส่วนใหญ่จะใช้สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ในขณะที่สตาร์โน๊ต เป็นสกุลเงินที่แพงกว่า 100,000,000 จะเท่ากับ 1 สตาร์โน๊ต ดั่งนั้นเราจ่ายเพื่อซื้อรถคันนี้ไป 100 สตาร์โน๊ต จะเท่ากับ 1 หมื่นล้านเครดิต”
กาเบรียลลาอธิบายให้เจสันฟัง
“ห๊ะ 1 หมื่นล้านเครดิต “
เจสันอุทานออกมา ทำให้กาเบรียลลาหัวเราะเบาๆ เธออยากจะคุยโม้ให้ลูกน้อยของเธอ และไม่คิดว่าเจสันจะมีการตอบสนองแบบนี้
“ไปกันเถอะ ที่รัก!”
เธอพูดแล้วหันไปหามาร์คที่สตาร์ทเครื่องยนต์ทันที
เช้านี้พวกเขายื่นขอใบอนุญาติการบินจาก AI ซึ่งพวกเขาก็ได้รับการอนุมัติอย่างง่ายดายและตอนนี้รถลีมูซีนกำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
เจสันกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างโดยยังคงตะลึก จากนั้นเจสันก็ล้มใส่เกร็กเนื่องจากการเร่งความเร็วกระทันหันของรถ
อาการคลื่นใส้และอยากจะอาเจียนเป็นปัญหาเล็กสุดของเจสันในตอนนี้ เพราะตอนนี้เจสันกำลังนอนทับตัวเกร็กขณะที่เกร็กกอดเจสันไว้แน่น เนื่องจากความเร็วของรถทำให้เจสันรู้สึกไม่สบายตัว
มาเลียสร้างเยื่อมานามาเคลือบร่างกายบางๆ และหัวเราะเบาๆ ขณะที่เกร็กค่อยๆ ผลักเจสันออกเบาๆ พร้อมกับหัวเราะ
“โทษที แต่นายไม่ใช่สเปคของฉัน ฮ่าๆ “
“นายก็ไม่ใช่สเปคของฉันเหมือนกัน ไอ้เจ้ากล้ามเนื้อ !!”
เจสันร้องเสียงหลงเพราะความเขินอาย เขาจะรู้ได้อย่างไรว่ารถลีมูซีนจะมาถึงความเร็วที่น่ากลัวเช่นนี้
เจสันยังคงไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน เพราะเขาไม่สามารถเห็นวิวทิวทัศน์ภายนอกได้
‘รถคันนี้เร็วแค่ไหน ทำไมฉันมองไม่เห็นข้างนอกเลย’
แต่เมื่อนึกถึงราคาของรถคันนี้ เจสันก็เข้าใจความเร้วของรถลีมูซีนคันนี้ทันที
หลังจากพยายามหาตำแหน่งที่ดีที่จะนั่ง เจสันตัดสินใจเข้าสู่โลกวิญญาณเพื่อหนีจากสถานกาณ์ที่น่าอึดอัดจากเกร็กแต่อย่างไรก็ตามเจสันก็มักจะอยู่ระหว่างเกร็กและมาเลีย เจสันจึงไม่ได้รู้สึกแย่อะไรมากนัก
ตอนนี้พลังวิญญาณของเจสันอยู่ที่ 5.4 หน่วย ในขณะที่การผลิตพลังงานทั้งหมดตามธรรมชาติใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงซึ่งเร็วกว่าพลังวิญญาณส่วนใหญ่ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลาฟื้นฟูทั้งวัน
เจสันรู้สึกว่าโลกวิญญาณของตัวเองนั้นใหญ่ขึ้นอย่างไม่มีนัยสำคัญแต่เจสันก็มีความสุข ก่อนจะเดินไปมองรังไหมที่มีเกล็ดหิมะล้อมรอบบริเวณนั้น ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
ภายนอกโลกวิญญาณเจสันได้สังเกตุเห็นบางสิ่งบางอย่างสีฟ้าบินมาทางพวกเขา
ในขณะที่ทั้ง 3 อยู่ในโลกวิญญาณ รถลีมูซีนได้ทำการตีโค้งอย่างกว้าง ทำให้เกร็กล้มทับเจสันอีกรอบ โดยเจสันได้ล้มทับใส่มาเลียอีกที มาเลียจึงออกมาจากโลกวิญญาณของเธอ
มาเลียสังเกตุเห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังทับหน้าอกของเธอ ซึ่งมันก็คือใบหน้าของเด็กหนุ่มผมสีดำที่กำลังหลับตา และน้องชายตัวแสบของเธอก็นอนทับเจสันอยู่
ใบหน้าของมาเลียเปลี่ยนไปเป็นสีแดงด้วยความอับอาย มาเลียได้สร้างลูกบอลน้ำสองลูก โดยมีขนาดเล็กกว่า 1 ลูก
ลูกบอลน้ำลูกใหญ่ได้พุ่งเข้าไปที่ใบหน้าของเกร็กด้วยความเร็วสูง ในขณะที่ลูกเล็กพุ่งเข้าไปใบหน้าของเจสัน ซึ่งลืมตาขึ้นก่อนที่ลูกบอลน้ำจะกระทบกับใบหน้า
เจสันรู้สึกว่าตำแหน่งที่เขาอยู่ตอนนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ก่อนที่จะโดนลูกบอลน้ำ
“อ๊ากกกกกกกกกก”
เจสันและเกร็กร้องขึ้นพร้อมกันในขณะที่จับไปที่หัวซึ่งกำลังเปียกแฉะ
ท้องของอาร์เทมิสปูดขึ้นอย่างมากมันมองเจสันก่อนที่วงเวทย์จะปรากฏขึ้ด้านล่างของตัวมันและมันก็หายตัวเข้าไปในโลกวิญญาณ
“เดียวก่อน เฮ้ย มันจะไม่ตายใช่ไหม ทำไมนายถึงให้มันทำอย่างนั้นกับแกนสัตว์วิเศษในตอนนี้ !!?? สัตว์ป่าระดับ 3 ดาวย่อยมานาระดับนี้ได้ยังไง ไปหาผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เลยนะ มันต้องการความช่วยเหลือก่อนที่จะสายเกินไป”
มาเลียเด้งขึ้นมายืนในขณะที่กาเบรียลลาเองก็ทำเช่นกัน
หลังจากนั้นเกร็กก็เด้งตามขึ้นมาแต่มาร์คค่อยๆ ลุกขึ้นขณะที่เจสันนั่งอยู่ที่โซฟา
“ไม่จำเป็นหรอก”
เจสันพูดอย่างใจเย้นและสงบนิ่ง ขระที่มองเข้าไปในโลกวิญญาณและได้มองเห็นรังไหมที่ปกคลุมอาร์เทมิส เขารู้ดีว่ามันสบายดีและมีเกล็ดหิมะรอบๆ รังไหมที่ปลุกคุม แต่ละก้าวที่เจสันก้าวเข้าใกล้อาร์เทมิส เขาจะรู้สึกถึงความหนาวเย็น เจสันจึงตัดสินใจออกจากโลวิญญาณ เจสันนั่งยิ้มที่โซฟาโดยมีดวงตา 4 คู่ กำลังมองมาที่เจสันด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“ไม่จำเป็นหรอ ????”
เกร็กกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย
“ใช่ มันสามารถรับมานาระดับนี้ได้สบายๆ และฉันคิดว่ามันกำลังวิวัฒนาการ”
เจสันตอบโดยที่ยังยิ้ม
มีข้อเท็จจริงบางประการที่นำไปสู่ข้อสรุปของเจสัน
1. อาร์เทมิสถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีขาว
→สัตว์ร้ายที่วิวัฒนาการทุกตัวทำเช่นนั้น
2 มันกลืนแกนมานาของสัตว์วิเศษที่มานามากมายมหาศาล ทำให้อาร์เทมิสต้องใช้เวลาในการย่อยและพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวมันเอง
→ต้องใช้มานาจำนวนหนึ่งเพื่อบังคับให้เกิดการวิวัฒนาการในยีนของสัตว์ร้ายในขณะที่มันจะไม่ลายอาร์เทมิส
→เจสันคิดว่าอาร์เทมิสสามารถย่อยมานาได้มากเท่าที่มันต้องการ
3.อาร์ทเมิสที่อยู่ในรังไหมได้ปลดปล่อยพลังที่น่ากลัวในขณะที่ปลดปล่อยความเยือกเย็นออกมาและมีเกล็ดหิมะอยู่บริเวณรอบๆ
→วิวัฒนาการบางอย่างทำให้เกิดการสร้างเมล็ดพันธุ์ของธาตุน้ำแข็ง
“ฮะ?”
ทุกคนอุทานด้วยความไม่เข้าใจ และสับสน
‘เช่นเดียวกับที่จิตวิญญาณของเจสันวิวัฒนาการ?
สัตว์พันะะของเจสัน สามารถต้านทานมานาที่รุนแรงและแข็งแกร่งเช่นนี้ได้หรือไม่ โดยไม่สร้างความเจ็บปวดให้กับสัตว์พันธะและเจ้าของ
“การกลายพันธ์ของสัตว์พันธะนายคืออะไร”
มาเลียเป็นคนแรกที่ได้ถามคำถามที่ชัดเจน ซึ่งไม่มีใครสามารถตอบได้ แม้แต่เจสันเอง
“ฉันเองก้ไม่รู้จริงๆ แต่ดุเหมือนว่าอาร์เทมิสจะสามารถย่อยมานาได้เท่าที่มันต้องการ และฉันเองก็ยังไม่เข้าใจในศักยภาพของมันมากเท่าไหร่ แม้แต่ภายในใจของฉันก็ยังบอกว่ามีบางอย่างกำลังเกิดขึ้น นี้ไม่ใช่กรณีสัตว์ร้ายแต่ละตัวที่ฉันจับได้และไม่ใช่กรรีที่ฉันบอกเกร็กให้เลือกสัตว์พันธะตัวแรกของเขา”
เจสันเลือกที่จะบอกความจริงและจะไม่ปิดบังในเรื่องต่างๆ ของเขา ตามที่เขาได้คิดเอาไว้
เจสันยังไม่รู้ว่า พวกเฟลเลอร์นั้นรู้คร่าวๆ เกี่ยวกับดวงตาของเขาแล้ว ในขณะที่กาเบรียลลาและมาร์คได้พูดคุยกันเกี่ยวกับดวงตาของเจสัน
มีสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์มากมายเกี่ยวกับเจสันและตอนนี่อาร์เทมิสก็ได้ถึงเพิ่มเข้าไปในนั้น
ดวงตามานา โลกวิญญาณ พลังวิญญาณ และสัตว์พันธะ ทุกอย่างของเจสันนั้นแตกต่างกับคนอื่นโดยสิ้นเชิง
เจสันได้กลายเป็นตัวละครลึกลับสำหรับพวกเฟลลเอรื แต่เจสันก็อ่อนโยนและเป็นมิตรคอยช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ และได้ช่วยเหลือมาเลียในขระที่ตัวเองนั้นยังบาดเจ็บสาหัสและยังเป็นเพื่อนของเกร็กและเห็นได้ชัดว่าแม้แต่มาเลียก็ยังยอมรับในตัวของเจสัน
พวกเฟลเลอร์เชื่อว่าเจสันจะไม่ทรยศพวกเขา และตัดสินใจรอให้เจสันเล่าเรื่องอดีตของตนเองและเรื่องราวเกี่ยวกับความพิเศษของดวงตาโดยละเอียด
หลังจากนั้นพวกเฟลเลอร์ก็ได้นั่งลง และพูดคุยหารือเกี่ยวกับกำหนดการในวันพรุ่งนี้
เมื่อแยกย้ายกัน เจสันได้เข้าไปในห้องของเขาเพื่อฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ต่อ ก่อนที่จะมองไปที่อาร์เทมิสสักครู่
หลังจากนั้นเมื่อฝึกเทคนิคสรกสวรรค์ภายในโลกวิญญาณเสร็จ เจสันก็ได้ดูวิดีโอเกี่ยวการการปรับเทคนิคศิลปะการต่อสู้อย่างเชี่ยวชาญอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนไปดูลักษณะข้อมูลของสัตว์ร้ายต่างๆ
เจสันเลือกเมืองไซโรเพื่อตรวจสอบดูรายละเอียดของสัตว์ร้ายในบริเวณนั้น
เขาสามารถเห็นข้อมูลขอสัตว์ร้ายทุกตัวในป่า โดยจะมีรายละเอียดของพวกมันยกเว้นสัตวืที่หายากเพียงไม่กี่ตัวที่ไม่มีข้อมูลมากมาย
สิ่งสำคัญสำหรับเจสัน คือการไม่มีพื้นที่ป่า 1 ดาว ซึ่งหมายความว่าสัตว์ร้ายที่อ่อนแอที่สุดที่เจสันจะสามารถใช้ในการฝึกฝนได้ จะเปลี่ยนไปเป็นสัตวืร้ายที่ตื่นขึ้น
สิ่งนี้ทำให้เจสันรู้สึกถึงความตึงเครียดอย่างหนัก และได้ตั้งคำถามกับตนเองว่า จะสามารถเอาชนะสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นมาได้หรือไม่ โดยไม่มีอาร์เทมิสคอยช่วยเหลือ การจัดการกับสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นดุเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในขณะนี้ เนื่องจากการรวมพลังของเจสันกับอาวุธ และความกล้านั้นยังไม่เพียงพอ
วันนี้เจสันจึงตัดสินใจที่จะเพิ่มความแข้งแกร่งของเขาให้มากที่สุด
เนื่องจากได้นอนไปมาพอแล้ว เจสันจึงนั่งดูดซับมานาตลอดทั้งคืนและความมุ่งมั่นของเจสันที่จะบุกไปสูงระดับต่อไปโดยเร็วก็ถูกจุดขึ้น
การเพิ่มานาเข้าไปในแกนมานานั้นประกอบด้วยขั้นตอนง่ายๆ โดยการตรวจจับมานาที่อยู่รอบๆ ตัว และดูดซับมันเข้าไปภายในร่างกาย ยิ่งการควยคุมมานาดีขึ้น ความไว ความหนาแน่นของมานาโดยรอบ ความมุ่งมั่นและการโฟกัสก็จะดีขึ้นเท่านั้น ตลอดทั้งคืนที่ผ่านไปเจสันหยุดดูดซับมานา และฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ สลับกันไปมา
ด้วยความเข้าใจของเจสัน อารืเทมิสจะพัฒนาเป็นสัตว์ร้าบที่ตื่นขึ้นในระดับต่ำ และพลังวิญญาณของมันจะเพิ่มมาเป็น 11 หน่วย
ตอนนี้พลังวิญญาณของเจสันอยู่ประมาณ 5.4 หน่วยโดยรวมกับที่ได้รับจากอาร์เทมิส 1.4 หน่วย
นั้นหมายความว่าพลังวิญญาณจริงๆ ของเขาอยู่ที่ 4 หน่วย หลังจากฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ติดต่อกันหลายสัปดาห์
จากสิ่งที่เจสันคิด อาร์เทมิสจะพัฒนากลายเป็นสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นในระดับต่ำ โดยมีพลังวิญญาณ 11 หน่วย มันจพแบ่งพลังวิญญาณมาให้เจสัน 3.5 หน่วย
นี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งไม่รวมความจริงที่ว่าเจสัน ไม่รู้ว่าอาร์เทมิสนั้นจะวิวัฒนาการเสร็จในตอนไหน และภายในใจของเจสัน เขารู้สึกได้ว่า อาร์เทมิสนั้นจะไม่ได้มีพลังวิญญาณเพียงแค่ 11 หน่วย แต่อาจจะมากกว่านั้น
การทำสัญญากับสัตว์พันธที่มีพลังวิญญาณสูงเกินกว่าตัวเอง จะทำให้พวกมันสามารถหลุดพ้นจากพันธะและไม่รับคำสั่งจากเจ้าของได้
หากสัตว์พันะะไม่ทำตามคำสั่งของเจ้าของ นั้นคือความสิ้นสุดในพันธะ และสัตว์พันธะอาจจะทำร้ายเจ้าของของมันได้
อย่างไรก็ตามเจสันมั่นใจว่าอาร์เทมิสจะไม่ทำร้ายเขา ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มขีดความสามารถโดยรวมของเจสัน เจสันก็ได้ฝึกฝนจนเช้าและลงไปกินอาหารเช้า
เมื่อเจสันได้ยิงบางอย่าง เขาจึงถามพวกเฟลเลอร์เกี่ยวกับลูกจิ้งจอกธาตุและหมาป่าโลกันต์
กาเบรียลลาให้ความั่นใจกับเจสันว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี และลูกจิ้งจอกธาตุก็ถูกขายหมดเรียบร้อยแล้ว
ก่อนหน้านี่เจสันคิดว่ามาร์คจะขายลูกจิ้งจอกได้เพียงครึ่งเดียว แต่เห็นได้ชัดว่าพ่อค้าสัตว์ร้ายที่ประสบความสำเร็จคนนี้ สามารถหาลูกค้าและขายสัตว์ร้ายจำนวนมากได้ในเวลาเพียงสั้นๆ
แต่มาร์คได้ทำการขายลูกจิ้งจอกทั้งหมดให้พ่อค้านายหน้าอีกคน ซึ่งทำให้เขาได้เงินจำนวนมากกว่าโดยไม่ติดข้อกำหนดของเจสัน
“เราจะออกเดินทางอีกเมื่อไหร่ ต้องทำอะไรก่อนไหม หรือออกเดินทางไปเมืองไซโรพรุ่งนี้เลย ??”
เจสันได้ถามขึ้น
“พวกเราน่าจะเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้ และเราสามารถไปถึงได้เร็วขึ้นเนื่องจากรถของเราสามารถปรับเป้นรถความเร็วสูงได้ และอาจจะใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงเนื่องจากเราจะเดินทางเป็นเส้นตรงผ่านป่า 1 ดาว และ 2ดาว ที่ไม่มีสัตว์ที่บินได้”
กาเบรียลลากล่าวอย่างมั่นใจ
“แต่พวกเธอจะทำอะไรที่เมืองนี่กันก่อนไหม เธอทั้ง 3 ได้ฆ่าสัตว์วิเศษและสัตว์หายากตัวอื่นๆ และถึงสิงโตอำพันสองหัวจะถูกฉีกร่างแต่แกนมานาและส่วนสำคัญๆ ของมันยังสามารถขายได้ในราคาสูง พื้นที่เก็บของ ของเกร็กมีฟังก์ชั่นการจัดเก็บแบบรักษาคุณภาพของสัตว์ร้ายต่างๆ พวกขุนนางอาจจะจ่ายให้ในราคาที่สูง เพื่อให้ได้ตับของสิงโตอำพันสองหัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น 1 ในสิ่งที่ดีที่สุดในการปลูกถ่าย และก็อย่าลืมแกนของสัตว์ร้ายและ สัตว์วิเศษสามารถให้กับสัตว์พันธะของพวกเธอได้และจะช่วยเพิ่มศักยภาพของมัน”
กาเบรียลลาแนะนำ
ขระที่เกร็กหยิบแกนสิงโตอำพันออกมา ซึ่งมีสีแดงและข้างในเป็นเหมือนเปลวเพลิงรุกไหม้ขนาดเล็ก
เจสันได้เปิดดวงตามานาเพื่อดู และได้เห็นมานาจำนวนมหาศาลที่บีบอัดอยู่ภายในแกนนั้น
‘นั้นคือ มานาเหลวที่อยู่ภายในแกนของพวกสัตว์วิเศษ ‘
เจสันคิดและเขาเพิ่งเคยเห็นแกนสัตว์ที่มีความบริสุทธ์มากขนาดนี้
สำหรับมนุษย์ที่ต้องการเข้าสูอันดับผู้วิเศษ พวกเขาจะต้องบีบอัดมานาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่จะแปลงมานาเหล่านั้นให้กลายเป็นมานาเหลวที่มีความบริสุทธิ์สูง
การบีบอัดนี้จะทำให้แกนมานานั้นบริสุทธิ์ก่อนที่มันจะเริ่มเปลี่ยนรูปร่าง
ในขณะที่มานาถูกบีบอัด ช่องว่างใหม่สำหรับมานาจะมีมากขึ้น และจะเหลือพื้นที่ในแกนมานา มีการกล่าวว่ายิ่งมานาถูกบีบอัดให้กลายเป็นของเหลวมากเท่าไหร่ จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น
เจสันพบว่าระบบการบ่มเพาะนั้นค่อนข้างแปล
จาก มือใหม่ → ผู้ชำนาญ → ผู้เชี่ยวชาญ → มาสเตอร์ จะเพิ่มขนาดของแกนมานาในขณะที่ขับสิ่งสกปรกออกไปจากแกนเพื่อเพิ่มความบริสุทธิ์
จากนั้นจะเปลี่ยนมานาที่มีลักษณะเป็นก๊าซให้กลายเป็นของเหลวและไปถึงอันดับต่อไป คือผู้วิเศษ
และจากความรู้ของเจสัน กล่าวกันว่ายิ่งมานาเหลวมีมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีอันดับสูงขึ้นไปอีก โดยการไปถึง ผู้วิเศษขั้นสูง ภายในแกน 30% จะต้องเป็นมานาเหลว
การแปลงอนุภาคมานาให้กลายเป็นในรูปแบบของเหลวนั้นยากมาๆ เพราะต้องโฟกัส และแม่นยำอย่างมาก และจะทำได้ก้ต่อเมื่อแกนมานามีความบริสุทธิ์และมานามาากพอที่จะบีบอัดและเปลี่ยนแปลง ให้อนุภาคของมานานั้นหนาแน่นมากยิ่งขึ้นซึ่งเป็นอุปสรรคในการเข้าสู่ ผู้วิเศษในระดับเริ่มต้น
ก่อนหน้านี้เจสันก็เคยสงสัยว่าทำไมวิธีการเหล่านี้ถึงถูกแบ่งแบบนี้ และดับใดไหนที่รองจาก ผู้วิเศษขั้นสูง แต่ตอนนี้เขาไม่จำเป็นของคิดถึงเรื่องนั้น
สิ่งเดียวที่เขารู้คือ หากไม่มีทรัพยากรต่างๆ เพียงพอ ความเร็วในการรวมรวมมานานั้นจะช้าลง และเพื่อให้มีทรัพยากรต่างๆ มาขึ้นเจสันต้องเข้าสู่ป่าในเขตอันตรายแม้แต่โซนต้องหา เพื่อล่าสัตว์ร้ายในระดับสูง และฝึกฝนไปในขณะเดียวกัน
เกร็กมองไปที่มาเลีย โดยเธอส่งสัญญาณให้เกร็กด้วยหางตา เกร็กจึงรู้ได้ทันทีจากนั้นเขาจึงโยนแกนของสิงโตอำพันให้กับเจสัน
“นายควรรับมันไป”
เกร็กกล่าวขณะที่มาเลียก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเกร็ก
เจสันตกตะลึง ขอบรู้สึกขอบคุรเกร็กและรับแกนของสิงโตอำพันมา
เจสันได้ถามอาร์เทมิสว่าจะออกมาจากโลกวิญญาณเพื่อเอาแกนสัตว์วิเศษนี้ไหว อาร์เทมิสจึงออกมาด้วยความดีใจ
เจสันคิดว่ามันจะต้องตรงเข้าไปหาแกนสัตว์วิเศษนี่อย่างแน่นอน แต่สิ่งนี้ก็ทำให้เจสันประหลาดใจ มันไม่เพียงแต่ไม่เข้าไปใก้ลแกนสัตว์วิเศษเท่านั้นแต่มันยังทำหน้าไม่พอใจและถอยห่างออกมา
“ไม่ชอบแกนนี้หรอ ??? ”
นี่มันแปลก อาร์เทมิสนั้นชอบแกนมานาของสัตว์ร้ายมากๆ แต่แกนสัตว์วิเศษที่มีค่านี้และมีความบริสุทธิ์และมานาที่มากมายมหาศาล มันกลับไม่อยากได้
ความรู้สึกแปลกๆ ก็เข้ามาในจิตใจของเจสันทันที
“เอ๊ะ…. เป็นไปได้ไหมที่จะกินแกนสัตวืที่มีความบริสุทธิ์และมีธาตุอื่นที่แตกต่างจากตัวเองมันเอง ???”
เจสันถามด้วยสีหน้าขอโทษ
เห็นได้ชัดว่าอารืเทมิสไม่เหมาะกับแกนสัตว์วิเศษธาตุไฟและมันก็ไม่ชอบมานาแบบนี่ มันได้ถ่ายทอดความรู้สึกหนาวเย็ดราวกับหิมะให้เจสันได้รับรู้ และเจสันก็เข้าใจในสิ่งที่มันต้องการทันที
“มันเป็นไปได้ แต่แกนสัตวืร้ายธาตุไฟเป็นหนึ่งในประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด และหากต้องการใช้ธาตุอื่นๆ จะต้องเปลี่ยนแปลงและเพิ่มความแตกต่างในแกนมานาของตัวเอง แต่นั้นก็เป็นไปได้เนื่องจากแกนสัตว์วิเศษนี้หาได้ยาก”
มาร์คเป็นคนแรกที่ตอบ แต่คำตอบนั้นน่าพอใจและมีคนเห็นเจสันขมวดคิ้วเล็กน้อย …
“อาร์เทมิสนั้นต้องการแกนแบบไหน บางทีเธออาจจะหาได้บ้าง เธอฆ่าสัตว์วิเศษ 3 ตัวในวันนี้ และบางทีสัตว์พวกนั้นอาจจะมีแกนที่มันต้องการ”
กาเบรียลลาตอบหลังว่ามันจะคลายความรู้สึกกังวลของเจสันได
ตอนนี้เจสันรู้สึกละอายมาก แต่ถ้าเขาสามารถรับรู้แกนสัตว์ร้ายน้ำแข็งได้ บางทีอาร์เทมิสอาจจะได้รับการพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ
เจสันคิดไปไกลแล้วถึงอนาคตก่อนที่เขาจะสงบลง
“ในบรรดาสัตว์ที่ผมได้จัดการไป มีตัวไหนเป็นธาตุน้ำแข็งหรือไม่”
เจสันถามด้วยความหวังเล็ก ๆ
พวกเฟลเลอร์อยู่ใกล้กับเขตเวทย์มนต์น้ำแข็งและโอกาศที่สัตว์วิเศษที่มีธาตุน้ำแข็งจะบุกเข้ามาในพื้นที่นั้นมีไม่น้อย แต่สัตว์ร้ายธาตุน้ำแข็งนั้นหายากยิ่งกว่าธาตุไฟ
“ฉันคิดว่าพวกเรามีอยู่นะ”
“จริงหรอ ! ผมขอแลกเปลี่ยนกับแกนสิงโตอำพันได้ไหม และถ้าหากมันมีค่าเกินกว่าผมก็จะจ่ายส่วนต่างให้ ขอร้อง!!”
เจสันพยายามขอร้องด้วยการทำตาออดอ้อน ทำให้กาเบรียลลารู้ขึ้นขบขัน ในขณะที่มาร์คหัวเราะออกมา
“เธอไม่จำเป็นต้องจ่ายส่วนต่างหรอก นี่ถือเป็นคำขอบคุณที่เธอได้ช่วยลูกสาวของเราไว้
มาร์คพูด ขณะที่เจสันยิ้มออกมาและยื่นแกนสัตว์ร้ายธาตุไฟให้เพื่อแลกเปลี่ยน
“แม้ว่า ผมจะช่วยมาเลียไว้ แต่ผมก็ยังได้รับความช่วยเหลือจากพวกคุณ ดังนั้นเพื่อความสบายใจได้โปรดรับสิ่งนี้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน”
เจสันยืนกรานแต่มาร์คก็ดื้อรันเช่นเดียวกันและท้ายที่สุดเขาก็ตกลงกันว่าเจสันไม่ต้องจ่ายส่วนต่างในขณะที่พวกเขาแลกเปลี่ยนแกนตัตว์วิเศษทั้ง 2 ธาตุ
มาร์ครู้สึกประหลาดใจกับตัวเอง
‘นี้ฉันเกลี่ยนกล่อมให้เขาไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มงั้นหรอ’
แกนสัตว์วิเศษธาตุน้ำแข็งนั้นเย็นมากและมีขนาดเท่ากำปั้นเล็กๆ อาร์เทมิสรีบกระโดนขึ้นไปบนแกนสัตว์วิเศษธาตุน้ำแข็ง แล้วมันก็ได้ทำการหล่อหลวมแกนสัตว์ร้ายเข้ากับร่างกายของมัน และบีบแกนสัตว์ร้ายลงไป ทำให้เกิดแสงสว่างเล็กๆ เจสันและทุกคนต่างเบิกตามองด้วยความตกใจ
‘มันจะไม่ระเบิดใช่ไหม’
ทุกคนต่างคิดเป็นเสียงเดียวกัน
เมื่อเจสันและมาเลียออกจากร้านและช่วยพยุงกัน เจสันก็รู้สึกถึงร่างที่อยู่ข้างๆเขา
กาเบรียลลาและมาร์คปรากฏตัวต่อหน้ามาเลีย และกำลังสแกนร่างมาเลียตั้งแต่หัวจรดเท้า
“โอ้ลูก !!! เป็นยังไงบ้างลูกบาดเจ็บตรงไหน เอานี้ดื่มนี้สิ น้ำยารักษา”
กาเบรียลลากังวลมากและมาเลียพยายามทำให้แม่สงบลง
เจสันเดินจากไปเพราะไม่อยากขัดจังหวะพวกเขา ในขณะที่เจสันเดินลากขาข้างที่บาดเจ็บ
ร่างกายของเขายังคงเต็มไปด้วยอะดรีนาลีนและหัวใจของเขาก็เต้นรัว เมื่อเขาช่วยเกร็กหยิบซากศพสัตว์ร้ายที่พวกเขาฆ่า
มันเป็นกฎทั่วไปที่นักล่ามีสิทธิ์ในซากสัตว์ร้ายที่พวกเขาได้จัดการและใครก็ตามที่จับมันจะถือว่าผิดศีลธรรม
นี่ไม่ใช่กฎหมาย แต่คนส่วนใหญ่จะยึดติดกับกฎนี้ อย่างไรก็ตามมีคนที่เห็นแก่ตัวอยู่เสมอที่พยายามหารายได้พิเศษ
ขาของเจสันเจ็บปวดมากและเขาตัดสินใจที่จะดื่มน้ำยารักษาระดับเกรด 1 แต่มันก็ยังเจ็บปวดอยู่
เมื่อพวกเขาเก็บชิ้นส่วนร่างกายของสิงโตอำพันสองหัว เกือบเสร็จแล้วเกร็กก็เห็นขาของเจสันเป็นครั้งแรกและดวงตาของเขาเบิกกว้าง และมีสีหน้าตกใจ
“เจสัน … ขาของนายเลือดออกเยอะมาก นายไหวไหม ให้แม่ของฉันรักษาดีกว่าไหม!?!”
เกร็กอุทานขึ้น
“ฉันไม่เป็นไ….”
เจสันพูดขณะที่กำลังหมดสติและล้มลงไป
“แย่แล้ว เจสัน !!”
กาเบรียลลายังคงกังวลเกี่ยวกับลูกสาวของเธอ แต่เมื่อเธอได้ยินเสียงของเกร็กเธอหันไปรอบ ๆ เธอเห็นเกร็กอุ้มเจสันที่มีเลือดไหลออกมาโดยมีเลือดจำนวนมากอยู่ด้านล่างทำให้เกิดแอ่งน้ำเล็ก ๆ
“ไม่นะ!”
กาเบรียลลาร้องออกมาและเธอก็ปรากฏตัวข้างๆเจสัน ในขณะที่ต้นไม้เล็ก ๆ ที่มีเถาวัลย์หนา แต่เรียบปรากฏบนมือซ้ายของเธอ
เถาวัลย์ที่เรียบเนียนกำลังพันรอบขาของเจสัน มันให้ความรู้สึกสงบแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายและมีกลิ่นสมุนไพรที่กระจายออกมาจากเถาวัลย์
ถ้าตามานาของเจสันเปิดใช้งาน เขาจะสามารถมองเห็นเวทมนตร์บำบัดได้เป็นครั้งแรก
สัตว์พันธะตัวแรกของกาดบรียลาเป็นสัตว์ร้ายที่ได้รับการวิวัฒนาการจากพืช ที่มีความสามารถในการรักษาที่แข็งแกร่งซึ่งหาได้ค่อนข้างยากและไม่ค่อยมีใครได้พบมันนัก
แต่การรักษานั้นไม่แรงพอที่เจสันจะฟื้น แต่เลือดหยุดไหลแล้ว และกาเบรียลลาหยิบขวดสองขวดขึ้นมาซึ่งแตกต่างกันออกไป
→น้ำยารักษาระดับ 2 เพื่อป้องกันไม่ให้เจสันเสียเลือดมากขึ้นและฟื้นคืนความแข็งแรง
→น้ำยาสร้างเลือดระดับ 1 เพื่อเสริมสร้างเลือดของเจสันและเพิ่มการฟื้นฟูเลือดของเขา
น้ำยาสร้างเลือดเป็นเพียงยาระดับ 1 เพราะกาเบรียลและมาร์คไม่มีน้ำยาสร้างเลือดระดับ 2 เพราะมันจะสร้างจากแก่นแท้ของเลือดจากสัตว์หายาก
สีหน้าของเจสันเริ่มดีขึ้น แต่เขาก็ยังไม่สามารถฟื้นมีสติได้
*ชั่วโมงถัดมา*
เจสันไม่แน่ใจว่าหลับไปตั้งแต่นอนไหน แต่เขาตื่นขึ้นมาและรู้สึกสดชื่น เต็มไปด้วยพลังเมื่อลืมตาขึ้นมา
เขาสามารถมองเห็นห้องนอนขนาดใหญ่ที่มีเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงอยู่รอบ ๆ ตัวเขาและสงสัยว่าเขาอยู่ที่ไหน
เจสันนั่งตัวตรงและรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อยเมื่ออาร์เทมิสปรากฏตัวต่อหน้าเขาภายในวงเวทย์สีขาวที่คุ้นเคย
มันร้องไห้ออกมาด้วยความกังวลและมีความสุข มันจึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเจสัน
อาร์เทมิสรู้สึกได้ว่าอาการบาดเจ็บของเจสันหายดีแล้ว แต่มันก็ยังกังวลเล็กน้อย
เจสันต้องการที่จะลุกขึ้นยืนในขณะที่ถืออาร์เทมิสแต่เขารู้สึกว่าขาซ้ายรู้สึกชาเล็กน้อยและขยับได้ยากขึ้น เมื่อจำอาการบาดเจ็บที่ขาได้
เจสันดึงกางเกงลง และเห็นว่าไม่มีแม้แต่สะเก็ดแผลซึ่ง ก่อนหน้านี้เขามีบาดแผลที่ฉีกขาดและสาหัส
นอกจากนี้ยังไม่มีอาการปวดอีกด้วย แต่ความรู้สึกชาทำให้เจสันรู้สึกไม่สบายตัว
เจสันลากตัวเองออกจากห้องและเข้าไปในห้องนั่งเล่น ซึ่งพวกเฟลเลอร์กำลังนั่งรอให้เขาฟื้นอยู่
เจสันมีความสุขที่เห็นพวกเฟลเลอร์สบายดีและแม้แต่มาเลียก็ดูดีโดยไม่มีเลือดหมาป่าบนใบหน้าของเธอ
เห็นได้ชัดว่ามีเพียงเจสันเท่านั้นที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะถูกแทงด้วยส่วนที่แหลมคมของประตูที่ฉีกขาด
มาเลียหรือเกร็กที่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บหนักเท่าเจสันเพราะร่างกายของพวกเขาแข็งแกร่งและทนทานกว่าเจสันมาก
แม้ว่าเจสันจะรู้สึกแข็งแกร่งขึ้นมากเมื่อสองเดือนก่อน … ความแข็งแกร่งของเขายังคงอยู่ที่ต่ำกว่าคนอื่นๆ
มาร์คเห็นเจสันและได้พูดทักทายเจสันเป็นคนแรก
“เฮ้ เจ้าตัวเล็กสบายดีไหม”
ก่อนที่เขาจะกล่าวเสริมอย่างไม่เต็มใจว่า
“เธอทำได้ดีมาก ขอบคุณที่ช่วยลูกสาวที่มีค่าของฉัน”
มาเลียบอกพ่อแม่ว่าเกิดอะไรขึ้นและทั้งคู่ก็รู้สึกขอบคุณเจสัน
มาร์คไม่ได้ชอบเจสันเป็นพิเศษ แต่เจสันได้คะแนนพิเศษจากการกระทำของเขาในวันนี้
กาเบรียลลา, เกร็ก และมาเลียยืนขึ้นพร้อมกันและล้อมรอบ เจสันเพื่อถามเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของเขาว่ายังเจ็บไหมและรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง
เจสันตอบคำถามและนั่งลงโดยที่อาร์เทมิสยังอยู่ในอ้อมแขน และเจสันถามในสิ่งที่อยากรู้มากที่สุดคือ
“สถานการณ์ในเมืองเป็นยังไงบ้าง ทำไมสัตว์ร้ายเหล่านั้นถึงเข้ามาได้ แล้วมีคนตายไปทั้งหมดกี่คน”
เจสันถามอย่างตรงไปตรงมา แล้วคิดว่าสถานการณ์จะไม่เลวร้ายไปกว่านี้
มาร์คเปิดข่าวอ่านและวิเคราะห์สรุปให้เจสันได้ฟัง
“โดยรวมแล้วฝูงสัตว์ร้ายส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นโดยสัตว์ที่วิวัฒนาการแล้วและมีสัตว์วิเศษสองสามร้อยตัวปรากฏตัวขึ้น
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะ เผ่ามิโนทอร์ พวกขเาทำลายกำแพงเมืองแล้วทำลายขอบเขตรอบนอกของเมือง อย่างไรก็ตามพวกเขาทำได้แค่ขัดขวางพวกมันเท่านั้น
แต่ไม่มีคนถูกฆ่าโดยเผ่ามิโนทอร์ และพวกมันตรงเข้าสู้เขตขุนนางโดยไม่สนใจการโจมตีของพวกเรา
แม่ว่าปืนใหญ่มานาทั้งหมดจะโจมตีพวมัน แต่ความต้านทานเวทย์มนต์ของเผ่ามิโนทอร์นั้นแข็งแกร่งมาก พวกมันสามารถสะท้อนการโจมตีทั้งกลับไปได้
โชคดีสำหรับเราและเมืองจิโร่ แทนที่พวกมันจะทำลายอย่างสังหารคนอย่างสนุกสนาน พวกมันกลับถอยกลับทันที่ที่พวกมันได้ของของพวกมันคืน
นี่เป็นเหตุผลที่เกิดฝูงสัตว์ร้ายขึ้นเมือเผ่ามิโนทอร์ทำลายโดมและกำแพงเมือง
มีเพียงสองเหตุผลที่มิโนทอร์มาที่นี่ คือ
1) การทำลายล้างที่จะเกิดขึ้น
2) การลักพาตัวลูก
ในความคิดของฉันน่าจะเป็นเหตุผลที่สอง พวกขุนนางในเมืองจิโร่อาจจะขโมยลูกของเผ่ามิโนทอร์มา พวกมันจึงมาเอาคืน
นับเป็นโชคดีที่พวกขุนนางเหล่านั้น ไม่โดนพวกมันสังหาร แต่ผู้ที่ต้องจ่ายค่าผ่านทางของพวกมิโนทอร์คือผู้คนในเมืองจิโร่
มีผู้คนเสียชีวิตมากกว่าหนึ่งล้านคนและยังมีผู้สูญหายอีกจำนวนมาก
เกี่ยวกับสถานการณ์ในเมืองจิโร่ ประชาชนหวาดกลัวและตื่นตระหนก ในขณะที่รัฐบาลพยามยามทำให้มวลชนสงบลงให้ได้มากที่สุด
เมื่อมองไปที่ถนนและย่านการค้า มีความเสียหายที่หนักมาก อาคาร ตึกระฟ้าเสียหาย ซึ่งเกิดการจากบุกถล่มของมิโนทอร์
ฉันดีใจที่พวกเธอรอดชีวิตมา และโชคดีที่เธอบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อพิจารณาถึงร่างกายที่อ่อนแอและอันดับแกนมานาของเธอถือว่าดีมากที่เธอรอดชีวิตมาจากสตว์ร้ายเหล่านั้น
พูดตามตรง มันค่อนข้างน่าอายที่รับแจ้งว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1 ล้านคน ฝูงสัตว์ร้ายนี้มีเพียง 2-3 ร้อยตัว ขณะที่มีผู้คนมากกว่าหลายเท่าตัวและวผู้คนส่วนใหญ่มีอันดับที่สุงและมีระดับผุ้เชี่ยวชาญแต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก้ได้ไป โดยไม่ยอมป้องกันตัวเองและเอาแต่หลบซ่อน
และในขระที่พลเมืองเหล่านี้เสียชีวิต พวกทหารก็ดำเนินการช้าอย่างมาก ทำให้สัตว์ร้ายเข้ามาในเมืองมากเกินไป…
สรุปทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันช่างเป็นความซวยที่ซวยจริงๆ “
เจสันฟังมาร์คอย่างละเอียด และมาร์คก็พูดถึงสถานการณ์ทั้งหมดอย่างมีเหตุผลและครบถ้วนแต่ประจบประโยคสุดท้ายทำให้อยู่ๆ คลื่นเสียงของเขาก้ดังขึ้นมาชั่วขณะ ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในบริเวณนั้น
“ที่รัก !! ฉันบอกแล้วไงให้ควยคุมอารมณ์ของคุรหน่อย”
กาเบรียลลาได้ดุมาร์ค
อาร์เทมิสตกใจจนร้องไห้ และมองมาร์คด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่มันจะหายกลับเข้าไปในโลกวิญญาณ
“ สิงโตอำพันสองหัว ขนาดเล็ก!!”
มาเลียอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ขนาดเล็ก?! นี้ตัวคือขนาดเล็กงั้นหรอ”
ทั้งเจสันและเกร็กตะโกนด้วยความสงสัย
สิงโตขนสีแดงที่มีเปลวไฟปกคลุมที่แผงคอของมัน มันสูงอย่างน้อยสามเมตร
ในขณะที่มันก้มลงเพื่อพ่นเปลวไฟ มาเลียก็ได้สร้างกำแพงน้ำหนาขึ้นเพื่อป้องกันเปลวไฟ
เจสันต้องคิดสักครู่ก่อนที่เขาจะจำสิงโตสองหัวนี้ ได้ มันเป็นสัตว์วิเศษ และดูเหมือนว่ามาเลียกำลังจะใช้มานาทั้งหมดของเธอเพื่อป้องกันการใช้เปลวไฟของสิงโตอำพันสองหัว
มาเลียเหงื่อออกอย่างมาและดูเหมือนว่าจะถึงขีดกำจัดของเธอแล้ว
เมื่อสิงโตสองหัวหยุดพ่นเปลวไฟมันได้มองดูเหยื่อของมันว่าตายหมดรึหยัง เมื่อไอน้ำเริ่มจางหายมันเห็นเพียงแต่ดวงตาสีทองอร่าม เจสันได้หยิบปืนและยิงไปที่หัวใดหัวหนึ่งของสิงโต
แต่ความเร็วของเด็กหนุ่มนั้นช้าเกินไปสำหรับสิงโต มันก็ปิดเปลือกตาลงเพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่ดวงตา
“Fuc k”
เจสันอุทานออกมาเนื่องจากตัวเขานั้นยังเร็วไม่พอ แต่การเคลื่อนไหวของเขาทำให้ เกร็กมีเวลามากพอที่จะหยิบปืนนกอินทรีทะเลทรายระดับ 2 ที่มีกระสุนเจาะเกราะออกมา
เมื่อสิงโตอำพันสองหัว ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งมันก็ได้รับการโจมตีด้วยกระสุนปืนมานาจำนวนมากจากเกร็ก
กระสุนพุ่งไปโดนหัวข้างหนึ่งของสิงโตทำให้มันได้รับบาดเจ็บสาหัส
ในขณะนั้นหัวสิงโตอีกหัวกำลังจะพ่นไฟออกมาอีกครั้งหนึ่ง มาเลียร้องออกมาพร้อมกับลูกระเบิดที่อยู่ในมือ 2-3 ลูก
มาเลียเหงื่อออกอย่างมากและไม่เหลือมานาแล้วในตัว
เมื่อพิจารณาถึงวิธีการจัดการโตอำพันสองหัว เธอคิดได้แค่ระเบิดที่เธอมีเพราะพวกมันไม่ต้ใช้มานา
เจสันตกใจและแทบจะฉี่รดกางเกง ในขณะที่เขามองไปที่ลูกระเบิดที่ถูกขวางไปทางสิงโตอำพัน ทำให้เกิดเสียงดังสนั่น
ในขณะที่หัวที่ได้รับบาดเจ็บขาดออกไป หัวอีกข้างถูกแทงด้วยเศษโลหะ ทำสิงโตอำพัน ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
มีปัญหาเดียว!
เนื่องจากการระเบิด ทางเข้าจึงพังยับเยินเกือบทั้งหมด
ในขณะที่สิงโตดูเหมือนจะตายจากการถูกสัตว์ร้ายอีกสองสามตัวที่เห็นมัน กลุ่มไฮยีน่าที่พัฒนาแล้วแล้วก็พุ่งเข้าหาสิงโตที่กำลังจะตายเพื่อฆ่ามัน โดยมีไฮยีน่า 10 ตัวกำลังถูกเผาโดยเปลวเพลิงบนแผงคอของสิงโตอำพัน
เจสัน เกร็กและมาเลียรู้ดีว่าตอนนี้พวกเขาต้องสงบสติอารมณ์และไม่พูดอะไร เพราะยิ่งเวลาผ่านไปนักเรียนระดับกลางคนหนึ่งร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัวในทันที ที่เห็นฝูงไฮยีน่ากำลังกินซากของสิงโตอำพัน
`Shit !!`
ทั้งสามคิดแบบเดียวกันในหัว
มีไฮยีน่าผิวหนาประมาณ 20 ตัว โดยความพิเศษของพวกมันคือมีผิวที่หนังหนา
กระสุนธรรมดาของเจสันคงไร้ประโยชน์และเขาเปลี่ยนแม็กกาซีนเป็นกระสุนเจาะเกราะ ในขณะที่เกร็กยิงไปที่ไฮยีน่าซึ่งพวกมันหันมามองที่ห้องนิรภัยที่มีผู้คนอยู่มากมาย
ซากศพของสิงโตไม่ได้ให้สารอาหารที่เพียงพอสำหรับพวกมัน และมนุษย์ก็เป็นของว่างแสนอร่อย ทำให้ไฮยีน่าราว 10 ตัวหันมาสนใจ
มาเลียไม่กลัวที่จะต่อสู้กับพวกมันและเธอก็ยิงลูกบอลน้ำออกไป 5 ลูก ซึ่งทำให้ไฮยีน่าห้าตัวแยกจากกัน
แต่นี่เป็นสิ่งที่เธอทำได้มากที่สุดในในขณะที่เธอทรุดตัวลงเนื่องจากใช้มานาไปมาก จนแทบจะไม่เหลืออยู่
ไฮยีน่าร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดและนี้ซึ่งอาจจะถือได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
ทั้งสามทำได้เพียงถ่วงเวลา ในขณะที่มานาของมาเลียไม่มีเหลือแล้ว และเธอสามารถใช้ได้เฉพาะอาวุธที่ไม่ต้องใช้มานาเท่านั้น
เกร็กยังคงมีเงินสำรองเหลืออยู่และปืนนกอินทรีทะเลทรายของเขา ก็ยิงกระสุนราวกับว่ามันไม่มีที่สิ้นสุดและได้ฆ่าสัตว์ร้ายไปตัวหนึ่ง
สัตว์ร้ายจำนวนมากขึ้นรวมตัวเข้ามาใกล้กับศพของสิงโตและเจสันสามารถมองเห็นแกนมานาของมันซึ่งแผ่มานาออกมาจำนวนมากพร้อมกับของเหลวที่ลอยอยู่รอบ ๆ ด้านในของแกนมานา ทำให้สัตว์ร้ายจำนวนมากมารวมตัวกันใกล้ ๆ กับศพสิงโตที่มีมาลาหลั่งไหลออกมา
แต่โชคดีที่สัตว์ร้ายเหล่านี้ฆ่ากันเองเพื่อนแย่งแกนมานาของสิงโตอำพัน
เมื่อสัตว์ร้ายตัวแรกเข้าใกล้แกนกลางสัตว์อื่น ๆ ก็จะรุมฆ่าสัตว์ร้ายตัวนั้น
แทนที่จะโจมตีมนุษย์ เจสันหวังว่าพวกมันจะเป็นจัดการกันเองเพื่อแย่งแกนมานาของสิงโต
นาทีที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดผ่านไป
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในระหว่างนี้ แต่สัตว์ร้ายค่อยๆเริ่มเข้าใจว่าเวลากำลังจะหมดลงเมื่อพวกมันรู้สึกว่ามีมนุษย์ที่ทรงพลังกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
เมื่อสัตว์ร้ายตัวแรกเริ่มเข้าใกล้แกนมานาในที่สุด การสังหารหมู่ในหมู่พวกมันก็เริ่มขึ้น
ไฮยีน่ าหมาป่ ากระทิง กิ้งก่ าม้า งู ควาย จิ้งจอกและอื่น ๆ พยายามที่จะแย่งแกนมานาที่ทรงพลัง แต่ไม่มีสักตัวเดียวที่จะได้มันมา เพราะสัตว์ร้ายแต่ละตัวขัดขวางซึ่งกันและกัน
ทุกคนที่อยู่ในห้องนิรภัยต่างดีใจเป็นอย่างมากและความตึงเครียดจากผู้คนที่อยู่เบื้องหลังก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยในขณะที่ ทั้งสามมองออกไปข้างนอกอย่างตั้งใจ
สองนาทีผ่านไปและไม่นานนักจนกว่าการช่วยเหลือจะมาถึง แต่ทันใดนั้นสัตว์ร้ายก็ตัดสินใจที่จะฆ่ากันเองและกันและรีบวิ่งไปที่แกนมานาของสิงโตอำพัน
ในขณะที่มันกำลังแย่งแกนมานากัน ก็มีสัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่กระเด็นมาทางห้องนิรภัย มันกระเด็นมาโดนเจสัน เกร็ก และมาเลียทำให้ทั้ง 3 กระเด็นออกไปอีกที
ปืนนกอินทรีทะเลทรายของเกร็กก้กระเด็นออกจากมือของเขาและตอนนี้หมาป่ายืนอยู่บนประตูที่ฉีกขาด ซึ่งทับร่างของทั้ง 3
เจสันยังคงมีปืนพกอยู่ใกล้เขา แต่มันคงไร้ประโยชน์กับหมาป่า ซึ่งเป็นสัตว์ร้ายอันดับที่ไม่มีตำหนิ
มีเพียงประตูที่ฉีกขาดเท่านั้นที่กั้นระหว่างหมาป่ากับพวกเขา
มาเลียไม่สามารถทำอะไรได้แล้วเพราะมานาของเธอหมดและการเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียวนั้นยากมากในขณะที่เจสันและเกร็กก็ไม่มีอะไรจะปกป้องตัวเอง …
เจสันรู้สึกเจ็บที่ขาและและรู้ว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บ แต่ความเจ็บปวดทำให้เขาตื่นตัว
ในขณะที่หมาป่าส่ายหัวไปมาและร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด เจสันมองไปรอบ ๆ เพื่อค้นหาปืนนกอินทรีทะเลทราย เจสันจึงเปิดใช้งานดวงตาของเขาเพื่อมองหา
และครู่ต่อมาเจสันก็เห็นปืนนกอินทรีทะเลทรายอยู่ข้างๆ มาเลียซึ่งสูญเสียความสงบไปอย่างสิ้นเชิงขณะที่หัวของหมาป่าเข้ามาใกล้เธอมาก
เธอพยายามใช้กำลังผลักประตูที่ฉีกขาดออกไปเพื่อดันหมาป่าออกไป แต่มันก็ไร้ประโยชน์เมื่อเธอไม่มีพลังเหลืออยู่
ในขณะที่ปากของหมาป่าอยู่เหนือใบหน้าของเธอ พร้อมที่จะฆ่ามาเลียด้วยการกัดหัว มาเลียก้ได้หลับตาลงด้วยความตกใจ
เสียงดัง * ปั้ง !! * ทำให้แก้วหูของมาเลียสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและเลือดของหมาป่าก็กระเด็นไปบนหน้าของมาเลีย
” ฉันยังไม่ตาย ”
มาเลียสงสัยและร่างกายของเธอก็สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
เมื่อลืมตาขึ้นเธอก็เห็นหมาป่ามีรูขนาดใหญ่อยู่ที่หัวและตัวมันก็ล้มลง
เมื่อหันไปทางขวามาเลียก็เห็นเจสันพร้อมกับปืนนกอินทรีทะเลทรายของเกร็กในมือ เจสันยิ้มอย่างมีเลศนัยด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว ก่อนที่จะคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด
“โครตหนักเลย”
เจสันอุทานออกมา
มาเลียยังคงหวาดกลัวและไร้เรี่ยวแรง แต่เธอและเกร็กก้ผลักประตูออกไปเพื่อดูว่ามีทหารมาช่วยเหลือพวกเขาหรือยัง
เจสันเห็นสิ่งนี้จึงพยายามลุกขึ้น
ขาซ้ายของเจสันได้รับบาดเจ็บและดูเหมือนว่าจะมีส่วนแหลมคมจากประตูที่ฉีกขาดทะลุเข้าไปในขาของเจสัน
เมื่อผลักประตูที่ฉีกออกไปบาดแผลก็ฉีกขาดมากขึ้นและมันยากที่จะเดินโดยไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่มาเลียดูแย่ลงเพราะเธอใช้มานามากเกินไปและรวมถึงสถานการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา มาเลียดูเหมือนซอมบี้ พร้อมกับเลือดของหมาป่าที่สาดกระเซ็นบนใบหน้าของเธอ
เมื่อทุกคนลุกขึ้น เกร็กดูเหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บมากที่สุดในบรรดาทั้งสามคน แต่เขาก็ยิ้มได้อย่างไร้เดียงสาเมื่อเขาหยิบชิ้นส่วนที่เหลือของสิงโตอำพันสองหัว
นาทีผ่านไปโดยไม่มีเสียงใด ๆ จากด้านนอกห้องปลอดภัย จนกระทั่งมีเสียงปืนและเสียงระเบิดดังไปทั่วถนน
จากเสียงดูเหมือนว่าสัตว์ร้ายยังคงอยู่ห่างไกลและอาจจะยังไม่พ้นกำแพง
แต่เพียงสองนาทีต่อมาสัตว์ร้ายที่บินได้ตัวแรกสามารถมองเห็นได้ตามท้องถนนและมันได้โฉบลงไปหาเหยื่อของพวกมัน ที่ไม่สามารถหาที่ซ่อนได้
เมื่อได้ยินเสียงที่น่าสมเพชของมนุษย์ร้องขอความช่วยเหลือ เสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดของพวกเขาปะปนอยู่ในเสียงกรีดร้องของสัตว์ร้าย ทุกคนรู้สึกละอายและกลัวในเวลาเดียวกัน
เจสันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเพิกเฉยต่อเสียงต่างๆ แต่หลังจากที่เขาดูวิดีโอแนะนำบางส่วนเสร็จแล้วเขาก็ตัดสินใจออกไปดูข้างนอก
ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ร้ายสี่ชนิดที่เจสันสามารถมองเห็นได้บนท้องฟ้า
I) สัตว์อสูรตื่นต่ำ / กลาง→เหยี่ยวขนนกเหล็ก
II) สัตว์ที่ตื่นสาย→อีแร้งเหล็กกล้า
III) ช่วงกลาง / ปลายวิวัฒนาการ→นกอินทรีพายุ
IV) ต่ำ / กลางไม่มีตำหนิ→ตะขาบลมมีปีก
“มาเลีย เกร็ก.. อะไรคือสัตว์ร้ายอันดับที่แข็งแกร่งที่สุด ที่คุณทั้งสองสามารถเอาชนะได้เมื่อเผชิญกับพวกมัน
เจสันถามโดยไม่หันไปมองพวกเขา
ฝูงของสัตว์ร้ายดูเหมือนจะไม่ปกติและเจสันมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี ว่าฝูงของสัตว์ร้ายนี้จะไม่จบลงหากไม่มีการจัดการที่รุนแรง
เกร็กและมาเลียก็มองไปข้างนอกใน ขณะที่มาเลียตอบ
“ฉันเป็น มาสเตอร์ระดับเริ่มต้น และฉันสามารถเอาชนะสัตว์ร้ายอันดับต่ำที่ไม่มีตำหนิได้ถึงสองตัวพร้อมกัน ด้วยความช่วยเหลือจากสัตว์พันธะของฉัน แต่นั่นเป็นสิ่งที่ฉันสามารถทำได้มากที่สุด “
การเอาชนะสัตว์ร้ายที่ไม่มีตำหนิในขณะที่อยู่ในอันดับเดียวกันแสดงให้เห็นว่าจิตวิญญาณของมาเลีย ทำให้เธอมีความแข็งแกร่งมากขึ้นดังนั้นเธอจึงสามารถต่อสู้กับพวกมันได้
ในขณะที่เจสันรู้สึกประหลาดใจกับความแข็งแกร่งของเธอ เกร็กก็ตอบเช่นกัน
“ฉันอยู่ในอันดับที่ 3 ผู้ชำนาญและเนื่องจากการปรับปรุงทางกายภาพของสัตว์พันธะของฉัน ฉันสามารถเอาชนะกลุ่มสัตว์ที่ตื่นขึ้นมาตอนกลางสองตัวได้มากที่สุด ด้วยมิโนทอร์ของฉัน ฉันสามารถเอาชนะสัตว์ที่มีวิวัฒนาการต่ำเพียงไม่กี่ตัวได้”
เจสันตั้งใจฟังและมองไปที่แกนมานาของทุกคนในห้องนิรภัย แต่ดูเหมือนว่า แม้ว่าจะมีใครบางคนที่มีพละกำลังเพียงพอเขาหรือเธอก็ไม่สามารถช่วยได้ เพราะทุกคนดูเหมือนพวกเขาจะเป็นลมทันที สัตว์ร้ายเข้ามาในห้อง
เจสันไม่แน่ใจว่าสัตว์ร้ายจะเข้ามาในห้องนี้หรือไม่ แต่สัตว์ร้ายบางชนิดมีความไวต่อกลิ่นและฟีโรโมนมากและเนื่องจากความวิตกกังวลที่คนส่วนใหญ่เป็น มันได้แพร่กระจายเข้ามาในห้องนี้จึงไม่น่าแปลกใจ หากสัตว์ร้ายกำลังจะสังเกตเห็นพวกเขาในไม่ช้า .
นาทีผ่านไปเจสันยังคงมองไปรอบ ๆ อย่างตั้งใจและด้วยความตกใจของเขา เขาสามารถเห็นสัตว์ร้ายตัวแรกที่กำลังเร่ร่อนอยู่ตามท้องถนน…เสียงกระสุนปืนยังคงดังอยู่ แต่สัตว์ร้ายสองสามตัวพุ่งทะลุแนวป้องกันได้ ??
แต่ตามความแข็งแกร่งหลักของพวกมัน พวกมันดูไม่แข็งแกร่งและเจสันมั่นใจที่จะฆ่าพวกเขาด้วยปืนพก Mana M9 ของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวในตอนนี้
อย่างไรก็ตามข่าวดีก็คือ สัตว์ร้ายที่บินได้กำลังแพร่กระจายออกจากถนนช้อปปิ้งหลังจากที่พวกมันกินเหยื่อ
นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่พวกมันจะถูกล่าโดยนักล่าบางคน แต่ความจริงที่สำคัญก็คือยิ่งเวลาผ่านไปสัตว์ร้ายที่บินอยู่บนท้องฟ้าก็น้อยลง
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเต็มและสามารถพบเห็นสัตว์ร้ายได้มากขึ้นตามถนนช้อปปิ้ง
น่าเสียดายที่ร้านค้าสองสามแห่งถูกโจมตีและผู้คนที่อยู่ภายในถูกสังหารหมู่และฉีกขาดอย่างไร้ความปราณี
เจสันที่ยังคงมั่นใจในตอนแรก กลับรู้สึกซับซ้อนเล็กน้อย …
เมื่อหันไปรอบ ๆ เจสันถามทุกคนเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของพวกเขาหรือว่ามีใครบางคนมีอาวุธเพื่อป้องกันตัวเองเพราะสถานการณ์ดูเหมือนจะควบคุมไม่ได้อย่างช้าๆ
ไม่มีสักคนที่มีอาวุธและมันเป็นหายนะ มีเพียงเกร็กและมาเลียเท่านั้นที่มีปืนพกมานาระดับสองที่สามารถฆ่าสัตว์ร้ายที่ไม่มีตำหนิได้อย่างง่ายดายและทำร้ายสัตว์วิเศษหรือแม้กระทั่งฆ่าพวกมันด้วยความพยายาม แต่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำเช่นนั้น
เจสันรู้สึกสับสนที่เจ้าของร้านไม่ได้มีอาวุธ แต่มองมาที่เขาด้วยดวงตาสีทองของเจสันแผ่ออร่าที่น่ากลัวออกไปโดยไม่รู้ตัว เจ้าของร้านเริ่มดูรู้สึกผิดมากขึ้นและทันใดนั้นเขาก็ยอมแพ้และบอกว่าเขามี ปืนไรเฟิลมานาเพื่อป้องกันตัวเองในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
ทุกคนมองไปที่เจ้าของร้านอย่างดูถูก เพราะเขาโกหกเพื่อช่วยตัวเอง ยกเว้น เจสัน, มาเลีย และเกร็ก
เจ้าของร้านจะรู้ได้ไหมว่าเจสันไม่ต้องการขโมยปืนไรเฟิลมานาเพื่อช่วยตัวเอง
ไม่จริงเขาแค่กลัว …
พูดตามตรงตอนแรกทุกคนจะต้องช่วยตัวเองและไม่ต้องการช่วยคนแปลกหน้าโดยเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง
เจสันถามว่าพวกเขามีอาวุธมานาไหม เพียงเพราะเหตุผลเดียว … คือเมื่อสัตว์ร้ายพุ่งเข้ามาในร้านนี้ เจสันอาจจะละทิ้งผู้คนที่นั่นเพราะเขาไม่สามารถปกป้องได้ทุกคน
การถูกขังไว้ในพื้นที่เล็ก ๆ ที่มีสัตว์ร้ายนั้น เลวร้ายยิ่งกว่าการพยายามเอาชีวิตรอดภายนอก
ในช่วงชั่วโมงสุดท้ายกาเบรียลลาส่งการแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินของเธอ ทุกคนพร้อม GPS และเขียนว่ามีสัตว์วิเศษมากเกินไปและหากพวกเขาละทิ้งตำแหน่งแนวป้องกันทั้งหมด พวกสัตว์จะบุกเข้ามาซึ่งค่อนข้างโชคร้าย
กาเบรียลลาและมาร์คกำลังรับมือและผลักสัตว์ร้ายกลับไปได้เพียงเล็กน้อย แต่นั่นแหล่ะ
หากมีอะไรเกิดขึ้นเธอสั่งให้เด็กๆ ส่งสัญญาณฉุกเฉินให้เธออีกครั้งและพวกเขาจะเพิกเฉยต่อความปลอดภัยของเมืองและมาช่วยทันที
กาเบรียลลาและมาร์คไม่รับผิดชอบต่อชีวิตของพลเมืองมากกว่าที่พวกเขาจะคอยระวังเกร็กและมาเลียหากมีอะไรเกิดขึ้นซึ่งเจสันก็เห็นด้วย
ในขณะที่เจสันกำลังคิดอย่างรอบคอบว่าจะทำอย่างไร สัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นมาในระดับต่ำก็เริ่มเข้ามาดมกลิ่นที่ประตูห้องนิรภัยและทุกคนก็เริ่มหายใจเร็วเพราะกลัวสัตว์ร้าย
เจสันดูสมเพชที่สุดเกี่ยวกับปฏิกิริยาของพวกเขา เจสันเข้าใจว่าเด็กๆ ประถมและมัธยมจะกลัวสัตว์ร้าย แต่ได้โปรดพวกผู้ใหญ่ที่พอมีพลังกลับกลัวหัวหดยิ่งกว่าเด็กตัวเล็กๆ
มีระดับแอดวานซ์และผู้เชี่ยวชาญมากเกินพอที่นี่ ทำไมคุณถึงกลัวสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นมาล่ะ!? กากจัด SHIT ??
เนื่องจากการกระทำของสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นมานั้นดึงดูดความสนใจไปที่ร้านของพวกเขา พวกเขาจึงต้องทำอะไรบางอย่าง
“เปิดประตูหน่อยนิดให้แันพอเห็นหัวมันได้ไหม”
ในขณะที่คนอื่น ๆ กลัวคำสั่งของเจสัน เจสันหยิบมีดเกรด 1 ของเขาออกมา
คนอื่นๆ พยามรั้งเจสันไว้แต่เมื่อเขาหันมองกลับมา
พวกเขาสามารถเห็นดวงตาสีทองที่เต็มไปด้วยความโกรธของเจสันกะพริบอย่างเย็นชา ซึ่งทำให้พวกเขาถอยหลังโดยไม่รู้ตัวโดย ไม่สนใจความคิดที่จะขัดขวางการกระทำของเจสัน
มาเลียยังคงประหลาดใจและแม้จะกลัวเล็กน้อยเกี่ยวกับดวงตาของเจสัน แต่เธอได้สร้างกำแพงน้ำเล็ก ๆ ระหว่างพวกเขาสามคนกับคนอื่น ๆ ในห้องนิรภัยก่อนที่เกร็กจะเปิดประตูด้วยพละกำลังมหาศาลของเขา
ครู่ต่อมาประตูก็ปิดอีกครั้งและมีดในมือของเจสันก็หายไปแล้ว
เจสันหายใจเข้าลึก ๆ และดูอ่อนเพลียเล็กน้อยเพราะเขาใช้มานาไปกว่าครึ่งในชั่วพริบตาเพื่อเคลือบมันเข้าไปในมีดเพื่อเพิ่มความเร็วในการบินและลดเสียงซึ่งทำงานได้ดีอย่างสมบูรณ์แบบ
สัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้น ที่อยู่หน้าประตูล้มลงอย่างไร้ชีวิตและเจสันไม่สามารถแม้แต่จะเฉลิมฉลองการฆ่าสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งครั้งแรกของเขา เพราะเขาต้องเติมมานาให้เร็วที่สุด
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆและตอนนี้เจสันได้เติมมานาของเขาอย่างสมบูรณ์ในขณะที่สถานการณ์ข้างนอกเลวร้ายลงเพราะถนนเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและร้านค้าต่างๆก็ถูกโจมตีมากขึ้นเรื่อย ๆ มนุษย์หลายสิบคนถูกฆ่าภายในชั่วพริบตา
เจสันยังสังเกตเห็นซากสัตว์ร้ายใหม่สองซากที่หน้าร้าน ในขณะที่อีกซากหนึ่งถูกเผาอีกซากหนึ่งเปียกและเจสันเข้าใจว่าเป็นมาเลียที่ฆ่าพวกเขาด้วยความสามารถของเธอในขณะที่เจสันกำลังฟื้นฟูเติมมานา
เขาได้รับรู้ถึงจิตวิญญาณแห่งไฟและน้ำของมาเลียแล้วเพราะเขาเห็นมานาที่เปลี่ยนผ่านภายในแกนมานาของเธอ
แม้แต่มาเลียก็ดูกังวลเล็กน้อยในตอนนี้และก็ต่อเมื่อเธอได้รับการแจ้งเตือน อีกครั้งหลังจากที่ฝูงสัตว์ร้ายดำเนินไปนานกว่า 2 ชั่วโมงความตึงเครียดได้ผ่อนคลายลงในระดับหนึ่ง
ฝูงของสัตว์ร้ายใกล้จะจบลงแล้วและทหารจะทำความสะอาดส่วนที่เหลือของเมืองในขณะนี้
หลังจากนั้นเด็กทั้งสามแต่ละคนได้รับข้อความในช่องกลุ่มที่ตั้งขึ้นใหม่ว่ากาเบรียลลาและมาร์คกำลังเดินทางมาหา
ในอีก 5 นาทีที่เลวร้ายที่สุดและทั้งสามคนกำลังจะร้องไห้ออกมาด้วยความสุข แต่เมื่อสิงโตสองหัวคู่อันสง่างามมองผ่านหน้าต่างและคำรามเสียงดังก่อนที่มันจะพ่นไฟออกจากปากของมันละลายที่กำบังประตูโดยไม่มีสิ่งกีดขวางใด ๆ
ตอนนี้ สิงโตสองหัวกำลังยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาทั้งหมด
เจสันเก็บกล่องนีโอซิดยืนต้นพร้อมผลบาคูรีสีขาวศักดิ์สิทธิ์ขณะที่พวกเขาเดินช้อปปิ้งต่อในขณะที่เงินทั้งหมดของเขาถูกใช้ไปหมดแล้วยกเว้นเงินก้อนเล็ก
เป็นเวลาบ่ายแล้วและเด็ก ๆ กำลังจะกลับไปหาพ่อแม่ของเฟลเลอร์เมื่อเสียงไซเรนดังลั่นไปทั่วทั้งซอยและทั้งเมือง
** โปรดทราบโปรดให้ความสนใจ …
เนื่องจากสาเหตุที่ไม่คาดคิดสัตว์ร้ายจำนวนมากได้ก้าวผ่านโดมมหัศจรรย์ ตอนนี้พวกมันกำลังเดินทางไปที่กำแพงเมือง
กรุณาอยู่ในความสงบและไปยังที่พักพิงที่ใกล้ที่สุดหรือในบริเวณใกล้เคียงที่ปลอดภัย
นี่ไม่ใช่การทดสอบ ย้ำ นี่ไม่ใช่การทดสอบ! **
‘ ห๊ะ? ‘
เจสันมาเลียและเกร็กมองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจว่าจะต้องทำอะไรหรือไปที่ไหน! เกร็กและเจสันไม่เคยอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้และพวกเขาหวังว่ามาเลียจะเชี่ยวชาญกับสถานการณ์เช่นนี้มากขึ้น
มาเลียเปิดแผนที่เมืองจิโร่ทันทีเพื่อกำหนดเส้นทางไปยังที่พักพิงที่ใกล้ที่สุดสำหรับพวกเขา
แต่ก่อนที่พวกเขาจะไปได้ พวกเขาก็ได้ยินเสียงคำรามจากนอกเมืองดังก้องไปทั่วท้องถนน ขณะที่มวลสีดำปกคลุมท้องฟ้า
พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อพวกเขาเห็นมวลสีดำขนาดใหญ่ พวกเขารู้สึกกลัวและราวกับว่าดวงตาสีดำคุกคามพวกเขา
เมื่อพวกเขาหายจากความหวาดกลัว พวกเขาก็เริ่มรีบไปยังที่พักพิงถัดไปเหมือนกับที่มนุษย์หลายพันหลายพันคนกำลังทำ
ตรอกช้อปปิ้งเต็มไปด้วยมนุษย์และทุกคนก็พุ่งไปในทิศทางเดียวกันโดยไม่สนใจว่าพวกสัตว์ร้ายจะบุกมาทางไหน
จากมุมหางตาของเขา เจสันสามารถมองเห็นเด็กสาวร้องไห้อยู่คนเดียวและเจสันต้องการช่วยเธอ เมื่อเขาถูกชายผู้มีตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญผลักออกไปซึ่งดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัวขณะที่เขาวิ่งผ่านเจสัน
ด้วยความไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเจสันรู้สึกกลัวเล็กน้อย
เจสันจะถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพังหากเกร็กไม่ชะลอ เพื่อคลุมตัวเจสันด้วยร่างกายที่ใหญ่กว่าขณะที่ค่อยๆ วิ่งไปข้างหน้า
มันเป็นเรื่องน่าขันที่เห็นว่าแม้แต่คนงานและพนักงานต้อนรับธรรมดาก็เร็วกว่าเจสันและอาจแข็งแกร่งกว่าด้วย แม้ว่าประสบการณ์การต่อสู้ของพวกเขาแทบจะไม่มีก็ตาม
ในขณะที่มีความคิดมากมายไหลผ่านจิตใจของเจสัน
‘ทหารสามารถจัดการกับสัตว์ร้ายได้หรือไม่? ทำไมทุกคนถึงพึ่งพาคนอื่น แทนที่จะสู้กลับ? มนุษย์บางคนที่นี่มีความแข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้กับสัตว์ร้ายพวกนี้! ‘
และคำถามอื่น ๆ อีกมากมายที่ไหลเข้ามาในจิตใจของเขา แต่คำถามพวกนั้นทรมานจิตใจของเขามากกว่าคำถามอื่น ๆ ของเขา
เมื่อพวกเขามาถึงหน้าศูนย์พักพิง เด็กทั้งสามสามารถมองเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษยชาติได้ในที่สุด เพราะมนุษย์หลายร้อยคนยืนอยู่หน้าประตูที่ปิดไปแล้วและดูเหมือนพวกเขาจะกลัว
อาจเห็นความตกใจในตัวพวกเขาในขณะที่เด็กตัวเล็ก ๆ จับพ่อแม่ไว้แน่น และไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น …
เกร็กถึงกับผงะ
“เขาปิดเพื่อไม่ให้เขางั้นเราะ เอาจริงดิ?!”
ทันใดนั้นทั้งสามก็เริ่มรู้สึกกลัวเพราะอันดับของทั้งสาม ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน พวกเขาไม่สามารถเอาชนะสัตว์ร้ายนับหมื่นได้ด้วยตัวคนเดียว
มาเลียยังคงสงบนิ่งและมองไปที่ผู้คนที่อยู่หน้าประตูที่ปิด
“อ่าทำไมเผ่าพันธุ์ของเราถึงเป็นได้แค่ขยะ!! เพื่อช่วยตัวเองต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรอ … “
และเจสันสัมผัสได้ถึงความขยะแขยงในน้ำเสียงของเธอ โดยไม่ตำหนิความรู้สึกของเธอในขณะที่เจสันเข้าใจความรู้สึกของเธอได้อย่างสมบูรณ์
เห็นได้ชัดว่ามนุษย์ในที่พักพิงปิดประตูทันทีที่มีจำนวนหนึ่งอยู่ข้างในและแม้ว่าจะมีที่ว่างเพียงพอ แต่พวกเขาก็ละทิ้งจิตกุศลและความรักที่มีต่อเผ่าพันธุ์ของตัวเองและปิดประตูล็อคอย่างแน่นหนา
ที่พักพิงถัดไปจะอยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกลและเจสันที่สงบสติอารมณ์ เพราะอาร์เทมิสอยู่เคียงข้างเขา ละเจสันตัดสินใจก่อนที่มาเลียจะได้พูดอะไร
“เราต้องไปซ่อนที่ไหนสักแห่ง … ฉันไม่แน่ใจว่าสถานที่ใดดีที่สุดในการซ่อนตัว แต่การตามหาพ่อแม่มีโอกาสฆ่าตัวตายมากกว่าเพราะเราไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน ส่งสัญญาณฉุกเฉินให้พวกเขาโดยที่ GPS ของเธอเปิดใช้งานแล้วพวกเขาจะได้สามารถช่วยเหลือเราได้โดยเร็วที่สุด หากไม่มีอะไรสำคัญเกิดขึ้นในเขตของพวกเขา พวกเขาจะมาหาเรา ”
เจสันกล่าวออกมา
มาเลียมองไปที่เจสันด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเขาสามารถสงบสติอารมณ์ได้ แม้จะมีฝูงสัตว์ร้ายต่อหน้าพวกเขาและเธอก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ทุก บริษัท หรือร้านค้าขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยมีห้องปลอดภัยและพวกเขาตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ในร้านค้าเล็ก ๆ ซึ่งรับคนได้ไม่กี่คนจนกว่าจะเต็ม
เมื่อประตูถูกปิดเด็กชายและเด็กหญิงกลุ่มเล็ก ๆ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 อาจร้องไห้เพราะไม่สามารถรับแรงกดดันได้
เจสันค่อนข้างสงบ เพราะเขาต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายมากมายและค่อนข้างไร้เดียงสา เพราะเขาซื้อปืนพกและคาดหวังว่าจะสามารถใช้มันได้
`ทำไมฉันถึงคาดหวัง!?! มีมนุษย์หลายพันคนกำลังจะตายในแต่ละวินาที? “
เจสันคิดและความตื่นเต้นของเขาก็หมดลงภายในไม่กี่วินาที
ไม่ทราบว่ากระสุนเจาะเกราะสามารถเจาะสัตว์ร้ายที่แข้งแกร่งเหล่านี้ได้หรือไม่ แต่เจสันมั่นใจว่าอย่างน้อยเขาก็สามารถทำร้ายพวกมันได้ด้วยการใช้มามานาช่วยในการโจมตี
เกร็กและเจสันไม่ใช่เด็กปกติเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่น ๆ ที่อายุ 13-14 ปีเพราะเจสันโตเร็วขึ้นเนื่องจากความรับผิดชอบและความพิการของเขาในการมองเห็น ในขณะที่เกร็กโตเร็วกว่าคนอื่นเล็กน้อยเพราะเขาต้องเผชิญกับความเป็นจริงในโรงเรียนประถม การต่อสู้กับสัตว์ร้ายมากมายแม้ว่าเขาจะยังทำตัวเหมือนเด็กในบางครั้งก็ตาม
ดูเหมือนว่ามาเลียต้องเผชิญกับฝูงของสัตว์ร้ายมากมายเพราะเธอสงบกว่าเจสันและก่อนที่เขาจะพูดอะไรบางอย่างเธอได้ส่งสัญญาณฉุกเฉินไปยังพ่อแม่ของเธอแล้ว
ฝูงของสัตว์ร้ายไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ธรรมชาติของมนุษย์ไม่สามารถคาดเดาได้
ไม่ทราบว่าฝูงของสัตว์ร้ายสามารถเข้าถึงเขตรอบนอกได้หรือไม่ อาจจะไม่ใช่ทั้งเขตชั้นในแต่ผู้คนก็ตื่นตระหนกขนาดนี้แล้ว?
หากทุกคนมีพฤติกรรมเหมือนพวกนั้น มนุษยชาติก็คงจะสูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อ 300 ปีก่อน
ในขณะที่รอให้ทหารเคลียร์ฝูงสัตว์ร้าย เจสันยังคงสามารถเข้าถึงเครือข่ายด้วยสร้อยข้อมือควอนตัมของเขาในขณะที่เขาพยายามผ่อนคลายด้วยการดูวิดีโอเทคนิคศิลปะการป้องกันตัวเกี่ยวกับความเข้าใจที่สูงขึ้นเกี่ยวกับเทคนิค ศิลปะการป้องกันตัวด้วยความเชี่ยวชาญกริชคู่
ก่อนหน้านี้เขาเฝ้าดู ความเชี่ยวชาญของกริชเล่มเดียว แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนการตัดสินใจ
ในขณะที่เจสันดูวิดีโอและพยายามสงบสติอารมณ์เขาก็คอยระวัง
แต่ถึงอย่างนั้นเกือบทุกคนก็มองเขาแปลก ๆ
‘ ทำไมถึงสงบในขณะที่ฝูงสัตว์ร้ายเกิดขึ้น? วัยรุ่นคนนี้เป็นอะไรกัน.. แล้วจะหาคอนแทคเลนส์ได้ที่ไหน … หน้าตาดีจัง ‘
กลุ่มชายวัยกลางคนหญิงและนักเรียนมัธยมต้นที่หวาดกลัวคิด
เกร็กยังคงแข็งทื่อ แต่เมื่อเห็นเจสันก็คลายความตึงเครียดลงบ้างในขณะที่เขานั่งลงข้างๆเจสันเพื่อขอดูวิดีโอด้วย
ตอนนี้เกร็กแข็งแกร่งกว่าเจสันในทุกด้าน วิญญาณ ความแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งระดับมานาและอาจจะมากกว่านั้น แต่ความใจเย็นของเจสันทำให้ความกลัวของเกร็กตายลงและเขาต้องการที่จะใกล้ชิดกับเจสันมากขึ้น เพราะเขารู้สึกปลอดภัยกว่าด้วยวิธีนี้ซึ่ง เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลอย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่กรณีทั้งหมดและเจสันหวังแค่ว่าฝูงสัตว์ร้ายจะจบลงในไม่ช้า
เขามั่นใจว่าสัตว์วิเศษไม่สามารถคุกคามเมืองเกรด B ได้ … อย่างน้อยพวกมันก็ไม่สามารถทำลายล้างได้ทั้งหมด
แต่ปัญหาหลักที่เจสันคิดออกก็คือความเป็นไปได้ที่สัตว์ร้ายที่ได้รับการจัดอันดับผู้พิทักษ์ เพียงไม่กี่ตัวซึ่งมีอันดับสูงกว่าสัตว์วิเศษทำให้ฝูงสัตว์ร้ายสัตว์ร้ายเหล่านี้สูงขึ้น
รู้สึกราวกับว่าเจสันรู้ว่าเผ่าพันธุ์ใดทำให้เกิดฝูงสัตว์ร้าย แต่เขาจำไม่ได้ว่ามันคืออะไร
เจสันมั่นใจในตัวเองมากเกินไปเพราะดวงตาของเขาเหนือกว่าคนอื่น จิตวิญญาณของเขาไม่เหมือนใคร หากไม่มีพลังวิญญาณและความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็ค่อนข้างดีเช่นกัน แต่แม้ว่าเขาจะรวมทุกอย่างเข้าด้วยกันเขาก็ยังไม่สามารถเผชิญหน้ากับพวกมันได้ ซึ่งทำให้เขาผิดหวัง
เมื่อเข้าใจสถานการณ์ที่พวกเขาอยู่ข้างในอีกครั้ง เจสันตัดสินใจที่จะสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยความสามารถในปัจจุบันของเขา โดยทำบางสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำนัก
ดูวิดีโอเพื่อสงบสติอารมณ์โดยรอบ !!
เนื่องจากมาร์คและกาเบรียลลาต้องส่งลูกสุนัขจิ้งจอกให้กับพ่อค้าสัตว์ร้ายที่ส่งข้อความหาพวกเขา เมื่อไม่กี่วันก่อนเด็กทั้งสามจึงตัดสินใจไปซื้อของ
ศูนย์การค้าและแผงลอยในเมืองจิโร่มีขนาดใหญ่กว่าในเมืองอาร์เทสมากและเต็มไปด้วยของซื้อต่างๆมากมายซึ่งหาซื้อไม่ได้ในเมืองอาร์เทส
เกร็กและเจสันประหลาดใจเกี่ยวกับสิ่งของที่พวกเขาสามารถซื้อได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เจสันอยู่ในเมืองอื่นที่ไม่ใช่เมืองอาร์เทสและเกร็กไม่เคยอยู่ในถนนช้อปปิ้ง เมื่อเขายังเด็กตอนอาศัยอยู่ในเมืองไซไร
มาเลียไม่สนใจสิ่งของส่วนใหญ่ที่ใคร ๆ ก็ซื้อได้ ยกเว้นเสื้อผ้าและอาวุธแปลกใหม่บางอย่างดึงดูดความสนใจของเธอซึ่งเจสันพบว่ามันตลก
เจสันมีเครดิตประมาณ 20 ล้านและเขาต้องการใช้มันเพื่อซื้อหินมานาและสิ่งอื่น ๆ
เมื่อเขามาถึงเมมือไซไร เขาจะมีเวลาเหลืออีกหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่โรงเรียนจะเริ่มและมันสำคัญมากสำหรับเขาที่จะต้องเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของเขา จนกว่าจะถึงตอนนั้นด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน รวมถึงการจัดอันดับนักเรียนในวันแรก …
ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องปรับปรุงประสบการณ์การต่อสู้และทักษะการต่อสู้ของเขา
นั่นเป็นเหตุผลที่เจสันต้องการเข้าสู่เขตป่าสองดาวเมื่อเขามาถึงเมืองไซโร
เพื่อป้องกันตัวเอง เสันต้องการซื้อปืนมานาหรือมากกว่านั้นคือปืนมานาM9 ที่มีระยะการยิงที่มีประสิทธิภาพ 200 เมตร ด้วยสีดำเมทัลลิกที่ทำจากเหล็กสีดำความยาว 217 มม. (8.5 นิ้ว) และความยาวลำกล้อง 125 มม. (4.9 นิ้ว) เจสันจะสามารถจับปืนได้อย่างง่ายดายด้วยมือเดียวและเจสันชื่นชอบการออกแบบภายนอกที่ทำให้เขาต้องซื้อ
ปืนพก M9 ทั่วไปคือปืนมานาระดับ 1 ที่มีความเชี่ยวชาญในการเป็นปืนพกที่มีการหดตัวที่อ่อนและขนาดแม็กกาซีนมาตรฐาน 15 กระสุน
มันสามารถฆ่าสัตว์ที่วิวัฒนาการได้อย่างง่ายดายด้วยการยิงเพียงครั้งเดียวในจุดที่สำคัญ
3,000,000 เครดิตพร้อมนิตยสาร 4 เล่ม (กระสุนมานาทั่วไป)
อย่างไรก็ตามเจสันยังคงตัดสินใจที่จะซื้อมันเป็นมาตรการป้องกันและนอกจากนี้เจสันยังซื้อกระสุนมานาทั่วไปอีก 300 นัดและกระสุนประเภทอื่น ๆ อีกมากมายเช่น กระสุนเจาะเกราะ กระสุนระเบิด กระสุนหางเรือและอื่น ๆ
เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกันบัญชีธนาคารของเจสันก็ลดลงประมาณ 4,000,000 เครดิตด้วยการซื้อเพียงครั้งเดียวทำให้เกิดการแสดงออกที่น่ากลัวบนใบหน้าของเขา
‘ เงินของฉัน !! ‘
เขาบูดบึ้ง แต่ความคิดนี้ถูกแทนที่อย่างรวดเร็ว
เนื่องจากเขายังมีเครดิตเหลืออยู่ประมาณ 16 ล้าน เจสันจึงตัดสินใจใช้เครดิต 4 ล้านเพื่อซื้อหินมานาเป็นการลงทุนให้กับตัวเอง
เจสันเห็นอาวุธวิญญาณบางอย่างในร้านค้า แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจพวกมันเพราะเขาไม่สามารถจ่ายได้ แม้ว่าเขาจะแสร้งทำเป็นสนใจก็ตาม
เกร็กพบเสื้อกั๊กที่มีน้ำหนักมากซึ่งสามารถปรับให้เข้ากับน้ำหนักที่ต้องการในการฝึกได้
ในขณะที่เกร็กซื้อเสื้อกั๊กรุ่นเฮฟวี่เวท ซึ่งเขาสามารถปรับได้ตั้งแต่ 1 กก. ถึง 3000 กก. เจสันก็พบว่าสิ่งนี้น่าสนใจเช่นกันและเขาตัดสินใจซื้อเสื้อกั๊กเฮฟวี่เวทที่ปรับน้ำหนักได้ตั้งแต่ 1 ถึง 500 กก.
มีราคาอยู่ที่ 2 ล้านหน่วยและตอนนี้เจสันมีเครดิตเหลือเพียงครึ่งเดียว
อย่างไรก็ตามเจสันจะสวมมันในระหว่างการออกกำลังกายทุกครั้งและปรับความแข็งแรงของเขา
พวกเขาเดินเล่นไปเรื่อย ๆ เมื่อเจสันเห็นบางสิ่งที่เขาไม่คิดว่าจะหาได้จากแผงขายของก่อนหน้านี้
ความรู้ของเจสันนั้นมั่นคงและมากมายเมื่อเทียบกับเพื่อน ๆ ของเขา ยกเว้นการที่เขาไม่สามารถบอกเล่าภาพกับสัตว์ร้ายบางชนิดซึ่งเขาก็ตามพบแล้วแล้ว
เมื่อเขาเห็นผลไม้ชนิดหนึ่งจากแผงขายของหนึ่งที่มีความผันผวนของมานา ดวงตาของเจสันก็ปูดเล็กน้อยและเขาก็เข้าไปใกล้
เจสันไม่เคยเห็นผลไม้มากมายที่แผ่มานา แต่ผลไม้นี้ยังมีสีดำบาง ๆ ที่แผ่ออกมาจากกระดาษหุ้ม
นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นและเขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับผลไม้นี้
มันคือบาคูริสีขาวศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นผลไม้ระดับ 1และราคาของมันถูกระบุไว้ที่ 10 ล้านเครดิต
มาเลียและเกร็กสังเกตเห็นการจ้องมองของเจสันและมาเลียก็แจ้งเรื่องผลไม้ให้เขาฟัง
“ ผลบาคูริสีขาวศักดิ์สิทธิ์ เป็นผลไม้หายากซึ่งพบได้เฉพาะในเขตเวทมนตร์ที่มีมานาหนาแน่นหรือรอยแยกจากการระบาดของมานา บางครั้งพบได้ในเขตป่าระดับสี่ดาว แต่หายากมาก
ผลไม้นี้สามารถสลายห่วงแกนมานาของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์จนกว่าจะถึงระดับที่เชี่ยวชาญต่ำ
ใช้โดยมีอิทธิพลต่อทายาทเพื่อเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะพลังวิญญาณในระดับหนึ่ง
เมื่อเปรียบเทียบความเร็วกับความไวและการควบคุมมานาที่เท่ากัน ผู้ที่ใช้ผลบาคูริสีขาวศักดิ์สิทธิ์จะเร็วกว่ามากในการไปถึงระดับที่สี่และเจ็ดจนถึงขีดจำกัด ของระดับมือใหม่
จะไม่มีเกณฑ์ระหว่างระดับที่ 3 และ 4 และระดับที่ 6 และ 7 หากใครใช้ผลบาคูริสีขาวศักดิ์สิทธิ์และสามารถเข้าสู่ระดับผู้เชี่ยวชาญได้อย่างง่ายดาย
เมื่อมองไปที่ผลไม้นี้ ฉันแน่ใจว่านี่เป็นเพียงหนึ่งในผลไม้บาคูริขาวศักดิ์สิทธิ์ที่มีอันดับต่ำที่สุด ที่มีอยู่ไม่เช่นนั้นราคาของมันจะสูงกว่านี้มาก”
ผู้ขายฟังเด้กทั้ง 3 คุยกันและในตอนแรก เขามั่นใจว่า 1 ใน 3 คนนี้อาจมีสักคนที่อาจจะซื้อผลบาคูรีสีขาวศักดิ์สิทธิ์ แต่หลังจากที่หญิงสาวเรียนจบบทเรียนเล็ก ๆ แล้วเขาก็เริ่มมีเหงื่อออกเล็กน้อย …
เป็นความจริงที่ว่าผลไม้นี้เป็นหนึ่งในอันดับที่แย่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และเครดิต 10 ล้านอาจเป็นการหลอกลวง แต่เขาต้องขายมันเพราะเขาเป็นหนี้ก้อนโต เขาจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ผลไม้ถูกขายออกไป
“ลูกค้าที่รักของฉัน … ถ้าคุณซื้อผลบาคูริสีขาวศักดิ์สิทธิ์นี้ในราคา 10 ล้านเครดิต กล่องนีโอซิดยืนต้นเกรด 2 นี้จะป้องกันผลที่ลดลงของสมุนไพรคลาส -2 เป็นเวลานานกว่า 5 ปี “
เจสันได้ฟังคนขายบรรยาย
ผลไม้นั้นอยู่ในกล่องแล้วและไม่สามารถปล่อยเอฟเฟกต์เวทย์มนตร์ของมันได้ แต่ถ้าเจสันซื้อผลไม้นี้มันจะไม่มีกล่องนีอ็อกซิดยืนต้น
เขาไม่ต้องการซื้อผลบาคูริสีขาวศักดิ์สิทธิ์ให้ตัวเอง แต่เป็นการทดลองบางอย่างเมื่อเขาได้รับวิญญาณใหม่
เจสันเป็นคนขี้สงสัยมากเกินไปและเขาได้ทำการค้นคว้ามาระยะหนึ่งแล้วเกี่ยวกับ ราคาสำหรับการฟอกสิ่งของหรือผลไม้และราคาต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 25 ล้าน
ผลไม้บารูซีสีขาวศักดิ์สิทธิ์นี้น่าจะเป็นผลไม้บริสุทธิ์ที่ราคาถูกที่สุดที่เจสันสามารถจับได้ อย่างน้อยก็ในขณะนี้เขาจึงตัดสินใจซื้อมัน
การได้รับกล่องนีโอซิดยืนต้นเกรด 2 นอกเหนือจากผลบาคูร์สีขาวศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเรื่องดีเช่นกันเพราะมีมูลค่า 2 ล้านหน่วย
ในขณะที่เจสันโอนเครดิต 10 ล้านหน่วยเขาเหลือเงินประมาณ 100,000 เครดิต
มาเลียและเกร็กรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเกี่ยวกับการซื้อของเขา แต่พวกเขาพบว่ามันยังคงเป็นความคิดที่ดีเพราะเจสันไม่มีเวลาเหลือที่จะฝ่าห่วงโซ่ตรวนและการประหยัดเวลาเป็นสิ่งที่ดีเสมอและเป็นการลงทุนที่ดีในทุนมนุษย์
ตอนนี้เจสันอ่อนแอเกินไปและความอ่อนแอมีแต่จะขัดขวางเขาที่จะรอการพัฒนาตามธรรมชาติ
เจสันยังสงสัยว่าทำไมถึงมีห่วงในระดับที่ 4 และ 7 ในขณะที่กำแพงสู่อันดับใหม่นั้นค่อนข้างปกติ เขาไม่เข้าใจกำแพงที่อยู่ระหว่างตำแหน่ง
เราต้องรู้ว่าระบบการจัดอันดับก่อตั้งขึ้นเมื่อ 200 ปีที่แล้วและยังมีหลายทฤษฎีที่ระบุว่าระบบ “การบ่มเพาะมานา” ที่ผิดและควรได้รับการแก้ไข
ทันใดนั้นทั้งสามคนก็ได้ยินเสียงไซเรนดังก้องไปทั่วท้องถนนและเสียงกลไกดังขึ้นในภายหลัง
** โปรดทราบโปรดให้ความสนใจ …
เนื่องจากเกิดเหตที่ไม่คาดคิดสัตว์ร้ายจำนวนมากได้ก้าวผ่านโดมเข้ามา ตอนนี้พวกมันกำลังเดินทางไปที่กำแพงเมือง
กรุณาอยู่ในความสงบและไปยังที่พักพิงที่ใกล้ที่สุดหรือในบริเวณใกล้เคียงที่ปลอดภัย
นี่ไม่ใช่การทดสอบ ย้ำ นี่ไม่ใช่การทดสอบ! **
เนื่องสายแล้วกับการนับพบลูกค้า พวกเขาจึงรีบขับรถไปหาลูกค้าที่รอพวกเขาอย่างใจร้อน
เด็กทั้งสาม แต่ละคนรู้สึกไม่สบายใจที่จะได้พบกับขุนนางที่ปฏิบัติต่อจิตวิญญาณเหมือนสิ่งของและใบหน้าของพวกเขาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน
กาเบรียลลาต้องเตือนให้พวกเขาแสดงสีหน้าสงบหรือเป็นกลาง อย่างน้อยเพื่อที่จะไม่ทำให้พวกเขาไม่พอใจเพราะพวกเขาเป็นหนึ่งในคนใหญ่คนโตในเมืองจิโร่
หลังจากขับรถผ่านเมืองไป 30 นาทีพวกเขาก็มาถึงหน้ากำแพงขนาดใหญ่ที่มีทหารรักษาการณ์มากมายและป้อมปราการมานาอัตโนมัติอยู่ทั่วกำแพง
ถัดจากประตูขนาดมหึมามียามอย่างน้อย 20 คนคอยป้องกัน เจสันเปิดใช้งานดวงตามานาของเขาเพื่อตรวจสอบแกนมานาของคนเหล่านั้น
ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นจะแข็งแกร่งกว่ามาร์คและกาเบรียลลา สำหรับเจสันทุกคนนั้นแข็งแกร่ง เขาจึงไม่ได้พยายามเปรียบเทียบตัวเองด้วยซ้ำ
แต่เขาก็ยังสงสัยว่าทำไมถึงมีมาตรการป้องกันสูงมากมายขนาดนี้
‘พวกเขากลัวอะไรและใครที่มารุกรานหรือเพียงแค่สร้างกำแพงและจ้างยามเหล่านี้เพื่อเรื่องความปลอดภัยส่วนตัวเมื่อฝูงสัตว์ร้ายบุกเข้ามาในกำแพงขนาดใหญ่?’
ในขณะที่รถบรรทุกจอดอยู่ใกล้กำแพงมีการแจ้งเตือนปรากฏขึ้นที่แผงวงจรหลักของรถบรรทุกและมาร์คต้องบอกจุดประสงค์ที่จะมาที่คฤหาสน์และยืนยัน ID ของมาร์ค
ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีโดยไม่มีปัญหาและพวกเราก็ขับรถผ่านประตูไปโดยไม่มีอะไรกีดขวาง
สวนมีขนาดมหึมาและมีขนาดเท่ากับสนามฟุตบอลหลายแห่ง ในขณะที่สามารถมองเห็นอาคารต่างๆมากมาย
มีคอกม้า อาคารที่ดูเหมือนเป็นโคลอสเซียม เจดีย์ขนาดเล็กที่ดึงดูดมานาจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง บ้านหรูหราหลายหลังล้อมรอบคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่งดงาม ซึ่งตั้งอยู่ติดกับทะเลขนาดใหญ่ที่มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม
“นั่นหมู่บ้านหรืออะไร!?”
เกร็กอุทานแม้กระทั่งมาร์คและกาเบรียลลาก็ประหลาดใจกับสิ่งที่พวกเขาเห็น
เมื่อพวกเราเข้าไปใกล้วิลล่ามากขึ้น ก็ยังสามารถมองเห็นทุ่งนาที่มีพืชผลอยู่อีกด้วย
ราวกับว่าอยู่ในหมู่บ้านจริงๆ
ทำไม?
ไม่มีใครสามารถตอบได้ยกเว้นลูกค้าของพวกเขา
ด้านหน้าวิลล่ามีชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนและชายหนุ่มอวบอยู่อยู่ข้างๆ
ทั้งคู่เห็นรถบรรทุกขับมาทางพวกเขาและรออย่างอดทนในขณะที่ชายหนุ่มดูกังวลเล็กน้อย
ชายหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นลูกค้าของมาร์คและกาเบรียลลาและเด็กๆ ต้องสงบสติอารมณ์ขณะที่ความโกรธเดือดดาลอยู่ภายในและสามารถมองเห็นได้ในสายตา
หลังจากรถบรรทุกหยุดทุกคนก็ออกไปและชายวัยกลางคนก็ทักทายแขกของพวกเขา
“สวัสดี ฉันชื่อโรดริเกซ โอลิเยร์และฉันติดต่อคุณเนื่องจากภารกิจนกอินทรีย์พายุ ฉันขอโทษที่ต้องพูดแบบนั้น แต่เราขาดเวลาขอข้ามการแชทที่ยาวนานและเข้าสู่ธุรกิจของเราโดยตรงได้ไหม “
มาร์คและกาเบรียลลาคาดหวังว่าลูกค้าของพวกเขาจะมีเวลาไม่มากและไม่ต้องการเสียเวลาใด ๆ
นกอินทรีพายุ ซึ่งถูกวางไว้ในรถเทรลเลอร์ตัวสุดท้ายถูกดึงออกด้วยแขนโลหะขนาดใหญ่
ในขณะที่ชายวัยกลางคนยังคงพูดคุยกับพ่อแม่ของเฟลเลอร์ เด็กหนุ่มตัวอ้วนวิ่งไปหานกอินทรีพายุ และมองดูมันด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ
เด็กอ้วนน่าจะอายุ 18 ปีหรืออาจจะแก่กว่านี้ แต่พฤติกรรมของเขาแย่กว่าเด็กอายุ 6 ขวบส่วนใหญ่ทำให้ทุกคนมองเขาด้วยความเกลียดชัง
เกร็กมาเลียและเจสันรู้สึกขยะแขยง เพราะก่อนหน้านี้พวกเขายังคงหวังว่าขุนนางจะเสียใจที่ทำให้นกอินทรีพายุตาย แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่อย่างนั้น
เมื่อเด็กอ้วนมองเข้าไปในรถเทรลเลอร์ เจสันมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีและในจังหวะที่เลวร้ายที่สุดลูกสุนัขจิ้งจอกตื่นขึ้นมาและส่งเสียงร้องเพราะพวกมันหิว
พวกมันดิ้นรนไปยังเครื่องให้อาหารอัตโนมัติและเริ่มกิน
เด็กอ้วนสามารถมองเห็นสิ่งนี้และเกิดความสนใจ เนื่องจากสามารถมองเห็นได้ในดวงตาของเด็กอ้วนได้ ขณะที่เขาพึมพำ “ลูกจิ้งจอกธาตุ?”
เจสันหยุดหายใจไปชั่วขณะและเขาไม่ได้รู้สึกอยู่คนเดียว เนื่องจากพี่น้องเฟลเลอร์เองก็รู้สึกไม่ดี
เด็กอ้วนหันหน้าหนีจากนกอินทรีและมองไปที่ลูกสุนัขจิ้งจอกอย่างเต็มตา
หันไปมองพ่อของเขาด้วยความตื่นเต้นตกใจ
“พ่อคุณบอกว่าฉันควรค้นหาสัตว์ที่ตื่นขึ้นมาเพราะจิตวิญญาณของฉัน ใช่ไหมฉันคิดว่าฉันเจอสัตว์ร้ายที่เหมาะสมสำหรับตอนนี้ มีลูกสุนัขจิ้งจอกธาตุน้อยกว่าอยู่ในรถพ่วง “
‘Fuck’
เป็นคำอุทานในใจของทุกคน
ในขณะที่ความสนใจของชายวัยกลางคนถูกดึงไปที่รถพ่วง กาเบรียลลาดูกังวลเล็กน้อยในขณะที่มาร์คยังคงสงบ
“นั่นเป็นความจริง เรามีลูกสุนัขจิ้งจอกธาตุในรถพ่วง แต่ฉันได้ทำสัญญากับผู้ขายลูกสุนัขจิ้งจอกเหล่านี้แล้วกับผู้ซื้อ … ดังนั้นจึงไม่มีเหลือให้ขายสักตัวเดียว …ทางเราต้องขอโทษด้วย”
มาร์คสงบสติอารมณ์และอธิบายทุกอย่างในขณะที่เพิ่มเรื่องราวที่สร้างขึ้นให้ดูสมจริง ซึ่งจะเพิ่มการป้องกันอีกชั้นหนึ่ง
“เราขอกลับไปคุยเรื่องธุรกิจของเราได้ไหม สัตว์พันธะต้องใช้เวลาในการรวมตัวกัน มิฉะนั้นฝ่ายตรงข้ามของคุณอาจสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติและเราไม่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นใช่มั้ย?”
โรดริเกซหันกลับไปหามาร์คและพูดอย่างมุ่ยเล็กน้อย
“โอ้ใช่ … ปกติฉันจะไม่ทำการละเมิดสัญญาที่เลวร้าย แต่ที่แน่ ๆ คือเรารีบ … มาทำธุระให้เสร็จและแยกทางกัน .. “
ทุกคนถอนหายใจในใจ ในขณะที่ชายหนุ่มตัวอ้วนเศร้าเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้สนใจมากนักที่ไม่ได้เลี้ยงลูกจิ้งจอกเหล่านี้ เพราะพ่อของเขาอาจจะให้สิ่งที่ดีกว่านี้ในภายหลัง
ด้วยความมุ่ยเล็กน้อยเขาก็ยังคงส่งเสียงดังและเจสันตัดสินใจปิดรถพ่วงเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงลูกสุนัขจิ้งจอกออกไปข้างนอกซึ่งอาจดึงดูดความสนใจของเด็กอ้วนและพ่อของเขาได้อีกครั้ง
โรดริเกซ ถามอีกครั้งเกี่ยวกับสัญญาและค่าตอบแทนการละเมิด เพราะเขาต้องการให้ลูกชายของเขาได้สัตว์ร้ายตัวอื่นที่มีความสามารถทางธาตุที่ดีและสุนัขจิ้งจอกที่มีธาตุน้อยนั้นค่อนข้างดีสำหรับอันดับแกนมานาของพวกเขา แต่มาร์คก็แน่วแน่ในการปฏิเสธของเขา
“สัญญากับพนักงานขายของเรามีความพิเศษเล็กน้อยดังนั้นจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเราที่จะขายสัตว์ร้ายให้”
เจสันชอบมาร์คมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าเขาจะเป็นคนโลภ แต่เขาก็ยังไม่ผิดสัญญา
เขาอาจจะสามารถหารายได้สักสองสามล้านจากชายอ้วนคนนี้ หากมาร์คกำลังจะขายลูกสุนัขจิ้งจอกตัวเดียวให้ชายอ้วนเพียงเพราะค่าตอบแทน… ..
5 เท่าของราคา…สำหรับลูกสุนัขตัวเดียวและโรดริเกซพยายามซื้อลูกสุนัขจิ้งจอก แม้ว่าเขาจะรู้ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างน้อย 2 ถึง 4 ล้านก็ตาม …
หลังจากข้อตกลงของพวกเขาสิ้นสุดลง พวกเฟลเลอร์และเจสันก็รีบกล่าวคำอำลาและทิ้งชายวัยกลางคนตัวอ้วนที่น่าสลดใจเล็กน้อยไว้กับเด็กหนุ่มร่างท้วมข้างๆ ในขณะที่นกอินทรีพายุยืนอยู่ข้างหลัง
ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอกและเห็นมุกเหงื่อหนาไหลตามขมับของมาร์ค
ในขณะที่พวกเขากำลังออกรถกระบะหุ้มเกราะสีแดงขับผ่านมาและเจสันก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เบาะคนขับ
ดวงตาของชายหนุ่มเป็นสีแดงเลือดและเจสันรู้สึกแปลก ๆ ที่มองเขา
ชายหนุ่มมองไม่เห็นเจสัน แต่มีความรู้สึกที่น่าขนลุกอยู่รอบตัวเจสัน เมื่อเจสันเห็นเขาในช่วงเวลาสั้น ๆ
เป็นเวลาดึกแล้ว แต่เจสันยังคงตื่นเต็มตาพร้อมที่จะดูดซับมานาให้มากขึ้น
เงื่อนไขนี้เป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่จะได้รับจากการดูดซับมานาจำนวนมาก
เขาตัดสินใจที่จะเปลี่ยนมาฝึกในเวลากลางคืนด้วยเพื่อทำให้แกนมานาของเขาแข็งตัวเพื่อป้องกันข้อบกพร่องใด ๆ ในรากฐานของเขาในขณะที่รอให้อาร์เทมิสย่อยแกนสัตว์ร้ายให้เสร็จ
เจสันต้องการทราบว่ามีความแตกต่างกันมากเพียงใดระหว่างแกนสัตว์ป่าระดับห้าดาวกับแกนสัตว์อสูรที่ตื่นขึ้น
บางทีมันอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับอนาคตของเขาและอาร์เทมิส
นอกจากนี้เจสันต้องการฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ทันทีที่พลังวิญญาณของเขาพัฒนาขึ้นในแต่ละครั้ง
เช้ามาเจสันยังคงดูดซับมานา
เขาใช้หินมานาขนาดเล็กไปแล้วสามก้อนโดยใช้เงินไป 150,000 เครดิต ซึ่งตัวเจสันเองก็เสียดายไม่ใช่น้อย
เจสันไม่รู้ว่าเขาจะต้องใช้หินมานาจำนวนมากเพื่อที่จะก้าวไปสู่มือใหม่ระดับที่ 5 และเพื่อพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น
ด้วยหินมานาขนาดเล็ก 17 ก้อนที่ทิ้งไว้ เจสันอาจจะไม่สามารถเข้าสู่มือใหม่ระดับที่ 7 ได้เนื่องจากการใช้หินมานาเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ดีต่อร่างกาย
เราจะต้องดูดซับมานาที่สร้างขึ้นจากตามธรรมชาติจำนวนหนึ่งและไม่ใช่มานาที่บีบอัดลงไปในหิน โดยเจสันจะต้องเปลี่ยนเวลาช่วงหนึ่งที่ต้องดูดซับมานาจากแหล่งธรรมชาติ
เจสันไม่ต้องการดูดซับมานาจากหินมานาในระหว่างการเดินทางที่เหลือและเขาตัดสินใจที่จะพยายามปรับปรุงความสามารถของเขาในการรวบรวมมานาอย่างอดทน
ทุกๆสองสามชั่วโมง เจสันจะเข้าสู่โลกแห่งจิตวิญญาณเพื่อฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์และฝึกฝนเทคนิคนี้ก็ทำให้หัวใจของเขาเติบโตขึ้นเพราะเขาสามารถปรับปรุงพลังวิญญาณได้ ถึงแม้ว่ามันจะเจ็บปวดก็ตาม
หลังจากฝึกเทคนิคสามครั้ง พวกเขาก็มาถึงขอบโดมขนาดใหญ่ซึ่งแผ่รังสีมานาที่หนาแน่นและน่ากลัวมากขึ้น
เมื่อมองผ่านดวงตามานา เจสันสังเกตเห็นว่าความหนาแน่นของมันมีอย่างน้อยสามเท่าและเขาก็ประหลาดใจที่ได้เห็นกำแพงเมืองที่ใหญ่ขนาดนี้
เนื่องจากเมืองจิโร่เป็นเมืองเกรด B ใกล้กับเขตสัตว์วิเศษเพียงไม่กี่แห่งและการป้องกันของโดมไม่สามารถฆ่าสัตว์วิเศษได้ทันที ถ้าพวกมันเข้ามาโจมตี ทำได้เพียงแค่ป้องการเพียงเล็กน้อย
นั่นเป็นเหตุผลที่ต้องสร้างกำแพงขนาดมหึมาและน่าทึ่ง
เมืองจิโร่มักถูกโจมตีโดยฝูงของสัตว์ร้าย แต่กำแพงแข็งแรงพอที่จะหยุดฝูงสัตว์ร้ายเหล่านี้ได้ด้วยความช่วยเหลือของปืนใหญ่และอาวุธอื่น ๆ ของมนุษยชาติ
อาจมีคนถามว่าการอยู่ในเมืองที่ถูกคุกคามนั้นคุ้มค่าหรือไม่ เพราะการที่พลาดแล้วถูกฝูงสัตว์ร้ายโจมตีจนเมืองพังพินาศนั้นมีโอกาสอย่างมาก แต่คำตอบคือ
ใช่!
หากใครอยากแข็งแกร่งขึ้นก็จะต้องเข้าสู่โซนที่อันตรายมากขึ้น เนื่องจากมานาที่หนาแน่น สมุนไพรและแร่ที่มีระดับสูงกว่าและความเป็นไปได้ของสมบัติที่เกิดตามธรรมชาติ
ว่ากันว่าแม้ในเมืองจิโร่จะอาจมีความหนาแน่นของมานาสูงขึ้นมากและเกือบจะเทียบได้กับเขตป่าสองหรือสามดาว
เจสันรู้สึกประหลาดใจกับความหนาแน่นของมานาในพื้นที่ป่าระดับ 1 ดาว แม้ว่าเขาจะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับนกอินทรีพายุก็ตาม
อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถทำอะไรได้มากนักและเจสันพยายามคิดเกี่ยวกับลูกจิ้งจอกซึ่งจะพบเพื่อนใหม่ในไม่ช้า
มาร์คมีลูกค้าไม่กี่คนที่ติดต่อ เกี่ยวกับโพสต์ในฟอรัมนี้ มีเพียงพ่อค้าสัตว์ร้ายคุณภาพสูงเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้และพวกเขาเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ดังนั้นหมาป่าและลูกสุนัขจิ้งจอกมากกว่าครึ่งจึงถูกขายได้อย่างง่ายดาย
พวกเขาสามารถเข้าไปในโดมของเมืองได้อย่างอิสระ แต่มีค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายทุกครั้งที่เข้าโดม แต่ราคาค่อนข้างถูกประมาณ 500 เครดิต
โดยโดมนั้นจะต้องมีค่าบำรุงรักษาที่ค่อนข้างแพงเนื่องจากต้องป้องกันสัตว์ร้ายระดับสัตว์วิเศษ ดังนั้นค่าธรรมเนียมในการเข้าจึงถูกใช้ในการนี้
อย่างไรก็ตามน่าเสียดายสำหรับมาร์คที่เขาต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแรกเข้าสำหรับสัตว์ร้ายทุกตัว ซึ่งตอนนี่มีสัตว์มากกว่า 150 ตัว
500 เครดิตไม่มาก แต่ปริมาณนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เมื่อพวกเขาเข้ามาในโดมสถานการณ์จะเปลี่ยนไปเล็กน้อยและเจสันจะเห็นว่าภูมิทัศน์นั้นมืดมนและเป็นสีเขียวชัดเจนกว่าในเมืองเกรด c
โดมเวทย์มนตร์แต่ละอันสร้างขึ้นจากวัสดุที่ดูดซับมานาจากรอบข้าง แต่นั่นเป็นวิธีเดียวที่จะให้พลังงานเพียงพอเนื่องจากโดมเป็นเหมือนคนตะกละ ไม่รู้ว่ามันดูดซับมานาได้มากแค่ไหน แต่มันก็เยอะมาก
เมื่อเข้าสู่ประตูที่ดูล้ำยุค เราจะเห็นความแตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับเมืองอาร์เทสที่พวกเขาอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้
ถนนมีเลนมากขึ้นในขณะที่สามารถมองเห็นรถรับส่งได้เพียงไม่กี่คันและตึกระฟ้าก็สูงอย่างน่าขัน เจสันก็สงสัยว่าทำไมมันถึงไม่ถล่มลงมา
แม้จะมีศูนย์การค้าขนาดใหญ่เหมือนสนามกีฬาที่มี 30 ชั้นซึ่งดูสวยงาม
ทุกอย่างดูแพงมากและเจสันก็สงสัยว่าเขตที่ยากจนที่สุดในเมืองนี้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
แต่หลังจากถามแบบนั้นทุกคนก็มองเขาด้วยสีหน้างุนงงว่าทำไมเจสันถึงถามแบบนั้น
เมื่อเทียบกับเมืองเกรด C แล้ว เขตที่ยากจนที่สุดอาจเทียบได้กับเขตที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แต่เมื่อครัวเรือนหนึ่งยากจนเกินกว่าจะดำรงชีวิตในเมืองเกรด B ได้ก็ควรย้ายไปอยู่ในเมืองเกรด C หรือ D เนื่องจากเมืองเกรด B ส่วนใหญ่ใช้สำหรับ บริษัท นักล่า รัฐบาล ครอบครัวมีฐานะสูงกว่าค่าเฉลี่ย การฝึกทหารและอื่น ๆ เพื่อปรับปรุงอันดับหลักมานาของพวกเขาภายในเมืองและออกล่านอกโดม
ทุกคนในเมืองเกรด B มีความมั่งคั่งความแข็งแกร่งหรือข้อได้เปรียบอื่น ๆ ตามมาตรฐานจำนวนหนึ่ง พลเมืองส่วนใหญ่จากเมืองเกรด C บางคนก็มีเหตุผลที่จะต้องยู่ที่นั้น เช่นกรณีของตระกูลเฟลเลอร์
พวกเขาร่ำรวยพอที่จะอาศัยอยู่ในเมืองไซโร แต่เนื่องจากเกร็ก พวกเขาจึงย้ายไปอยู่ในเมืองเกรด C ที่ห่างไกลเพื่อให้เกร็กหายจากอาการบาดเจ็บในจิตใจ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เจสันสังเกตว่าทั้งมาเลียและเกร็กยังคงหมกมุ่นอยู่กับการดูดซับมานาและเจสันสังเกตว่าพวกเขาไม่ได้เคลื่อนไหวตั้งแต่เริ่มการเดินทาง
สิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจมาก
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งของคน ๆ หนึ่ง
เจสันรู้ว่าทั้งเกร็กและมาเลียแข็งแกร่ง แต่เมื่อก่อนเขาคิดว่าเป็นเพราะความมั่งคั่งของพวกเฟลเลอร์ แต่ตอนนี้เจสันได้เห็นพวกเขาตั้งใจจริงและเจสันพบว่าตัวเองมีแรงบันดาลใจมากกว่าเมื่อก่อน
เมื่อนั่งลงอีกครั้งเขาดูดซับมานาอย่างละโมบมากขึ้นและท้องฟ้าก็ใกล้มืดลงในขณะที่ภายในรถบรรทุกที่ลอยอยู่เริ่มส่องแสงสีขาว
เจสันกำลังพัฒนาขึ้นและทุกคนสังเกตเห็นว่ามานารอบตัวเจสัน มันรวมตัวกันอย่างมีพลังด้วยแรงดูดที่น่าทึ่งทำให้การรวบรวมมานาของเกร็กและมาเลียช้าลงอย่างมาก
พวกเขาสังเกตเห็นว่าเจสันกำลังจะพัฒนาการดูดซับมานาจนเสร็จแล้วและได้มองไปที่เจสันโดยไม่ทำให้เขาเสียสมาธิ
กาเบรียลและมาร์คไม่รู้ว่าเจสันเพิ่งดึงดูดมานาได้เมื่อเดือนก่อน แต่เกร็กและมาเลียรู้เรื่องนี้และพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเจสันรวบรวมมานาอย่างมหาศาล
แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะบอกว่าขั้นตอนแรกนั้นง่ายและเร็วที่สุด ในขณะที่เพิ่มระดับมานาหลัก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นหากไม่มีการควบคุมในระดับหนึ่ง
สิ่งหนึ่งที่จำเป็นในการควบคุมมานาผ่านช่องทางมานาทั้งหมดและใส่มันเข้าไปในแกนมานาอย่างเบามือและการทำอะไรแบบนั้นต้องใช้เวลามากและต้องเสียพลังงานให้กับร่างกายมาก
ในขณะที่ความไวของเกร็กต่อมานาไม่ได้สูงขนาดนั้น แต่มาเลียมีความไวสูง
ทั้งคู่เริ่มรู้สึกถึงมานาเมื่ออายุ 8 ขวบและเกร็กได้ใช้เวลาครึ่งปีในการขึ้นสู่ตำแหน่งมือใหม่รดับที่ 2 ในขณะที่มาเลียต้องใช้เวลาเพียง 2 เดือนเพื่อไปให้ถึง
ในขณะที่พวกเขายังเด็กจริงๆร่างกายของพวกเขาจะต้องพลังงานมากขึ้นในการดูดซับมานานานเกินไปและเวลาในการสร้างวงกลมขนาดใหญ่ผ่านช่องทางมานานั้นค่อนข้างนานทำให้การเติบโตของพวกเขาช้าลงมาก
เด็กๆ ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการทำความเข้าใจว่ามานาคืออะไรมีค่าเพียงใดและจะดูดซับอย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับพวกเขาดูเหมือนว่าความไวและการควบคุมมานาของเจสันนั้นสูงกว่ามาก แม้ว่าอันดับหลักมานาของเขาจะยังต่ำกว่าผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมต้นคนอื่นๆ ก็ตาม
เกร็กรู้สึกนอยด์เพราะความไวในการรับรู้และดูดซับของเขาแย่ลง เมื่อเทียบกับเจสันและมาเลีย เกร็กสังเกตเห็นมันมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเขาไม่มีเวลาที่จะแข็งแกร่งขึ้น
ตอนนี้ลักษณะเฉพาะของเกร็กเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมชั้นในอนาคตคือวิญญาณและจิตวิญญาณแรกของเขา ซึ่งจะเพิ่มความกล้าหาญในการต่อสู้ของเขา
เกร็กคาดว่าเจสันจะเป็นเพียงนักเรียนทั่วไปในเมืองไซโร เพราะระดับที่ต่ำของเจสัน ซึ่งทำให้เขาผิดหวัง
เมื่อเห็นเจสันพัฒนาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เจสันยังมีนกฮูกเกล็ดหิมะกลายพันธุ์แบบพิเศษ
ตอนนี้สิ่งเดียวที่เกร็กทำได้ คือการฝึกฝนให้หนัก
ฝึกฝนให้หนักขึ้น! เขาจะไม่มีวันยอมให้เจสันแซงตัวเขาได้ !! อย่างน้อยเขาก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันสิ่งนั้น
เกร็กตัดสินใจว่า เจสันจะเป็นคู่ปรับตัวฉกาจของเขา แม้ว่าเจสันจะอายุน้อยกว่าและเป็นหนูตัวเล็กในที่เขาตาบอดก็ตาม…. ตอนนี้เจสันดูเหมือนมังกรที่ดุร้ายสำหรับเกร็ก เมื่อเกร็กเห็นรังไหมสีขาวที่ส่องแสงค่อยๆสลายไปและดวงตาสีทองของเจสันที่เปิดขึ้นอย่างช้าๆเปล่งประกายด้วยความแข็งแกร่งในขณะที่ผมสีดำขลับของเขาปลิวไปในอากาศเบา ๆ เนื่องจากร่างที่กำหนดเวลาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
ในขณะเดียวกันมาเลียมีความรู้สึกที่สับสนมาก
ด้านหนึ่งเธอประหลาดใจกับความเร็วในการพัฒนาของเจสัน แต่แม่ของเธอก็ได้บอกกับเธอแล้วว่าเจสันมีดวงตามานาและเขาอาจจะไวต่อมานาอย่างมากเพราะเหตุนั้น
หลังจากที่รังไหมหายไป หัวใจของเธอก็หวั่นไหวเล็กน้อยและเธอต้องหยิกตัวเองให้หลุดจากภวังค์
`เจสันอายุน้อยกว่าฉัน 2 ปี !! ฉันกำลังคิดอะไรอยู่ ฉันเป็นผู้หญิงนะ มาคิดอะไรบ้าๆ แบบนี้ได้ไงกัน !!! “
เธอส่ายหัวและแสดงความยินดีกับเจสัน ก่อนที่เธอจะหันไปมองและหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากที่เก็บของกิน
ทุกคนแสดงความยินดีกับเจสันและเจสันก็ยิ้มเบา ๆ ก่อนที่เจสันจะสแกนร่างกายของตัวเองอีกครั้ง
การเข้าสู่มือใหม่ระดับ 5 และเจสันรู้สึกดี ร่างกายและแกนมานาของเขาได้รับทั้งแรงผลักที่ดีในขณะที่แกนมานาของเขามีขนาดเท่ากับมือใหม่ระดับที่ 7 และร่างกายของเขาก็ใกล้เข้าสู่อันดับที่ 6 ของมือใหม่ด้วยการแบ่งปั่นพลังงานของอาร์เทมิส
มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างมานาของอันดับที่ 6 และอันดับที่ 7 ของมือใหม่ เนื่องจากเป็นระดับเล็กน้อยและเจสันกำลังจะลดขีดจำกัดนี้ลงเมื่อเขาไปถึงมือใหม่ระดับที่ 6 หรือ อาร์เืมิสถึงอันดับสัตว์ป่าระดับสี่ดาว
ขีดจำกัดที่คนอื่นต้องเผชิญจะอ่อนแอลงอย่างง่ายดายเมื่อเขาถึงมือใหม่ระดับที่ 6
เจสันเปลี่ยนเสื้อผ้าของเขา เพราะว่ามันเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกและหลังจากที่เขาเปลี่ยนแล้ว พวกเขาก็พูดคุยกันในขณะรับประทานอาหารกลางวันด้วยบรรยากาศสบาย ๆ
หลังจากนั้นเจสันก็เข้าสู่โลกแห่งวิญญาณของเขาเพียงเพื่อสังเกตว่าพลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
เจสันยิ้มเบา ๆ รู้ว่านั่นเป็นเพราะแกนมานาของเขาเพิ่มอันดับขึ้น
ร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นเช่นกันและร่างกายของเขาก็ดีขึ้นเพราะการพัมนาของเขา
ตอนนี้พลังวิญญาณของเขาอยู่ที่ประมาณ 5.3 หน่วย ถ้าเขาประเมินและเจสันก็มั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะสิ่งที่แย่ที่สุดเกี่ยวกับเขาคือพลังวิญญาณที่ต่ำ
แต่เขาก็ยังไม่สามารถรวบรวมความกล้า เพื่อถามเกร็กว่าพลังวิญญาณของเกร็กสูงแค่ไหนเพราะจุดเริ่มต้นของเกร็กสูงกว่ามาก
เมื่อนึกถึงพลังงานวิญญาณที่ได้รับจากวัว …
เมื่อคิดสักครู่เจสันคาดว่าเกร็กจะมีพลังวิญญาณ 450 ในขณะที่สัตว์ร้ายที่วิวัฒนาการระดับกลางมีประมาณ ~~ 300
ด้วยส่วนแบ่ง 10% พลังวิญญาณของเกร็กจะเพิ่มขึ้น 30 เพียงเพราะสัตว์พันธะของเขา ..
เจสันตัดสินใจฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ให้บ่อยที่สุด เพราะสังเกตเห็นว่าอัตราการผลิตพลังงานวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในขณะที่โลกแห่งวิญญาณของเขาขยายใหญ่ขึ้นพร้อม ๆ กัน
หัวของเจสันปวดตลอดเวลา แต่เขาก็แทบจะมึนงงกับความเจ็บปวดหลังจากนั้นไม่นานก็ดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน
รถบรรทุกขับช้าเนื่องจากจำกัดความเร็วในเมือง แต่เมื่อพวกเขาออกจากเมืองมันก็เริ่มเร่งขึ้นในระดับหนึ่ง
แต่เนื่องจากยังไม่ได้ออกจากโดม มันจึงไม่ได้เร็วมากเพราะพวกเขาต้องระวังมนุษย์รอบข้างภายในโดม
อย่างไรก็ตามมันก็ยังเร็ว
หลังจากนั้นไม่กี่นาที่ ก็เข้าในจุดออกจากโดม รถวิ่งผ่านโดมโดยไม่มีสิ่งใดๆ เกิดขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เจสันประหลาดใจอย่างมาก เพราะมาร์คกดปุ่มบนเมนบอร์ดทำให้รถบรรทุกลอยขึ้นเล็กน้อย
วงเวทย์ต่อต้านแรงโน้มถ่วงขั้นสูงกำลังส่องแสง เจสันเห็นว่าพวกเขามาถึงขีดจำกัดของความสามารถเมื่อรถบรรทุกที่ลอยอยู่ถึงความสูงประมาณ 3 เมตร
ถัดจากมาร์คคือหน้าจอโฮโลแกรมพร้อมแผนที่รายละเอียดของแอสทริกซ์และมีจุดสีเทาขนาดใหญ่สองสามจุดที่สามารถมองเห็นได้
ทั้งเกาะถูกแบ่งออกเป็นพื้นที่ต่างๆมากมายซึ่งน่าจะเป็นเขตป่า
แต่ละพื้นที่เหล่านี้ถูกทำเครื่องหมายด้วยดาวสีดำจำนวนหนึ่งและเจสันคิดว่าดาวดวงหนึ่งน่าจะเป็นตัวบ่งชี้สำหรับเขตป่าระดับหนึ่งดาว เนื่องจากพวกเขากำลังขับรถผ่านที่ราบระดับหนึ่งดาวในขณะที่แผนที่ระบุว่าพวกเขาขับรถผ่านพื้นที่ดังกล่าว
เจสันพบว่ามันน่าสนใจเมื่อเขามองดูแผนที่ทั้งหมด ซึ่งเต็มไปด้วยภูมิประเทศที่แตกต่างกันมากมาย
มานามีความสามารถในหลาย ๆ อย่างและเนื่องจากสภาพแวดล้อมของมานาในบางพื้นที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วว่าเส้นศูนย์สูตรอยู่ที่ไหนหรืออยู่ห่างจากดวงอาทิตย์แค่ไหนเมื่อเทียบกับที่อื่น อุณหภูมิและสภาพแวดล้อมเกือบทั้งหมดขึ้นอยู่กับมานาโดยรอบและสมบัติที่เกิดตามธรรมชาติ
สมบัติที่มีมนต์ขลังสามารถเปลี่ยนสภาพแวดล้อมทั้งหมดด้วยมานาที่แผ่ออกมา แม้ว่าจะมีการค้นพบและรวบรวมสมบัติแล้วก็ตาม แต่ซากของมันจะทำให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงต่อไป
ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่มีทฤษฎีบางอย่างหนึ่งที่เหมือนกับทุกสิ่งใหม่
ทางเหนือของแอสทริกซ์เต็มไปด้วยจุดสีขาวมากมายในขณะที่ใจกลางเกาะมีภูเขาไฟขนาดใหญ่
เจสันรู้ว่าตอนนี้ตำแหน่งของพวกเขาในตอนนี้ค่อนข้างใกล้กับทุ่งน้ำแข็ง แต่ไปทางตะวันออกมากกว่าและพวกเขาจะกำลังเดินทางไปใกล้ภูเขาไฟมากขึ้นเพื่อเข้าสู่เมืองไซโรซึ่งอยู่ระหว่างภูเขาไฟและทุ่งน้ำแข็งทางตอนเหนือ
แต่เจสันก็ประหลาดใจเช่นกันที่เห็นว่านอกจากพื้นที่ว่างเปล่าเพียงไม่กี่แห่ง พื้นที่ที่แข็งแกร่งที่สุดคือดาวสีแดงดวงเดียวในขณะที่ดาวสีดำหนึ่งถึงสี่ดวงเป็นตัวแทนของเขตป่าที่มีเงื่อนไข
เขาสรุปว่าโซนที่แข็งแกร่งที่สุดจึงเป็นโซนสัตว์วิเศษ
เมื่อนึกถึงพื้นที่สีเทาที่ว่างเปล่า เจสันสรุปว่าสัตว์ที่แข็งแกร่งกว่าจะต้องอาศัยอยู่ที่นั่นในขณะที่มนุษย์ไม่กล้าหรืออาจสนใจที่จะผจญภัยผ่านเส้นทางนั้น
ในขณะที่เจสันกำลังครุ่นคิดว่าสัตว์ร้ายชนิดใดจะสูงกว่าสัตว์วิเศษ รถบรรทุกที่ลอยอยู่ได้เร่งความเร็วจนน่าตกใจ
มันไปถึงมากกว่า 300 กม. / ชม. และเมื่อเจสันมองผ่านหน้าต่างเขาก็แทบจะร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ
‘มันไม่อันตรายเกินไปเหรอ!?!’
แต่เห็นได้ชัดว่าพวกมันบินอ้อมและหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีเนินสูงใหญ่ โขดหินใหญ่และต้นไม้บางประเภท
`ด้วยความเร็วขนาดนี้เรายังต้องใช้เวลาอีกสองวันกว่าจะมาถึงเมืองจิโร่ ?? และมาร์คบอกว่าพวกเราต้องขับรถผ่านทั้งคืน… .`
มาเลียและเกร็กไม่สนใจความเร็วของรถบรรทุกที่ลอยอยู่และพวกเขาทำการดูดซับมานาจากหินมานาขนาดเล็ก และอ่านไฟล์บางไฟล์บนหน้าจอโฮโลแกรมของพวกเขา
เจสันสังเกตเห็นสิ่งนั้นและตัดสินใจที่จะไม่สนใจรถบรรทุกอีกต่อไปและดูดซับมานาให้ตัวเอง
การหยิบหินมานา อาร์เทมิสออกมาสังเกตเห็นและมันพยายามคว้าหินมานา ซึ่งเจสันหยุดมันเอาไว้
เขาหยิบแกนสัตว์ป่าระดับห้าดาวออกมาและบอกให้มันกินและย่อยแกนเหล่านั้น
ถ้ามันทำสำเร็จ เขาจะให้แกนสัตว์อสูรที่ตื่นขึ้น ซึ่งทำให้มันมีความสุขและเจสันต้องการทดสอบว่ามีความแตกต่างในอัตราการแปลงระหว่างการย่อยอาหารของมันหรือไม่ เพราะปริมาณมานาเท่ากันสำหรับแกนสัตว์ป่าห้าดาว และแกนสัตว์อสูรที่ตื่นขึ้น
อาร์เทมิสไม่พอใจกับแกนของสัตว์ร้ายและทำให้เจสันรำคาญมันบังคับให้เขามอบหินมานาให้มัน
ไม่กี่นาทีต่อมาเจสันก็โน้มน้าวอาร์เทมิสและมันกลืนแกนมานาลงไปก่อนที่มันจะเข้าไปในโลกแห่งวิญญาณเพื่อย่อยพลังงาน
ในขณะเดียวกันเจสันก็เตรียมพร้อมที่จะดูดซับมานาจากหินมานา
เขาหวังว่าจะสามารถเข้าสู่ระดับมือใหม่ระดับที่ 5 ได้ในวันนี้หรือวันพรุ่งนี้
เขาหลับตาลงเขาคลายด้ายมานาจากหินมานาในมือของเขาแล้วดึงมันเข้าไปในตัวเขา
หลังจาก วนผ่านช่องมานาของเขาแล้วเขาก็สอดมันเข้าไปในแกนมานาของเขา
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงและตอนนี้ก็เป็นเวลาอาหารกลางวันแล้ว
ในขณะที่ภูมิประเทศเปลี่ยนไปรถบรรทุกขับผ่านเหมือนไม่มีอะไร
ไม่มีสัตว์ร้ายแม้แต่ตัวเดียวที่สามารถมองเห็นได้และนี่อาจเป็นเพราะสารขับไล่สัตว์ร้ายที่ใช้กับรถบรรทุกและรูปลักษณ์ที่น่ากลัวของรถ
พวกเขาขับรถผ่านเขตป่าระดับสามดาวเพียงแห่งเดียวและไม่มีสัตว์ร้ายที่สามารถทำอันตรายพวกเขา
เจสันประหลาดใจกับการย่อยแกนมานาของอาร์เทมิส มันสามารถย่อยได้ไวมาก ซึ่งเจสันคิดว่าอย่างน้อยมันก็ต้องใช้เวลาหนึ่งวันในการย่อยให้หมด แต่นี้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเวลาที่ผ่านไปโดยประมาณ
ท้องของเจาสันร้องแล้วเขาเริ่มหิว
ทุกคนในรถจะกินเฉพาะเวลาที่หิวจริงๆ เท่านั้น เพราะเวลาที่ต้องรวบรวมมานานั้นสำคัญกว่าและอาจเป็นเรื่องร้ายแรงที่จะทำให้ใครบางคนเสียสมาธิในขณะที่ดูดซับ
ความผิดพลาดอาจนำไปสู่การบาดเจ็บสาหัส
เจสันรู้สึกประหลาดใจอย่างมากเกี่ยวกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นในการดูดซึมมานาของเขาด้วยหินมานาและเจสันรู้สึกว่าแม้ว่าแกนมานาของเขาจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากระดับของอาร์เทมิสที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน เขาก็จะสามารถเพิ่มระดับไปถึงระดับ 5 ได้ในวันพรุ่งนี้
ก่อนที่เจสันจะกินอะไร เขาได้ให้แกนกลางสัตวือสรูที่ตื่นขึ้นให้แก่อารืเทมิส มันกินอย่างตะกละตะกลาม
เจสันสงสัยว่าอาร์เทมิสจะกินแกนสันว์ร้ายทั้งหมดของเขาหรือไม่ ถ้าเขาไม่ได้ควบคุมเธอเมื่อเห็นเธอไม่พอใจกับแกนสัตว์เพียงแกนเดียว
อาร์เทมิสกลับเข้าสู่โลกแห่งวิญญาณของมันด้วยความหดหู่ใจและเจสันตามมันเข้าไปเพื่อฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์
หลังจากผ่านไป 20 นาทีเจสันก้ได้ฝึกเสร็จแล้วและออกจากโลกแห่งจิตวิญญาณอีกครั้ง
เมื่อมองออกไปข้างนอก เจสันสังเกตเห็นว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปเล็กน้อยและทางด้านซ้ายของเขา มีพื้นที่ทั้งหมดเต็มไปด้วยต้นไม้และสัตว์ป่าที่เขียวชอุ่มและเบ่งบานในขณะที่ด้านขวาค่อนแตกต่างกัน
เมื่อมองไปที่แผนที่เจสันสังเกตเห็นว่าทางด้านขวาของเขา คือเขตป่าสามดาวถัดจากโซนทุ่มน้ำแข็งที่มีมนต์ขลังระดับหนึ่งดาวขณะที่ทางซ้ายของเขาเป็นโซนสองดาวถัดจากผืนน้ำขนาดใหญ่
เขาไม่สามารถแยกแยะลักษณะต่างๆได้เนื่องจากความเร็วที่รุนแรงของรถบรรทุกที่โฉบลงมา
เจสันรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ทับหัวของเขาอยู่ และแน่นอนว่ามันคืออาร์เทมิส
เจสันตื่นขึ้นมาแล้วได้ลูบหัวของมัน ก่อนที่เขาจะเข้าไปสู่โลกวิญญาณเพื่อฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ เจสันได้สังเกตเห็นว่าแกนโลกวิญญาณของเขามีขนาดเพิ่ขึ้นในขณะที่พลังวิญญาณนั้นก็แข็งแกร่งมากขึ้นเล็กน้อย
เมื่อดูจำนวณพลังวิญญาณมันเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยจนเกือบจะถึง 5 หน่วย
ความคิดแรกของเจสันคืออาร์เทมิสสามารถพัฒนาเป็นสัตว์ร้ายระดับสามดาวได้ ซึ่งเขาคิดถูก
สิ่งนี้ทำให้เจสันมีความสุขมากและก็เผลอยิ้มออกมา
เจสันไม่รู้สึกถึงความแตกต่างจากร่างกาย แต่อาจเป็นเพราะเขายังง่วงอยู่
การฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์พลังวิญญาณของเขาหมดลงอย่างรวดเร็วและเขาออกจากโลกแห่งจิตวิญญาณเพื่อมองไปที่อาร์เทมิส
ในขณะที่เจสันเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทาง เขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย ร่างกายของเขามีอาการคันเล็กน้อย
เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แกนมานาของเขาใกล้ถึงระดับ 7 แล้วในขณะที่ร่างกายของเขาก็อยู่ในระดับที่ 6 เช่นกัน
และแกนกลางของเขาเกือบจะถึงขีดจำกัด และใกล้จะถึงจุดพัฒนาดังนั้นเขาจะสามารถเพิ่มเลเวลได้ในไม่ช้า
‘ความแข็งแกร่งของฉันก็เพิ่มขึ้นมาก รวมถึงแกนมานาของฉันด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า อาร์เทมิสและจิตวิญญาณของฉันดีมาก … ‘ เจสันมีความสุขจนได้ยินเสียงเคาะประตู
“เจสันนายตื่นรึยัง เราต้องไปกันในอีกไม่ช้า .. ถ้านายไม่ตอบฉัน ฉันจะเข้าไปปลุกนายใน 3..2..1 ”
เจสันได้ยินเสียงล้อเล่นที่คุ้นเคย
“หยุดนะเกร็ก .. ฉันตื่นแล้ว ๆ .. ฉันจะออกไปเดียวนี้ อย่างน้อยให้ฉันซักและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
เจสันออกจากห้องระหว่างทาง เจสันได้พบกับมาเลียที่สวมชุดคลุมนอนสีขาวที่ค่อนข้างโป๊จากผ้าไหมและดวงตาของเจสันโตขึ้นเกือบสองเท่าเมื่อเห็นเรือนร่างของเธอ
‘ เธอสวยจริงๆ! ‘
เจสันคิดแล้วกลืนน้ำลาย
ถึงแม่เจสันจะเพิ่งสามารถมองเห้นได้ แต่เขาก็สามารถแยกยะผู้ชายหล่อ และผู้หญิงที่สวยได้
ไม่คำทักทายใดๆ มาจากเจสัน เพราะเขายังคงชื่นชมสายตาของเขา และมาเลียมองก็มองเจสันด้วยสายตาที่เหนื่อยล้า
ก่อนที่มาเลียจะทักทายเจสัน เธอเห็นการจ้องมองแปลกๆ ของเจสัน เธอจึงมองลงไปที่ตัวของเธอ มาเลียจึงรู้สึกได้ว่าเสื้อผ้าที่เธอกำลังใส่อยู่ค่อนข้างที่จะเปิดเผยเนื้อหนัง
เธอร้องไห้ออกมาด้วยความประหลาดใจทันทีที่ มาเลียหายเข้าไปในห้องของเธอเพียงครู่เดียวก็ปรากฏตัวขึ้นในเวลาต่อมาโดยมีเสื้อผ้าบางตัวติดอยู่
แก้มของเธอแดงระเรื่อและรีบวิ่งลงไปที่ห้องนั่งเล่นโดยไม่มองเจสัน
เจสันได้แต่เดินตามเงียบ ๆ โดยคิดแค่ว่าเธอดูสวยจริงๆ
แทนที่จะรู้สึกหวั่นไหวหรือชอบ แต่เจสันกลับคิดแค่ว่ามาเลียเป็นเพื่อนของเขา
และเจสันยังเด็กเกินไปที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องแบบนั้น อย่างน้อยนั่นก็เป็นความคิดเห็นของเขา
การแข็งแกร่งขึ้นนั้นสำคัญกว่ามากสำหรับตอนนี้!
เมื่อเดินลงไปที่ห้องนั่งเล่นเจสันสังเกตว่าทุกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะ รอเขาอยู่แล้ว
เจสันนั่งลงและทักทายทุกคน
อาหารเช้าเริ่มขึ้นและมีอาหารมากมายให้เจสันได้กิน
เขาสังเกตเห็นว่ามานาจำนวนเล็กน้อยกำลังแผ่ออกมาจากอาหารบางจาน ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก
ในมื้ออาหารเช้าทุกคนค่อนข้างเงียบ มีเพียงกาเบรียลลาเท่านั้นที่ถามเจสันว่า อาร์เทมิสต้องการอาหารหรือเปล่า แต่เจสันก็ได้ปฏิเสธอย่างสุภาพ
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเจสันได้ขอพัสดุของเขาที่กาเบรียลลารับไว้แทนเมื่อตอนเช้า
เจสันต้องการที่จะเข้าสู่อันดับที่ 5 ของมือใหม่โดยเร็วที่สุด แต่ว่าพวกเขาจะเริ่มการเดินทางเร็ว ๆ นี้ดังนั้นเจสันจึงต้องรอจนกว่าพวกเขาจะเริ่ม
ก่อนที่การเดินทางของพวกเขาจะเริ่มขึ้น และพวกเขาทั้งหมดมีบางสิ่งที่ต้องทำ
เจสันเห็นรถบรรทุกหุ้มเกราะขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ทางเข้าคฤหาสน์
รถบรรทุกถูกปกคลุมไปด้วยโลหะหลายชั้นและเสริมด้วยวงเวทย์และอักษรรูนที่ส่องสว่างในขณะที่ตัวรถบรรทุกนั้นลอยได้ด้วยวงเวทย์ต่อต้านแรงโน้มถ่วง
มันเป็นรถบรรทุกที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษสำหรับงานออฟโรดนอกโดมและมันจะมีประโยชน์มากเพราะภูมิประเทศไม่มีความสม่ำเสมอและเต็มไปด้วยสัตวร้าย
เจสันคาดว่าความยาวของรถบรรทุกอยู่ที่ประมาณ 25 เมตรรวมทั้งรถพ่วงที่ลอยอยู่
แม้ว่ามันจะได้รับการเสริมพลังด้วยมานาที่หนาแน่น แต่วิธีที่ง่ายที่สุดในการจัดหาสิ่งนี้คือหินมานา
เขาไม่อยากคิดเกี่ยวกับราคาที่ต้องจ่ายเพื่อเดินทางไปทั่วทั้งเกาะและเขาตัดสินใจที่จะไม่สนใจเรื่องนี้เพราะเขาไม่ต้องจ่าย
ในขณะที่นกอินทรีพายุและหมาป่าได้ยืนอยู่หน้ารถพ่วงแล้วเจสันคิดว่าลูกสุนัขจิ้งจอกน่าจะได้รับอาหารก่อนที่พวกเขาจะเริ่มการเดินทาง
เมื่อไปที่สวนหลังบ้านเจสันเห็นกรงสัตว์ร้ายที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่ามันจะใหญ่กว่ากรงของเดิมและมีสีฟ้าเล็กน้อย แต่มานาที่แผ่ออกมาก็ไม่ใช่เรื่องตลก
ส่วนล่างของกรงถูกอัดแน่นด้วยลูกกรงป้องกันไม่ให้ลูกสุนัขจิ้งจอกออกจากกรง
กรงสัตว์ชนิดนี้หายากมากและทำจากวัสดุพิเศษในขณะที่มันมีตัวดัดแปลงที่แตกต่างกันมากมาย รวมถึงการดัดแปลงบาร์ที่อัดแน่นซึ่งเปิดใช้งานอยู่ในขณะนี้
ภายในกรงสัตว์ร้ายเจสันสามารถมองเห็นลูกสุนัขจิ้งจอกรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ เครื่องจักรแฟนซีขนาดใหญ่
มีขวดนมสัตว์ยื่นออกมาทำให้เหล่าลูกจิ้งจอกสามารถกินอาหารได้
เห็นได้ชัดว่ามาร์คได้ซื้อเครื่องให้อาหารอัตโนมัติสำหรับลูกที่มีเครื่องทำความร้อนและอื่น ๆ
ระบบของมันเป้นแบบอัตโนมัติโดยใช้มานาและสามารถเลี้ยงลูกสัตว์ 10 ตัวในเวลาเดียวกันได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้เป็นเวลาเพียง 04:30 น. เมื่อทุกอย่างถูกโหลดและตรวจสอบสองครั้งก่อนที่จะเก็บเข้ารถ และพวกเขาทั้งหมดก็ได้ขึ้นไปบนรถ
ภายในของรถบรรทุกนั้นกว้างขวางและดูล้ำยุค เกร็ก มาเลียและเจสันก็เข้ามาด้านหลังในขณะที่กาเบรียลลายังคงอยู่ข้างหน้าพร้อมกับมาร์คที่ขับรถ
เมื่อปิดประตูมาร์คก็เปิดเครื่องยนต์และพวกเขาก็ออกไป
* เหนือเมือง *
ชายชราคนหนึ่งกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าปล่อยมานาจำนวนเล็กน้อยเพื่อต่อต้านความโน้มถ่วง
ในขณะที่หญิงชรา แต่มีผมสีเงินยืนอยู่ข้างๆเขามีปีกสีงาช้างขนาดใหญ่สยายอยู่ข้างหลังเธอ
ชายชรากำลังมองลงมาและสายตาของเขาก็มองตามสมบัติที่เลือกไว้ อยุ่ในรถบรรทุกขณะที่มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขา
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเจสันไร้ประโยชน์เพราะพลังวิญญาณของเขาอ่อนแอมากและเกือบจะไม่มี ตามมาด้วยอันดับแกนมานาที่แทบจะจะไม่มีอะไรเลย แต่เมื่อเห็นการกระทำของเขาในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาชายชรารู้สึกประหลาดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ กับความสำเร็จของเจสัน
ยิ่งไปกว่านั้นนกฮูกเกร็ดฮิมะของเจสัน ยังสามารถพัฒนาจนทะลุขีดจำกัดของมันและพัฒนาไปในขั้นที่สูงกว่าภายในไม่กี่สัปดาหื แต่พลังวิญญาณที่อ่อนแอของเจสันยังสามารถควยคุมมันไว้ได้ แสดงว่าพลังวิญญาณของเจสันก็ต้องเพิ่มขึ้นมาแน่ๆ
หลังจากดูเจสันไม่กี่สัปดาห์ ชายชรามั่นใจว่าวิญญาณของเจสันต้องขยายเพิ่มขึ้นจำนวนมหาศาลจากจิตวิญญาณไปยังผู้เป็นเจ้าของ
จากความรู้มากมาย ชายชราได้สั่งสมมาเป็นเวลาหลายสิบปีเขารู้ว่าวิญญาณทุกดวงมีความแตกต่างกัน ซึ่งรวมถึงพลังวิญญาณ ความสัมพันธ์ของวิญญาณ การขยายวิญญาณ การเพิ่มประสิทธิภาพทางกายภาพของวิญญาณและเวลาในการเติมพลังวิญญาณ
“ เด็กคนนั้น มีค่ามากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
หญิงชราข้างๆ ถามอย่างไม่แน่ใจ
รอยยิ้มของชายชรากว้างขึ้นและตอนนี้การตัดสินใจของเขาที่จะยอมรับเจสัน ได้รับการยืนยันแล้วหลังจากสิ่งที่เขาเห็น
“ฉันหวังว่าอย่างนั้น!”
ชายชรากระซิบขณะมองลงไป
“แสดงศักยภาพของเจ้าให้ข้าเห็นมากขึ้นยิ่งขึ้น เจสัน สเตลล่า!”
ชายชรากล่าวขณะที่ทั้งคู่หายไปในอากาศเบาบาง
กาเบรียลลาหันไปพูดกับเจสัน
“วันนี้เธอสามารถนอนในห้องพักสำหรับแขกได้นะ เพราะเราจะออกเดินทางก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น”
ก่อนที่เจสันจะพูดอะไรเกร็กก็ยิ้มแฉ่งออกมาด้วยความดีใจ ในขณะที่ใบหน้าของมาเลียยังคงสงบนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้
มาร์คจับเกร็กเพื่อสงบสติอารมณ์และหันไปหาเจสันด้วยใบหน้าที่จริงจัง
“เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาใด ๆ เราต้องการซื้อลูกสัตว์จากเธอก่อนที่เราจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้
ฉันนับจำนวนของพวกมันแล้ว
เนื่องจากเธอได้ระบุความต้องการของเธอ เราจะจัดทำสัญญาที่เหมาะสมดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งใด ๆ “
ต่อหน้าเจสันมีสัญญาและเจสันต้องเซ็นสัญญาเท่านั้น
สัญญานั้นค่อนข้างเรียบง่ายและเหมือนกับสัญญาสัตว์ร้ายทุกประการ มีเพียงข้อกำหนดเดียวเท่านั้นที่ระบุไว้จากเจสันและเครดิตที่เจสันจะได้รับก็ถูกเขียนไว้ด้วย
ในขณะที่เจสันดูตกใจ ในขณะเกร็กก็ผิวปากด้วยความทะเล้น
เจสันรู้ดีว่าเขาจะได้รับเครดิตมากมายเพราะจำนวนลูกสุนัขจิ้งจอกธาตุเหล่านี้หายากและมีจำนวนน้อย และมีความสามารถทางธาตุที่ทรงพลังตามธรรมชาติที่สูงทำให้ราคาเพิ่มขึ้นขึ้นสูงตามความต้องการ แต่สิ่งนี้น่าประหลาดใจมาก
มาร์คนับลูกจิ้งจอกได้ 164 ตัวและแต่ละตัวมีมูลค่าประมาณ 100,000 เครดิต
‘16.4 ล้านเครดิต `> Oo < ฉันรวยแล้ว !!!! ‘ เจสันคิด แต่เมื่อกาเบรียลเห็นราคาเธอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย…. “ที่รัก” ความรู้สึกที่น่าขนลุกแทรกซึมอยู่ในห้องนั่งเล่น “ฉันคิดว่าคุณลืมไปว่าเจสันเกือบจะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเราแล้ว?!” เห็นได้ชัดว่ากาเบรียลลาไม่พอใจกับราคาและเธอพูดต่อในขณะที่เจสันมองเธอด้วยความตกใจ เกือบเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา ?? “นั้นคือราคาที่เหมาะสมสำหรับสัตว์วิเศษพวกนี่งั้นหรอ ลูกจิ้งจิกเหล่านี้ถ้าโตขึ้นไปก้จะกลายเป็นสัตว์ที่ถูกปุก ดังนั้นฉันจึงไม่คิดว่าราคาของมันจะต่ำกว่า 100,000 เครดิตนะ หรือเฉพาะแค่กลุ่มนี้ที่มีราคาต่ำกว่าปกติ ? “ ดวงตาของกาเบรียลลาลุกเป็นไฟและเธอก็ร้อนรน … ถ้าสามีกล่าวตำหนิเธอเพียงครั้งเดียว เธอก้พร้อมที่จะสวนกลับ และมาร์คก็รู้เรื่องนั้นดี เกร็กมองแม่อย่างภาคภูมิใจในขณะที่มาเลียรู้สึกสับสนเล็กน้อยกับปฏิกิริยาและคำอธิบายที่ร้อนแรงของแม่ เจสันเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า มาเลียมีอารมณ์รุนแรงมาจากไหน เจสันไม่รังเกียจที่จะได้รับเงินน้อยกว่าที่ควรจะเป็นจากพวกเฟลเลอร์ แต่เขาก็สังเกตว่ามาร์คเป็นที่คนโลภมากกว่านิดหน่อย “ตกลง ที่รัก ผมจะเปลี่ยนมันเดียวนี้” มาร์คคำนวณราคาใหม่และให้กาเบรียลลาดู แต่เธอก็ยังไม่พอใจ มาร์คจึงคำนวณอีกรอบ “ลูกสุนัขจิ้งจอก 164 ตัวราคาตัวละ 130,000” ‘กว่า 20 ล้าน !!’ เจสันอุทานในใจ ‘หรือที่ชัดๆ ก็คือ 21,320,000 เครดิต ว๊าวววว’ ร้อยยิ้มที่เปล่งประกายปรากฏขึ้นบนหน้าของเจสันขณะที่มองไปที่พวกเฟลเลอร์ เจสันเซ็นสัญญาทันทีและแม้ว่ามาร์คจะไม่พอใจเล็กน้อยเพราะเขาได้กำไรน้อยลง…แต่เขาก็ยังมีความสุข หลังจากทำธุระกิจเสร็จมาร์คก็เปิดร้านค้าสองสามแห่งเพื่อทำการสั่งซื้อของทางออนไลน์และเกร็กก็พาเจสันดูห้องที่ที่เขาจะได้ใช้ในการพัก เมื่อมองไปที่บัญชีธนาคารมันเต็มไปด้วยตัวเลขจำนวนมากอีกครั้งและเจสันก็ยิ้มอย่างไร้เดียงสา เมื่อเข้ามาในห้องพักเจสันก็ตกใจกับขนาดของมัน แต่ก็ไม่มีอะไรอยู่ข้างในมากนัก มันเป็นห้องเปล่าๆ ที่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆ ยกเว้นเตียงนอน แต่เจสันไม่ได้กังวลเรื่องนั้นและเขาพยายามสงบสติอารมณ์เพราะตอนนี้เขาตื่นเต้นเกินไป เขารู้สึกดีมากที่ได้รับเครดิมากขนาดนี้ ในขณะที่มีเรื่องดีๆ มากมายเกิดขึ้น เจสันแน่ใจว่าถ้าเขาไม่ได้ทำอะไรลูกสุนัขจิ้งจอก พวกมันก็คงจะตายไปแล้วในตอนนี้ เพราะหมาป่าที่และสัตว์นักล่าอื่น ๆ ที่เป็นไปได้ ถ้าพูดตามตรง เจสันก็ไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรกับเครดิตกว่า 20 ล้านเครดิตและเขาต้องคิดอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อมองเข้าไปในร้านค้าออนไลน์ เจสันก็เห็นอาวุธระดับสูงมากมายที่มีชื่อที่น่าทึ่งและเทคนิคพิเศษ แต่ราคานั้นถูกมากสำหรับเจสันในตอนนี้ … บางชิ้นสามารถแลกเปลี่ยนกับวัตถุหรือวัสดุที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเท่านั้น จะซื้ออาวุธมานาหรืออาวุธวิญญาณ? ตลกดี แต่เขาจะไม่เสียเครดิตไปกับเรื่องแบบนั้น ก่อนที่เขาจะซื้อของให้ตัวเองเจสันมักจะคิดถึงอาร์เทมิสเป็นอันดับแรก มันต้องการแกนมานามากขึ้น เนื่องจากอันที่มันกินเป็นปกตินั้นมาระดับต่ำจนเกินไป และมันก็เริ่มเบื่อแล้ว มันต้องการแกนมานาสัตวืร้ายระดับห้าดาว เมื่อคิดอย่างนั้นเจสันก็ตัดสินใจที่จะใช้เครดิตเพื่อซื้อแกนมานาสัตว์จำนวนมาก เจสันไม่แน่ใจว่าความแตกต่างระหว่างแกนสัตว์ป่าและแกนปลุกพลังนั้นแตกต่างกันมากแค่ไหน และเจสันได้ตัดสินใจซื้อแกนสัตว์ร้าย 5000 ชิ้น นอกจากนี้เจสันยังตัดสินใจซื้อหินมานามูลค่า 1 ล้านเครดิตและแกนปลุกพลังต่ำ 300 ชิ้น ในราคา 32 เครดิตต่อแกน 1 ชิ้น เขาต้องการทำการทดสอบกับอาร์เทมิสเล็กน้อยและเขาเองก็ต้องการที่จะปรับปรุงระดับของเขาด้วยและหินมานาเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเพิ่มระดับแกนมานาของเขา ยังมีสิ่งของอื่น ๆ อีกมากมายที่เขาซื้อเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินเช่นเต็นท์พกพา อาหารที่ใช้งานได้ยาวนาน น้ำ เสื้อผ้ามากมายรวมทั้งรองเท้าบูท น้ำมันก๊าด ยาหลายชนิด เชือกและอื่น ๆ เป็นเวลา 22.00 น. เมื่อเขาทำทุกอย่างเสร็จและเจสันก็เข้านอนหลังจากฝึกเทคนิคนรกสวรรค์
“ มาร์คทำอะไร !
กาเบรียลลาตะโกนอย่างเป็นห่วง ก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นว่าลูกสุนัขจิ้งจอกเหล่านี้ไม่ได้โจมตีเจสันด้วยการโจมตีที่อันตราย
เจสันเริ่มหายใจไม่ออก เพราะร่างเล็กๆ มากมายที่รุนตัวเขา ทำให้กาเบรียลลามองสถานการณ์ทั้งหมดอย่างประหลาดใจ
มาเลียที่ได้เห็นลูกจิ้งจอกตัวน้อย เธอก็เริ่มหวั่นไหวและรีบวิ่งเข้าไปที่พวกลูกจิ้งจอกด้วยความตื่นเต้น
มาเลียค่อยๆ เดินเข้าไปที่ลูกจิ้งจอก แต่เหล่าลูกจิ้งจอกมองเธออย่างหวาดกลัว ราวกลับว่าเธอเป็นสัตว์ประหลาดที่พยายามจะจับพวกมันไป
พวกมันสัมผัสได้ถึงมานาของมาเลีย ซึ้งมากกว่าพลังของเจสันอย่างมาก
ลูกจิ้งจอกรีบพากันวิ่งไปแอบหลับเจสัน โดยคิดว่าเจสันสามารถปกป้องพวกมัน โดยพวกมันแทรกตัวและเบียดกันให้ได้มากที่สุดเท่าที่พวกมันจะทำได้
แม้แต่เกร็กที่ยืนอยู่ภายนอก ก็มองไปที่ลูกจิ้งจอกอย่างสนใจในคาวมน่ารักและปุกปุยของมัน
เกร็กตัดสินที่จะไม่สนใจภาพลักษณ์ของตัวเองต่อหน้าเจสันอีกต่อไป และเขาได้เด็นเข้าไปใกล้ๆ เพื่อดูลูกจิ้งจอกที่แสนน่ารัก
เจสันเห็นการจ้องมองของเกร็กและมาเลีย และเจสันก็หันกลับไปมองที่ลูกจิ้งจอก
`ลูกจิ้งจอกพวกนี้จะรอดไปจากพี่น้องสองคนนี้ไหมหน่ะ !! “
เจสันลุกขึ้นและพูดอย่างผลีผลาม
“เอ่อ หยุดก่อน ตอนนี้ลูกจิ้งจอกพวกนี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย พวกเรามาให้อาหารพวกมันกันเถอะ !”
เจสันได้ดึงพัสดุชิ้นใหญ่ที่เขาได้มาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนมาวางไว้ตรงหน้า โดยไม่สนใจว่าเกร็กและมาเลียกำลังทำอะไรและหยิบขวดนมสูตรพิเศษสำหรับลูกจิ้งจอกออกมา เจสันได้อ่านคำอธิบายอย่างละเอียดก่อนที่จะดำเนิดการต่อ
เจสันได้ถามเกร็กว่าเขาจะสามารถอุ่นนมได้ที่ไหน เกร็กจึงนำทางไป หลังจากสิบนาทีเจสันก็ได้อุ่นนมเสร็จและเริ่มให้อาหารเหล่าจิ้งจอกตัวน้อย
เมื่อพวกมันแต่ละตัวได้กลิ่นที่น่าดึงดูดใจ ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนโลกกำลังสั่นสะท้านเพราะท้องที่มากกว่าร้อยกำลังคำราม
มาเลียและเกร็กสงบลงเมื่อเห็นความโลภในการดื่มนม ทั้งคู่ได้นั่งลงข้างๆเจสันหยิบขวดที่เตรียมไว้เพื่อป้อนลูกสุนัขจิ้งจอก
แม้แต่กาเบรียลลาและมาร์คเองก็ช่วยกันทำ น่าเสียดายที่พวกเขาไม่มีเครื่องป้อมนมอัตโนมัติเพราะพวกมันมีมากเกินไป
เวลาผ่านไป 2-3 ชั่วโมง ทุกคนเริ่มหมดแรงจากลุกจิ้งจอกและเสียงร้องของพวกมัน โดยเฉพาะมาร์คที่ต้องอดทนกว่าคนอื่น
หลังจากที่ป้อมนมจนครบหมดทุกตัว ลูกจิ้งอกก้เริ่มผล็อยหลับไปด้วยความอิ่มท้อง
–
ตอนนี้เจสันไม่รู้จะทำอย่างไรและเขาต้องขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่ของเกร็ก
มาร์คเหมือนจะรู้ว่าเจสันต้องการอะไร
มาร์คต้องการให้เจสันขายลูกจิ้งจอกทุกตัวให้กับพวกเขา ซึ่งนี้เองก็เป็นแผนที่เจสันต้องการที่จะทำในตอนแรก แต่เจสันสามารถเห็นความต้องการเงินมหาศาลในดวงตาของมาร์ค ซึ่งทำให้เจสันตกใจกลัวมนตอนแรก
เจสันไม่ต้องการเจรจาให้มากมายนัก เขาขอเพียงแค่กำหนดข้อตกลงง่ายๆ ก่อนที่เขาจะทำการขายลูกจิ้งจอกให้
เนื่อจากเจสันชอบลูกจิ้งจอกพวกนี้มาก เขาจึงลำบากใจที่จะขายพวกมัน แต่เจสันเองก้ไม่สามารถเลี้ยงดุพวกมันได้ ด้วยเหตุผลหลายอย่าง เช่น ขาดแคลนเงิน และพลงวิญญาณที่อ่อนแอของเขา
ข้อกำหนดของเจสันคือเขาไม่อนุญาติให้ตระกูลเฟลเลอร์ขายลูกจิ้งจอกเหล่านี้ให้แก่ขุนนางและครอบครัวใหญที่ไม่ดีและมีความเป็นไปได้ที่จะทำร้ายลูกจิ้กจอกเหล่านี้ และคนที่มีประวัติที่ไม่ดีและอารมณ์ร้ายต่อสัตว์พันธะ
“มันจะดีที่สุดถ้าลูกจิ้งจอกเหล่านี้ได้ทำพันธะทำคนที่มีความรักต่อสัตว์พันะะ และได้รับการปฏิบัติต่อวพกมันเหมือนครอบครัว แต่ผมรู้ว่าพวกคุณอาจจะไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามลูกจิ้งจอกเหล่านี้จะขายให้เฉพาะขุนนางและครอบครัวใหญ่ที่มีความรักให้กับเหล่าสัตว์พันธะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เกร็ก ก็ยกนิ้วให้กับเจสัน มาเลียและกาเบรียลลาก็ได้มองไปที่เจสันพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน
ใบหน้าของมาเลียเริ่มแดงและมองไปที่ลูกจิ้งจอก กาเบรียลลารู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่ามาเลียรู้สึกภูมิใจในตัวของเจสัน และเริ่มปฏิบัติกับเขาเหมือนคนในครอบครัว
มาร์ครู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
มาร์คไม่ได้สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกสัตว์วิเศษที่เขาจะขายให้กับวกเหล่าขุนนาง เพราะมีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่ทรมาณสัตว์พันธะของตนเองแต่ถึงยังนั้นมันก็ยังเป็นเรื่องที่น่าขยะแขยงและไม่เหมาะสม
มาร์คคิดว่าถ้าหากเจสันตกลงขายสัตว์วิเศษเหล่านี้ให้กับเขา เขาจะเดินทางไปทั่วเมืองเพื่อขายสัตว์วิเศษเหล่านี้ให้กับพวกขุนนางและครอบครัวใหญ่โต
แต่ตอนนี้กำไรกว่าครึ่งหนึ่งที่มาร์คคาดหวังไว้ได้หายวับไปกับตา เพราะข้อกำหนดของเจสัน
มาร์คต้องยอมรับข้อกำหนดของเจสัน มิฉะนั้นเขาจะไม่ได้รับเครดิตแม้แต่นิดเดียวในขณะที่เจสันสามารถไปหารัฐบาลและขายลูกสุนัขจิ้งจอกได้ถึงแม้ราคาจะต่ำกว่าที่มาร์คจะจ่ายให้
เจสันมีความสุขที่ได้ยินมาร์คตอบรับข้อเรียกร้องของเขาและรู้สึกราวกับว่าก้อนหินหนัก ๆ ถูกยกออกจากอกของเขา
ลูกจิ้งจอกไม่สามารถออกจากคอกได้และมาร์คก็เริ่มคำนวณราคา มาร์คได้เริ่มเขียนข้อวคามถึงใครบางคน ขณะที่เกเบรียลลาเสนอให้เจสันอยู่ทานข้าวเย็นกับพวกเขา ซึ่งครั้งนี้เจสันตอบตกลง
ในระกว่างที่ทานอาหารไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แต่เจสันกลับรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจอย่างมากขณะทานอาหารร่วมกับตระกูลเฟลเลอร์
เจสันสังเกตุว่า กาเบรียลลานั้นคอยจัดการทุกอย่างในครอบครัว ขณะที่มาร์คยังคำนวณและเขียนข้อความเมื่อทุกคนกำลังทานอาหาร
กาเบรียลลาได้ตบหลังศีรษะของมาร์คเบาๆ มาร์คก็ได้ปิดหน้าจอโฮโลแกรมและนั่งทานอาหารอย่างเชื่อฟัง
เจสันยิ้มให้กับภาพนี้เบา ๆ และเขารู้สึกมีความสุข
หลังจากทานอาหารเสร็จอาร์เทมิสที่กำลังนอนขดอยู่บนตักของเจสัน ได้ร้องเรียกขออาหารของมัน เมื่อเจสันนำแกนสัตว์ป่าทั้งหมดออกมา อาร์เทมิสก้ได้กลืนลงท้องจนหมด และก็หายเข้าไปในวงเวทย์ของมัน
พวกเฟลเลอร์ไม่ได้สังเกตุเห็นว่าเจสันเลี้ยงสัตว์พันธะด้วยแกนมานา ไม่ใช่่นั้นพวกเขาจะต้องตกตะลึงและกระหน่ำถามเขาในเรื่องนี้
แต่เจสันจะไม่ซ่อนความลับของเขาอีกต่อไปกับพวกเฟลเลอร์ หากพวกเขาถาม เจสันก็จะตอบอย่างตรงไปตรงมา
เจสันเบื่อที่จะเก็บความลับ ความสามารถของดวงตาและการกลายพันธุ์ของอาร์เทมิส
แต่น่าแปลกใจพวกเฟลเลอร์ต่างก็ไม่ได้ถามคำถามหล่านี้กับเจสันอีกเลย เจสันมีความสุขที่พวกเขาให้ความเป็นส่วนตัว
หลังจากทานอาหารเสร็จ มารคมองไปที่การแจ้งเตือนที่หน้าจอโฮโลแกรมของเขา
เขาขมวดคิ้ว และกระซิบบางอย่างกับกาเบรียลลา ก่อนที่เธอจะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืนและประกาศ
“เราต้องเปลี่ยนกำหนดการของเรา ลูกค้าของเราเขียนถึงเราว่าเขาต้องการนกอินทรีในอีกสองวัน
เนื่องจากลูกค้ากำลังเดินทางไปยังเมืองไซโร เราจะเริ่มการเดินทางของเราเร็วขึ้นเล็กน้อย
เพื่อให้ถึงก่อนเวลานัดหมายของลูกค้า พวกเราจะออกเดินทางพรุ่งนี้ตั้งแต่เช้าตรู่
เราจะนำพวกสัตว์วิเศษไปกับเราและขายพวกมันในเมืองจิโร่ซึ่งเป็นเมืองเกรด B ที่มีลูกค้าคนอื่นๆอยู่และขายที่เหลือในเมืองไซโรจุดหมายปลายทางของเรา
ทั้งสองเมืองจะมีความต้องการอย่างมากสำหรับลูกสัตว์ร้ายและพวกเรามีการติดต่อในการค้าขายสัตว์วิเศษกับเมือง 2 เมืองนี้เป็นปกติอยู่แล้ว “
มาเลียเกร็กและเจสันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ จึงได้แค่พยักหน้าตอบตกลง
การเดินทางจะเริ่มภายในพรุ่งนี้ และเจสันเองก้ตื่นเต้นเป็นอย่างมากเขาได้แต่ตั้งตารอ
การเข้าไปในโดมพร้อมกับกรงสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยผ้าปูที่นอนสีฟ้า สีดำและสีเทาดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมากและเจสันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับการจ้องมองของคนเหล่านั้น แต่มันก็ไม่ได้แย่เท่าตอนแรก
เจสันไม่มีเวลาคิดถึงคนอื่นมากนัก เพราะเขาต้องส่งข้อความถึง AI ของเมืองโดยเร็วที่สุดเพราะเจสันกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าลูกสุนัขจิ้งจอกหลุดออกมาจากกรงภายในโดม
เขาได้ยินเกี่ยวกับคดีดังกล่าวและพวกมันถูกจัดการลงอย่างน่าอนาถ
AI ขออนุญาติเจสันในการเข้าถึงกรงสัตว์ร้ายเพื่อสแกนดูลูกสุนัขจิ้งจอกเพื่อนับจำนวนก่อนจะระบุว่าพวกมันไม่เป็นอันตรายชั่วคราว
เจสันถอนหายใจอย่างโล่งอกและสั่งรถรับส่งพิเศษในขณะที่รออย่างอดทนด้วยสีหน้ายินดี
ระหว่างรอเขาเปิดข้อความและเขียนข้อความถึงเกร็ก มาเลียและแม้แต่กาเบรียลลาแม่ของเกร็ก
เจสันไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก บอกแต่เพียงว่าจะไปที่คฤหาสน์พร้อมกับกรงสัตว์ร้าย
เจสันไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไร ดังนั้นมันง่ายกว่าเมื่อถ้านำไปให้เห็นกับตา
เจสันฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ระหว่างรอรถรับส่งพิเศษ
นอกจากนี้เขายังซื้อขวดนมสำหรับทารกซึ่งเป็นนมพิเศษจากวัวกลายพันธุ์ที่วิวัฒนาการแล้วพร้อมสูตรสำหรับลูกสุนัขจิ้งจอกทางออนไลน์
มันค่อนข้างแพงและเจสันต้องใช้เครดิตส่วนใหญ่ที่เก็บไว้ แต่ก็ใช้ได้ ลูกสุนัขจิ้งจอกเหล่านี้ไม่ควรทนทุกข์ทรมานจาการหิว ก่อนที่เขาจะคิดต่อว่าควรทำอย่างไรกับพวกมัน
รถรับส่งมาถึงและดูเหมือนกระบะโลหะขนาดใหญ่พิเศษที่มีพื้นที่บรรทุกกว้าง
มันดึงแขนโลหะออก และยกกรงสัตว์ร้ายอย่างระมัดระวังก่อนที่จะวางลงบนพื้นบรรทุก
ยังมีที่ว่างเหลืออยู่บนพื้นที่บรรทุกและ เจสันตัดสินใจนั่งที่นั่นเพราะเขาต้องการดูแลลูกสุนัขจิ้งจอกกับอาร์เทมิสเพื่อกันไม่ให้พวกมันหลุดออกมา หรือทำร้ายกันเอง
ประมาณ 40 นาทีต่อมาเจสันก็กลับมาที่หน้าคฤหาสน์เฟลเลอร์อีกครั้ง แต่คราวนี้เจสันรู้สึกสบายใจกว่า ที่ได้เข้าไปในขณะที่กรงสัตว์ร้ายที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองอยู่ข้างๆเขา
อาร์เทมิสนั่งอยู่บนไหล่ของเขาอย่างอ่อนเพลีย
มันต้องช่วยเจสันดูแลลูกจิ้งจอก และมันก็ไม่อยากทำแบบนี้อีกแล้ว
สมาชิกทุกคนในตระกูลเฟลเลอร์เห็นรถกระบะขนาดใหญ่วางกรงสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ ไว้ที่หน้าประตูของพวกเขาก่อนที่มันจะขับออกไป จึงเกิดความสับสนบนใบหน้าของพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขารู้ว่าเจสันจะมาพร้อมกับกรงสัตว์ร้าย แต่มันถูกปิดด้วยผ้าปูที่นอนหลากสีซึ่งน่าขบขันในความคิดของเกร็ก
มาเลียสับสนและตั้งคำถามกับตัวเองว่าสัตว์ร้ายชนิดใดที่มีขนาดใหญ่ขนาดนั้น เพราะจิตใจของเธอยึดติดกับความสามารถของเจสันในการค้นหาสัตว์ร้ายที่มีศักยภาพ
กาเบรียลลา มองออกไปข้างนอกอย่างใจเย็น แต่เธอก็คิดเช่นเดียวกับที่มาเลียคิดและตั้งคำถามกับตัวเองว่าความสามารถของเจสันในการค้นหาสัตว์ร้ายที่มีศักยภาพนั้นยอดเยี่ยม มันเกินไปหรือไม่
สิ่งนี้ทำให้เธอขมวดคิ้วเพราะเป็นเรื่องยากมากที่จะพบสัตว์ป่าที่มีศักยภาพที่ดีและเธอคิดว่าเจสันใช้เวลาเพียงสี่วันในการจับอีกตัวหนึ่ง อาจจะถือว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม
แต่ในขณะที่ทั้งสามคนดูสนใจและคาดหวัง มาร์คก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของสัตว์ร้ายหลายตัว
เจสันและกรงสัตว์ร้ายยังคงอยู่ค่อนข้างไกลและมีเพียงมาร์คเท่านั้นที่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนภายในกรงสัตว์ร้ายเนื่องจากการได้ยินที่ยอดเยี่ยมจากสัตว์พันธะของเขาและเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นภายในจิตใจของเขา
เสียงแหลมนั้นฟังดูแตกต่างกันและซ้อนทับกันหลายเท่า ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประมาณจำนวนด้วยเสียงเพียงอย่างเดียวและสีหน้าตกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาในขณะที่เขาหายไปจากตำแหน่งเพียงเพื่อปรากฏตัวต่อหน้าเจสันภายในหนึ่งวินาที
เมื่อมองไปที่เจสันความสับสนก็ยังคงอยู่ขณะที่เขาถาม
“เกิดอะไรขึ้นและทำไมมีลูกหมีอยู่ข้างในมากมายเช่นนั้น ??”
เจสันตกใจเมื่อเห็นมาร์คปรากฏตัวต่อหน้าเขา ขณะที่โดรนที่นำพัสดุของเขามาส่ง
เขาระบุที่อยู่ของคฤหาสน์เฟลเลอร์และเจสันก็เห็นโดรนกำลังยกพัสดุขนาดใหญ่แลเจสันะรีบวิ่งไปที่มันโดยไม่สนใจคำถามของมาร์ค
เมื่อรับพัสดุแล้วเขาก็เก็บมันออกไปโดยไม่ได้มองเข้าไปข้างใน ก่อนที่จะเข้าไปใกล้มาร์คและกรงสัตว์ร้ายอีกครั้ง
“ ผมจะพยายามอธิบายทุกอย่างในภายหลัง แต่ผมควรดูแลพวกมันก่อนใช่ไหม?”
พ่อค้าสัตว์ร้ายมีหน้าที่ดูแลสัตว์ร้ายก่อนขาย
มาร์คยังคงตกใจและสับสน แต่เขาก็พยักหน้าขณะพา พวกมันไปที่สวนหลังบ้านซึ่งมีรั้วกั้นแน่นหนา
อีกสามคนต่างประหลาดใจที่เห็นพ่อและสามีของตนเอง วิ่งไปข้างเจสันและหลังจากนั้นก็พาเจสันไปที่สวนหลังบ้านซึ่งเป็นพื้นที่ สำหรับดูแลสัตว์ร้ายที่จับมาได้
เจสันเข้าไปในสวนหลังบ้านที่มีรั้วกั้นและเขาสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมหลายอย่างที่มีต้นไม้ ทราย น้ำและแม้แต่น้ำแข็งอยู่รอบ ๆ และใคร ๆ ก็พูดได้ว่าสวนหลังบ้านของตระกูลเฟลเลอร์เปรียบได้กับสวนสัตว์ที่ไม่มีสัตว์ร้ายยกเว้นหมาป่าที่เขาจับได้เมื่อไม่กี่วันก่อนและนกอินทรีพายุที่อยู่ในกรงนกขนาดใหญ่
เจสันเข้าไปในคอกเล็ก ๆ ที่มีต้นไม้อยู่รอบ ๆ และมีรั้วล้อมรอบเหมือนกรงเล็ก ๆ
เมื่อเขาและมาร์คเข้าไปประตูนั้นก็ปิดลงและเจสันก็สามารถเอาผ้าปูที่นอนออกได้
ต้นไม้สามารถบดบังแสงแดดและมันจะไม่สว่างเกินไปสำหรับลูกสุนัขจิ้งจอกที่ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือพวกมันไม่ต้องเบียดตัวเองเข้าไปในกรง เหมือนอย่างที่พวกมันทำในกรงสัตว์ร้าย
เมื่อมองไปรอบ ๆ ลูกสุนัขจิ้งจอกสังเกตเห็นว่าผ้าปูที่นอนถูกถอดออกและประตูกรงสัตว์ร้ายเปิดออกอย่างช้าๆ
ลูกสุนัขจิ้งจอกผู้กล้าหาญสองสามตัวดึงตัวเข้าหากันหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืนพยายามที่จะออกจากกรงสัตว์ร้าย
เมื่อลูกสองสามตัวแรกออกจากกรงโดยไม่ถูกโยนกลับไปลูกสุนัขจิ้งจอกตัวอื่น ๆ ก็เริ่มวิ่งออกจากกรงสัตว์ที่คับแคบด้วยความดีใจ
มันเป็นภาพที่น่าสนใจสำหรับเจสันที่ยิ้มจาง ๆ ด้วยสายตาที่มีความสุขและตอนนี้มาร์คก็รู้สึกสับสนมากยิ่งขึ้นหลังจากเห็นว่าพวกมันเป็นลูกสุนัขจิ้งจอกซึ่งถูกปลุกให้เป็นสัตว์ที่ถูกปลุกเมื่อโตเต็มที่แล้วและหาได้ยากมากในสภาพลูกสุนัขของพวกมัน
เมื่อมองไปที่เจสัน มาร์คได้สงสัยว่าเจสันทำได้ยังไงถึงได้จับลูกสัตวืร้ายพวกนี้มาได้
และดูเหมือนพวกมันจะมีอายุไม่เกินสองสามวัน ซึ่งจะเป็นวัยที่สมบูรณ์แบบในการสร้างจิตวิญญาณ
ว่ากันว่าสัตว์ร้ายที่อายุน้อยกว่าจะสร้างสัญญาได้ง่ายขึ้น เนื่องจากจิตใจของพวกมันยังอยู่ในช่วงการพัฒนาและพวกมันจะไม่ต่อต้านกับการสร้างพันธะ
การทำให้เชื่อง เลี้ยงดูและฝึกฝนสัตว์ตั้งแต่แรกเกิดนั้นง่ายกว่า การพยายามเปลี่ยนสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่โตเต็มที่
‘เมื่อสัตว์ร้ายเติบโตเต็มที่แล้วสัญชาตญาณของมันจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดายเหมือนในช่วงแรก ๆ ‘
มาร์คถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่มีเหตุผลและยังมีความโลภเล็กน้อย ทำให้เขาเห็นเครดิตที่เคลื่อนไหวในขณะที่มองดูลูกสัตว์ร้ายจำนวนมากเช่นนี้
มีพ่อพันธุ์แม่พันธุ์จำนวนมากที่ใช้สัตว์ป่าปลุกพลังและวิวัฒนาการ แต่สุนัขจิ้งจอกที่มีธาตุนั้นมีความพิเศษเล็กน้อยเนื่องจากความสามารถทางธาตุเป็นลักษณะที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกมัน
เมื่อเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของมันซึ่งอยู่ในระดับต่ำถึงระดับกลางที่ถูกปลุกกับสัตว์อื่น ๆ ในอันดับเดียวกันเราสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายว่าสุนัขจิ้งจอกที่มีธาตุนั้นมีความสามารถทางธาตุที่ล้ำเลิศ ซึ่งเทียบได้กับความสัมพันธ์ของธาตุที่มีวิวัฒนาการสูง
มันเป็นการคำนวณที่ได้เปรียบสำหรับมนุษย์ส่วนใหญ่ที่มีพลังวิญญาณต่ำกว่าในการผูกมัดสัตว์ร้ายที่มีความสัมพันธ์สูงกว่าเมื่อเทียบกับสัตว์ร้ายอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน เพื่อเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของพวกมัน
การสร้างสัญญากับสัตว์อสูรที่ถูกปลุกนั้นไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานวิญญาณมากขนาดนั้นและจิ้งจอกธาตุก็มีความสามารถทางธาตุที่ได้เปรียบอยู่แล้ว
มีสัตว์ที่ถูกปลุกขึ้นมาจำนวนมากที่มีความสามารถทางธาตุ แต่สัตว์ที่ถูกปลุกส่วนใหญ่ไม่มีความสามารถทางธาตุและความสามารถอื่น ๆ
เนื่องจากเพิ่งเกิดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาความแข็งแกร่งรวมถึงพลังวิญญาณจึงอยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่แกนมานาของพวกมันอยู่ในระดับที่ถูกปลุก แต่แทบจะว่างเปล่า
ใช้เวลาไม่นานสำหรับพวกมันที่จะเติบโตด้วยโภชนาการที่เหมาะสม แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเหล่าเด็กๆ สามารถทำสัญญากับลูกสัตว์เหล่านี้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ช้าลง ในขณะที่ปรับตัวให้เข้ากับความรู้สึกของสัตว์พันธะตัวแรก
ในขณะเดียวกันพลังวิญญาณของพวกเขาก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นพร้อม ๆ กับสัตว์พันธะ
สุนัขจิ้งจอกที่มีธาตุเหล่านี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเป็นสัตว์พันธะตัวแรก เนื่องจากผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยต้นส่วนใหญ่ที่มีผลการสอบไม่ดียังคงได้รับการทดสอบ และพลังวิญญาณของนักเรียนส่วนใหญ่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นมา
‘ความต้องการสัตว์ร้ายอย่างจิ้งจอกธาตุนั้น สูงเสมอ ‘
มาร์คคิดพลางยิ้มอย่างมีความสุข เป็นเรื่องแปลกที่ลูกสุนัขจิ้งจอกเหล่านี้กลัวเขาในขณะที่พวกมันทั้งหมดเข้าหาเจสันและพยายามเข้าใกล้เขา แม้ว่าเจสันจะไม่มีความเชี่ยวชาญในการปกปิดความผันผวนของมานาเลยแม้แต่น้อย
หัวใจของเจสันปวดร้าวและเสียใจเล็กน้อยที่ได้เห็นลูกสุนัขจิ้งจอกเหล่านี้ … ถ้าเขาทำได้ เขาก็จะทำสัญญากับลูกสุนัขจิ้งจอกทุกตัวในตอนนี้เพราะเพราะมันไม่มีข้อเสียแม้นิดเดียว
โลกวิญญาณของเขามีพื้นที่เพียงพอ แต่พลังวิญญาณของเขาอ่อนแอเกินไป
มันเป็นเรื่องน่าเศร้าและเจสันก็ยิ้มแห้ง ๆ ในขณะที่ขนปุยนับร้อยโจมตีด้วยลิ้นของพวกมัน
กาเบรียลลา,เกร็ก และ มาเลีย มองไม่เห็นมาร์คและเจสัน เมื่อเข้ามาที่สวนหลังบ้าน แต่ทั้ง 3 สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของมานาของสัตว์ร้ายนับร้อยตัวที่ปล่อยออร่าออกมา
เมื่อเห็นลูกสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กกว่าร้อยตัวกำลังโจมตีเจสัน ในขณะที่กรงสัตว์ร้ายถูกเปิด ทั้ง 3 คนก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
ด้านล่างของต้นไม้ที่ปกคลุมไปด้วยรากไม้หนาทึบ เจสันสามารถมองเห็นโพรงที่มีลูกสุนัขจิ้งจอกขนาดพอดีมือหลากสี
มีพื้นที่เพียงพอสำหรับเจสันที่จะมุดผ่านรากต้นไม้ใหญ่ที่หนาทึบ หลังจากที่ยกซากหมาป่าออกไป
เนื่องจากโพรงอยู่ใต้ต้นไม้แสงแดดส่องถึงด้านล่างไม่มากนัก แต่สิ่งที่เจสันสงสัยนั้นเป็นอย่างอื่น
ภายในโพรงมีอุโมงค์หลายแห่ง ที่นำไปสู่ที่ไหนสักแห่งและเจสันสามารถมองเห็นแสงสีดำจำนวนมากที่ส่วนท้ายของโพรง
อาจมีลูกสุนัขจิ้งจอกจำนวนมากที่อยู่ข้างในและเจสันก็สงสัยว่ามีลูกสุนัขจิ้งจอกกี่ตัวเพราะเขาสามารถมองเห็นฝูงพวกมันต่อหน้าเขาได้แล้ว
‘สุนัขจิ้งจอกทั้งหมดรวมตัวกันเพื่อให้กำเนิดลูกหลานของพวกมันในโพรงใหญ่นี้งั้นหรอ ทำไมพวกมันถึงทำอย่างนั้น ที่นี่ไม่ใช่อาณาเขตของพวกมันนี่หน่า? มีอะไรเกิดขึ้น ….ฉันหวังว่านั่นจะเป็นสัตว์ร้ายกลุ่มเดียวที่อพยพ…’
เมื่อมองไปที่ลูกสุนัขจิ้งจอกซึ่งแทบจะมองไม่เห็น เจสันก็เริ่มเศร้า
พ่อแม่ของพวกมันถูกฆ่าโดยมนุษย์ เพราะพวกมันถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อนักเรียนมัธยมต้น ที่ฝึกฝนในเขตป่าระดับหนึ่งถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่ได้ทำอะไรผิดก็ตาม
เจสันรู้สึกเศร้า แต่ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้ โลกถูกสร้างขึ้นตามลำดับชั้นที่ผู้ที่แข็งแกร่งปกครองและผู้อ่อนแอต้องทนทุกข์ทรมานและตาย สิ่งนี้ชัดเจนยิ่งกว่าภายนอกโดม
เมื่อสี่วันก่อนเจสันได้ฆ่าสัตว์ป่าอย่างไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเศร้า?
ความคิดของเขาเองก็ยังยากที่จะเข้าใจแม้กระทั่งสำหรับตัวเอง แต่ยิ่งเขาเผชิญกับความจริงนานเท่าไหร่เขาก็ยิ่งพยายามหาจุดสมดุลที่ดีให้กับมันมากขึ้นเท่านั้น
เจสันไม่ต้องการฆ่าสัตว์ร้ายแต่ละตัวอย่างโหดเหี้ยม แต่เขาจะไม่เมินเฉยต่อสัตว์ที่ร้ายที่คุกคามสัตว์ตัวอื่นๆ
เจสันไม่ต้องการฆ่าสัตว์ที่มีลูกเล็กๆ แต่นอกเหนือจากข้อยกเว้นบางประการ
คนส่วนใหญ่อาจคิดว่าเจสันเป็นคนใจอ่อนเกินไปเพราะลูกสัตว์ร้ายสามารถเติบโตเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวและอันตรายได้ในอนาคต แต่เจสันไม่สนใจความคิดเห็นของคนพวกนั้นจริงๆ
แต่เจสันก็ต้องเตือนใจตัวเองว่า ถ้าเขาไม่ฆ่าพวกสัตว์ร้ายเหล่านั้นเพิ่มเสริมความแข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญในการต่อสู้ของเขา และอีกอย่างสัตว์ร้ายเหล่านั้นอาจจะกลับมาทำร้ายตัวเองได้
แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอน! เจสันจะไม่ฆ่าลูกสัตว์เหล่านี้…พวกมันไม่ได้ทำอะไรผิดและบางทีพวกมันอาจทำตัวเป็นสัตว์พันธะที่น่ารักของใครบางคนและมีชีวิตที่ดี
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเกิดมาไม่กี่วันที่ผ่านมาเมื่อพ่อแม่มาถึงและพวกเขาจะไม่รอดหากไม่มีนมแม่และดูเหมือนว่าเขาจะต้องทำตัวให้เร็วที่สุดเพราะพวกเขามองเขาด้วยความหิวโหย
ก่อนอื่นเจสันต้องพาลูกสุนัขจิ้งจอกนี้ออกไปข้างนอก
เจสันนำกรงสัตว์ออกมาเพื่อที่จะนำลูกจิ้งจอกออกมาจาโพรง
หลังจากนั้นเจสันก็เพิ่มพลังให้กับกรงด้วยมานาในปริมาณที่พอเหมาะสำหรับกรงที่จะเริ่มทำงาน
โชคดีสำหรับเจสัน ที่เขี้ยว กรงเล็บและพลังธาตุของลูกสัตว์เหล่านี้ยังไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะทำร้ายอะไรใครได้
เจสันค่อยๆ หยิบลูกจิ้งจอกออกมาทีละตัว และสังเกตว่าอาร์เทมิสมองเขาอย่างหลงใหลเมื่อเวลาผ่านไปกว่าสองชั่วโมงหลังจากที่เขาหยิบพวกมันออกมาได้ทั้งหมด
เสื้อผ้าของเจสันสกปรกไปหมดเช่นเดียวกับมือและใบหน้าของเขาในขณะที่เขาคาดว่ามีลูกสุนัขจิ้งจอกธาตุร้อยกว่าตัวที่อพยพมา แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีลูกจิ้งจอกจำนวนมากขนาดนี้
มีลูกสุนัขจิ้งจอกธาตุ 150 ตัวเป็นอย่างน้อยและเจสันก็ต้องตกใจเมื่อเห็นกรงสัตว์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองขนาด 20 ตร.ม. นั้นคับแคบเหลือเกิน….
เจสันกลืนน้ำลายและเปิดใช้งานดวงตามานาอีกครั้ง เพื่อดูว่าเขาลืมลูกสุนัขจิ้งจอกหรือไม่
แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้นเขาสังเกตเห็นความแตกต่างของออร่าสีดำที่แผ่ออกมาจากสัตว์ร้ายเหล่านี้
เขาแทบจะรู้ได้ในทันทีว่าสัตว์ร้ายตัวใดมีศักยภาพที่ดีกว่า … หรือมีขีดจำกัด ที่สูงกว่า
เจสันได้เห็นทฤษฎีที่ตั้งขึ้นเอง ซึ่งก่อตัวขึ้นในใจของเขาอย่างช้าๆ เจสันคิดว่ายีนแม่ของลูกจิ้งจอกที่มีสีทึบจะต้องแข็งแกร่งกว่าและดูเหมือนว่าความสามารถแบบนั้นจะมี บทบาทในการเป็นออร่าสีฟ้าด้วย สุนัขจิ้งจอกที่มีธาตุจะมีสีดำที่เปล่งประกายอย่างอ่อนโยน ในขณะที่สุนัขจิ้งจอกสีแดงมีสีที่เปล่งประกายราวกับเปลวไฟ
แต่นั่นไม่ใช่ทุกอย่าง เนื่องจากปริมาณสีที่แผ่ออกมานั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกมันอย่างที่เจสันคิด
ในตอนแรกเจสันได้ดูลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวจากชุดเดียวกันและสีหนึ่งของพวกมันทึบกว่า เจสันจึงคิดว่าลูกสัตว์ตัวหนึ่งได้รับยีนที่โดดเด่นหรือความสามารถที่แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย
และอีกครั้ง … เกิดคำถามขึ้นมากมายเกินไปทำให้จิตใจของเขาไม่เป็นสุข
แต่มีอย่างอื่นที่เจสันสังเกตเห็น
สัตว์ป่าตัวอื่นๆ พวกมันพยายามหนีเมื่อมองเห็นเจสัน แต่หลังจากที่พวกมันมองลึกเข้าไปในดวงตาของเจสัน พวกมันก็หยุดเคลื่อนไหวและบางตัวยังเดินมาให้เจสันได้ลูบหัว
แต่เขาต้องทำให้หัวใจของเขาแข็งแกร่ง … เขาไม่สามารถเลี้ยงดูสุนัขจิ้งจอก 150 ตัวได้ด้วยหลายเหตุผล
ประการแรกสัตว์ป่าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมือง ยกเว้นที่เจดีย์สัตว์ร้ายเพื่อใช้ในการขายหรือเป็นสัตว์พันธะ
เราต้องมีใบอนุญาตในการขายหรือทำสัญญากับสัตว์ร้ายหากต้องการรับพวกมัน
เจสันมั่นใจในโลกแห่งจิตวิญญาณของเขา แต่พลังวิญญาณของเขาปฏิเสธความคิดนี้ทันที
มันค่อนข้างน่าเศร้าเพราะพวกมันน่ารักมากและ เจสันก็อยากลองใช้ทฤษฎีความบริสุทธิ์ของเขา
และความคิดที่จะมีกองทัพจิ้งจอกที่ทรงพลังอยู่ข้างหลังเขาในขณะที่ขี่อาร์เทมิสตัวใหญ่ก็น่าพอใจ
อาร์ทิมิสรู้สึกได้ถึงความคิดของเขาและปฏิเสธทันทีเพราะ แม้ว่ามันจะเติบโตขึ้นมันก็ไม่ต้องการให้ใครมาขี่มัน !!!
อาร์เทมิสไม่มีใครยอมให้ขนของมันสกปรก !!!!! (> ‘o’)>
กรงสัตว์ร้ายที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองมีขนาดใหญ่พร้อมแล้ว แต่ก่อนที่เจสันจะเริ่มเดินทางกลับไปที่เต็นท์ของเขา เจสันต้องทำอะไรบางอย่างลูกสุนัขจิ้งจอกที่ไม่เคยสัมผัสกับแสงอาทิตย์มาก่อน
เขาหยิบผ้าปูที่นอนที่ซื้อมาสำหรับนอน ออกมาสองสามผืนแล้วโยนมันไว้เหนือกรงสัตว์ร้าย เพื่อปิดกั้นแสงแดดก่อนที่การเดินทางกลับไปที่โดม
นาน ๆ ครั้งลูกสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งจะหลุดออกมาจากกรงสัตว์ร้าย เนื่องจากลูกกรงอยู่ห่างกันเกินไป อาร์เทมิสจึงต้องคอยหยิบมันขึ้นมาและใส่กลับเข้าไปในกรง
สี่วันผ่านไปและเจสันก็เหนื่อยล้ามาก
เขาจะนอนมากที่สุดเป็นเวลา 4 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งแทบจะไม่เพียงพอสำหรับคนที่ดูดซึมมานาอย่างสม่ำเสมอ แต่เขาต้องการเรียนรู้วิธีฟื้นฟูมานาอย่างอดทนก่อนที่การเดินทางจะเริ่มขึ้นและเป็นสิ่งที่จำเป็นในความคิดของเขา
และต้องใช้ร่างกายของเขาเพื่อฝึกฝนคู่มือนรกสวรรค์สามครั้งต่อวันเป็นเวลา 30 นาที ฝึกฝนทักษะการขว้างมีดและพยายามเรียนรู้เทคนิคการรวบรวมมานาแบบพาสซีฟโดยไม่ต้องให้ใครช่วย
นอกจากนี้เขายังเขียนข้อความถึงเกร็กและมาเลีย ด้วยคำถามและบางครั้งก็คุยกันเพียงเล็กน้อยซึ่งทำให้ความตึงเครียดของเขาลดลงอย่างมาก
เนื่องจากการเรียนรู้วิธีการรวบรวมมานาอย่างอดทนเพียงอย่างเดียวนั้นน่าเบื่อ และยังเสียพลังงานเล็กน้อย และเจสันเองก้ต้องออกล่าสัตว์เพื่อสะสมแกนมานาสำหรับอาร์เทมิส
ทั้งวันของเขาถูกกำหนดไว้เหมือนเครื่องจักรโดยไม่ได้หยุดพัก ยกเว้นการนอนหลับสี่ชั่วโมงและกินอาหารทั้งหมดยี่สิบนาที
แต่วันนี้มุมมองทั้งโลกของเจสันเปลี่ยนไปหรือจะเป็นมุมมองของเขาที่มีต่อสัตว์ร้าย ความสามารถในการเติบโตที่แข็งแกร่งและความสามารถของดวงตา
ในขณะที่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเจสันและอาร์เทมิสไม่เพิ่มขึ้นเลย พวกเขาก็เข้าใกล้ระดับถัดไปขึ้นเรื่อย ๆ
เจสันไม่รู้จักเด็กคนอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตป่าระดับหนึ่งดาว ซึ่งมีสัตว์ร้ายที่ถูกปลุกขึ้นมาจำนวนไม่กี่ร้อยตัว จากเขตป่าสองดาวที่อยู่บริเวณหัวมุม พยายามอพยพไปมาระหว่างพรมแดนของสัตว์ป่าสองดาวและโซนสัตว์ป่าระดับหนึ่งดาวนี้ เมื่อต้นสัปดาห์และไม่มีใครรู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
อย่างไรก็ตามที่สำคัญกว่านั้นคือนักล่าและอาจารย์ที่ฆ่าสัตว์ที่ถูกปลุกขึ้นมา หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันเพื่อปกป้องนักเรียนที่มีค่าของพวกเขา แและได้นำซากของพวกมันไปด้วยในขณะที่พวกเขาลืมบางสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่านั้น
สัตว์ที่ถูกปลุกแล้วพยายามอพยพเข้าไปในเขตป่าระดับหนึ่งดาวนั้น เป็นสุนัขจิ้งจอกที่มีธาตุและมีบางอย่างที่พิเศษเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์นี้ ที่สร้างความแตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับสุนัขจิ้งจอกทั่วไป
สำหรับสุนัขจิ้งจอกเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ฤดูผสมพันธุ์ของพวกเขาคือต้นปีใน ขณะที่ลูกหลานของพวกมันเกิดในอีกสองเดือนต่อมา แต่สำหรับสุนัขจิ้งจอกที่มีธาตุนั้นจะแตกต่าง
ฤดูผสมพันธุ์ของพวกมันอยู่ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ซึ่งหมายความว่าตอนนี้ที่ไหนสักแห่งในเขตป่าระดับหนึ่งดาวแห่งนี้อาจเป็นโพรงของสุนัขจิ้งจอกที่มีลูกสุนัขจิ้งจอกที่มีธาตุ จำนวนมากและความคิดที่ก่อตัวขึ้นในใจของเจสัน
เป็นความรู้ทั่วไปว่าสุนัขจิ้งจอกที่ให้กำเนิดลูกประมาณ 4 ถึง 6 ตัว…และมีสุนัขจิ้งจอกที่มีธาตุที่โตเต็มที่เพียงไม่กี่ร้อยตัวที่ถูกฆ่าในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา…
เมื่อเจสันพบว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความโลภเล็ก ๆ ได้เริ่มเติบโตขึ้นภายในตัวเขาและมันก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นเมื่อเขาต้องการเงิน แต่เขาก็รู้สึกเสียใจกับลูกสุนัขจิ้งจอกเมื่อเขาพบโพรงขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หลังจากค้นหามาครึ่งวัน
เขาสามารถพบโพรงได้ด้วยดวงตามานาของเขาและที่สำคัญกว่านั้นคือหมาป่ากำลังพยายามบุกเข้าไป อาจเป็นเพราะมันสัมผัสได้ถึงมานาจำนวนมากซึ่งลูกเหล่านี้ได้แผ่ออร่าออกมา
พวกลูกจิ้งจอกอ่อนแอและความแข็งแกร่งของพวกมันเทียบได้กับสัตว์ป่าระดับหนึ่ง แต่พวกมันก็มีแกนมานาที่ไม่สมบูรณ์แต่สามารถพัฒนาได้ที่สูงกว่าหมาป่า
เมื่อมองไปที่ความกระหายเลือดของหมาป่าที่แผ่ออกมา เจสันก็งงงวย …
`มีอะไรผิดปกติกับสัตว์ร้ายตัวนี้? “
เขาตั้งคำถามกับตัวเองในขณะที่มองไปที่หมาป่า ซึ่งดูเหมือนว่ามันถูกครอบงำ ก่อนหน้านี้เขาเคยสงสัยว่าทำไมอาร์เทมิสถึงสามารถก้าวข้ามขีดจำกัด ทางสายเลือดของมันได้ แต่เขาคิดว่ามันเป็นเพราะการกลายพันธุ์ แต่อาจเป็นเพราะความสามารถในดูดซับมานาในปริมาณที่ผิดปกติ ซึ่งช่วยให้มันพัฒนาความแข็งแกร่งได้เร็วกว่าสัตว์ปกติทั่วไป
เจสันเคยได้ยินมาว่าสัตว์ป่าไม่สามารถทะลุขีดจำกัดของพวกมันได้ เนื่องจากปริมาณมานาที่พวกมันย่อยได้นั้นน้อยมาก แต่นั่นไม่ใช่กรณีของสัตว์วิเศษ
แม้ว่าศักยภาพของพวกมันจะถูกล็อคไว้ที่ระดับสัตว์วิเศษ แต่พวกเขาก็ยังสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเองได้จนกว่าจะถึงขีดจำกัดที่เป็นไปได้
สัตว์วิเศษแต่ละตัวมีโอกาสที่จะไปถึงอันดับสัตว์วิเศษสูงสุด แต่การไปถึงอันดับต่อไปนี้เป็นเรื่องยากอย่างเหลือเชื่อ
เจสันถามตัวเองว่านกอินทรีพายุจะสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเองเพื่อไปถึงอันดับต่อไปได้หรือไม่ หากมีเวลาหรือว่ามันจะยังคงอยู่ในอันดับสัตว์วิเศษอย่างนั้นไปตลอด
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหมาป่านี้ฆ่าลูกจิ้งจอกที่มีธาตุทั้งหมดภายในโพรงขนาดใหญ่นี้และดูดซับมานาทั้งหมดของพวกมันและย่อยสลายแกนมานาที่ยังไม่สมบูรณ์แต่ได้รับการพัฒนาแล้วของพวกมัน
มันจะถึงขีดจำกัด และแตกสู่อันดับใหม่หรือยังคงอยู่ในระดับห้าดาวโดยไม่มีโอกาสที่จะก้าวไปสู่อันดับที่สูงขึ้น
แต่นั่นไม่สมเหตุสมผลเลยเพราะหมาป่าดูเหมือนจะหมกมุ่นอยู่กับลูกสัตว์ร้ายที่ถูกปลุกเหล่านี้ …
ในขณะที่คำถามหลายร้อยข้อปรากฏขึ้นในใจของเขา เจสันหยิบมีดสามเล่มออกมาและขว้างมันไปที่หมาป่าก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าใส่หมาป่าที่ด้วยกริชของเขา
ในขณะที่หมาป่าโดนมีดสามเล่มและการโจมตีด้วยกริซของเจสัน มันได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างมาก
แต่กระนั้นหมาป่าระดับห้าดาวก็อยู่ลึกเกินไปภายในโพรง ซึ่งทำลายทางเข้าและในขณะเดียวกันมันก้สนใจแต่เหยื่อที่อยู่ในโพรงจนไม่สนใจอาการบาดเจ็บหรือความเจ็บปวดของตัวมันเอง
เพียงครู่เดียวอาร์เทมิสก็โฉบไปบนร่างของมัน เพื่อนำแกนสัตว์ป่าระดับห้าดาวออกมาก่อนที่เจสันจะทำอะไรได้
ในขณะที่อาร์เทมิสกลืนแกนสัตว์ร้ายลง ความคิดฉับพลันก็ปรากฏขึ้นในใจของเจสัน….
ความบริสุทธิ์ ??
บางที … การทำให้บริสุทธิ์ … หรือพรสวรรค์? บางทีมันอาจหมายความว่าสัตว์เหล่านี้มีคุณภาพที่สูงขึ้น ???
มีทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับสัตว์ร้ายและวิวัฒนาการ การกลายพันธุ์ การจำกัดสายเลือดและอื่น ๆ แต่อาร์เทมิสนั้นไม่สอดคล้องกับการกลายพันธุ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวมัน
“ บางทีอาร์เทมิสอาจจะชำระล้างแกนสัตว์ป่าเมื่อย่อยสลายพวกมันและสามารถทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นได้โดยไม่ต้องสร้างขีดจำกัด ใด ๆ หรือความสามารถของอาร์เทมิสนั้นมากกว่าเมื่อเทียบกับพี่น้องของมันเพราะการกลายพันธุ์ ??
เมื่อยืนนิ่งในขณะที่คิดเจสันโชคดีมากที่ไม่มีสัตว์ร้ายให้เห็นในบริเวณใกล้เคียงและมีสีหน้าตกใจปรากฏขึ้นในใจขณะที่ความคิดแล่นพล่าน
‘บางทีขีดจำกัดของสัตว์ร้ายเหล่านี้อาจปรากฏขึ้นเนื่องจากแกนมานาของพวกมันเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกที่ขัดขวางพวกมันในการเพิ่มความแข็งแกร่ง … หากเป็นเช่นนั้นฉันไม่สามารถมองเห็นศักยภาพที่แท้จริงของสัตว์ร้ายได้ แทนที่จะเป็นความบริสุทธิ์ของแกนมานาและขีดจำกัดโดยกำเนิดของพวกมัน … แต่นั่นไม่ใช่ศักยภาพของพวกมัน …’
นาทีผ่านไปความตกใจในใบหน้าของเจสันก็ชัดเจนยิ่งขึ้น …
‘จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีคนให้ไอเท็มพันธะวิญญาณเพื่อชำระล้างมานาแกนของพวกมัน??’
ความคิดที่ร้ายกาจแล่นผ่านจิตใจของเจสันและส่วนใหญ่เป็นความคิดที่ไร้ประโยชน์ทั้งหมดในขณะที่ความคิดอื่น ๆ บางส่วนสามารถอธิบายได้ว่ามีประโยชน์
‘ พวกมันจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้เหนือขีดจำกัดทางสายเลือดไปได้หรือไม่หรืออาจจะมีวิวัฒนาการขึ้นมา? ‘
เจสันยังคิดไม่ออก แต่เขารู้สึกขนลุกในขณะที่คิดถึงทฤษฎีนี้และความปรารถนาที่จะทดสอบทฤษฎีเหล่านี้ก็เริ่มฝังแน่นในใจของเขาอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นเจสันก็ได้ยินเสียงสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยร้องดังอยู่ตรงหน้าภายในโพรง และมองมาที่เขาด้วยสายตาที่น่าสงสาร
หนึ่งวันผ่านไป เจสันตื่นขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ในขณะที่อาร์เทมิสกำลังกระพือปีกอย่างมีความสุขพร้อมกับจ้องไปที่เจสันด้วยความคาดหวัง
เจสันต้องเลี้ยงมันด้วยแกนมานาที่ไม่สมบูรณ์ ทุก ๆ สองถึงสามวันและเขาสงสัยว่ามันมีขีดจำกัดหรือไม่ ไม่งั้นเขาจะต้องหาเพิ่มแกนมานาที่ไม่สมบูรณ์เพิ่ม ถ้ามันต้องการมากขึ้น
และยังมีคำถามอีกว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่ออาร์เทมิสดูดซับมานามากเกินกว่าที่จะย่อยได้ … มันเป็นไปได้หรือเปล่า หรือมันจะย่อยได้ด้วยการจำศีลเป็นเวลานาน? อาร์เทมิสจะพัฒนาหรือทำลายขีดจำกัดของมัน?
คำถามมากมายเกี่ยวกับอาร์เทมิสที่อยู่ในใจของเจสัน แต่ก็มีคำถามบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขาเองรวมถึงจิตวิญญาณและดวงตาของเขาด้วย แต่ก็ไม่มีคำตอบ ไม่ว่าเขาจะคิดหนักแค่ไหนก็ตาม
สิ่งหนึ่งที่เจสันสนใจเป็นอย่างมาก และได้รับคำตอบเมื่อสองวันก่อนตอนที่เขาอยู่ที่คฤหาสน์เฟลเลอร์
เจสันมีความกระหายความรู้ลึก ๆ และเขาถามกาเบรียลลาและมาร์คหลายคำถามเกี่ยวกับมานาสัตว์ร้าย มานามีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไรและอื่น ๆ อีกมากมาย
ในระหว่างนั้นเขารู้สึก รู้แจ้งหลายอย่างและเขาได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่างโดยเฉพาะ
มีเทคนิคในโลกนี้ ที่ใช้ในการเติมมานาอย่างอดทนขณะที่หายใจ เดิน วิ่งและอื่น ๆ
ในขณะที่มีหลายขั้นตอน และมีความเป็นไปได้ที่จะรวบรวมมานาได้ในระหว่างการนอนหลับ ซึ่งมันเป็นเรื่องยากมากเนื่องจากจิตใจของคนเราต้องแบ่งตัวเพื่อทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน
แต่เจสันอยากลองดู
อย่างน้อยขั้นตอนที่ง่ายที่สุดคือสิ่งที่เจสันมั่นใจว่าอาจจะทำได้
การเติมมานาขณะเดินไปรอบ ๆ เกร็กและมาเลียก็สามารถทำได้แล้วและพวกเขายังสามารถเติมมานาของพวกเขาได้ในขณะที่วิ่ง
พวกเขายังบอกเขาเกี่ยวกับความยากลำบากที่จะต้องเผชิญระหว่างการเรียนรู้วิธีเติมมานาอย่างอดทน
ขั้นแรกคุณต้องสามารถ ‘แยก’ ความคิดของคุณออกเป็นสาขา งานต่างๆหรือพูดให้ง่ายกว่านั้น : มัลติทาสกิ้ง.
ในขณะที่การฟื้นมานาในปกติก็ค่อนข้างยากอยู่แล้ว แต่ก็ต้องมีการควบคุมมานาในระดับหนึ่ง ซึ่งเด็กๆโดยเฉลี่ยใน แอสทริกซ์จะทำได้หลังจากผ่านไปประมาณ 6 ปี
นี่ไม่ถือว่าเป็นปัญหาสำหรับเจสัน เนื่องจากเขาสามารถควบคุมมานาของเขาได้เกือบ 10 ปีในขณะที่การควบคุมของเขามีความอ่อนไหวอย่างมาก
เจสันต้องการที่จะเดินเข้าไปในกระแสมานาและเดินเล่นรอบ ๆ ด้านใน เพื่อฝึกฝนการเดินและฟื้นฟูมานาในเวลาเดียวกัน
หากทุกคนสามารถฟื้นฟุมานาของตนเองได้อย่างอดทนในขณะที่วิ่ง เจสันก็ต้องทำเช่นนั้นเพื่อลดช่องว่างของเขากับคนเหล่านั้น
การฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ของเจสันไม่ได้ถูกละเลยและเจสันรู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขา เจสันมีความสุขมากทุกครั้งที่เจสันฝึกฝนเทคนิคนี้เมื่อโลกแห่งวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นพร้อมกับแกนโลกวิญญาณ
นี่ไม่ใช่กรณีทั่วไป แต่วิญญาณที่หายากบางดวงมีความสามารถในการเติบโตในระดับหนึ่ง
พลังวิญญาณของเจสันแข็งแกร่งมากในตอนแรก แต่มันถูกดูดซับโดยโลกแห่งวิญญาณของเขา ก่อนที่ใครจะสังเกตเห็นยกเว้นชายชราที่คิดว่ามันเป็นภาพลวงตาที่เกิดจากความทะเยอทะยานของเขา
เมื่อพลังวิญญาณของเจสันแข็งแกร่งขึ้นโลกแห่งวิญญาณของเขาก็จะขยายใหญ่ขึ้นเช่นกัน
เจสันตัวสั่นขณะที่เขาได้รับการเตือนเกี่ยวกับความเจ็บปวดที่เขาต้องทนทุกข์ในระหว่างการปลุกวิญญาณของเขา
เมื่อเดินไปรอบ ๆ พื้นที่ตั้งแคมป์ถัดจากเขตป่าที่ราบระดับหนึ่งดาว เจสันต้องใช้มานาจนหมดจึงจะสามารถที่จะเติมเต็มได้
หลังจากโยนมีดสองสามเล่มที่เคลือบมานาไว้ที่มีดอย่างหนา เจสันพยายามที่จะรู้สึกถึงมานาในขณะที่เดินไปรอบ ๆ
เนื่องจากเขาเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลามันยากกว่าเล็กน้อยที่จะรู้สึกถึงมานา แต่มันก็ยังไม่ยากเกินไปเพราะความไวในการรับรู้มานาของเขานั้นยอดเยี่ยม
ขั้นตอนแรกเสร็จสิ้น แต่ขั้นตอนที่ยากกว่านั้นยังมาไม่ถึง
ตอนนี้เจสันควรจะดูดซับมานาเข้าสู่ร่างกายของเขา เพื่อที่จะผนวกมันเข้ากับแกนมานาของเขา
จากนั้นมานาจะหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายและฟื้นฟุได้อย่างสมบูรณ์โดยใช้เวลาไม่มาก
มันยากมากและเจสันต้องเดินอย่างช้าๆเพื่อที่จะเริ่มรวมมานาเข้ากับแกนมานาของเขา
เจสันเดินไปด้วยความเพลิดเพลินในขณะที่ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่กระบวนการเติมมานาทั้งหมดซึ่งไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง
มันน่าจะเป็นอีกทางหนึ่งและ เจสันก็ถามตัวเองว่าเขาจะทำมันได้ิย่างถูกทางหรือไม่และที่สำคัญกว่านั้นคือเมื่อไหร่
เขาไม่แน่ใจว่าเกร็กและมาเลียใช้เวลาทำนานแค่ไหน แต่เจสันจะไม่ถามทั้งคู่ เพราะหากทั้งคู่ต้องการเวลานาน เจสันก็ขี้เกียจเกินไปและถ้าพวกเขาใช้เวลาสั้น ๆ ในการทำให้มันสมบูรณ์แบบ เจสันก็จะหมดกำลังใจ
อาร์เทมิสกำลังบินไปรอบ ๆ และหมดแรงในขณะที่พยายามทำเช่นเดียวกับเจสัน
โดยทั่วไปสัตว์ที่อยู่ต่ำกว่าระดับสัตว์วิเศษจะเติมมานาของพวกมันโดยการกินสัตว์ร้ายอื่น ๆ หรือกินพืชที่มีมานาอยู่ภายในหรือเพียงแค่พักในขณะที่สัตว์วิเศษที่มีมานาที่แข้งแกร่งและสามารถเติมมานาได้อย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่อาร์เทมิสบินไปรอบ ๆ เธอก็ไม่ลืมที่จะมองเจสัน อย่างอยากรู้อยากเห็นเป็นครั้งคราวและสิ่งที่เจสันทำดูน่าตื่นเต้นมากสำหรับเธอ
ในขณะเดียวกันเจสันก็ให้ความสนใจกับตัวเองเป็นอย่างมาก เพราะเด็กหลายคนกำลังพูดคุยกันว่าทำไมเด็กในชุดดำคนนี้จึงเดินไปมาหลายชั่วโมงโดยไม่ทำอะไร แม้แต่ครูบางคนเองก็ยังไม่รู้ในสิ่งที่เจันกำลังทำ
แต่ในขณะที่ครูบางคนก็ได้แนะนำนักเรียนเกี่ยวกับความพยายามของเจสัน แต่พวกคุณครูก็บอกด้วยว่ามันยากมากที่จะเรียนรู้วิธีรวบรวมและเติมมานาอย่างอดทนขณะเดินวิ่งหรือแม้แต่ต่อสู้
มีครูมัธยมต้นคนหนึ่งซึ่งมีความรู้อย่างมากและเขากำลังกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับคู่มือการรวบรวมมานา ตอนที่เจสันกำลังเดินผ่านพวกเขา
ฝีเท้าของ เจสันช้าลงเล็กน้อยและเขาได้ยินครูพูดบางอย่างเกี่ยวกับความยากลำบากในการรวบรวมและเติมมานาแบบพาสซีฟโดยไม่ต้องใช้คู่มือและคำอธิบายโดยละเอียด
ครูคนนั้นกล่าวถึงคู่นี้ของเทคนิคการฟื้นฟูมานานี้ แต่เนี่ยงจากมันเป็นคู่มือสำหรับพวกขุนนาง เจสันจึงเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมเขาไม่เคยได้ยินเรื่องคู่มือของเทคนิคนี้ นอกจากนั้นยังมีโอกาสที่จะได้รับอนุญาตสำหรับคู่มือการรวบรวมมานาแบบพาสซีฟ ซึ่งจะเป็นความสำเร็จของมนุษย์
สำหรับเจสันวิธีที่ง่ายที่สุดคือการซื้อสำเนาพร้อมแต้มบุญจากโรงเรียนในอนาคตของเขา แต่เขามีลางสังหรณ์ว่ามันจะมีราคาค่อนข้างแพงและเขาก็ตัดสินใจที่จะพยายามเรียนรู้วิธีรวบรวมและเติมมานาอย่างอดทน
พัสดุของเจสันมาถึงและเจสันก็วิ่งไปที่ประตู ซึ่งเขาเห็นโดรนพร้อมกับพัสดุของเขาด้านล่าง
หลังจากแสดงบัตรประจำตัวและให้ป้ายแล้ว เจสันก็หยิบพัสดุที่มีน้ำหนักมากเข้าไปข้างในและเปิดออกด้วยความคาดหวัง
เจสันใช้เวลาไม่นานในการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายและเขาก็สวมเสื้อผ้าหนังสีดำซึ่งมันปรับตัวให้เข้ากับร่างกายของเจสันได้อย่างสมบูรณ์แบบสำหรับร่างกายที่บางแต่ก็มีกล้ามเนื้อของเขา ในขณะที่กล่องใส่มีดอัตโนมัติสีดำขนาดเล็กถูกปิดไว้ที่ด้านหลังส่วนล่างของเสื้อผ้าหนัง
มันใช้มานาในการทำงาน แต่จำนวนที่ต้องการนั้นน้อยมากและเจสันสามารถเติมได้อย่างง่ายดาย
เมื่อใส่มีด 50 เล่มจะได้ยินเสียงโลหะกระทบกัน ก่อนที่มีดหนึ่งเล่มจะหายไปในกล่องเล็ก ๆ
เมื่อบรรจุที่ใส่มีดแล้วสามารถมองเห็นที่จับชี้ออกมาในแต่ละด้าน
มีดใหม่ของเขาแวววาวด้วยสีเขียวหยกและอีกอันหนึ่งโค้งเล็กน้อยขณะที่อีกอันหนึ่งตั้งตรง
ส่วนโค้งมีความยาว 28 เซนติเมตรส่วนทรงตรงยาว 30 เซนติเมตร
หลังจากชื่นชมของชิ้นใหม่ของเขา รถรับส่งของเขาก็มาถึงและเจสันก็ลงไปข้างล่าง โดยไม่ลืมที่จะเก็บทุกอย่างออกไป
รถรับส่งจะพาเจสันไปยังเขตป่าระดับหนึ่งดาวธรรมดาและเจสันก็หวังที่จะได้ลองใช้อาวุธใหม่ที่เขาเพิ่งซื้อมา
เขาสวมเครื่องแต่งกายสีดำทั้งหมด ในขณะที่มีดสั้นสีเขียวนั้นเด่นมากในพื้นหลังสีดำของเครื่องแต่งกาย แต่ที่สำคัญกว่านั้นดวงตาสีทองของเจสัน นั้นยิ่งโดดเด่นกว่าสิ่งอื่นๆ ดังนั้นเจสันจึงคิดว่าเขาควรซื้อคอนแทคเลนส์มาใช้ในอนาคตดีหรือไม่
ภายในรถรับส่ง เจสันได้ขอไปตั้งแคมป์ใกล้กับที่ราบป่าอีกครั้ง ซึ่งได้รับการยอมรับทันทีและหลังจากนั้น เจสันก็เริ่มเล่นด้วยมีดขว้างในมือ
เขาเคยดูวิดีโอศิลปะการต่อสู้มากมายตั้งแต่เขากลับมามองเห็นและเห็นได้ชัดว่ามันเป็นการดีที่จะปรับปรุงความคล่องตัวของมือและความยืดหยุ่นในขณะที่ใช้มีด
เจสันค่อนข้างเงอะงะและทำใบมีดบาดตัวเองไปสองสามครั้ง แต่เขาสามารถหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บที่รุนแรงได้ ในขณะที่เขาฝึกฝนการควบคุมมานาของเขาด้วยการสร้างพังผืดเล็ก ๆ บนมือของเขา
เกือบจะเที่ยงวัน เมื่อเจสันมาถึงสถานที่ตั้งแคมป์ของเขาและเจสันก็ตั้งเต็นท์ก่อนที่จะฝึกเทคนิคนรกสวรรค์
หลังจากนั้นก็กินอะไรบางอย่างและยืนขึ้นเพื่อเข้าสู่เขตป่าระดับหนึ่งดาว
เจสันต้องฝึกการขว้างมีด แต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องทำอย่างอื่น
ตอนนี้เจสันยังคงรู้สึกอับอายนิดหน่อยกับการที่เขาร้องไห้ต่อหน้าแม่ของเกร็กและและเขาต้องหาวิธีระบายความรู้สึก แต่คราวนี้เป็นวิธีที่แตกต่างออกไป
อาร์เทมิสกำลังวนเวียนอยู่เหนือเขาและแจ้งให้เขาทราบเกี่ยวกับกลุ่มสัตว์ร้ายขนาดใหญ่
ไคโยตี้เขี้ยวป่าสองดาวขนาดใหญ่จำนวนหนึ่ง ดึงดูดความสนใจของเจสันและแล้วเจสันจะใช้โอกาสนี้ในการฝึกการขวางมีด
ความคิดนี้อาจจะโหดร้าย แต่ในโลกนี้คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดต่อไป และเจสันเองก็อยากจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
และเจสันต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อเอาชีวิตรอดในโลกนี้เพราะแม้เมืองที่ประกาศว่า ‘ปลอดภัย’ ก็ยังมีความเหลื่อมล้ำอย่างเฉกเช่นแม่ของเขา ที่ถูกสังหารโดยทายาทของตระกูลใหญ่และคนที่สังหารแม่ของเขาก็ไม่ได้รับโทษใดๆ เลย
เจสันไม่แน่ใจว่าเขาต้องการการแก้แค้นหรือความยุติธรรมการลงโทษทายาทลึกลับ แต่เขารู้ว่าตอนนี้ไม่สามารถทำได้ ยกเว้นว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อบังคับให้รัฐบาลลงโทษการฆาตกรรมแม่ของเขา
หากไม่มีอะไรได้ผลเจสันก็จะทำด้วยตัวเอง … รัฐบาลอาจจะต้องคิดผิด
ในขณะที่เขาคิดถึงแม่ของเขา เจสันก้ได้หยิบมีดออกมาสำหรับแต่ละมือและปล่อยมานาในปริมาณเล็กน้อยเพื่อให้พวกมันบินตรงขึ้นเล็กน้อยเพื่อลดแรงต้านในอากาศที่อยู่รอบตัวเขา
โดยปกติแล้วการขว้างมีดนั้นต้องใช้ทักษะเล็กน้อย แต่เจสันสามารถปรับมันได้ด้วยการใช้มานาในการควบคุม
มีไคโยตี้ 12 ตัวพุ่งเข้าใส่เขา แต่พวกมันสังเกตเห็นดวงตาสีทองของเจสันที่กะพริบอย่างเย็นชา พวกมันก็เกิดความหวาดหลัวและรีบวิ่งนี แต่ขณะท่มันวิ่งหนีกัน พวกมันก็พบว่านักล่าคนนั้นกำลังวิ่งตามพวกมันมาติดๆ
เจสันได้ปามีดใส่ไคโยตี้ตัวหนีขณะที่พวกมันวิ่งหนี และเขาเล็งไปที่จุดตาย
เจสันยังคงวิ่งตามพวกมันต่อไปและห้านาทีต่อมาเลือดก็ทำให้ใบมีดของเจสันเปียกโชกก่อนที่เขาจะสงบลง
มันอาจจะโหดร้าย แต่จิตใจของเจสันก็ผ่อนคลายลงหลังจากที่เขาฆ่าไคโยตี้ทั้ง 12 ตัว
ในขณะที่มีดทุกเล่มถูกเคลือบด้วยมานาเพียงเล็กน้อย
หลังจาก 15 นาทีมีดและศพทั้งหมดถูกหยิบขึ้นมาและเจสันใช้เวลาอีกห้านาทีในการทำความสะอาดใบมีดอย่างถูกต้อง
และเจสันก็เก็บใบมีด และก็พร้อมที่จะฝึกฝนต่อไป เขาไม่ตื่นเต้นอีกต่อไปและสามารถมีสมาธิได้ดีขึ้นมาก
การสแกนสัตว์ร้ายแต่ละตัวเกี่ยวกับศักยภาพของพวกมัน เจสันไม่พบสัตว์ร้ายที่อยู่ตัวเดียวที่มีศักยภาพและเขาก็เข้าใจอีกครั้งว่าสัตว์ป่ามีศักยภาพนั้นค่อนข้างหายาก
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงและเจสันมีความเชี่ยวชาญในการขว้างมีดมากขึ้นเรื่อย ๆ และหลังจากการขว้างไม่กี่ร้อยครั้งความแม่นยำของเขาก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ
เขาไม่จำเป็นต้องใช้มานาเพื่อการควบคุมมีดอีกต่อไป เพราะเขารู้สึกได้อย่างแผ่วเบาว่าใบมีดจะเคลื่อนที่อย่างไรในอากาศ ขณะที่เขาขวางออกไป
เจสันยังได้รับความเชี่ยวชาญมากขึ้นด้วยการถือมีดสั้นของเขาและการต่อสู้กับสัตว์ป่าส่วนใหญ่ก็จบลงด้วยความสวยงาม
เขาไม่ได้ต่อสู้กับกลุ่มสัตว์ป่าระดับห้าดาวกลุ่มใดๆ ในขณะที่เขายังไม่มั่นใจในการเอาชนะพวกมัน แต่ด้วยอุปกรณ์ที่ดีของเขา แม้แต่กลุ่มสัตว์ป่าระดับสี่ดาวก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนักเมื่อเทียบกับสัตว์ป่าระดับสามดาว
เจสันสร้างกลวิธีเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการขว้างมีดสองสามเล่มเพื่อทำร้ายคู่ต่อสู้ของเขาก่อนที่จะเอาชนะพวกเขาด้วยความเร็วและการถืออาวุธคู่
มันเป็นแผนการที่ค่อนข้างวุ่นวาย แต่ก็ใช้ได้ผลดี
การเผชิญหน้ากับสัตว์ป่าระดับห้าดาวไม่ได้น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อน ด้วยอุปกรณ์ที่ดีของเขา เพราะเขาขว้างมีดใส่พวกมันเพื่อสร้างความบาดเจ็บ ทำให้มันอ่อนแอลงขณะที่เขาใช้มีดคู่ในการต่อเพื่อให้ง่ายต่อการสังหาร
เจสันสามารถต่อสู้กับสัตว์ร้ายระดับห้าดาวได้ง่ายขึ้น ถึงแม้หมาป่ามีเขาระดับห้าดาวจะมีความรวดเร็วแต่มันก้ไม่เร้วพอี่จะสามารถหลบการขวางมีดของเจสันได้
เจสันเองก็ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของสัตว์ร้าย
เนื่องจากสัตว์ป่าส่วนใหญ่มีสติปัญญาต่ำ ซึ่งอาจต่ำกว่าเด็กในโรงเรียนอนุบาลด้วยซ้ำ เจสันจึงมีช่วงเวลาที่ดีในการใช้ฝึก
มันค่อนข้างผ่อนคลายแม้ว่าเจสันจะอยู่แค่อันดับ 4 ของมือใหม่เท่านั้น
ในกรณีปกติมีการกล่าวกันว่าสัตว์ที่มีอันดับและระดับเดียวกันกับมนุษย์ควรจะแข็งแกร่งกว่า เพราะการเพิ่มมานาและร่างกายของสัตว์นั้นมีความแข็งแกร่ง
และโดยปกติเจสันควรจะสามารถเอาชนะสัตว์ป่าระดับสองดาวได้ ตามอันดับแกนมานาของเขาเท่านั้น
ถึงแม้จะได้รับการช่วยเหลือจากอาร์เทมิส เจสันในระดับนี้ควรจะเอาชนะได้แค่สัตว์ร้ายระดับ 3 ดาวเท่านั้น
เมื่อพิจารณาช่องว่างตรงนี้ เจสันพบว่าเขานั้นมีทักษะและแข็งแกร่งกว่าระดับของเขา
และเจสันยังสามารถสังหารกลุ่มสัตว์ร้าย ราวกับว่ามันไม่มีอะไรเลยเพราะเขายังมีข้อได้เปรียบด้านอาวุธและการวางแผนในการล่าของของ ซึ้งเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกสัตว์ร้ายจะเลี่ยงจากโจมตีของเขาได้
รวมถึงประสบการณ์การต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นของเขาดูเหมือนว่าเขาจะสามารถครอบครองพื้นที่ป่าระดับหนึ่งดาวได้โดยไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป
ยังอาจกล่าวได้ว่าเจสันเรียนรู้วิธีการต่อสู้ได้รวดเร็วมากและการพัฒนาอาวุธทุกชนิดของเขานั้นน่ากลัวมาก เพราะเขาสังเกตเห็นข้อบกพร่องระหว่างการต่อสู้และหลังจากการต่อสู้แต่ละครั้งเขาจะรวบรวมข้อบกพร่องของเขาและแก้ไขในระหว่างการต่อสู้ครั้งต่อไป
“ห้ะ อะไรนะ !!”
เจสันอุทานออกมาและเขาก็ตกใจเกี่ยวกับจำนวนดังกล่าวเป็นจำนวนมากกว่าที่เขาคาดไว้
“แต่อย่าหลงเชื่อเงิน 1,000,000 เครดิต อาจดูเหมือนมาก แต่หลังจากพิจารณาราคาของทรัพยากรส่วนใหญ่แล้วเธอจะสังเกตเห็นว่ามันเป็นเพียงตัวเลขที่ยาวเท่านั้น”
ถึงกระนั้นสำหรับเจสันตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของจำนวนที่เขาเคยมีมาก่อนหน้านี้และหากเขายังคงจับสัตว์ร้ายที่มีศักยภาพบางที เขาอาจเทียบได้กับเพื่อนร่วมชั้นในอนาคตอย่างน้อยก็ในบริบทของความมั่งคั่งของพวกเขา
แต่นี่ต้องใช้เวลาพอสมควร เจสันยังสามารถใช้มันในรูปแบบอื่น ๆ ได้อีกด้วย .. เช่นนี้เขาทำได้เพียงแค่เพิกเฉยต่อความคิดนี้
หลังจากทำธุระเสร็จพวกเขาทั้งหมดก็คุยกันสองสามชั่วโมงเกี่ยวกับการเดินทางไปเมืองไซโรจนกระทั่งถึงเวลากลางคืนเจสันปฏิเสธข้อเสนอที่จะกินข้าวเย็นกับพวกเขาและตัดสินใจกลับบ้าน
เมื่อมาถึงบ้านในตอนกลางคืนเจสันไม่ลืมที่จะฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ของเขา
เขาสังเกตเห็นว่ากระบวนการเติมเต็มกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น และตามความมั่นคงและความบริสุทธิ์ของมัน เจสันสามารถตอบสนองความต้องการของระดับที่สองได้แล้ว แต่ปริมาณพลังวิญญาณของเขาก็ยังไม่เพียงพอ
เห็นได้ชัดว่าเขามีพลังวิญญาณถึงสามหน่วยซึ่งก็ดีอยู่แล้ วถ้าเขาพิจารณาว่าเขามีเท่าไรในตอนเริ่มต้น
ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณจิตวิญญาณที่เป็นเอกลักษณ์ของเขารวมทั้งอาร์เทมิสและเจสันก็หลับไปอย่างมีความสุขพร้อมกับเงิน 1,000,000 ก้อนใหญ่ที่เขียนไว้ในบัญชีธนาคารของเขา
—–
เมื่อตื่นขึ้นมาเนื่องจากอาร์เทมิสกระโดดไปมาบนท้องของเขา เจสันยืดหลังของเขาช้าๆและอาร์เทมิสก็กระพือปีกอย่างมีความสุข
เจสันสงสัยอยู่เสมอว่าอาร์เทมิสจะยังคงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ หรือว่าเธอควรจะพัฒนาต่อไปในขณะที่เขาสังเกตเห็นแกนมานาของเธอเกือบจะถึงจุดระหว่างสัตว์ป่าสองดาวและสัตว์ป่าสามดาว
การไหลของมานาในร่างกายของเธอยังคงหนาขึ้นอย่างช้าๆ แต่เธอไม่เติบโตอีกต่อไป หรืออย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่เจสันคิดในขณะนี้
เจสันมีหลายสิ่งที่ต้องทำและด้วยเงินที่ได้มาใหม่เขาสามารถเริ่มต้นการช้อปปิ้งได้
แต่ก่อนที่เขาจะทำเช่นนั้น เจสันได้ยกเลิกสัญญาเช่าอพาร์ทเมนต์ของเขาเพราะมันจะไม่มีประโยชน์เมื่อเขาย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองเกรด A หลังจากนั้นเจสันก็ได้เงินคืนครึ่งหนึ่ง
ด้วยเครดิตมากกว่าหนึ่งล้านเล็กน้อย เจสันต้องการซื้อของบางอย่าง
เจสันชอบการต่อสู้โดยใช้มีดสั้นของเขา แต่เขาพบว่าเมื่อมีดสั้นเพียงเล่มเดียวของเขา ถ้าถูกฝ่ายตรงข้ามเป่าหรือโยนทิ้งไปเขาก็จะปราศจากอาวุธโดยสิ้นเชิง
เขาดูเว็บไซต์ไม่กี่แห่งและโชคของเขาก็ปรากฏเขา เมื่อเขาพบมีดเหล็กหยกอารมณ์หนึ่งคู่ที่อยู่ในระดับกลาง 1 จากผู้ใช้คนเดียวกันที่เขาซื้อกริชเหล็กหยก
ราคาของมันมากกว่าที่สมเหตุสมผลด้วยเงิน 160,000 เครดิตและเจสันยังสามารถเจาะทะลุผ่านสัตว์ร้ายที่ปลุกได้
เขายังจำเวลาที่เขาขว้างมีดได้และเขาต้องการเรียนรู้การขว้างมีดเพราะมันง่ายกว่าที่จะรวมเข้ากับรูปแบบการต่อสู้ที่เน้นกริชของเขามากกว่าธนู
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเจสันก็ซื้อมีดขว้างโครานิทเกรดต่ำ 1 ร้อยเล่ม
ความยาวของพวกมันอยู่ที่ประมาณ 15 เซนติเมตรและใบมีดยาว 6 เซนติเมตรมันบางมาก แต่เนื่องจากลักษณะโดยกำเนิดของหินปะการังซึ่งค่อนข้างทนทาน
โครานิทเป็นหนึ่งในแร่ที่พบมากที่สุดและเทียบได้กับเหล็กเมื่อ 300 ปีก่อน แต่มีความทนทานและการนำมานาที่เหนือกว่าเล็กน้อย
เมื่อฉีดมานาเพียงพอ มีดขว้างเหล่านี้จะแทงทะลุเกราะของสัตว์ร้ายที่ถูกปลุกขึ้นมา แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ของพวกมัน
มีแนวโน้มที่จะโยนมีดเหล่านี้ในช่องเล็ก ๆ หรือจุดสำคัญมากกว่าจุดที่มีการป้องกันที่ดี
ราคาของพวกเขาคือ 1,500 เครดิตต่อมีดขว้าง ดังนั้นอีก 150,000 เครดิตจึงถูกหักออกจากเงินที่ลดลงของเขา
นอกจากมีดขว้างแล้วเจสันยังมีที่ใส่มีดแบบกลไกซึ่งดูเหมือนกล่องสีดำปกติที่มีสองช่องที่ด้านข้าง
ที่ด้านข้างมีดจะยื่นออกมาและจะถูกแทนที่เมื่อนำออกมาและสามารถใส่มีดได้ทั้งหมดประมาณ 50 เล่ม
เจสันสงสัยว่ามันเป็นไปได้อย่างไรเพราะมีด 50 เล่มไม่น้อยและกล่องถูกอธิบายว่ามีความยาว 20 เซนติเมตรกว้าง 5 เซนติเมตรและสูง 3 เซนติเมตร …
เจสันชื่นชมทักษะการเรียงลำดับของระบบยานยนต์นี้ ในขณะที่เขาคาดว่าจะไม่มีพื้นที่เหลือเพียงมิลลิเมตรเดียว
หลังจากซื้อมีดขว้าง เจสันตัดสินใจที่จะซื้ออาวุธต่อไปและเขาก็มองไปที่คันธนูที่ได้รับคะแนน
มันดูดีและเป็นกล่องขนาดเล็กกะทัดรัดซึ่งจะติดกับหลังส่วนล่างของเขาโดยไม่ขัดขวางการเคลื่อนไหวของเขาในขณะที่มีดเล่มเดียวสามารถนำออกมาจากทั้งสองด้านได้
แต่เขารู้สึกตกใจมากที่สังเกตเห็นความแตกต่างอย่างมากระหว่างคันธนูที่ไม่ได้รับการจัดระดับและการให้คะแนน
เมื่อพิจารณาถึงความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่เขาคาดหวังเขาตัดสินใจซื้อธนูระดับกลาง -1 ที่ทำจากกวางธาตุที่มีวิวัฒนาการต่ำ
เอ็นและเขาของพวกมันใช้เป็นวัสดุที่สมบูรณ์แบบในการผลิตคันธนูด้วย
ราคาอยู่ที่ 77,000 เครดิตและเขาซื้อลูกธนูเสริมจำนวนหนึ่งซึ่งจะไม่แตกแม้ชนกำแพงเหล็กในราคา 27,000 เครดิต
มันน่าประหลาดใจที่เห็นว่าธนูที่สร้างจากสัตว์ที่ปลุกขึ้นมานั้นสามารถขายได้มาก ในขณะที่กวางธาตุที่ได้รับการพัฒนาแล้วนั้นมีมูลค่ามากที่สุดประมาณ 5,000 เครดิตเท่านั้น
เมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายของเขาเจสันตกใจมากก่อนที่เขาจะได้รับการเตือนว่าเขาไม่ได้ใกล้จะจบทัวร์ช้อปปิ้งออนไลน์ แต่เครดิตของเขาหายไปอย่างรวดเร็ว
เขาต้องการชุดป้องกันและยาอัมพาตแบบใหม่ ยากล่อมประสาท กรงสัตว์ขนาดเล็กที่ขยายใหญ่ได้ แกนสัตว์ร้ายสำหรับอาร์เทมิสและหากยังมีอะไรเหลืออยู่เขาจะคอยระวังตัวเอง
อย่างน้อยเขาต้องเหลือเงินไว้ เพราะเขาต้องกินและนั่งรถไปรอบ ๆ ด้วยรถรับส่ง
การหักเงิน 1,000 เครดิตให้กับตัวเองก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ เจสันดำเนินการซื้อต่อไป
หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงเงินทั้งหมดของ เจสันที่มากถึง 1,000,000 เครดิตก็ถูกใช้จนหมดเนื่องจากเสื้อผ้าที่เขาซื้อมานั้นเป็นชุดเกราะระดับต่ำ -2 ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับผู้สวมใส่ได้เล็กน้อยและป้องกันการโจมตีทางกายภาพ ประเภทของสัตว์ร้ายที่ถูกปลุกขึ้นมาและแม้แต่สัตว์ที่มีวิวัฒนาการระดับกลาง
ราคามันอยู่ที่ 400,000 เครดิต แต่สำหรับเจสันชีวิตของเขามีค่ายิ่งกว่านั้น
เจสันไม่เคยคิดเลยว่าราคาจะถูกขนาดนี้เพราะมีใครบางคนสวมใส่แล้ว ซ่อมไม่กี่ครั้งและยังเป็นหนึ่งในเสื้อผ้าเกรด 2 ที่ถูกที่สุดอีกด้วย
เจสันตกใจมากกว่าเล็กน้อยที่เห็นป้ายราคาของเสื้อผ้าและอาวุธส่วนใหญ่ เนื่องจากวัสดุหายากนั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับราคาที่ต้องการมากที่สุดสำหรับผลิตภัณฑ์
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมช่างตีเหล็ก นักเล่นแร่แปรธาตุ และงานอื่น ๆ เหล่านี้จึงถูกเรียกว่าผู้มีอำนาจมากมาย
แต่ไม่มีใครรู้ว่าค่าใช้จ่ายในการฝึกงานของพวกเขานั้นจะมากกว่าเพราะงานส่วนใหญ่เป็นความล้มเหลวและต้องใช้เวลานานจนกว่าจะมีใครเรียกตัวเองว่าเป็นช่างตีเหล็กได้
เมื่อเปรียบเทียบราคาจากชุดเกราะหนังของเขากับราคาของอาวุธเกรด 2 หรือ 3 ส่วนใหญ่ทำให้เจสันรู้สึกเวียนหัว
ในขณะที่อาวุธระดับ 1 นั้นเทียบได้กับสัตว์ที่ถูกปลุก แต่อุปกรณ์เกรด 2 สามารถเปรียบเทียบได้กับสัตว์ที่วิวัฒนาการแล้วและแม้แต่สัตว์ที่ไม่มีตำหนิในขณะที่เกรด 3 เป็นสิ่งเดียวที่เมกัสแทบจะใช้ไม่ได้และอุปกรณ์เหล่านี้เป็นผู้ผลิตจากวัสดุสัตว์วิเศษและ อันดับสัตว์ร้ายต่อไปนี้
เจสันไม่รู้จักคนที่เป็นเจ้าของอุปกรณ์เกรด 4 ในแอสทริกซ์แต่เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับช่างตีเหล็ก Saint-Blacksmith ที่ปลอมอาวุธเกรด 4 ให้กับใครบางคนในคาเนียร์และ เจสันก็สงสัยว่ามีอาวุธและชุดเกราะเกรด 4 มีอยู่กี่ชิ้น
ในขณะที่อาวุธระดับปกตินั้นมีราคาแพงอย่างน่าตกใจในความคิดของเจสัน แต่เขาก็เห็นข้อเสนอบางอย่างสำหรับอาวุธเวทมนตร์และวิญญาณและใบหน้าของเขา ไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูดได้เมื่อเขาเห็นป้ายราคาของ
เจสันใฝ่ฝันที่จะเป็นเจ้าของอาวุธวิญญาณที่ทรงพลังในขณะที่เขาได้ยินมาว่าวัสดุพิเศษบางอย่างสามารถเพิ่มผลกระทบของจิตวิญญาณของคน ๆนั้น และช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้
แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงตำนานจากคาเนียร์และเจสันไม่แน่ใจว่ามีอะไรแบบนั้นอยู่จริงหรือไม่
ในขณะที่เขายังมีเงินเหลืออยู่ 190,000 เครดิต แต่มันถูกใช้จนหมดหลังจากที่เขาซื้อยาอัมพาตเกรด 1 สามขวด
ยากล่อมประสาทที่ได้คะแนน 10 นัดและกรงสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองขนาดใหญ่หนึ่งกรง
ราคาแพงที่สุดคือยากล่อมประสาทที่ให้คะแนน แต่มันก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาต้องการเพราะมันจะค่อนข้างอึดอัดถ้าสัตว์ร้ายตื่นขึ้นมาในขณะมันกำลังถูกแบกไว้บนไหล่
เจสันมีเงินเหลือประมาณ 10,000 เครดิตจากทริปล่าสัตว์และอพาร์ทเมนต์ที่ถูกยกเลิก แต่เขาจะไม่ซื้อ แกนสัตว์ร้ายสำหรับอาร์เทมิส เพราะเขาเหลืออยู่ไม่กี่ชิ้นและเจสันต้องการทดสอบของเล่นใหม่ของเขาเมื่อพวกมันมาถึง
พัสดุของเขาใช้เวลาไม่นานและเขาได้ฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์เพื่อฆ่าเวลา
หลังจากนั้นเจสันก็มีพื้นที่ว่างในการฝึกฝนเทคนิคศิลปะการต่อสู้ เพื่อปรับเปรียบในการใช้อาวุธ
เจสันเช็ดน้ำตาบนแก้มก่อนจะหันไปหามาร์ค
เขาฝืนยิ้มและพูดว่า
“ดีจังผมหวังว่าความรู้สึกของผมจะถูกต้อง”
มาร์คไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไรในขณะที่สถานการณ์ยังคงน่าอึดอัดเช่นนี้ เขาก็ทำในสิ่งที่ควรจะทำ
“ อันที่จริงหมาป่าที่มีเกล็ดตัวนี้ค่อนข้างพิเศษ แต่เราสงสัยว่าคุณคิดออกได้อย่างไรหมาป่าที่มีเกล็ดตัวนี้พิเศษจริงๆ”
ในขณะที่เขานำหมาป่าที่หลับใหลกลับเข้าไปในกรงเดิม
มาร์คนั่งลงข้างกาเบรียลลา ซึ่งนั่งเอนหลังบนโซฟาเขาพูดต่อว่า
“ หมาป่าตัวนี้ได้รับการกลายพันธุ์ที่ทำให้แกนมานาของมันแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับพี่น้องของมัน ที่เพิ่มข้อ จำกัด เป็นสัตว์ป่าระดับห้าดาวซึ่งดีพอที่จะขายให้กับผู้เพาะพันธุ์ได้ แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดเพราะมีอย่างอื่นที่พิเศษเกี่ยวกับสเกลของหมาป่าตัวนี้
ยังไม่แน่ใจทั้งหมด แต่หมาป่าตัวนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาของการกลายพันธุ์ครั้งที่สองแล้วและเมล็ดพันธุ์ความสามารถในการยิง ก็ก่อตัวขึ้นภายในแกนมานาของมันโดยไม่คาดคิดทำให้เกิดความสัมพันธ์แห่งไฟ
หลังจากนั้นการทดสอบการชั่งน้ำหนักและการวัดที่เป็นไปได้ ยังบ่งชี้ว่าหมาป่าตัวนี้มีศักยภาพที่จะไปถึงขั้นตอนที่ถูกปลุกเป็นอย่างน้อยอาจจะสูงกว่านี้ แต่เราต้องทำการทดสอบเชิงลึกเพื่อหารายละเอียดเพิ่มเติม
ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาสองสามวันเป็นอย่างต่ำ “
มาร์คกำลังจัดการการซื้อขายสัตว์ร้ายทั้งหมดและค้นหาวิธีตรวจจับศักยภาพของสัตว์ร้าย ในขณะที่ภรรยาของเขาเก่งในการจับสัตว์ร้ายและกำหนดเวลาทุกอย่าง
กาเบรียลลาเริ่มตัดสินใจ กำหนดการของพวกเขาในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า
“วันหยุดจะสิ้นสุดลงในอีกสองสัปดาห์และโรงเรียนจะเริ่มทันที
เจสันการสมัครของเธอใช้เวลาไม่นาน แต่การปรับตัวให้เข้ากับเมืองเกรด A นั้นสำคัญสำหรับทั้งเธอและเกร็ก
เราต้องการออกเดินทางในห้าวันและการเดินทางจะใช้เวลาประมาณสามวัน
หากการทดสอบที่ลึกซึ้งของหมาป่าเสร็จสิ้นก่อนที่เราจะออกเดินทาง เราสามารถขายมันผ่านการเชื่อมต่อของเราในราคาที่ดี
มิฉะนั้นเราสามารถนำติดตัวไปได้เนื่องจากยานพาหนะของเรามีขนาดใหญ่พอที่จะนำกรงสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ไปกับเราได้
แต่เราสามารถประเมินราคาสำหรับหมาป่าที่ได้แล้ว เนื่องจากศักยภาพของมันค่อนข้างดีและจะจ่ายเงินให้เธอตามจำนวน .. “
เจสันฟังอย่างระมัดระวัง และพยักหน้าตลอดเวลาจนกระทั่งการพูดคุยเกี่ยวกับเครดิตเริ่มขึ้น
“เป็นเรื่องปกติหรอที่พวกคุณจะจ่ายเงินให้ผม ก่อนที่หมาป่าตัวนั้นจะขายได้ และมันราคาเท่าไหร่หรือ”
กาเบรียลลาพยักหน้าตอบ
“ฉันเห็นได้ชัดว่า ฉันสามารถบอกเธอได้อย่างชัดเจนว่าราคาถูกคำนวณได้อย่างไร เพราะมันไม่ใช่ความลับและทุกคนสามารถหาข้อมูลได้ทางออนไลน์ แต่จะรวมเฉพาะช่วงราคาที่รัฐบาลให้ไว้เท่านั้น ไม่ใช่ราคาที่ขุนนางจะจ่ายเพื่อให้ได้สัคว์พันธะที่ดีสำหรับลูกหลานของพวกเขา
เราอยากจะทำสัญญากับสัตว์ร้ายที่ให้พลังงานวิญญาณตามธรรมชาติและยังคงมีความแข็งแกร่งมากกว่าสัตว์ร้ายที่มีศักยภาพที่ใช้ไปแล้ว “
กาเบรียลลาคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ ขุนนางบางคนมีพลังวิญญาณที่อ่อนแอเช่นคุณและพวกเขาอยากจะทำสัญญากับสัตว์ป่าสองดาวที่ครบกำหนดซึ่งมีโอกาสสูงที่จะเติบโตเป็นสัตว์ร้ายที่ถูกปลุกขึ้นมาหรืออาจจะวิวัฒนาการแล้ว
ความจริงที่ว่ามันเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าหมาป่ามีความสามารถในการปรับขนาดถึงจะได้รับความสามารถใดๆก็ตาม ราคาก็จะสูงขึ้นเท่านั้น เนื่องจากนี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราจะต้องพิจารณาใหม่เมื่อสร้างพันธะที่มีสัตว์ป่าที่มีศักยภาพสูง “
“สำหรับการชำระเงินเธอสามารถดูได้ เหมือนเราซื้อหมาป่าจากเธอด้วยราคาที่สูงกว่าที่รัฐบาลจะให้มาเล็กน้อยและเรายังคงขายผ่านช่องทางของเราต่อไป
สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเราทั้งคู่และเราสามารถรักษาธุรกิจไว้เช่นนี้ต่อไปในอนาคตหากเธอต้องการ
ถ้าเธอไม่ชอบวิธีนี้ เธอก็สามารถขายหมาปาตัวนี้ให้คนอื่นได้ แต่ฉันว่าข้อเสนอของฉันดีที่สุดแล้วนะ “
เจสันคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ยุติธรรมสำหรับทั้งคู่และเขาคาดหวังเกี่ยวกับราคาของหมาป่า เขาระงับความเศร้าไว้ก่อนแล้วและจดจ่อกับสถานการณ์ตรงหน้าโดยสิ้นเชิง
“ ผมคิดว่านั่นจะดีที่สุดสำหรับเราทั้งคู่…. นี่อาจฟังดูโลภ แต่เราอาจคำนวณราคาของสัตว์ร้ายที่มีศักยภาพในการไปถึงอันดับที่พัฒนาได้หรือเปล่า ผมค่อนข้างแน่ใจว่าการทดสอบจะถูกต้อง ถ้าผมผิดผมจะชดเชยให้คุณทั้งสอง “
เจสันต้องการเงิน ในขณะที่เขาไม่สามารถเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมชั้นในอนาคตของเขาได้เลยแม้แต่น้อยและตอนนี้เงินทั้งหมดของเขามีเพียงประมาณ 1,000 เครดิตซึ่งไม่มีอะไรเทียบได้กับแต่ละคนและทุกคนในเมืองเกรด A แต่เขามั่นใจในความสามารถของดวงตาของตัวเองและไว้วางใจครอบครัวนี้อย่างสมบูรณ์
มาร์คและกาเบรียลลารู้สึกประหลาดใจ แต่ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธข้อเสนอ เนื่องจากผลการทดสอบจะออกในอีกไม่กี่วันและหลังจากนั้น เจสันจะต้องกลับมาหาพวกเขาเพื่อเดินทางไปยังเมืองเกรด A แม้กระทั่ง ถ้าความรู้สึกของเจสันผิด
หากเจสันต้องการหนีไปก็ไม่มีใครขัดขวางเขาได้ เนื่องจากการเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงนั้นมีค่ามากกว่าเงินบางส่วน และเราสามารถได้รับจากการขายสินค้าที่ดีที่สุดพร้อมกับศักยภาพในการจัดอันดับที่พัฒนาขึ้น
กาเบรียลลาตอบด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนเมื่อเธอเห็นความอดทนของเจสันและเหงือเม็ดเล็ก ๆ ที่ไหลลงมาที่ขมับของเขา
“แน่นอนเราสามารถจ่ายราคาให้กับสัตว์ร้ายที่มีศักยภาพของการอัพสองอันดับรวมถึงการกลายพันธุ์และการสร้างเมล็ดไฟภายในแกนมานาของมัน หากศักยภาพของมันแย่ลงเธอสามารถจ่ายคืนเราได้ ความแตกต่างในภายหลัง
แต่ที่สำคัญกว่านั้น … เธอสามารถเรียกฉันว่ากาเบรียลลา ฉันไม่ชอบให้เรียกว่าคุณนายเฟลเลอร์ มันฟังดูห่างเหินและเธอเป็นเพื่อนของลูก ๆ ของฉัน”
เธอรู้ว่าเขาขาดแคลนเงินจากการตรวจสอบประวัติและเกร็กได้อธิบายให้เจสันฟังแล้วเกี่ยวกับความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยของเพื่อนร่วมชั้นในอนาคต
นอกจากนี้เธอยังรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับดวงตาของเจสันขณะที่เกร็กบอกเธอว่าเจสันพูดอะไรในช่วงที่วิญญาณตื่นขึ้นมา
เธอรู้ว่ามันควรจะเป็นความลับ แต่เกร็กบอกเธอทุกอย่างและเกร็กไม่สามารถเก็บความลับจากเธอได้
มาร์คนั่งข้างๆภรรยาของเขา ก็ตอบกลับอย่างสงบ แต่ก็ไร้อารมณ์เช่นกัน
“ถ้าเธอต้องการเธอก็สามารถเรียกฉันว่ามาร์คก็ได้ ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากเกินไป”
เจสันเริ่มยิ้มและขอบคุณทั้งสองคนสำหรับความเอื้ออาทรที่จะจ่ายเงินให้เขาโดยไม่เห็นผลสุดท้าย
เขาไม่แน่ใจว่า เขาสามารถเรียกทั้งสองคนด้วยชื่อจริงได้หรือไม่ แต่เขาจะลองดูในภายหลัง
มาเลียและเกร็กออกมาจากหลังเสาแล้วนั่งเอนหลังลงไปบนโซฟาข้างๆ เจสันพร้อมกับมองพ่อแม่ของพวกเขาด้วยสายตาที่กรีดแทง
มาร์คไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขามีลางสังหรณ์เล็กน้อยในขณะที่กาเบรียลลาพยายามพูดกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด
เจสันถอดอาร์เทมิสออกจากหัวของเขาและวางเธอลงบนตัก
ด้านหน้าของมาร์คปรากฏภาพโฮโลแกรมและดูเหมือนว่าเขาพยายามหลีกเลี่ยงการมองของลูก ๆ ของเขา
มันปรากฏแสงจ้า และมาร์คเคาะไปรอบ ๆ สองสามครั้งจนกระทั่งตัวเลขที่น่าพอใจปรากฏขึ้น
“ ถ้าเราพิจารณาหมาป่าตัวนี้ที่เป็นสัตว์ร้ายระดับสองดาวที่เติบโตเต็มที่และมีศักยภาพที่จะไปถึงอันดับที่พัฒนาแล้วการอัพอันดับสองครั้งจะเพิ่มราคาสำหรับการสร้างความสัมพันธ์ไฟล่วงหน้า …. ราคาของหมาป่านี้จะเป็น จะอยู่ที่ประมาณ 800,000 เครดิต หากรัฐบาลซื้อ
เป็นเรื่องยากมากที่จะได้เห็นสัตว์ร้ายที่มีศักยภาพ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ราคาสูงขนาดนี้ ขุนนางชั้นสูงยอมจ่ายเงินมากกว่านี้และภรรยาของเราก็บอกแล้วว่าเราจะเสนอให้มากกว่ารัฐบาล
เราคิดว่า 1,000,000 เครดิต เธอน่าจะพอใจใช่ไหม”
กาเบรียลลามองเจสันอย่างใจเย็นและมองไปที่กรงสัตว์ร้ายตัวใหญ่อีกครั้ง
“นกอินทรีพายุตัวนี้ไม่ได้ใช้ในการผสมพันธุ์จริง ๆ และการทำสัญญากับสัตว์วิเศษโดยไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ จากมันนอกจากความแข็งแกร่งและมานาเพียงเล็กน้อยนั้นอันตรายเกินไป
แม้ว่าจะพิจารณาถึงประโยชน์แล้วก็ตาม การรอคอยการฟักไข่น่าจะง่ายกว่ามากสิ่งเดียวที่จำเป็นคือเวลา
ประโยชน์ที่แท้จริงเพียงอย่างเดียวที่เราสามารถบอกได้ ก็คือขุนนางบางคนต้องการใช้นกอินทรีพายุเพื่อจุดประสงค์อื่นแทนที่จะสร้างสัตว์พันธะจริงๆ.. “
ทุกคนเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่กาเบรียลลาจะพูดขึ้นอีก
กาเบรียลลาเริ่มถอนหายใจและเธอเริ่มอธิบาย … เธอไม่ชอบสถานการณ์ที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้และเจสันได้ค้นพบจุดประสงค์ที่แท้จริงของนกอินทรีพายุ แต่มันเกือบจะถูกเปิดเผย ดังนั้นเธอจึงสามารถอธิบายได้ อย่างน้อยที่สุด
“คุณเป็นคนที่ฉลาดเจสัน และเป็นเรื่องจริงที่สัตว์อสูรตัวนี้จะไม่ถูกใช้เป็นสัตว์พันธะ แต่เราไม่ได้โกหกว่ามันจะถูกใช้เป็นสัตว์พันธะสำหรับลูกค้าของเรา อย่างไรก็ตามเหตุผลนั้นแตกต่างกันมากกว่าที่คิด “
กาเบรียลลาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะพูดต่อ
“พูดตามตรงว่าน่าเสียดายเพราะลูกค้าของเราเป็นคนชั้นสูงที่เข้าไปมีปัญหากับคนที่ไม่ควรมี
พูดง่ายๆว่าลูกค้าของเรายอมรับการสู้รบด้วยชีวิตหรือความตายซึ่งอีกไม่กี่วันเพราะเขาถูกยั่วยุหรืออะไรทำนองนั้น … เราไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงที่ลูกค้า แต่ลูกค้าของเราไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ของเขาได้ทำสัญญากับสัตว์ร้ายชนิดใดซึ่งเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของพวกเขา
ลูกค้ารายนี้มีนกอินทรีพายุอยู่แล้ว แต่ศักยภาพของมันใกล้จะถึงอันดับต่อไปอย่างไร้ขีดจำกัด ในขณะที่คู่ต่อสู้ของเขาได้มีสัตว์ร้ายที่อยู่ในอันดับที่สูงกว่าจาก คาเนียร์หรือจากเกาะอื่น ๆ
เราถูกว่าจ้างให้จับนกอินทรีพายุให้เป็นเครื่องสังเวยเท่านั้นและไม่สำคัญว่ามันจะมีศักยภาพสูงแค่ไหน …
มันถูกกว่าการเสียสละจิตวิญญาณของตน ด้วยการสังเวยนกอินทรีตัวนี้เพิ่งเพิ่มระดับให้กับนกอินทรีตัวปัจจุบัน … “
ตาของเธอเปียกเล็กน้อยและเจสันรู้สึกว่าเธอกระวนกระวายใจ
“เราเกลียดสถานการณ์นี้มากและเกลียดทุกคนที่ใช้สัตว์ร้ายราวกับว่าพวกมันเป็นสิ่งของ แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มลูกค้าของเราได้ เนื่องจากพวกเขามีบุคคลที่มีระดับสูงและมีคอนเน็กชั่นที่กว้างขวางซึ่งอาจทำลายชื่อเสียงของเราได้ภายในไม่กี่นาที
คุณค่าเพียงอย่างเดียวของเราคือเรามีความเชี่ยวชาญในการจับสัตว์ร้ายและความแข็งแกร่งของเรานั้นเหมาะสม แต่น่าเสียดายที่เรามีเพียงสองคนและมันง่ายกว่าที่จะทำให้ครอบครัวใหญ่พอใจมากกว่าที่จะทำให้พวกเขาไม่พอใจ
เราทั้งคู่รู้สึกละอายใจกับสถานการณ์นี้และเราต้องเสียใจกับพายุนกอินทรีตัวนี้ แต่เราไม่สามารถหาวิธีอื่นที่จะทำให้ลูกค้าของเราพอใจได้
และถ้าเราไม่จับนกอินทรีพายุได้ผู้จับกุมคนอื่นก็จะจับได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาแก้ตัว “
เมื่อฟังคำอธิบายของกาเบรียลลา เจสันก็ได้ตกใจและเสียใจ…แม้แต่มาเลียและเกร็กก็ได้ยินเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก
ความตกใจของพวกเขาสามารถเห็นได้อย่างสมบูรณ์แบบจากสีหน้าของพวกเขาและมาเลียได้ลงจากโซฟาและมองแม่เขาอย่างผิดหวังก่อนที่เธอจะวิ่งหนีไป
เกร็กไม่รู้ว่าจะพูดอะไร แต่เขาก็ยังตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่ได้มองไปที่เจสันหรือแม่ของเขา
เจสันนั่งมองกาเบรียลลาความอึดอัด
เขายังคงสามารถสงบสติอารมณ์ได้แม้ว่าเขาจะพบว่ามันเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงก็ตาม
แต่ความรังเกียจนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่กาเบรียลลา แต่มุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมของขุนนางที่แสดงออกมา เพื่อเล่นกับชีวิตราวกับว่ามันไม่มีอะไร
“ดีแล้วหรอที่พูดอะไรแบบนั้นต่อหน้าเกร็กและมาเลีย???”
เขารู้สึกกังวลเล็กน้อยว่าจะทำลายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แต่กาเบรียลาได้แต่ส่ายหัวก่อนจะถอนหายใจ
“ไม่เป็นไร ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับความจริง พูดตามตรงว่าเราไม่ชอบทำอะไรแบบนั้นและเราชอบจับสัตว์ที่มีศักยภาพสูงเพื่อดูลูกค้าของเราที่สร้างสัญญาด้วยความรู้สึกจริงใจ ซึ่งทำให้เราภาคภูมิใจ แต่บางครั้งสถานการณ์เช่นนี้เราก็ไม่อาจจะทำอะไรได้
ฉันไม่ต้องการแก้ตัว แต่เราจะไม่ทำอะไรแบบนั้น ถ้าเราไม่ถูกบังคับให้ทำ
อย่างไรก็ตามเราไม่อาจที่ทำให้เผ่าหรือตระกูลใหญ่ ๆ เกิดความไม่พอใจได้
อันดับของเราสูงโดยไม่ต้องสงสัย แต่มีครอบครัวใหญ่จำนวนมากที่มีทรัพยากรจำนวนมหาศาลบนแอสทริกซ์
และฉันเองก็เข้าใจถ้า เธอจะรังกียจและไม่ต้องการไปที่เมืองไซโรกับเรา เะอสามารถตัดสินใจตามที่เธอต้องการได้ “
เธอพูดพร้อมกับถอนหายใจลึก ๆ และเจสันรู้สึกได้ว่าเธอกำลังหงุดหงิดกับสถานการณ์ทั้งหมด
เจสันกำลังคิดอย่างรอบคอบ .. เขายังคงรังเกียจ แต่ตั้งแต่เริ่มต้นเจสันรู้สึกรังเกียจจิตใจของขุนนางส่วนใหญ่และตระกูลใหญ่
การปกครองที่เข้มแข็ง ผู้อ่อนแอและนี่เป็นกรณีของพ่อแม่ของเกร็กที่เจสันถือว่าแข็งแกร่งมาก
เขาไม่แน่ใจว่าพวกเขาอยู่ในอันดับใด แต่เขาวัดว่าอย่างน้อยพวกเขาต้องอยู่ในอันดับเมกัสเพื่อจับนกอินทรีพายุที่โตเต็มที่โดยไม่มีปัญหาใด ๆ และมานาที่ลดลงในแกนมานาของพวกเขาก็เป็นความจริงเช่นกัน
แอสทริกซ์ไม่ได้อุดมไปด้วยทรัพยากรเป็นพิเศษ รอยแยกระดับสูงหรือแม้แต่พื้นที่ที่มีความหนาแน่นของมานาจำนวนมากเมื่อเทียบกับเกาะอื่น ๆ ที่ใหญ่กว่าและแผ่นดินใหญ่ของมนุษยชาติ
เจสันนึกถึงสถานการณ์ของพวกเขาและจำได้ว่าแม่ของเขาถูกทายาทลึกลับสังหาร โดยไม่ต้องรับโทษ
กาเบรียลลาเห็นสีหน้าโกรธของเจสันและไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนั้น ก่อนที่สีหน้าของเจสันจะคลี่คลายลงเล็กน้อย
เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของกันและกัน กาเบรียลลาเห็นน้ำตาบนแก้มของเจสัน ในขณะที่อึ้งเล็กน้อย
ความเจ็บปวดและความเศร้าโศกเต็มไปด้วยในน้ำเสียงของเจสันที่สั่น
“ผมเข้าใจพวกคุณ … แต่ทำไมโลกนี้ถึงไม่ยุติธรรมนัก? … ผู้แข็งแกร่งสามารถทำอะไรก็ได้ที่พวกเขาต้องการโดยไม่ต้องรับโทษและคนอ่อนแอต้องทนทุกข์เพียงเพื่อความพอใจ … ผู้แข็งแกร่งสามารถโยนความพอดีเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาต้องการและสังหาร … และไม่มีใครทำอะไรพวกเขาได้ … แม้แต่แม่ของฉันก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกลากเข้าสู่ธุรกิจของพวกเขาได้”
น้ำตาไหลอาบแก้มและเจสันต้องการที่จะยืนขึ้นและออกจากคฤหาสน์โดยเร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่น่าอับอายนี้
เขามองลงมาและปิดตาก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ผมขอโทษ ผมจะไปแล้ว … ”
ก่อนที่เขาจะจบประโยค เขารู้สึกว่าสองแขนได้โอบกอดเขาจากด้านหน้า
“ ไม่เป็นไร…เธอสามารถร้องไห้ได้ถ้าเธอต้องการ .. ไม่จำเป็นต้องระงับความรู้สึกของเธอตลอดเวลา เธอมี แต่จะทำร้ายตัวเองแบบนั้น .. “
เจสันอายุเพียง 13 ปีและเขาต้องแบกรับภาระอันใหญ่หลวงด้วยการตาบอดและการสูญเสียแม่ที่เขาพึ่งพามาตลอดชีวิต
การอยู่คนเดียวในโลกที่อันตรายโดยไม่มีใคร คนเดียวตามลำพัง และเจสันก็ปล่อยให้ตัวเองหลุดออกไปและร้องไห้อย่างขมขื่น
กาเบรียลาได้ตรวจสอบประวัติของเจสันแล้ว แต่เธอรู้เพียงว่าแม่ของเขาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุและเห็นได้ชัดว่าข้อมูลที่เธอได้รับนั้นไม่ถูกต้องและความจริงก็ยังคงเป็นความลับ
แม่ของเขาถูกฆ่าโดยขุนนางบางคนและกาเบรียลลาก็เข้าใจความเศร้าโศกของเจสันทันที
ผู้แข็งแกร่งสามารถทำทุกอย่างที่ต้องการได้โดยไม่ต้องแคร์ใคร นอกจากผู้ที่แข็งแกร่งกว่าและมันทำให้คนที่อ่อนแอกว่าต้องทนกับความเจ็บปวด
ดวงตาของเจสันพร่ามัวและเขายังคงคร่ำครวญต่อไปในขณะที่อาร์เทมิสเกาะหัวลงบนหัวของเจสันพยายามปลอบเขา
การเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของกันและกันไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบเสมอไปและอาร์เทมิสรู้สึกถึงความโกรธและความทุกข์ทรมานของเจสันทำให้อารมณ์ของเธอวุ่นวายมาก
ในขณะที่เจสันร้องไห้เป็นเวลานาน มาร์คกลับมาแล้วพร้อมกับหมาป่า และโยนลงบนไหล่ของเขาขณะที่เกร็กและมาเลียเดินกลับเข้ามาดวยความสงบ
พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นเจสันร้องไห้ในอ้อมกอดขอกาเบรียลลา พวกเขาก็ยิ่งสับสน
เจสันใช้เวลาพอสมควรกว่าเขาจะหยุดร้องไห้และกาเบรียลลาก็ปล่อยเขาออกจากอ้อมกอดของเธอหลังจากที่มั่นใจว่าเจสันสบายดี
มาร์คใช้โอกาสนี้พูดขึ้น
เขาพูดออกมาดัง ๆ
“ ฉันมีผลการทดสอบศักยภาพพื้นฐานของหมาป่าแล้ว มันน่าสนใจทีเดียว”
ในขณะที่มาร์คพยายามทำให้สถานการณ์เป็นปกติอีกครั้ง
เจสันสับสนเล็กน้อย และรวบรวมความคิด สรุปได้ว่าเขาโดนทดสอบจากพ่อแม่ของเกร็ก
เกร็กยังคงมองไปรอบ ๆ อย่างไร้เดียงสาโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะที่ มาร์ค เฟลเลอร์ ยืนขึ้นและเดินไปที่กรงพร้อมกับพูด
“ ภรรยาของเรา ยอมรับคุณ พวกเราแค่อยากทดสอบทัศนคติของคุณเพราะมีความเป็นไปได้ที่คุณอาจจะพยายามหาประโยชน์จากเรานั้นสำคัญมาก เพราะเราไม่ต้องการให้ลูกชายของเราเจ็บปวด
พูดตามตรงเรายังไม่รู้เลยว่าคุณอยากเป็นเพื่อนกับเกร็กจริงๆ หรือเปล่า แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่าคุณไม่ได้พูดโกหก เราหวังว่าคุณจะไม่รังเกียจที่ถูกกระทำเช่นนี้ เพราะมีเด็กบางคนที่มาเป้นเพื่อนกับเกร็กและมาเลียเพราะด้วยความมั่งคั่งของเรา ทั้งเกร็กและมาเลียมีการปลุกจิตวิญญาณที่ยอดเยี่ยม
แม้แต่ขุนนางชั้นสูงและทายาทตระกูลใหญ่ก็พยายามมาตีสนิทกับพวกเรา พวกเราจึงไม่เคยได้รับความจริงใจจากใครเลยแม้แต่คนเดียว แต่อย่างน้อยคุณก็กำลังพูดความจริง
เด็กพวกนั้นไม่ได้มีความจริงใจ เราไม่ต้องการเห็นลูกๆ ของเราถูกทำร้ายจิตใจเราจึงต้องปกป้องพวกเขาในระดับหนึ่งที่เราจะสามารถทำได้ และถ้าคุณสามารถสังหารสัตว์ป่าระดับห้าดาวได้
เนื่องจากความช่วยเหลือของสัตว์พันธะของคุณ แสดงว่าความสามารถในการต่อสู้และการทำงานเป็นทีมของคุณนั้นต้องยอดเยี่ยมเมื่อพิจารณาจากระยะเวลาอันสั้นที่คุณทั้งคู่อยู่ด้วยกัน”
กาเบรียลลา ได้พูดเสริม
“ และเมื่อเห็นหมาป่าที่มีเกล็ดตัวนี้ มันควรจะเป็นผู้นำของฝูงที่ใหญ่ เนื่องจากพวกมันติดตามผู้แข็งแกร่งโดยสัญชาตญาณ นอกจากนี้เรายังสามารถทำการทดสอบเกี่ยวกับศักยภาพของหมาป่าตัวนี้ได้ในตอนนี้ “
เมื่อกาเบรียลลาพูดจบ มาร์คก็เปิดกรงเล็ก ๆ และเอาหมาป่าที่หลับใหลออกมา
หลังจากเอาเข็มฉีดยาออกมา เพื่อเอาเลือดออกมัน มาร์คก็ได้หายวับไป
ดวงตาของเจสันเบิกกว้างด้วยความตกใจขณะที่มาร์คเพิ่งหายไปจากสายตาของเขา แม้แต่ดวงตาของเจสันก็ไม่สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวได้ทัน
‘พวกเขายอมรับฉันแล้วหรอ?’
เจสันยังคงสับสน
เกร็กและมาเลียเคยชินกับความเร็วของมาร์ค แต่เจสันยังคงนั่งคิดอะไรอยู่บางอย่าง
สถานการณ์ทั้งหมดจบลงอย่างรวดเร็วและเจสันรู้สึกสับสนมากกว่า เมื่อเขาจำสิ่งที่มาร์คได้พูดเมื่อครู่
“ ทำไมเขารู้ว่าฉันไม่ได้โกหก”
เจสันพึมพำ
เกร็กได้ยินที่เจสันพูด และเกร็กก้ได้พูดอย่างภาคภูมิใจ
“ พ่อของฉันได้ทำสัญญากับค้างคาวหยกจิ๋วที่กลายพันธุ์ซึ่งเป็นสัตว์วิเศษที่อ่อนแอมากอย่างไรก็ตามการได้ยินนั้นยอดเยี่ยมมากและเขาสามารถจะฟังการเต้นของหัวใจของคุณเพื่อตรวจจับว่าคุณโกหกหรือเปล่า “
ในขณะที่เกร็กพูด กาเบรียลลาได้มองลูกชายของเธออย่างตกใจ
เธอส่ายหัวด้วยความคิดว่า ทำไมลูกของเธอถึงได้ไร้เดียงสาเช่นนี้
‘เขาเป็นลูกชายของฉันจริงรึเปล่านะ ?’ กาเบรียลลาคิด
เจสันยังประหลาดใจที่เกร็กเปิดเผยความลับของพ่อและเจสันรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
ในขณะที่เจสันกำลังจะเตือนเกร็กเรื่องนี้ กำปั้นเล็กๆ ก้ฟาดไปที่หลังหัวของเกร็กทำให้เขาตกลงจากโซฟา
“ โอ๊ย … ทำอะไรของเธอหน่ะ มาเลีย”
เกร็กมองพี่สาวของเขาด้วยสายตาเศร้า ทำให้มาเลียโยนกำปั้นอีกครั้งที่ เกร็กหลบเลี่ยงโดยการกลิ้งไปมาบนพื้น
“นายโง่ขนาดนี้ได้ยังไง นายก็รู้ว่าไม่ควรเปิดเผยวิญญาณและลักษณะของพวกมันรวมถึงสิ่งที่สัตว์พันธะแบ่งปันด้วยและไม่ใช่แค่สัตว์พันธะของนายนะ แต่ของคุณพ่อก็ด้วย”
กาเบรียลลามองไปที่ลูกสาวของเธอด้วยความตกตะลึง เพราะความรุนแรงของมาเลีย
เธอไม่รู้ว่าเด็กสาวที่สวยงามและบอบบางเช่นนี้ จะเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้ได้อย่างไรเมื่อน้องชายของเธอทำให้เธอรำคาญ
‘เธอจะหาแฟนไหม’ เมื่อคิดต่อไปเธอก็ตกใจ
‘เธอจะไม่ทุบตีแฟนของเธอใช่ไหม ???’ กาเบรียลลาขมวดคิ้วพลางคิดเรื่องนั้น
ในขณะเดียวกันเจสันก็ยิ้มเมื่อเห็นทั้งคู่ทะเลาะกันเล็กน้อยและอาร์เทมิสที่ยังคงเงียบอยู่บนตักของเจสัน
ก็ลืมตาขึ้นก่อนที่เธอจะกระพือปีกเพื่อทะยานขึ้นไปในอากาศ
เมื่อเห็นทั้งสองพี่น้องเทะเลาะกัน อาร์เทมิสก็ร้องไห้และบินวนไปมาด้านบน จากนั้นส่งเสียงเชียร์พวกเขา
เธอชอบทั้งสองคนขณะที่เจสันถ่ายทอดความรู้สึกสบาย ๆ ให้ทั้งคู่ได้รับรู้
เมื่อมองไปที่จิตวิญญาณของเจสันที่วนเวียนอยู่เหนือพวกเขา ที่บางครั้งก็ร้องไห้ออกมา บางครั้งดูเหมือนจะเป็นเสียงหัวเราะ กาเบรียลลาได้ยิ้มเบา ๆ ก่อนที่จะหันไปจ้องมองไปที่ เจสันซึ่งมองลูก ๆ ของเธอด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าเจสันไม่ได้ต้องการผลประโยชน์ใด ๆ จากพวกเขาและมันก็น่าเสียดายที่จะทิ้งเขาไว้ที่นี่ในขณะที่เจสันนั้นเป็นเด็กดีที่น่าสงสาร
การพาเขาไปด้วยไม่น่าจะเป็นปัญหามากนัก
แม้ว่าพรสวรรค์ของเขาจะแย่ แต่เกร็กและแม้แต่ลูกสาวของเธอที่ดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงที่เย็นชาในที่สาธารณะก็สามารถเป็นตัวของตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าเจสัน
พวกเขาไม่ต้องปรับพฤติกรรมเพื่อเอาใจเจสัน แต่อย่างใด
เจสันมองไปที่เกร็กและมาเลีย สักพักก่อนที่เขาจะมองไปที่กรงขนาดใหญ่ที่มีนกอินทรีอยู่ข้างใน
เขาไม่แน่ใจว่าเขาได้รับอนุญาตให้ถามเรื่องนี้หรือไม่ แต่เจสันคงไม่เป็นไรมากนักถ้าจะถาม
“คุณทั้งสองจับนกอินทรีตัวนี้ได้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาใช่รึเปล่า”
เจสันรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับบางสิ่งและกาเบรียลลา สังเกตเห็นสิ่งนั้นและเธอก็หลีกเลี่ยงการจ้องมองไปที่เขา
“นกอินทรีพายุตัวนี้เป็นสัตว์วิเศษและถูกจับโดยพวกเรา เมื่อสองวันก่อนและมันจะเป็นสัตว์พันธะตัวต่อไปของลูกค้าเรา”
การทำสัญญากับสัตว์วิเศษที่เติบโตเต็มที่เป็นเรื่องอันตรายและไม่คุ้มค่า หากสัตว์ร้ายไม่มีศักยภาพเหลืออยู่
แต่ถ้าเป็นสัตว์วิเศษที่ยังเป็นตัวอ่อน ถ้าทำพันธะในขณะที่ยังเล็กจะสามารถสร้างความสัมพันธ์และป้องการการอาละวาดของสัตว์ร้ายได้
นั่นคือการเพิ่มความจริงที่ว่าลูกสัตว์นั้นเชื่องและเลี้ยงดูได้ง่ายกว่า
การพยายามที่จะทำให้สัตว์วิเศษป่าที่โตเต็มที่เชื่องนั้นเชื่อง เป็นเรื่องของโชคเพราะไม่เพีงที่จะต้องการพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง แต่ยังมีอารมณ์ของสัตว์วิเศษที่โตเต็มวัยอีกด้วย
การแสดงออกทางสีหน้าของเจสันนั้นมีความซับซ้อนแล้วเขาเองก็ไม่แน่ใจว่า เขาจะพูดอย่างไรดี เพราะมันอาจจะไม่ใช่เรื่องของเขา หากลูกค้าต้องการสัตว์วิเศษที่เป็นอันตราย เพราะมันไม่มีโอกาสแก้ไขในอนาคต
เกร็กและมาเลียหยุดทะเลาะกันเมื่อครู่และทั่งคู่มองไปที่เจสันเพราะสีหน้าของเขาดูไม่สบายใจ
กาเบรียลล่าสังเกตเห็นสิ่งเดียวกันและเธอก็ไม่แน่ใจว่าทำไม แต่เธอเองก็อยากจะถามว่ามีอะไรผิดปกติกับสัตว์วิเศษตัวนี้ที่ทำให้เจสันเปลี่ยนสีหน้าการแสดงออกเช่นนี้
เธอรู้ว่า ‘ความรู้สึก’ ของ เจสันที่เขาพูดถึงก่อนหน้านี้เป็นสิ่งอื่นและเธอเองก็อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับความคิดเห็นของเขาเมื่อ เกร็กมีจิตวิญญาณแรกที่แข็งแกร่งมากและเห็นได้ชัดว่าสัตว์พันธะครั้งแรกของเจสันก็ดูไม่เหมือนใคร
ตอนนี้ถ้าหมาป่าที่เขานำมาให้พวกเขา มีศักยภาพบางอย่างก็หมายความว่ามันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไป
เธอยิ้มเบา ๆ ให้เจสันเพื่อให้กำลังใจให้เขา ในขณะที่เธอพูด
“ไม่เป็นอะไรหรอก หากเธอต้องการจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจ”
เจสันครุ่นคิดถึงวิธีการที่เรียบง่ายก่อนที่จะตอบกลับ
“ คือว่า ศักยภาพของสัตว์วิเศษตัวนี้ถูกใช้จนหมดแล้ว และไม่มีศักยภาพเหลือพอที่จะไปถึงอันดับต่อไปได้ การได้ทำสัญญากับมันจะไม่ให้ประโยชน์อะไรมากมาย แต่มันก็น่าจะอันตรายมากใช่ไหม ทำไมบางคนต้องการทำสัญญากับสัตว์ร้ายตัวนี้ “
เวลา 17.00 น. เมื่อเจสันมาถึงหน้าคฤหาสน์เฟลเลอร์และเขาต้องโทรหาเกร็กเพราะเจสันไม่สามารถยกกรงสัตว์ร้ายขึ้นมาคนเดียวได้
อาร์เทมิสนอนขดอยู่บนไหล่ของเจสันและดูเหมือนลูกบอลขนปุยถูกวางไว้ ในขณะที่เจสันรอ เกร็กก็สับสนว่าทำไมเขาต้องออกมาข้างนอก ก่อนที่เขาจะเห็นกรงขนาดใหญ่ข้างๆเจสันที่โบกมือให้เขา
เกร็กสังเกตเห็นหมาป่าที่สามารถปรับขนาดตัวได้อยู่ในกรง ทำให้เขายิ่งสับสน
“เฮ้ เจสันทำไมนายถึงเอากรงใส่หมาป่ามาที่นี่ด้วยละ ??”
เจสันเห็นใบหน้าที่งุนงงของเกร็กก็ยิ้มอย่างซุกซน
“เฮ้ เกร็กบอกตามตรงฉันเอาหมาป่าพวกนี้มาขายให้พ่อกับแม่ของนายหน่ะ นายช่วยเอามันเข้าไปข้างในโดยไม่ฆ่าพวกมันจะได้ไหม”
เกร็กพยักหน้าตกลง
“ได้สิ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
เกร็กยิ้มพร้อมกับยกกรง ราวกับว่ามันเบาเหมือนโฟมเข้าไปในบ้าน ขณะที่เจสันถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วเดินตามเกร็กเข้าไป
ในที่สุดเจสันก็กลับมาอยู่ในห้องนั่งเล่นเหมือนวันก่อนอีกครั้ง แต่ตอนนี้มีกรงอยู่สองกรง โดยกรงหนึ่งเป็นของเจสันที่มีหมาป่านอนหลับอยู่ข้างใน ในขณะที่อีกกรงหนึ่งสูงอย่างน้อย 5 เมตรและกว้าง 8 เมตร
ภายในกรงขนาดมหึมานี้มีนกอินทรีสีเขียวตัวใหญ่ยาวประมาณ 3 เมตรอยู่ข้างใน
จากแกนมานาของมันเจสันสังเกตว่า มานามีปริมาณมากกว่ามาเลียและเมื่อเปิดใช้งานดวงตามานาของเขา เจสันก็เห็นออร่าสีเขียวที่เขาเคยเห็นมาก่อนในขณะที่เจสันยังสามารถมองเห็นแกนมานาที่เสร็จสมบูรณ์ได้ด้วย
‘นั่นคือสัตว์วิเศษงั้นเหรอ? ‘
กรงที่นกอินทรีอยู่ข้างในนั้นได้รับพลังจากหินมานาและเจสันสังเกตเห็นมานาที่ไหลไปทั่วทั้งกรงซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งของมัน
หลังจากเจสันที่เห็นนกอินทรี เขาก็สังเกตเห็นคนสองคนนั่งอยู่บนโซฟาที่มีมานาที่แข็งแกร่ง แต่คุ้นเคย
เมื่อเห็นพ่อแม่ของเกร็กเจสัน เจสันก็โค้งคำนับเล็กน้อยก่อนกล่าว
“สวัสดีคุณและคุณนายเฟลเลอร์ยินดีที่ได้พบคุณอีกครั้ง”
เจสันยิ้มขณะมองไปที่พวกเขา
พ่อแม่ของเกร็กมองไม่เห็นความเศร้าหรือความขุ่นมัวในดวงตาที่ส่องแสงสีทองของเจสันซึ่งทำให้พวกเขาสงสัยเล็กน้อย
กาเบรียลลา แม่ของเกร็กส่งสัญญาณให้เจสันนั่งลงก่อนจะทักทายเขาด้วยคำว่า “สวัสดีจ้ะ เจสัน ”
โซฟาทั้งตัวล้อมรอบไปด้วยโต๊ะกระจกขนาดเล็ก ในขณะที่มาเลียและเกร็กนั่งอยู่อีกฝั่ง เจสันก็ได้นั่งอยู่ตรงหน้าพ่อแม่ของเกร็ก และมองไปรอบ ๆ อย่างเชื่องช้าในขณะที่เกร็กมองไปที่เจสันอย่างครุ่นคิด
เจสันวางอาร์เทมิสไว้บนตัก
คุณนายเฟลเลอร์กล่าวก่อน
“ เจสัน ฉันคิดว่าคุณคงรู้แล้วว่าทำไมเราถึงเรียกคุณมาที่นี่ใช่ไหม?”
เธอยิ้มอย่างขอโทษ แต่ก็มีอย่างอื่นในสายตาของเธอ ที่มีเพียงเขาและคุณเฟลเลอร์ที่สังเกตเห็นความรู้สึกของเธอเท่านั้น
‘เธอเศร้าหรือโกรธ?’
เจสันสงสัย
“คุณและคุณนายเฟลเลอร์ คิดว่าฉันซื้อซากสัตว์ป่าระดับห้าดาวเพราะต้องการหลอกพวกคุณให้พาฉันไปเข้าโรงเรียนในเครือแวนการ์ดในเมืองไซโรใช่ไหม”
เจสันเดา
เจสันไม่ได้เสียใจกับเรื่องนี้มากนัก เพราะมันคงเป็นเรื่องแปลกที่เขาจะฆ่าสัตว์ป่าระดับห้าดาวได้อย่างง่ายดายโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือ แต่เจสันก็ยังคงผิดหวังกับเรื่องนี้ เพราะเขาพยายามอย่างหนัก
“แล้วทำไมพวกคุณถึงให้ภารกิจที่พวกคุณคิดว่าฉันทำไม่ได้ มาละ?”
อย่างไรก็ตามโอกาสที่จะได้เข้าโรงเรียนในเมืองเกรด A นั้น ให้ประโยชน์มากเกินไปเนื่องจากเจสันอาจเข้าใจความสงสัยของพวกเขาเล็กน้อย แต่เจสันก็ยังมีความหวังเหลืออยู่เกี่ยวกับเรื่องนี้และเขาอยากจะลองแสดงให้พวกเขาได้เห็นถึงความกล้าหาญในการต่อสู้
กาเบรียลลารู้สึกประหลาดใจกับความสงบของเจสัน ซึ่งทำให้เขาได้รับคะแนนพิเศษ แต่เธอก็ยังไม่แน่ใจว่าเธอควรจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร เจสันฆ่าพวกมันจริงๆหรือเปล่า เพราะว่าเขาจะไม่มีเทคนิคศิลปะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมหรือมีระดับแกนมานาที่โดดเด่นก็ตาม และจิตวิญญาณของเขาก็อ่อนแอมากเช่นกัน
“นั่นเป็นความจริงฉันไม่เชื่อว่าอันดับ 4 ของมือใหม่จะสามารถฆ่าสัตว์ป่าระดับห้าดาวได้ด้วยการดจมตีเพียงครั้งเดียวเช่นนี้ แม้ว่าคุณจะลอบสังหารพวกมันก็ตาม ไม่ควรเป็นไปได้หากไม่ได้รับการฝึกอบรมวิชาชีพและโปรดอย่าพยายามบอกฉัน ว่าคุณได้รับความช่วยเหลือจากสัตว์พันธะสองดาวที่ช่วยให้คุณสามารถล่าพวกมันได้นั้น จะทำให้คุณไม่น่าเชื่อถือแม้แต่น้อยในสายตาของฉัน”
เจสันนิ่งสงบ และคิดว่าคุณนายเฟลเลอร์มีอคติเล็กน้อย … ถ้ามีคนฝึกอาชีพมาทำอะไรแบบนั้น ทำไมเขาจะทำไม่ได้ล่ะ? และทำไมการรับได้ความช่วยเเหลือจากสัตว์พันธะถึงผิดปกติ??
กาเบรียลลาขมวดคิ้วพลางคิดว่าการยั่วยุของเธอทำให้เขาโกรธ ซึ่งเป็นแผนของเธอ ไม่ใช่ว่าเธอเกลียดเจสัน แต่เธอต้องหารู้ว่าเขาเป็นใครก่อนที่เธอจะให้ความช่วยเหลือกับเจสัน
เธอยังจำช่วงเวลาที่เพื่อนร่วมชั้นของเกร็กมาเป็นเพื่อนกับเขาได้ เพียงเพราะคำสั่งของพ่อแม่ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมากต่อสุขภาพจิตของเกร็ก
ในฐานะแม่เธอไม่ต้องการให้ลูกชายรู้สึกอะไรแบบนั้นอีกแล้ว ดังนั้นเธอจึงต้องเข้มงวดและทำตัวชั่วร้าย
เมื่อรู้สึกถึงความเศร้าที่คาดเดาได้ในดวงตาของเธอ เจสันจำได้ถึงความห่วงใยของมาเลียและสายตาที่จ้องมองไปที่เกร็ก
เกร็กเอียงศีรษะเล็กน้อยราวกับว่าเขาไม่เข้าใจในบางสิ่งบางอย่าง เจสันมองไปที่เกร็กซึ่งในดวงตาเขาเกร็กเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
เมื่อเจสันกลับไปจ้องมองที่คุณนายเฟลเลอร์ เขากล่าวด้วยความมั่นใจทั้งหมดที่เขาสามารถนำออกมาได้
“ ฉันคิดว่า ฉันไม่ควรอธิบายอะไร ถ้าพวกคุณไม่เชื่อฉันทำไมถึงให้ภารกิจแบบนี้กันละ ถ้าเป็นเพราะต้องการใช้หนี้บุญคุณเรื่องสัตว์พันะะของเกร็กก็ไม่ต้องหรอกเพราะฉันไม่ได้คิดว่าเป็นบุญคุณอะไร และถ้าพวกคุณไม่ต้องการให้ฉันตามพวกคุณไปที่เมืองไซโรก็แค่พูดออกมาอย่าพยายามเบี่ยงประเด็นเลยฉันฆ่าสัตว์ป่าระดับห้าดาวเหล่านี้ด้วยความช่วยเหลือของสัตว์พันธะของฉันและฉันก็ไม่สนใจความคิดเห็นของคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ “
เจสันมองเข้าไปในดวงตาของคุณนายเฟลเลอร์ และเจสันเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วก่อนที่ใครจะพูดอะไร
“ ฉันมาที่นี่ เพื่อทำธุระบางอย่าง บางทีคุณและคุณนายเฟลเลอร์อาจเห็นกรงสัตว์ร้ายที่เกร็กนำเข้ามาแล้ว วันนี้ฉันออกล่าสัตว์ในเขตป่าที่ราบระดับหนึ่งดาวและฉันพบหมาป่าระดับสองดาวตัวนี้ ฉันคิดว่าขุนนางหลายคนที่เป็นเศรษฐีใหม่หรือพ่อค้าที่มีพลังวิญญาณอ่อนแออาจจะสนใจสิ่งนี้ “
เจสันฝืนยิ้มทั้งๆที่ยังโกรธอยู่ แต่อย่างน้อยก็เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจเขาต้องแสดงสีหน้าสงบ
“ ทำไมเราต้องสนใจสัตว์ป่า?”
คุณเฟลเลอร์พูดอะไรเป็นครั้งแรกและถึงเวลาแล้วที่เจสันต้องพูดอะไรโง่ ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ความลับของเขาถูกเปิดเผย
“ความรู้สึกในใจของฉันบอกว่าศักยภาพของสัตว์ร้ายตัวนี้ค่อนข้างดี”
เจสันพยายามแสดงสีหน้าไร้เดียงสา แต่มันก็ได้ผลเพียงเล็กน้อยเนื่องากทุกคนมองหน้าสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเจสัน
“ เจสัน นายสบายดีไหม สีหน้านายดูไม่ค่อยดีเลย”
เกร็กถามอย่างเป็นห่วง
เจสันเริ่มมีเหงื่อออกเล็กน้อย แต่เขายังคงสงบและรอให้พ่อแม่พูดของเกร็กอะไรบางอย่าง
คุณนายเฟลเลอร์ไม่ได้สังเกตและได้แสดงท่าทางให้มาเลียมองไปที่กรงและเธอก็เดินไปตรงหน้ามันพร้อมกับสร้อยข้อมือควอนตัมของเธอที่ฉายภาพหมาป่าที่มีขนาดเหมือนจริงซึ่งอยู่ถัดจากตัวที่กำลังนอนหลับพร้อมด้วยลักษณะทั้งหมดที่เขียนไว้โดยละเอียด
มาเลียอุทานอย่างตื่นเต้น
“ หมาป่าที่มีเกล็ดตัวนี้มีขนาดใหญ่กว่าตัวปกติและเกล็ดของมันส่องแสงแวววาวพวกมันแข็งแกร่งกว่าหมาป่าที่มีขนาดปกติอย่างแน่นอน”
ก่อนที่เธอจะพูดต่ออย่างหดหู่เล็กน้อย
“แต่นอกเหนือจากนั้นฉันไม่เห็นอะไรพิเศษ … ฉันไม่คิดว่าหมาป่าตัวนี้นี้จะสามารถไปถึงอันดับที่ถูกปลุกขึ้นมาได้”
คุณเฟลเลอร์อ้าปากค้าง
“ถ้าไม่ถึงอันดับที่ถูกปลุกขึ้นมาอย่างน้อยก็แทบจะไม่มีประโยชน์เลยที่จะจับหมาป่าที่มีเกล็ดตัวนี้ ถึงแม้ว่ามันจะค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าในฐานะพี่น้องของมันก็ตาม คุณสามารถพิสูจน์ความรู้สึกของคุณได้หรือไม่ ไม่มีทางที่เราจะบอกลูกค้าของเราได้ว่ามีเพียงความรู้สึกของเราเหตุผลนั้นไม่เพียงพอ ว่าสัตว์บางชนิดมีศักยภาพดี “
เจสันรู้สึกรำคาญอยู่บ้าง … ทำไมเขาต้องอธิบายทุกอย่าง?
เขากำลังจะโกรธมากเมื่อสังเกตเห็นดวงตาของคุณนายเฟลเลอร์และเจสันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
‘ทำไมเธอถึงมองฉันแบบนั้น ในเมื่อเธอเป็นคนยั่วฉัน? เธอต้องไม่ชอบฉันแน่ๆ … ‘
“ทำไมคุณไม่ลองทดสอบศักยภาพของมันกับอุปกรณ์พื้นฐานที่คุณมีอยู่ละ เกร็กบอกฉันว่ามันสามารถตรวจสอบศักยภาพของสัตว์ร้ายต่างๆ ได้อย่างง่ายๆ “
เมื่อได้ยินดังนั้น คุณและคุณนายเฟลเลอร์ก้มองไปที่เกร็ก ขณะที่เกร็กทำหน้าไร้เดียงสาใส่พวกเขา
‘ลูกชายของเราเป็นคนบอกเขาหรอ ????’
มันยากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับพวกเขาที่จะแสดงต่อไปและทั้งคู่ก็ถอนหายใจก่อนจะพยักหน้า
ทันใดนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนท่าทีไปและแม่ของเกร็กก็ยิ้มให้เจสันด้วยความรู้สึกขอโทษที่ไม่ต้องพูดออกมา
“ ได้ เราทำได้แน่นอน…และขอโทษที่ทำให้คุณเสียใจ หวังว่าคุณจะให้อภัยนะ”
เจสันมองไปที่หมาป่าสองดาวขนาดใหญ่และยิ้มอย่างสดใส
ฝูงหมาป่ามีขนาดอย่างน้อย 15 ตัว แต่เจสันมองไปที่หมาป่าตัวหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับพี่น้องของมัน
เกล็ดของมันดูแข็งแกร่งและส่องแสงสว่างขึ้น แต่ความจริงที่สำคัญที่สุดคือสีที่หมาป่าได้เปล่งออกมา
ในขณะที่พี่น้องของมันไม่ได้เปล่งแสงสีแม้แต่น้อย แต่หมาป่าตัวนี้ได้เปล่งแสงสีเทาอ่อนและเจสันรู้จากประสบการณ์ของเขาเองในเจดีย์สัตว์ร้ายว่าสีเทาอ่อนนี้หมายถึงศักยภาพของมันอยู่ในระดับที่พัฒนา
เจสันไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะพบสมบัติเช่นนี้ในเขตป่าระดับหนึ่งดาว
เจสันยิ้มกว้างถึงหู และหยิบลูกศรออกมาและตอนนี้ก็ถึงเวลาล่าหมาป่ากลุ่มใหญ่แล้ว!
เขารู้ว่าธนูจะสามารถยิงลูกศรที่แทงทะลุเกล็ดได้เล็กน้อย แต่นั้นก็เพียงพอแล้วเพราะลูกศรนั้นถูกเคลือบด้วยยาที่ทำให้เป็นอัมพาต
เจสันไม่ใช่นักยิงธนูที่เก่งนักเนื่องจากวันนี้เป็นครั้งแรกสำหรับการล่าโดยใช้ธนู แต่หลังจากที่เขาสังเกตเห็นว่าตาของเขามีความแม่นยำมาก และการยิงธนูด้วยระยะ 20 เมตร เขาก็เริ่มมีความมั่นใจ
ฝูงหมาป่าไม่ได้สังเกตเห็นเจสันจนถึงตอนนี้
โชคดีที่มีพุ่มไม้บางส่วนที่ช่วยป้องกันไม่ให้เขาถูกพบก่อนที่เขาจะลงมือและเจสันก็ค่อยๆเดินเข้าไปหาฝูงหมาป่าที่กำลังกินซากศพของสัตว์ร้ายหรืออะไรทำนองนั้น
การซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ที่ใกล้กับฝูงหมาป่าเจสันต้องตัดสินใจว่าจะโจมตีหมาป่าตัวไหนก่อนและเขาตัดสินใจหลังจากนั้นครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะดึงสายธนูพร้อมกับเล็งลูกศรเคลือบยาเอาไว้
* ฟิ้ววววว *
ได้ยินเสียงหวีดหวิวและหมาป่าตัวใหญ่ที่มีมานาสีเทาอ่อนที่แผ่ออกมารู้สึกแสบที่ไหล่ของมัน ก่อนที่มันจะรู้สึกว่าร่างกายของมันชาแทบจะในทันที
โชคดีที่หมาป่าเหล่านี้เป็นเพียงสัตว์ป่าระดับสองดาวและยาที่เป็นอัมพาตนั้นมีฤทธิ์มากพอที่จะทำให้หมาป่าที่แข็งแกร่งนี้มึนงงได้ในช่วงเวลาหนึ่ง
เจสันไม่หยุดหลังจากยิงลูกศรลูกแรกไปแล้ว เขาก็ยิงลูกศรอีกสามลูกก่อนที่หมาป่าตัวอื่นจะตรวจพบ
หมาป่าที่มีขนาด 11 ตัวยังคงสามารถต่อสู้ได้และพวกมันบุกไปที่เจสันด้วยดวงตาที่กระหายเลือด
พวกมันบุกไปหาเจสันด้วยสัญชาตญาณ แต่นขณะที่กำลังถูกโจมตีเจสันได้เปลี่ยนจากคันธนูมาเป็นกริซ
เขาหยิบกริชออกมา มันมีของเหลวสีเหลืองเคลือบอยู่ที่ใบมีด
เจสันซื้อฝักดาบสำหรับใส่ยาเหลวๆ ชนิดนี้ เนื่องจากไม่มีเวลาให้เขาเคลือบกริชระหว่างการต่อสู้และเขาไม่ต้องการเสียยามากเกินไป
ด้วยกริชในมือของเขาและอาร์เทมิสที่อยู่สูงเสียดฟ้า เจสันรู้สึกถึงความมั่นใจ
การใช้มานาเพียงเล็กน้อยเพื่อปรับปรุงร่างกายส่วนล่าง ทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง
ในขณะที่เจสันหมุนตัวไปรอบ ๆ กลุ่มหมาป่า เจสันก็สร้างบาดแผลเล็กน้อยให้พวกมัน ซึ่งเพียงพอสำหรับยาอัมพาตที่มีศักยภาพในการกระตุ้นและทำให้พวกมันเป็นอัมพาต อาร์ทิมิสจัดการหมาป่าที่เป็นอัมพาตก่อนที่ให้สนใจไปที่หมาป่าที่ยังมีชีวิตอยู่
เจสันช้ากว่าหมาป่าเพียงเล็กน้อย แต่เขามีความยืดหยุ่นมากกว่าและใช้ประโยชน์จากร่างกายได้ง่ายกว่ามาก
การเป็นสองเท้าก็มีประโยชน์เช่นกันและการต่อสู้ทั้งหมดก็จบลงอย่างรวดเร็วในขณะที่อาร์เทมิสจัดการหมาป่าแต่ละตัวได้สำเร็จโดยที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่
อาร์เทมิสได้สังเกตุเห็นว่ายังมีหมาป่าบางตัวที่ยังสามารถขยัยตัวได้ และมันได้ส่งสัญญาณเตือนให้แก่เจสัน
หมาป่าเหล่านี้ไม่ยอมปล่อยเจสันไปหมาป่าที่ยังสามารถขยับตัวได้ ได้พุ่งโจมตีใส่เจสัน เจสันได้โจมตีต่อเพื่อเพิ่มปริมาณยาชาทำให้พวกมันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
เมื่อเจสันมองไปที่พวกหมาป่า พวกมันก้ส่งสายตาที่ดุร้ายกลับมาให้เขา เจสันได้ถอนหายใจก่อนที่จะหยิบเข็มฉีดยาสีเขียวขึ้น
ภายในเข็มฉีดยาเป็นยานอนหลับและเขาฉีดมันเข้าไปในหมาป่าที่ไม่สามารถขยับตัวได้
เจสันยังคงมีมานาสำรองเหลืออยู่ประมาณครึ่งหนึ่งและเขาก็ไม่กลัวที่จะถูกโจมตี เนื่องจากเขาอยู่ใกล้กับโดมและแม้ว่าสัตว์ร้ายบางตัวจะโจมตีเขา แต่ยาอัมพาตที่มีศักยภาพก็มีประโยชน์เล็กน้อยต่อสัตว์ป่าระดับสี่ดาว
พวกมันอาจจะยังคงสามารถเคลื่อนไหวได้ แต่ความรู้สึกของยาชาจะขัดขวางการเคลื่อนไหวของพวกมันเล็กน้อย
เจสันรอให้ยานอนหลับออกฤทธิ์หลัง จากยาออกฤทธิ์พวกหมาป่าก็ได้หลับไป
ยานอนหลับนี้ออกฤิทธิ์ได้แค่ไม่กี่ชั่วโมง แม้กระทั่งกับสัตว์ป่าระดับห้าดาวดังนั้นเจสันจึงไม่กลัวว่าจะถูกหมาป่าตื่นขึ้นมาโจมตี
เจสันยกร่างของพวกหมาป่าขึ้นมา และใช้มานาเพื่อเสริมกำลังขา และได้ก้าวอย่างมั่นคงขึ้นและ 30 นาทีต่อมาเขาก็มาถึงโดม
ก่อนที่จะผ่านโดมเขาต้องใช้กรงขนาดเล็กที่ขยายได้ เพื่อใส่พวกหมาป่าเข้าไปมันถึงจะสามารถผ่านเข้าโดมไปได้
คนอื่นๆ ที่ได้เห็นกรงสำหรับใส่สัตว์ป่านี้ ก็รู้สึกไม่พอใจและเป็นกังวล แต่เจสันไม่สนใจในความคิดของคนอื่น แต่เขาก็ยังไม่สามารถรับมือกับสายตาของคนจำนวนมากที่จ้องมองเขาได้
ระหว่างรอรถรับส่งพิเศษเขาได้ยินหลายคนพูดถึงเขา
“ หมาป่าที่ปรับขนาดตัวได้อยู่ในกรงไม่ใช่เหรอ นั้นมันเสียเวลาและเครดิต…”
“การค้นหาสัตว์ป่าที่มีศักยภาพก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร … “
“เขาคิดว่าสัตว์ร้ายที่มีศักยภาพสูง จะพบเห็นได้ทั่วไปเหมือนลูกกวาดในร้านขนม ???”
“ เด็กผู้น่าสงสาร … บางทีเขาอาจจะหมดหวังกับเงินและคิดว่าสัตว์ป่าที่มีชีวิตอยู่นั้นมีค่ามาก…”
“ไม่ควรมีใครมารู้เรื่องความเข้าใจผิดของเขา … มันเศร้าเกินไป .. “
ผู้คนพูดถึงเขาและส่วนใหญ่เป็นเด็กในขณะที่บอดี้การ์ดวัยกลางคนเพียงไม่กี่คนกำลังมองเขาด้วยความคิดที่ขัดแย้งกัน
เจสันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเพิกเฉยต่อผู้คนที่มองมาและเขาก็ดีใจเมื่อรถรับส่งขนาดใหญ่ก็มาถึง
แขนโลหะยกกรงขึ้นสู่พื้นที่บรรทุกของมัน
ในขณะที่รถรับส่งกำลังพาเข้าไปยังเมือง เจสันดูว่าเขาได้รับข้อความจากเกร็กหรือมาเลียหรือไม่
ทั้งสองส่งข้อความถึงเขาในขณะที่ข้อความของพวกเขาต่างกัน แต่ประเด็นหลักก็เหมือนกัน
ในขณะที่ข้อความของมาเลียเป็นข่าวร้าย แต่ของเกร็กคือการขอให้เขามาที่คฤหาสน์โดยเร็วที่สุดข้อความที่สุภาพ
เจสันฝืนยิ้มและคิดว่า:
” พวกเขาปฏิเสธฉันเหรอ? “
เมื่อมองย้อนกลับไปที่สิ่งที่เขาจับได้ เขาเหนื่อยที่สุดที่จะคิดบวก
“อย่างน้อยฉันก็ทำธุรกิจกับพวกเขาได้! ”
เมื่อพัสดุได้มาส่ง
.
.
.
เมื่อมองเข้าไปในพัสดุ เจสันเริ่มยิ้ม
มีเชือกยาวสองสามเส้น ยาสีเหลือง เข็มฉีดยาที่มีของเหลวสีเขียวอยู่ข้างใน
กรงขนาดเล็กที่มีปุ่มสีแดงอยู่ข้างบน ลูกศรสองสามโหล คันธนู
เจสันพยายามลองดึงสายธนู
แต่ทำยากมาก เจสันสามารถดึงสายธนูได้เพียงแค่ 2-3 ครั้ง
คันธนูนี้ไม่ได้ทำโดยช่างฝีมือ แต่น่าจะผลิตโดยเด็กฝึกงาน แต่มันก็ยังใช้ได้ดี
ตอนที่ซื้อธนูนี้มันได้มีคำอธิบายว่า มันเป็นธนูที่ไม่ได้รับการรับรอง และไม่ได้รับการจัดอันดับที่สามารถเจาะทะลุเกราะป้องกันของสัตว์ร้ายระดับสามดาวได้ แต่ราคาของมันราคาเพียง 8,000 เครดิต เจสันจึงตัดสินใจซื้อมาใช้ก่อน
นี่เกินพอสำหรับแผนของเขา ที่วางเอาไว้
เมื่อมองไปที่วัสดุอื่น ๆ เช่น เชือก กรงขนาดเล็กที่สามารถขยายได้ และยาอัมพาตสีเหลือง ตามด้วยเข็มฉีดยาสีเขียวเจสันคิดว่าเขาฉลาดมาก
ในขณะที่ยามีราคาแพงอยู่แล้ว แต่ราคาแพงที่สุดคือกรงขนาดเล็กที่ขยายได้ ซึ่งมีราคาเท่ากับคันธนูที่เขาซื้อมา
ลูกศรธนูนั้นถูกสร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายและไม่มีอะไรพิเศษ
เมื่อมองไปที่สิ่งของอื่น ๆ อยู่สักพัก เขาก็เก็บและตัดสินใจไปที่ศูนย์ยิงธนูในเมืองด้วยรถรับส่ง
ใช้ 10 จาก 12 เครดิตที่เหลือของเขา เขาเข้าสู่ศูนย์ยิงธนู ซึ่งเขาสามารถฝึกทักษะการยิงธนูได้เป็นเวลา 2 ชั่วโมง
เป็นเวลาดึกมากและไม่มีใครมาฝึกฝนทักษะการยิงธนูตอนตี 2 ซึ่งเป็นสาเหตุของราคาที่ถูกลงในช่วงเวลานี้
การเอาคันธนูและลูกศรออกมาเจสันต้องรู้สึกถึงธนูก่อน
เป้าหมายอยู่ห่างออกไป 20 เมตรและไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับเขาที่จะยิงมันออกไป
หรืออย่างนั้น เจสันก็คิดว่า …
เขาควรยิงเข้าเป้ามากกว่าสี่นัดในครั้งแรกแม้ว่าจะไม่โดนกลางเป้า และหลังจากนั้นเขาก็จะค่อยๆ ถอยออกมาเพื่อสร้างระยะทางให้ห่างมากขึ้น
ทุก ๆ ห้าถึงสิบนัด เจสันต้องหยุดสักครู่เพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งเนื่องจากการยิงแต่ละครั้งนั้นต้องใช้แรงนิดหน่อย
2 ชั่วโมงผ่านไป เจสันได้รับแจ้งให้ออกจากสนามยิงธนู
ตอนนี้เป็นเวลา 04:30 น. และเขากำลังจะออกไปที่เขตป่าที่ราบเมื่อ แต่เจสันก็สังเกตเห็นว่าตอนนี้เขาไม่สามารถซื้อตั๋วรถรับส่งได้
เขาคิดถึงวิธีแก้ปัญหาเกี่ยวกับซากศพสัตว์ร้ายที่เขามีและเขาตัดสินใจไปที่ร้านค้าเพราะอยู่ห่างจากศูนย์ยิงธนูเพียงไม่กี่ก้าว
เดินไป 30 นาที เจสันก็เห็นตึกระฟ้าขนาดใหญ่ที่ดูหรูหราและมีปลาคาร์ฟสีทองเป็นสัญลักษณ์
เป็นร้าน ‘ปลาคราฟทองคำ’ ซึ่งส่วนใหญ่ซื้อซากสัตว์เพื่อขายบางส่วนให้กับคนขายเนื้อ ช่างฝีมือร้านอาหาร ช่างฝีมือและอื่น ๆ
การเข้าสู่อาคารผ่านประตูหน้าอัตโนมัติขนาดใหญ่ เจสันอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ที่ทำจากหินอ่อนและวัสดุที่สวยงามอื่น ๆ
ห้องโถงสูงอย่างน้อยสิบเมตรและมีขนาดไม่กี่ร้อยตารางเมตร ในขณะที่เสาขนาดใหญ่สี่ต้นตั้งอยู่รอบลิฟต์ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางห้องโถง
ระหว่างเสาแต่ละต้นมีส่วนต้อนรับและเครื่องจักรหน้าตาประหลาดขนาดใหญ่ที่มีหน้าจอโฮโลแกรมขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า
คุณสามารถเห็นตัวเลือกสองตัวเลือกบนหน้าจอโฮโลแกรม ตัวเลือกหนึ่งมีข้อความว่า “ขาย” และอีกตัวเลือกหนึ่งที่มีป้ายกำกับ “ซื้อ”
เจสันยืนอยู่หน้าเครื่อง และรู้เพียงคร่าวๆว่าต้องทำอย่างไร แต่เขาเองก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน
เมื่อคลิกที่ตัวเลือกการขาย ตัวเลือกอีกสองสามตัวก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับสัตว์ร้ายที่แตกต่างกันตั้งแต่สัตว์ป่าไปจนถึงสัตว์ร้ายที่วิวัฒนาการแล้ว
ทุก ๆ วันจะมีการขายซากสัตว์สองสามพันตัว ที่ร้านปลาคราฟทองคำและพวกเขาก็ได้ประดิษฐ์เครื่องจักรที่ดูแปลกประหลาด ที่ดำเนินการโดย AI ราคาของสัตว์ร้ายทั่วไปถูกรวมเข้ากับข้อมูลและสัตว์หายากที่กำลังวิวัฒทนาการ เครื่องนี้อาจมีราคาแพงกว่าราคาจดทะเบียนจาก บริษัท
เจสันคลิกที่สัตว์ป่าและมีข้อความปรากฏขึ้น สัตว์ร้ายแต่ละตัวมีชื่อเฉพาะสำหรับทางการ
การใส่ซากสัตว์ร้ายในกลุ่มเล็ก ๆ ห้าตัวลงในปากใหญ่ของเครื่อง ซากสัตว์ร้ายถูกสแกนโดย AI
หน้าจอโฮโลแกรมคำนวณเครดิตสำหรับสัตว์ร้ายแต่ละตัวและใช้เวลาประมาณ 10 นาที
เนื่องจากเป็นเวลาเพียง 5 โมงเช้า ทั่วทั้งห้องจึงว่างเปล่า โดยไม่มีคนทำงานเนื่องจากชั่วโมงทำงานตามปกติเริ่มตั้งแต่เวลา 7.00 น. และเจสันจึงมีเวลามากพอ จึงไม่รู้สึกกดดันจากฝูงชนที่อยู่ภายในห้องโถงใหญ่ตามปกติ
เจสันยังค่อนข้างอึดอัดกับผู้คนจำนวนมาก แต่เขาก็สามารถเข้ากับกลุ่มคนเล็ก ๆ และเข้าได้ดีขึ้นกับเกร็ก
เจสันสบายใจกับเกร็ก และเกร็กเองก็ยังเป็นคนที่บอกกับเจสัน ว่าสามารถเข้าไปในร้านค้าบางแห่งก่อนเวลาเปิดทำการปกติเพื่อขายซากของเขา
เมื่อมองไปที่รายชื่อสัตว์ร้ายเขาสังเกตเห็นว่ามีซากสัตว์มากกว่าที่เขาคิด
153x ★★ศพสัตว์ป่า→ 3 เครดิต / ซาก
67x ★★★ศพสัตว์ป่า→ 7 เครดิต / ซาก
24x ★★★★ศพสัตว์ป่า→ 14 เครดิต / ซาก
4x ★★★★★ศพสัตว์ป่า→ 21 เครดิต / ซาก
1x ★★★★★ (ลม) ซากศพกระทิงดำเขาดำที่กลายพันธุ์เป็นธาตุลม→ 100 เครดิต/ซาก
การวางแขนด้วยสร้อยข้อมือควอนตัม ภายในช่องเปิดบนหน้าจอโฮโลแกรมปรากฏข้อความอีกครั้ง
[ธุรกรรม 1448 เครดิตสามารถทำได้ทันที ดำเนินการธุรกรรม? `ใช่ / ไม่ใช่`]
เจสันประหลาดใจเกี่ยวกับราคาและคลิกใช่ เมื่อได้รับการแจ้งเตือนบนสร้อยข้อมือของเขาว่าการทำธุรกรรมเสร็จสิ้นแล้ว
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า เขาได้ล่าสัตว์ร้ายมากมายขนาดนี้ แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ การล่าสัตว์ในเขตป่าราบเป็นเวลากว่าสามสัปดาห์ราว ๆ 12 ชั่วโมงต่อวัน
เมื่อนึกถึงดังนั้น เจสันก็ได้เปิดช่องเก็บของและดูจำนวนแกนมานาที่เหลืออยู่
ไม่มีแกนสองและสามดาว แต่มีเพียงแกนระดับสี่ดาวไม่กี่ชิ้นที่เหลืออยู่ และแกนห้าดาวก็ถูกใช้จนหมด
เมื่อครุ่นคิดว่าเขาควรจะซื้อแกนสำหรับสัตว์หรือไม่ เจสันก็ตัดสินใจรอจนถึงตอนเย็นหลังจากดูว่าแผนของเขาใช้ได้ผลหรือไม่
เจสันเรียกรถรับส่ง และเขาก็ยืนอยู่หน้าเขตป่าที่ราบในไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงต่อมา
เมื่อจ้องไปที่ข้อความของเขา เขาหวังว่า เกร็กหรือมาเลียจะส่งข้อความถึงเขา เกี่ยวกับการกลับบ้านของพ่อแม่ แต่ก็ไม่มีอะไรเลย
เขาหวังว่าพ่อแม่ของทั้งคู่ จะกลับมาโดยเร็ว เพราะเจสันต้องพึ่งพาพวกเขาบางส่วนเพื่อดำเนินการตามแผนของตัวเอง
เข้าสู่เขตป่าที่ราบด้วยแสงแดดแรกของวัน
ด้วยธนูในมือข้างเดียวและกริชที่คาดอยู่ที่เข็มขัดของเขา เจสันเดินไปรอบ ๆ เขตป่า
ลูกศรของเจสันได้ทำการเคลือบยาพิษที่ทำให้เป็นอัมพาต
ยาที่ทำให้เป็นอัมพาตตัวนี้ไม่ได้แรงมากนัก แต่ใช้ได้ผลกับสัตว์ป่าที่อ่อนแอ
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงและเจสันได้สนใจสัตว์ป่าตัวอื่นเลย เขากำลังมองหาบางสิ่งบางอย่าง
และแล้วรอยยิ้มกว้างก็ได้ปรากฏบนใบหน้าของเขา
`ได้เจอสักทีนะ’
เกร็กบอกข้อมูลมากมายเกี่ยวกับโรงเรียนแวนการ์ด และโรงเรียนในเครือให้เจสันฟัง
โรงเรียนแวนการ์ดเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ที่ยอมรับนักเรียนที่ดีที่สุดทั่วแอสทริกซ์
ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในสามโรงเรียนที่ดีที่สุดบนเกาะและทุกคนต้องการที่จะเข้าเรียน แต่มีเพียงคนที่ดีที่สุดเท่านั้นที่จะได้รับโอกาสนี้
หนึ่งจะต้องมีระดับแกนมานาที่สูง ความรู้ทางทฤษฎีที่ยอดเยี่ยมและคะแนนที่สูงในการปลุกจิตวิญญาณ
มาเลียยังเป็นนักเรียนในโรงเรียนแวนการ์ด
เธออยู่ที่บ้านเนื่องจากการพักผ่อนในช่วงฤดูร้อนและการปลุกจิตวิญญาณของเกร็ก
ในขณะที่อันดับแกนมานาของเกร็กและการสอบความรู้ทางทฤษฎีไม่เป็นไปตามข้อกำหนด แต่การปลุกจิตวิญญาณระดับสี่ดาวของเขาทำให้เขาได้รับคะแนนพิเศษบางประการ ถึงแม้เขาขาดความรู้ทางทฤษฎีและอันดับแกนมานาที่ต่ำจึงถูกมองข้ามไป
การปลุกจิตวิญญาณระดับสี่ดาวนั้นหายากมากและในแต่ละปีจะมีการปลุกจิตวิญญาณสี่ดาวบนแอสทริกซ์ประมาณ 10 ครั้งเท่านั้นซึ่งถือว่าเป็นปีที่โชคดีมากสหรับเขา
โรงเรียนแนวหน้านั้นรับนักเรียนมากกว่า 10,000 คนในแต่ละปีและเป็นเรื่องปกติที่เกร็กจะได้รับการยอมรับ
อย่างไรก็ตามมันทำให้เจสันประหลาดใจที่อันดับของแกมานาของเกร็ก มันไม่เป็นไปตามข้อกำหนดซึ่งหมายความว่าเขาสามารถเข้าโรงเรียนได้เพราะการปลุกจิตวิญญาณที่สูงส่ง
ในการเข้าเรียนในโรงเรียนในเครือแห่งหนึ่ง จะต้องไปถึงอันดับ 3 ของผู้ชำนาญ ต้องมีผลการปลุกจิตวิญญาณอย่างน้อย 2 ดาวขึ้นไปหรือมีคุณสมบัติพิเศษอย่างน้อยหนึ่งอย่างในจิตวิญญาณไม่ว่าจะเป็นพลังงานวิญญาณหรือวิญญาณที่เป็นเอกลักษณ์
เจสันนั้นไม่ได้เข้าใกล้ข้อกำหนดต่างๆ เลยแม้แต่น้อย แต่เขานั้นมีความพิเศษในจิตวิญญาณที่แตกต่างกับคนอื่นอย่างมาก
ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ต้องการเปิดเผยสิ่งนั้น ซึ่งหมายความว่าเจสันไม่ได้มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดแม้แต่ข้อเดียว
ผลการสอบของเขานั้นแย่มาก เนื่องจากความสามารถในการต่อสู้ที่ไม่มีในเวลานั้น ในขณะที่อันดับแกนมานาของเขาก็แย่กว่าคนอื่นๆ อย่างมาก
เจสันรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยและแม้ว่าเขาจะได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนในโรงเรียนในเครือแห่งหนึ่ง เนื่องจากครอบครัวของเกร็กได้รับสิทธิอันสูงส่ง แต่เขาจะเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดโดยมีช่องว่างระหว่างเขากับนักเรียนที่แย่ที่สุดนโรงเรียนนั้นด้วยซ้ำ
เจสันรู้สึกขอบคุณที่ครอบครัวเฟลเลอร์อนุญาตให้เขาเรียนที่นั่น แต่ในตอนนี้เขารู้สึกอ่อนแอและน่าสมเพชเกินไป
เจสันออกจากรถรับและยังคงครุ่นคิดกับทุกสิ่ง
เขาไม่ได้กลัวการถูกรังแกด้วยซ้ำ แต่มีโอกาสมากกว่าที่เขาจะถูกไล่ออกจากโรงเรียนหลังจากปีแรก เพราะเขากังวลเกี่ยวกับเกรดของเขาในปีแรกเมื่อเขาคิดคำนวณ
ถ้าใครไม่สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จหรือได้รับคะแนนบุญเพียงพอภายในสิ้นปีหนึ่ง จะถูกไล่ออกจากโรงเรียนซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของเจสัน
งานเหล่านี้มีตั้งแต่การฆ่าสัตว์ที่ตื่นขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในงานที่ง่ายกว่าในการรวบรวมสมุนไพรในเขตป่าระดับสามหรือสี่ดาวที่มีวิวัฒนาการและสัตว์ร้ายระดับสูงที่อันตรายอย่างมาก
เจสันไม่สามารถแม้แต่จะคิดเกี่ยวกับการฆ่าสัตว์ที่ถูกปลุกขึ้นถึงแม้ตัวที่อ่อนแอที่สุดแต่พวกมันก็แข็งแกร่งกว่าสัตว์ป่าห้าดาวที่แข็งแกร่งที่สุดถึงสองสามเท่า
การลอบสังหารสัตว์ที่ถูกปลุกขึ้นมา ก็เป็นเรื่องยากเช่นกันเนื่องจากสัญชาตญาณและความเร็วในการตอบสนองของมันแข็งแกร่งกว่ามากเมื่อเทียบกับสัตว์ป่าระดับห้าดาวที่เขาสังหารไป
“ฉันต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง”
เจสันบอกตัวเองกับตัวเองอย่างมั่นใจ
ภายในอพาร์ทเมนต์ของเขาเจสัน เขาได้ฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ก่อนที่เขาจะนอน
เขาต้องปิดช่องว่างระหว่างเขากับนักเรียนคนอื่น ๆ ให้เร็วที่สุดและเจสันมีสองวิธีในการทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ
คือการจะต้องเพิ่มระดับแกนมานาของเขาด้วยการใช้หินมานาซึ่งจะช่วยเร่งความเร็วในการก้าวหน้าของเขาอีกสองสามครั้งและทำให้แกนกลางเสถียรในภายหลังด้วยวิธีการทางการแพทย์บางอย่าง
อีกเส้นทางหนึ่งอาจเป็นการเพิ่มอันดับอาร์เทมิสเพื่อปรับปรุงความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขา เนื่องจากเจสันจะได้รับ 30% จากกความแข็งแกร่งของอาร์เทมิส
เจสันมีวิธีอื่นในการปรับปรุงความแข็งแกร่งของเขา แต่โอกาสที่จะประสบความสำเร็จนั้นน้อยเกินไป
เจสันสามารถสร้างสัญญากับสัตว์ป่าระดับหนึ่งดาวได้อีกสองสามตัวและบังคับให้มันวิวัฒนาการ แต่สิ่งนี้อาจส่งผลเสียต่อแกนโลกวิญญาณของเขา หากสัตว์ป่าปฏิเสธเขาหรือหลุดจากสัญญาเมื่อพลังวิญญาณของสัตว์ร้ายสูงกว่าเจ้าของ
มันจะดีกว่าสำหรับเขาที่จะเพิ่มพลังวิญญาณของเขาอย่างช้าๆในขณะที่ต้องพึ่งพาอาร์เทมิสไปซักพัก
เมื่อเจสันมีพื้นที่เหลือสำหรับสัตว์พันธะตัวอื่นๆ เขาจะค้นหาสัตว์ที่มีศักยภาพสูงๆ
แต่ปัญหาที่สองของเจสันก็คือ การไม่มีเครดิต!
ถ้ามีเครดิตที่เพียงพอ เจสันสามารถซื้อสิ่งที่จำเป็นทั้งหมดรวมถึงแกนสัตว์ร้ายสำหรับอาร์เทมิส แต่น่าเสียดายที่เขามีเครดิตเหลือเพียง 20,000
เขามีความสุขมากกับสถานการณ์ปัจจุบันของเขา เพราะเกร็กบอกเจสันว่าเจสันนั้นไม่ต้องจ่ายเครดิตแม้แต่ครั้งเดียวสำหรับเป็นค่าที่พักหรือค่าเล่าเรียนเพราะเจสันจะต้องมาอยู่กับเกร็กเมื่อไปเรียนที่นั้น
และบ้านของเกร็กก็อยู่ใกล้กับโรงเรียนทั้งสองแห่งที่ทั้งคู่จะเข้าเรียน ด้วยเหตุนี้เจสันจึงไม่ต้องจ่ายอะไรเพื่อให้ได้รับการศึกษา
โดยปกติขุนนางจะสามารถใช้สิทธิขุนนางเพื่อบุตรของตนเท่านั้น แต่สิ่งนี้เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากขุนนางหลายคนบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้
เราสามารถใช้กฎของขุนนางได้หนึ่งครั้งสำหรับเด็กทุกคนที่พวกเขารับเลี้ยงหรืออุปการะ
ครอบครัวเฟลเลอร์ไม่ได้ใช้สิทธิอันสูงส่งใด ๆ ในการศึกษา เนื่องจากลูก ๆ ของพวกเขามีพรสวรรค์สูง
เจสันไม่แน่ใจว่าทำไมกฎชั้นสูงถึงเป็นเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ เพราะเขาได้รับผลประโยชน์จากมัน
ไม่ควรบ่นในขณะที่รับผลประโยชน์!
มีวิธีที่เจสันจะได้รับเครดิตมากมาย แต่นั่นหมายความว่าเขาต้องเปิดเผยความลับที่เขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้
อย่างน้อยก็น่าจะมีคนรู้เรื่องนี้สักคนสองคน
เจสันตัดสินใจซื้อของบางอย่างผ่านสร้อยข้อมือควอนตัมเพื่อล้างเครดิตของเขา
ตอนนี้เหลือเงินเพี่ง 12 เครดิตในบัญชีของเขา เจสันได้ยิ้มอย่างฝืนๆ
พัสดุจะมาถึงในเช้าวันรุ่งขึ้น
เจสันซักและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่จะให้อาหารแก่อาร์เทมิส
เจสันนอนอยู่บนเตียงและคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่าง ก่อนที่ความมือมิดจะค่อยๆ กลืนกินเขา
—
อาร์เทมิสปลุกเจสันทันที ที่เธอย่อยแกนสัตว์ร้ายเสร็จ วึ้งมันเร็วกว่าที่คิด
เจสันผิดหวังกับการสูญเสียเวลานอนอันมีค่าของเขา เจสันคิดว่าเขาต้องให้แกนกับเธอมากขึ้นอย่างน้อยเขาก็จะได้นอนวันละสองสามชั่วโมง
ตอนนี้มันเป็นเวลาตี 2 เท่านั้น แต่อาร์เทมิสก็ตื่นและเจสันไม่อยากนอนอีกต่อไปเขาจึงฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ต่อ
เขาสังเกตว่ายิ่งเขาใช้เทคนิคนี้บ่อยเท่าไหร่เขาก็ยิ่งใช้เทคนิคนี้ได้เร็วขึ้นเท่านั้น
ทุกอย่างราบรื่นขึ้นและความเจ็บปวดที่เขาต้องอดทนก็ลดลง
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากที่สุดก็คือความเร็วของพลังวิญญาณของเขา ที่ได้รับการเติมเต็มเมื่อมันเปลี่ยนไปเป็นระดับจิ๋วซึ่งแทบจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้
อย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่เจสันรู้สึก แต่เขาไม่แน่ใจจริงๆเกี่ยวกับเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามเขาสังเกตเห็นว่าช่วงเวลาที่พลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นหรือช่วงที่แกนโลกวิญญาณของเขาสร้างพลังงานวิญญาณมากขึ้น โลกวิญญาณของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน
มันเป็นเพียงเล็กน้อยและอาจจะน้อยกว่า 0.0001% แต่เขาก็ยังรู้สึกได้และการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นในจำนวนพลังวิญญาณร่วมกันกับที่อาร์ทิมิสมอบให้เขา
สิ่งนี้ทำให้เขามีความสุข แต่เขาก็เคลียร์ใจและเปิดหน้าจอโฮโลแกรมของสร้อยข้อมือควอนตัมของเขา
ขอให้พัสดุของเขามาถึงโดยเร็ว
เมื่อนำซากหมาป่าระดับ 5 ดาว กว่าสามตัว ซากนกแร้งและซากกระทิงดำมาวางไว้ มาเลียเริ่มตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน
แม่ของเธอบอกกับมาเลียว่า ต้องเข้มงวดและระมัดระวังเพราะไม่แน่ใจว่าเจสันจะไม่โกง
การซื้อซากสัตว์ป่าระดับห้าดาวไม่ใช่เรื่องยากและสิ่งแรกที่มาเลียสังเกตเห็นเมื่อเริ่มการตรวจสอบก็คือซากสัตว์สี่ในห้าตัวถูกฆ่าตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
มีเพียงนกแร้งเท่านั้นที่มีบาดแผลอีกเล็กน้อยและมีบาดแผลขนาดใหญ่ที่ปีกของมัน
หลังจากที่เห็นแบบนั้น เธอก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะตัดสินใจสแกนอันดับแกนมานาของเจสันซึ่งทำให้เธองุนงงไปชั่ววินาทีขณะ
เมื่อมองไปที่เจสัน มาเลียถามด้วยใบหน้าที่จริงจัง แต่ลังเลเล็กน้อย
“ นายอยู่ในอันดับที่ 4 ของมือใหม่ใช่ไหม และนายต้องการให้ฉันเชื่อว่านายเอาชนะสัตว์ป่าระดับห้าดาวได้งั้นหรอ ?? จากบาดแผลสัตว์ป่าส่วนใหญ่ถูกสังหารด้วยกริชเพียงครั้งเดียว … ฉันเชื่อว่านายหรอก นายคงมีหลักฐานว่านายฆ่าพวกมันใช่มั้ย?”
ดวงตาของเกร็กเบิกกว้าง เขายืนขึ้นภายในชั่วครู่ และมองไปที่เจสันอย่างระมัดระวัง
“ว้าว นายขึ้นมาที่มือใหม่ระดับ 4 แล้ว ไวมากๆ ”
เกร็กพูดพร้อมกับยิ้มให้เขาด้วยความตื่นเต้น
มาเลียมองไปที่เกร็กราวกับว่าเขาเป็นคนที่โง่ที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็น …
“ นายยังอยู่มือใหม่ระดับ 2 อยู่เลยในตอนที่นายปลุกวิญญาณฮ่าๆ ขึ้นมาไวมากๆ ในเวลาสั้นๆ ”
เกร็กพูดพร้อมกับยิ้มกว้างๆ ให้กับเจสัน
มาเลียเริ่มสับสนเกินกว่าจะเข้าใจอะไร
เด็กอายุเกือบ 14 ปีจะอยู่ในอันดับ 2 ของมือใหม่ในวันสอบได้อย่างไร?
นั่นหมายความว่าการควบคุมมานาของเจสันน่าจะแย่มาก เพราะเขาควรจะอยู่ระดับ 4-5 ของมือใหม่ในที่ปลุกวิญญาณ
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงความจริงที่ว่าเขาพัฒนาระดับขึ้นเป็นสองเท่าในเวลาอันสั้น ทำให้มาเลียรู้ว่าเจสันติดอยู่ในอันดับมือใหม่เพราะมีเหตุผลบางอย่าง
เจสันสังเกตุเห็นการจ้องมองอย่างงุนงงของมาเลีย และดวงตาของเธอก็กลายเป็นเครื่องหมายคำถาม เจสันจึงเริ่มให้ความกระจ่างแก่มาเลีย
“ฉันรู้สึกถึงมานามาตั้งนานแล้ว แต่ฉันไม่สามารถปรับปรุงอันดับแกนมานาของฉันได้ เนื่องจากเหตุผลส่วนตัวแต่เพียงประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่การสอบจะเริ่มขึ้น ฉันก็สามารถปรับปรุงแกนมานาของฉันได้ ซึ้งทำให้มันเพิ่งจะเริ่มเติบโต”
เจสันกล่าวเสริม
“และเธอถามว่าฉันมีหลักฐานหรือเปล่า … ฉันมีแค่บาดแผลที่สู้กับนกแรงที่มันสร้างบาดแผลไว้ที่หลังของฉัน .. ในขณะที่ต่อสู้เนื่องจากฉันไม่สามารถต่อสู้ได้แบบซึ่งๆ หน้าฉันจึงต้องรอซุ่มและโจมตีด้วยกริซเข้าที่จุดตายของสัตว์ป่าระดับห้าดาว “
“ไหนๆ ฉันขอดูบาดแผลของนายหน่อยสิ”
เกร็กพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง
เมื่ออธิบายเสร็จเขาก็หยิบกริชของเขาที่ยังเปื้อนเลือดจากการล่าและเปิดแผ่นหลังที่มีบาดแผลเล็กน้อยให้ทั้งคู่ดู
มาเลียครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ ว่าจะทำอย่างไร ในขณะที่เธอตัดสินใจปล่อยความคิดของเธอออกมาดัง ๆ โดยไม่รั้งไว้
“พูดตามตรงฉันไม่แน่ใจว่านายจะสามารถเอาชนะสัตว์ร้ายระดับห้าดาวได้จริงหรือเปล่า แต่คำถามที่ทำให้ฉันสับสนยิ่งกว่าคือทำไมพ่อแม่ของฉันถึงพยายามช่วยนายให้เข้าโรงเรียนในเครือของแวนการ์ด ในเมืองไซโร
ถึงเขาจะติดหนี้บุญคุณนาย แต่มันสามารถให้นายได้ด้วยเครดิตหรือด้วยวิธีอื่น ๆ … แม่ของฉันพูดบางอย่างเกี่ยวกับดวงตาของนายและฉันเข้าใจเธอนิดหน่อย เพราะฉันรู้สึกแปลก ๆ แต่เมื่อพิจารณาจากอันดับของนายและความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณของนายแล้วมันจะ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะอยู่รอดในโรงเรียนแนวหน้าในเครือแวนการ์ด
ยิ่งไปกว่านั้นชื่อเสียงของเราจะเสียเอา ถ้าขุนนางคนอื่นรู้ว่าเราปล่อยให้ใครบางคนที่อ่อนแออย่างนายเข้าไปในโรงเรียนที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งของแอสทริกซ์ “
มาเลียพูดด้วยความรู้สึกไม่มั่นคง
แต่เธอไม่คิดว่าเจสันจะโกหก แต่การลอบสังหารสัตว์ป่าระดับห้าดาวนั้นไม่น่าจะง่าย สำหรับเจสันและการฆ่ามันด้วยกริชเล่มเดียวแม้แต่น้อย
ยกเว้นความสามารถในการต่อสู้ของเขาสูงจะกว่าอันดับของเขามาก …
เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่เจสันบอกกับเธอ เจสันเองก็น่าสงสารมากเขาต้องฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วยตนเองโดยไม่มีใครสอนและมาเลียเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
“ฉันจะรายงานทุกอย่างให้แม่ของฉันฟังและปล่อยให้เธอเป็นคนตัดสินใจเองดีไหม”
เธอพูดจบและพยายามแสดงสีหน้าเย็นชา แต่เจสันและเกร็กสังเกตเห็นว่าเธอไม่มีความแน่ใจ
เกร็กรู้สึกอึดอัดกับทุกคนมาตลอดยกเว้นครอบครัวของเขา ตั้งแต่สมัยประถมเพราะพ่อแม่หลายคนบอกให้ลูก ๆของตัวเองคบกับเกร็กเพราะธุรกิจและความมั่งคั่งของพ่อแม่เกร็ก
ในตอนแรกทุกอย่างดูเหมือนเรียบร้อยดีจนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเด็กชายคนหนึ่งได้ทะเลาะกับเกร็ก จนเด็กคนนั้นได้พูดเผยความจริงออกมาว่าทุกคนต่างตามหาความมั่งคั่งของพ่อแม่ของเกร็กและไม่มีใครสักคนที่อยากเป็นเพื่อนของเขาจริงๆ
ตอนแรกเกร็กไม่เชื่อ แต่เมื่อได้มองไปที่ใบหน้าของเด็กคนอื่นๆ ทำให้เกร็กรูกสึกเหมือนใจสลาย
ได้รับรู้ว่าเขาถูกตีสนิทเพียงเพราะพ่อแม่ของพวกเขา ทำให้เกร็กเสียใจเป็นอย่างมาก
เกร็กต้องเผชิญกับความจริงที่โหดร้าย และรู้สึกถึงการถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวตั้งแต่นั้นมา
พ่อแม่ของเกร็กนั้นทำอะไรได้บ้าง?
พวกเขาได้ย้ายมาที่เมืองนี้ และถึงแม้จะเข้ามัธยมต้นแล้วเกร็กก็ไม่คบเพื่อนคนไหนซักคน
เขากลายเป็นคนที่โดดเดียวและมองว่าทุกคนที่เข้ามาดีกับเขานั้นเพียงเพราะต้องการประโยชน์จากเขา
หลังจากนั้นไม่นานเกร็กได้สังเกตเห็นเด็กตาบอดคนหนึ่งที่นั่งข้างๆเขาในชั้นเรียน นั่งฟังการบรรยายอย่างเงียบ ๆ โดยมุ่งเน้นไปที่โรงเรียนเพียงอย่างเดียว
เด็กตาบอดคนนั้น ไม่คิดโกรธเพื่อนร่วมชั้นที่กลั่นแกล้งหรือปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นขยะเพราะเกรดที่สมบูรณ์แบบของเขา
อย่างไรก็ตามเกร็กเริ่มสบายใจเมื่ออยู่กับเจสัน เมื่อเวลาผ่านไปและเกร็กก็ได้จัดการคนคอยมารังแกเจสัน ในขณะที่เกร็กเองก็คอยขอคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างจากเจสันเป็นระยะ ๆ
เจสันเองก็ตอบเกร็กอย่างขยันขันแข็ง และเจสันเองไม่สนใจเกี่ยวกับเกร็กจนมากเกินความจำเป็น
สิ่งนี้ทำให้เกร็กค่อนข้างมีความสุขและเขาเริ่มแอบเห็นเด็กตาบอดคนนี้เป็นเพื่อนในขณะที่เจสันเองก็ไม่รู้เรื่องนั้น
เจสันคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่เพื่อนร่วมชั้นของเขาเลิกรังแกเขา ขณะที่เกร็กนั่งข้างๆในโรงเรียน
เขาตอบคำถามของเกร็กเพราะรู้สึกดีกับเกร็กอย่างบอกไม่ถูกเช่นเดียวกัน ถึงแม้จะรู้สึกรำคาญเป็นบางครั้ง แต่ก็นั่นแหล่ะ
มาเลียนึกถึงสถานการณ์ของเกร็ก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ดวงตาของเธอลังเล ขณะที่เธอมีความสุขที่น้องชายของเธอได้มีเพื่อนในที่สุด
แม้ว่าเธอจะไม่มีความสุขเมื่อตอนที่เจสันบอกให้เกร็กเลือกสัตว์พันธะที่แปลกประหลาด แต่สุดท้ายก็โชคดีที่เกร็กฟัง เจสัน ซึ่งทุกอย่างมีก็ลงตัวอย่างดีที่สุด
พ่อแม่ของพวกเขาก็กังวลเกี่ยวกับเกร็กเช่นกันและมาเลียหวังว่าพวกเขาจะมีความคาดหวังเกี่ยวกับเจสันเหมือนที่เธอเป็น
เป็นครั้งที่สองที่เกร็กสังเกตเห็นบางอย่างที่แตกต่างออกไปเกี่ยวกับพี่ของเขาและทั้งสองครั้งก็เป็นเรื่องของเจสัน เขาจึงได้ข้อสรุปของตัวเอง
“หื้มมมม ทำไมตาถึงดูลังเล …หรือว่าเธอยากให้เขาตามไปที่โรงเรียน !? …อย่าบอกนะ เธอแอบชอบเขางั้นหรอ !!”
ก่อนที่เขาจะจบประโยค เกร็กก็โดนลูกบอลน้ำลูกเล็ก ๆ พัดใส่
“ เจ้าโง่ ไม่ใช่อย่างนั้น”
⊙.⊙ เจสันคิดว่าพวกเขาเล่นกันอีกแล้ว
แต่เมื่อเจสันสังเกตเห็นความแข็งแกร่งของลูกบอลน้ำขนาดเล็ก เขาก็ประหลาดใจและหวาดกลัวอย่างมาก
ลูกบอลน้ำที่ดูไม่เสถียรนี้กลับมีความแข็งแกร่งในการระเบิดถึงอันดับ 3 ของผู้ชำนาญด้วยพันะะตัวแรกทางกายภาพซึ่งอาจอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา
“มาเลียถ้าแม่ของเธอไม่เชื่อฉันเกี่ยวกับความสามารถของฉัน เธอถามแม่ของเธอได้ไหมว่าให้ฉันล่าสัตว์ป่าระดับห้าดาวมาอีกตัวไหม”
เจสันยิ้มอย่างอ่อนโยนโดยพยายามปกปิดความไม่มั่นใจ
พี่สาวของเกร็กดูอ่อนแอและสวยงาม แต่ความจริงเป็นสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายและเจสันก็กลัวเล็กน้อยเกี่ยวกับพลังของเธอ
มาเลียดูเหมือนจะอยู่ในอันดับผู้เชี่ยวชาญแต่ไม่ได้สูงมากนัก แต่เจสันไม่สามารถอ่านอันดับแกนมานาของเธอได้จริง ๆ เพราะเขาไม่เห็นอะไรเลยที่จะสามารถมาเปรียบเทียบ
ดูเหมือนเธอจะมีแกนมานาที่สูงกว่าครูที่เขาเคยเห็น แต่พ่อแม่ของเธอและชายชราที่ทำพิธีปลุกก็ยังแข็งแกร่งกว่ามาก
เจสันยังคงขอความกรุณาจากมาเลีย หากแม่ของเธอไม่เชื่อเขา
เขาอยากเข้าโรงเรียนมัธยมในเมืองเกรด A เนื่องจากความหนาแน่นของมานาน่าจะสูงกว่านี้หลายเท่าในขณะที่อาจารย์เหล่านั้นก็สามารถช่วยเจสันในเรื่องศิลปะการต่อสู้ได้
นอกจากนั้นโรงเรียนสามารถให้สิทธิประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมายแก่เจสันได้
ครอบครัวของเกร็กเป็นหนทางเดียวของเขา แต่ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้เลย ถ้าแม่ของพวกเขาปฏิเสธ
ถึงอย่างนั้นเจสันก็รู้สึกขอบคุณสำหรับโอกาสที่เขาได้รับรวม ถึงการอนุญาตให้ใช้เทคนิคนรกสวรรค์ที่พวกเขามอบให้
ถ้าพูดตามตรงเจสันไม่คิดว่าเขาสมควรได้รับโอกาสนี้ ในขณะที่เขาบอกให้เกร็กเลือกสัตว์ร้ายตัวอื่นเป็นวิญญาณตัวแรก
เขาสามารถมองเห็นสีที่เปล่งประกายของวัวได้ แต่ทำไมเขาต้องสนใจคนที่อย่างฉันด้วยละ
เจสันไม่มั่นใจในเรื่องนี้ เพราะความสัมพันธ์ทางสังคมยังคงเป็นเรื่องใหม่สำหรับเจสัน แม้แต่การโปรหาคนรู้จักหรือเพื่อน เขายังไม่รู้เลยว่าควรจะทำตอนไหน
เจสันเก็บซากศพออกไปหลังจากที่มาเลียตรวจเสร็จ
หลังจากนั้นเธอก็เขียนรายงานโดยละเอียดถึงแม่ของเธอ
เมื่อคิดว่าควรกลับบ้าน เจสันก็กำลังเดินออกแต่เกร็กมาหยุดเขาไว้
เกร็กต้องการคุยกับเขาอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับเมืองไซโร โรงเรียนแนวหน้าและอื่น ๆ เขาจึงลากเจสันไปคุยต่อที่ห้อง
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เจสันก็ออกจากคฤหาสน์เฟลเลอร์หลังจากที่คุยทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย
เมื่อได้รับรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงเรียนในเครือของโรงเรียนแวนการ์ด เจสันรู้สึกตื่นเต้นในตอนแรกและจากนั้นเขาก็เริ่มจริงจังมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขาเข้าใจอะไรบางอย่าง
ตัวของเจสันนั้นอ่อนแออย่างน่าสงสาร
เมื่อสงบลง เกร็กจึงมองไปที่อาร์ทิมิสจากหัวไปยังกรงเล็บและเขาก็มองกลับมาที่เจสัน
“ เจสันนี่คือสัตว์พันธะของนายเหรอ นกฮูกหิมะ…? ฉันว่ามันจะไม่อ่อนแอไปหน่อยหรอ…”
เกร็กพูดอย่างผิดหวัง
ในตอนแรกเขาหวังว่าเจสันจะพบสัตว์ป่าระดับหนึ่งดาวที่ดีเพื่อทำสัญญา แต่นกฮูกเกล็ดหิมะนั้นอ่อนแอในการต่อสู้ แต่ความเร็วของพวกมันก็เร็วเป็นพิเศษ
เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์ป่าระดับหนึ่งดาวอื่น ๆ ความแข็งแกร่งของพวกมันอ่อนแอเกินไป
เจสันเข้าใจถึงความกังวลของเกร็ก เจสันจึงจะอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้เขาฟัง ขณะที่อาร์เทมิสเริ่มโวยวายและกระพือปีกอย่างรุนแรง
“ ใจเย็น ๆก่อน อาร์เทมิส … เขาไม่ได้หมายความแบบนั้น”
เจสันพยายามทำให้อาร์เทมิสสงบลงและใช้เวลาสองสามนาทีก่อนที่ มันจะขยับกลับเข้ามาที่ไหล่ของเจสัน
เกร็กไม่สนใจความโกรธเคืองของอาร์เทมิส แต่มาเลียที่ยืนเงียบ ๆ อยู่ข้างหลังสังเกตเห็นบางอย่างซึ่งทำให้เธอตกใจ
เธออดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย
“มันเข้าใจภาษามนุษย์ได้หรอ เป็นไปไม่ได้สำหรับสัตว์ป่าระดับหนึ่ง !! สมองของมันกลายพันธุ์หรือยังไง”
เมื่อใกล้ชิดกับเด็กทั้งสองมากขึ้น เธอก็ลืมที่จะระวังเจสันเพราะเธออยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสัตว์ร้ายมาโดยตลอด
ครอบครัวของเธอเป็นพ่อค้าสัตว์ร้ายที่มีชื่อเสียงและพวกเขายังจับสัตว์ร้ายบางตัวให้กับขุนนางคนอื่น ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งความโปรดปราน เงินก้อนใหญ่หรือสิ่งของหายากและสิ่งสำคัญคือต้องคือสัตว์ชนิดใดหายาก
นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องหาวิธีตรวจสอบการกลายพันธุ์ของสัตว์ร้าย
ศักยภาพคือทุกสิ่งทุกอย่างในธุรกิจนี้และการจับสัตว์ร้ายที่มีศักยภาพมากขึ้นจะทำให้พวกเขาได้รับเครดิตมากขึ้น
ในขณะที่พ่อแม่ของเธอเก่งในการค้นหาสัตว์ร้ายที่มีศักยภาพ แต่เธอก็ไม่เก่งเท่าพ่อแม่ของเธอ
มาเลียอายุเพียง 16 ปีและยังคงอยากที่จะเรียนรู้อีกมากมายเกี่ยวกับสัตว์ร้าย
มีเวลามากพอที่เธอจะได้เรียนรู้จากความรู้ของพ่อแม่และเมื่อได้เห็นสัตว์พันธะของเจสัน
เธอต้องการที่จะอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น
เจสันประหลาดใจและมองไปที่อาร์เทมิสแล้วสงสัยว่ามันเข้าใจภาษามนุษย์ได้ยังไง
อาร์เทมิส มองไปที่เจสันและถ่ายทอดข้อความไปทางจิตวิญญาณของเจสันว่าเธอนั้นไม่ได้เข้าใจภาษาของมนุษย์ทั้งหมด เธอเพียงแค่เข้าใจความหมายของประคำโยคคำพูดบางอย่างเท่านั้นเอง
เจสันได้หันหน้าไปทางมาเลีย และตอบคำถามของเธอขณะที่มองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลกลมโตของเธอ
“มันไม่ได้เข้าใจภาษามนุษย์อย่างชัดเจน แต่มันแค่พอเข้าใจความหมายของเกร็กที่เขาพูดออกมา”
มาเลียเกร็งขึ้นชั่ววินาทีเมื่อสบตากัน แต่เธอสังเกตเห็นว่าคราวนี้ดวงตาของเขาไม่ได้ข่มขู่เธอเลย
สิ่งนี้ทำให้ความตึงเครียดของเธอคลายลงเล็กน้อยและเธอมองนานขึ้นเล็กน้อยในดวงตาของเจสันที่ดูค่อนข้างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความอบอุ่นในตอนนี้
`ดวงตานั้น สวยงามจัง ‘
มาเลียหน้าแดงเล็กน้อย
“แต่มันยังฉลาดมากและมีการกลายพันธฺุเล็กน้อยจึงแข็งแกร่งพวกนกฮูกหิมะทั่วๆ ไป”
เจสันยืนอยู่ระหว่างมาเลียและเกร็ก ทั้งคู่มองเจสันด้วยความคาดหวัง
มาเลียอยากรู้อยากเห็นและแก้มที่แดงของเธอค่อยๆลดลงจนเป็นผิวธรรมดาของเธอในขณะที่เธอมองเจสันอย่างคาดหวังในขณะที่เกร็กก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นหลังจากฟังบทสนทนาของทั้งคู่
เจสันได้มองไปที่เกร็กและพูดว่า
“ ก่อนอื่น… เกร็ก นายอาจจะพูดถูกเกี่ยวกับนกฮูกเกล็ดหิมะธรรมดา แต่สำหรับอาร์เทมิสมันพิเศษและไม่อ่อนแอเลย การควบคุมมานาของนายควรแม่นยำพอที่จะรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของสัตว์ป่าและตำแหน่งมือใหม่ นั่นควรเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อนายพบคนใหม่ ๆ ไม่ใช่หรือและด้วยเหตุนี้นายน่าจะรู้อยู่แล้วว่าอาร์เทมิสเป็นสัตว์ป่าสองดาว “
เจสันรู้สึกภาคภูมิใจและในเวลาเดียวกันก็เหมือนเป็นครูเพราะทั้งมาเลียและเกร็กไม่ได้สแกนความผันผวนมานาของอาร์เทมิสเลยเพราะทั้งคู่มั่นใจว่ามันเป็นสัตว์ป่าระดับหนึ่งที่อ่อนแอ
ทั้งคู่รู้สึกอายทันทีเพราะพ่อแม่ของพวกเขาเคยสอนเรื่องนี้มาก่อน
‘อย่าดูถูกใคร … อย่าลืมค้นหาว่าคนที่อยู่ตรงข้ามคุณคือใครและเขาแข็งแกร่งแค่ไหน … ความรู้คือพลัง …และมันไม่เคยทำให้ใครผิดหวังหากรู้ตัวตนของคนนั้นๆ แล้ว’
แต่นั่นไม่ใช่ส่วนที่น่าตกใจ
สิ่งที่ทำให้พวกเขาสับสนที่สุดคือประโยคสุดท้ายที่เจสันพูดและทั้งคู่ก็ปล่อยมานาของพวกเขาทันทีเพื่อสแกนอาร์เทมิส
“ ห๊ะ?”
“เหลือเชื่อ”
การรู้สึกถึงความผันผวนมานาของอาร์เทมิสที่อันดับสัตว์ป่าสองดาวทำให้ทั้งคู่มองไปที่เจสันและอ้าปากค้าง
ในความคิดของเขาทั้งสองดูโง่เขลามากทำให้เจสันยิ้มเบา ๆ
เจสันรู้สึกถึงความมั่นใจของอาร์เทมิสที่เพิ่มขึ้นและความภาคภูมิใจของมันทำให้ความรู้สึกของเจสันดีขึ้นและใบหน้าของเขาก็เปี่ยมล้นไปด้วยความภาคภูมิใจ
นี่เป็นครั้งแรกสำหรับเจสันที่เขาได้รับอิทธิพลจากอารมณ์ของสัตว์พันธะ
เจสันหันไปถามมาเลีย
“เธอชื่อมาเลียใช่ไหม ฉันหวังว่าเธอจะไม่รังเกียจที่ฉันจะเรียกเธอด้วยชื่อของเธอ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้รับการกลายพันธุ์หรืออย่างน้อยมันก็ไม่ใช่นกฮูกเกล็ดหิมะธรรมดา แต่บอกตามตรงว่ามันถูกระบุว่าเป็นนกฮูกเกล็ดหิมะกลายพันธุ์ที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะเกิดมาพร้อมกับโรคเช่นตาบอดเป็นต้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้คนอื่นไม่สนใจมัน “
“แต่อย่างที่เธอเห็นว่ามันมีสุขภาพดีและแข็งแรงกว่านกฮูกเกล็ดหิมะทั่วไปเนื่องจากปัญหาของมันนั้นค่อนข้างจะแก้ไขได้ง่าย”
`ยกเว้นความตะกละของมันละนะ ‘
เจสันถอนหายใจเข้าข้างใน
เกร็กฟังเจสันอย่างเงียบ ๆ และคิดเกี่ยวกับบางสิ่งในขณะที่มาเลียกำลังครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ ในการสแกนผ่านอาร์เทมิส
มันทำให้อาร์เทมิสรู้สึกอึดอัดและเริ่มไปซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจสัน
มาเลียหลีกเลี่ยงการจ้องมองเมื่อสังเกตเห็นว่าเจสันพูดจบ
ในช่วงที่มีการระบาดของมานาหลายวัฒนธรรมปรากฏขึ้นและหายไป ในขณะที่ประเพณีบางอย่างถูกผสมผสานกับวัฒนธรรมอื่น ๆ
และหนึ่งในกฎหมายที่ไม่ปรากฏในสังคมคือการพูดอย่างสุภาพกับอัจฉริยะและขุนนางซึ่งรวมถึงการเรียกใครบางคนด้วย ชื่อสกุล
ความโกรธของมาเลียลดลงและเธอก็มองกลับไปที่อารืเทมิสทันทีเมื่อมีความคิดเข้ามาในใจของเธอ
`อืม ก็ดี แต่เดียวก่อน! .`
“ ทำไมนายถึงเลือกสัตว์ร้ายดาวเดียวที่กลายพันธุ์ ฉันเห็นวิญญาณของนายตื่นขึ้นและมีพลังวิญญาณที่อ่อนแอ นายควรจะเลือกสัตว์ที่มีระดับต่ำมากกว่าไปเสี่ยงเอาสัตว์ที่เกิดการกลายพันะุ์ที่ผิดปกติ ถึงแม้นายจะบอกว่านายรู้สึกว่ามันควรเป็นของนายก็เถอะ นายอาจจะโชคดีแต่มันก็เสี่ยงเกินไปนะ”
เธอสับสนมากเกินไปเกี่ยวกับเด็กหนุ่มหน้าตาประหลาด แต่หน้าตาดีต่อหน้าเธอทำให้เธอถามอย่างตรงไปตรงมา
เกร็กมีความคิดเดียวกันและเขาก็อุทานเสียงดังหลังจากที่ได้ยินพี่สาวของเขาพูดถึงเรื่องนั้น
“ใช่ !! ทำไมนายถึงเลือกสัตว์ร้ายที่นายแค่รู้สึกว่ามันจะดีต่อนาย ?? มันจะไม่ไร้เดียงสาเกินไปเหรอ ??”
เขาพูดออกมาอย่างเสียงดังด้วยความเป็นห่วง
“เกร็ก !! นายเป็นคนที่สามารถพูดอะไรแบบออกมาได้งั้นหรอ! นายเองยังไปเชื่อเขาเกี่ยวกับสัตว์ร้ายของนายเลย นายเนี่ยไร้เดียงสากว่าเจสันอีก… “
มาเลียพูดอย่างหงุดหงิดกับน้องชายของเธอ ที่พูดเกี่ยวกับความไร้เดียงสาเพราะตัวเกร็กเองก็ยังเลือกสัตว์ร้ายที่อ่อนแอ ถึงแม้จะโชคดีที่มารู้ทีหลังว่าเป็นสายเลือดของ มิโนทอร์แคระ สัตว์สองเท้าระดับตำนาน
มาเลียและพ่อแม่ของเธอไม่เชื่อว่าเจสันรู้เรื่องนั้นและคิดเพียงว่านี่เป็นการค้นพบที่โชคดีและพวกเขาก็ดุเกร็กมาก
เกร็กเริ่มหน้ามุ่ยซึ่งดูน่าตลกและเจสันรู้สึกตกใจจนจะสะอื้นออกมาเมื่อได้ยินเกร็กตะโกนใส่
“พี่พูดแบบนั้นได้ไง มิโนทอร์ของผมยังดีกว่าสัตว์ร้ายตัวแรกของพี่อีก พี่นั้นแหละไร้เดียงสา”
“แกร๊ก !!!”
มาเลียเปลี่ยนเป็นสีแดงจากความโกรธ
เจสันคิดว่ามันตลกดีที่เห็นคู่พี่น้องทะเลาะกันและใช้เวลาสักพักก่อนที่ทั้งคู่จะสงบลง …
มาเลียและเกร็กลืมเรื่องของเจสันไปแล้ว
เมื่อเห็นเขายิ้มอย่างมีความสุข เกร็กและมาเลียก็รู้สึกเขินอาย
เป็นเวลานานมากแล้วที่เจสันได้รู้สึกมีความสุขในขณะที่อยู่กับคนอื่นยกเว้นอาร์เทมิส
เมื่อนึกถึงครั้งสุดท้ายที่เขาอยู่กับคนอื่น ๆ เจสันสังเกตว่าเขาไม่เคยมีเพื่อนเลยนอกจากแม่ของเขา
“ พวกเขาจะเป็นเพื่อนของฉันหรือเปล่านะ “
เจสันเกาหัวอย่างเชื่องช้า และก็อายเล็กเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามมันจะน่าอายกว่านี้ ถ้าเจสันถามทั้งคู่ว่าตอนนี้ ทั้งคู่เป็นเพื่อนของเขาหรือไม่
ดังนั้นเขาจึงหลีกเลี่ยงคำถามนี้
เจสันไม่รู้จะพูดอะไรในตอนนี้และสถานการณ์ทั้งหมดก็น่าอึดอัด
จึงสันจึงพูดไปว่า
“พ่อแม่ของพวกนาย อยู่ที่ไหนฉันต้องแสดงให้พวกเขาเห็นว่าฉันทำงานสำเร็จแล้ว”
เขาพยายามเปลี่ยนเรื่องด้วยเรื่องนี้และในทางเทคนิคแล้วมันเป็นเหตุผลเดียวที่เขามาที่คฤหาสน์
มาเลียดึงสติกลับและลุกขึ้นนั่งหลังตรงก่อนจะพูดอย่างจริงจัง
“พวกเขากำลังจับสัตว์วิเศษอยู่ข้างนอก และฉันไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะกลับมาเมื่อไหร่ แม่ของฉันมอบหน้าที่ให้ฉันดูตรวจสอบงานของนาย และฉันจะรายงานอันดับของนายรวมถึงสัตว์พันธะและอื่น ๆ เท่านั้น “
ก่อนที่เจสันจะพูดอะไรอีกมาเลียมองเข้าไปในตาของเขาโดยไม่หวาดกลัวอีกต่อไปเมื่อเธอถามอย่างจริงจัง
“ขอดูพวกซากศพของตัว์ป่าระดับห้าดาวหรือซากสัตว์ที่ตื่นขึ้นมาได้ไหม แม่บอกให้ฉันบันทึกทุกอย่างเอาไว้”
ตอนต่อไปมีชื่อว่า “ระ ระ หรือว่าคุณจะแอบชอบ….”
สันเข้าไปในโดมอีกครั้ง และได้นำซากศพระดับห้าดาวออกมาเพื่อนำแกนที่ไม่สมบูรณ์ออกมาก่อนที่จะนำซากที่เหลือไปเก็บไว้
หลังจากนั่งพักจนมานาเต้มแล้ว เจสันก็ได้ผ่อนคลายตัวเองในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่เขาจะเข้าสู่เขตป่าอีกครั้ง
ตอนนี้เป็นเวลา 1 ทุ่มและยังเหลือเวลาอีกประมาณ 24 ชั่วโมงในการพัฒนาทักษะการต่อสู้ประสบการณ์และหารายได้เล็กน้อยรวมถึงแกนมานาไว้สำหรับอาร์เทมิส
ในขณะที่มองดูการต่อสู้ของเด็กกลุ่มนั้น เจสันสังเกตเห็นว่าทักษะการต่อสู้ของตัวเองนั้นได้เทียบเท่ากับเด้กกลุ่มนั้น แต่ก็ยังไม่ดีพอ
เขาเริ่มคุ้นชินกับการใช้กริซเป็นอาวุธ ในขณะที่ความสามารถในการต่อสู้โดยกำเนิดนั้นต้องดีกว่าที่เขาคิดไว้แน่นอน
อย่างไรก็ตามบางสิ่งสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์เท่านั้น
เจสันตัดสินใจที่จะล่าสัตว์ป่าสองดาว เพื่อปรับปรุงความสามารถในการสังเกตการณ์ ถึงแม้ว่ามันจะยอมเยี่ยมแล้วก็ตาม
การต่อสู้กับสัตว์ป่าสองดาวสิบตัว นั้นจะยากกว่าการต่อสู้กับสัตว์ป่าสี่ดาวกลุ่มเล็ก ๆ หรือสัตว์ป่าห้าดาวตัวเดียว ยกเว้นถามมีความแข็งแกร่งที่มากพอ
เจสันต้องระวังตัวมากขึ้นกับการต่อสู้
*
ชั่วโมงผ่านไปและเจสันได้รับบาดแผลเพียงเล็กน้อยหลังจากที่ถูกสัตว์ร้ายมากมายเข้าโจมตี แต่เขาก็สามารถป้องกันการโจมตีได้ด้วยการสร้างชั้นมานาบางๆ มาปกคลุมร่างกายเอาไว้
เจสันสามารถจัดการสัตว์ร้ายได้ทั้งหมดและเกือบจะมืดแล้ว
เมื่อกลับเข้ามาที่เต็นท์ เจสันก็ได้ทำกิจวัตรประจำวันของเขารวมถึงเทคนิคนรกสวรรค์
เขาค่อนข้างมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่เขาคิดหวังไว้ ได้เสร็จอย่างรวดเร็ว
หลังจากเขียนข้อความสั้น ๆ ถึงเกร็ก เจสันก็ได้เข้าไปในถุงนอนและนอนหลับสนิท
–
ก่อนที่แสงแดดแรกของวันจะส่องสว่างถึงบริเวณที่ราบ เจสันก็ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกมีความสุขอย่างท่วมท้น เมื่อเขารู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ฟูฟ่องบนใบหน้าของเขา
เจสันรู้ว่านั่นคืออาร์เทมิส เขาจึงลืมตาขึ้นทันทีและกอดมันไว้สองสามนาทีก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืน
อาการบาดเจ็บของมันหายเป็นปกติแล้ว ซึ่งทำให้เจสันมีความสุข
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อรู้สึกถึงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของมานาในเลือดของมัน เจสันก็เริ่มไตร่ตรองว่าเขาควรจะให้มันกินแกนสัตว์ร้ายต่อ ดีหรือไม่
เจสันมีแกนสัตว์ร้ายเหลืออยู่มากมาย แต่เจสันก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะสามารถเข้าไปในเขตป่าได้อีกครั้งเพื่อเก็บสะสมแกนสัตว์ร้ายและซากสัตว์
เขาเหลือเงินเพียง 20,000 เครดิตและมีซากสัตว์ร้ายมากมายที่จะขาย แต่ด้วยความหิวโหยที่มากมายของอาร์เทมิส เจสันจึงคิดจะคุยกับเกร็กเกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลัง
เกร็กบอกเจสันว่าโรงเรียนจะเปิดในอีกประมาณสองสัปดาห์และเจสันไม่แน่ใจว่าการเดินทางไปยังเมืองนั้นจะใช้เวลานานแค่ไหน
เจสันรู้ดีว่าการเดินทางต้องใช้เวลาพอสมควรเพื่อที่จะไปถึงเมืองเกรด A เพราะต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางที่จะเจอสัตว์วิเศษที่อันตรายมาก ๆ
ระยะเวลาในการเดินทางจากเมืองเกรด C ไปยังเมืองไซโรนั้นอย่างใช้เวลา 4 วัน ด้วยการนั่งยานพาหนะ
บางทีเจสันอาจเข้าไปในเขตป่า ในช่วงเวลาที่เหลืออีก 10 วันเพื่อล่าสัตว์ร้ายสามและสี่ดาวเพื่อสะสมแกนมานาสำหรับอาร์เทมิส
เมื่อนึกถึงปัญหาการขาดแคลนเงินหรือการขาดแกนมานาที่ไม่สมบูรณ์ เจสันก็เข้าสู่โลกแห่งจิตวิญญาณเพื่อฝึกนรกสวรรค์ให้สำเร็จก่อนที่เขาจะเข้าไปในเขตป่าราบอีกครั้ง
เมื่อถึงเวลา 11.00 น. เจสันเข้าไปในโดมอีกครั้งเพื่อรื้อเต้นท์และเก็บของ
หลังจากนั้นรถรับส่งที่เจสันเรียกก่อนหน้านี้ก็มาถึง และเจสันกำลังเดินทางไปที่คฤหาสน์ตระกูลเฟลเลอร์
การเดินทางใช้เวลาประมาณ 40 นาที เจสันจึงตัดสินใจฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์อีกครั้งก่อนที่จะเดินทางถึง
ความเจ็บปวดหลังจากฝึกเทคนิคนรกสวรรค์ยังคงน่ากลัว แต่เจสันเริ่มคุ้นเคยกับมันในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
เมื่อมาถึงที่หมายตามที่เกร็กได้บอก เจสันสังเกตเห็นว่าเขาได้เข้ามาในย่านขุนนางซึ่งอยู้ถัดจากใจกลางเมือง และมีรัฐบาล บริษัท และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่มากมาย
เจสันได้เห็นแปลงขนาดใหญ่ที่มีพืชและดอกไม้แปลกๆ มากมาย และทำให้เขาประหลาดใจเนื่อยจากเขาได้เห้นมานาที่แผ่ออกมาจากดอกไม้และพืชเหล่านี้
จากการที่เจสันได้สังเกต ก็พบว่าแปลงดอกไม้นี้แผ่นมานาออกมาหนาแน่นกว่าในเขตป่าหนึ่งดาวด้วยซ้ำ
พื้นที่รอบนอกของเมืองนั้นเทียบไม่ได้เลยกับเขตผู้ดีนี้ และสนามของตระกูลเฟลเลอร์นั้นมีพื้นที่ขนาดใหญ่มาก จนสามารถสร้างตึกระฟ้าได้ 2 ถึง 3 ตึก
เมื่อมองไปรอบ ๆ เจสันก็เห็นคฤหาสน์สูงสามชั้นที่อยู่ตรงกลางของที่ดินซึ่งสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวสวยงาม
การดูมองดูความยิ่งใหญ่นี้ ทำให้เจสันรู้สึกเจ็บใจนิดๆ
สำหรับคนปกติมันเป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อที่ดินในเมืองเกรด C
เราจะต้องเป็นคนชั้นสูงหรือได้รับคะแนนความรุ่งโรจน์เพื่อที่จะได้รับอนุญาตให้ซื้อที่ดินหรือทรัพย์สินขนาดใหญ่
ในขณะที่เจสันชื่นชมสนามหญ้าขนาดใหญ่และคฤหาสน์ที่ดูหรูหรา ประตูก็ถูกเปิดออกโดยเด็กสาวผมยาวสีน้ำตาลที่อายุมากกว่าเจสันเล็กน้อย
เธอมองเขาด้วยใบหน้าที่เย็นชาเล็กน้อย ซึ่งทำให้เจสันประหลาดใจ
เธอสวมชุดฤดูร้อนสีขาวและดูสวยอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เจสันรู้ว่าเธอเป็นใคร
มาเลียพี่สาวของเกร็กและเจสันก็รู้สึกว่าเธอไม่ชอบเขา เพราะเธอหลีกเลี่ยงที่จะสบตากับเขาและพยายามทำตัวเย็นชา
เจาสันไม่แน่ใจว่าทำไมเธอถึงไม่ชอบเขา แต่เธอก็ได้ส่งสัญญาณให้เจสันเดินตามเธอไป
เะอไม่ได้แม้แต่จะทักทาย แต่เจสันก็คิดย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ปลุกจิตวิญญาฯของเกร็ก มาเลียก็ได้เข้ามาดึงแขนของเจสัน และเมื่อเธอมองเข้าไปในดวงตาของเขาก็เกิดแสดงสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมา
‘ช่างมันเถอะ บางทีเธออาจจะขี้อายก็ได้มั้ง ‘
เจสันเลิกคิดและเขาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้มาเลียกลัวที่จะมองตาเขา
ความคิดของเจสันถูกต้อง เพราะมาเลียนั้นหวาดกลัวกับการมองเข้าไปในดวงตาสีทองของเจสัน
เธอจำได้อย่างชัดเจนว่าเธอรู้สึกหวาดกลัวเพียงใดเมื่อมองเข้าไปในดวงตาสีทองที่ลึกล้ำและเย็นชาของเขาและมาเลียก็กลัวที่จะดูดกลืนเข้าไปในนั้น
แต่ถึงอย่างนั้นมาเลียก็หยิ่งผยองเกินกว่าที่จะพูดสิ่งนั้นออกมา เธอจึงทำทีท่าแสดงออกอย่างสงบเมื่ออยู่ต่อหน้าเจสัน
เจสันเดินตามมาเลียอย่างเงียบ ๆ และทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียวซึ่งทำให้เกิดบรรยากาศที่น่าอึดอัดรอบตัว
อย่างไรก็ตามหลังจากเข้ามาในคฤหาสน์ เจสันก็ได้หลงใหลในเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งภายในคฤหาสน์มากเกินไปจนเขาไม่สนใจบรรยากาศที่น่าอึดอัดรอบตัวเลยสัก
ทั้งคู่เดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขาเห็นเด็กหนุ่มที่คุ้นเคยนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่
ห้องนั่งเล่นทั้งห้องน่าจะใหญ่กว่าสนามบาสเก็ตบอลสองสามเท่าและเจสันก็สงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงต้องการพื้นที่มากขนาดนี้ในการสร้างบ้าน
เมื่อเห็นเจสัน เกร็กก็กระโดดขึ้นและเดินไปหาเจสันอย่างมั่นคง
เจสันสังเกตเห็นว่ากล้ามเนื้อของเกร็กนั้นมีความชัดเจนมากขึ้นและกระชับมากขึ้น ในขณะที่เจสันสังเกตว่าเกร็กนั้นสูงขึ้นสองสามเซน
อาจกล่าวได้ว่าเกร็กเหมือนนักเพาะกาย ในขณะที่เจสันมองรูปร่างที่มีเสน่ห์และกล้ามที่สวยงามภายใต้เสื้อผ้าที่เจสันสามารถมองทะลุได้
การทักทายกันด้วยการจับมือกันอย่างมั่นคง เจสันได้แสกนเกร็กอีกครั้งและเขาก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น
ไม่เพียง แต่อันดับของเขาจะเพิ่มขึ้นจากระดับผู้ชำนาญที่ 2 เป็นระดับผู้ชำนาญที่ 3 ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ แต่ขนาดแกนมานาของเขาก็เพิ่มขึ้นตามขนาดตัวที่เห็นได้ชัดเจน
เกร็กยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าของระดับผู้ชำนาญระดับกลาง แต่ด้วยการเพิ่มขึ้นจากพันธะของเขา แต่เกร็กอาจจะอยู่ในระดับเดียวกับระดับผู้ชำนาญที่ 4
นั่นจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และเจสันรู้สึกมีความสุขกับเกร็กเล็กน้อย
เจสันคำนวณว่าการที่ลูกวัวเติบโตขึ้นเป็นสัตว์ร้ายที่มีวิวัฒนาการจนถึงขณะนี้ อาจมีส่วนแบ่งประมาณ 5% -10% ของความแข็งแกร่ง
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่แกนมานาของเกร็กจะเติบโตขึ้นด้วย
สัตว์ที่ได้รับการวิวัฒนาการนั้นเทียบได้กับระดับผู้เชี่ยวชาญของมนุษย์และ 5% -10% นั้นเทียบได้กับอย่างน้อยหนึ่งระดับที่และอาจมากจนไปถึงสองระดับ
เมื่อมองไปอีกครั้งที่แกนมานาของเกร็ก มีความเป็นไปได้มากที่ เกร็กอาจจะได้รับส่วนแบ่ง 10% ขึ้นไป ซึ่งทำให้ เจสันพยักหน้าเห็นด้วยเนื่องจากวิญญาณของเกร็กให้คำพูดที่ดีแก่เขา
เกร็กได้มองเข้าไปในดวงตาสีทองของเจสันที่ส่องแสงเบา ๆ
“ ยินดีด้วยนะ”
เจสันพูดพร้อมกับเริ่มยิ้มเบา ๆ
เมื่อคลายการจับมือกัน เกร็กก็ได้มองเข้าไปที่ใบหน้าของเจสันและจ้องเข้าไปในดวงตาสีทองอีกครั้งและมาเลียที่เห็นสิ่งนี้ก็เกิดความตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว
เกร็กสังเกตเห็นลูกบอลขนปุยสีขาวบนไหล่ของเจสันก่อนที่มันเริ่มเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน
ดวงตาที่เหมือนกระดุมสีดำของอาร์เทมีสลืมตาขึ้นและมองไปที่เกร็ก เมื่อเห็นดังนั้น เกร็กจึงถอยหลังอย่างระมัดระวัง
หลังจากตื่นนอนในตอนเช้า เจสันต้องคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับแผนการของเขาในอีก 30 ชั่วโมงข้างหน้า
หากไม่มีอาร์เทมิสโอกาสที่เขาจะล่าสัตว์ป่าระดับห้าดาวก็ลดลงอย่างมากและเจสันก็ไม่มั่นใจที่จะฆ่ามันด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา
อาการบาดเจ็บของเขาไม่ได้อยู่ในระดับลึกและจะไม่ขัดขวางการเคลื่อนไหวของเขา แต่ความแข็งแกร่งที่ไม่มากนักของเขาเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในขณะนี้
เมื่อคิดอย่างรอบคอบเจสันตัดสินใจที่จะใช้พลังงาน ที่เหลืออยู่ในหินมานาเพื่อบังคับให้มีการพัฒนาอันดับของเขา
ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาได้ปรับแกนมานาของเขาให้คงที่และในหนึ่งสัปดาห์ เขาจะสามารถเข้าสู่อันดับ 4 ของมือใหม่ได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลา
หินมานาขนาดเล็กที่เจสันยังเหลืออยู่นั้นมีมานาเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง ซึ่งอาจเพียงพอที่จะบังคับให้อันดับของเขาเพิ่มขึ้น
หลังจากการฝึกฝนพลังของเขาจะไม่เสถียรไปสักพัก ก่อนที่เขาจะก้าวไปอีกขั้น แต่มันก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเขาในตอนนี้
เมื่อเขาก้าวหน้าขึ้นร่างกายและแกนมานาของเขาจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและเขาจะเข้าใกล้ความแข็งแกร่งของสัตว์ป่าระดับห้าดาวอีกหนึ่งก้าว
เจสันนั่งลง แต่ก่อนที่เขาจะก้าวหน้าเขายังคงทำตามกิจวัตรประจำวันของเขาและเข้าสู่โลกแห่งวิญญาณเพื่อฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์
เนื่องจากความมุ่งมั่นที่จะฝึกฝนเทคนิคแห่งจิตวิญญาณสามครั้งต่อวันพลังวิญญาณของเขาจึงเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ แต่สม่ำเสมอและเจสันก็มีความหวังว่าเขาจะสามารถได้รับพลังวิญญาณถึงสี่เท่าก่อนที่อาร์เทมิสจะพัฒนาขึ้นไปอีกครั้ง
เจสันออกจากโลกแห่งวิญญาณ เขาหยิบหินมานาไว้ในมือทั้งสองข้างก่อนที่จะปล่อยมานาที่เก็บไว้ในครั้งเดียว
พายุมานาขนาดเล็กห่อหุ้มตัวเจสัน ขณะที่รูขุมขนของเขาเปิดออกโดยสัญชาตญาณ
การดูดซับมานาทั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขาอย่างตะกละตะกลาม แกนมานาของเจสันก็ปวดขึ้นและมันดูแย่มากเมื่อดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะมีเลือดไหลออกมา
เลือดไหลออกจากปากของเขาในขณะที่หัวของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง
ปริมาณมานาที่เขาดูดซับนั้นเกือบจะมากเกินกว่าที่เขาจะรับมือได้ในขณะที่แกนมานายอมรับมานาอย่างแรงและมีขนาดเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามแกนกลางสามารถขยายขนาดได้อย่างช้าๆในขณะที่เจสันต้องทนต่อแรงกดดันที่เจ็บปวดเป็นเวลานาน
โชคดีที่แกนมานาขยายใหญ่ขึ้นความเจ็บปวดจึงลดลงเมื่อเวลาผ่านไปและหลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงเจสันก็สามารถรับมือกับแรงกดดันได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ
ร่างกายของเขาถูกห่อหุ้มด้วยรังไหมสีขาวและเฉพาะเมื่อแกนมานาของเขาถึงระดับ 4 ของมือใหม่ มันก็สลายไปอย่างช้าๆ
เนื่องจากการขยายเพิ่มเติมของอารืเทมิส ทำให้เจสันมีแกนมานาที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมและเกือบจะเทียบได้กับระดับมือใหม่ระดับที่ 6 ในขณะที่ร่างกายของเขาอยู่ในอันดับที่ 5 ของมือใหม่
เขายังคงอ่อนแอกว่าสัตว์ป่าระดับห้าดาวทั่วไปมาก แต่โอกาสที่เขาจะฆ่ามันด้วยการลอบสังหารที่มีฝีมือเพิ่มขึ้นมาก
เมื่อรับประทานอาหารเช้ามื้อเล็ก ๆ ซักผ้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าเจสันก็ออกจากเต็นท์และเข้าสู่เขตป่าที่ราบระดับหนึ่งดาวอีกครั้ง
การเพิ่มขึ้นของความแข็งแกร่งที่เกิดจากอันดับมือใหม่นั้นค่อนข้างน้อย แต่เจสันยังรู้สึกแข็งแกร่งกว่ามากในวันนี้
อาจกล่าวได้ว่าสัตว์ร้ายและตำแหน่งมือใหม่ไม่ได้เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางในโลกอันกว้างใหญ่ เนื่องจากการเพิ่มระดับแต่ละครั้งทำให้มีการปรับปรุงความแข็งแกร่งเพียงเล็กน้อย
ถ้าเจสันมีจิตวิญญาณเหมือนเกร็ก เขาจะสามารถจัดการสัตว์ร้ายที่ได้รับการจัดอันดับโดยไม่มีปัญหาใด ๆ แต่เขาก็ไม่ได้โชคดีเช่นนั้น
เกือบหนึ่งเดือนผ่านไปนับตั้งแต่ที่เกร็กสร้างพันธะขึ้นมาและลูกวัวก็เกือบจะโตเต็มที่แล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของมันในอันดับที่ตื่นขึ้นในภายหลังหรืออันดับแรกที่พัฒนาขึ้น
การเพิ่มพลังของวัวที่มอบให้กับเกร็กนั้นใหญ่กว่าการเพิ่มประสิทธิภาพของอาร์เทมิสสองสามเท่าแม้ว่าวิญญาณของเกร็กจะให้ส่วนแบ่งเพียง 1% แก่เขาก็ตาม
แม้ว่าเกร็กจะอยู่ในอันดับที่ 1 ของมือใหม่ด้วยการเสริมสร้างจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง เช่น มิโนทอร์แคระเขาก็สามารถบดขยี้สัตว์ป่าจำนวนมากได้อย่างง่ายดายด้วยร่างกายของเขาเท่านั้น
เมื่อเดินเล่นไปรอบ ๆ เขตป่าโดยถือกริชของเขาแน่นเจสันรู้สึกโดดเดี่ยว
เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น เขาให้ความสำคัญกับสิ่งรอบตัวมากยิ่งขึ้น
กลุ่มวัยรุ่นหลายกลุ่มกำลังต่อสู้กับสัตว์ร้ายกลุ่มใหญ่และเจสันไม่พบสัตว์ห้าดาวที่อยู่ตัวเดียว ดังนั้นเขาจึงฝึกฝนทักษะกริชของเขาในขณะที่ต่อสู้กับสัตว์ป่าสามและสี่ดาว
จนถึงมื้อเที่ยงเขาไม่พบสัตว์ป่าระดับห้าดาวแม้แต่ตัวเดียวในขณะที่เขากลับเข้าไปในโดมเพื่อฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ของเขา
เมื่อรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเจสันก็ออกไปอีกครั้งตรงเข้าไปในเขตป่าที่ซึ่งเขาเห็นหมาป่าระดับห้าดาว 9 ตัวกำลังล้อมกลุ่มวัยรุ่นสี่คนที่พยายามจะเข้ามาในโดม
น่าเสียดายที่พวกเขาถูกสัตว์ร้ายขัดขวาง
ก่อนที่เจสันจะทำสิ่งที่ไม่จำเป็นเขาเปิดใช้งานดวงตามานาของเขาเพื่อดูว่ากลุ่มนั้นสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้หรือไม่ หรือต้องการความช่วยเหลือ
เมื่อตรวจสอบเด็กกลุ่มนั้น เขาสังเกตเห็นว่าพวกเขาทั้งหมดอยู่ในอันดับที่ 7 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยสำหรับอายุของพวกเขาและพวกเขาควรจะสามารถจัดการสัตว์ห้าดาวได้อย่างน้อยหนึ่งตัวสำหรับพวกเขาเพราะแต่ละคนมีอุปกรณ์และชุดเกราะที่เหนือกว่า
อย่างไรก็ตามเจสันสังเกตเห็นบางอย่างเป็นพิเศษ
อุปกรณ์ที่พวกเขาสวมนั้นดี แต่ไม่แพงมากและถึงแม้จะมีจำนวนมากกว่า แต่ก็ไม่มีใครดึงปืนออกมาเพื่อช่วยตัวเอง
เมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่พวกเขาอยู่ เจสันสรุปว่าพวกเขาไม่ได้เป็นเจ้าของปืนมานาหรืออาจใช้กระสุนหมดแล้ว
บางทีเทคนิคศิลปะการต่อสู้ของพวกเขาก็ไม่ได้เทียบเท่ากับการเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณของสัตว์ป่าระดับห้าดาว แต่เจสันจะไม่เพียงแค่เฝ้าดูใครบางคนที่กำลังจะตายต่อหน้า
หัวใจของเขาเริ่มเต้นดังเมื่อเขารู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้อาจเป็นเรื่องโง่เขลาเนื่องจากฐานะที่ต่ำต้อย แต่เขาไม่สามารถปล่อยให้เด็กๆพวกนั้นตายโดยไม่ได้พยายามช่วย
หมาป่าเกือบจะล้อมกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มเล็ก ๆ แล้วและมีบางตัวที่กระโจนเข้าใส่พวกเขา และชายหนุ่มผมสีดำ ดวงตาสีทองก็ปรากฏตัวขึ้นระหว่างหมาป่าสองตัวที่ยืนห่างกันเพียงสองเมตร
เจสันไม่มีเวลาลังเลในขณะที่เขาใช้มานาขั้นสูงเกือบหนึ่งในสี่ของเขาเพื่อปรับปรุงร่างกายส่วนล่างของเขา
ด้วยความเร็วที่น่าทึ่งของเขา เขาปรากฏตัวขึ้นระหว่างหมาป่าสองตัวโดยที่ไม่มีใครสังเกตุทัน
เขาปรับปรุงกริชของเขาด้วยชั้นของมานาก่อนที่จะแทงเข้าไป โดยแงเข้าไปที่คอหมาป่าตัวใดตัวหนึ่งก่อนที่เขาจะดึงกริชออกมาด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว
ไม่มีเสียงดังแม้แต่ครั้งเดียวยกเว้นเสียงกระแทกที่ดังออกจากร่างของหมาป่าที่ตายแล้วขณะที่เลือดพุ่งออกมาจากบาดแผล
แต่นี่ไม่ใช่ทั้งหมดในขณะที่ดวงตาของเจสันสว่างขึ้นเมื่อเขาหมุนตัวไปรอบ ๆ เพียงเพื่อแทงกริชเข้าไปในคอของหมาป่าอีกตัวหนึ่ง
เนื่องจากเจสันปรับปรุงกริชของเขาด้วยชั้นของมานา ความคมและความแน่นของกริชจึงเพิ่มขึ้นและแข็งแกร่งพอที่จะแทงทะลุกระดูกสันหลังส่วนคอได้โดยไม่มีปัญหา
เจสันฆ่าหมาป่าห้าดาวสองตัวโดยไม่ยากเย็นนัก เนื่องจากความพยายามในการลอบสังหารที่สมบูรณ์แบบ
อย่างไรก็ตามการต่อสู้ยังไม่จบลงเนื่องจากหมาป่ากว่าเจ็ดตัวยังมีชีวิตอยู่
แต่หมาป่าตัวหนึ่งสังเกตเห็นว่าสองพี่น้องของมันหายไปเมื่อได้ยินเสียงดังสองครั้งเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน
เมื่อหันไปมองก็เห็นหมาป่าที่ตายแล้วสองตัวและเด็กกลุ่มนี้ยืนอยู่ห่างจากตัวมันเองเพียงไม่กี่เมตร มันจึงวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่รวดเร็ว
เมื่อมองไปที่เด็กหนุ่มผมสีดำที่มีคราบเลือดบนใบหน้าของเขา หมาป่าก็เข้าสู่ความโกรธทันทีก่อนที่มันจะเห็นดวงตาที่เปล่งประกายสีทองลึกของเด็กหนุ่ม
ความโกรธเกรี้ยวของมันสลายไปเกือบจะในทันทีโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้ข้างหลังขณะที่ร่างของหมาป่าเริ่มสั่นเทาเมื่อมองเข้าไปในดวงตาสีทองเย็นชาเหล่านี้
หมาป่ารู้สึกหวาดกลัวและรู้สึกราวกับว่า ภูติแห่งความตายมาเคาะประตูเพื่อต้อนรับมันสู่ห้วงอเวจี
มันต้องการที่จะถอยหนีและวิ่งหนีจากเด็ก ๆ ให้ไกลที่สุด แต่ก่อนที่มันจะหันกลับมาเด็กหนุ่มนั้นอยู่ห่างจากมันเพียงหนึ่งเมตร
เจสันสังเกตเห็นความลังเลของหมาป่า แต่เขาไม่แน่ใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเพราะมันผิดปกติมาก
โดยไม่สนใจสถานการณ์ เจสันใช้ช่องว่างที่เพิ่งเปิดออก เลื่อนเข้าไปใต้ท้องเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีจากศีรษะอย่างกะทันหัน
ท้องของมันถูกผ่าออกอย่างหมดจดเลือดและะอวัยวะต่างๆก็ไหลทะลักออกมาใส่เจสันที่กระโดดขึ้นมาหลังจากเช็ดหน้าเช็ดตา
เขาใช้มานาไปแล้วกว่าครึ่งและดูแลการต่อสู้ของเด็กทั้งสี่และยังเหลือหมาป่าอีกหกตัว
เขาถูกมองว่าผิดศีลธรรมที่ฆ่าเหยื่อของบุคคลอื่นและเจสันให้การสนับสนุนเพียงเล็กน้อย
เพียงไม่นานกว่าหกนาทีต่อมาหมาป่าตัวสุดท้ายก็ถูกฆ่าในที่สุด
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้นเจสันได้ปล่อยให้เด็ก ๆ ไปรับศพสัตว์ป่าระดับห้าดาวสามตัวของเขาไป
เขาฆ่าพวกมันเพื่อให้พวกมันเป็นของเขา ในขณะที่เด็ก ๆ ไม่คิดที่จะเอาพวกมันไปจากเจสัน เพราะพวกเขารู้สึกขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของเจสน
เจสันไม่ค่อยดีกับการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและเขาก็ทิ้งเด็กกลุ่มนี้ไว้ หลังจากสนทนากันไม่นาน
กลุ่มวัยรุ่นสี่คนขอบคุณเจสันเและพวกเขาต้องการให้อะไรตอบแทนเขา แต่เขาปฏิเสธอย่างสุภาพก่อนออกจากที่นั้น
อาร์เทมิสเต็มไปด้วยอะดรีนาลีน จึงไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดในขณะนี้
พวกเขาต้องกำจัดนกแร้งให้เร็วที่สุด เพื่อให้เจสันสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของอาร์เทมิสได้
เนื่องจากไม่สามารถบินได้ ทำให้การกระทำของนกแร้งจึงค่อนข้างช้ามากกว่าก้าวร้าว ซึ่งทำให้เจสันประหลาดใจเล็กน้อย ทำให้เขาต้องเคลื่อนไหวเข้าสู้
นกแร้งอยู่ห่างจากเขาประมาณ 10 เมตรและเจสันเดินเข้าไปใกล้ ๆ อย่างช้าๆจนกระทั่งถึงระยะสี่เมตร
เขาเปลี่ยนท่าทางได้อย่างราบรื่น แต่รวดเร็วเป็นพิเศษ และก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับโน้มตัวไปข้างหน้า
หลังจากก้าวเพียงครั้งเดียว เจสันก็หลบหลีกเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของปีกที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของนกแร้งในขณะที่ อาร์เทมิสร้องเสียงหลงจากด้านบน
เธอโฉบลงมาและทำการก่อกวนทำให้นกแร้งรู้สึกว้าวุ่นใจจากเสียงร้องของสัตว์ร้ายสีขาวขณะที่มันหันหัวขึ้นเพื่อจะจโจมตีกลับสัตว์ร้ายที่ที่อยู่บนฟ้า
น่าแปลกที่การโจมตีไม่ได้มาจากด้านบน แต่มาจากด้านหน้า
เจสันพุ่งหมัดที่รวดเร็ว แต่ส่งผลกระทบต่อหัวของนกแร้ง
ในขณะที่หมัดที่ห่อหุ้มมานาคนหนึ่งชกออกไป มืออีกข้างหนึ่งก็พยายามเอากริชเหล็กหยกออกจากปีกของมันเพื่อที่จะทำให้การต่อสู้ต่อไปนี้ง่ายขึ้นสำหรับพวกเขา
แต่น่าเสียดายที่ดึงกริซออกมาไม่ได้
ตอนนี้นกแร้งตัวสั่นเพราะรับบาดเจ็บ เนื่องจากเห็นเพียงภาพไม่ชัด
เนื่องจากได้รับบาดเจ็บนกแร้งจึงโกรธและเห็นเด็กที่พร่ามัวห่างจากมันเพียงไม่กี่ก้าว นกแร้งจึงพยายามตีด้วยกรงเล็บของมัน เจสันกลิ้งตัวหนี แต่ก็ยังพอโดนการโจมตีขอมันเข้าที่หลังเพียงเล็กน้อย
เจสันเห็นว่ากริชเริ่มจะหลุด เนื่องจากการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันของนกแร้ง ทำให้กริชหลุดออกจากปีกของนกแร้ง
เมื่อเห็นอย่างนั้นเจสันก็หลีกเลี่ยงจงอยปากของนกแร้งก่อนที่จะพุ่งเข้าไปหยิบกริซที่หล่นอยู่
นกแร้งไม่ได้คิดถึงสิ่งนั้น มันเสียสมาธิเนื่องจากการโฉบโจมตีครั้งที่สองของอาร์เทมีสตรงที่หลังของมัน
กรงเล็บที่ใส่มานาของเธอไม่สามารถแทงทะลุขนนกของนกแร้งได้
นกแร้งยังรำคาญ แต่มันก็ตัดสินใจที่จะปฏิบัติต่ออาร์เทมิสเป็นมดที่น่ารำคาญซึ่งไม่คุ้มค่ากับความสนใจ
อย่างไรก็ตามการมุ่งเน้นไปที่เจสันเพียงอย่างเดียวอาจเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของอีแร้ง
ในขณะที่เจสันเอื้อมมือหยิบกริซขณะที่นกแร้งไล่ตามเขา อาร์เทมิสก็ใช้ปีกของเธอ บินพุ่งเข้าใส่หัวของนกแร้งที่ไม่มีขนนกปกคลุม
ใช้มานาสำรองทั้งหมดของเธอบนกรงเล็บของเธอเธอ ได้เจาะเข้าไปในกระโหลกของนกแร้ง
มันไม่เพียงพอที่จะฆ่านกแร้งได้ แต่มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทำให้มันสั่นไปทั้งตัว ซึ่งทำให้เจสันมีเวลามากพอที่จะหยิบกริชของเขาและแทงมันเข้าไป
เมื่อเจาะเข้าไปในร่างกายของนกแร้ง ขนนกนั้นขัดขวางการโจมตีเล็กน้อย แต่มันยังคงเจาะเกราะป้องกันและได้กระทบนื้อสดของนกแร้ง
เมื่อเจาะทะลุผ่านมันเสียงร้องอันเจ็บปวดดังก้องไปทั่วบริเวณที่เกิดจากนกแร้ง
หูของเจสันปวดและเขาจึงเข้ารีบเอามือปิดหู
เสียงกรีดร้องที่เจ็บปวดก็ดังขึ้นจนกระทั่งมันเงียบไปหลังจากนั้นครู่หนึ่ง
เมื่อรู้สึกถึงพลังชีวิตภายในนกแร้งที่หายไปและผลที่ตามมาจากการตายของมัน เจสันก็ทรุดลงกับพื้นในขณะที่เขาเหนื่อยเกินกว่าที่จะยืนบนพื้นได้อย่างมั่นคง
การต่อสู้ทั้งหมดใช้เวลาไม่นาน โดยเริ่มจากการโจมตีของนกแร้ง แต่จิตใจของเขาคำนวณความเป็นไปได้หลายร้อยครั้งที่เพิ่มความตึงเครียดับการบาดเจ็บของอาร์เทมิสและการที่เขาไม่มีอาวุธ มันเกินความสามารถของเจสัน
ร่างกายของเขายังคงสบายดี ยกเว้นการบาดเจ็บเล็กน้อยที่หลังและเลือดยังคงไหลออกมา
เจสันลุกขึ้นเก็บศพของแร้งเมื่ออาร์เทมิสร่อนมาหาเขาด้วยอาการบาดเจ็บ
หลังการต่อสู้อาร์เทมิสแทบจะรู้สึกได้ในทันทีว่าได้รับบาดเจ็บที่หลัง ซึ้งสร้างความลำบากให้กับเธอในการบินเล็กน้อย
เธอบินไปเกาะบนไหล่ของเจสันและทั้งคู่ออกจากเขตป่าให้เร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้ถ้ามีสัตว์ร้ายเข้ามาในตอนนี้
30 นาทีต่อมาพวกเขาก็กลับเข้ามาในโดมอีกครั้ง
ดวงอาทิตย์กำลังจะตกในขณะที่แสงแดดเล็กน้อยรวมกับแสงจากเต็นท์ขนาดคฤหาสน์ทำให้ความสว่างเกิดขึ้นโดยรอบ
เด็กหลายคนนั่งอยู่รอบ ๆ กองไฟคุยกัน ขณะที่เจสันเดินผ่านพวกเขาไปโดยไม่ทักทายใครหรือสนใจพวกเขาเลย
เจสันเป็นคนที่เด็ก ๆ พูดถึงหลังจากเห็นเขเดินเข้ามาในโดม
ใบหน้าของเขาดูสวยงามเกือบจะเป็นผู้หญิง หากลักษณะใบหน้าที่มีรายละเอียดของเขาจะไม่สามารถพูดเป็นอย่างอื่นได้เนื่องจากดวงตาสีทองกลมโตที่ส่องสว่างด้วยแสงไฟโดยรอบเป็นการตอกย้ำการกลับมาของเจสัน
ผมสีดำของเจสันยุ่งเหยิงและเสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่งและสกปรกทำให้เขาดูเหมือนเด็กป่า
เมื่อรู้สึกถึงมานาของเขาและอาร์เทมิส พวกเขาพบว่าเจสันอ่อนแอมากแม้เทียบกับพวกเขาด้วยการที่เจสันแผ่มานาของระดับมือใหม่ลำดับ 5 และเห็นได้ชัดว่าอาร์เทมิสเป็นสัตว์ป่าระดับสองดาว
เด็กๆ สงสัยว่า ที่เด็กชายตาสีทองหน้าตาเป็นเช่นนี้เพราะการต่อสู้กับสัตว์ป่าสามดาวและเริ่มหัวเราะเยาะเขา
พวกเขาหารู้ไม่ว่าความผันผวนของมานาอันดับ 5 ของมือใหม่ในความเป็นจริงนั้นเป็นแค่อันดับที่ 3 ของมือใหม่ที่ต่อสู้กับสัตว์ป่าระดับห้าดาว 3 ตัวที่และสังหารพวกมัน แม้ว่ากระบวนการต่อสู้ทั้งหมดจะเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและการลอบสังหารที่ซ่อนอยู่
เด็กๆ เหล่านี้จะกล้าทำอะไรแบบนั้นก็ต่อเมื่อพวกเขาไปถึงอันดับ 8 หรือ 9 ของมือใหม่และมีอาวุธที่เหนือกว่าเท่านั้นถึงจะป้องกันตัวเองได้
พวกเขาส่วนใหญ่จะยังคงมาพร้อมกับผู้พิทักษ์หรือเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ เพื่อช่วยพวกเขาหากพวกเขาเสียเปรียบ
เจสันเข้าไปในเต็นท์ของเขา เขาทายาให้อาร์เทมิสและแผลของเขา ในขณะที่เขาพันแผลของตัวเองเขา และเปิดแปลของอาร์เทมิสไว้
เขาไม่แน่ใจว่าบาดแผลลึกแค่ไหน แต่บริเวณที่เธอบาดเจ็บอยู่ในจุดที่ไม่ดี
ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจมอบแกนของสัตว์ป่าสองดาวทั้งหมดให้แก่อาร์เทมิส เพื่อเร่งกระบวนการรักษาของอาร์เทมิสด้วยมานาจำนวนมหาศาลที่เธอสามารถย่อยได้
เธออาจจะนอนไม่กี่วัน เพื่อรักษาตัว
น่าเสียดายที่เขาต้องฆ่าสัตว์ป่าระดับห้าดาวอีกสองตัว จนกว่าจะถึงวันมะรืนนี้ แต่เขาไม่ควรบังคับให้อาร์เทมิสร่วมต่อสู้กับอาการบาดเจ็บซึ่งอาจลงเอยด้วยผลลัพธ์ที่ร้ายแรง
อาร์เทมิสกลืนแกนกลางลงไป ก่อนที่เธอจะเข้าไปในโลกแห่งวิญญาณเพื่อย่อยมานาที่ท่วมท้น
ในขณะเดียวกันเจสันก็กินเนื้อสัตว์และหลังจากนั้นเขาก็เข้าไปในโลกแห่งวิญญาณเพื่อฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ ก่อนที่เขาจะล้างตัวและนอนหลับไป
เจสันยืนขึ้นภายในพุ่มไม้และรีบออกไปทันทีเมื่ออาร์เทมิสเริ่มโจมตีกระทิง
เจสันสัมผัสได้ถึงความประหลาดใจของอาร์เทมีส
หลังจากนั้นเขารู้สึกว่าเธอใช้มานาจำนวนมากเพื่อเสริมสร้างปีกของเธอเพื่อเร่งความเร็วในการบินของเธอ
เจสันเริ่มกังวล แต่เขาก็บอกตัวเองว่าต้องสงบสติอารมณ์เพราะสามารถมองเห็นขนนกของอาร์เทมิสได้จากที่ไกล ๆ
เธอบินสูงอย่างน้อย 20 เมตรบนท้องฟ้าในขณะที่ด้านล่างของเธอ เจสันสามารถมองเห็นวัวกระทิงสีเขียวกำลังไล่ตามเธออยู่บนพื้น
วัวกระทิงถูกห่อหุ้มด้วยมานาสีเขียวอ่อนคำรามกราดเกรี้ยว
เธอต้องใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการหลบหลีกพวกมันซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
อาร์เทมิสขว้างก้อนหินใส่วัวกระทิงและสร้างความสนุกสนานกับมันซึ่งทำให้วัวกระทิงโกรธมาก
การวิ่งตามและโจมตีสัตว์ร้ายที่บินได้ทำให้กระทิงพอใจเพราะมั่นใจอีกครั้งว่ามันเป็นเจ้าเหนือหัวในพื้นที่นี้
มันรู้ดีว่าสัตว์ร้ายตัวเล็กสามารถทนต่อการโจมตีของใบมีดลมได้เพียงไม่กี่นาทีก่อนที่มันจะหมดแรง
ใบมีดลมขนาดเล็กที่ใช้ ไม่ได้ใช้มานามากนักเนื่องจากการกลายพันธุ์ของวัวกระทิงซึ่งมันคิดออกโดยสัญชาตญาณ
โดยไม่คิดจะปกป้องตัวเองโดยสิ้นเชิง วัวกระทิงจ้องมองไปที่ท้องฟ้าโดยไม่ได้มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าขณะที่มันข้ามพุ่มไม้สีเขียวขนาดใหญ่
ทันใดนั้นวัวกระทิงก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ด้านข้างขณะที่มันเริ่มอ่อนแรงลงเมื่อขาของมันไม่สามารถรับน้ำหนักของวัวกระทิงได้อีกต่อไปก่อนที่มันจะล้มลง
เมื่อหันหัววัวกระทิงเห็นแถบสีแดงยาวที่มีกระดูกสีขาวยื่นออกมาจากลำตัวซึ่งเกิดจากกริชสีเขียวหยกที่ติดอยู่บนขาของมัน
ทั้งด้านข้างของวัวกระทิงขาดออกจากกันเลือดและอวัยวะที่ไหลออกมาจากบาดแผลขนาดใหญ่ที่เกิดจากกริช
กระทิงร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อเห็นเด็กหนุ่มบีบตัวออกจากพุ่มไม้ วัวกระทิงรู้สึกโกรธแค้น
ด้วยความพยายามครั้งสุดท้ายมันรวบรวมมานาที่เหลืออยู่ข้างในเพื่อยิงใบมีดลมออกมา
เจสันยังคงป้องกันคู่ต่อสู้คนแรกของเขาได้อย่างสมบูรณ์ด้วยพลังธาตุ
อย่างไรก็ตามเขายังแทบไม่สามารถหลบหลีกใบมีดลมได้ในขณะที่ร่างของใบมีดพัดผมของเขาออกไป
อาร์เทมิสดำดิ่งลงไปด้วยความโกรธหลังจากที่เจสันถูกโจมตี อาร์เทมิสเจาะเข้าไปในดวงตาของวัวกระทิงด้วยกรงเล็บอันแหลมคมของมัน
หลังจากนั้นน้ำหนักของสัตว์ร้ายก็หายไปทันทีที่วัวกระทิงตายโดยไม่ได้แก้แค้นผู้โจมตีของมัน
เจสันประหลาดใจที่แผนของเขาเป็นไปอย่างง่ายดายทำให้เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก
สิ่งเดียวที่ทำให้เขากังวลคือความจริงที่ว่าใบมีดลมเร็วกว่าที่เขาคาดไว้ในขณะที่อาร์เทมิสเกือบจะโดนพวกมัน
ถึงกระนั้นวัวกระทิงก็สนใจในตัวอาร์เทมิสมากเกินไป โดยที่มันไม่ได้สังเกตเห็นว่าเจสันกระโดดออกมาจากพุ่มไม้และฟันด้านหลังของวัวกระทิงด้วยกริชของเขา
บางครั้งแม้แต่นักล่าก็อาจถูกล่าและก็ไม่ควรรู้สึกปลอดภัยมากเกินไปในทุกที่
เจสันวิ่งไปที่ศพ และเห็นอาร์เทมิสใช้กรงเล็บหยิบแกนที่ไม่สมบูรณ์สีเขียวออกมา ซึ่งเขาหยิบออกมาจากกรงเล็บของเธอทันที
ปริมาณมานาภายในแกนนี้เกือบจะอยู่ในระดับที่ถูกปลุกและเขาไม่ต้องการให้อาร์เทมิสกินแกนนี้
มิฉะนั้นใครจะรู้ว่าเขาต้องรอให้เธอตื่นจากการหลับใหลอีกนานแค่ไหน
เหลือเวลาอีกไม่มากเพราะเขาต้องล่าสัตว์ป่าระดับห้าดาวอีกสี่ตัว
อย่างไรก็ตามเขาต้องพึ่งพาอาร์เทมิสเพื่อสิ่งนั้น
กระบวนการเติมมานาของอาร์เทมิสค่อนข้างเร็วในขณะที่เธอนั่งบนไหล่ของเจสัน
เจสันพยายามอย่างระมัดระวังเพื่อมองหาสัตว์ป่าห้าดาวที่อยู่ตัวเดียว
โชคดีของเขาไม่ถือว่าดีนักในขณะที่เขาเดินไปรอบ ๆ จนถึงบ่ายแม้จะละเลยการฝึกฝนนรกสวรรค์ของเขา เขาไม่พบอะไร …. ไม่มีสัตว์ป่าห้าดาวที่อยู่ตัวเดียวในสายตาของเขา
เขาเห็นกลุ่มเยาวชนจำนวนมากในช่วงกลางและยอดผู้ฝึกหัดเพียงไม่กี่คนที่ต่อสู้กับสัตว์ป่าระดับห้าดาวกลุ่มใหญ่
สุดท้าย! โชคของเจสันก็มา
เมื่อเห็นกลุ่มวัยรุ่นมากมายล้นหลามฝูงหมาป่าห้าดาวเจสันดีใจ โดยหมาป่านี้มีลักษณะตัวใหญ่และมีเขาแหลม
พวกมันแยกทางกันและหมาป่าที่ได้รับบาดเจ็บก็มุ่งหน้าไปทางของเขา
เจสันยังคงอยู่ห่างจากการต่อสู้ทั้งหมดประมาณ 100 เมตร
เขาดีใจที่เห็นเด็ก ๆ ไล่ตามหมาป่าตัวอื่น ๆ ในขณะที่หมาป่าตัวหนึ่งที่วิ่งมาหาเขาอยู่ตามลำพัง
เขาตัดสินใจที่จะซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้เขารอช่วงเวลาที่เหมาะสมในการซุ่มโจมตีหมาป่า
เมื่อเห็นหมาป่าวิ่งผ่านต้นไม้ เจสันรวบรวมมานาเพียงพอเพื่อที่จะเร่งความเร็วของเขาให้ถึงขีดจำกัด ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดโดยใช้มีดสั้นของเขาตัดคอของหมาป่าที่ไม่รู้ตัว
การลอบสังหารทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีและเป็นไปได้เพียงเพราะหมาป่าวิ่งไปตามพุ่มไม้อย่างโง่เขลาโดยไม่สนใจอันตรายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหมาป่าก็ทรุดตัวลงบนพื้นดวงตาของมันเปลี่ยนเป็นสลัวในช่วงเวลาสั้น ๆ
การเก็บศพโดยไม่รอช้า และเจสันก็เดินออกไปเมื่อเก็บศพของมันเสร็จ
เพียงครึ่งนาทีต่อมาเด็กหนุ่มสองสามคนก็พบจุดที่หมาป่าถูกฆ่า พวกเขามองลงไปที่ผืนหญ้าสีเขียวที่เปื้อนเลือดสด
เยาวชนเหล่านี้อายุน้อยกว่าเจสันอย่างน้อยหนึ่งปี แต่พวกเขาอยู่ในอันดับ 8 ของมือใหม่ซึ่งบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนคนหนึ่งมองไปที่แผ่นหญ้าที่เปื้อนเลือด
เจสันกำลังวิ่งไปไกลพร้อมกับรอยยิ้มอันสดใสบนใบหน้าของเขา
เจสันต้องตามล่าสัตว์ร้าย 3 ถึง 5 ตัวและเจสันยังมีเวลาเหลืออยู่จนกระทั่งสองวันต่อมาเมื่อเขาต้องพบกับเกร็ก
เขาไม่คิดว่าจะได้พบสัตว์ป่าระดับห้าดาวที่อยู่ตัวเดียว จนถึงตอนเย็นซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงสองชั่วโมง
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงเดินทางต่อไปในเขตป่า
อาร์เทมิสบินวนรอบตัวเขาในอากาศเพื่อมองหาเป้าหมายที่เป็นไปได้
ทันใดนั้นราวครึ่งชั่วโมงต่อม าสิ่งที่ทั้งคู่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
เหนืออาร์เทมีสท้องฟ้ามืดลงพร้อมกับความรู้สึกแปลก ๆ ที่กำลังเข้ามาหาเธอเมื่อเธอมองไปด้านบนมีเพียงนกแร้งตัวใหญ่ที่กำลังดำน้ำลงมา
อาร์เทมิสตกใจมากจึงร้องออกมาและก็พุ่งตัวลงทำมุมเก้าสิบองศาเพื่อหลบหนีจากกรงเล็บของแร้ง
เมื่อสังเกตเห็น อาร์เทมิส รู้สึกหวาดกลัว เจสันก็ได้ยินเธอร้องขณะที่เขามองไปข้างบน
ที่นั่นเขาเห็น อาร์เทมิส ดำดิ่งลงมาหาเขาขณะที่นกแร้งไล่ตามเธอ
นกแร้งตัวนี้หนักกว่าจึงดำดุ่งได้เร็วกว่าอาร์เทมิสและเจสันรู้ว่านกแร้งจะตามถึงตัวอาร์เทมิสในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา
เขาตัดสินใจและใช้สิ่งเดียวที่คิดได้
เจสันจับกริชของเขาอย่างแน่นหนา เจสันดึงแขนของเขากลับมาในขณะที่เขาเล็งด้วยมืออีกข้างหนึ่งตามวิถีด้วยนิ้วเดียว
เมื่ออัดมานาครึ่งหนึ่งเข้าไปในแขนที่ถือกริชเจสันโยนกริชพร้อมกับตะโกนดัง
เจสันรู้ว่าเขาไม่สามารถฆ่านกแร้งได้ในทันทีทำให้เขาเล็งไปที่ส่วนที่ใหญ่ที่สุดของนกแร้งนั่นคือช่องท้อง
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่พอใจเล็กน้อยขณะที่กริชแทงเข้าไปในปีกของนกแร้ง
ผลกระทบจากกริช นกแร้งเปลี่ยนวิถีการบิน
เมื่อสังเกตเห็นว่าอาร์เทมิสรู้สึกราวกับว่ามีก้อนหินถูกดึงออกจากหัวใจเล็ก ๆ ขณะที่เธอดำดิ่งจนจะถึงเจสัน
เธอดูหวาดกลัวอย่างมากราวกับว่าเธอหมดปัญญา
อย่างไรก็ตามเขาไม่มีอาวุธและนกแร้งที่ร่อนลงห่างจากพวกมันเล็กน้อย
เมื่อดวงตามานาของเขาเปิดใช้งานเขาก็พบว่านกแร้งเป็นสัตว์ป่าระดับห้าดาว
เจสันเห็นกริชติดอยู่ลึกเข้าไปในปีกของนกแร้งซึ่งทำให้เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก ในขณะที่เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
มันบินไม่ได้เพราะมีดสั้นที่ปีกของมัน แต่จะงอยปากที่แหลมคมและกรงเล็บของมันยังคงเป็นสิ่งที่น่ากลัว
ทั้งอาร์เทมิสและเจสันนั้นเร็วกว่านกแร้งที่ได้รับบาดเจ็บ โดยมีมานาบางส่วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แต่พวกเขาไม่ควรดูถูกคู่ต่อสู้เพียงคนเดียวเนื่องจากร่างกายและความแข็งแกร่งของนกแร้งยังคงสูงกว่าพวกเขามาก
เนื่องจากเขาไม่มีอาวุธที่จะป้องกันตัวเอง เจสันจึงต้องห่อมือด้วยมานาบาง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ปัญหาใหญ่อีกประการหนึ่งคืออาร์เทมิสที่ได้รับบาดเจ็บ!
เกือบสองสัปดาห์ผ่านไปและเหลือเพียง 2 วันของเขาเพื่อที่ เขาจะฆ่าสัตว์ป่าห้าดาวหรือสัตว์ที่ตื่นขึ้นมาหนึ่งตัวไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้นในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ที่สำคัญที่สุดคือความแข็งแกร่งของเจสันและอาร์เทมิสเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก
โดยไม่คาดคิดว่าอาร์ทิมิสได้ทำลายขีดจำกัดของเธอและเข้าสู่อันดับสัตว์ป่าสองดาวซึ่งทำให้เจสันตกใจอย่างมาก มานาที่เธอย่อยทุกวันทำให้ร่างกาย เลือดและแกนมานาของเธอเพิ่มขึ้น
เขาถามกับตัวเองว่าอาร์เทมิสสามารถพัฒนาได้อีกหรือไม่ หรือที่เธอสามารถทำลายขีดจำกัดของเธอได้เพราะการกลายพันธุ์ของเธอ?
หรือว่าสัตว์ร้ายทุกตัวสามารถทำได้ถ้ามีมานาเพียงพอ? แต่แล้ว … ทำไมดวงตาของเขาถึงบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับศักยภาพของสัตว์ร้าย?
อาร์เทมิสสามารถทะลุขีดจำกัดของเธอได้เพราะความสามารถในการย่อยอาหารที่เหนือกว่าสัตว์อื่นๆ หรือเพราะมานาจำนวนมาก? เจสันไม่รู้และเขาไม่สามารถหาคำตอบได้ เพราะเขายังไม่สามารถบอกได้ว่าศักยภาพของอาร์เทมิสมีขนาดไหน
การกลายพันธุ์ที่เจสันคิดว่าเป็นเรื่องที่ซับซ้อนซึ่งเกี่ยวข้องกับความตะกละและกระเพาะอาหารที่สามารถย่อยมานาจำนวนมหาศาลได้
แต่เจสันจะแน่ใจได้อย่างไรในขณะที่เขาไม่เคยได้ยินเรื่องการกลายพันธุ์แบบนี้มาก่อน นอกจากนี้เขายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าอาร์เทมิสสามารถกินอย่างอื่นได้หรือไม่? เธอยังไม่ได้กินอย่างอื่นนอกจากแกนของสัตว์ป่าและหินมานา
ขนนกของเธอส่องแสงมากขึ้นในแต่ละวันที่ผ่านมาและปริมาณมานาในเลือดของเธอก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อาร์เทมิสมีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อยโดยมีปีกกว้างมากกว่าหนึ่งเมตรในขณะที่ความยาวของเธออยู่ที่ประมาณ 35 เซนติเมตร แต่ที่สำคัญที่สุดคือแม้แต่กรงเล็บของเธอก็แข็งแรงขึ้น
เธอสามารถแทงทะลุเกล็ดของหมาป่าได้โดยไม่ต้องเสริมพลังด้วยมานา
อย่างไรก็ตามเจสันยังคงอยู่ในอันดับที่ 3 ของมือใหม่ในขณะที่ความเชี่ยวชาญของเขาเกี่ยวกับเทคนิคศิลปะการต่อสู้ที่ได้รับการปรับเปลี่ยนนั้นได้มีความเชี่ยวชาญอย่ามาก
ความสามารถในการต่อสู้ของเขาเพิ่มสูงขึ้นและเขาเรียนรู้วิธีใช้มานาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เขายังสามารถกำจัดสัตว์ป่าระดับสามดาวกลุ่มเล็ก ๆ และสัตว์ป่าสี่ดาวตัวเดียวได้ด้วยความช่วยเหลือของอาร์เทมิส
แต่นั่นไม่ใช่ทุกอย่างเนื่องจากเจสันใช้เทคนิคนรกสวรรค์วันละสามครั้ง แทนที่จะเป็นวันละครั้งซึ่งค่อนข้างดีที่จะเพิ่มพลังวิญญาณของเขาและรักษาเสถียรภาพของพลังวิญญาณ
เนื่องจากการพัฒนาตามธรรมชาติของอาร์เทมิส เจสันจึงได้รับพลังวิญญาณร่วมกันมากขึ้น มานาและร่างกายของเขาจึงเพิ่มขึ้น
เจสันมีความสุขที่อาร์เทมิสแข็งแกร่งขึ้นและแกนมานาของเขามีขนาดเท่ากับอันดับ 5 ของมือใหม่ ในขณะที่ร่างกายของเขาถึงมาตรฐานอันดับ 4 ของมือใหม่
อย่างไรก็ตามพลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นจาก 1 หน่วยเป็น 2 หน่วย
เนื่องจากการเติมพลังวิญญาณอย่างรวดเร็วของเจสันและการใช้เทคนิคนรกสวรรค์สามครั้งต่อวันซึ่งเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนพลังวิญญาณของเขาจึงเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า
และมันยังเพียงพอที่จะควบคุมอาร์เทมิสได้ แต่เมื่อเธอไปถึงระดับสัตว์ป่าสามดาว เจสันอาจจะมีปัญหาเนื่องจากความต้องการพลังงานวิญญาณจะอยู่ที่ประมาณ 4 หน่วย
ดังนั้นเขาควรทำงานหนักและฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ให้บ่อยที่สุด
ด้วยพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นของเขาเป็นสองเท่าจากหนึ่งเป็นสอง การฝึกฝนแต่ละครั้งจะเพิ่มพลังวิญญาณของเขาเป็นสองเท่าจากเมื่อสองสัปดาห์ก่อน และสิ่งนี้จะดำเนินต่อไป
เจสันได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่างและเขาชอบที่จะลองใช้ทฤษฎีที่เขาเริ่มพัฒนา แต่สำหรับเขาการที่จะลองสิ่งนี้ เขาจะต้องใช้พลังงานวิญญาณไม่น้อย
วันนี้เขาจะล่าสัตว์ป่าระดับสี่ดาว 2ตัวและถ้าเขาสามารถฆ่าพวกมันสองหรือสามตัวโดยไม่ได้รับบาดเจ็บเขาจะพยายามลอบสังหารสัตว์ป่าระดับห้าดาว
มันอันตราย แต่เขาจะทำอย่างไร? ด้วยมาตรการและยุทธวิธีด้านความปลอดภัยที่เพียงพอซึ่งเกี่ยวข้องกับอาร์เทมิสเขาจึงมั่นใจที่จะไม่ตายจากสัตว์ป่าสี่ดาว
ไม่มีทางที่เขาจะล่าสัตว์ที่ตื่นขึ้นมาได้ เนื่องจากมีความแตกต่างกันอย่างมากในความแข็งแกร่งในการต่อสู้ระหว่างสัตว์ป่าและสัตว์ที่ถูกปลุก
เมื่อสัตว์ร้ายถึงอันดับที่ถูกปลุกความเป็นไปได้ที่จะปลุกความสามารถก็จะปรากฏขึ้น
ในขณะที่สัตว์ร้ายบางตัวไม่มีความสามารถเพียงอย่างเดียว แต่ลักษณะทางกายภาพของพวกมันจะเพิ่มขึ้นมากเมื่อพวกมันไปถึงอันดับที่ถูกปลุกขึ้นมา
ถ้าเขาคิดถึงความรู้สึกจริง เจสันรู้สึกกลัวอย่างมากที่ต้องต่อสู้กับสัตว์ป่าระดับห้าดาวในขณะที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าของอันดับมือใหม่ ในท้ายที่สุดเขาต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายที่มีพละกำลังและมานาอย่างน้อยสองเท่า
เจสันมั่นใจในการควบคุมมานาความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้ ความเฉลียวฉลาดและความสามารถในการบอกล่วงหน้าว่าเขากำลังจะถูกโจมตีรูปแบบไหน
ตลอดทั้งเช้าเขามองหาจุดที่มีต้นไม้และพุ่มไม้อยู่รอบ ๆ เพื่อซ่อนตัวและจู่โจมกลุ่มสัตว์ร้ายสี่ดาวตัวเล็ก ๆ ทันใดนั้นเขาก็เห็นวัวกระทิงตัวสีเขียวเกือบสมบูรณ์เดินไปมาพร้อมกับยกหัวขึ้นสูง
เมื่อมองไปที่แกนมานาของสัตว์ร้ายเจสันก็พบบางสิ่งที่น่าสนใจ
ออร่ารอบตัวสัตว์ร้ายเป็นสีดำซึ่งบ่งบอกถึงโอกาสที่จะไปถึงอันดับที่ตื่นขึ้นมา แต่การสแกน แกนมานาดูเหมือนว่ามันเป็นวัวกระทิงที่มีเขาสีดำที่มีการกลายพันธุ์ของธาตุเนื่องจากมานามีร่องรอยสีเขียวอยู่ภายใน
เป็นเรื่องยากมากที่จะได้เห็นสัตว์ร้ายที่มีความสามารถเป็นองค์ประกอบและปัญหาของสัตว์ป่าที่มีความสัมพันธ์เป็นเพียงต้องใช้มานาจำนวนมหาศาลเพื่อที่จะรวมความสัมพันธ์เข้ากับร่างกายของสัตว์ร้ายได้อย่างสมบูรณ์ ..
สิ่งนี้ทำให้ร่างกายของสัตว์ป่าเหล่านี้อ่อนแอกว่าตัวอื่นๆ
เมื่อมองไปที่กระทิงดำที่มีเขาสีดำกลายพันธุ์ที่มีธาตุลมอยู่ตรงหน้าเขา เจสันคาดว่าความแข็งแกร่งทางกายภาพของมันน่าจะใกล้เคียงกับสัตว์ป่าสามดาวทั่วไป
อย่างไรก็ตามการมีความสัมพันธ์เชิงองค์ประกอบทำให้มันแข็งแกร่งที่สุดในช่วงเวลาหนึ่ง
หากสัตว์ป่าระดับห้าดาวธรรมดาจะโจมตีวัวกระทิงตัวนี้ เจสันไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าใครจะเป็นผู้ชนะเนื่องจากวัวกระทิงอาจจะใช้องค์ประกอบของมันเพื่อยิงเศษหรือใบมีดออกมาฆ่าสัตว์ป่าระดับห้าดาวธรรมดาได้อย่างง่ายดาย สัตว์ร้าย.
การมีร่างกายที่อ่อนแอกว่าจะไม่สำคัญในกรณีนี้ เนื่องจากไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ร่างกายเพื่อเอาชนะศัตรู
และด้วยการกลายพันธุ์เช่นนี้ เมื่อวัวกระทิงไปถึงอันดับที่สูงขึ้นความสัมพันธ์ทางลมก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในขณะที่ข้อเสียของการมีร่างกายที่อ่อนแอจะลดน้อยลงอย่างช้าๆ
เมื่อคิดอยู่พักหนึ่งเจสันตัดสินใจว่าการโจมตีวัวกระทิงกลายพันธุ์อาจเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการฆ่าสัตว์ป่าระดับห้าดาว เจสันจะส่งอาร์เทมิสออกไปดูลาดราวของวัวกระทิงที่กลายพันธุ์ในขณะที่เขาคิดหาวิธีต่างๆเพื่อเข้าใกล้วัวกระทิงโดยไม่ให้มันรู้ตัวได้อย่างไร
เขาคิดวิธีแก้ปัญหาวิธีหนึ่ง แต่เขาไม่ชอบความคิดนี้เพราะเขาต้องใช้อาร์เทมิสเป็นเหยื่อล่อ
เจสันได้ถามอาร์เทมิสด้วยจิตที่สื่อกัน และอาร์เทมิสก็ตอบรับด้วยความมั่นใจ แต่เขาก็ยังเป็นห่วงอาร์เทมิสและหวังให้เธอปลอดภัยและรอบคอบ
เด็ก ๆ ที่เจสันสามารถเห็นหน้าโดมดูเหมือนพวกเขาอายุประมาณสิบสองปี แต่อาวุธและชุดเกราะที่พวกเขาสวมนั้นบ่งบอกถึงความมั่งคั่งระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับเจสัน
เขายากจนกว่าที่เคยเป็นมาก่อน แต่เขาไม่ได้สนใจเลยเพราะเขามีจิตวิญญาณที่ไม่เหมือนใคร ดวงตามานาที่พิเศษและจิตวิญญาณที่สวยงาม
เมื่อออกไปข้างนอกโดมเข้าไปในโซนสัตว์ป่าระดับหนึ่งดาว เจสันโดยมีอาร์เทมิสบินวนเวียนอยู่เหนือเขา เขาก็พบกับกลุ่มหมาป่าสองดาวสี่ตัวที่โจมตีเจสันและอาร์เทมิส
นี่เป็นเรื่องไม่ดี เมื่อหมาป่าเกล็ดตัวหนึ่งดูใหญ่กว่าตัวอื่น ๆ
เมื่อเปิดใช้งานดวงตาของเขา เขาเห็นว่าแกนกลางของมันเกือบจะถึงระดับสัตว์ป่าสามดาวแล้วและมานาที่มันมีก็ใหญ่กว่าหมาป่าอีกสามตัวเล็กน้อย
ดวงตามานาของเขาตรวจพบความผิดปกติบางอย่างภายในหมาป่าตัวใหญ่และเจสันสรุปว่ามันอาจจะเป็นการกลายพันธุ์หรืออะไรทำนองนั้น แต่เขาไม่แน่ใจ
เจสันรู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่ด้วยอาร์เทมิสที่เป็นกำลังใจ เขาจึงเข้าสู่ท่าทางการต่อสู้เพื่อต้อนรับศัตรูของเขา
เนื่องจากอาร์เทมิสเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งในแต่ละวันร่างกายของเจสัน แกนมานาและแม้กระทั่งสายตาของเขาก็ดีขึ้นพร้อมกับเธอและในการต่อสู้ครั้งนี้สายตาที่โดดเด่นของเขาก็มีบทบาทสำคัญ
กลุ่มหมาป่าที่ปรับขนาดได้ ก่อตัวเป็นครึ่งวงกลมและพยายามล้อมรอบเขาในขณะที่อาร์เทมิสโจมตีหมาป่าที่จากด้านหลังเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขา
ครั้งหนึ่งหมาป่าเข้ามาในระยะที่ใกล้รอบตัวเขา เจสันโจมตีมันและบังคับให้มันถอยหลังในขณะที่อาร์เทมิสใช้โอกาสนี้ในการดำดิ่งลงไปบนหมาป่าที่กำลังถอยกลับเพื่อแทงกรงเล็บที่ใส่มานาของเธอเข้าไปในหมาป่าไว้ด้านหลัง
หากไม่ใส่มานาเข้าไปในกรงเล็บของเธอ เธอจะไม่สามารถเจาะทะลุเกล็ดหนา ๆ ได้ แต่ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพมานาเธอจึงเจาะเข้าไปที่หลังของมันได้อย่างง่ายดายและทำให้มันบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย
หมาป่าร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดหมาป่าบิดหัวเพื่อหาผู้ที่โจมตีมัน แต่นี่เป็นข้อผิดพลาดเนื่องจากมันยังอยู่ใกล้กับระยะของเจสัน
เจสันเติมมานาเข้าไปในร่างกายส่วนล่างของเขาเพื่อเพิ่มความเร็วในขณะที่ผลักตัวเองออกไปหาหมาป่าที่ได้รับบาดเจ็บ
หมาป่าอีกสามตัวกำลังพุ่งและตะครุบใส่เจสัน แต่มันสายเกินไปแล้วเมื่อสหายของพวกมันเสียชีวิตด้วยมีดสั้นในลำคอเพราะเจสันใช้จังหวะเวลาที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากเขาสังเกตเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการโจมตี
นี่เป็นเพราะดวงตาของเขาสามารถบอกได้ด้วยรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่าหมาป่าที่ปรับขนาดได้พวกนี้ จะหันมาหาอาร์เทมิสและเจสันก็ใช้สิ่งนี้เพื่อทำให้มันจบลง
หลังจากฆ่าหมาป่าที่มีเกล็ดแล้วเจสันก็ใช้ร่างของมันเป็นเกราะป้องกันเนื้อ เพราะหมาป่าที่มีเกล็ดที่แข็งแกร่งกว่านั้นอยู่ข้างหลังเขาแล้วซึ่งเจสันคาดการณ์ไว้
ศพหมาป่าที่ปรับขนาดนั้นมีน้ำหนักมาก แต่การใช้มานาเพียงหนึ่งในสี่ของเขาก็เพียงพอแล้วที่จะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับตัวเองในการขว้างศพไปที่หมาป่า
อาร์เทมิสอยู่กลางอากาศรอให้เหยื่อรายต่อไปของเธอตกหลุมพราง ขณะที่เธอดูแลการต่อสู้ในขณะที่เจสันโจมตีหมาป่าที่มีขนาดใหญ่กว่าซึ่งทำให้ประหลาดใจ
เจสันไม่สามารถโจมตีร่างกายของมันได้โดยตรงเนื่องจากศพของหมาป่าที่ตายแล้วขวางทางเขา แต่เขาแทงด้วยกริชเพื่อตัดอุ้งเท้าของมัน
หมาป่าที่มีขนาดใหญ่กว่าตกใจร้องตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวดในวินาทีที่มีบางสิ่งสีขาวพุ่งลงมาที่หัวของมันแทงเข้าไปในดวงตา
ทีมเวิร์คของเจสันและอารืเทมิสนั้นยอดเยี่ยมและมีไม่มากนักที่สามารถสร้างทีมเวิร์คได้ภายในระยะเวลาอันสั้นที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน
เราสามารถพูดได้ว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันโดยกำเนิดและเป็นเรื่องยากที่จะเห็นการปฏิบัติ ซึ่งกันและกันในการต่อสู้สี่ต่อสองในขณะที่มีความแข็งแกร่งที่อ่อนแอกว่า
ยังมีหมาป่าที่ไม่ได้รับบาดเจ็บสองตัวพุ่งเข้าใส่เจสันและทั้งคู่อยู่ห่างจากเขาเพียงสามเมตรเมื่อพวกมันพยายามล้อมรอบเขา
พวกมันคิดว่ากลวิธีปกติของพวกมันจะใช้ได้ผลกับเจสัน แต่พวกมันพลาดข้อเท็จจริงที่สำคัญ
เขาไม่ได้อยู่คนเดียว!
ในขณะที่ทั้งสองตะครุบเข้าหาเขา ในเวลาเดียวกันอาร์เทมิสก็ร้องออกมาโดยชี้ให้เห็นว่าหมาป่าที่อยู่ข้างหลังเจสันก็ตะครุบเขาในเวลาเดียวกัน
ตอนนี้เจสันรู้แล้วว่าทั้งคู่กำลังพุ่งใส่เขาในเวลาเดียวกัน
ดังนั้นเขาจึงก้มตัวลงและใช้มานาอีกหนึ่งในสี่ของเขาเพื่อเพิ่มความเร็วให้สูงที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้เพื่อพุ่งตรงไปด้านหน้าโดยที่หมาป่าตาบอดและได้รับบาดเจ็บยังคงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด โดยไม่สนใจความหายนะที่จะเผชิญ ในวินาทีต่อมา
ในขณะที่หมาป่าที่ไม่ได้รับบาดเจ็บทั้งสองตัวพุ่งเข้าหากันและชนกันเนื่องจากเจสันได้พุ่งตัวไปหาหมาป่ามีเกล็ดตัวใหญ่ เจสันก็จัดการหมาป่าที่มีขนาดใหญ่กว่าด้วยการโจมตีเดียว
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเจสันค้นพบพรสวรรค์ในการต่อสู้ของเขาซึ่งอาจมาจากสายตาที่ดีของเขาในขณะที่ความสามารถในการมองเห็นการไหลของมานานั้นค่อนข้างดี
นอกจากนี้ยังเป็นวิธีที่ง่ายกว่าสำหรับเขาในการตรวจจับว่าสัตว์ร้ายจะโจมตีเขาที่ไหนและการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปจะต้องขอบคุณรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มีความสำคัญ
หมาป่าที่เหลือทั้งสองตัวส่ายหัวด้วยความเจ็บปวด
หลังจากนั้นพวกมันมองไปที่เจสันอย่างโกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นผู้นำที่ตาย
ทั้งสองพุ่งเข้าใส่เขาโดยตรงและนี่เป็นสิ่งที่คุกคามมากที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับเจสันเนื่องจากเขาไม่สามารถป้องกันสัตว์ร้ายสองตัวในเวลาเดียวกันได้ด้วยกริชเล่มเดียว
โชคดีที่อาร์เทมิสกลับขึ้นไปบนอากาศดำดิ่งลงไปบนหมาป่าที่มีเกล็ดตัวหนึ่งซึ่งเห็นภัยคุกคามมาที่มัน
เจสันเห็นสิ่งนี้บังคับให้หมาป่าที่ถูกโจมตีต้องตัดสินใจอย่างยากลำบากในขณะที่เขาใช้มานาสุดท้ายที่เหลืออยู่เพื่อชาร์จมัน
ตอนนี้ถูกโจมตีด้วยภัยคุกคามสองตนในเวลาเดียวกันมันถูกครอบงำและหยุดการชาร์จของมันทรยศเพื่อนคนสุดท้ายที่มีเพราะมันไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไร
น่าเสียดายที่สัญชาตญาณของหมาป่าที่ปรับขนาดได้บอกว่ามันควรจะวิ่งหนี
หมาป่าเกล็ดที่ถูกทรยศไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันเห็นเด็กน้อย พุ่งเข้าใส่เพื่อนของมันขณะที่มันพยายามช่วย
อย่างไรก็ตามมันสามารถเห็นได้เฉพาะ เด็กที่เปลี่ยนเส้นทางด้วยการก้าวย่างไปทางด้านข้าง
อาร์ทิมิสหยุดการโจมตีของเธอ หลังจากที่เธอเห็นหมาป่าหยุดการชาร์จของมันในขณะที่เจสันเปลี่ยนเส้นทางโดยหันมีดสั้นลงเพื่อที่จะแทงเข้าไปที่ด้านข้างของหมาป่า
หมาป่าไม่ได้คาดว่าความเร็วของเจสันจะเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้และมันก็ไม่รู้ถึงการบาดเจ็บของมันในขณะที่กริซได้แทงเข้าไปในลำคอของมัน
เจสันรู้สึกเหนื่อยล้าโดยที่เขาไม่คิดว่าจะต้องใช้มานาทั้งหมดในเวลาอันสั้น แต่ความเร็วของเขาไม่ได้ลดลงเมื่อหมาป่าที่ถูกหยุดมองเห็นเพื่อนตัวสุดท้ายตายเพราะความผิดของมัน
หมาป่าที่ได้รับความโกรธเกรี้ยวโจมตีเจสันเพียงเพื่อให้จบลงในสถานการณ์เดียวกับที่ผ่านมา
อารืเทมิสโจมตีหมาป่าจากด้านบนในขณะที่ เจสันพุ่งเข้าใส่มันจากด้านหน้า
มันคิดว่าเจสันเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่กว่ามันจึงเลือกโจมตีเจสันกลับในขณะที่เขาพุ่งเข้ามา เจสันที่กลิ้งไปด้านข้างในขณะที่กรงเล็บของอาร์เทมิสเฉือนเข้าที่หลังของมัน ทำให้เกิดแถบสีแดงตามด้านหลังของหมาป่า เลือดพุ่งออกมาจากการบาดแผล
หมาป่ารู้สึกท่วมท้นและไม่รู้ว่ามันควรจะทำอะไรอีกครั้ง
การตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังทำให้สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นและความเร็วของหมาป่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อมันหันกลับมาเพื่อตะครุบเจสันที่ยังอยู่ด้านล่าง
อาร์เทมิสยังคงบินขึ้นในขณะที่ความเร็วของหมาป่าเร่งขึ้นจนสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้เมื่อเห็นแสงสีเขียวส่องออกจากมือของเจสัน
มันไม่สามารถทำอะไรได้ขณะที่กริชเหล็กหยกเจาะเข้าไปในกะโหลกของหมาป่า ฆ่าหมาป่าได้ในทันที
เจสันหายใจเข้าลึก ๆ เจสันรู้สึกอ่อนเพลียขณะดึงกริชออกมาก่อนที่จะดึงแกนขนาดเท่าก้อนกรวดออก
เมื่อเก็บซากสัตว์ร้ายนั้นเจสันก็เข้าไปในโดมที่อยู่ห่างจากเขาเพียง 200 เมตร
ทุกครั้งที่เจสันเติมมานาของเขามันใช้เวลาน้อยลงเรื่อย ๆ ในขณะที่เขามีความเชี่ยวชาญในกระบวนการมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับเขาที่รวบรวมมานาภายในดวงตาของเขา
หนึ่งชั่วโมงต่อมามานาของเขาได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ในขณะที่ความเหนื่อยล้าของเขาถูกพัดหายไป
เจสันสงสัยเกี่ยวกับแกนโลกวิญญาณของเขา เขาเข้าสู่โลกแห่งวิญญาณเพื่อดูว่าแกนกลางได้ขับไล่พลังงานวิญญาณที่ไม่เสถียรออกหมดรึยัง
ตอนนี้เจสันเชื่อมั่นว่าจิตวิญญาณของเขาเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับเขาหลังจากกลับมามองเห็นได้แล้ว
เขาคำนวณว่า 6 ชั่วโมงนั้นเกินพอที่พลังวิญญาณจะถูกขับออกไปจนหมดและเขาก็ปรับตารางเวลาของเขาใหม่เล็กน้อย
ระดับแรกของเทคนิคนรกสวรรค์นั้นเรียบง่ายเมื่อเทียบกับระดับต่อไปนี้และใช้พลังงานวิญญาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในขณะที่ระดับแรกระบุว่ามีหน่วยพลังงานวิญญาณประมาณ 0.1-9 หน่วย ระดับที่สองจะต้องมีพลังงานวิญญาณอย่างน้อย 10-49 เพื่อให้ทำงานได้อย่างถูกต้องพร้อมข้อกำหนดเพิ่มเติมเล็กน้อย
พลังวิญญาณของเจสันใกล้เคียงพอและโชคดีอยู่แล้วที่เขาสามารถทำสัญญากับลูกสัตว์ร้ายระดับหนึ่งดาวได้
ตอนนี้ด้วยพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นของเขาเนื่องจากการเติบโตของอาร์เทมิสความก้าวหน้าและการแบ่งปันโดยรวมที่ยิ่งใหญ่ที่เขาได้รับจากจิตวิญญาณที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา พลังวิญญาณของเจสันก็มาถึงหนึ่งหน่วยในที่สุดซึ่งเพียงพอที่จะควบคุมอาร์เทมิสได้อย่างเหมาะสมในฐานะสัตว์พันธะ
แม้ว่าระดับแรกจะเรียบง่าย แต่ก็อาจเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
เขาเข้าไปในโลกแห่งวิญญาณอย่างระมัดระวังซึ่งเจสันได้พบกับอาร์เทมิสที่หลับใหล
การเดินไปรอบ ๆ โลกแห่งจิตวิญญาณของเขานั้นน่าสนใจและเขาไม่เคยทำมาก่อนเพราะมีหลายสิ่งที่เขาต้องทำ
นี่เป็นครั้งแรกสำหรับเจสันและเขามองไปรอบ ๆ ด้วยดวงตาที่ส่องประกาย
เจสันสามารถมองเห็นสีทุกชนิดที่ลอยอยู่รอบ ๆ โลกวิญญาณของเขา ในขณะที่สีทองที่หนาแน่นมาพร้อมกับทุกสิ่งในจิตวิญญาณของเขา
เมื่อมองลงไปเขาจะเห็นเฉดสีทองที่ห่อหุ้มตัวเขาทำให้เจสันรู้สึกสดชื่นและสงบ
ไม่มีความวิตกกังวลแม้แต่น้อยในดวงตาของเขา
เมื่อมองไปรอบ ๆ เจสันให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน
ในสถานที่แห่งนี้เขาได้รับการต้อนรับซึ่งทำให้เขามีความสุขเมื่อเขาเดินผ่านโลกแห่งจิตวิญญาณของเขาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขาเข้าสู่ใจกลางของมัน
มีของเหลวสีทองที่ไม่เสถียรในรูปแบบของลูกบอลที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของเจสันเล็กน้อย
ทุกคนที่ได้รับการปลุกวิญญาณจะมีสิ่งเดียวกันภายในจิตวิญญาณของพวกเขาซึ่งเป็นของเหลวลึกลับหลายขนาด
ในขณะเดียวกันจิตวิญญาณและขนาดของของเหลวที่อยู่รอบ ๆ ลูกบอลหน้าตาประหลาดนั้นก็แตกต่างกันไปสำหรับแต่ละคน
การดำรงอยู่ของลูกบอลเหลวนั้นเหมือนกันสำหรับทุกคนและเป็นพลังงานแห่งจิตวิญญาณที่อยู่รอบ ๆ แกนโลกวิญญาณ
หลายคนเรียกมันว่าวิญญาณ แต่ชื่อที่ใช้กันทั่วไปคือแกนโลกวิญญาณ
รอบ ๆ แกนโลกวิญญาณมีพลังงานวิญญาณที่ติดอยู่ในรูปของของเหลวที่ไม่เสถียร
ปริมาณพลังงานวิญญาณภายในระบุขนาดของแกนกลางเนื่องจากปกติแล้วจะถูกเก็บไว้ภายใน
ในขณะที่แกนส่วนใหญ่มีขนาดเท่าลูกปิงปอง และเจสันก็ดีใจที่เขาพบแกนโลกวิญญาณขนาดเท่าเมล็ดพืชภายในระยะเวลาอันสั้น
แกนกลางของเขาไม่มีรูปแบบเฉพาะในตอนนี้และมีเพียงของเหลวลึกลับที่ลอยอยู่รอบ ๆ อย่างไร้จุดหมายโดยมีแกนโลกวิญญาณเป็นศูนย์กลาง
แกนโลกแห่งวิญญาณเป็นจุดเริ่มต้นของโลกแห่งจิตวิญญาณแต่ละดวงและชีวิตของมัน
เมื่อมองไปที่แกนโลกวิญญาณขนาดเท่าเมล็ด เจสันรู้สึกอายเล็กน้อยเกี่ยวกับโลกแห่งจิตวิญญาณที่ไม่เหมือนใครแต่มีความสวยงาม แต่ยังเป็นพลังงานวิญญาณที่ไร้ประโยชน์
ออร่าสีทองรอบตัวเขาเริ่มเปล่งประกายจาง ๆ ในขณะที่เขาสงบลงเกือบจะในทันทีซึ่งเจสันไม่ได้สังเกตเห็นจริงๆ
มีจุดประสงค์หลักของเขาในการเข้าสู่โลกแห่งวิญญาณ แต่เจสันมุ่งความสนใจไปที่แกนโลกวิญญาณขนาดเท่าเมล็ดพืช
การเปิดแกนโลกวิญญาณเล็กน้อย เจสันต้องการเคลื่อนย้ายพลังงานวิญญาณไปรอบ ๆ
จากของเหลวที่ไม่มีรูปทรงเขาได้สร้างเกลียวแบบเวเฟอร์ซึ่งมนุษย์ส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นนอกจากคนที่มีสายตาพิเศษของเขา
ยิ่งเจสันดึงพลังงานวิญญาณออกมามากเท่าไหร่ขนาดของของเหลวรอบ ๆ แกนโลกวิญญาณก็จะเล็กลงเท่านั้น
หลังจากที่พลังวิญญาณทั้งหมดของเขาถูกพรากไปจากของเหลวที่ห่อหุ้มแกนโลกวิญญาณของเขาเจสันก็มองเห็นหินอ่อนสีทองที่มีขนาดที่ไม่สามารถอธิบายได้ซึ่งแทบจะมองไม่เห็นแม้แต่สำหรับเขา
หินอ่อนที่แทบมองไม่เห็นนี้เป็นแกนกลางโลกแห่งจิตวิญญาณที่แท้จริงของเขาและมันก็น่าอาย เพราะมันแทบจะมองไม่เห็น
หินอ่อนสีทองนี้มีจารึกลึกลับอยู่และมันเป็นแกนกลางของเขาในขณะที่มวลของเหลวที่ลอยอยู่รอบ ๆ มันเป็นพลังงานวิญญาณที่ไม่เสถียรที่ปล่อยออกมาจากแกนกลางนั้นเกิดจากสัตว์พันธะตัวแรกของเขา
ขั้นตอนแรกของเทคนิคนรกสวรรค์คือการดึงพลังงานที่ไม่เสถียรออกมารอบ ๆ แกนโลกแห่งวิญญาณที่แท้จริงด้วยความคิดของเขาเพื่อสร้างเกลียวด้วยพลังงาน
ขั้นตอนนี้ไม่อันตราย แต่อย่างใดอย่างหนึ่งจำเป็นต้องมีการควบคุมพลังงานวิญญาณที่เหมาะสมและแม่นยำ
ด้ายพลังงานวิญญาณของเขามีความยาวน้อยกว่าครึ่งเมตรและมีความบางเป็นเวเฟอร์เนื่องจากมีการควบคุมมานาที่ดีมาก
ขั้นตอนแรกเสร็จสิ้นในเวลาอันสั้น เมื่อเจสันรู้วิธีจัดการกับพลังงานวิญญาณ
หลังจากนั้นก็มีคนเห็นเจสันในเต็นท์ของเขาในขณะที่เขาหอบหายใจ
เขานั่งลงและไม่มีใครรู้ว่าเขาเข้าไปในโลกแห่งจิตวิญญาณของเขา ยกเว้นสีทองเล็ก ๆ ที่ส่องประกายรอบศีรษะของเขาเป็นตัวบ่งชี้
ภายในโลกแห่งจิตวิญญาณของเขา เจสันเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับส่วนที่เจ็บปวดเนื่องจากตอนนี้พลังวิญญาณที่ไม่เสถียรได้รวมตัวกันเป็นด้ายที่สมบูรณ์
เขาจะต้องเจาะผ่านหินอ่อนสีทองด้วยด้ายของเขาเพื่อฉีดพลังงานวิญญาณเข้าไปข้างในเพื่อบังคับให้เติบโตขึ้น
หากไม่มีการผลักดัน พลังวิญญาณของเจสันจะไม่เพิ่มขึ้นและจำเป็นสำหรับเขาที่จะต้องฝืนตัวเองเพื่อที่จะทำเช่นนั้น
เขาต้องเล็งไปที่จุดหนึ่งเพื่อเพิ่มเอฟเฟกต์ของเทคนิคให้มากที่สุดและเขาต้องใช้เวลานานพอสมควรในการหาจุดที่ถูกต้องเนื่องจากมันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะมองเห็นแกนโลกวิญญาณได้
เมื่อเจาะเข้าไปในหินอ่อนด้วยด้าย ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขา ในขณะที่รู้สึกเหมือนไฟนรกลุกโชนอยู่ภายในตัวเขา
มันแพร่กระจายจากสมองของเขาซึ่งให้ความรู้สึกราวกับว่ามันถูกย่างสู่หัวใจของเขาซึ่งมันกระจายไปตามเส้นเลือดเพียงเพื่อให้เจสันรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกายของเขา
ในขณะที่เขาร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดภายในโลกแห่งวิญญาณ ด้ายเหลวที่เจาะหินอ่อนสีทองผสมเข้าด้วยกันหลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง
เจสันไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้มาก่อนและเขายังคงร้องไห้ออกมาดัง ๆ แต่เขาไม่สามารถออกจากโลกแห่งวิญญาณได้เพราะมันอาจทำร้ายหรือทำลายวิญญาณของเขาได้หากเขาทำผิดเพียงครั้งเดียว
จนกระทั่งเส้นเวเฟอร์บาง ๆ กลมกลืนไปกับหินอ่อนสีทองเจสันจึงต้องทนกับความทรมาน
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมากระบวนการทั้งหมดสิ้นสุดลงและเจสันก็ออกจากโลกแห่งจิตวิญญาณพร้อมกับหินอ่อนสีทองที่ลอยอยู่ตรงกลางเพียงเพื่อที่จะตกอยู่ในห้วงนิทราอันเนื่องมาจากความเหนื่อยล้าของเขา
**
การตื่นขึ้นมาด้วยการหายใจไม่ออกในตอนเช้านั้นไม่เป็นที่พอใจเหมือนเดิมและ เจสันก็ผลัก อาร์เทมิส ออกไปเบา ๆ
เมื่อลืมตาขึ้นเขาก็เห็นอาร์เทมิสที่มองเขาราวกับว่าเขาทรยศเธอและเจสันรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าของเธอ
การพาเธอเข้าสู่อ้อมกอดของเขาอารมณ์ของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองไปที่ขนนกของเธอด้วยความสามารถพิเศษของตามานาของเขาเขาเห็นว่าเธอมีมานาในเลือดมากกว่าหนึ่งวันก่อนหน้านี้เล็กน้อย
หากยังคงดำเนินต่อไปความสามารถของอาร์เทมิส ก็สามารถเข้าถึงความแข็งแกร่งของสัตว์ป่าสองดาวในขณะที่เป็นสัตว์ป่าระดับหนึ่งในอนาคต
การมีความคิดนี้อย่างต่อเนื่องเจสันคาดหวังเกี่ยวกับการเติบโตในอนาคตและวิวัฒนาการของเธอ
เจสันเข้าสู่โลกแห่งวิญญาณของเขา เพื่อมองไปที่แกนโลกวิญญาณสีทอง เจสันสังเกตเห็นบางสิ่งที่ไม่คาดคิด
การฉีดพลังงานวิญญาณที่ไม่เสถียรเข้าไปในแกนโลกวิญญาณของเขา เขาควรทำเพียงวันละครั้งเท่านั้นเนื่องจากผลการเติมเต็มจะใช้เวลานานกว่าที่แกนโลกวิญญาณจะผลักพลังงานที่ไม่เสถียรออกไป
อย่างไรก็ตามเมื่อมองไปที่ของเหลวที่ยังไม่เสถียรและไม่มีรูปทรงที่อยู่รอบหินอ่อนสีทองเล็ก ๆ เจสันสังเกตเห็นว่าพลังวิญญาณทั้งหมดของเขาถูกเติมเต็มและถูกขับออกไปแล้ว
แกนโลกแห่งวิญญาณเป็นเหมือนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและการฟอกไตในเวลาเดียวกันโดยผลิตพลังงานวิญญาณจำนวนคงที่จนกว่าพลังงานของมันจะถูกใช้จนหมด
การเติมพลังวิญญาณที่ถูกขับออกจะเป็นการกระตุ้นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าทำให้พลังวิญญาณที่ฉีดเข้าไป หลังจากชำระล้างและทำให้บริสุทธิ์เพื่อให้มีความเสถียรมากขึ้น
เมื่อพลังวิญญาณมีความบริสุทธิ์และระดับความมั่นคงขั้นที่แท้จริงของเทคนิคนรกสวรรค์จะเริ่มต้นด้วยระดับต่อไปนี้
เจสันไม่ได้อยู่ใกล้จากระยะไกลเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดเดียวที่ได้รับการตั้งชื่อก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ยังประหลาดใจที่เห็นว่าพลังวิญญาณของเขาถูกเติมเต็มอย่างรวดเร็วขนาดนี้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ได้อีกครั้ง
โดยปกติจะใช้เวลาทั้งวันในการเติมพลังวิญญาณ แต่เจสันหลับไปไม่ถึง 6 ชั่วโมงและพลังวิญญาณของเขาก็ถูกเติมเต็มแล้ว
ดังนั้นเจสันจึงทำตามขั้นตอนเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขาใช้เวลา 90 นาทีและแทนที่จะเจ็บน้อยลงคราวนี้มันเจ็บปวดยิ่งกว่า
เจสันได้ฝึกฝนความเจ็บปวดอย่างเงียบ ๆ จนเสร็จก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืน
เมื่อซักผ้าแล้วเขาก็เดินออกจากเต็นท์เข้าไปในที่ราบโล่งซึ่งเขาสามารถมองเห็นเยาวชนหลายร้อยคนมารวมตัวกันข้างๆชายและหญิงวัยกลางคนที่ดูแข็งแกร่ง
เจสันตื่นข้นมาด้วยอาการหายใจไม่ออก ทำให้เขารวบรวมความคิดสักพักและก็รู้ได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังปิดใบหน้าเขาอยู่
อาร์เทมิสพยายามจะกอดเจสันและเธอทำให้เขาหายใจไม่ออก โดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้เจสันตื่นเต็มที่แล้วและเขาก็ลุกจากเตียงและสังเกตว่าอาร์เทมิสดูมีชีวิตชีวามากขึ้นและขนนกของเธอก็ส่องแสงอย่างแผ่วเบา
มีเพียงเจสันเท่านั้นที่สังเกตเห็นว่าทั้งตัวของเธอถูกปกคลุมไปด้วยเส้นมานาที่ไหลผ่านร่างกายของเธอเหมือนเลือด
เจสันประหลาดใจและเขาสงสัยว่าเลือดอาร์เทมิสหลอมรวมกับมานาที่ย่อยสลายแล้วตั้งแต่เมื่อวานเพราะมานาเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ เต็มไปด้วยพลังและชีวิต
ถ้าเป็นเช่นนั้นความแข็งแกร่งของอาร์ทิมิสจะเพิ่มขึ้นมากเพราะทุกการเคลื่อนไหวของเธอจะได้รับการเพิ่มมานาตามธรรมชาติ
แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น เจสันก็คาดเดาว่าปริมาณมานาที่หลอมรวมอยู่ในเลือดของเธอนั้นแทบจะไม่สำคัญเลยเพราะมันจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับอาร์ทิมิสได้น้อยกว่า 0.001% ในขณะนี้
เส้นของมานา เจสันแทบจะมองไม่เห็นและบางกว่าเกลียวส่วนใหญ่
อาร์เทมิสกระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเจสันหลังจากที่เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วทั้งคู่ก็ออกไปข้างนอก
เจสันพร้อมที่จะนอนข้างนอกและพูดตามตรงเขาคาดหวังว่าจะได้นอนบนที่ราบใต้ท้องฟ้าแม้ว่ามันจะอยู่ในโดมก็ตาม
40 นาทีต่อมาเจสันก้าวผ่านโดมอีกครั้งเมื่อการล่าของเขาเริ่มขึ้น
นอกเหนือจากการรับประทานอาหารกลางวันเล็กน้อยเขายังล่าสัตว์ตลอดทั้งวันจนถึงเวลาประมาณ 6 โมงเย็นเมื่อดวงอาทิตย์ตก
เจสันเริ่มรู้สึกประหลาดใจอย่างมากเกี่ยวกับการทำงานเป็นทีมของเขากับอาร์เทมิสเพราะมันง่ายกว่ามากสำหรับเขาที่จะนำสัตว์ป่าสองตัวออกจากกลุ่ม 2 ถึง 3 ตัว
อาร์เทมิสเป็นสัตว์ป่าระดับหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าเธอจะฉลาดมากทำให้เขาสงสัยว่าเธอจะสามารถเอาชนะสัตว์ร้ายที่มีอันดับสูงกว่าตัวเธอเองได้หรือไม่ เมื่อเธอได้รับประสบการณ์ในการต่อสู้เพราะสัตว์ป่าส่วนใหญ่นั้นโง่มากและ ขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณของพวกเขา
ในขณะที่อาร์เทมิสเป็นเพื่อนที่ดีมาก แต่ประสบการณ์การต่อสู้ของเจสันทำให้เขาได้ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่เมื่อเขาถูกล่อลวงให้ต่อสู้กับสัตว์ป่าสามดาวตัวเดียว
อย่างไรก็ตามเขาไม่สนใจความคิดนี้ในตอนนี้ เพราะเขายังสามารถสัมผัสได้ถึงข้อบกพร่องเล็กน้อยในเทคนิคของเขาซึ่งเขาไม่สามารถตรวจจับได้จริงๆ
ความผิดเพียงครั้งเดียวอาจทำให้เขาต้องเสียชีวิต
พวกเขาล่าสัตว์สี่กลุ่มตลอดทั้งวันในสัตว์ป่าสองดาวทั้ง 10 ตัวถูกเขาฆ่า
เวลาส่วนใหญ่ของเขาถูกใช้ไปกับการค้นหากลุ่มสัตว์ร้ายขนาดเล็กที่มีความสามารถในการต่อสู้ที่อ่อนแอ
อาร์เทมิสรู้สึกอิ่มหลังจากกินแกนสัตว์ป่าสองดาวสองตัว แต่เธออยากกินมากกว่านี้ซึ่งเจสันขัดจังหวะทันที
เขาต้องดูแลช่องแช่แข็งที่ทำงานด้วยมานาและเขาต้องการให้อาร์เทมิสไม่กินอาหารมากเกินไป ดังนั้นเธอจะไม่ปล่อยให้เขานอนหลับสบาย ๆ
เจสันยังไม่แน่ใจว่า จะคำนวณได้อย่างไรว่าอาร์เทมิสสามารถย่อยอาหารได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ที่พวกเขาจะล่าได้ด้วยกันในขณะที่อาร์เทมิสสามารถเติบโตไปพร้อมกับเจสันได้
ถึงกระนั้นเจสันก็รู้ดีว่าเธอสามารถย่อยแกนสัตว์ป่าสองดาวได้ประมาณ 5 ตัวในคืนเดียว ดังนั้นการกินห้าครั้งตลอดทั้งวันก็น่าจะดีในตอนนี้
เขาสามารถเพิ่มมันได้ในภายหลัง แต่สำหรับตอนนี้การให้แกนสัตว์ป่าสองดาวห้าตัวของเธอเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับอาร์เทมิสในการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงกลางคืน
เธอต้องไปกับเจสันในระหว่างวัน ในขณะที่ได้รับประสบการณ์การต่อสู้ซึ่งนำเขาไปสู่การแก้ปัญหาก่อนหน้านี้
เขารู้สึกโดดเดี่ยวตั้งแต่แม่ของเขาเสียชีวิต แม้แต่เกร็กที่เขาไม่เคยยุ่งกันมาก่อนก็ยังติดเขามากขึ้นเรื่อย ๆ
ตอนนี้อาร์เทมีสเกิดมา เขาต้องทนทุกข์ทรมานเล็กน้อยแม้ว่าเขาจะรู้ว่าเธออยู่กับเขาในช่วงที่เธอหลับ แต่เธอก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นจริงๆ
ทักษะการล่าสัตว์ของเขาเพิ่มขึ้นทุกวันและเจสันหวังว่าเขาจะสามารถฆ่าสัตว์ป่าระดับห้าดาวได้ภายในเวลาไม่ถึง 3 สัปดาห์
มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถเข้าไปในเมืองเกรด A ได้ นับประสาอะไรกับโรงเรียนที่นั่น
เจสันใช้แกนสัตว์ป่าที่เหลืออยู่เพื่อรักษาช่องแช่แข็งที่ใช้มานาและดูเหมือนว่าช่องแช่แข็งสามารถใช้งานได้หนึ่งวันด้วยแกนสัตว์ป่าระดับสองดาวห้าตัวที่เหลือของเขา
สิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับช่องแช่แข็งคือแม้ว่า เจสันจะเก็บไว้ในที่เก็บข้อมูลเชิงพื้นที่ของเขา แต่ก็ยังคงทำงานได้อย่างสมบูรณ์
อาจกล่าวได้ว่าตู้แช่แข็งขนาดใหญ่เทียบได้กับเครื่องทำความเย็นในตัวขนาดเล็กและราคาถูกกว่าอย่างแน่นอน
เจสันฝึกศิลปะการต่อสู้ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนและรู้สึกดีกว่าฝึกในอพาร์ตเมนต์ของเขา
หลังจากนั้นเขาก็เอากะละมังออกมาเทน้ำ เพื่อชะล้าง
เมื่อเจสันทำความสะอาดตัวเองเสร็จแล้ว เขาก็เปิดคู่มือนรกสวรรค์และอ่านสักสองสามชั่วโมงก่อนที่เขาจะกลับเข้าไปในเต็นท์เพื่อนอนหลับ
เขาหลับสนิทในขณะที่อาร์เทมิสย่อยสลายแกนสัตว์ป่าที่ไม่สมบูรณ์ของเธอ
—
ในวันรุ่งขึ้นไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้นนอกจากความพยายามที่จะล่าสัตว์ป่าสองดาวที่ใหญ่กว่าเล็กน้อยอย่างน้อย 3 ตัวเมื่อเขากลับมาที่เต็นท์
เขาเห็นเต็นท์หรูหราขนาดเท่ากับคฤหาสน์ไม่กี่ร้อยหลังถูกสร้างขึ้นและเมื่อเทียบกับเต็นท์สองคนของเขา มันดูใหญ่โตเป็นอย่างมาก
อาจมีคนประมาณ 20 คนที่สามารถยืนอยู่ในเต็นท์ดังกล่าวโดยมีพื้นที่เหลือเพียงพอที่จะเดินไปรอบ ๆ
เจสันเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาหวังว่า พวกเขาจะฝึกฝนภายในเขตป่าธรรมดาระดับหนึ่งดาวเนื่องจากเขามีปัญหาในการหลีกเลี่ยงสัตว์ร้ายมากมายตลอดเวลา
โซนหนึ่งดาวที่เจสันเข้ามาทุกวันนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายเกือบทุกชนิด แต่ปัญหาหลักคือสัตว์ร้ายรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่แทนที่จะดิ้นรนเพียงลำพัง
หากเต็นท์ขนาดเท่าคฤหาสน์เหล่านี้มีผู้ฝึกหัดอยู่ข้างใน พวกเขาก็น่าจะล่าสัตว์ป่าจำนวนมากได้โดยลดความพยายามในการเดินไปรอบ ๆ ในเขตป่าอย่างมาก
วันนี้เขาล่าสัตว์ป่าสองดาวได้ 15 ตัวและเขาให้อาร์เทมิส 5 ตัวในขณะ ที่อีก 5 ตัวถูกใช้สำหรับตู้แช่แข็งก่อนที่จะกินอะไรบางอย่างและปรับปรุงศิลปะการต่อสู้ของเขา
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเจสันก็หยุดฝึกและเขาหยิบคู่มือนรกสวรรค์ออกมาอ่าน
อีกสองชั่วโมงผ่านไปและมันก็มืดลงแล้วในขณะที่มีแสงไฟเพียงไม่กี่ดวงและดวงดาวก็สว่างขึ้นโดยรอบ
เจสันจำรายละเอียดที่สำคัญทุกอย่างของคู่มือระดับแรกได้แล้วและเขาก็พร้อมที่จะใช้เทคนิคนี้ในวันถัดไป
อาร์เทมิสกลืนก้อนกรวดสีดำลงและมองไปที่เจสันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโลภ
ดูเหมือนว่าเธอสามารถกินแกนที่ไม่สมบูรณ์ที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกเหล่านี้ได้ โดยไม่ต้องกังวลขณะที่เธอมองเจสันที่เต็มไปด้วยความปรารถนา
เจสันรู้ว่าอาร์เทมิสไม่หิว อย่างไรก็ตามเธอต้องการได้รับมานาบางส่วนเนื่องจากเธอรู้สึกว่าการรับประทานแก่นกรวดสีดำนี้ให้มากขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อเธอ
หลังจากก็เข้าใจว่าแกนที่ไม่บริสุทธิ์เหล่านี้ไม่เป็นอันตรายต่อเธอ เขาก็โล่งใจ
ดังนั้นเจสันจึงตัดสินใจว่าอาร์เทมิสจะได้รับแกนมานาที่ไม่สมบูรณ์ทั้งหมดจากสัตว์ที่เขาล่าเพราะแกนของสัตว์ป่าเหล่านั้นไม่มีค่าอะไรเลย
เขามีความสุขมากที่พบว่าเธอจะกินแกนก้อนกรวดเหล่านี้ เพราะนี่เป็นวิธีแก้ปัญหาทางการเงินของเขาที่ค่อนข้างดี
เจสันไม่จำเป็นต้องให้อาหารแกนมานาของอาร์เทมิสตลอดเวลาเพราะเขาสามารถล่าสัตว์ให้เธอได้
การย่อยมานาบริสุทธิ์จะทำให้ร่างกายของเธอแข็งแกร่งขึ้นและบางทีมันอาจเพิ่มขีดจำกัด ของเผ่าพันธุ์ของเธอเมื่อเวลาผ่านไปหรือบังคับให้เกิดวิวัฒนาการ
โดยปกติสัตว์ร้ายสามารถย่อยมานาแปลกปลอมได้เพียงจำนวนหนึ่งและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองจนกว่าพวกมันจะถึงขีดจำกัด แต่ดูเหมือนว่าอาร์เทมิสชอบกินก้อนกรวดเหล่านี้และเจสันก็ออกล่าต่อไปอย่างมีความสุข
มีทฤษฎีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของศักยภาพของสัตว์ร้ายกับปริมาณมานาที่สามารถดูดซับได้และมันเกี่ยวข้องกับการวิวัฒนาการของสัตว์ร้ายอย่างไร
ทฤษฎีกล่าวว่าศักยภาพที่สูงขึ้นเท่ากับการยอมรับมานาที่มากขึ้นในร่างกายของตน ในขณะที่มานาที่มากขึ้นเท่ากับเปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้นในการพัฒนา
แต่ทฤษฎีนี้ยังไม่ได้รับการประมวลผลอย่างสมบูรณ์
—
ในตอนเย็นเราสามารถเห็นเยาวชนที่มีความสุขที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ขณะที่เขากระโดดไปรอบ ๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสพร้อมกับนกฮูกสีขาวหิมะที่บินวนรอบตัว
ความสามารถในการต่อสู้ของเจสันเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปและเขาได้ล่าสัตว์ป่าสองดาวอีกสามตัวและสัตว์ป่าสองดาวสองกลุ่มอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเขาฆ่าได้อย่างง่ายดายด้วยมานาที่เพิ่มขึ้น
การต่อสู้กับสัตว์ร้ายสองตัวนั้นค่อนข้างยาก แต่เจสันโจมตีเส้นเอ็นของสัตว์ร้ายตัวหนึ่งทำให้มันช้าลงในขณะที่เขาเอาชนะสัตว์ร้ายอีกตัวด้วยความช่วยเหลือของ อาร์เทมิส
อาร์เทมิสยังคงกินก้อนกรวดต่อไปและเจสันรู้สึกว่าร่างกายของเขามีอาการคันตลอดเวลาในขณะที่อาร์เทมิสมีกำลังวังชา
เมื่อรถรับส่งมาถึง เจสันก็สงบลงและ อา์เทมิสก็หายไปในวงเวทย์ที่เธอเรียกมา
วงเวทย์เชื่อมต่อกับโลกแห่งจิตวิญญาณของเขาและมีเพียงตัวเขาเองและสัตว์พันธะของเขาเท่านั้นที่สามารถใช้มันได้
หลังจากกินก้อนกรวดสัตว์ป่าสองดาวห้าตัว อาร์ทิมิสเต็มไปด้วยมานาและเธอต้องย่อยมันดังนั้นเธอจึงเข้าสู่โลกแห่งวิญญาณเพื่อที่จะนอนหลับ
เจสันคิดว่ามันน่าจะเหมือนกับเวลาที่อาร์เทมิสดูดซับมานาก้อนเล็ก ๆ ทั้งหมด แต่คราวนี้เธอจะต้องย่อยน้อยกว่าเดิม
เมื่อจำได้ว่าเขาซื้อหินมานาขนาดเล็กอีกก้อนหนึ่ง เขาสังเกตว่าเขาต้องเก็บมันไว้ให้ห่างจากอาร์เทมิสเพราะเธอไม่ต้องการมันในตอนนี้
สิ่งที่เจสันสังเกตเห็นอีกอย่างก็คืออาร์เทมิส เป็นคนตะกละเพราะเธอไม่รู้ว่าจะหยุดเมื่อไหร่
เขาคิดและรู้สึกหลังจากแกนกรวดที่สามว่าเธออิ่มแล้ว แต่เธอก็ยังคงกินแกนเหล่านี้ต่อไปราวกับว่ามันเป็นของว่าง
เจสันต้องยับยั้งเธอมิฉะนั้นอาจเป็นปัญหาได้
เมื่อมาถึงอพาร์ตเมนต์ของเขา เจสันพยายามแก้ไขข้อบกพร่องที่เขายังมีอยู่
หลังจากนั้นเขาใช้สร้อยข้อมือควอนตัมเพื่อซื้อเต็นท์ อาหารที่ไม่เน่าเสียง่าย และสิ่งจำเป็นอื่น ๆ เพื่อตั้งแคมป์ใกล้กับโดม
นอกจากนี้เขายังซื้อตู้แช่แข็งขนาดใหญ่ที่ใช้มานาซึ่งสามารถเก็บซากสัตว์จำนวนมากได้
เขาสามารถฉีดแกนมานาที่ไม่สมบูรณ์เพื่อใช้งานช่องแช่แข็งได้ซึ่งสะดวก
วัสดุของตู้แช่แข็งมีราคาถูก แต่ขนาดของตู้แช่แข็งที่มีมากกว่า 300 ลูกบาศก์เมตรทำให้ราคาสูงถึง 30,000 เครดิต
เงินทุนของเจสัน ค่อยๆเหือดแห้งไป แต่หลังจากนั้นเขาไม่ต้องซื้ออะไรมากนักและเขาคิดว่าตู้แช่แข็งเป็นการลงทุนที่ดี
การร้องขอ AI ของเมืองให้เขาสามารถตั้งแคมป์ใกล้กับเขตป่าธรรมดาระดับหนึ่งดาวได้ จะได้รับการยอมรับภายใน 3 นาที
พัสดุทั้งหมดมาถึงหลังจากที่เจสันอาบน้ำเสร็จและเขาก็เก็บเนื้อหาไว้ในที่เก็บข้อมูลเชิงพื้นที่ของเขา
จากนั้นเขาก็วางหินมานาไว้ในมือ
เขาต้องการที่จะผ่าออกและตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้ว
โดยปกติเขาไม่ต้องการหินมานาสำหรับการพัฒนาของเขา แต่การเพิ่มขนาดแกนมานาของเขาอย่างกะทันหันเนื่องจากความแข็งแกร่งร่วมกันของอาร์เทมิสบังคับให้เขาต้องทำให้ทุกอย่างคงที่ก่อน
การใช้มานาที่อยู่โดยรอบและภายในหินมานาเจสันห่อหุ้มตัวเองด้วยชั้นมานาบาง ๆ ก่อนที่จะดูดซับทุกอย่างอย่างช้าๆ
แกนมานาของเขาเต็มไปจนถึงขีด จำกัด และใช้มานาที่เขาดึงออกมาจากหินมานา แกนมานาเริ่มเติบโตอย่างช้าๆในขณะที่จุดสีดำภายในแกนเริ่มถูกผลักออก
รูขุมขนของเจสันเปิดออกอย่างช้าๆและเขาไม่สามารถสังเกตเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวได้เพราะเขาหมกมุ่นอยู่กับการรวบรวมและดูดซับมานาที่อยู่รอบตัวเขา
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงและหลังจากหายใจเข้าลึก ๆ รูขุมขนของเจสันก็เปิดออกเมื่อมีหมอกสีดำที่ถูกหายใจออกในขณะที่ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นแสงที่ส่องประกายเจิดจ้าเข้าปกคลุมเขาและแกนมานาของเขาก็หยุดขยาย
มือใหม่ระดับ 3
ในที่สุด!
สองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยล้าสำหรับเจสัน แต่มันก็น่าตื่นเต้นเมื่อเทียบกับ 9 ปีที่ผ่านไปของเขาที่รวบรวมมานาภายในดวงตา
ก่อนหน้านี้เจสันอ่อนแอมากและเขาไม่มีความแข็งแกร่งใด ๆ และทุกอย่างก็น่าเบื่อสำหรับเขา แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป
การแข็งแกร่งขึ้นรู้สึกน่าอัศจรรย์และเจสันรู้สึกแทบจะติดใจกับความรู้สึกที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อรู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นภายในตัวเขา เจสันยิ้มออกมา
หลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจเปิดเทคนิคนรกสวรรค์เพื่ออ่านมัน
เกร็กเคยส่งสำเนาให้เขามาก่อน แต่ตอนนี้เจสันมีเวลามากพอที่จะอ่านมัน
มันมีหลายหน้าและเนื้อหามีความซับซ้อนและเขียนด้วยภาษาเทคนิคแม้ในระดับแรกดังนั้น เจสันจึงมีปัญหาในการอ่านในตอนแรก
เขาต้องอ่านซ้ำทุกหน้าสองสามครั้งจนกว่าเขาจะเข้าใจมันเล็กน้อย
อาจต้องใช้เวลาวันหรือสองวัน จนกว่าเขาจะจำทุกรายละเอียดได้ แต่จำเป็นสำหรับเจสันก่อนที่เขาจะเริ่มฝึกจิตวิญญาณของเขาเนื่องจากเป็นวิธีการฝึกที่อันตรายที่สุด วิธีหนึ่งที่สามารถฝึกได้
แม้แต่ประเด็นเล็ก ๆ ก็สามารถจบลงด้วยการทำร้ายโลกแห่งจิตวิญญาณของเขา ในขณะที่ประเด็นสำคัญอาจทำลายโลกแห่งจิตวิญญาณของคน ๆ หนึ่งได้
แต่สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นหาก เจสันทำตามคำอธิบายที่เขียนไว้ในคู่มือ
มันเป็นเวลาดึกแล้วและเจสันก็เข้านอนในขณะที่เขาหลับไปหลังจากนั้นไม่นาน
เจสันตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเหมือนทุกวัน และซักผ้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่
มันเป็นกิจวัตรประจำวันสำหรับเขา แต่วันนี้รู้สึกแตกต่างไปจากเดิม
ดวงตาของเจสันมีอาการคันและกล้ามเนื้อของเขาก็ปวดในขณะที่ร่างกายสั่นเทา
มันอึดอัดและเจ็บปวดเล็กน้อย แต่เจสันยังคงยิ้มขณะที่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในโลกแห่งวิญญาณของเขา
อาร์เทมิสตื่นขึ้นมาและเจสันคิดว่าร่างกายของเขาปวดเมื่อยเป็นผลมาจากการแบ่งปันความแข็งแกร่งของเธอแม้ว่าจะไม่มากก็ตาม
แกนมานาของเจสันมีขนาดเกือบหนึ่งในสาม ในขณะที่ร่างกายของเขาผ่านการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
หลังจากสร้างพันธะ แล้วต้องใช้เวลาพอสมควรในการเสริมสร้างการเชื่อมต่อ
ครั้งนี้มีความสำคัญเนื่องจากอนุญาตให้เจ้านายและสัตว์อสูรวิญญาณได้ทำความรู้จักกันและหลังจากการเชื่อมต่อแน่นแฟ้นมากพอ สัตว์ร้ายจะแบ่งปันความแข็งแกร่งบางส่วนกับเจ้านาย
จำนวนเงินที่ใช้ร่วมกันถูกกำหนดโดยจิตวิญญาณของคน ๆ หนึ่งและสิ่งนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แม้ว่าสัตว์อสูรวิญญาณต้องการให้เจ้านายมีความแข็งแกร่งหรือมานามากขึ้นก็ตาม
ในขณะที่ร่างกายของเขาเจ็บปวด สองสิ่งทำให้เจสันประหลาดใจมากคือ
อาร์เทมิสตื่นขึ้นมาหลังจากผ่านไปเกือบสองสัปดาห์และเธอก็เติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว
อาร์เทมิสมีขนสีขาวราวกับหิมะ และมีปีกกว้าง 80 เซนติเมตรยาว 30 เซนติเมตร ดูเหมือนนกฮูกเกล็ดหิมะทั่วไปยกเว้นรูปร่างที่เล็กกว่าและความจริงที่ว่าก่อนหน้านี้เธอย่อยมานาบริสุทธิ์
แต่ความจริงที่น่าประหลาดใจที่สุด ก็คือแกนมานาของเขามีขนาดใหญ่ขึ้นมาก
ตามมาตรฐานปกติแกนมานาของเขาควรจะเติบโตเพียงเล็กน้อยโดยอย่างน้อย 5% ถึง 10% เนื่องจากสัตว์ป่าระดับหนึ่งดาวไม่มีมานามากนัก แต่มานาของเจสันเพิ่มขึ้นเกือบหนึ่งในสามซึ่งอาจเป็นจำนวนที่ใช้ร่วมกันโดยประมาณ 1/3.
เจสันยังคงอยู่ในอันดับ 2 ของ มือใหม่ ใกล้เคียงกับอันดับที่ 3 และคอร์มานาของเขาก่อนหน้านี้อยู่ในอันดับเดียวกันนั้น แต่ตอนนี้มันใหญ่กว่านั้นและเทียบได้กับคอร์มานาระดับ มือใหม่ ที่ 3
ไม่เพียง แต่แกนมานาของเขาเติบโตขึ้นมากเท่านั้น แต่ร่างกายของเจสันก็เพิ่มขึ้นมากทีเดียว
เมื่อร่างกายของเขาหยุดอาการคันและอาการปวดลดลง เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาใหญ่ขึ้นเล็กน้อย
การเพิ่มขึ้นสูงสุดคือโครงสร้างร่างกายของเขาและ เจสันรู้สึกเบาและยืดหยุ่นมากขึ้น
เมื่อนึกถึงการเพิ่มขึ้นของเขา เขาก็ได้รับการเตือนอีกครั้งว่าอาร์ทิมิสเป็นสัตว์ร้ายประเภทว่องไวซึ่งเป็นสาเหตุของการเพิ่มประสิทธิภาพลำดับความสำคัญของเขาในเรื่องความเร็วความยืดหยุ่น
เห็นได้ชัดว่าวิญญาณของเขาจะแบ่งปันความแข็งแกร่ง / มานา / พลังวิญญาณของสัตว์ร้ายราว 1 ใน 3 ให้กับเจ้านายมากกว่าค่าเฉลี่ยที่ดีที่สุดถึง 3 เท่า
เมื่อเห็นจำนวนพลังที่แบ่งปันนั้นใหญ่มากเจสันก็มีความสุขที่วิญญาณของเขาพิเศษแม้ว่าพลังวิญญาณของเขาจะอ่อนแอก็ตาม
เมื่อพิจารณาถึงความจริงที่ว่าเขาสามารถเติบโตอย่างช้าๆกับอาร์เทมิส เมื่อเธอพัฒนาพลังของเขาก็จะทะยานขึ้น
เมื่อนึกถึงจิตวิญญาณของเขา เขาก็ได้รับการเตือนเกี่ยวกับการปลุกวิญญาณและยังคงรู้สึกว่ามีพื้นที่เหลืออยู่และความรู้สึกก่อนหน้านี้เกี่ยวกับจิตวิญญาณของเขาทำให้เขาสับสน
หลังจากตื่นขึ้นอาร์เทมิสก็ออกจากโลกแห่งจิตวิญญาณและเธอก็ปรากฏตัวต่อหน้าเจสันในวงเวทย์สีขาว
เธอบินได้แล้วและกระพือปีกไปที่ไหล่ของเจสันที่เธอ เกาะอยู่บนไหล่ของเขา
หลังจากนั้นเธอก็ลูบหัวของเธอที่แก้มของเจสัน ในขณะที่เจสันตบเบา ๆ ที่ตัวของเธอ เจสันกินอาหารเช้า
อาร์เทมิสไม่หิวและเจสันรู้สึกว่าเธอยังอิ่มอยู่ แต่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเจสันจึงสั่งหินมานาก้อนเล็กอีกก้อนในราคา 50,000 เครดิต
ตอนนี้เขาเหลือเงินเพียง 50,000 เครดิตเท่านั้น
เวลา 8.00 น. เมื่อเจสันออกไปข้างนอกโดยมีอาร์เทมิสอยู่บนไหล่ของเขา
เขาเรียกรถรับส่งเช่นเคยและเดินทางไปยังเขตป่าหนึ่งดาว
ก่อนหน้านั้นเจสันขายซากสัตว์ทั้งเจ็ดที่เขาฆ่า แต่เขาได้รับมาเพียง 14 เครดิต
การเก็บซากสัตว์นั้น น่าจะดีกว่าการขาย แต่เจสันไม่ได้ใช้ประโยชน์สำหรับพวกเขาในขณะนี้และร่างกายของพวกเขาจะเน่าเปื่อยในที่เก็บของเขาเท่านั้น
หากไม่มีระบบระบายความร้อนแบบ บูรณาการเนื้อสัตว์และอาหารอื่น ๆ จะได้รับผลเสียภายในที่เก็บเท่านั้น ดังนั้นจึงควรขายได้ดีกว่า
เจสันรู้สึกไม่สบายใจเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายและเขาก็รีบออกจากร้านขายซากโดยเร็วที่สุดโดยหลีกเลี่ยงการสบตากับทุกคน
อาร์เทมิสกำลังมองไปที่ซากศพสัตว์ร้ายเมื่อเจสันพาพวกมันออกไป แต่มีเพียงความสนใจเล็กน้อยในตัวเธอและไม่มีอะไรมากสำหรับเธอในขณะที่เธอรู้สึกอิ่มเอมใจ
การเดินทางของเขาดำเนินต่อไป เจสันก้าวผ่านโดมอีกครั้งใน 40 นาทีต่อมา
เจสันครุ่นคิดว่าเขาควรจะตั้งเต็นท์สำหรับสองสามวันข้างหน้าหรือไม่เพราะเขาจะได้ไม่ต้องเสียเวลานั่งรถไปมา
การเพิ่มราคารถรับส่งทุกครั้ง เจสันตัดสินใจซื้อเต็นท์และสิ่งจำเป็นอื่น ๆ ในตอนเย็น
วันนี้เขาสบายใจในการต่อสู้มากกว่าวันก่อนมากและความมั่นใจของเขาก็พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่ เมื่อความสามารถในการต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นเนื่องจากการแก้ไขข้อบกพร่องบางอย่าง
เขาอยากลองต่อสู้กับสัตว์ป่าสองดาวและมองไปรอบ ๆ เป็นเวลาสองชั่วโมงเจสันพบโคโยตี้เขี้ยวสองดาวตัวเดียว
การแอบดูโคโยตี้ที่มีเขี้ยว เจสันสงบลงกว่าวันก่อนมาก แต่เขาก็ยังสังเกตเห็นได้ว่ามันอยู่ห่างออกไปประมาณ 20 เมตรและเจสันก็เปลี่ยนท่าเป็นวิ่งโดยไม่ลังเล
แต่เขายังไม่ได้ใช้มานาของเขาเนื่องจาก เขาได้เรียนรู้ว่าปริมาณมานาที่เขามีนั้นน้อยเกินไปและสามารถเก็บไว้ได้เพียงชั่วครู่
แม้ว่าแกนมานาของเขาจะมีขนาดเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณที่เก็บไว้ก็ยังน้อยเมื่อเทียบกับเพื่อนทั่วไป
เมื่อเห็นเจสันวิ่ง ดวงตาของโคโยตี้ที่มีเขี้ยวก็เปลี่ยนไปอย่างกระหายเลือด
มันชาร์จและวิ่งตรงมาที่เจสันด้วยความเร็วที่มากมาย
เจสันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ที่เห็นว่าสายตาของเขาดีขึ้นกว่าวันก่อน
แต่ไม่มีเวลาคิดเรื่องนั้นในตอนนี้ เนื่องจากกรงเล็บของโคโยตี้อยู่ห่างจากหน้าอกของเจสันเพียงระยะสั้น ๆ
เมื่อเห็นการโจมตีอย่างชัดเจน เจสันใช้มานาเล็กน้อยเพื่อเสริมกำลังเท้าและข้อเท้าของเขา เจสันหยุดวิ่งและหลบการโจมตีภายในระยะเวลาสั้น ๆ ทำให้กรงเล็บพลาดเป้าหมาย
จากนั้นเจสันได้เล็งกริซไปที่ไหล่ของโคโยตี้ และแทงเข้าไป
กริชแทงเข้าไปที่ไหล่ของโคโยตี้ได้อย่างง่ายดายจนไปถึงกระดูก
แต่ด้วยกริชระดับ 1 ของเขากระดูกของสัตว์ป่าสองดาวเปรียบได้กับแท่งไม้บาง ๆ และกระดูกก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ เจสันจึงฆ่าโคโยตี้ได้
มือของเจสันอยู่ลึกเข้าไปในไหล่ของโคโยตี้ที่ตายไปแล้วและแม้ว่าเขาจะตัดสินใจเรื่องการฆ่าสัตว์ร้าย … แต่นั่นก็มากเกินไป
สถานการณ์นี้ยังคงน่าขยะแขยงและเขาต้องใช้กำลังเพื่อดึงมือออกมาพร้อมกับด้ามกริชใร่างของโคโยตี้
จนถึงตอนนี้อาร์เทมิสยังคงอยู่บนไหล่ของเจสัน แต่หลังจากฆ่าโคโยตี้แล้วมันก็กระโดดลงมาและใช้กรงเล็บเพื่อเปิดหน้าอกของมัน
อาร์ทิมิสดึงแกนสีดำขนาดเท่าก้อนกรวดออกมาซึ่งแผ่มานาบางส่วนออกมาอาร์เทมิสหยิบมันขึ้นมาและกลืนมันลง
สัตว์วิเศษมีแกนมานาในขณะที่สัตว์ร้ายทุกตัวที่อยู่ระดับต่ำมีแกนมานาที่ยังไม่สมบูรณ์
สัตว์ป่าไม่มีแกนมานาและเมื่อพวกมันดูดซับมานา ก้อนกรวดสีดำก็จะก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
สีดำมาจากสิ่งสกปรกภายในแกนมานาที่ไม่สมบูรณ์และต้องกำจัดออกก่อนที่สัตว์ร้ายจะเข้าสู่อันดับถัดไปหรือสัตว์ร้ายตัวอื่นสามารถกินแกนกลางที่ไม่สมบูรณ์ของเหยื่อได้
เมื่อสัตว์ร้ายถึงระดับที่ตื่นขึ้นมาหรือวิวัฒนาการแล้วแกนกลางจะเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆและมันถูกเรียกว่าแกนที่ถูกปลุก
สัตว์ร้ายที่วิวัฒนาการได้สร้างแกนกลางเสร็จแล้ว ในขณะที่สัตว์อสูรที่ไร้ตำหนิได้ปรับแต่งแกนกลางของพวกมันและในที่สุดเมื่อสัตว์อสูรถึงระดับสัตว์วิเศษก็จะได้แกนมานาที่สมบูรณ์
มนุษย์โชคดีที่แกนมานาของพวกเขาถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เกิดและพวกเขาไม่ต้องดิ้นรนเหมือนสัตว์ร้าย
เขาตกใจเกี่ยวกับความสงบและความกระหายเลือดของตัวเอง เพราะรู้สึกอัศจรรย์ใจที่มีอำนาจเหนือชีวิตและความตาย
แต่เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาเจสันก็รู้สึกหวาดกลัวขณะที่เขาตัวสั่นอย่างรุนแรงก่อนที่จะอาเจียนอาหารเช้าและของเหลวในกระเพาะอาหารอื่น ๆ
ขาของเขาทรุดลงและเขามองไปที่ซากศพม้าลายที่มีเขา อย่างตกใจในขณะที่มือของเขาสั่น
มือที่ถือกริชคลายออกและใช้เวลาพอสมควรจนกว่าเขาจะฟื้นคืนสติ
เจสันได้ยินเสียงบางอย่างที่อยู่ห่างจากเขาเล็กน้อย ซึ่งช่วยให้เขาหันเหความสนใจของตัวเองก่อนที่เขาจะเห็นว่าโคโยตี้สัตว์ป่าสองดาวเขี้ยวดาบต่อสู้กับสัตว์ป่าสองดาวตัวอื่นที่ปรับขนาดหมาป่าเพื่อหาศพม้าลายที่มีเขาอยู่ห่างออกไป
เขาสังเกตเห็นว่านี่อาจเป็นศพของม้าลายที่มีเขาตัวที่สามและเจสันเริ่มเข้าใจอย่างช้าๆ ว่าภายนอกโดมนั้นผู้ปกครองที่แข็งแกร่งในขณะที่ผู้อ่อนแอสามารถซ่อนตัวอยู่ในความทุกข์ยากเท่านั้น
ม้าลายที่มีเขาอยู่ด้านล่างสุดของห่วงโซ่อาหารถือว่าเป็นเหยื่อของสัตว์กินเนื้อทั้งหมดในขณะที่สัตว์ป่าระดับห้าดาวเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตป่านี้ยกเว้นมนุษย์
ก่อนหน้านี้เจสันยังถูกมองว่าเป็นที่น่ารำคาญและไร้ประโยชน์เพราะเขาตาบอดแม้ว่าผลทางทฤษฎีของเขาจะดีกว่าก็ตาม
ทุกคนรู้ว่าความรู้มีความสำคัญ แต่จะใช้ประโยชน์อะไรได้เมื่อคุณไม่สามารถอยู่รอดกับสัตว์ร้ายที่อ่อนแอที่สุดในช่วงน้ำขึ้นน้ำลงหรืออุบัติเหตุอื่น ๆ
พึ่งคนอื่น? อย่าล้อเล่น
มีมนุษย์เพียงไม่กี่คนที่สนใจคนแปลกหน้าและยังมีน้อยยิ่งกว่าที่จะมีกำลังพอที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้
เจสันเริ่มคิดและความคิดฉับพลันก็ปรากฏขึ้นในหัวของเขา
`กฎของป่าไม่ใช้เฉพาะภายนอกโดมเท่านั้น ‘
เจสันสังเกตว่าสังคมทั้งหมดรวมทั้งรัฐบาลและระบบสหพันธ์ถูกสร้างขึ้นตามกำลัง
ตำแหน่งที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือตำแหน่งของพวกเขา
หากไม่รวมความจริงที่ว่ามนุษย์ที่แข็งแกร่งบางคน ไม่มีความสามารถในการเป็นผู้นำหรือการจัดการใด ๆ ซึ่งทำให้พวกเขาไร้ประโยชน์ในฐานะผู้บริหาร มนุษยชาติก็ยังค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์ดีเมื่อเทียบกับ 300 ปีที่แล้ว
บางครั้งโรงไฟฟ้าก็เข้าใจข้อบกพร่องของพวกเขา ทำให้พวกเขาหันหลังให้กับหน่วยงานที่มีความรู้มากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไปและยังไม่ทราบว่ากฎหมายที่ปลอดภัยนั้นเป็นอย่างไรหากมีใครอ่อนแอ
เหมือนกันกับการตายของแม่เจสัน
เขาได้รับเครดิตบางส่วน แต่เจสันสงสัยว่าทายาทลึกลับได้ถูกลงโทษจากการฆ่ามนุษย์ผู้บริสุทธิ์หรือไม่
เจสันเข้าใจสิ่งหนึ่งอย่างแน่นอน
หากเขาต้องการใช้ชีวิตโดยไม่ถูกบังคับให้ทำบางสิ่ง ที่เขาไม่ต้องการเจสันต้องแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว
ความคิดของเจสันเปลี่ยนไปอย่างช้าๆโดยไม่ต้องพึ่งใคร
เกร็กเป็นเพื่อนกับเจสัน แต่เขาต้องเข้าใจว่าเขาไม่สามารถเชื่อทุกคนอย่างไร้เดียงสาได้
ถ้าเกร็กเป็นคนไม่ดีเขาสามารถใช้เจสันเป็นหุ่นเชิดหรือแย่กว่านั้นได้โดยไม่ต้องรับโทษใด ๆ ตราบใดที่ครอบครัวของเกร็กมีพลังมากพอ
เพื่อระงับความรังเกียจ เจสันจึงเก็บศพม้าลายที่มีเขาไว้ก่อนที่จะมองไปที่สัตว์ป่าสองดาวที่กำลังต่อสู้
ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บและดูเหมือนว่าทั้งคู่จะก้ำกึ่ง
เจสันเดินเข้าไปใกล้ขณะที่หมาป่าที่ปรับขนาดได้ โน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อที่จะลงไปใต้กรงเล็บใส่โคโยตี้เพื่อที่จะกัดเข้าไปในช่องท้องของมันในขณะที่ใช้กรงเล็บเขี่ยเนื้อออก
เขาเห็นสิ่งนี้และเริ่มวิ่งเข้าหาทั้งสองซึ่งอยู่ห่างกันไม่กี่สิบเมตร
ความเร็วของเขาช้าลงกว่าเดิมเพราะเขาไม่ได้ใช้มานาใด ๆ เพื่อเสริมสร้างร่างกายส่วนล่างของเขา ในขณะที่เขาใช้มันมามากก่อนหน้านี้
เจสันเหลือมานาเพียงเล็กน้อยในแกนกลางของเขา เจสันก้าวย่างอย่างรวดเร็ว
โคโยตี้ซึ่งตอนนี้ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจับหมาป่าด้วยขาหน้าเพื่อกัดที่ไหล่ของมัน ในขณะที่มันใช้ขาหลังฟาดไปที่ลำตัวส่วนล่างของหมาป่า
ตอนนี้ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักขณะที่โคโยตี้ที่นอนอยู่บนพื้นสังเกตเห็นมนุษย์ที่อยู่ด้านหลังหมาป่า
มันร้องออกมาด้วยความกลัว แต่น่าเสียดายที่มันสายเกินไปและกริซที่เปปื้อนเลือดก็ได้ปาดเข้าคอของหมาป่า
แต่กริชไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้นเนื่องจากคอของหมาป่าเป็นเพียงอุปสรรคในการเข้าถึงโคโยตี้
เจสันสามารถมองเห็นความกลัวของสัตว์ร้ายซึ่งทำให้เขาเกือบจะลังเลก่อนที่กริชจะเจาะเข้าที่หน้าอกของโคโยตี้
สัตว์ร้ายทั้งสองตายโดยไม่มีความเจ็บปวดมากนักและเจสันก็อาเจียนของเหลวในกระเพาะอาหารออกมา ก่อนที่เขาจะรวบรวมสติอีกครั้ง
เขายังรู้สึกรังเกียจที่จะฆ่าสิ่งมีชีวิต แต่ครั้งที่สองนั้นง่ายกว่าครั้งแรกมาก
เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการฟื้นสติก่อนที่เขาจะหยิบซากสัตว์ร้ายสองดาวทั้งสองตัวและซากม้าลายเขาตัวที่สามซึ่งวางอยู่ห่างจากสนามรบเล็ก ๆ เพียงไม่กี่เมตรในขณะที่เขามองหาต้นไม้เพื่อที่เขาจะปีนขึ้นไป .
สัตว์ป่าไม่กี่ตัวที่สามารถปีนขึ้นต้นไม้ได้ ในป่าระดับหนึ่งดาวนี้ได้ยกเว้นสัตว์ป่าระดับสี่และห้าดาวเพียงไม่กี่ตัวในพื้นที่แกนกลาง
เจสันอยู่รอบนอกของเขตป่าและอยู่ใกล้กับโดมมากที่สุด แต่เขารู้สึกว่ามานาที่หนาแน่นนั้นเหมาะอย่างยิ่งสำหรับเขาที่จะเติมมานา
เขาใช้เวลาไม่นานจนกว่ามานาของเขาถูกเติมเต็ม
เขามีเวลามากพอที่จะคิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆมากมาย เช่นทัศนคติของเขาที่มีต่อสัตว์ร้าย วิธีที่เขาต่อสู้และข้อบกพร่องใดที่เขาทำระหว่างการต่อสู้ใรระยะอันสั้นนี้
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือสภาพจิตใจของเขา เขาต้องการใช้สัตว์ป่าระดับหนึ่งดาวเพื่อทำให้จิตใจของเขาปลอดโปร่งก่อนที่เขาจะลองต่อสู้กับสัตว์ป่าระดับสองดาว
กริชของเขาคมพอที่จะเจาะสัตว์ป่าได้ทุกชนิดและเจสันเน้นการใช้มานาที่ร่างกายส่วนล่างของเขาเพื่อความเร็วของเขา
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงผ่านไปจนกระทั่งดวงอาทิตย์ตกเจสันก็เข้าไปในโดมอีกครั้งพร้อมกับเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเลือด
เจสันโจมตีกลุ่มสัตว์ป่าหนึ่งดาวตัวเล็กอีกสามตัว แต่เขาฆ่าสัตว์ร้ายเพียงสี่ตัว เพราะมีครั้งหนึ่งเขาส่งเสียงขาดช่วงเวลาในขณะที่กำลังพยายามต่อสู้เขาได้พลาดท่าเกือนโดนกระทิงทำร้าย
แต่เจสันพบว่ามีบางอย่างที่สำคัญ
ดวงตาของเขายิ่งสัตว์ร้ายอยู่ใกล้เขามากเท่าไหร่ เจสันก็คาดเดาได้ง่ายขึ้นว่าเขาจะถูกโจมตีที่ใด
มันยังคงเป็นทฤษฎี แต่เจสันพบว่าดวงตาของเขา นั้นน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งทำให้เขาอยากรู้อยากเห็น
‘แม่ของฉันมีดวงตาพิเศษอะไรและดวงตาของฉันมีการกลายพันธุ์จากดวงตาของเธอรึเปล่า หรือมีอย่างอื่นที่ฉันไม่รู้เกี่ยวกับเธอ? ฉันสงสัยว่าดวงตาเหล่านี้เป็นดวงตามานาปกติ ‘
แต่คงไม่มีใครตอบคำถามของเขาได้ ดังนั้นเจสันจึงต้องเพิกเฉยต่อความคิดนี้
เขาต้องหาทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่นั่นก็โอเคสำหรับเขา
การเรียกรถรับส่งเพื่อพาเขากลับบ้าน เจสันต้องรอสองสามนาที
เมื่อมองเข้าไปในพื้นที่เก็บของของเขาเห็นซากสัตว์ป่าหนึ่งดาวเจ็ดตัวและซากสัตว์สองดาวสองตัว
นี้มากกว่าที่เจสันคาดไว้ในวันแรกและการต่อสู้ของเขาในขณะที่รอรถรับส่งมาเขาจำข้อบกพร่องได้หลายอย่าง
แต่สำหรับเจสัน วันทั้งวันดำเนินไปอย่างราบรื่นกว่าที่เขาเคยคิดไว้ เพราะเขายังไม่ได้รับบาดเจ็บและมีสุขภาพดี
เขาคาดว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บได้บ้าง แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี
รถรับส่งมาถึงและเจสันอยู่หน้าอพาร์ตเมนต์ของเขาในอีก 40 นาทีต่อมา
หลังจากมาถึง เจสันก็เข้าไปในอพาร์ทเมนต์เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของเขา
การต่อสู้กับสัตว์ป่านั้นแตกต่างจากการฝึกที่บ้านอย่างแน่นอนและหลังจากวันนี้เจสันก็เข้าใจว่า เขาต้องฝึกฝนเทคนิคของเขาด้วยประสบการณ์การต่อสู้ที่แท้จริง
มิฉะนั้นเขาจะอยู่ข้างหลังคนอื่น ๆ
ในตอนเช้า เจสันลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
วันนี้เขาจะออกจากเมืองเป็นครั้งแรกในชีวิต
เขามีความคาดหวังและกลัวในเวลาเดียวกัน
หลังจากล้างตัวและรับประทานอาหารเล็กน้อย เจสันก็เรียกรถรับส่งซึ่งจะไปส่งเขาที่จักษุแพทย์
เขานัดหมายหลังจากเกร็กเล่าให้ฟังเกี่ยวกับคำพูดของเขา
วันนี้เขาจะเอาคำพูดของเขาออกและอาจจะมีการเพิ่มคำพูดพิเศษ
มันค่อนข้างง่ายที่จะกลายเป็นคำพูดของเขาเกี่ยวกับการตาบอดเนื่องจาก เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถมองเห็นได้อีกครั้งและแพทย์จะต้องส่งข้อมูลไปยัง AI ของสหพันธ์ที่เรียกว่าออโรร่า
ผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมงทุกอย่างก็จบลง
คำพูดในผลการสอบของเขาถูกลบออกทันทีซึ่งทำให้เจสันมีความสุขมาก
การทดสอบ ที่เขาทำในตอนนี้มีความซับซ้อนมากขึ้นเนื่องจากเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์เวทย์มนตร์สองสามชิ้นและแพทย์สามารถตรวจพบได้ว่าเจสันมีดวงตามานา แต่การทดสอบไม่แม่นยำเนื่องจากกราฟวิ่งขึ้นลงอย่างแปลกประหลาดพร้อมกับระยะของดวงตามานาของเขาที่ยังคงเป็นปริศนา
นอกจากนี้เจสันยังเก็บเอฟเฟกต์พิเศษของดวงตาของเขาไว้เป็นความลับและมีการเพิ่มคำพูดพิเศษลงในผลการสอบของเขาหลังจากนั้นไม่นาน
‘ข้อสังเกตพิเศษ: [ตามานา]’
สิ่งนี้ทำให้ เจสันมีความสุขมากและเขาออกจากคลินิกทันทีหลังจากจ่ายบิลเครดิต 500
มันแพงกว่าที่เขาคาดไว้ แต่เจสันต้องทำมัน จึงไม่สำคัญเท่าไหร่
เจสันเรียกรถรับส่งอีกคันไปยังเขตนอกเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของพื้นที่คุ้มครอง
เมืองแต่ละเมืองถูกสร้างขึ้นภายในพื้นที่คุ้มครองที่ดำเนินการโดยมานาซึ่งดูเหมือนโดมโปร่งใส
เราสามารถผ่านโดมนี้ได้เพราะมันไม่ได้อยู่ในสถานะ โซลิดสเตท
โดมเป็นเหมือนกำแพงโอบล้อมที่จะปล่อยให้ทุกอย่างผ่านพ้นไป
อย่างไรก็ตามมันจะตรวจจับและกำจัดศัตรูในขณะที่มันสามารถเข้าใจได้ว่าสิ่งมีชีวิตที่บุกรุกนั้นเป็นมนุษย์ที่มีประวัติอาชญากรรมหรือไม่ พันธะหรือหนึ่งในสัตว์ไม่กี่ชนิดที่ใช้ในการทำธุระที่มีสัญลักษณ์พิเศษหรือความผันผวนของมานาเฉพาะที่แผ่ออกมาจากพวกมันโดยพูดว่า สัตว์ร้ายตัวนี้เป็นพันธะที่ตรวจพบ
ได้รับการดูแลโดย AI ซึ่งทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้ มิฉะนั้นจะค่อนข้างยากที่จะตรวจพบว่ามนุษย์คนใดไม่เป็นอันตรายและเป็นที่ทราบกันดีว่ามีความเกี่ยวข้องกับองค์กรก่อการร้าย
แต่โดมใช้มานาจำนวนมากซึ่งเป็นข้อเสียของมัน
การสแกนรอบนอกเมืองไม่กี่ร้อยกิโลเมตรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุแม้แต่น้อยก็ใช้พลังงานมาก
นี่เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้เมืองที่มีคะแนนสูงกว่า มีราคาแพงกว่าเมืองอาร์เทสที่ เจสันอาศัยอยู่
พวกเขามีการป้องกันที่แข็งแกร่งขึ้นทำให้ราคาของเกือบทุกอย่างในเมืองเหล่านี้เพิ่มขึ้นเนื่องจากค่าธรรมเนียมภาษีและอื่น ๆ ที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองที่ต้องเผชิญเนื่องจากกระแสของสัตว์ร้ายเกิดขึ้นทุกขณะ
ทุกๆสองสามปีสัตว์ร้ายหลายพันตัวจะรวมตัวกันเพื่อที่จะโจมตีผ่านดินแดน
กระแสน้ำของสัตว์ร้ายเหล่านี้ถือเป็นภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดมนุษยชาติที่ต้องเผชิญหลังจากยุคมืดเริ่มต้นขึ้น
ตอนนี้มนุษยชาติเริ่มสามารถควบคุมกระแสน้ำของสัตว์ร้ายได้ในระดับหนึ่งแล้ว เนื่องจากนักล่าออกล่าสัตว์ที่มีการสืบพันธุ์สูงในบริเวณใกล้เคียงเมื่อพวกมันทะลุเกณฑ์ที่กำหนด
สิ่งนี้ช่วยเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ร้ายบางตัวมาถึงเมืองของพวกเขา
อย่างไรก็ตามเพื่อปกป้องเมืองการรักษาความปลอดภัยรวมถึงสำนักพรานต้องได้รับการพัฒนาและติดอาวุธมาเป็นอย่างดี
เจสันเข้ามาในดินแดนที่ราบในขณะที่รถรับส่งเขาขับเข้าไปใกล้โดมโปร่งใสที่เข้ามาในมุมมองของเขา
เนื่องจากดวงตามานาของเขาเจสัน สามารถมองเห็นความผันผวนของมานาของโดมได้ ในขณะที่มนุษย์ทั่วไปสามารถมองเห็นภาพสะท้อนเล็ก ๆ เมื่อมองไปที่โดมเท่านั้น
ที่ราบกว้างใหญ่และเป็นครั้งแรกที่เจสันได้เห็นเพราะไม่มีสิ่งก่อสร้างใด ๆ มาขวางสายตาของเขา
รถรับส่งหยุดอยู่ห่างจากโดมประมาณ 1 กิโลเมตรและเจสันต้องออกจากโดมหลังจากจ่ายค่าธรรมเนียมแล้ว
เมื่อเดินเข้าไปใกล้โดมมากขึ้น เจสันสังเกตเห็นเยาวชนหลายคนกำลังปิกนิกขณะที่สัตว์วิญญาณของพวกเขาเดินเล่นเล่นด้วยกัน
ยิ่งเขาเข้ามาใกล้โดมมากเท่าไหร่เจสันก็สามารถมองเห็นเยาวชนได้มากขึ้นและเขาสังเกตเห็นว่าเยาวชนจำนวนมากกำลังสวมชุดเกราะมีอาวุธเช่นธนูปืนพกและอื่น ๆ รอบตัวพวกเขา
ในยุคนี้มนุษยชาติปรับเปลี่ยนอาวุธทุกชนิดเพื่อใช้งานด้วยมานาเนื่องจากเป็นพลังงานที่แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถใช้ได้
นอกจากนี้มานายังเป็นทรัพยากรคุณภาพสูงที่ดูเหมือนจะไม่ จำกัด
ปืนพกบางกระบอกที่ใช้มานาสามารถทำลายกะโหลกของสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งได้ในทันที แต่อาวุธเหล่านี้ใช้มานาจำนวนมากและผลิตด้วยวัสดุหายาก
แม้ว่าเจสันจะได้รับอนุญาตให้ใช้ปืนเพื่อกำจัดสัตว์ป่าระดับห้าดาว แต่เขาก็ไม่สามารถซื้อปืนพกที่อ่อนแอได้ เนื่องจากเขามีเครดิตเหลือเพียงประมาณ 100,000 เท่านั้น
แถมกระสุนยังมีราคาแพง
เยาวชนที่เจสันเห็น อาจจะฝึกทักษะและจะใช้ปืนในสถานการณ์ที่ถึงแก่ชีวิตเท่านั้น
นอกจากนี้เขายังสามารถเห็นกลุ่มวัยรุ่นที่ใหญ่กว่าบางกลุ่มที่อยู่รอบ ๆ ชายและหญิงวัยกลางคน
เมื่อดูเครื่องแบบของพวกเขา เจสันสรุปว่าแม้ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน บางชั้นเรียนจะเดินทางไปยังเขตป่าเพื่อฝึกฝนเทคนิคศิลปะการป้องกันตัวของพวกเขา
เจสันจำได้ว่าปีที่แล้วชั้นเรียนของเขาทำสิ่งเดียวกันตลอดทั้งสัปดาห์ แต่เขาทำได้แค่เรียนที่บ้านเพราะตาบอด
ชายและหญิงวัยกลางคนเป็นครูและพวกเขาแข็งแกร่งพอที่จะช่วยนักเรียนในสถานการณ์อันตราย
ตอนนี้เจสันอยู่หน้าโดมและสัมผัสมัน เจสันรู้สึกได้ถึงมานาจำนวนมหาศาลที่ไหลผ่านเขา
เมื่อก้าวผ่านโดมเจสัน สั่นสะท้านชั่วครู่ก่อนที่เขาจะถูกโจมตีด้วยอากาศบริสุทธิ์มานาและธรรมชาติ
เมื่อเปรียบเทียบปริมาณมานาภายในโดมกับภายนอกเราจะเข้าใจได้ง่ายว่าทำไมที่ราบจึงดูแตกต่างกันมาก
ภายในโดมที่ราบดูไร้ชีวิตชีวาด้วยจุดเล็ก ๆ ของที่ดินที่เจริญรุ่งเรืองต้นไม้และพุ่มไม้ที่มีชีวิตชีวา แต่ภายนอกนั้นแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
สำหรับเจสันดูเหมือนทุกอย่างมีชีวิต
มานาอยู่ทุกหนทุกแห่งทุกซอกทุกมุมในอากาศ
เมื่อมองไปที่ต้นไม้และพุ่มไม้รอบ ๆ เจสันรู้สึกได้ถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์ที่บุกรุกรูขุมขนของเขา
เจสันรู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นสิ่งนั้นและเขาเดินไปรอบ ๆ พรมแดนในขณะที่ถือกริชของเขาไว้แน่น
เขาไม่ได้ระวังตัว แต่สมองของเขาไม่ลืมว่าสัตว์ป่าสามารถโจมตีเขาได้ทุกเมื่อ
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เจสันประหลาดใจและเขาก็ประหลาดใจเกินกว่าที่จะมุ่งเน้นไปที่การล่าสัตว์ในขณะนี้
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เจสันก็สามารถมุ่งเน้นไปที่ภารกิจของเขาได้อีกครั้ง
เขาสังเกตเห็นว่าเขาสามารถมองเห็นสัตว์ร้ายจากที่ไกล ๆ ได้ และเขาคิดว่ามันเป็นเพราะดวงตาที่พิเศษของเขาอย่างที่เจสันบอกในระหว่างการทดสอบเมื่อเช้านี้
สายตาของเขานั้นยอดเยี่ยมมากปฏิกิริยาตอบสนองและหน้าที่อื่น ๆ ที่รวมถึงดวงตาของเขาก็เช่นกัน
การมองหาสัตว์ป่าดาวเดียว เจสันสังเกตว่าสัตว์ร้ายส่วนใหญ่เคลื่อนไหวเป็นกลุ่มเล็ก ๆ 3 ถึง 5 ตัว
สิ่งนี้ค่อนข้างน่ารำคาญ แต่แม้จะเดินไปมาทั้งชั่วโมง เจสันก็ไม่พบกลุ่มเล็ก ๆ
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะลองกับสิ่งที่เล็กที่สุดที่เขาสามารถหาได้
กลุ่มสัตว์ป่าระดับหนึ่งดาวที่เป็นสัตว์กินพืชที่ไม่เป็นอันตรายสามตัวที่ เรียกว่าม้าลายมีเขาเป็นเป้าหมายของเขา
พวกมันไม่ได้โจมตีมนุษย์โดยไม่มีเหตุผลใด ๆ และกินหญ้าดังนั้นนักล่าส่วนใหญ่จึงปล่อยให้พวกมันมีชีวิตอยู่
ม้าลายมีเขาเป็นสัตว์ที่อ่อนแอที่สุดบนที่ราบ ไม่มีใครตามล่าพวกมันเพื่อรับเครดิตเพราะมันแทบจะไม่สำคัญสำหรับเครดิตของพวกเขาและพวกเขาก็ไม่ได้ใช้สำหรับการฝึกอบรมเนื่องจากพวกมันอ่อนแอเกินไป
แต่เจสันไม่เคยฆ่าสิ่งมีชีวิตใด ๆ ดังนั้นเขาจึงต้องการล่าสัตว์ร้ายที่สงบแม้ว่าจิตใจของเขาจะบอกว่าเขาไม่ควรก็ตาม
เขารู้ว่าข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวของม้าลายที่มีเขาเหล่านี้คือความเร็วของมันซึ่งเทียบได้กับสัตว์ป่าสองดาว
ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากสัตว์ร้ายมากกว่า 100 เมตร เจสันเห็นพวกมันกินหญ้าโดยไม่ได้สังเกตเห็น วิธีการเงียบของเขา
ที่ราบเกือบจะว่างเปล่าเนื่องจากไม่มีจุดซ่อนเร้นมากมายดังนั้นเจสันจึงต้องทำตัวให้เงียบ ให้มากที่สุด
เสียงดังเพียงครั้งเดียวและม้าลายที่มีเขา จะสังเกตเห็นเขาในขณะที่เจสันหวังว่าพวกมันจะไม่หันกลับมา
ห่างจากพวกมันประมาณ 30 เมตร อะดรีนาลีนของเจสันเริ่มทะยานขึ้นและเขาไม่ได้ยินอะไรเลยเพราะหัวใจที่เต้นรัวๆ
แต่ละก้าวนั้นใช้เวลานานมากและช่วงเวลาที่เขาข้ามระยะ 10 เมตร ระหว่างเขากับม้าลายมีเขาพวกมันก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ
เมื่อหันไปรอบ ๆ ก็เห็นมนุษย์หนุ่มคนหนึ่งถือของมีคมในมือ
เมื่อสังเกตเห็นอันตรายที่เข้ามาใกล้มันม้าลายมีเขาตัวหนึ่งร้องออกมาขณะที่มันวิ่งหนีทำให้ม้าลายที่มีเขาอีกตัวตกใจและมองหาอันตรายนอกเหนือจากทิศทางที่พวกมันต้องวิ่งหนี
เจสันรู้ดีว่าระยะ 10 เมตรนั้นไกลเกินที่ เขาจะสามารถเข้าไปได้โดยพวกมันไม่สังเกตเห็นเพราะมันเขียนไว้ในหนังสือหลายเล่มที่เขาอ่านและความรู้ทั่วไป
สัตว์ร้ายส่วนใหญ่มีประสาทสัมผัสที่ดีและอาจรู้สึกถึงอันตรายที่ซุ่มซ่อนอยู่รอบ ๆ ตัวพวกมัน
ในขณะที่ม้าลายมีเขาร้อง เจสันก็ผลักตัวเองให้แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้จากพื้นโดยมีมานาห่อหุ้มร่างกายส่วนล่างของเขาไว้เพื่อรองรับ
เขามาถึงความเร็วที่โดดเด่นก่อนที่จะปรากฏตัวต่อหน้าม้าลายที่มีเขาตัวหนึ่งโดยที่มันไม่สามารถตอบสนองได้
เจสันสามารถเห็นม้าลายที่มีเขาทั้งสองตัวตกใจก่อนที่เจสันจะแทงด้วยกริชเหล็กหยกของเขาซึ่งห่อหุ้มด้วยเยื่อมานาที่บางเป็นกระดาษ
เมื่อเจาะผ่านหน้าอกของม้าลายที่มีเขาเหมือนเนยดวงตาของมันหรี่ลงก่อนที่มันจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
เลือดสาดกระเซ็นมาบนใบหน้าของเจสัน ในขณะที่เขาปิดปากเป็นเวลาหนึ่งวินาทีด้วยความตกใจก่อนที่เขาจะดึงกริชออกมาทำให้น้ำพุเลือดพุ่งออกมาใส่เขา
รูม่านตาสีทองของเขาสว่างขึ้น เมื่อเขาจับแผงคอของม้าลายที่มีเขาอีกตัวด้วยมือข้างที่ว่างก่อนที่มันจะรอดพ้นจากการตายที่น่าตกใจของเพื่อน
เมื่อถูกแทงด้วยกริชเปื้อนเลือด เจสันจึงฆ่าม้าลายที่มีเขาด้วยการแทงเข้าไป
หลังจากม้าลายมีเขาตัวที่สองตาย เจสันก็ดึงกริชออกมาอีกครั้งและตอนนี้เจสันก็รู้แล้วว่าเขาได้ฆ่าสิ่งมีชีวิต
เจสันรับสายแทบจะในทันที แล้วจู่ๆใบหน้าของเกร็กก็ปรากฏขึ้นในหน้าจอโฮโลแกรม
“เฮ้ เจสันนายเป็นยังไงบ้าง?”
เกร็กดูมีความสุขและเจสันก็สงสัยว่าทำไม
“สวัสดีเกร็ก ฉันยังคงฝึกเทคนิคศิลปะการต่อสู้ด้วยการดัดแปลงเพื่อใช้กริซ ทำไมนายถึงดูมีความสุขจัง?”
เจสันรู้สึกสงสัย จึงถามอย่างตรงไปตรงมา
“ฮิฮิ ฉันมีข่าวมาบอกนาย นายอยากฟังข่าวดีก่อนหรืออยากฟังเรื่องที่ฉันมีความสุขก่อนละ ฮิฮิ “
มันแปลกมากที่เห็นเกร็กมีความสุขมากขนาดนี้ เพราะก่อนหน้านี้เขาดูเหมือนจะมีบุคลิกที่ค่อนข้างเย็นชา
`บางทีนี่อาจเป็นตัวตนจริงๆ ของเขา ‘
เจสันคิด
“อืมมม ข่าวดีก่อนละกัน”
“โห้ววว น่าเบื่ออ เอาละฉันจะบอกให้ละกัน
ข่าวดีก็คือ ฉันสามารถขออนุญาติในการใช้ นรกสวรรค์ ให้นายได้แล้วนะ
แต่ข่าวดีที่สุดที่ทำให้ฉันดีใจก็คืออ เกี่ยวข้องกับผลการเรียนของนายซึ่ง ไม่ค่อยจะดีนัก… ฮิฮิ อย่างที่นายรู้ฉันเองก็ไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก….
นอกจากนี้ ฉันยังรู้ว่านายชอบที่จะไปโรงเรียนมัธยมเพื่อที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับศิลปะการต้อสู้
นอกจากนี้แหล่งข้อมูลที่โรงเรียนมัธยมที่จะให้นายได้รู้ เพราะนายอยากจะเข้าโรงเรียนใช่ไหมละ
ตลอด 2-3 วันมานี้ ฉันได้ตามตื้อพ่อกับแม่ของฉันและบอกวกเขาว่า เราเป็นหนี้บุญคุณนาย เพราะสัตว์ที่ฉันได้รับมานั้นมีสายเลือดของมิโนทอร์ ซึ่งมันเป็น มิโนทอร์แคระ ดังนั้นพวกเขาจึงอนุญาติให้ฉันใช้สิทธิ์ขุนนางที่ได้รับมาใหม่ในการพานายเข้าเรียนที่โรงเรียน แต่นายต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดบางประการ ไม่ดีหรอออ ฮิฮิ “
ตอนนี้เจสันรู้สึกสับสนเล็กน้อยกับข้อมูลที่เกร็กบอกกับเขา
การได้รับเทคนิคนรกสวรรค์เป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่เกร็กต้องการบอกเขา เกี่ยวกับสิทธิของขุนนางนั้นเขายังไม่เข้าใจ
เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสิทธิเหล่านี้คืออะไร .. และเกร็กเป็นขุนนางตั้งแต่เมื่อไหร่!?
เจสันสับสนเกินไปและพูดอย่างงุนงง
“ขุนนาง ?? มันคืออะไรฉันรู้อ่า แล้วข้อกำหนดอะไร นายช่วยอธิบายได้ไหม”
เกร็กยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“เรารู้ว่าตอนนี้นายอ่อนแอเกินไป และมันเป็นเหตุผลที่ฉันต้องการใช้สิทธิ์ขุนนางของฉัน ซึ่งนั้นค่อนข้างง่าย นายจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนในเครือของโรงเรียนที่ฉันจะเข้าเรียน
ไม่ดีเหรอ?
ฉันไม่ได้เป็นขุนนางตั้งแต่เกิด แต่เรามีทรัพย์สินและเครดิตมากกว่าขุนนางเล็ก ๆ ส่วนใหญ่ในแอสทริกซ์และเมื่อไม่นานมานี้แม่ของฉันได้รับมอบหมายให้เป็นขุนนางชั้นผู้น้อยเนื่องจากการมีส่วนร่วมของเธอที่มีต่อมนุษยชาติซึ่งทำให้ฉันเป็นคนชั้นสูงในรุ่นที่สอง
ด้วยเหตุนี้ครอบครัวของเราจึงสามารถอนุญาตให้ใครบางคน ในกรณีนี้คือนายในฐานะนักเรียนของโรงเรียนในเครือที่มีสายสัมพันธ์กับแม่ของฉันได้ นายจะสามารถเข้าโรงเรียนได้ด้วยสิ่งนั้น แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถพานายเข้ามาในเรียนเรียนกับฉันได้
ในขณะที่ฉันจะเข้าโรงเรียนหลัก และนายจะเข้าโรงเรียนในเครือแห่งหนึ่ง
ก็คือ….
พ่อค้าที่ร่ำรวยหลายคนพยายามจ่ายเงินให้ขุนนาง เพื่อให้ขุนนางเหล่านี้ใช้สิทธิ์ของขุนนางในการพาลูก ๆ ของพวกเขาไปโรงเรียนเกรด A ที่มีชื่อเสียง
โรงเรียนแนวหน้ารู้เรื่องนั้นและรับพวกเขาเข้าโรงเรียนในเครือในช่วงปีแรก
หลังจากผ่านไปหนึ่งปีโดยไม่ได้รับความแข็งแกร่งคะแนนและข้อกำหนดอื่น ๆ ตามที่ต้องการเราจะถูกไล่ออกทันที
นอกจากนี้ ฉันต้องสัญญากับพ่อแม่สองสามอย่างเพื่อให้พวกเขายอมรับนาย แต่นั่นก็ไม่ถือเป็นปัญหา
ปัญหาหลักคือนายต้องผ่านการทดสอบเล็กน้อย
หากนายผ่านการทดสอบ นายสามารถไปที่ไซโรกับเราและเข้าเรียนในโรงเรียนในเครือของแวนด์การ์ดซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในแอสทริกซ์ แม้ว่านายจะมีผลการสอบภาคปฏิบัติที่ไม่ดีก็ตาม
อ๊ะเดี๋ยวก่อน … สำหรับผลการสอบของนาย นายต้องปล่อยให้คำพูดตาบอดของนายถูกลบออกไป มิฉะนั้นแม้แต่สิทธิของขุนนางก็ไม่สามารถช่วยนายให้เข้าโรงเรียนได้
แม่ของฉันสันนิษฐานว่า นายมีลักษณะพิเศษและถ้านายได้รับการรับรองพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้ นายอาจได้รับข้อมูลรับรองพิเศษสำหรับใบสมัครของนาย “
“กลับไปที่การทดสอบของพ่อแม่ฉัน
เพราะพวกเขารู้อันดับแกนมานาของนายและการตาบอดในอดีตของนาย พวกเขามีความเมตตาในความคิดของฉันและนายจะต้องเอาชนะสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นมาหรือสัตว์ป่าห้าดาว 1 ตัวภายในเวลา 3 สัปดาห์โดยสามารถใช้ปืนพกมานา ปืนไรเฟิลและอื่น ๆ
ไม่ดีเหรอ?”
เจสันยังคงสับสนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่การได้รับรู้ว่าเขาอาจจะสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในเมืองเกรด A ทำให้อารมณ์ของเขาสูงขึ้น
แม้ว่าเขาจะอยู่ที่ด้านล่างสุดของโซ่ในโรงเรียนนี้ แต่เจสันก็มีโอกาสที่จะทะยานสู่ท้องฟ้าได้ดีกว่า แทนที่จะอยู่ในเมืองเกรด C โดยไม่รู้แน่ชัดว่าเขาสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมที่ดีที่นั่นได้
และความแข็งแกร่งของเขาจะอยู่ในระดับต่ำสุดทุกหนทุกแห่งดังนั้นเขาจึงไม่สนใจสิ่งนั้นในขณะนี้
แต่การจะเข้าโรงเรียนนี้หรือแม้แต่ไปเรียนในเมืองเกรดเอ เจสันต้องพึ่งพาครอบครัวของเกร็กซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เจสันต้องการจริงๆ
อย่างไรก็ตามมันเป็นโอกาสที่ดีที่ไม่ได้มีมาทุกวันและเจสันก็นึกถึงคำพูด
`บางครั้งเราต้องถอยหลังก่อนจะกระโดดให้สูงขึ้น”
เมื่อฟังข้อกำหนดที่ระบุไว้ เจสันครุ่นคิดสักครู่ก่อนที่เขาจะสาปแช่งพ่อแม่ของเกร็กในความคิดของเขา เขาอ่อนแออย่างน่าสมเพช มีความสามารถในการต่อสู้เกือบเป็นศูนย์และระดับแกนมานาของเขาต่ำ
`ท้าทายดีจริงๆ !!!” หากเขาใช้ความพยายามอย่างมากในการเอาชนะสัตว์ป่าระดับห้าดาว เขาก็น่าจะทำได้ แต่มันจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง“
อย่างน้อยก็คือสิ่งที่เจสันหวังไว้
ตอนนี้เจสันรู้สึกมั่นใจที่จะต่อสู้กับสัตว์ป่าที่อ่อนแอกว่า เนื่องจากความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับเทคนิคของหน่วยกอลิล่าที่ดัดแปลงด้วยกริชนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ใน 3 สัปดาห์เจสันมั่นใจว่าจะไปถึงมือใหม่ขั้นที่ 4 และด้วยเล่ห์เหลี่ยมบางอย่างเขาอาจสามารถต่อสู้กับสัตว์ป่าระดับห้าดาวได้ ซึ่งเยาวชนที่มีสติทุกคนจะกล้าทำในขั้นมือใหม่ที่ 8 หรือ 9 ด้วยอาวุธที่ดีพร้อม
แต่การต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับสัตว์ร้ายเช่นนี้จะเป็นการฆ่าตัวตายของเจสันในตอนนี้
โชคไม่ดีที่โอกาสของเขาจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าและเขาต้องคิดแผนการที่จะเอาชีวิตรอดจากการโจมตีของสัตว์ป่าระดับห้าดาว
เจสันและเกร็กคุยกันเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเพราะทั้งคู่อารมณ์ดีในขณะที่เจสันครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ
หลังจากสิ้นสุดการโทร เจสันก็ยังคงฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของเขาต่อไป
ดูวิดีโออื่น ๆ เกี่ยวกับเทคนิคศิลปะการต่อสู้ของหน่วยกอลิล่า เจสันพบว่าความเชี่ยวชาญของเทคนิคศิลปะการต่อสู้แบ่งออกเป็นส่วนต่างๆซึ่งใช้กับความเชี่ยวชาญด้านอาวุธและองค์ประกอบด้วย
วงเวียนเหล่านี้เรียกว่าเชี่ยวชาญขั้นพื้นฐาน เชี่ยวชาญคุ้นเคย เชี่ยวชาญมีประสบการณ์ เชี่ยวชาญลึกซึ้งและเชี่ยวชาญสมบูรณ์แบบ
หลังจากความเชี่ยวชาญที่สมบูรณ์แบบแล้วจะเป็นการผสมผสานของเทคนิคต่างๆ แต่มีไม่มากนักที่ทำเช่นนี้เพราะจะเสียเวลามากเกินไป
ตามคำอธิบายของวิดีโอเจสันเห็นว่าเขาได้เข้าสู่ความเชี่ยวชาญขั้นพื้นฐานของเทคนิค ศิลปะการต่อสู้
อย่างไรก็ตามเจสันไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้ดีแค่ไหนเพราะเขาไม่มีใครที่จะมาเปรียบเทียบทักษะ
สิ่งเดียวที่เขารู้คือศิลปะการต่อสู้ของหน่วยกอลิล่าเป็นหนึ่งในเทคนิคศิลปะการต่อสู้ที่อ่อนแอที่สุดของสหพันธ์ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมมันฟรีสำหรับทุกคน
เขาเข้าใจว่าสามสัปดาห์ข้างหน้ามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเขา เพื่อเพิ่มความสามารถในการต่อสู้และประสบการณ์ของเขาโดยการล่าสัตว์ป่าที่อ่อนแอกว่า ก่อนที่เขาจะกล้าต่อสู้กับสัตว์ป่าระดับห้าดาว
เจสันต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายจริงๆเพื่อให้ชินกับพวกมัน
นี่คือสาเหตุที่เจสันตัดสินใจมุ่งหน้าเข้าสู่เขตป่าหนึ่งดาวถัดจากเมืองในไม่ช้า
มันเป็นที่ราบที่เต็มไปด้วยสัตว์ป่าหลายชนิดและส่วนใหญ่จะใช้สำหรับผู้ฝึกหัดเพื่อฝึกฝนเท่านั้น
ผู้ฝึกหัดเหล่านี้เป็นภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดสำหรับพวสัตว์ป่า เนื่องจากสัตว์ที่ตื่นขึ้นมาจะถูกฆ่าทันทีที่พบภายในเขตป่าระดับหนึ่งดาวเพื่อให้คนรุ่นใหม่ปลอดภัย
ร่างกายของเจสันอยู่ในระดับปกติและไม่มีสัญญาณของการขาดสารอาหารให้เห็นเนื่องจากกล้ามเนื้อเริ่มปกคลุมร่างกายเล็ก ๆ ของเขาอย่างช้าๆ
เขาเติบโตขึ้นไม่กี่เซนติเมตรและตอนนี้สูง 1.63 เมตรซึ่งเป็นความสูงทั่วไปของเด็กอายุ 13 เกือบ 14 ปี
ยกเว้นการรับไฟล์เกี่ยวกับเทคนิควิญญาณนรกสวรรค์ไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้น และ เจสันฝึกเสร็จก็ไปวิ่งเหยาะๆในสวนสาธารณะ
กินอาหารและก็เข้านอนพร้อมกับรอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้าของเขา
เช้าตรู่และแสงแดดแรกส่องเข้ามาในอพาร์ทเมนต์ใหม่ของเขา เมื่อเด็กหนุ่มผมดำถือลูกเจี๊ยบนกฮูกตัวเล็ก ๆ ตื่นขึ้นมา
เขาขยี้ตาที่เหมือนฝันด้วยมือที่ว่างเปล่าเมื่อสังเกตเห็นบางอย่างอยู่ในมืออีกข้างของเขา
เจสันระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันก่อนที่ เจสันจะรู้ว่าสิ่งนั้นคืออาร์เทมิสจิตวิญญาณของเขา
เขายิ้มอย่างมีความสุข เมื่อเขามองไปที่นกฮูกตัวน้อยที่กำลังหลับอยู่
เจสันไม่แน่ใจว่าเขาหลับไปตอนไหน แต่มีบางอย่างในห้องของเขาที่เปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืนและการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขาประหลาดใจมาก
หินมานาที่ยังคงส่องแสงอ่อน ๆ เมื่อวานนี้ ตอนนี้มันกลับกลายเป็นหินปกติ
ไม่มีร่องรอยของมานาหลงเหลืออยู่ภายในหินและเจสันเปิดใช้งานดวงตาของเขาเพียงเพื่อที่จะดูว่าสีที่เปล่งประกายของอาร์ทิมิส และดูเหมือนว่ามันจะแข็งแกร่งกว่าวันก่อน
จากรูปลักษณ์ภายนอก เจสันไม่ได้สังเกตเห็นความแตกต่าง แต่ขนนกสีขาวของมันส่องแสงเป็นประกาย
การเปรียบเทียบอาร์ทิมิสกับลูกเจี๊ยบนกฮูกเกล็ดหิมะธรรมดาขนาดที่เล็กของอาร์ทิมิสเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงอยู่
เจสันไม่แน่ใจว่าการวิวัฒนาการหรือการกลายพันธุ์ทำงานอย่างไร แต่เขาเชื่อในสายตาของเขาซึ่งบอกเขาว่าอาร์ทิมิสเป็นสมบัติที่ล้ำค่า
สิ่งเดียวที่เขาต้องหาคือวิธีดึงศักยภาพออกจากตัวเธอ
เขาคิดทฤษฎีขึ้นมาแล้ว
เจสันเคยอ่านทฤษฎีเกี่ยวกับวิวัฒนาการจากผู้สร้างสัตว์ร้ายและพัฒนาการของการกลายพันธุ์ดังนั้นจึงมีสิ่งต่างๆมากมายให้ทดลองใช้
แต่เพื่อทดสอบทฤษฎีส่วนใหญ่ เจสันต้องการเงินมากขึ้นเนื่องจากมีราคาแพงและดูเหมือนว่าจะไม่เพียงพอพวกเขา ดูเหมือนจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งดังนั้น เจสันจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม
การล่าสัตว์ถือเป็นหนึ่งในงานที่ทำเงินได้สูงสุดและการเป็นฮันเตอร์จะช่วยแก้ปัญหาของเจสันได้
อย่างไรก็ตามก่อนอื่นเขาต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งจิตใจและร่างกาย
เมื่อพิจารณาถึงความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขาในตอนนี้ การต่อสู้กับสัตว์ป่าระดับหนึ่งหลังจากการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ในบางอย่างไม่น่าจะยากขนาดนั้น บางทีการล่าสัตว์ป่าระดับสองดาวก็อาจเป็นไปได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาต้องทำตอนนี้คือการฝึกฝนร่างกาย แก้ปัญหาการขาดสารอาหารด้วยการกินมากขึ้น การเลี้ยงดูอาร์เทมิสและฝึกศิลปะการต่อสู้
สองในสี่เรื่องนั้นค่อนข้างง่ายและสามารถแก้ไขได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ
การกินและการฝึกร่างกายของเขาจะเป็นเรื่องง่ายในขณะที่เขายังไม่แน่ใจ เกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของอาร์เทมิสหรือสิ่งที่เธอจะต้องกิน
เกี่ยวกับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ เจสันตัดสินใจที่จะจดจำเทคนิคของหน่วยกอลิล่าและเรียนรู้มันจนกว่าเขาจะถึงขีด จำกัด ของเทคนิค
เขาไม่แน่ใจว่าเขาจะขอให้เกร็กมาร่วมเป็นผู้ฝึกกับเขาได้หรือไม่ แต่หลังจากคิดอีกครั้งเขาก็ปฏิเสธเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าเกร็กจะอยู่ในอันดับที่ 2 ของ ผู้ชำนาญที่มีพันธะที่ไม่ใช่ธาตุซึ่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มร่างกายของเขาได้อย่างมาก
เจสันไม่สามารถรับมือได้แม้แต่ครั้งเดียวและมันจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจข้อบกพร่องในเทคนิคของเขา ในขณะที่ถูก น็อคด้วยการตีเพียงครั้งเดียว
เมื่อไม่คำนึงถึงความคิดนี้เจสันได้ดูคลิปวิดีโอของเทคนิคของหน่วยกอลิล่าในขณะที่เขารอให้อาร์เทมิสตื่นขึ้น
แต่หลายชั่วโมงต่อมาเธอก็ไม่ตื่นและเจสันก็กังวล เขาจึงเขย่าเธอเล็กน้อย
อาร์เทมิสที่ยังเพ้อฝันตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์ไม่ดีทำให้เจสันรู้สึกโล่งใจ
อาร์เทมิสเข้าใจความรู้สึกของเจสันเพราะความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา แต่เธอก็ยังเหนื่อยอยู่กับการดึงมานา
เจสันรู้สึกสับสนเนื่องจากทารกแรกเกิดมักจะตื่นตัวมากและเขากังวลมากขึ้นเมื่อนึกถึงความเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นได้
อาร์เทมิสได้ถ่ายทอดความทรงจำของเธอซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอดูดซับมานาที่เหลืออยู่ภายในหินมานาและเธอก็หลับไป
เมื่อเห็นความทรงจำนี้เจสันก็ประหลาดใจ
ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่สัตว์ป่าจะมีฉลาดขนาดนี้และสามารถถ่ายทอดความทรงจำระหว่างกันได้เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์
เมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างเรียบร้อยเกี่ยวกับอาร์ทิมิสเจสันก็สงบลงเล็กน้อย
นอกจากนี้เขายังรู้สึกได้ว่าอาร์เทมิสรู้สึกอิ่มราวกับว่าเธอกินหมูไททันทั้งตัว ทำให้เขามั่นใจในความกังวลเกี่ยวกับอาหารของเธอ
อาร์ทิมิสยังคงง่วงนอน แต่ก่อนที่เธอจะหลับไปก็มีวงเวทย์สีขาวเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นด้านล่างเธอขณะที่เธอเข้าไปข้างในวงเวทย์
เจสันปรากฏขึ้นในโลกแห่งจิตวิญญาณ
ภายในโลกแห่งจิตวิญญาณอาร์เทมิสหลับไปอย่างสงบ
เจสันลุกขึ้นจากเตียงเดินไปรอบ ๆ อพาร์ตเมนต์โดยคิดถึงพฤติกรรมแปลก ๆ ของอาร์ทิมิส
มันแปลก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับหินมานาหรอและเจสันมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
เขาหวังว่าข้อสันนิษฐานของเขาจะไม่เป็นจริงมิฉะนั้นเขาจะต้องประสบปัญหาทางการเงิน
‘โปรดอย่าปล่อยให้การกลายพันธุ์ของเธอถูกกระตุ้นโดยมานาหรือที่แย่กว่านั้นคือการกินมานาบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียว’
เจสันไม่แน่ใจว่าเธอจะนอนนานแค่ไหนเพื่อย่อยมานาก้อนเล็ก ๆ สามก้อนนี้ แต่เครดิตเหลือไม่มากในบัญชีธนาคารของเขา
เงินที่เหลืออยู่จะสามารถซื้อหินมานาได้สองก้อน
เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาร์เทมิสจะสามารถกินอย่างอื่นได้ด้วยมานาในปริมาณที่น้อยกว่านี้
เจสันจะซื้อเนื้อสัตว์ที่มีเกรดสูงกว่าเพื่อให้อาร์ทิมิสอิ่มตัว แต่ตอนนี้เจสันรู้สึกกลัวเกินไปกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
เจสันรู้สึกหดหู่ใจต้องคิดหาวิธีหาเงินเพิ่มและวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับเขาคือการล่าสัตว์
ด้วยเหตุนี้เจสันจึงตัดสินใจฝึกฝนเทคนิคศิลปะการต่อสู้ อย่างขยันขันแข็งก่อนที่เขาจะทำอย่างอื่นต่อไป
เขาย้ายเฟอร์นิเจอร์บางส่วนออกไปเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับฝึกซ้อม
ดูทีละวิดีโอและทำซ้ำการเคลื่อนไหวเดิมที่ผู้สอนทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เมื่อทำซ้ำสองสามลำดับในวิดีโอที่ให้มา เจสันพบว่าเขาทำผิดพลาดบางอย่างเพราะรู้สึกแตกต่างจากลำดับแรก ซึ่งเขาเห็นมาจากผู้สอนที่มีมานาที่โรงเรียน
เจสันพยายามหาข้อบกพร่องของเขา เจสันเริ่มบันทึกการปฏิบัติของเขา
หลังจากแต่ละลำดับเขาดูที่การบันทึกและพบว่าการเคลื่อนไหวของเขาผิดตำแหน่งอย่างสมบูรณ์
เจสันพยายามแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านี้ หลังจากตรวจสอบทุกอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้ง
ในตอนเย็นเมื่อดวงอาทิตย์ตก เจสันนอนอยู่บนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยเหงื่อและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยสีหน้าพึงพอใจที่เบ่งบานบนใบหน้าของเขา
ท้องของเขาคำรามและเขาสั่งบางอย่างให้ส่งทางโทรศัพท์หลังจากที่เขาสังเกตว่าเขาไม่ได้กินอะไรเลยตลอดทั้งวัน
เขาจำได้อย่างสมบูรณ์ว่าเทคนิคศิลปะการตอสู้ของหน่วยกอลิล่าควรมีลักษณะอย่างไรและเปรียบเทียบการเคลื่อนไหวของเขากับความทรงจำของเขามันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะดูข้อบกพร่อง
แต่เจสันไม่รู้ว่าสายตาที่ยอดเยี่ยมของเขามีบทบาทอย่างมากในการค้นหาข้อบกพร่อง
แม้แต่ข้อบกพร่องเล็กน้อยก็มีบทบาทสำคัญในภาพรวม
ในที่สุด เจสันก็เรียนรู้เทคนิคนี้ได้ดีและมีประสิทธิภาพมากกว่าคนอื่น ๆ
ปัญหาเล็ก ๆ อย่างเดียวที่เขามีเกี่ยวกับลำดับที่สอง คือการสร้างการไหลเวียนของมานาที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาใหม่ แต่ประสาทสัมผัสพิเศษการควบคุมมานาและความแม่นยำของเขามีประโยชน์มากที่นี่
สามวันผ่านไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักและ เจสันก็อยู่ในอพาร์ตเมนต์ของเขาตลอดเวลา
อาร์ทิมิสยังคงหลับใหลอยู่ในโลกแห่งจิตวิญญาณ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ยังคงแข็งแกร่งและมีชีวิตชีวาและรู้สึกเหมือนว่ามันผูกพันกันมากขึ้นทุกวัน
เจสันรู้สึกว่าอาร์เทมิสสบายดีเขาจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเธอมากนัก
เขามุ่งเน้นไปที่เทคนิคการต่อสู้ของหน่วยกอลิล่าและหลังจากจดจำและฝึกฝนสามลำดับแรก ในระดับหนึ่งเจสันสังเกตเห็นว่าผู้ฝึกสอนเริ่มใช้อาวุธที่เข้ากันได้กับเทคนิคนี้
มีการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยจากเทคนิคปกติ แต่ไม่เป็นที่พอใจมันเชื่อมต่อกับเพลย์ลิสต์วิดีโออื่นซึ่งจะต้องเสียเงินเป็นเครดิต
แต่เจสันรู้สึกยินดีเมื่อเขานึกถึงตอนที่จะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายด้วยกรงเล็บและฟันที่แหลมคมด้วยหมัดเปล่า ๆ และเครดิตค่าธรรมเนียมที่เขาต้องจ่ายนั้นไม่มีอะไรเทียบได้กับความสำคัญที่เจสันมอบให้กับชีวิตของเขาเอง
เจสันพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองในขณะที่อ่านข่าวเกี่ยวกับเกาะ แอสทริกซ์ เพราะเขาต้องการค้นคว้าว่าเขามีโอกาสเข้าโรงเรียนมัธยมด้วยคะแนนของเขาหรือไม่
เมื่อนึกถึงประสบการณ์การต่อสู้หรือความรู้ที่ไม่มี เขาจึงเปิดเครือข่ายสหพันธ์
เจสันค้นหา อาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้และราคาของพวกเขาเพียงและพบว่ามันแพงมาก
การเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมจะถูกกว่าการเรียนสองสามบทโดยอาจารย์เหล่านี้ แต่การสอบปลายภาคของเจสันยังไม่ดีพอที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดี
เมื่อมองไปที่ผลการสอบของเขาที่โปรไฟล์ของเขาเจสันรู้สึกอายเล็กน้อย
‘ข้อสอบภาคทฤษฎี 100/100 คะแนน
ข้อสอบภาคปฏิบัติ 34/100 คะแนน
ตรวจเลือด: ผ่านแล้วหมายเหตุตาบอด
อันดับ แกนมานา: มือใหม่ระดับ 2 -40/100
การปลุกวิญญาณ: ★★ / ★★★★★ ‘
การให้คะแนนจิตวิญญาณของเขาก็เป็นเรื่องตลกร้ายเช่นกัน
ชายชราอาจใจกว้าง เพราะไม่มีใครที่มีพลังวิญญาณที่อ่อนแอและได้รับสองดาวเป็นคะแนน
หรือบางทีชายชราก็ประหลาดใจมากเกินไปเกี่ยวกับโลกแห่งจิตวิญญาณของเขาซึ่งทำให้จิตใจของเขาเบลอ
ตอนนี้เจสันมีเงินเหลืออยู่ประมาณ 130,000 เครดิตและเขาต้องเอาตัวรอดด้วยเงินจำนวนนี้จนกว่าเขาจะหาเงินได้ด้วยตัวเอง
จำนวนของสัตว์ป่ามีมากเกินไปซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมสัตว์ป่าหนึ่งดาวจึงถูกใช้สำหรับโรงเรียนมัธยมต้นเพื่อฝึกอบรมนักเรียนของพวกเขา
สิ่งเดียวที่ดีเกี่ยวกับสัตว์เหล่านี้คือ หนังหุ้ม เอ็น กรงเล็บ เนื้อและอื่น ๆ ส่วนต่างๆ ของพวกมันมีประโยชน์กับคนยากจน
ครัวเรือนทั่วไปจะไม่ซื้อเสื้อผ้าที่ทำจากสัตว์ป่าที่ได้รับการจัดอันดับ เนื่องจากหนังสัตว์ร้ายสวมใส่ไม่สบายและดูไม่ดี
มีสัตว์หายากเพียงไม่กี่ตัวที่มีขนนุ่มสบาย ครัวเรือนที่ร่ำรวยกว่าจะซื้อซึ่งจะทำให้ราคาของสัตว์ดังกล่าวเพิ่มขึ้น
ชุดป้องกันที่ทำจากสัตว์ป่าอันดับหนึ่ง ก็ไร้ประโยชน์เช่นกันเพราะอาวุธระดับ 1 ธรรมดาสามารถเฉือนทะลุพวกมันได้เหมือนเนย
อย่างไรก็ตามซากสัตว์ร้ายสามารถได้รับเครดิตมากถึง 25 เครดิต ซึ่งเป็นค่าหัวที่เหมาะสมสำหรับสัตว์ที่อ่อนแอเช่นนี้อยู่แล้วหากสมมติว่าคนงานปกติได้รับ 1500 เครดิตต่อเดือนโดยเฉลี่ย
ความคิดของเจสันทำให้เกิดความคิดมากมายในขณะที่เขาค้นคว้าหาอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้
ในที่สุดเขาก็พบเว็บไซต์ที่น่าสนใจซึ่งมีคลิปวิดีโอศิลปะการต่อสู้มากมายทางออนไลน์จาก สำนักการต่อสู้เทวดา
สำนักการต่อสู้เทวดาเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์
เว็บไซต์ให้คำแนะนำออนไลน์เกี่ยวกับเทคนิคศิลปะการป้องกันตัวทุกประเภทรวมถึงศิลปะการต่อสู้เกี่ยวกับองค์ประกอบทุกประเภท
หลังจากลงทะเบียนบัญชีด้วย ID ของเขาและป้อนอันดับและข้อมูลอื่น ๆ แล้วหน้าต่างการเลือกจะปรากฏขึ้นซึ่งเจสันสามารถเลือกอาวุธที่เขาต้องการใช้ อาจรวมถึงประเภทของความสัมพันธ์ขององค์ประกอบที่เทคนิคการต่อสู้ควรมุ่งเน้น
นอกจากนี้เจสันยังสามารถเลือกความต้องการและข้อมูลอื่น ๆ อีกมากมาย
การลงทะเบียนที่ สำนักการต่อสู้เทวดา มีค่าใช้จ่าย 100 เครดิตต่อเดือนซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสมเพราะเจสันเห็นวิดีโอฟรีไม่กี่ร้อยรายการที่รวมอยู่ในการเป็นสมาชิกของเขา
เมื่อดูวิดีโอ เจสัน พบว่าส่วนใหญ่เป็นเหมือนแบบฝึกหัดที่นำไปสู่เพลย์ลิสต์ที่จ่ายเงินเพื่อดูวิดีโอ
หลังจากนั้นเจสันต้องการที่จะฟิต แต่เขาก็ได้รับการเตือนอีกครั้งว่าศิลปะการต่อสู้ส่วนใหญ่ถูกอัปโหลดโดยคนทั่วไปที่พยายามหาเงินเข้ากระเป๋าพร้อมกับแบ่งปันเคล็ดลับและกลเม็ดของพวกเขา
การค้นหาวิดีโอฟรีบางรายการเจสันพบเพลย์ลิสต์ฟรีทั้งหมดเกี่ยวกับเทคนิคที่จัดทำโดยสหพันธ์ที่เขาคุ้นเคยอยู่แล้ว
[หน่วยกอลิล่า] เมื่อดูลำดับแรก เจสันพบว่าเขาจำทุกอย่างได้ถูกต้อง แต่มีปัญหาเล็กน้อย
เจสันไม่สามารถมองเห็นการไหลของมานาผ่านหน้าจอโฮโลแกรมได้อย่างชัดเจน
และรู้สึกเบลอเล็กน้อยเวลาที่เพ่งสายตาไปที่การไหลของมานา ดวงตาของเขาเริ่มเจ็บเล็กน้อย
ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ดังนั้นเขาจึงเอาแต่นั่งดูวิดีโอทีละรายการโดยไม่สนใจการจ้องไปที่การไหลของมานา
ถึงแม้เจสันจะก้าวหน้าไปมาก เพียงแค่เห็นคำแนะนำของผู้สอนวัยกลางคนที่อยู่ต่อหน้ากล้อง
“มันดีกว่าการสำรวจกระแสมานาเพียงอย่างเดียว “
เจสันคิดและเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงโดยเขาไม่รู้
เขายังคงนอนอยู่บนเตียง ทบทวนคำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคของหน่วยกอลิล่าอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงแตกข้างๆเขา
หินมานาที่ก่อนหน้านี้มีสีน้ำเงินเข้มหนากลายเป็นสีน้ำเงินที่สว่างขึ้นและเมื่อมองไปที่จำนวนมานาที่เก็บไว้ภายในพวกเขาเจสันก็ประหลาดใจ
มากกว่าครึ่งหนึ่งของมานาที่เก็บไว้ถูกใช้จนหมดและไข่เริ่มสั่นอย่างรุนแรงในขณะที่รอยแตกเล็ก ๆ เริ่มปรากฏบนเปลือก
อารมณ์ของเจสันพุ่งสูงขึ้นทันทีในขณะที่บรรยากาศดูน่ายินดี เมื่อรอยร้าวลึกลงไป
เปลือกแตกและเผยให้เห็นลูกเจี๊ยบนกฮูกตัวเล็ก ๆ ที่มีดวงตาเรียวเล็กมองไปที่เจสันด้วยดวงตาสีดำเหมือนกระดุม
หลังจากฟักออกมาจากไข่แล้ว เจ้าตัวน้อยก็มองไปที่หินมานา และหันกลับไปที่เจสัน ก่อนที่มนัจะรีบวิ่งไปหาเจสันที่กำลังมองมันอยู่
เจสันรู้สึกถึงความสุขของนกฮูกในตัว ขณะที่พวกเขาแบ่งปันอารมณ์ของกันและกันทำให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้นอย่างมาก
เจสันถือลูกเจี๊ยบขนาดเท่ากำปั้น และเขาจำได้ว่าต้องตั้งชื่อให้
‘เป็นเด็กผู้ชายหรือผู้หญิง ??’ เจสันไม่แน่ใจว่าลูกนกฮูกเป็นเพศใด แต่เนื่องจากความคิดที่ถ่ายทอดเข้ามาในใจเขาบอกเขาว่าลูกนกฮูกเป็นตัวเมีย
เมื่อนึกถึงชื่อผู้หญิงสองสามชื่อเขาบอกลูกเจี๊ยบนกฮูกตัวเล็ก ๆ แต่เจสันรู้สึกว่าเจ้าตัวน้อยไม่อบชื่อเหล่านั้น
ถ้าเขาพูดตามตรงความรู้สึกในการตั้งชื่อของเขาก็แย่มาก
หลังจากนั้นไม่นานหัวของเจสันเริ่มเจ็บเล็กน้อยและเขาก็เข้าสู่โลกแห่งจิตวิญญาณภายในจิตใจของเขาโดยไม่รู้ตัว
เขาเห็นเชือกเส้นเล็ก ๆ ที่กำลังดิ้นรนเพื่อให้ความแข็งแกร่งระหว่างจิตวิญญาณของนกฮูกเกล็ดหิมะขณะที่เจสันเห็นป่าลวงตา ดวงจันทร์และนักธนูที่ปิดบังกำลังล่าอะไรบางอย่าง
การเชื่อมโยงทั้งหมดเข้าด้วยกัน คำเดียวปรากฏขึ้นในใจของเขา ‘อาร์เทมิส’
โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกแห่งจิตวิญญาณเล็ก ๆ ของเขาหรือเขาคิดชื่อนี้ได้อย่างไรนกฮูกตัวเล็กส่งเสียงร้องดีใจและเจสันรู้สึกว่าเธอชอบชื่อนี้
“ งั้นก็คือ อาร์เทมิส”
เจสันคิดยิ้มด้วยความรักที่พันธนาการวิญญาณของเขา
สีที่เธอเปล่งออกมานั้นไม่อ่อนลงเหมือนเมื่อก่อนและแข็งแกร่งขึ้นมากซึ่งทำให้เจสันมีความสุขมากขึ้น แต่เขาก็ยังไม่สามารถถอดรหัสสีได้
รู้สึกราวกับว่าแต่ละสีอยู่ข้างใน แต่ก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
โชคดีที่เจสันพบข้อมูลเกี่ยวกับการขาดมานาและทฤษฎีของศาสตราจารย์เกรย์ก็ใช้ได้เช่นกัน ดังนั้นเจสันจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องเสียใจ
ตอนนี่เป็นแค่ช่วงเวลาบ่ายเท่านั้น แต่เจสันกลับรู้สึกอ่อนเพลียเป็นอย่างมากในขณะที่ร่างกายของเขาปวดเมื่อย เขาหลับไปขณะที่ถืออาร์ทิมิส
เวลา 8.00 น. เมื่อเจสันตื่นขึ้นมาด้วยการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ในมือของเขา
มือที่ถือไข่สัตว์อสูรของเขาสั่นเล็กน้อยและการแสดงออกทางสีหน้าของเจสันก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
เขาตื่นขึ้นมาทันทีและขมวดคิ้วลึก
“อย่าเพิ่งฟักออกมาตอนนี้เลยนะ รออีกหน่อยก่อน …”
เจสันพูดและคิดในเวลาเดียวกันอย่างจริงใจที่สุด
เนื่องจากการเชื่อมต่อระหว่างวิญญาณของพวกเขา ไข่จึงเข้าใจสิ่งที่เจสันพูดและหยุดการเคลื่อนไหวของมัน
เจสันรู้สึกถึงความอดทนและความปรารถนาของนกฮูกตัวเล็กที่จะหลุดออกจากไข่ แต่มันก็รออยู่เพราะรู้ว่าเมื่อมันฟักออกมาโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือล่วงหน้าอาจเกิดปัญหามากมาย
อันที่จริงแล้วนกฮูกเกล็ดหิมะนั้นไม่ฉลาดนัก แต่การกลายพันธุ์ของมันนั้นทำให้มันมีสติปัญญาเล็กน้อย
นี่คือสิ่งที่เจสันรู้และเขาหวังว่าจิตวิญญาณของมันจะฟังเขาซึ่งมันก็โชคดี
เจสันถอนหายใจด้วยความโล่งอก เจสันมองไปที่สร้อยข้อมือของเขาหากพัสดุของเขามาถึงมันจะขึ้นแจ้งเตือนขึ้นมา เจสันได้แต่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
เพียงไม่กี่นาทีต่อมา เจสันได้รับการแจ้งเตือนอีกครั้งโดยแจ้งว่าพัสดุของเขามาถึงแล้ว
เมื่อเปิดประตูอพาร์ทเมนต์ เจสันเห็นโดรนที่มีหีบห่อขนาดเล็กมัดอยู่
โดรนสแกนไอดีของเจสันคลายแพ็กเกจและบินจากไป
เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วที่สัตว์ของเขาจะฟักออกมาและเจสันก็เปิดพัสดุโดยไม่รอช้าก่อนที่จะสังเกตเห็นมานาจำนวนมหาศาลภายในบรรจุภัณฑ์
ก่อนหน้านี้เจสันให้ความสำคัญกับสัตว์ร้ายของเขามากเกินไป แต่ตอนนี้เมื่อดูเขามีสมาธิมากขึ้น เขาก็เห็นมานาจำนวนมากภายในหินมานา
เมื่อเทียบกับมานาตามธรรมชาติรอบ ๆ เมือง หินมานาขนาดเล็กทั้งสามนี้เปรียบเสมือนมหาสมุทรขนาดใหญ่ที่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ
ว่ากันว่ามานาในเมืองนั้นบางและอ่อนแอมากโดยที่เขตป่าแบ่งออกเป็นสองปัจจัย
ปัจจัยหนึ่งคือปริมาณและความหนาแน่นของมานาตามธรรมชาติรอบ ๆ เขตป่าและอีกปัจจัยหนึ่งคืออันดับของสัตว์ส่วนใหญ่ในเขตป่า
ปริมาณมานาที่เจสันรู้สึกได้จากหินมานาเล็ก ๆ สามก้อนนั้นประมาณพอ ๆ กับมานาที่แผ่ออกมาจากวัสดุบางอย่างที่เจดีย์สัตว์ร้ายใช้ ทำให้เขาประหลาดใจ
การหยิบหินมานาสามก้อนขึ้นมาเจสันรู้สึกถึงความรู้สึกจั๊กจี้ทันที
เขาถูกล่อลวงให้ดูดซับมานาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง แต่เขาต่อต้านการกระตุ้นเพราะมีคนที่ต้องการมันมาก
เจสันวางไข่ใบเล็กลงบนหมอนโดยมีหินมานาเล็ก ๆ ล้อมรอบ
หินมานาแต่ละก้อนสัมผัสกับเปลือกไข่และเจสันมองผ่านดวงตาของเขา ก็เห็นว่ามานาเส้นเล็ก ๆ ไหลเข้าไปในไข่
ไข่ทั้งใบถูกปกคลุมไปด้วยมานาและไหลเข้าไปในไข่จากทุกด้านดูดซับอย่างช้าๆ
เมื่อพิจารณาถึงการไหลของมานาที่ช้าและการฟักไข่ที่กำลังจะเกิดขึ้นเจสันคำนวณว่าหินมานาสามก้อนนั้นเพียงพอสำหรับเวลานี้
ไข่หยุดเคลื่อนไหวและตอนนี้เจสันมีเวลาเหลือในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนกฮูกเกล็ดหิมะและสิ่งอื่น ๆ ที่เขาไม่รู้
เขาไม่แน่ใจว่าการกลายพันธุ์ของสัตว์ของเขาจะเปลี่ยนพฤติกรรมการกินหรืออะไรทำนองนั้น ดังนั้นเขาจึงต้องเตรียมอาหารทุกประเภท
การซื้อผัก เนื้อสัตว์และนมที่มีสูตรต่างๆของลูกสัตว์ที่เจสันรู้สึกว่าเตรียมไว้แล้ว
หลังจากซื้อของเสร็จเจสันก็ตัดสินใจค้นหาข้อมูลอื่น ๆ ในขณะที่นอนอยู่บนเตียง
ความรู้ของเขามีมากมายเมื่อเทียบกับคนรอบข้าง แต่เมื่อพิจารณาจากความจริงที่ว่าก่อนหน้านี้ เขามองไม่เห็นเจสันนั้นขาดหลายสิ่งหลายอย่าง
เขารู้จักสัตว์หลายชนิดจากชื่อ ลักษณะและนิสัยของพวกมัน แต่เขาไม่สามารถจำแนกพวกมันได้ หากเขาเห็นเพียงภาพ
นอกจากนี้ความสามารถในการต่อสู้ของเขายังแย่มาก ในขณะที่เขาจำศิลปะการป้องกันตัวของหน่วยกอลิล่าได้ แต่มันก็เป็นเพียงแค่ลำดับท่าของศิลปะการป้องกันตัวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามปัญหาคือการไม่เข้าใจความหมายของเนื้อหาจะเหมือนกับการเรียนโดยไม่สามารถใช้สูตรที่เรียนรู้
เจสันเข้าใจลำดับแรกของหน่วยกอลิล่ารวมถึงการไหลของมานาภายในร่างกายของเขา แต่เขาไม่เคยต่อสู้กับใครมาก่อน
ร่างกายของเขาก็อ่อนแอลงเช่นกันเนื่องจากเขายังไม่ได้รับสารอาหารและเป็นเพียงมือใหม่อันดับ 2
เจสันมีหลายสิ่งที่ต้องเอาชนะ แต่เขาต้องทำทีละขั้นตอนและสิ่งแรกที่เขาทำคือเปิดหน้าจอโฮโลแกรมเพื่ออ่านสัตว์ร้ายต่อไป
แทนที่จะดูสัตว์ร้ายและลักษณะของพวกมันแบบสุ่ม เจสันเลือกส่วนที่เกี่ยวกับเขตป่าหนึ่งดาวถัดจากเมือง อาร์เทส
โซนป่ามีตั้งแต่หนึ่งดาวจนถึงสี่ดาวในขณะที่แต่ละอันดับแสดงถึงอันดับสัตว์ร้าย
โซนสัตว์ป่าระดับหนึ่งดาวส่วนใหญ่มักถูกรบกวนโดยสัตว์ป่าอันดับหนึ่งและโซนสัตว์ป่าสองดาวส่วนใหญ่จะมีการปลุก
เหนือโซนสัตว์ป่าเป็นโซนสัตว์วิเศษซึ่งตอนนี้ไม่สำคัญสำหรับเจสันเพราะมันอยู่ไกลจากเขา
โซนสัตว์ป่าระดับหนึ่งดาวเรียกอีกอย่างว่าโซนฝึกอบรมสำหรับเด็กมัธยมส่วนใหญ่ เนื่องจากแทบจะไม่มีมนุษย์คนใดตกอยู่ในอันตรายขณะต่อสู้กับสัตว์ป่า
เยาวชนในยุคของเจสันมีความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยในการเอาชนะสัตว์อสูรที่ตื่นขึ้นมาหนึ่งดาว เนื่องจากอันดับของพวกเขาอยู่ที่ประมาณ มือใหม่ระดับ 8 และมีลูกสัตว์อสูรที่ตื่นขึ้นมาหนึ่งดาวเป็นพันธะโดยเฉลี่ยซึ่งทำให้พวกเขามีความแข็งแกร่งมากขึ้นและเพิ่มความกล้าหาญในการต่อสู้ของพวกเขา
ด้วยความสามารถในการเข้าใจที่ดีเล็กน้อยและเรียนรู้เทคนิคการต่อสู้อย่างเหมาะสมผ่านคำแนะนำที่ดี สัตว์ป่าจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขา
แต่เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะของสัตว์ร้ายและความกระหายเลือดรวมกับสัญชาตญาณของพวกมัน เราต้องเผชิญกับความกลัวที่จะตาย
บางคนไม่มีปัญหาในการฆ่าสัตว์ป่า ในขณะที่คนอื่นเป็นลมหรือกางเกงขาดแม้ว่าพวกเขาจะมีความสามารถในการต่อสู้ได้เปรียบมากก็ตาม
อย่างไรก็ตามเจสันมีข้อเสียเปรียบอย่างมากต่อสัตว์ป่าส่วนใหญ่ เช่นอันดับต่ำของเขา การขยายขอบเขตวิญญาณของเขาที่ไม่มีอยู่ในขณะนี้และความสามารถในการต่อสู้ที่ขาดไปของเขา
เขาไม่แน่ใจว่าจะได้รับการขยายระดับสูงเพียงใดจากพันธะของเขาในอนาคต แต่แม้ว่าจิตวิญญาณที่สวยงามของเขาจะมีการขยายที่สูงเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่มีประโยชน์เพราะนกฮูกเกล็ดหิมะเป็นเพียงสัตว์ป่าระดับหนึ่ง
เมื่อนึกถึงข้อบกพร่องของเขา เจสันขมวดคิ้วขณะที่เขาอ่านสัตว์ร้ายต่อไป
เมื่อเห็นเจสัน ชายคนนั้นยืนขึ้นแนะนำตัวก่อน
“สวัสดีฉันชื่อเจมส์ เกรย์ คุณต้องเป็นชายหนุ่มที่สร้างจิตวิญญาณแรกเมื่อวานนี้”
“สวัสดี ฉันชื่อเจสัน สเตลล่าและฉันเองที่โทรมาอย่างสิ้นหวังเมื่อเช้านี้ ฉันหวังว่าคุณจะช่วยฉันและจิตวิญญาณของฉันได้”
เจสันกล่าวด้วยความหวังเล็ก ๆ
“ฉันอ่านไฟล์ที่คุณส่งมาให้วันนี้แล้วและพบปัญหาของสัตว์ต่างๆ ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่แน่ใจ จึงต้องเรียกตัวคุณมาเพื่อที่จะได้สแกนด้วยตัวเอง แต่ไม่ต้องเป็นห่วงที่นี่เรามีเครื่องมือที่พร้อม “
เจมส์ลุกขึ้นยืนและเจสันก็ทำตามโดยไม่ลังเลโดยถือไข่นกฮูกเกล็ดหิมะไว้ในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต
ถัดไปอีก 3 ห้องพวกเขาเข้าไปในห้องที่มีอุปกรณ์จำนวนมากเจสันไม่รู้ว่าพวกเขาใช้ทำอะไร
เครื่องจักรเครื่องหนึ่งโดดเด่นมากเนื่องจากเป็นเครื่องที่ใหญ่ที่สุดและมีสีดำ
มันตั้งอยู่ตรงกลางและบนพื้นที่สูงมีเบาะซึ่งมีรอยบุ๋มตรงกลางดูเหมือนไข่หลายใบวางไว้ก่อนหน้านี้
“วางไข่ไว้ในเบาะตรงหน้าคุณ การทดสอบใช้เวลาไม่นาน”
เจสันทำตามคำสั่ง
หลังจากวางไข่แล้วเขาก็ก้าวกลับไป และดูเหมือนว่ามีเครื่องมือรูประฆังใสค่อยๆหล่นลงมาคลุมไข่ทั้งใบ
แสงสีแดงเล็ก ๆ ออกมาจากด้านบนของมันในขณะที่มีเสียงดังก้องอยู่ในห้องและมันก็สแกนพื้นที่ทั้งหมดภายในระฆังใสสองสามครั้ง
ผ่านไปไม่ถึงนาทีการทดสอบก็เสร็จสิ้นลงแล้ว
ระฆังใสถูกยกขึ้นและเจสันก็หยิบไข่สัตว์ของเขาขึ้นมา ก่อนจะมองไปที่เจมส์อย่างตั้งใจ
ในขณะเดียวกันเจมส์กำลังดูรายงานเกี่ยวกับสร้อยข้อมือควอนตัมของเขาด้วยดวงตาที่ส่องแสง
“โอ้เป็นอย่างงี้นี้เอง.. น่าสนใจ”
หลังจากอ่านรายงานเป็นเวลาห้านาทีเจมส์สังเกตเห็นท่าทางสิ้นหวังของเจสันที่ยืนอยู่ ข้างๆเขา ก่อนที่เจสันจะยิ้มเบา ๆให้เขา
เมื่อมองไปที่ใบหน้าเล็กๆ ของเจสัน เจมส์รู้สึกได้ถึงความวิตกังวลอย่างหมดหวัง
‘ทำไมเด็กคนนี้ถึงหมดหวังอยู่คนเดียว ? หือมีอะไรกับตาของเขา? “
เจมส์ส่ายหัวเพื่อโฟกัสอีกครั้ง เจมส์พาเจสันไปที่ห้องทำงาน พวกเขานั่งลงบนโซฟา
ตอนนี้เจสันหมดความอดทน ดังนั้นเขาจึงถามอย่างตรงไปตรงมา
“มีอะไรผิดปกติกับพันธะวิญญาณสัตว์ของฉันไหม และฉันจะช่วยมันได้อย่างไร?
เจมส์ถอนหายใจก่อนจะเอ่ย
“ตอนนี้ความรู้ของเราเกี่ยวกับสัตว์ป่าที่กลายพันธุ์และวิวัฒนาการนั้น เราสามารถสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งต่างๆได้มากที่สุดเท่านั้น การอ่านไฟล์ทดสอบทั้งสองบอกฉันว่าสัตว์ร้ายของคุณมีการกลายพันธุ์ ไม่แน่ใจว่าเป็นการกลายพันธุ์ที่ไม่พึงประสงค์จริงๆหรือไม่
แต่เป็นความจริงแน่นอนว่าหากไม่มีมาตรการรับมือใด ๆ จะเป็นการยากที่จะป้องกันไม่ให้เกิดข้อบกพร่องและปัญหาอื่น ๆ อย่างไรก็ตามไม่จำเป็นที่ต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป
ฉันไม่สามารถให้ทางออกที่สมบูรณ์แบบสำหรับปัญหาสัตว์ร้ายของคุณได้ แต่ทั้งสองไฟล์ให้เบาะแสเกี่ยวกับปัญหาหลักแก่ฉัน
แต่จะบอกให้ทราบล่วงหน้านี่เป็นเพียงทฤษฎีของฉันและไม่ใช่สิ่งที่สหพันธ์ทดสอบยอมรับอย่างละเอียดถี่ถ้วนในขณะนี้ “
เมื่อได้ฟังคำตอบของผู้เชี่ยวชาญแล้วหัวใจของเจสันก็รู้สึกหนักขึ้น แต่ความหวังเล็ก ๆ ยังคงแผดเผาอยู่ในตัวเขาขณะที่เขาได้ยินทฤษฎี
“แม้ว่าวิญญาณของคุณจะเป็นสัตว์ป่าระดับหนึ่งดาว แต่ก็ต้องการสารอาหารและมานาจำนวนหนึ่งเพื่อความอยู่รอด
ฉันคิดว่าคุณได้ไข่สัตว์ร้ายมาจากเจดีย์สัตว์ร้ายซึ่งหมายความว่าสัตว์ร้ายหลายหมื่นตัวจะต้องแบ่งมานาในปริมาณเท่ากันในพื้นที่เล็ก ๆ
เนื่องจากการกลายพันธุ์ของสัตว์ร้ายของคุณ ปัญหาอาจเกิดจากการที่มันต้องการมานามากขึ้นในการพัฒนาร่างกายและแกนมานาของมัน
ทางออกหนึ่งอาจเป็นอุปทานมานาจำนวนมากเนื่องจากมีการขาดดุล มันต้องการมานามากขึ้นในการเติบโตและมีขนาดเล็กมากเนื่องจากมานาขาดแคลน
เพื่อแก้ปัญหานี้ในระยะเวลาสั้น ๆ คุณจะต้องซื้อหินมานา
ฉันไม่รู้ว่าคุณมีเครดิตเพียงพอที่จะทำเช่นนั้นหรือไม่ แต่ตอนนี้ฉันไม่สามารถนึกถึงมาตรการตอบโต้อื่นใดก่อนที่สัตว์ร้ายจะฟักตัวและยังไม่แน่ใจว่าวิธีนี้จะช่วยได้ 100% หรือไม่
ฉันขอโทษนะ.”
เจสันฟังเจมส์อย่างตั้งใจและเขาไม่แน่ใจว่าเขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี
มันเป็นเพียงแค่ทฤษฎีไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา 100% แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย
หลังจากถามคำถามเพิ่มเติมสองสามคำถาม หนึ่งชั่วโมงต่อมา
เขาไม่ต้องจ่ายอะไรเลยด้วยซ้ำเพราะ เกรย์ต้องการใช้ไฟล์ทดสอบสำหรับการศึกษาของเขา
เขาได้รับรายละเอียดการติดต่อของศาสตราจารย์เจมส์ เกรย์ เนื่องจากศาสตราจารย์รู้สึกทึ่งเกี่ยวกับไฟล์ที่เขาอ่านก่อนหน้านี้โดยหวังว่าสัตว์ร้ายของเจสันจะฟักออกมาอย่างสมบูรณ์แข็งแรง
จากการค้นหาหินมานาทางออนไลน์ เขาพบว่าแม้แต่หินมานาที่เล็กที่สุดก็มีราคาแพงมาก
50,000 เครดิตสำหรับหินมานาเกรด 1 มีขนาดเท่าลูกปิงปอง ฟังดูแพงมากสำหรับเจสัน แต่หลังจากค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเขาก็พบว่ามานาที่บีบอัดภายในก้อนหินขนาดเล็กนั้นมีจำนวนใกล้เคียงกับสัตว์ร้ายที่ไม่มีตำหนิแล้ว
สิ่งนี้ทำให้เจสันประหลาดใจ แต่เมื่อนึกถึงมันก็ไม่ได้ไร้เหตุผลอย่างที่เขาเคยคิด
สัตว์ร้ายที่ไม่มีตำหนิสามารถเทียบเคียงได้กับระดับผู้เชี่ยวชาญของมนุษย์และเพื่อเติมมานาของเขา เมื่อผู้มีระดับผู้เชี่ยวชาญนั้นมีพลังเท่ากับหินมานาที่มีขนาดลูกปิง
แต่มันแพงมากแม้กระทั่งสำหรับ ระดับผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากการล่าสัตว์ที่ไม่มีตำหนิมักทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ต้องได้รับการรักษาด้วยยาราคาแพง
เจสันต้องการซื้อหินมานาเล็ก ๆ สามก้อน แต่เขาต้องกำหนดที่อยู่ที่จะส่งมอบสินค้า ดังนั้นก่อนที่จะซื้อหินมานานั้นเจสันต้องติดต่อเจ้าของบ้านจากอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งที่เขาไปเยี่ยมในวันนี้เพื่อเซ็นสัญญาเช่า
ค่าใช้จ่ายคือ 2,500 เครดิตต่อเดือนและพื้นที่รอบ ๆ นั้นปลอดภัยในขณะที่ทุกสิ่งที่จำเป็นอยู่ใกล้ ๆ
การเซ็นสัญญากับสร้อยข้อมือควอนตัมของเขา เขาสามารถย้ายเข้าได้ทันที
ตอนนี้ไม่อะไรอยู่ที่ห้องเก่าของเขา เนื่องจากเขาเก็บของทั้งหมดไว้ในพื้นที่เก็บของภายในสร้อยข้อมือ
อพาร์ทเมนต์ใหม่มีขนาดใหญ่ 55 ตร.ม. พร้อมห้องนอนห้องน้ำห้องนั่งเล่นและห้องครัวเล็ก ๆ ภายใน
มันดูเล็กและสะอาด สะดวกสบายเมื่อเจสันไปเยี่ยมอพาร์ทเมนต์ แต่เขาไม่ต้องการเช่าทันทีเพราะเขาไม่แน่ใจว่าการรักษาสัตว์ร้ายของเขาจะแพงแค่ไหน
ด้วยเครดิตที่เหลือน้อยกว่า 150,000 เล็กน้อยหลังจากหักหินมานาเล็ก ๆ 3 ก้อนเจสันมีเวลาเหลือมากพอที่จะเช่าอพาร์ทเมนต์ขนาดเล็กเป็นเวลาครึ่งปี
เจสันเรียกรถรับส่งเพื่อพาเขาไปบ้านใหม่ เจสันมาถึงเวลา 19.00 น.
ในที่สุดเขาก็ซื้อหินมานาขนาดเล็กมาสามก้อน เจสันกำหนดปลายทางจากพัสดุไปยังที่อยู่ใหม่ของเขา
หลังจากนั้นเขาต้องการเดินเล่นรอบ ๆ เพื่อทำความรู้จักกับย่านใหม่ของเขาที่เขายังไม่เคยมา
เจสันเป็นเหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ ที่สนใจในทุกสิ่งราวกับว่ามันเป็นสิ่งใหม่ๆ ตั้งแต่เขาฟื้นสายตาและทุกอย่างดูพิเศษสำหรับเขา
เจสันได้กลิ่นอาหารรสเลิศจากแผงขายอาหารในบริเวณใกล้เคียง เขาสั่งพิซซ่าชิ้นใหญ่ที่เขาชอบ
เขาไม่ได้กินของดีและของคาวมาหลายปีแล้วและนี่เป็นครั้งแรกที่เขากินพิซซ่าและเจสันก็ชอบกินมัน
ไข่สัตว์ร้ายอยู่ในก้นถุงเล็ก ๆ ใกล้กับเจสัน
หลังจากที่เขากิจพิซซ่าเสร็จพุงของเจสันก็ป่อง
เขาไม่เคยกินมากขนาดนี้มาก่อน แต่เขามีความสุขและพอใจกับชีวิตปัจจุบันของเขา
มันไม่ใช่ว่าทุกปัญหาที่เขามีจะได้รับการแก้ไข แต่ในตอนแรกปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเขาคือการมองเห็นของเขา
หลังจากนั้นพลังงานวิญญาณอ่อนแอของเขาดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่และตอนนี้สัตว์อสูรวิญญาณของเขากำลังมีปัญหาบางอย่าง
เจสันหวังว่าการจัดหามานาจากหินมานาจะเพียงพอที่จะแก้ปัญหาของเขาซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาแต่ละอย่างที่เขามีในตอนนี้
หลังจากเดินเล่นเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเจสันก็กลับบ้านไปที่อพาร์ทเมนต์ใหม่ ซึ่งเขาจะเรียนรู้วิธีเขียนคำศัพท์ยาก ๆ
นอกจากนี้เขาชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับสัตว์ร้ายที่เต็มไปด้วยรูปภาพของสัตว์ร้ายพร้อมทั้งลักษณะจุดแข็งจุดอ่อนอันดับและข้อมูลอื่น ๆ อีกมากมาย
เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนเมื่อเจสันหลับไปโดยที่หน้าจอโฮโลแกรมของสัตว์ร้ายยังคงเปิดอยู่
เวลาผ่านไป 23.00 น. เมื่อ เจสันมาถึงห้องเล็ก ๆ ของเขาอย่างหมดแรง
ขณะที่ถือไข่สัตว์เล็กไว้ในมือเขารู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจ
เพราะเขารู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก สิ่งเดียวที่เขาคิดได้ในตอนนี้คือการนอนหลับโดยไม่ได้คำนึงถึงจิตวิญญาณของเขา
วันนี้ของเขายาวนานมากและเจสันได้ใช้มานาที่รวบรวมมาในตอนเช้าจนหมด
เขาปวดหัวและถอดเสื้อผ้าใส่เพียงชุดชั้นในขณะที่เขาขึ้นไปบนเตียงเพื่อที่จะได้นอนกับเจ้าสัตว์ร้าย
—
ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าสิ่งแรกที่เจสันทำคือมองไปที่ไข่สัตว์ร้ายที่ยังคงวางอยู่ในมือของเขา
เมื่อเปิดใช้งานความสามารถของดวงตาของเขา เขายืนยันว่าเมื่อวานนี้ไม่ใช่ความฝันเนื่องจากไข่สัตว์ร้ายที่แผ่รังสีออกมายังคงมีสีที่หนาแน่น แต่อ่อนแอเหมือนเดิม
เขาซักชุดเสื้อผ้าที่ซื้อมาใหม่ก่อนที่เจสันจะตัดสินใจรวบรวมมานา
มีหลายวิธีในการเติมมานาของตนเอง อย่างช้าที่สุดคือการพักผ่อนไม่ทำอะไรเลยในขณะที่ร่างกายดึงดูดมานาในปริมาณเล็กน้อยด้วยตัวมันเอง
ด้วยวิธีนี้เจสันจะใช้เวลาสองสามวันในการเติมมานาขนาดเล็กที่ไร้ประโยชน์ของเขา
วิธีที่สองมีประสิทธิภาพมากขึ้น คือการนั่งผ่อนคลายลงในขณะที่รู้สึกถึงการไหลของมานาและค่อยๆปรับตัวเข้ากับมันเพื่อที่จะรับมันเข้ามาอย่างมีประสิทธิภาพ
ในขณะที่สิ่งนี้เกิดขึ้นเราสามารถดูดซับมานาได้อย่างเต็มที่
วิธีนี้เป็นวิธีที่เจสันใช้และใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงในการเติมมานาของเขาให้สมบูรณ์ด้วยความไวและการควบคุมมานาที่แตกต่างกันของเขา
อย่างไรก็ตามวิธีที่เร็วที่สุดในการเติมมานาคือการใช้หินมานา แต่ก็เป็นวิธีที่แพงที่สุดเช่นกันเนื่องจากหินมานาหายากและมีราคาแพง
ตั้งแต่ยุคมืดและการปะทุของมานาอย่างกะทันหัน หินหายากต้นไม้แร่และสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายดูดซับมานาทำให้พวกมันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
หินธรรมดาบางก้อนดูดซับมานาทำให้พวกมันเปลี่ยนเป็นหินมานาโดยมีความหนาแน่นคุณภาพและปริมาณนั้นมากมาย
เจสันไม่มีเงินมากพอที่จะใช้หินมานาได้อย่างสิ้นเปลืองและวิธีการที่เขาใช้นั้นดีเกินพอสำหรับเขา
นอกจากนี้ยังมีวิธีการอื่น ๆ ที่สามารถใช้เพื่อเติมมานาได้เร็วขึ้น เช่นเทคนิคบางอย่าง แต่สิ่งเหล่านี้หายากและมีเพียงผู้คนจากสังคมชั้นสูงเท่านั้นที่สามารถหาและเรียนรู้ได้
เจสันในฐานะหนึ่งในกลุ่มที่ต่ำที่สุดในสังคม สามารถฝันถึงการเรียนรู้เทคนิคดังกล่าวได้ในขณะนี้
เมื่อมองไปที่จิตวิญญาณของเขา เขาจำได้ว่าชายชราพูดบางอย่างเกี่ยวกับนกฮูกเกล็ดหิมะที่มีปัญหาบางอย่างกับการกลายพันธุ์ของมัน
เมื่อมองไปที่สีที่เปล่งประกายอ่อน ๆ ของไข่สัตว์ร้าย เขาไม่ได้ฟังคำแนะนำของชายชราดังนั้นเขาจึงเริ่มกังวลเกี่ยวกับสุขภาพจิตวิญญาณของเขาสักครู่
เขาเข้าสู่เครือข่ายสหพันธ์ทันทีเพื่อที่จะมองหาแพทย์มืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โรคของสัตว์ร้าย
ในขณะที่หน้าจอโฮโลแกรมออกมาจากสร้อยข้อมือของเขา มันก็เปิดขึ้นเขาสังเกตเห็นว่าเขาได้รับข้อความจากหมายเลขที่ไม่รู้จัก
เมื่อเปิดข้อความเขาก็เห็นว่าเป็นหมายเลขของชายชราโดยมีเนื้อหาของข้อความเป็นไฟล์เกี่ยวกับวิญญาณของเขา
เขามีความสุขที่ได้รับไฟล์เกี่ยวกับพันธะของเขาขณะที่เจสันกำลังครุ่นคิดว่าเขาควรจะเขียนข้อความถึงชายชราหรือไม่ เพราะเขาต้องการรู้ว่าสัตว์ร้ายของเขามีปัญหาอะไรกันแน่
เมื่อมองผ่านไฟล์ เจสันสังเกตว่าเขาไม่เข้าใจอะไรเลย
มีสเกลและตัวเลขวัดอะไรบางอย่าง แต่ดูเหมือนเป็นภาษาต่างดาวสำหรับเขา …
เจสันรู้สึกว่าไร้ประโยชน์จึงเข้าออนไลน์เพื่อค้นหามืออาชีพต่อไปในการรักษาสัตว์ร้าย
แม้ว่าจะเป็นวันอาทิตย์ เจสันก็ต้องรู้ว่ามีอะไรผิดปกติกับสัตว์อสูรวิญญาณของเขาก่อนที่มันจะฟักเป็นตัว
และปัญหาหลักคือใช้เวลาไม่นานในการฟักไข่หลังจากสร้างพันธะ
เจสันได้รับแจ้งว่าอย่างน้อยที่สุดจะใช้เวลาสองวันนับจากนี้ซึ่งอีกไม่นาน
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องซื้อเช่น นมลูกสัตว์ อาหาร วัสดุฝึกสำหรับตัวเขาเองและสัตว์ร้ายของเขาและอื่น ๆ อีกมากมายเนื่องจากเขาไม่รู้เลยว่านกฮูกที่เพิ่งฟักออกมาจะกินอะไร
นอกจากนี้แฟลตของเขายังเล็กเกินไปสำหรับสัตว์ร้ายแม้ว่ามันจะเป็นเพียงนกฮูกตัวเล็ก ๆ ก็ตาม
สิ่งที่เขาต้องการซื้อ ต้องใช้พื้นที่และเขาจะต้องเช่าอพาร์ทเมนต์ใหม่ในไม่ช้า
การวางความคิดเหล่านี้ไว้ในใจเขา ต้องทำรายการสิ่งที่ต้องซื้อก่อน
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการหาวิธีป้องกันไม่ให้สัตว์ร้ายวิญญาณของเขาติดโรคหรือปัญหาอื่น ๆ
เมื่อค้นหาบนเว็บไซต์สองสามแห่ง เจสันพบเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือพร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญที่มีใบรับรองและเอกสารทางทฤษฎีเกี่ยวกับสัตว์ร้าย ในขณะที่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับลูกสัตว์ร้ายรวมถึงทฤษฎีเกี่ยวกับโรคที่เกิดและการกลายพันธุ์ที่ไม่พึงประสงค์
เจสันขอบคุณโชคของเขาในขณะที่เขา กดหมายเลขที่แสดงบนเว็บไซต์โดยไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียวขณะที่พนักงานต้อนรับหญิงสาวรับสาย
การพูดคุยกับเธอไม่กี่นาทีเจสันรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากพนักงานต้อนรับต้องการนัดหมายในอีกหนึ่งเดือนถัดไป
เขาจะรอเดือนนึงได้ยังไง ในเมื่อนกฮูกเกล็ดหิมะจะฟักตัวในสองวัน
เขาอยากจะตะโกนออกไปดัง ๆ แต่นั่นคงช่วยไม่ได้ในสถานการณ์ปัจจุบันของเขา เจสันจึงสงบลง
เขากดดันพนักงานต้อนรับเล็กน้อย เจสันส่งแม้แต่ไฟล์เกี่ยวกับสัตว์ร้ายของเขาผ่านหน้าจอโฮโลแกรมโดยไม่รอคำตอบจากเธอ
เจสันกำลังจะขอร้องให้พนักงานต้อนรับให้เวลาเขาห้านาทีในขณะที่เขาได้ยินเสียงวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังของพนักงานต้อนรับถามเธอว่ามีอะไรผิดปกติ
พนักงานต้อนรับยังคงสงบนิ่งเพราะเธออาจจะชินกับคนอย่างเจสัน เมื่อเธอตอบชายวัยกลางคนอย่างตรงไปตรงมาว่าเกิดอะไรขึ้น
เจสันไม่ได้ยินอะไรเลยสักสองสามนาทีจนกระทั่งได้ยินเสียง
“ น่าสนใจ!”
จากนั้นเสียงวัยกลางคนก็ดังขึ้นใกล้ ๆ
“ชายหนุ่ม ถ้าคุณมีเวลาคุณสามารถมาได้ในช่วงบ่าย 5 โมงเย็นฉันจะเผื่อเวลาไว้คุณสามารถทำตามวิธีที่อธิบายไว้ในเว็บไซต์ของเราเพื่อค้นหาสำนักงานของเรา อย่ามาสาย ฉันไม่ชอบการรอใครหรอกนะ! “
จากนั้นเขาก็วางสายไป เจสันประหลาดใจมองไปที่หน้าจอโฮโลแกรมที่ว่างเปล่า
จากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาขณะที่เขาเข้าใกล้เป้าหมายหนึ่งก้าว
เจสันหวังว่าหมอคนนี้จะช่วยเขาออกจากปัญหาได้และเขากำลังจะกระโดดไปรอบ ๆ พร้อมกับไข่ผูกมัดในมือเขา
**
เป็นเวลา 13.00 น. เมื่อเจสันเติมมานาเสร็จและหลังจากกินของว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วเขาก็ออกไปข้างนอก
เจสันต้องการเรียกรถรับส่ง เพื่อไปดูอพาร์ทเมนต์สองสามห้องเพื่อที่เขาจะได้หนีออกจากห้องสกปรกที่เริ่มรังเกียจ
ราคาอยู่ในช่วงไม่กี่ร้อยหน่วยกิตไปจนถึงหลายพันหน่วยกิตสำหรับเขตชานเมืองของเมืองเกรด C
แต่เขาต้องการซื้ออพาร์ทเมนต์ใกล้กับใจกลางเมืองแต่ราคาจะพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากใจกลางเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดพร้อมความปลอดภัยสูงสุดและดีที่สุด
เขตของเจสันเป็นหนึ่งในเขตที่สกปรกที่สุดและอันตรายที่สุดโดยมีอัตราการเกิดอาชญากรรมสูงสุดของทั้งเมืองและเขาไม่ต้องการอยู่ที่นั่นนานกว่านี้
ในการย้ายเข้าไปอยู่ในอพาร์ทเมนต์ที่ใหญ่กว่าในเขตที่ปลอดภัยกว่าเขาจะต้องจ่ายอย่างน้อยสองสามพันเครดิตต่อเดือน
ด้วยเครดิตที่เหลืออยู่ประมาณ 300,000 เครดิต เจสันจึงครุ่นคิดว่าจะต้องทำอย่างไรโดยที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาจะได้รับเครดิตอีกครั้งหรือต้องใช้จำนวนเท่าใดในอนาคต
รถขับไปรอบ ๆ และเจสันก็มองหาอพาร์ทเมนต์ใหม่ สี่ชั่วโมงผ่านไปในเวลาไม่นาน เจสันก็ยืนอยู่หน้าอาคารที่อยู่ ที่เขียนไว้ในเว็บไซต์ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ร้าย
เขาเข้าไปข้างใน และเขาได้รับการต้อนรับจากพนักงานต้อนรับหญิงที่เขาคุยด้วยก่อนหน้านี้
เธอพาเขาไปที่สำนักงานและออกไปหลังจากนั้น
เจสันเดินเข้าไปข้างในด้วยความลังเลเล็กน้อย และเขาได้รับการต้อนรับจากชายวัยกลางคนที่มีผมสีบลอนด์และมี ดวงตากับรอยยิ้มที่อ่อนโยน
ชายคนนี้สูง แต่ค่อนข้างผอมและ เขาเปล่งประกายออร่าของนีท เจสันไม่ได้รู้สึกกดดัน
แทนที่จะเป็นอย่างนั้นเขารู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่ออยู่รอบ ๆ คนแบบนั้น
เมื่อเจสันได้ฟังชายชราพูด เขาก็พยักหน้ารับคำหลังจากนั้นครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพูด
“ ก็โอเค มันไม่สำคัญสำหรับข้า หรอกถ้าวิญญาณของลูกวัวจะแข็งแกร่งกว่าลูกสัตว์ตัวอื่นจริงๆ
แต่ถ้าเป็นความจริงดวงตาของเจ้านั้นพิเศษ ข้าคิดว่ามันอาจจะดีกว่าที่จะเก็บมันไว้เป็นความลับ เจ้า ‘รู้สึก’ ว่าสัตว์ร้ายตัวไหนมีศักยภาพที่แข็งแกร่งกว่าหรือ ‘รู้สึก’ แข็งแกร่งกว่า
อย่าบอกอะไรกับด็กคนอื่น ๆ นอกจากว่าเจ้ามีความไว้ใจต่อเขาคนนั้นสูงมากเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าดวงตาของเจ้าจะมีความพิเศษในระดับนี้
สิ่งเดียวที่พวกเขารู้ในตอนนี้คือดวงตาของเจ้าเป็นเพียงแค่สีทอง พวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับระดับลักษณะพิเศษของเจ้า ซึ่งอาจจะดีกว่า! “
เจสันสังเกตเห็นประโยคสุดท้ายและอยากรู้เกี่ยวกับลักษณะ
“ลักษณะคืออะไร แม่ของฉันยังบอกฉันบางอย่างเกี่ยวกับลักษณะก่อนที่เธอจะตาย แต่ฉันลืมไปแล้ว”
“ มนุษย์บางคนเกิดมาพร้อมกับลักษณะพิเศษ ลักษณะเหล่านี้แบ่งออกเป็นลักษณะทางกายภาพ ลักษณะของธาตุพรและอื่น ๆ … ลักษณะบางครั้งเรียกว่าการกลายพันธุ์และเสริมสร้างส่วนต่างๆของร่างกายหรือแม้กระทั่งให้โอกาสในการใช้ความสามารถขององค์ประกอบโดยไม่ต้องมีพันธะที่เหมาะสม
ดวงตาของเจ้าถือเป็นลักษณะทางกายภาพที่หายาก แต่ข้าไม่เคยเห็นดวงตาสีทองที่น่ากลัวเช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงไม่รู้ว่ามันคือลักษณะอะไร แต่น่าจะเป็นอะไรที่เทียบได้กับตาทิพย์ “
เจสันฟังชายชราอย่างรอบคอบและเขาก็เริ่มเข้าใจเหตุผลของแม่ของเขาบางส่วน
ก่อนหน้านี้แม่ของเขาบอกเขาเพียงว่าการฟื้นสายตาจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีเพราะนั่นอาจเป็นสิ่งที่เธอเคยทำเนื่องจากลักษณะพิเศษของเธอเอง
นั่นหมายความว่าแม่ของเขามีลักษณะพิเศษของดวงตา ซึ่งทำให้เจสันอยากรู้อยากเห็น
แต่เจสันใช้เวลาเกือบสิบปีในการที่จะกลับมามองเห็นในขณะที่แม่ของเขารู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขายังเด็ก
ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตแม่ของเขาร้องไห้บ่อยครั้งเพราะไม่สามารถได้เห็นเจสันในตอนที่เขาได้มองเห็นสิ่งต่างๆ
เธอหมดหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเขาเป็นสมบัติของเธอ
การคิดถึงแม่ของเขาทำให้เจสันรู้สึกเสียใจ แต่ชายชราก็พูดทันทีว่า
“เราไปดูแลลูกสัตว์หรือไข่ของสัตว์ร้ายดาวหนึ่งกันเถอะก่อนที่มันสายไปและเราไม่มีสัตว์ป่าดาวเดียวหลายประเภทให้เลือกมากด้วย”
ชายชราหันไปในทิศทางหนึ่งและเดินออกไป ตามด้วยเจสันที่กำลังเดินตามเขา
หลังจากเดินเป็นเวลา 15 นาทีพวกเขาก็มาถึงส่วนเล็ก ๆ ที่มีลูกสุนัขและแมวตัวเล็ก ๆ และไข่หลายพันฟอง
“ สัตว์ป่าระดับหนึ่งดาวส่วนใหญ่ถูกหดตัวให้เล็กลง ส่วนมากสัตว์ป่าระดับหนึ่งดาวบางตัวจะได้รับการฝึกฝนให้ทำธุระ
สัตว์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีลักษณะคล้ายกับสุนัขโบราณหรือแมวนกอินทรีและอื่น ๆ
เจ้าสามารถเลือกดูได้ แต่ในยุคนี้เราไม่มีสัตว์ร้ายที่มีสายเลือดที่เหนือกว่าหรือการกลายพันธุ์ที่ดี … ขอโทษด้วย
หากเจ้าต้องการ รอสักสองสามเดือนอาจมีอะไรใหม่ ๆ แต่การได้สายเลือดที่ดีหรือการกลายพันธุ์ที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับโชค “
เจสันพยายามฟังชายชราขณะมองด้วยความสามารถของเขาไปที่ลูกสัตว์ร้ายและไข่ แต่ไม่มีแม้แต่สีที่เปล่งออกมาจากสัตว์เหล่านี้เลยสักนิด
แต่สัตว์บางตัวมีสีดำอ่อนๆ ซึ่งหมายความว่าพวกมันมีโอกาสที่จะวิวัฒนาการเป็นสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นมา
เนื่องจากจิตวิญญาณที่ไม่เหมือนใครของเขา เจสันสามารถสร้างสัญญากับสัตว์ร้ายได้ทุกชนิดและไม่มีข้อกำหนดใด ๆ นั้นเป็นข้อได้เปรียบของเขาที่จะสามารถทำพันธะกับสัตว์ร้ายได้กี่ตัวก็ได้ แต่เพียงแค่พลังวิญญาณที่อ่อนแอของเขาจะไม่สามารถรับพวกมันทั้งหมดไหว
เขาถูกล่อลวงให้เลือกหนึ่งในสัตว์ร้ายที่เปล่งแสงสีดำเหล่านี้เพื่อเพิ่มพลังวิญญาณของเขา แต่เขาต้องสงบสติอารมณ์และคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขา
มันมีประโยชน์ไหมที่จะทำสัญญากับสัตว์ร้ายหลายร้อยตัวเพียงเพื่อเพิ่มพลังวิญญาณของเขาเพียงเล็กน้อย แต่ก็จะไม่เป็นการเสียความสามารถของดวงตาของเขาใช่ไหม ??
นอกจากนั้นค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงสัตว์ก็จะเป็นค่าท่าทางจะมาก
เจสันมองลูกสัตว์และไข่ทุกตัวอย่างระมัดระวังด้วยความสามารถของเขาและเวลาผ่านไปกว่า 20 นาทีก่อนที่เขาจะตรวจเสร็จ
ทันใดนั้นเขาก็เห็นสีที่อ่อนแอ แต่หนักหน่วงและทรงพลัง แต่ไม่คุ้นเคยอยู่ใต้ไข่ใบใหญ่
การมองไปที่สีที่ไม่คุ้นเคยทำให้ดวงตาของเขาปวด ดวงตาของเขารู้สึกราวกับว่าถูกทิ่มแทงด้วยเข็มหลายร้อยเล่ม
เจสันค่อยๆเคลื่อนไข่อื่นๆ ไปด้านบนเขาพบเห็นไข่ใบหนึ่งที่มีขนาดไม่เกินครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับไข่อื่น ๆ
เขารู้สึกสับสนเมื่อเห็นสีนี้และสีหน้างุนงงของเขาดึงดูดความสนใจของชายชราขณะที่เจสันถาม
“ไข่ใบเล็ก ๆ นี่มันคืออะไร วางไว้ผิดสถานีเพาะพันธุ์รึเปล่า ผมรู้สึกว่ามันแตกต่างกับใบอื่นๆ”
เมื่อมองไปที่ไข่ ชายชราพิมพ์อะไรบางอย่างลงบนสร้อยข้อมือของเขาก่อนที่หน้าจอโฮโลแกรมจะปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
หลังจากอ่านไปสองสามวินาทีเขาก็พูด
“ไข่ใบนี้เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกับไข่อื่น ๆ ในสถานีเพาะพันธุ์นี้ แต่ได้รับการกลายพันธุ์ที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งทำให้ขนาดของมันหดตัวลง
นอกจากนี้การสแกนที่ทำลงไปบอกว่าความแข็งแกร่งของมันจะแย่กว่าสัตว์ป่าระดับหนึ่งดาวธรรมดา เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่สัตว์ร้ายจะตาบอดและเจ็บป่วยอื่น ๆ เมื่อมันฟักออกเป็นตัว”
อย่างไรก็ตามเจสันยิ้มออกมาเหมือนได้พบสมบัติวิเศษที่มีค่าสูง
รังสีที่แผ่ออกมานั้นอ่อนแอ แต่หนักและหนาแน่นมากและราวกับว่าสัตว์ร้ายในไข่ต้องการที่จะมีชีวิต
เจสันมองไปที่ชายชราด้วยดวงตาสีทองสว่างของเขา เจสันกล่าวด้วยความมั่นใจ
“ผมอยากได้นกฮูกเกล็ดหิมะตัวนี้เป็นพันธะของผม ได้โปรด !!”
ชายชราประหลาดใจเล็กน้อยเกี่ยวกับความมั่นใจของเจสัน เขาดูข้อมูลที่ให้มาอีกครั้ง
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามเจสัน
“แน่ใจเหรอ ?? เจ้ารู้ไหมว่าเมื่อสัญญาผูกมัดวิญญาณของเจ้าเสร็จสิ้นเจ้าจะไม่สามารถเลือกทำพันธะกับสัตว์อื่นๆ ไปอีกนานเลยนะ
หากนกฮูกเกล็ดหิมะกลายพันธุ์ที่ไม่พึงประสงค์นี้ ไม่วิวัฒนาการเจ้าจะไม่สามารถเลือกวิญญาณอื่นได้เป็นเวลานานจนกว่าเจ้าจะเพิ่มพลังวิญญาณของเจ้า และยังมีโอกาสสูงมากที่จะตาบอดและมีโรคอื่น ๆ เมื่อฟักออกเป็นตัว
เจ้าต้องตัดสินใจตอนนี้ไม่เช่นนั้น ข้าจะลงทะเบียนวิญญาณของเจ้าให้เป็นไข่สัตว์ร้ายนี้ “
ชายชราพยายามช่วยเจสันออกมา แต่อย่างใดเจสันก็รู้สึกถึงความปรารถนาที่จะได้นกฮูกเกล็ดหิมะเพิ่มขึ้น
เจสันจ้องไปที่ชายชราและพยักหน้าขณะที่ถือไข่ใบเล็กอย่างระมัดระวัง
“ได้โปรด มอบนกฮูกเกล็ดหิมะตัวนี้ให้ผมด้วย!”
ชายชรากล่าวถอนหายใจ
“ตกลง … แต่เจ้าไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสำหรับไข่ใบนี้เนื่องจากมีการกลายพันธุ์ที่ไม่พึงประสงค์และไม่มีใครต้องการมันดังนั้นเจ้าสามารถนำมันไปได้เลย”
มันเป็นเวลาสี่ทุ่มแล้วและไฟก็สว่างขึ้นในห้องเมื่อเจสันและชายชรายืนอยู่ที่โต๊ะพร้อมกับไข่สัตว์เล็กที่วางอยู่บนเบาะ
เจสันมีมีดเล่มเล็กอยู่ในมือและเขาต้องกรีดมืออีกครั้งเพื่อสร้างสัญญาผูกมัดวิญญาณ
เข้าสู่โลกภายในจิตใจของเขาตามที่ชายชราอธิบายให้เขาฟัง เจสันคลายด้ายออกจากโลกแห่งจิตวิญญาณและนำมันไปที่มือซ้ายของเขาอย่างช้าๆและระมัดระวัง
หลังจากที่ด้ายวิญญาณเข้าสู่มือของเขา เจสันก็ตัดตำแหน่งที่แน่นอนด้วยมีดและเลือดข้นก็หยดลง
แต่แตกต่างจากเลือดปกติเจสันสังเกตว่าสีของเลือดของเขาไม่เพียง แต่เป็นสีแดง แต่ยังมีสีทองของวิญญาณของเขา
เลือดหยดลงบนไข่เลือดเริ่มเดือดและระเหยทำให้ไข่นกฮูกเกล็ดหิมะส่องแสงสีขาวอ่อน ๆ
เจสันรู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างเขากับสัตว์ร้ายภายในไข่ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นอย่างช้าๆ
กระบวนการทั้งหมดของสัญญาผูกมัดวิญญาณนั้นค่อนข้างน่าเบื่อที่จะมอง แต่เจสันเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าเนื่องจากเป็นการยากที่จะคลายด้ายออกจากจิตวิญญาณ
ขาของเจสันเกือบจะทรุดลงไป แต่เขาต้องยืนอยู่
เมื่อมองไปที่เจสัน ชายชราก็ยังไม่แน่ใจว่า เด็กคนนี้คิดอะไรยังไง
ดวงตาของเขาเป็นลักษณะพิเศษและเขามีจิตวิญญาณที่ไม่เหมือนใคร แม้ว่าพลังวิญญาณของเขาจะอ่อนแอมากก็ตาม
หากพลังวิญญาณของเขาดีขึ้นเพียงเล็กน้อย โรงเรียนมัธยมทุกแห่งจะมอบทุนการศึกษาให้เขาโดยไม่ต้องคิดถึงเกรดของเขา …
แม้แต่สถาบันระดับห้าดาวจากเมืองเกรด S ในคาเนียร์ก็ไม่รอที่จะมอบสิทธิประโยชน์มากมายให้เขา
น่าเสียดายที่พลังวิญญาณของเขาแย่เกินไป
เขาต้องการทำให้ทุกอย่างเสร็จสิ้น
“เจ้ามีรายชื่อติดต่อของข้า ใช่ไหมถ้ามีอะไรผิดพลาดเพียงโทรหาข้า บางทีข้าอาจช่วยเจ้าได้
เพียงแค่นำไข่ติดตัวไปด้วยและเก็บไว้ใกล้ตัว มันจะฟักเป็นตัวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
สำหรับโรคที่อาจเกิดขึ้นได้ … เจ้าควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับวิธีการป้องกัน … เราไม่ได้กังวลที่จะทำอะไรแบบนั้น … ข้าต้องไปแล้วมีสิ่งอื่นที่ข้าต้องทำและ เจ้าทั้งสองคนใช้เวลามากเกินไป … ออกไปข้างนอกกันเถอะ “
เจสันเดินออกมาพร้อมกับไข่ในมือ เจสันยิ้มอย่างอ่อนโยนโดยไม่รังเกียจชายชรา
เจสันสั่งรถรับส่งและบอกลาชายชราอย่างสุภาพ
การไปที่เจดีย์สัตว์ร้ายเปลี่ยนชีวิตของเจสันไปอย่างสิ้นเชิงและมีอุปสรรคมากมายที่เขาต้องเอาชนะ
ขั้นตอนการคิดของเจสันหยุดลงและเขาเสี่ยงที่จะเปิดเผยตัวเองโดยไม่มีเหตุผลใด ๆ
แต่อย่างไรก็ตามเขารู้สึกว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจว่าทำไม
“ เกร็ก…ทำไมนายไม่ทำสัญญาวิญญาณกับลูกวัวตัวนี้ล่ะ”
เจสันถามคำถามโดยไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ
ประโยคนี้ทำให้ชายชราหยุดชะงักขณะมองไปที่ลูกวัวตัวนั้นอย่างระมัดระวัง
“นี่เป็นเพียงลูกสัตว์ที่มีวิวัฒนาการระดับกลางธรรมดาที่เรียกว่า ‘วัวมีเขาเสริมแรง’ โอกาสในการพัฒนาไปสู่สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีตำหนิที่สูงกว่านั้นต่ำกว่าเมื่อเทียบกับพันธะที่มีศักยภาพอีกสามตัวของเกร็ก การทำสัญญากับสัตว์ร้ายนี้จะเป็นการกระทำที่สูญเปล่า”
พ่อแม่ของเกร็กและพี่สาวของเขาได้ยินดังนั้น พวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำอธิบายของชายชราในขณะที่พี่สาวของเกร็กมองไปที่เจสันอย่างคุกคาม
ในขณะเดียวกันเกร็กมองไปที่ลูกวัวมีเขาเสริม เขาไม่รู้ว่าทำไมเจสันถึงต้องการให้เขาเลือกลูกสัตว์ร้ายตัวนี้
ในขณะที่เกร็กเดินเข้าไปใกล้ลูกวัวเจสันที่ยืนอยู่ข้างๆเขาก็พูดออกมาเสียงดัง
“ฉันคิดว่าลูกวัวตัวนี้ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับตัวเลือกอีกสามตัว”
เจสันยังพูดต่ออีกว่า
“นายสามารถเลือกสัตว์ร้ายตัวใดก็ได้ที่นายต้องการเลือก เพราะเป็นการตัดสินใจของนาย แต่อย่าเสียใจกับการตัดสินใจในภายหลัง”
สิ่งที่เจสันพูดทำให้เกร็กไตร่ตรอง
เขาต้องการที่จะเลือกออร์คแรกเกิดที่อ่อนแอกว่า ซึ่งจะผูกพันกับจิตวิญญาณของเขา
อย่างไรก็ตามการเลือกลูกวัวที่ไม่มีองค์ประกอบจะสร้างความแตกต่างของอันดับทั้งหมด เนื่องจากออร์คมีความเป็นไปได้ที่จะไปถึงอันดับที่ดี ด้วยทรัพยากรจำนวนหนึ่ง
เกร็กหันไปหาเจสันและถามเขา
“ ทำไม นายถึงคิดว่าสัตว์ร้ายตัวนี้ดีกว่าออร์คละ?”
เป็นเรื่องแปลกสำหรับเจสันที่จะพูดอะไรแบบนั้น โดยไม่ให้เหตุผลและเกร็กเชื่อว่าเจสันไม่ต้องการทำร้ายเขา แม้ว่าเกร็กจะไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเชื่อใจเจสันมากขนาดนี้ก็ตาม
เจสันอยู่ในจุดที่คับขันเพราะเขายังคงคิดว่าเขาต้องปิดตาของเขาเป็นความลับ
เมื่อหันไปหาชายชราจึงถามเขาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ที่ท่านพูดก่อนหน้านี้ยังเชื่อถือได้ใช่ไหม?”
ชายชรารู้สึกสับสน แต่เขาก็พยักหน้า
“ ได้”
เมื่อหันกลับไปหาเกร็ก เจสันค่อยๆคลายผ้าพันแผลที่ยังเต็มไปด้วยเลือดและแห้งออกไป ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวขณะถอดผ้าพันแผลออก
ดวงตาของเขาปิดลงเพราะแสงที่เข้ามาจู่โจมพวกเขาอย่างกะทันหัน
หลังจากปรับตัวให้เข้ากับกระแสของแสงได้ ชั่วครู่ขณะที่เจสันกำลังเปิดดวงตาที่ส่องแสงสีทองสว่างของเขามองตรงเข้าไปในดวงตาของเกร็ก
“มะ.. มีอะไรกับตานาย นายไม่ได้ตาบอดเหรอ ???”
เกร็กประหลาดใจขณะที่ตกใจอ้าปากค้าง
เขารู้จักเจสันมานานหลายปีและดวงตาของเขาเหมือนปลาตายทุกครั้งที่มองเขา ทำให้เขารู้สึกอึดอัด แต่ตอนนี้เขากลับเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งและมีนัยต์ตาสีทองส่องแสงประกาย
นี่เป็นครั้งแรกที่เจสันได้เห็นเก็กและเขามีกล้ามเนื้อ ผมสั้นสีน้ำตาลและดวงตาที่ขมวดคิ้วของเขา
‘ถ้าฉันไม่สามารถหลบสายตาได้ตลอดไปฉันก็ต้องเปิดเผยได้นิดหน่อย แต่ใช่มั้ย?’
เจสันต้องไตร่ตรองว่าเขาควรวางตัวอย่างไร
“ ฉันต้องรวบรวมมานาเป็นเวลนานมาก เพื่อที่จะทำให้ดวงตาสามารถมองเห็นได้ และมันก้มีความพิเศษนิดหน่อยกับดวงตาของฉัน”
เจสันบอก
“กลับไปที่หัวข้อหลัก ฉันแนะนำลูกวัวตัวนี้ให้นายเพราะตาของฉันบอกฉันว่ามันเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับนาย
ท้ายที่สุดแล้วการตัดสินใจก็คือของนาย คือการทำในสิ่งที่นายคิดว่าถูกต้องและอย่าปล่อยให้ใครมาขัดขวางนาย “
ครอบครัวของเกร็กเห็นเพียงเจสันถอดผ้าพันแผลออก และความประหลาดใจของเกร็กที่อุทานออกมาเสียงดัง
พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาไม่ชอบสถานการณ์นี้ เนื่องจากพวกเขาเข้าใจว่าเจสันต้องการให้เกร็กเลือกลูกวัวซึ่งชายชราบอกว่าอ่อนแอกว่าลูกสัตว์ร้ายอีกสามตัว
เกร็กยิ้มให้เจสันและพูดออกมาอย่างมั่นใจ
“ฉันต้องการลูกวัวที่มีเขาที่ได้รับการเสริมกำลังเป็นพันธะของฉัน!”
เ
มื่อได้ยินพ่อแม่ขอเกร็กถึงกับตะลึงในขณะที่พี่สาวของเขาตะโกนด้วยความโกรธ
“ เด็กโง่…เด็กตาบอดคนนี้มีความรู้อะไรที่ ทำไมต้องไปฟังที่เขาพูดด้วย !!”
เธอเข้าไปใกล้เด็กทั้งสองที่ยังคงมองหน้ากันในขณะที่เธออยู่ด้านหลังของเจสันเพียง 5 เมตร
อย่างใดก็ตาม เธอก็อยากจะตบหน้าเจสันอย่างแรงขณะที่เธอจับไหล่ของเขาดึงเขากลับมา
สิ่งนี้ทำให้เจสันสะดุดถอยหลังในขณะที่เขาถูกบังคับให้หันหลังกลับ
เจสันถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว โดยยังคงมองไปที่เกร็กขณะที่ไหล่ของเขาถูกดึงกลับโดยไม่คาดคิด
ใบหน้าของเด็กสาวสวย ที่มีใบหน้าที่สวยงาม ผิวขาว ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตและขนตายาวเข้ามาในมุมมองของเขาทำให้เขาเสียสมาธิ
ในขณะเดียวกันใบหน้าของหญิงสาวก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากความโกรธ เป็นความประหลาดใจ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อเธอมองเข้าไปในดวงตาสีทองของเด็กหนุ่มด้วยความประหลาดใจที่ส่องประกายอยู่ภายในดวงตาของเขา
ดวงตาสีทองรู้สึกราวกับว่ามันลึกราวกับเหว แต่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง
เจสันรู้สึกโกรธเล็กน้อยเพราะเขาไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเหวี่ยงหรือแตะต้อง
เมื่อจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเจสัน หญิงสาวรู้สึกอึดอัดเพราะราวกับว่าเธอไม่สามารถซ่อนอะไรจากเขาได้
การมองเข้าไปในดวงตาคู่นี้ ต่อไปเพียงครู่เดียวก็อาจถึงแก่ชีวิตได้และเธออาจจะเปิดเผยความลับทุกอย่างที่เธอมีโดยไม่ลังเล และเธอก็ถอยออกมาและคลายการยึดเกาะของเธอเกือบจะสะดุด
เกร็กที่จับเจสันรู้สึกสับสนเล็กน้อย
เขาเข้าใจความโกรธของพี่สาวเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยเห็นเธอถอยห่างจากการปะทะ
แต่ตอนนี้เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของเจสันทำให้เธอถอยออกมาซึ่งน่าสนใจ
ชายชรารู้สึกรำคาญกับพฤติกรรมของพี่งสาวของเกร็กและกล่าวว่า
“ ถ้าคุณเลือกพันธะวิญญาณของคุณเสร็จแล้วคุณสามารถออกไปได้ ในขณะที่ฉันจะช่วยเจสันเลือกพันธะของเขา
พ่อแม่ของคุณสามารถช่วยคุณในขั้นตอนสุดท้ายได้เพราะนั้นไม่ใช่เรื่องยาก “
เกร็กผิดหวังที่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้มองหาพันธะของเจสัน แต่เขาต้องทำตามคำสั่งของชายชรา
ขณะที่เกร็กบอกลาเจสัน พี่สาวของเขามองเจสันอย่างสงสัยและพ่อของเกร็กก็ดูจะโกรธเจสัน
ลูกวัวมีเขาเสริมถูกนำไปไว้ที่ห้องอื่นโดยผู้ดูแลและเกร็กติดตามเจ้าหน้าที่ไปพร้อมกับครอบครัว
ตอนนี้เจสันและชายชราอยู่ตามลำพังในขณะที่ชายชรามองเจสันอย่างสงสัย เจสันรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย
“ ทำไมเจ้าถึงแน่ใจว่าวัวมีเขาที่เสริมความแข็งแรงดีกว่าลูกสัตว์ตัวอื่น ๆ ที่เราเคยดูแลมันเป็นเพราะดวงตาของเจ้าจริงๆหรือ?”
ชายชราสงสัยในตัวเขาและยังอยากรู้อยากเห็นในขณะที่เจสันรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
ถ้าเขาบอกทฤษฎีเกี่ยวกับดวงตาของเขาที่มองเห็นศักยภาพของสัตว์ร้ายจริงๆ เจสันไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นดังนั้นเขาจึงสร้างเรื่องราวขึ้นมา
“ ผมไม่แน่ใจว่าดวงตาของผมมีอะไรพิเศษมาก แต่หลังจากได้เห็นลูกวัวตัวนั้นผมรู้สึกว่ามันแข็งแกร่งกว่าสัตว์ร้ายตัวอื่น ๆ ที่เกร็กต้องการเลือก
แต่พูดตามตรงผมก็คิดผิดเหมือนกันและผมบอก เกร็กว่ามันเป็นการตัดสินใจของเขาที่จะเลือกสัตว์ร้าย แต่ผมหวังว่าผมจะคิดไม่ผิด “
เจสันเดินไปรอบ ๆ คอกและสถานีเพาะพันธุ์ที่มีไข่อยู่ข้างใน ชายชราให้ข้อมูลโดยเน้นที่ลักษณะของศักยภาพของสัตว์ร้ายเป็นหลักและวิธีกำหนดจุดแข็งและจุดอ่อนของพวกมัน
โดยปกติการเลือกสัตว์ร้ายจะแตกต่างกันโดยไม่มีข้อมูล แต่ชายชราใจกว้างเพราะเขาชอบเด็ก ๆ
เราต้องรู้ว่าสัตว์อสูรวิญญาณไม่เพียงแต่ให้การปรับปรุงทางกายภาพและการเข้าถึงความสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสัญชาตญาณสัตว์ป่าของพวกมันเช่นความกระหายเลือดและอื่น ๆ อีกด้วย
ลักษณะของการเพิ่มประสิทธิภาพทางกายภาพขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของพันธะและประเภทของวิญญาณรวมถึงการกระจายที่ใช้ร่วมกัน
หากใครสร้างพันธะกับวัวหนึ่งตัวจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้นในขณะที่การสร้างพันธะกับสัตว์ร้ายที่ว่องไวจะมีแนวโน้มที่จะเพิ่มเส้นเอ็นความยืดหยุ่นและส่วนอื่นของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับความเร็วอื่น ๆ ก่อนที่โฟกัสจะไปที่ส่วนที่เหลือ
มีสัตว์ร้ายเพียงไม่กี่ตัวที่ขั้นหนึ่งของพื้นที่เพาะพันธุ์ซึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์ป่าที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาการจากที่วิวัฒนาการและสัตว์ร้ายที่ไม่มีตำหนิ
สัตว์ที่ได้รับการจัดอันดับเวทมนตร์อยู่ในชั้นใต้ดิน ชั้นล่างและอาจมีเพียงไม่กี่เมืองในเมืองเกรด C
ลูกที่ได้รับการตื่นขึ้นวิวัฒนาการและไม่มีตำหนิส่วนใหญ่ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าสัตว์ป่าในช่วงแรก แต่การเติบโตของพวกมันเร็วกว่าและมันจะยากกว่ามากที่จะควบคุมพวกมันโดยไม่ต้องใช้พลังงานวิญญาณจำนวน ซึ่งจำเป็นสำหรับสัตว์ที่มีอันดับสูงกว่า มิฉะนั้นพันธะจะสามารถย้อนกลับมาได้และสัตว์ร้ายจะสามารถควบคุมผู้ที่ทำพันธ และทำลายวิญญาณบางส่วนหรือในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือการทำลายวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์
เกร็กที่ไม่มีปัญหาเช่นนี้ เขาสามารถควบคุมสัตว์ร้ายที่ได้รับการพัฒนาในช่วงปลายได้อย่างง่ายดายและเขาตั้งใจฟังอย่างมาก
พลังวิญญาณของใครคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นพร้อมกับพันธะวิญญาณแรกของเขา จนกว่ามันจะครบกำหนดวิวัฒนาการหรือเมื่อเกิดสัญญาผูกมัดวิญญาณใหม่กับสัตว์ร้าย
ไม่ทราบว่าจำนวนเงินที่ใช้ร่วมกันมีมากเพียงใด แต่ประมาณ 3% ถึง 10% ของการเติบโตของสัตว์ร้ายมอบให้กับผู้ทำพันธะ ซึ่งขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณดวงเดียวอย่างเต็มที่
ในขณะที่วิญญาณส่วนใหญ่กระจายเพียง 3% ถึง 5% แต่บางคนที่โชคดีจะได้รับส่วนแบ่ง 10% จากพันธะคนหนึ่งเนื่องจากวิญญาณของพวกเขานั้นใจกว้าง
พูดง่ายๆคือพลังวิญญาณของเกร็กอยู่ระหว่าง 400-500 และการสร้างจิตวิญญาณด้วยสัตว์ร้ายอันดับที่พัฒนาช้าที่เติบโตเต็มที่จะใช้ประมาณ 450
แต่ลูกที่ได้รับการพัฒนาแล้ว จะใช้พลังงานวิญญาณน้อยกว่า 450 ในตอนเริ่มต้นและในตอนท้ายเท่านั้นที่จะต้องใช้พลังงานวิญญาณ 450 ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้เพื่อที่จะถูกปราบ
การเติบโตนี้จะทำให้พลังวิญญาณของเกร็กเติบโตและมีขนาดโตเต็มที่ในขณะที่ลูกสัตว์ร้ายก็จะโตเท่ากัน
ด้วยการกระจาย 10% เกร็กจะได้รับพลังงานวิญญาณประมาณ 45 เมื่อพันธะวิญญาณตัวแรกของเขาเติบโตเต็มที่ภายใต้ข้อกำหนดที่ว่าพลังงานวิญญาณที่ต้องการคือ 450 หน่วยเมื่อครบกำหนด
นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมเราถึงสร้างความผูกพันทางจิตวิญญาณกับลูกสัตว์ร้ายหรือไข่ในช่วงแรก ๆ
เกือบจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่สำคัญที่สุด!
การสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับลูกนั้นง่ายกว่าการพยายามทำให้สัตว์ป่าตามธรรมชาตินั้นเชื่อง
เมื่อสัตว์ร้ายกลายพันธุ์หรือวิวัฒนาการไปสู่การดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งขึ้น หลายสิ่งอาจเกิดขึ้นได้
สัตว์ร้ายอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้เป็นนาย เพราะพลังวิญญาณที่ต้องการนั้นสูงเกินไปทำให้มนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างถาวรหรือสัตว์ร้ายที่พัฒนาแล้วจะแบ่งปันความแข็งแกร่งให้กับมนุษย์ที่บังคับให้พลังเพิ่มขึ้น แต่เพียงผู้เดียวซึ่งจะสร้างความเจ็บปวดไปชั่วขณะ
สิ่งนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนักและยังไม่ทราบว่าเป็นไปได้อย่างไร
สรุปได้ว่าการมีสัตว์ร้ายที่สามารถวิวัฒนาการได้นั้นเป็นถือดาบสองคม
และนี่คือการเชื่อมต่อที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ และกลับสู่หัวข้อหลัก
หากใครเลี้ยงสัตว์ร้ายที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะวิวัฒนาการ การเชื่อมต่อที่ลึกซึ้งมีความสำคัญและก่อตัวได้ง่ายกว่ามาก
แม้ว่าพลังวิญญาณที่ผูกมัดวิญญาณจะมีขนาดใหญ่กว่าผู้เป็นนาย ตราบเท่าที่มันไม่ต้องการที่จะหลุดออกจากสัญญาผูกมัดวิญญาณ ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยดี
ครั้งหนึ่งสัตว์ร้ายที่มีพลังวิญญาณสูงกว่าผู้ทำสัญญา จะลุกขึ้นต่อต้านและเป็นอันตรายได้
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพลังวิญญาณจึงมีความสำคัญมาก
แม้ว่าเจสันจะทำสัญญากับสัตว์ร้ายระดับหนึ่งดาวที่มีศักยภาพ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าสัตว์ร้ายตัวนี้จะอยู่กับเขาหรือไม่ หรือจะทำลายสัญญาและหนีไป
เมื่อจิตวิญญาณของเขาได้รับความเสียหายจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการสร้างจุดที่วิญญาณก่อนหน้านี้ยึดครองในขณะที่พลังงานวิญญาณโดยกำเนิดยังคงอยู่
แต่นี่ไม่ใช่วิธีเดียวในการเพิ่มพลังวิญญาณ
แทนที่จะใช้สมบัติวิเศษหรืออาศัยจิตวิญญาณของคนอื่น เราสามารถฝึกพลังวิญญาณด้วยวิธีการฝึกฝนบางอย่างได้
สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างเจ็บปวด แต่คนที่สิ้นหวังหลายคนใช้มันเพราะพลังวิญญาณของพวกเขาอ่อนแอ
สำหรับพวกเขาการเพิ่มขึ้นหนึ่งจุดในพลังวิญญาณของพวกเขา หมายความว่าพวกเขาสามารถผูกมัดสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อยซึ่งอาจมีศักยภาพที่แข็งแกร่งกว่า
แต่ส่วนใหญ่ที่เป็นศูนย์หรือหนึ่งดาวและแม้แต่การจัดอันดับการปลุกวิญญาณระดับสองดาวก็จะละทิ้งความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นและบรรลุบางสิ่งเนื่องจากมีการตั้งโปรแกรมสิ่งกีดขวางไว้
การฝึกฝนด้วยวิธีการเหล่านี้จะเพิ่มพลังวิญญาณเพียงเล็กน้อย ยกเว้นในกรณีที่พลังวิญญาณโดยกำเนิดสูง
ในกรณีนี้พลังงานวิญญาณจะเพิ่มเร็วขึ้น ก็จะทำให้อัตราการเพิ่มขึ้นความเป็นไปตามเปอร์เซ็นต์
ในขณะเดียวกันเจสันมีจะพลังวิญญาณมากที่สุดจนถึงจุดหนึ่ง ซึ่งมีโอกาสน้อยกว่าด้วยซ้ำซึ่งหมายความว่าเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานแม้ว่าเขาจะทำสัญญากับสัตว์ป่าระดับหนึ่งดาวที่ครบกำหนดแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องเริ่มฝึกด้วยวิธีพิเศษในไม่ช้าเพื่อป้องกันการบาดเจ็บถาวร .
เขารู้แล้ว แต่เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อในความโชคร้ายของเขา
หลังจากมองไปรอบ ๆ สองสามชั่วโมงก็ถึงเวลาดึกแล้ว แต่เกร็กก็ยังคงครุ่นคิดว่าสัตว์ร้ายตัวไหนที่จะเลือกเป็นพันธะวิญญาณตัวแรกของเขา
ลูกสัตว์ร้ายอันดับวิวัฒนาการสามตัวอยู่ในหมู่พวกมันและพวกมันทั้งหมดมีสีเรืองแสงสีเขียวเข้มใกล้เคียงกันในขณะที่ตัวหนึ่งดูหนาแน่นกว่าสำหรับเจสัน
สัตว์เหล่านี้เป็นแร้งที่มาจากสายลม พายุเป็นหมาป่าและออร์คตัวน้อยแรกเกิด
เจสันไม่สนใจว่าเขาควรเลือกตัวไหนจากพวกมัน เพราะมันใกล้เคียงกันจนกระทั่งเขาเห็นลูกวัวที่ไม่มีธาตุ ที่มีสีเขียวอ่อน ๆ แต่หนาแน่นห่อหุ้มตัวมัน
หลังจากดูสัตว์นับพันชนิดนี้เจสันได้สร้างทฤษฎีที่ว่าสีที่เขามองเห็นเป็นศักยภาพของสัตว์ร้าย
รายการได้ก่อตัวขึ้นในใจของเขาในช่วงสองสามชั่วโมงที่ผ่านมาโดยเริ่มจากสีดำ เทาอ่อน เขียวเข้มและเขียวในที่สุด
มีเพียงสีเขียวที่แผ่ออกมาจากสัตว์ร้ายเพียงสีเดียว แต่สีที่แผ่ออกมานั้นเทียบไม่ได้กับสีเขียวเข้ม
สัตว์ร้ายที่เกร็กคิดว่าจะเลือกมีสีเขียวเข้มที่มีศักยภาพซึ่งเทียบได้กับสัตว์ร้ายที่ไม่มีตำหนิ
ในขณะที่สีดำเปรียบได้กับสัตว์ที่ถูกปลุก แต่สีเทาอ่อนดูเหมือนจะเป็นศักยภาพของสัตว์ที่วิวัฒนาการแล้ว
สีเขียวที่เจสันเห็นในตอนนี้แตกต่างจากสีเขียวที่เขาเคยเห็นกับสัตว์ร้ายตัวอื่นเพราะมันดูเหมือนจะอ่อนแอกว่า แต่เมื่อเจสันเห็นมันเขาก็รู้สึกประหลาดใจมากที่ เมื่อเห็นสีที่เปล่งประกายเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ ลูกวัวอย่างแรง
สีเขียวนี้ดูเหมือนจะอ่อนแอ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูแข็งแรงและเจสันก็สงสัยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
เจสันรู้สุกตื่นเต้นจนแทบอยากจะถอดผ้าพันแผลออก แต่เขาก็ทำตัวไม่ถูก
เขายังคงมีผ้าพันแผลเปื้อนเลือดอยู่ แต่โครงร่างของลูกวัวตัวนี้มีรายละเอียดราวกับว่าเขาเห็นมันด้วยตาปกติ
เจสันต้องเผชิญกับความจริงที่โหดร้าย แต่ก็ยากที่จะยอมรับ
เขารู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบของเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ เขาไม่ได้ทะเยอทะยานขนาดที่จะได้รับวิญญาณอสูรที่ท้าทายสวรรค์มาเป็นพันธะแรกของเขา แต่กลับกลายเป็นสัตว์ป่าระดับหนึ่ง ???? !!? แม้แต่ระดับมือใหม่ที่เลวร้ายที่สุดก็ยังสามารถเอาชนะพวกเขาได้และสัตว์ร้ายเช่นนี้จะกลายมาเป็นคู่หูที่มีชีวิตอยู่ของเขา?
ระดับที่เชี่ยวชาญสามารถเอาชนะสัตว์ป่าระดับห้าดาวที่แข็งแกร่งที่สุดได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักเนื่องจากร่างกายของพวกเขาเพียงอย่างเดียวนั้น ก็แข็งแกร่งกว่าสัตว์ร้ายเหล่านี้มากและตอนนี้เจสันจะสามารถสร้างวิญญาณกับสัตว์ป่าระดับหนึ่งดาวแรกเกิด ได้มากที่สุดเท่านั้น? .. เขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง แต่อย่างใดเขาก็รู้ดีว่านี่คือเรื่องโกหกและความจริงที่โหดร้าย
ชายชราไม่ได้พยายามทำให้สถานการณ์ของเจสันนั้นดีขึ้น
เขาเชื่อว่าสถานการณ์นี้ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นเยาวชนจำนวนมากที่มีจิตวิญญาณที่สามารถกักขังวิญญาณได้เพียงหนึ่งเดียว โดยมีพลังวิญญาณแข็งแกร่งกว่าเจสันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ชายชรามั่นใจอย่างแน่วแน่ว่าชายหนุ่มตรงหน้าเขาไม่ธรรมดาเพราะดวงตาของเจสันดูเหมือนจะเป็นลักษณะพิเศษในความคิดของเขา
ไม่เช่นนั้นชายชราก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงมีมานาจำนวนมากรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ บริเวณดวงตาของเขา
ชายชราเริ่มเปลี่ยนเรื่องโดยการบอกทุกคนในขณะที่เจสันได้ยินเสียงเขาอย่างแผ่วเบา
“ ไปที่โรงฟักไข่สัตว์ร้ายที่เจ้าทั้งคู่สามารถเลือกพันธะวิญญาณตัวแรกของเจ้าได้”
ในขณะที่ชายชรากล่าว เจสันได้ยืนขึ้นและเดินไปตามแท่นบูชาอย่างไร้ชีวิต
เกร็กเห็นดั้งนั้นเขาจึงรีบวิ่งไปหาเขาถามว่า
“เฮ้ นายโอเคไหม ไม่เป็นไรใช่ไหม???”
เห็นได้ชัดว่าเจสันไม่ได้สบายดี แต่เขาฝืนยิ้มและพูดว่า
“อื้ม ฉันไม่เป็นไร”
เจสันไม่แน่ใจว่าทำไมเกร็กถึงเป็นห่วงเขา แต่ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้น
ชายชราเดินผ่านเด็กสองคน และสังเกตเห็นพวกเขาและเดินตามมาอย่างเงียบ ๆ
เกร็กต้องให้การสนับสนุนเจสันเล็กน้อยในขณะที่ครอบครัวของเกร็กติดตามทั้งสองคนอย่างเงียบเชียบ
แม่ของเกร็กกระซิบ
“โชคร้ายแค่ไหน…ฉันไม่เคยเห็นวิญญาณที่สวยงามและใหญ่โตขนาดนี้…. ที่รักคุณคิดว่าเขาจะสามารถเอาชนะปัญหาได้ด้วยพลังวิญญาณที่อ่อนแอของเขาได้ไหม ฉันคิดวิธีแก้ปัญหาที่ดีไม่ได้เลยนอกจาก สร้างสัญญากับสัตว์ร้ายที่มีศักยภาพที่ดีหรือฝึกฝนเทคนิค ‘นรกสวรรค์’ เป็นเวลาหลายปีจนกว่าจะได้ผลลัพธ์
แต่การค้นหาสัตว์ร้ายที่มีศักยภาพในหมู่สัตว์ป่าระดับหนึ่งนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้มากกว่าการหาเข็มในมหาสมุทร แม้แต่สำหรับเราและเราไม่สามารถช่วยได้ในระหว่างขั้นตอนการคัดเลือกสัตว์ร้ายทั้งหมด … อีกตัวหนึ่งจะเพิ่มระดับของเขา แต่ก็ใช้เวลานานเช่นกันแม้จะมีทรัพยากรมากพอ “
ชายคนนั้นตอบหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“นอกจากสร้างสัญญากับสัตว์ร้ายที่มีศักยภาพสูง การจัดอันดับและฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์เป็นเวลานานเขาจะต้องค้นหาสมบัติวิเศษระดับสูงซึ่งสามารถเพิ่มจิตวิญญาณของคน ๆ หนึ่งได้ แต่เป็นเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก
ฉันไม่คิดว่าเราจะสามารถซื้อได้ด้วยโชคลาภทั้งหมดของเราแม้ว่าลูกชายของเราจะมีจิตวิญญาณเช่นเดียวกับเด็กคนนี้ก็ตาม … มันน่าเสียดายที่ต้องสูญเสียวิญญาณที่มีแนวโน้มเช่นนั้นไปให้กับพลังงานวิญญาณที่อ่อนแอ
ถ้าเขาฝึกฝนอย่างหนักบางทีเขาอาจจะสร้างจิตวิญญาณที่สองได้ในอีกไม่กี่ปี แต่พูดตามตรงฉันคงไม่มั่นใจที่จะทำอะไรแบบนั้น “
ในขณะที่เกร็กสนับสนุนเจสันแต่จิตใจของ เจสันก็อยู่ในโลกแห่งจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของเขาตลอดเวลา
นอกเหนือจากความผิดหวังเจสันยังต้องยอมรับความจริงที่ว่าจิตวิญญาณของเขาดูสวยงามและงดงามจริงๆในขณะที่ดวงตาสีทองสามารถทำให้เขาสงบลงเมื่อมองไปรอบ ๆ …. อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดมากขึ้นเพราะพลังวิญญาณของเขา อ่อนแอเกินไปและเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรกับมัน …
แต่เขาเองก็ไม่อยากจะร้องไห้และแทนที่จะร้องไห้ เจสันต้องการหาทางแก้ปัญหาของเขา
การร้องไห้จะไม่ช่วยอะไรเขา นอกจากแก้ปัญหา
การปลดปล่อยตัวเองออกจากการสนับสนุนของเกร็ก เจสันยืดหลังของเขาให้ตรงในขณะที่คิดหาวิธีแก้ปัญหา แต่ก็มีไม่มากนัก
การซื้อสมบัติวิเศษระดับสูงนั้นไม่ได้อยู่ในตัวเลือกของเขา เนื่องจากมีราคาแพงเกินไปและการทำสัญญากับสัตว์ป่าระดับหนึ่งดาวที่มีศักยภาพสูงนั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคของเขา
ประมาณบันไดหลายร้อยขั้นต่อมาพวกเขาก็เข้าสู่ห้องอื่นที่ใหญ่โตยิ่งกว่าห้องโถงแห่งการปลุกวิญญาณ
แต่สถานที่แห่งนี้ไม่เงียบสงบเหมือนห้องก่อนและเจสันที่สามารถมองเห็นได้เพียงเล็กน้อยผ่านผ้าพันแผลเพราะเลือดของเขา เขารู้สึกประหลาดใจที่เห็นสีนับพันที่เปล่งออกมาจากไข่และสัตว์ร้ายตัวเล็กในภูมิประเทศขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยมานาจาง ๆ
หัวของเขาเริ่มปวดอีกครั้งและเจสันก็ปิดเอฟเฟกต์ดวงตาของเขา ที่สามารถมองเห็นสีที่เปล่งประกายของสัตว์ร้าย
ในวินาทีที่เขาเปิดใช้เอฟเฟกต์ดวงตาของเขา เจสันสังเกตเห็นว่าสัตว์ร้ายบางตัวเปล่งแสงสีที่รุนแรงกว่าตัวอื่นแม้ว่าพวกมันจะมาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน
“ นั่นหมายความว่าอย่างไร ”
เจสันคิด แต่เขาก็นึกไม่ได้ว่าทำไม
เมื่อนึกถึงเอฟเฟกต์เจสันมองไปรอบ ๆ อีกครั้งโดยที่เขาไม่ได้ลืมตา
เขาหยุดอยู่ชั่วขณะและหลังจากนั้นเพียงครู่หนึ่งเขาสังเกตเห็นความผันผวนของมานาของแม่หมาป่าที่มีลูกห้าตัวอยู่ข้างๆเธอ
นั่นเป็นสิ่งที่เจสันสามารถเห็นได้จากการไหลของมานาและการเปิดใช้งานเอฟเฟกต์จากดวงตาของเขาในช่วงเวลาสั้น ๆ เขาก็เริ่มวิเคราะห์ลูกหมาป่าอย่างละเอียด
หมาป่าให้กำเนิดลูกทั้ง 5 ตัว แต่เจสันสังเกตเห็นว่าสีที่แผ่ออกมานั้นแตกต่างจากสองตัว
ในขณะที่ลูกสามตัวมีสีเหมือนกัน แต่ลูกตัวหนึ่งมีความแตกต่างและหนาแน่นกว่า แต่ยังคงมีสีเดียวกันในขณะที่ลูกอีกตัวมีสีที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงซึ่งหนาแน่นกว่าเมื่อเทียบกับลูกหมาป่าที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้
ความคิดมากมายแล่นผ่านหัวของเจสันเมื่อเกร็กและชายชราสังเกตเห็นพฤติกรรมของเขา
ชายชราจึงอธิบาย
“ นี่คือแม่หมาป่าที่มีเขาที่ลุกโชนซึ่งมีลูก 5 ตัว มันเป็นสัตว์ร้ายอันดับวิวัฒนาการ
ลูกสองตัวมีความพิเศษเล็กน้อยในขณะที่ลูกตัวหนึ่งได้รับการถ่ายทอดทางสายเลือดที่เหนือกว่าเล็กน้อยส่วนลูกอีกตัวได้รับการกลายพันธุ์ซึ่งทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น “
เกร็กตั้งใจฟังเพราะข้อมูลนี้ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับการเลือกของเขา
“เจ้าช่วยแสดงให้ข้าเห็นได้ไหมว่าตัวไหนที่เจ้าคิดว่าแข็งแกร่งกว่าจากกรณีพิเศษทั้งสองตัวนี้”
เจสันได้ฟังชายชรา แต่คำถามของเขาทำให้เกร็กสับสนในขณะที่ชายชรายิ้มจาง ๆ
ชายชรารู้ว่าเจสันมีดวงตาพิเศษตั้งแต่แรกพบ เนื่องจากเขาได้เห็นมนุษย์หลายคนที่มีลักษณะพิเศษและเขาคิดว่าเจสันมีดวงตามานาที่เรียบง่ายซึ่งสามารถมองเห็นได้ว่าสัตว์ร้ายตัวไหนมีมานาที่แข็งแกร่งจากการแผ่มานาออกมาจากตัวของมัน
กระแสมานาเล็ก ๆ ที่ออกจากร่างของเขาและเจสันก็เห็นนิ้วที่ชี้ไปที่ลูกหมาป่าตัวที่มีสายเลือดที่เหนือกว่า
แต่เจสันเห็นบางอย่างที่แตกต่างออกไป
ดวงตาของเขาบอกเขาว่าลูกหมาป่าที่กลายพันธุ์มีสีทึบ และเขาก็คิดว่า
“ทำไม”
ชายชรายังคงสงบและอธิบาย
“การมีสายเลือดที่เหนือกว่าบ่งบอกถึงความเป็นไปได้สูงที่จะพัฒนาไปสู่สัตว์ที่มีอันดับสูงกว่า ในขณะที่การกลายพันธุ์สามารถย้อนกลับมาได้ การกลายพันธุ์บางชนิดมีพลัง ในขณะที่การกลายพันธุ์อื่น ๆ เป็นอันตราย
นอกจากนี้การกลายพันธุ์สามารถพัฒนาได้เมื่อลูกสัตว์ร้ายเติบโตแข็งแรงขึ้นและในบางกรณีของเราการกลายพันธุ์ของลูกสัตว์ร้ายยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ในขณะที่ยังไม่ถูกมองว่าเป็นการกลายพันธุ์ที่ดี พวกมันสามารถกลายพันธุ์ต่อไปในทางที่ไม่ดีได้ด้วย “
“อ่อออออ”
เจสันและเกร็กอุทานพร้อมกัน
เสียงของชายชราเป็นเสียงนุ่มและสงบ แต่เจสันรู้สึกได้ถึงการคุกคามเล็กน้อยภายในเสียงและเขาก็เริ่มเหงื่อตกทันที
เจสันไม่รู้ว่าชายชราคนนี้รู้ได้อย่างไร แต่เขาเข้าใจว่าความลับของเขาถูกเปิดเผย
เจสันพูดอย่างตะกุกตะกักบางอย่าง
“ผะ ผมตาบอดมาจนถึงสัปดาห์ที่แล้ว… .แต่ผมทำให้ดวงตาของผมกลับมามองเห็นด้วยการรวบรวมมานาเป็นเวลานานในดวงตาของผม… .ผะ ผมเก็บสิ่งนี้ไว้เป็นความลับเพื่อให้สามารถเขียนข้อสอบทฤษฎีด้วย VR … พะ..พะ..เพราะผมเขียนภาษาทางเทคนิคได้ไม่ดี “
เจสันไม่มีทางที่จะต้านทานแรงกดดันของชายชราได้ ในขณะที่เขาอายุเพียง 13 ปีดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะข่มขู่เขาด้วยความผันผวนของมานาเล็กน้อย
เมื่อฟังคำอธิบายของเจสันชายชราเข้าใจสถานการณ์ของเขาแม้ว่าเจสันจะพูดเกินจริงก็ตาม
แต่ชายชราสังเกตว่าเจสันมีภูมิหลังที่ไม่ดี จึงไม่เป็นปัญหา
ชายชราพยักหน้าตอบว่า
“โอเค ไม่เป็นไร … ข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่เจ้าต้องตอบแทนข้าด้วย”
เจสันรู้สึกโล่งใจและกลัวเล็กน้อยเพราะการได้รับความโปรดปรานเป็นสิ่งที่ไม่ดีไปเสมอในความคิดของเขา
ชายชราพูดต่อว่า
“เจ้าต้องให้ข้อมูลติดต่อของเจ้า”
“ห้ะ !! ”
เจสันแทบจะตะโกนออกมาดัง ๆ ก่อนจะวางมือไว้ที่ปากอย่างรวดเร็ว
“อย่าเข้าใจว่าข้าผิด ข้าไม่มีแรงจูงใจแอบแฝงใด ๆ แต่ตอนนี้ถึงตาเจ้าที่จะปลุกวิญญาณของเจ้าโปรดจำไว้ว่าเจ้าสามารถเปิดเผเรื่องดวงตาของเจ้าได้ในไม่ช้า แต่มันจะดีกว่าที่เจ้าจะได้พูดคุยกับข้า ก่อนที่จะเกิดขึ้น “
เจสันทำได้เพียงแค่พยักหน้า ยังคงเหงื่อตก แต่ตอนนี้เขาต้องมุ่งความสนใจไปที่การปลุกวิญญาณของเขาในตอนนี้ดังนั้นเขาจึงเคลียร์จิตใจของเขาให้เร็วที่สุด
ครอบครัวของเกร็กเห็นเพียงชายชราและเจสันคุยกันและผ่านไปหนึ่งนาทีจนกระทั่งเจสันกลับมาอีกครั้ง
เจสันลดมือของเขาลงเบา ๆ และเลือดไหลลงแขนของเขาในขณะที่มือมีบาดแผลเล็กน้อย ค่อยๆเข้าไปใกล้ลูกกลมซึ่งดูเป็นอันตรายต่อเขา
เจสันลืมความวิตกกังวลของเขา เขาวางมือช้าๆบนลูกกลมซึ่งเริ่มส่องแสงเบา ๆ ขณะที่เลือดหยดลงบนนั้น
ภายในตัวของเขา เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างเปลี่ยนไป เมื่อรูขุมขนของเขาเปิดออกและภายในจิตใจของเขาก็เกิดโลกเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยสีสันก็เริ่มก่อตัวขึ้นรอบ ๆ หินอ่อนสีทองขนาดเท่าเมล็ดข้าวที่มีจารึกลึกลับอยู่
ประการแรกโลกมีขนาดเล็กเท่าเมล็ดถั่ว แต่มันเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งจิตใจของเขาเต็มไปด้วยโลก
จู่ๆเจสันก็รู้สึกปวดหัวในขณะที่โลกในจิตใจของเขากำลังขยายใหญ่ขึ้นในขณะที่ก้าวข้ามขีดจำกัดภายในจิตใจ
ความเจ็บปวดไม่ได้ลดลง ค่อนข้างจะเพิ่มขึ้นและ เจสันก็เริ่มร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อผ้าพันแผลของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดเพราะดวงตาของเขาเริ่มมีเลือดไหลออกมา
มือของเจสันไม่ได้สูญเสียการจับลูกกลมปลุกวิญญาณ แต่ขาของเขาเริ่มทรุดลงในขณะที่เสียงร้องของเจสันส่งไปถึงครอบครัวของเกร็กซึ่งกำลังสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น
แม้แต่ชายชราก็ไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ เนื่องจากลูกโลกยังคงรวบรวมมานาจากสภาพแวดล้อม
เกร็กรู้สึกกังวลและอยากจะขึ้นไปช่วยเจสัน แต่เขาก็ถูกพ่อของเขารั้งไว้
จิตใจของเจสันตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายเมื่อโลกใบเล็กทะลุขีดจำกัดภายในจิตใจของเขา ในขณะที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ลูกโลกรวบรวมมานาเสร็จแล้วและสีของมันก็เปลี่ยนไป ก่อนที่จะเริ่มฉายวิญญาณของเจสัน
ประการแรกสีของลูกโลกเป็นสีทอง แต่เวลานั้นสั้นเกินกว่าที่ใครจะสังเกตเห็นได้ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวซึ่งเป็นสีที่สูงที่สุดที่เคยบันทึกไว้บ่งบอกถึงพลังงานวิญญาณจำนวนมหาศาลจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้ม แดงอ่อนแดงแดงเข้มและสุดท้ายก็จบลงที่สีดำสนิท
ในขณะที่สีเปลี่ยนไปหัวของเจสันรู้สึกราวกับว่ามันจะระเบิดออกได้ทุกวินาที แต่การเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีเหลืองและไกลออกไปตามช่วงสีมันช่วยลดความเจ็บปวดลง ในขณะที่โลกในความคิดของเขากำลังขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
เจสันยังไม่สามารถเข้าใจขนาดของโลกได้เนื่องจากเขาต้องมุ่งเน้นไปที่สติ เพื่อไม่ให้ตนเองหมดสติไป
หลังจากที่สีของลูกโลกเปลี่ยนเป็นสีดำ โลกในใจของเขาก็หยุดขยายออกไป แต่เจสันรู้สึกว่ามันมีความทะเยอทะยานที่จะเติบโตมากขึ้น
เจสันรู้สึกหงุดหงิดกับโลกแห่งวิญญาณและสถานะที่ไม่สมบูรณ์
ลูกกลมที่เป็นสีดำสนิททำให้ผู้คนที่เฝ้ามองพูดไม่ออกเพราะไม่เคยเห็นสีดำเช่นนี้มาก่อนและในที่สุดลูกกลมก็เริ่มฉายวิญญาณของเจสันในขณะที่เจสันเริ่มทรงตัว
การฉายภาพจิตวิญญาณของเจสันปรากฏการณ์อีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าผู้ชมโดยมีสีชนิดต่างๆที่ไม่ทราบจำนวนซึ่งทำให้ห้องนั้นมีสีที่ส่องแสงเจิดจ้า
เห็นได้ชัดว่าวิญญาณนั้นใหญ่กว่าทั้งห้องและมีเพียงชายชราเท่านั้นที่สามารถมองเห็นเส้นรอบนอกของมันได้ในขณะที่เขาสามารถมองเห็นอาคารทั้งหมด
ชายชรารู้สึกท้อแท้และสังเกตว่าพื้นที่ของเจดีย์สัตว์ร้ายทั้งหมดนั้นถูกปกคลุมไปด้วยการฉายภาพโลกแห่งวิญญาณของเจสัน
แต่ข้อเท็จจริงที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับจิตวิญญาณของเจสันคือการเปล่งแสงสีทองที่หนาแน่นบดบังเฉดสีแดงของเกร็กโดยโลก
เจสันซึ่งภายในหัวยังคงเจ็บอยู่ และปลดปล่อยลูกกลมสีดำสนิทออกมาก่อนที่ขาของเขาจะยื่นเข้าไปอีกครั้ง
เพราะเขาพูดติดอ่าง
“อะ..อาการเจ็บปวดนี้…เป็นปกติหรือเปล่า”
ชายชราซึ่งตอนนี้กำลังอึ่งในเหตุการณ์ต่างๆ
เขาไม่เคยเห็นอะไรที่เทียบได้กับวิญญาณของเจสันและเขาอยากจะรับเจสันเป็นสาวกโดยไม่มีข้อตำหนิใด ๆ เมื่อเขาเห็นสีของลูกโลกของเจสัน
`ตอนแรกมันเป็นสีเขียวหนิ ????? ทำไมตอนนี้ถึงเป็นสีดำ? ไม่นะ.. ทำไม?! เขาคิดว่าในที่สุดเขาก็ได้พบใครบางคนที่ดียิ่งกว่าบุตรของพระเจ้าซึ่งเป็นผู้ตื่นขึ้นมาในระดับ 5 ดาว แต่สีดำสนิทที่ลูกโลกแผ่ออกมาทำให้ความฝันตลอดชีวิตของเขาแตกสลาย
เขามองเจสันอย่างสงบด้วยความสงสารและครอบครัวของเกร็กก็เข้าใจเขาได้อย่างสมบูรณ์หลังจากเห็นลูกกลมสีดำสนิทต่อหน้าเจสัน
ก่อนหน้านี้ชายชรามีความรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้พิเศษกว่าเกร็กเพราะสิ่งนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกของเขาผิดไป
ก่อนที่พวกเขาจะมองเห็นเพียงโลกใบใหญ่และกว้างใหญ่ที่ฉายโดยวิญญาณของเจสัน แต่ตอนนี้พวกเขาสามารถมองเห็นลูกกลมได้อย่างชัดเจน
พ่อของเกร็กไม่แน่ใจว่าเขาควรจะสงสารเจสันหรือมีความสุขดี เพราะเขาไม่อยากให้เจสันโดดเด่นไปกว่าลูกชายของเขา แต่หลังจากคิดได้ครู่หนึ่งเขาก็รู้สึกอายกับความคิดของตัวเอง และมันก็น่าเสียดายอย่างแน่นอนวิญญาณที่สวยงามแต่มีพลังวิญญาณที่อ่อนแอ
สีของวงโคจรบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณของคน ๆ นั้น ว่าความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณของคน ๆ นั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด
ในขณะที่สีแดงของเกร็กเป็นสีแดงอ่อน ซึ่งเกือบจะสามารถสร้างสัญญากับสัตว์ร้ายที่พัฒนาแล้วได้ ชายชราเข้าใจว่าสีดำสนิท เนื่องจากสีดำที่มีสีแดงเล็กน้อยโดยปกติแล้วจะอ่อนแอที่สุด
เขาสงสัยว่าเด็กที่อยู่ตรงหน้า เขาจะสามารถควบคุมสัตว์ป่าระดับหนึ่งดาวที่โตเต็มแล้วได้หรือไม่ ซึ่งเป็นสัตว์ที่อ่อนแอที่สุด
เมื่อมองไปที่เจสัน ชายชราได้กล่าวขึ้น
“ชายหนุ่ม เจ้ามีจิตวิญญาณที่สวยงามและข้ารู้สึกละอายใจที่จะบอกว่า ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะสามารถผูกสัตว์ร้ายกับวิญญาณของเจ้าได้กี่ตัวในอนาคตและข้าก็ไม่รู้ว่าสีทองหมายถึงอะไรดูเหมือนมันจะเป็น 5 ดาวที่ทรงพลังหรือขึ้นชื่อว่าบุตรของพระเจ้า
น่าเสียดายที่พลังวิญญาณของเจ้ากลับอ่อนแอที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์นั้นทำให้ถึงแม้เจ้าจะมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง แต่พลังของวิญญาณของเจ้ากลับอ่อนแอ ข้าเกรงว่าด้วยพลังแค่นั่น เจ้าจะทำได้แค่ผูกพันธะกับสัตว์ระดับ 1 ดาวได้เพียงแค่ตัวเดียว”
หลังจากพูดเสียงดังออกไปเขาก็พูดต่ออย่างเงียบ ๆ
“ถ้าเจ้าพบลูกสัตว์ป่าดาวเดียวหรือสัตว์ร้าย แม้กระทั่งไข่ที่มีศักยภาพที่เหมาะสมก็อาจจะแข็งแกร่งขึ้นได้ในเวลานาน”
เสียงเก่าและซีดเซียวดังก้อง
“คนต่อไปเข้าไปข้างในได้”
เจสันไม่รู้สึกถึงมานาใด ๆ ที่แผ่ออกมาจากชายชราผู้นั้น แต่เขาสามารถตรวจพบมานาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
มีความรู้สึกที่น่าขนลุกและมันเหมือนกับว่ามังกรถูกระงับไว้ข้างในและใบหน้าของเขาซีดลงเล็กน้อย
ความคิดเดียวปรากฏขึ้นในใจของเขา
‘หมาป่าในคราบแกะ’
เกร็กเข้ามาในห้องหลังประตู ก่อนตามด้วยพ่อแม่และพี่สาวของเขา
เจสันเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไปในห้องซึ่งความหนาแน่นของมานานั้นเหลือเชื่อมาก
ไม่เพียงแค่นั้นน่า แต่ขนาดของห้องนั้นไม่สามารถอธิบายได้ว่าใหญ่โตเพราะมันมากกว่าคำนั้น
เจสันมองไม่เห็นอะไรเลยผ่านผ้าพันแผลยกเว้นมานาที่แผ่ออกมาจากวัสดุ
รูปแบบการรวบรวมมานาระดับสูงถูกจารึกไว้ในห้องและเจสันตรวจพบ ลูกกลมสิบลูกบนแท่นบูชาที่อยู่ในมือของคน ๆ หนึ่งที่ดึงดูดมานาอย่างตะกละ
ชายชราผู้นั้นพาเกร็กไปที่แท่นบูชาแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง
ครอบครัวของเขาและเจสันอยู่ที่ด้านล่างของแท่นบูชาขณะที่เกร็กได้รับคำสั่งให้ลดมือลงเล็กน้อย
หลังจากนั้นเขาวางมือไว้บนลูกกลมๆ เพื่อกระตุ้นการปลุกวิญญาณ
ช่วงเวลาที่เลือดของเกร็กหยดลงบนลูกกลมๆ เจสันรู้สึกเหมือนอยู่ในความปีติยินดีเมื่อมีมานาหลากสีจำนวนมหาศาลรวมตัวกันอยู่ภายในลูก
มันไม่ได้หยุดลงในขณะที่มานายังคงพ่นไอน้ำเข้าไปในลูกกลมเป็นเวลาสองสามนาทีจนกระทั่งลูกกลมเต็มไปในระดับหนึ่ง
หลังจากนั้นลูกกลมก็เริ่มส่องแสงเป็นสีแดงและฉายภาพโลกสีขาวขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 เมตร
ถัดจากโลกสีขาวโลกอีกใบก็ปรากฏขึ้นและโลกแห่งจิตวิญญาณนี้ดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่โลกสีขาวมีกระแสมานาขนาดใหญ่สองสายในสองสีที่แตกต่างกันที่ลอยอยู่รอบ ๆ โลกที่คาดการณ์ไว้นั้นใหญ่กว่าเล็กน้อยมีสีแดงหนาอยู่รอบ ๆ โดยไม่มีกระแสมานาหลากสีลอยอยู่ภายใน
เจสันรู้สึกได้ถึงโลกทั้งสองนี้และเขาเข้าใจทันทีว่านี่เป็นการตื่นขึ้นสองครั้ง
วิญญาณสองดวงในตัวคนเดียวเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากและจะระบุว่าเป็นไปได้เพียงเล็กน้อยของพันธะวิญญาณ
เจสันยืนอยู่ข้างๆ พ่อกับแม่ของเกร็ก ในขณะที่พ่อพึมพำ
“ฮ่าฮ่าฮ่าลูกชายของฉัน เป็นไปดั่งที่คาดไว้”
แม่ของเขาน้ำตาไหล
“ครอบครัวของเรามีลูกที่ดี”
เธอเริ่มร้องไห้และเจสันคิดว่ามันมากเกินไปเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นข้างๆเขา
หญิงสาวสะอื้น
“น้องชายฉันทำดีมาก .. “
เจสันรู้สึกประหลาดใจในสิ่งที่เกิดขึ้นและเขาหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ ขณะที่เขาเข้าไปใกล้ผู้หญิงคนนั้นมากขึ้น
เธอมองขึ้นไปเห็นเด็กหนุ่มที่มีดวงตาเป็นผ้าพันแผลกำลังยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เธอ
เธอรับผ้าเช็ดหน้าและเธอสงสัยว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครเพราะเขามีผ้าปิดตาขณะที่เดินอย่างอิสระโดยไม่มีไม้เท้า
เธอหยุดสะอื้นและซับแก้มที่เปียกของเธอให้แห้ง
เจสันหันกลับไปที่แท่นบูชาที่เกร็กยังคงยืนอยู่
เขารู้คร่าวๆว่าการจัดอันดับจะเป็นอย่างไร
การจัดอันดับแบ่งออกเป็นศูนย์ถึงห้าดาวในขณะที่ศูนย์ดาวนั้นแย่ที่สุดและห้าดาวดีที่สุด
การมีดาวเป็นศูนย์หมายความว่าดวงหนึ่งเลวร้ายยิ่งกว่าคนทั่วไป
การได้รับผลหนึ่งดาวในการปลุกจิตวิญญาณหมายความว่าสามารถทำสัญญากับสัตว์ร้ายตัวหนึ่งได้ในขณะที่สัตว์ร้ายตัวนี้ไม่สามารถแข็งแกร่งได้จริงๆ
ดาวสองดวงหมายถึงดาวดวงหนึ่งอยู่รอบ ๆ และแล้วสามารถสร้างสัญญากับสัตว์ร้ายอย่างน้อยสองตัวมีแนวโน้มที่จะเป็นสัตว์ร้ายสามตัวและสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นมาในระดับต่ำเป็นดวงวิญญาณดวงแรก
ดาวสามดวงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากในการปลุกวิญญาณในขณะที่ดาวสามดวงครึ่งเรียกว่าไม่ธรรมดา
ดาวสามดวงส่วนใหญ่สามารถสร้างพันธะวิญญาณได้อย่างน้อย 4 ดวงหรืออาจจะถึง 5 ดวงในขณะที่พวกมันมีแนวโน้มที่จะสร้างลูกสัตว์ร้ายที่ตื่นสายในฐานะพันธะวิญญาณตัวแรก
การจัดอันดับสี่และห้าดาวนั้นหายากกว่าในขณะที่สี่ดาวเรียกว่าเจตจำนงของสวรรค์และห้าดาวเรียกว่าบุตรของพระเจ้า
การจัดอันดับจิตวิญญาณทั้งสองนี้มีความโดดเด่นและมีเพียงไม่กี่อันดับที่สามารถปลุกจิตวิญญาณดังกล่าวได้เนื่องจากทุกสิ่งเกี่ยวกับพวกเขาจะต้องมีความพิเศษรวมถึงขนาดของพลังงานวิญญาณและประเภทของวิญญาณ
ชายชราเสียสมาธิไปสี่วินาทีก่อนจะรวบรวมความคิดของเขา
เขาประกาศ
“เกร็ก เฟลเลอร์ อายุ 14 ปี ผู้ชำนาญลำดับ 2 ได้ปลุกจิตวิญญาณคู่สำเร็จ”
ดวงหนึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 เมตรในขณะที่อีกดวงหนึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 12 เมตร
วิญญาณทั้งสองสามารถสร้างขอบเขตวิญญาณได้สามแห่งในขณะที่จิตวิญญาณทางกายภาพอาจสามารถสร้างสัญญากับสัตว์ร้ายที่อ่อนแอ 4 ตัวได้
การบวกตัวเลขทั้งสองเข้าด้วยกันเกร็กสามารถสร้างพันธะกับสัตว์ร้าย 6 ถึง 7 ตัวได้
ในขณะที่ธาตุลมพายุถูกดึงไปยังโลกแห่งวิญญาณหนึ่ง โลกจิตวิญญาณอีกโลกหนึ่งเป็นโลกทางกายภาพที่อนุญาตให้มอนสเตอร์ที่ไม่ใช่ธาตุ ที่มีความแข็งแกร่ง ความเร็ว ความดื้อรั้นและอื่น ๆ เป็นมือขวาในการทำสัญญากับเกร็ก
โลกแห่งจิตวิญญาณทางกายภาพนี้จะเพิ่มจำนวนที่ใช้ร่วมกันจากพันธะวิญญาณไปยังร่างกาย
ความสามารถในการสร้างสัญญา 6 ถึง 7 ครั้งนั้นเป็นอะไรที่พิเศษ
การเพิ่มศักยภาพทุกด้านเข้าด้วยกันคือดาวสี่ดวงซึ่งเรียกว่าเจตจำนของสวรรค์
ผู้อาวุโสกล่าวค่อนข้างสงบ ในบรรดาเด็กไม่กี่แสนคนที่เขาติดตามมาตลอดชีวิตอันยาวนานเกร็กอาจถูกจัดให้อยู่ใน 1% แรก
เขามากกว่าพอใจกับผลลัพธ์ของเขาเกร็กจึงลงไปหาครอบครัวของเขาซึ่งทักทายเขาอย่างร่าเริง
ทุกคนรู้สึกโล่งใจที่เกร็กได้รับการปลุกจิตวิญญาณที่ดีมากและหลังจากได้รับการกอดจากครอบครัวของเขา เกร็กก็หันไปหาเจสันที่ยกนิ้วให้เขา
เจสันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องและมันทำให้เขาสบายใจขึ้น
จู่ๆเกร็กก็ถามว่า
“เจสันวิญญาณของนายตื่นตอนไหน ฉันขอไปดูด้วยได้ไหม”
โดยปกติการปลุกวิญญาณของใครคนหนึ่งจะถูกเก็บเป็นความลับเนื่องจากเป็นข้อมูลที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง
ถึงเกร็กจะได้รับวิญญาณ4 ดาว แต่การที่มาดูการปลุกวิญญาณของเขานั้นหากเขาไม่ได้เชิญมาจะถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์
เจสันครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับขณะที่ยิ้มเบา ๆ
“การปลุกวิญญาณของฉันจะเกิดขึ้นในวันที่ 2 สิงหาคมเวลา 10:25 น. ถ้านายอยากมาก็มาได้นะ เพราะนายเองก็ชวนฉันมาดูการปลุกวิญญาณของนาย “
ชายชราที่ก่อนหน้านี้ไม่สนใจอะไรนัก แต่เมื่อเขาเห็นเจสันขณะที่เขามองลงมาจากแท่นบูชาและดวงตาของชายคนนั้นก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจเพราะเขาสามารถมองเห็นอะไรบางอย่างผ่านผ้าพันแผล
แล้วเขาพูดออกมาเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
“เจ้าเด็กคนนั้น ถ้าเจ้าต้องการให้จิตวิญญาณของเจ้าตื่นขึ้นตอนนี้เจ้าก็สามารถทำได้”
“ ฉันทำได้จริงเหรอ?”
เจสันพูดอย่างไม่อดทนในขณะที่เกร็กยิ้มกว้าง
อย่างไรก็ตามพ่อแม่ของเกร็กและพี่สาวของเขารู้สึกสับสนเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขารู้ว่ามันยากแค่ไหนที่พวกเขาจะให้ชายชราดูแลการปลุกวิญญาณ
เป็นเพียงเพราะเกร็กเป็นหนึ่งในผลการสอบที่ดีที่สุดของเขาและการโน้มน้าวใจเพียงไม่กี่เดือนจนกระทั่งชายชรายอมมาดูแลการปลุกวิญญาณ
“แน่นอน ไม่เป็นไร รีบขึ้นมาซิ!”
หลังจากที่ชายชราบอก เจสันก็ก้าวขึ้นบันไดอย่างรวดเร็วจนทำให้คนอื่นประหลาดใจ
เด็กหนุ่มที่ถูกปิดตารีบวิ่งขึ้นบันไดโดยไม่สะดุดหรือแม้แต่ก้าวอย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึง ก่อนลูกกลมที่ผ่านการทำความสะอาดแล้วชายชรายื่นมีดเล่มเล็กให้เจสันซึ่งเขาจะต้องใช้บาดมือเล็กน้อย
แต่ก่อนที่เจสันจะตัดตัวเองชายชราก็หยุดเขาด้วยมือของเขา
เขากระซิบด้วยเสียงที่แผ่วเบามีเพียงทั้งคู่เท่านั้นที่เข้าใจ
“ ไอ้หนู เอ็งจะปิดตาเอ็งทำไม”
เพิ่มเติม ในตอนต่อๆ ไป อาจมีใครบางคนสับสนในเนื้อเรื่องนะครับ ผู้แปลเลยจะมาอธิบาย ระดับของมนุษย์และสัตว์ร้ายนะครับ
โดยระดับของมนุษย์แบ่งจากอ่อนสุดไปเก่งสุดนะครับโดยเรียงลำดับดังนี้ มือใหม่ ↠ ผู้ชำนาญ ↠ ผู้เชี่ยวชาญ ↠ ผู้วิเศษ โดยแต่ละลำดับก็จะมีการจัดอันดับอีกที อย่างเช่น มือใหม่ระดับ 1 ไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนไป ผู้ชำนาญระดับ 1 โดยการดูดซับมานาไปเรื่อยๆ โดยการทำให้แกนมานาบริสุทธิ์ขึ้น ยิ่งบริสุทธิ์มากยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และการจะเป็นผู้วิเศษจะต้องอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงและแปรเปลี่ยนมานาที่มีลักษณะคล้ายกับก๊าซ ให้ไปอยู่ในลักษณะของ ของเหลวด้วยการบีบอัดมานา เมื่อมานาแปรสภาพเป็น มานาเหลวแล้วจะสามารถพัฒนาให้เข้าสู่ขั้นผู้วิเศษได้
ระดับความเก่งของสัตว์ร้ายจะแบ่งเป็น สัตว์ร้ายระดับ 1-5 ดาว ↠ สัตว์ร้ายระดับวิวัฒนาการแล้ว ↠ สัตว์ที่พลังที่แท้จริงได้ตื่นขึ้น↠สัตว์วิเศษ และระดับวิวัฒนาการแล้วกับการกลายพันธ์จะแต่งต่างกันนะครับ การกลายพันธุ์จะเป็นการพัฒนาของสัตว์ร้ายจากสายเลือดเดิมของพวกมัน โดยได้กลายพันธุ์เป็นสัตว์ร้ายในรูปแบบใหม่หรืออาจจะมีรูปแบบดังเดิมแต่พลังภายในอาจจะเปลี่ยนไป และสัตว์วิเศษจะมีอันดับสูงสุด โดยแกนมานาของมันจะเป็นแกนวิเศษ หรือ แกนเวทย์มนต์
เสริม โรงเรียนแนวหน้าในเรื่องนี้ จะมีการแบ่งสาขาย่อยเป็นโรงเรียนในเครือนะครับ อย่างโรงเรียนแวนการ์ดก็จะมีเครือแยกย่อยไปอีก 6 ที่ โดยใช้ชื่อโรงเรียนเดียวกัน โดยโรงเรียนในเครือก็จะมีการจัดอันดับเช่นกัน แต่ในส่วนของโรงเรียนแวนการ์ดจะจัดโดย 6-1 เรียงจากอ่อนที่สุดไปเก่งที่สุด โดยเจสันอยู่โรงเรียนในเครือของโรงเรียนแวนการ์ดลำดับที่ 6 ซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนที่อ่อนที่สุดในเครือนี้เท่านั้นนะครับ ไม่นับรวมกับโรงเรียนอื่น
หากผู้อ่าน อ่านแล้วงง หรือสงสัยและอยากติชมนักแปล สามารถเข้าไปพูดคุยกันได้ที่เพจ ได้เลยนะครับ ขออภัยในที่นี้ด้วยนะครับ ^^
หลังจากเปลี่ยนข้อมูลจากโทรศัพท์เป็นสร้อยข้อมือควอนตัมเจสันก็ใส่มัน
มันดูดีมากและเจสันก็สแกนด้วยตาของเขาสักครู่เพราะมันสวยงามจริงๆ
จากนั้นเขาก็ออกเดินทางไปซื้อเสื้อผ้าและสิ่งของจำเป็นอื่น ๆ ผ่านไป 2 ชั่วโมงพระอาทิตย์ตกก็บ่งบอกถึงค่ำคืน
เจสันอยู่ที่ร้านทำผมและเขาได้เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว ดังนั้นเขาจึงดูแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง
ถ้ามีคนจากชั้นเรียนเดิมเดินผ่านเขาไปพวกเขาจะไม่สามารถจำเจสันได้
ทันใดนั้นก็มีสายเรียกเข้าจากสร้อยข้อมือควอนตัมของเขาและเจสันก็เห็นหมายเลขที่ไม่รู้จัก
เขารับสายด้วยความสงสัยเล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า
“สวัสดีครับ นี่ใคร?”
เสียงที่คุ้นเคยตอบเขา
“เฮ้ นี่คือเกร็ก ฉันมีจิตวิญญาณของฉันที่จะถูกปลุกขึ้นมาในอีกครึ่งชั่วโมงและฉันอยากถามนายว่านายอยากชมมันไหม อาจจะแปลกที่ถามนายเรื่องนี้ แต่ฉันคิดว่ามันอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับนายที่จะรู้สึกว่าการปลุกจิตวิญญาณทำงานอย่างไร เพื่อที่นายจะได้เข้าใจว่านายต้องทำอะไรเมื่อถึงตานาย “
เจสันรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่เคยถูกเรียกมาก่อนและการคิดว่าเกร็กต้องการช่วยเขาก็เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะเข้าใจ
แต่เมื่อนึกถึงเกร็ก เจสันสังเกตว่าเกร็กไม่เคยปฏิบัติต่อเขาอย่างเลวร้ายและเขาเองก็อยากรู้มากเช่นกันว่าการปลุกวิญญาณเกิดขึ้นได้อย่างไรเขาจึงตอบรับคำเชิญ
“ได้เลย ฉันสามารถไปที่เจดีย์สัตว์ร้ายได้ในเวลาไม่ถึง 30 นาทีรอฉันด้วยนะ”
เจสันวางสายและสั่งรถรับส่งซึ่งมาถึงในอีกไม่กี่นาทีต่อมา
เมื่อป้อนคำว่า ‘เจดีย์สัตว์ร้าย’ จะมีที่อยู่ปรากฏขึ้นและรถรับส่งก็ออกไป
สิบห้านาทีต่อมารถรับส่งมาถึงหน้าเจดีย์ห้าชั้นขนาดมหึมาซึ่งดูโบราณ
เขาไม่เคยเห็นเจดีย์และไม่รู้ว่าขนาดนี้เป็นเรื่องปกติ แต่มันดูแพงมากเมื่อเขาเห็นการไหลของมานาที่แผ่ออกมาจากวัสดุก่อสร้าง
เมื่อนึกถึงรูปลักษณ์โบราณของเจดีย์ความคิดก็ปรากฏขึ้นในใจและเขาจึงค้นหาของผ่านพื้นที่เก็บของของเขา
โชคดีที่เขาพบผ้าพันแผลที่เขาสวมไว้ก่อนออกจากรถรับส่ง
เจสันเกือบจะทำผิดพลาดครั้งใหญ่ แต่โชคดีที่เขานึกถึงดวงตาของเขาซึ่งเขาไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้
เขาต้องรออย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์หรืออาจนานกว่านั้นเล็กน้อยจนกว่าวิญญาณของเขาจะตื่นขึ้นก่อนที่เขาจะเปิดเผยดวงตาที่หายแล้วเพื่อให้การสอบทางทฤษฎีของเขายังคงใช้ได้
เจสันโทรหาเกร็กเพราะเขาไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนและไม่ถึงสองนาทีต่อมาก็มีคนที่มีท่าทางเข้มแข็งออกมาข้างนอก
“ขอโทษนะ คุณคือคุณสเตลล่าที่มาสเตอร์เกร็กกำลังรออยู่ใช่ไหม”
เสียงเก่าถามและเจสันสรุปว่าเป็นพ่อบ้านจากเกร็ก
มันค่อนข้างแปลกที่ใครบางคนเรียกว่า คุณสเตลล่า เพราะเขาไม่เคยถูกเรียกด้วยชื่อสกุล
เขาเดินตามหลังชายชรา เขาประหลาดใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของพ่อบ้าน
เมื่อเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของพ่อบ้านกับพ่อแม่ที่เขาเห็นเมื่อวานนี้
เขากำลังตั้งคำถามกับตัวเองว่าธุรกิจของครอบครัวของเกร็ก นั้นร่ำรวยและมีอำนาจมากแค่ไหนถ้าพ่อบ้านของพวกเขามีความแข็งแกร่งเช่นนี้
เจสันมีช่วงเวลาที่ง่ายในการติดตามพ่อบ้านเพราะแม้แต่บันไดก็ไม่เป็นปัญหาเพราะวัสดุภายในเจดีย์นี้แผ่มานาจำนวนหนึ่งออกมาโดยสรุป
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่นาทีพ่อบ้านก็หยุดอยู่หน้าประตูที่มีมานาหนาแน่นแผ่ออกมา
ด้านหน้าประตูมีคนอยู่สองสามคนและเจสันก็ตรวจพบลายเซ็นมานาของเกร็กในหมู่พวกเขาและแหล่งมานาที่แข็งแกร่งกว่าสองสามแห่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งลายเซ็นมานาสองตัวถัดจากเกร็กนั้นพิเศษ
เขาไม่เคยเห็นมานาจำนวนมากขนาดนี้มาก่อนและเขาก็อ้าปากค้างเล็กน้อยด้วยความตกใจ
การได้เห็นเจสันมองไปยังทิศทางของเขาเกร็กเกร็กก็ได้เดินตรงเข้ามาหาเขา
ในขณะที่ก้าวไปข้างหน้าเขาทักทายเจสันที่เข้ามาใกล้มากขึ้น
“เจสัน นายมาที่นี่เป็นไงบ้าง …. คุณมีเสื้อผ้าใหม่และตัดผมใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เกร็กรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเกี่ยวกับรูปลักษณ์อันหล่อเหลาของเจสันโดยที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีเด็กผู้ชายหน้าตาดีจะอยู่เบื้องหลังเสื้อผ้าที่เก่าซ่อมซ่อแบบนี้
เขาจะไม่พูดออกมาดัง ๆ แต่เขาดูแลเจสันหลายครั้งในอดีตเพราะเขาพบว่าเจสันเป็นคนดีและไม่สนใจภูมิหลังของคนอื่น
สิ่งที่เจสันลืมไปนานแล้วคือบางครั้งเขาได้ช่วยเกร็กด้วยคำพูดบางอย่างเกี่ยวกับวิธีเรียนรู้บางสิ่งให้ดีขึ้น
เกร็กไม่เข้ากับคนง่ายและไร้เดียงสา แต่เขาแน่ใจว่าเจสันเป็นคนดีซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาต้องการช่วยเจสันเล็กน้อยด้วยการปลุกจิตวิญญาณของเขา
เจสันทักทายเกร็กกลับมาและหันศีรษะไปทางพ่อแม่ของเกร็ก
“สวัสดี ฉันชื่อ เจสัน สเตลล่า คุณคือ คุณเฟลเลอร์ กับคุณนายเฟลเลอร์”
เจสันโค้งคำนับเบา ๆ
แม้กระทั่งก่อนการระบาดของมานา การทักทายและมารยาทที่เคารพมีความสำคัญเฉพาะในบางภูมิภาคของอาร์กอส แต่สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆหลังจากการระบาดของมานา
คนที่แข็งแกร่งแทบจะฆ่าใครก็ได้ที่พวกเขาต้องการนอกเมือง ในขณะที่รัฐบาลปกป้องผู้อ่อนแอด้วยความพยายามอย่างเต็มที่ แม้กระทั่งการฆาตกรรมและการข่มขืนก็เกิดขึ้นในเมืองนาน ๆ ครั้ง
บางครั้งครอบครัวใหญ่ก็ดูแลเรื่องนี้เหมือนอย่างที่เคยเป็น แม่ของเจสันและคนที่อ่อนแอส่วนใหญ่มักจะให้ความเคารพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้และหลีกเลี่ยงการมีปัญหากับครอบครัวที่มีอำนาจ
ตราบใดที่รัฐบาลอ่อนแอกว่าตระกูลใหญ่เหล่านี้ พวกเขาก็ต้องพึ่งพาพวกนั้นบางส่วนเพื่อปกป้องคนส่วนใหญ่จากสัตว์ป่าและเผ่าพันธุ์ที่รุกราน
โชคดีที่มีครอบครัวใหญ่จำนวนน้อยที่ชั่วร้ายและมีสมาชิกเพียงไม่กี่คนในบางครอบครัวเท่านั้นที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความปรารถนาและความกระหายเลือดของพวกเขา
มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมตามปกติ
อย่างไรก็ตามเกร็กรู้สึกตะลึงเล็กน้อย
“นายรู้ได้ไงว่า พ่อแม่ฉันยืนอยู่ตรงไหน?!”
พ่อแม่ของเกร็ก อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเด็กชายที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา
พวกเขาเห็นเด็กชายตาบอด แต่รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ ในบริเวณรอบดวงตาของเขา
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจที่สุดคือเกร็กพาเพื่อนมาดูการปลุกวิญญาณของเขา
เกร็กเป็นคนก่อปัญหามาตั้งแต่สมัยประถมมากกว่าคนที่หาเพื่อนดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยเห็นเพื่อนของเกร็กเลยสักคน
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นหญิงสาวอายุ 30 ปีที่มีรูปร่างเล็กและผมสีน้ำตาลเนียนก้าวไปข้างหน้า
“สวัสดีเจสันฉันชื่อกาเบรียลลา เฟลเลอร์และฉันเป็นแม่ของเกร็ก ฉันไม่เคยเห็นเพื่อนของเกร็กเลยดีใจที่ได้รู้จัก”
เธอพูดก่อนจะหัวเราะเบา ๆ
เจสันพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่แปลกประหลาด
`เกร็กเป็นเพื่อนของฉันหรือเปล่า”
แต่ไม่มีเวลาคิดเรื่องนั้น
เห็นได้ชัดว่าพ่อขอเกร็กรู้สึกอายและเขาดึงภรรยาของเขากลับมาก่อนที่จะแนะนำตัวในไม่ช้า
“สวัสดีฉันชื่อ มาร์ค เฟลเลอร์ พ่อของเกร็กยินดีที่ได้รู้จัก”
การแนะนำของพ่อของเขาค่อนข้างเย็นชาเล็กน้อย บางทีเขาอาจคิดว่าเจสันต้องการเป็นเพื่อนกับลูกชายของเขาเพราะเงินของพวกเขาหรือการตาบอดของเจสันอาจเป็นสาเหตุ แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น
เจสันรู้สึกถึงการจ้องมองที่คุกคามและสังเกตว่ามันเป็นโครงร่างของเด็กสาวที่เกือบจะโตเต็มที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กับเกร็ก แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงแกนมานาของเธอเขาก็ตกใจเล็กน้อย
เมื่อนึกถึงอันดับหลักของมานาจากผู้ใหญ่ที่อยู่หน้าโรงเรียนเมื่อวันก่อนเขาสังเกตเห็นว่าความแข็งแกร่งของเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุด
‘เกร็กมีพี่สาว? หรือว่าแฟนของเขา? ไม่เป็นไร แต่ทำไมเธอถึงจ้องมาที่ฉันแบบนั้น ?? ‘
ก่อนที่การสนทนาจะดำเนินต่อไปประตูที่มีมานาหนาแน่นห่อหุ้มมันเปิดออกอย่างช้าๆ
*********************************************************************************************************************
เมื่อเช้าตรู่เมื่อเจสันตื่นขึ้นมา
การลืมตาของเขาเปล่งประกายด้วยความแข็งแรงในขณะที่เขาบิดตัวเพื่อขจัดความเหนื่อยล้าของเขา
เมื่อเข้าสู่เครือข่ายสหพันธ์เจสันได้เข้าไปในสถานที่สำเร็จการศึกษาระดับกลางซึ่งเขาป้อนหมายเลขซีเรียลของเขา
เมื่อมองไปที่คะแนนที่เขา เจสันก็ติดอยู่ระหว่างอารมณ์หลายประเภท
ความสุขความเศร้าและความหงุดหงิดที่ปะปนกัน
เจสันได้คะแนนตรงตามที่คิด
‘ข้อสอบภาคทฤษฎี 100/100 คะแนน
ข้อสอบภาคปฏิบัติ 34/100 คะแนน
ตรวจเลือด: ผ่านแล้ว หมายเหตุตาบอด
แกนมานา: มือใหม่ระดับ 2 -40/100 คะแนน
ปลุกวิญญาณ: ยังไม่ทราบผล
มันเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ แต่เจสันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ดังนั้นเขาจึงเข้าไปในส่วนอีเมลของเขาและเห็นการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการปลุกวิญญาณ
‘กำหนดเวลาปลุกวิญญาณ: อาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม เวลา 10:25 น.’
เจสันถอนหายใจและสังเกตเห็นว่าเป็นวันที่ 2 สิงหาคมยังเหลือเวลาอีกกว่าสองสัปดาห์และเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องทำอะไรจนกว่าจะถึงตอนนั้น
สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือรวบรวมมานาและรวมมันเข้ากับแกนมานาของเขาเพื่อปรับปรุงอันดับของเขาเนื่องจากเขาต้องการเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับวันที่เขาจะเข้าไปในเจดีย์สัตว์ร้าย
โชคดีที่วันนี้ไม่ใช่วันปลุกจิตวิญญาณของเขา ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่ค่อนข้างดีจากผลการสอบที่ไม่ดีของเขาดังนั้นจึงมีเวลาเหลือมากพอ
เจสันมีความคาดหวัง แต่ก็กลัวเล็กน้อยเพราะการปลุกวิญญาณและการเลือกจิตวิญญาณของเขาต่อไปนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ของเยาวชนทุกคนที่ต้องผ่าน
เขามีเงินมากพอที่จะซื้อสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง แต่เขาไม่รู้ว่าพลังวิญญาณของเขาจะสูงแค่ไหน ดังนั้นเจสันจึงเลิกคิดถึงเรื่องที่ไม่จำเป็น
เขานั่งอยู่บนเตียงและรวบรวมมานาจนกระทั่งถึงเวลากลางวันแกนมานาของเจสันเกือบจะถูกเติมเต็ม
เจสันรู้สึกว่าเวลาในการเติมมานาของเขานั้นยาวนานมาก แต่เขาไม่มีคู่มือการหมุนเวียนที่ดีพร้อมคำอธิบายที่ดีเพื่อเร่งกระบวนการ
ก่อนที่เขาจะปลุกจิตวิญญาณให้เสร็จภายในสองสัปดาห์ เจสันต้องการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งที่ก่อนหน้านี้ไม่จำเป็น
เขาต้องการเปลี่ยนเป็นอพาร์ตเมนต์ให้ดูดีขึ้น และซื้ออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เสื้อผ้าใหม่และอื่น ๆ อีกมากมาย
ในขณะที่ยังไม่รู้ว่าเขาจะได้รับวิญญาณอะไรเจสันจึงต้องรอด้วยการเช่าอพาร์ทเมนต์ใหม่เนื่องจากพันธะวิญญาณอาจมีขนาดมหึมาและใหญ่เกินไปสำหรับอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็ก
เจสันมีเครดิตเหลืออยู่จำนวนมาก แต่เขาไม่แน่ใจว่าของส่วนใหญ่ราคาเท่าไรเนื่องจาก เขาอพาร์ทเมนต์ของเขาราคาถูกมากและเขาซื้อขนมปังก้อน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและของว่างที่ตลาดด้วยความช่วยเหลือของ AI ของเขาก่อนที่เขาจะได้มองเห็น
เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิธีจัดการกับการเงินของเขาดังนั้น เจสันจึงต้องค้นหาบางอย่างทางออนไลน์
ในช่วงบ่าย เจสันเขียนรายการเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาต้องการซื้อโดยมีราคาโดยประมาณอยู่หลังชื่อสิ่งของที่ในโทรศัพท์ของเขา
เนื่องจากเขาไม่ต้องการซื้อของเหล่านี้ทางออนไลน์เขาจึงออกไปข้างนอกมุ่งตรงไปยังย่านช้อปปิ้ง
เจสันต้องการเห็นทุกสิ่งรอบตัวและมันน่าเบื่อที่จะนั่งอยู่ในอพาร์ทเมนต์เล็ก ๆ ที่มีกลิ่นเหม็นตลอดทั้งวันโดยไม่มีใครอยู่
เขานำผ้าพันแผลติดตัวไปด้วยเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินหากมีคนจากชั้นเรียนมาปรากฏตัว แต่เขาเชื่อว่าพวกเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำมากกว่าการไปทัวร์ช้อปปิ้งในตอนนี้
พวกเขาอาจกำลังคิดถึงวิญญาณที่จะตื่นขึ้นและจิตวิญญาณในอนาคตของพวกเขาตลอดเวลาหรือคร่ำครวญถึงคะแนนสอบที่ต่ำ
ไม่กี่นาทีหลังจากออกจากห้องของเขา เจสันก็เข้าไปในถนนที่แออัดและมีแผงขายของมากมายในแต่ละด้าน
มีแผงขายของหลายประเภทรวมถึงแผงขายอาหาร แผงขายเสื้อผ้า อุปกรณ์วิเศษ แผงขายของเกี่ยวกับทรัพยากรมานา แผงขายอาวุธ แผงขายของเล่นแร่แปรธาตุและอื่น ๆ
เจสันต้องการเสื้อผ้าใหม่ ๆ อาหารและเขาต้องการซื้อสร้อยข้อมือควอนตัมที่จะมาแทนที่สมาร์ทโฟนที่ดูโบราณของเขา
โทรศัพท์เครื่องเก่าของเขาเก่ามากแล้ว แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เจสันตัดสินใจซื้อเครื่องใหม่
กำไลควอนตัมมีความต้านทานที่ดีกว่าซึ่งสามารถทนต่อการโจมตีจากสัตว์วิเศษได้ ในขณะที่โทรศัพท์ของเขาอาจจะถูกทำลายในไม่ช้าหากมันหล่นออกมาจากกระเป๋าอีกสองสามครั้งซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก
นอกจากนี้ในระหว่างการเดินทางผ่านเขตป่า เจสันจะต้องรวดเร็วและยืดหยุ่นในขณะที่โทรศัพท์ของเขาใหญ่เกินไปและยากที่จะให้เคลื่อนไหวเช่นนั้นได้
เจสันมีเงินเหลือเพียงพอจากการประกันการตายของแม่ และเงินช่วยเหลือจากครอบครัวเซอร์อัส ดังนั้นเขาจึงสามารถซื้อสร้อยข้อมือควอนตัมได้
เนื่องจากต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลเจสันจึงต้องการซื้อสร้อยข้อมือควอนตัมเป็นสิ่งแรก
เจสันใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการยืนอยู่หน้าอาคาร 5 ชั้นพร้อมกับป้ายสร้อยข้อมือควอนตัมขนาดใหญ่
ร้านดูหรูหราและเจสันก็เข้ามาทางประตู
ผู้ดูแลคนหนึ่งทักทายเขาก่อนจะสังเกตเห็นเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยของเจสัน ทำให้เขาขมวดคิ้วเพื่อปกปิดการแสดงออกของผู้ดูแลอยู่ครู่หนึ่ง
“สวัสดีครับคุณมาที่นี่เพื่อซื้อนาฬิกาหรือสร้อยข้อมือควอนตัม หรือท่านอาจจะเข้าร้านผิด?”
เจสันรู้สึกได้ถึงผู้ดูแลที่จ้องมองมาที่เขาและจำได้อีกครั้งว่าเขาสวมเสื้อผ้าเก่าและหลุดลุ่ย
เขาเข้าใจคำถามของผู้ดูแลและไม่ได้เก็บงำความรู้สึกใด ๆ กับเขาขณะที่เจสันได้ตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ฉันมาที่นี่เพื่อซื้อสร้อยข้อมือควอนตัมคุณช่วยแนะนำตัวที่มีพื้นที่จัดเก็บที่เหมาะสมและมีความอดทนสูงที่สามารถรับมือกับการโจมตีจากสัตว์วิเศษได้หรือไม่และไม่ต้องถามว่าฉันมีเครดิตเพียงพอหรือไม่”
เขาพูดประโยคสุดท้ายเพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายหรือน่าอึดอัดและผู้ดูแลก็เข้าใจความหมายของเขา แม้ว่าเขาจะไม่สามารถรู้ได้ว่าทำไมเด็กคนนี้จึงสวมเสื้อผ้าแบบนั้น หากเขาสามารถซื้อสร้อยข้อมือควอนตัมได้
ผุ้ดูแลหยิบกำไลควอนตัมสองสามอันออกมา ผู้ดูแลอธิบายความสามารถของมันด้วยประโยคง่ายๆไม่กี่ประโยครวมถึงราคาขนาดการจัดเก็บและอื่น ๆ
มีตั้งแต่ 10.000 – 1 ล้าน เครดิตทุกอย่างรวมอยู่ด้วยและเจสันที่คิดว่าเป็นโชคดีของเขา เพราะเขามี 5 แสน เครดิต และมันเพียงพอที่จะซื้อกำไลควอนตัมได้ 1 ชิ้น
เมื่อไล่ดูสร้อยข้อมือเรื่อยๆ เจสันก็พบสร้อยข้อมือสีดำซึ่งตรงตามที่เขาต้องการ
สร้อยข้อมือควอนตัม แบล็คโดมินิคบูล ซึ่งทำจากเหล็กสีดำและวัสดุอื่น ๆ
มันสามารถทนต่อการระเบิดของวัวปีศาจสีดำซึ่งเป็นสัตว์วิเศษประเภทพละกำลัง ที่ได้รับการเสริมพลังจากปีศาจและพื้นที่เก็บของมันคือ 2,500 ลูกบาศก์เมตร
อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเป็นส่วนที่แพงที่สุดของสร้อยข้อมือควอนตัมเนื่องจากต้องทำจากช่างตีเหล็กด้วยความช่วยเหลือของผู้เชี่ยวชาญด้านการจารึกและแกนของแกนมานาประเภทอวกาศ
ถ้าเจสันต้องการเขาก็สามารถขยายพื้นที่เก็บข้อมูลของเขาได้ แต่จะมีค่าใช้จ่ายมากกว่านี้และเจสันไม่ต้องการมันในขณะนี้
แกนมานาประเภทอวกาศนั้นหายากดังนั้นพื้นที่จัดเก็บจึงถูกสร้างขึ้นอย่างน้อย 60% ของราคา
เจสันต้องจ่ายเงิน 199 เครดิต ซึ่งทำให้เกิดความสับสนในใจของเขา แต่เขาได้ทำธุรกรรมไปยังบัญชีธนาคารของร้านค้าก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจ
ผู้ดูแลรู้สึกประหลาดใจที่เด็กหนุ่มหน้าตาเซ่อซ่าคนนี้มีเครดิตมากมายเนื่องจาก พลเมืองส่วนใหญ่ได้รับเงินประมาณ 1,500 เครดิตต่อเดือนซึ่งเพียงพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวและจิตวิญญาณที่เล็กกว่าของพวกเขาด้วยอาหารเกรดต่ำ
พวกเขาไม่สามารถซื้ออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงด้วยรายได้นี้ แต่การมีชีวิตอยู่ในเมืองเกรด C ด้วยเงิน 1,500 เครดิตต่อเดือนนั้นแทบจะเป็นเรื่องน่าแปลกใจ
แต่รายจ่ายของเจสันนั้นไม่ได้มากมากเพราะเมื่อก่อนเขาไม่ได้กินมากและไม่เคยซื้อเสื้อผ้าและของอื่น ๆ
เขาซื้อสิ่งของที่จำเป็นเพื่อสุขอนามัยและสุขภาพของเขาและอาศัยอยู่ในห้องที่มีกลิ่นเหม็นและดูน่ากลัวในราคา 100 เครดิตต่อเดือน
นอกจากนี้เขายังบอกให้ตัวเองซื้ออาหารที่มีโภชนาการสูงมากขึ้นเพื่อแก้ไขร่างกายที่ขาดสารอาหารและแข็งแรงขึ้น
รายจ่ายของเขาจึงน้อยกว่า 200 เครดิตต่อเดือนดังนั้นการจ่ายเกือบ 200 เครดิต จึงเป็นเรื่องที่มากเกินไปสำหรับหัวใจอันเล็กและอ่อนโยนของเขาที่จะรับมือได้
เจสันคิดว่าแม้ว่าค่าใช้จ่ายจะเยอะจนเขารู้สึกเสียดาย แต่ก็จำเป็นเพราะเขาต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อผจญภัยในเขตป่าเพื่อที่จะได้รับเครดิตในขณะที่คิดถึงอนาคต
เขาจะต้องตัดสินใจในไม่ช้าว่าเขาควรจะเข้าเรียนในโรงเรียนเวิร์สในอาร์เทสหรือไม่ เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้และความรู้ที่เขารู้ หรือได้รับเครดิตจากการล่าสัตว์ที่อ่อนแอในขณะที่พัฒนาตนเองอย่างช้าๆ
เจสันตัดสินใจเมื่อถึงคราวของเขา
เจสันขึ้นเวทีด้วยการก้าวอย่างช้าๆ แต่มั่นคง นักเรียนหลายคนไม่พอใจเพราะส่วนใหญ่หมดแรงและอยากกลับบ้าน
“ไอ้เจ้าขนะ นั้น มันไม่มีประโยชน์ มองก็ไม่เห็นว่าจะสามารถแสดงลำดับขั้นตอนของศิลปะการต่อสู้ที่เหมาะสมได้อย่างไร”
“ นั่นเป็นความจริง…อย่าเสียเวลาและลงมา”
“ อยากฉีกหน้าตัวเองหรอ?!?”
เจสันไม่สนใจสิ่งที่พวกเขาพูดและเขารอให้ผู้ตรวจสอบส่งสัญญาณทางวาจาให้เขาเริ่ม
มีผู้ตรวจสอบจำนวนมากอยู่รอบ ๆ ห้องโถงและมีนักเรียนอีกอย่างน้อยสิบคนกำลังแสดงลำดับศิลปะการต่อสู้ของพวกเขา
ก่อนที่ผู้ตรวจสอบจะให้สัญญาณ เจสันได้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปในทิศทางของนักเรียนที่ดูถูกเขา ด้วยการชูนิ้วกลางขึ้นให้คนพวกนั้น
เขาจะไม่ได้พบพวกนั้นอีกแล้ว ดังนั้นเจสันจึงตัดสินใจตัดสัมพันธ์โดยไม่ต้องเสียใจใด ๆ
ทั้งโรงยิมเงียบเพราะมันค่อนข้างหยาบคายที่จะทำอะไรแบบนั้นและเพิ่มสถานการณ์ที่เจสันกำลังอยู่ต่อหน้าครูและผู้ตรวจสอบที่น่านับถือ แต่เจสันก็ไม่สนใจที่คนอื่นจะคิดไม่ดีกับเขา
ขณะที่นักเรียนเหล่านี้ต้องการระบายอารมณ์ ผู้เข้าสอบจึงขัดจังหวะพวกเขาด้วการส่งสัญญาณเริ่มต้นขณะที่เขาเพิกเฉยต่อพฤติกรรมหยาบคายของเจสัน
มักจะมีนักเรียนสองสามคนไม่สนใจเขา ในฐานะผู้ตรวจสอบและบางครั้งนักเรียนสองสามคนจะต่อสู้กันเองในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
เจสันเข้าสู่ตำแหน่งมาตรฐานของทหารหน่วยกอลิล่า ด้วยการเคลื่อนไหวที่ราบรื่นและเริ่มทำความเข้าใจกับลำดับแรกที่เขาเรียนรู้
เขาเคลื่อนไปรอบ ๆ มานาจำนวนเล็กน้อยภายในร่างกายของเขาตามช่องมานาใกล้กับเส้นเลือดของเขาห่อหุ้มมือของเขาด้วยฟิล์มมานา
นี้เพียงอย่างเดียวนี้เป็นความสำเร็จที่น่าอัศจรรย์เพราะจำเป็นต้องมีความแม่นยำและการควบคุมมานาเพื่อนำมานาไปยังส่วนหนึ่งของร่างกายและห่อหุ้มไว้เหมือนผิวหนังชั้นที่สอง
ในขณะเดียวกันเจสันต้องดูแลการกระจายมานาของเขาเนื่องจากปริมาณมานาที่เขามีอยู่ในขณะนี้น้อยมาก
ถ้าแก่นมานาของเขาใหญ่ขึ้นเจสันมั่นใจว่าเขาไม่จำเป็นต้องสร้างเยื่อบาง ๆ ที่เหมือนกระดาษเพื่อปกปิดหมัดของเขาซึ่งโฟกัสได้ดีพอสมควร
เคลื่อนไหวไปมาอย่างราบรื่นด้วยหมัดที่ห่อหุ้มของเขาตามการเคลื่อนไหวที่อธิบายไว้ในคำอธิบายของทหทารหน่อยกอลิล่า เจสันเริ่มเหงื่อออกช้าๆ
พื้นที่ทั้งหมดรอบ ๆนั้นเงียบสนิท ยกเว้นเสียงการเคลื่อนไหวของตัวเองในขณะที่ทุกคนประหลาดใจกับลำดับการเคลื่อนไหวที่สวยงามที่เจสันแสดงให้เห็น
แม้ว่าเจสันจะไม่เคยเห็นลำดับขั้นตอนของเทคนิคทหารหน่วยกอลิล่ามาก่อน แต่ลำดับแรกก็ตราตรึงอยู่ในใจของเขาในขณะที่เขาดูมันนับครั้งไม่ถ้วนในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว
แทบไม่มีใครเข้าใจว่าเจสันสามารถทำได้อย่างไร โดยไม่ต้องมองเห็นอะไรเลยเพราะมันไม่มีเหตุผลที่จะรู้ว่าจะต้องเคลื่อนไหวอย่างไรหากไม่มีใครเห็นว่าลำดับนั้นถูกนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้องหรือไม่
การเคลื่อนไหวหนึ่งครั้งหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ และการแสดงทั้งหมดที่ดูเหมือนการเต้นรำที่ชวนให้หลงใหลได้จบลงหลังจากผ่านไปหนึ่งนาที
เจสันเหงื่อท่วมตัวและหลังของเขาเปียกโชกไปด้วย แต่รอยยิ้มของเขาทำให้โรงยิมการสาธิตเทคนิคกาต่อสู้ของทหารหน่วยกอลิล่าให้ความรู้สึกราวกับว่าเขาได้รับอิสรภาพ
เขามองไม่เห็นผ้าพันแผล แต่มันไม่สำคัญเพราะการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องและราบรื่นของเขาทำให้เขารู้สึกปีติยินดี
มานาที่เก็บไว้ของเขาถูกหมดสนิท แต่สิ่งนี้ไม่ได้ครอบคลุมถึงความสุขของเขา
ผู้ตรวจสอบมองไปที่เจสันด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยดวงตาของเขาเบิกกว้าง
เขาเคยเห็นอะไรแบบนั้นบ่อยครั้ง แต่ไม่ใช่จากเด็กตาบอดอันดับ 2 ของระดับมือใหม่ที่มีร่างกายไม่สมประกอบ
‘นักเรียนคนนี้มีพรสวรรค์ขนาดนี้เลยหรอ?!
เขารู้สึกถึงการไหลเวียนของมานาเมื่ออาจารย์สอนนักเรียนของเขาและเด็กคนนี้จำทุกอย่างได้และดำเนินการเช่นนั้นหรือไม่?
ใช้ได้ดีทีเดียว.’
เขาคิด แต่เขายังคงสงบและพูดด้วยเสียงเดียว
“ตรงตามข้อกำหนด: 120 คะแนน”
เกร็กได้คะแนนเต็ม 100 คะแนนเนื่องจากเทคนิคศิลปะการต่อสู้ของเขาแสดงให้เห็นอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าการสาธิตของเจสันดีกว่าของเขาเล็กน้อย
อย่างน้อยความแม่นยำและการควบคุมมานาของเจสันก็อยู่ในระดับที่แตกต่างจากเขา
อย่างไรก็ตามมันเป็นเพียงลำดับเดียวและไม่มีอะไรพิเศษถ้าใครทำงานหนักกับมันเนื่องจากข้อกำหนดนั้นค่อนข้างง่ายที่จะตอบสนอง
เจสันเองก็ประหลาดใจมากกว่าคนอื่น ๆ เพราะเขาไม่รู้ว่าเขาทำทุกอย่างถูกต้องหรือไม่
เขาไม่เคยเห็นเทคนิคการต่อสู้จากอาจารย์ของโรงเรียนเป็นการส่วนตัวและมีเพียงโครงร่างเท่านั้นที่เห็นเขา
แต่เขาก็มีความสุขที่เขาได้คะแนนมากกว่าที่เขาคาดไว้
กลับมาจากความสุขของเขา เขาถูกเตือนอีกครั้งว่าคะแนนเฉลี่ยของเขายังแย่อยู่
จากการคำนวณเล็กน้อยเขาก็พบว่าเขาทำได้ 34/100 คะแนนโดยเฉลี่ยซึ่งมากกว่าที่เขาคาดไว้มาก
การเพิ่มคะแนนที่น่าจะเป็น 100/100 จากการสอบภาคทฤษฎีคะแนนของเขาหมุนเวียนไปรอบ ๆ ผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมต้นโดยเฉลี่ย
น่าเสียดายสำหรับเจสันการทดสอบครั้งต่อไปทำให้ความสุขของเขาแย่ลงทันทีที่ครูพูด
“เมื่อทุกคนสอบภาคปฏิบัติเสร็จแล้วเราจะสแกนอันดับของคุณและให้คะแนนคุณ”
ผู้เข้าสอบลุกขึ้นจากเก้าอี้และรวมตัวกันขณะที่ชายชราคนหนึ่งกล่าวด้วยเสียงอันดัง
“ทุกคนได้โปรดสงบสติอารมณ์ ถึงแม้จะมีความรู้สึกกดดันแต่อย่าต่อสู้กับมัน เราจะสแกนแกนมานาของคุณในช่วงเวลาสั้น ๆ และให้คะแนนตามแนวทาง”
ความกดดันที่แปลกประหลาดและเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากผู้ตรวจสอบและกระจายออกไปโดยมีเขาเป็นศูนย์กลางนักเรียนทุกคนเริ่มสั่นเล็กน้อยก่อนที่ความหนาวเย็นจะหายไป
“หมาเลข 1 แอมิน อาเรียน มือใหม่ลำดับ 8 – 60 คะแนน”
“หมายเลข 2 อริน่า อาร์เต มือใหม่ลำดับ 9 – 80 คะแนน”
“ หมายเลข 3 … ..
“หมายเลข 158 เกร็ก เฟลเลอร์- มือใหม่อันดับ 2 – 140 คะแนน”
“หมายเลข 2374 เจสัน สเตลล่า มือใหม่อันดับ 2 – 40 คะแนน”
เมื่อเขาได้ยินเสียงของผู้ตรวจสอบเขาก็รู้สึกจุกในใจ เขารู้เรื่องการหักคะแนนจากเมื่อก่อน แต่มันเจ็บปวดกว่าที่เขาคิด จากที่เขาคิด 134/200 คะแนนของเขาตอนนี้อยู่ที่ 94/300
โอกาสสุดท้ายที่เขาจะได้คะแนนคือวิญญาณที่ตื่นขึ้นและเจสันที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้างพอใจกับคะแนนของเขาก็กลับสู้ความรู้สึกท้อแท้
ทุกคนเริ่มเหนื่อยล้าและผู้ตรวจสอบก็แจกคะแนนเสร็จ
หลังจากนั้นเขาก็จบการสอบและเดินออกโดยไม่หันกลับมามอง
ในขณะเดียวกันเจสันก็กลับบ้านอย่างช้าๆโดยไม่สนใจใครรอบข้าง
เขาไม่ได้สังเกตเห็นการจ้องมองของเกร็กตามเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเขา
เป็นเวลาเย็นแล้วเมื่อเจสันมาถึงอพาร์ทเมนต์ขนาดเล็กของเขา
เมื่อเข้ามาในห้องเขาก็เข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำจากนั้นเขาก็ล้มลงบนเตียงและหลับสนิทเนื่องจากความเหนื่อยล้าของเขา
ภายนอกของอาคารเรียน เจสันพบจุดที่ดีในขณะที่เขานั่งลงระหว่างทุ่งหญ้าอันเฟื่องฟูที่มีต้นไม้สองสามต้นล้อมรอบ
เหตุผลที่เขานั่งลงที่นั่นคือเจสันสามารถมองเห็นการไหลของมานาที่หนาแน่นขึ้นเล็กน้อยภายในพื้นที่นี้
นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงดูสวยงามเมื่อมองผ่านสายตาปกติ แต่เจสันไม่ได้สนใจเกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ในตอนนี้เพราะเขารู้สึกว่าแกนมานาของเขาใกล้จะก้าวสู่ระดับที่สองแล้ว
ตอนนี้เขาอยู่ในอันดับ 1 ของระดับมือใหม่ ซึ่งถือว่าแย่มากเมื่อเทียบกับอันดับ 8 ของระดับมือใหม่
เนื่องจากอันดับของเขาจะได้รับการทดสอบและให้คะแนน เจสันจึงต้องพัฒนาต่อไปจนถึงบ่าย
แต่นี่ไม่ใช่เพราะเขาต้องการที่ได้รับคะแนนมากขึ้น แต่เพราะถ้าหากเขาได้ระดับน้อยเขาจะถูกหักคะแนน
เนื่องจากครูประจำชั้นของเขาบอกเขาเมื่อสองสามวันก่อนว่าเกรดที่แย่ที่สุดที่จะได้รับคะแนนคืออันดับ 4 ของมือใหม่และแต่ละเกรดที่น้อยกว่าจะหัก 20 คะแนน
นั่นหมายความว่าเจสันจะถูกหัก 60 คะแนนเนื่อจากการสอบภาคปฏิบัติเขาอาจจะอยู่ลำดับสุดท้าย ซึ่งจะโดนหัก 60 คะแนน
คะแนนที่หักมากหรือน้อยแต่ละคะแนนมีหลายร้อยหรือหลายพันอันดับขึ้นหรือลงในการจัดอันดับและมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเขา
ยิ่งไปกว่านั้นมันจะยิ่งดูแย่ลงไปอีกสำหรับเขาเพราะเขาต้องการสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมที่ดี
เจสันต้องสงบสติอารมณ์ก่อนที่จะรวบรวมและใส่มานาเข้าไปในแกนกลางของเขาเพื่อป้องกันความไม่มั่นคงดังนั้นเขาจึงรอห้านาทีก่อนที่เขาจะเริ่มรวบรวมมานา
ชั่วโมงผ่านไปที่เจสัน เกร็กและนักเรียนคนอื่น ๆ ได้พักทานอาหารกลางวันและพักผ่อนก่อนการสอบภาคปฏิบัติจะเริ่มขึ้น
เกร็กเห็นเจสันจากที่ไกล ๆ นั่งอยู่ระหว่างพุ่มไม้บางส่วนและเขาก็เข้ามาดูใกล้ ๆ
เขาสงสัยว่าทำไมเจสันถึงรวบรวมมานาได้ไกลจากแท่นรวบรวมมานา แต่เมื่อเข้าใกล้เขาก็สังเกตเห็นเหตุผล
ความหนาแน่นของมานานี้ถึงจะแย่กว่าที่บ้าน แต่ก็ยังดีกว่าที่แพลตฟอร์มที่รวบรวมมานาซะอีก…
เขาพบสิ่งนี้ได้อย่างไร
เกร็กอยากรู้อยากเห็น แต่เขาถูกเพื่อนร่วมชั้นเรียกชื่อเขาเสียสมาธิ
พวกเขาไม่ใช่เพื่อนของเกร็กเนื่องจากเกร็กไม่มีเพื่อนเลย แต่เพื่อนร่วมชั้นของเขายังคงพยายามตีสนิทกับเขาเป็นเวลานาน นับตั้งแต่พวกเขารู้เกี่ยวกับธุรกิจของพ่อแม่ของเกร็ก
เกร็กยังคงอยากรู้อยากเห็นและบอกตัวเองว่าไม่ควรประมาทเจสันแม้ว่าเขาจะตาบอดก็ตาม
ในขณะเดียวกันเจสันสังเกตเห็นใครบางคนเข้ามาใกล้เขามากขึ้น แต่เขาไม่รู้สึกถึงการรบกวนใดๆ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตัดการรวบรวมกระแสมานาของเขาในขณะที่เขาเข้าใกล้ระดับที่สองมากขึ้นเรื่อย ๆ
เขาคำนวณว่าเขามีเวลาเหลืออย่างน้อย 2 ชั่วโมงจนกว่าการสอบภาคปฏิบัติจะเริ่มขึ้นและตัดสินใจที่จะละทิ้งการสอบภาคปฏิบัติหากเขาไม่พัฒนาจนถึงระดับที่ 2
การหักคะแนนมีความสำคัญสำหรับเขา มากกว่าการได้รับ 0 คะแนนในการสอบภาคปฏิบัติอ้างว่าไม่สะดวกในการสอบ
น่าเสียดายที่เขาจะได้รับการทดสอบอันดับของเขาในวันนี้และไม่ได้กำหนดไว้สำหรับวันอื่นเช่นการปลุกวิญญาณมิฉะนั้นเขาจะมีเวลามากขึ้นในการทะลุผ่านระดับของเขา
ก่อนการปลุกวิญญาณนักเรียนทุกคนจะได้รับคะแนนรวมในวันพรุ่งนี้จากการสอบทุกครั้งที่ควบคุมโดย AI และหมายเลขคิวสำหรับการเยี่ยมชมองค์รูปสัตว์ร้ายต่างๆ
เจดีย์สัตว์ร้ายเป็นที่ซึ่งเป็นลูกกลมๆ ตั้งอยู่สำหรับการปลุกวิญญาณเพื่อที่จะทำพันธะกับสัตว์ร้ายต่างๆ และยังเป็นร้านค้าที่มีไข่และตัวอ่อนของสัตว์ร้ายต่างๆ
เกือบทุกคนจะได้รับจิตวิญญาณจากเจดีย์สัตว์ร้ายและการทำงานที่นั่นทำให้ได้รับสิทธิประโยชน์มากมายรวมถึงส่วนลดลำดับความสำคัญและอื่น ๆ อีกมากมาย
เจสันได้ยินมาว่าแม้แต่เกร็กซึ่งพ่อแม่เป็นพ่อค้าสัตว์ร้ายและผู้จับมืออาชีพก็จะได้รับวิญญาณตัวแรกของเขาจากเจดีย์สัตว์ร้ายเหมือนวิธีดั้งเดิม
นั่นเป็นข่าวลืออย่างน้อย แต่เจสันคิดว่ามันเป็นเพราะการปลุกวิญญาณของเกร็กเป็นไปอย่างสุ่มและพ่อแม่ของเขาไม่สามารถจับสัตว์ร้ายหลายร้อยหรือพันชนิดในแต่ละระดับและความสามารถทางธาตุได้มีเพียงเกร็กเท่านั้นที่จะเลือกตัวเดียว
เจดีย์สัตว์ร้ายเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับสัตว์ร้ายนานาชนิด
เกือบสองชั่วโมงผ่านไปเมื่อเจสันถูกห่อหุ้มด้วยฟิล์มมานาสีขาว
รอยแตกปรากฏขึ้นปรากฏขึ้นอย่างช้าๆและมีขนาดใหญ่ ขึ้นเมื่อเจสันพ่นหมอกสีดำออกมาจากปาก
หมอกคล้ายของเหลวสีดำที่เขาหายใจออกมานี้เป็นสิ่งสกปรกของเขาและมันดูน่าขยะแขยงอย่างยิ่งและยิ่งแย่ลงไปอีก
น่าเสียดายที่เจสันไม่มีเวลาอาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะถึงเวลาสอบภาคปฏิบัติแล้ว
เขาลุกขึ้นยืนหยิบไม้เท้าออกมาแล้วรีบวิ่งไปที่โรงยิม
ในขณะเดียวกันการสอบภาคปฏิบัติได้เริ่มขึ้นแล้วเมื่อนักเรียนยืนอยู่รอบ ๆ เครื่องที่จะสแกนดีเอ็นเอและตัวอย่างเลือดเพื่อดูสุขภาพของตนเอง
นี่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับโรงเรียนมัธยมส่วนใหญ่เนื่องจากการใช้ทรัพยากรที่สำคัญไปกับผู้ป่วยนั้นไม่มีประโยชน์
คนส่วนใหญ่จะเห็นว่าเจสันเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าการปลุกจิตวิญญาณของเขาจะดีมากโดยไม่มีปัญหาด้านสุขภาพอีกต่อไปเจสันอาจได้รับคำเชิญให้ไปโรงเรียนมัธยมบางแห่งพร้อมความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากบุคคลที่มีบุคลิกสูง
ในความเป็นจริงเป็นเรื่องยากสำหรับนักเรียนตาบอดที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เนื่องจากพวกเขาจำเป็นต้องมีลักษณะพิเศษหรือจิตวิญญาณของบุตรธิดาของพระเจ้าซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ที่คุ้มค่ากับราคา
นอกจากนี้ในการเข้ารับการบำบัดดังกล่าวจะต้องทำสัญญาเพื่อทำงานให้กับโรงเรียนหรือองค์กรหลังจากจบโรงเรียนเป็นเวลาหลายปี
การสรุปข้อเท็จจริงมันไม่คุ้มสำหรับเจสันแม้ว่าเขาจะยังตาบอดก็ตาม
เขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวมามากพอและผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมต้นที่ไร้เดียงสาส่วนใหญ่ที่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นนั้นค่อนข้างยากจนและหลังจากเซ็นสัญญาพวกเขาก็ได้รับการรักษาให้หายซึ่งเป็นผลดี แต่จะได้รับประโยชน์ในสนามรบหลังจากได้รับการเลี้ยงดู
เจสันไม่ได้ตาบอดอีกต่อไปดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะเซ็นสัญญาว่าวิญญาณของเขาจะไม่เหมือนใคร
หลังจากที่เยาวชนได้รับการเจาะเลือดและตรวจเลือดเสร็จแล้วและส่วนใหญ่มีความสุขเมื่อรู้ว่ามีสุขภาพดี แต่ก็เหมือนกับทุกๆปีที่มีคนโชคร้ายบางคนคิดว่าตนเองมีสุขภาพดีแต่เมื่อตรวจออกมาแล้วกลับพบว่ามีโรคร้ายที่จะปรากฏขึ้นในอนาคต
วันนี้แทนที่จะเป็นวันที่ดีที่สุดของพวกเขา แต่ปรากฎว่าพวกเขาไม่เพียง แต่จะได้คะแนนไม่ดีเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องทนทุกข์ทรมานในอนาคตเนื่องจากโรคที่ตรวจพบ
ในขณะที่นักเรียนได้รับการทดสอบเจสันก็มาถึงประตู
ครูสังเกตเห็นเขาและเรียกชื่อเขา
“ เจสันคุณมาสายนะ เดินเข้ามาสิฉันจะตรวจดีเอ็นเอและเลือดให้คุณถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดคุณจะได้คะแนนเต็มแม้ว่าคุณจะตาบอดก็ตาม “
เจสันเคยชินกับการที่เขาถูกมองว่าเป็นคนตาบอดหรืออะไรทำนองนั้น แต่มันก็ยังทำให้เขารำคาญที่ทุกคนพูดว่า
`แม้ว่าคุณจะตาบอดก็ตาม ‘
ถ้าทำได้เจสันจะชกอาจารย์ของเขาหนึ่งหรือสองครั้งทุกครั้งที่คำวิจารณ์ดังกล่าวออกมาจากปากของเขา
หลังจากหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้งเขาก็ยืดหลังและเดินไปหาอาจารย์อย่างช้าๆพร้อมกับแกว่งไม้เท้าเบา ๆ ที่พื้นต่อหน้าเขา
การตรวจเลือดพบว่าเจสันมีสุขภาพแข็งแรงมาก แต่ขาดสารอาหารเล็กน้อย
ไม่มีอะไรผิดปกติและ เจสันผ่านการทดสอบโดยไม่มีปัญหาใด ๆ เนื่องจากการขาดสารอาหารไม่ได้ถูกมองว่าเป็นโรค
การกินมากขึ้นจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างง่ายดาย
เพียงคำพูดเล็กน้อยทำให้เจสันรำคาญเล็กน้อย
‘ตาบอด’
มันน่ารำคาญ แต่เจสันสามารถสมัครทดสอบได้ภายในสองสามสัปดาห์เพื่อรับการทดสอบสายตาของเขา
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมาทุกคนทำแบบทดสอบเสร็จในขณะที่นักเรียนไม่กี่ร้อยคนจำนวนหนึ่งกำลังตรวจสุขภาพช่องปากของพวกเขา
หลังจากการตรวจเลือดสิ้นสุดลงการสอบภาคปฏิบัติจริงก็เริ่มขึ้น
การทดสอบความเร็ว ความแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งการสาธิตเทคนิคศิลปะการต่อสู้และการต่อสู้ที่แท้จริง
คะแนนเฉลี่ยจะเป็นคะแนนสำหรับการสอบภาคปฏิบัติของเขา
เจสันแน่ใจว่าเขาจะได้รับคะแนนสำหรับความแข็งแกร่ง แต่เขาไม่แน่ใจว่าความเร็วของเขาเร็วพอที่จะได้รับคะแนนหรือไม่เพราะเขาไม่สามารถวิ่งตรง 100 เมตรได้โดยปราศจากความช่วยเหลือจากภายนอก
อย่างไรก็ตามเจสันต้องการมุ่งเน้นไปที่ความแข็งแกร่ง ความเร็วและเทคนิคศิลปะการต่อสู้ของเขาในตอนนี้
นักเรียนบางคนที่มีความคิดเล็กน้อยสังเกตว่าเจสันไม่ยอมแพ้การสาธิตเทคนิคศิลปะการต่อสู้และสงสัยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ไม่กี่ชั่วโมงผ่านไปและการสอบทุกครั้งยกเว้นการสาธิตเทคนิคศิลปะการต่อสู้เสร็จสิ้น
เจสันได้ 20 คะแนนสำหรับความแข็งแกร่งและ 10 คะแนนสำหรับความเร็วของเขาเพราะเขาต้องวิ่งเหมือนตาบอดและร่างกายไม่ดี
อย่างไรก็ตามมันก็ดีกว่าการทำคะแนนให้เป็นศูนย์
นักเรียนส่วนใหญ่แสดงให้เห็น 1 ใน 2 ลำดับเทคนิคศิลปะการต่อสู้ที่พวกเขาเรียนรู้ที่โรงเรียนซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ของสหพันธ์พื้นฐานในขณะที่อีกคนหนึ่งเป็นเทคนิคการต่อสู้ระยะใกล้ขั้นพื้นฐานจากทหารหน่วยกอลิล่า
นักเรียนหลายคนมีผลการเรียนที่ดี แต่ความเข้าใจของพวกเขาไม่โดดเด่นและพวกเขาทำผิดพลาดหลายครั้งซึ่ง เจสันเห็นผ่านการไหลของมานา
ราวกับว่านักเรียนเหล่านี้พยายามล้อเลียนศิลปะการต่อสู้ แต่คะแนนของพวกเขายังคงสูงกว่า 30 ซึ่งทำให้เขาสงสัย
เจสันครุ่นคิดว่าเขาควรเปิดเผยทุกสิ่งที่เขาเข้าใจเมื่อเห็นการสาธิตของคนรอบข้างหรือไม่
วันแห่งการสอบมาถึงเร็วกว่าที่เจสันคาดไว้ แต่เขาก็เก็บความลับของเขาไว้เป็นความลับได้สำเร็จโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เจสันได้พัฒนาความรู้เกี่ยวกับทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการสอบภาคทฤษฎีและเขามั่นใจว่าจะได้คะแนนที่สมบูรณ์แบบ
เจสันเป็นเด็กฉลาดมาโดยตลอดและมีความปรารถนาที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมอย่างไม่ย่อท้อ
เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เขาไม่ชอบเวลาที่เขาไม่รู้บางสิ่งบางอย่างและเมื่อมีบางสิ่งที่เขาไม่รู้หรือไม่แน่ใจ สิ่งนั้นจะติดอยู่ในใจเจสันเขาไม่สามารถสลัดออกไปในจนกว่าเขาจะได้รู้
เจสันยังฝึกลำดับศิลปะการป้องกันตัวที่บ้าน แต่มันมีประโยชน์เพียงบางส่วนอเพราะเขาจะพ่ายแพ้ในระหว่างการสอบแม้ว่าเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพราะแกนมานาของเขาที่เชื่อมโยงกับร่างกายนั้นอ่อนแอเกินไป
เขาครุ่นคิดว่าควรจะเลิกสอบซ้อมหรือไม่ เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง
อย่างไรก็ตามความสำเร็จด้านการอ่านและการเขียนของเขา ก็ทำให้เขาภาคภูมิใจเนื่องจากเจสันสามารถอ่านหนังสือและเขียนประโยคที่ง่ายขึ้นได้อย่างคล่องแคล่ว
ภาษาทางเทคนิคยังยากเกินที่เขาจะเข้าใจ แต่เขาก็จะพยายามไปทีละนิด
อย่างน้อยความลับของเขาก็ถูกซ่อนไว้และการได้คะแนนเต็มจากการสอบภาคทฤษฎีก็เกือบจะสมบูรณ์แล้ว
เขาหวังว่าจะประสบความสำเร็จ เจสันยังคงมีความหวังเล็กๆน้อยๆ
การปลุกวิญญาญของเขามีความสำคัญยิ่งกว่าพันธะแรกของเขา เนื่องจากเขาสามารถปฏิเสธพันธะของวิญญาณสัตว์ที่เลวร้ายได้หากวิญญาณของเขามีความพิเศษหรือพลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งพอ
หากเป็นเช่นนั้นเจสันต้องไตร่ตรองว่าเขาควรจะกู้เงินเพื่อซื้อลูกสัตว์หรือไข่ของสัตว์ร้ายดีหรือไม่
แต่หลังจากคิดไปสักพักเขาก็ตระหนักว่า มันไม่น่าเป็นไปได้ที่จิตวิญญาณของเขาจะเป็นสิ่งพิเศษเนื่องจากโอกาสนั้นน้อยมาก
การปลุกจิตวิญญาณที่ดีขึ้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับยีนของพ่อแม่โดยตรง เพราะโอกาสในการปลุกจิตวิญญาณที่ดีขึ้นจะสูงขึ้นเมื่อพ่อแม่มีจิตวิญญาณที่ดี
เจสันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับวิญญาณของพ่อแม่และเขาไม่เคยเห็นจิตวิญญาณของแม่ของเขาเลย แต่ทุกครั้งที่เจสันถามแม่ของเขาเกี่ยวกับจิตวิญญาณของเธอ เธอดูเหมือนจะเศร้าและดูเหมือนเธอจะคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเจสันจึงไม่อยากถามเธอนัก
อย่างไรก็ตามเจสันยังคงมีความสุขกับการที่ดวงตาของเขามองเห็นเป็นปกติและมันทำให้เขาเสียสมาธิจากการคิดเกี่ยวกับคะแนนสอบของเขา
เขาเริ่มเข้าใจอย่างช้าๆ อย่างเริ่มคิดว่าดวงตาของเขาสามารถทำอะไรได้ แม้ว่ามันจะยังซับซ้อนเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจก็ตามมีเพียงทฤษฎีที่ก่อตัวขึ้นในหัวของเขา
หลังจากซักผ้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเจสันก็ออกไปโรงเรียน เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่เมื่อมองดูการไหลของมานาที่สงบลงรอบ ๆ ตัวเขา ทำให้ความตึงเครียดของเขาผ่อนคลายลง
เจสันไม่ลืมที่จะใส่ผ้าพันแผลเล็ก ๆ ออกจากอพาร์ทเมนต์เล็ก ๆ ก่อนที่เขาจะเอาไม้เท้าไปด้วย เมื่อมาถึงสนามสอบที่โรงเรียนในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาเจสันรู้สึกประหลาดใจกับเสียงดังที่เขาได้ยิน
ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไปที่โรงเรียนพร้อมกับบุตรหลานเพื่อสนับสนุนพวกเขาด้วยความจริงใจ
มีเด็กสองสามพันคนที่มีพ่อแม่ของพวกเขาเบียดเสียดกันที่พื้นโรงเรียนและมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เจสันจะเดินผ่านไปโดยไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความผันผวนของมานา
เมื่อดูรูปร่างจากผู้ปกครองของนักเรียนผ่าน ผ้าพันแผลเจสันพบว่าจุดแข็งของทุกคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
การไหลเวียนของมานาที่เจสันเห็น ก็แตกต่างจากผู้ใหญ่แต่ละคนเช่นกันและหลังจากคิดสักครู่เขาก็คิดได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นมากที่สุด
เห็นได้ชัดว่าพันธะวิญญาณทุกตัวขยายและปรับเปลี่ยนมานาของตัวเองเล็กน้อย ดังนั้นยิ่งสัตว์อสูรวิญญาณแข็งแกร่งมากเท่าไหร่การปรับเปลี่ยนก็จะแตกต่างกันมากขึ้นและมานาที่สามารถใช้ได้
เจสันยังสามารถเห็นมานาที่ปรับเปลี่ยนซึ่งทำให้เขาประหลาดใจเนื่องจากเขาสามารถแยกแยะสีต่างๆได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เขาสามารถดูได้ว่าผู้ใหญ่คนไหนทำสัญญากับสัตว์อสูร สิ่งนี้ทำให้เขาหลงใหลและเจสันสังเกตเห็นอีกครั้งว่าดวงตาของเขาพิเศษมาก
เมื่อนึกถึงการต่อสู้ที่เป็นไปได้ในอนาคตเจสันคงจะรู้แล้วว่าความสามารถของคู่ต่อสู้คืออะไร ความคิดนี้ทำให้เจสันดีใจและเขามองผ่านฝูงชนขณะเดินไปที่ห้องเรียน
เจสันเห็นผู้ใหญ่แต่ละคนเห็นได้สร้างพันธะที่มีสัตว์ร้ายอย่างน้อยหนึ่งตัวและได้รับระดับมานาหลักที่กำหนด ดังนั้นพ่อแม่เหล่านี้จึงแข็งแกร่งมากเมื่อเทียบกับลูก ๆ ของพวกเขาผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมต้น
อาจจะเป็นได้หลังจากผูกมัดสัตว์ร้ายแล้วสัตว์มหัศจรรย์บางตัวจะสามารถเอาชนะผู้ใหญ่บางคนที่อ่อนแอกว่าด้วยจิตวิญญาณ
เจสันพยายามเพิกเฉยต่อผู้ปกครองและเสียงเชียร์ของพวกเขา ขณะที่เขาเดินเข้าไปในห้องเรียนที่ว่างเปล่าและนั่งลงบนเก้าอี้ของเขาด้วยความสลดใจ
เขาคิดถึงแม่มากยิ่งขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่กี่นาทีต่อมาเพื่อนร่วมชั้นคนแรกก็เข้ามาในห้องเรียนด้วยความลังเลสำหรับนักเรียนส่วนใหญ่ในยุคที่ผ่านมาส่วนที่เป็นทฤษฎีนั้นยากที่สุดสำหรับพวกเขาเนื่องจากพวกเขาฝึกกล้ามเนื้อและมานามากว่าการเรียนรู้ทฤษฎี
เจสันใจเย็นและสงบสติอารมณ์ในขณะที่เขารอประมาณ 15 นาทีจนกว่าห้องเรียนจะเต็ม คนสุดท้ายที่เข้ามาคือเกร็กซึ่งทักทายเจสันอย่างแปลกใจ
เขาขอให้เจสันโชคดีด้วยความจริงใจ
สิ่งนี้ทำให้เจสันตกใจเล็กน้อยและเขาก็ตอบกลับเจสันขอให้เขาโชคดีเช่นกัน เมื่อเขาคิดครู่หนึ่ง
เจสันไม่มีเวลาคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของเกร็กขณะที่ครูประจำชั้นเข้ามาในห้องพร้อมกับเครื่องใช้พิเศษเขาจึงส่งให้เจสัน
เจสันสังเกตเห็นว่าครูให้หมวกกันน็อค VR แบบพิเศษแก่เขาซึ่งเขาสวมทันที นักเรียนคนอื่น ๆ เปิดหน้าจอโฮโลแกรมบนโต๊ะของพวกเขาและเอกสารการสอบก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา
ตอนนี้หน้าเจสันเป็นเอกสารการสอบแบบเดียวกันกับที่เพื่อนร่วมชั้นของเขา ที่ มีต่อหน้าพวกเขาเนื่องจากหมวกกันน็อคสามารถส่งข้อมูลเข้าสู่ความคิดของเขาได้เหมือนกับพวกเขาเป็นดวงตาของเขา
มันเข้าไปในความคิดของเขาโดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องให้เขาเห็นจริงๆ ข้อมูลก็เพียงพอที่จะให้ภาพคร่าวๆแก่สมองของเขา
อุปกรณ์นี้มีราคาแพงมากและข้อมูลที่แน่นอนที่ส่งจะอยู่ในใจของผู้ใช้ในช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะค่อยๆสลายไป
เจสันสามารถได้ยินคำถามโดยคิดถึงตัวเลขและคำตอบก็จะไปในทางเดียวกันการคิดว่าคำตอบนั้นเพียงพอแล้วในความคิดของเขาจะถูกเขียนลงไป
ราวกับว่าอุปกรณ์ VR เป็นเพียงตัวแปลภาษาสำหรับ เจสันที่เริ่มการสอบของเขาหลังจากใส่มันลงไป
ในขณะที่เจสันทำทุกอย่างที่ต้องการเสร็จเรียบร้อยแล้วจนถึงช่วงบ่ายซึ่งมีกำหนดสอบภาคปฏิบัตินักเรียนคนอื่น ๆ ก็ตอบคำถามทั้งหมดอย่างเงอะงะ
ด้วยเหตุนี้เจสันจึงออกจากห้องเรียนภายใต้สายตาของเพื่อนร่วมชั้น
หากเรื่องที่เกี่ยวกับดวงตาของเขาที่สามารถมองเห็นได้แล้ว เผยออกมาก่อนการสอบที่จะเริ่มขึ้น เขาจะมีปัญหามากกว่าที่คิดไว้ก่อนหน้านี้
การนึกถึงดวงตาที่หายเป็นปกติของเขาเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ในอีกด้านหนึ่งเจสันอ่านไม่ออกและเมื่อดวงตาของเขา
ถูกเปิดเผยและพบว่าเขาสามารถมองเห็นได้เขาก็ต้องเขียนข้อสอบข้อเขียนปกติเหมือนคนอื่น ๆ โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจาก AI
ปัญหาคือเจสันอ่านเขียนไม่ได้!
เขาไม่รู้เรื่องสักอย่าง รวมถึงตัวอักษรเขาจึงต้องเรียนรู้อย่างช้าๆ
เขาจะสามารถเขียนทฤษฎีเกี่ยวกับการระบาดของมานาในภาษาเชิงเทคนิคขั้นสูงได้อย่างไร ไม่มีทางที่ Jason จะสามารถเรียนรู้วิธีการอ่านและเขียนได้ภายในเวลาน้อยกว่า 4 วันรวมถึงข้อกำหนดที่สำคัญ
ดังนั้นเจสันจึงตัดสินใจที่จะปลอมเป็นคนตาบอดจนกว่าการสอบจะสิ้นสุดลงมิฉะนั้นเขาต้องเขียนข้อสอบภาค ทฤษฎีซึ่งจะจบลงด้วยผลลัพธ์ที่ไม่ผ่านและทำลายความฝันของเขาที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยม
อีกอย่างที่เจสันทำได้คือขอความช่วยเหลือจากครอบครัวเซอร์รัสเพื่อที่เขาจะได้เปิดเผยดวงตาของเขาโดยไม่ต้องกังวล แต่เขาไม่ต้องการทำเช่นนั้นเพราะเขาพึ่งพาครอบครัวนี้มามากเกินพอ
เขาจะปิดตาของเขาเป็นความลับจนกว่าเขาจะเรียนจบชั้นมัธยมต้นและจะเปิดเผยเรื่องดวงตาของเขา เมื่อเขาเข้าสู่โรงเรียนมัธยม
ความคิดมากมายวิ่งผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา
`ฉันจะสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนได้หรือไม่? การได้เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมที่แย่ที่สุดในเมืองที่มีระดับเกรด C คืออะไร? ฉันควรจะเริ่มทำงานที่ไหนสักแห่งดีไหม? “
รู้สึกทรมานใจกับคำถามของตัวเองเจสันถอนหายใจอย่างหงุดหงิด
สำหรับแหล่งข้อมูลที่โรงเรียนมัธยมมีการให้เหตุผลที่สำคัญที่สุด ที่เจสันรู้คือการเรียนรู้เทคนิคศิลปะการป้องกันตัวและทักษะการต่อสู้มากมาย แต่เมื่อคิดถึงเทคนิคศิลปะการป้องกันตัวจากเมืองระดับเกรด C หรือโรงเรียนมัธยมที่เลวร้ายที่สุด
ของพวกเขาเจสันทำได้เพียงขมวดคิ้ว อย่างลึกซึ้ง.
” มันคุ้มค่ากับความพยายามหรือไม่ ”
เจสันไม่ต้องการเป็นกรรมกรเพราะพวกเขาถูกเอารัดเอาเปรียบและมีรายได้เพียงพอที่จะมีชีวิตอยู่เท่านั้น เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถเลือกอาชีพได้มากนัก หากพวกเขาเรียนจบแค่มัธยมต้น
ตอนนี้เจสันคงต้องทำบางอย่าง
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องได้คะแนน 100% สำหรับคำถามเชิงทฤษฎีเพราะเขาไม่ต้องการที่จะเลือกการทำพันธะเป็นคนสุดท้าย
ในขณะที่คะแนนการปลุกความสามารถ ไม่รู้ได้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่เจสันมั่นใจว่าเขาจะได้รับแค่ 0 คะแนน
ถึงแม้จะมีคะแนนทฤษฎี 100 คะแนน แต่เจสันก็จะอยู่ที่กลางๆ ของลำดับคะแนนทั้งหมด แต่ก็มีแนวโน้มที่จะเลือกการทำพันธะ แต่เขารู้สึกรำคาญเล็กน้อยเนื่องจากเขาไม่อยากทำตัวว่าตาบอด
เป็นเรื่องดีที่ดวงตาของเขาสบายดีและเขาก็มีบางอย่างที่พิเศษเหมือนอย่างที่แม่ของเขาบอกเขา แต่แค่การมองเห็นไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดของเขาได้
เมื่อสงบสติอารมณ์ลงเขาเดินไปรอบ ๆ และอารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเขาได้เห้นตึกระฟ้ารอบ ๆ สวนสาธารณะดูน่าทึ่งและประหลาดใจ
เจสันเดินกลับบ้านด้วยความเหนื่อยล้า ระหว่างทางเจสันได้ซื้อหนังสือสำหรับเด็กเพื่อใช้ในการฝึกอ่านและเขียน เจสัน ใช้ AI ของสมาร์ทโฟนเครื่องเก่าเพื่อช่วยสอนเขาในการฝึกอ่าน เขียน
AI กำลังกำลังทำหน้าที่แทนพ่อกับแม่ของเขาในการฝึกสอนเจสัน อ่าน เขียน เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงสมองของเจสันก็เหนื่อยล้าหลังจากเรียนรู้วิธีการอ่านและเขียนจดหมายทุกฉบับอย่างสมบูรณ์
มันไม่ง่ายอย่างที่เขาคาดหวังและต้องใช้เวลาพอสมควรในการอ่านหนังสือเขียนประโยคและข้อความในขณะที่ใช้ไวยากรณ์ที่ถูกต้องโดยไม่มีการสะกดผิด แต่เขาก็มีความสุขมากเช่นกัน
เขาเชื่อว่าเขาจะไม่มีวันได้เห็นและเรียนรู้วิธีการเขียน เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ครั้นเมื่อตอนที่ตาเขามองไม่เห็นสิ่งใดๆ แม่ของเจสันบอกเขาว่าจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีกว่าดวงตาของเขาจะจะมองเห็น แต่เธอเข้าใจผิดเพราะต้องใช้เวลาอย่างเต็มที่เกือบสิบปี
อย่างไรก็ตามเขามีความสุขและรวบรวมมานามากขึ้นเพื่อปรับปรุงแกนมานาและร่างกายของเขาซึ่งเกินความจำเป็น
* เช้าวันรุ่งขึ้น *
เจสันตื่นขึ้นมาก่อนที่นาฬิกาจะปลุก เขาล้างตัวแปรงฟันและใส่ชุดนักเรียน เขาหยิบไม้เท้าและผ้าพันแผลออกเพื่อปกปิดดวงตาของเขาเขาออกจากอาคาร
เจสันจะต้องทำท่าที่โกหกว่าดวงตาของเขายังบอด โดยบอกวามีคนร้ายโดยเขาใช้ผ้าปิดแผลปิดบริเวณดวงตาและใบหน้า แต่ไม่มีใครสนใจเขามากขนาดนั้น
แต่เขาส่งสัยว่า ดวงตาที่เปล่งประกายสีทองของเขามันเล็ดลอดออกมาจากผ้าพันแผลหรือเปล่าเพราะเนื่องจากเขาพันผ้าพันแผลอย่างหลวมๆ แต่มันได้ผลอย่างน่าประหลาดใจ! เจสันสังเกตเห็นรอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของเขาและผ้าพันแผลหนาพอที่จะปกปิดดวงตาสีทองของเขา
แต่ก็บางพอที่จะมองเห็นการไหลของมานาได้ เจสันอยากรู้ว่าการไหลของมานาหนาขึ้นตรงไหนและที่ไหนจะบางกว่าเพื่อปรับปรุงการรวบรวมมานาของเขา
มันจะเป็นประโยชน์มากที่จะหาบางจุดที่ความหนาแน่นของมานาหนาขึ้นเนื่องจากเจสันไม่มีเวลาเหลือมากนักในการปรับปรุงอันดับแกนมานาของเขา
เจสันดึงไม้เท้าออกมาขณะที่เขาสวมผ้าพันแผลอยู่แล้วคนที่โรงเรียนจะได้ไม่สังเกตเห็นอะไร หนึ่งชั่วโมงต่อมาเจสันมาถึงโรงเรียนของเขาซึ่งไม่มีใครสนใจเขาเลย
เขาเข้าห้องเรียนเหมือนทุกวันก่อนและนั่งลงแถวแรกข้างหน้าต่าง เมื่อมองผ่านผ้าพันแผลรอบ ๆ ห้องเรียน เจสัน สังเกตเห็นการไหลเวียนของมานารอบ ๆ เพื่อนร่วมชั้น
เจสันสามารถเห็นโครงร่างของทุกคนและเขาสามารถบอกได้ว่าคนใดแข็งแกร่งกว่ากัน อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถบอกได้อย่างแท้จริงว่าพวกเขาอยู่ในอันดับใดเนื่องจากดวงตาของเขาบอกเขาเพียงความแตกต่างในแกนมานาของพวกเขาซึ่งบ่งบอกถึงความแตกต่างในด้านความแข็งแกร่ง
นักเรียนส่วนใหญ่ในห้องเรียนขอเจสัน มีความแข็งแกร่งเท่ากันและเขารู้ว่าส่วนใหญ่อยู่ในอันดับที่ 8 ของพวกมือใหม่ดังนั้นเขาจึงสามารถจัดสรรระดับแกนมานาให้เป็นอันดับได้
มีคนที่แข็งแกร่งและอ่อนแอกว่าเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่อยู่ในอันดับที่ 8 ของระดับมือใหม่ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยที่รู้จักกันทั่วไปสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับกลางใน แอสทริกซ์ และเกาะรอบ ๆ บางเกาะ
โดยเฉลี่ยแล้วพวกเด็กๆ จะเริ่มสัมผัสได้ถึงมานาที่อยู่รอบตัวเมื่ออายุ 10 ขวบในขณะที่บางคนสามารถสัมผัสได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เช่น เจสัน
แล้วพวกเด็กที่สามารถรวบรวมมานาได้มากกว่า จะได้ขึ้นไปในระดับของผู้ชำนาญได้
ส่วนใหญ่เป็นเพราะการเริ่มต้นอย่างคร่าวๆที่ทุกคนต้องผ่านโดยการเรียนรู้ว่ามานาทำงานอย่างไร มันทำอะไรได้บ้างและวิธีจัดการอย่างรอบคอบซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กเล็ก
เด็กที่โชคร้ายเริ่มรู้สึกถึงมานาช้ากว่าเพื่อนซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นตัวบ่งชี้ความเข้ากันได้กับมานาที่ด้อยกว่ามีสาเหตุหลายประการที่ทำให้มนุษย์บางคนรวบรวมและดูดซึมมานาได้เร็วกว่าคนอื่น ๆ ซึ่งจะส่งผลให้พวกเขาไปถึงระดับแกนมานาที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับพี่น้องของพวกเขาในวัยเด็ก
ตัวบ่งชี้เหล่านี้ส่วนใหญ่แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ ความสามารถโดยกำเนิดและพรสวรรค์ที่ฝึกฝนได้ ตัวบ่งชี้หลักสำหรับการรวบรวมมานาของมนุษย์ทุกคนและความเร็วในการดูดซับคือการควบคุมมานาของพวกเขาซึ่งฝึกฝนได้และมีความไวมานาอย่างหนึ่งซึ่งถือเป็นพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดและแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปรับปรุง
เกร็ก เฟลเลอร์ คนที่นั่งข้างๆ อยู่กับเจสันเขามีอายุ 14 ปี พ่อของเขาเป็นผู้ค้าขายสัตว์ร้าย
พวกเขาจับสัตว์ร้ายเพื่อขายให้คนอื่นและเป็นเจ้าของทรัพย์สินและเครดิตจำนวนมาก มีการกล่าวกันว่าพวกเขาจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางชั้นรองสำหรับการกระทำอันดีงามของพวกเขา เมื่อเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของพวกเขา เจสันสังเกตว่าเกร็กมีพละกำลังและพลังเวทย์มากกว่าหลายเท่าเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมชั้น
เขาอาจอยู่ในระดับผู้ช้ำนาญ เขาจึงเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของโรงเรียนมัธยมต้น
ในโรงเรียนมัธยมต้น เจสันคิดว่าเกร็กเป็นตัวของตัวเองเล็กน้อยในขณะที่เขาเอาชนะทุกคนด้วยหมัดเดียวในระหว่างบทเรียนภาคปฏิบัติ แต่เจสันไม่มีความเกลียดชังใด ๆ กับเขาเนื่องจากเกร็กไม่เคยรังแกเขา
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เกร็กดูเหมือนจะค่อนข้างเป็นมิตรกับเขาและเนื่องจากพวกเขานั่งข้างๆกันเจสันก็ไม่เคยถูกรังแกอีกเลยซึ่งทำให้เขาอยากรู้อยากเห็น
‘เกร็กเป็นมิตรกับเขาเพราะเหตุใด’
คือสิ่งที่เจสันตั้งคำถามกับตัวเองหลายครั้งในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา
โดยปกติมีการกล่าวกันว่าผู้ที่อ่อนแอกว่าจะเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งกว่า แต่เกร็กเป็นคนที่ค่อนข้างดีแม้ว่าเขาจะขี้เบื่อเล็กน้อยก็ตาม
ผลการเรียนของเขาไม่ได้ดีขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้แย่เช่นกัน
แต่แทนที่จะมีผลการเรียนดี เขาก็เหมือนสัตว์ประหลาดในศิลปะการต่อสู้เพราะเขาชอบที่จะต่อสู้มากกว่าสิ่งอื่นใดเจสันไม่ใช่คู่ซ้อมที่ดีและอาจไม่น่าสนใจสำหรับเกร็ก
มีเพียงเกรดของเจสัน เท่านั้นที่เกร็ก อิจฉา แต่แตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรกับเจสันเพียงเพราะความอิจฉาของเขา
บางครั้งเกร็กก็ถามเจสันเกี่ยวกับเรื่องยาก ๆ บางอย่างและเจสันก็ตอบก่อนที่จะไม่สนใจเขาอีก
เริ่มชั้นเรียนแล้วทุกคนก็นั่งรอครูมาถึง เกร็กสังเกตเห็นผ้าพันแผลของเจสัน แต่เขาไม่ได้สนใจมันมากนัก
ขณะที่ครูเข้ามาในห้องหลังจากเสียงระฆังดังและบทเรียนก็เริ่มขึ้นเหมือนทุกวันธรรมดา
ไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้นในระหว่างบทเรียนทางทฤษฎีและ เจสันตั้งใจฟังในขณะที่จินตนาการว่าทุกอย่างเขียนอย่างไร
ในขณะที่บทเรียนในโรงเรียนแบ่งออกเป็นหลักสูตรภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เจสันเข้าเรียนในบทเรียนทางทฤษฎีเท่านั้น เพราะครูสังเกตว่าไม่มีประโยชน์ที่เขาจะเรียนภาคปฏิบัติ
สิ่งเดียวที่เขาจะทำคือการวิ่งบนลู่วิ่งเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและฟังคำอธิบายเกี่ยวกับเทคนิคศิลปะการต่อสู้ ที่พวกเขาเรียนรู้เคล็ดลับและรายละเอียดที่ดีที่สุดของพวกเขา
สำหรับเจสัน วันนี้ทุกอย่างแตกต่างไปจากปกติเพราะเขาสามารถเห็นโครงร่างของการเคลื่อนไหวทางเทคนิคของผู้ฝึกสอนตามคำอธิบายของศิลปะการต่อสู้เนื่องจากเทคนิคศิลปะการต่อสู้ส่วนใหญ่ใช้กับการสนับสนุนมานาในการเสริมสร้างส่วนต่างๆของร่างกาย
เจสันสแกนการเคลื่อนไหวและกลืนกินพวกเขาจดจำทุกสิ่งที่เขาเห็น
เขาจะลองทำบางอย่างที่บ้านและเขาไม่ต้องการให้มีข้อบกพร่องใด ๆ ในระหว่างการฝึกซ้อม
นอกเหนือจากนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับพฤติกรรมของเจสัน
ในขณะที่เดินกลับบ้านเขามักจะสแกนสัตว์ร้ายที่เขาเห็นและพยายามหาว่าสีที่เปล่งออกมานั้นบ่งบอกถึงอะไร แต่แทบไม่มีร่องรอย
เจสันลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ สิ่งแรกที่เจสันเห็นคือกำแพงแตกร้าวที่ว่างเปล่าซึ่งดูสกปรกมากอย่างที่เขาคาดไว้
เจสันไม่รู้ว่ามันเป็นสีไหนเพราะเขาไม่เคยเห็นสีมาก่อน แต่สีนั้นดูเก่าและในบางจุดมันก็พองขึ้น
ห้องนั้นมีสีที่ซ้ำซากจำเจในขณะที่ดูเหมือนว่าห้องจะเล็กกว่าที่เขาจินตนาการไว้
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เจสันได้ค้นคว้าเกี่ยวกับประสาทสัมผัสของมนุษย์มากมายด้วยความช่วยเหลือของ AI ของสมาร์ทโฟนของเขาเนื่องจากเขาต้องการตรวจสอบว่าดวงตาของเขาทำงานได้อย่างปกติหรือไม่หลังจากที่เขาสามารถมองเห็น
เขาสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างไม่ปกติเนื่องจากเขาสามารถเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เขาคาดว่าน่าจะเป็นกระแสมานาซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยรู้สึกมาก่อน
เจสันแน่ใจเพียงว่ามันเป็นกระแสมานาขณะที่เขาเห็นมันไหลผ่านเขาและความรู้สึกที่เขารู้สึกว่าเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งที่เจสันได้คุ้นเคยเมื่อต้องคอยดึงมานาเข้าร่างก่าย
เขาสามารถมองเห็นการไหลของมานา!
นั่นเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถทำได้ .. อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่ AI บอกเขา
เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เจสันเดินออกจากห้องของเขาวิ่งลงบันไดและออกจากอาคารให้เร็วที่สุดเพียงเพื่อจะเห็นว่าข้างนอกมืดแล้วมีโคมไฟสองสามดวงที่ถนนทำให้ถนนมืดมนสว่างขึ้น
‘นี่คือความมืดมิดในคืนนี้หรือ? สายไปแล้ว ?? ช่างโชคร้ายเหลือเกิน… ‘เจสันคิดอย่างหงุดหงิด
เขารู้สึกหดหู่เล็กน้อยเพราะเขาไม่สามารถสำรวจเมืองได้ในตอนนี้ แต่มันก็ไม่สำคัญ
เจสันยังคงสามารถเดินชมเมืองได้ในวันรุ่งขึ้นเพราะยังไงเขาก็ยังมีเวลาเหลือมากพอ
เจสันมองไปที่โทรศัพท์ของเขาและสังเกตเห็นชุดตัวเลขเป็นแบบอักษรสีขาว
เขาอ่านตัวเลขไม่ออก แต่ AI บอกเวลาให้เขาฟัง
‘นี่มันเที่ยงคืนแล้ว!’ อย่างไรก็ตามเจสันรู้สึกตื่นเต้น
เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอะไร ๆ และทุกอย่างดูน่าสนใจ
การกระโดดไปมาเหมือนเด็กเล็ก ๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขามีความสุขและไม่ต้องกังวล
เขาโตเร็วกว่าเด็กส่วนใหญ่และเจสันก็มีความคิดเหมือนผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบอยู่แล้ว
ความกังวลเกี่ยวกับการสอบของเขาหายไปเมื่อเห็นแสงไฟอาคารและแม้แต่สมาร์ทโฟนของเขาในขณะที่เขามีความสุขมากขึ้น
แต่เขาต้องใจเย็น ๆ เพราะมันเป็นเวลาเที่ยงคืนไปแล้วและเขาไม่ต้องไม่ตื่นเต้นจนเกินไป
กลับไปที่ห้องของเขา เขาตรวจดูเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นภายในอาคาร และพบว่ามันค่อนข้างน่าน่าผิดหวังเนื่องจากอาคารทั้งหลังดูเก่าตามกาลเวลา
เฟอร์นิเจอร์ที่ดูเก่าและขาดรุ่งริ่ง ถึงแม้เขาจะชินกับมันมานานแต่การที่เขาได้เห้นเป็นครั้งแรกมันทำให้เขารู้สึกขยะแขงเล็กน้อย
ในที่สุด เจสันก็เข้าใจว่าทำไมราคาห้องของเขาถึงถูกมากเมื่อเทียบกับห้องอื่น ๆ
เขานอนลงบนเตียงและตัดสินใจค้นหาทิวทัศน์และสีทางออนไลน์เพื่อทำความเข้าใจว่าสีไหนชื่อไหน หรือสิ่งต่างๆ ต้องเรียกด้วยคำแบบไหน เขาตื่นเต้นมาก
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงเจสันก็เข้าสู่ห้วงนิทราพร้อมกับรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของเขา
เขาตื่นขึ้นมาหลังจากนอนไม่กี่ชั่วโมง เจสันก็อาบน้ำล้างตัวเปลี่ยนเป็นชุดอื่นและออกไปข้างนอกด้วยความรวดเร็ว
ก่อนนอนเขาได้ค้นหาภูมิประเทศและสัตว์ต่างๆเพื่อทำความเข้าใจว่าบางส่วนของพวกมันมีลักษณะอย่างไร
เจสันยังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ต่างชาติที่รุกรานอาร์กอสเมื่อ 300 ปีก่อนและเขาก็ประหลาดใจที่ได้เห็นรูปลักษณ์ของพวกเขา
บางคนมีลักษณะเกือบจะคล้ายกับมนุษย์ในความคิดของ เจสันมีเพียงความแตกต่างเล็กน้อยเช่น สีผิว ส่วนต่างๆของร่างกาย และอื่น ๆ
เท่านั้นที่เป็นตัวบ่งชี้ของเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันในขณะที่เผ่าพันธุ์อื่น ๆ นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับมนุษยชาติด้วยรูปลักษณ์ตามร่างกายเท่านั้น
แต่ว่าหัวเป็นสิ่งเดียวที่เทียบได้กับลักษณะใบหน้าของมนุษย์ แต่ดวงตาของมันเป็นดวงตาของสัตว์เลือดเย็นในขณะที่มีเกราะกระดูกปกคลุมแขนทั้ง 6
คริสตัลที่อยู่ด้านหลังของมันซึ่งเป็นที่เก็บมานาของเผ่าพันธุ์
เผ่าพันธุ์นี้เรียกว่า กอลลิเออร์ และเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์อัจฉริยะที่บุกรุกที่อันตรายที่สุดในขณะที่มันเก็บเกี่ยวและรีไซเคิลซากศพที่ถูกฆ่า โชคดีที่มีพวกเขาไม่มากนัก
การออกไปเดินเล่นในเมือง เจสันมุ่งเน้นไปที่ผู้คนรอบตัวเป็นหลัก ด้วยเสื้อผ้าราคาแพงหรือราคาถูกการแต่งหน้าการแสดงออกทางสีหน้าและรายละเอียดอื่น ๆ อีกมากมายที่เขาสามารถเห็นได้ในที่สุด
เป็นเรื่องน่าสนใจที่ได้เห็นสิ่งที่แตกต่างกัน คนที่ดูร่ำรวยมีสีหน้ามั่นใจและหลังตรงในขณะที่คนที่ดูยากจนกว่าบางคนกำลังเดินไปตามถนนพร้อมกับก้มหลังจ้องมองไปที่คอนกรีต
บางคนสังเกตเห็นการจ้องมองของเขาและบางคนก็หลบสายตาของเขาในขณะที่บางคนก็จ้องกลับมาที่เขา
เจสันสังเกตว่าและคิดว่าเขาควรจะหยุดจ้องมองคนเหล่านั้น เพราะการจ้องมองกลับมาของพวกเขาทำให้เจสันไม่สบายใจและเจสันยังคงเดินต่อไปจนกว่าเขาจะมาถึงสวนสาธารณะ
อย่างน้อยเขาก็คิดว่ามันเป็นสวนสาธารณะเพราะเขาเห็นป้าย ถึงแม้ว่าเขาจะอ่านไม่ออก
แต่ด้วยความช่วยเหลือของ AI เขาจึงรู้ได้ว่านั้นคือป้ายบอกว่าที่นี่คือ สวนสาธารณะ
เมื่อมองไปรอบ ๆ สวน เจสันสังเกตว่าตอนนี้มีคนไม่มากนักในสวนสาธารณะ แต่ทุกคนที่ เจสันเห็นจะมีสัตว์ร้ายอยู่ใกล้ ๆ พวกเขา
สัตว์ร้ายเหล่านี้น่าจะเป็นพันธะของพวกเขาและราวกับว่าพวกเขากำลังเดินเล่นกันอยู่
สัตว์ร้ายส่วนใหญ่ที่เขาเห็นค่อนข้างน่ารักและตัวเล็กเหมือนสัตว์ทั่วไปก่อนที่มานาจะกระจายไปทั่วโลก มีสัตว์ขนปุยมากมายและยังมีสัตว์หน้าตาสวยงามอีกสองสามตัว
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่แน่นอนสำหรับเขา
“ ทำไมสัตว์ร้ายเหล่านี้ถึงเปล่งแสงสีที่แตกต่างกัน? ‘
สัตว์ร้ายส่วนใหญ่ไม่ได้เปล่งแสงสีใด ๆ ในขณะที่บางตัวแผ่รังสีเป็นสีดำที่อ่อนแอ
มีสัตว์ร้ายบางตัวเปล่งแสงสีเทาอ่อนที่แข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยและเจสันก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
เจสันยังเห็นสัตว์ร้ายหนึ่งหรือสองตัวที่มีแสงสีเขียวเข้มห่อหุ้มพวกมันและสัตว์ร้ายเหล่านี้ก็ดูแข็งแกร่งกว่าสัตว์ตัวอื่น ๆ ที่ไม่มีสีหรือสีดำและสีเทาอ่อนที่เปล่งประกาย
การมองไปที่สีที่ห่อหุ้มทำให้ดวงตาของเจสันเจ็บปวดหลังจากนั้นไม่กี่นาทีสีที่ห่อหุ้มก็หายไป
เจสันสังเกตว่าต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนหากเขาต้องการดูสีที่เปล่งประกาย
หลังจากที่สีเหล่านี้หายไปพร้อมกับความเจ็บปวดที่เข้ามา เจสันสังเกตว่าการไหลเวียนของมานารอบตัวเขานั้นยากที่จะมองเห็น
สิ่งนี้ทำให้เขาสงสัยว่า ‘สีเหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ความแข็งแกร่งของสัตว์ร้ายหรืออย่างอื่นและทำไมมันถึงดึงพลังงานของฉันได้มาก?’
เขารู้สึกอ่อนแอและต้องใช้เวลาสักพักก่อน สักพักเขาถึงจะได้เห็นการไหลของมานาอีกครั้ง
เจสันสังเกตว่าดวงตาของเขาสามารถมองไปที่การไหลของมานาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติในขณะที่มองไปที่สีที่เปล่งประกายของสัตว์ร้ายที่ดึงมานาบางส่วนของเขา
ราวกับว่าดวงตาของเขามีเอฟเฟกต์แฝงในการมองไปที่การไหลของมานาในขณะที่มันเป็น ‘ทักษะ’ ที่ใช้งานอยู่เพื่อดูสีเหล่านี้เหมือนในเกม
เขาเคยได้ยินหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับเกมเนื่องจากการฟังการถ่ายทอดสดของเกมเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาระยะหนึ่งจนกระทั่งเขาสังเกตเห็นว่าเขาเสียเวลาไปกับมันมากเกินไปโดยไม่ได้รวบรวมมานาไว้ในดวงตาของเขา
เจสันลองใช้ทฤษฎีนี้และสังเกตว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
โดยไม่รู้ตัวเจสันสามารถเปิดใช้งานและปิดการใช้งานความสามารถของเขาในการมองเห็นสีที่เปล่งประกายของสัตว์ร้าย
ความเจ็บปวดที่ดวงตาของเขาต้องทนอยู่อย่างเห็นได้ชัดน้อยลงและเจสันก็เติมเต็มพลังงานที่สูญเสียไปด้วยมานาที่คงที่
การควบคุมมานาของเขานั้นเหนือกว่าเมื่อเทียบกับคนรุ่นเดียวกันเพราะเขามีความชำนาญเกือบ 10 ปีด้วยการเคลื่อนไหวที่แม่นยำเพื่อไม่ให้เจ็บตา
นอกจากนี้ประสาทสัมผัสของเขายังแตกต่างอย่างมากและเพิ่มอีกเหตุผลหนึ่งสำหรับการควบคุมมานาที่เหนือกว่าของเขา
การเคลื่อนไหวที่ผิดพลาดครั้งหนึ่งด้วยมานาของเขาและเขาจะทำให้หินอ่อนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ซึ่ง เขาโชคดีที่ไม่รู้
แม่ของเขาบอกเขาเพียงว่าเขาต้องระวังและเจสันก็รับฟังเธอมาตลอด
เมื่อเห็นสัตว์ที่ถูกผูกมัดวิญญาณเหล่านี้เจสันจึงนึกขึ้นได้ว่า เขาเหลือเวลาอีกประมาณ 5 วันจนกว่าจะสอบปลายภาค เขาจึงตัดสินกลับไปที่ห้องของเขา
การตาบอดและเป็นเด็กกำพร้าเป็นเพียงข้อเสียของเจสันซึ่งเพื่อนร่วมชั้นหลายคนเองก็ดีกับเขามากเพราะเขาเป็นคนฉลาดขยันและทะเยอทะยานทำให้เขาเก่งกว่าคนอื่น ๆ ในการสอบภาคทฤษฎีทุกครั้ง
ประสาทสัมผัสอื่น ๆ ของเขาได้รับการขัดเกลาเป็นหลักและเจสันสามารถอยู่รอดภายในเมืองอาร์เตสที่เขาอาศัยอยู่
แต่ในยุคของศิลปะการต่อสู้และจิตวิญญาณเจสันถูกมองว่าเป็นปรสิตเพราะเขาไม่สามารถป้องกันตัวเองจากสัตว์ร้ายได้ ถึงแม้สัตว์ร้ายนั้นจะเป็นชนิดที่อ่อนแอที่สุด
เขาต้องพึ่งพาผู้อื่นเพื่อเอาชีวิตรอดเมื่อสัตว์ร้ายบุกเข้ามา
สิ่งเดียวที่เจสันมีคือเครดิต
อย่างไรก็ตามเครดิตแทบไม่มีประโยชน์สำหรับเขาเนื่องจากเขาไม่สามารถทำอะไรกับพวกเขาได้มากนัก
ค่าครองชีพของเจสันลดลงเล็กน้อยเนื่องจากเขามีอพาร์ทเมนต์ราคาถูก แต่มีกลิ่นเหม็นทำให้เขาไม่ค่อยอยากอาหารมาหลายปี
สิ่งสำคัญที่เขาต้องการคือค้นหาว่าใครเป็นคนฆ่าแม่ของเขา
การคิดถึงแม่ของเขา ทำให้เจสันโกรธมากและความขุ่นมัวแผ่ซ่านไปทั่วทุกเซลล์ในร่างกายของเขาเพราะเขาจำได้ว่าแม่ของเขาจะบอกเรื่องสำคัญก่อนที่เธอจะถูกฆาตกรรม
ด้วยสายตาที่พิเศษของเธอ เธอจึงเข้าใจสถานการณ์ของเจสัน เพราะเธอเองก็เคยผ่านสถานะการณ์แบบนี่มาก่อน
หลังจากทดสอบบางสิ่งที่เธอบอกกับเจสันว่าเขาอาจจะได้เห็นในอนาคต
เส้นประสาทตาของเขาไม่ได้ทำงานผิดปกติ ค่อนข้างมีการปิดล้อมป้องกันการถ่ายโอนข้อมูลและพลังงานจากสมองไปยังดวงตา
ภายในดวงตาของเขามีลูกกลมๆ เหมือนหินอ่อนที่ว่างเปล่าซึ่งปกติจะเต็มไปด้วยมานาเหมือนในกรณีของแม่ของเขา
อย่างไรก็ตามเจสันว่างเปล่าโดยสิ้นเชิงและทำให้เขามองไม่เห็นอะไรเลย
เมื่อเจสันอายุ 4 ขวบเขาถามแม่ว่าทำไมเขามองไม่เห็นและเธอบอกเขาว่ามีหินอ่อนที่ว่างเปล่าอยู่ข้างหลังดวงตาของเขาแต่ละข้าง
เธอแสดงให้ลูกชายของเขาเห็นการไหลของมานาโดยการใส่บางส่วนลงในเจสันและอธิบายต่อไปว่ามานาต้องรวมตัวกันอยู่ภายในหินอ่อน เมื่อลูกหินเต็มไปด้วยมานาเจสันจะสามารถมองเห็นได้
เจสันหนุ่มตั้งใจที่จะรวบรวมมานานี้ภายใน ‘ลูกหิน’ ในดวงตาของเขาเพื่อทำให้เขาสามารมองเห็น
โดยไม่รู้ตัวเจสันเริ่มรู้สึกถึงมานารอบตัวเขาเร็วมากและเขาก็นำมันเข้าไปในหินอ่อนทุกวันเป็นเวลาหลายปีตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ในตอนแรกเขาควบคุมมันอย่างยากลำบากในสายตาของเขาซึ่งจะทำให้เจ็บเล็กน้อยและแม่ของเขาก็สนับสนุนเขาอย่างขยันขันแข็ง
หลังจากลองสองสามครั้งแรกความแม่นยำของเจสันก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ และเขาไม่ต้องการการสนับสนุนจากแม่อีกต่อไป
เขาขยันขันแข็งและไว้วางใจแม่ของเขามากกว่าคนอื่น ๆ ดังนั้นเขาจึงยังคงเป็นผู้นำมานาและเติมหินอ่อนไว้ในลูกตาของเขาเป็นเวลาเกือบสิบปีแล้ว
โดยปกติแล้วเด็ก ๆ ที่อายุเฉลี่ย 10 ปีจะเริ่มรู้สึกถึงการไหลเวียนของมานาอย่างช้าๆและเริ่มรวบรวมมันเพื่อเสริมความแข็งแกร่งและปรับปรุงของแกนมานาเพื่อรวบรวมมันให้มากขึ้น
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีแกนมานาหรืออะไรบางอย่างที่คล้ายกันบนร่างกายของพวกเขาในขณะที่มนุษย์เกือบทั้งหมดมีแกนมานาอยู่ที่หน้าท้อง
ในขณะที่มนุษย์เกิดมาพร้อมกับแกนมานา แต่สัตว์ป่าจะต้องสร้างมันขึ้นมาเป็นระยะเวลานานจนกว่าพวกมันจะไปถึงระดับของสัตว์วิเศษ
อันดับสัตว์ร้ายที่รู้จักกันทั่วไปไม่กี่อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มที่มีพลังเวทย์บริสุทธิ์
สัตว์ป่านั้นอ่อนแอมากและเทียบได้กับอันดับที่อ่อนแอที่สุดในหมู่มนุษย์ที่เรียกว่า มือใหม่
อาการตาบอดของเจสันซึ่งเป็นข้อเสียของเขา เนื่องจากมีการใช้งานที่แปลกประหลาดเนื่องจากประสาทสัมผัสอื่น ๆ ของเขาแตกต่างกันเป็นพิเศษ
เขาเริ่มรู้สึกมานาเมื่ออายุได้สี่ขวบเนื่องจากเรื่องราวของแม่และความรู้สึกพิเศษที่เขามี
เจสันมีข้อได้เปรียบกว่าเด็กทั่วไป 6 ปีในการเสริมสร้างตัวเองและปรับปรุงแกนมานาของเขา แต่เขาใช้มานาที่เขารู้สึกได้รวบรวมมันไว้ที่อื่นเพื่อให้สามารถมองเห็นได้
อันดับแกนมานาของเขายังคงอยู่ในอันดับที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หรือที่เรียกว่าอันดับ พวกมือใหม่ อันดับ 1 ในขณะที่พี่น้องของเขาอยู่ที่ระดับ มือใหม่อันดับ 8 แล้วและใกล้เคียงกับระดับ ชำนาญ มากซึ่งจะช่วยเพิ่มระดับมานาและความแข็งแกร่งได้หลายครั้ง
เกือบ 10 ปีผ่านไปเจสันไม่เคยหยุดใช้มานาเพื่ออย่างอื่นเหมือนดวงตาของเขาซึ่งทำให้ร่างกายและขนาดแกนมานาของเขาอ่อนแอกว่าคนอื่น ๆ รอบตัวเขา
การควบคุมมานาและความสามารถในการรับรู้ของหนึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าคน ๆ หนึ่งจะสามารถเพิ่มอันดับแกนมานาได้เร็วเพียงใดโดยการดูดซับและปรับแต่งมานาเข้าไปในนั้น
หลังจากอันดับ มือใหม่ มาถึงอันดับ ชำนาญ และหลังจากนั้นอันดับ ผู้เชี่ยวชาญ ก็จะตามมา
ในขณะที่อันดับ มือใหม่ นั้นเทียบได้กับอันดับสัตว์ป่า แต่อันดับ ชำนาญ และ ผู้เชี่ยวชาญ นั้นอ่อนแอกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับอันดับที่ตื่นขึ้นและวิวัฒนาการเนื่องจากความแข็งแกร่งของสัตว์ร้ายเพิ่มขึ้นมากกว่าร่างกายของมนุษย์เล็กน้อย
หลังจากทำงานหนักมา 10 ปี เจสันn สังเกตว่าลูกหินในดวงตาของเขาเต็มไปหมดและจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วันจนกว่าเขาจะบรรลุความฝันที่ปรารถนามานาน
สมัยมัธยมต้นของเขาก็เกือบจะจบลงเช่นกันเพราะเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่สัปดาห์
เมื่อจบชั้นมัธยมต้นทุกคนจะต้องทำสัญญาผูกมัดวิญญาณครั้งแรก
อายุระหว่าง 13 ถึง 14 ปีเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการทำพันธะสัญญาวิญญาณและหลังจากทำพันธะเสร็จสิ้นระบบลำดับชั้นก็เริ่มทำงานโดยแบ่งคนที่มีความสามารถของมนุษย์เพื่อให้การเลี้ยงดูที่สมบูรณ์แบบ
ขอบเขตวิญญาณนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะใคร ๆ ก็สามารถได้รับความสามารถทางธาตุจากพวกมันและแม้แต่ความแข็งแกร่งทางกายภาพส่วนหนึ่งของพวกเขาก็จะถูกแบ่งปันให้กับอาจารย์ตามจิตวิญญาณของเจ้านาย
ด้วยพันธะทางวิญญาณที่ดีตัวหนึ่ง อาจแข็งแกร่งกว่าสัตว์อสูรที่ตื่นขึ้นมาในขณะที่อยู่ในระดับ ชำนาญ ซึ่งโดยปกติแล้วจะอ่อนแอกว่าสัตว์ที่ได้รับการจัดอันดับ
คนเราจะได้รับการทดสอบเกี่ยวกับพลังงานวิญญาณของพวกเขา โดยขนาดของจิตวิญญาณที่บ่งบอกถึงจำนวนสัญญาที่สามารถก่อตัวได้และวิญญาณประเภทใดที่มีจะบอกความสัมพันธ์ที่วิญญาณถูกดึงไป
ตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจะเข้ากันได้กับสัตว์ร้ายแต่ละชนิด
มีวิญญาณหลายประเภทเช่นวิญญาณธาตุที่มีดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นต้น
วิญญาณธาตุส่วนใหญ่มีเพียงองค์ประกอบเดียวในขณะที่บางส่วนที่หายากกว่านั้นมี 2 องค์ประกอบ
วิเศษที่มี 3 อย่างขึ้นไปในขณะที่วิญญาณที่มีมากถึง 5 องค์ประกอบขึ้นไปถูกเรียกว่า บุตรแห่งทวยเทพ
การมีองค์ประกอบ 5 อย่างบ่งชี้ว่าเราสามารถสร้างสัญญากับสัตว์ร้ายได้อย่างน้อยห้าตัวเนื่องจากแต่ละองค์ประกอบจะยอมรับสัตว์ร้ายอย่างน้อยหนึ่งตัว
อย่างไรก็ตามนั่นไม่ได้หมายความว่าองค์ประกอบเดียวสามารถถือได้เพียงสัญญาเดียว
แต่มีแนวโน้มว่าวิญญาณธาตุเดียวจะอ่อนแอกว่าวิญญาณที่มีหลายองค์ประกอบ
นอกจากนี้ยังมีวิญญาณทางกายภาพที่อนุญาตให้มนุษย์จับสัตว์ที่ไม่มีธาตุ เช่น ก็อบลินออร์คโทรลล์มิโนทอร์และอื่น ๆ อีกมากมาย
จิตวิญญาณทางกายภาพจะเพิ่มเปอร์เซ็นต์ความแข็งแกร่งร่วมกันมากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับวิญญาณธาตุเนื่องจากวิญญาณที่ไม่ใช่ธาตุจะไม่สามารถให้ความสามารถทางธาตุใด ๆ ได้
การทำสัญญาจะก่อตัวขึ้น กล่าวกันว่าเป็นสัญญาที่สำคัญที่สุดเนื่องจากสัญญาหนึ่งจะแบ่งปันทั้งชีวิตกับพันธะทางวิญญาณ
ถ้ามันตายวิญญาณของคุณจะถูกทำลายบางส่วนในขณะที่มันต้องใช้เวลานานในการสร้างใหม่
การได้รับพันธะ ในโรงเรียนมัธยมมีความสำคัญเนื่องจากสัตว์ร้ายตัวแรกที่ถูกจับได้นั้นถูกจับได้ทั้ไข่หรือลูกอ่อนจากตัวแม่ของสัตว์ร้าย
สัญญาวิญญาณดวงแรกอาจเป็นไข่หรือลูกเล็ก ๆ เพราะง่ายที่สุดที่จะได้รับความไว้วางใจและปรับเปลี่ยนร่างกายของตัวเองอย่างช้าๆเพราะจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อครบกำหนดของสัตว์ร้าย
หากเจสันได้อันดับที่หนึ่งในเมืองอาร์เตสระดับ C ที่ที่เขาอาศัยอยู่เขาจะมีโอกาสเลือกสัตว์ร้ายเป็นตัวแรกซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการในตอนแรก
นอกจากนี้เขายังมีโอกาสที่จะเข้าโรงเรียนมัธยมที่ดีซึ่งสำคัญยิ่งกว่า
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนเมืองอาร์เตสที่เจสันอาศัยอยู่ มีพลเมืองมากกว่า 10 ล้านคนและผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมต้นเกือบ 250,000 คนในปีนี้เนื่องจากผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นสำหรับการคลอดบุตรที่ได้รับจากรัฐบาล
หลังจากที่มนุษยชาติได้รับหายนะ ทำให้มีการสูญเสียประชากรไป 99% แต่หลังจากการเติบโตของทารกเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้วซึ่งเกิดจากผลประโยชน์ที่รัฐบาลแจกจ่ายให้จำนวนประชากรอย่างเป็นทางการมากกว่า 3 หมื่นล้าน
เจสันอาศัยอยู่บนเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่เรียกว่าแอสทริกซ์ซึ่งไม่เพียง แต่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากเกินไป แต่ยังรวมถึงมนุษย์ด้วยเนื่องจากเป็นเกาะที่เล็กที่สุดและถูกที่สุดแห่งหนึ่ง
มนุษย์กว่า 300 ล้านคนอาศัยอยู่บน เกาะแอสทริกซ์ และจำนวนก็ยังคงเพิ่มขึ้น
เกาะนี้มีรอยแยกกว่า 3 แห่งที่เชื่อมต่อกับดาวเคราะห์และเครื่องบินอื่น ๆ
ในขณะที่รอยแยกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในมหาสมุทรใกล้กับเกาะรอยแยกอีกสองแห่งเชื่อมต่อกับโลก ที่มีสัตว์วิเศษเป็นสัตว์ร้ายอันดับที่แข็งแกร่งที่สุด
คาร์เนีย เป็นทวีปใหญ่เมื่อเทียบกับ แอสทริกซ์ และหมู่เกาะอื่น ๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่อาศัยอยู่
มีพื้นที่เพียงพอสำหรับมนุษย์ แต่พวกมันถูกคุกคามโดยสัตว์ป่าและเป็นไปไม่ได้ที่จะอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากบุคคลที่แข็งแกร่ง แต่ข้อเท็จจริงที่เป็นที่ทราบกันดีที่สุดคือมีสงครามหลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากับ คาร์เนียร์ เพื่อต่อต้านเผ่าพันธุ์อัจฉริยะที่รุกราน ที่เริ่มข้ามมหาสมุทร
ในบริเวณบ้านของพวกเขาและหลังจาก 300 ปีแห่งความก้าวหน้าของมนุษยชาติก็โชคดีที่อย่างน้อยก็สามารถป้องกันตัวเองบนแผ่นดินคาร์เนียได้ บางเมืองมีขนาดใหญ่และแออัดเนื่องจากความปลอดภัย
เมืองต่างๆได้รับการปกป้องด้วยมาตรการป้องกันขั้นสูงเช่น โดมที่สร้างขึนจากมานา และเป็นเรื่องยากที่สัตว์ร้ายจะบุกเข้ามาในพื้นที่เหล่านี้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น
อย่างไรก็ตามไม่มีใครสามารถรับประกันความปลอดภัยนอกเมืองได้แม้แต่เขตป่าขนาดเล็กๆ ยังมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากเกินไป
แม้แต่จุดที่เล็กที่สุดนอกเมืองก็สามารถอธิบายได้ว่า ปลอดภัยอย่างสมบูรณ์และพื้นที่ส่วนใหญ่ที่มีสัตว์ป่าหนาแน่นและมากเกินไปก็ถูกทิ้งร้าง
ก่อนที่จะมีการสำรวจการระบาดของมานาที่เกิดขึ้นเกือบทุกมุมบนผืนแผ่นดิน แต่ตอนนี้ยังไม่มีการสำรวจ ในคาร์เนีย
เจสันต้องการเป็นคนแรกจากกลุ่มผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมต้น แต่เขาจะต้องเชี่ยวชาญในการสอบภาคทฤษฎีและการสอบภาคปฏิบัติซึ่งนั้นไม่เกินความสามารถของเขา แต่การทดสอบครั้งสุดท้ายหรือเรียกอีกอย่างว่าการสอบศิลปะการต่อสู้และเป็นเกรดที่อ่อนที่สุดของเจสันเนื่องจากเขาถูกทุบตีทุกครั้งการเรียน
การได้รับ 0 คะแนนในการสอบที่สำคัญที่สุด และจะส่งผลให้เขาต้องลงเอยเป็นหนึ่งในคนสุดท้ายที่เลือกสัตว์ร้ายเพื่อทำสัญญาและมีโอกาสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่จะได้เข้าโรงเรียนมัธยมที่ดี
แต่ตอนนี้เจสันไม่ได้สนใจการทดสอบเหล่านี้เลยในขณะที่เขามุ่งเน้นมานารอบ ๆ ตัวเขาเพื่อรวบรวมไว้ในลูกตาของเขา
การได้รับพันธะที่ดีนั้น สำคัญ แต่ในขณะนี้สายตาของเขาสำคัญยิ่งกว่าสำหรับเจสัน
เขาเชื่อว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่จะทำทีละขั้นตอนให้เสร็จและแม้ว่าเจสันจะเริ่มฝึกฝนร่างกายและแกนมานาของเขาในตอนนี้ แต่ก็แทบจะไม่มีประโยชน์ที่ไต่ไปในอันดับที่ 2 หรือ 3 ของมือใหม่เนื่องจากเขายังอ่อนแอเกินไป
แต่ความสามารถในการมองเห็นจะเปลี่ยนไปเกือบทุกอย่างซึ่งเป็นสิ่งที่เจสันเชื่อมาตลอด
เจสันกลับบ้านแบบเดิมทุกวัน โดยถือไม้เท้าไว้ในมือซ้ายเจสันต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมง กว่าจะกลับมาถึงบ้านได้ บ้านของเจสันเป็นห้องเล็ก ๆ มีเตียงตู้เย็นและเชื่อมต่อกับห้องน้ำขนาดเล็ก
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ กลิ่นและรู้สึกสกปรก แต่เจสันอยู่ที่นั้นตั้งแต่แม่ของเขาเสียชีวิตเขาจึงค่อนข้างที่จะชินกับพื้นที่นั้น
บางทีเขาอาจจะเช่าอพาร์ทเมนต์อีกหลังหนึ่ง เมื่อเขาสามารถมองเห็นได้ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ต้องคิดในภายหลัง
เจสันนั่งลงบนเตียงยังคงรวบรวมมานาภายในดวงตาของเขาเหมือนทุกวันจนกระทั่งตอนดึก เขาลุกขึ้นมาด้วยความหิว
เมื่อเปิดตู้เย็นเขาก็พบว่า ของกินใก้ลจะหมด เขารึ้กถึงความว่างเปล่าในตู้เย็น
เจสัน ใช้ AI ของสมาร์ทโฟนเพื่อส่งขนมปังไส้กรอกและอื่น ๆ มาให้เขา
เมื่อใกล้จะถึงตอนเช้าในวันรุ่งขึ้นเจสันก็ถอดเสื้อและนำไปซัก
* ไม่กี่วันต่อมา *
มันเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ของเจสัน และเขานั่งอยู่ที่เดิมโดยรวบรวมมานารอบตัวเขา
เขารู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่เขารอคอยมานานหลายปีและเป็นครั้งแรกที่เจสันจะตื่นเต้นอีกครั้งขณะที่หัวใจของเขาเต้นดัง
‘หินอ่อน’ ในลูกตาของเขาเต็มไปหมดส่วนตาและเส้นประสาทตาของเจสันเริ่มคันอย่างไม่สามารถควบคุมได้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดอย่างมาก
ทันใดนั้นรู้สึกราวกับว่ามีเข็มที่บาง ๆ เป็นหลายพันเล่มเจาะเข้าไปในดวงตาของเขาและเส้นประสาทตาและเลือดก็เริ่มไหลออกมาจากดวงตาของเขา
ดูเหมือนเจสันจะเสียสติไปแล้วในขณะที่เขาร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากดวงตา
ความเจ็บปวดแทบจะทนไม่ได้และเจสันเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่เขาต้องทนกับมัน
วินาที… .. นาที… .. หลังจากชั่วโมงผ่านไปความเจ็บปวดลดลงอย่างช้าๆ
เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว แต่เจสันรู้สึกเหนื่อยมาก
ดวงตาของเขาซึ่งก่อนหน้านี้ปิดลงเนื่องจากความเจ็บปวดค่อยๆเปิดขึ้นและดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวาก่อนหน้านี้ของเจสันถูกแทนที่ด้วยดวงตาสีทองที่ส่องแสงและนัยต์ตามีเหมือนลูกบอลแสงกว่างนัยต์ตาดำเหมือนแสงในความมืด
“ เจสันเล่าเรื่องพงศาวดารให้เราฟังหลังจากยุคมืดเริ่มต้นขึ้น!”
เสียงที่ลึกล้ำ แต่แฝงไปด้วยความเป็นนักวิชาการดังก้องอยู่ในห้องเรียนขนาดเล็ก
เด็กชายอายุ 13 ปีลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยและเดินตรงไปด้านหน้าโดยไม่ได้มองไปที่ใดเป็นพิเศษ ขณะที่เขาเริ่มเล่าเหตุการณ์เมื่อ 300 ปีก่อน
เมื่อ 300 ปีก่อนเมื่อการรุกรานของเผ่าพันธุ์ต่างชาติและสัตว์ป่าเริ่มขึ้น เพราะการระบาดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้การระบาดได้สร้างความแตกแยกให้กับเครื่องบินลำอื่นที่เชื่อมโยงพวกมันกับ อาร์กอส
ด้วยเหตุผลบางประการที่เราไม่รู้ในช่วงแรกมนุษยชาติไม่ทราบถึงการรุกรานของเผ่าพันธุ์ต่างชาติพวกเขายังคงตกตะลึงกับการระเบิดของพลังงานลึกลับและการสร้างรอยแตกสีแดงเลือดต่อมามีข่าวลื่อ
เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของเผ่าพันธุ์ที่สูงใหญ่เทอะทะและคล้ายมนุษย์ที่มีปีกขนาดใหญ่หัวเหมือนนกกาและมีอาวุธที่ดูคล้ายยุคกลาง การระเบิดของลูกบอลสีฟ้าที่บีบอัดมากเกินไปพร้อมกับการบุกรุกของพลังงานที่ไม่รู้จักซึ่งเราเรียกว่า มานา
ภายในทุกสิ่งมีชีวิตสู่แก่นแท้รวมทั้งโลกน่าเสียดายที่มนุษยชาติไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับการรุกรานของสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวและได้รับความสูญเสียครั้งใหญ่เผ่าพันธุ์ คอร์วิ ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่รุกรานเพียงเผ่าพันธุ์เดียว แต่มีเผ่าพันธุ์ที่ชาญฉลาดจำนวนมากได้เข้ามาใน อาร์กอส ทำให้โลกนี้กลายเป็นสนามรบระหว่างพวกมัน
มนุษยชาติพยายามที่จะต่อสู้กลับ แต่อาวุธของพวกเขาก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงกับเผ่าพันธุ์ต่างชาติเหล่านี้เนื่องจากพวกมันปกป้องตัวเองด้วยเยื่อแห่งมานา
เยื่อมานานี้หักเหกระสุนหรือแม้กระทั่งการทิ้งระเบิดก็ไร้ประโยชน์กับพวกมัน
มนุษยชาติได้รับความเดือดร้อนและต้องถอนตัวไปยังทวีปที่เล็กที่สุดใน อาร์กอส หรือที่เรียกว่า คาร์เนีย โดยมีหมู่เกาะรอบ ๆ เกาะเล็ก ๆ ราว 40 เกาะ
คาร์เนีย ซึ่งมนุษย์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในขณะนี้ยังมีรอยแยกแต่มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับหลายๆ พื้นที่
รอยแยกเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้มีสัตว์ร้ายเข้ามารุกราน อาร์กอส ค่อนข้างบ่อยเนื่องจากสัญชาตญาณและความปรารถนาที่จะสังหารหมู่มนุษย์
แม้ว่าพวกมันจะมีทุกสิ่งที่ต้องการในฝั่งของตัวเอง แต่สัตว์ร้ายที่ทรงพลังเหล่านี้ก็ยังคงโจมตีต่อไปโดยไม่สนใจความสูญเสียของมนุษยชาติและแม้แต่พวกมันเองก็ต้องทนทุกข์ทรมานเป็นครั้งคราว
ในขณะเดียวกันทที่หมู่เกาะ อาร์คิเพลาโกส มีรอยแยกเพิ่มอีกสองสามจุดและปัเกิดญหาใหญ่เกี่ยวกับสัตว์ร้ายที่มีมากเกินไป
พวกเขาไม่ได้รับการสนับสนุนมากนัก จากทวีปหลักเนื่องจากไม่มีใครสามารถต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้
มนุษยชาติต้องสูญเสียมากกว่า 90% ของประชากรที่ เพราะไม่มีวิธีต่อสู้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกเว้นเพียงวิธีเดียวคือใช้ไฟกับไฟ
พวกเขาใช้เวลานาน แต่หลังจากทดลองมาหลายปีและความโชคดีมหาศาล มนุษยชาติก็สามารถจัดการกับมานาได้ง่ายขึ้น
แต่พวกเขาไม่สามารถควบคุมองค์ประกอบได้อย่างเผ่าพันธุ์อื่นที่ใช้มานาเป็นอาวุธหลัก
แต่บางคนสามารถควบคุมพื้นดินได้ และบางคนก็สามารถควบคุมน้ำได้ราวกับว่ามันเป็นส่วนขยายของแขน
บางทีมันอาจจะเป็นโชค หรือโชคชะตาในขณะที่เด็กวัยรุ่นที่ยังเด็กมากที่ไม่รู้ว่าพูดว่า กล้าหาญหรือไร้เดียงสาที่ไปช่วยชีวิตลูกของสัตว์ร้าย
หลังจากที่ลูกสัตว์ร้ายที่ได้รับการช่วยเหลือจากเด็ก ๆ ก็เกือบถูกมนุษย์คนอื่นเอาตัวไปฆ่าเพราะถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม
ลูกสัตว์ร้ายตัวนี้ต้องการปกป้องผู้ช่วยชีวิตของมัน มันจึงกัดเข้าไปในนิ้วของเด็กเพื่อเป้นการสร้างสิ่งที่เรียกว่าสัญญาผูกมัดทางวิญญาณระหว่างกัน
เจสันหยุดชั่ววินาทีและหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้งก่อนที่เขาจะบรรยายต่อ
“กระบวนการทั้งหมดเกี่ยวกับ พันธะทางวิญญาณ อธิบายเอาไว้ในโหล แต่ฉันจะข้ามมันไป”
เจสันกล่าว และเริ่มเล่าเรื่องต่อ
แต่คนอื่นๆ ไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ เด็กคนนั้นรู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างตัวเขากับลูกสัตว์ร้ายที่ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆและที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นเขารู้สึกเชื่อมโยงกับองค์ประกอบบางอย่าง
เมื่อใช้มานาเขา เจาสามารถสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับความสัมพันธ์ของลูกสัตว์ร้ายและเขาก็สามารถใช้มันได้ในระดับหนึ่ง
นอกจากนี้หลังจากสร้างสัญญาแล้วเด็กคนนั้น พบว่าร่างกายของเขาเติบโตขึ้นในระดับหนึ่งและยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ผ่านจิตวิญญาณตามร่างกายของผู้รับพันธะจะได้รับการขยาย ซึ่งมีอิทธิพลต่อทุกสิ่งรอบตัวผู้รับ นั่นคือวิธีที่มนุษย์ค้นพบเกี่ยวกับการพันธะผูกมัดทางวิญญาณ
ด้วยการค้นพบที่สำคัญนี้การสำรวจรอยแยก ของเครื่องบินลำอื่นที่มีสัตว์ร้ายที่อ่อนแอกว่าจึงเริ่มขึ้นนอกจากนี้ยังพบสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย
ตัวอย่างเช่น ไม่ใช่ว่าสัตว์ร้ายทุกตัวจะเข้ากันได้กับมนุษย์แต่ละคน แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็พยายามอย่างยิ่งที่จะได้รับความแข็งแกร่ง
หากต้องการทราบว่ามนุษย์จะเข้ากันได้กับองค์ประกอบอื่น ๆ หรือไม่ พวกเขาได้สร้างบางอย่างขึ้นมาพร้อมกับซากโบราณวัตถุจากเผ่าพันธุ์อื่น
ด้วยเหตุนี้มนุษยชาติจึงสามารถปลุกความสามารถของตัวเองได้ ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าสัตว์ร้ายประเภทใดที่สามารถสร้างพันธะทางวิญญาณได้
ทุกคนต้องการทำพันธะกับสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่ง แต่เห็นได้ชัดว่าสัตว์ร้ายเหล่านี้ไม่เพียงแค่มองว่าลูกของพวกมันที่ถูกลักพาตัวไป
และสงครามระหว่างสัตว์และมนุษย์เริ่มต้น และสัตว์ร้ายเป็นฝ่ายที่ชนะ
แม้ว่ามนุษยชาติจะสูญเสียไป แต่ลูกสัตว์ร้ายบางตัวก็ยังถูกจับได้และมีมนุษย์จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ต้องการใช้พวกมัน
มนุษยชาติประสบความสูญเสียมากมาย แต่พวกเขาไม่ยอมถอยโดยไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ
พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นทุกวันที่ผ่านไปในขณะที่การขยายขอบเขตความสามารถของพวกเขาทำให้ความสามารถในการต่อสู้โดยรวมของมนุษยชาติเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ในขณะที่เหลือมนุษย์เพียงหนึ่งพันล้านคน แต่พวกเขาก็เติบโตขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นในแต่ละวันที่พวกเขาดูดซับมานาตามธรรมชาติ อาร์กอสเริ่มสร้างมันขึ้นตั้งแต่การระบาดของมานา
ธรรมชาติและมานาทำงานร่วมกันเพื่อต่อต้านมนุษยชาติ โดยพืชที่ถูกกระตุ้นโดยมานาจะเริ่มเติบโตเร็วกว่าสิบเท่าในขณะที่ความแข็งแรงของสัตว์เพิ่มขึ้นยิ่งพวกมันดูดซับมานาได้มากขึ้น
สิ่งนี้เพิ่มความสามารถในการสืบพันธุ์นอกเหนือจากร่างกายที่ได้รับความแข็งแกร่งที่ได้รับจากมานา
การพัฒนาจินตนาการ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไปและเผ่าพันธุ์ใหม่นับล้านที่เกิดจากสัตว์ป่าและพืชที่วิวัฒนาการแล้วบางครั้งก็สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกได้ใน
มนุษยชาติถูกบังคับให้รวมตัวกันเพื่อสร้างเมืองที่มีลักษณะคล้ายป้อมปราการสองสามแห่งใกล้กันเพื่อที่จะอยู่รอดโดยไม่ถูกสัตว์ร้ายครอบงำ
ในขณะที่รอยแยกแรก เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในตอนต้นจำนวนของสัตว์ป่าที่พัฒนาแล้วกำลังคุกคามมากขึ้นเรื่อย ๆ บังคับให้มนุษย์ต้องเพิ่มอำนาจทางทหารมากขึ้นเรื่อย ๆ
บนเกาะคาเนียร์มี 12 รอยแยกมีอยู่ในขณะที่บางส่วนคือ ..
ติ่ง ต่องงง ****
“พอแล้วเจสัน วันนี่พรีเซ็นงานของคุณไปได้ด้วยดี”
เสียงระฆังของโรงเรียนดังขึ้นและครูก็ออกจากห้องเรียนไป
เจสันยังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วยร่างกายที่อ่อนแอ เขาอดทนรอให้ทุกคนจากไป
เขามีผมสีดำสั้นและใบหน้าสวย ถ้าผมของเขายาวขึ้น คนหลายคนคงคิดว่าเขาเป็นผู้หญิง ด้วยวัยเพียง 13 ปีเขายังคงมีนิสัยแบบเด็ก ๆ อยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามดวงตาของเขาเป็นลักษณะพิเศษที่สุดของเจสัน เนื่องจากพวกเขาดูเหมือนปลาที่ตายแล้วโดยไม่มีร่องรอยของชีวิตแม้แต่น้อย
หมอดูทำนายว่าดวงตาของเขาเป็นสิ่งพิเศษที่สุดนอกเหนือจากดวงวิญญาณที่สวยงามของเขาเมื่อเขาเกิดอย่างไรก็ตามนั่นเป็นเพียงความฝันของเจสัน
เจสันคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกร้ายเพราะเขาเกิดมาพร้อมกับเส้นประสาทตาที่ทำงานผิดปกติ
แม่ของเขาบอกว่ามีดวงตาที่พิเศษ แต่เขาไม่เคยเห็นเธออย่างชัดเจน
เธอทำงานให้กับครอบครัวที่ใหญ่โตและยังเป็นที่เคารพนับถือ เพราะเธอปฏิบัติต่อคนงานคนอื่นๆ อย่างดี
อย่างไรก็ตามวันหนึ่งเมื่อสองสามปีก่อนตอนที่แม่ของเขาควรจะกลับบ้าน แต่แล้วพ่อบ้านคนหนึ่งมาที่อพาร์ตเมนต์ของพวกเขาและมีน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยน้ำตาและมีบางอย่างที่หนักอึ้งในมือของเขาคือกระเป๋าและเอกสาร
พ่อบ้านบอกเขาว่าแม่ของเขาเสียชีวิตระหว่างการทะเลาะวิวาทระหว่างผู้ปกครองของตระกูลกับทายาทของตระกูลใหญ่อีกคน
เห็นได้ชัดว่ามีข้อพิพาทบางอย่างระหว่างงานเลี้ยงที่มีบุคคลสำคัญหลายประการของตระกูลใหญ่ที่เกี่ยวข้องซึ่งส่งผลให้ทายาทชาวต่างชาติได้รับความอับอายขายหน้าและได้รับความอับอาย
ทายาทชาวต่างชาติได้รับรู้ถึงความผูกพันที่ใกล้ชิดระหว่างคนรับใช้และครอบครัวเซอร์อัส
ด้วยเหตุนี้เขาจึงอาละวาดและมีการกล่าวว่าคนรับใช้มากกว่าสิบคนเสียชีวิตก่อนที่เขาจะหยุดอาละวาด
มันเป็นหายนะและงานเลี้ยงทั้งหมดก็ถูกยกเลิกทันทีและครอบครัวเซอร์อัสก็ใจหาย และโกรธมากเพราะพนักงานที่เสียชีวิต
การมีเงินและอำนาจในการปราบครอบครัวเล็ก ๆ อย่างตระกูลเซอร์อัส ทายาทฝั่งตรงข้ามเลือกเงินเพื่อปิดปากครอบครัวที่สูญเสียคนที่รักไป
ไม่เว้นแม้แต่สื่ที่ไม่กล้าออกทำข่าวใดๆ ออกไป
ครอบครัวที่จ้างแม่ของเจสัน รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของเจสันในตอนนี้และพวกเขาก็ให้ความช่วยเหลือ แต่เจสันไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ในขณะที่เขายังเป็นเด็กโดยไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับความตาย
พ่อบ้านกล่าวแสดงความเสียใจกับเจสันและวางกระเป๋าเอกสารไว้ข้างๆเจสัน ก่อนที่เขาจะตัดสินใจทิ้งเด็กชายตาบอดไว้ตามลำพังในอพาร์ทเมนต์ที่อ้างว้าง
เขาไม่รู้ชื่อฆาตกรของแม่ด้วยซ้ำเพราะไม่มีใครตอบคำถามของเขาเกี่ยวกับที่อยู่ของฆาตกรและมีเพียงชื่อสกุลของนายจ้างแม่ของเขาเท่านั้นที่ตราตรึงอยู่ในใจของเขา
เซอร์อัส…
เขาไม่สามารถแม้แต่จะร้องไห้ได้ในขณะที่ความโกรธความขุ่นมัวความเจ็บปวดรวดร้าวและความเศร้าโศกอยู่ลึก ๆ ในตัวเขาเอง
แต่เจสัน จะเกลียดครอบครัว เซอร์อัส ได้อย่างไรในขณะที่พวกเขาปฏิบัติต่อแม่ของเขาอย่างดี ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้น
พ่อของเขาได้รับการกล่าวขานว่าเป็นประธาน บริษัท ขนาดใหญ่ที่อยู่ภายใต้การปกครองของสหพันธ์ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวและหน่วยงานอื่น ๆ
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้กลัวอะไรเลย แต่นั่นเป็นความผิดพลาด
ความบาดหมางกับครอบครัวบางครอบครัวที่เขามีส่วนเกี่ยวข้องทำให้เกิดการทำลายล้างครอบครัวและ บริษัท ของเขา เหลือเพียงเขาและภรรยาเท่านั้น
สถานการณ์ทางจิตใจของเขาแย่ลงเมื่อเขากลายเป็นคนติดเหล้าและนักพนันที่สูญเสียเครดิตไปสองสามร้อยล้านรวมหนี้จำนวนมหาศาล
แม่ของเขาบอกกับเจสันว่าเธอทิ้งพ่อของเขาก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเธอสังเกตเห็นว่าเธอท้องกับเขา
เรื่องราวชัดเจน แต่เจสันไม่เชื่อเรื่องราวของเธอเลย
ครอบครัว เซอร์อัส พาทั้งสองคนเข้าไป แต่เจสัน ก็สงสัยเพราะเขาไม่เคยได้ยินเรื่องอื่นเกี่ยวกับพ่อของเขามาก่อนในขณะที่แม่ของเขาเท่านั้นที่รู้ว่าพอของเขาเป็นใคร
แต่แม่ของเขาไม่ได้เล่าเรื่องราวของพ่อเขาให้เจสันได้ฟัง แต่เจสันไม่ได้ทนทุกข์เพราะเนื่องจากเขาไม่ได้ต้องการพ่อ
แม่คือทุกสิ่งที่เขาต้องการ….
เธอรู้สึกขอบคุณครอบครัว เซอร์อัส และตัดสินใจที่จะทำงานเพื่อพวกเขาด้วยสายตาพิเศษของเธอ
ใครจะคิดว่าการตัดสินใจของเธอจะฆ่าเธอสักวัน?
เจสันไม่รู้ว่าดวงตาของเธอทำอะไรได้ แต่เห็นได้ชัดว่ามันพิเศษพอที่จะเลี้ยงลูกและตัวเธอเอง
ครอบครัว เซอร์อัส มอบเงินสงเคราะห์ให้เจสันและโอกาสในการเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมต้นที่ดีแม้ว่าแม่ของเขาจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม
อย่างไรก็ตามสำหรับ เจสัน เงินจำนวนนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับการทดแทนแม่ของเขาที่เลี้ยงดูเขามาเพียงลำพังด้วยความรักที่มากแม้จะมีปัญหาด้านสายตาก็ตาม
เขาไม่มีใครอยู่เคียงข้างเขาและเขาก็โดดเดี่ยวในโลกที่อันตรายเช่นนี้
มีดาวเคราะห์ที่อาศัยอยู่ดวงเดียวถูกเรียกว่า อาร์กอส หมุนรอบดวงอาทิตย์ที่มีมวลมหาศาลโดยมีดาวเคราะห์ก๊าซหลายสิบดวงอยู่ในระบบดาวฤกษ์
ดาวเคราะห์ดวงนี้เจริญรุ่งเรืองจนกระทั่งเผ่าพันธุ์สองเท้าอัจฉริยะซึ่งเรียกตัวเองว่ามนุษย์เข้ามาอาศัยอยู่
เผ่าพันธุ์ที่ชาญฉลาดนี้เข้าสังคมรวมตัวกันเพื่อเอาตัวรอดและก้าวหน้าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมามนุษยชาติสามารถสร้างพลังงานเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องจักรอัตโนมัติและประสบความสำเร็จ
ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั้นสั้นเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ของโลกทั้งใบ แต่พวกมันใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไร้ขีดจำกัด มากกว่าเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ที่เคยมีมาก่อน
อาร์กอส เป็นมนุษย์ที่มีมนุษยธรรม แต่ประชากรของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทะลุสามพันล้าน แต่ราวกับว่ามันไม่มีอะไรเลยและพื้นที่ ที่อยู่อาศัยของมนุษยชาติก็ถึงขีด จำกัด ด้วยความสามารถในการก่อสร้างหลังจากผ่านไปอีกหนึ่งร้อยปี
พวกเขาต้องออกจากระบบสุริยะเพื่อค้นหาดาวเคราะห์ดวงใหม่เพื่ออาศัยและใช้ชีวิต แต่พูดง่ายกว่าทำเพราะความเร็วของแสงและทฤษฎีไม่ง่ายที่จะบรรลุเป้าหมายเป็นข้อกำหนดที่จำเป็นอย่างหนึ่งในการออกจากระบบสุริยะเพื่อสำรวจใหม่หาดาวดวงใหม่
มนุษย์หลายคนถึงกับสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าที่พวกเขาบูชา เพื่อให้บางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปและพวกเขาจะก้าวไปสู่ความก้าวหน้าในการเดินทางในอวกาศ
หลายปีผ่านไปได้เกิดฝนดาวตกอย่างกะทันหันทำให้มนุษยชาติตกตะลึง เนื่องจากดาวเคราะห์ที่อยู่ไกลที่สุดในระบบดาวฤกษ์ดวงเดียวกัน ถูกเจาะทะลุแตกเป็นล้าน ๆ ชิ้น
การปรากฏตัวและการหายตัวไปของฝนดาวตกเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ข้อเท็จจริงที่สำคัญที่สุดคือฝนดาวตกมาจากนอกระบบสุริยะโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
อาจกล่าวได้ว่าคำอธิษฐานของมนุษยชาติได้รับคำตอบเมื่อนักวิทยาศาสตร์หยิบซากอุกกาบาตจำนวนหนึ่งขึ้นมา ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นมาก่อน
อุกกาบาตแผ่พลังงานเย็นและสงบ ทำให้ความตึงเครียดโดยรอบคลายความตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว
พลังงานนี้มีพลังมากกว่าพลังงานใด ๆ ที่มนุษย์เคยค้นพบและมันแข็งแกร่งยิ่งกว่ากฎของธรรมชาติเนื่องจากมันลอยอยู่ในอากาศเล็กน้อย
การค้นคว้าเกี่ยวกับอุกกาบาตพบหลายสิ่งหลายอย่าง
ตัวอย่างเช่นพลังงานที่แผ่ออกมาจากอุกกาบาตสามารถเร่งความเร็วในการเติบโตของพืชและสัตว์ที่อยู่รอบ ๆ พวกมันได้
นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับอุกกาบาตรู้สึกมีพลังมากขึ้นและค่อยๆแข็งแรงขึ้นและดูเหมือนว่าความเร็วในการเข้าสู่วัยชราของพวกเขาจะลดลงซึ่งทำให้มนุษย์คนอื่น ๆ อิจฉา
วันหนึ่งหลังจากการวิจัยครั้งแรกเกี่ยวกับอุกกาบาตเริ่มขึ้น เริ่มมีรอยแตกกระจายไปทั่วพื้นผิวของอุกกาบาตโดยไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ และพลังงานที่ยังไม่ทราบจำนวนและไม่สามารถวัดได้เริ่มกลั่นตัวเป็นลูกบอลสีฟ้าที่ส่องแสง มีลักษณะคล้ายของเหลวที่ลอกเปลือกนอกของมันและมันก็ค่อยๆ ลอยขึ้นท้องฟ้า
ในขณะที่มนุษย์ส่วนใหญ่ทั่วโลกยังคงทำงานอยู่ แต่ธรรมชาติรู้สึกถึงเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมอย่างกะทันหันและสัตว์ป่าก็เงียบไป
มีเพียงมนุษย์ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโลกที่ห่างไกลจากห้องทดลองที่อุกกาบาตรวมตัวกันเท่านั้นที่ไม่รู้สึกอะไร
ลูกบอลส่องแสงสีฟ้าที่มีพลังงานลึกลับสะสมยังคงลอยขึ้นสู่ระดับความสูงที่กำหนดซึ่งมันลอยไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว
มนุษย์ทุกคนที่อยู่รอบห้องปฏิบัติการต่างวิตกและหวาดผวาเพราะมันเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่รู้จัก
มันทำให้พวกเขาขนลุกและจินตนาการถึงสถานการณ์ที่น่ากลัวโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย
มนุษย์บางคนที่อ่อนแอกว่าจะเริ่มร้องไห้ในขณะที่คนอื่น ๆ กอดกันพยายามหาทางปลอบ ส่วนคนอื่น ๆ ได้ แต่จ้องมองไปบนท้องฟ้าด้วยความคิดที่ว่างเปล่า เพราะไม่สามารถคิดอะไรจะทำอะไรได้เลย
ลูกบอลเหลวดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นเนื่องจากแรงดูดกระจายไปรอบ ๆ ขณะที่ขนาดของมันลดลงเมื่อเวลาผ่านไป การแยกตัวออกจากแรงดูดที่ดูเหมือนมันจะแข็งขึ้น
ปริมาณพลังงานที่บีบอัดภายในลูกบอลส่องแสงสีน้ำเงินขนาดเท่าลูกเทนนิสนี้มีขนาดใหญ่พอที่จะทำลายล้างอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของทวีปได้
เวลาผ่านไปทันใดนั้นนักวิทยาศาสตร์ก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าประหลาดใจภายในลูกบอลที่ส่องแสงสีฟ้าทำให้พวกเขารู้สึกกังวลมากขึ้น
โชคดีที่พลังงานลอยอยู่อย่างเงียบสงบและมั่นคงจนมีขนาดเท่ากับลูกปิงปอง
พลังงานที่ถูกบีบอัดเริ่มไม่เสถียรมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากถึงเกณฑ์ที่กำหนดและมันก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงสร้างความหวาดกลัวให้กับมนุษย์โดยรอบ
ในขณะนี้แม้แต่มนุษย์ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง อาร์กอส ก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติและการดำรงชีวิตทั้งหมดของโลกใบนี้ก้ได้ตึงเครียดขึ้น ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
ราวกับว่าโลกนี้อยู่ภายใต้การคุกคามของลูกบอลพลังงานขนาดเล็กเพียงลูกเดียวเนื่องจากธรรมชาตินั้นเงียบสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์นับพันล้านปี
อวกาศดูเหมือนจะบิดเบี้ยวอย่างกะทันหันและรอยแตกคล้ายใยแมงมุมสีแดงเลือดก่อตัวขึ้น ใต้ลูกบอลพลังงาน ทำให้ลูกบอลนั้นเสถียรภาพมากขึ้น
ยิ่งรอยแตกปรากฏมากขึ้นความรุนแรงยิ่งน้อยลง ก็คือลูกบอลพลังงานดูเหมือนจะเสถียรมากขึ้นและมนุษย์บางคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
รอยแตกเหล่านี้ไม่เพียง แต่ปรากฏใกล้กับลูกบอลที่ส่องแสงสีฟ้า แต่รอยแตกเหล่านี้ปรากฏขึ้นทั่ว อาร์กอส ในมหาสมุทรภายในป่าใต้ดินแม้กระทั่งบนท้องฟ้าที่สูง และทุกๆ ที่
ไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับรอยแตกฉับพลันที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้บนท้องฟ้า แต่จากรูปลักษณ์ของมันไม่มีทางที่จะเป็นสิ่งที่ดีได้
ด้านหนึ่งพวกเขารู้สึกโล่งใจที่ลูกบอลพลังงานแสงสีฟ้าไม่ระเบิดในขณะที่อีกด้านหนึ่งรอยแตกสีแดงดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการบนโลกใบนี้
รอยแตกทั่วโลกเริ่มขยายยตัวขึ้น บางจุดขยายตัวมาก และบางจุดก็ขยายเพียงนิดเดียว ในขณะที่กรอบของมันเป็นช่องว่างสีแดงเลือดภายในเป็นสีดำสนิทโดยไม่ปล่อยให้แสงตะวันดวงเดียวทำให้การตกแต่งภายในสว่างขึ้น
ดูเหมือนทางลงสู่ก้นบึ้งและทำให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบ ๆ รอยแตกนั้นหวาดกลัว
ในขณะนี้หนึ่งในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่นักวิทยาศาสตร์กลัวว่าจะเกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขา
พลังงานที่ดูเหมือนจะคงที่ยังคงบีบอัดตัวเองอย่างต่อเนื่องทำให้มันระเบิด
พลังงานลึกลับจำนวนมหาศาลถูกปลดปล่อยออกมาทำให้รอยแตกสีแดงเลือดสั่นไหวอย่างรุนแรงทำให้พื้นที่รอบ ๆ บิดเบี้ยวมากขึ้น
น่าแปลกใจที่พลังงานจำนวนมหาศาลไม่ได้ทำลายล้างภูมิทัศน์มากกว่าที่มันจะห่อหุ้มดาวเคราะห์ทั้งดวงด้วยสีฟ้าส่องแสงก่อนที่จะรุกรานสิ่งมีชีวิตทุกชนิดและตัวดาวเคราะห์จนกว่ามันจะถึงแกนกลาง
ไม่มีสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่รอดพ้นและโลกทั้งใบก็สั่นสะเทือนสร้างแผ่นดินไหวและสึนามิการระเบิดของภูเขาไฟขณะที่มันถูกรุกรานโดยพลังงานที่ไม่รู้จัก
หุบเหวดำมืดเหมือนด้านในของรอยแตกสีแดงเลือดเปลี่ยนเป็นภูมิประเทศที่มีสีสันแตกต่างกันหลายร้อยแห่ง
ในขณะที่ภูมิประเทศเหล่านี้หลายแห่งดูสวยงามด้วยภูเขาที่สูงตระหง่านป่าที่มีชีวิตชีวาและมหาสมุทรที่สะอาด แต่การมองเห็นรอยแตกอื่น ๆ ไม่ได้ทำให้มีความสุขและสวยงามอย่างที่มนุษย์คิดเมื่อสักครู่
สิ่งมีชีวิตที่ดูน่ากลัวที่มีฟันที่แหลมคม เกล็ดหนา หางขนาดใหญ่และความกระหายเลือดในดวงตาของพวกเขาก้าวผ่านรอยแตกบางอย่างในขณะที่สิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอื่น ๆ อีกมากมายเข้าสู่ อาร์กอส ผ่านรอยแตก
สะพานเชื่อมระหว่างโลกที่แตกต่างกันปรากฏขึ้นและ อาร์กอส เข้าสู่ยุคมืดครั้งใหม่ของการทำลายล้างและความตาย