เขาหันกลับมามองลู่เซิ่นกล่าวอย่างจริงจังว่า “ตอนนี้จ้านเซินคงจะไม่รู้ ว่าพวกเรามีหน้ากากหนังคนที่สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ ต่อให้เขาสั่งลูกน้องตามหาก็ต้องให้รูปถ่ายกับพวกเขา บอกลักษณะทางกายภาพโดยทั่วไปกับพวกเขา ดังนั้นคนเหล่านั้นก็ต้องคิดว่าพวกเราเป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง”
ฉินซีพูดทีละคำทีละประโยค ได้ยินเธอพูดเช่นนี้ความสงสัยที่ลู่เซิ่นมีก็ค่อยๆคลี่คลาย
แม้ว่าฉินซีพูดยังไม่ทันจบ แต่ลู่เซิ่นก็พอจะเข้าใจความหมายของเธอแล้ว
มองดูฉินซีที่กำลังภูมิใจ ลู่เซิ่นก็ไม่ได้ขัดเธอ กลับนั่งฟังอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ
ลู่เซิ่นรู้ว่า ถ้าในเวลานี้ไม่ให้เธอพูดต่อไป ฉินซีก็จะรู้สึกไม่มีความสุขแน่นอน
“ถ้าฉันปลอมตัวเป็นผู้ชายแล้วติดตามข้างกายคุณ แบบนี้จะปลอดภัยกว่าไหม”
ฉินซีกล่าวอย่างจริงจัง ปลุกความคิดของลู่เซิ่น
ความจริงสิ่งที่ฉินซีพูดก็มีเหตุผล ตอนนี้จ้านเซินกับคนพวกนั้นก็เข้าใจเช่นนั้น เมื่อเห็นหนึ่งชายหนึ่งหญิงก็จะต้องตรวจค้นอย่างละเอียด
ถ้าเป็นผู้ชายสองคน ก็จะสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายมากกว่า
แต่ลู่เซิ่นคิดว่าถ้าใช้วิธีนี้จะรู้สึกผิดต่อฉินซีมาก เขามองฉินซีด้วยความห่วง “เป็นเพราะฉันไร้ประโยชน์ ดังนั้นจึงทำให้คุณต้องพเนจรไปกับฉัน”
มองสีหน้าเศร้าๆของเขาฉินซีรีบปลอบใจว่า “ไม่โทษคุณหรอ ฉันชอบความรู้สึกในตอนนี้มาก คุณก็รู้ว่าฉันไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไป ฉันไม่ใช่นกขมิ้นในกรงฉันหวังว่าจะสามารถอยู่เคียงข้างคุณและเผชิญปัญหาด้วยกันเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงแค่นี้ สำหรับฉันแล้วไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย”
วันเก่าๆที่ผ่านมา เธอลำบากมากกว่าตอนนี้อีก
ในองค์กรไม่มีการแบ่งแยกชายหญิง การฝึกทางกายภาพทั้งหมดเหมือนกัน
อาจารย์ที่สอนพวกเธอ ไม่มีความสงสารเพียงเพราะเธอเป็นผู้หญิง
จวบจนบัดนี้ ฉินซียังจำสิ่งที่อาจารย์พูดในขณะนั้นได้ชัดเจน เธอบอกว่าถ้าฉันยอมให้คุณขี้เกียจตอนนี้ วันที่คุณไปอยู่ในสนามรบ คุณอาจจะถูกศัตรูฆ่าได้
เมื่อก่อนฉินซีไม่ชอบอาจารย์คนนั้นมาก รู้สึกว่าอาจารย์คนนั้นไร้มนุษยธรรม
แต่ต่อมาเมื่อมีการปฏิบัติภารกิจหลายๆครั้ง ความคิดของเธอก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลง
โดยเฉพาะตอนที่ฉินซีต้องเผชิญกับวิกฤตชีวิตและความตายเพิ่งนึกถึงความดีของอาจารย์ท่านนั้น
ความทุกข์ยากไม่เคยแบ่งแยกชายหญิง ในสนามรบก็เช่นกัน
อยากมีชีวิตรอด คุณก็ต้องแข็งแกร่งกว่าฝ่ายตรงข้าม มิเช่นนั้นคุณจะกลายเป็นหมูบนเขียง ถูกคนหั่น
ฉินซียิ่งเห็นใจลู่เซิ่นยิ่งรู้สึกละอายใจต่อเธอ
ลู่เซิ่นแอบคิดในใจในอนาคตจะต้องดีกับฉินซีให้มากเป็นเท่าตัว จะไม่ยอมให้เธอต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป
ตอนนี้ทั้งสองแค่กำลังหลบหนีชั่วคราวเท่านั้นรอทางโจวเอ้อเตรียมการเรียบร้อยแล้ว เขาจะพาฉินซีกลับไป
หลังจากที่ได้รู้ความคิดของอีกฝ่ายแล้วฉินซีกับลู่เซิ่นไม่เพียงแต่จิตใจจะไม่รู้สึกแปลกแยกแต่กลับใกล้ชิดกันมากขึ้น ปฏิบัติต่อกันเสมือนเป็นกำลังใจสุดท้ายของกันและกัน
เห็นฉินซียืนยันจะใส่หน้ากากหนังคนผู้ชาย ลู่เซิ่นก็ไม่ได้ขัดขวางอีก
เขาเพียงแต่เตือนด้วยเสียงเบาๆ “ถ้าคุณตัดสินใจจะใส่หน้ากากหนังคนอันนี้ ก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย”
ทันทีที่คำกล่าวนี้ออกไป ฉินซีจึงนึกขึ้นได้
เธอพยักหน้า “มีเหตุผล เช่นนั้นฉันไปเปลี่ยนที่ด้านหลังสักครู่ คุณรอฉันสักครู่นะ”
ฉินซีรูปร่างสูงมาก ต่อให้เทียบกับเด็กผู้ชายก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย
ดังนั้นหลังจากที่เธอใส่ชุดผู้ชายแล้ว ไม่ได้มีความรู้สึกผิดปกติเลย แต่กลับหล่อมาก
ลู่เซิ่นคิดว่าหน้ากากหนังคนที่ตนเองทำ ก็ธรรมดาพอแล้ว เขาไม่ต้องการที่จะโอ้อวดเกินไปเพราะทั้งสองกำลังอยู่ในช่วงหลบหนี ดึงดูดความสนใจมากเกินไปจะไม่ดี
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นฉินซีเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วเดินมา ก็รู้สึกเสียใจทันที
ทำไมเขาไม่ทำหน้ากากให้มันน่าเกลียดกว่านี้อีกนิด ทำไมหลังจากที่ฉินซีใส่มันแล้ว ยังดูสวยอยู่เลย
ลู่เซิ่นรู้สึกหงุดหงิด คิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเกิดจากบุคลิกของฉินซี
เธอแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ด้านหลังก็ดูดีกว่าคนอื่นๆ
หลังจากที่ฉินซีเดินมา เห็นลู่เซิ่นกำลังจ้องมองอยู่ มีลมหายใจที่มืดและไม่ชัดเจนในดวงตา
เธอเอียงศีรษะเล็กๆ ถามอย่างไม่เข้าใจ “อาเซิ่นคุณเป็นอะไรไป?”
ไม่รู้ว่าทำไม เธอรู้สึกว่าแววตาของลู่เซิ่นแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ถูกว่ามันแปลกยังไง
“ไม่มีอะไร”
ลู่เซิ่นพูดด้วยเสียงแหบ ระงับความหวั่นไหวในใจ
ฉินซีรู้สึกว่าอารมณ์ของเขาไม่ค่อยปกติ แต่เห็นว่าเขาไม่อยากพูด จึงไม่ได้ฝืนใจเขา “คุณมายืนอึ้งอะไรตรงนี้ ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว คุณยังไม่ได้ใส่หน้ากากเลย”
เธอจ้องเขม็งลู่เซิ่นมีความไม่พอใจอยู่ในคำพูด
มองหน้าเนียนๆของฉินซีลู่เซิ่นอยู่ดีๆก็รู้สึกโชคดี
โชคดีที่ฉินซีเลือกหน้ากากผู้ชาย มิเช่นนั้น วันหน้าเขาคงจะต้องมาคอยไล่พวกผู้ชายที่เหมือนหมาป่าและเสือทั้งวันแน่ๆ
ลู่เซิ่นคิดกลับไปกลับมาในใจเป็นพันเป็นร้อยรอบ เห็นเธอไม่สบายใจ รีบพูดว่า “ฉันจะใส่เดี๋ยวนี้”
ใส่หน้ากากต่อหน้าฉินซี
หลังจากฉินซีเห็นลู่เซิ่นใส่หน้ากากเรียบร้อยแล้ว เกิดความคิดเดียวกับเขา
เธออดไม่ได้ที่จะพูด“อาเซิ่น ครั้งหน้าตอนคุณทำหน้ากาก ทำให้มันน่าเกลียดกว่านี้หน่อยนะ”
ถึงแม้หน้ากากจะใส่ไว้ในกล่อง ดูธรรมดามาก แต่ไม่รู้ทำไม หลังจากใส่บนหน้าลู่เซิ่นแล้ว ความรู้สึกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ความคิดของคนสองคนตรงกันลู่เซิ่นเม้มปาก “ได้ ฉันจะจำไว้”
ต่อให้ฉินซีไม่พูด ครั้งหน้าเขาก็จะทำเช่นนี้เหมือนกัน
“งั้นเรารีบไปกันเถอะ ออกเดินทางไปที่ที่หนึ่ง”
ฉินซีพูดอย่างตื่นเต้น ตอนนี้เธอเพิ่งจะรู้สึกว่าได้หนีออกมาองค์กรจริงๆแล้ว เริ่มต้นชีวิตพเนจร
แต่การพเนจรครั้งนี้แตกต่างไปจากการพเนจรปกติ พวกเขามีเงิน เพียงแต่ไม่สามารถใช้ใบหน้าเดิมเพื่อใช้ชีวิตภายนอกได้
ฉินซีไม่ได้สนใจส่วนนี้ เรื่องของรูปลักษณ์มันเป็นสิ่งนอกกายอยู่แล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ คนที่อยู่เคียงข้างคือใคร และในระหว่างที่เธอท่องเที่ยว มีความสุขมากแค่ไหน
ถ้าใช้ใบหน้าเดิม คงจะเที่ยวได้ไม่เต็มที่
เพราะเธอกับลู่เซิ่นมีรูปลักษณ์ที่ดูดีมาก เดินไปที่ไหนก็จะถูกคนมอง แม้แต่แอบถ่าย ความรู้สึกนี้มันแย่จริงๆ
ยังมีบางคน ทำเหมือนพวกเขาเหมือนดารา จะขอถ่ายรูป ขอลายเซ็น
สิ่งเหล่านี้สำหรับฉินซีแล้ว เป็นเรื่องที่ปวดหัวมาก
เปลี่ยนมาเป็นหน้าตาในตอนนี้ น่าจะลดความกังวลเหล่านี้ได้บ้าง
แต่สิ่งที่ฉินซีคิดไม่ถึงก็คือ เมื่อเธอกับลู่เซิ่นปรากฏตัวที่สวนสนุก ก็ยังคงมีคนจ้องมอง รูปลักษณ์และบุคลิกก็เป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง สิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือเพราะมือของฉินซีกับลู่เซิ่น จับกันไว้แน่น