ตอนที่ 461 รับมือ
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังมองหน้ากันไปมาอยู่นั้น เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของสวีรั่วชีก็ดังขึ้นมา บนหน้าจอแสดงชื่อของสวีอันหราน สวีรั่วชีรู้อยู่แก่ใจดี คงจะเพราะว่าโดนเหยียนเค่อให้มาไถ่ถามเป็นแน่
สวีรั่วชีรับโทรศัพท์ นึกไม่ถึงว่าเสียงที่ลอดออกมาจากปลายสายจะไม่ใช่น้ำเสียงละมุนอย่างที่เป็นมาตลอดของสวีอันหราน
“เขาเป็นยังงบ้าง” ถึงเสียงจะแหบพร่าไปหน่อยแต่ก็ยังคงเยียบเย็น
สวีรั่วชีรำคาญผู้ชายอย่างเหยียนเค่อที่สุด เขาเป็นคนขอให้เธอช่วยแท้ๆ แต่กลับทำตัวเหมือนว่าคนอื่นไปติดเงินเขาอย่างนั้นแหละ
“นายถามเองไหมล่ะ” เธอขัดเขาด้วยความหงุดหงิด
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่รู้ว่าเธอกำลังคุยอยู่กับใคร แต่ดูจากสีหน้าแล้วก็คงเป็นคนสนิทใกล้ชิด เธอเอามือล้วงกระเป๋า ยืนเอารองเท้าบู๊ทขี่ม้าเขี่ยวาดพื้นดินไปมา
สวีรั่วชียังไม่ทันคุยโทรศัพท์เสร็จก็รู้สึกได้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วส่งสัญญาณให้เธอเหลือบมองไปข้างหน้า
ซย่าเสี่ยวมั่วยืนหันข้าง บังอยู่ด้านหน้าของสวีรั่วชีพอดี ไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้เดินเข้ามาหาทำไม
“เหมือนว่าจะมีคนเข้ามาหาเรื่อง ช่วยบอกสวีอันหรานให้ด้วย ฉันอยากให้เขาจัดการเฉิงซินด้วยตัวเอง” ความอดทนของสวีรั่วชีก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน การท้าทายขีดจำกัดของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ เห็นว่าเธอเป็นแม่พระหรืออย่างไร “เดี๋ยวฉันจะส่งรูปคนที่ทำร้ายซย่าเสี่ยวมั่วให้นาย”
เหยียนเค่อครางรับเสียงต่ำ คนหน้าเนื้อใจเสือสองคนมาร่วมมือกัน ไม่เชื่อว่าเจ้าพวกงั่งเฉิงซีนั่นจะงัดลูกไม้อะไรออกมาได้อีก
เหยียนเค่อรู้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วไม่เป็นอะไร ในที่สุดความตึงเครียดภายในจิตใจก็ผ่อนคลายลง ก่อนจะเอาโทรศัพท์ส่งคืนให้สวีอันหราน แล้วกลับไปประชุมเจรจาในรอบที่สองต่อ
สวีอันหรานอยากจะคุยกบภรรยาตัวเองต่อ แต่สุดท้ายกลับโดนเหยียนเค่อยึดเวลาไปใช้หมด ตอนนี้จำต้องกลับไปตั้งใจทำงานก่อน
ซย่าเสี่ยวมั่วปรายตาขึ้นมองคนที่ยืนอยู่รอบๆ ปราดหนึ่ง ก่อนจะก้มลงมองพื้นต่ออย่างเซ็งจิต
คนกลุ่มนั้นค่อยๆ ล้อมพวกเธอไว้ในวง มีคนที่ยิ้มสะใจ และมีคนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน
พนักงานที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร คนพวกนี้ล้วนมาจากตระกูลที่มีอิทธิพลและอำนาจทั้งนั้น ถ้าเข้าไปห้ามล่ะก็ ต้องทำให้พวกเขาไม่พอใจแน่นอน จึงรีบวิ่งหนีไป ขอโทษด้วยจริงๆ ถือว่าฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรก็แล้วกันนะ
“ซย่าเสี่ยวมั่วใช่ไหม” หญิงสาวหน้าเปลือยคนหนึ่งยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าเธอ
ซย่าเสี่ยวมั่วหันไปมองเธอปราดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ “ทำไม”
“หลานชายคนเล็กของบ้านตระกูลมู่เธอยังกล้าทำร้าย ช่างกล้าจริงๆ นะ”
ถ้าตัดเรื่องเนื้อหาที่พูดไป น้ำเสียงและวิธีการพูดของคนคนนี้ช่างทำให้ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ชอบใจเลยจริงๆ
“ก่อนอื่น ฉันทำร้ายใคร แล้วเกี่ยวอะไรกับเธอ” ซย่าเสี่ยวมั่วขมวดคิ้ว ปลายจมูกกระจุ๋มกระจิ๋มนั่นย่นลงเล็กน้อย “ข้อสอง ฉันยังไม่รู้เลยว่าฉันไปทำร้ายเขา แล้วเธอรู้ได้ยังไง”
“มีคนร้ายที่ไหนจะบอกคนอื่นก่อนล่ะว่าตัวเองเป็นคนทำน่ะ” หญิงสาวคนนั้นไม่คิดว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย แถมยังเถียงกับเธออย่างรวดเร็วอีกต่างหาก
“อ๋อ งั้นเธอก็เป็นคนทำใช่ไหม”
“ไม่ใช่สักหน่อย” หญิงสาวปฏิเสธเสียงแข๋ง
ซย่าเสี่ยวมั่วยิ้มอ่อน ใช้เท้าเขี่ยพื้น “เธอก็ไม่ได้ยอมรับออกมาก่อนเหมือนกัน นี่ก็แสดงว่าความจริงแล้วเธอเป็นคนทำไม่ใช่เหรอ แถมตอนนี้เธอยังจะผลักความรับผิดชอบมาให้ฉันอีกต่างหาก”
ตอนแรกสวีรั่วชีอยากจะช่วยพูดปกป้องซย่าเสี่ยวมั่วสักหน่อย แต่เห็นซย่าเสี่ยวมั่วแสดงอำนาจอย่างองอาจเช่นนี้จึงยืนเป็นแบ็คกราวด์อยู่ข้างหลัง
ทันใดนั้นผู้ชายที่ทักทายซย่าเสี่ยวมั่วตอนที่เพิ่งเข้าสนามม้าก็รีบวิ่งเข้ามาบังซย่าเสี่ยวมั่วไว้ ก่อนจะพูดกับผู้หญิงคนนั้น “พอเถอะน่า ระวังหน่อยสิ อย่ากัดไม่ปล่อยแบบนี้สิ เห็นแก่หน้าฉันหน่อย”
ซย่าเสี่ยวมั่วมองมือที่วางพาดอยู่บนไหล่ของตนอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ ก่อนจะออกแรงบิดตัวออกแล้วถลึงตาใส่ผู้ชายคนนั้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กินข้าวกินมั่วๆ ได้ แต่เวลาพูดจาจะพูดมั่วๆ ไม่ได้ เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับฉัน ก็อาจจะเกี่ยวกับนายก็ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะดึงฉันเข้าไปเกี่ยวได้”
“ฉันกำลังช่วยพูดให้เธออยู่นะ ไม่ได้ดึงเธอเข้าไปเกี่ยวสักหน่อย” ชายคนนั้นมองเธออย่างมีความหมาย
สวีรั่วชีจดจำผู้ชายคนนี้จนขึ้นใจ ยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่ปริปากพูดอะไร รอดูว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะจัดการอย่างไร
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากพูดกับคนไม่มีเหตุผลให้เปลืองน้ำลาย จึงเอ่ยขึ้น “ไม่เกี่ยวกับนาย!”
ตอนที่ 462 แก้ไขปัญหา
สวีรั่วชีลอบหัวเราะ ได้เหยียนเค่อมาเต็มๆ เลย คำพูดคำจากกร่างขนาดนี้
ชายคนนั้นไม่คิดว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะดื้อดึงเช่นนี้ ก็ยิ่งสนใจมากขึ้นไปอีก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจนัก “เกี่ยวกับฉันแล้วกันน่า เธอจะเอายังไง”
“อย่ามารังแกคนอื่นนะ” สวีรั่วชีเห็นว่าสถานการณ์ไปต่อไม่ได้แล้วจึงเอ่ยขึ้น “ดูตัวเองก่อนเถอะ อย่าอวดดีนักเลย”
สวีรั่วชีรู้ถึงสถานีและอิทธิพลของครอบครัวคนกลุ่มนี้เป็นอย่างดี ซย่าเสี่ยวมั่วอาจจะไม่รู้จัก แต่
สวีรั่วชีอาจจะเคยเห็นแม้กระทั่งหลุมศพของบรรพบุรุษพวกเขาเลยก็ว่าได้
ชายคนนั้นได้ยินคำพูดของสวีรั่วชีก็มีสีหน้าที่คาดเดาไม่ได้ เขามองสวีรั่วชีดุๆ แต่ไม่ได้เข้ามาวุ่นวายต่อ เพียงแต่ยืนดูอยู่ข้างๆ
อีกฝ่ายยังคงหาเรื่องไม่หยุดหย่อน ซย่าเสี่ยวมั่วรอให้เธอพูดจนปากแห้งแล้วจึงจะจับเอาคำพูดที่เป็นช่องโหว่มาโจมตีกลับ ทั้งสองฝ่ายเถียงกันอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีใครยอมใคร
ความจริงในใจของซย่าเสี่ยวมั่วก็รู้สึกสิ้นหวังไม่น้อย พ่อแม่ของเธอเป็นแค่คนที่ทำงานศิลปะโดยไม่มีอิทธิพลหรืออำนาจอะไรเลย ถ้าไปทำให้พวกเขาไม่พอใจเข้าจริงๆ ก็คงจะตายโดยไม่รู้สาเหตุแน่นอน เธอนึกถึงสวีรั่วชี ในใจก็ยิ่งหนักอึ้งจมดิ่งถึงขั้นสุด
“เธอไม่ต้องหงอยไปหรอกน่า เธอก็มีคนคอยช่วยอยู่เหมือนกันนะ” สวีรั่วชีรู้ว่ายายนี่คิดเพ้อเจ้ออะไรอยู่ในใจอีกแล้ว
ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังจะพูดว่า ‘มีซะที่ไหน’ จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งพาดผ่าน จริงสิ เธอยังมีเสิ่นจิ้งเฉินอยู่ไง! ก่อนจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาโดยพลัน
“ฉันอยากถามเธอหน่อย เธอเกี่ยวข้องอะไรกับผู้ชายที่เข้าโรงพยาบาลงั้นเหรอ มีสิทธิ์อะไรมากัดฉันไม่ปล่อยแบบนี้” จู่ๆ ซย่าเสี่ยวมั่วก็นึกถึงคำพูดของเสิ่นมั่วหลี ใครกล้ามาบังคับเธอก็ไปแจ้งตำรวจได้เลย
“ฉ…ฉันเป็นเพื่อนเขา” หญิงสาวคนนั้นรีบตอบทันที
“เพื่อน?” ซย่าเสี่ยวมั่วเหยียดยิ้ม “คนเป็นเพื่อนแต่กลับไม่ไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลว่าเขาเจ็บหนักแค่ไหน แต่กลับมาอาละวาดใส่คนอื่นมั่วซั่วเหมือนหมาบ้าแบบนี้ สมองเธอคงได้รับการกระทบกระเทือนมาสินะ”
จจากนั้นเธอก็ตวัดมือไปดึงมือสวีรั่วชีให้เดินไปข้างหน้า “เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเธอก็ไม่เกี่ยวกับฉันเหมือนกัน อย่าเอาความโง่ของเธอมาทำให้ฉันต้องเสียเวลา”
ซย่าเสี่ยวมั่วล่ะยอมแพ้ให้กับคนกลุ่มนี้จริงๆ ต่อให้โยนความผิดให้คนอื่นก็ช่วยหาเหตุผลที่ดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรืออย่างไร
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“เธอมีสมองหรือเปล่าเนี่ย ใครกำหนดให้ฉันห้ามเดินงั้นเหรอ แล้วเธอเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรไม่ให้ฉันไป” ซย่าเสี่ยวมั่วปัดมือที่ยื่นมาชี้หน้าเธอออก เธอล่ะเกลียดผู้หญิงที่โมโหจนลืมมาดแบบนี้ที่สุด ช่างไร้มารยาทเสียจริง
“พวกเธอไปหาเฉิงซินจะดีกว่านะ เรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่พวกเธอก็รู้อยู่แก่ใจดี ถ้าคุณมู่ซักไซ้ขึ้นมาล่ะก็ เรื่องก็คงไม่ง่ายเหมือนเวลาเด็กน้อยเถียงกันหรอก” สวีรั่วชียกมือขึ้นโอบไหล่ซย่าเสี่ยวมั่วแล้วปรายตามองผู้หญิงคนนั้นปราดหนึ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินจากไป
หญิงสาวคนนั้นได้ยินสวีรั่วชีพูดเช่นนั้นก็หน้าซีด สุดท้ายก็ไม่กล้ามาตะโกนใส่พวกเธออีก
ซย่าเสี่ยวมั่วโมโหคนพวกนั้นสุดขีด ต้นขาด้านในก็ยังเจ็บแสบ เหงื่อไหลซึมเข้าไปในพลาสเตอร์ ตอนเดินก็ยิ่งรู้สึกเจ็บ
“ไม่เป็นไรนะ?” ตอนที่สวีรั่วชีพาเธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็เห็นเธอนั่งท่าทางดูทรมานเหลือเกิน
ซย่าเสี่ยวมั่วถอดกางเกงสองตัวของตนออก อยากจะดึงพลาสเตอร์ปิดแผลนั่นออกจริงๆ
สวีรั่วชีมองเม็ดเหงื่อที่ไหลชโลมท่อนขาของเธอ ควานหาของในกระเป๋าก็พบว่าตนลืมเอา
พลาสเตอร์มาเพิ่มให้ซย่าเสี่ยวมั่ว จำต้องใช้กระดาษทิชชู่พันให้แก้ขัดไปก่อน
ซย่าเสี่ยวมั่วดึงพลาสเตอร์ที่แปะขาออกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะให้สวีรั่วชีเอากระดาษทิชชู่มาพันให้สองทบ
“ฉันเกลียดกางเกงตัวนี้” ซย่าเสี่ยวมั่วยัดขาเข้าไปอย่างยากลำบาก ลุกขึ้นยืนแล้วใส่กางเกงให้เรียบร้อย ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมกันลมและถุงใบใหญ่ที่ใส่ชุดขี่ม้าไว้ แล้วเดินออกไปกับสวีรั่วชี