ดวงตาของเทพเจ้า God’s eyes – ตอนที่ 36

ตอนที่ 36

เมื่อสงบลง เกร็กจึงมองไปที่อาร์ทิมิสจากหัวไปยังกรงเล็บและเขาก็มองกลับมาที่เจสัน

“ เจสันนี่คือสัตว์พันธะของนายเหรอ นกฮูกหิมะ…? ฉันว่ามันจะไม่อ่อนแอไปหน่อยหรอ…”

เกร็กพูดอย่างผิดหวัง

ในตอนแรกเขาหวังว่าเจสันจะพบสัตว์ป่าระดับหนึ่งดาวที่ดีเพื่อทำสัญญา แต่นกฮูกเกล็ดหิมะนั้นอ่อนแอในการต่อสู้ แต่ความเร็วของพวกมันก็เร็วเป็นพิเศษ

เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์ป่าระดับหนึ่งดาวอื่น ๆ ความแข็งแกร่งของพวกมันอ่อนแอเกินไป

เจสันเข้าใจถึงความกังวลของเกร็ก เจสันจึงจะอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้เขาฟัง ขณะที่อาร์เทมิสเริ่มโวยวายและกระพือปีกอย่างรุนแรง

“ ใจเย็น ๆก่อน อาร์เทมิส … เขาไม่ได้หมายความแบบนั้น”

เจสันพยายามทำให้อาร์เทมิสสงบลงและใช้เวลาสองสามนาทีก่อนที่ มันจะขยับกลับเข้ามาที่ไหล่ของเจสัน

เกร็กไม่สนใจความโกรธเคืองของอาร์เทมิส แต่มาเลียที่ยืนเงียบ ๆ อยู่ข้างหลังสังเกตเห็นบางอย่างซึ่งทำให้เธอตกใจ

เธออดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย

“มันเข้าใจภาษามนุษย์ได้หรอ เป็นไปไม่ได้สำหรับสัตว์ป่าระดับหนึ่ง !! สมองของมันกลายพันธุ์หรือยังไง”

เมื่อใกล้ชิดกับเด็กทั้งสองมากขึ้น เธอก็ลืมที่จะระวังเจสันเพราะเธออยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสัตว์ร้ายมาโดยตลอด

ครอบครัวของเธอเป็นพ่อค้าสัตว์ร้ายที่มีชื่อเสียงและพวกเขายังจับสัตว์ร้ายบางตัวให้กับขุนนางคนอื่น ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งความโปรดปราน เงินก้อนใหญ่หรือสิ่งของหายากและสิ่งสำคัญคือต้องคือสัตว์ชนิดใดหายาก

นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องหาวิธีตรวจสอบการกลายพันธุ์ของสัตว์ร้าย

ศักยภาพคือทุกสิ่งทุกอย่างในธุรกิจนี้และการจับสัตว์ร้ายที่มีศักยภาพมากขึ้นจะทำให้พวกเขาได้รับเครดิตมากขึ้น

ในขณะที่พ่อแม่ของเธอเก่งในการค้นหาสัตว์ร้ายที่มีศักยภาพ แต่เธอก็ไม่เก่งเท่าพ่อแม่ของเธอ

มาเลียอายุเพียง 16 ปีและยังคงอยากที่จะเรียนรู้อีกมากมายเกี่ยวกับสัตว์ร้าย

มีเวลามากพอที่เธอจะได้เรียนรู้จากความรู้ของพ่อแม่และเมื่อได้เห็นสัตว์พันธะของเจสัน

เธอต้องการที่จะอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น

เจสันประหลาดใจและมองไปที่อาร์เทมิสแล้วสงสัยว่ามันเข้าใจภาษามนุษย์ได้ยังไง

อาร์เทมิส มองไปที่เจสันและถ่ายทอดข้อความไปทางจิตวิญญาณของเจสันว่าเธอนั้นไม่ได้เข้าใจภาษาของมนุษย์ทั้งหมด เธอเพียงแค่เข้าใจความหมายของประคำโยคคำพูดบางอย่างเท่านั้นเอง

เจสันได้หันหน้าไปทางมาเลีย และตอบคำถามของเธอขณะที่มองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลกลมโตของเธอ

“มันไม่ได้เข้าใจภาษามนุษย์อย่างชัดเจน แต่มันแค่พอเข้าใจความหมายของเกร็กที่เขาพูดออกมา”

มาเลียเกร็งขึ้นชั่ววินาทีเมื่อสบตากัน แต่เธอสังเกตเห็นว่าคราวนี้ดวงตาของเขาไม่ได้ข่มขู่เธอเลย

สิ่งนี้ทำให้ความตึงเครียดของเธอคลายลงเล็กน้อยและเธอมองนานขึ้นเล็กน้อยในดวงตาของเจสันที่ดูค่อนข้างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความอบอุ่นในตอนนี้

`ดวงตานั้น สวยงามจัง ‘

มาเลียหน้าแดงเล็กน้อย

“แต่มันยังฉลาดมากและมีการกลายพันธฺุเล็กน้อยจึงแข็งแกร่งพวกนกฮูกหิมะทั่วๆ ไป”

เจสันยืนอยู่ระหว่างมาเลียและเกร็ก ทั้งคู่มองเจสันด้วยความคาดหวัง

มาเลียอยากรู้อยากเห็นและแก้มที่แดงของเธอค่อยๆลดลงจนเป็นผิวธรรมดาของเธอในขณะที่เธอมองเจสันอย่างคาดหวังในขณะที่เกร็กก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นหลังจากฟังบทสนทนาของทั้งคู่

เจสันได้มองไปที่เกร็กและพูดว่า

“ ก่อนอื่น… เกร็ก นายอาจจะพูดถูกเกี่ยวกับนกฮูกเกล็ดหิมะธรรมดา แต่สำหรับอาร์เทมิสมันพิเศษและไม่อ่อนแอเลย การควบคุมมานาของนายควรแม่นยำพอที่จะรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของสัตว์ป่าและตำแหน่งมือใหม่ นั่นควรเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อนายพบคนใหม่ ๆ ไม่ใช่หรือและด้วยเหตุนี้นายน่าจะรู้อยู่แล้วว่าอาร์เทมิสเป็นสัตว์ป่าสองดาว “

เจสันรู้สึกภาคภูมิใจและในเวลาเดียวกันก็เหมือนเป็นครูเพราะทั้งมาเลียและเกร็กไม่ได้สแกนความผันผวนมานาของอาร์เทมิสเลยเพราะทั้งคู่มั่นใจว่ามันเป็นสัตว์ป่าระดับหนึ่งที่อ่อนแอ

ทั้งคู่รู้สึกอายทันทีเพราะพ่อแม่ของพวกเขาเคยสอนเรื่องนี้มาก่อน

‘อย่าดูถูกใคร … อย่าลืมค้นหาว่าคนที่อยู่ตรงข้ามคุณคือใครและเขาแข็งแกร่งแค่ไหน … ความรู้คือพลัง …และมันไม่เคยทำให้ใครผิดหวังหากรู้ตัวตนของคนนั้นๆ แล้ว’

แต่นั่นไม่ใช่ส่วนที่น่าตกใจ

สิ่งที่ทำให้พวกเขาสับสนที่สุดคือประโยคสุดท้ายที่เจสันพูดและทั้งคู่ก็ปล่อยมานาของพวกเขาทันทีเพื่อสแกนอาร์เทมิส

“ ห๊ะ?”

“เหลือเชื่อ”

การรู้สึกถึงความผันผวนมานาของอาร์เทมิสที่อันดับสัตว์ป่าสองดาวทำให้ทั้งคู่มองไปที่เจสันและอ้าปากค้าง

ในความคิดของเขาทั้งสองดูโง่เขลามากทำให้เจสันยิ้มเบา ๆ

เจสันรู้สึกถึงความมั่นใจของอาร์เทมิสที่เพิ่มขึ้นและความภาคภูมิใจของมันทำให้ความรู้สึกของเจสันดีขึ้นและใบหน้าของเขาก็เปี่ยมล้นไปด้วยความภาคภูมิใจ

นี่เป็นครั้งแรกสำหรับเจสันที่เขาได้รับอิทธิพลจากอารมณ์ของสัตว์พันธะ

เจสันหันไปถามมาเลีย

“เธอชื่อมาเลียใช่ไหม ฉันหวังว่าเธอจะไม่รังเกียจที่ฉันจะเรียกเธอด้วยชื่อของเธอ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้รับการกลายพันธุ์หรืออย่างน้อยมันก็ไม่ใช่นกฮูกเกล็ดหิมะธรรมดา แต่บอกตามตรงว่ามันถูกระบุว่าเป็นนกฮูกเกล็ดหิมะกลายพันธุ์ที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะเกิดมาพร้อมกับโรคเช่นตาบอดเป็นต้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้คนอื่นไม่สนใจมัน “

“แต่อย่างที่เธอเห็นว่ามันมีสุขภาพดีและแข็งแรงกว่านกฮูกเกล็ดหิมะทั่วไปเนื่องจากปัญหาของมันนั้นค่อนข้างจะแก้ไขได้ง่าย”

`ยกเว้นความตะกละของมันละนะ ‘

เจสันถอนหายใจเข้าข้างใน

เกร็กฟังเจสันอย่างเงียบ ๆ และคิดเกี่ยวกับบางสิ่งในขณะที่มาเลียกำลังครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ ในการสแกนผ่านอาร์เทมิส

มันทำให้อาร์เทมิสรู้สึกอึดอัดและเริ่มไปซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจสัน

มาเลียหลีกเลี่ยงการจ้องมองเมื่อสังเกตเห็นว่าเจสันพูดจบ

ในช่วงที่มีการระบาดของมานาหลายวัฒนธรรมปรากฏขึ้นและหายไป ในขณะที่ประเพณีบางอย่างถูกผสมผสานกับวัฒนธรรมอื่น ๆ

และหนึ่งในกฎหมายที่ไม่ปรากฏในสังคมคือการพูดอย่างสุภาพกับอัจฉริยะและขุนนางซึ่งรวมถึงการเรียกใครบางคนด้วย ชื่อสกุล

ความโกรธของมาเลียลดลงและเธอก็มองกลับไปที่อารืเทมิสทันทีเมื่อมีความคิดเข้ามาในใจของเธอ

`อืม ก็ดี แต่เดียวก่อน! .`

“ ทำไมนายถึงเลือกสัตว์ร้ายดาวเดียวที่กลายพันธุ์ ฉันเห็นวิญญาณของนายตื่นขึ้นและมีพลังวิญญาณที่อ่อนแอ นายควรจะเลือกสัตว์ที่มีระดับต่ำมากกว่าไปเสี่ยงเอาสัตว์ที่เกิดการกลายพันะุ์ที่ผิดปกติ ถึงแม้นายจะบอกว่านายรู้สึกว่ามันควรเป็นของนายก็เถอะ นายอาจจะโชคดีแต่มันก็เสี่ยงเกินไปนะ”

เธอสับสนมากเกินไปเกี่ยวกับเด็กหนุ่มหน้าตาประหลาด แต่หน้าตาดีต่อหน้าเธอทำให้เธอถามอย่างตรงไปตรงมา

เกร็กมีความคิดเดียวกันและเขาก็อุทานเสียงดังหลังจากที่ได้ยินพี่สาวของเขาพูดถึงเรื่องนั้น

“ใช่ !! ทำไมนายถึงเลือกสัตว์ร้ายที่นายแค่รู้สึกว่ามันจะดีต่อนาย ?? มันจะไม่ไร้เดียงสาเกินไปเหรอ ??”

เขาพูดออกมาอย่างเสียงดังด้วยความเป็นห่วง

“เกร็ก !! นายเป็นคนที่สามารถพูดอะไรแบบออกมาได้งั้นหรอ! นายเองยังไปเชื่อเขาเกี่ยวกับสัตว์ร้ายของนายเลย นายเนี่ยไร้เดียงสากว่าเจสันอีก… “

มาเลียพูดอย่างหงุดหงิดกับน้องชายของเธอ ที่พูดเกี่ยวกับความไร้เดียงสาเพราะตัวเกร็กเองก็ยังเลือกสัตว์ร้ายที่อ่อนแอ ถึงแม้จะโชคดีที่มารู้ทีหลังว่าเป็นสายเลือดของ มิโนทอร์แคระ สัตว์สองเท้าระดับตำนาน

มาเลียและพ่อแม่ของเธอไม่เชื่อว่าเจสันรู้เรื่องนั้นและคิดเพียงว่านี่เป็นการค้นพบที่โชคดีและพวกเขาก็ดุเกร็กมาก

เกร็กเริ่มหน้ามุ่ยซึ่งดูน่าตลกและเจสันรู้สึกตกใจจนจะสะอื้นออกมาเมื่อได้ยินเกร็กตะโกนใส่

“พี่พูดแบบนั้นได้ไง มิโนทอร์ของผมยังดีกว่าสัตว์ร้ายตัวแรกของพี่อีก พี่นั้นแหละไร้เดียงสา”

“แกร๊ก !!!”

มาเลียเปลี่ยนเป็นสีแดงจากความโกรธ

เจสันคิดว่ามันตลกดีที่เห็นคู่พี่น้องทะเลาะกันและใช้เวลาสักพักก่อนที่ทั้งคู่จะสงบลง …

มาเลียและเกร็กลืมเรื่องของเจสันไปแล้ว

เมื่อเห็นเขายิ้มอย่างมีความสุข เกร็กและมาเลียก็รู้สึกเขินอาย

เป็นเวลานานมากแล้วที่เจสันได้รู้สึกมีความสุขในขณะที่อยู่กับคนอื่นยกเว้นอาร์เทมิส

เมื่อนึกถึงครั้งสุดท้ายที่เขาอยู่กับคนอื่น ๆ เจสันสังเกตว่าเขาไม่เคยมีเพื่อนเลยนอกจากแม่ของเขา

“ พวกเขาจะเป็นเพื่อนของฉันหรือเปล่านะ “

เจสันเกาหัวอย่างเชื่องช้า และก็อายเล็กเพียงเล็กน้อย

อย่างไรก็ตามมันจะน่าอายกว่านี้ ถ้าเจสันถามทั้งคู่ว่าตอนนี้ ทั้งคู่เป็นเพื่อนของเขาหรือไม่

ดังนั้นเขาจึงหลีกเลี่ยงคำถามนี้

เจสันไม่รู้จะพูดอะไรในตอนนี้และสถานการณ์ทั้งหมดก็น่าอึดอัด

จึงสันจึงพูดไปว่า

“พ่อแม่ของพวกนาย อยู่ที่ไหนฉันต้องแสดงให้พวกเขาเห็นว่าฉันทำงานสำเร็จแล้ว”

เขาพยายามเปลี่ยนเรื่องด้วยเรื่องนี้และในทางเทคนิคแล้วมันเป็นเหตุผลเดียวที่เขามาที่คฤหาสน์

มาเลียดึงสติกลับและลุกขึ้นนั่งหลังตรงก่อนจะพูดอย่างจริงจัง

“พวกเขากำลังจับสัตว์วิเศษอยู่ข้างนอก และฉันไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะกลับมาเมื่อไหร่ แม่ของฉันมอบหน้าที่ให้ฉันดูตรวจสอบงานของนาย และฉันจะรายงานอันดับของนายรวมถึงสัตว์พันธะและอื่น ๆ เท่านั้น “

ก่อนที่เจสันจะพูดอะไรอีกมาเลียมองเข้าไปในตาของเขาโดยไม่หวาดกลัวอีกต่อไปเมื่อเธอถามอย่างจริงจัง

“ขอดูพวกซากศพของตัว์ป่าระดับห้าดาวหรือซากสัตว์ที่ตื่นขึ้นมาได้ไหม แม่บอกให้ฉันบันทึกทุกอย่างเอาไว้”

ตอนต่อไปมีชื่อว่า “ระ ระ หรือว่าคุณจะแอบชอบ….”

ดวงตาของเทพเจ้า God’s eyes

ดวงตาของเทพเจ้า God’s eyes

จากการสูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก เขาต้องเอาชีวิตรอดในโลกที่เขามองไม่เห็น … คนตาบอดที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวเหมือนกาฝากตามทาง

ในสังคมยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยศิลปะการต่อสู้และจิตวิญญาณในการบังคับให้เติบโต

ความคิดของเขานั้นแตกต่างจากคนรอบข้างในขณะที่เขาไม่รังเกียจที่จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวของเขาเอง วันที่เขาถูกปลุกดวงวิญญาณของเขา

คือวันที่เขาร้องไห้ด้วยความสิ้นหวังในขณะที่พระเจ้าเล่นตลกกับเขา เนื่องจากการปลุกดวงวิญญาณของเขาเป็นพรจอมปลอม

ใครๆก็คิดว่าเขานั้นตาบอด จนกระทั่งวินาทีที่เขาเบิกเนตรสีทองของเขาที่กระพริบเป็นประกาย

ที่รอคอยที่จะกลืนกินทุกคนที่กล้าขัดขวางเส้นทางของเขาไปสู่ยอดเป้าหมาย โปรดติดตามเจสันในการเดินทางผจญภัยทั่วโลกอันกว้างใหญ่นี้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท