ตอนที่ 54 ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัว
คู่ต่อสู้ของหยางเย่รอบนี้ไม่ใช่ผู้รับใช้แห่งดาบ แต่เป็นแรดทมิฬ แรดตัวนี้มีขนาดใหญ่มหึมา มันสูงราวสามเมตร ลำตัวกว้างประมาณห้าเท่าของหยางเย่ ทั้งยังมีดวงตาเท่ากำปั้นมนุษย์ ลักษณะที่เด่นชัดคือเขาแหลมสองอันบนหัว เขาของมันยาวประมาณเมตรครึ่ง โดยเฉพาะขอบและส่วนปลายเขา พวกมันดูน่าสยดสยองยิ่งนัก มันราวกับดาบสองคมที่ปล่อยแรงกดดันมหาศาลออกมา!
นอกจากสองเขาบนหัวมัน หยางเย่ยังหวาดกลัวในเกล็ดสีดำทมิฬ ร่างกายมันห่อหุ้มไปด้วยเกล็ดพวกนั้นราวกับสวมชุดเกราะเหล็ก จากความหนาที่เห็น หยางเย่แทบไม่ต้องสัมผัสเพื่อให้ทราบว่าแข็งเพียงใด
“สัตว์อสูรทมิฬขั้นปราณราชัน แรดเกล็ดทมิฬ! หอคอยนี้ช่างเหนือกว่าจินตนาการของเรานัก!” ขณะมองไปยังร่างมหึมาตรงหน้า หยางเย่แสดงท่าทีกดดันออกมา
ความแข็งแกร่งของยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์ยังไม่ร้ายกาจมากเท่าไหร่ เพราะหยางเย่ได้สัมผัสมันมาด้วยตนเองแล้ว แต่สัตว์อสูรทมิฬขั้นราชันที่ยังไม่เคยเจอนั้น กล่าวได้ว่ามันน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
โดยปกติในเขตแดนใต้ สัตว์อสูรทมิฬมักจะจู่โจมผู้ใช้พลังปราณในขั้นเดียวกันหรือต่ำกว่า โดยเฉพาะมนุษย์ที่ยังไม่บรรลุขั้นปราณจิตวิญญาณ เพราะพลังป้องกันทางกายภาพของมนุษย์ไม่อาจทัดเทียมได้กับสัตว์อสูรทมิฬ ยิ่งสัตว์อสูรทมิฬที่มีความสามารถโดยธรรมชาติ มันเป็นไปได้ยากที่จะสามารถเอาชนะได้หากปะทะกันในระยะประชิด แม้กระทั่งบรรดาอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย
มนุษย์มีข้อได้เปรียบจากการบรรลุขั้นปราณจิตวิญญาณ เพราะยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณสามารถเปลี่ยนพลังปราณให้เป็นปีกได้ พวกเขาสามารถโบยบินกลางอากาศ ต่อสู้กลางอากาศได้ ยิ่งกว่านั้นยังมีพลังพิเศษในขั้นปราณจิตวิญญาณ ด้วยความสามารถขนาดนี้ พวกเขาสามารถใช้ต่อกรกับข้อเสียเปรียบของพวกสัตว์อสูรทมิฬได้
บัดนี้หยางเย่ไม่เพียงต้องสู้กับสัตว์อสูรทมิฬ เขายังต้องสู้กับตัวที่มีขั้นพลังปราณสูงกว่าถึงสองขั้น ความยากลำบากในครั้งนี้มันเห็นได้ชัดเจนนัก
หยางเย่หัวเราะเหยียดหยามตนเอง ‘ในวันนั้นเรากล้าท้าสู้กับสัตว์อสูรทมิฬระดับเก้าขณะที่อยู่เพียงระดับเจ็ดขั้นปราณมนุษย์ บัดนี้มันเป็นเพียงสัตว์อสูรทมิฬขั้นราชัน ดังนั้นยังจะต้องเกรงกลัวอะไรอีก? มันไม่ใช่เราหรอกหรือที่ปรารถนาการต่อสู้? เจ้าสัตว์ยักษ์ตรงหน้านี้จะเป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควรหรือเปล่านะ?’
หลังจากจัดการความคิดเรียบร้อย ท่าทีหยางเย่ที่มองไปยังแรดตรงหน้าไม่มีความกดดันเหมือนครั้งแรก แต่กลับเป็นความสงบแทน อย่างไรก็ตามหยางเย่ก็ไม่กล้าประมาท เขาสูดหายใจลึก ดาบที่ชี้ลงด้านล่างถูกอัดไปด้วยพลังปราณในร่างกายอย่างคลุ้มคลั่ง
ด้วยพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อนเข้าสู่ดาบ ไม่เพียงแค่จะกลายเป็นสีทองเท่านั้น มันยังเปล่งประกายแสงสลัวออกมา เวลานี้ดวงตาหยางเย่จ้องเขม็งก่อนจะฟันดาบไปยังแรดเกล็ดทมิฬตรงหน้า
“พลังดาบแยกลมปราณ!” หยางเย่ตะโกนดังลั่นพร้อมปราณดาบสีทองพุ่งออกมาจากปลายดาบ ปราณดาบพุ่งไปราวกับสายฟ้า มันมาถึงยังแรดเกล็ดทมิฬด้วยเวลาเพียงสองลมหายใจ
ขณะที่ปราณดาบหยางเย่ถูกปล่อยออกมา แรดเกล็ดทมิฬก็เริ่มขยับตัวเช่นกัน มันไม่หลบปราณดาบ ทั้งยังพุ่งเข้าปะทะอย่างรวดเร็ว
ปั้ง!
ปราณดาบสีทองฟันไปยังหัวของแรด ไม่เพียงแค่มันจะไม่บาดเจ็บ มันยังกระแทกกลับจนปราณดาบหยางเย่หายไปหมดสิ้น ยิ่งกว่านั้นความเร็วในการจู่โจมก็ไม่ลดลง มันกลายเป็นเงาสีดำพุ่งชนไปยังหยางเย่อย่างรุนแรง
ดวงตาหยางเย่กระตุกเมื่อเห็นปราณดาบของตนเองไม่สามารถทำอะไรได้ ‘พลังป้องกันมันร้ายกาจกว่าที่เราจิตนาการไว้!’
หยางเย่ไม่มีเวลามานึกคิดมากนัก เขาโคจรพลังปราณสู่ดาบอีกครั้งก่อนจะกระทืบเท้าขวาไปบนพื้น ร่างของเขากระโจนขึ้นกลางอากาศพร้อมกับฟาดฟัดดาบลงมาอีกครั้ง
เคล้ง!
ดาบที่ฟันไปยังหัวของแรด มันทำให้เกิดประกายไฟกระจายไปรอบด้าน แรงที่พุ่งมาจากแรดเกล็ดทมิฬทำให้ใบหน้าหยางเย่ดูเคร่งเครียดขึ้นมา ในเวลาไม่นานร่างขนาดมหึมานี้กระแทกหยางเย่จนลอยขึ้น เขาปลิวไปไกลกว่าสิบเมตรก่อนจะชนอย่างจังเข้ากับกำแพง
หยางเย่รีบลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจเลือดที่ไหลซึมออกมาจากร่างกาย เพียงไม่นานเงาสีดำก็ได้มาปรากฏตรงหน้าเขาแล้ว
ดวงตาหยางเย่หรี่เล็กลง ถึงแม้จะมีร่างกายที่ทนทานเพียงใด มันก็ไม่อาจปะทะกับสัตว์อสูรทมิฬขั้นราชันได้เลยงั้นหรือ?
เขาใช้ก้าววายุโดยสัญชาตญาณ และขยับไปด้านข้างประมาณหกเมตรเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ
แต่เพียงไม่นาน แรดเกล็ดทมิฬหันไปพุ่งใส่หยางเย่อีกครั้งอย่างรวดเร็ว
‘รวดเร็วอะไรปานนี้! เหตุใดสัตว์อสูรทมิฬถึงได้คล่องแคล่วยิ่งนัก!’ หยางเย่ค่อนข้างประหลาดใจเมื่อเห็นแรดเกล็ดทมิฬพุ่งมาที่เขาอีกครั้ง ความเร็วของมันเหนือกว่าที่หยางเย่คาดคิดไว้มาก เขาไม่ประมาทอีกต่อไปพร้อมใช้ก้าววายุ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่สำหรับหลบหนี เขาเปลี่ยนมาเป็นท่าทีพร้อมโจมตีเพื่อปะทะกับสัตว์อสูรทมิฬแทน
เขาใช้กลยุทธ์ที่ใช้ต่อสู้กับจ้าวอสรพิษในหุบเขาวายุเหมันต์ หยางเย่ไม่เข้าสู้โดยตรง แต่กลับวนไปมาเพื่อค้นหาโอกาสในการโจมตี
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ไม่เพียงแค่หยางเย่จะล้มเหลว เขายังเกือบโดนแรดเกล็ดทมิฬแทงอยู่หลายครั้ง เพราะความเร็วและกำลังของสัตว์อสูรขั้นราชันเหนือกว่าจ้าวอสรพิษหลายเท่านัก แม้จะมีร่างกายที่ใหญ่โต มันก็ไม่ได้เป็นข้อเสียเปรียบแต่อย่างใด
ยิ่งกว่านั้นพลังป้องกันของมันยังทำให้หยางเย่แทบจะหมดหวัง เขาโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนไปยังร่างของแรดเกล็ดทมิฬ มันแทบจะไม่ระคายผิวเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามแขนของเขากลับชาจากแรงปะทะกับเกล็ดของมัน
วิชาดาบไร้ค่าทันทีที่ปะทะกับแรดเกล็ดทมิฬในการต่อสู้ระยะประชิด มันไม่ต่างอะไรกับกำลังรอคอยความตาย ถึงแม้จะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อหาโอกาสโจมตีก็ไร้ประโยชน์ สำหรับการต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิตของหยางเย่ มันจะไม่เป็นเช่นนี้หากสมองเขายังปกติ
พละกำลังที่ร้ายกาจและการป้องกันที่สมบูรณ์แบบ!
หยางเย่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากแล้ว
เขาไม่ทราบว่าขณะที่กำลังอยู่ในนรกแห่งนี้ บางคนด้านนอกหอคอยกลับแย่ยิ่งกว่า คนผู้นั้นไม่ใช่ใครเสียนอกจากผู้อาวุโสเฉาหัว
เวลานี้เขามองไปยังเปาเอ๋อที่ยื่นมือเล็กจ้อยออกมา เฉาหัวตกอยู่สถานการณ์ที่ลำบากนัก เขาไม่ต้องการจะมอบหีบดาบล้ำค่าให้เปาเอ๋อ เพราะมันใช้เวลาหลายปีสำหรับสะสมแต้มจากสำนัก เพื่อจะแลกเปลี่ยนสามสิบหกดาบระดับสูงขั้นสีเหลืองมาอยู่ในหีบดาบล้ำค่า ทั้งยังต้องจ่ายราคาสูงเพื่อจะให้อาจารย์ยันต์มาลงอักขระให้
มันกล่าวได้ว่าหีบดาบล้ำค่าไม่ใช่สิ่งที่ปกป้องชีวิตเขา แต่มันเป็นทั้งชีวิตของเขา เขาไม่ตั้งใจจะมอบให้เปาเอ๋ออย่างแน่นอน! แต่เขาทราบดีว่าจะเกิดสิ่งใดหากกลับคำ หากไม่ออกจากสำนักดาบราชัน เขาจะต้องรับผลกระทบที่ทุกข์ทรมานแน่!
เวลานี้ข้างในจิตใจเฉาหัวเต็มไปด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง หากเขาทราบว่าเจียงหยวนจะเป็นดั่งเช่นผู้เข้าทดสอบคนอื่น เขาคงไม่กล้าเดิมพันไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันเป็นตัวอย่างจากการทำร้ายตนเองจากการกระทำของตนเองได้อย่างดี
ผู้อาวุโสเชียนก็เสียใจด้วยเช่นกัน เขาเสียใจที่ไม่รับเดิมพันของเฉาหัว หากเขารับเดิมพันเฉาหัว ตอนนี้เขาคงมีสมบัติที่สามารถปกป้องชีวิตเขาได้
โชคร้ายที่ไม่มียาเม็ดบรรเทาความเจ็บใจในโลกนี้ มิเช่นนั้นพวกเขาคงซื้อคนละเม็ด!
“ตาเฒ่า หยุดลังเลและส่งหีบดาบล้ำค่ามาให้ไว!” เปาเอ๋อชี้พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้ความอดทน
ท่าทีของเฉาหัวเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินเปาเอ๋อขณะกำลังตัดสินใจว่าควรหนีหรือไม่ “ตาเฒ่า เจ้าคงไม่คิดจะกลับคำหรอกใช่หรือไม่?”
เมื่อกล่าวจบ เปาเอ๋อรู้สึกว่ามันอาจเป็นไปได้มากที่เฉาหัวจะกลับคำ “ข้าทราบดีว่าไม่มีผู้อาวุโสใดในอาวุโสนอกเป็นคนดีหรอก ข้าจะกลับไปบอกท่านปู่และบอกให้เขาอย่าลงอักขระให้ตาเฒ่าอย่างพวกเจ้า!”
ตอนนี้มันเป็นเรื่องที่จริงจังขึ้นมาแล้ว รอยยิ้มที่เคยปรากฏบนหน้าของบรรดาผู้อาวุโสหายไปหมดสิ้น พวกเขาหันไปมองเฉาหัวด้วยท่าทีชิงชัง
เฟิงอวี่กล่าว “พี่หัวยอมรับความพ่ายแพ้เสีย เมื่อแพ้แล้วก็ควรมอบหีบดาบล้ำค่าให้เปาเอ๋อ อย่าทำให้พวกเราผู้อาวุโสขายหน้าไปมากกว่านี้!”
“ถูกต้อง มันเป็นเพียงหีบดาบล้ำค่าไม่ใช่หรือ? เร็วเข้าพี่หัว รีบส่งมันไป อย่าทำลายชื่อเสียงของผู้อาวุโสอีกเลย!”
“พี่หัว ข้าจะบอกท่านให้ทราบ หากท่านกล้ากลับคำ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าพวกเราไม่เตือน!”
“ถูกต้อง ถูกต้อง! เร็วเข้าส่งหีบดาบล้ำค่าไป อย่าทำให้เปาเอ๋อโกรธ…” เวลานี้บรรดาผู้อาวุโสช่วยกันเจรจาเพื่อให้เฉาหัวส่งหีบดาบล้ำค่าไป
ท่าทีของเฉาหัวตอนนี้น่าเกลียดยิ่งนัก ‘พวกเจ้าทุกคนกล้าบอกว่ามันเป็นเพียงหีบดาบล้ำค่างั้นหรือ? พวกเจ้าหมายความว่ายังไงที่ข้าจะทำให้ชื่อเสียงของผู้อาวุโสย่อยยับ?’
เฉาหัวต้องการที่ตบหน้าสหายที่ไร้ยางอายไปให้ไกลถึงขุนเขาไม่สิ้นสุด ‘ไม่ใช่เพราะพวกเจ้าเกรงกลัวปู่ของนางปีศาจน้อยนี้หรอกหรือ? พวกเจ้าควรจะกล่าวโดยเป็นธรรมสิ!?’
พวกเขาทุกคนเลือกละทิ้งเฉาหัว! ถือเป็นเรื่องน่าขัน! สำนักนอกถึงกับยอมรับนางปีศาจน้อยที่อดีตก่อเรื่องไว้มากมาย ทั้งนี้นางยังเป็นผู้ที่เห็นปลาตายตัวเดียวก็ทิ้งหมดบ่อ หากคิดกล่าวถึงหลักความจริงและเหตุผลกับนาง เรื่องราวย่อมไม่อาจกระทำ ดังนั้นพวกเขาจึงยอมทอดทิ้งเฉาหัว!
ท้ายที่สุดภายใต้สายตาที่ไม่เป็นมิตรของบรรดาผู้อาวุโสและเปาเอ๋อ ใบหน้าของเฉาหัวบิดเบี้ยวไปมาอย่างต่อเนื่องจนต้องนำหีบดาบล้ำค่าออกมา
หีบดาบล้ำค่ายาวกว่าหนึ่งเมตรและกว้างประมาณสองฝ่ามือ กล่าวได้ว่าค่อนข้างใหญ่และเป็นสีดำ ทั้งยังมีสัญลักษณ์แปลกประหลาดอยู่ตรงหน้า
เปาเอ๋อไม่สนใจท่าทีเจ็บปวดของเฉาหัว นางยิ้มขณะรับหีบดาบล้ำค่าจากเขา จากนั้นดึงเข้าไปเช็คดูก่อนจะกล่าว “ไม่เห็นมีสิ่งใดน่าสนใจสักอย่าง หากมันเป็นค่ายกลดาบล้อมโลกาจากดาบขั้นสีดำและถูกลงอักขระโดยท่านปู่ของข้า มันก็คงไม่เลวเท่าไหร่”
ก่อนเฉาหัวจะทันกล่าวคำใด นางจึงโพล่งคำทำร้ายจิตใจต่อ “รับชมหีบดาบของเจ้า นี่ข้ายังไม่กล่าวว่าสามสิบหกดาบนี้เป็นเศษเดนเพียงใด เพราะทราบดีว่าเจ้านั้นข้นแค้น กระนั้นยามพูดถึงเรื่องการจารึก รับชมที่อักขระเหล่านี้ที่ทั้งหละหลวมและไม่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเป็นงานของอาจารย์ยันต์ไร้ซึ่งฝีมือ เคล็ดวิชาที่ฝึกปรือกล่าวว่าด้อยยิ่งกว่าข้า โดยสรุปแล้ว หีบดาบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับถังขยะ! กระนั้นดูเจ้าเสียดายปานตายเพียงนั้น เปาเอ๋อจึงต้องดูถูกต่อเจ้า!”
เฉาหัวรู้สึกโกรธและปวดร้าวอยู่ข้างในอย่างมาก ‘นางบังอาจกล่าวเช่นนั้นได้อย่างไร!’
เมื่อไม่อาจทนต่อความโกรธได้ เฉาหัวทำได้เพียงเดินหันหลังจากไป
บรรดาผู้อาวุโสมองไปยังเฉาหัวที่จากไปอย่างน่าสงสาร จากนั้นเขาหันกลับมามองเปาเอ๋อพร้อมส่ายหัว พวกเขาทุกคนต้องการจะบอกว่า — เจ้าเด็กอวดรวย คิดจริงหรือว่าทุกคนจะร่ำรวยเหมือนอาจารย์ยันต์เช่นเจ้า!?
แต่พวกเขาก็ฉลาดพอที่จะหุบปากไว้สนิท เพราะพวกเขาอาจจะโดนเหยียดหยามกลับหากกล่าวออกไป
เปาเอ๋อหาได้สนใจเฉาหัวที่โกรธแค้นจนถอยหนีไปไม่ นางมองที่หีบดาบล้ำค่าในมือ สายตานางเผยประกายพร้อมกล่าว “แม้หีบดาบนี้เป็นเศษเดน ทว่าก็ไม่แย่ที่ผู้ใช้แรงงานตัวจ้อยจะใช้งาน เมื่อใดเขาออกมา ค่อยให้หีบดาบนี้แลกเปลี่ยนกับสหายตัวจ้อยนั้นคงดีไม่น้อย เหอะเหอะ…”