ข้าคือเทพเจ้าแห่งเกม I Am the God of Games – ตอนที่ 180

ตอนที่ 180

บทที่ 180 ก็แค่ผู้เล่นที่ผ่านทางมา

จากแลงคาสเตอร์ใช้เวลา 2 วันในการไปถึงโคโดบอสร่าในกรณีที่ไม่ใช้บริการขนส่ง

แม้ว่าฤดูหนาวจะผ่านไปแล้ว หิมะหนาก็ยังคงปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ และก็บฮัมบีสต์จะจมลงไปในหิมะได้อย่างง่ายดาย ส่วนรถม้าเองก็ยากที่จะเคลื่อนไหวในสถานการณ์เช่นนี้ เนื่องจากพวกมันจะลื่นไถลบ่อยครั้ง

ไม่ต้องพูดถึงการเดินทางที่ล่าช้ากว่าปกติถึงหนึ่งในสาม

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาในการออกจากฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์ แม้แต่ในช่วงฤดูหนาว มาร์นี่ก็มักจะนําคาราวานพ่อค้าของเขาออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังแลงคาสเตอร์เพื่อทําการค้า

นั่นคือเหตุผลที่ฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์ มีรถลากเลื่อนขนาดเล็กจํานวนมากให้บริการในราคาถูก (ถึงอย่างนั้นก็ยังอยู่ในสภาพที่ขายไม่ออก)

และสัตว์ลากเลื่อนก็ไม่ใช่ปัญหาเลย ผู้เล่นหลายคนในเมืองไร้ชื่อได้เลี้ยงสัตว์แปลก ๆ จํานวนมาก และส่วนใหญ่ถูกเลี้ยงอย่างปล่อยปละละเลย

เพราะพวกเขาคิดว่าการปล่อยพวกมันเป็นอิสระนั้น จะทําให้ความพยายามทั้งหมดที่พวกเขาใช้ไปกับพวกมันสูญเปล่า และเจ้าของเองก็ทนไม่ได้ที่จะฆ่าพวกมันเพื่อรับ EXP หลังจากที่ทําสัญญากับพวกมัน

นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไม หากผู้เล่นคนใดขอยืมสัตว์เลี้ยงของพวกเขามาใช้งานปกติเช่นการลากเลื่อน เจ้าของจะมอบสัตว์เลี้ยงที่พวกเขาไม่ต้องการให้อย่างมีความสุข

ดังนั้นซิมบ้าและเด็ก ๆ จึงใช้เหรียญเกมเพียงไม่กี่เหรียญที่พวกเขามีเพื่อแลกกับสัตว์เลี้ยง 3 ตัวที่คล้ายกับฮัสกี้น้ําลายยืดที่มีเขาแกะงอกอยู่เหนือหัว และเลื่อนขนาดเล็กที่ดูเหมือนพร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อ

ขณะที่ซิมบ้ากังวลว่ารถเลื่อนจะอยู่ได้นานพอจนกว่าพวกเขาจะพบเกวนโดลินและคนอื่น ๆ หรือไม่ ชายที่ขายเลื่อนให้พวกเขาก็สาบานด้วยชีวิตว่า มันมีความทนทานเหมือนเรือที่เทพเจ้าแห่งเกมสร้างขึ้นในกิจกรรมเกาะมนุยษ์เงือก

ชายผู้ซึ่งเริ่มต้นจากธุรกิจขายผงกระดูกและเกราะส่วนอก ก็เต็มใจที่จะเซ็ตสัญญาว่าการรับประกันของเขาเป็นความจริง และให้เทพเจ้าแห่งเกมเป็นพยาน

เขาดูไม่เหมือนกําลังโกหกจริง ๆ นั่นเป็นสาเหตุที่เด็ก ๆ ตัดสินใจเชื่อเขา

หลังจากเซ็นสัญญา พวกเขาก็กุมบังเหียนของฮัสกี้ทั้ง 3 ตัว และมุ่งหน้าไปยังโคโดบอสร่า

ขุนนางหญิงมีเกวนโดลินอยู่ในอ้อมแขนขณะที่เธอวิ่งไปบนหิมะพร้อมกับสาวใช้ทั้งสอง

พวกเธอไม่ได้เตรียมตัวมาพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ เสื้อผ้าของพวกเธอไม่สามารถป้องกันความหนาวเย็นได้มากนัก ทําให้หิมะค่อย ๆ กัดกินความอบอุ่นในร่างกายออกไปอย่างช้า ๆ

การวิ่งในหิมะต้องใช้พลังกายอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของพวกเธอจึงช้าลง

ตอนนี้เธอสามารถได้ยินเสียงร้องของแรดบลันท์ไล่ตามมาจากด้านหลัง

 แย่แล้ว พวกมันใช้แรดบลันท์ที่สามารถล่าเหยื่อในหิมะได้!  ขุนนางหญิงรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งใจ

ในสองวันที่ผ่านมา เธอรู้สึกราวกับว่าเทพเจ้ากําลังเล่นตลกกับเธอ

โอ้เทพเจ้าแห่งแสงสว่างผู้ทรงอํานาจลินท์…หากท่านได้ยินคําอธิษฐานของผู้ศรัทธาคนนี้ โปรดส่งปาฏิหาริย์ลงมาเพียงเล็กน้อย และช่วยผู้ศรัทธาที่น่าสงสารของท่านด้วยเทอญ!

แน่นอนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เป็นเรื่องจริงที่เทพเจ้าจะประทานพรให้แก่ผู้ศรัทธาของพระองค์ แต่มีเพียงผู้ศรัทธาส่วนน้อยเท่านั้นที่จะได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่นี้ ผู้ศรัทธาส่วนใหญ่ทําได้เพียงมองคนเหล่านั้นอยู่ห่าง ๆ และได้แต่ใช้ชีวิตตามปกติเท่านั้น

และขุนนางหญิงคนนี้ก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

แม้ว่าเธอจะเกิดมาเป็นขุนนาง แต่เธอก็ไม่มีสิทธิ์สืบทอดตําแหน่ง

ครั้งหนึ่งเธอรู้สึกอิจฉาผู้ที่ได้รับเลือกจากศาสนจักรเหล่านั้นให้เป็นบุตรบุญธรรม ด้วยเหตุนี้เธอใช้ชีวิตอย่างสูงส่งและมองลงไปที่พวกเขา และจินตนาการว่าเธอเองก็เป็นคนที่ถูกเลือกเช่นกัน แต่เทพเจ้าคงจะประมาทและลืมเธอไปเพียงชั่วครู่

แต่คนเราต้องเติบโต เมื่อเธอเข้าใจว่าเธอเป็นเพียงคนธรรมดา การมีชีวิตที่ปกติธรรมดาก็ไม่ยากเกินไปที่จะยอมรับ

แล้วเหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นกับเธอ?

ถ้าหาก…มีเทพเจ้าสักองค์ในโลกนี้ที่ปฏิบัติต่อผู้ศัรทธาทุกคนด้วยความอ่อนโยนและเมตตาล่ะก็…จะดีแค่ไหนกันนะ

 หยุด! เจ้าจะหนีไปไหนได้! 

ทหารของโคโดบอสร่าตะโกนไล่หลัง แต่หญิงสาวยังไม่ยอมหยุด

ลูกศรดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาถากข้างหูของเธอ พร้อมกับความรู้สึกแสบร้อนที่ตรงแก้ม

มันเจ็บ

ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่หยุด

หญิงสาวดรู้ดีว่าเธอคงหนีไม่พ้น แต่เธอก็รู้ด้วยว่าการหยุดหมายความว่าเธอจะถูกจับและตายอย่างสิ้นหวัง เธอจึงบังคับให้ตัวเองลืมความเจ็บปวดและก้าวต่อไป

 ข้าฆ่าไอ้เด็ก 3 คนนั้นไปแล้ว! แม้ข้าจะไม่รู้ว่าศพของพวกมันหายไปได้อย่างไร แต่ข้านี่แหละที่ตัดหัวของพวกมันเองกับมือ! 

ทหารที่ไล่ตามมาจากด้านหลังอาจจะแค่ใช้การตายของเด็ก ๆ มาข่มขู่เธอ แต่ก้าวของหญิงสาวก็ยุ่งเหยิงขึ้นเล็กน้อย

เธอคิดเสมอว่าซิมบ้าและเด็กคนอื่น ๆ วิ่งหนีไปในทิศทางตรงกันข้าม หรือไม่ก็ยอมจํานนต่อทหาร แต่เธอไม่เคยคิดว่าพวกเขาจะสู้ตายเพื่อซื้อเวลาให้พวกเธอหลบหนี

ในเวลานั้นเธอรู้สึกเสียใจมาก เธอทําตัวเฉยเมยต่อเด็ก ๆ ตลอดการเดินทาง เพราะการปรากฏตัวของฆาตกรที่ฆ่าบารอนในเจลาเนียทําให้เธอไม่แน่ใจในตัวพวกเด็ก ๆ

เมื่อเธอนึกถึงเรื่องนี้ พวกเขาก็เป็นเด็กดีที่คอยดูแลเธอมาตลอด ถ้าเพียงแต่ข้าใส่ใจพวกเขามากกว่านี้

นั่นคือตอนที่เธอพบว่าสาวใช้ทั้ง 2 ของเธอกําลังมองมาที่เธอด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว

 นายหญิงต้องอยู่ต่อไปและปกป้องคุณหนูนะคะ 

 เดี๋ยวก่อน!  หญิงสาวเข้าใจว่าพวกเธอตั้งใจจะทําอะไร และพยายามที่จะหยุดพวกเธอ แต่ก็ทําได้เพียงส่งเสียงแหบแห้งแผ่วเบาเท่านั้น

วใช้ทั้ง 2 หันหลังกลับแล้ววิ่งเข้าหาทหารของเมืองโคโดบอสร่า ตั้งใจเสียสละตัวเองเพื่อให้นายหญิงมีเวลาหลบหนี

ความจริงทักษะดาบของพวกเธอมีพลังทําลายล้างมากกว่าพวกเด็ก ๆ เล็กน้อย แต่ทักษะเหล่านี้ต้องการความพร้อมทางร่างกายระดับสูง ตอนนี้แขนขาของพวกเธอถูกแช่แข็งจนการไหลเวียนของเลือดหยุดนิ่ง ดังนั้น ทักษะของพวกเธอจึงแสดงประสิทธิภาพออกมาได้ไม่เต็มที่

พวกเธอเกือบจะจนมุมด้วยจํานวนทหารที่มากกว่าหลายต่อหลายครั้ง

แต่พวกมหารไม่ได้ฆ่าสาวใช้ในทันที บางทีอาจเป็นเพราะหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนต้องการสินสงครามเพิ่มเติม

หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนตะโกนสาปแช่งแม่ในขณะที่เขาสั่งโจมตี  ยิงขาของอีเหี้ยนั้นซะ! ใครก็ตามที่ยิงโดนเธอจะได้รับรางวัล! 

นักธนูยิ้มออกมาขณะที่พวกเขาดึงสายธนู

นั่นคือตอนที่รถเลื่อนพุ่งออกมาจากข้างทาง ชนฮัมบีสต์หลายตัวล้มใส่สัตว์ขี่ของทหารตัวอื่น ๆ หันเหความสนใจของพวกทหารไปจากขุนนางหญิงที่กําลังหลบหนี

 ใครวะ?!  หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนพยายามปลอบสัตว์ขี่ของเขา ขณะตะโกนใส่เลื่อนที่ซ่อนอยู่หลังเมฆหิมะที่ฟุ้งกระจายขึ้นมา

ความสําเร็จของเขาอยู่ใกล้แค่เอื้อมกลับถูกคนอื่นหยุดกลางคัน หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนโกรธมาก เขารู้สึกเหมือนปล่อยให้เป็ดต้มในหม้อบินออกไป

 ก็แค่ผู้เล่นที่ผ่านทางมา  ซิมบ้าประกาศเสียงดังพร้อมกับแสยะยิ้มใส่เขา หลังจากที่คว้าสาวใช้ทั้ง 2 ออกมาจากด้านหลังของฝูงฮัมบีสต์ได้  จําเอาไว้ซะ 

 

บทที่ 179 นี่คือจุกบวก PVP!

 ทําไมท่านถึงยังยืนนิ่งอยู่อีกเล่า?! 

ซิมบ้าเป็นคนแรกที่ได้สติ เพราะเขามักจะถูกทหารไล่ล่าไปทั่วเมืองแลงคาสเตอร์หลังจากที่ขโมยของ

เขาหันไปหาผู้หญิงคนนั้นที่ไม่ได้พูดอะไรกับพวกเขามากนัก เธอมีสถานะสูงส่งแต่ไม่มีความเฉลียวฉลาดอะไรเลยอย่างที่ตาลุงมูฟาซาบอก

เขาได้แต่ขมวดคิ้วแล้วตะโกนว่า  วิ่ง! 

หญิงสาวชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะโยนปัญหาระหว่างซิมบ้ากับชายร่างผอมคนนั้นออกไป เธออุ้มเกวนโดลินขี้นมาแล้ววิ่ง

 ซิมบ้า เอาไงดี  ซาซูถามอย่างกังวล เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของขุนนาง

 ตอนนี้มันสายเกินไปแล้วที่จะหนี  ด้วยประสบการณ์การหลบหนีอย่างโชกโชนของเขา ซิมบ้าสังเกตความเร็วของทหารประจําเมืองและทําการคํานวณในใจก่อนจะได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว  เราจะต้องอยู่ที่นี่คอยถ่วงพวกเขาไว้ 

 จําเป็นไหม?  ซาซูถามอย่างอย่างสับสน  เราไม่ใช่เป้าหมายของพวกเขานี่

 ซาซูดูดี ๆ  ซิมบ้าไม่ได้ตอบตรง ๆ

 อะไร?  ซาซูยังคงสับสนอยู่

อย่าคบ. ..

งทหารโคโดบอสร่าเป็นสีแดง และมีแถบ HP อยู่ข้างล่าง 

ซิมบ้าชักดาบออกมาช้า ๆ และพูดอย่างสงบ  ตามที่ลุงมูฟาซาบอก พวกเขาเป็นศัตรู

 แค่นั้นเหรอ? นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องสู้กับทหารเหรอ? 

ซาซูเอามือกุมหัวและมองซิมบ้าราวกับว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว

 มันไม่ใช่อย่างนั้น ข้าอยากจะทําตามสัญญาของลุงมูฟาซา  ซิมบ้าพูดอย่างจริงจัง

 สัญญา? โอ้ ปกป้องคนพวกนั้น 

 พี่ชาย เกวนโดลินและแม่ของเธอ…พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ..  นาล่ากระซิบพลางกะตุกแขนเสื้อของซาซูเบา ๆ

แม้ว่าพวกเธอจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีมิตรภาพระหว่างเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ทั้งสองที่อายุเท่า ๆ กันแล้ว

 อ้าาาา! ข้ารู้แล้ว รู้แล้ว! 

ซาซูดึงไม้กายสิทธิ์ออกมาและตั้งท่าโจมตี

ซิมบ้าพยักหน้าอย่างโล่งอก ดวงตาของเขาคมขึ้น

แม้พวกเขาจะสามารถแสร้งทําตัวเป็นเด็กธรรมดา และพูดคุยกับทหารเพื่อถ่วงเวลาได้โดยไม่ต้องต่อสู้ แต่ทหารไม่ใช่ตํารวจที่เป็นมิตรกับผู้คน ความจริงพวกเขาแย่กว่าตํารวจอเมริกาเสียอีก เพราะพวกเขาสามารถยิงได้ ทันทีโดยไม่ต้องพูดขั้นตอนปฏิบัติตามกฎหมายใด ๆ

(TL:ตํารวจอเมริกา จะต้องพูดประโยคหนึ่งก่อนถึงจะยิงได้ หากผู้ร้ายไม่หยุดหรือยอมจํานนหลังจากตํารวจพูดจบพวกเขาสามารถยิงได้ทันที)

ยังไงซะการฆ่าเด็กที่น่ารําคาญไม่กี่คนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมาตั้งแต่ต้น

ดังนั้นการพยายามพูดคุยกับทหารจะทําให้สถานการณ์ของพวกแย่ลงกว่าเดิม

ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่เขากลายเป็นผู้ที่ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม และได้รับพลังที่เขาไม่สามารถบรรลุได้ในอดีตซิมบ้าก็ไม่ต้องการสัมผัสกับความรู้สึกที่ต้องวางชะตากรรมของตัวเองไว้ในมือคนอื่นอีกต่อไป

 อัลเวน เบธน! จับไอ้เด็กเวรพวกนั้น ฆ่ามันหากพวกมันขัดขืน!  ทหารคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนสั่งอย่างไม่ลังเล  ส่วนที่เหลือมากับข้า เราจะไล่ตามผู้หญิงพวกนั้น! 

หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนได้รับมอบหมายภารกิจจากลอร์ดแห่งโคโดบอสร่า เขาได้นํากองทหารประจําเมืองที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา บุกเข้าไปในคฤหาสน์ของขุนนางหลายแห่ง

เขาไม่คิดว่าพวกซิมบ้าจะเป็นภัยคุกคามใด ๆ แม้ว่าเด็กเหล่านี้จะหยิบอาวุธออกมา และดูเหมือนลูกสิงโตที่พร้อมจะต่อสู้ แต่พวกเด็ก ๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากเสือกระดาษในสายตาของทหาร

แม้พวกเขาอาจจะกลัวกองทัพส่วนตัวที่มีอุปกรณ์ครบครันของขุนนางบางคน แต่พวกเขาไม่มีทางสะดุ้งเมื่อเห็นเด็กเหล่านี้แน่

แต่ไม่นานพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาคิดผิด

เด็กทั้ง 3 ไม่ได้เป็นเพียงก้อนกรวดที่ขวางทาง แต่เป็นกําแพงเหล็กที่แข็งแรง ในขณะที่พวกเขาพุ่งตรงเข้าหาพวกเด็ก ๆ หัวของพวกเขาก็แตกและกระอักเลือดออกมาด้วยความพ่ายแพ้!

เป็นเรื่องจริงที่เด็ก ๆ ในปัจจุบันอ่อนแอมาก แม้จะได้รับ EXP มาจากมนุษย์เงือกหนองน้ําและสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์ แต่พวกเขาก็มีเลเวลเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 7-8 เท่านั้น

สมัยก่อนผู้เล่นที่เลเวลเท่านี้สามารถต่อสู้กับโครงกระดูกหรือก็อบลินได้เท่านั้น

แต่ผู้เล่นในปัจจุบันนั้นแตกต่างจากในอดีตมาก

ในอดีตแม้ผู้เล่นจะได้เรียนรู้ทักษะ แต่พวกเขาก็การขาดประสบการณ์ต่อสู้จริง ทําให้ผู้เล่นรุ่นแรก ๆ ได้แต่ต่อสู้อย่างเงอะงะ และไม่มีใครคิดเกี่ยวกับการคอมโบทักษะเลย

แต่เมื่อผู้เล่นเหล่านั้นศึกษาทักษะและรูปแบบการต่อสู้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พวกเขาก็ได้เรียนรู้สิ่งที่พวกเขาขาด และได้เผยแพร่รายละเอียดเหล่านั้นลงในฟอรัม ดังนั้นผู้เล่นรุ่นใหม่เลยได้รับกลยุทธ์วิธีการเล่นเกมอย่างมีประสิทธิภาพล่วงหน้า ในขณะที่สถิติและทักษะของพวกเขาไม่ได้เหนือกว่าผู้เล่นรุ่นแรก ๆ แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของพวกเขาก็แซงหน้าผู้เล่นรุ่นแรก ๆ ไปไกลแล้ว

หากจะใช้ผู้เล่นวอร์ริเออร์เป็นตัวอย่าง ปฏิกิริยาแรกของผู้เล่นในการเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดระดับต่ํากว่าคือการทิ้งอาวุธและรัดแขนรอบตัวสัตว์ประหลาด เพื่อใช้ทักษะพื้นฐานที่เรียกว่าซูเพล็กซ์จากนั้นพวกเขาก็จะหยิบอาวุธขึ้นมาอีกครั้งเพื่อยิงทักษะอื่น ๆ ใส่เป้าหมาย

แต่การทําเช่นนั้นเป็นการทิ้งเวลาอันมีค่าที่ซูเพล็กซ์สร้างขึ้น

ตอนนี้ผู้เล่นทุกคนได้พัฒนารูปแบบการต่อสู้ที่ราบรื่นยิ่งขึ้นกว่าเก่า

ขั้นตอนแรก พวกเขาจะเริ่มต้นด้วย  พลิ้วไหว  และตามด้วย  แอร์ลันช์  และเมื่อสัตว์ประหลาดลอยอยู่บนอากาศพวกเขาก็จะใช้  เฉือนไว ส่งมันบินไปไกลกว่าเดิม

และเมื่อสัตว์ประหลาดลงสู่พื้น พวกเขาก็จะใช้  ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ดาบผ่าปฐพี  แทงอาวุธลงไปที่พื้นจากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นไปใช้ซูเพล็กซ์ แล้วใช้สไลด์ไปหยิบอาวุธขึ้นมาจากพื้นจากนั้นพลิ้วไหวก็จะหมดเวลาคูลดาวน์ พอดี…

ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับทหารหลายสิบคน เด็กทั้ง 3 ก็อาศัยวิธีการต่อสู้ที่แปลกประหลาดนี้เพื่อยื้อเวลาพวกเขาเอาชนะทหารไปกว่าครึ่ง และทําให้เหล่าทหารล่าช้ไปเกือบ 20 นาทีก่อนจะตายภายใต้คมดาบของหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนเพราะนาล่าเลเวลต่ําเกินที่จะเรียนรู้ทักษะชุบชีวิต

 หัวหน้า ตอนนี้เราจะทํายังไงกันดี  ทหารที่ไม่ได้รับบาดเจ็บคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนและกระซิบถามเสียงเบา

หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนมองไปที่ทหารที่กําลังนอนครวญครางอยู่บนพื้น ใบหน้าของเขาก็ดําเหมือนกันหม้อ

คนเหล่านี้เป็นลูกน้องของเขา และเขาก็ไม่ได้เป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนเพียงคนเดียวของโคโดบอสร่าคนอย่างเขาต้องพึ่งพาทหารใต้บังคับบัญชาหากเขาต้องการที่จะก้าวหน้า

 รองหัวหน้า ไปนําแรดบลันด์ของข้าออกมา!  หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนกัดฟันพูดกับเหล่าทหาร  ข้าไม่เชื่อว่าพวกมันจะหนีจากเงื้อมมือของข้าไปได้! 

ในขณะเดียวกัน ร่างของเด็ก 3 คนก็ปรากฏตัวขึ้นข้างไลฟ์สโตนของเมืองไร้ชื่อ

 อังก์*คืนชีพที่ลุงมูฟาซาซื้อมาให้เรามีประโยชน์จริง ๆ ! ข้าคิดว่าข้าจะต้องถูกขังอยู่ในห้องมืดไปอีก 3 วันซะแล้ว…  ซาซูพูดขณะแตะหน้าอก เขายังจําได้เลยว่าเมื่อกี้เขาถูกดาบแทงเข้าที่หัวใจ  เราควรซื้อเพิ่มดีไหม? 

(TLะสัญลักษณ์ ANKH หรือ องค์ เป็นเครื่องรางที่เก่าแก่และทรงอํานาจมากที่สุด ชาวอียิปต์ถือว่าองค์คือความเป็นอมตะ และชีวิตอันเป็นนิรันดร์ จึงนิยมพกไว้เป็นเครื่องรางประจําตัวเพื่อใช้ชีวิตมีความมั่นคงและมีสุขภาพแข็งแรงและอายุยืนยาว)

 มันราคา 3,000 เหรียญเกมต่อชิ้น และใช้ได้กับผู้เล่นหนึ่งคนต่อวันเท่านั้น  ซิมบ้ากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย นอกจากนี้พวกเจ้า 2 คนควรเตรียมพร้อมที่จะเทเลพอร์ตไปยังฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์แล้วพยายามหาทางไปพบกับเกวนโดลินและคนอื่น ๆ โดยเร็วที่สุด ข้าคิดว่าทหารของเมืองโคโดบอสร่าไม่ยอมร่ามือง่าย ๆ แน่! 

 

บทที่ 178 ดราม่าในโคโดบอสร่า

เกี่ยวกับเหตุผลในการอัปเดตค่าชื่อเสียงของคฤหาสน์ลอร์ดแห่งแลงคาสเตอร์ เราต้องย้อนกลับไปก่อนหน้านี้หนึ่งวัน

ภายใต้คําสั่งของมูฟาซา ซิมบ้ากําลังพาลูกสะใภ้ของลอร์ดแห่งแลงคาสเตอร์และเกวนโดลินทายาทของเขาไปที่โคโดบอสร่าซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับพื้นที่ล่าสัตว์

หญิงสาวพยายามหาข้อมูลจากซิมบ้าและเด็กอีก 2 คน เนื่องจากเธอจําได้ว่ามูฟาซาเป็นฆาตกรที่ฆ่าบารอนไนเจลาเนีย แต่เธอไม่รู้ว่าเด็กเหล่านี้เป็นใคร

อย่างไรก็ตาม ตัดสินจากพฤติกรรมของพวกเขา บางทีฆาตกรคนนั้นอาจมีองค์กรลับในแลงคาสเตอร์คอยให้การสนับสนุนอยู่

แต่ตลอดการเดินทาง เธอไม่สามารถหาโอกาสล้วงข้อมูลใด ๆ ได้เลย

นอกจากเด็กสาวที่ค่อนข้างเงียบคนนั้นแล้ว เด็กชาย 2 คนก็คุยกันแทบจะตลอดเวลา พวกเขาพูดเรื่องแปลก ๆ บางอย่างเช่นธันเดอร์คะแนน  ข้าตายอีกแล้ว หรืออะไรบางอย่าง

บางครั้งเด็กน้อยที่ชื่อซิมบ้าก็จะมองออกไปในอากาศอย่างครุ่นคิด และพึมพําว่า ‘แผนที่นี้ดูแปลก ๆนะนี่เรามาผิดทางรึเปล่า?

จากนั้นเด็กอีก 2 คนก็จะรีบเข้าไปใกล้ซิมบ้าและถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน โดยคนหนึ่งชี้ไปทางซ้าย และอีกคนชี้ไปทางขวาในอากาศ ขณะยืนยันว่าทิศทางที่พวกเขาชี้นั้นถูกต้องแล้วราวกับว่ามีแผนที่อยู่จริง

หญิงสาวรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับหัวของพวกเด็ก ๆ…

เดิมเธอยังสงสัยว่าสายตาของเธอมีปัญหา แต่ภายหลังเมื่อเธอได้รับการยืนยันจากสาวใช้ทั้ง 2 และเกวนโดลินแล้วเธอก็มั่นใจว่าเด็กประหลาดทั้ง 3 คนนั้นต่างหากที่มีปัญหา

 นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ไปเยือนโคโดบอสร่า  ซิมบ้ากล่าวอย่างร่าเริงระหว่างการเดินทาง

 ที่นั่นมีอะไรน่าสนใจรี?  ซาซูถามอย่างสงสัย

แม้ว่านาล่าจะไม่ได้เข้าร่วมการสนทนา แต่ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความอยากรู้อยากเห็นและจับจ้องไปที่ซิมบ้า

 พูดถึงโคโดบอสร่าก็ต้องนึกถึงแรดบลันท์แน่นอน!  ซิมบ้าตอบอย่างมีความสุข  ว่ากันว่าทุกคนที่นั่นชอบแรดบลันท์ และพ่อค้าที่นั่นจะไม่ขายอะไรให้เจ้าถ้าเจ้าไม่มีแรดบลันท์เป็นของตัวเอง! 

 แรดบลันท์คืออะไร?  ซาซูเริ่มสงสัยมากขึ้น

 อืม มันเป็นแรดขนาดประมาณนี้  ซิมบ้ากางมือออกเท่าขนาดของสุนัขพันธุ์ชิบะ  ข้าเห็นมันในร้านขายสัตว์เลี้ยงแห่งหนึ่งในย่านการค้า มันมีราคามากกว่า 500 รออน! 

 โอ้!  ซาซูและน้องสาวดูสนใจมาก

ขุนนางหญิงที่เกิดในเมืองโคโดบอสร่าอดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นมาว่า  เจ้าถูกหลอกแล้ว…คนในโคโดบอสร่าจริง ๆ แล้วไม่ได้คลั่งไคล้แรดบลันท์ 

เป็นความจริงที่ว่าแรดบลันท์ส่วนใหญ่ในทวีปตะวันออกสามารถพบได้ในโคโดบอสร่า และผู้คนที่นั่นก็รักสิ่ง มีชีวิตที่มีเสน่ห์และเงอะงะตัวนั้น แต่การอ้างว่าทุกคนที่นั้นคลั่งไคล้แรดบลันท์จนถึงจุดที่พวกเขาจะไม่ค้าขายกับผู้ที่ไม่ได้เลี้ยงแรดบลันท์ มันเป็นเพียงข่าวลือผิด ๆ เท่านั้น

ในยุคนี้เนื่องจากการแพร่กระจายข่าวสารนั้นล่าช้ามาก และเกือบทั้งหมดถูกส่งต่อกันจากปากต่อปากดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติมากที่ข่าวลือจะถูกขยายออกไปหลายสิบเท่า

และความจริงยังมีสถานการณ์ที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นมากมาย

 อะไร? เรื่องจริงเหรอ?!  ทันใดนั้นซิมบ้าก็หน้าเสีย เขาทรุดลงไปบนพื้นด้วยท่าทางผิดหวัง

 เจ้าจะตกใจเกินไปแล้ว  ซาซูบ่น  เจ้าไม่ได้ตอบสนองขนาดนั้นเมื่อเจ้ากลายเป็นผู้ศรัทธาและได้รับพรหรือว่าการที่ผู้คนในโคโดบอสร่าไม่ได้คลั่งไคล้แรดบลันท์เป็นเรื่องใหญ่สําหรับเจ้า? 

ด้านข้างพวกเขาขุนนางหญิงจับคําหลักได้อย่างรวดเร็ว

ผู้ศรัทธา? พร?

เป็นไปได้ไหมว่าเบื้องหลังของฆาตกรคือศาสนจักรบางแห่ง?

เธอรู้สึกหนาวสั่นโดยตระหนักว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

อย่างไรก็ตามขุนนางหญิงรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่เธอเข้าใกลโคโดบอสร่า

แม้ว่าตระกูลมอร์ริสันที่เป็นครอบครัวเดิมของเธอจะไม่ได้มีอิทธิพลมากเท่ากับลอร์ดโครินแห่งแลงคาสเตอร์แต่ธุรกิจผ้าและเครื่องเทศของพวกเขาก็ได้ยกระดับพวกเขาอยู่เหนือกลุ่มขุนนางเล็ก ๆ ในโคโดบอสร่า

ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงไม่กังวลมากนัก

เนื่องจากเด็กเหล่านี้ไม่ได้ทําอะไรน่ารังเกียจกับเธอระหว่างการเดินทาง เธอก็จะไม่ข้ามเส้นเช่นกันเธออาจจะขังพวกเขาไว้ในบ้านและให้พวกเขาดื่มน้ําแห่งความจริงของนักเล่นแร่แปรธาตุเพื่อสอบถามข้อมูลที่เธอต้องการ

แต่ก่อนจะไปถึงประตูเมือง เสียงแผ่วเบาขาดห้วงก็ดังออกมาจากพุ่มไม้ริมทาง

 นะ นายหญิง? 

หากไม่ใช่เพราะความหูดีของซิมบ้า คนส่วนใหญ่คงจะไม่ได้ยินเสียงเรียกที่แผ่วเบานั้น

หลังจากที่สาวใช้คนหนึ่งใช้ฝักดาบดันพุ่มไม้เที่ยว ๆ ที่ถูกกองทับด้วยหิมะบาง ๆ พวกเขาก็พบว่าด้านหลังพุ่มไม้มีชายชราร่างผอมที่เต็มไปด้วยบาดแผลนอนอยู่ตรงนั้น

หญิงสาวจ้องมองเขาด้วยความสับสน เธอใช้เวลานานพอสมควรก่อนที่เธอจะจําใบหน้าของอีกฝ่ายได้

 พ่อบ้านฟอกซ์? ทําไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่?!  เธอถามด้วยความไม่เชื่อพลางเอามือปิดปาก

 นายท่านและนายหญิง…ถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนทรยศ…พวกเขาถูกลอร์ดแห่งโคโดบอสร่าตัดหัวต่อหน้าสาธารณชนเมื่อ 2 วันก่อน…มันจบแล้วสําหรับตระกูลมอร์ริสัน  ชายชราน้ําตาไหลพรากขณะที่เขากําชายกระโปรงของขุนนางหญิง

 ทําไม..  หญิงสาวก้าวถอยหลังและเกือบจะสะดุดล้ม ดีที่สาวใช้ทั้ง 2 พยุงตัวเธอเอาไว้ได้ทัน

หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะกัดฟันกลั้นสะอื้น  ได้ยังไง ทําไมลอร์ดถึงทําแบบนั้น! ขุนนางคนอื่น ๆ ในโคโดบอสร่าอาจเป็นคนทรยศได้แต่ไม่ใช่พวกเขาแน่! 

 ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นกับท่านตาท่านยาย  เกวนโดลินกระซิบถาม

หญิงสาวไม่ตอบ เธอลูบหัวเกวนโดลินต่อไปขณะที่สะอื้นเบา ๆ

 ลอร์ดแห่งโคโดบอสร่าเสนอตัวที่จะแก้แค้นให้จักรพรรดิ…เพราะจักรพรรดิดูเหมือนตั้งใจที่จะยุติสงคราม หนึ่งปีเพื่อมากําจัดลอร์ดโครินเป็นการส่วนตัว…  พ่อบ้านชราพูดติดอ่าง  ทหารของเมืองกําลังค้นหากลุ่มกบฏที่เหลืออยู่…นายหญิง…ได้โปรดหนีไป 

ก่อนที่คําพูดของเขาจะจบลง เงาของทหารก็ปรากฏขึ้นไม่ไกล บนถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ

 

บทที่ 177 อัปเดตระบบ V3.0

หลังจากช่างเรื่องความรักความแค้นใน 700 ปีที่แล้วหรือการสมรู้ร่วมคิดครั้งใหญ่ที่อาจกินเวลาถึง 700 ปีซีเว่ยก็หันมาทํางานอย่างหนักเพื่อดูดซับชิ้นส่วนความเป็นพระเจ้า

แม้ว่าอเมซอนผู้พิทักษ์แห่งป่าฝนจะเป็นเทพเจ้าโบราณที่มีความเป็นพระเจ้าแข็งแกร่งกว่าเจ้าแห่งน้ํามากแต่ซีเว่ยก็ได้รับมาเพียงเศษเสี้ยวพลังของเธอดังนั้นการดูดซึมจึงไม่ใช่เรื่องยากและเนื่องจากเทพองค์นี้ได้ตายไปกว่า 700 ปีแล้วเจตจํานงดั้งเดิมของเทพที่แฝงอยู่ในความเป็นพระเจ้าส่วนใหญ่จึงได้หายไป

เขาเลยดูดซึมมันได้อย่างราบรื่น

ขณะเดียวกัน ซีเว่ยก็ได้พัฒนาระบบเกมเวอร์ชั่นใหม่อย่างรวดเร็วหลังจากทํางานแบบไม่หยุดพัก

[ติ้ง!]

[อัปเดตระบบ V3.0 เสร็จสมบูรณ์!]

[เพิ่มรายการทักษะชีวิตเพื่อให้ผู้เล่นเรียนรู้และฝึกฝน]

[ทักษะชีวิตมีผลต่อเอฟเฟกต์บางอย่างของเกม ตัวอย่างเช่นเมื่อผู้เล่นฆ่าเป้าหมายด้วย บุชเชอร์ ศพจะไม่หายไปแต่จะถูกแยกชิ้นส่วนเป็นวัตถุดิบที่คัดเกรดแล้ว และไม่มีคุณสมบัติพิเศษพิเศษอื่นแฝงอยู่ใด(ในขณะเดียวกันผู้เล่นก็จะไม่ได้รับ EXP ของเป้าหมายที่ฆ่า)ส่วนผู้เล่นที่เรียนรู้ทักษะชีวิตการทําอาหารจะสามารถใช้วัตถุดิบเหล่านั้นมาปรุงเป็นอาหารและมีโอกาสที่พวกเขาจะทําอาหารที่มีคุณสมบัติพิเศษได้]

[ทักษะชีวิตสามารถเรียนรู้ได้ด้วยคะแนนทักษะแต่ไม่สามารถเพิ่มเลเวลทักษะได้โดยการใช้คะแนนทักษะ ทักษะชีวิตสามารถเพิ่มเลเวลได้โดยการใช้ทักษะชีวิตซ้ําๆ พื่อสะสมค่าความชํานาญ

[การใช้ทักษะชีวิตสามารถได้รับ EXP ยิ่งระดับทักษะชีวิตสูงเท่าไหร่ก็จะยิ่งได้รับคะแนน EXP มากขึ้นหากไม่มีสัตว์ประหลาดให้ต่อสู้การพัฒนาทักษะชีวิตก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง]

[เปิดใช้งานระบบฝึกหัด: ขณะนี้ผู้เล่นสามารถไปที่ร้านค้าระบบใดก็ได้เพื่อเรียนรู้ทักษะชีวิตในฐานะเด็กฝึกงาน(โปรดเตรียมเหรียญเกมให้เพียงพอก่อนไป)]

ระบบทักษะชีวิต เป็นระบบที่ซีเว่ยวางแผนไว้นานแล้วเพื่อผลาญคะแนนทักษะที่เพิ่มขึ้นของผู้เล่น และเปิดช่องทางอื่น ๆ ให้ผู้เล่นได้รับคะแนน EXP นอกเหนือจากการต่อสู้

แน่นอนว่าสําหรับผู้เล่นส่วนใหญ่แทนที่จะได้รับ EXP ผ่านทักษะชีวิต การต่อสู้กับสัตว์ประหลาดจะสะดวกกว่า

ตอนนี้ซีเว่ยยังไม่มีวิธีที่ดีในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้แต่การที่ผู้เล่นกระตือรือร้นที่จะต่อสู้ ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาศาสนจักรแห่งเกม

ยังไงซะนอกเหนือจากระดับของเทพเจ้าแล้วความสามารถในการต่อสู้ของผู้ศรัทธาในศาสนจักรเองก็เป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งที่สําคัญ

นั่นคือเหตุผลที่การดํารงอยู่ของผู้เล่นเป็นมาตรการรับมือที่ชาญฉลาดในการต่อสู้กับศาสนจักรอื่นเนื่องจากเมื่อมองจากมุมหนึ่งพวกเขาก็เป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริงเช่นเดียวกับสาวกที่เคร่งศาสนาของศาสนจักรอื่นและพวกเขาก็สามารถต่อสู้ในนามของศาสนจักรได้

แน่นอนว่านอกจากทักษะชีวิตแล้วการอัพเดตเวอร์ชั่นใหม่นี้ยังมีคลาสใหม่เพิ่มเข้ามาด้วย

[เพิ่มคลาสใหม่ของเรนเจอร์:จังเกิ้ลวอล์คเกอร์]

[คําอธิบายคลาส: จังเกิ้ลวอล์คเกอร์มี  หัวใจมรกต’ ที่เป็นมิตรกับพืชและสัตว์ จังเกิ้ลวอล์คเกอร์สามารถเชื่อมต่อจิตวิญญาณกับสภาพแวดล้อมในป่ารอบตัวของพวกเขา เพื่อรับพร และรับความช่วยเหลือจากป่ายิ่งไปกว่านั้นหัวใจมรกตยังช่วยให้จังเกิ้ลวอล์คเกอร์สามารถผสานความรู้สึกกับธรรมชาติเพื่อขยายขอบเขตการมองเห็นและระยะการได้ยินที่กว้างขึ้น และใช้ธนูได้ดีขึ้น]

[คลิกเพื่อดูวิดีโอตัวอย่าง]

[ข้อกําหนดการเปลี่ยนคลาส: เรนเจอร์เลเวล 15 สามารถทําเควสเปลี่ยนคลาสได้]

เช่นเดียวกับคลาสอื่น ๆ ที่ซีเว่ยเคยสร้างมาก่อนจังเกิลวอล์คเกอร์ถูกสร้างขึ้นหลังจากเขาดูดซับอํานาจจากชิ้นส่วนความเป็นพระเจ้าของผู้พิทักษ์ป่าฝนอเมซอนและสายทักษะของมันก็ยังแบ่งย่อยได้ 3 สาย

สายทักษะแรกคือคนเลี้ยงต้นไม้  เมื่อหัวใจมรกตส่องแสงพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนมานาเป็นพลังชีวิต(พลังชีวิตนี้ไม่ใช่ HP แต่เปลี่ยนจากแถบสีน้ําเงินมานาเป็นแถบสีเขียวพลังชีวิต)จากนั้นด้วยการบริโภคพลังชีวิตพวกเขาจะสามารถเพาะเมล็ดพันธุ์ธรรมดาให้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วได้และต่อสู้โดยการควบคุมพืชหรือการปลูกต้นไม้

ลักษณะพิเศษของคนเลี้ยงต้นไม้คือผู้เล่นสามารถปลูกต้นไม้จํานวนมากเพื่อช่วยในการต่อสู้ล่วงหน้าได้หากพลังชีวิตของพวกเขามีเพียงพอแต่ผู้เล่นที่มุ่งเน้นพัฒนาทักษะในสายนี้ล้วนๆอาจถูกศัตรูทําลายต้นไม้และต้องใช้เวลาปลูกต้นไม้ขึ้นมาใหม่อีกครั้งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขายังจะต้องเผื่อพื้นที่ไว้สําหรับเก็บเมล์ดพันธุ์ในกระเป๋า เผื่อกรณีฉุกเฉินด้วย

สายทักษะที่สองคือเปลี่ยนร่างสัตว์ป่า เมื่อหัวใจมรกตเปล่งแสงพวกเขาจะสามารถกลั่นมานาของพวกเขาให้กลายเป็นผลึกพลังชีวิตและเก็บมันไว้ในร่างกายได้พวกเขาจะบริโภคผลึกเหล่านั้น และต่อสู้โดยการเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ร้ายและสัตว์ประหลาดต่าง ๆ

เปลี่ยนร่างสัตว์ป่ามีลักษณะคล้ายกับดรูอิดในเกมแฟนตาซีออนไลน์บนโลกพวกเขาสามารถแปลงร่างได้ในช่วงเวลาหนึ่งด้วยผลึกพลังชีวิตในทางกลับกันการควบแน่นผลึกพลังชีวิตก็ต้องใช้เวลาเช่นกันในขณะที่จํานวนผลึกพลังชีวิตที่พวกเขาสามารถเก็บไว้ในร่างกายได้จะเพิ่มขึ้นเมื่อเลเวลของเปลี่ยนร่างสัตว์ป่าเพิ่มขึ้นแต่พวกเขาก็ต้องใช้อย่างประหยัดในช่วงแรกเนื่องจากจํานวนผลึกมีจํากัด

จะเห็นได้ว่า ลักษณะของหัวใจมรกตนั้นเป็นรูปแบบการแปลงพลังงานเทพเจ้าที่ด้อยกว่าเช่นเดียวกับวิธีการที่เทพเจ้าใช้เปลี่ยนความศรัทธาไปเป็นพลังงานพระเจ้าหัวใจมรกตก็ช่วยให้ผู้เล่นสามารถเปลี่ยนมานาเป็นพลังชีวิตและสายทักษะที่พวกเขาเลือก จะช่วยให้พวกเขาสามารถเปลี่ยนมันเป็นแถบพลังชีวิตสีเขียวหรือผลึกพลังชีวิตหรืออาจจะอย่างจะครึ่งก็ได้ มันขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้เล่น

แต่สายทักษะสุดท้ายนั้น ไม่สนใจความสามารถในการแปลงพลังงานของหัวใจมรกตเลย  ราชันย์นักล่าอาศัยเพียงการปรับปรุงทางกายภาพเพื่อพัฒนาทักษะการใช้ธนูให้สูงขึ้นโดยใช้ความสัมพันธ์กับป่าเพื่อวางกับดักและรับความสามารถเหนือธรรมชาติด้วยร่างกายของมนุษย์

ราชันย์นักล่า เป็นเรนเจอร์เวอร์ชั่นที่แข็งแกร่งขึ้น แต่เส้นทางนี้ยาวไกลและมีอุปสรรคมากมายเช่นเดียวกับทักษะของพวกเขาที่ต้องการเทคนิคการเล่นที่มากขึ้นมันไม่ต่างจากสายทักษะเร็งโยคของซอร์ดมาสเตอร์เลยเพราะตราบใดที่ผู้เล่นแข็งแกร่งพอ พวกเขาจะสามารถพัฒนาเป็นระดับตํานานได้โดยตรงซึ่งแตกต่างจากความสะดวกสบายของสายอาชีพอื่น ๆ หากพวกเขาปราศจากความเพียรและความสามารถบางอย่าง มันก็ยากที่จะเดินบนถนนสายนี้

นอกจากการเปลี่ยนแปลงทั้งสองนี้การอัปเดตใหม่ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก ขีดจํากัดเลเวลผู้เล่น ยังคงอยู่ที่ 60 เนื่องจากปริมาณพลังงานในชิ้นส่วนของอเมซอนนั้นมีไม่มากนักมันแทบจะไม่สามารถสนับสนุน ซีเว่ยให้จบทักษะชีวิตและพัฒนาคลาสจังเกิ้ลวอล์คเกอร์ได้เนื่องจากเขายังต้องรักษาพลังงานเทพเจ้าจํานวนหนึ่งไว้เป็นทุนสํารองในกรณีฉุกเฉินเพื่อให้บรรลุการอัปเดตครั้งนี้เขาก็ใช้พลังของชิ้นส่วนนั้นจนถึงขีดจํากัดแล้ว

 โอ้ใช่ เกือบลืมไปเลย… 

ซีเว่ยตบหน้าผากตัวเอง

[ระบบชื่อเสียงของคฤหาสน์ลอร์ดแห่งแลงคาสเตอร์เปิดใช้งานแล้ว]

[ชื่อเสียงเริ่มต้นของผู้เล่น:เฉยเมย]

 

บทที่ 175 การประมูล

 

หลังจากได้ยินสิ่งที่สิงโตตัวใหญ่พูดซีเว่ยก็หันไปมองผู้เล่นที่ระเบิดหัวเดรคหนองน้ําจนปลิว

 

แม้ว่าเดรคหนองน้ําจะเป็นสปีชีธ์ที่ใกล้เคียงกับไฮดร้าหนองน้ําแต่มันก็ไม่มีความสามารถเหมือนไฮดร้าที่สามารถงอกหัวขึ้นมาได้อีก 2 หัวเมื่อหัวหนึ่งถูกตัดออกไป

 

ดังนั้นหลังจากที่ผู้เล่นเป่าหัวมันปลิว มันก็ตายอย่างแน่นอน

 

ปกติแล้วซีเว่ยจะไม่ขี้เหนียวเมื่อผู้เล่นสังเวยบอสป่าให้เขาเพราะบอสป่าจะไม่ปรากฏขึ้นอีกหลังจากที่มันถูกฆ่าและมันก็ให้พลังงานเทพเจ้ามหาศาลอีกด้วย

 

ดังนั้นเขาเลยดึงเอาเส้นประสาทหัวใจของสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์ซึ่งมีจํานวนเกือบ 100 ตัวมาทําเป็นสายธนูที่แข็งแกร่งมากด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์จากนั้นเขาก็ถอดซี่โครงของยักษ์แห้งแล้งมาทําเป็นโครงธนูพร้อมกับน้ําผงกระดูกจากศพของเทพเจ้ากระดูกเน่ามาทําเป็นลิ่มเชื่อมโครงธนูเข้ากับสายธนูด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์

 

ในที่สุดเขาก็สร้างเป็นธนูสงครามระดับตํานานสีทองอร่าม ‘ ด้วยวัสดุเหล่านั้นมันเป็นอาวุธระยะไกลที่มีพลังเจาะเกราะที่เหนือชั้นควบคู่ไปล่ากล้องสไนเปอร์ที่สามารถขยายระยะซุ่มยิงแล้วโยนมันให้ผู้เล่น

 

แม้ว่าผู้เล่นจะงงงวยกับชื่อของอาวุธระดับตํานานชิ้นนี้แต่มันก็ไม่ได้หยุดพวกเขาจากความหลงใหลในอาวุธระดับตํานานชิ้นที่สอง

 

“ทําไมเจ้าถึงมาทอยลูกเต๋?! เจ้าเป็นวอร์ริเออร์เจ้าจะเอาธนูไปทําอะไร?”

 

“ข้าใช้มันเป็นไม้เท้าไม่ได้เหรอ!”

 

“อ๊าาา หลังจากที่ข้าปลี่ยนคลาสเป็นชาโดว์โร้คข้าก็ใช้ธนูไม่ได้”

 

“สิ่งนี้ถูกลิขิตมาเพื่อข้า…”

 

“ลิขิตเท้าเจ้าสิ! เจ้าเป็นผู้วิเศษเถอะ!”

 

“ข้าขอร้องให้พวกเจ้าออกไป คลาสเรนเจอร์ของเราเป็นคลาสที่อ่อนแอที่สุดพวกเจ้าไม่มีความเห็นอกเห็นใจกันบ้างเลยรี”

 

“เรนเจอร์อ่อนแอที่สุด? เจ้าได้พิจารณาความรู้สึกของซอร์ดมาสเตอร์และผู้เล่นสายเกิ้งโยคคนนั้นหรือยัง?”

 

“เจ้ากําลังบอกว่าซอร์ดมาสเตอร์อ่อนแอที่สุดได้! เรากลับหมู่บ้านไปดวลกัน!”

 

ในขณะที่ผู้เล่นต่อสู้กันอย่างอลหม่านเพื่อชิงอาวุธระดับตํานานชิ้นที่ 2 ซีเว่ยก็ได้รับศพของเดรคหนองน้ําเขาขดหนวดรอบ ๆ ตัวมันและเริ่มตรวจสอบศพที่ผิดปกตินี้

 

ก่อนอื่นเจ้านี่ไม่ได้มีความเป็นพระเจ้า

 

“ก็เข้าใจได้…” ซีเว่ยไม่ได้ผิดหวังกับเรื่องนี้เลย

 

มันถูกระเบิดโดยผู้เล่นอย่างง่ายดาย อันที่จริงต้องบอกว่ามันตายง่ายเกินไปถ้าความเป็นพระเจ้าของมันมาจากเทพเจ้าจริง ๆ

 

ยิ่งไปกว่านั้นก่อนที่สิ่งมีชีวิตในดินแดนมรรตัยจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตในตํานาน แม้พวกเขาจะได้รับความเป็นพระเจ้ามาแล้วก็ตาม แต่มันก็จะถูกกลืนกินโดยเทพเจ้าที่ตนศรัทธาและกลายเป็นอาหารบํารุงความเป็นพระเจ้าของเทพเจ้าไป

 

ก็เป็นความจริงที่มันมีพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ในระดับหนึ่ง นั่นทําให้เดรคหนองน้ําแข็งแกร่งขึ้น และสามารถเป่าผู้เล่นที่สวมเกราะหนักได้อย่างง่ายดายแต่พลังนั้นก็ค่อย ๆ กัดกินร่างกายของมันด้วยไม่อย่างนั้นด้วยความสามารถในปัจจุบันของผู้เล่นพวกเขาคงเจาะทะลุพลังป้องกันของมันได้ยาก

 

นอกจากนั้นความเป็นพระจ้าที่มันมีก็ทําให้เขารู้สึกแปลก ๆ

 

จริง ๆ แล้วเดรคหนองน้ําไม่ใช่ลูกหลานของเทพเจ้า และมันก็ไม่ใช่ผู้ถูกเลือกหรือครึ่งเทพด้วยแต่ถึงอย่างนั้นกลับมีความเป็นพระเจ้าเข้มขันอยู่ในศพของมันจนเกือบจะถึงระดับของครึ่งเทพ

 

แต่ไม่นานซีเว่ยก็พบข้อมูลที่น่าเหลือเชื่ออีกชิ้นหนึ่ง

 

ลักษณะความเป็นพระเจ้าบนร่างกายของเดรคหนองน้ํา ไม่ได้เป็นของมอสแลนด์สปิริตแต่เป็นอะไรที่เก่าแก่กว่านั้นมาก มันเกี่ยวข้องกับป่าและสัตว์ป่า

 

“เทพย่อยของบีสต์มาสเตอร์ตกลงมาใกล้ ๆ ที่นึ่งั้นเหรอ” ซีเว่ยพยายามหาคําอธิบายที่ฟังดูเข้าท่า “แล้วจากนั้นเจ้านี่ก็บังเอิญได้พบกับสถานที่ ๆ เทพเจ้าองค์นั้นตกลงมา และติดเชื้อจากศพของเทพ?”

 

แต่นั่นก็ไม่น่าใช่

 

เทพเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวแม้ว่าจะเหลือแค่ศพก็ตาม ก็เหมือนกับเทพเจ้ากระดูกเน่าที่ศพของมันถูกซีเว่ยดูดเอาพลังออกไปทุกวันเพื่อใช้พลังของมันสร้างดันเจี้ยนให้ผู้เล่น แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว แต่ความเป็นพระจ้าของมันนั้นก็แทบจะไม่อ่อนแอลงเลย

 

ในทํานองเดียวกันถ้าเทพเจ้าตกลงไปในบึงเซร่าจริง ๆ วิ่งเซร่าก็คงจะกลายเป็นดินแดนแห่งความตายที่น่ากลัวไปอีกนาน

 

นอกจากนี้มีสต์มาสเตอร์ก็ไม่ใช่เทพเจ้าที่เฉยฉาต่อสิ่งมีชีวิตด้านล่าง หากเทพย่อยของเขาตกลงไปที่นั่นจริง ๆ แม้ว่าจะมีบาเรียโลก เขาก็จะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น หรือไม่อย่างน้อยเขาก็จะให้ผู้ศรัทธาของเขาปกป้องที่นี่เอาไว้

 

แต่ไม่มีกลุ่มศาสนาใดอยู่ใกล้บึงเซร่าเลย…

 

นั่นทําให้ซีเว่ยงงมากขึ้นไปอีกว่าทําไมทั้งที่เทพเจ้าก็ตายมานานแล้ว แต่เดรดหนองน้ํากลับพึ่งได้พลังมาเมื่อเร็ว ๆ นี้

 

มันก็ไม่ได้ก่อเรื่องอะไรเลยจนถึงช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มันใช้การบูชาของมนุษย์เงือกหนองน้ําสร้างพิธีกรรมขึ้นมาและใช้พลังเปลี่ยนมนุษย์เงือกหนองน้ําให้เป็นสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์…

 

“ให้ตายเถอะ ตอนนี้มันยากที่จะอนุมาน ฉันต้องการเบาะแสมากกว่านี้”

 

ซีเว่ยยอมแพ้ในการคาดเดาความจริงเกี่ยวกับเดรคหนองน้ํา “แต่ถ้าลางสังหรณ์ของฉันถูกต้องเบาะแสก็น่าจะอยู่ใต้ทะเลสาบที่ดวงตาศักดิ์สิทธิ์ของฉันมองไม่เห็น…”

 

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เขาก็มองไปที่ผู้เล่น และวางแผนจะมอบเควสให้พวกเขาสํารวจกันทะเลสาบ

 

แต่ดูเหมือนตอนนี้ผู้เล่นกําลังมีส่วนร่วมในการประชุมแปลก ๆ อยู่

 

ซีเว่ยฟังบทสนทนาของพวกเขาสักพักแล้วก็พบว่า เครลิคคนหนึ่งหมุนคันธนูระดับตํานานได้แต่เขาบอกว่าเขาไม่ต้องการมันเขาแค่เข้าร่วมทอยลูกเต๋เล่น ๆ แต่กลับมือขึ้น เขาก็เลยตัดสินใจประมูล AWM แทน

 

ดังนั้นก่อนที่ระบบการประมูลที่ซีเว่ยวางแผนไว้จะได้เปิดธุรกิจ ผู้เล่นก็ได้จัดการประมูลครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของศาสนจักรแห่งเกมอย่างดุเดือดแล้ว

 

ตอนนี้ฟอรัมผู้เล่นได้ระเบิดแล้ว เรนเจอร์ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนคลาสแต่ละคน กําลังอ้อนวอนขอยืมเงินจากผู้เล่น คนอื่นราวกับว่าพวกเขาเป็นปู่ย่าตายายของตัวเองเหล่าเรนเจอร์ต่างก็ต้องการซื้อ AWM เพื่อที่พวกเขาจะได้อําลาพลังโจมตีที่อ่อนแอและยึดอกกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทําดาเมท

 

ในขณะเดียวกันเนื่องจากมันเป็นการประมูลผ่านฟอรัม กฎของการประมูลจึงค่อนข้างหยาบ แต่ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น หลังจากผู้เล่นเรนเจอร์แข่งขันกันเสนอราคาการประมูลก็สิ้นสุดลงในไม่ช้า

 

สุดท้ายเป็นโกวต้านที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ได้ AWM ไป เขาประสบความสําเร็จในการยืมเหรียญเกม 20,000 เหรียญจากมาร์นี่ตอนแรกมาร์นี่ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าร่วมการประมูล แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างพวกเขามาร์นี้จึงซื้อ AWM ให้โกวด้านในนามของเขา

 

แต่กระบวนการทั้งหมดตั้งแต่ที่เริ่มต้นการทอยลูกเต๋และจบลงด้วยการประมูลนั้น ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงนอกจากมันจะแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในด้านความคิดสร้างสรรค์เชิงรุกของผู้เล่นแล้วซีเว่ยก็ตระหนักดีว่าเวอร์ชันเกมของเขากําลังตามหลังพัฒนาการของผู้เล่นอยู่ตลอดเวลา

 

หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปอาจมีบางอย่างอยู่เหนือการควบคุมของซีเว่ย

 

แม้ว่าที่โลกเดิมของซีเว่ยการมี Mod* ที่สร้างสรรค์นั้นมีประโยชน์มากในการยืดอายุเกมแต่ในโลกนี้มันหมายถึงการละเมิดอํานาจของเทพเจ้า

 

(TL:Mod ย่อมาจาก Modification คือการปรับแต่งสิ่งอื่น ๆ นอกเหนือจากที่เกมให้มา)

 

“ดูเหมือนว่าจะต้องอัปเดตเวอร์ชันเกมแล้ว…” ซีเว่ยถอนหายใจ“อย่างน้อยเราก็ปล่อยให้ผู้เล่นวิ่งเข้าสู่เส้นทางของลิงที่ชอบการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่ได้”
บทที่ 175 การประมูล
หลังจากได้ยินสิ่งที่สิงโตตัวใหญ่พูดซีเว่ยก็หันไปมองผู้เล่นที่ระเบิดหัวเดรคหนองน้ําจนปลิว
แม้ว่าเดรคหนองน้ําจะเป็นสปีชีธ์ที่ใกล้เคียงกับไฮดร้าหนองน้ําแต่มันก็ไม่มีความสามารถเหมือนไฮดร้าที่สามารถงอกหัวขึ้นมาได้อีก 2 หัวเมื่อหัวหนึ่งถูกตัดออกไป
ดังนั้นหลังจากที่ผู้เล่นเป่าหัวมันปลิว มันก็ตายอย่างแน่นอน
ปกติแล้วซีเว่ยจะไม่ขี้เหนียวเมื่อผู้เล่นสังเวยบอสป่าให้เขาเพราะบอสป่าจะไม่ปรากฏขึ้นอีกหลังจากที่มันถูกฆ่าและมันก็ให้พลังงานเทพเจ้ามหาศาลอีกด้วย
ดังนั้นเขาเลยดึงเอาเส้นประสาทหัวใจของสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์ซึ่งมีจํานวนเกือบ 100 ตัวมาทําเป็นสายธนูที่แข็งแกร่งมากด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์จากนั้นเขาก็ถอดซี่โครงของยักษ์แห้งแล้งมาทําเป็นโครงธนูพร้อมกับน้ําผงกระดูกจากศพของเทพเจ้ากระดูกเน่ามาทําเป็นลิ่มเชื่อมโครงธนูเข้ากับสายธนูด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์
ในที่สุดเขาก็สร้างเป็นธนูสงครามระดับตํานานสีทองอร่าม ‘ ด้วยวัสดุเหล่านั้นมันเป็นอาวุธระยะไกลที่มีพลังเจาะเกราะที่เหนือชั้นควบคู่ไปล่ากล้องสไนเปอร์ที่สามารถขยายระยะซุ่มยิงแล้วโยนมันให้ผู้เล่น
แม้ว่าผู้เล่นจะงงงวยกับชื่อของอาวุธระดับตํานานชิ้นนี้แต่มันก็ไม่ได้หยุดพวกเขาจากความหลงใหลในอาวุธระดับตํานานชิ้นที่สอง
“ทําไมเจ้าถึงมาทอยลูกเต๋?! เจ้าเป็นวอร์ริเออร์เจ้าจะเอาธนูไปทําอะไร?”
“ข้าใช้มันเป็นไม้เท้าไม่ได้เหรอ!”
“อ๊าาา หลังจากที่ข้าปลี่ยนคลาสเป็นชาโดว์โร้คข้าก็ใช้ธนูไม่ได้”
“สิ่งนี้ถูกลิขิตมาเพื่อข้า…”
“ลิขิตเท้าเจ้าสิ! เจ้าเป็นผู้วิเศษเถอะ!”
“ข้าขอร้องให้พวกเจ้าออกไป คลาสเรนเจอร์ของเราเป็นคลาสที่อ่อนแอที่สุดพวกเจ้าไม่มีความเห็นอกเห็นใจกันบ้างเลยรี”
“เรนเจอร์อ่อนแอที่สุด? เจ้าได้พิจารณาความรู้สึกของซอร์ดมาสเตอร์และผู้เล่นสายเกิ้งโยคคนนั้นหรือยัง?”
“เจ้ากําลังบอกว่าซอร์ดมาสเตอร์อ่อนแอที่สุดได้! เรากลับหมู่บ้านไปดวลกัน!”
ในขณะที่ผู้เล่นต่อสู้กันอย่างอลหม่านเพื่อชิงอาวุธระดับตํานานชิ้นที่ 2 ซีเว่ยก็ได้รับศพของเดรคหนองน้ําเขาขดหนวดรอบ ๆ ตัวมันและเริ่มตรวจสอบศพที่ผิดปกตินี้
ก่อนอื่นเจ้านี่ไม่ได้มีความเป็นพระเจ้า
“ก็เข้าใจได้…” ซีเว่ยไม่ได้ผิดหวังกับเรื่องนี้เลย
มันถูกระเบิดโดยผู้เล่นอย่างง่ายดาย อันที่จริงต้องบอกว่ามันตายง่ายเกินไปถ้าความเป็นพระเจ้าของมันมาจากเทพเจ้าจริง ๆ
ยิ่งไปกว่านั้นก่อนที่สิ่งมีชีวิตในดินแดนมรรตัยจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตในตํานาน แม้พวกเขาจะได้รับความเป็นพระเจ้ามาแล้วก็ตาม แต่มันก็จะถูกกลืนกินโดยเทพเจ้าที่ตนศรัทธาและกลายเป็นอาหารบํารุงความเป็นพระเจ้าของเทพเจ้าไป
ก็เป็นความจริงที่มันมีพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ในระดับหนึ่ง นั่นทําให้เดรคหนองน้ําแข็งแกร่งขึ้น และสามารถเป่าผู้เล่นที่สวมเกราะหนักได้อย่างง่ายดายแต่พลังนั้นก็ค่อย ๆ กัดกินร่างกายของมันด้วยไม่อย่างนั้นด้วยความสามารถในปัจจุบันของผู้เล่นพวกเขาคงเจาะทะลุพลังป้องกันของมันได้ยาก
นอกจากนั้นความเป็นพระจ้าที่มันมีก็ทําให้เขารู้สึกแปลก ๆ
จริง ๆ แล้วเดรคหนองน้ําไม่ใช่ลูกหลานของเทพเจ้า และมันก็ไม่ใช่ผู้ถูกเลือกหรือครึ่งเทพด้วยแต่ถึงอย่างนั้นกลับมีความเป็นพระเจ้าเข้มขันอยู่ในศพของมันจนเกือบจะถึงระดับของครึ่งเทพ
แต่ไม่นานซีเว่ยก็พบข้อมูลที่น่าเหลือเชื่ออีกชิ้นหนึ่ง
ลักษณะความเป็นพระเจ้าบนร่างกายของเดรคหนองน้ํา ไม่ได้เป็นของมอสแลนด์สปิริตแต่เป็นอะไรที่เก่าแก่กว่านั้นมาก มันเกี่ยวข้องกับป่าและสัตว์ป่า
“เทพย่อยของบีสต์มาสเตอร์ตกลงมาใกล้ ๆ ที่นึ่งั้นเหรอ” ซีเว่ยพยายามหาคําอธิบายที่ฟังดูเข้าท่า “แล้วจากนั้นเจ้านี่ก็บังเอิญได้พบกับสถานที่ ๆ เทพเจ้าองค์นั้นตกลงมา และติดเชื้อจากศพของเทพ?”
แต่นั่นก็ไม่น่าใช่
เทพเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวแม้ว่าจะเหลือแค่ศพก็ตาม ก็เหมือนกับเทพเจ้ากระดูกเน่าที่ศพของมันถูกซีเว่ยดูดเอาพลังออกไปทุกวันเพื่อใช้พลังของมันสร้างดันเจี้ยนให้ผู้เล่น แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว แต่ความเป็นพระจ้าของมันนั้นก็แทบจะไม่อ่อนแอลงเลย
ในทํานองเดียวกันถ้าเทพเจ้าตกลงไปในบึงเซร่าจริง ๆ วิ่งเซร่าก็คงจะกลายเป็นดินแดนแห่งความตายที่น่ากลัวไปอีกนาน
นอกจากนี้มีสต์มาสเตอร์ก็ไม่ใช่เทพเจ้าที่เฉยฉาต่อสิ่งมีชีวิตด้านล่าง หากเทพย่อยของเขาตกลงไปที่นั่นจริง ๆ แม้ว่าจะมีบาเรียโลก เขาก็จะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น หรือไม่อย่างน้อยเขาก็จะให้ผู้ศรัทธาของเขาปกป้องที่นี่เอาไว้
แต่ไม่มีกลุ่มศาสนาใดอยู่ใกล้บึงเซร่าเลย…
นั่นทําให้ซีเว่ยงงมากขึ้นไปอีกว่าทําไมทั้งที่เทพเจ้าก็ตายมานานแล้ว แต่เดรดหนองน้ํากลับพึ่งได้พลังมาเมื่อเร็ว ๆ นี้
มันก็ไม่ได้ก่อเรื่องอะไรเลยจนถึงช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มันใช้การบูชาของมนุษย์เงือกหนองน้ําสร้างพิธีกรรมขึ้นมาและใช้พลังเปลี่ยนมนุษย์เงือกหนองน้ําให้เป็นสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์…
“ให้ตายเถอะ ตอนนี้มันยากที่จะอนุมาน ฉันต้องการเบาะแสมากกว่านี้”
ซีเว่ยยอมแพ้ในการคาดเดาความจริงเกี่ยวกับเดรคหนองน้ํา “แต่ถ้าลางสังหรณ์ของฉันถูกต้องเบาะแสก็น่าจะอยู่ใต้ทะเลสาบที่ดวงตาศักดิ์สิทธิ์ของฉันมองไม่เห็น…”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เขาก็มองไปที่ผู้เล่น และวางแผนจะมอบเควสให้พวกเขาสํารวจกันทะเลสาบ
แต่ดูเหมือนตอนนี้ผู้เล่นกําลังมีส่วนร่วมในการประชุมแปลก ๆ อยู่
ซีเว่ยฟังบทสนทนาของพวกเขาสักพักแล้วก็พบว่า เครลิคคนหนึ่งหมุนคันธนูระดับตํานานได้แต่เขาบอกว่าเขาไม่ต้องการมันเขาแค่เข้าร่วมทอยลูกเต๋เล่น ๆ แต่กลับมือขึ้น เขาก็เลยตัดสินใจประมูล AWM แทน
ดังนั้นก่อนที่ระบบการประมูลที่ซีเว่ยวางแผนไว้จะได้เปิดธุรกิจ ผู้เล่นก็ได้จัดการประมูลครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของศาสนจักรแห่งเกมอย่างดุเดือดแล้ว
ตอนนี้ฟอรัมผู้เล่นได้ระเบิดแล้ว เรนเจอร์ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนคลาสแต่ละคน กําลังอ้อนวอนขอยืมเงินจากผู้เล่น คนอื่นราวกับว่าพวกเขาเป็นปู่ย่าตายายของตัวเองเหล่าเรนเจอร์ต่างก็ต้องการซื้อ AWM เพื่อที่พวกเขาจะได้อําลาพลังโจมตีที่อ่อนแอและยึดอกกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทําดาเมท
ในขณะเดียวกันเนื่องจากมันเป็นการประมูลผ่านฟอรัม กฎของการประมูลจึงค่อนข้างหยาบ แต่ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น หลังจากผู้เล่นเรนเจอร์แข่งขันกันเสนอราคาการประมูลก็สิ้นสุดลงในไม่ช้า
สุดท้ายเป็นโกวต้านที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ได้ AWM ไป เขาประสบความสําเร็จในการยืมเหรียญเกม 20,000 เหรียญจากมาร์นี่ตอนแรกมาร์นี่ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าร่วมการประมูล แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างพวกเขามาร์นี้จึงซื้อ AWM ให้โกวด้านในนามของเขา
แต่กระบวนการทั้งหมดตั้งแต่ที่เริ่มต้นการทอยลูกเต๋และจบลงด้วยการประมูลนั้น ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงนอกจากมันจะแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในด้านความคิดสร้างสรรค์เชิงรุกของผู้เล่นแล้วซีเว่ยก็ตระหนักดีว่าเวอร์ชันเกมของเขากําลังตามหลังพัฒนาการของผู้เล่นอยู่ตลอดเวลา
หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปอาจมีบางอย่างอยู่เหนือการควบคุมของซีเว่ย
แม้ว่าที่โลกเดิมของซีเว่ยการมี Mod* ที่สร้างสรรค์นั้นมีประโยชน์มากในการยืดอายุเกมแต่ในโลกนี้มันหมายถึงการละเมิดอํานาจของเทพเจ้า
(TL:Mod ย่อมาจาก Modification คือการปรับแต่งสิ่งอื่น ๆ นอกเหนือจากที่เกมให้มา)
“ดูเหมือนว่าจะต้องอัปเดตเวอร์ชันเกมแล้ว…” ซีเว่ยถอนหายใจ“อย่างน้อยเราก็ปล่อยให้ผู้เล่นวิ่งเข้าสู่เส้นทางของลิงที่ชอบการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่ได้”
บทที่ 174 เจ้ากําลังมีปัญหา!
ซีเว่ยรู้สึกว่าหัวใจของเขาหยุดเต้นไปชั่วขณะ
จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ 2 สิ่ง
1.เขาไม่มีหัวใจหลังจากกลายเป็นลูกบอล
2.อัสลานพูดว่า “มีบางอย่างที่น่ากลัวเกิดขึ้นไม่ใช่เจ้ากําลังมีปัญหา!”
“ดี” ซีเว่ยคิดในใจ ‘ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกับฉัน
“เกิดอะไรขึ้น?” เขาถาม “ท่านต้องการโค้กไหม”
“ไม่ ข้าจะดื่มน้ําที่รสชาติเหมือนชาครั้งที่แล้ว”สิงโตตัวใหญ่กล่าวขณะนอนลงบนพื้นอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ยและมองไปที่ซากสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์และฝูงมนุษย์เงือกที่กําลังส่งกลิ่นเหม็นคาวไปทั่วด้วยสีหน้าแปลก ๆ “ช่วงนี้เจ้าชอบสะสมของแปลกมากขึ้นเรื่อย ๆ…”
“นี่เป็นเครื่องสังเวยจากผู้ศรัทธาของข้า”ซีเว่ยตอบขณะที่เขาชงชาหญ้าพันงูขาวให้อัสลานหนึ่งถ้วย “และอย่างที่ท่านทราบพวกเขามีความสนใจในสิ่งต่าง ๆ มากมาย”
เขาอยากจะโม้นิด ๆ และบอกว่า “ท่านล่ะมีเปล่า?แต่เพราะเขากลัวว่าอัสลานจะคํารามกลับมาว่า เจ้าบ้าไปแล้วรี”และเอาชนะเขา เขาไม่ควรทะเลาะกับอัสลานหากเขายังไม่อยากตาย
สิงโตตัวใหญ่ไม่รู้ความคิดของซีเว่ยเขาเลียชาก่อนจะพูดว่า“อย่ากลัวกับสิ่งที่ข้ากําลังจะบอกเจ้า…”
“ไม่ต้องห่วงข้าไม่กลัวข้าเป็นเทพเจ้าอยู่แล้ว”ซีเว่ยตอบแบบไม่กังวลใด ๆ ขณะที่เขาหยิบโค้กออกมาขวดหนึ่ง
“เทพเจ้าชั้นล่างตายแล้ว” อัสลานพูดซ้ํา ๆ“และไม่ได้เกิดจากสาเหตุตามธรรมชาติ แต่เกิดจากการลอบสังหาร”
“โอ้ มันเป็นไปได้ยังไง..มันแย่มาก..”
ซีเว่ยที่พิงหัวกะโหลกอยู่ตอบพร้อมกับโบกหนวดอย่างไม่สนใจ
เขาฆ่าเทพเจ้าไปแล้วองค์หนึ่ง กะโหลกของเทพเจ้ากระดูกเน่ายังอยู่ที่นี่และศพส่วนที่เหลือก็ยังอยู่ในเครื่องปั่น
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาที่นี่จริงๆเขาก็คงตายเพราะเทพกะโหลกหรือไม่ก็เทพสมุทร…
“แล้วถ้าข้าบอกเจ้าว่ามีเทพเจ้าชั้นล่าง 4 องค์ที่ตายหลังจากฤดูหนาวสิ้นสุดลงล่ะ?” สิงโตตัวใหญ่กล่าวเสริมเขารู้ว่าซีเว่ยเคยฆ่าเทพเจ้าชั่วร้ายมาแล้วและเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้ไม่สามารถทําให้อีกฝ่ายหวาดกลัวได้
“อะไร?! น่ากลัวมาก!”
“เจ้าไม่ได้จริงจังเลย”
“ท่านกําลังพูดถึงอะไร! ท่านมีหลักฐานรึเปล่า!”
“คําว่า “ไม่สนใจ เขียนไว้บนผิวลูกบอลอย่างเจ้าด้วยภาษาศักดิ์สิทธิ์”
สิงโตตัวใหญ่ชี้ไปที่ลูกบอลเรืองแสงซึ่งมีแถวข้อความเลื่อนอยู่เหนือผิวลูกบอล เหมือนข้อความที่เลื่อนจากขวาไปซ้าย
ความจริงซีเว่ยค่อยสนใจเรื่องนี้จริง ๆ
แม้ว่าเขาจะเป็นเทพเจ้าชั้นล่างด้วย แต่ก็ยังมีเทพเจ้าอื่น ๆ อีกมากมายในโลก ที่นี่มีเทพมากมายนับไม่ถ้วนแม้ว่าเทพชั่วร้ายหรือเทพปีศาจบางตัวจะลอบสังหารเทพเจ้าชั้นล่างไปที่ละองค์ แต่ก็มีโอกาสไม่มากนักที่เขาจะแจ็คพอต
ยิ่งไปกว่านั้น ที่ตั้งของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ก็เกือบจะถูกเก็บเป็นความลับหากต้องการติดตามพิกัดของเทพ เจ้าคุณจะต้องติดตามผ่านนักบุญของศาสนจักรหรือผู้ถูกเลือกที่มีความเป็นพระจ้าแฝงอยู่เท่านั้น
และแม้แต่อัสลานเองก็ใช้เวลานานในการเฝ้าสังเกตผู้ศรัทธาของซีเว่ยก่อนที่จะพบอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขาในที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้นการเข่นฆ่าเทพเจ้าชั้นล่างอย่างไม่ไยดีเช่นนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสมดุลในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทพบิดรทั้งเจ็ดไม่ยอมอยู่เฉย ๆ แน่ด้วยเหตุนี้ซีเว่ยจึงไม่มีความจําเป็นเลยที่จะเข้าไปเกี่ยวข้อง
พูดง่าย ๆ ก็คือ แม้ท้องฟ้าจะร่วงลงมาพวกระดับสูงก็จะจัดการจนเรียบร้อยเอง
และถึงแม้ซีเว่ยจะถูกเล็งเป็นรายต่อไปเขาก็ไม่มีทางต่อต้านศัตรูได้สิ่งเดียวที่เขาทําได้ก็คือเสริมความทนทานให้กับอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขาและวางกับดักเอาไว้ เหมือนกับที่เขาทํากับเทพเจ้ากระดูกเน่า
“ช่างเถอะ ข้าแค่มาเตือนให้ระวัง
ความสนใจของสิงโตจางหายไปเมื่อเขาเห็นว่าซีเว่ยไม่สนใจจริง ๆ เขายอมรับว่าซีเว่ยเป็นสมาชิกของวิหารล่องหนอย่างจริงใจหลังจากที่เขาช่วยสังหารดาบปีศาจนั่นเป็นเหตุผลที่เขามาเตือนซีเว่ย
“แต่เจ้าควรเตือนผู้ศรัทธาของเจ้าให้ระวังในช่วงนี้”
“มีอะไรเหรอ?” ซีเว่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “มันเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านเคยพูดถึงก่อนหน้านี้ ว่าเมื่อไม่ นานมานี้มีไข่ปีศาจปรากฏขึ้นเป็นจํานวนมาก”
“ไม่ นั่นก็สําคัญ แต่ข้ากําลังพูดถึงอย่างอื่น” สิงโตส่ายหัวทําให้แผงคอปลิวไสวราวกับใช้ CG มันดูสง่างาม และเรียบรื่นมากจนซีเว่ยอยากจะเข้าไปสัมผัสมันสักที่ “เหยื่อรายสุดท้ายคือมอสแลนด์สปิริต แต่เมื่อเขาถูกโจมดีดูเหมือนเขาจะพยายามลงมาสู่ดินแดนมรรตัยด้วยการทําลายความเป็นพระเจ้าของตัวเอง”
“หนีจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ไปยังแดนมรรตัยแทนที่จะขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้าองค์อื่นเนี่ยนะ?” ซีเว่ยพบความผิดปกติทันที
“มอสแลนด์สปิริตเป็นส่วนหนึ่งของภราดรภาพเชิงลบที่ก่อตั้งโดยกลุ่มเทพเจ้าชั้นล่าง บางทีเขาอาจจะคิดว่าการตามหาพันธมิตรก็ไม่ได้ช่วยอะไรเพราะพวกเขาไม่สามารถเอาชนะศัตรูได้” สิงโตตอบ
ปรากฏว่าแทนที่จะลากเพื่อนไปตายด้วย มันดีกว่าที่จะหนีไปที่ไหนสักแห่งที่ศัตรูไม่คาดคิดเหมือนว่านี่คือเส้นทางหลบหนีที่แท้จริงของข้าไอ้โง่และมันก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่าในแง่ของอัตราความสําเร็จด้วย
“แต่เขาก็ล้มเหลวใช่ไหม” ซีเว่ยพูดอย่างมั่นใจ
เพราะเขาเป็นเทพเจ้าองค์เดียวที่สามารถข้ามบาเรียโลกได้เขารู้ดีกว่าใคร ๆ ว่าผู้มีอํานาจเช่นนั้นเป็นอย่างไรและเขาก็ไม่รู้เลยว่าพลังอันน่ากลัวที่ขัดขวางเทพเจ้าไม่ให้ข้ามผ่านนั้นเป็นอย่างไรที่จริงนอกเหนือจากตัวเขาเองแล้วเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ก็แทบไม่เคยได้สัมผัสกับความรู้สึกของการที่ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาได้ข้ามผ่านบาเรียโลกลงไปยังดินแดนอื่นเลย
“ใช่ แต่การกระทําของเขายังคงสร้างความประหลาดใจให้กับศัตรูนั่นเป็นเหตุให้มีบางอย่างที่ทําให้เทพเจ้าองค์อื่น ๆ ตกตะลึงเกิดขึ้น”คําพูดของสิงโตทําให้ซีเว่ยเริ่มสนใจ เขาชงชาให้อัสลานอีกถ้วย
จากนั้นหลังจากจิบชา อัสลานก็กล่าวต่อ “เมื่อมอสแลนด์สปิริตติดอยู่ตรงบาเรียโลก ศัตรูก็ใช้ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังโจมตีเขา…แต่แม้ว่าเขาจะตั้งใจฆ่ามอสแลนด์สปิริตโดยตรงแต่ก็มีบางอย่างที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นความเป็นพระเจ้าของมอสแลนด์สปิริตได้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ”
“…หม?” ลูกบอลเรืองแสงขมวดคิ้ว
ความเป็นพระเจ้าไม่ได้แตกสลายหลังจากที่เทพตายงั้นเหรอแล้วความเป็นพระเจ้าของเจ้าแห่งน้ําที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ล่ะ
“ไม่ นั่นไม่ใช่ประเด็น สิ่งที่ทําให้เทพเจ้าทั้งหมดประหลาดใจจริง ๆ ก็คือ ส่วนหนึ่งของความเป็นพระเจ้าที่แตกสลายได้ทะลุผ่านบาเรียโลกลงไปสู่แดนมรรตัย!” สิงโตตอบ “ตอนนี้เทพเจ้าหลายองค์เชื่อว่าหากพวกเขาพบชิ้นส่วนของความเป็นพระเจ้าในดินแดนมรรตัยพวกเขาก็สามารถรู้ตัวตนของศัตรู และรู้วิธีแก้ปัญหาการข้ามผ่านบาเรียโลกได้!”
ลูกบอลเรืองแสงซีเว่ยกระพริบแสงเขาเปิดดวงตาศักดิ์สิทธิ์มองลงไปยังดินแดนมรรตัยแล้วเห็นผู้เล่นกําลังระเบิดเดรคหนองน้ําจนปลิว
บทที่ 173 เทพเจ้ามีรสนิยมแปลก ๆ
แม้ว่าความเป็นพระเจ้าจะทําให้มีภูมิต้านทานต่อกฎแห่งทักษะ แต่ทักษะก็ยังสามารถสร้างความเสียหายได้เพราะพลังโจมตีพื้นฐานของมันยังคงอยู่และนั่นคือสาเหตุที่ผู้เล่นยังไม่วิ่งหนี
ตราบใดที่กลไกการคืนชีพยังไม่หยุดลง สถานการณ์ดังกล่าวก็แค่เพิ่มความยากให้กับผู้เล่น…ความรู้สึกก็เหมือนกับตอนที่บริษัทเกมเปลี่ยนจากเกม World of Warcraft เป็น Monster Hunterบนโลกและปล่อยให้ผู้เล่นด่าไม่กี่คําเกี่ยวกับระบบเกมในฟอรัม
ในฐานะที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม หลายคนคงเคยมีประสบการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่ามันน่าเบื่อมากแต่เมื่อคนอื่นๆทําแบบเดียวกันมันก็น่าสนใจขึ้นแม้ว่ามันจะน่าเบื่อก็ตาม
ถึงจะอยู่ในโลกอื่น สถานการณ์นี้ก็ไม่แตกต่างเลย
เป็นความจริงที่ว่าศัตรูนั้นทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าการถูหรือการสัมผัสมันจะไม่นําไปสู่การตายทันทีแต่โดยพื้นฐานแล้วผู้เล่นจะเหลือ HP ขั้นต่ําเพียงเล็กน้อย ในขณะที่พวกเขาสร้างความเสียหายได้เพียงเล็กน้อยจนไม่มีนัยสําคัญแม้ว่าพวกเขาจะเจาะเกราะป้องกันของมันได้ก็ตาม
แต่เมื่อพวกเขามั่นใจว่าพวกเขามี EXP เพียงพอ และกลไกการคืนชีพของพวกเขาทํางานได้ตามปกติผู้เล่นก็ทําราวกับว่าพวกเขากําลังมีส่วนร่วมในงานเทศกาลที่แปลกประหลาดไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่แสดงความหวาดกลัวหรือมีความคิดที่จะถอนตัว แต่พวกเขายังทุ่มเทร่างกายและจิตวิญญาณภายใต้คําสั่งของผู้เล่นชั้นยอดในขณะที่พวกเขาต่อสู้กับเดรคหนองน้ําท่ามกลางบรรยากาศที่กําลังเร่าร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ซีเว่ยได้เห็นทุกอย่างจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา
ขณะที่เขาพอใจกับจิตวิญญาณการต่อสู้ของผู้เล่น เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเดรคห นองน้ําตัวนั้น
ปกติแล้วเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเดรคหนองน้ําที่จู่ ๆ ก็กลายเป็นมังกรซุปเปอร์ไซย่าหรืออะไรซักอย่างเขาต้องการสอนผู้เล่นทุกคน…ว่าถึงพวกเขาจะอยู่ต่างโลกทุกอย่างก็ต้องมีกฎของมันขนาดเทพเจ้าก็ยังเอาชนะกฎไม่ได้และแม้แต่แชมป์เปี้ยนในตํานานก็ยังสร้างอะไรขึ้นมาจากอากาศบางๆได้ยากนับประสาอะไรกับการเปลี่ยนร่าง 3 ขั้น…
ความจริงเดรคหนองน้ํานั้นทรงพลังมากสําหรับผู้เล่น แต่นั่นก็ไม่มีความหมายอะไรเลยสําหรับผู้เล่นเช่นกัน
หากเดรคหนองน้ํามี HP ถึง 6 หลอด ที่แม้ผู้เล่นจะใช้เวลาสามวันสามคืนจนเลเวลลดลง 7-8 เลเวลมันก็ยังไม่ตายพวกเขาอาจจะยอมแพ้เพราะพวกเขาไม่สามารถแบกรับค่า EXP ที่เสียไประหว่างนั้นได้แต่ตอนนี้ด้วย HP ของเดรคหนองน้ําที่ลดเหลือน้อยกว่าครึ่งหลอดผู้เล่นก็ยิ่งมีแรงกระตุ้นมากขึ้นเป็นธรรมดา
และสิ่งที่ทําให้ซีเว่ยรู้สึกแปลก ๆ ก็คือความเป็นพระเจ้าที่มันมี
“มันก็ผ่านมาสักพักแล้ว แต่ทักษะของผู้เล่นยังไม่ได้ผล แม้แต่ทักษะดีบัฟก็ใช้ไม่ได้…” ซีเว่ยพึมพําขณะเอาหนวดถูร่างกลม ๆ ของตัวเอง “ถ้ามันเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ธรรมดานี่เป็นไปไม่ได้เลย…”
ความเป็นพระเจ้า ไม่ใช่หนึ่งในสามองค์ประกอบสําคัญสามประการของเทพเจ้า (พรของเทพเจ้า ความพิโรธของเทพเจ้า และบัญชาจากเทพเจ้า) ความจริงสิ่งมีชีวิตบนโลกจะได้รับความเป็นพระเจ้าบางส่วนหากพวกเขามีความสัมพันธ์กับเทพเจ้าเพียงพอ
กรณีที่พบบ่อยที่สุดก็คือผู้ศรัทธาที่ถูกเลือกให้เป็นผู้รับใช้ หรือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสัตว์เลี้ยงของเทพเจ้าเช่นเดียวกับที่พระสันตปาปาหรือนักบุญที่มีความเป็นพระเจ้าในระดับหนึ่ง
การมีความเป็นพระเจ้านอกจากจะมี “พลังโจมตีพิเศษ เพื่อสร้างความเสียหายได้อย่างมากมายแล้วยังมีภูมิคุ้มกันต่อความโกลาหลและความว่างเปล่า ซึ่งพวกเขาจะมีชีวิตรอดได้ช่วงหนึ่งแม้ว่าพวกเขาจะถูกจับโยนเข้าไปในพื้นที่แห่งความโกลาหลหรือช่องว่างแห่งความว่างเปล่าระหว่างโลก ยิ่งกว่านั้นความเป็นพระเจ้ายังปกป้องผู้ใช้จากกฎเกณฑ์บางอย่างที่ไม่เป็นมิตรต่อพวกเขาด้วย
และกฎแห่งทักษะที่ซีเวียสร้างขึ้นมาเองก็ถูกต้านทานได้โดยความเป็นพระเจ้าเช่นกัน
แต่คําถามก็คือ กฎเป็นรากฐานของโลก แม้ว่าเทพเจ้าจะป้องกันตัวเองจากกฎเกณฑ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ได้แต่สิ่งมีชีวิตที่มีความเป็นพระเจ้าไม่ควรจะต่อต้านมันได้อย่างสมบูรณ์
แต่ถึงอย่างนั้นเดรคหนองน้ํากลับต้านทานกฎได้อย่างสมบูรณ์! ยิ่งไปกว่านั้นมันกลับอ่อนแอมากจนไม่มีทางเอาชนะยักษ์แห้งแล้งได้ในการต่อสู้ตัวต่อตัว
ความจริงถ้าไม่ใช่เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เสียหายกําลังปกคลุมร่างกายของมันอยู่ และมันไม่ได้มีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงซีเว่ยก็คงคิดว่ามันเป็นเทพเจ้าบางองค์ที่มีพลังสามารถหลบหนีผ่านบาเรียโลกและลงมาในแดนมรรตัย…
“พลังศักดิ์สิทธิ์ของมันไม่บริสุทธิ์เลย…เป็นไปได้ไหมที่มนุษย์เงือกหนองน้ําจะบูชามันและสร้างสิ่งที่เหมือนเทพเทียมขึ้นมา?”
ด้วยลักษณะพิเศษที่เทพเจ้าแห่งเกมถือกําเนิดขึ้นมา ซีเว่ยจึงจินตนาการว่าเดรคหนองน้ําเป็นเทพเจ้าที่ถือกําเนิดเหมือนกับเทพเจ้าแห่งเกมในอดีต
แต่ในไม่ช้าเขาก็ปฏิเสธข้อสันนิษฐานนี้อย่างรวดเร็ว
เพราะไม่มีเทพเจ้าใดที่สามารถถือกําเนิดได้ในแดนมรรตัย
ไม่ว่าจะมีสักกี่คนที่บูชาสิ่งมีชีวิตในแดนมรรตัย มันก็จะเป็นเพียงรูปเคารพและไม่ใช่เทพเจ้าเพราะแดนมรรตัย…หรือให้แม่นยํากว่านั้นคือโลกใด ๆ ที่นอกเหนือจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ไม่มีเงื่อนไขการพัฒนาพระเจ้า
และที่นี่ ความเป็นพะรเจ้าก็เกิดจากองค์ประกอบสามประการคือ ความพิโรธของเทพเจ้าพรของเทพเจ้าและบัญชาของเทพเจ้า นั่นเป็นสิ่งเดียวที่สามารถดูดซับพลังงานจากสวรรค์และเปลี่ยนมันให้เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ได้! (แม้แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ซีเว่ยกั้นออกจากเทพเจ้ากระดูกเน่าก็ไม่ใช่พลังศักดิ์สิทธิ์)
“จากความแข็งแกร่งของความเป็นพระเจ้าที่มันมีนั้น เดรคหนองน้ําไม่ใช่ทั้งผู้ถูกเลือกและนักบุญแล้วก็ไม่ใช่เครือญาติของเทพเจ้าด้วย…”
ด้วยความสามารถในการยกเว้นผลกระทบเชิงลบทุกชนิดจากกฎแห่งทักษะได้อย่างสมบูรณ์ นั่นหมายความว่าลักษณะความเป็นพระเจ้าของมันนั้นสูงกว่าตัวตนเหล่านี้มาก
นอกเหนือจากเทพเจ้าที่แท้จริงที่สืบเชื้อสายลงมายังแดนมรรตัยแล้ว ซีเว่ยยังสามารถคิดถึงความเป็นไปได้ ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
การที่มันเป็นสิ่งมีชีวิตในแดนมรรตัยที่มีความเป็นพระเจ้า เพราะมันถือกําเนิดขึ้นมาจากเทพเจ้าที่ลงมาจุติยังดินแดนมรรตัยกับสัตว์ในดินแดนมรรตัย ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า ครึ่งเทพ!
ไม่สิ เมื่อพิจารณาจากการใช้ชีวิตของเดรคหนองน้ํา การเรียกมันว่าเทพเจ้าคงจะเหมาะสมกว่าละมั้ง…
“แสดงว่ามันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของเทพเจ้า แต่เป็นลูกของเทพเจ้าโง่ ๆ บางตนที่มีอะไรกับสัตว์เลื้อยคลาน?”ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา ซีเว่ยอดไม่ได้ที่ดันแว่นตาที่เขาใส่ในขณะที่กําลังศึกษาเดรคหนองน้ําด้วยความ ประหลาดใจ “เทพเจ้าองค์ไหนมีรสนิยมสุดโต่งแบบนี้เนี่ย”
แต่เมื่อพิจารณาว่าเทพเจ้าส่วนใหญ่ไม่ใช่มนุษย์ และมีเทพชั่วร้ายบางตัวที่มีรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดนอกจากเทพที่มีรูปร่างคล้ายสัตว์ป่าเช่นอัสลานแล้ว เดรคหนองน้ําก็ค่อนข้างสวยงามเมื่อเทียบกับพวกเขา…
ใครจะรู้? หลังจากนี้ผู้ศรัทธาของเขาอาจจะสะดุดเข้ากับสิงโตตัวน้อยบางตัว ที่มีคุณลักษณะของความยุติธรรมในดินแดนมรรตัย…
ในขณะที่ซีเว่ยกําลังคาดเดาเกี่ยวกับรสนิยมของอัสลานอย่างชั่วร้าย เขาก็สัมผัสได้ว่ามีเทพเจ้าองค์หนึ่งเข้ามาใกล้อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา
หลังจากรับรู้อํานาจเทพของอีกฝ่าย ซีเว่ยก็พบว่าเขาคือสิงโตตัวใหญ่ อัสลาน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกละอายใจเหมือนคนถูกจับได้เมื่อกําลังนินทาอีกฝ่ายอยู่แล้วอีกฝ่ายก็โผล่มาพอดี
ต้องบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาปิดประตูใส่อัสลาน ในที่สุดเขาก็ต้องเปิดช่องว่างให้สิงโตเข้าสู่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา
เมื่อเห็นสีหน้าสิงโตที่จริงจังและสง่างามของอัสลาน ซีเว่ยก็เริ่มพิจารณาทันทีว่าเขาควรกลิ้ง 360 องศาเพื่อกราบขอโทษอีกฝ่ายดีหรือไม่
อย่างไรก็ตามอัสลานก็พูดขึ้นก่อนที่เขาจะได้ทําตามที่คิด
“มีบางอย่างเกิดขึ้น!”
บทที่ 172 บอสไม่ต้องการฟังเรื่องตลกเลยกระโดดทับเจ้า
ไม่ใช่แค่มาร์นี่ แม้แต่ซีเว่ยก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์
ช่วงนี้เขาทําอะไรไม่ได้มากนักเนื่องจากขาดพลังงานเทพเจ้า เลยได้แต่เฝ้าดูผู้เล่นวิ่งไปหามนุษย์เงือกหนองน้ํา
ไม่มีอะไรที่เขาต้องการให้พวกเขาทําอีกต่อไป เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับมัน เรื่องของเกาะมนุษย์เงือกและเทพสมุทรคงจะไม่โผล่มาที่แลงคาสเตอร์ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายร้อยไมล์เพื่อก่อปัญหาแน่
ดังนั้นการอาละวาดของมนุษย์เงือกหนองน้ําจะต้องเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตในโลกนี้มักจะแพร่พันธุ์เป็นจํานวนมากอย่างกะทันหัน เนื่องจากสภาพอากาศหรือปัจจัยบางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันแม้ว่าผลกระทบที่ตามมาจะเป็นปัญหาแต่มันก็ไม่ถึงระดับทําลายสมดุลของระบบนิเวศได้ในระยะสั้นๆและนับเป็นภัย ธรรมชาติชนิดหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อเขายืนยันว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทดสอบของเทพสมุทร ซีเว่ยก็นั่งกินป๊อปคอร์นดูการแสดงของผู้เล่นเท่านั้น
ท้ายที่สุดมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเข้าฝันผู้เล่นที่ต้องการออกไปผจญภัยทีละคน เพื่อคว้าคอพวกเขาแล้วบอกว่า “หยุดออกไปผจญภัยแล้วอยู่บ้านเล่นเกม!” เพื่อรับพลังงานเทพเจ้าได้
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดว่าป๊อปคอร์นกล่องนี้จะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และมาถึงขั้นนี้
ซีเว่ยรู้แต่แรกแล้วว่าผู้ศรัทธาของเทพเจ้าบางองค์เป็นสัตว์ประหลาด แต่เขาไม่คิดเลยว่ามนุษย์เงือกหนองน้ําจะทรยศต่อเทพสมุทรเพื่อบูชาเทพเจ้าชั่วร้ายที่ไม่ปรากฏชื่อ
และเมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาดของปลาหน้ามนุษย์ที่น่าเกลียดพอที่จะทําลายทิวทัศน์ของเมืองทั้งเมืองได้ง่าย ๆ เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยเทพเจ้าฝ่ายดี…
“แต่พลังแบบไหนจะที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพระดับนี้ได้” ซีเว่ยลูบจุดที่น่าจะป็นคางของเขา “ชีวิต? สรรพสัตว์? ไม่รู้สึกว่าเป็นพวกนั้นเลยแฮะ“ที่จริงซีเว่ยเองก็มีอํานาจในการดัดแปลงลักษณะทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิต เนื่องจากมีบอสในเกมไม่มากที่ดูเหมือนมนุษย์ ท้ายที่สุดแม้แต่ฟรีเซอร์*ร่าง 3 ก็ไม่ใช่มนุษย์หรือสัตว์ประหลาด…
(TL:ฟรีเซอร์ ตัวการ์ตูนจากซีรีส์ดราก้อนบอล)
แต่อํานาจดัดแปลงของเขาใช้ได้เฉพาะ ตัวบุคคล เท่านั้น เขาไม่สามารถสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่และวงจรชีวิตของมันเหมือนการสร้างปลาหน้ามนุษย์ออกมาจากอากาศบาง ๆเช่นนี้ได้
ตอนนี้เขาไม่สามารถตั้งสมมติฐานใด ๆ ได้เพราะขาดข้อมูล และดูเหมือนว่าเขาจะต้องพึ่งพาผู้เล่นในการก่อปัญหากับฝูงมนุษย์เงือกต่อไปเพื่อพยายามเรียนรู้เพิ่มเติม
เมื่อคิดได้แบบนั้น ซีเว่ยก็ใช้ดวงตาศักดิ์สิทธิ์ของเขามองไปที่ผู้เล่นเบื้องล่าง
ขณะนี้ผู้เล่นได้รวมกลุ่มกันแล้วภายใต้การนําของมาร์นี่ และด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้ระดับสูงถึงขั้นหมกหมุ่นของผู้เล่น ทีมของพวกเขาก็ได้ปะทะเข้ากับฝูงมนุษย์เงือกหนองน้ําหลายร้อยตัวและปลาหน้ามนุษย์ที่เกิดใหม่” จะว่าไปแล้วประสิทธิภาพการต่อสู้ของผู้เล่นก็เข้าขั้นน่ากลัวทีเดียว.. “ขณะที่ผู้เล่นค่อยๆกระจายตัวกันล้อมศัตรูอย่างใจเย็นและไล่กําจัดพวกมนุษย์เงือกหนองน้ํา แม้ว่าพวกเขาจะเสียเปรียบอย่างมากในแง่ของจํานวนแต่ซีเว่ยก็สังเกตเห็นว่าผู้ศรัทธาของเขามีชั้นเชิงการต่อสู้ในระดับหนึ่ง
หากไม่นับซีเว่ยที่มีพลังสูงสุด ก็มีเพียงผู้เล่นไม่กี่คนที่อยู่ในระดับยอดมนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้นผู้เล่นที่มีประสบการณ์ส่วนใหญ่ก็อยู่ในระดับเสาหลักกองทัพ และพวกเขามีโอกาสที่จะชนะศึกนี้แม้ว่าพวกเขาจะต้องสู้เพียงลําฟังก็ตาม
หากซีเว่ยต้องการ เขาก็สามารถปลุกระดมผู้เล่นให้ลุกฮือและยึดอํานาจจากเมืองเล็ก ๆ เช่นครอมเวลล์ได้ง่าย ๆ
เมืองเล็ก ๆ เช่นนี้มีโบสถ์ไม่มากนัก ทําให้จํานวนทหารในกองกําลังศักดิ์สิทธิ์น้อยตามไปด้วย
ความจริงพวกเขาอาจจะยึดเมืองอย่างแลงคาสเตอร์ได้หากพวกเขาเตรียมการมาดี และบุกเข้าโจมตีเมืองแบบไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีเวลาตั้งตัว
แต่นั้นไม่นับว่าพวกเขาจะครองเมืองได้นานแค่ไหนน่ะนะ
ในทางกลับกัน มนุษย์เงือกหนองน้ําหลายร้อยตัว และสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์หลายสิบตัวที่สามารถกวาดล้างทหารทั้งเมืองได้ ก็ถูกผู้เล่นสังหารและเปลี่ยนเป็น EXP
ตอนนั้นเองซีเว่ยพบอะไรบางอย่างที่คล้ายกับแผนที่บนศพของนักบวชมนุษย์เงือก เขาจึงทิ้งมันเป็นไอเทมดรอป พร้อมกับโยนไอเทมสีม่วงหายาก 2-3 ชิ้นลงไปด้วย รางวัลนั้นทําให้ผู้เล่นตื่นเต้นพวกเขาพากันย่อตัวลงก่อนจะหยิบลูกเต๋ที่เตรียมมาโยนลงพื้น…
ซีเว่ย” “พวกงี่เง่านี่คิดระบบสุ่มออกโดยที่เขาไม่ต้องสอนได้ไงเนี่ย?
เมื่อเขาพบว่าตัวเองค่อนข้างละเลยผู้เล่น ซีเว่ยจึงตัดสินใจจะจับตาดูชีวิตส่วนตัวของผู้เล่นให้มากขึ้น
ไม่นานหลังจากแบ่งไอเทมดรอปกันแล้ว ผู้เล่นก็เดินหน้าต่อไปตามแผนที่ที่ดรอปลงมาจากนักบวชมนุษย์เงือก เส้นทางอันคดเคี้ยวนี้ไปสิ้นสุดที่ริมฝั่งทะเลสาบขนาดใหญ่ที่อยู่ลึกเข้าไปในบึงเซร่า
ฤดูหนาวเพิ่งผ่านไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ไม่มีสัญญาณว่าทะเลสาบแห่งนี้เคยจับตัวเป็นน้ําแข็งเลยและมีพืชน้ําจํานวนมากเติบโตอยู่ใต้ผิวน้ําที่ส่องประกายระยิบระยับ
นักบวชแห่งท้องทะเลหลายคนได้อัญเชิญอาหารทะเลออกมาช่วยตรวจสอบสถานการณ์ในทะเลสาบแต่พวกมันเป็นสัตว์ทะเลที่ไม่คุ้นเคยกับน้ําจืดจึงพากันหนีขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดมาร์นี่ที่ใช้สมองคิดอยู่นานก็สั่งให้เหล่านักบวชแห่งท้องทะเลเรียกปลาแมคเคอเรลปลากระเบนและแมวน้ําออกมา ซึ่งทําให้หลาย ๆ คนสงสัยว่าเหตุใดสัตว์เหล่านั้นจึงถูกระบุว่าเป็นสัตว์ทะเลและอยู่ในรายชื่ออัญเชิญ)
จากนั้นไม่นานน้ําในทะเลสาบก็พุ่งสูงขึ้นไปบนฟ้า ขณะที่ร่างมหึมาแหวกผิวน้ําออกมา
ถึงแม้ซีเว่ยจะคาดหวังให้ลาสบอสที่ผู้เล่นเจอเป็นไฮดร้าหนองน้ํา แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่าราชาแห่งทะเลสาบตนนี้จะเป็นเดรคหนองน้ํา!*
(TL:เดรก (Drake) คือมังกรตัวผู้ที่ไม่มีปีก แต่จะมีเดือยและเยื่อบาง ๆ ที่ขาหน้าแทน)
และมันก็กําลังโกรธแค้นอย่างมากที่ผู้เล่นทิ้งขยะลงไปในทะเลสาบของมัน มันยิงปืนใหญ่น้ําพัดไปทั่วทะเลสาบ!
“หมอบลง!” มาร์นี่ตะโกนทันที
นอกจากผู้เล่นที่มี HP สูงและพลังป้องกันสูงแล้ว ผู้เล่นคนอื่น ๆ ทุกคนที่ไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลาวนถูกฆ่าตายโดยการแสดงพลังของเดรคหนองน้ํา
จากนั้นเมื่อมาร์นี่มองขึ้นไปบนหัวและพบว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เขาก็ไม่สามารถหุบยิ้มได้”โฮโฮ! ในที่สุดข้าก็ไม่ใช่คนแรกที่ตาย!“อย่างไรก็ตามเดรคหนองน้ําดูเหมือนจะคิดว่าสีน้าของเขาเป็นการยั่วยุและฆ่าเขาด้วยการพ่นน้ําใส่ทันที
ขณะที่เหล่าเครลิคกําลังวุ่นวายอยู่กับการพยายามคืนชีพผู้เล่นที่ถูกฆ่า ผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็ได้เปิดการโจมตีไปยังเดรคหนองน้ําแล้ว อย่างไรก็ตาม ด้วยระยะทางที่ห่างไกล เดรคจึงแทบไม่ได้รับความเสียหายเลย”เฮ้เจ้ากล้าขึ้นฝั่งไหมล่ะ!?“เทรอสเช่เยาะเย้ยเดรคหนองน้ําก่อนจะหันไปเร่งน้องชายที่อยู่ข้างๆเขา”เร็วเข้า! รีบยั่วให้ มันขึ้นฝั่ง! “เอ่อ ข้าควร..เล่าเรื่องตลกดีไหม”ซิลวาถามหลังจากที่เขาลังเลอยู่ครึ่งจังหวะ
แต่เห็นได้ชัดว่าเดรคไม่ต้องการฟังเรื่องตลก มันดําดิ่งลงไปในน้ําเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่ร่างกายขนาดมหึมาของมันจะพุ่งออกมาจากทะเลสาบราวกับตอร์ปิโด!”ข้ารอเจ้ามานานแล้ว! “เทรอสเปรู้สึกดีใจแทนที่จะตกตะลึง เขากางแขนออกขณะที่เขาร้องคํารามออกมาอย่างโหดเหี้ยมว่า”ซูเพล็กซ์!“แต่ทักษะของเขากลับล้มเหลวร่างกายขนาดมหึมาของเดรคหนองนําร่วงลงมาบดขยีร่างกายของเขาจนทําให้เทรอสเช่แบนเป็นแพนเค้กถูกบี้” อ้าาา! เราจะสู้กับมันได้ยังไงถ้ามันจะโหดขนาดนี้!”ซิลวาอุทานก่อนที่สัตว์ร้ายจะกลืนเขาลงไปทั้งตัว
เวลานี้ซีเว่ยในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์กําลังย่นหน้า
เขาแตกต่างจากผู้เล่น เขาตระหนักแล้วว่ามันไม่ได้มีพลังอะไรขนาดนั้น แต่เป็นเพราะความเป็นพระเจ้าที่มันมีทําให้มันต่อต้านกฎแห่งทักษะของเขาได้ในระดับหนึ่ง!
เดรคหนองน้ํามีคุณสมบัติของเทพเจ้าจริง ๆ !
บทที่ 171 เจ้าสามารถเดินได้โดยไม่ต้องถลุ่มพื้นที่ ใช้ผ่าปฐผี…
ขณะที่มูฟาซาและเด็ก ๆ กําลังวิ่งเล่นอยู่ในบริเวณพื้นที่ล่าสัตว์ ผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่นําโดยมาร์นี่ก็ได้มาถึงบึงเซ ร่าแล้ว
บึงเซร่าครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของจักรวรรดิวัลลา โดยไม่มีคนอาศัยอยู่เช่นเดียวกับป่าทริเนียทางตอนเหนือซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่เอื้ออํานวยสําหรับการใช้ชีวิตของมนุษย์ มันเต็มไปด้วยสัตว์ป่าและสัตว์ประหลาดความจริงเมื่อใดก็ตามที่จักรพรรดิวัลลารังเกียจขุนนางคนใดวิธีแก้ปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดคือมอบที่ดินให้พวกเขาในสองภูมิภาคนั้นพร้อมกับรีบกระตุ้นให้พวกเขารีบไปยังศักดินานั้นด้วยงานเลี้ยงส่งสุดเอ็กเกริก…
แน่นอนว่าการแก้ปัญหาดังกล่าวไม่มีประโยชน์เมื่อคนผู้นั้นเป็นขุนนางคนสําคัญอย่างดยุกฮอร์รันซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่อยู่แล้ว
และเช่นเดียวกับชื่อของมัน ยิ่งเซร่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ําที่จะไม่กลายเป็นน้ําแข็งแม้จะอยู่ในช่วงฤดูหนาวและมีหนองน้ําจํานวนมากกระจายอยู่รอบๆไม่มีที่สิ้นสุดด้วยเหตุนี้ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์จะไม่สามารถบอกได้ว่าตรงหน้าพวกเขาเป็นหญ้ามอสบนพื้นหรือจอกแหนที่ลอยอยู่เหนือน้ําลึกที่ไม่มีที่สิ้นสุด
นอกจากสัตว์ประหลาดและสัตว์ป่าแล้ว ยังเล่ากันว่ามีแม่มดอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ว่ายังไง มันก็เป็นสถานที่อื่นตรายและไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
ตรงกันข้าม ป่าทริเนียปลอดภัยกว่ามาก แม้ว่ามันจะอันตรายเช่นกัน แต่อย่างน้อยมนุษย์ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเดินจมน้ําเพียงแค่ก้าวพลาดไปก้าวเดียว
ความจริงบึงเซร่าก็ไม่เป็นมิตรกับผู้เล่นเช่นกัน
ขณะที่คาถาคืนชีพสามารถช่วยพวกเขาได้ แต่ผู้เล่นที่หล่นลงไปใต้ผิวน้ําก็ไม่ต่างอะไรกับการไม่มีศพให้ชุบ ชีวิต และสิ่งที่พวกเขาทําได้ก็คือรออยู่ในห้อวดําเล็ก ๆ เป็นเวลา 3 วันก่อนจะฟื้นคืนชีพ
แต่อย่างที่พูดไป ผู้เล่นส่วนใหญ่เป็นนักผจญภัย
แม้ว่ามนุษย์อาจไม่เคยทําแผนที่ของบึงเซร่าได้สําเร็จแม้จะเสียสละไปหลายพันคน แต่ผู้เล่นแตกต่างพวกเขาไม่จําเป็นต้องตายหลายครั้งเพื่อสํารวจเส้นทางในบึงเซร่า
เพราะพวกเขาไม่ได้เดินชุ่ม ๆ
มาร์นี่กําลังออกคําสั่งอย่างเป็นระบบ
“ปีกขวา ยิงปูพรมถล่มพื้นที่ไม่ให้เหลือแม้แต่นิ้วเดียว ผ่อนคลาย มั่นใจได้เลยว่านักบวชอาหารทะเลจะลากเจ้ากลับมาปีกซ้ายใช้สไลด์ 3 ครั้งซ้อน และวิ่งกลับมาทันทีที่เจ้าเปิดแผนที่ได้แล้วพวกที่อยู่ตรงกลางระวังอย่าตกลงไประหว่างที่ข้าใช้ผ่าปฐพีพวกเจ้าทุกคนช่วยกันจับตาดูว่าหนองน้ําอยู่ตรงไหน!”
ประโยชน์ของแผนที่ระบบโดดเด่นมากในสถานการณ์นี้
“เฮ้ข้าให้เจ้าพดอีกครั้ง เจ้าว่าใครเป็นนักบวชอาหารทะเล?” นักบวชแห่งท้องทะเลบางคนประท้วงด้วยความโกรธ
ขณะเดียวกันแผนที่ในบึงก็ถูกสํารวจเกือบหมด
ขณะที่ผู้เล่นกําลังทําลายสภาพแวดล้อมและภูมิประเทศของบึงอย่างเมามัน พวกเขาก็ยังนิ่งมากและสามารถรุกเข้าไปในบึงได้อย่างรวดเร็ว
ความคืบหน้าของพวกเขาจะทําให้ทุกการสํารวจในอดีตต้องหวาดกลัว
อย่างไรก็ตามผู้เล่นกลับได้แต่งนงงทั้งที่พวกเขาได้ทําลายบึงส่วนใหญ่ไปแล้ว หากพูดกันตามหลักเหตุผลสัตว์ประหลาดอย่างเช่นรูทีโอดอน*ก็น่าจะปรากฏตัวขึ้นมาแล้วแต่สิ่งที่พวกเขาพบมาตลอดทางก็คือมนุษย์เงือกหนองน้ํามนุษย์เงือกหนองน้ํา และมนุษย์เงือกหนองน้ํา
(TL:รูทีโอดอน(Rutiodon) สัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ที่ถูกค้นพบในชั้นหินยุคไทรแอสสิก)
ดังนั้นผู้เล่นเกือบทุกคนที่เข้าร่วมปฏิบัติการนี้จึงมีคําถามเหมือนกันว่า เป็นไปได้ไหมที่ที่นี่จะมีเพียงมนุษย์เงือกหนองน้ําเท่านั้น?
แต่ลางสังหรณ์ของพวกเขาก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าผิด ไม่ชํานอกจากมนุษย์เงือกหนองน้ําแล้วก็ยังมีสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์อีกด้วย
จากการได้เห็นและเรียนรู้มามาก อดีตพ่อค้าเร่มาร์นี่คาดเดาเรื่องราวเบื้องต้นได้คร่าว ๆ แล้วว่า สัตว์ประหลาดที่เขาไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อนไม่ใช่สัตว์ประหลาดท้องถิ่นในบึงเซร่าอย่างแน่นอน เพราะขนาดของมันก็ไม่ได้สอดคล้องกับสิ่งมีชีวิตในพื้นที่ชุ่มน้ําแห่งนี้และร่างกายของพวกมันก็คล้ายกับปลาน้ําเค็มมากกว่า…
แต่เมื่อสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์เหล่านี้มีจํานวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่มาร์นี่เองก็เริ่มสงสัย
หรืออาจมีปรากฏการณ์สําคัญบางอย่างเกิดขึ้นในบึงเซร่า
เรนเจอร์กลับมาหลังจากการสอดแนมพื้นที่ข้างหน้า “คุณวิลฟ์ ข้าคิดว่าข้าเจออะไรบางอย่างแล้วและมันดูไม่ดีเลย”
เดิมมีเรนเจอร์ 12 คนสอดแนมพื้นที่ข้างหน้า แต่ตอนนี้เรนเจอร์คนอื่น ๆ ตายหมดแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่า หนองน้ําแห่งนี้น่ากลัวเพียงใด
“เจ้าเห็นอะไร”
เรนเจอร์ไม่ได้ตอบออกมาตรง ๆ แต่พามาร์นี่และผู้เล่นจํานวนหนึ่งเข้าไปใกล้จุดนั้น
หนองน้ําตรงนี้ค่อนข้างกว้างอย่างเห็นได้ชัด และมาร์นี่ต้องตกใจเมื่อพบว่ามีมนุษย์เงือกหนองน้ําหลายพันตัวมารวมตัวกันรอบบึง และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มจํานวนขึ้นเรื่อย ๆ
และที่ใจกลางของหนองน้ํานั้นก็มีนักบวชมนุษย์เงือกสวมหน้ากาก กําลังเต้นรําทําพิธีกรรมบางอย่าง
แม้ว่ามาร์นี่และคนอื่น ๆ จะไม่รู้ว่านักบวชป้องกันตัวเองไม่ให้จมลงไปในน้ําได้อย่างไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ก็ทําให้พวกเขาต้องตกใจ
ขณะที่นักบวชมนุษย์เงือกยังคงร่ายรําต่อไป ลูกออร์บน้ําที่มีลักษณะคล้ายไข่ขนาดใหญ่กว่า 2 เมตรก็โผล่ขี้นมาเหนือผิวน้ํา มันไม่มีสิ่งสกปรกใด ๆ เจือปนและดูใสมากเหมือนผลึกคริสตัล
นั่นคือตอนที่มนุษย์เงือกหนองน้ําจํานวนมากที่มีความสุขกับเหตุการณ์นี้ กระโดดลงไปในบึงและว่ายไปยังลูกออร์บน้ําราวกับกําลังถูกมันเรียกหาอยู่
แม้ลูกออร์บน้ําจะมีลักษณะเป็นผลึกใส แต่น้ําในลูกออร์บก็ละลายมนุษย์เงือกหนองน้ําที่เข้ามาใกล้จนกลายเป็นชีสเหลวได้ภายในไม่กี่วินาทีเหมือนกรด
เมื่อมนุษย์เงือกตายมากขึ้น ศพเหลวเหมือนชีสในลูกออร์บก็จะหลอมรวมกันเป็นก้อน จากนั้นอวัยวะและผิวหนังก็เริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
และเมื่อเกล็ดชิ้นสุดท้ายปรากฏขึ้นและอวัยวะทุกชิ้นครบถ้วน ซากศพของมนุษย์เงือกหลาย 10 ตัวก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์อย่างสมบูรณ์
มันร้องคํารามเมื่อออกมาจากลูกออร์บ!
หลังจากสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์เกิดขึ้นมา มันก็กินสิ่งที่มนุษย์เงือกหนองน้ําล่ามาได้จนมันเติบโตขึ้นกว่าเดิมเกล็ดของพวกมันค่อย ๆ มีดลงและแข็งเหมือนเหล็ก
เมื่อได้เห็นกระบวนการทั้งหมดมาร์นี่ก็ตกใจ
เขากําลังสงสัยว่ามนุษย์เงือกหนองน้ําเหล่านี้กับสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์นั้น เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันหรือไม่? ถ้าจะให้เปรียบง่าย ๆ ก็คือ มันเหมือนกับกระบวนการเจริญเติบโตจากหนอนผีเสื้อไปเป็นดักแด้และกลายเป็นผีเสื้อในที่สุดใช่ไหม
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทําให้เขาตกใจที่สุดก็คือนี่เป็นเหตุการณ์ที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน
ปรากฏว่าการที่พวกเขาไม่เจอสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากมนุษย์เงือกหนองน้ํา ก็เพราะเหตุนี้เองสินะ?
นอกจากนั้นการเต้นรําของนักบวชมนุษย์เงือกต้องเป็นพิธีกรรมบางอย่าง แต่มันไม่เหมือนกับการเต้นรําบวงสรวงถวายแด่เทพสมุทร มันเต็มไปด้วยความลึกลับและแปลกประหลาดจนลืมไม่ลง
ขณะเดียวกัน ลูกออร์บที่มนุษย์เงือกหนองน้ําว่ายไปตายก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์ มันต้องเป็นผลจากการเต้นรําบวงสรวงที่ชั่วร้ายบางอย่างแน่
และการบวงสรวงอันชั่วร้ายแต่น่าหลงใหลเช่นนี้ ก็ต้องไม่ใช่พลังของเทพเจ้าฝ่ายดีอย่างแน่นอน มนุษย์ เงือกเหล่านี้ต้องเป็นสาวกของเทพเจ้าชั่วร้าย!
บทที่ 170 แยกกัน
“ขอบคุณพวกท่านมากสําหรับความช่วยเหลือ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพวกท่าน คราวนี้พวกเราคงแย่แน่”
หญิงสาวชนชั้นสูงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะแสดงสีหน้าปกติ เธอยังคงระมัดระวังขณะที่เธอมองชายหนุ่มที่แต่งตัวเลอะเทอะ
ขณะเดียวกันสาวใช้ทั้งสองก็ประหม่าเมื่อเห็นมูฟาซา พวกเธอหลั่งเหงื่อเย็นขณะที่กําดาบอย่างสั่นระริก พวกเธอกําลังปกป้องนายหญิงโดยสัญชาตญาณ
ต่างจากหญิงสาวชนชั้นสูงที่รู้ว่ามูฟาซาฆ่าบารอน ปฏิกิริยาของพวกเธอเกิดขึ้นเพราะพวกเธอรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากการปรากฏตัวของมูฟาซาเพียงเท่านั้น!
แม้ออร่าของคน ๆ นี้จะคลุมเครือราวกับภาพลวงตา แต่ก็มีอยู่จริง และเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้บ่อยในเหล่าแชมป์เปี้ยน
สิ่งนี้เกิดขึ้นกับผู้เล่นโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว ชัยชนะซ้ํา ๆ ที่พวกเขามีเหนือศัตรูและการอัพเลเวล ทําให้พวกเขาได้รับออร่าในระดับหนึ่ง แต่วิธีที่พวกเขาเสริมสร้างมันนั้นค่อนข้างเรียบง่าย การก่อตัวของออร่าจึงหยาบมาก และยากที่จะตรวจจับ
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เล่นทุกคนมักจะพัฒนาทักษะไปแบบหลากหลาย ทําให้ออร่าของพวกเขาไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นคนอื่น ๆ จะรู้สึกเพียงว่าผู้เล่นให้ความรู้สึกพิเศษเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ปฏิกิริยาแรกของแชมป์เปี้ยนเมื่อพวกเขาได้พบผู้เล่นคนใดคนหนึ่ง พวกเขาจะคิดว่าผู้เล่นเป็นพวกอ่อนแอหลังจากเปรียบเทียบออร่าของพวกเขากับตัวเองแล้ว แชมป์เปี้ยนเหล่านั้นก็จะเชื่อมั่นว่าพวกเขาสามารถสู้กับผู้เล่น 10 คนได้พร้อมกัน จากนั้นก็จะคิดว่า “ไม่จริง! เขาจะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไงทั้งที่มีออร่าอ่อนแอ!?’ เมื่อพวกเขาถูกผู้เล่นพลิกโต๊ะและกลายเป็นค่า EXP
เฉพาะผู้เล่นอย่างมูฟาซาเท่านั้นที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นเพราะข้อบกพร่องในคลาส หรือบุคลิกภาพของผู้เล่นที่ยอมแพ้ในสายทักษะอื่น ๆ และมุ่งเน้นการฝึกฝนไปที่ทักษะสายเดียวเท่านั้น
หากไม่มีการเจือปนจากทักษะสายอื่น พวกเขาจําเป็นต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่มีสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขที่แตกต่างกับผู้เล่นคนอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง ผู้เล่นเหล่านี้จะต้องฝึกฝนและพัฒนาฝีมือของตนอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดพวกเขาก็จะกลายเป็นเหมือนปรมาจารย์ในอดีต ทั้งปรมาจารย์ด้านดาบและปรมาจารย์ทักษะอื่น ๆ
ขณะเดียวกันออร่าที่พวกเขาพัฒนาขึ้นในการต่อสู้ระหว่างชีวิตและความตาย ก็จะแข็งแกร่งกว่าออร่าของผู้อื่นมาก ทําให้คนอื่น ๆ ที่เดินในสายเดียวกันกับพวกเขาและไม่ได้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมสามารถสัมผัสถึงมันได้
ช่วงเวลานี้ก็เป็นเช่นนั้น เนื่องจากสาวใช้ทั้ง 2 มีความสําเร็จด้านดาบในระดับสูง พวกเธอจึงตรวจจับออร่าบนร่างกายของมูฟาซาได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นหนังศีรษะของพวกเธอจึงชาหนึบ ขณะที่ร่างกายของพวกเธอเชื่องช้าลงราวกับว่าพวกเธอกําลังยืนอยู่ในถ้ําน้ําแข็ง นั่นเป็นสัญญาณเตือนจากสัญชาตญาณของพวกเธอ มันก็คล้ายกับลางสังหรณ์ถึงอันตรายของสัตว์ เมื่อนักล่าที่อยู่ด้านบนของห่วงโซ่อาหารกําลังจับจองพวกเขา
พวกเธอรู้สึกกดดันจากมูฟาซา มากกว่าตอนเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดปลาหน้ามนุษย์เสียอีก
และมันก็เป็นเรื่องจริง เมื่อเทียบกับสัตว์ประหลาดปลา สาวใช้มั่นใจว่าพวกเธอสามารถตอบสนองได้ทัน ไม่ว่าสัตว์ประหลาดจะเคลื่อนไหวเร็วแค่ไหนก็ตาม อย่างน้อยพวกเธอก็จะไม่ถูกมันกินเหมือนทหารโดยที่ไม่รู้อะไรเลย
กลับกัน ขณะที่พวกเธอมองมูฟาซา ประสบการณ์การต่อสู้ในช่วหลายปีที่ผ่านมาของพวกเธอก็บอกพวกเธอว่าในเสี้ยววินาทีที่พวกเธอเห็นเขาเป็นศัตรู ในเสี้ยววินาทีที่เธอเล็งดาบไปที่เขา คือช่วงเวลาที่พวกเธอตาย
แต่มูฟาซาไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งนี้เช่นเดียวกับที่เขาไม่รู้ว่าออร่าของเขาแข็งแกร่งแค่ไหน สิ่งที่เขาคิดคือสาว ใช้ 2 คนนี้ดูหวาดกลัวเกินไป และยังกลัวอยู่แม้ปลาหน้ามนุษย์จะตายหมาดแล้วก็ตาม
“ไม่จําเป็นต้องขอบคุณ มันไม่เป็นปัญหาเลย”
“และปลาหน้ามนุษย์ก็ให้ EXP สูงจนข้าประหลาดใจเช่นกัน” มูฟาซาพูดต่อในใจ
“ข้าขอถามได้ไหม ว่าท่านมีแผนอะไรต่อไป” หญิงสามอย่างสุภาพ
ทางเขา มูฟาซาเดาว่าเธอยังคงตกตะลึงกับฝูงปลาหน้ามนุษย์ และกําลังถามอ้อม ๆ ว่าปาร์ตี้ของเขาจะพาพวกเธอกลับบ้านได้หรือไม่
“ท่านมาจากที่ไหน?” เขาอยากรู้ ว่าพวกเธอกําลังจะไปที่เดียวกันหรือเปล่า
เป็นไปได้ไหมที่เขาตั้งใจถามว่าเราอาศัยอยู่ที่ไหน และค่อยตัดสินใจว่าเขาจะทําอะไรต่อ?
หญิงสาวชนชั้นสูงตัดสินใจทันทีว่าการเปิดเผยตัวตนของเธอ อาจทําให้มูฟาซาจับพวกเธอเป็นตัวประกันเพื่อเรียกค่าไถ่จากลอร์ดแห่งแลงคาสเตอร์
ท้ายที่สุดคน ๆ นี้ก็เป็นคนที่สามารถลอบสังหารบารอนในแลงคาสเตอร์แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยได้ มันไม่ใช่เรื่องยากหากเขาจะทําอะไรกับเธอ
“ข้ามาจากตระกูลมิเอลแห่งโคโดบอสร่า” หญิงสาวชนชั้นสูงตัดสินใจใช้นามสกุลเดิมของเธอหลังจากใช้เวลาคิดสั้น ๆ
ด้วยวิธีนี้ เธอไม่ได้ถือว่าโกหกเขา และอุปกรณ์จับเท็จของเทพเจ้าองค์ใด ๆ ก็จะไม่ตอบสนอง แม้ว่าพวกเขาจะมีมันหรือไม่ก็ตาม นอกจากนี้เธอยังยอมรับได้ แม้ว่าเขาจะหักหลังเธอในโคโดบอสร่าเพื่อขอรับค่าไถ่เล็กน้อย มันไม่สําคัญว่าเธอจะถูกทําร้าย ตราบใดที่ลูกสาวของเธอเกวนโดลินไม่เป็นอะไร
“โคโดบอสร่า? มันอ้อมไกลเกินไป” มูฟาซาเกาหัว
โคโดบอสร่าและบึงเซร่าอยู่คนล่ะทิศกันอย่างสมบูรณ์จากพื้นที่ล่าสัตว์แห่งนี้ ด้วยประสบการณ์ในอดีตของมูฟาซา หากเขาพาผู้หญิงกลับไปที่โคโดบอสร่า ลาสบอสที่บึงเซร่าจะถูกสังหารก่อนที่เขาจะไปถึงที่นั่น
ท้ายที่สุดแล้วบอสตัวนี้ก็ไม่เหมือนกับบอสในดันเจี้ยนที่เกิดใหม่ได้เรื่อย ๆ บอสป่าส่วนใหญ่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเพียงตัวเดียว นอกจากนี้ยังเป็นที่ยอมรับกันในหมู่ผู้เล่นว่าบอสป่าจะดรอปไอเทมที่คุ้มค่าที่สุด และอาวุธระดับตํานานเช่น นิ้วเท้ายักษ์ เองก็เป็นไอเทมดรอปจากยักษ์แห้งแล้งซึ่งเป็นบอสป่า
“ถ้าเช่นนั้นเราคงต้องไปกันเองสินะคะ” หญิงสาวชนชั้นสูงถามอย่างไม่แน่ใจ ขณะที่กําลังอดกลั้นความตื่นเต้นของตัวเองเอาไว้
อย่างไรก็ตามมูฟาซาเข้าใจผิดว่าเธอยังคงหวาดกลัวอยู่มาก เนื่องจากสีหน้าของเธอเปลี่ยนไป
มันไม่ยากเกินไปที่เขาจะเข้าใจเธอ มนุษย์เงือกหนองน้ํายังคงอยู่ในบริเวณใกล้เคียง และมีความเป็นไปได้สูงที่ปลาหน้ามนุษย์จะโผล่ออกมาระหว่างทาง
หลังจากคิดสักพัก มูฟาซาก็ตัดสินใจเลือก
“ซิมบ้า พวกเจ้า 3 คนไปส่งพวกหล่อนกลับโคโดบอสร่า ข้าจะไปที่บึงเซร่าคนเดียว”
ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ครั้งนี้ก็ทําให้เขารู้ว่ากลุ่มของซิมบ้ายังคงอ่อนแอมากเพราะพวกเขาเพิ่งจะกลายเป็นผู้เล่น
แม้ว่าเขาจะปกป้องพวกเขาเด็ก ๆ อย่างดีตอนที่ต่อสู้กับปลาหน้ามนุษย์ แต่พวกเด็ก ๆ ก็หวิดจะตายหลายครั้งแล้ว นั่นหมายความว่าพวกเขาจะตายแน่นอนหากพวกเขาไปที่บึงเซร่า หรือแม้กระทั่งโดนบอสฆ่าซ้ําแล้วซ้ําเล่าอย่างโหดเหี้ยม และหากผู้เล่นเครลิคชุบชีวิตพวกเขาโดยไม่รู้ว่าพวกเขามี EXP ไม่เพียงพอ พวกเขาก็อาจจะตายจริง ๆ ถ้าพวกเขาตายมากเกินไป…
เพราะงั้นเขาจึงตัดสินใจให้ทั้ง 3 คนไปกับขุนนางคนนี้ที่โคโดบอสร่า ซึ่งจะเป็นการปกป้องพวกเขาไปในตัว
“เอ๊ะ? ลุงจะไม่เป็นไรเหรอ” ซิมบ้าถามอย่างเป็นห่วง “ถ้าเกิดลุงเจอฝูงมนุษย์เงือกหนองน้ําล่ะ ลุงจะลําบากนะถ้าไม่มีทักษะ AoE”
เด็ก ๆ ได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับคลาสเกงโยคหลังจากกลายเป็นผู้เล่น และเข้าใจว่าทักษะของคลาสนี้ ส่วนใหญ่มีประสิทธิภาพอย่างมากในการดวลแบบตัวต่อตัวเท่านั้น
“ข้าสบายดีแม้ว่าพวกเจ้าจะไม่อยู่ด้วยก็ตาม! เจ้าคิดว่าข้าสํารวจดันเจี้ยนได้ยังไงในเมื่อไม่มีใครกล้าเข้าไปกับข้า? ข้าคุ้นเคยกับการต่อสู้ 1 ต่อ 10 มานานแล้ว!”
“ฟังดูขี้โม้มาก แต่ทําไมข้าถึงรู้สึกว่าลุงดูเศร้าจัง…?” ซิมบ้าบ่น
สุดท้ายซิมบ้าและคนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยกับคําพูดของมูฟาซาที่จะแยกกันไป พวกเด็ก ๆ จะพาพวกผู้หญิงไปส่ง แม้หญิงสาวชนชั้นสูงจะอยากปฏิเสธ แต่เธอก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี และได้แต่ตามพวกเด็ก ๆ ไปที่โคโดบอสร่า
บทที่ 169 ปัญหาในพื้นที่ล่าสัตว์
พื้นที่ล่าสัตว์ของขุนนางที่ชานเมืองแลงคาสเตอร์
เนื่องจากพื้นที่ล่าสัตว์นี้ได้สร้างขึ้นเป็นพิเศษสําหรับขุนนางจึ งมีกระท่อมไม้อันแข็งแรงที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามเป็นธรรมดา เพื่อเป็นจุดพักผ่อนระหว่างการเล่นเกมที่หลากหลาย
ด้วยสภาพแวดล้อมที่ดี ทิวทัศน์ที่สวยงาม และการลาดตระเวนอย่างต่อเนื่องของทหาร จึงทําให้มันเป็นพื้นที่ปลอดภัยจากสัตว์ประหลาด และมักจะมีขุนนางพาครอบครัวมาเที่ยวพักผ่อนแม้จะอยู่นอกฤดูล่าสัตว์
ดังนั้นกระท่อมจึงมีประตูบานเดียว เพื่อสะดวกสําหรับการลาดตระเวนและเฝ้าระวัง
“ท่านแม่ ข้ากลัว..” เด็กหญิงตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนของแม่
“มันจะไม่เป็นไรเกวนโดลิน…คุณปู่จะมาช่วยพวกเรา” หญิงสาวผู้อ่อนโยนกําลังลูบหัวปลอบใจเด็กหญิง
ขณะเดียวกันก็มีหัวขนาดมหึมาติดอยู่ระหว่างช่องประตูของกระท่อม มันเป็นหัวที่น่ากลัวซึ่งมีทั้งลักษณะของมนุษย์และปลาผสมกัน
เธอเป็นบุตรขุนนางที่ได้รับการศึกษามาตั้งแต่ยังเล็ก หญิงสาวชนชั้นสูงได้อ่านสารานุกรมสัตว์ประหลาดที่เขียนโดยนักวิชาการชาวแลงคาสเตอร์ และรู้จักสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏรอบเมืองแห่งนี้
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้ว่าไม่มีสัตว์ประหลาดเช่นนี้อยู่ใกล้ ๆ
ขณะนี้ดวงตา 2 ดวงที่ยื่นออกมาของปลาหน้ามนุษย์ หมุนอย่างอิสระกว่า 360 องศา กําลังจ้องมองมาที่มนุษย์ไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในกระท่อม
ก่อนหน้านี้ทหารคนหนึ่งเคยคิดว่า สัตว์ประหลาดไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เมื่อหัวของมันติดอยู่ที่กรอบประตู เขาต้องการใช้โอกาสนี้ทําให้มันตาบอดก่อนจะตัดหัวมันออก แต่เขาก็ต้องจมอยู่ในกระแสน้ําที่ไหลออกมาจากปากปลาและถูกมันกินเข้าไปทั้งอย่างนั้น
แม้แต่เกราะหนักของทหาร ที่ทนทานพอจะใช้ป้องกันใบมีดที่คมที่สุดได้อย่างง่ายดายก็ไม่ต่างอะไรจากขนม ทหารผู้น่าสงสารกรีดร้องได้เพียงครั้งก่อนจะถูกเคี้ยวกลายเป็นเนื้อบดผสมกับเหล็กที่แตกออกเป็นชิ้น ๆ และถูกกลืนลงไปในไม่ช้า
ทหารที่เหลือไม่สามารถทนต่อแรงกดดันมหาศาลจากสัตว์ประหลาดปลาที่จ้องมองมาได้ ความกล้าหาญที่พวกเขามีจางหายไป พวกเขาเชื่อว่าอีกไม่นานพวกเขาก็จะต้องตายอย่างแน่นอน พวกเขาจึงหลงผิดและคิดที่จะลิ้มลองรสชาติของหญิงสาวชนชั้นสูง และทายาทเพียงคนเดียวของแลงคาสเตอร์ในอ้อมแขนของเธอก่อนตาย พวกเขาจึงถูกสังหารโดยสาวใช้สองคนที่ชํานาญดาบก่อนจะกลายเป็นอาหารปลาไปในที่สุด
แต่หลังจากนั้น บรรยากาศในกระท่อมก็ยิ่งสิ้นหวังมากขึ้นกว่าเดิม
แม้ว่าตัวกระท่อมไม้จะแข็งแรงและสวยงาม แต่ก็ไม่มีอาหารหรือน้ําเก็บไว้ที่นี่มากนัก เพราะปกติแล้วไม่มีใครค้างคืนในที่แบบนี้
ไม่ต้องพูดถึงว่ามีสัตว์ประหลาดปลาอยู่ใกล้ ๆ แถวนี้ถึง 7 ตัวเมื่อพวกเธอหนีเข้ามาในกระท่อม!
หญิงสาวชนชั้นสูงไม่รู้ว่าสัตว์ประหลาดปลาเหล่านี้จะทําอย่างไรต่อไป แต่พวกมันต้องกินไม่เลือกเมื่อมองจากลักษณะขากรรไกรของมัน
อันที่จริงเธอสามารถได้ยินเสียงพวกมันแทะกําแพงไม้จากด้านนอกได้อย่างชัดเจน
ความจริงสิ่งที่เรียกว่า ‘กระท่อมไม้ที่แข็งแรง’ ไม่ได้ทําให้เธอมั่นใจได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้นข้อเท็จจริงที่ว่า ทางออกเดียวในบ้านไม้ถูกปิดกั้นโดยสัตว์ประหลาดปลา มันก็เกือบจะเป็นสถานการณ์ที่สิ้นหวังทําหรับพวกเธอ
ในตอนนี้เธอรู้ดีว่าเอิร์ลโครินกําลังขาดแคลนกําลังคนอย่างหนัก หากไม่เช่นนั้นเอิร์ลโครินก็คงไม่กล้าเสี่ยงบังคับให้ศาสนจักรในเมืองส่งกองกําลังศักดิ์สิทธิ์ออกไปช่วยกําจัดมนุษย์เงือกหนองน้ํารอบเมืองเป็นแน่
อย่างน้อยเกวนโดลินก็ต้องหนีไปให้ได้แม้ว่าข้าจะต้องตายที่นี่ก็ตาม…
เมื่อคิดเช่นนั้น เธอก็รู้สึกโกรธเคืองกับการออกแบบกระท่อมที่ไม่ได้คิดเผื่อไว้สําหรับเวลาที่ต้องหลบหนีเลย
“พวกเจ้าสองคนแบ่งน้ําและอาหารที่เหลืออยู่ไปกิน” เธอกล่าวกับสาวใช้สองคนของเธอ เกวนโดลินหลับไปแล้วหลังจากที่เธอร้องไห้จนเหนื่อย “จากนั้นจงพักผ่อนและรักษาความแข็งแกร่งเอาไว้ เราจะพังกําแพงหนีสัตว์ประหลาดเหล่านั้น!”
“แล้วท่านมิลดี้ล่ะคะ” สาวใช้คนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะถามอย่างเป็นห่วง เธอสังเกตว่านายหญิงไม่ได้เอ่ยถึงตัวเองเลย
“ข้าวิ่งช้าเกินไป ข้าจะถ่วงพวกเจ้าเสียเปล่า ๆ…มันดีกว่าที่ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของพวกมัน สิ่งที่เจ้าต้องทําคือช่วยเกวนโดลินหลบหนี!”
เธอตัดสินใจแล้ว
พ่อของเกวนโดลิน ลูกชายของเอิร์ลโครินเสียชีวิตคาอกของผู้หญิงคนหนึ่งเนื่องจากความหลงระเริงของเขา แต่ถึงกระนั้นด้วยความผิดปกติบางอย่าง แม้เขาจะยุ่งกับผู้หญิงนับไม่ถ้วนในยามค่ําคืน แต่เขาก็ไม่มีบุตรคนใดเลยนอกจากเกวนโดลิน
ส่วนเอิร์ลโครินก็แต่งงานกับผู้หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้น ตลอดชีวิตของเขามีลูกชายเพียงคนเดียวและไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใดอีก
ดังนั้นถ้าเกวนโดลินตายที่นี่ แลงคาสเตอร์ก็จะต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของราชวงศ์วัลลาอย่างสมบูรณ์
“แต่…” เห็นได้ชัดว่าสาวใช้ไม่ต้องการทิ้งนายหญิงของตน แต่ทันใดนั้นสัตว์ประหลาดปลาก็เริ่มส่งเสียงร้องด้านนอกกระท่อม
เธอก้มหน้าลง
เธอรู้ดีว่าพวกสัตว์ประหลาดปลากําลังตื่นเต้น พวกมันพบเหยื่อแล้ว
เป็นไปได้ไหมที่ความช่วยเหลือจากแลงคาสเตอร์มาถึงแล้ว?
ไม่มีทาง พวกเธอไม่ทันได้ส่งข่าวออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือ…เป็นไปไม่ได้ที่แลงคาสเตอร์จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่
ยิ่งไปกว่านั้นที่นี้เป็นพื้นที่ล่าสัตว์ของขุนนาง มีกองทหารคอยดูแลอยู่ตลอด ทําให้ทหารของแลงคาสเตอร์ และกองกําลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยุ่งอยู่กับการกําจัดมนุษย์เงือกหนองน้ําไม่เข้ามาที่นี่
ต้องเป็นพลเมืองบางคนที่หลงเข้ามาโดยบังเอิญแน่… เธอคาดเดาได้อย่างรวดเร็ว ขออภัยที่เราช่วยอะไร พวกเจ้าไม่ได้…ตอนนี้แม้กระทั่งเราก็ไม่อาจปกป้องตัวเองได้เช่นกัน
“แม่” เกวนโดลินเงยหน้าขึ้นมามองเมื่อเธอสะดุ้งตื่น
“ไม่เป็นไรเกวนโดลิน” เธอพยายามปลอบลูกสาวของเธอ “อย่ากลัว มันจะจบลงในไม่ช้า”
แต่ถึงกระนั้นเสียงร้องของสัตว์ประหลาดปลาก็ไม่ได้สงบลงอย่างที่เธอคิดไว้
ที่จริงมันกําลังดังขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่นานพวกเธอก็สามารถได้ยินเสียงการต่อสู้ดังเข้ามาใกล้กระท่อมเรื่อย ๆ ราวกับว่ามีใครบางคนกําลังต่อสู้กับสัตว์ประหลาดปลามาตลอดทาง
เสียงของใบมีดอัดคมกริบตัดเนื้อสัตว์แข็ง ๆ ของสัตว์ประหลาดดังขึ้น เช่นเดียวกับเสียงระเบิดจากคาถาและศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับเสียงคํารามของมนุษย์และเสียงกรีดร้องของสัตว์ประหลาดปลา จนฟังดูเหมือนมีการต่อสู้ที่รุนแรงเกิดขึ้นข้างนอก
สาวใช้ทั้งสองชักดาบออกมาพร้อมที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ แต่สัตว์ประหลาดปลาที่ขวางอยู่ตรงประตูก็กําลังจับจ้องมาที่พวกเธออย่างไม่กะพริบตา
ขณะเดียวกันเสียงการต่อสู้ด้านนอกก็ค่อย ๆ เบาลง หากสาวใช้ฟังกําแพงและจากไปตอนนี้ สัตว์ประหลาดปลาที่กําจัดศัตรูไปแล้วคงจะบุกเข้ามากัดกินนายหญิงและคุณหนูเกวนโดลินเป็นแน่
กระนั้นเหตุการณ์ก็เงียบลงอีกครั้งหลังจากนั้นไม่นาน
“ใครชนะ?” สาวใช้คนหนึ่งกระซิบกับคู่หู
“ต้องเป็นสัตว์ประหลาดปลาอยู่แล้ว” สาวใช้คนอีกคนดูมืดมน “เจ้าก็รู้ว่าพวกมันน่ากลัวแค่ไหน…ทหาร 500 นายที่นี่ถูกฆ่าจนหมดก่อนที่พวกเขาจะได้มีโอกาสส่งข้อความขอช่วยเหลือออกไป แม้แต่อัศวินหญิงของเราก็ถูกสังหารก่อนที่พวกเธอจะได้โต้กลับ..”
สัตว์ประหลาดปลาไม่เพียงแต่จะแข็งแกร่งมากเท่านั้น เกล็ดของพวกมันก็แข็งเหมือนกับแผ่นเหล็กที่ไม่สามารถเจาะทะลุได้
สาวใช้ชะงักไปชั่วขณะก่อนจะพูดต่อ “ต้องเป็นกองกําลังชั้นยอดกว่า 200 คนถึงจะสู้กับสัตว์ประหลาดปลาได้นานขนาดนี้”
“อาจเป็นทีมยอดมนุษย์รึเปล่า?” สาวใช้อีกคนพูดขึ้น
“นี่เจ้าไม่เคยเจอพวกยอดมนุษย์มาก่อนใช่ไหม เหล่ายอดมนุษย์นั้นน่ากลัวมาก พวกเขาสามารถกวาดล้างสัตว์ประหลาดเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็วแทนที่จะต่อสู้กับมันเป็นเวลานานเช่นนี้” สาวใช้คนแรกส่ายหัวและถอนหายใจ “และมันก็ควรจะมีเสียงเชียร์หากกองกําลังชั้นยอดได้รับชัยชนะ…แต่มันกลับมีเพียงความเงียบเท่านั้น ดังนั้นสัตว์ประหลาดปลาคงจะชนะ”
คําพูดของเธอมีเหตุผลและน่าเชื่อถือ แม้แต่หญิงสาวชนชั้นสูงเองก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วย
พวกเขาต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว หากต้องการหลบหนีจากสถานการณ์ปัจจุบัน
แต่ทันใดนั้นปลาที่หัวติดอยู่ตรงทางเข้าประตูก็อ้าปากร้องเสียงหลงอย่างน่าเวทนา ขณะจ้องมองทุกคนในกระท่อม
ทีแรกพวกเขาเกือบจะคิดว่าสัตว์ประหลาดปลากําลังจะใช้กําลังพังกําแพงเข้ามาในกระท่อม แต่แล้วของเหลวข้นก็พุ่งออกมาจากเบ้าตาและปากของมันจนเจิงนองบนพื้น ขณะที่ดวงตาที่น่ากลัวของมันค่อย ๆ ขุ่นมัว หัวของมันกระแทกเข้ากับกรอบประตูจนเศษไม้หลุดออกมา และทรุดฮวบลงบนพื้นราวกับว่ามันไร้ซึ่งร่องรอยของชีต้า
สาวใช้ทั้งสองมองฉากตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น
อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะได้เดินออกไปตรวจสอบว่าสัตว์ประหลาดปลาแกล้งตายหรือมีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้น ร่างกายของมันก็เริ่มโปร่งใส หัวและตัวของมันที่ยังคงอยู่ด้านนอกค่อย ๆ จางหายไปในไม่ช้า โดยเหลือเพียงอวัยวะสีดํา 4 ชิ้นที่วิวัฒนาการมาจากครีบกลายเป็นแขนขาและกรงเล็บ
“เกิดอะไรขึ้น?”
ไม่ใช่แค่สาวใช้ แม้แต่หญิงสาวชนชั้นสูงเองก็ไม่เคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน พวกเธอยังสับสนว่าพวกเธอควรทําอย่างไรต่อไป
นั่นคือตอนที่เด็กชายที่อายุมากกว่าเกวนโดลินเพียงเล็กน้อยวิ่งเข้ามาในกระท่อม
หลังจากเขาเห็นคน 4 คนในกระท่อม เขาก็วิ่งออกไปข้างนอกทันทีพร้อมกับตะโกนว่า “ลุงมฟาซา! มีคนอยู่ในกระท่อม!”
ข้าไม่รู้ พวกหล่อนเป็นผู้
จากนั้นเสียงเรียบ ๆ ของชายคนหนึ่งก็ถามขึ้น “ใคร? ทหารของพื้นที่ล่าสัตว์ หญิงทั้งหมด!” เด็กชายตอบ
“สีอะไร?”
“สีเหลือง!”
ทั้ง 4 คนในกระท่อมทําอะไรไม่ถูก พวกเธอมองหน้ากันไปมา และกําลังรุนงงว่าพวกเธอเป็นสีเหลืองได้อย่างไร?
ถึงกระนั้นก่อนที่พวกเธอจะทันได้ทําอะไร ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในกระท่อม เขาทําให้ร่างของหญิงสาวชนชั้นสูงตึงเครียดขึ้นมาทันที
เธอเคยเห็นใบหน้าแบบนี้ในรายงานตอนที่เธอจัดโต๊ะทํางานให้เอิร์ลโคริน นั่นคือผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมบารอนในเจลาเนีย ซึ่งทหารได้ข้อมูลมาหลังจากสอบสวนอย่างยากลําบาก!
บทที่ 168 ปลาหน้ามนุษย์
วันที่ 5 ที่มนุษย์เงือกหนองน้ําอาละวาด
ความแข็งแกร่งของผู้เล่นนั้นไม่ต้องสงสัยเลย โดยเฉพาะหลังจากที่กิจกรรมเกาะมนุษย์เงือกสิ้นสุดลง ผู้เล่นเกือบทุกคนมีประสบการณ์และรู้วิธีสังหารมนุษย์เงือกอย่างมีประสิทธิภาพ
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่ามนุษย์เงือกหนองน้ําก็เป็นเผ่าพันธุ์ย่อยของมนุษย์เงือก คล้ายกับการความสัมพันธ์ระหว่างไฮเอลฟ์กับเอลฟ์ป่า เมื่อมองจากภายนอกรูปลักษณ์ของพวกเขาแทบจะเหมือนกัน
ดังนั้นผู้เล่นจึงไม่เพียงแต่จะไล่ฆ่าฝูงมนุษย์เงือกหนองน้ําที่โจมตีท่อระบายน้ําของแลงแคสเตอร์อยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น พวกเขายังไล่กําจัดสัตว์ร้ายในท่อระบายน้ําไปจํานวนมากระหว่างการกวาดล้างด้วย และรังของหนูท่อที่กําลังฟื้นตัวก็ถูกพวกเขาถล่มอีกครั้ง
ถึงกระนั้นก็ยังมีมนุษย์เงือกหนองน้ําจํานวนมากอยู่ด้านนอก แม้ว่าพวกที่อยู่ในท่อระบายน้ําจะถูกกําจัดออกไปมันก็จะมีเข้ามาเพิ่มอยู่เรื่อย ๆ
ปกติแล้วผู้เล่นต้องตื่นเต้นกับ EXP นับแสนที่รออยู่ข้างนอก
แต่ปัญหาก็คือทหารภายใต้คําสั่งของลอร์ดแห่งแลงคาสเตอร์ และกองกําลังของศาสนจักรที่ลอร์ดบังคับให้ศาสนจักรต่าง ๆ ส่งไปนั้นกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ด้านนอก และยังคงสังหารมนุษย์เงือกหนองน้ําอย่างไร้ประสิทธิภาพจนเทียบไม่ได้กับผู้เล่น
ขณะนี้ศาสนจักรแห่งเกมยังไม่อาจถูกเปิดเผยได้ แม้ว่าผู้เล่นจะออกไปฆ่ามนุษย์เงือกและสามารถหลอกลวงเหล่าทหารเหล่านั้นได้ แต่หากพวกเขาถูกพบโดยกองกําลังของศาสนจักรอื่น เกรงว่าการต่อสู้เพื่อแย่งฆ่ามนุษย์เงือกในครั้งนี้คงกลายเป็นสงครามศาสนาแน่
ดังนั้นทั้งผู้เฒ่าแวนเค่อและผู้เล่นที่มีสติ จึงเตือนผู้เล่นคนอื่น ๆ ซ้ํา ๆ ว่าอย่าฟาร์มสัตว์ประหลาดในป่า
แม้ว่าพวกเขาจะมีเจตนาดี แต่พวกเขาก็ไม่ขาดแคลนพวกที่ชอบสร้างปัญหาเช่นกัน
“ถ้าเราไม่สามารถทําฟาร์มมนุษย์เงือกในป่าได้ เราควรมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ต้นทางที่มนุษย์เงือกหนองน้ําโผล่มา และก่าจัดลาสบอสที่นั่น” มาร์นี่แนะนําอย่างน้ําลายไหลเมื่อนึกถึง EXP มากมายที่จะได้รับจากที่นั่น
ในฐานะผู้เล่นอันดับต้น ๆ ที่ครอบครองฉายาระดับสูงอย่าง “วีรบุรุษผู้กล้าที่ต่อสู้กับมหาสมุทร” และ นักสํารวจเจ็ดทะเล” พร้อมกัน มาร์นี่ก็มีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่ผู้เล่น ซึ่งเป็นเหตุที่ข้อเสนอของเขามีผู้สนับสนุนจํานวนมาก
อย่างไรก็ตามครั้งนี้เนื่องจากเอ็ดเวิร์ดกําลังยุ่งอยู่กับเควสที่เขารับมาจากเลดี้คินลีย์ นักเล่นแร่แปรธาตุเพียงคนเดียวในเมือง และกําลังหมกหมุ่นอยู่กับการค้นหาสมุนไพร เมื่อพวกเขาไม่พบมันในบริเวณใกล้เคียง เขาจึงตะโกนว่า ไม่มีเควสใดที่ข้าทําไมสําเร็จ และพาสมาชิกในปาร์ตี้ไปยังป่าทริเนีย
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในทีมกําจัดมนุษย์เงือกหนองน้ําครั้งนี้
แน่นอนว่าเมื่อใดก็ตามที่ผู้เล่นพบสิ่งที่พวกเขาสนใจ พวกเขาก็จะมีแรงผลักดันและความหลงใหลจนไม่อาจจินตนาการได้ในการทํามันให้สําเร็จ
มาร์นี่หยิบแผนที่ที่มีค่าของเขาออกมา เรนเจอร์บางคนได้ทําเครื่องหมายเบาะแสของมนุษย์เงือกหนองน้ําในแผนที่ของระบบแล้ว หลังจากพวกเขาพูดคุยและเปรียบเทียบแผนที่ทั้ง 2 ในไม่ช้า พวกเขาก็พบว่าบึงเซร่าเป็นศูนย์กลางของการแพร่กระจายมนุษย์เงือกหนองน้ํา
“เราจะต้องใช้ทางอ้อมเพื่อหลีกเลี่ยงการวิ่งเข้าไปในพื้นที่ที่ทหารและกองกําลังของศาสนจักรกําลังกระจายตัวกันอยู่ เราจะเคลื่อนพลไปทางเขตแลงคาสเตอร์ที่อยู่ใกล้กับโคโดบอสร่า…” มาร์นี่กล่าวขณะที่เขากําหนดเส้นทางเคลื่อนพลสําหรับผู้เล่น “หากเจอทหารหรือกองกําลังศาสนจักรระหว่างทาง อย่าพยายามต่อสู้ หาข้ออ้างหลบพวกเขาออกมา แม้ว่าพวกเจ้าจะถูกจับได้ก็ให้จัดลําดับความสําคัญไปที่การหลบหนีเป็นอันดับแรก
“แต่ถ้าจําเป็นต้องรู้จริง ๆ เราก็ต้องกําจัดพวกเขาทั้งหมดอย่างรวดเร็ว พยายามอย่าหยิบไอเทมดรอปกลับมา บางศาสนจักรสามารถติดตามอุปกรณ์ของพวกเขาได้ และอย่าลืมวางไอเทมดรอปของมนุษย์เงือกไว้ที่นั่น ให้พวกมันเป็นแพะรับบาปแทน”
ตอนนั้นเองมาร์นี่ก็สังเกตเห็นว่าผู้เล่นคนหนึ่งยกมือขึ้น”เจ้ามีคําถามอะไร?”วงกลมที่วงไว้ใกล้โคโดบอสร่า” คืออะไร“ผู้เล่นชี้ไปที่พื้นที่วงรีบนแผนที่อย่างสงสัย”นั่นคือพื้นที่ล่าสัตว์ของขุนนางทหารมักจะลาดตระเวนรอบ ๆ บริเวณนี้ แต่เราจะไม่เป็นไรตราบใดที่เราไม่เข้าใกลที่นั่นมากเกินไป”มาร์นี่ตอบใครที่ไม่รู้ทางจริง ๆ ก็ตาม ข้ามา เราสามารถออกเดินทางได้ทันทีที่ทุกคนพร้อม แต่บอสมาก่อนได้ก่อน ดังนั้นอย่าแย่งกัน! “ผู้เล่นพึมพําตอบกลับว่า “รู้แล้ว” เร็วเข้าเร็วเข้า หรือ เราไม่สามารถใช้แผนที่ของระบบแทนแผนที่วาดมือได้รึ” โดยไม่มีความกลมกลืนใด ๆ
แต่เมื่อได้กําหนดขั้นตอนคร่าว ๆ แล้ว ผู้เล่นก็เริ่มแยกย้ายกันไปเป็นปาร์ตี้
****แย่จริง“มูฟาซาปิดแผนที่และพึมพําด้วยความหงุดหงิด” ดูเหมือนว่าพวกเราจะเข้ามาในพื้นที่ล่าสัตว์ของขุนนางที่เราไม่ควรเข้ามาซะแล้ว”พื้นที่ล่าสัตว์คืออะไร ซาซูถามอย่างงง ๆ ในที่สุดเขาก็กลายเป็นผู้เล่นเมื่อ 2 วันก่อน และถูกมูฟาซาลากมาช่วยฆ่ามนุษย์เงือกทันที”เจ้าไม่ได้ยินที่มิสเตอร์วิลฟ์พูดเหรอซาซู” ซิมบ้า ถามอย่างช่วยไม่ได้ เขาสะพายดาบไว้บนหลังเหมือนมูฟาซา แม้ว่าดาบของเขาจะมีขนาดเล็กกว่าก็ตาม”ข้ากําลังเล่นเทียร์ร่าบล็อคอยู่ ไม่ได้ฟังเลย.. “ซาซูที่เก็บไม้กายสิทธิ์ไว้ที่เข็มขัดข้างเอวตอบอย่างเฉื่อยฉา”แต่คะแนนของข้าจะสูงกว่าคะแนนของมิสเตอร์วิลฟ์เร็ว ๆ นี้! “มิสเตอร์วิลฟ์บอกว่า ที่นี่มีทหารคอยลาดตระเวนอยู่…ถ้าทําเสียงดังเราจะถูกพวกเขาพบนาล่ากระซิบเตือนคนอื่น ๆ เธอถือไม้กางเขนเล็ก ๆ ไว้ในเมือ”เราควรจะถูกจับได้ตั้งแต่ที่เข้ามาในนี้แล้ว พวกทหารไม่น่าจะหละหลวมขนาดนี้…แต่เรากลับไม่พบพวกเขาเลยแม้แต่คนเดียว “มูฟาซากล่าวอย่างใจเย็น” จากประสบการณ์ของข้า เมื่อสัตว์ประหลาดในดันเจี้ยนหายไป และพวกมันไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเพื่อวางแผนปิดล้อมเรา เรื่องเลวร้ายยิ่งกว่านั้นจะเกิดขึ้น”เรื่องเลวร้ายยิ่งกว่าเหรอ“ซิมบ้าผงะ
ซิมบ้าเคยเป็นหัวขโมยในแลงคาสเตอร์มาระยะหนึ่ง เขาเลยนึกไม่ออกว่าจะมีปัญหาอะไรเลวร้ายกว่าการที่ทหารออกค้นหาและตามล่าพวกเขาอีก
แต่ในไม่ช้เขาก็รู้ว่ามูฟาซากําลังพูดถึงอะไร
เมื่อเดินหน้าต่อไป พวกเขาก็เริ่มพบซากศพของมนุษย์ จากรูปลักษณ์และชุดเกราะสั่งทําที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ศพทั้งหมดเป็นทหารรวมถึงเหล่าชนชั้นสูงด้วย
แต่ไม่ใช่ว่าทหารทุกคนจะมีสิทธิ์สวมชุดเกราะ!”พวกเขาถูกสัตว์ประหลาดซุ่มโจมตีเหรอ“นาล่าถามตัวสั่น ความจริงเธอเกือบจะเป็นลม เธอเพิ่งจะกลายเป็นผู้เล่นและจิตใจเธอยังไม่เข้มแข็งพอ”หรือมีอะไรบางอย่างในพื้นที่ล่าสัตว์ ดึงดูดสัตว์ประหลาดมาที่นี่?”ข้าไม่รู้ แต่ข้าเดาว่าเราจะได้รู้เมื่อพบตัวการ”ในฐานะผู้เล่นที่คุ้นเคยกับการวิ่งไปตาย มูฟาซาจึงไม่ลังเลเลยที่จะเดินหน้าต่อไปยังใจกลางของพื้นที่ล่าสัตว์
ในไม่ช้าร่างขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา
ตอนแรกมูฟาซาสันนิษฐานว่ามันเป็นกิ้งก่าตัวมหึมาที่ไม่มีปีก แต่ในไม่ช้าเขาก็รู้ว่าเขาคิดผิด
มันเป็นปลาที่มีแขนขาและฟันเหมือนมนุษย์ มันมีความยาวมากกว่า 8 เมตร และมันกําลังเคี้ยวอะไรบางอย่างอยู่
ในเวลาถัดมา แขนของมนุษย์ข้างหนึ่งก็หลุดออกมาจากปากปลากลายพันธุ์ขนาดมหึมา น้ําลายสีขาวของมันยึดออกเหมือนด้ายเส้นเล็ก ๆ เมื่อแขนข้างนั้นตกลงไปบนพื้น มันก็ส่งเสียงดังเหมือนกําลังเหยียบโคลน
จากนั้นปลาก็เห็นมูฟาซาและเด็ก ๆ”ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ใช่ว่ามีอะไรบางอย่างดึงดูดมันเข้ามาในพื้นที่ล่าสัตว์“มูฟาซาชักดาบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
แม้ซิมบ้าและเด็กอีก 2 คนจะหวาดกลัวกับฉากตรงหน้า แต่พวกเขาก็ทําตามมูฟาซาและชักอาวุธออกมา
ทันใดนั้นรอยยิ้มแปลก ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของปลา มันเริ่มขยับแขนขาอย่างไม่ชํานาญพยุงร่างขึ้น และ พุ่งเข้าหาพวกเขาทั้งสี่”สิ่งที่ดึงดูดมันคือการมีอยู่ของอาหารที่เรียกว่ามนุษย์!” มูฟาซาคําราม
ทันใดนั้นลางสังหรณ์บางอย่างก็ปรากฏขึ้นในใจเขา
สาเหตุที่มนุษย์เงือกหนองน้ําอาละวาด อาจเป็นเพราะสัตว์ประหลาดตัวนี้ไล่พวกมันออกจากบึงเซร่า ไม่ใช่เพราะการแพร่พันธุ์ที่ผิดปกติและอาหารไม่เพียงพอ
บทที่ 167 ฐานที่มันลับในแลงคาสเตอร์ขอความช่วยเหลือ
เทศกาลหว่านเมล็ดเพิ่งจบลง เจ้าหญิงนักรบลีอาก็มาเยี่ยมเมืองไร้ชื่อ
“อะไร? กองทัพมนุษย์เงือกหนองน้ําปรากฏตัวที่แลงคาสเตอร์? “ทีแรกแองโกร่าเดาว่าเธอมาเที่ยวชมเมืองเพื่อผ่อนคลาย นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมเขาถึงตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้จากเธอ”ข้าได้ไปเยี่ยมหมู่บ้านมนุษย์กบมาก่อน แต่หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นบนเกาะมนุษย์เงือก…ดังนั้น ข้าหวังว่าท่านจะสามารถส่งผู้เล่นจากเมืองนี้ไปช่วยเหลือแลงคาสเตอร์ได้”เจ้าหญิงลีอาดูเหมือนว่าเธอพึ่งจะผ่านวันคืนที่ยากลําบากมา ตอนนี้ใบหน้าที่สวยงามของเธอดูค่อนข้างโทรม” ผู้เล่นที่อยู่ในแลงคาสเตอร์แทบจะไม่ได้หลับได้นอนสักคนเดียว”มันไม่มีปัญหาหากท่านกําหนดรางวัลเควสที่เหมาะสม” แองโกร่าตัดสินใจพูดออกมาหลังจากนั้นครู่หนึ่ง
แม้ว่าแองโกร่าจะไม่ได้ใจดําถึงขนาดไม่คิดที่จะช่วยเหลืออะไรเลย แต่เขาก็ต้องต่อรองเล็กน้อย หรืออย่างน้อยเขาก็ต้องได้กําไรก่อนที่จะตกลง ท้ายที่สุดเขาได้ทํางานอย่างหนักเพื่อพัฒนาเมืองของเขาให้เป็นเมืองหลักในสายตาผู้เล่น
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาได้รู้เกี่ยวกับความเป็นมาของเขาจากฮอร์รันพ่อของเขา และเข้าใจว่าเขาก็เป็นหนึ่งในเชื้อสายราชวงศ์เทียร์ร่า เขาก็ไม่รู้สึกห่างเหินกับเจ้าหญิงลีอา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจแข่งขันกับเธอ เพื่อชิงอํานาจก็ตาม
ในแง่หนึ่ง ความคิดที่ว่าเขามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเธอ ถือได้ว่าเป็นเรื่องสําคัญที่ยังคงส่งผลกระทบต่อแองโกร่า เพราะขุนนางมักให้ความสําคัญกับสายเลือดมาเป็นอันดับต้น ๆ
แน่นอนว่าแม้เขาจะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเธอ แต่เขาก็ไม่ใจดีพอที่จะช่วยฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์ฟรี ๆ มันดีกว่าที่จะพูดคุยข้อตกลงให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น”แน่นอน…วิเศษมาก กรุณาให้ข้าขอบคุณท่านในนามของฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์”เจ้าหญิงลือาดูโล่งใจขึ้นมากเนื่องจากเธอไม่ได้สนใจเรื่องทรัพยากรสักเท่าไหร่ เพราะเธอและทหารของเธอเคยสิ้นเนื้อประดาตัว เมื่อพวกเธอกําลังหลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอด และในตอนนี้ สิ่งต่าง ๆ ก็ได้สงบลงแล้ว ด้วยความที่ผู้เฒ่าแวนเค่อมีความเป็นผู้นําและพัฒนาฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์อย่างขยันขันแข็ง พวกเขาจึงสามารถสะสมทรัพยากรได้มากมาย เนื่องจากพวกเขาไม่ได้อยู่ไกลจากเมือง อันที่ จริงพวกเขาประหยัดทรัพยากรได้มากกว่าเมืองไร้ชื่อและหมู่บ้านมนุษย์กบด้วยซ้ํา
นั่นเป็นสาเหตุที่เจ้าหญิงลีอาพอใจมากกับข้อตกลงนี้ ตอนแรกเธอนึกว่าจะต้องเสียเลือดเล็กน้อยเพื่อให้แองโกร่าซึ่งเป็นขุนนางของจักรวรรดิวัลลายอมช่วยเหลือ แต่เธอไม่คิดเลยว่าเขาจะพอใจง่ายขนาดนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาดูเจ้าเล่ห์มาก
นี่เธอเข้าใจเขาผิดมาตลอดเลยหรือ? ลีอาพบว่าเธออ่านเขาไม่ออก เนื่องจากเธอรู้เพียงเล็กน้อยว่าแองโกร่าไม่เป็นที่รักของพ่อแค่ไหน ดยุกจึงได้ส่งเขามาอยู่ในเมืองไร้ชื่อ ซึ่งไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า…
นั่นสินะ คงเป็นเรื่องปกติที่เด็กที่เกิดภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จะระมัดระวังคนแปลกหน้า
เจ้าหญิงลีอาที่ยังไม่รู้ว่าเธอมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับแองโกร่าคิดอย่างรู้สึกผิด
หลังจากได้รับการอนุมัติจากแองโกร่า เจ้าหญิงลีอาก็ไม่ได้อยู่ในเมืองไร้ชื่อต่อ เธอรีบกลับไปยังฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์
เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ที่นั่นรุนแรงมาก”จะไม่เป็นไรจริง ๆ หรือ“วีลาถามแองโกร่าอย่างสงสัยหลังจากเธอเห็นเจ้าหญิงลีอาจากไป”เราจะไม่เสียผู้เล่นให้ฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์ใช่ไหม?””ข้าคงโกหก หากข้าบอกว่าไม่เป็นไร “แองโกร่ายักไหล่
ในมุมมองของผู้เล่น สถานที่ทั้งสองนั้นเหมือนกัน แม้ว่าเมืองหนึ่งจะเป็นเมืองที่พลุกพล่าน แต่ก็ไม่มีความทรงจําสําคัญใด ๆ สําหรับผู้เล่นนอกจากการทําเควสประจําวัน ในขณะที่อีกเมืองเป็นเมืองที่พวกเขาปกป้องมันจากศัตรูผ่านสงครามที่รุนแรงและโหดร้าย ในขณะที่พวกเขาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับสหาย
ดังนั้นแม้ว่าเมืองไร้ชื่อจะไม่รุ่งเรืองเท่าเมืองแลงคาสเตอร์ แต่ความทรงจําของผู้เล่นที่ร่วมมือกันปกป้องเมืองเล็ก ๆ นี้ก็ทําให้เมืองนี้มีน้ําหนักมากกว่าเมืองแลงคาสเตอร์” ถ้าเจ้าหญิงลือาไม่ได้โกหก และนี่เป็นการต่อสู้ที่ยากลําบากจริง ๆ อาจมีผู้เล่น 1 ใน 3 ที่ไปที่นั่น“แองโกร่าเสริม”นั่นไม่ดีเลย!“วีลาอุทานอย่างเป็นห่วงขณะที่เธอช่วยแองโกร่าสวมเสื้อโค้ท” การขาดผู้เล่นจะไม่ส่งผลต่อการพัฒนาของเมืองเราหรือ? “ไม่เป็นไรวีลา เจ้าควรมองสิ่งนี้อย่างเปิดใจ เพราะโลกไม่ได้แคบอย่างที่เจ้าคิด”แองโกร่าไม่สนใจเลย จริง ๆ แล้วเขากําลังยิ้มอย่างผ่อนคลาย” ความจริงก็คือโลกมันกว้างใหญ่มาก และเราก็กําลังอาศัยอยู่ในผืนดินจุดเล็ก ๆ บนโลกเท่านั้น เมืองของเราเองก็ไม่ได้มีพลังและแข็งแกร่งพอที่จะครอบคลุมทุกอย่างได้หรอก”?”ลีอามีสีหน้าสับสนและพูดว่า เรากําลังพูดถึงเรื่องเดียวกันอยู่รึเปล่า?”แต่เทพเจ้าแห่งเกมนั้นแตกต่าง ในช่วงเวลาสั้น ๆ ข้าก็ได้เข้าใจสิ่งหนึ่ง เช่นเดียวกับชื่อเควสถาวรของผู้เล่นที่ว่า “แสงของพระองค์จะส่องสว่างไปทั่วผืนแผ่นดิน” แองโกร่าพูดต่อ “นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไม การเสียผู้เล่นไปไม่กี่คนนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย”
เขาปรับคอเสื้อและหันไปมองวีลาที่ครุ่นคิด ก่อนจะหยิบหมวกที่เธอถือมาสวม “ดวงตาของเจ้าควรมองไปข้างหน้ามากว่านี้”
“จริงรึ? แต่ข้ารู้สึกว่ามันเพียงพอแล้ว ตราบเท่าที่ดวงตาของข้าสามารถมองเห็นท่านได้ ลอร์ดของข้า” หญิงสาวกล่าวเบา ๆ
แองโกร่าแข็งที่อไปครู่หนึ่ง แต่ในไม่ช้าเขาก็ยิ้ม” นั่นคือสิ่งที่ข้าพูด “เขาหันมาและมุ่งหน้าไปที่ประตู โดยไม่ได้อธิบายความมายให้วิลาฟัง”การเป็นผู้นําเป็นความรับผิดชอบของข้า และข้าจะทําทุกอย่างเท่าที่ทําได้ เพื่อนําทางพวกเจ้าไปในทางที่ถูกต้อง และเจ้าเองก็ด้วยวีลา“จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องไป
วีลาพองแก้มและสบถเสียงเบาว่า ‘เจ้าโง่เอ๊ย!’ ขณะที่เธอเดินตามเขาไปอย่างรวดเร็ว “แต่ข้าก็ยังคิดว่าเราไม่ควรปล่อยผู้เล่นไปง่าย ๆ… “ไม่เป็นไร เราจะทําบางอย่างเพื่อดึงพวกเขากลับมาในภายหลัง ข้ายังต้องไปทุนย่าเร็ว ๆ นี้เพื่อเข้าร่วมเทศกาลหว่านเมล็ดกับพ่อ ข้าไม่มีเวลาให้ความสนใจกับผู้เล่นตอนนี้ การปล่อยให้พวกเขาออกไปเล่นที่แลงคาสเตอร์ก็ถือเป็นเรื่องดีเช่นกัน…”
เสียงของเจ้านายและผู้ติดตามของเขาเริ่มห่างจากห้อง ก่อนจะหายไปในที่สุด
บทที่ 166 เทศกาลหว่านเมล็ด
สามวันหลังจากฤดูหนาว เทศกาลที่คนทั้งทวีปตะวันออกยอมรับ นั่นคือเทศกาลหว่านเมล็ดที่หมายถึงการเริ่มต้นปีใหม่
แม้แต่ในเมืองไร้ชื่อเควสประจําวันในช่วง 2 วันที่ผ่านมาก็เปลี่ยนจากการพัฒนาเมืองเป็นการตกแต่งเมืองด้วยของตกแต่งที่ยุ่งเหยิงแต่ดูมีชีวิตชีวา
เนื่องจากซีเว่ยเป็นคนจัดเตรียมของตกแต่งเหล่านั้นเมื่อเขาไม่มีอะไรทําในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ เราจึงสามารถเห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่มีเอกลักษณ์บนโลกที่นี่
ตัวอย่างเช่นโคมไฟกระดาษสีแดงขนาดใหญ่ที่มีคุณสมบัติกันลมและทนไฟ เรือมังกรที่มีความยาวเท่าตะเกียบที่สามารถวางไว้ในน้ําและแล่นได้โดยอัตโนมัติ ถุงเท้าสีแดงที่มีขนาดใหญ่กว่าเท้ามนุษย์ โคมไฟฟักทองที่ส่งเสียงชวนหลอน และผีที่คล้ายกับผ้าห่มบินได้
แต่สิ่งของที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือซองจดหมายสีแดงที่สวยงามเป็นพิเศษ แม้ผู้เล่นจะไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรก็ตาม
***
“เจ้าบอกปู่เจ้าได้ไหม ว่าข้าจะไม่ไปร่วมงานเทศกาล…”
“ไม่มีทาง ข้าบอกทุกคนไว้แล้วเมื่อวานว่าท่านจะปรากฏตัวข้าทํางานหนักเกินไป ขอข้าได้นอนหลับสบายซักวันเถอะ”โปรดลุกขึ้นแล้วออกไปด้วยกันเถอะค่ะ“วีลายิ้มอย่างช่วยไม่ได้”ท่านคือลอร์ดของเรานะ“เมื่อเธอพูดอย่างนั้น แองโกร่าที่มีตัวอักษร * สีแดงขนาดใหญ่แปะอยู่บนหน้าผาก ก็ลุกขึ้นมาใส่เสื้อคลุมอย่างไม่เต็มใจ “ข้าดูเป็นยังไงบ้าง?”
(TL:ซวงสี่ คือสัญลักษณ์มงคลที่นิยมใช้กันมากที่สุดในพิธีแต่งงานของชาวจีน เป็นอักษรมงคลที่ประดิษฐ์สร้างขึ้นมาจากคติความเชื่อและวัฒนธรรมแบบจีน ดังนั้นจึงนิยมเรียกคํานี้ว่า ซวงสี่) ดีมาก…ดูมีพลัง”วีลายิ้มกว้าง”ข้ารู้เจ้าโกหกที่บอกว่าข้าดูดี“แองโกร่าดูท้อใจ”ท่านเป็นคนที่หล่อที่สุดในสายตาของข้าตลอดมา หญิงสาวตอบโดยที่หน้าไม่เปลี่ยน”เอาอีกแล้ว เจ้าเอาแต่ชมข้าเกินจริงเสมอ.. “แองโกร่าคร่ําครวญขณะที่เขาออกจากห้อง”ข้าไม่เคยทําเช่นนั้น“หญิงสาวพึมพําเสียงเบาก่อนจะเดินตามแองโกร่าไป โดยเว้นระยะห่างจากเขาครึ่งก้าว”เจ้าจะไม่ยืนข้างข้ารึ? การพูดคุยดูไม่ค่อยสะดวกเมื่อเจ้ายืนอยู่ข้างหลังข้า“แองโกร่ากล่าวด้วยความงงงวย”โปรดอย่าสนใจเลย หญิงสาวจากชายแดนก็เป็นเช่นนี้ “จริงรึ? ถ้าเจ้าว่าแบบนั้น…”
แองโกร่ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาไม่ควรกังวลกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงก้าวออกจากห้องพักและมายืนที่ระเบียงชั้นหนึ่ง ซึ่งหันหน้าไปทางจัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไร้ชื่อ ที่ซึ่งงานเฉลิมฉลองเกือบทุกงานจัดขึ้นที่นี่
ในเวลานั้นผู้เล่นหลายคนก็มารวมตัวกันที่จัตุรัสแห่งนี้เช่นกัน
คนที่ส่วมหัวปลาแองเกลอร์ไม่ก็หัวปลาโลมาบางคนกําลังแข่งเต้นรํากัน และบางคนก็กําลังพูดถึงกลยุทธ์ในเกม
มาร์นี่: อะไรนะ ธันเดอร์มีบอสด้วย ทําไมข้าไม่เคยเจอเลย!
บางคนก็โบกธงและตะโกนโห่ร้องเชียร์เรือมังกรของพวกเขาในบ่อน้ําพุ ในขณะที่เด็กบางคนสวมหัวฟักทองที่เอามาจากที่ไหนสักที่ และหัวเราะขณะวิ่งไล่ผีผ้าห่ม
ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ทั้งจัตุรัสเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง” สวัสดีผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมและพลเมืองของข้า! ข้าแองโกร่าเฟาสต์ ลอร์ดของเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ตัวอักษรบนหน้าผากของแองโกร่าสว่างวาบภายใต้แสงของดวงอาทิตย์ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาพูดกับผู้เล่นที่หยุดการสนทนาและเต้นรําชั่วขณะ “ในฤดูหนาวนี้เราได้รับประสบการณ์มากมาย และได้พบกับการผจญภัยที่เราไม่มีทางพบเจอได้ในอดีต! พวกเจ้าทุกคนจงภูมิใจกับความสําเร็จในปัจจุบันของเจ้า! พวกเจ้าทุกคนได้เอาชนะความยากลําบากทั้งหมด เพื่อตอบสนองความคาดหวังของเทพเจ้าแห่งเกมได้อย่างสมบูรณ์แบบ! ทุกคนที่นี่คือผู้กล้า และนั่นคือเหตุผลว่าทําไม.. “ในตอนนั้นวิลาส่งแก้วไวน์ให้แองโกร่าจากด้านหลัง ในขณะที่จัตุรัสด้านล่าง ผู้เล่น แต่ละคนก็ได้รับเครื่องดื่มหรือเหล้าเบียร์จากแผงบริการตนเอง (ซึ่งมีป้ายโฆษณาร้านค้า) และยกแก้วของพวกเขาขึ้นเช่นเดียวกับแองโกร่า”แด่เทพเจ้าแห่งเกม!” “แด่เทพเจ้าแห่งเกม!”
“ไชโย!”
“ไชโย!!!”
เสียงเชียร์จากผู้เล่นดังขึ้นพร้อม ๆ กันส่งผลให้บรรยากาศในขณะนี้ถึงจุดสุดยอด
“ดังนั้น ข้าจึงขอประกาศการเริ่มต้นเทศกาลหว่านเมล็ดอย่างเป็นทางการ!” แองโกร่าทุบแก้วไวน์ลงพื้นก่อนจะตะโกน “โอ้ เทพเจ้าแห่งเกม โปรดมอบชีวิตใหม่ให้แก่เรา!”
“โอ้ !!!”
เมื่อเทียบกับการเฉลิมฉลิงของเมืองไร้ชื่อ เทศกาลหว่านเมล็ดที่แลงคาสเตอร์เงียบสงบกว่ามาก
“อะไร? มนุษย์เงือกหนองน้ําเพิ่มจํานวนขึ้นมากผิดปกติ? “เอิร์ลโคริน ลอร์ดแห่งแลงคาสเตอร์กําลังขมวดคิ้วมองไปยังกระดาษที่ข้ารับใช้ยื่นให้” ขอรับ “ข้ารับใช้ตอบอย่างสุภาพว่า”นักวิชาการเชื่อว่าเมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไป ปรากฏการณ์ประหลาดที่บึงเซร่านั้นได้ทําให้มนุษย์เงือกหนองน้ําเพิ่มจํานวนขึ้น“บารอนไนเจลาเนียที่จักรพรรดิ ส่งมายังแลงคาสเตอร์ได้เสียชีวิตอย่างน่าสังเวชที่แลงแคสเตอร์เขตเหนือ แต่ลอร์ดโครินกลับไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เขาถือโอกาสใช้การตายของขุนนางไนเจลาเนียเพื่อส่งคําเตือนไปยังขุนนางคนอื่น ๆ ในเมืองที่มีแรงจูงใจ แอบแฝง รวมถึงผู้ที่เข้าใกล้บารอนไนเจลาเนียด้วยความต้องการของตัวเอง ให้พวกเขายอมรับผลของการกระ ทําที่พวกเขาก่อให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวว่าลอร์ดของพวกเขาจะทําความสะอาดพวกเขาในสักวันหนึ่ง” ถ้าจําไม่ผิด มีมนุษย์เงือกหนองน้ําอาศัยอยู่ในท่อระบายน้ําใต้เมืองด้วยใช่ไหม”โครินลูบเคราของเขา อย่างครุ่นคิด”ขอรับ แต่ยังไม่มีพวกมันปรากฏขึ้นในเมือง เนื่องจากฝาปิดท่อระบายน้ําพึ่งได้รับการเสริมความ แข็งแกร่งไปเมื่อไม่นานมานี้“ข้ารับใช้กล่าวในสิ่งที่เขารู้ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าลอร์ดกําลังคิดอะไรอยู่ก็ตาม”ศาสนจักรมีท่าทีอย่างไร โครินธ์ถาม”เอ่อ…พวกเขาบอกว่าจะพยายามให้ความร่วมมือกับเราอย่างเต็มที่“ข้ารับใช้ตอบอย่างลังเล เนื่องจากเขาทราบดีว่าลอร์ดต้องไม่พอใจกับคําตอบดังกล่าว
แน่นอนว่าโครินเย้ยหยันกับคําตอบนั้น ไม่ได้กล่าวถึงความช่วยเหลือใด ๆ เพียงแค่บอกว่า จะพยายามให้ความร่วมมือ มันเป็นสไตล์ของพวกน่าไม่อายเหล่านั้นจริง ๆ ช่างเถอะ เตรียมทหารของเราให้พร้อม เราไม่สามารถออกเดินทางไปยังวิ่งเซร่าได้ แต่ไม่มีปัญหาในการปกป้องแลงคาสเตอร์ แล้ว…มาร์นี่ วิลฟ์ล่ะ? เจ้าพบเขารึยัง เขาตกลงที่จะมาพบข้าหรือไม่ “เอ่อ…ความจริงคือเรายังไม่พบเขาเลยขอรับข้ารับใช้ดูละอายใจเล็กน้อย ขณะที่เขากลั้นใจตอบออกไปว่า”ดูเหมือนเขาจะไม่ปรากฏตัวที่แลงคาสเตอร์มาสักระยะแล้ว แต่เราพบเพื่อนบางคนของเขา…แต่พวกเขาดูแปลก ๆ…อมจะว่าอย่างไรดี คําพูดของพวกเขาฟังไม่ค่อยเข้าใจเช่น มาร์นี่ ตายอีกแล้ว หรืออะไรสักอย่าง คงต้องใช้เวลาสักพักก่อนที่เราจะติดต่อชายคนนั้นได้”เข้าใจแล้ว เจ้าไปได้”
หลังจากที่ข้ารับใช้ของเขาออกไป โครินก็ขมวดคิ้วล็ก “ดังนั้นนักโหราศาสตร์จึงทํานายว่า ‘เขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้’ และแม้แต่สายลับก็หาตัวเขาไม่พบ…ดูเหมือนวิลฟ์นั้นจะลึกลับเกินกว่าที่ข้าคิด”
บทที่ 165 เทียร์ร่าบล็อค
ในขณะที่ผู้ศรัทธาของเขาสนุกกับการเล่นเกมและตกหลุมรักพวกมันอย่างจริงจัง ซีเว่ยก็ได้รับพลังงานในฐานะเทพเจ้าแห่งเกม
ความจริงอดีตเทพเจ้าแห่งเกมก็ถือกําเนิดขึ้นด้วยพลังงานเทพเจ้าเช่นนี้ก่อนที่ซีเว่ยจะย้ายมา และเขาก็มีชีวิตอยู่จนถึงวันที่เทียร์ร่าล่มสลาย
นั่นคือเหตุผลที่ซีเว่ยหันเหความสนใจของเขามาที่เกมอาร์เคดทันที เมื่อเขาคิดว่าเขาจะหาแหล่งพลังงานเทพเจ้าได้จากไหน
รางวัลของเขาเป็นเพียงแรงจูงใจให้ผู้เล่นเข้าไปเล่นเกมบนสตรีมเท่านั้น แต่สิ่งที่พวกเขาสนุกมากก็คือเกมที่พวกเขากําลังเล่นอยู่นั่นเอง
และเกมที่ได้รับการตอบรับที่ดีที่สุดไม่ใช่เกมธันเดอร์ที่สิ้นเปลืองพลังงานมากที่สุด หรือเกมไพ่ที่ได้รับความนิยมสูงในโลกเดิมของซีเว่ย แต่เป็นเทียร์ร่าบล็อค เกมที่โดดเด่นน้อยที่สุดใน 3 เกม
ความจริงมันคือตัวก็อปปี้ของเตตริส* ที่ซีเว่ยสร้างขึ้น
(TL: เตตริส Tetris เป็นเกมแก้ปัญหาที่จัดเรียงตัวบล็อกที่หล่นลงมาให้เป็นแถว)
ย้อนกลับไปในโลกเดิมของซีเว่ย เตตริสมีแรงดึงดูดของปีศาจและแพร่กระจายไปทั่วแพลตฟอร์มนับไม่ถ้วนอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ที่มันถือกําเนิดขึ้นในปี 1984 กระทั่งได้รับรางวัลกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด* ในแบบของตัวเอง
(TL:กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด (Guinness World Record) ผู้รวบรวมสถิติที่ผู้คนให้ความสนใจทั่วโลก โดยจะมีการบันทึกสถิติโลกแบบแปลก ๆ เอาไว้แล้วมาตีพิมพ์เป็นหนังสือ)
มันเข้าใจง่าย เล่นง่าย และมีเสน่ห์ที่ชั่วร้าย ซึ่งจะทําให้ทุกคนเล่นมันต่อไปได้เรื่อย ๆ
เกือบทุกคนที่เล่นเกมบนหน้าจอคงจะเคยได้ยินว่ามันยังคงสร้างสถิติใหม่เรื่อย ๆ ในปัจจุบัน
ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะที่เป็นเกมที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาเกมทั้ง 3 เตตริสมีจุดแข็งทั้งหมดที่เกมอื่นไม่มี มันเข้าถึงง่าย ไม่ต้องใช้ความพยายามมาก และเล่นได้นาน ทําให้ผู้เล่นเกิดความภาคภูมิใจและความสําเร็จเมื่อนําแต่ละแถวออกไปได้สําเร็จ
ตรงกันข้ามกับธันเดอร์ที่เล่นยากและต้องทุ่มเทเวลาเล่นมันแต่ละรอบ ผู้เล่นสามารถเริ่มเกมเตตริสได้เมื่อพวกเขามีเวลาว่าง เนื่องจากเป็นเกมสบาย ๆ มันจึงระบายความเครียดหลังจากทําเควสประจําวัน หรือแรงกระตุ้นหลังการฆ่าสัตว์ประหลาด และใช้ฆ่าเวลาได้ดี
ยิ่งไปกว่านั้นการเล่นเตตริสแต่ละรอบมีราคาเพียง 1 เหรียญเกมเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้เล่นจะให้การตอบรับมันเป็นอย่างดี
ตอนนี้เรื่องที่ผู้เล่นแลกเปลี่ยนกันเปลี่ยนจาก ‘วันนี้เจ้าฟาร์มดันเจี้ยนแล้วรึยัง?’ เป็น ‘คะแนนสูงสุดของเจ้า คือเท่าไหร่?’ มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรในภายหลัง…
ในทางกลับกัน ธันเดอร์ยังคงได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากในหมู่ผู้เล่น โดยบางคนเชื่อว่านี่เป็นการทดสอบที่เทพเจ้าแห่งเกมมอบให้กับพวกเขา และพวกเขาสามารถเปลี่ยนคลาสเป็นไรเดอร์ได้ในอนาคตหากเล่นจบ แต่เรื่องนี้ถูกหักล้างโดยผู้เล่นคนอื่น ๆ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้เล่นทุกคลาสสามารถเล่นเกมได้
ยิ่งไปกว่านั้นการเคลียร์แต่ละระดับก็ยังใช้เวลานานเกินไป และนอกจากผู้เล่นที่รอเวลาฟื้นคืนชีพในห้องดําแล้ว ผู้เล่นสามารถเล่นมันได้ 1-2 ครั้งตอนกลางคืนเท่านั้น เพื่อเพลิดเพลินไปกับการได้เป็นกริฟฟินไรเดอร์
นอกจากนี้ ‘การปฏิวัติครั้งใหญ่’ ที่ซีเว่ยตั้งความหวังไว้ก็เกือบจะร้างทันทีที่เปิดตัว ไม่ใช่ว่าไม่มีใครพยายามลองเล่นมัน แต่มีคนไม่มากนักที่จะเล่นมัน
นั่นสมเหตุสมผลเพราะเมื่อตรวจสอบดูดี ๆ แล้ว การที่ซีเว่ยสร้างเกมไฟนี้ขึ้น ก็เพราะความคลั่งไคล้เกมไพ่พิชิตแลนลอร์ดบนโลก แต่เขาไม่ได้คํานึงถึงสถานการณ์ของโลกใบนี้
ข้อแรก โลกนี้มีความบันเทิงด้านการพนันที่คล้ายกันอยู่แล้ว ผู้เล่นแทบจะไม่รู้สึกว่ามีอะไรใหม่สําหรับเกมไพ่ แน่นอนว่ามันต้องไม่ได้รับความนิยมเท่ากับอีก 2 เกม
ข้อสอง แตกต่างจากธันเดอร์และเทียร์ร่าบล็อคที่สามารถเล่นได้โดยตรงหลังจากใส่เหรียญเกม ‘การปฏิวัติครั้งใหญ่’ ต้องการผู้เล่นอย่างน้อย 4 คนเพื่อเริ่มเกม
นอกจากนี้ผู้เล่นไม่ได้อยู่บ้านตลอดทั้งวันและมีอิสระที่จะเล่นเกม พวกเขาไม่สามารถอยู่บนสตรีมได้บ่อยเกินไป ด้วยจํานวนผู้เล่นทั้งหมดเพียง 200 คนในปัจจุบัน จึงเป็นเรื่องยากที่จะหาคน 4 คนเพื่อเริ่มเกม
นั่นคือเหตุผลว่าทําไมเกมไพ่ถึงอยู่ในสภาพที่น่าสงสารเช่นนี้
ถึงอย่างนั้นซีเว่ยก็ไม่ได้ผิดหวัง เมื่อจํานวนผู้เล่นเพิ่มขึ้น เกม PVP เช่นนี้จะได้รับความนิยมอย่างมากแน่นอน
ในทางกลับกันใคร ๆ ก็อาจคิดว่าซีเว่ยกําลังแนะนําเกมเพื่อทําให้ผู้เล่นของเขาหยุดทํางาน แต่นั่นไม่เป็นความจริงเลย ในสังคมที่ซีเว่ยจากมา ก็มีเพียงนักเรียนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะไม่กี่คนที่ติดเกม และผู้ใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีงานการดี ๆ ทํา พวกเขาก็แทบจะไม่ตกอยู่ในสภาวะติดเกม ส่วนใหญ่พวกเขาจะเล่น League of Legends 2-3 รอบหลังเลิกงานและเล่นเกมจังหวะเร็ว ๆ เท่านั้น
เหตุผลก็ง่ายมาก นักเรียนไม่ต้องเผชิญกับความกดดันในชีวิต หรือมีเป้าหมายที่จะต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้มันมา พวกเขาจึงหลงระเริงไปกับเกมเมื่อควบคุมตนเองไม่ได้ ในทางกลับกัน ผู้ใหญ่มักจะทํางานเป็นเวลานาน และเวียนหัวทุกวันเนื่องจากความกดดันทางด้านเศรษฐกิจ พวกเขาจะมีเวลาให้ติดเกมไหม? แม้แต่คนที่ชอบเล่ นเกมตั้งแต่อายุยังน้อย ก็จะมีเกมคอนโซลและเกมทริปเปิ้ล A วางอยู่มุมห้องในสภาพฝุ่นจับหลังจากซื้อมันมา…
ส่วนเรื่องที่ว่าเกมเป็นรากเจ้าแห่งความชั่วร้าย ความจริงก็คือพ่อแม่ไร้ประโยชน์บางคนไม่สามารถให้ความรู้แก่ลูก ๆ ได้อย่างถูกต้อง แต่เนื่องจากความภาคภูมิใจของพวกเขาแข็งแกร่งเกินไปที่พวกเขาจะยอมรับว่าตนเป็นต้นเหตุของเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับลูก พวกเขาจึงพยายามหาข้ออ้างและผลักความเลวร้ายไปยังวิดีโอเกมที่เป็นแพะรับบาปที่ดีที่สุด
และนั่นรวมถึงอะนิเมะกับนิยายอีก 2 อย่างที่เป็นแพะรับบาปทั้ง 3 ในการศึกษาของเด็ก
ในขณะเดียวกันผู้เล่นในโลกนี้ล้วนแต่เป็นผู้ศรัทธาของซีเว่ย และชีวิตของพวกเขาก็ยังถือว่าขาดอยู่มาก แม้ว่าพวกเขาเกือบทั้งหมดเข้าใจว่าสิ่งนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย เพราะตอนนี้เทพเจ้าแห่งเกมไม่สามารถเผยแพร่ศาสนาของเขาไปยังเมืองอื่น ๆ ได้ และหากพวกเขาไม่พัฒนาตนเองอย่างขยันขันแข็ง พวกเขาก็จะต้องเผชิญกับหายนะเช่นเดียวกับการล่มสลายของเทียร์ร่า
นอกจากนั้นเควสประจําวันและการฟาร์มดันเจี้ยนโดยพื้นฐานแล้วก็เหมือนกับว่าพวกเขากําลังเล่นเกม นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาไม่ติดเกมมากเกินไป และเก็บเกมในสตรีมไว้เป็นงานอดิเรกเท่านั้น
ถูกต้อง ซีเว่ยสามารถพูดได้เลยว่า ผู้เล่นของเขาจะไม่มีวันหมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกมบนสตรีมทั้งวันทั้งคืนแน่!
****
“ทําไมข้าถึงไม่ติด 1 ใน 30 อันดับแรก! หรือข้าควรจะถามว่าคนอื่น ๆ รอดชีวิตจากหน้าจอที่เต็มไปด้วยคาถาได้อย่างไร! นี่ผู้เล่น 30 อันดับแรกในธันเดอร์เป็นสัตว์ประหลาดทั้งหมดเลยรึ!”
มาร์นี่ซึ่งรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างประหลาดปิดเกมลงชั่วขณะ ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ฟอรัมเพื่อบ่นให้ใครบางคนได้รับรู้
เขารู้สึกว่าการมองเห็นของเขาพร่ามัว และเขาก็ปรากฏตัวขึ้นข้างไลฟ์สโตนในเสี้ยววินาทีถัดไป
เขาอ้าปากค้าง มองภาพที่คุ้นเคยเบื้องหน้าและพึมพําด้วยความประหลาดใจ “นี่ข้าเล่นมา 3 วันแล้วเหรอ! ไม่มีทาง…ข้าต้องไปรับ EXP เพื่อชดเชยเวลาที่เสียไป…แต่ก่อนหน้านั้นมาเล่นเทียร์ร่าบล็อคสักรอบเพื่อผ่อนคลายกันเถอะ!”
ซีเว่ย: …
อืม อาจจะไม่
บทที่ 164 ธันเดอร์
“เวร! ทําไมข้าตายอีกแล้ว!”
หลังจากรับเควสประจําวันในฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์ และวิ่งออกไปกําจัดมนุษย์เงือก หนองน้ําที่หวนกลับมา เนื่องจากความประมาทชั่วขณะ มาร์นี่ก็ถูกแทงด้วยมีดอาบยาพิษ ก่อนที่เขาจะได้โต้กลับ การมองเห็นของเขาก็มืดลงและสูญเสียความรู้สึกทั้งหมดไปทันที
เมื่อเขารู้ว่าเขาเสียชีวิตจากพิษที่มนุษย์เงือกลอบแทงข้างหลัง เขาก็รีบขอความช่วยเหลื ในฟอรัม
อาจเป็นเพราะว่าผู้เล่นเครลิคมาสายเกินไป ช่วงเวลาชุบชีวิตจึงหมดลง และศพของมาร์นี่ก็หายไป ทําให้เขาต้องทนทุกข์ทรมาน 3 วันอยู่ในห้องมืด
ด้วยความที่ช่องว่างระหว่างเลเวลของผู้เล่นเริ่มใกล้กันแล้ว ไม่มีใครเข้าใจเรื่องนี้ไปมากไปกว่ามาร์นี่ว่าการตาย 3 วันหมายถึงอะไร เขาจะต้องใช้เวลามากขึ้น และทํางานหนักขึ้นเพื่อชดเชย EXP ที่หายไปในช่วงเวลานั้น
แม้ว่าเขาจะไม่มีร่างกาย มาร์นี่ก็รู้สึกปวดตับเมื่อเขาคิดถึงวิถีชีวิตที่ต้องบดระดับทั้งกลางวันกลางคืน
ความจริงมาร์นี่ก็มักจะใช้ชีวิตแบบนั้น แต่เขาไม่เคยตายจากการทํางานหนักเกินไป ส่วนใหญ่เป็นเพราะร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งเกือบเต็ม 100% ทันทีหลังจากฟื้นคืนชีพ
มันทําให้มาร์นี่คิดว่าเขาควรจะออกจากตําแหน่งผู้เล่นแนวหน้า และถอยกลับมาเป็นเพียงผู้เล่นสนับสนุนดีไหม.
แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาคิดถึงการผจญภัยที่มีเพียงผู้เล่นแนวหน้าเท่านั้นที่สามารถเพลิดเพลินได้ เมื่อมีกิจกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้น พร้อมกับความสามารถในการควบคุมราคาตลาดที่แม่นยําขึ้น มาร์นี่ก็ได้ละทิ้งความคิดนั้น และตัดสินใจที่จะทํางานหนักต่อไป ตอนนี้ตับของเขายังใช้งานได้ดี
บางทีเทพเจ้าแห่งเกมผู้ยิ่งใหญ่อาจถูกกระตุ้นด้วยจิตวิญญาณที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของเขา
“หมายความว่าข้าต้องท่องไปรอบ ๆ ฟอรัมอีก 3 วันเหรอเนี่ย”
มันฟังดูเหมือนาน แม้เขาจะบ่นแต่เขาก็ไม่ได้เสียใจกับมัน การเป็นแชมป์จํานวนการตายที่ไม่มีใครเทียบได้ มาร์นี่รู้ดีกว่าทุกคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกขังอยู่ในห้องสีดํานานถึง 3 วัน ว่าการที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวและพูดได้นั้นรู้สึกยังไง แม้กระทั้งชีวิตในช่วงเวลาก่อนที่จะมีฟอรัมผู้เล่น
เมื่อเทียบกันแล้ว มันดีกว่ามากที่ตอนนี้เขาสามารถพูดคุยกับคนอื่น ๆ ในฟอรัมได้
อย่างไรก็ตามหลังจากไล่ดูโพสต์ไปเรื่อย ๆ มาร์นี่ก็สังเกตเห็นว่าผู้เล่นหลายคนกําลังคุยเรื่องแปลก ๆ
”เกม? เกมอะไร? เทพเจ้าแห่งเกมสร้างเกมเหรอ?”
หลังจากที่เขาถามว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้นแหละ เขาก็สังเกตเห็นปุ่ม “หน้าถัดไป” ที่มุมฟอรัมของเขา
เมื่อกดเข้าไปจะเป็นหน้าใหม่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ด้านบนของหน้านั้นมีข้อความชื่อแปลก ๆ ว่า “สตรีม
ทั้งหน้าว่างเปล่ามีเพียงสัญลักษณ์แปลก ๆ 3 อัน ชื่อว่า “ธันเดอร์” “เทียร์ร่าบล็อค” และ “การปฏิวัติครั้งใหญ่ (เกมการ์ดที่คล้ายกับไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ด หรือ โต้วจู่)
มาร์นี่เลือก “ธันเดอร์” จากนั้นตัวควบคุมขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้น พร้อมภาพเคลื่อนไหวกับเพ ลงประกอบ
อย่างไรก็ตามมาร์นี่เข้าใจการเล่นเกมแล้วหลังจากตรวจสอบ
ผู้เล่นจะสวมบทบาทเป็นไรเดอร์ที่ควบคุม กริฟฟินสายฟ้า” ซึ่งจะบินไปข้างหน้า ขณะที่จะถูกโจมตีโดยไรเดอร์กริฟฟินของศัตรู เช่นเดียวกับคาถาอันน่ารังเกียจที่ปล่อยออกมาจากนักเวทย์ หรือโทเทมต่าง ๆ
(TLโทเทม คือ เสาสัญลักษณ์ที่ทําจากไม้แกะสลักขนาดใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมพื้นเมืองที่ปรากฏอยู่ในชนเผ่าอินเดียนแดงแถบชายฝั่งทะเลตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ
คะแนนจะได้รับจากการเอาชนะศัตรู และศัตรูจะดรอปม้วนคาถาต่าง ๆ ซึ่งผู้เล่นจะเก็บมันโดยการบังคับกริฟฟินเข้าไปใกล้ และเรียนรู้ทักษะการโจมตีต่าง ๆ จากม้วนคาถา
มาร์นี่ยังสับสนเล็กน้อย ทําไมกริฟฟินถึงลืมทักษะทันทีหลังจากใช้งานไปครั้งหนึ่งและต้องเรียนรู้ใหม่? มันไม่มีสมองเหรอ?
หลังจากเล่นไปสักพัก กริฟฟินที่มาร์นี่ควบคุมก็ถูกยิงตกโดยการร่วมมือกันของกริฟฟิน 8 ตัว
มาร์นี่ค่อนข้างพอใจกับเกม เมื่อเขากําลังจะลองเล่นอีกครั้ง เขาก็สังเกตเห็นตัวจับเวลานับถอยหลังบนหน้าจอ
“ใช้เหรียญเกมเพื่อชุบชีวิตกริฟฟินรี” มาร์นี่ตัดสินใจลองอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาตายอีกครั้ง หน้าจอนับถอยหลังก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ” 10,086 คะแนน ดูเหมือนข้าจะได้คะแนนสูง คงไม่จําเป็นต้องเสียเงินเล่นต่อแล้วสินะ”
เป็นผลให้หลังจากที่เขายกเลิกตัวเลือกชุบชีวิต คะแนนของเขาก็ปรากฏขึ้นในลีดเดอร์บอร์ด
มีคนชื่อวัลแคนเป็นผู้ทําคะแนนสูงสุดในขณะนี้ที่ 104,514 คะแนน!
เมื่อมองไปที่ลีดเดอร์บอร์ด มาร์นี่ก็พบว่าคะแนนเขาอยู่ในอันดับต่ํากว่า 50 และมีผู้เล่นราว 60 คนที่เล่นเกมนี้
“ขะ ข้าอยู่ไกลจากที่ 1 ขนาดนี้เลยเหรอ? เดี๋ยวก่อน มีหมายเหตุอยู่ตรงนี้ด้วย…”
มาร์นี่ค้นพบหมายเหตุข้างลีดเดอร์บอร์ด ว่าเทพเจ้าแห่งเกมจะมอบรางวัลให้แก่ผู้เล่นที่อยู่ในอันดับ 1-100 อันดับแรก และรางวัลจะดีขึ้นเมื่ออันดับสูงขึ้น
หลังจากที่นิ่งเป็นเวลา 3 วินาที มาร์นี่ก็เลือกเล่นอีกครั้ง จากนั้นระบบก็แสดงข้อความแจ้งเตือนว่า: จํานวนประสบการณ์ฟรีของท่านหมดแล้ว โปรดใส่เหรียญเพื่อเริ่มเกม
“ข้าเกือบตกใจ ปรากฏว่าข้าสามารถเล่นเกมด้วยเหรียญเกมเพียง 10 เหรียญร? ถูกมาก!”
10 เหรียญเกมไม่ใช่เงินจํานวนมากเกินไปสําหรับผู้เล่นใหม่ และไม่ใช่สําหรับมาร์นี้ที่ร่ํารวยและใจกว้าง ดังนั้นเขาจึงเริ่มเกมใหม่โดยไม่ลังเล
ถึงกระนั้นโชคของเขาก็แย่ลงในครั้งนี้ เขาตายด้วยคะแนน 9,527
“เล่นต่อด้วยเหรียญเกม 10 เหรียญ? ต่อเลย!”
อย่างไรก็ตามเขาก็อยู่ได้ไม่นาน เขามีนงงด้วยคาถาที่เทกระหน่ําราวสายฝน และบังคับกริฟฟินด้วยความตื่นตระหนกก่อนจะถูกยิงตายอีกครั้ง
“เล่นต่ออีกครั้งต้องจ่าย 100 เหรียญเกม? นี่มันปล้นกันชัด ๆ!” มาร์นอดไม่ได้ที่จะ “สาปแช่ง ” ต่อ!”
ถึงกระนั้นเขาก็อยู่รอดได้ไม่นานกับความพยายามครั้งที่ 3
“หากเล่นต่อครั้งที่ 3 ต้องจ่าย 1,000 เหรียญเกม? ราคานี้ข้าสามารถเสริมแกร่งไอเทมได้ถึงบวกสาม!” มาร์นี่กําลังจะสาปแช่งธุรกิจมืด แต่เขาก็หยุดลงอย่างรวดเร็วเมื่อเขาจําได้ว่าเกมนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเทพเจ้าแห่งเกม
เขากัดฟันและพูดว่า ”ต่อ!”
ในที่สุดมาร์นี่ก็หยุดที่ 20,000 คะแนน เมื่อเขารู้ว่าไม่มีการชุบชีวิตครั้งที่ 4 หากเขาเสียชีวิต 3 ครั้งติดต่อกัน เขาก็ได้แต่ยอมรับมันเท่านั้น
“อย่างน้อยข้าก็ควรจะติด 1 ใน 30” ด้วยความยินดี เขาจึงหันไปมองลีดเดอร์บอร์ดเพื่อที่จะพบว่าเขาตกไปอีก 60 ระดับในขณะที่บอร์ดมีผู้เล่น 150 คน
ดูเหมือนว่ามีผู้เล่นมากขึ้นที่สังเกตเห็นเกม ๆ นี้ พร้อมกับหมายเหตุของเทพเจ้าแห่งเกม
หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป รางวัลของเขาจะหายไป!
มาร์นอกหัก “ยังไงข้าก็ตายอยู่ในห้องมืด คิดจะแทนที่ข้า พวกเจ้าก็ต้องพยายามต่อไป!”
เขาใส่เหรียญเกมอีก 10 เหรียญลงในธันเดอร์
ธันเดอร์สตาร์ท!
บทที่ 163 เพิ่มรายได้ควบคุมรายจ่าย
พลังของซีเว่ย สามารถบันทึกได้เฉพาะประสบการณ์ของผู้ศรัทธาหลังจากที่พวกเขาเปลี่ยนใจ มาเลื่อมใสศรัทธาเขาเท่านั้น นั่นเป็นสาเหตุที่ทําให้เขาไม่รู้ถึงอดีตของซอนหยาน
เพราะหุบเขาแห่งความตายที่แยกทั้ง 2 ทวีปออกจากกันถือเป็นสถานที่อันตราย ทําให้มีมนุ ษย์ไม่กี่คนที่สามารถเข้าถึงทวีปตะวันตกได้ นอกเหนือจากการใช้เส้นทางเดินเรือที่ชุมนุมลับดวง ตาสร้างขึ้น
ซอนหยานเองก็เป็นชาวเผ่าสิงโต ซึ่งเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์หายากแม้ในหมู่มนุษย์สัตว์ ถึงอย่างนั้นคน ๆ นี้ก็มักจะเหม่อถึงเรื่องราวในอดีตที่เจ็บปวด ด้วยเหตุนี้เขาจึงดูแปลกแยกจากผู้เล่นที่ชอบทําตัวงี่เง่าไปวัน ๆ
ซีเว่ยพอจะเดาได้ว่าซอนหยานคงกําลังแบกอะไรบางอย่างอยู่ แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่ลูกบอลเรืองแสง อันที่จริงมันอาจเป็นเพียงอดีตที่สิ้นหวังเช่น ถูกพ่อแม่ไล่ออกจากบ้านเพราะเขาแย่เกินไป หรือ ล้มเหลวในการต่อสู้ชิงบัลลังก์และถูกขับไล่โดยคนในเผ่า หรือข้าคือพ่อเจ้า!” “ม่ายยย!? อะไรแบบนี้
นั่นคือเหตุผลที่เขามอบเควส [ชัยชนะของราชาแห่งสรรพสัตว์] ให้เขา เพื่อให้ซอนหยานสามารถนํากลุ่มผู้เล่นไปสอดแนมในทวีปตะวันตก ที่ซึ่งการแข่งขันของเทพเจ้านั้นดุเดือดน้อยกว่าทวีปตะวันออกมาก
ถ้าเขาสามารถเข้าถึงทวีปนั้นได้ ศาสนจักรแห่งเกมก็สามารถก่อตั้งฐานที่มั่นแห่งใหม่ที่นั่นได้
เสียแต่ว่าพลังของผู้เล่นในปัจจุบันยังไม่เพียงพอ
แม้ว่าพวกเขาบางคนจะเข้าถึงเลเวล 40 ได้หลังจบกิจกรรมเกาะมนุษย์เงือก และได้เรียนรู้ทักษะระดับสูงของคลาสต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงขอบเขตที่เรียกว่า “เหนือธรรมชาติ” ไปแล้ว แต่ด้วยเอกลักษณ์ของผู้เล่น รวมถึงทรัพยากรที่พวกเขาสามารถแบ่งปันได้นั้นมาจากสระน้ําเล็ก ๆ ของซีเว่ย (ที่เป็นเพียงเทพชั้นสาม) แต่ละคนจึงเป็นได้เพียงยอดมนุษย์ระดับต่ําเท่านั้น
อันที่จริงอัครมุขนายกกระดูกเน่านั้นก็ค่อนข้างอ่อนแอในหมู่ยอดมนุษย์ เนื่องจากเทพเจ้ากระดูกเน่าก็ไม่ต่างจากเทพเกิดใหม่อย่างซีเว่ย เพราะพวกเขาเป็นเทพเจ้าที่อ่อนแอ และเนื่องจากอัครมุขนายกไม่ได้เป็นทั้งผู้ถูกเลือกหรือนักบุญ เช่นเดียวกับที่เขาไม่ใช่พระสันตะปาปา ด้วยเหตุนี้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขาได้รับจึงค่อนข้างจํากัด มากสุดเขาก็มีเลเวลแค่ 30 ตามการประเมินของซีเว่ย
นอกจากนี้เมื่อผู้เล่นมีเลเวลเกิน 40 อัครมุขนายกกระดูกเน่าอาจไม่สามารถทําลายผู้เล่นทั้งปาร์ตี้ได้อีกต่อไป แต่ก็ยังไม่มีผู้เล่นคนใดสามารถเอาชนะเขาได้ด้วยตัวคนเดียว แม้จะมีช่องว่างมากถึง 10 เลเวลก็ตาม แม้แต่มูฟาซาที่เลือกเส้นทางเกิ้งโยค เมื่อเขามีเลเวล 40 เขาก็ยังคงเป็นเหยื่อที่ถูกเหยียบโดยอัครมุขนายกอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้ ซีเว่ยจึงไม่ได้ตั้งใจจะส่งซอนหยานออกไปยังทวีปตะวันตกทันทีหลังจากที่เขาได้รับเควส เพราะผลลัพธ์เดียวที่เขาจะได้รับคือการตายของซอนหยาน..
พูดง่าย ๆ ก็คือ ตอนนี้ผู้เล่นต้องการเวลาเพิ่มเลเวลก่อน เพื่อเข้าถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริง
และเควสที่ซีเว่ยมอบหมายให้ซอนหยานทําในระยะแรกคือ เควสรวบรวมวัสดุพิเศษเช่น ไม้ ไอเทมดรอปจากสัตว์ประหลาด และหินเสริมแกร่ง
หลังจากที่เขาทําสําเร็จ ซีเว่ยก็จะให้ซอนหยานสร้างเรือเดินทะเลด้วยฝีมืออันประณีตของเขา และมอบความไว้วางใจให้เขาทําเควสต่อเนื่อง ค้นหาสมาชิกปาร์ตี้ที่มีใจรักการผจญภัยเช่นเดียวกัน และร่วมมือกันเพื่อออกเดินทางไปยังทวีปตะวันตก
สําหรับแผนที่ที่จะนําทางไปสู่ทวีปตะวันตก ซีเว่ยวางแผนจะใช้เส้นทางเดินเรือลักลอบขนสินค้าที่ชุมนุมลับดวงตาจัดทําขึ้นเพื่อเป็นรางวัลเควส
เนื่องจากผู้เล่นเป็นมือใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์การเดินเรือ การเดินทางครั้งแรกก็คงจะจบลงด้วยการจมเรือตัวเองและกลายเป็นศพแม้จะมีแผนที่ทางทะเลเป็นข้อมูลอ้างอิงก็ตาม
ในฐานะที่เขาเป็นเทพเจ้าผู้เมตตา ซีเว่ยจะไม่ตัดสินว่าซอนหยานทําเควสล้มเหลว ในตอนนั้นเขาจะรีเซ็ตเควสกลับไปยังเฟสแรก และให้ผู้เล่นรวบรวมวัสดุเพื่อสร้างเรือใหม่อีกครั้ง ยังไงซะการรวบรวมวัสดุก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเขาทํามันร่วมกับเพื่อน ๆ
ซีเว่ยไม่ได้มีตาทิพย์ที่สามารถมองเห็นอนาคตได้ เขาจะเห็นผลลัพธ์ได้ก็ต่อเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น
ยังไงซะก็เป็นซอนหยานและผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่เล่นเกมนี้ไม่ใช่เขา…
สําหรับซีเว่ย มันเป็นเกมหมากรุกสบาย ๆ มันจะโอเคแม้ว่ามันจะไม่ได้ผล หากมันล้มเหลวอย่างน้อยเขาก็จะได้รู้ว่ามีอะไรอันตรายในทวีปตะวันตก และยังไม่พร้อมที่จะสํารวจ
นอกจากนี้ผู้เล่นยังอยู่ห่างจากเลเวล 60 เพียงไม่กี่เลเวล แต่เนื่องจากความต้องการด้าน EXP ที่เพิ่มขึ้น ผู้เล่นจึงต้องใช้เวลาและความพยายามมากขึ้นเพื่อถ่มช่องว่างนั้น และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ซีเว่ยจะต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
สุดท้ายแล้วความสามารถของผู้เล่นก็ต้องพัฒนา และต้องมีเพดานเลเวลสูงสุดใหม่
ตราบใดที่ซีเว่ยเต็มใจใช้พลังงานเทพเจ้าของเขา ในฐานะเทพเขาสามารถพัฒนาผู้เล่นได้อย่างแน่นอน แม้ว่าจะต้องบังคับพวกเขาก็ตาม แต่จะมีปัญหาร้ายแรงเกิดขึ้น ถ้ามีแค่ผู้เล่นไม่กี่คนมันก็โอเค แต่หากมีผู้เล่นเลเวลเกิน 60 จํานวนมาก พลังงานเทพเจ้าของซีเว่ยจะไม่เพียงพอ และเขาจะต้องเผชิญกับภาวะล้มละลาย
ตอนนี้ความจริงแล้วพลังงานเทพเจ้าของเขาแทบจะไม่มีความสมดุลระหว่างรายรับและราย จ่าย และไม่มีผลกําไรมหาศาลอย่างที่เขาคิดไว้ในตอนแรก
เหตุผลก็ง่ายมาก เขาประเมินรายจ่ายของทักษะต่ําเกินไป เมื่อใดก็ตามที่ผู้เล่นแต่ละคนเรียนรู้เทคนิกใหม่ ๆ ที่ระบบยอมรับว่าเป็นทักษะ พวกเขาก็จะใช้คะแนนทักษะเพื่อเรียนรู้มันทันที และการลงทุนคะแนนทักษะมากขึ้นก็ทําให้ผลของทักษะดีขึ้น
กระบวนการนี้มีค่าใช้จ่ายแบบขั้นบันไดสําหรับพลังงานเทพเจ้าของซีเว่ย การเรียนรู้ทักษะระดับหนึ่งจะใช้พลังงานเทพเจ้าไม่มากนัก แต่ค่าใช้จ่ายในการเพิ่มระดับทักษะจากระดับ 8 ไป 9 นั้นน่ากลัวมาก
ซีเว่ยไม่เคยคิดถึงสถานการณ์นี้มาก่อนเลย เพราะงั้นเขาเลยต้องใช้พลังมหาศาลเพื่อป้องกันไม่ให้ระบบทักษะพังทลาย
หากเขาสามารถโหลดไฟล์บันทึก และให้หนังสือเล่มนี้ย้อนกลับไปยังบทที่หนึ่งได้ เขาจะไม่ลังเลเลยที่จะเปลี่ยนระบบทักษะใหม่ คะแนนทักษะจะใช้เพื่อเรียนรู้ทักษะเท่านั้น ในขณะที่ระดับทักษะจะเพิ่มขึ้นได้โดยการฝึกฝนมันซ้ํา ๆ ด้วยตัวเองเท่านั้น
“ฉันจะติดตัวแดงไม่ช้าก็เร็วถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป ถ้าฉันไม่อยากกลายเป็นลูกบอลเที่ยว ฉันคงต้องวางแผนใช้พลังงานเทพเจ้าของฉันตั้งแต่ตอนนี้”
ซีเว่ยยังคงยึดมั่นในวิธีเดิมนั่นคือ การเพิ่มรายได้และการควบคุมรายจ่าย
ที่บอกว่าควบคุมรายจ่ายนั้น เป็นอะไรที่ยากมากในความเป็นจริง เนื่องจากศาสนจักรแห่งเกมยังคงมีอะไรอีกมากมายให้ต้องทํา และสถานที่ที่ควรลงทุนพลังงานเทพเจ้าก็ไม่สามารถประหยัดได้ ถ้าซีเว่ยชะลอการพัฒนาของตัวเองลงเพียงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายบางอย่าง มันก็เหมือนกับการลากรถเข็นก่อนที่จะได้ม้ามาเทียม
หากเป็นแบบนั้นซีเว่ยสามารถใส่ เควสปลุกพลัง” หรืออะไรก็ตามที่คล้ายกันเพื่อควบคุมผู้เล่น โดยให้พวกเขาผ่านการทดสอบเพื่อที่เขาจะได้มีพลังงานเทพเจ้ามากขึ้น ก่อนที่จะเพิ่มเลเวลให้ผู้เล่น และในกระบวนการนี้ เขาก็จะเลือกผู้เล่นที่คุ้มค่ากับการลงทุนเพื่ออัพเลเวลให้สูงกว่า 60
ในทางกลับกัน การเพิ่มรายได้ทําได้ง่ายกว่ามาก
อย่างเช่นเมื่อกิจกรรมจบลง หมายความว่าผู้เล่นมีส่วนร่วมในฟอรัมและคุยโม้น้อยลง นอกจากนี้ผู้เล่นยังบ่นในฟอรัมว่ามันน่าเบื่อเกินไป และไม่มีอะไรให้ทํานอกจากนั่งอยู่เฉย ๆ ในกระท่อมสีดําหลังน้อยระหว่างรอฟื้นคืนชีพ
ดูเหมือนว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเพิ่มฟังก์ชันอื่น ๆ ในฟอรัม
“ในฐานะเทพเจ้าแห่งเกมผู้ยิ่งใหญ่ การเพิ่มเกมอาร์เคดลงในฟอรัม ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องหรือ”
ซีเว่ยหันไปมองเกมอาร์เคดทั้งสามเกมที่เขาได้ปรับแต่งมาเป็นเวลานาน และในที่สุดเกมที่ผ่านการดัดแปลงด้วยเวทมนตร์ 3 เกมก็ได้รับการบันทิ้งลงในซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ในที่สุด
ตอนนั้นเอง รอยยิ้มของกาเบรียล นิวเอลก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้ากลม ๆ ของเขา
(TL:กาเบรียล นิวเอล หรือที่หลาย ๆ คนรู้จักกันในชื่อของ กาเบน นักธุรกิจผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Valve และแพลตฟอร์มขายเกมชื่อดังอย่าง Steam)
บทที่ 162 ฝันร้ายของซอนหยานกรงเล็บเทา
ซอนหยานกรงเล็บเทากําลังลับมีดสั้นของเขา
อันที่จริงเขารู้ดีว่าอาวุธที่ดรอปจากดันเจี้ยนไม่จําเป็นต้องมีการขัดเงาและลับคมแม้จะมีค่าสเตตัสที่เรียกว่าความทนทานอยู่ก็ตาม เพราะมันจะดูดีเหมือนใหม่เมื่อเขาแวะไปใช้บริการช่างดีเหล็ก
แต่มันเป็นนิสัยที่เขาพัฒนาขึ้นเมื่อสมัยที่เขายังเป็นนักรบ และเขายังคงทํามันต่อไปเพื่อทําให้ใจสงบและหยุดนึกถึงอดีต
เขาชอบบรรยากาศของศาสนจักรแห่งเกมมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาฆ่าและต่อสู้กันทุกวัน แต่ความเป็นศัตรูระหว่างผู้เล่นก็มีไม่มากนัก บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาได้ระบายความอัดอั้นตันใจในดันเจี้ยนไปมากพอแล้ว
แม้ว่าจะมีความขัดแย้งใด ๆ มากสุดก็คือการปักธง PK ไว้ที่ทางเข้าเมืองไร้ชื่อ หลังจากที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย ทุกคนก็จะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน ที่สามารถคุยโม้กันในโรงเหล้าเกี่ยวกับทุกสิ่งในโลกกว้างได้อีกครั้ง
ไม่จําเป็นต้องกังวลเรื่องการล่าสัตว์ในแต่ละวัน ไม่จําเป็นต้องฆ่าใครแม้ต่อหน้าคนแก่ ผู้หญิง และเด็ก และไม่จําเป็นต้องเหวี่ยงดาบใส่เพื่อนหรือญาติ ๆ ของตัวเอง
แม้ว่าจะมีวิวรณ์จากเทพเจ้าที่เคยออกเควสสังหารศัตรู แต่ทุกคนก็ร่วมมือกัน และทํามันให้สําเร็จด้วยรอยยิ้มไปพร้อมกัน
ทุกอย่างล้วนสวยงาม…ยกเว้นผู้เล่นบางคนที่กรีดร้องเมื่อเห็นเขาว่า “อ๊าาาา! เจ้ามือดํา!” แล้ววิ่งหนีไป
“เวร นามสกุลข้าคือกรงเล็บเทาต่างหาก!”
ซอนหยานบ่นในใจ
มันเป็นชื่อเล่นที่ผู้เล่นตั้งขึ้นมาขํา ๆ แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงที่ผู้เล่นหลายคนไม่กล้าปาร์ตี้กับเขา แต่ทักษะของซอนหยานก็ถือเป็นอันดับต้น ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย เป็นเหตุให้ผู้เล่นชั้นนําหลายคน เชิญเขาเข้าตี้เมื่อพวกเขาต้องการสํารวจดันเจี้ยนใหม่ ๆ เขาจึงไม่ได้ถูกรังแกเพราะฉายาตลก ๆ นั่นแต่มีเพื่อน ๆ มากมายแทน
จากนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าลึก เมื่อเขาเผลอลับมีดลื่นบาดนิ้วตัวเองจนทิ้งรอยเลือดจาง ๆ ไว้บนมือ และมีตัวอักษรสีแดง [1] ปรากฏขึ้นที่บาดแผล
ซอนหยานแตกต่างจากผู้เล่นส่วนใหญ่ เขาไม่ได้บิดความรู้สึกเจ็บปวดจนหมด เขาเพียงแค่ลดมันให้น้อยลงเท่านั้น ในฐานะอดีตนักรบ เขารู้ดีว่าความเจ็บปวดเป็นวิธีที่ร่างกายส่งสัญญาณเตือนถึงอันตราย และการคุ้นเคยกับมันก็จะทําให้เขาเข้าใจสภาพปัจจุบันของตัวเองได้ในขณะต่อสู้
เขาถอนหายใจและเก็บมีดลงฝัก
ในฐานะหนึ่งในผู้ลี้ภัยกลุ่มแรกที่มาถึงเมืองไร้ชื่อ เขาจึงเป็นหนึ่งในผู้นําของผู้เล่นใหม่ แม้ว่าเขาจะโชคไม่ดีในแง่ของการดรอปไอเทม แต่เหรียญเกมของเขาก็ไม่เคยลดลงเลยหลังผ่านดันเจี้ยนแต่ละครั้ง ดังนั้นเช่นเดียวกับผู้เล่นหลายคนที่เริ่มต้นในช่วงเวลาเดียวกัน ที่ที่เขาอาศัยอยู่ไม่ใช่โรงแรม แต่เป็นบ้านที่เขาซื้อไว้ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้
บ้านที่สร้างด้วยระบบไม่เพียงแต่จะมีรูปลักษณ์ที่ดูเรียบร้อยสวยงามเท่านั้น การตกแต่งภายในยังเป็นแบบเดียวกันและเหมือนกันไปหมด ยกเว้นเลขที่บ้านหน้าประตู
แน่นอนว่าผู้เล่นสามารถรวบรวมวอลเปเปอร์ เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งแบบสุ่มอื่น ๆ ได้จากเควส เพื่อสร้างบ้านในอุดมคติของตัวเอง แต่ซอนหยานไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นเลย เป็นเหตุให้บ้านของเขายังคงเป็นบ้านลักษณะเดิม ซึ่งนั่นรวมถึงกระจกแต่งตัวธรรมดา ๆ ที่ตั้งอยู่ในห้องนอนของเขา ที่อาจเป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการสําหรับผู้เล่นหญิง
ซอนหยานหยิบแปรงหวีผมขึ้นมาจากโต๊ะเครื่องแป้ง เขาสางผมหนา ๆ จนเผยให้เห็นหูทั้งสองข้างเหนือศีรษะ ซึ่งแตกต่างจากหูของมนุษย์ทั่วไปอย่างชัดเจน
มันเป็นหูสัตว์ สีน้ําตาลอมเหลือง ขนปุย และเป็นรูปสามเหลี่ยมมน
ซอนหยานเป็นเผ่าพันธุ์สิงโต
เผ่ากรงเล็บเทาในอดีตของเขา เคยมีเกียรติและเป็นที่เคารพของชนเผ่าอื่น ๆ
พวกเขาเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่ทรงพลัง ความเร็วที่น่ากลัว และความแข็งแกร่งที่น่าทึ่ง พวกเขาเป็นนักรบตามธรรมชาติที่ยืนอยู่เหนือเผ่าพันธุ์มนุษย์สัตว์อื่น ๆ ในฐานะราชาแห่งสรรพสัตว์
ซอนหยานกรงเล็บเทาเป็นลูกชายคนโตของหัวหน้าเผ่ากรงเล็บเทา ความแข็งแกร่งของเขาไม่มีใครเทียบได้ในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่า แต่กลับมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น ทั้งที่เขาควรจะได้รับมรดกจากบิดาขึ้นเป็นผู้นําเผ่า และได้ปกครองชนเผ่าต่อไป
แต่ซอร์ดเทละกรงเล็บเทา ลูกชายคนที่สองของหัวหน้าเผ่ากรงเล็บเทา และน้องชายข องซอนหยานที่เคยพ่ายแพ้ให้ซอนหยาน ได้กลับมาท้าทายซอนหยานอีกครั้ง
ถึงกระนั้น ซอร์ดเทลกลับไม่ได้มีอะไรต่างจากเดิมในด้านพละกําลังเลย เขาเอาชนะซอนหยานด้วยมนต์คาถาที่เขาเรียนรู้จากที่ไหนสักแห่งที่ไม่มีใครรู้จัก จากนั้นเขาก็ฆ่าบิดาตัวเองเพื่ออ้างสิทธิ์ในตําแหน่งหัวหน้าเผ่ากรงเล็บเทา
ต่อมาซอร์ดเทลฆ่าทุกคนในเผ่าที่คัดค้านการปกครองของเขา มารดาของพวกเขาปกป้องซอนหยานด้วยชีวิตของเธอ เธอถูกฆ่าโดยซอร์ดเทลที่กลายเป็นคนที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง และซอนหยานที่บาดเจ็บจากการต่อสู้กับซอร์ดเทล ก็ได้ร่วงตกลงไปในทะเลในระหว่างนั้น
ในโลกนี้ทะเลเต็มไปด้วยอันตรายมากกว่าบนบก ดังนั้นการตกลงไปในทะเลจึงมีโอกาสรอดน้อยกว่าการตกจากหน้าผา
แต่ถึงอย่างนั้นซอนหยานก็ไม่ได้ตายในทะเล เขาคว้าท่อนไม้ที่ไม่รู้ว่ามันลอยมาจากไหนทันก่อนที่จะหมดสติ และลอยคออยู่ในทะเลเป็นเวลา 3 วันเต็ม จากนั้นผู้เฒ่าแวนเค่อที่ผ่านมาตกปลาก็ได้พบเขาเข้า และลากเขาขึ้นมาบนฝั่งเมื่อเขากําลังใกล้ตาย
ด้วยเหตุนี้เขาจึงสร้างชื่อให้กับตัวเองในฐานะทหารรับจ้างที่โรวิเนีย
เขาไม่ได้ละทิ้งผู้เฒ่าแวนเค่อ เมื่อนายทะเบียนคนนี้ล้มลงในเวลาที่ยากลําบาก เขาทิ้งชีวิตทหารรับจ้างของเขาและพาชายชราไปยังครอมเวลล์ ต่อมาด้วยคําแนะนําของแวนเค่อ เขาจึงตามมาร์นี่ไปและกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นกลุ่มแรก ๆ
“สงสัยข้ายังตัดใจจากเรื่องในอดีตไม่ได้จริง ๆ”
นิ้วของซอนหยานลูบดวงตาที่สะท้อนบนกระจกเบา ๆ เขาจ้องมองใบหน้าของเขาที่ดูคล้ายกับบิดา เขารู้สึกเหมือนมีเปลวไฟกําลังแผดเผาอยู่ในอก
ยิ่งตอนนี้ชีวิตมีความสุขมากเท่าไหร่ ไฟก็ยิ่งร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขากําหมัดแน่น และทุบกระจกอย่างรุนแรงจนทําให้ร่างในกระจกแตกเป็นเสี่ยงๆ
ตัวตนของเขาในฐานะผู้เล่น ได้ทําลายพันธนาการในอดีตของเขาไปแล้ว เนื่องจากความสามารถในการต่อสู้ของอมนุษย์นั้นขึ้นอยู่กับร่างกายและความสามารถทางกายภาพเป็นหลัก ทําให้ตอนนี้เขากลายเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่กว่าพ่อของเขา แต่นั่นยังไม่เพียงพอ
มนตราอันน่าสยดสยองที่ซอร์ดเทลใช้นั้น ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของซอนหยานเหมือนฝันร้ายของปีศาจที่ตามมาหลกหลอน และบังคับให้เขาต้องฝันถึงฉากในวันนั้นอยู่ร่ําไป
แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนคลาสเป็นซอร์ดมาสเตอร์สายนักรบคลั่ง(berserker) แต่ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซอร์ดเทล
“พระเจ้า ข้าจะทําอย่างไรดี…” เขาพึมพําด้วยสีหน้าปวดร้าว
เขาไม่ได้อ้อนวอนขอคําตอบจากเทพเจ้าของเขา มันเป็นเพียงการรําพันตามนิสัยอย่างไม่รู้ตัว
แต่มนุษย์สัตว์จากทวีปตะวันตกคนนี้ไม่รู้เลยว่าเทพเจ้าของเขากําลังเฝ้าดูเขาอยู่จากบนอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์
ดังนั้นเสียงที่คมชัดของระบบ จึงดังขึ้นในความคิดของเขาในเวลาต่อมา
ติ้ง!]
[เริ่มต้นเควสเสริม: ชัยชนะของราชาแห่งสรรพสัตว์

บทที่ 161 แผนการพัฒนาของซีเว่ย

การสิ้นสุดฤดูหนาวถือเป็นข่าวดีสําหรับชาวบ้านทั่วไป เพราะนั่นหมายความว่าอากาศจะอุ่นขึ้นและไม่มีหิมะตก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีในการหว่านเมล็ด

แต่นั่นไม่ใช่กรณีของซีเว่ยและศาสนจักรแห่งเกม

ในขณะที่หิมะละลาย มันยังช่วยปลดเปลื้องพันธนาการการสื่อสารระหว่างเมืองด้วย หากพวกเขาไม่รอบคอบพอศาสนจักรแห่งเกมก็จะถูกเปิดเผยทันที และที่ ๆ เสียงที่สุดคือผู้เล่นในแลงแคสเตอร์

หากศาสนจักรแห่งเกมถูกสังเกตเห็น หรือแย่กว่านั้นคือมีข่าวการฟื้นฟูเทียร์ร่าออกสู่สาธารณะ ผู้เล่นทุกคนที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ก็จะตกเป็นเป้าหมายของศาสนจักรในจารีต ส่วนใหญ่ภายในจักรวรรดิอย่างไม่ต้องสงสัย

(จารีต คือบรรทัดฐานที่กําหนดให้คนในสังคมประพฤติปฏิบัติตนอย่างเข้มงวด มีการควบคุมที่รุนแรงเพื่อป้องกันการฝาฝืน โดยคนในสังคมนั้นถือว่าแบบแผนการปฏิบัติดังกล่าวเป็นสิ่งดีสิ่งงามผู้ละเมิดเป็นคนผิดคนชั่ว เป็นต้น)

แม้ว่ากองกําลังทหารหลักของจักรวรรดิวัลลาจะถูกรั้งไว้โดยสงครามหนึ่งปี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะกําจัดผู้เล่นทุกคน เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องทําก็แค่จัดกําลังพลไม่กี่คนเพื่อจัดการกับผู้เล่น หรือเพียงแค่ออกคําสั่งให้ขุนนางเขตต่าง ๆ ระดมกองทัพส่วนตัวเพื่อทําลายพวกเขา

“ดูเหมือนว่าเราจะผ่อนคลายเกินไป ความสามารถของผู้เล่นยังต้องปรับปรุงอีกมาก” ซีเว่ย พึมพําอย่างครุ่นคิด โดยใช้หนวดแตะสิ่งที่น่าจะเป็นคางของเขา “แต่พูดก็พูดเถอะ มันไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ปรับปรุงอีกแล้ว…”

ท้ายที่สุดเขาก็เพียงเป็นเทพเจ้าชั้น 3 ที่ให้สวัสดิการทุกรูปแบบแก่ผู้ศรัทธาของเขาเท่าที่เขาสามารถจ่ายได้ และเนื่องจากผู้เล่นก็ทํางานกันอย่างขยันขันแข็งเช่นกัน การที่จะหวังให้พวกเขาเติบโตเร็วยิ่งกว่านี้นับว่ายากเกินไปจริง ๆ

“บางที ฉันควรพิจารณาเรื่องนี้จากมุมอื่น…”

ซีเว่ยพยายามเปลี่ยนมุมมองของเขา

หากเขาถือว่าผู้เล่นทั้งหมดเป็นสมการ และเมื่อแทนที่ด้วยสูตรก็จะเป็น (ความแข็งแกร่งโดยรวมของผู้เล่น = ความแข็งแกร่งของผู้เล่นโดยเฉลี่ยแต่ละคน x จํานวนผู้เล่น)

เนื่องจากวัตถุประสงค์ของเขาคือการปรับปรุงความสามารถโดยเฉลี่ยของผู้เล่น ซีเว่ยต้องใช้วิธีเพิ่มจํานวนผู้เล่นให้มาก ๆ หากเขาไม่มีวิธีปรับปรุงความสามารถของผู้เล่นแต่ละคนให้เร็วขึ้น

ความคิดแรกของเขาคือการรับคนจากค่ายผู้ลี้ภัยทุกแห่งนอกเมืองครอมเวลล์โดย ไม่เลือกปฏิบัติ เพราะผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่นอกครอมเวลล์ เคยเป็นพลเมืองของโรวิเนียซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเทียร์ร่าที่ล่มสลาย

แต่ถึงอย่างนั้นนั่นมันก็ไม่ได้ผล หากลองพิจารณาอย่างรอบคอบดูแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้สึกขอบคุณ (หรือยอมรับได้ง่าย ๆ ) และนั่นก็เหมือนกับอดีตผู้ศรัทธาที่แท้จริงของเทพเจ้าแห่งเกม ที่ยอมรับศรัทธาของเทพเจ้านอกรีตอื่น ๆ เพียงเพื่อที่จะได้รับอาหาร

และมันก็ไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะให้ผู้เล่นออกไปเผยแพร่ศาสนาแบบตัวต่อตัวเช่นกัน นอกจากปัจจัยอื่น ๆ แล้ว แม้แต่เด็กสามคนที่มูฟาซาพาเข้ามา ก็ยังเป็นเพียงผู้ศรัทธาที่ตื้นเขิน และ ไม่ได้กลายเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง

ยิ่งไปกว่านั้นผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ ยังมีชีวิตรอดมาได้โดยการหาประโยชน์จากผู้ลี้ภัยที่อ่อนแอ เมื่อพวกเขาได้สัมผัสกับความหอมหวานของการรังแกผู้อ่อนแอคนเหล่านี้ก็จะไม่ลังเลเลยที่จะสังหารผู้หญิงและเด็กเพียงเพื่อรับ EXP เมื่อพวกเขาเข้าร่วมศาสนจักรแห่งเกม

แม้ว่าเขาจะสั่งห้ามหรือมีบทลงโทษในการทําเช่นนั้น ซีเว่ยก็คิดว่ามันไม่ต่างอะไรกับการหยิบก้อนหินขึ้นมากระแทกนิ้วเท้าตัวเอง

เมื่อเทียบกันแล้วการเสี่ยงโชคในหมู่บ้านที่ผู้คนมีความสามัคคีกันก็ยังดีกว่าและสะดวกกว่ามาก หากเขาสามารถหาวิธีแก้ปัญหาและวางรากฐานที่นั่นได้ ก็มีแนวโน้มว่าพวกชาวบ้านจะเปลี่ยนใจมาเลื่อมใสศรัทธาเขาได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นชาวบ้านที่ปฏิบัติตามกฎหมายจะเชื่อฟังกฎ มากกว่าเมื่อเทียบกับอันธพาลที่ไม่ถูกควบคุมในหมู่ผู้ลี้ภัย

น่าเสียดายที่หมู่บ้านแบบนี้หายากมากแถบชายแดน…บางที่พวกเขาอาจมีโชคมากกว่านี้ในทุนย่าที่เป็นอาณาเขตของดัชชีอินทรีเงิน

ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ฝั่งตรงข้ามของทวีปตะวันออกก็น่าสนใจเช่นกัน

ผู้เล่นได้สํารวจพื้นที่รอบนอกของหุบเขาแห่งความตายไปแล้วกว่าครึ่ง และในไม่ช้าพวกเขาก็จะไปถึงพื้นที่หลัก หากยังคงรักษาอัตราการความเร็วการสํารวจเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ และผู้เล่นสามารถค้นพบความเป็นพระเจ้าที่ไม่มีเจ้าของที่นั่น แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวมันก็คุ้มค่าให้เฉลิมฉลองแล้ว

แต่พูดตามตรง สิ่งนั้นสามารถพบได้แต่หาไม่ได้ และซีเว่ยก็ไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถพบเจอมันได้ง่าย ๆ ด้วยโชคของเขา

แต่แน่นอนว่า พวกเขาจะสามารถได้รับร่างเทพมากมายที่นั่น

ในขณะที่เทพเจ้าองค์อื่นจะไม่แตะต้องสิ่งนี้ด้วยความกังวลต่าง ๆ นา ๆ ซีเว่ยกลับไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย และหวังว่าผู้เล่นจะได้รับมากขึ้น

นอกจากนี้ผู้เล่นก็ควรทํางานอย่างหนักเพื่อเคลียร์หุบเขาแห่งความตาย พวกเขาสามารถใช้คบเพลิงที่พวกเขาปักเป็นสัญญาณไฟ เพื่อปูเส้นทางทางบกที่จะเชื่อมระหว่างทวีปตะวันออกและตะวันตก!

เมื่อพิจารณาถึงวิธีที่ชุมนุมลับดวงตาคิดจะสังหารทั้งหมู่บ้าน เพียงเพื่อเส้นทางการลักลอบขนส่งสินค้าทางทะเลเท่านั้น เมื่อผู้เล่นสายธุรกิจมีเส้นทางขนส่งทางบก หนทางแห่งความรวยจะไปไหนเสีย

ยิ่งไปกว่านั้นสิงโตตัวใหญ่ยังเคยบอกกับซีเว่ยว่า มีเผ่าอมนุษย์หรือครึ่งมนุษย์อาศัยอยู่ในทวีปตะวันตก

ในขณะที่นิยายบางเรื่องในโลกเดิมของซีเว่ย มีเผ่าพันธุ์อมนุษย์ที่เรียกกันว่าออร์ค แต่ออร์คของโลกนี้คือสิ่งมีชีวิตผิวเขียวและเขี้ยวโค้งยาว ที่ชอบพุ่งเข้าใส่ศัตรูในขณะที่ตะโกนว่า ‘ว้ากกกก’ ในทางกลับกันเคทซิธ*และเซนทอร์ ถือเป็นครึ่งมนุษย์ ในขณะที่มนุษย์เผ่าอื่น ๆ ที่มีลักษณะของสัตว์บางส่วนจะเรียกว่ามนุษย์สัตว์

(เคทซิธ เป็นชื่อของภูติตามตํานานสก็อต รูปร่างเหมือนแมวดําตัวใหญ่มีจุดสีขาวบนหน้าอกใครนึกภาพไม่ออก มันเหมือนแมวในเกม Final Fantasy VII)

ท่ามกลางความทรงจําที่ถูกบันทึกไว้ของเจ้าแห่งน้ําซึ่งซีเว่ยได้ดูดซับมา พวกอมนุษย์ดูเหมือนจะเป็นลูกหลานของสิ่งมีชีวิตที่รอดชีวิตจากสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่ 2 และ เนื่องจากพวกเขา เป็นพันธมิตรกับเทพเจ้าที่ไม่ได้อยู่ฝั่งมนุษย์ในสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่ 3 มนุษย์จึงไล่พวกเขาไปยังทวีปตะวันตกหลังจากแพ้สงคราม

ต่อมาเทพเจ้าของทั้งสองฝ่าย ได้ต่อสู้กันเป็นการส่วนตัวในสงครามเทพเจ้าและปีศาจ ทําลายอารยธรรมก่อนหน้านี้และทําลายไหล่ทวีปจนแตกกลายเป็นรูปแบบทางภูมิศาสตร์ในปัจจุบัน หลังจากสงครามครั้งนั้น สนามรบก็กลายเป็นหุบเขาแห่งความตาย และในปัจจุบันมันเป็นทั้ง‘ขอบ’ และ ‘ใจกลาง’ ของโลก

เผ่าอมนุษย์แตกต่างจากมนุษย์ที่มักจะก่อสงครามกลางเมือง แต่ก็มีจํานวนผู้เสียชีวิตในสงครามไม่มาก พวกอมนุษย์มักจะรวมกลุ่มกันตามลักษณะทางชาติพันธุ์ แม้ว่าจะมีช่วงเวลาสั้น ๆ ที่พวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่พวกเขาก็เลือกที่จะต่อสู้และดูหมิ่นเผ่าอื่นเกือบตลอดเวลา พวกเขาแยกตัวออกเป็นชนเผ่าย่อยนับร้อย ๆ เผ่าที่ซับซ้อนกว่าสังคมของมนุษย์

ทําให้เผ่าอมนุษย์ที่มีลักษณะทางชาติพันธุ์แบบเดียวกันเท่านั้น ที่จะรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ นั่นทําให้ซีเว่ยคิดวิธีที่เหมาะสมได้! ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครไว้ใจพวกต่างเผ่าได้มากกว่าคนของตัวเอง

“แต่นั่นยังเร็วเกินไป ผู้เล่นยังไม่ได้เคลียร์หุบเขาแห่งความตาย….หืม? เดี๋ยวก่อนนะ…”

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซีเว่ยก็นึกถึงใครบางคน เขาเปิดใช้งานดวงตาศักดิ์สิทธิ์และมองลงไปที่แดนมรรตัย

บทที่ 160 สิ้นสุดฤดูหนาว

ห้องทํางานในปราสาทเอิร์ลแห่งแลงคาสเตอร์

ห้องทํางานนี้ได้รับการตกแต่งอย่างหรูหราและซับซ้อนมาก พนักทุกด้านของห้องถูกทําเป็นชั้นหนังสือ เต็มไปด้วยต้นฉบับหนังสือล้ําค่าต่าง ๆ แต่ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครอ่านมันออก

เตาผิงที่กําลังลุกไหม้ทําให้ห้องอุ่นขึ้นราวกับเป็นฤดูใบไม้ผลิ มันเป็นโลกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นภายนอก

ก๊อก ๆ

ประตูที่แกะสลักจากไม้หอมเทสเลียทั้งชิ้นซึ่งมีราคาแพงยิ่งกว่าทองคําถูกเคาะจากด้านนอก

“มีอะไร?” เอิร์ลโคริน ลอร์ดแห่งเมืองแลงคาสเตอร์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘กวางดำ’ ลดปากกาลงและถามเสียงเบา

“เราพบศพของบารอนตระกูลในเจลาเนียแล้วขอรับท่านลอร์ด” ผู้ดูแลที่ประตูรายงานด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก แต่เพียงพอให้ลอร์ดของเขาได้ยิน

“ฮึ ข้าเตือนเขาแล้วว่าอย่าผลีผลาม…” โครินพูดอย่างเย็นชา “เข้ามา”

ด้านนอกประตูมีชายคนหนึ่งที่สวมเครื่องแบบของทหารของเมืองแลงคาสเตอร์เดินเข้ามาในห้องด้วยความเคารพ เขาโค้งคํานับและวางแผ่นกระดาษไว้บนโต๊ะทํางานของโคริน จากนั้นก็ออกจากห้องไป

โครินหยิบมันขึ้นมาดูอย่างรอบคอบรอบคอบ

ไม่นานเขาก็โยนมันลงบนโต๊ะทํางาน ใบหน้าที่แก่ชราของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์

เขาเคยได้ยินข่าวมานานแล้วว่าทายาทตระกูลขุนนางเก่าแก่คนหนึ่งของวัลลาที่จักรพรรดิส่งมายังแลงคาสเตอร์ กําลังดูถูกพลเมืองของเขาอย่างหยาบคาย

แม้ว่าโครินจะเป็นผู้ปกครองแลงคาสเตอร์ โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเอิร์ลจากจักรวรรดิ และมีตําแหน่งสูงกว่าขุนนางตระกูลไนเจลาเนีย 2 ลําดับ แต่ในความเป็นจริงเขาไม่สามารถทําอะไรได้มากนัก

เหตุผลนั้นง่ายมาก แลงคาสเตอร์เป็น 1 ใน 4 เมืองใหญ่ของเทียร์ร่าที่รอดพ้นจากการโจมตีของอาณาจักรเพื่อนบ้าน ทั้งหมดเป็นเพราะโครินยอมได้จํานนในทันที และมีเพียงพลเมืองเทียร์ร่าที่อยู่ทางตอนเหนือของเมืองเท่านั้นที่เสียชีวิตจากการถูกกวาดล้าง

ดังนั้นเพื่อเป็นตอบแทนความมีไหวพริบของเขา และเป็นแบบอย่างให้เมืองอื่น ๆ ยอมจํานนจักรพรรดิในเวลานั้นจึงยอมให้โครินผู้แปรพักตร์ รักษาตําแหน่งของเขาในฐานะเจ้าเมืองต่อไปอย่างมั่งคง

แต่ตอนนี้จักรวรรดิได้มีอํานาจควบคุมดินแดนเทียร์ร่าในอดีตอย่างสมบูรณ์แล้ว คนเช่นโคริน ที่ไม่ได้เกิดในอาณาจักรวัลลา ก็เป็นเพียงหนามยอกอกของจักรพรรดิองค์ใหม่เท่านั้น

ขุนนางตระกูลในเจลาเนียคนนั้นถูกส่งมาที่นี่เพื่อก่อเรื่อง และค่อย ๆ กลืนกินอํานาจหน้าที่ของเขาในฐานะเจ้าเมืองตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามา

โครินรู้ถึงแผนการของจักรพรรดิเป็นอย่างดี หากเขาทนไม่ได้และเริ่มจัดการกับไนเจลาเนีย อีกฝ่ายก็จะฉวยโอกาสนั้นกําจัดเขาอย่างแน่นอน! แม้ว่าเขาจะสร้างเครือข่ายผู้ติดต่อจํานวนมากขึ้นมาได้อย่างยากลําบากเพื่อรักษาตําแหน่งของเขาในฐานะเจ้าเมืองเอาไว้ แต่เขาก็คาดเดาได้ว่าคนสนิทที่อยู่ใกล้ตัวเขา คงจะถูกแทนที่ด้วยคนอย่างขุนนางในเจลาเนีย ในขณะที่ตัวเขาเองในฐานะเจ้าเมืองถูกลดบทบาทลงให้เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ไม่มีอํานาจแท้จริง

และถึงแม้ว่าโครินจะทนการยั่วยุของในเจลาเนียได้ อีกฝ่ายก็ยังแย่งชิงอํานาจของเขาไปที่ละนิดได้อยู่ดี แม้ว่ากระบวนการนี้จะน่าเกลียดมาก แต่ถ้าเขาไม่สามารถหยุดมันได้ทันเวลาผลลัพธ์ สุดท้ายของเขาก็อาจจะเลวร้าย ไม่ว่าวิธีไหนเขาก็จบไม่สวยทั้งนั้น

ความจริงมีข้าราชกาลชั้นสูงบางคนในเมืองที่จิตใจไม่มั่นคงพอ หรือไม่มีวิสัยทัศน์เพียงพอ เริ่มลังเลและขยายกิ่งมะกอกไปยังในเจลาเนียแล้ว

เมื่อใดก้ตามที่เขาได้รับรายงานลับเกี่ยวกับเรื่องนี้ โครินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าสมองของเจ้าหน้าที่เหล่านั้นมีบางอย่างผิดปกติหรือไม่ เหตุผลที่พวกเขาทุกคนสามารถรักษาอํานาจและตําแหน่งของตนเอาไว้ได้ก็เป็นเพราะโคริน ทําไมพวกเขาถึงคิดว่าสิ่งต่าง ๆ จะจบลงด้วยดีหากเขาล้มลง?

อันที่จริงโครินก็ได้เริ่มวางแผนกําจัดไนเจลาเนียแบบลับ ๆ แล้ว

แต่สุดท้าย เพื่อนผู้ละโมบคนนั้นก็ตายเพราะความโลภของตัวเอง ก่อนที่แผนการของเขาจะพร้อมอย่างง่ายดายโดยพลเรืองเพียงไม่กี่คน

“ช่างเป็นวิธีตายที่เหมาะสมกับคนที่โง่เขลาแบบนั้นจริง ๆ” โครินพึมพําอย่างเย็นชา

ต้องบอกว่าการตายของในเจลาเนียเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่สําหรับตัวเขาเอง มันค่อนข้างเป็นปัญหา

แม้ว่าเขาจะมีหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์ ที่พิสูจน์ได้ว่าในเจลาเนียถูกฆ่าตายเพราะวิ่งไปที่แลงคาสเตอร์เขตเหนือเอง แต่จักรพรรดิองค์ใหม่คงไม่สนใจหลักฐาน

โครินถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารู้สึกเหนื่อยล้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มากกว่าในอดีต

ไม่เพียงแต่เขาจะต้องทนต่อการปกครองอย่างเลือดเย็นของราชวงศ์วิลลา แต่เมืองแลงคาสเตอร์เองก็กําลังแย่ลงเรื่อย ๆ แถมเขายังต้องรับมือกับเหล่าขุนนางอีก

ในช่วงเวลานั้น เขาคิดถึงกษัตริย์ผู้โง่เขลาและตาบอดแห่งเทียร์ร่า ที่สนับสนุนให้เขาดําเนินการปฏิรูปการค้า และในที่สุดก็พัฒนาแลงคาสเตอร์ให้เป็นเมืองการค้าได้สําเร็จ

“วันนี้มานั่งเสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว”

โครินเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ คิดว่าจะทําอย่างไรต่อไป

ในเวลานั้นประตูห้องทํางานก็ถูกเปิดออกเป็นช่องเล็ก ๆ

ชายชรามองไปที่ประตูโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะพบใบหน้ากลม ๆ เล็ก ๆ น่ารักโผล่เข้ามา

“เจ้ามาทําอะไรที่นี่หม? เกวนโดลิน” ชายชราถามหลานสาวอย่างใจดี

“คุณปู่กําลังถอนหายใจอีกแล้ว!” เด็กซนตัวน้อยเปิดประตูอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ว่าเธอถูกพบแล้ว เธอรีบเข้ามาข้างในและปืนเข้าไปในอ้อมแขนของโคริน “ข้าอยากไปเที่ยวที่ชานเมืองในช่วงเทศกาลหว่านเมล็ด แต่คุณแม่บอกว่าข้าต้องมาขออนุญาติจากคุณปู่ก่อน! เราไม่ได้ไปเที่ยวที่ชานเมืองนานแล้ว คราวนี้เราออกไปเล่นน้ำได้ไหม”

ชายชราลูบหัวเธอ “แน่นอนปูอนุญาต แต่ปูจะจัดให้มีคนคอยปกป้องพวกเจ้าทั้งคู่ ดังนั้นอย่าวิ่งไปไหนมาไหนเองตกลงไหม”

เด็กหญิงตัวน้อยเลิกคิ้วทันทีแล้วพยักหน้าอย่างหนักแน่น ก่อนจะหอมแก้มชายชราฟอดหนึ่ง “ขอบคุณค่ะ คุณปู่!”

ครึ่งหนึ่งของใบหน้าชายชราเต็มไปด้วยน้ําลายของเด็กหญิง เขามองเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่กําลังดีใจวิ่งออกไปอย่างอ่อนโยน

“ข้าจะต้องทํางานให้หนักขึ้นเพื่อเกวนโดลิน…”

ดังนั้นเขาจึงหยิบรายงานบนโต๊ะขึ้นมาอ่านซ้ํา ๆ อีกครั้งและอีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นเบาะแสบางอย่างจากข้อมูลที่เขาไม่เข้าใจในตอนแรก “หมายความว่าก่อนที่เขาจะถูกฆ่า ไนเจลาเนียต้องการผูกขาดโพชั่นแปลก ๆ ที่เป็นที่นิยมในขณะนี้จากแหล่งที่มาที่ไม่รู้จัก? และแหล่งที่มาของมัน แม้แต่คนของข้าก็ยังไม่รู้ด้วย”

โครินดูแลแลงคาสเตอร์มานานหลายสิบปี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่พบที่มาของโพชั่นเหล่านั้น เบื้องหลังเรื่องนี้น่าสนใจมาก

“ดูเหมือนว่าข้าคงต้องพบกับมิสเตอร์มาร์นี่ผู้อมตะคนนั้น…สักครั้ง”

ชายชรามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด

ในเวลานั้น ดวงอาทิตย์เพียงหนึ่งเดียวก็ได้ส่องแสงทะลุผ่านเมฆดําหนาทึบ นําความอบอุ่นเล็กน้อยแทรกเข้ามายังผืนดินที่เต็มไปด้วยหิมะ

ฤดูหนาวสิ้นสุดลงแล้ว

บทที่ 159 วันพักผ่อนของผู้เล่น [4]

โรงแรมของเมืองไร้ชื่อสร้างขึ้นโดยแองโกร่าเพื่อรองรับผู้ลี้ภัยที่มาร์นี้พามา

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ผู้เล่นส่วนใหญ่ร่ำรวยพอที่จะซื้อบ้านตามจุดต่าง ๆ ของเมือง (แม้ว่าส่วนใหญ่จะสิ้นเนื้อประดาตัวอีกครั้งหลังจากมีระบบเสริมแกร่งไอเทมเข้ามาก็ตาม) แต่ธุรกิจโรงแรมก็ได้รับความนิยมลดลงมาก

เมืองไร้ชื่อไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทําให้ไม่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมมากนัก

มูฟาซาจึงวางใจให้เด็ก ๆ อยู่ที่นั่นชั่วคราว

แม้ว่าเด็ก ๆ จะตกลงเข้าร่วมกับศาสนจักรแห่งเกมและกลายเป็นผู้ศรัทธาของเทพเจ้าแห่งเกม แต่การอุทิศศรัทธาให้กับเทพที่ไม่คุ้นเคยก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทําได้ด้วยวาจา

อย่างน้อย แม้ซิมบ้าจะอ้างว่าเขาศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมอย่างไรตอนนี้ มูฟาซาก็สามารถบอกได้ทันทีว่าเขาโกหก….

นาล่านอนหลับสนิทไปแล้วหลังจากดื่มยาของนักเล่นแร่แปรธาตุเข้าไป

มูฟาซาเองก็มีเรื่องต้องทํา หลังจากเขาพานาล่ามาส่งที่โรงแรม เขาก็เตือนเด็ก ๆ ว่าอย่าทําอะไรแปลก ๆ ก่อนออกไป

ซาซูตัดสินใจจะอยู่ที่โรงแรมเพื่อดูแลนาล่า แม้ซิมบ้าจะกังวลเรื่องของเธอเช่นกัน แต่เขาก็ตัดสินใจออกไปเดินเล่นรอบ ๆ และทําความคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้

มันเป็นนิสัยที่เขาพัฒนาขึ้นเมื่อเขาถูกบีบคั้นให้ขโมยของเพื่อเอาชีวิตรอดในแลงคาสเตอร์ อันที่จริงมันก็คล้ายกับการเตรียมพร้อมของหัวขโมยที่จะตรวจสอบสภาพแวดล้อมเอาไว้เผื่อเวลามีปัญหาเกิดขึ้นจะได้หลบหนีได้ทัน

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากวิ่งวุ่นเรื่องที่นาล่าปวยมาตั้งแต่เช้า ซาซูและซิมบ้าก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยจนถึงตอนนี้ นอกจากอาหารมื้อค่ำแสนอร่อยของเมื่อวาน แต่จะให้อดอาหารต่อไปคงไม่ดีแน่ ซิมบ้าจึงตัดสินใจออกไปซื้ออาหารกลับโรงแรมในขณะที่เขาเดินสํารวจเมือง

มูฟาซาได้ทิ้ง ‘เหรียญเกม’ ไว้ที่โรงแรม และตามที่เขาพูดนั่นคือสกุลเงินที่ชาวเมืองส่วนใหญ่ใช้ซื้อขายกัน สิ่งปลูกสร้างและสิ่งอํานวยความสะดวกแปลก ๆ หลายแห่งในเมืองนี้ยอมรับเฉพาะเหรียญเกมเท่านั้น ในขณะที่เหรียญริออนและเหรียญทองแดงจะต้องแลกก่อนถึงจะสามารถใช้ในเมืองนี้ได้

แม้ซิมบ้าจะคิดว่ามันไม่ดีที่จะให้มูฟาซาช่วยเหลือเสมอไป แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถซื้ออาหารได้ด้วยมือเปล่า ซิมบ้าจึงยอมรับเงินของมูฟาซา และนําเหรียญบางส่วนติดตัวไปก่อนที่เขาจะออกจากโรงแรม

เด็ก ๆ เคยหิว เหนื่อย และกังวลมาก เมื่อมาถึงเมืองผ่านไลฟ์สโตนครั้งแรก พวกเขาจึงไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเมืองนี้นัก

ตอนนี้ซิมบ้าสบายใจแล้ว สิ่งต่าง ๆ ก็ดูแตกต่างไปจากเมื่อวาน

อย่างแรก ความสะอาดและความสวยงามของที่นี่ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่ต่างจากเมื่อวานนี้ ผู้คนบนท้องถนนต่างเดินกันเป็นกลุ่ม 5-6 คนและคุยกันอย่างกระตือรือร้นในสิ่งที่ซิมบ้าไม่เข้าใจขณะเดียวกันจากลักษณะการเดิน พวกเขาต่างก็มีเป้าหมายอย่างชัดเจน แตกต่างจากเด็กขุนนางชาวแลงคาสเตอร์ที่มักจะเดินเล่นไปรอบ ๆ พร้อมกับสมุนของพวกเขา

แน่นอนว่ามีหลายอย่างที่ซิมบ้าพบว่ามันยากที่จะเข้าใจ นอกเหนือจากความปกติเหล่านั้น

ตัวอย่างเช่น เขาเพิ่งเห็นคนรูปร่างผอมเพรียวพุ่งผ่านหน้าเขาไปราวกับสายลม ขณะที่คนร่างกํายํากล้ามแน่นกําลังถือดาบใหญ่เรืองแสงสีส้มวิ่งไล่…

ขณะที่ซิมบ้าตกตะลึงกับความรุนแรงในเวลากลางวันแสก ๆ และรู้สึกสับสนว่าทําไมไม่มีทหารหรือเจ้าหน้าที่ใด ๆ ออกมาจัดการเรื่องนี้ เขาก็ตระหนักว่าคนอื่น ๆ บนถนนทําราวกับไม่เห็น 2 คนนั้น

ความจริงบางคนกําลังหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า ‘ดูเหมือนโกวต้านจะยั่วโมโหโจอีกแล้ว…’

‘เขาสมควรโดนแล้ว เขาเป็นคนปล่อยภาพที่ทําให้คนตาบอด’

‘ใจเย็น ๆ ทุกคนดันโพสต์นั้นจนติดท็อปเพื่อให้ผู้มาใหม่ได้รับบัฟกันถ้วนหน้า!’

มันเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้กําลังเห็นคนวิ่งไล่ฆ่ากัน แต่กําลังเมินเฉยเหมือนเห็นพี่น้องทะเลาะกันแทน

“เอ่อคือว่า…พวกเขาจะไม่เป็นอะไรเหรอ” ซิมบ้าถามคนที่เดินผ่านมา

“ไม่เป็นไร โจจะสงบลงหลังจากที่โกวต้านตาย” คนที่เดินผ่านมาตอบอย่างสบาย ๆ

นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน? เขาจะต้องการอะไรอีกหลังจากที่เหยื่อตาย หรือเขาจะตามเหยื่อลงไปในยมโลกเพื่อฆ่าเขาอีกครั้ง?

สมองของชาวเมืองพวกนี้เพี้ยนรึเปล่า? ทําไมพวกเขาดูไม่สนใจเรื่องความเป็นความตายเลยล่ะ? แม้แต่คนเถื่อนในที่ราบสูงอันแห้งแล้งในตํานาน ที่ให้ความสําคัญกับเกียรติยศและการต่อสู้ มากกว่าชีวิตก็ยังไม่เพิกเฉยต่อความตายถึงขนาดนี้!

จากนั้นซิมบ้าก็เริ่มเชื่อมโยงมันเข้ากับทักษะการต่อสู้อันโดดเด่นของมูฟาซา และความเฉียบขาดในการกําจัดศัตรูของเขา

เขาเริ่มมีลางสังหรณ์อันหนาวสั่นว่า เป็นไปได้ไหมที่มูฟาซาแข็งแกร่งมากเพราะเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้?

‘อันตราย! ศาสนานี้อันตรายเกินไป!’

กระนั้นซิมบ้าก็ส่ายหัวเพื่อสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป ไม่ เขาไม่สามารถคิดไปเองว่าจริงๆ แล้วศาสนจักรแห่งเกมเป็นอย่างไรจากสิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้เห็นในวันนี้ เขาต้องรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม

ในขณะเดียวกัน คนที่เดินผ่านไปมาก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย ว่าทําไมซิมบ้าถึงถามแบบนั้น แต่หลังจากเหลือบไปเห็นว่าซิมบ้าไม่ใช่ผู้เล่น เขาก็ส่งเสียงพึมพําเบา ๆ ที่พอฟังออกว่า ‘ชื่อเหลือง ไม่มีแถบ HP’ แล้วก็จากไปด้วยความผิดหวัง

หลังจากนั้นซิมบ้าก็เดินเล่นไปตามถนนเรื่อย ๆ เพื่อพบเจอสิ่งแปลก ๆ มากขึ้น

ตัวอย่างเช่น มีคนต่อคิวยาวเหยียดหน้าร้านตีเหล็ก เพื่อรอให้ช่างตีเหล็กคนแคระทุบอาวุธ

เป็นอีกครั้งที่ซิมบ้ารู้สึกงงงวย มันก็จริงที่คนแคระภูเขาหายาก (จริง ๆ ช่างตีเหล็กในเมืองเป็นคนแคระเทาที่ไม่เคยปรากฏตัวบนผิวดินมากนัก ไม่ใช่คนแคระภูเขา) แต่ไม่ใช่ว่าคนที่นี่หลงใหลเขาเกินไปหน่อยเหรอ?

“ฮิฮิฮิ ข้าได้ทําตามที่โพสต์เรื่องโชคลางบอกแล้ว ล้างหน้าให้สะอาด เปลือยกาย และเต้นรํารอบแสงเทียนตอนเที่ยงคืนโดยไม่ให้เทียนดับ การเสริมแกร่งวันนี้จะต้องได้ผล!”

“ไอเทมของเจ้าหายไปแล้ว”

“ม่ายยยย!”

ซิมบ้าเฝ้าดูผู้ศรัทธาคนนั้นกรีดร้อง และเอื้อมมือไปที่ชิ้นส่วนแตกหักบนทั่ง ในขณะที่ผู้เล่นที่อยู่ข้างหลังเขาลากเขาออกไป

‘อาวุธไม่ได้ถูกทําให้ร้อนด้วยไฟ และไม่ได้ถูกโรยด้วยผงที่ใช้เล่นแร่แปรธาตุ…ทุบมันบนทั่ง? คงจะแปลกถ้ามันไม่พัง!’ เด็กชายพึมพําอย่างช่วยไม่ได้

นอกเหนือจากคนพวกนี้แล้ว ซิมบ้ายังได้พบกับคนประหลาดที่สวมหัวปลาแองเกลอร์ (หัวปลาที่มีหลอดไฟ) หัวปลาโลมา และพวกคนประหลาดที่ถืออุปกรณ์แปลก ๆ ขณะที่พวกเขาตะโกนว่า “เยส! ข้าทําได้แล้ว!” ก่อนจะหลับตาลงอย่างมีความสุข และคุกเข่าต่อหน้าบ้านที่สร้างเสร็จไปครึ่งหนึ่ง แล้วภาวนาให้บ้านสร้างตัวเองต่อไป

ในที่สุด เขาก็รู้สึกว่าเขาเข้าใจแก่นแท้ของเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว ‘เป็นไปได้ไหม ที่ผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมทุกคนนั้นเป็นไอ้โง่!’

บทที่ 158 ชีวิตใหม่ของคินลีย์ [2]

เมื่อแองโกร่าพูดถึงการมอบห้องทดลองให้เธอครั้งแรก คินลีย์ก็กังวลว่าห้องทดลองที่เมืองชายแดนเล็ก ๆ จะดูโบราณเกินไป และไม่มีแม้กระทั่งอุปกรณ์พื้นฐานมาให้

เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มักจะมีราชาที่ขาดความรู้พื้นฐานในด้านการเล่นแร่แปรธาตุ แต่ชอบสรรหานักเล่นแร่แปรธาตุหลายคน แล้วให้เงินพวกเขาเพียง 200-300 ริออน ก่อนจะบอกให้พวกเขาไปหาโกดังว่าง ๆ เพื่อสร้างม้วนคาถาต้องห้าม

นี่ก็เหมือนกับการจ่ายเงินค่าวิจัยให้กับกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยเพียงไม่กี่พันดอลลาร์ และให้พวกเขาสร้างระเบิดนิวเคลียร์ในโกดังสุ่ม ๆ

ถึงอย่างนั้นคินลีย์ก็ต้องตกตะลึงทันทีที่เธอก้าวเข้ามาในห้องทดลอง

อุปกรณ์ตกแต่งภายในไม่ได้ใหญ่หรือหวาอะไรนัก แต่มีอุปกรณ์ทดลองทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเบ้าหลอม เตาเผา และหม้อขนาดต่าง ๆ ที่สามารถใส่ผู้ใหญ่เข้าไปทั้งตัวได้อย่างง่ายดาย

นอกจากนี้ยังมีหลอดทดลองแก้วใสจํานวนมาก และภาชนะแก้วรูปทรงประหลาดวางอยู่บนโต๊ะ

เมื่อคินลีย์ที่มีทักษะการเล่นแร่แปรธาตุได้เห็นอุปกรณ์แปลก ๆ เหล่านั้นในห้องทํางานเป็นครั้งแรก เธอก็เดาได้ทันทีเลยว่ามันใช้ทําอะไรในพริบตา อันที่จริงเธอเชื่อเลยว่า หากเธอมีอุปกรณ์เหล่านี้ในการเล่นแร่แปรธาตุครั้งก่อน ๆ เธอจะทําผลงานได้ดีขึ้นมาก!

ยิ่งไปกว่านั้น ความแม่นยําของเครื่องมือเหล่านี้ก็สูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ เธอแค่ต้องพูดชื่อวัตถุดิบและน้ำหนักที่ต้องการ วัตถุดิบนั้นก็จะปรากฏขึ้นบนถาดตาชั่ง วิธีสั่งการด้วยเสียงแบบเดียวกันนี้ ก็มีให้ในการจดบันทึกรายละเอียดการทดลองด้วยเช่นกัน หมึกบนปากกาขนนกที่ไม่เคยแห้ง กระดาษที่กองรวมกันเป็นตั้ง ๆ และที่คั่นหน้าหลากสีที่สามารถช่วยให้เธอตรวจสอบบันทึกได้อย่างรวดเร็ว

ด้วยการเปรียบเทียบนี้ คินลีย์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าอาจารย์ของเธอซึ่งเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่ดีที่สุดในทวีปนั้น ดูเป็นคนหลังเขาไปเลย

ให้ตายเถอะ ถ้าเธอคุ้นเคยกับอุปกรณ์การเล่นแร่แปรธาตุที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ไปแล้ว และไม่สามารถใช้มันได้อีกในอนาคตล่ะ?

บางทีเธอควรพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้ศรัทธาของเทพเจ้าแห่งเกม เพื่อที่เธอจะได้ใช้มันต่อไปดีไหมนะ?

ไม่สิ..เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว การแต่งงานกับแองโกร่าจะไม่เป็นทางเลือกที่ดีกว่าเหรอ หากเธอต้องการที่จะเก็บเทคโนโลยีการเล่นแร่แปรธาตุขั้นสูงของศาสนานี้ให้ปลอดภัย

“ข้าก็ไม่ได้อยากทําลายรอยยิ้มโง่ ๆ นั้นบนใบหน้าของท่านหรอกนะ แต่ท่านช่วยตรวจสอบห้องทดลองเร็ว ๆ ได้ไหม ข้าจะได้ไปรายงานท่านแองโกร่าได้”

วีลาที่มาพร้อมกับเธอถามแบบเร่ง ๆ

“อา ข้าต้องขอโทษด้วยจริง ๆ” คินลีย์ยิ้มด้วยกิริยาของเลดี้ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี อย่างเธอยังคงดูไร้ที่ติจนทําให้วีลาหญิงสาวในหมู่บ้านชนบทรู้สึกอับอายเล็กน้อย

โชคดีที่วีลากําลังอารมณ์ดี เธอเพียงแค่เม้มริมฝีปากก่อนจะฟื้นตัวได้ทันที

“แน่นอนว่าเจ้าทั้งสวยและสูงส่ง แต่เจ้าสามารถล่ามนุษย์เงือกได้หรือไม่? ข้าทําได้! ฆ่า 10 ตัว ในครั้งเดียว!!

“วีลา เจ้าชอบแองโกร่าไหม” ทันใดนั้นคินลีย์ก็ถามลอย ๆ ออกมา

“ต้องชอบอยู่แล้ว” วีลาตอบด้วยสีหน้านิ่งสนิท “ไม่ใช่แค่ข้าเท่านั้น ชาวเมืองหลายคนก็ชอบท่านลอร์ดเช่นกัน เพราะเขานําเราออกจากความสิ้นหวัง”

“นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ชอบเขาเหมือนกัน” คินลีย์ตอบกลับยิ้ม ๆ

คิ้วของวีลากระตุก

“แล้วเจ้าชอบข้าไหม วีลา” คินลีย์ดูเหมือนว่าจะไม่สังเกตเห็นแววตาอันตรายของวีลาเลย

วีลากําลังจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ ๆ ก็มีคน 3 คนพุ่งเข้ามาในร้าน

ให้แม่นยํากว่านั้นก็ 4

คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนที่มีชื่ออ่านว่า มูฟาซา” ลอยอยู่เหนือหัว ส่วนอีก 2 คนเป็นเด็กชายวิ่งตามหลังเขามาโดยไม่มีชื่อผู้เล่น หมายความว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้เล่น ขณะนี้มูฟาซากําลังแบกเด็กหญิงไว้บนหลัง และเธอก็ไม่ใช่ผู้เล่นเช่นกัน

ดวงตาของเธอปิดสนิท ลมหายใจหอบถี่ และใบหน้าแดงก่ำด้วยความเจ็บปวด

“ลูกพี่หญิงวีลา!” มูฟาซาแปลกใจที่เห็นวีลาที่นี่ เขาทักทายเธออย่างรวดเร็วก่อนจะหันไปหาคินลีย์ “ท่านคือเลดี้คินลีย์นักเล่นแร่แปรธาตุคนใหม่”

มุมปากของวีลากระตุก

ทําไมเธอถึงเป็นลูกพี่หญิงและคนลีย์เป็นเลดี้? นี่เจ้าอยากโดนต่อยรึ?”

ขณะเดียวกันคนลีย์ก็ดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว แต่เธอก็ยังถามอย่างสุภาพว่า “ค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ?”

“นาล่าเด็กคนนี้ดูเหมือนจะปวยมาระยะหนึ่งแล้ว” มูฟาซาตอบอย่างรวดเร็ว “แต่เธอไม่เคยพูดอะไรเลย เราพึ่งสังเกตเห็นอาการของเมื่อเช้านี้ อาการของเธอดูจะร้ายแรงมาก ทักษะรักษาของเครลิคไม่ทํางานเพราะเธอไม่ใช่ผู้เล่น แต่ข้าได้ยินมาว่าท่านสามารถปรุงยารักษาโรคได้….ท่านต้องช่วยเธอ ข้าจะทําทุกอย่างที่ท่านขอ!”

เด็กชายทั้งสองที่อยู่ข้างหลังเขาก็พยักหน้าด้วย “เราก็จะช่วยเหมือนกัน!”

แม้ว่าคินลีย์จะสงสัยกับคําว่า “ผู้เล่น” แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็ไม่เปลี่ยนแปลง เธอบอกพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า ” เธอจะไม่เป็นไร ให้ข้าจัดการ”

แม้ว่านักเล่นแร่แปรธาตุส่วนใหญ่จะทําตัวมีเกียรติและไม่สนใจความเจ็บปวยของสามัญชนแต่คนลีย์ก็ไม่ได้ตั้งใจจะทําตาม

เหตุผลข้อแรกเลยก็คือ เธอตั้งใจที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์กับศาสนจักรแห่งเกม มันจะสําเร็จได้ยังไงหากเธอทําเมินกับเรื่องนี้?

เหตุผลข้อที่สองก็คือ เธอเชื่อว่าเหตุผลที่นักเล่นแร่แปรธาตุเก่ง ๆ มีเพียงไม่กี่คนในทวีป ก็เพราะทัศนคติที่สูงส่งของนักเล่นแร่แปรธาตุ และความรู้ด้านการเล่นแร่แปรธาตุก็มักจะถูกผูกขาดอยู่เสมอ ทําให้พวกเขาไม่สามารถทํางานร่วมกันได้

“จะไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอ? ส่วนผสมปรุงยาดูเหมือนจะไม่พอนะคะ” วีลาถามอย่างเป็นห่วง

“ข้าตรวจดูแล้ว ส่วนผสมในการปรุงยาสําหรับเด็กคนนี้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”

คนลีย์ยิ้มน้อย ๆ ก่อนที่เธอจะเริ่มเรียกส่วนผสมแปลก ๆ ลงบนตาชั่ง และใส่มันลงในหม้อต้มเพื่อปรุงยา ในขณะรอให้เดือด เธอก็หยิบภาชนะแก้วออกมาเชื่อมต่อกับหลอดทดลอง หลังจากเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว เธอก็แล้วเทส่วนผสมที่ปรุงเสร็จลงไปกรอง จากนั้นจึงเริ่มกระบวนการที่สอง

ในเวลาสั้น ๆ เพียง 10 นาที เธอก็ทําทุกขั้นตอนเสร็จสิ้น จนได้โพชั่นสีเขียวมรกตออกมาหนึ่งขวด

คินลีย์ก็พอใจกับผลลัพธ์นี้มากเช่นกัน เธอจะต้องใช้เวลาอีกหลายสิบนาที หากใช้อุปกรณ์ของอาจารย์เธอ และสีของโพชั่นก็จะออกมาไม่ดีเท่านี้

“แบ่งครึ่ง ให้เธอดื่มสองครั้งระยะเวลาห่างกันประมาณ 3 ชั่วโมง เธอน่าจะหายดีในตอนเย็น

หลังจากส่งยาให้ทั้ง 4 คนแล้ว มูฟาซาและเด็กทั้งสองก็ขอบคุณแล้วจากไป

วีลามองคินลีย์ด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน

หลังจากนั้นเธอก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “คําถามเมื่อครู่ ตอนนี้ข้ายังไม่ชอบท่าน แต่ข้ายินดีต้อนรับท่านสู่เมืองของเราด้วยความจริงใจ เลดี้ดินลีย์”

Click to Hide Advanced Floating Content

บทที่ 157 ชีวิตใหม่ของคินลี่ย์ [1]

วันนี้ผู้เล่นที่มีสายตาแหลมคม จะสังเกตเห็นร้านใหม่ในเมืองที่มีป้ายชื่อว่า “โกลเด้นโรส” เห็นได้ชัดว่านั่นคือห้องทดลองของนักเล่นแร่แปรธาตุ

เจ้าของที่นี่คือเลดี้คินลีย์ไอนซ์วอเตอร์ ซึ่งมาที่เมืองไร้ชื่อเพื่อตามหาแองโกร่า

ที่แรกแองโกร่าเตรียมจะไล่แขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนี้ออกไป แต่ก็ถูกหยุดไว้ก่อนเพราะซีเว่ยโยนวิวรณ์ลงมาจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์

ที่แรกซีเว่ยแค่อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุในสมัยนี้ ในฐานะเทพเจ้าแห่งเกม พลังของเขามีความเกี่ยวข้องกับอํานาจการเล่นแร่แปรธาตุ แต่ความจริงแล้วไม่มีอะไรมากไปกว่าการเสกโคคา-โคล่า

การที่ดินลีย์มาปรากฏตัวในเมืองไร้ชื่อตอนนี้ มันเป็นอะไรที่เพอร์เฟคมาก

อย่างที่พูดไปแล้วก่อนหน้านี้ พรศักดิ์สิทธิ์จากเทพเจ้าไม่ได้ถูกแจกจ่ายอย่างเท่าเทียมกันในหมู่ผู้ศรัทธาทุกคน มันจะถูกมอบให้กับผู้นําที่มีศรัทธาระดับสูง และผู้ศรัทธาที่ถูกเลือกเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

แม้ว่านักเล่นแร่แปรธาตุทุกคนจะบูชา อเคมิส” ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ แต่ศรัทธาของพวกเขาก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของคําสอนที่ว่า แก่นแท้ของการเล่นแร่แปรธาตุ สามารถมองเห็นได้ผ่านความคิดที่ไม่ถูกจํากัด” มันไม่ใช่คําสอนแบบเดียวกับศาสนาอื่น ๆ แต่เป็นเหมือนคําขวัญขององค์กรที่เรียกว่าหอคอยแห่งปัญญามากกว่า

ในทางกลับกัน สมาชิกก็ไม่ได้ถูกจํากัดไว้ด้วยกฎเกณฑ์ และไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไรที่สําคัญ ปกติแล้วหอคอยแห่งปัญญาก็เป็นเสมือนเวทีแลกเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ระหว่างนักเล่นแร่แปรธาตุด้วยกันมากกว่า

อาจารย์ของคินลีย์เป็นหนึ่งในสมาชิกของหอคอย และมีตําแหน่งเป็นถึง 1 ใน 3 ผู้ยิ่งใหญ่ของหอคอย แม้ว่าเขาจะไม่ได้รวบรวมผู้มีอํานาจเหมือนผู้นําในศาสนาอื่น ๆ แต่การที่เขาได้ดํารงตําแหน่งนั้นเพียงอย่างเดียวมันก็ไม่ต่างจากการเป็นพระสันตปาปาของศานจักร

ส่วนคินลีย์ที่เป็นลูกศิษย์ของพระสันตะปาปาองค์นั้น ซีเว่ยไม่เชื่อเลยว่าเด็กคนนี้จะไม่มีอะไรพิเศษ

ถ้าลางสังหรณ์ของเขาถูก เธอก็เป็นผู้ถูกเลือกคนหนึ่งเหมือนกัน แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีอํานาจเทียบเท่ากับนักบุญของศาสนาอื่น ๆ ก็ตาม

นอกจากสมมติฐานนี้ ก็ไม่มีคําอธิบายอื่นแล้วว่าทําไมนักเล่นแร่แปรธาตุระดับแนวหน้าของทวีป จึงรับเธอเป็นลูกศิษย์เมื่อหลายปีก่อน

และวันนี้เขาก็พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นความจริง: ซีเว่ยไม่ได้สังเกตเห็นมันในทุนย่า แต่เขาสามารถตรวจจับพลังของเทพเจ้าองค์อื่นได้อย่างชัดเจนเมื่อคินลีย์มาถึงอาณาเขตของเขา

เป็นเรื่องธรรมดาที่พลังของเทพเจ้าองค์อื่นแทบจะไม่สามารถตรวจจับได้หากคน ๆ นั้นเป็นผู้ศรัทธาทั่วไป และไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยคอะไรให้ค้นหา แต่มันต่างออกไปสําหรับผู้ศรัทธาที่พิเศษเช่นเธอ

นั่นก็เหมือนกับตอนที่ลัทธิกระดูกเน่าวางแผนลักพาตัวเจ้าหญิงลีอา เพื่อย้อนรอยหาสถานที่ตั้งอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ย มีเพียงเธอเท่านั้นที่ใช้งานได้ เพราะการจับองครักษ์ของเธอนั้นไประโยชน์

ดังนั้นเมื่อคินลีย์ปักหลักอยู่ในเมืองไร้ชื่อ ซีเว่ยจึงมีเวลาศึกษาพลังของนักเล่นแร่แปรธาตุที่ห่อหุ้มตัวเธออย่างช้า ๆ

ซีเว่ยไม่ได้ตั้งใจที่จะสร้างปัญหากับเทพเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ อันที่จริงอเคมิสนั้นด้อยกว่ามากในเรื่องการต่อสู้เมื่อเทียบกับเทพสมุทร และอยู่ในระดับเดียวกับอัสลาน โดยที่อัสลานมีอํานาจเหนือกว่าในการต่อสู้ แต่ซีเว่ยเป็นแค่ลูกบอลมีหนวด เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอเคมิสแน่นอน

เขาแค่ต้องการศึกษาพลังอํานาจของนักเล่นแร่แปรธาตุ และตรวจสอบพลังศักดิ์สิทธิ์ของอเคมิสในฐานะเทพเจ้าแห่งเกม และดูว่าเขาสามารถได้รับอะไรเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุหรือไม่

ในทางกลับกัน คินลีย์ก็ค่อนข้างพอใจกับสถานการณ์ในปัจจุบันของเธอ

แองโกร่าได้ออกกฎสําหรับเธอไว้ 3 ข้อ

ข้อแรก เธอจะต้องไม่ทรยศต่อเทพเจ้าแห่งเกมและผู้ศรัทธาของพระองค์ และไม่รั่วไหลข้อมูลเกี่ยวกับเทพเจ้าแห่งเกมให้ผู้อื่นรับรู้ในทางกลับกัน ผู้ศรัทธาของเทพเจ้าแห่งเกมจะไม่สามารถทําร้ายเธอได้หากไม่ได้รับวิวรณ์จากเทพเจ้า

ข้อสอง เธอสามารถออกจากเมืองไร้ชื่อได้ทุกเมื่อที่เธอต้องการ แต่เธอต้องผลิตสินค้าจากการเล่นแร่แปรธาตุตราบใดที่เธออยู่ที่นี่ เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับผู้ศรัทธาของเทพเจ้าแห่งเกมหรือสอนพวกเขาเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุขั้นพื้นฐานกับทุกคนที่เต็มใจจะเรียนรู้ในทางกลับกันคินลีย์จะสามารถมอบหมายภารกิจให้ผู้ศรัทธาค้นหาวัตถุดิบในการเล่นแร่แปรธาตุมาให้เธอได้

ข้อสาม ทางศาสนจักรไม่มีปัญหา หากเธอต้องการศึกษาสิ่งอํานวยความสะดวกและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่พบในเขตพื้นที่ของศาสนจักรแห่งเกม แต่จําเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากลอร์ดในเขตต่าง ๆ ก่อน และเธอจะต้องไม่เผยแพร่ความรู้ด้านการเล่นแร่แปรธาตุที่เธอได้รับออกไปให้ผู้ศรัทธาในศาสนาอื่นนอกจากผู้เล่น ในทางกลับกัน คินลี่ย์ไม่ต้องใช้เหรียญเกมในการเทเลพอร์ตไปยังพื้นที่อื่น ๆ ที่ติดตั้งไลฟ์สโตน

เมื่อมองย้อนกลับไป กฎข้อแรกนั้นค่อนข้างปกติ ไม่มีศาสนจักรใดต้องการให้คนอื่นรู้เกี่ยวกับความลับของพวกเขาเมื่อมีคนจากศาสนาอื่นอยู่ในพื้นที่ของพวกเขา เพราะนั่นเป็นวิธีง่าย ๆ ในการเข้าถึงความลับของศาสนจักรอื่น ดังนั้นจึงไม่มีศาสนจักรใดยอมให้คนจากศาสนจักรอื่นอยู่ในพื้นที่ของตน โดยที่ไม่มีข้อตกลงด้านการรักษาความลับ

กฏข้อที่สองนั้นก็ไม่ยากเกินไป เนื่องจากจากในมุมมองของคินลีย์ การซื้อขายระหว่างผู้ศรัทธาของเทพเจ้าแห่งเกมนั้นคล้ายกับการตอบแทนมากกว่า ดังนั้นการผลิตสินค้าเล่นแร่แปรธาตุในขณะที่เธออาศัยอยู่ในเมืองไร้ชื่อ จึงถือเป็นเรื่องปกติ

ความจริงคือผู้เล่นซื้อขายกับเธอด้วยเหรียญเกมจริง ๆ แต่เนื่องจากมีระบบการชําระเงินแบบดิจิทัล หรือระบบโอนเงิน คินลีย์จึงไม่ต่างจากคนยุคเบบี้บูมเมอร์ที่ยังคงใช้เพจเจอร์ในยุคปัจจุบันที่มีแต่คนใช้สมาร์ทโฟน ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถจินตนาการได้ว่าเทคโนโลยีของพวกเขานั้นล้ำหน้ากว่าเธอเพียงใดในเวลาสั้น ๆ

แน่นอนว่าตอนนี้ดินลีย์ยังไม่เข้าใจเรื่องนั้น

ในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุ เดิมที่เธอต้องการห้องทํางานเพื่อการทดลอง แต่สิ่งที่เธอเห็นก็คือตอนนี้อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะเตรียมห้องทํางานให้เธอ เธอยังสามารถขอให้ผู้ศรัทธาเหล่านี้ทํางานให้เธอได้อีก ทําไมเธอจะไม่เห็นด้วยล่ะ?

ความจริงในความคิดของเธอ มันเหมือนว่าศาสนจักรแห่งเกมกําลังทํางานเพื่อเธอมากกว่า เพราะแม้ว่าเธอจะต้องสอนทักษะการเล่นแร่แปรธาตุให้กับผู้เล่น แต่เธอก็สามารถขอให้พวกเขาช่วยหาวัตถุดิบให้เธอได้ แถมตอนนี้เธอยังเชื่อด้วยว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าการเล่นแร่แปรธาตุเป็นเรื่องง่าย ไม่เช่นนั้นแล้วทําไมนักเล่นแร่แปรธาตุถึงได้หายากในทวีปนี้?

สําหรับกฏข้อที่สาม เธอจะไม่ปฏิเสธกฏมันแน่นอน เพราะมันเป็นเหตุผลหลักที่ดินลี่ย์มาที่เมื่องนี้

เธอมีลางสังหรณ์แล้วว่า จะต้องมีเวทมนตร์เชิงพื้นที่เมื่อแองโกร่าและผู้ติดตามของเขาหายตัวไปจากทุนย่า ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นความลับที่สงวนไว้สําหรับบุคคลระดับสูง กลับถูกวางไว้ตรงที่โล่งใจกลางเมือง และเธอยังสามารถใช้มันได้ด้วย

สําหรับเธอคงไม่มีอะไรน่าปิติยินดีเท่านี้แล้ว! ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่านอกเหนือจากเทคโนโลยี พอร์ทัลที่ถูกเก็บรักษาไว้โดยชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในเมืองใต้ดิน พอร์ทัลที่มีอยู่บนดินก็เป็นของโบราณหรือไม่ก็เป็นพอร์ทัลที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

แม้ว่าเธอจะไม่สามารถนําความรู้ที่ได้รับนี้ไปบอกต่อคนนอกได้ และสิ่งที่เธอได้เรียนรู้ก็ถูกจํากัดไม่ให้แลกเปลี่ยนมันกับนักเล่นแร่แปรธาตุคนอื่น ๆ ได้อย่างเต็มที่ แต่ความสามารถในการเรียนรู้เทคโนโลยีการเล่นแร่แปรธาตุที่น่าอัศจรรย์ของเมืองไร้ชื่อนั้น คุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่าย!

บทที่ 156 ไม่อยู่ในสามอันดับแรก

ซิมบ้า ซาซู และนาล่าติดตามมูฟาซาไปตามถนนกว้างและสว่างไสวด้วยความงุนงง

แม้เขาจะเคยทํางานในย่านการค้าเขตตะวันออกของแลงคาสเตอร์มาก่อน แต่ซิมบ้าก็คิดว่าถนนการค้าที่พลุกพล่านก็ไม่สะอาดและสวยงามเท่าถนนในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้

ความจริงเขตตะวันออกของแลงคาสเตอร์ยังคงถูกหิมะถ่ม แต่เมืองนี้ไม่ใช่ ที่นี่ไม่มีหิมะบนถนนเลย ถ้าไม่ใช่เพราะมีหิมะเกาะอยู่บนหลังคาอาคาร 2 ข้างทาง ซิมบ้าคงจะคิดว่าพวกเขาถูกวาร์ปไปยังทวีปทางใต้ในตํานานที่อบอุ่นแม้ในฤดูหนาว

ยิ่งไปกว่านั้น ความเยือกเย็นและน่าหดหูใจของฤดูหนาวที่ควรจะมีก็ขาดหายไป ที่นี่แม้ว่าจะมีพลเมืองไม่มากนัก แต่ร้านค้าส่วนใหญ่ก็ยังเปิดทําการ

หากซิมบ้าไม่ได้เข้าร่วมศาสนจักรเทพแห่งเกม เขาก็รู้สึกว่าถึงพวกเขาสามารถพึ่งพาการเป็นลูกจ้างเพื่ออยู่รอดได้ในเมืองนี้

เด็ก ๆ ไม่ปฏิเสธ เมื่อมฟาซายื่นคําเชิญให้เข้าร่วมศาสนจักรอีกครั้งหลังจากที่เขาสับขุนนางหนุ่มออกเป็นสองส่วน

พวกเขาไม่สามารถอยู่ในแลงคาสเตอร์ได้อีกต่อไป หลังจากที่พวกเขาออกจากบ้านโทรม ๆ ที่ขุนนางหนุ่มถูกฆ่าตาย

เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับศาสนจักรลึกลับที่มูฟาซาเคยพูดถึงหลังจากได้เห็นสิ่งที่เขาสามารถทําได้

เนื่องจากซิมบ้าและเด็กคนอื่น ๆ ไม่ใช่ผู้เล่น และไม่สามารถใช้ไลฟ์สโตนของฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์ได้ มูฟาซาจึงไปเยี่ยมผู้เฒ่าแวนเค่อเพื่อซื้อใบอนุญาตเทเลพอร์ต (ไอเทมสิ้นเปลืองอนุญาตให้ผู้ที่ไม่ใช่ผู้เล่นสามารถเทเลพอร์ตผ่านไลฟ์สโตนได้)

แต่ถึงอย่างนั้นมูฟาซาก็ไม่ได้พาพวกเขาไปสวดอ้อนวอนต่อหน้ารูปปั้นของเทพเจ้าแห่งเกมทันที เขาพาพวกเด็ก ๆ ไปที่ร้านค้าระบบให้พวกเขาได้ทานอาหารดี ๆ ก่อน เพราะหม้อซุปเนื้อที่เขาต้มในแลงแคสเตอร์ ถูกคว่ำเมื่อเขาต่อสู้กับทหารยาม ทําให้ตอนนี้พวกเด็ก ๆ ยังคงหิวโหย

สําหรับมูฟาซาแล้ว อาหารของระบบก็ยังเหมือนเดิม มันไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ถือว่าดี เพราะผู้เล่นไม่ได้ยากจนและไร้พลังอีกต่อไป ถ้าไม่ใช่เพราะใบอนุญาตเทเลพอร์ตทําให้เขาเสียเงินไปมาก เขาคงจะเลือกพาพวกเด็ก ๆ ไปที่โรงเหล้ากาต้มน้ำเหล็กแล้ว เนื่องจากเนื้อรมควันที่นั่นมีรสชาติดีกว่ามาก

แต่สําหรับเด็กทั้งสามที่อดอยากและไม่ได้กินอาหารปกติมาหลายวัน นี่คือสวรรค์บนดิน

ขนมปังปิ้งกรอบ ๆ สีทองได้กลิ่นหอมของเนยและชีสโชยออกมา มันมีรสชาติพิเศษเฉพาะตัวเมื่อกัด แป้งกรุบกรอบ นุ่ม ๆ หวาน ๆ อร่อยและมีแคลอรี่เพียงพอจากเนยและชีส ทําให้เด็ก ๆ ได้รับประสบการณ์การกินที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

เมื่อเทียบกันแล้ว มันดีกว่าขนมปังแข็ง ๆ ในแลงคาสเตอร์ที่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวแปลก ๆ แถมยังปนไปด้วยเศษหญ้าและเปลือกข้าวสาลีมาก

หากขนมปังเหล่านั้นไม่ได้ถูกทําให้นิ่มโดยการแช่ในน้ำร้อน มันก็จะมีรสชาติไม่ต่างจากก้อนหินที่กัดไม่เข้าและย่อยไม่ได้

นอกจากขนมปังแล้ว เด็ก ๆ แต่ละคนยังได้เพลิดเพลินกับแยมผลไม้และซุปเนื้ออุ่น ๆ อีกด้วย

ไม่รู้ว่าแยมทําจากผลไม้อะไร แต่มันมีรสเปรี้ยวอมหวาน และพวกเขาก็สามารถกลืนมันลงไปพร้อมขนมปังปิ้งกรุบกรอบได้ในคําเดียว ซิมบ้าไม่เคยได้กินอะไรอร่อย ๆ แบบนี้เลยตั้งแต่ที่พ่อกับแม่เสียชีวิต

และนั่นเลวร้ายยิ่งสําหรับซาซูและนาล่าที่เป็นเด็กกําพร้า พวกเขาแต่ละคนไม่มีใครสนใจจะพูดคุยกันอีกต่อไป เด็ก ๆ ทําทุกวิถีทางเพื่อยัดขนมปังทาแยมที่เรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ เข้าปากราวกับว่าพวกเขาจะตายวันนี้หากไม่ได้กินจนหมด

แต่คอของเด็ก ๆ ก็เล็กนิดเดียว พวกเขาจะสาลักขนมปังแน่หากพวกเขายัดเข้าไปมากเกินไป

โชคดีที่มีซุปเนื้ออยู่ ดื่มเพียงแค่หนึ่งช้อนขนมปังที่นุ่มอยู่แล้วก็จะยิ่งเปียกมากขึ้น และกลืนลงไปในท้องได้ง่าย หลังจากนั้นความสดชื่นและความอบอุ่นของซุป ก็จะทําให้ร่างกายกลับมามีพลังตั้งแต่แขนขาลงไปจนถึงกระดูกทุกส่วนในร่างกาย!

“อร่อยจัง….ข้าจะทําอย่างไรถ้าข้าไม่สามารถกินของที่อร่อยแบบนี้ได้ในอนาคต” เมื่อกินอาหารจนหมดเกลี้ยงและเสียชามไม้ของตัวเองจนสะอาดแล้ว ซาซูก็จ้องมองถาดไม้บนโต๊ะอย่างไม่เต็มใจ

นาล่าน้องสาวของเขาน่ารักกว่ามากเมื่อเทียบกันแล้ว เธอถือชามของตัวเองและปล่อยเสียงเรอเบา ๆ ออกมา พร้อมกับสีหน้าแดงระเรื่อและพอใจ

หลังจากมื้ออาหารแสนอร่อยจบลง มูฟาซาก็พาทั้งสามคนไปที่น้ำพุร้อน

เมื่อผู้เล่นทํางานหนักเกินไป พวกเขาก็มักจะเหนื่อยล้าทางจิตใจและรู้สึกเซื่องซึม

ในช่วงแรกน้ำพุร้อนมักมีแต่ผู้หญิงแวะเวียนมาใช้บริการ ทําให้มีผู้ชายมาเพิ่มขึ้น แต่มันก็ลดลงในเวลาต่อมา เมื่อพวกเขาตระหนักว่าพวกเขาไม่สามารถถ้ำมองพวกผู้หญิงได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงพากันจากไป

แต่แล้วมันก็กลายเป็นสถานที่โปรดของผู้เล่นอีกครั้ง เมื่อมีคนสังเกตเห็นว่าการแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อนช่วยลดความเหนื่อยล้าได้มาก ทําให้ผู้เล่นหลายคนรู้สึกราวกับว่าวันของพวกเขายังไม่จบลงหากไม่ได้อาบน้ำสักครั้ง

แต่ตอนนี้ยังเช้าอยู่ จึงไม่ค่อยมีคนมาใช้บริการ

หลังจากมอบความไว้วางใจให้ผู้เล่นหญิงดูแลนาล่าแล้ว มูฟาซาก็ไปที่บ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้งฝั่งผู้ชายกับซาซูและซิมบ้า

ปกติแล้วน้ำพุร้อนจะไม่มีผลมากนักกับเด็ก แต่ทั้งซิมบ้าและซาซูมีอาการบาดเจ็บแฝงอยู่มากมาย เนื่องจากพวกเขาทํางานหนักทั้งที่ยังเด็ก และมักจะถูกรังแกหรือทุบตีโดยคนจรจัดคนอื่น ๆ ผลของน้ำพุร้อนจึงปรากฏชัดเจนเมื่อพวกเขาลงสระ จนพวกเขาไม่สามารถกลั้นเสียงครางได้เมื่อมีอาการคันเล็กน้อยและชาตามข้อต่อ

“มูฟาซา ลุงยอดเยี่ยมมาก ลุงต้องเป็นแชมป์เปี้ยนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของศาสนจักรแน่!” ซาซูอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาในขณะที่เขาแช่น้ำพุร้อน

ซิมบ้ายังจําสไตล์การต่อสู้ที่เฉียบขาดและแม่นยําของมูฟาซาได้ เขารู้ทันทีว่ามูฟาซาต้องเป็นแชมป์เปี้ยนที่น่าเกรงขาม เพราะเขาเอาชนะหัวหน้าทหารรักษาการของเมืองได้อย่างง่ายดาย!

ท้ายที่สุดหัวหน้าทหารรักษาการของเมือง ก็เป็นบุคคลที่มีอํานาจมากที่สุดเท่าที่เด็ก ๆ เคยพบ

ขณะเดียวกัน มูฟาซาก็จําได้ว่าเขาน่าจะอยู่อันดับประมาณ 70 ด้วยคะแนนที่เขาได้รับจากกิจกรรมเกาะมนุษย์เงือก และยังไม่ได้รับแม้แต่หมวกโลมาที่เขาชอบ…

เมื่อดูความแข็งแกร่งจากจํานวนการล่ามนุษย์เงือก และผู้ที่ได้ฉายา “นักสํารวจเจ็ดทะเล” ที่มีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับ ยกเว้นเทรอสเช่(อ้วน) และซิลวา(ผอม) ที่ได้มาโดยบังเอิญ

เนื่องจากผู้เล่นหลายคนมีทักษะ AOE มันเลยยากเกินไปที่เขาจะเก็บคะแนนจากการล่าด้วยทักษะดาบล้วน ๆ แม้ผู้เล่นทั่วไปจะไม่รู้ว่า “เกงโยคุ” เป็นยังไง แต่ผู้เล่นอาจรู้ว่าเกิ้งโยคห่วยแค่ไหนในการโจมตีระยะไกล ด้วยเหตุนี้การล่าจึงเป็นเรื่องยากอย่างมากสําหรับมูฟาซาผู้ไร้เทียมทานในการสู้ระยะประชิด

ดังนั้นเขาจึงไอแห้ง ๆ และใช้น้ำเสียงที่จริงจังอย่างผู้เชี่ยวชาญทางโลกว่า “ไม่หรอก ข้ายังเข้าไม่ถึงสามอันดับแรก”

เด็กชายทั้งสองประหลาดใจมาก พวกเขามองมูฟาซาย่างชื่นชมทันที แววตาของพวกเป็นประกายโดยไม่มีการเสแสร้งเจือปน นั่นทําให้มูฟาซารู้สึกผิดเหมือนโดนมีดปักหลัง

บทที่ 155 สกปรก

ภายในเวลาไม่ถึง 3 นาที ขุนนางหนุ่มคาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกลายเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ นอกเหนือจากปีศาจที่ถือดาบยาวและผีน้อยอีก 2 คนที่ตกตะลึง

ขุนนางหนุ่มรู้สึกหนาวเยือกเมื่อในที่สุดมูฟาซาก็หันมามองเขา

เขาพยายามจับไหล่นาล่าตัวน้อยและกดดาบไว้ที่คอเธอ ขณะที่ร่างกายของเขาหดตัวซ่อนอยู่ข้างหลังเธอ

“ยะ อย่าเข้ามานะ! ไม่งั้นเธอตายแน่!”

แม้ว่าขุนนางหนุ่มจะมีทักษะอยู่บ้างเหมือนกัน แต่เขาก็รู้ดีว่าเขาไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วปานสายฟ้าเช่นนั้น เขาตามการเคลื่อนไหวของมูฟาซาไม่ทัน!

เมื่อสิ่งต่างๆมาถึงขั้นนี้แล้ว ชิปต่อรองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือเด็กตัวเล็กๆที่เขาจับเอาไว้

มูฟาซาหยุดเข้ามาโจมตีเขา นั่นทําให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณความฉลาดของตัวเอง

มันได้ผล!

เพื่อนคนนี้ให้ความสําคัญกับเด็ก 3 คนนี้มาก ถึงขนาดยอมก่ออาชญากรรมร้ายแรงอย่างการสังหารหัวหน้าทหารรักษาการของเมือง…เขาเป็นสาวกของวิหารแห่งความยุติธรรมใช่ไหม ศาสนาเก่าแก่ที่ไม่ค่อยได้รับความนิยม?

ขุนนางหนุ่มกัดฟัน ให้ตายเถอะ ทําไมข้าต้องมาเจอกับพวกบ้าแบบนั้นที่นี้ด้วย! ข้าควรให้เจ้าเมืองขึ้นบัญชีดําวิหารแห่งความยุติธรรมเป็นศาสนานอกรีตตั้งแต่แรก!”

อย่างที่บอก สลัมเขตเหนือของเมืองเป็นที่ๆมีทหารยามน้อยที่สุด หากต้องการขอความช่วยเหลือ เขาจะต้องวิ่งไปที่กําแพงเมือง

ดูเหมือนว่าเขาคงต้องเกลี้ยกล่อมปีศาจนเสียก่อน

เขามีหลายล้านวิธีในการหลอกชาวบ้านที่ไม่เคยเห็นโลก!

เขาพยายามบีบรอยยิ้มออกมา “ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ติดตามเอาความเรื่องในวันนี้ถ้าเจ้าปล่อยข้าไป! ขยะพวกนี้ตายไปแล้ว จะไม่มีใครมาล้างแค้นเจ้า แต่ข้าต่างออกไป ข้าเกิดมาเป็นขุนนางตระกูลในเจลาเนีย หากเจ้าฆ่าข้า เจ้าจะถูกพบอย่างแน่นอน!”

“ด้วยชาติกําเนิดชาวนาอย่างเจ้า มันยากที่เจ้าจะบรรลุอุดมการณ์และเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน เอาแบบนี้เป็นไง ข้าจะแนะนําให้เจ้ารู้จักกับเจ้าเมือง ให้เจ้าเข้ารับตําแหน่งแทนโบลท์ จากนี้ต่อไปตําแหน่งหัวหน้าทหารรักษาการของเมืองจะเป็นของเจ้า! ด้วยวิธีนี้ไม่ว่าเจ้าต้องการทําอะไร เจ้าก็สามารถทําได้ทุกอย่าง!”

มูฟาซาไม่ตอบ เขาก้มหัวลงไม่ให้เห็นใบหน้าของเขาขณะที่เขานิ่งเงียบ

กลับกันขุนนางหนุ่มค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าเขาโน้มน้าวใจมูฟาซาได้ เขาจึงรีบตีเหล็กขณะที่ยังร้อน

“ดูสิ ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า เจ้าจะไม่ต้องคลานไปมาในสลัมร่วมกับพวกชั้นต่ํา ที่มีโอกาสติดโรคระบาดตายได้ทุกเมื่อ! เจ้าจะสามารถเหยียบย่ําพวกมันและยืนหยัดอยู่เหนือผู้คนร่วมกับเราเหล่าขุนนางได้!”

“ตอนแรกเจ้าอาจต้องทํางานโดยที่ไม่ได้รับค่าตอบแทน แต่ถึงอย่างนั้นข้าจะสงเคราะห์เจ้า ด้วยเงิน 100 เหรียญทองแอบบี้ นั่นคือเงิน 120,000 ริออน!”

มูฟาซายังคงไม่พูดอะไร ตอนนี้ขุนนางหนุ่มมั่นใจแล้วว่าเขากําลังลังเลอยู่ จึงพยายามเกลี้ยกล่อมต่อไป “ยังไม่หมดแค่นั้นนะ เจ้าชอบเด็กๆแบบนี้ใช่ไหมล่ะ ข้าสนิทกับพ่อค้าทาสบางคน ปีนี้มีทาสเยอะมากโดยเฉพาะทาสคาทามิที*แบบนี้ เจ้าสามารถมีได้มากเท่าที่เจ้าต้องการ!”

(TL:คาทามิที่ catannite (ไม่รู้เขียนคําอ่านถูกรึเปล่า 555) คือคําเรียกของชายที่อายุมากกว่า ที่มีสัมพันธ์รักกับเด็กหนุ่ม (หรือเด็กชาย) ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายในยุคกรีกโบราณ หรือหมายถึงเด็กหนุ่มบําเรอกามนั่นเอง)

ซิมบ้าและซาซูไม่รู้ว่าคาทามิที่หมายถึงอะไร แต่พวกเขาสามารถบอกได้จากบริบทว่ามันไม่ใช่เรื่องดี และอาจเลวร้ายยิ่งกว่าการเป็นทาสในเหมือง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงระเบิดคําสาปแช่งใส่ขุนนางหนุ่ม

แต่ขุนนางหนุ่มไม่กังวลเลย เขาพยายามเกลี้ยกล่อมมูฟาซาต่อไป “ถ้าเจ้าคิดว่าการฝึกพวกเด็กๆเป็นเรื่องยาก ข้าสามารถให้พวกเขาฝึกเด็กก่อนที่จะส่งให้เจ้าได้”

” พอ!”

ในที่สุดมูฟาซาก็พูด

แต่น้ําเสียงของเขาไม่ใช้น้ําเสียงของคนที่มองเห็นอนาคตอันยิ่งใหญ่ หรือหลงใหลในทองคํา แต่มันเจือไปด้วยความโกรธ “เจ้าจะเหยียบย่ําผู้คนต่อไปอีกนานแค่ไหน? ขุนนางอย่างเจ้าไม่ใช่ผู้สูงส่ง แต่เป็นปีศาจที่เห็นชาวบ้านทั่วไปเป็นปศุสัตว์ ที่เอาแต่ดูดเลือดและชีวิตของพวกเขา!”

มูฟาซายกดาบขึ้นและชี้ไปที่ขุนนางหนุ่มที่กําลังลุกลี้ลุกลน “ทีแรกข้าไม่ได้ตั้งใจจะขัดแย้งกับสวะอย่างเจ้า แต่ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว อย่างน้อยมันก็ทําให้เจ้าได้บทเรียนว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็นทาส ไม่ใช่ทุกคนที่เจ้าสามารถกลั่นแกล้งได้ตามใจชอบ! วันหน้าเจ้าจะได้ระวังเมื่อเจ้าคิดจะกลั่นแกล้งผู้อื่น!”

“อะไร?! มันยังไม่สายเกินไป หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ขุนนางหนุ่มหดตัวอยู่ข้างหลังนาล่าเมื่อเขาตระหนักว่าทุกอย่างผิดพลาด เขาถูกกดดันด้วยจิตสังหารที่ไม่อาจระงับได้ของมฟาซา “อย่าทําอะไรโง่ๆ! หากเจ้าฆ่าข้า เด็กคนนี้จะตายก่อน นี่หรือนิยามความยุติธรรมของเจ้า!”

ซิมบ้าและซาซูมองมุฟาซาอย่างหวาดกลัว พวกเขากลัวว่าความโกรธจะทําให้มูฟาซาคลั่งจนฆ่านาล่าไปด้วย

อย่างไรก็ตามมูฟาซากลับลูบคมดาบเบาๆ ราวกับว่าเขากําลังทําความสะอาดใบดาบ ความโกรธที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของเขาได้กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง ราวกับว่าการได้ถือดาบทําให้เขาใจเย็นลง

“การใช้ดาบเป็นอะไรที่ไม่ค่อยสะดวก” เขาพูดเบาๆ

ขุนนางหนุ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาก็รู้สึกตัวช้าเกินไป

เงาสะท้อนของใบดาบสว่างวาบ

จากนั้นมือขวาที่ถือดาบอยู่ของขุนนางหนุ่มก็ได้ร่วงลงไปบนพื้น บาดแผลนั้นเรียบอย่างไม่น่าเชื่อ จนแม้แต่เลือดก็ดูเหมือนจะลืมทําหน้าที่ของมัน นี่เป็นการโจมตีที่สะอาดที่สุด ในเวลาไม่ถึง 1 วินาทีเลือดก็ค่อยๆไหลออกมาจากบาดแผล

“อ๊าาาาา! มือข้า! มือของข้า!”

ขุนนางหนุ่มช็อกไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยเด็กหญิงโดยไม่รู้ตัวและเริ่มกรีดร้องขณะจับตรงที่ๆเคยเป็นมือขวาของเขา

ทั้งซิมบ้าและซาซูวิ่งออกไปทันทีและพานาล่ากลับมา

ในที่สุดขุนนางหนุ่มก็ได้เผชิญหน้ากับมูฟาซาโดยที่ไม่มีอะไรมาขวางกั้น

“เดี๋ยวก่อน อย่าฆ่าข้า! เจ้าต้องการอะไร? เงิน? ข้าสามารถมอบเงินให้เจ้าได้ ข้าสามารถให้ทุกอย่างที่ข้ามกับเจ้าแม้แต่ตําแหน่งของข้า!” ใบหน้าของขุนนางหนุ่มเต็มไปด้วยน้ําตา เขาเริ่มอ้อนวอนร้องขอความเมตตากับมูฟาซา “แค่ไว้ชีวิตข้าแล้วเจ้าจะได้เป็นขุนนาง!”

มูฟาซาหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่เขาถือดาบยาว ก่อนที่จะคํารามออกมาด้วยความขยะแขยง “ใครจะอยากได้ของสกปรกแบบนั้น! สับ!”

วินาทีถัดมา ขุนนางหนุ่มและกําแพงด้านหลังของเขาก็ถูกสับเป็นสองท่อนภายใต้ดาบของมูฟาซา ทําให้เขาสูญเสียสัญญาณชีวิตและตายทันที

บทที่ 154 เกงโยค

เมื่อหัวหน้าทหารรักษาการของเมืองได้ยินแบบนั้น สีหน้าของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่แววตาของเขามีความสุขแฝงอยู่เล็กน้อย แม้นจะเป็นการลอบโจมตี แต่เขาก็เร่งพลังออร่าและชักดาบของเขาเหวี่ยงไปที่มูฟาซา!

ตัวอักษร ‘อันตราย’ สีแดงสดที่มีเพียงมูฟาซาเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ปรากฏขึ้นบนหัวของเขา

เขาหยุดมันไม่ได้!

หัวใจของมูฟาซาเต้นแรง มือที่กําดาบอยู่ของเขาสั่นสะท้านก่อนจะขยับอย่างรวดเร็ว มันเป็นการโจมตีเพื่อป้องกัน แทนที่จะพยายามป้องกันเพียงอย่างเดียว!

การเคลื่อนไหวของเขาน่าจะทําลายคอบโบของโบลท์ได้ อย่างไรก็ตามโบลท์กลับไม่ได้สะดุ้งสะเทือนมากนัก เขาแก้ไขมันด้วยพลังระเบิดที่สะท้อนออกมาจากดาบได้อย่างง่ายดาย มูฟาซา สูญเสียโอกาสในการหยุดเขา

มูฟาซาอดไม่ได้ที่จะตะลึง

แต่เขาไม่รู้ว่าโบลท์ตะลึงยิ่งกว่า แม้ใบหน้าของเขาจะยังนิ่งเหมือนเดิม

การโจมตีของเขาถูกหยุดไว้ได้โดยคนที่ไม่ใช้ออร่า? มันจะเป็นไปได้ยังไง?!

ออร่าเป็นพรศักดิ์สิทธิ์ของเทพแห่งสงครามคราตอส โดยพื้นฐานแล้ว มันมีพลังเหนือธรรมชาติเช่นเดียวกับเวทมนตร์ และเวทมนตร์ทั้งหมดบนโลกใบนี้มาจากเมจิกไวโอเล็ท เนื่องจากทั้งเขา และคราตอสเป็นสองในเจ็ดเทพบิดร มันจึงไม่มีความเหลื่อมล้ําในด้านพลังระหว่างทั้งสองอย่างชัดเจน อย่างน้อยที่สุดก็ในสายตาของมนุษย์

ดังนั้นพรที่ได้จากเทพ จึงน่าจะคร่าชีวิตคนธรรมดาได้โดยที่คนธรรมดาไม่สามารถหยุดยั้งได้ไม่ว่าทักษะดาบของพวกเขาจะดีเพียงใดก็ตาม

เว้นแต่คน ๆ นั้นจะเป็นบุคคลพิเศษที่อยู่เหนือกฎของโลก หรือได้รับปาฏิหาริย์และกลายเป็นแชมป์เปี้ยนในตํานาน

โบลท์ไม่เชื่อว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาคือแชมป์เปี้ยนคนหนึ่ง ถ้าเขาเป็นบุคคลในตํานานจริง ๆ เขาคงจะใช้อํานาจทําลายพวกเขาที่เอ่ยคําสบประมาทก่อนหน้านี้ไปแล้ว โดยทําให้ทั้งโบลท์และคนอื่น ๆ ถูกฝังไปพร้อมกับแลงคาสเตอร์

และพลังของเขาก็ไม่น่าจะใช่เวทมนตร์เช่นกัน เพราะมูฟาซาไม่ได้ทําสัญลักษณ์ใด ๆ เลย

ดังนั้นความเป็นไปได้เดียวที่เหลืออยู่ก็คือ ‘ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์’ มีโอกาสสูงมากที่มูฟาซาจะได้รับการฝึกฝนศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์บางอย่างที่สามารถต่อต้านพลังออร่าได้!

ไม่ว่าหัวหน้าทหารรักษาการของเมืองจะสรุปได้อย่างไร เขาก็ต้องถอนคําดูถูกที่เขาเคยคิดไว้

ความจริงที่ว่ามูฟาซาสามารถหยุดการโจมตีที่แฝงพลังออร่าของเขาได้ นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นมากกว่ามนุษย์ธรรมดา และอยู่ในขอบเขตของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ไม่ใช่ตัวตนง่าย ๆ แต่เป็นตัวตนที่ควรค่าแก่การให้ความเคารพ

“ข้า! โบลท์มาร์บิล หัวหน้าทหารรักษาการของเมืองแลงคาสเตอร์ ทายาทของนักดาบผู้ยิ่งใหญ่เอลตันคอบบ์ และเป็นผู้ถือตราของวิหารแห่งความรุ่งโรจน์!” เขาประกาศเสียงดังใสมูฟาซา “จงเอ่ยนามของเจ้าออกมา!”

ชื่อยาวนี้โคตรเท่เลย

มูฟาซาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา

ดังนั้นหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เขาก็เลียนแบบโบลท์และพูดว่า “ข้า ผู้เป็นพยานการล่มสลายของลัทธิกระดูกเน่า ผู้จุดไฟในดินแดนแห่งความตายอันน่าเศร้า นักล่าสมบัติในส่วนลึกของเกรย์ฟยอร์ด และนักรบที่ขับไล่การรุกรานของเผ่ามนุษย์เงือก มูฟาซาคนธรรมดาที่ผ่านทางมา!”

‘คนธรรมดาที่ผ่านทางมาบ้านเจ้าสิ!’ ทั้งโบลท์และขุนนางหนุ่มต่างสบถอยู่ในใจ

เขาคิดว่ามูฟาซาไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน ดังนั้นโบลท์จึงไม่พูดมากความและเริ่มโจมตีมูฟาซา อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม แทนที่จะแลกเปลี่ยนการโจมตีกับอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา หัวหน้าทหารรักษาการของเมืองกลับใช้รูปแบบการต่อสู้อันโหดเหี้ยมที่ผิดปกติ ด้วยพลังออร่าของเขา ทําให้ความเร็วและความแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่าคนทั่วไปมาก หากเป็นผู้เล่นคนอื่น ๆ พวกเขาอาจเสียเปรียบและพ่ายแพ้ให้กับหัวหน้าทหารอย่างรวดเร็ว

นั่นเพราะบ้านโทรม ๆ หลังนี้เล็กและแคบเกินไป เมจและเรนเจอร์จะไม่มีพื้นเพียงพอให้ร่ายทักษะ ชาโดว์โรคก็ไม่เก่งในการเผชิญหน้ากับศัตรูตรง ๆ เครลิคก็ได้แต่สวดมนต์ ในขณะที่นักดาบวิญญาณก็อาจฆ่าตัวตายโดยการถล่มที่นี่

แต่มูฟาซาเป็นข้อยกเว้น เขาเป็นซอร์ดมาสเตอร์เพียงคนเดียวที่เดินในเส้นทางของเกงโยค

ในฐานะที่เป็นเกงโยค มูฟาซาไม่มีความสามารถอื่นใดนอกจากทักษะดาบ ไม่มีคลื่นดาบ ไม่มีความสามารถในการแลกเปลี่ยน HP เพื่อรับบัฟที่ทรงพลัง ไม่มีเทคนิคสกปรกเช่นการปาทรายหรือปาอิฐ

สิ่งที่เขาพึ่งพาได้อย่างเดียวคือทักษะดาบของตัวเอง

เป็นธรรมดาที่เขาจะแพ้สัตว์ประหลาดที่มีเลเวลเท่ากัน

ตอนแรกที่เขาตัดสินใจเปลี่ยนคลาสเป็นเกงโยคหลังจากที่ถูกหลอกด้วยวิดีโอตัวอย่าง ความจริงเขาแค้นใจมาก เมื่อเขาถูกสัตว์ประหลาด 2-3 ตัวล้อม แม้ว่าพวกมันจะเลเวลน้อยกว่าเขาถึง 6 เลเวล เขาก็ยังพ่ายแพ้ ความสามารถในการต่อสู้ของเขาไม่ถือว่าทรงพลังเมื่อเทียบกับผู้เล่นคลาสอื่น ๆ เช่นเดียวกับที่เขามักจะถ่วงผู้เล่นคนอื่น ๆ ในปาร์ตี้เมื่อลงดันเจี้ยน

เมื่อเวลาผ่านไป มุฟาซาจึงยอมแพ้กับปาร์ตี้ และตัดสินใจที่จะลองท้าทายดันเจี้ยนเพียงลําพัง

ต้องรู้ก่อนว่าในเวลานั้น เลเวลเฉลี่ยของผู้เล่นแตกต่างจากเลเวลปัจจุบัน ดันเจี้ยนนั้นยากและ อันตรายมากสําหรับผู้เล่นที่มีจํานวนคนในปาร์ตี้เต็มโควต้า

ตามปกติแล้ว มูฟาซาอาจตายได้ง่าย ๆ และเขาอาจมีเลเวลต่ํากว่า 15 หากเขาไม่ระวัง

แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาเริ่มรู้สึกว่าลูกกระจ๊อกในดันเจี้ยนนั้นอ่อนแอลงมาก ตอนนี้เขาสามารถเห็นร่องรอยการเคลื่อนไหวและวิถีการโจมตีของพวกมัน ทําให้เขาสามารถปัดป้องหรือเบี่ยงเบนการโจมตีได้อย่างง่ายดาย และจริง ๆ แล้วเขาสามารถตัดสองในสาม HP ของอัครมุขนายกกระดูกเน่าได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ก่อนที่จะถูกฆ่าด้วยทักษะ AOE ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

นั่นทําให้มูฟาซาหลงอยู่ในภาพลวงตาว่าเขาสามารถฆ่าอัครมุขนายกกระดูกเน่าได้ด้วยตัวคนเดียว หากมีสมาชิกปาร์ตี้ที่ไว้ใจได้คอยรักษาเขา…

น่าเสียดายที่ชื่อเสียของคลาสเกงโยคได้แพร่กระจายไปทั่วฟอรั่ม จนแม้แต่ผู้เล่นที่ไม่เคยรู้จักเขาก็ยังพูดว่า ‘ปาร์ตี้เราเต็มแล้ว’ หรือ ‘พี่ใหญ่ละเว้นข้าเถอะ นี่ 20 เหรียญ พี่เอาไปซื้อเนื้อย่าง กินซะนะ’ หลังจากรู้ว่าเขาเป็นซอร์ดมาสเตอร์ที่เดินบนเส้นทางของ ‘เก็งโยคุ’

ดังนั้นตอนนี้มูฟาซาซึ่งได้ละทิ้งเควสถาวร [แสงของเทพเจ้าจะส่องสว่างไปทั่วผืนแผ่นดิน] ไประยะหนึ่ง จึงตัดสินใจรับสมัครผู้เล่นใหม่เข้าร่วมปาร์ตี้ และเริ่มการเผยแพร่ศาสนาในแลงคาสเตอร์

และนั่นคือเหตุผลที่ตอนนี้มูฟาซาสามารถติดตามการโจมตีของหัวหน้าทหารที่พัดกระหน่ําราวพายุได้…เขาสามารถตามจังหวะของโบลท์ และมองเห็นการโจมตีของเขาได้ก่อนที่เขาจะใช้มันออกมา!

ดังนั้นโบลท์ที่วางแผนจะใช้การโจมตีอันบ้าคลั่งของเขาเพื่อทําให้มฟาซามือไม้พันกัน และเช็ด เขาออกไปด้วยการโจมตีที่เฉียบขาดเพียงครั้งเดียว จึงถูกดึงเข้าสู่สงครามแห่งการปะทะดาบอันดุเดือดนี้!

เขาแตกต่างจากมูฟาซาที่สามารถอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดได้ตราบใดที่แถบพลังกายของเขายังไม่ว่างเปล่า โบลท์เป็นเพียงมนุษย์ ความมุ่งมั่นในการต่อสู้ของเขาจะลดลงพร้อมกับพลังกายที่ลดลง หลังจากต่อสู้กันไปเพียงครึ่งนาทีเขาก็พลาด เขาไม่อาจตอบสนองได้ทันเวลา เมื่อนิ้วของเขา ถูดฟาดด้วยด้ามดาบของมูฟาซาดาบของเขาก็หลุดกระเด็นออกจากมือ

‘มันยังไม่จบ!’

โบลท์คํารามในใจ และระเบิดพลังออร่าทั้งหมดของเขาออกมา!

ไม่มีใครเคยบอกว่าพลังออร่าของเทพสงครามใช้ได้กับอาวุธเท่านั้น! โบลท์ยิ้มเหี้ยม เขาควบแน่นพลังออร่าเป็นกระสุนแล้วยิงไปที่มูฟาซา!

ความจริงแล้วโบลท์มีทักษะดาบดีมาก แต่เขาก็ยังขาดเมื่อเทียบกับคนที่เก่งจริง ๆ แม้เขาจะแพ้ให้กับนักดาบคนอื่น ๆ ในระดับเดียวกันบ่อยครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มักจะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย เพราะนักดาบทุกคนมักจะประมาทโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อพวกเขาเคาะดาบออกจากมือศัตรูได้

ความจริงกระสุนพลังออร่าที่เขาปล่อยออกมาตอนนี้ คือทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา!

แต่ทันใดนั้นรอยยิ้มของเขาก็ต้องแข็งค้าง

กระสุนพลังออร่าที่เขายิงออกไปด้วยพลังงานทั้งหมดของเขา กลับถูกปัดป้องได้!

‘เป็นไปได้ยังไง?! ออร่าไม่ใช่ทักษะดาบแต่เป็นการควบแน่นของพลังงานบริสุทธิ์ มันจะถูกปัดป้องแบบนั้นได้ยังไง? อีกฝ่ายไม่ได้ใช้ออร่าเลยด้วยซ้ํา!’

หากเขาได้ยินความคิดของโบลท์ มูฟาซาคงจะเยาะเย้ยเขาว่า ‘มันก็แค่การยิงคลื่นพลังใช่ไหมล่ะ ข้าเคยเห็นมันมานักต่อนักแล้วตอนที่ข้า PK’

ตราบใดที่ไม่มีคําว่า ‘อันตราย’ ปรากฏขึ้นบนหัวเขา เขาก็สามารถปัดป้องลูกไฟ ระเบิดน้ําแข็ง หนวดปลาหมึก อาหารทะเล และโชริวเคน(เอ๊ะ?)ได้

อย่างไรก็ตามโบลท์ หัวหน้าทหารรักษาการของเมืองไม่มีเวลาให้สงสัยอีกต่อไป ทันที่ที่มูฟาซา ปัดป้องคลื่นพลังของเขาได้ เขาก็ไม่ปล่อยโอกาสให้โบลท์ยอมจํานนแต่อย่างใด มูฟาซากระโจน เข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตีลังกาและตัดหัวโบลท์อย่างหมดจดในดาบเดียว!

บทที่ 153 ขุนนาง

สิ่งที่ขุนนางหนุ่มและทหารไม่คาดคิดก็คือ มูฟาซาที่ดูซูบผอมไม่ต่างไปจากชาวนา เร็วและมีความสามารถมาก

แม้จะอยู่ในบ้านทรุดโทรมที่ทั้งเล็กและแคบ เขาก็ใช้เสาและกําแพงพัง ๆ เป็นที่กําบัง และ หลบเลี่ยงการโจมตีทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย

ทหารไม่สามารถเข้าถึงตัวเขาได้ และทําได้แต่วิ่งไปรอบ ๆ เป็นวงกลมแทน

ใบหน้าของเด็กหนุ่มขุนนางมืดลง ในขณะที่เขาเฝ้าดูคนของเขาพยายามเข้าใกล้มูฟาซาอย่างเงอะงะ เหมือนตัวตลกในคณะละครสัตว์ที่น่าอับอาย

” พอ! ข้าไม่มีเวลามาเล่นซ่อนหา!” เขาคํารามแล้วคว้าตัวนาล่าเข้ามาใกล้ขณะถอดดาบประดับออกจากเอว และวางมันลงที่คอของเธอ “หยุดอยู่ตรงนั้น ไม่งั้นเธอตาย!”

“เจ้ามันน่ารังเกียจ! เจ้ายังมีความภาคภูมิใจของขุนนางอยู่หรือไม่!” มูฟาซาด่า เขาขมวดคิ้วขณะงอตัว และกระโดดขึ้นไปบนกรอบประตูเพื่อหลีกเลี่ยงการซุ่มโจมตี

“นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมข้าถึงเกลียดการพูดกับคนสกปรกเช่นเจ้า” บางทีเขาคงเชื่อว่าเขาชนะแล้ว ขุนนางหนุ่มจึงพูดด้วยความมั่นใจ “ขุนนางก็คือผู้ที่มีสายเลือดอันทรงเกียรติ มีอํานาจและเกิดมาเหนือผู้อื่น! ทุกสิ่งที่เจ้าชาวนามี ตั้งแต่ความมั่งคั่งไปจนถึงชีวิตของเจ้า ทั้งหมดเป็นของเรา! เจ้าควรมีชีวิตอยู่อย่างเงียบ ๆ หารายได้ให้เรา และเชื่อฟังเราเหมือนปศุสัตว์ และไม่ทําให้เราเดือดร้อน! ทําไมเจ้าถึงมีความคิดโง่ ๆ ที่คิดจะต่อต้านอย่างไร้ความหมายเช่นนี้อยู่ร่ำไป”

“…”

มูฟาซาตกใจมาก

เขาตกใจมากกับมุมมองของอีกฝ่าย

ในฐานะที่เขาเคยเป็นพลเมืองของโรวิเนีย ซึ่งเป็นอดีตเมืองหลวงของเทียร์ร่า และเคยไปยังเมืองไร้ชื่อพร้อมกับมาร์นี้หลังจากอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยครอมเวลล์มาระยะหนึ่ง

ในฐานะพลเมืองธรรมดา เขาไม่เคยข้องเกี่ยวกับขุนนางคนใด และแทบจะไม่เคยพบ เห็นขุนนาง แต่ถึงกระนั้นเทียร์ร่าก็เป็นอาณาจักรที่มั่งคั่ง ควบคู่ไปกับศรัทธาของพวกเขาในเทพเจ้าแห่งเกม ที่ทําให้พวกเขาเป็นอิสระจากการเก็บภาษีทางศาสนา พลเมืองจึงอยู่อย่างมั่นคงและมีความสุข ขุนนางของพวกเขาเลยได้รับความเคารพเป็นธรรมดา

แต่เมื่อโรวิเนียถูกลดบทบาทลงกลายเป็นสนามรบ และเทียร์ร่าได้ล่มสลายลง ไม่นานหลังจากนั้นพลเมืองเดิมก็ถูกย้าย พวกเขาติดตามผู้เฒ่าแวนเค่อนายทะเบียนของเทียร์ร่ามายังครอมเวลล์

แม้ว่ามูฟาซาจะไม่ได้พบกับขุนนางแห่งครอมเวลล์ แต่อย่างน้อยเขาก็จัดหาสิ่งอํานวยความสะดวกพื้นฐานให้ผู้ลี้ภัยทุกวัน เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่อดตาย

ต่อมาเมื่อเขาติดตามแวนเค่อไปยังเมืองไร้ชื่อด้วยความไว้วางใจและกลายเป็นผู้เล่น เขาก็ได้พบกับแองโกร่าซึ่งมักจะปะปนอยู่กับผู้เล่นแม้ว่าเขาจะเป็นขุนนาง และเจ้าหญิงลีอาที่ชอบแลกหมัดกับผู้เล่นอยู่เสมอ

ประสบการณ์เหล่านั้นทําให้มูฟาซาคิดว่าขุนนางเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ที่ควรค่าแก่การเคารพซึ่งคอยดูแลพวกเขา และเขาก็เคารพผู้เฒ่าแวนเค่อและแองโกร่าจากก้นบึงของหัวใจ

ความคิดเหล่านั้นทําให้มฟาซาเป็นพลเมืองที่ปฏิบัติตามกฎหมาย และเขาไม่แม้แต่จะต่อต้านเมื่อถูกจับโดยทหารยามของแลงคาสเตอร์เมื่อไม่กี่วันก่อน

แต่ถึงกระนั้น ขุนนางหนุ่มที่เขาได้พบในวันนี้ ก็ได้เปิดโลกทัศน์ของเขาให้กว้างขึ้น มันทําให้เขาได้เห็นด้านมืดของขุนนางที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเนื่องจากสถานะของเขาในสังคม

“นั่นสินะ ข้าเข้าใจแล้ว”

มูฟาซาก้มหัวลงพูดเบา ๆ

บ้านร้างหลังนี้ไม่ได้ใหญ่โต และตอนนี้ทหารก็เข้าล้อมมูฟาซาอย่างเงียบ ๆ โดยทําเสียงให้เบาที่สุด ทุกคนในบ้านจึงได้ยินเสียงของเขาชัดเจน

“ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจยอมจํานน? หึ เจ้าทําข้าเสียเวลาไปมาก…” ขุนนางหนุ่มคาดหวังให้มูฟาซายอมแพ้ แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายดึงดาบที่ยาวเกินจริงออกมา

“ความคิดของเจ้าผิดเพี้ยนไปหมด ข้ายอมแพ้ที่จะเปลี่ยนเจ้าให้เป็นคนดี” มูฟาซาประกาศพลางชี้ดาบไปที่ขุนนางหนุ่ม

เมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกและทําให้อับอาย ขุนนางหนุ่มก็ระเบิดเสียงคํารามใส่ทหารที่ล้อมมูฟาซาเอาไว้ “รีบไปจับมันมา!”

ไม่มีใครเข้าใจว่ามูฟาซาหมายถึงอะไร

บางที่พวกเขาอาจจะรู้ แต่พวกเขาไม่ได้สนใจมัน

มูฟาซากระโดดลงจากกรอบประตู ทหารที่อยู่ข้างหน้าเขาทําหน้าเหมือนกับว่า ‘รางวัลหล่นมาหาข้าแล้ว’ ขณะกางมือจะจับเขา

แต่มันช้าเกินไป

การเข้าปะทะด้วยชุดเกราะหนัก อาจดูมั่นคงและทรงพลังมาก แต่ในสายตาของมูฟาซามันช้าเกินไป

แสงที่สะท้อนจากใบดาบของเขา กระพริบในมุมที่ไม่สามารถจินตนาการได้ และทหารเหล่านั้นก็ถูกตัดเป็นชิ้น ๆ ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตอบสนอง พวกเขาก็ได้แต่เฝ้าดูร่างของตัวเองกระจายหล่นไปทั่วพื้น

แม้แต่ชุดเกราะหนักที่ให้ความมั่นใจแก่พวกเขาในการรังแกชาวบ้านได้ตามอําเภอใจก็ไร้ประโยชน์ ทั้งหมดถูกนั่นทิ้งไปพร้อมกับร่างกายของพวกเขาอย่างง่ายดายเหมือนนั่นกระดาษ

เป็นเวลาเพียง 3 วินาทีนับจากที่มูฟาซากระโดดลงจากกรอบประตู ทหารยามก็ได้ทิ้งตัวลงไปกับพื้นแล้ว

ทหารคนอื่น ๆ อีกหลายคนไม่มีปฏิกิริยากับเพื่อนทหารที่ตายไป สีหน้าของพวกเขาดดุร้าย ก่อนจะชักดาบออกมาโจมตีมูฟาซาจากด้านหลัง

อย่างไรก็ตาม แสงแฟลชจากใบดาบของมูฟาซาสว่างขึ้นวูบหนึ่ง และทหารเหล่านั้นถูกก็ตัดออกเป็น 2 ส่วนไปพร้อมกับอาวุธ!

ตอนนั้นเอง ทหารคนอื่น ๆ ก็เข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้กําลังจับผู้ลี้ภัยที่อ่อนแอ แต่เป็นปีศาจตัวจริง

แม้นั่นจะทําให้ขุนนางหนุ่มตกใจ แต่เขาก็ยังสังเกตเห็นคมดาบของมูฟาซาที่ไร้รอยบิน

ความโลภปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา

แม้ว่าเขาจะลดงบประมาณด้านอุปกรณ์ของทหารลง จนถึงจุดที่ชุดเกราะหนักของพวกเขาเป็นเพียงของที่มีข้อบกพร่อง แต่ทุกอย่างก็ทํามาจากเหล็ก

และอาวุธใด ๆ ที่สามารถเฉือนเหล็กเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย ก็ถือเป็นสมบัติอย่างแน่นอน

ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้ไร้สมอง และรู้ดีว่ามีเพียงหัวหน้าทหารข้าง ๆ เขาเท่านั้นที่สามารถพึ่งพา

แม้ว่าหัวหน้าทหารจะดูไร้ศักดิ์ศรีที่เอาแต่เลียเขา แต่ความสามารถของหัวหน้าทหารรักษาการณ์ของเมืองก็ไม่ใช่ของปลอม เจ้าเมืองไม่ได้โงถึงขนาดที่จะฝากชีวิตครอบครัวของเขาไว้กับขยะ

ความจริงหัวหน้าทหารคนนี้มีชื่อว่า ‘โบลท์’ เขามีทักษะดาบที่ค่อนข้างดี แม้ว่าเขาจะถูกโยนเข้าไปในกองทัพหลวงเขาก็ยังโดดเด่น

ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ได้ใช้เงินติดสินบนนักบวชของวิหารแห่งความรุ่งโรจน์ไปมาก เพื่อสักตราเทพเจ้าแห่งสงครามไว้บนร่างกายของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถใช้ออร่าได้เหนือกว่านักสู้ทั่วไป และเขาอาจได้เป็นถึงอัศวินในพื้นที่ห่างไกล

“โบลท์จับมันมา หักแขนหักขามันให้พิการ และดาบเล่มนั้นจะเป็นของเจ้า!” ขุนนางหนุ่มสั่งอย่างเด็ดขาด

บทที่ 152 ทหารยาม

“อยากกินไหม ถึงเครื่องปรุงจะไม่ค่อยดีนัก แต่รสชาติก็ดีเมื่อนํามาใช้ทําซุป”

มูฟาซาชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนคนหยาบ ๆ หยิบช้อนไม้ออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ กวนซุปเนื้อเดือด ๆ ในหม้อ และตักขึ้นมาหนึ่งช้อน “ข้าค่อนข้างมั่นใจในฝือมือการทําซุปของข้า”

นาล่าที่หลับใหลตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ หลังจากได้กลิ่นหอม ๆ ของน้ำซุป

“มันอาจเป็นกับดักเช่น เจ้าดื่มซุปไปแล้วเจ้าจะกลายเป็นผู้ศรัทธาในศาสนจักรของเรา” ใช่ไหม?” ซิมบ้าระแวง

เขาไม่อาจไม่ระแวงได้ ทุกวันนี้เด็ก ๆ หายไปจากสลัมเรื่อย ๆ

“ผ่อนคลายน่า ข้าไม่ได้หมดหวังขนาดนั้น…มันเป็นเควสถาวร”

มูฟาซาพูดอย่างเมินเฉยในสิ่งที่ซิมบ้าและคนอื่น ๆ ไม่เข้าใจ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่คิดร้าย

ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าซิมบ้าและซาซูจะยังถือหินไว้ในมือ และดูพร้อมจะโจมตีได้ทุกเมื่อ แต่พวกเขาก็แค่วางท่าไปงั้น เนื่องจากพวกเขาไม่มีแรงเหลือแล้ว หลังจากทนหิวโหยมานาน

แน่นอนว่ามูฟาซาสามารถใช้ดาบยาวของเขาที่เฉือนเบคอนหนา ๆ ได้เหมือนหั่นเนย สับพวกเขาได้อย่างง่ายดาย

เด็กชายทั้งสองมองหน้ากัน และตัดสินใจวางหินลง

เด็กทั้งสามคนหยิบชามไม้เล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่มุมห้องออกมาตักซุปช้อนโต ก่อนจะผลัดกันดื่มซุป

“อร่อยมาก!” ซิมบ้าอดไม่ได้ที่จะพึมพําออกมา

แต่เห็นได้ชัดว่าทั้งเขาและซาซูพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อควบคุมแรงกระตุ้นที่จะซดซุปจนหมดในอีกเดียว เพื่อให้นาล่าที่อ่อนแอได้กินมากขึ้น

มูฟาซาอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับท่าทางที่จริงจังนั้น “ดื่มไปเถอะ”

“ลุงไม่กินเหรอ” นาล่าถามเสียงแผ่ว

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ถึงข้าจะดูเป็นแบบนี้ แต่ข้าก็มีรายได้มากมายเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าไม่เคยอดอยาก!” มูฟาซายิ้มตอบ

“โกหก ข้าเห็นเจ้าโดนทหารยามจับแขวนไว้ที่ประตูเมืองเพื่อเตือนประชาชน!” ซิมบ้าไม่ลังเลที่จะเปิดโปงคําโกหกของมูฟาซา

“อะแฮ่ม! เจ้าพูดอะไร? เด็กอย่างเจ้าไม่เข้าใจแผนการของผู้ใหญ่หรอก นี่เป็นกลยุทธ์ที่ข้าใช้ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทหารยาม!” มูฟาซาโม้อย่างหน้าด้าน ๆ “ตอนนี้เราเป็นพี่น้องกันแล้ว!”

เป็นผลให้เด็ก 3 คนมองเขาอย่างสงสัย

ตอนแรกมูฟาซาตั้งใจจะโม้ต่อ แต่แววตาของเขาก็ดูคมขึ้น เขาเงียบลงและฟังเสียงอย่างตั้งใจ

มีเสียงฝีเท้านอกบ้านอีกครั้ง

ไม่เหมือนกับตอนที่เขามา คราวนี้มีคนอย่างน้อยหนึ่งโหล เกือบครึ่งหนึ่งมีฝีเท้าเบามาก เขาจะไม่ได้ยินถ้าเขาไม่ตั้งใจฟัง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนที่น่าจะอ้วนเกิน 200 โล หรือคนสวมชุดเกราะหนักมาด้วย

มีเพียงคนเดียวที่สามารถสวมชุดเกราะในเมืองได้ นั่นก็คือทหารภายใต้คําสั่งของเจ้าเมือง เพราะหน่วยทหารของโบสถ์จะสวมชุดเกราะผ้า และทหารธรรมดาไม่มีเกราะหนักให้ใส่

ฤดูหนาวที่ยาวนานทําให้ทหารยามยุ่งมาก คนก็เลยไม่พอ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องนําทหารธรรมดามาร่วมทีมลาดตระเวน

สีหน้าของมูฟาซาเปลี่ยนไป “กินให้หมด แสร้งทําเป็นว่าเจ้าไม่เคยเห็นข้ามาก่อนถ้าพวกเขาถาม!”

หลังจากพูดจบเขาก็ปีนขึ้นหลังคาไปอย่างรวดเร็ว และหายเข้าไปในชายคา

หลังจากที่เขาจากไป ทหารก็เข้ามาในบ้านที่ทรุดโทรมหลังนี้

อย่างไรก็ตาม คนที่นําพวกเขาไม่ใช่หัวหน้าทหารรักษาการณ์ของเมืองที่สวมชุดเกราะเต็มยศเหมือนเช่นเคย แต่เป็นชายหนุ่มผู้หยิ่งผยองสวมชุดย้อมสีที่ดูหรูหรามาก เห็นได้ชัดว่าเขา เป็นขุนนางที่แม้แต่หัวหน้าทหารรักษาการณ์ของเมืองก็ต้องยอมติดตามเหมือนลูกน้อง

ขุนนางหนุ่มหยิบกระดาษม้วนหนึ่งออกมา และแสดงมันให้เด็ก ๆ ดู

มันมีภาพเหมือนของมูฟาซาอยู่ในนั้น

“เด็ก ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้เจ้าเคยเห็นชายคนนี้หรือไม่”

ทั้งสามคนไม่ลังเลที่จะส่ายหัว

“เฮอะ เจ้าแน่ใจหรือว่าคนรู้จักของมาร์นี่ วิลฟ์คนนี้มักจะมาพบกับเด็กสามคนนี้?” ขุนนางหนุ่มหันไปถามหัวหน้าทหารรักษาการณ์เมือง

“ครับท่าน นั่นคือสิ่งที่สายข่าวของเราบอกเรามา” หัวหน้าทหารตอบอย่างเคารพ

ขุนนางหนุ่มเดาะลิ้นอย่างหงุดหงิด แต่เมื่อเขากําลังจะจากไปพร้อมกับทหาร เขาก็สังเกตเห็นหม้อต้มที่แขวนอยู่เหนือกองไฟอย่างไม่ได้ตั้งใจ หม้อนั่นเป็นหมวกเกราะแปลก ๆ ที่ไม่ได้มีให้เห็นในละแวกนี้ง่าย ๆ

รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากของเด็กหนุ่ม เขาหยุดและสั่งหัวหน้าทหารรักษาการณ์เมืองที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “จับผีน้อย 3 ตัวนี้แล้วพาตัวไป! ทิ้งคนไว้ที่นี่คนหนึ่ง เพื่อนของเราจะได้รู้ว่าต้องมาหาเราที่ไหน”

“ท่านจะพาเด็กกลุ่มนี้ไปหมดเลยหรือ” หัวหน้าทหารยามสับสน

“ไงก็ได้ พวกมันก็แค่ชาวนาสกปรก ไม่สําคัญว่าพวกมันจะตาย” ขุนนางหนุ่มไม่สนใจเรื่องนี้ “สิ่งสําคัญคือเราต้องได้ตัวมันมา และทรมานมันหาจุดอ่อนของมาร์นี่เวิลฟ์พ่อค้าคนนั้นมีทรัพยากรมากมายที่คนในเมืองกําลังจับตามอง! ยิ่งเราได้ตัวมันมาเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น!”

ดังนั้นทหารที่เคยกลั่นแกล้งชาวบ้านชายและหญิงเป็นวิสัย ทันทีที่ได้รับคําสั่งก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างโหดเหี้ยม จับเด็กทั้ง 3 คนและชกซิมบ้าที่ดิ้นรนจนสะบักสะบอมและฟกช้ำ

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ขุนนางหนุ่มรู้สึกรําคาญมากที่เด็กหนุ่มจ้องมองเขาอย่างดุร้าย และไม่ยอมแพ้แม้จะได้รับบาดเจ็บ

“ตัวประกันมีแค่ 2 คนก็พอแล้ว!” จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ซิมบ้า “กําจัดไอ้เด็กนั่นซะ เพื่อนของเราจะได้รู้ว่าเรากําลังจริงจัง! ให้ข้าคิดก่อน…ถูกต้อง ตัดหัวมันแล้วแขวนไว้ที่ประตู!”

ทหารที่กดหัวซิมบ้าไม่ลังเลที่จะชักดาบออกมา

“เดี๋ยว!”

นั่นคือตอนที่มูฟาซากระโดดลงมาจากหลังคา

มูฟาซารู้สึกไม่สบายใจ นั่นคือเหตุผลที่เขากลับมาตรวจสอบพวกเด็ก ๆ

เขาไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นอะไรที่น่าโมโหแบบนี้

มูฟาซาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว เพราะซิมบ้าจะตายอย่างไม่มีเหตุผลหากเขามาสาย

“อ๊า! เห็นไหมล่ะ!” ขุนนางหนุ่มดูดีอกดีใจราวกับว่าเขาจับได้ปลาตัวใหญ่

“ท่านฉลาด ลอร์ดของข้า” หัวหน้าทหารในชุดเกราะหนักข้าง ๆ เริ่มเลียเขาทันที

มูฟาซาจ้องมองทั้งสองคนด้วยความสับสน “ทําไมเจ้าถึงทําแบบนี้? พวกเขาไม่ใช่พลเมืองของแลงแคสเตอร์เหรอ? หรือทหารรักษาการณ์ของเมืองไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้องพลเมือง?”

“พลเมือง? เจ้าผิดแล้ว เฉพาะผู้ที่จ่ายภาษีครบกําหนดทุกเดือนเท่านั้นที่เป็นพลเมือง ส่วนไอ้พวกนี้มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าหนูในท่อระบายน้ำ มันเป็นแค่ขยะมีชีวิต”

ขุนนางหนุ่มไม่มีความลังเลอยู่ในคําพูดของเขาเลย จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่มูฟาซา “แต่นั้นไม่มีสวนเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า ทหาร! จับมันมาให้ข้า!”

บทที่ 151 สลัม

ทางเหนือของเมืองแลงแคสเตอร์เป็นสลัม

เมื่อก่อนที่นี่ก็เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเมืองทั่วไป แม้ว่ามันจะไม่หรูหราและดีเท่าย่านขุนนางทางใต้ หรือเจริญรุ่งเรืองเท่าย่านการค้าทางตะวันออก และไม่ได้แตกต่างจากย่านตลาดมืดทางตะวันตกที่ค่อนข้างวุ่นวาย แต่ทุกคนก็อยู่กันได้อย่างดีและมีชีวิตชีวา

จนกระทั่งวันที่เทียร์ร่าล่มสลายลง

แลงแคสเตอร์ไม่ได้รับความเสียหายมากนัก แต่นั่นใช้ได้กับเขตที่อยู่อาศัยของขุนนางและย่านการค้าเท่านั้น

เขตที่อยู่อาศัยของชาวเมืองได้รับผลกระทบหนักที่สุด และเนื่องจากไม่มีการจัดการที่ดีและไม่ได้รับการซ่อมแซม ทําให้เขตที่อยู่อาศัยเดิมหายไปและกลายเป็นเพียงสลัม อาคารหลายหลังที่เสียหายจากไฟสงครามกระทั่งปัจจุบันมันก็ยังคงเป็นซากปรักหักพังที่อาจพังทลายได้ทุกเมื่อ

และในซากปรักหักพังของบ้านหลังหนึ่ง มีเด็กตัวสั่น 3 คนนั่งล้อมรอบกองไฟ สภาพเหมือนกําลังจะตาย พวกเขาทําทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับความอบอุ่นเพิ่มขึ้นอีกนิดจากกองไฟตรงหน้า

ซิมบ้าเป็นเด็กกําพร้าที่พ่อแม่เสียชีวิตในสงครามเมื่อหลายปีก่อน บ้านที่พ่อแม่ทิ้งไว้ก็ถูกพวกอันธพาลเข้ายึดครอง การต่อต้านของซิมบ้าที่ยังเด็กนั้นไม่เพียงแต่จะไร้ประโยชน์ เขายังถูกพวกมันไล่ล่าหลังจากที่พวกอันธพาลขนของมีค่าไปจนหมด

สุดท้าย เขาก็หนีมาอาศัยอยู่ในซากปรักหักพังของบ้านเก่า ๆ และได้พบพี่ชายและน้องสาวซาซูและนาล่า ที่เดินเตร่อยู่ข้างนอกในฐานะเด็กกําพร้า

เด็กทั้ง 3 รวมตัวกันกลายเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ในวันธรรมดาพวกเขาช่วยพ่อค้าในย่านการค้าทํางานแปลก ๆ และบางครั้งก็เร่ขายของ พวกเขาจึงพอมีเงินเก็บพอประทังชีวิตอยู่บ้าง

แต่ถึงอย่างนั้นฤดูหนาวปีนี้ก็ยาวนานกว่าที่คาดไว้ อาหาร ฟื้น และเงินเหรียญสุดท้ายของพวกเขาหมดลง แต่ดวงอาทิตย์ดูเหมือนจะยังไม่คิดจะโผล่หน้าออกมาท่ามกลางหมู่เมฆ

“ไฟกําลังจะดับ เพิ่มไม้สักหน่อยดีไหม” ซาซูพูดขึ้น

ซิมบ้าสายหัว “ไม่ เรารื้อไม้กระดานออกมาไม่ได้แล้ว บ้านหลังนี้รับไม่ไหว ถ้าขืนเรายังรื้อต่อไป แค่ลมพัดมามันคงจะพังแน่ ๆ”

ฤดูหนาวที่ยาวนานทําให้ราคาฟื้นเพิ่มขึ้น มันเป็นราคาที่ซิมบ้าและพี่น้องของเขาไม่อาจจ่ายได้

“พี่ชาย…”

ดวงตาของนาล่าบิดลงขณะที่เธอเอนตัวพิงซาซู เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ผอมบางและขี้โรค กําลังล่องลอยอยู่ระหว่างความฝันและความเป็นจริง เธอพึมพําเบา ๆ ว่า ” ข้าหิวมาก…”

เด็กชายทั้งสองมองหน้ากัน เวลานี้นับประสาอะไรกับเด็กสองคน แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ทําอะไรไม่ได้

“ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ข้าจะออกไปนอกเมืองเพื่อขนฟื้นกลับมา” ซิมบ้ากัดฟัน เขาตัดสินใจแล้ว

ถ้าข้าหาฝืนได้สามสี่มัด เราก็จะมีฟื้นไว้ใช้เองและหาอาหารให้นาล่าได้!”

“อย่าทําอะไรโง่ ๆ นะ!” ใบหน้าของซาซูซีดลง เขาพยายามเตือนสติซิมบ้า “ในป่าอันตรายมันน่ากลัว มีเพียงไม่กี่คนที่ออกไปหาไม้แล้วรอดกลับมาได้ แม้แต่นักล่าที่มีประสบการณ์และยามรักษาการของเมืองที่มีอาวุธครบครันก็ยังถูกฆ่าตาย! ข้าเคยได้ยินทหารรับจ้างที่โรงเหล้าพูดกันว่าพวกเขาพบเห็นร่องรอยของเขี้ยวมังกรแถวนี้ด้วย มันน่ากลัวยิ่งกว่าเสือเขี้ยวดาบอีกนะ!”

“แต่เราไม่มีทางเลือกแล้ว” ซิมบ้าพูดอย่างขมขื่น “ไม่มีงานให้เราทําในฤดูหนาว และไม่มีใครบนถนนให้เราขโมย…”

ซาซูกําลังจะเถียง แต่ทั้งเขาและซิมบ้าก็หยุดพูดทันที พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ข้างนอก

น้ำหนักการลงเท้านั้นเบามาก เด็ก ๆ จะไม่ได้ยินอะไรเลยถ้าไม่ใช่เพราะพื้นมีหิมะหนา ๆ ปกคลุม

หรือจะเป็นพ่อค้าทาส?

เด็กชายแอบมองออกไปขณะหยิบหินก้อนใหญ่ขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ หินมีขนาดเกือบครึ่งหัวคนหัวใจของพวกเขารู้สึกกระวนกระวาย

ชีวิตของพวกเขาจะจบลง หากเด็ก ๆ อย่างพวกเขาถูกจับไปขายเป็นทาส ไม่มีนายทาสคนไหนต้องการเด็กขี้โรค ขี้แย และสกปรกเช่นพวกเขา พวกเขาจะถูกส่งไปยังเหมืองผิดกฎหมายและถูกใช้งานจนตาย หรือกลายเป็นอาหารสัตว์ประหลาดบนสังเวียนนักสู้

แต่ทั้งซิมบ้าและซาซูต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อในที่สุดคน ๆ นั้นก็โพล่หน้ามาให้เห็นพวกเขายังคงตื่นตัวแต่ก็ไม่มากเท่าก่อนหน้านี้แล้ว

คน ๆ นั้นเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างผอมสูง เขาเรียกตัวเองว่ามูฟาซา ดาบที่เขาแบกอยู่บนหลังนั้นแตกต่างจากดาบหนัก ๆ ที่ทหารรับจ้างคนอื่น ๆ ใช้ มันยาวและแคบอย่างน่าประหลาด ไม่ต้องพูดถึงว่ามันมีคมแค่ด้านเดียว ยิ่งไปกว่านั้นแม้อากาศจะหนาวเย็น แต่เขาก็สวมเพียงเสื้อผ้าที่เย็บจากผ้ากระสอบที่มีลักษณะคล้ายกับคนจรจัดเท่านั้น

แต่ถ้าจะบอกว่าเขาเป็นคนจรจัดก็คงจะไม่ถูก เพราะจริง ๆ แล้วชายในผ้ากระสอบนั้นสะอาดมาก เช่นเดียวกับเสื้อผ้าของเขาที่เรียบจนไม่มีแม้แต่รอยยับ

เมื่อพิจารณาว่าทั้งการซักและรีดจะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ซิมบ้าก็สงสัยว่าต้องซักผ้าที่เย็บจากเศษผ้าขาด ๆ นั่นด้วยหรือ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซิมบ้าและซาซูได้พบเขา

เมื่อฤดูหนาวเริ่มต้นขึ้น ชายวัยกลางคนคนนี้ก็เข้ามาถามพวกเขาอย่างตื่นเต้นว่า พวกเขาต้องการเข้าร่วมโบสถ์ลึกลับหรือไม่ เขาไม่ได้ระบุว่าเป็นศาสนจักรใด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ซิมบ้าไม่สนใจเขา เขาเชื่อว่ามันต้องเป็นนอกรีต

เขาต้องการลากซาซูและนาล่าเข้าสู่ศาสนาแปลกประหลาดบางอย่าง แล้วใช้พวกเขาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เทพเจ้าชั่วร้ายแน่ ๆ

โชคดีที่มูฟาซาไม่ได้รบกวนพวกเขา และจากไปหลังจากที่ซิมบ้าปฏิเสธ

แต่เขาก็มักจะกลับมาอีกเสมอ แม้จะต้องจากไปอย่างรวดเร็วทุกครั้งที่เขาล้มเหลวในการชวนพวกเด็ก ๆ

และตอนนี้มูฟาซาก็ยกมือขึ้นอย่างยอมจํานน เมื่อเขาเห็นเด็กชายและก้อนหินในมือเด็ก บ่งบอกว่าเขาไม่ได้อันตราย

“ที่นี่หนาวมาก เจ้าคงไม่รังเกียจที่ข้าจะขอเข้าไปผิงไฟด้วยใช่ไหม?” เขาพูดเองเออเอง จากนั้นก็เดินเข้ามาใกล้กองไฟ ทําราวกับว่าเขาไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางไม่เป็นมิตรของซิมบ้าและซาซู

อย่างไรก็ตามไม่มีใครเห็นสิ่งที่เขาทํา แต่จู่ ๆ ไฟก็ลุกโชน ความอบอุ่นของเปลวไฟแพร่กระจายเข้ามาในบ้านที่เหลือแต่เพดานครึ่งเดียว ทําให้ซิมบ้ารู้สึกสบายเหมือนได้อาบน้ำอุ่น เขาจําไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เขาได้อาบน้ำอุ่นคือเมื่อไหร่

ในขณะเดียวกัน มูฟาซาก็แอบเห็นกระดูกขาวัวตรงมุมที่เต็มไปด้วยรอยกัด เขาเลิกคิ้วขึ้น

ไม่รู้ว่าเขาหยิบหม้อที่คล้ายกับหมวกเกราะออกมาจากไหนวางไว้บนกองไฟ และออกไปข้างนอกเพื่อตักหิมะสะอาด ๆ มาต้มในหม้อ จากนั้นเขาก็หยิบเครื่องเทศที่ซิมบ้าไม่รู้จักออกมา และใส่มันลงไปในหม้อ ก่อนที่จะหยิบเบคอนชิ้นหนึ่งออกมานั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ด้วยดาบยาว ๆ ของเขาและโยนมันลงไปในหม้อ

ซิมบ้ากระพริบตาปริบ ๆ ดาบยาวนั้นเป็นมีดหั่นเนื้อหรือ มันจะไม่ทําร้ายคนอื่นหรือ มันดูยาวเกินไปและดูไม่สะดวกเลยสักนิด

แต่ไม่นานพอกลิ่นหอมของซุปเบคอนก็ลอยขึ้นมา ชวนให้ซิมบ้าและคนอื่น ๆ น้ำลายสอ

บทที่ 150 กฎพื้นฐาน

สองวันหลังจากที่กิจกรรมเกาะมนุษย์เงือกสิ้นสุดลง

หลังจากที่วีลาได้รับรายงานเกี่ยวกับ “บุคคลน่าสงสัยที่อยู่นอกเมืองไร้ชื่อ แต่ผู้เล่นไม่สามารถทําอะไรได้เพราะพวกเขาเป็นมิตร” เธอก็ได้นําผู้เล่นหลายคนที่แองโกร่าได้คัดเลือกเป็น NPC มาที่นี่ นั่นคือตอนที่พวกเขาได้พบกับ คินลีย์ ไอนซ์วอเตอร์ นักเล่นแร่แปรธาตุฝึกหัดที่เธอเคยพบในทุนย่า

ดวงตาโต ๆ ของคนลีย์เบิกกว้างเมื่อเห็นวีลา

“เจ้า…เจ้าไม่ได้ตายไปแล้วเหรอ!”

แม้ว่าคินลีย์จะเห็นแล้วว่าผู้เล่นต่อสู้อย่างไรในขณะที่เธออยู่แอบข้างหลังเอ็ดเวิร์ดและคนอื่น ๆ แต่ปาร์ตี้ของเอ็ดเวิร์ดนั้นเป็นกําลังหลักอันดับต้น ๆ ของเหล่าผู้เล่น และตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ทําอะไรโง่ ๆ การต่อสู้ของพวกเขาก็ไหลลื่นราวกับสายน้ำ ยิ่งไปกว่านั้นเอลีน่านักบุญหญิงฝึกหัดก็กําลังอารมณ์เสียเพราะเธอไม่ได้กินขุดดิ้งนม ทําให้พลังการต่อสู้ของเธอพุ่งทะยาน เอฟเฟกต์พิเศษและทักษะต่าง ๆ จึงถูกโยนออกไปเหมือนกระแสน้ำ

และในจังหวะโกลาหล แม้ว่าโจและโกวต้านจะถูกฆ่าโดยไม่ได้ตั้งใจในขณะที่พวกเขาล่อสัตว์ประหลาด เจสสิก้าและเอลีน่าก็จะชุบชีวิตพวกเขาขึ้นมาทันที ในสายตาของคินลีย์เลยกลายเป็นว่า ทั้งสองถูกปีศาจโจมตีจนล้มลงกับพื้นแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ด้วยคาถารักษาเพียงคาถาเดียว เหตุการณ์เช่นนี้มันยังอยู่ในขอบเขตความเข้าใจของคินลีย์ แม้ว่าเธอจะไม่แน่ใจว่ามีคาถารักษาใดที่สามารถรักษาได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้

ในทางกลับกัน ความจริงที่ว่าคนตายสามารถฟื้นคืนชีพได้นั้นมันน่าประหลาดใจเกินไป จนคินลีย์คงไม่อาจรักษาภาพลักษณ์ของหญิงสาวที่บอบบางของเธอเอาไว้ได้

ท้ายที่สุดดยุกอินทรีเงินเองก็เชื่อว่าวีลาได้ตายไปแล้วเช่นกัน เขาถึงกับคิดว่าเขาได้ทําให้คนรักของลูกชายเสียชีวิตโดยไม่ได้ตั้งใจ และรู้สึกผิดกับเรื่องนี้มาก ด้วยเหตุนี้เขาเลยแนะนําปาร์ตี้จับคู่ให้แองโกร่าหลายครั้ง ซึ่งเขาคิดจะเชิญลูกสาวขุนนางทุกคนในภาคเหนือ เพื่อให้ลูกชายของเขาได้เลือกคนชอบ แต่แองโกร่ากลับปฏิเสธอย่างไม่ลังเล

แองโกร่านั้นชัดเจน ผู้เล่นไม่มีเวลาหาแฟน!

เป็นธรรมดาที่ฮอร์รันจะไม่รู้ว่าลูกชายของเขาหมกมุ่นอยู่กับเกมมากเกินไปจนไม่มีเวลาออกเดท เขาจึงคิดว่าแองโกร่ากําลังจมอยู่กับความเสียใจจากการที่ต้องสูญเสียคนรักไป และด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกผิดมากขึ้น

แม้ว่าฮอร์รันจะพยายามคิดหาวิธีอื่นเพื่อกอบกู้สถานการณ์ แต่ปาร์ตี้ของแองโกร่าก็รีบเทเลพอร์ตไปที่ไลฟ์สโตนในหมู่บ้านมนุษย์กบเมื่อพวกเขารู้เรื่องสินามิไปแล้ว ก่อนที่ฮอร์รันจะทันได้ทําอะไรต่อ

ด้วยเหตุนี้ คินลีย์ผู้ซึ่งตกตะลึงกับเทคโนโลยีของระบบ และสันนิษฐานว่าเมืองไร้ชื่อได้พัฒนาการเล่นแร่แปรธาตุจนก้าวล้ำยุคสมัยไปแล้ว จึงได้ตามหาฮอร์รัน และแจ้งให้เขาทราบว่า เธอตั้งใจจะไปเยี่ยมแองโกร่าที่ศักดินาของเขา (เพื่อเรียนรู้การเล่นแร่แปรธาตุที่นั่น)

แต่นั่นก็ทําให้ชายชราโล่งใจ และไม่คิดทักท้วงแม้แต่น้อย เขาได้ให้เงินจํานวนมากแก่เธอเพื่อเป็นค่าเดินทาง รถม้าหรูหราหลายคัน และมอบทหารที่ดีที่สุดของเขาไปเป็นผู้คุ้มกันของเธอ ความจริงฮอร์รันถึงกับบอกใบ้เธอว่าแองโกร่าได้เปลี่ยนใจไปเลื่อมใสศรัทธาเทพเจ้านอกรีตเพื่อให้เด็กสาวได้เตรียมใจ

คินลีย์ไม่สนใจคําบอกใบ้ของชายชรามากนัก ในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุ เธอก็เป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุซึ่งเป็นเทพนอกรีต และเป็นกลางต่อศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสว

ที่พวกเขาเป็นกลาง นั่นอาจเป็นเพราะว่าเทพเจ้าแห่งการแร่แปรธาตุมีผู้ศรัทธาเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่กระจายกันอยู่ทั่วทวีป และยังมีปรมาจารย์เล่นแร่แปรธาตุหลายคนที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีการเล่นแร่แปรธาตุ และปรมาจารย์แต่ละคนก็มีเทคโนโลยีที่สามารถโค่นล้มสถานการณ์ในปัจจุบันของทวีปได้ง่าย ๆ นั่นคือเหตุผลที่ทุกอาณาจักรปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเคารพโดยที่ราชาของอาณาจักรเล็ก ๆ บางอาณาจักรก็ยังมีสถานะน้อยกว่าพวกเขา!

อาจารย์ของคินลีย์ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ทําให้แม้แต่เซซิลก็ยังพยายามทําตัวเหมือนสุนัขเลียเธอ ทั้ง ๆ ที่เขาก็เป็นถึงลูกชายคนโตของดยุก เพียงเพื่อเขาจะได้ขยายอํานาจและได้รับสิทธิพิเศษมากขึ้น

แต่ไม่ว่าจะเพราะเหตุใด เทพเจ้าของพวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะตรากฏขึ้นมาใหม่เพื่อแทรกแซงข้อพิพาทของมนุษย์ ดังนั้นศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสวและศาสนจักรอื่น ๆ จึงไม่ได้ตามล่าผู้ศรัทธาของเทพเจ้าแห่งการเล่นแร่แปลธาตุ เหมือนกับที่พวกเขาทํากับผู้ศรัทธาของเทพนอกรีตอื่น

นั่นคือเหตุผลที่คนลีย์ไม่รู้สึกกังวล แต่จริง ๆ แล้วเธอกลับยินดีที่พบว่าแองโกร่าก็เป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้านอกรีตเช่นกัน ไม่น่าแปลกใจที่แองโกร่าและผู้ติดตามของเขานั้นมีวิธีการต่อสู้ที่แตกต่างไปจากศาสนจักรอื่น ๆ และเทคโนโลยีการเล่นแร่แปรธาตุแปลก ๆ ของพวกเขาก็เป็นอะไรที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน มันสมเหตุสมผลแล้วถ้าพวกเขาศรัทธาในเทพเจ้านอกรีต ที่มีตัวตนอยู่นอกเหนือจากศาสนาหลัก ที่เชื่อว่าตนเป็นศาสนาที่สร้างขึ้นโดยเทพเจ้าที่แท้จริง!

คินลีย์ที่อยากรู้อยากเห็นจึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาก ว่าเทพเจ้านอกรีตองค์นี้จะมีอํานาจมหัศจรรย์อะไรบ้าง?

และเธอก็ไม่ผิดหวังเลยเมื่อมาถึงเมืองไร้ชื่อ มันเป็นศักดินาที่ทําให้เธอสับสนมึนงงทันทีที่มาถึง

“อ๊าาา เทคโนโลยีการคืนชีพนี่มันมากเกินไปแล้วรึเปล่า พวกเจ้าไม่กลัวว่าราชาแห่งความตายมาเคาะประตูบ้านจริง ๆ เหรอ?”

“ท่านนี่เอง” วีลาไม่ได้กังวลเรื่องที่ดินลีย์คิดว่าเธอตายไปแล้วและทําเพียงแค่ขมวดคิ้ว ”ทําไมท่านถึงอยู่ที่นี่?”

ปฏิกิริยาของเธอลบล้างข้อสันนิษฐานทั้งหมดของคินลีย์ที่คิดว่าเธอเป็นฝาแฝด ซึ่งทําให้คนลีย์ยิ่งสงสัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีของเทพเจ้านอกรีตองค์นี้มากขึ้น

“แน่นอนว่าข้าต้องมาเยี่ยมแองโกร่า เจ้าช่วยนําทางข้าหน่อยได้ไหม เลดี้” ดินลีย์ยิ้มให้อย่างมีเสน่ห์ ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอดูเป็นมิตรจนคนอื่น ๆ รอบข้างอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีกับเธอ

มีเพียงวีลาเท่านั้นที่รู้สึกปวดหัวทันทีหลังจากที่เห็นสิ่งนั้น

เธอรู้สึกเสมอว่าผู้หญิงตรงหน้าเธอที่ดูอ่อนแอและบอบบางนั้น ไม่ง่ายอย่างเห็น

ยิ่งไปกว่านั้นมันก็น่าหนักใจมาก เมื่อวีลาเห็นขบวนรถม้ายาวเหยียดด้านหลังเธอ ที่ดูราวกับว่าพวกเขาได้เตรียมชุดแต่งงานและสินสอดทองหมั้นไว้พร้อมแล้ว

แต่วีลาก็ไม่ได้ใช้อํานาจของเธอไล่คน ๆ นี้ออกไป เธอพาคินลีย์เข้าไปในเมืองหลังจากถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

ท้ายที่สุดระบบยอมรับว่าคินลีย์เป็นมิตร มันดีกว่าที่จะให้แองโกร่าตัดสินว่าจะทํายังไงกับเธอ

ในทางกลับกัน คินลีย์ก็รู้สึกได้ถึงความเป็นปรปักษ์ของวีลา แต่เธอก็ไม่สนใจเลย เนื่องจากวีลายังคงเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้าน แม้ว่าเธอจะสามารถกลับมาจากความตายได้ แต่สถานะของวีลาก็เทียบเธอไม่ได้

ขณะที่เธอเข้าไปในเมือง ดินลีย์ก็เริ่มมองไปรอบ ๆ และพบสิ่งแปลก ๆ มากมายที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างที่เธอต้องการ

จากนั้นวีลาก็พาเธอไปพบแองโกร่าที่กําลังทํางานอยู่

หลังจากที่คินลีย์มาถึง เธอก็ได้อธิบายความตั้งใจของเธอ แต่นั่นกลับทําให้แองโกร่าต้องการปฏิเสธเธอไปตรง ๆ

เมื่อเขาคิดจะอ้าปาก ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ หลังจากเขาจ้องมองไปในอากาศบาง ๆ ตรงหน้าสักพัก เขาก็พึมพําออกมาอย่างเหนื่อยล้าว่า “นี่ถือเป็นคําสั่งให้ยอมรับผู้หญิงคนนี้ใช่ไหมเนี่ย…”

เขาเกาหัวอย่างไม่พอใจท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาของวีลา และพูดว่า “ข้าอนุญาตให้เจ้าอยู่ในเมืองก็ได้ แต่มีข้อแม้ก็ไม่เชิงว่าเป็นข้อแม้หรอก ประชาชนในเมืองเกือบทั้งหมดของข้านั้น พวกเขาพิเศษนิดหน่อย ดังนั้นข้าจึงต้องตั้งกฎพื้นฐานบางอย่างกับเจ้า เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้น”

บทที่ 149 ราชาปูป้อมปราการ

เมื่อเอ็ดเวิร์ดและคนอื่น ๆ มาถึงจุดรวมพลที่ระบุไว้ในฟอรัม พวกเขาก็ตระหนักว่านักสํารวจ 7 ทะเลคนอื่น ๆ (ผู้เล่นที่ได้รับแซฟไฟร์ทะเล) ก็มาถึงแล้วเช่นกัน

ความจริงมีคนคุ้นหน้าอีกหลายคนมารวมตัวกันที่นี่ แม้แต่เจ้าของโรงเหล้ากาต้มน้ําเหล็กที่ไม่ค่อยปรากฏตัวก็อยู่ที่นั่นด้วย เขาค่อย ๆ เช็ดขวานศึกขนาดใหญ่ เหมือนกับว่าเขากําลังรอการต่อสู้อันดุเดือด

“มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” เอ็ดเวิร์ดถามเจ้าหญิงลีอา เมื่อพบว่าผู้เล่นกําลังถกเถียงกันอย่างถึงพริกถึงขิง “ไม่มีใครสังเกตเห็นราชาปูป้อมปราการมาก่อนได้ยังไง”

แม้ว่าเอ็ดเวิร์ดจะถามคนอื่น ๆ ได้ แต่ปัจจุบันนอกจากตัวเขาเองแล้ว ก็มีมาร์นี่ซึ่งเป็นบุคคลที่ร่ํารวยที่สุดในบรรดาผู้เล่น (ไม่รวมแองโกร่าและมรดกของดยุคที่เขายังไม่ได้รับ) และแองโกร่าลอร์ดแห่งเมืองไร้ชื่อเองก็ไม่อยู่ ดังนั้นที่นี่จึงมีเพียงอดีตเจ้าหญิงแห่งเกียร์ร่าเท่านั้น

มาร์นี่ยังคงรอการฟื้นคืนชีพ แองโกร่าก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เนื่องจากเขาไม่มีความสามารถในการต่อสู้ และวีลาผู้ช่วยของเขาก็มีชื่อเสียงไม่พอ ดังนั้นผู้เล่นระดับสูงจึงมีเพียงเอ็ดเวิร์ดและเจ้าหญิงลีอาท่านั้นที่สามารถพูดเรื่องต่าง ๆ ด้วยกันได้

เนื่องจากเอ็ดเวิร์ดเพิ่งมาถึง เจ้าหญิงลีอาจึงเป็นผู้ที่มีข้อมูลสมบูรณ์ที่สุดในสถานการณ์นี้อย่างไม่ต้องสงสัย

และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เธออธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้เอ็ดเวิร์ดฟัง “มันกําลังหลับอยู่ใต้ชายหาด ผู้เล่นคนอื่นปลุกมันขึ้นมาหลังจากที่ฆ่าปูนักฆ่า แล้วตอนที่มันโผล่ขึ้นมาบนชายหาด มันก็จับลุงมาร์ นี่และฆ่าเขาในไม่กี่วินาที”

เอ็ดเวิร์ดเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่จริงจัง ปกติแล้วเขาจะไม่ล้อมาร์นี่ว่า ‘มาร์นี่ตายอีกแล้วเหรอ!’ หรืออื่น ๆ และเริ่มศึกษาสถานการณ์อย่างจริงจังแทน “ศัตรูจะต้องโจมตีแรงมากแน่ หากมันสามารถฆ่ามาร์นี้ได้ในไม่กี่วิ…”

แม้ว่ามาร์นี้จะตายเมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่มาร์นี่ก็ยังคงประสบความสําเร็จในการยกระดับไอเทมของเขาเป็น +6 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดในหมู่ผู้เล่น

แม้ว่าซีเว่ยจะกําหนดราคาเหรียญเกมที่แตกต่างสําหรับการเสริมแกร่งไอเทมในระดับที่แตกต่างกัน แต่จํานวนเหรียญเกมที่ต้องการในการตีบวกแต่ละขั้นนั้นจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อตีบวกจาก +5 เป็น +6 มันก็มีราคาสูงกว่า 10,000 เหรียญเกมไปแล้ว

เนื่องจากผู้เล่นไม่เคยเก็บสะสมเหรียญในเกมเลย ทําให้มีเพียงมาร์นี้เท่านั้นที่สามารถจ่ายเหรียญเกมเพื่อตีบวกไอเทมจํานวนมากได้

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงถูกฆ่าโดยราชาปูป้อมปราการ เห็นได้ชัดว่ามันมีความแข็งแกร่งที่เหมาะสมจะเป็นบอสตัวสุดท้ายของเกาะมนุษย์เงือก

“ทําไมทุกคนถึงมารวมตัวกันที่นี่ เราจะใช้กลยุทย์คลื่นมนุษย์ใช่ไหม” เอ็ดเวิร์ดถาม

แม้ว่าผู้เล่นมักจะมารวมตัวกันเมื่อพวกเขาต้องต่อสู้กับบอส แต่ปกติพวกเขาจะผ่อนคลายกว่านี้ แต่นี่พวกเขาถกเถียงกันอย่างดุเดือดมาก ถือเป็นภาพที่หาได้ยาก

“ทุกคนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนการณ์ที่แตกต่างกัน” เจ้าหญิงลีอากล่าวอย่างจริงจัง

“แผน?”

เอ็ดเวิร์ดถึงกับผงะ ในความคิดของเขา จํานวนผู้เล่นที่อยู่ที่นี่สามารถฆ่าอัครมุขนายกกระดูกเน่า 8 ตัวได้ด้วยซ้ํา ราชาปูป้อมปราการทรงพลังถึงขนาดที่ต้องใช้แผนหลายแผนเพื่อเอาชนะ แม้ว่าผู้เล่นทั้งหมดจะอยู่ที่นี่เลยเหรอ?

ไม่ว่ายังไง เขาก็ตัดสินใจที่จะฟังว่าผู้เล่นคนอื่นกําลังวางแผนอะไรอยู่ แม้ว่าเขาจะมั่นใจในความสามารถในการสั่งการของตัวเอง แต่ก็มีหลายครั้งที่กลยุทธ์ที่พิถีพิถัน อาจมีประโยชน์น้อยกว่าความคิดสร้างสรรค์ของคนอื่น และเขาควรตรวจสอบแผนการที่มีอยู่ในตอนนี้

“มีแผนอะไรบ้าง”

“อืม พูดง่าย ๆ คือทุกคนถูกแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย” เจ้าหญิงลีอากล่าวเนิบ ๆ

“สามฝ่าย…” เอ็ดเวิร์ดค่อนข้างแปลกใจที่มีแผนถึง 3 แผนเกิดขึ้นได้ในเวลาอันสั้น ดูเหมือนว่าจะมีผู้เล่นที่ฉลาดอยู่จริง ๆ

“ถูกต้อง ฝ่ายนึ่ง ถือครองเสียงส่วนใหญ่ในขณะนี้ โดยที่อบเกลือและย่างมีผู้สนับสนุนน้อยกว่า”

เอ็ดเวิร์ด: ???

“โทษนะ เราไม่ได้กําลังพูดถึงแผนใช่ไหม ท่านช่วยพูดอีกทีได้ไหม” เอ็ดเวิร์ดถามตัวแข็งที่อ

“ฝ่ายนึ่ง ถือครองเสียงส่วนใหญ่ในขณะนี้ โดยที่อบเกลือและทอดเนย มีผู้สนับสนุนน้อยกว่า” เจ้าหญิงลีอาพูดซ้ํา

“เอ่อ ท่านไม่ได้พูดว่าย่างมาก่อนเหรอ”

“เจ้าได้ยินผิดแล้ว”

“…..”

‘เดี๋ยวก่อน ทุกคนกําลังมีความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับคําว่าแผนใช่ไหม?’

‘ไอ้พวกปีศาจ! เจ้ากําลังพูดถึงวิธีกินศัตรูก่อนที่จะเริ่มสู้งั้นเหรอ!’

“ข้าเข้าใจในสิ่งที่เจ้ากําลังคิด แต่เจ้ากลัวจริง ๆ หรือว่าผู้เล่น 200 คนจะไม่สามารถเอาชนะราชาปูป้อมปราการตัวเดียวได้ อะไรคือกพลังโจมตีที่รุนแรงของมัน?” เจ้าหญิงลีอายักไหล่ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดูเหมือนเธอจะพอใจกับการเล่นตลกของเธอ

เอ็ดเวิร์ดคิดแล้วก็เห็นด้วย

สุดท้ายราชาปูป้อมปราการก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าปูตัวใหญ่กว่า และจริง ๆ แล้วมันอา จมีพลังป้องกันน้อยกว่ายักษ์แห้งแล้งด้วยซ้ํา ดังนั้นผู้เล่นจะแพ้ได้ยังไง?

ยังไงปูก็น่ารักมาก ถ้าพูดถึงเรื่องกินล่ะก็นะ…

“ข้าขอแบบเผ็ดได้ไหม” เอ็ดเวิร์ดเสนอความเห็น “เพิ่มผงฮาบาเนโร! (เครื่องเทศที่เป็นส่วนผสมของกระเทียมและยี่หร่า)”

“เนื้อปูทอดเนย เสิร์ฟพร้อมซุป!” ทันใดนั้นเอลีน่าก็ตะโกนขึ้นหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง

“ปูย่างนั้นดีที่สุด” โจเข้าร่วมฝ่ายย่าง “เนื้อที่ร้อนและชุ่มไปด้วยน้ํา ลองนึกภาพเมื่อได้กัดมันคําโต ๆ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว!”

“ไม่ไม่ไม่ จะต้องนึ่งและปรุงรสด้วยผงฮาบาเนโร รสสัมผัสเผ็ดร้อนนั้นดีที่สุด!” โกวต้านแสดงความคิดเห็นของตัวเองเข้ากับฝ่ายนึ่ง

“เอ่อ…เราทําทุกอย่างไม่ได้เหรอ ก็ราชาปูป้อมปราการตัวใหญ่ซะขนาดนั้น?” เจสสิก้าพูดเสียงเบา

เธอสะดุ้งทันทีที่ผู้เล่นคนอื่น ๆ หันมามองเธอ

“อืม…ข้าพูดอะไรผิดเหรอ” เธอถามเบา ๆ

ในช่วงเวลาถัดไป ผู้เล่นทุกคนที่โต้เถียงกันอย่างบ้าคลั่งเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน ก็ตะโกนขึ้นพร้อมกัน

“นั่นแหละ!”

“เอ๊ะ? เอ๋ ?”

[ติ้ง!]

[กิจกรรมว่ายน้ําฤดูหนาว: การโจมตีของเกาะมนุษย์เงือกได้สิ้นสุดลงแล้ว]

[ต้องขอบคุณการทํางานอย่างหนักของทุกคน ภัยคุกคามของเกาะมนุษย์เงือกได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่เทพสมุทรที่ชั่วร้ายยังคงมีพลังมาก แม้ว่าเทพเจ้าแห่งเกมที่กล้าหาญและทรงพลังจะผนึกตาสมุทรเอาไว้แล้วก็ตาม แต่ด้วยอํานาจที่มากล้นของเธอ เทพสมุทรจึงสามารถส่งมนุษย์เงือกจํานวนมากขึ้นมาบนเกาะได้อยู่ ดังนั้นโปรดไปที่เกาะมนุษย์เงือกบ่อย ๆ และกําจัดสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายเหล่านั้น เพื่อรักษาความสงบสุขของท้องทะเล!]

[ไอเทมที่แลกเปลี่ยนได้จะยังคงอยู่ พร้อมกับคะแนนการฆ่ามนุษย์เงือก โปรดทราบว่ารายการที่แลกเปลี่ยนได้จะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล]

[ผู้เล่นทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมจะได้รับฉายา ‘นักฆ่ามนุษย์เงือก’]

[หมายเหตุ 1: ‘การล่ามนุษย์เงือกเป็นสิ่งที่น่าเบื่อที่สุด เพราะหัวของพวกมันเหม็นคาวและไม่สามารถใช้ตกแต่งผนังได้’ by มิสตอริน นักยุทธศาสตร์ต่อต้านมนุษย์เงือก A]

[หมายเหตุ 2: ‘เจ้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเกียวทาคุ *ใช่ไหม” by มิสตอริน นักยุทธศาสตร์ต่อต้านมนุษย์เงือก B]

(TL:เกียวทาคุ แปลเป็นไทยว่า “ภาพพิมพ์ปลา” มันคือการนําปลาที่จับได้มาทาหมึกดําและ พิมพ์ตัวปลาลงบนกระดาษ ก่อนจะปล่อยพวกมันกลับลงน้ํา สิ่งนี้คือศิลปะโบราณของญี่ปุ่น)

บทที่ 148 นักบวชชั้นสูงมนุษย์เงือก

เอ็ดเวิร์ดสงบลงมากในการเผชิญหน้าครั้งที่ 2 ของเขากับนักบวชชั้นสูงมนุษย์เงือก และมนุษย์เงือกที่อยู่รอบ ๆ

เควสก่อนหน้านี้ยากเกินไป นั่นเพราะพวกเขาต้องกู้แซฟไฟร์ทะเลกลับมา แต่เมื่อเควสกลายเป็นเควสล่า พวกเขาก็สามารถเริ่มแทะปลาจากขอบเกาะได้

แต่สาเหตุที่การกวาดล้างล่าช้าไปถึง 2 วันแม้จะได้รับการสนับสนุนจากผู้เล่นคนอื่น นั่นก็เพราะพวกเขาต้องเจอกับมนุษย์เงือกระดับอีลิท รวมถึง นักบวชปลากระเบน นักรบฉลาม นักฆ่าปะการัง มือระเบิดฆ่าตัวตายปลาปักเป้า และมัมมีปลาแห้ง จากนั้นพวกเขาก็ต้องกําจัดองครักษ์ส่วนตัวของนักบวชชั้นสูงมนุษย์เงือก และในที่สุดก็มาเผชิญหน้ากับบอสที่เขตกลาง

ขณะนี้มนุษย์เงือกตนหนึ่งกําลังมองผู้เล่นที่ล้อมรอบมันอย่างแน่นหนา มันจับไม้เท้าครีบปลา ขณะที่ใบหน้าสีน้ําเงินของมันดูเคร่งขรึม “มรืออกรี้ (เจ้ากล้าเอาชีวิตข้ารี!)”

“มันพูดอะไร” โกวต้านกระซิบถาม

“ไม่รู้ แต่จากสีหน้าที่มุ่งมั่นของมัน มันอาจต้องการการต่อสู้ที่มีเกียรติ” โจเตา

นักบวชชั้นสูงมนุษย์เงือกเข้าใจภาษามนุษย์ แต่มันไม่สามารถพูดได้ ต้องขอบคุณกล่องเสียงของมนุษย์เงือกที่เป็นเอกลักษณ์ “มรือออ (ข้าไม่ได้พูดแบบนั้น)” มันตะโกนชี้ไปที่โจ

โจดูดีใจที่ถูกชี้ และหันไปพูดกับโกวต้านว่า “ดูสิ มันกําลังบอกว่าข้าพูดถูก!”

ผู้เล่นคนอื่น ๆ คิดว่าโจพูดถูก ขณะที่พวกเขามองฉากที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา และอดไม่ได้ที่จะแสดงความเคารพต่อนักบวชชั้นสูงมนุษย์เงือกที่พวกเขาล้อมอยู่ ความตายเป็นสิ่งที่แน่นอน แต่มันก็ไม่กลัวความตาย มันต้องการต่อสู้กับศัตรูอย่างสมเกียรติจนถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต และตายอย่างวีรบุรุษ นั่นทําให้ผู้เล่นตื่นเต้น

แน่นอนว่าไม่มีทางเปลี่ยนผลลัพธ์ที่มันจะต้องตายในวันนี้ได้

โจจึงดึงนิ้วเท้ายักษ์ซึ่งเป็นอาวุธในตํานานของเขาออกมา “ทุกคนถอยออกไปหน่อย เพื่อเป็นการให้เกียรติมัน ข้าอยากจะสู้กับมันแบบตัวต่อตัว!”

“โจ เจ้าไหวเหรอ” โกวต้านกระซิบอยู่ข้างหลังเขา “มันเลเวลมากกว่าเจ้า 10 ระดับเลยนะ”

“ลูกผู้ชายไม่พูดว่า ‘เป็นไปไม่ได้’! การดวลเป็นความโรแมนติกของนักรบ!”

แต่โจเรียกวิญญาณคู่หูของเขาออกมาทันทีหลังจากนั้น ซึ่งกระตุ้นให้เกิดเสียงโห่ร้องจากโกวต้านและผู้เล่นคนอื่น ๆ “ไหนบอกว่าตัว ๆ!”

“หุบปากไป๊! วิญญาณคู่หูของข้าเป็นส่วนหนึ่งของการดวล ไปซะถ้าเจ้าไม่ชอบ!”

โจเปิดใช้ทักษะดาบปีศาจ ทําให้วิญญาณคู่หมาสิงอยู่ดาบ ก่อนที่เขาจะใช้ท่าสไลด์เฉือนเปิด

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในทักษะหลักของวอร์ริเออร์เพียงไม่กี่อย่าง ที่สามารถใช้ระหว่างที่กําลังเคลื่อนไหวได้ มันจึงเป็นท่าเบิดของเหล่าวอร์ริเออร์เมื่อพวกเขาเข้าสู่สนามรบ

“กริลล์กรือรร์! มรืออกรี้! (เดี๋ยวก่อน ข้ายอมแพ้! ข้าจะพาเจ้าไปยังเมืองมนุษย์เงือกที่ใกล้ที่สุดได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!)”

กลับกัน นักบวชชั้นสูงมนุษย์เงือกไม่ได้นิ่งเฉยอีกต่อไป แต่มันได้ยกไม้เท้าครีบปลาขึ้นด้วยมือทั้งสองข้าง นั่นคือท่าทางการยอมจํานนของมนุษย์เงือก

แต่ไม่มีผู้เล่นคนใดที่สื่อสารกับมนุษย์เงือกเข้าใจ แม้ว่าแต่ละคนจะฆ่ามนุษย์เงือกไปหลายตัวแล้วก็ตาม ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาเห็นคือหัวหน้านักบวชมนุษย์เงือกกําลังยกอาวุธขึ้นพร้อมที่จะโจมตีศัตรูได้ทุกเมื่อ

“นี่เจ้ากําลังบอกว่าเจ้าไม่มีทางยอมจํานนสินะ! เจ้าจะสู้ให้ถึงที่สุด แม้ว่าชีวิตของเจ้าจักมอดไหม?!” โจรู้สึกว่าเลือดของเขากําลังเดือดพล่าน ในตอนนั้นเขาหยุดใช้ทักษะสไลด์เนื้อนที่ซับซ้อนเพื่อสนับสนุนเจตจํานงของมนุษย์เงือกตนนี้ เขาจะใช้ทักษะผ่าปฐผีที่แข็งแกร่งและตรงไปตรงมาแทน “ข้าโจ พอล ยอมรับว่าเจ้าเป็นมนุษย์เงือกที่กล้าหาญ! มาดวลกันอย่างมีเกียรติ!”

บรรยากาศระหว่างทั้งสองหนักหน่วงขึ้นในทันที ขณะเดียวกันแผ่นหลังเล็ก ๆ ของนักบวชชั้นสูงมนุษย์เงือกเต็มไปด้วยความเศร้า

แปะ ๆ ๆ…

โกวต้านเริ่มปรบมือ และในไม่ช้าผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็ตามมาราวกับติดเชื้อจากฉากอันเร่าร้อนตรงหน้าพวกเขา เพื่อปรบมือให้กับมนุษย์เงือกตนสุดท้าย ที่ยอมตายแต่ไม่ยอมแพ้บนเกาะมนุษย์เงือก

ดังนั้นนักบวชชั้นสูงมนุษย์เงือกที่ได้รับความเคารพจากผู้เล่นทุกคน จึงคํารามใส่ใจด้วยความโกรธที่ไม่อาจปฏิเสธอะไรได้ “กร้ากกกกก! กรี๊ดดดดดด! (ไอ้เย็ดแม่! ไอ้เย็ดย่า!)”

“ข้าจําได้ว่าคล็อกกาโตว์เคยพูดว่าเขาพอจะรู้ภาษาปลานะ” เอ็ดเวิร์ดที่เฝ้าดูมาตั้งแต่ต้นรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จากนั้นเขาก็ทุบกําปั้นลงในฝ่ามือขณะที่เขาหันไปมองเอลีน่า

“ตกลง” เอลีน่าที่กําลังกินอมยิ้ม หยิบลูกบอลสีขาวแดงเรียกมนุษย์กบออกมาถาม “คล็อกกาโตว์ มนุษย์เงือกตัวนั้นพูดว่าอะไรเหรอ”

คล็อกกาโตว์ฟังอยู่สักพัก แล้วมองไปที่เอ็ดเวิร์ดอย่างอธิบายไม่ถูก

“ไม่เป็นไร พูดเลย” เอ็ดเวิร์ดให้กําลังใจ

เมื่อสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็เข้าใกล้พวกเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นหูของพวกเขาก็ตั้งขึ้นเพื่อฟังสิ่งที่หัวหน้านักบวชมนุษย์เงือกผู้กล้าหาญพูด

“เอ่อ…” คล็อกกาโตว์พยายามอย่างดีที่สุดที่จะแปลมันเป็นภาษาของมนุษย์ แม้ว่ามันจะไม่เต็มใจก็ตาม “เจ้ามนุษย์เงือกตนนั้นกําลังใช้น้ําเสียงที่หยาบคาย บอกว่าพอลมีความสัมพันธ์แบบผิดผีกับแม่และย่าของเขา…”

คนอื่น ๆ นอกจากเอลีน่าไม่ได้ไร้เดียงสา พวกเขาทั้งหมดจึงเข้าใจได้ทันที

นั่นจึงอธิบายได้ถึงรูปลักษณ์ที่ไม่อาจพรรณนาได้บนใบหน้าของพวกเขา

โจชี้ไปที่หัวหน้านักบวชมนุษย์เงือกด้วยความโกรธที่ไม่อาจระงับได้ “เจ้า! ข้าเชื่อว่าเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่น่านับถือ! ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะพูดจาดูหมิ่นข้าเช่นนี้ วันนี้ข้าจะทําลายเจ้าในนามของเทพเจ้าแห่งเกม!”

นักบวชชั้นสูงมนุษย์เงือกทั้งเศร้าและโกรธมาก มันพุ่งเข้าหาโจอย่างบ้าคลั่ง เหวี่ยงไม้เท้าโดยไม่สนใจจะร่ายเวทย์อะไรทั้งนั้น มันเพียงแค่ต้องการทุบหัวโจเพื่อระบายความโกรธ

ถึงอย่างนั้นโจก็ยังพ่ายแพ้ต่อความต่างชั้นของเลเวล แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากนิ้วเท้ายักษ์ซึ่งเป็นอาวุธระดับตํานานเพราะมนุษย์เงือกตนนี้เป็นบอส

แต่ถึงแม้โจจะตาย มนุษย์เงือกก็จะถูกผู้เล่นฆ่าทิ้งในนามของความยุติธรรมอยู่ดี

แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง นักบวชชั้นสูงมนุษย์เงือกกลับพึ่งพอใจหลังจากที่ได้ฆ่าโจ มันไม่ได้ต่อต้านผู้เล่นที่ฆ่ามัน โชคดีที่มันไม่ได้เห็นโจที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมามองมันอยู่ไม่ไกลด้วยคาถาชุบชีวิตที่ยอดเยี่ยมพร้อมด้วย HP เต็มหลอด ไม่งั้นมันอาจจะตายตาไม่หลับ

หลังจากที่นักบวชชั้นสูงมนุษย์เงือกถูกฆ่า เอ็ดเวิร์ดก็ขมวดคิ้วอย่างสับสน เขารอมาพักหนึ่งแล้ว แต่การแจ้งเตือนของระบบที่ระบุว่าเควสเสร็จสิ้นกลับยังไม่ปรากฏ

นักบวชชั้นสูงมนุษย์เงือกควรเป็นมนุษย์เงือกตนสุดท้ายบนเกาะไม่ใช่หรือ? ทําไมเควสยังไม่จบ

ตอนนั้นเองผู้เล่นคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาว่า “ดูที่ฟอรัม! มนุษย์เงือกตายหมดแล้ว แต่ราชาปูป้อมปราการขนาดมหึมาเพิ่งปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณชายหาด! นั่นคือบอสตัวสุดท้ายของกิจกรรม!”

บทที่ 147 สามสิบปีในเหอตงและสามสิบปีในเหอซี

“เยี่ยม!”

ซีเว่ยกอดแซฟไฟร์ทะเลทั้ง 7 ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขาแล้วกลิ้งไปมาอย่างไม่มีมาดใดๆ “ฉันรวยแล้ว!”

การแสดงที่กํากับเองของเขาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสําเร็จอย่างมาก การแสดงเพียงแค่เงาของเขามีผลอย่างมาก แม้ว่าเทพเจ้ามนุาย์เงือกจะเป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้นและไม่ได้มีอยู่จริง แต่ก็ยังทําให้ผู้เล่นทุกคนในหมู่บ้านมนุษย์กบตกตะลึง

ใช่มันเป็นภาพลวงตา ซีเว่ยยังกําหนดพื้นที่แสดงผลไว้ภายในหมู่บ้านมนุษย์กบเท่านั้น เพื่อเซฟพลังงานเทพเจ้าและมีเพียงผู้เล่นที่นั่นเท่านั้นที่ได้เห็นมัน

มันง่ายกว่าที่จะทําให้ผู้เล่นเชื่อว่า HP ของพวกเขาลดลง ด้วยการควบคุมระบบในมือของเขามีอะไรจะง่ายไปกว่าการปรับค่าเหล่านั้นล่ะ?

และด้วยการแสดงสั้น ๆ ซีเว่ยก็หลอกล่อเอาแซฟไฟร์ทะเลมาจากผู้เล่นได้

อะไร การแสดงสั้นเกินไปและไม่เพียงพอสําหรับคุณ? ไร้สาระ! CG ก็ต้องการพลังงานเทพเจ้าเหมือนกันนะ!

ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าเทพสมุทรได้รับแซฟไฟร์ทะเลมาจากไหน อัญมณีเหล่านี้ไม่ทนทานเลย และอาจถูกทําลายได้ง่าย ๆ หากผู้เล่นธรรมดาโจมตีมันเต็มแรง แต่มันก็สามารถทําหน้าที่เป็นวัสดุบรรจุพลังงานเทพเจ้าได้มหาศาลดังเช่นกะโหลกของเทพเจ้ากระดูกเน่า

ถึงอย่างนั้นตาสมุทรก็มีอยู่จริง แต่มันเป็นเพียงพอร์ทัลที่เชื่อมต่อกับแผ่นเปลือกโลกใต้ทะเลที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

แตกต่างจากซีเว่ยที่สามารถใช้พลังสร้างพอร์ทัลอย่างไลฟ์สโตนขึ้นมาได้ อํานาจของเทพสมุทรไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพอร์ทัลเลย ความจริงพอร์ทัลนั้นเป็นทั้งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติรวมกับเวทมนตร์ที่เป็นหนึ่งในอํานาจของเมจิกไวโอเล็ต หนึ่งในเทพบิดรทั้ง 7 ซึ่งเป็นศัตรูของเทพสมุทรในสงครามเทพเจ้า

ควบคู่ไปกับการขัดขวางของบาเรียโลกเทพสมุทรจึงได้สร้างตาสมุทรขึ้นมา เหนือเกาะมนุษย์เงือกด้วยพลังของเธอเอง ด้วยเหตุนี้จึงเกิดพอร์ทัลหลอก ๆ ที่เจาะช่องว่างเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการ ‘เทเลพอร์ต’ ขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ต้องใช้พลังงานเทพเจ้าของเธอเป็นจํานวนมาก

และแซฟไฟร์ทะเลทั้ง 7 ก็คือแบตเตอรี่ที่ใช้ในการขับเคลื่อนพอร์ทัลนี้

เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็คือหากอํานาจของเมจิกไวโอเล็ทเหนือพอร์ทัล เป็นเหมือน กําแพงที่ผ่านไปไม่ได้ และหากคุณต้องการเทเลพอร์ต คุณก็ต้องเจาะผ่านมันไป สิ่งที่ซีเว่ยทําคือการใช้อํานาจในการข้ามของเขา แอบเปิดประตูจากอีกด้านของกําแพงในขณะที่เทพสมุทรนําถัง บรรจุระเบิดมาทําลายกําแพงของเมจิกไวโอเล็ตโดยตรง

จากจุดนี้เพียงอย่างเดียวเราจะเห็นได้ว่าทําไมแม้แต่อัสลานก็ยังตั้งชื่อเล่นให้เธอว่าผู้หญิงบ้า

เนื่องจากพลังที่แท้จริงของเทพสมุทรนั้นแตกต่างจากเขา ซีเว่ยจึงมีปัญหาในการดูดซับพลังงานในแซฟไฟร์ทะเล

แต่หลังจากการสัมผัสเพียงเล็กน้อย เขาก็พบว่าพลังภายในอัญมณีไม่ได้รุนแรง

แม้ว่าแซฟไฟร์ทะเลที่ทําหน้าที่เป็นภาชนะ จะถูกทําลายโดยพลังภายนอก พลังศักดิ์สิทธิ์ที่รั่วไหลก็จะสลายหายไปโดยไม่มีการระเบิดแต่อย่างใด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถดูดซับพลังของเทพสมุทรได้

แต่เขายังสามารถใช้มันเป็นแบตเตอรี่ได้ เขาสามารถเปิดตาสมุทรและปล่อยให้มนุษย์เงือกบางตนผ่านมาได้

นั่นอาจเป็นเพราะเทพสมุทรมองว่าซีเว่ยจะต้องกลายเป็นเทพย่อยของเธอ ไม่ว่าเขาจะผ่านการทดสอบหรือไม่ก็ตาม และนั่นหมายถึงผู้ศรัทธาของเขาจะกลายเป็นของเธอ เธอจึงไม่สามารถให้พลังของเธอระเบิดใส่ผู้ศรัทธาที่ทรงพลังเหล่านั้นที่สามารถค้นหาและได้รับแซฟไฟร์ทะเลได้

ยิ่งไปกว่านั้นตาสมุทรก็ไม่ใช่เทเลพอร์ตทั่วไป ซึ่งหมายความว่าพลังที่ใช้ในการเทเลพอร์ต จะคงที่ไม่ว่าจะเป็นการเทเลพอร์ตทาสมนุษย์เงือก หรือผู้นํามนุษย์เงือกก็ตาม

หากพลังงานเทพเจ้า 1 แต้มเป็นค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายมนุษย์เงือกหนึ่งตน แซฟไฟร์ทะเลทั้ง 7 มีพลังอยู่ประมาณ 980,000 แต้ม…คุณภาพและปริมาณที่มันมีเหนือกว่าพลังงานเทพ เจ้าของซีเวียด้วยซ้ํา

เมื่อเขาคิดว่าเทพสมุทรสามารถทิ้งพลังงานเทพเจ้ามากมายขนาดนี้เพื่อทดสอบเขา ซีเว่ยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา

แต่โชคดีที่เขาไม่ได้คิดอะไรโง่ ๆ แบบเดียวกับเทพเจ้ากระดูกเน่าที่ยังคงอยู่ในเครื่องปั่น

ตราบใดที่เขายังปล่อยให้มนุษย์เงือกบางตัวผ่านมาอย่างต่อเนื่อง และเรียกผู้เล่นมาฟาร์มปลาและสังเวยมันให้เขา นั่นไม่ได้หมายความว่า เขาจะเปลี่ยนพลังงานเทพเจ้าของเทพสมุทรให้เป็นพลังงานของเขาได้อย่างรวดเร็วหรือ!

“ฉันจะปล่อยมนุษย์เงือกวันละ 100 ตัว และฉันจะอยู่ได้ 9,800 วันด้วยพลังงานเทพเจ้าใน แซฟไฟร์ทะเล นั่นเท่ากับ 20 ปี..ไม่สิ โลกนี้มี 320 วันต่อปี หมายความว่ามันจะใช้งานได้ถึง 30

ถ้าซีเว่ยมีดวงตา ดวงตาของเขาอาจกลายเป็นรูปดอลลาร์ในตอนนี้ “โอ้ววววววววว!”

30 ปีอาจเท่ากับการสะบัดนิ้วของเทพเจ้าที่มีชีวิตอยู่เกือบชั่วนิรันดร์ แต่ซีเว่ยเชื่อมั่นว่า ถ้าเขาสามารถแขวนอยู่บนขอบของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ได้โดยไม่ตายในอีก 30 ปี เขาจะไม่มีทางแพ้เทพเจ้าองค์ใด

ตามคํากล่าวเก่า ๆ ที่ว่ากันว่า: 30 ปีในเหอตงและ 30 ปีในเหอซี อย่ารังแกลูกบอลเรืองแสงเพียงเพราะว่ามันดูอ่อนแอ

“เวลา 30 ปี การขึ้นสู่ตําแหน่งเทพบิดรจากเทพที่อ่อนแอเป็นเพียงเป้าหมายเล็ก ๆ เท่านั้น! ฉันไม่เชื่อว่าเทพสมุทรจะยังสามารถกลั่นแกล้งฉันได้อีกในตอนนั้น! ถ้าเธอทําได้จริงๆ ฉันจะอ่านชื่อตัวเองกลับหลัง!”

แต่อนาคตที่สดใสยังมาไม่ถึง นั่นคือเหตุผลที่ซีเว่ยต้องซ่อนตัวอยู่ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขาต่อไป เพื่อทําให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น

ท้ายที่สุดแล้ว การปีนต้นไม้แห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในโลกนี้นั้นไร้ประโยชน์ เพราะสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ที่มีอํานาจทางฟิสิกส์หรือเคมีอาจมีอาการท้องผูกชั่วขณะ และเทคโนโลยีที่สะสมมาตลอดหลายทศวรรษก็จะถูกยกเลิก นั่นหมายความว่าพลังงานเทพเจ้านั้นน่าเชื่อถือกว่า

“พูดไปแล้ว การเคลื่อนไหวของผู้เล่นช้าไปหน่อยรึเปล่า นี่ก็ผ่านมา 2 วันแล้ว ทําไม เกาะมนุษย์เงือกถึงยังไม่ถูกกวาดล้างอีก ฉันควรเทคาปูชิโนให้ทุกคนคนละแก้ว แล้วปล่อยให้พวกเขาโต้รุ่งกันดีไหมเนี่ย” ซีเว่ยพึมพําอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่เปิดใช้งานดวงตาเทพเจ้าเพื่อมองไปที่ดินแดนด้านล่าง “ฉันทําเวอร์ชั่นใหม่เสร็จแล้ว รีบหน่อย”

บทที่ 146 การแสดงที่กํากับเอง

ซีเว่ยมองดูเวลาหลังจากเขียนสคริปต์เสร็จ และพบว่าเกือบถึงเวลาที่เขาต้องใช้พลังในการข้ามโลกแล้ว

“แม้ฉันจะไม่สามารถแทรงแซงบททดสอบได้โดยตรง แต่ถ้าผู้ศรัทธาของฉันพบแซฟไฟร์ทะเลและต้องการสังเว่ยมันเพื่อฉันอย่างจริงใจ นั่นก็คงจะไม่เป็นไร!!”

ดังนั้นซีเว่ยจึงเริ่มการกํากับและแสดงเอง ที่เขาเตรียมการมาระยะหนึ่ง

ขณะนี้ไม่ใช่แค่ทีมทั้ง 7 ที่พบแซฟไฟร์ทะเลเท่านั้นที่นั่งอยู่ในหมู่บ้านมนุษย์กบ ผู้เล่นหลายคนที่ได้เห็นโพสต์สปอยเควส ก็หยุดกําจัดมนุษย์เงือกชั่วคราวและวิ่งมาชมเรื่องสนุกที่นี่

หากปราศจากการแทรกแซงของเจ้าแห่งกาลเวลาและอวกาศ เวลาของเทพก็เท่ากับสิ่งมีชีวิตทุกตนบนโลก

ดังนั้นในขณะที่ผู้เล่นทุกคนเฝ้าดูตัวจับเวลานับถอยหลัง จนในที่สุดมันก็กลายเป็นศูนย์

ในช่วงเวลาถัดไป แซฟไฟร์ทะเลในมือของผู้ถืออัญมณี ก็เปล่งแสงสีน้ำเงินที่พุ่งตรงขึ้นสู่ท้อง

จากนั้นท้องฟ้าที่เดิมถูกปกคลุมไปด้วยเมฆ ก็กลายเป็นสีดํา และมีสายฟ้าสีม่วงน้ำเงินแลบผ่านระหว่างกลุ่มเมฆอย่างต่อเนื่อง

ผู้เล่นสามารถเห็นบางอย่างที่มีรูปร่างคล้ายงูขนาดมหึมาลอยอยู่เหนือก้อนเมฆอย่างเลือนราง

“นั่นอะไร? เกิดอะไรขึ้น?” เอ็ดเวิร์ดมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยความงุงงง

จากนั้นแซฟไฟร์ทะเลในมือเขาก็ลอยขึ้นไปในอากาศ

แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด

“โอ้วววว! ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหนีไป!” ทรอสเช่กําแซฟไฟร์ทะเลของเขาแน่น และกดน้ำหนักทั้งหมดของเขาเพื่อหยุดไม่ให้มันบินหนีไป

“พี่ใหญ่! พี่ใหญ่ทรอสเช่!” ซิลวาก็กอดเท้าของทรอสเชไว้แน่นเพื่อเพิ่มน้ำหนัก

“ข้าคิดว่าปล่อยมันไปตอนนี้ดีกว่านะ” เทอร์รี่กระซิบบอกพวกเขา

“ไม่ นี่ต้องเป็นกลอุบายของเทพในมหาสมุทรผู้ชั่วร้าย ที่ต้องการเอาอัญมณีไปจากเรา!” ทรอสเช่ตะโกน

ผู้เล่นจ้องไปที่ทั้งคู่ราวกับว่าพวกเขากําลังดูคนโง่

นี่คือความต่อเนื่องของเควส สิ่งที่พวกเขากําลังทํานั้นไม่จําเป็นเลย

ในที่สุดแสงสีน้ำเงินจากแซฟไฟร์ทะเลของทรอสเช่ก็ระเบิดออกมา และส่งทั้งสองบินลอยขึ้นไปในอากาศพร้อมกับแซฟไฟร์ทะเลชิ้นอื่น ๆ ที่หายไปในกลุ่มเมฆ

ขณะที่ผู้เล่นกําลังคิดว่ามันจบลงแล้ว ร่างราง ๆ ที่เหมือนงูยักษ์ในก้อนเมฆก็คํารามออกมาจนผู้เล่นทุกคนต้องยกมือขึ้นปิดหู แต่ในไม่ช้า พวกเขาก็พบว่าการเอามือปิดหูนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลย แถบ HP ของพวกเขายังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง!

“มันเป็นแค่เสียงคําราม แต่เรากลับไม่สามารถต้านทานมันได้เลย.นี่มันอะไร?” เจ้าหญิงลีอาถามด้วยความเจ็บปวด

“ข้าคือเทพเจ้ามนุษย์เงือก ผู้รับใช้เทพสมุทรผู้ยิ่งใหญ่ เจ้ากล้าทําร้ายผู้ศรัทธาของข้าได้อย่างไร! ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้หมดทุกคนหลังจากที่ข้าได้รับแซฟไฟร์ทะเล!”

เวร มันเป็นศัตรูที่เป็นพันธมิตรกับเทพสมุทรจริง ๆ เหรอ?

สายตาของทุกคนเต็มไปด้วยความเคารพ ขณะที่พวกเขาหันไปมองคู่หคู่ฮาอย่างเทรอสเช่กับซิลวา

มีเพียงลีอาผู้รอบรู้เท่านั้น ที่พบว่าสถานการณ์ตอนนี้ดูแปลกไปสักหน่อย มนุษย์เงือกไม่ได้ศรัทธาในเจ้าแห่งคลื่นรึ? เหตุใดเทพเจ้าประจําเผ่าพันธุ์จึงปรากฏตัวขึ้น?

เทพเจ้ามังกร*…แค่ก เสียงของเทพเจ้ามนุษย์เงือกนั้นทรงพลังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนผู้เล่นต้องสูญเสีย HP แม้ว่านี่จะเป็นเพียงการสนทนาธรรมดาก็ตาม

(เทพเจ้ามังกรจากดราก้อนบอล)

คลาสที่บอบบางกว่า และมือใหม่บางคนเหลือ HP เพียงเศษเสี้ยว พวกเขากําลังจะตาย

แต่ในขณะที่ผู้เล่นกําลังเผชิญกับช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด แสงสีขาวก็ส่องลงมาที่อีกฟากหนึ่งของท้องฟ้า

ความสว่างนั้นพุ่งผ่านเมฆหนา และทําให้ท้องฟ้าสว่างขึ้นครึ่งหนึ่งอย่างง่ายดาย ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากท้องฟ้าที่มีเมฆครึมและฟ้าแล่บอีกด้านหนึ่ง

แสงนั้นอบอุ่นเหมือนดวงอาทิตย์ อ่อนโยนราวกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ และเต็มไปด้วยชีวิต

ผู้เล่นตระหนักว่า HP ของพวกเขาไม่ได้ลดลงอีกต่อไป ขณะเดียวกัน ผู้เล่นบางคนที่สายตาดีก็สังเกตเห็นลูกกลม ๆ ที่เลือนรางด้านหลังเมฆ

นั่นอาจจะเป็นเทพเจ้าแห่งเกมใช้ไหม? ผู้เล่นบางคนจํารูปปั้นของเทพเจ้าที่หุบเขาแห่งความตายได้ ด้วยการคาดเดานี้ เมื่อพวกเขาคิดว่าเทพเจ้าของพวกเขาเป็นลูกบอล แต่ละคนก็รู้สึกผิดหวังนิด ๆ

“ไปซะ!”

ลูกบอลเรื่องแสงร้องออกมาดัง ๆ ทําให้เมฆมืดอีกฟากหนึ่งจางหายไปทันที เหมือนหิมะในฤดูหนาวที่กระทบกับดวงอาทิตย์ เงาคดเคี้ยวขนาดมหึมาที่อยู่เบื้องหลังเมฆ ดูเหมือนจะเจ็บปวดอ างมาก มันตะโกนออกมาว่า ‘ม่ายย!” ในขณะที่มันเหี่ยวเฉาและหายไปอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้าท้องฟ้าส่วนนั้นก็กลับคืนสู่สภาพอากาศปกติในฤดูหนาว

หากแถบ HP ของพวกเขาไม่ได้ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ผู้เล่นคงเชื่อว่าพวกเขากําลังตาฝาด

ในขณะเดียวกัน ร่างกลม ๆ ก็ขยับส่วนหนึ่งของตัวมันเองที่ดูเหมือนมือ และจุดแสงสีน้ำเงิน 7 จุดก็ลอยออกมาจากก้อนเมฆ

จุดแสงสีน้ำเงินเริ่มหมุนวนเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะหลอมรวมเป็นรัศมีสีฟ้าขนาดใหญ่ในที่สุด จากนั้นมันก็พุ่งออกจากร่างกลม ๆ ของลูกบอลไปยังตาสมุทร ที่ใจกลางเกาะมนุษย์เงือก!

ขณะที่แสงสีน้ำเงินพุ่งเข้าหาตาสมุทร มันก็กลายเป็นวงกลมเวทย์มนตร์ขนาดมหึมาเข้าครอบคลุมตาสมุทร (น่าแปลก ที่มนุษย์เงือกที่อยู่ด้านล่างกําลังเดินไปมาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น) ก่อนจะจางหายไปอย่างช้า ๆ

จากนั้นลูกบอลแห่งแสงก็หายไปเช่นกัน และผู้เล่นก็ไม่เคยได้เห็นรูปร่างที่แท้จริงของมันตั้งแต่ต้นจนจบ

ไม่นานผู้เล่นก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบ

[ติ้ง!]

[กิจกรรมว่ายน้ำฤดูหนาว: รุ่งอรุณแห่งเกาะมนุษย์เงือก เฟส 3]

[รายละเอียดกิจกรรม: เทพเจ้าแห่งเกมผู้ยิ่งใหญ่และสูงส่ง ได้ขับไล่เทพเจ้ามนุษย์เงือกและใช้แซฟไฟร์ทะเลเพื่อปิดผนึกตาสมุทร ทําให้มนุษย์เงือกไม่อาจบุกรุกแผ่นดินได้อีกต่อไป ถึงอย่างนั้นมนุษย์เงือกจํานวนมากก็ยังคงอยู่บนเกาะ และยังเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ต่อหมู่บ้านมนุษย์กบ! โอ้ ผู้เล่นที่กล้าหาญ ตอนนี้ถึงเวลาที่จะแสดงความกล้าหาญของเจ้าเพื่อกวาดล้างมนุษย์เงือก!]

[รายละเอียดกิจกรรม: เคลียร์สัตว์ประหลาดทุกตัวบนเกาะมนุษย์เงือก นอกจากการดรอปไอเทมแลกเปลี่ยนตามปกติแล้ว สัตว์ประหลาดแต่ละตัวที่ถูกกําจัด จะให้คะแนนเคลียร์ 1 ถึง 10 แต้ม ตามระดับพลังของสัตว์ประหลาดตนนั้น และเมื่อกิจกรรมเฟส 3 จบลง ผู้เล่นที่มีคะแนนเคลียร์สูงสุด จะได้รับไอเทมสีทองในตํานาน มนุษย์เงือกต้องตาย]

ผู้เล่นที่อยู่ใน 10 อันดับแรก จะได้รับรางวัลเป็นไอเทมสีม่วงหายาก ดาบครีบปลาเคลือบพิษ” และผู้เล่นที่ติด 30 อันดับแรก จะได้รับไอเทมสีน้ำเงิน หมวกมนุษย์เงือก (สไตล์ปลาโลมา)]

[หมายเหตุ: นี่ไม่ใช่การล้างเผ่าพันธุ์ แต่เป็นเพียงการทําความสะอาดแมลงสาบที่แพร่พันธุ์มากเกินไปในบ้าน ดังนั้นอย่าจริงจังเกินไป By.มิสตอริน นักยุทธศาสตร์ต่อต้านมนุษย์เงือก]

ในช่วงเวลาที่คล็อกกาโตว์กลืนแซฟไฟร์ทะเลลงไปนั้น อัญมณีก็เป็นของพวกเขาแล้ว

เพราะไม่มีใครเคยเห็นว่าผู้เล่นคนไหนจะทิ้งกอง เอาไว้เมื่อศพของพวกเขาหายไป ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าซีเวียสร้างฉากฮาร์ดคอร์นี้ขึ้นมา ลานที่มีการต่อสู้กับอัครมุขนายกกระดูกเน่าก็คงจะมีกลิ่นเหม็นยิ่งกว่าหลุมมูลสัตว์

และหากพวกเขาสร้างหลุมขี้ขึ้นมาหนึ่งหลุมในทุกการต่อสู้ครั้งใหญ่ แม้ว่าซีเว่ยจะขึ้นเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ด้วยความพยายามของผู้เล่น มันก็จะไม่มีเทพเจ้าองค์ใดเชื่อเขา เมื่อเขาแนะนําตัวเองว่าเขาเป็นเทพเจ้าแห่งเกม..

ดังนั้นในฐานะที่คล็อกกาโตว์เป็นคู่หูของเอลีน่า มันจึงได้รับสืบทอดระบบที่ยอดเยี่ยมของผู้เล่นมาโดยธรรมชาติ ซึ่งนั่นจะช่วยป้องกันไม่ให้มันทิ้งซากเอาไว้เรี่ยราด และในไม่ช้ามันก็จะกลับมาพร้อมกับแซฟไฟร์ทะเล

แต่ปัญหาคือ ระบบได้ตัดสินว่าปาร์ตี้ของเอ็ดเวิร์ดยังไม่ได้รับแซฟไฟร์ทะเล

เห็นได้ชัดว่าแซฟไฟร์ที่อยู่ในท้องของคล็อกกาโตว์ไม่ได้ถูกยอมรับจากระบบ และเควสจะสําเร็จได้ก็ต่อเมื่อมันอยู่ในมือหรือในกระเป๋าของผู้เล่นเท่านั้น

ดังนั้นเอ็ดเวิร์ดจึงทําได้เพียงรอจนกว่าคล็อกกาโตว์จะทิ้งทุนระเบิดที่แนวปะการังเสร็จ ก่อนที่เขาจะเข้าไปขุดเอาแซฟไฟร์ทะเลกลับมา

ด้านข้าง โกวต้านกําลังถ่ายภาพ และตั้งชื่อโพสต์ว่า “อัญมณีท่ามกลางกองอึ” ก่อนที่จะอัปโหลดภาพนั้นลงไปในฟอรัม

โพสต์นี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ผู้เล่น และแพร่กระจายออกไปพร้อมๆ กับ “โคตรหลอน” ซึ่งเป็นภาพของโจแต่งหญิง แม้เรื่องนี้จะผ่านไปนานแล้ว ผู้เล่นเก่า ๆ ก็ยังแชร์โพสต์นี้กับผู้เล่นใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้โพสต์นั้นเลือนหายไป ดังนั้นจึงทําให้มีผู้เล่นใหม่ตกเป็นเหยื่อของโพสต์นี้ทุกวัน

ในทางกลับกัน โกวต้านก็ได้รับผลกระทบจากการตอบรับอันอบอุ่นของผู้เล่น และค่อย ๆ ย่ำเท้าลงไปในเส้นทางของปาปารัสซี่อย่างช้า ๆ แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องราวในอนาคต

ในที่สุดเอ็ดเวิร์ดก็พบแซฟไฟร์ทะเล โดยที่ไม่รู้ว่าชื่อเสียงของเขาได้ถูกทําลายไปแล้วเรียบร้อย

แม้ว่าพวกเขาจะเสียเวลาไปมากในการค้นหาและขโมยอัญมณี แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นผู้เล่นคนแรกที่ได้มันมา นอกจากรางวัล EXP และเหรียญเกมแล้ว ซีเว่ยก็ยังมีการถ่ายทอดสดแบบพิเศษฉายผ่านระบบ ด้วยเหตุนี้มันจึงได้กระตุ้นให้ผู้เล่นคนอื่น ๆ ออกค้นหาอัญมณีที่เหลือ และยังเตือนให้ผู้เล่นหลายคนตระหนักว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รับอัญมณีกลับมา

อย่างไรก็ตาม โชคดีที่ไม่ใช่แค่ปาร์ตี้ของเอ็ดเวิร์ดเท่านั้นที่ทํางานหนัก ด้วยอัญมณีแรกที่พวกเขาได้มา อัญมณีอีก 6 ชิ้นก็ได้ถูกค้นพบใน 5 วันถัดมา

เจ้าหญิงนักรบลีอาและทหารองครักษ์ของเธอ สามารถเอาชนะเต่าหิน และได้รับแซฟไฟร์ทะเลชิ้นที่ 2 ที่เขตภูเขา

ก่อนตาย มาร์นี่ก็กระชากแซฟไฟร์ชิ้นที่ 3 จากอัศวินมนุษย์เงือก (ซึ่งขอยู่บนปูเสฉวนขนาดยักษ์) ได้ที่เขตปา

เมื่อจอม เทอร์รี่ และโจอี้ที่ต้องการเป็นพ่อของพวกเขา กําลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับมัมมีปลา แห้ง สุนัขของพวกเขาก็ขุดเจอแซฟไฟร์ชิ้นที่ 4 ได้ที่เขตทะเลทราย

ซอนหยานกรงเล็บเทา นํากลุ่มมือใหม่สะดุดเข้ากับรังของกริฟฟินทะเลในเขตทุ่งหญ้า ก่อนที่กริฟฟินทะเลจะกินมือใหม่ที่น่ารักทุกคนจนเกลี้ยง ซอนหยานก็ได้พบแซฟไฟร์ทะเลชิ้นที่ 5 ในรัง

ภายใต้คําสั่งของแองโกร่า วีลาก็ได้นํากลุ่มผู้เล่นมากประสบการณ์บุกลึกเข้าไปในปา พวกเขาเอาชนะดรูอิดมนุษย์เงือก และได้รับแซฟไฟร์ทะเลชิ้นที่ 6 มา

เทรอสเช่(อ้วน) และซิลวา(ผอม) พบแซฟไฟร์ทะเลชิ้นที่ 7 โดยบังเอิญ ตอนที่พวกเขานั่งกินปูอยู่ที่ชายหาด

หลังจากพบแซฟไฟร์ทะเลทั้งหมดแล้ว ผู้เล่นที่ได้รับพวกมันก็ได้รับเควสใหม่จากระบบ: กลับไปที่หมู่บ้านมนุษย์กบภายในเวลาที่กําหนด

หากพวกเขาเป็นผู้เล่นบนโลกอาจมีบางคนที่เพิกเฉยต่อเควส เพื่อดูว่ามันจะส่งผลกระทบต่อเนื้อเรื่องหรือไม่

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นในโลกนี้ล้วนแต่ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม และระบบก็เป็นพรที่พวกเขาได้รับมาจากซีเว่ย นั่นหมายความว่าเควสจากเบื้องบน ก็ไม่ต่างจากวิวรณ์ของเทพเจ้า หากมันเป็นเควสเดี่ยวหรือเควสทั่วไปพวกเขาอาจจะเพิกเฉยได้ แต่เมื่อเควสมีเวลาจํากัด ผู้เล่นก็จะเลือกทําตามคําแนะนําโดยธรรมชาติ

สุดท้าย เมื่อกลุ่มคนทั้ง 7 กลับมารวมตัวกัน เวลาก็ยังเหลืออีกครึ่งชั่วโมง ทุกคนสามารถเดาได้ว่าจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นหลังจากหมดเวลา

เนื่องจากผู้เล่นระดับสูงทุกคนเป็นสหายที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว พวกเขาบางคนเคยทํางานร่วมกันมาไม่มากก็น้อย และไม่ใช่คนแปลกหน้า พวกเขาทั้งหมดจึงนั่งลงและเริ่มพูดคุยกัน

“ผู้เล่นทุกคนที่มารวมตัวกันที่นี่คือผู้เล่นชั้นยอด ข้าคิดว่าทุกคนคงได้ผ่านการต่อสู้เฉียดตายเพื่อให้ได้มาซึ่งอัญมณีที่เป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศนี้” เทรอสเช่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ทุกคนเก่งมาก ดังนั้นไม่ต้องเกรงใจ พูดได้ตามสบายเลย!”

ซิลวาตัวผอมพยักหน้าอยู่ข้าง ๆ “อย่างที่พี่เทรอสเช่พูด มันยากมากที่จะกินปจนหมด ข้าเริ่มเจ็บกรามแล้ว!”

“…”

เอ็ดเวิร์ดตากระตุก

“พวกเจ้า 2 คนที่แค่นั่งกินปูแล้วได้อัญมณีมา ไม่มีสิทธิจะพูดที่สุดแล้ว!”

เมื่อเอ็ดเวิร์ดคิดถึงตอนที่ปาร์ตี้ของเขายืนหยัดต่อสู้กับมนุษย์เงือกเกือบหมื่นตัว และเหตุการณ์นั้นยังได้ทิ้งเงาทางจิตใจให้กับโจและเจสสิก้า แถมเขายังต้องไปนั่งเขียอีกบหาอัญมณี เขาก็อดไม่ได้ที่จะปวดใจ

“แม้ว่าเควสนี้อาจจะยากไปสักหน่อย แต่การล่าสัตว์ประหลาดในเขตต่าง ๆ ก็สนุกมาก แถมยังได้รับ EXP เยอะมากด้วย!” จอมพูดอย่างตื่นเต้น “ด้วยรางวัลจากเควสนี้ เลเวลข้าเพิ่มขึ้น 9 เลเวล เหลืออีกเพียง 10% ข้าก็จะเลเวล 40!”

ผู้เล่นคนอื่น ๆ เห็นด้วย และพูดคุยเกี่ยวกับเลเวลของพวกเขาอย่างมีความสุข

มาร์นี้ปิดหน้าตัวเองอย่างเงียบ ๆ หลังจากเหลือบไปเห็นเลเวลและแถบ EXP ของเขา และไม่พูดอะไรด้วยความโศกเศร้า หากเขาไม่ได้รับรางวัลจากอัญมณี เขาอาจจะเลเวลลดลง 1-2 เลเวลไปแล้ว

“แม้ว่าไอเทมที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ในกิจกรรมนี้จะค่อนข้างธรรมดา เมื่อเทียบกับกิจกรรมบุกลัทธิกระดูกเน่าครั้งที่แล้ว แต่ก็ยังมีของดี ๆ หากเราเอาชนะสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งได้…เช่นอันนี้ ไอเทมหายากสีม่วง โล่เต่ายักษ์” เจ้าหญิงลีอาเริ่มแบ่งปันความคิดของเธอเกี่ยวกับกิจกรรมนี้

ซอนหยานกรงเล็บเทาจ้องมองไปที่หมวกมนุษย์เงือก ที่มีรูปร่างเหมือนหัวปลาในกระเป๋าของเขา และได้แต่นิ่งงัน เขาไม่อยากจะคุยเรื่องนี้เลย

ภายใต้สถานการณ์นี้ ทุกคนที่คุยกันอยู่ก็เข้าใจว่าคนที่นั่งเงียบกําลังคิดอะไรอยู่ ไม่ช้าการสนทนาก็หยุดลง และทั้งกลุ่มก็เข้าสู่ช่วงเดดแอร์

บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นมาทันใด

เกือบทุกคนกําลังกรีดร้องอยู่ใจในว่า

“เชี่ย ทําไมเรายังส่งเควสไม่ได้!”

บทที่ 144 ข้าจะกลับมา!

“เจสสิก้าข้าจําได้ว่าเจ้ามีชุดนักเต้นใช้ไหม”

เอ็ดเวิร์ดหันไปหาเครลิคสาวที่คอยติดตามทุกคนอย่างเงียบ ๆ

“ใช่ ข้ามี…” เจสสิก้าสะดุ้งเพราะเธอไม่คิดว่าเอ็ดเวิร์ดจะคุยกับเธอ แต่เธอก็ตอบอย่างรวดเร็ว “แต่นั้นเป็นไอเทมของนักสะสม ข้าทําเควสเพื่อเติมเต็มคอลเลกชันของข้า มันไม่ได้มีบัฟค่าสถานะอะไร”

“ชุดนักเต้นนั้นดูดีไหม” เอ็ดเวิร์ดถามตรง ๆ

“เอ๋?” เด็กสาวตามความคิดของเอ็ดเวิร์ดไม่ทัน เธอจึงตอบด้วยใบหน้าแดงก่ำ “งืออ…ไม่ใช่เรื่องที่ว่ามันดูดีไหม แต่มันมีผ้าน้อยชิ้นเกินไปนั่น ไม่ใช่อะไรที่จะใส่ให้คนอื่นเห็นได้!”

ความจริงแล้วเจสสิก้าทําเควสคอลเลคชั่นสําเร็จเพียงเควสเดียว เหตุผลที่เธอทําเควสนี้ก็เพราะว่าเธอพบผู้เล่นหญิงที่แต่งงานแล้วคนอื่น ๆ พูดว่าชุดนี้เป็นที่ถูกใจคู่รักของพวกเธอมาก เธอจึงออกไปทํามันด้วยความอยากรู้อยากเห็น และด้วยความหวังที่ไร้เดียงสา

สุดท้ายเมื่อเธอทําเควสเสร็จ และได้เห็นชุดนักเต้นที่เปิดเผย และมีท่อนบนโปร่งใส เด็กสาวจากหมู่บ้านชนบทก็เกือบจะตายด้วยความอับอาย

เธอไม่กล้าแม้แต่จะใส่ชุดนี้ไว้ในตู้เสื้อผ้าในห้องของเธอ เพราะกลัวว่าจะมีใครมาเห็น ด้วยเหตุนี้เธอจึงยัดชุดนั้นไว้ใต้กระเป๋าเธอ (ชุดนั้นแทบจะไม่มีผ้าเลย ดังนั้นมันจึงไม่เปลืองพื้นที่ใด ๆ) แม้ว่าเธอจะลําบากใจที่จะใส่มันแต่ชุดนี้ก็สวยมากและเธอก็ค่อนข้างชอบมัน

อีกอย่างผู้เล่นชายก็มี “ชุดเจ้าชาย” เป็นชุดคู่ของชุดนักเต้นในหน้าคอลเลกชัน และมันก็ดูดีเช่นกัน แต่มันหนักถึง 12 กิโลกรัม นั่นรวมทั้งเครื่องประดับและตราที่ติดมาด้วย มันจึงดูเทอะทะราวกับเกราะหนัก ซึ่งทําให้มันกลายเป็นไอเทมดีบัฟในตัวเอง เช่นเดียวกับหมวกปลาที่ไม่เป็นที่นิยม

“เยี่ยมมาก!” เอ็ดเวิร์ดดีใจ

ปฏิกิริยาของเขาทําให้เจสสิก้าประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม และเธอรู้สึกเหมือนจะเป็นลมขณะที่เลือดไหลขึ้นสมอง และหัวใจเต้นแรง

เป็นไปได้ไหมว่า เอ็ดเวิร์ดเขา…

“เอาชุดนั้นให้โจใส่ เอ็ดเวิร์ดพูด

เด็กสาวหัวใจหยุดเต้นทันที

“อะไร?” เจสสิก้า

“?????” โจ

“ถ้าข้าเดาไม่ผิด…” เอ็ดเวิร์ดไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าแปลก ๆ ของเจสสิก้า และยิ้มราวกับว่าเขามีทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม “พวกมนุษย์เงือกน่าจะชอบกล้ามอกหรือไม่ก็เหยื่อที่อ้วนกว่า นั่นคือเหตุผลที่คนอื่น ๆ ไม่สามารถล่อพวกมันออกมาได้ นอกจากโจ!”

เจสสิก้าเหลือบมองไปที่หน้าอกอันแข็งแกร่งของโจ และมองลงไปที่หน้าอกของเธอเอง

[ระบบ: เจสสิก้าตรวจดูหน้าอกของตัวเอง แต่ไม่พบอะไรเลย]

“…”

จู่ ๆ เจสสิก้าก็รู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมา

10 นาทีต่อมา

เมื่อโกวต้านกลับมายังที่หลบภัยชั่วคราวของปาร์ตี้ หลังจากตรวจสอบการเคลื่อนไหวของมนุษย์เงือก เขาก็เห็นคนแปลกหน้ายืนอยู่ในหมู่เพื่อน ๆ

ชายคนนี้สวมชุดที่ทอจากผ้ากึ่งโปร่งแสง มันบางเบาและพริ้วไหวจนไม่น่าเชื่อ มันเป็นชุดอันศักดิ์สิทธิ์ที่ตัดเย็บออกมาได้ชวนฝัน แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันเป็นชุดที่เปิดเผยมากกว่าชุดที่สาวๆ ในย่านโคมแดงของแลงคาสเตอร์ส่วมใส่

ความจริงส่วนบนของชุดไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นเสื้อผ้าด้วยซ้ำ มันมีผ้าสามเหลี่ยมเพียง 2 ชิ้นที่ใช้ปิดส่วนสําคัญโดยผูกกันไว้ด้วยเชือกเส้นเล็ก ๆ

-และมีขนหน้าอกเหนือกล้ามอกพริ้วไหวไปตามลม

มงกุฏที่อยู่เหนือหัวของชายคนนั้นก็เปล่งประกายระยิบระยับยิ่งกว่ามงกุฏที่แพงที่สุด อัญมณีทั้งหมดที่ฝังอยู่บนนั้นไม่ได้สะท้อนแสง แต่กลับส่องประกายแวววาวอันน่าหลงใหลด้วยตัวของมันเอง โดยอัญมณีที่อยู่ตรงกลางนั้นดูเหมือนจะมีทั้งจักรวาลอยู่ในนั้น เพียงแค่มองไปที่มัน ก็ทําให้ใครต่อใครหลงเสน่ห์ได้แล้ว

แต่เนื่องจากความกระจุ๋มกระจิ๋มของมัน จึงทําให้มงกุฏแพลตตินั่มนั้นดูน่ารักขึ้นมาทันที

-และใบหน้าชายคนนั้นก็มีจอนและหนวดเคราที่เด่นชัด (ที่ไม่ตรงกับอายุของเขา)

เสื้อผ้าบนร่างกายของคนแปลกหน้าจะเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ ตามแสงและเงาเหมือนกับเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ชุดของเขาเปล่งแสงอ่อน ๆ ดูนวลตา ราวกับว่ามันเป็นชุดของเทพธิดาในตํานาน เห็นได้ชัดว่าทั้งที่กระโปรงนั้นยาวถึงข้อเท้า แต่กลับน่าประทับใจมาก เพราะด้านข้างทั้ง 2 ด้านของกระโปรงผ่าสูงจนเขาไม่รู้ว่าจะเอาสายตาไปมองที่ไหนดี

-และมีขนหน้าแข้งพริ้วไหวไปตามสายลม

“อ๊าาาาาาาาาาาาาาา! ตาข้า!” โกวต้านล้มลงกับพื้น เขากุมดวงตาและกรีดร้อง “ดวงตาของข้า!”

โจในชุดนักเต้นรู้สึกอับอายจากปฏิกิริยาของโกวต้านและเตะเขา ทําให้เครื่องหมาย -1 ปรากฏขึ้นเหนือหัวของโกวต้าน) “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ว่าเจ้าปรับระดับความเจ็บปวดเป็น 10% แล้ว!”

โกวด้านหลบการโจมตีขณะที่หัวเราะเสียงดัง “ข้าไม่อาจตาบอดคนเดียวได้! ข้าจะอัปโหลดภาพนี้ลงไปในฟอรัม!”

“เจ้ากล้ารึ?! วอนตายซะแล้ว!” ด้วยความตกใจ โจก็ชักดาบออกมาทันทีและเหวี่ยงดาบไปยังโกวต้าน ที่กําลังหัวเราะรวนขณะที่เขาหลบการโจมตีของโจอย่างชํานาญ

ที่มุมหนึ่ง สีหน้าของเจสสิก้ามืดหม่น เธอนั่งจับเข่าทําราวกับว่าเธอได้ปลงชีวิตแล้วขณะพึมพําว่า “ ข้าไม่ต้องการชุดนั้นคืนแล้ว ยังไงข้ามันก็แค่ตู้เสื้อผ้าเคลื่อนที่สินะ…”

แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้เริ่มต่อสู้กับมนุษย์เงือกจริง ๆ แต่ปาร์ตี้ผู้เล่นชั้นยอดนี้ก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขาได้ถูกทดสอบซ้ำ ๆ และได้ถูกทําลายล้างไปแล้ว

“มันจะได้ผลจริง ๆ เหรอ” เอลีน่าถามเอ็ดเวิร์ดด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจระดับความหายนะของการแต่งตัวข้ามเพศ และสภาพของโจในชุดนักเต้น

ปฏิกิริยาของผู้เล่นทั้งกลุ่มสั่นคลอน และความเชื่อมั่นอันเต็มเปี่ยมของเอ็ดเวิร์ดก็เช่นกัน “ก็น่าจะ…”

ในที่สุดเอ็ดเวิร์ดก็ตัดสินใจที่จะลอง

โจก็แต่งไปแล้ว และหากให้เขาหยุดตอนนี้ มันก็จะดูเหมือนว่าพวกเขาแค่หลอกให้โจแต่งหญิงเท่านั้น

มนุษย์เงือกจับอีกัวน่าทะเลได้จากที่ไหนสักแห่ง แต่ขณะที่พวกมันกําลังจะฉีกเหยื่อกิน ทันใดนั้นก็มีเสียงที่ดึงดูดความสนใจของพวกมัน

“ฮิฮิ ”

ไม่ไกลนัก โจที่แต่งหญิงร่างกํายํากําลังบิดตัวอย่างเชื่อช้า เขาพยายามอ่อยมนุษย์เงือกอย่างเต็มที่ และอวดกล้ามอกของเขาให้มากที่สุดตามที่เอ็ดเวิร์ดบอก

ขณะที่เขาทําเช่นนั้น เขาก็ใช้ทักษะยั่วยุของเขาไปด้วยเมื่อมนุษย์เงือกทุกตัวหันมามองเขา

ไม่เหมือนเสียงของเขาตามปกติ ครั้งนี้เขากําลังบีบเสียงเล็กเสียงน้อยที่แปลกประหลาดออกมาว่า “มา~ หา~ พ่อ~แร้ว~”

อีกด้านหนึ่ง โกวต้านที่ซุ่มดูอยู่ก็หงายหลังนอนแผ่กับพื้น และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ชั่วขณะ ถ้าเขาพูดได้ตอนนี้เขาคงจะพูดว่า “โอ้ววม่าย! ข้ากําลังจะตายแล้ว!” ขณะพยายามกันเสียงหัวเราะอย่างเต็มที่

ขณะที่โจกําลังคิดว่าแผนนี้ล้มเหลว เพราะมนุษย์เงือกไม่ได้ขยับเลยตั้งแต่ที่เขาอ่อย พวกมนุษย์เงือกทั้งหมดก็กระโจนเข้าใส่เขา เพียงแค่มองผ่าน ๆ ก็จะเห็นว่าหนึ่งในสามของประชากรมนุษย์เงือกทั้งหมดในพื้นที่ส่วนกลาง กําลังวิ่งเข้าใส่โจ!

“เชี่ย!” โจมีเวลากรีดร้องเพียงคําเดียว ก่อนที่เขาจะหันหลังวิ่งหนี

ไม่นานหลังจากที่โจและมนุษย์เงือกหายไปจากสายตา บนเนิน โควต้านที่ขําจนท้องแข็งในที่สุดก็ฟื้นตัวแล้ว เขายกนิ้วโป้งให้เอ็ดเวิร์ด ก่อนที่เขาจะไล่ตามฝูงมนุษย์เงือกไปอย่างลับ ๆ

เนื่องจากชุดนักเต้นไม่ได้มีบัฟเพิ่มความเร็ว และคลาสนักดาบวิญญาณก็ไม่ได้มีความคล่องตัวมากนัก โจจึงอยู่ได้ไม่นาน งานของโกวด้านนั้นง่ายมาก หลังจากที่โจเตะถังแล้ว สิ่งเดียวที่เขาต้องทําคือหยุดไม่ให้มนุษย์เงือกกลับขึ้นไปในพื้นที่ส่วนกลาง หากเขาหยุดไม่ได้ เขาก็จะต้องฆ่ามนุษย์เงือกให้ได้มากที่สุด เพื่อให้จํานวนของพวกมันลดลง

ขณะที่มนุษย์เงือกหนึ่งในสามหายไปเพราะโจ จํานวนมนุษย์เงือกในพื้นที่ส่วนกลางก็เบาบางลง นั่นทําให้เอ็ดเวิร์ดและคนอื่น ๆ สามารถเข้าใกล้นักบวชชั้นสูงที่อยู่ท่ามกลางฝูงมนุษย์เงือกได้ง่ายขึ้น!

“เอลีน่า ตอนนี้แหละ!”

ในฐานะดาเมทหลักที่แท้จริงของปาร์ตี้ เอลีน่าจึงเรียกหอกทองคําออกมา เพื่อเปิดการโจมตีไปยังนักบวชชั้นสูงมนุษย์เงือก!

“หอกแห่งชัยชนะ!”

หอกศักดิ์สิทธิ์สีทอง พุ่งเข้าหาเป้าหมายราวกับสายฟ้าฟาด!

ทีแรกปาร์ตี้ของเอ็ดเวิร์ดอยู่ห่างจากนักบวชชั้นสูงมากเกินไป แม้ว่าโจจะล่อฝูงมนุษย์เงือกขนาดใหญ่ออกไป แต่คาถาของเอ็ดเวิร์ดและลูกธนูของโกวต้านก็ไม่สามารถเข้าถึงตัวมันได้มีเพียง เอลีน่า นักบุญหญิงฝึกหัดที่มาพร้อมกับโบนัสคลาสเท่านั้น ที่มีพลังที่เป็นอันตรายต่อนักบวชชั้นสูง! นั้นยังเป็นสาเหตุที่ทําให้เอลีน่าถูกไล่ล่าโดยมนุษย์เงือกก่อนหน้านี้

แต่นักบวชชั้นสูงมนุษย์เงือก ก็เป็นชนชั้นสูงเช่นกัน ดังนั้นมันจึงสามารถตรวจพบการชาร์จพลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่เอลีน่าส่งหอกของเธอออกไป นักบวชชั้นสูงก็ได้กางโล่ครึ่งวงกลมสีฟ้าอ่อนออกมาแล้ว

นั่นเป็นโล่เดียวกับที่ปิดกั้นการลอบโจมตีก่อนหน้านี้ของเอลีน่า

แม้จะมีระยะทางสั้นกว่าและเร็วกว่าเดิม แต่นักบวชชั้นสูงก็ลดขนาดโล่ลงอย่างเหมาะสม เพื่อแลกกับการร่ายที่เร็วขึ้น แต่ยังคงป้องกันได้

สําหรับมัน ไม่สําคัญหากมันต้องสังเวยชีวิตของมนุษย์เงือกทุกตัว ตราบใดที่มันอยู่รอดได้มันก็ชนะ!

ข้อได้เปรียบด้านความเร็วที่น้อยกว่า 1 วินาทีนั้น ปกติแล้วไม่อาจทําลายโล่ของนักบวชชั้นสูงได้ เมื่อหอกสีทองปะทะกับโล่ ตัวหอกก็แตกสลายเหมือนวัตถุเปราะบางที่ทําจากแก้ว และระเบิดออกเป็นจุดแสงนับไม่ถ้วน

ขณะเดียวกัน นักบวชชั้นสูงมนุษย์เงือกก็ได้สั่งให้มนุษย์เงือกทุกตัวโจมตีพวกเขาทันที

ทักษะของเอลีน่าจะกลายเป็นจุดแสงจํานวนนับไม่ถ้วน เจ้านั้นกลับไม่ได้สังเกตเลยว่า เอลีน่าได้ซ่อนลูกบอลสีแดงขาวขนาดเล็กไว้ในหอกแห่งชัยชนะที่เธอขว้างออกไป!

ลูกบอลลอยข้ามโล่ที่หัวหน้านักบวชสร้างขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองจากทักษะของเอลีน่า จากนั้นลูกบอลก็ระเบิดเป็นควันสีขาวทันทีที่มันตกลงสู่พื้น!

มนุษย์เงือกทุกตัวที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างก็ตกตะลึง

จากนั้นในเสี้ยววินาทีถัดมา คล็อกกาโตว์มนุษย์กบก็พุ่งออกมาจากควัน โดยที่คาบแซฟไฟร์ทะเลที่มันขโมยมาจากนักบวชชั้นสูงไว้ในปาก!

“โจตายแล้ว!” เอ็ดเวิร์ดผู้ซึ่งสามารถเฝ้าดูข้อมูลของคนในปาร์ตี้ได้ตลอดเวลาตะโกนใส่เอลีน่าที่ยังคงฟาดค้อนดาวตกของเธอ (เกมไบเบิ้ล)

“ถอย!”

“คล็อกกาโตว์กลับมา!” เอลีน่าตะโกนใส่มนุษย์กบ

แต่ถึงอย่างนั้นคล็อกกาโตว์ก็ถูกมนุษย์เงือกล้อมไว้แล้ว และเอลีน่าก็ไม่สามารถเรียกเขากลับมาได้เพราะเขาอยู่นอกระยะ

เมื่อคล็อกกาโตว์เห็นแบบนั้น แววตาของเขาก็เปล่งประกายเด็ดเดี่ยว เขาไม่ได้วิ่งหนีอีกต่อไป เขายัดแซฟไฟร์ทะเลเข้าปากทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นฟ้า และกลืนมันลงไปอย่างดัง

“คล็อก -!”

เสี้ยววินาทีถัด มาเขาก็ถูกฝูงมนุษย์เงือกที่บ้าคลั่งท่วมทับ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยกนิ้วโป้งขึ้นเหนือหัวพวกมนุษย์เงือก

บทที่ 143 การยั่วยุเป็นงานด้านเทคนิค!

เอ็ดเวิร์ดและคนอื่น ๆ ออกสํารวจเกาะมนุษย์เงือกหลังจากกินปูจนอิ่ม

ปรากฏว่าจุดอื่น ๆ บนเกาะเต็มไปด้วยมนุษย์เงือก นอกจากอาณาเขตของปูนักฆ่า

แต่สิ่งที่ทําให้พวกเขาตกใจก็คือ นอกจากมนุษย์เงือกทั่วไปที่พวกเขาเคยฆ่าไปเป็นฝูงแล้วยังมีมนุษย์เงือกสายพันธุ์พิเศษอีกมากมาย รวมถึงระดับอีลิทที่หายาก

แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้สํารวจว่าแซฟไฟร์ทะเลทั้ง 7 อยู่ที่ไหน แต่ทั้งเกาะก็แบ่งออกเป็น 7 ส่วน

ส่วนแรกคือพื้นที่ชายหาด ที่เต็มไปด้วยแนวปะการังและหาดทราย

นอกจากนี้ยังเป็นเขตหวงห้ามสําหรับมนุษย์เงือก เนื่องจากมันเต็มไปด้วยปูนักฆ่า แม้ ว่าพวกมันจะอร่อยแต่เมื่อมนุษย์เงือกถูกล้อมด้วยปูที่มีระดับเดียวกัน 2 ตัวขึ้นไป ก็ไม่สําคัญว่ามนุษย์เงือกตนนั้นจะถูกกินจากด้านไหน

ในขณะเดียวกัน เมื่อเกาะถูกแบ่งตามภูมิประเทศ มันก็มีพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยหินที่มีสีน้ําตาลอมเหลือง และหน้าผาสูง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ป่าเขียวชอุ่มที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ที่เหมือนสาหร่ายทะเลเขตทะเลทรายที่ร้อนเป็นพิเศษแม้จะอยู่ใกล้ทะเลพื้นที่ปาอีกแห่งหนึ่งก็เป็นปาที่ไม่มีดินมันเต็มไปด้วยกับดักทางธรรมชาติแอ่งน้ําและบังโคลนและพื้นที่ที่กว้างที่สุดคือทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงถึงเอมากมาย แต่เสียงกรอบแกรบจากพุ่มไม้รอบๆก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่สถานที่ที่สงบแน่นอน

และที่ใจกลางของเกาะ ก็มีภูเขาสูงตระหง่านซึ่งยอดของมันเหมือนถูกตัดออกจนเรียบ ที่เหมือนเป็นที่ราบสูงขนาดใหญ่ ที่นั่นมีการติดตั้งพอลทัล ตาสมุทร” และเป็นบริเวณศูนย์กลางที่มนุษย์เงือกอาศัยอยู่อย่างคึกคัก

หากสถานที่อื่นเต็มไปด้วยภัยคุกคามที่ซุ่มซ่อนอยู่ พื้นที่ส่วนกลางก็เป็นพื้นที่ ๆ อันตรายที่สุด

และเนื่องจากมันชัดเจนอยู่แล้ว จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า แซฟไฟร์ทะเลทั้ง 7 จะถูกแจกจ่ายไปทั่วเกาะทั้ง 7 ส่วน

เอ็ดเวิร์ดคิดถึงเรื่องนี้ ก่อนจะตัดสินใจเลือกเป้าหมายเป็น โซนกลาง!

ปาร์ตี้ของพวกเขาซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหินขนาดใหญ่ ห่างจากฝูงมนุษย์เงือกเพียง เล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์เงือกค้นพบ

โจเริ่มพูดขึ้นก่อน “ข้าใช้วิญญาณคู่หูสอดแนมมันมาแล้ว มนุษย์เงือกนักบวชชั้นสูงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตาสมุทร มีแซฟไฟร์ขนาดใหญ่อยอยู่ที่คอของมัน”

โจทํามือเป็นวงกลมขนาดเท่าชาม “มันคือแซฟไฟร์ทะเลแน่นอน!”

“แล้ววิญญาณคู่หูของเจ้าอยู่ไหน” เอ็ดเวิร์ดถามหลังจากรอมาสักพักแล้ว แต่ไม่เห็นว่าวิญญาณคู่หูของโจจะกลับมาเลย

“มันถูกเวทย์มนต์ของมนุษย์เงือกทําลาย” สีหน้าของโจดูเจ็บปวด “มีคูลดาวน์ 10 นาทีก่อน จะอัญเชิญขึ้นมาใหม่ได้”

เอ็ดเวิร์ดตบไหล่โจปลอบใจ ก่อนจะหันไปหาคนอื่น ๆ “ใครมีความคิดดี ๆ บ้าง”

“ข้า! ข้า! ข้า!” เป็นโจอีกครั้ง

เอ็ดเวิร์ดประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาก็ทําท่าทางประมาณว่า “เอาล่ะ พูดเลย”

“ก่อนอื่นเอ็ดเวิร์ดและโกวต้านจะซุ่มโจมตีศัตรูจากทางซ้าย!” โจพูดอย่างจริงจัง

“โตวก้าน!” โกวต้านขัดจังหวะแบบไม่มีความสุข แต่โจไม่สนใจเขา

ขณะเดียวกันเอ็ดเวิร์ดพยักหน้า นี่เป็นการสร้างความวุ่นวายให้ศัตรูสับสนรึเปล่า ความคิดดี!

“จากนั้นเอลีน่าและเจสสิก้า จะซุ่มโจมตีพวกเขาจากทางขวา!” โจพูดต่อ

เอ็ดเวิร์ดพยักหน้าอีกครั้ง ใช้เอลื่น่าสมาชิกปาร์ตี้ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวก เป็นตัวหลักในการโจมตีระลอกที่สอง เพื่อทําให้ศัตรูเห็นภาพลวงตาว่าพวกมันถูกโจมตีจากปลายทั้งสองด้านและทําให้ศัตรูเกิดความโกลาหล ความคิดดี!

“จากนั้นข้าก็จะโจมตีพวกมันจากด้านหน้า!” โจพูดอย่างเคร่งขรึม

“?” เอ็ดเวิร์ด

“จากนั้นเราก็จะทํางานร่วมกันในทั้ง 3 ด้าน และได้รับแซฟไฟร์ทะเล!” โจกล่าวทิ้งท้าย

“???? เอ็ดเวิร์ด

“หมดแล้วเหรอ? แผนสํารองล่ะ? แล้วกลยุทธ์ที่ข้าขอล่ะ ไปไหน?

นั่นไม่ใช่แค่การพุ่งเข้าใส่ตรง ๆ เหรอ!”

บนหัวของเอ็ดเวิร์ดมีเส้นสีดําสามเส้นตกลงมา เขารู้สึกโง่มากที่ฝากความหวังไว้กับโจ

มีมนุษย์เงือกจํานวนมากในโซนกลาง หากผู้เล่นทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเอาชนะศัตรูแบบซึ่ง ๆ หน้ามีโอกาสเพียง 50-50 ที่จะประสบความสําเร็จ นับประสาอะไรกับคนเพียง 5 คนเท่านั้น

“เจ้าไม่คิดว่านั่นเป็นกลยุทธ์ที่ดีเหรอ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าโจมตี 4 ครั้งจากด้านหน้า ข้าจะไถลไปด้านหลังและซุ่มโจมตีพวกมัน ข้าสัญญาว่าข้าจะกําจัดมนุษย์เงือกตัวหนึ่งด้วยการเฉือนเพียงครั้งเดียว!” โจเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นสีหน้าของเอ็ดเวิร์ด แต่เขาก็ทําหน้าภูมิใจแบบว่า”นี่ข้าพึ่งพูดอะไรไป? ข้าคิดกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ได้จริง ๆ เหรอ? สุดยอด!”

เอ็ดเวิร์ดตากระตุกอย่างต่อเนื่อง และตัดสินใจลืมโจ

“ลืมมันไป โตวก้าน เจ้าจะเป็นคนล่อกลุ่มมนุษย์เงือกออกไป โจยั่วยุพวกมันเมื่อพวกมันมาถึงเจ้าไม่ต้องสู้ แต่พยายามดึงพวกมันออกไปให้ไกลที่สุด ในขณะที่เจสสิก้าจะคอยตรวจสอบ HP ของโจกับโตวก้าน” เอ็ดเวิร์ดเลิกคุยเกี่ยวกับกลยุทธ์ และเริ่มแจกจ่ายงานให้แต่ละคน “ทั้งเอลีน่าและข้าเป็นสายโจมตีระยะไกล เมื่อมีมนุษย์เงือกน้อยลง เราจะลองดูว่าเราสามารถโคนมนุษย์เงือกที่เป็นนักบวชชั้นสูงได้หรือไม่…”

นอกจากความไม่พอใจของโจที่กําลังพึมพําว่า “กลยุทธ์ของข้าน่าสนใจกว่าเห็น ๆ” คนอื่น ๆก็ยอมรับแผนของเอ็ดเวิร์ด

แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่ม

โกวต้านไม่สามารถล่อมนุษย์เงือกออกไปได้ ลูกธนูของเขาไม่สามารถดึงดูดมนุษย์เงือกได้ แม้มันจะได้ผลในดันเจี้ยน ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์เงือกที่เป็นนักบวชชั้นสูงก็จะมาถึงที่เกิดเหตุทันทีหลังจากที่เขาสังหารมนุษย์เงือกไปหนึ่งหรือสองตัว และโกวต้านก็จะถูกโจมตีด้วยคาถาที่นักบวชชั้นสูงส่งมา

หลังจากนั้นเอ็ดเวิร์ด เอลีน่า และเจสสิก้า ก็พยายามผลัดกันใช้ทักษะการโจมตีระยะไกลของตัวเอง เพื่อดึงมนุษย์เงือกออกมา แต่พวกเขาก็ล้มเหลวเหมือนกัน นอกจากนั้นเอลีน่ายังถูกพบเห็นทันทีโดยนักบวชชั้นสูง เพราะทักษะเธอทําให้นักบวชชั้นสูงตกใจ

เด็กหญิงจึงถูกไล่ล่าไปครึ่งเกาะมนุษย์เงือก โดยที่พวกมนุษย์เงือกหลั่งไหลออกมาจากรัง(และเผลอฆ่ามาร์นี่ที่พึ่งขึ้นมาบนเกาะ) ความจริงแล้วเอลีน่าคงจะตายทันที หากเธอไม่ได้วิ่งไปที่ชายหาดและวิ่งเข้าหาปูนักฆ่าที่ทําให้พวกมนุษย์เงือกหวาดกลัว

หลังจากความล้มเหลวหลายครั้ง เอ็ดเวิร์ดและคนอื่น ๆ ก็ตัดสินใจล้มเลิกแผนการนั้นอย่างรวดเร็ว และพร้อมที่จะคิดหาวิธีอื่น หรือไม่ก็แค่เปลี่ยนเป้าหมาย แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังส่งโจออกไปเป็นความพยายามครั้งสุดท้าย

ผลก็คือโจก็สามารถล่อมนุษย์เงือกออกมาได้สําเร็จ แม้จะมีพวกมันตามมาไม่มาก แต่ในที่สุดมันก็ได้ผล

หลังจากทดสอบหลายครั้ง พวกเขาก็ตระหนักว่า มนุษย์เงือกจะไล่ตามเฉพาะโจเท่านั้นและไม่สนใจคนอื่น ๆ เลย

ทําไมถึงเป็นแบบนั้น? นักดาบวิญญาณมีอะไรพิเศษที่ทําให้มนุษย์เงือกวิ่งไล่เขาโดยไม่รู้ตัวเหรอ?

เอ็ดเวิร์ดอดไม่ได้ที่จะรู้สิ่งแปลก ๆ กับเรื่องนี้ จากนั้นเขาก็มองไปที่กล้ามอกขนาดใหญ่ของโจอย่างครุ่นคิด

บทที่ 142 ผู้เล่นคนอื่น ๆ กําลังน้ำลายไหล

เรือลําเล็ก ๆ หลายลํา แล่นออกจากท่าเรือเกรย์ฟยอร์ดไปยังเกาะมนุษย์เงือกที่ตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างช้า ๆ

และเรือที่นําหน้าอยู่คือปาร์ตี้ 5 คนของเอ็ดเวิร์ด เป็นเวลานานแล้วนับตั้งแต่ที่พวกเขาได้รับชื่อเสียงในหมู่ผู้เล่นในฐานะ “ปีศาจบ้าเควส”

แต่ถึงอย่างนั้น เรือลําน้อยของพวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก

“อ๊า! รอยแตกเต็มไปหมดเลย น้ำกําลังจะท่วมเรือแล้ว! เราไปไม่ถึงเกาะมนุษย์เงือกแน่!” เจสสิก้าตะโกนอย่างตื่นตระหนก ในขณะที่เธอรีบบัฟให้คนอื่น ๆ

“มันเป็นความผิดพลาด ข้าไม่คิดว่าจะมีแมวน้ำจํานวนมากอยู่แถวนี้” โจพูดขณะที่เขาใช้เกราะส่วนอกของเขาแทนขัน และวิดน้ำออกจากเรือ “เรือลํานี้จะอ่อนแอเกินไปแล้ว มันแตกทันทีที่ข้าเคาะ”

“นี่จะต้องเป็นการทดสอบที่เทพเจ้าแห่งเกมมอบให้กับเรา เขาต้องการเตือนให้เราไม่ประมาท!” เอ็ดเวิร์ดกําลังคิดอย่างจริงจัง ในฐานะเขาเป็นผู้ศรัทธา 3 อันดับแรก เขาถือเป็นหนึ่งในศาสดาพยากรณ์ของเทพเจ้าแห่งเกม “ข้าลืมคิดถึงสถานการณ์นี้ไปเลยทั้งที่มันชื่อว่า “เรื่อธรรมดา? เราควรจะใช้น้ำแข็งหรือวัสดุอื่น ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเรือก่อน ถ้าเรารู้ก่อน เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”

“ครั้งต่อไปถ้าข้าเห็นไอ้แมวน้ำเชี่ยนั่นอีกครั้ง ข้าจะผ่าหัวมัน!” โจสบถอย่างไม่มีความสุข

เพราะเมื่อก้นเรือรั้ว ทั้งโจและโควต้านต่างก็ตกโจจนโยนไม้พายทิ้งลงทะเล แต่เหตุผลเดียวที่เรือยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าได้ก็เพราะคล็อกกาโตว์คู่หูของเอลีน่า กําลังว่ายน้ำลากเรือไปข้างหน้า

ขณะเดียวกัน เด็กหญิงก็นั่งอยู่ตรงหัวเรือ และคอยส่งเสียงเชียร์ให้กําลังใจด้วยน้ำเสียงน่ารัก ๆ ของเธอ

“ข้าว่า..” โกวต้านซึ่งอยู่ท้ายเรือคอยวิดน้ำออกด้วยหมวกเกราะ หันไปหาเอ็ดเวิร์ดที่กําลังใช้เวทมนตร์น้ำแข็งอุดรูรั่วของเรือ “เราไม่จําเป็นต้องขึ้นนําทุกครั้งก็ได้จริงไหม? ให้ผู้เล่นคนอื่น ๆ คําที่ใช้ในฟอรัมคืออะไรนะ? ให้ผู้เล่นคนอื่น ๆ ไปเป็นแนวหน้าตายแทนก่อนก็ได้”

ตั้งแต่แรกปาร์ตี้ของพวกเขาเป็นปาร์ตี้แนวหน้า เมื่อใดก็ตามที่ระบบมีการอัปเดตเวอร์ชั่นออกเควสใหม่ ดันเจี้ยนใหม่ หรือกิจกรรมต่าง ๆ เช่นการปลดล็อกไอเทมกิจกรรมอย่างเรื่อธรรมดาครั้งนี้ก็ด้วย พวกเขาก็มักจะอยู่แนวหน้า คอยเสี่ยงอันตรายแทนคนข้างหลังเสมอ

เมื่อพวกเขาทําสําเร็จ ผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังก็จะวางกลยุทธ์ โดยใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของพวกเขา ทําให้คนอื่น ๆ ที่เหลือสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์อันตรายได้

พูดง่าย ๆ ก็คือ เอ็ดเวิร์ดและปาร์ตี้กําลังข้ามแม่น้ำโดยการถ่มก้อนหิน ในขณะที่ผู้เล่นคนอื่น ๆ ข้ามแม่น้ำโดยการเดินผ่านถนนที่พวกเขาสร้างไว้.

แม้มันจะทําให้พวกเขาได้รับความเคารพและชื่อเสียงมากมายในสายตาของผู้เล่นคนอื่น ๆ แต่ในฐานะที่เขาเป็นเรนเจอร์ที่คล่องตัวที่สุดในทีม เขาก็มักจะตกเหยื่อของการเผชิญหน้าครั้งแรกเสมอ พอหลายครั้งเข้า โกวต้านก็รู้สึกไม่พอใจนิด ๆ

มันบ้ามากที่พวกเขาต้องเป็นหินถมทางเพื่อให้คนอื่นข้ามแม่น้ำ

“แม้มันจะอันตราย แต่รางวัลของเราก็มากที่สุดเสมอไม่ใช่เหรอ”

เอ็ดเวิร์ดตอบ แต่เขาก็ต้องถอนหายใจอีกครั้ง “ถึงข้าจะพูดแบบนั้น เจ้าก็คงไม่เชื่อใช่ไหมล่ะ”

โกวต้านไม่ตอบ แต่ที่หน้าเขามีคําว่า “ใช่เจ้าถูก!” แปะอยู่

“เหตุผลของข้าเรียบง่ายมาก ถ้าเราไม่นับลุงซีเว่ยผู้ลึกลับคนนั้น เราอาจเป็นผู้ศรัทธาที่เก่าแก่ที่สุดที่เทพเจ้าแห่งเกมยอมรับ” เอ็ดเวิร์ดพูดช้า ๆ

“ห้ะ? เจ้าหญิงลีอาเป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมมาตั้งแต่ยังเด็กแล้วไม่ใช่เหรอ” โกวต้านถามด้วยความประหลาดใจ

“ในทางทฤษฎีก็ใช่ และข้าก็เคยเชื่อแบบนั้น จนกระทั่งไม่กี่วันก่อน ตอนที่ข้าได้ทําเควสร่วมกับองครักษ์ของเธอ ข้าก็ค้นพบเรื่องนี้โดยบังเอิญว่า เธอไม่ได้มีระบบมาตั้งแต่แรกเธอพึ่งได้รับมันเมื่อต้นฤดูหนาว นั่นช้ากว่าพวกเราอีก!”

เอ็ดเวิร์ดพูดอย่างมั่นใจ “ยิ่งไปกว่านั้น เรามีนักบุญหญิงอยู่กับเรา”

เอลีน่าที่นั่งเอาเท้าจุ่มน้ำทะเลคอยให้กําลังใจคล็อกกาโตว์ รู้สึกเหมือนว่ามีใครเรียกเธอ เธอจึงหันกลับมามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เอ็ดเวิร์ดทําท่าทาง ไม่มีอะไร ให้เธอ จากนั้นเด็กหญิงก็หันกลับไปที่หัวเรือ และฮัมเพลงพร้อมกับโครงหัวจนทําให้ทวิลเทลสีเงินขยับไหว

กลับกัน โกวต้านยังไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ได้ต่อต้านการถ่มทางให้คนอื่นแล้ว

“ข้าไม่ได้มีปัญหากับการที่พวกเจ้าจะคุยกันหรอกนะ แต่จะพูดก็อย่าหยุดตักน้ำ ไม่งั้นเรือจะจม!”

โจที่พยายามวิดน้ำออกคนเดียวมาตั้งแต่เมื่อกี้ เกือบต้องหลั่งน้ำตา

น่าเสียดายที่เรือไม่รอดไปถึงเกาะ..

เรือลําน้อยนั่งลงห่างจากชายหายของเกาะมนุษย์เงือกเพียง 10 เมตร เรือลําน้อยกระแทกเข้ากับลูกมะพร้าวที่ร่วงลงหล่นมา จนมีรูขนาดใหญ่ปรากฏบนเรือเหมือนถูกตอร์ปิโดยิงใส่ ทําให้การดิ้นรนอย่างหนักหน่วงของทุกคนต้องพังทลายลง

ในขณะที่เรือค่อย ๆ จมลงสู่ทะเล โชคดีที่ทุกคนเคยเคลียร์ดันเจี้ยนในท่าเรือเกรย์ฟยร์ดแล้ว พวกเขาสามารถว่ายน้ำได้ แม้ว่าพวกเขาจะว่ายน้ำไม่เก่งก็ตาม และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ถูกคลื่นซัดหายไปกับทะเล

พวกเขาประสบความสําเร็จในการปีนขึ้นไปบนชายหาดของเกาะมนุษย์เงือก

เมื่อเทียบกับชายฝั่งทะเลซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านมนุษย์กบ เกาะมนุษย์เงือกนั้นอันตรายกว่ามาก เอ็ดเวิร์ดและปาร์ตี้วิ่งเข้าไปหาศัตรูกลุ่มแรกทันทีที่พวกเขามาถึงชายหาด พวกมันไม่ใช่มนุษย์เงือก แต่เป็นปูนักฆ่าที่มีขนาดเท่าลูกช้าง ผู้ปกครองชายหาดของเกาะมนุษย์เงือก!

ปูเหล่านี้เป็นศัตรูตามธรรมชาติของมนุษย์เงือก มนุษย์เงือกส่วนใหญ่จะไม่รอดจากก้ามปูของมันเมื่อถูกมันจับได้ จากนั้นพวกเขาก็จะถูกตัดออกเป็นสองส่วน และกลายเป็นอาหารปูในที่สุด

กระดองปูไม่ใช่เปลือกแข็ง แต่เป็นเปลือกผสมกับโลหะบางชนิด ที่มีลักษณะคล้ายกับเกราะเหล็กหนา ๆ แต่อาวุธส่วนใหญ่ที่มนุษย์เงือกใช้นั้นทําจากเปลือกหอยและปะการัง นั่นทําให้ไม่มีทางที่พวกมนุษย์เงือกจะรอดชีวิตไปได้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปูนักฆ่า พวกเขาทั้งหมดต่างลงเอยด้วยการเป็นอาหารปู ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามจับปูด้วยวิธีใดก็ตาม นั่นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ไม่มีมนุษย์เงือกสักตัวบนชายหาด

แต่การต่อสู้ระหว่างมนุษย์เงือกและปูนักฆ่า ไม่มีประโยชน์อะไรต่อมนุษย์ โดยเฉพาะกับผู้เล่น

เปลือกของมันจะเทียบกับชุดเกราะได้เหรอ? แม้ว่ามันจะเหมือนชุดเกราะจริง ๆ แต่ผู้เล่นก็ไม่ได้เก็บเอามันมาใส่ใจเลย พวกเขาได้เรียนรู้ทักษะดีบัฟ ที่จะทําให้ร่างกายของศัตรูอ่อนแอลง เรียนรู้ทักษะยิงเจาะเกราะ และเรียนรู้ทักษะการทําปูนึ่ง…

ดังนั้น เมื่อผู้เล่นกลุ่ม 2 ที่ใช้ความพยายามและเวลาไปอย่างมาก กว่าจะมาลงจอดบนชายหาดเกาะมนุษย์เงือกได้อย่างสวัสดิภาพ ได้พบกับผู้เล่นกลุ่มแรก ที่ไม่สามารถถอนตัวออกจากปาร์ตี้ปูนึ่งอันเอร็ดอร่อยที่เพิ่งค้นพบได้ จากความสงสารของเทพเจ้าแห่งเกม ที่นำเพียงเนื้อปูและเปลือกเพียงบางส่วนไป และอนุญาตให้ผู้เล่นเก็บส่วนอื่น ๆ ที่กินได้เกือบทั้งหมดเอาไว้

เนื้อปูสดหวานอร่อย และไข่ปูก็เหลืองเนียน มันไม่เลี่ยนจนเกินไป และให้ความรู้สึกหนึบ ๆ เวลาเคี้ยว เมื่อกินคู่กับขนมปังแผ่นบาง ๆ มันก็อร่อยจนตัวปลิว ทําให้ผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่พึ่งมาถึงได้ แต่น้ำลายสอ…

บทที่ 141 มุ่งสู่เกาะมนุษย์เงือก เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว!

“ในที่สุดก็เสร็จ…”

ซีเว่ยมองไปยังเรือลําน้อยสภาพแปลก ๆ ตรงหน้า เขาเช็ดเหงื่อที่ไม่ได้มีอยู่จริงด้วยหนวดของเขาอย่างโล่งใจ

นั่นคือ “เรือธรรมดา” ที่เขากล่าวถึงในกิจกรรมก่อนหน้านี้

อันที่จริงเขาสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ภายในเวลา ๆ สั้นด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขามี เนื่องจากพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นมีอํานาจทุกอย่าง แม้แต่สร้างคอมพิวเตอร์มันยังทําได้ นั่นหมายความว่า การจะใช้มันสร้างกันดั้มก็เป็นไปได้เช่นกัน

ซีเว่ยมั่นใจว่าแนวคิดเรื่องกันดั้มเป็นไปได้ แต่ตอนนี้เขายังอ่อนแอเกินไป เขาเลยสร้างมันไม่ได้

แต่ถึงเขาจะสร้างเรือขึ้นมาได้จริง มันก็ต้องใช้พลังจํานวนมาก แต่เขาจะลงทุนขนาดนั้นทําไม ในเมื่อเขาไม่ได้รับผลประโยชน์มากมายอะไรจากกิจกรรมนี้

แถมตอนนี้ยังมีขยะกองสูงเป็นภูเขาอยู่ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา เพราะงั้น เขาจึงใช้โอกาสนี้ในขยะบางส่วนให้เป็นรูปเรือ เพื่อลดขยะและพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขาต้องใช้

แต่นั่นก็สามารถเข้าใจได้ว่าทําไม นอกจากเทพเจ้าที่ชั่วร้ายบางองค์แล้ว เทพเจ้าองค์อื่น ๆ ถึงไม่ชอบเครื่องบูชาแบบสุ่ม นั่นเพราะพวกเขาไม่ได้เป็นเหมือนซีเว่ยที่มีอิสระในการข้ามบาเรียโลก ทําให้เขาเป็นเทพองค์เดียวที่สามารถรับพลังศักดิ์สิทธิ์จํานวนมากจากศพของมนุษย์เงือกนับพันที่ผู้ศรัทธาสังเวยมาได้

แต่หากเทพเจ้าองค์อื่นต้องการทําตามเขา พวกเขาก็มีโอกาส 80% ที่จะขาดทุนมหาศาล จนแม้แต่กางเกงในก็ยังไม่มีเหลือ

“แต่การนั้นมันก็ยังยากเกินไปอยู่ดี โชคดีที่ฉันมองการณ์ไกล ฉันเลยตั้งชื่อมันเป็นเรื่อธรรมดาแทนชื่อสุดหรูอย่าง “My Heart Will Go On”* ไม่งั้นมันคงจะจมไปตั้งแต่กลางทาง”

(My Heart Will Go On เพลงไททานิก)

เคนตายก่อนไปถึงเกาะ ซีเว่ยคงร้องไม่ออกแน่

“สําหรับเกาะมนุษย์เงือก…”

ซีเว่ยเปิดดวงตาศักดิ์สิทธิ์ของเขาอีกครั้งเพื่อพยายามสอดแนมเกาะมนุษย์เงือก แต่เขาก็ยังถูกขัดขวางโดยพลังของเทพสมุทรเหมือนทุกที่ และเห็นแต่ภาพเบลอ

“ชิ ฉันรู้แล้วว่าฉันต้องพึ่งผู้เล่นเป็นตาเท่านั้น”

ต้องบอกว่าซีเว่ยไม่ได้กังวลจริง ๆ นี่เป็นเวลา 5 วันแล้วนับตั้งแต่ที่กิจกรรมเริ่มต้นขึ้น โดยที่ผู้เล่นประสบความสําเร็จอย่างมากในการสังหารมนุษย์เงือกเกือบ 10,000 ตนอย่างน่าสยดสยอง แต่หากเป็นสงครามที่ชายฝั่งอื่น บางทีเราอาจไม่เห็นผลลัพธ์แบบนี้

ด้วยเรือต้นแบบชิ้นนี้ การทําเรือจากขยะนั้นก็ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก

“แม้ฉันจะไม่รู้ว่าเทพสมุทรกําลังทําอะไรอยู่ แต่ก็ควรระวังไว้จะดีกว่า”

ความประมาทอาจทําให้เขาเรือหาย นั่นเป็นสาเหตุที่ซีเว่ยตัดสินใจเสียเลือดเล็กน้อย เพื่อกระตุ้นให้ผู้เล่นสํารวจเกาะมนุษย์เงือก

ในไม่ช้า ผู้เล่นในโลกเบื้องล่างก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ ว่าตอนนี้กิจกรรมได้เข้าสู่เฟสที่ 2 แล้ว

นอกจากการปลดล็อกไอเทมเควส เรือธรรมดา ๆ” ผู้เล่นก็จะฟื้นคืนชีพได้ที่ไลฟ์สโตนในหมู่บ้านมนุษย์กบ 1 ชั่วโมงหลังจากที่พวกเขาตายหากไม่มีเครดิคอยู่ใกล้ ๆ แต่ถึงอย่างนั้น ผู้เล่นก็ยังถูกหักค่า EXP ไป 30% เหมือนเดิม

ด้วยวิธีนี้ ผู้เล่นจะสามารถมุ่งหน้าไปยังเกาะมนุษย์เงือกได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเทพสมุทรจะวางกับดักอะไรเอาไว้ พวกเขาก็จะสามารถกําจัดอุปสรรคต่าง ๆ ได้จากประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับก่อนตาย

หากจะให้ซีเว่ยพูด เขาคงจะพูดว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะให้มนุษย์เงือกได้สัมผัสกับความน่ากลัวของคลื่นการโจมตีจากมนุษย์

ด้วยความมั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถฟื้นคืนชีพได้อย่างรวดเร็ว ผู้เล่นที่ไม่ขาดแคลนไอเทมกิจกรรม ต่างก็เริ่มแลกเปลี่ยนเรือ และวางแผนเดินทางไปยังเกาะมนุษย์เงือกเพื่อฟาร์มไอเทมดรอปที่ดีขึ้นเนื่องจากหินเสริมแกร่งของพวกเขายังมีไม่พอ และผู้เล่นที่ตีบวกไอเทมถึงระดับสูงแล้วก็ยังต้องการสะสมหินกันแตกด้วย

“ฝ่าบาท มันอันตรายเกินไปที่จะมุ่งหน้าไปยังเกาะมนุษย์เงือก ทําไมเราไม่อยู่ที่หมู่บ้านมนุษย์กบ แล้วรอให้มนุษย์เงือกมาหาเราแทนล่ะขอรับ” องครักษ์บอริสพยายามเกลี้ยกล่อมเจ้าหญิงของเขา

“บอริสเจ้าไร้เดียงสาเกินไป!” แต่ลีอายาการัน เจ้าหญิงนักรบนั้นไม่อยากพลาดกิจกรรมนี้ “ตอนนี้เทพเจ้าของเราบอกเราว่า สงครามกับมนุษย์เงือกได้ดําเนินมาถึงช่วงที่สองแล้ว และถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องโต้กลับ!”

“แต่ข้าสัญญากับท่านแวนเค่อไว้แล้วว่าข้าจะดูแลท่านอย่างดี และไม่ปล่อยให้ท่านตกอยู่ในอันตราย…” บอริสพูดอย่างหนักใจ

“เกาะมนุษย์เงือกไม่อันตราย มันเป็นเพียงเป้าหมายเล็ก ๆ ที่เราต้องพิชิต” ดวงตาของลีอาเต็มไปด้วยความมั่นใจ

“เจ้าคิดว่ามนุษย์เงือกตนไหนจะมาที่นี่อีก ในเมื่อผู้เล่นคนอื่นเริ่มขึ้นไปบนเกาะ?”

พอถูกถามกลับ บอริสก็ตัวแข็งที่อไปชั่วขณะ เขาเข้าใจแล้วว่าเขาพึ่งจะพูดอะไรโง่ ๆ ออกไป

เขารู้ดีอยู่แล้วว่าผู้เล่นจะทําอะไร พวกเขาจะพลิกเกาะมนุษย์เงือกจนเกลี้ยงแน่ และถ้าเป็นอย่างนั้น มนุษย์เงือกจะมีเวลามาสร้างปัญหาที่ชายฝั่งได้ยังไง? สัตว์ที่มีจิตใจเรียบง่ายเหล่านั้น คงไม่ใช้กลยุทธ์อย่างการลอบโจมตีฐานของศัตรูแน่

“ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นโอกาสดีของเรา ไปรวบรวมทหารองครักษ์คนอื่น ๆ มาให้เร็วที่สุด เราจะขึ้นเรือไปด้วยกัน และฆ่าบอสในเวลาที่สั้นที่สุดเพื่อรับแซฟไฟร์ทะเล ไอเทมกิจกรรมเฟส 2” ลีอากล่าวเสริม

“โอกาสดี” บอริสยังไม่เข้าใจ

“เมื่อเร็ว ๆ ผู้เล่นส่วนใหญ่เริ่มอยู่แต่ในเมืองไร้ชื่อ และแทบไม่มีใครมาฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์เลย…เราต้องทําให้ตัวเองเป็นที่รู้จักอีกครั้ง เพื่อให้ผู้เล่นมาอยู่ฝ่ายเรามากขึ้น” ลีอากล่าวอย่างจริงจัง

“แต่ ไม่ใช่ว่าผู้เล่นทุกคนศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมเหมือนกัน ทั้งผู้เล่นในเมืองไร้ชื่อและฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์” บอริสยังไม่เข้าใจ

“มันต่างกันบอริส มันต่างกัน” หญิงสาวอธิบายอย่างใจเย็น “ข้าเป็นสมาชิกของราชวงศ์เทียร์ร่า เป้าหมายของเราคือการฟื้นฟูอาณาจักร แม้ว่าลอร์ดแองโกร่าจะเป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมเหมือนกัน และเคยช่วยเหลือเราไว้มาก แต่เขาก็ยังคงเป็นขุนนางของจักรวรรดิวัลลา เส้นทางของเขาแตกต่างจากเรา เมื่อถึงเวลาที่เราตัดสินใจฟื้นฟูอาณาจักรของเรา หากเขาวางตัวเป็นกลางมันก็ดีมากพอแล้ว”

ในที่สุดบอริสก็เข้าใจ

แม้ว่าผู้เล่นจะยังไม่ค่อยรู้ตัว แต่เมื่อกิจกรรมที่เกาะมนุษย์เงือกเริ่มต้นขึ้น พวกเขาก็ได้แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ยกเว้นผู้เล่นที่มีชื่อเสียงอย่างปาร์ตี้ของเอ็ดเวิร์ดและมาร์นี้

แต่ถึงอย่างนั้นเส้นแบ่งก็ยังคงเปราะบาง ดังนั้นหากพวกเขาสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองได้ มันก็จะช่วยดึงดูดให้ผู้เล่นคนอื่น ๆ ให้เข้ามาอยู่เคียงข้างพวกเขาได้มากขึ้น

และเห็นได้ชัดว่าการหาเสียงที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือ การเอาชนะบอสและได้รับแซฟไฟร์ทะเล

“ข้าเข้าใจแล้ว!”

“เร็วเข้า รีบไป! เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว!” เจ้าหญิงลีอาสั่งการ

ตอนนี้บอริสลืมคําเตือนของผู้เฒ่าแวนเค่อไปหมดแล้ว เขารีวิ่งออกไปเรียกทหารองครักษ์คนอื่น ๆ

บทที่ 140 หากเจ้าไม่มีไอเทม เจ้าก็ไม่มีชีวิต

แตกต่างจากไอรอนเฟลที่ดูเหมือนกําลังสับสนกับงานของตัวเอง และในที่สุดก็ตระหนักถึงทิศทางที่แปลกประหลาดด้วยตัวเอง ผู้เล่นต่างก็หมกมุ่นอยู่กับ “สวัสดิการ” ที่เทพเจ้าแห่งเกมมอบให้ จากการเสริมแกร่งไอเทม

นี้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจ เพราะในตอนนี้ยังไม่มี “โหมดเติมเงิน” ที่แท้จริง หลังจากที่ผู้ศรัทธากลายเป็นผู้เล่น พวกเขาทั้งหมดก็ถูกดึงเข้าสู่สถานะที่เท่าเทียมกัน และปกติแล้วมีเพียง 3 ด้าน เท่านั้นที่สามารถมอบความรู้สึกภาคภูมิใจและความสําเร็จได้ คือ ไอเทม เลเวล และความคืบหน้า ในการเคลียร์ดันเจี้ยน หรือการสํารวจรอบนอกของหุบเขาแห่งความตายที่น่าเศร้าและท่าเรือเกรย์ฟยอร์ด

สําหรับ 2 อย่างหลังมันกําลังมาถึงทางตันและไม่มีอะไรสําคัญให้ทํา ในระยะสั้น มันยากที่จะขยายช่องว่างให้เพียงพอที่จะสร้างความได้เปรียบ

ยิ่งไปกว่านั้น EXP ที่จําเป็นต่อการอัพเลเวลก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่การสํารวจดันเจี้ยนก็ยากขึ้น เมื่อเกมเข้าสู่ช่วงหลัง ผู้เล่นที่เริ่มต้นช้าก็จะตามทันผู้เล่นรุ่นก่อนอย่างช้า ๆ

ดังนั้นเซ็ตไอเทมที่ยอดเยี่ยมและหายาก จึงกลายเป็นที่สนใจของผู้เล่นส่วนใหญ่ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมเจ้ามือดําจึงถูกรังเกียจขนาดนี้

แถมตอนนี้ซีเว่ยก็ใช้โอกาสนี้เพิ่มระบบเสริมแกร่งไอเทม ทําให้การแสวงหาไอเทมระดับสูงของผู้เล่นบรรลุจุดสูงสุดใหม่!

ถึงอย่างนั้นมันก็แตกต่างจากเกมออนไลน์บนโลก NPC อย่างไอรอนเฟล ไม่สามารถรองรับผู้เล่นทุกคนพร้อมกันได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีการต่อคิวยาวในเมืองไร้ชื่อ ฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์ และหมู่บ้านมนุษย์กบ เนื่องจากผู้เล่นทุกคนกําลังรอให้ช่างตีเหล็กคนแคระเสริมแกร่งไอเทมของตน

และเพราะแบบนั้น มันเลยมีคนที่พยายามจะลัดคิว เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่เป็นผู้ลี้ภัยธรรมดาที่ไม่ค่อยจะมีมารยาท แต่หลังจากที่ผู้กระทําผิดเหล่านั้นถูกตบด้วยใบเหลืองเช่น [ดีบัฟรับประกันว่าจะไอเทมจะเสริมแกร่งล้มเหลว (24 ชั่วโมง)] หรือ [แบน ID (24 ชั่วโมง)] ทุกคนก็จํามารยาทได้ทันที ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าคิวอย่างเชื่อฟัง

“นี่ไม่ใช่พี่ใหญ่มาร์นี่เหรอ” ผู้เล่นคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะทักมาร์นี่ วิลฟ์ ผู้ซึ่งเป็นตํา นานของผู้เล่นทุกคน เมื่อพบว่าเขาเข้าคิวอยู่ก่อนหน้าตัวเอง

“โอ้ เจ้ารู้จักข้ารึ” มาร์นี่ที่ชะโงกมองไปข้างหน้าเพื่อดูว่าเมื่อไหร่จะถึงตาเขาถามกลับด้วยความประหลาดใจ

เป็นไปได้ไหมที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา จะกลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขว้างของผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม จนแม้แต่มือใหม่ก็ยังรู้จักเขา?

มาร์นี่คิดขณะที่เขาลูบคางตัวเองอย่างภูมิใจ

แต่ผู้เล่นชี้ไปที่บนหัวของเขา นั่นทําให้รอยยิ้มของมาร์นี่แข็งที่อทันที

โอ้ใช่ ผู้เล่นสามารถเห็นชื่อของผู้เล่นคนอื่นได้

“เมื่อเร็ว ๆ นี้ เจ้าน่าทึ่งมาก!” ผู้เล่นคนนั้นยังคงชวนคุยต่อไป โดยไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มทื่อ ๆ ของมาร์นี่

“อ่า..ฮ่าฮ่า มันเรื่องปกติ”

มาร์นี้ฟื้นตัวและพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมสีหน้าภาคภูมิใจของเขา

สิ่งที่เขาทําไปก็คือการเชื่อมต่อเส้นทางการค้าจากเมืองไร้ชื่อไปยังวิคกิดอร์ และเริ่มธุรกิจหลายอย่างในแลงคาสเตอร์ เพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากรที่ขาดไปสําหรับเมืองไร้ชื่อ (เช่น เนื้อสัตว์ที่ผู้เล่นไม่สามารถหาได้จากการฟาร์มสัตว์ประหลาด) และป้องกันสินามิ เพื่อปกป้องหมู่บ้านมนุษย์กบเมื่อ 4 วันก่อน!

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้มาร์นี่ก็ยึดอก เขารู้สึกว่าฉายาสีแดงบนหัวของเขาที่ชื่อว่า “วีรบุรุษผู้กล้าที่ต่อสู้กับมหาสมุทร” ดูดีขึ้นกว่าเดิม

“สุดยอดจริง ๆ ! ไม่มีการแจ้งเตือนจากระบบว่าเจ้าตายมา 3 วันแล้ว” ผู้เล่นอุทานด้วยความประหลาดใจ “ผู้เล่นหลายคนที่พนันว่าเจ้าจะตายในอีก 3 วัน ต้องสูญเสียเงินเป็นจํานวนมาก

“แค่ก” มาร์นี้สําลักน้ําลายกับคําชมที่เขาไม่คาดคิด “นั่นคือความประทับใจที่เจ้ามีต่อข้าร์ ไม่สิ เดี๋ยวก่อน เจ้าพูดถึงการเดิมพัน? ทําไมข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้”

ในตอนนั้น ผู้เล่นก็รู้ตัวแล้วว่าเขาหลุดปาก ดังนั้นเขาเลยพยายามเปลี่ยนบทสนทนาทันที “อ้า…มาร์นี่ HP ที่เจ้าเหลืออยู่ค่อนข้างต่ํา ปล่อยไว้อย่างนี้มันจะดีเหรอ?”

“ข้าเพิ่งผ่านการต่อสู้ที่ยากลําบากมาเมื่อข้าตีบวกไอเทมเสร็จ ข้าจะไปหาเครลิคเพื่อ เติมเลือด ตรงนี้ค่อนข้างไกลจากการต่อสู้ ดังนั้นข้าจึงไม่ต้องกังวลว่าจะโดนลูกหลง และถ้าจําเป็น ข้าก็ยังมีโคคาโคล่า” มาร์นี่ตอบอย่างมั่นใจ “ตอนนี้เรื่องการพนันที่เจ้าพูดถึงสําคัญ…”

แต่ก่อนที่มาร์นี่จะได้พูดจบ เขาก็รู้สึกได้ถึงความปั่นปวนของผู้เล่นที่เข้าคิวอยู่ข้างหลัง

“มนุษย์เงือก! มันหลุดมาจากแนวหน้า!”

“ข้าเห็นมันแล้ว! ทุกคนระวัง!”

“มันขว้างหอกแล้ว!”

จากนั้นหอกที่ทําจากเปลือกหอยแหลมยาว ก็พุ่งผ่านอากาศเข้าหามาร์นี่

ดวงตาของมาร์นี่เปล่งแสง เขาหัวเราะในลําคอแล้วพูดว่า “ฮึ ข้ารู้ว่าเรื่องแบบนี้จะ ต้องเกิดขึ้น”

จบคํา เขาก็ม้วนหน้าหลบหอกอย่างสมบูรณ์แบบ!

คนอื่น ๆ ที่ตามมาฆ่ามนุษย์เงือก อดไม่ได้ที่จะต้องผิดหวังกับการแสดงของมาร์นี่

“ทักษะนั้นเหมือนกับทักษะกระโดดถอยหลังรึเปล่า” ผู้เล่นคนก่อนถามด้วยความประ หลาดใจ

“ไม่ใช่ นี่คือทักษะหลบหลีกที่ข้าได้เรียนรู้จากบุคคลที่ชื่อ “ฤดูร้อนแปดม้วน” เมื่อข้าอยู่ที่แลงแคสเตอร์” มาร์นี่ตอบอย่างภาคภูมิใจ “หลังจากเรียนรู้แล้ว จะมีทักษะปรากฏขึ้นในหน้าทักษะและระดับสูงสุดของมันสามารถยกระดับได้ถึงเลเวล 8!”

ผู้เล่นกําลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไอรอนเฟลที่เฝ้าดูอย่างเย็นชามาตั้งแต่ต้น ก็ทุบ เหล็กแล้วพูดออกมาว่า ”ต่อไป”

“ตาข้าแล้ว ไว้เราค่อยมาคุยกันคราวหน้า” เมื่อถึงตาเขาแล้ว มาร์นี่ก็ไม่ยอมเสียเวลา เขาส่งเกราะส่วนอกของเขาให้ไอรอนเฟลท์ทันที

“อืม เกราะชิ้นนี้เคยได้รับการเสริมแกร่งมาก่อนรึเปล่า” คนแคระเทารู้ทันทีเมื่อเขาหยิบชุดเกราะขึ้นมา

“ช่างตีเหล็กคนแคระอีกคนชื่อไอรอนสเตอร์ เขาเสริมพลังให้มันเป็น 45 เมื่อข้าอยู่ที่แลงคาสเตอร์ นี่คือหินเสริมแกร่งระดับกลาง โปรดช่วยข้าเสริมแกร่งให้มันเป็น 46 ที่” มาร์นี่พูดขณะที่เขาวางอัญมณีลงบนโต๊ะ

ตามการตั้งค่าของซีเว่ย ต้องใช้หินเสริมแกร่งระดับต่ําเพื่อเสริมแกร่งไอเทม +1 ถึง +5 จากนั้นก็ใช้หินเสริมแกร่งระดับกลาง เพื่อเสริมแกร่งไอเทม +6 ถึง +10 และหินเสริมแกร่งสําหรับระดับสูง เพื่อเสริมแกร่งไอเทมระดับที่สูงกว่า +10

ยิ่งไปกว่านั้น ปกติแล้ว จาก +1 ถึง +5 หากการเสริมแกร่งล้มเหลว ระดับไอเทมที่ตีบวกจะลดลงแต่ไอเทมจะไม่ระเบิด และรับประกันความสําเร็จของการตีบวกจาก +1 ถึง +3

ในทางกลับกัน ตั้งแต่ +6 ถึง +10 เมื่อเสริมแกร่งล้มเหลว จะมีโอกาส 50-50 ระหว่างไอเทมแตกหรือระดับลดลง

ในขณะที่ +10 ขึ้นไป เมื่อเสริมแกร่งล้มเหลว มันจะรับประกันว่าไอเทมจะแตก 100%

“ข้าไม่สามารถรับประกันได้ว่ามันจะสําเร็จ…” ไอรอนเฟลพึมพําหลังจากเคาะเกราะ และฟังเสียงสะท้อนจากมัน

“ไม่เป็นไร ข้าเตรียมหินเสริมแกร่งไว้หลายก้อน”

มาร์นี่กล่าวอย่างมั่นใจ “ทําเลย”

ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดก็คือการสูญเสียไอเทม หลังจบกิจกรรมบุกลัทธิกระดูกเน่า เขาก็ได้แลกเปลี่ยนชุดเกราะ Avenger สํารองมาหลายชุด แม้ว่ามันจะแตก เขาก็จะรู้สึกเจ็บปวดแค่กับการเสียหินเสริมแกร่งไปเท่านั้น

ไอรอนเฟลถอนหายใจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงฝังพลังภายในหินเสริมแกร่งลงไปในอุปกรณ์ ก่อนที่จะยกค้อนขึ้นสูงและทุบมันลงบนชุดเกราะอย่างแรง

ประกายไฟปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง และเกราะส่วนอกก็ส่งเสียงครางทิ้ง ๆ

ในเสี้ยววินาทีถัดมา เกราะก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ และกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง

โดยไม่ทันได้เตรียมตัว มาร์นี่ก้มลงมองเศษเกราะชิ้นใหญ่ที่ยื่นออกมาจากอกของเขา จากนั้นก็พูดว่า “อ่า การตีบวกล้มเหลวก็สร้างความเสียหายได้เหมือนกันสินะ”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ ร่างของเขาก็ร่วงลงไปกองกับพื้น และสิ้นลมหายใจตายทันที

ในขณะเดียวกัน ผู้เล่นที่อยู่รอบ ๆ ก็ส่งเสียงโห่ร้องอย่างอึกทึก พวกเขาทุกคนต่างก็ตะโกนคําพูดต่าง ๆ เช่น “มาร์นีตายอีกแล้ว เชี่ย!” หรือ “เร็วเข้า รีบไปพาท่านเอลีน่ามา”

นั่นทําให้ไอรอนเฟลที่กําลังคิดว่าตัวเองมีปัญหารู้สึกงงมาก มนุษย์ที่ตายไปคนนี้เป็นเจ้าหนี้ของพวกเขางั้นรึ หรือนี่เป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งของผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม?

เขามองไปที่ลูกรัก (ค้อน) ของเขาอย่างว่างเปล่า และเริ่มคิดว่าเขาควรจะเข้าสู่วิถีแห่งคนพาลที่จะปิดปากเรื่องต่าง ๆ ด้วยคําว่า ‘หากเจ้าไม่มีไอเทม เจ้าก็ไม่มีชีวิต’ ดีไหม

บทที่ 139 ไม่ใช่ความผิดของข้า มันคือความผิดของไอเทม!

มนุษย์นั้นประหลาดมาก

หลังจากใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านมนุษย์กบ ไอรอนเฟลก็พบว่าพฤติกรรมของผู้คนรอบข้างค่อนข้างเข้าใจยาก

ประการแรก พวกเขาทําการซื้อขายกันด้วยสิ่งที่เรียกว่า “เหรียญเกม…ไม่ใช่ว่ามนุษย์บนผิวดินใช้เหรียญทองแดง เหรียญเงินริออน และเหรียญทองคําแอบบี้ ที่ออกโดยโบสถ์ของเทพธิดาแห่งความมั่งคั่งหรือ ทําไมถึงเป็นเหรียญเกม?

เพื่อที่จะมีชีวิตที่สะดวกสบายบนผิวดิน ไอรอนเฟลจึงได้ขายสว่านตัวโปรดของเขาแลกกับเหรียญริออนจํานวนมากจากกิลด์ช่างตีเหล็ก

แต่มันไม่สําคัญจริง ๆ ว่าจะเป็นสกุลเงินแบบไหน เพราะเขาวางแผนที่จะเริ่มงานตีเหล็กบนผิวดิน เขาสบายดีตราบเท่าที่เขามีเงินเพียงพอให้ใช้

แต่ถึงอย่างนั้น พฤติกรรมของผู้ศรัทธาพวกนี้ก็ทําให้เขาต้องตกตะลึง

พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับการเข่นฆ่าพวกมนุษย์เงือกที่กําลังโจมตีชายหาด แม้กระทั่งเถียงเกี่ยวกับจํานวนมนุษย์เงือกที่ถูกฆ่าไป

ยิ่งไปกว่านั้นทัศนคติของผู้ศรัทธาเหล่านี้ต่อความตายก็ยังทําให้ไอรอนเฟลประหลาดใจมาก พวกเขาไม่กลัวความตายและยังถือว่าความตายเป็น…เอ่อ จะพูดยังไงดี

เขาเคยเห็นผู้ศรัทธาคนหนึ่งลอยอยู่ในน้ําตื้นโดยที่แขนขาบิดหัก แต่เขาก็แทงมนุษย์เงือกด้วยแขนที่ยังพิการของเขา เพื่อที่เขาจะได้รีบฆ่ามนุษย์เงือกอีก 2-3 ตัว ก่อนที่เขาจะจมน้ําตาย

เขาตายต่อหน้าต่อตาไอรอนเฟล

แต่เพื่อนร่วมทีมของผู้ศรัทธาคนนั้นกลับไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย ความจริงพวกเขากําลังพูดบางอย่างเช่น “เราต้องนําเครลิคมาด้วยในครั้งหน้า” พวกเขาหันหลังให้ผู้ศรัทธาคนนั้นและหัวเราะ ขณะที่พวกเขาพากันเดินกลับไปที่หมู่บ้านมนุษย์กบ

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทําให้ไอรอนเฟลรู้สึกหนาวสั่น เขาขนลุกไปทั้งตัว

ไม่ว่าจะหมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้เพียงใด คนแคระดําที่ถือว่าความตายเป็นเกียรติก็ไม่ได้อาการหนักเท่านี้

ถ้าไม่ใช่เพราะวิวรณ์ของเทพเจ้านําทางเขามาที่นี่ เขาคงจะคิดว่าที่นี่เป็นสถานที่รว มตัวของพวกลัทธิจิตไม่ปกติ

แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ทําให้ไอรอนเฟลรู้สึกแปลกใจมากที่สุดก็คือ ผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมไม่ได้ชอบการสร้างอาวุธ ทั้งที่พวกเขาเกือบทั้งหมดมีอาวุธของตัวเอง แม้ว่าอาวุธของพวกเขาจะรูปร่างแปลก ๆ ก็เถอะ

ตัวอย่างเช่น มีดาบยาวบาง ๆ หนึ่งเล่มที่ดูเหมือนดาบธรรมดา แต่ด้ามจับจะมีขอบแหลมขึ้นมาทั้ง 2 ด้านทําให้มันดูคล้ายตรีศูลนิด ๆ มันดูเท่ แต่มันใช้งานไม่ได้จริง!

หากแทงด้วยใบมีดดังกล่าว หมายความว่าด้ามจับที่ใช้ประดับจะทําให้พลังที่ใช้ในการแทงกระจายออก และหากด้ามจับไม่แข็งแรงและคมพอ มันจะไม่บาดลึกเข้าไปในร่างกายของศัตรู และขอบทั้งสองด้านจะติด ทําให้แทงได้ไม่ลึงพอ

จุดศูนย์ถ่วงของอาวุธก็ไม่เสถียร ทําให้มันถือได้ยากกว่าอาวุธปกติ และมันไร้ประโยชน์ยิ่งกว่าดาบประดับที่พวกขุนนางใช้อีก

แต่ผู้ศรัทธาที่ถืออาวุธไร้ประโยชน์นั้นกลับพูดอย่างมั่นใจว่า “ในที่สุดข้าก็ได้อาวุธชั้นยอด มาแล้ว วันนี้ข้าฟาดฟันมนุษย์เงือก 10 ตัวตายพร้อมกันเลย!” โดยมีผู้ศรัทธาคนอื่น ๆ มองเขาด้วยความอิจฉา

“มันต้องใช้ความแข็งแกร่งอย่างมากในการเหวี่ยงสิ่งนั้นไปที่มนุษย์เงือกเพียงตัวเดียวให้ตาย” ไอรอนเฟลอดไม่ได้ที่จะประท้วงในใจ และดาบของพวกเจ้ามีประโยชน์มาก แม้ว่ามันจะไม่เท่เท่าของเขาก็ตาม

นอกจากนั้น ผู้ศรัทธาบางคนยังมีอาวุธส่องแสงลึกลับ มันไม่ใช่แสงที่ทําให้ศัตรูตาบอด แต่เป็นแสงอ่อน ๆ ที่ไร้ประโยชน์อีกอย่าง มันไม่มีผลอะไรเลยนอกจากความเท่ พวกเขาไม่กลัวว่าศัตรูจะเห็นชัดเหรอ ว่าพวกเขาแกว่งดาบไปที่ไหน หรือพวกเขาวางแผนที่จะทําให้ศัตรูหัวเราะจนตายด้วยอาวุธโง่ ๆ ของพวกเขา

แน่นอนว่านี่มันเป็นเรื่องของผู้ศรัทธาเหล่านั้น พวกเขาจะทําอะไรก็ได้ตามที่พวกเขาพอใจ แม้ว่าพวกเขาจะใช้แตงกวาหรือมะเขือเทศฆ่าศัตรู มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไอรอนเฟล แต่เขาก็ยังหวังว่างานของเขาจะง่าย

ปัญหาคือภาระงานของเขาไม่เคยลดลงเลย

นับตั้งแต่ที่ไอรอนเฟลมาถึง ผู้เล่นหลายคนก็มาหาเขาพร้อมกับอาวุธที่พวกเขาต้องการจะเสริมแกร่ง

และเมื่อพูดถึงการเสริมแกร่งอาวุธ ไอรอนเฟลก็ได้รับ ‘ทักษะ’ หลังจากที่เขาได้รับ การเลื่อนขั้นจากระดับทองเป็นมาสเตอร์ นั่นคือความสามารถในการตรวจสอบว่าวิธีตีเหล็กของใครคนหนึ่งมีปัญหาหรือไม่ โดยขอให้สตอฟฟ์ เทพเจ้าแห่งงานฝีมือและไวน์ชั้นดีอวยพรก่อนทํางาน

ปกติแล้วมันจะเป็นแบบนี้

คําถาม: ‘โอ้เทพเจ้าที่รัก มันจะออกมาดีไหมถ้าข้าใส่คริสตัลสีเข้มหลังจากเติมกรดหลอมเหลวลงไปแบบนี้’

คําตอบ: ‘มันจะระเบิด’

อะไรแบบนั้น

แต่มันไม่ใช่การสื่อสารกับเทพโดยตรง เนื่องจากการได้รับคําทํานายของเทพเจ้าเป็นเรื่องใหญ่สําหรับกิลด์ช่างตีเหล็ก ทักษะนี้ก็เหมือนกับความสามารถในการได้รับคําตอบโดยตรง โดยไม่ต้องไปเปิดหาในหนังสือ และต้องมีสถานะเป็นมาสเตอร์ก่อนถึงจะใช้ความสามารถนี้ได้

พูดง่าย ๆ มันก็คือ Baidu

แต่การเสริมแกร่งอาวุธเมื่อเทียบกับในเมืองแมกมาแล้ว มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สําหรับผู้ศรัทธาที่นี่ แม้ว่าทั้งสองวิธีจะต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ใส่เข้าไปในอาวุธเหมือนกันเพื่อปรับปรุงคุณภาพของอาวุธในทุก ๆ ด้าน แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ของสตอฟฟ์จะถูกใช้เป็นส่วนใหญ่ และมันก็เป็นเหมือนกันแม้กระทั่งกับศาสนจักรอื่น ๆ ที่เชิญช่างตีเหล็กคนแคระมาเสริมแกร่งให้อาวุธของพวกเขา

แต่ที่หมู่บ้านมนุษย์กบ พวกเขากําลังใช้พลังงานศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าแห่งเกม แม้ว่าจะไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน แต่ผู้ศรัทธาเหล่านั้นก็ทิ้งอาวุธของพวกเขาไว้เพื่อให้เขาเสริมแกร่ง และเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังแบบเดียวกันในหินเสริมแกร่ง ที่มีพลังงานคล้ายกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของสตอฟฟ์

แต่พลังงานนั้นไม่สามารถใช้เพื่อสิ่งอื่นใดได้นอกจากการเสริมแกร่ง

และสิ่งที่ทําให้เขากังวลมากกว่านั้นก็คือ การเสริมแกร่งไม่ใช่เรื่องง่ายสําหรับผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม

ไม่ใช่เพราะเทคนิคนี้ไม่ธรรมดา จริง ๆ แล้วเขาประสบความสําเร็จในการเสริมแกร่ง แต่เพียงเขาใช้ค้อนทุบไอเทมของผู้ศรัทธาเหล่านั้นเพียงครั้งเดียว มันก็ระเบิดทันที

ตอนแรกเขารู้สึกกลัวแทบตาย เขาคิดว่าเขาก่อปัญหาใหญ่โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่หลังจากที่ทุบไอเทมหลาย 10 ชิ้นแตก ผู้ศรัทธาเหล่านั้นก็คิดเพียงแค่ว่าพวกเขาโชคร้าย และไม่ได้ขอค่าชดเชยจากเขา

ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้ผิด มันเป็นความผิดของไอเทม!

บทที่ 138 ทําไมต้องเรียกสัตว์ประหลาดทะเลมาเป็นอาหาร?

แม้ว่าเขาจะเป็นคนแคระเทาอายุ 123 ปีที่อ่อนแอ ทําอะไรไม่ถูก และเป็นเด็กตะกละเล็กน้อยในสายตาของพ่อแม่ แต่ไอรอนเฟลก็มีประสบการณ์เท่ากับอายุของเขาในฐานะช่างตีเหล็ก แม้ว่าเขาจะไม่เคยขึ้นสู่ผิวดินมาก่อน แต่เขาก็เคยได้ยินเรื่องนี้จากการคนแคระเทาที่เคยเดินทางขึ้นไป ขณะที่พวกเขาคุยโวกันทุกวันเมื่อออกไปเที่ยวดื่มเหล้าหลังเลิกงานในเมืองแมกมา

หากไม่สนใจการโอ้อวดของผู้บรรยาย มนุษย์ที่ปรากฏในเรื่องราวของคนแคระเหล่านั้น ก็มีความเหมือนกันไม่มากก็น้อย วิถีชีวิตของพวกเขาไม่ได้แตกต่างจากคนแคระมากนัก แต่เนื่องจากมนุษย์มีช่วงชีวิตที่สั้นกว่ามาก พวกเขาเลยไม่ได้แสวงหาความเป็นเลิศหรือมีความหลงใหลในงานฝีมือแบบเดียวกับเหล่าคนแคระ และส่วนใหญ่พวกเขาก็ใช้ชีวิตไปวัน ๆ อย่างน่าเบื่อ ภายใต้การปกครองของศาสนจักรและขุนนาง

ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ยังมีจํานวนมหาศาลมากจนเทพเจ้าของพวกเขาไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึงทําให้พวกเขามีผู้ถูกเลือกเพียงไม่กี่คน ดังนั้นเผ่าพันธุ์ของพวกเขาจึงอ่อนแอมาก

ตอนแรกไอรอนเฟลไม่ต้องการอยู่ในดินแดนมนุษย์ถาวร แต่เขาก็ไม่คิดว่าการใช้ชีวิตของเขาที่นั่นจะยากเกินไป อย่างมากเขาก็แค่ต้องสร้างอาวุธบางอย่างเพื่อมนุษย์ การต่อสู้กับเหล็กและไฟเป็นสิ่งที่อยู่กับคนแคระมาทั้งชีวิตอยู่แล้ว มันจะยากแค่ไหนกัน? ก็เหมือนกับที่ช่างทําเตาพูด แค่คิดว่ามันเป็นวันหยุด

เป็นผลให้สิ่งต่าง ๆ ผลิกกลับทันทีที่ไอรอนเฟลก้าวออกจากเมือง

เขาไม่เห็นสไลม์แม้แต่ตัวเดียวในอุโมงค์ เมื่อเขาคิดเอาเองว่าพวกมันคงถูกกวาดล้างโดยคนงานเหมืองไปหมดแล้ว เขาก็วิ่งเข้าไปเจอบิ๊กสไลม์ ซึ่งเกิดจากการที่สไลม์จํานวนมากมารวมตัวกัน ห้อยติดอยู่บนอุโมงค์มีดเหนือพอลทัล เพื่อดักซุ่มโจมตีคนแคระที่ต้องการเทเลพอร์ต

ก่อนที่ไอรอนเฟลจะทันได้ตอบโต้ เขาก็ถูกกลืนลงท้องบิ๊กสไลม์ไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพอร์ทัลก็ได้เปิดใช้งานแล้ว มันเลยเคลื่อนย้ายเขาออกมาพร้อมกับสไลม์ที่กลืนเขาเข้าไป

พวกเขามาถึงทางตอนเหนือของจักรวรรดิวัลลาในป่าละเมาะที่ไร้ผู้คน นั่นทําให้ไอรอนเฟลไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากคนแคระที่ผ่านไปมาได้

แต่เมื่อไอรอนเฟลท์คิดว่าเขาคงต้องตายแน่ ๆ แล้ว เด็กหนุ่มสองคนและสุนัขหนึ่งตัวก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้

ความจริงสไลม์เป็นสัตว์ประหลาดระดับต่ําสุดและอ่อนแอมาก แม้ว่าชั้นเจลด้านนอก จะปกป้องมันจากการโจมตีทางกายภาพได้เล็กน้อย แต่หินเวทย์ซึ่งเป็นแกนกลางของพวกมันนั้นแตกต่าง แค่เด็กถือไม้ก็ทําให้พวกมันตกใจกลัวได้แล้ว

แต่เมื่อสไลม์หลายตัวมาหลอมรวมกันเป็นบิ๊กสไลม์ ความสามารถของมันก็เลยเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ชั้นเจลบนร่างกายของพวกมันมีมวลมากขึ้น ในขณะที่แกนกลางของพวกมันอย่างหินเวทย์ไม่ได้ขยายใหญ่ขึ้นตามไปด้วย ทําให้การจะโจมตีโดนหินเวทย์ทําได้ยากขึ้น

ในขณะเดียวกัน ร่างกายที่มีขนาดใหญ่ของมันก็มีความสามารถในการล่าเหยื่อที่น่ากลัว และเหยื่ออย่างไอรอนเฟลที่ถูกชั้นเจลห่อหุ้มไว้อย่างสมบูรณ์ ก็ไม่สามารถหลบหนีได้โดยปราศจากความช่วยเหลือจากภายนอก

สรุปสั้น ๆ เลยก็คือ เด็กหนุ่มมนุษย์ 2 คนนี้ไม่มีวันเอาชนะสไลม์ตัวนี้ได้!

ไอรอนเฟลเปิดปากเตือนพวกเขา แต่เขาไม่สามารถส่งเสียงออกมาจากภายในร่างของสไลม์ได้ แม้เจลของมันจะมีฤทธิ์ย่อยสลายที่อ่อนแอ แต่เมื่อมันหลั่งเข้าไปในปาก เขาก็เกือบจะสูญเสียกล้ามเนื้อหูรูดของเขาไป และหากเขายังฝืนพูดต่อไป เขากลัวว่าเขาจะกลายเป็นชีสเหนียว ๆ ในไม่ช้า

เหตุผลที่ไอรอนเฟลยังมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้ ต้องขอบคุณหนังหนา ๆ ของคนแคระ ที่สามารถอยู่รอดได้ในทุกสภาพแวดล้อม แต่นั้นไม่รวมถึงอวัยวะภายในของพวกเขา

แล้วทําไมไอ้เด็กเชี่ย 2 คนนั้นยังพยายามสู้กับสไลม์อีก! รีบกลับบ้านไปหาพ่อแม่ซะ! ไอรอนเฟลได้แต่ร้องคํารามอยู่ในใจ

แต่เห็นได้ชัดว่าเด็กทั้งสองไม่ได้รับกระแสจิตของเขา ขณะที่ไอรอนเฟลเฝ้าดูพวกเขาโจมตีสไลม์ เขาก็คิดว่า ไม่ช้าเขาก็จะมีเพื่อนร่วมคุกเพิ่มอีก 2 คนและสุนัขอีก 1 ตัว

แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นเกินความคาดหมายของไอรอนเฟลมาก

เด็กสองคนนี้สู้มันได้จริง ๆ

หนึ่งในนั้นดูเหมือนจะเป็นนักรบ เขาไม่เพียงแต่จะก่อกวนสไลม์ได้ เขายังหาจังหวะแทงมันเป็นครั้งคราวได้อีกด้วย แต่การโจมตีแค่นี้ก็แค่ทําได้แค่ให้ชั้นเจลของมันกระเพิ่มเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล เขาก็เลยเรียกวิญญาณที่คล้ายมนุษย์ออกมา ก่อนจะปล่อยมันขว้างหมัดออกไปในขณะที่ร้องตะโกนว่า “โอร่า โอร่า โอร่า” จนไอรอนเฟลต้องห วาดกลัวพลังหมัดเหล่านั้น แม้เขาจะอยู่ลึกเข้าไปในร่างกายของบิ๊กสไลม์ก็ตาม

ส่วนเด็กมนุษย์อีกคนนั้นก็ลึกลับยิ่งกว่า เขาเรียกอาหารทะเลออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อป้อนให้สไลม์ตัวใหญ่กินใช่ ให้อาหาร

ตั้งแต่ปลาหมึกไปจนถึงปลามาร์ลิน ปูแคระ ปูเสฉวนตัวใหญ่ที่มีดอกไม้ทะเลเติบโตอยู่ด้านบนเปลือก ปลาไหลในสวนขนาดใหญ่ ที่โผล่หัวออกมาจากเปลือกเพรียง เขาส่งพวกมันออกมายั่วน้ําลายสไลม์

ในตอนแรกไอรอนเฟลคิดว่านักอัญเชิญไม่มีคาถาที่ทรงพลังและค่อนข้างจะอ่อนแอ เขาเลย เรียกอาหารทะเลออกมาเรื่อย ๆ เพื่อปกปิดการโจมตีของนักรบ

สไลม์เป็นสัตว์ประหลาดที่ไร้สมอง พวกมันกินอาหารโดยไม่มีความยับยั้งชั่งใจ มันเลยไม่ปฏิเสธอาหารทะเลที่ถูกป้อนให้

ในที่สุดอาหารทะเลจํานวนมากก็บีบไอรอนเฟลมาที่ขอบร่างของสไลม์ โดยมีปลาหมึกตัวหนึ่ง พันรอบใบหน้าของเขาอย่างแน่นหนา ในขณะที่เขารู้สึกว่าปรสิตบางตัวกําลังวางไข่ เขาก็เข้าใจทันทีว่านักอัญเชิญตั้งใจจะทําอะไร

และตามที่ไอรอนเฟลคิด สุนัขที่ไม่ได้ร่วมโจมตีมาตั้งแต่แรกก็ได้อ้อมมาทางด้านหลังสไลม์ซึ่งไม่ใช่ด้านหลังจริง ๆ เนื่องจากสไลม์ไม่มีหน้าและหลัง

แต่ในขณะที่สไลม์ถูกทารุณโดยวิญญาณที่นักรบหนุ่มเรียกออกมา สไลม์ก็ไม่เคยสังเกตเห็นสุนัขตัวใหญ่ที่กําลังย่องเข้าหามันเลย

สุนัขฉวยโอกาสกัดหนวดปลาหมึกตัวหนึ่งซึ่งยื่นหนวดออกมาจากร่างของสไลม์ และ เริ่มดึงมันออกมาอย่างมั่นคง

ดังนั้นหัวของไอรอนเฟลก็เลยโผล่ออกมาจากร่างของสไลม์ด้วย เมื่อมันเห็นอย่างนั้น สุนัขก็ออกดึงแรงมากขึ้นเพื่อลากคนแคระเทาออกมา แม้ว่าเขาจะกรีดร้องว่า หนังหัวข้า! ปลาหมึกกําลังจะฉีกหนังหัวของข้าแล้ว!” และเสียงต่อการเสียโฉมก็ตาม

“เอาล่ะ ข้าจะโจมตีมันเป็นครั้งสุดท้ายเอง!” คนแคระตะโกนขึ้นมาทันทีหลังจากที่เขา ลุกขึ้นยืนได้สําเร็จ เขาพร้อมจะฟาดค้อนคู่ใจออกไปเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้

แต่แล้วเขาก็พบว่า ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ถูกผลักไปที่ขอบของสไลม์ แต่ยังมีแกนกลางของมันอีกด้วย

นักรบหนุ่มทําท่าทางแบบว่า “เหอะ พวกเราเคยเห็นคนแบบเจ้ามามากแล้ว พวกที่ชอบขโมยลาส” ก่อนจะแทงดาบมือเดียวของเขาอย่างโหดเหี้ยมไปที่แกนกลางของสไลม์

สิ่งมีชีวิตนั้นส่งเสียงกรีดร้องทันที ขณะที่ร่างกายของมันแยกออกจากกันเหมือนตอน ที่ลูกโป่งน้ําแตก สารหนาที่น่าขยะแขยงของมันกระจายออกมาทุกทิศทาง ขณะที่ร่างกายของมันเหี่ยวแห้งลงอย่างรวดเร็วเป็นรูปร่างอาหารทะเล

คนแคระเทาถูกปล่อยให้ยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาว โดยมีปลาหมึกเกาะอยู่เหนือหัวอย่างสับสน ใครกันที่บอกว่ามนุษย์อ่อนแอ? คนแคระทุกคนที่ขึ้นมาบนผิวดินก่อนหน้านี้มีแต่เหล้ารัมอยู่ในหัวกันหมดใช่ไหม?!

บทที่ 137 อย่ารังแกพวกเขา!

ตอนแรกซีเว่ยเคยจินตนาการว่า การโจมตีของมนุษย์เงือกนั้นจะเหมือนกับซอมบี้ในหนังวันสิ้นโลก นั่นคือฝูงมนุษย์เงือกจะคลานขึ้นมาจากมหาสมุทร ใช้จํานวนที่มากกว่าเข้าท่วมทับผู้เล่น ที่อ่อนแอและทําอะไรไม่ถูก และในทางกลับกัน ผู้เล่นที่ได้รับแรงสนับหนุนจากผลตอบแทนมากมายที่เขาตั้งไว้ จะทําสงครามกับมนุษย์เงือกครั้งยิ่งใหญ่ เหมือนผู้กอบกู้ที่ไม่ย่อท้อและเต็มไปด้วยบทละครโศกนาฏกรรม

เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้เล่นที่อยู่ไกลก็ยังมาไม่ถึง และผู้เล่น 33 คนที่เสียสละตัวเองต่อสู้กับสึนามิก็ยังไม่ฟื้น ตอนนี้จึงหลือผู้เล่นเพียง 100 กว่าคนจาก 200 คนในปัจจุบันที่จะยืนหยัดบนชายหาดเพื่อขับไล่ฝูงมนุษย์เงือก

แต่ความจริงก็คือ

“มนุษย์เงือกตัวนั้นเป็นของข้า ได้โปรดพี่ชาย อย่าขโมยฆ่ามันเลย~”

“หุบปาก เจ้ารอคลื่นลูกต่อไปเถอะ”

“แต่ข้ายังฆ่าไม่ได้เลยตั้งแต่เมื่อวาน…”

“โอ้ ข้าเดาว่าเจ้าต้องเป็นคลาสซอร์ดมาสเตอร์ใช่ไหม คราวหน้าอย่าลืมเลือกคลาสระยะไกลล่ะ เข้าใจไหม”

ผู้เล่นที่เปลี่ยนคลาสเป็นซอร์ดมาสเตอร์ถึงกับน้ำตาไหล

ไม่ว่าจะเป็นเพราะตาสมุทรบนเกาะมนุษย์เงือกต้องใช้เวลาในการเปิดให้เต็มที่ หรือเพราะเทพสมุทรมองว่าซีเว่ยอ่อนแอเกินไป พวกมนุษย์เงือกเลยไม่ได้ทําการบุกโจมตีครั้งใหญ่ พวกเขาเข้าโจมตีโดยมีจํานวนมนุษย์เงือกไม่กี่ 10 ตนในแต่ละระลอก

สําหรับผู้เล่น มนุษย์เงือกที่มีค่าเฉลี่ยเลเวลน้อยกว่า 5 นั้นเป็นเพียงขนมชิ้นเล็ก ๆ ผู้เล่นปล่อยการโจมตีระยะไกลออกไปฆ่าพวกมันได้ก่อนที่พวกมันจะมาถึงชายฝั่งซะอีก ทําให้มีมนุษย์เงือกไม่กี่ตัวรอดชีวิตมาถึงชายหาด

และนั่นก็ทําให้คลาสซอร์ดมาสเตอร์อยู่ยาก

ไม่ว่าพวกเขาจะเล่นสายเบอร์เซิร์กหรือเกิ้งโยค การโจมตีพื้นฐานของพวกเขาล้วนเป็นดาบ ไม่ต้องพูดถึงการยิงลําแสงจากดาบ ของแบบนั้นพวกเขาแทบไม่มี แม้สายรันบุจะมีการลอบโจมตีระยะไกลเช่นการปาทรายและขว้างอิฐ แต่มันก็ต้องเล็งและปาด้วยมือตัวเอง ด้วยเหตุนี้ความแม่นยํา จึงแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเทียบกับเวทมนต์ของเมจที่ล็อกเป้าหมายอัตโนมัติ และลูกศรของเรนเจอร์ที่ปรับวิถีโจมตีได้

ทุกครั้งที่ศัตรูโจมตี นับประสาอะไรกับการกินเนื้อและซุป แม้แต่กระดูกปลาพวกเขาก็ไม่ได้กิน

บางคนอาจสงสัยว่า ถ้าพวกเขาไม่สามารถแย่งสัตว์ประหลาดได้ ทําไมไม่ PVP คนอื่นก่อนแล้วค่อยฆ่าสัตว์ประหลาดล่ะ

เหตุผลนั้นง่ายมาก แม้ว่าซอร์ดมาสเตอร์จะมีขีดกําจัดความสามารถที่สูงกว่าจนคลาสอื่นเทียบไม่ติด แต่ผู้เล่นก็ยังไม่เข้าใจมัน ตอนนี้พวกเขาเลยไม่สามารถเอาชนะใครได้

ไม่ต้องพูดถึงการ PVP…

ในขณะที่ผู้เล่นที่ออกไปผจญภัยในพื้นที่ห่างไกลกลับมา และคนที่ต่อสู้กับสึนามิจนตายฟื้นคืนชีพมาแล้ว แนวป้องกันมนุษย์เงือกจึงผ่อนคลายลงในวันที่ 3 ของกิจกรรม ตอนนี้ผู้เล่นได้ผลัดกันกลับไปทําเควสประจําวันตามปกติแล้ว

นอกจากนี้ยังเป็นที่สังเกตุว่า ผู้เล่นที่ได้รับฉายา ‘วีรบุรุษผู้กล้าที่ต่อสู้กับมหาสมุทร’ ที่ไม่ได้เพิ่มค่าสถานะใด ๆ นอกจากการมีชื่อเท่ ๆ ลอยอยู่เหนือหัว พวกเขาต่างก็ใส่มันเดินไปรอบๆ เพื่ออวดให้ผู้เล่นคนอื่นๆ อิจฉาเล่น

ในขณะเดียวกัน

“ลูกตา ลูกตา…ทําไมถึงเป็นลูกตาตลอด? ไม่ต้องพูดถึงครีบเลย แม้แต่เงือกสักอันยังไม่มี!” โจอี้บ่นในขณะที่เขาเดินลุยทะเลเพื่องมหาของดรอปกับปาร์ตี้ “นี่ข้าล่ามนุษย์เงือกมาทั้งเช้าแล้วนะ!”

แม้ว่าลูกตาจะสามารถแลกรางวัลได้เหมือนกัน แต่รางวัลนั้นก็ไร้ประโยชน์หรือไม่ก็มาพร้อมกับผลข้างเคียง แม้แต่หินเสริมแกร่งที่แลกได้ก็ยังเป็นเกรดต่ำ ทําให้ลูกตาเป็นเหมือนขยะ

และซีเว่ยก็ได้คาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้ว ด้วยความสงสารอย่างมาก เขาจึงได้ทําระบบแลกเปลี่ยนไอเทมดรอปขึ้นมา ลูกตา 5 ลูกสําหรับเหงือก 1 ชิ้น และเหงือก 5 ชั้นสำหรับครีบ 1 ชิ้น แต่ในทางกลับกัน นั่นหมายความว่าครีบ 1 ชิ้นจะมีค่าเท่ากับลูกตา 25 ลูก

“โชคร้าย มือเจ้าดําเกินไปแล้ว” ผู้เล่นอีกคนที่เฝ้าดูโจอี้นับของดรอปก็ได้แต่ถอนหายใจ “เกิด อะไรขึ้น? เจ้าปาร์ตี้กับใครมาก่อนรึเปล่า”

“วัลแคนและซอนหยานพาเราไปเคลียร์ห้องใต้ดินของผีดิบครั้งหนึ่ง”

“เข้าใจล่ะ” ผู้เล่นพยักหน้าประมาณว่า ‘โฮ่โฮ่ เจ้าจบเห่แล้ว’ ทันที “ไม่น่าแปลกใจที่สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเจ้า เจ้ากล้าปาร์ตี้กับเจ้ามือดํานี่เอง….”

“เจ้าล้อเล่นรึเปล่า? อย่างข้าเนี่ยนะจะ…”

โจอี้ไม่เชื่อเรื่องโชคลาง เขาถามกลับอย่างสบาย ๆ ก่อนจะเบิกตากว้าง

ตอนนั้นผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่อยู่บนชายหาดดูเหมือนจะพากันตื่นตระหนกและวุ่นวาย

“เกิดอะไรขึ้น?” โจอี้ถามอย่างสงสัย

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีเรือที่สามารถพาผู้เล่นไปเกาะมนุษย์เงือกสามารถแลกได้แล้ว เราจะได้ออกไปฟาร์มสัตว์ประหลาดกันได้ซะที” ผู้เล่นคนนี้ก็ดูกระตือรือร้น ราวกับว่าเขาจะควักลูกตาของมนุษย์เงือกทุกตนที่เขาสามารถเข้าถึงได้

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความอยากรู้อยากเห็น (หรืออยากร่วมสนุก) ก็ยังเป็นธรรมชาติของมนุษย์ โจอี้และผู้เล่นคนอื่น ๆ จึงขึ้นไปบนชายหาด หลังจากหยิบลูกตาลูกสุดท้ายขึ้นมา พวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังกลุ่มคนที่กําลังมุงดูอะไรบางอย่าง

แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้เห็นชัด ๆ ว่ามันคืออะไร สายตาของโจอี้ก็สังเกตเห็นคู่หูจอมและ เทอร์รี่กําลังลุกลี้ลุกลนอยู่ท่ามกลางฝูงชน

นี่เป็นครั้งแรกที่โจอี้เห็นพวกเขา หลังจากที่เขาเปลี่ยนใจมาเลื่อมใสเทพเจ้าแห่งเกมและแยกทางกันที่ทางเข้าหมู่บ้าน

พวกเขาดูไม่เรียบร้อย มีเกล็ดหิมะเกาะอยู่บนใบหน้า และมีของเหลวหนา ๆ สีฟ้าบางส่วนกระจายไปทั่วร่างกาย เขาไม่รู้ว่ามันเกิดจากหิมะละลายหรือเป็นคราบอะไรบางอย่าง

โจอี้จําสิ่งที่วัลแคนบอกเขาเกี่ยวกับเด็ก ๆ ในตอนนั้นได้ เมื่อพวกเด็ก ๆ พาผู้เล่นไปกําจัดยักษ์ แห้งแล้งเพื่อรับโจโคโบะ แต่เหล่าโจโคโบะดันตายเพราะอุบัติเหตุ พวกเขาจึงโดนผู้เล่นบางคนตําหนิ

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ในปัจจุบันไม่ถูกต้อง โจอี้จึงไม่สนใจว่าเขายังเป็นเพียงผู้เล่นใหม่ที่เลเวลยังไม่ถึง 10 และเบียดตัวเข้าไปในฝูงชน

เขายืนต่อหน้าเด็กทั้ง 2 เพื่อกันผู้เล่นและตะโกนว่า “อย่ารังแกพวกเขา พวกเจ้ามีอะไรก็มาลงที่ข้านี่!”

“เจ้าเป็นใคร?” ผู้เล่นคนหนึ่งถามอย่างไม่พอใจ

“ข้าเป็นพ่อพวกเขา!” โจอี้ตอบทั้งที่กําลังหวาดกลัว

จากนั้นเขาก็ถูกเทอร์รี่และจอมส่งซิกให้ก้มลงมองอย่างไม่มีความสุข

หลังจากมองดี ๆ โจอี้ก็รู้ว่าคนที่ผู้เล่นกําลังมุ่งดูนั้นไม่ใช่เทอร์รี่และจอม แต่เป็นคนแคระเทาที่เตี้ยเกินไปจนคนด้านหลังมองไม่เห็น

“เอ่อ…” ไอรอนเฟล คนแคระเทาจ้องไปที่กลุ่มผู้เล่น เมื่อเขาได้ยินคําพูดและการกระ ทําแปลก ๆ ของคนเหล่านี้ เขาก็ถามจอมเบา ๆ ว่า “ผู้เล่นของเทพเจ้าแห่งเกมทุกคน เป็นพวกเง่าทั้งหมดเลย”

บทที่ 136 ไอรอนเฟล

” ข้าไม่ไป!”

เป็นคนแคระเทาที่เพิ่งได้รับตําแหน่งมาสเตอร์ พูดให้ถูกก็คือเขาเพิ่งผ่านการทดสอบของกิลด์ช่างตีเหล็กในเมืองแมกมา (Magma) ได้สําเร็จเมื่อวานนี้

ในฐานะช่างตีเหล็กที่ติดอยู่ระดับทองมานานกว่า 30 ปี มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเข้าร่วมการทดสอบเป็นมาสเตอร์ แต่เขาก็ไม่สามารถก้าวไปไกลกว่าระดับทองได้ เพราะคําถามในแบบทดสอบนั้นยากมาก และความสามารถของเขาก็มีจํากัด

จนกระทั่งเมื่อวานนี้

การทดสอบใช้ค้อนเมื่อวานนี้ง่ายอย่างน่าประหลาดใจ และเขายังรู้สึกเหมือนว่าคําถามในแบบทดสอบที่เขาทํา เป็นคําถามระดับสอบเลื่อนขั้นจากเงินเป็นทอง

ในตอนแรกเขายังคงสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ธรรมชาติของคนแคระที่ใจกว้างและกล้าหาญทําให้เขาไม่สนใจที่จะหาเหตุผล ความจริงก็คือเขาดื่มเบียร์และฉลองกับครอบครัวอย่างมีความสุขตลอดทั้งคืน

ก่อนที่อาการปวดหัวอย่างหนักจากการเมาค้างของเขาจะหายไป สมาชิก 2 คนของกิลด์ช่างตีเหล็กก็มาถึงหน้าประตูบ้าน และยัดจดหมายที่ตกแต่งอย่างหรูหราใส่มือเขา

[เรียนท่านไอรอนเฟลสแลค]

[ตามวิวรณ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่แกรนด์มาสเตอร์โฮลิเนสได้รับจากเทพเจ้าสตอฟฟ์ เรายินดีที่จะแจ้งให้ท่านทราบว่า ท่านได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของกิลด์ช่างตีเหล็กของเรา]

[ด้วยเหตุนี้ท่านจะต้องมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านมนุษย์กบ ซึ่งตั้งอยู่ที่ท่าเรือเกรย์ฟอร์ด ในดินแดนของดยุกอินทรีเงินแห่งจักรวรรดิวัลลา ที่นั่นท่านจะรับตําแหน่งช่างตีเหล็กระดับมาสเตอร์ และคอยช่วยเหลือพันธมิตรของเราศาสนจักรแห่งเกม]

[กรุณาเก็บของและออกจากเมืองแมกมาก่อนสิ้นวัน และไปยังสถานที่ที่กําหนดโดยเร็วที่สุด]

[ขอแสดงความนับถือ ช่างทําเตา” แห่งกิลด์ช่างตีเหล็ก]

เนื้อหาของจดหมายทําให้ไอรอนเฟลขมวดคิ้ว เขายิ้มและพูดว่า “พวกท่านกําลังมองหาช่างตีเหล็กระดับมาสเตอร์ ละแล้วมันเกี่ยวอะไรกับช่างตีเหล็กระดับทอง ยะ…อย่างข้า”

คนแคระทั้ง 2 ไม่พูดอะไรและทําเพียงจ้องไปที่หน้าอกของไอรอนเฟล

ไอรอนเฟลก้มลงไปมองตาม ตรงนั้นคือผ้าพันคอสีดําปักลายก้อนสีทอง ซึ่งแสดงถึงสถานะช่างตีเหล็กระดับมาสเตอร์ กําลังส่องแสงระยิบระยับอยู่เหนือหน้าอกของเขา

“โอ้ววว ชิท!” ไอรอนเฟลที่ภาพตัดไปครึ่งทางเมื่อวานจําได้ทันที

ไม่น่าแปลกใจที่การทดสอบเมื่อวานง่ายมาก

ไม่น่าแปลกใจที่ไอรอนแพดที่มีเส้นสายจากคนในกิลด์ช่างตีเหล็ก ไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบเมื่อวานนี้

พวกเจ้าทุกคนต้องการโยนข้าออกไปเป็นแพะรับบาป!

สําหรับสมาชิกส่วนใหญ่ของกิลด์ช่างตีเหล็ก การได้อยู่ใกล้ความร้อนจากลาวาในเมืองแมกมาเพื่อทํางานตีเหล็กนั้นสะดวกสบายมากกว่าการมุ่งหน้าไปยังเมืองของมนุษย์ หรือเผ่าพันธุ์อื่น ๆ บนผิวดินเพื่อทํางานแบบเดียวกันมาก

ดังนั้นคนแคระเทาจะไม่มีวันออกจากบ้านเกิด เว้นแต่พวกเขาจะต้องออกไปทําสิ่งสําคัญ

เช่น ภารกิจตามวิวรณ์ของเทพเจ้า

“เจ้าหลอกข้า ไอรอนแพด! ไอรอนแพดดดดด!”

แต่การบ่นไม่ได้ช่วยอะไรในตอนนี้ เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ไอรอนเฟลก็ทําได้เพียงเชื่อฟังคําสั่งของกิลด์

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องออกจากเมืองแมกมา ในฐานะที่เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุ 123 ปี พ่อแม่ของเขาไม่สามารถกลั้นน้ำตาแห่งความกังวลได้ ไอรอนเฟลเองก็กังวลเช่นกัน แต่เขาก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษาท่าทางให้ดูเป็นผู้ใหญ่ เขาปลอบโยนพ่อแม่ของเขาจนพวกเขาสงบลงและออกจากเมืองแมกมาไปอย่างเด็ดเดี่ยว

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็แวะไปเยี่ยมกิลด์ก่อนที่เขาจะออกเดินทาง เพื่อถามช่างทําเตาว่า “ที่ ๆ เขาจะไป” นั้นเขาควรจะอยู่นานแค่ไหน

“น่าจะประมาณ 20 ปี อย่างที่รู้กันดีว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายง่ายและอายุสั้น เจ้าจะกลับมาก่อนที่เจ้าจะทันรู้ตัวเสียอีก” ช่างทําเตาให้ความมั่นใจกับไอรอนเฟล แม้ว่าเขากําลังจะลดสะพานชักของเมืองแมกมาลงก็ตาม “แค่คิดว่ามันเป็นการพาสัตว์เลี้ยงของเจ้าไปเดินเล่น”

“ฟันของข้าน่ารักกว่ามนุษย์มาก” ไอรอนเฟลเอามือบังเคราของเขาไม่ให้โดนสะเก็ดไฟที่กระเด็นขึ้นมา ในขณะที่เขาบ่น “หลังจากที่มันกินแร่เหล็กเข้าไป มันยังสามารถผลิตแท่งเหล็กได้ มนุษย์และก้นเล็ก ๆ ของพวกเขาทําได้รึ!”

“เฮ้ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นลูกคนรวย ไม่ใช่ทุกครอบครัวจะสามารถเลี้ยงสตีลเลเตอร์ได้” ช่างทําเตารู้สึกประหลาดใจ “ข้าเคยเห็นมันตอนที่ข้าออกเดินทางไปบนผิวดิน แต่น่าเสียดาย อาหารที่นั่นหายากจนคนที่นั่นต้องแทะไม้ไผ่ ”

“ลุงเคยขึ้นไปบนผิวดินด้วยรึ?”

ไอรอนเฟลมองไปที่ช่างทําเตาที่เชื่องช้าจนน่าโมโหอย่างประหลาดใจ

“แน่นอน ข้าเคยเป็นนักผจญภัยเหมือนเจ้า จนกระทั่งโดนธนูปักหัวเข่า” ช่างทําเตาถอนหายใจ จากนั้นก็ชี้ไปที่ไอรอนเฟล “การมุ่งหน้าไปยังผิวดิน เจ้าต้องเดินไปจนสุดทางของอุโมงค์แร่ที่ 7 แล้วเลี้ยวซ้าย พอลทัลที่นั้นจะส่งเจ้าไปใกล้จุดหมาย การเปิดใช้งานจะต้องใช้คริสตัลส่องสว่าง 20 กรัม ที่มีความบริสุทธิ์ 80% และตามที่ผู้ทํานายบอก ตอนนี้เป็นช่วง “สไลม์มูน” พวกสไลม์จํานวนมากกําลังผสมพันธุ์กันในอุโมงค์ เจ้าต้องระวังตัวไว้”

“พวกมันก็แค่สไลม์ “ค้อนสงครามแมกมามหัศจรรย์ของไอรอนเฟล” ที่ข้าถืออยู่นี้ไม่ได้มีไว้โชว์เท่านั้น!” ไอรอนเฟลถือค้อนที่เขาสร้างขึ้นมาอย่างมั่นใจ เขาไม่สนใจพวกสไลม์เลย

“เจ้าช่างกล้าตั้งชื่อแปลก ๆ นะเจ้าหนู” ช่างทําเตาที่โดนธนูปักหัวเข่ามองท่าทางอันมั่นใจของไอรอนเฟล และคิดว่าเขาคงไม่ต้องกังวลกับเด็กนี้จริง ๆ

ตามที่ไอรอนแพดของกิลด์ช่างตีเหล็กบอกมา สไลม์ดูเหมือนจะชอบโจมตีสิ่งมีชีวิตเพศหญิง หากทางกิลด์ไม่รู้ว่าสไลม์ผสมพันธุ์กันแบบไมโทซิส* พวกเขาคงจะคิดว่าสไลม์กําลังมองหาแหล่งเพาะพันธุ์

(ไมโทซิส (Mitosis) เป็นการแบ่งเซลล์แบบแบ่งตัวโดยตรง โดยทั้ง 2 เซลล์ต่างมีคุณสมบัติเหมือนเซลล์เดิม จํานวนโครโมโซม หลังการแบ่งจะเท่าเดิม (2n) เพราะไม่มีการแยกคู่ การแบ่งเซลล์แบบนี้จะพบมากในสัตว์เซล์เดียว)

มองจากมุมหนึ่ง เมืองแมกมาถูกนับว่าเป็นดันเจี้ยนอย่างหนึ่ง การมุ่งหน้าสู่ผิวดินหมายถึงการที่ต้องเดินทางผ่านอุโมงค์ที่ซับซ้อนยาวหลาย 10 กิโลเมตร เพื่อไปโผล่บนผิวดินที่ไหนสักแห่ง…เพราะงั้นการเดินทางที่มีประสิทธิภาพคือการเดินทางผ่านพอร์ทัลเท่านั้น

โชคดีที่แม้คนแคระจะมีทักษะเวทมนตร์ระดับปานกลาง แต่ก็มีความเชี่ยวชาญอย่างมากในการสร้างพอร์ทัล ควบคู่ไปกับการผลิต คริสตัลส่องสว่าง” จํานวนมาก ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสําหรับพอร์ทัล พอลทัลเลยถูกใช้อย่างแพร่หลายในหมู่คนแคระ พวกเขามีพอลทัลใช้ก่อนมนุษย์และเอลฟ์ที่ค้นคว้าด้านเวทมนตร์มานานบนผิวดินเสียอีก จนตอนนี้มันกลายเป็นการเดินทางมาตรฐานที่แพร่หลายไปทั่วอาณาจักรคนแคระแล้ว

“ในที่สุดเราก็กลับมาที่เกรย์ฟยอร์ด” จอมกําลังเดินผ่านปาทึบ ตอนนี้เขาสามารถได้กลิ่นจาง ๆ ของน้ำทะเล และความหนาวเย็นที่นี่ก็หนาวจนเสียดกระดูกเมื่อเทียบกับที่อื่น แม้ว่าผู้เล่นจะสามารถปรับความรู้สึกเจ็บปวดได้ แต่แขนขาของพวกเขาก็ยังแข็งและไม่ตอบสนองในสภาพอากาศที่หนาวเย็นเกินไป

“กิจกรรมจะไม่จบลงเมื่อเราไปถึงหมู่บ้านมนุษย์กบใช่ไหม” เทอร์รี่ที่กําลังติดตามเขา ฉีกขนมปังข้าวสาลีเป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อนจะโยนมันให้กับสุนัขของพวกเขาเป็นระยะ ๆ

“กิจกรรมกําจัดลัทธิกระดูกเน่าครั้งที่แล้วกินเวลา 7 วัน กิจกรรมนี้เพิ่งเริ่มได้ 3 วัน มันต้องยังไม่จบ…” จอมเดา

ทันใดนั้นไพร์ทก็ทําหูตั้ง และเริ่มเห่าไปยังทิศทางด้านขวาของทั้งคู่

“จอม สไลม์! สไลม์ตัวใหญ่มาก!” เทอร์รี่ตะโกนอย่างตื่นเต้น

“ไม่ต้องสนใจหรอก ตอนนี้กิจกรรมสําคัญที่สุด” ความตื่นเต้นของจอมลดลงเมื่อเห็นว่ามันคืออะไร

“แต่…” เทอร์รี่เกาหัว “ดูเหมือนคนแคระกําลังจมอยู่ในตัวสไลม์…”

จอม: ???

บทที่ 135 กิจกรรมว่ายน้ำฤดูหนาว

หลังจากสิงโตจากไป ซีเว่ยก็เริ่มคิดเรื่องระบบเสริมแกร่งไอเทม

ก่อนอื่นเขาไม่ใช่ปีศาจ เขาเลยไม่ได้คิดจะตั้งค่าอัตราความสําเร็จให้ต่ำเหมือนที่บริษัทเกมทํา

แต่การเสริมแกร่งอาวุธและไอเทมก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

แม้ว่าจะเป็นทักษะที่ได้รับพรจากเทพเจ้า แต่เหล่าช่างตีเหล็กคนแคระก็มีโอกาสที่จะเสริมแกร่งล้มเหลวเช่นกัน และอาวุธที่มีคุณภาพดีอยู่แล้วก็มีโอกาสน้อยที่จะเสริมแกร่งได้สําเร็จ

จากคําพูดของราชาสิงโต นั่นคือขีดจํากัดพรของสตอฟฟ์ ในฐานะเทพเจ้าแห่งงานฝีมือและไวน์ชั้นดี เช่นเดียวกันการที่ผู้เล่นไม่สามารถใช้กฎแห่งทักษะเพื่อใช้ท่าซูเพล็กซ์ต่อกันเรื่อย ๆ จนศัตรูตาย

ไม่งั้นหากอาวุธใดสามารถเสริมแกร่งได้อย่างไร้ขีดจํากัด โลกก็คงจะมีคนถือดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์เดินกันเกลื่อนแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ทักษะเสริมแกร่งที่ได้รับพรจากเทพเจ้า มันก็โอเคในตอนแรก แต่หากมีการเสริมแกร่งอาวุธชิ้นนั้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากเสริมแกร่งหลายครั้ง มันก็ต้องใช้พลังพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน

และสตอฟฟ์จะไม่มีทางใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองเพื่อแลกกับโคล่า 2-3 ขวดหรอก ซีเว่ยจะต้องเป็นคนจ่าย

เขาจะต้องกลายเป็นลูกบอลเที่ยว หากเขาไม่กําหนดขีดจํากัดการตีบวก และอนุญาตให้ผู้เล่นตีบวกได้มากเท่าที่พวกเขาต้องการ

“ถ้าพูดถึงเรื่องข้อจํากัด ฉันคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าทําควบคู่กันไป ทั้งเหรียญเกมและวัสดุเสริมแกร่ง” บริษัทเกมบนโลกได้กําหนดระบบตีบวกที่เหมาะสมให้กับซีเว่ยแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่จําเป็นต้องสร้างระบบตีบวกที่มีแรงจูงใจแอบแฝง แบบเดียวกับระบบตีบวกของบริษัทเกมก็ตาม

“การตีบวกแต่ละระดับ จะต้องใช้เหรียญเกมและวัสดุที่จําเป็นจํานวนมาก จากนั้นระดับไอเทมจะลดลงหรือแตกเมื่อตีบวกล้มเหลวนั้น ให้มันขึ้นอยู่กับประสงค์ของพระเจ้า”

เหรียญเกมนั้นดี เนื่องจากผู้เล่นมีที่ให้ใช้มันแค่ในร้านค้าระบบ ร้านอาหารระบบ และบ่อน้ำพุร้อนเท่านั้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผู้เล่นส่วนใหญ่ค่อนข้างร่ำรวยในขณะนี้

กุญแจสําคัญคือวัสดุเสริมแกร่ง

ซีเว่ยเคยคิดเรื่องนี้แล้ว แม้ว่าเขาจะคิดว่าผู้เล่นควรมีระบบเสริมแกร่ง แต่เขาก็ปัดมันทิ้งไปหลังจากที่ตระหนักว่า เขาไม่มีอํานาจที่จะสร้างระบบเสริมแกร่งให้สมบูรณ์ แต่ตอนนี้ด้วยความช่วยเหลือจากสตอฟฟ์ ทําให้เขาต้องทบทวนเรื่องนี้ใหม่อีกครั้ง

อันที่จริงเมื่อผู้เล่นฆ่าสัตว์ประหลาด ซีเว่ยจะทิ้งส่วนหนึ่งของซากสัตว์ประหลาดที่ผู้เล่นฆ่าเป็นของดรอป

แต่ในขณะที่ผู้เล่นเริ่มต่อสู้กับสัตว์ประหลาดหลากหลายชนิดมากขึ้น ทั้งโครงกระดูก ซอมบี้ แมงมุมยักษ์ สัตว์ร้ายที่มีรูปลักษณ์ผิดเพี้ยน และมนุษย์ที่มีหัวใจบิดเบี้ยว ไอเทมที่ดรอปก็จะถูกสุ่มอย่างไม่เป็นระเบียบ

“ชิ มันน่ารําคาญเกินไปที่ไล่แก้ไขมันทีละจุด ดังนั้นมาเริ่มใหม่กันตั้งแต่ต้นดีกว่า” ซีเว่ยขดหนวดบนจุดที่น่าจะเป็นสมองของเขา “ฉันสามารถใช้ระบบตีบวกไอเทมเพื่อกระตุ้นให้ผู้เล่นเคลียร์เกาะมนุษย์เงือกได้”

คิดได้แบบนั้น ซีเว่ยก็เริ่มยืดหนวดของเขาราวกับว่าเขากําลังยืดเส้นยืดสาย จากนั้นเขาก็พิมพ์เอกสารใหม่ลงใน Windows XP

ในขณะเดียวกันดูเหมือนว่าเกาะมนุษย์เงือกจะยังไม่พร้อมเต็มที่ อย่างน้อยก็ยังไม่มีมนุษย์เงือกตนใดขึ้นมาบนชายฝั่งเพื่อโจมตีหมู่บ้านมนุษย์กบ

ผู้เล่นที่มารวมตัวกันที่ชายฝั่งทะเล ได้รับคําเตือนจากแองโกร่าให้รักษาระยะห่างจากเกาะเพื่อความปลอดภัย แต่หากผู้เล่นสามารถว่ายน้ำได้หลายไมล์ในครั้งเดียว พวกเขาก็คงจะออกไปสํารวจแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ปรากฏเหนือผิวน้ำทะเล

ขณะที่ท้องฟ้ากําลังมืดลง และทุกคนยังคงสับสนเกี่ยวกับสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้น ผู้เล่นก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ

[ติ้ง!]

[เริ่มกิจกรรมเชิร์ฟเวอร์: ว่ายน้ำฤดูหนาว โจมตีเกาะมนุษย์เงือก]

[รายละเอียดกิจกรรม: เกาะมนุษย์เงือกที่หล่นลงมาจากท้องฟ้าก่อให้เกิดคลื่นสึนามิ ภายใต้การชี้นําของเทพธิดาที่ชั่วร้าย เผ่ามนุษย์เงือกได้ตัดสินใจที่จะบุกรุกแผ่นดิน! และเป้าหมายแรกของการโจมตีก็คือชายฝั่งทะเล ที่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์กบมาหลายชั่วอายุคน! เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น ท่านจะยืนดูอยู่เฉย ๆ และไม่ทําอะไรเลยได้อย่างไร? ยกอาวุธของท่านขึ้นมา ใช้ความกล้าหาญและเลือดของศัตรู เพื่อจัดงานเลี้ยงต้อนรับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสําหรับผู้รุกรานจากส่วนลึกของทะเล]

[ระยะเวลากิจกรรม: ไม่กําหนด]

[เงื่อนไขกิจกรรม: ผู้เล่นทุกคนมีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรม]

[เนื้อหากิจกรรม (ช่วงแรก): ผู้เล่นจะต้องขับไล่การโจมตีของมนุษย์เงือกที่รุกรานหมู่บ้านมนุษย์กบออกไป เมื่อฆ่ามนุษย์เงือก ท่านจะได้รับ ลูกตาของมนุษย์เงือก เหงือกปลาของมนุษย์เงือก และครีบปลาของมนุษย์เงือก เมื่อสะสมไอเทมครบจํานวน ผู้เล่นจะสามารถใช้มันเพื่อแลกรับรางวัลที่แตกต่างกันได้ที่ผู้ใหญ่บ้านมนุษย์กบ]

[เนื้อหากิจกรรม (ช่วงที่สอง): ผู้เล่นสามารถปลดล็อกรายการ เรือธรรมดา” ในรายชื่อของรางวัลที่แลกเปลี่ยนได้ หลังจากไอเทมที่แลกเปลี่ยนได้ลดลงถึงจํานวนที่กําหนด จากนั้นผู้เล่นจะสามารถออกเรือไปยังเกาะมนุษย์เงือก และกวาดล้างมนุษย์เงือกที่อาศัยอยู่บนเกาะ ผู้เล่นจะได้รับฉายา “นักสํารวจ 7 ทะเล” หากพวกเขาเอาชนะผู้พิทักษ์ที่ถือครอง “แซฟไฟร์ทะเล” ทั้ง 7 และนํา อัญมณีดังกล่าวกลับมา]

[หมายเหตุ 1: ผู้เล่นไม่ได้ต่อสู้เพียงลําพัง! ช่างตีเหล็กคนแคระจะมาถึงเมื่อกิจกรรมดําเนินไปได้ระยะหนึ่ง หลังจากนั้นผู้เล่นจะสามารถจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อตีบวกอาวุธและอุปกรณ์ของท่านได้! แม้แต่อาวุธที่ด้อยกว่าก็สามารถจับคู่กับอาวุธระดับสูงได้หลังจากผ่านการตีบวก! ดังนั้นท่านกําลังรออะไรอยู่? รีบหาเงินและสะสมหินเสริมแกร่งทันที!]

[หมายเหตุ 2: ผู้เล่นทุกคนที่เสียชีวิตในช่วงสิ้นามิ จะได้รับฉายา “วีรบุรุษผู้กล้าที่ต่อสู้กับมหาสมุทร” เพื่อเป็นการขออภัยที่ไม่สามารถชุบชีวิตท่านได้ทันที]

[รายชื่อรางวัลที่สามารถแลกเปลี่ยนได้

[หมวกมนุษย์เงือก (1,000 ลูกตาของมนุษย์เงือก): หมวกแสนทันสมัย มาพร้อมกับหลอดไฟปลาแองเกลอร์ ที่จะลดสถานะการลอบเร้นของผู้ใช้และใช้ล่อแมลงเมาได้อีกด้วย!]

[เกราะมนุษย์เงือก (1,000 เหงือกปลาของมนุษย์เงือก): ชุดเกราะแสนทันสมัย เมื่อสวมใส่จะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกลายเป็นปลาเค็มไร้ประโยชน์ แต่เราคิดว่ามันเจ๋งมาก!]

[รองเท้าพังผืดมนุษย์เงือก (1,000 ครีบปลาของมนุษย์เงือก): รองเท้าแสนทันสมัย ช่วยเร่งความเร็วในการว่ายน้ำ แต่ให้คิดว่าคุณเป็นกบเพราะปลาไม่มีเท้า!]

[หินเสริมแกร่งระดับต่ำ (200 ลูกตาของมนุษย์เงือก): อัญมณีลึกลับที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ มันอาจจะสามารถนํามาใช้เสริมแกร่งอุปกรณ์ได้)

[หินเสริมแกร่งระดับกลาง (200 เหงือกปลาของมนุษย์เงือก): อัญมณีลึกลับที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์สามารถนํามาใช้เสริมแกร่งอุปกรณ์ได้นิดหน่อย]

[หินเสริมแกร่งระดับสูง (200 ครีบปลาของมนุษย์เงือก): อัญมณีลึกลับที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์เข้มข้น สามารถนํามาใช้เสริมแกร่งอุปกรณ์ได้ดี

[หินกันแตก (500 ครีบปลาของมนุษย์เงือก): ปกป้องไอเทมของท่านไม่ให้แตกหากตีบวกล้มเหลว เชื่อข้าเถอะว่ามันคุ้มค่า]

[ตัวเลือกอื่น ๆ ที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ (คลิกที่นี่)]

ผู้เล่นที่ไม่เคยถูกรังแกโดยบริษัทเกม ต่างพากันเฉลิมฉลองให้กับระบบตีบวก มีเพียงแองโกร่าเท่านั้นที่ยังคงขมวดคิ้วขณะมองไปที่ “หินกันแตก” ในรายการที่แลกเปลี่ยนได้ เขาเริ่มรู้สึกว่า สิ่งต่าง ๆ ไม่ง่ายอย่างที่เห็น

บทที่ 134 ซีเว่ย: ฉันเลือกที่จะขอความช่วยเหลือ

“แต่อัสลาน…” ซีเว่ยยกกะโหลกขึ้นมาด้วยหนวดเล็ก ๆ สองอันของเขาแล้วถามอย่างสงสัย “ท่านไม่ได้พูดว่าสมาชิกของวิหารล่องหนมักจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันหรอกเหรอ ข้าคิดว่าตอนนี้ ถึงเวลาแล้ว!”

จากนั้นเขาก็ถือหัวกะโหลกไว้ข้างหน้าตัวเองด้วยท่าทางเหมือน ‘ขอทาน’ “ช่วยข้าด้วยการสนับสนุนทางการเงินถ้าท่านทําได้ หรือไม่ก็ด้วยอํานาจศักดิ์สิทธิ์ของท่าน”

“….”

สิงโตมองดูซีเว่ยอย่างเหยียดหยาม “ในฐานะเทพเจ้า เจ้าไม่ห่วงหน้าตัวเองเลยรึ?”

จากนั้นเขาก็ตระหนักว่าคําพูดนั้นไม่มีผลต่อซีเว่ย เขามองดูลูกบอลที่ยังคงกะพริบแสงเงียบ ๆ

ลูกบอลเรืองแสงไม่มีหน้า…

“ท่านไม่สนับสนุนพลังของท่านหน่อยหรอ เป็นไปได้ไหมที่ท่านกลัวเทพสมุทร ท่านกลัวที่จะช่วยข้า”

ซีเว่ยบ่นพร้อมกับเอาหนวดตบหัวกะโหลกอย่างไม่มีความสุข

“เจ้าหาว่าข้า เทพเจ้าแห่งความยุติธรรมผู้ยิ่งใหญ่ จะกลัวผู้หญิงบ้านั้น!” อัสลานกล่าวอย่างหยิ่งผยอง

แต่อาจจะเป็นเพราะเขาดูไม่น่าเชื่อถือในสายตาของซีเวีย สิงโตจึงรีบกล่าวเสริมว่า “เธอไม่ได้ มาด้วยตัวเอง เธอเพียงแค่ส่งบททดสอบทั้ง 3 มาให้เจ้าในครั้งนี้ ถ้าเราที่เป็น ‘คนนอก’ เข้าไปมีส่วนร่วม เธอก็อาจจะมาหาเจ้าจริง ๆ”

หลังจากนั้นสิงโตก็ทําท่าทางทุบไข่ (หรือวัตถุใด ๆ ที่เป็นทรงกลม) ใช้ชีเว่ย บอกเป็นนัยว่าเขาจะกลายเป็นลูกบอลที่ตายแล้ว…

ซีเว่ยก็คิดเหมือนกัน

ขณะนี้เทพสมุทรไม่ได้ตั้งใจมาหาเรื่องที่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขาโดยตรง เธอเพียงแค่ทิ้งบททดสอบไว้ให้เขา ชัดเจนว่าเธอเพียงแค่ต้องการทดสอบเขาเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จะไม่ถูกทําลายในขณะนี้ก่อนที่บททดสอบจะจบลง

ในทางกลับกัน หากซีเว่ยลากคนนอกเข้ามาจริง ๆ และโกงอย่างหน้าด้าน ๆ ต่อหน้าต่อตาเทพสมุทร จากสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับเธอ เธออาจทิ้งผู้ถักทอโลกและวิ่งมาที่นี่เพื่อตบเขาตายอย่างแน่นอน…

แต่ในขณะที่ซีเว่ยกําลังบ่นอย่างเงียบ ๆ ทันใดนั้นสิงโตก็พูดอย่างมีเลศนัยว่า

“แม้เราจะไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้โดยตรง แต่การช่วยเหลือทางอ้อมก็เป็นไปได้”

“ช่วยเหลือทางอ้อม ยังไง?” ซีเว่ยถามกลับด้วยความสับสน “ท่านจะช่วยเหลือผู้ศรัทธาของข้าด้วยทรัพยากร? ขออภัยในความตรงไปตรงมาของข้า แต่พวกเขาไม่ได้ขาดอะไรเลย”

แม้ว่าผู้เล่นจะไม่ได้ร่ำรวย แต่อาหารในเมืองเล็ก ๆ ก็มีมากมาย มันเพียงพอที่จะช่วยเหลือวิหารแห่งความยุติธรรมได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นตราบใดที่เทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวไม่สังเกตเห็นว่าซีเว่ยขโมยอํานาจของเธอไป ผู้เล่นก็ไม่จําเป็นต้องกังวลเรื่องอาหารไปอีกนาน

“ไม่ใช่แบบนั้น…ข้าเห็นว่าผู้ศรัทธาของเจ้าต่างก็ใช้อาวุธ และอาวุธเหล่านั้นบางชิ้นถูกสร้างมาจากโลหะที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าหล่อหลอมอยู่ คุณภาพของมันดี แต่นอกเหนือจากอาวุธไม่กี่ชิ้นอาวุธอื่น ๆ ก็ไม่มีร่องรอยของพลังศักดิ์สิทธิ์”

สิงโตหยุดไปชั่วขณะ และพูดต่อเมื่อเห็นว่าซีเว่ยกําลังตั้งใจฟัง “สตอฟฟ์เทพเจ้าแห่งงานฝีมือ และไวน์ชั้นดีเป็นหนึ่งในสมาชิกของวิหารล่องหน เขาค่อนข้างสนใจในโพชั่น ‘โคคา-โคล่า’ ที่เจ้าสร้างขึ้นเพื่อผู้ศรัทธาของเจ้า และหากเจ้ายินดีที่จะจัดหามันให้เขาเป็นครั้งคราว เขาก็ยินยอมที่จะถ่ายทอดวิวรณ์ของเขา และให้ช่างตีเหล็กคนแคระบางคนไปที่เกรย์ฟยอร์ดเพื่อดูแลอาวุธให้กับผู้ศรัทธาของเจ้า”

“ข้าขอถามก่อนว่า พวกเขาสามารถทําให้อาวุธแข็งแกร่งขึ้นได้ใช่หรือไม่?”

ในฐานะที่เป็นเทพเจ้าที่กระตือรือร้นในของฟรี ซีเว่ยเกือบจะเห็นด้วยทันที แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามคําถามบางข้อเพื่อยืนยันก่อน

“แน่นอน” สิงโตตอบกลับ “คนแคระทุกคนที่มีตําแหน่งช่างช่างตีเหล็ก จะได้รับพรของสตอฟฟ: พวกเขาจะมีทักษะปรับปรุงคุณสมบัติของอาวุธทุกชนิด ตั้งแต่ความคมของใบมีด ความทนทาน ความเหมาะมือ และอื่น ๆ”

“ทําได้จริงเหรอ” แม้ว่าจะมีเกมออนไลน์มากมายที่มีระบบเสริมแกร่งไอเทม แต่อํานาจในการประดิษฐ์ของซีเวียนั้นอ่อนแอมาก การสร้างไอเทมพื้นฐานให้ผู้เล่นนั้นถือเป็นขีดจํากัดของเขาแล้ว

นอกจากนี้ก็อาจเป็นไปได้ว่า เมื่อก่อนสมัยที่เขายังเป็นมนุษย์ ซีเว่ยเคยถูกโกงหลายครั้งโดย ช่างตีเหล็กในเกมมาก่อน ทําให้เขาเชื่ออย่างจริงจังว่าการเสริมแกร่งไอเทมเป็นระบบสุ่ม

แต่หลังจากที่เขาได้รู้ว่าช่างตีเหล็กในโลกนี้สามารถเสริมแกร่งอาวุธได้จริง เขาก็รู้สึกเหลือเชื่อนิด ๆ “มันเหมือนการเปลี่ยนวัสดุของอาวุธ…”

“ระดับนี้เป็นเพียงพื้นฐานสําหรับเทพเจ้า หากเป็นผู้ถักทอโลก เขาสามารถปรับเปลี่ยนความเป็นจริงได้โดยตรง”

สิงโตดูเหมือนเคยชินกับมัน “ข้าเคยได้ยินมาว่าพวกโนมส์มีเทคโนโลยีขั้นสูงถึงขนาดสร้างเรือ บินประจัญบานได้สําเร็จ พวกเขาตั้งชื่อมั่นว่า ‘ช่องว่างดวงดาว’ ว่ากันว่ามันสามารถสังหารเทพ เจ้าได้ แต่เมื่อพวกเขากําลังจะนํามันออกไปโจมตีเทพเจ้าจริง ๆ ผู้ถักทอโลกก็ได้เปลี่ยนคุณภาพของโลหะหลายชนิดที่ใช้สร้างเรือบินเพียงเล็กน้อย เพื่อให้อาวุธสังหารเทพนั้นระเบิดตัวเอง”

ซีเว่ยอยากจะอ้าปากค้างและตะโกนว่า ‘น่ากลัว’ แต่คิดอีกทีเขาก็รู้สึกว่ามันไม่แปลกเลย

หากเทพเจ้าที่อ่อนแอเช่นเขาสามารถปรับกฎระดับต่ำกว่าได้ ก็ไม่แปลกที่ผู้ถักทอโลกที่อยู่ในระดับของเทพบิดรจะส่งผลต่อความเป็นจริง และเปลี่ยนสสารทางกายภาพได้โดยตรง

“หลังจากนั้นพวกโนมส์ก็ถูกสาปและทอดทิ้งโดยอดีตเทพเจ้า จนส่วนใหญ่ถูกลดสถา นะให้เป็นเพียงก็อบลินที่ไร้สมองมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังปะปนอยู่กับเผ่าพันธุ์ใต้พิภพ…แต่เจ้าจะยอมรับข้อตกลงของสตอฟฟ์หรือไม่”

เหมือนเห็นซีเว่ยกําลังคิด (อย่าถามฉันว่าสิงโตรู้ได้ยังไงว่าลูกบอลกําลังคิด) สิงโตก็รู้ว่าเขาพูดมากเกินไปแล้ว และเปลี่ยนกลับมาที่ประเด็นหลัก

“ทําไมจะไม่ล่ะ?” ซีเว่ยตอบตงลงทันที “ข้าเชื่อว่าถึงเวลาแล้ว ที่ผู้เล่นจะต้องสัมผัสกับความหวาดกลัวที่ถูกครอบงําโดยการเสริมแกร่งไอเทม”

บทที่ 133 บททดสอบของเทพสมุทร

ความจริงซีเว่ยกําลังประสบปัญหาเมื่อสิ้นามิเกิดขึ้น

เขาติดต่อสิงโตเพื่อขอความช่วยเหลือ

“เจ้ากําลังบอกว่า เสาแสงสีน้ำเงินนี้เจาะเข้ามาในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า ต่อหน้าต่อตาเจ้า?” สิงโตตัวใหญ่ถามขณะที่จ้องไปยังรัศมีแสงที่ดูเหมือนของแข็งคล้ายหอกสีฟ้าที่ปักอยู่บนพื้น

“ใช่ มันน่ากลัวมาก…” ซีเว่ยยังคงหวาดกลัวไม่หาย

อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่ได้ถูกรุกรานจริง ๆ เทพตนสุดท้ายที่พยายามทําแบบนั้นยังคงนอนอยู่ในเครื่องปั่น แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม มันก็เป็นการรุกรานและการโจมตีที่ซีเว่ยไม่กล้าตรวจสอบมันด้วยตัวเองว่ามันคืออะไร

โชคดีที่สิงโตมาและเขารู้เรื่องต่าง ๆ มากมาย เมื่อเห็นมั่นเขาก็พูดว่า “ข้าเข้าใจล่ะ” หลังจากที่หางสีขาวราวกับหิมะของเขาแตะเสา

“มันคืออะไร” ซีเว่ยรีบถาม

“ นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพสมุทร เจ้าทําให้เธอโกรธจริง ๆ”

“โอ้ไม่นะ ช่วยข้าด้วย!” ซีเว่ยร้องขอความช่วยเหลือจากสิงโต

“ไม่ล่ะ เจ้าก็รอความตายไปเถอะ ลาก่อน!” สิงโตตั้งใจจะจากไปจริง ๆ แต่ซีเว่ยก็จับเขาไว้ได้ในที่สุด

“เอาล่ะ พลังศักดิ์สิทธิ์นี้จริง ๆ แล้วเป็นเพียงคําเตือน…เอ่อ ไม่สิ” สิงโตตัวใหญ่ดูเหมือนจะลังเลว่าเขาควรจะเริ่มอธิบายยังไงดี เขาก้มหน้าคิดอยู่นานก่อนจะบอกว่า “สรุปสั้น ๆ คือ เธอได้ใช้พลังอันสูงส่งของเธอส่งสารท้ารบมาให้เจ้า เธอส่งบททดสอบมาให้เจ้า 3 อย่าง และถ้าเจ้าไม่ผ่าน เธอจะฆ่าเจ้าแม้ว่าเจ้าจะรอดจากบททดสอบก็ตาม”

“นั่นหมายความว่า ข้อข้องใจของเราจะหายไปหากข้าผ่านบททดสอบของเธอใช่ไหม” ร่างกลม ๆ ของซีเว่ยสว่างไสวราวกับเห็นแสงแห่งความหวัง

“ไม่มีทาง เธอคงพาเจ้าไปเป็นเทพย่อยของเธอ…นั่นคือถ้าเจ้าผ่านบททดสอบน่ะนะ” สิงโตตอบโดยไม่ลังเล

“ทําไมเธอไม่มาทุบตีข้าเลยล่ะ”

ซีเว่ยยืนกรานว่าเขาจะไม่มีทางกลายเป็นเทพย่อยของใครในชีวิตนี้

“จากแหล่งข่าวของข้า นิกายปฐพี่กําลังมีโครงการฝังกลบขยะหรืออะไรสักอย่าง จนถึงจุดที่เทพสมุทรต้องนํากําลังส่วนใหญ่ของเธอไปต่อต้านผู้ถักทอโลก นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมเธอถึงไม่มีเวลามาสนใจเทพเจ้าที่อ่อนแอเช่นเจ้า”

“แต่บททดสอบทั้ง 3 จะปรากฏขึ้นเองตามลําดับ มีเพียงบททดสอบแรกเท่านั้นที่ถูกบันทึกไว้ในพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ เนื้อหาของบททดสอบแรกคือ การทดสอบผู้ศรัทธาของเจ้า เธอได้ส่งเกาะมนุษย์เงือกลงมาใกล้ ๆ โบสถ์แห่งหนึ่งของเจ้า”

“เกาะมนุษย์เงือก?”

ซีเว่ยอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเกาะเล็ก ๆ หมื่นไมล์ใต้ทะเลในวันพีช

แม้ว่าโลกนี้จะมีมนุษย์เงือกที่คล้ายกับนางเงือกอยู่จริง แต่ก็หายากกว่ามนุษย์กบอีก

ยิ่งไปกว่านั้น ปกติแล้วมนุษย์เงือกจะมีลักษณะคล้ายกับเมอร์ล็อค (Murloc) สัตว์ประหลาดหัวปลาที่มีแขนขา 4 ข้างและเดินตัวตรงเหมือนคนที่ปรากฏใน World of Warcraft

พวกเขาเป็นอะไรที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนบก มนุษย์เงือกจะถืออาวุธที่ทําจากปะการัง มีภาษาและศรัทธาเป็นของตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงธรรมชาติที่ป่าเถื่อนของพวกเขา

นั่นคือเหตุผลที่ 90% ของทะเลเป็นเขตต้องห้ามสําหรับมนุษย์ นอกเหนือจากสัตว์ทะเลนับไม่ถ้วนแล้ว เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดคือมนุษย์เงือกนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าโจรสลัด

แถมพื้นที่ชายฝั่งทะเลก็มักจะถูกโจมตีโดยเหล่ามนุษย์เงือก ที่ปัจจุบันยังไม่มีทางออกสําหรับปัญหานี้ พวกมันเป็นอันตรายและน่ารําคาญรองจากก็อบลินเลยทีเดียว

“ใช่ นอกจากนี้ที่ใจกลางเกาะมนุษย์เงือก ยังมีตาสมุทรที่จะเทเลพอร์ตเหล่ามนุษย์เงือกจากส่วนลึกของทะเลมาที่เกาะแบบไม่มีที่สิ้นสุดการจะหยุดมัน เจ้าจะต้องค้นหาแซฟไฟร์ทะเลทั้ง 7 ที่ซ่อนอยู่ในเกาะมนุษย์เงือก ทําลายมันและเอาชนะผู้พิทักษ์ จากนั้นอัญมณีที่ตาสมุทรก็จะปิดตัวลงอย่างสมบูรณ์” สิงโตอธิบายข้อมูลที่ฝังอยู่ในพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพสมุทรให้ซีเว่ยฟัง

“เจ้าจะผ่านบททดสอบแรกหากผู้ศรัทธาของเจ้าประสบความสําเร็จ แต่หากผู้ศรัทธาของเจ้าล้มเหลว เจ้าก็จะล้มเหลว ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ช่วยเหลือพวกเขาเป็นการส่วนตัว เนื่องจากนี่เป็นบททดสอบของผู้ศรัทธา”

“เดี๋ยว ก่อนหน้านี้ท่านพูดว่าบททดสอบจะเกิดขึ้นเอง “ตามลําดับ ใช่ไหม” ซีเว่ยสว่างขึ้นทันที

“ใช่ มนุษย์เงือกเป็นเผ่าพันธุ์ที่น่ารําคาญที่สุด พวกเขามีประชากรจํานวนมาก ความกระหายที่ไม่รู้จักอิ่ม และหิวโหยตลอดเวลา ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขามักจะทําลายสิ่งปลูกสร้างทุกอย่างที่พวกเขาสามารถเข้าถึงได้ มันจะดีกว่าหากเจ้ารวบรวมผู้ศรัทธาทุกคนที่เจ้ามีเพื่อทําบททดสอบนี้”

“ขอข้ายืนยันอะไรบางอย่างก่อน” ซีเว่ยรู้ดีว่าสิงโตตัวใหญ่เป็นห่วงเขาจริง ๆ แต่เขาไม่รีบ เขาถามคําถามอื่นต่อ “หากบททดสอบนี้ยังไม่สิ้นสุด บททดสอบต่อไปก็จะยังไม่เริ่มขึ้นใช่ไหม?”

“ในทางทฤษฎีก็ใช่ ทําไม?” สิงโตถามอย่างงง ๆ

เยี่ยม มอนสเตอร์ที่เกิดใหม่ไม่มีที่สิ้นสุด นี่คือสถานที่ฟาร์มในอุดมคติของผู้เล่นชัด ๆ

และมันยังแตกต่างจากดันเจี้ยนอื่น ๆ เพราะมันไม่ต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขา

ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่มนุษย์เงือกไม่ใช่พวกที่ร่ำรวย แต่พวกมันก็ยังคงดรอปของเช่นปะการัง ไข่มุก หรือกระดองเต่าที่มีอยู่ทั่วไปในทะเล แต่ก็หายากและมีค่ามากบนบก ผู้เล่นสามารถรวบรวมพวกมันเป็นไอเทมพิเศษ และแลกเปลี่ยนมันกับพ่อค้าที่อื่นได้!

เชี่ย ทําไมเขาต้องกังวลกับการค้นหาแซฟไฟร์ทะเลด้วยล่ะ? เกาะมนุษย์เงือกนี้เป็นขุมทรัพย์ชัด ๆ ผู้เล่นควรปกป้องแซฟไฟร์ทะเล พวกเขาต้องป้องกันไม่ให้มนุษย์เงือกทําลายมันแทน!

“เจ้าคิดจะทําอะไร?” สิงโตจ้องมองมาด้วยความประหลาดใจ ขณะที่หนวดของซีเว่ยกําลังขดรัดเสาสีน้ำเงินที่ส่งมาจากเทพสมุทร

“เอาล่ะ ตั้งแต่เทพสมุทรมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา ข้าก็ต้องคิดดอกเบี้ยเล็ก ๆ น้อย ๆ” ซีเว่ยดึงเสาสีน้ำเงินออกจากพื้นอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา

“เจ้าไม่ได้คิดจะดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอใช่ไหม ข้าขอแนะนําว่าอย่าทําเพราะเธอระดับสูงกว่าเจ้ามาก ถ้าเจ้าทํา ตัวเจ้าจะระเบิดแทน” สิงโตเตือนเขาอย่างเคร่งขรึม

“ข้ารู้ ข้ารู้”

ซีเว่ยไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตาย เขาแค่ดึงกะโหลกของเทพเจ้ากระดูกเน่าออกมา และยัดเสาสีน้ำเงินของเทพสมุทรเข้าไปในกะโหลกของมัน “ข้าแค่คิดว่า ของดี ๆ แบบนี้ไม่ควรปล่อยให้สูญเปล่า”

ไม่นานกะโหลกศีรษะก็เริ่มสั่น พร้อมกับเสียงแตกและรอยร้าวขนาดเท่าเส้นผมที่เริ่มปรากฏขึ้นเหมือนรอยแตกลายกระเบื้อง

โชคดีที่กะโหลกของเทพเจ้ากระดูกเน่าไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองอีกต่อไป ไม่งั้นมันจะต้องพังอย่างแน่นอน ขณะนี้ของเหลวสีฟ้ากําลังไหลออกจากเบ้าตาของมันราวกับว่ามันกําลังร้องไห้ทําให้มันดูน่าสงสารเป็นพิเศษ

บทที่ 132 ไม่มีผู้รอดชีวิต

ควรทําอย่างไรเมื่อเกิดสึนามิ?

แม้ว่าจะไม่มีคําตอบที่ถูกต้อง แต่การพนมมือไว้เหนือหัวไม่ใช่สไตล์ของผู้เล่นแน่นอน

ความจริงมาร์นี่และคนอื่น ๆ อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านมนุษย์กบมากนัก และพวกเขาอาจจะไปถึงที่นั่นก่อนที่สินามิจะมาถึง

หลังจากนั้นพวกเขาก็แค่ต้องใช้ไลฟ์สโตนในหมู่บ้านมนุษย์กบ และเทเลพอร์ตไปยังเมืองไร้ชื่อหรือแลงคาสเตอร์ เนื่องจากคลื่นมีระยะหลายไมล์รอบชายฝั่งทะเลเท่านั้น แน่นอนว่ามันไปไม่ถึงเมืองไร้ชื่อซึ่งอยู่ห่างออกไปหลาย 10 ไมล์ นับประสาอะไรกับแลงคาสเตอร์

ความจริงผู้เล่นคนอื่น ๆ นอกจากอีวานและมาร์นี่ ต่างก็ตั้งใจจะทําเช่นนั้น พวกเขาต่างวิ่งกลับเข้ามาที่หมู่บ้าน

แต่ทันใดนั้นมาร์นี่ก็นึกถึงปัญหาร้ายแรงอย่างหนึ่งขึ้นมาได้

“อย่าหนีนะ!” เขาตะโกนใส่ผู้เล่นที่กําลังจะหลบหนี “มนุษย์กบที่ไม่ได้ทําสัญญากับเราจะไม่สามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้! พวกเขาจะตายอย่างน้อยครึ่งหนึ่งหากสิ้นามิถล่มหมู่บ้านนี้ตรง ๆ!”

ในที่สุดผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็เข้าใจว่านี้เป็นเรื่องร้ายแรง ต้องขอบคุณคําเตือนของมาร์นี่

แต่ถึงอย่างนั้นมนุษย์ที่ยังก้าวไปไม่ถึงระดับตํานาน ก็ยังอ่อนแอเกินไปเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหน้าภัยธรรมชาติเช่นนี้

แม้ว่าซีเว่ยได้กล่าวไว้ในคู่มือคลาสไทด์คอลเลอร์ว่าพวกเขาสามารถสร้างคลื่นสึนามิได้ แต่ทักษะนั้นจะได้รับในช่วงท้าย ๆ เกมเท่านั้น เพราะผู้เล่นต้องมีเลเวลสูงก่อนถึงจะการเรียนรู้มันได้ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะมีผู้เล่นจะสามารถสร้างมันได้ แต่คลื่นสึนามิที่มนุษย์สร้างขึ้นก็ยังคงเทียบไม่ได้กับภัยธรรมชาติ

แต่ในฐานะที่เป็นเทพย่อยของเทพสมุทร พลังของเจ้าแห่งน้ำที่เกี่ยวข้องกับทะเลนิดหน่อย แต่มันก็ไม่ใช่พลังของเขา ซีเว่ยแค่ปล้นมันมา พลังที่ผู้เล่นได้รับจึงเป็นเวอร์ชั่นที่มีข้อบกพร่อง มันสุดยอดมากแล้วที่เขาสามารถใช้พลังแค่เศษเสี้ยวนั้นสร้างคลาสไทด์คอลเลอร์ขึ้นมาได้ เพราะงั้นมันจึงไม่มีทางที่จะแข็งแกร่งเกินไปกว่าคลาสอื่น ๆ

“จริงด้วย แต่เราจะทําอะไรได้ล่ะ” ผู้เล่นคนอื่น ๆ หันไปมองมาร์นี่ตามสัญชาตญาณ “ความแข็งแกร่งของเราเพียงอย่างเดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดคลื่นยักษ์นั่น”

“ใจเย็น ๆ เราไม่ได้จะสู้กับสิ้นามิ เราแค่ต้องทําให้คลื่นที่ถล่มหมู่บ้านอ่อนกําลังลง!”

ความจริงมาร์นี่ก็ไม่มีประสบการณ์รับมือกับสิ้นามเช่นกัน แต่ในเวลานี้ เขาเป็นผู้นําชั่วคราวของผู้เล่น และไม่สามารถแสดงความขี้ขลาดได้ “ทําตามปกติ วอร์ริเออร์ขึ้นหน้าและใช้ทักษะป้องกันทุกอย่างที่สามารป้องกันได้ เครลิคอยู่ข้างหลังคอยบัฟ HP และร่ายบาเรียศักดิ์สิทธิ์ คลาสอื่น ๆ ยิ่งทุกอย่างไปที่คลื่นแบบไม่ต้องสํารองมานา!”

เขาไม่ได้บอกชัดเจน แต่ผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็รู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร

พวกเขากําลังจะตายที่นี่ พลังของสนามิไม่มีอะไรที่สามารถต้านทานได้ และโอกาสที่จะรอดชีวิตก็มีเพียงเศษเสี้ยว ความจริงมันก็เป็นไปได้ที่ความพยายามของพวกเขาทั้งหมดอาจไม่มีความหมายอะไรเลย

และผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็อาจมาชุบชีวิตพวกเขาไม่ทันเช่นกัน ซึ่งหมายความว่าพวกเขาทั้งหมดจะต้องถูกขังอยู่ในห้องมืดเล็ก ๆ สามวัน

แต่ไม่มีผู้เล่นคนใดวิ่งหนี

หมู่บ้านมนุษย์กบ เป็นพันธมิตรของศาสนจักรแห่งเกม และมนุษย์กบหลายคนก็ได้อุทิศชีวิตให้กับผู้เล่นแล้วในฐานะผู้ติดตาม พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งในการผจญภัยของผู้เล่น

ด้วยเหตุนี้ ผู้เล่นควรปกป้องหมู่บ้านมนุษย์กบไม่ว่าจะเป็นเพราะความรู้สึกหรือเหตุผล

บางทีความพยายามของพวกเขาอาจจะไร้ค่า แต่อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ต้องยืนหยัดต่อหน้าหมู่บ้านมนุษย์กบ และพยายามปกป้องมันในตอนนี้

หอกน้ำแข็ง ไฟล์บอล โซ่สายฟ้า ในเวลานี้ผู้เล่นเมจที่ยังอยู่ ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ พวกเขาต่างก็กําลังเทเวทมนตร์ของพวกเขาไปยังคลื่นยักษ์ จนเวทมนต์ปลิวว่อนทั่วท้องฟ้า

ในขณะเดียวกัน ผู้เล่นที่เปลี่ยนคลาสเป็นไทด์คอลเลอร์ก็ล้วนร่ายเวทย์เช่น ปืนฉีดน้ำ ปั้มน้ำแรงดันสูง เพื่อทําทุกวิถีทางให้คลื่นอ่อนกําลังลง แต่น่าเสียดายที่เมื่อสิ้นามิใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ความสูงก็ยังไม่ลดลงเลยแม้แต่นิด

เมื่อคลื่นอยู่ห่างออกไปประมาณ 200 เมตร เครลิคก็ได้ร่ายบาเรียศักดิ์สิทธิ์ออกไปเท่าที่จะทําได้ แต่ถึงแม้ว่าบาเรียศักดิ์สิทธิ์จะเชื่อถือได้เมื่อต้องเผชิญกับศัตรูปกติ แต่มันก็ถูกบดขยี้ในทันทีที่สัมผัสกับคลื่นยักษ์และถูกพัดหายไปกับกระแสน้ำ

“จาร์วิส!”

มาร์นี่ร้องตะโกน ทันใดนั้นชุดเกราะเหล็กสีแดงแซมทองสุดเท่ก็ห่อหุ้มร่างกายของเขาทันที เขานําผู้เล่นวอร์ริเออร์ยกโล่ตั้งแนวป้องกันสุดท้ายด้วยร่างกายของตัวเอง

ไม่ว่าจะเป็นแค่ในความคิดของพวกเขา หรือเพราะว่าความมุ่งมั่นของพวกเขามีประโยชน์คลื่นน้ำจึงดูเหมือนจะช้าลงเรื่อย ๆ

แต่ในวินาทีถัดมา แถบ HP ของผู้เล่นวอร์ริเออร์ทุกคนก็ว่างเปล่า ชุดเกราะที่แข็งแกร่งของพวกเขาถูกบดจนแบนด้วยพลังอันมหาศาลของคลื่น ร่างของพวกเขาระเบิดและจมอยู่ในคลื่นโดยไม่มีอะไรเหลืออยู่แม้แต่เศษเสี้ยว

เกราะเต็มตัวที่ทนทานของมาร์นี่ก็ทนได้ไม่นานเช่นกัน เนื่องจากชุดเกราะของเขาไม่ใช่ชุดเกราะที่มีความสามารถในการป้องกันแรงกระแทก ที่สามารถสะท้อนพลังอันน่ากลัวของสึนามิได้ทําให้เขากลายเป็นเนื้อบดหุ้มเหล็ก ความจริงเขาเป็นคนแรกที่ตายเนื่องจากเขายืนอยู่หน้าผู้เล่นคนอื่น ๆ อย่างกล้าหาญ

ถึงแนวหน้าจะพ่ายแพ้ แต่ผู้เล่นคลาสอื่น ๆ ก็ไม่ได้หวาดกลัว เมื่อคลื่นยักษ์ใกล้เข้ามา และพวกเขาจมอยู่ใต้คลื่นที่ทรงพลัง ทุกส่วนของร่างกายของพวกเขาก็กรีดร้อง พวกเขาเค้นพลังจากทุกส่วนของร่างกายเพื่อใช้ทักษะสุดท้าย

สุดท้ายผู้เล่นทั้ง 33 คนที่อยู่นอกหมู่บ้านมนุษย์กบ ต่างก็เสียชีวิต พวกเขาสู้ไม่ยอมถอยกับศัตรูที่อยู่ยงคงกระพันอย่างสิ้นามิ

และด้วยความพยายามของพวกเขา ทําให้มนุษย์กบมีเวลาเตรียมตัว แม้ว่าหมู่บ้านของพวกเขาจะถูกทําลายเมื่อสิ้นามิมาถึง แต่มนุษย์กบก็เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น และเมื่อผู้เล่นคนอื่น ๆ รีบมายังที่เกิดเหตุ แม้กระทั่งผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ได้รับการช่วยเหลือและไม่มีผู้เสียชีวิต

“ชื่อของเจ้าจะถูกจดจํา และความสําเร็จของเจ้าจะเป็นที่รู้จักไปชั่วนิรันดร์!”

มีหลายล้านสิ่งที่รอให้ทําในหมู่บ้านมนุษย์กบหลังจากเกิดสึนามิ แต่ตอนนี้ผู้ใหญ่บ้านมนุษย์กบกําลังยืนโซซัดโซเซอยู่บนหลังคาหอยสังข์ เพื่อยกย่องผู้เล่นที่เสียชีวิตอย่างกล้าหาญ

ในขณะเดียวกัน ผู้พลีชีพที่ได้รับการยกย่องก็ได้ปรากฏตัวในฟอรัม พวกเขาไม่ได้ต้องการเกียรติยศเช่นนี้เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาได้ตายไปแล้ว มันดีกว่าที่จะให้เหรียญเกมและ EXP เป็นรางวัลตอบแทน

ในขณะที่ผู้เล่นคนอื่น ๆ ยังส่งเสียงดังเช่นเคย แองโกร่าก็รีบกลับไปที่เมืองไร้ชื่อและมาเยี่ยมหมู่บ้านมนุษย์กบเป็นครั้งแรก

เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทําไมเทพเจ้าแห่งเกมถึงไม่ตอบสนอง”

เขามองออกไปยังทะเลอันไกลโพ้น ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างปรากฏขึ้นเหนือผิวน้ำที่เคยราบเรียบมาตลอด

บทที่ 131 สนามิ

หลังจากชนะพนันครั้งนั้น แองโกร่าก็เห็นด้วยกับคําขอของพ่อที่จะอยู่ในทุนย่าต่ออีก 2 วัน

เพราะระบบ Overlord คงจะตัดสินว่าทุนย่าเป็นเมืองใหม่ของเขา เนื่องจากมันรู้ว่าพ่อของเขาคิดที่จะให้เขาได้รับมรดกต่อจากเขา

สิ่งที่เขาต้องทําหลังจากนั้นก็คือการสร้างไลฟ์สโตนในปราสาทอินทรีเงิน เพื่อเทเลพอร์ตกลับไปยังเมืองไร้ชื่อ ซึ่งมันดีกว่าการใช้เวลาเดินทางหลายวันบนถนนเหมือนขามา

สําหรับผู้เล่น เมื่อพวกเขาทําเควสได้สมบูรณ์แบบ ระบบก็จะให้รางวัลแก่พวกเขาอย่างไม่เห็นแก่ตัวพร้อมด้วย EXP มากมาย แม้ว่าพวกเขาควรจะจัดปาร์ตี้กันตามประเพณี แต่ฮอร์รันพ่อของแองโกร่าเพิ่งจะสูญเสียลูกชายไป มันไม่ถูกต้องที่จะเฉลิมฉลองในตอนนี้

ยิ่งไปกว่านั้นฮอร์รันก็ได้ตัดสินใจที่จะแพร่กระจายข่าวว่าลูกชายคนโตของเขาเสียชีวิตจากอาการเจ็บป่วย ในขณะที่ส่งเสริมแองโกร่าไปพร้อมกัน ด้วยเหตุนี้ผู้เล่นจึงทําได้เพียงระงับอารมณ์รื่นเริงและเข้ารับหน้าที่รักษาความปลอดภัยชั่วคราว แทนทหารคุ้มกันปราสาทที่ตายในเหตุการณ์นั้น

แองโกร่าสบายดีเพราะเขาไม่ต้องกังวลว่าเขาพลาดสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองไร้ชื่อ ในเมื่อเขามีฟอรัมที่สามารถสื่อสารกันได้แบบเรียลไทม์

หลังจากที่เขาผ่อนคลายเกินไปในเมืองไร้ชื่อ จึงเป็นเรื่องยากที่แองโกร่าจะปฏิบัติตัวตามมารยาทของชนชั้นสูงได้ดีเหมือนเก่า ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่เคยได้รับการดูแลเป็นอย่างดีในฐานะผู้สืบทอดตําแหน่งดยุกมาก่อน เขาเพียงแค่ได้เรียนรู้การประพฤติตัวขั้นพื้นฐานในฐานะขุนนางเท่านั้น และด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มากมาย ดยุกชราได้จ้างครูสอนมารยาทมาเพื่อสอนเขาโดยเฉพาะ ซึ่งทําให้สิ่งต่าง ๆ แย่ลงสําหรับแองโกร่า ความจริงแองโกร่าเริ่มคิดว่ามารยาทและพิธีที่ซับซ้อนเหล่านี้ถูกสร้างมาเพื่อทรมานผู้สืบทอดของตนชัด ๆ

นอกจากทั้งหมดนั่น แองโกร่าก็ยังมีปัญหาอีกอย่างเกี่ยวกับการติดตามของคินลีย์

แต่ก็ไม่ถูกที่จะเรียกมันว่า “ติดตาม” คินลีย์สนใจแองโกร่ามากก็จริง แต่เธอสนใจเมืองของแองโกร่ามากกว่า เมืองไร้ชื่อที่ปลูกฝังผู้เล่นที่ไม่เกรงกลัวแม้กระทั่งความตายเหล่านี้

หลังจากที่เธอได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าผู้เล่นปลดปล่อยพลังที่เกินสามัญสํานึกได้อย่างไร และเห็นพวกเขาร่วมมือกันกําจัดบอสมินเนี่ยนและโกเลมทั้งสี่ได้อย่างไร เธอก็อยากรู้มากเกี่ยวกับการดํารงอยู่ของผู้เล่น

ด้วยเหตุนี้ เธอจึงติดตามแองโกร่าไปรอบ ๆ หลังจากที่วิกฤตสิ้นสุดลง เธอหวังว่าเธอจะได้ไปเยี่ยมเมืองเล็ก ๆ แห่งนั้นและได้อาศัยอยู่ที่นั่นสักระยะ

แต่แองโกร่าที่จําได้ถึงความน่ากลัวของผู้เล่นในการเผยแพร่เรื่องงี่เง่าใส่คนอื่น และปัญหาที่คินลีย์จะนํามา เขาจึงปฏิเสธเธอไปอย่างหนักแน่น

แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงตามตื้อเขาอย่างไม่ลดละ และนั่นทําให้เขารู้สึกทุกข์ใจ

“แต่ข้าเห็นนะว่าท่านแอบยิ้มอยู่นะ” เอ็ดเวิร์ดพูดในฐานะคนที่ยืนมองการแสดงของแองโกร่าจากที่ไกล ๆ

“อย่ามาล้อเล่น เห็นได้ชัดว่าหน้าข้ามีแต่ความปวดร้าว” แองโกร่ากล่าวหน้านิ่ง “นี่เจ้ากําลังลาดตระเวนอยู่สินะ”

“เรื่องเล็กน้อย ก็พ่อท่านจ่ายให้เรานี้” เอ็ดเวิร์ดยักไหล่ “เราก็แค่รอจนกว่าวิหารแห่งความรุ่งโรจน์จะส่งใครสักคนมารับช่วงต่อ”

“ข้าเคยคิดว่าจะออกเควสประจําวันใหม่ ให้ผู้เล่นมาป้องกันปราสาท แต่น่าเสียดายที่ผู้เล่นยังมีน้อยเกินไป ตอนนี้หากมีการโยกย้ายคนจํานวนมากในครั้งเดียวก็จะส่งผลต่อการพัฒนาของศาสนจักร” แองโกร่าถอนหายใจ

โชคดีที่ฮอร์รันสัญญาว่าจะช่วยพัฒนาศาสนจักรของเทพเจ้าแห่งเกมอย่างลับ ๆ เมื่อแองโกร่าชนะพนัน เมื่อเขากลายเป็นดยุกคนใหม่ เขาก็สามารถให้ผู้เล่นเข้ามาแทนที่วิหารแห่งความรุ่งโรจน์ และกลายเป็นฝ่ายที่อํานาจมากที่สุดในทูนาย่าได้

แต่ทั้งหมดนี้ต้องขึ้นอยู่กับการพัฒนาที่ราบรื่นของศาสนจักร และจํานวนผู้เล่นที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

พวกเขาสองคนคุยกันไปเรื่อย ๆ โดยบทสนทนาส่วนใหญ่เกี่ยวกับผู้เล่นและระบบ

[มาร์นี่ วิลฟ์ เสียชีวิตในสึนามิ เวลาในการฟื้นคืนชีพ 71:59:59 น.]

ตอนนั้นเอง การแจ้งเตือนของระบบปรากฏขึ้นในสายตาของพวกเขา

“พรุดดด ลุงมาร์นี่ตายอีกแล้ว…” เอ็ดเวิร์ดไม่สามารถกลั้นหัวเราะได้

“อ่า ข้าจําได้ว่าเขาตายเมื่อ 3 วันที่แล้ว” ริมฝีปากของแองโกร่าโค้งเป็นรอยยิ้มด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ก็ทําให้พวกเขาก็ไม่สามารถหัวเราะได้อีกต่อไป

[อีวาน เสียชีวิตในสึนามิ เวลาในการฟื้นคืนชีพ 71:59.59 น.]

[บอริส เสียชีวิตในสึนามิ เวลาในการฟื้นคืนชีพ 71:59:59 น.]

[เซนซีดาน เสียชีวิตในสึนามิ เวลาในการฟื้นคืนชีพ 71:59:59 น.]

[เคท เสียชีวิตในสึนามิ..]

ทันใดนั้นคนสองคนก็ได้ข้อสรุปแบบเดียวกันว่า มีบางอย่างเกิดขึ้นที่ท่าเรือเกรย์ฟยอร์ด!

ไม่กี่นาทีก่อนหน้า

ที่ราบชายฝั่งทะลหมู่บ้านมนุษย์กบ

ผู้เล่นหลายคนกําลังเดินผ่านหมู่บ้านหลังจากได้รับเควสประจําวันจากผู้ใหญ่บ้านมนุษย์กบ โดยบางคนตั้งใจจะไปสํารวจท่าเรือเกรย์ฟยอร์ด บางคนถืออาหารทะเลที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหนและตามหามนุษย์กบให้พวกเขาปรุงอาหารให้ในขณะที่คนอื่น ๆ ที่ยังไม่ยอมแพ้ในการชักชวนมนุษย์กบมาเป็นลูกน้องก็ยังคงพยายามอย่างหนัก

“เจ้านาย เราจะกลับเมืองกันเมื่อไหร่” อีวานซึ่งอยู่คุ้มกันมาร์นี่ ถามขณะที่เขามองมาร์นี่กําลังพยายามว่ายน้ำท่ากบอยู่ริมทะเล

“วันนี้เดี๋ยวเพิ่มระดับการสํารวจอีก 1% ก็พอแล้ว เจ้าคิดยังไงกับท่าทางของข้า”

“แต่ข้าเบื่อซุปปลา” อีวานถอนหายใจ “ตอนนี้แค่ข้าดื่มน้ำ ข้าก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวแล้ว”

“โอ้ งั้นไม่เป็นไร วันนี้เรากลับกันเถอะ” มาร์นี่ไม่ใช่นายจ้างประเภทที่ไม่ฟังใครเลย เขายืนขึ้นจากน้ำลึกแค่เข่า เขาก้มโค้งด้วยท่าทางแปลกประหลาดเหมือนกําลังอุ่นเครื่องในขณะที่เขายังคงจ้องมองอีวาน “คืนนี้เรามากินเนื้อย่างกันเถอะ!”

“โอ้ ไม่เลวนะ เนื้อย่างของโรงแรมกาต้มน้ำเหล็กยอดเยี่ยม ว่าแต่เจ้านาย ท่านจะเลี้ยงรึเปล่า”

“อีวานเจ้าโตแล้ว เจ้าควรรับผิดชอบตัวเอง!”

“ให้ตายเถอะ ค่าอาหารมันถูกขนาดนั้นท่านหม?” อีวานที่กําลังจะเถียง จู่ ๆ เขาก็หรี่ตาลงที่มองออกไปที่มหาสมุทรอันห่างไกล “นั่นอะไรนะ กําแพงสีขาว?”

มาร์นี้ยังลุกขึ้นมองออกไปในระยะไกล

” จะมีกําแพงสีขาวบนทะเลได้ยังไง มันเป็นภาพลวงตา” เขาตอบง่าย ๆ

ในมหาสมุทร ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ดูเหมือนกําแพงสีขาวจะกว้างขึ้น

กําแพงเริ่มขยายตัวออกไปทั้งสองด้านอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด

ถ้าแค่นั้นมันก็ไม่เป็นไร แต่ปัญหาคือเมื่อเวลาผ่านไป กําแพงดูก็เหมือนจะสูงใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

หลังจากนั้นไม่นาน ใบหน้าของมาร์นี่ก็ซีดลง ในที่สุดก็รู้ว่ามันคืออะไร

“เวรแล้ว! มันไม่ใช่กําแพง มันคือสึนามิ!”

บทที่ 130 วันพักผ่อนของผู้เล่น [3]

เมืองไร้ชื่อ

แม้ว่าแองโกร่าจะไม่ได้อยู่ที่เมือง แต่ภายใต้การบริหารของนายกเทศมนตรีชรา (พ่อของวีลา) เมืองนี้ก็ไม่ได้สูญเสียความเป็นระเบียบเรียบร้อยและตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย

ช่วงนี้ผู้เล่นถูกปล่อยให้ว่างงานเล็กน้อย เนื่องจากไม่มีการก่อสร้างในขณะที่แองโกร่าไม่อยู่ แต่พวกเขาก็ยังสามารถรับเควสประจําวันได้จากกระดานประกาศ และกุญแจดันเจี้ยนห้องใต้ดินลับของผีดิบก็ยังสามารถรับได้จาก “เจ้าหญิงนักรบลีอายาการัน” ซึ่งหมายความว่าชีวิตประจําวันของผู้เล่นไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ

พวกเขายังคงขยันขันแข็งดังเช่นทุกวัน

อันที่จริงต้องบอกว่าการปรากฏตัวของฟอรัมและโพสต์ต่าง ๆ ที่เขียนว่า [ข้าเป็นมือใหม่และข้าเพิ่งดรอปไอเทมแรร์ม่วงเลเวล 20 ได้ ไอเทมนี้ดีหรือไม่] จุดประกายการแข่งขันกันในฟอรัม

ในฐานะผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม ปกติแล้วผู้เล่นไม่ได้แข่งขันกันด้วยสินค้าหรูหราเช่นนาฬิกาข้อมือหรือรองเท้าผ้าใบ แต่มันคือการมีเลเวลสูงกว่าหรือไอเทมที่ดีกว่า

ดังนั้นผู้เล่นจํานวนมากจึงวิ่งออกไปอัพเลเวลและท้าทายดันเจี้ยนกันอย่างกระตือรือร้น เพื่อที่พวกเขาจะได้รับไอเทมดรอปสีทองเทพ ๆ และอวดมันในฟอรัมให้ผู้เล่นคนอื่น ๆ ได้อิจฉา

ซีเว่ยสนับสนุนทัศนคตินี้ของพวกเขา แม้ว่าเขาจะรู้ว่าไอเทมทั้งหมดของเขาในตอนนี้ ไม่มีไอเทมไหนที่เป็นระดับตํานานสีทองอีกแล้ว

สรุปสั้น ๆ ว่า ตอนนี้ผู้เล่นมีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อก่อนมาก

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการที่เลเวลเฉลี่ยของผู้เล่นเพิ่มขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะวิ่งเข้าไปเจอบิชอปชุดดําในห้องใต้ดินลับของผีดิบ พวกเขาก็ยังกล้าเผชิญหน้า

ผู้เล่นบางถึงกับใช้กลยุทธ การวิ่งเข้าไปตายอย่างรวดเร็วเมื่อสุ่มเจอกันบิชอปชุดดํา” หรือ “การวิ่งเข้าไปตายอย่างรวดเร็วเมื่อสุ่มเจอดันอาร์ชบิชอปกระดูกเน่า”

นั่นจึงทําให้การฟาร์มของผู้เล่น ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก

เพราะผู้เล่นส่วนใหญ่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงชะตากรรมของการตายยกตี้ได้ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาวิ่งเข้าไปเจออาร์ชบิชอปกระดูกเน่า ดังนั้นมันก็ดีกว่าที่พวกเขาจะพุ่งเข้าหาความตายทันทีเพื่อประหยัดเวลา พวกเขาจะได้เอาเวลาที่เหลือไปสํารวจหุบเขาแห่งความตายและท่าเรือเกรย์ฟยอร์ดต่อ

แต่นั่นก็ทําให้ผู้เล่นจํานวนมากคิดถึงวันที่มาร์นี่ยังฝันที่เคลียร์ดันเจี้ยนนี้ให้สําเร็จ เพราะทุกครั้งที่เขามาท้าทายดันเจี้ยน เขาก็มักจะวิ่งเข้าไปเจออาร์ชบิชอปกระดูกเน่าที่มีอัตราการปรากฏตัวขึ้นเพียง 2 ครั้งต่อวัน และปูเส้นทางที่ปลอดภัยให้กับผู้เล่นคนอื่นด้วยชีวิตของเขา

อาจเป็นไปได้ว่าตอนนี้มาร์นี้ได้ล้มเลิกความฝันของเขาไปแล้ว หลังจากที่เขาเข้าใจว่าการลงดันเจี้ยนของเขาก่อให้เกิดความสูญเสียมากกว่าการได้กําไร ดังนั้นเขาจึงไปหมกมุ่นอยู่กับการค้าขายและสํารวจท่าเรือเกรย์ฟอร์ดที่อันตรายน้อยกว่า ซึ่งทําให้ผู้เล่นหลายคนเสียใจ…

โจอี้ อาร์บิตเตอร์ (พรานวัยกลางคนที่ต้องการดูแลเทอร์รี่และจอมเหมือนลูก) กําลังเดินอยู่บนถนนในเมืองไร้ชื่อกับเพื่อนนายพรานจากหมู่บ้านของเขา พวกเขาได้ติดตามผู้เล่นที่มีประสบการณ์และค่อนข้างจะมีชื่อเสียงในหมู่ผู้เล่นใหม่ คนที่มักจะช่วยพาผู้เล่นเลเวต่ำกว่าเคลียร์ดันเจี้ยนห้องใต้ดินลับของผีดิบ

“นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมตําแหน่งการโจมตีถึงสําคัญมาก เมื่อเจ้าเห็นโอกาส เจ้าก็รีบลอบไปอยู่ด้านหลังบอสและตีตูดมันซะ” เขาแบ่งปันประสบการณ์ของเขากับโจอี้และคนอื่น ๆ อย่างกระตือรือร้น “เจ้าจําโจโคโบะที่โจมตีหมู่บ้านของเจ้าตอนนั้นได้ไหม? ข้าสร้างดาเมจได้เยอะมากด้วย การฟาดตูดมันด้วยการโจมตีเดียว และช่วยหมู่บ้านของเจ้าเอาไว้ได้!”

“ฮะ แต่ข้าจําได้ว่า เจ้าถูกนกตัวนั้นเตะ..พี่ชายวัลแคน” พรานคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างลังเล

พรานคนนั้นถูกตบหัวก่อนที่เขาจะพูดเสร็จ “เจ้ากําลังพูดอะไร!? พี่ชายวัลแคนใจดีมากที่มาแบ่งปันประสบการณ์ให้เราฟัง ทําไมเจ้าถึงพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้? ด่วน รีบพูดว่า “ขอบคุณพี่ชายวัลแคน!”

ดังนั้นเหล่าอดีตนายพรานจึงร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า “ขอบคุณพี่ชายวัลแคน!”

ทันใดนั้นผู้เล่นที่อยู่กลางสี่แยกก็ตะโกนว่า “เจ้ามือดํามาแล้ว!”

จากนั้นถนนที่มีชีวิตชีวาก่อนหน้านี้เงียบลงทันที ครูต่อมา ผู้เล่นรอบ ๆ ต่างก็วิ่งหนีราวกับฝูงนกแตกตื่น พวกเขากลัวสิ่งที่ถูกเรียกว่า “เจ้ามือดํา”

แค่เพียงอึดใจเดียว ก็เหลือเพียงโจอี้และกลุ่มมือใหม่เท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้บนถนน พร้อมกับกะหล่ำปลีหัวเดียวที่ยังคงกลิ้งอยู่บนพื้น

โจอี้มองไปที่พี่ชายวัลแคนอย่างกังวล “เจ้ามือดําเป็นคนที่เราไม่ควรไปมีเรื่องด้วยงั้นรึ?”

วัลแคนพยักหน้า “จะว่างั้นก็ได้”

นั่นทําให้โจอี้นึกถึงสมัยที่เขายังเป็นนายพราน เมื่อเขาไปที่เมืองเพื่อขายขนสัตว์ เขาก็มีโอกาสได้พบกับบุตรชายขอวอาร์คบิชอปที่มีอํานาจและผู้มีอิทธิพลคนอื่น ๆ ที่คอยกดขี่ชาวบ้าน

แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ประสบการณ์ของพวกเขาในฐานะผู้เล่น ทําให้โจอี้และคนอื่น ๆ ชอบชีวิตของพวกเขาในศาสนจักรเทพเจ้าแห่งเกมตอนนี้มาก

ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ โจอี้จึงรู้สึกผิดหวังมาก เขาไม่คิดว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ในศาสนจักรของเทพเจ้าแห่งเกมด้วย

“เจ้าเรียกใครว่ามือดํา! ข้าคือซอนหยาน* กรงเล็บเทา!”

(ซอนหยาน ขอเปลี่ยนชื่อจากเดิมคือ “ซ่งเยวี่ยน” นะคะ คิดอีกที่ชื่อจีนไม่เข้าเลย เอาทําศัพท์ eng แทนแล้วกันค่ะ)

ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวไม่ต่างจากผู้เล่นคนอื่น ๆ ปรากฏตัวขึ้นริมถนน เขาบ่นอย่างไม่พอใจที่ผู้เล่นคนอื่น ๆ พากันหลบหนีเขาราวกับเขาเป็นตัวเชื้อโรค

“ทําไมเขาดูไม่เหมือนคนเลวเลยล่ะ” โจอี้กระซิบกับวัลแคน

“เลวเหรอ? ไม่ ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น ข้าหมายความว่าเจ้าไม่ควรมองข้ามเขา จริง ๆ แล้วซอนหยานเป็นคนดีและมีฝีมือมาก แต่มือของเขาก็แค่ดํา” วัลแคนส่ายหัว “เจ้ารู้เรื่องธรรมเนียมการแตะศพใช่ไหม? มันก็คือการดึงไอเทมดรอปจากสัตว์ประหลาดที่ตายแล้วในดันเจี้ยนก่อนที่ร่างของพวกมันจะหายไป”

โจอี้และคนอื่น ๆ พยักหน้า พวกเขาคุ้นเคยกับความรู้เกี่ยวกับดันเจี้ยนโดยธรรมชาติ

“ไอ้ที่เขาถูกเรียกว่ามือดํานั้นก็หมายถึง เขาได้รับไอเทมดรอปที่ไม่ดีทุกครั้งที่เขาแตะศพ” วัลแคนอธิบาย

“นั่นไม่ใช่แค่โชคร้ายเหรอ? ต้องกลัวกันขนาดนั้นเลย?” พรานคนหนึ่งถาม

“เจ้ายังไร้เดียงสาเกินไป” วัลแคนส่ายหัว “ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องเคยได้ยินเรื่องเซ็ตไอเทมกระดูกหนามใช่ไหม? มันเป็นหนึ่งในเซ็ตไอเทมที่ดีที่สุดในห้องใต้ดินลับของผีดิบ และมันจะดรอปอย่างน้อย 1 ชิ้นส่วนต่อการเคลียร์ดันเจี้ยน 1 ครั้ง แต่หากเจ้ามีเจ้ามือดําอยู่ในปาร์ตี้ตลอดทั้งเดือน…”

“ก็จะไม่มีไอเทมดรอป?” โจอี้เดา

“ไม่ แต่ไอเทมที่ดรอปเพียงชิ้นเดียวตลอดทั้งเดือน ก็คือถุงมือกระดูกหนามข้างขวา และไม่มีชิ้นส่วนอื่นเลย”

ใบหน้าของผู้เล่นใหม่ทุกคนดูหวาดกลัวมาก

ไม่น่าแปลกใจที่ถุงมือกระดูกหนามข้างขวาขายถูกมากจนน่าขันในฟอรัม แม้แต่ผู้มาใหม่อย่างพวกเขาก็ยังสามารถซื้อใส่ได้

“แล้วทําไมเจ้าถึงรู้ลึกจัง?” โจอี้ถามด้วยความอยากรู้

เป็นผลให้วัลแคนผู้ซึ่งกําลังพูดคุยเรื่องประวัติความเป็นมาของเจ้ามือดําอย่างกระตือรือร้นตัวแข็งทื่อ เขามีสีหน้าเจ็บปวดราวกับว่าเขาจําประวัติศาสตร์อันดํามืดบางอย่างที่เขาไม่อยากจะจําขึ้นมาได้

“โย ว่าไงวัลแคน ปาร์ตี้ลงดันเจี้ยนของเจ้ายังขาดคนอยู่รึเปล่า” ซอนหยานยิ้มทักทายวัลแคนที่อยู่ใกล้ที่สุด และพบว่าเขากําลังอยู่ท่ามกลางผู้เล่นมือใหม่

จากนั้นวัลแคนก็วางมือทั้งสองข้างลงบนไหล่ของซอนหยาน และพูดกับอดีตสมาชิกปาร์ตี้ของเขาอย่างจริงจังว่า

“รีเซ็ตคะแนนทักษะของเจ้า และกลับไปฝึกฝนมาใหม่ซะ”

ซอนหยาน: ???

บทที่ 129 รางวัลเควส

“อะไร? เจ้าไม่ต้องการปกครองดัชชีอินทรีเงินรึ”

ดยุกเฒ่าประหลาดใจเมื่อแองโกร่าปฏิเสธการสืบทอดตําแหน่ง

มันคือตําแหน่งดยุกเชียวนะ! ปกติแล้วการปกครองดัชชีอินทรีเงินไม่ต่างจากการเป็นเจ้าของดินแดนของตัวเอง มันเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา! นอกจากนี้ดยุกยังเป็นตําแหน่งที่มีอํานาจสูงสุดในภาคเหนือรองจากราชวงค์วัลลา และสถานะของดัชชีอินทรีเงิน ก็เทียบเท่าได้กับอาร์คบิชอปศาสนจักรของเทพบิดรศักดิ์สิทธิเลยด้วยซ้ำ!

“เรื่องมันก็มาถึงจุดนี้แล้ว ข้าจะไม่ซ่อนมันจากท่าน ข้าเลิกศรัทธาในเทพเจ้าแห่งสงครามมานานแล้ว ตอนนี้ข้าศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม”

แองโกร่าคิดอยู่นานและรู้สึกว่าการสนับสนุนของพ่อเป็นสิ่งจําเป็น หากเขาต้องการที่จะพัฒนาศาสนจักรเทพเจ้าแห่งเกม นั่นเป็นเหตุผลที่เขาตัดสินใจบอกพ่อเขาไปตรง ๆ

“เทพเจ้าแห่งเกม…” ฮอร์รันตกใจ แต่ไม่นานเขาก็ยิ้มออกมาอย่างขมขืน “นี่คิดเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากเทพเจ้าแห่งเกมของเทียร์ร่า อ่า นี่อาจเป็นโชคชะตา…?”

เห็นได้ชัดว่าแองโกร่าไม่ทราบถึงเชื้อสายทางฝั่งแม่ของเขา แต่เขาก็ยังเปลี่ยนใจไปเลื่อมใสศรัทธาเทพเจ้าที่นําไปสู่การล่มสลายของเทียร์ร่าทางอ้อม มันเป็นเรื่องบังเอิญมากเกินไปจริง ๆ จนฮอร์รันไม่สามารถช่วยเขาได้

“ชะตากรรม? ไม่ หลักคําสอนของเราไม่ได้ให้ความสําคัญกับสิ่งนั้น” แองโกร่าพอใจกับเรื่องนี้มากอย่างอธิบายไม่ได้ “เทพเจ้าของเราประทานรากฐานให้เราเติบโตขึ้นได้แข็งแกร่ง การที่เราจะแข็งแกร่งอย่างแท้จริงได้ เราต้องพึ่งพาตนเอง ยิ่งเราพยายาม (ฟาร์มเวล) มากเท่าไหร่ เรายิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น เขาสอนเราว่า มนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเองได้ด้วยความพยายาม และนั่นคือเหตุผลว่าทําไมเราจึงเคารพเทพเจ้าของเรามาก”

“งั้นรึ…”

ฮอร์รันรู้สึกสับสนมาก เหตุใดเทพเจ้าแห่งเกมจึงฟังดูแตกต่างจากที่เขาได้ยิน

“แต่ตอนนี้ศาสนจักรของเรายังอ่อนแอมาก และเรายังไม่สามารถปรากฏตัวอย่างโจ่งแจ้งได้ ดังนั้นความปรารถนาของข้าคืออยากให้ท่านปกครองดัชชีอินทรีเงินต่อไปอีกสักพัก เพราะข้ามีเรื่องสําคัญรอให้ต้องทําอยู่” แองโกร่ายังคงอธิบายต่อไป

วิญญาณผู้พิทักษ์สิงโตรอนลงบนพื้นอย่างช้า ๆ จากนั้นมันก็จางหายไปเมื่อระยะเวลาการอัญเชิญสิ้นสุดลง ทิ้งแองโกร่าและฮอร์รันดยุกอินทรีเงินที่นอนพาดอยู่บนไหล่ลูกชายเอาไว้

“วางข้าลง ตอนนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”

แองโกร่าย่อตัววางเขาลง เขาเหลือบมองไปที่แถบ HP ของพ่อและพบว่ามันยังขาดไปหนึ่งในสาม ดูเหมือนว่าโคล่าแค่ขวดเดียวคงไม่เพียงพอที่จะฟื้นฟูสุภาพเขาได้อย่างสมบูรณ์

ถึงกระนั้นชายชราก็ไม่เต็มใจที่จะให้ลูกชายดูแลเขาต่อ บางที่อาจเป็นเพราะความดื้อรั้นเล็ก ๆ ของเขาในฐานะพ่อ

เขามองแองโกร่าที่ตอนนี้ที่เตี้ยกว่าเขาเพียงเล็กน้อย และตบหัวเขาเบา ๆ อย่างเป็นห่วง

“ข้าเข้าใจว่าเจ้าได้รับความโปรดปราณจากเทพเจ้า” ชายชราพูดในขณะที่เขามองไปที่ไม้กายสิทธิ์ในมือของแองโกร่า “แต่เจ้าก็ควรทราบด้วยว่ามีองค์กรลับในจักรวรรดิวัลลา ที่ภักดีต่อจักรพรรดิและคอยออกตามล่าราชวงค์เทียร์ร่าทุกคนที่ยังเหลืออยู่ แม้ว่าจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม และผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของพวกเขาด้วย บอกตามตรงว่าพ่อไม่ได้มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับศาสนจักรนี้”

คําพูดของเขาทําให้แองโกร่าหยุดความคิดจะชักชวนให้พ่อของเขาหันมาศรัทธาในศาสนจักรเทพเจ้าแห่งเกม

แองโกร่าเองก็รู้ดีถึงเหตุผลที่ตาแก่ของเขาสามารถดํารงตําแหน่งดยุกได้อย่างมั่นคงในดัชชีอินทรีเงิน นั้นเพราะเขาใฝ่หาสิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่าความฝันที่เป็นอุดมคติ

ความจริงฮอร์รันจะปลอดภัยมาก เพราะเขาได้เตรียมการไว้มากมายเพื่อรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต มีเพียงคนโง่อย่างเซซิลที่ไม่สามารถเผชิญหน้ากับสิ่งต่าง ๆ ด้วยเหตุผลได้เท่านั้น ที่สามารถทําให้แผนการต่าง ๆ ของชายชรายุ่งเหยิง และบังคับให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายได้

ยิ่งไปกว่านั้น ฮอร์รันยังเป็นผู้ที่ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งสงครามมาตั้งแต่อายุยังน้อย แองโกร่าเพียงคนเดียวจะไม่มีทางเปลี่ยนใจเขาได้

บางที่อีกฝ่ายอาจชักชวนให้เขาออกจากศาสนจักรของเทพเจ้าแห่งเกมแทนด้วยซ้ำ

“ข้ารู้ดีว่าศาสนาของข้าอยู่ในจุดที่ยากลําบากในขณะนี้” แองโกร่าเข้าใจมุมมองภาพรวมมากกว่าเมื่อเทียบกับผู้เล่นส่วนใหญ่ที่เง่า “แต่นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทําไม ข้าถึงแสดงความสามารถของข้าได้อย่างเต็มที่ในฐานะลอร์ด เทพเจ้าของข้ามอบของขวัญที่เป็นตัวแทนของอนาคตและความหวังให้ข้า และข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งพระองค์”

ชายชราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระอักกระอ่วน ขณะที่แองโกร่าประกาศจุดยืนของเขา เขาไม่แน่ใจว่าควรจะเริ่มให้คําปรึกษาเขาอย่างไรดี

ในขณะเดียวกัน ความคิดของแองโกร่าก็เปลี่ยนไปสนใจอย่างอื่น

เอ็ดเวิร์ดและคนอื่น ๆ ไม่ได้อยู่ข้างบันไดแล้ว และมินเนี่ยนที่อาละวาดก็กลายเป็นเพียงซากศพนอนทอดร่างอยู่บนพื้น ถึงกระนั้นแองโกร่าก็ยังเห็นว่าบาดแผลที่ศีรษะของบอสมินเนี่ยนนั้นเกิดขึ้นเพราะค้อนดาวตก

จากนั้นเสียงคํารามของสัตว์ประหลาดก็ดังก้องมาจากด้านนอกปราสาท

แองโกร่าขมวดคิ้ว ตอนนี้ไม่ควรมีสัตว์ประหลาดตัวใดอยู่ในทุนย่า!

“มันคือโกเลม! เซซิลได้ปลุกโกเลมน้ำพุทั้งสี่!” ฮอร์รันระบุที่มาของเสียงคํารามได้ในทันที เขามีท่าทางจริงจัง “ผู้ติดตามของเจ้าจะไม่มีวันชนะพวกมัน รีบออกไปขอช่วยเหลือจากวิหารแห่งความรุ่งโรจน์!”

แต่แองโกร่ารู้สึกโล่งใจทันทีเมื่อรู้ว่ามันคือโกเลมทั้ง 4

แน่นอนว่าพวกมันเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากลําบากสําหรับคนทั่วไป เนื่องจากพวกมันถูกสร้างขึ้นจากวัสดุที่ไม่รู้จัก ซึ่งทําให้การโจมตีปกติมีประสิทธิภาพน้อยลง แต่สําหรับผู้เล่น พวกมันก็เป็นเพียงสัตว์ประหลาดเลเวล 26 ที่มีพลังป้องกันค่อนข้างสูงเท่านั้น

การต่อสู้กับมันด้วยตัวคนเดียว อาจพิสูจน์ได้ว่าท้าทาย แต่มันไม่มีปัญหาอะไรกับผู้เล่น เมื่อพวกเขารวมกลุ่มกันโจมตี

ทันใดนั้น แองโกร่าก็มีความคิดดี ๆ เมื่อเขาเห็นว่าชายชราดูเป็นห่วง

“พ่อ มาเล่นเกมกันเถอะ” แองโกร่าสะบัดมือ ไม่รู้ว่าเขาหยิบผ้าคลุมหนังผืนเล็กออกมาจากไหน ก่อนจะวางมันไว้ที่ไหล่ของเขา

“เกม? ตอนนี้รึ” ชายชราอ้าปากค้าง เขาจ้องมองลูกชายคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ โดยคิดในใจว่า “เวร ลูกชายคนเดียวที่เหลืออยู่ของข้าศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมจนเกินเยียวยาแล้ว”

ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกว่าตอนนี้แองโกร่าค่อนข้างมีพลัง ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีช่วงเวลาที่ยากลําบากในการปฏิเสธคําเชิญของเขา

“ข้าเรียกมันว่าเกม แต่จริง ๆ มันคือการพนัน” แองโกร่าดีดนิ้ว “ลองมาพนันกันดูว่าผู้ติดตามของข้าจะเอาชนะโกเลมเหล่านั้นได้หรือไม่ แน่นอนข้าจะเดิมพันว่าใช่”

“นั่นหมายความว่ายังไง” ชายชรายนคิ้ว เขางงว่าทําไมแองโกร่าถึงพูดแบบนั้นตอนนี้

“ถ้าข้าชนะ ท่านจะต้องยอมรับที่ข้าศรัทธาในศาสนจักรเทพเจ้าแห่งเกม และช่วยเหลือเราในระดับหนึ่ง แน่นอนว่าข้าไม่ได้มีคําขอมากมายอะไร ข้าสัญญาว่าจะไม่ทําให้ท่านต้องลําบาก” แองโกร่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แต่ถ้าข้าชนะ เจ้าจะต้องปกครองดัชชีในวันพรุ่งนี้ และใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมงทุกวันในหนึ่งปี เพื่อเรียนรู้งานจากข้าในฐานะดยุก” ชายชราตกลงที่จะเดิมพัน จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ไม้กายสิทธิ์ของแองโกร่า “และเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ช่วยพวกเขา”

“ไม่มีปัญหา เดิมพันกันตามนี้แหละ!” แองโกร่ายกนิ้วโป้งให้เขา

ชายชราส่งเสียงในลําคอขณะที่เขามุ่งหน้าออกไปนอกปราสาท “ไม่มีทางที่ผู้ติดตามของเจ้าจะได้รับพรอย่างเจ้า”

แองโกร่ายักไหล่ส่งผลให้ผ้าคลุมไหล่ขยับไหว ก่อนที่เขาจะติดตามตาแก่ออกไป

[รางวัลเควส: ผ้าคลุมผืนน้อยของมังกรแห่งท้องฟ้า (ตํานาน/สีทอง)]

[ค่าสถานะพื้นฐาน: พลังป้องกัน +1]

[รัศมีตัวเอก: เมื่อคุณพยายามชักชวน เจรจา โน้มน้าว หรือบลัฟ IQ ของเป้าหมายที่ไม่ใช่พันธมิตรของคุณจะลดลง 20% ผลลัพธ์นี้ถือเป็นทักษะที่แท้จริง (เอฟเฟกต์อ่อนลงด้วยความต้านทานของเทพเจ้า และการต้านทานกฎ)]

[รัศมีการปกครอง: ความมีอํานาจ+10 เพิ่มภูมิคุ้มกันจากดีบัฟทางจิตระดับสูง]

[หมายเหตุ: “ดูนี่ สวมใส่เสื้อคลุมนี้แล้วคุณจะกลายเป็นตัวเอก’ By เทพเจ้าแห่งเกม]

บทที่ 128 ผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์

“ทําไมเจ้าไม่กลัว! ทําไมไม่เสียใจ! เจ้ากําลังพยายามเอาชนะข้าด้วยกิ่งไม้เล็กๆนั่น ทั้งที่เห็นข้ามีพลังมากขนาดนี้เหรอ!”

เซซิลคํารามเหมือนสัตว์ร้ายที่บ้าคลั่ง หลังจากสูญเสียความเป็นเหตุเป็นผลไปแล้ว ร่างมนุษย์ของเขาก็ถูกก้อนเนื้อและหนวดค่อยๆกลืนกินไปอย่างช้าๆ ในขณะที่เขาเริ่มกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ชั่วร้ายและน่ากลัวขึ้นทุกขณะ

ร่างกายซึ่งขยายใหญ่ขึ้นของสัตว์ประหลาดเติมเต็มไปถึงครึ่งหนึ่งของห้องเสาหินอ่อน ที่แกะสลักด้วยลวดลายดอกไม้สีทองถูกหนวดพัน และพื้นก็ถูกกดทับด้วยน้ําหนักอันมหาศาลของร่างกายขนาดใหญ่จนมีรอยแตก รวมถึงน้ําหนองสีเขียวกระเซ็นไปทั่วพื้น ขณะที่มันกระทบพื้นก็มีเสียงกัดเซาะและควันสีขาวฉุนลอยขึ้นมาจากพื้นเป็นระลอก

แม้จะอยู่ต่อหน้าสัตว์ประหลาดเช่นนี้แองโกร่าก็ไม่กลัวเลย แต่ความโกรธได้ทําให้คําพูดของเขาดังและมีพลังมาก

“เซซิลเจ้าโง่มาก เจ้าตกต่ําเพราะความโลภของเจ้าเอง มีเพียงสิ่งเดียวที่เจ้าพูดถูก ข้ามีสมบัติที่เทพเจ้าประทานมาให้”

“นั่นเป็นของข้า! ของข้า ของข้า ของข้า ของข้า ของข้า! ส่งมันมาให้ข้า!”

ลูกตาที่งอกออกมาจากก้อนเนื้อและหนวดที่ขตรอบเสาหินอ่อน จ้องมองไปที่แองโกร่าพร้อมกันโดยไม่กระพริบตา เนื้อซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นร่างของเซซิลก็ปริออกตรงกลางเหมือนดอกเดซี่ที่กําลังผลิบาน โดยที่กลีบดอกไม้” แต่ละอันเต็มไปด้วยฟันซี่เล็กๆอันแหลมคม

สัตว์ประหลาดที่ไม่มีชื่ออ้าปากกว้างและกัดลงไปที่ตําแหน่งของแองโกร่า

อย่างไรก็ตาม แองโกร่าจับไม้กายสิทธิ์ของเขาแน่นและตะโกนคําสั่งเปิดใช้งาน

“อัญเชิญผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์!”

แสงสีเงินจางๆ พุ่งออกมาจากปลายไม้กายสิทธิ์และควบแน่นเป็นร่างของสิงโตผู้สง่างาม มันไม่ได้โจมตีทันที มันเพียงแค่คํารามใส่สัตว์ประหลาดที่พุ่งเข้าใส่แองโกร่า และส่งสัตว์ประหลาดบินไปด้วยพลังที่มองไม่เห็น จนร่างขนาดใหญ่กระแทกเข้ากับผนังอย่างแรงจนทําให้ผนังห้องแตกออกเป็นใยแมงมุม

“นั่นคือสมบัติมันควรจะเป็นของข้า…ทั้งหมดเป็นของข้า…” เสียงของเซซิลดังก้องออกมาจากร่างของสัตว์ประหลาด

“ไม่ เจ้าเข้าใจผิดอีกแล้ว สิ่งที่เทพเจ้าของข้ามอบให้ข้าไม่ใช่ไม้กายสิทธิ์นี้” แองโกร่าพูดโดยยั้งคําว่า “เขาให้รางวัลเควสแก่ข้า” “เทพเจ้าที่เขาศรัทธา ได้ให้ความกล้าหาญที่จะยืนหยัดต่อหน้าเจ้าสัตว์ประหลาดแห่งความชั่วร้าย และมอบความแข็งแกร่งให้ข้าทําลายล้างพวกเจ้า”

เมื่อมองไปยังสัตว์ประหลาดที่หมดสภาพไปแล้ว แองโกร่าก็ไม่ได้ประมาท “วิญญาณผู้พิทักษ์”

“เดี๋ยว..”

ทันใดนั้นใบหน้าของเซซิลก็ปรากฏขึ้นเหนือก้อนเนื้อมีชีวิตด้วยสายตาอ้อนวอน ขณะที่เขาขอร้องด้วยความจริงใจว่า “ข้าถูกปีศาจจากสมาคมลับแห่งดวงตาหลอก! พวกเขาหลอกข้าด้วยกระจก ทําให้ข้าสับสนเพื่อให้ข้าดื่มโพชั่นน่าสงสัย…มันเป็นความผิดของพวกปีศาจ! อย่าฆ่าข้า! เรามีสายเลือดเดียวกันและข้าก็ยังมีทางรอด! ข้ารู้ว่าข้าผิด ข้าขอโทษ เห็นแก่พ่อ…”

“ฆ่าเขาซะ” แองโกร่าออกคําสั่งโดยไม่ลังเล

สิงโตที่สร้างขึ้นจากพลังแห่งความยุติธรรมและเกม เพียงแค่เดือนกรงเล็บของมันเพียงครั้งเดียว ก็ฉีกสัตว์ประหลาดที่กําลังกลายร่างเป็นปีศาจเกือบเต็มตัว ให้กลายเป็นชิ้นๆได้ง่ายๆ และแสงอันศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องไปทั่วร่างกายของสิงโต ก็ยังทําให้น้ําหนองสีเขียวที่พ่นออกมาสลายกลายเป็นไอทันที จากนั้นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยังเหลืออยู่จากการเฉือนครั้งนั้น ก็ยังทําความสะอาดเศษชิ้นเนี้อที่กระจัดกระจายอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเพียงเศษฝุ่นสีขาวที่ปลิวหายไปตามลมยามค่ําคืนนอกหน้าต่าง

“เป็นเพราะเรามีสายเลือดเดียวกัน ทําให้ข้าไม่สามารถให้อภัยกับสิ่งที่เจ้าทําลงไปได้พี่ชาย”

แองโกร่ากล่าวอย่างเงียบๆ หลังจากที่ทุกอย่างจบลง

เขารู้ด้วยว่าเซซิลแค่พยายามซื้อเวลาเพื่อให้ไข่ปีศาจพักออกมา หากเขากลายเป็นปีศาจเต็มตัว วิญญาณผู้พิทักษ์จะไม่มีวันทําลายเขาได้ แม้ว่ามันจะสามารถเอาชนะเขาได้ก็ตาม

แองโกร่าเงยหน้าขึ้นมองสิงโตตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างๆเขา จากนั้นเขาก็ตระหนักว่า เมื่อเปรียบเทียบกับยักษ์จินนี่ (วิลสมิธ) แล้ว วิญญาณสิงโตตัวนี้ไม่ฉลาดเลย แม้ว่ามันจะดูสง่างามมากกว่าก็ตาม

นั่นคือตอนที่เขาตระหนักว่าเควสของเขาเสร็จสิ้นแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เควสเสริมอีก 2 เควสก็สําเร็จได้ด้วยสิ่งที่เซชิลพูดเมื่อเขาร้องขอความเมตตา

ต้นตอของเรื่องครั้งนี้คือ “โพชั่นน่าสงสัย” ที่เขาพูดถึง

และผู้ร้ายก็คือเป็นปีศาจตัวจริงของสมาคมลับแห่งดวงตาอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ในขณะที่แองโกร่ากําลังตรวจสอบเควส หอคอยก็มาถึงขีดจํากัดของมันแล้วและกําลังจะถล่มลงมา

เมื่อรู้อย่างนั้น แองโกร่าก็ปิดอินเทอร์เฟซของเขาและรีบไปยังที่ๆวีลาตาย และพบว่าฮอร์รันกําลังมองมาที่เขา

แองโกร่าไอเบาๆทันที “ท่านฟื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ท่านได้ยินที่ข้าพูดเมื่อกี้รึเปล่า”

แต่เขาก็เลิกถามต่อเมื่อพื้นสั่นอย่างรุนแรงขึ้น เขาแบกตาแก่พาดไหล่แล้ววิ่งออกไป เขาไม่ได้ลงทางบันไดแต่กระโดดลงไปตรงกลางพื้นที่ว่างเปล่าของบันไดวนแทน

“วิญญาณผู้พิทักษ์!”

วิญญาณผู้พิทักษ์สิงโตรับเขาได้อย่างง่ายดายเมื่อเขาเรียกมันออกมา ขนที่หนานุ่มทําหน้าที่เป็นเบาะที่สมบูรณ์แบบจนแองโกร่าไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย

“ตั้งแต่แรกข้าไม่ได้หลับ…ข้ารั้งสติของตัวเองไว้เพราะกลัวว่าจะไม่มีวันได้ตื่นขึ้นมาอีก และข้าก็พึ่งรู้สึกตัวอย่างชัดเจนตอนที่ผู้ติดตามของเจ้าให้ข้าดื่มโพชั่นแปลกๆ” ชายชรากล่าวช้าๆ หลังจากรู้สึกประหลาดใจชั่วขณะกับสิ่งที่แองโกร่าทํา

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะปลอบใจแองโกร่าอย่างอ่อนโยน “ข้าต้องขอโทษด้วยเรื่องเด็กคนนั้น”

แองโกร่าเดาว่าพ่อของเขาหมายถึงเซซิล แต่เขาก็มารู้ในภายหลังว่าพ่อกําลังพูดถึงวีลา

การตายของวีลาที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแองโกร่าทําให้เขาโกรธ แต่ผู้เล่นจะฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง ในอีก 3 ต่อมา…และเธอก็ได้ถามคนอื่นๆ แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในฟอรัมเมื่อครู่นี้

“ใช่” แองโกร่าข้ามบทสนทนานั้นไปอย่างคลุมเครือ “พ่อ เกี่ยวกับเซซิล…”

“เขาเริ่มก่อจลาจลและถูกประหารชีวิตอย่างรวดเร็ว ต่อจากนี้ไปเจ้าเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของข้า…และถ้าเจ้าต้องการ ข้าสามารถจัดพิธีส่งมอบดัชชีอินทรีเงินได้พรุ่งนี้เลย” ชายชรากล่าวอย่างเงียบ ๆ “ตอนนี้เจ้าเป็นลอร์ดที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแล้ว แต่ระวังอย่าให้ใครรู้เกี่ยวกับวงศ์ตระกูลของแม่เจ้าในอนาคต”

แต่แองโกร่าไม่ได้โลภดัชชีและตําแหน่งดยุกที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ทุนย่าดีก็จริง แต่พวกสอดรู้สอดเห็นและข้อจํากัดมีมากเกินไป ไม่เหมือนกับเมืองเล็กๆที่เขามีอิสระมากกว่า

“สําหรับเรื่องนี้ข้ามีข้อเสนอบางอย่าง ท่านพ่อ”

บทที่ 127 Devil May Cry [3]

ในขณะที่ผู้เล่นทําการต่อสู้นองเลือดกับมินเนี่ยนที่บันได แองโกร่าก็มาถึงชั้นบน สุดของหอคอยด้วยการปกป้องของวีลา

ที่นั่นเขาพบเซซิลที่มีเพียงครึ่งเดียวที่ยังเป็นมนุษย์

“ในที่สุดเจ้าก็มาซะที” เซซิลไม่ได้อ่อนแอเหมือนตอนที่เขากระอักเลือดออกมาด้วยความโกรธในตอนนั้น เขาจ้องมองไปที่แองโกร่าอย่างใจเย็นเมื่อเขามาถึง “ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องมา”

แองโกร่ามองเห็นร่างของพ่อมีรูโหว่ขนาดใหญ่อยู่เหนือหน้าอก สภาพของเขาตอนนี้ราวกับว่าเขาได้ตายไปแล้ว

สําหรับมนุษย์ในโลกนี้ นั่นก็หมายความว่าเขาได้ตายไปแล้วจริงๆ แต่ในฐานะผู้เล่น แองโกร่าสามารถมองเห็น HP ที่ยังเหลืออยู่เพียงเศษเสี้ยวบนแถบ HP สีเหลืองของพ่อ แม้ว่ามันจะค่อยๆลดลงก็ตาม

แองโกร่าขยิบตาให้วีลา เธอพยักหน้าเข้าใจและหยิบโพชั่นรักษา (โคคา-โคล่า) ออกมาจากถุงเล็กๆของเธอ แล้ววิ่งไปหาฮอร์รัน

เซซิลดูเหมือนจะไม่ได้สนใจสิ่งที่ผู้ติดตามของแองโกร่ากําลังทําอยู่ สายตาของเขาจ้องอยู่ที่แองโกร่าตั้งแต่ต้นไม่ขยับไปไหน

“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าจะเอาของที่เป็นของข้าคืน แม้ว่าเจ้าจะไม่ยอมให้มันกับข้าก็ตาม”

ในขณะที่เขาพูด เนื้องอกสีดําและหนวดก็ยื่นออกมานอกร่างกายของเซซิลเหมือนใยแมงมุมที่ ทําจากอวัยวะภายในและเส้นเลือดกระจายไปทั่วห้อง เขาดูไม่ต่างจากสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ที่กําลังอ้าปากแยกเขี้ยวข่มขู่ศัตรู

คนปกติอาจจะกลัวจนตัวแข็งในสถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่วิลาที่เคยเคยท้าทายดันเจี้ยนมาแล้ว หลายต่อหลายครั้งก็ยังตื่นตะลึง แต่แองโกร่ากลับมองพี่ชายของเขาด้วยสายตาปกติ แม้ว่าเซซิลจะสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปแล้วกว่าครึ่งก็ตาม

“ทําไม! ทําไมเจ้ายังเฉยอยู่ได้! ตอนนี้เจ้าควรหวาดกลัว เจ้าควรจะร้องขอความเมตตาจากข้า!”

ท่าทางสงบนิ่งของเซซิลในตอนแรกได้จางหายไปแล้ว ตอนนี้เขากําลังตะโกนเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง

“ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้ากําลังเศร้ามาก” แองโกร่าพูดช้าๆ “เจ้ากําลังเจ็บปวดกับความหลงผิดของตัวเอง เจ้าที่เคยก้มหน้าก้มตาปกครองทุกสิ่ง ตอนนี้กลับจบลงด้วยร่างกายที่พิลึกพิลั่น”

“ข้าจะบอกความจริงให้ว่าข้าไม่เคยสนใจเลยว่าเจ้าจะเห็นข้าเป็นศัตรูแค่ไหน เพราะข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอนาคตวันหนึ่ง ข้ากับเจ้าจะได้มาสู้กับแบบนี้” ในที่สุดสีหน้าของแองโกร่าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อดวงตาของเขาสื่อถึงความโกรธ “พ่อให้ความสําคัญกับเจ้ามาก เขาคอยดูแลเจ้าอย่างความจริงใจมาตลอด ทุกอย่างจะเป็นของเจ้าไม่ว่าจะเป็นตําแหน่งดยุกหรือดัชชีอินทรีเงิน ทําไมเจ้าถึงทําร้ายเขาแบบนี้”

“เพราะเขาไม่เคยให้สิ่งที่สําคัญอย่างแท้จริงกับข้า!” เซซิลคํารามใส่เขา “ตําแหน่งดยุก?! ดัชชี? สิ่งเหล่านั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าของในกระเป๋าเมื่อเผชิญกับอํานาจที่แท้จริง! เจ้ารู้ว่าข้ากําลังพูดถึงอะไร มันไม่สําคัญอีกแล้วตอนนี้ เจ้าไม่ต้องมาแกล้งโง่!”

“นั่นคือทั้งหมดที่เจ้าอยากจะพูดใช่ไหม”

แองโกร่าดึงจุดหมายที่เอ็ดเวิร์ดขโมยมาจากห้องของเซซิล แล้วเหวี่ยงมันลงบนพื้น “ในจดหมายถึงเคานต์ไอนซ์วอเตอร์ ท่านพ่อได้กล่าวถึง “สมบัติที่เขาได้รับจากเทพเจ้า นี่ใช่ไหม”

“ใช่! แต่มันสายเกินไปแล้ว มันสายเกินไปแล้วที่เจ้าจะซ่อนมัน ข้ารู้ทุกอย่างหมดแล้ว!” เซซิลกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

“เจ้าไม่รู้จริงๆหรือว่าสมบัตินั้นคืออะไร” แองโกร่าถามแล้ว

“ฮึ่ม!” เซซิลพูดด้วยน้ําเสียงขมขื่น “ข้าอาจไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่จุดหมายฉบับนี้มีการลงวันที่ในช่วงที่แม่ของเจ้ากอดกับตาแก่นั่น เนื่องจากเขาเขียนจดหมายถึงตระกูลไอนซ์วอเตอร์ สมบัติจึงต้องอ้างอิงถึงบางสิ่งที่เธอมอบให้เขา เจ้ากล้าพูดได้อย่างไรว่าเขารักข้า หลังจากที่เก็บซ่อนสมบัตินั้นกับข้ามาหลายปี! เขารักเจ้าแค่คนเดียว”

“สมบัติที่เขาพูดถึงคือเจ้า ไอ้โง่!” แองโกร่ากล่าวขัดคําพูดที่แสดงความเกลียดชังของเซซิลทันที “จดหมายเป็นเพียงบทสนทนาที่เขาพูดคุยกับเคานต์ไอนซ์วอเตอร์เมื่อคินลีย์เพิ่งเกิดพ่อตั้งใจให้เธอหมั้นหมายกับเจ้า และปูทางไปสู่อาณาจักรหลังจากที่เจ้าเติบโต และรับมรดกตยุกต่อจากเขา! ‘สมบัติจากเทพเจ้า” คือคําคุยโวของเขา เจ้าเป็นลูกชายที่เขาภาคภูมิใจ!”

“เป็นไปไม่ได้…เจ้ารู้ได้ยังไง”

“นั่นคือสิ่งที่เราคุยกันหลังงานเลี้ยงอาหารค่ํา เขาได้ส่งคนไปเก็บจดหมายเหล่านั้นกลับมาหลังจากการที่เคานต์ไอนซ์วอเตอร์จากไป เพื่อที่ศัตรูของเขาจะไม่มีวันรู้จุดอ่อนของเขา มีเพียงจดหมายไม่กี่ฉบับที่หายไป ข้าเดาว่าหนึ่งในนั้นคือจุดหมายที่เจ้าได้รับ”

จากนั้นแองโกร่าก็หัวเราะเยาะเมื่อเซซิลทําท่าเหมือนไม่เชื่อเขา “แม้ว่าจดหมายจะไม่มีบริบทที่ชัดเจน แต่เรื่องแบบนี้ก็เข้าใจได้แค่อ่านมันให้ดีๆ มีเพียงคนโง่ที่วิเคราะห์ทุกอย่างมากเกินไป เท่านั้นที่จะเก็บมันไว้ในใจจนไปไกลถึงขั้นฆ่าพ่อตัวเอง”

“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้ ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง ผู้ยิ่งใหญ่พวกนั้นจะไม่ตระหนักถึงสิ่งนี้เลยงั้นรึ? พวกเขาเชื่ออย่างชัดเจนว่าสมบัติของเทพเจ้ามีอยู่จริง! พวกนั้น” ร่างที่น่ากลัวของเซซิลเริ่มบิดเบี้ยว หลังจากได้รู้ความจริงที่ยากเกิดจะเชื่อ ใบหน้าของเขาน่ากลัวยิ่งขึ้น

” ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเจ้าไม่ใช่มนุษย์ใช่ไหม? ถ้าพวกเขาไม่สามารถเข้าใจอารมณ์ของมนุษย์ได้ พวกเขาจะเข้าใจความรักได้ยังไง!”

“เจ้าโกหก! เป็นไปไม่ได้! เจ้ากําลังพยายามหลอกข้า!”

เซซิลจ้องมองตัวเองด้วยความสยดสยอง มือของเขาตอนนี้กําลังเต็มไปด้วยเนื้องอกและหนองสีเขียว “ทําไมข้าถึง..เพราะเหตุผลที่น่าหัวเราะแบบนี้”

เนื้องอกและหนวดที่สั่นไหวของเขาหยุดนิ่งลงแล้ว

แต่เมื่อแองโกร่าคิดว่าในที่สุดเซซิลก็เข้าใจว่าเขาได้ทําผิดพลาดไปเพียงใด ใบหน้าของเซชิลก็กลับมาดุร้ายอีกครั้ง

“ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้า! ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้า! ถ้าเจ้าไม่มีตัวตนตั้งแต่แรก ข้าจะเป็นแบบนี้ได้ยังไง ตอนนี้ข้าจะทําลายทุกสิ่งที่เจ้ารักและทรมานเจ้าที่ละนิด!”

หัวใจของแองโกร่าหยุดเต้นไปชั่วขณะ เขารู้แล้วว่าเซซิลเป็นบ้าไปแล้ว

“วีลา…”

ก่อนที่เขาจะได้เตือนเธอ เด็กสาวที่เพิ่งลากฮอร์รันที่อาการมั่นคงแล้วไปถึงยังที่ปลอดภัย ก็ถูกหนวดเนื้องอกขนาดใหญ่ของเซซิลตบกระเด็นโดยไม่รู้ตัว จนร่างกายส่วนบนทั้งหมดของเธอเละจนดูไม่ได้และตายทันที!

“ฮ่าๆๆๆ! น้องข้า ตอนนี้เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง?!” เซซิลจ้องมองใบหน้าที่เย็นชาของแองโกร่าและหัวเราะอย่างบ้าคลัง

“เซซิล”

น้ําเสียงของแองโกร่านั้นสงบมาก แต่ความโกรธเกรี้ยวกําลังซุ่มซ่อนอยู่ภายใต้ความเงียบสงบนั้น “มีเพียงเหตุผลเดียวที่ทําให้เจ้าล้มเหลว”

เขาดึงไม้กายสิทธิ์ออกมาและเล็งตรงไปที่ใบหน้าอันชั่วร้ายของเซซิล “นั่นเป็นเพราะเจ้าทําให้ข้าโกรธ!”

บทที่ 126 Devil May Cry [2]

ทางเดินและห้องโถงของปราสาทหลักเต็มไปด้วยแขนขาที่ถูกตัดขาด ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นของทหารและคนรับใช้ ตอนนี้ที่นั่นมีแต่มินเนี่ยนจํานวนมากเดินไปมา

เมื่อพิจารณาจากเครื่องแต่งกายที่ขาดรุ่งริ่ง และสภาพร่างที่ไม่สมบูรณ์ของมินเนียนเหล่านั้น ก็น่าจะมาจากการที่ทหารหลายคนหวาดกลัวเกินไปก่อนที่พวกเขาจะตาย ซึ่งนั่นทําให้วิญญาณของพวกเขาถูกปนเปื้อน ดังนั้นศพของพวกเขาจึงกลายเป็นสัตว์ประหลาดระดับต่ําสุดในนรก ที่อยู่ระหว่างศพคนตายและปีศาจ

ในขณะเดียวกันปราสาทก็มืดมาก ไม่มีคนรับใช้คนใดมีเวลาคิดจะจุดไฟในปราสาท เพราะส่วนใหญ่ตายไปแล้ว หรือกําลังยุ่งอยู่กับการหลบหนีเอาชีวิตรอด นั่นทําให้ปราสาททั้งหลังตกอยู่ในความมืดมิด พร้อมกับคราบเลือด ซากศพ และมินเนี่ยนที่เดินไปมา

ตอนนี้ซีเว่ยรู้สึกราวกับว่า ผู้ศรัทธาของเขากําลังเล่น Resident Evil ภาคแฟนตาซี

เลเวลของมินเนี่ยนถูกกําหนดโดยความสามารถของพวกมันเมื่อพวกมันยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งอยู่ที่เลเวลประมาณ 5 ถึง 10 และชนชั้นของพวกมันก็เป็นเพียงสัตว์ประหลาดธรรมดา พวกมันมีพลังมากกว่าโครงกระดูกเพียงเล็กน้อย และตราบใดที่ผู้เล่นได้ต่อสู้ในพื้นที่ที่กว้างขึ้น มันก็ง่ายที่จะจัดการ

อย่างที่พูดไปแล้วก่อนหน้านี้ ปราสาทอินทรีเงินถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นที่สุดในทุนย่า ซึ่งครอบครองพื้นที่อันกว้างใหญ่ การมองหาเป้าหมายอย่างช้าๆ ในที่นี้ก็ไม่ต่างจากการเดินทางรอบดิสนีย์แลนด์

มันเสียเวลามากเกินไป

แต่แองโกร่าก็เข้าใจดีว่าการวิ่งไปรอบๆอย่างไร้สมองของพวกเขานั้น จะไม่เกิดผลดีใดๆ หลังจากที่คนทั้งกลุ่มได้โคนศัตรูไปมากมาย จนมาจบลงที่ห้องรับประทานอาหาร เขาก็เริ่มคุ้นกับเส้นทางในปราสาท แล้วแต่ปัญหาก็คือพวกเขาไม่รู้ว่าเป้าหมายของพวกเขาอยู่ที่ไหน

ดังนั้นเขาจึงรีบถามคนลีย์ที่เพิ่งหลบหนีออกมาจากปราสาททันที

“คินลีย์ พ่อของข้าเผชิญหน้ากับเซซิลที่ไหน”

แต่ในตอนนั้นคินลีย์กําลังอึ้งอยู่

เธอมีลางสังหรณ์มานานแล้วว่า ผู้ติดตามของแองโกร่าเหล่านี้จะต้องแข็งแกร่งอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะกล้าเข้ามาในปราสาทหลักได้อย่างไรในเวลานี้ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังต้องตกตะลึงกับความสามารถอันเหลือเชื่อของผู้เล่นอยู่ดี

“คนพวกนี้สามารถยิงลําแสง และสร้างคลื่นกระแทกออกจากดาบได้อย่างไร? นั่นคือทักษะดาบเหรอ? แม้แต่ผู้ที่ฝึกฝนจิตวิญญาณการต่อสู้ในวิหารแห่งความรุ่งโรจน์ ก็ยังไม่กล้าทําเช่นนี้

“ทําไมเมื่อใดก็ตามที่เจ้ากล้ามใหญ่ทุบอกของเขาและตะโกนว่า ไอ้หนู มาหาพ่อนี่!” พวกมินเนี่ยนจะเพิกเฉยต่อเป้าหมายที่อยู่ใกล้กว่าและหันมาโจมตีเขาแทน? การมีหน้าอกใหญ่จะมีเสน่ห์ต่อมินเนี่ยนงั้นรึ?

“แล้วทําไมมินเนี่ยนทั้งหมดถึงโดนลูกศรของนักธนที่ลอยอยู่กลางอากาศแบบที่ไม่รู้ว่ามันไปลอยอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร ข้าทนเมินกับกับดักของเจ้าก่อนหน้านี้ไปแล้วนะ แต่นั่นไม่เกินสามัญสํานึกไปหน่อยเหรอ?”

ถึงกระนั้นนักเวทย์ก็ดูธรรมดาไม่! เขาจะร่ายเวทย์โดยไม่มีวัสดุ คาถา หรือแม้แต่ท่าทางการร่ายเวทย์ได้อย่างไร? มันจะสมเหตุสมผลถ้าเจ้าอ้างตัวว่าเจ้าเป็นนักเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เจ้าไม่จําเป็นต้อตะโกนชื่อคาถาของเจ้าทุกครั้งหากเจ้าเป็นเช่นนั้น!”

“แล้วทําไมเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ยังกินขนมอยู่เมื่อกี้ถึงเหวี่ยงหนังสือไปรอบๆเหมือนค้อน? นี่ไม่ต้องพูดถึงว่ามันทําให้มินเนี่ยนหัวแตกได้ทุกนัด พลังนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!”

“ห้ะ?”

ในที่สุดคินลีย์ก็หายอึ้งจากการแสดงของผู้เล่น เธอรีบตอบคําถามของแองโกร่าทันที “โอ้ ลุงฮอร์รันและคนอื่นๆถอยกลับไปที่ชั้นบนสุดที่หอคอยกลางของปราสาท!”

แองโกร่ารู้ว่ามันอยู่ที่ไหน แต่เขาก็รู้สึกหวาดกลัวมาขึ้น พื้นที่นั้นป้องกันได้ง่ายแต่ก็ไม่มีที่ให้ถอย พ่อของเขากําลังถูกต้อนจนมุม ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปที่ชั้นบนสุดของหอคอย

“อ้า ไม่นะ พุดดิ้งนมของข้า…”

ข้างๆพวกเขามีความเศร้าปรากฏอยู่บนใบหน้าเล็กๆของเอลีน่า เมื่อเธอเห็นว่ามินเนียนล้มตู้เย็น(ตู้ที่ใส่น้ําแข็งไว้ข้างใน) และแอ่งน้ําที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพุดดิ้ง

“ใจเย็น ๆ เมื่อศึกนี้จบลง ข้าจะพาเจ้าไปกินเค้กเนย!” แองโกร่ารีบปลอบใจเธอ

“ ตกลง!”

เด็กหญิงตัวเล็กๆ กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และเหวี่ยงคอนดาวตก (คัมภีร์) เพื่อทุบหัวมินเนี่ยนอีกตัว รอยยิ้มที่ไร้เดียงสาของเธอและค้อนดาวตกที่เปื้อนเลือด ช่างเป็นความแตกต่างอย่างลงตัว ทําเอาคนลีย์ที่อยู่ใกล้ๆถึงกับตัวสั่น

แองโกร่าอาศัยอยู่ในปราสาทมานานกว่า 10 ปีแล้ว การพาผู้เล่นไปที่หอคอยกลางก็เหมือนการเดินเล่นในสวนสาธารณะ

แต่ที่ห้องด้านใต้หอคอย พวกเขาก็ได้พบกับปัญหาใหญ่

“ 1 2 3.โอ้ ทําไมมีมินเนี่ยนมากมายที่นี่” เจสสิก้ามองไปที่กลุ่มศัตรูอย่างกังวล

อันที่จริงมีมินเนี่ยนเกือบ 20 ตัวเฝ้าอยู่ที่ทางขึ้นสู่บันไดวนที่จะนําไปสู่ชั้นบนสุดของหอคอย

“ระวังนะทุกคน! มินเนี่ยนพวกนั้นเป็นอัศวินของเซชิล” แองโกร่ารู้ว่ามินเนี่ยนเป็นใครเมื่อเขา เห็นเครื่องแต่งกานของพวกมัน

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เล่นไม่เพียงแต่จะถูกหยุดไว้ชั่วคราวด้วยฝูงมินเนี่ยนที่ซึ่งร่างกายยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ที่อยู่ตรงกลางของฝูงนั้นคือมินเนี่ยนตัวหนึ่งซึ่งเห็นได้ชัดว่าหัวและไหล่ของมันสูงใหญ่กว่ามินเนี่ยนตัวอื่นๆ มันมีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง และหางปีศาจยาวๆ (หางปีศาจรูปลูกศร) ชื่อบนหัวของมันอ่านว่า บอสมินเนี่ยน” และมีโอกาสสูงที่มันจะเคยเป็นหัวหน้าอัศวินส่วนตัวของเซซิล

เลเวล 25 และชนชั้นระดับอีลิท ปกติแล้วผู้เล่นสามารถจัดการกับมันได้หากมันอยู่ตัวคนเดียว แต่มันมีมินเนี่ยนธรรมดาอีกกว่า 20 ตัวรายรอบอยู่ในขณะนี้ ทําให้ผู้เล่นไม่สามารถช่วยกันรุมมันได้

“เอาล่ะ…วีลาเจ้าพาท่านลอร์ดขึ้นไปที่หอคอย ในขณะที่พวกเราที่เหลือจะรั้งอยู่จัดการกับเจ้าพวกนี้”

หลังจากสอดส่องสถานการณ์มาสักพัก เอ็ดเวิร์ดก็วางกลยุทธ์อย่างรวดเร็วหลังจากใช้เวลาคิดไม่นาน

เขารู้ว่าแองโกร่ามีไม้กายสิทธิ์ ที่สามารถเรียกผู้ช่วยที่ทรงพลังออกมาได้ หมายความว่าแองโกร่ามีพลังมากที่สุดในหมู่พวกเขา และไม่ต้องกังวลกับศัตรูที่กําลังกลายร่างเป็นปีศาจในตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น

เซซิลยังถือว่าเป็นปัญหาส่วนตัวของครอบครัวเฟาสต์ เอ็ดเวิร์ดจึงตัดสินใจให้แองโกร่าเผชิญหน้ากับบอสโดยตรง

เรื่องภายในของครอบครัวของชนชั้นสูง หากเจ้าสามารถหลีกเลี่ยงความสงสัยได้ก็ควรหลีกเลี่ยง สําหรับวีลา อ่า…ช่างเถอะ

แองโกร่าพยักหน้าเห็นด้วย เนื่องจากเขาเข้าใจเหตุผลของเอ็ดเวิร์ด ท้ายที่สุดเขาก็เป็นลอร์ดที่ไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้ได้ มันจะดีกว่าที่เขาจะฟังคําพูดจากผู้เล่นมืออาชีพ

“เลดี้นักเล่นแร่แปรธาตุ โปรดหลบอยู่นอกประตู หากเราไม่สามารถรั้งพวกมันเอาไว้ได้ให้รีบหนีทันที โจยั่วยุพวกมินเนี่ยน โกวต้านก่อกวนพวกมันและหาโอกาศโจมตี เจสสิก้าให้ความสนใจ กับ HP ของโจ ข้าจะเป็นตัวทําดาเมจหลัก เอลีน่า เอ่อ…คราวนี้เจ้าไม่ต้องขโมยลาสได้ไหม”

“รัวววว!” เด็กสาวโบกคัมภีร์ของเธอ และส่งเสียงที่ไม่รู้ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกันแน่

หลังจากนั้นผู้เล่นและแองโกร่าก็มองหน้ากันและยิ้มให้กันอย่างมุ่งมั่น

ทุกคนตะโกนพร้อมเพรียงกันว่า

“เพื่อเควส!”

“เพื่อไอเทมดรอป!”

“เพื่อ EXP!”

“เพื่อเค้กเนย!”

“เพื่อความยุติธรรม..เอ๊ะ?”

ในวินาทีต่อมา การต่อสู้ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

ความจริงซีเว่ยก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน

คลื่นรบกวนจากไข่ปีศาจสามารถปิดกั้นดวงตาศักดิ์สิทธิได้ในระดับหนึ่ง ตอนนั้นแม้อัสลานสิงโตตัวใหญ่ที่มองไม่เห็นขอดเมื่อเขากลายเป็นผู้ใช้ดาบปีศาจ ทั้ง ๆ ที่เขามีพลังมากกว่าซีเว่ยมาก

นั่นคือเหตุผลที่ซีเว่ยไม่พบไข่ปีศาจที่ซ่อนอยู่ในตัวของเขซิลตั้งแต่ต้น และคิดไปเองว่าการที่เขาไม่สามารถมองเห็นสถานที่บางแห่งในปราสาทได้ เป็นเพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ของคราตอสเทพเจ้าแห่งสงครามปกป้องมันไว้ (อันที่จริงห้องของฮอร์รันมีสิ่งนี้)

เมื่อเว่ยพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ การต่อสู้ก็ได้เริ่มขึ้นแล้วที่ปราสาทหลัก

จากนั้นเมื่อเขาร่างเควสเสร็จ และมอบมันให้กับผู้เล่น พวกเขาก็เข้าใจสถานการณ์คร่าว ๆ จากคินลี่ย์

จากนั้น คินลีย์ที่ยังคงพยายามบีบน้ําตาก็พบว่า ผู้เล่นที่ไม่ได้สนใจเธอเลย พวกเขาจู่ ๆ ก็กระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมา สีหน้าของพวกเขาดูน่ากลัวเหมือนกับมีคําว่า “เข้าใจแล้ว ตอนนี้เรา ทุกคนออกไปตัดหัวศัตรูกันเถอะ” หรือ “ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือศัตรูเป็นใคร แต่เรา จะออกไปฆ่าพวกมันทันที

สิ่งนี้ทําให้หญิงสาวตกตะลึง และการประเมินแองโกร่าในใจของเธอก็เพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง คนส่วนใหญ่จะตกใจมากเมื่อพวกเขาได้ยินคําว่า ‘สัตว์ประหลาด พวกเขาจะสับสนและไม่แน่ ใจว่าต้องทําอย่างไรดี

มันก็ดีพอแล้วที่ทุกคนจะเก็บข้าวอย่างใจเย็นและรวดเร็วก่อนที่จะรีบหลบหนีไป แต่ไม่มีผู้ติดตามของแองโกร่าคนไหนตื่นกลัว ความจริงพวกเขาเริ่มเตรียมตัวสู้กลับด้วยซ้ํา

เนื่องจากศินลีย์เองได้รับเลือกให้เป็นลูกศิษย์ของนักเล่นแร่แปรธาตุอันดับหนึ่งของทวีป ดังนั้นเธอจึงอ่านสีหน้าคนได้ค่อนข้างดี เธอมั่นใจว่าท่าทางของผู้เล่นตอนนี้นั้น ไม่ใช่เพราะพวก เขาไม่รู้ว่ากําลังจะต้องไปเผชิญกับสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว แต่เป็นความตื่นเต้นที่ไม่อาจระงับได้ และความปรารถนาที่จะต่อสู้ (เพื่อ EXP)

ต้องบอกว่ามันเหมือนกับสีหน้าของนักบุญดาบที่เธอเคยพบในห้องโถงของอาจารย์ เมื่อเขา ได้ยินว่ามีศัตรูที่ทรงพลังปรากฏตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง

ดังนั้นเธอจึงสามารถจินตนาการได้ว่า แม้ตอนแรกเริ่มคนกลุ่มนี้จะไม่ได้แข็งแกร่ง แต่ตราบใด ที่พวกเขาสามารถอยู่รอดต่อไปได้ พวกเขาก็จะไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน!

ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากแองโกร่าสามารถควบคุมเมล็ดพันธุ์ที่ดีเหล่านี้ได้ เขาอาจมีความสามารถมากกว่าที่คินลีย์ศิต

อย่างไรก็ตาม สัตว์ประหลาดที่กลายร่างมาจากเชซิลนั้นแตกต่างจากสัตว์ประหลาดทั่วไปมาก และคนเหล่านี้อาจไม่รอดหากพวกเขาวิ่งเข้าสู่สนามรบ

แม้ว่าภายนอกศินลีย์จะดูกระสับกระส่ายมาก แต่ภายในเธอสงบและเข้าใจทุกอย่าง

ดังนั้นเธอจึงตัดสินเปิดเผยข้อมูลเล็กน้อยเกี่ยวกับศัตรู และปล่อยให้คนกลุ่มนี้ล่าถอยเมื่อพวกเขารู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้อันตรายกว่าที่พวกเขาคิด พวกเขาไม่จําเป็นต้องสู้ต่อไป เพราะมันก็ถือเป็นชัยชนะแล้วหากพวกเขาล่าถอยได้อย่างปลอดภัย และปล่อยส่วนที่เหลือให้ผู้แข็งแกร่งจากศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสวและวิหารแห่งความรุ่งโรจน์จัดการ

“ข้า ข้าเคยเห็นสัตว์ประหลาดแบบนั้นในสารานุกรมของอาจารยข้า…..เซซิลอาจกลายเป็นปีศาจในตํานาน!” หญิงสาวทําหน้าตื่นตระหนก “ไม่มีใครนอกจากอัครมุขนายกหรือมุขนายกชุดขาวจะสามารถเอาชนะมันได้…”

แองโกร่าพยักหน้าก่อนที่หญิงสาวจะได้พูดว่า “เราต้องขอความช่วยเหลือจากศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสว!” และพูดว่า “ข้ารู้แล้ว”

ไม่ใช่แค่แองโกร่า ทุกคนในห้องก็กําลังแสดงท่าทางที่บอกว่า “โอ้ ปีศาจ” ก็แค่ปีศาจ ไม่จํา เป็นต้องตื่นตระหนก” หรือ “เรารู้ดีว่ามันเป็นปีศาจ

เครื่องหมายคําถามผุดขึ้นบนหัวของคินลีย์ “???”

“พวกเจ้าจะรู้อะไร!

“นั่นมันปีศาจ เวรเอ๊ย!”

ไม่ใช่อิมพ์กํามะถันที่คลานไปทั่วนรก! มันคือปีศาจที่สามารถทําลายกองกําลังทหารนับร้อย ได้ในไม่กี่นาที!

“แล้วพวกเจ้าจะสู้ยังไง? ไม่มีใครในพวกเจ้าดูเหมือนนักบวชนอกจากผู้หญิงที่ใส่ชุดสีขาว (เจส สิก้า) ที่ถือไม้กางเขน! ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าได้มาจากนักเล่นแร่แปรธาตุระดับแนวหน้าของทวีปจะใช้ได้ผล! ตอนนี้การหนีเป็นทางเลือกเดียวของพวกเรา!”

การพูดเช่นนั้นจะทําให้ภาพลักษณ์ที่นุ่มนวล บอบบาง และอ่อนโยนของเธอ ที่เธอแสร้งทํา มาตลอตเสียหาย

“ข้าคิดว่ามันดีกว่าหากเราจะใช้แผนระยะยาว

ภายใต้การนําของแองโกร่า ผู้เล่นก็เริ่มมุ่งหน้าออกจากอาคารไปยังปราสาทหลัก

“ไปกันเถอะ!”

“โอ้!!”

คินลีย์รู้สึกว่าความดันโลหิตของเธอพุ่งสูงขึ้นทันที

“ฟังคนอื่นเขาพูดบ้างเช่!”

ไม่ใช่ว่าแองโกร่าไม่ฟังเธอ แต่พ่อของเขากําลังตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถ “ใช้แผนระยะยาว” ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ระบบก็ได้ออกเควสมาแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าศัตรูเป็นเพียงผู้ที่ถูกความชั่วร้ายครอบงําและยังไม่ได้กลายเป็นปีศาจที่แท้จริง

ดังนั้น ทางเลือกที่ถูกต้องในตอนนี้คือการกําจัดมัน

****

มีทางเดินสองทางเชื่อมต่อปราสาทหลักกับอาคารด้านนอก สถานที่ที่แองโกร่าและพรรคพวกของเขาอยู่คืออาคารด้านข้างปราสาทหลัก แต่ประตูทางเข้าหลักเป็นเพียงจุดเดียวที่สามารถเข้าสู่ปราสาทอินทรีเงินได้ ที่จริงมันอาจมีทางลับอยู่ 2-3 ทางไว้สําหรับใช้หลบหนี แต่แองโกร่าไม่รู้เรื่อง

ที่แรก คินลี่ย์กําลังวางแผนที่จะผูกผ้าปูเตียง หรืออะไรก็ตามเป็นเชือกและหนีออกจากทางหน้าต่าง แต่แองโกร่าและผู้ติดตามของเขากลับมุ่งตรงไปยังปราสาทหลัก และมันยากที่เธอจะหนีไป ได้ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นเธอจึงติดตามพวกเขา แม้ว่าเธอจะสาปแช่งพวกเขาอยู่ในใจไปตลอดทางก็ตาม

“มีศัตรูเฝ้าอยู่ตรงทางออกข้างหน้า เราควรทํายังไงดี” โจโผล่หัวออกไปมองทางด้านหน้าจากมุมทางเดิน ก่อนจะหันกลับไปถามคนอื่น ๆ เมื่อเห็นลูกสมุนอยู่เฝ้าใกล้ทางออก

ทางเดินแคบเกินไป ง่ายต่อการป้องกันและยากต่อการโจมตี ผู้เล่นอาจติดกับดักได้หากพวก เขาพยายามบุกเข้าไปตรง ๆ

หากเวลาถูกลากออกไป และเซซิลกลายเป็นปีศาจที่แท้จริง ผู้เล่นคงจะต้องส่ง GG” ออกไปท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างไม่อาจทําอะไรได้

(GG = ย่อมาจากคําว่า good game จุดประสงค์ที่แท้จริงคือแสดงความมีน้ำใจนักกีฬาต่อฝ่ายตรงข้าม แต่ในแง่ลบ ยังแปลว่า “git gud” (get good) คํานี้จะไว้เยาะเย้ยยั่วโมโหผู้เล่นใหม่ประมาณว่า “ไปฝึกมาใหมให้ดีกว่านะจ๊ะ!”)

“ทางเดินทั้ง 2 อยู่ใกล้กันมาก…จะดีกว่าถ้าเราสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของศัตรูได้” แองโกร่าคิดจะให้ผู้เล่น 2-3 คนเสนอตัวไปเป็นเหยื่อล่อ

ในทางกลับกัน แม้ผู้เล่นจะดูอ่อนแอ แต่การแสดงทักษะซูเพล็กซ์อันน่าทึ่งของโจที่น้ำพุด้านหน้าปราสาทนั้นค่อนข้างน่าตกใจ หากผู้เล่นจับศัตรูไม่ได้ในคราวเดียว และปล่อยให้ศัตรูมีโอกาสเรียกพวกมาเพิ่ม เรื่องก็จะยิ่งแย่

นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาต้องส่งเหยื่อที่ดูอ่อนแอออกไป ศัตรูจะได้คิดว่าไม่จําเป็นจะต้องขอความช่วยเหลือ

แม้ว่าทหารจะกลายเป็นลูกสมุนปีศาจและสูญเสียสติปัญญาไปมาก แต่พวกเขาก็หลอกไม่ง่าย

“ข้าจัดการเอง” จู่ ๆ เอลิ่น่าก็อาสา

เด็กสาวหยิบลูกบอลสีขาวแดง (โปเกบอล) ออกมาจากหน้าอกแบน ๆ ของเธอแล้วเหวี่ยงมันลงพื้น “คล็อกกาโตว์ข้าเลือกเจ้า!”

ควันสีขาวพวยพุ่งออกมาขณะที่ลูกบอลกระทบพื้น คล็อกกาโตว์ซึ่งกําลังทานอาหารเย็นอยู่ ที่หมู่บ้านมนุษย์กบก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขา

หลังจากเอลีน่าสรุปสิ่งที่ต้องทํา คล็อกกาโตว์ก็เหวี่ยงปลาเค็มรมควันในมือทิ้งทันที ก่อนจะกล่าวทักทายเด็กสาว “ฮาคุน่ามาคร็อกคร็อก! ข้าสัญญาว่าจะทํางานนี้ให้สําเร็จ!”

ด้านข้างพวกเขา คินลีย์กําลังจ้องมองทุกอย่างตรงหน้าเธอด้วยสายตาที่หมองหม่น

เกิดอะไรขึ้น?

เกิดอะไรขึ้น?

กบตัวนั้นมาจากไหน?

ศักดินาของแองโกร่าไม่ใช่เมืองชายแดนที่ห่างไกลหรอกเหรอ?

ผู้คนที่นั่นจะเรียนรู้ทักษะการเล่นแร่แปรธาตุขั้นสูงเช่นนี้ได้อย่างไร

***

ขณะที่สมุนทั้ง 2 กําลังคุยกันด้วยภาษานรก

“สวัสดีทุกคน”

ที่นั่น มนุษย์กบตัวผอมกําลังยืนอยู่ไม่ไกลขณะส่ายก้นไปที่พวกเขา อวดลวดลายเล็ก ๆ ที่ คล้ายกับดอกเบญมาศด้านหลัง “พวกเจ้าอยากเห็นดอกไม้น้อย ๆ ของข้าไหม”

ลูกสมุนปีศาจพูดไม่ออก

10 วินาทีต่อมา

คล็อกกาโตว์ส่งเสียงแหลม เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัว ขณะที่บินผ่านทางเดินนั้นไปอย่างรวดเร็วโดยมีลูกสมุน 2 ตัววิ่งไล่ตาม

“ไม่มีใครอยู่ที่ทางออกแล้ว! ไปกันเลย!”

ดังนั้นผู้เล่นจึงใช้โอกาสนี้เปิดประตูเข้าไปในปราสาทหลัก

มีเพียงคินลี่ย์เท่านั้นที่มองไปยังทางที่กบตัวน้อย ที่ถูกกําหนดให้ต้องเสียสละตัวเองหายไปอย่างเศร้าใจ

แองโกร่าถามเอ็ดเวิร์ตและคนอื่น ๆ อย่างร้อนใจเกี่ยวกับ “การแทรกซึม” ทันทีหลังจากที่เขาพบผู้เล่น

“สองคนนั้นสินะ…”

เขาเข้าใจทันทีว่าทําไมเซซิลถึงโกรธเขามาก หลังจากที่รู้ว่าเทรรอสเช่และซิลวาเป็นคนอาสาแทรกซึมเข้าไปในห้องของเขซิลอย่างกล้าหาญ

พี่ชายคนโตไม่ได้พยายามใส่ร้ายเขาจริง ๆ เพราะเขาเป็นคนที่สั่งให้ผู้เล่นแทรกซึม เข้าไปในห้องของเซซิล แต่จากพฤติกรรมที่โง่เขลาตามแบบฉบับของผู้เล่น 2 คนนั้น พวกเขาจึงไม่ มีทางละเว้นเขซิลหากเขาขวางทางพวกเขาอยู่

ยิ่งไปกว่านั้น ศพของผู้เล่นจะหายไปหากไม่ได้รับการชุบชีวิตภายในเวลาที่กําหนด ดังนั้นจึง ไม่แปลกใจเลยที่เซชิลไม่สามารถนําศพของ มือสังหาร” ออกมาได้

“นี่มันอะไรกันเนี่ย?” แองโกร่าเกาหัวอย่างแรงและอดสงสัยไม่ได้ว่า การกลับมาที่ทุนย่าของเขาเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดหรือไม่

“แม้ข้าจะไม่รู้ว่าอะไรที่ท่านกําลังมองหา แต่ข้าพบจดหมายฉบับหนึ่งในห้องของเขา”

เอ็ดเวิร์ดเห็นแองโกร่าทุกข์ใจมากจนผมจะร่วงหมดหัวอยู่แล้ว เขาจึงยื่นจดหมายที่พบในห้องของเขซิลให้เขา

เพียงแค่แองโกร่าหยิบจดหมายขึ้นมา เขาก็ผ่อนคลายทันทีหลังจากที่เขาเห็นลายมือที่สวยงามในจดหมาย “เจ้าเข้าใจผิด มันเป็นแค่จดหมายที่พ่อของข้าเขียนถึงตระกูลไอนซ์วอเตอร์ เพื่อนที่ดีที่สุดของเขาเมื่อนานมาแล้ว”

สิ่งที่แองโกร่าต้องการเห็นคือหลักฐาน ที่พิสูจน์ว่าศาสนจักรของเทพเจ้าแห่งเกมได้รับการฟื้นฟูอย่างที่พี่ชายคนโตของเขากล่าวถึง แต่นี่เป็นจุดหมายที่เก่าเกือบจะเท่าอายุของเขา

“แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าทําไมเซชิลถึงมีมัน แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการแน่นอน”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แองโกร่าที่กําลังผ่อนคลายก็หยุดกึก

เขาทําหน้าเคร่งนั่งตัวตรง และหยิบจดหมายบนโต๊ะมาอ่านอย่างละเอียดอีกครั้ง จากนั้นเขา ก็ตระหนักว่าลางสังหรณ์ของเขาถูกต้อง “เวร เยซิลคงไม่โง่ขนาดนั้นใช่ไหม?”

เขาคิดว่าเซซิลต้องการระบบที่เขาได้รับจากเทพเจ้าแห่งเกม เขาจึงเอ่ยถึง “สมบัติของเทพเจ้า” แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น

“มันคืออะไร?” วีลาที่รออยู่ข้าง ๆ ถามอย่างเป็นห่วง

ผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองเขาเช่นกัน

แองโกร่าจึงเล่าให้พวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ โดยละเรื่องความเป็นมาของตัวเองไว้

เอ็ดเวิร์ดเลิกคิ้วหลังจากได้ฟังเรื่องราวของลอร์ด “ไม่มีอะไรต้องกังวลเลยนี่ เขากําลังจะได้รับมรดกของพ่อท่านไม่ช้าก็เร็ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาและคนของเขาก็มีความสามารถมาก เว้นแต่ท่านจะกลัวว่าเขาจะทํารัฐประหาร?”

“ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทําไม่ได้เมื่อพวกเขาสิ้นหวัง” แองโกร่าตอบ

“ใช่ แต่นั่นไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดในการกบฎหรือ เมื่อเขาและคนของเขาปิดล้อมท่านและพ่อของท่านหน้าห้องทํางาน ทําไม่เขาถึงยอมกลับไปทั้ง ๆ ที่เขากําลังได้เปรียบ” เอ็ดเวิร์ดโต้กลับอย่างมี เหตุผล “เขาไม่งี่เง่าเกินไปหน่อยหรือ”

แต่แองโกร่าเปิดเผยความลับว่าทําไมเขซิลถึงไม่ทําเช่นนั้น

“เจ้าไม่เข้าใจ มันไม่มีความหมายแม้ว่าพวกเขาจะมีคนจํานวนมากกว่า เพราะพ่อของข้าอยู่ภายใต้การคุ้มครองของหัวหน้าอัศวินผู้พิทักษ์ปราสาท เขาเป็นอัศวินระดับสูงที่ เคยได้รับการแต่งตั้งจากวิหารแห่งความรุ่งโรจน์ เขาอาจจะได้รับการเลื่อนตําแหน่งเป็นอธิการหากเขาไม่ได้รับตําแหน่งเป็นหัวหน้าอัศวินผู้พิทักษ์ปราสาทแห่งนี้ คนอย่างเขซิลไม่มีวันชนะเขา

ได้”

“ยิ่งไปกว่านั้นพ่อของข้าก็เป็นดยุก และเป็นสาวกของคราตอสเทพเจ้าแห่งสงคราม แม้ว่าความสามารถของเขาจะไม่โดดเด่นนัก แต่เขาก็ได้รับการปกป้องจากเทพเจ้าแห่งสงคราม คนปกติไม่อาจทําร้ายเขาได้ง่าย ๆ ”

“ถ้าเขาน่ากลัวขนาดนั้น พ่อของท่านคงไม่กังวลว่าพี่ชายคนโตของท่านจะทําร้ายเขาใช่ไหม” เอ็ดเวิร์ดถามด้วยความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่าขุนนางบางคน ดูที่เหมือนพวกไร้ประโยชน์ มีระดับการป้องกันระดับนี้

“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น”

แองโกร่าเกาหัวด้วยความลําบากใจ

แววตาอาฆาตแค้นของซซิลเมื่อเขาจากไป ทําให้เขารู้สึกไม่สบายใจเลย

เขาได้แต่หวังว่าจะไม่มีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้น

แต่ในขณะที่เขาภาวนาอยู่ ก็มีคนมาเคาะประตูที่พึ่งจะซ่อมเสร็จ (แม้ว่ามันจะยังดูเบี้ยว ๆ อยู่ก็ตาม)

ผู้เล่นทุกคนที่กําลังฟังการสนทนาของเอ็ดเวิร์ดและแองโกร่าอยู่สะดุ้ง และตั้งท่าป้องกันโดยสัญชาตญาณ

แองโกร่าที่ค่อนข้างมีสติทําท่าทางให้พวกเขาสงบลง ขณะที่เขาเดินไปเปิดประตูห้องด้วยตัวเอง

จากนั้นหญิงสาวที่ชื่อคนลีย์ก็พุ่งเข้าหาเขาและซบอกเขาสะอื้น ขณะที่แองโกร่ากําลังจะชักไม้กายสิทธิ์ออกมา เธอก็พูดว่า “หนะ หนีเร็ว! เซซิลบ้าไปแล้ว!”

ผู้เล่นทุกคนและแองโกร่าต่างก็สับสนกับการพลิกผันครั้งนี้

“มันเกิดอะไรขึ้น?” แองโกร่าถามอย่างอ่อนโยน ขณะที่เขาผลักหญิงสาวออกไปอย่างที่อ ๆ เมื่อเขาสบเข้ากับดวงตาที่มีแสงจ้าของวีลา

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” หญิงสาวดูเหมือนจะสงบลงเล็กน้อย แต่เธอก็ยังคงพูดติดอ่าง “ขะ ข้ากําลังนอนหลับ… เมื่อข้าสะดุ้งตื่น ข้าก็ได้ยินเสียงปราสาททั้งหลังตกอยู่ในความโกลาหล ข้าวิ่งออกไปข้างนอก และพบว่าเซซิลกําลังนําสัตว์ประหลาดจํานวนหนึ่งเข้าโจมตีทหาร..จากนั้น เขซิลก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดและฆ่าลุงเกร็น (หัวหน้าอัศวินผู้พิทักษ์ปราสาท) ลุงเฟาสต์ใต้นำทหารไปต่อสู้กับสัตว์ประหลาด โอ้ใช้แล้ว! เขาบอกให้ข้าตามหาเจ้าและให้ข้าหนี้ไปกับคนของ เจ้า..’’

“สัตว์ประหลาด ” แองโกร่าขมวดคิ้ว

อะไร? เขาคิดว่าต้องใช้เวลาหลายเดือน ก่อนที่เซซิลจะติดสินบนขุนนางและศาสนจักรบางแห่งเพื่อก่อปัญหา แต่เขากลับเคลื่อนไหวทันทีที่ข้ากลับไปเก็บของ? ไม่มีทาง

ในเสี้ยววินาทีนั้น การแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นในใจของแองโกร่า

[ติ้ง]

[เริ่มเควสเร่งด่วน: Devil May Cry]

[เควส: พลังของปีศาจได้ทําให้โลกสกปรกอีกครั้ง ด้วยแรงกระตุ้นอารมณ์เชิงลบ มีคนทําพิธีกรรมต้องห้ามภายในปราสาท และกลายเป็น “ปีศาจ” ผู้ติดตามทุกคนที่เคยอยู่ใต้อํานาจของเขา ตอนนี้กลายเป็นลูกสมุนภายใต้การโจมตีของอํานาจชั่วร้าย ดังนั้นจงสังหารปีศาจก่อนที่การกระทําอันเลวทรามของมันจะเป็นอันตรายต่อโลกอีกครั้ง!]

[รายละเอียดเควส: นำผู้เล่นไปทําลายลูกสมุนทั้งหมด และสังหารผู้ที่ถูกปีศาจสิงสู่]

[เกณฑ์การประเมินภารกิจ1. ค้นพบต้นตอของการปนเปื้อน]

[เกณฑ์การประเมินภารกิจ 2. ซักถามศัตรูเพื่อค้นหา “ผู้บงการ” ตัวจริง]

[รางวัลเควส: ขึ้นอยู่กับการประเมิน]

(หมายเหตุ: การให้คน ๆ นั้นได้ตายในฐานะมนุษย์ ก่อนที่เขาจะทรมานจากการกลายเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์ อาจเป็นความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เจ้าสามารถมอบให้ได้ในตอนนี้]

แองโกร่ามองพ่อของเขาแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย หลังจากได้เรียนรู้เกี่ยวกับที่มาของตัวเอง

หลังจากนั้นพวกเขาก็ยังคงสนทนาต่อไปในหัวข้อสุ่ม เช่น การปกครองศักดินาของเขาเป็นอย่างไรบ้าง ความรักในอดีตของตาแก่ และสิ่งที่พวกเขาควรระวังก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังย่านโคมแดงเมื่อไปโดยไม่ระบุตัวตน

นี่เป็นครั้งแรกที่แองโกร่าได้พูดคุยกับพ่อของตัวเองอย่างมีความสุข และเป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใจว่าพ่อของเขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้มีอํานาจและเข้าใจยากเหมือนเมื่อก่อน

ในอดีตแองโกร่าทําได้เพียงเฝ้ามองพ่อของเขาจากมุมมืด และไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขาตรง ๆ

ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเทพเจ้าแห่งเกม

แองโกร่าเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของเขา อาจเป็นเพราะเขาได้อยู่ในเมืองไร้ชื่อ และพื้นฐานของความกล้าหาญและความมั่นใจของเขานั้น ก็ต้องขอบคุณระบบ Overlord ที่เทพเจ้าแห่งเกมได้ประทานพรให้แก่เขา

“เจ้ามีเพื่อนที่น่าสนใจ” เมื่อฟังแองโกร่าบ่นว่าผู้เล่นในเมืองของเขาพัฒนาพฤติกรรมบ้าบอขึ้นทุกวัน รอยยิ้มดีใจก็ปรากฏบนใบหน้าแก่ชราของฮอร์รัน “ถ้าข้ามเวลา บางทีข้าอาจได้พบพวกเขา”

“ท่านกําลังรออะไรอยู่ ทําไมเราไม่ไปตอนนี้ล่ะ” แองโกร่าถามอย่างร่าเริง โดยจงใจเก็บเรื่อง ระบบและเทพเจ้าแห่งเกมเป็นความลับ

“เจ้าก็ใจร้อนเกินไป” แม้ว่าชายชราจะพูดเช่นนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนและกําลังจะ เดินออกไปพร้อมกับลูกชายคนเล็กของเขา เพื่อไปพบกับผู้ติดตามที่น่าสนใจเหล่านั้น

“นั่นเพราะข้าจะกลับพรุ่งนี้” แองโกร่าตอบอย่างจริงจัง

การสนทนาของเขากับชายชราทําให้เขาเปลี่ยนใจ

ตั้งแต่แรก เขาไม่ต้องการที่จะอยู่ในบ้านหลังนี้ ที่ซึ่งเขาเคยอาศัยอยู่มานานกว่า 10 ปี เพราะ โดยพื้นฐานแล้วเขาไม่มีตัวตนที่นี้ แม้ว่าชีวิตจะไม่ได้น่าเศร้าถึงขนาดที่เขาถูกคนรับใช้รังแก แต่ชี วิตที่นี่ก็น่าเบื่อหน่ายจริง ๆ

ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปแล้ว หลังจากที่เขารู้เกี่ยวกับความเป็นมาของเขาจากพ่อ ความไม่เข้าใจเหล่านั้นในความทรงจําของแองโกร่า มันคือการที่ชายชราละเลยเขาโดยเจตนาเพื่อปกป้องเขา

เมื่อเขาคิดอย่างรอบคอบ พ่อของเขาก็ไม่เคยเพิกเฉยต่อการดํารงอยู่ของเขาเลย เขาได้รับการปฏิบัติขั้นพื้นฐานเหมือนกับลูกคนอื่น ๆ ของพ่อ แม้แต่การศึกษาของเขาก็ดีกว่าเอ็ดมันด์พี่ชายคนรองของเขาด้วยซ้ํา

ยิ่งไปกว่านั้น ปกติแล้วเขาจะได้รับมอบหมายหน้าที่ที่อันตรายเช่นอัศวิน เนื่องจากเขาไม่มีวันได้สืบทอดตําแหน่งดยุก แต่ตาแก่กลับแต่งตั้งให้เขาเป็นลอร์ดและมอบศักดินาให้เขา พ่อจะไม่ทําเพื่อเขาขนาดนี้หากเขาไม่ได้รักแองโกร่า

นั่นคือเหตุผลที่แองโกร่าให้ความสําคัญกับพ่อของเขามากขึ้น

เดิมที่เขามาที่นี่เพื่อต่อผู้บงการที่พยายามจะเอาชีวิตเขาออกมาจากเงามืด บังคับให้พวกมันทําผิดพลาดและเปิดเผยตัวเอง

แต่หากความขัดแย้งดังกล่าวเกิดขึ้นในบริเวณปราสาทอินทรีเงิน หรือแม้แต่ในทุนย่า ชื่อเสียง ของพ่อที่จะได้รับผลกระทบ ไม่ว่าแผนของเขาจะสําเร็จหรือไม่ก็ตาม

เมื่อพิจารณาถึงเรื่องนี้ เขาจึงตั้งใจที่จะออกจากทุนย่าและกลับไปที่เมืองไร้ชื่อ ด้วยวิธีนี้ ไม่ว่าผู้บงการที่เขาไม่รู้ว่ามีอยู่จริงจะโจมตีเขาอีกครั้งเมื่อไหร่ เรื่องทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นนอกเมือง และพ่อของเขาก็จะไม่ได้รับผลกระทบ

“เจ้าจะไม่อยู่ต่ออีก 2-3 วันแล้วค่อยจากไปหลังเทศกาลรึ ” ฮอร์รันดูเหมือนจะไม่ พอใจเล็กน้อย

“ศักดินาของข้าเพิ่งเริ่มพัฒนา มีหลายอย่างที่ข้าต้องจัดการ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ นานเกินไป

ที่แรกแองโกร่ากําลังจะให้เหตุผลที่สมบูรณ์แบบของเขา แต่ก็เห็นพ่อทําหน้าแบบว่า “นี่เจ้า กําลังหลอกใครอยู่” และจําไว้ว่าฮอร์รันเป็นเจ้าของศักดินาที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ

เมื่อรู้ว่าเขาหลอกพ่อไม่ได้ แองโกร่าจึงกระแอมเสียงและลองอีกครั้ง

“อืม เซซิลดูไม่ค่อยพอใจข้าเท่าไหร่ มันจะเป็นปัญหาถ้าสิ่งต่าง ๆ รุนแรงขึ้น แม้ว่าท่านจะบอกให้ข้ายอมให้เขา แต่ข้าก็ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขาตรง ๆ ท่านไม่ต้องการให้เรื่องระหว่างเราบานปลายหรอก จริงไหม นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมข้าถึงต้องรีบกลับ”

เหตุผลนี้ชัดเจนมาก ฮอร์รันก็ไม่ได้พูดอะไรอีกและทําได้เพียงถอนหายใจ

แต่เมื่อพวกเขาออกมาจากห้อง พวกเขาก็พบกับเซซิลที่กําลังโกรธจนควันออกหูเขานำอัศวินและทหารทั้งหมดของเขามาดักรออยู่หน้าห้องทํางานส่วนตัวของฮอร์รัน

“นี่เจ้ารู้ตัวไหมว่าเจ้ากําลังทําอะไรอยู่ เขซิล!” ชายชราทําหน้าเครียดใส่เซซิล “เจ้าพยายามจะกบฏต่อข้าด้วยการพาคนของเจ้ามาล้อมที่นี้งั้นรี”

“ท่านพ่อ เขาทําร้ายข้าก่อน!” เขซิลชี้นิ้วกล่าวหาแองโกร่า “เขาส่งคนของเขามาลอบสังหารข้า! ข้าจะตายถ้าคนของข้าไม่แลกชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องข้า!”

แองโกร่าบ่นในใจว่า ข้าแค่ปล่อยให้ผู้เล่นแอบเข้าขโมยข้อมูลในห้องเจ้าเท่านั้น ลอบสังหารเท้าเจ้าสิ เจ้าเก่งมากในการกล่าวหาคนอื่น

ดังนั้นเขาจึงถามอย่างมีสติว่า “ตั้งแต่ที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็แปลว่าการลอบสังหารล้มเหลว ถ้า เป็นอย่างนั้น เจ้าก็ควรนําตัวฆาตกรออกมาให้ข้าเห็นสิ พวกมันยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว? หากเจ้าไม่มีหลักฐานมันก็มากเกินไปที่เจ้าจะใส่ร้ายข้าเช่นนี้”

“ไปเอาศพของพวกมันมา!” เขซิลหัวเราะเยาะ “ข้ารู้ว่าเจ้ามันพวกเจ้าเล่ห์

สีหน้าของชายชราเคร่งขรึมมาก เขามองไปที่แองโกร่าอย่างสงสัย

แต่ทหารก็ไม่ได้ขยับตัวเพื่อไปน ‘ศพ” มา แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม

จนกระทั่งหัวหน้าอัศวินส่วนตัวของเซชิลมาถึงข้างตัวเขา และกระซิบบางอย่างที่หูของเขา เซ ชิลก็ชี้หน้าและคํารามใส่แองโกร่าอย่างโหดเหี้ยมว่า “เจ้าต้องทําอะไรบางอย่างกับศพของมือสัง หารพวกนั้นแน่! พวกมันหายไปแล้ว!”

“พอ! จบได้แล้ว”

เสียงราวฟ้าร้องของชายชราเอยขัดคํากล่าวหาของเชล “เจ้ากลับไปก่อน เซซิล”

แองโกร่ามองพ่อเขาอย่างแปลกใจเล็กน้อยเป็นนัยว่า “พ่อไม่ได้บอกให้ข้ายอมลงให้เซซิลหรีอ?”

ส่วนชายชราก็มองเขาด้วยสีหน้าที่อ่านได้ว่า “นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่พ่อจะช่วยเจ้า จากนี้ ไปเจ้าจะต้องพึ่งตัวเองแล้ว

แต่การแลกเปลี่ยนสายตาดังกล่าว กลายเป็นภาพของพ่อและลูกชายที่รักใคร่กันในสายตาขอ งเซล

เขาโกรธจนพูดไม่ออก และในที่สุดเขาก็กระอักเลือดรดพื้น

“เซซิล” ดยุกรีบเดินไปดูอาการลูกชายคนโตของเขา แต่ก็ถูกเขซิลผลักออกไป เขา ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวและเกือบจะล้มลง จากนั้นเขาก็พบว่าสายตาที่มองมาของลูกนั้นเย็นชาและไม่คุ้นเคย

“ข้าเคยบอกไปแล้วว่า” เขซิลหันหลังกลับ แม้ร่างกายของเขาจะโซเซ แต่คําพูดของเขาก็เย็นชาอย่างยิ่ง “ถ้าเจ้าไม่ส่งมันมาให้ข้า ไม่ว่าจะเป็นของสมบัติของเทพเจ้าหรือตระกูล ทั้งหมดเป็นของข้า! ของข้า! พวกเจ้าทุกคนบังคับให้ข้าทําแบบนี้!”

“ข้าไม่สนใจของ ๆ เจ้า” แองโกร่ารู้สึกว่าเขซิลไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดี เขาจึงพูดอย่างระมัดระวังว่า “พรุ่งนี้ข้าจะกลับเมืองของข้าแล้ว”

“ฮีม นั่นเป็นเพราะเจ้าได้สิ่งที่เจ้าต้องการแล้ว ข้ารู้ ข้ารู้ทุกอย่าง”

เซซิลหัวเราะอย่างเศร้า ๆ และค่อย ๆ เดินจากไปด้วยการช่วยเหลือของหัวหน้าอัศวินส่วนตัวของเขา ทิ้งให้แองโกร่าและฮอร์รันที่ทําหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่กัน

ไม่มีรถม้าดี ๆ ในเมือง

มาร์นี่เคยให้ผู้เล่นยืมรถม้าในอดีต แต่มันก็ถูกทำลายกลายเป็นเศษเหล็กไปแล้ว นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม พ่อค้าถึงไม่นำรถม้าของเขากลับมาที่เมืองไร้ชื่ออีกต่อไป และเลือกที่จะทิ้งมันไว้ในแลงคาสเตอร์เสมอ…

โชคดีที่ยังมีช่างไม้อยู่ในเมือง ดังนั้นพวกเขาจึงยังสร้างรถเลื่อนหิมะ 2 คันได้

ส่วนสัตว์ร้ายที่ใช้ลากเลื่อน…

เมื่อเทพเจ้าแห่งเกมปล่อยระบบสัตว์เลี้ยงและระบบพาหนะออกมา ผู้เล่นหลายคนก็ออกเดินทางไปจับสัตว์เลี้ยงใกล้เมือง จริงอยู่ มีสัตว์ร้ายเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้นที่ทำให้เชื่องได้สำเร็จ แต่เมื่อพิจารณาถึงจำนวนคนที่ออกไปจับ ตอนนี้จึงมีสัตว์ร้ายจำนวนมากอยู่ในเมืองไร้ชื่อ

บางทีอาจเป็นเพราะสัตว์ร้ายเหล่านี้อาศัยอยู่ใกล้หุบเขาแห่งความตาย พวกมันจึงได้รับผลกระทบมามากจนดูเหมือนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในภาพยนตร์สยองขวัญ

“นี่เจ้า ตอนนี้ผู้เล่นมีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับสุนทรียภาพรึเปล่า” แองโกร่าอดไม่ได้ที่จะถามเอ็ดเวิร์ดเมื่อเขาต้องเลือกสัตว์ลากเลื่อน

“ประมาณนั้น ท่านสามารถดูโพสต์ที่ข้าเขียนในฟอรัมเมื่อวานนี้ได้” โกวต้านที่หมกมุ่นอยู่กับการเขียนโพสต์กลยุทธ์ในฟอรัมบอกแองโกร่า “ชื่อโพสต์คือ [การเปลี่ยนแปลงด้านสุนทรียศาสตร์ และความมีเหตุมีผลของสาย [แฝงตัวอยู่ในห้วงทะเลลึก] ของคลาสนักบวชแห่งท้องทะเล] ข้ายังแนบรูปถ่ายหลายรูปไว้เป็นหลักฐานด้วย!”

“ข้ามีความรู้สึกว่ารสนิยมของข้าจะเปลี่ยนไปถ้าข้าอ่านโพสต์ของเจ้า เพราะงั้น สรุปให้ข้าฟังที” แองโกร่าลังเลเล็กน้อย ก่อนที่จะเลือกไม่เปิดฟอรัมและถามโกวต้านตรง ๆ แทน

“โดยพื้นฐานแล้ว มาตรฐานความงามของผู้เล่นสาย [แฝงตัวอยู่ในห้วงทะเลลึก] จะเปลี่ยนไป ยิ่งพวกเขาเรียกหนวดและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ออกมาในระหว่างการต่อสู้มากเท่าไหร่ รสนิยมของพวกเขาก็จะยิ่งผิดเพี้ยนไปมากขึ้น เพราะงั้น ข้าจึงเรียกสถานะนี้ว่า การเข้าถึงความงามของคธูลู*” โกวต้านพูดถึงผลการวิจัยของเขา

(คธูลู (Cthulhu) ชื่อจริงของคธูลูนั้นเป็นภาษาที่มนุษย์ไม่สามารถออกเสียงได้ถูกต้อง คธูลูปรากฏตัวครั้งแรกในเรื่องสั้น “เสียงเรียกของคธูลู” (The Call of Cthulhu) ชื่อของคธูลูมักใช้กล่าวถึงสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว)

“และเพื่อนร่วมปาร์ตี้ของนักบวชแห่งท้องทะเลเหล่านี้ ก็จะได้รับผลกระทบจากพวกเขาเหมือนกัน แต่ไม่ต้องกังวล มันไม่มีปัญหาร้ายแรงอะไร แถม ท่านไม่คิดเหรอว่าสัตว์ร้ายพวกนี้ดูเท่ ท่านลองมองพวกมันดี ๆ สิ”

แองโกร่าไม่คิดว่าสัตว์ร้ายพวกนั้นดูเท่เลยสักนิด แต่สุดท้าย เขาก็เลือกกวางสองตัวที่ดูเหมือนจะมีภาวะ hyperostosis* แม้ว่ากวางเหล่านี้จะค่อนข้างน่าเกลียด แต่ก็ดีกว่ากวางตัวอื่น ๆ

(hyperostosis ภาวะกระดูกเจริญเกิน กระดูกส่วนนอกร่างกายหนามากผิดปรกติ)

คนที่ยอมรับภารกิจคุ้มกันในตอนท้าย คือปาร์ตี้ของเอ็ดเวิร์ดและคู่หูอ้วนผอม ซึ่งแองโกร่าจำได้ว่าเป็นพวกโชคดี

ในขณะที่กวางทั้งสองกำลังลากเลื่อนไปในที่ราบที่เต็มไปด้วยหิมะ เอ็ดเวิร์ดก็หันไปหาเอลีน่าและถามเธออย่างสงสัยว่า “เขาทำให้เจ้ายอมรับเควสได้ยังไง”

“เขาบอกว่า…” สีหน้าของเอลีน่าจริงจัง เอ็ดเวิร์ดเลยตั้งใจฟังว่าลอร์ดใช้ไหวพริบอะไรในการโน้มน้าวใจเด็กสาวคนนี้

“ที่นั่นจะมีงานเลี้ยงที่เจ้าสามารถกินพุดดิ้งนมได้แบบไม่อั้น”

เอ็ดเวิร์ด “…”

‘นักบุญหญิงฝึกหัดของข้า เจ้าถูกซื้อตัวง่ายเกินไปแล้ว…’

ดัชชีอินทรีเงิน เมืองทุนย่า

นี่คือเมืองหลวงของดัชชีอินทรีเงิน และปราสาทอินทรีเงินก็ถูกสร้างขึ้นที่ใจกลางเมืองแห่งนี้

เมืองทั้งเมืองถูกสร้างขึ้นโดยขยายออกจากปราสาทอินทรีเงิน มีแม่น้ำอราบีที่กว้างใหญ่ไหลผ่านใจกลางเมืองเป็นคูน้ำธรรมชาติรอบ ๆ ปราสาท ดูราวกับนกอินทรีสีเงินเมื่อมองจากด้านบน

ตามประวัติศาสตร์ ศูนย์กลางของเมืองทุนย่าเป็นเนินเขาเล็ก ๆ แต่เพื่อเป็นการตอบแทนบรรพบุรุษของดยุกอินทรีเงิน จักรพรรดิองค์แรกแห่งจักรวรรดิวัลลา จึงได้ส่งคนงานไปทำให้เนินเขาเรียบ และสร้างผลงานชิ้นเอกเอาไว้ที่นั่น นั่นก็คือที่มาของปราสาทอินทรีเงิน ดินแดนแห่งนี้จึงกลายเป็นดินแดนบรรพบุรุษที่ตระกูลเฟาสต์ตกทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน

“เมื่อข้าได้เห็นปราสาท ข้าก็จำได้ว่าท่านเป็นผู้ดีจริง ๆ ลอร์ดของข้า…”

เอ็ดเวิร์ดถอนหายใจขณะที่เขามองไปที่ปราสาทอันสง่างาม ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากระยะไกลนอกเมือง

“นี่เจ้าไม่เคยคิดว่าข้าเป็นขุนนางเลยเหรอ” แองโกร่าบ่นอย่างไม่พอใจ

“ข้าเป็นเพียงลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้าน ดังนั้นขุนนางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ข้าเคยเห็น ก็คือบารอนที่มาเก็บภาษีจากพวกเรา แม้แต่ผู้ชายคนนั้นก็มองเราด้วยจมูก” เอ็ดเวิร์ดยักไหล่และพูดต่อ “สำหรับข้าแล้ว ข้าคิดว่าขุนนางที่สูงกว่าอาจมองเราด้วยกระดุมหน้าท้อง แต่ท่านตรงกันข้าม ท่านมักจะออกไปตรวจสอบการพัฒนาเมืองด้วยตัวเอง และเข้ากันได้ดีกับผู้เล่นอย่างเรา”

“ข้าคิดว่าเจ้ามีความคิดผิด ๆ เกี่ยวกับขุนนางนะ…” แองโกร่าปฏิเสธทันที “ในหมู่ขุนนางก็มีขุนนางที่ดีเหมือนกัน เจ้ากำลังพูดถึงอะไร มองคนด้วยกระดุมหน้าท้อง? พวกเขายังเป็นคนอยู่รึเปล่า”

เดิมแองโกร่าต้องการหาตัวอย่างเพิ่มเติมว่านอกจากเขาแล้ว ก็ยังมีขุนนางดี ๆ อยู่อีกมาก แต่สิ่งที่เขาคิดออก ก็คือขุนนางที่ใช้ตำแหน่งของพวกเขาเพื่อหาประโยชน์จากสามัญชน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม

หลังจากนั้น แองโกร่าก็เข้าใจทันทีว่า ความคิดของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว ถ้าเขายังรักษาวิธีคิดแบบเดิม เขาคงไม่คิดด้วยซ้ำว่าการกระทำของขุนนางที่เก็บภาษีมากขึ้น เพื่อตอบสนองชีวิตที่ผ่อนคลายของตัวเอง และคนที่สังหารผู้ลี้ภัยด้วยความตั้งใจนั้นกำลังทำสิ่งที่ผิด บางที มันอาจเพราะเขาได้อยู่ใกล้กับผู้เล่น ซึ่งส่วนใหญ่มาจากด้านล่างสุดของพีระมิด ทำให้วิธีคิดของเขาเปลี่ยนไป…ไม่สิ เป็นเขาเองต่างหากที่อยากจะเปลี่ยน

ตอนนี้เขาได้ตระหนักแล้วว่า มีความสกปรกมากมายซ่อนอยู่ภายใต้พื้นผิวที่หรูหราของชนชั้นสูง

ก่อนที่แองโกร่าจะคิดจบ ก็เกิดความปั่นป่วนขึ้นที่ด้านนอกรถม้า

“มีอะไร?” เขาเงยหน้าขึ้นมาถาม

“รถม้าอีกคันมาถึงเมืองในเวลาเดียวกับเรา” วีลาโผล่หัวออกไปถามนอกรถม้า ก่อนจะหันมาอธิบายให้แองโกร่าฟังว่าเกิดอะไรขึ้น “พวกเขาดูเหมือนจะต้องการเข้าไปก่อนเรา”

แองโกร่าขมวดคิ้วและเดินลงมาจากรถม้า แต่ก่อนที่เขาจะได้เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาก็เห็นโจที่พาดนิ้วเท้ายักษ์ไว้บนบ่าและกำลังขวางทางคนขับรถม้าอีกคนอยู่ หน้าอกอันแข็งแกร่งของเขากระตุกสลับกันเพื่ออวดความแข็งแกร่ง จนถึงจุดที่ทำให้ดาบบนหลังเขาเด้งขึ้นลงพร้อมกับการเคลื่อนไหวของหน้าอกเขา

ในฐานะที่เขาเป็นนักรบ โจจึงไม่หวั่นไหวต่อความหนาวเย็น ดังนั้นเสื้อผ้าที่เขาสวมจึงบางกว่าคนอื่น ๆ ในปาร์ตี้ สิ่งนี้ทำให้อีกฝ่ายตกตะลึง หัวของคนขับรถม้าว่างเปล่าขณะที่เขามองหน้าอกของโจที่กระตุกไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก

ในที่สุดเด็กสาววัยรุ่นที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้านายของคนขับรถม้า ก็เปิดม่านออกมามองสถานการณ์ภายนอก ก่อนจะบอกโจด้วยสีหน้านิ่ง ๆ ว่า “เจ้ามีหน้าอกใหญ่สุด เจ้าไปก่อน” การทะเลาะกันที่ไร้ความหมายนี้จึงได้ยุติลง

เมื่อแองโกร่าเห็นหน้าอีกฝ่าย เขาก็รีบกลับไปซ่อนตัวในรถม้าทันที

“เธอมาทำไมตอนนี้ แย่ล่ะสิ…”

—————————–

“มันรีบเกินไปรึเปล่า ที่เราจะออกเดินทางไปดัชชีอินทรีเงินวันพรุ่งนี้?” วีลาถามแองโกร่า หลังจากที่เธอได้แจ้งผู้ส่งสารมิลเลอร์ว่าพวกเขาจะออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น

ตอนนั้นผู้ส่งสารมีความสุขมากที่ได้ยินคำตอบของแองโกร่า เขาจึงเริ่มเต้นท่าเต้นแปลก ๆ ที่เขาได้เรียนรู้มาจากผู้เล่น มองอีกแง่ ดูเหมือนว่าพลังการเผยแพร่เรื่องงี่เง่าของผู้เล่นนั้นแข็งแกร่งมากจริง ๆ

“เทศกาลหว่านเมล็ดยังอีกนาน จากที่เห็น คาดว่าฤดูหนาวจะดำเนินต่อไปอีกราว ๆ 20-30 วัน…” วีลาสับสน “มันไม่เร็วเกินไปหน่อยเหรอที่เราจะออกเดินทางพรุ่งนี้ ท่านวางแผนที่จะอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานเพราะคิดถึงครอบครัวงั้นหรือ?”

“ไม่มีทาง ข้าเบื่อหน่ายกับชีวิตที่จำกัดในนั้น ซึ่งไม่มีอิสระเลยแม้แต่น้อย” แองโกร่ากอดอกและยิ้ม

“ท่านหมายถึงอะไร” วีลาค่อนข้างสับสนในสิ่งที่แองโกร่าพูด “ท่านไม่ใช่ลูกชายของแกรนด์ดยุกหรือ? ทำไมชีวิตท่านถึงถูกจำกัด ไม่ใช่ว่าขุนนางอย่างท่านมักเที่ยวเตร่ไปตามท้องถนน และเล่นหูเล่นตากับสาวใช้ที่ไร้เดียงสาหรือ”

“อะไร นี่เจ้ากำลังหมายถึงลูกชายขุนนางที่เป็นตัวร้ายในนิยายอัศวินพวกนั้นใช่ไหม การที่ข้าถูกจำกัดก็เป็นเพราะว่าตำแหน่งแกรนด์ดยุกถือว่าอยู่ในระดับสูงแม้แต่ในหมู่ขุนนาง เราให้ความสำคัญกับหน้าตาและเกียรติมากกว่าขุนนางชั้นต่ำกว่า พวกเรา 3 คนพี่น้องจึงได้รับการสั่งสอนอย่างเข้มงวดมากกว่าใคร ๆ! เราได้รับการฝึกอบรมมารยาทของชนชั้นสูงอย่างเคร่งครัดตั้งแต่ยังเด็ก เราต้องทำตัวให้สง่างามอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้ครอบครัวเฟาสต์ต้องอับอาย…” แองโกร่าถอนหายใจ “พูดตามตรง มันลำบากมาก ชีวิตของข้าในเมืองเล็ก ๆ นี้มีความสุขและผ่อนคลายที่สุดแล้ว”

“อย่างนั้นหรือ…” วีลาอดไม่ได้ที่จะมีความสุขจนแสดงออกมาทางสีหน้า “แล้ว ทำไมต้องรีบขนาดนั้นล่ะ”

“เพื่อลดเวลาเตรียมการของศัตรู…ถ้าศัตรูอยู่ที่นั่นล่ะก็นะ”

ปกติแล้ว จะมีคนประเภทหนึ่งที่ชอบบรรยายแผนการของตัวเองให้ศัตรูฟัง เพราะคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายเหนือกว่า หรือไม่ก็เพราะพวกเขาชอบพูดมาก

อย่างเช่น วายร้ายหลายคนในอนิเมะหรือภาพยนตร์ที่มักจะมีนิสัยแบบนี้ พวกเขาจะหยุดการโจมตีลงเมื่อพวกเขาคิดว่าสามารถฆ่าตัวเอกได้ด้วยการเคลื่อนไหวเดียว และเริ่มเล่าแผนการทั้งหมดของพวกเขาตั้งแต่ต้นจนจบ บางคนถึงกับบอกจุดอ่อนของตัวเองให้กับตัวเอกฟัง แต่สุดท้าย พวกเขาก็จะถูกสังหารโดยตัวเอกในที่สุด

บังเอิญแองโกร่าก็เป็นคนประเภทนี้เช่นกัน แต่โชคดีที่เขาไม่มีงานอดิเรกอย่างการเล่าแผนการทั้งหมดให้ศัตรูฟัง เขาเพียงแค่เล่ามันให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาไว้ใจที่สุดเท่านั้น “เมืองนี้เป็นของข้า พวกมันคงรู้ว่ายากที่จะสังหารข้าที่นี่ เพราะผู้เล่นได้กำจัดชุมนุมลับดวงตาที่อยู่ใกล้ ๆ ไปแล้ว แต่เมื่อข้ากลับไปที่ดัชชีอินทรีเงิน การลอบสังหารข้าที่นั่น เห็นได้ชัดว่าง่ายว่าที่เมืองไร้ชื่อแห่งนี้มาก!”

“ข้าเข้าใจแล้ว ดังนั้นยิ่งเราออกเดินทางเร็วเท่าไหร่ ศัตรูก็จะมีช่วงเวลาที่ยากขึ้นในการเตรียมการลอบสังหารเรา!” วีลาเข้าใจทันทีว่าแองโกร่าหมายถึงอะไร

การลอบสังหารไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ พวกเขาต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายเพียงพอ ทั้งตารางเวลาของเป้าหมาย เส้นทางที่เลือก และแม้แต่งานอดิเรกส่วนตัวของเป้าหมาย ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จได้อย่างมาก!

ถ้าแองโกร่ามุ่งหน้าไปยังดัชชีอินทรีเงินก่อนเทศกาลหว่านเมล็ดพันธ์เพียงไม่กี่วัน ศัตรูก็จะมีเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนในการวางแผนลอบสังหาร

บางทีความตายอาจไม่ได้มีความหมายมากนักสำหรับผู้เล่นคนอื่น ๆ เพราะพวกเขาสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ในภายหลัง แต่แองโกร่าไม่เคยตายมาก่อน เนื่องจากระบบที่เขามีนั้นไม่เหมือนกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่แน่ใจว่าเขาจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ด้วยวิธีเดียวกันหรือไม่

ในกรณีนี้ ทางเลือกที่ดีที่สุดของเขาก็คือ ไม่ปล่อยให้ศัตรูของเขาได้มีโอกาสเตรียมตัว

“ไม่เพียงแค่นั้น ยิ่งการลอบสังหารมีความเร่งด่วนมากขึ้นเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งเปิดเผยเบาะแสของผู้บงการมากขึ้นเท่านั้น หากมีใครที่ต้องการฆ่าข้า ข้าสาบานในนามของเทพเจ้าแห่งเกมเลยว่า ข้าจะต้องลากมันออกมาจากเบื้องหลังให้จงได้!” แองโกร่าตอบอย่างจริงจัง

“แต่…มันจะไม่อันตรายเกินไปรึ ถ้ามีแค่พวกเราสองคน” วีลาค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้

ในฐานะ NPC ของแองโกร่า วีลาให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเขามากกว่าการทำเควสและลงดันเจี้ยน ทำให้เธอยังอยู่ที่เลเวล 14 และเหลืออีก 15% ก่อนที่เธอจะสามารถเปลี่ยนคลาสได้

“แน่นอนว่าไม่ใช่ เราจะรับสมัครผู้เล่นมาเป็นคนคุ้มกันของเรา!”

แองโกร่ายิ้มราวกับว่าเขามีทุกอย่างอยู่กำมือแล้ว “ไม่ต้องกังวล ด้วยชื่อเสียงและเสน่ห์ของข้า ข้าสามารถรับสมัครปาร์ตี้ผู้เล่น 30 คนได้สบาย ๆ!”

[จำนวนผู้เล่นที่ยอมรับเควสคุ้มกัน: 0]

แองโกร่ามองไปที่หน้าต่างระบบตรงหน้าเขา และจำนวนตัวเลขที่ว่างเปล่า มือของเขาสั่นเบา ๆ “ทำไม!”

“ก็เพราะผู้เล่นทุกคนที่ชอบการผจญภัย ได้ออกไปสำรวจพื้นที่รอบเมืองแล้วไง” เอ็ดเวิร์ดที่บังเอิญมาส่งเควสพูดทำลายความหวังของแองโกร่าทันที “ตอนนี้ผู้เล่นทุกคนที่ยังอยู่ในเมือง ล้วนแต่ต้องการมีชีวิตที่มั่นคง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สนเควสนี้ซึ่งกินเวลานานเกือบ 10 วัน”

“แล้วมาร์นี่ล่ะ เขาจะรับเควสไหม?”

“เขาถูกวางยาพิษจนเสียชีวิตในงานเลี้ยงที่แลงแคสเตอร์ ตอนนี้เขายังบ่นเกี่ยวกับแผนสกปรกของคู่แข่งขณะรอเวลาฟื้นคืนชีพอยู่เลย”

“ถ้างั้น เขาก็ไม่สามารถทำธุรกิจในแลงคาสเตอร์ได้อีกแล้วเหรอ?”

“ไม่ เขาจะกลับไปที่นั่นในอีก 3 วันต่อมา และบอกคนอื่น ๆ ว่าคนที่เสียชีวิตเป็นตัวตายตัวแทนของเขา หรืออะไรทำนองนั้น และยังคงทำธุรกิจต่อไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเคยทำแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง จนผู้คนในแลงแคสเตอร์เริ่มเรียกเขาว่า ‘วิลฟ์ผู้ไม่มีที่สิ้นสุด’…”

“แล้วเจ้าล่ะ เจ้าไม่ใช่ปีศาจบ้าเควสเหรอ!” แองโกร่าถามขณะที่เขาชี้ไปที่เอ็ดเวิร์ด “ทำไมเจ้าถึงไม่รับเควสหายากแบบนี้ล่ะ”

“นั่นเป็นเพราะเอลีน่าไม่ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับขุนนาง ดังนั้นปาร์ตี้ของเราเลยไม่รับเควสนี้” เอ็ดเวิร์ดยักไหล่ สีหน้าของเขาอ่านได้ว่า ‘ข้าก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน’

“เอลีน่า…โอ้นั่น ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในปาร์ตี้ของท่านสินะ” เขาเคยได้ยินเรื่องความแข็งแกร่งของเอลีน่าจากวีลา เขาจึงลูบคางอย่างครุ่นคิด “ในอดีตเธอเคยถูกรังแกโดยขุนนางรึเปล่า”

“ไม่ เป็นเพราะแม่เธอเป็นขุนนาง พ่อของเธอเลยสอนมารยาทของชนชั้นสูงให้เธอมาตั้งแต่ยังเล็ก และนั่นทำให้เธอมีบาดแผลในใจ ตอนนี้เธอเลยไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับขุนนาง” เอ็ดเวิร์ดตอบขณะที่เขาเคี้ยวขนมปังแข็ง ๆ 2-3 ก้อน ก่อนที่เขาจะจากไป “ลาก่อน ข้ามีเควสอื่นที่ต้องไปทำ…”

“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป” แองโกร่าแตะคางขณะที่เขาจ้องไปที่เอ็ดเวิร์ด ทำให้ฝ่ายหลังรู้สึกขนลุกนิด ๆ

“มะ มีอะไร”

“ถ้าข้าสามารถเกลี้ยกล่อมเอลีน่าได้ ปาร์ตี้ของเจ้าจะมาช่วยข้าไหม” แองโกร่าถาม

เอ็ดเวิร์ดคิดอยู่พักหนึ่งและรู้สึกว่า ถ้าแองโกร่าสามารถเกลี้ยกล่อมให้เอลีน่าได้จริง ๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลอร์ด ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า

“ตกลง!”

หลังจากที่อัสลานจากไป ซีเว่ยก็เริ่มวิเคราะห์วิญญาณของซอด…หากจะพูดให้ถูกก็คือ เศษวิญญาณของซอด วิญญาณของเขาถูกทำลายไปแล้วจากผลของร่างต้องสาป

บางทีราชาแห่งความตายฮาเดสที่ควบคุมกฎแห่งความตาย อาจสามารถซ่อมแซมจิตวิญญาณดวงนี้ได้ แต่ซีเว่ยทำไม่ได้

ที่เขาเก็บมันมาก็เพราะ เขาแค่อยากรู้อยากเห็นว่าร่างต้องสาปคืออะไรกันแน่

ซีเว่ยไม่มีความตั้งใจจะช่วยซอดตั้งแต่แรก

ถึงแม้ว่าซีเว่ยจะเห็นใจเขา แต่ในเวลาที่ชีวิตของเขากำลังจะจบลง ซอดก็ยังคงเป็นผู้ใช้ดาบปีศาจที่เข่นฆ่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปแล้วมากมาย

สิ่งที่ซีเว่ยสัญญาไว้ มีเพียงการส่งต่อทักษะและมรดกที่เหลืออยู่ของเขาเท่านั้น

และวิธีก็คือ ถ่ายทอดสิ่งที่ซอดได้เรียนรู้มาตลอดชีวิตให้กับผู้เล่น

“ฉันไม่สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ของเขาได้…ถ้าฉันทำได้ ฉันก็จะสามารถสร้างกองทัพปราชญ์ดาบ (ปลอม) ได้ง่าย ๆ” ในฐานะเทพ แน่นอนว่าซีเว่ยสามารถเข้าใจทักษะที่ซอดมี เมื่อเขาวิเคราะห์จิตวิญญาณของซอดอย่างรอบคอบ แต่เขาไม่สามารถมอบมันให้กับผู้เล่นได้

“ดูเหมือนฉันต้องปล่อยให้พวกเขาเรียนรู้มันด้วยตัวเองผ่านการใช้ทักษะดาบเหล่านี้ โชคดีที่เขามีประสบการณ์มากมาย ดังนั้นฉันแค่ต้องก็อปปี้แล้ววางเท่านั้น…หึ เขามีเพลงดาบอื่นนอกจากกระบวนท่าทั้ง 6 งั้นเหรอ? หืม ฉันจะเก็บมันทั้งหมดไว้ที่นี่…”

ดังที่กล่าวมา เพลงดาบจำนวนมากที่ซอดมีค่อนข้างซับซ้อน และถึงแม้จะมีกฎแห่งทักษะคอยช่วย แต่ผู้เล่นที่เลือกคลาสนี้ก็จะต้องใช้ประสบการณ์และความเข้าใจในดาบของตนเอง เพื่อให้ใช้พวกมันใช้มันได้อย่างถูกต้อง

คลาสนี้อาจจะเป็นคลาสที่ยากที่สุดในการเล่น

ดังนั้นหากผู้เล่นที่เล่นคลาสนี้อ่อนแอ ก็จะอ่อนแอมาก และผู้ที่เชี่ยวชาญในการเล่นคลาสนี้มาก ก็จะแข็งแกร่งอย่างมากเช่นกัน ผิดกับคลาสอื่น ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยพลังของซีเว่ยเพียงอย่างเดียว หากไม่ได้พิจารณาถึงไอเทมและความแข็งแกร่งส่วนตัวของผู้เล่น ผู้เล่นแต่ละคนที่เลเวลเดียวกัน ก็จะมีความเท่าเทียมกันในระดับหนึ่ง

นี่เป็นคลาสเดียวที่ผสมผสานประสบการณ์และเพลงดาบเกือบทั้งหมดที่โลกนี้มี ร่วมกับพรของซีเว่ย หากผู้เล่นฝึกฝนมันจนถึงขีดสุด พวกเขาก็จะสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของเลเวล และสามารถต่อสู้กับเทพเจ้าได้!

แน่นอนความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ต่ำมาก และพวกเขาก็ไม่สามารถทำร้ายซีเว่ยได้อยู่ดี เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาถูกผสมเข้ากับคลาส

“โชคดีที่ฉันได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์มากมายจากตาลุงสิงโต ไม่อย่างนั้นมันคงยากเกินไปสำหรับฉันที่จะสร้างคลาสเพิ่มด้วยพลังที่เหลืออยู่ตอนนี้…”

จากนั้นเขาก็คิดได้ว่าคลาสนี้อาจจะทำร้ายสิงโตไม่ได้ด้วย เพราะเขาผสมพลังแห่งความยุติธรรมอันศักดิ์สิทธิ์เข้าไป ทำให้ผู้เล่นอาจต่อสู้กับผู้ศรัทธาในเทพชั่วร้ายได้ง่ายขึ้นด้วย?

ในขณะที่ผู้เล่นจบเควสประจำวัน และมีความสุขกับการอัพเลเวล การแจ้งเตือนของระบบก็ปรากฏขึ้น

ครั้งนี้ต่างจากหน้าต่างป๊อปอัปธรรมดาที่เคยปรากฏในอดีต ระบบแจ้งเพียงว่ามีการอัปเดต ส่วนเนื้อหาจริงของการอัปเดตจะถูกโพสต์ลงในฟอรัมและปักหมุดไว้ที่ด้านบนสุด เพื่อให้ผู้เล่นทุกคนสามารถมองเห็นได้

[วิหารแห่งความยุติธรรมกลายเป็นพันธมิตรของเรา]

[ระบบชื่อเสียงของวิหารแห่งความยุติธรรมเปิดใช้งาน (ค่าเริ่มต้น: เป็นมิตร)]

[ตอนนี้ผู้เล่นสามารถขอรับความช่วยเหลือระดับหนึ่งจากวิหารแห่งความยุติธรรม และสามารถขอรับที่พักพิงในวิหารแห่งความยุติธรรมได้]

[ท่านสามารถรับ ‘เควสล่าค่าหัว’ ได้จากวิหารแห่งความยุติธรรม และสามารถรับรางวัล เช่น ชื่อเสียง ได้จากการฆ่าผู้ร้ายที่อยู่ในรายชื่อ]

[โปรดอย่าขโมยของจากวิหารแห่งความยุติธรรม ไม่อย่างนั้นสถานะที่เป็นพันธมิตรของท่านจะกลายเป็นชื่อแดง! (หมายถึงท่านชื่อแดง ไม่ใช่พวกเขา)]

[อย่าขายสินค้าที่ขโมยมาหน้าวิหารแห่งความยุติธรรม เพราะผู้ศรัทธาของเทพเจ้าแห่งความยุติธรรมจะตัดคุณออกจากการเป็นพัธมิตร]

[เพิ่มคลาสใหม่สำหรับวอร์ริเออร์ : ซอร์ดมาสเตอร์]

[คำแนะนำคลาส]

[ซอร์ดมาสเตอร์: ผู้ที่ฝึกฝนดาบมาทั้งชีวิต พวกเขาเชื่อว่าสิ่งที่จำเป็นในการฝึกฝนนอกจากร่างกาย ทักษะ และหัวใจ คือความกล้าหาญที่จะทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นพวกเขาจึงปิดผนึกความสามารถในการใช้โล่และการป้องกันทุกชนิด และมุ่งเน้นไปที่การโจมตี เป้าหมายคือการเป็นสุดยอดนักดาบผู้คลั่งไคล้ในวิถีดาบ!]

[คลิกที่นี่เพื่อดูวิดีโอสาธิต]

[ข้อกำหนดในการเปลี่ยนคลาส: วอร์รเออร์เลเวล 15 ขึ้นไปสามารถทำเควสเปลี่ยนคลาสได้]

เนื่องจากเขาไม่ได้ดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่ ๆ ในครั้งนี้ ซีเว่ยจึงไม่ได้เพิ่มขีดจำกัดเลเวล เขาคิดว่ามันเพียงพอแล้วสำหรับผู้เล่นที่จะทำงานหนักเพื่อไปให้ถึงเลเวล 60

นี่เป็นชีวิตจริงไม่ใช่เกม ดังนั้นจึงไม่มีสัตว์ประหลาดจำนวนมากนอนรอพวกเขา นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้เล่นมองใครบางคนเป็นศัตรูตัวฉกาจ เนื่องจากถูกขโมยฆ่าสัตว์ประหลาด…

ระบบพันธมิตรกับวิหารแห่งความยุติธรรมถูกสร้างขึ้น เนื่องจากเขาได้รับพลังจากอัสลานมาจำนวนมาก เขาเลยต้องการอำนวยความสะดวกให้กับเขาสักหน่อย

แม้ว่าสิงโตจะถูกซีเว่ยแกล้งอยู่ตลอด แต่จริง ๆ แล้วเขาแข็งแกร่งกว่าซีเว่ยหลายเท่า…

คลาสใหม่ที่เขาเพิ่มเข้ามาในครั้งนี้ ถูกสร้างขึ้นหลังจากที่เขาทำการวิเคราะห์เศษวิญญาณของซอด

นี่เป็นคลาสที่มีเพียงทักษะและความหลงใหลในดาบเท่านั้น มันไม่ได้มีพลังพิเศษอื่นใด เช่นเพิ่มพลังโจมตีเมื่อถืออาวุธประเภทของมีคม

และเป็นเช่นเดียวกับคลาสระดับ 2 อื่น ๆ ซีเว่ยได้แบ่งทักษะของมันออกเป็น 3 สาย จากประสบการณ์ทั้งหมดของซอด

[เบอร์เซิร์กเกอร์] สายที่ทิ้งการป้องกันไปเพื่อแลกกับพลังทำลายล้างที่แท้จริง

[เก็งโยคุ]* สายที่คล้ายกับตัวตนของซอดมากที่สุด ซึ่งจะทำให้ผู้เล่นเชี่ยวชาญในเพลงดาบมากมาย เอาชนะศัตรูด้วยความแข็งแกร่งที่แท้จริง หยุดการโจมตีของศัตรูและสวนกลับไปอย่างหนักหน่วง

(เก็งโยคุ คือ สุดยอดเพลงดาบ)

สายสุดท้ายคือ [รันบุ]* หรือ ‘ข้าไม่รู้ทักษะอะไรเลย แต่ข้าจะเอาชนะเจ้าให้ได้!’ ซึ่งเป็นสายที่ไม่ได้เน้นการใช้ทักษะเลย แต่เน้นไปที่กลยุทธ์การโจมตีที่เหมาะสมกับศัตรูเพื่อเอาชนะศัตรู จุดเด่นเพียงอย่างเดียวคือการชนะโดยไม่ใช่ทักษะ

(รันบุ แปลจีนคือ เพลงดาบแห่งความวุ่นวาย อารมณ์ของสายนี้น่าจะเหมือนวิชาหมัดเมา)

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นในหมู่ผู้เล่น

ผู้เล่นวอร์ริเออร์บางคนฉลองราวกับว่านี่เป็นงานเทศกาลของพวกเขา พวกเขาคิดว่าคลาสของพวกเขาเป็นที่รักของเทพเจ้าแห่งเกม…พวกเขาเป็นคลาสเดียวที่มีคลาสให้เปลี่ยนถึง 2 คลาส!

ในขณะเดียวกัน บางคนก็คร่ำครวญเมื่อเห็นคลาสใหม่

แม้ว่าคลาสนักดาบวิญญาณจะแข็งแกร่ง แต่คลาสซอร์ดมาสเตอร์ก็หล่อมาก! โดยเฉพาะวิดีโอสาธิตของสายเก็งโยคุ ที่สง่างามและแข็งแกร่งอย่างไร้ขีดจำกัด วิธีที่มันหยุดการโจมตีของศัตรู และสวนกลับได้ทุกการเคลื่อนไหว ก็ทำให้มันเป็นคลาสที่เจ๋งที่สุด!

ไม่มีใครรู้ว่าซีเว่ยจัดฉากวิดีโอขึ้นโดยมีจุดประสงค์บางอย่าง โดยเฉพาะสาย ‘เก็งโยคุ’ มันจะสอนเทคนิคดาบให้กับผู้เล่นโดยตรง แต่วิธีการปัดป้อง การหยุดทักษะ การเล็งโจมตีจุดอ่อน และการสวนกลับอย่างถูกต้องนั้น ผู้เล่นจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ระบบอัตโนมัติเหมือนสายอื่น

เพราะหากซีเว่ยบอกความจริง อาจไม่มีใครเลือกเล่นสายนี้

พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ ถ้าผู้เล่นคนอื่นเล่น World of Warcraft ผู้เล่นที่เลือกสาย ‘เก็งโยคุ’ ก็กำลังเล่น Sekiro ทั้งที่พวกเขาไม่มีความอดทนเพียงพอ

(World of Warcraft เกมส์แนว MMORPG จากค่าย Blizzard ดินแดนแห่งแฟนตาซี ดาบและเวทมนตร์ การต่อสู้ ผจญภัย และสงคราม)

(Sekiro เกมซีรีย์ Souls แบบเดียวกับ Dark Souls เราบอกได้แค่ว่า ความตายคือบทเรียนของคุณ)

หากเขาบอกความจริงที่ผู้เล่นจะต้องเผชิญเมื่อพวกเขาเลือกสายนี้ บางที่มันอาจมีชื่อว่า ‘ร้อยวิธีตาย: ฉบับผู้เล่น’…

จากนี้ สไปร์ทซึ่งเป็นไอเทมที่ขายยากที่สุดในร้านค้าระบบ (สามารถซื้อได้เพียงครั้งเดียวต่อวัน) ก็จะกลายเป็นหนึ่งในสินค้าขายดีที่สุด เพราะมันสามารถรีเซ็ตคะแนนทักษะได้

—————————

มื่อซีเว่ยกลับไปยังอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา อัสลานก็กำลังรอเขาด้วยสีหน้าหดหู่

“เป็นยังไงบ้าง”

เมื่อเห็นซีเว่ยกลับมา สิงโตตัวใหญ่ก็ถามทันที

เนื่องจากการแทรกแซงของไข่ปีศาจ และพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เล็ดลอดออกมาจากตัวซีเว่ย การรับรู้ของอัสลานจึงถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในแดนมรรตัย

“เรียบร้อย” ซีเว่ยแสดงให้เขาเห็นบางสิ่งที่ดูเหมือนลูกแก้วคริสตัล

“ให้ตายเถอะ เจ้าจับวิญญาณของนักดาบคนนั้นไว้ทำไม…?” สิงโตค่อนข้างประหลาดใจ “จำเป็นด้วยหรือ”

“ข้าสนใจเทคนิคดาบของเขา” ซีเว่ยตอบแบบสบาย ๆ “แม้ข้าจะต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ไปค่อนข้างมาก แต่ข้าก็คิดว่ามันคุ้มค่า”

อัสลานมองเขาเหมือนเห็นคนบ้า

“อันดับแรกคือเทพธิดาสมุทร จากนั้นก็เป็นเจ้าแห่งยอดเขา และตอนนี้แม้แต่ราชาแห่งความตายฮาเดส? ทำไมเจ้าถึงขยันสร้างปัญหาขนาดนี้…เจ้าจะท้าทายตรีเอกานุภาพต่อหรือไม่”

“อย่าพึ่งสติแตก มันเป็นแค่วิญญาณดวงเดียว เขาไม่สังเกตด้วยซ้ำว่ามันหายไป!”

ซีเว่ยยิ้มปลอบอัสลาน เขาไม่ต้องการสูญเสียพันธมิตรดี ๆ แบบนี้ เขาไม่ต้องการจัดการปัญหาทุกอย่างด้วยตัวเอง เขาเป็นเพียงแค่ลูกบอลเรืองแสง!

“เรื่องของเทพธิดาสมุทรและเจ้าแห่งยอดเขาเป็นเพียงความเข้าใจผิด ข้ามั่นใจว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยเมื่อข้าเข้มแข็งพอที่จะเอาชนะพวกเขาได้!”

“อย่าแม้แต่จะคิด!” อัสลานจ้องมองเขาอย่างโกรธ ๆ เหมือนพ่อที่เบื่อหน่ายลูกชายที่เอาแต่สร้างปัญหา

ซีเว่ยตอบกลับด้วยการเริ่มกะพริบเหมือนไฟดิสโก้

“หยุดกะพริบ ข้าไม่ได้โกรธจริง ๆ…” อัสลานถอนหายใจ “ไม่ว่ายังไง ข้าก็เป็นหนี้เจ้าสำหรับเรื่องนี้ ดังนั้นข้าจะช่วยเจ้าหากเจ้ามีปัญหา”

เขาไม่รู้ว่าซีเว่ยมาจากต่างโลก ดังนั้นเขาจึงไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ หากจะข้ามไปมาระหว่างอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์และดินแดนมรรตัย ดังนั้นเขาจึงคิดว่าความเป็นพระเจ้าของซีเว่ยเสียหายโดยการลงไปสู่แดนมรรตัยผ่านการจุติ เขาเลยค่อนข้างรู้สึกผิดกับเรื่องนี้

เพราะการลงไปยังดินแดนมรรตัยผ่านร่างทรง โลกจะไม่อนุญาตให้เทพต่อสู้ และในสถานที่ ๆ ดาบปีศาจปรากฏตัว ซีเว่ยก็ไม่มีผู้ศรัทธาใด ๆ ที่อนุญาตให้เขาลงมาโดยการครอบครองร่าง ในการรับรู้ของอัสลาน ซีเว่ยได้จุติลงมาด้วยตัวเองโดยไม่สนใจความเป็นพระเจ้าของเขาที่ยังไม่สมบูรณ์ดี และฆ่าดาบปีศาจเพื่อเขา

สิงโตตัวใหญ่รู้สึกพอใจกับการตัดสินใจเลือกพันธมิตรของเขาในครั้งนี้มาก เขาขอบคุณซีเว่ยจนถึงกับเริ่มพิจารณาว่าซีเว่ยเป็นพี่น้องของเขา

“เอาล่ะ ถ้างั้นโปรดสนับสนุนพลังศักดิ์สิทธิ์ให้ข้าหน่อยจะได้ไหม” ซีเว่ยหยิบกะโหลกของเทพกระดูกเน่าออกมาจากเครื่องปั่น และส่งมอบให้อัสลานด้วยความเคารพ “เก็บมันไว้ที่นี่”

พลังศักดิ์สิทธิ์เป็นพลังงานประเภทหนึ่งที่ยากจะเก็บ ภาชนะและวัสดุที่สามารถรองรับพลังศักดิ์สิทธิ์และดูดซับมันได้ จะทำให้วัสดุเหล่านั้นมีคุณภาพสูงขึ้น แต่ในแง่การจัดเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นทำได้ไม่ดีนัก ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ภาชนะสำหรับพลังศักดิ์สิทธิ์

พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ถ้ามีคนประดิษฐ์แบตเตอรี่โทรศัพท์ขึ้นมา และเมื่อคุณชาร์จแบตเตอรี่เป็นเวลาครึ่งวัน นักประดิษฐ์จะบอกคุณว่า แบตเตอรี่จะอัพเกรดเป็นเลเวล 2 เมื่อดูดซับพลังงานไฟฟ้าแล้ว มันจะหนักขึ้นและอาจกันกระสุนได้…? แล้วพลังงานแบตเตอรี่ล่ะ? ขออภัยมันยังอยู่ที่ศูนย์…ดังนั้นคุณสามารถถือโทรศัพท์ของคุณที่เครื่องดับไปแล้วสะท้อนหน้าตัวเองได้อย่างเดียว…

ร่างกายของเทพเป็นวัสดุที่ดีที่สุดในการเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ การใช้ร่างเทพเป็นที่กักเก็บพลังงานเป็นเรื่องที่รู้กันดี แต่ไม่มีใครสามารถก้าวข้ามอุปสรรคทางจิตใจเพื่อทำเช่นนั้นได้

ขณะนี้ สิงโตเทพกำลังจ้องมองอย่างโง่งมเข้าไปในเบ้าตากลวง ๆ ของหัวกะโหลกตรงหน้า และเริ่มตั้งคำถามว่าพันธมิตรของเขาคนนี้จะกลายเป็นเทพเจ้าชั่วร้ายหรือไม่…

แต่เขาก็ยังคงชาร์จพลังใส่หัวกะโหลกจนเต็ม ซีเว่ยเฝ้าดูขณะที่หัวกะโหลกของเทพกระดูกเน่ากลายเป็นหัวกะโหลกของสิงโต

ด้วยเหตุนี้ ซีเว่ยจึงเริ่มคิดเกี่ยวกับความอ่อนตัวของร่างเทพเจ้า

“ข้าจะกลับแล้ว อย่าลืมติดต่อข้าหากมีอะไรเกิดขึ้น…” อัสลานจ้องมองซีเว่ยด้วยสายตาซับซ้อน เขามองไปมาระหว่างลูกบอลเรืองแสงและหัวกะโหลกสิงโตที่ถูกพันด้วยหนวดอย่างแน่นหนา ราวกับว่าเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการจากไปโดยเร็วที่สุด ในขณะที่ร่างของเขาหายไป เขาก็กล่าวว่า “อา จริงสิ ปีศาจเริ่มปรากฏตัวมากขึ้นในดินแดนมรรตัย ดังนั้นเจ้าควรเตือนผู้ศรัทธาของเจ้าให้ระวังมากขึ้น…”

แองโกร่าละสายตาจากโพสต์บนฟอรัมที่มีชื่อว่า [ข้าตาย!]

ผู้เล่นที่โพสต์ ดูเหมือนจะไปกินอาหารในร้านเหล้าแบบสุ่มที่ไหนไม่รู้ และคนทั้งร้านก็เริ่มต่อสู้กัน จากนั้นเขาก็ถูกฆ่าตายทันทีแบบไม่รู้ตัว

เนื่องจากไม่มีเครลิคอยู่ใกล้ ๆ ในขณะที่เขาเสียชีวิต เขาจึงติดอยู่ในช่องว่างระหว่างความเป็นและความตายเป็นเวลา 3 วัน ในขณะที่เขายังคงติดอยู่ในห้องขังมืด ๆ เล็ก ๆ เขาก็ตระหนักว่า เควสที่ชื่อว่า [ค้นหาผู้ใช้ดาบปีศาจ] ที่เขาได้รับจากแองโกร่านั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว เป็นผลให้เขาได้รับ EXP จำนวนมาก ไม่เพียงแต่มันจะชดเชย EXP ที่เขาสูญเสียไปเท่านั้น แต่ยังให้เหรียญเกมมาอีกจำนวนมาก

ผู้เล่นคนอื่น ๆ อ่านโพสต์ของผู้เล่นคนนี้และพากันตอบกลับว่า ‘เทพเจ้าแห่งเกมไม่ออกเควสให้เจ้าไปตายหรอก’ ‘ถ้าเจ้าเพิ่มเลเวลได้ทุกครั้งที่เจ้าตาย มาร์นี่ก็เวลตันไปแล้ว’ ‘เจ้าตายที่ไหน? ข้าต้องการปล้นศพเจ้า!’

แน่นอน แองโกร่าสามารถยืนยันได้ว่าผู้เล่นคนนี้พูดความจริง

ไม่นานก่อนที่จะมีโพสต์นี้ออกมา แองโกร่าก็ได้รับการแจ้งเตือนของระบบว่าเควสเสร็จสมบูรณ์ แม้แต่ของรางวัลก็ยังถูกส่งมอบให้เขาแล้ว

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ แองโกร่าก็นำไม้กายสิทธิ์ออกมาจากคลังระบบ

ไม้กายสิทธิ์เป็นไม้คทาที่ดูสวยงามแต่เรียบง่าย มันมีความยาวประมาณ 11 นิ้ว และมีขนนกฟีนิกซ์ที่สวยงามแกะสลักอยู่ตรงด้าม

[ไอเทม: ไม้กายสิทธิ์อัญเชิญจิตวิญญาณขนาดจิ๋ว (เกรด A)]

[รายละเอียด: ชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่ศัตรูที่ท่านต้องการฆ่า และตะโกนว่า ‘ผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์!’ เพื่อเรียกวิญญาณผู้พิทักษ์ในรูปลักษณ์ของสิงโตออกมา! วิญญาณผู้พิทักษ์ที่คุณเรียกออกมา จะสามารถคงอยู่ได้หนึ่งนาที และคุณสามารถใช้คาถานี้ได้ 3 ครั้ง]

[หมายเหตุ: ถึงแม้ว่าวิญญาณผู้พิทักษ์จะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่านักฆ่าจินนี่ (นี่คือเหตุผลว่าทำไมมันถึงเป็นเพียงไอเทมเกรด A เท่านั้น แม้ว่าจะสามารถใช้มันได้ 3 ครั้งก็ตาม) มันค่อนข้างโง่ ดังนั้นวิธีสั่งการของท่านจึงสำคัญมาก! แม้ว่าไม้กายสิทธิ์นี้จะดูเท่ แต่น่าเสียดายที่ท่านไม่สามารถใช้มันเพื่อร่ายเวทย์อื่น ๆ ได้]

แองโกร่าระงับความต้องการเรียกวิญญาณผู้พิทักษ์ และเรียกวีลาเข้ามา

“เจ้าไปหาผู้ส่งสารของพ่อข้า” แองโกร่าพูดอย่างมั่นใจ “บอกเขาว่า เราจะเริ่มเดินออกทางไปยังดัชชีอินทรีเงินในวันพรุ่งนี้”

ซอดเกิดมาในครอบครัวนักดาบ พ่อแม่และบรรพบุรุษของเขามีชะตากรรมเกี่ยวพันกับดาบอย่างลึกซึ้ง ไม่แปลกเลยที่ซอดจะหลงใหลดาบมาตั้งแต่ยังเด็ก

เขาเป็นอัจฉริยะในด้านดาบ

ตอนอายุ 12 ปี เขาเรียนรู้ทักษะทั้งหมดของพ่อ ซึ่งเป็นถึงที่ปรึกษาดาบของราชวงศ์ และได้รับชัยชนะเหนือพ่อของเขา วันหนึ่ง เมื่อเขาพบว่าเขาไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้อีกต่อไปหากเขายังอยู่ที่บ้าน เขาก็เริ่มออกเดินทาง

ตอนที่เขาอายุ 15 ปี ซอดก็เข้าใจเทคนิคดาบมากกว่า 1,000 ชนิดแล้ว นอกจากนักดาบในตำนานที่มี ‘ปาฏิหาริย์’ มันก็ยากที่จะหาใครที่สามารถเอาชนะเขาได้ด้วยดาบ

จากนั้นซอดก็ประสบความพ่ายแพ้อย่างน่าเศร้าด้วยน้ำมือของผู้วิเศษ ซึ่งนั่นทำให้เขารู้ว่าเพลงจำนวนมากที่เขามีนั้นไร้ประโยชน์ หากเขาไม่สามารถใช้มันได้อย่างถูกต้อง

ดังนั้นเขาจึงเริ่มฝึกฝนตัวเองผ่านการต่อสู้ เขาเริ่มผสมผสานและปรับแต่งเพลงดาบเฉพาะตัวของเขา พอนานวันเข้า เพลงดาบของเขาก็ค่อย ๆ เรียบง่ายขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อเขาอายุ 18 ปี ในที่สุดเขาก็สามารถตกผลึก และรวมเทคนิคดาบของเขาทั้งหมดเข้าด้วยกัน ให้เหลือเพียง 5 กระบวนท่าดาบ คือ ดาบสังหารมนุษย์ ดาบสังหารเวทมนตร์ ดาบสังหารวัตถุ ดาบสังหารสัตว์ร้าย และดาบสังหารปีศาจ

ภายใต้ดาบทั้ง 5 นี้ ทุกสิ่งสามารถตัดขาดได้!

เขาคิดว่าตัวเองยังมีชีวิตที่ยืนยาวรออยู่ข้างหน้า และสามารถค้นหาความหมายที่แท้จริงของศิลปะดาบ จากนั้นก็สร้าง ‘ปาฏิหาริย์’ ที่เป็นของเขาเท่านั้นขึ้นมา

แต่ตอนที่เขาอายุได้ 19 ปี หน้าอกของเขาก็เริ่มเจ็บโดยไม่มีเหตุผล เขาเริ่มกระอักเลือดออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

อาการเหล่านี้ทำให้ร่างกายของเขาเริ่มอ่อนแอลงในแต่ละวัน

ในฐานะนักดาบที่เดินทางไปทั่วทวีปเป็นเวลาหลายปี เขาจึงมีเพื่อนมากมายเป็นเรื่องธรรมดา เขาได้ติดต่อเพื่อนของเขาเพื่อหาหนทางรักษา

หลังจากนักบวชชราได้ตรวจสอบอาการของเขาแล้ว เขาก็ได้รับแจ้งว่าเขาเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่ถูกสาป โรคที่รักษาไม่หาย

ผู้ที่มีร่างกายนี้ จะทนต่อศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ประเภทรักษาทุกชนิด และผู้ที่ถูกสาปจะมีอายุได้มากสุดเพียง 20 ปี

ข่าวร้ายนี้มากเกินกว่าที่นักดาบอัจฉริยะคนนี้จะรับได้ ซอดขังตัวเองอยู่ในบ้านด้วยความสิ้นหวัง

เขายังมีแผนการมากมายที่ยังไม่ได้ลงมือทำ และยังไปไม่ถึงระดับตำนาน ชีวิตของเขาพึ่งจะเริ่มต้น…

หลังจากนั้น เขาก็ได้ค้นพบดาบปีศาจที่บรรพบุรุษของเขาผนึกเอาไว้ในห้องใต้ดินในคฤหาสน์ของตระกูล และสิ่งที่ติดอยู่กับมันบอกเขาว่า ถ้าเขากลายเป็นปีศาจ เขาจะสามารถยืดอายุขัยของเขาได้ และถ้าเขาสามารถฆ่าเทพและขโมยความเป็นเทพเจ้ามาเป็นของตัวเองได้ เขาก็จะสามารถรักษาร่างกายที่ถูกสาปได้อย่างสมบูรณ์!

ดังนั้นซอดจึงก้าวเข้าสู่เส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับ หลังจากที่เขาถือดาบเล่มนั้น

“เจ้าถูกไข่ปีศาจสิงสู่! แม้ว่าเจ้าจะฆ่าเทพ เจ้าก็ไม่สามารถรักษาร่างที่ถูกสาปของเจ้าได้ คำพูดของปีศาจไม่สามารถเชื่อถือได้!”

อัสลานหลบการโจมตีของซอด เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “นอกจากตรีเอกานุภาพแห่งการสรรค์สร้างแล้ว ก็ไม่มีเทพองค์ใดช่วยเจ้าได้ นี่ไม่ใช่ความเจ็บป่วย แต่เป็นเพราะร่างกายของเจ้าต่างหากที่พิเศษ…”

“ไม่เป็นไร ข้าไม่เคยเชื่อคำพูดของมันมาตั้งแต่แรกแล้ว สิ่งที่ข้าต้องการคือเวลา!”

ซอดดึงปกเสื้อขึ้นมาปิดหน้าอีกครั้ง “เจ้านั่นมักจะพูดเรื่องไร้สาระอยู่ในหัวข้า ดังนั้นข้าจึงฆ่ามันและสร้างกระบวนท่าที่ 6 ได้สำเร็จ กระบวนท่านั้นเรียกว่าดาบสังหารปีศาจ…ตอนนี้ข้าเหลือเพียงกระบวนท่าสุดท้าย ก่อนที่เทคนิคดาบของข้าจะสมบูรณ์แบบ และสิ่งที่ข้าต้องการก็คือกระบวนท่านี้… ”

เขาเล็งดาบของเขาไปที่อัสลานอีกครั้ง และตะโกนว่า “ดาบสังหารเทพ!”

“ไร้ประโยชน์ ดาบของมนุษย์ไม่สามารถแตะต้อง….”

ก่อนที่อัสลานจะพูดจบ แสงสีแดงก็สว่างวาบ จากนั้นร่างของสิงโตตัวใหญ่ก็ค่อย ๆ เลือนหายไป เขาตกใจมาก “อะไรกัน…”

วินาทีต่อมา ร่างของอัสลานก็หายไปอย่างสมบูรณ์ มีเพียงรูปปั้นของสิงโตสีเงินที่ถูกฟันขาดครึ่งสูญเสียความมันวาวกองอยู่ที่พื้น

“สำเร็จ! ในที่สุดข้าก็…”

“ไม่ มันไม่สำเร็จ”

“นั่นใคร!” ซอดตอบสนองทันทีและวาดดาบไปยังทิศทางของเสียง แต่ดาบของเขาก็ถูกหยุดเอาไว้ด้วยมือเดียว

“น่าเสียดายที่ดาบสังหารเทพของเจ้ายังไม่สมบูรณ์” ซีเว่ยร่างมนุษย์กล่าวขณะที่เขาถือใบดาบเอาไว้ในมือ “นี่เป็นข้อความจากสิงโตตัวนั้น สิ่งที่เจ้าพึ่งฟันไปเป็นเพียงวิธีการลงไปสู่ดินแดนมรรตัย ที่เป็นการผสมผสานระหว่างร่างทรงและการฉายภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้ความเป็นเทพเจ้าของเขาเสียหาย สิ่งที่ดาบของเจ้าตัดไป เป็นเพียงพาหะที่เขาใช้ในการลงมาสู่แดนมรรตัย เมื่อมันถูกทำลาย เขาก็จะถูกส่งกลับไปโดยกฎของโลก เจ้าทำได้เพียงให้อัสลานไม่สามารถกลับลงมาที่นี่ได้ชั่วขณะ”

“ให้ตายเถอะ เจ้าก็เป็นเทพ!”

ซอดดึงดาบของเขากลับทันทีและสร้างระยะห่างจากซีเว่ย

“เจ้าแข็งแกร่งมาก ข้าไม่ปฏิเสธ แต่เจ้าจะไม่สามารถทำลายเราได้ หากปราศจากพลังแห่งปาฏิหาริย์ นี่คือกฎเหล็กของโลกใบนี้ เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เจ้ายังไม่ได้สร้างปาฏิหาริย์ของเจ้า”

ซีเว่ยกางแขนของเขาและพูดต่อว่า “หากเป็นสิงโตตัวนั้น เขาก็น่าจะพูดว่า ‘ข้ายอมรับว่าเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด ภายใต้นักรบในตำนาน!’ …หรืออะไรทำนองนั้น”

“ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่าข้ามีเป้าหมายอื่นที่นี่เหรอ? คืนนี้ยังอีกยาว ข้ารู้สึกสนุกมาก!”

ซอดไม่ให้ความเคารพต่อซีเว่ยเลยแม้แต่น้อย เขาดูตื่นเต้นมาก

ซีเว่ยทำเพียงแค่งับนิ้วของเขา และพลังที่มองไม่เห็นก็ได้ระเบิดส่งซอดบินไปชนกำแพงอย่างแรง และไอออกมาเป็นเลือด

ในฐานะที่เป็นฐานลับของวิหารแห่งความยุติธรรม กำแพงทั้งหมดของร้านเหล้าจึงมีความแข็งแกร่งมาก และไม่สามารถทำลายได้ง่าย ๆ

ซอดลุกขึ้นยืนอย่างสั่นเทา สีหน้าของเขาไร้ซึ่งความเจ็บปวดใด ๆ ตอนนี้เขาคลั่งยิ่งกว่าเดิมอีก

แต่เมื่อเขาก้าวไปหาซีเว่ย ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยว

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!” ซอดฉีกเสื้อโค้ทออก เผยให้เห็นเสื้อด้านในของเขาที่ชุ่มไปด้วยเลือด และถึงจะมองผ่านชั้นผ้า รูนที่เรืองแสงสีแดงเข้มก็ยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจนโดยมีแกนกลางเป็นหัวใจของเขา

เห็นได้ชัดว่าอักษรรูนสีแดงเข้มเหล่านั้นกำลังกัดกินร่างกายของเขา และทำให้เขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป

ซอดยกดาบขึ้นทันที และใช้ด้ามจับฟาดเข้าไปที่หน้าอกด้วยกำลังทั้งหมดของเขา พลังที่ระเบิดออกมา ถ้าเขาเป็นคนธรรมดา หัวใจของเขาคงถูกทำลายไปแล้ว

“อย่ามาขวางข้า! ข้าต้องการท้าทายเทพเจ้าในฐานะมนุษย์! อึก!”

แม้แต่ซีเว่ยก็ยังตกใจกับการกระทำของซอด

ภายใต้เสียงคำรามของซอด อักษรรูนสีแดงเข้มบนร่างเขาก็หายไป

แต่เพราะเหตุการณ์นั้น ทำให้หน้าของซอดซีดขาวและอ่อนแอลง

“จงดู นี่จะเป็นดาบสุดท้ายของข้า…” เขาดูเหนื่อยล้า ซอดจับดาบของเขาแน่นด้วยพลังทั้งหมดของเขา และชี้มันไปที่ซีเว่ย

ซีเว่ยรู้ว่าเขาสามารถฆ่าซอดได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเหนื่อยแรง แต่เมื่อเขาเห็นสภาพของซอดตอนนี้ ในที่สุด เขาก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ และจ้องไปที่ซอดด้วยสายตาจริงจัง “เข้ามา!”

“ดาบสังหารเทพ!”

ร่างของมนุษย์และเทพเจ้าสวนทางกัน จากนั้นพวกเขาก็ยืนหันหลังให้กันเงียบ ๆ

ครู่ต่อมา ร่างของซอดก็ทรุดลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง

“ข้ายังหลง…มนุษย์…ไม่มีทางเข้าใกล้เทพได้อย่างแท้จริง…”

“ไม่ เจ้าสร้างปาฏิหาริย์ได้ในที่สุด” ซีเว่ยหันไปหาเขา และยื่นมือของเขาไปทางซอด

ที่นิ้วชี้ของเขา มีบาดแผลที่เล็กมากอยู่บนนั้น “ยินดีด้าย เจ้าเป็นมนุษย์คนแรกที่ทำร้ายเทพได้ทั้งที่ไม่ใช่ตัวตนระดับตำนาน”

“ช่างเป็นเกียรติจริง ๆ…เจ้า เป็นเทพเจ้าแบบไหน…เจ้ามาฆ่าข้า เพื่อ…ความยุติธรรมด้วยหรือ”

“ข้าคือเทพเจ้าแห่งเกม อันที่จริงข้าไม่ได้สนใจเรื่องปีศาจอะไรนั่นหรอก เหตุผลเดียวที่ข้าฆ่าเจ้าก็เพราะเจ้าฆ่าผู้ศรัทธาของข้าต่อหน้าสิงโต ซึ่งทำให้ข้าเสียหน้ามาก…ดูผู้ชายตรงนั่นสิ” ซีเว่ยชี้ไปที่ศพของผู้เล่น ที่เริ่มจางหายไปหลังจากเวลาการชุบชีวิตหมดลง

“ฮ่าฮ่าฮ่า…เทพเจ้าที่น่าสนใจ…” ซอดพูดช้า ๆ “อ่า…ข้ามองไม่เห็น…อะไรเลย….อึก…ข้าอยากจะแกว่งดาบ…. อีกครั้ง….”

“…” ซีเว่ยถอนหายใจ ขณะที่เขาเอื้อมมือลงไปแตะที่หน้าผากของซอดเบา ๆ “ข้าทำตามความปรารถนาของเจ้าไม่ได้ แต่ข้าสามารถช่วยสืบทอดมรดกของเจ้าได้…”

ซอดไม่ได้ตอบกลับ เขาตายลงอย่างเงียบ ๆ

——————————-

ที่ร้านเหล้าเล็ก ๆ ใกล้เมืองไร้ชื่อ

ความจริง มันค่อนข้างไม่ถูกต้องที่จะเรียกที่นี่ว่าร้านเหล้า ส่วนใหญ่เป็นเพราะไม่มีใครเลือกที่จะตั้งร้านเหล้าที่นี่ ที่แม้แต่เมืองที่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างออกไปมากกว่า 10 กิโลเมตร

ถ้าจะเทียบกับนิยายเรื่อง 108 ผู้กล้าหาญแห่งเขาเหลียงซาน* สถานที่แบบนี้ คงเป็นสถานที่ที่ร่มรื่นสำหรับเสิร์ฟขนมปังเนื้อมนุษย์ และเครื่องดื่มที่น่าสงสัยที่ทำจากวัสดุที่ไม่รู้จัก

(108 ผู้กล้าหาญแห่งเขาเหลียงซาน (ซ้องกั๋ง) ผู้กล้าหาญแห่งเขาเหลียงซาน (อังกฤษ: Water Margin, Outlaws of the Marsh, All Men Are Brothers จีน: ซ้องกั๋ง 宋江 หรือ สุยหู่จ้วน 水浒传) เป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนร่วมกับ สามก๊ก ไซอิ๋ว และความฝันในหอแดง)

วันนี้ร้านเหล้าเต็มไปด้วยผู้คนและดูมีชีวิตชีวามาก

ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านนอก หิมะและลมหนาวที่พัดโหมกระหน่ำผ่านประตูปลิวเข้ามา ตัดกับบรรยากาศที่อบอุ่นในร้าน

สิ่งที่มาพร้อมกับหิมะ คือชายคนหนึ่งในเสื้อโค้ทหนาปกสูง ไม่เพียงแต่ปกคอเสื้อจะปิดไปถึงคอ แต่ยังปิดไปถึงครึ่งหน้าของเขาด้วย

ที่สะโพกของเขามีดาบสีเลือดแปลก ๆ ห้อยอยู่ เขาสวมหมวกหนังทำให้ดูเหมือนทหารรับจ้างทั่วไป แต่ภายใต้เงาของหมวก มันไม่ใช่ดวงตาขุ่นมัวเพ้อฝันเหมือนของทหารรับจ้าง แต่กลับเป็นดวงตาที่แหลมคม

บาร์เทนเดอร์ที่กำลังเช็ดแก้วสบตากับเขาเพียงชั่วครู่ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกราวกับว่าเขากำลังถูกแทง เขาจึงก้มหัวลงทันทีและหลีกเลี่ยงการสบตากับชายคนนั้น

“ร้านเหล้าของเจ้าที่นี่ค่อนข้างพิเศษ ใช่ไหม” ชายคนนั้นนั่งลงตรงหน้า และมองไปที่รูปปั้นสิงโตสีเงินที่วางไว้ขวาสุดของเคาน์เตอร์ “ไม่ใช่ว่าเจ้าควรวางรูปปั้นของเทพีแห่งความมั่งคั่งไว้ที่นั่นหรือ”

“เจ้าของร้านเราชอบรูปปั้นนี้มากกว่า” บาร์เทนเดอร์ตอบด้วยรอยยิ้มสุภาพ ก่อนจะพูดว่า “เจ้าจะรับอะไรดี”

“สเต็กเนื้อ” ชายคนนั้นตอบอย่างเย็นชา

การเคลื่อนไหวของบาร์เทนเดอร์หยุดลง “สุกแค่ไหน”

“แรร์ปานกลาง ย่างช้า ๆ” ชายคนนั้นพูดต่อ

หยดเหงื่อไหลลงมาตามหน้าผากของบาร์เทนเดอร์ ก่อนที่เขาจะคลี่ยิ้มออกมาอย่างฝืน ๆ แล้วพูดว่า “เอาล่ะ รอเดี๋ยว…”

“ไม่ ไม่ นั่นไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง!” ชายคนนั้นหัวเราะและพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ ราวกับว่าเขากำลังสอนลูกศิษย์ของเขา “ตอนนี้เจ้าควรพูดว่า ‘ใจและวิญญาณของข้า สะอาด และชัดเจนเหมือนกระจก’ และข้าควรตอบกลับไปว่า ‘การกระทำทั้งหมดของข้า เป็นไปตามความยุติธรรมและชัดเจน’ จากนั้นเจ้าก็ควรให้ข้าดูรายการคำพิพากษาไม่ใช่หรือ”

เมื่อเห็นว่าชายคนนั้นรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว บาร์เทนเดอร์ก็ไม่สนใจที่จะแกล้งทำอีกต่อไป เขารีบยกโทมาฮอว์กออกมาจากใต้บาร์ทันที ก่อนจะตะโกนว่า “พิพากษา!” และเหวี่ยงขวานไปที่คอของชายคนนั้น

เสียงตะโกนของบาร์เทนเดอร์คือสัญญาณ จากนั้น ลูกค้าในร้านเหล้าเกือบทั้งหมดก็ลุกขึ้นยืน และหยิบอาวุธขึ้นมาตะโกนว่า “พิพากษา!” ก่อนที่จะพุ่งเข้าโจมตีชายคนนั้น!

สาเหตุที่ใช้คำว่า ‘เกือบ’ ก็เพราะว่าที่มุมหนึ่งของร้านเหล้า มีผู้เล่นชื่อสีขาวที่เป็นเพียงลูกค้าธรรมดา ในขณะที่ทุกคนในร้านเหล้าลุกขึ้นพร้อมกัน เขากลับไม่ได้ลุก และได้แต่มองคนอื่น ๆ อย่างมึนงง เขามีคำว่า ‘เกิดอะไรขึ้น?’ ‘ฉันมาทำอะไรที่นี่’ และ ‘ฉันเป็นใคร?’ เขียนไว้บนหน้า

ผู้มาใหม่ไม่รู้สึกรู้สาต่อการโจมตีที่โถมเข้ามาเหมือนคลื่น เขาเพียงแค่ยิ้มและยืนขึ้น ก่อนที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสด้ามดาบ และเคลื่อนไหวราวกับว่าเขาเคยทำมันมาแล้วเป็นหมื่น ๆ ครั้ง

เสี้ยววินาทีต่อมา แสงสีแดงก็บานสะพรั่ง

เพียงครู่เดียว ทุกคนในร้านเหล้าก็ตัวแข็งทื่อราวกับว่าพวกเขาโดนกดปุ่มสต๊อป

จากนั้น ไม่นานเลือดก็พุ่งออกมาจากร่างกายของพวกเขาราวกับดอกไม้บาน ผู้คนทั้งหมดในร้านเหล้ากลายเป็นศพถูกหันร่วงลงกับพื้นโดยที่ไม่มีการขัดขืนใด ๆ ราวกับว่าพวกเขาไม่รู้ตัวว่าพวกเขาได้ตายไปแล้ว

สำหรับผู้เล่นที่ถูกบังและไม่เห็นอะไรเลย เขามองไปที่ส้อมของเขาที่ถูกเฉือนออกเป็นสองส่วน ในขณะที่คอของเขาร่วงตกลงไปที่พื้น…พลางบ่นในใจว่า ‘เชี่ย นี่ข้าตายยังไงเนี่ย’

หลังจากสังหารผู้ติดตามของเทพเจ้าแห่งความยุติธรรมทั้งหมด (พร้อมกับผู้เล่นที่ไร้เดียงสา) ชายคนนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ และเหลือบมองบาร์เทนเดอร์ที่ถูกตัดหัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเอื้อมมือไปหยิบขวดเหล้าและเทมันลงในแก้ว

จากนั้นเขาก็พบขนมปัง 2 ชิ้น และเนื้อรมควันจากเคาน์เตอร์บาร์ ในร้านเหล้ามีแต่ซากศพเกลื่อนกลาด และแม้แต่อากาศก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นสนิมของเลือด เขาดึงคอเสื้อของเขาลง เผยให้เห็นครึ่งล่างของใบหน้าที่มีเส้นเลือดสีแดงเข้มชัดเจน และเริ่มกินอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น การเคลื่อนไหวของเขาก็หยุดลง และสายตาของเขาก็มองไปที่รูปปั้นสิงโตสีเงินบนเคาน์เตอร์บาร์

ครู่ต่อมา รูปปั้นสิงโตสีเงินก็มีชีวิตขึ้นมา มันคำรามเสียงดังและกระโดดลงมาจากเคาน์เตอร์ กลายเป็นสิงโตที่สง่างามสูงใหญ่กว่าตัวคน

“เจ้าปีศาจ เจ้ากล้าฆ่าผู้ศรัทธาของข้ามากมายขนาดนี้ได้ยังไง!”

“เหอะเทพเจ้าเล่ห์ ถ้าข้าไม่ฆ่าพวกมัน เจ้าจะให้ข้ายืดคอรอให้พวกมันมาฆ่าข้ารึไง?” เขาเยาะเย้ย ไม่เพียงแต่เขาจะไม่กลัวเทพเจ้าเลยแม้แต่น้อย แต่ยังดูตื่นเต้นอย่างน่าประหลาด “แต่ในที่สุดข้าดึงเจ้าออกมาได้! นังเทพธิดาลูน่านั่นอ่อนแอเกินไป นางไม่กล้าแม้แต่จะออกมาเผชิญหน้ากับข้า มันไร้ประโยชน์ไม่ว่าข้าจะฆ่าผู้ศรัทธาของนางไปแล้วกี่คน! ไอ้ที่เรียกว่า ‘ความยุติธรรม’ ของเจ้านั้นยั่วยุง่ายกว่ามาก…มันไม่ไร้ประโยชน์ที่ข้าไล่ฆ่าพวกมัน”

“เจ้า…” สิงโตขนขาวหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนที่จะแสดงสีหน้าเหลือเชื่อ “เจ้ากำลังวางแผนฆ่าเทพเจ้า? ไม่ เจ้าไม่ใช่ปีศาจ หรือว่า…”

“ปีศาจ? โอ้ เจ้าหมายถึงสิ่งที่อยู่บนดาบเล่มนี้งั้นรึ?” ชายคนนั้นแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยัน ก่อนที่เขาจะพูดว่า “มันต้องการยึดร่างของข้า ข้าก็เลยกำจัดมันทิ้งไปแล้ว! ข้าไม่ต้องการความแข็งแกร่งและพลังของมัน! ถ้าไม่ใช่เพราะว่าดาบเล่มนี้สามารถยืดอายุขัยของข้า เพื่อให้ข้าได้สัมผัสกับความลึกล้ำของศิลปะดาบ และสัมผัสกับความรู้สึกของการต่อสู้ ข้าก็ไม่ต้องการมันเลย!”

“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ามีร่างต้องสาปที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เพียง 20 ปี…” เพราะอัสลานเป็นเทพ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจอิทธิพลของดาบปีศาจ เขามองสำรวจมนุษย์ตรงหน้า แต่เมื่อเขาได้พิจารณาอย่างใกล้ชิด เขาก็ยิ่งประหลาดใจ “สามารถระงับการกลืนกินจากปีศาจได้โดยปราศจากความช่วยเหลือ…จะมีมนุษย์เช่นนี้อยู่ได้อย่างไร…”

“หยุดพูดเรื่องไร้สาระซะที! ข้าจะฆ่าเจ้าที่นี่ และสร้างเทคนิคดาบสุดท้ายของข้าให้สำเร็จ!” ชายคนนั้นยกดาบชี้ไปที่สิงโตและตะโกนออกมา

“แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากไข่ปีศาจ แต่เจ้าก็ไม่สามารถยืดอายุขัยของเจ้าได้นานกว่านี้…นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าถึงยืนกรานที่จะฆ่า? หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะให้การพิพากษาเจ้าในฐานะเทพเจ้าแห่งความยุติธรรม!”

“ความยุติธรรม? ไร้สาระ! มองดูโลกที่สับสนวุ่นวายนี้สิ ความยุติธรรมที่เจ้าพูดถึงทำให้มันดีขึ้นได้งั้นเหรอ? ข้าไม่เคยเห็นความยุติธรรมมาก่อน! มีแต่การกลั่นแกล้งและเกรงกลัว ตอนนี้มาพูดถึงความยุติธรรมอะไร ข้าไม่สนใจฟังเจ้าพล่าม ไปตายซะ!”

ชายคนนั้นตะโกนความเชื่อมั่นของตัวเอง ก่อนที่เขาจะเหวี่ยงดาบเข้าหาเทพเจ้าโดยไม่ลังเล

——————————-

เพื่อทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เราต้องย้อนเวลากลับไปเล็กน้อย

ย้อนกลับไปตอนที่มิลเลอร์กำลังอาบน้ำในบ่อน้ำพุร้อนกับฝูงลิง แขกที่ไม่คาดคิดก็ได้มาถึงอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ย

“เฮ้ ข้ามาเยี่ยมเจ้า…” ทันทีที่เขาเข้ามา สีหน้าของสิงโตตัวใหญ่ก็แข็งค้าง คำพูดของเขาหยุดชะงักไปครึ่งทางเมื่อเห็นซีเว่ยกำลังมัดศพยักษ์แห้งแล้งด้วยหนวดของเขา ท่าทางนั้นสามารถอธิบายได้สั้น ๆ ว่า…ไม่เหมาะสมเลยสักนิด

“เดี๋ยวก่อน ไม่! ข้าอธิบายได้!” ซีเว่ยรู้สึกเสียใจทันทีที่เขาตัดสินใจมัดยักษ์แห้งแล้งแบบกระดองเต่า

“เจ้าขโมยยักษ์แห้งแล้งตัวนี้มาจากเจ้าแห่งยอดเขาเพื่อ…ทำเรื่องแบบนี้เหรอ?” ถ้าเขาเป็นเพียงเด็กอายุ 2-3 ร้อยปี เขาอาจจะหนีออกจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ยทันที แต่เขาก็เป็นเทพอายุพันปีแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาได้เรียนรู้แล้วว่าไม่แปลกที่เทพอื่น ๆ จะมีงานอดิเรกพิเศษ เมื่อได้เห็นยักษ์ที่กางขาออกเป็นรูปตัว ‘M’ เขาจึงแค่ไอเบา ๆ และพูดต่อว่า “ข้า ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเจ้าชอบจะอะไรแบบนี้…เจ้าควรระวังนิกายปฐพีไว้ดีกว่า”

“ผู้ศรัทธาข้ามอบมันให้ข้า…ช่างเถอะ แล้วท่านมาที่นี่ทำไม” ซีเว่ยอยากจะอธิบายตัวเอง แต่เขาคิดว่ามันมีแต่จะทำให้สถานการณ์ของเขาดูแย่ลงเท่านั้น “มีเทพองค์ไหนที่ต้องการหาเรื่องข้าไหม? ให้ข้าบอกท่าน เทพกะโหลกกับเทพธิดาสมุทร ทั้งคู่ไม่ใช่เทพที่ดี ดังนั้นอย่าเชื่อในสิ่งที่พวกเขาบอกท่าน! มาร่วมมือกันฆ่าพวกเขาและแยกความเป็นพระเจ้ากันเถอะ!”

“อย่าสร้างปัญหา ไม่ต้องนับเทพที่อ่อนแออย่างเทพกะโหลก แค่เทพธิดาสมุทรเพียงองค์เดียว ก็เพียงพอที่จะฆ่าพวกเราทั้งวิหารโดยไม่ต้องเสียเหงื่อแล้ว!” สิงโตตัวโตกลอกตาอย่างโกรธเคือง และไม่สนใจคำเยาะเย้ยของซีเว่ยที่ว่า “โอ้ วิหารล่องหนของเราอ่อนแอขนาดนี้เลยเหรอ” ก่อนจะพูดต่อว่า “ใช่ ข้ามีเรื่องจะขอให้เจ้าช่วยในครั้งนี้…ถ้าเป็นไปได้ข้าหวังว่าเจ้าจะส่งผู้ศรัทธาของเจ้ามาช่วยเรา”

เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของอัสลาน ซีเว่ยก็ค่อนข้างประหลาดใจ เขารู้ว่ามันไม่ดีที่จะล้อเล่นอีกต่อไป และเริ่มฟังสิงโตตัวใหญ่อย่างจริงจัง

“ครึ่งเดือนก่อน ผู้ศรัทธาของลูน่าหลายคนถูกทรมานและฆ่าทีละคน ผู้ศรัทธาคนอื่น ๆ ของเธอจึงร่วมมือกันจับกุมผู้ร้าย แต่ก็ไม่เป็นผล ตรงกันข้าม ผู้ที่เข้าร่วมการจับกุมถูกมันฆ่าตัดหัว…จากสภาพศพของเหยื่อ ข้าคิดว่าฆาตกรคือ…บัดซบ เจ้าวางไอ้นั่นลงทีได้ไหม? ข้าพูดต่อไม่ได้หากมีเจ้าสิ่งนั้นลอยอยู่เหนือหัวข้า!”

“ขอโทษ ขอโทษ”

ซีเว่ยปล่อยศพของยักษ์แห้งแล้งลงบนพื้นทันที ทำให้อัสลานพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

“ข้าพูดถึงไหนแล้ว?”

“มียักษ์ลอยอยู่เหนือหัวท่าน”

“โอ้ มันใหญ่มาก น่าตื่นเต้น…ไม่ใช่! เจ้าหยุดล้อเล่นได้แล้ว ข้ากำลังจริงจัง!”

“ได้เลย ๆ”

ซีเว่ยตบร่างกายกลม ๆ ของเขาด้วยความมั่นใจ ตัวเขาเริ่มสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าเขาต้องการแสดงให้เห็นว่าเขาจริงจังแค่ไหน

“อย่าเพิ่งตกใจกับสิ่งที่ข้ากำลังจะพูด” สิงโตพูดต่อ

“แน่นอนข้าก็เป็นเทพเจ้าเช่นกัน ข้าไม่กลัวหรอก!” ซีเว่ยตอบโดยไม่ลังเลใด ๆ

เมื่อเขาได้ยินดังนั้น เขาก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “หลังจากที่ข้ากับเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เราคิดว่า…”

“สืบ? พวกท่านใช้ดวงตาศักดิ์สิทธิ์เพื่อดูว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไม่ได้รึ”

“ก็เพราะเราไม่สามารถมองเห็นได้ว่ามันเป็นใครผ่านดวงตาศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเราเลยต้องสืบ…สรุปแล้ว เราคิดว่าผู้ร้ายคือผู้ใช้ดาบปีศาจ”

“ผู้ใช้ดาบปีศาจคืออะไร”

“ผู้ใช้ดาบปีศาจคือผู้ไม่มีศรัทธา ที่ถูกครอบงำโดยไข่ปีศาจ”

“ไข่ปีศาจ?”

ซีเว่ยรู้สึกสงสัยเมื่อได้ยินศัพท์ใหม่ เขาแน่ใจว่ามันไม่ได้อยู่ในความทรงจำของเทพเจ้าแห่งเกม และไม่ได้อยู่ในความทรงจำของเจ้าแห่งน้ำ

“เจ้ารู้เกี่ยวกับสงครามระหว่างเทพเจ้าและปีศาจใช่ไหม? มันคือสงครามที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งพันปีก่อน” อัสลานพูดต่อด้วยน้ำเสียงสะเทือนอารมณ์ “ข้าก็เข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนั้นด้วย เจ้ารู้ไหม! เมื่อข้าถูกล้อมโดยเทพศัตรู ข้าก็ฆ่าพวกมันทั้งหมดโดยไม่ต้องเสียเหงื่อ….”

“พรูดดด”

“เจ้าหัวเราะอะไร” สิงโตตัวใหญ่ขมวดคิ้ว

“ข้าคิดถึงบางอย่างที่ทำให้ข้ามีความสุข” ซีเว่ยตอบอย่างจริงจัง

“อะไรเนี่ย”

“ผู้ศรัทธาของข้า ยอมเสียสละยักษ์แห้งแล้งตัวใหญ่นี้เพื่อข้า…”

“วิธีที่พบได้บ่อยที่สุด ที่เทพปีศาจหลบหนีเหล่านั้นทำเพื่อให้ตัวเองได้ลงมาจุติในดินแดนมรรตัย คือใช้ไข่ปีศาจเป็นตัวกลาง” ทีแรกอัสลานมองซีเว่ยด้วยสีหน้าสงสัย แต่ในที่สุดเขาก็ข้ามการเล่าเรื่องอันยาวนานและตรงไปที่ประเด็นหลัก “ปกติพวกมันมักจะติดอยู่กับอาวุธหรือยาบางอย่าง และสามารถนำพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้มาสู่ผู้ใช้ แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน มันจะค่อย ๆ กลืนกินสติของผู้ใช้ เมื่อพวกเขาเอาชนะด้วยพลังที่ไม่ได้เป็นของพวกเขา ในกระบวนการนี้ ไข่ปีศาจก็จะทำลายจิตสำนึกของผู้ใช้ ยึดครองร่างและเปลี่ยนเขาให้เป็นปีศาจ”

“ปีศาจถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีนี้เหรอ” ซีเว่ยงงนิดหน่อย “ข้าคิดว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตจากนรก…”

“สิ่งมีชีวิตจากนรกถูกเรียกว่ามาร! มันต่างกัน” เมื่อมาถึงจุดนี้ อัสลานก็เอาอุ้งเท้าตบพื้น น้ำเสียงของเขาค่อนข้างหงุดหงิด “หยุดกะพริบได้ไหม เจ้ากะพริบมาตั้งแต่ข้าเข้ามา ตอนนี้ตาข้าเกือบจะบอดแล้ว!”

“อาขอโทษ สรุปว่า เราต้องกำจัดสิ่งที่เรียกว่าผู้ใช้ดาบปีศาจใช่ไหม” ซีเว่ยขอโทษด้วยความจริงใจ จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัยว่า “ถ้าแค่นั้น ท่านคงไม่ต้องมาหาข้าหรอก ใช่ไหม?”

อัสลานเคยทิ้งอุปกรณ์สื่อสารให้ซีเว่ยเอาไว้ เขาไม่จำเป็นต้องมาขอความช่วยเหลือเป็นการส่วนตัว หากมันไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน

“ปัญหาก็คือ แม้แต่ผู้ศรัทธาของข้าก็ถูกฆ่าในลักษณะเดียวกัน ข้าพบมันผ่านคำภาวนาของพวกเขา ว่าผู้ใช้ดาบปีศาจผู้นี้มีพลังมาก…” อัสลานบอกกับซีเว่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อคิดจากสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ผู้ใช้ดาบปีศาจอาจถูกปีศาจครอบงำอย่างสมบูรณ์ไปแล้ว จากข้อมูลที่ข้าได้มาในแดนมรรตัย เขาน่าจะอยู่ในระดับเดียวกับนักรบในตำนานที่สามารถสู้กับเทพเจ้าได้!”

ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ร่างกลม ๆ ไร้หัวใจของเทพเจ้าที่กำลังฟังอยู่ ก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้

‘เวร…เขาดูแข็งแกร่งจริง ๆ’

“และผู้ใช้ดาบปีศาจก็ดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปทิศทางที่ผู้ศรัทธาของเจ้าอยู่ เจ้าควรบอกให้พวกเขาระวังตัว และให้พวกเขาช่วยติดตามตำแหน่งของเขา แต่อย่าลืมบอกพวกเขาว่าอย่าต่อสู้กับผู้ใช้ดาบปีศาจ”

ซีเว่ยเห็นด้วยกับสิ่งที่อัสลานพูด เพราะผู้ใช้ดาบปีศาจแข็งแกร่งเกินไป และแม้ว่าผู้เล่นทั้งหมดจะร่วมมือกันต่อสู้กับเขา พวกเขาก็คงจะไม่แข็งแกร่งพอจะข่วนศัตรูที่เกือบจะไปถึงระดับตำนานได้

“แล้วเราจะจัดการกับผู้ใช้ดาบปีศาจตนนี้ยังไง?” ซีเว่ยถาม

สิงโตตัวใหญ่ยืนขึ้น แผงคอของเขาสยายไปตามสายลม ทำให้เขาดูสง่างามและศักดิ์สิทธิ์ “เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะลงไปสู่แดนมรรตัย และจัดการกับเขาด้วยตัวเอง”

อาคารที่แองโกร่าอาศัยอยู่นั้นเหมือนกับบ้านหลังอื่น ๆ ในเมือง ผนังอาคารทาสีขาวตัดกับหลังคากระเบื้องสีแดงอ่อน ที่สามารถมองเห็นได้ภายใต้ชั้นของหิมะ นอกจากนี้ก็ยังมีต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปีปลูกอยู่ในลานบ้าน ทำให้ทั้งบ้านดูสวยงามราวกับบ้านของทูตสวรรค์ ทั้งที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกหรูหราฟุ่มเฟือยในแบบที่คฤหาสน์ของขุนนางคนอื่น ๆ เป็น

เมื่อเดินเข้าไปในบ้านก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ที่พื้นเป็นหินอ่อนสีดำสลับขาวเรียบง่ายแต่สวยงาม และกระเบื้องทองที่หายากและหรูหราแม้แต่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ ก็ได้รับการจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบตามหลักการออกแบบ แต่ละแผ่นถูกขัดจนเงางามสะท้อนแสง

การตกแต่งภายในก็ดูดีมีระดับ โซฟาสีเทาที่ดูสบายตาล้อมรอบเตาผิงไม้สีดำซึ่งเต็มไปด้วยถ่าน ทำให้บรรยากาศภายในบ้านอบอุ่น ขณะที่พรมกำมะหยี่หนาและฟุ่มเฟือยถูกวางอยู่บนพื้น ด้านบนมีโคมระย้าคริสตัลแขวนอยู่บนเพดานกำลังส่องแสงสลัว ๆ สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรพิเศษ ใช่ แต่เมื่อนำทุกอย่างมารวมกัน มันก็เสริมซึ่งกันและกัน และให้กำเนิดเสน่ห์แบบคลาสสิก

ภายใต้การนำทางของวีลา มิลเลอร์ถูกนำไปสู่ห้องทำงาน ที่ซึ่งเขาจะได้พบกับลูกชายคนเล็กของดยุกอินทรีเงิน แองโกร่า•เฟาสต์

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้พบกับแองโกร่า

ในช่วงเทศกาลเก็บเกี่ยวเมื่อ 2 ปีก่อน มิลเลอร์ที่เดินทางไปทั่วราชอาณาจักร ได้รับจดหมายจากพ่อของเขาเรียกให้เขากลับบ้านเพื่อไปร่วมงานเฉลิมฉลอง ตอนนั้นเองที่เขาได้พบกับบุตรชายคนเล็กของท่านดยุกคนนี้

ย้อนกลับไปตอนนั้น แองโกร่ายังเป็นเด็กที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังพ่อของเขา และแม้ว่าเขาจะมีมารยาทและความประพฤติที่ดี แต่เพราะเขาค่อนข้างเงียบและขี้อาย จึงไม่มีใครคิดว่าเขาจะเป็นขุนนางที่ดีได้

สิ่งนี้ทำให้ขุนนางหลายคนที่ต้องการลงทุนในตัวเขาตั้งแต่ที่เขายังเด็ก เพื่อสนับสนุนให้เขากลายเป็นดยุกคนต่อไปรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และหันไปสนับสนุนเซซิล•เฟาสต์คนพี่แทน นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แองโกร่าถูกส่งไปเป็นเจ้าเมืองในเมืองไร้ชื่อที่ห่างไกลนี้…

มิลเลอร์ไม่คิดมาก่อนเลยว่า บุคคลเช่นนี้จะสามารถเติบโตในเมืองแห่งนี้ได้

แองโกร่านั่งอยู่หลังโต๊ะไม้มะฮอกกานี เขายันศอกทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะและวางคางไว้บนนิ้วมือที่ประสานกัน สีหน้าของเขาถูกซ่อนไว้ใต้แสงสว่างจากบานหน้าต่างที่เปิดอยู่ ขณะที่เขาพิจารณาตัวตนของมิลเลอร์

มิลเลอร์รู้สึกราวกับว่าเขากำลังเผชิญกับแรงกดดันที่ไม่สามารถอธิบายได้ ชายตรงหน้าทำให้เขาหายใจไม่ออกและเหงื่อแตก

บัดซบ นี่ยังเป็นเด็กหนุ่มไร้เดียงสาคนเดียวกับเมื่อ 2 ปีก่อนจริง ๆ หรือ

มิลเลอร์เคยไปเยี่ยมชนเผ่าออร์คที่อยู่ใกล้ราชรัฐริมรอสเมื่อไม่นานมานี้ และหมอผีผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าเคยพูดกับเขาว่า “ไม่มีใครเกิดมาแล้วเป็นวีรบุรุษได้ทันทีเลยหรอกนะ สิ่งที่ทำให้คนกลายเป็นวีรบุรุษ ไม่ใช่แค่ต้องมีพรสวรรค์และความสามารถเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องผ่านการทดสอบและความยากลำบากนา ๆ ประการอีกด้วย”

เดิมทีเขาไม่เชื่อคำพูดของหมอผีเลย เพราะในโลกนี้มีคนที่เกิดมาเพื่อเป็นนักบุญ นักบุญหญิง และผู้ถูกเลือก นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าคำพูดของหมอผีเป็นเรื่องโกหกงั้นเหรอ?

แต่ในขณะนี้ เขากลับคิดว่าคำพูดของหมอผีนั้นถูกต้อง เป็นความจริงหรือไม่ที่การทดสอบและความทุกข์ยาก จะทำให้ลักษณะนิสัยของคนเราเปลี่ยนไปได้?

“ข้าเคยพบเจ้ามาก่อนใช่ไหม” แองโกร่าถาม

“ครับ เซอร์เฟาสต์ เราเคยพบกันในเทศกาลเก็บเกี่ยวมาก่อน”

“อ่า ข้าจำได้แล้ว! ฝากทักทายพ่อของท่าน ผู้บัญชาการทหารด้วย”

“เออ…”

“อะไรรึ? ท่านบอกข้ามาตรง ๆ ได้เลย ข้าไม่ใช่ดยุกเหมือนท่านพ่อ ดังนั้นท่านไม่ต้องเกร็งไปหรอก” แองโกร่ายิ้มอย่างมั่นใจและพูดว่า “เมื่อถึงวันที่เจ้าได้ตำแหน่ง ตำแหน่งของเจ้าก็ไม่ต่ำไปกว่าข้านักหรอก”

“คือ…พ่อของข้าเป็นหัวหน้ากรมคลัง…”

“…”

“…”

“แค่ก งั้นก็ฝากทักทายหัวหน้ากรมคลังด้วยแล้วกัน” แองโกร่าแก้ไขข้อผิดพลาดของเขา ราวกับว่าเขาไม่ได้พูดอะไรผิดตั้งแต่แรก

นั่นทำให้แรงกดดันในห้องเบาบางลง มิลเลอร์จึงเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น ในที่สุดเขาก็เริ่มบอกจุดประสงค์ที่เขามาที่เมืองนี้ให้แองโกร่าฟัง พร้อมกับมอบจดหมายที่เขียนโดยดยุกอินทรีเงิน ฮอร์รัน•เฟาสต์ ให้กับเขา

“ท่านดยุกหวังว่า ท่านจะกลับบ้านในเทศกาลหว่านเมล็ดพันธุ์ เขาคิดถึงท่านมาก”

“ข้าก็คิดถึงท่านพ่อมากเช่นกัน” แองโกร่าตอบด้วยความจริงใจ เขาตรวจสอบให้แน่ใจว่าครั่งไม่ได้ถูกแตะต้อง ก่อนที่จะหั่นมันด้วยมีดขนาดเล็ก และนำจดหมายออกจากซอง “น่าเสียดายที่เมื่อเร็ว ๆ นี้เมืองของข้ากำลังวุ่นวาย ท่านก็เห็นใช่ไหม? ดังนั้นข้าเลยไม่คิดว่าข้าจะว่างกลับไปได้เร็ว ๆ นี้…”

ในจดหมาย ท่านพ่อของเขาได้แสดงความคิดและความโล่งใจของเขาเกี่ยวกับจดหมายที่แองโกร่าส่งให้เขาก่อนหน้านี้ จากนั้นก็กล่าวถึงการตายของพี่ชายของแองโกร่าอย่างคลุมเครือ เตือนให้เขาระวังตัวให้มากขึ้น สุดท้าย เขาเขียนว่าเขาอยากให้แองโกร่ากลับไปเยี่ยมบ้านในช่วงเทศกาลหว่านเมล็ด

แองโกร่าไม่กลับไปที่นั่นแน่นอน เขาไม่แน่ใจว่าหากเขาตาย เขาจะกลับมาแบบมีชีวิตได้เหมือนผู้เล่นคนอื่น ๆ หรือไม่ ดังนั้นเขาจึงเลือกทางที่ปลอดภัยกว่า และอยู่ในเมืองที่ผู้เล่นคนอื่นสามารถปกป้องเขาได้

เขากลายเป็นคนระมัดระวังมากขึ้น หลังจากผ่านการลอบสังหารระหว่างทางมาที่เมืองไร้ชื่อ เขาไม่ต้องการสัมผัสกับความรู้สึกที่ชีวิตของเขาตกอยู่ในกำมือของผู้อื่นอีกแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น อาจมีคนที่ต้องการฆ่าเขารอเขาอยู่ที่นั่น ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลับบ้าน

เมื่อคิดอย่างรอบคอบ ตอนนี้เขาก็กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด

ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตรายด้วยเหตุผลบางอย่างที่เขาไม่รู้ และจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าใครคือผู้บงการที่อยู่เบื้องหลัง ตอนนี้พี่ชายของเขาคนเดียวที่รู้ความจริงก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว เขาไม่สามารถบอกคนอื่นได้ว่าพี่ชายของเขาสั่งให้คนมาลอบสังหารเขาแต่เขากลับถูกฆ่าตาย แบบนี้ใครจะเชื่อเขา แม้แต่คนที่ฆ่าพี่ชายของเขา ก็ยังถูกผู้เล่นฆ่าตายไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่มีหลักฐานแม้แต่นิดเดียว

ที่น่าหนักใจกว่านั้นคือถ้าแองโกร่าเป็นเซซิล เขาอาจจะคิดว่าลูกชายคนเล็กฆ่าลูกคนรอง และกำลังจะมาฆ่าเขา เพื่อที่จะได้ครอบครองตำแหน่งทายาทเพียงคนเดียวของดยุกอินทรีเงิน แน่นอนว่าเขาจะต้องระวังแองโกร่า และอาจจะต้องการฆ่าเขา เพราะความสัมพันธ์ของครอบครัวในตระกูลขุนนางนั้น ก็เบาบางราวกับกระดาษอยู่แล้ว…

สรุปแล้ว หากเขาไป โอกาศรอดของเขามีน้อยมาก แถมตอนนี้เขาก็ไม่มีไอเทมป้องกันที่มีประโยชน์อย่างตะเกียงนักฆ่าจินนี่แล้วด้วย…

“ท่านจะไม่กลับไปหรือจริง ๆ หรือ น่าเสียดาย” มิลเลอร์แสดงสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย

“การเดินทางครั้งนี้คงเป็นเรื่องยากสำหรับท่าน ดังนั้นท่านโปรดพักผ่อนที่เมืองนี้สักคืนก่อนค่อยออกเดินทางจะดีกว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้ามีหลายสิ่งหลายอย่างให้ต้องทำ ข้าคงไม่ว่า….ง”

[ติ้ง! ปลดล็อคเควส: ค้นหาผู้ใช้ดาบปีศาจ]

[รางวัลเควส: ไม้กายสิทธิ์อัญเชิญจิตวิญญาณขนาดจิ๋ว x1]

“…แต่มาคิดอีกที ข้าว่าข้าสามารถจักการตารางงานของข้าได้”

มิลเลอร์•ธีโอเป็นผู้ส่งสารของฮอร์รัน•เฟาสต์

เขาเป็นลูกชายหัวหน้ากรมคลังของดัชชีอินทรีเงิน ตัวเขาเองยังไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการใด ๆ ในตอนนี้ ความจริงเขาเพิ่งจะผ่านพิธีเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ไปเมื่อ 3 วันก่อน และยังไม่ได้รับยศอัศวินเลย

มิลเลอร์ชอบที่จะเดินทางและทำการสำรวจไปทั่วทวีป เพื่อสัมผัสกับวัฒนธรรมที่มีสีสันและประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่เนื่องจากตำแหน่งของเขาในฐานะขุนนาง การเดินทางส่วนใหญ่ของเขาจึงอยู่ในพรมแดนของจักรวรรดิวัลลา และเขาก็ยังเป็นผู้ศรัทธาที่หาได้ยากของเทพเจ้าแห่งการเดินทางและศิลปะ ‘กรีมุนด์’

เทพเจ้าองค์นี้จะอวยพรให้ผู้ศรัทธาของเขาเดินทางปลอดภัย และมีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานมากขึ้น ผู้ศรัทธาที่แท้จริงของกรีมุนด์ จะสามารถร้องขออาหารหรือที่พักจากคนแปลกหน้าได้ง่าย ๆ ผ่านงานศิลปะของพวกเขา นั่นอาจเป็นได้ทั้งการร้องเพลง หรือแม้แต่การเล่านิทาน

สรุปได้ว่า ผู้ศรัทธาของกรีมุนด์อ่อนแอมากในด้านการต่อสู้ แต่พรของเขาล้วนใช้งานได้จริงและมีประโยชน์อย่างน่าประหลาดในชีวิตประจำวัน อาจเพราะเขาไม่ได้มีผู้ศรัทธามากนักเช่นเดียวกับซีเว่ย ตราบใดที่ผู้ติดตามของเขากลายเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง พวกเขาก็จะได้รับพร…

น่าเสียดายที่มีเพียงคนส่วนน้อยที่จะเดินทางไปตลอดชีวิต ผู้ศรัทธาของกรีมุนด์ส่วนใหญ่มักเลือกที่จะปักหลักเมื่อพวกเขาอายุมากขึ้น นอกจากผู้ที่เลือกทำงานด้านศิลปะ เช่นนักแสดงหรือจิตรกร ส่วนใหญ่เลือกที่จะศรัทธาในเทพเจ้าองค์อื่น

หลังจากผ่านพิธีเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ มิลเลอร์ก็ได้รับความไว้วางใจให้ส่งจดหมายของดยุกไปถึงแองโกร่า•เฟาสต์ ลูกชายคนเล็กของเขา ที่ซึ่งถูกส่งไปยังเมืองใกล้หุบเขาแห่งความตายอันน่าเศร้า

มิลเลอร์ไม่สามารถปฏิเสธคำขอจากดยุกได้ ดังนั้นเขาจึงออกเดินทางไปยังที่ดินศักดินาของแองโกร่า•เฟาสต์ เมืองเล็ก ๆ ที่ไม่ได้ถูกระบุไว้ในแผนที่ของจักรวรรดิ

เดิมที มิลเลอร์คิดว่าแม้สถานที่เล็ก ๆ แห่งนี้จะมีชื่อว่าเมือง แต่มันก็น่าจะเป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา นี่ไม่ใช่การคาดเดาอย่างไร้เหตุผล เพราะเขาเคยได้เห็น ‘เมือง’ ที่คล้ายกันมาหลายแห่งในระหว่างการเดินทาง เหตุผลเดียวที่ทำให้หมู่บ้านเหล่านี้ถูกเรียกว่า ‘เมือง’ ก็เพื่อให้พวกเขาได้รับการสนับสนุนและความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงได้ง่ายขึ้น

แต่เมืองเล็ก ๆ ของแองโกร่าทำให้มิลเลอร์ตกใจมาก

แม้ว่าเมืองนี้จะมีขนาดเล็กกว่าเมืองทั่วไป และมีชาวเมืองเพียวราว ๆ ร้อยคนเท่านั้น แต่เมืองนี้ได้รับการพัฒนาออกมาค่อนข้างดีและ…งดงาม?

นี่เป็นคำเพียงคำเดียวที่มิลเลอร์สามารถใช้อธิบายเมืองนี้ได้

ก่อนอื่นเลย เมืองนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไร พื้นที่ของมันเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสเรียบ ๆ ถ้ามิลเลอร์เดินตรงไปด้านใดด้านหนึ่ง เขาก็จะวนมาถึงจุดเริ่มต้นได้ในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง

จากด้านนอก เมืองไม่มีแม้แต่กำแพงที่เป็นเส้นแบ่งเขตของเมือง มันมีเพียงรั้วไม้ธรรมดาเท่านั้น

ในตอนแรก มิลเลอร์ค่อนข้างผิดหวังกับเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ เขาเคยถามชาวนาคนหนึ่งที่น่าจะอยู่ระหว่างการนมัสการเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว ว่าเหตุใดจึงไม่มีกำแพงใด ๆ รอบเมือง และเขาก็ได้คำตอบที่ไม่คาดคิดว่า “ถ้าเมืองขยายตัว มันก็ต้องถูกรื้อถอน มันไร้ประโยชน์และลำบากเกินไป”

คำตอบนี้ทำให้มิลเลอร์รู้สึกเย้ยหยันอยู่ในใจ เมื่อไม่นานมานี้มีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นหลายครั้งในทวีป และทำให้เมืองชายแดนหลายเมืองของอาณาจักรมีประชากรลดลง มันถือว่าเป็นพรแล้วที่เมืองไม่ได้ลดขนาดลง แต่ชาวนาคนนี้บอกว่าพวกเขาจะขยายเมือง? พวกเขากำลังฝันอยู่เหรอ

เฮ้อ เขาจะคาดหวังคำตอบอะไรพวกสามัญชนที่โง่เขลา ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะปั้นรูปสักการะของเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวยังไง และทำได้เพียงบูชารูปปั้นทรงกลมแปลก ๆ…

เมื่อเขาเข้ามาในเมือง เขาก็ตระหนักว่าข้อสรุปของเขาอาจจะผิด และประสบการณ์ของเขากับหมู่บ้านอื่นก็ไม่สามารถใช้กับเมืองนี้ได้

อาคารทั้งหมดในเมืองดูใหม่และสะอาด ส่วนถนนก็ปูด้วยอิฐสีแดงอย่างเรียบร้อย ทั้งเมืองสะอาดเป็นประกาย ตรงกันข้ามกับถนนในหมู่บ้านอื่น ๆ ที่สกปรกและเต็มไปด้วยโคลนที่น่าขยะแขยง เมืองไม่มีแม้แต่เศษขยะบนถนน ทั้งเมืองสะอาดมากจนดูเหมือนไม่มีคนอาศัยอยู่ที่นี่เลยด้วยซ้ำ

ภายหลังเขาก็ได้เรียนรู้ว่า วัตถุทรงกระบอกที่ตั้งอยู่ริมถนนถูกเรียกว่าถังขยะ และชาวเมืองทุกคนจะโยนขยะของพวกเขาลงไปในนั้น และขยะในถังก็จะถูกกำจัดในภายหลัง ตามคำบอกเล่าของผู้อยู่อาศัยในเมือง สิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษโดยลอร์ด ผู้ซึ่งกล่าวไว้ว่า ถังขยะจะสามารถปรับปรุงความสุขของผู้อยู่อาศัยและได้รับคะแนนประสิทธิภาพ…

สิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ความจริงที่ว่าถังขยะเหล่านี้ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นโดยใช้เทคนิคการเล่นแร่แปรธาตุที่คล้ายกับการสร้างโกเลม และเมื่อใดก็ตามที่มีคนจะทิ้งขยะ ถังขยะก็จะถามว่า “ขยะของเจ้าเป็นขยะประเภทไหน?” จากนั้นมันก็จะบอกว่าขยะชิ้นนี้ควรถูกทิ้งลงในถังขยะประเภทใด ถ้ามีถังขยะบางส่วนที่ถูกวางไว้ในที่ห่างไกล มันก็จะร้องออกมาด้วยความดีใจทุกครั้งที่เห็นชาวเมืองเดินมาหาพวกมันเพื่อทิ้งขยะว่า “ขยะกำลังจะมา ขยะกำลังจะมา!”

แม้ว่ามิลเลอร์จะรู้สึกแปลก ๆ เมื่อถังขยะเหล่านี้พูดคุยกับเขา แต่ก็ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีนี้ก็ทำให้ถนนในเมืองสะอาดและเป็นระเบียบ…บางทีเขาอาจแนะนำให้ท่านดยุกใช้เทคโนโลยีประเภทนี้ในดัชชีอินทรีเงินบ้าง หลังจากที่เขากลับไป

นอกจากจะมีถนนที่สะอาด และป้ายบอกทางที่ชัดเจน ที่นี่ยังมีโรงแรมที่ดูดีตามมาตรฐานของเขา และยังมีบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้งอีกด้วย!

มิลเลอร์เคยแช่น้ำพุร้อนเพียงครั้งเดียว เมื่อเขาและพ่อของเขาเดินทางไปทำภารกิจทางการทูตที่ราชรัฐริมรอสตอนที่เขายังเด็ก นั้นเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงสำหรับเขา

หลังจากนั้น เขาก็ได้พยายามค้นหาบ่อน้ำพุร้อนที่คล้ายกันในระหว่างการเดินทางของเขา แต่เขาก็ไม่เคยพบมันเลยในจักรวรรดิวัลลา เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าความปรารถนาของเขาจะเป็นจริงได้ในเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกลเช่นนี้

ที่นี่มีบ่อน้ำพุร้อนหลายประเภท เช่นน้ำพุร้อนธรรมดา น้ำพุร้อนอัดลม น้ำพุร้อนจากแร่ น้ำพุร้อนธาตุ และอื่น ๆ

เนื่องจากเขามีเวลาไม่มาก มิลเลอร์จึงได้ลองเพียงน้ำพุร้อนธรรมดาที่ว่ากันว่าเป็นน้ำพุร้อนพื้นฐานของพื้นฐาน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เต็มไปด้วยความคิดถึงเมื่อได้แช่ในน้ำพุร้อนที่ผ่อนคลาย หลังจากที่เขาออกมาจากบ่อน้ำพุร้อน อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นเยอะ แม้แต่ผิวของเขาที่ผุกร่อนจากการเดินทางก็ดูเรียบเนียนขึ้นอย่างสัมผัสได้ แน่นอน เขาไม่รู้ว่าบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้สามารถมอบบัฟได้ สิ่งเดียวที่เขาไม่ชอบใจก็คือลิงฝูงหนึ่งที่ชี้มาที่เขาเมื่อเขากำลังแช่น้ำ…

สรุปได้ว่า ถ้าเขาให้คะแนนจากสภาพแวดล้อมเพียงอย่างเดียว เมืองนี้จะต้องติดอยู่ใน 3 อันดับแรก ของสถานที่ทั้งหมดที่เขาเคยเดินทางไป และอาจพูดได้ว่านี่คือเมืองดีที่สุดได้เลยด้วยซ้ำ

ใช่ ถ้ามันขึ้นอยู่กับแค่สภาพแวดล้อมเพียงอย่างเดียวน่ะนะ

ตรงกันข้ามกับสภาพแวดล้อมที่สวยงาม มิลเลอร์รู้สึกว่าชาวเมืองเมืองนี้ค่อนข้าง…แปลก?

ก่อนอื่น เขารู้สึกได้ถึงสายตาของชาวเมืองส่วนใหญ่ที่จ้องมองมาที่เขา ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในเมือง และสายตาส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา แต่อยู่บนหัวเขา…?

นี่ทำให้มิลเลอร์คิดไปเองว่ามีอะไรบางอย่างอยู่บนหัวเขา เขาเลยพยายามเอื้อมมือขึ้นไปตบหัวตัวเอง แต่มันก็ไม่มีอะไร

นอกจากนั้น ชาวเมืองก็ดูเหมือนจะชอบอธิษฐานต่อเทพเจ้าอยู่ตลอดเวลา ชาวนาสวดภาวนาขณะที่พวกเขาหว่านเมล็ด คนงานก่อสร้างสวดภาวนาขณะที่พวกเขาแบกอิฐ และแม้แต่คนเก็บขยะก็สวดภาวนา…พวกเขาเป็นแฟนคลับตัวยงของรูปปั้นทรงกลม…

นอกเหนือจากการอธิษฐานต่อเทพเจ้าอยู่ตลอดเวลาแล้ว ประเพณีของเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ก็ยังค่อนข้างแปลก

เดิมมิลเลอร์เคยกังวล เพราะเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ไม่มีกำแพงเมืองแม้จะอยู่ใกล้หุบเขาแห่งความตายที่น่าเศร้า ดังนั้นมันจึงมีแนวโน้มที่จะถูกโจมตีโดยพวกเรเวแนนท์ได้ตลอดเวลา

เมื่อกองทัพเรเวแนนท์ออกมาจากหุบเขาแห่งความตาย เมืองที่สวยงามแห่งนี้ก็จะกลายเป็นเป้าหมายโจมตีของพวกมันอย่างแน่นอน!

และสิ่งที่เขากังวลก็เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เขาออกมาจากบ่อน้ำพุร้อน หอสังเกตการณ์ได้ปล่อยสัญญาณควันออกมา เมื่อพวกเขาพบร่องรอยของพวกเรเวแนนท์ที่ด้านนอกของเมือง

ทีแรก มิลเลอร์ต้องการปลุกระดมให้ชาวเมืองหยิบอาวุธขึ้นมาต่อสู้กับพวกเรเวแนนท์เพื่อปกป้องเมือง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เริ่มทำอะไร เขาก็เห็นชาวเมืองทั้งหมดวิ่งออกจากเมืองอย่างคึกคัก พวกเขาไม่ได้วิ่งหนี แต่กลับวิ่งเข้าหาเหล่าเรเวแนนท์ที่ปรากฏตัวขึ้น

‘อา พวกเขาช่างเป็นชาวเมืองที่เรียบง่ายและกล้าหาญ!’ มิลเลอร์รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากจนเขาอยากร่วมต่อสู้ไปกับพวกชาวบ้าน

แต่ก่อนที่เขาจะไปถึงทางเข้าเมือง ชาวเมืองก็กลับมาด้วยความโกรธ พวกเขาถือกระดูกพัง ๆ จากพวกเรเวแนนท์กลับมา ขณะที่สาปแช่งพวกมันไปตลอดทาง

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะโกรธที่ฝูงเรเวแนนท์ครั้งนี้อ่อนแอเกินไป

เมื่อเขาได้เห็นออร่ากระหายเลือดจากชาวเมือง มิลเลอร์ก็ไม่กล้าถามพวกเขาว่าส่วนอื่น ๆ ของโครงกระดูกหายไปไหน…

หลังจากนั้นเขาก็เห็นชาวเมือง 2 คนที่ถือดาบ เริ่มทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกเขาตะโกนใส่กันว่า ‘อาหารจากโรงเหล้ากาต้มน้ำเหล็กรสชาติอร่อยกว่า’ และ ‘อาหารจากร้านอาหารของระบบรสชาติดีกว่า’

เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ไม่สามารถเปลี่ยนใจอีกฝ่ายได้ และการทะเลาะกันก็ค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่มิลเลอร์คิดว่าพวกเขากำลังจะเริ่มต่อสู้กัน ชาวเมืองทั้ง 2 ก็ยืนเผชิญหน้ากันและเริ่มเต้นท่าแปลก ๆ อย่างเร่าร้อน

ด้านข้างพวกเขา มีเด็กสาวคนหนึ่งตะโกนว่า “อย่าสู้ อย่าสู้กัน!”

…มีบางอย่างผิดปกติในหัวของชาวเมืองพวกนี้ใช่ไหม

“ท่านคะ ลอร์ดแองโกร่าต้องการพบท่าน”

เมื่อสาวใช้ของแองโกร่า…เขาเดาว่าเธอน่าจะเป็นสาวใช้ ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียง เพราะหญิงสาวไม่ได้ดูสวยเป็นพิเศษ แต่ดูเรียบง่ายและหุ่นดี เมื่อเขาได้ฟังคำ ๆ นี้ มิลเลอร์ก็ตื้นตันใจจนเขาแทบอยากจะร้องไห้ เขากำลังสงสัยว่าถ้าเขายังอยู่แบบนี้ต่อไป อาจจะมีบางอย่างผิดปกติในหัวเขาด้วย

เมื่อเร็ว ๆ นี้แองโกร่าค่อนข้างพอใจ

เมืองไร้ชื่อกำลังเจริญรุ่งเรือง แม้ว่าผู้อยู่อาศัยจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่ก็พัฒนาไปได้ดีทีเดียว เขาเมินชื่อที่ระบบแนะนำอย่าง ‘หมู่บ้านเริ่มต้น’ และเริ่มพิจารณาชื่อดี ๆ ให้ดินแดนของเขา

แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ไว้เขาค่อยคิดทีหลังก็ได้

ที่จริงแล้วตอนนี้การพัฒนาของเมืองได้รับผลกระทบและชะลอตัวลง เนื่องจากผู้เล่นเริ่มทำงานหนักในที่ฐานที่มั่นลับใต้ดินของแลงคาสเตอร์ และหมู่บ้านมนุษย์กบ

มันเป็นแบบนั้นจนกระทั่งเขาตอบรับคำขอร้องของวีลา และสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘บ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้ง’ ขึ้นมา

เรื่องนี้ต้องย้อนไปถึงเมื่อตอนที่หญิงสาวถามเขาเล่น ๆ ว่า เขามีแบบแปลนอะไรอีกบางที่ยังไม่ได้สร้าง ทันทีที่เธอรู้ว่ามีอาคารที่สามารถบรรเทาความเมื่อยล้าและสามารถมอบบัฟเช่น ‘เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว’ ‘ทำให้ผิวสวยขึ้น’ และ ‘ฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน’ เธอก็วนเวียนอยู่รอบ ๆ แองโกร่าและขอให้เขาสร้างมันไม่หยุด

แองโกร่าไม่คิดเลยว่า บ่อน้ำพุร้อนนี้จะได้รับความนิยมอย่างมาก

ทันทีที่ผู้เล่นหญิงรู้จักสิ่งปลูกสร้างนี้จากฟอรัม พวกเธอก็พากันกลับมาที่เมืองไร้ชื่อทันที แม้แต่เจ้าหญิงลีอาที่เข้าถึงง่ายและน่ารัก แต่ก็มีความภาคภูมิใจฐานะสมาชิกของราชวงศ์ ก็ยังแวะเวียนมาที่เมืองไร้ชื่อทุกครั้งที่เธอมีเวลาว่าง โดยที่เธอมักจะให้ข้ออ้างที่ยิ่งใหญ่ว่า ‘ไปปรึกษาหารือเรื่องการขยายศาสนจักรกับลอร์ดคนอื่น ๆ‘…ซึ่งไม่จริงเลย เพราะเจ้าหญิงได้ให้สิทธิ์การเป็น ‘ลอร์ด’ ของเธอกับนายทะเบียนแวนเค่อไปแล้ว!

ไม่รู้ว่า ‘อัตราการดึงดูดพวกถ้ำมอง’ ของน้ำพุร้อนกลางแจ้งมีผลหรือไม่ แต่ผู้เล่นชายหลายคนก็มาที่นี่เช่นกัน ภายใน 2-3 วัน เมืองไร้ชื่อก็กลายเป็นจุดพบปะที่ได้รับความนิยมสูงสุดอีกครั้ง

และเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าลอร์ดอีก 2 คนจะสร้างสิ่งก่อสร้างที่คล้ายกันขึ้นในดินแดนของพวกเขา ถ้าพวกเขาไม่แช่น้ำพุร้อนในเมืองไร้ชื่อ จะให้พวกเขาไปแช่ตัวในท่อระบายน้ำใต้ดินหรือในทะเลรึไง

แม้จะมีตัวเลือกเช่นบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้ง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีผู้หญิงคนใดไปที่นั่น เพราะงั้นที่นั่นจึงมีแค่ผู้เล่นชายที่น่าเศร้า และลิงอีก 2-3 ตัวที่ถูกดึงดูดเข้ามาโดยบ่อน้ำพุร้อน ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องมองหน้ากันตาปริบ ๆ…

“ท่านกำลังหัวเราะอะไร?”

ขณะที่แองโกร่ากำลังดื่มด่ำกับชัยชนะ ผู้ช่วยของเขา วีลาก็ดึงเขากลับสู่ความเป็นจริง

ชายหนุ่มได้กลิ่นหอมหวานที่ลอยมาจากตัว NPC เพียงหนึ่งเดียวของเขา ถ้าเขาจำไม่ผิด นี่คือกลิ่นเจลอาบน้ำที่ผู้เล่นสามารถซื้อได้จากบ่อน้ำพุร้อน

กลิ่นนี้ค่อนข้างมีผลกับชายหนุ่มที่ยังอยู่ในวัยแรกรุ่นเช่นเขา

แต่แองโกร่าเป็นขุนนาง ดังนั้นเขาจึงเก็บอารมณ์ได้ดีและตอบกลับไปอย่างจริงจังว่า “ข้ากำลังคิดว่าจะเชิญใครมาเป็นมา NPC ดี…”

“อ่า เช่นนั้นรึ” เสียงของหญิงสาวฟังดูเย็นชา

“ใช่ เพราะข้าคิดว่าทุกวันนี้เจ้ายุ่งมาก ดังนั้นข้าเลยยากให้เจ้าผ่อนคลายลงบ้าง เจ้าจะได้ไม่ต้องทำงานหนักและทำร้ายร่างกายตัวเอง มันไม่คุ้มเลย” แองโกร่าพูดอย่างไม่ลังเล “แต่ คนเดียวที่ข้าไว้ใจก็คือเจ้า”

หญิงสาวพยักหน้าขณะที่เธอหน้าแดงนิด ๆ “นั่นไม่จำเป็นเลย ข้าทำไหว”

“จริงสิ เจ้ามาที่นี่มีอะไรรึ” แองโกร่าถามอย่างสงสัย

ก่อนที่ฟอรัมจะปรากฏขึ้น วีลาเป็นสะพานหลักที่แองโกร่าใช้สื่อสารกับผู้เล่น เพราะระบบที่เขามีนั้นแตกต่างจากพวกผู้เล่น ดังนั้นมันจึงยากที่จะสื่อสารกับพวกเขา และปกติแล้ววีลาจะไม่มาที่ห้องทำงานของเขาในเวลานี้

“ข้าเกือบลืม มีผู้ส่งสารมาที่เมือง เขาบอกว่าเขาถูกส่งมาจากตระกูลเฟาสต์ และนำจดหมายจากพ่อของท่านมาให้ท่าน”

วีลาจำได้แล้ว หลังจากที่เธอลืมมันไปเพราะเห็นรอยยิ้มของแองโกร่าที่กำลังหัวเราะกับตัวเองเหมือนพวกวายร้าย

“จดหมายจากพ่อ…?” แองโกร่าผงะ

“ข้าควรไล่เขาไปไหมดีไหม” วีลาถามอย่างลังเล

“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าอยากจะไล่เขาล่ะ” แองโกร่าค่อนข้างสับสนกับคำแนะนำของเธอ

“เพราะ เอ่อ…ข้ารู้ว่ามันไม่ถูกที่ข้าพูดแบบนี้ แต่ท่านก็รู้สภาพเมืองของเราในตอนแรก…ถ้าไม่ใช่เพราะพรจากเทพเจ้าแห่งเกม บางทีชีวิตของท่านที่นี่อาจจะแย่ยิ่งกว่าสามัญชนเหล่านั้นในเมืองหลวง”

หญิงสาวพูดอย่างระมัดระวัง เธอไม่ต้องการให้แองโกร่ารู้สึกแย่

แองโกร่าเข้าใจทันทีว่าวีลาพยายามจะสื่ออะไร วีลาต้องคิดว่าเขาถูกรังแกจากตระกูลเฟาสต์ ดังนั้นเขาจึงถูกส่งมายังหมู่บ้านแห้งแล้งนี้ นี่เป็นสาเหตุที่เธอรู้สึกไม่ดีต่อผู้ส่งสารที่พ่อของเขาส่งมา

สำหรับความกังวลของเธอ แองโกร่าอยากจะบอกเธอเหลือเกินว่า

ไม่เพียงแต่เขาจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของตระกูล แต่เขาเกือบจะถูกลอบสังหารระหว่างทางมาที่นี่…

แองโกร่ารู้ดีว่าพ่อของเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการลอบสังหารครั้งนี้ ถ้าเขาต้องการที่จะฆ่าเขาจริง ๆ เขาก็ทำได้ง่าย ๆ และไม่ต้องลำบากมาทำอะไรแบบนี้หรอก

ตอนแรกแองโกร่าคิดว่าเป็นพี่ชายคนที่ 2 ของเขาที่ต้องการฆ่าเขา เพราะวิดีโอที่เอ็ดเวิร์ดส่งให้เขาก็ยืนยันได้ว่ามันเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็ยังรู้สึกแปลก ๆ กับเรื่องนี้อยู่ดี

ถ้าพี่ชายของเขามีพลังมากพอที่ทำให้ชุมนุมลับดวงตาทำตามคำสั่งได้ ทำไมเขาถึงถูกแส้ดำฆ่าอย่างง่ายดาย? ตามทฤษฎีแล้ว แส้ดำไม่จำต้องฆ่าแองโกร่าเลยหลังจากที่พี่ชายของเขาตาย แต่เมื่อเขาได้ยินว่าแส้ดำวางแผนจะโจมตีเมืองของเขาหลังจากทำลายเผ่ามนุษย์กบ เขาก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง…

และเมื่อไม่นานมานี้เขาก็ค่อนข้างจะว่าง แองโกร่าจึงมีเวลาคิดทบทวนถึงความเป็นไปได้ว่าคนที่ต้องการฆ่าเขาคือคนอื่น และพี่ชายคนรองของเขาก็เป็นเพียงตัวกลางของบุคคลลึกลับคนนี้ หากแบบนั้นทุกอย่างก็ดูจะมีเหตุผลมากขึ้น

พี่ชายคนรองของเขาเป็นเพียงขี้ข้า เขาจึงถูกแส้ดำฆ่าได้ง่าย ๆ แต่เนื่องจากแส้ดำรู้ว่าคำสั่งฆ่าแองโกร่ามาจากคนที่พี่ชายของเขาทำงานให้ เขาจึงต้องทำภารกิจให้เสร็จ หลังจากที่พี่ชายคนรองของเขาตาย…

“เดี๋ยวก่อน แบบนี้ท่านจะไม่ถูกเปิดเผยว่ายังมีชีวิตอยู่หลังจากที่ผู้ส่งสารคนนี้กลับไปรึ!” ดวงตาของวีลาฉายแววอันตราย แองโกร่ารู้ดีว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ได้ง่ายเหมือนที่เธอเป็น “ข้าต้องฆ่าเขาไหม”

“ไม่จำเป็น ข้าจะส่งจดหมายกลับไปหาพ่อข้า ข้าจะเปิดเผยความจริงว่าข้ายังมีชีวิตอยู่!” แองโกร่ายิ้มออกมา ทำให้วีลาสงบลง “มันยุ่งยากเกินไปที่จะจัดการกับคนที่ยังซ่อนตัวอยู่ เมื่อมันโผล่หางออกมา ข้าจะจับหางจิ้งจอกของมันและดึงมันออกมาฆ่าให้ตาย”

“แต่…” วีลายังไม่ค่อยมั่นใจ เธอกังวลเรื่องความปลอดภัยของเขามากกว่าอย่างอื่น

“ไม่ต้องกังวล อีกฝ่ายพยายามฆ่าข้ามาหลายครั้งแล้ว แต่แม้จะมีโอกาศใหญ่วางอยู่ตรงหน้า เขาก็ทำได้แค่เคลื่อนไหวแบบลับ ๆ ผ่านชุมนุมลับดวงตา เนื่องจากเขาถูกจำกัดการเคลื่อนไหว ข้าเชื่อว่าเขาเทียบไม่ได้กับผู้เล่นของเรา!” แองโกร่าดูเหมือนค่อนข้างมั่นใจในแผนการของเขา เขาเดินไปตรงหน้าต่างอย่างช้า ๆ เมื่อมองออกไปข้างนอก เขาก็เห็นผู้เล่นกำลังเต้นรำแปลก ๆ บนถนนที่มีคนพลุกพล่าน ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็กระตุก และน้ำเสียงของเขาก็เริ่มไม่แน่ใจ

“น่าจะ…นะ”

เป็นเวลาสองวันแล้วหลังจากที่ผู้เล่นต่อสู้กับโจรภูเขาและยักษ์แห้งแล้ง ผู้เล่นหลายคนเริ่มมีความคิดที่จะออกสำรวจและรับรางวัลเหมือนกับที่จอมและเทอร์รี่ทำ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มสำรวจแผนที่ใหม่ โดยเริ่มจากบริเวณรอบ ๆ เมืองไร้ชื่อ แต่ผู้เล่นส่วนใหญ่ก็ยังวนเวียนอยู่กับดันเจี้ยนทั้ง 2 หลังจากที่พวกเขาทำเควสประจำวันเสร็จ

ตอนนี้ห้องใต้ดินของผีดิบยังคงเปิดให้บริการทุกวัน และหุบเขาแห่งความตายก็ยังไม่ได้รับการสำรวจจนครบ แถมการก่อสร้างจำนวนมากก็ยังไม่เสร็จสิ้น…

ในฐานะที่เป็นสถานที่พบปะยอดนิยมสำหรับผู้เล่น โรงเหล้ากาต้มน้ำเหล็กก็ยังคงกิจการดีเหมือนเช่นเคย

เพียงแต่บรรยากาศในโรงเหล้าวันนี้ดูค่อนข้างต่างจากทุกวัน

เมื่อก่อนมีผู้เล่นมากมายคุยโวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เกี่ยวกับประสบการณ์ที่น่าสนใจของพวกเขาในตอนที่พวกเขาพิชิตดันเจี้ยน ทำให้ทั้งโรงเหล้าเสียงดังมาก จนแม้แต่ผู้เล่นที่นั่งโต๊ะเดียวกันก็ยังต้องตะโกนคุยกัน

แม้ว่ายังมีผู้เล่นแบบนั้นอยู่ในโรงเหล้า แต่ก็มีจำนวนน้อยกว่าเมื่อก่อนมาก พวกเขาแค่คุยกับเพื่อนแบบสบาย ๆ แทนที่จะพยายามตะโกนให้โลกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนเมื่อก่อน

ตอนนี้เมื่อผู้เล่นกินเนื้อย่างหรือดื่มเบียร์ พวกเขาก็จะเหลือบมองไปยังพื้นที่ว่างข้าง ๆ โต๊ะเป็นระยะ และหากมนุษย์โลกถูกย้ายมาที่นี่ 80% คงคิดว่าผู้เล่นกำลังมองโทรศัพท์มือถือล่องหนอยู่…

จริง ๆ แล้วผู้เล่นไม่ได้มองไปที่โทรศัพท์แต่เป็นฟอรัม แน่นอน เมื่อพิจารณาถึงการกระทำที่คล้ายคลึงกันระหว่างทั้งสอง มันก็ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก

ผู้เล่นส่วนใหญ่ยังคงลังเลที่จะใช้ฟอรัม พวกเขากลัวที่จะทิ้งความประทับใจที่ไม่ดีให้เทพเจ้าของพวกเขาเห็น แต่หลังจากเหตุการณ์ ‘ช่วยเด็ก’ ผู้เล่นก็เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของฟอรัม เมื่อพวกเขารู้ว่าการสื่อสารสะดวกขึ้นเพียงใดเมื่อใช้ฟอรั่ม ผู้เล่นหลายคนก็เริ่มพยายามใช้ฟอรัมกันมากขึ้น

เมื่อโพสต์แนะนำกลยุทธ์การเล่น และเรื่องราวสนุก ๆ ทวีคูณขึ้นในฟอรัม ผู้เล่นหลายคนก็เริ่มเข้าร่วม แม้ว่าจะมีผู้เล่นเพียง 100 กว่าคน แต่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็มีความกระตือรือร้นอย่างมาก ทำให้ฟอรัมกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ

นี่แตกต่างจากฟอรัมบนโลกที่จะเต็มไปด้วยสแปมเมื่อจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้น ฟอรัมนี้ถูกสร้างและดูแลโดยเทพเจ้าแห่งเกม ในฐานะผู้ศรัทธาของพระองค์ ผู้เล่นยังคงให้ความเคารพเมื่อใช้ฟอรัม และไม่กล้าโพสต์อะไรที่เลวร้ายเกินไป ดังนั้นวินัยการใช้ฟอรัมของพวกเขาจึงดีมาก ในความทรงจำของซีเว่ย มีเพียงบางฟอรัมบนโลกเท่านั้นที่จะมีบรรยากาศภายในฟอรั่มที่ดีและโพสต์ที่มีประโยชน์

แม้ว่าผู้เล่นจะต้องการ PK กัน พวกเขาก็จะไม่พูดมันออกมาตรง ๆ ในฟอรัม พวกเขาจะทิ้งเวลาและสถานที่ที่คลุมเครือเอาไว้ และเขียนข้อความที่จริงใจลงท้ายว่า ‘แล้วพบกัน’ จนถึงจุดที่ผู้เล่นบางคนที่ผ่านมาเห็น คิดว่าฟอรั่มกำลังสั่นคลอนไปด้วยบรรยากาศแปลก ๆ สีชมพูอมม่วง(เกย์)…

แต่ถึงอย่างนั้น ซีเว่ยก็ไม่ต้องกังวลว่าผู้เล่นจะกลายเป็นนีท เพราะผู้เล่นไม่สามารถเคลียร์ดันเจี้ยนได้ผ่านหน้าจอเหมือนคนบนโลกเดิมของเขา ผู้เล่นต้องปาร์ตี้ด้วยกันแบบออฟไลน์ และเอาชนะสัตว์ประหลาดหรือแพ้ยกตี้ไปด้วยกัน พวกเขาไม่สามารถอยู่บ้านและทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวได้

ไอรอนกำลังเช็ดแก้วเหมือนเช่นเคย แต่แก้วในมือของเขาตอนนี้คือแก้วใสที่หาได้ยาก เพราะระดับช่างฝีมือในโลกนี้ยังไม่พัฒนา ไอเทมนี้เป็นหนึ่งในรางวัลที่ระบบมอบให้กับผู้เล่นจากการทำเควสของสะสม และไอรอนก็ได้ใช้เหรียญเกมครึ่งหนึ่งที่เขาเก็บออมมาเพื่อซื้อแก้วแบบนี้จากผู้เล่นคนอื่น ๆ ทำให้ตอนนี้แก้วเหล้าทุกใบในโรงเหล้าของเขาถูกเปลี่ยนเป็นแก้วใส

น่าเสียดายที่ผู้เล่นทุกคนต่างก็เป็นผู้ลี้ภัยหรือทหารรับจ้างมาก่อน ดังนั้นจึงไม่ใช่ทุกคนที่สนใจเครื่องดื่มแฟนซีอย่างเหล้าหรือไวน์ เมื่อเทียบกันแล้ว พวกเขาชอบเบียร์ที่สามารถดื่มได้คล่องคอมากกว่า ผู้เล่นเพียงคนเดียวที่สั่งไวน์แดงก็คือแองโกร่า ซึ่งจะแวะเวียนมาทานอาหารเย็นเป็นครั้งคราว

ในตอนนั้นเอง มีร่างสองร่างเดินมาที่ทางเข้าโรงแรม คนหนึ่งอ้วนและคนหนึ่งผอม

“นั่นซิลวากับเทรรอสเช่นี่!” ผู้เล่นคนหนึ่งจำพวกเขาได้และถามออกมาอย่างขบขันว่า “เมื่อวานเจ้าสองคนยังจับปูอยู่ใกล้ ๆ ชายฝั่งทะเลไม่ใช่รึ? การสำรวจท่าเรือเกรย์ฟยอร์ดเป็นยังไงบ้าง”

“เจ้าคงไม่รู้สินะ เราได้รับการว่าจ้างให้เป็นผู้คุ้มกันของท่านมาร์นี่!” ซิลวาแอ่นอกอย่างภาคภูมิใจ

“ผู้คุ้มกันอะไร มาร์นี่ตายในทะเลเมื่อ 3 วันก่อน เขาเลยไปไม่ทันสู้กับยักษ์แห้งแล้ง! ข้ายังเห็นเจ้า 2 คนถูกมัดและถูกเขาทุบตีเมื่อวานนี้อยู่เลย!” ผู้เล่นหัวเราะเสียงดัง

ซิลวาห่อเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว เขาพึมพำกับตัวเองว่า ‘เจ้าใส่ร้ายข้าต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ได้ยังไง?’ และ ‘ข้าไม่ได้โดนมัดและถูกเขาทุบตีอยู่ฝ่ายเดียวซะหน่อย มันคือการ PK!’ และ ‘นอกจากข้า ไม่มีใครรู้ว่าการเป็นผู้คุ้มกันให้มาร์นี่มันยากแค่ไหน’ ซึ่งทำให้ผู้เล่นส่งเสียงหัวเราะกันลั่นโรงเหล้า และบรรยากาศก็ร่าเริงขึ้นมาก

เมื่อเทียบกับซิลวาแล้ว เทรรอสเช่ค่อนข้างสงบ เขาเดินไปนั่งตรงที่ว่างข้างเคาน์เตอร์บาร์และสั่งสเต็กสองชิ้นจากไอรอน พวกเขาดื่มแต่ซุปปลาตอนที่อยู่ในหมู่บ้านมนุษย์กบ จนพวกเขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าอาหารคนเป็นยังไง

ไอรอนรับลูกศิษย์ 2 คนเมื่อเขาทำเงินได้มากพอ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องทำอาหารด้วยตัวเองอีกต่อไป เขามีเวลาว่างพูดคุยกับลูกค้ามากขึ้นในขณะที่รินเบียร์ให้เทรรอสเช่

“ซิลวาไม่ได้โกหก มาร์นี่จ่ายเงินจ้างเราเป็นผู้คุ้มกันของเขาจริง ๆ เพราะอีวานดูเหมือนจะมีเรื่องต้องไปทำนอกเมือง” เทรรอสเช่ถอนหายใจ “แต่เราว่างมานานเกินไป เราก็เลยไปถึงที่นั่นช้าไป 1 ชั่วโมง แถมเราก็ไม่คุ้นเคยกับการเป็นผู้คุ้มกันด้วย”

“แล้วไงต่อ?” ไอรอนถามอย่างสงสัย

“เนื่องจากเรารับค่าตอบแทนมาแล้ว เราก็เลยคิดว่าพรุ่งนี้เราจะมาให้เร็วขึ้น” เทรรอสเช่พูดด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง

“ใช่ เจ้าทำถูกแล้ว” ไอรอนพยักหน้าเห็นด้วย

“แล้ววันรุ่งขึ้น เราก็ไปส่ายแค่ครึ่งชั่วโมง!” เทรรอสเช่ตอบด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว ราวกับว่าช่วงเวลานั้นเป็นความทรงจำที่เลวร้ายของเขา “เมื่อเราไปถึงที่นั่น มาร์นี่ก็ถูกสัตว์ประหลาดปลากัดไปครึ่งตัวแล้ว พวกเครลิคเลยชุบเขาไม่ได้”

จากนั้นเทรรอสเช่ก็เผยรอยยิ้มเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จ “เพราะงั้นเราก็เลยสงบสติอารมณ์ได้ พวกเราตัดขาดสิ่งรบกวนทางโลก และมุ่งเน้นไปที่การเคลียร์ท่าเรือเกรย์ฟยอร์ดส่วนที่ 11% และ 12% ได้ภายใน 3 วัน!”

ไอรอนเสิร์ฟสเต็กให้พวกเขาและถามต่อว่า “แล้วทำไมมาร์นี่ถึงมัดเจ้าล่ะ?”

รอยยิ้มของเทรรอสเช่ค้างอยู่บนใบหน้า ขณะที่ความทรงจำอันเจ็บปวดหวนกลับคืนมาอีกครั้ง

“เราไปขอโทษมาร์นี่”

“ผลเป็นไง?”

“ชื่อเสียงที่เรามีต่อเขาอยู่ในระดับ ‘เกลียดชัง’”

“…”

ไม่ว่าเทพไร้ยางอายของพวกเขาจะคิดอะไร ผู้เล่นก็มีช่วงเวลาที่สนุกสนานในงานเลี้ยง

เมื่อพวกเขาตื่นจากอาการเมาค้างในวันรุ่งขึ้น พวกเขาก็พบว่า ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ได้รับรางวัลอะไรจากหมู่บ้าน พวกเขายังได้ใช้อาหารและแม้กระทั่งโพชั่นไปจนหมดในงานเลี้ยงเมื่อคืนนี้…

แม้ว่าพวกเขาจะอยากได้ค่าตอบแทนจากหมู่บ้าน แต่หมู่บ้านเองก็ไม่ได้ร่ำรวย หลังจากผู้เล่นได้รับไอเทมดรอปจากยักษ์แห้งแล้งแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้สนใจช้อนและถ้วยไม้ในหมู่บ้านอีกต่อไป

พวกเขาเกลียดที่พวกเขาไม่ใช่ยุงที่จะดูดเลือดชาวบ้านจนแห้งได้ ในที่สุด พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่สบถคำสาปแช่งขณะเดินออกจากหมู่บ้านไปเหมือนที่เคยทำ

ผู้ใหญ่บ้านไม่เข้าใจความหมายของคำสบถที่ผู้เล่นบ่นออกมาโดยไม่มีคนมาแปลให้ฟัง เขารู้เพียงว่าผู้เล่นออกจากหมู่บ้านไปอย่างสนุกสนาน และพวกเขาพอใจกับงานเลี้ยงเมื่อคืนมาก เมื่อนึกย้อนไปถึงถังข้าวสารของเขาที่ว่างเปล่า เขาก็ฉีกยิ้มทั้งน้ำตาอย่างมีความสุข…

จอมและเทอร์รี่กำลังจะจากไปพร้อมกับสุนัขของพวกเขา แต่ทันทีที่พวกเขาไปถึงทางเข้าหมู่บ้าน พวกเขาก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยชายฉกรรจ์ 2-3 คน

จอมมองโจอี้ที่เดินเข้ามาใกล้ “อะไร? ข้าไม่ต้องการพ่อบุญธรรม”

โจอี้เกาหลังหัวอย่างเขินอาย ก่อนจะมองไปที่ชาวบ้านคนอื่น ๆ และหันกลับไปหาจอมและเทอร์รี่ “พวกเรากำลังจะออกจากหมู่บ้าน”

เทอร์รี่ที่กำลังเคี้ยวคุกกี้อยู่ถามอย่างงง ๆ “พวกโจรภูเขาก็หายไปแล้ว ทำไมเจ้ายังอยากจะไปอีก?”

“พวกเราเคยภาคภูมิใจในทักษะการยิงธนูของเราที่ไม่มีพรานในหมู่บ้านไหนเทียบเราได้ แต่เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับโจร…เราก็พบว่าเรายังอ่อนแอมาก” โจอี้พูดอย่างจริงจัง “ดังนั้น เราเลยต้องการออกไปผจญภัยร่วมกับเจ้า เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น และปกป้องหมู่บ้านได้ดีขึ้น!”

“ไม่ เราไม่ได้กำลังเล่นอยู่นะ!” จอมปฏิเสธทันที “มันอันตรายเกินไปสำหรับพวกเจ้า”

พูดตามตรง มันค่อนข้างแปลกที่เด็กจะพูดแบบนี้กับกลุ่มชายวัยกลางคน แต่ไม่มีพรานคนไหนคิดว่ามันตลกเลย

พวกเขาทุกคนได้เห็นการต่อสู้เมื่อวันก่อนมาแล้ว ต่อหน้าความแข็งแกร่งที่เหนือจินตนาการของยักษ์แห้งแล้ง ผู้เล่นเหล่านี้กลับได้รับชัยชนะ ความมั่นใจที่ไม่เคยหวั่นไหว วิธีการต่อสู้ที่โดดเด่นและสะดุดตา ทั้งหมดนั่นทำให้ชาวบ้านเหล่านี้ได้แต่ตกตะลึง

ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการเป็นสมาชิกของผู้เล่น และต้องการพลังเพื่อที่พวกเขาจะได้ปกป้องหมู่บ้านของเขาจากการถูกพวกโจรกดขี่

พรานทุกคนต่างหยิบมีดล่าสัตว์ออกมา และกรีดเข้าที่ข้อมือของพวกเขาพร้อม ๆ กัน

การกระทำนี้ทำให้จอมขมวดคิ้ว ‘อะไร? พวกเขาจะฆ่าตัวตายเพราะถูกปฏิเสธเหรอ? หรือพวกเขาทำไปเพื่อข่มขู่ข้า? นี่มันไม่โง่ไปหน่อยเหรอ?!’

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเราจะละทิ้งศรัทธาของสวนธัญพืช!” โจอี้หันหน้าไปทางจอมและตะโกนออกมาเสียงดัง

ทีแรกจอมคิดว่าโจอี้กำลังพูดกับเขา แต่เมื่อเขาก็หันกลับไปมองข้างหลัง เขาก็ตระหนักว่าสายตาของพรานเหล่านี้กำลังจับจ้องไปที่รูปปั้นด้านหลังเขา

“ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทนพระคุณในอดีตของเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว ทุกอย่างที่เรากินกลายเลือดและเนื้อในท้องของเรา นั้นเราจึงใช้เลือดของเราเพื่อตอบแทนพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์! ขอให้เราได้กลับไปเป็นเลือดและเนื้ออันไร้ศรัทธาอีกครั้ง!”

ในขณะที่เขาพูดสิ่งนี้ โจอี้ก็ซีดลงอย่างน่ากลัว และผมของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีขาวราวกับว่าเขาแก่ขึ้นในเสี้ยววินาที

ไม่ใช่แค่เลือดเท่านั้น แต่เมื่อเขากล่าวคำปฏิญาณนี้ดูเหมือนว่ามีบางอย่างถูกดึงออกจากร่างกายของเขา

พรานคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขา พวกเขาส่วนใหญ่เดินโซเซขณะพยายามประคองให้ตัวเองยืนตรง ๆ

หากจอมและเทอร์รี่สามารถมองเห็นแถบ HP ของฝ่ายที่เป็นกลางได้ พวกเขาก็จะเห็นว่า HP ของพรานเหล่านั้นลดลงเหลือประมาณหนึ่งในห้าของจำนวน HP เดิม

“เฮ้ พวกเจ้าไหวไหม?” เมื่อเห็นพวกเขา 2-3 คนเริ่มดูเหมือนคนใกล้ตายจากการเสียเลือด จอมจึงหยิบโคคา-โคล่าออกมา และป้อนพวกเขาทันที “เทอร์รี่ให้พวกเขากินโพชั่น! คนพวกนี้บ้าไปแล้ว!”

เทอร์รี่รับกินคุกกี้จนหมดอย่างรวดเร็ว และป้อนโคคา-โคล่าให้พรานที่ใกล้ตาย

อันที่จริงผ้าพันแผลน่าจะมีประโยชน์มากกว่า แต่ผู้เล่นไม่ได้พกมันมาด้วยเพราะพวกเขาได้รับพรจากระบบ

“ขอบคุณที่ยอมรับพวกเรา…” โจอี้ยิ้มอย่างอ่อนแรง

“ยอมรับบ้านเจ้าสิ ถ้าข้าไม่ช่วยไว้ พวกเจ้าคงจะตายไปแล้ว!” จอมตอบอย่างโกรธ ๆ ก่อนจะมองไปที่ชื่อบนหัวพวกเขา

ชื่อยังคงเป็นสีเหลืองหมายความว่าพวกเขาไม่ได้เป็นผู้เล่น

ตอนนั้นเองที่จอมจำได้ว่า เขาไม่เคยบอกชาวบ้านเลยว่าผู้เล่นมาจากศาสนจักรของเทพเจ้าแห่งเกม…

“แล้ว เราจะทำอะไรกันต่อ?” โจอี้ไม่สนใจคำบ่นของจอมและถามด้วยรอยยิ้ม “พวกเราไปป่าทริเนียต่อไหม? ข้าได้ยินเจ้าพูดว่าเจ้าจะไปที่นั่นในงานเลี้ยง…”

“ตอนนี้เหรอ? ข้าคิดว่า…” จอมลูบคาง เขารู้สึกพอใจมากที่เควสประจำสัปดาห์อย่าง [แสงของเทพเจ้าจะส่องสว่างไปทั่วผืนดิน] จะเสร็จสมบูรณ์ “ปกติแล้วสิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือไปที่เมืองเล็ก ๆ นอกหุบเขาแห่งความตายแล้วเริ่มแบกอิฐ”

โจอี้ “????”

——————————–

แม้ว่าจอมจะถูกระบบ ‘ทรยศ’ แต่ผู้เล่นก็ไม่ได้ทำอะไรกับเขา ทุกคนเห็นยักษ์แห้งแล้งทุบรังโจรด้วยตาตัวเอง และรู้ว่าไม่มีใครสามารถเปลี่ยนชะตากรรมของโจโคโบะได้ แม้ว่าพวกเขาจะได้รับโอกาสอีกครั้งก็ไม่มีใครกล้าขวางทางยักษ์ และอยากถูกฝังอยู่ในซากปรักหักพังไปพร้อมกับโจโคโบะ

เมื่อผู้เล่นกลับไปที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ในหุบเขา พวกเขาก็ต้องประหลาดใจกับจำนวนชาวบ้านที่เพิ่มขึ้นมาในช่วงเวลาสั้น ๆ

การที่มีคนกว่า 100 คน มารอพวกเขาอยู่นอกหมู่บ้านนั้นน่ากลัวมาก จนผู้เล่นบางคนคิดว่าแผนชั่วที่พวกเขาคิดจะปล้นชาวบ้านก่อนหน้านี้รั่วไหล และชาวบ้านได้มารวมตัวกันเพื่อเอาชนะพวกเขา…

โชคดีที่นายพรานกลับมาถึงหมู่บ้านก่อน และพวกเขาก็ได้อธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้พวกชาวบ้านฟังแล้ว

ผู้ใหญ่บ้านกลัวว่าผู้เล่นจะแพ้ และความโกรธของโจรภูเขาจะหล่นลงมาใส่หมู่บ้านอีกครั้ง พวกเขาจึงยืมรถม้าที่ผู้เล่นลืมทิ้งไว้หน้าหมู่บ้านไปเรียกกำลังเสริมจากหมู่บ้านรอบ ๆ มาเพื่อเตรียมพร้อม

แต่หลังจากนั้นไม่นาน นายพรานก็นำข่าวกลับมาบอกว่าผู้เล่นชนะ และการต่อสู้ที่สิ้นหวังของพวกเขาก็ได้เปลี่ยนเป็นการเฉลิมฉลองขนาดใหญ่ที่มีคนจากหมู่บ้านใกล้เคียงทั้งหมดมาเข้าร่วม

ท่าเต้นแปลก ๆ และตลกมากมายที่ผู้เล่นเรียนรู้จากระบบ ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ชาวบ้าน และพวกเขาก็สร้างความบันเทิงได้มากจากการเต้นประชันกัน หลังจากวันนั้นผู้เล่นทุกคนก็ตกลงที่จะส่งต่อสิ่งนี้ ให้เป็นประเพณีรื่นเริงของศาสนจักรเทพเจ้าแห่งเกมของพวกเขา

***

ในขณะเดียวกัน ซีเว่ยก็กำลังปวดหัวกับกองศพที่ยับยู่ยี่ของยักษ์แห้งแล้งในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา

ซากของมันไร้ประโยชน์ เนื่องจากมีอำนาจของเจ้าแห่งยอดเขาคอยปกป้องอยู่ ซีเว่ยจึงไม่สามารถใช้มันเป็นเครื่องสังเวยเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังงานศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็อย่างที่พูด ยักษ์แห้งแล้งเป็นสัตว์ระดับตำนาน การโยนศพล้ำค่าของมันทิ้งไปจะเป็นการเสียเปล่า…จึงสรุปได้ว่า มันเป็นเรื่องปวดหัวที่เขาต้องจัดการให้รอบคอบ

“ขาดทุนมาก…” ร่างกายกลม ๆ ของซีเว่ยเด้งขึ้นเด้งลงอย่างไม่พอใจ “ไม่เพียงแต่ฉันจะไม่ได้รับพลังงานศักดิ์สิทธิ์จากการต่อสู้ครั้งนี้ ฉันยังต้องมอบไอเทมระดับตำนานสีทองให้อีกด้วย…ไม่ ฉันคำนวณความสูญเสียไม่ได้ ไม่งั้นใจฉันคงสลาย!”

แต่จริง ๆ แล้วเขาค่อนข้างมีความสุขกับผู้ศรัทธาของเขา

ครั้งนี้ถึงแม้ว่าจะไม่มีคำแนะนำใด ๆ จากระบบ แต่ผู้เล่นก็ได้ใช้ทักษะและกลยุทธ์ของตัวเอง เพื่อบรรลุความสำเร็จระดับตำนานในหมู่มนุษย์ได้

ศพของยักษ์แห้งแล้งจะไม่ทำให้ซีเว่ยเดือดร้อน เนื่องจากผู้เล่นเป็นคนฆ่ามัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้เล่นจะต้องสังเวยมันให้เขาเป็นรางวัล หากเจ้าแห่งยอดเขาต้องการต่อสู้เพื่อศพของยักษ์ ผู้ถักทอโลกจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ และสำหรับซีเว่ยที่มีสิงโตตัวใหญ่คอยช่วยเหลืออยู่ ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล!

สิ่งที่ทำให้ซีเว่ยปวดหัวมากกว่าก็คือรางวัลอีกชิ้นที่ผู้เล่นได้รับ

ตะเกียงวิญญาณ

สิ่งนี้สามารถนับเป็นไอเทมได้ ดังนั้นมันจึงไม่ถูกสังเวยให้กับซีเว่ยหลังจากที่ผู้เล่นได้รับมัน เขาเลยได้แต่สำรวจมันแบบคร่าว ๆ เท่านั้น

ภายใต้การวิเคราะห์ของซีเว่ย ไอเทมชิ้นนี้น่าจะเป็น ‘ของศักดิ์สิทธิ์’ จากวิหารใต้พิภพ

ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาที่ต้องพูดถึงความแตกต่างระหว่าง ‘ของศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำ’ และ ‘ของศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า’ แล้ว

ของศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า เป็นของกำนัลที่มีพลังอันยิ่งใหญ่จากเทพเจ้าที่มอบให้กับผู้ศรัทธาของตน และส่วนใหญ่เป็นอาวุธ ดังนั้นของศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าจึงถูกเรียกอีกอย่างว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์

แม้ว่าซีเว่ยจะมอบไอเทมหลายอย่างที่เขาสร้างขึ้นให้กับผู้เล่น แต่เขาก็ไม่ได้ทำให้ของพวกนั้นมีคุณสมบัติวิเศษหรือพรใด ๆ อีกทั้งยังไม่ผ่านเกณฑ์เนื่องจากมันไม่ได้บรรจุพลังอันยิ่งใหญ่เอาไว้ ดังนั้นมันจึงไม่สามารถนับเป็น ‘ของศักดิ์สิทธิ์’ ได้ ถ้าวัดกันตามมาตรฐานนี้ นิ้วเท้ายักษ์ก็ถือได้ว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ แต่มันจะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าที่อ่อนแอที่สุดในหมู่ของศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า

ถ้าของศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าถูกสร้างขึ้นในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ของศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำก็ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ ลักษณะที่แท้จริงของสิ่งนี้คือสิ่งของที่สะสมพลังงานศรัทธาจำนวนมหาศาลจากผู้ศรัทธาในศาสนจักร และได้รับพลังแปลก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าที่พวกเขาศรัทธา ซึ่งทำให้มีความสอดคล้องกันในด้านของพลัง ของศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่อาวุธ แต่เป็นสิ่งของที่มักจะถูกบูชาไว้ในโบสถ์ หรือแม้แต่สิ่งของที่ถูกวางไว้ข้าง ๆ รูปปั้นเทพ

เราไม่สามารถแยกได้ว่าของศักดิ์สิทธิ์แบบใดดีกว่าหรือแย่กว่ากัน ตัวอย่างเช่น ในรายการจัดอันดับของศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า มีคมดาบปรึซึมที่สามารถบดขยี้ภูเขาได้ในคราวเดียว และนิ้วเท้ายักษ์ที่สามารถตัดเล็บเท้าของยักษ์แห้งแล้งได้เท่านั้น ในขณะที่รายการจัดอันดับของศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำ มีของที่สามารถก่อให้เกิดฝนตกหนักอย่างรุนแรงจนทำให้ทั้งอาณาจักรท่วมอยู่ใต้น้ำได้ในคราวเดียว และจอกสีแดงเลือดที่สามารถผลิตไวน์รสเลิศได้วันละหนึ่งลิตร

จากการจัดอันดับนี้ ตะเกียงวิญญาณถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำที่ไม่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่อ่อนแอเช่นกัน

ตะเกียงนี้สามารถรวบรวมวิญญาณผ่านสัญญาเพื่อสร้างไส้ตะเกียง หลังจากที่ไส้ตะเกียงถูกจุดขึ้นมาแล้ว มันก็สามารถให้พลังชีวิตจำนวนมากเพื่อให้เป้าหมายมีชีวิตอยู่ได้ ก่อนที่ตะเกียงจะดับ เป้าหมายจะไม่ตาย ไม่ว่าเขาจะได้รับความเสียหายหนักแค่ไหน แต่ตราบใดความเสียหายนั้นไม่เกินพลังงานที่มีอยู่ในตะเกียงวิญญาณ เขาก็จะไม่ตาย

สาเหตุที่ยักษ์แห้งแล้งหนีไปหาโจรภูเขานั้น น่าจะเป็นเพราะเจ้าของตะเกียงจุดตะเกียงวิญญาณเพื่อให้มันมีชีวิตอยู่ แต่มันคงจะไม่คาดคิดว่าเจ้าของตะเกียงจะหนีไปเร็วขนาดนี้…

ตะเกียงวิญญาณค่อนข้างแข็งแกร่งในทางหนึ่ง เพราะมันจะล็อคเกจ HP เอาไว้ และทำให้เป้าหมายสามารถมีชีวิตอยู่ได้ แม้ว่าคน ๆ นั้นจะถูกบดเป็นเนื้อสับเหมือนสไลม์ก็ตาม

แต่ไอเทมนี้ก็ค่อนข้างอ่อนแอในทางหนึ่ง เนื่องจากมันทำงานตามสัญญาและไม่สามารถชาร์จพลังใหม่ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ดังนั้นการใช้งานจึงจำกัดมาก

แถมสัญญาของตะเกียงวิญญาณก็ใช้ไม่ได้กับผู้เล่น เพราะซีเว่ยได้เก็บวิญญาณของพวกเขาไว้ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์หลังจากที่พวกเขาตาย ดังนั้นมันจึงขัดแย้งกับสัญญาของตะเกียง และเพราะลำดับความสำคัญของซีเว่ยมาก่อนลำดับความสำคัญของของศักดิ์สิทธิ์ มันจึงใช้ไม่ได้ผลกับผู้เล่น

ในระยะสั้น ซีเว่ยวางแผนที่จะอยู่ให้ห่างจากวิหารใต้พิภพให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะศพของเทพกระดูกเน่ายังถูกยัดอยู่ในเครื่องปั่น

แต่โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ช่างน่าเหลือเชื่อว่ามีผู้ศรัทธาที่เกี่ยวข้องกับวิหารใต้พิภพอยู่ภายในกลุ่มโจรภูเขา และผู้ที่ถือครองของศักดิ์สิทธิ์ก็คือหัวหน้ากลุ่มโจรภูเขา คน ๆ นี้อาจมีตำแหน่งระดับสูงในศาสนจักรของเทพสุ่ม ๆ ในวิหารใต้พิภพ หรือขโมยตะเกียงมาจากศาสนจักรอีกทีหนึ่ง

ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน มันก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับผู้เล่น ถ้าเป็นแบบแรกนั่นหมายความว่าสมาชิกของศาสนจักรจะมีความไม่พอใจต่อผู้เล่น และซีเว่ยจะต้องทำสงครามใหม่กับเทพเจ้าฝั่งเดียวกับเทพกระดูกเน่า ในขณะที่แบบหลังหมายถึงศาสนจักรจะกำหนดเป้าหมายไปที่ผู้เล่นที่ครอบครองของศักดิ์สิทธิ์…

“อ่าเจ็บไข่ชะมัด…ถึงตอนนี้ฉันจะไม่มีไข่ก็เถอะ” ซีเว่ยถอนหายใจ “ช่างมันเถอะ สิ่งสำคัญตอนนี้คือต้องแข็งแกร่งขึ้น ถ้าฉันแข็งแกร่งจนสามารถเอาชนะเทพบิดรได้ ฉันก็ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องอะไรแบบนี้หรอก”

ดังนั้นซีเว่ยจึงเริ่มวางแผนหาวิธีหลอกลวงพลังศรัทธาจากผู้เล่นอีกครั้ง

——————————-

ในฐานะหนึ่งในสามรัฐใหญ่แห่งจักรวรรดิวัลลา ดยุกอินทรีเงิน ‘ฮอร์รัน•เฟาสต์’ ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง และใช้ชีวิตอย่างน้อบน้อมต่อคำสั่งของจักรพรรดิอย่างไม่มีข้อกังขาเขารู้ดีว่าการปกครองเหนือดัชชี*อินทรีเงินเป็นขีดจำกัดอำนาจของเขา เขาจึงไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้ แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงความกลัวที่ราชวงศ์วัลลามีต่อเขา

(ดัชชี เป็นอาณาเขตการปกครองหรือบริเวณที่ปกครองโดยดยุกหรือดัชเชส)

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่จักรวรรดิวัลลาทำสงครามกับราชรัฐโรวีเนีย และเผชิญกับความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ ความแค้นที่เหล่าราชวงศ์มีต่อดยุกของจักรวรรดิก็เพิ่มพูนขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าดยุกทั้ง 3 เป็นลูกหลานของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งอาณาจักร และได้รับการปกป้องจากกฎหมาย ราชวงศ์ก็คงจะลดระดับพวกเขาไปเป็นขุนนางธรรมดาแล้ว

โชคดีที่ศาสนจักรต่าง ๆ ในจักรวรรดิวัลลาได้คอยถ่วงดุลพวกเขาเอาไว้ และสงครามในราชรัฐโรวีเนียก็เป็นขีดจำกัดของจักรพรรดิแล้ว อย่างน้อยฮอร์รันก็ไม่ต้องกังวลว่าจักรพรรดิจะส่งทหารมาเคาะประตูหน้าบ้านเขาตอนนี้

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเรื่องอื่นมาทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนกลางคืน

ความจริงมันมีอันตรายและปัญหามากกว่าที่ฮอร์รันคิด เพียงแค่จดหมายที่เขาได้รับเมื่อเช้านี้ก็ทำให้เขาเศร้าไปทั้งวัน จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่หายดี

มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่ชายหนุ่มรูปหล่อจะก้าวเข้ามาในห้องอย่างช้า ๆ เขาก้มหัวให้กับดยุคชราอย่างสง่างาม ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า

“ท่านพ่อ ท่านเรียกหาข้ารึ”

เขาเป็นลูกชายคนโตของฮอร์รันเฟาสต์ เซซิลเฟาสต์

เขามีผมสีทองหยักศก ใบหน้าของเขาเหมือนถูกแกะสลักมาอย่างดี และผิวของเขาก็ทำให้ลูกสาวของตระกูลชนชั้นสูงยังต้องอิจฉา ดวงตาของเขาเหมือนสระน้ำลึกสีไพลิน และร่างกายที่กระชับและสง่างามของเขาก็บ่งบอกให้คนอื่น ๆ รู้ว่าเขาเก่งในการดวลมากกว่าความมั่งคั่งที่เขามี ดาบของเขาไม่ได้มีไว้เพื่อประดับเท่านั้น

ผู้คนกล่าวกันว่า เขาได้รับการถ่ายทอดยีนอันสูงส่งจากฝั่งพ่อของเขามาอย่างสมบูรณ์แบบ และเขายังเป็นลูกชายที่ฮอร์รัน•เฟาสต์ภาคภูมิใจที่สุดอีกด้วย

แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้มีตำแหน่งขุนนางเต็มตัว แต่ในฐานะลูกชายคนเดียวของฮอร์รันที่ยังคงอยู่ในปราสาทขุนนาง เขาก็เกือบจะถูกกำหนดให้สืบทอดตำแหน่งของพ่อ และกลายเป็นดยุกอินทรีเงินคนใหม่ในอนาคต

“ใช่ ข้าเพิ่งได้รับข่าวร้ายจากเมืองใกล้หุบเขาแห่งความตาย” ดยุคชราจ้องมองลูกชายของเขาและพูดต่ออย่างช้า ๆ “น้องชายของเจ้าถูกโจรฆ่าตาย”

“อะไรนะ!”

เซซิลตกใจ คิ้วของเขาขมวดราวกับว่านี่เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ น้ำตาไม่ไหลออกมาจากดวงตาของเขา เขายั้งตัวเองเอาไว้ แต่ความเศร้าโศกก็แทรกออกมาในน้ำเสียงของเขา “เมื่อสองเดือนก่อน เรายังหัวเราะและพูดคุยกับเขาที่นี่อยู่เลย ข้าไม่คิดว่า…”

ฮอร์รันดูเหมือนจะพอใจกับปฏิกิริยาของลูกชายและพยักหน้าเบา ๆ

แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ส่งลูกชายคนอื่น ๆ ออกไปปกครองดินแดนอื่น แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าดยุคชราไม่ได้สนใจลูกชายของตัวเอง

เขาทำเช่นนั้นไปก็เพื่อปกป้องลูก ๆ ของเขา แต่เอ็ดมันด์ก็ยังต้องตายก่อนวัยอันควร

แม้ว่าฮอร์รันจะรับมือกับแผนการเจ้าเล่ห์และการแทงข้างหลังมาหลายปีในฐานะขุนนาง ซึ่งทำให้เขามีนิสัยที่แข็งกระด้าง แต่การที่ต้องสูญเสียลูกไป มันก็ทำให้หัวใจของคนเป็นพ่อแม่รู้สึกเจ็บปวดอย่างเหลือทน เขาทรมานกับความเจ็บปวดมาตั้งแต่เช้า แต่เขาก็ต้องสะกดกั้นมันเอาไว้

ตอนนี้เขาไม่สามารถทนอยู่ในความเศร้าโศกได้อีกต่อไป นั่นคือเหตุผลที่เขาเรียกหาลูกชายของเขามาพบ เขาหวังว่าลูกชายจะช่วยแบ่งปันความเจ็บปวดของเขาได้บ้าง

และลูกชายคนโตของเขาก็เป็นไปตามความคาดหวังของเขาเช่นเคย แม้ว่าเขาจะเสียใจกับการจากไปของน้องชาย แต่เขาก็ไม่ได้เจ็บปวดมากเกินไป อย่างไรเสีย ดยุคก็รู้ดีว่าลูกชายทั้งสองไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นอะไรกันนัก เขาจะผิดหวังมากขึ้นหากลูกชายคนโตของเขาเสียใจกับเรื่องนี้มากเกินไป

“ท่านพ่อ ข้าจะจัดการรายละเอียดเกี่ยวกับพิธีศพของแองโกร่า ท่านควรอยู่บ้านและพักผ่อน เพราะท่านคือกระดูกสันหลังของดัชชี่”

“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเป็นแองโกร่า” ดยุคชราขมวดคิ้ว

“ไม่ใช่เขารึ…” เซซิลหายใจสะดุด ดูเหมือนเขาจะทำผิดพลาด

“แองโกร่ายังมีชีวิตอยู่และสบายดี เขาเพิ่งเขียนจดหมายถึงข้าเมื่อ 2 วันก่อน ดูเหมือนว่าเมืองเล็ก ๆ ของเขาจะไปได้ดีมาก” ฮอร์รันพูดอย่างเคร่งขรึม “เอ็ดมันด์ต่างหากคือคนที่ถูกฆ่า!”

“ข้าผิดเอง” เซซิลก้มหัวลงทันที

“ไม่เป็นไร” ดยุกชราถอนหายใจ “เจ้าไปได้แล้ว”

เซซิลโค้งคำนับและรีบออกจากห้องทำงานไปทันที

หลังจากกลับไปที่ห้องของเขา เซซิลก็รีบหยิบกระจกที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นไม้ออกมา

เขากรีดนิ้วและหยดเลือดของตัวเองลงไปบนกระจก จากนั้นกระจกก็เริ่มดูดซับเลือดเข้าไปเหมือนกับฟองน้ำ

ไม่นานร่างในชุดคลุมสีดำปิดบังใบหน้าก็ปรากฏขึ้นที่อีกด้านของกระจก

“ว่าที่ดยุกในอนาคต ท่านมีปัญหาอะไร” อีกฝ่ายถามด้วยเสียงแหบพร่าที่ฟังดูไม่เหมือนมนุษย์

“ชุมนุมลับดวงตาของเจ้าทำงานกันแบบนี้เหรอ! ทำไมแองโกร่าถึงยังสบายดี แต่เอ็ดมันด์กลับตาย”

ใบหน้าอันหล่อเหลาของเซซิลมืดครึ้ม เขาถามอย่างเย็นชา

“ท่าน การเสียชีวิตของเอ็ดมันด์เป็นอุบัติเหตุ ข้าแน่ใจว่าท่านไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก ดังนั้นข้าจะบอกท่านตามตรง ในเมืองใกล้หุบเขาแห่งความตายได้มีกองกำลังที่ไม่รู้จักปรากฏตัวขึ้น พวกมันเข้าปล้นท่าเรือเกรย์ฟยอร์ดและสังหารตัวหมากที่พวกเราวางไว้…ตัวหมากผู้น่าสงสารไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศัตรูคือใคร หรือมีแรงจูงใจอะไรก่อนที่พวกเขาจะถูกฆ่าจนหมด” ชายในชุดคลุมพูดช้า ๆ “สำหรับแองโกร่าน้องชายคนเล็กของท่าน แม้ว่าเราจะไม่แน่ใจ แต่เราก็ได้ตั้งสมมติฐานไว้แล้วว่า เขาอาจมีกองกำลังลึกลับนั่นอยู่เบื้องหลัง เป้าหมายของพวกเขาอาจคล้ายกับท่าน เพื่อครอบครองสมบัติลับของตระกูลเฟาสต์…”

“สารเลว” ดวงตาของเซซิลเย็นเฉียบยิ่งกว่าน้ำแข็ง “ตระกูลเฟาสต์เป็นของข้า ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้”

“ถูกต้อง ท่านเคยบอกเราว่าสมบัตินั้นลึกลับมาก ตอนนี้แม้แต่ชุมนุมลับดวงตาของเราก็ไม่สามารถตรวจพบการมีอยู่ของสมบัติลับนั้นได้ และคนที่น่าจะเกี่ยวข้องกับสมบัติลับมากที่สุดในตอนนี้ก็คือน้องชายของท่าน ซึ่งเรายังไม่ทราบเกี่ยวกับตัวมารดาผู้ให้กำเนิดแองโกร่า•เฟาสต์” ร่างนั้นกำลังอธิบายบางสิ่งบางอย่าง เขาค่อย ๆ เปิดเผยข้อมูลของเขา “แต่สบายใจได้ ท่านจ่ายเงินมาแล้ว ดังนั้นชุมนุมลับของเราจะสนับสนุนท่านจนจบ ทันทีที่กองกำลังในภาคส่วนอื่น ๆ มีเวลาว่าง เราจะระดมสมาชิกของเราเพื่อช่วยกำจัดน้องชายคนเล็กของท่าน”

“ฮึ่ม” เซซิลทำเสียงฮึดฮัด เขาลุกขึ้นยืนและค่อย ๆ เดินไปที่ประตู จากนั้นเขาก็ดึงประตูเปิดออกอย่างกะทันหัน

ด้านนอกประตูเป็นสาวใช้ตัวน้อยที่กำลังตื่นตระหนก

“เจ้าได้ยินอะไร” เขาถามอย่างเย็นชา

“ท่านหมายถึงอะไร? ท่าน…”

ก่อนที่สาวใช้จะพูดจบ ดาบเหล็กที่เย็นเฉียบของเซซิลก็แทงทะลุหัวของเธอ ฆ่าเธอตายในทันที!

“ข้าหวังว่าเจ้าจะหมายความตามที่เจ้าพูด” น้ำเสียงของเซซิลฟังดูน่ากลัว ขณะที่เขาสะบัดคราบสมองที่ติดอยู่บนใบดาบทิ้ง

—————————-

ทันทีโจอยากจะพูดอะไรหล่อ ๆ บ้าง เขาก็ลื่นตกจากร่างของยักษ์แห้งแล้ง

ตอนนั้นเองเขาถึงพึ่งจะมารู้ว่า สิ่งที่ราดลงบนตัวเขาไม่ใช่เลือด มันเป็นอะไรบางอย่างที่คล้ายน้ำมันที่ลื่น ๆ และเหนียว

ยักษ์แห้งแล้งยังมีพลังชีวิตเหลืออยู่ ดังนั้นผู้เล่นจึงยังโจมตีมันอยู่และต่อสู้กันเองว่าใครจะได้ลาสช็อตไป

แต่ยักษ์แห้งแล้งกลับสูญเสียความตั้งใจที่จะต่อสู้ไปแล้ว มันวิ่งกลับไปที่หน้าผา โดยหวังว่าโจรภูเขาจะช่วยมันจับผู้เล่น

แต่ผู้เล่นตาไว 2-3 คน (ส่วนใหญ่เป็นเรนเจอร์) สังเกตเห็นว่าที่รังโจรด้านข้างหน้าผานั้นว่างเปล่า ในตอนที่ยักษ์แห้งแล้งต่อสู้กับพวกเขา พวกโจรก็พากันปีนขึ้นไปบนหน้าผาผ่านทางลับเพื่อหลบหนีแล้ว

ดูเหมือนพวกเขาไม่ตั้งใจจะช่วยยักษ์แห้งแล้งเลยตั้งแต่แรก

ไม่ยากที่จะเข้าใจสิ่งที่โจรภูเขาเลือก ในสายตาของพวกโจร ยักษ์แห้งแล้งเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ยงคงกระพัน และสามารถทำลายได้แม้แต่นักรบศักดิ์สิทธิ์

มันเป็นความเข้าใจผิด ๆ ที่ทำให้พวกเขากล้าทำสิ่งต่าง ๆ โดยประมาท แต่เมื่อผู้เล่นโค่นยักษ์ลงด้วยการโจมตีที่ดุร้าย ภาพของยักษ์ที่แข็งแกร่งในใจของโจรภูเขาก็ได้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้ ‘ความกล้าหาญ’ ที่น่าสมเพชของพวกเขาหายไป

เหตุใดจึงไม่มีโจรภูเขาสักคนมาช่วยยักษ์แห้งแล้ง นั่นเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะแม้แต่ซีเว่ยซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งเกมเองก็ไม่สามารถเปิดการใช้งานระบบ ‘ไม่โจมตีบุคคลที่เป็นมิตร’ ได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเจ้าแห่งขุนเขาจึงทำไม่ได้เช่นกัน สำหรับมอนสเตอร์ที่มีขนาดใหญ่อย่างยักษ์แห้งแล้ง ก้าวแต่ละก้าวของพวกมันก็เป็นการโจมตีแบบ AOE แล้ว หากพวกโจรภูเขาพยายามช่วยเหลือยักษ์ พวกเขาอาจจะต้องตายก่อนที่จะมีโอกาสได้โจมตีผู้เล่นด้วยซ้ำ…

ผู้เล่นเข้าใจเหตุผลของพวกโจร แต่ยักษ์แห้งแล้งไม่ใช่

เสียงคร่ำครวญของยักษ์เต็มไปด้วยความเศร้าและความโกรธ เมื่อมันถูกทิ้งโดยพรรคพวกที่มันไว้ใจที่สุด

ยักษ์แห้งแล้งดูเหมือนจะสูญเสียความตั้งใจที่จะมีชีวิตอยู่ มันได้ใช้กำลังทั้งหมดวิ่งเข้าชนหน้าผา ร่างของมันที่หนักหลายพันตันกระแทกเข้ากับภูเขาอย่างแรง ทำให้รังโจรขนาดใหญ่ต้องพังทลาย!

หน้าผาไม่ได้มีโครงสร้างที่แข็งแกร่งพอจะทนต่อการทุบตีเช่นนี้ เพียง 10 วินาทีหลังจากรังของโจรภูเขาถูกทำลาย ภูเขาก็เริ่มพังทลายลง เหล่าโจรไม่สามารถหลบหนีภูเขาถล่มได้ พวกโจรเกือบทั้งหมดจึงถูกฝังทั้งเป็นใต้ซากหน้าผา!

ร่างของยักษ์แห้งแล้งก็ถูกขังอยู่ใต้หน้าผาเช่นกัน มีเพียงคอ หัว และไหล่ข้างหนึ่งของมันเท่านั้นที่โผล่ออกมาจากกองหินถล่ม มันนอนอยู่ที่นั่นเหมือนกำลังจะตาย

โจยืนอยู่ต่อหน้ายักษ์ที่กำลังจะตาย เขาได้รับเลือกให้เป็นคนโจมตีมันครั้งสุดท้าย เพราะประสบการณ์ที่เจ็บปวดจากการตายหลาย 10 ครั้งในนั้นน่าเศร้าเกินไป…

โจไม่ได้หัวเราะหรือร้องไชโยเหมือนผู้เล่นคนอื่น ๆ เมื่อเควสเสร็จสิ้น เขาที่ถูกปกคลุมด้วยเลือด (น้ำมัน) ของยักษ์แห้งแล้ง

ดวงตาขนาดมหึมากำลังจ้องมองเขาอยู่

โจรู้สึกได้ถึงความไม่เต็มใจและความเศร้าจากอีกฝ่าย

เขาไม่ได้เยาะเย้ยยักษ์เพื่อระบายความโกรธของเขา แต่โจกลับพูดอย่างจริงจังว่า “ในชาติหน้า เจ้าจงหานายที่ดีกว่านี้ซะ”

จบคำ โจก็แทงดาบเข้าไปในดวงตาของยักษ์แห้งแล้งและฆ่ามัน

เมื่อยักษ์ตาย ผู้เล่นเกือบทุกคนที่ร่วมกันต่อสู้ครั้งนี้ก็ถูกอาบไปด้วยแสงสีขาว พวกเขาเลเวลอัพแล้ว!

แต่ผู้เล่นลืมคิดไปว่ายักษ์แห้งแล้งที่พวกเขาฆ่าจะหายไป ด้วยเหตุนี้ซากปรักหักพังที่เคยทับอยู่บนตัวยักษ์ก็ถล่มลงมาอีกครั้ง ดังนั้นจำนวนผู้เล่นที่ได้รับความเสียหายจึงเพิ่มจำนวนขึ้นหลายคน…

และที่ยากไปกว่านั้นคืออุปกรณ์และของดรอปทั้งหมดที่ยักษ์แห้งแล้งทิ้งไว้นั้น ถูกฝังอยู่ใต้กองหิน พวกเขาต้องลงมือขุดมันออกมา

หลังจากขุดกองไอเทมขึ้นมาจากซากหิน พวกเขาก็รู้สึกขมขื่นเล็ก ๆ

พวกเขาได้รับรางวัลเป็นไอเทมระดับอีลิทเพียงไม่กี่ชิ้น

แต่ความขมนี้ก็ได้สิ้นสุดลงเมื่อพวกเขาดึงดาบระดับตำนานสีทองออกมา ชื่อของมันคือ ‘นิ้วเท้ายักษ์’ ความสุขของพวกเขาพุ่งขึ้นไปถึงจุดสุดยอด

ผู้เล่นเกือบทุกคนกำลังเอะอะว่าไอเทมชิ้นนี้ควรจะเป็นของใคร

เมื่อมองจากผู้เล่นที่ได้รับ ‘ความเสียหายสูงสุด’ และ ‘สร้างความเสียหายได้มากที่สุด’ ผู้เล่นจึงตัดสินใจว่าโจควรจะเป็นเจ้าของอาวุธระดับตำนานชิ้นแรก ที่เทพเจ้าแห่งเกมมอบให้พวกเขา

“อ่า…” เมื่อมองไปที่ผู้เล่นที่หลงใหลในการขุดดิน เทอร์รี่ก็จำอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “โจโคโบะ…”

ก่อนที่เขาจะได้พูดจบ จอมก็ปิดปากของเขาทันที “จุ๊ ๆ! เราแอบออกไปกันตอนนี้เถอะ!”

จริง ๆ แล้วจอมเดาถูก มีกรงนกในรังของโจรภูเขา แต่ตอนนี้รังของโจรภูเขาถูกทำลายไปแล้วโดยยักษ์แห้งแล้ง เห็นได้ชัดว่าโจโคโบะในนั้นไม่น่าจะรอด

หลังจากที่เขาผิดสัญญากับผู้เล่นคนอื่น ๆ มาแล้วติดต่อกัน 2 ครั้ง จอมก็รู้สึกว่ามันเป็นการดีที่สุดหากพวกเขาจากไปก่อนที่ผู้เล่นจะรู้ตัว

เดิมทีจอมและเทอร์รี่ออกมาเพื่อสำรวจป่าทริเนีย แต่พวกเขาก็วิ่งไปเจอกลุ่มโจรภูเขา นี่เป็นอุปสรรคเล็กน้อยในการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ของพวกเขา…อย่างน้อยพวกเขาก็แค่ไม่กลับไปที่เมืองจนกว่าสิ่งที่พวกเขาพูดไว้จะถูกลืม

เทอร์รี่พึมพำเห็นด้วยและพยักหน้ารัว ๆ เขาไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะไปไหนกันเพราะเขาขี้เกียจใช้สมอง ดังนั้นเขาก็เลยฝากความคิดทั้งหมดไว้ที่จอม เขารู้ว่าจอมจะไม่ทิ้งเขาแน่ และเราจะต่อสู้ไปด้วยกัน

ขณะที่ทั้งสองกำลังจะแอบหลบออกไป จอมก็สังเกตเห็นสุนัขชาเป่ยสีเทานั่งอยู่ตัวเดียวบนเนินขนาดเล็ก

เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าใกล้สุนัขและถามมันว่า “เจ้าได้แก้แค้นให้กับเจ้าของ ๆ เจ้าแล้ว เจ้าอยากมาผจญภัยกับเราไหม”

สุนัขชาเป่ยเอียงคอมองไปที่จอม ก่อนจะมองทอร์รี่ที่กำลังยิ้มอยู่ จากนั้นมันก็เริ่มกระดิกหางช้า ๆ

จอมอดยิ้มไม่ได้

“ตั้งชื่อให้มันกันเถอะ” เทอร์รี่เอนตัวเข้าไปใกล้ “เราจะเรียกมันว่า ‘เซอร์กิเวียบีสต์’ เป็นไง!”

สุนัขแยกเขี้ยวขู่และเห่าใส่เทอร์รี่

“มันชอบมาก” เทอร์รี่พูดแบบไม่ดูหน้าสุนัขเลย

“เฮ้อ…” จอมลูบหัวสุนัขด้วยสีหน้าว่างเปล่า “เราไม่รู้จักชื่อเก่าของเจ้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะเรียกเจ้าว่าไพร์ท!”

สุนัขตอบง่าย ๆ ว่า

“โฮ่ง!”

“เอาล่ะ ตอนนี้ก็ได้เวลาไปกันแล้ว…” เมื่อพร้อมแล้ว จอมและเทอร์รี่ก็ออกเดินทางไปพร้อมสุนัขของพวกเขา ระหว่างที่ผู้เล่นคนอื่น ๆ กำลังหมกมุ่นอยู่กับการขุดไอเทมใต้กองหิน

[ติ้ง! ผู้เล่นทุกคนโปรดทราบ ผู้เล่นจอมได้รับสัตว์เลี้ยงตัวแรก ระบบจะปลดล็อก ‘ระบบสัตว์เลี้ยงและพาหนะ’ ในอีก 10 นาที]

[สัตว์เลี้ยงแนะนำที่สามารถช่วยในการต่อสู้ ขนไอเทม และช่วยให้อารมณ์ดีได้ : โจโคโบะเชื่อง]

[สัตว์เลี้ยงแนะนำสำหรับคลาส ‘อัศวิน’ (คลาสในอนาคต) ที่ต้องการพาหนะ : โจโคโบะนักวิ่ง]

จอมตัวแข็งทื่อ เขาค่อย ๆ หันกลับไปอย่างช้า ๆ ตอนนั้นเองที่สายตาของผู้เล่นทุกคนจับจ้องมาที่เขา

เขาเลยทำได้เพียงส่งยิ้มออกไปแบบแห้ง ๆ

“ฮือ ๆ ข้าจบแล้ว…”

————————————-

เมื่อเห็นสัตว์ร้ายตัวมหึมาพุ่งเข้ามา โจก็รู้สึกได้ถึงอะดรีนาลีนที่พลุ่งพล่าน แต่มันไม่ใช่ความกลัว

ถึงเวลาแสดงความกล้าที่แท้จริงของผู้เล่นแล้ว!

เขาชี้ดาบขึ้นไปบนฟ้า รู้สึกได้ถึงพลังงานอันไร้ขีดจำกัดที่หลั่งไหลลงมาที่ตัวเขาจากดาบวิญญาณคู่หู

ความมุ่งมั่นของเขาเพิ่มขึ้นมาก

“กินดาบปีศาจคลื่น…!!”

ปัง!!!

เมฆรูปเห็ดปะทุขึ้นจากการที่ยักษ์แห้งแล้งฟาดหมัดของมันลงมา ด้านใต้นั้นมีร่างของโจที่ถูกทุบแบนราบเป็นเนื้อบดกับพื้น

เมื่อยักษ์แห้งแล้งกำลังจะกลับมาไล่ทำร้ายผู้เล่นคนอื่น ๆ เอลีน่าก็ยิงลำแสงสีขาวไปทางโจ

“คืนชีพ [อีลิท]!”

เมื่อแสงกระทบร่างที่แหลกเหลวของโจ ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาโดยมีแถบพลังชีวิตเต็มหลอด

“เฮ้ เจ้ายักษ์ พ่อแกกลับมาแล้ว!”

ปัง!!!

“คืนชีพ [อีลิท]!”

“ท่านี้ใช้กับผู้เล่นอย่างข้าไม่ได้เป็นครั้งที่สาม…”

ปัง!!!

“คืนชีพ [อีลิท]!”

“ข้าหลบได้แน่ ข้าแค่ต้องพยายามอีกครั้ง…”

ปัง!!!

“คืนชีพ [อีลิท]!”

“ข้าคิดว่า…”

ปัง!!!

“คืนชีพ [อีลิท]!”

“อีก…”

‘ปัง!!!’

“คืนชีพ [อีลิท]!”

“ดีมาก! ขอบคุณโจที่คอยดึงความเกลียดชังให้เรา ตอนนี้เราพร้อมแล้ว! เอลีน่า รอจนกว่ายักษ์แห้งแล้งจะเข้าใกล้เราค่อยชุบโจ เมื่อกี้เลเวลเขาน่าจะหายไป 2-3 เลเวล เราจะให้เขาโจมตีบอสเป็นคนสุดท้าย”

ด้วยการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของโจ เอ็ดเวิร์ดก็เตรียมการเสร็จสิ้นในที่สุด

เด็กหญิงตัวน้อยผมเงินพยักหน้า เธอทำตามคำสั่งของเอ็ดเวิร์ดและกอดขวดโคล่าไว้ในอ้อมแขน เธอไม่ได้ชุบโจทันทีหลังจากที่เขาแบนเป็นเนื้อบด

ตามที่เอ็ดเวิร์ดคาดการณ์ไว้ ยักษ์แห้งแล้งหันมาหาเขาและกลุ่มผู้เล่นเมจ

สิ่งมีชีวิตธาตุดินมีหินอยู่ในสมองจริง ๆ การกระทำของมันเงอะงะและคาดเดาง่าย ระดับสมองของมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่คอยรั้งพวกมันไว้ หากไม่เช่นนั้นด้วยพลังและจำนวนของพวกมัน แม้แต่มังกรก็ยังต้องถอย

“ทีมทุบพร้อม!” ก่อนหน้านี้เอ็ดเวิร์ดได้อธิบายแผนการของเขาในฟอรัมและผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็ให้ความร่วมมือ ทุกคนซุ่มอยู่ในตำแหน่งของตัวเองพร้อมโจมตี

เมื่อเอ็ดเวิร์ดยิงลูกไฟขึ้นฟ้าเป็นสัญญาณ ผู้เล่นที่ซุ่มโจมตีจากทั้งสองฝั่งกระโดดออกมาทีละคน และก่อนที่ยักษ์แห้งแล้งจะทันได้ตอบสนอง พวกเขาใช้ทักษะที่ทรงพลังที่สุดเล็งโจมตีไปที่ด้านหลังหัวของยักษ์ ถึงจุดนั้นจะไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก แต่มันก็เป็นจุดสำคัญของแผน

ด้วยแร่โลหะที่มีอยู่ทั่วบริเวณหน้าอกคล้ายกับเกราะตามธรรมชาติของยักษ์แห้งแล้ง มันจึงไม่ได้สนใจการโจมตีของผู้เล่นตัวเล็ก ๆ เลย แต่ภายใต้การรวมพลังของผู้เล่น มันก็สูญเสียสมดุล และร่วงตกลงไปในหลุ่มที่เอ็ดเวิร์ดและเหล่าเมจพากเพียรสร้างขึ้นมาเป็นสระน้ำขนาดใหญ่

เอ็ดเวิร์ดรู้ดีว่าแม้เขาจะได้รับความช่วยเหลือจากทักษะ เขาและผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถขุดหลุมได้ลึกพอที่จะกักขังยักษ์แห้งแล้งได้ในระยะเวลาอันสั้น ไม่ต้องพูดถึงหลุม 30 เมตรแม้แต่ 15 เมตรก็ทำไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนวิธีคิด และตัดสินใจสร้างหลุมลึกเพียง 3 เมตรแต่กว้าง 20 เมตรและยาว 30 เมตร ด้วยวิธีนี้เมจจะสามารถสร้างหลุมตื้น ๆ ได้ด้วยการโยนระเบิดลงไปเพียงไม่กี่ครั้ง จากนั้นเขาก็ให้ผู้เล่นคลาสไทด์คอลเลอร์เติมน้ำลงไปในหลุม และรอให้ยักษ์แห้งแล้งร่วงตกลงมา

ทันทีที่ยักษ์แห้งแล้งตกลงไปในสระ เมจทุกคนก็เริ่มใช้ทักษะธาตุน้ำแข็ง ทำให้น้ำในสระกลายเป็นน้ำแข็งทันที…

นี่คือแผนของเอ็ดเวิร์ด เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถใช้ทักษะควบคุมอย่าง ‘ยั่วยุ’ เพื่อหยุดยักษ์แห้งแล้งได้ พวกเขาก็ต้องใช้วิธีที่ง่ายกว่าอย่างการดักจับคู่ต่อสู้!

น้ำแข็งเกือบจะหนาเท่าคอนกรีต และยากมากที่จะสลัดให้หลุดในทันทีเมื่อร่างกายครึ่งหนึ่งถูกแช่แข็ง

“ตอนนี้แหละ!” เอ็ดเวิร์ดขว้างบอลสายฟ้าไปที่ลูกตาของศัตรู

ไม่ใช่แค่เขา ผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็ทำตามอย่างรวดเร็ว พวกเขาเล็งการโจมตีไปที่ดวงตาของยักษ์

แต่มันก็ไม่มีผลใด ๆ ทุกการโจมตีของพวกเขาสร้างความเสียหายได้เพียง 1 แต้ม!

เนื่องจากมันอยู่สูงเกินไป พวกเขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นมันในทีแรก ดวงตาของยักษ์แห้งแล้งนั้นมีชั้นผลึกคริสตัลอยู่ด้านนอก และมันก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าเกราะ!

ทันใดนั้นเอ็ดเวิร์ดก็เหมือนตกลงไปในบ่อน้ำเย็นจัด ‘มันจบแล้ว ดวงตาของมันไม่ใช่จุดอ่อน’

น้ำแข็งที่ลึกเพียง 3 เมตรไม่สามารถกักขังยักษ์แห้งแล้งไว้ได้นาน แต่เอ็ดเวิร์ดและผู้เล่นคนอื่น ๆ ต่างก็คิดอะไรไม่ออกในตอนนั้น

จู่ ๆ โกวต้านก็พูดขึ้นมาว่า “เดี๋ยวก่อนเอ็ดเวิร์ด ดูที่ฟอรัม!”

โพสต์ใหม่เพิ่งปรากฏบนฟอรัมโดยผู้ใช้ที่มีชื่อว่า ‘เรียกข้าว่าลูกบอลน้อย’ ในโพสต์ เขาแนะนำให้ใช้ ‘การขยายตัวของความร้อนต่อด้วยการหดตัวของความเย็น’ เพื่อทำลายคริสตัลบนดวงตายักษ์

เอ็ดเวิร์ดคิดอย่างรวดเร็วว่า ‘การขยายตัวของความร้อนและการหดตัวของความเย็น’ คืออะไร

“เจ้าคิดว่าไง?” เจสสิก้าถามเขา “ข้าคิดว่ามันฟังดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่…”

ก่อนที่เอ็ดเวิร์ดจะได้ตอบ มือของยักษ์แห้งแล้งข้างหนึ่งก็หลุดเป็นอิสระ และกวาดไปทั่วน้ำแข็ง ทำให้ผู้เล่นที่โชคร้ายบางคนที่ไม่สามารถหลบได้ทันกลายเป็นเนื้อบดทันที มันกำลังตบเด็กน้อยที่กล้าละเมิดศักดิ์ศรีของมัน!

เอลีน่านักบุญหญิงฝึกหัดเป็นคนแรกที่ตอบสนอง เธอใช้บาเรียศักดิ์สิทธิ์ของเธออย่างรวดเร็ว และสกัดกั้นการโจมตีของยักษ์ได้สำเร็จ! มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากของเด็กหญิง ดูเหมือนว่าการโจมตีครั้งนี้จะทรงพลังมากกว่าที่เธอคิด

ผู้เล่นเมจคนอื่น ๆ พยายามตรึงมือของยักษ์แห้งแล้งไว้บนบาเรียของเอลีน่า แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น

“ไม่มีเวลามามั่วลังเลแล้ว ลองเลย! ทุกคนที่มีทักษะธาตุไฟ โจมตีไปที่ดวงตาของมัน!”

เอ็ดเวิร์ดมีชื่อเสียงที่ดีในหมู่ผู้เล่น ดังนั้นผู้เล่นจึงตอบสนองกับคำสั่งของเขาอย่างรวดเร็ว และเล็งทักษะโจมตีธาตุไฟไปที่ดวงตาของยักษ์แห้งแล้ง

ในขณะที่คริสตัลชั้นนอกที่อยู่เหนือดวงตาของมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงจากความร้อน ในที่สุดยักษ์แห้งแล้งก็รอดพ้นจากพันธนาการน้ำแข็ง ร่างกายที่ใหญ่โตของมันค่อย ๆ เป็นอิสระจากน้ำแข็งที่ละลายลงมาเหมือนหิมะ

“เอาเลย!”

ตามคำสั่งของเอ็ดเวิร์ด ผู้เล่นไทด์คอลเลอร์ยิงลำแสงน้ำแข็งเข้าไปที่ดวงตาของยักษ์แห้งแล้ง

พริบตาถัดมา รอยแตกก็เริ่มลามไปบนคริสตัลโปร่งแสงที่คอยปกป้องดวงตายักษ์แห้งแล้งอย่างน่าเหลือเชื่อ!

เพียงเท่านี้ก็ทำให้แถบ HP ของยักษ์แห้งแล้งลดลงแล้ว! ยักษ์ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดขณะที่มันพยายามหันหลังหนี

“โจมตี! อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้!”

แม้เอ็ดเวิร์ดจะไม่สั่ง ผู้เล่นก็ไม่มีทางปล่อยให้โอกาสนี้สูญเปล่า ทุกคนใช้ทุกอย่างที่มีลดแถบ HP ของศัตรู

ในที่สุดโจที่ฟื้นขึ้นมาในช่วงโกลาหล ก็ได้ปีนขึ้นไปบนตัวยักษ์แห้งแล้งด้วยความช่วยเหลือของผู้เล่นคนอื่น ๆ เขาวิ่งไต่ขึ้นไปบนแขนของมันที่มันยกมือขึ้นมาปิดบังตา ก่อนจะมองหาร่องนิ้วของมันและแทงดาบทะลุเข้าไปในช่องว่างนั้นอย่างแรง!

ทันใดนั้นกลิ่นเหม็นของหนองและเลือดก็กระเซ็นออกมาจากร่องนิ้ว ฉีดเข้าใส่ร่างของโจที่ยังคงหัวเราะอย่างสะใจ

———————————

ซีเว่ยเกือบสบถเมื่อเห็นยักษ์แห้งแล้ง

ตอนแรกเขาคิดเพียงว่าชาวบ้านไม่รู้อะไร และเรียกสิ่งมีชีวิตธาตุดินเช่นโกเลมหินเป็นยักษ์แห้งแล้ง เพราะนอกจากโกเกมหินแล้ว ยักษ์แห้งแล้งก็เป็นสิ่งมีชีวิตธาตุดินที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในหมู่มนุษย์

แม้แต่โกเลมหินที่เล็กที่สุดก็มีความสูง 20-30 เมตรแล้ว ดังนั้นจึงมีโอกาสที่มนุษย์จำนวนมากจะเข้าใจผิดและเรียกโกเลมหินที่ใหญ่กว่าปกติเป็นยักษ์แห้งแล้ง

และปกติแล้วยักษ์ใหญ่แห้งแล้งก็มักจะอาศัยอยู่ในพื้นที่แห้งแล้ง เช่นพื้นที่ราบสูงที่ไร้น้ำและมีการกัดเซาะของพื้นดินเป็นรอยแตก พวกมันจะไม่เข้าใกล้ทะเลเนื่องจากความชื้นในอากาศที่มากเกินไปจะทำให้พวกมันรู้สึกไม่สบายตัว

ดังนั้นซีเว่ยจึงไม่คิดว่าศัตรูจะเป็นยักษ์แห้งแล้งจริง ๆ

“แบบนี้ไม่ดีแน่”

ยักษ์แห้งแล้งเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานของจริง ยักษ์แห้งแล้งที่โตเต็มวัยสามารถสู้กับมังกรได้อย่างง่ายดาย

และยักษ์แห้งแล้งที่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้เล่นในขณะนี้ แม้มันจะยังไม่โตเต็มวัย และกำลังอยู่ในช่วงระหว่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ถ้าให้เปรียบมันเป็นดิจิมอน มันก็กำลังอยู่ในขั้นตอนวิวัฒนาการ

ถึงอย่างนั้น มันก็มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะมีชัยไปทั่วทุกที่ที่มันไป

ไม่ใช่แค่นั้น ยักษ์แห้งแล้งยังเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแห่งยอดเขา และเจ้าแห่งยอดเขาก็เป็นเทพย่อยของ ‘ผู้ถักทอโลก’ ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดเทพบิดร

“ไม่แปลกใจเลยที่ฉันไม่เห็นมัน”

ในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแห่งยอดเขา ยักษ์แห้งแล้งจึงมีพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพอยู่บนตัว มันคล้ายกับการปกป้องของเทพเจ้าที่สถิตในโบสถ์ของศาสนจักรใหญ่ ๆ ใจกลางเมือง ยักษ์แห้งแล้งก็มีพลังหลบซ่อนดวงตาศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ยเช่นกัน

แม้เดิมทีซีเว่ยวางแผนที่จะไม่แทรกแซงเควสนี้เพื่อฝึกฝนผู้เล่นของเขา แต่ด้วยการปรากฏตัวของยักษ์แห้งแล้ง ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้จริง ๆ แล้ว

เพราะการต่อสู้ระหว่างผู้เล่นกับยักษ์แห้งแล้งได้ดำเนินไปแล้ว ในสายตาของเจ้าแห่งยอดเขานั้น นี่เป็นการต่อสู้ที่เหมือนสุนัขกัดกัน หากสุนัขของเขาจะเสียชีวิตในระหว่างการต่อสู้ เขาก็จะไม่ทำอะไรเลย ยกเว้นแต่จะตำหนิว่าสุนัขของเขาอ่อนแอเกินไป

ในฐานะเทพเจ้าที่ไม่ใช่เทพน้องใหม่อย่างซีเว่ย เขามีสุนัขนับหมื่นตัวคอยรับใช้ เทพที่สูงส่งและยิ่งใหญ่อย่างเขาจะไม่ก้มตัวลงไปดูแลสุนัข

แต่ถ้าซีเว่ยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้ มันก็เหมือนกับว่าเขาฆ่าสุนัขต่อหน้าเจ้าของ การถูกอีกฝ่ายขึ้นบัญชีดำจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ซีเว่ยได้รับการคุ้มครองจากเทพแห่งความยุติธรรมอัสลาน ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวเจ้าแห่งขุนเขา แต่เจ้าแห่งขุนเขาก็มีผู้พิทักษ์ของตัวเอง และเขาก็คือเทพบิดร ถ้าซีเว่ยกำจัดลูกสมุนตัวน้อยนี้ออกไป ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็จะกลับมาแก้แค้น แม้เขาจะได้รับความช่วยเหลือจากสิงโตตัวใหญ่ แต่พวกเขาจะไปสู้อะไรได้…

“จบไม่สวยแน่” สิ่งเดียวที่ซีเว่ยทำได้ก็คือการเฝ้าดูผู้เล่นของเขาจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ “ช่างเถอะ พวกเขาจะได้เรียนรู้ว่าผู้เล่นไม่ได้อยู่ยงคงกระพันอย่างที่พวกเขาคิด”

แต่ถึงอย่างนั้น ซีเว่ยก็ยังคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้เล่นของเขาชนะ…แม้ว่าโอกาสมันจะน้อย แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ๆ ล่ะ?

ดังนั้นเขาเลยดึงร่างของเทพกระดูกเน่าออกจากเครื่องปั่น แล้วหักนิ้วเท้าเล็ก ๆ ของมันออก ก่อนจะเอาร่างของมันยัดกลับเข้าไปเมื่อเขาทำเสร็จ

จากนั้นเขาก็อ้วกคุณสมบัติของเทพเจ้าที่เหลืออยู่ขณะย่อยเจ้าแห่งน้ำ เพื่อทำให้กระดูกนิ้วเท้าเน่า ๆ อ่อนลง เพื่อสร้างมันเป็นอุปกรณ์ในตำนานสีทอง

มันเป็นอุปกรณ์ในตำนานชิ้นแรกที่เขาสร้างขึ้น เขามั่นใจว่าผู้เล่นจะต้องชอบมันแน่…ถ้าพวกเขาได้มันไปน่ะนะ

“ไม่ดีแล้ว” เอ็ดเวิร์ดได้ข้อสรุปเดียวกับเทพเจ้าของเขา

ยักษ์แห้งแล้งสูง 30 เมตรและหนักหลายพันตันนั้นทรงพลังอย่างน่ากลัว เลเวล 50 ของมันสูงกว่าบอสทั้งหมดที่ผู้เล่นเคยพบ ชนชั้นของมันก็เป็นระดับ ‘ราชา’ ที่แม้แต่อัครมุขนายกกระดูกเน่าที่พวกเขาเคยสู้ด้วย ก็ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นแค่ ‘บอสระดับอีลิท’ เท่านั้น

นอกเหนือจากผู้เล่นสายแท็งค์เพียงไม่กี่คนแล้ว ผู้เล่นทุกคนจะตายทันทีหากโดนเข้าไปเพียงครั้งเดียว หากพวกเขาไม่มีเครลิคหลายคนที่มาด้วยกันในครั้งนี้ พวกเขาก็คงจะฟื้นคืนชีพได้ไม่ทัน เพราะผู้เล่นผลัดกันตายอย่างรวดเร็ว

ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่พวกเขาจะสูญเสีย EXP ไปจนหมด ถ้าไม่มี EXP เกมก็จะจบ มันไม่ใช่ผู้เล่นทุกคนจะมี EXP สำรองเพียงพอให้ถูกฆ่าจำนวนมาก เมื่อมันเกิดขึ้น แนวหน้าก็จะแตกทันที!

นอกจากนั้นความเสียหายที่ผู้เล่นทำกับยักษ์แห้งแล้งนั้นก็แทบจะไร้ผล ผู้เล่น 10-20 คนโจมตีมันอย่างต่อเนื่องมาระยะหนึ่งแล้ว แต่แถบ HP ของยักษ์ก็ยังเต็มเก้าในสิบส่วน!

“ชนะไม่ได้แน่ เราต้องถอยก่อน!” โกวต้านตระหนักว่าลูกธนูทั้งหมดของเขากระเด็นออกจากผิวหินของอีกฝ่าย เขาตะโกนอย่างกังวลบอกเอ็ดเวิร์ดว่า “ข้าเจาะการป้องกันของมันไม่ได้!”

เอ็ดเวิร์ดก็เงียบไปเช่นกัน

อันที่จริง ยักษ์แห้งแล้งไม่เหมือนกับศัตรูที่พวกเขาเคยเผชิญมาก่อน พลังและการฟื้นฟูของผู้เล่นไม่สามารถนำพวกเขาไปสู่ชัยชนะได้

เอ็ดเวิร์ดขมวดคิ้ว แม้ว่าพลังและการฟื้นฟูของพวกเขาจะไม่สามารถช่วยให้พวกเขาชนะได้ แต่หากไม่มีทั้งสองอย่างนี้ ผู้เล่นก็คงจะตายไปแล้ว การฟื้นคืนชีพทำให้ผู้เล่นแต่ละคนมีเวลามากขึ้น และมีโอกาสมากขึ้นในการสร้างความเสียหายให้กับศัตรู และพลังของพวกเขาก็ช่วยให้พวกเขาทำลาย HP ของยักษ์ได้ทีละน้อย แม้ว่าลูกธนูของโกวต้านจะไม่สามารถเจาะทะลุผิวของยักษ์แห้งแล้งได้ แต่มันก็ยังพลาญ HP ได้อย่างน้อย 1 แต้ม

สิ่งที่พวกเขาขาดในตอนนี้คือโอกาสสำหรับการโจมตีที่ทรงพลัง

ทักษะของพวกเขาอาจไม่รุนแรงพอ แต่ผู้เล่นยังมีชีวิตอยู่ หากพวกเขาสามารถใช้ทักษะได้อย่างยืดหยุ่น พวกเขาอาจสามารถสร้างผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงได้

“ดวงตาของมันอาจเป็นจุดอ่อน…โจ เจ้าและวอร์ริเออร์คนอื่น ๆ ดึงดูดความสนใจของยักษ์” เอ็ดเวิร์ดตะโกนขึ้นมาและเริ่มสั่งการผู้เล่นคนอื่น ๆ “พยายามดึงดูดมันให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราต้องการเวลาเตรียมตัว!”

“เข้าใจแล้ว เฮ้! เจ้าสมองหิน!”

โจและกลุ่มผู้เล่นวอร์ริเออร์พยายามใช้ทักษะยั่วยุกับยักษ์แห้งแล้ง แต่พวกเขาทั้งหมดกลับถูกเพิกเฉย

ยักษ์แห้งแล้งแม้มันจะยังไม่โตเต็มวัย แต่มันก็ได้รับการยกเว้นจากกฎแห่งทักษะของซีเว่ย แม้มันจะไม่สมบูรณ์ก็ตาม ตัวอย่างเช่น ทักษะการควบคุมอย่างทักษะ ‘ยั่วยุ’ ไม่มีผลกับมัน แต่ผู้เล่นใช้ ‘หมัดอัดอากาศ’ ได้สำเร็จ

หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะรั้งมันไว้ไม่ได้ เพราะทักษะยั่วยุไม่มีผล

ตอนนั้นเองที่โจเห็นโกเลมหินเริ่มประกอบร่างขึ้นมาใหม่จากหางตา

เขาขมวดคิ้วและกระโดดขึ้นไปหาโกเลมหินอย่างรวดเร็ว

สิ่งมีชีวิตประเภทธาตุนั้นยากที่จะฆ่า แต่ไม่ใช่สำหรับผู้เล่น มันไม่สำคัญว่าจะเป็นมอนสเตอร์ธาตุหรือสัตว์ประหลาดตัวใด หากมีแถบ HP มันก็ถูกฆ่าได้

โจจับดาบไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง เขาใส่วิญญาณคู่หูลงไปในใบดาบและฟันลงไปอย่างแรง ด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง โกเลมหินก็หยุดประกอบร่างใหม่และรอยแตกจำนวนมากก็แพร่กระจายไปบนร่างของมัน ก่อนที่มันจะสลายกลายเป็นกองเศษหิน

ก้าวของยักษ์แห้งแล้งหยุดลงต่อหน้าเมจและเครลิค

โจรีบแสดงความขอโทษอย่างเกินจริง “ข้าขอโทษจริง ๆ นี่ป้าของแกหรือเปล่า ดูเหมือนข้าจะเผลอฆ่าป้าแกตายซะแล้ว”

ยักษ์แห้งแล้งค่อย ๆ หันกลับไป ดวงตาดวงเดียวบนใบหน้าของมันจ้องตรงมาที่โจอย่างบ้าคลั่ง

โจมองไปที่มันและใช้ [ดาบปีศาจ-ผ่าปฐพี] โดยไม่สนใจเสียงตะโกนของผู้เล่นคนอื่นว่า ‘อย่า!!’ และหั่นโกเลมหินอีกตัวตาย

“โอ้ นี่ลุงเจ้าเหรอ? ข้าขอโทษ พวกเจ้าทุกตัวดูเหมือนกันมากจนข้าแยกไม่ออก”

แม้ยักษ์จะไม่มีปากหรืออะไรที่คล้ายกับปาก แต่มันก็ส่งเสียงคำรามเขย่าพื้นดินทุกย่างก้าว ขณะที่มันพุ่งเข้าหาโจ!

——————————

“จริงด้วย เมื่อเทียบกับหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่น่าสงสารแบบนี้ รังของพวกโจรภูเขาก็คือขุมทรัพย์ที่แท้จริง!” เมื่อเห็นเอ็ดเวิร์ดสนใจ จอมก็เริ่มตีเหล็กขณะที่ยังร้อน “หลังจากที่เราจัดการโจรภูเขาไป 2 กลุ่มแล้ว นอกเหนือจากยักษ์แห้งแล้ง ที่นั่นอาจมีศัตรูเหลืออยู่ไม่มาก!”

อันที่จริงการต่อสู้สองครั้งก่อนในช่วงบ่ายและกลางคืน พวกเขาก็ได้จัดการกับศัตรูไปแล้วประมาณ 60 คน และทั้งหมดก็เป็นชายหนุ่มที่มีสุขภาพแข็งแรง แม้แต่กลุ่มโจรที่ใหญ่ที่สุดก็มีขีดจำกัดของพลังรบที่พวกเขาสามารถมีได้ หากกลุ่มมีขนาดใหญ่เกินไปและสร้างความปั่นป่วนมากเกินไป พวกเขาก็จะถูกกำจัดโดยศาสนจักรรอบ ๆ

แม้ว่าโจรภูเขากลุ่มนี้จะมีประวัติเอาชนะกองกำลังศักดิ์สิทธิ์ของสวนธัญพืช แต่นั่นก็บอกไม่ได้ว่าพวกเขาแข็งแกร่ง เพราะกองกำลังศักดิ์สิทธิ์ของสวนธัญพืชนั้นอ่อนแอสุดในบรรดาศาสนจักรขนาดใหญ่ทั้งหมด

ข้าหมายถึง เจ้าคงไม่คิดว่ากลุ่มชาวนาที่ไม่มีพรเกี่ยวกับการต่อสู้จะมีพลังมากใช่ไหม?

การที่พวกเขาไม่มีพร ทำให้ความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาน้อยมาก แม้ว่าสวนธัญพืชจะมีผู้ศรัทธามากมาย แต่เทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวก็ยังคงติดอยู่ที่ปลายขอบของเทพระดับสูง และไม่สามารถก้าวไปสู่สถานะของเทพบิดรอันศักดิ์สิทธิ์ได้

“จริง เจ้ารู้ไหมว่ารังของพวกโจรภูเขาอยู่ที่ไหน”

เอ็ดเวิร์ดไม่ใช่คนหัวร้อนที่ตัดสินใจแล้วบุ่มบ่ามทำเลย เขาถามจอมเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม

“เอ่อ…” จอมรู้สึกพลาดทันที

ใช่ รังโจรมันอยู่ไหน?

มีตัวประกันคนไหนให้พวกเขาถามได้บ้าง? เขามองไปยังสนามรบและพบว่าสิ่งเดียวที่ยังหายใจอยู่คือโจโคโบะที่ใกล้ตาย…และผู้เล่นกลุ่มหนึ่งก็กำลังยืนคุยกันว่ามันจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน และโคคา-โคล่าจะมีผลกับมันหรือไม่ ฉากนั้นน่าขนลุกมาก

ไม่น่าแปลกใจที่ชาวบ้านรักษาระยะห่างจากพวกเขา

จากนั้นสุนัขชาเป่ยสีเทาผอมแห้งที่ได้ยินการสนทนาทั้งหมดจากทางเข้าหมู่บ้าน ก็ลุกขึ้นยืนและเห่าใส่จอม

“หมามาจากไหน” โกวต้านขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น

สุนัขชาเป่ยไม่สนใจโกวต้านและยังคงเห่าใส่จอมต่อไป

ทีแรกจอมสับสน ก่อนจะรู้ตัวว่ามันพยายามจะทำอะไร “เจ้าต้องการแก้แค้นให้กับเจ้าของเจ้ารึ”

สุนัขชาเป่ยไม่ได้พยักหน้า แต่มันหยุดเห่าและเริ่มดมกลิ่นที่พื้น สักพักมันก็วิ่งออกไปในทิศทางที่โจรภูเขามา จากนั้นก็หันกลับมาแยกเขี้ยวใส่จอม หลังจากวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว

จอมรีบเล่าเรื่องสุนัขให้เอ็ดเวิร์ดและคนอื่น ๆ ฟัง เอ็ดเวิร์ดจึงตัดสินใจตามมันไปทันที

“ตามมันไปเลย”

ผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็ตามไปด้วยเช่นกัน พวกเขามาที่นี่เพื่อร่วมสนุกและสู้กับบอส ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้สนใจหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่น่าเบื่อนี้

ชาวบ้านส่วนใหญ่อยู่ที่หมู่บ้าน แต่มีพรานไม่กี่คนตัดสินใจติดตามผู้เล่นไปโดยมีโจอี้เป็นผู้นำ

“เราจะไปสู้กับยักษ์แห้งแล้ง เจ้าจะตามมาทำไม” เทอร์รี่ถามโจอี้ขณะที่พวกเขาเดินตามสุนัข “มันขวางทาง”

เขาเป็นคนตรงไปตรงมา เขาพูดสิ่งที่เขาคิดกับโจอี้และพรานคนอื่น ๆ อย่างไม่ไว้หน้า

ความหมายก็คือ ‘พวกเจ้าอ่อนแอมาก หากเจ้าตามเราไปเจ้าก็ได้แต่ถ่วงเราเท่านั้น’

“ข้ารู้ ว่าเราอาจช่วยเหลือพวกเจ้าไม่ได้มากนัก” โจอี้เงียบไปพักหนึ่ง เขาพบว่าสิ่งที่เขาเคยคิดเกี่ยวกับเด็ก ๆ นั้นอาจจะผิด เด็กชายทั้งสองไม่ใช่เด็กที่ถูกโยนเข้าสู่สงครามตอนที่พวกเขายังเล็ก บุคลิกที่พวกเขาเป็นไม่ได้มาจากการทรมานและการนองเลือดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาเติบโตมาภายใต้กลุ่มคนประหลาดเหล่านี้ ที่สามารถหัวเราะและทำตัวตลกได้ในขณะที่พวกเขากำลังเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง

คนเหล่านี้แปลกมาก บางคนเห็นได้ชัดว่าเป็น…พวกงี่เง่าที่เชื่อถือไม่ได้ แต่จากสิ่งที่โจอี้เห็น พวกเขาเป็นคนดีอย่างไม่ต้องสงสัย จอมและเทอร์รี่จะชอบคนเหล่านี้มากกว่าที่จะอยู่กับเขาแน่ ดังนั้นเขาจะไม่พูดถึงการรับพวกเด็ก ๆ มาดูแลอีกต่อไป “แต่อย่างน้อย เราก็สามารถเฝ้าดูเจ้าต่อสู้จากข้างสนามได้ ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้น เราก็จะได้รีบกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อเตรียมตัว”

จอมมองเขาและไม่พูดอะไร ส่วนเทอร์รี่ก็ไม่ได้ไล่พวกเขากลับอีกต่อไป

ผู้เล่นคนอื่น ๆ ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มชาวบ้านที่เป็นกลางไม่กี่คน และระดับของพวกเขาก็ต่ำมาก ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่นั่นหรือไม่ มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรเลย

เมื่อผู้เล่นไปถึงที่รังของโจรภูเขาพร้อมกับสุนัขชาเป่ย พวกเขาก็พบว่าพวกเขาประเมินพวกโจรต่ำเกินไป

รังของโจรภูเขาถูกสร้างขึ้นบนหน้าผา บางทีคำว่า ‘สร้าง’ อาจจะไม่ใช่คำที่ถูกต้องนัก เพราะพวกโจรขุดพื้นที่ตรงกลางหน้าผาออก และใช้โพรงที่ขุดเป็นที่รังลับของพวกเขา

ผู้เล่นเงยหน้าขึ้นมองรังโจรและเริ่มคุยเรื่องแผนการโจมตี

ผู้เล่นบางคนได้อัปโหลดรูปภาพและอัปเดตเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันลงไปในฟอรัม เพื่อให้ผู้เล่นที่ไม่ได้เข้าร่วมได้พูดคุยและแบ่งปันความคิด

เมื่อผู้เล่นเข้าใกล้รังโจร ก้อนหินขนาดใหญ่ข้างใต้หน้าผาก็มีชีวิตขึ้นมาทันที และเหวี่ยงกำปั้นหินเข้าใส่พวกเขา!

“นี่ยักษ์แห้งแล้งเหรอ” จอมที่ยืนอยู่ด้านหน้าหลบการโจมตีที่เชื่องช้าของศัตรูได้อย่างง่ายดาย เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แม้ว่าการโจมตีจะทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ และกำปั้นของมันก็ทำให้พื้นดินกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ ที่คนธรรมดาโดนเข้าไปอาจจะแบนเป็นแพนเค้กทันที แต่ความเร็วของมันก็ช้าเกินไปที่จะเป็นภัยคุกคามต่อผู้เล่น

ไม่นานหลังจากนั้นแถบ HP และชื่อของมันก็ปรากฏขึ้นเหนือยักษ์หินที่โจมตีพวกเขา

[ทหารโกเลมหิน อีลิท เลเวล 12]

จากนั้นโกเลมหินจำนวนมากก็โผล่ออกมาจากใต้พื้นดินประมาณ 1 โหล

“พวกนี้ดูเหมือนจะเป็นลูกสมุนของยักษ์แห้งแล้ง เราต้องกำจัดพวกมันก่อนที่บอสจะมา!” นักล่าสัตว์ประหลาดที่มีประสบการณ์สูงเอ็ดเวิร์ด เริ่มออกคำสั่งให้ผู้เล่นคนอื่นโจมตีโกเลมเหล่านี้ทันที

มันมีพลังโจมตีสูงและการป้องกันสูง แต่โกเลมหินขาดในเรื่องของความเร็ว มันเทียบผู้เล่นไม่ได้เลย โกเลมหินส่วนใหญ่ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงไม่กี่ตัวที่ยังยืนอยู่

เห็นได้ชัดว่าคนออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ ต้องคิดไม่ถึงแน่ว่าโกเลมหินของพวกเขาจะถูกทำลายได้ง่ายดายขนาดนี้ เมื่อโกเลมหินตัวสุดท้ายใกล้ตาย แรงสั่นสะเทือนก็กระจายไปทั่วพื้น

บูม บูม บูม

จากนั้นมือที่ใหญ่กว่าตัวโกเลมหินหลายเท่า ก็ถูกวางลงบนยอดเขา มันดึงเงาที่น่ากลัวซึ่งก่อนหน้านี้ซ่อนอยู่หลังหน้าผาสูงชันออกมา

ยักษ์สูงเกือบ 30 เมตร มันสูงเกือบเท่าหน้าผา น้ำหนักของมันไม่สามารถวัดได้ด้วยตาเปล่า แต่พื้นก็สั่นสะเทือนทุกครั้งที่มันย่างก้าว มันเป็นสัตว์ประหลาดที่สามารถบดขยี้ต้นไม้ใหญ่ได้เพียงแค่ก้าวเดิน สิ่งมีชีวิตที่สามารถต่อสู้กับมังกรในตำนานได้

มันเป็นสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่ร่างกายของมันถูกปกคลุมไปด้วยหนามหินใหญ่เท่าเสา และผิวหนังของมันก็แข็งกว่ากำแพงเมือง นอกเหนือจากดวงตาสีเทาขนาดใหญ่บนใบหน้าของมันแล้ว ก็ไม่มีอวัยวะอื่นใดบนใบหน้าอีก

นี่คือยักษ์แห้งแล้ง

—————————–

ไม่มีอะไรจะให้พูดมากเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างผู้เล่นกับโจรภูเขา เรื่องนี้มันสามารถสรุปสั้น ๆ ได้ว่าผู้เล่นยิงทักษะโจมตีระยะไกลถล่มอยู่ฝ่ายเดียว

แม้ว่าเหล่าผู้วิเศษจะมีเวลาเพียงพอที่จะสร้างโล่เวทมนตร์ และรอดชีวิตจากการถล่มทักษะของผู้เล่นได้ แต่พวกเขาก็ยังคงตายด้วยทักษะ ‘แบ็คสเต็ป(Backstab)’ โดยผู้เล่นคลาสชาโดว์โร๊ค

แน่นอนว่าผู้เล่นก็ไม่ได้ไม่บาดเจ็บอะไรเลย ชาโดว์โร๊คผู้โชคร้ายที่ไม่สามารถซ่อนความอยากรู้อยากเห็นได้ ได้ใช้ทักษะแทงข้างหลัง และเล็งไปที่ตูดของโจโคโบะที่ผู้วิเศษขี่อยู่ ทำให้โจโคโบะตกใจกระตุกขาหลังดีดผู้เล่นกระเด็น

แรงเตะของมันทำเอาเขาเกือบตาย

หากเปรียบเทียบกำลังขาเพียงอย่างเดียว สัตว์ประหลาดที่มีรูปลักษ์เป็นนกน่ารักนั้นแข็งแกร่งกว่าม้าหลายเท่า

และที่น่าตลกที่สุดก็คือ ชายคนนั้นจับหน้าอกตัวเองหลังจากที่ถูกเตะแล้วหัวเราะออกมาว่า “เชี่ย งั้นตรงนั้นก็ไม่ใช่จุดอ่อนนะสิ?”

ผู้เล่นคนอื่น ๆ พากันหัวเราะ

“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าพึ่งรู้เหรอไอ้งี่เง่า”

“ข้ารู้นานแล้วเถอะ”

“ข้าคิดว่าการแทงตูดมันเป็นการโจมตีจุดอ่อน ทำให้มันมีตัวเลขสีแดงโผล่ออกมา”

“เชี่ย นี่เจ้าทำบ้าอะไรต่อหน้าข้าเนี่ย…”

“ทำไมเจ้าถึงดูมีประสบการณ์ขนาดนี้ ฮ่า ๆ”

เมื่อเห็นผู้เล่นหัวเราะกันเหมือนปีศาจ ผู้วิเศษที่รอดชีวิตมาได้หวุดหวิด เดิมเขาต้องการจะกำจัดผู้เล่นที่บาดเจ็บหนักก่อน แต่เขาก็ต้องรีบพับเก็บความคิดนั้นลงไป

เขากลัวว่ากลุ่มคนบ้านี่อาจยังมีไม้เด็ดซุกซ่อนอยู่ เขาจึงรีบขึ้นขี่โจโคโบะที่ยังพอวิ่งไหวหวังจะหลบหนีไป

แต่แน่นอนว่า เขาถูกผู้เล่นคนที่มีความสามารถในการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วกำจัดทิ้งในคราวเดียว

หลังจากการต่อสู้จบลง จอมและเทอร์รี่ต่างก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พวกเขาทรุดตัวลงไปกองบนพื้นหิมะ

ในขณะที่ผู้เล่นต่อสู้ พวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากกฎแห่งทักษะ ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะบาดเจ็บสาหัสหรือเสียแขนขาไปกี่ข้าง ตราบใดที่ยังมี HP เหลืออยู่ พวกเขาก็จะสามารถสู้ต่อไปได้ราวกับว่าพวกเขายังสบายดี

แต่มันกลับเพิ่มภาระทางจิตใจอย่างหนัก ดังนั้นหลังจากจบการต่อสู้ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะรู้สึกเหมือนพลังถูกสูบออกไปจนหมดตัว

“ว้าว มันดีที่ท่านเอ็ดเวิร์ดและผู้เล่นคนอื่น ๆ มาถึงที่นี่ทันเวลา ไม่งั้นเราคงต้องรอ 3 วันเพื่อฟื้นคืนชีพ” จอมกระดกโพชั่นจนหมดขวด ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำตาลที่ไหลผ่านลำคอของเขา ทำให้เขาตัวสั่นและเริ่มรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

“แต่มันจะดีจริง ๆ เหรอ” เสียงของเทอร์รี่ฟังดูอ่อนแรงราวกับว่าเขาเกือบจะหลับได้ทุกเมื่อ

“อะไร?” จิตใจของจอมยังคงพร่ามัวจากความเหนื่อยล้า

“ก็โพสต์ของเจ้าก่อนหน้านี้ไง ที่บอกว่าหลังจากจบเควส จะเก็บของทุกอย่างในหมู่บ้านได้ตามใจ”

“…โอ้”

หลังจากที่เทอร์รี่เตือนสติ จอมก็จำได้แล้วว่าเขาพูดอะไรไปบ้าง

แต่ในตอนนั้นชาวบ้านได้จากไปแล้ว มันเลยดูเหมือนว่าหมู่บ้านพึ่งถูกปล้นจนสะอาด และพวกเขาก็สามารถโยนความผิดให้โจรบนภูเขาได้หากหมู่บ้านไม่เหลืออะไร เพราะจะไม่มีชาวบ้านคนไหนกลับมาอีก…

“โย่ พวกเจ้าสบายดีไหม” เอ็ดเวิร์ดไม่ได้ไปทำความสะอาดสนามรบกับคนอื่น ๆ (เก็บไอเทมดรอป) เขาเลือกเดินมาหาจอมและเทอร์รี่แทน

เขาเหลือบมองขวดโคค่า-โคล่าที่พื้นแล้วมองพวกเขาอีกครั้ง “ดูเหมือนข้าไม่จำเป็นต้องกังวล”

“ขอบคุณท่านเอ็ดเวิร์ดมากที่มาช่วยพวกเรา” แม้ว่าศาสนจักรของเทพเจ้าแห่งเกมจะไม่มีระบบเกียรติยศในขณะนี้ แต่ด้วยความเคารพที่ผู้เล่นมีต่อผู้ศรัทธาที่เก่าแก่ที่สุด จอมจึงขอบคุณเอ็ดเวิร์ดด้วยความจริงใจ

“ไม่ต้องขอบคุณ ข้าดีใจที่เรามาทันเวลา อย่าลืมเชิญข้าไปด้วยในครั้งหน้าที่เจ้าได้เควสแบบนี้อีก” เอ็ดเวิร์ดโบกมือ “แถมผู้วิเศษครั้งนี้ยังอ่อนแอกว่าพวกที่โจมตีหมู่บ้านมนุษย์กบอีก มันไม่ได้ยากอะไรเลย…”

“ดีที่เรามาทัน ข้าใช้เงินไป 2-3 เพนีเพื่อยืมรถม้าของลุงมาร์นี่ผู้ตระหนี่มา” โกวต้านส่ายหัว “แล้วระหว่างทางเราก็ใช้ทักษะเคลื่อนที่และทำให้ขาข้างหนึ่งของเลื่อนหลุดกระเด็น ข้าได้แต่หวังว่าลุงมาร์นี่จะไม่คิดมาก”

“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าโกงลุง…” เจสสิก้าถอนหายใจพลางเอามือก่ายหน้าผาก

“ถ้าเราแบ่งรายได้จากการเดินทางครั้งนี้ให้ลุง ก็น่าจะไม่เป็นไรแล้วล่ะ” โจพูดอย่างตื่นเต้น “โอ้ใช่ นี่คือหมู่บ้านที่เจ้าบอกว่าเราสามารถปล้นทุกอย่างได้ใช่ไหม”

จอมหน้าซีดเมื่อโจพูดถึงรางวัล

เขาคิดหนักว่าจะทำให้ทุกคนมีความสุขกับสถานการณ์นี้ยังไงดี

เอ็ดเวิร์ดและคนอื่น ๆ ไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของจอมและคุยกันต่อ แม้ว่าพวกเขาจะสังเกตเห็น แต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และคงคิดว่าเด็กสองคนคงยังไม่หายเหนื่อย

เจสสิก้า “แล้วลุงมาร์นี่ไม่มาเหรอ”

โกวต้าน “ตอนที่ข้ายืมรถม้าจากเขาที่ท่าเรื่องเกรย์ฟยอร์ด เขายุ่งอยู่กับการถูกปลาหมึกกระดองยักษ์ลากไปกินใต้น้ำ”

โจ “แล้วเจ้าก็ยืนดูอยู่เฉย ๆ รึ”

โกวต้าน “ข้าก็อยากจะช่วยเขานะ แต่ปัญหาคือข้าว่ายน้ำไม่เป็น แล้วลูกธนูของข้าก็ไปไม่ถึงตัวมันเลย แถมหลังจากที่ข้าบอกเขาว่าเราจะจ่ายให้เขาเท่าไหร่ เขาก็มองข้าด้วยความพึงพอใจและยกนิ้วให้ในขณะที่เขาค่อย ๆ จมลงไปใต้ทะเล และร่างกายของเขาก็ถูกหนวดปลาหมึกปกคลุมจนมิด”

เอ็ดเวิร์ด “…”

แม้แต่จอมยังรู้สึกแย่แทนลุงมาร์นี่

ชาวบ้านเริ่มขยับมาใกล้พวกเขามากขึ้น แต่หลังจากที่เห็นความบ้าคลั่งของผู้เล่น พวกเขาก็รู้สึกกลัวผู้เล่นเล็กน้อยและต้องการรักษาระยะห่าง

หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปต้องแย่แน่

ไม่ใช่ว่าจอมสงสัยในศีลธรรมของผู้เล่น ที่จริงแล้วผู้เล่นส่วนใหญ่มาจากจุดเริ่มต้นที่น่าเศร้าและยากจน แม้จะเห็นว่าพวกเขามีน้ำใจต่อผู้อื่นเสมอ แต่นั่นก็เป็นเพราะผู้เล่นฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้เรื่อย ๆ มันเทียบไม่ได้กับชาวบ้านเหล่านี้

แต่รางวัลหลังทำเควสก็เป็นสิ่งที่ผู้เล่นคุ้นเคย แม้การได้ขยะมาบ้างก็ดีกว่าการไม่ได้อะไรเลย

แถมผู้เล่นยังไม่มีความผูกพันใด ๆ กับชาวบ้านเหล่านี้ หากผู้เล่นคนใดคนหนึ่งเริ่มพูดอะไรแย่ ๆ (เป็นไปได้มากว่ามันจะเกิดขึ้น) ชาวบ้านอาจจะคิดว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อปล้น ถ้าเป็นแบบนั้นการต่อสู้ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วชาวบ้านที่พึ่งถูกทำให้หัวร้อนก็คงไม่เย็นลงง่าย ๆ และผู้เล่นก็คงจะไม่ออมมือ

หากทั้งสองฝ่ายต้องต่อสู้กัน ชาวบ้านที่มีระดับต่ำกว่ามากและไม่มีอุปกรณ์ดี ๆ ก็จะต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน

ถ้าคำพูดผิด ๆ ของเขาทำให้คนทั้งหมู่บ้านถูกทำลาย จอมคงจะรับผิดชอบไม่ไหว

ขณะที่จอมมองไปรอบ ๆ เขาก็เห็นโจโคโบะที่กำลังจะตายเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทันใดนั้นเขาก็คิดอะไรดี ๆ ออก

“เดี๋ยวก่อนท่านเอ็ดเวิร์ด ท่านคิดยังไงกับเจ้าพวกนั้น” จอมถาม

“เจ้าหมายถึงอะไร” เอ็ดเวิร์ดไม่เข้าใจว่าจอมกำลังหมายถึงอะไร

“ที่ข้าจะพูดก็คือ ถ้าข้าสามารถหาโจโคโบะที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีมาได้ ท่านคิดว่าไง” จอมชักชวน

“โจโคโบะ หืม…” เมื่อนึกโจรภูเขาที่ขี่มัน และพลังเตะที่บ้าคลั่งของโจโคโบะเลเวล 8 เอ็ดเวิร์ดก็เริ่มหวั่นไหว

———————————

เมฟิสโตตัดหนวดที่พันอยู่ออกและดึงรั้งสายจูงโจโคโบะขึ้นมา เขาตั้งใจที่จะอ้อมเส้นทางที่เต็มไปด้วยหนวดปลาหมึกยักษ์และเริ่มการพุ่งเข้าชนอีกครั้ง

เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มจู่โจมในครั้งนี้

บ่ายวันนี้ แบร์ดี้และสมุนโจรของเขาได้ออกไปสำรวจพื้นที่รอบ ๆ อย่างที่ทำเป็นประจำและได้หายตัวไป ไม่นานหลังจากที่พวกเขาตาย วิญญาณของพวกเขาก็ปรากฏขึ้นในตะเกียงวิญญาณที่เหล่าโจรภูเขาทุกคนได้เซ็นสัญญาไว้ นั่นบ่งบอกว่าพวกเขาตายแล้ว

เหล่าโจรภูเขาไม่คิดเลยว่า รอบ ๆ บริเวณนี้ยังมีคนที่กล้าพอจะยั่วยุกลุ่มของพวกเขา หัวหน้าโจรภูเขาโกรธมาก เขาส่งเมฟิสโตและกลุ่มของเขาไปโจมตีทันที เขาออกคำสั่งอย่างชัดเจนว่า ‘จงเผาทำลายหมู่บ้านให้สิ้นซาก แม้แต่ไก่กับหมาก็ห้ามเหลือรอดไปแม้แต่ตัวเดียว!’

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดปกติ…

“นี่มันอะไรกัน!”

ผู้วิเศษข้าง ๆ เมฟิสโตมองหนวดปลาหมึกที่ขยับไปมาและก่นด่าไปด้วย

“ท่านไม่รู้จักเวทมนตร์ชนิดนี้งั้นรึ” เมฟิสโต•ฟีเลสถามอย่างสุภาพ

แม้ว่าเขาจะเป็นหัวหน้าของปฏิบัติการนี้ แต่เมฟิสโต•ฟีเลสก็รู้ว่าสถานะของกลุ่มผู้วิเศษเหล่านี้ในสายตาหัวหน้านั้นสูงกว่าเขามาก ถ้าเขาทำตัวหยาบคายต่อหน้าผู้วิเศษ เขาจะต้องถูกหัวหน้าลงโทษเมื่อพวกเขากลับไปถึงฐานแน่

“นี่ไม่ใช่เวทมนตร์ มันไม่ใช่ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยซ้ำ…มันเหมือนกับพิธีกรรมของพวกมนุษย์เงือก ปกติแล้วมนุษย์จะไม่ศรัทธาต่อเทพธิดาสมุทร…เป็นไปได้ไหมว่า ผู้วิเศษจากหอคอยมนต์ดำได้ค้นพบเวทมนตร์อัญเชิญรูปแบบใหม่?” ผู้วิเศษเริ่มตั้งข้อสงสัย

ดูเหมือนไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะช่วยเขาแก้ปัญหาได้ในเร็ว ๆ นี้

เมฟิสโตแอบถอนหายใจ แต่เขาก็ดีใจที่เด็กคนนั้นใช้เวทมนตร์นี้ออกมา เพราะเด็กดูเหมือนจะไม่สามารถควบคุมมันได้ดี แม้ว่าเวทมนตร์นี้จะแปลกมาก แต่ก็ไม่ได้ทรงพลัง

เมื่อโจโคโบะเริ่มเร่งความเร็ว หนวดปลาหมึกยักษ์ก็ไม่สามารถหยุดพวกมันได้!

แต่ในระหว่างที่พวกเขาสับสน เด็กที่ถือดาบอีกคนก็พุ่งเข้ามาในดงหนวด และตัดร่างของโจรที่โชคร้ายที่ไม่สามารถสลัดหลุดจากพันธนาการหนวดปลาหมึกได้ทันเวลา

ในการโจมตีพียงครั้งเดียว พวกเขาสูญเสียคนไปแล้วถึง 1 ใน 10 เมฟิสโตรู้ดีว่าเขาไม่สามารถประมาทเด็ก 2 คนนี้ได้

เขาเหวี่ยงแส้ในอากาศเป็นจังหวะเสียงดัง มันคือสัญญาณที่พวกเขาเตี๊ยมกันไว้แล้ว หลังจากสัญญาณถูกใช้ โจรที่เหลือก็ได้แยกออกเป็นสองกลุ่มทันที

พวกเขาวางแผนที่จะประกบเด็ก 2 คนนี้ไว้ตรงกลาง

โจรวัยผู้ใหญ่ 40 คนสู้กับเด็กตัวกระเปี๊ยก 2 คนวัย 12-13 ปี แต่พวกเขาต้องสู้อย่างเต็มกำลัง พวกเขาจะถูกหัวเราะเยาะแน่หากมีใครรู้เรื่องนี้เข้า

แต่เมฟิสโตรู้ดีว่า มีบางคนในโลกนี้ที่ไม่สามารถวัดได้ด้วยสามัญสำนึกปกติ…เขาเคยเห็นสัตว์ประหลาดแบบนี้ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่เขาจะกลายเป็นโจร

ดังนั้นหลังจากที่เขารู้ว่าเขาไม่ได้สู้อยู่กับมนุษย์ปกติ เมฟิสโตจึงไม่ตัดสินหนังสือจากหน้าปก เขาต้องใช้พลังทั้งหมดทำลายศัตรูให้สิ้นซากในครั้งเดียว

การตัดสินใจของเขาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง

เด็กทั้ง 2 มีพลังมาก เมฟิสโตรู้สึกว่าแม้แต่องครักษ์ของเมืองศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว แต่เด็กกำลังถูกประกบด้วยโจรบนหลังโจโคโบะทั้ง 2 ด้าน และการโจมตีนับไม่ถ้วนจากทุกทิศทาง พวกเขาเริ่มสูญเสียการควบคุมและเปิดช่องว่าง!

เด็กที่อัญเชิญสัตว์น้ำแปลก ๆ ได้ ดูเหมือนจะมีขีดจำกัดเรื่องจำนวนสัตว์น้ำที่เขาอัญเชิญได้ในแต่ครั้ง หลังจากยืนยันเรื่องนี้ได้แล้ว มันก็ไม่ยากเกินไปที่จะเอาชนะ

“อย่าฆ่าพวกมัน ข้าต้องการนำตัวพวกมันไปทดลองสร้างหุ่นเชิดวิญญาณของข้า!” ผู้วิเศษหลายคนออกคำสั่งเดียวกันนี้

ดังนั้นเมฟิสโตจึงต้องอดกลั้นความกระหายเลือดของเขา และปล่อยให้โจรคนอื่น ๆ โจมตีพวกเด็ก ๆ ต่อไป ส่วนเขาก็คอยมองหาช่องโจมตีที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายถึงตายสัก 2-3 ครั้ง ให้พวกเขาเสียเลือดมากจนไม่สามารถสู้กลับได้

แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจเลยคือเด็กสองคนนี้ยังยืนหยัดอยู่ได้ยังไง เห็นได้ชัดว่าเลือดของพวกเขาไหลชุ่มไปทั่วพื้น พวกเขาดูเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ แต่พวกเขาก็ไม่ได้แสดงอาการเหนื่อยล้าให้เห็นเลยแม้แต่น้อย…อันที่จริง บาดแผลที่พวกเขาถูกฟันนั้นแปลกประหลาดมาก ยกเว้นการเสียเลือดในตอนแรก ที่บาดแผลนั้นเห็นได้ชัด แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนแผลหลอก ๆ ที่ป้ายสีแดงเลือดเอาไว้

เมฟิสโตไม่สามารถสั่งให้คนของเขาไปจับชาวบ้านที่หลบอยู่ด้านหลังเป็นตัวประกันได้ หากเขาแบ่งกำลังออกไป พวกเขาอาจถูกเด็ก 2 คนนี้ฆ่าทันที!

บางที เขาควรเกลี้ยกล่อมให้เด็กยอมจำนน…

ในขณะที่เมฟิสโตกำลังวางแผนอยู่ในใจ ทันใดนั้นเด็กที่ถือไม้กางเขนเปื้อนเลือดก็กระโจนเข้าหาผู้วิเศษโดยไม่สนใจบาดแผลที่ถูกแทงหลายที่บนร่างกาย เขาเหวี่ยงไม้กางเขนในมืออย่างแรงและร้องตะโกนว่า “หวดขึ้นฟ้า!”

ผู้วิเศษไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลา ไม้กางเขนถูกเหวี่ยงฟาดเข้ามาในมุมแปลก ๆ มันส่งผู้วิเศษปลิวออกไปพร้อมกับโจโคโบะของเขา ก่อนที่เขาจะหล่นจากฟ้าตกลงมาอย่างแรงจนหิมะกระจาย

วินาทีต่อมา เด็กที่ถือดาบก็กระโดดข้ามหัวโจรหลายคนที่ตรึงเขาอยู่ ก่อนจะเหวี่ยงดาบยาวผ่าหัวผู้วิเศษคนนั้นตายทันที!

“เวร! ผิดคน หมอนี่ไม่ใช่หัวหน้าโจร!” หลังจากที่ทั้งสองเด็ดหัวผู้วิเศษได้ในไม่กี่วิ เด็กที่ถือไม้กางเขนก็มองไปที่กลุ่มโจรภูเขาที่ยังเหลือ และพูดอย่างหงุดหงิดว่า “บอสคือคนอื่น!”

‘พวกเขาต้องการสังหารผู้นำในการโจมตีเพียงครั้งเดียว เพื่อให้โจรคนอื่น ๆ สับสนและพลิกสถานการณ์งั้นเหรอ’

‘ไม่ ก่อนหน้านี้พวกเขาจะสื่อสารและกำหนดกลยุทธ์นี้ได้ยังไงถ้าพวกเขาไม่ได้พูดคุยกัน จะเป็นไปได้ยังไงที่พวกเขาจะทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ?’

เมฟิสโตเริ่มกังวล

นี่ไม่ถูกต้อง แม้ว่าเขาจะทำให้ผู้วิเศษคนอื่นโกรธ แต่เด็กอันตราย 2 คนนี้ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ พวกเขาจะต้องถูกฆ่าโดยเร็วที่สุด!

ดังนั้นเขาจึงสะบัดแส้ออกคำสั่งอีกครั้ง

แต่คราวนี้ศัตรูของเขาดูเหมือนจะสังเกตเห็นการกระทำนี้

เด็กที่ถือไม้กางเขนมีไฟลุกโชนอยู่ในดวงตา เขาจ้องไปที่เมฟิสโตเหมือนหมาป่าจับจ้องเหยื่อ!

เมฟิสโตเริ่มปลอบใจตัวเองว่า ‘ไม่เป็นไร พวกมันกำลังบาดเจ็บสาหัส จะยืนก็แทบยืนไม่ไหวแล้ว ฝ่ายเรามีจำนวนมากกว่า เรามีโจร 40 คน บอกสิ ว่าข้าจะแพ้ได้ยังไง!’

“โจมตี! อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไปได้!” ตั้งแต่ที่เด็กพบเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีกต่อไป เมฟิสโตตะโกนเสียงดังสั่งคนของเขา “เรามีจำนวนมากกว่า พวกมันมีกันแค่ 2 คน!”

แต่วินาทีต่อมา เสียงระเบิดก็ดังขึ้นมาในอากาศ

เมฟิสโตคิดว่าผู้วิเศษฝั่งเขาเริ่มโจมตี แต่แล้วเขาก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทำไมเสียงมันถึงดังมาจากด้านหลัง?

เมื่อเขาหันกลับไปมอง ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มีรถม้าปรากฏขึ้นในป่าใกล้ ๆ บนรถม้าเต็มไปด้วยผู้คน เพียงกวาดตามองคร่าว ๆ ก็นับได้ประมาณ 50-60 คนแล้ว

เพื่อให้รถม้าวิ่งเร็วขึ้น คนบนรถเหล่านั้นยังใช้พลังแปลก ๆ ทำลายสิ่งกีดขวางทั้งหมดที่ขวางหน้าและสร้างถนนตัดตรงออกจากป่า

“เจ้าว่าไงนะ” ผู้วิเศษหนุ่มผู้นำทีมพูดขณะที่เขากระโดดลงจากรถม้า เขามองไปที่เมฟิสโตแล้วยิ้ม “เจ้ามีจำนวนมากกว่าพวกเรางั้นรึ?”

——————————

แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการสนับสนุนจากระบบ แต่ผู้เล่นก็ยังเติบโตในอัตราที่เร็วกว่ามากเมื่อเทียบกับ NPC แต่จอมกับเทอร์รี่ก็ยังไม่ได้เลเวลสูงขนาดนั้น พวกเขายังมีหนทางอีกยาวไกล ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงระดับที่ไม่ถูกผูกมัดจากข้อจำกัดของจำนวน

จอมและเทอร์รี่ดีใจที่ชาวบ้านเปลี่ยนใจรีบกลับมาช่วย แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนักหรอก ด้วยอาวุธจากยุคหินและอุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสม ทหารม้าก็ยังครอบงำทหารเดินเท้าอย่างพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์

หลังจากหายตกใจที่ชาวบ้านปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน กลุ่มโจรภูเขาก็เริ่มตั้งตัวได้และพุ่งเข้ามาโจมตีอีกครั้ง!

ชาวบ้านส่วนใหญ่มีเพียงจอบ เคียว และคราดเป็นอาวุธ พวกเขาไม่มีชุดเกราะ และมีพรานเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีธนูเป็นอาวุธ แถมธนูที่พวกเขาใช้ก็ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรบในสงคราม…

พวกเขากลายเป็นเบี้ยในสนามรบ มีประโยชน์เพียงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของศัตรู หรือทำให้กำลังและทรัพยากรของศัตรูลดลง ในขณะที่จอมและเทอร์รี่เป็นผู้สร้างความเสียหายหลัก มันฟังดูน่าเศร้า แต่นั่นเป็นเรื่องจริง

“อย่าเข้ามา!” จอมไม่มีทางเลือกนอกจากตะโกนสั่งชาวบ้าน “หาที่กำบัง คนที่มีธนูยิงได้ตามต้องการ คนที่ไม่มีอย่ารวมกลุ่มกัน พวกเจ้าจะกลายเป็นเป้าโจมตีได้ง่าย ๆ!”

ไม่มีทางเลือก นี่คือโลกแห่งความจริง แม้จะมีระบบล็อกเป้าอัตโนมัติ แต่ทักษะส่วนใหญ่ก็ยังต้องการให้ผู้เล่นเล็งเป้าด้วยตัวเอง

ในฐานะคู่หูนักรบและนักบวช จอมและเทอร์รี่ไม่มีทักษะโจมตีแบบ AoE ที่แท้จริง แต่ทักษะอย่าง ‘ทักษะศักดิ์สิทธิดาบผ่าปฐพี’ ก็สามารถโจมตีได้มากกว่าเป้าหมายเดียว แม้จะเป็นผู้เล่น บางครั้งพวกเขาก็อาจได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของทักษะวงกว้างจากพันธมิตรหากไม่ระวังดี ๆ ไม่ต้องพูดถึงชาวบ้านที่เป็นกลางชื่อสีเหลืองเหล่านี้ พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของระบบเลย…

แม้ว่าชาวบ้านจะไม่เข้าใจเหตุผลของจอมอย่างแท้จริง แต่ด้วยความเครียดทางจิตใจจากศัตรูจำนวนมากที่พุ่งเข้ามา พวกเขาก็ทำตามคำสั่งของจอมโดยไม่มีคำถาม ทุกคนต่างก็หาที่กำบังด้านหลังเพื่อช่วยพราน 2-3 คนที่ยิงลูกธนูได้

ด้วยจำนวนของโจโคโบะที่มากกว่าช่วงบ่ายหลายเท่า หิมะก็กระจายขึ้นเป็นละอองสีขาวภายใต้แสงจันทร์เมื่อพวกเขาเคลื่อนที่ ทำให้กองทัพของพวกโจรดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น

หนังตาของจอมกระตุก ผมของเขาตั้งขึ้น เขารู้สึกได้ถึงพลังเวทที่มาจากด้านหลังของกองทัพศัตรู

“ระวัง! พวกมันมีผู้วิเศษ!”

ขณะที่เขาพูดคำนั้น ลูกไฟก็ปะทุออกมากลางฝูงโจโคโบะ เทอร์รี่ไม่สามารถหลบได้ทันเวลาและโดนเข้าไปจัง ๆ เสียงระเบิดที่ดังสนั่นเหวี่ยงเทอร์รี่ขึ้นไปในอากาศ พร้อมกับหิมะที่กระจายขึ้นฟ้าอย่างแรงเมื่อเขาร่วงลงกระทบพื้น และกลิ้งออกไปไกล 2-3 ฟุต!

เทอร์รี่พยายามยกหัวขึ้นมาขณะที่เขานอนราบอยู่บนพื้นหิมะ “แค่ก ๆ เจ้าบอกช้าเกินไป…”

การรับมือทหารม้าธรรมดาก็ยากพออยู่แล้ว พวกเขาไม่คิดเลยว่าพวกมันจะมีผู้วิเศษอยู่ในกลุ่มด้วย จากความเร็วในการร่ายเวทของคน ๆ นั้น เขาน่าเป็นผู้วิเศษระดับสูง…โจรภูเขาพวกนี้เป็นใครกันแน่ จอมอดที่จะสงสัยไม่ได้

จอมมองไปที่เทอร์รี่ เขาสังเกตว่าแม้การระเบิดจะดูรุนแรง แต่พลังโจมตีก็ไม่ได้มากมายอะไร แถบ HP ของเทอร์รี่ยังเหลือมากกว่าครึ่ง…

แต่จอมก็โยนโพชั่น HP ให้กับเทอร์รี่อย่างรวดเร็ว

เทอร์รี่เห็นอย่างนั้นก็รีบกระโดดขึ้นมารับโพชั่นกลางอากาศ เขาดื่มโพชั่นลงไปอึกใหญ่และปล่อยเสียงเรอออกมาอย่างพึงพอใจ

นั่นทำให้จอมรู้สึกเหมือนมีภาพลวงตาว่าหมอนี่กำลังโกงโพชั่นเขา

แต่เขาไม่มีเวลาจะมาสนใจเรื่องหยิบย่อยพวกนี้ “ตอนบ่ายเลเวลข้าขึ้นมาเป็น 15 แล้ว…เดิมที่ข้าวางแผนจะรอดูว่ามีคลาสใหม่ของเครลิคออกมาหรือไม่ แต่ตอนนี้ข้าคงต้องทำแล้วล่ะ”

เขาหยิบกระเป๋าใบเล็กออกมา และยอมรับเควสเปลี่ยนคลาสในระบบ

ตอนนี้เครลิคมีเพียงคลาสเดียวเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนได้ นั่นคือนักบวชแห่งท้องทะเล!

[ติ้ง! ท่านได้เปิดใช้งานเควสเปลี่ยนคลาส นักบวชแห่งท้องทะเล]

[คำอธิบาย: หลังจากฝึกฝนมาระยะหนึ่ง ตอนนี้ท่านพร้อมแล้วที่จะรับพรจากมหาสมุทร แต่ก่อนหน้านั้นท่านต้องมีความสามารถในการได้ยินเสียงของมหาสมุทร และเซ็นสัญญากับสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลัง สวยงาม และลึกลับจากท้องทะเล เพื่อต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่าน]

[ข้อกำหนด: เปลือกหอยสดับ 1 ชิ้น (1/1), หนังของนักล่าแห่งทะเล 10 ชิ้น (10/10), สาหร่ายทะเลเขียวชะอุ่ม 30 ราก (30/30), ประการังตั้งตรง 1 ชิ้น (1/1), ปลาหมึกน้ำตื้นสีแดง 1 ตัว (1/1) )]

[รางวัล: ผ้าคลุมแห่งมหาสมุทร 1 ผืน (อุปกรณ์เฉพาะคลาส ไม่ใช้ช่องสวมใสอุปกรณ์), สัญญามหาสมุทร ∞ , ปากกาปะการัง 1 แท่ง]

[หมายเหตุ: ไอเทมเควสสามารถหาได้ในการสำรวจพื้นที่ ‘ท่าเรือเกรย์ฟยอร์ด’]

“ทุกอย่างพร้อมแล้ว!”

จอมหยิบกระเป๋าใบเล็กออกมาจากกระเป๋าของเขา ด้านในเต็มไปด้วยไอเทมเควสที่เขาเตรียมไว้แล้ว เนื่องจากมีผู้เล่นไม่มากที่ต้องการเปลี่ยนคลาสเป็นนักบวชแห่งท้องทะเล ไอเทมที่ต้องใช้ในการทำเควสที่ผู้เล่นได้มาจากการ ‘สำรวจพื้นที่ท่าเรือเกรย์ฟยอร์ด’ จึงถูกส่งไปยังผู้เล่นเครลิค เพราะมันขายไม่ได้ราคา

แต่ของเหล่านี้ก็หาไม่ง่ายเหมือนกัน คุณคิดว่า ‘ปะการังตั้งตรง’ อาจหาง่าย แต่ระบบยอมรับเฉพาะปะการังที่ตรงและสวยงามเท่านั้น ชุดรายการเหล่านี้เหล่าเครลิคเลยมักจะเก็บไว้กับตัว แม้จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเปลี่ยนคลาสก็ตาม พวกเขาเลยสามารถเปลี่ยนคลาสได้ทุกเมื่อที่จำเป็น

จอมเชื่อว่านี่คือเวลา ‘จำเป็น’ ของเขาแล้ว

โจรภูเขาปล่อยลูกไฟออกมาอีก 2-3 ลูก ทั้งหมดบินตรงเข้าหาจอมและเทอร์รี่ แม้ว่าพวกเขาจะสามารถทนรับมันได้ แต่คลื่นกระแทกจากการระเบิดก็ยังคงทำให้พวกเขาปลิวกระเด็นไปนอนวัดพื้น และพวกเขาอาจถูกคลื่นโจโคโบะเหยียบตาย

แม้ว่าพวกมันจะดูน่ารัก แต่โจโคโบะก็มีน้ำหนักมากถึง 200 กิโลภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นขนนกฟูฟ่อง บวกกับโจรสวมเกราะและอุปกรณ์ครบครันที่พวกมันแบกอยู่บนหลัง ทำให้พวกมันอาจมีน้ำหนักเกิน 300 กิโลได้ง่าย ๆ การโดนมันเหยียบครั้งหนึ่งอาจทำให้คนตายไม่ก็พิการ!

ก่อนที่ลูกไฟจะได้สัมผัสกับเด็กชายทั้ง 2 กลุ่มแสงสีฟ้าก็ล้อมรอบตัวจอม

จากนั้นลูกไฟก็พุ่งเข้ามาระเบิดใส่จอม ก่อให้เกิดกลุ่มควันและหมอกหนาทึบปกคลุมฉากทั้งหมด

ในฤดูหิมะและน้ำค้างแข็ง พื้นที่นอกชายฝั่งไม่เคยขาดแคลนลมหนาว

ลมในหุบเขาพัดเอาควันและหมอกออกไป เผยให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น

สิ่งที่ปรากฏขึ้นด้านหลังหมอกนั้นมีขนาดใหญ่มาก มันคือหอย…นางรมยักษ์?

“ทันเวลาพอดี…” จอมพ่นขวดออกจากปากแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก

เขาเห็นว่าเสื้อผ้าของเขาเปลี่ยนไปแล้ว

รอบคอของเขาตอนนี้มีผ้าพันคอสีน้ำเงินสลับดำ ถ้ามองใกล้ ๆ จะเห็นพื้นผิวที่เหมือนเกล็ด มีเข็มกลัดรูปหอยทากติดอยู่กับผ้าพันคอ และปลายผ้าพันคอก็ปลิวไสวไปตามสายลม นั่นทำให้เด็กหนุ่มดูกล้าหาญขึ้นมาก

เสื้อคลุมสีขาวของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่เขามีกระเป๋าเสริมที่ติดกับเข็มขัดที่มี ‘ปากกาปะการัง’ และ ‘สัญญามหาสมุทร’ อยู่ในนั้น

“สไปร์ท?” เทอร์รี่มองขวดที่จอมพ่นออกมาแล้วถามอย่างสงสัย

“มันคือ ‘น้ำจากแม่น้ำหลงลืม’!” จอมแก้

“ก็สไปร์ทไม่ใช่เหรอ! ว้าว ข้าจำได้ว่ามันแพงมาก!”

“ข้าต้องเปลี่ยนคะแนนทักษะนิดหน่อยหลังจากเปลี่ยนคลาส” จอมยกเลิกการอัญเชิญหอย (?) “ในที่สุด เราก็ได้เวลาเริ่มรอบสองแล้ว”

ด้วยคำพูดของเขา หนวดปลาหมึกยักษ์จำนวนมากก็เริ่มเจาะขึ้นมาจากพื้นดิน มันพุ่งเข้าหากลุ่มโจรภูเขาที่หยุดพุ่งเข้าชาร์จเด็ก ๆ เมื่อเห็นหอยตัวใหญ่…

———————————-

ถึงชาวบ้านจะบอกว่าต้องเก็บข้าวของ แต่พวกเขาก็อยู่ในความยากจนมานานหลายเดือนแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีของมีค่าอะไรมากมายที่พวกเขาต้องนำติดตัวไปด้วย

ก่อนที่ฟ้าจะมืด ชาวบ้านก็พร้อมที่จะไป

“พวกเจ้าจะเดินป่าตอนกลางคือหรือเจ้าจะรอให้เช้าแล้วค่อยจากไป” จอมยืนเฝ้าอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้าน เขาถามผู้ใหญ่หมู่บ้านขณะที่ชายชราเดินผ่านมา

“พวกเราจะไปทันที” ผู้ใหญ่บ้านตอบกลับอย่างไม่ลังเล “แม้ว่าพวกโจรจะไม่กลับมาเร็ว ๆ นี้ แต่ข้าก็ต้องรับผิดชอบชีวิตของชาวบ้าน พวกเราเลยต้องรีบจากไปโดยเร็วที่สุด!”

“แล้วเจ้านั่นล่ะ” จอมชี้ไปที่สุนัขชาเป่ยสีเทาตัวผอมแห้ง ที่กำลังนอนหลับอยู่ใกล้ทางเข้าหมู่บ้าน “เจ้าจะไม่พามันไปด้วยเหรอ”

ผู้ใหญ่บ้านเงียบไปครู่หนึ่งและส่ายหัว “มันยังคงรอให้เจ้าของของมันกลับมา มันจะไม่ไปจากที่นี่”

“แต่เจ้าของมัน…” เทอร์รี่โพล่งออกไปก่อนที่จอมจะศอกเข้าที่ท้องเขา “เรื่องบางเรื่องเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้!”

ผู้ใหญ่บ้านเฝ้าดูเด็ก 2 คนทะเลาะกัน และหันกลับไปมองชาวบ้านคนอื่น ๆ เขามองผ่านทุกรายละเอียดในหมู่บ้านของเขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคิดถึงและโหยหา

ตั้งแต่วันที่เขาเกิด หมู่บ้านนี้ก็เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขา ทุกมุมของหมู่บ้านนี้เต็มไปด้วยความทรงจำในวัยเด็กของเขาและเพื่อน เขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะถูกบังคับให้ต้องออกจากสถานที่ที่เขาเติบโตมาในวัยชรา มันทำให้เขารู้สึกเศร้า

ไม่นานครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านก็มารับเขาไป

ภายใต้คำแนะนำของผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านต่างก็พากันขนข้าวของและอำลาบ้านเกิดเป็นครั้งสุดท้าย บางครอบครัวที่เลี้ยงสัตว์ยังให้สัตว์ช่วยแบกสิ่งของเบ็ดเตล็ดไว้บนหลัง

ไม่นานหมู่บ้านที่เพิ่งมีการเฉลิมฉลองอย่างคึกคักเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ก็กลายเป็นหมู่บ้านร้าง

เมื่อตกกลางคืน ความเงียบสงบของมันก็ทำให้จอมรู้สึกไม่สบายใจ เขาเริ่มคิดถึงผู้เล่นคนอื่น ๆ

เขาเป็นคนที่ไม่ชอบเสียงดัง แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ความเงียบในตอนนี้นั้นให้ความรู้สึกแย่กว่ามาก

เมื่อเทียบกับสถานที่แบบนี้ จู่ ๆ เขาก็พบว่าเขามีความสุขกับการได้อยู่กับแก๊งค์ผู้เล่นงี่เง่า ที่ชอบล้อเล่นและหัวเราะอย่างมีชีวิตชีวาระหว่างทำเควสและสนุกสนานไปด้วยกัน

เดิมทีเขาต้องการหลีกเลี่ยงสถานการณ์แบบนั้น นั่นคือเหตุผลที่เขาออกเดินทางมาที่นี่

“มันต่างกันจริง ๆ”

เทอร์รี่ที่เงียบมานานจนถึงตอนนี้พูดขึ้นมา ตอนแรกจอมคิดว่าเทอร์รี่โกรธที่เขาเอาศอกกระทุ้งใส่เขาก่อนหน้านี้ แต่ไม่ใช่

“ต่างกันยังไง” จอมถาม

“ถ้าเมืองของข้าถูกโจมตีข้าจะสู้กลับแน่นอน ข้าจะไม่มีวันหันหลังหนี!” เทอร์รี่ตอบ

“ไร้สาระ เราคืนชีพได้เถอะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น!” เทอร์รี่พยายามอธิบายความรู้สึกของเขาให้ชัดเจน “แม้ว่าเราจะไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้อีก แม้ว่าเราจะมีชีวิตเดียว แต่ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เมืองของข้าถูกทำลายโดยคนเลว!”

“…”

จอมนึกตามคำพูดของเทอร์รี่ จากนั้นเขาก็พบว่าตัวเองไม่ได้แน่วแน่ที่จะปกป้องบ้านเกิดของเขาอย่างที่เทอร์รี่เป็น แต่เขาก็ยังคงรู้สึกแย่มากที่เขาไม่อาจปกป้องบ้านของเขาได้ เพราะงั้นเขาจะทำในสิ่งที่เขาทำได้เพื่อช่วย นั่นคือทั้งหมด แม้ว่ามันจะไม่มีเควสที่จะให้รางวัล แม้อุปกรณ์ของเขาจะสูญเสียความทนทานไปบางส่วน แม้เขาจะตายไป 2-3 ครั้ง หากนั่นหมายถึงการที่เขาปกป้องเมืองได้สำเร็จ เขาก็จะทำ

แม้แต่เขาเอง เขาก็ไม่ได้หวังว่าตัวเองจะสนใจหมู่บ้านเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ แบบนี้

“ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่สามารถพูดได้ว่าการตัดสินใจของชาวบ้านนั้นผิด คำว่าหมู่บ้าน ความหมายของมันก็คือการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ตราบใดที่ผู้คนยังคงอยู่ หมู่บ้านก็จะยังคงอยู่…ดังนั้นเพื่อปกป้องผู้คน การยอมแพ้ต่อหมู่บ้านจึงเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง” จอมถอนหายใจ เขาพยายามให้เหตุผลกับเทอร์รี่

“ข้าเข้าใจว่าเจ้ากำลังหมายถึงอะไร แต่พวกเขายอมทิ้งบ้านของพวกเขาไปโดยไม่ลังเลเลย…มันทำให้ข้ารู้สึกแย่” เทอร์รี่รู้ว่าจอมหมายถึงอะไร แต่เขาก็ไม่เข้าว่ามีคนคิดแบบนั้นอยู่จริง ๆ ได้ยังไง

จอมสลด ด้วยสมองของเทอร์รี่ จอมจึงล้มเลิกความพยายามที่คุยกับเขาด้วยเหตุผล

“เดี๋ยวนะจอม เจ้าได้ยินอะไรไหม” ขณะที่จอมกำลังปลงกับสมองของเพื่อนร่วมทีม สีหน้าของเทอร์รี่ก็เปลี่ยนจากสับสนเป็นตื่นตัวในไม่กี่วินาที

จอมสะดุ้งเล็กน้อย เขาได้ยินเสียงดังมาจากระยะไกล

ตอนแรกจอมคิดว่าเป็นผู้เล่น แต่เขาก็ตระหนักว่าเสียงนั้นฟังดูไม่เหมือนเสียงฝีเท้าของผู้เล่น เขาเลยคิดว่าเป็นเสียงของชาวบ้านที่วิ่งกลับมาปกป้องหมู่บ้านหลังจากที่พวกเขาคิดได้แล้ว แต่หลังจากได้ยินเสียงชัดขึ้น เขาก็รู้ว่าเขาคิดผิด

“เสียงฝีเท้าโจโคโบะ การโจมตีระลอก 2 ของโจรภูเขากำลังมา!”

เมื่อจอมคิดจะเตือนเทอร์รี่ เพื่อนของเขาก็เดาออกแล้วว่าพวกที่กำลังมาเป็นศัตรู และชักดาบยาวที่ไม่เคยอยู่ห่างตัวออกมาทันที

เมื่อเทียบกับเทอร์รี่ที่ไม่เคยคิดอะไรเลย จอมก็คิดมากกว่าเขา

พวกเขา 2 คนไม่ได้ปล่อยโจรไปแม้แต่คนเดียว ศัตรูของพวกเขาถูกกำจัดจนหมด กว่าโจรภูเขาที่เหลือจะเห็นว่าไม่มีใครกลับมา และตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ และส่งคนมายืนยันสถานการณ์

ปกติกระบวนการทั้งหมดนี้ควรจะใช้เวลาอย่างน้อย 1 วัน แต่พระอาทิตย์เพิ่งจะตกดิน ศัตรูของพวกเขาก็กลับมาแล้ว…มีความเป็นไปได้ว่าโจรภูเขาสามารถตรวจสอบสุขสภาพของสมาชิกจากระยะไกลได้เหมือนระบบปาร์ตี้ของผู้เล่น หรือไม่ ที่ซ่อนของโจรภูเขาก็ต้องอยู่ใกล้หมู่บ้านมาก!

น่าเสียดาย ไม่ว่าตัวเลือกไหนก็ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับจอมและเทอร์รี่

“พื้นดินยังไม่สั่น ไม่มีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่” จอมยิ้มแบบฝืน ๆ “อย่างน้อยไม้ตายของพวกมันก็ยังไม่มา”

“แต่มีโจรเยอะมาก ฟังจากเสียงก็ประมาณ…30 คน? ไม่สิ น่าจะ 50 คน 5 เท่าของจำนวนคนเมื่อตอนบ่าย!” เทอร์รี่รู้สึกหนักใจกับจำนวนศัตรู เพราะมันยากที่จะต่อสู้กับคนมากขนาดนี้

กลยุทธ์ก่อนหน้านี้อย่างการลดการป้องกันของศัตรูก่อนที่จะโจมตีสวนกลับ อาจไม่ได้ผลเมื่อศัตรูเตรียมตัวมาอย่างดี

“ข้าอยากเป็นเมจขึ้นมาทันที การโจมตีแบบ AoE เมจดีที่สุด…” จอมพึมพำ “ชิ แบบนี้เราคงหยุดพวกเขาไว้ได้ไม่นาน ข้าหวังว่าชาวบ้านพวกนั้นจะหนีทัน”

ในขณะที่โจโคโบะตัวแรกเข้ามาในสายตา ลูกธนูก็พุ่งผ่านจอมกับเทอร์รี่ ก่อนจะพุ่งผ่านหน้าโจรบนหลังโจโคโบะ ทำให้โจรภูเขารั้งสายจูงโจโคโบะขึ้นโดยสัญชาตญาณเพื่อเบรกกะทันหัน

เมื่อจอมกับเทอรี่หันไปดูว่าลูกธนูมาจากไหน พวกเขาก็พบว่าชาวบ้านได้กลับมาแล้วโดยมีโจอี้เป็นผู้นำ ชาวบ้านใช้หม้อเป็นเกราะหัว และมีอุปกรณ์ทำฟาร์มเป็นอาวุธ แต่ละคนตั้งท่าพร้อมที่จะเข้าต่อสู้

“ถ้าเราปล่อยให้เด็กที่ไร้เดียงสาและใจดี 2 คนตายเพื่อปกป้องบ้านที่เราได้ยอมแพ้ไปแล้ว เราคงจะต้องรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต!” โจอี้ปล่อยลูกธนูออกไปอย่างชำนาญ แล้วตะโกนเสียงดังว่า “แม้เราจะอ่อนแอ แต่ข้าจะอุทิศทุกสิ่งที่มีเพื่อปกป้องหมู่บ้านของข้า! ทุกคนตามข้ามา!!!”

“โอ้ววววว!”

——————————

“สิ่งที่เรียกว่าฟอรัมนี่มีประโยชน์จริง ๆ เหรอ”

หลังจากเทอร์รี่ถ่ายภาพเสร็จ นายแบบของเราก็มองไปที่จอมอย่างสงสัย

จอมหัวเราะดังมากเมื่ออ่านความคิดเห็นของผู้เล่นที่กำลังอวดความงี่เง่าอยู่ในฟอรั่ม

“มันน่าจะดี อย่างน้อยเอ็ดเวิร์ดและคนอื่น ๆ ก็จะมา” จอมขำจนน้ำตาเล็ด เขาเช็ดน้ำตาและสูดหายใจลึกเพื่อกลับสู่ความสงบ “เราแค่ต้องรอและมีความหวังเอาไว้”

“โอ้ผู้เล่นอันดับต้น ๆ ที่จะเข้าร่วมทุกครั้งที่มีเควส เอ็ดเวิร์ดปีศาจบ้าเควสคนนั้นน่ะเหรอ?” ถึงเทอร์รี่จะตกใจ แต่เขาก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นเราก็รอดแล้ว!”

“อย่าพึ่งดีใจไป พวกเขาจะเอาชนะยักษ์แห้งแล้งได้รึเปล่าก็ไม่รู้ แม้แต่การค้นหาที่นี่ก็เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาแล้วล่ะ”

จอมไม่คิดว่าสถานการณ์จะเป็นไปในแง่ดี เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีเทา “ถ้าหิมะไม่ตกก็ดีสิ”

เทอร์รี่เหมือนโดนน้ำเย็นสาดใส่หน้า เขาหยุดพูดและนั่งเคี้ยวขนมปังของเขาต่อไป

จอมอยากจะคุยเกี่ยวกับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงสักหน่อย แต่หลังจากที่เห็นเทอร์รี่กินของว่างอย่างน่าอร่อย จอมก็รู้สึกหิวเล็กน้อย หลังจากผ่านการต่อสู้มาแล้วรอบหนึ่ง อาหารที่เขากินไประหว่างงานเลี้ยงก็ย่อยหมดแล้ว

เขาควรจะอิ่มท้องก่อนออกรบ

ความประหม่าก่อนการต่อสู้ไม่มีอยู่จริงในหมู่ผู้เล่น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีปัญหากับการกินอาหารก่อนออกไปต่อสู้

จอมเริ่มกินบิสกิตเพื่อรองท้อง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้จากด้านหลัง

เขาหันกลับไปมองก็เห็นพรานวัยกลางคน เดินเข้ามาใกล้เขาโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว

“เจ้า 2 คนจะไม่จากไปจริง ๆ เหรอ” นายพรานไม่ได้สังเกตว่าเขาทำให้จอมสะดุ้ง เขาเริ่มพูดเมื่อจอมหันมามอง

เทอร์รี่ที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้สึกถึงการปรากฏตัวของอีกฝ่ายสำลักขนมปังที่เขาพึ่งกินเข้าไป เขารีบตบหน้าอกตัวเองอย่างแรง

หลังจากยืนยันว่าคน ๆ นี้ไม่ใช่ศัตรู และมีชื่อว่า ‘ชาวบ้าน’ สีเหลืองลอยอยู่เหนือหัว เป็นกลางและไม่มีแถบ HP ในที่สุดจอมก็สงบลงได้

“เราก็ทำตามสัญญาไงลุง” จอมตอบอย่างจริงจัง “ถ้าเจ้าต้องการให้เราปกป้องคนในหมู่บ้านตอนที่พวกเขาออกเดินทางไปหมู่บ้านอื่น ข้าขอปฏิเสธ”

หากพวกเขาต่อสู้กับโจรภูเขา อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้ EXP จากความพยายามของพวกเขา ถ้าพวกเขาโชคดีและสามารถเอาชนะยักษ์แห้งแล้งได้ด้วยความช่วยเหลือจากผู้เล่นคนอื่น ๆ พวกเขาก็อาจจะได้รับของดีอะไรบางอย่าง! เมื่อเปรียบเทียบกับการไปส่งพวกชาวบ้านแล้ว จอมกับเทอร์รี่ไม่ใช่พวกชอบใช้แรงงานฟรี เนื่องจากไม่มีเควสใหม่หรืออะไรออกมาเลย ชาวบ้านเหล่านั้นอาจไม่ได้มีแผนที่จะให้รางวัลใด ๆ หรือรู้สึกขอบคุณพวกเขา

“ข้าชื่อโจอี้•อาร์บิตเตอร์ แต่เจ้าเรียกข้าว่าโจอี้ก็ได้”

“หวัดดีลุงโจอี้ แต่ลุงกับพวกชาวบ้านคนอื่น ๆ รีบไปได้แล้ว เราจะพยายามสะกัดโจรไว้และซื้อเวลาให้พวกลุงหนี” เมื่อเห็นว่าโจอี้มีอะไรจะพูด จอมก็รีบเสริมว่า “ไม่ต้องห่วง เราทำแบบนี้ลุงจะปลอดภัยกว่าการที่เราไปปกป้องลุงระหว่างทางหลบหนี”

“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้”

นายพรานโจอี้ไม่พอใจ “ที่ข้าพยายามจะพูดคือ พวกเจ้าสองคน ช่วยคิดเกี่ยวกับชีวิตตัวเองหน่อยเถอะ”

“อะไร?” จอมที่เห็นนายพรานก้าวเข้ามาใกล้ก็ตื่นตัว

“ข้ายอมรับว่าเจ้าสองคนแข็งแกร่ง แต่มีโจรมากมายมาที่นี่ ไหนจะยักษ์แห้งแล้งอีกเล่า ไม่มีทางเลยที่เจ้า 2 คนจะชนะได้!” นายพรายพูดออกมาอย่างยากลำบาก “การที่ต้องรั้งอยู่ข้างหลัง ความหมายของมันก็คือความตาย…เจ้าไม่กลัวตายเลยเหรอ!”

“ตาย? เราชินกับมันแล้ว”

จอมมีสีหน้าอ่อนลงและตอบออกไปอย่างนุ่มนวล

แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถชุบชีวิตตัวเองได้ทัน แม้ว่าทั้งปาร์ตี้จะถูกกำจัด แต่พวกเขาก็จะพร้อมทำงานต่อได้ในอีก 3 วันต่อมา!

การถูกขังอยู่ในห้องดำเล็ก ๆ เป็นเวลา 3 วันนั้นค่อนข้างยาก แต่ตอนนี้ตราบใดที่พวกเขายังอ่านฟอรัมได้ 3 วันก็ไม่ใช่ปัญหา!

โจอี้ช็อค

เขาคิดว่าตัวเองมีความรู้มากพอแล้ว เพราะทุกครั้งที่หมู่บ้านล่าของดีได้ เขาก็จะเป็นคนนำมันไปขายในเมืองใกล้เคียง พอผ่านไปหลายปี เขาก็ได้พัฒนาสายตาในการมองผู้คน

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงแน่ใจว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ล้อเล่น พวกเขาไม่กลัวตายเลย สีหน้าของเขาสงบนิ่งยิ่งกว่าทะเลสาบ

‘นั่นสินะ ข้าควรจะคิดได้นานแล้ว’

โจอี้รู้สึกหงุดหงิด

เขาเคยได้ยินจากเพื่อนบางคนในเมืองว่า ศาสนจักรบางแห่งจะนำเด็ก ๆ ไปทดลองและทำการทดสอบที่ไร้มนุษยธรรม เพื่อฝึกพวกเขาให้สามารถรับพรจากพระเจ้าได้ตั้งแต่ยังเด็ก

พวกเขาโยนเด็กเล็กเข้าสู่การทดสอบที่โหดร้าย ผ่านการฝึกฝนในสนามรบโดยมีเพียงทักษะพื้นฐานในการเอาชีวิตรอด ผลักดันเด็กที่ไร้เดียงสาเหล่านี้ให้ผ่านขั้นตอนของความเป็นผู้ใหญ่ ใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยเลือดและเหล็ก กำจัดผู้ที่อ่อนแอออกไป เสริมสร้างความคิดที่มั่นคงและกลายเป็นแกนนำของศาสนจักรในอนาคต

และเด็ก 2 คนนี้ก็น่าจะใช้ชีวิตมาแบบนั้น

พวกเขายังเด็กมาก แต่พวกเขาก็แสดงความกล้าหาญได้แบบเดียวกับผู้มีประสบการณ์ในการต่อสู้ พวกเขาคุ้นเคยกับเรื่องของชีวิตและความตาย และมองว่าความตายเป็นเรื่องปกติ…พวกเขาต้องเป็นพยานกี่ครั้งแล้วกับความเลวทรามและป่าเถื่อนของโลก เลยมีความคิดแบบนี้?

พวกเขาคงจะได้เห็นเพื่อนของพวกเขาเสียชีวิตมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน อ่า กี่ครั้งแล้วที่พวกเขาต้องคลานกลับขึ้นมาจากหลุมศพ?

บางทีที่พวกเขาชอบเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย ก็เพราะพวกเขาถือว่าความตายเป็นวิธีเดียวที่จะหลบหนีจากสถานการณ์ที่โหดร้ายนี้

เมื่อนึกถึงอดีต ‘บาดแผล’ ของพวกเด็ก ๆ โจอี้ก็อดที่จะสงสารพวกเขาไม่ได้

“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย เด็ก ๆ ควรทำตัวให้เหมือนเด็ก! เจ้าไม่ควรถือว่าความตายเป็นหนทางหนี”

“มากับข้า! จากนี้ไปจะต้องดีกว่านี้แน่หากเจ้าได้ใช้ชีวิตตามปกติอย่างที่เด็กควรเป็น ข้าจะปกป้องเจ้าเอง!” ความรักของพ่อหลั่งไหลออกมาจากตัวของโจอี้ เขาประกาศกับจอมและเทอร์รี่อย่างจริงใจที่สุดว่า “ให้เราได้สร้างครอบครัวด้วยกัน ถ้าเจ้าต้องการเจ้าสามารถเรียกข้าว่า ‘พ่อ’ ได้!”

จอม ‘?????’

จอมไม่เข้าใจว่าจินตนาการของโจอี้มาถึงจุดนี้ได้ยังไง…น่าสนใจ เขาบอกให้เรียกเขาว่า ‘พ่อ’ ด้วยรึเปล่า?

จากด้านข้าง สมองของเทอร์รี่ก็กลับมาออนไลน์แล้ว เดิมทีเขาเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่คิดอะไรมากและตรงไปตรงมา เขาจึงตอบทันทีว่า

“ข้าปฏิเสธ”

เขามองไปที่ขนมปังที่หล่นลงพื้นอย่างไม่พอใจ แล้วพูดกับโจอี้ว่า “เจ้าเป็นคนที่ทิ้งทุกอย่างได้แม้แต่บ้านของเจ้าเมื่อเจ้าเห็นอันตราย ข้าไม่ต้องการพ่ออย่างเจ้า ใครจะรู้ว่าครั้งหน้าหากมีปัญหาอีก เราจะเป็นคนที่เจ้าเลือกจะทิ้งรึไม่”

โจอี้เหมือนถูกฟ้าผ่าจนแข็งเป็นซอมบี้ เขาลากเท้ากลับไปที่กลุ่มชาวบ้านที่เหลือด้วยความสงสัยว่าเขาทำอะไรผิด

อารมณ์ที่หายใจไม่ออกชั่วขณะของจอมกลับมาเป็นปกติ เขาอึดอัดมากที่หาที่อ้วกความเลี่ยนนี้ออกไปไม่ได้

———————————-

[ช่วยเด็ก เราต้องการความช่วยเหลือ!]

ซีเว่ยเกือบจะหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อเห็นชื่อโพสต์

แม้เขาจะไม่ได้ใช้พลังในทางที่ผิดเพื่อเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของผู้เล่น แต่การกระทำเกือบทั้งหมดของผู้เล่นแต่ละคนก็จะถูกบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์ ดังนั้นเขาจึงสามารถตรวจสอบได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการ

เขาไม่คิดมาก่อนว่าโพสต์แรกในฟอรัมที่เขาสร้างขึ้น (ไม่รวมโพสต์ปักหมุดของเขา) จะใช้ Buzzwords* มากมายขนาดนี้…

(buzzword หมายถึง คำศัพท์ หรือ วลี ที่เป็นที่นิยมมากตามยุคสมัย)

“สวัสดีทุกคน ข้าคือจอม ข้าแน่ใจว่าหลาย ๆ คนที่ไม่มีปาร์ตี้จะรู้จักข้า ใช่แล้วข้าเป็นเครลิคระยะประชิดที่เก่งในการใช้ทักษะหวดขึ้นฟ้า! ในวันที่หิมะตก เมฆปกคลุมท้องฟ้า บลาบลาบลา…”

จุดเริ่มต้นของโพสต์นั้นแข็งทื่อมาก เหมือนว่าเขาพึ่งจะเคยเขียนจดหมายเป็นครั้งแรก เห็นได้ชัดว่าผู้เล่นอายุน้อยที่เขียนโพสต์นี้พยายามใช้ความคิดเป็นอย่างมาก ถ้อยคำในนั้นค่อนข้างแปลก

“สรุปสั้น ๆ ก็คือ ในขณะที่เทอร์รี่เพื่อนของข้าและข้าออกไปสำรวจพื้นที่ใหม่ เราก็ถูกศัตรูที่เรียกว่า ‘โจรภูเขา’ โจมตี”

“พวกมันเป็นกลุ่มศัตรูระดับต่ำที่รับมือได้ยากมาก!”

“เพื่อปกป้องหมู่บ้านที่ไร้เดียงสา เราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องต่อสู้กับศัตรู และในระหว่างนั้นเทอร์รี่ เพื่อนที่ดีที่สุดของข้าก็ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง!”

ดูนี่ [คลิกเพื่อดูภาพ] และนี่ [คลิกเพื่อดูภาพ] และนี่ด้วย [คลิกเพื่อดูภาพ]”

ซีเว่ยมีความสุขทันทีหลังจากได้เห็นภาพถ่ายเหล่านั้น

หมอนี่ใช่หยำฉา*หรือเปล่า…

(ฉากนอนตายอันเป็นตำนานของ‘หยำฉา’จากการ์ตูน Dragon Ball Z)

“ตามข้อมูลที่เรารวบรวมมา ศัตรูจะโจมตีหมู่บ้านนี้อีกครั้ง และในครั้งหน้าอาจมียักษ์อยู่ในกองกำลังของศัตรู! ข้าหวังว่าผู้เล่นที่กำลังว่างจะมาช่วยเราปกป้องหมู่บ้านที่น่าสงสารนี้ เพื่อเป็นรางวัล ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าหลังจากที่เรื่องทุกอย่างจบลง เราสามารถรับทุกสิ่งที่ต้องการจากหมู่บ้านได้!”

ซีเว่ยดูบันทึกของเด็ก 2 คนนี้และพบว่าผู้ใหญ่บ้านบอกว่าพวกเขาจะหอบของหนีไปหมู่บ้านอื่น ของที่เหลือในหมู่บ้านก็หยิบได้ตามสะดวกจริง ๆ นั่นแหละ

“ที่ตั้งคือหมู่บ้านในหุบเขาเล็ก ๆ ห่างจากเมืองไปทางเหนือประมาณ 15-20 กิโลเมตร…ข้าหวังว่าทุกคนจะมาช่วยเรา!”

จอมใช้ความพยายามอย่างมากในการเขียนโพสต์ ดังนั้นซีเว่ยจึงไม่ได้เปิดโปงเขา

อันที่จริงเขาตัดสินใจที่จะอยู่ห่างจากสถานการณ์นี้ เขาต้องการดูว่าผู้เล่นจะตอบสนองต่อเควสที่เขาไม่ได้มอบให้ยังไง

ไม่นานหลังจากที่ซีเว่ยอ่านโพสต์ ผู้เล่นหลายคนก็เริ่มตอบกลับ

[มาร์นี่: หมู่บ้านนี้มีไอเทมพิเศษไหม? ถ้ามีข้าจะพิจารณาไปช่วยเหลือ]

[เอ็ดเวิร์ด: ข้าอยากรู้ลักษณะเฉพาะของหุบเขา ข้าต้องเดินทางไปทางเหนือของเมืองใช่ไหม?]

[เอลีน่า: รัว —-!]

[อีวาน: ข้าไม่ได้เจอเจ้ามา 2-3 วันแล้ว หากเจ้าวิ่งไปที่นั่นจริง ๆ ความเร็วเคลื่อนที่ของเจ้าจะต้องสูงมาก…]

[ลีอา: แสงของเทพเจ้าแห่งเกมจะส่องสว่างไปทั่วผืนดิน!]

[โตวก้าน: ข้าต้องยกย่องเทพเจ้าแห่งเกมในโพสต์ด้วยหรือไม่]

[อีวาน: เทพเจ้าแห่งเกมโคตรสุดยอด!]

[ประกาศจากระบบ ผู้เล่นอีวานถูกแบนเป็นเวลา 60 นาที เนื่องจากใช้ภาษาไม่เหมาะสม]

[มาร์นี่: ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าคำนั้นใช้ไม่ได้ผล มันไม่ใช่การยกย่อง เจ้าไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยเมื่อเจ้าถูกแบนไปครั้งที่แล้วใช่ไหม จากปฏิกิริยาที่เทพเจ้าแสดงให้เห็น แสดงว่านี่เป็นคำที่ทำให้เสื่อมเสีย ดังนั้นเจ้าต้องเพิ่มคำเชิงลบไว้ข้างหน้า เพื่อทำให้มันเป็นบวกและน่ายกย่อง]

[มาร์นี่: ตัวอย่างเช่น ‘เทพเจ้าแห่งเกมโคตรไม่สุดยอด’ แบบนี้]

[ประกาศจากระบบ ผู้เล่นมาร์นี่ถูกปิดเสียงเป็นเวลา 24 ชั่วโมง เนื่องจากใช้ภาษาหยาบคาย]

[ลีอา:…]

[เอ็ดเวิร์ด:…]

[โจ:…]

[โกวต้าน: เฮ้ ข้าเปลี่ยนชื่อในฟอรัมได้]

[ข้าสามารถเปลี่ยนชื่อได้จริง: ลองดูสิ]

[ข้าอยากเห็นว่าจะเปลี่ยนชื่อได้นานแค่ไหน: เหมือนกัน เหมือนกัน]

[เจ้าหญิงนักรบ: พวกเจ้าก็เกินไป…]

[ประกาศจากระบบ ตอนนี้การเปลี่ยนชื่อในฟอรั่มต้องใช้ไอเทม ‘การ์ดเปลี่ยนชื่อ’ สามารถซื้อไอเทมได้จาก ‘แองโกร่า•เฟาสต์’ ‘แวนเค่อ•นอร์เรจจี้’ และ ‘ผู้ใหญ่บ้านมนุษย์กบ’ ผู้เล่นสามารถทำการซื้อได้ทุก ๆ 24 ชั่วโมง]

[แองโกร่า: ยินดีด้วย เจ้าได้แสดงความโง่เขลาต่อหน้าเทพผู้ยิ่งใหญ่ มนุษย์กบปรบมือ.jpg]

ในขณะที่ซีเว่ยยังคงทดสอบและปรับปรุงฟังก์ชันต่าง ๆ ของฟอรัม สิงโตแห่งความยุติธรรมอัสลาน ก็ได้มาถึงอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์อีกแห่ง

“ยินดีต้อนรับอัสลาน นานแล้วที่เจ้ามาที่นี่” ผู้ปกครองอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นคนแคระที่มีหนวดเฟิ้ม เขามีกระติกน้ำห้อยอยู่ทางซ้ายของเข็มขัดและค้อนห้อยอยู่ทางขวา

ที่นี่แตกต่างจากอาณาจักรที่ยุ่งเหยิงของซีเว่ย อาณาจักรของคนแคระนั้นน่าสนใจมาก ครึ่งหนึ่งเป็นโรงตีเหล็กที่เต็มไปด้วยลาวาหลอมเหลว ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งถูกตกแต่งด้วยเหล้าและไวน์หลายชนิด มันให้ความรู้สึกเหมือนบาร์เล็ก ๆ ที่สวยงาม

บรรยากาศและอุณหภูมิของทั้งสองฟากนั้นแตกต่างกันอย่างมาก เหมือนโลกสองใบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

คนแคระมีชื่อว่าสตอฟฟ์ เทพเจ้าแห่งงานฝีมือและไวน์ชั้นดี และยังเป็นหนึ่งในสมาชิกของวิหารล่องหน

“เจ้าอยากดื่มอะไรไหม” สตอฟฟ์ถาม

“ไม่จำเป็น จริง ๆ แล้วข้ามีของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่าสนใจมาให้เจ้าได้ลิ้มลอง”

อัสลานเขย่าแผงคอหนา จากนั้นขวดโคคา-โคล่าก็หลุดออกมา

“โพชั่น?”

“เปล่า เครื่องดื่ม”

“ได้ ข้าเชื่อใจเจ้า” สตอฟฟ์พึมพำในขณะที่เขาหยิบขวดมาเปิดฝาและกรอกมันใส่ปากทั้งหมดในครั้งเดียว ก่อนที่เขาจะพ่นเสียงเรอออกมาอย่างยาวนาน

“ดี! การดื่มสิ่งนี้ในขณะที่ข้าตีเหล็กอาจดีกว่าเบียร์!” สตอฟฟ์ร้องออกมา

“ดีใจที่เจ้าชอบ” อัสลานนอนลงบนเคาน์เตอร์ “ข้าได้มันมาจากเทพเจ้าแห่งเกม”

“เทพใหม่งั้นหรือ? เจ้าเห็นอะไรในตัวเขาถึงได้รับเขาเข้ามา ข้าคิดว่าตอนนี้เรามีเทพมากมายในวิหารล่องหน…”

คนแคระเริ่มจู้จี้

“ทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา สตอฟฟ์ ข้าได้กลิ่นอันตราย มีเทพเจ้าเกิดใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาทำสงครามกัน ขโมยความเป็นพระเจ้าของกันและกันเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น…มันเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อนที่เกิดสงครามศักดิ์สิทธิ์ เราต้องหา ‘ประกัน’”

“แต่ประกันของเจ้ายังไม่แข็งแกร่งเท่าค้อนของข้า…แม้แต่ลูน่า เขาก็อาจเอาชนะไม่ได้” สตอฟฟ์กล่าวอย่างเมินเฉย “ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมองแค่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ เทพระดับกลางก็เทียบได้กับพลังเท่านิ้วเท้าของเทพระดับสูงเท่านั้น”

“ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ไม่ใช่สิ่งสำคัญ เจ้าน่าจะรู้ดีสตอฟฟ์ อันดับของข้าลดลงอย่างต่อเนื่อง บางทีเขาอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้นในตอนนี้ แต่ข้าเชื่อว่าเขามีศักยภาพมากมายมหาศาล…บอกข้าทีว่าเจ้าคิดอย่างไรกับ ‘การคืนชีพ’ ผู้ศรัทธาของเขา” ทันใดนั้นอัสลานก็ถามขึ้น

คนแคระเขย่าขวดเปล่าในมือแล้วเติมโคคา-โคล่าลงไปอีกครั้ง เขาตอบหลังจากจิบอึกใหญ่ “ไม่มีทางที่พวกเขาจะฟื้นขึ้นมาจริง ๆ เราทุกคนรู้ดีว่าราชาแห่งความตายฮาเดสสามารถควบคุมความตายได้อย่างสมบูรณ์ และพลังแห่งชีวิตก็อยู่ในมือของเทพธิดาแห่งชีวิต…แต่ถึงจะเป็นเทพธิดาแห่งชีวิต ก็ไม่อาจใช้ปาฏิหาริย์แห่งการ ‘ฟื้นคืนชีพ’ ของเธอได้ทุกปี การพยายามฉ้อโกงอำนาจการควบคุมชีวิตและความตายจากเทพทั้ง 2 นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”

“ถ้าอย่างนั้น จะเป็นยังไงถ้า…” ดวงตาของสิงโตส่องแสงพราวพราว “เทพองค์ใหม่ตนนี้สร้างวิธีการชุบชีวิตผู้เล่นของเขาได้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่ละเมิดอำนาจของชีวิตและความตาย?”

สตอฟฟ์พูดไม่ออกอยู่นาน

“ในกรณีนั้น เขาสามารถยืนอยู่บนฟ้าและมองข้ามเทพเจ้าทั้งหมดได้เหมือนกับตรีเอกานุภาพแห่งการสรรค์สร้าง”

——————————–

เมื่อชาวบ้านมองออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็พบว่าจอมและเทอร์รี่กำลังคุ้ยเก็บของบางอย่างในกองหิมะ พื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะก่อนหน้านี้ถูกปกคลุมไปด้วยหลุมบ่อ และรอยแปลก ๆ เช่นคราบเลือด มันดูเหมือนพึ่งจะผ่านสงครามครั้งใหญ่มาก

แต่สิ่งที่แปลกคือไม่มีศพ

นอกเหนือจากเด็กชาย 2 คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่นี่ก็ปราศจากโจโคโบะหรือศพของโจรภูเขาโดยสิ้นเชิง

เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาสู้กันมานานจนพื้นเป็นแบบนี้แต่ไม่มีใครตาย?

เจ้ากำลังเล่นนัดกระชับมิตรอยู่รึ?

“ไม่ต้องห่วง เรามีวิธีพิเศษในการกำจัดศพ” จอมสามารถเดาคำถามในใจของชาวบ้านได้ เขายืนขึ้นและมอบไอเทมที่ดรอปออกมาจากโจโคโบะให้กับผู้ใหญ่บ้าน “ดูนี่สิ? มันคือเนื้อนกที่เราได้จากการฆ่าโจโคโบะ”

ผู้ใหญ่บ้านจ้องมองที่เนื้อนกในมือของเขาอย่างว่างเปล่า ‘แล้วเจ้าทำยังไงให้โจโคโบะตัวใหญ่เหลือเนื้อเพียงแค่นี้ล่ะ… ‘

“ไม่ต้องขอบคุณเรา เราไม่ได้ช่วยคนอื่นเพื่อชื่อเสียงหรือเกียรติยศ แต่ถ้าเจ้ามีดาบที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษหรือดาบที่ดีที่สุดในหมู่บ้านจะมอบให้กับเรา เราก็ยินดีที่จะรับมันจากมือเจ้า!” จอมสามารถเห็นคำถามมากมายที่วนเวียนอยู่บนหัวของชาวบ้านได้ เขาจึงตัดสินใจปิดปากพวกเขาด้วยเรื่องไร้สาระ

มีคำถามงั้นเหรอ? ไม่มีปัญหา ส่งมอบของดี ๆ ให้เราก่อน ถ้าเจ้าไม่มีอะไรจะให้ ข้าแนะนำให้เจ้าเงียบซะ

ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจยาว “ตอนนี้เราจบสิ้นแล้ว” เขาส่งเนื้อนกเย็น ๆ ในมือไปให้พรานวัยกลางคนข้าง ๆ เขาโดยไม่รอให้พรานพูดอะไร และเข้าสู่ ‘โหมดคัทซีน’ โดยมีจอมและเทอร์รี่คอยตั้งตารอ “เด็กพวกนั้นทำลายกลุ่มโจรภูเขาไปแล้ว อันที่จริงพวกโจรรับมือไม่ยาก เรามีพรานเก่ง ๆ ในหมู่บ้านที่แม้แต่สัตว์ร้ายอย่างเขี้ยวมังกรก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา แค่โจรไม่กี่คน ไม่ปัญหาเลย แต่โจรพวกนี้มีพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าอยู่เบื้องหลัง…”

“พลังที่ยิ่งใหญ่กว่า? เหมือนชุมนุมลับดวงตารึเปล่า?”

เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสพูด จอมก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที

หากเป็นเช่นนี้ บางทีเขาอาจเปิดเควสใหม่ได้!

“ชุมนุมลับดวงตา? มันคืออะไร?” ชายชรามองเขาด้วยความสับสน เขาไอแห้ง ๆ “แค่ก ๆ ไม่ ไม่มีอะไรอย่างนั้น…เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน ในตอนนั้นกลุ่มโจรภูเขาโชคดี พวกเขาพบยักษ์แห้งแล้งที่บาดเจ็บสาหัสและกำลังจะตาย มันเป็นสัตว์ประหลาดธาตุดินขนาดใหญ่ หลังจากที่ยักษ์แห้งแล้งได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว มันก็กลายเป็นผู้พิทักษ์ของโจรภูเขา กับดักไม่สามารถมัดมันได้ ลูกธนูก็ไม่สามารถแทงทะลุผิวหนังของมัน แม้แต่นักรบศักดิ์สิทธิ์ของสวนธัญพืชก็ยังพ่ายแพ้ให้กับมัน…”

“เมื่อเจ้าสองคนฆ่าโจรภูเขาไปจำนวนมาก มันจะต้องมาแก้แค้นอย่างแน่นอน” ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจยาวก่อนจะพูดต่อ “เราจะต้องไปหาที่พักพิงในหมู่บ้านอื่น เจ้าสองคนมากับเราเถอะ พวกเราที่นี่ยอมรับเจ้า”

นั่นคือสิ่งที่เขาพูด แต่จอมรู้ดีว่าผู้ใหญ่บ้านต้องการอะไร เขาต้องการให้พวกเขาทำหน้าที่เป็นคนคุ้มกันให้ชาวบ้านฟรี

“พวกเจ้าคือเหยื่อ ทำไมเมื่อบ้านของเจ้าถูกคุกคาม เจ้าถึงเลือกหนีแทนที่จะสู้กลับ” เทอร์รี่โพล่งออกมาก่อนที่จอมจะตอบสนอง

เทอร์รี่มองไปที่ชาวบ้านคนอื่น ๆ แต่ไม่มีใครกล้าพอที่จะลุกขึ้นเถียงเขา เขาก็ไม่พอใจมากกว่าเดิม

“เจ้าไม่เข้าใจ” ผู้อาวุโสกล่าวอย่างเศร้า ๆ “หมู่บ้านใกล้ ๆ เราพยายามต่อสู้กับโจรภูเขา แต่พวกโจรก็กลับมาพร้อมกับยักษ์แห้งแล้ง ทุกคนในหมู่บ้านนั้นตาย หมู่บ้านถูกเผาจนราบ ไฟลุกโชนสว่างมากจนเราสามารถมองเห็นได้จากที่นี่…เมื่อเรารีบวิ่งไป สิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ในหมู่บ้านคือสุนัขที่ซ่อนตัวอยู่ในถังน้ำ…”

ขณะที่ผู้ใหญ่บ้านเล่าเรื่องราวของเขา คนในหมู่บ้านก็เปิดทางอย่างเงียบ ๆ ทำให้จอมสามารถมองเห็นทางเข้าของหมู่บ้านได้ชัดเจน

ที่ตรงนั้นมีสุนัขพันธุ์ชาร์ไป่สีเทาตัวผอม

เขาคิดว่าสุนัขผอม ๆ ตัวนี้เป็นสุนัขจรจัดในหมู่บ้าน ใครจะรู้ว่ามันมีเรื่องราวความหลังที่น่าสะเทือนใจแบบนี้

“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็หนีไปซะ เทอร์รี่กับข้าจะอยู่ที่นี่และซื้อเวลาให้พวกเจ้า” จอมเสนอ

เขาไม่สนใจที่จะเป็นผู้คุ้มกันให้ชาวบ้านเหล่านี้ เมื่อเทียบกันแล้ว การเผชิญหน้ากับโจรภูเขามันตรงกับรสนิยมของเขามากกว่า แม้แต่การตายในเงื้อมมือของโจรภูเขาก็ยังดีกว่าการที่เขาต้องไปกับคนพวกนี้

“เจ้า…”

ผู้ใหญ่บ้านทำได้เพียงแค่ถอนหายใจและส่ายหัว เขาคิดว่าเด็ก 2 คนนี้ไม่ฟังคำเตือนของเขา เขาจึงไม่พูดอะไรและหันไปนำชาวบ้านกลับเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อเก็บข้าวของ

“จอม ข้ารู้ว่าพวกเขาลำบาก แต่ข้าก็ยังรู้สึกแย่กับการตัดสินใจของพวกเขา” เทอร์รี่บ่นอย่างหงุดหงิด ขณะที่เขานั่งลงบนพื้นหิมะ

“งั้นเจ้าก็แค่ฆ่าโจรแล้วก็ฆ่ายักษ์ให้หมด” จอมตอบอย่างลวก ๆ

“เจ้าคิดว่าเราจะเอาชนะยักษ์ตัวนั้นได้ไหม” เทอร์รี่ถาม อารมณ์ของเขาดูสดใสขึ้นในขณะที่พูดถึงยักษ์ “ข้าไม่เคยเห็นยักษ์ตัวเป็น ๆ มาก่อนเลย!”

“ข้าก็ไม่เคยเห็น แต่เราอาจเอาชนะมันไม่ได้ ตอนนี้เรายังเอาชนะมุขนายกชุดดำไม่ได้เลย ยักษ์ตัวนี้ต้องแข็งแกร่งกว่ามุขนายกชุดดำแน่”

เทอร์รี่ส่ายหน้าพลางสะอื้น “งั้นข้าคงจะต้องเสีย EXP ไปอีกแล้วงั้นเหรอ?”

“มันสายเกินไปที่จะไปขอกำลังเสริมจากเมือง…โอ้ ข้าจำได้ว่าได้ยินอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการอัปเดตระบบ…” จอมพึมพำว่า ‘โอ้~เทพเจ้าแห่งเกม โปรดมอบชีวิตใหม่ให้กับเรา’ และเปิดเมนูของระบบขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ “นี่ไง! ฟอรัมผู้เล่น!”

“มันทำอะไรได้?”

เทอร์รี่เบียดตัวเข้าหา แต่เขาก็พบว่าเขามองไม่เห็นเมนูระบบของจอม

“ข้าคิดว่ามันสามารถใช้เพื่อสื่อสารกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ได้…หืม? นี่คือคำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นจากเทพผู้ยิ่งใหญ่ของเราใช่ไหม? ให้ข้าดู ก่อนอื่นข้าต้องสร้างโพสต์ใหม่…และต้องตั้งชื่อ?”

“เทอร์รี่ เจ้าคิดว่าเราควรตั้งชื่อโพสต์ขอความช่วยเหลือว่าอะไรดี” จอมถามความเห็นของเพื่อนซี้

“ก้นของข้ามันเย็น”

“ก้น-ของ-ข้า…ไม่ ผลของเครื่องดื่มร้อนเจ้าหมดแล้ว และเจ้ากำลังนั่งอยู่บนกองหิมะ แน่นอนว่ามันต้องเย็น! จริงจังหน่อยเถอะ!”

“แล้ว ‘ปัญหาโจร’ ล่ะ?”

“นั่นฟังดูเป็นทางการเกินไป…แถมถ้าไม่มีรางวัลคนก็อาจจะไม่มาช่วย” จอมนั่งขัดสมาธิบนหิมะ เขาคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่แรงบันดาลใจจะพุ่งขึ้นมา “ข้าคิดออกแล้ว เราจะเรียกมันว่า ‘ช่วยเด็ก’! เจ้าสามารถใส่รูปที่นี่ได้ด้วย เจ้าไปนอนอยู่ในหลุมนั่น และทำท่าเหมือนว่าเจ้าเพิ่งจะพ่ายแพ้ ข้าจะถ่ายรูปเจ้า”

“แต่มันหนาวมาก…”

“หลังจากทำเสร็จ ข้าจะเลี้ยงซุปปลาเจ้า”

“จัดไป!”

——————————-

แบร์ดี้ หัวหน้ากลุ่มโจรภูเขามองดูเด็กสองคนที่ยืนขวางหน้าโจโคโบะของเขา และแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

เขาบอกได้เลยว่าเด็กน้อยผู้กล้าหาญ 2 คนนี้ไม่มีประสบการณ์ปะทะกับกองกำลังบนหลังโจโคโบะ

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฝูงโจโคโบะ ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงมักจะมุ่งเป้าโจมตีไปที่ขาของโจโคโบะก่อนเสมอ เนื่องจากโจโคโบะที่ใช้ในการรบส่วนใหญ่จะมีเกราะหัวและเกราะอก มันเลยยากที่จะทุบหัวนกขณะที่มันหดหัวกลับเพื่อหลบการโจมตี

หากเจ้าพยายามโจมตีหัวของโจโคโบะที่กำลังคลั่ง ดาบบาง ๆ ของเจ้าจะบิ่น จากนั้นเจ้าก็อาจจะถูกชนจากโจโคโบะหรือถูกเหยียบย่ำจนตายด้วยอาการแตกตื่นของมัน และไม่มีทางเลือกที่สาม

แต่แล้วสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็เกิดขึ้น

ดาบยาวของเด็กชายฟันลงบนหมวกเหล็กของโจโคโบะอย่างแรงจนได้ยินเสียงโลหะกระทบกัน แต่เสียงไม่ได้ดังมาก ดาบยาวไม่ได้แตกเป็นเสี่ยง ๆ เหมือนอย่างที่เขาคิด มันฟังดูกังวานเหมือนเสียงค้อนทุบลงบนเหล็กร้อน ๆ

ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว เกราะหัวของโจโคโบะก็บุบลึกจนแบร์ดี้ถึงกับคิดว่าเขาดูอาวุธของเด็กชายผิด มันคือค้อนที่มีรูปร่างเหมือนดาบยาวใช่หรือไม่?

โจโคโบะที่แบร์ดี้ขี่อยู่ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด เลือดสีแดงเข้มพ่นออกมาจากดวงตาและจะงอยปากของมัน

เด็กชายหยุดการพุ่งเข้าชนของโจโคโบะได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว มันเกือบจะอยู่เหนือกฎฟิสิกส์!

นี่เป็นผลจากการรวมกันของความแตกต่างของเลเวล + การโจมตีจุดอ่อน + แรงที่พุ่งเข้าชน

โจโคโบะจึงได้รับความเสียหายอย่างมากและฆ่านกตัวนี้ได้ภายในเสี้ยววิ

แบร์ดี้กระเด็นขึ้นไปในอากาศและตกลงมาบนพื้นหิมะอย่างแรง ส่งผลให้ดินโคลนและหิมะกระจายออกเป็นหลุมกว้าง!

ปกติโจรที่ขี่โจโคโบะเมื่อถูกเหวี่ยงออกไปในลักษณะนี้ หากไม่ใช่เพราะมีหิมะทำหน้าที่เป็นตัวรับแรงกระแทก การตกครั้งนี้อาจทำให้เขาเสียชีวิต

แบร์ดี้ขุดตัวเองขึ้นมาจากพื้นและมองฉากนี้ด้วยความสยดสยอง ขณะที่เด็กชายถือดาบฟันศพของโจโคโบะราวกับตีลูกเบสบอล ส่งให้มันบินไปในทิศทางของกลุ่มโจรที่ตามหลังมา

แม้ว่าโจโคโบะจะมีพลังในการวิ่งมหาศาล แต่มันก็กลายเป็นข้อเสียด้วย พวกโจโคโบะจะเคลื่อนไหวหลบหลีกได้ยากเมื่อมันวิ่งเต็มกำลัง นั่นจึงเป็นเรื่องยากที่โจรกลุ่มใหญ่ที่กำลังแตกตื่นจะเคลื่อนไหวประสานกันเพื่อหลบสิ่งที่ถูกโยนเข้ามากลางวง

ดังนั้นโจรที่เหลือจึงล้มลงเหมือนพินโบว์ลิ่ง คนหนึ่งชนอีกคนหนึ่ง และทั้งกลุ่มก็ตกอยู่ในความสับสน

จากความเร็วที่พวกเขาควบมา แม้ว่าพวกโจโคโบะจะไม่ตายทันที แต่ขาของพวกมันก็ไม่สามารถวิ่งได้อีกต่อไป

โจรบางคนสามารถหลบซากโจโคโบะของแบร์ดี้และหลีกเลี่ยงชะตากรรมวิ่งชนพี่น้องได้ แต่พวกเขาก็ได้เสียสละความเร็วของโจโคโบะไปในกระบวนการนี้

แม้แต่โจโคโบะที่ชาร์จด้วยความเร็วเต็มกำลัง ก็ยังถูกหยุดได้โดยการโจมตีเพียงครั้งเดียวของเด็กชาย หลังจากที่สูญเสียแรงส่ง พวกเขาก็ไม่สามารถจับคู่กับพลังการโจมตีของเด็กคนนี้ได้ พวกเขาจะต้องพึ่งพาความคล่องตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฆ่าในไม่กี่วินาที

จะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้…

แบร์ดี้เริ่มกังวล เขาใช้กำลังทั้งหมดเพื่อคลานออกจากหลุมหิมะที่เขาก่อขึ้น โจรผู้โชคดีไม่กี่คนถูกเด็กชายคนนี้ไล่เตะทีละคน คนที่บาดเจ็บเช่นเขาก็เป็นเหมือนเต่าอยู่ในหลุมศพและทำได้เพียงแค่หลับตารอความตายเท่านั้น

เขาต้องทำอะไรสักอย่าง

แววแห่งความมุ่งมั่นฉายผ่านดวงตาของแบร์ดี้ เขารู้ว่าเขาไม่สามารถสู้กับเด็กที่เป็นเหมือนนักรบคนนี้ได้ เขาเดาว่าเด็กคนนั้นน่าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับพรจากศาสนจักรบางแห่งและมีความสามารถเหนือธรรมชาติตั้งแต่อายุยังน้อย

สายตาของเขาจ้องมองไปที่เด็กชายที่ยืนอยู่ข้างหลัง

เด็กที่ถือดาบดูผอมแล้ว แต่เด็กในชุดคลุมสีขาวนั้นตัวเล็กยิ่งกว่า เขาถือไม้เท้าที่มีลักษณะคล้ายคทาในมือ โดยมีไม้กางเขนอยู่บนยอดคทา และหลายจุดบนตัวเด็กก็มีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับไม้กางเขน แบร์ดี้ไม่สามารถระบุได้ว่าพวกเขาเป็นสมาชิกของศาสนจักรใด

แต่เขามั่นใจในสิ่งหนึ่ง แบร์ดี้หรี่ตาลง เขาแน่ใจว่าเด็กเสื้อขาวกำลังรักษาเด็กที่ถือดาบอยู่อย่างต่อเนื่อง

เด็กที่ถือดาบดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดจากการต่อสู้ที่รุนแรง แต่ด้วยแสงสีขาวที่มาจากฝ่ามือของเด็กเสื้อขาว สภาพของเขาก็ดีขึ้นมาก

เด็กคนนั้นต้องเป็นนักบวชแน่ แบร์ดี้เริ่มวางแผนอยู่ในหัว ผู้ที่มีความสามารถรักษาและบัฟ ถือเป็นอัญมณีของศาสนจักรทุกแห่ง แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาส่วนใหญ่ก็ไม่ถนัดในการต่อสู้ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขามักจะมีผู้พิทักษ์อยู่เคียงข้าง และเห็นได้ชัดว่าเด็กที่ถือดาบคือผู้พิทักษ์ของเด็กคนนี้

นั่นหมายความว่า ตราบใดที่เขากำจัดเด็กคนนี้ได้ก่อน โจรที่เหลือก็จะค่อย ๆ ลดความแข็งแกร่งของเด็กที่ถือดาบคนนั้นลงได้…

แม้ว่าวิธีนี้จะทำให้เขากลายเป็นศัตรูกับศาสนจักรที่อยู่เบื้องหลังเด็ก 2 คนนี้ แต่ถ้าเขาไม่ทำตอนนี้ เขาก็อาจจะต้องตายอยู่ที่นี่!

แบร์ดี้ยันตัวเองขึ้นมา เขาหยิบดาบแล้วพุ่งเข้าหาเด็กเสื้อขาว!

นักบวชส่วนใหญ่ได้รับการฝึกฝนจากศาสนจักรของพวกเขาตั้งแต่ยังเด็ก พวกเขาจะหนีไปทันทีที่พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาต้องทุ่มพลังทั้งหมดตั้งแต่แรกเพื่อให้แน่ใจว่าเป้าหมายของเขาไม่มีเวลาหลบหนี!

เด็กนักบวชดูเหมือนจะตกใจตัวแข็งทื่อ เขาเฝ้าดูแบร์ดี้พุ่งเข้ามาหาโดยไม่ขยับไปไหน

“ตายซะ!!” แบร์ดี้มีสีหน้าบ้าคลั่งในขณะที่เขาพุ่งไปข้างหน้า ดาบของเขาเกือบจะไปถึงตัวเด็กชายแล้ว เขาดีใจมาก แต่ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาอยู่ในระยะที่เห็นสีหน้าของเด็กได้ชัดแล้ว ทำไมเด็กเสื้อขาวถึงไม่มีอาการหวาดกลัวและกำลัง…หัวเราะ?

“หวดขึ้นฟ้า!” เด็กเสื้อขาวเหวี่ยงคทาไม้กางเขนของเขาส่งแบร์ดี้บินขึ้นไปในอากาศ แบร์ดี้มีสีหน้าเหลือเชื่อ เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น

เด็กตัวเล็ก ๆ ที่เตี้ยกว่าไหล่เขาและต้นขาเล็กกว่าแขนเขา จะส่งเขาบินได้ยังไง?

เขาไม่มีทางรู้เลย

“หอกแห่งชัยชนะ!”

แสงสีทองรวมตัวกันเป็นหอกแห่งแสง ตัดผ่านอากาศและเจาะทะลุอกของแบร์ดี้ได้อย่างง่ายดายราวกับมีดตัดเนย!

จากมุมมองของผู้ร่ายทักษะอย่างจอม แถบ HP ของศัตรูที่มีคำว่าโจรภูเขาลอยอยู่เหนือหัวถูกล้างออกไปในพริบตา

“เฮ้ ไหนเจ้าบอกว่าจะทิ้งศัตรูพวกนี้ให้ข้าจัดการไง!” เทอร์รี่บ่นกับจอมขณะที่เขายังต่อสู้กับโจรกลุ่มเล็ก ๆ

“เจ้าช้าเกินไป เขาโจมตีข้าก่อน จะให้ข้าวิ่งหนีรึไง” จอมถอนหายใจ “รีบกำจัดพวกที่เหลือเร็ว ๆ ไม่งั้นข้าจะกำจัดพวกมันแทนเจ้า”

โจรรู้ว่าพวกเขาถึงวาระแล้ว แต่มันก็สายเกินไปที่พวกเขาจะหนี

“ทักษะศักดิ์สิทธิ์ ดาบผ่าปฐพี!”

ด้วยการที่เทอร์รี่เปิดใช้งานทักษะของเขา ในชั่วพริบตา พื้นดินก็ถูกตัดเป็นร่องลึกด้วยรัศมีดาบ แม้แต่โจรที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนก็ถูกหั่นครึ่งอย่างหมดจด!

——————————

เห็นได้ชัดว่าเขี้ยวมังกรสร้างความหวาดกลัวให้กับหมู่บ้านมาระยะหนึ่งแล้ว ชาวบ้านดูเหมือนกำลังเฉลิมฉลองเทศกาลเก็บเกี่ยว ในขณะที่นายพรานแบกศพของเขี้ยวมังกรกลับมาที่หมู่บ้าน พวกพรานเหล่านี้ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีเหมือนวีรบุรุษ

ชาวบ้านถึงกับต้อนรับเด็กชายแปลกหน้าทั้งสองอย่างจอมและเทอร์รี่ให้นั่งข้างกองไฟ และมอบอาหารอุ่น ๆ ให้พวกเขา

อาหารในหมู่บ้านนั้นเรียบง่ายมาก มีขนมปังข้าวไรย์ธรรมดา ๆ ตอนนี้นักล่ากำลังทำงานอย่างขะมักเขม้นแล่เนื้อเขี้ยวมังกรตัวใหญ่ พวกเขาหั่นมันเป็นเนื้อสเต็กขนาดเท่าฝ่ามือ และมอบให้กับผู้หญิงในหมู่บ้านนำไปปรุงอาหารบนกองไฟ ก่อนจะแจกจ่ายให้กับชาวบ้านคนอื่น ๆ

แม้แต่กระดูกของเขี้ยวมังกรก็ไม่สูญเปล่า แม่ครัวโยนกระดูกของมันลงในหม้อดินขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำแล้วนำไปต้ม หลังจากตักกากที่ก่อตัวขึ้นบนผิวน้ำทิ้งและเพิ่มใบไม้จากพืชบางชนิดที่จอมไม่รู้จักลงไป ส่วนผสมทั้งหมดก็ถูกเคี่ยวอย่างช้าๆ ไม่นานสตูว์เนื้อแสนอร่อยก็เสร็จสมบูรณ์

หากเคี่ยวให้นานกว่านี้อาจทำให้น้ำซุปมีรสชาติหวานมากขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าพวกชาวบ้านไม่สามารถรอได้อีกต่อไป ทุกคนต่างกระตือรือร้นที่จะเริ่มงานเลี้ยงมื้อใหญ่

อาจเป็นเพราะหมู่บ้านนี้อาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวในถ้ำที่เต็มไปด้วยหิมะ เขาถึงได้รู้สึกว่าพวกชาวบ้านไม่ได้ทานอาหารอร่อย ๆ แบบนี้มาสักระยะแล้ว จอมและเทอร์รี่เพิ่งลิ้มรสสตูว์ครั้งแรกเมื่อชาวบ้านส่วนใหญ่เลียชามไม้จนแห้งแล้ว เด็ก ๆ บางคนถึงกับวิ่งไปที่หม้อเพื่อขอเพิ่มอีกครั้งภายในไม่กี่วินาที

“พวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวหรือ” เมื่อจอมเข้ามาในหมู่บ้านครั้งแรก เขาสังเกตเห็นบางสิ่งที่คล้ายกับเสาโทเท็มตรงทางเข้าถ้ำ มันเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว ‘มาโคโล่’ มีเพียงสถานที่ ๆ มีประชากรในหมู่บ้านมากกว่า 100 คนและชาวบ้านทุกคนศรัทธาในเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวเท่านั้น ที่ ‘สวนธัญพืช’ ศาสนจักรของเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว จะสร้างสัญลักษณ์เช่นนี้ไว้ในหมู่บ้าน

มันเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปของเทพเจ้า เมื่อใดก็ตามที่เทพสร้างปาฏิหาริย์ศักดิ์สิทธิ์ สัญลักษณ์ของพวกเขาก็จะได้รับพลังและออร่ามาส่วนหนึ่ง และพลังที่ปล่อยออกมาจากสัญลักษณ์ ก็เป็นที่ชื่นชอบเป็นพิเศษของเหล่าชาวบ้าน

เทพตนอื่น ๆ ก็มีสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองคล้ายกับเสาโทเท็มนี้เช่นกัน และสำหรับศาสนจักรของเทพเจ้าแห่งเกม มันก็คือไลฟ์สโตน

จอมถามนายพรานวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ข้าได้ยินมาว่าเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวได้แสดงปาฏิหาริย์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ลงมาสู่ดินแดนของเราในปีนี้ หมู่บ้านของเจ้าได้รับการยอมรับจากสวนธัญพืช การเก็บเกี่ยวในหมู่บ้านก็น่าจะไปได้สวยนี่ ทำไมพวกเจ้าถึงดูอดอยากแบบนี้ล่ะ?”

“เฮ้อ เนื่องจากจักรวรรดิวัลลานับถือศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสว แต่เรานับถือสวนธัญพืช หมู่บ้านของเราก็เลยต้องจ่ายภาษีให้กับศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสวแพงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสวเริ่ม ‘สงครามหนึ่งปี’ กับวิหารแห่งความรุ่งโรจน์ ภาษีในปีนี้จึงสูงมากเป็นพิเศษ เพื่อปันส่วนให้กองทัพ เราก็เลยมีเสบียงเหลืออยู่ไม่มากนัก…” นายพรานหยุดพูดกลางคัน เขาเสียสติไปแล้วแน่ ๆ ถึงได้บ่นเรื่องศาสนจักรออกมาดัง ๆ เหงื่อเย็น ๆ ไหลลงมาที่หลังของเขา “เฮ้เจ้าหนู ทำไมเจ้าถึงถามคำถามแบบนี้ล่ะ!”

“ข้าก็แค่อยากรู้” จอมตอบและถามต่อ “พวกเขารังแกเจ้าขนาดนี้ ทำไมเจ้าถึงไม่พูดอะไรเลย”

“เจ้าไม่รู้อะไรก็พูดได้สิ เจ้าหนู” นายพรานส่ายหน้าอย่างยอมแพ้ เขากระซิบข้างหูจอมว่า “ผู้อาวุโสในหมู่บ้านบอกว่า เทพเป็นหนึ่งเดียวกับศาสนจักร การทำให้ศาสนจักรเสื่อมเสียชื่อเสียง ก็คือการทำให้เทพเจ้าเสื่อมเสีย! ถ้าถูกจับได้ เจ้าจะถูกฆ่าแขวนคอไว้ที่กำแพงเมือง!”

จอมไม่ชอบสิ่งที่เขาได้ยิน “เจ้าจะตกใจอะไร ที่นี่แทบไม่ได้อยู่ในเงาของศาสนจักร ใครที่ไหนจะมาเอาชีวิตเจ้า”

“เจ้าพูดอะไรเนี่ย ตอนที่ไม่มีสงคราม หมู่บ้านของเราก็มีชีวิตที่ดี” เห็นได้ชัดว่านายพรานไม่พอใจ “ก็แค่ภาษีสูงขึ้นในช่วงสงคราม…เจ้ารู้ไหมว่า ‘สงคราม’ คืออะไร? มันอันตรายถึงชีวิต ก่อนที่จะส่งทหารเหล่านั้นไปตาย ก็ต้องแน่ใจว่าพวกเขาจะได้กินอิ่มท้อง”

“หึ…”

จอมทำเสียงขึ้นจมูกและไม่ตอบกลับ

เขาจะไม่รู้ได้ไงว่าสงครามคืออะไร? เขาและเทอร์รี่สูญเสียครอบครัวใน ‘สงครามหนึ่งปี’ นี่แหละ ถ้าไม่ใช่เพราะศาสนจักรของเทพเจ้าแห่งเกมรับพวกเขามาอยู่ใต้ปีกของพระองค์ ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคงจะยังคุ้ยขยะหาอาหารอยู่นอกกำแพงเมืองวิคกิดอร์!

“จอมไม่กินเหรอ? ขนมปังนี้อร่อยดีนะ” เทอร์รี่กำลังเคี้ยวขนมปังข้าวไรย์เนื้อแข็งอย่างมีความสุข โดยไม่สนใจเนื้อย่างที่ชาวบ้านจ้องจนน้ำลายไหล

อาหารที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในเมืองไร้ชื่อคือเนื้อย่าง แม้ว่ามันจะมีเครื่องปรุงรสดี ๆ แต่พวกเขาก็รู้สึกเอียนเมื่อต้องกินมันไปนาน ๆ นั่นคือเหตุผลหลักที่ทำให้ซุปปลาของท่าเรือเกรย์ฟยอร์ดกลายเป็นที่ชื่นชอบของผู้เล่นอย่างรวดเร็ว

จอมกัดขนมปังข้าวไรย์ของเขา นอกจากมันจะแข็งเหมือนหินแล้ว มันยังมีรสชาติคล้ายกับบิสกิตรสหวานที่แม่ของเขาเคยทำ

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงพ่อแม่ของเขาที่ตายอยู่ในกองไฟ รอยแผลที่เขาคิดว่าหายดีแล้วก็ปริออกอีกครั้ง เขารู้สึกเจ็บปวดแบบเดียวกับที่เคยมีในตอนนั้น

ถ้าแค่เขาได้รู้จักเทพเจ้าแห่งเกมก่อนหน้านั้น ถ้าเขาสามารถติดตามเทพเจ้าแห่งเกมได้เร็วกว่านี้ พ่อกับแม่ของเขาก็คงจะไม่ตาย…

จอมมองไปที่พวกชาวบ้านอีกครั้ง เขารู้สึกสำนึกในบุญคุณของเทพเจ้าแห่งเกม ก่อนที่เขาจะเป็นผู้เล่น จอมเคยล้อเลียนผู้ศรัทธาบ้าบอ ที่เอาแต่ร้องเพลงสรรเสริญไม่รู้จบเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพูดถึงเทพเจ้าแห่งเกม

แม้ว่าพระองค์จะไม่สามารถเอาชนะเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวได้ในแง่ของจำนวนผู้ศรัทธา แต่เทพเจ้าแห่งเกมก็ให้ชีวิตที่ร่ำรวยแก่ผู้ศรัทธาของเขา ต่างจากเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว ที่เอาเฝ้ามองผู้ศรัทธาของตนอย่างเฉยเมย

เทพเจ้าแห่งเกมมอบพลังให้ผู้ศรัทธาได้ต่อสู้กับโลกที่โหดร้ายใบนี้ และกิจกรรมต่าง ๆ ที่เขาจัดขึ้น ก็ดูเหมือนจะสอนผู้เล่นว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความพยายามไม่มีทางทรยศพวกเขา ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะต่อสู้เพื่อตัวเอง!

โลกของพวกเขาไม่มี “ความเท่าเทียมกัน” แต่จอมก็รู้ดีว่าชาวบ้านจะไม่เปลี่ยนศรัทธาจากเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวไปง่าย ๆ เขาจึงไม่ได้วางแผนที่จะพยายามชักชวนชาวบ้านคนใดคนหนึ่งให้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม

พวกเขาจะเตรียมตัวออกเดินทางทันทีที่ทานอาหารเย็นเสร็จ และพวกเขาก็อาจจะช่วยล่าสัตว์เล็ก ๆ เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณต่อชาวบ้าน

ขณะที่จอมกำลังจะอ้าปากพูด ทันใดนั้นร่างที่ตื่นตระหนกก็วิ่งเข้ามาในถ้ำ ด้วยความเร่งรีบเขาวิ่งชนหม้อจนล้มส่งเสียงดังก้องกังวานไปทั่วถ้ำ ทำให้ชาวบ้านต่างพากันตกใจ

“นอตเต้ ทำไมเจ้าไม่เฝ้าอยู่ที่ทางเข้า” ชายชราที่ดูเหมือนผู้ใหญ่บ้านถามชายที่กำลังตื่นตระหนก

“มะ มะ มะ ไม่ดีแล้ว!” ชาวบ้านคนนั้นตัวสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้า ดวงตาสีดำของเขามีความกลัวที่ไม่อาจควบคุมได้ “พวกโจรภูเขากำลังมา!”

ราวกับว่ามีใครบางคนกดปุ่มปิดเสียง ชาวบ้านที่คึกคักก่อนหน้านี้ต่างก็เงียบลงทันที มีเพียงเสียงฟืนที่แตกเปรี๊ยะ ๆ ดังอยู่ในอากาศ

“พวกมันอยู่ห่างจากหมู่บ้านแค่ไหน?” ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ เขาถามอย่างจริงจัง

“มะ ไม่ไกล!” ชาวบ้านคนนั้นกลัวจนน้ำตาไหล เขาพูดด้วยความกลัวว่า “พวกเขาจะมาถึงแล้ว!”

ข่าวนี้เหมือนมีคนเอาไม้แหย่รังแตน พวกชาวบ้านแตกตื่น ตัดสินใจไม่ถูกว่าพวกเขาควรหาที่ซ่อน หรือพยายามหนีออกจากหมู่บ้านก่อนที่โจรจะมาถึงดี

“ใจเย็น ๆ! อย่าตกใจ!” ชายชราพยายามรักษาความสงบเรียบร้อย “ตราบใดที่เรามอบอาหารให้ พวกโจรก็จะไม่เอาชีวิตใคร!”

แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีประโยชน์ ชาวบ้านยังคงกรีดร้องและตะโกนใส่กัน

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังกึกก้องไปทั่วถ้ำ แม้แต่แผ่นดินก็ยังสั่นไหว

ทุกคนตัวแข็ง และค่อย ๆ มองไปยังที่มาของเสียง ที่ตรงนั้นมีเด็ก 2 คนนั่งหน้านิ่งอยู่

คนหนึ่งตัวเตี้ยกว่าอีกคนเล็กน้อย เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวและมีผมสีน้ำตาล ถือไม้กางเขนโลหะที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับค้อน ที่ปลายไม้กางเขนอยู่ใกล้กับกระทะที่กองอยู่บนพื้น บ่งบอกว่าเขานี่แหละตัวการ

“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่น” เด็กผู้ชายผมสีฟ้าอีกคนที่สูงกว่าเล็กน้อยก็ยืนขึ้นเช่นกัน เขาแลบลิ้นออกมาเลียเศษขนมปังบนริมฝีปากของเขา และเอาดาบยาวที่ด้านหลังของเขาออกมาถือไว้ในมือ

“เพื่อเป็นการขอบคุณ เราจัดการโจรพวกนั้นให้” จอมมองไปทางชาวบ้านที่ยังคงตกตะลึงและยิ้มให้พวกเขา ก่อนจะเดินไปที่ทางเข้าหมู่บ้านพร้อมกับเทอร์รี่

นายพรายวัยกลางคนพยายามอย่างยิ่งที่จะหยุดพวกเขา “เดี๋ยวก่อน! นั่นไม่ใช่โจรภูเขาธรรมดานะ!”

“ไม่ต้องห่วง เราก็ไม่ใช่เด็กธรรมดาที่เจ้ารู้จักเหมือนกัน” จอมตอบโดยเน้นที่คำว่า ‘เด็กธรรมดา’

“ใช่ใช่ ข้ายืนยันได้ว่าพวกเราแข็งแกร่งมาก”

เทอร์รี่ยิ้มราวกับจะอวดความแข็งแกร่งของเขา เขาพยายามงอแขนเกร็งกล้ามให้นูนขึ้นมา แต่แขนที่ผอมแห้งเหมือนกิ่งไม้ของเขา ก็ส่งผลตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงต่อพวกชาวบ้าน…

ชาวบ้านแปะความกังวลไว้ทั่วใบหน้า แต่ก็สายเกินไปที่จะหยุดพวกเด็ก ๆ ตอนนี้พวกโจรได้มาถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้ว

ในที่สุดจอมก็สามารถมองเห็นกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า ‘โจรภูเขา’ ได้อย่างถูกต้อง

อธิบายง่าย ๆ ก็คือกลุ่มคนสวมผ้าขี้ริ้วที่ขี่โจโคโบะ แต่พวกเขาก็แตกต่างจากชาวบ้านที่อดอยากเห็นได้ชัด พวกโจรเหล่านี้คงจะได้กินอาหารดี ๆ และมีสุขภาพแข็งแรงกว่าพวกชาวบ้าน ส่วนอาวุธของพวกโจร มันคือดาบยาวที่ใช้งานง่ายเมื่ออยู่บนหลังม้า

พวกเขากำลังบุกเข้ามาตรง ๆ อย่างไม่มีการออมแรง แรงกดดันของพวกเขาคล้ายกับทหารม้าบนโลก กองทหารราบอาจถูกครอบงำโดยกลุ่มทหารม้าที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ทำให้เกิดความเครียดทางจิตใจจากการเผชิญหน้ากับศัตรู และมันก็จะทำให้ร่างกายของพวกเขาอ่อนแอลง

แต่สำหรับจอมและเทอร์รี่ พวกเขาไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย

เหตุผลนั้นง่ายมาก

“ทำไมโจรถึงมีเลเวลแค่ 5 พวกเขาแย่ขนาดนี้เลยเหรอ” เทอร์รี่ยกดาบยาวขึ้นพาดบ่า “ไม่ต้องใช้มือข้าก็เอาชนะพวกเขาได้!”

“โจโคโบะของพวกเขาเลเวล 8” จอมกำลังเตรียมตัวอยู่ข้างหลังเทอร์รี่ “เล็งหัวพวกมันก่อน”

ดังนั้นก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น พวกโจรภูเขาที่กำลังควบโจโคโบะมาเต็มอัตรา ก็เห็นเด็กหนุ่มทั้งสองที่พยายามจะหยุดพวกเขา เหล่าโจรหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานกับเรื่องตลกที่เด็กสองคนนี้พยายามจะทำ

แต่ในขณะนั้น โจรบางคนก็รู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูก…

จอมและเทอร์รี่กำลังเดินอยู่ในป่าที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ

พวกเขาเป็นเพื่อนที่รู้จักกันระหว่างการหลบหนี และกลายเป็นผู้ลี้ภัยในเมืองวิคกิดอร์ จากนั้นทั้งสองก็ได้ติดตามมาร์นี่กลับเมืองไร้ชื่อ และกลายเป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม

“จอม ทำไมเราถึงมาไกลขนาดนี้…”

เทอร์รี่ในชุดนักรบมีอายุประมาณ 12-13 ปีเนื่องจากการขาดสารอาหาร เขาจึงยังไม่ได้เข้าสู่วัยแรกรุ่น ร่างกายของเขาผอมบางและดูเหมือนแมวตัวน้อยที่เงอะงะ

ขาของเขาจมลงไปในหิมะถึงข้อเท้า เอาอดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “เราไปเก็บเวลใกล้เมืองไม่ได้เหรอ”

“ไม่!” จอมสวมเสื้อคลุมสีขาวที่มีไม้กางเขนอยู่ด้านหลัง จอมดูตัวเล็กกว่าเทอร์รี่ด้วยซ้ำ แต่ดวงตาของเขาเปล่งประกายเจิดจ้า เขาดูเหมือนหนูน้อยที่ฉลาด เขาพูดอย่างไม่ลังเลว่า “ตอนนี้การสำรวจครึ่งแรกของหุบเขาแห่งความตายคนเต็มตลอด มันยากมากที่จะหาโครงกระดูกสักตัว เราทำอะไรไม่ได้เลย! และเราก็ยังเคลียร์ห้องใต้ดินของผีดิบไม่ได้ด้วย ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เราคงไม่ได้เปลี่ยนคลาสไปตลอดชีวิตแน่!”

“เราไปที่เกรย์ฟยอร์ดได้ ซุปปลาที่มนุษย์กบทำอร่อยมาก” เทอร์รี่นึกย้อนไปถึงรสชาติของซุปปลาอุ่น ๆ น้ำลายเขาก็ไหลออกมา

“แม้ว่าเกรย์ฟยอร์ดจะใหญ่และเต็มไปด้วยปลา แต่ปัญหาก็คือเราจับปลาไม่ได้!” จอมถอนหายใจ “ไปหุบเขาแห่งความตายยังดีกว่าที่นั่น”

“ข้าเห็นผู้เล่นจำนวนมากไปที่ฐานที่มั่นลับใต้ดินของแลงคาสเตอร์ อาจมีอะไรดี ๆ ที่นั่นก็ได้!”

เทอร์รี่กระชับเสื้อหนังของเขา แต่เกราะโลหะด้านนอกเสื้อหนังยังคงระบายความร้อนในร่างกายของเขาออกไป ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีเครื่องดื่มร้อนอยู่ในกระเป๋าเป้ เขายอมตายดีกว่าออกไปข้างนอกในสภาพอากาศแบบนี้

“พวกเขาไปที่นั่นเพื่อทำเควส ‘แสงของเทพเจ้าจะส่องสว่างไปทั่วผืนดิน’ มันเป็นเควสประจำสัปดาห์ พวกเขาต้องรับสมัครผู้ศรัทธาใหม่เข้าร่วมศาสนาเรา รางวัลของเควสนั้นค่อนข้างดี” จอมตอบแบบสบาย ๆ

ดวงตาของเทอร์รี่สว่างขึ้น “แล้วเราล่ะ…”

“เห็นว่ามีผู้เล่นจำนวนมากถูกรายงานว่าเป็นพวกลัทธิชั่วร้ายที่ออกมาเผยแพร่ศาสนา ผู้เล่น 7-8 คนเลยถูกแขวนอยู่นอกกำแพงเมืองของแลงคาสเตอร์ ถ้าเจ้าอยากจะกลายเป็นของประดับกำแพงเมืองก็เชิญไปคนเดียวเถอะ” จอมพูดด้วยสีหน้าว่างเปล่า

“ฮะ ๆ ข้าล้อเล่น” เทอร์รี่หัวเราะเล็กน้อยโดยหวังว่าเขาจะผ่านหัวข้อนี้ไป “แต่เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าทำไมเราถึงมาทางนี้”

“ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าไปรับเควสประจำวันจากคฤหาสน์เจ้าเมือง ข้าแอบเห็นแผนที่บนโต๊ะทำงานของเขา ถ้าข้าจำไม่ผิดข้างหน้าเราคือป่าทริเนีย หรือที่เรียกกันว่า ‘ป่าสัตว์ประหลาด’” จอมอธิบายจุดประสงค์ในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเขาในที่สุด “จะต้องมีสัตว์ประหลาดให้เราล่าที่นั่นแน่ แล้วเราจะไม่ต้องกังวลเรื่องการอัพเลเวลอีกต่อไป!”

“โอ้ งี้นี้เอง!” เทอร์รี่ปรบมือ

ทันใดนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง

กลิ่นของสัตว์ป่าอบอวลไปทั่วในอากาศ เสี้ยววินาทีต่อมา สัตว์ร้ายขนาดยักษ์ก็โผล่ออกมาจากกองหิมะในป่าและกระโจนเข้าหาเทอร์รี่!

ดวงตาเกียจคร้านของเทอร์รี่หายไปนานแล้ว เขากลิ้งหลบการโจมตีของสัตว์ร้ายด้วยปฏิกิริยาการตอบสนองที่ว่องไว!

ถ้าเอ็ดเวิร์ดหรือเอลีน่าอยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาจะรู้เลยว่าสัตว์ร้ายที่ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเด็ก ๆ นั้นเป็นสายพันธุ์เดียวกับเขี้ยวมังกรที่โจมตีหมู่บ้านของพวกเขา!

การขาดแคลนอาหารในฤดูหนาว ส่งผลอย่างชัดเจนต่อนักล่าอันดับต้น ๆ ในหมู่สัตว์ร้ายอย่างเขี้ยวมังกร การเคลื่อนไหวและการโจมตีของมันไม่ได้ใจเย็นเท่าเขี้ยวมังกรที่โจมตีหมู่บ้านเคนนิงตัน

ผู้เล่นเด็กน้อยทั้งสองมองไปที่ตัวเลขเลเวล 10 ที่ลอยอยู่เหนือหัวของศัตรู และแถบพลังชีวิตที่ว่างเปล่าไปแล้วครึ่งหนึ่ง หลังจากยืนยันว่าเขี้ยวมังกรไม่ใช่บอสหรือศัตรูระดับอีลิท พวกเขาก็คลายความกังวลและพร้อมที่จะกำจัดมันทันที

ในขณะที่เขี้ยวมังกรกำลังจะโจมตีครั้งที่สอง จอมกับเทอร์รี่ก็หยิบอาวุธของพวกเขาออกมา เขี้ยวมังกรตัวนี้มีลูกธนูปลายขนนกปักอยู่ที่ตาซ้าย ซึ่งส่งผลต่อเส้นทางการโจมตีของมัน ชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อขนสัตว์หนากระโจนออกมาจากด้านหลังเด็กชายทั้งสอง และผลักพวกเขาล้มลงกับพื้นขณะที่พวกเขากำลังร่ายทักษะ นั่นทำให้ทักษะของพวกเขาถูกยกเลิก แต่ก็ยังช่วยให้พวกเขาหลบหลีกการโจมตีของเขี้ยวมังกรได้

หลังจากที่ชายคนนี้ปรากฏตัว ก็มีคนจำนวนมากที่แต่งตัวด้วยเสื้อขนสัตว์โผล่ออกมา ทุกคนใช้อาวุธง่าย ๆ เช่นธนูและคราดเพื่อเอาชนะเขี้ยวมังกรที่ตาบอดไปแล้วข้างหนึ่ง บนตัวของเขี้ยวมังกรเต็มไปด้วยลูกธนูจำนวนมาก และความโกรธของมันทำให้ต้นไม้สองต้นล้มลง มันดิ้นรนสู้อยู่นานก่อนที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหมดลง

กลุ่มชายในเสื้อขนสัตว์โห่ร้องด้วยความดีใจ

จนถึงตอนนี้จอมและเทอร์รี่พึ่งจะได้สติ พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือร้องไห้ดี…พวกเขาถูกกลุ่มพรานป่าธรรมดาปล้น? ไม่ ดูจากอาวุธของพวกเขา คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นพรานด้วยซ้ำ

พวกเขาดูเหมือนจะซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่มาระยะหนึ่งแล้ว ดวงตาและใบหน้าของพวกเขาบวมเป็นสีม่วงช้ำ เมื่อเห็นแบบนี้จอมก็เลยไม่ได้บ่นอะไร

“เจ้ามาจากหมู่บ้านไหน เด็กน้อย” ชายวัยกลางคนที่จับพวกเขานอนคว่ำ ดึงพวกเขาขึ้นมาจากพื้นหิมะ

“เรามาจากหุบเขาแห่งความตายที่น่าเศร้า…” จอมส่งสัญญาณให้เทอร์รี่เงียบ และให้คำตอบที่คลุมเครือกับชายคนนั้น

ชายคนนี้ไม่ได้สงสัยอะไรเลย เขาเริ่มตำหนิพวกเด็ก ๆ ว่า “ผู้ปกครองของพวกเจ้าไม่สนใจพวกเจ้าเลยรึ? วิ่งมาไกลจนถึงที่นี่ นี่พวกเจ้าไม่รู้เหรอว่าป่าในฤดูหนาวอันตรายขนาดไหน!”

‘ข้าจะไม่มาที่นี่ถ้ามันไม่อันตราย’ จอมบ่นกับตัวเอง

ถ้าชายคนนั้นยังคงเทศน์ต่อไป พวกเขาอาจจะสวนกลับใส่เขาสักหมัด โชคดีที่ชายคนนี้ไม่ได้บ่นต่อ เขาทำสีหน้าอ่อนโยนแล้วพูดว่า

“แต่ในที่สุดเราก็ล่าสัตว์ร้ายได้แล้ว เจ้าสองคนควรมาพักที่หมู่บ้านของพวกเราก่อน เราจะทำสตูว์กัน หลังจากที่เจ้าอุ่นท้องแล้วข้าจะไปส่งพวกเจ้ากลับบ้าน ดีไหม” ชายวัยกลางคนถามความเห็นพวกเขา

เทอร์รี่มองจอม จากนั้นก็พยักหน้า

อีกฝ่ายดูเหมือนจะใจดี พวกเขาไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ

พูดตามตรงมันไม่สำคัญหรอกว่าคนพวกนี้จะมีแผนร้ายอะไร จอมมั่นใจว่าผู้เล่นอย่างเขาไม่มีอะไรต้องกลัว! พวกเขาเดินป่ามาทั้งวันและถูกปล้นสัตว์ร้ายไป หากคนพวกนี้ทรยศพวกเขาในภายหลัง เขาจะให้พวกเขาได้เห็นว่าอะไรคือความโกรธของผู้เล่นที่แท้จริง!

ชาวบ้านคนอื่น ๆ ได้ผูกเขี้ยวมังกรไว้บนโครงไม้ มีคนประมาณ 1 โหลร่วมมือกันแบกสัตว์ร้ายกลับหมู่บ้าน

จอมอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับสติปัญญาของพวกเขา หากพวกเขาใช้เลื่อนจะไม่ประหยัดแรงได้มากกว่าเหรอ…?

แต่ชาวบ้านทุกคนดูเหมือนจะมีความสุขและภาคภูมิใจกับการล่าในครั้งนี้ จอมเลยไม่คิดจะขัดอารมณ์พวกเขา

ใช้เวลาไม่นานทั้งกลุ่มก็มาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ถูกซ่อนอยู่ในถ้ำ ที่นี่มีบ้าน 30-40 หลังคาเรือน จำนวนประชากรของพวกเขาอาจมีมากกว่าเมืองไร้ชื่อ

หลังจากที่ซีเว่ยตกลงที่จะเข้าร่วมวิหารล่องหน สิงโตตัวใหญ่อัสลานก็ส่ายหาง

“แค่นั้นเหรอ? ข้าไม่จำเป็นต้องเซ็นสัญญาอะไรเลยเหรอ” ซีเว่ยถามอย่างสงสัย

“ถ้าเจ้าไม่ได้ให้หนึ่งในตรีเอกานุภาพแห่งการสรรค์สร้างทำหน้าที่เป็นคนกลาง สัญญาต่าง ๆ ก็ไม่สามารถควบคุมการกระทำของเราได้มากนัก” อัสลานสะบัดแผงคอสีขาวของเขา “และอย่างที่ข้าได้พูดไปก่อนหน้านี้ พันธมิตรของเรามีความอิสระมากกว่าที่อื่น ๆ สัญญาที่ระบุกฎ จะขัดต่อความตั้งใจนั้น เจ้าสามารถถือว่าเราเป็นคลับพิเศษก็ได้”

“แล้วข้าจะติดต่อท่านได้ยังไง” ซีเว่ยถามอย่างรีบร้อน

เขาจะต้องท่องไปในความว่างเปล่าเพื่อค้นหาอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของพันธมิตร เมื่อเขาต้องการความช่วยเหลืองั้นหรอ…นี่จะทำให้แผนฉุกเฉิน แค่ก การเป็นพันธมิตรของเราล้มเหลว…

เมื่อศัตรูมาเคาะประตูบ้าน เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่มีเวลาไปตามหากำลังเสริมแน่…

“ไม่ต้องรีบ ข้ากำลังจะบอกเจ้า”

อัสลานนั่งลงเหมือนแมวตัวใหญ่ และสอดกรงเล็บเข้าไปในแผงคอ

มีบางสิ่งบางอย่างหลุดร่วงออกมาจากขนหนา ๆ

ตอนแรกซีเหว่ยคิดว่ามันเป็นหมัด แต่หลังจากคิดดูแล้ว เว้นแต่มันจะเป็นหมัดเทพเจ้า คงไม่มีหมัดใด ๆ จะสามารถอาศัยอยู่บนร่างกายของอัสลานได้ เขามองสิ่งนั้นด้วยความสามารถในการทำนายของเขา ซีเว่ยก็รู้ว่ามันเป็นขนของอัสลานขนาดเล็กที่มีคุณสมบัติของอัสลานแฝงอยู่

แม้จะเป็นเพียงเส้นขน มันก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของเทพ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่มันจะกลายเป็นสื่อนำที่มีคุณสมบัติวิเศษ

สิงโตใช้พลังงานเทพเจ้าของเขาส่งขนไปให้ซีเว่ยที่มีสีหน้ารังเกียจ โชคดีที่ลูกบอลไม่มีหน้า ไม่งั้นสิงโตก็คงจะไม่พอใจแน่

“นี่เป็นเทคนิคแบบใหม่ที่ได้รับความนิยมในหมู่เทพ มันสะดวกมากในการสื่อสาร เส้นขนนี้มีคุณสมบัติของข้าแฝงอยู่ ทุกครั้งที่เจ้าต้องการพบข้า เพียงแค่ใส่พลังงานศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าลงไป” ราชาสิงโตอธิบายอย่างร่าเริงโดยไม่สนใจความคิดของซีเว่ย

หลังจากนั้นเทพแห่งความยุติธรรมอัสลานก็ออกจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ย และกลับไปยังดินแดนของตนเอง

เมื่อเขาอยู่คนเดียว ซีเว่ยก็เริ่มศึกษามันอย่างใกล้ชิด

“โอ้ มันช่างน่าสนใจอะไรอย่างนี้…”

เทคนิคนี้เป็นรูปแบบความสามารถชนิดหนึ่งที่ต้องฉีดพลังเหนือธรรมชาติ (พลังงานศักดิ์สิทธิ์หรือพลังเวท) ก่อนถึงจะใช้งานได้

ในขณะที่มนุษย์ไม่ค่อยได้ติดต่อกับพลังประเภทนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถเข้าใจพลังเหนือธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ พวกเขาเลยต้องใช้เวลาหลายปีในการค้นคว้า ถึงจะเริ่มเข้าใจพลังของเทพเจ้า แต่สำหรับสิ่งมีชีวิตระดับสูงเช่นเหล่าทวยเทพ พวกเขาสามารถเข้าใจสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดาย

เส้นขนในมือของซีเว่ยนั้นมีเทคนิคอันงดงามและซับซ้อนซ่อนอยู่ มันใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพเพื่อเชื่อมต่อไปยังอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์อีกฝั่งผ่านความว่างเปล่า โดยไม่คำนึงถึงระยะทาง ความรู้เกี่ยวกับวิธีการทำงานของมันห่างไกลจากความรู้ของมนุษย์ โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจและเรียนรู้ มีเพียงเทพเช่นซีเว่ยเท่านั้นที่มีความสามารถในการใช้มัน

แต่สิ่งนี้ทำให้ซีเว่ยไปมีแรงบันดาลใจ

“การสื่อสารข้ามเวลาและอวกาศ…ลองคิดดูสิ ก่อนหน้านี้ผู้เล่นมักจะตะโกนคุยกัน…”

ซีเว่ยยื่นหนวดของเขาไปถูตรงจุดที่น่าจะเป็นคาง

เขาเคยคิดเกี่ยวกับปัญหานี้มาก่อน วิธีแก้ปัญหาเดิมของเขาคือการสร้างระบบอีเมลสำหรับผู้เล่น และทำให้พวกเขาสามารถสื่อสารกันแบบตัวต่อตัว ไม่จำเป็นต้องข้ามผ่านเวลาและอวกาศด้วยซ้ำ เนื่องจากซีเว่ยวางแผนว่าเขาจะเป็นผู้ดำเนินการเพื่อช่วยเชื่อมต่อเส้นทางการโทรของผู้เล่น ไม่ใช่ว่าไม่มีระบบการสื่อสารที่ดีกว่านี้ที่สามารถนำไปใช้ได้ แต่มันแพงเกินไป…

แต่ด้วยการเทคนิคใหม่ที่เขาได้รับมานี้ ก็สามารถช่วยเขาประหยัดพลังงานศักดิ์สิทธิ์ไปได้ไม่น้อย ไม่ต้องคิดถึงรายละเอียดอื่น ๆ อย่างน้อยพลังที่เขามีอยู่ในตอนนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำมัน ซีเว่ยรู้สึกได้ถึงไอเดียที่ปรากฏขึ้นในหัวกลม ๆ ของเขา

“ฉันควรสร้างช่องแชทสาธารณะ จากนั้นก็แชทกลุ่ม แชทปาร์ตี้ และแชทส่วนตัวในภายหลังดีไหม? ไม่ ตอนนี้ยังมีผู้เล่นไม่มากมันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เมื่อมีผู้เล่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ช่องแชทสาธารณะจะอัปเดตอยู่ตลอดเวลา มันอาจทำให้ผู้เล่นพลาดข้อความสำคัญไปจำนวนมาก แต่ถ้าไม่มีแชทสาธารณะ การเข้าสังคมในหมู่ผู้เล่นก็จะค่อนข้างจำกัด…”

หลังจากคิดหนัก ซีเว่ยก็ตัดสินใจสร้างเว็บไซต์สื่อสารสำหรับผู้เล่นในรูปแบบของฟอรัม

ในการสร้างฟอรัม ก่อนอื่นเขาต้องมีเซิร์ฟเวอร์

สายตาของซีเว่ยจ้องไปที่คอมพิวเตอร์ ใบหน้ากลม ๆ ของเขามีรอยยิ้มปรากฏขึ้น ‘ฉันเลือกนาย XP!

ดังนั้นซีเว่ยจึงเพิ่มฟังก์ชันให้กับ XP ตัวน้อยที่ขยันขันแข็ง

เนื่องจากตอนนี้มีผู้เล่นไม่มากนัก คอมพิวเตอร์ตัวน้อยนี้ควรจะสามารถจัดการได้ หลังจากผู้เล่นที่ออนไลน์อยู่เพิ่มจำนวนขึ้น XP ของเราก็จะได้รับการอัปเกรดเป็น Sunway Taihulight* อย่างแน่นอน

(Sunway Taihulight ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์แบรนด์จีน)

หลังจากทำเสร็จ ซีเว่ยก็ได้พิมพ์ข้อความระบบเพื่อแจ้งผู้เล่นทุกคน

[ติ้ง! ระบบเกมเวอร์ชั่น 0.21 ได้รับการอัปเกรดอย่างสมบูรณ์แล้ว เพิ่มหน้า ‘ฟอรัมผู้เล่น’ ตอนนี้ท่านสามารถพูดคุยกันได้ตามต้องการ]

ขณะที่หน้าฟอรัมเปิดขึ้นเป็นครั้งแรก เนื้อหายังคงว่างเปล่าโดยมีเพียงคำแนะนำของซีเว่ยแขวนอยู่ด้านบน

ในข้อความ เขาได้อธิบายสั้น ๆ ว่าฟอรัมคืออะไร มีหน้าที่อะไร และยังระบุกฎของฟอรัมว่าห้ามพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมบางอย่าง และเขียนบทลงโทษที่เกี่ยวข้อง

เดิมซีเว่ยเคยคิดว่าผู้ศรัทธาของเขามีความเป็นนักเลงคีย์บอร์ดแฝงอยู่ในตัวสูง สิ่งที่เขาต้องทำก็คือรอ 2-3 นาทีก่อนที่ฟอรัมจะเต็มไปด้วยโพสต์แบบสุ่มแปลก ๆ และตลก

แต่ซีเว่ยรอนานกว่าหนึ่งชั่วโมง และข้อความเดียวในฟอรัมคือข้อความของเขา

จากนั้นอีกชั่วโมง โพสต์ใหม่ก็ปรากฏขึ้น นั่นคือโพสต์ของเจ้าหญิงนักรบลีอา เธอเพิ่งร้องเพลงสรรเสริญ ‘เทพเจ้าแห่งเกม’ ในโพสต์ของเธอ โดยมีผู้เล่นหลายคนติดตามเธอในคอมเมนต์ แม้แต่ซีเว่ยที่แอบอ่านก็ยังรู้สึกขนลุก

สถานการณ์ตอนนี้ทำให้ซีเว่ยรู้สึกแปลกใจ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กลุ่มผู้เล่นของเขากลายเป็นคนมีอารยะ

แต่ไม่ช้าเขาก็เข้าใจเหตุผล

ในฐานะผู้ดูแลฟอรัม ซีเว่ยใช้ภาษาที่ “เป็นทางการ” อย่างมากในโพสต์แนะนำตัวของเขา บวกกับกฎหลายข้อที่เขาตั้งไว้ มีน้ำเสียงที่แฝงอยู่อย่างชัดเจนว่า ‘ข้าคือพ่อเจ้า’ ผู้เล่นจึงเดาได้ว่าผู้ที่สร้างฟอรัมนี้คือเทพเจ้าของพวกเขา

ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นนักเลงแค่ไหน พวกเขาก็ยังศรัทธาในตัวซีเว่ยและให้ความสำคัญกับเขามากที่สุด เนื่องจากพวกเขาได้รับระบบนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความเคารพและชื่นชมซีเว่ยในฐานะเทพที่เหมาะสม พวกเขาจึงไม่สามารถแสดงด้านแย่ ๆ ของพวกเขาต่อหน้าเทพเจ้าได้

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมมีเพียงลีอาคนเดียวที่โพสต์ เธอได้เคยเผชิญหน้ากับเทพมาแล้วครั้งหนึ่ง เธอเลยสามารถรวบรวมความแข็งแกร่งเพื่อโพสต์คำสรรเสริญซีเวยที่น่าทึ่งออกมาได้…

“พวกนายคิดว่าฉันไม่รู้จริง ๆ รึไงว่าปกติแล้วพวกนายเป็นคนยังไง…?” ซีเว่ยอดไม่ได้ที่จะแขวะผู้ศรัทธาตัวน้อยของเขา

แต่เขาไม่กังวลว่าฟอรัมจะยังคงเงียบต่อไป ตราบใดที่เขาไม่พูดและออกหน้า ผู้เล่นส่วนใหญ่ก็จะผ่อนคลายในฟอรัมและเริ่มแสดงสีสันที่แท้จริงของพวกเขา

ในขณะที่ซีเว่ยกำลังคิดอยู่ จู่ ๆ ก็มีโพสต์ใหม่ปรากฏขึ้นในฟอรัม

[ช่วยเด็ก! เราต้องการความช่วยเหลือ!]

ใครมา!

นั่นคือคำที่ซีเว่ยอยากจะตะโกนไปให้ถึงสวรรค์ แต่เพื่อความปลอดภัยของเขา เขาจะไม่เริ่มติดต่อกับอีกฝ่ายก่อน

ความจริงเขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว

มีเพียงเทพกะโหลกและเทพธิดาสมุทร 2 องค์นี้เท่านั้น ที่ซีเว่ยคิดว่าจะมาเคาะบ้านเขาแบบไม่บอกไม่กล่าว

น่าเศร้าที่ตัวเอกของเราไม่สามารถต่อสู้กับคนใดคนหนึ่งได้เลย

ถ้าให้เทียบกันแล้ว เขาอาจจะรับการโจมตีของเทพกะโหลกได้ครั้งสองครั้งก่อนตาย แต่เขาจะถูกเทพธิดาสมุทรฆ่าทันที…

ดูเหมือนเขาจะต้องหนีไปซ่อนอยู่ในดินแดนมรรตัยแล้วในตอนนี้

โชคดีที่ผู้มาเยือนของเขาดูเหมือนจะไม่อยากทุบประตูบ้านเขา สิ่งนี้ทำให้ซีเว่ยมีเวลาพอสมควรในการเก็บข้าวของจำเป็นอย่างรวดเร็ว

ในตอนที่เขากำลังจะเอาเทพกระดูกเน่าออกจากเครื่องคั้นน้ำผลไม้ เขาก็รู้สึกได้ถึงความเมตตาที่ส่งมาจากนอกอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา โดยมีต้นกำเนิดมาจากเทพด้านนอก

ซีเว่ยสับสน นี่คือเขาพยายามล่อฉันออกไปข้างนอกและซุ่มยิงฉันให้ตายในครั้งเดียวใช่ไหม ไร้สาระ ไม่ต้องใช้แผนนี้เขาก็ยังสู้ใครไม่ได้อยู่ดี…

เป็นไปได้ไหมว่าเทพที่มาไม่ใช่เทพกะโหลกหรือเทพธิดาสมุทร?

ซีเว่ยคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจทิ้งเทพกระดูกเน่าไว้ในบ้านเล็ก ๆ ของเขาตามเดิม และเริ่มเตรียมตัวย้ายออกไปดู หลังจากเขาออกมานอกอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์อย่างระมัดระวังแล้ว เขาก็ได้เผชิญหน้ากับแขกที่ไม่คาดคิดของเขา

ความประทับใจแรกของเขาคือ ‘ว้าว ต้นขานั่นขาวมาก’

ถูกต้อง

แขกของเขาคือสิงโตตัวใหญ่สีขาวราวหิมะ แผงคอหนารอบคอบ่งบอกว่านี่คือสิงโตตัวผู้

“สวัสดี เทพเจ้าใหม่”

สิงโตมีเสียงที่ค่อนข้างเหมาะสมกับรูปลักษณ์ของเขา เสียงเขาทุ้มเหมือนผู้ชายในช่วงวัย 40 ปลาย ๆ คำพูดของเขาเต็มไปด้วยพลังอำนาจ

“ทำไมถึงมีสิงโตอยู่นอกอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของฉัน…”

ฉากนี้น่าประหลาดเกินไป มันทำให้วงจรในสมองของซีเว่ยพังจากความตกใจ

“รูปลักษณ์ของเทพเจ้าไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากนัก ตราบเท่าที่เจ้ามีพลังงานศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็สามารถเป็นอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ…เจ้าก็เป็นแค่ลูกบอลเหมือนกันไม่ใช่หรือ” เทพอีกองค์ตอบกลับ

หลังจากที่สมองของเขารีบูตตัวเองเรียบร้อยแล้ว ซีเว่ยก็สแกนความทรงจำที่เขามีอีกครั้ง เขาได้รับความทรงจำส่วนหนึ่งจากเจ้าแห่งน้ำ ธนาคารความจำของเขาตอนนี้เลยค่อนข้างใหญ่กว่าเมื่อก่อน ไม่นานเขาก็พบความทรงจำเกี่ยวกับเทพองค์นี้

“ท่านคือเทพเจ้าแห่งความยุติธรรมในตำนานเหรอ?”

ซีเว่ยผงะ

สิงโตตัวใหญ่หรือ ‘อัสลาน’ คือเทพเจ้าแห่งความยุติธรรม เดิมทีเขามีรูปร่างเป็นมนุษย์ แต่ตามตำนานก่อนหน้านี้เขาเคยเดิมพันกับผู้ศรัทธาและแพ้เดิมพัน ดังนั้นเพื่อรักษาสัญญา เขาจึงรักษารูปลักษณ์เป็นสิงโตมาจนถึงปัจจุบัน

“ถูกต้อง” อัสลานก้มหัวสิงโตสีขาวขนาดใหญ่ ใบหน้าสิงโตของเขาก็มีความภาคภูมิใจในตัวเองอยู่นิด ๆ

“เนื่องจากคำสอนที่เข้มงวดเกินไปของอัสลาน ผู้ศรัทธาจำนวนมากจึงฝ่าฝืนกฎและทรยศต่อศาสนจักรแห่งความยุติธรรม เขาจึงได้รับฉายาว่า ‘เทพที่มีผู้ทรยศมากที่สุด’ มานานกว่าพันปี? อัสลานตนนั้นนะเหรอ”

“อะแฮ่ม ข้าปรับเปลี่ยนคำสอนของตัวเองให้เข้ากับมาตรฐานของมนุษย์แล้ว ตอนนี้เลยมีคนทรยศไม่มากเท่าไหร่” สิงโตไอเบา ๆ เขาเปลี่ยนหัวข้อทันที “ถ้าเจ้าไม่รังเกียจ เราไปคุยกันในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าดีไหม? แม้จะเป็นเทพเจ้า มันก็ยากที่จะอยู่ในความว่างเปล่าเป็นเวลานาน”

คำพูดของเขาทำให้ซีเว่ยลังเล

ชื่อเสียงของสิงโตตนนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ในหมู่เทพเจ้า หากมีโอกาสที่จะสามารถสร้างพันธมิตรกับเทพเจ้าตนใดก็ได้ เทพเจ้าที่ชอบด้วยกฎหมายจำนวนนับไม่ถ้วน จะเลือกอัสลานเป็นตัวเลือกแรกแน่นอน

ปัญหาคือชายคนนี้เป็นคนดีก็จริง แต่ความยุติธรรมของเขาก็ทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกหายใจไม่ออกเป็นบางครั้ง หากเขาได้เข้าสู่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ย เขาอาจจะจากไปเมื่อเห็นซากเทพกระดูกเน่าที่ถูกยัดลงในเครื่องคั้นน้ำผลไม้…

ในฐานะที่เป็นเทพเจ้าแห่งความยุติธรรม อัสลานเป็นพิษต่อเทพเจ้าชั่วร้ายมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นสิงโตตัวใหญ่ก็ยังคงโลดแล่นอยู่ในโลกนี้มาได้โดยสวัสดิภาพ และมักพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบข้า แต่เจ้าไม่สามารถกำจัดข้าได้” เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังมาก

แม้แต่เทพอย่างเทพกะโหลก ก็เป็นแค่ไม้จิ้มฟันของเทพเจ้าแห่งความยุติธรรมเท่านั้น…

“ไม่ต้องกังวล ข้าสนใจการกระทำของผู้ศรัทธาของเจ้าเมื่อไม่นานมานี้ ข้ารู้ว่าเจ้าได้กำจัดเทพกระดูกเน่าไปแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น ศพและพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็เป็นของเจ้าตามกฎของสงคราม ตราบใดที่เจ้าไม่กลายเป็นเทพเจ้าชั่วร้าย ข้าก็จะไม่ทำอันตรายเจ้า”

สิงโตสามารถมองเห็นความกังวลของซีเว่ยได้ และทำให้เขามั่นใจขึ้น

เนื่องจากแขกของเขายืนยันจุดยืนของตัวเองแล้ว ซีเว่ยจึงจำยอมต้องต้อนรับเขาเข้าสู่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์

ตามที่คาด สิงโตขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นศพของเทพกระดูกเน่าในเครื่องคั้นน้ำผลไม้ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร

“แล้ว…ทำไมท่านถึงมาที่นี่” ซีเว่ยใช้หนวดของเขาส่งโค้กให้อัสลานดื่ม

แขกของเขากระดกหมดขวดในอึกเดียว ก่อนปล่อยให้เสียงเรอออกมา “อย่างที่ข้าได้พูดไปแล้วก่อนหน้านี้ ข้าสนใจการกระทำของผู้ศรัทธาเจ้า ข้าสังเกตเห็นว่าผู้ศรัทธาของเจ้าบุกโจมตีลัทธิกระดูกเน่า กำจัดอันตรายในท่อระบายน้ำใต้ดิน กำจัดเรเวแนนท์ในหุบเขาแห่งความตาย และช่วยเหลือชนเผ่าที่อ่อนแอกว่า ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความยุติธรรม”

“ท่านอยากให้ข้าเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของท่านหรือ” มีริ้วรอยเกิดขึ้นบนลูกบอล

แม้เขาจะไม่สามารถสู้ได้ แต่ซีเว่ยก็จะไม่กลายเป็นผู้ติดตามตัวน้อยของเทพตนอื่นแน่ การกลายเป็นเทพผู้ใต้บังคับบัญชาของเทพตนอื่นนั้นมีข้อจำกัดมากเกินไป และความสามารถพิเศษในการข้ามโลกของเขาอาจจะถูกเปิดเผยได้ง่าย ๆ

“ข้าอัสลาน ไม่เคยแสวงหาเทพเจ้าใต้บังคับบัญชา!” สิงโตคำรามอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ข้ามาที่นี่เพื่อหาพันธมิตร”

“พันธมิตร?” ซีเว่ยอึ้ง

“ถูกต้อง สำหรับเทพระดับกลางและล่าง มันยากมากที่จะเลื่อนขั้น การหาผู้ศรัทธาใหม่อาจนำไปสู่การทะเลาะวิวาทที่ไม่ต้องการกับเทพเจ้าองค์อื่น นอกจากนี้โลกของเทพเจ้าก็ยังไม่ค่อยสงบสุข นั่นทำให้เทพเจ้าต้องมีพันธมิตร” อัสลานเริ่มต้นอย่างช้า ๆ

“พันธมิตรของเราคือ ‘วิหารล่องหน’ ไม่มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดให้ต้องปฏิบัติตาม สมาชิกของเราตกลงที่จะร่วมมือกันในบางครั้ง เมื่อมีการค้นพบเทพชั่วร้ายที่แข็งแกร่ง เราก็จะให้ผู้ศรัทธาของเราต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน หลายปีที่ผ่านมามันยากมากที่จะสู้กับเทพเจ้าชั่วร้ายด้วยกำลังของเทพเพียงตนเดียว ความยุติธรรมที่ผู้ศรัทธาของเจ้าได้แสดงออกมา ทำให้ข้ารู้สึกตื่นเต้น ดังนั้นข้าจึงหวังว่าเจ้าจะตอบรับคำเชิญของข้า เพื่อเข้าร่วมกับวิหารล่องหน และกลายเป็นหนึ่งในพวกเรา”

ซีเว่ยคิดตามแล้วถามออกมาว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสมาชิกของท่านถูกโจมตีโดยเทพองค์อื่น”

“เว้นแต่จะเป็นหนึ่งในเทพบิดรทั้งเจ็ด เราจะให้ความช่วยเหลือในการปกป้องสมาชิกของเราอย่างแน่นอน!” อัสลานขยับแผงคออันงดงามของเขาเพื่อให้ซีเว่ยมั่นใจ

“ตกลง ไม่มีปัญหา จากนี้ไปท่านจะเป็นแผนฉุกเฉินของข้า!”

ร่างลูกบอลเรืองแสงของซีเว่ยยืดหนวดไปพันรอบอุ้งเท้าของสิงโตตัวใหญ่และเขย่ามันขึ้นลง นี่เป็นฉากที่ค่อนข้างแปลก

“แผนฉุกเฉิน?”

“ท่านได้ยินผิดแล้ว อย่าคิดมาก~”

ของสะสมเป็นหนึ่งในวิธีที่ซีเว่ยกระตุ้นให้ผู้เล่นทำเควสประจำวัน ในบรรดาของสะสมเหล่านี้ได้แก่ ท่าเต้น คอสตูมต่าง ๆ ที่ไม่เปลืองช่องสวมใส่อุปกรณ์ และของเล่นสนุก ๆ อื่น ๆ ที่ไม่ได้ใช้งานจริง

เขาเชื่อว่าผู้เล่นที่รู้สึกเบื่อหน่ายเนื่องจากความสงบสุขเมื่อเร็ว ๆ นี้ จะเริ่มกลับมาทำเควสประจำวันอีกครั้ง

แน่นอนว่าซีเว่ยไม่ได้ใช้เวลาของเขาในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ เพื่อสรรหาวิธีทำให้ผู้เล่นทำลายตับตัวเอง นอกเหนือจากการที่เขาต้องย่อยเจ้าแห่งน้ำที่ยังคงนอนนิ่งอยู่ในท้องแล้ว เขาก็สงสัยว่าเขาจะพัฒนาผู้เล่นของเขายังไงต่อ

ท้ายที่สุด ศัตรูที่ผู้เล่นต้องเผชิญในตอนนี้คือผู้ศรัทธาของเทพเจ้าตัวน้อยเหมือนกับตัวเขาเอง หรือกองกำลังธรรมดาที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากเทพเจ้า

แต่เมื่ออาณาเขตของผู้เล่นขยายใหญ่ขึ้น มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ศรัทธาในเทพที่มีอำนาจมากกว่าเขาไม่ช้าก็เร็ว

เทพอื่น ๆ ไม่มีพลังในการข้ามโลกอย่างซีเว่ย สำหรับซีเว่ย เขาสามารถให้พรแก่ผู้เล่นได้ง่าย ๆ ผ่านเส้นสายแห่งศรัทธา พูดได้ว่าหากเขาไม่มีเส้นสายแห่งศรัทธานี้ เขาจะต้องทำงานอย่างซื่อสัตย์ในการสร้างปาฏิหาริย์เช่นเดียวกับเทพเจ้าองค์อื่น ๆ เมื่อเทพเจ้าองค์อื่นต้องการให้พรแก่ผู้ศรัทธา พรของพวกเขาจะต้องผ่านบาเรียโลกก่อนที่จะไปถึงผู้ศรัทธา ยิ่งพรหรือของศักดิ์สิทธิ์มีพลังมากเท่าใด พลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการข้ามบาเรียโลกก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเป็นแบบนี้ พวกเขาจะสามารถช่วยเหลือผู้ศรัทธาได้มากแค่ไหนกัน

สิ่งนี้บังคับให้เทพเจ้าองค์อื่นต้องฝึกฝนผู้ศรัทธาเพื่อสร้างเส้นทางการติดต่อที่ยอดเยี่ยม นอกเหนือจากนักบุญและผู้ถูกเลือกแล้ว ผู้ศรัทธาที่จะได้รับพรอันยิ่งใหญ่ก็เลยมีเพียง ผู้ศรัทธาที่ก้าวผ่านอุปสรรคนับไม่ถ้วน เพื่อดำรงตำแหน่งระดับสูงในศาสนจักร หรือผู้ศรัทธาที่พิสูจน์แล้วว่ามีศรัทธาที่คลั่งไคล้ในตัวเทพเจ้า(พวกคลั่งศาสนา) สำหรับผู้ศรัทธาอื่น ๆ พวกเขาจะได้รับพรจากเทพเจ้าในระดับที่จำกัด เช่น ‘ทักษะศักดิ์สิทธิ์’ ของคลาสที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าเท่านั้น

สำหรับซีเว่ยมันง่ายกว่ามาก เขาสามารถหลีกเลี่ยงกฎทั้งหมดนี้ได้โดยทิ้งตัวลงไปในดินแดนมรรตัย พวกเขาสามารถกินอาหารด้วยกัน ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดด้วยกัน และแข็งแกร่งขึ้นไปพร้อมกัน และเมื่อเขามีผู้ศรัทธามากพอ มันก็จะเกิดความแตกต่างระหว่างผู้เล่นระดับสูงและผู้เล่นธรรมดาขึ้นมาเองตามธรรมชาติ แน่นอนผู้เล่นระดับสูงจะต้องมีจำนวนน้อยกว่า มันเป็นตรรกะง่าย ๆ…

แต่ซีเว่ยในปัจจุบันยังเป็นเทพเจ้าใหม่ รากฐานของเขายังตื้นเกินไป เวลาและจำนวนผู้ศรัทธาของเขาคือจุดอ่อนสองจุดที่เขามี แม้แต่ผู้เล่นที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา เอลีน่านักบุญหญิงฝึกหัด และเจ้าหญิงนักรบลีอา ทั้งสองยังไม่สามารถเทียบได้กับผู้ศรัทธาระดับสูงของศาสนจักรอื่น

นั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องหาทางทำให้ผู้เล่นแข็งแกร่งขึ้น

การเพิ่มขีดจำกัดเลเวลของผู้เล่นเป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุด แต่เขาเคยทำมาแล้ว 2 ครั้งก่อนหน้านี้ และผู้เล่นของเขาก็มีหนทางอีกยาวไกลก่อนที่จะเลเวลตัน ดังนั้นการเพิ่มระดับให้สูงขึ้นจึงไม่สามารถทำได้ในตอนนี้ เขาควรใช้พลังงานศักดิ์สิทธิ์ของเขาไปกับเรื่องอื่นก่อน

“ถ้าฉันย่อยเจ้าแห่งน้ำได้สมบูรณ์ ฉันก็จะมีพลังงานเหลือเพียงพอที่จะอัพเกรดระบบ ฉันอาจจะเพิ่มฟังก์ชันใหม่หรืออะไรบางอย่าง…”

เขาควรจะสร้างระบบความชำนาญทักษะดีไหม

ระบบความชำนาญทักษะ สามารถเพิ่มพลังให้กับผู้เล่นของเขาได้อย่างชัดเจน

แต่หลังจากชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียแล้ว ซีเว่ยก็ตัดสินใจที่จะไม่ใช้ระบบความชำนาญทักษะในตอนนี้

เหตุผลแรกคือ ซีเว่ยจะต้องสร้างแผนผังทักษะใหม่หมด ซึ่งมันจะใช้พลังงานศักดิ์สิทธิ์มากเกินไป ซีเว่ยไม่แน่ใจว่าเขาจะทำมันไหวในตอนนี้ มันค่อนข้างยุ่งยากถ้าเขาใช้พลังไปจนตัวแห้ง และยังไม่สามารถสร้างระบบความชำนาญทักษะที่ทำงานได้อย่างสมบูรณ์

เหตุผลที่สองก็คือ ระบบคลาสในปัจจุบันค่อนข้างแย่ แต่ละคลาสมีตัวเลือกการเปลี่ยนคลาสใหม่เพียงคลาสเดียว ดังนั้นแม้ว่าความชำนาญทักษะจะถูกเพิ่มเข้าไป แต่ก็อาจทำให้ผู้เล่นมุ่งเน้นไปที่การเติบโตด้านเดียวมากเกินไป และผู้เล่นรุ่นก่อนจะส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้เล่นใหม่ในศาสนจักร

แถมผู้เล่นกลุ่มใหญ่อาจจบลงด้วยคลาสแปลก ๆ และทักษะแปลก ๆ จากนั้นซีเว่ยก็จะต้องใช้พลังงานศักดิ์สิทธิ์ของเขามากขึ้นเพื่อสร้างคะแนนทักษะ และสร้างใบรีเซ็ตทักษะ มันจะทำให้เขาเสียพลังงานไปฟรี ๆ…

ซีเว่ยตัดสินใจว่าเขาจะยังไม่สร้างระบบความชำนาญทักษะ จนกว่าผู้เล่นจะเข้าใจคลาสของตัวเองดีพอ

“แล้วอาชีพล่ะ” ซีเว่ยคิดกับตัวเอง

ซีเว่ยกำลังนึงถึงอาชีพที่ไม่ใช่อาชีพหลัก นั่นก็คือการสร้างคลาสรองเพื่อเพิ่มค่าสถานะให้ผู้เล่น หรือเพิ่มพลังให้กับคลาสหลักของพวกเขา

ตัวอย่างเช่น ผู้เล่นที่เลือกคลาสรองช่างตีเหล็ก อาจมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น ผู้ที่เลือกคลาสรองชาวนา อาจมีพลังโจมตีเมื่อถืออาวุธเช่นเคียวและง้าวเพิ่มขึ้น ผู้ที่เลือกคลาสรองผู้ส่งสาร อาจมีความเร็วในการเคลื่อนที่และอื่น ๆ เพิ่มขึ้น…

นอกจากนี้เขายังสามารถทำให้ผู้เล่นล่าเนื้อได้เอง เมื่อผู้เล่นที่เลือกคลาสรองบุทเชอร์ เปิดใช้งานทักษะของคลาสรอง เนื้อจากสัตว์ประหลาดที่พวกเขาล่าก็จะไม่ถูกส่งไปยังอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์โดยอัตโนมัติ (แต่จะไม่สามารถรับ EXP ในการฆ่าได้) มันสามารถแก้ปัญหาพื้นที่จัดเก็บที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา และทำให้ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องไปที่แลงคาสเตอร์เพื่อนำเข้าเนื้อสัตว์

เพื่อเพิ่มและประหยัดพลังงานศักดิ์สิทธิ์ ซีเว่ยสามารถทำให้ทักษะอาชีพเหล่านี้ไม่สามารถอัพเกรดได้ด้วยคะแนนทักษะ แต่ผู้เล่นต้องใช้ความพยายามในการเก็บระดับทักษะแทน…

หากทำเช่นนั้น เขาไม่เพียงแต่จะเพิ่มสีสันในการใช้ชีวิตของผู้เล่นได้มากกว่าแค่การเควสประจำวันเท่านั้น แต่เขายังปรับปรุงความสามารถในการต่อสู้ของผู้เล่นได้อีกด้วย มันเป็นแผนการที่สมบูรณ์แบบ!

นอกจากนี้มันยังช่วยให้ผู้เล่นที่ไม่สนใจการต่อสู้ ได้แสดงความสามารถในด้านอื่น ๆ ออกมา นี่มันยอดเยี่ยมไปเลยไม่ใช่เหรอ

หลังจากมาลองคิดดูแล้ว การใช้คลาสรองเป็นคลาสวิชาชีพดูเหมือนจะมีประโยชน์มากที่สุด

“ตอนนี้คำถามก็คือ…ด้วยจำนวนพลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่ฉันมี ฉันจะสามารถทำมันให้เสร็จก่อนที่ฉันจะกลายเป็นลูกเกดได้ไหม” ซีเว่ยพันหนวดรอบร่างบอลเรืองแสงของเขาอย่างลังเล

ตามหน่วยวัดที่เขาตั้งไว้ในบทที่ 1 พลังงานศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ยตอนนี้แทบจะมีไม่ถึง 50 หน่วย…สำหรับจำนวนที่เขามี เดิมอยู่ที่ประมาณ 100 หน่วย แต่หลังจากเพิ่มคลาสใหม่ไป 2 คลาสและเพิ่มระบบผู้ติดตาม เขาก็มีพลังเหลืออยู่ไม่มาก

บางคนอาจสงสัยว่า “ตอนนั้นเขาก็สามารถควบคุมระบบเกมได้ก่อนที่อัตลักษณ์ความเป็นเทพของเขาจะเสถียรไม่ใช่เหรอ ย้อนกลับไปตอนนั้น ฉันยังเป็นเด็ก…โอ้ ฉันหมายความว่าตอนนั้นฉันมีพลังงานศักดิ์สิทธิ์เพียง 10 หน่วยเท่านั้น!”

เหตุผลที่ตอนนั้นเขาทำได้นั้นง่ายมาก เพราะระบบของเขานั้นเบสิคสุด ๆ ทั้งทักษะและความสามารถเฉพาะของคลาสก็ถูกสร้างขึ้นโดยพลังของซีเว่ยเอง แต่ระบบคลาสที่ใช้งานอยู่ตอนนี้ได้รับการอัปเดตอย่างลับ ๆ มาโดยตลอด นอกจากนั้น ตอนนั้นเขายังมีผู้เล่นเพียงแค่ 5 คนเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงระบบได้ ตอนนี้เขามีผู้เล่นมากกว่า 100 คน และทุกคนต้องได้รับการอัปเกรดพร้อมกัน…

ซีเว่ยมาถึงทางตัน แต่เขาก็รู้สึกเหมือนนั่งเฉย ๆ ทั้งวันจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้น เขาเลยตัดสินใจว่า “ถึงเขาจะไม่ทำอะไรเลย เรื่องเลวร้ายก็อาจเกิดขึ้นได้เสมอ” และยอมเสี่ยงโชคกับพลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่ทั้งหมดของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ใช่เทพที่มีผู้ศรัทธามหาศาล แต่เขาก็ยังมีผู้ศรัทธามากมายที่ต้องพึ่งพาเขาในตอนนี้ เขาไม่สามารถไร้ความรับผิดชอบหรือประมาทเหมือนเมื่อก่อนได้

“ฉันอาจจะเป็นเทพเจ้าเพียงองค์เดียวในโลกที่มีความรับผิดชอบ…”

ซีเว่ยพึมพำกับตัวเอง เขาตัดสินใจว่าบางทีเขาควรจะหยุด และสะสมพลังศรัทธาให้มากขึ้นกว่านี้อีกนิดก่อนที่จะเริ่มสร้างคลาสรอง

เมื่อเขาวางแผนจะทำกิจวัตรประจำวันตามปกติของเขา เช่นการนอนย่อยเจ้าแห่งน้ำและติดตามดูการเคลื่อนไหวของผู้เล่น ซีเว่ยก็ตัวแข็ง

สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจัง (อย่าถามฉันว่าทำไมลูกบอลถึงมีสีหน้าจริงจังได้ โปรดใช้จินตนาการของคุณ) เขาจ้องมองเข้าไปในความว่างเปล่า เขารู้สึกว่ามีบางอย่างปรากฏตัวอยู่นอกอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา

เนื่องจากซีเว่ยต้องพักผ่อนเพื่อย่อยเจ้าแห่งน้ำ ผู้เล่นจึงพบว่าตัวเองมีเวลาว่างมากกว่าปกติ

บางทีมันอาจจะไม่ใช่ ‘เวลาว่าง’ จริง ๆ เพราะท้ายที่สุดแล้วแม้แต่ผู้เล่นอันดับ 1 ก็มีเลเวลเพียง 30 เท่านั้น ในขณะที่ตอนนี้เลเวลสูงสุดได้เพิ่มขึ้นเป็น 60 แล้ว

ราวกับว่าซีเว่ยใช้วิธีง่าย ๆ นี้เพื่อบอกผู้เล่นของเขาว่า ‘การบดระดับไม่มีวันหยุด! คุณยังมีหนทางอีกยาวไกล ดังนั้นจงทำงานหนักต่อไป!!’

แต่ผู้เล่นไม่ได้มีอะไรให้ทำมากมาย เมืองไร้ชื่อ ฐานที่มั่นลับใต้ดินของแลงคาสเตอร์ หมู่บ้านมนุษย์กบ ทุกคนมีเควสประจำวันของตัวเองเพื่อช่วยให้ได้รับค่าชื่อเสียง และการสำรวจ ‘หุบเขาแห่งความตาย’ ก็พึ่งจะถึงแค่ 25% เท่านั้น ‘นรกน้ำตื้น’ ที่เพิ่งเปิดใหม่ของท่าเรือเกรย์ฟยอร์ด ก็พึ่งสำรวจได้แค่ 1% เพราะ…ผู้เล่นจำนวนมากจมน้ำตายในทะเลเนื่องจากพวกเขายังไม่ได้ปลดล็อกทักษะ ‘ว่ายน้ำ’ พวกเขาเลยต้องให้มนุษย์กบช่วยลากศพที่ลอยอยู่ในทะเลกลับเข้าฝั่ง และจากนั้นค่อยชุบพวกเขาด้วยผู้เล่นเครลิค หรือหัวหน้าหมู่บ้านมนุษย์กบ

นอกจากนี้ยังมีการสร้างไลฟ์สโตนขึ้นกลางหมู่บ้านมนุษย์กบ ทำให้ผู้เล่นที่นอนเป็นปลาเค็มมานานสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ที่หมู่บ้าน…แม้ว่ามันจะไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรมากนักนอกจากจะช่วยให้ผู้เล่นประหยัดเวลาในการเล่น

ตอนนี้ผู้เล่นสามารถเคลื่อนย้ายไปยังเมืองไร้ชื่อ และฐานที่มั่นลับใต้ดินของแลงคาสเตอร์ผ่านไลฟ์สโตนได้ด้วยการใช้เหรียญเกม

ตอนแรกซีเว่ยลังเลที่จะวางไลฟ์สโตนไว้ในหมู่บ้านมนุษย์กบ เพราะเขากลัวว่าเทพธิดาสมุทรจะบุกอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา หากเธอพบว่าร่างของเจ้าแห่งน้ำหายไป

แต่แล้วเขาก็พบว่าเมื่อมีผู้เล่นจำนวนมากจบเควสประจำวันในหมู่บ้านมนุษย์กบ แม้จะไม่มีไลฟ์สโตน แต่เทพธิดาสมุทรก็น่าจะสามารถบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นและรุกรานอาณาจักรของเขาได้อยู่ดี

และหากไม่มีความสามารถในการเทเลพอร์ต ผู้เล่นเข้าและออกจากหมู่บ้านมนุษย์กบ พวกเขาก็จะต้องเสียเวลาไปมาก ทำให้ความคืบหน้าช้าลงและประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมลดลง

สุดท้าย ซีเว่ยก็ตัดสินใจอนุญาตให้หัวหน้าหมู่บ้านสร้างไลฟ์สโตน

เมื่อเห็นผู้เล่นทุกคนที่ทำเควสประจำวันด้วยความกระตือรือร้นเช่นนี้ ซีเว่ยก็ยิ้มอย่างพอใจ

หลังจากปิดตัวไป 3 วัน เนื่องจากเจ้าของต้องออกไปทำธุรกิจที่อื่น ในที่สุดโรงเหล้ากาต้มน้ำเหล็กก็เปิดให้บริการอีกครั้ง และธุรกิจก็เฟื่องฟูตามปกติ

วันนี้เจ้าของได้ติดป้ายเอาไว้ว่า “แขกของโรงเหล้าสามารถนำวัตถุดิบมาเองได้ ยกเว้นนักบวชแห่งท้องทะเล โปรดอย่าใช้คาถาอัญเชิญของเจ้าเรียกวัตถุดิบมาให้พ่อครัว”

โจเดินเข้ามาในโรงแรมอย่างหดหู่

“อ้าว นี่ไม่ใช่พอลเหรอ (ชื่อเต็มของโจคือโจพอล)!” อีวานเห็นเขาเดินเข้ามาโดยไม่มีเพื่อนร่วมปาร์ตี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงทักทาย “ข้าไม่ได้เจอเจ้ามา 2 วันแล้ว เจ้าอยู่ทำเควสประจำวันที่หมู่บ้านมนุษย์กบรึเปล่า”

เนื่องจากพวกเขาทั้งคู่เป็นผู้เล่นคลาสวอร์ริเออร์ พวกเขาจึงมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดี บางครั้งก็รวมตัวกันเพื่อกิน ดื่ม และต่อสู้กัน

“ข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ ข้าไปทำเควสจับสัตว์เลี้ยงมาให้ฟาร์มปศุสัตว์ แต่ดูเหมือนว่าสัตว์ในฤดูหนาวจะพากันซ่อนตัวอยู่ในโพรง ข้าได้เจาะถ้ำมากมายทำให้ฝูงหมีน้ำแข็งตื่น และต้องสู้เป็นเวลานาน และข้าก็ใช้เวลา 2 วันเต็มในหุบเหวเพื่อตามหากวางหิมะที่ตรงกับความต้องการของเควส”

โจมีสีหน้ามืดมน “เดาสิ ว่ารางวัลเควสคืออะไร”

“อะไร?” อีวานถามอย่างสงสัย

แทนที่จะตอบ โจเริ่มแสดงท่าเต้นกังนัมสไตล์ที่ตรงตามมาตรฐานออกมา

???

‘ข้าถามเจ้าว่ารางวัลเควสคืออะไร และเจ้าก็เริ่มเต้น? ท่าเต้นก็ไม่แย่หรอก แต่เจ้าจะเต้นเพื่อ…’

โจหยุดเต้น

อีวานปรบมือให้อย่างสุภาพสำหรับการแสดงของเขา “ไม่เลว แต่มันเกี่ยวอะไรกับเควสของเจ้า”

“นั่นคือรางวัลเควส” โจคร่ำครวญ “หลังจากที่ข้าทำเควสเสร็จ ข้าก็ปลดล็อคทักษะ ‘ท่าเต้นขี่ม้า’ หลังจากเปิดใช้งานแล้ว นั่นคือสิ่งที่ข้าทำเมื่อกี้”

“เต้นแล้วได้อะไรไหม? บางทีมันอาจจะเป็นการเต้นเพื่อบัฟเจ้าและปาร์ตี้ หรืออะไรบางอย่าง?”

“ไม่” โจตอบอย่างแห้งแล้ง “มันก็แค่เต้น ไม่มีอย่างอื่น”

ผู้เล่นคนอื่น ๆ ในโรงเหล้าต่างส่งเสียงร้องอย่างตกใจกับเหตุการณ์ที่พลิกผันนี้

“แล้วเจ้าก็เสียคะแนนทักษะ 1 คะแนนเพื่อเรียนรู้ทักษะที่ไร้ประโยชน์นี้งั้นรึ” อีวานขมวดคิ้ว เขาคิดว่าเควสนี้ชั่วร้ายเกินไป

“คะแนนทักษะ? ไม่ไม่ ข้าไม่ต้องใช้คะแนนทักษะเพื่อเรียนรู้มัน” โจอธิบาย “มันไม่ได้อยู่บนแผงทักษะ เมื่อข้าได้มันมา มันก็ปลดล็อกแท็บ ‘ของสะสม’ แปลก ๆ ขึ้นมา มีของอย่างอื่นด้วย ข้าคิดว่า…”

“อ้อ เข้าใจแล้ว”

อีวานพยักหน้าอย่างครุ่นคิด จากนั้นเขาก็กระแทกเครื่องดื่มลงบนโต๊ะ “เจ้าของร้าน คิดเงิน! พอลบอกข้าทีว่าเจ้ารับเควสมาจากไหน”

“หืม?”

โจมองอีวานด้วยความสับสน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอีวานถึงถามคำถามแบบนี้ “เจ้าอยากทำด้วยเหรอ? แต่ทักษะมันไร้ประโยชน์จริง ๆ นะ…”

อีวานหัวเราะ “ไม่สำคัญว่ามันจะมีประโยชน์รึเปล่า ข้าแค่อยากจะทำ ข้าอยากรวบรวมทุกอย่างที่ข้าทำได้! แถมท่าเต้นของเจ้าก็ดูสนุกดี ข้าเลยอยากเก็บมันไว้ ยังไงซะมันก็ไม่เสียคะแนนทักษะอยู่แล้วนี่”

“ข้าก็อยากได้เหมือนกัน!” เพื่อนร่วมทีมของอีวานต่างเข้าร่วมด้วยความตื่นเต้น

“อย่าล้อเล่น ทำไมเจ้าถึงอยากเรียน” อีวานขมวดคิ้วมองเพื่อนอย่างดุ ๆ ส่วนโจก็คิดว่าคนพวกนี้กำลังแกล้งเขา

“เจ้าเห็นไหม งานเลี้ยง 2 ครั้งก่อนแม้ว่าข้าจะเข้าร่วม แต่ข้าก็ยังรู้สึกเหมือนว่ามันขาดอะไรไป อย่างแรกคือไม่มีผู้เล่นหญิงคนไหนคุยกับข้า แต่มาคิดดูอีกที ตอนนี้ก็ไม่มีท่าเต้นดี ๆ เหมือนกัน! ถ้าข้าเต้นเป็น ข้าก็จะดูเหมือนนักเต้นบัลเล่ต์!” ผู้เล่นแทบจะน้ำลายไหลอยู่ในจินตนาการของตัวเอง “ถ้าข้าเต้นได้ งานเลี้ยงครั้งต่อไปข้าแน่ใจว่ามันจะต้องดีมากแน่!”

หลังจากคำพูดที่กระตือรือร้นของเขา ผู้เล่นที่เหลืออยู่ในโรงเหล้า 2-3 คนที่ไม่สนใจในตอนแรก ก็พร้อมใจที่จะเข้าร่วมสุด ๆ

“ใช่แล้ว เนื่องจากมันไม่ได้ใช้คะแนนทักษะ มันก็ไม่เจ็บที่จะเรียน!”

“อะแฮ่ม ข้าชอบศิลปะ ข้าคิดว่าท่าเต้นของเจ้านั้นดูดี”

“งั้นพวกเจ้าต้องไปหาผู้หญิงคนนั้น!”

โจไม่คิดที่จะเก็บเป็นความลับ เขาบอกแขกของโรงเหล้าทุกอย่าง เริ่มจาก NPC ที่พวกเขาต้องคุย สถานที่ดีที่สุดในการหาสัตว์ที่เหมาะสม ดังนั้นภายใต้การนำของอีวาน พวกเขาจึงออกเดินทางเพื่อฝึกฝนศิลปะการเต้นรำ พวกเขาขอบคุณโจและจ่ายเงินค่าอาหารอย่างรวดเร็วก่อนจะออกจากโรงเหล้า

โจถูกทิ้งไว้คนเดียวในโรงเหล้าโดยที่เขายังประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ทัน

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เริ่มเต้นอีกครั้งอย่างลึกลับ

“อืม ข้าว่ามันก็สนุกดีนะ…”

เจ้าของโรงเหล้าที่เฝ้าดูทั้งหมดจากข้างสนาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้

เขารู้สึกราวกับว่า เขาจะได้เห็นกลุ่มผู้เล่นงี่เง่าที่จะออกมาเต้นรำแปลก ๆ ทุกรูปแบบในงานเลี้ยงครั้งหน้า และเปลี่ยนงานเลี้ยงให้กลายเป็นภาพตลก ๆ ของการประกวดเต้นรำของผู้เล่นในชุดเกราะหนัก

—————————–

เห็นได้ชัดว่าระบบผู้ติดตาม ไม่ได้เป็นเพียงความคิดแบบสุ่มที่ซีเว่ยมีในขณะที่เขาติดตามดูผู้ศรัทธาของเขา

ความจริงเขาได้คิดเรื่องนี้แล้ว นับตั้งแต่ที่เขาอัปเกรดคอมพิวเตอร์ใหม่

เนื่องจากมนุษย์กบในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังคงศรัทธาในเจ้าแห่งน้ำ แม้ว่าซีเว่ยจะดูดซับพลังของเจ้าแห่งน้ำมาแล้ว แต่ตราบใดที่เขาไม่ได้สืบทอดคุณสมบัติเทพและอำนาจของเขา เขาก็ยังไม่สามารถได้รับศรัทธามากมายจากมนุษย์กบ

และมันก็ยากที่เขาจะให้พรกับมนุษย์กบ ตอนนี้ซีเว่ยไม่สามารถแม้แต่จะใช้พลังของเขากับมนุษย์กบได้อย่างเต็มที่

เปรียบเทียบง่าย ๆ ให้เห็นภาพคือ เส้นทางแห่งศรัทธาระหว่างซีเว่ยกับผู้เล่นคือเน็ต 5G พวกเขาสามารถแชร์คลิปวิดีโอ ภาพถ่าย และอื่น ๆ ระหว่างพวกเขาได้ทันที แต่การเชื่อมต่อระหว่างเขากับมนุษย์กบ กลับเป็นอินเทอร์เน็ตแบบใช้สาย แม้แต่ภาพที่มีความละเอียดต่ำ ก็อาจใช้เวลาโหลดนานกว่าครึ่งชั่วโมง และยังมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดข้อผิดพลาดอย่าง ‘ไม่สามารถโหลดได้’

ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่สามารถมอบพรศักดิ์สิทธิ์ได้ครบผ่านเส้นทางแห่งศรัทธาได้ แต่การทำเช่นนั้นจะใช้ทรัพยากรจำนวนมาก สำหรับการใช้มันมนุษย์กบธรรมดา เขารู้สึกว่ามันสิ้นเปลืองมากเกินไป

ดังนั้นเพื่อให้ฟาร์มพลังงานศักดิ์สิทธิ์ของเขามีประสิทธิภาพ ซีเว่ยจึงตัดสินใจใช้ผู้เล่นของเขาทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง

ตราบใดที่มนุษย์กบสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อผู้เล่นคนใดคนหนึ่ง สัญญาก็จะถูกสร้างขึ้นทันที เมื่อมีสัญญาเป็นตัวกลาง ศรัทธาของมนุษย์กบก็จะถูกถ่ายโอนจาก ‘เจ้าแห่งน้ำ’ ไปยังเทพหลักของผู้เล่นนั่นคือ ‘เทพเจ้าแห่งเกม’ อย่างปลอดภัย

สัญญาจำเป็นต้องมีการยินยอมจากทั้ง 2 ฝ่าย ในกรณีนี้คือ ‘เจ้าแห่งน้ำ’ และ ‘เทพเจ้าแห่งเกม’

อัตลักษณ์ความเป็นเทพของเจ้าแห่งน้ำอยู่ในการควบคุมของซีเว่ย ดังนั้นสัญญาจึงมีผลทันที

หากการได้รับพลังศรัทธาจากผู้ศรัทธาของเทพองค์อื่นเป็นเรื่องง่าย สิ่งนี้อาจทำให้หลายคนเกิดคำถามว่า “นี่หมายความว่าสิ่งที่ฉันต้องทำก็คือการเอาชนะเทพตัวเล็ก ๆ จากนั้นก็บังคับสร้างสัญญา และฉันก็จะยึดพลังงานศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาได้ใช่ไหม?”

คำตอบคือ ไม่

‘ช่องโหว่’ นี้ค่อนข้างยากที่จะใช้ประโยชน์

ปัจจัยแรกและปัจจัยที่สำคัญที่สุดในความสำเร็จของซีเว่ยคือ ไม่มีความเป็นปรปักษ์ใด ๆ กันก่อนหน้านี้ระหว่างเจ้าแห่งน้ำและเทพเจ้าแห่งเกม ทั้งสองเป็นอิสระจากกันอย่างสมบูรณ์ นี่เป็นข้อตกลงที่สันติ เพราะเจ้าแห่งน้ำไม่รู้สึกตัวเมื่อซีเว่ยโจมตี

ปัญหาต่อมาก็คือ มนุษย์กบจะต้อง “เต็มใจ” ให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อผู้ศรัทธาของซีเว่ย พลังศรัทธาไม่ใช่สิ่งที่คุณจะบังคับใครสักคนได้ ความศรัทธาที่แท้จริงของแต่ละบุคคลและความเต็มใจศรัทธา คือศรัทธาที่ดีที่สุด ไม่งั้นมันก็จะไม่มีผลใด ๆ

การที่เขาทำได้นั่นเป็นเพราะซีเว่ยโจมตีเจ้าแห่งน้ำในช่วงเวลาที่สมบูรณ์ที่สุด ก่อนที่เทพเจ้าใหม่จะเกิด หากซีเว่ยรับอัตลักษณ์ความเป็นเทพของเทพเจ้าใหม่ช้ากว่านี้ โดยที่เป้าหมายของเขามีความตระหนักรู้ในตนเองแล้ว มันจะทำให้เขาไม่สามารถสร้างสัญญาได้ หากเขาโจมตีก่อนหน้านี้ตอนที่อัตลักษณ์ของเทพเจ้าใหม่ยังไม่ได้ขึ้นสู่ความเป็นเทพ มันจะไม่ถูกมองว่านี่เป็นสัญญาระหว่าง ‘เทพ’ ที่เหมาะสมอีกต่อไป และนั่นจะทำให้สัญญาไร้ผล

ภายใต้ความบังเอิญเหล่านี้ ซีเว่ยก็ได้ใช้ช่องโหว่ที่มีและทำงานใต้โต๊ะเพื่อรับพลังศรัทธาจากมนุษย์กบ

พลังศรัทธาที่ได้รับจากมนุษย์กบ ซีเว่ยใช้มันเพื่อดูดซับเจ้าแห่งน้ำให้ไวขึ้น มันก็เหมือนกับการยืมเงินใครสักคนเพื่อซื้อเชือกรัดคอพวกเขาคืน บางส่วนในใจซีเว่ย เขารู้สึกแย่กับเจ้าแห่งน้ำที่น่าสงสารองค์นี้จริง ๆ…

หลังจากที่ระบบผู้ติดตามออนไลน์ ผู้เล่นที่เข้าร่วมกิจกรรม ‘ดับไฟแห่งสงคราม’ ต่างก็ประหลาดใจมาก พวกเขารีบชักชวนมนุษย์กบให้มาเป็นผู้ติดตาม

แม้ว่ามนุษย์กบจะค่อนข้างอ่อนแอในการต่อสู้ และแม้แต่โครงกระดูกระดับต่ำที่สุด พวกเขาก็ยังแพ้ในการดวลเดี่ยว แต่เนื่องจากพวกมนุษย์กบดูคล้ายกับ Felynes ใน Monster Hunter และพวกเขาก็ไม่กินสล็อตปาร์ตี้* ผู้เล่นสามารถใช้พวกเขาเป็นโล่มนุษย์ หรือเหยื่อล่อในระหว่างการโจมตีได้ เพราะมนุษย์กบสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ด้วยเหรียญเกมเพียงเล็กน้อย…

(สล็อตปาร์ตี้ หมายถึงใน 1 ปาร์ตี้จะมีผู้เล่นได้จำกัดจำนวน เช่น 4 คน 6 คน เป็นต้น)

นอกจากนี้มนุษย์กบยังเลเวลค่อนข้างต่ำ แม้แต่คล็อกกาโตว์ก็มีเลเวลเพียงแค่ 5 เท่านั้น ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหนในอนาคต?

แม้แต่เจ้าหญิงลีอาที่หลังจากกลับมามีสติแล้วหนีไปซ่อนตัวอยู่ในมุม เพราะอับอายเกินกว่าจะเข้างานเลี้ยงได้ ก็อดไม่ได้ที่จะวิ่งออกมาเพื่อโน้มน้าวให้คล็อกกาโตว์กลายเป็นผู้ติดตามของเธอหลังจากประกาศระบบ

เธอค่อนข้างผิดหวังเมื่อพบว่าคล็อกกาโตว์กลายเป็นผู้ติดตามของเอลีน่าไปแล้ว

ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่หัวหน้าหมู่บ้านแทน

อย่าดูถูกหัวหน้าหมู่บ้านของพวกมนุษย์กบ เพราะกระดูกเก่า ๆ และท่าทางทรงตัวที่ง่อนแง่นของเขา ความจริงเขาได้สร้างความเสียหายสูงสุดในหมู่มนุษย์กบเมื่อเข้าต่อสู้กับชุมนุมลับดวงตา โดยเหวี่ยงไม้เท้าไปรอบ ๆ ด้วยทักษะที่แม่นยำของนักดาบที่ได้รับการฝึกฝน คุณไม่สามารถตัดสินจากลักษณะภายนอกที่ดูอ่อนแอของเขา เขาเกือบจะทำแต้มแซงผู้เล่นระดับหลายคนได้ด้วยซ้ำ

หลังจากเงียบอยู่นาน หัวหน้าหมู่บ้านก็บอกลีอาว่า เขาได้รับเลือกจากเทพเจ้าให้เป็นผู้นำเผ่ามนุษย์กบ เจ้าหญิงจึงได้แต่กลับไปซ่อนใบหน้าของเธอต่อ เธอรู้ว่าเขาได้รับเควสประจำวันจากระบบ เขามีหน้าที่ออกเควสก่อสร้างและฟาร์มให้กับผู้เล่นที่มีชื่อเสียงเพียงพอ…การที่เขามีเควสเช่นนี้นั่นหมายความว่าเขาได้รับระบบ ‘Overlord’ จากเทพเจ้าแห่งเกมเช่นเดียวกับแองโกร่าและคุณปู่แวนเค่อ ลีอาไม่สามารถพา Overlord คนใดคนหนึ่งไปเป็นผู้ติดตามได้

หลังจากความขยันอย่างไม่ย่อท้อของผู้เล่น ในที่สุดพวกเขาก็ล้มเหลวทั้งหมด

และหลังจากความพยายามของพวกเขาล้มเหลวหลายครั้ง ผู้เล่นก็สรุปประเด็นหลักได้ 2 ประเด็น

อย่างแรกคือ พวกเขาไม่มีชื่อเสียงเพียงพอ ระบบชื่อเสียงเพิ่งถูกนำมาใช้ในหมู่บ้านมนุษย์กบ ความสัมพันธ์ของพวกเขากับผู้เล่นอยู่ในระดับเป็นมิตรขั้นพื้นฐานเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดของการรับสมัครผู้ติดตาม แต่คนเดียวที่ทำได้สำเร็จคือเอลีน่าที่มีชื่อเสียงระดับ ‘เป็นที่เคารพ’ ในหมู่มนุษย์กบ แต่นั่นก็เพราะเธอถูกมองว่าเป็นนักบุญของเจ้าแห่งน้ำจากมนุษย์กบ ชื่อเสียงของเธอเลยไม่อยู่ในชาร์ต…

ดังนั้นผู้เล่นจึงคิดว่ายิ่งชื่อเสียงของคุณสูงขึ้น อัตราความสำเร็จในการรับผู้ติดตามก็จะยิ่งสูงขึ้น

อย่างที่สองคือ อุปสรรคด้านภาษา คล็อกกาโตว์ที่ได้รับเลือกและหัวหน้าหมู่บ้านที่ไม่สามารถได้รับเลือก คือมนุษย์กบเพียง 2 คนที่พูดภาษาชูโมเนียนได้ มนุษย์กบที่เหลือไม่ฉลาดเท่าไหร่ หากไม่มีคล็อกกาโตว์หรือหัวหน้าหมู่บ้านคอยเป็นล่ามให้ แม้ว่าผู้เล่นจะใช้ภาษามือและภาษากาย มันก็จะจบลงในรูปแบบเกมทายปัญหาที่ไม่สามารถสื่อสารกันได้อย่างถูกต้อง

เมื่อผู้เล่นเข้าหา มนุษย์กบไม่เพียงแต่จะเพิกเฉยต่อคำขอของพวกเขา พวกเขากลุ่มหนึ่งยังรวมตัวกันและดูพวกผู้เล่นอย่างสนุกสนานเพราะคิดว่าผู้เล่นทำตัวโง่เง่า

หากมีการเปิดใช้ระบบโจมตีมิตรได้ เชื่อได้เลยว่าผู้เล่นหลายคนคงอยากบุกทำลายหมู่บ้านมนุษย์กบด้วยความหงุดหงิด…

วิธีแก้ปัญหาทั้ง 2 นี้ไม่ใช่เรื่องยาก อันที่จริงมันค่อนข้างง่ายนั่นก็คือ…

เควสประจำวัน

ค่าชื่อเสียงไม่สูงพอ? เควสประจำวันคือคำตอบของคุณ!

การทำเควสประจำวันจะได้รับค่าชื่อเสียง ถ้าคุณทำมันมากพอ คุณก็จะจบลงที่ระดับชื่อเสียง ‘เป็นที่ชื่นชม’ ได้อย่างแน่นอน

อุปสรรคทางภาษาเหรอ ‘Overlord’ ยังมีเควสประจำวันให้คุณทำ

หลังจากสร้างชื่อเสียงได้มากพอแล้ว คุณก็จะสามารถปลดล็อกเควสพิเศษจากหัวหน้าหมู่บ้านได้ หลังจากทำเควสนั้นเสร็จสิ้น คุณก็จะได้รับไอเทมพิเศษที่เรียกว่า ‘เสียงกระซิบของมนุษย์กบ’ ซึ่งเป็นสร้อยคอขนาดเล็กที่มีจี้เป็นกบตัวน้อย เมื่อคุณใส่มัน คุณก็จะพูดภาษามนุษย์กบได้อย่างคล่องแคล่ว

โดยพื้นฐานแล้ว เมื่อผู้เล่นอ่านประกาศของระบบเป็นครั้งแรก พวกเขารู้สึกว่าสิทธิประโยชน์ของผู้ติดตามถูกเขียนลงบนหน้าจอเป็นประโยคเล็ก ๆ แต่เมื่อพวกเขามองให้ละเอียด ทั้งหน้าก็จะเต็มไปด้วย ‘เควสประจำวัน’

ผู้เล่นที่ไม่สนใจการก่อสร้างจะถอนตัวออกไปโดยธรรมชาติ เหลือเพียงกลุ่มผู้เล่นที่คุ้นเคยกับก่อสร้างและรู้สึกว่าเควสในหมู่บ้านมนุษย์กบก็เหมือนกับเควสของเมืองไร้ชื่อ หรือพวกที่มุ่งมั่นจะได้รับผู้ติดตาม ผู้เล่นเหล่านี้ยังคงอยู่ในหมู่บ้านมนุษย์กบ

——————————

ผู้เล่นมีความสุขในคืนนี้ที่หมู่บ้านมนุษย์กบ

แม้ว่าในตอนแรกพวกมนุษย์กบจะรู้สึกประหลาดใจกับรูปลักษณ์ที่อธิบายไม่ได้ของกองไฟ อุปกรณ์ทำบาร์บีคิว และอาหารทะเลนานาชนิดในลานกว้างของหมู่บ้าน แต่ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่านี่เป็นพรศักดิ์สิทธิ์ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำอธิบายที่ผู้เล่นใช้เพื่อเป็นอิสระและจัดปาร์ตี้กันอย่างหนักตลอดทั้งคืน

แต่ความสนุกไม่ได้ยั่งยืนตลอดไป ในวันรุ่งขึ้น ผู้เล่นก็ทยอยกันออกจากหมู่บ้านและกลับไปที่เมืองไร้ชื่อ

หลังจากกิจกรรมและเควสทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว หมู่บ้านก็ไม่มีอะไรที่ควรค่าแก่การอยู่ต่อ มีสัตว์ประหลาดทะเลมาให้ท้าทายแน่นอน…แต่ไม่มีผู้เล่นคนใดเป็นนักดำน้ำที่เชี่ยวชาญ แถมจำนวนของพวกมันก็มีน้อย หากพวกเขาไม่ได้ลงน้ำไปลึกพอ สัตว์ประหลาดทะเลฆ่ายากและผลตอบแทนก็ได้กลับมาเพียงเล็กน้อยหรือแทบจะไม่มีเลย

เทียบกับฐานที่มั่นลับที่มีดันเจี้ยน ‘ห้องใต้ดินของผีดิบ’ และ ‘หุบเขาแห่งความตาย’ ในเมืองไร้ชื่อ ที่อัตราการสำรวจไปถึง 22% ไม่ได้เลย

ผู้เล่นที่เลเวลอัพและได้รับของขวัญใหม่ ๆ จากเควสล่าสุดนั้นกระตือรือร้นที่จะทดสอบฝีมือ แม้ว่าพวกเขาจะพบกับอัครมุขนายกกระดูกเน่าหรือหนึ่งในมุขนายกชุดดำในห้องใต้ดินของผีดิบ พวกเขาก็พร้อมที่จะยืนยัดเผชิญหน้า…และจบลงด้วยการตายที่น่าสยดสยองเหมือน ๆ กัน

“เจ้าจะไปแล้วเหรอ?” คล็อกกาโตว์ถามกลุ่มผู้เล่นที่นำโดยเอ็ดเวิร์ด

“ไม่มีเรื่องอะไรแล้วนี่” เอ็ดเวิร์ดหัวเราะ “เรามาช่วยเจ้าเท่านั้น ตอนนี้ทุกอย่างได้รับการแก้ไขแล้ว เราก็ควรจะลา”

“แล้วท่านนักบุญหญิง… ” คล็อกกาโตว์หันไปทางเอลีน่า

เขาไม่ได้หมายถึงตัวเธอในฐานะนักบุญฝึกหัดของเทพเจ้าแห่งเกม แต่เป็นตัวเธอในฐานนะนักบุญของเจ้าแห่งน้ำที่มนุษย์กบศรัทธา

ต้องขอบคุณสิ่งนี้ เมื่อซีเว่ยทำลายอวตารของเจ้าแห่งน้ำแล้ว ศรัทธาระดับสูงที่มนุษย์กบมีต่อเอลีน่าจึงตกเป็นของเขา

“แน่นอนว่าเอลีน่าจะไปกับพวกเรา” ทันใดนั้นเอ็ดเวิร์ดก็พูดแทรกขึ้นมาต่อหน้าเธอ มันสนุกดีที่เห็นพวกเขาเคารพเธอ แต่เอลีน่าก็เป็นนักบุญของเทพเจ้าแห่งเกม และเธอไม่สามารถเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาอื่นได้ตลอดเวลา

คล็อกกาโตว์เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองเอ็ดเวิร์ด “งั้น…ข้าร่วมผจญภัยไปกับพวกเจ้าได้ไหม”

สัญชาตญาณแรกของเอ็ดเวิร์ดคือการปฏิเสธ แต่เขากลับเห็นแสงแห่งความหวังในดวงตาของเอลีน่า ขณะที่เขากำลังคร่ำครวญอยู่ในใจนั้น จู่ ๆ ก็มีหน้าต่างระบบปรากฏขึ้นมา

นี่ระบบกลับมาออนไลน์แล้วเหรอ? เอ็ดเวิร์ดคิดและมองไปที่หน้าจอ

[อัปเกรดเกมเวอร์ชัน 0.2 เสร็จสมบูรณ์]

[เลเวลสูงสุดของผู้เล่นเพิ่มขึ้นเป็นเลเวล 60]

[เพิ่มคลาสใหม่สำหรับเมจ: ไทด์คอลเลอร์(Tidecaller)

รายละเอียด: ไทด์คอลเลอร์เป็นเมจที่มองข้ามธาตุอื่น ๆ ทั้งหมดเพื่อควบคุมธาตุน้ำ พายุหิมะที่โหมกระหน่ำ คลื่นสึนามิอันยิ่งใหญ่ และสิ่งมีชีวิตธาตุน้ำที่อยู่ยงคงกระพัน ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถเรียกได้ พลังน้ำคือจุดแข็งของท่าน จงยืนอยู่บนคลื่นและอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง!]

[คลิกที่นี่เพื่อชมวิดีโอสาธิต]

[ข้อกำหนดเบื้องต้น: เมจเลเวล 15 ขึ้นไปสามารถทำเควสเปลี่ยนคลาสได้]

ดูเหมือนไทด์คอลเลอร์ จะสามารถเรียกสัตว์น้ำจากที่ใดก็ได้ และใช้มันเพื่อต่อสู้กับศัตรูในฐานะผู้วิเศษได้เหมือนกับชื่อ

เขาคลิกดูวิดีโอตัวอย่าง

ไทด์คอลเลอร์มีสายทักษะ 3 สายให้เลือก

[กับดักน้ำแข็ง] โจมตีด้วยน้ำแข็ง หรือหยุดศัตรูด้วยการแช่แข็ง

[กระแสน้ำที่บ้าคลั่ง] การเพิ่มพลังน้ำเพื่อสร้างคลื่นยักษ์ หรือสร้างใบมีดแรงดันสูงโดยใช้น้ำ

[วิญญาณน้ำ] เรียกสิ่งมีชีวิตธาตุน้ำมาสนับสนุน

[เพิ่มคลาสใหม่สำหรับเครลิค: นักบวชแห่งท้องทะเล

คำอธิบาย: พวกเขาสละพลังศักดิ์สิทธิ์และผลประโยชน์จากสวรรค์ และรับแรงบันดาลใจจากการได้ยินบทเพลงแห่งมหาสมุทร พวกเขาสร้างความผูกพันกับสิ่งมีชีวิตในทะเลที่อยู่ภายใต้การนำทางของเทพเจ้าแห่งเกม พวกเขาคุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวใต้น้ำและเป็นนักบวชผู้น่าเกรงขามในท้องทะเล]

[คลิกที่นี่เพื่อชมวิดีโอสาธิต]

[ข้อกำหนดเบื้องต้น: เครลิคเลเวล 15 ขึ้นไปสามารถทำเควสเปลี่ยนคลาสได้]

การเปลี่ยนคลาสเป็นนักบวชแห่งท้องทะเล จะส่งผลให้ประสิทธิภาพของคาถาพื้นฐานของเครลิคลดลง แต่ก็แลกมาด้วยค่าสถานะที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และเปลี่ยนจากคลาสสนับสนุนไปเป็นตัวตนที่มีความสามารถทั้งในการแท็งค์และการสนับสนุนไปพร้อมกัน พวกเขาก็มีสายทั้กษะ 3 สายให้เลือก

[นักล่าแห่งท้องทะเล] เรียกสัตว์ทะเลที่ว่องไวและน่ากลัวเช่นอิชธีโอซอร์รัส หรือมังกรเลวีเอธานเพื่อโจมตีอย่างหนักหน่วง

[แฝงตัวอยู่ในห้วงทะเลลึก] เรียกสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่มีรูปร่างแปลก ๆ จากส่วนลึกที่มืดมิดที่สุดในมหาสมุทร สิ่งมีชีวิตที่เป็นเหมือนฝันร้ายที่เกิดขึ้นจริง และทำให้พวกมันรับคำสั่งของท่าน

[เจ้าแห่งท้องทะเล] ทำสัญญากับสิ่งมีชีวิตที่น่าอัศจรรย์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่เทพเจ้าที่แท้จริง แต่ก็สามารถใช้พลังมหัศจรรย์ได้ อย่างไรก็ตามในฐานะราชาที่เย่อหยิ่ง พวกเขาจะส่งร่างโคลนมาในการอัญเชิญของท่าน และเข้าสู่สนามรบเพื่อมอบรัศมีบัฟที่เป็นประโยชน์และช่วยสนับสนุนการต่อสู้เท่านั้น

[ระบบ ‘ผู้ติดตาม’ ถูกเปิดใช้งาน ขณะนี้ผู้เล่นสามารถจ้างผู้ติดตามในพื้นที่ที่กำหนดได้ (ต้องการชื่อเสียงที่เป็นมิตรหรือสูงกว่า)]

[ผู้ติดตามจะมีค่าสถานะเป็นของตนเอง และไม่สามารถอัพเลเวลได้ด้วยตัวเอง นายจ้างจะต้องแบ่งคะแนนประสบการณ์ให้พวกเขา เข้าสู่หน้าต่างสเตตัสเพื่อตั้งค่าแชร์ EXP]

[เมื่อพวกเขาเสียชีวิต ค่า EXP จะถูกรีเซ็ตเป็นศูนย์ หากพวกเขามี EXP น้อยกว่า 10% เมื่อพวกเขาเสียชีวิต นายจ้างของพวกเขาจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมที่ไลฟ์สโตนเพื่อให้พวกเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมา]

[ขณะนี้ท่านสามารถจ้างผู้ติดตามได้ที่ ‘ท่าเรือเกรย์ฟยอร์ด: หมู่บ้านมนุษย์กบ’]

[ระบบชื่อเสียงเปิดใช้งานใน ‘ท่าเรือเกรย์ฟยอร์ด: หมู่บ้านมนุษย์กบ’]

[เพิ่มดันเจี้ยนใหม่ ‘ท่าเรือเกรย์ฟยอร์ด: นรกน้ำตื้น’]

คราวนี้มีสิ่งใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามามากมาย แต่เอ็ดเวิร์ดก็แยกประเด็นหลักได้ในทันที

‘ในที่สุดตอนนี้ก็มีคลาสสำหรับเมจออกมาแล้ว! เขาไม่ต้องรู้สึกอิจฉานักดาบวิญญาณและชาโดว์โร๊คอีกต่อไป!’

เมื่อได้เห็นคลาสใหม่แล้วเขาก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่ลึก ๆ คลื่นสึนามิฟังดูน่ากลัว แต่การละทิ้งธาตุอื่น ๆ มันตัดใจยากเกินไปสำหรับเมจ

ขณะเดียวกันเอลีน่าก็ดูมีความสุข เธอตรวจสอบระดับชื่อเสียงปัจจุบันของเธอกับหมู่บ้านมนุษย์กบและพบว่าเธอเป็นที่เคารพนับถือ ดังนั้นเธอจึงหันไปพูดกับมนุษย์กบตรงหน้าเธอว่า

“คล็อกกาโตว์ เจ้าอยากเข้าร่วมปาร์ตี้ผจญภัยของเราใช่ไหม”

“ใช่!” เมื่อเห็นเอ็ดเวิร์ดเงียบไปนาน คล็อกกาโตว์ที่สิ้นหวังก็รีบพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น

“งั้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะเป็นผู้ติดตามของข้า!” เด็กหญิงเอามือเท้าเอวและพยักหน้า เธอประกาศออกมาด้วยท่าทางที่มีความสุขมาก

ช่วงเวลาต่อมา ชื่อที่ลอยอยู่เหนือหัวของคล็อกกาโตว์ ที่เป็นข้อความสีเขียวที่บ่งบอกว่าเขาเป็นตัวละครที่เป็นมิตร ก็เปลี่ยนเป็นสีขาวเหมือนชื่อของผู้เล่น และมีตัวอักษรที่อ่านไม่ออกต่อท้ายด้านหลังชื่อของเขา

[ตัวก่อกวน – คล็อกกาโตว์ (SR)]

—————————-

สิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามที่เอ็ดเวิร์ดคาดการณ์ไว้ หลังจากการตายของแส้ดำ ศัตรูคนอื่น ๆ ก็หมดกำลังใจจะต่อสู้ เมื่อผู้เล่นได้รับชัยชนะ พวกเขาก็มีอยู่สองทางเลือก คือยอมจำนน หรือไม่ก็ตาย

เมื่อมองไปที่แถวของเชลยศึก เอ็ดเวิร์ดก็รู้สึกหงุดหงิด แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับคนพวกนี้ดี

ในที่สุดวีลาก็ได้เสนอวิธีแก้ปัญหาให้เขา “เดิมทีลอร์ดแองโกร่ากำลังวางแผนที่จะสร้างคุกใต้ดินเพิ่มในเมือง เราส่งนักโทษเหล่านี้ไปใช้แรงงานที่นั่นได้”

เมื่อผู้เล่นทุบโครงกระดูกตัวสุดท้ายที่ธูปหอมเรียกมา พวกเขาก็ได้รับประกาศจากระบบพร้อมกัน

[ติ้ง กิจกรรม: ผู้พิทักษ์มนุษย์กบ-ดับไฟแห่งสงคราม เสร็จสมบูรณ์!]

[ต้องขอบคุณความพยายามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของท่าน พลังแห่งความมืดของ ‘ชุมนุมลับดวงตา’ ที่ฝังรากลึกอยู่ในจักรวรรดิวัลลาจึงได้ถูกหยุดลงที่นี่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีใครกล้ายุ่งกับเมืองไร้ชื่ออีกต่อไป! ขอแสดงความยินดีกับความกล้าหาญของท่าน ที่ช่วยเผ่ามนุษย์กบและกำจัดความชั่วร้าย!]

[รางวัลเควส: ปาร์ตี้บาร์บีคิวจะจัดขึ้นในหมู่บ้านมนุษย์กบคืนนี้ ท่านสามารถไปเที่ยวผ่อนคลายที่นั่นได้]

[เหรียญเกมและค่าประสบการณ์ จะถูกแจกจ่ายโดยตรงให้กับผู้เล่นที่เกี่ยวข้องในภายหลัง]

[คะแนนค่าหัวจะถูกคำนวณและส่งมอบในไม่ช้า โปรดทราบว่าคะแนนจะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นไอเทมได้เฉพาะช่วงระยะเวลากิจกรรมเท่านั้น (7วัน)]

[ระบบจะปิดปรับปรุงเพื่ออัพเกรดชั่วคราว ซึ่งในระหว่างนี้ อาจมีฟังก์ชันบางอย่าง (เช่นระบบเควส) ที่ไม่สามารถใช้งานได้ แต่ความสามารถและทักษะของผู้เล่นจะยังคงทำงานได้ตามปกติ โปรดให้ความสนใจกับรายละเอียด ขอบคุณ]

ครู่ต่อมาเมื่อค่าประสบการณ์ถูกส่งมอบ มันก็ได้ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่เลเวลอัพ ผู้เล่นต่างก็เพลิดเพลินไปกับชัยชนะที่ยากลำบากและอยู่ในบรรยากาศที่ร่าเริง

ในขณะที่ผู้เล่นคุยกันว่าจะไปสังสรรค์กันที่ไหนดี ก็มีบางคนกลับไปที่เมืองไร้ชื่อ แต่ผู้เล่นส่วนใหญ่จะอยู่เข้าร่วมปาร์ตี้บาร์บีคิวในวันนี้

พวกเขาเดินไปด้วยกันเป็นกลุ่ม 2-3 คน หัวเราะและคุยกันขณะเดินกลับไปยังหมู่บ้านมนุษย์กบ

มนุษย์กบรู้สึกชื่นชอบคนเหล่านี้เป็นอย่างมากที่พวกเขาช่วยกำจัดผู้รุกราน มีเพียงหัวหน้าหมู่บ้าน คล็อกกาโตว์ และคนอื่น ๆ อีก 2-3 คนเท่านั้นที่สามารถพูดภาษาชูโมเนียนได้ แต่ทุกครั้งที่สบตากัน แม้มนุษย์กบคนอื่น ๆ จะพูดไม่ได้ พวกเขาก็จะแลกเปลี่ยนคำว่า ‘ฮาคุน่า มาคล็อกคล็อก!’ ที่อบอุ่น หรือ ‘รัว!’ นั่นคือคำทักทายอย่างเป็นทางการในขณะนี้

ผู้เล่นหลายคนที่เข้าร่วมกิจกรรมเคยได้ยินเกี่ยวกับกลอุบายที่เอลีน่าใช้หลอกมนุษย์กบ พวกเขาจึงไม่แปลกใจ และพยายามสื่อสารกันข้ามอุปสรรคทางภาษา

กิจกรรมในครั้งนี้เอ็ดเวิร์ดเก็บเกี่ยวได้ค่อนข้างดี เขาติดตามทุกคนไปยังหมู่บ้านมนุษย์กบเพื่อจัดปาร์ตี้บาร์บีคิว ระหว่างนั้นเขาก็สังเกตเห็นเอลีน่าที่เดินตามเขามาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

“เอลีน่า มีอะไรเหรอ?” เธอเป็นผู้รอดชีวิตที่อายุน้อยที่สุดจากหมู่บ้านเคนนิงตัน เอ็ดเวิร์ดจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงเธอ

“พี่เอ็ดเวิร์ด…พี่คิดว่าเทพเจ้าแห่งเกมมีปัญหาอะไรรึเปล่า?” เอลีน่าขมวดคิ้วอย่างกังวล

“เจ้ากำลังพูดถึงการปิดปรับปรุงงั้นรึ? ไม่นะ ข้าว่ามันน่าจะเป็นเรื่องปกติ” เอ็ดเวิร์ดกอดอก “เรากำลังพูดถึงตัวตนที่มีอำนาจเหนือทุกอย่าง พระองค์จะมีปัญหากับอะไร? เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”

เอลีน่าพยักหน้าเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้เชื่อเอ็ดเวิร์ดเต็มร้อย เธอกอดเกมไบเบิลที่เธอใช้เป็นค้อนดาวตกไว้แนบอก และสวดอ้อนวอนอย่างเงียบ ๆ

แม้ว่ามันจะเป็นเพียงศรัทธาเล็กน้อย แต่เธอก็มีความสุขถ้าศรัทธาของเธอสามารถช่วยเทพเจ้าของเธอได้

ในช่วงเวลาที่ซีเว่ยได้รับศรัทธาที่จริงใจนี้ ร่างลูกบอลเรืองแสงของเขาก็นอนย้วยอยู่บนพื้นเหมือนสไลม์

เขาประเมินตัวเองสูงเกินไป หลังจากที่เขากินเทพกระดูกเน่าไปแล้ว เขาก็รีบวิ่งไปกินเทพที่มีอิทธิพลแตกต่างกันอีกองค์ ความอาหารไม่ย่อยนี้ส่งผลให้เกิดประสบการณ์ที่ทุกข์ระทม

มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่มันก็รู้สึกไม่สบายอย่างมาก มันเหมือนกับตอนที่เขากินมากเกินไปโดยไม่ระวัง เลยต้องมารับกรรมทุกข์ทรมานจากอาการอาหารไม่ย่อยและท้องผูก

ซีเว่ยสาบานได้ว่าร่างกลม ๆ ของเขาพองใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย…

“พลังแห่งศรัทธา…จากเอลีน่าเหรอ? ไม่มีความปรารถนาส่วนตัวหรือความปรารถนาใด ๆ ติดอยู่ เธอเพียงแค่ศรัทธาในตัวฉัน ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันบริสุทธิ์มาก”

ซีเว่ยตกใจกับพลังศรัทธาของเธอ เธอเป็นนักบุญที่ดี เขาเลือกได้ดี

หลังจากที่เขาได้ดูดซับพลังงานศรัทธาที่บริสุทธิ์ที่สุดแล้ว เขาก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

มันอาจเป็นเพียงจินตนาการของเขา เพราะสำหรับสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ พลังศรัทธาจำนวนนี้ไม่ได้มีค่าอะไรเลย มันยังไม่พอให้ติดซอกฟันด้วยซ้ำ แม้ศรัทธาคุณภาพสูงนั้นจะยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับส่วนที่ต้องใช้ในการสร้างอวตารของเทพเจ้าแล้ว มันก็เหมือนน้ำ 1 หยดในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่

ซีเว่ยรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร ๆ แต่เขาก็ยังพยายามทำให้ตัวเองมีกำลังใจและกระตุ้นตัวเอง ตอนนี้มีพลังที่แตกต่างกันมากอยู่ในตัวเขา เขารู้สึกได้ถึงพลังที่ทำให้เขาไม่สบาย เขาเลยตัดสินใจจะดูดซึมเจ้าแห่งน้ำให้เสร็จเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“ไม่มีทาง” เขาปลอบใจตัวเอง รูปร่างของเขาขยายออกจนเกือบจะเป็นลูกรักบี้แล้ว “โลกนี้ไม่ใช่โลกที่ฉันจะเติบโตอย่างสะดวกสบายและแข็งแกร่งได้ในเวลาอันสั้น”

เขาจดจำใบมีดแฝดที่ห้อยอยู่เหนือหัวเขาได้ อันหนึ่งมาจากเทพธิดาสมุทรและอีกอันจากเทพกะโหลก ซีเว่ยหาเรื่องเอง แม้ว่าเขาจะทำไปเพื่อประโยชน์ของสาวกเขา เพื่อที่เขาจะมีพลังพอที่จะป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมที่เคยเกิดขึ้นกับเทียร์ร่า เขาเลยไม่สามารถหยุดการแสวงหาพลังที่จะทำให้เขาเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้

เมื่อมองลงมาจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ เขาก็เห็นผู้เล่นกำลังรับประทานอาหารและร้องเพลงอย่างร่าเริงในหมู่บ้านมนุษย์กบ ซีเว่ยจึงยิ้มให้กับตัวเองอย่างพึงใจ เขาพูดเบา ๆ ว่า “ฉันจะไม่หยุด ตราบใดที่พวกนายยังก้าวต่อไป ฉันจะไปรอพวกนายอยู่ข้างหน้า พวกนายก็จะไม่หยุดเหมือนกันใช่ไหม”

แม้ว่าเขาจะพูดแบบนี้ แต่จริง ๆ แล้วเขายังทำอะไรไม่ได้มาก ขณะนี้ความสามารถของเขามีจำกัด และเขาก็ยังย่อยพลังไม่เสร็จ มันแย่มากที่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่มียาช่วยย่อย หากยังเป็นแบบนี้ เขาจะต้องใช้เวลานานในการย่อยเจ้าแห่งน้ำ

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงต้องแย่งดาบและหาวิธีบีบพลังศรัทธาจากผู้ศรัทธาของฉันให้มากขึ้น ตอนนี้ตัวตนและบุคลิกหลักของเจ้าแห่งน้ำได้ถูกทำลายไปแล้ว ดังนั้นอย่างน้อยฉันก็น่าจะจัดการได้ แต่ความเร็วของ Windows 98 น่าจะตามไม่ทัน”

ด้วยความคิดนี้ ซีเว่ยจึงได้เปลี่ยนพลังศรัทธาเป็นพลังงานศักดิ์สิทธิ์ และเทลงใน PC ของเขา เดิมทีเขาสร้างคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ขึ้นมาจากพลังงานศักดิ์สิทธิ์ของเขา เพื่อช่วยเขาประมวลผล จัดการข้อมูล เควส และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้เล่น แต่ตอนนี้มันล้าหลังไปแล้ว มันเลยถึงเวลาที่ต้องอัปเกรดและเพิ่มความเร็วให้เหมาะสม

หลังจากใส่เวทมนตร์มหัศจรรย์ลงไปเล็กน้อย PC โฉมใหม่ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น

“ตื่นขึ้นมา Windows XP!”

—————————-

แส้ดำไม่ได้มีเบาะแสหรือที่มาของนักฆ่าตัวตายเหล่านี้

สิ่งที่เขาต้องการจะทำคือกำจัดมนุษย์กบ และทำลายอุปสรรคการสร้างท่าเรือในเกรย์ฟยอร์ด ทำไมพวกเขาถึงถูกโจมตี คนพวกนี้โผล่มาจากไหน?

พวกเขารับมือได้ยากเกินไป ลูกน้องของเขาทั้งหมดถูกล้อม มนุษย์กบเองก็แทบไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้เลย ส่วนโครงกระดูกก็พยายามจะคุกคามที่นี่และที่นั่น…

ด้วยประสบการณ์ในสนามรบหลายปีของเขา ทำให้ประสาทสัมผัสของเขาแหลมคมขึ้น เขาดึงใครบางคนออกมาจากเงามืด ขณะที่มันกำลังจะแทงเข้าที่ด้านหลังเขา

แส้ดำเหลือบไปเห็นคนอื่นรีบวิ่งเข้ามาช่วยไอ้คนที่เขาจับได้ เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำแต่กลับบิดคอชายในมือเขาดังกร็อบด้วยท่าทางอำมหิต จากนั้นการดิ้นรนของชายคนนั้นก็หยุดลง แต่แส้ดำก็ยังไม่หยุด เขากลับออกแรงกระชากหัวของชายคนนั้นออกทันทีจนเลือดกระจายก่อนจะทิ้งศพลงพื้น

เขาเลียริมฝีปากที่เปื้อนเลือดอย่างโรคจิต นั่นเป็นฉากที่ทำให้คนมองรู้สึกหวาดกลัวมาก

ตามปกติการแสดงที่น่าสยดสยองนี้คงเพียงพอแล้วที่จะทำให้ศัตรูกลัวจนตัวสั่น แม้ว่าพวกเขาจะไม่หันหลังหนีไปในทันที แต่พวกเขาทั้งหมดก็จะสูญเสียขวัญกำลังใจในการต่อสู้ไป

อย่างไรก็ตาม ศัตรูที่ไม่รู้จักเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่สนใจการตายที่น่าเศร้าของสหายเลย พวกเขายังคงโจมตีต่อไปโดยไม่มีความกลัวใด ๆ

แส้ดำถ่มน้ำลายขณะที่เขาดึงแส้กลับมา และสะบัดข้อมือส่งศัตรูที่เข้ามาใกล้บินออกไป!

ผู้วิเศษหนุ่มที่อยู่ใกล้ ๆ ขว้างลูกไฟและระเบิดน้ำแข็งใส่เขา ผสมกับลูกธนู 2-3 ดอกจากคนที่ดูเหมือนนักล่า

แต่ทุกการโจมตีก็ไร้ผลสำหรับเขา

แส้ของเขาใช้เอ็นหางของแมงป่องซิลค์เป็นแกนกลาง และหุ้มด้วยหนังวัวจระเข้บึง ที่ผลิตโดยนักเล่นแร่แปรธาตุและช่างตีเหล็กระดับมาสเตอร์ มันได้ผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนจนกลายเป็นอาวุธระดับสุดยอด

มันสามารถปัดป้องเวทมนตร์ขั้นสูงได้ นับประสาอะไรกับเวทขั้นต้นและขั้นกลางของผู้วิเศษหนุ่มคนนั้น เขาผ่ามันได้ง่าย ๆ ด้วยซ้ำ แส้ของเขามีพลังโจมตีสูงและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม หลังจากที่เขาได้มันมา เขาก็ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับใคร ชื่อแส้ดำของเขาก็ได้มาจากอาวุธชิ้นนี้นี่แหละ

ด้วยการกระตุกเพียงเล็กน้อย แส้ของเขาก็ผ่ากระสุนเวทและส่งลูกธนูกระเด็นออกไป

“หืม?” ในขณะที่เขากำลังจะฟาดศัตรูที่อยู่ใกล้เขาที่สุด และไปจัดการกับผู้วิเศษและนักล่าต่อ แส้ดำก็ต้องย่อตัวลงหลบมีดที่ลอบโจมตีมาจากด้านข้าง

ทันทีที่ชาโดว์โร๊คโจมตีพลาด เขาก็รีบถอยกลับเข้าไปในเงามืด แต่แส้ดำนั้นเร็วกว่า แส้ของเขาตวัดม้วนรอบคอของชาโดว์โร๊คและดึงเขาเข้ามาใกล้

“เจ้าอีกแล้ว! เป็นไปได้ยังไง” เมื่อเห็นใบหน้าของชายคนนั้น แส้ดำก็ตกตะลึง หน้าแบบนี้เป็นชายคนเดียวกับที่เขาพึ่งกระชากหัวขาดไปเมื่อกี้ชัด ๆ

พี่น้องฝาแฝด? เขาก็เคยได้ยินข่าวลือมาเหมือนกัน ว่ากิลด์นักฆ่าได้ฝึกพี่น้องฝาแฝดเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว

ขณะที่เขาคิดเรื่องนี้ เขาก็สังเกตเห็นว่านักรบที่เขาพึ่งฟาดไปก่อนหน้านี้ ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วโดยเด็กสาวที่มีผมสีเงินแวววาว

“เด็กนี่ เหมือนนักบวชแห่งแสงจากศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสว…” ตาของแส้ดำหรี่ลง เขาบิดแส้หักคอชายคนนั้นอีกครั้งและทิ้งศพไป จากนั้นเขาก็เคลื่อนไหวเพื่อกำจัดเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้น โดยส่วนตัว เขาไม่ได้มีความเมตตาสงสารเด็กหรือรู้จักถนอมหญิงงามใด ๆ เพราะในความคิดของเขา ศัตรูที่ดีคือศัตรูที่ตายแล้วเท่านั้น

“โจ ยั่วยุเขา!” ผู้วิเศษหนุ่มร้องตะโกน

ชายหนุ่มอีกคนที่นอนอยู่บนพื้นดีดตัวขึ้นมาทันที เขาใช้กำปั้นทุบหน้าอกและคำรามใส่เขาว่า “ไอ้เด็กฉี่รดที่นอน!”

แส้ดำรู้สึกถึงความโกรธที่ไม่สามารถอธิบายได้ภายในตัวเขา เขาพลิกตัวกลับหวังจะฆ่าไอ้คนปากหมานี่เป็นคนแรก

แต่เมื่อเขากำแส้ในมือแน่นขึ้น ความต้านทานเวทมนตร์ของมันก็ช่วยให้เขาสามารถกลับมาควบคุมสติได้ เขาทิ้งแรงกระตุ้นที่ทำให้เขาหลงทางและดำเนินการตามแผนเดิม ฆ่าเด็กผู้หญิงที่เป็นผู้รักษา!

ตอนนี้เขามาอยู่ต่อหน้าเธอแล้ว เขาปัดป้องการโจมตีจากคู่หูผู้วิเศษและนักล่า เมื่อผ่านพวกเขามาได้ก็ไม่มีใครจะสามารถหยุดเขาไม่ให้จบชีวิตเด็กคนนี้ได้

แส้ดำจ้องมองขณะที่เด็กหญิงยกหนังสือหนา ๆ ที่ผูกด้วยโซ่เหล็กและเขวี้ยงมันใส่หน้าเขา

“ค้อนดาวตก!”

ค้อนแบบไหนถึงได้เกี่ยวกับดาวตก?

ขณะที่หนังสือปกแข็งกระแทกร่างของเขาและส่งเขาบินขึ้นไปในอากาศ แส้ดำก็เหมือนจะเห็นคำว่า ‘เกมไบเบิล’ ประดับอยู่บนหน้าปก มันน่าจะเป็นหนังสือศาสนาของเด็กผู้หญิงคนนี้

‘เทพเจ้าของเจ้ารู้หรือไม่ ว่าเจ้าใช้พระวจนะของเขายังไง!’ เขาคำรามในใจ

ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องบน ซีเว่ยได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นและรู้สึกชื่นชมเธอมาก

แส้ดำร่วงกระทบพื้นอย่างแรงก่อนที่จะกระอักเลือดออกมา เขาคิดว่าเขาได้รับความเสียหายจากการโจมตีครั้งนี้ มากกว่าที่เขาจะได้รับมาตลอดการต่อสู้ครั้งนี้

“ข้าเข้าใจแล้ว…ข้าคิดไปเองว่านางดูอ่อนแอและต้องได้รับการปกป้อง แต่กลับกลายเป็นว่านางเป็นไม้เด็ดของเจ้า!”

ไม่น่าแปลกใจที่ผู้วิเศษและนักล่าดูเหมือนจะกำลังกลั้นหัวเราะเมื่อเขาพยายามจะทำร้ายเธอ พวกเขาพยายามสกัดกั้นเขาแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น

แส้ดำรู้สึกว่าเขามองกลยุทธ์ของศัตรูออกแล้วในตอนนี้

ทางที่ดีเขาควรถอย

เขาโบกแส้ไปรอบ ๆ เพื่อตบศัตรูที่ยืนขวางทางและเตรียมตัวหลบหนี

แต่คราวนี้กลับมีแส้ใบมีดพุ่งเข้ามาจากทิศทางตรงกันข้าม และพัวพันกับแส้ของเขาอย่างแน่นหนา มันจำกัดการโจมตีของเขาจนอยู่หมัด!

แส้ดำหันไปก็เห็นร่างของเด็กสาวผมบลอนด์ทอง ที่กำลังยิ้มเหยียดแบบราชินีที่เย่อหยิ่งและเย็นชา

“มันจบแล้ว! ชุมนุมลับดวงตาของเจ้ากระทำความผิด ปล้นสะดม บุกทำลายหมู่บ้าน ค้าของเถื่อน และค้าสัตว์ประหลาดที่เป็นอันตราย!” ผู้วิเศษหนุ่มประกาศความผิดอย่างยิ่งใหญ่ “ความพ่ายแพ้ของเจ้าได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว!”

เขายกคทาขึ้นไปในอากาศและมีแสงสีฟ้ารวมกันอยู่ที่ปลายคทา “กินนี่ซะ! ระเบิดน้ำ…”

“หอกแห่งชัยชนะ!” เอลีน่าร้องตะโกน

ด้วยแสงที่ส่องอยู่บนปลายไม้กายสิทธ์ ทำให้เด็กหนุ่มผู้วิเศษไม่ทันสังเกตเห็นว่าเด็กสาวได้เสียบแส้ดำกระเด็นไปที่ต้นไม้ขนาดมหึมาที่อยู่ใกล้ ๆ

แส้ดำ “อ่า…ข้าตายแล้ว…”

เอ็ดเวิร์ด “???”

เอ็ดเวิร์ดถือไม้กายสิทธ์และจ้องมองแสงสีฟ้าที่สั่นไหวบนยอดไม้กายสิทธ์ของเขา เขารู้สึกเหมือนกับตอนที่เขาร่ายเวทย์ไปได้ครึ่งทางแล้วเผลอจามออกมาจนพลังเวทหดหาย มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลย

ในที่สุดเขาก็ยิงแสงสีฟ้าขึ้นไปในอากาศเพื่อส่งสัญญาณ มันระเบิดบนท้องฟ้าในคืนที่มืดมนราวกับดอกไม้ไฟสีฟ้าสดใส

“แส้ดำตายแล้ว! พวกเจ้าอย่าขัดขื่น! จงยอมแพ้ซะ!” เอ็ดเวิร์ดพูดต่ออย่างสง่างาม เรียกร้องให้สมาชิกกองกำลังของชุมนุมลับดวงตาที่เหลืออยู่วางอาวุธ

—————————–

แม้ว่าจำนวนคนที่เข้าร่วมในการต่อสู้จะไม่มาก แต่การต่อสู้ระหว่างผู้เล่นและชุมนุมลับดวงตาก็ดุเดือดมาก

นักเล่นแร่แปรธาตุของชุมนุมลับดวงตาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไร้ค่า เขาถูกผู้เล่นฆ่าตายอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหมดลง เขาก็ได้เปิดใช้งานธูปหอมเรียกโครงกระดูก ตอนนี้พวกเขาอยู่ไม่ไกลจากหุบเขาแห่งความตายมากนัก แม้ว่ากองทัพของราชวงศ์จะออกลาดตระเวนเป็นประจำทุกปี แต่ก็มีปีศาจหลุดออกมาเป็นระยะ

ควันธูปลอยขึ้นไปในอากาศ และโครงกระดูกก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามา

โครงกระดูกไม่ได้แบ่งแยกมิตรหรือศัตรู มันโจมตีกองกำลังของทั้งสองฝ่าย แต่พวกมันส่งผลต่อผู้เล่นมากกว่า ทั้งที่เดิมทีพลังโดยเฉลี่ยของผู้เล่นจะได้เปรียบกว่าเล็กน้อย เพราะพวกเขามีทั้งขวัญกำลังใจ เลเวล และข้อได้เปรียบจากการเป็นผู้ซุ่มโจมตี

แต่ขวัญกำลังใจของชุมนุมลับดวงตาก็เริ่มสูงขึ้นจากการต่อสู้ที่กินเวลานาน ความตกใจที่ชุมนุมลับดวงตาได้รับจากการซุ่มโจมตีก็หายไปตามธรรมชาติ เมื่อมีกองทัพโครงกระดูกมาเข้าร่วม นั่นหมายความว่าพวกเขามีจำนวนมากกว่าศัตรู

เมื่อเอ็ดเวิร์ดที่ค่อย ๆ พัฒนาทักษะบัญชาการรบสังเกตเห็นว่าศัตรูดูเหมือนจะตระหนักถึงความสำคัญของเครลิคและเรนเจอร์ที่วนเวียนอยู่รอบ ๆ จึงเริ่มจัดการกับเรนเจอร์ก่อน และบุกเข้าไปแนวหลังเพื่อสังหารเครลิค

“วอร์ริเออร์ไปยั่วยุศัตรู! ปกป้องเครลิค!” เอ็ดเวิร์ดตะโกนสั่งสุดเสียง “ส่วนคนอื่น ๆ รีบโจมตีบอสก่อน!”

หากเป็นในเกม กลยุทธ์นี้สามารถนำทุกคนไปสู่ความหายนะได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วบอสจะถูกล้อมรอบด้วยลูกสมุนฝีมือดี วิธีที่ดีกว่าในการโจมตีคือการมุ่งเน้นไปที่ลูกสมุนเหล่านั้นก่อน กำจัดพวกมันให้หมด และค่อยโจมตีบอส

แต่นี่ไม่ใช่เกม และพวกเขาก็ไม่ได้กำลังสังหารสัตว์ประหลาด พวกเขาต่อสู้อยู่กับมนุษย์

ขวัญกำลังใจนั้นมีผลมาก เอ็ดเวิร์ดเคยแทรกซึมเข้าไปในค่ายของชุมนุมลับดวงตา เขาจึงรู้ว่าชุมนุมลับดวงตาสาขาจักรวรรดิวัลลานี้ได้รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวเพราะกลัว พวกเขากลัวผู้นำของพวกเขา แส้ดำ

พูดได้ว่า การเอาชนะแส้ดำจะทำให้จิตวิญญาณการต่อสู้ของศัตรูดับมอดลง!

ระบบไม่ได้บังคับว่าวอร์ริเออร์จะต้องใช้โล่เท่านั้น มันก็เป็นเช่นเดียวกับวอร์ริเออร์ที่ละทิ้งดาบ มันมีทักษะพิเศษที่เกี่ยวกับโล่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเพิ่มพลังป้องกัน เพิ่ม HP รวมถึงสะท้อนการโจมตี ในบรรดาทักษะเหล่านี้ ทักษะที่มีประโยชน์มากที่สุดก็คือ ‘ยั่วยุ’ อย่างไม่ต้องสงสัย ในสถานการณ์เช่นนี้ วอร์ริเออร์สายแท็งค์จะส่องประกายเป็นพิเศษ

“เฮ้ ไอ้พวกหนอน!”

“ทำไมเจ้าไม่วิ่งกลับบ้านไปร้องไห้ซบอกแม่เจ้าล่ะ”

“แม่แกเป็นก็อบลินและพ่อของแกก็เป็นโคโบลด์!”

การใช้ทักษะยั่วยุหมายถึงการใช้เสียงของคุณเองเพื่อดึงดูดความสนใจของศัตรู แต่ก็ไม่มีความแตกต่างระหว่างการตะโกนทักษะว่า ‘ยั่วยุ!’ หรือ ‘ตะโกนด่าแม่’ แต่ไม่รู้ว่าทำไมวอร์ริเออร์จึงชอบสร้างสรรค์คำยั่วยุให้ศัตรูอยู่เสมอ

บางทีพวกเขาอาจจะคับแค้นใจมานาน เมื่อพวกเขาต้องรับการโจมตีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันด้วยร่างของพวกเขา…

ปัง!

ลีอาที่แยกตัวออกมาปะทะศัตรูระดับสูงลดการ์ดของเธอลงโดยประมาท และทันใดนั้นธงของเธอก็ถูกศัตรูปัดกระเด็นออกจากมือ

“ฮ่า ๆ มันจบแล้ว!”

รองหัวหน้าของชุมนุมลับดวงตาที่มีดาบคู่อยู่ในมือ ลงลิ้นเลียใบมีดของเขาด้วยท่าทางอนาจาร สีหน้าของเขาช่างชั่วร้าย เขาต้องการเห็นเด็กสาวผมบลอนด์คนนี้หวาดกลัวและตื่นตระหนกต่อหน้าเขา

แม้ว่าเขาจะเป็นสมาชิกระดับสูงของชุมนุมลับดวงตา แต่เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกคนใดคนหนึ่งกระทำความผิดร้ายแรง เขาก็มักจะลงมือทำโทษพวกมันเป็นการส่วนตัว เขามีความสุขมากที่ได้เห็นสีหน้าที่หวาดกลัว สิ้นหวัง และเกลียดชังของคนเหล่านั้นในขณะที่เขาลงมือทำร้าย

แต่คราวนี้เขาคิดผิด

“โอ้ แต่ข้าไม่คิดอย่างนั้น…” ลีอาเหลือบมองธงหอกที่หลุดจากมือเธอด้วยความผิดหวัง มันเป็นรางวัลที่เธอได้รับจากการเป็น NPC กิจกรรมโจมตีลัทธิกระดูกเน่า เทพเจ้าได้มอบมันให้กับเธอ มันเป็นเพียงไอเทมระดับอีลิทที่มีคุณสมบัติที่ไม่มีวันพัง และยังสามารถขยายรัศมีออร่าของเธอได้อีก 20%

ในฐานะเจ้าหญิงนักรบ ลีอามีเอฟเฟกต์พิเศษที่เกี่ยวข้องกับรัศมีออร่ามากมาย ธงหอกที่ขยายออร่าได้จัดเป็นไอเทมที่สมบูรณ์แบบสำหรับเธอในการต่อสู้แบบทีม

แต่สิ่งนี้ก็มีประโยชน์ในการต่อสู้แบบทีมเท่านั้น นั่นเป็นครั้งเดียวที่เธอใช้มันอย่างคุ้มค่า ในการดวลเดี่ยวการใช้ธงหอกมันช่างไร้สาระ มันมีเพียงสถิติของไอเทมระดับอีลิทเท่านั้น และเธอก็ไม่มีทักษะโจมตีใด ๆ ที่จะใช้ได้กับธงหอกของเธอ

ความจริงมันไม่ใช่อาวุธที่ดีที่สุดของเธอ แม้ว่ามันจะเปล่งประกายไปด้วยรัศมีจากสวรรค์ และคนอื่น ๆ อาจมองว่ามันเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังมหาศาล และไม่สนใจดาบยาวที่ห้อยอยู่ข้างสะโพกของเธอ!

“เทพเจ้าของข้า โปรดมองมาที่ข้า…” หลังจากกล่าวคำอธิษฐาน เธอก็ดึงดาบยาวของเธอออกมา

“อะไร นี่เจ้าอยากจะเล่นฟันดาบกับข้าตอนนี้หรือ น่าเสียดายข้าเชี่ยวชาญในการเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยดาบยิ่งกว่าหอก!”

“มาดูกัน ว่าเจ้าจะป้องกันดาบของข้าได้อย่างไร!” ด้วยการสะบัดข้อมือเบา ๆ ดาบของเจ้าหญิงลีอาก็กลายเป็นแส้ใบมีด!

ขณะเดียวกัน สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนจากเคร่งขรึมเป็นหยิ่งผยองในพริบตา ริมฝีปากของเธอบิดขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มเยาะ เธอกลายเป็นราชินีผู้ภาคภูมิพร้อมกับมีรอยยิ้มที่โหดร้ายประดับอยู่บนริมฝีปาก

ใบดาบที่เหมือนงูพิษของเธอตะวัดอากาศกลายเป็นแส้ดาบพร่ามัวนับไม่ถ้วน ปิดล้อมบริเวณโดยรอบทันที!

“คุกเข่าลงแทบเท้าข้าซะ อ๊าา~ ฮ่าฮ่าฮ่า!”

ก้อนหินและต้นไม้ทุกต้นที่อยู่รอบ ๆ โดนแส้ดาบของเธอตัดทำลายอย่างง่ายดาย จนทุกอย่างถูกหั่นเป็นเศษเล็กเศษน้อยส่วนจำนวนนับไม่ถ้วน

นักดาบของชุมนุมลับดวงตาปัดป้องการโจมตีได้เพียง 2-3 ครั้ง ก่อนที่เขาจะถูกกลืนกินโดยพายุแส้ใบมีดจนร่างฉีกขาด เมื่อเงาแส้สลายหายไป ร่างของเขาก็ล้มลงเหมือนขยะเปียกที่แทบจำไม่ได้ว่าเคยเป็นมนุษย์

“นั่น…ไม่ใช่…ดาบ… ” เขาอ้าปากพูดด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย

เนื่องจากการโจมตีครั้งนี้โหดร้ายมาก ไม่เพียงแต่ศัตรูเท่านั้น แม้แต่ผู้เล่นที่อยู่ใกล้ ๆ ยังถอยห่างออกจากเจ้าหญิงลีอา

“ฝ่าบาท…” องครักษ์คนหนึ่งกระซิบเรียกเธออย่างระมัดระวัง

“เรียกข้าว่าราชินี!” ลีอาสวนกลับอย่างเย็นชา

“เอ่อ…ฝ่าบาท…” เขาสำลัก แต่เมื่อเขาเห็นประกายแสงที่เย็นยะเยือกในสายตาเธอ เขาพูดอย่างตะกุกตะกักว่า “ราชินี ของ ข้า!”

ลีอาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

องครักษ์อดไม่ได้ที่จะกลอกตาและคิดในใจว่า ‘เมื่อท่านกลับมามีสติและจำเรื่องนี้ได้ ไม่ต้องแอบไปหาปี๊บมาคลุมหัวเลยนะ!’

ด้วยเรื่องจริงที่ไม่คาดฝันนี้ทำให้ซีเว่ยรู้สึกกลัว เขาจึงหลบหนีไปพร้อมกับร่างของเจ้าแห่งน้ำ เขานำมันกลับไปยังอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขาทันที

จากนั้นเขาก็ทุบมันและดูดซับอัตลักษณ์ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแห่งน้ำอย่างรวดเร็ว แม้ว่ามันจะใช้เวลาย่อยพอสมควร แต่อย่างน้อยของดี ๆ ก็ไม่ได้นอนอยู่เฉย ๆ รอให้คนอื่นมาเอามันไป มันปลอดภัยในท้องของเขา…

แต่เมื่อเขากลืนเจ้าแห่งน้ำเสร็จ ซีเว่ยก็สงสัยว่าบางทีเขาอาจจะประมาทเกินไป

ร่างของเทพเจ้ายังมีร่องรอยความทรงจำของพวกเขาเหลืออยู่ เมื่อซีเว่ยมาถึงโลกนี้ครั้งแรก เขาก็ได้อาศัยความทรงจำของเทพเจ้าแห่งเกมคนก่อนเพื่อเริ่มต้น เทพกระดูกเน่าก็เหมือนกับเขา เป็นเทพแรกเกิด พวกเทพเจ้าแรกเกิดจะมีความรู้เพียงเล็กน้อย ความทรงจำที่เขาได้รับจากเทพกระดูกเน่านั้นส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเรเวแนนท์ และไม่มีประโยชน์อะไรกับเขา

แต่เจ้าแห่งน้ำนั้นไม่ใช่ เขาเป็นเทพอาวุโสและแม้เขาจะถูกทำลายไปแล้ว เขาก็ยังมีความทรงจำเก่าแก่อยู่มาก

มีความลึกลับโบราณอีกมากมายที่ทุกสิ่งมีชีวิตในโลกมนุษย์ไม่เคยรู้

ตัวอย่างเช่น สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกนี้เคยสูญพันธุ์ไปแล้วครั้งหนึ่ง เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นเป็นรุ่นที่สองที่เทพเจ้าสร้างขึ้นมาใหม่

ความลับอีกอย่างหนึ่งก็คือ เคยมีสงครามเทพเจ้ามาแล้ว 3 ครั้งในอดีต ครั้งแรกเกิดขึ้นระหว่างเทพเจ้าและผู้ถูกเนรเทศ ครั้งที่สองคือเทพเจ้าโบราณและเทพเจ้าใหม่ ครั้งที่สามสอดคล้องกับความทรงจำที่เขาสืบทอดมาจากเทพเจ้าแห่งเกม สงครามเทพปีศาจ ซึ่งทำให้ทวีปแตกออกเป็น 7 ส่วน

นานมาแล้วเทพเจ้าแห่งเกมเดิม ได้ถูกสังหารโดยเทพเจ้าอื่น และพลังบางส่วนของเขาก็ถูกขโมยไป แต่ไม่มีใครยึดอิทธิพลของเขาหรือแทนที่บทบาทของเขาได้ ดังนั้นการต่ออายุศรัทธาจึงสามารถช่วยชีวิตเขาได้

แน่นอนว่าความลับเหล่านี้ยังห่างไกลจากสิ่งที่ซีเว่ยกลัว เพราะสภาพที่ไม่ดีของร่างเจ้าแห่งน้ำ ความทรงจำส่วนใหญ่จึงมืดมัวและไม่ชัดเจน เขาเลยรู้เพียงความคิดคร่าว ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่รายละเอียดทั้งหมดนั้นสับสน ไม่มีความหวังที่จะกู้คืนความทรงจำในส่วนนี้

มันเป็นอย่างอื่นที่ทำให้เขากลัว

ก่อนที่เขาจะอ้างสิทธิ์ในซากของเจ้าแห่งน้ำ ซีเว่ยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ผู้ที่เอาชนะเจ้าแห่งน้ำในสงครามศักดิ์สิทธิ์ ทำไม ‘โพรมีธีอุส’ เทพขโมยไฟ ถึงไม่ดูดซับอัตลักษณ์ความเป็นเทพของเจ้าแห่งน้ำในตอนนั้น?

คำตอบก็คือ หลังจากที่โพรมีธีอุสทุบกะโหลกและบดขยี้ร่างของเจ้าแห่งน้ำแล้ว เทพธิดาสมุทรก็มาถึงทันเวลาและเตะตูดเขาออกไป ถ้าไม่ใช่เพราะโพรมีธีอุสวิ่งหนีเร็วมาก เขาอาจจะถูกเทพธิดาสมุทรฆ่าตายในช่วงสงครามไปแล้ว

แม้ว่าเทพธิดาสมุทรจะไม่ได้เป็นหนึ่งในเทพบิดรทั้งเจ็ด แต่เธอก็เป็นเทพอาวุโสที่ทรงพลังอย่างมาก อิทธิพลของเธอมีอำนาจสูงสุดเหนือมหาสมุทร นอกจากเจ้าแห่งน้ำแล้ว เขายังมีเทพใต้บังคับบัญชา เช่นเจ้าแห่งคลื่น เทพเจ้าแห่งน้ำวนและสึนามิ ผู้เรียกอุทกภัย และอื่น ๆ อีกมากมาย

ในแง่ของพลัง เธออยู่ไม่ไกลจากเทพบิดรทั้งเจ็ด เมื่อเจ้าแห่งน้ำผ่ายแพ้ เทพธิดาสมุทรก็เรียกสึนามิขนาดยักษ์มาถล่มแผ่นดิน และดับไฟทั้งหมดเพื่อทำลายเทพขโมยไฟ โดยไม่สนเทพขโมยไฟและเทพน้อยตนอื่น ๆ ที่ต้องโดนลูกหลงไปด้วย

เทพบิดรทั้งเจ็ดผู้ซึ่งมีผู้ศรัทธาอยู่ทั่วแผ่นดิน ตามธรรมชาติ พวกเขาไม่อาจปล่อยให้เทพธิดาสมุทรทำอะไรที่โง่เขลาเช่นนี้ได้ พวกเขาโค่นล้มเทพธิดาสมุทรและทำให้เธอสาบานว่าจะไม่มาเหยียบผืนดินอีก และส่งเธอกลับไปยังห้วงสมุทรด้วยความอับอาย

หลังจากนั้น เทพธิดาสมุทรก็ได้รวบรวมเศษซากของเจ้าแห่งน้ำ และฝังเขาเอาไว้ในทรายตรงชายฝั่งทะเล เขาสั่งให้มนุษย์กบรักษาความศรัทธาต่อเจ้าแห่งน้ำ โดยหวังว่ามันจะรักษาเจ้าแห่งน้ำได้ในสักวัน

เมื่อขั้นตอนการรักษาเสร็จสมบูรณ์ มันก็ขึ้นอยู่กับเทพธิดาสมุทรที่จะรับผู้มาใหม่ให้กลายเป็นเจ้าแห่งน้ำคนต่อไป หรือปล่อยให้เทพเจ้าใหม่ของท้องทะเลปรากฏขึ้นตามธรรมชาติ

แต่ในระหว่างการถือกำเนิดใหม่ของเทพเจ้า ซีเว่ยก็ได้บุกเข้ามาและปล้นร่างของเขาไป

เมื่อเทพธิดาสมุทรค้นพบเรื่องนี้ ซีเว่ยก็น่าจะต้องเผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของผู้อาวุโส

“อย่าพึ่งตกใจ…เทพแก่ ๆ มักจะทำอะไรช้าเป็นเรื่องปกติ” ซีเว่ยพยายามปลอบใจตัวเอง “ฉันทำได้ ตราบใดที่ฉันทำงานเร็วพอ ฉันก็อยู่ไม่ไกลจากพวกเขานักหรอก!”

ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในท้องเขาแล้ว แม้ซีเว่ยจะอ้วกเอาร่างเทพออกมา และส่งคืนให้กับเจ้าของที่ถูกต้อง เขาก็อาจจะโดนตบกระเด็นติดกำแพงเหมือนเดิม

ในกรณีนี้แทนที่จะกังวล เขาจะใช้ความกดดันเป็นพลังในการขับเคลื่อนผู้เล่น เขาจะรับสมัครผู้เล่นเข้ามาให้มากขึ้นและขยายศาสนจักรของเขาออกไปเรื่อย ๆ

หากเขามีผู้ติดตามมากพอ ก็เป็นไปได้ที่เขาจะยืนหยัดต่อสู้กับเทพธิดาสมุทร

ยิ่งไปกว่านั้น เทพธิดาสมุทรก็สาบานไว้แล้วว่าจะไม่เหยียบผืนดินอีกไม่ใช่เหรอ หากเขาถูกค้นพบเร็วเกินไปและอีกฝ่ายมาเคาะประตูบ้านเขาตรง ๆ เขาจะหนีไปยังโลกมนุษย์และหลบซ่อนตัว รอจนกว่าเขาแข็งแกร่งพอที่จะมีโอกาสเอาชนะเทพธิดาสมุทร

เมื่อคิดได้แบบนี้ ซีเว่ยก็จ้องมองลงไปยังโลกเบื้องล่าง มองไปยังผู้เล่นของเขา

“พวกนายต้องทำงานให้หนักขึ้น…”

“ฮัดชิ่ว!” โจจาม

“เงียบ ๆ สิเจ้าโง่! ถ้าศัตรูได้ยินเราล่ะ?” เอ็ดเวิร์ดกระซิบขู่

“โทษที จมูกข้ามันคัน” โจสูดหายใจเข้าแล้วพูดเสียงอู้อี้ “ข้ารู้สึกว่าจู่ ๆ ข้าก็เต็มไปด้วยพลัง เทพเจ้าของเราจะต้องกำลังเฝ้าดูพวกเราอยู่แน่!”

“ไม่จริง เจ้าพึ่งแข็งตายไปก่อนหน้านี้ และเอลีน่าพึ่งชุบเจ้าต่างหาก” โกวต้านกระซิบ “ข้าแน่ใจ ว่าเจ้ารู้ว่าเจ้าจะได้รับ HP และ MP เต็มหลอดจากการฟื้นคืนชีพ”

“อะไรนะ! การนอนบนหิมะทำให้เราตายได้เร๊อะ?”

“พูดอะไรของเจ้า ถ้าเจ้าแช่อยู่ในหิมะค่อนวันเจ้าก็ต้องแข็งตายอยู่แล้ว แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้ดูแถบ HP ของเจ้า แต่เจ้าจะไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าเจ้ากำลังจะตาย!” เอ็ดเวิร์ดพึมพำ “นี่เจ้าคิดว่าเครื่องดื่มร้อนมีไว้เพื่ออะไร?”

“เจ้าควรตั้งค่าความเจ็บปวดเอาไว้เล็กน้อย” โกวต้านแนะนำ “นั่นจะทำให้เจ้ารู้ว่าอะไรกำลังคุกคามชีวิตเจ้า”

“เอลีน่าอยู่ไหน ข้าคงต้องไปขอบคุณเธอสักหน่อย” โจเกาหัว

“เธอกลับไปอยู่กับมนุษย์กบแล้ว” เจสสิก้ากระซิบตอบ “หากไม่มีเธอคอยอยู่ใกล้ ๆ พวกมนุษย์กบจะกังวล”

ขณะที่พวกเขากำลังกระซิบกระซาบกัน พวกเขาก็ถูกขัดจังหวะโดยวิญญาณคู่หูของโจ ที่ลอยผ่านพุ่มไม้ที่เต็มไปด้วยหิมะมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา จากนั้นมันก็ออกท่าทางอย่างเมามัน

เสียงของผู้เล่นที่กระซิบคุยกันเงียบลงทันที

“ศัตรูกำลังมา ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม!” เอ็ดเวิร์ดกระซิบ เขาเหลือบมองวิญญาณคู่หูของโจและพูดออกมาอย่างอิจฉา “ถ้าวิญญาณไม่ถูกจำกัดระยะจากผู้ใช้ มันจะเป็นหน่วยสอดแนมขั้นยอด”

ในระยะไกล ขบวนรถม้าเคลื่อนไหวอย่างยากลำบากในป่า คนขับรถม้าก็บ่นอย่างไม่พอใจกับถนนที่ขรุขระและเต็มไปด้วยหิมะ

แต่พอรถม้าเคลื่อนที่มาถึงกลางทาง พวกเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนโห่ร้องดังขึ้นมาทำลายความเงียบสงบในป่า

“รัววววว!!”

ความตื่นเต้นในเมืองแลงคาสเตอร์ ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อเกรย์ฟยอร์ดซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายร้อยไมล์เลย

หลังจากที่เธอเข้าใจว่าชายฝั่งทะเลมีความสำคัญต่อเผ่ามนุษย์กบ เจ้าหญิงลีอาก็ละทิ้งแผนการซุ่มโจมตีศัตรูจากในหมู่บ้าน เธอได้พูดคุยเรื่องนี้กับผู้นำของฝ่ายต่าง ๆ แล้ว พวกเขาก็ได้ตัดสินใจเปลี่ยนจุดซุ่มโจมตีไปเป็นบริเวณป่า ที่ห่างจากหน้าผาประมาณ 2 กิโลเมตร ตามข้อมูลที่ได้รับจากเอ็ดเวิร์ดที่เคยแทรกซึมเข้าไปในชุมนุมลับดวงตา จากที่ตั้งค่ายของชุมนุมลับดวงตา พวกเขาจะต้องเดินผ่านเส้นทางนี้แน่ ๆ เว้นแต่กองกำลังศัตรูจะตั้งใจเดินอ้อมป่าไปอีก 15 กิโลเมตร

หน่วยสอดแนมที่พวกเขาส่งไปตรวจสอบค่ายของชุมนุมลับดวงตา ถูกค้นพบโดยศัตรูและถูกสังหารทันทีก่อนที่จะได้หลบหนี ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ กำลังเดือดมาก

แม้ปัจจุบันผู้เล่นจะยังขาดความสามารถในการส่งข้อความโต้ตอบจากระยะทางไกล แต่หัวหน้าปาร์ตี้ก็สามารถตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันของเพื่อนร่วมปาร์ตี้ได้ผ่านระบบปาร์ตี้ พวกเขาจะใช้รหัสที่เตี๊ยมกันไว้แล้วล่วงหน้าเพื่อแจ้งสถานการณ์ พวกเขาใช้ทักษะบัฟต่าง ๆ กับตัวเองเพื่อส่งข้อความเหมือนข้อความโทรเลข ด้วยข้อความเข้ารหัสนี้ พวกเขาจึงสามารถแจ้งหัวหน้าปาร์ตี้ของตนซึ่งอยู่ห่างออกไปหลาย 10 กิโลเมตรได้ว่าศัตรูกำลังเคลื่อนพล

หลังจากได้รับข่าว ผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่รออยู่ก่อนแล้ว ต่างก็ลงมือทำตามแผนทันที

การเดินทางในยุคนี้ค่อนข้างแย่ คนธรรมดาที่เดินทางในสภาพอากาศแย่ ๆ แบบนี้ควรเดินทางได้ช้าพอ ๆ กับเต่าคลาน การเดินทางที่ดีที่สุดในหิมะ คือการใช้เลื่อนและหาสุนัขฮักกี้มาลากเลื่อนไปบนหิมะ

สำหรับผู้เล่นคลาสวอร์ริเออร์ที่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์เรียกพาหนะใด ๆ ได้ พวกเขาสามารถวิ่งด้วยความเร็วเทียบเท่ากับหัวรถจักร และความเร็วเสียงได้อย่างง่ายดาย สภาพอากาศที่แปรปรวนไม่มีผลต่อพวกเขาเลย

แน่นอนว่าคนของชุมนุมลับดวงตาอยู่ห่างไกลกับเหล่าผู้เล่นระดับเทพของเรามาก แม้แต่แส้ดำที่มีพลังมากที่สุดในค่าย ก็เทียบได้กับผู้เล่นเลเวล 40 หรือสูงกว่านั้นนิดหน่อยเท่านั้น หากไม่มีพรระดับสูง เขาอาจไม่สามารถแม้แต่จะเทียบชั้นกับอัครมุขนายกกระดูกเน่าได้ เมื่อพิจารณาจากทุกด้านแล้ว ความเร็วของเขาเมื่อเดินท่ามกลางหิมะ ก็เร็วเทียบเท่าได้กับรถม้าเท่านั้น

ผู้เล่นเคลื่อนไหวทันทีที่ได้รับสัญญาณจากหน่วยสอดแนม พวกเขาสามารถหาตำแหน่งซุ่มโจมตีดี ๆ ได้อย่างง่ายดาย และรอดักจับกองทัพของชุมนุมลับดวงตาอย่างลับ ๆ

นอกจากนี้ ในสงความครั้งนี้ซีเว่ยยังแจกไอเทม ‘เครื่องดื่มร้อน’ แบบจำกัดเวลาให้กับผู้เล่น แม้ว่าพวกเขาจะต้องนอนอยู่ใต้หิมะอันหนาวเหน็บเป็นเวลาครึ่งวัน เพียงแค่พวกเขาได้จิบ ‘เครื่องดื่มร้อน’ พวกเขาก็จะกลับมาแข็งแรงกระปรี้กระเปร่าท่ามกลางความหนาวเหน็บได้อย่างรวดเร็ว!

แถมมนุษย์กบที่ปกติจะเป็นปลาเค็ม ก็ยังติดเชื้อความมีชีวิตชีวาและพลังบวกจากผู้เล่น เมื่อเห็นความสามารถอันน่าประหลาดใจที่ผู้เล่นได้แสดงออกมา พวกเขาก็จับกลุ่มกันเดินทางออกจากหมู่บ้าน เพื่อช่วยเหลือผู้เล่นในการซุ่มโจมตีชุมนุมลับดวงตา

แม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านมนุษย์กบ ก็ยังหยิบไม้เท้าคด ๆ ออกมาจากมุมบ้านหอยสังข์ และตามหลังผู้เล่นไปพร้อมกับคล็อกกาโตว์ แม้ว่าเขาจะไม่มีประโยชน์ใด ๆ ในการต่อสู้ แต่เขาก็ยังสามารถร่ายบัฟเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้ให้คนอื่น ๆ ได้

นั่นหมายความว่า ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในหมู่บ้านมนุษย์กบเลยสักคน

สำหรับมนุษย์กบ นี่เป็นสงครามที่พวกเขาต้องทุ่มสุดตัว ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ต่อสู้กันในหมู่บ้าน พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับหมู่บ้านที่ว่างเปล่า หมู่บ้านของพวกเขาไม่มีอะไรที่มีค่านอกจากปลาเค็ม

และชุมนุมลับดวงตาก็ไม่ได้สนใจปลาเค็มของพวกเขา ชุมนุมลับสนใจเพียงดินแดนของพวกเขา

แต่นี่เป็นโอกาสที่น่ายินดีสำหรับซีเว่ย

เขาลงมาสู่โลกมนุษย์ทันทีและเดินไปรอบ ๆ หมู่บ้านมนุษย์กบ

ความจริงผู้เล่นได้พลิกหมู่บ้านมนุษย์กบไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็หาสมบัติอะไรไม่เจอนอกจากปลาเค็ม

แต่ซีเว่ยกำลังมองหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ลึกกว่านั้น

“ฉันเข้าใจแล้ว นี่ไม่ใช่หมู่บ้านธรรมดา” เขาสงสัยอยู่ก่อนแล้ว มนุษย์กบไม่ควรมีความสามารถในการโค่นสัตว์ประหลาดที่มีความยาวเกิน 10 เมตร และยังใช้เปลือกของมันเป็นบ้านได้ ด้วยเหตุนี้ โครงสร้างขนาดใหญ่ที่ใจกลางหมู่บ้านจึงทำให้เกิดข้อสงสัย

ก่อนหน้านี้หัวหน้าหมู่บ้านมนุษย์กบ ได้บอกกับผู้เล่นอ้อม ๆ ว่าผู้ที่ทำสิ่งนี้คือเจ้าแห่งน้ำ เขาช่วยนำทางบรรพบุรุษของมนุษย์กบเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่นี่

เกือบหนึ่งพันปีก่อน มนุษย์กบเหล่านี้จะต้องน่าอนาถยิ่งกว่ามนุษย์ถ้ำยุคดึกดำบรรพ์ พวกเขาจะสร้างหมู่บ้านแบบนี้ขึ้นมาได้ยังไง? อะไรคือความลับในความสำเร็จของพวกเขา? และอะไรที่ทำให้มนุษย์กบเต็มใจที่จะอาศัยอยู่บนหาดทรายแห่งนี้ด้วยความเต็มใจ?

คำตอบนั้นชัดเจนมาก มีบ้านหลายหลังซึ่งสามารถคงอยู่มาได้นานนับพันปี

“บ้านพวกนี้ไม่ใช่แค่บ้านธรรมดา” ซีเว่ยเคาะกำแพงบ้านหอยและสัมผัสได้ถึงร่องรอยของเวทมนตร์ที่ไหลอยู่ในนั้น “มันน่าอัศจรรย์ ลวดลายบนพื้นผิวของมันเป็นอักษรรูนจริง ๆ …น่าสนใจ เปลือกหอยเต็มไปด้วยพลังเวทมนตร์ มันน่าจะมีพลังซ่อมแซมตัวเองได้ในระดับหนึ่ง และด้วยพลังศรัทธาของมนุษย์กบ ทำให้มันสามารถดึงดูดปลาจำนวนมากมาในพื้นที่น้ำตื้นใกล้ ๆ หมู่บ้าน และบางทีมันอาจจะป้องกันสัตว์ประหลาดจากทะเลได้ด้วย”

บ้านหอยเหล่านี้เป็นของสำคัญ ไม่เพียงจะสำคัญกับบรรพบุรุษมนุษย์กบเท่านั้น แต่ยังสำคัญกับซีเว่ยด้วย

เขาใช้เวลาไม่นานในการหารูปแบบเบื้องหลังเวทมนตร์นี้ เมื่อพิจารณาจากตำแหน่งของเปลือกหอยแต่ละชิ้น เขาก็สามารถหาจุดเชื่อมโยงได้ เขายืนอยู่บนจุดเชื่อมโยงและขยายประสาทสัมผัสของเขาออกไป

ทันใดนั้น การรับรู้ของเขาก็ทะลุผ่านพื้นดินเบื้องล่าง

ใต้พื้นดินลึกประมาณ 1,500 เมตร มีแท่นบูชาอยู่ตรงนั้น มันไม่ใช่ของที่มนุษย์สามารถสร้างขึ้นมาได้ แต่เป็นสิ่งที่คล้ายกับของศักดิ์สิทธิที่เกิดขึ้นหลังจากพิธีกรรมบางอย่าง มันกลายเป็นวัตถุที่มีร่องรอยความศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า

ที่ตรงกลางของแท่นบูชา มีเป้าหมายที่ซีเว่ยกำลังมองหา ร่างของเจ้าแห่งน้ำ!

มันไม่ได้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างที่ซีเว่ยคิดไว้ในตอนแรก มันเป็นร่างกายที่สมบูรณ์!

ไม่ มันยังไม่สมบูรณ์ 100% จากการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด เขาพบข้อบกพร่องมากมาย

เมื่อเทียบร่างเทพเจ้ากับลูกแก้ว ร่างของเจ้าแห่งน้ำก็มีรอยแตกไปทั่ว เหมือนลูกแก้วที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ถูกคนนำมาติดกาวและซ่อมแซม

และสิ่งที่คอยเติมเต็มรอยแตกเหล่านั้นเหมือนกาว ก็คือความศรัทธานับพันปีของมนุษย์กบ

มาร์นี่วิลฟ์เดินย่ำหิมะไปพร้อมกับรถม้าของเขา

เขาออกจากเมืองแลงคาสเตอร์แล้ว

ไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถเข้าสู่ฐานที่มั่นลับใต้ดินของแลงคาสเตอร์ได้จากในเมือง เขาแค่กังวลว่าเขาอาจดึงดูดความสนใจจากผู้ไม่เป็นมิตร หลังจากที่เขาเริ่มขายโพชั่นใหม่ในเมือง หากเขาใช้เส้นทางในเมืองไปยังฐานที่มันลับโดยตรง แม้ว่าตอนแรกคนพวกนั้นจะคิดว่าอยู่ ๆ เขาก็หายตัวไป แต่ก็อาจจะมีบางคนค้นพบทางเข้าลับไปยังฐานที่มั่นลับใต้ดินของแลงคาสเตอร์ และนั่นจะทำให้เกิดปัญหา

ดังนั้นทุกครั้งที่เขาทำธุระภายในเมืองเสร็จ เขาจะใช้เวลาเดินทางอ้อมยาว ๆ และเข้าสู่ท่อระบายน้ำใต้ดินของเมืองแลงคาสเตอร์จากด้านนอก ในฐานะหนึ่งในผู้เล่น เขามีแผนที่ของท่อระบายน้ำใต้ดิน ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะหลงทาง

แต่หลังจากที่เขาทำสิ่งนี้บ่อย ๆ เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็เริ่มดำเนินไปสู่สถานการณ์ที่เขาไม่ค่อยอยากจะให้มันเกิดขึ้น

เงาจาง ๆ ลอยผ่านมาร์นี่และพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย

“ตามที่คาด มีคนน่าสงสัยกำลังสะกดรอยตามข้าอยู่” เขาถอนหายใจ

วิญญาณเริ่มทำท่าทางต่าง ๆ มาร์นี่มองมันอยู่สักพักจากนั้นเขาก็เลิกคิ้ว “มีคนสะกดรอยตามมากว่า 30 คน ส่วนใหญ่เป็นคนเร่ร่อนและผู้ลี้ภัยที่รับงานสกปรก อืม ดี” เขายิ้มเล็ก ๆ ความอันตรายฉายออกมาผ่านแววตาของเขา

ถ้ามันเป็นกองกำลังศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสวที่สะกดรอยเขา เขาคงจะหนีไปให้ไกลเท่าที่เขาจะทำได้ และไม่นำสินค้ามาขายที่เมืองแลงคาสเตอร์อีกจนกว่าเขาจะเลเวลสูงกว่านี้

แต่ถ้ามันเป็นเพียงกลุ่มคนเร่ร่อนที่รับงานเสริมเป็นนักเลง นั่นบ่งบอกระดับของคนที่อยู่เบื้องหลังได้

หลังจากที่มาร์นี่แยกทางกับหอการค้ากระดิ่งลมสีเงิน เขาก็ได้ทำการปรับปรุงกองคาราวานของเขา ตอนนี้คนขับรถและผู้คุ้มกันทั้งหมดเป็นผู้เล่น!

แม้ว่าอีวานจะเป็นเพียงคนเดียวที่เปลี่ยนคลาส แต่ผู้เล่นใหม่ที่เหลือก็ยังแข็งแกร่งขึ้นตามเวลา ตอนนี้พวกเขามีเลเวลเฉลี่ยอยู่ที่เลเวล 10 นับประสาอะไรกับผู้ลี้ภัย แม้ว่าพวกเขาจะเผชิญหน้ากับทหาร 30 คน พวกเขาก็ชนะ!

ไม่นานผู้นำของกลุ่มคนที่ไล่ตามมาร์นี่ก็สังเกตเห็นว่า ขบวนรถม้ากำลังเดินคดเคี้ยวไปมาอย่างไร้จุดหมาย เขาจึงรู้ตัวว่าพวกเขาถูกพบแล้ว แทนที่จะลอบติดตามต่อ พวกเขาตัดสินใจใช้ประโยชน์จากจำนวนที่เหนือกว่า ปิดล้อมขบวนรถม้าอย่างรวดเร็ว

แม้ว่ามาร์นี่จะได้รับแจ้งจากวิญญาณคู่หูของเขาแล้วว่ามีคนสะกดรอยตาม และไม่มีอะไรให้ต้องกังวล แต่เมื่อเขาเห็นพวกคนเร่ร่อนที่สวมเพียงผ้าขี้ริ้วตัวสั่นระริกในหิมะ กำลังตะโกนและโพสต์ท่าข่มขู่ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำตัวเป็นคนเลว…มาร์นี่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

“ท่านวิลฟ์ ข้าคิดว่าธุรกิจค้าโคคา-โคล่าของท่านดีมาก” หัวหน้ากลุ่มแต่งตัวค่อนข้างดีและมีลูกน้อง 2 คนคอยขนาบข้าง มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสมาชิกคนอื่น ๆ

พวกเขามีจำนวนมากกว่าคนของมาร์นี่อย่างน้อยสามต่อหนึ่ง พวกเขาจึงคิดว่าตนเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า ผู้นำของกลุ่มกล่าวต่อว่า “ข้าสงสัยว่าท่านสนใจที่จะเป็นหุ้นส่วนกับข้าหรือไม่? เราจะได้รวยไปด้วยกัน…”

“อ่า ไม่สนใจ” มาร์นี่ขี้เกียจทำตัวสุภาพ เขาตอบกลับอย่างห้วน ๆ

สีหน้าของอีกฝ่ายมืดลงทันที เมื่อเห็นว่ามาร์นี่ยังคงเฉยเมย น้ำเสียงของเขาก็เย็นชา “เจ้าควรคิดให้รอบคอบจะดีกว่า ตอนนี้ข้ายังเต็มใจที่จะพูดกับเจ้าดี ๆ เราสามารถแบ่งพายกันได้ หากเจ้าไม่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี ข้าอาจจะต้องใช้วิธีที่ตรงกว่านี้เล็กน้อย เพื่อชักชวนให้เจ้าแบ่งปันความลับทั้งหมดของเจ้ากับข้า!”

“อืม ข้าก็ยังไม่สนใจอยู่ดี” มาร์นี่ตอบ เขาเหมือนจะเห็นควันพวยพุ่งออกมาจากหัวของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่ามันมาจากความโกรธหรือความอับอายกันแน่

ไม่ว่ากรณีใด สิ่งนี้บ่งบอกว่าการเจรจาล้มเหลว

“จัดการมัน! เอาสิ่งที่เจ้าต้องการจากร่างกายและรถม้าของพวกมัน!” ด้วยเหตุนี้กลุ่มคนเร่ร่อนและผู้ลี้ภัยก็วิ่งเข้าหาผู้เล่น

“ข้ารู้สึกเห็นใจเจ้าจริง ๆ แต่ข้าต้องเตือนเจ้าก่อน หากพวกเจ้าลงมือกับเรา พวกเจ้าก็ต้องเตรียมใจที่จะถูกฆ่า…” ก่อนที่มาร์นี่จะได้พูดจบ คนเร่ร่อนบางคนก็พุ่งเข้ามาทำร้ายเขา

มาร์นี่ถอนหายใจอีกครั้ง

“เจ้าขอเองนะ” มองเผิน ๆ เหมือนเขาจะยอมแพ้ เขาลดมือทั้งสองข้างลงอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นเขาก็พูดเบา ๆ ว่า “ไอแอมไอรอนแมน”

ทันใดนั้นชุดเกราะสีแดงแซมทองก็บินออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้มารวมตัวกันบนร่างของมาร์นี่ พร้อมกับเสียงกลไกประกอบร่างดังกังวาน กลายเป็นชุดเกราะโลหะคลุมทั้งตัว!

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้ผู้โจมตีทั้งหลายตกตะลึง แม้แต่คนที่สั่งการให้พวกเขาโจมตีซึ่งอยู่ไม่ไกลก็ยังอ้าปากค้างด้วยความตกใจ จากนั้นเขาก็มองไปที่ชุดเกราะของมาร์นี่ด้วยความโลภ

“จาร์วิส!” มาร์นี่เรียกเบา ๆ จากนั้นวิญญาณคู่หูของเขาก็ประทับลงมาบนเกราะ กลายเป็นแสงสีฟ้าสว่างวาบออกมาจากรอยแยกของชุด

นี่เป็นเรื่องน่าสนใจที่มาร์นี่ค้นพบจากการทดลอง ถ้านักดาบวิญญาณเลือกสายทักษะดาบปีศาจ วิญญาณคู่หูของพวกเขาจะเข้าสิงอาวุธ และเพิ่มพลังโจมตีให้กับทักษะได้

แต่ความจริงแล้วยังมีสายทักษะหนึ่งในคลาสวอร์ริเออร์ ที่จะทิ้งดาบและโจมตีศัตรูด้วยมือเปล่า ตัวอย่างทักษะที่ใช้กันบ่อย ๆ ก็คือ ‘ซูเพล็กซ์’ ที่เรียนรู้ได้ตอนเลเวล 3

หากผู้เล่นสายดาบปีศาจไม่ได้ติดตั้งดาบ เทคนิคการเพิ่มพลังจะทำได้ยังไง? คำตอบก็คือมันจะเข้าสิงชุดเกราะของผู้เล่น เมื่อเกราะถูกมองว่าเป็น ‘อาวุธ’ มันจะช่วยเพิ่มคุณสมบัติของชุดเกราะได้อย่างมาก และเมื่อใช้ทักษะมือเปล่าเช่นซูเพล็กซ์ พลังโจมตีของทักษะก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก!

นี่คือเส้นทางลับที่มาร์นี่ได้มาจากทดลอง

นอกจากนั้นตอนที่เขาสร้างสัญญากับวิญญาณคู่หูของเขาครั้งแรก ‘จาร์วิส’ เป็นชื่อที่ระบบแนะนำ และเนื่องจากเขาคิดว่ามันฟังดูดี เขาจึงไม่ได้เปลี่ยนชื่อ

“ฝ่ามือเหล็ก! หมัดดาวตก! เขี้ยวมังกร! โอร่าาาา! โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า เจ้าตายแล้ว!”

ด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว ร่างในชุดเกราะสีแดงแซมทองปลดปล่อยการโจมตีต่อเนื่องไปยังกลุ่มคนที่พุ่งเข้ามา

หัวหน้าของพวกเขาเห็นเพียงหมัดของมาร์นี่กลายเป็นภาพเบลอแยกออกมาหลายหมัด จากนั้นคนที่เข้ามาใกล้มาร์นี่ก็ตัวระเบิด เลือดกระจาย!

ไม่ใช่แค่มาร์นี่เท่านั้น ผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็เคยเป็นผู้ลี้ภัยเหมือนกับศัตรูของพวกเขา แต่เพราะเคยเป็นผู้ลี้ภัยมาก่อน พวกเขาจึงเข้าใจดีว่าชีวิตใหม่ของพวกเขามีค่าเพียงใด พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ใครมาเอามันไปจากพวกเขาเพียงเพราะความสงสาร ดังนั้น พวกเขาจึงฆ่าผู้ลี้ภัยเหล่านี้โดยไม่ลังเล

ทั้งสองฝ่ายเทียบกันไม่ได้เลย ไม่นานฝ่ายศัตรูก็ได้รับความสูญเสียอย่างหนัก

ไม่เว้นแม้แต่บอดี้การ์ดของหัวหน้ากลุ่มที่มีอุปกรณ์สุดหรู พวกเขาไม่อาจสู้ 1-1 กับผู้เล่นได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่พวกเขากลับมีประสบการณ์ต่อสู้จริงเพียงเล็กน้อย ดังนั้นพวกเขาจึงถูกสังหารโดยผู้เล่นที่ผ่านการต่อสู้แลกชีวิตมาแล้วอย่างโชกโชนได้อย่างง่ายดาย

“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว เจ้าไม่สามารถฆ่าข้าได้ ข้า…ข้าสามารถให้เงินเจ้าได้…” ในที่สุดหัวหน้ากลุ่มก็เข้าใจสถานการณ์ของเขา

แต่เมื่อเห็นว่าคำอ้อนวอนของเขาไร้ผล เขาจึงรีบหันหลังหนี ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่รอด มาร์นี่จับเขาไว้ได้อย่างง่ายดาย

เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถหลบหนีได้ เขาจึงคำรามใส่มาร์นี่อย่างโกรธเกรี้ยว “รอก่อนเถอะ…พ่อของข้าจะล้างแค้นให้ข้าแน่!” พูดจบ ร่างของเขาก็พองออกอย่างรวดเร็วเหมือนลูกโป่ง

มาร์นี่รู้สึกได้ถึงอันตราย เขาพยายามหนีออดมาจากจุดนั้น แต่แล้วร่างของชายคนนั้นระเบิดออก ถ้าไม่ใช่เพราะหน้ากากเต็มหน้าที่เขาสวมอยู่ หน้าเขาอาจถูกเลือดสีดำสาดเข้าเต็ม ๆ ไปแล้ว

“ข้า…ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะชั่วร้ายขนาดนี้” มาร์นี่บ่นพึมพำเสียงเศร้า

หลังจากศัตรูคนสุดท้ายล้มลง อีวานก็เดินเข้าไปดูมาร์นี่แล้วถามออกมาอย่างสงสัย “เอ๊ะทำไม HP เจ้าถึงลดลง”

“อะไร? เชี่ย! ข้าได้รับพิษตอนไหน อ่า…เลือดไอ้เชี่ยนั่นมีพิษ! ให้ตายเถอะ ข้าตายอีกแล้ว…”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ มาร์นี่ก็ล้มลงเอาหน้าฟาดพื้น

ขณะที่ผู้เล่นกำลังเตรียมรับมือชุมนุมลับดวงตาที่ชายฝั่งทะเล ห่างออกไปร้อยไมล์ในเมืองแลงคาสเตอร์ ก็ได้มีคลื่นใต้น้ำ*เกิดขึ้น

(คลื่นใต้น้ำ เหตุการณ์วุ่นวายภายใน แต่ภายนอกดูเสมือนสงบเรียบร้อย)

ถนนแบล็คเฟอร์เรท ย่านตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง ติดกับกำแพงเมืองชั้นนอก มอบแวบแรกที่นี่ไม่มีอะไรให้น่าสนใจเลย

แต่ผู้รู้ก็สามารถบอกได้ทันทีว่า นี่คือที่ที่คุณจะได้พบตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองแลงคาสเตอร์ บ้านเลขที่ 58 ‘เดอะโกลเด้นโรส’ เป็นชื่อที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ผู้จัดการอัลแวนเค่นซึ่งเป็นเจ้าของตลาดมืด เขาเป็นผู้มีอิทธิพลและมีเพื่อนมากมาย เพื่อนของเขามักจะจัดหาของเถื่อนจากทุกมุมโลกมาไว้ที่นี่

ว่ากันว่า ‘เดอะโกลเด้นโรส’ เป็นสถานที่ที่คุณสามารถซื้อได้ทุกอย่างหากมีเงิน

แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่า อัลแวนเค่นเป็นสาวกของ ‘โซธอส’ เทพเจ้าแห่งสมุนไพรและยาพิษ แต่เดิมเขาเป็นแค่พ่อค้าที่ขายโพชั่นราคาถูกกว่าที่ศาสนจักรขาย

เทพเจ้าแห่งสมุนไพรและยาพิษ เป็นเทพภายใต้เทพเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ ที่มีศักดิ์เทียบเท่ากับเทพกะโหลก เขามีพลังมากกว่าเทพใหม่อย่างซีเว่ยมาก

แต่เทพเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุกับเทพเจ้าแห่งสมุนไพรและยาพิษ ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทะเลาะวิวาทของเทพเจ้าองค์อื่น ๆ เลย เพราะตราบใดที่ยังมีคนรวบรวมสมุนไพร ปรุงยา และยาพิษ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าตนจะสลายหายไป ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเอาตัวเองเป็นใหญ่ และสั่งให้ผู้ศรัทธาปฏิบัติตามนิสัยของเขา

แต่แค่เพราะเทพเจ้าเป็นปลาเค็ม*นั่นไม่ได้แปลว่าจะสาวกของเขาจะเป็นปลาเค็มไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นผู้จัดการอัลแวนเค่นคนนี้

(ปลาเค็ม 咸鱼 ในภาษาจีนมีความหมายแฝง หมายถึง คนไร้ความสามารถ ขี้แพ้ ขาดความฝัน ใช้ชีวิตแบบไร้จุดหมาย)

เขาใช้ประโยชน์จากเพื่อนร่วมศาสนา 2-3 คน ทำให้เขาได้รับตำแหน่งที่สูงมากในศาสนจักรได้อย่างง่ายดาย และเขาก็ได้เข้าควบคุมการดำเนินงานทั้งหมดของศาสนจักร เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจและเส้นสายของเขาเอง

หากธุรกิจยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่น เขาก็อาจจะกลายเป็นมหาเศรษฐีระดับทวีป

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่โลกที่คุณจะสามารถพิชิตได้ด้วยธุรกิจเพียงอย่างเดียว วิธีการที่เขาดำเนินธุรกิจมักจะขัดแย้งกับผลประโยชน์ของหลาย ๆ ฝ่าย ครั้งหนึ่งเขาเคยสะดุดเข้ากับผู้มีพลังอันไร้ขีดจำกัด ที่ชอบการกระทำมากกว่าคำพูด และความอดทนเป็นศูนย์…อัลแวนเค่นไม่มีโอกาสได้ขอโทษก่อนที่เขาจะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ เขาวิ่งหนีหางจุกตูดมาที่เมืองแลงคาสเตอร์ และได้แต่อาศัยอยู่ในเงาของตลาดมืดมาจวบจนปัจจุบัน

โชคดีที่ช่วงปีแรก ๆ ของการทำงานหนักไม่ได้สูญเปล่า ด้วยเส้นสายจากศาสนจักรของเทพเจ้าแห่งสมุนไพรและยาพิษที่เขามี และเพื่อนที่ซื่อสัตย์จำนวนมาก ทำให้เขาสามารถจัดหาวัสดุได้ในราคาถูก อัลแวนเค่นจึงสามารถทำผลงานได้ดีและได้รับกำไรมหาศาลทุกวัน ในบรรดาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ สินค้าขายดีของเขาคือ ‘โพชั่นชีวิต’ ที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และ ‘โพชั่นพลัง’ ที่สามารถทำให้จิตใจสดชื่นและมีพลัง

แต่ถึงกระนั้น ธุรกิจของเขาก็ชะลอตัวลงใน 2 วันที่ผ่านมา

เมื่อเห็นห่านทองคำของเขาท้องผูก เขาก็ไม่สามารถอยู่เฉยได้ เขาได้มอบหมายให้มือดีที่สุดในแลงแคสเตอร์ ค้นหาต้นตอที่แท้จริงของปัญหานี้

สองวันผ่านไปในพริบตา อัลแวนเค่นที่กำลังงีบหลับในร้าน จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงกระดิ่งดังที่ประตูหน้าร้าน

พอเขาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นชายหนุ่มร่างผอมแห้ง ในเสื้อคลุมหนังสีดำตัวหนาและหมวกขนสัตว์เดินเข้ามาในร้าน

ดวงตาของอัลแวนเค่นสว่างขึ้น “แลงค์ เจ้าหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้แล้วหรือ”

เด็กหนุ่มปัดเศษหิมะออกจากแขนเสื้อและยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “แน่นอน ไม่งั้นข้าจะมาหาท่านทำไม”

สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังขณะที่เขานั่งลงต่อหน้าอัลแวนเค่น และอธิบายภาพรวมของสถานการณ์ “จากการตรวจสอบของข้า จู่ ๆ ก็มีโพชั่นใหม่ 2 ตัวโผล่ขึ้นมาในตลาด มันมีผลคล้ายกับสินค้าขายดีของท่าน แต่ราคาถูกกว่า นั่นคือสาเหตุที่ท่านสูญเสียลูกค้าไปอย่างกระทันหัน”

ชายหนุ่มหยิบขวดเล็ก ๆ สองขวดจากในเสื้อโค้ทออกมา ขวดหนึ่งเต็มไปด้วยของเหลวสีแดง อีกขวดเป็นสีน้ำเงิน และหากมองใกล้ ๆ จะเห็นฟองอากาศพุดขึ้นมาเล็กน้อย

“นี่คือโพชั่น 2 ตัวนั้น” เด็กหนุ่มที่ชื่อแลงค์พูดว่า “โพชั่นสีแดงชื่อว่า ‘โพชั่นรักษาแบบใช้ครั้งเดียว’ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘โคคา-โคล่า’ เช่นเดียวกับโพชั่นชีวิต มันสามารถใช้รักษาอาการบาดเจ็บได้ระดับหนึ่ง และผลของมันจะปรากฏในไม่กี่วินาที และไม่มีผลต่อคำสาป โรคร้าย และพิษ

“โพชั่นสีน้ำเงินชื่อว่า ‘โพชั่นฟื้นฟูจิตขนาดเล็กแบบใช้ครั้งเดียว’ หรือ ‘เป๊บซี่-โคล่า’ มันคล้ายกับโพชั่นพลัง มันไม่มีผลกับคนทั่วไป แต่มันเป็นที่ต้องการอย่างมากในหมู่ผู้วิเศษ”

“ข้าไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่างชื่อเต็มของมันกับชื่อเล่นเลย…” อัลแวนเค่นพึมพำ

“ข้าได้ยินคนที่ขายโพชั่นพวกนี้อธิบายสั้น ๆ ว่า ‘เขาเรียกกันมาแบบนั้น’ อันนี้ข้าก็เลยไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงเหมือนกัน”

“หึ เคล็ดลับราคาถูก”

แม้ว่าเขาจะพูดแบบนั้น แต่ในใจอัลแวนเค่นก็คิดว่า ไม่แปลกใจเลยที่โบสถ์สีขาวอันสว่างไสว ที่เป็นผู้จัดจำหน่ายโพชั่นระดับสูง ดูเหมือนจะไม่ตอบสนองต่อเรื่องนี้ ด้วยข้อจำกัดของโพชั่นเหล่านี้ ทำให้พวกมันด้อยกว่าโพชั่นของพวกเขา จึงไม่เป็นภัยคุกคามต่อการค้าโพชั่นระดับสูง ไม่แปลกใจเลยที่โพชั่นสีน้ำเงินจะได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้วิเศษ แม้แต่โพชั่นพลังของเขาเองก็ไม่เคยเป็นที่ต้องการของคนทั่วไป มีเพียงผู้วิเศษเท่านั้นที่เต็มใจจ่ายเงินเพื่อมัน

อัลแวนเค่นวางโพชั่นไว้ที่เคาน์เตอร์ จากนั้นเขาก็นำแว่นตาข้างเดียวของเขาออกมาเพื่อดูมันใกล้ ๆ

ในฐานะผู้ศรัทธาระดับสูงที่ห่างจากการเป็นอัครมุขนายกของเทพเจ้าแห่งสมุนไพรและยาพิษเพียงก้าวเดียว เขามีความสามารถในการแยกแยะส่วนผสมของโพชั่นได้ และเวทมนตร์ที่สลักอยู่ในแว่นตาข้างเดียวของเขาก็มหัศจรรย์มาก

น่าแปลกที่ไม่ว่าเขาจะใช้เทคนิคการวิเคราะห์แบบใดกับโพชั่น 2 ตัวนี้ ผลลัพธ์ทั้งหมดที่เขาได้ก็ชวนให้สับสนมาก

ส่วนผสมของโพชั่นสีแดงคือ ‘หญ้าโอสถ, น้ำผึ้ง , น้ำ’ ส่วนผสมของโพชั่นสีน้ำเงินคือ ‘ดอกมานา, น้ำผึ้ง , น้ำ’

อัลแวนเค่นคุ้นเคยกับหญ้าโอสถและดอกมานา หญ้าโอสถเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการทำให้เลือดแข็งตัวและบรรเทาอาการปวด มันเป็นสมุนไพรชนิดแรกที่ทุกคนรู้จัก ถูกใช้ในยารักษาโรคเกือบทุกชนิด ดอกมานามีลักษณะคล้ายกับใบมินต์ ซึ่งให้ความสดชื่นและสงบ มีประโยชน์ในการทำสมาธิ

ไม่ต้องพูดถึงน้ำผึ้งกับน้ำ

มันก็แค่น้ำเชื่อมในสมุนไพร มันไม่สามารถสร้างผลกระทบที่มีศักยภาพเช่นนี้ได้

“แต่ละขวดขายราคาเท่าไหร่” เขาถามขณะที่ถอดแว่นตาออก

“ทั้งสองขวดราคาขวดล่ะ 150 ริออน” แลงค์ตอบ

“ถูกกว่าไม่มาก” อัลแวนเค่นพึมพำ “มันเป็นที่นิยมได้ยังไง?”

เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วไป หากสินค้า 2 ชิ้นนี้มีราคาและคุณภาพเท่ากันในเชิงประมาณ คนส่วนใหญ่จะยึดติดกับสิ่งที่คุ้นเคย มันไม่น่ามาแทนที่โพชั่นของเขาในตลาดได้ง่าย ๆ แบบนี้

“อืม…” เด็กหนุ่มดูลังเลขณะที่เขากระซิบว่า “ข้าได้ยินมาว่ามันอร่อยมาก”

“อร่อย?”

อัลแวนเค่นขมวดคิ้ว เขาเปิดขวดสีน้ำเงิน ก่อนอื่นเขายกมันขึ้นมาดมอย่างระมัดระวัง แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ ด้วยความกล้าที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน เขาจึงดื่มมันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ปล่อยเสียงเรออันยาวนานและทรงพลังออกมา

นอกเหนือจากผลทั่วไปของโพชั่นแล้ว สีหน้าของอัลแวนเค่นยังมีความสุขมาก

ผ่านไปสักพัก ใบหน้าของเขาก็บูดบึ้งอีกครั้ง

รสชาติกับความรู้สึกที่ได้รับตอนดื่มนั้นยอดเยี่ยมมาก และผลของมันก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าโพชั่นของเขายอดขายลดลงในชั่วข้ามคืนได้ยังไง ที่แย่ไปกว่านั้นคือ มันคงยากที่เขาจะคัดลอกโพชั่นสูตรนี้ รสชาติสามารถใช้สมุนไพรหลายชนิดเพื่อปรับปรุงได้ แต่ผลของความสดชื่นและฟองที่ระเบิดในปากขณะดื่มนี่เกิดขึ้นได้ยังไง? แม้ว่าเขาจะสามารถคัดลอกได้ แต่ต้นทุนการผลิตก็ต้องสูงขึ้นอย่างแน่นอน

เมื่อเขาคิดว่าคู่แข่งรายนี้ขายสินค้าเหล่านี้ได้อย่างไรในราคาที่ต่ำกว่าสินค้าของเขา…ถ้าเขาขึ้นราคาเพียงเพื่อให้มันมีรสชาติที่ดีขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นจะเป็นการขุดหลุมฝังศพตัวเอง

แต่เขาก็จะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้!

คิดแล้ว อัลแวนเค่นก็กวักมือเรียกเด็กหนุ่มเข้ามาใกล้ ๆ “ข้ามีงานใหม่ให้เจ้าทำ…”

ไม่มีไลฟ์สโตนในหมู่บ้านมนุษย์กบ และ NPC ใด ๆ ที่จะทำการคืนชีพให้พวกเขา ผู้เล่นสามารถวางชีวิตไว้ในมือผู้เล่นเครลิคที่มีทักษะชุบชีวิตได้เท่านั้น

หากศพของพวกเขาได้รับความเสียหายมากเกินไป ทักษะชุบชีวิตจะไม่มีผล อย่างน้อยก็ต้องเหลือศพครึ่งหนึ่งที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่เช่นนั้น ผู้เล่นจะต้องรอ 3 วันและไปฟื้นคืนชีพใกล้ ๆ ไลฟ์สโตน

ตอนนี้ผู้เล่นเกือบทุกคนเคยประสบกับความตายกันมาแล้ว แต่ส่วนใหญ่พวกเขาจะมีเครลิคอยู่ใกล้ ๆ เพื่อชุบชีวิตพวกเขา หรือหากตายในกิจกรรมบุกจู่โจมลัทธิกระดูกเน่าครั้งที่แล้ว พวกเขาก็สามารถฟื้นขึ้นมาใกล้ ๆ ลีอาได้ทันที จึงมีผู้เล่นเพียงไม่กี่คนที่ได้สัมผัสกับการรอ 3 วันเพื่อฟื้นคืนชีพ

แน่นอนว่าผู้เล่นที่ผ่านมันมาแล้วจะไม่กล้าตายโง่ ๆ อีก

เพราะหลังจากที่พวกเขาตาย พวกเขาก็จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ยชั่วคราว แต่ในฐานะที่ซีเว่ยเป็นเทพเจ้า ซีเว่ยจึงให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของเขามาก เขาจะไม่ปล่อยให้ผู้ศรัทธามาเดินเพ่นพ่านในพื้นที่ของเขาอย่างอิสระแน่นอน เขาเลยจัดสรรพื้นที่เล็ก ๆ ไว้ให้ผู้ติดตามของเขารอเวลาพื้นคืนชีพ

แต่ปัญหาคือผู้เล่นยังคงมีสติอยู่ในช่วงเวลานั้น เนื่องจากซีเว่ยไม่มีอิทธิเกี่ยวกับกาลเวลา นั่นหมายความว่าผู้ศรัทธาที่โชคร้ายเหล่านั้นจะถูกกักขังอยู่ในห้องขังมืด ๆ เล็ก ๆ เป็นเวลา 3 วันตามเวลาจริง และตลอดช่วงเวลานั้น พวกเขาจะไม่สามารถขยับแขน ขา หรือแม้แต่มองไปรอบ ๆ ได้ มันเป็นความเจ็บปวดที่คุณไม่สามารถเข้าใจได้ คุณจะเข้าใจมันได้ก็ต่อเมื่อเจอกับมันตรง ๆ เท่านั้น

หากไม่ใช่เพราะผู้เล่นมีศรัทธาที่มั่นคงในตัวซีเว่ย ในเทพเจ้าแห่งเกม และมีความแข็งแกร่งทางจิตใจที่เพิ่มขึ้น ทำให้พวกเขามีพลังใจเกินกว่าค่าเฉลี่ยของคนทั่วไปบนโลก…ผู้เล่นเหล่านั้น บางทีอาจจะแปลกไปเล็กน้อยหลังจากที่พวกเขาฟื้นคืนชีพกลับมา

ซีเว่ยตระหนักถึงปัญหาและมีการเตรียมการแก้ปัญหาเอาไว้แล้ว แต่สถานการณ์ในปัจจุบันยังไม่ค่อยเอื้อเท่าไหร่

มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างแท้จริง สำหรับซีเว่ยและอาณาจักรศักดิ์สิทธิของเขา

หากเขาไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติในหมู่บ้านมนุษย์กบ…ถ้าเขาไม่ได้สนใจการสนทนาของลีอากับหัวหน้าหมู่บ้านมนุษย์กบ และปล่อยให้ผู้ศรัทธาของเขาสร้างไลฟ์สโตนขึ้นที่นั่น อ่า ก่อนหน้านี้เขายังคิดว่าคงจะดีไม่น้อยหากที่นี่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในอนาคต…

แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินเรื่องราวของมนุษย์กบแล้ว…มันก็ทำให้เขาอยู่ในจุดที่ยากลำบาก

แม้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านมนุษย์กบจะไม่ได้พูดตรง ๆ แต่ความหมายก็ชัดเจนพอแล้ว ใต้หมู่บ้านนี้อาจเป็นที่ฝังศพของเจ้าแห่งน้ำ หลังจากที่เขาตายในสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งสุดท้าย!

คำอธิษฐานของมนุษย์กบจะต้องถูกซากของเทพเจ้าผู้ล่มสลายนั้นดูดซับมาเกือบพันปีแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมนุษย์กบมีจำนวนน้อยมาก และพลังศรัทธาของพวกเขาก็มีค่าน้อยกว่ามนุษย์ ตอนนี้เทพเจ้าองค์ใหม่อาจปรากฏขึ้นจากซากศพของเจ้าแห่งน้ำไปแล้ว

ในกรณีนี้การสร้างไลฟ์สโตนในหมู่บ้านมนุษย์กบ ก็เหมือนกับการเปิดไนท์คลับทับหลุมศพเจ้าแห่งน้ำ และหากเขายังเชิญชวนผู้เล่นมากระโดดข้ามหลุมศพ…มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนตายลุกออกมาจากโลง!

“ถ้าฉันตั้งให้ลีอาเป็นจุดคืนชีพอีกครั้งล่ะ? ไม่ ฉันทำไม่ได้ ครั้งนี้มีพวกมือใหม่บ้าบอเยอะเกินไป ถ้าฉันทำแบบเดียวกับครั้งที่แล้ว พวกเขาจะให้ฉันเค้นพลังงานมาจากไหนอีก งานนี้ฉันจ่ายไม่ไหว” ซีเว่ยถอนหายใจ “ช่างเถอะ ตอนนี้มาลองทำทุกอย่างที่คิดได้ก่อนแล้วกัน”

ผู้เล่นในโลกเบื้องล่างไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเทพเจ้าของพวกเขาเลย พวกเขาต่างก็คึกคักเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงคราม และยังคงสำรวจรอบ ๆ บ้านของมนุษย์กบ

แต่ก่อนที่ศัตรูจะโจมตี ระบบก็ได้อัปเดตเควส

“เชี่ยเอ้ย! คราวนี้มีศัตรูแค่ 67 คนจริงดิ แล้วแต่ละคนก็มีค่าหัวไม่เท่ากันด้วย!”

“ให้ข้าดูก่อน…การกำจัดเป้าหมายจะทำให้เราได้รับ ‘คะแนนสะสม’ นี่มันไม่เหมือนกับ ‘คะแนนแก้แค้น’ ครั้งที่แล้วเหรอ?”

“ไม่ ครั้งนี้คะแนนไม่เพียงจะใช้แลกไอเทมได้เท่านั้น ผู้เล่น 10 อันดับแรกที่มีคะแนนสูงสุดยังได้รับรางวัลพิเศษด้วย!”

“เพื่อน ‘แส้ดำ’ คนนี้มีค่าหัวสูงมาก!”

“คราวนี้เราได้รับแผนที่เต็มมาเลยแฮะ ครั้งนี้เราไม่จำเป็นต้องสำรวจแผนที่เองเหรอ”

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ ในนี้มันยังบอกว่าจุดสีเขียวคือผู้เล่น และจุดสีแดงคือศัตรู พวกศัตรูไม่มีความหวังเลยที่จะลอบโจมตีเรา!”

“จัดปาร์ตี้! จัดปาร์ตี้! ข้าชาโดว์โร๊คเวล 22 มอบลาสช็อตให้กับข้า เมื่อข้าติดอันดับท็อป 10 ทุกคนในทีมจะได้รับส่วนแบ่งรางวัล!”

“ปาร์ตี้นักดาบวิญญาณเลเวล 18 ข้าสามารถแทงค์ได้ ทำ DPS* ได้ ปาร์ตี้ข้าไม่เอาเรนเจอร์!”

(DPS (Damage Per Second) อัตราการสร้างความเสียหายต่อวินาที)

“เจ้าเป็นอะไรกับเรนเจอร์? พวกเรนเจอร์ฆ่าแมวเจ้าเหรอ!”

ด้วยข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับศัตรูที่ซีเว่ยให้มา ตอนนี้ผู้เล่นรู้สึกว่าตัวเองมีญาณทิพย์และกำลังหาปาร์ตี้กันวุ่นวาย พวกเขากำลังเจรจาเรื่องค่าหัว แบ่งว่าปาร์ตี้ไหนจะจัดการกับศัตรูตัวไหน

เมื่อเห็นขวัญกำลังใจของผู้เล่นเพิ่มขึ้น ซีเว่ยก็รู้สึกโล่งใจ หวังว่าพวกเขาจะทำได้ดีในการต่อสู้ครั้งนี้

การสร้างรางวัลเควสจะทำให้เขาต้องเสียพลังงานไปบางส่วน มันเป็นค่าใช้จ่ายจำนวนมากจริง ๆ แต่เมื่อเทียบกับการที่เขาต้องใช้พลังงานไปกับการตายของผู้เล่นแล้ว มันก็ประหยัดกว่ามาก

แม้งานนี้เขาจะมีโอกาสขาดทุน แต่การต่อสู้ครั้งนี้ก็จำเป็น มันไม่ใช่เพราะเขาอยากปกป้องมนุษย์กบอะไรหรอก ซีเว่ยไม่ใช่องค์กรพิทักษ์สัตว์ ถ้าเขาจะต้องปกป้องสิ่งมีชีวิตอื่นจริง ๆ พวกมันก็ต้องน่ารักพอ และมันต้องไม่มีประโยชน์ในการต่อสู้ด้วย บางทีมันอาจจะเป็นพาหนะอย่างพวกสัตว์ขี่ แต่โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งที่เขาอยากปกป้องคงไม่มีอะไรเหมือนกับคางคกลื่น ๆ พวกนี้แน่

สิ่งที่เขาหวังไว้คือซากศพของเจ้าแห่งน้ำ ซึ่งอาจจะถูกฝังอยู่ใต้หมู่บ้านมนุษย์กบ หากเขาสามารถดูดซับพลังที่เหลืออยู่ของเทพเจ้าตนนี้ได้ มันอาจจะมีประโยชน์มหาศาล และยกเขาให้อยู่เหนือเทพระดับล่างตนอื่น ๆ ได้

ถ้าเขาทำสำเร็จ แม้ว่าเทพกะโหลกจะรวบรวมผู้รอดชีวิตจากลัทธิกระดูกเน่าที่เหลืออยู่มาสู้กับเขา ซีเว่ยก็น่าจะงัดข้อกับเขาได้

แม้ว่าศรัทธาจำนวนมากของมนุษย์กบที่สะสมมานานนับพันปีจะมีความหมาย และเรื่องราวก็น่าเศร้ามาก แต่เขาก็ต้องก้าวไปต่อไปเช่นกัน และศรัทธาคือเชื้อเพลิงของเทพเจ้า

“เมื่อผู้เล่นพวกนั้นไล่ชุมนุมลับดวงตาไปแล้ว ฉันจะให้เอลีน่าสวมบทบาทเป็นนักบวช และแจ้งให้มนุษย์กบทราบว่าเทพเจ้าของพวกเขาจะมาอวยพรพวกเขา…” ซีเว่ยเริ่มวางแผนอย่างลับ ๆ

“จากนั้นก็ชักชวนให้พวกเขาสร้างบ้านสัก 2-3 หลัง…ใช่ เพราะหาดทรายไม่ค่อยมั่นคง ไม่เหมาะจะสร้างบ้าน ดังนั้นเราจะต้องขุดดินขึ้นมา นี่สมเหตุสมผลมาก แม้ว่าจะมีบางสิ่งแปลก ๆ เช่นซากศพเทพเจ้าถูกขุดขึ้นมาและหายไปในแสงสว่าง…ฉันแน่ใจว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่ามีอะไรแปลก ๆ แน่นอน”

ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น

“ใช่เลย ไม่ว่าการขุดจะเกิดขึ้นจากสาเหตุอะไรก็ช่าง ตราบใดที่ฉันเก็บมันได้เร็วพอ ก็จะไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น!”

สำหรับความเป็นไปได้ที่จะขุดไม่เจออะไรเลย ซีเว่ยก็ต้องยอมรับว่าเขาเสียเวลาเปล่า

เมื่อมีผู้เล่นเข้ามามากขึ้น หมู่บ้านมนุษย์กบก็แออัดมาก

เนื่องจากมีเอลีน่าและหัวหน้าหมู่บ้านอยู่ ทำให้มนุษย์กบสงบลง พวกเขาเฝ้าดูผู้เล่นวิ่งไปรอบ ๆ หมู่บ้านด้วยความอยากรู้เอยากเห็น บางครั้งพวกเขาก็เห็นผู้เล่นบางคนขุดหาสมบัติในทะเล แต่คนพวกนี้ก็ไปได้ไม่ไกลก่อนจะถูกสัตว์ประหลาดในทะเลโผล่ออกมาจับกิน

ถ้าไม่ใช่เพราะอากาศหนาวจัดและมีหิมะหนา ๆ กองอยู่บนพื้น ผู้เล่นอาจเปลี่ยนชายหาดให้กลายเป็นแหล่งขุดค้นทางโบราณคดี เพื่อดูให้แน่ใจว่าจะไม่มีปูสักตัวเดียวหนีรอดไปได้

ไม่ใช่ว่ามนุษย์กบไม่เคยเห็นมนุษย์มาก่อน แต่ผู้เล่นเหล่านี้แตกต่างจากคนทั่วไปอย่างมาก

พวกเขาจะไปตายอย่างกระตือรือร้นได้ยังไง? ทำไมพวกเขาถึงอยากฆ่าตัวตายด้วยวิธีการพิสดารเหล่านี้? พวกมนุษย์กบไม่รู้และไม่กล้าถาม พวกเขาได้แต่ปล่อยให้ผู้เล่นทำตามที่พวกเขาพอใจ

ความจริงถ้าไม่ใช่เพราะซีเว่ยได้กำหนดให้มนุษย์กบกลายเป็นพันธมิตรล่วงหน้า ให้ผู้เล่นไม่สามารถโจมตีพวกเขาได้…ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้เล่นบางคนอาจกำลังหาวิธีทดสอบพวกเขา และปักมีดของพวกเขาบนหัวมนุษย์กบผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่

โชคดีที่การมาถึงของเจ้าหญิงลีอา ทำให้การแสดงตลกต่าง ๆ ของผู้เล่นยุติลง

เนื่องจากพวกเขาจำได้ว่าเธอเป็น NPC ผู้ออกเควสกิจกรรมครั้งที่แล้ว และจำท่าทางที่งดงามของเธอในตอนท้ายของกิจกรรมได้ เจ้าหญิงจึงได้รับความเคารพในหมู่ผู้เล่นที่มีประสบการณ์ และผู้ลี้ภัยที่มาใหม่ก็อยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของผู้เล่นที่มีประสบการณ์เหล่านี้ พวกเขาจึงได้รับอิทธิพลมาด้วยไม่มากก็น้อย คำพูดของเธอจึงมีน้ำหนักมากในใจของผู้เล่น

ตรงกันข้ามกับแองโกร่าที่ไม่เคยมีอิทธิพลเช่นนี้กับผู้เล่น เขาเกือบจะน้ำตาไหล เขาอยู่ที่นั่นตลอด นำพวกเขา ฝึกฝนพวกเขา…เขาทำทุกอย่าง แต่เทียบอะไรกับเธอไม่ได้เลย! บ้าเอ้ย!

หลังจากที่ผู้เล่นสงบลงแล้ว เอ็ดเวิร์ดก็แนะนำเจ้าหญิงลีอาให้กับหัวหน้าหมู่บ้านมนุษย์กบ

แน่นอนว่าผู้เล่นหลายคนได้สังเกตเห็นเผ่ามนุษย์กบที่หน้าตาแปลกประหลาดเหล่านี้แล้ว ผู้เล่นที่กล้าหาญบางคนอยากจะลองสำรวจพวกมนุษย์กบ แต่ก็ถูกเอ็ดเวิร์ดและคนอื่น ๆ ไล่พวกเขาออกไปไม่ให้มายุ่งวุ่นวายใกล้ ๆ พวกกบ

“สวัสดีท่านผู้เฒ่า ข้าคือลีอา•ยาการัน เจ้าหญิงแห่งเทียร์ร่า”

หลังจากที่คุณปู่นายทะเบียนซึ่งเคยรับงานเสริมอย่างการสอนมารยาท ก้าวเข้ามาเพื่อสั่งสอนเจ้าหญิงลีอาถึงมารยาทที่เหมาะสมในฐานะสตรีสูงศักดิ์จากเทียร์ร่า หลังจากที่เธอได้พบกับผู้นำเผ่าอื่น เธอจึงหยิบมารยาทของราชวงศ์ออกมาใช้

“ยินดีต้อนรับเจ้าหญิงมนุษย์ เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับท่านในสถานที่ที่แห้งแล้งเช่นนี้” หัวหน้าหมู่บ้านมนุษย์กบพูดช้า ๆ “ที่นี่ไม่มีหญ้าสักต้นมาต้อนรับท่าน หมู่บ้านของเราแห้งแล้งจริง ๆ ฮ่าฮ่า…” หัวหน้าหมู่บ้านมนุษย์กบหัวเราะเบา ๆ

ลีอาทำได้เพียงยิ้มอย่างสุภาพ “ก็มันเป็นหาดทรายนี่คะ”

หัวหน้าหมู่บ้านพูดหลายอย่าง แต่เนื้อหาที่เขาพูดส่วนใหญ่จะไร้ความหมาย

หากชายชรา…กบชรา ยังคงยังพูดต่อไปเช่นนี้ พวกเขาก็คงคุยกันไม่จบก่อนพระอาทิตย์ตกดิน

ดังนั้นเด็กสาวจึงเป็นฝ่ายเริ่มพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าอาจจะหยาบคายเล็กน้อยและทำให้ท่านไม่พอใจ แต่ข้าต้องรู้ ว่าทำไมท่านถึงเลือกที่จะสู้กับกับศัตรูที่ไม่มีทางชนะอย่างสิ้นหวังอยู่ที่นี่ แทนที่จะละทิ้งชายหาดแห่งนี้ไป”

ชายฝั่งทะเลของเกรย์ฟยอร์ดตรงนี้มันสำคัญกับชุมนุมลับดวงตา เพราะมันคือช่องทางขนของเถื่อนของพวกเขา พวกเขาต้องการสร้างท่าเรือที่นี่แบบลับ ๆ

แต่นอกเหนือจากความได้เปรียบทางภูมิประเทศแล้ว ชายหาดนี้ก็ไม่มีอะไรคุ้มค่าเลย ไม่มีแร่ธาตุอยู่ใต้พื้นดิน ไม่เหมาะสำหรับการปลูกพืชในทรายเปียก…แม้จะมีการตกปลาในพื้นที่น้ำตื้น แต่ถ้าอยู่ไกลออกไปในทะเล คุณก็จะถูกสัตว์ประหลาดรุมฆ่า

เช่นเดียวกับที่หัวหน้าหมู่บ้านเคยกล่าวไว้ มันเป็นสถานที่ที่แห้งแล้ง

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอสงสัย ว่าทำไมพวกมนุษย์กบจึงเลือกที่จะอยู่ต่อ เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีของชุมนุมลับดวงตา

เท่าที่เธอทราบ มนุษย์กบไม่ใช่ชนเผ่าประเภทที่จะยึดติดกับผืนดินใด ๆ มากเกินไป เนื่องจากพวกเขาสามารถดำน้ำได้ดีกว่า พวกเขาจึงสามารถหนีจากชุมนุมลับดวงตาได้ และยังหาบ้านหลังใหม่ตามแนวชายฝั่งได้ง่าย ๆ

หากพวกเขาสามารถบอกเรื่องนี้กับเธอได้ เธออาจจะวางแผนได้ดีกว่านี้ เช่นช่วยย้ายหมู่บ้านมนุษย์กบไปอยู่ที่อื่น จากนั้นก็ปล่อยหมู่บ้านให้ร้างและใช้มันเพื่อซุ่มโจมตีชุมนุมลับดวงตา หากเวลาเอื้ออำนวย พวกเขาก็สามารถสร้างกำแพงป้องกันและกับดักได้

มนุษย์กบเงียบไปชั่วขณะ ในขณะที่เจ้าหญิงกำลังคิดว่าเขาจะไม่ตอบคำถาม เขาก็พูดขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ ว่า “เด็กน้อย เจ้ารู้จักเจ้าแห่งน้ำรึเปล่า”

“เจ้าแห่งน้ำ?”

“ใช่แล้ว นั่นคือเทพเจ้าที่มนุษย์กบเคารพบูชา เด็กน้อย เจ้าเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ไหม”

ลีอาตกใจ เธอพยายามเรียกความรู้ทางเทววิทยาทั้งหมดของเธอกลับมา แต่หลังจากนึกอยู่นาน เธอก็ยังจำไม่ได้ว่าเธอเคยได้ยินเกี่ยวกับเทพองค์นี้

ในฐานะผู้สืบทอดราชวงศ์เทียร์ร่า ลีอาได้ศึกษาหลายสิ่งหลายอย่างรวมถึงเรื่องของเทพเจ้าและศาสนา อาจกล่าวได้ว่าในโลกที่เทพเจ้ามีตัวตนอยู่จริง มันถือได้ว่าเป็นวิชาที่สำคัญ

แต่เธอก็ไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเจ้าแห่งน้ำมาก่อน

เธอสามารถแสร้งทำเป็นว่าจำชื่อนี้ได้และเออออตามสิ่งที่เขาพูด แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น

“ข้าขออภัย” เธอขอโทษ “ข้าไม่รู้จักเทพเจ้าองค์นั้น”

“อย่างที่คาด” หัวหน้าหมู่บ้านพึมพำ “เป็นเวลาเกือบ 1,000 ปีมาแล้ว ที่เทพเจ้าองค์นี้แสดงปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย มีบางคนที่เชื่อว่าเขาได้ถูกสังหารในสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งสุดท้าย”

ข้อมูลนี้ทำให้ลีอาตกใจเล็กน้อย แต่เธอก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับคำถามของเธอใช่ไหม ว่าทำไมพวกเขาถึงเลือกที่จะอยู่ที่นี่?

“เราอยู่ที่นี่มาตลอด” หัวหน้าหมู่บ้านอธิบาย “แม้จะมีลมฝนหรือพายุ แต่เราก็ยังคงอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ที่ว่า นานมาแล้วบรรพบุรุษของเราได้รับมอบหมายจากเจ้าแห่งน้ำ ว่าตราบใดที่เรายังคงอยู่ที่นี่ และรักษาศรัทธาที่มีให้ต่อพระองค์ วันนั้นจะมาถึง วันที่เทพผู้ยิ่งใหญ่ของเราจะกลับมาหาเรา เพื่อนำทางเราอีกครั้ง”

“พันปีที่ผ่านมา เราประสบความยากลำบากไม่รู้จบโดยที่ไม่มีเทพเจ้ามาคอยดูแล เราถูกศาสนาและเผ่าพันธุ์อื่นเยาะเย้ยและกดขี่…แต่เราไม่เคยสูญเสียศรัทธาสักครั้ง เพราะเทพเจ้าของเราจะกลับมาหาเรา และทำให้ทุกอย่างกลับมาเรียบร้อยอีกครั้ง ไม่ว่าสถานการณ์จะดูอันตรายหรือสิ้นหวังแค่ไหน เราก็จะไม่ไปไหน นี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา!”

เจ้าหญิงสูดหายใจเข้าลึก เธอรู้สึกเคารพอีกฝ่ายเธอจึงก้มหัวให้เขาเล็กน้อย

เธอเข้าใจสภาพของพวกเขาดีกว่าใคร ๆ ในช่วงที่เทียร์ร่ากำลังล่มสลายลง เทพเจ้าแห่งเกมก็ไม่ได้สร้างปาฏิหาริย์ใด ๆ และหลังจากที่เทียร์ร่าล่มสลายลงไม่นาน ผู้รอดชีวิตก็ได้ถูกกดดันจากศาสนาอื่น ๆ และพวกเธอก็ต้องถอยร่นลงไปในท่อระบายน้ำใต้ดิน ถึงกระนั้นเจ้าหญิงก็ยังคงยึดมั่นในศรัทธาของเธอที่มีต่อเทพเจ้าแห่งเกม และในที่สุดพระองค์ก็ตอบรับคำอธิษฐานของเธอ ตอนนั้นเธอรู้สึกราวกับว่าชีวิตของเธอที่หยุดนิ่งมานาน ในที่สุดก็กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับการรอคอยเพียงไม่กี่ปีของเธอ ความศรัทธาของมนุษย์กบเหล่านี้ได้อดทนมาหลายชั่วอายุคนเป็นเวลาเกือบพันปี!

ไม่น่าแปลกใจที่แม้แต่ศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นชุมนุมลับดวงตา ก็ล้มเหลวในการสร้างความหวาดกลัวให้กับมนุษย์กบ เมื่อเทียบกับศรัทธาที่คงอยู่มาเป็นพันปี ความตายไม่ได้ทำให้พวกเขาหวาดกลัวเลย

ฐานที่มั่นลับใต้ดินของแลงคาสเตอร์ แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงจากตอนที่ลัทธิกระดูกเน่ายึดครองที่นี่

นอกเหนือจากไลฟ์สโตนที่ผู้เล่นสร้างขึ้นในช่วงกิจกรรมแล้ว ห้องใต้ดินส่วนใหญ่ ก็ถูกเปลี่ยนเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกพิเศษที่สร้างขึ้นโดยซีเว่ย ตัวอย่างเช่น พื้นที่เพาะปลูกพืชที่ไม่ต้องการแสงแดด และใช้เพียงน้ำในการเจริญเติบโตที่ชื่อว่า ‘ข้าวราตรี’ โรงแรมขนาดเล็กที่สามารถฟื้นฟู HP ของผู้เล่นได้อย่างรวดเร็ว และร้านอาหารเหมือนในเมืองไร้ชื่อ

สาเหตุที่สิ่งอำนวยความสะดวกดังกล่าวปรากฏในฐานที่มั่นลับใต้ดินของแลงคาสเตอร์ ก็เป็นเพราะหลังจากที่มันถูกยึดคืน เจ้าหญิงลีอาก็ได้รับระบบ Overlord ซึ่งคล้ายกับของแองโกร่า เธอกลายเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวที่มีระบบคู่ และสามารถสลับไปมาได้ตลอดเวลา

น่าเสียดายที่เจ้าหญิงลีอาชอบเกม RPG มากกว่าเกมแนวบริหาร ดังนั้นเธอจึงมักจะหนีไปยังเมืองไร้ชื่อพร้อมกับองครักษ์ของเธอเป็นประจำ

เมื่อเจ้าหญิงลีอารู้เรื่องเควสใหม่จากองครักษ์คนหนึ่งของเธอที่เธอส่งไปสอดแนมที่เมืองไร้ชื่อ เธอก็เริ่มเตรียมอาหารและไอเทมต่าง ๆ ในทันที เพื่อที่เธอจะได้ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านมนุษย์กบในเควส

คราวที่แล้วเธอได้แสดงตัวในช่วงท้ายของกิจกรรมเท่านั้น เธอไม่ใช่ผู้เข้าร่วมในกิจกรรม แต่เป็น NPC ของกิจกรรม ดังนั้นเมื่อโอกาสมาถึงอีกครั้ง เธอจึงอดใจไม่ได้ที่จะเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้!

ก่อนที่เธอจะได้ไปถึงไลฟ์สโตนเพื่อเทเลพอร์ตไปยังเมืองไร้ชื่อ เธอก็ถูกนายทะเบียนที่รออยู่ก่อนแล้วกันไว้

“ฝ่าบาท ท่านเป็นลอร์ดของฐานลับแล้ว! ท่านต้องปักหลักและพัฒนาที่นี่!” นายทะเบียนแวนเค่อพยายามโน้มน้าวเธออีกครั้ง “ที่นี่คือจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูเทียร์ร่า และดินแดนแห่งสุดท้ายของเรา เราจะต้องไม่ยอมแพ้!”

“ยังมีเมืองไร้ชื่ออีกไม่ใช่หรือ”

เจ้าหญิงที่ยังคงมองหาโอกาสหลบหนีพูดขึ้นมาแบบลวก ๆ

“นั่นไม่จริงเลยฝ่าบาท” ชายชราพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่มีความหมาย “ลอร์ดของเมืองนั้นเป็นขุนนางของจักรวรรดิวัลลา ท่านก็เห็น”

ความหมายของเขานั้นชัดเจน แม้ว่าเมืองไร้ชื่อจะถูกสร้างขึ้นจากผู้ศรัทธาของเทพเจ้าแห่งเกม แต่แท้จริงแล้วแองโกร่าก็ยังคงเป็นขุนนางจากจักรวรรดิวัลลา ซึ่งเป็นหนึ่งในอาณาจักรที่โจมตีเทียร์ร่า

“งั้นเหรอ…? แต่ไม่เป็นไร ข้าเชื่อว่าจักรวรรดิวัลลาจะไม่ปล่อยให้ขุนนางของพวกเขาศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมหรอก” เจ้าหญิงน้อยคิดสักพัก ก่อนจะหักล้างคำกล่าวของนายทะเบียน

เธอกำลังหมายถึง ศรัทธาของแองโกร่านั้นเป็นจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาเช่นกัน และเธอก็สามารถปฏิบัติต่ออีกฝ่ายในฐานะพันธมิตรได้อย่างสมบูรณ์เพราะมัน

“นั่นก็อาจจะใช่ แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็ต้องขอร้องท่านว่าอย่าทำอะไรผลีผลามจนเกินไป เพื่อไม่ให้ฐานที่มั่นลับใต้ดินของแลงคาสเตอร์พ่ายแพ้ต่อเมืองไร้ชื่อ ท่านโปรดจัดลำดับความสำคัญการเติบโตของฐานที่มั่นลับนี้ไว้เป็นอันดับแรกด้วย”

นายทะเบียนไม่ได้โกรธ เขาค่อนข้างพอใจกับการโต้เถียงของเจ้าหญิง เพราะนั่นหมายความว่าเธอกำลังพิจารณาทุกอย่างอย่างรอบคอบ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้วางแผนที่จะให้เจ้าหญิงลีอาเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

ถ้ามันเป็นการลงดันเจี้ยนหรือการสำรวจหุบเขาแห่งความตายซึ่งใช้เวลาไม่มากนัก เขาก็จะยอมยกเว้นให้ได้ แต่กิจกรรมนั้นไม่เหมือนกัน

จากข้อมูลของผู้เล่นที่มาที่นี่เพื่อทำเควสประจำวัน กิจกรรมเหล่านี้มักจะใช้เวลาหลายวัน และกิจกรรมในครั้งนี้ก็อยู่ไกลจากเมืองไร้ชื่อ ดังนั้นเจ้าหญิงจะต้องเสียเวลามากมายไปกับมัน

นั่นหมายความว่าในระหว่างนี้ การเติบโตของฐานที่มั่นลับใต้ดินของแลงคาสเตอร์จะหยุดนิ่งไป 2-3 วัน เห็นได้ชัดว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเมือง

เจ้าหญิงลีอานิ่งไป

แวนเค่อที่คิดว่าเจ้าหญิงยอมฟังเขาแล้ว จู่ ๆ เธอก็พูดขึ้นมาว่า

“แต่คุณปู่นายทะเบียน ข้าอยากเข้าร่วมกิจกรรม!”

“แต่…”

“ได้โปรดให้ข้าทำ” ก่อนที่ชายชราจะได้พูดต่อ เจ้าหญิงก็เอ่ยขัดเขาอย่างไม่สุภาพและกล่าวอย่างนักแน่นว่า “แม้ว่าฐานที่มั่นลับใต้ดินของแลงคาสเตอร์จะสำคัญ และเป็นดินแดนเพียงแห่งเดียวของเราในตอนนี้ แต่เราก็ไม่สามารถใช้เวลากับมันมากเกินไปได้!”

“เป้าหมายของข้าไม่ใช่การเป็นลอร์ดที่มีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างการหาสเบียง ทำงานในทุ่งนา หรือสร้างฐานที่แข็งแกร่ง…” เจ้าหญิงจับจ้องไปยังนายทะเบียนด้วยสายตาที่จริงจังอย่างที่เธอไม่เคยทำมาก่อน “ข้าต้องการเป็นราชาที่สามารถสร้างเทียร์ร่าขึ้นมาใหม่ และทำให้ธงของเราโบกสะบัดบนผืนดินได้อีกครั้ง!”

แม้ว่าท่อระบายน้ำใต้ดินจะไม่มีแหล่งกำเนิดแสงมากมายนัก ทำให้ทุกอย่างในนี้ดูทึมๆ แต่ในขณะนี้ ร่างกายของหญิงสาวก็ดูเหมือนจะเปล่งประกายด้วยแสงอันงดงาม ผมสีทองสุกปลั่งของเธอปลิวไสวไปตามสายลมที่พัดมา เธอดูเหมือนกับแสงตะวันในถ้ำใต้ดินที่มืดมิด สายตาของเธอทำให้ชายชราพูดไม่ออก

เขานึกถึงราชาที่เคยกำราบเขาให้เชื่องในสมัยวัยเยาว์

แม้ว่าคนผู้นั้นจะถูกเรียกว่าเป็นราชาที่โง่เขลาที่สุดในโลก แต่มีเพียงผู้ที่ได้เห็นเขาด้วยตาของตัวเองเท่านั้น ที่จะรู้ว่ายาการันที่ 11 เป็นราชาที่ยิ่งใหญ่ เขาเป็นวีรบุรุษและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่ผู้ที่มองผ่านการโกหกทั้งหมดของโลก และผู้ปกครองที่ต้องการสร้างสวรรค์บนดินนั้น ถูกรังเกียจและถือว่าเป็นต้นตอของหายนะ…

แวนเค่อเคยคิดว่า เขาจะไม่สามารถมองเห็นออร่าที่ไม่มีใครเทียบได้นี้อีกต่อไป แต่ในขณะนี้ เขาเห็นร่องรอยของมันในตัวเจ้าหญิงลีอา

“ในโลกนี้ ผู้ที่อ่อนแอจะถูกทำลายและถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ในขณะที่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถปกครองและฟื้นฟูอาณาจักรของเราได้! นี่คือเหตุผลที่ข้าจะต้องต่อสู้เพื่อที่จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!”

จากนั้นเจ้าหญิงก็พนมมือพร้อมกับกล่าวคำอธิษฐาน “เทพเจ้าของข้า หากท่านดูเราอยู่ในขณะนี้ โปรดฟังคำอ้อนวอนที่จริงใจที่สุดของข้า ลีอา•ยาการัน ผู้ศรัทธาที่ภักดีของท่าน หากท่านรู้ถึงพรสวรรค์ของแวนเค่อ•นอร์เรจี้ เทพเจ้าของข้า โปรดโอนระบบ Overlord ของข้าให้กับเขาด้วย!”

“ไม่ นี่เป็นไปไม่ได้…” ชายชรายังพูดไม่ทันจบประโยค เขาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ

[ติ้ง!]

[ท่านจะยอมรับระบบ Overlord จากลีอา•ยาการันหรือไม่]

สายตาของชายชราขยับออกจากหน้าจอ เขาจ้องมองเจ้าหญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างตกตะลึง

เด็กสาวที่เคยเดินตามหลังเขา และเรียกเขาว่าคุณปู่มาโดยตลอด ในที่สุดก็เติบโตขึ้นมาอย่างดี…

“ข้าเข้าใจแล้วฝ่าบาท ดูเหมือนว่าจิตใจของข้าที่แก่ชราแล้วจะยังคงหลงอยู่กับอดีต…” นายทะเบียนยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ถ้านี่คือสิ่งที่ท่านต้องการ ข้าจะเดิมพันร่างกายที่แก่ชราของข้า เพื่อปกป้องฐานที่มั่นลับใต้ดินของแลงคาสเตอร์ และมอบพลังทั้งหมดของข้าเพื่อฟื้นฟูเทียร์ร่า”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็ยอมรับระบบ Overlord อย่างเคร่งขรึม และกลายเป็นลอร์ดของฐานที่มั่นลับใต้ดินของแลงคาสเตอร์อย่างเป็นทางการ

ทันทีที่เขายอมรับระบบ สีหน้าของเด็กสาวก็เปลี่ยนจากความเคร่งขรึมเป็นความดีอกดีใจ “เย้! ข้าไม่ต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว! บอริส บอกให้ทุกคนเตรียมพร้อม ข้าจะไปรอพวกเจ้าที่นั่น!”

หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็วิ่งเข้าหาไลฟ์สโตนอย่างมีความสุขและหายวับไป

นายทะเบียน “…”

ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนโดนหลอก?

การสร้างเมืองไร้ชื่อกำลังดำเนินการไปในทิศทางที่ดี แม้ว่าคะแนนประสิทธิภาพที่แองโกร่ามีนั้นจะค่อนข้างจำกัด ก็เลยไม่มีสิ่งปลูกสร้างของระบบมากนักในเมือง แต่นี่ก็ไม่ใช่โลกเกมจริง ๆ มีผู้ศรัทธาจำนวนมากในหมู่ผู้ลี้ภัย พวกเขาเคยเป็นช่างฝีมือสมัยที่โรวีเนียยังไม่ถูกทำลาย

หลังจากชีวิตของพวกเขาสงบลง ผู้ศรัทธาหลายคนก็เลือกวิถีชีวิตเดิมของพวกเขา พวกเขาช่วยชาวเมืองก่อสร้างอาคารและสร้างเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ รวมไปถึงการประดิษฐ์สิ่งของที่มีประโยชน์ หากมีใครมาที่นี่ในตอนนี้ ความประทับใจแรกของพวกเขาก็คงคิดว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา เพราะใบหน้าของชาวเมืองทุกคนเต็มไปด้วยความหวัง และเมืองก็เจริญรุ่งเรือง

โรงเหล้ากาต้มน้ำเหล็ก เป็นอาคารหนึ่งที่สร้างขึ้นโดยผู้เล่น

มันต่างจากร้านอาหารของระบบที่ใจกลางเมือง แม้ว่าอาหารที่เสิร์ฟในโรงเหล้ากาต้มน้ำเหล็กจะไม่มีบัฟ และราคาเบียร์ก็สูงกว่าร้านอาหารของระบบเล็กน้อย แต่ก็มีอาหารรสชาติดีมากมาย ความจริงคือเจ้าขอโรงเหล้ากาต้มน้ำเหล็กเป็นเชฟชื่อดังในอดีตของโรวีเนีย สเต็กของเขาที่หมักด้วยซอสสูตรลับ ชุ่มฉ่ำและอร่อยมาก มันเป็นอาหารจานเด่นของเขา เนื่องจากมันยอดเยี่ยมเมื่อทานคู่กับขนมปังและเบียร์ ทำให้มันสามารถดึงดูดลูกค้าจำนวนมากให้กลายเป็นลูกค้าประจำ และเป็นที่นิยมมากกว่าร้านอาหารของระบบ

“วันนี้เจ้าได้ท้าทายห้องใต้ดินของผีดิบรึยัง? ผลเป็นยังไงบ้าง”

เจ้าของโรงเหล้าที่มีชื่อสีขาวลอยอยู่บนหัวว่า ไอรอน•เคททึล เช็ดแก้วไม้ด้วยผ้า เขาทักทายลูกค้าประจำที่เดินเข้ามาในร้าน

“เฮ้อ อย่าพูดถึงมันเลย” ผู้เล่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “คราวนี้เราวิ่งไปเจอมุขนายกชุดดำทันทีที่เข้าไปในดันเจี้ยน หลังจากสู้อยู่นาน ทั้งปาร์ตี้ก็ตายกันหมด นอกจากจะไม่ได้รับของรางวัลอะไรแล้ว เรายังเสียค่าประสบการณ์ไปอีก 10%!”

หลังจากตายในดันเจี้ยน ผู้เล่นจะฟื้นขึ้นมาทันทีที่ไลฟ์สโตน และถูกหักค่าประสบการณ์ 10% อย่างที่บอก 10% นั้นค่อนข้างมากสำหรับผู้เล่นเลเวลสูง

“พวกเจ้าถือว่าไม่เลวแล้ว!” ผู้เล่นอีกคนที่กำลังก้มหน้ากินอย่างเมามัน เงยหน้าขึ้นมาพูดทั้ง ๆ ที่อาหารเต็มปาก “พวกข้าโชคร้ายกว่าเจ้าอีก! เราเดินทางอย่างราบรื่นไปถึงห้องบอส แล้วระหว่างทางเราก็ยังได้รับไอเทมระดับสูงมา แต่ลองเดาดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น? เมื่อเราเริ่มสู้กับบอส อัครมุขนายกกระดูกเน่าก็กระโดดออกมาและใช้เวทย์ AoE ระดมยิงใส่เรา ก่อนที่เราจะทันได้ตอบสนอง เราก็ถูกฆ่ายกตี้!”

ผู้เล่นคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ที่ได้ยินเรื่องนี้รู้สึกสงสารผู้เล่นคนนี้ทันที มีเพียงบางคนที่หัวเราะเยาะในความโชคร้ายของเขา

ตอนนี้เนื่องจากมีการจำกัดจำนวนคนเข้าดันเจี้ยน จึงไม่มีทางที่ผู้เล่นเพียง 6 คนจะเอาชนะอัครมุขนายกกระดูกเน่าได้ ขนาดเอลีน่าที่เป็นนักบุญหญิงฝึกหัดและเจ้าหญิงนักรบลีอา ก็ยังแทบเอาชนะเขาไม่ได้

มันก็เป็นเช่นเดียวกับผลลัพธ์ที่ผู้เล่นเจอ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมุขนายกชุดดำ มีเพียงผู้เล่นชั้นสูงเท่านั้นที่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ ในขณะที่ผู้เล่นทั่วไปจะต้องพ่ายแพ้เมื่อพบกับพวกเขา

จริงอยู่ ว่ารางวัลที่ปาร์ตี้จะได้รับจากการเอาชนะมุขนายกชุดดำนั้นค่อนข้างร่ำรวย ด้วยการรับประกันการดรอปไอเทมระดับอีลิท ผู้เล่นจึงมีการคาดเดากันว่า รางวัลสำหรับการเอาชนะอัครมุขนายกกระดูกเน่าจะต้องดีกว่านี้อย่างแน่นอน บางทีมันอาจจะเป็นไอเทมระดับตำนาน แต่ปัญหาก็คือมันยากเกินไป! ในตอนนี้อัครมุขนายกกระดูกเน่ายังคงไร้พ่าย

ดันเจี้ยนนี้ซีเว่ยได้สร้างห้องขึ้นมา 36 ห้อง นั่นหมายความว่ามีโอกาส 1 ใน 18 ที่ผู้เล่นจะได้พบกับศัตรูทั้งสองนี้ ไม่รู้ว่าซีเว่ยตั้งค่าผิดหรือเพราะผู้เล่นโชคร้ายเกินไป ผู้เล่นจึงได้พบ 2 ห้องนี้สูงกว่าปกติ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีผู้เล่นหลายกลุ่ม เสียใจกับการที่ต้องตายมาโผล่ที่ไลฟ์สโตนในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา

สิ่งนี้ทำให้ความต้องการของผู้เล่นที่จะเคลียร์ดันเจี้ยนลดลงอย่างมาก และหลายคนก็เริ่มกลับไปใช้ชีวิตประจำวันแบบเดิม พวกเขาเคลียร์งานประจำวันและเข้าสำรวจหุบเขาแห่งความตาย

“จริง ๆ มันก็ไม่เป็นไรหรอก ปัญหาคือปาร์ตี้ของข้าโชคร้ายเอง” ผู้เล่นที่กำลังเคี้ยวสเต็กราดน้ำผึ้งก็เข้าร่วมบทสนทนาด้วย “เพื่อนคนหนึ่งของข้ามีบางอย่างจะต้องไปทำที่แลงคาสเตอร์ ดังนั้นข้าเลยต้องหาผู้เล่นอื่นมาแทนที่เขาในปาร์ตี้ พวกเขาเป็นชายอ้วนคนหนึ่งและชายผอมอีกคนหนึ่ง ตอนที่เรากำลังเคลียร์ดันเจี้ยน คนตัวผอมก็เอาแต่เล่าเรื่องตลก แล้วคนตัวอ้วนก็เอาแต่หัวเราะไม่หยุด เขาหัวเราะและหัวเราะ ทำให้ตอนที่เราไปถึงห้องบอสไอ้บ้า 2 คนนั้นก็ใช้ทักษะยั่วยุศัตรูไม่ทันเวลา ศัตรูเลยโจมตีใส่ผู้เล่นที่อยู่แนวหลัง” เขาปรบมือเข้าหากันและวาดมือออกจากกันกว้าง ๆ “และเราทุกคนก็ตาย!”

“เฮ้ เจ้าเรียกใครว่าบ้า!” ชายร่างอ้วนลุกขึ้นยืนที่มุมโรงแรม

“ใช่! ข้าก็แค่อยากเล่าเรื่องตลกให้ปาร์ตี้ของเราผ่อนคลาย! เจ้ามันห่วยเอง จะมาโทษพวกเราได้ยังไง” ชายร่างผอมอีกคนลุกขึ้นมาตะโกนข้าง ๆ ชายร่างอ้วน

“พวกเจ้านั่นแหละ แม่งโคตรห่วยแตก!” ผู้เล่นที่มีคราบน้ำผึ้งเปื้อนอยู่รอบปากตะโกนสวนขึ้นมา เขาไม่คิดที่จะเช็ดปากในเวลานี้ เขาตะโกนด่าคู่หูอ้วนผอมว่า “ข้ากำลังสรรเสริญเจ้าว่าพวกเจ้ามันโคตรห่วย!”

“ไอ้เวร! เจ้าจะรู้อะไร?! พี่น้องข้าเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่ท่านลอร์ดเฟาสต์ยังขอให้เขาทำเควสลับสุดยอด! ใช่ไหมซิลวา” ผู้เล่นตัวอ้วนถามคนข้าง ๆ

“ใช่ พี่เทรรอสเช่!” ผู้เล่นที่ถูกเรียกว่าซิลวาตอบด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ

“ถุ้ย! เควสสืบหาชุมนุมลับดวงตาอะไรนั่นน่ะเหรอ? ไม่เห็นจะมีใครรู้เรื่องนี้เลย มีแค่พวกเจ้าเท่านั้นแหละที่พูดว่ามันเป็นเควสลับ! ข้าพนันได้เลยว่าพวกเจ้าสองคนกำลังโม้!” ผู้เล่นที่มีคราบน้ำผึ้งอยู่รอบปากหัวเราะเยาะอย่างเหยียดหยาม “ข้าไม่น่าเชื่อเรื่องโกหกของเจ้าและให้พวกเจ้าเข้าร่วมปาร์ตี้เลย!”

บรรยากาศในโรงเหล้าค่อย ๆ ตึงเครียดขึ้น

แม้แต่ไอรอน•เคททึลก็หยุดเช็ดแก้ว เขาจ้องมองไปยังผู้เล่น 3 คนที่กำลังทะเลาะกันในโรงเหล้าของเขา โรงเหล้านี้ไม่ได้เป็นของระบบ ดังนั้นคะแนนชื่อเสียงของพวกเขาจะไม่ลดลงแม้ว่าพวกเขาจะเริ่มต่อสู้กันที่นี่ก็ตาม และที่แย่ไปกว่านั้นคือ โต๊ะและเก้าอี้เหล่านี้ไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้เองเหมือนของระบบ เขาต้องให้ช่างไม้ซ่อมมัน…

ขณะที่ผู้เล่นทั้ง 3 คนกำลังจะดวลกัน ก็เกิดความปั่นป่วนขึ้นที่ด้านนอกโรงเหล้า

ผู้เล่น 2-3 คนวิ่งเข้ามาในโรงเหล้าและซื้ออาหารมากมายจากเจ้าของโรงเหล้าอย่างเร่งรีบ “เอาอาหารแห้ง 10 รสมาให้ข้า ข้าจะไปทำสงคราม!”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เจ้าของโรงเหล้าถามอย่างงุนงง

“กิจกรรมใหม่ ดูเหมือนจะเป็นเควสเกี่ยวกับชุมนุมลับดวงตา!”

“พวกเจ้าสามารถรับเควสได้ที่ลูกพี่วีลา!”

“เควสใหม่ชื่อ [ผู้พิทักษ์มนุษย์กบ-ดับไฟแห่งสงคราม]!”

“โอ้ววว!”

ผู้เล่นที่รีบเข้ามาในโรงเหล้าทุกคนเริ่มพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น

ไอรอน•เคททึลชะงักไปพักหนึ่ง เขาเริ่มหยิบอาหารแห้งทั้งหมดที่มีออกมาและแจกจ่ายให้กับผู้เล่น ก่อนที่เขาจะหยิบขวานเหล็กของตัวเองออกมาจากใต้เคาน์เตอร์ “พวกเจ้ารออะไรล่ะ! ไปทำเควสกัน!”

ตะโกนเสร็จ ไอรอน•เคททึลก็ออกจากโรงเหล้าไปพร้อมกับผู้เล่นคนอื่น ๆ แม้แต่ผู้เล่นที่ยังกินอาหารอยู่ในโรงเหล้าก็รีบกินจนเสร็จและรีบไปเข้าร่วมสงคราม

กลุ่มเดียวที่ยังเหลืออยู่คือผู้เล่น 3 คนที่อยู่ระหว่างการต่อสู้ พวกเขามองไปรอบ ๆ โรงเหล้าที่ว่างเปล่าด้วยความสับสน ผู้เล่นที่มีคราบน้ำผึ้งเปื้อนอยู่รอบปากจ้องไปที่ทั้งคู่ด้วยความสงสัย

งั้น…แสดงว่าเควสลับของชุมนุมลับดวงตาก็เรื่องจริงนะสิ?

ลมหนาวพัดมา แม้ว่าจะไม่มีหิมะตก แต่อากาศก็ยังค่อนข้างแย่

บนหลังคาบ้านหอยสังข์ เอลีน่าที่ขดตัวเป็นก้อนจากความหนาวเย็น มองไปที่มนุษย์กบบนพื้นที่ยังคงอยู่ในท่าหมอบกราบด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ

ก่อนหน้านี้เอ็ดเวิร์ดได้มาหาเธอ และขอให้เธอนำทางมนุษย์กบให้กลายเป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม เพื่อที่พวกเขาจะได้รับมือกับการโจมตีของชุมนุมลับดวงตาได้ดีขึ้น

เอลีน่าเองก็เห็นด้วยกับแผนการของเอ็ดเวิร์ด เพราะนอกจากมนุษย์กบจะแข็งแกร่งขึ้นหลังจากที่กลายเป็นผู้ศรัทธาของเทพเจ้าแห่งเกมแล้ว เด็กสาวเองก็มีความสุขที่เธอสามารถแพร่ขยายศาสนจักรที่เธอศรัทธาออกไปได้อีกหน่อย

ท้ายที่สุดเธอก็เป็นผู้ศรัทธาคนแรกในศาสนจักรของซีเว่ย หลังจากที่เขาย้ายเข้ามาในโลกใบนี้ และยังเป็นนักบุญของศาสนจักรเทพเจ้าแห่งเกมด้วย…แม้ว่าเธอจะยังอยู่ในระหว่างการฝึกฝนก็ตาม

แต่ถึงอย่างนั้น เอลีน่าก็ยังเด็ก ถึงเธอจะได้ออกไปต่อสู้กับสัตว์ประหลาดร่วมกับคนอื่น ๆ ในปาร์ตี้ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และนั่นทำให้เธอได้รู้อะไร ๆ มากขึ้น แต่สุดท้ายเธอก็ยังมีความคิดในแบบเด็ก ๆ อยู่ดี

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เอลีน่าจะกล่าวสุนทรพจน์ที่สร้างแรงบันดาลใจได้เหมือนกับเจ้าหญิงนักรบคนนั้น…

เธอไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง นั่นทำให้เธอต้องตกอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบัน

“ฮาคุน่า มาคร็อกคร็อก! ฮาคุน่า มาคร็อกคร็อก!”

สิ่งที่น่าปวดหัวยิ่งกว่านั้นคือเธอไม่รู้ว่ามนุษย์กบพวกนี้กำลังพูดอะไรอยู่ เธอเพิ่งจะรู้ว่าพวกเขาบูชาเธอด้วยเหตุผลบางอย่าง

หูของเด็กสาวเริ่มปวดจากการได้ยินเสียงดังอย่างไม่หยุดหย่อนของมนุษย์กบ เธอลุกขึ้นยืนบนบ้านหอยสังข์ที่สูงที่สุดในหมู่บ้านทันที

ลมเย็นยะเยือกที่พัดมาทำให้ผมสีเงินของเธอเป็นประกาย และด้วยแสงแดดอ่อน ๆ ที่สะท้อนมาจากด้านหลังทำให้เธอดูศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ

เด็กสาวชูมือขึ้นและตะโกนเสียงดังที่สุดเท่าที่เธอสามารถทำได้

“รัว!!”

เสียงตะโกนนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เธอแค่หงุดหงิดและต้องการหาที่ระบาย

ถ้ามันมีความหมาย เด็กคนนี้คงจะกำลังพยายามขู่ว่าเธอนั้นน่ากลัวสุด ๆ รีบไปให้พ้นหน้าเธอซะ!’

โดยที่เธอไม่รู้เลยว่ารูปลักษณ์ที่น่ารักและการกระทำแปลก ๆ ของเธอ ควบคู่ไปกับเสียงตะโกนที่เรียบง่าย มันมีพลังในการล้างสมองมากแค่ไหน

พวกมนุษย์กบที่ได้ยินทำท่าเหมือนกับว่าพวกเขากำลังได้รับพรอันศักดิ์สิทธิ์ยังไงยังงั้น

หลังจากมองเธอสักพัก มนุษย์กบต่างก็เลียนแบบการกระทำของเธอและตะโกนว่า

“รัว! รัว! รัว!”

ฉากทั้งหมดกลายเป็นเรื่องน่าขบขันอย่างมาก ดูเหมือนมันจะไม่ใช่การอธิฐานต่อเทพเจ้าแล้ว แต่เป็นพิธีกรรมแปลก ๆ แทน

แม้แต่ปาร์ตี้ที่กำลังเฝ้ามองฉากนี้จากด้านข้างก็ยังพูดไม่ออก ทำไมมนุษย์กบเหล่านี้ถึงบ้าบอมากกว่าผู้เล่นที่สมองจำศีล…

เอลีน่า “…”

เมื่อเห็นมนุษย์กบที่ดูกระดี๊กระด๊ากว่าเดิม แสงในดวงตาเธอก็หม่นลงด้วยความสิ้นหวัง

ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ซีเว่ยที่ดูผู้เล่นมาพอแล้วก็ได้หันร่างทรงกลมของเขาไปรอบ ๆ และตัดสินใจที่จะทำงานของเขาต่อ เขาจะตัดความสัมพันธ์ของเทพกระดูกเน่ากับวิหารใต้พิภพโดยใช้อาวุธที่ทำจากพลังงานศักดิ์สิทธิ์ของเขา

ซีเว่ยสร้างเลื่อยไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเองและวางมันลงบนร่างของเทพกระดูกเน่าจนเกิดประกายไฟ…

ความจริงคือไม่ว่าเครื่องมือตัดจะหน้าตาเป็นยังไง เอฟเฟกต์ของมันก็เหมือนกัน นั่นหมายความว่าเลื่อยไฟฟ้าที่ทำจากพลังงานศักดิ์สิทธิ์จะไม่สามารถตัดได้เร็วกว่ากรรไกรตัดเล็บ เนื่องจากพลังของมันไม่ต่างกัน

เหตุผลเดียวที่ซีเว่ยใช้เลื่อยไฟฟ้าก็เพราะเขาคิดว่าอาวุธนี้เจ๋งและใช้ง่ายกว่า ทำไมเขาต้องสร้างกรรไกรตัดเล็บ เขาจะเอามันไปตัดตรงไหนได้บ้าง?

หลังจากที่เขาเลื่อยไปสักพัก หนวดของเขาก็หลุดเข้าไปในส่วนของร่างกายซึ่งน่าจะเป็นหัวของเทพกระดูกเน่า

“ไม่ถูกสิ!”

เขาโยนเลื่อยไฟฟ้าไปด้านข้างอย่างไม่สนใจ แล้วคิดทวนทุกอย่างอีกครั้ง

สิ่งที่ทำให้ซีเว่ยหยุดไม่ใช่เทพกระดูกเน่า แต่เป็นสถานการณ์ของเอลีน่ากับปาร์ตี้ต่างหาก

ก่อนที่จะอธิบายว่าอะไรผิด เราต้องรู้ลำดับชั้นของศาสนาในโลกนี้ก่อน

แน่นอนว่าสิ่งที่อยู่บนยอดปิรามิดนั้นก็คือเทพเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเทพหลักหรือเทพผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา

และชนชั้นที่ต่ำกว่านั้นหนึ่งระดับคือนักบุญและผู้ถูกเลือก บุคคลเหล่านี้สามารถจัดได้ว่าเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในศาสนจักร และถือว่าเป็นผู้รับใช้หรือแม้แต่อวตารของเทพ

จากนั้นก็เป็นประมุขของศาสนา ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดที่สมาชิกของศาสนจักรจะได้รับ ตราบใดที่ใครบางคนสามารถได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพที่พวกเขาเคารพบูชา พวกเขาก็จะกลายเป็นชนชั้นระดับ 3 ได้

หลังจากนั้นชื่อเรียกก็จะแตกต่างกันไปตามศาสนจักร แต่ปกติจะถูกเรียกว่านักบวช พวกเขาดูเหมือนจะสูงส่งและมีอำนาจในสายตาของสามัญชน แต่ในความเป็นจริงนั้น พวกเขาก็เหมือนกับผู้ศรัทธาทั่วไปของศาสนจักร พวกเขาคือชนชั้นระดับ 4

แม้ว่าจะมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วชนชั้นในโลกนี้ก็เป็นเช่นนั้น

ยกตัวอย่างเช่นเออร์กัตที่ถูกผู้เล่นสังหาร เขาเป็นผู้นำของลัทธิกระดูกเน่าและกุมอำนาจทั้งหมดในลัทธิ แต่เนื่องจากเขาไม่มีคุณสมบัติวิเศษใด ๆ เขาจึงยังคงเป็นอัครมุขนายก และไม่สามารถเรียกตัวเองว่าประมุขของศาสนาได้

ในทางทฤษฎี เมื่อผู้ศรัทธาถวายการบูชาแก่บุคคลระดับ 3 ขึ้นไป เทพที่อยู่ระดับบนสุดจะสามารถได้รับพลังงานศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาได้

นั่นหมายความว่าหากมนุษย์กบคิดว่าเอลีน่าเป็นผู้ส่งสารจากพระเจ้า และให้การสรรเสริญและนมัสการเธอ ซีเว่ยก็น่าจะได้รับพลังศรัทธาตามทฤษฎี…

ซีเว่ยค่อนข้างสับสนกับเรื่องนี้ จริงอยู่ที่ว่าแม้ผู้ศรัทธาในศาสนจักรแห่งหนึ่งจะถูกหลอกให้สวดอ้อนวอนและบูชาเทพเจ้าองค์อื่น แต่ตราบเท่าที่ศรัทธาของพวกเขายังไม่เปลี่ยนไป เทพที่พวกเขาถูกหลอกให้บูชาก็จะไม่ได้รับพลังงานแม้แต่หยดเดียว

แต่นี่เป็นพื้นฐานสำหรับผู้ศรัทธาที่มีเทพประจำตัว

ผู้เล่นไม่รู้ว่ามนุษย์กบพูดว่าอะไร แต่เนื่องจากซีเว่ยเป็นเทพ เขาจึงมีความสามารถในการเข้าใจทุกภาษา ดังนั้นเขาจึงรู้ว่ามนุษย์กบกำลังบูชาเทพเจ้าที่เรียกว่าเจ้าแห่งน้ำ

แต่ปัญหาคือเจ้าแห่งน้ำเสียชีวิตไปแล้วในสงคราม!

นั่นหมายความว่าคำอธิษฐานของมนุษย์กบไม่ได้เป็นของเทพองค์ใดเลย และในทางทฤษฎี ตราบใดที่พวกเขาบูชาเอลีน่า ซีเว่ยก็จะได้รับพลังงานจากพวกเขา

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ซีเว่ยก็พยายามที่จะสัมผัสถึงพลังศรัทธาที่มาจากมนุษย์กบ แต่มันก็ไม่มี

“นี่มันอะไร เจ้าแห่งน้ำกำลังจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเหรอ นั่นเป็นไปไม่ได้ ความศักดิ์สิทธิ์ของเขาถูกทำลายไปแล้วนี่…”

มีมนุษย์กบจำนวนไม่มาก มันเป็นไปไม่ได้ที่เทพองค์ใหม่จะถือกำเนิดขึ้นมาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ แบบนี้

แต่ไม่ว่ายังไง เมื่อมันก็เกี่ยวข้องกับเทพที่ตายไปแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก…

ดังนั้นการบุกโจมตีหมู่บ้านมนุษย์กบที่ซีเว่ยเคยมองว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ก็กลายเป็นเรื่องที่ลึกลับขึ้นมา

เมื่อพวกเขามาถึงหน้าผาก็ไม่เห็นใครแล้ว

“ดีจริง ๆ เราล้มเหลว”

โจพาดดาบใหญ่ไว้บนบ่าและพูดด้วยความเสียใจ “มันหนีไปแล้ว”

คล็อกกาโตว์ผู้ที่วิ่งเร็วที่สุดในหมู่มนุษย์กบไม่สามารถไล่ตามปาร์ตี้ของเอ็ดเวิร์ดได้ทัน เขาหอบก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้น ตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่าตัวเขากำลังจะแห้งในอีกไม่กี่อึดใจ

จากนั้นเขาก็มองไปที่โจที่ไม่มีอาการอ่อนเพลียอะไรเลยและเริ่มสงสัยตัวเอง เขาเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเผ่ามนุษย์กบ แต่เขาเทียบไม่ได้กับมนุษย์ที่กำลังจะตาย?

และจากที่เขาได้ยินคนพวกนี้พูดกัน มนุษย์ที่ชื่อว่าโจคนนี้เพิ่งจะกลายเป็นนักรบได้ไม่นาน…มนุษย์พวกนี้เป็นสัตว์ประหลาดแบบไหนกัน!

“ไม่มีร่องรอยการหลบหนีบนพื้น ถ้างั้น…” เอ็ดเวิร์ดมองไปที่โกวต้าน

โกวต้านรู้ทันทีว่าเพื่อนต้องการให้เขาทำอะไร เขานั่งยอง ๆ และเริ่มหยิบลูกแก้วขนาดเท่าลูกปิงปองออกมา

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็ปิดหูตัวเองทันที นั่นทำให้คล็อกกาโตว์งุงงน

จากนั้นโกวต้านก็ฟาดลูกแก้วในมือลงไปที่พื้น

ทันใดนั้นเสียง ตูม! ที่ทำให้หูแทบหนวกก็ดังออกมาขณะที่ลูกแก้วระเบิด เสียงนั้นดังมากจนคนทั้งปาร์ตี้เห็นคลื่นเสียงสั่นสะเทือนในอากาศ

ทักษะนี้เรียกว่า ‘ลูกแก้วคลื่นเสียง’ ที่เป็นส่วนหนึ่งของทักษะ ‘ร้อยล่า’ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของคลาสเรนเจอร์ ทักษะนี้เป็นทักษะที่ใช้สร้างไอเทมเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์การล่าที่แตกต่างกัน และนอกเหนือจาก ‘ลูกแก้วคลื่นเสียง’ แล้วก็ยังมี ลูกแก้วพลางตัว ลูกแก้วระเบิดตด ลูกแก้วระเบิดแสง และอื่น ๆ อีกมากมาย

เนื่องจากเรนเจอร์สามารถสร้างวัตถุระเบิดและกับดักได้ ผู้เล่นจากคลาสอื่น ๆ จึงเรียกทักษะนี้ว่า ‘กระเป๋ามิติของเรนเจอร์’ (ผู้เล่นไม่มีคลังเก็บไอเทมเลยต้องพกอุปกรณ์ต่าง ๆ ติดตัวไปมา เพราะซีเว่ยไม่สามารถสร้างคลังเก็บของจากอากาศบาง ๆ ได้)

นอกจากมันจะใช้ดึงดูดความสนใจจากศัตรูในระยะไกลได้แล้ว มันยังมอบสถานะช็อคกับใครก็ตามที่ไม่ทันตั้งตัว และยังสามารถกำจัดไส้เดือนในดินได้…

ตอนนี้ดูเหมือนว่าทักษะจะใช้ได้ผลดีทีเดียว เพราะนอกจากคล็อกกาโตว์ที่ช็อคจนล้มลงกับพื้นเหมือนกบตัวใหญ่แล้ว ยังมีผู้ชายอีกคนโผล่ออกมาจากใต้ดิน!

นักเวทจากชุมนุมลับดวงตาดูเหมือนจะใช้เวทมนตร์บางอย่างทำให้ดินกลายสภาพเป็นของเหลว ซึ่งเขาสามารถแอบเข้าไปและซ่อนตัวอยู่ในนั้นได้

น่าเสียดายที่แผนการของเขาถูกทำลายโดยโกวต้านด้วย ‘ลูกแก้วคลื่นเสียง’ ที่ทรงพลัง เขาตกใจมากจนไม่สามารถคงสภาพเวทมนตร์ได้ ทำให้ร่างกายของเขาครึ่งหนึ่งติดอยู่ใต้ดิน

“เอ่อ…” เมื่อมองไปยังผู้เล่นที่กำลังก้าวมาหาเขาด้วยแววตาชั่วร้าย อัลเบิร์ตก็เหงื่อแตกและยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ตอนนี้สายไปรึเปล่าที่ข้าจะยอมจำนน?”

เนื่องจากพวกเขาต้องการข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากอัลเบิร์ต เอ็ดเวิร์ดและปาร์ตี้จึงไม่ได้ฆ่าอัลเบิร์ตทันที

อย่างที่คิด เมื่อพวกเขาพบศัตรูและลากเขาขึ้นมาจากพื้นเพียงครู่เดียว ระบบก็ตัดสินว่าพวกเขาประสบความสำเร็จ ขั้นแรกของเควสผู้พิทักษ์มนุษย์กบเสร็จสมบูรณ์และเริ่มเควสต่อเนื่องทันที

ขั้นที่สองของเควสนั้นง่ายมาก พวกเขาแค่ต้องกลับไปขอความช่วยเหลือจากผู้เล่นที่หมู่บ้านเริ่มต้น เมื่ออัลเบิร์ตจอมเวทย์ผู้แข็งแกร่งล้มเหลวในการกลับไปรายงานสมาคม สมาคมจะต้องส่งกำลังพลมาโจมตีหมู่บ้านมนุษย์กบอีกครั้งแน่ และครั้งนี้พวกมันต้องใช้ทรัพยากรทั้งหมดของสาขาจักรวรรดิวัลลาเพื่อบุกโจมตีหมู่บ้าน

ปกติแล้วมันไม่มีทางเป็นไปได้ ที่จะป้องกันการโจมตีระลอกต่อไปจากชุมนุมลับดวงตาด้วยผู้เล่นเพียง 6 คนและมนุษย์กบที่ไร้ความสามารถ

ผู้เล่นที่มาถึงหมู่บ้านมนุษย์กบและเข้าร่วมการป้องกันจะได้รับรางวัลเท่ากันหมดทุกคน

ทั้งปาร์ตี้เริ่มรวมหัวกัน พวกเขาคุยกันว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี

“จากที่นี่เราใช้เวลาไปกลับเมืองไร้ชื่อประมาณ 1 วัน เราไม่รู้ว่าชุมนุมลับดวงตาจะบุกเข้ามาอีกครั้งเมื่อไหร่…” เอ็ดเวิร์ดวิเคราะห์อย่างใจเย็น “ถ้าเรากลับมาไม่ทัน หมู่บ้านจะต้องถูกทำลายแน่ ดังนั้นพวกเราส่วนใหญ่จะต้องรั้งอยู่ที่นี่ และส่งคนไปขอความช่วยเหลือ”

“ให้ข้าทำ ข้าจะรีบออกเดินทางทันที!” วีลารับเควสนี้โดยไม่ลังเล “ข้าอ่อนแอที่สุด หากข้าอยู่ข้าก็คงช่วยเหลือพวกเจ้าไม่ได้มากนัก ฝากเควสนี้ไว้กับข้า!”

เมื่อไม่นานมานี้เมืองไร้ชื่อได้ถูกโจมตีโดยเหล่าเรเวแนนท์ ในเวลานั้นวีลายังไม่ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม วีลายังคงไม่ลืมความหวังที่เบ่งบานในหัวใจของเธอ เมื่อได้เห็นผู้เล่นเข้ามาช่วยเหลือพวกเธอในวันที่เธอสิ้นหวังที่สุด

และในตอนนี้ ก็ได้เวลาแล้วที่เธอจะสร้างความหวังให้กับหมู่บ้านมนุษย์กบ

“ได้” เอ็ดเวิร์ดพยักหน้า วีลาจึงออกเดินทางไปยังเมืองไร้ชื่อทันที

“ข้ามีแผน” หลังจากที่วีลาจากไป เอ็ดเวิร์ดก็ปรึกษากับผู้เล่นคนอื่น ๆ ต่อ

“แผนอะไร” เจสสิก้าถามอย่างสงสัย

“ทำให้มนุษย์กบศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม และเปลี่ยนพวกเขาเป็นผู้เล่น”

ข้อเสนอนี้ทำให้คนอื่น ๆ มองหน้ากันด้วยความสงสัย

“นี่มันยากไปรึเปล่า” โกวต้านถามอย่างไม่แน่ใจ “พวกมนุษย์กบมีเทพเจ้าที่พวกเขาศรัทธาแน่ ๆ ไม่งั้นทำไมพวกเขาถึงบูชาเอลีน่าเหมือนว่าเธอเป็นคนที่เทพของพวกเขาส่งมา”

“เราก็แค่ให้เอลีน่าบอกพวกเขาว่าเทพของพวกเขาเปลี่ยนชื่อ!” เอ็ดเวิร์ดพูดต่ออย่างไม่ลังเล “เทพองค์นั้นไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเขาเลย มันดีกว่าที่พวกเขาจะศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม!”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดเสริมว่า “แถม เรายังจะได้รางวัลจากเควสถาวรและได้ EXP เพิ่ม…”

โกวต้านและเจสสิก้า “…”

เฮ้ นั่นคือเหตุผลที่แท้จริงของเจ้าสินะ!

อีกด้าน โจรู้สึกว่ามันยากที่ตามบทสนทนาของคนอื่น ๆ เพราะเขาเป็นคนไม่ฉลาด เขาจึงนั่งกินปลาเค็มย่างอยู่ข้าง ๆ

แม้ว่าปลาเค็มที่ทำโดยมนุษย์กบจะดูน่าเกลียด แต่เนื่องจากพวกเขาอาศัยอยู่ริมทะเล วัตถุดิบที่ใช้จึงสดและส่งผลให้ปลาเค็มมีรสชาติอร่อย

“นักรบ เจ้ายังกินได้อยู่รึ…?”

คล็อกกาโตว์เดินเตาะแตะไปนั่งข้าง ๆ โจ เขามองดูชายหนุ่มที่กำลังกินปลาเค็มอย่างสบายใจด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

โจที่ไม่รู้ว่าความเข้าใจผิดยังไม่ได้รับการแก้ไข เขาคิดว่ามนุษย์กบไม่หิวเพราะกังวลเกี่ยวกับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง

“ทำไมจะกินไม่ได้ล่ะ? เวลาแบบนี้คือเวลาที่เจ้าต้องเติมท้องของเจ้าให้เต็ม!” โจมีความเชื่อมั่นที่จะไม่ต่อสู้ขณะท้องว่าง

“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าคงไม่อยากจากไปตอนท้องว่าง…” คล็อกกาโตว์จ้องโจอย่างสงสาร นั่นทำให้โจรู้สึกอึดอัด “เจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน?”

โจถึงกับอึ้งไป นี่ระบบไม่ได้บอกว่าผู้เล่นเป็นพันธมิตรกับมนุษย์กบเหรอ? ทำไมหมอนี่ถึงอยากให้เขาตายมากขนาดนี้?

แต่แล้วเขาก็หาเหตุผลให้ตัวเองได้ ภาษาชูโมเนียนของคล็อกกาโตว์คงจะไม่ค่อยแข็งแรง เขาอาจจะพูดผิด บางทีเขาอาจถามว่ามนุษย์จะมีอายุยืนยาวแค่ไหนสินะ?

“น่าจะ 60 หรือ 70 ปีล่ะมั้ง?” โจตอบแบบสบาย ๆ

“เจ้าคนผิวแห้ง…มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีก 60 ปีจริงหรือ!” คล็อกกาโตว์ตกตะลึง

“เมื่อก่อนก็น่าจะประมาณ 30-40 ปี แต่ตอนนี้ข้าศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมแล้ว ชีวิตของข้าเลยน่าจะยืนยาวขึ้น…” โจถอนหายใจ

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็สามารถมีภรรยาและลูกได้!” คล็อกกาโตว์อุทาน “มนุษย์สามารถอยู่ได้นานหลังจากที่ตายแล้วรึ?”

“แน่นอน และอาจอยู่ได้นานจนเห็นหลานด้วย!” โจไม่รู้ว่าคำพูดครึ่งหลังของคล็อกกาโตว์หมายถึงอะไร แต่เขาก็ยังพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ

คล็อกกาโตว์นั่งอึ้งอยู่นาน ก่อนที่เขาจะพูดออกมาได้ในที่สุด…

“มนุษย์ เจ้ายอดเยี่ยมมาก…”

โกวต้านเป็นคนแรกที่รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับอัศวินเกราะดำที่วิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน

“ไม่ถูกสิ ทักษะยิงจุดสำคัญของข้าล้มเหลว! พวกมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต!”

“มีใครเรียนทักษะตรวจจับบ้าง? ดูสิว่ามันเป็นตัวอะไร!” เอ็ดเวิร์ดพูดสั่ง แต่แล้วเขาก็ต้องพบกับสีหน้าว่างเปล่าของพรรคพวก “เชี่ย ไม่มีใครเรียนเลยเหรอ!”

“มีลุงมาร์นี่กับทีมของลุงอีวานแล้วไง พวกเขามีทักษะตรวจจับ…” โกวต้านพึมพำ “มีพวกเขาแล้ว ใครจะเสียคะแนนเพื่อเรียนรู้มันอีกล่ะ…”

เป็นความจริงที่ว่านอกจากคนอย่างมาร์นี่ ที่มีประสบการณ์และความรู้แล้ว ผู้คนในโลกนี้ส่วนใหญ่ก็มักจะพบกับความรู้สึกหมดหนทางและอ่อนแอของตนอยู่เสมอ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติ ที่พวกเขาต้องการจะเรียนรู้ทักษะที่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้ เมื่อเทียบกับทักษะที่ไม่มีประโยชน์ในการต่อสู้อย่างตรวจจับ…

“เอลีน่า เจ้าสามารถร่ายบาเรียศักดิ์สิทธิอีกครั้งได้ไหม?” เอ็ดเวิร์ดถามเด็กสาว

“มันยังคูลดาวน์”

เอลีน่าส่ายหัวไปมาทำให้ผมสีเงินทวินเทลของเธอแกว่งตาม ตอนนี้เธอดูน่ารักมาก

“คูลดาวน์นานขึ้นเพื่อแลกกับความแข็งแกร่งของทักษะสินะ…ข้าไม่รู้ว่าศัตรูพวกนี้จะไวขนาดนี้…โจตื่นหรือยัง” เอ็ดเวิร์ดเปลี่ยนไปใช้แผนสำรองทันที เขาถามโกวต้านที่อยู่ข้าง ๆ เขา

“ข้ามาแล้ว มาแล้ว! ข้าไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงมีรูสองรูที่สะโพก ข้าเลยต้องดื่มยา HP อยู่ตั้งนาน” ก่อนที่โกวต้านจะตอบกลับ โจก็วิ่งออกมาพร้อมอุปกรณ์ครบครัน “ยายของข้าเคยบอกว่า ข้าเลือดออกได้ แต่ข้าจะเสียไตไปไม่ได้!”

“เดี๋ยวก่อน คนผิวแห้งนี่ยังไม่ตายอีกเหรอ!”

ดวงตาของคล็อกกาโตว์ที่ใหญ่กว่ามนุษย์เบิกกว้างขึ้น เขาจ้องที่โจที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

“อย่าพึ่งแปลกใจ เจ้ารู้จักการปะทุพลังครั้งสุดท้ายก่อนตายใช่ไหมล่ะ” วีลารีบอธิบาย “นั่นแหละคือสิ่งที่เจ้าเห็น!”

“เจ้าเป็นคนผิวแห้งจริงรึเปล่า?”

คล็อกกาโตว์จ้องมองโจขึ้นลง สีหน้าของเขามีพิรุธ

“ใช่ มนุษย์ทุกคนก็เป็นแบบนั้นแหละ!” วีลามั่นใจ “ไม่ต้องกังวล เขาจะตายในไม่ช้า!”

“มนุษย์ช่างน่ากลัว…” คล็อกกาโตว์ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เขาอุทานว่า “แต่เมื่อคิดว่านักรบผู้กล้าหาญเช่นนี้ ยอมสละตัวเองเพราะความเข้าใจผิดธรรมดา ๆ ข้าคล็อกกาโตว์ผู้ยิ่งใหญ่รู้สึกสะ…”

ก่อนที่คล็อกกาโตว์จะพูดจบ โจที่รู้สึกได้ว่ามนุษย์กบจ้องมาที่เขา เขาเลยชูนิ้วกลางขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มสดใส

คล็อกกาโตว์ “???”

“พวกเจ้าจะคุยกันนานแค่ไหน” เจสสิก้าถามด้วยความตื่นตระหนก “พวกนั้นมาแล้ว!”

แนวป้องกันที่มนุษย์กบดึงออกมาด้วยความเร่งรีบไม่สามารถป้องกันการโจมตีของศัตรูได้ มันถูกทำลายลงในพริบตา

แม้แต่บ้านหอยสังข์ที่ขว้างกั้นเส้นทางของศัตรูก็ยังแตกเป็นเสี่ยง ๆ โดยไม่ทำพวกมันช้าลงเลย

“หลบไป ข้าเอง!”

โจปักดาบของเขาลงพื้นก่อนจะแสดงท่าทีเยาะเย้ยอัศวินดำ “เฮ้ มาหาพ่อมา ไอ้หนู!”

ดวงตาสีแดงดวงเดียวที่ส่องประกายออกมาภายในหมวกเกราะของอัศวินดำ หันไปทางโจทันทีเมื่อมันได้ยินคำเยาะเย้ย

จากนั้นการพุ่งโจมตีของอัศวินดำก็เลี้ยวเปลี่ยนวิถีพุ่งเข้าหาโจ

“โอ้การยั่วยุ…” โจยังพูดไม่ทันจบประโยค เขาก็ถูกส่งบินไปโดยอัศวินดำ ขนาดเวลาจะเรียกวิญญาณคู่หูออกมาก็ยังไม่ทัน

ร่างกายของเขาหมุนติ้วกลางอากาศก่อนที่เขาจะร่วงลงพื้นด้วยสภาพราวขยะเปียก

น่าแปลก ที่เขาไม่ได้ตายจากการโจมตีครั้งนี้

“เอิ่ม เมื่อกี้ข้ากลัวแทบตาย…”

โจคลานตัวสั่นเหมือนกับคนเป็นพาร์กินสัน

ชุดเกราะบนร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยแตก และแม้ว่าเขาจะไม่ได้เปิดดูหน้ารายละเอียดไอเทม แต่เขาก็รู้ว่าค่าความทนทานของชุดเกราะที่เขาสวมมาเป็นเวลานั้นลดลงเหลือ 0 ไปแล้ว และไม่สามารถซ่อมได้อีก

“ข้าเริ่มโกรธนิด ๆ แล้วนะ…เอ็ดเวิร์ดมีศัตรูอยู่ 5 แบ่งกันข้า 2 เจ้า 2 วีลา 1” โจลูบชุดเกราะของเขาด้วยความอาลัย ก่อนจะพูดอย่างไม่พอใจ

“ข้าเห็นด้วย ถ้าเจ้าแยกพวกมันออกจากกันได้น่ะนะ”

เอ็ดเวิร์ดสังเกตเห็นว่าถึงอัศวินดำจะค่อนข้างแข็งแกร่งและน่ากลัว และมีเลเวลสูงถึง 20 แต่ดูเหมือนพวกมันจะไม่มีพลังเหนือธรรมชาติ

ตามการตัดสินของระบบ หากผู้เล่นถูกโจมตีด้วยการโจมตีเหนือธรรมชาติอย่างเวทมนตร์ ทักษะศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้แต่คำสาป ผู้เล่นจะได้รับความเสียหายจากธาตุเพิ่มเติม

สำหรับผู้เล่นส่วนใหญ่ ความเสียหายจากธาตุนั้นค่อนรุนแรง เพราะการป้องกันของพวกเขายังอ่อนแอและไม่มีไอเทมมากมายที่สามารถใช้ป้องกันธาตุได้ในช่วงต้นเกม

การพุ่งเข้าชาร์ตอย่างรุนแรงของอัศวินดำครั้งนี้เป็นเพียงการโจมตีทางกายภาพเท่านั้น ไม่มีความแตกต่างระหว่างการโจมตีนี้กับการเหวี่ยงดาบแบบธรรมดาของผู้เล่น ปกติแล้วผู้เล่นจะสามารถป้องกันการโจมตีทางกายภาพด้วยค่าสเตตัสและไอเทมของตนเอง และหลังจากการคำนวณค่าความเสียหายแล้ว พวกเขาก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก

ดังนั้นอัศวินดำที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งเหล่านี้ สามารถจัดเป็นมอนสเตอร์ชั้นยอดได้เท่านั้นเมื่อเทียบกับบอสอย่างอาร์คบิชอปกระดูกเน่า

“ไม่มีปัญหา ข้ามีแผน…”

โจเหลือบมองอัศวินดำที่ชะลอม้าลงและตีโค้งเตรียมพุ่งเข้ามาหาเขาอีกครั้ง

ในขณะที่เขากำลังจะอธิบายกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับเอ็ดเวิร์ด ที่สามารถเขียนได้ถึง 5,000 คำในนวนิยายเรื่องนี้ เสียงเด็กผู้หญิงก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน

“บาเรียศักดิ์สิทธิ์!”

เอลีน่าที่ทักษะกลับมาออนไลน์แล้วเหวี่ยงหนังสือเกมไบเบิลอีกครั้ง เธอโยนมันไปในทิศทางของอัศวินดำเหมือนนักกีฬาขว้างลูกเหล็ก

ช่วงเวลาต่อมา กำแพงแสงสีฟ้าใสก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าอัศวินดำพุ่งเข้าชาร์จอีกครั้ง

อัศวินดำไม่สามารถหยุดตัวเองได้ทันเวลา พุ่งเข้าชนบาเรียศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญฝึกหัด หลังจากมีเสียงดังสนั่นแล้ว ทั้งตัวอัศวินและม้าของพวกเขาก็ยับยู่ยี่เหมือนกระป๋องถูกบี้

เมื่อเห็นอัศวินดำผู้น่าเกรงขามบุกเข้ามาและถูกทำลายลงในวินาทีถัดมา จิตใจที่หวาดกลัวของมนุษย์กบน้อยที่คิดว่าพวกเขาคงจะตายแน่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึง

ขณะเดียวกัน โจก็เสียใจที่ไม่มีโอกาสได้พูดยาว ๆ ในนิยายเรื่องนี้เหมือนกับคนอื่นบ้าง

โกวต้านเดินไปยืนข้างโจก่อนจะเขย่งเท้าตบไหล่เพื่อนแปะ ๆ

“อย่าเพิ่งเศร้า ถึงเวลาจัดการกับต้นตอของปัญหาแล้ว” เอ็ดเวิร์ดพูดข้าง ๆ เขา

“ต้นตอของปัญหา?” วีลาที่พึ่งถอนหายใจด้วยความโล่งอกก็กังวลอีกครั้ง

“ใช่ เจ้าไม่เห็นเหรอว่าเควสยังไม่เสร็จ” เอ็ดเวิร์ดเดาออกมาอย่างมั่นใจ “ข้ากลัวว่าบอสของเควสนี้จะยังอยู่บนหน้าผา เราควรรีบไปก่อนที่มันจะเรียกเกราะพวกนี้ลงมาอีกครั้ง ไปกันเถอะ”

ฉากที่มนุษย์กบในหมู่บ้านคุกเข่าให้เธอนั้นมากเกินไปสำหรับเด็กสาวที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อนอย่างเอลีน่า เธอมองไปที่ฉากตรงหน้าเธออย่างสับสนและทำอะไรไม่ถูก

“ฮาคุน่า มาคล็อกคล็อก!”

พวกมนุษย์กบดูเหมือนจะไม่รู้ว่าการกระทำของพวกเขาได้สร้างความลำบากให้เด็กสาว และยังคงพึมพำภาษาที่ผู้เล่นไม่เข้าใจขณะที่พวกเขาบูชาเธอ

“พวกเขากำลังพูดอะไร”

เอ็ดเวิร์ดอดไม่ได้ที่จะถามคล็อกกาโตว์ที่กำลังจะคุกเข่าด้วย

“ข้าแต่เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องทะเล เราขอแสดงความเคารพอย่างจริงใจแก่ท่าน เพื่อขอบคุณการปกป้องและพรของท่านที่ให้เราได้เพลิดเพลินกับของขวัญที่อุดมสมบูรณ์จากท้องทะเล เราจะไม่มีวันลืมความเมตตากรุณาของท่าน และเราจะอยู่กับน้ำตลอดไป” คล็อกกาโตว์แปลอย่างรวดเร็ว

“เจ้าแปลประโยคยาว ๆ จากคำที่สั้นนิดเดียวเนี่ยนะ?” โกวต้านรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“นี่เป็นการพิสูจน์ว่าภาษาของเราก้าวหน้ากว่าภาษาของเจ้า!” คล็อกกาโตว์ตอบด้วยความภาคภูมิใจ “เด็ก ข้าคิดว่าเจ้าค่อนข้างเหมาะที่จะเรียนภาษาของเรา ทำไมไม่ให้ข้าสอนเจ้าล่ะ”

ผู้เล่นไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะส่ายหัวอย่างพร้อมเพรียงกัน

ตอนนั้นเอง ความปั่นป่วนก็เริ่มปรากฏขึ้นในหมู่มนุษย์กบอีกครั้ง

“พวกเขากำลังพูดอะไร” เอ็ดเวิร์ดถาม

คล็อกกาโตว์นิ่งฟังอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก

“คนผิวแห้ง! พวกมันกำลังวิ่งลงมาจากภูเขา!”

เอ็ดเวิร์ดสบตากับคนอื่น ๆ พวกเขาเข้าใจแล้วว่าการโจมตีที่แท้จริงกำลังจะมาถึงแล้ว

อัลเบิร์ตเป็นนักเวทของสมาคมลับแห่งดวงตา

เขาต่างจากผู้เล่นเมจที่ได้รับการสนับสนุนจากระบบ เขาเป็นนักเวทที่แท้จริงของโลกนี้

ตำแหน่งของนักเวทอยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับสามัญชน พวกเขาลึกลับกว่าขุนนางมาก สามัญชนหลายคนยังคิดว่าตำแหน่งของพวกเขาในสังคมนั้นสูงกว่าขุนนางด้วยซ้ำ

และมันก็เป็นเช่นนั้น ผู้ที่สามารถก้าวข้ามระดับนักเวทย์ฝึกหัดและสามารถกลายเป็นนักเวทที่มีคุณสมบัติครบถ้วน จะได้รับสถานะเทียบเท่ากับบารอน

แต่มันก็ยากเป็นพิเศษที่พวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นในโลกที่เต็มไปด้วยเทพเจ้า ตำแหน่งของนักเวทย์นั้นค่อนข้างจะน่าอึดอัด

แม้ว่าเวทมนตร์จะลึกลับและต้องการพลังเวทที่สูงมาก แต่หากเรียนรู้อย่างถูกต้อง พวกเขาก็จะสามารถเลียนแบบผลของทักษะศักดิ์สิทธิ์และยังสามารถร่ายเวทย์มนต์ที่มีประสิทธิภาพแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้

สิ่งนี้เห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่า 1 ใน 3 ของแชมป์เปี้ยนในตำนานเป็นนักเวท (ส่วนที่เหลือเป็นนักบวชและไม่มีนักรบ)

แต่ก็นั่นแหละ

การจะเป็นนักเวทได้ ก่อนอื่นศักยภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเรียนรู้วิธีร่ายคาถา หากคน ๆ นั้นไม่มีศักยภาพในการใช้เวทมนตร์ และไม่รู้สึกถึงมานาในอากาศ มันก็ไร้ประโยชน์แม้ว่าพวกเขาจะเป็นอัจฉริยะก็ตาม

ในขณะเดียวกันการศึกษาเวทมนตร์นั้นลึกซึ้ง และเป็นเรื่องยากที่จะเริ่มต้นโดยที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้รู้ ทฤษฎีการเรียนรู้และพื้นฐานนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง นักเวทส่วนใหญ่สามารถอ้างได้ว่ารู้เวทมนตร์หลังจากฝึกฝนการร่ายเวทย์มา 3 ปีและทำสมาธิมา 5 ปี พร้อมกับการทดลองทางเวทมนตร์อีกมากมาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการค้นพบแก่นแท้ของเวทมนตร์ ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะเรียนรู้เวทมนตร์ หากบุคคลนั้นมีเพียงความสามารถ แต่ไม่มีความรู้

เป็นผลให้ผู้ที่สามารถเดินบนถนนแห่งเวทมนต์ได้เป็นเพียงคนส่วนน้อย

ถึงกระนั้นนักเวทก็มีเทพเจ้าประจำตัวที่พวกเขาเคารพบูชา ตัวตนที่ลึกลับที่สุดในบรรดาเทพบิดรทั้งเจ็ด ‘เมจิกไวโอเล็ท’

เทพองค์นี้แตกต่างจากเทพองค์อื่น ๆ ตรงที่เขาไม่เคยคัดเลือกผู้ศรัทธาใด ๆ เข้ามาในคริตจักร เขาไม่ต้องการความศรัทธาของสาวก และไม่เคยให้คำพยากรณ์ใด ๆ แก่ผู้ศรัทธาของเขา ในแง่หนึ่ง เขาก็คล้ายกับราชาแห่งความตายฮาเดส เป็นพวกโลกส่วนตัวสูง

แต่ตรงกันข้ามกับราชาฮาเดสผู้น่ากลัว เมจิกไวโอเล็ตไม่ได้ปรากฏตัวมากนัก ไม่มีแม้แต่หลักฐานในดินแดนมรรตัยว่าเทพตนนี้มีอยู่จริง หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่ามีนักบวชและมนุษย์ที่มีพรสวรรค์จากคริสตจักรขนาดใหญ่ ที่สามารถสื่อสารกับเทพเจ้าได้ สามารถยืนยันได้ว่าเทพองค์นี้มีตำแหน่งเป็นถึงหนึ่งในเทพบิดร มนุษย์ก็คงจะไม่รู้ว่าเขามีอยู่จริง

มีสองทฤษฎีหลักที่นักเวทมีเกี่ยวกับเทพองค์นี้ในปัจจุบัน ทฤษฎีแรก เมจิกไวโอเล็ทคือผู้สร้างรากฐานสำคัญของเวทมนตร์ทั้งหมด และกำหนดการมีอยู่ของเวทมนตร์ ตราบใดที่ยังมีผู้ร่ายเวทมนต์อยู่บนโลกนี้ เขาก็จะไม่หายไป และทฤษฎีที่สอง เมจิกไวโอเล็ทได้สร้าง ‘เครือข่ายเวทมนตร์’ ที่มนุษย์ไม่สามารถตรวจจับได้ ตามทฤษฎีนี้ เวทมนตร์ทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกนี้ล้วนเป็นพลังศักดิ์สิทธิของเขา และเมื่อใดก็ตามที่มีคนใช้เวทมนตร์ นั่นหมายความว่าพวกเขาได้มอบศรัทธาให้กับเขา ดังนั้นตราบใดที่เวทมนตร์ยังคงมีอยู่ ก็หมายความว่าเขายังไม่หายไป

ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด มันก็เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง ว่าเขาคือเทพเจ้าองค์หนึ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎของโลกทั้งใบได้ เมจิกไวโอเล็ทนั้นมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะอยู่ในสถานะที่เท่าเทียมกับเทพบิดรตนอื่น ๆ!

ในระยะสั้น การเรียนรู้เวทมนตร์ต้องใช้ทรัพยากร ความรู้ ข้อมูล และวัสดุจำนวนมหาศาล และสิ่งเหล่านี้จะหาได้ก็ต่อเมื่อมีเงิน

เป็นเพราะรางวัลมากมายที่สมาคมเสนอให้เขา อัลเบิร์ตจึงเลือกเข้าร่วมสมาคมลับแห่งดวงตาสาขาจักรวรรดิวัลลา และทำภารกิจต่าง ๆ ให้สำเร็จเพื่อแลกกับเงินและวัสดุหายาก…

ตอนนี้เขาต้องเผชิญกับภารกิจที่ค่อนข้างลำบาก นั่นก็คือการโจมตีหมู่บ้านมนุษย์กบ

อันที่จริงเขาก็ได้เข้าร่วมการทดสอบพลังของหมู่บ้านมนุษย์กบในครั้งที่แล้ว แต่เขาไม่ได้โจมตีพวกมนุษย์กบด้วยตัวเอง เขารวบรวมข้อมูลของหมู่บ้านจากด้านข้าง ในขณะที่ปล่อยให้พวกสมาคมคนอื่น ๆ โจมตี

ตามข้อมูลที่ได้รับจากการโจมตีครั้งนั้น อัลเบิร์ตจึงมีความพร้อมที่จะทำลายหมู่บ้านแห่งนี้ให้ราบในครั้งเดียว

ตอนแรกเขาคิดว่าแค่โคลนถล่มก็มากเกินพอแล้ว

การสร้างโคลนถล่มเป็นเรื่องง่าย ใช้ระเบิดเพื่อทำลายหน้าผาสร้างโคลนขึ้นมา การเคลื่อนไหวนี้ทำได้ง่ายและใช้งานได้จริง นอกเหนือจากการเลือกที่จุดระเบิดแล้ว ก็ไม่ต้องออกแรงอะไรมากนัก ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงใช้ดอกไม้เปลวไฟเป็นวัตถุระเบิด และแม้ว่าดอกไม้จะเป็นวัสดุเวทมนตร์ธาตุไฟที่ราคาถูกที่สุด แต่ก็ยังทำให้เขาต้องเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก

ใครล่ะที่ทำให้มนุษย์กบเหล่านั้นมั่นใจในภูเขาหินนี้ และสร้างหมู่บ้านไว้ใต้หน้าผา?

แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่าจะมีคนที่แข็งแกร่งเท่าอาร์คบิชอปในหมู่บ้านมนุษย์กบ ที่สามารถสร้างบาเรียขนาดใหญ่เพื่อสกัดกั้นโคลนถล่มได้!

“ชิ ทำไมครั้งที่แล้วไม่เห็นพวกมันจะแข็งแกร่งแบบนี้เลยล่ะ”

อัลเบิร์ตมองไปที่บาเรียศักดิ์สิทธิ์ที่ค่อย ๆ หายไปด้านล่างอย่างกังวล และไม่ได้สังเกตเลยว่าเขากัดริมฝีปากแรงมากจนเลือดไหลซิบออกมา ถ้าเขารู้ว่ามีศัตรูระดับนี้อยู่ที่นั่น เขาก็คงไม่เลือกวิธีการโจมตีแบบนี้แต่แรก “นี่ไม่ดีแล้ว ถ้าข้ากลับไปทั้งแบบนี้ แส้ดำได้ฆ่าข้าแน่!”

หัวใจของอัลเบิร์ตเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อนึกถึงชายที่น่ากลัวคนนั้น

“ตอนนี้ข้าคงได้แต่ใช้ไพ่ตายก้นหีบของข้าได้เท่านั้น…”

อัลเบิร์ตหยิบม้วนกระดาษออกมาจากกระเป๋าอย่างหงุดหงิด ก่อนจะฉีกมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยไม่มองเลย

ช่วงเวลาต่อมาร่างในชุดเกราะสีดำบนหลังม้าหลายร่างก็ได้ปรากฏขึ้นมารอบตัวเขา

“ให้ตายเถอะ หนังสืออัญเชิญอัศวินไรน์เล่มนี้ทำให้ข้าต้องใช้โกลด์แอ็บบี้ตั้ง 1 อัน!” อัลเบิร์ตสั่งการด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ฟังคำสั่งข้า! ฆ่าทุกชีวิตที่เจ้าเห็นที่นั่น!”

หัวหน้ากลุ่มอัศวินไรน์โค้งคำนับอย่างแข็งกร้าว และขี่ม้าสีดำติดอาวุธหนักวิ่งลงหน้าผา

เขาได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนขึ้นมาจากด้านล่างของหน้าผาว่า “คนผิวแห้ง! พวกมันกำลังวิ่งลงมาจากภูเขา!”

ขณะเดียวกัน ซีเว่ยก็กำลังดูโชว์พร้อมกับกินป๊อปคอร์นอยู่ในอ่าง

เทียบกับลัทธิกระดูกเน่าแล้ว เขาไม่กังวลเรื่องสมาคมลับแห่งดวงตาเลยสักนิด

เหตุผลนั้นง่ายมาก ลัทธิกระดูกเน่าศรัทธาในเทพเจ้า และได้รับการสนับสนุนจากเทพเจ้ากระดูกเน่า

นั่นหมายความว่าที่ตั้งของโบสถ์กระดูกเน่านั้น ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยพลังงานของเทพเจ้ากระดูกเน่า และถึงซีเว่ยจะมีระดับสูงกว่าเขา 2-3 ขั้น เขาก็ไม่อาจมองเห็นผ่านม่านบาเรีย และสังเกตสิ่งที่ศัตรูกำลังทำอยู่ได้

สมาคมลับแห่งดวงตานั้นต่างกัน

สมาคมเป็นองค์กรค้าของเถื่อนที่มีสมาชิกจากทั่วทวีป แต่นั่นก็หมายความว่าพวกเขาส่วนใหญ่ศรัทธาในเทพเจ้าที่แตกต่างกัน สิ่งนี้ทำให้พวกเขาไม่มีบาเรียศักดิ์สิทธิ์ที่เข้มข้นพอที่จะป้องกันการสังเกตจากซีเว่ย

แม้ว่าพวกเขาทำตัวลึกลับ และมีมาตรการปกป้องอย่างดีเพียงใด มันก็ไร้ประโยชน์ในสายตาของซีเว่ย ตราบใดที่มันเป็นสถานที่ที่ผู้ศรัทธาของซีเว่ยพิชิตได้ ซีเว่ยก็จะสามารถมองเห็นทุกรายละเอียดได้อย่างชัดเจน!

สำหรับซีเว่ย องค์กรนี้ก็เป็นเพียงเค้กชิ้นหนึ่งเท่านั้น

ครั้งนี้เขาได้ส่งผู้เล่นไปยังหมู่บ้านมนุษย์กบ และออกเควสเตือนพวกเขา เมื่อเห็นว่าศัตรูออกจากฐานและกำลังจะมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านมนุษย์กบ

สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง เขาไม่กังวลเลย ยังไงผู้เล่นก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาที่เมืองไร้ชื่อได้อยู่แล้วหากพวกเขาล้มเหลว

ด้วยการที่ผู้เล่นมีฐานที่มั่นลับใต้ดินของแลงคาสเตอร์เป็นอาณาเขตสำรอง หมู่บ้านเริ่มต้นในปัจจุบันจึงสามารถป้องกันสมาคมลับแห่งดวงตาได้โดยไม่มีปัญหา และถึงแม้ว่าพวกเขาจะสูญเสียอย่างร้ายแรง ซีเว่ยก็ยังสามารถลงไปที่โลกมนุษย์และกวาดล้างพวกมันได้ในทันที เพราะสมาคมลับแห่งดวงตาไม่ใช่องค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจากเทพเจ้า ดังนั้นจึงไม่มีเทพเจ้าอื่นมาหาเรื่องเขา

ความจริงหลังจากที่เขาอัปเดตระบบและสร้างดันเจี้ยนขึ้นมา เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับผู้เล่นมากนัก

เพราะเขายังมีเรื่องเร่งด่วนอีกมากมายให้ทำ

ความสัมพันธ์ระหว่างเทพเจ้าในวิหารเดียวกันนั้นใกล้ชิดกว่าที่ซีเว่ยคิด แม้ว่าคุณสมบัติของเทพกระดูกเน่าจะยังไม่ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ ทำให้วิหารใต้พิภพไม่รู้ว่าลูกสมุนของพวกเขาถูกฆ่าโดยซีเว่ย แต่มันก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น

ซีเว่ยกำลังมองหาวิธีตัดการเชื่อมต่อระหว่างเทพเจ้ากระดูกเน่าและวิหารใต้พิภพ หรืออย่างน้อยก็เตรียมความพร้อมให้เพียงพอที่จะรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น หากเทพองค์ใด ๆ จากวิหารใต้พิภพต้องการมาหาเรื่องเขา และเขาก็เดาได้เลยว่าเทพที่มาในครั้งนี้คงไม่ง่ายที่จะจัดการเหมือนเทพเจ้ากระดูกเน่าแน่ ๆ

ดังนั้นเขาจึงต้องเก็บเกี่ยวกระเทียม…แค่ก เก็บเกี่ยวพลังงานเทพเจ้าให้มากขึ้น

สรุปก็คือ เขาจะดูแลผู้เล่นเป็นครั้งคราว และเขาจะไม่เสียพลังงานเทพเจ้าไปเพื่อช่วยเด็กน้อยในแดนมรรตัย

หมู่บ้านมนุษย์กบ ห้องรับแขก (บ้านหอยสังข์)

การโจมตีจากสมาคมลับแห่งดวงตามาช้ากว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้เล็กน้อย ตอนนี้สถานการณ์ค่อนข้างเงียบสงบ

ระบบผิดพลาดรึเปล่า? หรือมันเลิกนิสัยเสียที่ชอบรังแกพวกเขายามคับขันแล้ว?

เรื่องนี้แม้แต่เอ็ดเวิร์ดก็ยังสงสัย

โชคดีที่พวกเขาทุกคนเชื่อมั่นในเทพเจ้าแห่งเกม พวกเขาส่วนใหญ่มาถึงระดับของผู้ศรัทธาที่เคร่งศาสนา และเกือบจะกลายเป็นพวกคลั่งศาสนา นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงขจัดความหวั่นไหวของตัวเองออกไปได้อย่างรวดเร็ว และมีกำลังใจเข้มแข็ง

พวกเขายังคงนอนรอการโจมตีที่กำลังจะมาถึง

“ข้าคิดว่า เรามีปัญหา…” โกวต้านลากโจที่เกือบจมน้ำตายไปวางตรงหินรูปไข่ขนาดใหญ่ที่มนุษย์กบใช้เป็นเตียงนอน

ในขณะที่เขาพยายามตากโจให้แห้ง โกวต้านก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ถ้าสมาคมลับแห่งดวงตาต้องการโจมตีหมู่บ้านมนุษย์กบ พวกเขาจะทำยังไง?”

“พวกเขาจะทำยังไงน่ะเหรอ? ก็แค่เข้ามาในหมู่บ้าน เผาแล้วก็ปล้นสะดม…” พูดได้แค่นั้นวีลาก็หยุดชะงักไป

เธอตระหนักว่าพวกเขาทั้งหมดดูเหมือนจะคิดผิด เมื่อได้รับการแจ้งเตือนว่าสมาคมลับแห่งดวงตากำลังจะโจมตีหมู่บ้านมนุษย์กบ พวกเขาก็คิดพวกสมาคมเป็นโจรธรรมดาโดยไม่รู้ตัว

พูดตามตรง ถ้าเป็นกลุ่มโจรปกติแม้ว่าจะมีคน 70-80 คน คนเหล่านั้นก็ไม่สามารถสู้กับผู้เล่น 6 คนในปาร์ตี้นี้ได้ เพราะนอกจากวีลาแล้วอีก 5 คนในปาร์ตี้ก็เป็นผู้เล่นที่มีประสบการณ์และแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้เล่นทั้งหมด

แต่ศัตรูกลับปรากฏในเควสของระบบ นั่นหมายความว่า ศัตรูไม่ใช่โจรธรรมดา!

และก็หมายความว่าประสบการณ์ใด ๆ ที่พวกเขาเคยใช้จัดการกับศัตรูประเภทนี้ จะต้องถูกโล๊ะทิ้ง

“ให้ข้านึกก่อน…” ในฐานะที่เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่น 3 คนที่เคยบุกเข้าไปในที่ซ่อนของสมาคมลับแห่งดวงตา สีหน้าของเอ็ดเวิร์ดมืดลงจนต้องขมวดคิ้ว

“ข้าคิดว่ามีนักเวทย์อยู่ในสมาคมลับแห่งดวงตา…”

นักเวทย์ที่มีเวทย์มนตร์ระยะไกลที่แข็งแกร่งและทรงพลังนั้น เหมาะที่สุดในการบุกโจมตีหมู่บ้านอย่างไม่ต้องสงสัย

ราวกับจะพิสูจน์ว่าคำพูดของเขาถูกต้อง พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนราวกับมีแผ่นดินไหว แม้แต่น้ำทะเลตื้น ๆ ก็สั่นเป็นระลอกคลื่นจากแรงสั่นสะเทือน

ผู้เล่นทั้งหมดรีบออกไปด้านนอกทันที

บางทีอาจเป็นเพราะต้องการความเป็นส่วนตัว มนุษย์กบจึงสร้างหมู่บ้านในมุมที่เงียบสงบมุมหนึ่งของชายฝั่งทะเล หมู่บ้านหันหน้าไปทางทะเลในขณะที่อีกด้านหนึ่งติดกับหน้าผาสูงชัน และอีกด้านหนึ่งของหน้าผาก็เป็นพื้นที่โล่งไม่มีที่สิ้นสุด

ตอนนี้สิ่งที่เอ็ดเวิร์ดและพรรคพวกเห็นก็คือโคลนที่ไหลลงมาจากหน้าผาด้วยความเร็วที่น่ากลัว!

โคลนที่ถล่มลงมามีขนาดใหญ่มาก จนมนุษย์กบต่างพากันตกตะลึงเมื่อได้เห็นมัน จิตใจของพวกเขาว่างเปล่าโดยสมบูรณ์

“อะไรกัน…เอ็ดเวิร์ด เจ้าไม่เห็นเคยบอกเราเลยว่านักเวทย์จากสมาคมลับแห่งดวงตามีพลังมากขนาดนี้!” โกวต้านมองไปที่โคลนถล่มด้วยสีหน้าว่างเปล่า

“ไม่ เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่เคยพบนักเวทย์ระดับนี้มาก่อน…มันอาจเกิดจากนักเวทย์หลายคน!”

เอ็ดเวิร์ดปฏิเสธทันที เขาไม่คิดว่านักเวทย์ที่แข็งแกร่งขนาดนี้จะอยู่ในสมาคมลับแห่งดวงตา

เขานึกย้อนกลับไปตอนที่เขาแอบเข้าไปในสมาคม นอกจากคนที่โดดเด่นไม่กี่คน คนอื่น ๆ ก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเลย

“นี่! เราควรวิ่งก่อนไม่ใช่เหรอ!” วีลาตะโกนออกมาอย่างเหงื่อตก

แม้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นผู้เล่นที่แทบจะฆ่าไม่ตายง่าย ๆ และยังสามารถสละชีวิตตัวเองเพื่อสร้างโอกาสให้พันธมิตรของพวกเขาได้ แต่สามัญสำนึกและสัญชาตญาณของมนุษย์ก็ยังคงร้องเตือนให้พวกเขาหนีเมื่อพบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ

“ไม่ มันถล่มเร็วเกินไป!”

เอ็ดเวิร์ดใจหายกับเหตุการณ์ที่พลิกผันนี้

ถ้าเขาเลเวลสูงสุด (เลเวล 45) และได้เรียนรู้ทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดในสายทักษะของเมจ บางทีมันอาจจะช่วยได้ แต่ถึงแม้ว่าเขาจะมีเลเวลสูงสุดในหมู่ผู้เล่นตอนนี้ แต่เขาก็มีเลเวลแค่ 28 เท่านั้น

เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับการโจมตีระดับนี้ เขาก็ยังไร้พลังเกินไป

“นี่ ช่วยข้าถือหน่อย”

เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ เอลีน่าที่กินอมยิ้มเงียบ ๆ ก็เก็บอมยิ้มของเธอใส่ห่อแล้วมันยัดลงในมือของวีลา

“ฮะ?” วีลามองไปที่เด็กสาวผมเงินด้วยความสงสัย เธอคิดว่าเด็กคนนี้แปลกนิดหน่อย พวกเขากำลังจะถูกฝังอยู่ในดิน นี่ใช่เวลาที่ต้องห่วงเรื่องขนมเหรอ?

เอลีน่าไม่รู้ว่าวีลากำลังคิดอะไรอยู่ เธอหยิบอาวุธของตัวเองออกมา

ในฐานะผู้เล่นเลเวลสูง เอลีน่าที่เป็นนักบุญฝึกหัดก็ควรจะมีอาวุธประจำตัวของนักบุญ ไม่ว่าจะเป็นค้อน โล่ หรือแม้กระทั่งไม้กางเขน

แต่เนื่องจากเอลีน่ามุ่งเน้นไปที่การรักษาหรือการร่ายหอกแห่งชัยชนะเป็นครั้งคราว เธอจึงไม่เคยถืออาวุธในมือมาก่อน ดังนั้นวีลาจึงเดาว่าเด็กสาวยังไม่พบอาวุธที่เหมาะกับเธอ

แต่ความจริงแล้วเอลีน่ามีอาวุธของเธอ

มันคือหนังสือปกแข็งที่ห้อยอยู่ที่สะโพกของเธอด้วยโซ่สีเงิน ที่ดูเหมือนจะเป็นเครื่องประดับเสื้อคลุมนักบวช และมันก็ถูกล็อคไว้อย่างแน่นหนาด้วยตัวล็อคโลหะ หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า ‘เกมไบเบิล’ และมีโลหะแหลมสีขาวติดอยู่ที่มุมแต่ละด้านของหนังสือ โดยรวมแล้วมันก็คืออุปกรณ์ร่ายเวททรงสี่เหลี่ยมที่มีหนามแหลมแปดอัน…

ถึงแม้ว่ามันจะสร้างความเสียหายได้มากมายในการต่อสู้ แต่มันก็ดูไม่ได้ช่วยอะไรในสถานการณ์ปัจจุบัน…

“บาเรียศักดิ์สิทธิ!”

เด็กสาวถือโซ่และใช้มันเหวี่ยงหนังสือเล่มใหญ่ออกไปในระยะไกล

ทันใดนั้นบาเรียสีฟ้าซีดขนาดใหญ่ ที่สร้างขึ้นจากหนังสือก็ได้ทิ้งตัวลงบนพื้น!

ตรงกลางของบาเรียนั้นมีสัญลักษณ์ไม้กางเขนสีขาว และปลายแขนทั้งสี่ด้านกางเขนก็มีสัญลักษณ์ที่คล้ายกับดาบ ไม้คทา คันธนู และสุดท้ายคือหนังสือ ตรงกลางไม้กางเขนมีสัญลักษณ์ของเทพเจ้าแห่งเกม

บาเรียนี้มีขนาดใหญ่มากจนครอบคลุมทั้งหมู่บ้านมนุษย์กบ และยังขยายออกไปอีกไกล มันสูงเกือบถึงสวรรค์ โคลนที่ไหลลงมาจากหน้าผากระทบบาเรียในทันที แต่มันก็ไม่แม้แต่จะทำให้บาเรียสั่นสะเทือน!

“ทะ ท่านต้องล้อข้าเล่นแน่…” วีลาตกตะลึง

เธอรู้จักทักษะบาเรียศักดิ์สิทธิ์ดี เพราะมันเป็นทักษะการป้องกันที่เครลิคสามารถเรียนรู้ได้เมื่อถึงเลเวลถึง 15 ซึ่งสามารถเรียกบาเรียแสงออกมาได้ บาเรียที่เครลิคทั่วไปสามารถทำได้คือขนาดเท่าความสูงของมนุษย์ และมีความกว้างประมาณ 2 เมตร นั่นเป็นสาเหตุทำให้เธอตกใจกับบาเรียแสงขนาดใหญ่ตรงหน้าเธอสุด ๆ!

ตอนนั้นเองเธอก็จำสิ่งที่เอ็ดเวิร์ดเคยพูดก่อนหน้านี้ได้ว่า “อย่าตัดสินหนังสือจากหน้าปก ท่านวีลา หากนับเพียงพลังต่อสู้ เธออาจจะแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเรา”

ทีแรกเธอคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องตลก แต่พวกเขาไม่ได้ล้อเล่น!!

วีลาไม่ใช่คนเดียวที่สั่นเพราะบาเรียแสงขนาดใหญ่ เมื่อเหล่ามนุษย์กบเห็นเด็กสาวผมสีเงินทวินเทล ปิดกั้นการโจมตีที่สามารถทำให้พวกเขาตายอย่างที่ไม่อาจโต้แย้งอะไรได้ พวกเขาทั้งหมดก็คุกเข่าลงกับพื้นและเริ่มพึมพำเป็นภาษามนุษย์กบที่ผู้เล่นไม่เข้าใจ ก่อนจะหมอบกราบและคำนับลงไปที่พื้น ราวกับว่าพวกเขากำลังเข้าใจเด็กสาวผิด ว่าเธอคือสิ่งมีชีวิตชั้นสูง…

ขณะที่เอ็ดเวิร์ดและปาร์ตี้กำลังกำจัดศพของโจ พวกเขาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ

[ติ้ง! ปลดล็อคเควสต่อเนื่อง – ผู้พิทักษ์มนุษย์กบ①]

[คำอธิบายเควส: หลังจากสมาคมลับแห่งดวงตาได้ทดสอบพลังการต่อสู้ของเผ่ามนุษย์กบแล้ว พวกเขาก็ได้วางแผนปิดล้อมหมู่บ้านโดยไม่ให้พวกมนุษย์กบได้ทันตั้งตัว เพื่อยึดและทำลายหมู่บ้านให้สำเร็จในครั้งเดียว! วีรบุรุษเอ๋ย จงช่วยมนุษย์กบปกป้องหมู่บ้านจากการโจมตีครั้งนี้!]

[รางวัลเควส: EXP เหรียญเกม (ตามสัดส่วนของศัตรูที่ถูกสังหาร) ตั๋วแลกไอเทมชั้นยอดแบบสุ่ม และทุกสิ่งที่สามารถหาได้ในหมู่บ้านมนุษย์กบ]

[หมายเหตุ: เมื่อเควสสำเร็จ ระบบจะปลดล็อกเควสถัดไป – ผู้พิทักษ์มนุษย์กบ②]

ทันใดนั้นสีหน้าของเอ็ดเวิร์ดก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “ไม่นะ!”

“อะไร?” โกวต้านสับสน

“ตามนิสัยของระบบ การที่เควสอยู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นนั่นแสดงว่าศัตรูกำลังจะมาถึงแล้ว!”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็มองไปรอบ ๆ หมู่บ้านเพื่อหาที่ ๆ มนุษย์กบซ่อนอาวุธของพวกเขาไว้

วีลาก็เดินออกมาจากบ้านสังข์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“พวกท่านก็ได้รับเควสด้วยใช่ไหม?” เธอถามปาร์ตี้ของเอ็ดเวิร์ดซึ่งทุกคนก็พยักหน้าพร้อมกัน

“ท่านบอกพวกมนุษย์กบรึยัง”

“ข้าบอกไปแบบอ้อม ๆ แล้ว แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้สนใจสิ่งที่ข้าพูด” วีลาปวดหัว

เธอไม่ได้คาดหวังในประสิทธิภาพการต่อสู้ของมนุษย์กบ ยังไงซะหอกที่โจใช้ฆ่าตัวตายก็เป็นเพียงไอเทมสีขาว มันเป็นของที่แม้แต่ผู้ลี้ภัยก็ไม่ต้องการ แม้ว่าพวกเขาจะเตรียมพร้อมรับมือมาอย่างดี มันก็ยากที่พวกเขาจะสู้ไหว ไม่ต้องพูดถึงการลอบจู่โจมในครั้งนี้เลย

“ตอนนี้เราจะทำยังไงดี” โกวต้านถามอย่างเป็นห่วง

“ไปเอาอาวุธกันก่อน” เอ็ดเวิร์ดนิ่งคิดสักพัก ก่อนที่จะหันไปหาเอลีน่าที่กำลังกินขนมอยู่ข้าง ๆ “ชุบโจ เราต้องการแท็งค์เพื่อดึงดูดค่าความโกรธของศัตรู”

เอลีน่าพยักหน้าและเอาอมยิ้มเข้าปาก มืออันบอบบางของนักบุญฝึกหัดโบกไปมาในอากาศเพื่อสร้างวงเวทสีทอง

จากนั้นวงเวทย์ก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และกลายเป็นละอองแสงไหลไปที่ศพของโจ

โจกระตุก 2-3 ครั้งก่อนจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

“เกิดอะไรขึ้น? สำเร็จไหม” สิ่งแรกที่โจทำเมื่อตื่นขึ้นมาคือตรวจสอบเควส ‘ร่วมกับมนุษย์กบ’ ที่พวกเขารับมาจากแองโกร่า และพบว่ามันถูกทำเครื่องหมายว่าเสร็จสิ้นแล้ว

หลังจากที่เขารับรางวัลเควสอย่างมีความสุข เขาก็ตระหนักว่าสีหน้าของทุกคนแปลกไป

“มีอะไรเกิดขึ้นตอนที่ข้าตายรึเปล่า?” โจถามอย่างระมัดระวัง

คนอื่น ๆ มองหน้ากัน ก่อนที่พวกเขาจะมองไปยังโกวต้านที่สนิทกับโจที่สุด

โกวต้านขมวดคิ้วก่อนที่จะเล่าทุกอย่างให้โจฟัง

โจที่พึ่งมีความสุขจากการเคลียร์เควส เมื่อได้ยินสิ่งที่โกวต้านเล่า สีหน้าของเขาก็เริ่มแย่ลง

“เจ้ากำลังจะบอกว่า…” โจมองผู้เล่นคนอื่น ๆ ในปาร์ตี้ด้วยสีหน้าขมขื่น “ไม่ใช่แค่ข้าจะพลาดเควสเสริมเพราะข้าตาย แต่ข้ายังต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยป้องกันศัตรูให้พวกเจ้าด้วย”

“ก็เจ้าเป็นคนเดียวในหมู่พวกเราที่เปลี่ยนคลาส เจ้าก็เลยเป็นที่ต้องการมากที่สุดไง” เอ็ดเวิร์ดตบไหล่จและพูดว่า “หลังจากจบเควส พวกเราจะให้เหรียญเกมครึ่งหนึ่งเป็นค่าตอบแทนเจ้า”

“ไม่ต้องกังวล พวกสมาคมลับแห่งดวงตาไม่สามารถเอาชนะมนุษย์กบได้ในครั้งที่แล้ว พวกเขาจะต้องอ่อนแอมาก!” โกวต้านพูดเสริมเอ็ดเวิร์ด

โจกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เอลีน่าก็พูดขึ้นมาก่อนว่า “ระวัง พวกกบกำลังมา”

ทุกคนใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนองคำพูดของเอลีน่า วีลาที่รวดเร็วที่สุดศอกใส่อกโจทันที ทำให้เขาล้มลงกับพื้น และใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาจมอยู่ในน้ำทะเล

หลังจากพวกมนุษย์กบประชุมกันเสร็จ พวกเขาก็ออกมาจากบ้านหอยสังข์

เมื่อเห็นผู้เล่นยังหมอบอยู่หน้าประตู คล็อกกาโตว์ก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ

“ทำไมพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่?”

จากนั้นสายตาของเขาก็หันไปมองร่างของโจ “ข้าคิดว่าข้าเห็นเขาขยับ…”

“เจ้าแค่ตาฝาด!” วีลาหยิบหอยแหลมออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ แทงใส่ไตโจให้ดูจะ ๆ “ดู! เขาไม่ขยับเลย เขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้ยังไง”

เมื่อเห็นตัวเลขคริติคอลสีแดงสดโผล่ออกมาจากหัวโจ ผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ ถอยห่างจากวีลาโดยไม่รู้ตัว

“โอ้…” คล็อกกาโตว์ก็เริ่มกลัววีลาเหมือนกัน “พวกเรามนุษย์กบก็กระตุกบางครั้งหลังจากที่เราตายเหมือนกัน…”

“ช่างเรื่องนี้ก่อนเถอะ…” ลีลาดึงหอยแหลมออกมาและโยนทิ้ง ทำให้ตัวเลขสีแดงสดโผล่ออกมาจากหัวโจอีกครั้ง “อาวุธของเราอยู่ที่ไหน”

“ทำไมพวกเจ้าถึงกังวลเรื่องอาวุธ? พวกเราผิวเปียกไม่ได้โลภขนาดนั้น!” คล็อกกาโตว์ดูไม่พอใจ

“เราแค่ต้องการเตรียมพร้อม! การระมัดระวังตัวอยู่เสมอถือเป็นคติประจำใจของเรานักผจญภัย!” เอ็ดเวิร์ดโกหกหน้าตาย

“นั่นสินะ…” คล็อกกาโตว์ยังคงสงสัยอยู่นิดหน่อย แต่สีหน้าของเขาก็ยังดูถูกผู้เล่น “ฮึ่ม ข้าไม่รู้ว่าทำไมหัวหน้าหมู่บ้านถึงตกลงร่วมมือกับพวกเจ้า คนผิวแห้ง แต่ข้า คล็อกกาโตว์ผู้ยิ่งใหญ่ไม่ไว้ใจพวกเจ้า! ในฐานะนักรบผิวเปียก แม้ว่าข้าจะจมน้ำ ข้าก็จะไม่ขอยอมรับความช่วยเหลือจากพวกเจ้า!”

หลังจากที่เขาพูดจบเขาก็เดินจากไป ปล่อยให้ผู้เล่นมองหน้ากันด้วยความสับสน

“พวกเจ้ายืนบื้ออะไรอยู่ เจ้าไม่ได้ต้องการอาวุธของเจ้าคืนรึ” หลังจากเดินไป 2-3 ก้าว คล็อกกาโตว์ก็หันกลับมาถาม

ในที่สุดผู้เล่นก็รู้ว่าทำไมมนุษย์กบถึงเดินออกไปในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ พวกเขาตามหลังคล็อกกาโตว์ไปเพื่อเอาอาวุธคืน

ไม่ว่ายังไง พวกเขาก็ต้องการอาวุธเพื่อต่อสู้กับสมาคมลับแห่งดวงตา

หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว โกวต้านก็รู้สึกว่าเขาลืมอะไรไปสักอย่าง ก่อนที่เขาจะตระหนักว่าทุกคนลืมโจที่นอนจมน้ำบนพื้น เขาจึงเดินกลับมาและพยายามลากโจที่แกล้งตายไปพร้อมกับพวกเขา

อย่างที่พูด โกวต้านค่อนข้างผอมแห้ง และโจก็ตัวใหญ่เกินไป ดังนั้นโกวต้านจึงไม่มีทางอุ้มโจในท่าเจ้าหญิงหรือยกเขาขึ้นหลังได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงลากเท้าเพื่อนไปตามพื้นเท่านั้น

เขาลากโจไปและทิ้งรอยเลือดเป็นทางยาวในน้ำทะเล ทำให้ฉากนี้ดูน่ากลัวเป็นพิเศษ…

หลังจากคล็อกกาโตว์หดตัวไปอยู่ที่มุมบ้าน ทุกคนก็กลับไปที่หัวข้อเดิม

“ในเมื่อท่านพูดถึงคนผิวแห้งที่ทำร้ายเรา แสดงว่าท่านรู้อะไรบางอย่างใช่ไหม” หัวหน้าหมู่บ้านถามขณะที่แก้มของเขาพองขึ้น และจ้องตรงไปที่วีลา

“คนที่ทำร้ายท่านคือกลุ่มโจรที่เรียกตัวเองว่าสมาคมลับแห่งดวงตา พวกเขาพบเส้นทางเดินเรือไปทวีปตะวันตก และต้องการพิชิตชายฝั่งทะเลแห่งนี้เพื่อเปลี่ยนให้มันเป็นท่าเรือลักลอบขนสินค้า”

ข้อมูลนี้ไม่ใช่ความลับตั้งแต่แรก ดังนั้นเธอจึงบอกข้อมูลเกี่ยวกับศัตรูให้หัวหน้าหมู่บ้านฟัง

“พวกเราเป็นนักผจญภัยจากเมืองนอกหุบเขาแห่งความตาย เรามีความขัดแย้งเล็กน้อยกับสมาคมลับแห่งดวงตา ดังนั้นเราจึงมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือท่าน”

“ท่านเป็นคนผิวแห้งแท้ ๆ แต่กลับใจกว้างผิดวิสัยจริง ๆ”

หัวหน้าหมู่บ้านไม่ได้เห็นด้วยหรือปฏิเสธ ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจมนุษย์เป็นอย่างดี เขาไม่เชื่อว่าวีลาและปาร์ตี้จะช่วยเผ่าพันธุ์อื่นอย่างพวกเขาต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ของตัวเอง เพียงเพื่อสิ่งที่เรียกว่า ‘ความขัดแย้งเล็ก ๆ’

ความจริงแล้วที่ในยุคนี้ที่ความรู้จำนวนมากไม่ได้แพร่กระจายออกไป มนุษย์ส่วนใหญ่จึงไม่สามารถมองเห็นภาพรวมและเข้าใจเผ่าพันธุ์อื่น พวกเขาจึงเอาความต้องการของตนเป็นใหญ่ ดังนั้นเผ่าพันธุ์อมนุษย์ส่วนใหญ่ จึงมองมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่เห็นแก่ตัวและโลภที่สุดในโลก

นี่คือโลกที่มีเทพเจ้าเป็นศูนย์กลาง พวกเขาไม่ต้องการผู้ที่ละทิ้งเทพและผู้ที่ไม่ถูกผูกมัดด้วยกฎหมาย ผู้นำคริสตจักรส่วนใหญ่เช่นพระสันตปาปาและอาร์คบิชอป รวมถึงราชวงศ์ที่อยู่บนยอดพีระมิด พวกเขาไม่ต้องการผู้ก่อความไม่สงบใด ๆ ที่จะโผล่ออกมาจากสามัญชน ที่อาจส่งผลกระทบต่อการปกครองของตน ดังนั้นพวกเขาจึงร่วมมือกันเพื่อจำกัดขอบเขตความรู้ของสามัญชน ทำให้สามัญชนโง่เขลาและง่ายต่อการควบคุม

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม ในโลกแห่งเวทมนตร์และพลังศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่กว่าโลกเดิมของซีเว่ย จึงอยู่ในยุคกลางมาหลายร้อยหลายพันปี

ขณะที่วีลากำลังคิดว่าจะทำยังไงให้พวกมนุษย์กบเชื่อใจเธอ โจที่นั่งอยู่บนพื้นจนขาชาก็ตะโกนขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “พอแล้วสำหรับการพูดคุย พูดมาเลยว่าเราต้องทำยังไงท่านถึงจะเชื่อใจเรา! ถ้าข้าฆ่าตัวตายตอนนี้ท่านจะเชื่อเรารึไม่!”

“หึ เจ้าเป็นแค่คนผิวแห้งขี้ขลาด เจ้าไม่มีทางฆ่าตัวตาย…” คล็อกกาโตว์ที่กำลังยืนอยู่มุมห้องหัวเราะออกมา

เมื่อได้ยินมนุษย์กบพูดแบบนั้น โจก็กระโดดขึ้นจากพื้นโดยไม่สนใจสาหร่ายทะเลที่พันรอบข้อมือของเขา เขาวิ่งไปที่คล็อกกาโตว์และคว้าหอกขึ้นมา

คล็อกกาโตว์กลัวมากจนผิวสีเขียวเข้มของเขาซีดลง แต่ปฏิกิริยาแรกของเขาคือการปกป้องหัวหน้าหมู่บ้านจากอันตราย

แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาคิด โจไม่ได้โจมตีคล็อกกาโตว์หรือหัวหน้าหมู่บ้าน เขาแทงหอกเข้าไปที่อกของเขาอย่างไม่ลังเล เลือดของเขาไหลออกจากปากขณะที่เขาเย้ยหยันว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่! ข้าจะตายเพื่อเจ้าตอนนี้เลย!”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็ดึงหอกออก เลือดจำนวนมากพุ่งออกมาจากบาดแผลของเขาเหมือนน้ำพุ กระเซ็นไปทั่วสถานที่ ฉากอันน่าสยดสยองนี้ทำให้ทหารมนุษย์กบสองคนที่อยู่ข้าง ๆ หวาดกลัว

ไม่ใช่แค่ทหารมนุษย์กบเท่านั้นที่ตกใจ แต่แม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านที่มีอายุยืนยาวมานานก็ยังตกใจกับการกระทำของเขา มนุษย์กลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่กล้าหาญเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!

ทุกคนในห้องนิ่งไปสักพักกว่าจะรู้ว่าโจยังไม่ตาย และบาดแผลของเขาก็ดูเหมือนจะได้รับการเยียวยาจนเลือดหยุดไหลแล้ว

“เวร HP ของข้าสูงเกินไป เอื้อออ…” โจตระหนักถึงสาเหตุที่เขายังไม่ตาย แม้ว่าเขาจะแทงหัวใจตัวเอง แต่การโจมตีของเขาที่สามารถฆ่าคนทั่วไปให้ตายได้ในทันที กลับไม่ได้ทำให้เขาตายเพราะกฏของระบบเกม แม้ว่ามันจะเกิดคริติคอลเพราะโจมตีโดนจุดอ่อน แต่เขาก็ยังมี HP เหลืออยู่อีกมาก

ดังนั้นภายใต้การจ้องมองที่ตกตะลึงของมนุษย์กบทั้ง 2 เขาจึงสบถและแทงตัวเองด้วยหอกอีกครั้ง

“เชี่ย ในที่สุดข้าก็ตายซะที…”

หลังจากพูดจบ โจก็เสียชีวิตลงด้วยสีหน้าที่พึงพอใจอย่างมาก

ชั่วขณะหนึ่ง บ้านหอยสังข์ทั้งหลังก็เต็มไปด้วยความเงียบแปลกๆ

ผู้เล่นและมนุษย์กบต่างมองหน้ากันสักพัก ก่อนที่ความเงียบจะถูกทำลายโดยโกวต้านที่กลั้นหัวเราะไม่อยู่

“พรูดดด!”

แต่ปฏิกิริยาของโกวต้านก็รวดเร็วมาก เขาทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและมองไปรอบ ๆ บ้านทั้งที่ในบ้านไม่มีอะไรให้ดูมากนัก

คล็อกกาโตว์มองไปที่โกวต้านด้วยสีหน้าหวาดกลัว คนผิวแห้งคนนี้ต้องเป็นหนี้ปลาเค็มตากแห้งของเจ้าคนที่ฆ่าตัวตายแน่ ไม่งั้นเขาจะหัวเราะหลังจากเห็นเพื่อนตายได้ยังไง!

เขาคิดว่าคนผิวแห้งคนนี้กำลังแกล้งตายเพื่อหลอกพวกเขา แต่หน้าอกและลำคอของโจก็ถูกแทงจริง อีกทั้งหัวใจก็ไม่เต้นและไม่มีลมหายใจแล้ว จากสัญญาณทุกอย่าง เห็นได้ชัดว่าเขาตายจริง แต่คล็อกกาโตว์ก็ยังรู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างผิดปกติ…

“ท่านก็ได้เห็นความจริงใจของพวกเราแล้ว”

เมื่อเห็นว่าโกวต้านกำลังพยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ วีลาจึงรีบคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อพยายามจบข้อตกลงนี้ให้เร็วที่สุด “เรามาคุยเรื่องความร่วมกันดีกว่าค่ะ”

“อืม…นี่ท่านจะไม่ดูแลศพของสหายก่อนหรือ?” หัวหน้าหมู่บ้านถามด้วยความสับสน

จากปฏิกิริยาของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะเปิดกว้างและพร้อมที่จะทำงานร่วมกับผู้เล่นแล้ว

ตอนนี้โจก็ได้เสียสละตัวเองเพื่อพิสูจน์ความซื่อสัตย์ไปแล้ว เขากลัวว่าหากเขายังลังเลต่อไป มนุษย์อีกคนคงจะฆ่าตัวตายพิสูจน์ความจริงใจต่อ

แค่การรับมือกับสมาคมลับแห่งดวงตานั้นก็หนักหนาพออยู่แล้วสำหรับมนุษย์กบ หากพวกเขายังต้องรับมือกับมนุษย์เหล่านี้ที่เรียกตัวเองว่านักผจญภัยอีก เผ่ามนุษย์กบก็คงจะต้องรับศึก 2 ด้าน และเผ่าของเขาก็คงจะหายไปในไม่กี่วัน…

“อา นั่น…” วีลาก็ไม่รู้วิธีจัดการกับศพของโจเช่นกัน

เธอควรจะบอกพวกเขาดีไหม ว่าศพของผู้เล่นจะหายไปเองตามธรรมชาติหลังจากหมดเวลาคืนชีพ?

“ทำไมท่านไม่แก้มัดพวกเรา และปล่อยให้เราลากเขาออกไปล่ะ” เอ็ดเวิร์ดเสนอความคิดขึ้นมาทันที

มันก็ดีที่จะปล่อยให้มนุษย์กบลากเขาออกไป แต่เอ็ดเวิร์ดก็อยากจะทดสอบว่าพวกเขาให้ความร่วมมือกับผู้เล่นมากแค่ไหน และอย่างที่สอง…พวกเขาอยากจะหัวเราะมากจริง ๆ

ดังนั้นคล็อกกาโตว์จึงนำหอกที่โจใช้ฆ่าตัวตายมาตัดสาหร่ายที่พันรอบข้อมือของผู้เล่นออก

ภายใต้การดูแลของคล็อกกาโตว์ คนอื่น ๆ ในปาร์ตี้ก็ลากศพของโจออกจากบ้าน ในขณะที่วีลายังอยู่บ้านเพื่อพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านเกี่ยวกับความร่วมมือในอนาคต

เมื่อเห็นคล็อกกาโตว์อยู่ข้าง ๆ ผู้เล่น มนุษย์กบคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้สนใจการกระทำของผู้เล่นมากนัก

เมื่อคล็อกกาโตว์กลับไปที่บ้านหอยสังข์ เอ็ดเวิร์ดและโกวต้านก็ระเบิดหัวเราะออกมา

“วะฮ่าฮ่าฮ่า โจแม่งโคตรโง่! ข้ากลั้นหัวเราะแทบตาย!”

“อย่าหัวเราะ เขาใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อปูทางไปสู่อนาคตที่สงบสุข…ฮ่าฮ่าฮ่า ขอโทษ ข้ากลั้นไม่ไหวแล้ว มันตลกเกินไป!”

เสียงหัวเราะอันสนุกสนานของผู้เล่นบ้าบอและศพที่ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม ได้ดึงดูดความสนใจของมนุษย์กบทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น…

หลังจากที่พวกเขารู้ว่ากำลังถูกล้อม พวกเขาก็หยุดและมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง

พวกเขาทุกคนค่อนข้างมีประสบการณ์ในการถูกล้อม เนื่องจากพวกเขาได้สำรวจหุบเขาแห่งความตายมานานแล้ว และสัตว์ประหลาดส่วนใหญ่ในนั้นก็มักจะส่งกองทัพโครงกระดูกหรือสัตว์ประหลาดลูกสมุนมาล้อมกรอบผู้เล่นอยู่บ่อยครั้ง

แน่นอนว่าสถานการณ์ในตอนนี้แตกต่างออกไป เพราะพวกเรเวแนนท์มักจะทำไปตามสัญชาตญาณหรือภายใต้คำสั่งของเรเวแนนท์ขั้นสูงกว่า และการที่พวกมันล้อมเหยื่อก็เป็นเพราะมีพวกมันจำนวนมากกว่า แต่ตอนนี้ศัตรูที่กำลังปิดล้อมพวกเขาเหมือนว่าจะมีการวางแผนมาแล้วเป็นอย่างดี

เมื่อวงล้อมถูกปิดลง พวกเขาก็ได้เห็นว่าใครที่กำลังโจมตีพวกเขาอยู่

มันคือสิ่งมีชีวิตที่สูงเพียง 1.1-1.2 เมตร เมื่อมองแวบแรกมันดูเหมือนกบตัวใหญ่ที่ยืนสองขา พวกมันไม่มีคอ ผิวหนังก็ชุ่มชื้นและเรียบเนียน บางตัวมีผิวสีเขียวบางตัวก็สีน้ำตาลและมีลวดลายสีดำบนตัว

คนพวกนี้สวมเสื้อผ้าที่ทำจากเปลือกหอยที่ปิดเพียงส่วนสำคัญเท่านั้น และถืออาวุธง่าย ๆ ที่ทำจากเปลือกหอยแหลมยาวขนาดใหญ่ติดกับปลายแท่งไม้ แก้มของพวกมันปูดเป็นลูกบอลแสดงให้เห็นว่าพวกมันกำลังโกรธ

“ทำไมเจ้ามาที่นี่ คนผิวแห้ง!” กบตัวใหญ่ที่มีสร้อยเปลือกหอยพูกรอบคอตะโกนออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นหัวหน้า มันพูดภาษาชูโมเนียน (ภาษากลางของมนุษย์) ด้วยสำเนียงที่ชัดแจ่ว “ออกไปจากที่นี่ ชายฝั่งทะเลเป็นของพวกเราคนผิวเปียก!”

คนที่เรียกตัวเองว่าคนผิวเปียกนั้นเป็นเผ่ามนุษย์กบที่วีลาต้องการพบ

สำหรับคำเรียก ‘คนผิวแห้ง’ เป็นคำหยาบเล็กน้อยที่มนุษย์กบใช้เรียกทุกคนที่ไม่ใช่เผ่าของตนและเผ่าสัตว์น้ำ

“ว้าว พวกเขามีชื่อสีเหลืองหมดเลยและไม่มีแถบ HP ด้วย…นี่พวกเขาเป็นเพื่อนหรือศัตรูกันแน่” โกวต้านพึมพำเบา ๆ

“ไม่รู้สิ อาจจะเป็นกลางมั้ง?” เอ็ดเวิร์ดยักไหล่

“เราไม่ต้องการสู้กับพวกเจ้า อันที่จริงเรามาที่นี่เพื่อช่วย!” วีลาตะโกนออกมา และเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือเธอจึงโยนธนูกับกริชลงกับพื้น และยกแขนทั้งสองข้างขึ้นยอมจำนน “เราแค่อยากคุยกับหัวหน้าเผ่าของเจ้า”

หลังจากที่เธอพูด เธอก็มองไปที่คนอื่น ๆ ในปาร์ตี้และส่งสัญญาณให้พวกเขาทิ้งอาวุธด้วย

เอ็ดเวิร์ดและสมาชิกคนอื่น ๆ ถอนหายใจและวางอาวุธลงกับพื้น

พวกเขาแตกต่างจากนักรบและผู้วิเศษทั่วไปในโลก ผู้เล่นยังคงสามารถใช้พลังส่วนใหญ่ของพวกเขาได้โดยที่ไม่ต้องใช้อาวุธ

แต่พวกมนุษย์กบไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าผู้เล่นโยนอาวุธของพวกเขาลง ความเป็นปรปักษ์ของพวกเขาจึงลดลงอย่างมาก

“เราไม่มีอะไรต้องพูดกับเจ้า พวกคนผิวแห้ง! จับให้หมด! จำไว้ ว่าคนที่จับเจ้าได้คือข้า คล็อกกาโตว์(Croakatoa)ฮีโร่ของคนผิวเปียก!”

มนุษย์กบคนนั้นเยาะเย้ยวีล่าและพรรคพวก เขาสั่งให้ลูกน้องพองลมแบ่งด้วยความภาคภูมิใจ

“เฮ้ นั่นดาบใหญ่ T2 ของข้าที่ได้มาจากหุบเขาแห่งความตายเลยนะ อย่าลากมันไปกับพื้น! จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าทำมันพัง…” โจบ่น แต่พวกมนุษย์กบก็เพิกเฉย

อาวุธนี้หนักเกินไปสำหรับพวกเขา ดังนั้นการลากไปกับพื้นจึงเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้

ภายใต้ความร่วมมือของผู้เล่น พวกเขาก็ถูกนำตัวกลับไปที่หมู่บ้านมนุษย์กบโดยมีสาหร่ายทะเลพันรอบข้อมือ

ขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่ วีลาก็พยายามสื่อสารกับมนุษย์กบคนอื่น ๆ แต่พวกเขากลับไม่รู้วิธีพูดภาษาชูโมเนียน

หมู่บ้านนี้สร้างขึ้นตามแนวชายหาดและมีบ้านไม่มากนัก บ้านส่วนใหญ่มีขนาดสูง 2 เมตรในขณะที่ส่วนน้อยเป็นบ้านที่สร้างจากหินและเปลือกหอย

แม้ว่ามันจะดูแปลกใหม่ แต่มาตรฐานความงามของเผ่ามนุษย์กบนั้นแตกต่างจากมนุษย์มาก และการที่พวกเขาต้องยืนอยู่ในหมู่บ้านมนุษย์กบ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันแย่มาก…

แม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงน้ำลง แต่น้ำทะเลก็ยังขึ้นมาถึงข้อเท้าของพวกเขาอยู่ดี

“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นบ้านของมนุษย์กบ…” โกวต้านมองไปรอบ ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น

“ก็เป็นเหมือนกันทุกคนนั่นแหละ หากมีการจัดอันดับเผ่าพันธุ์ที่ลึกลับที่สุดในโลก มนุษย์กบก็จะติดอันดับ 1 ใน 10 แน่นอน!” วีลากระซิบกลับ

นอกเหนือจากพวกกะลาสีเรือแล้ว มนุษย์ยังไม่มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์กบมากนัก

โดยส่วนใหญ่มนุษย์กบจะหลีกเลี่ยงมนุษย์ พวกเขาอยู่ในสถานที่ห่างไกลและโดดเดี่ยวจึงไม่ค่อยมีใครได้เห็นพวกเขา

ในขณะเดียวกัน มนุษย์กบก็ไม่เป็นที่สนใจของมนุษย์ เนื้อของพวกมันรสชาติแย่ อวัยวะของพวกมันก็ไม่มีคุณสมบัติทางยา และพวกมันก็ไม่มีผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่นที่มีคุณค่าเช่นไข่มุก สิ่งที่มีค่าที่สุดที่พวกมนุษย์กบผลิตได้ก็น่าจะเป็นปลาเค็มที่ตากบนหลังคาบ้าน…

หลังจากสงครามอารยธรรมจบลง มนุษย์ก็ไม่ได้มีความขัดแย้งใด ๆ กับมนุษย์กบ

นี่คือสาเหตุที่แองโกร่าสงสัยว่าทำไมสมาคมลับแห่งดวงตาจึงมีปัญหากับเผ่ามนุษย์กบ และทำไมเผ่ามนุษย์กบจึงอยากสู้กับพวกเขาแทนที่จะออกจากชายฝั่งทะเลนี้…นอกจากนี้เขาก็ต้องการช่วยเหลือมนุษย์กบด้วย การที่สมาคมลับแห่งดวงตาไม่ได้โจมตีเมืองไร้ชื่อทันทีก็เพราะพวกเขากำลังมีปัญหาเรื่องชายฝั่งทะเลกับเหล่ามนุษย์กบ

“ที่นี่คือที่ที่หัวหน้าหมู่บ้านอาศัยอยู่ หากเจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดกับเขา!” คล็อกกาโตว์เลี้ยวและนำปาร์ตี้ผู้เล่นไปที่หอยสังข์ที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน

“เจ้าบอกว่าเจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับเรา แต่เจ้าก็ยังพาพวกเรามาที่นี่? เจ้าเป็นคนดีนะ คล็อกกาโตว์!” โจเป็นคนตรง ๆ เพราะงั้นเขาจึงหัวเราะและชมมนุษย์กบตนนี้อย่างจริงใจ

“ข้าก็แค่อยากเห็นว่าเจ้าจะพูดอะไร!”

ด้านในหอยสังข์นั้นกว้างขวางอย่างไม่น่าเชื่อ และหัวหน้าหมู่บ้านก็รอพบพวกเขาอยู่แล้ว

หัวหน้าหมู่บ้านมีผิวสีส้มอมเหลืองซึ่งแตกต่างจากมนุษย์กบคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน และขนาดตัวของเขาก็ใหญ่กว่ามาก และเขายังมีหูดที่หลังของเขา

“ข้าได้ยินจากคล็อกกาโตว์แล้ว พวกเจ้ามีอะไรจะพูดกับข้า” มนุษย์กบถามออกมาด้วยภาษาชูโมเนียน “ข้าไม่คิดว่าข้าจะช่วยพวกเจ้าได้…”

“ได้โปรดอย่าถือว่าเราเป็นศัตรู เราพร้อมที่จะช่วยเหลือพวกท่าน!” วีลาพยายามทำหน้าที่นักการทูต “ข้ารู้มาว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ท่านถูกมนุษย์กลุ่มหนึ่งทำร้าย…”

“พวกเจ้าผิวแห้งนั่นแหละที่ทำ!” วีลายังไม่พูดจบประโยค คล็อกกาโตว์ก็กระโดดออกมาและตะโกนใส่เธอ

“คล็อกกาโตว์เจ้าออกไปก่อน!” หัวหน้าหมู่บ้านบอกให้คล็อกกาโตว์ออกไป ก่อนที่จะหันกลับไปมองวีลา “ข้าขอโทษสำหรับความหยาบคายของเขาด้วย แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ สำหรับเราคนผิวแห้งก็ดูเหมือนกันไปหมด และมันยากมากที่จะแยกความแตกต่างระหว่างเจ้ากับคนอื่น ๆ ในหมู่พวกเจ้า…”

“แต่พวกเรา คนผิวเปียกมีสีผิวและลวดลายที่แตกต่างกัน! ดูดอกเบญจมาศดอกนี้ที่ด้านหลังของข้า…อ่า ขอโทษ พี่ก็รู้ว่าข้าภูมิใจในดอกเบญจมาศน้อยน่ารักของข้ามาตลอด”

คล็อกกาโตว์กำลังคุยโวเกี่ยวกับดอกเบญจมาศของเขา ก่อนที่เขาจะตระหนักว่าทุกคนในห้องกำลังจ้องเขา เขาก็เลยหดตัวไปอยู่ที่มุมหนึ่ง

เมื่อทุกคนเตรียมพร้อมที่จะท้าทายดันเจี้ยนใหม่ ปาร์ตี้ของเอ็ดเวิร์ดซึ่งเป็นหนึ่งในปาร์ตี้แนวหน้าก็อยู่ในพื้นราบใกล้ ๆ ชายฝั่ง พวกเขาทิ้งรอยเท้าไว้บนพื้นทรายชื้น ๆ

สถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้ทะเลมากจนจมูกได้กลิ่นคาวของทะเล พร้อมกับได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งและเสียงนกทะเลที่ร้องเจื้อยแจ้ว เสียงกับทิวทัศน์ของท้องทะเลและท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ทำให้ภาพทั้งหมดดูงดงามมาก

นอกจากปาร์ตี้เอ็ดเวิร์ด 5 คนแล้ว ครั้งนี้วีลาซึ่งเป็น NPC มือขวาของแองโกร่าก็ตามมาด้วย

ในโลกนี้นอกจากเวลาจำเป็นจริง ๆ คนส่วนใหญ่จะไม่เดินทางทางทะเล หรือแม้แต่เข้าใกล้ทะเลเลย

เหตุผลนั้นง่ายมาก มีสัตว์ประหลาดในทะเลมากกว่าบนบกหลายเท่า และแม้แต่พื้นที่ใกล้ชายฝั่งก็มีพวกมันปรากฏอยู่เนื่อง ๆ

แม้ว่าจะเดินอยู่บนหาดทรายริมฝั่ง มันก็ง่ายที่จะถูกโจมตีโดยสัตว์ประหลาดสะเทินน้ำสะเทินบก…

เช่นเดียวกับตอนนี้ สัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนอะโนมอลโลคาร์ริส(anomalocaris)* ที่มีเปลือกเกราะเป็นปล้องก็ได้กระโดดออกมาจากทะเล และโจมตีปาร์ตี้!

(อะโนมอลโลคาร์ริส(anomalocaris) สัตว์ทะเลคล้ายกุ้งมีเกราะแข็งเป็นปล้อง ๆ มีครีบ)

ในฐานะที่เป็นผู้เล่นแนวหน้า ทุกคนในปาร์ตี้จึงจะตอบสนองค่อนข้างเร็ว และเข้าสู่โหมดต่อสู้ได้ในทันที โจที่เปลี่ยนคลาสเป็นนักดาบวิญญาณปิดกั้นมอนสเตอร์ เอ็ดเวิร์ด โกวต้าน และวีลาเป็นผู้รับผิดชอบในการโจมตี ในขณะที่เอลีน่าและเจสซิก้า รับผิดชอบในการรักษาและบัฟ

หลังจากนั้นไม่นานสัตว์ประหลาดในทะเลก็ส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เมื่อมันทิ้งตัวลงพื้นและหายไปในทราย หลังจากที่ทิ้งขาหน้าสองข้างที่ดูเหมือนเลื่อยเอาไว้

โจแทบจะไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาได้โจมตีลาสช็อตออกไปที่สัตว์ประหลาด ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความสุข “คลาสนี้สุดยอดมาก!”

ในฐานะผู้เล่นคนแรกที่เปลี่ยนคลาสเป็นนักดาบวิญญาณได้สำเร็จ เขาจึงยังคงอยู่ในช่วงทดลองใช้ทักษะของเขาอยู่ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นความช่วยเหลือจากวิญญาณคู่หู ก็ส่งผลต่อรูปแบบการต่อสู้ของเขาเป็นอย่างมาก

เช่นเดียวกับการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดทะเลก่อนหน้านี้ ถ้าเขายังอยู่ในชั้นคลาสเดิม เขาจะต้องสูญเสีย HP อย่างน้อย 1 ใน 3 จากการที่เขารับการโจมตีเป็นเวลานาน

แต่หลังจากที่เขามีวิญญาณคู่หูที่สามารถแท็งค์และดึงดูดค่าความโกรธของศัตรูได้ เขาก็สามารถสลับเป้าหมายของศัตรูระหว่างเขากับวิญญาณคู่หู เพื่อสร้างคอมโบการป้องกัน ไม่ให้เขาต้องแบกรับความเสียหายทั้งหมดคนเดียว

ไม่เพียงแต่เขาจะสามารถปกป้องพันธมิตรได้ง่ายขึ้นเท่านั้น แต่เขายังสามารถสร้างความเสียหายให้กับศัตรูได้มากขึ้นอีกด้วย

ค่าพลังโจมตีของเขาที่มีต่อสัตว์ประหลาดตัวเมื่อกี้ต่ำกว่าเอ็ดเวิร์ดที่เน้นเฉพาะการโจมตีเล็กน้อย เพราะเขามุ่งเน้นไปที่การป้องกันเกือบทั้งหมด และเริ่มโจมตีด้วยทักษะดาบปีศาจในนาทีสุดท้ายเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าถ้านักดาบวิญญาณใช้สายทักษะดาบปีศาจอย่างสมบูรณ์ มันจะเป็นคลาสที่มีพลังโจมตีสูงสุดในเกมเวอร์ชั่นนี้

“คลาสใหม่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าคลาสพื้นฐานมาก…ทำไมท่านถึงไม่เปลี่ยนคลาสเป็นชาโดว์โร๊คด้วยล่ะ ท่านโตวก้าน” หลังจากที่เธอเห็นการฝีมือของโจ วีลาก็ถามอีกคนที่สามารถเปลี่ยนคลาสได้ในปาร์ตี้ “ท่านเลเวล 15 แล้วไม่เหมือนข้าที่ยังเลเวล 10”

“อะฮะ….ข้าก็สงสัยว่าทำไม ข้าไม่รู้จริง ๆ…” โกวต้านเกาหัวอย่างขัดเขิน

“ไม่ต้องไปฟังเขา เหตุผลเดียวที่เขาไม่เปลี่ยนคลาสเพราะเขาไม่ต้องการทิ้งทักษะยิงธนูของพ่อ” เอ็ดเวิร์ดเริ่มแซะสมาชิกในปาร์ตี้ของตัวเอง “คลาสชาโดว์โร๊คไม่สามารถใช้ธนูได้”

“หัวหน้าทำไมเจ้าทำแบบนี้” โกวต้านคร่ำครวญ “การแซะข้าทำให้เจ้ามีความสุขใช่ไหม”

“ใช่ มันทำให้ข้ามีความสุขมาก! ดูสิเมจไม่มีโอกาสเปลี่ยนคลาสและทำได้แต่อิจฉา เจ้ามีโอกาสเปลี่ยนคลาส แต่เจ้ากลับยอมแพ้ แน่นอนว่าข้าไม่มีความสุข!” เอ็ดเวิร์ดตอบตรง ๆ ก่อนที่เขาจะให้คำแนะนำว่า “โอกาสที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งอยู่ตรงหน้าเจ้า ดังนั้นอย่ายอมแพ้…”

“เจ้ากำลังพูดอะไรน่ะหัวหน้า? ข้าคิดว่าเทพเจ้าแห่งเกมมีแผนอะไรบางอย่างอยู่แน่ ๆ ที่เขาไม่ให้เราเปลี่ยนคลาสทันทีหลังจากที่เรามีเลเวลสูงพอ บางทีเรนเจอร์อาจเปลี่ยนเป็นคลาสอื่นที่เน้นการยิงธนูได้ในอนาคต” โกวต้านเดา “ถ้าไม่ใช่แบบนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลที่เรนเจอร์จะยิงธนูได้ตั้งแต่แรก ดังนั้นเขาจะต้องวางแผนเรื่องนี้เอาไว้แล้ว!”

“เจ้าคิดเรื่องนี้ออกด้วยตัวเองเลยเหรอ?” เอ็ดเวิร์ดถามพลางขมวดคิ้ว

“ไม่หรอก เรนเจอร์คนอื่น ๆ อีกหลายคนก็วางแผนที่จะรอ พวกเขาจะไม่เปลี่ยนคลาสตอนนี้”

เอ็ดเวิร์ดดูเหมือนอยากจะโต้เถียงกับโกวต้านต่อ แต่วีลาไม่ได้วางแผนที่จะปล่อยให้คนในปาร์ตี้เริ่มสู้กันเองเพราะเรื่องนี้ ดังนั้นเธอจึงพูดแทรกขึ้นมาเพื่อแยกพวกเขาออกจากกัน

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่พอใจอะไรหรอกนะ แต่จะดีกว่าไหมที่จะไม่พาเด็กน้อยคนนี้มาด้วย”

วีลามองเด็กสาวผมเงินที่กำลังเลียอมยิ้มอย่างมีความสุข และถามออกมาอย่างเป็นห่วง

เมื่อรู้สึกว่าวีลากำลังจ้องมองเธออยู่ เอลีน่าจึงซ่อนห่อลูกกวาดของเธอและจ้องมองวีลากลับ โดยที่ไม่มีแผนจะแบ่งปันขนมที่เธอได้รับจากซีเว่ยให้คนอื่น

เอ็ดเวิร์ดลืมเรื่องที่กำลังจะเถียงกับโกวต้านไปหลังจากที่เขาได้ยินคำถามของวีลา เขาตัดสินใจว่าจะถาม ‘อาร์คบิชอป’ ซีเว่ยเกี่ยวกับเรื่องนี้ในครั้งต่อไปที่พบเขา

เขาลูบแก้มที่เริ่มแข็งเล็กน้อยจากลมทะเลฤดูหนาวก่อนที่จะยิ้มออกมา

ไม่ใช่แค่เขา แต่โจ โกวต้าน และเจสซิก้าต่างก็ยิ้มราวกับว่าวีลากำลังพูดเรื่องตลกอยู่

“อย่าตัดสินหนังสือจากปกนะท่านวีลา ถ้าเป็นเรื่องของพลังต่อสู้ เธออาจจะแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งหมด” เอ็ดเวิร์ดมั่นใจ

“…ท่านล้อเล่นรึเปล่า” เห็นได้ชัดว่าวีลาไม่เชื่อในสิ่งที่เอ็ดเวิร์ดพูด

เอ็ดเวิร์ดจึงยักไหล่และเกือบจะกลอกตาใส่วีลา

“ถ้าเท่านไม่เชื่อในความแข็งแกร่งของเรา แล้วทำไมท่านถึงขอให้เราช่วยเจ้าทำเควสนี้ตั้งแต่แรก? จะดีกว่าไหมถ้าท่านไปหาลุงมาร์นี่ ลุงอีวาน หรือปาร์ตี้ของเจ้าหญิงลีอา” เจสสิก้าไม่ต้องการให้เกิดความอึดอัดระหว่างพวกเขา เธอจึงพยายามเปลี่ยนบทสนทนา

“ท่านมาร์นี่กำลังช่วยลอร์ดแองโกร่าขยายเส้นทางการค้าในเมือง ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาทำเควสนี้ กลับกันเจ้าหญิงลีอาค่อนข้างกระตือรือร้นที่จะทำ แต่ทันทีที่เธอพูดว่า ‘ผู้ติดตามที่ภักดีของข้า ถึงเวลาแล้วที่เราจะขยายเทียร่าและสร้างประวัติศาสตร์!’ ปู่แวนเค่อก็ลากเธอออกไปด้วยสีหน้าโกรธเคือง…”

เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ สีหน้าของโจและโกวต้านก็ยับยู่ยี่ ไม่ใช่เพราะเธอเชื่อในตัวพวกเขา แต่เพราะเธอไม่เหลือใครแล้วต่างหาก

ทันใดนั้นเอลีน่าก็หยุดเดิน

เอ็ดเวิร์ดกำลังจะถามว่าทำไมเธอถึงหยุด แต่ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังและยกมือขึ้นหยุดวีลาที่กำลังพูดอยู่ เขากระซิบเสียงเบาที่มีแต่คนในปาร์ตี้เท่านั้นที่ได้ยินว่า “เรากำลังถูกล้อม”

วันรุ่งขึ้นหลังงานเฉลิมฉลอง ผู้เล่นแทบจะไม่ฟื้นจากอาการเมาค้าง แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้เริ่มงานของวันนี้ เสียงแจ้งเตือนของระบบที่ซีเว่ยส่งมาก็ดังขึ้น

[ติ้ง!]

[อัปเดตเวอร์ชันเกม 0.1 เสร็จสมบูรณ์!]

[เพิ่มดันเจี้ยนใหม่: ห้องใต้ดินของผีดิบ (LV1 ~ LV30)]

[คำอธิบายดันเจี้ยน: ผู้ศรัทธาในเทพเจ้ากระดูกเน่าได้ถูกขับไล่กลับไปสู่ความมืดแล้ว โดยวีรบุรุษผู้กล้าแห่งศาสนจักรเทพเจ้าแห่งเกม แต่พวกเขาก็ได้รับพลังจากเทพเจ้าผู้ชั่วร้าย และกำลังวางแผนร้ายอยู่ในเงามืด พวกเขาได้ทิ้งความภาคภูมิใจในฐานะมนุษย์ไปแล้ว พวกเขากำลังรอโอกาสโต้กลับ นำความโกลาหลและความตายมาสู่โลก! เทพเจ้าแห่งเกมผู้ยิ่งใหญ่และชาญฉลาดได้ขัดขวางแผนการของพวกเขาและขังพวกเขาเอาไว้ในห้องใต้ดิน ตอนนี้คุณต้องชำระล้างพวกเขาให้บริสุทธิ์ และส่งพวกเขาทั้งหมดกลับลงไปยังส่วนลึกของนรก!]

[รายละเอียดดันเจี้ยน: เฉพาะผู้เล่นในเมืองไร้ชื่อและฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์ที่มีชื่อเสียงเป็นมิตรเท่านั้น ที่สามารถซื้อ ‘กุญแจห้องใต้ดิน ’ (วัสดุสิ้นเปลือง-เทเลพอร์ต) จากแองโกร่า•ฟาสต์ / ลีอา•ยาการัน โดยใช้เหรียญเกมและการทำเควส กุญแจแต่ละอันจะสามารถนำผู้เล่น 6 คนเข้าสู่ห้องใต้ดินของผีดิบ หมายเหตุ กุญแจมีเพียง 72 ดอกต่อวัน]

[ข้อกำหนดในการเคลียร์ดันเจี้ยน: กำจัดศัตรูทั้งหมดในห้องใต้ดิน และคุณอาจจะได้รับไอเทมระดับสูงหรือแม้แต่ไอเทมระดับตำนานที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของดันเจี้ยน!]

[หมายเหตุ ‘ขอให้โชคดี!’ เทพเจ้าแห่งเกม]

เรื่องแรกที่ระบบแจ้งให้กับผู้เล่นทุกคนทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นมาก

ไม่มีผู้เล่นคนใดเคยได้รับไอเทมระดับตำนานมาก่อน ดังนั้นการปรากฏของดันเจี้ยนนี้จึงเป็นแรงจูงใจให้ผู้เล่นแต่ละคนทำงานหนักขึ้น

สำหรับกุญแจ 72 ดอกต่อวัน ผู้เล่นไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก

ยังไงซะพวกเขาก็มีประสบการณ์ในการกวาดล้างและสำรวจหุบเขาแห่งความตายมาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงคุ้นเคยกับการสร้างปาร์ตี้ เพื่อที่จะได้มีโอกาสลองดันเจี้ยนใหม่ ภายใต้ข้อจำกัดที่ทุกคนสามารถท้าทายดันเจี้ยนได้เพียงครั้งเดียวต่อวัน มันก็มีผู้เล่นเพียงพอที่จะสร้างปาร์ตี้ 6 คนได้ประมาณ 20-30 กลุ่มเท่านั้น ในตอนนี้กุญแจ 72 ดอกต่อวันก็เกินพอแล้ว

ผู้เล่นเคยคิดว่าดันเจี้ยนใหม่คือการอัปเดตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในครั้งนี้ แต่ข้อความที่ตามมาก็ทำให้การอัปเดตครั้งนี้ระเบิดขึ้น

[เลเวลสูงสุดของผู้เล่นเพิ่มขึ้นเป็น 45]

[เพิ่มคลาสใหม่: นักดาบวิญญาณ(Spirit Swordsman)]

[คำแนะนำคลาส]

[นักดาบวิญญาณใช้พิธีกรรมลึกลับเพื่อควบคุมวิญญาณชั่วร้ายจากโลกใต้พิภพ และพัฒนาให้เป็นวิญญาณคู่หูที่แข็งแกร่งโดยการเพิ่มเลเวลและเรียนรู้ทักษะ]

[คลิกเพื่อดูวิดีโอสาธิต]

[ข้อกำหนดในการเปลี่ยนคลาส: วอร์ริเออร์ระดับ 15 สามารถเปลี่ยนคลาสได้เมื่อทำเควสเปลี่ยนคลาสสำเร็จ]

วิดีโอที่แนบมาเป็น CG เกมของนักดาบวิญญาณ

มันแสดงให้เห็นลักษณะคร่าว ๆ ของคลาสนักดาบวิญญาณ

อย่างแรกการพัฒนาวิญญาณคู่หูไม่ได้ปราศจากข้อเสีย วิญญาณคู่หูจะใช้ HP มากว่า 1 ใน 4 ของผู้เล่น ดังนั้นนักดาบวิญญาณจะมี HP เพียง 75% ของ HP เดิม ในขณะเดียวกันผู้เล่นจะต้องเสียสละ EXP ส่วนหนึ่งให้กับวิญญาณคู่หู ซึ่งหมายความว่า EXP ที่พวกเขาจะได้รับจากการเอาชนะมอนสเตอร์จะลดลง

แน่นอนว่าเพื่อแลกกับการเสียสละครั้งใหญ่ ความช่วยเหลือของวิญญาณคู่หูที่ส่งผลต่อผู้เล่นก็จะมากขึ้นเช่นกัน

มีสายทักษะ 3 สายที่นักดาบวิญญาณสามารถพัฒนาได้ คือ ควบคุมวิญญาณ ดาบปีศาจ และอัญเชิญวิญญาณ

ผู้เล่นที่เลือกสายทักษะ ‘ควบคุมวิญญาณ’ จะควบคุมวิญญาณเพื่อต่อสู้กับศัตรูโดยตรง ผู้เล่นที่มุ่งเน้นไปที่สายทักษะนี้ โดยทั่วไปเนื่องจากพวกเขาสามารถสื่อสารและแบ่งปันความรู้สึกกับวิญญาณคู่หูได้ พวกเขาจึงมีพลังในการต่อสู้เป็น 2 เท่า (แน่นอนว่าความเจ็บปวดก็เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าด้วยเช่นกัน)

ผู้เล่นที่เลือกสายทักษะ ‘ดาบปีศาจ’ จะสามารถเพิ่มพลังของอาวุธได้ด้วยวิญญาณคู่หู ภายใต้เงื่อนไขนี้ พวกเขาอาจได้รับโบนัสเพิ่มเติมสำหรับทักษะดาบของพวกเขาตามประเภทของวิญญาณคู่หูที่สิ่งสู่ในดาบ แม้ว่าจะเป็นทักษะดาบเดียวกันแต่มันก็อาจแตกต่างไปตามผู้ใช้แต่ละคน!

สุดท้าย ผู้เล่นที่เลือกสายทักษะ ‘อัญเชิญวิญญาณ’ จะมีวิญญาณคู่หูหลายตัว ด้วยการเสียสละความคล่องตัวและความกล้าหาญในการต่อสู้พวกเขาจะได้รับความสามารถในการร่ายบัฟ AoE และดีบัฟที่แข็งแกร่ง มันก็เหมือนกับคลาส Soul Bender ใน Dungeon Fighter Online* แต่ทักษะอัญเชิญวิญญาณนี้จะดูฉูดฉาดกว่า

(Dungeon Fighter Online เป็นเกม Action RPG รูปแบบ 2D side-scrolling ที่มีฉากต่อสู้อันเร้าใจ โดยภาพในเกมยังคงกลิ่นอายของเกมต่อสู้แบบคอนโซลสมัยก่อน หากแต่มีฉากเคลื่อนไหวและกราฟิกที่ลื่นไหลกว่า มีในไทยนะคะ ในสตรีมก็มี)

[เพิ่มคลาสใหม่: ชาโดว์โร๊ค(Shadow Rogue)]

[คำแนะนำคลาส]

[ชาโดว์โร๊ค ผู้ที่ยอมแพ้ในธนูและลูกศร พวกเขาเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเพื่อรอโอกาสที่ดีที่สุดในการโจมตีและลอบสังหารศัตรู พวกเขาภาคภูมิใจในศาตร์การลอบสังหาร พวกเขามีความเชี่ยวชาญในพิษวิทยาและยังสามารถใช้คำสาปได้ แต่พวกเขาก็มีข้อเสียใหญ่ในการเผชิญหน้ากับศัตรู นี่คือคลาสที่คนส่วนใหญ่ไม่ต้องการไปหาเรื่อง]

[คลิกเพื่อดูวิดีโอสาธิต]

[ข้อกำหนดในการเปลี่ยนคลาส: เรนเจอร์เลเวล 15 สามารถเปลี่ยนคลาสได้เมื่อทำเควสเปลี่ยนคลาสสำเร็จ]

เมื่อเปรียบเทียบกับนักดาบวิญญาณที่ดูฉูดฉาดแล้ว ทักษะของชาโดว์โร๊คนั้นสุขุมและเรียบง่ายกว่ามาก แม้ว่าจะมีระบบเกมอยู่ แต่นักฆ่าก็ไม่สามารถใช้ทักษะอลังการและเอฟเฟกต์พิเศษที่ฟุ่มเฟือยเพื่อเอาชนะศัตรูได้ ยังไงซะนี่ก็คือโลกแห่งความจริง ถ้าซีเว่ยออกแบบคลาสแบบนั้น ผู้เล่นที่อยากจะเป็นมือสังหารก็คงทำได้แค่ใช้เส้นทางที่ตลกอย่าง ‘เพียงแค่เปิดทักษะสังหาร พวกเขาก็เห็นตัวข้า นี่คือเส้นทางการเผชิญหน้าของลูกผู้ชายเพื่อที่จะประสบความสำเร็จในการแทรกซึมและลอบสังหาร’…

ถึงกระนั้นคลาสใหม่นี้ก็ไม่ได้ทำให้ผู้เล่นผิดหวังเลย

อย่างแรกมันมีสายทักษะ ดาร์กเบลด(Darkblade) ที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถลอบเร้นได้มากขึ้น และยังให้มีทักษะการเคลื่อนไหวมากมาย

จากนั้นก็มีสายทักษะ ผู้ใช้พิษ(Poisoneer) ที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถฆ่าศัตรูได้ด้วยพิษร้ายและอาวุธชีวภาพ

และสุดท้ายสายทักษะ ผู้ใช้คำสาป ที่จะทำให้ผู้เล่นสาปศัตรูและใช้ดีบัฟใส่ศัตรูก่อนที่จะโจมตีได้

“ถึงข้าอยากจะบอกว่าข้าอิจฉาพวกเจ้า แต่ข้าก็…. อิจฉาพวกเจ้าจริง ๆ!!” หลังจากที่เขาอ่านรายละเอียดการอัปเดตระบบแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังโจที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข และโกวต้านที่ขมวดคิ้ว “ทำไมถึงไม่มีคลาสใหม่ของเมจ…เทพเจ้าแห่งเกมไม่ชอบเมจรึเปล่า!”

ตอนนี้เอ็ดเวิร์ดรู้แล้วว่าหลักคำสอนที่ 5 ของศาสนจักรหมายถึงอะไร เมื่อซีเว่ยกล่าวว่า ‘ความแข็งแกร่งของเจ้าขึ้นอยู่กับเวอร์ชันปัจจุบันของเกม อย่าโทษตัวเองในเส้นทางที่เจ้าเลือก หากเจ้าต้องการตำหนิใครสักคน ให้โทษนักออกแบบเกมที่ถูกสาป’

ครั้งหนึ่งเขาเคยสับสนว่าทำไมเทพเจ้าแห่งเกม ถึงบอกว่าพวกเขาจะสาปแช่งเส้นทางที่พวกเขาเลือก หลังจากที่พวกเขาได้รับพรจากระบบที่จะตอบแทนทุกความพยายามของพวกเขา ทว่า…

ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว สหายของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นในขณะที่เขาทำไม่ได้ มันยากที่จะไม่อิจฉา

หลังจากผ่อนคลายเล็กน้อยในช่วงเทศกาล ซีเว่ยก็กลับไปที่อาณาจักรศักดิ์สิทธิของเขาทันทีเพื่อเริ่มแผนการอัพเกรดความเป็นพระเจ้าของเขาต่อ

ภายใต้ความพยายามอย่างต่อเนื่องของเขา ความศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้ากระดูกเน่าส่วนใหญ่ได้ถูกดูดซับโดยซีเว่ย ด้วยพลังงานที่ได้รับนี้ ซีเว่ยจึงได้ซ่อมแซมความเป็นเทพของเขา และยังมีพลังงานเหลือเพียงพอที่จะสร้างรูปลักษณ์ใหม่ให้กับตัวเอง

แต่หลังจากคำนวณพลังงานเทพเจ้าแล้ว ซีเว่ยจึงทิ้งโอกาสที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากร่างทรงกลม…

“เป็นลูกบอลก็ดี ฉันมีหนวดอยู่แล้วเพราะงั้นมันก็ไม่แย่”

หลังจากดูดซับเศษชิ้นส่วนความเทพและพลังงานทั้งหมดแล้ว ส่วนอื่น ๆ ที่เหลือของเทพเจ้ากระดูกเน่าก็ไม่มีค่าสำหรับซีเว่ยอีกต่อไป

ซากศพและชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเทพสามารถนำมาใช้สร้างเป็นอุปกรณ์ระดับเจ้าได้ แต่เขาจะต้องเอาคุณสมบัติที่ติดอยู่กับมันออกไปก่อน

เมื่อความศักดิ์สิทธิ์ของเทพถูกทำลาย และสติสัมปชัญญะของพวกเขาถูกชะล้าง ร่างกายของเทพจะสามารถเคลื่อนไหวได้โดยสัญชาตญาณเนื่องจากคุณสมบัติของเทพยังหลงเหลืออยู่ในนั้น

ซีเว่ยสามารถใช้เวลาและพลังงานจำนวนมากเพื่อดูดซับคุณสมบัติของซากเทพและเพิ่มอิทธิพลของเขา เพื่อให้ตัวเขากลายเป็นเทพเจ้าแห่งเกมและกระดูกเน่าได้

แนวคิดเรื่องการดูดกลืนอิทธิพลเทพฟังดูเท่ในทางทฤษฎี แต่จริง ๆ แล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรมากมายในความเป็นจริง

ซีเว่ยมีลางสังหรณ์ว่าถ้าเขาโลภในคุณสมบัตินี้ มันอาจจะทำให้อิทธิพลความเป็นเทพเจ้าแห่งเกมของเขาลดลงและอ่อนแอลงกว่าเดิม บางทีมันอาจเป็นอุปสรรคในแผนการพัฒนาผู้ศรัทธาของเขา ดังนั้นมันจึงไม่คุ้มค่า

ตัวอย่างเช่น เขาที่ข้ามโลกมาเป็นเทพเจ้าแห่งเกมจะต้องการความทรงจำของเทพเจ้าแห่งเกมองค์เดิม แต่ไม่ใช่บุคลิกและความคิดดั้งเดิมของพวกเขา

เขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของเทพเจ้ากระดูกเน่า ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะทิ้งคุณสมบัติของมันไว้ที่ศพมัน

ดังนั้นซีเว่ยจึงได้สร้างสิ่งที่เหมือนเครื่องคั้นน้ำผลไม้และตั้งชื่อมันว่า ‘เครื่องผูกมัดเทพเจ้าผู้โชคร้าย’ ก่อนที่จะโยนศพของเทพเจ้ากระดูกเน่าลงไปในนั้น

ภายใน ‘เครื่องผูกมัดเทพเจ้าผู้โชคร้าย’ เป็นพื้นที่ปิดขนาดเล็กและแข็งแรง แม้แต่ร่างของเทพก็ไม่สามารถหนีจากมันได้ ในช่องว่างนี้มีทางออกช่องเล็ก ๆ เพียงช่องเดียว

เช่นเดียวกับผึ้งที่สามารถหาทางออกได้เมื่อมันถูกขังอยู่ในขวด คุณสมบัติของเทพเจ้ากระดูกเน่า จะพยายามหลบหนีออกจากเครื่องผูกมัดเทพเจ้าผู้โชคร้ายโดยสัญชาตญาณ ผ่านทางออกเล็ก ๆ นี้

ศพของเทพเจ้ากระดูกเน่าจะยังคงอยู่ใน ‘เครื่องผูกมัดเทพเจ้าผู้โชคร้าย’ แต่ในในขณะเดียวกัน คุณสมบัติของเทพจะไหลออกมาทีละนิดผ่านทางออกที่ซีเว่ยได้เตรียมไว้…

แน่นอนว่าซีเว่ยไม่มีแผนที่จะสูญเสียสมบัติล้ำค่านี้ไปง่าย ๆ เขาได้เตรียมการไว้แล้วว่าจะใช้ประโยชน์จากมันยังไง

อันที่จริง ‘เครื่องผูกมัดเทพเจ้าผู้โชคร้าย’ เชื่อมต่อกับอาณาจักรศักดิ์สิทธิของเทพเจ้ากระดูกเน่า ที่ซีเว่ยยึดครองมาหลังจากมันตาย อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวก็ได้ย่อยสลายกลายเป็นเศษชิ้นส่วนอวกาศจำนวนมาก ถ้าไม่ใช่เพราะซีเว่ยเก็บมา มันอาจจะหายไปในความว่างเปล่า

ซีเว่ยใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาเพื่อแยกอาณาจักรศักดิ์สิทธิของเทพเจ้ากระดูกเน่าออกเป็นช่องว่างมากมาย และวางโครงกระดูก หนู และสัตว์ประหลาดตัวอื่น ๆ ที่ผู้เล่นสังเวยมาให้เขาทิ้งไว้ในนั้น เขาไม่ได้แปลงมันเป็นเหรียญเกมเพราะตอนนี้ผู้เล่นมีเงินเพียงพอ และก็ไม่ต้องการทิ้งมันให้รกอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา

สิ่งมีชีวิตธรรมดาจากแดนมรรตัยไม่สามารถมีคุณสมบัติของเทพได้ แต่เนื่องจากคุณสมบัติที่ไหลออกมาจากเครื่องผูกมัดเทพเจ้าผู้โชคร้ายนั้นมีน้อยมาก และมีพลังเพียงพอที่จะยึดร่างศพทุกศพ และทำให้พวกมันกลับมามีชีวิตอีกครั้งด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าพวกเรเวแนนท์ปกติ

เมื่อศพฟื้นขึ้นมา ‘เครื่องผูกมัดเทพเจ้าผู้โชคร้าย’ จะปิดทางออกเล็ก ๆ ที่มีโดยอัตโนมัติ

เพราะนี่คือดันเจี้ยนที่ซีเว่ยเตรียมได้ไว้ให้ผู้เล่น

เมื่อเปรียบเทียบกับหุบเขาแห่งความตาย ที่เป็นเพียงดันเจี้ยนสำรวจที่จะให้รางวัลแก่ผู้เล่นอย่างจำกัดในแต่ละเปอร์เซ็นที่ผู้เล่นสำรวจถึง

ดันเจี้ยนใหม่นี้ตามอัตราส่วนของคุณสมบัติในศพเทพเจ้า ความสามารถและพลังของลูกสุมนที่มันสร้างขึ้นในดันเจี้ยนก็จะออกมาค่อนข้างดี

ตัวอย่างเช่นระดับความท้าทายสำหรับศพหนูคือเลเวล 1 ซึ่งหมายความว่าแม้แต่ผู้เล่นเลเวล 1 ก็สามารถต่อสู้ได้อย่างเท่าเทียมกับสัตว์ประหลาดตัวนี้ ในขณะที่ระดับความท้าทายของศพผู้ศรัทธานั้นอยู่ที่เลเวล 15 และศพของอาร์คบิชอปแห่งโบสถ์กระดูกเน่าก็ได้กลายเป็นมินิบอสระดับ 30

แน่นอนว่ามันไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนตอนที่มันยังมีชีวิตอยู่ แต่มีผู้เล่นเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเอาชนะมันได้ แม้ว่ามันจะอยู่ในสถานะนี้ก็ตาม

เนื่องจากมอนสเตอร์ทุกตัวมีความแตกต่างกัน มันจึงถูกสุ่มออกมา ดังนั้นจึงมีโอกาสที่ผู้เล่นจะได้พบกับอาร์คบิชอปกระดูกเน่าในทันทีที่เข้าสู่ดันเจี้ยน…

หลังจากที่สัตว์ประหลาดพ่ายแพ้ ศพของมันจะไม่หายไป ในขณะที่คุณสมบัติของเทพจะถูกสังเวยให้กับเขา

หลังจากที่คุณสมบัติของเทพเจ้ากระดูกเน่าได้ถูกสังเวยให้กับซีเว่ยด้วยวิธีนี้ มันจะถูกกรองและทำให้บริสุทธิ์ และกลายเป็นพลังงานเทพเจ้าที่ซีเว่ยสามารถดูดซับได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ความเป็นเทพเจ้าของเขาจะแปดเปื้อน

“เนื่องจากดันเจี้ยนต้องการการบำรุงรักษา และเพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันหลบหนีออกไปด้านนอก ฉันต้องจำกัดจำนวนครั้งที่ผู้เล่นสามารถท้าทายดันเจี้ยน…เรามีช่องว่าง 36 ช่อง งั้นฉันจะเปิดให้ท้าทายดันเจี้ยน 72 ครั้งต่อวันแล้วกัน”

ซีเว่ยคำนวณสักพักและพบว่าถ้าเขาทำเช่นนั้น คุณสมบัติของเพเจ้ากระดูกเน่าจะสามารถคงอยู่ได้ประมาณครึ่งปี

เขาค่อนข้างพอใจกับตัวเลขนี้เพราะมีเทพชั่วร้ายจำนวนมากบนโลก และเขาอาจพบสิ่งที่จะมาทดแทนมันได้ใน 6 เดือน

แต่การลงทุนในออกแบบดันเจี้ยนครั้งนี้ค่อนข้างมาก และเขายังต้องใช้มันการออกแบบอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเทพกระดูกเน่าใหม่ และสร้างเครื่องผูกมัดเทพเจ้าผู้โชคร้าย จำนวนพลังงานเทพเจ้าที่เขาใช้ไปอยู่ที่ประมาณ 90% ของพลังงานเทพเจ้าที่เขามี เนื่องจากเขาต้องสำรองพลังงานเทพเจ้าไว้เพื่อรับมือกับสถานการณ์เหตุฉุกเฉิน เขาจึงไม่มีพลังเพียงพอที่จะสร้างอินเทอร์เน็ตให้ผู้เล่นอย่างที่เขาต้องการในตอนแรก

“ยังมีอีกอย่างที่ฉันต้องปรับปรุง แต่มันไม่ได้ใช้พลังงานเทพเจ้ามากนัก…”

เช่น เลเวลสูงสุดของผู้เล่น การเปลี่ยนคลาส และอื่น ๆ

พวกนี้ทำได้ค่อนข้างง่ายเพราะความเป็นเทพเจ้าของเขาเพิ่มระดับขึ้น หลังจากที่ได้ดูดซับเศษชิ้นส่วนความเป็นเทพของเทพเจ้ากระดูกเน่า

เลเวลสูงสุดของผู้เล่นอาจถูกจำกัดไว้ที่ 30 เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เล่นแข็งแกร่งเกินไปและควบคุมไม่ได้ ตอนนี้ตัวเขาเองแข็งแกร่งขึ้น ลิมิตนี้ก็สามารถเพิ่มขึ้นได้แล้วเช่นกัน

เขาใช้หนวดพิมพ์ข้อมูลจำนวนมากลงบนคอมพิวเตอร์เทพที่เขาสร้างขึ้น หลังจากตรวจสอบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ซีเว่ยก็ได้ส่งตัวอัปเดตให้กับผู้เล่นคุณคน ยกเว้นผู้เล่นที่มีระบบจัดการเช่นแองโกร่า

[ติ้ง! อัปเดตเวอร์ชันเกม 0.1! เสร็จสมบูรณ์]

ถอยจากฉากการเจรจาต่อรองของมาร์นี่และแองโกร่า ทั้งคู่ยังคงเดินผ่านฝูงชนที่พลุกพล่าน พวกเขาเดินผ่านชาวเมืองที่กำลังเทเบียร์มอลต์ให้กับผู้เล่น

จากนั้นพวกเขาก็เจอนายทะเบียนแวนเค่อ•นอร์เรจี้ ที่กำลังพูดคุยกับเจ้าหญิงลีอาและองครักษ์ของเธออย่างไม่รู้จบ

“ฝ่าบาท แม้ว่าตอนนี้เราจะยึดฐานที่มั่นลับของเราในแลงคาสเตอร์กลับคืนมาได้แล้ว แต่ถ้าเราใช้สถานที่เล็ก ๆ เช่นนั้นเริ่มต้นแผนการทวงคืนดินแดนของเรา มันก็ยังยากอยู่ ดังนั้นข้าขอเสนอให้เราสะสมทรัพยากรอย่างลับ ๆ เพื่อรอเวลาที่เหมาะสม…”

ลีอาพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ที่ท่านจะบอกคือข้าต้องบดเลเวลและแข็งแกร่งขึ้น เพื่อที่ข้าจะได้บดขยี้หัวศัตรูของข้าได้ใช่ไหม”

“ไม่ ข้าหมายความว่าความกล้าหาญของคนคนเดียวมีจำกัด ดังนั้นในฐานะเจ้าหญิง ท่านควรใช้ประโยชน์จากเวลาที่เรามี สะสมกองกำลังเพื่อยึดเทียร์ร่าคืนมา…”

“ข้าเข้าใจแล้วท่านปู่แวนเค่อ ท่านหมายความว่าข้าจะต้องหาเพื่อนร่วมปาร์ตี้ที่ดี ให้พวกเขาคอยปะทะกับพวกลูกกระจ๊อก ในขณะที่ข้าตรงเข้าไปขยี้หัวศัตรูฝ่ายตรงข้าม เพราะข้าเลเวลสูงพอ!” ลีอาดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง สีหน้าของเธอสดใสขึ้น “อันที่จริงข้ารู้สึกว่ากิจกรรมก่อนหน้านี้ทำให้ข้าเสียเวลาอันมีค่ามากเกินไป ข้าจะไปบดเลเวล ข้าจะไปหาปาร์ตี้เข้าหุบเขาแห่งความตายก่อน!”

ลีอาไม่รอให้ชายชราตอบ เธอหายตัวไปทันที

นายทะเบียนโกรธมากจนรู้สึกว่าหัวใจของเขาแทบกระดอนออกจากอก เขาร่ายคาถารักษาให้ตัวเองก่อนที่จะหันไปหาองครักษณ์คนหนึ่งของลีอา “บอริส ใครสอนเจ้าหญิงตอนที่ข้าไม่อยู่”

“คาร์โลครับ” บอริสตอบชายชราอย่างเคารพ

“คาร์โลอยู่ไหน เรียกเขามาสิ!” ชายชราตัวสั่นด้วยความโกรธ ร่างกายที่อ่อนแอของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพลังเพราะความโกรธ “สั่งสอนเจ้าหญิงได้ห่วยมากจนเธอกลายมาเป็นแบบนี้ เขาสมควรจะถูกลงโทษ!”

“เอิ่ม ข้าคิดว่านั่นเป็นไปไม่ได้ครับ…”

“อะไร? เจ้ากล้าช่วยเขาเหรอ พาเขาออกมา ข้าอยากจะขยี้หัวเขา!”

“แต่ท่านครับ” บอริสตอบ “หัวของคาร์โลถูกฝ่าบาทตัดไปแล้ว…”

นายทะเบียน “…”

ซีเว่ยไม่ค่อยมสนใจเรื่องพูดคุยของพวกราชวงค์ ดังนั้นเขาจึงติดตามซ่งเยวี่ยนต่อไป

เขาผ่านผู้เล่น 2-3 คนที่กำลังแข่งกันดื่มและพ่อค้าที่ขายอุปกรณ์เกรดต่ำให้กับผู้เล่น ท่ามกลางความโกลาหล ซีเว่ยพบอีวานที่กำลังคุยเรื่องแปลก ๆ กับลูกน้องของเขา อีวานเป็นอดีตหัวหน้าผู้คุ้มกันของมาร์นี่และยังเป็นผู้เล่นแถวหน้าที่เอ็ดเวิร์ดพาเข้าปาร์ตี้ไปด้วยบ่อยครั้ง

“หัวหน้า ท่านคิดว่ามันแปลกไหมที่บัฟป้องกันของกิจกรรมนี้ชื่อว่า อเวนเจอร์ป้องกันการโจมตีจากธานอส?” เด็กหนุ่มที่สวมชุดไอรอนแมนถาม

“เจ้าอยากจะพูดอะไรไอ้หนุ่ม”

“ลองคิดดูสิ หลังจากกิจกรรมจบ เราทุกคนก็ได้ฉายา Avengers จากเทพเจ้าแห่งเกมไม่ใช่เหรอ” เขาชี้ไปที่ฉายาที่ส่องประกายอยู่เหนือหัวของเขา “มันความหมายว่า Avengers คือเรา แล้วธานอสล่ะคือใคร ทำไมเขาถึงต้องการเอาชนะพวกเรา”

“หืม เขาอาจจะเป็นศัตรูกับเทพเจ้าแห่งเกมรึเปล่า ไม่สิ ชื่อบัพนี้มันดูน่าตลกเกินไปหน่อย นอกจากศัตรูแล้วยังมีใครบางคนที่โจมตีเราได้อีกเหรอ…ธานอสเป็นคำที่เทพเจ้าแห่งเกมตั้งขึ้นมาใช้เรียกแทนตัวศัตรูรึเปล่า” อีวานพยายามใช้สมองที่มึนเมาของเขาคิดเรื่องไร้สาระนี้อย่างหนัก

“เทพเจ้าแห่งเกมคงไม่ทำอะไรอ้อมค้อมแน่ ข้าคิดว่ามันก็เหมือนคำที่เราใช้เรียกพวกเหี้ย แต่ธานอสต้องเป็นพวกที่เหี้ยกว่าปกติมาก!” เด็กหนุ่มที่ถามคำถาม เดาไปพร้อมกับอีวาน

“โอ้ คราวหน้าเวลาเราเห็นพวกเหี้ย เราก็ต้องเรียกพวกมันว่าธานอส!”

“ท่านพูดถูก เรียกพวกที่เหี้ยเป็นพิเศษว่าธานอส!”

จากนั้นอีวานและเด็กหนุ่มก็ชนแก้วอย่างมีความสุข

“เทพเจ้าแห่งเกมจงเจริญ!”

“เทพเจ้าแห่งเกมจงเจริญ!”

ปากของซีเว่ยกระตุก เขาตัดสินใจหยุดสองคนนี้ก่อนที่พวกเขาจะแพร่กระจายคำหยาบคายออกไปสู่ผู้เล่นคนอื่น

[ติ้ง! ผู้เล่นอีวานและเกลถูกปิดเสียงเป็นเวลา 30 นาที เนื่องจากใช้ภาษาหยาบคาย]

อีวานและเกล “???”

หลังจากเดินไปได้สักพัก ในที่สุดซ่งเยวี่ยนก็พบเอ็ดเวิร์ดและปาร์ตี้ของเขา เขาเดินออกไปต่อแถวรับอาหารเสียบไม้หลังจากที่ซีเว่ยกล่าวขอบคุณเขา

เอลีน่าที่ดูเหมือนจะคุยอะไรบางอย่างกับเอ็ดเวิร์ดอยู่เห็นซีเว่ยเป็นคนแรก เธออยากจะตะโกนเรียกเขา แต่ชายคนนั้นก็ยื่นนิ้วไปแตะที่ริมฝีปาก บอกเป็นนัยน์ให้เธออย่าทำเสียงดัง เด็กสาวจึงเอามือปิดปากตัวเองอย่างรวดเร็ว

แต่การกระทำของเธอก็ยังคงดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ รอบตัว พวกเขาหันมามองซีเว่ยที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าตื่นเต้นและตกตะลึง

“เออ…” โชคดีที่เอ็ดเวิร์ดไม่ใช่เด็กโง่คนนั้นอีกต่อไป เขากลับมาสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว และถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเคารพว่า “ตอนนี้ เราควรเรียกท่านเช่นไรดี”

“เรียกข้าว่านายท่านซีเว่ยอย่างที่เจ้าเคยเรียกก็ได้”

“แต่มันไม่สุภาพเลย…นายท่านซีเว่ย ท่านเป็นเขาจริง ๆ หรือ” เอ็ดเวิร์ดถามขณะที่เขาชี้ไปที่ท้องฟ้า

“ต้องไม่ใช่อยู่แล้ว ข้าก็เป็นเหมือนอาร์คบิชอปของศาสนจักรเทพเจ้าแห่งเกม” ซีเว่ยตอบด้วยรอยยิ้มมืออาชีพ

แม้ว่าเรื่องจะต่างจากที่พวกเขาคิด แต่หลังจากที่ได้ยินคำตอบของซีเว่ย พวกเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ท้ายที่สุด หากพวกเขาได้โต้ตอบกับเทพเจ้าจริง ๆ มันก็เครียดเกินไป

“ท่านจะอยู่นานแค่ไหน?” เอ็ดเวิร์ดจ้องมองเขาอย่างมีความหวัง ก่อนจะร้องขึ้นมาว่า “ข้ามีเรื่องมากมายอยากจะเล่าให้ท่านฟัง!”

“ขอโทษ ข้าแค่มาดูว่าพวกเจ้าเป็นอย่างไรกันบ้าง ข้าอยู่ที่นี่ไม่นานนักหรอก” ซีเว่ยส่ายหัว

แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องยากที่จะลงมาสู่แดนมรรตัย แต่ในฐานะเทพเจ้า เขาก็ยังต้องรักษาระยะห่างกับผู้ศรัทธา เป็นเรื่องดีที่จะได้สัมผัสช่วงเวลาแห่งความสุขเหล่านี้แบบนาน ๆ ครั้ง

“อา…” เด็กสาวผมสีเงินก้มหน้าลงอย่างไม่มีความสุข

“อย่างที่ท่านเห็น ตอนนี้พวกเราทุกคนมีความสุขดี ทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณท่าน” เอ็ดเวิร์ดกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ

โจ เจสสิก้า และโกวต้าน…เอ่อโตวก้าน พยักหน้าเห็นด้วย

ซีเว่ยยิ้ม เขาหยิบอมยิ้มออกมาจากด้านในเสื้อคลุม แกะห่อพลาสติดแล้วส่งมันเข้าไปในปากของเอลีน่า

เอลีน่าที่กำลังก้มหน้าอยู่ตกใจ ก่อนที่จะหลงไปกับความหวานฉ่ำอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าอมยิ้มนี้ถูกสร้างขึ้นโดยใช้พลังงานเทพเจ้าของซีเว่ย แต่เนื่องจากตอนนี้เขามีพลังงานเทพเจ้ามากมายพอ ซีเว่ยจึงไม่คิดมากกับมัน

เมื่อเห็นเด็กสาวรู้สึกดีขึ้น ซีเว่ยจึงมอบอมยิ้มให้เธอทั้งห่อก่อนจะพูดว่า “ไม่ต้องห่วงข้า ข้าจะมาหาเจ้าเมื่อข้ามีเวลา”

เอ็ดเวิร์ดและคนอื่น ๆ มองหน้ากันโดยรู้ว่าซีเว่ยหมายถึงอะไร เขากำลังจะหายตัวไปอย่างกะทันหันเหมือนครั้งที่แล้ว

“ท่านให้เวลาเราหน่อยได้ไหม? แค่นิดหน่อยเท่านั้น” เอ็ดเวิร์ดขอร้อง

“มีอะไรเหรอเด็ก ๆ” ซีเว่ยนั่งลง เขากำลังคิดว่าเด็กหนุ่มคงจะมีคำขออะไรสักอย่าง

แต่ตรงข้ามกับการคาดเดาของเขา เอ็ดเวิร์ดถอยไปด้านข้างให้ซีเว่ยได้มองเห็นท้องฟ้าแบบเต็ม ๆ

วินาทีต่อมา ไฟร์บอลและระเบิดน้ำแข็ง 2-3 ลูกก็ถูกยิงขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน และระเบิดเป็นดอกไม้ไฟที่สวยงาม

ด้วยความเข้าใจในเวทมนตร์ที่แตกต่างกันไปของแต่ละคน ดอกไม้ไฟที่สร้างโดยผู้เล่นเมจล้วนออกมาไม่เหมือนกัน มันได้เปลี่ยนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิดให้กลายเป็นผืนผ้าใบที่สวยงาม

เมื่อดอกไม้ไฟสว่างขึ้น ทั้งเมืองต่างก็สว่างไสวจนเทียบไม่ได้กับแสงของกองไฟ

“ความหวังในอนาคต เหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ และชีวิตที่ยอดเยี่ยมที่เรามีอยู่ในตอนนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นของขวัญจากเทพเจ้าแห่งเกม!”

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่แองโกร่าปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเขา ภายใต้การคุ้มครองของวีลา เขายกแก้วเบียร์ขึ้นและตะโกนบอกชาวเมืองเบื้องล่างว่า “ช่วงเวลานี้ และเบียร์แก้วนี้ ข้าจะขอมอบมันให้กับเทพเจ้าแห่งเกมอันเป็นที่รักของเรา! โอ้ เทพเจ้าแห่งเกม โปรดประทานชีวิตใหม่แก่เรา!”

“โอ้ เทพเจ้าแห่งเกม โปรดประทานชีวิตใหม่แก่เรา!”

ผู้เล่นทุกคนชูอาหารเสียบไม้และแก้วในมือพวกเขา และตะโกนตามแองโกร่าอย่างตื่นเต้น

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ซีเว่ยก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำด้วยเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน

“เหลาซือ*ประทับใจจริง ๆ…”

(เหลาซือ คำเรียกแบบอวยตัวเองนิด ๆ แปลตรง ๆ ได้ว่า อาจรย์)

————————————————————————————————————————————————————————–

เมืองไร้ชื่อได้รับการประดับประดาด้วยแสงไฟและเครื่องประดับสำหรับงานรื่นเริง แม้แต่หิมะก็ไม่อาจทำให้ความร้อนแรงของผู้เล่นในงานเลี้ยงลดลงได้

ที่จัตุรัสเล็ก ๆ ถัดจากไลฟ์สโตน กองไม้และเชื้อไฟที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันถูกจุดขึ้นด้วยทักษะไฟร์บอล(Fireball) กองไฟที่ปรากฏขึ้นได้ส่องสว่างไปทั่วทุกมุมของจัตุรัส ขณะที่ชาวเมืองไร้ชื่อก็ได้เริ่มงานปาร์ตี้ของพวกเขา

เดิมทีการเฉลิมฉลองครั้งนี้เป็นการรวมตัวกันของผู้เล่นรุ่นเก๋าหลายคน แต่หลังจากที่แองโกร่าได้ค้นพบเรื่องนี้ เขาก็ตัดสินใจที่จะจัดงานเลี้ยงให้คนทั้งเมืองได้เพลิดเพลิน เพื่อให้ผู้เล่นรู้สึกว่านี่คือเมืองของพวกเขาจริง ๆ และเสริมสร้างสายสัมพันธ์ของประชาชนในเมือง

เนื่องจากเขาพบว่าฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์กลายเป็นดินแดนของเทพเจ้าแห่งเกมแล้ว เขาก็เลยรู้สึกว่าเขากำลังถูกคุกคามอยู่นิด ๆ

จริงอยู่ที่การใช้คำว่า ‘ฟุ่มเฟือย’ เพื่ออธิบายงานเลี้ยงครั้งนี้นั้นค่อนมากเกินไปหน่อย เนื่องจากสภาพปัจจุบันของเมือง

แต่งานเลี้ยงรอบกองไฟ ก็ยังคงสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่ไม่เคยได้สัมผัสกับงานเฉลิมฉลองประเภทนี้มาก่อน

ซ่งเยวี่ยน*ไม่เคยรู้เลยว่าชีวิตมันง่ายขนาดนี้ เพียงหนึ่งสัปดาห์ เขาที่เป็นเพียงผู้ลี้ภัยที่มีภูมิหลังที่ต่ำต้อย แม้ว่าเขาจะต้องการไปเป็นผู้ช่วยของร้านค้าเล็ก ๆ บางแห่ง ก็ไม่มีใครที่ไหนยอมรับเขา แม้ว่าเขาจะเป็นโสดและไม่มีครอบครัวให้ดูแล แต่เนื่องจากเขามีความอยากอาหารมากกว่าคนทั่วไป เขาจึงหิวโหยและมีชีวิตเสี่ยงตายมาโดยตลอด

หลังจากที่เขากลายเป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมและมาที่เมืองไร้ชื่อแห่งนี้ ชีวิตของเขาก็ดีขึ้นมาก ตราบใดที่เขาเต็มใจจะใช้เวลาและความพยายามของเขาในการออกล่าโครงกระดูกใกล้กับหุบเขาแห่งความตาย เขาก็จะได้รับเหรียญเกมและอาหารอร่อย ๆ ที่ร้านอาหารในเมือง

แม้ว่าเหล่าผู้เล่นรุ่นพี่จะบ่นว่าเมนูพวกนี้ธรรมดาเกินไป และตัวเลือกก็มีน้อยเกินไป แต่สำหรับผู้ลี้ภัยแล้ว พวกเขามีความสุขแค่ได้กินอิ่ม

ซ่งเยวี่ยนรู้ว่างานเลี้ยงคืออะไร ในขณะที่เขาอาศัยอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัย เขาก็ได้เรียนรู้ว่างานเลี้ยงเป็นกิจกรรมที่ขุนนางมักจะจัดขึ้นและชวนคนในแวดวงของตัวเองมาร่วมสนุก จากชายที่ชื่อว่าแวนเค่อ•นอร์เรจี้

ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจมากที่งานเลี้ยงที่ท่านเจ้าเมืองจัดขึ้นในครั้งนี้ ประชาชนในเมืองทุกคนสามารถเข้าร่วมได้

ซ่งเยวี่ยนไม่ได้สนใจของแต่งที่เรียงรายไปตามถนนมากนัก เป้าหมายของเขาอยู่ที่ตะแกรงปิ้งย่างมากมายที่ตั้งอยู่รอบ ๆ สถานที่จัดงาน แม้ว่าของประดับจะสวยงาม แต่มันก็ไม่อาจเติมเต็มกระเพาะของเขาได้

ชาวเมืองบางคนทำหน้าที่ปิ้งย่างอาหาร บางคนรับผิดชอบทำเคบับร้อน ๆ ที่ราดด้วยน้ำมันและเครื่องเทศ บางคนดูแลผักสดใหม่เสียบไม้ย่าง แต่จุดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือตะแกรงย่างที่มีไก่ทั้งตัวยัดไส้สมุนไพรและเครื่องเทศราคาแพง ไก่ที่ย่างด้วยวิธีนี้จะกรอบนอกนุ่มในและมีกลิ่นหอมของเครื่องเทศ มันน่ารับประทานสุด ๆ!

บรรยากาศของงานเลี้ยงเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อผู้เล่นรุ่นเก๋าที่เข้าร่วมการต่อสู้กลับมาด้วยเสียงหัวเราะ และพากันพูดคุยเสียงดัง

ผู้เล่นรุ่นเก๋าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทหารรับจ้างบางคน พากันล้อมรอบกองไฟ พวกเขาเริ่มร้องเพลงเพลงพื้นบ้านและเต้นรำอย่างดุเดือด

สำหรับซ่งเยวี่ยนที่กำลังแลบลิ้นเลียเคบับก่อนจะยัดมันเข้าปาก ผู้เล่นเหล่านี้ไม่ได้กำลังเต้นรำในงานเลี้ยงเหมือนที่แวนเค่อเคยเล่าให้เขาฟัง พวกเขาดูเหมือนกำลังเต้นรำในพิธีกรรมที่นักล่าจากบ้านเกิดของเขา ทำเพื่ออธิษฐานขอให้ทุกคนโชคดีในการออกล่า

การเต้นของผู้เล่นนั้นติดดินและเรียนรู้ได้ง่ายมาก ผู้ลี้ภัยที่กลายเป็นผู้เล่นบางคนก็กล้าหาญก้าวเข้ามาในวงล้อมของผู้เล่นรุ่นพี่ และเริ่มโยกตัวตามจังหวะหมุนไปรอบกองไฟกับพวกเขา

แน่นอนว่าผู้เล่นรุ่นเก๋าหลายคนก็ไม่ได้สนใจการเต้นรำ ดังนั้นพวกเขาจึงรวมตัวกันใกล้กับพื้นที่ปิ้งย่าง และคุยโวเกี่ยวกับการผจญภัยของพวกเขา

พวกเขาเล่าเรื่องราวอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาฆ่าจระเข้เกราะคลั่ง และวิธีที่พวกเขาหลบหนีฝูงหนูที่สามารถกินคนทั้งตัวในไม่กี่วินาที ได้โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ และบางคนยังบอกว่าพวกเขาได้เผชิญหน้ากับมนุษย์เงือกหนองน้ำ 3,000 ตัวในคราวเดียว…

ผู้ลี้ภัยที่กลายเป็นผู้เล่นฟังเรื่องนี้อย่างตั้งใจและหวาดกลัว พวกเขาจินตนาการว่าตัวเองจะแข็งแกร่งพอ ๆ กับผู้เล่นรุ่นพี่ในสักวันหนึ่ง และได้ออกไปผจญภัยด้วยตัวเอง

ซ่งเยวี่ยนที่เคยเป็นนักล่ามาก่อน รู้สึกว่าเรื่องที่พวกเขาเล่าดูไม่ค่อยสมจริง แต่เขาก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ มาโต้แย้ง เขาจึงได้แต่ยืนอยู่ข้าง ๆ และกินเคบับ ในขณะที่ฟังเพลงพื้นบ้าน เขาก็คิดว่าเขาควรจะทำอะไรไปต่อหลังจากนี้ดี บางทีเขาคงจะไปท้าทายอัตราการสำรวจ 4% ของหุบเขาแห่งความตาย

“ทำไมเจ้าถึงไม่ไปร่วมสนุกกับพวกเขาล่ะ”

มีเสียงคน ๆ หนึ่งถามขึ้นใกล้ ๆ เขา

เมื่อซ่งเยวี่ยนหันไปมอง เขาก็ได้พบกับชายแปลกหน้าคนหนึ่ง

ถ้าไม่ใช่คำว่า ‘ซีเว่ย’ ที่ลอยอยู่บนหัวของคน ๆ นั้นเป็นสีขาว ซ่งเยวี่ยนคงจะคิดว่าเขาเป็นสายลับ

“ข้าพูดกับคนอื่นไม่ค่อยเก่ง” หลังจากที่เขายืนยันว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาร้าย เขาก็กัดเคบับต่อไปอย่างหน้าด้าน ๆ ก่อนจะถามทั้งที่เนื้อเต็มปาก “เจ้ามีธุระอะไรกับข้ารึเปล่า ข้าคิดว่าข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน”

“ข้าเป็นผู้ศรัทธาของเทพเจ้าแห่งเกมที่มาจากภายนอก” ชายคนนั้นยิ้มอ่อน “ข้ารู้จักเอลีน่าและเพื่อน ๆ ของเธอ วันนี้ข้ามาเยี่ยมพวกเขา”

“เอาล่ะ ข้าจะพาเจ้าไปหาพวกเขาแล้วกัน”

ซ่งเยวี่ยนกินเคบับเสร็จแล้วก็โยนไม้ที่เหลือทิ้งลงถังขยะใกล้ ๆ ก่อนจะเช็ดปาก “ที่นี่ยอดเยี่ยมมาก แต่ก็มีกฎมากเกินไปด้วย เจ้าสามารถโยนขยะของเจ้าลงในถังขยะได้เท่านั้น และเจ้าต้องเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระของเจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องเสียค่าปรับ…”

“แต่ก็เพราะกฎเหล่านั้นที่ทำให้เมือง ๆ นี้สะอาดและน่าอยู่ขึ้นไม่ใช่เหรอ?”

“ก็จริง ชีวิตที่นี่ดีกว่าข้างนอกมาก!” ซ่งเยวี่ยนเกาแผงคอของเขาอย่างหงุดหงิดผสมกับเหนื่อยใจ

ทั้งสองคุยกันไปเรื่อย ๆ ขณะที่พวกเขาเดินผ่านฝูงชน

ภายในฝูงชน มีใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ไม่น้อย

ตัวอย่างเช่นแองโกร่าและมาร์นี่ที่กำลังคุยกันอยู่ไม่ไกลจากกองไฟ

“ท่านวิลฟ์ ขอบคุณสำหรับทรัพยากรทั้งหมดที่คุณนำมาให้เมืองของเรา ถ้าไม่มีท่าน เราก็คงไม่สามารถจัดงานเฉลิมฉลองเช่นนี้ได้”

“ไม่ ไม่ขอบคุณข้าหรอก ข้าเป็นพ่อค้า ดังนั้นข้าจะไม่ทำอะไรที่ทำให้ข้าต้องขาดทุน”

“ท่านหมายถึงอะไร อ๊ะ ถ้าไม่สะดวกก็ไม่ต้องบอกก็ได้นะ…”

“ไม่เป็นไร ท่านจำร้านค้าที่ท่านพึ่งสร้างขึ้นเมื่อวันก่อนได้ไหม ลอร์ดของข้า”

“โอ้นั่น คุณภาพของสินค้าที่ขายค่อนข้างดีและราคาไม่แพง แต่ด้วยข้อจำกัดในการซื้อสินค้า และข้อกำจัดด้านจำนวนสินค้าที่แต่ละคนสามารถซื้อได้ ทำให้มันไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่”

เมื่อเขาได้รับแบบแปลนร้านค้าจากเอ็ดเวิร์ด แองโกร่าก็สร้างอาคารนี้ขึ้นมาทันที ร้านค้านี้เป็นร้านค้าระบบที่ซีเว่ยจัดหาให้กับผู้เล่น พวกผู้เล่นสามารถซื้อไอเท็มเช่น โพชั่น HP โพชั่น MP ม้วนคาถาเทเลพอต และม้วนคาถาประเมิน เมื่อผู้เล่นมีชื่อเสียงเพียงพอ พวกเขาจะสามารถปลดล็อกโพชั่นและสินค้าระดับสูงได้มากขึ้น

เนื่องจากซีเว่ยไม่ได้มีพลังงานเทพเจ้าเหลือกินเหลือใช้มากมายนัก เขาจึงไม่สามารถมอบไอเท็มจำนวนมากให้กับผู้ศรัทธาของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงได้กำหนดวงเงินการซื้อสำหรับผู้เล่นแต่ละคน

“หลังจากที่ข้าใช้เหรียญเกมเพื่อซื้อโพชั่นพิเศษจากผู้เล่น ข้าก็นำไอเทมไปขายที่แลงคาสเตอร์เป็นเงินริออน และซื้อเสบียงกลับมาด้วยเงินนั้น”

“…โอ้”

“ข้าบอกท่านเรื่องนี้เพราะข้าต้องการทำธุรกิจกับท่านในระยะยาว ลอร์ดของข้า เมืองแห่งนี้จะต้องการเสบียงและทรัพยากรมากขึ้นในอนาคต ดังนั้นทำไมท่านไม่หาคู่ค้าที่ปลอดภัยสำหรับการซื้อขายของท่านล่ะ”

“ท่านทำเงินเก่ง มาร์นี่…”

แองโกร่าไม่คิดว่าเขาจะสามารถลอกเลียนแบบมาร์นี่ และปล่อยให้วีลาไปขายโพชั่นที่แลงคาสเตอร์เหมือนที่มาร์นี่ทำได้

อย่างไรซะมาร์นี่เป็นพ่อค้ามาครึ่งชีวิต ดังนั้นเขาจึงมีวิธีการขายสินค้าเหล่านี้ได้โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น เขาบอกข้อมูลนี้ให้แองโกร่ารู้ก็เพราะมันเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

“แน่นอน คนทั่วไปต้องการเหรียญริออนและเหรียญทองแดง ในขณะที่ผู้เล่นต้องการเหรียญเกม แต่ข้า…” มาร์นี่ยื่นมือออกมาและกำแน่น “ข้าต้องการทั้งหมด!”

แองโกร่า “…”

ซ่งเยวี่ยนที่อยู่ไม่ไกลเหงื่อตก

“ข้ารู้สึกว่าเรากำลังได้ยินสิ่งที่เราไม่สมควรได้ยิน…”

“ไม่เป็นไร พวกเขาไม่สนใจหรอกว่าจะมีใครแอบได้ยินรึเปล่า เพราะพวกเขาพูดในที่สาธารณะ…” ซีเว่ยปลอบ

จากนั้นเขาก็หยุดชะงักแล้วพูดว่า “น่าจะนะ”

“…” ซ่งเยวี่ยนถึงกับพูดไม่ออก

‘เจ้ากำลังทำให้ข้ากังวลมากกว่าเดิมอีก!’

—————————————————————————————————————————————————————————————

ไม่แปลกที่มันจะเป็นการบดขยี้อยู่ฝ่ายเดียว

เขาได้เริ่มต้นแผนการนี้ตั้งแต่ที่เขาพบเทพเจ้ามือใหม่อย่างเทพเจ้ากระดูกเน่า ที่เป็นเช่นเดียวกับเขา

เขาสร้าง ‘ข้อบกพร่อง’ จำนวนมากในบาเรียนอกอาณาจักรศักดิ์สิทธิของเขา ทำให้รอยแตกที่มันเข้ามาดูเหมือนจะอ่อนแอกว่าจุดอื่น แต่มันไม่ใช่ เขาทำให้มันจะต้องใช้พลังงานเทพเจ้าไปมากในการทำลายบาเรียที่มันคิดว่า ‘อ่อนแอกว่าจุดอื่น’ แต่ความจริงแล้วรอยแตกนั้นใช้พลังงานเทพเจ้าในการทำลายมากกว่าจุดอื่น

จากนั้นซีเว่ยก็ใช้ช่วงเวลาพิเศษก่อนสงคราม รวบรวมเหล่าผู้ศรัทธานับร้อย ทำให้เขาได้รับพลังงานเทพเจ้าจำนวนมากอย่างรวดเร็ว

แต่ถึงแม้เขาจะมีรายได้มาก ซีเว่ยก็ยังคงประหยัด แม้แต่การสร้างรูปลักษณ์ใหม่ให้ตัวเอง เขาก็ยังไม่ทำ

ในขณะที่ผู้เล่นถูกพบโดยผู้ศรัทธาของเทพเจ้ากระดูกเน่า เขาก็ทำเหมือนว่าเขาอ่อนแอและไม่กล้าแสดงตัว ส่วนหนึ่งมันก็เป็นความจริง ผู้เล่นยังคงมีประสบการณ์น้อยในตอนนั้น แม้แต่ผู้เล่นที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังมีเลเวลต่ำ พวกเขายังไม่สามารถต่อกรกับผู้ศรัทธาที่แข็งแกร่งของลัทธิกระดูกเน่าได้

ทั้งหมดนี้ทำให้เทพเจ้ากระดูกเน่าเห็นภาพลวงตาว่าซีเว่ยเป็นเทพที่อ่อนแอกว่า และเขาก็สามารถกินซีเว่ยเพื่อเพิ่มอัตลักษณ์และพลังงานเทพเจ้าของเขาได้

แต่อนิจจา หลังจากที่เขาใช้พลังงานเทพเจ้าไปถึงหนึ่งในสามเพื่อผ่านกับดักที่ซีเว่ยสร้างขึ้น เขาก็ถูกจับโดยซีเว่ย

หลังจากที่ได้สัมผัสกับเทพเจ้าอีกองค์ ซีเว่ยก็ตระหนักว่าเขาระวังตัวมากเกินไป แม้ว่าเทพเจ้ากระดูกเน่าจะอยู่ในระดับเดียวกับซีเว่ย แต่ในฐานะที่เป็นเทพที่อาศัยอยู่ในยุคใกล้เคียงกับยุคกลางในโลกเดิมของเขา ก็ทำให้พวกเทพเจ้าใช้พลังได้เพียงเศษเสี้ยวที่พวกเขามี มันอ่อนแอจนถึงจุดที่ซีเว่ยต้องอายแทน นี่เป็นเพียงความอัปยศ ทั้ง ๆ ที่เทพองค์นี้ก็อยู่มานานและมีผู้ศรัทธามากกว่าซีเว่ยแท้ ๆ

มันก็เหมือนกับการที่ทั้งสองฝ่ายมีปืนไรเฟิลและกระสุนหลายนัดอยู่ในมือเหมือนกัน ซีเว่ยบรรจุกระสุนใส่ปืนไรเฟิลอย่างระมัดระวังและคอยซ่อนตัวอยู่หลังสิ่งกีดขวาง เพราะคาดว่าจะมีการดวลปืนเหมือนในหนังฮอลลีวูด

แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับใช้ปืนไรเฟิลแทนไม้กระบองโบกไปมาด้วยแรงกายเพียงอย่างเดียวขณะเขาพุ่งเข้ามาหาเขาทื่อ ๆ…มันตลกมาก ซีเว่ยเลยส่งกระสุนตรงเข้าใส่หน้าผากมันทันที

“เจ้าทำอะไรกับข้า! ทำไมข้าถึงหลุดออกไปไม่ได้” เทพเจ้ากระดูกเน่ายังคงไม่ตระหนักถึงสถานการณ์ที่เขาเป็นอยู่ และยังคงดิ้นรนต่อไป

“ฉันไม่ได้ทำเลย แกแค่โง่เกินไป” ซีเว่ยรวบร่วมพลังงานเทพเจ้าของเขาเพื่อทำลายเทพเจ้าตรงหน้า

สุดท้ายแม้ว่าศัตรูของเขาจะโง่แค่ไหนมันก็ยังเป็นเทพ พวกเขาต่างจากมนุษย์ ดังนั้นแม้ว่าซีเว่ยจะหักคอ ทุบหัว และสับเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาก็ยังไม่สามารถฆ่าเทพเจ้าได้

การฆ่าเทพมีเพียงวิธีเดียวนอกเหนือจากการปล่อยให้พวกเขาสลายหายไปเพราะไร้ซึ่งผู้ศรัทธาแล้ว ก็คือการทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาโดยตรง!

ความศักดิ์สิทธิ์ของเทพ เป็นจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา คำพูดนี้เป็นความจริงอย่างแน่นอน แต่มันก็คลุมเครือเกินไป นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสิ่งมีชีวิตในตำนานส่วนใหญ่จึงรู้ข้อเท็จจริงนี้ แต่มันก็ยากเหลือเกินที่มนุษย์จะฆ่าเทพได้ นี่เป็นเพราะในขณะที่ความศักดิ์สิทธิ์ของเทพเป็นจุดอ่อนของพวกเขา มันก็ยากที่จะทำลายล้างมากกว่าร่างกายของพวกเขา!

แล้วเหตุใดเทพจำนวนมากจึงตายในสงครามเทพเจ้าและปีศาจ?

เหตุผลนั้นง่ายมาก เทพเจ้ามีความสามารถในการแปลงพลังศรัทธาให้กลายเป็นพลังงานเทพเจ้า ซึ่งนั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่วิธีในการทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของเทพ

พลังงานศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ยไหลไปรอบ ๆ ขณะที่มันถูกเปลี่ยนเป็นคลื่นพลังงานเทพเจ้าที่แข็งแกร่ง

พลังงานเทพเจ้านี้เคลือบอยู่บนหนวดของซีเว่ย ที่ปลายหนวดบางเส้นมีแสงเจิดจ้าและเปลี่ยนเป็นของแหลมคม มันเริ่มหมุนวนอย่างต่อเนื่องเหมือนสว่างขนาดจิ๋ว และเมื่อหนวดหลายเส้นถูกพันเข้าด้วยกัน มันก็ดูเหมือนกับสว่านขนาดยักษ์ที่มีทั้งเอฟเฟกต์แสงและเสียงแบบจัดเต็ม

“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว! ข้าสามารถเป็นเทพภายใต้เจ้าได้!” ในที่สุดเทพเจ้ากระดูกเน่าก็คิดอะไรดี ๆ ผ่านกะโหลกหนา ๆ ของเขาได้ จากการที่เขากำลังจะถูกฆ่า เขาเริ่มพูดจาอ้อนวอนซีเว่ย “เจ้าเป็นเทพใหม่และเจ้าก็ยังไม่มีวิหารสังกัด เจ้าไม่อยากเป็นเทพเจ้าหลักของวิหารแพนธีออนหรือ ด้วยความช่วยเหลือของข้า เจ้าจะสามารถกลายเป็นเทพเจ้าหลักและยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเทพเจ้าได้อย่างแน่นอน!”

“พูดดี แต่ฉันขอปฏิเสธ!” ซีเว่ยกะพริบแสง ขณะที่พลังงานเทพเจ้าของเขาควบแน่นมากขึ้นภายใต้แรงกระตุ้นของเขา “ฉันเกลียดพวกที่กินเนื้อและเลือดของมนุษย์”

“ทำไม?! มนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตต่ำต้อยที่เติบโตเหมือนวัชพืช พวกมันสำคัญต่อเทพเจ้าอย่างเจ้ายังไง?” เทพเจ้ากระดูกเน่าไม่รู้ว่าซีเว่ยเดิมก็เคยเป็นมนุษย์ เขาจึงตะโกนถามด้วยความสับสน จากนั้นดูเหมือนว่าเขาจะได้ข้อสรุปว่าการอ้อนวอนซีเว่ยต่อไปนั้นไร้ประโยชน์ เขาจึงเริ่มขู่ “…หยุดได้แล้ว! ถ้าเจ้าฆ่าข้าที่นี่เทพกะโหลกจะหาเจ้าพบไม่ช้าก็เร็ว! สำหรับเทพเจ้าที่ไม่ใช่ผู้วายชนอย่างเจ้า การกระทำนี้เท่ากับการประกาศสงครามกับวิหารใต้พิภพทั้งหมดในคราวเดียว! ยังไม่สายเกินไปที่เจ้าจะยอมแพ้!”

“โอ้ จริงเหรอ” แสงบนตัวซีเว่ยขยับเป็นอีโมติคอนหน้ายิ้ม “สิ่งที่ฉันชอบมากที่สุด คือการท้าทายตัวเองกับศัตรูเลเวลสูงกว่า!”

“เจ้ามันบ้า! ด้วยเหตุผลที่โง่เขลาเช่นนั้น…”

ซีเว่ยรู้สึกว่าศัตรูของเขาอาจกำลังพยายามทำให้เขาตายจากการที่เขาต้องมาฟังมันพล่ามไม่หยุด เขาจึงไม่รีรออีกต่อไป พลังงานเทพเจ้าของซีเว่ยหลอมรวมเป็นสว่านขนาดยักษ์ส่องแสงแพรวพราว

ช่วงเวลาต่อมาสว่านยักษ์ที่มีพลังมากที่สุดที่ซีเว่ยเคยใช้ตั้งแต่ที่เขาข้ามมายังโลกนี้ ก็ได้เสียบทะลุหัวของเทพเจ้ากระดูกเน่า เข้าทำลายสติและความศักดิ์สิทธิ์ที่ซ่อนอยู่ภายในตัวมันทันที!

นับจากนี้ต่อไป การดำรงอยู่ของเทพเจ้ากระดูกเน่าก็ได้หายจากโลกนี้ไปอย่างสิ้นเชิง

อันที่จริงหากเทพผู้ชั่วร้ายองค์นี้ระวังตัวมากขึ้นอีกสักหน่อย และพยายามหาทางเผชิญหน้ากับซีเว่ยในการดวล ถึงเขาจะไม่ชนะซีเว่ย แต่เขาก็คงไม่ตายอนาถแบบนี้

ขอย้อนคำพูดมันหน่อยที่ว่า ‘ความโลภคือความหายนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด’ ความกระตือรือร้นที่จะกินซีเว่ยของมัน ทำให้มันต้องตกหลุมพรางอย่างน่าขัน

จากนี้ไปผู้ศรัทธาในเทพเจ้ากระดูกเน่าจะไม่ได้รับพรจากเทพเจ้าที่พวกเขาศรัทธาอีกต่อไป พวกเขาจะกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาอีกครั้งด้วยภาพร่างกายที่น่าเกลียดน่ากลัวกว่าเดิม การใช้ชีวิตเช่นนี้ถือเป็นการลงโทษสำหรับพวกเขาที่ทรยศต่อมนุษย์เพื่อไขว่คว้าความแข็งแกร่ง!!

“หมอนี่อ้วนจริง ๆ …”

ซีเว่ยเริ่มดูดซับเศษชิ้นส่วนอัตลักษณ์ความเป็นเทพที่ร่วงหล่นออกมาอย่างมีความสุข เขาวิเคราะห์พลังใหม่อย่างรอบคอบ เพื่อเสริมและปรับปรุงอัตลักษณ์ความเป็นเทพเจ้าของเขา “มีขยะไร้ประโยชน์เต็มไปหมด แต่ก็มีของดีเยอะเหมือนกันแฮะ…”

เขาเหลือบมองไปทางศพของเทพเจ้ากระดูกเน่า

เทพเจ้าชั่วร้ายได้ตายไปแล้วแน่นอน แต่ร่างกายของเทพก็มีพลังงานแฝงที่แข็งแกร่ง แม้ว่าอัตลักษณ์ความเป็นเทพจะถูกทำลายและสติของมันก็หายไปแล้ว ร่างกายเปล่า ๆ ของเทพก็ยังคงอยู่ได้เป็นเวลานาน

ร่างไร้วิญญาณของเทพเจ้าที่แข็งแกร่งบางองค์ สามารถเคลื่อนไหวต่อไปได้ตามสัญชาตญาณหลังจากที่พวกเขาตาย อาจมีร่างกายเช่นนี้บางส่วนอยู่ในส่วนลึกของหุบเขาแห่งความตาย

“ดูเหมือนแผนการที่ถูกระงับไว้ก่อนหน้านี้ จะสามารถดำเนินการต่อได้แล้ว…”

—————————————————————————————————————————————————————————————————–

“มันยังไม่จบ…ท่านกระดูกเน่า…จะล้างแค้นให้เรา…”

เมื่อเออร์กัตล้มลงอย่างไม่เต็มใจ ในที่สุดผู้เล่นก็ได้รับชัยชนะ

ผู้เล่นที่กำลังเหนื่อยหอบสมองมึนเบลอ ตอบสนองต่อคำสั่งเสียของเออร์กัตไม่ทัน บางคนยังทุบศพของอาร์คบิชอปต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน

จนกระทั่งศพหายไปและมีการแจ้งเตือนจากระบบ ในที่สุดพวกเขาก็รู้สึกตัว

[ติ้ง!]

[กิจกรรม: รุ่งอรุณแห่งการล้างแค้น ได้สิ้นสุดลงแล้วอย่างเป็นทางการ]

[คะแนน AP จะหมดอายุหลังจากผ่านไป 3 วัน โปรดรีบใช้โดยเร็ว]

[ผู้เล่นทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมจะได้รับฉายา ‘Avenger’]

[ฐานที่มั่นลับใต้ดินของแลงคาสเตอร์ ได้เข้าร่วมเป็นเขตอำนาจของศาสนจักรเทพเจ้าแห่งเกม ผู้เล่นทุกคนที่เลเวลสูงกว่า 5 สามารถเคลื่อนย้ายระหว่างเมืองไร้ชื่อและฐานที่มั่นลับใต้ดินของแลงคาสเตอร์ได้ผ่านทางไลฟ์สโตน (ใช้เหรียญในเกม)]

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ผู้เล่นทุกคนต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้น ผู้เล่นบางคนเรียกหาเพื่อนของพวกเขาเพื่อไปฉลองกันที่เมืองไร้ชื่อและคุยโม้ให้ผู้เล่นใหม่ฟัง

ในฐานะผู้เล่นเกมออนไลน์ที่มีประสบการณ์จากดาวโลก ซีเว่ยคิดว่าครั้งนี้ผู้เล่นของเขามีผลงานที่พอใช้ได้ พวกเขายังมีช่องว่างให้พัฒนาอีกมาก พวกเขาไม่มีประสิทธิภาพเท่าไหร่ในการเอาชนะศัตรู โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ผู้เล่นที่ช่วยกันปราบซัคคาร่าและได้เข้าร่วมต่อสู้กับเออร์กัต พวกเขาเสีย AP ไปจำนวนมากเมื่อพวกเขาตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แน่นอนว่าปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องที่เกินกำลังของผู้เล่นในตอนนี้มากไปหน่อย ยังไงซะนี่ก็เป็นประสบการณ์แรกของพวกเขา ซึ่งพวกเขาก็ทำได้ดีมากแล้ว มันดีกว่าที่ซีเว่ยคิดไว้มาก

เมื่อเห็นพวกเขามีความสุข ซีเว่ยก็ยิ้มเล็กน้อยจากนั้นก็ละสายตาออกไป

แม้ว่าโชว์หลักกำลังจะเริ่มขึ้น แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาของผู้เล่นอีกต่อไป ปล่อยให้พวกเขาผ่อนคลายไปเถอะ

“มาแล้ว” ร่างทรงกลมของซีเว่ยกะพริบและสั่นไหวด้วยความตื่นเต้น

จากนั้นอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ยก็เริ่มสั่นคลอน!

ซากศพของสัตว์ประหลาดที่เขากองไว้ (ส่วนใหญ่เป็นหนูหนึ่งแสนตัว) กระจายไปทั่วพื้นจากแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรง

ซีเว่ยไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เขามองไปยังทิศทางของแรงสั่นสะเทือน

แรงสั่นไม่ได้เกิดขึ้นในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ ดังนั้นมีเพียงคำอธิบายเดียว

เทพเจ้าอีกองค์พยายามรุกรานอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา!

ในพื้นที่ว่างเปล่าเหนืออาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ซีเว่ย มีรอยแตกหลายแห่งก่อตัวขึ้นเมื่ออาณาจักรสั่นสะเทือน รอยแตกก็ขยายใหญ่ขึ้นภายใต้การจ้องมองของซีเว่ย

แม้ว่าจะไม่มีเสียง แต่ซีเว่ยก็สร้างเสียงเอฟเฟกต์กระจกแตกเพื่อความสมบูรณ์ของเหตุการณ์เข้าไป

ในช่วงเวลาต่อมารอยแยกก็ได้ปรากฏขึ้นในอวกาศ เมื่อรอยแตกแตกเป็นเสี่ยง ๆ กระดูกมือสีดำขนาดใหญ่ก็แทรกเข้ามาในขณะที่พื้นที่ของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงดังเอี๊ยด อ๊าด และรอยแตกก็ขยายใหญ่ขึ้น

จากนั้นโครงกระดูกสีดำขนาดใหญ่ที่มีชิ้นเนื้อเน่าติดอยู่ก็ปรากฏขึ้นผ่านรอยแตก

นี่คือร่างที่แท้จริงของเทพเจ้ากระดูกเน่า ซึ่งเป็นเทพกึ่งโครงกระดูกชั่วร้าย ลูกสมุนภายใต้ราชาแห่งความตายฮาเดส

เพียงแค่มองไปที่มัน ก็ทำให้จิตวิญญาณของมนุษย์ได้รับความเสียหาย!

ดวงตาสีม่วงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนองมองไปยังซีเว่ย แม้ว่ามันจะไม่มีเส้นเสียง แต่มันก็สามารถเปล่งเสียงทุ้มลึก ที่เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทและความมืดมิด ที่มนุษย์ไม่อาจทานทนได้ออกมา

“เจ้าจะต้องชดใช้สำหรับความอวดดีของเจ้า เทพเจ้าแห่งเก…ไอ้บ้า ทำไมเจ้าถึงเป็นลูกบอลเรื่องแสง?”

ซีเว่ย “…”

เป็นลูกบอลเรืองแสงแล้วจะทำไม! ลูกบอลเรืองแสงหนักหัวพ่องแกเหรอ!

ซีเว่ยเริ่มกะพริบด้วยความถี่สูง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจ

“ลืมไปเถอะ ไม่เป็นไร” โครงกระดูกกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ ขณะที่เขาแทรกร่างของเขาเข้าสู่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ย “การต่อสู้ระหว่างผู้ศรัทธาไม่ได้สำคัญอะไรกับพวกเราเหล่าเทพเจ้าเลย แต่เจ้าตั้งใจฆ่าอาร์คบิชอปของข้า และทำลายคริสตจักรของข้า เจ้าใช้อำนาจศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเพื่อปัดเป่าตราแห่งคำสาปที่เขาสร้างขึ้น เจ้าคงคิดว่ามันเป็นแค่การกระทำเล็กน้อยสินะ แต่เจ้าคงคิดไม่ถึงแน่ว่ามันจะเป็นเหตุให้เจ้าต้องตายในวันนี้!”

“ข้าต้องขอชมเชยเจ้าที่ซ่อนตัวได้เป็นอย่างดี จนข้าไม่อาจหาเจ้าพบ หากเจ้าไม่ได้ทิ้งพลังศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าไว้บนหินก้อนนั้น(ไลฟ์สโตน)!” โครงกระดูกมองไปที่ซากศพของสัตว์ประหลาดที่ผู้เล่นฆ่าและสังเวย จากนั้นเขาก็เยาะเย้ยซีเว่ยอยู่ในใจ สำหรับเขาแล้วมีเพียงเทพเจ้าที่อ่อนแอที่สุดและชั้นต่ำที่สุดเท่านั้น ที่จะยอมรับซากหนูเป็นเครื่องสังเวย หากผู้ศรัทธาของเขากล้าที่จะทำสิ่งนี้ เขาจะไม่มอบพรให้พวกมันและเขาอาจจะเข้าสิงใครบางคนและฆ่าพวกมันทิ้งซะ

มันแสยะยิ้มสร้างกลิ่นอายแห่งความอาฆาตพยาบาท โครงกระดูกที่มีเนื้อเน่าและน้ำหนองไหลออกมาจากตัว ทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันดูชั่วร้ายและแปลกประหลาด “ความโลภนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าต้องตาย”

เมื่อมันพูดจบ มันก็แทรกเข้ามาในอาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ยได้อย่างสมบูรณ์ ตรงกันข้ามกับซีเว่ยที่เป็นเพียงลูกบอลเรืองแสง เทพเจ้ากระดูกเน่าดูเหมือนกับยักษ์

เมื่อมาถึงจุดนี้ บาเรียที่ที่แข็งแกร่งและทนทานที่สุดในอาณาจักรศักดิ์สิทธิก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อโครงกระดูกอีกต่อไป

พูดได้ว่าในที่สุดเทพเจ้ากระดูกเน่าก็ได้เปิดเปลือกหอยนางรมออก และได้เวลาที่จะเพลิดเพลินไปกับเนื้อหอยนางรมที่นุ่มนิ่มและสดชื่นภายใน

ซีเว่ยที่ถูกมองว่าเป็นเหยื่อของเทพเจ้าชั่วร้ายไม่ได้เอ่ยคำใด ๆ ออกมาเลยตั้งแต่ต้น ทันใดนั้นเขาก็เริ่มเรืองแสงสว่างขึ้นและสว่างขึ้น

ตอนแรกเทพเจ้ากระดูกเน่าคิดว่านี่เป็นการป้องกันตัวด้วยความกลัว ท้ายที่สุดแล้วใครจะสามารถอ่านสีหน้าของลูกบอลเรืองแสงได้?

แต่หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ที่ดูเหมือนกำลังจะแตกสลายเนื่องจากการบุกรุกของเทพเจ้าที่มีตำแหน่งสูงกว่าเจ้าของ ก็เริ่มทำการรักษาตัวเองในอัตราที่รวดเร็วจนน่าตกใจ

ไม่นานรอยแตกร้าวในสายตาของเขาก็หายไป พร้อมกับรอยแยกขนาดใหญ่ในอวกาศที่เขาใช้พลังของอสูร 9 ตัวและมังกร 2 ตัวเพื่อเปิดมันก็หายไปในทันที…

ราวกับว่ามันไม่ใช่รอยแตก แต่เป็นหลุมที่เจ้าของตั้งใจเปิด

ด้วยลางสังหรณ์ร้ายในใจ เทพเจ้ากระดูกเน่าจึงโบกกรงเล็บขนาดใหญ่ของมันไปยังซีเว่ย มันพยายามที่จะฆ่าลูกบอลเรืองแสงนี้ให้ตายในบัดดล

แต่ซีเว่ยเพียงแค่ขยับหนวดเส้นเดียวก็ปิดกั้นกรงเล็บของกระดูกยักษ์ได้สำเร็จ

“หลังจากฉันฟังนายพูดพล่ามมานาน ฉันก็คิดว่านานจะพูดอะไรที่ฉลาด ๆ ออกมาบ้าง แต่นายก็แค่ยั่วให้ตัวเองตายเร็วขึ้น…” หนวดแสงหลายเส้นโผล่ออกมาจากซีเว่ย และห่อหุ้มร่างของเทพเจ้าชั่วร้ายไว้เหมือนกับรังไหม การดิ้นรนอย่างสิ้งหวังของเทพเจ้ากระดูกเน่านั้นไร้ค่า มีแต่จะส่งผลให้ชิ้นเนื้อเน่าและเลือดกระเซ็นไปทั่วเท่านั้น มันก็เป็นเช่นเดียวกับเหยื่อที่ติดอยู่ในทรายดูด ยิ่งดิ้นรนมากเท่าไหร่ รังหนวดก็จะยิ่งรัดแน่นขึ้นเท่านั้น

“โอ้ได้โปรดหยุดเถอะ นายอ่อนแอมาก โอเค?”

——————————————————————————————————————————

แม้ว่าผู้เล่นจะระดมโจมตีเออร์กัต(ในนามของความยุติธรรม) แต่ความหนังเหนียวของเขาก็เกินความคาดหมายของผู้เล่น แม้ว่าผู้เล่นกลุ่มอื่นจะเอาชนะบิชอปชุดดำได้สำเร็จและรีบเข้ามาช่วย พวกเขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะเออร์กัตได้ง่าย ๆ

นี่เป็นเรื่องปกติ ท้ายที่สุดแล้วเออร์กัตก็เป็นผู้ศรัทธาระดับสูงสุดภายใต้เทพเจ้ากระดูกเน่า และเป็นอาร์คบิชอปที่มีอำนาจมากที่สุดในลัทธิกระดูกเน่า

อันที่จริงพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเออร์กัตคือการเปลี่ยนซากศพของศัตรูให้กลายเป็นกระดูกเน่า และอันเชิญโครงกระดูกสีดำออกมาต่อสู้เพื่อเขา เขาเคยใช้ความสามารถนี้พลิกกระแสการต่อสู้กับวิหารแห่งความรุ่งโรจน์ และสามารถพาคนในลัทธิจำนวนมากหลบหนีได้สำเร็จ

แต่พลังนี้กลับไม่สามารถใช้ออกมาได้เพราะผู้เล่นไม่ได้ทิ้งศพไว้หลังจากที่พวกเขาตาย…

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อาจใช้ไม้ตายของเขาได้ แต่เขาก็ยังสามารถต่อสู้กับผู้เล่นมากกว่า 20 คนได้โดยที่ตัวเขาเป็นฝ่ายเหนือกว่า นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของเขาได้อย่างแท้จริง

โชคดีที่มาตรวัด HP ของเขากำลังลดลงอย่างช้า ๆ ในอัตราคงที่

“ก็แค่นั้นแหละ…”

หลังจากร่ายกำแพงกระดูกดำเพื่อปัดป้องการโจมตีของผู้เล่น ทันใดนั้นเขาก็พูดออกมาว่า “ข้าฆ่าชายคนนั้นไปเองกับมือมา 3 ครั้งแล้ว แต่ตอนนี้เขากำลังวิ่งไปมาต่อหน้าข้าเหมือนแมลงสาบ…ดูเหมือนว่าความมั่นใจที่พวกมันมีในการปิดล้อมข้า จะเป็นเพราะความสามารถในการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องของพวกมัน!”

เออร์กัตไม่คิดว่าผู้เล่นจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้จริง ๆ ท้ายที่สุดแล้วเทพแห่งความตายระดับสูงสุดอย่างฮาเดส ก็ไม่ใช่เทพที่เป็นมิตรและรักสนุก หลังจากที่เขาเอาชนะเทพแห่งความตายยุคโบราณ เขาก็มีอิทธิพลเหนือกฎแห่งความตาย และเทพเจ้ากระดูกเน่าที่เออร์กัตศรัทธาก็เป็นลูกกระจ๊อกของราชาแห่งความตายฮาเดส…

ในความคิดของเออร์กัต ผู้เล่นเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับอันเดธโครงกระดูกที่ถูกเรียกมาโดยสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จัก แม้ว่าพวกมันจะถูกทำลาย พวกมันก็สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ด้วยเวทมนตร์ของอันเดธ เช่นเดียวกับโครงกระดูก และสามารถถูกเรียกออกมาใหม่ได้เรื่อย ๆ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือค้นหาผู้ร่ายเวท และสังหารเขาซะ

หากเป็นเช่นนั้น เขาก็แค่ต้องทำให้เจ้าพวกหนอนแมลงเหล่านี้อ่อนแอลงแทนที่จะฆ่าพวกมัน

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็ไม่ได้ซ่อนพลังงานอันชั่วร้ายของเขาเอาไว้อีกต่อไป เขายกไม้เท้าขึ้นสูงและกระทุ้งมันลงกับพื้น พลังงานกระดูกเน่าที่ชั่วร้ายไหลลงสู่พื้นเหมือนกับสายน้ำ ลวดลายสีดำกระเพื่อมจากด้านล่างของไม้เท้า ครอบคลุมทุกพื้นที่ของที่ซ่อนลับอย่างรวดเร็ว!

“ดีบัฟ ‘การกัดกร่อนของกระดูกเน่า’ มันคืออะไร๊ HP สูงสุดของข้ากำลังลดลง!”

“ไม่ใช่แค่ HP สูงสุดเท่านั้น สเตตัสทั้งหมดของข้าก็ลดลงด้วย…”

“เชี่ย MP สูงสุดของข้าลดลงจนข้าใช้ทักษะอะไรไม่ได้เลย ข้าจะสู้กับบอสตัวนี้ได้ยังงายยย”

ใบหน้าของผู้เล่นต่างบิดเบี้ยว เมื่อพวกเขาอ่อนแอลง

เออร์กัตยิ้มเมื่อเห็นว่าแผนของเขาได้ผล

“เจ้าพวกนอกรีต เจ้าคิดว่าจะเอาชนะข้าได้ด้วยวิธีการง่อย ๆ เช่นนี้รึ? ไม่! คนที่จะชนะคือข้า เออร์กัต!”

หากการฆ่าหนอนแมลงเหล่านี้จะทำให้ผู้ร่ายเวทเรียกพวกมันออกมาได้อีกครั้ง เขาก็แค่ต้องปล่อยพวกมันไว้ที่นี่ และหาทางฆ่าผู้ร่ายเวท!

ในขณะนั้นก็ได้มีเงาร่าง ๆ หนึ่งปรากฏขึ้นที่ทางเข้าของที่ซ่อนลับ

เป็นเด็กสาวผมสีบลอนด์อ่อนสวมเกราะรบ

แม้ว่าท่อระบายน้ำใต้ดินจะมืดมิด แต่ในช่วงเวลาที่เธอปรากฏตัว แสงอันอบอุ่นก็ดูเหมือนจะส่องทะลุผ่านเมฆและพื้นดินตกกระทบลงมาที่ตัวเธอ ทำให้เธอมีรัศมีแห่งความอบอุ่นและศักดิ์สิทธิ์

หญิงสาวถือธงรบขณะที่เธอก้าวเข้ามาในที่ซ่อนลับ สีหน้าของเธอเคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์

เออร์กัตรู้ว่าเธอเป็นใคร เมื่อเธอปรากฏตัวขึ้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่าศัตรูเหล่านี้มาจากไหน และทำไมพวกมันถึงได้โจมตีเขา

“ยาการัน เป็นเจ้า!”

เจ้าหญิงแห่งเทียร์ร่า หมาขี้แพ้ ที่ถูกเขาขับไล่ออกไปจากแลงแคสเตอร์ เธอปรากฏตัวออกมาต่อหน้าเขาในรูปแบบที่เขาไม่คาดคิด!

ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือความจริงที่ว่าแมลงสาบที่เขาไม่สามารถฆ่าได้เหล่านี้ เป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม!

มันจะเป็นไปได้ยังไง? เทพเจ้าแห่งเกมเป็นเทพที่อ่อนแอมากจนไม่สามารถปกป้องอาณาจักรของผู้ศรัทธาได้ไม่ใช่รึ?

หลังจากที่เทียร์ร่าถูกทำลาย เทพเจ้าแห่งเกมก็ไม่เคยเคลื่อนไหว และผู้ศรัทธาของเขาก็ได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในท่อระบายน้ำเหมือนเต่าที่ไม่กล้าออกมาเจอแสงสว่าง

ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าศาสนจักรของเทพเจ้าแห่งเกมนั้นอ่อนแอ เขาคงไม่เลือกสถานที่แห่งนี้เป็นที่ซ่อนของเขาตั้งแต่แรก

ตอนนี้เออร์กัตได้แต่เสียใจและเกลียดชังศาสนจักรของเทพเจ้าแห่งเกม ถ้าเทพของพวกมันแข็งแกร่งขนาดนี้ ทำไมพวกมันถึงได้ปิดซ่อนเรื่องนี้เอาไว้! ถ้าเขารู้ว่าเทพของพวกมันจะเลวร้ายมาก (เติม S เข้าไปอีกหลาย ๆ ตัว) ขนาดนี้ เขาคงจะเลือกที่ซ่อนอื่นเพื่อซ่อนตัวและไม่มาที่นี่เพื่อให้ถูกทุบตีเช่นนี้หรอก…

“โอ้ แนวหน้าของศาสนจักรของเรา! โปรดฟังเจตจำนงของเทพเจ้าของเราและมอบความไว้วางใจให้กับสหายของเจ้า การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อตัวเจ้าเท่านั้น แต่เพื่ออนาคตของสหายเราในอนาคต! จงเอาดินแดนที่เคยเป็นของเรากลับคืนมา! ข้า ลีอา•ยาการัน ในนามของเทพเจ้าแห่งเกม ข้าจะเปลี่ยนธงนี้ให้เป็นไลฟ์สโตน จงสร้างป้อมปราการและแนวรบ และนำชัยชนะกลับมา!”

เมื่อเธอพูดเช่นนั้นเธอก็ยกธงที่ถือไว้ในมือขึ้น ขณะที่ธงปลิวสะบัด มันได้เผยให้เห็นตราสัญลักษณ์ของเทพเจ้าแห่งเกมที่ส่องสว่างบนผืนธง

จากนั้นเธอก็ปักเสาธงลงกับพื้น ทันใดนั้นพลังงานกระดูกเน่าที่กระจายออกไปทั่วพื้นโดยเออร์กัตก็เริ่มถูกขับไล่โดยรัศมีของธงรบที่เต็มไปด้วยพลังงานศักดิ์สิทธิ เมื่อเสาธงเข้าใกล้กับพื้น

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เออร์กัตก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะปล่อยให้หญิงสาวปักธงรบของเธอได้สำเร็จ เขาคิดว่าหญิงสาวคนนี้นี่แหละคือผู้ร่ายเวท เมื่อเขาเห็นผู้เล่นที่ตายฟื้นคืนชีพขึ้นมารอบ ๆ ตัวเธอ เขาโจมตีลีอาทันทีโดยยิงลำแสงสีดำเข้าใส่เธอ

แต่พลังของเขาก็ถูกผู้เล่นใช้ร่างกายของตัวเองเป็นโล่บัง!

ผู้เล่นคนนั้นเพียงมองไปที่เออร์กัตก่อนที่เขาจะสลายกลายเป็นจุดแสง แต่ผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็สืบทอด ‘เจตจำนง’ ของเขา ผู้เล่นเดินเข้าหาลีอาและกลายเป็นกำแพงที่แข็งแกร่ง

“ทำไม!” เออร์กัตตะโกนด้วยความสับสน “เจ้าเสียสละตัวเองเพื่ออะไร! เทพเจ้าแห่งเกมให้อะไรกับเจ้าบ้าง? ชีวิต? พลัง? ข้าสามารถให้เจ้าได้ 5 …ไม่สิ 10 เท่า!”

พลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในธงนั้นแข็งแกร่งกว่าพลังงานกระดูกเน่า และภายใต้ความพยายามของลีอา มันก็ได้ทำลายกำแพงที่สร้างขึ้นโดยพลังงานกระดูกเน่าและปักตรึงลงบนพื้นดิน!

วินาทีถัดมาธงรบก็ได้หายไปและมีแท่นบูชาเล็ก ๆ โผล่ขึ้นมาแทนที่

“ชีวิตและพลังที่ชั่วร้ายของเจ้า เจ้าเก็บไว้ใช้เองเถอะ” เอ็ดเวิร์ดกล่าว “ตั้งแต่แรก ดูเหมือนเจ้าจะเข้าใจผิด ชีวิตของเราไม่ใช่สิ่งที่เทพเจ้าของเราจะโยนทิ้งไปง่าย ๆ ตรงกันข้าม สิ่งที่เทพเจ้าของเราประทานให้แก่เราคือชีวิตใหม่!”

ขณะที่ไลฟ์สโตนสีฟ้าลอยขึ้นสู่แท่นบูชา พลังงานกระดูกเน่าที่ฝังอยู่บนพื้นก็ถูกทำลายทันที ดีบัฟของผู้เล่นถูกล้างออกและแทนที่ด้วยบัฟจำนวนมาก!

ตรงกันข้ามกับผู้เล่น เออร์กัตกลับดูอ่อนแอลง เขาเหมือนกลายเป็นคนแก่

“โอ้~เทพเจ้าแห่งเกม โปรดมอบชีวิตใหม่ให้กับเรา!”

ผู้เล่นตะโกนขึ้นพร้อมกันขณะที่พวกเขาบุกเข้าโจมตีเออร์กัตเป็นครั้งสุดท้าย

—————————————————————————————————————————————————————-

แจ้งเปลี่ยนชื่อจาก ‘อุลการ์ด’ เป็น ‘เออร์กัต’

———————————

“ข้างนอกเงียบไปแล้ว ดูเหมือนว่าผู้ศรัทธาของเราได้กำจัดแมลงเหล่านั้นไปเรียบร้อยแล้ว” ซัคคาร่าพูดขึ้นมาหลังจากไม่ได้ยินเสียงใด ๆ จากด้านนอก

“มนุษย์พวกนั้นมีความสามารถแปลก ๆ แต่พวกมันกลับอ่อนแอเกินไป พวกมันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้ศรัทธาของเราตั้งแต่แรก” เออร์กัตยอมรับในเรื่องนี้ “เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ ข้ารู้สึกไม่สบายใจด้วยเหตุผลบางอย่าง ตอนนี้ไปทำสิ่งที่ข้าบอกให้เจ้าทำก่อนที่คริสตจักรใหญ่ ๆ เหล่านั้นจะตรวจพบสิ่งผิดปกติ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำพิธีภายใต้จมูกของพวกมัน”

“ตามที่ท่านต้องการ นายท่านผู้เป็นเลิศ” ซัคคาร่าตอบด้วยความเคารพ

“โอ้ซัคคาร่า ข้าเข้าใจความไม่สบายใจของเจ้า แต่สิ่งที่เราพยายามทำมาจนถึงจุดนี้ไม่ได้ไร้ประโยชน์” เออร์กัตยิ้มปลอบใจ แต่รอยยิ้มของเขาดูแย่มากเมื่อมันปรากฏขึ้นมาใบหน้าแห้ง ๆ ของเขา “เมื่อเรามีหัวใจและเลือดของทารกนับ 100 คนแล้ว เราก็จะไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป! วันหนึ่งกระดูกเน่าจะเดินบนพื้นโลก”

ขณะที่อาร์คบิชอปกำลังจะกล่าวสุนทรพจน์อย่างเต็มรูปแบบ ประตูโบสถ์ก็ถูกระเบิดอีกครั้ง เบ้าตาที่เรืองแสงแปลก ๆ ของเขากวาดมองไปทางจุดระเบิด

“เมื่อกี้เจ้าพูดว่า ‘หัวใจและเลือดของทารกนับ 100’ ใช่ไหม เจ้ากล้ายื่นมือสกปรก ๆ ของเจ้าไปยังทารกผู้อ่อนแองั้นรึ! สำหรับวายร้ายอย่างเจ้า จพต้องโดยข้าฟันในนามของ…อ๊าก!”

มาร์นี่ที่กำลังโพสท่าสุดเจ๋งก่อนที่เขาจะได้พูดจบ หัวใจของเขาก็ถูกเจาะด้วยลำแสงสีดำและร่างของเขาก็สลายหายไปในที่สุด

“เดี๋ยวก่อน แท็งค์ของเราไม่ได้เปิดใช้งานทักษะยั่วยุอยู่เหรอ? ทำไมบอสถึงโจมตีมาร์นี่ก่อน?”

“ใครจะรู้ เขาอาจมีออร่าดึงดูดความสนใจของบอสได้แบบ 100% ก็เป็นได้”

ผู้เล่นคุยกันอย่างสนุกสนาน และเริ่มโจมตีศัตรูที่เหลืออยู่อีก 2 คนในที่โบสถ์กระดูกเน่า

เออร์กัตเหลือบมองไปยังผู้เล่น เมื่อเขาพบว่ามีผู้เล่นเพียง 20 คนเท่านั้น เขาก็รู้สึกโล่งใจ

“เจ้ากล้าท้าทายเราด้วยจำนวนคนเพียงเท่านี้ ช่างโง่เขลานัก!”

ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เขาก็ยกแขนที่เหลือแต่กระดูกของเขาขึ้นเพื่อบัฟให้กับซัคคาร่าห์ ความจริงซัคคาร่าห์อ่อนแอที่สุดในบรรดาบิชอปชุดดำทั้ง 3 คน เขามีหน้าที่เป็นนักยุทธศาสตร์ ที่มุ่งเน้นไปยังงานเบื้องหลังแทนการต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงแข็งแกร่งกว่าผู้ศรัทธาระดับสูงเพียงเล็กน้อย

แต่ผู้เล่นที่เตรียมตัวมาอย่างดี จะปล่อยให้อาร์คบิชอปทำเช่นนั้นได้ยังไง

วอร์ริเออร์ผู้หนึ่งได้เร่งความเร็วเข้าหาเออร์กัต เขาโยนอาวุธของเขาที่ดูเหมือนมีดปอกผลไม้สีส้มขนาดใหญ่ทิ้ง แล้วคว้าตัวอาร์คบิชอปโยนกลับหลังด้วยท่าซูเพล็กซ์!

ถ้าเออร์กัตเป็นนักบุญ นักบุญฝึกหัด หรือพระสันตะปาปา เขาจะสามารถมีภูมิคุ้มกันต่อกฎของทักษะ

น่าเสียดายที่เขาเป็นเพียงอาร์คบิชอป ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถหลบหนีผลของทักษะได้และโดนเหวี่ยงเอาหัวปักพื้นทันที

ทักษะนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับเขามากนัก แต่เสื้อคลุมหรูหราที่ดูเหมือนสุ่มไก่ของขุนนางหญิงที่เขาสวมอยู่นั้น ก็ได้พลิกลงมาเผยให้เห็นขาผอม ๆ เหมือนตะเกียบของเขาชี้โด่เด่อยู่บนฟ้า

สิ่งนี้ทำให้บอสที่เดิมทีมีศักดิ์ศรี กลายเป็นตัวตลก…

“แกกล้าดียังไง…” อาร์คบิชอปที่เป็นอิสระจากการจับยึดของผู้เล่นสูญเสียความเยือกเย็นที่มีไปแล้ว เขาตัวสั่นด้วยความอัปยศอดสู ขณะที่เขายิงดัชนีมรณะใส่ผู้เล่น

“ตาย!”

อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาของเขาก็เป็นไปตามความคาดหมายผู้เล่น ยกเว้นมาร์นี่ที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาและพึ่งมาถึงทางเข้า ผู้เล่นคนอื่น ๆ ต่างก็กลิ้งหลบการโจมตีนี้ได้ง่าย ๆ

มาร์นี่ที่โดนดัชนีมรณะซัดเข้าไปอีกครั้งกรีดร้องและหายตัวไป ในขณะที่เขาคร่ำครวญว่า ‘นี่ข้ารับบัฟมาเพื่ออะไร!’

เมื่อได้ยินเสียกรีดร้องโหยหวนของมาร์นี่ ความโกรธของเออร์กัตก็สงบลงเล็กน้อย

เขาพบว่าผู้เล่นพยายามขัดขวางไม่ให้เขาร่ายคาถาเพิ่มประสิทธิภาพให้กับซัคคาร่า

ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาจะต้องดับความหวังของพวกมัน!

“ซัคคาร่ามานี่ ข้าจะ…”

เออร์กัตพูดแล้วหันไปหาซัคคาร่า…

ผลก็คือเขาเห็นซัคคาร่าถูกผู้เล่นจับทุ่มไปอีกคน เสื้อคลุมของเขาพลิกคว่ำเนื่องจากแรงโน้มถ่วง เผยให้เห็นขาตะเกียบของซัคคาร่าที่คล้ายกับเออร์กัต ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือซัคคาร่ายังคงมีขนขาเหลืออยู่ และมันกำลังพลิ้วไหวไปกับสายลม…

สิ่งนี้ทำให้เออร์กัตนึกถึงฉากอัปยศที่เขาพึ่งประสบ เขาสูญเสียความคิดไปอีกครั้ง

“ข้าขอสาปส่งเจ้า เจ้าพวกหนอนโสโครก!!!”

เขาโบกไม้เท้าไปรอบ ๆ และเริ่มไล่ล่าผู้เล่นที่ยั่วยุเขา

เขาดูเหมือนโครงกระดูกที่ใช้ไม้เท้าเป็นอาวุธ ผู้คนจึงมักจะเข้าใจผิดว่าเขาเป็นนักเวทย์ที่มีร่างกายอ่อนแอ แต่ความจริงแล้วเนื่องจากร่างกายของเขาได้รับการดัดแปลงด้วยพลังงานกระดูกเน่า ความแข็งแกร่งและความเร็วของเขาจึงแข็งแกร่งกว่าที่ตาเห็นมาก เขาไล่ล่าวอร์ริเออร์ที่กำลังหนีและต้อนพวกมันเข้าจนมุม

“ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตายอย่างมีความสุข!”

เมื่อเห็นว่าศัตรูถูกต้อนจนมุม เขาก็ส่งเงาสีดำที่มีรูปร่างเหมือนหนอนจำนวนนับไม่ถ้วน ใส่เข้าไปในร่างกายของผู้เล่นด้วยสีหน้าอำมหิต

“จงลิ้มรสคำสาปหนอนพิษของข้าซะ! หนอนน้อยเหล่านี้จะกัดกินอวัยวะภายใน เลือด และกระดูกของเจ้าอย่างช้า ๆ มันจะทำให้เจ้าเจ็บปวดทรมาน และคันคะเยอไปทั้งตัว เจ้าจะรู้สึกแย่ยิ่งกว่าตาย…ร่างกายของเจาจะกลายเป็นรังหนอน! สมองของเจ้าจะถูกกัดกิน เจ้าจะต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดอันไร้สิ้นสุดไปจนกว่าเจ้าจะตาย! ฮ่าฮ่าฮ่า!”

ในตอนท้าย เขาหัวเราะอย่างชั่วร้ายเหมือนตัวละครจากหนังสยองขวัญ

ทำให้ผู้เล่นที่กำลังขมวดคิ้วเพราะโดนคำสาปหนอนเข้าไป โล่งใจขึ้นเยอะ

“งั้นข้าก็แค่ต้องตายก่อนสินะ”

พูดจบ เขาก็หยิบมีดสั้นที่เขาพกติดตัวมา เสียบเข้ากลางอกตัวเอง จากนั้นร่างของเขาก็สลายกลายเป็นจุดแสงและหายไป

เออร์กัต “…?”

ผู้เล่นคนอื่น “…”

หลังจากทุกคนถูกแช่แข็งด้วยความเงียบไปชั่วขณะ เอ็ดเวิร์ดก็ยืนขึ้นและตะโกนออกมาว่า “เจ้ากล้าฆ่าเพื่อนของเราด้วยวิธีการที่โหดร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร! พี่น้องของข้า เจ้านี่ช่างชั่วร้ายยิ่งนัก เราจะปล่อยมันไว้ไม่ได้ วันนี้เราจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน และฆ่ามันให้จงได้!”

เออร์กัตรู้สึกเหมือนกำลังกินแมลงวันเข้าไปเต็มปาก

‘ข้าไม่ได้ฆ่าเขา ทำไมเจ้าถึงพูดมั่ว ๆ เช่นนั้น!’

‘เขาฆ่าตัวตายชัด ๆ…’

—————————————————————————————————————————————————–

ลีอาคิดมาตลอดหกวัน

ผู้เล่นเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่น่าเชื่อถือเลย แต่นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาไม่กลัวตายพวกเขาจึงทำตัวไร้กังวล เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาจริงจัง พวกเขาก็จะกลายเป็นพลังที่แม้แต่เจ้าหญิงก็ยังต้องยอมรับ

ภายในเวลาเพียง 6 วัน ผู้เล่นเกือบจะสำรวจท่อระบายน้ำใต้ดินของแลงแคสเตอร์จนครบ และบรรลุสิ่งที่ลอร์ดของแลงคาสเตอร์ในอดีตต้องการที่จะทำให้สำเร็จเป็นเวลายาวนานเกือบ 100 ปี พวกเขาแทบจะกวาดล้างท่อระบายน้ำใต้ดินจนเรียบ!

พวกเขาทำลายมนุษย์เงือกที่ซ่อนตัวอยู่ในท่อระบายน้ำใต้ดิบเพื่อซุ่มโจมตีชาวเมือง ฝูงหนูที่ทำให้เสบียงอาหารจำนวนมากเสียงหายและทำให้เกิดโรคระบาดในเมือง กากตะกอนที่ล่าคนจรจัด ปูกะโหลกที่ล่าสัตว์เลี้ยงของชาวเมือง และทหารยามที่กลายเป็นซอมบี้หลังจากตายในท่อระบายน้ำ…

แม้แต่จระเข้เกราะคลั่งที่ไม่มีใครสู้ได้ในท่อระบายน้ำใต้ดิน หลังจากที่พวกเขาค้นพบรูปแบบการเคลื่อนไหวของมัน มันก็ได้ถูกผู้เล่นฆ่าตายในที่สุด

สิ่งเหล่านี้คือสิ่งมีชีวิตที่ทำให้ท่อระบายน้ำใต้ดินของแลงแคสเตอร์กลายเป็นพื้นที่อันตรายสำหรับมนุษย์

อดีตขุนนางของแลงแคสเตอร์เคยพยายามสร้างแบบแปลนของท่อระบายน้ำใต้ดิน แต่เพราะสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ทำให้แผนของเขาไม่ประสบความสำเร็จและในที่สุดมันก็ถูกทิ้งไว้ในฝุ่น

จริงอยู่ที่ผู้เล่นเสียชีวิตไปหลายครั้งในขณะที่พวกเขาเผชิญหน้ากับศัตรูเหล่านี้ เพราะมันยากที่จะรับมือกับศัตรูที่พวกเขาไม่รู้จักในเวลาอันสั้น

ลีอาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามีผู้เล่นกี่คนที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมารอบ ๆ ตัวเธอ แต่พวกเขาไม่เพียงแต่จะไม่กลัวหรือหดหู่ใจที่โดนฆ่า พวกเขากลับรักษาขวัญกำลังใจได้ดีและยังคงมุ่งมั่นที่จะพิชิตศัตรูที่ฆ่าพวกเขา!

มันตรงกันข้ามกับคริสตจักรอื่น ๆ เลย ผู้เล่นเหล่านี้ไม่ได้ต่อสู้ตามคำสั่งของคริสตจักร พวกเขามีความสุขกับการสำรวจและต่อสู้จากก้นบึ้งของหัวใจ ดังนั้นพวกเขาจึงปรับปรุงตัวเองอย่างต่อเนื่องและทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น

การตายแต่ละครั้งเป็นการโหมโรงเพื่อชัยชนะครั้งต่อไป และชัยชนะในแต่ละครั้งจะกลายเป็นรากฐานที่จะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้น

ควบคู่ไปกับระบบคะแนนทักษะและต้นไม้ทักษะ ที่จะช่วยให้พวกเขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจว่าทำไมผู้เล่นจึงมีความกระตือรือร้นในการท้าทายศัตรู

ในโลกนี้จะมีความสุขใดจะเทียบได้กับการได้เห็นว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นทีละนิด ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า?

เจ้าหญิงรู้สึกอิจฉานิด ๆ

ข้าต้องอยู่ที่นี่เพราะข้าไม่กล้าออกจากพื้นที่ 3 เอเคอร์นี้เลยเพราะว่าข้าอ่อนแอ หากตอนนี้ข้าไม่ได้เป็น NPC กิจกรรม ข้าก็จะได้สำรวจสิ่งที่ไม่รู้จักไปพร้อมกับพวกเขา และต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

“เจอห้องบอสแล้ว! ศัตรูแข็งแกร่งมากถึงขนาดแท็งค์ยังตายในการโจมตีเดียว!” คนที่พึ่งฟื้นคืนชีพได้ตะโกนออกมาขัดความคิดเธอ

ผู้เล่นที่ยังคงพักผ่อนอยู่ที่จุดฟื้นคืนชีพเริ่มตื่นเต้น พวกเขารวมตัวกันและเริ่มพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับบอส

เมื่อมีผู้เล่นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ตายมาโผล่ในจุดฟื้นคืนชีพ ข้อมูลที่ทุกคนมีเกี่ยวกับบอสก็เพิ่มขึ้น แผนเอาชนะบอสจึงค่อย ๆ ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง

“นอกจากบอสและมินิบอสแล้ว พวกมันยังมีลูกกระจ๊อก 12 ตัว เราจะต้องหลอกล่อและฆ่าพวกลูกกระจ๊อกก่อน ไม่งั้นผู้เล่นสายแท็งค์จะถูกฆ่าทันที”

“บอสสามารถเพิ่มบัฟให้กับมินิบอส ดังนั้นการต่อสู้จะยากขึ้นเหมือนว่าเรากำลังต่อสู้กับบอสหลักพร้อมกันสองตัว…เราต้องส่งทีมออกไปเบี่ยงเบนความสนใจของบอส แล้วคนที่เหลือจะได้รุมฆ่ามินิบอสก่อนที่บอสจะเข้ามายุ่ง!”

“จากข้อมูลของเรา พวกลูกกระจ๊อกมีทักษะ…”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลีอาเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อพวกเขาพบกับจระเข้เกราะคลั่งซึ่งเป็นศัตรูเพียงตัวเดียวที่พวกเขาไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยเลเวลเพียงอย่างเดียว ในเวลานั้นพวกเขาก็ทำแบบนี้เช่นกัน

เห็นได้ชัดว่าไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างผู้นำและผู้ตามระหว่างผู้เล่น พวกเขามักจะรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับศัตรูจากการตายของพวกเขา และทำงานร่วมกันเพื่อสรุปวิธีการเอาชนะศัตรู

“นี่คือแผนของเรา ขอให้ทุกคนโชคดี! มาปราบบอสเพื่อเลเวลและรับไอเทมกันเถอะ!” เอ็ดเวิร์ดที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำยกไม้เท้าขึ้นและตะโกนออกมา

“โอ้!!” ผู้เล่นตะโกนตอบพร้อมกับยกอาวุธและไอเทมทุกประเภทขึ้นสูงอย่างร่าเริง

ผู้ศรัทธาระดับสูงของลัทธิกระดูกเน่ารู้สึกเสียใจมาก

ในฐานะที่เป็นกำลังหลักของลัทธิกระดูกเน่า จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะได้ต่อสู้กับศัตรูจากคริสตจักรอื่น ๆ มาแล้วมากมาย ไม่เกินจริงที่จะกล่าวว่าพวกเขาเป็นนักรบที่มีประสบการณ์

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกหงุดหงิดขนาดนี้

ศัตรูไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเลยและมีจำนวนมากกว่าของพวกเขาเพียงเล็กน้อย แต่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะฆ่าพวกมันทั้งหมด ทุกครั้งที่เอาชนะศัตรูกลุ่มหนึ่งได้ ศัตรูกลุ่มใหม่ก็จะเข้ามาแทนที่แทบจะในทันที…แม้แต่ศัตรูที่เข้ามาใหม่ คนเหล่านั้นก็ดูเหมือนกับศัตรูที่เขาพึ่งจะฆ่าไป!

หากพวกเขาไม่ได้ยืนยันว่าศัตรูเป็นสิ่งมีชีวิตโดยใช้พลังกระดูกเน่าของพวกเขาตรวจสอบ พวกเขาคงเชื่อว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับโกเลม…

หากเป็นเพียงศัตรูที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น พวกเขาก็คงจะไม่รู้สึกแย่เป็นพิเศษเช่นนี้ เพราะหลังจากพวกเขาได้รับพรจากเทพเจ้ากระดูกเน่า พวกเขาก็เป็นเหมือนกับอันเดธที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

แต่หลังจากที่พวกศัตรูเสียชีวิตไปสองสามครั้ง ก็ดูเหมือนว่าพวกมันจะค้นพบวิธีเคลื่อนที่หลบหลีกสลับกับโจมตีพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างความเสียหายให้กับพวกมันได้น้อยลง ตรงกันข้าม พวกเขากลับได้รับบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีก

และสิ่งที่ทำให้พวกเขากลัวมากที่สุดคือความจริงที่ว่า ศัตรูที่ดูเหมือนจะอ่อนแอเหล่านี้มีสัญชาตญาณการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก

หลังจากที่พวกเขาได้รับพรจากเทพเจ้ากระดูกเน่า ผู้ศรัทธาระดับสูงแต่ละคนจึงเริ่มดูเหมือนหนังเน่า ๆ หุ้มกระดูก แม้ว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่พวกเขาก็ไม่มีเลือดออก ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะบอกได้ว่าพวกเขากำลังบาดเจ็บหนักจากรูปลักษณ์ภายนอก

ทำให้ในการต่อสู้ที่ผ่านมา พวกเขามักจะสลับตัวกันเมื่อต่อสู้กับศัตรู โดยเปลี่ยนตัวคนที่เจ็บหนักที่สุดกับคนที่มีสภาพดีที่สุด เพื่อให้ศัตรูของพวกเขารู้สึกว่าผู้ศรัทธาในคริสตจักรของพวกเขาฆ่ายาก และสมาชิกที่บาดเจ็บก็จะสามารถล่าถอยออกไปพักรักษาตัวได้อย่างรวดเร็ว มันเป็นกลวิธีที่มักถูกนำมาใช้เพราะมันทำงานได้อย่างดีเยี่ยม

แต่ด้วยเหตุผลบางประการ กลยุทธ์นี้ไม่มีผลกับมนุษย์ประหลาดเหล่านี้เลย แม้ว่าพวกเขาจะแอบสลับตัวกันอย่างลับ ๆ ศัตรูก็จะสังเกตเห็นได้ทันทีและตะโกนว่า “ศัตรูกำลังหนีโจมตีเร็ว!” และปิดกั้นเส้นทางของผู้ศรัทธาระดับสูงที่ได้รับบาดเจ็บ

ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีศัตรูที่สวมชุดเกราะสีแดงแซมทองทั้งตัว คนพวกนี้หนังหนามาก เมื่อใดที่พวกมันปรากฏตัวพวกมันก็มักจะชูนิ้วกลางและตะโกนคำหยาบคายใส่พวกเขาไม่หยุดหย่อน

ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์นี้ ผู้ศรัทธากระดูกเน่าจะเริ่มรู้สึกว่าศัตรูนั้นน่ารังเกียจอย่างมาก จนพวกเขาอยากจะสาวไส้มันออกมาพันรอบคอแล้วรัดให้แน่นเพื่อให้โลกทั้งใบสงบสุข…

ด้วยเหตุนี้การเคลื่อนไหวของพวกเขาจึงไม่สามารถหลบหนีได้เร็วพอและทำให้พวกเขาถูกล้อมฆ่า

“พวกเจ้า เป็น ตัวอะไร…”

เมื่อผู้ศรัทธาระดับสูงคนสุดท้ายล้มลง เบ้าตาที่ว่างเปล่าของเขาก็ได้จ้องมองไปยังศัตรูตรงหน้า และถามออกมาอย่างอ่อนแรง

“เราเหรอ เราเป็นแค่ผู้เล่นที่กำลังทำเควส”

เด็กหนุ่มยิ้มและเลิกสนใจผู้ศรัทธากระดูกเน่าที่กำลังจะตาย เขาตะโกนใส่พรรคพวกของเขาว่า “เอาล่ะ คนที่ต้องฟื้นคืนชีพกลับไปหาเจ้าหญิงลีอาและรับบัฟ ใครที่ต้องเติม HP ก็รีบเติม อย่างกกับการใช้ AP! เรากำลังจะไปสู้กับบอสแล้ว!”

——————————————————————————————————————————————————————–

ท่อระบายน้ำใต้ดินของแลงคาสเตอร์ ที่ซ่อนลับของลัทธิกระดูกเน่า

อุลการ์ดรู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างแปลก

ในฐานะอาร์คบิชอปของลัทธิกระดูกเน่า ร่างกายของเขาจึงได้ถูกเปลี่ยนเป็นหนังหุ้มกระดูก เขาดูเหมือนโครงกระดูกที่มีผิวหนังสีดำเน่า ๆ หุ้มอยู่ เขาได้สูญเสียความรู้สึกทั้งหมดที่มีในฐานะมนุษย์ ตอนนี้เขาเลยได้แต่ใช้พรของเทพเจ้ากระดูกเน่าเพื่อเลียนแบบความรู้สึกในอดีตของมนุษย์

นับตั้งแต่ที่เขาเลิกเป็นมนุษย์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกระวนกระวายใจ

เมื่อประมาณหกวันก่อน ท่อระบายน้ำใต้ดินที่เคยเงียบสงบก็เริ่มโกลาหล

ทางทิศตะวันออกของท่อระบายน้ำอันเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์เงือกหนองน้ำ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่พวกมันโผล่ออกมาจากเขตของตัวเอง และเริ่มส่งเสียงดังเป็นสัญญาณว่าพวกมันกำลังจะอพยพอีกครั้ง แต่ฟังจากเสียงร้องของพวกมัน เขาก็สามารถบอกได้ว่าเสียงนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก โกรธเกรี้ยว และหวาดกลัวเพียงใด ฟังดูเหมือนพวกมันกำลังหนีแทนที่จะอพยพ เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้พวกมันต้องรีบหนีขนาดนั้น

เจ้าอาณาเขตทางทิศใต้คือจระเข้เกราะคลั่งอายุ 100 ปี มันกำลังคำรามด้วยความโกรธหลังจากถูกปลุกขึ้นจากการจำศีล ในความทรงจำของอุลการ์ด ไม่มีผู้ใดในท่อระบายน้ำใต้ดินที่กล้าโจมตีสัตว์ประหลาดตัวนี้ แม้ว่าทุกเผ่าพันธุ์ในที่นี้จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากเพราะมันก็ตาม ตามทฤษฎีแล้ว แม้ว่าจะมีพวกลูกกระจ๊อกที่อวดดีบางตัวที่ไม่รู้ถึงความน่ากลัวของมันออกมายั่วยุมัน แต่ลูกกระจ๊อกเหล่านั้นก็น่าจะกลายเป็นอาหารของมันไปในไม่กี่วินาที แต่ตอนนี้จระเข้เกราะคลั่งไม่ได้สงบลงเลยนับตั้งแต่ที่มันเริ่มคำราม ทุกครั้งที่ดูเหมือนเสียงจะเริ่มสงบลง มันก็จะเริ่มเดือดอีกครั้งและทำซ้ำวงจรนี้ไปเรื่อย ๆ เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของสัตว์ประหลาดเริ่มแหบลงทุกที แต่ความโกรธของมันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ลดลงเลย

และเดิมทีฝูงหนูที่เคลื่อนที่ไปรอบ ๆ ท่อระบายน้ำอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ที่มักจะส่งเสียงดังให้ได้ยินทุกวันเหมือนเครื่องจักร จู่ ๆ เสียงเหล่านั้นก็ได้หายไปทันทีแบบไม่มีเงื่อนงำใด ๆ เมื่อวานนี้ ไม่มีแม้แต่เสียงเดียวให้ได้ยิน ราวกับว่าหนูนับแสนได้หายไปในทันที…

แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อหัวใจที่ตายไปแล้วของเขา

สิ่งที่ทำให้เขาไม่สบายใจก็คือผู้ศรัทธาภายใต้คำสั่งของเขากำลังหายตัวไป

การหายตัวไปนี้ไม่ใช่การทรยศ

ในฐานะอาร์คบิชอปของลัทธิชั่วร้าย เขาเคยมีประสบการณ์การโดนผู้ศรัทธาภายใต้คำสั่งของเขาทรยศมาก่อน มันเลวร้ายจนถึงจุดที่ผู้ทรยศเปิดเผยที่ซ่อนของพวกเขา เขาจึงต้องพาผู้ติดตามที่เหลือร่อนเร่จนพวกเขาได้มาพบท่อระบายน้ำใต้ดินนี้

เขาได้ส่งลูกน้องที่ไว้ใจได้มากที่สุดเข้าไปแฝงตัวอยู่ในแต่ละกลุ่ม เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีกซ้ำสอง

อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ศรัทธากลุ่มใดหรือแม้แต่แมลงวันซากศพตัวใดที่เขาส่งไปตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงรอบ ๆ ท่อระบายน้ำใต้ดินในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กลับมายังที่ซ่อนลับ…

“ซัคคาร่า”

เขาเดินไปที่ห้องโถงของโบสถ์ และเรียกมือขวาของเขาซึ่งเป็นหนึ่งในบิชอปชุดดำสามคนของลัทธิกระดูกเน่า “บอกผู้ศรัทธาของเราในแลงคาสเตอร์ว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะสังหารทารก 100 คนที่เทพเจ้าของเราทรงเลือก จากนั้นให้พวกเขาส่งหัวใจและเลือดมาให้ข้า”

“แต่นายท่านผู้เป็นเลิศ หากเราทำเช่นนั้นเราอาจสูญเสียการสนับสนุนจากขุนนางในเงามืด…” ซัคคาร่าพูดอย่างลังเล

“ไม่เป็นไร พวกมันก็เป็นแค่หมูที่มีไขมันสะสมอยู่ในสมอง เมื่อถึงเวลา เจ้าก็แค่ต้องให้อาหารพวกมันให้มากพอ แล้วพวกมันก็จะหุบปาก” น้ำเสียงของอุลการ์ดดูไม่พอใจ “เทียบกับตอนนี้แล้ว สถานการณ์ในท่อระบายน้ำใต้ดินดูไม่ปกติ ข้าต้องเร่งทำตามแผนการของเราล่วงหน้า ข้าต้องทำพิธีเพื่อให้เทพเจ้าได้ครอบครองร่างกายของข้า เมื่อเทพเจ้าของเราปรากฏตัว แม้แต่นักบวชจากโบสถ์สีขาวอันสว่างไสวก็ไม่อาจหยุดยั้งพวกเราได้!”

“ตามแต่ท่านปรารถนา…” ซัคคาร่าโค้งคำนับและเตรียมจะไปส่งข้อความ

แต่ทันใดนั้นเอง ทางเข้าหลักของที่ซ่อนลับที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้ดูเหมือนพนังของทางระบายน้ำใต้ดิน ก็ได้ถูกทำลายลงจากภายนอก หลังจากการระเบิดของควันและฝุ่น ก็มีเงาร่างของเด็กหลายคนปรากฏขึ้น

“เชี่ยเอ้ย ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่ที่นี่จริง ๆ! จากข้างนอกมองไม่เห็นอะไรเลย!” เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหน้าร้องอุทาน ขณะที่เขาถือดาบที่เหมือนว่าจะเป็นผู้ร้ายในการถล่มพนังครั้งนี้ “เอ็ดเวิร์ด ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ารอบคอบและสังเกตเห็นพื้นที่ว่างแปลก ๆ ในแผนที่ เราก็คงไม่มีใครเจอที่นี่…”

“โจอย่าประมาท ที่นี่อาจมีบอสซ่อนอยู่!” ชายหนุ่มที่รู้จักกันในนามเอ็ดเวิร์ดพูดอย่างใจเย็น เขาถือไม้เท้าที่มีรูปร่างแปลกประหลาดอยู่ในมือ

“มีใครบางคนอยู่ที่นั่น…พร้อมแถบ HP! เชี่ยเอ้ย บนแถบ HP มีชื่อเขียนไว้ นั่นอาร์ชบิชอปกระดูกเน่าและบิชอปชุดดำ คนหนึ่งเลเวล 30 อีกคนเลเวล 25 …ข้าคิดว่าเราเจอห้องบอสเข้าแล้ว!” เด็กชายตัวผอมที่ถือคันธนูตะโกนขึ้นมา

“ตามที่ระบบบอก บอสพวกนี้มีรางวัลพิเศษ ถ้าเราสร้างความเสียหายได้ 1% ให้กับอาร์ชบิชอปกระดูกเน่าเราจะได้รับ 200 AP และ 100 AP สำหรับ 1% ที่เราสร้างความเสียหายให้กับบิชอปชุดดำ!” หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังพูดเสียงเบา

“เข้าใจแล้ว! ข้าจะไปเฉย ๆ โดยไม่ลงมือกับบอสสักครั้งได้ยังไงกัน ท่านเจสสิก้าช่วยรักษาข้าด้วย ข้าขอเปิดก่อนล่ะ!” ในปาร์ตี้ ชายวัยกลางคนที่อายุมากที่สุดและมีผมน้อยที่สุดพูดออกมาอย่างตื่นเต้น

“ทักษะดาบ•เฉือนคม!” เขาตะโกนและพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยจังหวะที่แปลกประหลาด ดาบยาวในมือของเขากระพริบพร้อมกับมีแสงสีขาวสว่างจ้า ขณะที่เขาฟันมันลงไปที่อุลการ์ด!

แต่ก่อนที่ดาบจะมีโอกาสได้สัมผัสอุลการ์ด บิชอปกระดูกเน่าก็ได้ยกนิ้วที่ดำและผอมแห้งของเขาขึ้นมา จากนั้นก็มีแสงสีดำยิงออกมาจากปลายนิ้วเจาะเข้าไปยังหัวใจของชายคนนั้นทันที

สีหน้าตกใจของชายคนนั้นค้างอยู่บนใบหน้า ก่อนที่ทั้งร่างของเขาจะกลายเป็นจุดแสงสีดำนับไม่ถ้วนและหายไป…

“ลุงงงง มาร์ นี่—!” โจที่เป็นวอร์ริเออร์มองมาร์นี่ตายด้วยความโศกเศร้า เสียงตะโกนของเขาดูตลกมาก

“ข้า ข้าไม่มีโอกาสได้ร่ายเวทย์รักษาเลยด้วยซ้ำ…” เด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงนั้นช็อกมาก เธอทำอะไรไม่ถูก

“เขาตายง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ…” เอ็ดเวิร์ดถอนหายใจขณะที่เขาลูบหน้าตัวเอง “โชคดีที่ข้าใช้ AP ส่วนใหญ่ไปแล้ว ทุกคนมาลองทดสอบบอสตัวนี้กันเถอะ!”

เมื่อเห็นกลุ่มเด็กเหล่านี้ต้องการจะสู้กับเขาอย่างไม่กลัวตาย อุลการ์ดก็ตบมือผอม ๆ ของเขาอย่างไม่สนใจ

จากนั้นผู้ศรัทธาของลัทธิกระดูกเน่าระดับสูงมากกว่าสิบคนก็โผล่ออกมา

“เวร! เขาเรียกลูกกระจ๊อกได้ นี่มันไม่ยุติธรรมเลย!” โกวต้านบ่น

ผู้ศรัทธาระดับสูงไม่ได้ไร้อารมณ์เช่นเดียวกับอาร์คบิชอป เนื่องจากความเสียหายในหัวใจของพวกเขาไม่ได้มากเท่าเขา ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของโกวต้าน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ใครเป็นลูกกระจ๊อก เด็กที่ดูเหมือนชาวนาใส่ใบไม้ (ไอเทม) กำลังเรียกพวกเขาว่าลูกกระจ๊อกงั้นเหรอ

แม้ว่าสถานการณ์จะไม่เอื้ออำนวยสำหรับผู้บุกรุก แต่อุลการ์ดก็ตกใจที่ไม่มีใครเลือกที่จะหนีเลย คนพวกนี้ต้องการสู้จนตัวตายจริงน่ะเหรอ แม้แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นที่ดูเหมือนจะอ่อนแอที่สุดก็ไม่ได้ร้องขอความเมตตาใด ๆ เมื่อโกวต้านที่ยืนข้าง ๆ เธอถูกคนจากลัทธิฆ่าในทันที…

เดิมทีอุลการ์ดคิดว่าคนที่ก่อความวุ่นวายในท่อระบายน้ำใต้ดินเมื่อเร็ว ๆ นี้คือคนพวกนี้ แต่จากความสามารถของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอ่อนแอเกินไป

เขาขมวดคิ้ว ดูเหมือนสิ่งต่าง ๆ ไม่ง่ายอย่างที่คิด

ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงที่แปลก ๆ จากด้านนอก

“เฮ้! กำแพงตรงนี้ดูแปลก ๆ…”

“นี่มันแผนที่ลับ!”

“แผนที่ลับ! ข้าจะลองเข้าไปดูว่ามีของดีอะไรในนี้!”

—————————————————————————————————————————————————

แลงแคสเตอร์ซิตี้เดิมเป็นหนึ่งในสี่เมืองที่เจริญที่สุดในเทียร์ร่า และยังเป็นเมืองเดียวของเทียร์ร่าที่ไม่ได้รับผลกระทบหลังจากที่เทียร์ร่าล่มสลายลง

มันเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริงในด้านการค้า ด้วยตลาดและสินค้าที่หลากหลาย แลงคาสเตอร์จึงมีระบบบำบัดน้ำเสียใต้ดินขนาดใหญ่ที่ดีที่สุดในจักรวรรดิวัลลา

ด้วยการหลั่งไหลเข้ามาของพ่อค้าและประชาชนจำนวนมาก ทำให้เจ้าเมืองของเมือง ๆ นี้ได้รับผลกำไรมหาศาลจากภาษีการค้า และนั่นทำให้เมืองได้รับการขยายตัวมากถึง 5 ครั้งในช่วงอายุ 200 ปีของมัน

แบบแปลนของท่อระบายน้ำใต้ดินที่เก่าแก่ที่สุดได้หายไปนานแล้วจากการขยายทั้งตัวมา 5 ครั้ง

ท่อระบายน้ำใต้ดินทั้งหมดของแลงคาสเตอร์กลายเป็นเขาวงกตที่ทอดยาวไปทั่วเมือง ดังนั้นท่อระบายน้ำใต้ดินจึงกลายเป็นที่พักพิงของสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด

ในท่อระบายน้ำใต้ดินที่มืดสนิท ได้มีแสงรูปวงรีสีน้ำเงินซีดปรากฏขึ้น แสงสว่างนี้ได้ทำให้หนูและแมลงสาบเน่าเปื่อยที่หาอาหารอยู่ในบริเวณนั้นหวาดกลัวจนหนีไป

“นี่คือสถานที่จัดกิจกรรม…บรรยากาศที่ลึกลับและน่าขนลุกนี้ยอดเยี่ยมมาก!”

“มันดูเหมือนเมืองใต้ดินที่ถูกกล่าวถึงในนิยายอัศวิน! เลือดข้าเดือดพล่านไปหมดแล้ว!”

“ได้กลิ่นอะไรเหม็น ๆ รึเปล่า หรือแค่ข้าที่รู้สึกเหม็น? เหมือนข้าได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวด้วย…”

“ข้าคิดว่านั่นเป็นเพราะคนข้าง ๆ เจ้ากำลังอ้วก…”

“มองหาอะไร? ไม่เคยเห็นเมจอ้วกเหรอ! อ้วกกกกก—!”

“…”

เมื่อเห็นผู้เล่นที่ส่งเสียงดังมารวมตัวกันรอบ ๆ ตัวเธอ ลีอาที่เคยมั่นใจเกี่ยวกับภารกิจในครั้งนี้ก็เริ่มรู้สึกว่าการทวงคืนฐานที่มั่นลับจากลัทธิกระดูกเน่า ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด

ทำไมน่ะเหรอ เหตุผลนั้นง่ายมาก พวกผู้เล่นไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คือท่อระบายน้ำใต้ดิน!

“ทุกคน ข้าแน่ใจว่าเจ้าได้เข้าใจรายละเอียดของภารกิจนี้แล้วใช่หรือไม่…” ลีอากระแอมในลำคอและตัดบทสนทนาระหว่างผู้เล่น

ผู้เล่นเงียบลงครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มมีเสียงดังขึ้นมาอีกรอบ

“เชี่ย ข้าไม่เคยอ่านรายละเอียดเลยเมื่อข้าทำเควส!”

“ไม่เป็นไร ให้ข้าบอกเจ้า โดยพื้นฐานแล้วเจ้าแค่ต้องต้องค้นหาศัตรูและทุบหัวพวกมัน…”

“เข้าใจง่ายดี!”

“อ้วกกกก—!”

“เจ้ายังอ้วกไม่เสร็จอีกเหรอ!”

ลีอารู้สึกปวดหัว เธอเปิดหน้าทักษะกิจกรรมของเธอและเปิดใช้งานทักษะที่เรียกว่า ‘คำบรรยายเสียง’ เพื่อเปิดโหมดคัดซีน และจำกัดการกระทำของผู้เล่นให้พวกเขาเงียบ

“นี่คือท่อระบายน้ำใต้ดินของแลงคาสเตอร์ และเป้าหมายของเราคือโบสถ์ของลัทธิกระดูกเน่าที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของท่อระบายน้ำแห่งนี้ โปรดค้นหาที่ซ่อนและทำลายลัทธิกระดูกเน่าโดยห้ามออกจากท่อระบายน้ำใต้ดิน!”

แม้ว่าสถานที่ที่โบสถ์ของลัทธิกระดูกเน่าเข้ายึดครอง จะเป็นที่ซ่อนเดิมของลีอา แต่เนื่องจากท่อระบายน้ำใต้ดินนั้นชวนสับสนและมึนงงมาก หากมีคนเข้ามาจากทางเข้าที่พวกเขาไม่คุ้นเคย พวกเขาอาจจะหลงทางในท่อระบายน้ำได้ นี่เป็นสาเหตุที่เจ้าเมืองแลงคาสเตอร์ไม่ทำอะไรกับมันเลยทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวแอบซ่อนอยู่ในท่อระบายน้ำใต้ดินของเมือง

มีชิ้นส่วนบางชิ้นถูกทิ้งไว้เกือบร้อยปีในท่อระบายน้ำใต้ดิน มันทำให้ที่นี่มีลักษณะภูมิประเทศที่ซับซ้อนกว่าเมืองด้านบน ไม่ว่าคริสตจักรใดที่ตัดสินใจเข้าไปที่นั่น ก็มักจะมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ดังนั้นหลังจากเวลาผ่านไปก็ไม่มีคริสตจักรใดต้องการส่งผู้ศรัทธาของตนเข้าไปยังท่อระบายน้ำใต้ดินอีก

ท้ายที่สุดถ้าพวกเขาตายตอนกวาดล้างพวกลัทธิชั่วร้าย พวกเขาก็ยังคงตายอย่างสมเกียรติ และอาจได้เข้าสู่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าหลังจากที่พวกเขาตาย แต่ถ้าพวกเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุสุ่ม ๆ เช่นไมแอชม่าหรือก๊าซพิษในท่อระบายน้ำใต้ดิน ก่อนที่จะได้เข้าร่วมการต่อสู้ พวกเขาจะถูกจดจำว่าตายด้วยสาเหตุใดล่ะ? ตายเพราะทำความสะอาดท่อระบายน้ำใต้ดินเหรอ? เทพเจ้าของพวกเขาน่าจะเป็นคนแรกที่ลงมาตบพวกเขาให้ตายอีกรอบด้วยความอับอาย…

สำหรับเจ้าเมือง เขาก็ต้องรักษากองกำลังของเขาเอาไว้ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ถูกครอบงำโดยคริสตจักรขนาดใหญ่ในเมือง ไม่มีเหตุผลที่เขาจะทำสิ่งที่เหมือนกับการตัดแขนตัวเองเช่นนี้แน่

ดังนั้นท่อระบายน้ำเสียใต้ดินที่แปลกประหลาดนี้จึงถูกเก็บรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน มันได้กลายเป็นโรคร้ายของแลงคาสเตอร์ที่รักษาไม่หาย

“ในช่วงแรกของการสำรวจ คุณจะได้รับ ‘แผนที่เปล่า’ มันจะคอยบันทึกสถานที่ที่คุณเคยเดินผ่านแบบอัตโนมัติ และแผนที่ก็จะถูกรวบรวมไปเก็บไว้ในแผนที่หลักของเทพเจ้าแห่งเกม พวกเจ้าจะได้รับ AP จากการสำรวจ และเจ้าก็ยังสามารถใช้ AP เพื่อซื้อแผนที่ฉบับใหม่จากข้าได้”

ลีอาแบ่งปันระบบแผนที่แบบหยาบ ๆ ที่ซีเว่ยรีบเร่งสร้างขึ้นมาให้กับผู้เล่น จากนั้นก็ปิดโหมดคัดซีน “ตอนนี้พวกเจ้าสามารถเริ่มการสำรวจของเจ้าได้!”

จบคำ ผู้เล่นที่ใจร้อนส่งเสียงเฮดังลั่น พวกเขาส่วนใหญ่รีบรวมกลุ่มกันเป็นปาร์ตี้และออกไปสำรวจท่อระบายน้ำใต้ดิน

มีผู้เล่นเพียงบางส่วนเท่านั้นที่คอยถามลีอาเกี่ยวกับทักษะบัฟหมู่ที่เธอพึ่งใช้

เมื่อเห็นผู้เล่นเกือบ 60% เริ่มออกสำรวจ ลีอาห์ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

เธอไม่เคยติดต่อกับผู้เล่นคนใดมาก่อน ดังนั้นระหว่างเธอกับผู้เล่นจึงเป็นเพียงคนแปลกหน้ากันเท่านั้น พวกเขาอาจพยักหน้าทักทายกันเพราะพวกเขาศรัทธาในเทพเจ้าองค์เดียวกัน แต่มันก็เท่านั้น

เมื่อเทียบกันแล้ว เธอจะวางใจในคนรู้จักที่ไว้วางใจได้มากกว่า

“แม้ว่าผู้เล่นส่วนมากดูเหมือนจะเชื่อถือไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็มีลุงมาร์นี่…”

ความสามารถของมาร์นี่ เธอได้เห็นมาแล้วในวิคกิดอร์ เขาสามารถนำผู้ลี้ภัยจำนวน 100 คนกลับมาถึงเมืองไร้ชื่อได้โดยไม่มีใครเป็นอันตราย นั่นทำให้เธอมั่นใจในตัวผู้ชายคนนี้

ถ้าเป็นเขา บางทีเขาอาจเป็นคนแรกที่ค้นพบโบสถ์ของลัทธิกระดูกเน่า!

[มาร์นี่•วิลฟ์เสียชีวิตขณะว่ายน้ำพื้นที่น้ำท่วมขัง ฟื้นคืนชีพในอีก 00:01 น.]

เจ้าหญิงลีอา “…”

“ว้าว มาร์นี่ตายอีกแล้ว!”

“ช่างโหดร้าย!”

“ไม่มีใครบ่นที่เขาตายเลยเหรอ”

“ทำไมต้องบ่น? การตายแบบนี้สร้างสรรค์มาก!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าขำหมอนี่ชะมัด ห่วยเกินไปแล้ว!”

ผู้เล่นทุกคนหัวเราะและพากันตลก

ทันใดนั้นจุดวาร์ปชั่วคราวก็เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ร่าเริง

แม้ว่าจำนวนผู้เล่นที่เสียชีวิตด้วยวิธีที่แปลกประหลาดและตลกนั้นจะมีไม่น้อย แต่ผู้เล่นจำนวนมากก็ยังคงสำรวจท่อระบายน้ำอย่างระมัดระวัง ท้ายที่สุด 2% ของ EXP ก็ยังคงเป็น EXP หากพวกเขาถูกตัดสิทธิ์จากเควสเพราะร่วงไปอยู่ที่เลเวล 4 พวกเขาคงได้ร้องไห้แน่…

ดังนั้นท่อระบายน้ำใต้ดินลึกลับของแลงคาสเตอร์จึงค่อย ๆ แสดงรูปร่างที่แท้จริงออกมาภายใต้แผนที่ที่ซีเว่ยสร้างขึ้น

—————————————————————————————————————————————————————————

แม้ประตูจะปิดอยู่แต่แองโกร่าก็ยังได้ยินเสียงของผู้เล่นข้างนอกที่วุ่นวายราวกับภูเขาไฟระเบิด

“แท็งค์เวล 4 หาปาร์ตี้สำรวจ 2% ในหุบเขาแห่งความตาย! ใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อหรือเป็นอาหารก็ได้ ข้าช่วยชีวิตพวกเจ้าได้!”

“ในที่สุด ข้าก็ได้เซ็ตเกราะกระดูกครบแล้ว! อะไร? เจ้าต้องการคืนเงิน ไม่ ต่อให้เจ้าฆ่าข้า ข้าก็ไม่คืน!”

“เจ้าหญิงอยู่ไหน! ดาบของข้ากำลังกระหายเลือด!”

“เจ้าพูดเหมือนว่าเจ้ากำลังจะไปสังหารเจ้าหญิงงั้นแหละ…”

“เราแลกเปลี่ยนคะแนนล้างแค้นกับคนอื่นได้ไหม ถ้าได้ข้าจะขายมันในราคาแต้มละหนึ่งเหรียญเกม!”

“เจ้าคือวิลฟ์ไม่ใช่เหรอ พวกเรามาคุกเข่าให้คนรวยเร็ว!”

ผู้เล่นที่สวมหน้ากากเป็นรุ่นพี่ที่แสนดีและอ่อนโยน ได้แสดงตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาออกมาทันที เมื่อพวกเขาได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ

ชาวเมืองมองผู้เล่นที่กำลังคลั่งด้วยสายตาอันอ่อนโยน และพากันสงสารผู้มาใหม่เมื่อผู้เล่นกลับไปทำตัวงี่เง่าอีกครั้ง ท่าทีที่อ่อนโยนและแสนดีของผู้เล่นทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดจริง ๆ แต่เมื่อพวกเขากลับมาโวยวายทำเสียงดังเช่นนี้ ชาวเมืองก็รู้สึกโล่งใจ แบบนี้สิถึงจะปกติ

ผู้เล่นใหม่ก็ได้รับแจ้งเตือนเกี่ยวกับกิจกรรมเช่นกัน แต่พวกเขาต้องใช้เวลาอีกสักพักก่อนที่จะไปถึงเลเวล 5 เมื่อพวกเขาเลเวล 5 กิจกรรมก็เกือบจะจบแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่มองรุ่นพี่ด้วยสายตาอิจฉา…

ในบ้าน แองโกร่าถอนหายใจทั้งที่พยายามกลั้นยิ้ม

หลังจากมีเสียงแจ้งเตือนจากระบบ เขาก็เข้าใจแล้วว่าลีอาไม่จำเป็นต้องมาขออนุญาตจากเขาเลย เธอมาพบเขาเพื่อต้องการไว้หน้าเขาในฐานะที่เขาเป็นขุนนางของเมืองนี้ และเขายังเป็นหนึ่งในผู้ศรัทธาที่ใกล้ชิดเทพเจ้าแห่งเกมมากที่สุด

“เมืองจะสนับสนุนท่าน เราจะจัดหาเสบียงและวัสดุอื่น ๆ ที่จำเป็นให้ท่าน แต่เมืองของเรายังคงต้องการผู้เล่นที่มีประสบการณ์ 2-3 คน เพราะยังมีงานที่ยังไม่แล้วเสร็จ” แองโกร่าเลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง

ท้ายที่สุดเรื่องของมนุษย์กบจะต้องมีคนดูแล เขาไม่สามารถมอบเควสนี้ให้กับผู้เล่นใหม่เลเวล 1 ได้ เขามีแค่วีลาเท่านั้นที่จะทำเรื่องนี้ให้เขาได้ แต่เขาก็ยังกังวลเรื่องความปลอดภัยของเธอ ดังนั้นเขาจึงต้องการผู้เล่นที่มีประสบการณ์มาช่วย

เขาคิดว่าเจ้าหญิงจะยอมรับเงื่อนไขของเขาเพราะเขาก็ไม่ได้ขอมากเกินไป แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งสนิท เขาเมื่อสังเกตดี ๆ เขาจึงเห็นว่าเจ้าหญิงไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลย

วีลาขมวดคิ้วและอยากจะส่งเสียงเตือนเจ้าหญิง แต่แองโกร่าก็หยุดเธอเอาไว้ก่อน

“อย่าพึ่งโกรธ เธอกำลังอ่านข้อความที่เทพเจ้าแห่งเกมส่งมา”

เมื่อแองโกร่าพูด วีลาก็สังเกตเห็นว่าสายตาของเจ้าหญิงไม่ได้กำลังมองพวกเขา เธอกำลังจ้องมองบางสิ่งที่อยู่กลางอากาศ

หลังจากที่เธอแตะเควส ลีอาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบเช่นกัน แต่ในฐานะที่เธอเป็น NPC ของกิจกรรมครั้งนี้ เธอจึงได้รับข้อความที่ต่างออกไปจากผู้เล่นคนอื่น ๆ

[เควสหลัก: รุ่งอรุณแห่งการล้างแค้น]

[รายละเอียดเควส: ในฐานะผู้สืบทอดคนสุดท้ายของราชวงศ์เทียร์ร่า ความทุ่มเทของเจ้าได้ทำให้เทพเจ้าแห่งเกมที่แข็งแกร่งและหล่อเหลาต้องตกตะลึง ดังนั้นผู้ศรัทธาของพระองค์จะให้ความช่วยเหลือเจ้าในการล้างแค้นภายใต้ประสงค์ของเทพเจ้า ในอีก 7 วันข้างหน้า พวกเขาจะช่วยให้เจ้าได้ครองฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์ งานของเจ้าคือการเป็นผู้ถือธงที่ไม่มีวันล้ม!]

[ข้อกำหนดเควส: ภายใน 7 วัน จงสร้างไลฟ์สโตนตรงกลางของฐานที่มั่นลับในแลงคาสเตอร์ และกวาดล้างลัทธิกระดูกเน่าอย่างน้อย 60%]

[ในช่วงเวลากิจกรรม ผู้เล่นที่ตายในกิจกรรมจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาข้าง ๆ เจ้า โทษประหารจะลดลงเหลือ 2% และคะแนนล้างแค้น (AP) ของพวกเขาถูกหักครึ่ง นอกจากนี้เจ้ายังสามารถรับ AP จากผู้เล่นเพื่อเปิดใช้งานทักษะกิจกรรมได้ หากเจ้าเสียชีวิตในระหว่างกิจกรรม กิจกรรมจะถือว่าล้มเหลว!]

[ทักษะกิจกรรม]

[อเวนเจอร์เคลื่อนพล (100 AP): ขนส่งผู้เล่นระหว่างเมืองไร้ชื่อและเมืองแลงคาสเตอร์ ฟรีเมื่อใช่งานครั้งแรก]

[อเวนเจอร์ปิ้งย่าง (500 AP): ฟื้นฟู HP และ MP ของผู้เล่นทั้งหมด]

[อเวนเจอร์โจมตีโลกิ (300 AP): บัฟโจมตีหมู่แบบสุ่ม ระยะเวลาหนึ่งชั่วโมง (ใช้ได้กับเควสกิจกรรมเท่านั้น)]

[อเวนเจอร์ถูกธานอสโจมตี (300 AP): บัฟป้องกันหมู่แบบสุ่ม ระยะเวลาหนึ่งชั่วโมง (ใช้ได้กับเควสกิจกรรมเท่านั้น)]

[ทักษะอื่น ๆ : (คลิกที่นี่)]

[คุณสามารถใช้ AP ที่รวบรวมมาจากผู้เล่นเพื่อพัฒนาฐานที่มั่นในแลงคาสเตอร์ได้]

[ไลฟ์สโตน: 5,000 AP]

[อาคารอื่น ๆ : (คลิกที่นี่)]

[หมายเหตุ :เราอาจไม่อาจปกป้องเทียร์ร่าได้ แต่อย่างน้อยเราก็ล้างแค้นได้ ลงชื่อ เทพเจ้าแห่งเกม]

เจ้าหญิงอ่านข้อความแจ้งเตือนของระบบอย่างระมัดระวัง (แม้แต่ส่วนที่ถูกซ่อนไว้เธอก็กดเข้าไปอ่านโดยละเอียด)

ตอนนี้เธอเพิ่งจะรู้ตัวว่าเธอกำลังสนทนากับขุนนางของเมืองไร้ชื่ออยู่ และสิ่งที่เธอทำนั้นก็ไม่สุภาพอย่างยิ่ง

“ข้าขอโทษ ข้าเสียสมาธิไปหน่อย” เธอขอโทษอย่างจริงใจ

ถึงแม้คำขอโทษจะไม่ช่วยแก้ปัญหา แต่เธอก็ยังตระหนักถึงความผิดพลาดของเธอ

“ไม่เป็นไร ข้าแน่ใจว่าทุกคนที่นี่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงทำเช่นนั้น” แองโกร่ายิ้มตามมารยาทด้วยออร่าของขุนนาง

วีลาที่อยู่ข้างหลังถูกแก้มของเธออย่างหงุดหงิด

“ขอบคุณที่เข้าใจ” ลีอาพยักหน้าขอบคุณ

“ถ้าท่านไม่ว่าอะไร ข้าขอทราบเนื้อหาจากระบบที่ท่านได้รับได้หรือไม่” แองโกร่าถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

ลีอาในฐานะที่เป็นอดีตเจ้าหญิง เธอมีสิทธิที่จะปฏิเสธ แต่เธอก็เป็นคนเริ่มทำตัวไม่สุภาพก่อน และแองโกร่าก็ให้อภัยเธอแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องดีที่เธอจะปฏิเสธเขา

นายทะเบียนที่ยืนอยู่ข้างหลังลีอาต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็หยุดตัวเองไว้ ฝ่าบาทไม่ใช่เด็กสาวที่ไม่รู้จักมารยาทอีกต่อไป หลังจากได้ผ่านชีวิตที่ผันผวนมานาน เขาเชื่อว่าเธอเป็นผู้ใหญ่พอและสามารถตัดสินปัญหาได้ด้วยตัวเอง

“แน่นอน” ลีอายิ้มแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “อันที่จริงถ้างานนี้เป็นไปได้ด้วยดี เราอาจจะได้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น”

“แค่ก ๆ ” วีลาไอเสียงดัง

———————————————————————————————————————————————————————-

สำหรับชาวเมืองทั่วไปที่มองไม่เห็นชื่อผู้เล่น พวกเขาเริ่มรู้สึกเสียขวัญเมื่อได้เห็นภาพมาร์นี่นำกองทัพขนาดใหญ่ที่มีคนมากกว่าร้อยคนเดินเข้ามาในเมือง

แม้ว่าพวกเขาจะรวมผู้เล่นที่อยู่ในเมืองจนหมดแล้ว จำนวนผู้คนทั้งเมืองก็อาจมีเพียงครึ่งหนึ่งของจำนวนคนที่มาร์นี่พาเข้ามา

แต่ถึงกระนั้นผู้เล่นและแองโกร่าก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรพิเศษนอกจากความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย เพราะพวกเขารู้อยู่แล้วว่ามาร์นี่มีเควสลับที่ต้องรับสมัครผู้ลี้ภัยและทำให้พวกเขากลายเป็นผู้ศรัทธาใหม่ของเทพเจ้าแห่งเกม อีกเหตุผลหนึ่งก็คือผู้เล่นใหม่เหล่านั้นมีนั้นมีเลเวลเพียงแค่ 1 เท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย บางคนถึงกับอยากจะหัวเราะมาร์นี่ที่ตาบวม

ตั้งแต่มาร์นี่ออกจากเมือง ผู้เล่นก็เริ่มปรับปรุงเมืองและสร้างอาคารใหม่บางส่วนเพื่อรองรับผู้เล่นใหม่

แม้ว่ามันจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ก็ไม่ยากเกินความเข้าใจ อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะเป็น ‘ผู้เล่น’ พวกเขาก็เป็น ‘ผู้ศรัทธา’ ของเทพเจ้าแห่งเกม

ผู้ศรัทธารุ่นบุกเบิกมักจะแผ้วถางเส้นทางให้กับผู้ศรัทธารุ่นหลังอยู่แล้ว

ก็เหมือนกับเวลาที่คนทั่วไปโชว์งานอดิเรกของตัวเองให้คนอื่นดูนั่นแหละ พวกเขาก็ต้องแสดงสิ่งที่ดีที่สุดให้เห็นอยู่แล้ว

นอกจากลัทธิชั่วร้ายบางลัทธิ นี่เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเองในทุกคริสตจักรโดยไม่ต้องมีใครมาคอยเตือนให้พวกเขาทำ

ดังนั้นเมื่อผู้ลี้ภัยเข้ามาในเมืองอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ พวกเขาก็ได้รับการต้อนรับด้วยอาหารร้อน ๆ ที่พักที่อบอุ่นและสะดวกสบาย และคำทักทายที่อบอุ่นจากผู้เล่นรุ่นพี่

“นี่ขนมปัง! ข้าให้เจ้า เจ้าช่วยข้าแบกอิฐได้ไหมล่ะ เสร็จแล้วเรามาแบ่งรางวัลกันครึ่ง ๆ!”

“นี่คือเกราะกระดูกราคา 50 ริออน สำหรับเหรียญเกมจ่าย 10 เหรียญ ไม่ต้องกลัวว่ามันเป็นของปลอม ถ้ามันปลอมข้าจะคืนเงินให้เจ้า 10 เท่า รออะไรล่ะ ซื้อเลย!”

“เยี่ยมมาก! เมื่อผู้เล่นใหม่มาถึง ข้าก็ไม่ต้องไปเป็นเหยื่อล่อสัตว์ประหลาดในหุบเขาแห่งความตายอีกแล้ว!”

“เจ้ายังอยากออกไปสำรวจอีกรึ เจ้าสมควรไปแบกอิฐ…”

ซีเว่ยที่อยู่ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ยิ้มขณะที่ร่างกายของเขาเด้งขึ้นเด้งลงอย่างพอใจกับผู้ศรัทธาของตัวเอง

แม้แต่วิธีตลก ๆ ที่พวกเขาทำ ก็ยังทำให้เขานึกถึงผู้เล่นที่เขาเคยเล่นเกมด้วยกันบนโลก…

แม้ว่าผู้มาใหม่จะตกใจเล็กน้อยกับท่าทีของผู้เล่นรุ่นเก๋า แต่พวกเขาก็เปิดใจหลังจากที่รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความปรารถนาดีจากผู้เล่นรุ่นพี่เหล่านั้น

ผู้เล่นและผู้ลี้ภัยบางคนที่มีร่างกายแข็งแรง ถึงกับตอบรับคำเชิญของผู้เล่นทหารผ่านศึกเพื่อไปลงดันเจี้ยน ‘สำรวจหุบเขาแห่งความตาย’ ด้วยกัน หลังจากที่พวกเขาลงหลักปักฐานเรียบร้อยแล้ว

ขณะเดียวกันลีอาก็ได้พบกับแองโกร่าด้วยความช่วยเหลือของมาร์นี่

เจ้าหญิงได้พบองครักษ์ของเธอที่ฟื้นขึ้นมาหลังจากที่พวกเขาตายเพื่อยื้อเวลาให้เธอหนี แต่เนื่องจากพวกเขาเพิ่งฟื้นขึ้นมา พวกเขาจึงไม่ค่อยรู้อะไรพอ ๆ กับลีอา

แม้ว่าเขาจะเชื่อในศรัทธาของผู้เล่นที่มีต่อเทพเจ้าแห่งเกม และรู้ดีว่าพวกเขาจะไม่เปิดเผยความลับใด ๆ ออกไป แต่แองโกร่าก็ยังคงตัดสินใจที่จะพูดคุยกับเธอเป็นการส่วนตัว หลังจากพิจารณาว่าผู้เล่นพวกนั้นงี่เง่าแค่ไหน

วีลาปิดประตูกั้นเสียงทะเลาะและการสนทนาที่อยู่ภายนอก ตอนนี้ผู้เล่นสองคนที่มีตัวตนพิเศษที่สุดได้เริ่มสนทนากันอย่างเป็นทางการแล้ว

“ขอโทษด้วย ข้าไม่ค่อยชอบวิธีการคุยของพวกขุนนางสักเท่าไหร่ ดังนั้นข้าจะพูดตรง ๆ ข้าต้องการความช่วยเหลือจากผู้เล่นที่มีประสบการณ์เพื่อแก้แค้น!”

ลีอาไม่อยากเสียเวลาไปกับพิธีตีตรอง เธอจึงบอกแองโกร่าทันทีว่าเธอคิดอะไรอยู่ “ข้าแน่ใจว่าผู้ศรัทธาใหม่ร้อยคนที่ข้านำมานั้น เพียงพอที่จะเติมเต็มช่องว่างของผู้เล่นที่มีประสบการณ์ได้ชั่วคราว”

ตราบเท่าที่มีมอนสเตอร์เพียงพอให้พวกเขาฆ่า ผู้เล่นก็จะสามารถเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น

เดิมทีแองโกร่าต้องการที่จะปฏิเสธ แต่เขาก็คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถามออกไปว่า “การแก้แค้นที่ท่านพูดถึงไม่ได้หมายถึงการสร้างเทียร์ร่าขึ้นมาใหม่ใช่ไหม เพราะในตอนนี้ศาสนจักรของเราไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะสู้กับอาณาจักรใหญ่ ๆ เหล่านั้น…ท่านได้รับเควสที่สามารถส่งต่อให้กับผู้เล่นมาแล้วใช่หรือไม่?”

เจ้าหญิงกระพริบตาด้วยความประหลาดใจ เธอไม่คิดว่าขุนนางจากเมืองเล็ก ๆ เช่นนี้จะหัวไวขนาดนี้ ท้ายที่สุดแล้วหากไม่มีเควสและรางวัลดี ๆ แม้แต่แองโกร่าก็ไม่สามารถสั่งให้ผู้เล่นทำอะไรได้

แต่ไม่มีอะไรที่ต้องปิดเป็นความลับ เธอเปิดหน้าต่างเควสของเธอและแตะที่เควส ‘รุ่งอรุณแห่งการล้างแค้น’ ที่เธอได้รับมา จากนั้นผู้เล่นทุกคนก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ

[ติ้ง! เริ่มกิจกรรมเซิร์ฟเวอร์]

[การกลับมาของเทียร์ร่า – รุ่งอรุณแห่งการล้างแค้น]

[เนื้อหากิจกรรม: พวกลัทธิชั่วร้ายได้บุกเข้ามาในฐานที่มั่นสุดท้ายของเทียร์ร่า อาณาจักรที่ได้รับพรจากเทพเจ้าแห่งเกมกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ในช่วงเวลาสุดท้ายนี้ เจ้าหญิงนักรบแห่งเทียร์ร่าที่ได้รับความช่วยเหลือจากเทพเจ้าแห่งเกมผู้ยิ่งใหญ่และชาญฉลาด ได้ส่งคำเชิญถึงเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยเธอแก้แค้นผู้ที่กล้ามารุกรานฐานที่มั่นสุดท้ายของเทียร์ร่า!]

[ระยะเวลากิจกรรม: 7 วัน]

[เงื่อนไขกิจกรรม: ผู้เล่นทุกคนที่มีเลเวลสูงกว่า 5]

[รายละเอียดกิจกรรม: ผู้เล่นจะต้องติดตามเจ้าหญิงนักรบ ลีอา•ยาการัน ไปยังแลงคาสเตอร์ และรับคะแนนผู้ล้างแค้น AP(Avenger Points) จากการสังหารสมาชิกของลัทธิกระดูกเน่า คะแนนเหล่านี้จะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นของรางวัลกิจกรรมได้]

[AP: (กดที่นี่เพื่อตรวจสอบคะแนน)]

[รางวัลกิจกรรม]

[ตราแห่งการเกิดใหม่ (1,000 AP): อุปกรณ์เสริม / วัสดุสิ้นเปลือง เมื่อผู้เล่นที่สวมใส่ไอเท็มนี้เสียชีวิต จะฟื้นขึ้นมาทันทีและมีพลังชีวิตสูงสุด มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับเป็นคาถาชุบชีวิต ใช้ 10% ของ EXP เพื่อฟื้นคืนชีพ หนึ่งตราสำหรับผู้เล่นหนึ่งคน]

[โล่อเวนเจอร์ (2000 AP): อุปกรณ์ป้องกัน / ไอเทมสำหรับขว้าง โล่กลมที่ทำจากโลหะผสมที่ไม่รู้จัก DEF +120 มีการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่ช่วยให้โล่บินกลับมายังตำแหน่งเดิมได้หลังจากที่ถูกขว้างออกไป ดังนั้นโปรดตั้งท่ารับมัน]

[ชุดเกราะเต็มตัวอเวนเจอร์ (5,000 AP): อุปกรณ์ป้องกัน ชุดเกราะสีแดงแซมทองที่ได้รับความนิยมอย่างมาก (มีให้เลือกหลากสี) DEF +300 ช่วยลดความเสียหายจากอาวุธมีคมและอาวุธทื่อ ค่าพลังยั่วยุศัตรู +120% รหัสเปิดใช้งานอุปกรณ์ ‘ไอแอมไอรอนแมน’ ไม่มีความสามารถในการบิน]

[ค้อนอเวนเจอร์ (4000 AP): อาวุธ / ไอเทมขว้าง ค้อนที่เปี่ยมไปด้วยพลังของสายฟ้า ATK + 80 การโจมตีแต่ละครั้งจะสร้างความเสียหายสายฟ้าเพิ่มเติม 40 คำเตือน : มันหนักมาก]

[เสื้อเกาะอกอเวนเจอร์ (2000 AP): อุปกรณ์ป้องกัน AGI +10% ATK +10% เมื่อผู้เล่นชายสวมใส่จะปลดล็อกสกิลติดตัวพิเศษ: ครอสเดรส]

[ธนูอเวนเจอร์ (1,000 AP): อาวุธที่ดูเหมือนธนูธรรมดาแต่ที่จริงแล้วมีเทคโนโลยีไฮเทค เมื่อติดตั้งจะลดความมีตัวตนของผู้ใช้ลง 20%]

[บ๊อกเซอร์อเวนเจอร์ (3000 AP): อุปกรณ์ป้องกันที่ไม่อาจทำลายได้ สามารถติดตั้งอุปกรณ์อื่น ๆ ทับได้ เพิ่มความเร็วในการร่ายทักษะของผู้สวมใส่ขึ้น 10%]

ในเมืองไร้ชื่อแองโกร่ารู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที

จากข้อมูลที่เอ็ดเวิร์ดนำมาและการได้เห็นพี่ชายของตัวเองถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่ชายคนที่สองนัก เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้ากับเหตุการณ์ในครั้งนี้

เมื่อนึกได้ว่าโจรที่เขาพบระหว่างทางมาที่เมืองไร้ชื่อก็เป็นคนของสมาคมลับแห่งดวงตา เขาจึงมองว่าคนพวกนั้นเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา

ตามที่พูดไป ศัตรูของศัตรูก็คือเพื่อน

เมื่อมาถึงจุดนี้ ดูเหมือนว่าการเป็นพันธมิตรกับชนเผ่ามนุษย์กบที่สร้างปัญหาให้กับแส้ดำจะคุ้มค่ากับความพยายาม หากจำเป็นเขายังสามารถให้ความช่วยเหลือและให้ทรัพยากรบางอย่างกับพวกมนุษย์กบได้ แองโกร่าไม่ได้คาดหวังอะไรตอบแทนจากสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเหล่านี้ มันคุ้มค่าแล้วตราบใดที่พวกมันสามารถดึงดูดความสนใจของสมาคมลับแห่งดวงตาเพื่อให้เมืองไร้ชื่อได้มีเวลาเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น

อย่างไรก็ตามในครั้งนี้ ไม่มีเควสใด ๆ จากระบบ เขาจึงต้องสร้างเควสขึ้นมาเอง

เขาควรใช้เหรียญเกมเป็นรางวัลในการออกเควสให้ผู้เล่นไปที่ท่าเรือเกรย์ฟยอร์ด และเจรจากับมนุษย์กบที่นั่นดีไหม

ตอนนี้ผู้เล่นไม่ได้ยากจนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว หลังจากทำภารกิจมามากมายและแบกอิฐทุกวัน พวกเขาก็มีเงินออมกันแล้วนิด ๆ หน่อย ๆ แม้ว่าเขาจะมีแบบแปลนของอาคารสำหรับ ‘ร้านค้า’ แต่เขาก็ยังไม่ได้เริ่มสร้างมันเลย ดังนั้นการใช้เหรียญเกมจึงมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก แม้ว่าเขาจะให้มันเป็นรางวัล แต่ผู้เล่นก็ไม่อาจไม่ต้องการมัน…

ตอนนี้แองโกร่าเข้าใจแล้วว่าการใช้ผู้เล่นไม่ง่ายอย่างที่คิด พวกเขาไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องฟังคำสั่งของเขา มันเหมือนกับความสัมพันธ์ทางการค้าที่มีประโยชน์ร่วมกันมากกว่า

“ถ้าข้ามีผู้ใต้บังคับบัญชาแทนที่จะเป็นผู้เล่นล่ะก็…” แองโกร่าถอนหายใจอย่างหงุดหงิด

แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ท้ายที่สุดตัวเขาเองก็เป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม ดังนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขามีก็ต้องศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมด้วย เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาของเขากลายเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง และได้รับระบบมา พวกเขาอาจติดเชื้อจากผู้เล่นบ้าบอเหล่านั้น ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นคนแบบไหนหลังจากนั้น…

เมื่อเขารู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เสียงแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา

[ติ้ง! บรรลุเงื่อนไขลับ ปลดล็อกคุณสมบัติใหม่ การรับสมัคร NPC]

[คุณสามารถรับสมัคร NPC จากผู้เล่นได้ผ่านทางการทำสัญญา]

[เมื่อผู้เล่นกลายเป็น NPC พวกเขาจะไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมของผู้เล่นบางอย่างได้ และระบบของพวกเขาจะถูกร่วมเข้ากับระบบ Overlord เป็นระบบย่อย ‘ผู้ติดตาม’ (ไม่มีผลกับคลาส) จนกว่าพวกเขาจะลาออก]

[ขีดจำกัดสูงสุดของจำนวน NPC ที่สามารถมีได้นั้น ขึ้นอยู่กับระดับลอร์ดของคุณ ตอนนี้คุณสามารถรับสมัคร NPC ได้ 2 คน]

“เชี่ย! ข้าทำได้!”

แองโกร่าอ่านทวนข้อความของระบบใหม่อีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจ

นี่ไม่ใช่ของขวัญจากเทพเจ้าแห่งเกมที่ทรงเห็นว่าเขาต้องทนทำงานทุกอย่างด้วยตัวเองหรอกหรือ ถ้าเป็นแบบนี้แม้ว่าเขาจะมีพลังไม่มาก แต่เขาก็สามารถรับสมัครผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทรงพลังได้!

‘ข้าจะเป็นของท่านตลอดไปท่านเทพเจ้าแห่งเกม!’

ด้วยความคิดนี้เขาจึงรีบไปหาผู้เล่นที่เขาสนิทที่สุด

“วีลา ข้ามีอะไรจะบอกเจ้า!”

“ท่านลอร์ด?” วีลาที่เลือกคลาสเรนเจอร์หลังจากกลายเป็นผู้เล่น มองแองโกร่าที่ร่าเริ่งอย่างสงสัย

หลังจากผ่านไปเพียงครึ่งเดือน เธอก็ค่อนข้างพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก่อนหน้านี้ชาวเมืองยังไม่อาจแม้แต่จะกินให้อิ่มท้อง และหวั่นกลัวว่าจะหนาวตายท่ามกลางฤดูหนาว

แต่เป็นลอร์ดคนนี้นี่เองที่นำศรัทธาที่มีมนต์ขลังของเทพเจ้าแห่งเกม มาทำให้พวกเขาได้เก็บเกี่ยวอาหารจนอิ่มท้อง และซ่อมแซมบ้านเรือน จากนั้นพวกเขาก็ได้ร่วมมือกันป้องกันการโจมตีจากกองทัพเรเวแนนท์ร่วมกับผู้เล่นจากระยะไกล แม้แต่ความเย็นยะเยือกของหิมะก็ไม่อาจหยุดความเร่าร้อนของผู้เล่นที่คอยเติมเต็มความมีชีวิตชีวาให้กับเมืองไร้ชื่อแห่งนี้ได้

เป็นเพราะเหตุนี้ ทำให้เธอหลงรักชายหนุ่มคนนี้ที่อายุน้อยกว่าเธอ 3 ปี

น่าเสียดายที่แองโกร่าเป็นคนโง่ หรือบางทีเขาอาจจะยังเด็กอยู่ เขาดูไม่ออกว่าเธอมีความรู้สึกต่อเขาในเชิงชู้สาว

ขณะที่หญิงสาวจ้องมองไปที่ขุนนางหนุ่มอย่างอ่อนโยน เธอก็คิดว่าบางทีมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่เขาไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องนี้ ตราบใดที่เธอสามารถช่วยเหลือเขาได้ เธอก็จะช่วย…

“วีลา เจ้าเต็มใจที่จะมอบอนาคตของเจ้าให้กับข้าหรือไม่” ชายหนุ่มสบตาวีลาและถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ

“ทะ ท่านลอร์ด…”

วีลาที่เคยมีภาพลักษณ์เป็นพี่สาวใหญ่ต่อหน้าผู้เล่นคนอื่น ๆ ตอนนี้กลายเป็นคนขี้อายและลุกลี้ลุกลนเหมือนดั่งสาวน้อย แก้มของเธอแดงระเรื่อทันทีที่เธอมองสบตาเขา ปากของเธออ้ำอึ้งไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี

“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังสงสัย แต่โปรดให้โอกาสข้า! ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี (จ่ายเงินอย่างงาม)! ข้ารู้ว่านี่เป็นเรื่องกะทันหันและข้าก็ไม่ได้หวังให้เจ้าเชื่อในตัวข้า เพราะข้ายังเด็กและยังไม่มีประสบการณ์…” ขุนนางหนุ่มเห็นว่าเธอหวั่นไหว ดังนั้นเขาจึงโน้มน้าวเธอต่อไป

“ไม่! ข้า ข้า…” หญิงสาวหยุดแองโกร่า จากนั้นราวกับว่าคำพูดนั้นใช้ความกล้าหาญของเธอไปจนหมดแล้ว เธอจึงพึมพำเสียงเบาว่า “ข้ายินดี…”

หลังจากพูดออกไปแล้ว ร่างกายของเธอก็อ่อนยวบราวกับว่าเธอได้ใช้พลังไปจนหมดเพื่อพูดคำนั้นออกมา

“จริงหรือ ขอบคุณ!”

แองโกร่าร้องออกมาอย่างมีความสุข ก่อนที่เขาจะดึงม้วนกระดาษออกมาและคลี่ออก เผยให้เห็นว่ามันเป็นสัญญาข้อกำหนดและเงื่อนไข รวมถึงหน้าที่และสิทธิ์ในการเป็น NPC จากนั้นเขาก็ดึงปากกาออกมาแล้วใส่ลงไปในมือของวีลา โดยชี้ไปที่ช่องว่างที่ด้านล่างของสัญญา “เซ็นชื่อของเจ้าตรงนี้!”

“???”

หญิงสาวตัวแข็งทื่อ เธอมองไปที่แองโกร่า จากนั้นมองไปที่สัญญาและมองไปที่เขาอีกครั้ง

“ท่านหมายถึงสิ่งนี้หรอกหรือ?”

แองโกร่าพยักหน้าอย่างไร้เดียงสา “ใช่ จะอะไรอีกล่ะ”

วีลา “…”

แองโกร่าสั่นสะท้าน เขารู้สึกว่ามีออร่าบางอย่างโผล่ออกมาจากหญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ ตัวเขา

เหมือนว่ามันจะเป็นจิตสังหาร?

เขาถามเธออย่างระมัดระวัง “มีอะไรหรือ…?”

วีลาส่ายหัว “ไม่ ไม่มีอะไร”

หญิงสาวอารมณ์เสีย เธอหยิบปากกาและเซ็นชื่อลงไปในสัญญา

ช่วงเวลาต่อมา แองโกร่าก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ

[วีลา•นิวแมน ได้กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณแล้ว]

หลังจากนั้นหน้าจออินเตอร์เฟซระบบของวีลาก็ปรากฏขึ้นมา และมีตัวอักษร R สีเงินอยู่ข้าง ๆ ชื่อของเธอ

ด้านล่างชื่อของเธอคือระดับค่าความภักดี มันเป็น 100 คะแนนเต็ม ซึ่งนั่นทำให้เขาพอใจมาก

ถัดจากนั้นก็เป็นค่าสเตตัส มันแตกต่างจากสเตตัส STR SPD และ INT ของผู้เล่นทั่วไป สเตตัสของ NPC มันถูกแทนที่ด้วยคุณสมบัติใหม่ 3 ประการคือ ยุทธศาสตร์การทหาร การปกครอง และการทูต

อย่างไรก็ตามสำหรับวีลาอาจเป็นเพราะเดิมทีเธอเป็นพรานสาวธรรมดาในเมืองเล็ก ๆ ยุทธศาสตร์การทหารและการปกครองจึงต่ำมาก แต่การทูตมีถึง 42 คะแนนซึ่งถือว่าไม่เลว

หลังจากนั้นเป็นช่องทักษะของ NPC ซึ่งปัจจุบันว่างเปล่า ตามการแจ้งเตือนของระบบ แองโกร่าจะต้องซื้อทักษะให้เธอซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกโกง…

ก่อนที่เขาจะได้คุยกับวีลาต่อ นายกเทศมนตรีวัยชราก็วิ่งมาหาเขาอย่างตื่นตระหนก

“ท่านลอร์ด ผู้เล่นที่ชื่อมาร์นี่ได้พาคนมาที่นี่เป็นร้อย ๆ คน ข้าคิดว่าพวกเขากำลังคิดจะโค่นล้มท่าน!”

แองโกร่า “ฮะ ???”

“เหตุผลที่พระองค์ไม่ตอบสนองพวกเจ้าเป็นเพราะศรัทธาของเรายังไม่เคร่งพอในเวลานั้น! อย่าบอกข้าว่าเจ้าอ้อนวอนขอความช่วยเหลืออย่างสุดหัวใจ เมื่อเจ้าตกอยู่ในอันตราย เจ้าแค่ร้องขอความช่วยเหลือ โดยไม่สนใจว่าความช่วยเหลือนั้นจะมาจากพระองค์หรือไม่! นั่นเป็นเพียงคำขอร้องไม่ใช่คำอธิษฐานและศรัทธา!” เธอพูดต่อ “ในวันนี้และที่นี่ ข้าขอร้องให้พวกเจ้าทุกคนพยายามเชื่อในพระองค์อีกครั้ง เชื่อในพรของพระองค์!”

ลีอารู้ว่าในหมู่คนเหล่านี้อาจมีคนที่ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมอย่างแท้จริง แต่ในตอนนั้นเทพเจ้าแห่งเกมยังไม่ฟื้นขึ้นมา ดังนั้นคำอธิษฐานใด ๆ ก็ไร้ผล

แต่ไม่เป็นไร เพราะความทรงจำของมนุษย์นั้นคลุมเครือและเปลี่ยนแปลงได้ง่ายตามความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น มันคือตัวกรองความรู้สึกที่มีผลต่อความทรงจำในอดีต

ความเลื่อมใสศรัทธาเป็นสิ่งที่ยากที่จะนิยาม มันเป็นอุดมคติ แม้แต่คนที่ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมในอดีต ก็ยังสงสัยว่าศรัทธาพวกเขาผิดพลาดหรือไม่หลังจากผ่านเหตุการณ์ในวันนี้…

ท้ายที่สุด ผู้รอดชีวิตจากเทียร์ร่าเหล่านี้ก็ต้องการความหวังและศรัทธามากกว่าสิ่งใด การให้พวกเขาเชื่อว่าเทพเจ้าแห่งเกมเป็นเทพในยุคดึกดำบรรพ์ ก็น่าจะทำให้พวกเขามีความมั่นใจมากกว่าการบอกพวกเขาว่า เทพเจ้าแห่งเกมเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาใหม่

เทคนิคพิเศษของซีเว่ยไม่ได้เพิ่มเข้ามาโดยเปล่าประโยชน์ เมื่อได้เห็นฉากเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นและคำพูดที่หนักแน่นของเจ้าหญิง เหล่าผู้ลี้ภัยจึงพยายามสวดอ้อนวอนและขอการให้อภัยจากเทพเจ้าแห่งเกม โดยหวังว่าพวกเขาจะศรัทธาในพระองค์ได้อีกครั้ง

พลังงานเทพเจ้าท่วมท้นขึ้นมาในทันที มันมากกว่าพลังที่ซีเว่ยใช้ไปในการสร้างเทคนิคพิเศษ สิ่งนี้ทำให้ซีเว่ยมีความมั่นใจมากขึ้นที่จะลุกขึ้นสู้กับลัทธิกระดูกเน่า

ภายใต้สายตาที่ประหลาดใจของมาร์นี่และลีอา ชื่อสีขาวมากมายผุดขึ้นมาบนหัวของผู้ลี้ภัย เหมือนกับหน่อไม้ที่แตกหน่อหลังฝนตก

จำนวนผู้ศรัทธาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ซีเว่ยตื่นเต้น เขารู้สึกว่าความคิดของเขาลื่นไหลและชัดเจนกว่าเมื่อก่อน แม้แต่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นจากการหลั่งไหลเข้ามาของพลังศรัทธา

บางคนอาจคิดว่าถ้าผู้ศรัทธาเพียงร้อยคนยังเพิ่มพลังให้ซีเว่ยได้มากขนาดนี้ หากลีอาไปที่เมืองใหญ่และโปรโมทศาสนจักรของเขาด้วยเทคนิคพิเศษ เพื่อให้ผู้คนจากโลกนี้ที่ไม่เคยดูหนังฮอลลีวูดมาก่อนเลื่อมใสศรัทธา จะไม่เป็นการเพิ่มพลังงานเทพเจ้าให้เขาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเหรอ

คำตอบคือ ‘ไม่’

อย่างแรกเลยพลเมืองส่วนใหญ่จากเมืองใหญ่เป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริงของคริสตจักรประจำเมืองอยู่แล้ว พวกเขาจะไม่เชื่อซีเว่ยเหมือนผู้ลี้ภัยที่ไม่มีศรัทธาในเทพเจ้าเหล่านี้ อันที่จริงผู้ลี้ภัยเหล่านี้กลายเป็นผู้เล่นอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะพวกเขาเคยเป็นผู้ศรัทธาของเทพเจ้าแห่งเกมมาก่อน…

อย่างที่สอง เมืองส่วนใหญ่ถูกยึดครองโดยคริสตจักรขนาดใหญ่หลายแห่ง ดังนั้นพลเมืองจึงได้เห็นปาฏิหาริย์มามากมาย ฝันไปเถอะที่พวกเขาจะยอมเข้าร่วมกับศาสนจักรของเขาเพียงแค่พวกเขาได้เห็นเทคนิคพิเศษธรรมดา ๆ แบบนี้

อย่างที่สาม ที่สำคัญที่สุดคือซีเว่ยยังคงอ่อนแอเกินไปในเวลานี้ ถ้าเขาทำอะไรแบบนั้นเพื่อดึงดูดความสนใจของเทพที่แข็งแกร่งและมีประสบการณ์ เขาอาจจะถูกระเบิดทิ้งได้ทันที…

มาร์นี่ที่เลเวลเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ เคยคิดว่าบางทีพวกเขาอาจจะเร่งความเร็วขึ้นได้หลังจากที่ผู้ลี้ภัยหลายคนกลายเป็นผู้เล่น แต่หลังจากเดินทางต่อ เขาก็รู้แล้วว่าเขาคิดผิด

แม้ว่าผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่จะเปลี่ยนมาเป็นผู้ศรัทธาได้สำเร็จ และได้รับพรจากเทพเจ้าแห่งเกม แต่ผู้เล่นเลเวล 1 นั้นค่อนข้างธรรมดา นอกเหนือจากความต้านทานต่อความเจ็บป่วยและสถานะผิดปกติที่มากขึ้น เช่นอาการบวมเป็นน้ำเหลือง การเปลี่ยนแปลงในด้านอื่น ๆ ก็ยังค่อนข้างจำกัด

มันใกล้จะมืดแล้ว แต่ความคืบหน้าของพวกเขายังไปได้ไม่ถึงไหน

ถ้าพวกเขาพยายามมากพอ บางทีพวกเขาอาจไปถึงเมืองเริ่มต้นได้ใน 3 วัน…แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องอาหาร

“ทำเลื่อน!” ซีเว่ยที่แอบดูจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์กระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด (แม้ว่าเขาจะไม่มีขาก็ตาม) “พวกนายทำเลื่อนได้ด้วยไม้เพียงไม่กี่ชิ้น!”

หากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป ผู้เล่นและผู้ลี้ภัยอาจต้องอดอาหารหรือถูกแช่แข็งตาย

เพราะผู้ลี้ภัยที่เพิ่งถูกเปลี่ยนเป็นผู้เล่นมีเลเวลเพียง 1 และพวกเขาก็ไม่มี EXP ถ้าพวกเขาตาย พวกเขาจะตายจริง ๆ!

ขณะที่ซีเว่ยกำลังจะมอบเควสให้กับมาร์นี่ เขาก็พบว่าอดีตพ่อค้าหลับไปแล้ว…

“ฉันควรให้ภารกิจกับลีอาดีไหม ไม่ เด็กคนนั้นโง่เกินไป เธออาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเลื่อนคืออะไร…ดูเหมือนฉันจะเหลือเพียงทางเดียว”

ซีเว่ยเพ่งความสนใจไปที่มาร์นี่ที่เขากำลังนอนกรนอยู่

คืนที่เงียบสงบ…

วันที่สองของการเดินทาง

“ลุง เครื่องมือที่เจ้าประดิษฐ์ขึ้นนี่มีประโยชน์มาก! แม้ว่าจะเป็นการประกอบไม้เพียงไม่กี่ชิ้น แต่ก็ทำให้การเดินทางของเราง่ายขึ้นมาก!”

ลีอาลองเลื่อนที่มาร์นี่พึ่งทำเสร็จเมื่อเช้า “ลุงคิดได้ยังไง”

“ข้าไม่ได้เป็นคนคิดค้นมันขึ้นมา นี่เป็นเครื่องมือจากดินแดนทางใต้ที่ข้าเคยเห็นขณะที่ข้าเดินทางไปทำธุรกิจที่นั้น”

มาร์นี่หาวขณะตอบ รอยคล้ำใต้ตาของเขาชัดเจนมาก “เมื่อคืนข้าฝันถึงมันและพยายามทำเลียนแบบดู…”

แน่นอนว่าเขาไม่สามารถบอกเด็กสาวได้ว่า เลื่อนนั้นเป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาในความคิดเขา หลังจากเขาฝันถึงลูกบอลเรืองแสงที่เอาหนวดฟาดเขาและตะโกนว่า “เลื่อน เลื่อน ทำเลื่อน เจ้างี่เง่านี่!”

เดิมทีเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย แล้วเขาก็กลับไปหลับต่อ แต่ผลก็คือทันทีที่เขาหลับ เขาก็เห็นลูกบอลแสงในฝันอีกครั้งและถูกมันฟาดอีกครั้ง “เจ้ากล้าหลับทั้งที่ยังทำเลื่อนไม่เสร็จเหรอ?”

มาร์นี่ตื่นเต็มตาทันที

เขาไม่นอนอีกต่อไป และลุกขึ้นมาทำเลื่อนคนเดียวทั้งคืน

หลังจากลองใช้เลื่อนที่เขาทำแล้ว แม้แต่เลื่อนที่ทำขึ้นมาอย่างหยาบ ๆ ก็มีประสิทธิภาพมากบนหิมะ

เลื่อนทำให้การเดินทางของพวกเขาง่ายขึ้นมาก

มาร์นี่นำอาหารที่เหลือออกมาแจกให้กับผู้ลี้ภัย ก่อนที่เขาจะทิ้งรถม้าที่ไม่คล่องตัวไว้ในหิมะและเปลี่ยนมาใช้เลื่อน

จังหวะการเดินทางในตอนนี้ พวกเขาอาจจะไปถึงเมืองไร้ชื่อได้ในตอนเย็น

ซีเว่ยที่อยู่ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

แม้ว่าการเข้าฝันจะต้องใช้พลังงานเทพเจ้ามากกว่าการออกเควส แต่เมื่อเขาคิดว่าจะต้องให้รางวัลแก่ผู้เล่นที่ทำภารกิจได้สำเร็จ เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายกันแล้ว การเข้าฝันนั้นจ่ายน้อยกว่า และที่สำคัญเขายังสามารถเอาชนะผู้ศรัทธาเพื่อคลายเครียดได้…

ด้วยความช่วยเหลือของนายทะเบียน การสรรหาผู้ลี้ภัยจึงเป็นไปอย่างราบรื่น

หลังจากนั้นมาร์นี่และคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้อยู่ต่อ พวกเขารีบออกจากค่ายผู้ลี้ภัยทันทีภายใต้หิมะที่ตกหนัก

ต้องบอกว่าชื่อเสียงของนายทะเบียนดีมากในหมู่ผู้ลี้ภัย มันมากจนถึงจุดที่แทบไม่มีใครต่อต้านเรื่องการเดินทางท่ามกลางหิมะที่ดูเหมือนจะเป็นการฆ่าตัวตาย

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเมืองวิคกิดอร์เห็นสิ่งนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ออกมาหยุดขบวน สำหรับเมืองแล้ว การที่พวกเขาสูญเสียผู้ลี้ภัยไป 100 คนในคราวเดียว นั่นอาจนับว่าเป็นความโล่งใจครั้งใหญ่…

เกือบครึ่งวัน กลุ่มผู้ลี้ภัยเดินทางไปได้เพียง 3 กิโลเมตร

หิมะที่กองทับถมกันอยู่นั้นแตกต่างจากพื้นทราย เมื่อก้าวเดินบนหิมะ ขาของพวกเขาจะจมลงไปถึงครึ่งน่องทันที หิมะเพียงเล็กน้อยจะละลายเนื่องจากอุณหภูมิร่างกายของคนเรา เมื่อละลายหิมะจะกลายเป็นน้ำแข็งและมันยากที่จะดึงขาออกและก้าวเดินต่อไป

ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่เริ่มเหนื่อยแล้ว หลังจากออกแรงเดินท่ามกลางหิมะมาเป็นเวลานาน ความร้อนในร่างกายของพวกเขาก็หมดไป มันหนาวขึ้น และเหมือนกับว่าแม้แต่ความคิดของพวกเขาก็ถูกแช่แข็ง

แม้ว่าพวกเขาจะได้กินแผ่นข้าวสาลีย่างของมาร์นี่เพื่อบรรเทาความหิวโหย แต่ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ก็ยังหนาวและเหนื่อยล้า พวกเขาไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าการล้มตัวลงนอน แต่ถ้าพวกเขาทำแบบนั้นจริง ๆ พวกเขาก็คงไม่มีโอกาศที่จะได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างแน่นอน

มาร์นี่และลีอาได้รับพรจากระบบ ดังนั้นพวกเขาจึงดูสบาย ๆ กับสภาพอากาศเช่นนี้ แต่เนื่องจากพวกเขาเป็นชนพื้นเมืองของโลกใบนี้ พวกเขาจึงไม่มีความคิดที่จะสร้างเครื่องมืออย่างรถเลื่อนเพื่อให้การเดินทางในหิมะง่ายขึ้น เมื่อมองไปยังสภาพที่เลวร้ายของผู้ลี้ภัยที่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะตายได้ทุกเมื่อหากยังต้องเดินทางต่อ พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะช่วยคนพวกนี้ยังไงดี

สภาพในตอนนี้ คือผลที่เกิดขึ้นจากการที่นายทะเบียนเลือกคลาสเครลิค และคอยร่ายเวทย์รักษาให้กับเหล่าผู้ลี้ภัยเหล่านี้มาตลอดทาง

ชายชราเคยเรียนวิชาดาบสมัยเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก แต่เนื่องจากเขาอายุมากและอ่อนแอ ตอนนี้สเตตัสทางกายภาพของเขาจึงไม่สามารถเทียบเคียงได้กับคนที่อายุน้อยกว่า ดังนั้นแน่นอนว่าเขาไม่สามารถเลือกคลาสวอร์ริเออร์ที่เน้นในด้านร่างกายและคลาสเรนเจอร์ได้ คลาสเมจดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดี แต่หลังจากคิดอยู่นาน นายทะเบียนก็ยังคงเลือกที่จะเป็นเครลิค ซึ่งเป็นคลาสที่อุทิศตนมากที่สุด เพื่อชดเชยความศรัทธาที่เขาเคยละทิ้งไป มันดีที่เขาเลือกเช่นนั้น เนื่องจากอาจมีผู้ลี้ภัยบางคนที่ต้องประสบกับชะตากรรมอันเลวร้ายระหว่างการเดินทาง

หากยังคงเป็นเช่นนี้ การเดินทางที่ปกติจะใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน อาจไม่สามารถเสร็จสิ้นได้ใน 3 วัน

“คุณลุง แผ่นข้าวสาลีย่างเพียงพอหรือไม่” ลีอาถามอย่างเป็นห่วง

“ถ้าเรากินอย่างประหยัด มันอาจอยู่ได้ 2 วัน…”

มาร์นี่ก็นิ่งไปเช่นกัน มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่พาครอบครัวมาด้วย และพวกเขาต้องเร่งรีบเดินทางในสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ พลังงานของพวกเขาจึงถูกใช้หมดอย่างรวดเร็ว หากอาหารไม่เพียงพอ ผู้ลี้ภัยจะไม่สามารถเดินต่อไปได้

“ในกรณีนี้เราคงต้องทำตามแผนก่อนเวลา เผยแพร่คำสอนให้กับผู้ลี้ภัยที่นี่” เจ้าหญิงน้อยมีสีหน้าเคร่งขรึม “การเป็นผู้ศรัทธาเท่านั้นที่จะทำให้การเดินทางง่ายขึ้น!”

“จะไม่เป็นไรแน่นะฝ่าบาท เราอยู่ใกล้วิคกิดอร์มากเกินไป คริสตจักรอื่น ๆ อาจสังเกตเห็นเรา…?” นายทะเบียนถามด้วยความกังวล

“ถ้าเรากลัวอยู่ตลอดเวลา ต่อไปเราจะทำอะไรได้!” ลีอามองไปที่มาร์นี่ “ลุงคิดเหมือนข้าใช่ไหม”

“ท่านบอกว่าข้าดูไม่เหมือนมิชชันนารี ข้าคิดว่าท่านควรทำ เจ้าหญิง…” มาร์นี่ส่ายหัว

เจ้าหญิงน้อยไม่ปฏิเสธ เธอกระโดดขึ้นไปยืนบนรถม้าก่อนที่จะหายใจเข้าลึก ๆ

“ทุกคนฟังข้า!”

เจ้าหญิงน้อยยืนอยู่ท่ามกลางหิมะฤดูหนาวอันโหดร้าย สีหน้าของเธอแน่วแน่และไม่ท้อถอย เมื่อสายลมพัดมากระทบเส้นผมสีทองและเสื้อผ้าบาง ๆ ของเธอ เสียงที่ชัดเจนและก้องกังวานของเธอก็ได้ดึงดูดสายตาของเหล่าผู้ลี้ภัยที่อ่อนล้า

“เจ้าอาจจำข้าไม่ได้ ดังนั้นให้ข้าแนะนำตัว! ข้าคือลีอา•ยาการัน เจ้าหญิงแห่งเทียร์ร่า!”

คำพูดของเด็กสาวนั้นน่าประหลาดใจ จนทำให้เหล่าผู้ลี้ภัยเริ่มซุบซิบกัน

“เจ้าหญิง จะเป็นไปได้ยังไง!”

“ราชวงศ์ถูกทำลายไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

“นายทะเบียนไม่ได้บอกเหรอว่าเรากำลังจะไปเป็นกรรมกร ทำไมถึงมีเจ้าหญิงที่นี่”

ความสับสนและความตกตะลึงทำให้เหล่าผู้ลี้ภัยต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและความตื่นตระหนก

“เงียบ! ข้าขอสาบานในนามของข้า นายทะเบียนแห่งเทียร์ร่า แวนเค่อ•นอร์เรจี้ ว่านี่คือเจ้าหญิงแห่งเทียร์ร่าตัวจริง!” นายทะเบียนเดินออกมาทันทีและหยุดการซุบซิบของพวกเขา “คำอธิบายของฝ่าบาทยังไม่เสร็จสิ้น ดังนั้นข้าขอร้องให้พวกเจ้าใจเย็น ๆ ก่อน!”

ลีอาพยักหน้าขอบคุณนายทะเบียน นายทะเบียนก็พยักหน้ากลับด้วยรอยยิ้มให้กำลังใจ

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนเป็นพลเมืองของเทียร์ร่า อาณาจักรที่ล่มสลายของเรา! ผู้รุกรานที่ชั่วร้ายเหล่านั้นได้นำไฟแห่งสงครามและความขัดแย้งเข้ามาในอาณาจักรของเรา ทำให้อาณาจักรเราต้องล่มสลาย ขโมยชีวิตที่สุขสงบของเราไป พวกเขาเอาทุกอย่างไปจากเรา!”

“เราก็ไม่ต่างกัน! จมปลักอยู่กับอดีตและไม่สามารถเผชิญกับความจริงอันโหดร้าย เราหมดหวังและไม่แน่ใจเกี่ยวกับอนาคต ท้อถอยและหยุดดิ้นรน โดยคิดว่ามันจะไม่เป็นไรตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ต่อไป…”

ผู้ลี้ภัยฟังคำพูดของเจ้าหญิงขณะที่พวกเขาก้มหัวลงด้วยความเศร้าโศก คำพูดของเธอกระทบเข้าที่ใจพวกเขา

แต่ทันใดนั้น น้ำเสียงของเธอก็เปลี่ยนไป เสียงของเธอสดใสขึ้น และดวงตาของเธอก็เริ่มเปล่งประกายแห่งความหวัง

“จนกระทั่งเทพเจ้าที่เราศรัทธาตอบสนองต่อคำอธิษฐานของข้า”

ผู้ลี้ภัยทั้งหมดรู้สึกสับสนกับคำพูดของเธอ

เทพเจ้าที่พวกเขาเคยศรัทธา นั่นไม่ใช่เทพเจ้าแห่งเกมที่คริสตจักรอื่นบอกว่าพระองค์ไม่มีอยู่จริงหรือ?

เทพเจ้าที่ไม่มีอยู่จริง จะตอบสนองต่อคำอธิษฐานของท่านได้อย่างไร

“พวกเขากล่าวว่าไม่มีบันทึกเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของเทพเจ้าแห่งเกม บัญชาสวรรค์ของพระองค์นั้นคลุมเครือเกินไปและใกล้เคียงกับเทพเจ้าอื่น ๆ พระองค์ไม่ได้ช่วยเหลือเราแม้ในขณะที่เทียร์ร่าใกล้จะถึงคราวล่มสลาย…หลายคนคงสงสัยเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าแห่งเกม จนถึงจุดที่เจ้าได้ละทิ้งศรัทธาไปใช่หรือไม่” เธอไม่ได้ต้องการคำตอบของพวกเขา เธอกล่าวต่อว่า “เพราะพระองค์ไม่ได้ช่วยเจ้าในขณะที่เจ้าตกอยู่ในวันคืนอันมืดมนที่สุดในชีวิตเจ้า เพราะพระองค์ไม่ทรงตอบรับคำอธิษฐานของเจ้า…”

ผู้ลี้ภัยหลายคนแสดงสีหน้าอึดอัดเมื่อถูกชี้

เป็นความจริงที่คนส่วนใหญ่ได้ละทิ้งศรัทธาของพวกเขาหลังจากที่เทียร์ร่าล่มสลาย

ไม่ใช่พวกเขาไม่กลัวบาป แต่มันเป็นเพียงทางเลือกเดียวเพื่อให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อไป

“แต่ตอนนี้ข้าสามารถตอบเจ้าได้อย่างมั่นใจ…”

น้ำเสียงที่หนักแน่นของลีอาดังขึ้นในหูของผู้ลี้ภัยแต่ละคน

ซีเว่ยเห็นฉากทั้งหมดนี้ ตัวเขา (ที่เป็นลูกบอลแสง) ก็สว่างขึ้น

“น่าสนใจ! แบบนี้ฉันจะไม่ช่วยเพิ่มเทคนิคพิเศษให้ได้ยังไง…”

“เทพเจ้าแห่งเกมมีอยู่จริง!”

ขณะที่ลีอาประกาศออกไป แสงสีทองราวกับแสงแห่งรุ่งอรุณก็ได้ส่องทะลุผ่านเมฆหนาทึบและหิมะที่ตกหนัก ส่องลงมาบนร่างของเด็กสาว ราวกับแสงสปอตไลท์บนเวที ไม่ว่าจะเป็นลมหนาวที่โหมกระหน่ำ หรือหิมะที่ตกหนัก ก็ไม่สามารถทะลุผ่านบริเวณที่มีแสงสีทองปกคลุมอยู่ได้

เส้นผมสีทองของเธอเป็นประกายดั่งแสงของดวงอาทิตย์ หิมะรอบตัวเธอละลายทันที มีดอกตูมงอกผ่านพื้นดินที่ว่างเปล่าและรกร้างรอบ ๆ รถม้าจนกลายเป็นสวนดอกไม้ขนาดย่อม ดั่งฤดูใบไม้ผลิได้เข้ามาแทนที่ฤดูหนาวในพริบตา

ในขณะนี้ ภาพของเจ้าหญิงที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ ดูศักดิ์สิทธิ์และน่าเคารพนับถือ ได้ถูกสลักลงในหัวใจของทุกคนในที่นี้

ในความทรงจำของลีอานายทะเบียนเป็นชายสูงอายุรูปร่างอวบอ้วนและผิวขาว ซึ่งห่างไกลจากชายชราที่ผอมแห้งและผิวคล้ำตรงหน้าเธอ หากไม่ใช่ความจริงที่ว่าท่าทางการแสดงออกของเขาดูคุ้นเคย เธอก็คงจะจำเขาไม่ได้

“ท่านจำข้าได้หรือฝ่าบาท? นี่ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง…”

ชายชราตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น เขาต้องการก้าวออกมาเพื่อทำความเคารพเธอ แต่สภาพอันน่าสมเพชในปัจจุบันของเขาก็ทำให้เขาหยุดชะงักลง

เมื่อเห็นแบบนั้นลีอาก็ก้าวออกไปจับมือของเขา “คุณปู่นายทะเบียน หลายปีมานี้คงเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับท่านมาก…”

เมื่อเห็นแบบนี้มาร์นี่จึงพูดขึ้นมาว่า “นี่ไม่ใช่ที่ที่ดีที่เราจะพูดคุยกัน ไปคุยต่อในกระโจมกันเถอะ”

เขายิ้มและมองไปรอบ ๆ สายตาที่แหลมคมของเขาสังเกตุเห็นผู้ลี้ภัยคนอื่น ๆ จ้องรถม้าเขาตาเป็นมัน

ด้วยเหตุนี้มาร์นี่จึงชักดาบออกมาอย่างใจเย็น เขาเหวี่ยงดาบลงพื้นและเปิดใช้งานทักษะของวอริเออร์ ‘ดาบผ่าปฐพี’ อย่างลับ ๆ

ภายใต้ผลของทักษะนี้ ร่องลึกก็ปรากฏขึ้นเป็นวงกลมล้อมรอบรถม้าทันที

จากนั้นเขาก็ฟาดดาบลงกับพื้นอีกครั้งและเปิดใช้งานทักษะ ‘Focused slam’ เพื่อระเบิดหลุม!

เมื่อพอใจกับผลงานแล้วเขาก็เก็บดาบกลับเข้าไปในฝัก

คำพูดไม่มีค่าเท่ากับการแสดงพลัง ผู้ลี้ภัยหน้าตาซูบเซียวต่างพากันหวาดกลัวและถอยกลับเข้าไปในเงามืด พวกเขาไม่กล้าที่จะมองไปทางรถม้าอีกต่อไป

เมื่อเห็นว่าการแสดงพลังของเขาได้ผล มาร์นี่จึงเดินตามลีอาเข้าไปในกระโจม

“คุณปู่นายทะเบียน เกิดอะไรขึ้นในโรวีเนีย” ลีอาถามด้วยความกังวล

“ชายชราคนนี้รู้สึกอับอายอย่างยิ่ง ตามพระประสงค์สุดท้ายขององค์ราชา ข้ายังคงแอบเผยแพร่เรื่องราวอารยธรรมของเทียร์ร่าหลังจากที่อาณาจักรของเราถูกรุกราน แต่ตอนนี้แม้แต่เมืองหลวงของเรารัฐโรวีเนียก็ยังถูกทำลายโดยพวกสารเลวเหล่านั้น วิหารแห่งความรุ่งโรจน์ พวกมันได้ปล่อยสายฟ้าแห่งการตัดสินเข้าทำลายบ้านเรือนทุกหลังที่เราสร้าง ในขณะที่โบสถ์สีขาวอันสว่างไสวได้เรียกเปลวไฟสีขาวเข้ามาเผาบ้านเมืองของเราเป็นเวลาสามวันสามคืน ทุกอย่างจบลงแล้ว…” ชายชราผู้มีอายุเกือบ 70 ปีกล่าวด้วยความปวดร้าว เมื่อเขามองไปที่ลีอา เขาก็ร้องไห้ออกมาเหมือนเด็ก ๆ

“ถ้าหากไม่ใช่เพราะข้าต้องดูแลเหล่าลูกศิษย์ของข้า ข้าคงจะใช้ร่างกายที่แก่ชราและผุพังนี้เพื่อปกป้องบ้านเมืองของเราและตายไปพร้อมกับองค์ราชา!”

เมื่อได้ยินคำพูดของชายชราสีหน้าของมาร์นี่ก็ไม่เปลี่ยนแปลง แต่อคติของเขาที่มีต่อเทพเจ้าองค์อื่นก็เพิ่มพูนขึ้นมาก

ผิดกับลีอาที่ได้ใช้เวลาครึ่งชีวิตเกิดและเติบโตในโรวีเนีย เธอกัดฟัน เธอโกรธแค้นและเกลียดชังพวกมัน แต่เธอก็ไม่ได้ประมาทพอที่จะเดินทางไปแก้แค้นคริสตจักรทั้งสองนี้เพียงลำพัง เธอได้แต่จดจำหนี้เลือดนี้เอาไว้ในใจ

“มันยังไม่จบ!” เด็กสาวสูดหายใจเข้าลึก ๆ เธอจ้องมองชายชราและพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังที่สุดในชีวิตเธอ “ตราบใดที่ข้ายังคงหายใจอยู่ และตราบใดที่เทพเจ้าแห่งเกมยังคอยเฝ้าดูข้าอยู่ ทุกอย่างก็ยังไม่จบ!”

“ทะ เทพเจ้าแห่งเกม ท่านพูดว่าเทพเจ้าแห่งเกมงั้นหรือ?”

เห็นได้ชัดว่าชายชราไม่เชื่อในเทพเจ้าแห่งเกมอีกต่อไปเหมือนอย่างที่ลีอาเคยเป็น ไม่เช่นนั้นซีเว่ยก็คงสัมผัสได้ถึงความยากลำบากที่เขาต้องเผชิญ

ลีอาหันไปมองมาร์นี่เพื่อขอคำยืนยัน มาร์นี่พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ

เมื่ออีกฝ่ายไม่คัดค้าน ลีอาก็เริ่มเล่าถึงการตื่นขึ้นมาของเทพเจ้าแห่งเกม เล่าถึงพรที่เทพเจ้าแห่งเกมมอบให้แก่ผู้ศรัทธาของพระองค์ รวมถึงความจริงที่ว่าพวกเขามาที่ค่ายผู้ลี้ภัยแห่งนี้เพื่อรับสมัครผู้ศรัทธา

หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดนี้นายทะเบียนก็ช็อกไป แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาหลับตาลงเหมือนกำลังใคร่ครวญอะไรบางอย่างอยู่

อย่างไรก็ตามชายชราหลับตาไปนานมากจนมาร์นี่เริ่มจะหมดความอดทน เขาคิดว่าชายชราเผลอหลับไปแล้ว

ในขณะที่มาร์นี่กำลังจะทดสอบว่าชายชราหลับจริงรึเปล่า ชื่อสีขาวก็โผล่ขึ้นมาบนหัวของชายชรา นั่นหมายความว่าความศรัทธาของเขามากเกินกว่าผู้ศรัทธาที่ตื้นเขิน และตอนนี้เขาก็กลายเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริงแล้ว!

“พลังนี้…เหลือเชื่อ!” ชายชราลืมตาขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าที่ซับซ้อน น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและเสียใจ “ถ้าข้าไม่ละทิ้งศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม และยังคงศรัทธาในตัวพระองค์เหมือนอย่างที่องค์ราชาทรงทำ แม้ว่าข้าจะไม่อาจป้องกันโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับเมืองหลวงของเราได้ แต่ข้าก็คงสามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากกว่านี้…”

“คุณปู่นายทะเบียน…” ลีอาจ้องมองชื่อที่ลอยอยู่เหนือหัวชายชราอย่างเหลือเชื่อ และไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไรดี เธอต้องใช้เวลาและพลังงานอย่างมากเมื่อเธอพยายามทำให้องครักษ์ของเธอกลายเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง แต่ชายชรากลับทำสำเร็จได้ในไม่กี่นาทีโดยไม่ต้องพึ่งคำแนะนำใด ๆ แบบนี้แล้วจะไม่ให้เธอแปลกใจได้ยังไง?

“ข้าเพียงฟื้นศรัทธาในอดีตของข้าเท่านั้นองค์หญิง ข้าไม่อาจเทียบกับท่านได้ ท่านคือผู้ที่ค้นพบการคืนชีพของเทพเจ้าแห่งเกม ท่านต่างหากที่ยอดเยี่ยมที่สุดฝ่าบาท!” ชายชราดูเหมือนจะแสดงความเคารพต่อลีอามากขึ้นกว่าเดิม

มาร์นี่เหลือบมองเลเวลที่ปรากฏบนหัวเจ้าหญิงและแอบบ่นอยู่ในใจว่า หากเขาไม่ได้เสียชีวิตไป 3 ครั้งและเสีย EXP ไปบางส่วน บางทีเจ้าหญิงคนนี้ก็คงไม่มีเลเวลสูงกว่าเขาด้วยซ้ำ…

เขากระแอมในลำคอและกลับเข้าเรื่อง “เราสามารถมาถกเถียงกันได้ภายหลังว่าใครคือผู้ที่ยอดเยี่ยมกว่ากัน แต่แผนการรับผู้ลี้ภัยเข้ามาเป็นผู้ศรัทธาใหม่ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง”

มันเป็นเควสของเขา เขาเลยกังวลกับเรื่องนี้มากที่สุด

“ถ้าท่านถามคำถามนี้กับคนอื่น เขาอาจไม่มีคำตอบที่ชัดเจนให้ท่านได้ แต่ท่านถามถูกคนแล้ว”

นายทะเบียนที่เพิ่งได้รับพรจากระบบดูมีพลังและมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม เขาดูแตกต่างจากชายชราป่วย ๆ เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง

เขากล่าวอย่างมั่นใจว่า “กว่าจะมาถึงจุดนี้เราได้พบกับปัญหาและความยากลำบากมากมายระหว่างทาง มีคำกล่าวไว้ว่า วิธีที่ดีที่สุดในการมองตัวตนที่แท้จริงของคน ๆ หนึ่งก็คือการมองปฏิกิริยาของพวกเขา ตอนที่พวกเขาต้องเผชิญกับภัยอันตราย ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ที่ติดตามข้ามาเพื่อหาเงิน ได้แสดงให้เห็นถึงใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาแล้ว ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ข้าได้พบคนที่สามารถไว้วางใจได้อย่างแท้จริง ข้าสามารถเลือกคนให้ท่านได้เป็นร้อยคน แต่ข้าไม่อาจสัญญาได้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม แต่ข้ามั่นใจอย่างแน่นอนว่าไม่มีใครที่โลภและเห็นแก่ตัว!”

“เยี่ยมมาก!” มาร์นี่อดไม่ได้ที่จะมีความสุขกับคำพูดของชายชรา

ตามแผนเดิม แม้ว่าเขาจะไม่มีปัญหากับการมีคนโลภและคนเห็นแก่ตัวอยู่ในกลุ่มผู้ลี้ภัยที่เขารับไป เพราะเขามั่นใจว่าเขาจะสามารถกำจัดคนพวกนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่การที่ไม่มีคนคอยมาสร้างความเดือดร้อนให้ มันก็ดีกว่า ดังนั้นความช่วยเหลือจากนายทะเบียนจึงช่วยเขาได้มาก

ความประหลาดใจที่ไม่คาดคิดนี้ ทำให้มาร์นี่รู้สึกว่าการที่เขาเสียเวลารอลีอาคุยกับชายชรานั้นไม่ได้สูญเปล่า

“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ควรเสียเวลา มาทำให้เสร็จก่อนที่เราจะดึงดูดความสนใจของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเมืองกันเถอะ” มาร์นี่พูด

ลีอาพยักหน้าเห็นด้วย เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะระลึกความหลังกับนายทะเบียน เธอยังคงถูกตามล่าโดยพวกลัทธิกระดูกเน่า ดังนั้นการรีบจบธุระที่นี่และออกจากวิคกิดอร์โดยเร็วคือทางเลือกที่เหมาะสม

แจ้งเปลี่ยนชื่อรัฐจาก โรมินอส เป็น โรวีเนีย

—————–

สลัมเขตชานเมืองวิคกิดอร์

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลีอามาที่นี่ แต่เธอก็จะขมวดคิ้วทุกครั้งที่เห็นกระท่อมฟางเก่าที่พร้อมจะพังลงทุกเมื่อที่มีหิมะกองบนหลังคามากเกินไป และกลุ่มผู้ลี้ภัยที่ไร้ชีวิตชีวา

ส่วนใหญ่พวกเขาเป็นผู้ลี้ภัยจากโรวีเนียที่ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของเทียร์ร่า ในฐานะอดีตเจ้าหญิงของเทียร์ร่า ความหดหู่ที่เธอมีไม่อาจพรรณนาเป็นคำพูดได้เมื่อเห็นอดีตประชาชนของเธอตกต่ำลงมาจนถึงจุดนี้

แม้นายกเทศมนตรีของวิคกิดอร์จะไม่อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยเข้าไปในเมือง แต่เขาก็ได้แบ่งปันทรัพยากรเล็กน้อยเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยเหล่านี้เพื่อไม่ให้พวกเขาก่อปัญหา

แต่เศษอาหารที่แจกให้ทุกวันก็ไม่ได้ทำให้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้อิ่มท้อง ใบหน้าของพวกเขาส่วนใหญ่ดูสิ้นหวัง พวกเขามักจะนอนแน่นิ่งอยู่ในกระท่อมที่ทรุดโทรมเพื่อรอคอยความตาย

พวกเขาต้องเผชิญกับความหิวโหยและความหนาวเหน็บอันทรมานทุกครั้งที่พวกเขาตื่น มันเป็นพรสำหรับพวกเขาแล้ว หากความตายจะมาพรากพวกเขาไปในยามหลับ

“งั้น? เจ้าก็กำลังวางแผนคัดเลือกผู้ลี้ภัยมาเป็นผู้ศรัทธาของเทพเจ้าแห่งเกมหรือ” ลีอาถามมาร์นี่ที่นั่งอยู่หน้ารถม้า เธอพยายามลืมโศกนาฏกรรมของผู้ลี้ภัยเหล่านี้ “เจ้าจะเทศนาในค่ายผู้ลี้ภัย และจะมอบอาหารให้กับใครก็ตามที่กลายเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริงใช่ไหม”

ลีอาสังเกตเห็นอาหารมากมายในรถม้าของมาร์นี่เมื่อเธอเข้ามาซ่อนตัวอยู่ข้างใน มันมีกลิ่นหอมของข้าวสาลีย่างด้วย

“ไม่มีทาง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเมืองจะรีบมาจับข้าไปในเวลาไม่ถึงวันด้วยซ้ำถ้าข้าทำเช่นนั้น”

มาร์นี่ยิ้มอย่างร่าเริง แม้ว่าลีอามีวุฒิภาวะที่สูงกว่าคนในวัยเดียวกัน แต่เขาก็พบว่าเธอยังคงไร้เดียงสาหลังจากได้ใช้เวลาร่วมกับเธอมาพักหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะชื่อ ‘ยาการัน’ ของอดีตราชวงศ์เทียร์ร่าที่ลอยอยู่เหนือหัวของเธอ ใคร ๆ ก็คงจะคิดว่าเธอเป็นเด็กที่เกิดในหมู่บ้านชนบทแทนที่จะเป็นเจ้าหญิงผู้สูงส่ง “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ศาสนจักรเทพเจ้าแห่งเกมจะเผยตัวต่อสาธารณะ…”

“นั่นสินะ…” ลีอาถอนหายใจและทรุดตัวลงไปอยู่ในรถม้าอีกครั้งอย่างหดหู่

“ข้าวางแผนจะใช้ข้ออ้างเรื่องการจ้างแรงงานเพื่อรับคนที่มีสุขภาพแข็งแรงออกไปก่อน จากนั้นค่อยเผยแพร่หลักคำสอนของเทพเจ้าแห่งเกมให้พวกเขา ตอนที่เราเดินทางไปยังเมืองเริ่มต้น มันไม่สำคัญว่าพวกเขาจะอยากเป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมหรือไม่ แม้พวกเขาไม่ศรัทธาเราก็ยังต้องการแรงงานเพื่อสร้างเมืองอยู่ เราแค่ต้องแน่ใจให้ได้ว่าเรื่องของเราจะไม่รั่วไหลไปยังคริสตจักรอื่น ๆ”

มาร์นี่ไม่ได้ปิดบังอะไร เขาอธิบายแผนทุกอย่างให้ลีอาฟัง “ที่จริงก็ไม่เป็นไรถ้าพวกเขาจะหนีและรั่วไหลเรื่องนี้ออกไป ตราบใดที่พวกเขาทั้งหมดไม่ได้แจ้งเรื่องของเราให้กับคริสตจักรเหล่านั้น ผู้ลี้ภัยไม่กี่คนแถบจะไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาของคนทั่วไป ไม่ต้องพูดถึงคนจากคริสตจักร”

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยรางวัลมากมายที่เทพเจ้าแห่งเกมมอบให้ คาดว่าคงมีไม่กี่คนที่จะทรยศต่อเทพเจ้าแห่งเกมเพื่อผลกำไรเพียงเล็กน้อย

“เจ้าต้องการแต่ผู้เยาว์หรือ…” ลีอาพึมพำ

“อ่า อย่าเข้าใจข้าผิด ข้าหมายความว่าข้ารับทั้งชายและหญิง ทั้งคนหนุ่มสาวและวัยกลางคน” มาร์นี่ตะลึงไปก่อนจะอธิบายว่า “หลังจากที่ข้าเคยเดินทางค้าขายไปทั่วอาณาจักรวัลลา ข้าก็เข้าใจว่ามันจะมีปัญหาหากข้ารับเพียงคนวัยหนุ่มสาวไป…”

พูดแล้วเขาก็เงยหน้ามองขึ้นไปยังท้องฟ้าสีเทาเป็นเวลานาน ราวกับว่าเขากำลังระลึกถึงเรื่องราวในเก่า ๆ “อย่าถามข้าว่าทำไมข้าถึงรู้เรื่องนี้เลย”

ลีอาพยายามกลืนคำถามของเธอลงไป

จากนั้นเธอนึกออกแล้วว่าเธอต้องการจะถามอะไรในทีแรก

“ไม่ใช่สิ ข้าหมายถึงเด็กกับคนชราต่างหาก”

“คนที่ได้รับเลือกสามารถพาครอบครัวไปด้วยได้ ผู้สูงอายุหรือเด็ก ๆ ก็ไปได้หากว่าพวกเขาต้องการ” มาร์นี่ก็หันไปมองลีอา “แต่ข้าต้องพูดก่อนว่าข้าจะไม่หยุดรอพวกเขา หากพวกเขาตามไม่ทันและล้มลงระหว่างทาง”

“ฝ่าบาท” เขาพูดอย่างเศร้า ๆ ว่า “ข้าเชื่อว่าท่านคงรู้ว่าการเดินทางท่ามกลางหิมะเป็นเรื่องอันตราย ระหว่างทางมันอาจจะมีพายุหิมะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นก้อนน้ำแข็ง มีทั้งสัตว์ร้ายและสัตว์ประหลาดออกล่าเหยื่อ เช่นเดียวกลุ่มโจรที่คอยออกปล้นสะดมนักเดินทาง ทุกครั้งที่เราล่าช้า ความเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้น”

“ข้าเข้าใจ ผ่อนคลาย ข้าไม่ได้ไร้เหตุผลเช่นนั้น”

ลีอาได้เห็นความเย็นชาและความโหดร้ายของโลกมาแล้ว แน่นอนว่าเธอจะไม่ทำตัวเหมือนนักบุญที่กล่าวหาว่าคนอื่นไม่มีความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นโดยไร้เหตุผล “ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความอ่อนแอของข้า ถ้าข้าแข็งแกร่งเทียร์ร่าก็คงจะไม่ล่มสลาย และโศกนาฏกรรมมากมายก็จะไม่เกิดขึ้น ข้าทำได้แต่โทษตัวเอง”

เธอเพิกเฉยต่อท่าทางประหลาดใจของมาร์นี่ที่อ่านได้ว่า ‘เด็กน้อย เรายังคุยเรื่องเดียวกันอยู่รึเปล่า’ เธอเอานิ้วแตะบนหน้าอกเพื่ออธิษฐานเงียบ ๆ “ข้าจะทำให้ดีที่สุด ข้าจะเข้มแข็งขึ้น ข้าแต่เทพเจ้าแห่งเกม โปรดอวยพรข้าด้วย”

ซีเว่ยซึ่งอยู่ห่างไกลในอาณาจักรศักดิ์สิทธิตกตะลึง เพราะเขาตระหนักได้ว่าตอนนี้มีผู้ศรัทธาที่เคร่งศาสนาเพิ่มมาอีกคนแล้ว เมื่อเขาตรวจดูเขาก็รู้ว่าคน ๆ นั้นคือลีอา ซึ่งก้าวขึ้นมาจากผู้ศรัทธาที่แท้จริงสู่ผู้ศรัทธาที่เคร่งศาสนา

หลังจากมีความสุขอยู่พักหนึ่ง ซีเว่ยก็ตระหนักว่าเด็กคนนี้ต้องการเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้นเพื่อหยุดโศกนาฏกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าคลาสลับ [เจ้าหญิงนักรบ] เขาจะไม่ได้มอบมันให้ผิดคน หากเขามอบคลาสนักบุญหญิงฝึกหัดแบบเดียวกับเอลีน่าให้เธอ ศาสนจักรเทพเจ้าแห่งเกมอาจจะมีนักบุญที่ต่อยท้องฟ้าจนเมฆกระจายและเท้ากระทืบพื้นแตกเกิดขึ้น…

ในขณะที่พวกเขาคุยกัน มาร์นี่และลีอาก็มาถึงค่ายผู้ลี้ภัย

ตอนที่มาร์นี่กำลังคิดคำพูดปลุกระดมเหล่าผู้ลี้ภัยอยู่นั้น จู่ ๆ เสียงของของชายแก่คนหนึ่งก็ดังขึ้น

“เจ้าหญิงลีอา อ่า นี่ตาที่ฝ้าฟางของข้าไม่ได้มองผิดไปใช่ไหม!”

ทั้งลีอาและมาร์นี่หันไปมองต้นเสียงด้วยความประหลาดใจ

ในกระโจมที่เย็บจากเศษผ้าสกปรกมีชายชราร่างผอมคนหนึ่งกำลังจ้องมองลีอาอย่างมึนงง น้ำตาของเขาไหลอาบใบหน้าคล้ำแดดที่เหี่ยวย่น

“ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับท่านอีกครั้ง ฝ่าบาท…ชีวิตนี้ข้าไม่เสียดายแล้ว…”

“เจ้าคือ…” ลีอามองไปที่เขาสักพัก ก่อนที่เธอจะพบว่ามีชายชราคนหนึ่งในความทรงจำของเธอที่ตรงกับคนตรงหน้าเธอ “คุณปู่นายทะเบียน”

——————————————————————————————————————————————————————-

แองโกร่ากำลังศึกษาแบบแปลนอาคารที่มีอยู่ในระบบตอนที่เอ็ดเวิร์ดวิ่งกลับมาอย่างเร่งรีบ

“ข้ามาส่งเควส” เอ็ดเวิร์ดเปิดหน้าต่างระบบของเขา เนื่องจากแองโกร่าเป็นผู้ออกเควส เควสจะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีแองโกร่าอยู่ใกล้ ๆ แม้ว่าเขาจะได้รับข้อมูลทั้งหมดมาแล้วก็ตาม

เมื่อส่งเควสเสร็จเรียบร้อย เอ็ดเวิร์ดก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาโค้งให้แองโกร่าก่อนจะกลับไปพักผ่อน

หน้าต่างระบบของแองโกร่าก็ได้รับการเปลี่ยนไปเช่นกัน หน้าต่างเควส ‘ตรวจสอบสมาคมลับแห่งดวงตา’ ได้หายไป และแทนที่ด้วยวิดีโอ

แองโกร่าเปิดวิดีโอด้วยความอยากรู้อยากเห็น เนื้อหาในวิดีโอคือสิ่งที่เอ็ดเวิร์ดเห็นเมื่อเขาแทรกซึมเข้าไปในฐานของสมาคมลับแห่งดวงตา

เขาตระหนักถึงคุณค่าของข้อมูลในวิดีโอได้ทันที แองโกร่ารีบนั่งลงและหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในวิดีโอ

เขาได้ฟังสมาชิกของสมาคมลับแห่งดวงตาพูดคุยเกี่ยวกับผู้เล่นงี่เง่าสองคนที่ถูกตัดหัวเป็นเวลา 20 นาทีเต็ม

แองโกร่า “…”

เขากำลังพิจารณาลบผู้เล่นสองคนนี้ออกจากรายชื่อคนที่เขารู้จักอย่างเงียบ ๆ

แองโกร่าเรียนรู้ด้วยตัวเองว่าการใช้แถบความคืบหน้าของวิดีโอ จะสามารถย้อนกลับไปยังส่วนสำคัญของวิดีโอได้อย่างรวดเร็ว

นั่นคือตอนที่ชายสองคนที่ดูเหมือนจะเป็นพวกระดับสูงของสมาคมกำลังคุยกัน

ภาพไม่ชัดนักเพราะเอ็ดเวิร์ดแอบดูจากมุมมืด แต่ถึงอย่างนั้นแองโกร่าก็จำได้ในทันทีว่านั่นคือ ‘เอ็ดมันด์•เฟาสต์’ พี่ชายคนที่สองของเขา!

แม้ว่าแองโกร่าจะไม่รู้ว่าชายอีกคนเป็นใคร แต่เขาก็สามารถบอกได้จากแส้ใบมีดที่ห้อยอยู่ข้างสะโพกของคน ๆ นั้นว่านี่คือแส้ดำคนที่ดูแลฐานแห่งนี้

“เอ็ดมันด์ มันมีแค่ 50,000 ริออนเท่านั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราตกลงกันไว้” แส้ดำเอนตัวพิงโซฟาและพูดออกมาอย่างเกียจคร้าน “ข้าจำได้ว่าข้อตกลงของเราคือ 150,000 ริออน!”

“วิธีการของเจ้าหยาบเกินไป แต่เมืองเล็ก ๆ นอกหุบเขาแห่งความตายยังไม่ถูกทำลาย! สมาคมให้เงินทุนมากมายกับเจ้า แต่เจ้ากลับทำได้เพียงขยะธูปเรียกกระดูกเท่านั้น เจ้าไม่รู้สึกอับอายบ้าเลยรึไง!” เห็นได้ชัดว่าเอ็ดมันด์ไม่มีความอดทนอะไรขนาดนั้น เขาตำหนิแส้ดำอย่างหงุดหงิด “ถ้าไม่ใช่เพราะท่าเรือเกรย์ฟยอร์ดไม่ต้องการคนของเจ้า…”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ แส้ดำที่ดูเหมือนว่ากำลังหลับอยู่จู่ ๆ ก็กระโดดขึ้นมาและเตะเอ็ดมันด์ลงไปที่กองกับพื้น เขากระทืบหัวเอ็ดมันด์อย่างแรง บุตรชายคนที่สองของดยุคไม่สามารถหนีจากการโดนเหยียบหัวได้ไม่ว่าเขาจะพยายามยังไงก็ตาม

“เจ้าหักเงินแสนริออนให้ตัวเองรึเปล่า ดูเหมือนว่าคนเก่า ๆ ในสมาคมไม่เคยบอกเจ้าเลยว่าทำไมแม้แต่คนที่โลภมากอย่างพวกเขา ก็ไม่เคยพยายามจ่ายเงินให้กับที่นี่น้อยลงเลยแม้แต่เหรียญเดียว”

“เจ้าทำอะไร! พ่อข้าเป็นดยุค…”

“แล้วไง? เจ้ามันไร้ประโยชน์ เจ้ามันก็แค่ลูกชายที่ถูกทอดทิ้ง”

น้ำเสียงของแส้ดำเย็นชามาก เขาเพิ่มแรงเหยียบลงไป “เชื่อข้าสิ ข้าสามารถฆ่าเจ้าที่นี่ได้และจะไม่มีใครรวมถึงพวกสมาคมและพ่อของเจ้ามาตามหาเจ้ากับข้า”

“ข้า…ข้าผิดเอง! ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าจะทำทุกอย่างตามที่เจ้าขอ!” ใบหน้าของเขาแทบจะเบี้ยวผิดรูปภายใต้รองเท้าบู๊ตของแส้ดำ ในที่สุดเอ็ดมันด์•เฟาสต์ก็สูญเสียความเย่อหยิ่งของชั้นชั้นสูง เขาดูหวาดกลัวและน่าสมเพชในแบบที่แองโกร่าไม่เคยเห็นมันจากพี่ชายของเขา

“เจ้าเข้าใจแล้วสินะ” น้ำเสียงและสีหน้าของแส้ดำดูพอใจมาก จากนั้นแรงที่เท้าของเขาก็ผ่อนลง

“ใช่ ๆ!” เอ็ดมันด์รีบตอบ

“แต่มันสายไปแล้ว!” สีหน้าของแส้ดำบิดเบี้ยวและป่าเถื่อน “ไม่ว่าเจ้าหรือไอ้งี่เง่า 2 คนเมื่อวาน ก็ไม่มีใครสามารถมาดูหมิ่นแส้ดำได้!”

พูดแล้วเขาก็เพิ่มแรงเหยียบลงไป หัวของเอ็ดมันด์แตกกระจายภายใต้รองเท้าบู๊ตเหมือนมะเขือเทศถูกทุบ!

จากนั้นแส้ดำก็กลับไปนั่งที่โซฟาด้วยสีหน้าปกติ

“พลั่วทองแดง” แส้ดำตะโกนเรียก

ชายร่างกำยำเดินเข้ามาในห้องและพูดขึ้นมาด้วยความเคารพว่า “ครับหัวหน้า”

“ค้นหาตราประทับ จากนั้นก็ไปยังที่ดินศักดินาของมันและริบทรัพย์สินทั้งหมดของมันมา” แส้ดำพูดง่าย ๆ “ถ้ามันมีภรรยากับลูกก็กำจัดพวกมันให้หมดซะ”

“เข้าใจแล้วครับ” ชายร่างกำยำตอบ

“ฮึ่ม มันต้องอย่างนี้สิ คนปกติจะต้องกรีดร้องขอความเมตตาต่อหน้าความตาย ข้ารู้สึกดีที่ได้ฆ่าพวกมันจริง ๆ…แต่เมื่อวานไอ้ 2 คนนั้นกลับยังหัวเราะอยู่ได้แม้ว่าพวกมันกำลังจะตาย…”

ใบหน้าของแส้ดำบิดเบี้ยวเรากับเขากำลังกินขี้

ในขณะที่เขาเฝ้าดู แองโกร่าก็รู้ทันทีว่าอารมณ์ของแส้ดำถูกกระตุ้นขึ้นมาจากความร่าเริงของผู้เล่นสองคนนั้น

ในกรณีนี้ เขาได้แต่ไว้อาลัยให้แก่เอ็ดมันด์ที่โชคร้าย ที่ต้องมารองรับอารมณ์ของแส้ดำ

“ข้ารับมรดกของเขามาแล้ว งั้นข้าก็จะช่วยเขาเติมเต็มความปรารถนาแล้วกัน” แส้ดำแสยะยิ้ม “มันก็แค่เมืองไร้ชื่อ…เมื่อข้ากำจัดมนุษย์กบที่ก่อกวนในท่าเรือเกรย์ฟยอร์ดเสร็จแล้ว และมีกำลังคนเหลือพอ ข้าจะทำลายเมืองนั้นให้สิ้นซาก หมอนี่ค่อนข้างโง่ แต่เขาก็พูดถูก เส้นทางเดินเรือในฟยอร์ดเป็นเส้นเลือดที่สำคัญที่สุดของสมาคมลับแห่งดวงตา และภัยคุกคามใด ๆ จะต้องถูกทำลายทันที…หืม พลั่วทองแดงมีอะไรอยู่ข้างนอก?”

ชายร่างกำยำเดินออกจากห้องไปสักพัก เขาออกไปถามสถานการณ์รอบ ๆ ก่อนจะกลับไปรายงาน “หัวหน้า! พี่น้องของเราบางคนที่ออกไปลาดตระเวนได้หายตัวไป!”

“อะไรนะ!?” แส้ดำยืนขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

จากนั้นภาพก็มืดลง เอ็ดเวิร์ดคงคิดว่ามันอันตราย หากอยู่ที่นี่ต่อตัวตนของเขาอาจจะถูกเปิดโปง มันไม่มีประโยชน์ที่จะสอดแนมต่อ เขาจึงถอยกลับออกมาจากฐานของสมาคมลับแห่งดวงตา

แองโกร่านั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้เป็นเวลานาน

ข้อมูลจากวิดีโอมีไม่มากนัก แต่หากมองจากมุมหนึ่งมันก็มีความสำคัญมาก

เมื่อเทียบกับเมืองไร้ชื่อของเขา สมาคมลับแห่งดวงตาก็คือสัตว์ร้าย มันมีช่องว่างในความแข็งแกร่งอย่างมากเมื่อเทียบกับผู้นเล่นในปัจจุบัน

“ลำบากแล้วสิ…” แองโกร่าถอนหายใจและมองออกไปนอกหน้าต่าง

นอกบ้านพายุหิมะเริ่มรุนแรงขึ้นแล้ว

————————————————————————————————————————————————————————————————————

ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ซีเว่ยเฝ้าดูตอนที่มาร์นี่หลอกพวกลัทธิกระดูกเน่าและมุ่งหน้าไปยังค่ายผู้ลี้ภัย

เหตุผลที่เขามอบเควสนี้ให้ลีอาก็เพราะเขาได้ค้นพบว่าพวกลัทธิไม่ได้วางแผนที่จะฆ่าเธอ แต่จะสังเวยเธอเป็นเครื่องบูชาแบบเป็น ๆ ให้กับเทพเจ้ากระดูกเน่า

เขาสามารถเดาความคิดของเทพเจ้ากระดูกเน่าได้ในทันที มันก็เหมือนกับตัวเขาเอง เทพเจ้าชั่วร้ายมักจะกินเทพเจ้าที่อ่อนแอกว่าเพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเอง

ส่วนระบบที่เธอมีก็ไม่ได้สำคัญอะไร เพราะมันเป็นเรื่องปกติที่ผู้ศรัทธาทุกคนจะมีพรของเทพเจ้าในตัวของพวกเขา และเทพที่อ่อนแออย่างเทพเจ้ากระดูกเน่าก็ไม่อาจค้นพบอะไรจากระบบได้

ถึงซีเว่ยจะเชื่อว่าตอนนี้เขามีความสามารถในการต่อสู้แล้ว แต่เขาก็ยังค่อนข้างระวังตัว เขาได้วางแผนและเตรียมการเพื่อให้ตัวเองปลอดภัยและป้องกันไม่ให้เทพเจ้ากระดูกเน่าติดตามพลังของลีอามาจนถึงตัวเขาได้ เขาจึงได้ออกเควสให้เธอหลบหนีแทน

“ด้วยวิธีนี้มันจะปูทางไปสู่ความสำเร็จ ฉันจะพร้อมเมื่อลีอากลับไปถึงเมืองเริ่มต้น อีกไม่นานก็จะถึงเวลาเอาคืนพวกลัทธิที่รังแกผู้ศรัทธาของฉันแล้ว ฉันพร้อมที่จะสู้กับเทพเจ้าชั่วร้ายระดับลูกกระจ๊อกแล้ว” ซีเว่ยเกาคางด้วยหนวดของเขา

ตอนนี้เขามีพลังงานเทพเจ้าเพียงพอที่จะเปลี่ยนรูปลักษณ์แล้ว แต่เขาก็ต้องหยุดความคิดนั้นเอาไว้ก่อนเพราะภัยคุกคามจากเทพเจ้ากระดูกเน่า เขาเริ่มเตรียมกลยุทธ์บางอย่างเพื่อต่อกรกับพวกลัทธิ

“ปัญหาฝั่งวิคกิดอร์ก็เรียบร้อยไปแล้ว ไปดูเมืองเริ่มต้นแล้วกัน…”

เมืองเล็ก ๆ นี้กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน

กลุ่มแนวหน้าก็สามารถสำรวจหุบเขาแห่งความตายได้ 5% แล้ว พวกเขากำลังหยุดพักวันหนึ่ง พวกเขาวางแผนที่จะไปต่อหลังจากนี้ให้ถึง 6% ยิ่งไปกว่านั้นมอนสเตอร์เกือบทุกตัวที่พวกเขาสามารถเข้าถึงได้ตั้งแต่ทางเข้าหุบเขาจนถึงระยะ 2% นั้นถูกฆ่าโดยผู้เล่นทั่วไปคนอื่น ๆ แล้ว และผู้เล่นทั่วไปกำลังเดินเข้าสู่เปอร์เซ็นต์ที่ 3

แต่ความสนใจของซีเว่ยก็ถูกดึงไปที่กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า ‘สมาคมลับแห่งดวงตา’ ที่ซุ่มซ่อนอยู่ใกล้กับเมืองเริ่มต้น

สมาคมลับแห่งดวงตาต่างจากลัทธิกระดูกเน่า มันเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นผลกำไร พวกเขาไม่ได้มีศรัทธาเดียวกัน แม้ไม่รู้ว่ามันก่อตั้งขึ้นได้อย่างไร แต่คนกลุ่มนี้ก็มีจำนวนและความสามารถในการต่อสู้ระดับที่สูงกว่าผู้เล่นในปัจจุบัน

บังเอิญว่าลัทธิกระดูกเน่าและสมาคมลับแห่งดวงตา ได้กลายเป็นอุปสรรค 2 ชิ้นของศาสนจักรเทพเจ้าแห่งเกม พวกลัทธิกระดูกเน่าไม่มีความสามารถเมื่อเทียบกับผู้เล่น แต่เทพเจ้าชั่วร้ายของลัทธิกระดูกเน่ากลับเป็นภัยคุกคามที่แท้จริงต่อซีเว่ย ในทางกลับกัน สมาคมลับแห่งดวงตาไม่สามารถคุกคามซีเว่ยได้ แต่พวกเขากลับเป็นภัยคุกคามอย่างมากต่อผู้เล่นในเมืองเริ่มต้น

เอ็ดเวิร์ดไม่ได้นิ่งนอนใจแม้ว่าปาร์ตี้แนวหน้าของเขาจะหยุดพักหนึ่งวัน เขาได้รับเควสใหม่จากแองโกร่าให้ไปตรวจสอบสมาคมลับแห่งดวงตา ซึ่งเขาได้รับเควสมาช้าไปหน่อยเพราะขุนนางหนุ่มกำลังมีงานเลี้ยงฉลอง

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือมีพวกปัญญาอ่อน 2 คนที่แองโกร่าได้มอบหมายเควสเดียวกันนี้ไปให้ แม้ตัวแองโกร่าเองจะไม่ได้คาดหวังอะไรจากพวกปัญญาอ่อน 2 คนนี้ แต่พวกเขากลับสะดุดเข้ากับฐานของสมาคมลับแห่งดวงตาที่อยู่ใกล้กับเมืองเริ่มต้น แม้ว่าพวกเขาจะถูกฆ่า แต่การค้นพบของพวกเขาก็ได้ถูกส่งต่อมายังแองโกร่า เพราะพวกเขาสามารถทำเควสได้สำเร็จผ่านคอมพิวเตอร์ (win98) ของซีเว่ย

ในทางกลับกัน แองโกร่าก็ได้ส่งข้อมูลนี้และรายละเอียดเควสให้กับเอ็ดเวิร์ด

เอ็ดเวิร์ดนั้นแตกต่างจากผู้เล่นบ้าบอสองคนที่เดินดุ่ม ๆ เข้าไปในฐานของศัตรู เขาแทรกซึมเข้าไปในฐานอย่างเงียบเชียบ แม้ซีเว่ยจะไม่ได้สร้างคลาสโจรขึ้นมาเป็นคลาสพื้นฐาน แต่เอ็ดเวิร์ดที่เป็นเมจก็มีความสามารถในการปรับตัวให้กลืนไปกับสภาพแวดล้อมได้ดี มันเป็นคลาสที่ดีที่สุดรองจากเรนเจอร์ในเรื่องนี้

‘มีสองคนที่ทางเดินข้างหน้า ข้าจะฆ่าพวกเขาแบบเงียบ ๆ เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้!’ เอ็ดเวิร์ดซ่อนตัวอยู่ในช่องระบายอากาศด้วยร่ายกายที่ยังไม่โตของเขา เขาเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยขณะที่เขาพยายามลอบฟังบทสนทนาของพวกสมาคมลับ

หลังจากผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง เอ็ดเวิร์ดก็ไม่ใช่พรานมือใหม่ที่เพิ่งออกจากหมู่บ้านอีกต่อไป

เมื่อเขาแทรกซึมเข้าไปในฐานของศัตรู เขาก็รู้ทันทีว่าที่นี่ไม่มีใครมือสะอาด พวกเขากำลังขายยาหลอนประสาทที่จะทำลายผู้อื่นและทำการค้าทาส พวกเขาจะใช้ทาสที่ขายไม่ออกมาทดสอบมนต์ดำและยาหลอนประสาทชนิดใหม่ ในขณะที่ทาสที่ตายแล้วจะถูกเก็บอวัยวะและขายให้กับพวกลัทธิเป็นเครื่องมือในการประกอบพิธีกรรม…สิ่งที่เขาเห็น ทำให้เอ็ดเวิร์ดแทบอยากจะเผาที่นี่ให้เป็นจุล

จากสิ่งที่เขาได้เห็น เอ็ดเวิร์ดก็ไม่รู้สึกผิดสักนิดหากเขาต้องฆ่าทุกคนที่นี่จนหมด

ขณะนั้น บทสนทนาของผู้ชายสองคนด้านล่างก็ดังขึ้น

“ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาจับผู้ชาย 2 คนที่พยายามลอบเข้ามาในฐานได้”

“ข่าวเจ้าเก่าไปแล้ว คนพวกนั้นตายแล้ว”

“ตาย? ทำไมถึงไม่จับพวกมันมาเป็นทาสล่ะ แทนที่จะฆ่าทิ้งเรายังหาเงินจากมันได้นี่”

“เจ้าไม่เข้าใจ หัวหน้าแส้ดำพยายามคุยกับพวกมันและทรมานพวกมันเพื่อถามว่าใครจ้างพวกมันมา หลังจากที่เค้นความจริงได้แล้ว เราก็อาจจะเอาพวกมันไปขายเป็นทาส”

“แล้ว? พวกมันยอมตายโดยไม่พูดอะไรเลยเหรอ”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิ”

“อะไร? เกิดอะไรขึ้น?”

“แม้ว่าหนึ่งในนั้นจะถูกจับและถูกทรมานด้วยแส้เหล็ก แต่มันก็ยังพยายามเล่าเรื่องตลก มันไม่เพียงจะไม่ปิดปากเงียบ มันกลับพยายามหาข้อมูลจากหัวหน้าแส้ดำ แม้ว่ามันจะถูกทรมานสีหน้ามันก็เหมือนว่ามันไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย…”

“คนอะไรจะแกร่งขนาดนั้น แล้วอีกคนล่ะ?”

“เขา…หัวเราะ”

“หัวเราะ? หรือว่ากำลังยิ้มเยาะ?”

“ไม่ หัวเราะอย่างบ้าคลั่งเลยล่ะ มันเหมือนเขาเป็นพวกเส้นตื้น เขาหัวเราะเพราะพื่อนข้าง ๆ กำลังเล่าเรื่องตลก”

“…”

“ในที่สุดหัวหน้าแส้ดำก็ตะคอกใส่คนที่เล่าเรื่องตลกด้วยความโกรธ และเตรียมจะสับเขา!”

“ว้าว ในที่สุดเขาก็กลัวแล้วใช่ไหม”

“ไม่ คำพูดสุดท้ายของเขาคือ ‘เดี๋ยวก่อน! ให้ข้าพูดให้จบก่อน เจ้าจะต้องหัวเราะออกมาดัง ๆ แน่!’”

“เขาบ้าเหรอ? แต่อีกคนต้องกลัวมากแน่”

“ไม่ เมื่อเขาเห็นหัวเพื่อนของเขาหล่นลงพื้น เขาก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม!”

“บ้าอะไรเนี่ย…”

“คำพูดของเขาคือ ‘ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้โง่ ข้าตลกมาก ข้ากำลังจะขำตาย!’”

“???”

“ใช่ จากนั้นแส้ดำก็ฆ่าเขาด้วย”

“…พวกเขามาจากไหนกัน”

“มีแค่พระเจ้าที่รู้ แต่แส้ดำบอกเราว่าพวกงี่เง่าคนอื่นต้องอยู่แถว ๆ นี้แน่ เราต้องจริงจังกับการลาดตระเวนให้มากขึ้น”

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินผ่านช่องระบายอากาศแคบ ๆ ร่างสีดำก็กระโดดออกมา ก่อนที่สองคนนั้นจะทันได้ตอบสนอง คนหนึ่งก็ถูกเผาจนเป็นฝุ่น อีกคนหนึ่งก็กลายเป็นก้อนน้ำแข็งและแตกเป็นเสี่ยง ๆ

เอ็ดเวิร์ดจ้องมองศพอย่างเย็นชา เขาถอนหายใจแล้วพูดออกมาเบา ๆ ว่า “เจ้ารู้มากเกินไป”

——————————————————————————————————————————————————————–

ลัทธิกระดูกเน่าไม่มีฐานอยู่ในเมืองวิคกิดอร์ แต่พวกเขาก็มีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มของลีอาที่มีกันอยู่ 6 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขามาถึงวิคกิดอร์

หลังจากได้รับสัญญาณจากเทพเจ้าชั่วร้ายที่เรียกว่าเทพเจ้ากระดูกเน่า พวกเขาก็เดินหน้าตั้งจุดซุ่มโจมตีอยู่ที่ประตูทุกแห่งของเมืองวิคกิดอร์

ลีอาไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าคุณค่าของเธอที่มีต่อลัทธิกระดูกเน่า จะกลายเป็นเรื่องสำคัญอย่างกะทันหัน ขณะที่เธอวางแผนจะออกจากวิคกิดอร์จากตรอกทางตะวันออก พวกเธอก็ได้วิ่งเข้าหาพวกลัทธิที่ซุ่มรออยู่

แม้ว่าทหารองครักษ์จะสามารถระเบิดพลังขับไล่พวกลัทธิไปได้ด้วยระบบของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าพวกลัทธิเหล่านั้นกำลังซื้อเวลาอยู่ ทันทีที่พวกมันเห็นลีอา พวกมันก็ได้ปล่อยแมลงวันซากศพออกไปนำคนของลัทธิกระดูกเน่าคนอื่น ๆ มาที่นี่!

ทันทีที่พวกลัทธิคนอื่น ๆ และบิชอบผู้รั่วร้ายมาถึง ลีอาและคนของเธอก็เสียเปรียบขนาดหนัก

มันไม่เหมือนคาร์โล พวกลัทธิคนอื่น ๆ มีพรจากเทพเจ้ากระดูกเน่าที่สามารถเรียกฝูงซอมบี้มาช่วยต่อสู้ พวกเขาสามารถสร้างบรรยากาศชั่วร้ายและเรียกโครงกระดูกขึ้นมาได้ พวกเขาร่ายเวทย์อย่างรวดเร็วและโจมตีอย่างโหดเหี้ยม แม้ว่าลีอาและองครักษ์จะมีเลเวลถึงสองหลัก แต่พวกเธอก็ไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับพวกลัทธิได้

ในขณะที่องครักษ์ของเธอถูกฆ่าตายทีละคน ลีอาก็โกรธแค้น (แต่ไม่เสียใจเพราะเธอรู้ว่าพวกเขาจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้) ถึงกับสาบานว่าเธอจะล้างแค้นให้พวกเขา แม้ว่าเธอจะต้องตายก็ตาม แต่ก่อนจะได้ต่อสู้แลกชีวิต ทันใดนั้นเธอก็ได้รับเควสจากเทพเจ้าแห่งเกม

<ติ้ง! เริ่มเควสหลัก: รุ่งอรุณแห่งการล้างแค้น>

เควสนี้ทำให้เธอไม่หุนหันพลันแล่นและคิดที่จะทิ้งชีวิตไปง่าย ๆ เธอถอยออกจากการต่อสู้ทันที และรีบหลบหนีไปยังเมืองเล็ก ๆ นอกหุบเขาแห่งความตาย

ในรายละเอียดเควสได้ระบุไว้ว่า องครักษ์ที่ตายเพื่อเธอจะฟื้นขึ้นมาทันทีเมื่อเธอทำเควสสำเร็จ โดยที่พวกเขามีโทษตายน้อยกว่าปกติ จากนั้นเมื่อเธอไปถึงเมืองเริ่มต้น เธอก็จะสามารถเริ่มเควสลูกโซ่เพื่อแก้แค้นลัทธิกระดูกเน่าได้!

ดังนั้นในขณะที่พวกลัทธิกำลังจับตามองลีอาที่โกรธจัดและกัดฟันเหมือนว่าเธอต้องการต่อสู้แลกชีวิตกับพวกเขาอย่างสิ้นหวัง เธอจ้องพวกเขาตาเขม็ง ก่อนจะมองเหม่อไปในอากาศที่ว่างเปล่า จากนั้นเธอก็สงบลงและหันหลังวิ่งหนีทันที

แม้แต่คนในลัทธิเองก็ยังเย้ยหยันเธออยู่ในใจว่า ‘ว้าว ผู้หญิงที่เจ้านายของเราบอกให้จับเป็น กลับละทิ้งองครักษ์ที่ปกป้องเธอด้วยชีวิตเพื่อให้ตัวเองรอด เธอชั่วร้ายมากจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่เทพเจ้าของเราจะเลือกเธอเป็นเครื่องสังเวย…’

ขณะเดียวกันเหล่าองครักษ์ที่ถูกทอดทิ้ง ก็ไม่ได้โกรธหรือผิดหวังที่พวกเขาถูกทิ้งไว้ข้างหลังเลยสักนิด พวกเขาทั้งหมดต้องการสละชีวิตเพื่อเปิดทางให้เธอได้มีโอกาสหลบหนี!

แม้แต่เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์อย่างคนในลัทธิกระดูกเน่าที่แทบไม่เหลือความเป็นมนุษย์ใด ๆ ในตัว ก็ยังร้องเพลงสดุดีแห่งความภักดีเพื่อเป็นเกียรติแก่พวกองครักษ์

พวกเขาไม่รู้เลยว่าทหารองครักษ์ได้รับเควสที่เกี่ยวข้องกับเควสของลีอา ยิ่งพวกเขาสามารถถ่วงเวลาพวกลัทธิได้นานเท่าไหร่ พวกเขาก็จะได้รับรางวัลมากขึ้นหลังจากที่พวกเขาฟื้นขึ้นมา แม้ทหารองครักษ์จะไม่ได้รับผลกระทบจากการตายเหมือนผู้เล่นคนอื่น ๆ แต่การตายของพวกเขายังคงเป็นชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงไปได้

ถึงกระนั้นเมื่อมีรางวัลเป็นเดิมพัน พวกเขาก็ต่อสู้สุดชีวิตซื้อเวลาให้นานขึ้น เพื่อรางวัลที่มากขึ้น

ต่อมาลีอาก็ได้พบกับมาร์นี่ที่เป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม หน้าสำนักงานสาขาของกระดิ่งลมสีเงิน

“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างงาม หากเจ้าสามารถพาข้าไปที่นั่นได้!” ลีอากระซิบกับมาร์นี่จากในรถม้า

“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ ข้าก็กำลังจะกลับไปที่นั่นเร็ว ๆ นี้เช่นกัน…” มาร์นี่ตบอกตัวเองเมื่อรู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองเริ่มต้นเช่นกัน “แต่ข้ามีอย่างอื่นที่จะต้องทำก่อนหน้านั้น”

“อะไร?”

“ข้าก็มีเควสของตัวเองเช่นกัน ข้าต้องเผยแพร่ศาสนาเกมของเราในหมู่ผู้ลี้ภัย และรับพวกเขาเข้าร่วมศาสนจักร” มาร์นี่ไม่ได้ซ่อนเควสของตัวเอง เพราะลีอาได้บอกเขาทุกอย่างเกี่ยวกับตัวตนของเธอ และเธอยังไม่อาจขโมยเควสเขาได้เพราะเควสนี้เป็นของเขา

“หืม? เจ้าเป็นมิชชันนารีหรือ” ลีอาสงสัย

มิชชันนารีของคริสตจักรอื่น ๆ มีทั้งหนุ่มหล่อและสาวสวยที่สะดุดตา หรือเป็นคนใจดีและหน้าตาซื่อสัตย์ เพื่อให้พวกเขาสามารถดึงดูดคนเข้าร่วมกับคริสตจักรของตนได้ง่าย ๆ

ในทางกลับกัน มิชชันนารีของเทพเจ้าแห่งเกม คน ๆ นี้กลับ…?

…สมแล้วที่เป็นเทพเจ้าแห่งเกม พระองค์สามารถหาคนที่มีบุคลิกโดดเด่นเช่นนี้ได้จริง ๆ!

“มิชชันนารีหรือ ข้าก็เป็นแค่ผู้เล่นธรรมดา” มาร์นี่หัวเราะขณะที่เขาขึ้นไปนั่นบนที่นั่งคนขับรถม้า เขาค่อนข้างชอบชื่อของผู้เล่น เพราะมันทำให้เขาแตกต่างจากผู้ศรัทธาของเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ที่ทำกับมนุษย์เหมือนกำลังฟาร์มหัวหอมที่กินทั้งต้นทั้งรากจนไม่เหลืออะไร “จุ๊ ๆ เงียบก่อน มีบางอย่างเกิดขึ้นข้างหน้า”

เมื่อได้ยินแบบนั้นรถม้าก็เงียบลงทันที

ไม่นานชายหลายคนในชุดคลุมสีดำก็มาหยุดอยู่หน้ารถม้าของมาร์นี่

“หยุด! มีอะไรอยู่ในรถม้าของเจ้า” หนึ่งในนั้นตะโกนขึ้นมาเสียงดัง

“ข้าเป็นพ่อค้าจากหอการค้ากระดิ่งลมสีเงินและผู้ศรัทธาของเทพธิดาแห่งความรุ่งเรือง!” มาร์นี่ไม่ลังเลที่จะตอบกลับ “เจ้าไม่ได้เป็นยามของเมืองวิคกิดอร์ใช่ไหม เจ้ามีสิทธิอะไรมาตรวจสอบรถม้าของข้า!”

“ไร้สาระ รีบเปิดประตูเร็วเข้า!” ชายคนเดิมยังคงตะโกนเร่ง แต่น้ำเสียงของเขาไม่ได้มีความมั่นใจเหมือนก่อน เขาแค่ดื้อรั้นและไม่อยากจะเสียหน้า

แม้ว่าเทพธิดาแห่งความเจริญรุ่งเรืองจะไม่ใช่เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ แต่ผู้ศรัทธาของเธอก็มีมากมาย ผู้ศรัทธาในเทพเจ้าองค์อื่นบางคนก็เป็นผู้ศรัทธาที่ตื้นเขินของเธอเช่นกัน และอิทธิพลของเธอก็ดีที่สุดในบรรดาเทพชั้นสอง ถ้าไม่ใช่เพราะเธอไม่ได้มีพลังในการต่อสู้ อำนาจของเธอเพียงอย่างเดียวอาจทัดเทียมกับเทพบิดรบนสวรรค์ทั้งเจ็ด

เพราะงั้นเทพเจ้ากะโหลกเองหากไปยุ่มย่ามกับผู้ศรัทธาของเธอ ก็อาจจะได้รับการทุบตีอย่างหนักจากเทพธิดาแห่งความเจริญรุ่งเรือง ไม่ต้องพูดถึงเทพง่อย ๆ เช่นเทพเจ้ากระดูกเน่าซึ่งเป็นเทพลูกสมุนของเทพเจ้ากะโหลกอีกทีเลย…

“ข้าสามารถเปิดประตูให้พวกเจ้าได้ก็จริง แต่มันก็เหมือนเป็นการดูหมิ่นศรัทธาของข้า ดังนั้นหากเจ้าต้องการจะเปิดประตูจริง ๆ เจ้าก็ต้องชดใช้ให้ข้า 500 ริออนต่อคน!” มาร์นี่โต้กลับ

“ดูหมิ่นเท้าข้าสิ! แพงขนาดนี้เจ้าคิดว่ารถม้าเจ้าทำจากทองคำรึ” ชายชุดดำอีกคนบ่น

“อะไร เจ้าไม่รู้รึไงว่าพ่อค้าที่ศรัทธาต่อเทพธิดาแห่งความเจริญรุ่งเรืองมีกฎอยู่ว่า ‘ต้องวางสินค้าไว้ในรถม้าเท่านั้น’! ความสงสัยของเจ้าที่บอกว่าข้าซ่อนสิ่งอื่นอยู่นั้น ถือเป็นการดูหมิ่นศรัทธาของข้า!”

มาร์นี่วางมือบนที่จับประตูรถม้า เขาพร้อมที่จะเปิดมัน “เตรียมเหรียญของเจ้าให้พร้อม ไม่งั้นข้าจะบอกกับหัวหน้าสาขาว่าเจ้าไม่ยอมจ่าย! อ่าจริงสิ พวกเจ้ามาจากคริสตจักรไหนกันแน่”

กลุ่มคนชุดดำเมื่อเห็นว่ามาร์นี่ต้องการโกงเงินของพวกเขา ก็ได้โยนคำสาปแช่งและภาษาหยาบคายใส่มาร์นี่ ก่อนที่พวกเขาจะวิ่งหนีไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง

ไม่ใช่ว่าพวกเขาจ่ายไม่ได้ แต่พวกเขาไม่ต้องการเสียเงินไปแบบโง่ ๆ หากมาร์นี่เรียกเก็บเงินในราคาที่เป็นไปไม่ได้ พวกเขาจะพบว่ามันน่าสงสัยทันที ดังนั้นราคาที่แพง แต่ก็ไม่เกินไปจึงเป็นอะไรที่น่ารังเกียจอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ศาสนาของพวกลัทธิก็ไม่ใช่ศาสนาที่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ อุบัติเหตุใด ๆ ที่นี่อาจทำให้การดำรงอยู่ของลัทธิกระดูกเน่าเสียหาย และจากนั้นชะตากรรมของพวกเขาก็คาดเดาได้เลย

แต่ถึงพวกเขาจะสงสัยมาร์นี่ แต่หอการค้ากระดิ่งลมสีเงินก็อยู่ใกล้ ๆ และดูเหมือนว่าเขาไม่ได้เป็นสมาชิกของคริสตจักรไร้ชื่อเนื่องจากพ่อค้าคนอื่น ๆ ก็รู้จักเขา ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าแหวนของเขาที่ระบุว่าเขาเป็นสมาชิกของกระดิ่งลมสีเงินจะหายไป แต่ตราสัญลักษณ์ของกระดิ่งลมสีเงินและเทพธิดาแห่งความเจริญรุ่งเรืองบนรถม้าก็ยังไม่จางหาย ท้ายที่สุดเทพธิดาองค์นั้นก็ไม่ได้ขยันเหมือนซีเว่ย เธอไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ มันจึงต้องใช้เวลาสักพักก่อนที่ตราสัญลักษณ์จะหายไป

ด้วยเหตุนี้มาร์นี่จึงผ่านด่านของลัทธิกระดูกเน่า และนำลีอาไปที่ค่ายผู้ลี้ภัยนอกเมืองเตรียมรับกลุ่มผู้ลี้ภัยเป็นผู้เล่นใหม่…

——————————————————————————————————————————————————-

“อาจเป็นเพราะสงครามของจักรวรรดิวัลลาในรัฐโรมินอส ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องพลัดถิ่นและกลายเป็นผู้ลี้ภัย” หัวหน้าสาขาตอบอย่างหนักใจ
“เริ่มสงครามกลางฤดูหนาว? เรื่องจริงหรือ”
มาร์นี่ตะลึงทั้ง ๆ ที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นมาแบบสุ่ม ๆ
ฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่หนาวที่สุดของปี มีทั้งหิมะและหมอก มีเดือนแห่งความมืดมิดและหิมะอันเลวร้ายที่สามารถทำลายกองทัพทั้งหมดได้ง่าย ๆ
มีเพียงอาณาจักรที่ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งไฟเท่านั้นที่จะได้รับความคุ้มครองจากเทพเจ้าเพื่อให้รอดพ้นจากความเสียหายที่เกิดจากความหนาวเหน็บ ไม่เช่นนั้นกองทัพส่วนใหญ่จะสูญเสียความสามารถในการเดินทัพ และความสามารถในการต่อสู้ก็จะลดลง แม้ว่าพวกเขาจะถูกบังคับให้ต่อสู้ แต่การที่ฝ่ายป้องกันมีกำแพงเมือง พวกเขาก็จะสามารถกำจัดกองทัพที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองเป็นสิบเท่าได้อย่างง่ายดาย!
ในความเป็นจริงมีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรในโลกนี้ที่ว่าสงครามใด ๆ ที่ขยายไปถึงฤดูหนาวจะเข้าสู่ช่วงพักรบโดยปริยาย ซึ่งนี่กลายเป็นประโยชน์ต่ออาณาจักรเล็ก ๆ จำนวนมาก
“ตามคำประกาศของพระสันตะปาปาแห่งคริสตจักรสีขาวอันสว่างไสว ‘ลินท์’ เทพเจ้าแห่งแสงสว่างหนึ่งในเทพบิดรบนสวรรค์ กับ ‘คราตอส’ เทพเจ้าแห่งสงคราม มีความขัดแย้งที่ไม่สามารถลงรอยกันได้ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ ‘ราชากันพาส’ แห่งจักรวรรดิวัลลา ซึ่งศรัทธาในเทพเจ้าลินท์ และ ‘ดยุคซิลเวอร์ฮอร์น’ ซึ่งศรัทธาในเทพเจ้าคราตอส จึงเริ่ม ‘สงครามหนึ่งปี’ ตามความประสงค์ของพระเจ้า การต่อสู้ของพวกเขาคือเกมการพนันของเทพเจ้า
“พนัน…?”
“ใช่ พวกเขามอบเกียรติในการตัดสินชัยชนะให้ราชากันพาสและดยุคซิลเวอร์ฮอร์น เพราะหากก่อสงครามระหว่างเทพเจ้าขึ้นมาจริง ๆ อาจต้องมีฝ่ายอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมากมาย” หัวหน้าสาขากล่าว “พวกเขาจะรบกันที่รัฐโรมินอส หนึ่งใน 4 เมืองใหญ่ของอดีตจักรวรรดิเทียร์รา กล่าวกันว่าเมืองนี้ถูกทำลายจนเหลือเพียงซากปรักหักพัง และประชาชนในเมืองก็ได้กลายเป็นผู้ลี้ภัยและกระจัดกระจายไปทั่ว”
“…”
มาร์นี่ไม่ได้พูดอะไรขณะที่เขาเฝ้าดูหัวหน้าสาขาคาดเดาผลลัพธ์ของสงครามอย่างตื่นเต้น
หากเป็นในอดีต ภายใต้อิทธิพลของสภาพแวดล้อมทั่วไปในโลกใบนี้ เขาคงจะรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติ และเขาก็จะออกไปทำธุระของเขาหลังจากที่ไว้อาลัยให้กับรัฐโรมินอสสักพัก
แต่หลังจากที่เขากลายเป็นผู้เล่น เขาก็มีความคิดที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงหลังจากที่เขาได้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม
เทพเจ้าองค์นั้นได้มอบ ‘พร’ ที่เรียกว่า ‘ระบบ’ ให้ทุกคนที่ศรัทธาในพระองค์ และผู้ศรัทธาทุกคนก็จะกลายเป็น ‘ผู้เล่น’
เทพเจ้าแห่งเกมไม่ได้บังคับเหล่าลูกแกะของเขา พระองค์ไม่ได้เรียกร้องให้พวกเขาสวดอธิษฐานต่อพระองค์ทุกวัน หรือต้องเข้าพิธีมิสซาทุกวันอาทิตย์ และไม่ได้ต้องการให้ผู้ศรัทธาของเขาแสดงความเคารพต่อรูปสลักของพระองค์
กลับกัน ค่า EXP ที่พวกเขาต้องเก็บ มันก็เป็นเหมือนสิ่งที่คอยกระตุ้นพวกเขา มันเหมือนการให้กำลังใจจากเทพเจ้าแห่งเกม เพื่อกระตุ้นให้ผู้เล่นได้ออกไปสำรวจ เสี่ยงอันตราย และออกผจญภัยอย่างอิสระ เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ศรัทธาของเขาได้ทำตามที่หัวใจของตนต้องการ
แม้ว่าจะมีกเควสบางอย่างที่คล้ายกับคำบัญชาของเทพเจ้ามากระตุ้นเป็นครั้งคราว แต่พระองค์ก็ไม่ได้บังคับเลย ผู้เล่นสามารถเลือกที่จะยกเลิกหรือไม่รับเควสได้ตามใจ แม้ว่าส่วนใหญ่พวกเขาจะไม่ทำเช่นนั้น พวกเขาชอบที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของเควสนั้น ๆ และทำมันให้สำเร็จในแบบของตัวเอง เพื่อรับรางวัลจากเทพเจ้า
หากอธิบายว่าเทพเจ้าองค์อื่น ๆ นั่งอยู่บนหัวของผู้ศรัทธาอย่างสง่าผ่าเผย ดั่งเช่นนายทาสที่คอยแกว่งแส้เพื่อกระตุ้นและกดขี่ผู้ศรัทธาของตน ให้พวกเขาอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตน เทพเจ้าแห่งเกมก็เป็นเหมือนพี่และเพื่อน พระองค์เคยเฝ้าดูเหล่าผู้ศรัทธาอย่างเงียบ ๆ เฝ้าดูการเติบโตของพวกเขา พระองค์จะค่อย ๆ ผลักดันพวกเขาจากด้านหลังเพื่อให้พวกเขาข้ามผ่านอุปสรรคที่ยากลำบากได้สำเร็จ
ยิ่งไปกว่านั้น เทพเจ้าแห่งเกมก็ไม่ได้อาศัยคำพูดของนักบวชที่พูดผ่านคำภีร์ทางศาสนาเหมือนเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ที่มักจะบอกกับผู้ศรัทธาว่าเทพเจ้าสงสารพวกเขามากแค่ไหน เพื่อรับพวกเขาเข้าศาสนา
ในความเป็นจริง มาร์นี่สามารถสัมผัสได้ว่าเทพเจ้าแห่งเกมทรงรักลูกแกะของเขาทุกคน (ซีเว่ยจามอยู่ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์)
จากการเปรียบเทียบนี้ มาร์นี่พบว่าเทพเจ้าแห่งแสงสว่างและเทพเจ้าแห่งสงครามนั้นไม่สนใจมนุษย์เลยแม้แต่น้อย พระองค์ไม่สนใจเหล่าผู้ศรัทธาของตนเลย จนถึงจุดที่พวกเขาเริ่มสงครามที่จะทำให้ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต้องตาย และทำให้ครอบครัวหลายครอบครัวถูกทำลายอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพียงเพื่อ การพนัน…
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ราชาแห่งเทียร์ร่า ยังคงศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ไม่น่าแปลกใจที่เลยที่เทียร์ร่าจะโดนหุ่นเชิดของเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ทำลายล้างในโลกมนุษย์
มันเป็นความหดหู่ที่ไม่อาจพรรณนาได้ มาร์นี่รู้สึกอึดอัดมาก
เขารับจดหมายหลักฐานที่หัวหน้าสาขาส่งมาให้เขา และถอดแหวนที่พิสูจน์ว่าเขาเป็นสมาชิกของสมาคมหอการค้ากระดิ่งลมสีเงินคืนให้หัวหน้าสาขา ก่อนจะหันหลังจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อออกมาอยู่นอกอาคาร เขาก็สูดอากาศเย็น ๆ ของฤดูหนาวจนสุดปอด มาร์นี่พบว่าความอึดอัดในอกของเขาผ่อนคลายลง
“ข้าเริ่มคิดถึงพวกบ้านั้นในเมืองเริ่มต้นแล้วสิ…”
เขาไม่มีความคิดที่จะละทิ้งภารกิจในการเผยแพร่ศาสนาให้กับเหล่าผู้ลี้ภัย
แต่หลังจากที่เข้าใจว่าเทพเจ้าแห่งเกม อาจเป็นเทพเจ้าเพียงองค์เดียวที่ยืนอยู่ข้างมนุษยชาติ มาร์นี่จึงตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เขาจะพยายามรับผู้ศรัทธาเพิ่มโดยที่ไม่ดึงดูดความสนใจจากคริสตจักรอื่น ๆ ให้มากที่สุด
นอกจากนี้นี่ยังเป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่เขาซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดา สามารถช่วยเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่องค์นั้นได้
เมื่อมาร์นี่ขึ้นไปนั่งบนรถม้าเตรียมที่จะมุ่งหน้าไปยังค่ายผู้ลี้ภัยนอกเมือง เพื่อมองหาคนที่ควรค่าแก่การเผยแพร่ศาสนา ทันใดนั้น เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่รีบร้อนวิ่งออกมาจากตรอกก็ได้ดึงดูดความสนใจของเขา
เธอดูอายุ 16 หรือ 17 ปี และดูเหมือนว่ากำลังหลบหนีอะไรบางอย่างอยู่ ถึงกระนั้นรูปลักษณ์ที่มอมแมมของเธอก็ไม่อาจปิดบังใบหน้าที่สง่างามของเธอได้ ผมหางม้าสีบลอนด์ทองของเธอขยับไหว ในขณะที่เธอวิ่งผ่าน มันเหมือนว่าเธอได้นำความอบอุ่นมาสู่ฤดูหนาวอย่างลึกลับ
ในฐานะพ่อค้าที่มีประสบการณ์ที่เดินทางมาแล้วทุกสารทิศ เขามีภูมิต้านทานกับดักสาวงามสูงมาก มาร์นี่ไม่ใช่คนประเภทที่จะตกบ่วงเสน่ห์ของสาวงามได้ง่าย ๆ สิ่งที่ดึงดูดให้เขาสนใจในตัวเด็กสาวคือชื่อสีขาวที่ลอยอยู่เหนือหัวเธอ
<ลีอา ยาการัน>
ในขณะนั้นเด็กสาวก็ได้สังเกตุเห็นมาร์นี่ที่นั่งอยู่บนรถม้าของเขา เช่นเดียวกับที่เธอเห็นชื่อผู้เล่นที่มีลักษณะเดียวกับเธอลอยอยู่บนหัวของเขา
ในตอนแรกเธอรู้สึกกระวนกระวาย เธอหยุด และลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาอย่างลังเลว่า “โอ้ เทพเจ้าแห่งเกม เราจะมีชีวิตใหม่ได้อย่างไร”
มาร์นี่รีบพยักหน้าเข้าใจ เขาตระหนักว่าเธอเป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมเหมือนกับตัวเขา เขาจึงตอบกลับไปว่า “โอ้ เทพเจ้าแห่งเกม ทรงมอบชีวิตใหม่ให้กับเรา!”
มันเป็นรหัสผ่านแบบเปิดที่ระบบมอบให้โดยเทพเจ้าแห่งเกม มันก็คล้ายกับ ‘นะโม อมิตาพุทธ’ ในศาสนาพุทธ หรือ “ฟ้าดินไม่มีที่สิ้นสุด” ในลัทธิเต๋า หรือ “เส้นขนานและน้ำตาของคู่รัก” สำหรับแฟน ๆ ภาพยนตร์จีนเรื่อง ‘ปฏิบัติการฝ่าสุริยะ(Wandering Earth)’
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด มันเป็นรหัสลับที่มีเพียงผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมเท่านั้นที่จะรู้
มาร์นี่เปิดประตูรถม้าของเขาและทำท่าทางสื่อให้ลีอารีบเข้ามาซ่อนในรถ

โรงแรมในเมืองวิคกิดอร์

เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เวลากลางคืน แต่ทั้งห้องกลับมืดสนิท ผ้าสีดำหนาถูกแขวนไว้เหนือหน้าต่างเพื่อป้องกันไม่ให้แสงแดดอ่อน ๆ ในฤดูหนาวลอดเข้ามาในห้อง

หากมองดี ๆ จะยังเห็นร่าง 2-3 ร่างนั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้อง พวกเขาต่างสวมเสื้อคลุมสีดำบาง ๆ แต่กลับนั่งนิ่งแข็งทื่อไม่และกระดุกกระดิก ทำให้มีบรรยากาศแปลก ๆ ที่อธิบายไม่ได้ลอยอยู่รอบห้อง

ถ้ามีคนเดินหลงเข้ามาในห้องตอนนี้ พวกเขาอาจจะช็อกตายได้เพราะคนเหล่านี้ดูเหมือนศพมาก

และมันก็เป็นเรื่องจริงที่พวกเขาดูเหมือนศพ พวกลัทธิกระดูกเน่าที่มีอันดับที่สูงกว่าคาร์โล จะได้รับความเสียหายอย่างหนักจากพรของเทพเจ้าชั่วร้ายที่พวกเขาเคารพศรัทธา

แม้ว่าพวกเขาจะยังคงรักษาจิตใจของมนุษย์เอาไว้ได้ แต่ร่างกายของพวกเขาก็เหี่ยวแห้งและแข็งเหมือนท่อนไม้ แม้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งมาก แต่เมื่อมองจากสภาพภายนอกพวกเขาก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอีกต่อไป พวกเขาเหมือนครึ่งมนุษย์ครึ่งซอมบี้มากกว่า

ไม่รู้ว่าความเงียบเกิดขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว สาวกคนหนึ่งถึงได้ทำลายความเงียบลงขณะที่เขาหันไปหาคนที่นั่งอยู่บนเตียง

“โอ้ นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ เหตุใดท่านจึงมายังวิคกิดอร์…”

“พรศักดิ์สิทธิ์ในร่างของคาร์โลกลับมาหาข้า” คนที่ถูกเรียกว่า ‘นายท่านผู้ยิ่งใหญ่‘ ตอบเสียงแหบแห้ง “เขาตายแล้ว”

“อะไรกัน?!” ผู้ที่อยู่ข้างเตียงแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน

“ทักษะดาบของเขาเก่งกาจอยู่แล้วก่อนที่เขาจะเข้าร่วมกับเรา มนุษย์ส่วนใหญ่จะไม่มีวันเอาชนะเขาได้หลังจากที่เขาได้รับพร” ร่างอวบทางขวามือของ ‘นายท่านผู้ยิ่งใหญ่’ กล่าวว่า “อาจจะเป็นมุขนายกของศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสวหรือไม่ที่ฆ่าเขา? ถ้าไม่ใช่พวกมันแล้วใครจะทำ เอ๊ะ แต่ไม่มีโบสถ์ของศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสวอยู่ใกล้ ๆ…”

“ไม่ แมลงวันซากศพที่ข้าปลูกไว้ในร่างกายของเขา บอกกับข้าว่ามันคือเจ้าหญิง” นายท่านผู้ยิ่งใหญ่กล่าว

ห้องที่เงียบสงัดได้มีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น คนอื่น ๆ คิดว่าข้อมูลนี้ช่างฟังดูเหลือเชื่อ

ในฐานะหัวหน้าราชองครักษ์ของอาณาจักรเทียร์ร่า คาร์โลถือได้ว่ามีทักษะการต่อสู้เหนือมนุษย์ การจะเอาชนะเขาได้ คน ๆ นั้นจะต้องมีทักษะการต่อสู้ที่ท่วมท้นกว่าหรือจะต้องมีพลังเหนือธรรมชาติ แต่หลังจากที่คาร์โลได้รับพรจากเทพเจ้ากระดูกเน่า แม้ว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะทื่อกว่าเดิมเล็กน้อย แต่หลังจากขจัดปัญหาเรื่องพลังป้องกันและความแข็งแกร่งทางกายภาพที่จำกัดของร่างกายมนุษย์ไปแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก การจะเรียกเขาว่าเครื่องจักรสังหารนั้นไม่ได้ถือว่าเกินไปเลย

พอลองเปรียบเทียบเจ้าหญิงที่ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมที่ไม่มีอยู่จริงแล้ว เมื่อไม่มีศรัทธา เธอก็เป็นเพียงนักดาบธรรมดาที่มีฝีมือเล็กน้อย ยังไงเธอก็ไม่มีทางเอาชนะคาร์โลได้!

“เงียบ!” ชายที่ถูกเรียกว่า ‘นายท่านผู้ยิ่งใหญ่’ ตะคอกด้วยเสียงอันแหบแห้ง แม้ว่าเสียงเขาจะไม่ดัง แต่คนอื่นก็หยุดกระซิบกันทันที ห้องทั้งห้องจมลงสู่ความเงียบอีกครั้ง

กระดูกเน่าไม่ใช่ลัทธิที่ดีงามที่สมาชิกทุกคนมีความสามัคคีและความเท่าเทียมกัน ‘เฉพาะผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด‘ นี่คือหลักคำสอนของลัทธิ หากไม่ใช่เพราะคำสั่งห้ามของเทพเจ้าชั่วร้ายที่พวกเขาศรัทธา พวกเขาอาจจะฆ่ากันเองเพราะพรของกระดูกเน่าบนร่างกายของพวกเขาไปแล้ว และตอนนี้ ‘นายท่านผู้ยิ่งใหญ่’ ก็เป็นหนึ่งในสามมุขนายกผู้ชั่วร้ายของลัทธิกระดูกเน่า คำพูดของเขามีน้ำหนักมาก ผู้ศรัทธาทั่วไปจะไม่กล้าขัดขืนเขา

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนอาจทำใจเชื่อเรื่องนี้ได้ยาก แต่นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงมาที่วิคกิดอร์”

ในขณะที่เขาพูด ‘นายท่านผู้ยิ่งใหญ่’ ก็หยิบชามเงินและขวดแก้วขนาดเท่าฝ่ามือออกมา

เขาเปิดขวดอย่างเชื่องช้าและเทของเหลวสีเงินลงในชาม จากนั้นเขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะใช้เล็บอันแหลมคมกรีดเนื้อแข็ง ๆ ของเขาและหยดเลือดสีดำลงในชาม

ครู่ต่อมา ของเหลวสีเงินในชามก็เริ่มปั่นป่วน จากนั้นกะโหลกศีรษะที่ดูแปลกประหลาดก็ได้ลอยขึ้นมาเหนือชาม

เมื่อกะโหลกปรากฏขึ้น ผู้ศรัทธาในลัทธิกระดูกเน่าทั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็นอนราบลงไปกับพื้น ราวกับว่ามีน้ำหนัก 10,000 ตันกดหน้าผากพวกเขาติดแน่นกับพื้นด้วยความกลัว

ถึงจะไม่มีอะไรที่คล้ายกับเส้นเสียง แต่กระโหลกก็ยังสามารถพูดได้

มันเป็นเสียงแหลมบาดหูราวกับว่ามีของคม ๆ บางอย่างกำลังข่วนบนกระดานดำ และก๊าซพิษสีดำที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายลอยก็ออกมาจากน้ำในชาม เมื่อมันสัมผัสกับร่างของมนุษย์ มันก็จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อวิญญาณของพวกเขา

เสียงนั้นแม้จะเป็นคนหูหนวกก็ยังสามารถได้ยินเสียงเรียกจากนรกได้ในสมองของพวกเขา เฉพาะผู้ที่มีศรัทธามั่นคงที่สุดเท่านั้นที่จะสามารถทนต่อผลกระทบของมันได้

นั่นเพราะนี่คือเสียงของเทพเจ้าที่ชั่วร้าย

[ข้าได้กลิ่นเทพเจ้าที่ข้าไม่รู้จัก!]

[จับเธอมาและเซ่นสังเวยเธอเป็นเครื่องบูชาให้กับกระดูกเน่าผู้ยิ่งใหญ่!]

[ข้าจะกลืนกินอำนาจของเทพเจ้าที่เธอศรัทธา!]

“ตามที่ท่านต้องการ เทพเจ้าของข้า”

มีเพียงมุขนายกผู้ชั่วร้ายของลัทธิกระดูกเน่าเท่านั้นที่ยังมีสติต่อหน้าเทพเจ้า เขาไม่ได้นอนแผ่บนพื้นและตัวสั่นเทาดั่งเช่นสาวกคนอื่น ๆ เขาสามารถโต้ตอบกับเทพเจ้าที่เขาเคารพได้

กะโหลกที่สร้างขึ้นจากของเหลวสีเงินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจก่อนที่จะหายไป มันได้กลับไปสู่สภาพของเหลวและร่วงลงไปในชามอีกครั้ง

ในตอนนั้นเอง คนอื่น ๆ ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดพวกเขาก็สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้

“เช่นเดียวกับที่เทพเจ้าของเรา ท่านกระดูกเน่าได้กล่าวไว้ จงเร่งค้นหาเจ้าหญิงและเซ่นสังเวยเธอให้กับเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเรา! เทพเจ้ากระดูกเน่าจะกลืนกินเทพเจ้าองค์อื่นเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งใหม่! เมื่อวันนั้นมาถึง เราก็จะไม่ต้องหลบซ่อนอยู่ในเงามืดอีกต่อไป และเราจะสามารถโต้กลับเหล่าศาสนจักรที่อ้างตัวว่าเป็นผู้ชอบธรรมเหล่านั้นได้!” บิชอปผู้ชั่วร้ายยกชามเงินขึ้นเหนือหัว นี่เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าอันเหี่ยวแห้งของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความหลงใหลอย่างบ้าคลั่ง “กระดูกเน่าจะเดินบนพื้นดิน!”

“กระดูกเน่าจะเดินบนพื้นดิน!”

“วิลฟ์ เจ้าลองคิดดูใหม่ไม่ได้หรือ”

หัวหน้าสาขาของสมาคมหอการค้ากระดิ่งลมสีเงินในวิคกิดอร์ พยายามเกลี้ยกล่อมหัวหน้าคาราวานพ่อค้าด้วยความอดทน “ในปีนี้เจ้าไม่สามารถหาสมาคมหอการค้าไหนที่ดีเท่ากระดิ่งลมสีเงินได้แล้วนะ หากเจ้าออกไปตอนนี้ ความสำเร็จที่เจ้าสะสมมาก่อนหน้านี้ก็จะหายไปโดยเปล่าประโยชน์!”

“ไม่เป็นไร ข้าได้เตรียมใจไว้แล้ว” มาร์นี่•วิลฟ์ตอบโดยไม่ลังเล

“เอาล่ะ ถ้าเจ้าตั้งใจไว้แล้วก็ช่างมันเถอะ…” หัวหน้าสาขาถอนหายใจ ก่อนที่จะประทับตราในใบลาออกของมาร์นี่ และปิดผนึกซองจดหมายด้วยครั่งสีแดงเพลิงเพื่อส่งต่อไปยังสำนักงานใหญ่ “แต่ บอกได้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงยืนกรานที่จะออก หรือเจ้าได้ค้นพบเส้นทางสายใหม่”

“ฮ่า ๆ ไม่มีอะไร ข้าแค่เลิกศรัทธาในเทพีแห่งความรุ่งเรือง” มาร์นี่เปลี่ยนหัวข้ออย่างราบรื่น “ช่างเรื่องนี้เถอะ ว่าแต่ ไม่มีผู้ลี้ภัยแถววิคกิดอร์เลยหรือ”

——————————————————————————

หลังจากที่เขามอบหมายเควสให้ผู้เล่นทั้งสองตรวจสอบชุมนุมลับดวงตา และส่งพวกเขาออกไป แองโกร่าก็เริ่มใช้ความคิด

ก่อนอื่นเขาไม่ควรหวังว่าพวกตัวตลกสองตัวนี่จะทำเควสสำเร็จ การที่พวกเขาวิ่งไปเจอหน่วยสอดแนมมันก็เป็นเพียงความบังเอิญล้วน ๆ และการที่พวกเขาจับหน่วยสอดแนมได้มันก็เพราะมีผู้เล่นคนอื่น ๆ คอยช่วยอยู่ หากมีคนบอกว่าพวกเขาสามารถแทรกซึมเข้าไปในชุมนุมลับดวงตาได้สำเร็จ แองโกร่าจะเป็นคนแรกที่ไม่เชื่อ

มันก็ดีพอแล้วหากพวกเขาไม่ลากศัตรูมาที่นี่

ไม่ว่ายังไง เขาจะต้องมอบหมายเควสนี้ให้กับผู้เล่นคนอื่น

“ข้ามีเหรียญเกม แต่คะแนนประสิทธิภาพมีปัญหานิดหน่อย” แองโกร่าเกาหัวด้วยความทุกข์ใจ

หลังจากผู้เล่นมาถึงเมือง การเพาะปลูกของเมืองก็รวดเร็วมากขึ้น อาหารส่วนเกินเขาก็สามารถแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินเกมได้มากมาย ซึ่งนั่นทำให้แองโกร่าร่ำรวยขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาเลยกำลังวางแผนที่จะปลูกพืชระดับที่สูงขึ้น

100 เหรียญเกมมันเป็นเพียงจำนวนเล็กน้อยสำหรับเขาในตอนนี้ แต่คะแนนประสิทธิภาพนั้นไม่ง่ายที่จะได้รับ

คะแนนประสิทธิภาพเชื่อมโยงกับความเจริญรุ่งเรืองของเมือง และการที่จะเพิ่มค่าความเจริญรุ่งเรืองของเมือง ก็จำเป็นจะต้องมีการก่อสร้างบ้านเรือนและอาคารให้มากขึ้น เมื่อคุณภาพชีวิตของประชากรมีเสถียรภาพ และมีบ้านว่าง ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองก็แทบจะหยุดชะงัก

นั่นคือเหตุผลที่คะแนนประสิทธิภาพนั้นมีค่ามากและต้องใช้จ่ายอย่างรอบคอบ

แองโกร่าแตะคางระหว่างใช้ความคิด ตอหนวดของเขาเริ่มขึ้นเมื่อเขาเกือบจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ มันให้ความรู้สึกหยาบเล็กน้อยเวลาสัมผัส

“ข้าต้องเลือกผู้เล่นที่น่าเชื่อถือสักคนมาทำเควสนี้…”

ในขณะนี้ผู้เล่นที่แองโกร่าคิดว่าน่าเชื่อถือนอกจากมาร์นี่ที่กำลังจะจากไป ก็คือเอ็ดเวิร์ดและสมาชิกในปาร์ตี้ของเขา แม้ว่ามาร์นี่จะดูโง่เป็นครั้งคราวและเขามักจะสรรหาวิธีฆ่าตัวตายแบบแปลก ๆ อยู่บ่อย ๆ แต่เขาก็มีมารยาทดีที่สุดในหมู่ผู้เล่น เขาเป็นอดีตหัวหน้ากองคาราวานพ่อค้า ความจริงเขาเหมาะกับการทำงานเป็นหมู่คณะและยังมีความสามารถในการแสดงอีกด้วย

สำหรับปาร์ตี้ของเอ็ดเวิร์ด พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มคนกลุ่มแรกที่ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมเท่านั้น แต่พวกเขายังเป็นผู้เล่นอันดับต้น ๆ อีกด้วย ทั้งในแง่ของเลเวลและความสามารถในการต่อสู้ ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขายังมีเครลิคที่มีทักษะชุบชีวิตอยู่ในปาร์ตี้ด้วย

ที่สำคัญ แม้ว่าเอ็ดเวิร์ดจะอายุน้อยกว่าแองโกร่านิดหน่อย แต่เขาก็มีความเป็นหัวหน้า เขาสงบและมีสมอง มันเป็นคุณสมบัติที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ได้โยนทิ้งหลังจากที่พวกเขาได้รับระบบมา และนั่นก็ทำให้พวกเขากลายเป็นพวกบ้าเหมือนในตอนนี้…

“วีลา เจ้าช่วยไปเรียกเอ็ดเวิร์ดและ…”

แองโกร่าหันไปหาวีลา เขาตั้งใจจะให้เธอไปพาปาร์ตี้ของเอ็ดเวิร์ดมา แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเขามองขึ้นไปบนหัวเธอ “บนหัวเจ้า…”

มันมีชื่อของเธอเขียนด้วยตัวอักษรสีขาวลอยอยู่ตรงนั้น

“ดูเหมือนว่าข้าจะมีมันหลังจากกลายเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริงของเทพเจ้าแห่งเกม” เธอยิ้มหวานให้กับท่าทางอึ้ง ๆ ของแองโกร่า

เมื่อเขาได้สติ แองโกร่าก็ยิ้มออกมาเช่นกัน

“จะรออะไรล่ะ? มาฉลองกันเถอะ!”

“เอ๊ะท่านลอร์ด ท่านไม่มีงานทำเหรอ” เธอเอียงคอถาม

“เอาไว้ก่อน การฉลองให้เจ้าสำคัญกว่า!” แองโกร่าพูดอย่างจริงจัง

“อือ…” ใบหน้าของเด็กสาวขึ้นสีแดง เธอดูเขินอายเล็กน้อย

“ใช่แล้ว! หากเจ้าสามารถเป็นผู้เล่นได้ นั่นหมายความว่าไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งไม่ให้ชาวเมืองคนอื่น ๆ กลายเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริงได้! พวกเขาทั้งหมดสามารถเป็นผู้เล่นได้! ด้วยสิ่งนี้ เมืองของเราก็จะปลอดภัยและมีพลังมากขึ้น!” แองโกร่าพูดออกมาอย่างตื่นเต้นโดยไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของวีลา “เพราะงั้นเราถึงต้องฉลอง!”

“โอ้ แสดงว่าเรากำลังฉลองเรื่องนั้นสินะ…”

“หืม? อะไรเหรอวีลา? ทำไมสีหน้าเจ้าดูไม่มีความสุขเลยล่ะ”

“ไม่มีอะไรท่านลอร์ด วันนี้เราจะไปฉลองในโรงแรมกันใช่ไหม”

“แน่นอน มีที่ไหนให้ฉลองได้ในเมืองนี้อีกเล่า”

“ดี” หญิงสาวแสยะยิ้มร้าย “บังเอิญว่ามีหลายอย่างในนั้นที่ข้ายังไม่ได้ลองกิน”

“…”

ด้วยเหตุผลบางอย่าง แองโกร่าเริ่มกังวลเรื่องกระเป๋าเงินของเขาเมื่อเห็นรอยยิ้มหวาน ๆ ของวีลา

ในที่สุด มาร์นี่ก็ออกจากเมือง

“หอการค้าเพิ่งสร้างสาขาย่อยในเมืองวิคกิดอร์…” เขาอ่านแผนที่เพื่อวางแผนการเดินทางขณะที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับรถม้า “แม้จะมีรถม้าแต่ก็ต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับ 2 วัน…ไม่สิ ถ้าข้ารีบ ข้าอาจกลับไปได้ในหนึ่งวัน”

มาร์นี่ถอนหายใจขณะที่เขาเก็บแผนที่

แม้กระทั่งตอนนี้ เมื่อเขาคิดถึงเรื่องเทพเจ้าแห่งเกมและระบบ มาร์นี่ก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง

เขาไม่เหมือนกับสาวกคนอื่นที่มีความรู้จำกัด พวกเขาไม่รู้ถึงความมหัศจรรย์ของระบบ แต่มาร์นี่ซึ่งอายุเกือบจะ 30 ได้เดินทางจากเหนือจรดใต้และเดินทางข้ามผ่านพื้นที่ส่วนใหญ่ของจักรวรรดิมาแล้ว

แม้ว่าเขาจะไม่ได้คิดว่าเทพเจ้าแห่งเกมเป็นเทพเจ้าที่ชั่วร้ายในทีแรก แต่เขาก็เชื่อว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะศรัทธาเทพเจ้าเช่นนั้น ความสามารถที่พวกเขาแสดงออกมาก็เป็นเพียงกลอุบายที่ผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมใช้เพื่อหลอกลวงให้ผู้อื่นเข้าร่วมศาสนา แต่แล้ว มุมมองของมาร์นี่ก็ต้องเปลี่ยนไปหลังจากที่เขาได้สัมผัสกับมันด้วยตัวเอง

ระบบสามารถช่วยให้ผู้คนสามารถเรียนรู้ทักษะดาบ เวทมนตร์ และศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ได้ในทันที หากบอกเขาว่านี่เป็นพรศักดิ์สิทธิ์ที่เทพเจ้าประทานให้กับมนุษย์ เขาก็เชื่อ

ต้องบอกว่ามีความแตกต่างระหว่างระบบและพรศักดิ์สิทธิ์ พรศักดิ์สิทธิ์มีหลายรูปแบบแตกต่างกันออกไป แต่ระบบของผู้เล่นมีเพียงสำเนาเดียว ทุกคนเริ่มต้นเท่าเทียมกัน (มาร์นี่ไม่รู้ว่าระบบนักบุญหญิงฝึกหัดของเอลีน่าไม่เหมือนกัน)

“แม้แต่เทพบิดรบนสวรรค์ทั้งเจ็ดก็ไม่อาจให้พรศักดิ์สิทธิ์ได้มากมายเช่นนี้…ข้านึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเทพเจ้าแห่งเกมนั้นทรงพลังเพียงใด…” มาร์นี่รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเมื่อเขานึกถึงเทพเจ้าทรงพลังที่อยู่เบื้องหลังเขา “ดูเหมือนว่าข้าจะต้องทำเควสที่เทพเจ้ามอบให้ให้สำเร็จ!”

[รับผู้ลี้ภัยเข้าร่วมกับศาสนจักรของเทพเจ้าแห่งเกม]

นั่นคือเควสลับที่เทพเจ้าแห่งเกมได้มอบให้กับเขา

บอกตามตรง มาร์นี่ไม่ได้จริงจังกับเควสนี้เท่าไหร่นัก ผู้ลี้ภัยโดยพื้นฐานแล้วเป็นคนไม่เรื่องมาก ตราบใดที่เขาให้ขนมปังพวกเขาสักชิ้น ด้วยเงื่อนไขที่ว่าพวกเขาต้องหันมาศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม พวกเขาก็จะทำโดยที่คิ้วของพวกเขาไม่ขมวดเลยสักนิด

“ไม่สิ…” แม้มาร์นี่จะมีความสุขเมื่อเขาจินตนาการไปถึงตอนที่เขาอวดรางวัลเควสให้กับผู้เล่นคนอื่นดูเมื่อกลับไป แต่ในไม่ช้ามาร์นี่ก็สงบลง “มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะกลายเป็นผู้เล่น…ชาวเมืองทั้งหมดก็เป็นสาวกเช่นกัน แต่ไม่มีใครที่เทพเจ้าแห่งเกมยอมรับ ผู้ศรัทธาที่ตื้นเขินไม่สามารถเป็นผู้เล่นได้ ดังนั้นเควสนี้จะต้องทำให้พวกเขากลายเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริงงั้นสินะ”

“ดูเหมือนว่าเวลาครึ่งวันจะไม่พอ ข้าคงต้องอยู่ห่างจากเมืองเริ่มต้นสักพัก”

————————————————————————-

แองโกร่าไม่เข้าใจพฤติกรรมของผู้เล่นเลย

แม้ว่าตอนแรกเขาจะอยากรู้อยากเห็นว่าระบบของเขาแตกต่างจากระบบของผู้เล่นคนอื่นอย่างไร แต่หลังจากที่เขาจับตาดูผู้เล่นมาระยะหนึ่ง เขาก็พบว่าความแตกต่างมันค่อนข้างใหญ่ อาจพูดได้ว่ามันเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

นั่นอาจเป็นเหตุผลที่แองโกร่าไม่เข้าใจความคิดของพวกเขา

พวกเขาทั้งหมดเห็นชัด ๆ ว่าเป็นมนุษย์ แต่พวกเขากลับต่อสู้กันอย่างบ้าดีเดือดเหมือนพวกออร์ค พวกเขามักจะไล่ฆ่ากันไปทั่วและไม่กลัวความตายเนื่องจากพวกเขาสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ แถมหลังจากที่ฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็ยังมานั่งคุยเรื่องประสบการณ์การตายขณะที่กินดื่มด้วยกันอีก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีพวกที่พึ่งจะตีกันให้ตายไปข้าง แต่ไม่นานพวกเขาก็หัวเราะแล้วกอดคอกันเข้าไปในโรงแรมเพียงแห่งเดียวของเมืองด้วยกันซะงั้น?

ระบบสามารถทำให้ทุกคนกลายเป็นคนที่ตรงไปตรงมา และไร้กังวลได้มากขนาดนี้เลยเหรอ?

แองโกร่ารู้สึกอิจฉานิดหน่อยที่พวกเขาสามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมาได้อย่างอิสระ

แน่นอน มันไม่ได้หยุดให้แองโกร่าเข้าใจว่าผู้เล่นเป็นพวกโง่ เนื่องจากพฤติกรรมต่าง ๆ ที่พวกเขาทำ อย่างเช่นเอาแต่มุ่งเน้นไปที่การอัพเลเวล หาไอเทมที่ดีขึ้น และใช้ชีวิตที่น่ารื่นรมย์ยิ่งขึ้นไปวัน ๆ กระนั้นขุนนางหนุ่มก็ไม่รู้เลยว่าเขากำลังแบ่งปันความรู้สึกนี้ร่วมกับเทพเจ้าของเขา

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเรื่องบ้า ๆ พวกนี้

เควสลับที่มาร์นี่ได้รับเมื่อตอนที่เขากำลังจะจากไป ได้กลายเป็นชนวนระเบิดที่นำไปสู่ความโกลาหลครั้งใหญ่ที่ลากยาวมาจนถึงตอนนี้

ถึงแม้ว่ามันจะนองเลือดและดูโหดร้ายป่าเถื่อน แต่การได้เห็นผู้เล่นกระโจนเข้าสู่วง PK แบบนั้น แองโกร่าก็คิดว่ามันดูน่าตื่นเต้นดี ความจริงมันไม่ใช่แค่เขาที่คิดแบบนั้น ชาวเมืองเองก็แอบเปิดหน้าต่างเพื่อชมการต่อสู้เช่นกัน แถมยังมีชาวเมืองผู้กล้าบางคนคอยส่งเสียงเชียร์ผู้เล่นที่พวกเขาสนิทจากที่ไกล ๆ ด้วย

ตอนนั้นเอง แองโกร่าก็คิดเรื่องน่าสนใจได้

หากมีผู้เล่นเพิ่มขึ้นมากพอ เขาอาจสร้างอารีน่ากลางเมืองให้พวกเขาต่อสู้กันเอง…และเขาก็จะยืนอยู่ข้างเวทีคอยขายตั๋ว

เขาจะต้องรวยแน่!

“ท่านลอร์ด ท่านจะทำยังไง!” ผู้เล่นสองคนที่คุกเข่าอยู่ในคฤหาสน์ขุนนางชั่วคราว (ซึ่งจริง ๆ แล้วคือบ้านของวีลา) กำลังเร่งเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เร็วเข้า!”

แองโกร่ารีบดึงสติกลับมา

ใช่ เมื่อเทียบกับเส้นทางสู่โชคลาภ เขายังมีปัญหายุ่งยากให้คอยจัดการอยู่

เมื่อผู้เล่นพากัน PK กันอย่างบ้าเลือดก่อนหน้านี้ ผู้เล่นสองคนก็ได้เผชิญหน้ากับ ‘สัตว์ประหลาด‘ สองตัว ในขณะที่พวกเขาดวลกัน ระหว่างที่พวกมันได้แอบเข้ามาใกล้เมืองเริ่มต้น

แม้ว่าคนพวกนี้จะมีความสามารถบางอย่าง แต่ทั้งคู่ก็ไม่อาจหลบหนีได้แม้ว่าพวกเขาจะขี่โจโคโบะ เนื่องจากมีผู้เล่นคนอื่นอยู่ใกล้ ๆ

หลังจากที่พวกเขาโดนรุมครั้งใหญ่ พวกเขาก็ถูกลากมาหาเขา

ผู้เล่นสองคนที่เจอพวกเขาก่อนได้คุยโม้กับแองโกร่าด้วยความภาคภูมิใจว่า “ท่านลอร์ด ถ้าไม่ใช่เพราะเควสที่เราได้รับมาระหว่างการต่อสู้ ท่านจะได้เห็นศพสองศพแทน!”

แองโกร่าอดไม่ได้ที่จะนึกค่อนแคะยู่ในใจว่า ‘ไร้สาระ คนที่เจ้าฆ่าจะยังมีศพเหลืออยู่ได้ยังไง!’

ถึงเขาจะแอบบ่น แต่แองโกร่าก็รู้สึกขอบคุณที่ผู้เล่นช่วยกันจับคนทั้งคู่มาให้เขา

แม้ว่าสองคนนี้จะได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด และไม่ยอมพูดอะไรสักคำแม้ว่าพวกเขาจะถูกทรมาน แต่มันก็ไม่มีความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าระบบ

<ท่านได้รับอำนาจออกเควสใหม่ – ตรวจสอบชุมนุมลับดวงตา>

<รายละเอียด: ท่านได้จับหน่วยสอดแนมสองคนจากชุมนุมลับดวงตาได้สำเร็จ หลังจากที่ชุมนุมลับได้ล่อให้กองทัพโครงกระดูกเข้าโจมตีเมืองไร้ชื่อ พวกเขาก็ได้ส่งคนมายืนยันว่ากองทัพโครงกระดูกได้ทำลายเมืองไร้ชื่อและสังหารขุนนางหนุ่มแล้วหรือไม่ การดำรงอยู่ของชุมนุมลับดวงตาได้คุกคามความปลอดภัยของเมืองที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ หากท่านต้องการที่จะกำจัดชุมนุมลับแห่งนี้แบบถอนรากถอนโคน ท่านต้องรู้จักอีกฝ่ายให้ดีพอ>

<เควส: ท่านสามารถมอบหมายเควส ‘ตรวจสอบชุมนุมลับดวงตา‘ ให้กับผู้เล่นจำนวนเท่าใดก็ได้ แต่การมอบหมายเควสแต่ละครั้ง จะมีค่าใช้จ่าย 20 คะแนนประสิทธิภาพ และเหรียญเกม 100 เหรียญ>

<รางวัลเควส: แบบแปลนหอสังเกตการณ์>

“พวกเขาเป็นหน่วยสอดแนมจากชุมนุมลับดวงตา”

แองโกร่าเหลือบมองคนทั้งคู่ที่นอนแผ่หราอยู่บนพื้นเหมือนขยะเปียก หลังจากถูกทรมานมาครั้งใหญ่

ชายในชุดคลุมเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่แองโกร่าอย่างสับสน เสียงของเขาแหบแห้งและเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ “ได้ยังไง…”

“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้าจะไม่รู้อะไรเลย ไร้สาระ เจ้าคิดว่าแผนการล่อกองทัพโครงกระดูกของเจ้ามาที่นี่นั้นไร้ที่ติงั้นรึ”

แองโกร่าประสานมือไว้ใต้คาง เขาหัวเราะอย่างเยือกเย็นขณะมองลงไปที่ชายในชุดคลุม “อย่าทำให้ข้าหัวเราะ”

“ถ้าเจ้ารู้มาตลอด…ทำไมเจ้าถึงต้องทรมานพวกข้าด้วย…” ชายในชุดคลุมถามออกมาอย่างขมขื่น เขาเข้าใจทันทีว่าแองโกร่าไม่ได้พยายามบังคับให้พวกเขาพูด เพราะเขารู้เรื่องกองทัพโครงกระดูกอยู่ก่อนแล้ว

“การทรมานศัตรูที่เข้ามาทำลับ ๆ ล่อ ๆ และทำลายความสงบสุขในดินแดนของข้านั้น ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล!” แองโกร่าประกาศอย่างหนักแน่น

ความจริงก็คือ ระบบมีเควสให้สองคนนี้ต้องถูกทรมานก่อนเควสหลักถึงจะออก

ถึงอย่างนั้นพวกนักโทษก็ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้

“เสร็จรึยัง ถ้าเสร็จแล้วเราฆ่าพวกมันได้เลยรึเปล่า” ผู้เล่นที่นั่งคุกเข่าอยู่ถามขึ้นมา “พวกมันคือ EXP!”

แม้ว่าจะคนจากชุมนุมลับดวงตาจะถูกผู้เล่นรุมจับ และมันก็ไม่เป็นไรที่จะปล่อยให้ผู้เล่นฆ่าพวกเขา แต่พวกเขาอาจมีประโยชน์ในภายหลัง ดังนั้นหลังจากคิดดูแล้ว แองโกร่าจึงตัดสินใจที่จะขังพวกเขาไว้แทน

“เรายังฆ่าไม่ได้” แองโกร่าสั่ง “โยนพวกมันลงไปในคุกใต้ดิน”

“ฮะ? เดี๋ยวก่อนสิ พวกมันเป็นสัตว์ประหลาดของพวกเรา! ท่านไม่อาจขโมยสัตว์ประหลาดของคนอื่นได้นะ!” ผู้เล่นที่อยู่ใกล้กับแองโกร่าตะโกนขึ้นมา

“ใช่! ทำไมท่านถึงเอา EXP และไอเทมของเราไป!” ผู้เล่นอีกคนเริ่มประท้วง

‘เจ้าพวกนี้ไม่รู้จักเคารพขุนนางของตัวเองเลยเหรอ?!’

แองโกร่ารู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจ แต่ในฐานะที่พวกเขาเป็นพี่น้องร่วมศรัทธาเดียวกัน เขาจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อพวกเขาได้

“หากอยากฆ่าเจ้าก็ฆ่า น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจมอบเควสลับให้พวกเจ้าได้” แองโกร่าแสร้งพูดขณะส่ายหัว

หูของผู้เล่นทั้งสองพลันตั้งขึ้นเมื่อได้ยินคำว่า ‘เควสลับ‘

พวกเขาเข้าใกล้แองโกร่าอย่างรวดเร็วราวกับว่าพวกเขาเป็นสุนัขและเริ่มเลีย

“มาคิดดูแล้ว ข้าเชื่อว่าข้ามีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะต้องร่วมมือกับท่าน ท่านลอร์ด ท่านไม่ต้องพูดซ้ำ ข้าจะรีบเอาพวกมันไปขัง!”

“ใช่! ถูกต้อง ดังนั้นหากท่านมีเควสลับหรืออะไรก็ตามโปรดส่งมาให้เรา!”

——————————————————————————————

มาร์นี่•วิลฟ์ยืนอยู่หน้ารถขนสินค้า ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดอย่างมากขณะที่เขามองไปทางเมืองเริ่มต้น

“ให้ตายเถอะ ถ้าข้าไม่ได้รับคำเตือนจากหอการค้าให้ไปรายงานตัว ไม่มีทางที่ข้าจะกลับไปเร็วขนาดนี้แน่!”

จากนั้นเมื่อมาร์นี่เห็นลอร์ดแองโกร่านำเอ็ดเวิร์ดและผู้เล่นคนอื่น ๆ มา สีหน้าเขาก็มืดมนลงทันที

เขาจับมือของแองโกร่า และยึดมือของเขาไว้แน่นโดยไม่สนใจความพยายามที่จะแงะมือออกของอีกฝ่าย เขาพูดออกไปอย่างจริงจังว่า “ท่านลอร์ดโปรดมั่นใจ การเดินทางครั้งนี้ของข้าคือการไปยื่นใบลาออกจากหอการค้า ข้าจะกลับมาที่นี่โดยเร็วที่สุด!”

“เยี่ยงนั้นรึ…”

แองโกร่าที่เพิ่งผ่านพิธีบรรลุนิติภาวะมายังคงเป็นเด็ก แต่เขาก็ตระหนักดีว่าเขาต้องอดทนในฐานะที่เขาเป็นขุนนาง แต่ถึงกระนั้นการที่เขาต้องมาถูกคุณลุงจับยึดเอาไว้แบบนี้ มันก็ทำให้เขาอึดอัดมาก แต่เขาก็ทำได้แค่ขยับยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาและกล่าวออกมาว่า “ข้าจะรอเจ้ากลับมา”

กลับกันผู้เล่นคนอื่น ๆ ผ่อนคลายกว่ามาก พวกเขาตะโกนโห่ร้องอยู่ข้างหลังว่า ‘มาร์นี่ เจ้าแค่อยากลงดันเจี้ยน!‘ ‘เจ้าจะไม่กลับมาก็ไม่เป็นไร จะได้มีที่ว่างให้คนอื่นลงบ้าง‘ หรือ ‘มาร์นี่ เจ้าจะไม่โดนโครงกระดูกทุบอีกแล้วเหรอ?’ นั่นทำให้หนังตาของมาร์นี่กระตุก

“หุบปากไปเลยเจ้าพวกก็อบลิน! อย่าลืมว่าพวกเจ้าเป็นผู้คุ้มกันที่ข้าจ้างมา! พูดอีกคำเดียวข้าจะให้พวกเจ้ากลับไปกับข้า!”

เขาโต้กลับอย่างดุเดือด ผู้เล่นที่เคยเป็นผู้คุ้มกันของเขาต่างพากันแสร้งทำเป็นมองไปรอบ ๆ บริเวณทันทีและหยุดส่งเสียงตะโกนโหวกเหวก

ด้วยการปรากฏตัวของเทพเจ้าในโลกใบนี้ สัญญาทุกฉบับมักจะลงนามในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นวิหารหรือโบสถ์ที่เทพเจ้าคอยเฝ้าดู ดังนั้นสัญญาในโลกนี้จึงเคร่งครัดกว่าในโลกเดิมของซีเว่ยมาก

พูดได้ว่าถ้ามาร์นี่ยืนยันที่จะให้พวกเขาทำงานต่อในฐานะผู้คุ้มกันกองคาราวาน พวกเขาก็จะต้องติดตามมาร์นี่ไป แม้ว่าพวกเขาจะไม่อยากไปแค่ไหนก็ตาม

ตอนนี้ปาร์ตี้ของเอ็ดเวิร์ดก็เพิ่งสำเร็จเควส ‘สำรวจหุบเขาแห่งความตาย‘ หลังจากที่พวกเขามีผู้นำแล้ว ผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็แทบรอไม่ไหวที่จะเข้าไปในหุบเขาเพื่อผจญภัยรับ EXP และเหรียญเกม ทำไมพวกเขาถึงอยากเสียเวลาพามาร์นี่กลับไปที่สำนักงานสาขาของหอการค้ากระดิ่งลมสีเงินด้วยล่ะ?

และมาร์นี่เองก็ไม่ได้ต้องการให้ผู้เล่นคนอื่น ๆ กลับไปกับเขา

ถ้ามีแค่เขา เขาก็จะได้รับ EXP และของดรอปจากสัตว์ประหลาดหรือศัตรูที่เขาพบในระหว่างทางทั้งหมด หากเขาพาผู้คุ้มกันไปด้วยเขาก็ต้องแบ่ง…การเดินทางกลับนั้นน่าเบื่อมากพออยู่แล้ว มันไม่สนุกเลย

ถึงเขาจะตายระหว่างทางเขาก็จะฟื้นขึ้นมาในเมืองไร้ชื่อ เมื่อเขาคุ้นเคยกับการทิ้งศพ มาร์นี่ก็คิดว่าเขาไม่มีอะไรให้ต้องกลัวอีกต่อไป!

ตอนนี้เมื่อเห็นว่าผู้เล่นคนอื่นไม่กล้าล้อเขาอีก มาร์นี่จึงปล่อยมือของแองโกร่าและเตรียมพร้อมที่จะออกจากเมืองด้วยท่าทางราวกับพระเอก MV

เอ็ดเวิร์ดและคนอื่น ๆ ตั้งใจมาส่งเขา ในฐานะสหายที่เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาระยะหนึ่งเท่านั้น

แต่ทันในนั้น พวกเขาก็เห็นมาร์นี่หยุดเดินอย่างกะทันหัน ดวงตาของเขาจ้องไปในอากาศ ขณะที่พึมพำออกมาว่า “เชี่ย! เควสลับ!”

“เจ้าว่าอะไรนะ?! เควสลับ?!”

นอกจากแองโกร่าที่มีระบบต่างกันแล้ว ผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที

“เควสลับอะไร? ข้า…อะแฮ่ม ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร!” มาร์นี่แกล้งโง่ทันทีเมื่อเขาหายตกใจ

“ไอ้#%&! เจ้ากะเก็บไว้ทำเองสินะ!” แม้แต่เอ็ดเวิร์ดที่มีนิสัยอ่อนโยนและสุภาพมาโดยตลอด ก็ไม่สามารถระงับคำหยาบได้

“มันเป็นเควสลับที่เทพเจ้าแห่งเกมมอบให้ข้าเป็นการชดเชย! อย่าแม้แต่จะคิดว่าเจ้าจะได้ส่วนแบ่ง!”

มาร์นี่เถียงกลับอย่างกล้าหาญ เมื่อเขารู้ว่าเขาไม่อาจเก็บมันเป็นความลับได้

“แม่ง! ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนแบบนี้ ข้าชักเหม็นหน้าเจ้าแล้ว! เรามาดวลกันสักตั้งดีกว่า!”

“เข้ามาเลย! ข้ามาร์นี่ ไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น!”

แม้ว่าเขาจะอยู่ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ แต่ซีเว่ยก็มักจะสอดแนมโลกเบื้องล่างอยู่เสมอ เขาเฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยความประหลาดใจ เมื่อผู้เล่นกลุ่มหนึ่งเริ่มต่อสู้กันเองในเมืองไร้ชื่อ…

ในตอนแรกมีเพียงแค่มาร์นี่กับเอ็ดเวิร์ดเท่านั้นที่ต่อสู้กัน แต่เมื่อการต่อสู้ดำเนินไปเรื่อย ๆ ผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่คันไม้คันมือก็เริ่มดวลกัน

หากซีเว่ยไม่ได้ตั้งกฎการดวลไว้เมื่อเขาออกแบบระบบเกม กฎที่จะบังคับให้จบการดวลเมื่อ HP ของผู้เล่นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลดลงเหลือครึ่งหนึ่งไว้ล่ะก็ การปล่อยให้ผู้เล่นฟรี PK ผู้เล่นกว่าครึ่งในวันนี้อาจจบลงด้วยการเสีย EXP

“พวกบ้าฝูงนี้กำลังทำอะไรกันอยู่? เควสลับของมาร์นี่ก็แค่การเข้าไปในเมืองและเผยแพร่ศาสนาให้กับผู้ลี้ภัยบางคนเท่านั้น…ฉันไม่เคยให้เอ็ดเวิร์ดกับคนอื่น ๆ ทำเควสแบบเดียวกันนี้มาก่อนรึไง”

ในความเป็นจริงก็คือเอ็ดเวิร์ดและเด็ก ๆ จากหมู่บ้านเคนนิงตันไม่ได้เห็นโลกมากนัก การที่พวกเขายังคงรักษาความได้เปรียบในแง่ของ EXP เมื่อเทียบกับผู้คุ้มกันคนอื่น ๆ แม้ว่าพวกเขาจะได้รับระบบนั่นก็เพราะว่า พวกเขาได้รับรางวัลเป็นไอเทมระดับอีปิคอย่าง Ring of Gospel เมื่อเด็ก ๆ ทำเควสสำเร็จ

ในขณะที่ผู้เล่นกำลัง PK กันอย่างมีความสุขนอกเมืองไร้ชื่อ คนปิดหน้าปิดตาสองคนก็ได้ขี่โจโคโบะ* เข้ามาใกล้เมือง

(โจโคโบะ เป็นสัตว์ขี่ในเกมไฟนอลแฟนตาซี มันมีลักษณะเป็นนกขนาดใหญ่สีเหลืองที่บินไม่ได้ สามารถขี่มันเป็นพาหนะหรือจะใช้มันทำอย่างอื่นได้หลายอย่าง)

“ทำไมพวกเบื้องบนถึงต้องการให้เรามายืนยันว่าเมืองเล็ก ๆ นั่นถูกทำลายไปรึยังด้วย ไม่เห็นจำเป็นเลย! ด้วยคลื่นกองทัพโครงกระดูกขนาดนั้น อย่าว่าแต่เมืองเล็ก ๆ เท่าหมู่บ้านนั่นเลย แม้แต่เมืองขนาดเล็กก็ยังต้องล่มสลาย” ร่างในชุดเกราะหนังบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ได้เข้าร่วมกับชุมนุมลับดวงตาเพื่อทำเรื่องแบบนี้นะ!”

“เจ้าจะรู้อะไร เมืองจะถูกทำลายหรือไม่ ไม่มีความหมาย เรามาที่นี่เพื่อตรวจสอบว่าบุตรคนเล็กของตระกูลเฟาสต์ตายรึยังต่างหาก!” อีกร่างหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมและตัวใหญ่กว่ามากตอบกลับ “ธูปหอมเรียกโครงกระดูกที่นักเล่นแร่แปรธาตุสร้างขึ้นเพื่อล่อโครงกระดูกนั้น มันไม่สามารถใช้เพื่อกำหนดเป้าหมายไปที่ใครคนใดคนหนึ่งได้”

“ข้าก็หมายความแบบนั้นแหละ! โครงกระดูกจำนวนมากขนาดนั้นจะไม่บดขยี้เจ้าขุนนางไร้ประโยชน์…หือ? เดี๋ยวก่อน ตรงนั้นดูแปลก ๆ รึเปล่า” ชายในชุดเกราะหนังหรี่ตาลงขณะที่เดินเข้าไปใกล้เมืองเริ่มต้น

“เอ่อ…เมืองนี้ไม่ใช่แค่ดูปลอดภัยและน่าอยู่ แต่ดูเหมือนว่าจะมีผู้อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นด้วย แต่…ทำไมพวกเขาถึงสู้กันเองล่ะ?” ชายในชุดคลุมสับสน

ตอนนั้นเองผู้เล่นสองคนก็ได้ PK เข้ามาใกล้ทั้งคู่โดยบังเอิญ

ผู้เล่นสองคนหยุดมองไปที่ผู้มาใหม่ทั้ง 2 ทันที

“เจ้าเป็นใคร? เจ้าใช่ผู้ส่งสารของเทพเจ้าที่มาที่นี่เพื่อมอบเควสลับให้เราไหม”

“ผู้ส่งสารของเทพเจ้าบ้านเจ้าสิ! เจ้าไม่เห็นแถบ HP บนหัวพวกมันเหรอ! มันเป็นสัตว์ประหลาด ฆ่าก่อนแล้วค่อยถามทีหลัง!”

จากนั้นชายสองคนจากชุมนุมลับดวงตาก็เฝ้ามองพวกเขาด้วยสายตาว่างเปล่า ขณะที่ผู้เล่นสองคนที่พึ่งฟัดกันเมื่อกี้วิ่งเข้ามาเตรียมแทงพวกเขา…

—————————————————————————————

นอกจากกองไฟแล้ว สภาพแวดล้อมโดยรอบก็ยังเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อผู้เล่นไม่ได้ให้ความสนใจ

ภายใต้แสงของกองไฟ มีกล่องสองใบปรากฏขึ้น ใบหนึ่งสีแดงและใบหนึ่งสีน้ำเงิน และกระโจมอีกหลังหนึ่ง

ยกเว้นมาร์นี่ที่ถูกวาร์ปออกไปเพราะความอยากรู้อยากเห็นของเขา คนอื่น ๆ ยังคงศึกษาสิ่งใหม่ ๆ ที่ปรากฏขึ้นรอบตัวด้วยความสนใจ

ดูเหมือนว่ากล่องสีแดงจะเรียกว่า ‘กล่องจ่าย’ ตามข้อความที่ลอยอยู่บนกล่อง และไม่มีอะไรอยู่ข้างในกล่อง ส่วนกล่องสีน้ำเงินเรียกว่า ‘กล่องรับ’ ผู้เล่นสามารถทิ้งส่วนผสมหรืออุปกรณ์ที่ดรอปในดันเจี้ยนที่พวกเขาไม่ได้ใช้ เพื่อกับแลกเหรียญเกมและ EXP ได้

ส่วนกระโจมยังมีเตียงที่เรียบง่ายตั้งอยู่ภายใน เอ็ดเวิร์ดลองเข้าไปนอนเพื่อทดสอบ ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่ามันช่วยฟื้นฟูพละพลังของเขาได้อย่างรวดเร็ว

“พวกเจ้าคิดว่านี่คืออะไร?” เอลีน่าปีนเข้าไปในเต็นท์ เธอเห็นรูปสลักขนาดเล็กที่มุมด้านใน

ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยเห็นรูปสลักมาก่อน ในหมู่บ้านเคนนิงตันก็มีช่างไม้เช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นรูปสลักนี้ก็ดูแปลกตามาก นอกจากตรงแท่นวางแล้ว มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าลูกบอลทรงกลมแปลก ๆ

“บางที มันอาจจะเป็นรูปสลักของเทพเจ้าแห่งเกม” หัวหน้าผู้คุ้มกันพูดขึ้นมาทันทีแบบไม่คิดเลยเมื่อเขาเห็นรูปสลัก

“ไม่มีทาง มันจะเป็นไปได้ยังไง นี่มันคือการดูหมิ่นเทพเจ้าของเราชัด ๆ!” โตวก้านหรือที่รู้จักกันในชื่อโกวต้านเถียงกลับอย่างรวดเร็ว เขาภักดีต่อเทพเจ้าแห่งเกมมากจนเขาเกือบจะกลายเป็นพวกคลั่งศาสนา

เอลีน่า โจ และเอ็ดเวิร์ดต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาทั้งหมดได้เห็นร่างมนุษย์ของซีเว่ยกับตามาแล้ว เทพเจ้าแห่งเกมจะเป็นลูกบอลได้ยังไง!

“โทษที ข้าแค่ล้อเล่น…ข้าศรัทธาต่อเทพเจ้าแห่งเกมมากเจ้าก็รู้” ปกติแล้วหัวหน้าผู้คุ้มกันจะไม่เถียงมากความกับเรื่องแบบนี้ เขาขอโทษอย่างสบาย ๆ ก่อนจะหยิบรูปสลักขึ้นมาดูอย่างระมัดระวัง แต่ไม่นานดวงตาของเขาก็หรี่ลงอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวก่อน ลองดูข้อความตรงฐานรูปสลักสิ”

[รูปจำลองของเทพเจ้าแห่งเกม สร้างขึ้นในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์]

“…”

คำว่า ‘เชี่ย‘ ปรากฏขึ้นในใจของทุกคนพร้อมกัน

“เป็นไปได้ไหมว่าคนที่เราพบก่อนหน้านี้จะเป็นร่างอวตารของเทพเจ้าแห่งเกม แต่รูปร่างที่แท้จริงของเขาคือลูกบอล” โจตัวสั่นขณะที่เขาพูดความคิดของเขาออกมา

“จะเป็นไปได้ยังไง…” โกวต้านช็อกมาก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้

เอ็ดเวิร์ดใช้เวลาเล็กน้อยในการจัดระเบียบความคิดของเขาก่อนที่จะแกล้งไอ

“อย่าตกใจ แม้ว่ารูปสลักนี้จะถูกสร้างขึ้นในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเทพเจ้าของเราเป็นลูกบอล” เขาอนุมานอย่างจริงจัง “แม้ว่าสาวกจะได้เข้าสู่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์หลังจากที่ตายแล้ว พวกเขาก็อาจไม่ได้พบกับพระองค์จริง ๆ! รูปปั้นนี้น่าจะเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นโดยสาวกบางคนที่ได้เข้าสู่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ข้าจำได้ว่าลุงมาร์นี่เคยกล่าวไว้ว่า เทพเจ้าแห่งเกมเป็นเทพเจ้าใหม่ที่พึ่งปรากฏขึ้นในรอบ 100 ปีมานี้ พระองค์แตกต่างจากเทพเจ้าโบราณ ไม่มีตำนานใดเกี่ยวกับพระองค์ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก มันเป็นเรื่องปกติที่จะไม่มีใครทราบว่าเทพเจ้าแห่งเกมควรถูกแกะสลักเช่นไร!”

“ใช่แล้ว! มันต้องเป็นแบบที่พี่เอ็ดเวิร์ดพูดแน่!” ใบหน้าของเอลีน่าสดใสขึ้น

แม้แต่โกวต้านที่มุมมองชีวิตเพิ่งสั่นคลอนก็สงบลง เขาพยักหน้าอย่างเชื่อมั่น

มีเพียงหัวหน้าผู้คุ้มกันเท่านั้นที่ยังคงสงสัย แต่เขาก็ไม่โง่ที่จะพูดมันออกมาตอนนี้

“ถ้าให้ข้าเดา การที่มันถูกเก็บไว้ในกระโจม มันอาจจะเชื่อมโยงไปถึงเควสลับก็ได้!” เอ็ดเวิร์ดพูดต่อ “มันน่าจะเกี่ยวข้องกับสาวกรุ่นพี่ที่ได้เข้าสู่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์!”

“จริงเหรอ! แล้วเราจะเริ่มเควสลับได้ยังไง”

“อู้ววว ข้าขนลุกเลย!”

“เร็วเข้า รีบพูดมา!”

ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ซีเว่ยเฝ้ามองเอ็ดเวิร์ดวิเคราะห์ทุกอย่างแม้ว่าเขาจะเดาไม่ถูกเลยก็ตาม

เขาอดไม่ได้ที่จะพบว่ามันตลกมาก เขาสร้างรูปสลักของตัวเองขึ้นมาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแคมป์ไฟ

ด้วยรูปสลักศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ย มันจะทำให้พวกเรเวแนนท์บางตัวในหุบเขาแห่งความตายไม่เข้ามาทำลายแคมป์ไฟ

นอกจากนั้นรูปสลักยังได้เพิ่มพลังให้กับเทเลพอร์ต เพื่อให้เขาสามารถเคลื่อนย้ายผู้เล่นไปยังจุดหมายที่เกี่ยวข้องได้ง่ายขึ้น และเนื่องจาก ID ของผู้เล่นเชื่อมโยงกับระบบ ดังนั้นซีเว่ยจึงไม่ต้องกังวลว่าผู้เล่นจะพยายามใช้กลอุบายใด ๆ กับมัน

รูปสลักนี้ถูกสร้างขึ้นจากเศษซากที่เหลืออยู่ หลังจากที่ซีเว่ยได้ดูดซับแก่นพลังงานจากสัตว์ประหลาดที่ผู้เล่นสังเวยมา ปกติแล้วมันก็ไม่ได้ต่างจากเหรียญเกม แต่มันได้รับพรพิเศษจากซีเว่ย ทำให้ผู้เล่นสามารถเล่นมันได้ในระยะรอบแคมป์ไฟเท่านั้น พวกเขาจะไม่สามารถนำมันออกไปได้

นอกจากนี้หลังจากผู้เล่นออกจากแคมป์ไฟแล้ว รูปปั้นศักดิ์สิทธิ์จะถูกส่งกลับไปยังตำแหน่งเดิมภายในกระโจม ไม่ว่าพวกเขาจะวางมันทิ้งไว้ที่ไหนก็ตาม

ซีเว่ยได้สร้างรูปสลักนี้ขึ้นมากว่าร้อยรูป ทุกครั้งที่ผู้เล่นขยายอัตราการสำรวจหุบเขาแห่งความตายขึ้น 1% เขาจะทิ้งมันหนึ่งอันไว้ในแคมป์ไฟใหม่เรื่อย ๆ จนกระทั่งสิ้นสุดการสำรวจหุบเขา

“เอาล่ะ ด้วยวิธีนี้ระบบดันเจี้ยนในหุบเขาก็เสร็จเรียบร้อย ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่นและรายได้ในดันเจี้ยน” ซีเว่ยพยักหน้าพอใจกับผลงานของเขา

แต่ไม่นาน หน้าตาเขาก็บูดบึ้ง

หลังจากที่เอลีน่าและคนอื่น ๆ ประสบความสำเร็จในการเผยแพร่ศาสนาให้กับคาราวานพ่อค้า และทำให้เขาได้รับพลังศรัทธามากมาย จนพลังศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบันของเขามีความมั่นคง แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้รับผลกำไรอะไรเพิ่มเติมเลย

หลังจากที่เขาสร้างรูปสลักและไอเทมต่าง ๆ สำหรับดันเจี้ยนเสร็จ ซีเว่ยก็พบว่าพลังงานสำรองของเขาเหลือน้อยอย่างน่าสมเพชอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งอำนวยความสะดวกในดันเจี้ยนใหม่ของหุบเขาแห่งความตายก็จำเป็นที่จะต้องได้รับการบำรุงรักษาทุกวัน นี่ไม่ต้องพูดถึงสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในหมู่บ้านเริ่มต้น รวมถึงพืชในฟาร์มที่บริโภคพลังศักดิ์สิทธิ์ในช่วงนอกฤดูกาลเพาะปลูกเกินงบ

เมื่อสิ่งต่าง ๆ ยังดำเนินต่อไปเช่นนี้ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขามีก็จะร่อยหรอลงทุกวัน หากเขาไม่สามารถคิดหาวิธีดี ๆ ได้ ซีเว่ยอาจจะต้องอยู่ในหมู่บ้านเริ่มต้นและหุบเขาแห่งความตายไปสักพัก

ขณะที่ซีเว่ยกำลังคิดถึงแผนการในอนาคตที่จะรับสมัครสาวกใหม่ เขาก็สังเกตเห็นมาร์นี่ที่ถูกวาร์ปกลับมาที่เมืองเริ่มต้นก่อนคนอื่น ๆ กำลังนำรถบรรทุกสินค้าของเขาออกจากเมืองและเตรียมตัวออกเดินทาง

หลังจากมองงง ๆ อยู่พักหนึ่ง ซีเว่ยก็เข้าใจ

แม้ว่ามาร์นี่•วิลฟ์จะเข้าร่วมศาสนจักรเทพเจ้าแห่งเกม แต่เขาก็มีตัวตนอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือสมาชิกของหอการค้ากระดิ่งลมสีเงิน

เขาอยู่ในเมืองเริ่มต้นมาสักพักแล้ว ตอนนี้เขาต้องกลับไปที่หอการค้าเพื่อรายงานตัว

ซีเว่ยใช้หนวดลูบคางขณะที่คิดกับตัวเองว่า “อืม เพื่อนคนนี้น่าจะใช้การได้…”

———————————————————

ลีอาเฝ้าดูศพของคาร์โลค่อย ๆ จางหายไปในอากาศราวกับควัน

ศัตรูทั้งหมดที่ผู้เล่นฆ่า จะถูกสังเวยให้เทพเจ้าแห่งเกม มันเป็นกฎที่มาพร้อมกับพรของระบบ

ความจริงซีเว่ยซึ่งเฝ้าดูทุกอย่างมาตั้งแต่ต้น สามารถเลือกที่จะไม่รับศพของคาร์โลและปล่อยให้ลีอาฝังอดีตอาจารย์ของเธอได้ แต่เขาก็ไม่ทำ

หากเขาเริ่มให้เกียรติเหล่าสาวกในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ทุกครั้ง พวกเขาก็จะชินกับมัน แม้ว่าพวกเขาจะขอบคุณความมีเมตตาของเขาในช่วงแรก แต่เมื่อพวกเขาถูกละเลยในอนาคต มันจะก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างมากในหมู่สาวก และอาจหนักถึงขั้นที่พวกเขาหันหลังให้กับศาสนจักรของเขา

ดังนั้นเทพเจ้าจะต้องรักษาระยะห่างจากสาวก หากพวกเขาใกล้ชิดกันมากเกินไป สาวกก็จะสูญเสียความเคารพที่พวกเขามีต่อเทพเจ้า

“ฝ่าบาท…” บอริสมองไปที่กระดูกสีดำชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ในจุดที่ศพของคาร์โลหายไป จากนั้นทัศนคติของเขาที่มีต่อลีอาก็มีความเคารพมากขึ้น

แม้ว่าลีอาจะเข้าร่วมการต่อสู้กับสัตว์ร้ายและสัตว์ประหลาดกับพวกเขาในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา และเธอก็มีพลังมากพอที่จะระเบิดพลังรับ EXP ในอัตราส่วนที่มากที่สุดในปาร์ตี้ไป แต่ในสายตาของเขา เธอก็ยังคงเป็นเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์

แต่ตอนนี้บอริสได้ค้นพบแล้วว่า ลีอามีพลังมากจนแม้แต่คาร์โล บุคคลที่อยู่ยงคงกระพันในสายตาเขา ยังพ่ายแพ้ให้กับเธอได้อย่างง่ายดาย

เธอคู่ควรกับคลาส ‘เจ้าหญิงนักรบ’ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากเทพเจ้าแห่งเกมโดยตรง เธอแตกต่างกับทหารธรรมดาทั่วไปเช่นพวกเขา…

ลีอาหายจากอาการซึมเศร้าแล้ว

ในความเป็นจริง แม้แต่ลีอาเองก็ไม่นึกมาก่อนเลยว่าความสามารถของเธอจะเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้หลังจากได้รับระบบ เนื่องจากเธอไม่เคยต่อสู้กับคนด้วยกันมาก่อน และระบบเองก็มีคำศัพท์ที่คลุมเครือมากในคำอธิบายทักษะ เธอจึงไม่รู้เลยว่ามันทรงพลังมากเมื่อเทียบกับทักษะดาบที่เธอเคยเรียนมา

เมื่อคาร์โลพบเธอ เธอก็เตรียมใจที่จะตายไว้แล้วเช่นเดียวกับบอริส แต่เมื่อเธอเริ่มสู้ เธอก็พบว่าพลังของทักษะจากระบบนั้นเหนือความคาดหมายของเธอโดยสิ้นเชิง แม้แต่คาร์โลก็ไม่สามารถป้องกันมันได้ เขาพ่ายแพ้หลังจากที่เธอโจมตีไปเพียงไม่กี่ครั้ง!

ถึงคาร์โลเองจะถูกเธอจัดการเพราะเขาไม่เข้าใจในทักษะของเธอ แต่ลีอาก็รู้ว่าเธอจะไม่แพ้ แม้ว่ามันจะเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัวอย่างยุติธรรมก็ตาม!

สิ่งนี้ทำให้เด็กสาวรู้สึกประชดประชันอยู่ในใจ

หากคาร์โลยังคงศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมและยึดมั่นในศรัทธานานกว่านี้อีกสักหน่อย เขาก็จะได้รับพลังที่มากมายเกินกว่าพรของเทพชั่วร้าย และหนทางแห่งการแก้แค้นของเขาก็จะไม่มีผู้ใดสามารถหยุดเขาได้ น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถรอได้อีกเพียง 2-3 วันหลังจากที่อดกลั้นมาได้นานขนาดนั้น เขาได้เข้าร่วมกับเทพเจ้ากระดูกเน่า และหันหลังให้กับเทพเจ้าแห่งเกม จากนั้น สุดท้ายเขาก็ต้องมาจบลงแบบนี้

มันช่างน่าเศร้า

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หน้าอกของลีอารู้ก็สึกร้อนรุ่ม ด้วยพลังของระบบ เธออาจสามารถกู้คืนฐานลับของเธอในแลงคาสเตอร์ได้

แต่ถึงกระนั้น เธอก็ปฏิเสธมันทันที แม้ทักษะดาบของเธอจะน่าเกรงขาม แต่เธอก็ยังคงเป็นมนุษย์ เธอไม่ได้มีพลังเหนือธรรมชาติและสามารถถูกฆ่าได้อย่างง่ายดาย ท้ายที่สุดลัทธิกระดูกเน่าจะต้องมีตัวตนที่ทรงพลังอยู่ในหมู่พวกเขาแน่ ซึ่งนั่นหมายความว่าทักษะระดับต่ำ จะไม่มีประสิทธิภาพพอในการต่อสู้กับพวกเขา

ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าลัทธิกระดูกเน่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเธอ แต่พวกเขาก็มีจำนวนมากกว่ากลุ่มของเธอที่มีกันอยู่เพียง 6 คน ด้วยจำนวน MP และ HP ที่จำกัด พวกเธอจึงไม่อาจทำลายลัทธินี้จนสิ้นซากได้

ดังนั้นตอนนี้ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการไปยังเมืองเริ่มต้นตามเควสที่เธอได้รับ ซึ่งที่นั่น พวกเขาจะสามารถสรรหาผู้เล่นมาช่วยเหลือพวกเขาได้ เมื่อจำนวนคนเพียงพอ พวกเขาก็จะกลับไปที่แลงคาสเตอร์และทำลายลัทธิกระดูกเน่าจนไม่เหลือซากในทีเดียว!

“รอทุกคนมารวมตัวกันก่อน” ลีอาเก็บดาบเข้าไปในฝัก ผมสีบลอนด์สว่างของเธอขยับไหวเมื่อเธอพูดออกมาเสียงดังว่า “เราจะเดินทางต่อไปยังหุบเขาแห่งความตาย”

“ตามพระประสงค์ของท่าน ฝ่าบาท!” บอริสคุกเข่าลงข้างหนึ่งขณะตอบ เขาชื่นชมในความสง่างามของเจ้าหญิงจากใจ เธอค่อย ๆ คล้ายกับอดีตกษัตริย์ของพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อลีอาและปาร์ตี้ของเธอเอาชนะพวกสะกดรอยและเดินหน้าต่อไปยังเมืองเริ่มต้น ผู้เล่นในเมืองเริ่มต้นก็ไม่ได้อยู่เฉย

หลังจากที่เอลีน่าและคนอื่น ๆ ฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็รีบเพิ่มค่าชื่อเสียงให้เพียงพอ เพื่อที่จะซื้อคบเพลิงชำระล้างไมแอชม่าและตั้งปาร์ตี้ใหม่ โดยครั้งนี้มีหัวหน้าทีมผู้คุ้มกันกองคาราวานมาร่วมด้วยอีกคน เป็น 6 คน และมุ่งหน้าไปยังหุบเขาแห่งความตายอีกครั้ง

ขอบคุณประสบการณ์จากการสำรวจครั้งล่าสุด การเดินทางของพวกเขาในครั้งนี้ราบรื่นขึ้นมาก ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ในคบเพลิง มันก็ได้ไล่พวกเรเวแนนท์ระดับต่ำให้อยู่ห่าง ๆ และพวกเรเวแนนท์ระดับสูงรอบนอกหุบเขาก็เป็นศัตรูที่ดี มันไม่น่ากลัวเกินไป และพวกเขาทั้ง 6 ก็สามารถรับมือกับพวกมันได้

ถึงกระนั้นเควสการสำรวจก็ใช้เวลานาน เมื่อเหลือเพียงคบเพลิงอันสุดท้าย ในที่สุดทีมสำรวจหุบเขาแห่งความตายก็ได้มาถึงระดับ 1% ที่ต้องการ จากนั้นข้อความที่พวกเขารอคอยมานานก็โผล่ขึ้นมา

“มันบอกว่าเราต้องปักคบเพลิงอันสุดท้ายลงที่พื้น”

เอ็ดเวิร์ดที่เป็นหัวหน้าปาร์ตี้ทำตามคำอธิบายในเควส

เสี้ยววินาทีที่ปักคบเพลิงลงไปบนดิน เปลวไฟขนาดเท่ากำปั้นเหนือคบเพลิงก็ระเบิดออกทันที มันเผาผลาญแท่งคบเพลิงจนหมด ก่อนที่จะลอยขึ้นไปในอากาศและก่อตัวเป็นเสาเพลิงขนาดใหญ่!

คนทั้งตี้กระโดดถอยห่างออกไปอย่างตกใจ

อย่างไรก็ตามไฟไม่ได้ขยายตัว มันหดตัวลงและกลายเป็นกองไฟ เมื่อเอลีน่าและคนอื่น ๆ มองไปที่กองไฟ พวกเขาก็เห็นดาบยาวเป็นเกลียวประหลาดเสียบอยู่ตรงกลาง

“นี่อะไรน่ะ ดาบนี่เป็นรางวัลเควสรึเปล่า” ด้วยความยินดีที่ได้เห็นรางวัล มาร์นี่จึงเข้าไปดึงดาบ แต่ทว่า ร่างกายของเขากลับถูกเปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นมาแผดเผาและหายไปทันทีที่สัมผัสกองไฟ!

“!!!”

คนอื่น ๆ ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างกะทันหัน

“ข้าชุบชีวิตเขาไม่ได้…ลุงมาร์นี่ตายแบบไม่มีศพเหลือเลย” เอลีน่าพยายามร่ายเวทย์ชุบชีวิตไปยังกองไฟ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ต้องพูดว่าตาย ‘อีกแล้ว‘ ต่างหาก” มุมปากของโกวต้านกระตุก “เสียค่า EXP ไป 30%…ข้ารู้สึกว่าความพยายามของลุงมาร์นี่ในดันเจี้ยนครั้งนี้สูญเปล่าจริง ๆ”

“เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องเศร้า แต่ทำไมข้าถึงอยากจะหัวเราะ…” โจเกาแก้มอย่างทำตัวไม่ถูก

“เขาจะฟื้นขึ้นมาในอีก 3 วัน พวกเราไม่จำเป็นต้องไว้ทุกข์ให้เขาหรอก” หัวหน้าผู้คุ้มกัน สมาชิกใหม่ในปาร์ตี้แนะนำอย่างใจเย็น

“ไม่ พวกเจ้าผิดแล้ว ดูเหมือนว่าลุงมาร์นี่จะยังไม่ตาย ดูรายชื่อในปาร์ตี้สิ”

เอ็ดเวิร์ดลองยื่นมือเข้าไปทางกองไฟ แต่เขาไม่ได้สัมผัสกองไฟ ในไม่ช้าเขาก็เข้าใจ “ข้าเข้าใจแล้ว…กองไฟคือสิ่งที่เทพเจ้าของเราสร้างขึ้น มันจะส่งเรากลับไปยังไลฟ์สโตน! และครั้งต่อไปที่เราต้องการสำรวจหุบเขาแห่งความตาย เราก็สามารถเริ่มสำรวจต่อจากที่นี่ได้ทันที!”

——————————————————————–

คาร์โลไม่ได้อยากจะเถียงกับลีอาและองครักษ์ของเธออีกต่อไป ในฐานะอาจารย์สอนวิชาดาบและที่ปรึกษาด้านการใช้ชีวิตของลีอา เขารู้ดีว่าไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ความตั้งใจของลีอาก็จะไม่สั่นคลอน

มีแค่ทางเดียว นั่นคือการต่อสู้

เขายกดาบของเขาขึ้น และพุ่งเข้าหาลีอาราวกับสายฟ้าสีดำ

ด้วยบัฟเพิ่มความเร็วและความแข็งแกร่ง 10% การโจมตีของเขาจึงเร็วขึ้นมาก ในความคิดของเขา แม้ลีอาจะวิเคราะห์การโจมตีของเขาจากประสบการณ์ของเธอในระหว่างการฝึกซ้อม แต่เธอก็จะไม่มีทางหยุดการโจมตีนี้ของเขาได้!

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ถูกองครักษ์ที่อยู่ข้างกายลีอาขวางเอาไว้

“คาร์โล เจ้าจะไม่มีวันได้แตะต้องฝ่าบาท!” เขาคำราม

“บอริส…ข้าคิดว่ารองหัวหน้าเช่นเจ้าจะมีสมอง แต่ดูเหมือนว่าเจ้าก็ไม่ต่างกัน”

คาร์โลหัวเราะเยาะอย่างดูถูก

ทหารองครักษ์ทุกคนเป็นเขาที่ฝึกมาเองกับมือ เขารู้ระดับของทุกคนดี

แม้ว่าบอริสจะได้รับตำแหน่งรองหัวหน้า จากสมาชิกของกององครักษ์ทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาสามารถจัดการงานต่าง ๆ และสามารถช่วยเหลือเจ้าหญิงลีอาได้ดี ส่วนในแง่ของความแข็งแกร่ง เขาก็เป็นเพียงองครักษ์แถวล่าง!

ตอนนั้นเอง คาร์โลก็คิดว่าเขาสามารถใช้บอริสเพื่อข่มขู่และทำลายขวัญกำลังใจของลีอาได้

เมื่อเขาตัดสินใจแล้ว คาร์โลก็ไล่ต้อนบอริสด้วยการทักษะการฟาดฟันที่รวดเร็วและรุนแรง เขาใช้ประโยชน์จากช่องว่างที่อีกฝ่ายทรงตัวผิดพลาด ตัดข้อมือขวาของบอริสออก!

“มันจบแล้ว!”

บอริสกลายเป็นเพียงสุนัขไร้เขี้ยวที่ไม่มีพิษมีภัย เพราะมือขวาและอาวุธของเขาได้หายไป!

คาร์โลรู้ดีว่าสภาพแขนพิการของบอริสในตอนนี้ จะทำลายความมุ่งมั่นของเจ้าหญิงได้อย่างแน่นอน

แต่…

“มันยังไม่จบ!”

บอริสยังคงถือดาบอยู่ และยังคงเผชิญหน้ากับคาร์โลด้วยวิถีดาบที่เงอะงะของเขาต่อไป

เสียงเหล็กปะทะกันยังคงแจ่มชัด และนั่นก็ทำให้คาร์โลสับสน

‘ไม่สิ ข้าตัดมือขวาเขาทิ้งไปแล้วนี่‘ เขาคิด ‘แม้ว่ามันจะไม่ได้ถูกตัดออกจนหมด แต่มันก็ต้องใกล้ขาดแล้วแน่ ๆ …ทำไมแขนของบอริสยังดูไม่เป็นอะไร?’

“บินไปซะ!” บอริสตะโกน

“เจ้ากำลังพยายามทำให้ข้า นักดาบที่เก่งที่สุดในอาณาจักรหัวเราะด้วยทักษะดาบตลก ๆ นี่งั้นหรือ บอริส ไม่เพียงแต่ฝีมือของเจ้าไม่ดีขึ้น แต่เจ้ายัง…แย่ลง?!”

ก่อนที่คาร์โลจะพูดจบ เขาก็ถูกบอริสส่งลอยขึ้นไปในอากาศทันที

เห็นได้ชัดว่ากำลังข้อมือของบอริสไม่สามารถยกร่างใครลอยขึ้นไปได้ แต่เขาก็ลอย!

นี่ทำให้คาร์โลต้องตกตะลึง วิชาดาบเช่นนี้ไม่สมเหตุสมผลเลย!

แต่ในฐานะที่เขาเป็นทหารที่ดีที่สุดในเทียร์ร่า เขาก็หมุนตัวถ่ายน้ำหนักอย่างรวดเร็วและเหวี่ยงดาบเพื่อกดดันบอริส ขณะที่เขาร่อนลงพื้นอย่างมั่นคง

เกิดเรื่องแปลกติดต่อกันมา 2 ครั้งติด นั่นทำให้คาร์โลไม่กล้าดูถูกบอริสอีกต่อไป

เขาเริ่มจริงจังในการต่อสู้ เขาเหวี่ยงดาบออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ยิ่งสู้ คาร์โลก็ยิ่งรู้สึกแปลก

เห็นได้ชัดว่าบอริสถูกเขาแทงมา 3 ครั้งแล้ว คาร์โลสัมผัสได้ถึงแรงสะท้อนเมื่อดาบของเขาตัดร่างของบอริสและมีเลือดพุ่งออกมา แต่ถึงอย่างนั้นบาดแผลของบอริสก็หายไปในพริบตา ความพยายามของเขาที่จะตัดเอ็นข้อมือข้อเท้าของบอริสเพื่อหยุดการโจมตีนั้นเป็นไปไม่ได้เลย

ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาจะดีขึ้น 10% แต่การต่อสู้ที่ดุเดือดเป็นเวลานานก็ทำให้เขาเหนื่อยหอบ เขาหายใจแทบไม่ทัน แต่บอริสยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขาดูไม่เหนื่อยเลย!

ทุกอย่างแปลกมาก! เขาไปเจออะไรในช่วงสามวันที่ผ่านมา?!

แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ทำให้คาร์โลกังวลยิ่งกว่านั้นก็คือลีอาที่ยังไม่ได้เคลื่อนไหว

ความสามารถด้านการใช้ดาบของลีอานั้นดีมาก ก่อนที่เทียร์ร่าจะล่มสลาย ฝีมือของเธอยังเป็นหนึ่งในคนที่ดีที่สุดแม้จะอยู่ในกองกำลังพิทักษ์อาณาจักร และหลังจากที่เทียร์ร่าล่มสลายลง เธอก็ยังคงฝึกฝนอย่างหนัก และไม่เคยผ่อนคลายการฝึกของเธอเลย เพราะเธอมีหน้าที่ที่จะต้องล้างแค้นให้กับอาณาจักรของเธอ

นั่นทำให้ฝีมือดาบของเธอเป็นอันดับสองรองจากเขาในด้านของทักษะ

คาร์โลมั่นใจ 90% ว่าเขาสามารถเอาชนะเธอได้อย่างง่ายดายเมื่อสามวันก่อน นั่นเป็นเหตุผลที่เขาพยายามยั่วยุลีอา

แต่ตอนนี้การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของบอริส ได้ทำให้คาร์โลสูญเสียความมั่นใจ

เขาไม่รู้ว่าทำไมบอริสถึงมีพลังขนาดนี้ ถ้าบอริสยังขนาดนี้ แล้วความสามารถของเจ้าหญิงล่ะ เธอจะไม่ยิ่งแข็งแกร่งกว่าบอริสไปอีกหลายขุมเหรอ?

“บอริส ถอยออกมา”

ทันใดนั้นลีอาก็พูดขึ้น

คาร์โลไม่เข้าใจความคิดของลีอา เขาจ้องมองไปทางหญิงสาวที่มีสีหน้าเรียบนิ่ง แต่เขาก็ไม่ได้ยื้อบอริสต่อ เขาใช้โอกาสนี้เพื่อพักหายใจ

ไม่เหมือนกับคาร์โลที่ต่อสู้เหมือนคนตาบอด ลีอาสามารถมองเห็นค่าความอดทนของบอริสได้จากสถานะปาร์ตี้

เมื่อค่าความอดทนของเขาหมดลง เขาจะได้รับดีบัฟ ‘ความเหนื่อยล้า‘ และค่าสถานะของเขาจะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อ HP ของเขาหมด คาร์โลก็อาจฆ่าเขาได้ด้วยการแกว่งดาบเพียงครั้งเดียว

แม้ว่าเขาจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ แต่เธอก็ไม่ต้องการเห็นองครักษ์ที่ภักดีต้องเสียชีวิต

เมื่อเข้าใจความหมายของลีอา บอริสก็ถอยออกมาตามคำสั่ง แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจก็ตาม

“มาเปลี่ยนมือกัน”

หญิงสาวสะบัดดาบในมือเธอ จากนั้นก็ฟาดมันอย่างรุนแรง ทำให้ใบดาบสีเงินในมือเธอเปลี่ยนเป็นแส้ที่แหลมคมราวกับเกล็ดงู

คาร์โลถอนหายใจ “ข้าไม่เคยสอนให้ท่านใช้อาวุธหยาบ ๆ เช่นนี้นะฝ่าบาท…”

“เจ้าจะได้เห็นเองว่ามันหยาบรึไม่!” เธอเหวี่ยงแส้ใบมีดสะบัดเข้าใส่คาร์โล มันกรีดร้องเสียงแหลมขณะวาดผ่านอากาศ!

คาร์โลใช้ดาบปัดป้องมันอย่างรวดเร็ว แต่ตัวของเขากลับถูกส่งลอยกระเด็นออกไป เขาทำได้เพียงทรงตัวให้นิ่งหลังจากที่ต้องถอยหลังไป 2-3 ก้าว

เขาประหลาดใจมาก เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้น 10% ทำไมเขาถึงไม่สามารถป้องกันการโจมตีเพียงครั้งเดียวของเธอได้? เจ้าหญิงแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

ลีอาเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่คาร์โลก็หลบเลี่ยงการโจมตีของเธอได้เรื่อย ๆ

“ตราบใดที่ท่านคุ้นเคยกับมัน ท่านก็สามารถหลบหลีกมันได้เหมือนแส้นั่นแหละ! มันซ้ำซากมากเมื่อเทียบกับทักษะดาบของท่าน ฝ่าบาท” คาร์โลเยาะเย้ยเมื่อเห็นว่าเธอไม่มีเทคนิคอื่นใดนอกจากนี้อีกแล้ว และเขาก็กำลังหาจังหวะโต้กลับ

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ลองลิ้มรสทักษะดาบของข้าสิ คาร์โล!” ลีอาตอบกลับอย่างใจเย็น “กางเขนโลหิต!”

เธอบิดด้ามดาบทำให้ดาบแส้กลับคืนสู่รูปทรงเดิม ก่อนจะเหวี่ยงดาบฟันอากาศในแนวทแยงสองครั้งซ้อน จากนั้นไม้กางเขนสีเลือดก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ และพุ่งเข้าหาคาร์โลด้วยเสียงคำรามต่ำ

เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีนี้ได้แน่ ๆ คาร์โลก็ทำได้เพียงกัดฟันป้องกันมัน อย่างไรก็ตามรังสีดาบที่ทะลุการป้องกันก็ได้เฉือนเข้าที่ร่างของเขา

เธอเรียกของอย่างนี้ว่าทักษะดาบเหรอ? นี่มันเวทมนตร์ชัด ๆ!

“ท่าไม่ดีแล้ว…” อาการบาดเจ็บทำให้คาร์โลตอบสนองได้ช้าลง เขาก้าวช้ากว่าลีอาไปหนึ่งจังหวะ

ลีอาพุ่งเข้ามาหาเขาและแทงทะลุหัวใจของเขาด้วยวิชาดาบที่คาร์โลเคยสอน!

“พลังนั้น…ท่านได้มันมาจากไหน…”

ขณะที่ลีอาดึงดาบออก ร่างของคาร์โลก็ล้มลงกับพื้น เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจบอกได้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกันแน่

“มันคือพรจากเทพเจ้าแห่งเกม” หญิงสาวตอบ “เทพเจ้าที่เจ้าทรยศ”

“งั้นเหรอ…ข้า…สายเกินไปสินะ…” คาร์โลพูดออกมาอย่างไม่มีความสุข ดวงตาของเขาค่อย ๆ ไร้แววขณะที่เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า “ข้าขอโทษลีอา…ข้าก็แค่อยากแก้แค้น…ข้า ข้าเกลียด…”

ลีอาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดเธอก็ย่อตัวลงไปเพื่อปิดตาของคาร์โลเบา ๆ จากนั้นเธอก็พูดออกมาว่า

“ข้าจะล้างแค้นให้ท่านเอง” เธอพูดเบา ๆ “ขอให้วิญญาณของท่านได้พบกับความสงบสุข”

————————————————————————————————–

ลีอากำลังเดินไปตามถนนและมองหาสถานที่เติมเสบียงอย่างระมัดระวัง

แม้ว่าผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมจะไม่ถูกเกลียดขี้หน้าจนถึงขนาดโดนไล่ตะเพิด แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ยิ่งไปกว่านั้นลีอายังเป็นถึงอดีตเจ้าหญิง เธอเป็นอาชญากรที่ทางการต้องการตัว หากเธอเดินเข้าโรงแรมหรือบาร์เพื่อซื้ออาหาร เธอจะกลายเป็นจุดสนใจอย่างแน่นอน

มันสะดวกกว่าที่เธอจะหาเสบียงจากร้านค้าของศาสนจักรที่เป็นกลาง

“ฝ่าบาทเรากำลังถูกสะกดรอย” องครักษ์คนหนึ่งกระซิบบอกเธอ

ลีอาไม่ได้หันไปมอง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกสะกดรอยตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเธอมีมาตรการตอบโต้กับพวกที่สะกดรอยตามเธอแล้ว

เธอแสร้งทำเป็นสนใจของเก่าที่วางอยู่บนแผงขายของริมถนน สีหน้าเธอดูสนใจสินค้าขณะพูดคุยอย่างร่าเริงกับองครักษ์ที่เตือนเธอ

“พวกเราถูกพบโดยพวกนักบวชรึเปล่า? เจ้าเห็นไหมว่าเป็นใคร”

“ขออภัยฝ่าบาท” องครักษ์ส่ายหัว “พวกมันซ่อนตัวเก่งมาก โชคดีที่เรายังสามารถพบร่องรอยของพวกมันได้”

ใครก็ตามที่มองจากภายนอกอาจจะคิดว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน น้องสาวต้องการของบางอย่างจากแผงขายของริมถนน ในขณะที่พี่ชายคัดค้าน

“ถ้าไม่รู้ งั้นเราก็ถอนตัวกันก่อน”

ลีอาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะตัดสินใจ “แยกกันหนี หลังจากสลัดพวกมันได้แล้วให้มารวมตัวกันที่ป่าทิศตะวันออก”

เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้เคลื่อนไหวทันทีหลังจากที่องครักษ์ตรวจพบการสะกดรอย นั่นหมายความว่าพวกเขากลัวที่จะเปิดเผยตัวเองในที่สาธารณะเช่นกัน

นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าผู้ติดตามไม่ได้มาจากศาสนจักรหลักเช่นศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสว ที่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างอิสระต่อหน้าผู้คนภายใต้ร่มเงาของแสงสว่างและความยุติธรรม

หลังจากกำจัดความเป็นไปได้อื่นเช่นพ่อค้าทาสแล้ว ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวคือพวกเขาตกเป็นเป้าหมายของพวกลัทธิอีกครั้ง

องครักษ์คนอื่น ๆ ส่งสัญญาณว่าพวกเขาพร้อมแล้วที่จะทำตามคำสั่งของลีอา เมื่อได้สัญญาณ พวกเขาก็รีบกระจายตัวแอบหลบเข้าไปในตรอกซอกซอยข้างถนนอย่างรวดเร็ว

การกระทำของพวกเขากะทันหันเกินไป และองครักษ์ก็จงใจปกปิดทิศทางการหลบหนีของลีอา พวกเขาทำให้พวกลัทธิสับสน พวกลัทธิไม่คิดเลยว่ากลุ่มของลีอาจะแยกกันหนี แม้ว่าพวกเขาจะเหลือกันอยู่เพียงน้อยนิด

ให้ตายเถอะ พวกมันหายไปไหนวะ!

หลังจากยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเธอได้สลัดพวกสะกดรอยได้แล้ว ลีอาและองครักษ์ก็มุ่งหน้าไปที่เขตป่านอกเมือง

ในตอนนั้นเอง พวกเขาก็ตระหนักว่ามีใครบางคนรอพวกเขาอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว

“ท่านลุง…คาร์โล” ความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงเกิดขึ้นในใจของลีอา ขณะที่ชายคนนั้นยืนเอามือไพล่หลังอยู่ในป่า “ทำไมท่านถึงอยู่ที่นี่?”

“ท่านเติบโตขึ้นนะ ฝ่าบาท”

คาร์โลค่อย ๆ หันหน้ามามองลีอา “ไม่ใช่แค่เพียงทักษะดาบเท่านั้นที่ข้าสอนให้ท่าน ข้าสอนแม้แต่เคล็ดลับและกลยุทธ์ให้กับท่านหลังจากที่เทียร์ร่าล่มสลายลง ข้ารู้ว่าท่านจะตัดสินใจเช่นไรหลังจากที่ท่านทราบว่าท่านกำลังถูกสะกดรอย ท่านจะต้องแยกทางกันเพื่อหลบหนี และข้ายังเดาออกอีกด้วยว่าสถานที่นัดพบของท่านคือป่าฝั่งตะวันออกของเมือง โดยคำนวณจากเส้นทางที่ท่านเคลื่อนไหว บวกกับนิสัยของท่านและการสังเกตเพียงเล็กน้อย เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็คิดออก”

“ฝ่าบาทโปรดระวัง เขาไม่ใช่หัวหน้าองครักษ์ของเราอีกแล้ว!” องครักษ์คนเดียวที่อยู่ข้าง ๆ ลีอาเตือนอย่างประหม่า

“ข้ารู้” ลีอาพยักหน้า ระบบระบุว่าคาร์โลเป็นศัตรูโดยมีแถบ HP ลอยอยู่บนหัวเขา นอกจากนี้ยังมีไอคอนระบุสถานะบัฟ ‘สึกกร่อน‘ อยู่ใต้แถบ HP ด้วย

เมื่อเธอจ้องไปที่ไอคอนบัฟ ก็จะมีคำอธิบายผลของบัฟปรากฏขึ้น เอฟเฟกต์ของบัฟสึกกร่อนคือเพิ่มความแข็งแกร่ง ความเร็ว และสมรรถภาพทางกายขึ้น 10% และทุกการโจมตีจะแฝงไปด้วยพิษซากศพ

แม้ว่าชื่อบัฟ ‘สึกกร่อน‘ จะฟังดูเหมือนเป็นดีบัฟ แต่มันก็เป็นพรที่เทพเจ้ากระดูกเน่ามอบให้กับสาวกของเขา

ถึงกระนั้นแม้ว่าบัฟของเขาจะไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่เพียงไม่กี่วันหลังจากที่คาร์โลเริ่มศรัทธาในเทพเจ้ากระดูกเน่า ผิวหนังของเขาก็เริ่มสึกกร่อนแล้ว และถึงเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในการทรยศลีอาเพื่อให้ได้รับบัตรผ่านเข้าลัทธิ เขาก็ยังได้รับบัฟเพิ่มคุณลักษณะทั้งหมด 10% จากเทพเจ้าที่ชั่วร้าย เห็นได้ชัดว่าในอนาคตเขาจะแข็งแกร่งขึ้นมากหากเขายังเดินต่อไปในเส้นนี้…

“ลีอา ขอท่านโปรดมั่นใจ…หลังจากที่ข้าเซ่นสังเวยหัวของท่านให้เทพเจ้ากระดูกเน่า เมื่อข้าได้รับพลัง ไม่นาน ข้าจะเติมเต็มความปรารถนาสุดท้ายของของท่าน ข้าจะแก้แค้นผู้ที่ทำให้เทียร์ร่าต้องมีมลทิน!” คาร์โลชักดาบออกมาขณะที่เขาค่อย ๆ ก้าวเข้ามาหาเธอ

“อย่ามาพูดบ้า ๆ นะ ข้าไม่มีความปรารถนาอะไรที่น่าเบื่อเช่นนั้น!” ลีอาชักดาบของเธอออกมาเช่นกัน เธอรู้ว่าเธอไม่มีช่องให้หนีได้แล้ว การเปิดเผยแผ่นหลังของเธอต่อหน้าศัตรูนั้นเป็นทางเลือกที่โง่เขลาที่สุด “ข้าไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่จะไว้ใจเจ้าไปทุกเรื่องอีกแล้ว ท่านลุงคาร์โล…หรือจะให้ข้าเรียกว่าคนทรยศคาร์โลดีล่ะ!”

“สีหน้าของท่านดูดีนี่” คาร์โลยิ้ม แต่นั่นกลับทำให้ลีอารู้สึกขนลุก “ดูเหมือนว่าการเดินทางครั้งนี้จะทำให้ท่านเติบโตขึ้นมาก ในอนาคตท่านจะกลายเป็นราชินีที่ดีได้แน่…แต่ มันน่าเสียดายที่การเติบโตทางจิตใจไม่ได้ช่วยให้ท่านแข็งแกร่งขึ้น วันนี้ ท่านจะต้องตายอยู่ที่นี่!”

“วิ่ง! ฝ่าบาท ข้าจะรั้งเขาไว้เอง!” องครักษ์ของลีอาที่ยืนอยู่ระหว่างเธอกับคาร์โล ก้าวเข้ามาบังร่างของลีอาเอาไว้ “เทพเจ้าแห่งเกมจะสถิตอยู่กับท่าน!”

องครักษ์รู้ดีว่าระบบอนุญาตให้ปรับระดับความเจ็บปวดได้ เขาคิดว่าการปรับระดับความเจ็บปวดให้น้อยที่สุด จะทำให้เขาทนต่อความเจ็บปวดและสามารถถ่วงเวลาคาร์โล เพื่อให้เจ้าหญิงลีอามีโอกาสหลบหนีไปได้

ลีอาจ้องมองไปที่คาร์โลอย่างประหม่า เธอกำลังใช้ความคิดว่าเธอจะหนีหรือสู้ดี เธอรู้สึกไม่มั่นใจเพราะเธอไม่เคยเอาชนะคาร์โลได้เลยสักครั้ง นั่นทำให้เธอมีความคิดฝั่งลึกเข้ากระดูกดำว่าเธอไม่อาจเอาชนะเขาได้

สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าการหายใจช่างยากลำบากเหลือเกิน

“เทพเจ้าแห่งเกมเป็นเพียงเรื่องโกหก ทำไมท่านยังไม่เข้าใจอีก!” คาร์โลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มันเป็นเพียงคำโกหกของราชาผู้โง่เขลาและตาบอด! เขาโง่และท่านก็โง่! ท่านเต็มใจจะเชื่อคำหลอกลวงนั่น!”

ทันใดนั้น หน้าจอกึ่งโปร่งใสก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาลีอา

[ติ้ง! ท่านได้เริ่มเควสเสริม: ฆ่าเขาซะ!]

ชื่อเควสนั้นเรียบง่าย รุนแรง และค่อนข้างหยาบคาย มันแตกต่างจากเควสก่อน ๆ อย่างสิ้นเชิง แต่ลีอากลับสังเกตเห็นว่าความกังวลของเธอได้หายไปแล้ว

ความสับสนของเธอได้เปลี่ยนเป็นความสงบและผ่อนคลาย

“ไม่จำเป็นต้องวิ่ง” หลังจากได้รับเควสจากระบบ สีหน้าของลีอาก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “เพราะข้าจะเอาชนะเจ้าที่นี่!”

“โอ้?” คาร์โลหรี่ตาลง สีหน้าของเขาดูอันตรายขึ้นทุกขณะ

“มีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้เจ้าล้มเหลว คาร์โล!” หญิงสาวยกดาบขึ้น “นั่นคือการที่เจ้าทรยศต่อเทพเจ้าแห่งเกม!”

———————————————————————————

ในขณะที่ปาร์ตี้แรกได้ตายลงในหุบเขาแห่งความตาย และผู้เล่นคนอื่น ๆ ยังคงอยู่ในหมู่บ้านเริ่มต้นรอให้พวกเขาฟื้นคืนชีพ ซีเว่ยก็เบนสายตาไปมองที่อื่น

ลีอา•ยาการัน นำองครักษ์ของเธอเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ เดินทางข้ามภูเขารีบไปยังเมืองเริ่มต้นนอกหุบเขาแห่งความตาย และขณะนี้พวกเขาก็กำลังหยุดพักอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า ‘วิคกิดอร์’ เพื่อจัดหาเสบียง

เมืองนี้อยู่ไม่ไกลจากหุบเขาแห่งความตาย ซีเว่ยคาดว่าเธอคงจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1-2 วันกว่าจะไปถึงเมืองเริ่มต้น

องครักษ์ของลีอาเป็นผู้ศรัทธาที่ตื้นเขินของเทพเจ้าแห่งเกม พวกเขาเป็นคนประเภทที่จะเอ่ยคำอธิษฐานสั้น ๆ เมื่อพวกเขาพบกับรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ แต่มันก็เป็นนิสัยที่พัฒนาขึ้นมาตามการเติบโตของพวกเขาเมื่ออาณาจักรเทียร์ร่ายังคงอยู่ พวกเขาไม่ใช่คนที่จะสวดมนต์บูชาเทพเจ้าทุกวัน

แต่หลังจากที่ซีเว่ยได้ช่วยพวกเขาไว้ (แม้ความจริงพวกเขาจะเป็นเพียงตัวแถม) ในตอนที่พวกเขาถูกปิดล้อมด้วยคนจากลัทธิกระดูกเน่า องครักษ์เหล่านี้ก็ทุ่มเทศรัทธาให้กับเทพเจ้าแห่งเกมมากขึ้น

ในขณะที่ลีอาได้เปลี่ยนคลาสและอัพเลเวลระหว่างทาง พลังที่เธอเผยออกมานั้น ก็ได้ทำให้พวกเขาข้ามขั้นจากผู้ศรัทธาที่แท้จริงไปเป็นผู้ศรัทธาที่เคร่งศาสนาในเทพเจ้าแห่งเกมทันที

ยังไงซะ ‘เจ้าหญิงนักรบ‘ ก็เป็นคลาสลับเหมือนกับ ‘นักบุญหญิงฝึกหัด’ เป็นตัวละครโกงในเกม ภายใต้สถานการณ์ปกติ พวกเขาจะอยู่เหนือกว่าผู้เล่นอื่นที่มีความสามารถในการต่อสู้เท่าเทียมกัน ไม่ต้องพูดถึงว่าผู้เล่นคนอื่นยังอยู่ในคลาสแรก และยังไม่มีแม้แต่ระบบเลื่อนคลาสออกมา

แต่ถึงอย่างนั้น ผู้เล่นในโลกนี้ต่างก็ศรัทธาในตัวเขา เขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพวกผู้เล่นจะประท้วงเขา ข้อหาสร้างคลาสลับออกมาทำลายสมดุลเกม…

แถมองครักษ์ที่ติดตามลีอามาได้จนถึงตอนนี้ ยังได้รับการคัดเลือกมาอย่างดีจากราชวงศ์เทียร์ร่า ในฐานะองครักษ์ พวกเขาศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมมาตั้งแต่ยังเด็ก

หากไม่ใช่เพราะเหล่าผู้ศรัทธาขาดการติดต่อจากเทพเจ้าแห่งเกมไปในช่วงเวลาที่เทียร์ร่าล่มสลายลง ซึ่งทำให้พวกเขาสูญสิ้นศรัทธาไป พวกเขาก็อาจจะกลายเป็นคนกลุ่มแรกที่กลายเป็นผู้เล่น หลังจากซีเว่ยได้ข้ามมายังโลกนี้!

นั่นทำให้หลังจากที่พวกเขาฟื้นศรัทธาขึ้นมาได้ ศรัทธาของพวกเขาจึงเติบโตเร็วกว่าผู้ศรัทธาคนอื่น ๆ และกลายเป็นผู้ศรัทธาที่เคร่งศาสนา

อย่างไรก็ตาม ประเด็นคือองครักษ์เหล่านี้ล้วนเลือกแต่คลาสวอร์ริเออร์ เมื่อพวกเขาก้าวพ้นระดับผู้ศรัทธาที่ตื้นเขินและเปิดใช้งานระบบของตนเอง

นั่นทำให้อัตราส่วนของวอร์ริเออร์เพิ่มขึ้น นำโด่งคลาสอื่น ๆ โดยมีเมจและเรนเจอร์ตามมา

ส่วนคลาสเครลิค กลับมีจำนวนน้อยมากจนน่าสงสาร

อันที่จริง ซีเว่ยได้ใส่ตัวอย่างทักษะของคลาสแค่ละคลาสและคำอธิบายไว้ในหน้าเปลี่ยนคลาสแล้ว แต่ผู้เล่นส่วนใหญ่ชอบเล่นตัวละครแนวฮีโร่มากกว่า ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนในโลกนี้หรือโลกไหน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม เมื่อผู้ศรัทธาของเขาได้อ่านคำอธิบายและเห็นวิดีโอสาทิต ตัวเลือกแรกของพวกเขาคือวอร์ริเออร์ที่แข็งแกร่งและกล้าหาญ เมจที่เยือกเย็นและทรงพลัง หรือเรนเจอร์ที่มีเสน่ห์ด้วยความว่องไว รวดเร็ว และมีพลังน่าเกรงขามในการโจมตีระยะไกล คลาสพวกนี้จึงได้รับความนิยมมาก

ส่วนเครลิค คลาสนี้เป็นคลาสที่มีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการเผชิญหน้ากับศัตรู แถมทักษะแรกของพวกเขายังเป็นเพียงทักษะบัฟ มันดูไม่น่าสนใจเลย เป็นเรื่องปกติที่ไม่มีผู้เล่นคนไหนอยากจะเล่นมัน

นั่นทำเอาซีเว่ยอยากจะตะโกนใส่หน้าพวกเขาว่า ‘อย่าโง่ รู้ไหมว่าเครลิคเป็นคลาสที่ใกล้ชิดกับเทพเจ้ามากที่สุด!‘

หลังจากระบบเปลี่ยนคลาสเสร็จสมบูรณ์ เขาจะทำให้พวกผู้เล่นได้รู้ซึ้งถึงความน่าสะพรึงกลัวของเวอร์ชั่นเกมหลังอัพเดท…

เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะลงไปที่พื้นโลกเพื่อจับหัวเหล่าสาวกและบังคับให้พวกเขาเลือกเครลิค เครลิคจะดูอ่อนแอนิดหน่อยในช่วงแรกเมื่อพวกเขาเลเวลต่ำว่า 10 แต่พอเลเวลของพวกเขาเพิ่มขึ้น มันก็ไม่ได้แตกต่างจากคลาสอื่น ๆ เลย

แต่เมื่อคิดถึงจำนวนสาวกที่จะเพิ่มขึ้นมาในอนาคต พวกเขาคงจะได้บทเรียนจากผู้เล่นยุคแรก จำนวนเครลิคจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน…

ขณะที่ซีเว่ยคอยจับตาดูกลุ่มของลีอา เขาก็ได้สังเกตเห็นพวกลัทธิกระดูกเน่าเริ่มปรากฏตัวในวิคกิดอร์โดยไม่ได้ตั้งใจ

ตอนแรกซีเว่ยรู้สึกตกใจที่อิทธิพลของลัทธิได้แผ่ขยายมาจนถึงวิคกิดอร์ได้ในไม่กี่วัน แต่เมื่อมองดี ๆ เขาก็รู้ว่าไม่ใช่ พวกลัทธิในเมืองมีจำนวนไม่มากนัก หากเมืองนี้เป็นฐานที่มั่นของเทพเจ้าอื่น ก็คงจะมีพื้นที่ที่มีบาเรียของเทพเจ้า และในพื้นที่นั้นจะไม่มีทางที่เทพเจ้าองค์อื่นจะมองเห็นเหตุการณ์ภายในได้

ซีเว่ยไม่พบพื้นที่ดังกล่าวในเมืองนี้เลย

จากการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของพวกลัทธิ ซีเว่ยจึงได้เข้าใจแล้วว่าพวกมันอยู่ที่นั่นเพื่อไล่ตามกลุ่มของลีอา เพราะในกลุ่มพวกลัทธิมีคาร์โลชายวัยกลางคนที่ทรยศต่อเทพเจ้าแห่งเกมอยู่ในนั้น

ขณะที่เหตุผลที่แท้จริงยังไม่ชัดเจน มันก็อาจเป็นไปได้ว่าพวกลัทธิได้ค้นพบร่องรอยที่เหลืออยู่หลังจากที่กลุ่มของลีอาถูกเขาวาร์ปออกไป คนพวกนี้เลยติดตามร่องรอยของลีอาด้วยวิธีการพิเศษบางอย่าง

ถ้าแค่นี้ซีเว่ยก็โล่งใจได้ ตราบใดที่ลัทธิกระดูกเน่าไม่ได้ขยายตัว และพลังศรัทธาของพวกเขาไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง ซีเว่ยก็ไม่มีอะไรต้องกลัว

ส่วนความปลอดภัยของลีอาและคนของเธอ เรื่องนี้ซีเว่ยไม่กังวลเลย

แม้พวกลัทธิกระดูกเน่าจะมีจำนวนมากกว่าพวกของลีอา และพวกลัทธิคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้ขาดความสามารถเลยเมื่อเทียบกับคาร์โล แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าคาร์โล แต่ซีเว่ยก็รู้สึกได้ถึงพรของเทพเจ้ากระดูกเน่าที่ไหลออกมาจากร่างกายของพวกเขา ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาแข็งแกร่งเทียบได้กับคาร์โล

แน่นอนว่าคาร์โลเป็นถึงหัวหน้าองครักษ์ของราชวงศ์เทียร์ร่า และอาจารย์สอนดาบของเจ้าหญิงลีอา ความสามารถของเขานั้นเหนือจินตนาการอย่างแน่นอน!

สำหรับเหตุผลที่พวกลัทธิต้องส่งคนที่ดีที่สุดออกมาจำนวนมากเพื่อไล่ตามกลุ่มของลีอา นั่นอาจเป็นเพราะพวกเขากลัวว่าเรื่องมันจะแย่ลง หากพวกลีอายอมจำนนต่อศาสนาหลัก และแจ้งให้นักบวชจากศาสนาอื่นทราบเรื่องที่ซ่อนลับของพวกเขาในแลงคาสเตอร์

ที่ตอนนี้กลายเป็นฐานหลักของลัทธิกระดูกเน่า ถ้าพวกเขาต้องปะทะกับกลุ่มพาลาดิน พวกเขาอาจจะถูกกวาดล้างในทันทีหลังจากที่พวกเขาพึ่งตั้งตัวได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกกำจัดออกไปจนหมด แต่พวกเขาก็จะต้องสูญเสียอย่างหนัก!

หากเป็นเมื่อก่อน กลุ่มของลีอาคงไม่มีโอกาสรอดอย่างแน่นอนเมื่อต้องปะทะกับคนกลุ่มนี้

แต่ในตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว กลุ่มของลีอาได้รับพลังใหม่และมีเลเวลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการฆ่าสัตว์ประหลาดในระหว่างทาง

ความจริง ถึงจะมีสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น เช่นทักษะของลีอาไม่เพียงพอที่จะรับมือพวกลัทธิและทั้งกลุ่มพากันตายหมด พวกเขาก็จะไม่เป็นไร

แต่พวกลัทธิกระดูกเน่าไม่รู้เรื่องนี้ พวกเขาไม่เข้าใจกฎของระบบที่ซีเว่ยสร้างขึ้น กฎที่แม้แต่การตัดหัวก็ไม่สามารถทำให้ผู้เล่นตายจริง ๆ ได้ และก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ในอีกสามวัน

————————————————————————————–

แม้ว่าผู้เล่นจะไม่คุ้นเคยกับความผิดปกตินี้ในตอนแรก แต่หลังจากที่พวกเขาทำความคุ้นเคยกับทักษะแล้ว การต่อสู้กับสัตว์ประหลาดก็ง่ายขึ้น

ท้ายที่สุด หากไม่มีพลังเหนือธรรมชาติ สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้กับสัตว์ประหลาดก็คือการฟัน ตีลังกา ม้วนหน้าม้วนหลัง ไม่ต้องพูดถึงว่าการต่อสู้นั้นซ้ำซากจำเจและน่าเบื่อแค่ไหน หากขาดวิธีรุกที่มีประสิทธิภาพและการหลบหลีกที่ดี มันก็อันตรายมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาด

ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์ประหลาดในโลกแห่งความเป็นจริงก็ไม่ได้โหดเท่า AI ใน Monster Hunter*…แถมใน Monster Hunter ก็ยังมีพวกม็อบ*อยู่ด้วย

(Monster Hunter เป็นซีรีส์วิดีโอเกมแนวแอ็คชั่นแนวแฟนตาซี พัฒนาโดยบริษัท Capcom)

(ม็อบ ลูกกระจ๊อก /สมุน)

หลังจากเสียความได้เปรียบจากการลอบโจมตีในไมแอชม่า ในที่สุดราชาแมงมุมกะโหลกก็ถูกรุมโจมตีโดยทักษะของผู้เล่น มันถูกฆ่าอย่างง่ายดายแม้ว่ามันจะมีเลเวลสูงกว่าพวกเขา

ภายใต้คอมโบทักษะการโจมตีอันต่อเนื่องของผู้เล่น ประสบการณ์ต่อสู้ที่แทบจะกลายเป็นสัญชาตญาณของราชาแมงมุมกะโหลก ไม่เพียงแต่ไร้ความหมาย มันยังกลายเป็นอุปสรรคในการต่อสู้อีกด้วย

ไม่ต้องพูดถึงว่าผู้เล่นกลุ่มนี้เป็นเด็กจากหมู่บ้านเคนนิงตัน พวกเขาต่อสู้ด้วยกันมานานแล้ว พวกเขาเข้าขากันมาก พูดได้ว่าพวกเขาเป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยการต่อสู้อย่างระมัดระวังและพยายามหลีกเลี่ยงขากรรไกรล่างของราชาแมงมุมกะโหลก พวกเขาจึงฆ่ามันได้ไม่ยาก แม้ว่ามันจะมีเลเวลสูงกว่าพวกเขามากก็ตาม

ความจริงพวกเขาอาจจบการต่อสู้ได้เร็วกว่านี้ หากแต่ละคนไม่ต้องถือคบเพลิงไว้ในมือ

เมื่อผู้เล่นทั้ง 4 ออกเดินทางต่อหลังจากที่ราชาแมงมุมกะโหลกถูกฆ่าตาย ไม่นานพวกเขาก็สังเกตเห็นปัญหาร้ายแรงในการสำรวจครั้งนี้

การเดินทางในหมอกม่วงนั้นยากกว่าที่พวกเขาคิด ถึงพวกเขาจะมองเห็นได้ไกลหลายสิบเมตร แต่มองไปทางไหนก็เห็นแต่หมอกทุกทิศทาง มันไม่มีอะไรให้พวกเขาใช้แยกแยะทิศทางได้เลย

เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะจำเส้นทางในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้

ดังนั้นหลังจากเดินไปได้สักพัก ทั้ง 4 คนก็ตระหนักว่าพวกเขากำลังหลงทาง

หากไม่ใช่เพราะรอยเลือดสีเขียวที่กระเซ็นอยู่เต็มพื้นของราชาแมงมุมกะโหลก พวกเขาคงไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าพวกเขาเดินวนกลับมาที่เดิม

“ไม่ได้การ” โกวต้านทำสีหน้าเคร่งขรึม “ถ้าเรายังตาบอดกันอยู่แบบนี้ เราอาจได้เดินกลับออกไปทางเดิมที่เราเข้ามา!”

คนอื่น ๆ ก็จริงจังไม่แพ้กัน

พูดตามตรง ตั้งแต่ที่ทั้งกลุ่มตกลงจะมาสำรวจหุบเขาแห่งความตายเป็นกลุ่มแรก พวกเขาก็ได้เตรียมตัวมาเป็นวีรบุรุษผู้อุทิศชีวิตเพื่อการสำรวจแล้ว

แต่การที่ต้องวิ่งวนเป็นวงกลมไปเรื่อย ๆ และเดินออกจากดันเจี้ยนไปอย่างงง ๆ จากทางเดิมที่เข้ามา แบบนั้นคงจะน่าอายอยู่ไม่น้อย…

“แล้วจะให้เราทำยังไง” โจถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนแรง เขาทิ้งน้ำหนักตัวไปที่ดาบที่ปักอยู่บนพื้น “เรามองไม่เห็นดวงอาทิตย์หรือดวงดาวเลย ที่นี่ถูกสาป มันไม่มีแม้แต่ต้นไม้สักต้น ถึงจะเป็นพรานที่เก่งกาจก็หาทิศทางในที่แบบนี้ไม่ได้หรอก”

“เราทำเครื่องหมายลูกศรบนพื้นดีไหม” เอลีน่าเสนอความคิด

“ไม่ได้ผลหรอก” เอ็ดเวิร์ดส่ายหัว “ดินนุ่มเกินไป มีพวกเรเวแนนท์เดินผ่านไปมาตลอด สัญลักษณ์จะถูกลบหายไปอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ใช่เพราะรอยเลือดของแมงมุมตัวใหญ่ที่เราฆ่ากระเซ็นไปทั่วพื้น เราคงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเรากำลังเดินเป็นวงกลม!”

“แล้วข้าจะทำยังไงดี?” โกวต้านเริ่มฟุ้งซ่าน

เอ็ดเวิร์ดลูบคางขณะใช้ความคิด จู่ ๆ ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้น “อันที่จริงข้าก็สงสัยมาตลอด ว่าทำไมเทพเจ้าแห่งเกมต้องกำหนดให้มีผู้เล่น 3-6 คนในปาร์ตี้ ถึงจะรับเควส ‘สำรวจหุบเขาแห่งความตาย‘ ได้ แถมพอได้เข้ามาในหมอก ข้าก็สังเกตเห็นว่าแสงจากคบเพลิงเพียงอันเดียว ก็เพียงพอที่จะครอบคลุมระยะการมองเห็นของคน 6 คนได้แล้ว! เงื่อนไขที่ทุกคนต้องมีคบเพลิงเป็นของตัวเองนั้นไม่มีความหมายอะไรเลย มันเหมือนเป็นบัตรผ่านมากกว่า”

“ข้อกำหนดในการเข้าร่วมเควสที่บอกว่า ‘หนึ่งคบเพลิงต่อหนึ่งคน‘ ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพราะต้องการให้พวกเราต้องเสียเวลาและพลังงานไปเปล่า ๆ หรอก เทพเจ้าแห่งเกมนั้นฉลาดและทรงพลังมาก เขาจะไม่คิดกลอุบายที่น่าเบื่อและไร้ค่าแบบนี้แน่นอน ถ้าข้าเดาไม่ผิด ข้อกำหนดนั้นต้องเกี่ยวข้องกับการเคลียร์ดันเจี้ยนแห่งนี้!”

เอ็ดเวิร์ดอธิบายสมมติฐานของเขาออกมาให้เพื่อนในปาร์ตี้ฟัง “พวกเจ้าลองคิดดูสิ ตั้งแต่เราเข้ามาที่นี่ ข้าพบก็ว่าพวกเรเวแนนท์ระดับต่ำที่หลงอยู่ในหุบเขาแห่งความตาย ดูเหมือนจะกลัวพลังของคบเพลิง และพวกมันจะไม่เข้ามาโจมตีพวกเรา ทำให้การเดินทางของเราราบรื่นมาก”

“เอ็ดเวิร์ด เจ้ากำลังจะบอกอะไรกันแน่” โจที่ยืนเอามือเท้าด้ามดาบอยู่รู้สึกสับสนมาก ในขณะที่เอลีน่าและโกวต้านดูเหมือนจะเริ่มเข้าใจขึ้นมานิดหน่อยแล้ว

“ที่ข้าจะพูดก็คือ” เอ็ดเวิร์ดทำท่าทางราวกับว่าเขาได้สะดุดเข้ากับความลับที่จะทำให้โลกต้องตะลึง “ถ้าเราปักคบเพลิงลงไปที่พื้น มันจะช่วยให้เราจำทางได้!”

คบเพลิงจะส่องสว่างให้พวกเขาเห็นได้แม้จะอยู่ห่างออกไปนับ 100 เมตรในหมอกม่วง และพวกเรเวแนนท์ส่วนใหญ่ก็จะไม่โจมตีมัน ทำให้มั่นใจได้ว่าคบเพลิงจะไม่สูญหายไปอย่างง่ายดาย แถมมันยังทำหน้าที่เป็นสัญญาณเตือนภัยให้พวกเขาได้ในระดับหนึ่ง เมื่อมันหายไป พวกเขาก็จะรู้ทันทีว่ามีศัตรูที่ทรงพลังอยู่ข้างหลัง!

นอกจากนี้เงื่อนไขการเคลียร์เควส ‘สำรวจรอบนอกหุบเขาแห่งความตาย‘ แต่ละครั้ง คือระดับการสำรวจต้องถึง 1% ไม่มีข้อกำหนดในเรื่องของการต่อสู้ ตราบใดที่พวกเขาสามารถเดินไปได้ในระยะทางที่ไกลพอ แค่นั้นก็ผ่านแล้ว

“ข้าเข้าใจแล้ว! หัวเจ้าดีจริง ๆ เลยเอ็ดเวิร์ด!” ในที่สุดโจก็เข้าใจ

“ใช่แล้ว! เจ้าฉลาดมากเอ็ดเวิร์ด” โกวต้านเสริม

“พี่เอ็ดเวิร์ดสุดยอดมาก!” เอลีน่าพูดชมเอ็ดเวิร์ด

เอ็ดเวิร์ดเกาหลังหัว เขาเขินนิดหน่อย “ไม่หรอกน่า เพราะเทพเจ้าของเรายอดเยี่ยมมากต่างหาก เขาซ่อนเงื่อนงำนี้ไว้อย่างรอบคอบทั้งในคำใบ้เควสและการสำรวจ”

***

ขณะเดียวกัน ซีเว่ยก็ถอนหายใจเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์

ให้ตายเถอะ เขาไม่ได้คิดมากขนาดนั้น…

ที่เขาต้องการให้ทุกคนนำคบเพลิงของตัวเองเข้าไปในหุบเขา เขาก็ทำเพื่อถ่วงเวลาไม่ให้ผู้เล่นเข้าดันเจี้ยนไวเกินไป ไม่มีความหมายอื่นแอบแฝงเลย อันที่จริงซีเว่ยลืมคิดไปเลยด้วยซ้ำว่าผู้เล่นจะหลงทางในหมอกม่วง เนื่องจากเขามีมินิแมพทุกครั้งที่เขาเล่นเกม

ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ไปแล้ว ซีเว่ยก็ไม่อาจอวตารลงมาต่อหน้าพวกเขาเพื่อบอกว่าพวกเขาคิดผิด และพระเจ้าของพวกเขาไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น

ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เฝ้าดู ในขณะที่เด็กทั้ง 4 คนจากหมู่บ้านเคนนิงตัน ปักคบเพลิงลงดินและก้าวต่อไปข้างหน้า

น่าเสียดายที่เมื่อคบเพลิงอันสุดท้ายถูกใช้จนหมด และระดับการสำรวจสูงถึง 0.95% แล้ว จู่ ๆ พวกเด็ก ๆ ก็โดนสัตว์ประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่ในไมแอชม่าซุ่มโจมตีจนตาย

แม้แต่เอลีน่าที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่สามารถหลบหนีได้ เด็กทั้ง 4 คนเสียชีวิตไปทีละคน จากนั้นทีมสำรวจหุบเขาแห่งความตายทีมแรกก็ถูกทำลายลง

3 วันต่อมา เมื่อพวกเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาข้างไลฟ์สโตน พวกเขาก็เห็นมาร์นี่ที่ฟื้นขึ้นมาก่อนกำลังคุยโวกับผู้เล่นที่ไม่กล้าเข้าไปในหุบเขา

“ข้าจะบอกให้ว่าแมงมุมตัวนั้นน่ะ ดวงตาของมันกลมโตและใหญ่มาก” เขาเริ่มวาดภาพในอากาศเมื่อเขานึกไปถึงตอนที่เขาตาย “ข้านี่ช็อกมาก ตอนที่ถูกมันซุ่มโจมตี!”

“แล้วทำไมเจ้าไม่โจมตีมันคืนล่ะ” ใครบางคนถาม

“ข้ากะจะทำอยู่แล้ว แต่ข้ากลับถูกฆ่าตายทันที แล้วข้าจะไปทำอะไรได้?!” มาร์นี่คร่ำครวญขณะที่เขาตบต้นขาตัวเอง

“ไอ้บ้า ไปแจกมันง่าย ๆ ซะงั้น!” ผู้เล่นคนอื่นหัวเราะ

“การแจกเป็นเรื่องปกติเมื่อเราต้องอยู่แนวหน้า” มาร์นี่พึมพำ

ผู้เล่นพากันหัวเราะและเติมเต็มพื้นที่รอบ ๆ ไลฟ์สโตนด้วยบรรยากาศแห่งความสุข

—————————————————————————————

แม้ว่าการตายของมาร์นี่จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่มันก็ได้ปลุกผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่วางแผนจะเข้าไปสำรวจในหุบเขาแห่งความตายรู้ตัวว่า ถึงแม้หมอกสีม่วงหนาจะไม่เป็นอันตรายเพราะพวกเขามีคบเพลิงชำระล้างไมแอชม่า แต่มันก็ยังคงมีอันตรายอื่นแอบซ่อนอยู่ในนั้น

แม้แต่ชายขอบของหมอกม่วง ก็ยังมีสัตว์ประหลาดที่สามารถฆ่าผู้เล่นได้ในเสี้ยววิ

ความจริงไม่ใช่แค่ผู้เล่นเท่านั้นที่ตกใจ ซีเว่ยที่มองลงมาจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์เองก็ตกใจไม่แพ้กัน

เขาใช้พลังงานเทพเจ้าเปิดตาศักดิ์สิทธิ์เพื่อดูว่ามาร์นี่ตายที่ไหน

ในอดีตที่นี่เคยเป็นสนามรบของเหล่าทวยเทพ หุบเขาแห่งความตายนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและกระแสพลังอันปั่นป่วน ที่ทำให้ดวงตาศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่สามารถมองทะลุเข้าไปได้

นั่นเป็นเหตุผลหลักว่าทำไม ซีเว่ยจึงต้องส่งผู้เล่นไปสำรวจแทนที่เขาจะไปด้วยตัวเอง

โชคดีว่าชายขอบที่ผู้เล่นอยู่ในตอนนี้ไม่มีอุปสรรคเหล่านั้น ทำให้ดวงตาศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ยสามารถมองผ่านหมอกม่วงได้อย่างง่ายดาย และเห็นสัตว์ประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอกเหมือนเงาแห่งความตายได้

มันเป็นสัตว์ประหลาดที่รู้จักกันในชื่อของ ‘ราชาแมงมุมกระโหลก’ มันเป็นแมงมุมกระดูกขนาดใหญ่ แต่จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้แตกต่างจากสัตว์ประหลาดอย่าง ‘แมงมุมป่า‘ เพียงแต่ราชาแมงมุมกระโหลก มักจะมองหากระดูกของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และใช้ใยมัดกระดูกติดไว้ตามตัวของมันรวมถึงขาทั้ง 8 ข้าง แถมช่องท้องที่เปราะบางที่สุดของมัน ก็ยังมีกะโหลกของยักษ์หรือสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ตัวอื่นพันติดอยู่เพื่อเสริมการป้องกัน

นอกจากนั้น มันยังมีพละกำลังมากมายมหาศาลอย่างน่าประหลาดใจ และสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่ามันจะแบกกระดูกสัตว์ที่หนักกว่าตัวมันหลายเท่า และมันยังเป็นสัตว์กินเนื้อที่กินมากถึงสองในสามของน้ำหนักตัวในแต่ละวัน แถมมันยังมีสติปัญญาสูงมากและดุร้าย มันมักซุ่มโจมตีผู้บุกรุกที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเอง นอกจากขาทั้ง 8 ข้างอันแหลมคมของมันแล้ว แม้แต่ขากรรไกรล่างของพวกมันก็ยังมีพิษร้ายแรง

ก่อนหน้านี้มาร์นี่ได้ถูกมันกัด จากนั้นร่างของเขาก็ละลายและตายลงทันที!

ในหนังสือภาพสัตว์ประหลาดที่รวบรวมโดยสมาคมนักผจญภัยแห่งภาคพื้นทวีป ได้จัดลำดับให้สัตว์ประหลาดตัวนี้อยู่ในระดับ ‘อันตรายสูง’ เงื่อนไขที่แนะนำในการออกล่าก็คือ ต้องมีทีมที่มีนักผจญภัยมากประสบการณ์กว่า 30 คนขึ้นไป

“ปรากฏว่าไม่ใช่มีแค่พวกเรเวแนนท์ในหุบเขาแห่งความตายสินะ…” ซีเว่ยเอาหนวดแตะคาง เขาพลาดอีกแล้ว

แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ การที่มาร์นี่ถูกฆ่าและร่างของเขาไม่สามารถกู้คืนได้ เขาก็แค่เลเวลลดและรอฟื้นคืนชีพในอีก 3 วันต่อมาเท่านั้น

ในสถานการณ์เช่นนี้ หากผู้เล่นต้องการเข้าสู่หมอกม่วงเพื่อไปช่วยลุงคนนั้น ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาในตอนนี้ มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะพากันไปตายเพิ่มเท่านั้น

หากเขาต้องการช่วยผู้เล่นนั่นก็ง่ายนิดเดียว เขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากเลย แค่ต้องเพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับราชาแมงมุมกระโหลกเป็นข้อมูลอ้างอิงและส่งมันไปให้ผู้เล่น เขามั่นใจว่าผู้เล่นจะสามารถกำหนดกลยุทธ์รับมือมันได้อย่างแน่นอน

แต่เขาไม่คิดจะช่วย

นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้เล่นสำรวจดินแดนใหม่ หลายครั้งประสบการณ์ ‘ครั้งแรก’ ก็เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาสัญชาตญาณบางอย่าง

ซีเว่ยสามารถช่วยพวกเขาได้ครั้งหรือสองครั้ง แต่มีหลายสิ่งในโลกมนุษย์ที่เขาไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้ นอกจากนี้หากผู้เล่นคุ้นเคยกับความช่วยเหลือของซีเว่ย และเอาแต่พึ่งพาเทพเจ้าไปทุกเรื่อง พวกเขาจะไม่สามารถทำอะไรได้หากพวกเขาไม่ได้รับข้อมูลจากเทพเจ้า เมื่อถึงเวลาคับขันที่คำอ้อนวอนของพวกเขาไม่ได้รับคำตอบ พวกเขาก็อาจจะหมดศรัทธาในตัวเทพเจ้าได้ง่าย ๆ

ถึงยังไงผู้เล่นก็จะไม่มีวันตายจริง ๆ อยู่แล้ว เพราะงั้นจึงเป็นการดีที่จะให้พวกเขาได้ฝึกฝนกันสักหน่อย

“ทำให้ดีที่สุด อย่าทำให้ฉันผิดหวัง…” ซีเว่ยตัดสินใจที่จะยืนดูสตรีมสดบนอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขาต่อไป

โชคดีที่เอ็ดเวิร์ดและคนอื่น ๆ ไม่ได้โง่ พวกเขารู้ทันทีว่าจะต้องมีสัตว์ประหลาดแอบซ่อนอยู่ในไมแอชม่า

พวกเขาจึงเพียงแค่ยืนอยู่นอกหมอกม่วงที่มาร์นี่ถูกฆ่าตาย และตะโกนบอกให้ผู้เล่นคนอื่นระดมยิงทักษะระยะไกลออกมาพร้อม ๆ กัน

สำหรับสัตว์ประหลาดธรรมดา ความเสียหายที่ผู้เล่นเลเวล 7-8 ทำได้นั้น ถือว่าค่อนข้างรุนแรง

หลังจากที่ราชาแมงมุมกระโหลกถูกห่าการโจมตีของรัศมีดาบ ลูกธนู และทักษะสุ่มอื่น ๆ เข้าไป เกราะกระดูกของมันก็แตกออก มันล่าถอยเข้าไปในหมอกม่วงลึกเข้าไปในหุบเขาแห่งความตาย

ขณะเดียวกัน ผู้เล่นแนวหน้าที่เหลืออีก 4 คนก็ได้เข้าไปในไมแอชม่าเพื่อค้นหา ‘แอ่งน้ำพิษ’ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นมาร์นี่

พวกเขาใช้เวลาไม่กี่วิไว้ทุกข์ให้กับเพื่อนร่วมทีม และจากนั้นทุกคนก็เดินหน้ากันต่อ

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เมื่อมองจากด้านนอกของไมแอชม่า พวกเขาจะเห็นเพียงกำแพงหมอกม่วงจากภายนอก และมองไม่เห็นอะไรด้านในเลย แต่หลังจากปาร์ตี้ของเอลีน่าเข้ามาพร้อมกับคบเพลิงชำระล้างไมแอชม่า หมอกก็เบาบางลงมาก ราวกับว่าพวกเขามีเลนส์กรองแสงสีม่วง ที่ทำให้พวกเขามองเห็นสภาพรอบตัวได้ในระยะไม่เกิน 10 เมตร

จากการติดตามร่องรอยที่ราชาแมงมุมกระโหลกเหลือทิ้งไว้ ผู้เล่นทั้ง 4 จึงได้ไล่ตามมันไปตลอดทาง จากนั้นพวกเขาก็พบแมงมุมตัวใหญ่ที่กำลังขุดหลุมอยู่!

ทันทีที่ผู้เล่นเห็นแถบ HP ด้านบน พวกเขาก็ขยับตัวโดยไม่ลังเล

การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้ว

ในฐานะที่โจเป็นวอร์ริเออร์ เขารีบวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่แม้แต่จะชักดาบ และตรงเข้าไปจับต้นขาหนา ๆ ของแมงมุมแล้วโยนมันกลับหลังทันที

หากผู้ศรัทธาในศาสนจักรอื่นมาเห็นวิธีการต่อสู้เช่นนี้ พวกเขาคงจะหัวเราะ และคิดว่าโจเป็นไอ้โง่ที่ไม่รู้จักขีดจำกัดของตัวเอง

ถ้าพูดกันตามหลักเหตุผลแล้ว ความแข็งแกร่งของโจก็ไม่เพียงพอจริง ๆ เขาไม่อาจยกราชาแมงมุมกระโหลกขึ้นมาได้แน่ เพราะเกราะกระดูกของมันมีน้ำหนักมากกว่า 5 ตัน! และต่อหน้าราชาแมงมุมกระโหลก โจก็สูงไม่เท่าครึ่งขาของมันเลย!

แต่ถึงอย่างนั้น ความจริงก็ได้ทำให้ผู้คนจากศาสนจักรอื่นอ้าปากค้าง เพราะโจยกราชาแมงมุมกระโหลกขึ้นมาได้จริง ๆ!

นี่คือความแตกต่างระหว่างวิธีการต่อสู้ของผู้เล่นกับคนธรรมดา

แม้ว่าโลกแฟนตาซีนี้จะมาพร้อมกับพลังเหนือธรรมชาติ อย่างพลังศักดิ์สิทธิ์และเวทมนตร์ แต่ความสามารถเหล่านั้นก็ไม่เป็นระบบ

พูดให้ถูกก็คือโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ทักษะ‘

นั่นทำให้ซีเว่ยใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้ได้อย่างเต็มที่

ด้วยบัญชาศักดิ์สิทธิ์จากอำนาจที่ครอบคุลมของเขาในฐานะเทพเจ้าแห่งเกม เขาจึงได้บัญญัติกฎใหม่ขึ้นมาชื่อว่า ‘กฎแห่งทักษะ’

ลำดับของกฎนี้ต่ำมาก มันใช้ไม่ได้ผลกับผู้ถูกเลือกและสัตว์ประหลาดระดับตำนาน แต่มันก็ยังคงเป็นกฎ ไม่ว่ามันจะมีระดับต่ำเพียงใดก็ตาม!

ตามกฎแห่งทักษะ ถ้าคุณโดนทักษะดาบส่งตัว (Upper Pick) คุณจะปลิวขึ้นไปบนฟ้า หากคุณโดนเวทย์ไฟนรก (Hellfire) คุณจะโดนเผาไหม้ตามระยะเวลาของทักษะ หากคุณโดนทักษะซูเพล็กซ์ แม้ว่าคุณจะเป็นก็อตซิลล่า คุณก็ยังโดนท่าเยอรมันซูเพล็กซ์ทุ่มหัวปักดิน…

แน่นอนว่าเมื่อใช้กฎนี้ มันจะถูกจำกัดด้วยค่าความเสียหายที่ ‘ทักษะ‘ ทำได้และ ‘ค่าป้องกันของศัตรู‘

ตัวอย่างเช่น ถ้ามันเป็นผู้ชายกล้ามโตที่ใช้ท่าซูเปอร์เพล็กซ์กับราชาแมงมุมกระโหลกโดยไม่ใช้ทักษะ มันอาจจะทำให้แมงมุมตัวนี้หัวแบะและขาหงิกงอได้

แต่ในทางกลับกัน ราชาแมงมุมกระโหลกตัวนี้เพียงแค่มึนงงอยู่พักหนึ่งหลังจากที่โจโยนมันหัวปักดิน โดยที่มันไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ เลย นั่นเป็นเพราะความเสียหายของทักษะซูเพล็กซ์นั้นลด HP ตามจำนวนค่าพลังโจมตีของโจ และ HP ที่ลดนั้นก็ไม่ได้ทำให้ราชาแมงมุมกระโหลกบาดเจ็บสาหัส

แถมหลังจากที่โจลุกขึ้นยืนได้แล้ว ราชาแมงมุมกระโหลกก็จะมีภูมิคุ้มกันสั้น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เล่นจับมันทุ่มเรื่อย ๆ ไม่หยุด เพื่อลด HP ของศัตรูเมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่พวกเขาไม่อาจเอาชนะได้

ความจริงซีเว่ยไม่ได้ตั้งค่าภูมิคุ้มกันนี้เมื่อเขาสร้างกฎ มันเป็นโลกที่แก้ไขกฎบางส่วนและปิดกั้นประตูลับไปสู่ชัยชนะของผู้เล่นที่ซีเว่ยแอบเปิดทิ้งไว้ และนั่นก็ทำให้ตัวเอกของเรารู้สึกเสียใจมาก…

—————————————————————–

ในขณะที่ผู้เล่นมีการทะเลาะกันเล็กน้อยเรื่องการแย่งลาส แต่ซีเว่ยก็รู้สึกโล่งใจที่เห็นเหล่าสาวกทั้งสองกลุ่มเข้ากันได้อย่างราบรื่น

ด้วยเหตุนี้อุปสรรคแรกจึงถูกเคลียร์ และซีเว่ยก็ไม่ต้องกังวลว่าศาสนาใหม่ของเขาจะทำลายตัวเองตั้งแต่เริ่ม

“ลีอา•ยาการัน…เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรที่ล่มสลายยังอยู่ห่างจากหมู่บ้านเริ่มต้น เธอคงต้องใช้เวลาพอสมควรก่อนจะมาถึง…หึ อันที่จริงเควสหลักที่ผู้เล่นสามารถทำได้ในตอนนี้คือแบกอิฐ สร้างบ้าน หรือสำรวจด้านนอกของหุบเขาแห่งความตาย”

ซีเว่ยยื่นหนวดออกไปเกาหัวล้านรูปทรงกลมของตัวเอง “แต่ทหารโครงกระดูกที่บุกเข้ามาในครั้งนี้ดูผิดปกติมาก เรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่เห็นแน่ บางทีฉันอาจต้องออกเควสเสริมให้ผู้เล่นตรวจสอบมัน…”

เนื่องจากผู้เล่นทุกคนในโลกด้านล่างล้วนแต่เป็นหูตาของซีเว่ย หากพวกเขาพบบางสิ่งซีเว่ยก็จะรู้ได้ทันที และเขาก็จะได้ออกเควสให้ตามสถานการณ์

นอกจากนี้หลังจากที่ได้พบกับผู้เล่นคนอื่นและพูดคุยกัน แองโกร่าก็จะเข้าใจว่าระบบของเขาแตกต่างจากคนอื่น ๆ และไม่ใช่ระบบเฉพาะเหมือนกับเอลีน่า

พูดง่าย ๆ ก็คือ มันก็เหมือนกับความแตกต่างระหว่างเกมสวมบทบาทกับเกมจำลองธุรกิจ…

แต่ในมุมมองของซีเว่ย แองโกร่ามีความเป็นผู้เล่นน้อยกว่า เขาเป็นเหมือน NPC เจ้าเมือง ที่จะมอบหมายเควสให้กับผู้เล่น อย่าง ออกเควสให้พวกเขาช่วยสร้างเมืองเริ่มต้น อะไรแบบนี้

และระบบนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อตัวแองโกร่าเองเช่นกัน ท้ายที่สุดยิ่งศักดินาของเขาเจริญรุ่งเรืองมากเท่าไหร่ แองโกร่าก็จะยิ่งได้รับรางวัลมากขึ้นในฐานะลอร์ดของเมือง

สิ่งเดียวที่ต้องให้ความสนใจในตอนนี้ คือระวังอย่าให้เมืองนี้ที่เป็นฐานของผู้เล่น ถูกล่วงรู้โดยศาสนจักรอื่น ไม่งั้นมันจะนำพวกเขาไปสู่การทำลายตัวเอง…

และเพื่อให้แน่ใจว่าผู้เล่นจะไม่ได้เข้าไปในหุบเขาแห่งความตายโดยประมาท

ไม่ใช่ว่าซีเว่ยไม่อยากให้ผู้เล่นเข้าไปที่นั่น อันที่จริงเขาหวังว่าผู้เล่นจะเคลียร์หุบเขาจนสะอาดเกลี้ยงเกลา เนื่องจากที่นั่นเคยเป็นสนามรบของเทพเจ้า พวกเขาอาจสามารถเก็บเกี่ยวสิ่งดี ๆ กลับมาได้ เช่นความเป็นพระเจ้าที่แตกสลาย ซีเว่ยจะได้ไม่ต้องไปเสี่ยงโจมตีเทพเจ้าอื่น ๆ เพื่อเพิ่มพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขา

แต่ถึงอย่างนั้นภายในหุบเขาแห่งความตายก็เต็มไปด้วยอันตราย ในอดีต จักรวรรดิวัลลาเคยส่งผู้คนนับหมื่นเข้าไปสำรวจหุบเขาที่เต็มไปด้วยไมแอชม่า เพื่อค้นหาพืชในตำนานที่ว่ากันว่าสามารถชุบชีวิตคนได้ แต่คณะสำรวจเกือบทั้งหมดถูกทำลายโดยเรเวแนนท์ที่ไม่รู้จักอย่างรวดเร็ว ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปถึงหุบเขาลึก จากเหตุการณ์นั้นมีผู้รอดชีวิตออกมาได้ไม่ถึงสิบคน

แม้ว่าตอนนี้ขวัญกำลังใจของผู้เล่นจะสูง แต่ซีเว่ยก็สามารถจินตนาการได้ว่าผู้เล่นที่ยังอยู่ในระดับเริ่มต้น จะถูกฆ่าทันทีที่เข้าสู่หุบเขาในระยะ 10 เมตร…

หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะถูกปรับลดทั้ง EXP และเลเวล แม้ว่าพวกเขาจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้ แต่หากพวกเขาทำสิ่งต่าง ๆ โดยประมาท เลเวลเฉลี่ยของผู้เล่นก็จะหยุดนิ่ง ซึ่งมันจะส่งผลกระทบต่อแผนการของซีเว่ยในอนาคต

ทำไมซีเว่ยถึงมั่นใจว่าหากเขาไม่หยุดผู้เล่นเอาไว้ก่อน พวกเขาจะเลือกสำรวจหุบเขาแทนที่จะทำงานสร้างเมืองงั้นเหรอ?

มันง่ายมาก ในฐานะผู้เล่น พวกเขาต้องชอบการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นมากกว่าการนั่งปลูกผัก 4-5 ชั่วโมงต่อวันอยู่แล้ว

ก็การผจญภัยตามหาไอเทมดี ๆ มันฟังดูน่าสนใจกว่ามากปลูกผัก ยิ่งไปกว่านั้น การแสวงหาความตายก็เป็นงานถนัดที่ฝังลึกลงไปใน DNA ของผู้เล่น ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นในโลกนี้หรือโลกไหนก็ตาม

ก่อนที่พวกเขาจะได้ลิ้มรสการฟื้นคืนชีพ ปาร์ตี้ของเอลีน่าเคยระมัดระวังในการต่อสู้กับสัตว์ประหลาด พวกเขาหวาดกลัวว่าตัวเองจะถูกฆ่า แต่หลังจากที่มาร์นี่เผลอตายไปครั้งหนึ่ง และพวกเขาสามารถชุบชีวิตมาร์นี่ได้สำเร็จ พวกเขาก็เริ่มประมาทอย่างที่เห็นตอนสงครามช่วยเหลือเมืองเริ่มต้น นั่นทำให้ซีเว่ยเห็นเงาเพื่อนร่วมเกมในโลกเดิมของเขาเลยทีเดียว

โชคดีที่ความคิดของผู้เล่นตอนนี้ไม่ต่างจากผู้คนในยุคสมัยก่อน ประกอบกับการที่พวกเขาเป็นผู้ศรัทธาที่เคร่งศาสนา พฤติกรรมของพวกเขาจึงถือว่าควบคุมตัวเองได้ดีอยู่ ไม่งั้นซีเว่ยคงจะกังวลมากว่านี้แน่ ถ้าพวกผู้เล่นลากเขาลงน้ำ*ไปด้วย

(ลงน้ำ ในความหมายนี้คือการโดนลากไปโดนความผิดด้วยกัน)

“อืม มาทำกันเถอะ…” ซีเว่ยส่งหนวดออกไปกดคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ที่เขาสร้างขึ้นด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว…

เกือบจะทันทีหลังจากที่พวกเขาเคลียร์กองทัพโครงกระดูกเสร็จ จู่ ๆ ผู้เล่นก็ได้รับข้อความจากระบบ พวกเขาทั้งหมดสามารถมองเห็นมันได้ทันที บางคนที่กำลังดื่มเบียร์อยู่ถึงกับสะดุ้งเผลอรินเบียร์เข้าทางจมูกเลยทีเดียว

ตรงกันข้ามกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่ต่างพากันสับสน เพราะพึ่งได้สัมผัสกับการแจ้งเตือนของระบบเป็นครั้งแรก เอลีน่าผู้มีประสบการณ์มาก่อนแล้ว เริ่มอ่านข้อความจากเทพเจ้าของเธออย่างจริงจัง

<ติ้ง!>

<อัปเดตเวอร์ชันเกม V0.02>

<ปลดล็อคระบบสกุลเงินเกม: ผู้เล่นทุกคนสามารถรับเหรียญเกมได้จากการทำเควสและฆ่าสัตว์ประหลาด ท่านสามารถใช้เหรียญเกมเพื่อซื้อไอเทมและอุปกรณ์จากร้านค้าระบบได้>

<ระบบชื่อเสียงถูกปลดล็อค: ปัจจุบันมีเพียง ‘เมืองไร้ชื่อ‘ เท่านั้นที่เปิดใช้งานระบบชื่อเสียง คะแนนชื่อเสียงจะได้รับผ่านการทำเควสที่ได้รับออกโดยเมือง ท่านสามารถรับเควสประจำเมืองได้จากป้ายประกาศ (อยู่ระหว่างดำเนินการ) และแองโกร่า•เฟาสต์>

<‘อีพิคเควส: สำรวจหุบเขาแห่งความตาย‘ ได้ถูกเพิ่มเข้าไปในหน้าเควสของท่านแล้ว การสำรวจแต่ละครั้งในดันเจี้ยนหุบเขาแห่งความตาย จะเพิ่มอัตราการสำรวจแบบเปอร์เซ็นต์ เมื่อทำการสำรวจครบอัตราที่กำหนด ท่านจะได้รับรางวัลตอบแทนตามระดับการสำรวจ>

<ขอให้เล่นเกมอย่างสนุก!: เทพเจ้าแห่งเกม>

ข้อความไม่ยาว และเอลีน่าก็อ่านมันจบได้อย่างรวดเร็ว

ผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็อ่านจบแล้วเช่นกัน และตอนนี้คนทั้งเมืองก็กำลังพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา

“นี่ต้องเป็นวิวรณ์ในตำนานแน่!”

“แต่วิวรณ์ที่ข้าเคยได้ยินจากเรื่องเล่ามันไม่ใช่แบบนี้นี่…”

“ไม่ต้องสงสัยเลย เทพเจ้าแห่งเกมนั้นยอดเยี่ยมมาก!”

“ใครคือแองโกร่าเฟาสต์? นามสกุลแปลกจริง”

“นี่คือเมืองไร้ชื่อเหรอ? ทำไมมันดูเหมือนหมู่บ้าน…”

“ใช่ แม้แต่บ้านเกิดข้าก็ไม่ได้แย่ขนาดนี้!”

ชาวเมืองในเมืองไร้ชื่อล้วนแต่จ้องมองพฤติกรรมแปลก ๆ ของผู้เล่นอย่างว่างเปล่า พวกเขาทั้งหมดมองไปที่ผู้นำของพวกเขาอย่างพร้อมเพรียงกันซึ่งนั่นก็คือแองโกร่า

ท้ายที่สุดเมื่อกองทัพโครงกระดูกบุกเข้ามาก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของแองโกร่า พวกชาวบ้านอาจไม่มีใครรอดมาได้จนถึงวันนี้ ในตอนนี้ชาวเมืองเกือบทั้งหมดได้ยอมรับแล้วว่าเขาเป็นลอร์ดที่แท้จริงของเมือง

ที่สำคัญไปกว่านั้น กำลังเสริมเหล่านี้ที่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้สูงมาก แต่มีพฤติกรรมพิลึก ก็มาตามคำเรียกของเขาด้วย…

—————————————————

ในขณะที่ผู้เล่นมีการทะเลาะกันเล็กน้อยเรื่องการแย่งลาส แต่ซีเว่ยก็รู้สึกโล่งใจที่เห็นเหล่าสาวกทั้งสองกลุ่มเข้ากันได้อย่างราบรื่น

ด้วยเหตุนี้อุปสรรคแรกจึงถูกเคลียร์ และซีเว่ยก็ไม่ต้องกังวลว่าศาสนาใหม่ของเขาจะทำลายตัวเองตั้งแต่เริ่ม

“ลีอา•ยาการัน…เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรที่ล่มสลายยังอยู่ห่างจากหมู่บ้านเริ่มต้น เธอคงต้องใช้เวลาพอสมควรก่อนจะมาถึง…หึ อันที่จริงเควสหลักที่ผู้เล่นสามารถทำได้ในตอนนี้คือแบกอิฐ สร้างบ้าน หรือสำรวจด้านนอกของหุบเขาแห่งความตาย”

ซีเว่ยยื่นหนวดออกไปเกาหัวล้านรูปทรงกลมของตัวเอง “แต่ทหารโครงกระดูกที่บุกเข้ามาในครั้งนี้ดูผิดปกติมาก เรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่เห็นแน่ บางทีฉันอาจต้องออกเควสเสริมให้ผู้เล่นตรวจสอบมัน…”

เนื่องจากผู้เล่นทุกคนในโลกด้านล่างล้วนแต่เป็นหูตาของซีเว่ย หากพวกเขาพบบางสิ่งซีเว่ยก็จะรู้ได้ทันที และเขาก็จะได้ออกเควสให้ตามสถานการณ์

นอกจากนี้หลังจากที่ได้พบกับผู้เล่นคนอื่นและพูดคุยกัน แองโกร่าก็จะเข้าใจว่าระบบของเขาแตกต่างจากคนอื่น ๆ และไม่ใช่ระบบเฉพาะเหมือนกับเอลีน่า

พูดง่าย ๆ ก็คือ มันก็เหมือนกับความแตกต่างระหว่างเกมสวมบทบาทกับเกมจำลองธุรกิจ…

แต่ในมุมมองของซีเว่ย แองโกร่ามีความเป็นผู้เล่นน้อยกว่า เขาเป็นเหมือน NPC เจ้าเมือง ที่จะมอบหมายเควสให้กับผู้เล่น อย่าง ออกเควสให้พวกเขาช่วยสร้างเมืองเริ่มต้น อะไรแบบนี้

และระบบนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อตัวแองโกร่าเองเช่นกัน ท้ายที่สุดยิ่งศักดินาของเขาเจริญรุ่งเรืองมากเท่าไหร่ แองโกร่าก็จะยิ่งได้รับรางวัลมากขึ้นในฐานะลอร์ดของเมือง

สิ่งเดียวที่ต้องให้ความสนใจในตอนนี้ คือระวังอย่าให้เมืองนี้ที่เป็นฐานของผู้เล่น ถูกล่วงรู้โดยศาสนจักรอื่น ไม่งั้นมันจะนำพวกเขาไปสู่การทำลายตัวเอง…

และเพื่อให้แน่ใจว่าผู้เล่นจะไม่ได้เข้าไปในหุบเขาแห่งความตายโดยประมาท

ไม่ใช่ว่าซีเว่ยไม่อยากให้ผู้เล่นเข้าไปที่นั่น อันที่จริงเขาหวังว่าผู้เล่นจะเคลียร์หุบเขาจนสะอาดเกลี้ยงเกลา เนื่องจากที่นั่นเคยเป็นสนามรบของเทพเจ้า พวกเขาอาจสามารถเก็บเกี่ยวสิ่งดี ๆ กลับมาได้ เช่นความเป็นพระเจ้าที่แตกสลาย ซีเว่ยจะได้ไม่ต้องไปเสี่ยงโจมตีเทพเจ้าอื่น ๆ เพื่อเพิ่มพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขา

แต่ถึงอย่างนั้นภายในหุบเขาแห่งความตายก็เต็มไปด้วยอันตราย ในอดีต จักรวรรดิวัลลาเคยส่งผู้คนนับหมื่นเข้าไปสำรวจหุบเขาที่เต็มไปด้วยไมแอชม่า เพื่อค้นหาพืชในตำนานที่ว่ากันว่าสามารถชุบชีวิตคนได้ แต่คณะสำรวจเกือบทั้งหมดถูกทำลายโดยเรเวแนนท์ที่ไม่รู้จักอย่างรวดเร็ว ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปถึงหุบเขาลึก จากเหตุการณ์นั้นมีผู้รอดชีวิตออกมาได้ไม่ถึงสิบคน

แม้ว่าตอนนี้ขวัญกำลังใจของผู้เล่นจะสูง แต่ซีเว่ยก็สามารถจินตนาการได้ว่าผู้เล่นที่ยังอยู่ในระดับเริ่มต้น จะถูกฆ่าทันทีที่เข้าสู่หุบเขาในระยะ 10 เมตร…

หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะถูกปรับลดทั้ง EXP และเลเวล แม้ว่าพวกเขาจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้ แต่หากพวกเขาทำสิ่งต่าง ๆ โดยประมาท เลเวลเฉลี่ยของผู้เล่นก็จะหยุดนิ่ง ซึ่งมันจะส่งผลกระทบต่อแผนการของซีเว่ยในอนาคต

ทำไมซีเว่ยถึงมั่นใจว่าหากเขาไม่หยุดผู้เล่นเอาไว้ก่อน พวกเขาจะเลือกสำรวจหุบเขาแทนที่จะทำงานสร้างเมืองงั้นเหรอ?

มันง่ายมาก ในฐานะผู้เล่น พวกเขาต้องชอบการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นมากกว่าการนั่งปลูกผัก 4-5 ชั่วโมงต่อวันอยู่แล้ว

ก็การผจญภัยตามหาไอเทมดี ๆ มันฟังดูน่าสนใจกว่ามากปลูกผัก ยิ่งไปกว่านั้น การแสวงหาความตายก็เป็นงานถนัดที่ฝังลึกลงไปใน DNA ของผู้เล่น ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นในโลกนี้หรือโลกไหนก็ตาม

ก่อนที่พวกเขาจะได้ลิ้มรสการฟื้นคืนชีพ ปาร์ตี้ของเอลีน่าเคยระมัดระวังในการต่อสู้กับสัตว์ประหลาด พวกเขาหวาดกลัวว่าตัวเองจะถูกฆ่า แต่หลังจากที่มาร์นี่เผลอตายไปครั้งหนึ่ง และพวกเขาสามารถชุบชีวิตมาร์นี่ได้สำเร็จ พวกเขาก็เริ่มประมาทอย่างที่เห็นตอนสงครามช่วยเหลือเมืองเริ่มต้น นั่นทำให้ซีเว่ยเห็นเงาเพื่อนร่วมเกมในโลกเดิมของเขาเลยทีเดียว

โชคดีที่ความคิดของผู้เล่นตอนนี้ไม่ต่างจากผู้คนในยุคสมัยก่อน ประกอบกับการที่พวกเขาเป็นผู้ศรัทธาที่เคร่งศาสนา พฤติกรรมของพวกเขาจึงถือว่าควบคุมตัวเองได้ดีอยู่ ไม่งั้นซีเว่ยคงจะกังวลมากว่านี้แน่ ถ้าพวกผู้เล่นลากเขาลงน้ำ*ไปด้วย

(ลงน้ำ ในความหมายนี้คือการโดนลากไปโดนความผิดด้วยกัน)

“อืม มาทำกันเถอะ…” ซีเว่ยส่งหนวดออกไปกดคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ที่เขาสร้างขึ้นด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว…

เกือบจะทันทีหลังจากที่พวกเขาเคลียร์กองทัพโครงกระดูกเสร็จ จู่ ๆ ผู้เล่นก็ได้รับข้อความจากระบบ พวกเขาทั้งหมดสามารถมองเห็นมันได้ทันที บางคนที่กำลังดื่มเบียร์อยู่ถึงกับสะดุ้งเผลอรินเบียร์เข้าทางจมูกเลยทีเดียว

ตรงกันข้ามกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่ต่างพากันสับสน เพราะพึ่งได้สัมผัสกับการแจ้งเตือนของระบบเป็นครั้งแรก เอลีน่าผู้มีประสบการณ์มาก่อนแล้ว เริ่มอ่านข้อความจากเทพเจ้าของเธออย่างจริงจัง

<ติ้ง!>

<อัปเดตเวอร์ชันเกม V0.02>

<ปลดล็อคระบบสกุลเงินเกม: ผู้เล่นทุกคนสามารถรับเหรียญเกมได้จากการทำเควสและฆ่าสัตว์ประหลาด ท่านสามารถใช้เหรียญเกมเพื่อซื้อไอเทมและอุปกรณ์จากร้านค้าระบบได้>

<ระบบชื่อเสียงถูกปลดล็อค: ปัจจุบันมีเพียง ‘เมืองไร้ชื่อ‘ เท่านั้นที่เปิดใช้งานระบบชื่อเสียง คะแนนชื่อเสียงจะได้รับผ่านการทำเควสที่ได้รับออกโดยเมือง ท่านสามารถรับเควสประจำเมืองได้จากป้ายประกาศ (อยู่ระหว่างดำเนินการ) และแองโกร่า•เฟาสต์>

<‘อีพิคเควส: สำรวจหุบเขาแห่งความตาย‘ ได้ถูกเพิ่มเข้าไปในหน้าเควสของท่านแล้ว การสำรวจแต่ละครั้งในดันเจี้ยนหุบเขาแห่งความตาย จะเพิ่มอัตราการสำรวจแบบเปอร์เซ็นต์ เมื่อทำการสำรวจครบอัตราที่กำหนด ท่านจะได้รับรางวัลตอบแทนตามระดับการสำรวจ>

<ขอให้เล่นเกมอย่างสนุก!: เทพเจ้าแห่งเกม>

ข้อความไม่ยาว และเอลีน่าก็อ่านมันจบได้อย่างรวดเร็ว

ผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็อ่านจบแล้วเช่นกัน และตอนนี้คนทั้งเมืองก็กำลังพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา

“นี่ต้องเป็นวิวรณ์ในตำนานแน่!”

“แต่วิวรณ์ที่ข้าเคยได้ยินจากเรื่องเล่ามันไม่ใช่แบบนี้นี่…”

“ไม่ต้องสงสัยเลย เทพเจ้าแห่งเกมนั้นยอดเยี่ยมมาก!”

“ใครคือแองโกร่าเฟาสต์? นามสกุลแปลกจริง”

“นี่คือเมืองไร้ชื่อเหรอ? ทำไมมันดูเหมือนหมู่บ้าน…”

“ใช่ แม้แต่บ้านเกิดข้าก็ไม่ได้แย่ขนาดนี้!”

ชาวเมืองในเมืองไร้ชื่อล้วนแต่จ้องมองพฤติกรรมแปลก ๆ ของผู้เล่นอย่างว่างเปล่า พวกเขาทั้งหมดมองไปที่ผู้นำของพวกเขาอย่างพร้อมเพรียงกันซึ่งนั่นก็คือแองโกร่า

ท้ายที่สุดเมื่อกองทัพโครงกระดูกบุกเข้ามาก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของแองโกร่า พวกชาวบ้านอาจไม่มีใครรอดมาได้จนถึงวันนี้ ในตอนนี้ชาวเมืองเกือบทั้งหมดได้ยอมรับแล้วว่าเขาเป็นลอร์ดที่แท้จริงของเมือง

ที่สำคัญไปกว่านั้น กำลังเสริมเหล่านี้ที่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้สูงมาก แต่มีพฤติกรรมพิลึก ก็มาตามคำเรียกของเขาด้วย…

—————————————————

แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้ จู่ ๆ ก็ได้มีเสียงรบกวนแปลก ๆ ดังมาจากอีกทิศทางหนึ่ง

แองโกร่าหันไปมองตามเสียงโดยสัญชาตญาณ และพบว่าไม่ไกลจากเมืองไร้ชื่อได้เกิดสถานการณ์ประหลาดขึ้น

แม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนกองคาราวานพ่อค้าธรรมดา แต่รถม้าของพวกเขาก็พุ่งเข้าชนโครงกระดูกไปทั่ว และวิ่งเข้ามาในเมืองอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น แองโกร่าก็ได้เห็นชื่อสีขาวลอยอยู่เหนือหัวของกลุ่มคนในคาราวานพ่อค้า

ไม่ผิดแน่ พวกเขาคือผู้เล่นที่ระบบพูดถึง!

ในที่สุด หัวใจของแองโกร่าที่แทบจะกระโจนออกจากปากก็กลับลงไปที่เดิม ระบบไม่ได้โกหกเขา เขาตะโกนอย่างมีความสุขว่า “กำลังเสริมมาแล้ว! ทุกคนมาอดทนสู้ต่อจนถึงที่สุดกันเถอะ!”

แต่แล้วเขาก็พบว่าชาวเมืองไม่เพียงแต่จะไม่ผ่อนคลาย ความสิ้นหวังบนใบหน้าของพวกเขากลับเพิ่มมากขึ้นไปอีก

“ท่านลอร์ด นั่นคือ…กำลังเสริมที่ท่านพูดถึงเหรอ?” วีลาอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

แองโกร่าช็อกกับคำถามของเธอ

อันที่จริงมีผู้เล่นอยู่ประมาณ 20 คน พวกเขาจะมีโอกาสชนะโครงกระดูก 800 ตัว รวมถึงอัศวินโครงกระดูกชั้นยอดได้รึเปล่า?

เขาไม่ทันคิดเรื่องนั้นเลย เขาแค่หวังว่าจะได้รับการช่วยเหลือจากผู้เล่น แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้เห็นความผิดปกติของผู้เล่น เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นกำลังรบจริงรึเปล่า…ท้ายที่สุดแม้ว่าตัวเขาจะเป็นผู้เล่นเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่มีทักษะการต่อสู้อะไรเลย

สิ่งที่ทำให้เขาแปลกยิ่งกว่านั้นก็คือปฏิกิริยาของผู้เล่นที่มีต่อกองทัพโครงกระดูก

มันไม่ใช่ความกลัวหรือความประมาทที่เห็นศัตรูอ่อนแอเกินไป แองโกร่าไม่สามารถเข้าใจได้เลย มันดูราวกับว่าพวกเขาเห็นโครงกระดูกเหล่านั้นเป็นเหรียญทองเดินได้

“ที่นี่มีสัตว์ประหลาดอยู่เต็มไปหมด! สุดยอดดด!”

“พวกสัตว์ในป่าต่างก็หนีเราไปหมด! ในที่สุดข้าก็จะได้ลองทักษะใหม่ของข้าซะที”

“เร็วเข้า ๆ!”

“EXP EXP มากมาย!”

“เจ้าตัวใหญ่บนหลังม้าต้องเป็นบอสแน่ ข้าไม่รู้ว่ามันจะระเบิดอะไรดี ๆ ออกมาบ้าง”

“ม้าตัวนั้นเท่มาก…ข้าจับมันมาขี่ได้รึเปล่า!”

“การกำจัดสัตว์ประหลาดพวกนี้คือเป้าหมายของเควส ‘ปกป้องเมือง‘ ใช่ไหม?”

“ฮ่า ๆ มีสัตว์ประหลาดมากมาย ข้ามาร์นี่ ในที่สุดก็มีหวังจะไปถึงเลเวล 3 แล้ว!”

“ฟรอสบอม!”

“เฮ้! เจ้าอย่าขโมยเป้าหมายข้านะ!”

ต้องบอกว่าเมื่อกลุ่มผู้เล่นปะทะกับกองทัพโครงกระดูก สถานการณ์นั้นเหนือจินตนาการของแองโกร่าอย่างสิ้นเชิง

โครงกระดูกแทบจะถูกกวาดล้างโดยผู้เล่นที่เป็นกำลังเสริมอยู่ฝ่ายเดียว

มันไม่ได้หมายความว่าผู้เล่นแข็งแกร่งมากจนพวกเขาไม่กลัวโครงกระดูก เนื่องจากโครงกระดูกบางตัวยังสามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงให้กับพวกเขาได้

เช่นในกรณีของผู้เล่นที่มีชื่อว่า ‘มาร์นี่‘ ที่แต่งตัวเหมือนพ่อค้า ขณะที่เขาควงดาบร่ายรำไปรอบ ๆ สนามรบด้วยทักษะดาบอันเชี่ยวชาญ เพียงไม่นาน เขาก็ถูกนักรบโครงกระดูก 3 ตัวเข้ารุม และถูกแทงข้างหลังจนตาย

เขาร้องว่า “อ๊า! ข้าตายแล้ว!” และร่วงลงไปนอนวัดพื้น

อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้เล่นคนสักคนเดียวที่ตกใจหรือหวาดกลัว พวกเขากลับต่อสู้อย่างรุนแรงยิ่งขึ้น

มันเหมือนกับว่าพวกเขาไม่รู้สึกเจ็บปวด ทั้งที่เลือดเนื้อและกระดูกกระเซ็นไปทั่วสนามรบ และการต่อสู้ก็รุนแรงมากขึ้นทุกขณะ

เมื่อเห็นฉากนองเลือดอันน่าเกรงขามนี้ แองโกร่าที่ซ่อนตัวอยู่หลังบ้านไม้ก็รู้สึกฮึกเหิมตามไปด้วยเช่นกัน เขาชูดาบยาวซึ่งเต็มไปด้วยรอยบิ่นขึ้นมาแล้วตะโกนว่า “พันธมิตรของเรากำลังต่อสู้อาบเลือดเพื่อเราในตอนนี้ หยุดทะเลาะกันและจับอาวุธขึ้นสู้!”

ชาวเมืองคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึงกับการปรากฏตัวของผู้เล่น และสนามรบที่มีเลือดเนื้อและกระดูกกระเซ็นออกมา นี่ไม่สามารถเป็นของปลอมได้ พวกเขาเสียสละชีวิตช่วยเหลือเราโดยไม่คำนึงถึงตัวเอง พวกเขาเข้าปะทะกับโครงกระดูกอย่างกล้าหาญ (เนื่องจากฉากนั้นวุ่นวายเกินไป พวกเขาจึงไม่เห็นว่าโครงกระดูกที่ร่วงลงพื้นหายไปอย่างลึกลับ) หัวใจของพวกเขาเต้นแรง เมื่อแองโกร่าตะโกนขึ้น พวกเขาทั้งหมดก็จับอาวุธและรีบออกจากที่กำบังเพื่อสู้กับโครงกระดูกที่อยู่ใกล้ตัว

โครงกระดูกซึ่งเดิมถูกดึงดูดโดยการเคลื่อนไหวของผู้เล่นจากระยะไกล ถูกพวกชาวเมืองโค่นทันทีอย่างไม่ทันตั้งตัว!

เมื่อเหล่าผู้เล่นเห็นชาวเมืองออกมาให้กำลังใจ และเริ่มโจมตีกองทัพโครงกระดูกอย่างมุ่งมั่น ผู้เล่นต่างพากันส่งเสียงตะโกนออกมาว่า

“เจ้าพวกบ้า หยุดนะ! นั่น EXP ของข้า!”

“มันไม่มีประโยชน์ที่พวกเจ้าจะฆ่ามัน! หยุดตี ปล่อยมันไป ในอนาคตมันอาจกลายเป็น EXP ของข้า!”

“ให้ตายเถอะ! เรามาเพื่อช่วยเจ้า แต่เจ้าปล้น EXP ของข้า! เจ้าทำอย่างนั้นได้ยังไง!”

“มาร์นี่ตายอีกแล้ว! เชี่ย!”

แม้ว่าสิ่งที่พวกเขาตะโกนจะไม่สามารถเข้าใจได้ แต่พวกเขาก็ดูตื่นเต้นดี ดังนั้นแองโกร่าจึงคิดว่าพวกเขากำลังสรรเสริญและพยายามให้กำลังใจพวกชาวเมืองอยู่เป็นแน่

จำนวนโครงกระดูกที่ล้มตายได้เพิ่มขึ้น ถึงกระนั้นก็น่าเสียดายที่ฝ่ายมนุษย์ทั้งสองขาดกำลังคน ทำให้ฝ่ายที่เสียเปรียบยังคงเป็นพวกเขา

วีลาหลบการฟันของนักรบโครงกระดูกได้อย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่จะใช้ด้ามมีดฟาดเข้าไปที่กระดูกสันหลังของมันที่โผล่ออกมานอกเกราะ ทำให้กระดูกข้อต่อกลางลำตัวหลุดออกทันที จนเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ที่กระดูกแต่ละท่อนหลุดออกจากกัน

เธอต่อสู้อย่างรื่นไหลราวกับสายน้ำ เธอฆ่านักรบโครงกระดูกได้ในพริบตา

กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาไม่เกิน 3 วินาที

การเคลื่อนไหวที่ราวกับร่ายรำของเธอทำให้แองโกร่าตกตะลึง

“เจ้าแข็งแกร่งมาก วีลา…”

“ข้ายังไม่เคยบอกท่านใช่ไหมท่านลอร์ด” วีลาใช้จังหวะนี้เพื่อหายใจ ก่อนจะขยับรอยยิ้มทะเล้นราวจิ้งจอกน้อยออกมา “ว่าข้าเป็นพรานที่เก่งที่สุดในเมืองนี้”

แองโกร่าแทบจะขอบคุณที่เขาไม่ได้ทำตัวหยาบคายต่อหน้าวีลาหลังจากที่พวกเขาได้พบกัน ซึ่งมันเยี่ยมมาก

“นี่มันไม่ได้ผล อัตตราการบาดเจ็บของชาวเมืองมีแต่จะเพิ่มขึ้น!” วีลาตะโกนหลังจากฆ่าโครงกระดูกไปอีก 2-3 ตัวอย่างช่ำชอง

“ถ้าต้องการเอาชนะพวกมัน ก่อนอื่นเราต้องล้มอัศวินโครงกระดูกที่เป็นผู้นำ” แองโกร่าพยายามคาดเดา “ดูนั่นสิ กำลังเสริมของพวกเรา พวกเขากำลังพยายามฝ่าเข้าไปหาอัศวินโครงกระดูกอย่างสิ้นหวัง!”

วีลาเหลือบมองไปทางกำลังเสริม เธอเห็นว่าพวกเขาทิ้งการป้องกันและเปลี่ยนไปเป็นฝ่ายบุกแทน พวกเขาต่างล้อมรอบสองสาวนักบวชไว้ตรงกลาง ที่ตรงหนั้นพวกเธอทั้งสองต่างก็ร่ายคาถารักษาอันศักดิ์สิทธิเพื่อยื้อชีวิตทุกคนไม่หยุดมือ และสร้างเส้นทางตรงเข้าสู่อัศวินโครงกระดูก!

“ไปช่วยพวกเขากันเถอะ วีลา!”

“ได้เลยท่านลอร์ด!”

ดังนั้นภายใต้การปกป้องของชาวเมือง วีลาจึงนำแองโกร่าลัดเลาะเข้าหาอัศวินโครงกระดูกจากทิศทางอื่น

มันเป็นเรื่องยากมากที่ทั้งสองกลุ่มจะไปถึงอัศวินโครงกระดูก แม้ว่าแองโกร่าจะสงสัยนิดหน่อย ว่าทำไมผู้เล่นถึงจ้องมาทางเขาด้วยสีหน้ามืดมน ราวกับว่าพวกเขาถูกบังคับให้กินมูลสัตว์ แต่แองโกร่าก็เลือดเข้าตาแล้ว เขาเลิกคิดมาก ขณะนี้วีลาและผู้เล่นคนอื่น ๆ ได้เริ่มโจมตีอัศวินโครงกระดูก!

“แม้ว่าข้าจะไม่มีมานาเหลือแล้ว แต่ข้าก็จะไม่ปล่อยบอสไป!” อีกด้านหนึ่ง เด็กหนุ่มมีที่ชื่อบนหัวอ่านว่า ‘เอ็ดเวิร์ด‘ ได้เก็บคทาเวทลงไปแล้วชักดาบออกมา

“ข้าจะปกป้องศักดินาของข้า!” แองโกร่านึกถึงนิยายอัศวินที่เขาเคยอ่าน จากนั้นอะดรีนาลีนของเขาสูบฉีด ขณะที่เขาพยายามโจมตีอัศวินโครงกระดูกที่บุกรุกที่ดินศักดินาของเขาพร้อมกับผู้เล่นคนอื่น ๆ

แต่ในเสี้ยววินาทีที่อาวุธของพวกเขากำลังจะเข้าถึงตัวอัศวินโครงกระดูก ทันใดนั้นวีลาก็สังเกตเห็นเด็กหญิงผมสีเงินมัดทรงทวินเทล ที่ถูกปกป้องอยู่ตรงศูนย์กลางของกำลังเสริม เธอคนที่คอยร่ายคาถารักษาอันศักดิ์สิทธิมาตลอด จู่ ๆ ก็ได้ชูมือขึ้นฟ้าและตะโกนออกมาว่า

“หอกแห่งชัยชนะ”

จากนั้นหอกสีทองสว่างที่ควบแน่นจากแสงและเต็มไปด้วยประกายระยิบระยับสีทอง ก็ได้ตัดผ่านความว่างเปล่า 500 เมตรในครั้งเดียว ปักตรึงอัศวินโครงกระดูกลงกับพื้น และฆ่ามันตายทันทีก่อนที่เอ็ดเวิร์ดและแองโกร่าจะได้ทำอะไร…

——————————————————————-

ในวันที่สองหลังจากเข้าฤดูหนาว ความผิดปกติก็เริ่มปรากฏขึ้นในเมืองไร้ชื่อ

ตอนแรกมีเพียงโครงกระดูกอ่อนแอหลงทางเข้ามาในเมือง แต่ในไม่ช้า จำนวนของพวกมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่นักรบโครงกระดูกที่มีอาวุธอยู่ในมือก็เริ่มปะปนเข้ามา ชาวเมืองจึงต้องต่อสู้อย่างระมัดระวัง ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจได้รับบาดเจ็บได้ง่าย ๆ

เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แองโกร่าจึงต้องหยุดงานอื่น ๆ และเสริมกำลังป้องกันรอบเมืองเต็มอัตรา

น่าเสียดาย หลังจากการปรากฏตัวของนักเวทโครงกระดูกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา กำแพงเมืองก็ค่อย ๆ สูญเสียความทนทานไป แค่ลูกไฟลูกเดียวก็ระเบิดกำแพงดินที่ชาวเมืองใช้เวลาสร้างทั้งวันได้ง่าย ๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะนักเวทโครงกระดูกมีจำนวนไม่มาก และพรานที่กล้าหาญของเมืองก็ยอมเสี่ยงชีวิต วิ่งนำขบวนออกไปฆ่านักเวทโครงกระดูก ศัตรูที่คุกคามเมืองมากที่สุด น่ากลัวว่าเมือง ๆ นี้อาจจะต้องถูกทำลายลงไปในวันนั้น

พูดได้ว่าสถานการณ์ของเมืองเริ่มเลวร้ายมากขึ้นในแต่ละวัน ตอนนี้ชาวเมืองถูกบังคับให้ละทิ้งกำแพงด้านนอก และซ่อนตัวอยู่ในบ้านไม้ที่พึ่งสร้างขึ้นมาใหม่

เมื่อเทียบกับบ้านเก่าที่ไม่เคยซ่อมแซมมานานหลายปี บ้านที่สร้างขึ้นใหม่มีความแข็งแรงอย่างน่าประหลาดใจ แม้จะเป็นโครงสร้างไม้ แต่มันก็ไม่ถูกเผาไหม้และพังทลายแม้ว่าจะถูกเวทไฟโจมตีใส่

เป็นเพราะบ้านที่ดูเหมือนจะไม่พังทลายเหล่านั้นและการกล่าวถึง ‘กำลังเสริม’ ซ้ำ ๆ ของแองโกร่า ทำให้ขวัญกำลังใจของชาวเมืองยังคงไม่แตกสลาย

“มันใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว…”

แองโกร่าเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถมองเห็นแถบความทนทานของบ้าน เขานั่งอยู่กลางบ้านและเกาหัวอย่างกระสับกระส่าย

แม้ว่าบ้านทุกหลังจะยังดูดีเหมือนใหม่ แต่แถบความทนทานของพวกมันที่ยาวมากก็เริ่มลดน้อยลง และใกล้จะหมดหลอดแล้ว

เนื่องจากระบบโอเวอร์ลอร์ดของเขาไม่มีอาวุธใด ๆ ขาย ชาวเมืองทุกคนจึงต้องต่อสู้กับเหล่าเรเวแนนท์ โดยใช้อุปกรณ์ล่าสัตว์ธรรมดาและอุปกรณ์ทำฟาร์ม

ในขณะที่การต่อสู้ผ่านไปนานวันเข้า พวกเขาก็พบว่าอาวุธของพวกเขาแทบจะใช้การไม่ได้แล้ว ความเป็นจริงมันแตกต่างจากเกม เครื่องมือเหล็กจะเริ่มทื่อหลังจากที่ตัดศัตรูเพียง 2-3 ครั้ง ไม่ต้องพูดถึงพราน แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเก็บลูกธนูมาใช้ใหม่ได้ แต่มันก็ไม่อาจเป็นได้ในสถานการณ์เช่นนี้ และอาวุธส่วนใหญ่ของชาวบ้านก็ไม่สามารถใช้งานได้หลังจากผ่านการต่อสู้เพียงครั้งเดียว

ราวกับว่าสิ่งต่าง ๆ ยังไม่เลวร้ายพอ เมื่อวานนี้ได้มีนักธนูโครงกระดูกปรากฏตัวขึ้น ทำให้ตอนนี้ในหมู่ชาวบ้านมีผู้เสียชีวิต 3 คน พวกเขาเป็นผู้สูงอายุที่ไม่สามารถหลบหนีได้ทัน

เดิมประชากรในเมืองมีเพียง 29 คน พวกเขาหายไปหนึ่งในสิบเพียงพริบตาเดียว!

ประตูไม้ถูกเปิดจากด้านนอกอย่างรุนแรง แองโกร่าซึ่งจมอยู่ในความคิดถึงกับสะดุ้งตกใจ

วีลาเดินเข้ามาพลางปัดเศษหิมะที่เกาะอยู่บนหมวกหนังสัตว์ของเธอออก และถามอย่างร้อนรนว่า “ท่านลอร์ด กำลังเสริมของท่านจะมาถึงเมื่อไหร่? เราจะต้านมันไม่ไหวแล้วนะ!”

‘ถึงข้าจะบอกทุกคนว่ากำลังเสริมกำลังมา แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมาถึงเมื่อไหร่‘ แองโกร่าคิดในใจ

แต่ข้าไม่อาจพูดเช่นนั้นได้ ถ้าข้าพูด ขวัญกำลังใจทั้งหมดของชาวเมืองคงได้สลายหายไปหมดแน่

“พวกเขากำลังจะมา ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำคือปกป้องเมืองนี้เอาไว้เท่าที่จะทำได้” เขาตอบ

วีลาทำท่าสงสัย

แองโกร่าแอบถอนหายใจ เขาลุกขึ้นจากที่นั่ง “ตอนนี้มีความหมายอะไรที่ข้าต้องหลอกพวกเจ้าด้วย? ข้าจะเข้าร่วมการต่อสู้ปกป้องเมืองในครั้งหน้า เจ้าสบายใจขึ้นรึยัง”

วีลายังคงแคลงใจ แต่เธอก็พยักหน้าอย่างรวดเร็วและออกจากห้องไป

ทันทีที่แองโกร่าก้าวออกจากสถานที่ปลอดภัย เขาก็รู้สึกได้ถึงความตึงเครียดอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้

พูดตามตรง การโจมตีของพวกเรเวแนนท์ไม่ได้หนักหน่วงเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับสงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกันแล้ว การต่อสู้กับสัตว์ประหลาดนั้นสบายกว่ามาก

ผู้ที่อยู่หลังแนวป้องกันที่เต็มไปด้วยลังไม้ ยังมีแม้กระทั่งเวลาดื่มข้าวโอ๊ตนึ่งสักชาม ส่วนใหญ่พวกเรเวแนนท์มักจะเดินไปเดินมามากกว่า มันจะบุกเข้าโจมตีเฉพาะเมื่อพวกมันรับรู้ถึงลมหายใจของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น

แต่นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไม ใครก็ตามที่พยายามหาทางฝ่าพวกเรเวแนนท์ไปอย่างลับ ๆ จึงได้กลายเป็นการดึงดูดความสนใจของพวกมันแทน เมื่อถูกล้อมไปทุกทิศทางด้วยพวกเรเวแนนท์ แม้แต่ ‘ครัม’ นายพรานมือฉกาจของเมืองก็ไม่สามารถหลบหนีออกมาได้

แองโกร่ารู้ดีว่าการที่พลเรือนธรรมดาสามารถต้านทานได้ขนาดนี้นั้นไม่ง่ายอย่างที่เห็น พวกเรเวแนนท์มีความได้เปรียบของพวกมันอยู่ พวกมันไม่มีความรู้สึกเบื่อ ไม่เหนื่อย และไม่ต้องพักผ่อนหรือนอนหลับ พวกมันสามารถโจมตีแนวป้องกันได้เกือบตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน แม้ว่าพวกมันจะไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่ แต่การโจมตีอย่างต่อเนื่องของพวกมัน ก็จะบ่อนทำลายจิตใจและสภาพร่างกายของฝ่ายป้องกัน จนในที่สุดก็ทำให้พวกเขาต้องเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ…

แต่มันก็ไม่มีวิธีรับมือใดที่ดีไปกว่านี้แล้ว แองโกร่าและชาวบ้านสามารถต้านทานการโจมตีจากอมนุษย์ได้เพียงวิธีนี้เท่านั้น

“เราถูกพวกขุนนางหลอกอีกแล้ว!” เมื่อผ่านไปอีกวัน ในที่สุดพรานหนุ่มก็สูญเสียเหตุผลของเขาไป ดวงตาของเขาแดงก่ำเพราะไม่ได้นอนมานานแล้ว เขากำลังชี้ใบมีดบิ่น ๆ ไปทางแองโกร่า “ไม่มีกำลังเสริม! เราจะตายที่นี่! นั่นคือความจริง!”

เขาพูดด้วยสีหน้าสิ้นหวังและบ้าคลั่ง จากนั้นเขาก็เหวี่ยงมีดที่เขาเคยใช้ตัดเถาวัลย์ในป่าไปทางแองโกร่า

แองโกร่าที่พึ่งเอาชนะนักรบโครงกระดูกมาได้อย่างยากลำบากไม่มีแรงเหลือแล้ว เขาไม่สามารถหลบการโจมตีกะทันหันครั้งนี้ได้เลย

มันจบแล้ว!

‘ไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะต้องมาตายเพราะพันธมิตร แทนที่จะเป็นพวกเรเวแนนท์‘ แองโกร่าคิดอย่างประชดประชัน

แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น วีลาก็ลุกขึ้นปัดมีดเล่มนั้นทิ้ง และเตะพรานหนุ่มจนล้มคว่ำ แม้ว่าเธอจะเหนื่อยมากพอกัน

“จงรักษาความแข็งแกร่งของเจ้าไว้เพื่อฆ่าพวกเรเวแนนท์ ออกไป ถ้าเจ้าอยากตายนักก็ออกไป!”

“แต่วีลา…โครงกระดูก มีพวกมันอยู่เต็มไปหมด…เป็นไปไม่ได้ที่กำลังเสริมจะฝ่าพวกมันเข้ามาช่วยเรา!” ใบหน้าของพรานหนุ่มบิดเบี้ยว เขาร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง “มันต้องเป็นขุนนางคนนั้น! เขาต้องนำพวกเรเวแนนท์มาที่นี่!”

“ไอ้โง่ ทำไมข้าต้องทำแบบนั้นด้วย ข้าดูเหมือนคนอยากตายตรงไหน” แองโกร่าพึมพำเสียงดังพอให้พวกเขาทั้งหมดได้ยิน

วีลาจ้องมองเขาก่อนที่จะหันไปหาพรานหนุ่ม “ตอนนี้ สิ่งที่เราทำได้คือเชื่อมั่นในกำลังเสริมของเรา”

ในตอนนั้นเอง ชาวเมืองที่เฝ้ามองออกไปด้านนอกก็ตะโกนขึ้นมาว่า “อัศวินโครงกระดูก! มันคืออัศวินโครงกระดูก!”

ทั้งแองโกร่าและวีลามีปฏิกิริยาแทบจะพร้อมกัน พวกเขารีบวิ่งไปดู

พวกเขาพบอัศวินโครงกระดูกอยู่ใกล้ ๆ มันถืออาวุธหนัก ขี่ม้ากระดูกหุ้มเกราะขนาดใหญ่ และม้าตัวนั้นก็มีแผงคอลุกไหม้เป็นเปลวไฟสีน้ำเงิน เช่นเดียวกับดวงตาของมัน

ม้าโครงกระดูกสามารถวิ่งชนบ้านเก่าในเมืองจนแหลกเป็นชิ้น ๆ ได้อย่างง่ายดาย จากนั้นมันก็พุ่งเข้ามายังบ้านที่อยู่ใจกลางเมืองอย่างรวดเร็ว

แองโกร่าเหงื่อตก ด้วยความทนทานของบ้านไม้ในตอนนี้ เมื่อสิ่งนั้นกระแทกเข้ามา มันต้องพังทลายลงทันทีแน่!

คราวนี้เขาคงไม่รอดแล้ว…

หิมะยังไม่ตก แต่อากาศก็เริ่มเย็นลงทุกวัน

แองโกร่ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันสดใส ในระหว่างที่เขาเดินเล่นรอบเมือง เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว

ท้องฟ้าสีครามนั้นจะไม่มีให้เห็นนานถึง 3 เดือนเมื่อหิมะเริ่มตก

ถึงอย่างนั้นผู้คนในเมืองก็ไม่ได้หยุดมือแม้อากาศจะหนาวเย็น พวกเขากลับยุ่งมาขึ้นเรื่อย ๆ แทน

งานต่าง ๆ เช่นการเก็บเกี่ยวข้าวโอ๊ตวิญญาณจากฟาร์ม การสร้างบ้านไม้ การล่าสัตว์เพื่อหาเนื้อและขนสัตว์ ตลอดจนถึงการสร้างรั้วไม้ง่าย ๆ เพื่อป้องกันพวกเรเวแนนท์ที่อาจปรากฏตัวขึ้นนอกเมือง ทั้งหมดล้วนดำเนินการอยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีการหยุดพัก พวกเขาต่างร่วมมือกันเพื่อให้งานเสร็จสมบูรณ์

โชคดีที่แองโกร่ามีระบบโอเวอร์ลอร์ด ที่ทำให้งานด้านการเกษตรและการก่อสร้าง ซึ่งต้องใช้เวลานานและใช้แรงงานจำนวนมากแล้วเสร็จได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้แม้แต่เหล่าคนชราที่ไม่มีแรง ก็ยังสามารถทำมันให้เสร็จได้เพียงแค่เอ่ยคำอธิษฐานง่าย ๆ มันช่วยลดแรงงานวัยหนุ่มสาวเพียงไม่กี่คนในเมือง และช่วยให้พวกเขามีเวลาทำงานที่สำคัญกว่าได้

“ท่านลอร์ด ท่านอยู่นี่เอง” เจ้าเมืองวัยชราปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน ดวงตาสีน้ำนมของเขาเต็มไปด้วยความสุขเมื่อเห็นแองโกร่ากำลังตรวจดูความคืบหน้าในการก่อสร้างบ้านหลังใหม่ “ข้าวโอ๊ตที่ได้รับพรชุดสุดท้าย เก็บเกี่ยวเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ”

“ทำดีมาก เรามาใช้ช่วงเวลานี้ปลูกผักอื่นก่อนที่หิมะจะมาถึงกันเถอะ”

แองโกร่าดึงถุงผ้าที่มีเมล็ดพันธุ์พืชชนิดอื่น ๆ ที่เขาแลกมาจากระบบเมื่อวานนี้ออกมา

ก่อนหน้านี้ขั้นตอนพื้นฐานในการทำฟาร์ม เป็นวัฏจักรที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พวกเขาปลูกข้าวโอ๊ตวิญญาณ→รอให้พวกมันโตเต็มที่และเก็บเกี่ยว→เก็บครึ่งหนึ่งไว้ในยุ้งฉาง และขายครึ่งหนึ่งให้กับระบบ→รับเหรียญเกม→ใช้เงิน 90% ซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่→ปลูกข้าวโอ๊ตวิญญาณ

เหรียญเกมที่เก็บไว้ จะถูกจัดสรรไว้ซื้อพื้นที่เพาะปลูกใหม่และสร้างบ้านไม้

แต่จำนวนเมล็ดข้าวโอ๊ตที่ขายใน QQ Farm มีจำนวนจำกัด ขณะที่เขาขยายฟาร์มออกไป แองโกร่าก็ตระหนักว่าเมล็ดข้าวโอ๊ตทุกเมล็ดที่มีอยู่ในแต่ละวันนั้น ไม่เพียงพอสำหรับฟาร์มของพวกเขาในปัจจุบัน

ดูเหมือนว่าเขาจะต้องอัปเกรด QQ Farm ก่อน หากต้องการซื้อเมล็ดพันธุ์ให้มากขึ้น และการจะทำเช่นนั้นได้ เขาก็ต้องเพิ่มระดับของเขาและค่าความเจริญรุ่งเรืองของเมือง พูดง่าย ๆ คือ มันเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างห่างไกลสำหรับตัวเขาในตอนนี้

เดิมแองโกร่าเองก็รู้สึกเศร้า เขาคิดว่าร้านค้าระบบนั้นขี้งกเกินไป

แต่ในที่สุดเขาก็ต้องยอมแพ้ ระบบนี้มีชื่อว่า ‘ระบบโอเวอร์ลอร์ด’ ไม่ใช่ ‘ระบบเจ้าแห่งฟาร์ม’

แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะมองว่าพื้นที่เพาะปลูกมีค่าเท่ากับอาหาร และมันเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะทำงานในไร่ในนาตลอดทั้งวัน แต่สำหรับขุนนางอย่างเขา เกษตรกรรมเป็นเพียงกิจการส่วนหนึ่งของดินแดนเท่านั้น

หลังจากที่ยุ้งฉางเพียงแห่งเดียวในเมืองเต็มไปด้วยข้าวโอ๊ต แองโกร่าก็เริ่มคิดถึงการปลูกผักชนิดอื่น

สำหรับชาวเมืองที่ยากจนแร้นแค้น พวกเขามีความสุขเพียงแค่ได้กินอิ่มท้องทุกวัน แม้ว่ารสชาติจะดีขึ้นหรือแย่ลง พวกเขาก็ไม่สนใจ แต่แองโกร่าเป็นขุนนาง ทุกวันนี้เขาสามารถทนกินอาหารแห้งได้ แต่หากมีแต่ข้าวโอ๊ตให้กินตลอดฤดูหนาว เขาต้องบ้าตายแน่

เจ้าเมืองวัยชรารับถุงผ้าใบเล็กจากแองโกร่ามาอย่างขึงขัง

เมื่อหลายวันก่อน ชายชราสะเทือนใจจนต้องหลั่งน้ำตา เมื่อเขาได้เห็นข้าวโอ๊ตที่เติบโตเต็มที่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากปลูกลงดิน เขาร้องไห้อย่างดีใจจนถึงจุดที่แม้แต่ริ้วรอยลึกบนใบหน้าก็ดูตื้นลง

ชายชราเปลี่ยนทัศนคติของเขาที่เขามีต่อแองโกร่าเป็นความเคารพเทิดทูนอย่างสูง หลังจากที่เขาได้เห็นปาฏิหาริย์ครั้งนั้น

น่าเสียดายที่แม้แองโกร่าจะพยายามอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจชายชราว่า ‘ผู้ยิ่งใหญ่ไม่ใช่ข้า แต่เป็นเทพเจ้าแห่งเกมที่ข้าศรัทธา’ มิฉะนั้นความหลงใหลของชายชราเพียงอย่างเดียว อาจทำให้เขากลายเป็นผู้ศรัทธาที่เคร่งศาสนาได้อย่างแน่นอน

“มีผู้พบเห็นพวกเรเวแนนท์นอกเมืองรึเปล่า” แองโกร่าถามอย่างกังวล

ขณะนี้ทุกอย่างในเมืองกำลังพัฒนาไปได้สวย แต่พวกเรเวแนนท์ที่อยู่นอกเมืองนั้นทำให้แองโกร่าไม่สบายใจ

“ยังไม่พบขอรับ” ชายชราส่ายหัว ขณะที่เขาจะจับถุงไว้แนบอกราวกับว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่า “นอกจากโครงกระดูกที่พวกเขาเห็นในตอนแรก พรานหนุ่มยังไม่พบอะไรเลยหลังจากออกลาดตระเวนมาหลายวัน ไม่มีใครพบเห็นพวกมันอีก”

“เหรอ…” แองโกร่าถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ท่านลอร์ด ท่านไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ วีลาอาจพูดเกินจริงไปหน่อยเนื่องจากขาดประสบการณ์ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่กองทัพหลวงจะพลาดโครงกระดูกหนึ่งหรือสองตัวในการกวาดล้างครั้งใหญ่ พวกเรเวแนนท์ประเภทนั้นมักอ่อนแอ พวกมันไม่สามารถสู้พรานของเราได้”

ชายชราเห็นว่าแองโกร่าค่อนข้างกังวลกับเรื่องนี้ เขาจึงช่วยพูดให้ขุนนางของเขาสบายใจ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ กองทัพหลวงได้เผาป่าเพื่อปิดล้อมและทำลายเหล่าเรเวแนนท์ที่หลบหนีออกมา เมื่อพวกเขาถอนกำลังทหารออกไปอย่างปลอดภัย นั่นหมายความว่าไม่ควรมีเรเวแนนท์ที่หนีรอดอยู่มากเกินไป”

“พวกเรเวแนนท์จะไม่ออกมาจากหุบเขาแห่งความตายอีกแล้วงั้นเหรอ?” แองโกร่าถาม

“ไม่ขอรับ พวกเรเวแนนท์จะไม่ออกจากหุบเขาในฤดูหนาว หรืออย่างน้อยที่สุด สิ่งนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นในช่วง 60 ปีที่ผ่านมาในชีวิตของข้า สบายใจได้ท่านลอร์ด มันจะไม่เป็นไร”

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี” แองโกร่าถอนหายใจ

เขาต่างจากชายชรา แม้ว่าเขาจะขาดประสบการณ์ แต่เขาก็มีอุปกรณ์โกงอย่างระบบอยู่

บนหน้าจอเควสซึ่งปกติจะไม่ค่อยมีอะไรปรากฏขึ้นมากนัก จู่ ๆ ก็เริ่มแจ้งเตือนภารกิจ ‘ปกป้องเมืองรอกำลังเสริม’ เนื่องจากความไว้วางใจของเขาที่มีต่อระบบ หรือเทพเจ้าลึกลับที่สร้างมันขึ้นมา แองโกร่าจึงรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะมีเหตุการเรเวแนนท์บุกเมือง!

‘คงจะดีไม่น้อย ถ้ารู้ว่าผู้เล่นคนอื่นจะมาถึงเมื่อไหร่‘ แองโกร่าคิด

เควสนี้ทำให้เขาต้องออกไปปกป้องเมืองจนกว่าผู้เล่นคนอื่นจะมาถึง หากเป็นเช่นนั้นจะต้องมีนักสู้อยู่ท่ามกลางสาวกคนอื่น ๆ แน่…พวกเขาอาจเป็นเช่นเดียวกับอัศวินคุ้มกันของพวกขุนนาง

ทำไมถึงไม่มีตัวจับเวลานับถอยหลังเหมือนตอนที่ปลูกข้าวโอ๊ตกันนะ?

ในขณะที่แองโกร่ากำลังรู้สึกหดหู่ใจกับเรื่องนี้ เขาก็ตัวสั่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ลมเหนือกำลังกรีดร้องหวีดหวิว อากาศก็ดูเหมือนจะหนาวเย็นลงเรื่อย ๆ

เมื่อแองโกร่าเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เขาก็ต้องพบว่าท้องฟ้าที่เคยปลอดโปร่งแจ่มใส ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มันมีเมฆหนาทึบลอยขึ้นมาปกคลุม

เกล็ดหิมะสีขาวเล็ก ๆ ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าที่มืดครึ้ม

หิมะตกแล้ว…

———————————————————————–

ยินดีด้วย! ท่านได้รับการยอมรับจากชาวบ้านมากกว่าครึ่ง ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำของเมืองไร้ชื่อ

ตอนนี้ท่านสามารถตั้งชื่อดินแดนดินศักดิ์นาของท่านได้แล้ว (เปลี่ยนชื่อครั้งแรกฟรี หากต้องการเปลี่ยนชื่ออีกครั้งท่านต้องซื้อบัตรเปลี่ยนชื่อจากร้านค้า)

เมื่อข้าวโอ๊ตวิญญาณที่เก็บเกี่ยวเสร็จแล้วกองสุดท้ายถูกเก็บเข้าระบบ ท่ามกลางสายตาที่เคารพบูชาและไม่อยากจะเชื่อของชาวเมือง แองโกร่า•เฟาสต์ ก็ได้ยินการแจ้งเตือนจากระบบโอเวอร์ลอร์ดตามที่เขาหวังไว้

แต่เขาก็ไม่ได้รีบตรวจสอบระบบทันที เขาหันไปทางชาวบ้าน “เมล็ดพันธุ์ของข้าได้รับพรอันศักดิ์สิทธิ์จากเทพเจ้า ผลของการเติบโตอย่างรวดเร็วจะหายไปทันทีหลังจากทำการเก็บเกี่ยวไปหนึ่งครั้ง มันก็ไม่มีความหมายแม้ว่าเจ้าจะเอาเมล็ดข้าวโอ๊ตไปปลูกเอง ข้ารู้ว่ามีพวกเจ้าที่พยายามทำเช่นนั้นแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ นั่นคือเหตุผลที่เจ้ามาที่นี่ในตอนนี้ใช่หรือไม่”

ชาวเมืองบางคนก้มหน้าลงด้วยความอับอายและหวาดกลัว

ตามกฎแล้ว ผู้ใดก็ตามที่กล้าขโมยพืชผลที่ได้รับพร มันผู้นั้นจะถูกแขวนคอ

แต่แองโกร่าจะไม่ทำเช่นนั้น

ประการแรก จำนวนประชากรในเมืองมีน้อยเกินไป ทรัพยากรมนุษย์มีส่วนสำคัญในการฟื้นฟูเมือง พวกเขามีค่ามาก

ประการที่สอง ชาวเมืองล้วนมีความสัมพันธ์กัน การลงโทษคนเพียงคนเดียวอาจทำให้คนทั้งเมืองเกลียดชังเขา แองโกร่าไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น

“เมล็ดข้าวโอ๊ตวิญญาณเหล่านี้มีจำนวนจำกัด และข้าไม่สามารถมอบให้พวกเจ้าทุกคนได้ แต่มันเป็นคำสัญญาของข้าในฐานะเจ้าเมือง จากนี้ไปจะไม่มีชาวเมืองคนใดต้องตายเพราะความหนาวเหน็บและความหิวโหยในฤดูหนาวอีกต่อไป!” แองโกร่าประกาศเสียงดัง

เนื่องจากเขาไม่มีอำนาจในเวลานี้ เขาจึงทำได้เพียงพยายามโน้มน้าวผู้คนด้วยคุณธรรม

ทันใดนั้นชาวเมืองก็ส่งเสียงโห่ร้อง

เมืองนี้พลันเต็มไปด้วยบรรยากาศอันน่ายินดี ชาวเมืองต่างก็จับกลุ่มคุยกันอย่างตื่นเต้น ในขณะที่ชาวเมืองไม่ได้สนใจมองเขาแล้ว แองโกร่าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เขาพึมพำคำสั่งในใจอย่างเงียบ ๆ เพื่อเปิดระบบ

[ผู้เล่น: แองโกร่า•เฟาสต์]

[ที่ดินศักดินา: เมืองไร้ชื่อ]

[คลาส: เจ้าเมืองไร้ชื่อ]

[เครดิต: 70 เหรียญเกม]

[ความเจริญรุ่งเรืองของเมือง: 12/100]

[คะแนนประสิทธิภาพ: 110]

[จำนวนประชากร: 29/29 (ท่านต้องสร้างที่อยู่อาศัยใหม่เพื่อเพิ่มขีดจำกัดประชากร)]

[ผู้เล่นประจำเมือง: 0 (ผู้เล่นคนอื่น ๆ กำลังจะมาถึงเร็ว ๆ นี้)]

[สิ่งปลูกสร้าง: พื้นที่เพาะปลูก (ระดับ 3)]

[คลัง (ระดับ 0): ข้าวโอ๊ตวิญญาณ x5, ข้าวโอ๊ตที่โตแล้ว x22, บัวรดน้ำของผู้ศรัทธา x1]

[←ก่อนหน้า หน้าถัดไป→]

“ทำไมรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย”

แองโกร่าพึมพำก่อนที่จะพลิกไปหน้าถัดไป ทันใดนั้นเขาก็สะดุดเข้ากับหน้าใหม่นอกเหนือจากหน้า QQFarm

หน้าใหม่มีลักษณะคล้ายกับร้านค้าใน QQFarm แต่แทนที่จะขายเมล็ดพันธุ์พืชและเครื่องมือทำฟาร์ม มันกลับขายแบบแปลนสิ่งก่อสร้าง

แองโกร่าพบบางสิ่งที่คล้ายกับ ‘สถาบันผู้วิเศษ’ แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเขาเห็นว่ามันต้องมีความเจริญรุ่งเรืองเกิน 5,000 คะแนน และใช้คะแนนประสิทธิภาพ 15,000 คะแนน

พระเจ้า ต้องมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่า 5,000 คะแนน ตอนนี้ขีดจำกัดความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดของดินแดนข้าอยู่ที่ 100…

แองโกร่าหยุดการสำรวจอาคารราคาแพง และหันไปหาอาคารที่ราคาต่ำกว่าแทน

ปรากฎว่าแองโกร่าสามารถปลดล็อกแบบแปลนสิ่งก่อสร้างของอาคารเหล่านั้นได้

ตัวอย่างเช่น บ้านไม้ขั้นพื้นฐานที่สุด ต้องการคะแนนประสิทธิภาพ 30 คะแนนและไม่ต้องใช้ระดับความเจริญรุ่งเรือง ในการก่อสร้างแต่ละครั้ง ต้องใช้เหรียญเกม 30 เหรียญ และแรงงานผู้ศรัทธากล่าวคำอธิษฐานในการสร้าง 1-4 คน ระยะเวลาในการก่อสร้างคือ 1-4 ชั่วโมง และเพิ่มขีดจำกัดของประชากรได้ 3 หน่วย

บ้านหินมีราคาแพงกว่าบ้านไม้เพียงเล็กน้อย ต้องการคะแนนประสิทธิภาพ 50 คะแนน และต้องมีความเจริญรุ่งเรืองสูงกว่า 10 คะแนน ในการก่อสร้างแต่ละครั้ง ต้องใช้เหรียญเกม 50 เหรียญ ข้อกำหนดในการก่อสร้างจะเหมือนกับบ้านไม้ แต่จะเพิ่มขีดจำกัดของประชากรได้ 5 หน่วย หรือจ่ายเหรียญเกม 20 เหรียญ เพื่ออัพเกรดบ้านไม้เป็นบ้านหินโดยตรง

นอกจากนั้นยังมีโรงตัดไม้ เหมือง โกดัง และอื่น ๆ พร้อมกับแบบแปลนอาคารแปลก ๆ บางอย่างที่ทำให้แองโกร่าสับสน

ตัวอย่างเช่น สปาบำบัดกลางแจ้ง เป็นแบบแปลนที่ต้องใช้คะแนนประสิทธิภาพ 100 คะแนน และต้องมีความเจริญรุ่งเรืองสูงกว่า 20 นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่าย 100 เหรียญในเกม และแรงงานผู้ศรัทธากล่าวคำอธิษฐานตอนสร้าง 2-8 คน และใช้เวลาสร้างประมาณ 4-8 ชั่วโมง

ดูเหมือนว่าผลลัพธ์ของสิ่งปลูกสร้างนี้คือ บรรเทาอาการเมื่อยล้าในระดับหนึ่ง และให้บัฟเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง ปรับสภาพผิว และทำให้ผิวเรียบเนียน แต่ก็แลกมาด้วยอัตราการดึงดูดลิงและพวกถ้ำมองที่ผิดปกติ

นี่คือโลกที่การเดินทางไม่ใช่สิ่งที่สะดวกสบาย เช่นเดียวกับที่มีสัตว์ร้ายและสัตว์ประหลาดอยู่ทุกหนทุกแห่ง มันไม่มีคำว่าเศรษฐกิจการท่องเที่ยว นั่นทำให้แองโกร่าไม่เข้าใจแบบแปลนนี้เลย

“ข้าเดาว่าข้าต้องสร้างบ้านก่อน…” แองโกร่าพึมพำกับตัวเอง

แม้ว่าจะมีบ้านว่างมากมายในเมือง แต่มันก็ถูกทิ้งร้างมาหลายปีแล้ว บ้านพวกนี้จึงไม่สามารถอยู่อาศัยได้อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นการแจ้งเตือนที่ว่า ‘ผู้เล่นคนอื่น ๆ กำลังจะมาถึงเร็ว ๆ นี้‘ ทำให้แองโกร่ารู้สึกถึงความเร่งด่วน

หลังจากที่เขาได้รับระบบ แองโกร่าก็เข้าใจแล้วว่า ‘ผู้เล่น’ เป็นคำเรียกเหล่าสาวกของเทพเจ้าแห่งเกม ซึ่งเหมือนกับตัวเขาเอง

เขาสงสัยว่าคนอื่น ๆ จะมีหน้าต่างระบบเหมือนกันรึเปล่า …

ความจริงแล้วแองโกร่าพยายามเผยแพร่หลักคำสอน แต่มันก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ชาวเมืองส่วนใหญ่เคยชินกับการไม่มีศรัทธา พวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องถวายศรัทธาของตนยังไงถึงจะเหมาะสมแม้จะมีข้าวโอ๊ตเป็นรางวัลก็ตาม เพราะงั้นพวกเขาส่วนใหญ่จึงกลายเป็นเพียงผู้ศรัทธาที่ตื้นเขินเช่นวีลา

เพื่อให้ได้รับพร(ระบบ)จากเทพเจ้าแห่งเกม และกลายเป็นผู้เล่น อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง นั่นถึงจะผ่านเกณฑ์!

นี่ไม่ใช่กฎเกณฑ์พิเศษของเทพเจ้าแห่งเกมเท่านั้น ความจริงในศาสนจักรและวิหารส่วนใหญ่ การที่จะได้รับพรจากเทพเจ้าได้ พวกเขาจะต้องเป็นนักบวชที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้า ผิดกับศาสนจักรเทพเจ้าแห่งเกม ที่ต้องการเพียงผู้ศรัทธาที่แท้จริงเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ข้อกำหนดของเทพเจ้าแห่งเกมนั้นน้อยกว่ามาก

แน่นอนว่าท่านลอร์ดเฟาสต์ที่รักลืมไปแล้วว่า เขาก็เป็นเพียงผู้ศรัทธาที่ตื้นเขินเท่านั้น เมื่อตอนที่เขาเพิ่งได้รับระบบโอเวอร์ลอร์ด

“รู้สึกเหมือนยังไปไม่ถึงไหนเลยแฮะ ถ้าวีลาได้รับพรในฐานะผู้ศรัทธาที่แท้จริงสักคน ข้าก็จะได้รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมได้…” แองโกร่าบ่นอย่างเงียบ ๆ

“ท่านลอร์ดเฟาสต์ ท่านเรียกหาข้ารึเปล่าคะ”

แองโกร่าตกใจสะดุ้งสุดตัวเมื่อวีลาโผล่มาข้างหลัง

“ไม่มีอะไร เจ้าได้ยินผิดแล้ว!” แองโกร่ารีบปฏิเสธ

ถึงวีลาจะสับสนกับท่าทีตกใจเกินเหตุของแองโกร่า แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม เนื่องจากเธอมีเรื่องสำคัญกว่านั้นอยู่

“ท่านลอร์ดเฟาสต์ มันกะทันหันไปหน่อย แต่พรานของเราพบร่องรอยของพวกเรเวแนนท์…ดูเหมือนว่ากองทัพของอาณาจักร จะไม่ได้กวาดล้างพวกมันจนหมดหลังจากที่พวกมันหลบหนีออกจากหุบเขาแห่งความตายคราวที่แล้ว พวกเรเวแนนท์อาจกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่!” วีลาพูดอย่างจริงจัง “ตอนนี้เราควรทำยังไงดีคะ”

สัญชาตญาณแรกของแองโกร่าคือรีบส่งคนไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุดเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ไม่นานเขาก็รู้ว่ามันไร้ประโยชน์

นี่ข้าจะทำอะไรได้บ้าง?

<ติ้ง!>

<เริ่มเควเสริม: ปกป้องเมืองรอกำลังเสริม>

โปรดสร้างบ้านให้เพียงพอโดยเร็วที่สุด และรอให้ผู้เล่นคนอื่น ๆ มาถึง!

——————————————————————-

มาร์นี่•วิลฟ์รู้สึกปวดหัว

ตอนนี้ผีน้อยทั้ง 5 ที่ช่วยเขาไล่เผ่าก็อบลินได้ขอติดตามกองคาราวานไปด้วย

แน่นอน เขายินดีต้อนรับพวกเขาด้วยอ้อมแขนที่เปิดกว้างอยู่แล้ว เนื่องจากกลุ่มเด็กที่เรียกตัวเองว่าสาวกของเทพเจ้าแห่งเกมกลุ่มนี้ มีความแข็งแกร่งอย่างไร้ข้อกังขา แม้ว่าพฤติกรรมของพวกเขาจะค่อนข้างประหลาดไปสักหน่อย แต่ด้วยกองคาราวานขนาดใหญ่นี้ มาร์นี่ก็อาจจะได้พบกับสัตว์ประหลาดเผ่าอื่นอีกครั้งก็เป็นได้

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่ต้องคอยกังวลว่าพวกเด็ก ๆ จะมีแรงจูงใจแอบแฝงต่อสินค้าของเขา เด็ก ๆ พวกนี้สามารถฆ่าคนทั้งคาราวานและเอาทุกอย่างไปได้หากพวกเขาต้องการ ด้วยจำนวนผู้คุ้มกันกว่าครึ่งที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ พวกเขาไม่มีทางสู้พวกเด็ก ๆ ได้เลย

ด้วยเหตุนี้มาร์นี่•วิลฟ์จึงไม่ลังเลที่จะเห็นด้วยกับคำขอของเอ็ดเวิร์ด ที่จะติดตามขบวนของเขาไปด้วย

แต่ปรากฏว่าหลังผ่านไปเพียง 2 วัน เขาก็ต้องเสียใจกับการตัดสินใจในครั้งนั้น

เขามันซื่อเกินไป…

ผีน้อยทั้ง 5 รบกวนทุกคนในกองคาราวานตลอดทั้งวัน เพื่อเผยแพร่หลักคำสอนของเทพเจ้าที่พวกเขาศรัทธา ‘เทพเจ้าแห่งเกม’

ในฐานะพ่อค้าที่มีประสบการณ์ เขาจึงรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมาย และมาร์นี่ก็รู้จักเทพเจ้าแห่งเกม มันผ่านไปไม่ถึง 10 ปีนับตั้งแต่ที่เทียร์ราล่มสลายลง เมื่อก่อนนั้น อาณาจักรแห่งความบันเทิงนับเป็นสรวงสวรรค์สำหรับเหล่าพ่อค้า ซึ่งความจริงแล้วเงินก้อนแรกของมาร์นี่ ก็ได้มาจากการขายชุดหมากรุกไม้ในเทียร์ร่า

เขาคิดถึงพลเมืองที่ดีและจริงใจในอาณาจักรแห่งนั้น พวกเขาปฏิบัติต่อกองคาราวานพ่อค้าที่มีสถานะด้อยกว่าเช่นเขาอย่างเท่าเทียม

แต่จากข่าวลือที่เขาได้ยิน มันเป็นเพราะศรัทธาของเทียร์ร่าที่มีต่อเทพเจ้าแห่งเกม ทำให้พลเมืองของพวกเขาต่างหลงระเริงไปกับการเล่นเกมและการพนัน จนจิตใจของพวกเขาจึงเสื่อมโทรมและทำให้ทั้งอาณาจักรต้องอ่อนแอลง พวกเขาปล่อยให้อาณาจักรเพื่อนบ้านบุกรุกเข้ามาได้อย่างง่ายดาย

ยิ่งไปกว่านั้น ความศรัทธาของพวกเขาที่มีต่อเทพเจ้าแห่งเกมก็ไร้ความหมาย ท้ายที่สุดเมืองหลวงของเทียร์ร่าที่ยาการันที่ 11 ยึดเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายก็ถูกถล่มลงในสงคราม

อาณาจักรที่เข้าร่วงสงครามได้ตัดแบ่งดินแดนของเทียร์ร่าออกเป็นหลายส่วน และการล่มสลายของเทียร์ร่าก็ได้กลายเป็นเครื่องเตือนใจของทุกคน ทุกอาณาจักรได้สั่งห้ามพลเมืองของพวกเขาทั้งหมด ไม่ให้อธิษฐานถึงเทพเจ้าแห่งเกม

ความจริงแล้วดินที่มาร์นี่และคนอื่น ๆ กำลังเหยียบอยู่ในตอนนี้ ก็เคยเป็นดินแดนของเทียร์ร่า ซึ่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรที่ชนะสงคราม

ตอนนี้ ในความคิดของคนส่วนใหญ่ เทพเจ้าแห่งเกมไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากเทพเจ้าที่อ่อนแอ ไม่มีประโยชน์และไม่คุ้มค่าแก่การมอบศรัทธา

มีหลายคนที่เชื่อว่าเทพองค์นั้นถูกอุปโลกน์ขึ้นโดยยาการันที่ 11 และตัวตนของเทพเจ้าแห่งเกมนั้นก็ไม่เคยมีอยู่จริง

มาร์นี่เป็นฝ่ายที่เชื่อว่าเทพเจ้าแห่งเกมไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง เขาคิดว่าผีน้อยทั้ง 5 กำลังพยายามอำพรางตัวตนเมื่อพวกเขาเผยแพร่หลักคำสอน พวกเด็ก ๆ ไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยเทพเจ้าที่แท้จริงของพวกเขา

นั่นเพราะอิทธิพลของเทพเจ้าหลายองค์มักจะมีข้อบกพร่องบางอย่างอยู่ ทำให้นักบวชของพวกเขามีจุดอ่อนร้ายแรง นั่นจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะต้องระมัดระวังเมื่ออยู่ข้างนอก

แต่เด็ก ๆ ทั้ง 5 ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมจริง ๆ และยังคงขยันเผยแพร่หลักคำสอนในกองคาราวานอย่างไม่ลดล่ะ!

ตอนแรกมีผู้คุ้มกันหนึ่งหรือสองคนที่ไม่สามารถทนกับการหลอกล่อได้ พวกเขาสัญญาว่าจะเปลี่ยนใจไปเลื่อมใสในเทพเจ้าแห่งเกม และเริ่มสวดอ้อนวอนทุกวันเหมือนกับพวกเด็ก ๆ

มาร์นี่คิดว่าพวกเขาแค่ทำไปอย่างนั้นเองเพื่อไม่ให้ตัวเองโดนเซ้าซี้ แต่สองวันถัดมา ผู้คุ้มกันเหล่านั้นก็กำลังเผยแพร่หลักคำสอนของเทพเจ้าแห่งเกมเช่นกัน!

ยิ่งไปกว่านั้น ผลการเผยแพร่หลักคำสอนส่วนใหญ่นั้นประสบความสำเร็จจริง ๆ ผู้คุ้มกันจำนวนมากกว่าครึ่งในกองคาราวานตอนนี้ ได้เปลี่ยนใจไปเลื่อมใสศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมแล้ว!

นอกจากนั้นมาร์นี่ยังได้สังเกตเห็นความแปลกประหลาด ที่เกิดขึ้นกับผู้คุ้มกันที่เปลี่ยนใจไปเลื่อมใสในเทพเจ้าแห่งเกม พวกเขาเลิกฝึกสมาธิกำหนดลมหายใจ และฝึกฝนการต่อสู้เหมือนทุกวันที่เคยทำมาตลอด

แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขากลายเป็นคนขี้เกียจหรอกนะ พวกเขายังเป็นผู้คุ้มกันคนเดิมที่จะกระโจนเข้าใส่ศัตรูทันทีที่เห็น และเมื่อใดก็ตามที่กองคาราวานวิ่งเข้าไปเจอสัตว์ประหลาด หรือสัตว์ร้ายที่กีดขวางเส้นทาง

ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ พวกเขาจะเริ่มโจมตีและไล่ล่าศัตรูไปไกลถึง 2-3 ไมล์อย่างไม่ลดละเพื่อฆ่าพวกมันให้จงได้

ทำให้ตอนนี้ไม่มีสัตว์ตัวใด กล้าที่จะปรากฏตัวต่อหน้ากองคาราวานเลย…

ตามที่กล่าวมา เหล่าสาวกใหม่ดูเหมือนจะได้เรียนรู้ภาษาลึกลับเช่นกัน พวกเขามักจะรวมกลุ่มกันเพื่อพูดคุยหรือโต้เถียงกันอย่างผิดปกติประมาณว่าว่า ‘เชี่ย เจ้าขโมยฆ่าตัวที่ข้าเล็งไว้!‘ ‘ฆ่าสัตว์ร้ายไม่ค่อยได้ EXP เลย ข้าไปทำเควสดีกว่า‘ หรือ ‘คลาสไหนดีกว่ากัน? ไม่เห็นต้องถาม ก็ต้องวอร์ริเออร์อยู่แล้ว‘

แถมมาร์นี่ยังบังเอิญได้ยินหนึ่งในผู้คุ้มกันที่เปลี่ยนใจไปเลื่อมใสศรัทธาเทพเจ้าแห่งเกม ละเมอพูดออกมาประมาณว่า เขาหวังว่าเผ่าก็อบลินจะกลับมาโจมตีขบวนอีกครั้ง…

เทพเช่นนี้จะเป็น ‘เทพเจ้าแห่งเกม‘ ไปได้ยังไง? เขาเป็นเทพเจ้าชั่วร้ายที่สามารถทำลายจิตใจของผู้คนได้!

ไม่เพียงแค่นั้น ผู้คุ้มกันบางคนก็ได้มาขอให้มาร์นี่สอนทักษะดาบของเขาในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา

แม้ว่ามาร์นี่จะเป็นพ่อค้า แต่เขาก็ได้พบกับสัตว์ร้ายมามากมายแม้กระทั่งสัตว์ประหลาดเขาก็เคยเจอ พ่อค้าอย่างเขาที่เดินทางไปทั่วควรมีทักษะหนึ่งหรือสองอย่างติดตัวนอกเหนือจากความกล้าหาญ

แม้ว่าความสามารถของมาร์นี่ จะเทียบไม่ได้กับหัวหน้าผู้คุ้มกันขบวน แต่เขาก็สืบทอดทักษะดาบมาจากครอบครัวของเขา

ถึงจะบอกว่ามันเป็นมรดกตกทอด แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทักษะดาบธรรมดา ที่ปรับปรุงมาจากวิถีดาบที่บรรพบุรุษของเขาหล่อหลอมมาจากการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วน มันไม่ได้เป็นความลับอะไร และปู่ของเขาก็หวังว่าทักษะนี้จะสามารถแพร่กระจายออกไปได้อย่างกว้างขวาง ด้วยเหตุนี้ มาร์นี่จึงสอนมันให้กับหัวหน้าผู้คุ้มกันเมื่อพวกเขาประมือกันครั้งก่อน

จากนั้นปรากฏว่าหัวหน้าผู้คุ้มกันที่เขาฝากความหวังไว้ ก็ได้ถูกล้างสมอง และกลายเป็นสาวกของเทพเจ้าแห่งเกมไปอีกคนในวันที่ 4

อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากที่เขาเปลี่ยนศาสนา ทันใดนั้นเขาก็บอกสาวกคนอื่น ๆ ของเทพเจ้าแห่งเกมว่า ทักษะดาบของมาร์นี่•วิลฟ์ สามารถใช้แต้มทักษะเรียนรู้ได้

และด้วยเหตุนี้ ผู้คุ้มกันคนอื่น ๆ จึงเข้าหาเขาเพื่อขอเรียนรู้ทักษะดาบจากเขา…

นั่นมันก็ดี แต่ที่น่ารำคาญยิ่งกว่าก็คือ เมื่อเขาแสดงทักษะดาบของเขาให้ดู พวกผู้คุ้มกันก็จะพยักหน้าและบอกว่าพวกเขาเข้าใจแล้ว จากนั้นพวกเขาจะร่ายทักษะดาบที่เชี่ยวชาญและทรงพลังกว่าที่เขาแสดงให้ดูออกมาทันที…

ถ้ามาร์นี่ไม่รู้ว่าพวกเขาไม่เคยเรียนรู้มันมาก่อน เขาคงจะคิดว่าเขากำลังถูกหลอก

พวกเขามักจะพยายามเผยแพร่หลักคำสอนให้มาร์นี่ แต่ก็ถูกเขาปฏิเสธกลับไปทุกครั้ง

“ข้าขอตายดีกว่าที่จะเลิกนับถือเทพธิดาแห่งความรุ่งเรือง!”

มาร์นี่ถอนหายใจเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น เขากัดอาหารแห้ง 2 คำ ก่อนจะลุกขึ้นจากพื้นพร้อมที่จะเดินทางต่อ

ตามแผน พวกเขาจะสามารถออกจากป่าและไปถึงเมืองบ่อเกลือ ซึ่งเป็นเมืองปลายทางได้ในอีก 2 วัน

ในตอนนั้นเอง ผู้คุ้มกันคนหนึ่งที่พึ่งเปลี่ยนใจไปเลื่อมใสในเทพเจ้าแห่งเกมเมื่อวาน ก็เดินเข้ามาหาเขา

“เจ้าต้องการเรียนรู้ทักษะดาบของข้าด้วยรึ?” มาร์นี่ชักดาบออกมาอย่างมีความสุข เขาพร้อมสำหรับการสาธิต

“อ่าไม่เป็นไร ท่านเอ็ดเวิร์ดเพิ่งทำการทดลองไปเมื่อไม่นานมานี้ เขาบอกว่าทักษะดาบระดับ 2 ของท่าน เทียบไม่ได้กับทักษะดาบผ่าปฐพีระดับ 1 ที่เป็นทักษะดาบพื้นฐานของเรา…”

“…” มาร์นี่พูดไม่ออก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปหลากหลายรูปแบบ “มันยากไหมที่จะเรียนรู้ทักษะดาบผ่าปฐพี” เขาถาม

“ไม่เลย ข้อกำหนดคือเลเวล 3 ข้าก็พึ่งเรียนมันไปเมื่อวานนี้” ผู้คุ้มกันตอบ

มาร์นี่เงียบไปนาน ในที่สุดเขาก็พูดออกมาอย่างยากลำบากว่า “ตอนนี้ข้ายังสามารถเปลี่ยนไปเป็นสาวกของเทพเจ้าแห่งเกมได้อยู่ไหม…”

——————————————————————————

“โอ้ เทพเจ้าแห่งเกม…ท่านโปรดให้คำแนะนำแก่ข้าที ข้าจะต้องทำเช่นไร”

ลีอาถามด้วยความนับถือ เธอปักปลายดาบลงพื้นและคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

ซีเว่ยสะบัดหนวดผ่านหัวเธอเบา ๆ ทันใดนั้นตัวอักษรสีขาวก็ปรากฏขึ้นบนหัวเธอ

“นี่มันอะไรกัน…?” เธอมองไปที่ชื่อบนหัวด้วยความสับสน

“นี่คือสัญลักษณ์ของ ‘ผู้เล่น‘ จะมีเพียงสาวกของข้าเท่านั้นที่จะเห็นมัน” ซีเว่ยอธิบาย “อย่าสงสัยเมื่อเจ้าได้พบคนอื่นที่มีชื่ออยู่บนหัวเหมือนเจ้า เพราะพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้เล่นและสาวกของข้าเช่นกัน แต่หากเจ้าเห็นอะไรก็ตามที่บนหัวมีแถบ HP ให้ถือว่านั่นคือศัตรูของเจ้า”

“ผู้เล่น…”

แม้ว่าเธอจะไม่แน่ใจว่าแถบ HP คืออะไร แต่ลีอาก็เข้าใจคำว่า ‘ผู้เล่น‘ โลกนี้มีคำว่าผู้เล่น ซึ่งมันหมายถึงผู้ที่กำลังเล่นเกม ไม่มีคำเรียกใดจะเหมาะสมกับสาวกของเทพเจ้าแห่งเกมไปมากกว่านี้แล้ว

เด็กสาวคิดแล้วก็พยักหน้าเข้าใจ

“ข้ามอบพรให้แก่เจ้าแล้ว จงสวดภาวนาถ้อยคำในใจเจ้าอย่างจริงใจเพื่อทำให้พรนั้นแสดงผล”

“คำสวดภาวนา?” ลีอาหลับตาลงอย่างสับสน ในขณะที่เธอกำลังลังเลว่าควรจะสวดเช่นไร บางอย่างก็แวบเข้ามาในความคิดของเธอราวกับสายฟ้าฟาด หลังจากนั้นถ้อยคำสั้น ๆ แสนเรียบง่ายก็ได้ฝังลึกลงไปในสมองของเธอ

เธอลืมตาขึ้น และพูดอย่างตื่นเต้นกับซีเว่ยที่พึ่งถอนหนวดของเขากลับว่า “เทพเจ้าของข้า ข้าเข้าใจแล้ว!”

จากนั้นเธอก็เริ่มสวดภาวนาทันที

“โอ้~เทพเจ้าแห่งเกม โปรดมอบชีวิตใหม่ให้กับเรา…”

หน้าจอโปร่งแสงปรากฏขึ้นต่อหน้าเธอเมื่อเธอเอ่ยจบ

<ติ้ง!>

<เปิดใช้งานระบบ เจ้าหญิงนักรบ>

“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าควรมุ่งหน้าไปยังเมืองนอกหุบเขาแห่งความตาย นั่นคือที่ที่สาวกของข้าจะมารวมตัวกัน พวกเขากำลังรอต้อนรับเจ้าอยู่” ก่อนที่ลีอาจะอ่านหน้าจอระบบเสร็จ ซีเว่ยก็กล่าวขึ้นมาเสียงดัง

“แล้วคนของข้าเล่า…” เธอหันไปมองทหารองครักษ์ที่ยังไม่ฟื้นด้วยความกังวล

“ศรัทธาของพวกเขายังมีไม่เพียงพอ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่สามารถรับพรศักดิ์สิทธิ์จากข้าได้” ซีเว่ยตอบ “หลังจากที่เจ้าออกจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกเขาก็จะตื่นขึ้นตามปกติ”

“รับทราบค่ะ…” ลีอาถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้ว่าเธอจะรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยก็ตาม

“เอาล่ะ ข้าหวังว่าเจ้าจะเติบโตขึ้นเมื่อเราพบกันครั้งหน้า…”

“ช้าก่อน ท่านเทพเจ้าแห่งเกม!” ลีอามองไปที่ร่างอันพร่ามัวของซีเว่ยและถามออกมาอย่างจริงจังว่า “คนทั้งโลกบอกข้าว่าปู่ของข้าเป็นราชาที่โง่เขลาและตาบอด…แล้วท่านเล่า ท่านคิดอย่างไรกับเขา?”

ซีเว่ยนิ่งไปพักหนึ่ง นั่นทำให้แสงสว่างแห่งความหวังในดวงตาของลีอาค่อย ๆ จางหายไป

แต่ในที่สุดซีเว่ยก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันมั่นคงว่า “เขาเป็นกษัตริย์ที่ควรค่าแก่การเคารพ”

หากไม่มียาการันที่ 11 เทพเจ้าแห่งเกมจะไม่มีตัวตน และซีเว่ยก็จะไม่ได้ข้ามมายังโลกใบนี้ นั่นคือเหตุผลที่ซีเว่ยรู้สึกขอบคุณราชาผู้โชคร้ายคนนั้น

“ขอบคุณค่ะ ท่านเทพเจ้าแห่งเกม!” เมื่อได้ยินคำยืนยันของซีเว่ย สายตาของลีอาก็ไม่มีความสงสัยอีกต่อไป เธอโค้งคำนับให้ซีเว่ยอย่างจริงใจ

ซีเว่ยไม่พูดอะไร เขาโบกหนวดส่งเธอและคนของเธอออกไป จุดหมายของพวกเขาคือเขตชานเมืองของอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากแลงคาสเตอร์ไปหลายร้อยไมล์

ความจริงเขาไม่ได้ดึงพวกเขาเข้าสู่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขาจริง ๆ เขาเพียงแค่สร้างพื้นที่ลวงตาขึ้นมา เพราะการดึงอะไรก็ตามจากแดนมรรตัยขึ้นมายังอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ มันจะต้องใช้พลังงานเทพเจ้าจำนวนมาก และซีเว่ยก็ยังไม่อยากเสียพลังงานเทพเจ้ามากเกินไปกับคนเหล่านี้

“โอเค ด้วยลีอา ตอนนี้เควสหลักของสาวกก็ได้ถูกกำหนดไว้คร่าว ๆ แล้ว”

ซีเว่ยอารมณ์ดีมาก เขาหันไปตรวจสอบพวกลัทธิชั่วในป่าอีกครั้ง

พวกมันแยกออกเป็น 3 กลุ่มเพื่อค้นป่า ดูเหมือนพวกมันจะยังไม่ยอมแพ้ เนื่องจากพวกมันใช้เวลาวางกับดักไปมากมาย แต่สุดท้าย เหยื่อของพวกมันก็หายไปอย่างลึกลับทั้งที่พวกมันเกือบจะทำสำเร็จแล้ว

เอาจริง ๆ ไม่ใช่ว่าซีเว่ยจะไม่สามารถกำจัดคนเหล่านี้ได้ สำหรับเขา เขาไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามมากมายอะไรเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าจะมีพวกมันมาเพิ่มอีกหลายสิบคนก็ตาม

แต่ที่เขาส่งกลุ่มของลีอาไปที่อื่นก็เพราะมันดูสง่างามสมเป็นเทพเจ้าดีก็เท่านั้น

ซึ่งผิดกับการที่เขาลงมาปรากฏตัวโดยตรงเพื่อฆ่าพวกลัทธิ นั่นจะถือว่าเป็นการส่ง ‘อวตาร‘ ลงมา ที่จะทำให้เทพเจ้าฝ่ายตรงข้ามพบเขาทันที

และที่ยิ่งกว่านั้น แม้ซีเว่ยจะตัดสินใจแล้วว่า ‘เทพกระดูกเน่า’ ที่พวกลัทธิบูชาเป็นเทพเจ้าชั่วร้าย แต่ความจริงแล้วมันเป็นลูกสมุนของ ‘เทพกะโหลก’ ซึ่งเป็นเทพเจ้าชั้นกลางที่รับใช้ ‘ราชาแห่งความตายฮาเดส‘ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงลูกกระจ๊อกตัวเล็ก ๆ ของเทพเจ้าตัวใหญ่ แถมยังเป็นแค่เทพมือใหม่ที่ต่ำกว่าเทพเจ้าชั้นล่างที่หาได้ยาก

เว้นแต่ว่าสาวกของเทพเจ้าตัวเล็ก ๆ นี้จะมีความสามารถลุกขึ้นมายึดครองอาณาจักรทั้งอาณาจักรได้ โดยตั้งลัทธินี้เป็นศาสนาประจำชาติ และขยายมันออกไปทั่วภูมิภาคเพื่อเพิ่มฐานผู้ศรัทธา มันถึงจะได้รับการยกระดับให้เป็นเทพระดับล่างอย่างถูกต้อง

พูดได้อีกอย่างว่า พวกนูป*แบบเจ้านี่ต้องค่อย ๆ ตะล่อมจับ ถ้าซีเว่ยทำให้มันกลัวจากการที่เขาปรากฏตัวออกมาช่วยสาวกของเขา อีกฝ่ายก็คงจะเริ่มระวังตัวมากเกินไป

(นูป ศัพท์เกมที่ใช้เรียกบุคคลซึ่งเล่นมานานแล้วและยังไม่เก่ง แถมยังอวดดี ชอบสั่งนู้นนี่ ทำตัวน่ารักเกียจ หรืออาจออกจากเกมส์ทันทีเมื่อเห็นว่าตัวเองเสียเปรียบ ซึ่งจะไม่เหมือนกัน newbie ซึ่งเป็นผู้เล่นใหม่เท่านั้น ดังนั้น newbie จึงไม่เหมือนกันกับ noob)

สำหรับคนบางคนอาจจะคิดว่า ‘โลกนี้ยังมีเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่มากมาย ทำไมคนพวกนี้ถึงต้องติดตามเทพชั่วร้ายตัวเล็ก ๆ ด้วย? พวกลัทธินี่บ้ารึเปล่า?’

แต่มันก็มีสำนวนหนึ่งที่เหมาะกับสถานการณ์นี้มาก นั่นก็คือ ‘อยู่เป็นหัวหมา ดีกว่าเป็นหางราชสีห์’

เทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่นั้นมีผู้ศรัทธาจำนวนมหาศาล และมันต้องใช้ความพยายามจนเลือดตาแทบกระเด็นสำหรับการที่คนธรรมดาสักคน จะได้อยู่เหนือฝูงชนในศาสนจักรของตน ผิดกับการนับถือเทพชั่วร้ายตัวเล็ก ๆ เหล่านั้น เพราะเทพเจ้าที่ชั่วร้ายไม่ได้มีผู้ศรัทธามากมาย ตราบใดที่เขายอมเปลี่ยนใจมาเลื่อมใสศรัทธา มันก็จะทำให้เทพเจ้าสังเกตเห็นศรัทธาของพวกเขาได้ง่าย ๆ และพวกเขาก็จะสามารถได้รับพรศักดิ์สิทธิ์จากเทพเจ้าได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ

พรจากเทพเจ้าชั่วร้ายมักจะอ่อนแอกว่าพรจากเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่มาก และแน่นอนที่สุดว่ามันจะทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อสาวกที่ได้รับพร แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังเมื่อเทียบกับปุถุชนคนธรรมดาหรือนักบวชธรรมดา อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับมุขนายกถึงจะรับมือกับผู้นำลัทธิได้

อาจกล่าวได้ว่าการศรัทธาในเทพเจ้าชั่วร้ายเป็นหนทางสู่อำนาจที่รวดเร็วที่สุด และนั่นก็เป็นสาเหตุที่กลุ่มผู้นับถือเทพชั่วร้ายยังคงเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แม้มันจะเป็นสิ่งต้องห้ามร้ายแรงของทุกอาณาจักรก็ตาม

แต่ยังไงก็ตาม สรุปแล้ว การปรากฏตัวของลัทธิชั่วร้ายที่ศรัทธาในเทพกระดูกเน่า ก็ได้ทำให้ซีเว่ยมีเป้าหมายใหม่ เขาจะปูทางภารกิจให้กับสาวกของเขา และดึงเทพเจ้าองค์นั้นกับสาวกของมันเข้าดันเจี้ยน* ให้ผู้เล่นผลัดกันเตะ

(ดันเจี้ยน พื้นที่ที่ออกแบบมาพิเศษเพื่อทำภารกิจหนึ่ง ๆ โดยมีรางวัลตอบแทนเป็นไอเทมต่าง ๆ)

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เส้นทางสู่การฟื้นฟูอาณาจักของลีอานั้นลำบากกว่า เพราะมันเกี่ยวข้องกับอาณาจักรใกล้เคียงที่ทรงพลังจำนวนมาก ซึ่งพวกเขาศรัทธาในเทพเจ้าระดับกลางหรือระดับสูง ซีเว่ยไม่มีทางยื่นหนวดเข้าถ้ำเสือได้ในขณะนี้ เขาจึงทำได้เพียงยืดเวลาให้เควสหลักช้าลงเท่านั้น…

——————————————————————————————————————————————————————

ลีอา•ยาการัน ชี้ปลายดาบของเธอไปที่คาร์โล ผู้ชายที่เธอเคยนับถือมากที่สุด

“ลุงคาร์โล…”

“ฝ่าบาท ข้าเป็นผู้สอนวิถีดาบให้ท่าน ข้ารู้ทุกการเคลื่อนไหวของท่าน” คาร์โลกล่าวอย่างเย็นชา “ท่านก็รู้ดีว่าท่านสู้ข้าไม่ได้”

แม้ว่าเด็กสาวจะไม่ยินยอมที่จะแพ้ แต่หัวใจของเธอก็เต็มไปด้วยความสับสน

แม่ของเธอจากไปเนื่องจากมีภาวะแทรกซ้อนหลังจากการคลอดบุตร ในขณะที่พ่อของเธอเสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม ในตอนที่เธอยังเด็ก ผู้คนมากมายที่อยู่รอบตัวเธอในวัง ต่างเชื่อว่านั่นเป็นผลกรรมจากการศรัทธาในลัทธิชั่วร้ายของยาการันที่ 11 และมองว่าเธอเป็นพวกนอกรีตเช่นกัน แม้ว่าคนเหล่านั้นจะซ่อนสีหน้าตัวเองได้ดี แต่เธอก็ยังสังเกตเห็นว่าพวกเขาเกลียดเธอ และต้องการรักษาระยะห่างกับเธอ

ในวัยเด็ก คนที่ใกล้ชิดกับเธอที่สุดคือปู่ของเธอ ซึ่งก็คือกษัตริย์องค์สุดท้ายของเทียร์ร่า

ปู่ของลีอาที่ใคร ๆ ต่างก็ด่าว่าตาบอดและโง่เขลา เขาเชื่อว่าเทพเจ้าเป็นปรสิตของโลก แม้ว่าพวกมันจะมีพลังมากกว่ามนุษย์มาก แต่พวกมันก็ไม่เคยให้ความช่วยเหลือใด ๆ แก่มนุษย์หรืออารยธรรมของมนุษย์ และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือการที่มันปรารถนาในศรัทธาของมนุษย์ พวกมันจึงกลายเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของยุคสมัย และด้วยเหตุนี้ เขาจึงกลายเป็นผู้ไม่ศรัทธาในเทพเจ้าองค์ใดเลย กระทั่งสร้างศาสนจักรแห่งเกมและสถาปนามันเป็นศาสนาประจำชาติเพื่อซ่อนตัวจากผู้อื่น

ยาการันที่ 11 เลือก ‘เกม‘ เป็นความศรัทธาที่เขาสร้างขึ้น เขาคิดว่าความบันเทิงจะยกระดับความสุขของพลเมืองได้ และมันก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ เพื่อที่จะผ่อนคลายหลังจากวันอันแสนวุ่นวายในการทำงานจบสิ้นลง

มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผล เมื่อยาการันที่ 11 ปกครองทียร์ร่า ความรุ่นโรจน์ของเทียร์ร่าก็ได้แซงหน้าอำนาจของประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศไปไกลแล้ว

แต่ถึงกระนั้น มันก็เป็นสาเหตุของหายนะด้วยเช่นกัน ตะกร้าที่เต็มไปด้วยทองคำและอัญมณี ถูกวางไว้เฉย ๆ โดยไม่มีการป้องกัน ก็มักจะเป็นที่ต้องการของผู้อื่นเป็นธรรมดา

แม้ว่าเทียร์ร่าจะร่ำรวยอย่างน่าอัศจรรย์ แต่อาณาจักรนี้ก็ไร้ซึ่งเทพเจ้าที่มีอำนาจเพียงพอที่จะปกป้องมันได้ เมื่อเทียบกับกองทัพจากประเทศรอบข้างที่ได้รับพรจากเทพเจ้าของพวกเขา ความพ่ายแพ้ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แม้ว่ากองทัพของพวกเขาจะมีอาวุธและชุดเกราะที่ดีกว่าก็ตาม ผลสุดท้ายเทียร์ร่าก็ต้องแตกแยก และถูกกลืนกินไปโดยประเทศเพื่อนบ้าน

ในสงคราม ยาการันที่ 11 ปู่ของลีอาได้ยืนหยัดสู้จนถึงวาระสุดท้ายในป้อมปราการของเมืองหลวง เพื่อถ่วงเวลาให้เธอได้หลบหนี และเขายังคงปกป้องปราสาทหลังจากที่เมืองหลวงของจักรวรรดิถูกรุกราน

ท้ายที่สุด ปราสาทก็ถูกเผาจนราบเป็นหน้ากลองโดยนักบวชที่ศรัทธาใน ‘วิหารทองคำ’ ของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ‘เอ็มโพริโอ’ พวกเขาได้ร่วมมือกันร่ายมหาเวทศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่อว่า ‘ความพิโรธของดวงอาทิตย์’…

ความพ่ายแพ้และความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เว้นแต่พวกเขาจะยอมก้มหัวให้เทพเจ้าปรสิตเหล่านั้น

ปู่เธอผิดหรือ เขาแค่ต้องการแบ่งปันความสุขให้กับประชาชนของเขา เขาผิดอะไร?

เด็กสาวได้สูญเสียความคิดอันแน่วแน่ที่จะล้างแค้นและสร้างอาณาจักรเทียร์ร่าขึ้นมาใหม่ ตอนนี้ความคิดของเธอถูกปกคลุมไปด้วยหมอกมัว เธอมองไม่เห็นหนทางที่จะเดินต่อไปข้างหน้า

มันทำให้เธอเสียสมาธิในระหว่างการเผชิญหน้ากับคาร์โล เขาเป็นทั้งอาจารย์สอนทักษะดาบของเธอ และยังเป็นอดีตหัวหน้ากองกำลังพิทักษ์เทียร์ร่า แม้ว่าเธอจะเหม่อไปเพียงชั่วครู่ คาร์โลก็จะไม่ปล่อยโอกาสนั้นให้เสียเปล่า

ก่อนที่เธอจะทันรู้ตัว คาร์โลก็พุ่งเข้ามาจากด้านหน้า เขาหลบการโจมตีขององครักษ์สองนายได้อย่างง่ายดาย และส่งดาบของลีอาบินออกจากมือ เธอตกใจจนเผลอก้าวถอยหลังไปสองก้าว นั่นทำให้เธอเกือบก้าวพลาดจนล้มลงพื้น

“มันจบแล้ว” ผู้นำของลัทธิที่ซ่อนตัวอยู่หลังเสื้อคลุม และหน้ากากสีขาวดำหัวเราะอย่างโหดร้าย เขาไม่สนใจดาบอันหรูหราที่หล่นลงมาตรงหน้าเขา

ขณะเดียวกันคาร์โลก็ตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากชัยชนะครั้งนี้ ตราบใดที่ลีอาถูกจับได้ มันก็ถือว่าเขาชนะแล้ว ไม่ว่าองครักษ์คนอื่น ๆ จะทำอะไรก็ตาม

แต่ทันใดนั้นเอง แสงสว่างพร่างพราวก็ได้สว่างจ้าขึ้นกลางอากาศอย่างกะทันหัน มันได้ทำให้พวกเขาตาบอดไปชั่วขณะ!

เมื่อแสงสว่างจางหายไป คนจากลัทธิก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าผู้รอดชีวิตทั้งหมดจากเทียร์ร่า รวมทั้งลีอา•ยาการัน ได้หายตัวไปหมดแล้ว มีเพียงคาร์โลผู้ทรยศเท่านั้นที่ยังคงอยู่ เขาสับสนและไม่รู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

หลังจากถูกปกคลุมด้วยแสง ลีอาเป็นคนแรกที่ขยับ

เธอพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในพื้นที่สีขาวบริสุทธิ์ รอบ ๆ ตัวเธอคือเหล่าองครักษ์ที่คุ้มกันเธอ พวกเขาแข็งทื่อเหมือนรูปปั้นหิน ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ ไม่ว่าเธอจะพยายามปลุกพวกเท่าไหร่ก็ตาม

“อย่าพยายามเลย ศรัทธาของพวกเขาอ่อนแอเกินไป พวกเขาไม่สามารถจ้องมองเทพเจ้าตรง ๆ ได้”

เสียงที่ไม่คุ้นเคยทำให้เด็กสาวตื่นตัวทันที เธอเอื้อมมือไปจับดาบโดยสัญชาตญาณ ตอนนั้นเองเธอถึงได้รู้ตัวว่าเธอไม่มีดาบประจำตัวแล้ว เธอรีบดึงดาบอีกเล่มออกจากฝักดาบของทหารองครักษ์ใกล้ตัวเธอ และตั้งท่าป้องกัน

“เทพเจ้า?” ลีอาไม่เชื่อ สิ่งที่เธอเห็นคือร่างมนุษย์ที่พร่ามัวอยู่ไม่ไกล และเขาก็ดูเหมือนจะเป็นคนที่พูดกับเธอ

“ถูกต้อง”

“ถ้าเช่นนั้นท่านคงเข้าใจผิด ข้าคือผู้ไม่มีศรัทธา!”

แม้ว่าเธอจะตกใจ แต่หลังจากทำความเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันได้แล้ว เด็กสาวก็ใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มโต้ตอบกับซีเว่ยอย่างจริงจัง “แม้ว่าข้าจะไม่แน่ใจว่าท่านพาพวกเรามาที่นี่ทำไม แต่ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ…จุดประสงค์ของท่านเป็นตัวข้าด้วยหรือไม่ ถ้าเช่นนั้น โปรดไว้ชีวิตคนของข้า พวกเขาบริสุทธิ์ ถ้าท่านปล่อยพวกเขาไป ท่านสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ท่านต้องการกับข้า!

แม้ว่าเธอจะไม่เชื่อว่าเธอกำลังคุยอยู่กับเทพเจ้าตัวจริง แต่สิ่งมีชีวิตตนนี้ก็มีพลังอย่างไม่ต้องสงสัย เขามีพลังมากพอที่จะพาพวกเธอออกจากวงล้อมของพวกลัทธิชั่ว การต้องเผชิญหน้ากับเขานั้นยากกว่าคนจากลัทธิอย่างแน่นอน การต่อต้านเป็นเพียงการกระทำที่โง่เขลา เธอต้องรวบรวมข้อมูลบางอย่างจากสิ่งมีชีวิตนี้ก่อนที่จะพูดต่อ

“น่าเสียดายจริง ๆ ข้าไม่ใช่เทพเจ้าชั่วร้ายอย่างที่เจ้าเข้าใจ” ในความว่างเปล่าสีขาว เงาที่คลุมเครือเปลี่ยนไปจนไม่คล้ายกับมนุษย์อีกต่อไป “แต่เจ้าควรรู้จักชื่อของข้า เพราะเจ้าได้อธิษฐานถึงข้า…”

“อะไรนะ?!” ลีอาถึงกับช็อก

“ข้าขอแนะนำตัวอีกครั้ง” ซีเว่ยยิ้ม ดูเหมือนว่าปลาจะกินเบ็ดแล้ว “ข้าคือเทพเจ้าแห่งเกม!”

“เทพเจ้าแห่งเกม…ท่านมีอยู่จริงหรือ”

ดูเหมือนแม้แต่ผู้ศรัทธาที่เคร่งศาสนาเช่นลีอา ก็เริ่มสงสัยว่าเขามีตัวตนอยู่จริงรึเปล่าผ่านคำอธิษฐานมากมายที่ไม่ได้รับคำตอบ หากซีเว่ยไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้ ความศรัทธาในตัวเขาที่เธอมีอาจจะขาดไปแล้ว

“ข้าควรเริ่มต้นด้วยการขอโทษ สาวกของข้า ความจริงข้าเพิ่งฟื้นขึ้นจากนิทราอันยาวนาน จึงไม่สามารถยื่นมือเข้าช่วยพวกเจ้าได้เมื่อเทียร์ร่าประสบกับความล่มสลาย” ซีเว่ยพูดต่อด้วยน้ำเสียงอันลึกลับ “แต่คำอธิษฐานของเจ้าตลอดมานั้นไม่ได้ไร้ผล เพราะข้าได้ฟื้นขึ้นจากนิทราแล้ว! ถึงเวลาที่เราจะสร้างอาณาจักรเทียร์ร่าขึ้นมาใหม่แล้ว สาวกของข้า!”

อารมณ์มากมายได้ผสมปนเปกันในใจของลีอา เมื่อเธอได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากเทพเจ้าที่เธอศรัทธา

เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเทพเจ้าของเธอที่เอาแต่เงียบงัน จะช่วยเธอในช่วงเวลาที่เธอสิ้นหวังที่สุด

ในขณะเดียวกัน เด็กสาวก็รู้สึกราวกับว่าเธอเป็นผู้หลงทาง ที่หลังจากต้องระหกระเหินร่อนเร่มานาน ในที่สุดเธอก็ได้กลับบ้านแล้ว ‘บ้าน’ สถานที่ที่เธอสามารถอาศัยอยู่ได้อย่างสบายใจ

มันอบอุ่นมากจนเธออยากจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ

————————————————————–

กระนั้นซีเว่ยก็ไม่ได้ประมาท เขาไม่ได้ส่งอวตารของเขาลงมาบนโลกโดยตรงและระเบิดศัตรูทั้งหมดเพื่อเหล่าสาวกของเขา

เขาทำในสิ่งที่เขามักจะทำอยู่เสมอ ใช้ดวงตาศักดิ์สิทธิ์ของเขาค้นหาผู้ศรัทธาที่กำลังมีปัญหา และทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างรวดเร็ว

ผลก็คือ เขาพบว่าผู้ศรัทธาเดิมของเขาไม่ได้เป็นพวกติดการพนันอย่างที่เขาคิด

แม้ว่าพวกเขาจะดูมอมแมม ชุดเกราะและอาวุธบนร่างของพวกเขาล้วนแตกหักและขาดรุ่งริ่งเพราะไม่ได้รับการบำรุงรักษามานาน แต่การเคลื่อนไหวของพวกเขาและตราสัญลักษณ์บนอุปกรณ์ที่แตกหักเหล่านั้น ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดไม่ใช่กลุ่มคนธรรมดา

ขณะที่เขาค้นความทรงจำที่เหลืออยู่ของเทพเจ้าแห่งเกม ซีเว่ยก็ตระหนักได้ทันทีว่าผู้ศรัทธาของเขากำลังลำบากกว่าที่เขาคิด

พวกเขาคือผู้ก่อตั้งศาสนจักรแห่งเกม ผู้รอดชีวิตจากเทียร์ร่าอาณาจักรที่ล่มสลาย

พุ่มไม้หนาทึบและต้นไม้ยักษ์สูงตระหง่านปรากฏอยู่ทั่วไปในป่ารกทึบ ปกติแล้วแทบจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอาศัยอยู่ที่นี่ ใบของต้นไม้ปกคลุมท้องฟ้าและปิดบังแสงจากดวงอาทิตย์ไม่ให้ลอดผ่าน ทั้งป่าดูมืดสลัว ถ้าไม่ใช่เพราะมีแสงแดดส่องทะลุผ่านใบไม้หนาทึบลงมาเป็นระยะจนเกิดเป็นลำแสงเส้นบาง ๆ ก็จะไม่มีใครสามารถแยกความแตกต่างระหว่างกลางวันและกลางคืนของที่นี่ได้

เด็กสาวในชุดเกราะกำลังวิ่งผ่านทางแคบ ๆ ระหว่างต้นไม้แต่ละต้น ผมหางม้าสีบลอนด์อ่อนของเธอสะบัดตามการเคลื่อนไหว แสงสีทองของเส้นผมนั้นสว่างกว่าแสงของดวงอาทิตย์ในป่าทึบแห่งนี้

นอกจากนั้นยังมีอีกหลายคนที่มีทักษะระดับสูงติดตามคุ้มกันอยู่ข้างกายเธอ พวกเขาดูเหมือนจะเป็นผู้คุ้มกันของเธอ

ทันใดนั้นเด็กสาวก็สะดุดรากไม้และเกือบจะล้มลง โชคดีที่ชายที่อายุมากที่สุดที่ติดตามอยู่ข้างกายเธอคว้าตัวเธอเอาไว้ได้ทัน

“ขอบคุณ ลุงคาร์โล” เด็กสาวกล่าวขอบคุณ เธอเหงื่อออกและหอบหนักเพราะวิ่งมาเป็นระยะทางไกลอย่างไม่หยุดพัก

“เป็นหน้าที่ของกระหม่อม ฝ่าบาท”

สีหน้าของชายคนนี้ผ่อนคลายกว่าเด็กสาวมาก แต่เขาก็ตอบเธอด้วยท่าทางที่จริงจังและเข้มงวด “ตอนนี้เราอยู่ห่างจากเมืองแลงคาสเตอร์แล้ว ป่าแห่งนี้คงถ่วงเวลาพวกมันได้สักพัก เราก็พักกันสักหน่อยเถอะ”

สีหน้าเคร่งเครียดของเธออ่อนลง เธอไม่ได้ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทันทีแต่มองหารากไม้ใหญ่และเอนตัวพิงลำต้น เธอพูดอย่างเจ็บใจ “ข้าคิดว่าฐานที่มั่นของเราในแลงคาสเตอร์ถูกทำลายโดยกองทัพของราชากบฏ…ข้าไม่คิดเลยว่าพวกมันจะเป็นคนจากลัทธิชั่วร้าย พวกมันปรากฏตัวออกมาจากที่ใดกัน”

“นั่นเพราะ…เทพเจ้าแห่งเกมทอดทิ้งเรา” ชายวัยกลางคนพูดเสียงเรียบ

“นั่นเป็นการดูหมิ่นเทพเจ้า ลุงคาร์โล” เด็กสาวยิ้มอย่างขมขื่น แต่คำพูดของเธอดูเหมือนจะเป็นการเยาะเย้ยตัวเองมากกว่าที่จะตำหนิเขา

พูดให้ถูกคือแม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ลี้ภัยจากเทียร์ร่า และยังคงมีศรัทธาเดิมในเทพเจ้าแห่งเกม แต่เกือบทุกคนก็ตระหนักดีว่าเทพเจ้าของพวกเขาได้ทอดทิ้งพวกเขาไปแล้ว

ถ้าเทพเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งพวกเขา อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่อย่างทียร์ร่าซึ่งเคยรุ่งเรืองและเต็มไปด้วยอำนาจ เมื่อพวกเขาถูกรุกรานและถูกบีบบังคับจนแทบจะสูญพันธุ์โดยศัตรูต่างอาณาจักร เทพเจ้าองค์นั้นจะไม่ได้แสดงปาฏิหาริย์ใด ๆ เลยแม้แต่น้อยได้ยังไง และในตอนนี้ พวกเขาก็เหลือกันอยู่เพียงเท่านี้แล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะได้รับความเมตตาจากพระเจ้า

เด็กสาวที่เคยชินกับความจริงอันโหดร้ายมานานส่ายหัว เธอทิ้งความเคลือบแคลงในตัวเทพเจ้าแห่งเกมออกไป

“ช่างเถอะ ประเด็นสำคัญตอนนี้คือทำไมคนจากลัทธิชั่วร้าย ถึงรู้ฐานที่มั่นลับของเราในแลงคาสเตอร์ ที่ ๆ แม้แต่สายสืบของราชากบฏก็หาเราไม่พบ…”

“ข้าตอบคำถามนี้ให้ท่านได้ ท่านหญิงลีอา”

ทันใดนั้นน้ำเสียงแหลมเล็กและทิ่มแทงก็ดังขึ้นพร้อมกับบรรยากาศความเป็นศัตรูที่ไม่อาจปิดบัง มันได้ทำให้กลุ่มของเด็กสาวตื่นตัวขึ้นมาทันที

แต่ในไม่ช้าความตื่นตระหนกของพวกเขาก็กลายเป็นความสิ้นหวัง ร่างหลายร่างในเสื้อคลุมดำและหน้ากากขาวดำแปลก ๆ ปรากฏตัวขึ้นมาจากป่าทึบ ล้อมพวกเขาไว้ทุกทิศทาง

เด็กสาวรู้จักพวกมัน ฐานที่มั่นลับของเธอในแลงคาสเตอร์ถูกพวกลัทธิชั่วพวกนี้ทำลาย!

ผู้พูดน่าจะเป็นผู้นำของกลุ่มเสื้อดำ เขาก้าวเข้ามาใกล้พวกเธออย่างช้า ๆ ในตอนที่เขายกมือขวาขึ้น สาบเสื้อคลุมที่หล่นลงก็เผยให้เห็นมือขวาที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น

แมลงที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันสีม่วงเกาะอยู่บนนิ้วชี้ขวาของเขา มันใช้ขาหน้าของมันขยี้ดวงตาขนาดใหญ่ของมัน

“นี่คือแมลงวันซากศพ มันเป็นแมลงปีศาจที่คนในลัทธิของเราเลี้ยงดู แม้ว่าแมลงวันตัวนี้จะไม่มีประโยชน์ในการต่อสู้ แต่มันก็สามารถระบุกลิ่นเน่าเหม็นที่แฝงอยู่ในตัวสาวกของเทพเจ้า ‘กระดูกเน่า’ ทุกคนได้อย่างแม่นยำ”

“มันง่ายมากที่จะติดตามพวกเจ้า”

ก่อนที่เด็กสาวจะได้โต้กลับ องครักษ์ที่อยู่ข้าง ๆ เธอก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เธอหันไปมองด้วยความตื่นตระหนกและพบว่าคาร์โล ชายวัยกลางคนองครักษ์ที่อยู่ข้างกายเธอมานานได้ฆ่าองครักษ์คนนั้นโดยไม่กะพริบตา

“หยุดนะ! ท่านกำลังทำอะไรอยู่ ลุงคาร์โล!” เด็กสาวร้องออกมาด้วยความตกใจ

“ยังไม่เข้าใจอีกหรือ แมลงวันซากศพได้ติดตามกลิ่นของหัวหน้าองครักษ์คาร์โลของท่าน!” หัวหน้าพวกลัทธิปล่อยเสียงหัวเราะที่บ้าคลั่งออกมา “ลุงคาร์โลที่ท่านเคารพรัก อยู่ฝ่ายเดียวกับพวกข้ามาตั้งแต่ต้น เขากลายเป็นสาวกของลัทธิกระดูกเน่า!”

“…เป็นไปได้ยังไง” เด็กสาวไม่อาจทำใจยอมรับได้

“ข้าขอโทษ ฝ่าบาท”

คาร์โลยังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิมทั้ง ๆ ที่เขากล่าวคำขอโทษ “ท่านก็น่าจะรู้ว่าภรรยาและลูกสาวของข้าเสียชีวิตในมหาสงครามเพื่อชาติของเทียร์ร่า ข้าไม่สามารถลืมสภาพร่างไร้วิญญาณที่เลวร้ายของพวกเขาได้ และในแต่ละปีที่ผ่านพ้นไป หัวใจของข้าก็ได้ถูกเผาไหม้ด้วยไฟแค้น…ถึงกระนั้น หลังจากสงครามจบลง ข้าก็ได้รู้แล้วว่าช่องว่างระหว่างกองทัพที่ได้รับพรจากเทพเจ้า กับกองทัพที่ถูกเทพเจ้าทอดทิ้งนั้นเป็นเช่นไร เทพเจ้าแห่งเกมผู้อ่อนแอไม่มีทางช่วยให้ข้าล้างแค้นได้ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงได้ขายวิญญาณของข้าให้กับเทพเจ้าที่สามารถช่วยข้าแก้แค้นได้”

“…และข้าก็เป็นเพียงบันไดให้ท่านปีนขึ้นไปสู่เส้นทางแห่งการแก้แค้นสินะ” ร่างกายของเด็กสาวสั่นสะท้าน เธอรู้สึกราวกับว่าเธอตกอยู่ในถ้ำน้ำแข็งอันเย็นเฉียบและโดดเดี่ยว หลังจากถูกคนที่เธอไว้ใจที่สุดทรยศ

“พูดให้ถูกก็คือ ท่านเป็นเพียงใบรับรองเท่านั้น เราจะจับท่านและมอบท่านเป็นของขวัญให้กับขุนนางของอาณาจักร เราจะติดป้ายท่านไว้ว่า ‘ราชนิกุล’ หรือ ‘เจ้าหญิงแห่งเทียร์ร่า’ ข้าเชื่อว่าเราจะได้รับสิ่งดี ๆ ตอบแทนจากหมูอ้วนเหล่านั้นแน่” หัวหน้าพวกลัทธิพูดแทรกขึ้นมา “พวกเขาชอบอะไรแบบนี้เป็นพิเศษ”

“ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าได้ทำตามที่เจ้าต้องการ!” เด็กสาวกัดปาก เธอปลดดาบออกจากฝัก

องครักษ์คนอื่น ๆ ชักอาวุธของพวกเขาออกมาตามเธอ พวกเขาชี้มันใส่พวกลัทธิและหัวหน้าผู้ทรยศ

“ผู้หญิงคนอื่น ๆ ก็พูดแบบนี้แหละ และทุกคนก็จบลงด้วยการเป็นของขวัญของเรา เป็นเรื่องดีที่เจ้าแข็งแกร่ง แต่เราก็มีคนที่สามารถจัดการเจ้าได้” หัวหน้ากลุ่มลัทธิไม่สนใจอาวุธในมือเด็กสาวเลยแต่เขากลับตื่นเต้นแทน “ไม่นานหรอก ก่อนที่ท่านจะเชื่องเหมือนผู้หญิงพวกนั้น”

“ข้าขออภัยด้วยเจ้าหญิง” คาร์โลพูดเสียงแหบก่อนที่เขาจะชี้ดาบใส่เด็กสาว

“ท่านละทิ้งเทพเจ้าของเรา ท่านจะต้องได้รับทัณฑ์สวรรค์” เด็กสาวตัวสั่น เธอพยายามรักษาความกล้าหาญของเธอและขู่เขา

“ข้าเคยศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมมากพอ ๆ กับท่าน แต่พระองค์ไม่เคยช่วยเหลือพวกเราเลย ทั้งตอนที่เทียร์ร่าล่มสลายและตอนที่ภรรยาและลูกสาวของข้าถูกฆ่าโดยทหารที่รับใช้ราชากบฏ” คาร์โลพูดอย่างเย็นชา “และครั้งนี้ พระองค์ก็จะไม่ช่วยท่านเช่นกันเจ้าหญิง”

“เพราะเทพเจ้าองค์นั้น เลือดเย็นและไร้หัวใจ”

————————————-

[ระบบ Overlord: QQFarm เวอร์ชันทดสอบ V0.1]

[ฟาร์ม: 0/1]

[เมล็ดพันธุ์: ไม่มี]

[ปศุสัตว์: ล็อก (ต้องสร้างคอกสัตว์)]

[เหรียญเกม: 0]

[คำแนะนำ: ยินดีต้อนรับสู่ QQFarm ชุดของขวัญสำหรับผู้เล่นใหม่ได้ถูกส่งไปยังคลังส่วนตัวของคุณแล้ว โปรดรับมันจากหน้าหลัก]

แม้แองโกร่าจะไม่เข้าใจว่า ‘QQ’ หมายถึงอะไร แต่จากการสำรวจเมื่อคืนนี้ เขาก็เข้าใจวิธีการทำงานพื้นฐานของหมวดย่อย QQFarm แล้ว

พูดย่อ ๆ คือมันเป็นหมวดย่อยของระบบโอเวอร์ลอร์ดที่มีหน้าที่ในด้านเกษตรกรรม

นอกจากนั้นที่ด้านล่างสุดของหน้าอินเตอร์เฟซยังมีตัวเลือก ‘ร้านค้า’ ซึ่งแสดงรายการเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ มีเพียงรูปภาพเมล็ดพันธุ์ไม่กี่รูปเท่านั้นที่มองเห็นได้ นอกเหนือจากนั้นเป็นเพียงภาพเงาดำที่เขาต้องทำการปลดล็อกในภายหลัง

และในหมวด QQFarm ยังมีตัวเลือก ‘ขาย’ อยู่ด้วย แต่จากการทดสอบเมื่อคืน เขาล้มเหลวในการใช้งานมัน เขาไม่สามารถขายอะไรได้เลย (ไม่งั้นเขาคงจะขายทิ้งแม้แต่กำแพงบ้านของวีลาไปแล้ว) เมื่อมาลองคิดดูแล้ว ตัวเลือกการขายถูกวางไว้ในหมวด QQFarm มันคงจะขายได้เฉพาะพืชผลหรือปศุสัตว์ที่เขาเก็บเกี่ยวได้เท่านั้น

[กรุณาระบุพื้นที่เพาะปลูก 1 หน่วยเป็นพื้นที่เริ่มต้นของ QQFarm]

สิ่งแรกที่แองโกร่าต้องทำ ก่อนอื่นเลยคือการเลือกที่ตั้งของฟาร์ม ไม่งั้นเขาจะเริ่มระบบ QQFarm ไม่ได้

ระบบบอกเขาว่า ‘พื้นที่ในอาคารไม่สามารถใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูกได้’ เมื่อเขาพยายามจะใช้งานมันในห้องพักของเขา นั่นจึงเป็นสาเหตุที่แองโกร่าต้องออกมาเดินเล่นรอบเมือง เพื่อมองหาสถานที่ที่เหมาะสำหรับการทำฟาร์มและปศุสัตว์แห่งแรกของเขา

แต่หลังจากที่วีลาออกมาตามหาเขา เขาก็คิดว่ามันน่าจะง่ายกว่าที่จะยืมฟาร์มของครอบครัวเธอ แทนที่เขาจะพัฒนาพื้นที่เพาะปลูกใหม่ในสถานที่แปลก ๆ

ยังไงซะ หากเขาต้องการที่จะตั้งหลักในเมืองนี้ เขาก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากปู่ของวีลาที่เป็นเจ้าเมืองก่อน

ดังนั้นตามคำแนะนำของระบบ แองโกร่าจึงได้เลือกพื้นที่เพาะปลูกที่แห้งแล้งของครอบครัววีลาเป็นฟาร์มแห่งแรกของเขา

เมื่อคำว่า ‘ล็อค’ ปรากฏขึ้น แองโกร่าก็พบพื้นที่ขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพียงแห่งเดียวในพื้นที่เพาะปลูกของเมืองนี้ที่กำลังส่องแสง นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกเขาว่าพื้นที่ 1 หน่วย (เท่ากับ 1 ตารางเมตร) นั้นใหญ่มากแค่ไหน

น่าเสียดาย มันเป็นเช่นเดียวกับระบบ แสงนี้มีเพียงแองโกร่าเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้

จากนั้นแองโกร่าก็รับชุดของขวัญผู้เล่นใหม่จากคลังของเขา ภายในมีไอเทม 2 อย่าง ได้แก่ เมล็ดข้าวโอ๊ตวิญญาณ x1 และบัวรดน้ำของผู้ศรัทธา x1

เมล็ดข้าวโอ๊ตวิญญาณนั้นก็เหมือนกับเมล็ดพืชทั่วไป แต่บัวรดน้ำของผู้ศรัทธากลับทำให้แองโกร่าต้องประหลาดใจ

ถึงมันจะเป็นแค่บัวรดน้ำ แต่มันก็ถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีตมาก ผิวสัมผัสของมันดูเหมือนจะทำจากวัสดุคุณภาพสูง เป็นโลหะสีเงินแวววาวมีความสง่างามเป็นเอกลักษณ์ ความคิดที่ว่ามันจะไม่มีวันเป็นสนิมเกิดขึ้นในขณะที่เขามองมัน ตัวถังมีการแกะสลักลวดลายที่งดงามและเรียบง่ายซึ่งทำให้มันดูน่าหลงใหล ส่วนด้ามจับของมันแม้ว่าจะทำจากโลหะเหมือนกัน แต่ก็ใกล้เคียงกับทองเหลืองมากกว่า และมันถูกแกะสลักด้วยลวดลายเถาวัลย์พืชที่เขาไม่รู้จัก แต่ก็รู้สึกไม่แกะกะ มันกลับถือได้สะดวกและพอดีมือมาก

นั่นเพราะเด็ก ๆ จากต่างโลก ไม่เคยได้ยินเรื่องการยศาสตร์*

(การยศาสตร์(ergonomics) เป็นคำที่มาจากภาษากรีก คือ “ergon” ที่หมายถึงงาน(work) และอีกคำหนึ่ง “nomos” ที่แปลว่า กฎตามธรรมชาติ(Natural Laws) เมื่อนำมารวมกันจำกลายเป็นคำว่า “ergonomics” หรือ “laws of work” ที่อาจแปลได้ว่ากฎของงาน ซึ่งเป็นศาสตร์ หรือวิชาการที่เป็นการปรับเปลี่ยนสภาพงานให้เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงาน)

“เฮ้ ท่านเอาบัวรดน้ำมาจากไหน” วีลาเห็นมือของแองโกร่าที่เอื้อมไปข้างหลังเขา จากนั้นเธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อเขาหยิบบัวรดน้ำที่สวยงามนั้นออกมาจากอากาศ

“เราขุนนางเรียนรู้เวทมนตร์กับผู้วิเศษก่อนที่เราจะสืบทอดศักดินา…แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น”

แองโกร่าคิดว่าการเอาบัวรดน้ำออกมาจากอากาศต่อหน้าวีลาถือเป็นความผิดพลาด แต่โชคดีที่พยานเป็นเพียงวีลา เด็กสาวชาวบ้านเช่นเธอมักจะหลอกง่ายอยู่แล้ว

และเธอก็ถูกหลอกจริง ๆ เธอทำหน้าตาชื่นชมที่เขาอ่านได้ว่า ‘ขุนนางชั้นสูงในเมืองใช้มายากลได้จริง ๆ เหรอ!’

เขาภาวนาไม่ให้จินตนาการของเธอแตกเร็วเกินไป…

จากนั้น แองโกร่าก็ฝังเมล็ดข้าวโอ๊ตวิญญาณลงในดินภายใต้การจ้องมองของวีลา

“ท่านพยายามจะปลูกพืชรึ? นี่มันไม่ได้ผลหรอก สายเกินไปแล้ว ฤดูหนาวกำลังจะมาถึงในอีกครึ่งเดือน ถึงท่านจะปลูกมันตอนนี้ ไวสุดมันก็ทำได้แค่แตกหน่อก่อนที่พืชของท่านจะแข็งตาย!” วีลาขมวดคิ้ว เธอพยายามเกลี้ยกล่อมแองโกร่าต่อ “ฤดูหนาวที่นี่หนาวเป็นพิเศษ แม้แต่สัตว์ต่าง ๆ ก็พากันจำศีล ใบไม้ของต้นไม้จะร่วงและทั้งป่าก็จะโกร๋น จากนั้นท่านก็จะไม่มีจะกินแม้แต่ขนมปังน้ำตาลที่ท่านไม่อยากจะกินนี่ด้วยซ้ำ…ท่านควรรีบออกไปจากที่นี่”

“ถ้ามันไม่ได้ผล ข้าจะไปเอง” แองโกร่ายักไหล่ “แต่นี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะสิ้นหวัง”

หลังจากที่เขาฝังเมล็ดลงดินแล้ว ตัวจับเวลานับถ้อยหลัง 3:59:59 น. ก็ปรากฏขึ้นเหนือฟาร์มในสายตาของแองโกร่า

‘ใช้เวลาเพียงแค่ 4 ชั่วโมงเพื่อให้พืชโต…’

แองโกร่ารู้สึกโล่งใจ คำถามเดียวในตอนนี้คือปริมาณผลผลิต

“เจ้าก็รู้แล้วนี่ว่าฤดูหนาวและหมอกของที่นี่ลำบากมากแค่ไหน ทำไมเจ้ายังไม่ย้ายออกไปอีกล่ะ” แองโกร่าถามวีลาด้วยความอยากรู้ขณะที่เขาเติมน้ำลงถัง “แม้มันจะค่อนข้างไกล แต่ถ้าเจ้าย้ายไปอยู่ในเขตอาณาจักร เจ้าก็จะไม่ต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้ใช่ไหมล่ะ”

“ปู่บอกว่าเขาเป็นเจ้าเมือง ถ้าแม้แต่เขายังกลัวและหนีไป เมือง ๆ นี้ที่เขาได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษก็จะจบสิ้นลง” วีลายิ้มอย่างขมขื่น “แม้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เขาก็ยังอยากจะอยู่ที่เมืองนี้ เขาจะเป็นเจ้าเมืองของเมืองนี้จนถึงวาระสุดท้าย…

“แล้วศาสนจักรที่อยู่ใกล้ ๆ ล่ะ? พวกเขาไม่ช่วยอะไรเลยเหรอ” แองโกร่าถาม เนื่องจากศาสนจักรต่าง ๆ มักรับผิดชอบในการบรรเทาทุกข์บำรุงสุขของชาวเมืองอยู่แล้ว พวกเขาจะไม่ช่วยเมืองเช่นนี้ได้ยังไง

“ไม่มีศาสนจักรใดอยู่ในระยะสิบไมล์จากเมือง” เด็กสาวตอบ สีหน้าของเธอขมขื่นยิ่งขึ้น “ข้าว่า บางทีเทพเจ้าอาจทอดทิ้งพวกเราที่อาศัยอยู่ในดินแดนอันหนาวเหน็บนี้”

แองโกร่าเติมน้ำลงในถังอย่างเงียบ ๆ

เขารู้ดีว่าหากเขาไม่ทำอะไรเลย ที่แห่งนี้ที่มีชื่อเป็นเมืองแต่มีขนาดเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ จะไม่มีวันอยู่รอดได้ตลอดทั้งฤดูหนาว ชาวเมืองที่เหลืออยู่จะต้องทนทุกข์ทรมานจากความหิวโหยและหนาวเหน็บ ถ้าพวกเขาจะไม่หนาวตาย พวกเขาก็อาจจะอดตาย

ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกว่าบัวรดน้ำในมือของเขาหนักอึ้ง ราวกับว่ามันมีอย่างอื่นนอกจากน้ำอยู่ในนั้นด้วย

[บัวรดน้ำของผู้ศรัทธา(ระดับตำนาน) : โปรดอธิษฐานอย่างจริงใจต่อเทพเจ้าแห่งเกมเมื่อท่านใช้บัวรดน้ำนี้ พลังศรัทธาของท่านจะแปรผันกับการลดระยะเวลาที่พืชจะต้องใช้ในการเจริญเติบโต อัตราการลดสูงสุดคือ 50%]

“ไม่ นั่นไม่จริง แม้ว่าเทพเจ้าองค์อื่นจะลืมพวกเจ้า แต่ยังมีเทพเจ้าองค์หนึ่งเฝ้าดูพวกเจ้าอยู่ที่นี่!”

แองโกร่าที่มีภาพลักษณ์ของขุนนางที่ไม่เคยแยแสอะไร ในที่สุดเขาก็กลายเป็นคนจริงจังขึ้นมา

“นั่นเป็นการปลอบใจที่เกินจริงไปหน่อยล่ะมั้ง…” เด็กสาวยิ้มเยาะ

“ข้าพูดไม่ค่อยเก่ง และข้าก็เข้าใจว่าแค่คำพูดธรรมดาคงใช้ไม่ได้กับพวกเจ้า ดังนั้นเจ้าควรตั้งใจดู!”

แองโกร่าถือบัวรดน้ำด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความศรัทธาอย่างที่เขาไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต เขาค่อย ๆ รดน้ำลงบนเมล็ดพืชที่เขาเพิ่งฝังลงในดิน

“นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการแสดงให้พวกเจ้าทุกคนเห็น ปาฏิหาริย์จากเทพเจ้าของข้า!”

ในเวลาต่อมา ต้นกล้าสีเขียวที่อ่อนนุ่มก็โผล่ขึ้นมาจากผืนดินที่ปกคลุมไปด้วยขี้เถ้าสีดำ

ดังเช่นหยกล้ำค่า

—————————————

[ระบบ Overlord: QQFarm เวอร์ชันทดสอบ V0.1]

[ฟาร์ม: 0/1]

[เมล็ดพันธุ์: ไม่มี]

[ปศุสัตว์: ล็อก (ต้องสร้างคอกสัตว์)]

[เหรียญเกม: 0]

[คำแนะนำ: ยินดีต้อนรับสู่ QQFarm ชุดของขวัญสำหรับผู้เล่นใหม่ได้ถูกส่งไปยังคลังส่วนตัวของคุณแล้ว โปรดรับมันจากหน้าหลัก]

แม้แองโกร่าจะไม่เข้าใจว่า ‘QQ’ หมายถึงอะไร แต่จากการสำรวจเมื่อคืนนี้ เขาก็เข้าใจวิธีการทำงานพื้นฐานของหมวดย่อย QQFarm แล้ว

พูดย่อ ๆ คือมันเป็นหมวดย่อยของระบบโอเวอร์ลอร์ดที่มีหน้าที่ในด้านเกษตรกรรม

นอกจากนั้นที่ด้านล่างสุดของหน้าอินเตอร์เฟซยังมีตัวเลือก ‘ร้านค้า’ ซึ่งแสดงรายการเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ มีเพียงรูปภาพเมล็ดพันธุ์ไม่กี่รูปเท่านั้นที่มองเห็นได้ นอกเหนือจากนั้นเป็นเพียงภาพเงาดำที่เขาต้องทำการปลดล็อกในภายหลัง

และในหมวด QQFarm ยังมีตัวเลือก ‘ขาย’ อยู่ด้วย แต่จากการทดสอบเมื่อคืน เขาล้มเหลวในการใช้งานมัน เขาไม่สามารถขายอะไรได้เลย (ไม่งั้นเขาคงจะขายทิ้งแม้แต่กำแพงบ้านของวีลาไปแล้ว) เมื่อมาลองคิดดูแล้ว ตัวเลือกการขายถูกวางไว้ในหมวด QQFarm มันคงจะขายได้เฉพาะพืชผลหรือปศุสัตว์ที่เขาเก็บเกี่ยวได้เท่านั้น

[กรุณาระบุพื้นที่เพาะปลูก 1 หน่วยเป็นพื้นที่เริ่มต้นของ QQFarm]

สิ่งแรกที่แองโกร่าต้องทำ ก่อนอื่นเลยคือการเลือกที่ตั้งของฟาร์ม ไม่งั้นเขาจะเริ่มระบบ QQFarm ไม่ได้

ระบบบอกเขาว่า ‘พื้นที่ในอาคารไม่สามารถใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูกได้’ เมื่อเขาพยายามจะใช้งานมันในห้องพักของเขา นั่นจึงเป็นสาเหตุที่แองโกร่าต้องออกมาเดินเล่นรอบเมือง เพื่อมองหาสถานที่ที่เหมาะสำหรับการทำฟาร์มและปศุสัตว์แห่งแรกของเขา

แต่หลังจากที่วีลาออกมาตามหาเขา เขาก็คิดว่ามันน่าจะง่ายกว่าที่จะยืมฟาร์มของครอบครัวเธอ แทนที่เขาจะพัฒนาพื้นที่เพาะปลูกใหม่ในสถานที่แปลก ๆ

ยังไงซะ หากเขาต้องการที่จะตั้งหลักในเมืองนี้ เขาก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากปู่ของวีลาที่เป็นเจ้าเมืองก่อน

ดังนั้นตามคำแนะนำของระบบ แองโกร่าจึงได้เลือกพื้นที่เพาะปลูกที่แห้งแล้งของครอบครัววีลาเป็นฟาร์มแห่งแรกของเขา

เมื่อคำว่า ‘ล็อค’ ปรากฏขึ้น แองโกร่าก็พบพื้นที่ขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพียงแห่งเดียวในพื้นที่เพาะปลูกของเมืองนี้ที่กำลังส่องแสง นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกเขาว่าพื้นที่ 1 หน่วย (เท่ากับ 1 ตารางเมตร) นั้นใหญ่มากแค่ไหน

น่าเสียดาย มันเป็นเช่นเดียวกับระบบ แสงนี้มีเพียงแองโกร่าเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้

จากนั้นแองโกร่าก็รับชุดของขวัญผู้เล่นใหม่จากคลังของเขา ภายในมีไอเทม 2 อย่าง ได้แก่ เมล็ดข้าวโอ๊ตวิญญาณ x1 และบัวรดน้ำของผู้ศรัทธา x1

เมล็ดข้าวโอ๊ตวิญญาณนั้นก็เหมือนกับเมล็ดพืชทั่วไป แต่บัวรดน้ำของผู้ศรัทธากลับทำให้แองโกร่าต้องประหลาดใจ

ถึงมันจะเป็นแค่บัวรดน้ำ แต่มันก็ถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีตมาก ผิวสัมผัสของมันดูเหมือนจะทำจากวัสดุคุณภาพสูง เป็นโลหะสีเงินแวววาวมีความสง่างามเป็นเอกลักษณ์ ความคิดที่ว่ามันจะไม่มีวันเป็นสนิมเกิดขึ้นในขณะที่เขามองมัน ตัวถังมีการแกะสลักลวดลายที่งดงามและเรียบง่ายซึ่งทำให้มันดูน่าหลงใหล ส่วนด้ามจับของมันแม้ว่าจะทำจากโลหะเหมือนกัน แต่ก็ใกล้เคียงกับทองเหลืองมากกว่า และมันถูกแกะสลักด้วยลวดลายเถาวัลย์พืชที่เขาไม่รู้จัก แต่ก็รู้สึกไม่แกะกะ มันกลับถือได้สะดวกและพอดีมือมาก

นั่นเพราะเด็ก ๆ จากต่างโลก ไม่เคยได้ยินเรื่องการยศาสตร์*

(การยศาสตร์(ergonomics) เป็นคำที่มาจากภาษากรีก คือ “ergon” ที่หมายถึงงาน(work) และอีกคำหนึ่ง “nomos” ที่แปลว่า กฎตามธรรมชาติ(Natural Laws) เมื่อนำมารวมกันจำกลายเป็นคำว่า “ergonomics” หรือ “laws of work” ที่อาจแปลได้ว่ากฎของงาน ซึ่งเป็นศาสตร์ หรือวิชาการที่เป็นการปรับเปลี่ยนสภาพงานให้เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงาน)

“เฮ้ ท่านเอาบัวรดน้ำมาจากไหน” วีลาเห็นมือของแองโกร่าที่เอื้อมไปข้างหลังเขา จากนั้นเธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อเขาหยิบบัวรดน้ำที่สวยงามนั้นออกมาจากอากาศ

“เราขุนนางเรียนรู้เวทมนตร์กับผู้วิเศษก่อนที่เราจะสืบทอดศักดินา…แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น”

แองโกร่าคิดว่าการเอาบัวรดน้ำออกมาจากอากาศต่อหน้าวีลาถือเป็นความผิดพลาด แต่โชคดีที่พยานเป็นเพียงวีลา เด็กสาวชาวบ้านเช่นเธอมักจะหลอกง่ายอยู่แล้ว

และเธอก็ถูกหลอกจริง ๆ เธอทำหน้าตาชื่นชมที่เขาอ่านได้ว่า ‘ขุนนางชั้นสูงในเมืองใช้มายากลได้จริง ๆ เหรอ!’

เขาภาวนาไม่ให้จินตนาการของเธอแตกเร็วเกินไป…

จากนั้น แองโกร่าก็ฝังเมล็ดข้าวโอ๊ตวิญญาณลงในดินภายใต้การจ้องมองของวีลา

“ท่านพยายามจะปลูกพืชรึ? นี่มันไม่ได้ผลหรอก สายเกินไปแล้ว ฤดูหนาวกำลังจะมาถึงในอีกครึ่งเดือน ถึงท่านจะปลูกมันตอนนี้ ไวสุดมันก็ทำได้แค่แตกหน่อก่อนที่พืชของท่านจะแข็งตาย!” วีลาขมวดคิ้ว เธอพยายามเกลี้ยกล่อมแองโกร่าต่อ “ฤดูหนาวที่นี่หนาวเป็นพิเศษ แม้แต่สัตว์ต่าง ๆ ก็พากันจำศีล ใบไม้ของต้นไม้จะร่วงและทั้งป่าก็จะโกร๋น จากนั้นท่านก็จะไม่มีจะกินแม้แต่ขนมปังน้ำตาลที่ท่านไม่อยากจะกินนี่ด้วยซ้ำ…ท่านควรรีบออกไปจากที่นี่”

“ถ้ามันไม่ได้ผล ข้าจะไปเอง” แองโกร่ายักไหล่ “แต่นี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะสิ้นหวัง”

หลังจากที่เขาฝังเมล็ดลงดินแล้ว ตัวจับเวลานับถ้อยหลัง 3:59:59 น. ก็ปรากฏขึ้นเหนือฟาร์มในสายตาของแองโกร่า

‘ใช้เวลาเพียงแค่ 4 ชั่วโมงเพื่อให้พืชโต…’

แองโกร่ารู้สึกโล่งใจ คำถามเดียวในตอนนี้คือปริมาณผลผลิต

“เจ้าก็รู้แล้วนี่ว่าฤดูหนาวและหมอกของที่นี่ลำบากมากแค่ไหน ทำไมเจ้ายังไม่ย้ายออกไปอีกล่ะ” แองโกร่าถามวีลาด้วยความอยากรู้ขณะที่เขาเติมน้ำลงถัง “แม้มันจะค่อนข้างไกล แต่ถ้าเจ้าย้ายไปอยู่ในเขตอาณาจักร เจ้าก็จะไม่ต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้ใช่ไหมล่ะ”

“ปู่บอกว่าเขาเป็นเจ้าเมือง ถ้าแม้แต่เขายังกลัวและหนีไป เมือง ๆ นี้ที่เขาได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษก็จะจบสิ้นลง” วีลายิ้มอย่างขมขื่น “แม้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เขาก็ยังอยากจะอยู่ที่เมืองนี้ เขาจะเป็นเจ้าเมืองของเมืองนี้จนถึงวาระสุดท้าย…

“แล้วศาสนจักรที่อยู่ใกล้ ๆ ล่ะ? พวกเขาไม่ช่วยอะไรเลยเหรอ” แองโกร่าถาม เนื่องจากศาสนจักรต่าง ๆ มักรับผิดชอบในการบรรเทาทุกข์บำรุงสุขของชาวเมืองอยู่แล้ว พวกเขาจะไม่ช่วยเมืองเช่นนี้ได้ยังไง

“ไม่มีศาสนจักรใดอยู่ในระยะสิบไมล์จากเมือง” เด็กสาวตอบ สีหน้าของเธอขมขื่นยิ่งขึ้น “ข้าว่า บางทีเทพเจ้าอาจทอดทิ้งพวกเราที่อาศัยอยู่ในดินแดนอันหนาวเหน็บนี้”

แองโกร่าเติมน้ำลงในถังอย่างเงียบ ๆ

เขารู้ดีว่าหากเขาไม่ทำอะไรเลย ที่แห่งนี้ที่มีชื่อเป็นเมืองแต่มีขนาดเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ จะไม่มีวันอยู่รอดได้ตลอดทั้งฤดูหนาว ชาวเมืองที่เหลืออยู่จะต้องทนทุกข์ทรมานจากความหิวโหยและหนาวเหน็บ ถ้าพวกเขาจะไม่หนาวตาย พวกเขาก็อาจจะอดตาย

ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกว่าบัวรดน้ำในมือของเขาหนักอึ้ง ราวกับว่ามันมีอย่างอื่นนอกจากน้ำอยู่ในนั้นด้วย

[บัวรดน้ำของผู้ศรัทธา(ระดับตำนาน) : โปรดอธิษฐานอย่างจริงใจต่อเทพเจ้าแห่งเกมเมื่อท่านใช้บัวรดน้ำนี้ พลังศรัทธาของท่านจะแปรผันกับการลดระยะเวลาที่พืชจะต้องใช้ในการเจริญเติบโต อัตราการลดสูงสุดคือ 50%]

“ไม่ นั่นไม่จริง แม้ว่าเทพเจ้าองค์อื่นจะลืมพวกเจ้า แต่ยังมีเทพเจ้าองค์หนึ่งเฝ้าดูพวกเจ้าอยู่ที่นี่!”

แองโกร่าที่มีภาพลักษณ์ของขุนนางที่ไม่เคยแยแสอะไร ในที่สุดเขาก็กลายเป็นคนจริงจังขึ้นมา

“นั่นเป็นการปลอบใจที่เกินจริงไปหน่อยล่ะมั้ง…” เด็กสาวยิ้มเยาะ

“ข้าพูดไม่ค่อยเก่ง และข้าก็เข้าใจว่าแค่คำพูดธรรมดาคงใช้ไม่ได้กับพวกเจ้า ดังนั้นเจ้าควรตั้งใจดู!”

แองโกร่าถือบัวรดน้ำด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความศรัทธาอย่างที่เขาไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต เขาค่อย ๆ รดน้ำลงบนเมล็ดพืชที่เขาเพิ่งฝังลงในดิน

“นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการแสดงให้พวกเจ้าทุกคนเห็น ปาฏิหาริย์จากเทพเจ้าของข้า!”

ในเวลาต่อมา ต้นกล้าสีเขียวที่อ่อนนุ่มก็โผล่ขึ้นมาจากผืนดินที่ปกคลุมไปด้วยขี้เถ้าสีดำ

ดังเช่นหยกล้ำค่า

—————————————

เมื่อซีเว่ยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับแองโกร่าในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ เขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าเขาได้เลือกไอ้เซ่อมาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านเริ่มต้นที่ค่อนข้างจะสำคัญ…

ต้องบอกว่าแม้แต่ซีเว่ยก็ไม่คิดว่าเมืองเล็ก ๆ นอกหุบเขาแห่งความตายจะจนได้ขนาดนี้

“ดูเหมือนฉันต้องคิดหาวิธีช่วยเขานิดหน่อยแล้ว”

ซีเว่ยยื่นหนวดไปเกาหัวขณะคิดว่าเขาควรจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี

ปัญหาที่เกิดขึ้นคือชาวเมืองกำลังทุกข์ทรมานจากความหิวโหย นั่นหมายความว่าเขาจะได้รับความเคารพอย่างง่ายดายหากคิดหาวิธีเติมท้องพวกเขาได้สำเร็จ บางทีเขาอาจได้คลื่นแห่งศรัทธาจำนวนมากจากกระบวนการนี้

ถ้างั้นกลยุทธ์การพัฒนาเมืองของระบบโอเวอร์ลอร์ดจะถูกปรับลดลงนิดหน่อย และให้เขามุ่งเน้นไปที่การทำฟาร์มก่อน

“ถ้าเป็นการทำฟาร์ม ฉันคิดถึงเกมอย่าง Harvest Moon* และ Rune Factory*…”

(Harvest Moon เกมปลูกผัก(จีบสาว)ในตำนาน เล่นผ่าน PS1 และ PSP)

(Rune Factory เกมทำฟาร์มที่มาพร้อมระบบ RPG ที่จะให้เรารับบทเป็นผู้เสียความทรงจำ ที่ฟื้นขึ้นมาในเมืองที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม โดยนอกเหนือจากหน้าที่การงานแล้ว ผู้เล่นจะสามารถทำกิจกรรมต่างๆ เช่นการเกษตรหรือจีบสาว/หนุ่มก็ได้ ตอนนี้มีออกมา 5 ภาคแล้ว)

ซีเว่ยลองปรับรายละเอียดเกมเล็กน้อยตามความคิดของเขา ก่อนจะพบว่าเขาไม่มีความสามารถเกี่ยวกับพืชหรือการเก็บเกี่ยวเลย แม้ว่าเขาจะสามารถดัดแปลงเมล็ดพันธุ์ให้มันเติบโตได้ในทันที แต่การทำให้พืชโตจนสามารถเก็บเกี่ยวได้ ก็ต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นผลกระทบดังกล่าวยังไม่คงอยู่ถึงพืชรุ่นต่อไป หากใช้เมล็ดพันธุ์ของพวกมัน พืชก็จะเติบโตตามเวลาปกติเท่านั้น

“ยากไปหน่อยที่จะเอาทั้งปริมาณและคุณภาพออกมาในคราวเดียว พวกเขาไม่มีพรานฝีมือดีในเมืองเลย ไม่มีทางที่พวกเขาจะหาผงกระดูกหรือวัสดุอื่น ๆ จากรอบนอกหุบเขาแห่งความตายมาใช้เป็นปุ๋ยได้…”

ซีเว่ยพบว่ามันยากเกินไป “ยิ่งไปกว่านั้นถ้าไม่สามารถควบคุมสมดุลระหว่างปริมาณผลผลิตและการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้ พลังศักดิ์สิทธิ์ของฉันจะถูกรีดจนแห้งหลังจากที่พวกเขาเร่งเก็บเกี่ยวไปเพียงไม่กี่สิบครั้ง”

เมื่อเขาคิดดูดี ๆ การจำลองระบบฟาร์มใน Harvest Moon และ Rune Factory นั้น จะกินเวลาส่วนใหญ่ของผู้เล่น เนื่องจากการทำฟาร์มเป็นส่วนหลักของความสนุก

และซีเว่ยก็ไม่ต้องการให้แองโกร่ากลายเป็นชาวนา แม้หมอนี่จะเป็นไอ้โง่ แต่เขาก็เป็นหัวหน้าหมู่บ้านเริ่มต้นที่เขาเลือก…

เมื่อซีเว่ยกวาดตาไปรอบ ๆ อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ เขาก็หันไปเห็นเศษโลหะไร้ประโยชน์ที่เขายังคิดหาวิธีกำจัดดี ๆ ไม่ออก

ทำไมฉันไม่สร้างสกุลเงินสำหรับเหล่าผู้ศรัทธาของฉัน พวกเขาเป็นผู้เล่น ผู้เล่นควรมีเงินในระบบ

ตราบใดที่เงินไม่รั่วไหลออกไปยังตลาดอื่น มันก็จะไม่ดึงดูดความสนใจของเทพเจ้าองค์อื่น (โดยเฉพาะเทพธิดาแห่งความเจริญรุ่งเรือง) ขณะเดียวกันความศักดิ์สิทธิ์ที่มีก็จะทำให้มั่นใจได้ว่า มันจะไม่ถูกปลอมแปลงและขจัดความเป็นไปได้ในการฉ้อโกง

“ตั้งค่าไว้ว่า ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยสกุลเงินเกมและไอ้เซ่อ…อะแฮ่ม ฉันหมายถึงแองโกร่า จะสอนวิธีการทำฟาร์มและจัดสรรชาวบ้านมาเป็นเกษตรกร เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่จำเป็นต้องรดน้ำหรือใส่ปุ๋ย ฉันจะตั้งค่าให้เกษตรกรที่ได้รับการจัดสรรมาต้องสวดอ้อนวอนให้ฉันอย่างเคร่งครัด ยิ่งเมล็ดพันธุ์ได้รับศรัทธามากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งเติบโตได้เร็วขึ้น ยิ่งมีผู้ศรัทธามากขึ้น การทำฟาร์มในแต่ละแปลงก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป หนึ่งแปลงมีเกษตรกรได้เพียง 3 คนเท่านั้น แค่นั่นก็กู้คืนพลังศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ก็สามารถใช้การตั้งค่านี้ได้เหมือนกัน”

“อ่า ฉันนี่เป็นอัจฉริยะจริง ๆ!”

เมื่อแองโกร่าสาธิตการทำฟาร์ม ชาวเมืองที่ตกอยู่ในความหิวโหยก็จะแห่กันมาอยู่ใต้ปีกของเขา ยิ่งไปกว่านั้นซีเว่ยก็ไม่ต้องการให้พวกเขาทุกคนกลายมาเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง เนื่องจากผู้ศรัทธาที่ตื้นเขินก็เพียงพอที่จะให้พลังงานเทพเจ้าแก่เขาแล้ว

“พืชผลที่เก็บเกี่ยวยังสามารถขายให้ระบบเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินเกมได้ และถึงแม้ว่าเมื่อพืชรุ่นแรกได้รับการเก็บเกี่ยว พืชรุ่นต่อไปจะสูญเสียความสามารถในการเติบโตแบบทันที แต่เมล็ดพันธุ์ของมันก็ยังมีประโยชน์ และแองโกร่ายังสามารถซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ได้หลังจากขายมันให้ระบบและเปลี่ยนมันเป็นสกุลเงินเกม ฉันจะแปลงเมล็ดเหล่านั้นและให้มันกับเขา แค่นี้ก็หมดปัญหาแล้ว”

สรุปคือ ซีเว่ยจะขายเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ให้แองโกร่า รับพืชผลรุ่นที่สองจากแองโกร่า และขายต่อให้กับไอ้โง่ เนื่องจากเมล็ดพันธุ์รุ่นสองหรือรุ่นถัด ๆ มา จะใช้พลังงานเทพเจ้าน้อยลงในการดัดแปลง

แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือผู้ศรัทธาที่ตื้นเขิน พวกเขาจะคอยอธิษฐานไปเรื่อย ๆ ในขณะที่เมล็ดพันธุ์จะค่อย ๆ เติบโตขึ้น และพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะได้รับการชดเชย ยิ่งมีผู้ศรัทธาที่ตื้นเขินเปลี่ยนใจมาเลื่อมใสศรัทธาเขาตามแองโกร่ามากเท่าไหร่ ซีเว่ยก็จะได้รับมากขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้สกุลเงินเกมจะจำกัดจำนวนเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ที่แองโกร่าสามารถใช้ได้ เนื่องจากซีเว่ยมีพลังศักดิ์สิทธิ์จำกัด เขาจึงไม่สามารถจัดหาเมล็ดพันธุ์ให้แองโกร่าได้ครั้งละมาก ๆ

“เรียบร้อย ตอนนี้เราจะมาดูกันว่าไอ้เซ่อจะทำยังไงต่อ”

***

เช้าวันรุ่งขึ้นแองโกร่าลุกขึ้นจากเตียงและออกจากบ้านเพื่อเริ่มสำรวจดินแดนของเขา

อย่างที่ชายชราได้บอกเขาเมื่อวาน ที่นี่แห้งแล้งมาก ส่วนดินที่ยังใช้ประโยชน์ได้เพียงไม่กี่แปลงตอนนี้ก็ไหม้เกรียมเป็นเถ้าถ่าน ชาวบ้านในเมืองเกลียดชังคนนอกมาก นั่นทำเอาแองโกร่ารู้สึกว่าถ้าเขาโตกว่านี้สัก 2-3 ปี เขาคงจะถูกชาวบ้านขับออกจากเมืองไปทันทีแน่

“ท่านลอร์ด ท่านอยู่ที่นี่เองหรือ?” เมื่อเวลาเกือบเที่ยงวีลาก็หาเขาพบ น้ำเสียงของเธอฟังดูค่อนข้างอารมณ์เสีย “ได้โปรดอย่าเดินไปมาในเมือง พวกข้าจะลำบากหากมีอะไรเกิดขึ้นกับท่านในเมืองนี้ อาหารกลางวันพร้อมแล้ว โปรดจากไปทันทีหลังทานอาหารเสร็จ!”

“อาหารกลางวัน…นั่นขนมปังแบบเดียวกับเมื่อวานรึเปล่า” แองโกร่าสงสัย

“ข้าอุ่นมันแล้ว ข้ายังเก็บเห็ดมาทำซุปให้ท่านด้วย…”

จากนั้นวีลาก็หยุดชะงัก เธอคิดว่าการพูดเรื่องนี้ดูจะหยาบคายต่อหน้าขุนนางไปหน่อย เธอจึงกระซิบว่า “ข้าขอโทษ แต่นั่นดีที่สุดที่เราหาได้แล้ว”

อย่างไรก็ตามแองโกร่าไม่สนใจ “ถ้าเจ้าไม่รังเกียจ ก็อยู่เป็นเพื่อนข้าก่อน”

“ฮะ?”

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ…” แองโกร่าพูดอย่างไม่พอใจ “งั้นเอาแบบนี้ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าจนกว่าดวงอาทิตย์จะลอยขึ้นกลางท้องฟ้า ถ้าเจ้าไม่สนใจ ข้าก็จะออกจากเมืองทันที และเจ้าไม่ต้องไล่ข้าอีกต่อไป ตกลงไหม”

“ข้าเป็นแค่ชาวนา ยังไงข้าก็ไม่อาจขัดความต้องการของท่านได้หรอก ท่านลอร์ด” เด็กสาวบ่น แต่สุดท้ายเธอก็เดินตามแองโกร่าไปยังพื้นที่เพาะปลูกนอกเมืองอย่างเชื่อฟัง

ตอนนี้พื้นที่เพาะปลูกถูกปกคลุมไปด้วยขี้เถ้าหนาทึบ แม้ว่าปีหน้าดินจะอุดมสมบูรณ์มากขึ้น แต่น่าเสียดายที่เขาไม่รู้ว่าปีนี้จะมีชาวเมืองอยู่รอดได้สักกี่คน

“นี่พื้นที่เพาะปลูกของบ้านเจ้ารึเปล่า” แองโกร่าถาม

“ตรงนั้น ใช่แล้ว” เด็กสาวชี้ไปที่ที่ดินแปลงหนึ่งที่มีสภาพร่อแร่ตรงขอบนอกสุด “บ้านข้ามีคนน้อย ที่ดินของเราจึงเล็ก”

“ข้าขอใช้มันหน่อย”

“อะไรนะ?”

หลังจากมั่นใจว่าเธอไม่ได้จ้องเขาอยู่ แองโกร่าก็พึมพำว่า ‘โอ้~เทพเจ้าแห่งเกม โปรดมอบชีวิตใหม่ให้กับเรา’ เพื่อเปิดระบบและเปิดหน้าถัดไป หน้าที่พึ่งปรากฏขึ้นเมื่อวาน

[ระบบ Overlord: QQFarm*เวอร์ชันทดสอบ V0.1]

(QQFarm เกมทำฟาร์มใน QQ ของจีน)

ความเงียบของแองโกร่าทำให้ชายชราเข้าใจผิด เขาคิดว่าแองโอร่าเข้าใจแล้วว่าที่ดินศักดินาแห่งนี้นั้นไม่คุ้มค่า เขาจึงเลิกกดดันขุนนางใหม่คนนี้

เมื่อเห็นว่าแองโกร่ายังเด็กอยู่ คำพูดของเขาจึงอ่อนลงมาก “มันใกล้มืดแล้ว หากท่านไม่รังเกียจ ท่านสามารถพักที่บ้านข้าคืนนี้ได้ หลังจากตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่ท่านควรทำคือออกไปจากเมืองนี้ซะ”

แองโกร่ายืนอยู่ที่เดิมกำลังพยายามเรียกระบบ เมื่อเขาได้ยินคำพูดของชายชราเขาก็ตกตะลึง “แล้วคฤหาสน์ขุนนางในอดีตล่ะ อยู่ที่ไหน”

“ขุนนางคนสุดท้ายรีบกลับบ้านทันทีหลังจากได้เห็นที่นี่ เขาไม่ได้สร้างอะไรอย่างคฤหาสน์เอาไว้เลย” ชายชราตอบ

“ดีจริง…” แองโกร่าถอนหายใจ และแปลกใจที่พ่อของเขาไร้ความรับผิดชอบขนาดนี้ “ขอรบกวนด้วยนะครับ”

ระหว่างทางไปยังบ้านของชายชรา แองโกร่าก็ได้รู้ว่าชายชราคนนี้เป็นเจ้าเมืองไร้ชื่อ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่กองทัพของพวกเรเวแนนท์ได้บุกเข้าโจมตีบ้านเมือง มีสงครามขนาดเล็กรอบเมืองเป็นระยะ ๆ และได้เปลี่ยนเมืองที่เจริญในอดีตให้กลายเป็นเช่นนี้

ที่นี่มีบ้านจำนวนมาก แต่หลายหลังเป็นบ้านร้างที่มีสภาพทรุดโทรมและไม่มีใครอาศัยอยู่มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว กระเบื้องมุงหลังคาเป็นรู ก้อนอิฐหลุดร่วงแตกร้าว บางครั้งก็จะมีสุนัขจิ้งจอกหรือหนูที่แอบทำรังอยู่ในบ้านร้างเหล่านั้น

เป็นเรื่องที่น่ายกย่องมากแล้วที่ยังมีคนอาศัยอยู่ในเมือง แม้ว่าทุก ๆ สามหลังจะมีบ้านที่มีคนอยู่เพียงหนึ่งหลังก็ตาม

ที่นี่มีชาวบ้านเพียงแค่ 29 คน รวมชายชราที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปเหยียบขอบหลุมฝังศพคนนี้แล้ว คนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้สูงอายุ ผู้หญิงและเด็ก ส่วนคนหนุ่มสาวพวกเขาได้หลบหนีเข้าไปอยู่ในเขตอาณาจักรหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพวกที่ยังมีแรง หรือพวกที่ถูกเกณฑ์โดยกองทัพหลวง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด พวกเขาก็จะไม่กลับมาอีก

แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าเมือง แต่จริง ๆ แล้วบ้านของชายชราก็ไม่ต่างจากบ้านหลังอื่น ๆ มันแค่ดูดีกว่าหน่อยเพราะหลังคาไม่มีรู และพวกเขาก็ไม่ต้องนอนอาบแสงดาว

“ปู่! ปู่กลับมาแล้ว!” เด็กสาวคนหนึ่งที่ดูอายุมากกว่าแองโกร่านิดหน่อยรีบเดินออกมาหน้าบ้าน ไม่นานเธอก็เห็นแองโกร่าที่เดินตามชายชราเข้ามา “เขาเป็นใครรึ”

“วีลา เขาคือขุนนางคนใหม่ของเมือง อย่าหยาบคายกับเขา” ชายชราจริงจังกับเรื่องนี้

ทั้งเด็กสาวและแองโกร่าหันมามองกัน จากมุมมองของแองโกร่า ถ้าน้องสาวเขาได้ 8 คะแนนในแง่ของรูปร่างหน้าตา เด็กสาวที่ชื่อวีลาน่าจะได้ประมาณ 5 ถึง 6 คะแนน

แม้ว่านวนิยายอัศวินหลายเรื่องจะมีตัวละครเช่น ‘สาวชาวนาแสนสวย’ แต่ก็มีความเป็นไปได้น้อยที่มันจะเกิดขึ้นจริง เพราะชาวบ้านไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ต่างก็ต้องทำงานหนัก เมื่อต้องทำงานหนักมากเกินไปท่ามกลางสายลมและแสงแดด ไม่ว่าสาว ๆ จะหน้าตาดีแค่ไหน พวกเธอก็จะมีใบหน้าและผิวที่หยาบกร้าน มันเทียบไม่ได้เลยกับเหล่าขุนนาง

ความจริงแล้วขุนนางทั่วทั้งจักรวรรดิมีอำนาจที่จะหลับนอนกับประชาชนที่ขายตัวเข้ามาเป็นทาสติดที่ดิน* แต่แทบไม่มีใครใช้อำนาจนั้นเพื่อนอนกับสาวชาวนาที่สกปรกและน่าเกลียด…พวกเขามักจะเอาผู้หญิงสวย ๆ มาเป็นภรรยาหลายชั่วอายุคน เพื่อปรับปรุงสายเลือดของพวกเขาให้หน้าตาดีขึ้น ดังนั้นขุนนางส่วนใหญ่จึงมีรูปร่างหน้าตาดี แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ดีขนาดที่ว่าอยู่เหนือฝูงชน แต่มันก็ดี

(ทาสติดที่ดิน (serf) คือสถานภาพของชาวนาในระบบฟิวดัลในเมเนอร์ ซึ่งเป็นวิถีการผลิตส่วนใหญ่ในยุคกลาง กลไกของทาสติดที่ดินคือการที่ชาวนาถูกผูกพันไว้กับที่ดินของเจ้านาย และออกไปจากที่ดินไม่ได้ ทาสติดที่ดินอยู่ในระบบแบบแมเนอร์ ซึ่งก็คือระบบที่ผู้ปกครองจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทุก ๆ อย่างในนั้น ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ และที่ดินเจ้าของที่ สามารถออกกฎหมายบังคับคนที่อยู่ในกฎนั้นให้ทำทุกอย่างตามที่สั่งได้ทั้งหมด)

ดังนั้นแม้วีลาจะไม่ได้พิเศษในสายตาของแองโกร่า แต่สาวชาวนาที่ได้ 5 ถึง 6 คะแนนก็ถือว่าไม่เลวเช่นกัน

“ข้าชื่อแองโกร่า•เฟาสต์ แต่เจ้าควรเรียกข้าว่า ‘ลอร์ดแองโกร่า’” เขาแนะนำตัวเอง แองโกร่าได้รับการเลี้ยงดูมาในหมู่คนชนชั้นสูง เขาไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติกับการที่ชาวนาจะเรียกเขาว่าลอร์ด เพราะยังไงซะเขาก็ถือเป็นลอร์ดของที่นี่

“สำหรับมื้อเย็น ข้ามีขนมปัง…วีลาไปเอามาสิ” ชายชราพูดกับเด็กสาวทันทีที่พวกเขาเข้ามาในบ้าน

“แต่เรามีอาหารไม่มากนะปู่…” เด็กสาวลังเล

“ไม่เป็นไร ลอร์ดแองโกร่าเป็นขุนนาง เราต้องแสดงความเคารพต่อเขา” ชายชรากล่าวอย่างหนักแน่น

เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถเปลี่ยนใจปู่ของเธอได้ เธอจึงพยักหน้าและหยิบชามไม้ออกจากตู้อย่างไม่เต็มใจ

ข้างในมีขนมปังแป้งหยาบขนาดเท่ากำปั้นสามก้อน มันดูค่อนข้างสกปรก

“ขอบคุณสำหรับความหวังดีของเจ้า แต่ข้ายังมีอาหารแห้งอยู่”

แองโกร่าปฏิเสธอย่างสุภาพ หลังจากเหลือบไปเห็นขนมปังสีน้ำตาลกลิ่นเปรี้ยวที่มีแกลบและกรวดอยู่เต็มไปหมด

จากนั้นเด็กสาวก็พาแองโกร่าไปยังห้องที่เขาจะพักอยู่ชั่วคราว

“ห้องนี้เล็กกว่าห้องส้วมบ้านข้าอีก”

หลังจากที่เขาวางกระเป๋าไว้ข้างกำแพงแองโกร่ามองไปรอบห้องและบ่นอย่างเงียบ ๆ เมื่อเด็กสาวจากไป

จากนั้นดวงตาของเขาก็แดงก่ำ อีกไม่นานพี่ชายคนโตก็จะได้สืบทอดตำแหน่งของพ่อ เมื่อถึงเวลานั้น คฤหาสน์ดยุคจะไม่ใช่บ้านของเขาอีกต่อไป และเขาก็จะไม่สามารถกลับไปที่นั่นได้อีก

โชคดีที่เขาเป็นลูกชายคนเล็ก และมักจะได้รับความทุกข์มาตั้งแต่เด็ก นั่นทำให้เขาสามารถปรับตัวได้ดี ในไม่ช้าเขาก็สงบลงและเริ่มเรียกระบบโอเวอร์ลอร์ดอีกครั้ง

“ครั้งที่แล้วเป็นกรณีฉุกเฉินที่ข้าถูกกลุ่มโจรซุ่มโจมตี ระบบจึงได้เปิดขึ้นเอง แต่ตอนนี้ข้าไม่มีโจรมาโจมตี…” แองโกร่าเกาหัว “ถ้าข้าคิดไม่ผิด มันควรมีวิธีเปิดในสถานการณ์ปกติ”

ต้องบอกว่าแองโกร่ายังคงสับสนกับวิธีเปิดใช้งานระบบ

“เปิด! เฮ้ออกมานะ! อาโลโฮโมร่า!*”

(อาโลโฮโมร่า คาถาสะเดาะกลอนในแฮรี่ มาจากภาษา “ซิดิกิ” ในแอฟริกาตะวันตก มีความหมายว่า “เป็นมิตรต่อหัวขโมย”)

เขาพยายามใช้ทุกคำสั่งที่เขาจำได้จากนิยายอัศวินและคาถาเวทย์ที่เขาเคยเห็น (ซึ่งเขาไม่ได้เชี่ยวชาญ) แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หากเขาไม่ได้เห็นหน้าอินเตอร์เฟซของระบบ และเรียกนักฆ่าจินนี่ออกมาปราบโจร แองโกร่าคงจะคิดว่าระบบโอเวอร์ลอร์ดเป็นเพียงจินตนาการของเขาไปแล้ว

“ต้องมีอะไรสักอย่าง ข้าพลาดอะไรไป…มันคืออะไรนะ…”

เขาใช้ความคิดอย่างหนักและเผลอลูบคางอย่างติดเป็นนิสัย

ตอนนั้นเองลูกบอลแสงสีขาวก็ได้โผล่ออกมาตรงจุดอับสายตาของแองโกร่า มันยื่นหนวดไปสะกิดหลังหัวของเขา ก่อนจะหายตัวไปอีกครั้ง

แองโกร่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน ราวกับว่าเขาได้รับการรู้แจ้งจากเทพเจ้า เขาเห็นข้อความแรกของระบบกะพริบผ่านสมอง

“โอ้~เทพเจ้าแห่งเกม โปรดมอบชีวิตใหม่ให้กับเรา…” เขาพึมพำคำนั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว

ในไม่ช้าหน้าอินเทอร์เฟซเกมสุดเจ๋งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาอีกครั้ง!

“สำเร็จ! นี่คือคำสั่งเปิด!”

แองโกร่ากระโดดขึ้นเตียงด้วยความตื่นเต้น ปกติแล้วเมื่อเขาดีใจหรือตื่นเต้นเขาก็มักจะกระโดดขึ้นเตียงที่บ้าน แต่เตียงไม้ที่นี่ค่อนข้างโทรม มันไม่สามารถทนต่อแรงกระแทกได้ มีรอยแตกปรากฏขึ้นและมันก็ร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง แม้แต่ตัวแองโกร่าเองก็ล้มกลิ้งไปด้วย

เขากลิ้งไปมาด้วยความเจ็บปวดขณะที่กุมหลังหัวของตัวเอง

“ท่านลอร์ด เกิดอะไรขึ้น” วีลาที่ยังไม่เข้านอนถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเธอได้ยินเสียงดังมาจากห้องแองโกร่า

แม้ว่าเขาจะเจ็บปวดเพียงใด แต่ความภาคภูมิใจของเขาในฐานะขุนนางก็ทำให้เขาไม่อาจให้ผู้อื่นมาเห็นตัวเองในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้ได้

เขาทำได้เพียงกลั้นน้ำตาและความเจ็บปวด และตอบออกไปเสียงเบาด้วยปากที่สั่นระริกว่า “ข้าสบายดี…”

————————————-

หอกแห่งชัยชนะของเอลีน่า ได้ทำให้ความกล้าหาญของก็อบลินหายไปไม่มีเหลือ เมื่อจำนวนของพวกมันเหลือน้อยกว่าครึ่งหนึ่งจากตอนแรก พวกมันก็ไม่ได้โหดเหี้ยมเหมือนที่เคยเป็นมาอีกต่อไป พวกมันเริ่มวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง

มาร์นี่•วิลฟ์ถอนหายใจอย่างโล่งอก คาราวานสินค้าของเขารอดแล้ว แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกสงสัยว่าเด็กทั้ง 5 สังกัดอยู่ศาสนจักรใด

พวกเขาแต่งตัวเหมือนเด็ก ๆ จากหมู่บ้านชนบทห่างไกล แต่นั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะการที่จะได้รับพรจากเทพเจ้านั้น พวกเขาต้องได้รับการฝึกฝนในพื้นที่ที่บริสุทธิ์ (เช่นโบสถ์ ศาลเจ้า หรือวิหารต่าง ๆ) ซึ่งเป็นศูนย์รวมความศรัทธาที่เข้มข้นของเทพเจ้าที่พวกเขาเคารพ เพื่อเรียนรู้ศาสตร์แห่งเทพไม่ว่าศาสตร์นั้นจะเป็นศาสตร์ระดับต่ำหรือสูงก็ตาม

ยิ่งไปกว่านั้นคำว่า ‘เลเวลอัพ‘ ที่พวกเขากล่าวถึงก็ยังเป็นปริศนา แม้แต่ในศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสวก็มีบาทหลวงเพียงไม่กี่คนที่สามารถรักษาบาดแผลและฟื้นฟูพลังงานทั้งหมดได้ในทันที

และเขาก็ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก เมื่อเด็กวัยรุ่นกลุ่มนั้นที่ดูเหมือนจะไร้เดียงสาและอ่อนต่อโลก แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เคยเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์อะไรออกมาเลย พวกเขายังใช้คำว่า ‘เลเวลอัพ‘ เพื่อปกปิดศาสตร์การรักษาระดับสูงของพวกเขา แม้จะเป็นสายตาของพ่อค้าอย่างเขาที่ได้รับการฝึกฝนผ่านการเดินทางรอบอาณาจักร และได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างผ่านสายตามาแล้ว เขาก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้ร่ายเวทหมู่บทนั้นกันแน่

“ท่านวิลฟ์” ขณะที่มาร์นี่รู้สึกหนักใจเรื่องเอลีน่าและเด็ก ๆ ลึกลับคนอื่น ๆ ทหารรับจ้างที่เขาจ้างมาก็เดินเข้ามาหาเขา “มีบางอย่างผิดปกติ”

“มีอะไรรึ?” มาร์นี่ตื่นตัวทันทีที่ได้ยิน “เด็กพวกนั้นทำอะไรรึเปล่า”

เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาจะเป็นสาวกของเทพเจ้าชั่วร้าย และกำลังวางแผนฆ่าคน!

“ไม่ พวกเขายังรวมกลุ่มพูดคุยเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจเช่น ‘รางวัลเควสเยอะมาก‘ หรือ ‘แผนผังทักษะ‘” ผู้คุ้มกันตอบพร้อมกับส่ายหัว “สิ่งที่ข้าอยากจะบอกท่านคือ ตอนที่คนของเราเริ่มทำการเก็บกวาดพื้นที่ ซากศพของก็อบลินที่พวกเขาฆ่าทั้งหมดได้หายไป”

“อะไรนะ?”

มาร์นี่หันไปมองเอลีน่ากับเด็กคนอื่น ๆ อีกครั้ง ก่อนจะพบว่าไม่มีซากศพของก็อบลินอยู่รอบ ๆ ตัวพวกเขาเลย แม้ว่าจะมีเศษซากเช่น ฟัน กรงเล็บ หรือเศษผ้าของก็อบลินกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นก็ตาม

มาร์นี่ขมวดคิ้ว ศพก็อบลินไม่ได้มีมูลค่าอะไรเลย และพวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะนำมันไปด้วย แต่มันก็แปลกเกินไปที่พวกมันจะหายไปดื้อ ๆ แบบนี้ เมื่อรวมกับพฤติกรรมที่ผิดปกติของเด็ก ๆ เหล่านั้น เขาก็คิดว่าเรื่องนี้เริ่มมีกลิ่นแปลก ๆ ขึ้นมาแล้ว

อย่างไรก็ตามในขณะที่พ่อค้ามาร์นี่ยังคงสับสน เอลีน่าและคนอื่น ๆ ก็ได้รับภารกิจใหม่

<ติ้ง!>

<เริ่มเควสเสริม: เผยแพร่ศาสนาแห่งเกมให้กับคาราวานพ่อค้า >

<เทพเจ้าแห่งเกมได้จัดเตรียมหมู่บ้านเริ่มต้น ซึ่งเป็นดินแดนยูโทเปียสำหรับเหล่าสาวกในดินแดนมรรตัยไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นของทุกสิ่งถือเป็นส่วนที่ยากที่สุด เนื่องจากหมู่บ้านจะมีปัญหาในการพัฒนา หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคาราวานพ่อค้าที่เดินทางมาแลกเปลี่ยนสินค้าจากโลกภายนอก โปรดเอาใจใส่ต่อประสงค์ของพระเจ้า: เผยแพร่หลักคำสอนของพระองค์ไปยังคาราวานพ่อค้าที่เจ้าเคยช่วยเหลือ และทำให้สมาชิกกองคาราวานอย่างน้อยหนึ่งคนเปลี่ยนมาศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม>

<รางวัลเควส: พิมพ์เขียวร้านค้า (ไอเทมเควส), EXP (จำนวนขึ้นอยู่กับอัตราการสำเร็จของเควส), ไอเทม กอสเปลริง(Gospel Ring) ระดับอีลิท>

<หมายเหตุ: เมื่อเควสสำเร็จ จะปลดล็อกเควสต่อเนื่อง ‘แสงของเทพเจ้าจะส่องสว่างไปทั่วผืนแผ่นดิน‘>

“ขอโทษนะครับท่าน” มาร์นี่หันไปตามเสียงเรียก และพบว่าเอ็ดเวิร์ดกำลังเดินเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางเหมือนผีพนันที่ได้เห็นแกะอ้วน “ข้าหวังว่าจะได้พูดคุยเกี่ยวกับเทพเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ‘เทพเจ้าแห่งเกม’ กับท่าน ได้รึเปล่าครับ”

“???” มาร์นี่ถึงกับพูดไม่ออก

“ในที่สุด!”

ขณะที่ปาร์ตี้ของเอลีน่า กำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการเผยแพร่ศาสนาแห่งเกมด้วยท่าทีราวกับกำลังขายแอมเวย์ แองโกร่าก็มาถึงที่ดินศักดินาของเขา นั่นคือเมืองไร้ชื่อนอกหุบเขาแห่งความตายที่น่าเศร้า

สถานที่แห่งนี้ดูน่ากลัวและทรุดโทรม หากแองโกร่าไม่เคยได้รับระบบมาก่อน เขาคงจะกลัวมากเมื่อได้เห็น และคงจะหันหลังหนีกลับบ้านไปทันที แม้ว่าเขาจะมีสารถีชราจะอยู่กับเขาด้วยก็ตาม

แต่ตอนนี้เขาแตกต่างไปจากเดิมแล้ว เขามีความรู้สึกใกล้ชิดอย่างประหลาดกับหมู่บ้านที่ทรุดโทรมแห่งนี้

“นี่คือที่ดินศักดินาของข้าหรือ…”

“คนต่างถิ่น เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

แองโกร่าหันไปตามเสียง และได้พบกับชายชราผอมแห้งยืนถือไม้ค้ำอยู่ห่างจากเขาไปหลายฟุต

ใบหน้าของเขาซูบผอมผิดปกติจนแทบไม่ต่างจากโครงกระดูก แต่ดวงตาของเขาคมกริบราวใบมีด นั่นทำให้แองโกร่าที่ตกอยู่ภายใต้การจ้องมองรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าสายตาของเขาโดนมีดบาด

“ข้ามีชื่อว่าแองโกร่า•เฟาสต์ ขุนนางคนใหม่ของที่นี่!” แองโกร่าประกาศขณะหยิบราชโองการออกจากกระเป๋า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เมืองนี้และดินแดนโดยรอบจะเป็นที่ดินศักดินาของข้า!”

ชายชราจ้องมองแองโกร่าอยู่นานจนแองโกร่ารู้สึกว่าหนังหัวของเขาชาไปหมดแล้ว ในที่สุดชายชราก็ส่ายหัวและพูดว่า “อย่างที่เจ้าเห็น ดินแดนเหล่านี้แห้งแล้งมาก ชาวบ้านทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ยากจน พวกเราไม่เคยได้กินอิ่มท้อง ถ้าจะพูดให้ถูกคือพวกเรากำลังแทะรากไม้เพื่อบรรเทาความหิวโหย เจ้าจะไม่ได้รับแม้แต่เหรียญทองแดงเดียวจากที่นี่”

แองโกร่ารู้ว่าชายชราพยายามเตือนเขา เช่นเดียวกับที่เขารู้ว่าการมาในที่แบบนี้คนเดียวเพื่อรับตำแหน่งขุนนางนั้นอันตรายมาก หากไม่ระวังเขาก็จะ ‘บังเอิญประสบอุบัติเหตุระหว่างทาง‘ โดยฝีมือของเหล่าชาวบ้าน ดังนั้นขุนนางหลายคนจึงเข้ารับตำแหน่งพร้อมกับพาผู้คุ้มกันมาด้วยจำนวนมาก

“ข้าจะไม่กดขี่คนของข้า” เขาพยายามพูดให้อีกฝ่ายให้สงบลง

“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เด็กน้อย” ชายชราตอบพร้อมกับส่ายหัวอีกครั้ง “ครึ่งเดือนก่อน กองทัพหลวงได้จุดไฟเผาป่าที่อยู่นอกหุบเขาแห่งความตายอันน่าเศร้า เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเรเวแนนท์บุกรุกเข้ามา ไฟนั้นลามมาถึงพื้นที่ใกล้เคียง เผาผลาญพืชผลของเราที่ดูแลมานานกว่าครึ่งปีไปจนสิ้น หากปัญหาความอดอยากยังไม่ได้รับการแก้ไข เจ้าที่เป็นขุนนางที่ได้รับการแต่งตั้งจะตกเป็นเป้าหมาย และทุกคนที่นี่จะระบายความโกรธแค้นลงที่เจ้า”

“กองทัพไม่ได้ชดเชยค่าเสียหายให้เลยหรือ” แองโกร่าถามด้วยความประหลาดใจ

“ไม่” ชายชรากล่าวช้า ๆ “เจ้าคิดว่า ‘ความตายที่น่าเศร้า‘ ในชื่อ ‘หุบเขาแห่งความตายที่น่าเศร้า‘ หมายถึงผู้ใดกัน? พวกเรเวแนนท์ในหุบเขาที่เกิดขึ้นมานานแล้วเหล่านั้นหรือ ไม่ ไม่ใช่”

จากนั้นชายชราก็ชี้ที่หน้าอกของตัวเองและพูดอย่างขมขื่นว่า “เป็นพวกเรา ชาวบ้านทั่วไปที่ตายเพราะการต่อสู้ระหว่างทหารและเหล่าเรเวแนนท์คือ ‘ความตายที่น่าเศร้า‘ ที่แท้จริง!”

แองโกร่าตะลึงกับคำพูดของชายชรา

แม้ว่าเขาจะเตรียมพร้อมรับวันที่ยากลำบากในภายภาคหน้ามาแล้ว เมื่อเขาได้รับตำแหน่งเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของดินแดนแห่งนี้ แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่า ความจริงนั้นจะโหดร้ายกว่าที่เขาคาดไว้

ในฐานะมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีเวทมนตร์หรือศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ เขาจะอยู่รอดได้อย่างไรในสถานที่ที่ยากลำบากนี้?

ตอนนั้นเองเขาก็ได้ระลึกถึงการมีอยู่ของสิ่งมหัศจรรย์ที่ช่วยชีวิตเขาอีกครั้ง

ระบบโอเวอร์ลอร์ด!

——————————————

“โอ้ พวกเขาทำได้ดีทีเดียว”

ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ซีเว่ยใช้ดวงตาศักดิ์สิทธิ์เพื่อสอดส่องสิ่งที่เกิดขึ้นกับสาวกของเขาในแดนมรรตัย

เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจที่พวกเด็ก ๆ ได้ปลดปล่อยพลังโจมตีเข้าใส่ฝูงก็อบลินอย่ากล้าหาญ แม้ว่าเลเวลเฉลี่ยของพวกเขาจะน้อยกว่า 5 ก็ตาม

เมื่อปาร์ตี้ของเอลีน่าเคลียร์ฝูงก็อบลินที่โจมตีคาราวานพ่อค้าสำเร็จ ซีเว่ยก็อนุมัติเควสและให้รางวัลแก่พวกเขาด้วยค่า EXP จำนวนมาก

จากนั้นเขาก็หมุนตัว (ที่เป็นลูกบอล) ไปดูกองศพก็อบลินที่เด็กทั้ง 5 สังเวยมา

ทุกสิ่งที่ถูกสังหารโดยเหล่าสาวกของเขาหรือก็คือผู้เล่น ทั้งหมดจะถูกส่งมาเป็นเครื่องสังเวยให้กับซีเว่ย ก็อบลินเหล่านี้ก็ไม่ต่างกัน

เพียงแค่ใช้ความคิดเล็กน้อย ศพก็อบลินเหล่านั้นก็สลายกลายเป็นพลังงานบริสุทธิ์ไหลเข้ามาเติมเต็มพลังศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ย

จากมาตรวัดที่เขากำหนดขึ้น พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 78 แต้ม แม้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากนี้จะถูกใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพและซ่อมแซมความเป็นพระเจ้าของเขา มันก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาความไม่เถียนของความเป็นพระเจ้าที่เขากำลังประสบอยู่ได้อย่างสมบูรณ์ แต่มันก็ยังดีขึ้น

“ถึงมันจะสะดวกและรวดเร็วถ้ารับพลังศักดิ์สิทธิ์จากเครื่องสังเวย แต่มันก็มีปัญหาอยู่นิดหน่อย…”

มีวัตถุลักษณะคล้ายเศษโลหะกองอยู่แทนที่ศพก็อบลิน ซึ่งมันมีขนาดใหญ่มาก มันเป็นเศษตกค้างหลังจากแก่นแท้บริสุทธิ์ของก็อบลินถูกสกัดออกมาเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม การรับเครื่องสังเวยที่สามารถเพิ่มพลังศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว ไม่เป็นที่นิยมในหมู่เทพเจ้าส่วนใหญ่ ยกเว้นเทพเจ้าที่ชั่วร้ายบางองค์ที่เรียกร้องให้สาวกทำพิธีถวายเครื่องบรรณาการให้ตนเป็นพิเศษ

เนื่องจากวัตถุที่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์นั้นไม่มีอยู่ในโลก หลังจากที่เทพทำการสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์เสร็จ มันก็จะทิ้งเศษขยะไร้ประโยชน์ไว้กองใหญ่ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเทพเจ้าองค์อื่น ๆ จึงจำกัดการรับเครื่องสังเวยของพวกเขา พวกเขาจะชอบเฉพาะวัตถุที่มีพลังงานควบแน่นสูงเช่นคริสตัลส่องสว่าง ทำให้เทพบางองค์ที่ไม่เลือกกินเช่นซีเว่ย ที่สนใจรับแม้แต่ศพก็อบลินเป็นข้อยกเว้น

เนื่องจากเศษเหลือเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจากเศษขยะ เมื่อพวกมันสะสมไว้มากเข้าในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ มันจะเป็นเรื่องยุ่งยากเกินกว่าจะจัดการได้

จริง ๆ ซีเว่ยเองก็ปวดหัวไม่แพ้กัน

แต่เขาไม่เหมือนกับเทพเจ้าองค์อื่น เขามีพลังที่จะเคลื่อนผ่านบาเรียโลก เขาสามารถมองหาที่ที่จะโยนพวกมันทิ้งได้เมื่อใดก็ตามที่เขาลงไปยังพื้นโลก

แม้เศษขยะเหล่านี้จะไม่เป็นปัญหาในตอนแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันจะมีผลแน่นอน เนื่องจากเครื่องสังเวยจากเหล่าสาวกจะถูกส่งเข้ามาเพิ่มมากขึ้นในเแต่ละวัน

และเนื่องจากเศษขยะเหล่านี้ถูกย้อมไปด้วยกลิ่นอายของเทพเจ้าแห่งเกมในระหว่างกระบวนการสกัดพลัง หากเขาโยนพวกมันทิ้งไปมั่ว ๆ เขาอาจถูกจับได้โดยเทพเจ้าองค์อื่น และนั่นจะกลายปัญหา

ความสามารถในการข้ามบาเรียโลกที่ตรีเอกานุภาพสร้างขึ้นนั้น มีเสน่ห์เกินกว่าที่เทพเจ้าองค์อื่นจะห้ามใจได้ หากเรื่องนี้เกิดแดงออกไป และหากเทพองค์อื่นที่มีแรงจูงใจแอบแฝงมาถึงอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา ความเป็นพระเจ้าของเขาจะต้องถูกพรากไปอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้เขายังอ่อนแอเกินไปเหมือนเทียนไขกลางสายลม

แต่เศษขยะพวกนี้ก็ยังไร้ประโยชน์เกินไปอยู่ดี มันไม่อาจกลายเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่เทพเจ้ามอบให้กับสาวกได้ ถึงคุณสมบัติของมันจะคล้ายเหล็ก แต่มันก็ไม่แข็งหรือยืดหยุ่นเท่าเหล็ก และเทียบไม่ได้กับเหล็กดิบธรรมดาในฐานะวัตถุดิบสำหรับการหลอมขึ้นรูปอาวุธด้วยซ้ำ และแน่นอน มันไม่มีบัฟเสริมใด ๆ เมื่อนำไปใช้สร้างอาวุธ แม้ว่ามันจะมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์แฝงอยู่ก็ตาม…

“อืม เดี๋ยวก่อนนะ ดูเหมือนฉันจะคิดอะไรดี ๆ ได้แล้ว…”

ซีเว่ยรู้สึกมีแรงบันดาลใจบางอย่างแวบขึ้นมาในสมอง (แม้ว่าลูกบอลจะไม่มีสมอง) แต่มันก็ยังไม่ชัดเจน

“ช่างเถอะ ที่นี่ใหญ่มาก ฉันจะทิ้งมันไว้ก่อน เทียบกับขยะนี่แล้ว ฉันควรคิดว่าฉันจะใช้พลังงานเทพเจ้าของฉันยังไงดีมากกว่า!”

ตอนแรกซีเว่ยวางแผนที่จะลงทุนพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาเพื่อทำให้ความเป็นพระเจ้าของเขาคงที่ เนื่องจากเขารู้สึกไม่สบายใจกับความผันผวนและความรู้สึกโหวงเหวง แต่เขาก็ต้องยอมแพ้ เพราะเขาต้องคิดวิธีใช้มันให้คุ้มค่ากว่านั้น

แม้ว่าความเป็นพระเจ้าของเขาจะยังไม่เสถียร แต่ก็เรียกได้ว่าเขายืนอยู่เหนือขอบเหวแล้ว ตราบใดที่เด็ก ๆ เหล่านั้นยังไม่ละทิ้งเขา ไม่ละทิ้งเทพเจ้าแห่งเกม เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะสลายหายไป

พอเปรียบเทียบกันแล้ว เขาก็มีปัญหาเร่งด่วนบางอย่างที่ต้องรีบจัดการก่อน

หลังจากที่กลายเป็นลูกบอลเรืองแสง…ฉันหมายถึงกลายเป็นเทพเจ้า ซีเว่ยก็ตระหนักว่าแบนด์วิดท์*ของเขานั้นมากกว่าของมนุษย์ นั่นไม่ได้หมายความว่าเทพเจ้าจะฉลาดกว่ามนุษย์ แต่พวกเขามีความเชี่ยวชาญในการแยกประสาททำหลายอย่างได้พร้อมกัน

(แบนด์วิชท์ (Bandwidth) หมายถึง ความกว้างของแถบคลื่นความถี่ แบนด์วิชท์เป็นคำที่ใช้วัดความเร็วในการส่งข้อมูลของอินเทอร์เน็ต ซึ่งโดยมากเรามักวัดความเร็วของการส่งข้อมูลเป็น bps (bit per second), Mbp (bps*1000000)

นั่นเป็นเหมือนกันสำหรับซีเว่ย เขาตระหนักว่าตอนนี้เขาสามารถจ้องมองเข้าไปในอวกาศอันว่างเปล่าภายในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา ในขณะที่คิดถึงอาหารเดลิเวอร์รี่ในโลกก่อนที่เขาจะข้ามมา ดูแลปาร์ตี้ของเอลีน่าและแองโกร่าสาวกใหม่ของเขาที่กำลังเดินป่าตามลำพังไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ นอกหุบเขาแห่งความตายพร้อมกันได้…

มันทำให้เขามีภาพลวงตาว่า เขาเป็นคนที่มีอำนาจและรอบรู้ไปทุกอย่าง แต่เขาเพิ่งจะพบว่าแบนด์วิดท์ของเขาไม่เพียงพอ หลังจากที่เขาสร้างระบบเกม ข้อมูลตัวเลขและการประมวลผลต่าง ๆ ได้ทำให้เขาต้องใช้ความคิดเยอะมาก

นั่นเป็นช่วงเวลาที่เขาได้หวนรำลึกไปถึงความน่ากลัวของ [การเตรียมตัวสอบเข้าวิทยาลัย 5 ปี และสอบพรีเทส 3 ปี] ในฐานะนักเรียนมัธยมปลายปีที่ 3 และความอัปยศอดสูของเขาที่ถูกบังคับให้เรียนซ่อมเสริม

เมื่อตระหนักว่าเขาไม่สามารถทำแบบนี้ได้อีกต่อไป ซีเว่ยก็ตัดสินใจใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขาได้รับมาในครั้งนี้ เพื่อปลดปล่อยตัวเองออกจากภาระทางสมอง!

ตอนแรกเขาคิดจะสร้าง A.I. ที่คล้ายกับจาร์วิสเพื่อจัดการงานส่วนใหญ่ของเขา แต่หลังจากได้เสพหนังไซไฟมาหลายปี เขาก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่บ้าบิ่นเกินไป เขาอาจเตะรังแตนเข้าจริง ๆ ถ้าเขาสร้างของอย่างอัลตรอน*ขึ้นมา

(อัลตรอน ปัญญาประดิษฐ์ตัวร้ายในมาร์เวล)

ด้วยเหตุนี้หลังจากใช้เวลาคิดมาระยะหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจจะสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีฟังก์ชันพื้นฐาน ไว้คอยจัดการข้อมูลเมื่อผู้เล่นได้รับค่า EXP และเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ

นั่นคือที่ที่อานุภาพอันยอดเยี่ยมของพลังศักดิ์สิทธิ์จะได้ฉายแสง มันเป็นพลังอำนาจ ซึ่งสามารถขับเคลื่อนและใช้งานได้โดยเทพเจ้าเท่านั้น ในขณะเดียวกันอิทธิพลของเทพเจ้าก็เป็นตัวกำหนดความสามารถในการขับเคลื่อนพลังนี้ด้วยเช่นกัน ว่ามันจะออกมาเป็นอะไร

หลังจากที่ซีเว่ยข้ามโลกมา อิทธิพลความศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ยในฐานะเทพเจ้าแห่งเกมก็ได้รับการพัฒนาผ่านความรู้ของเขาในโลกก่อน และปัจจุบันมันก็ทำให้อิทธิพลความศักดิ์สิทธิ์ของเขาครอบคลุมมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ถ้าเขารวบรวมพลังงานเทพเจ้าได้เพียงพอ อิทธิพลความศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็จะทำให้เขาเป็นเหมือนเทพเจ้ามังกรในดราก้อนบอล ที่จะประทานให้ทุกความปรารถนาเป็นจริงได้ แม้ว่าความปรารถนามันจะอ่อนแอลงมากเพราะเขามีพลังงานเทพไม่เพียงพอเมื่อใช้บัญชาพระเจ้า แต่มันก็ยังสำเร็จได้

ตัวอย่างเช่นในตอนนี้ หลังจากที่ซีเว่ยร้องขอ ซันเวย์ ไท่หูไลท์(Sunway Taihulight)* ไป เขาได้ใช้บัญชาพระเจ้า และเติมพลังงานเทพเจ้าของเขาลงไปตามที่เขาพอจะเจียดออกมาได้ มันก็หยุดนิ่งอยู่ครึ่งวัน และในที่สุดคอมพิวเตอร์พัง ๆ ที่ติดตั้ง Windows 98 ก็โผล่ออกมา

(ซันเวย์ ไท่หูไลท์ Sunway Taihulight ซูเปอร์คอม 10 ล้านคอร์ จากจีน เป็นคอมพิวเตอร์เร็วที่สุดในโลกในปี 2016)

—————————————-

มาร์นี่•วิลฟ์รู้สึกเสียใจกับทุกสิ่งอย่างมาก

ในฐานะที่เขาเป็นพ่อค้า ซึ่งเป็นสมาชิกของหอการค้ากระดิ่งลมสีเงิน เขาได้เลือกเส้นทางที่อันตรายโดยการข้ามป่าเดรย์เพื่อลดระยะเวลาในการเดินทาง

ก่อนหน้านี้ที่นี่ไม่เคยมีสัตว์ประหลาดอันตรายอะไรอาศัยอยู่ และแม้จะมีผู้พบเห็นก็อบลินเมื่อเร็ว ๆ นี้ พวกเขาก็ไม่ได้ถูกพวกมันคุกคาม นอกจากนี้ป่าเดรย์ยังมีขนาดกว้างใหญ่มาก เขาไม่เชื่อว่าตัวเองจะโชคร้ายถึงขนาดต้องเจอก็อบลินทั้งเผ่า…แต่เขาก็เจอ

ความจริงคือขบวนของเขาวิ่งตรงเข้าหากลุ่มก็อบลินที่กำลังอพยพเนื่องจากขาดอาหาร

ด้วยความหิวโหย ก็อบลินเหล่านี้จึงร้ายกาจขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า นอกจากพวกฮัมส์บีสที่ตายแล้ว ทหารรับจ้างชั้นยอดหลายนายก็ยังได้รับบาดเจ็บ

ขอบคุณเทพีแห่งความมั่งคั่งที่สงสารพวกเขา ในตอนที่พวกเขากำลังจะตาย เด็ก ๆ จากหมู่บ้านชนบท 5 คน ก็ได้โผล่ออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ พวกเขาสามารถหยุดการบุกของก็อบลินทั้งเผ่าได้ชั่วขณะ ด้วยความสามารถลึกลับของพวกเขาที่อาจเป็นพรจากเทพเจ้าหรือพลังเวทย์มนตร์บางอย่าง

แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อความได้เปรียบที่เกิดจากความสับสนในพลังแปลก ๆ ของเด็กทั้ง 5 หมดไป พวกเขาก็เริ่มติดอยู่ท่ามกลางฝูงก็อบลินที่มีจำนวนมากกว่าหลายเท่าตัว

นักรบร่างกำยำที่มาร์นี่คิดว่าโตที่สุดในกลุ่ม ตอนนี้ได้ถูกก็อบลินปราบลงไปแล้ว เขาถูกก็อบลินจำนวนมากกระโดดทับกองสูงเป็นภูเขาขนาดย่อม

นักธนูเด็กถูกบังคับให้วิ่งไปรอบ ๆ ขณะที่มีฝูงก๊อบลินไล่ตามมาในระยะประชิด และนาน ๆ ทีเขาจะหันกลับมาส่งธนูปักหัวก็อบลินจนหน้าทิ่มพื้น ก่อนจะวิ่งหนีต่อไป…

เด็กผู้หญิงคนโตไม่ได้ร่ายเวทเสริมพลังให้คนอื่นอีกต่อไป เธอกำลังปกป้องเด็กผู้หญิงตัวเล็กผมสีเงิน และทุบก็อบลินที่เข้ามาใกล้หน้าหงายด้วยไม้กางเขนขนาดใหญ่ของเธอ ที่ใหญ่กว่าตัวเธอเองอีก

ส่วนเด็กผู้หญิงตัวเล็ก เธอกำลังร่ายเวทย์รักษา แม้ว่ามาร์นี่จะไม่สามารถบอกได้ว่าเธอเป็นนักบวชของวิหารแห่งชีวิต หรือศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสว แต่ความช่วยเหลือของเธอคือเหตุผลที่เด็ก ๆ เหล่านั้นยังสามารอยู่รอดได้จนถึงตอนนี้

หัวหน้ากลุ่มของพวกเขา (เอ็ดเวิร์ด) ก็ไม่สามารถร่ายเวทได้อีกต่อไป เขากำลังตะเกียกตะกายวิ่งหนีไปรอบ ๆ และร่ายเวทโจมตีอีกครั้งหลังจากทิ้งระยะห่างไปยาวนาน ในขณะที่เขาตะโกนไปรอบ ๆ ว่า ‘แถบฟ้าของข้าว่างเปล่าแล้ว’ ‘ขยับหนีสิโจ ทำไมเจ้าไม่ขยับ?’ หรือ ‘รักษาโกวต้าน เอลีน่า เขาเกือบตายแล้ว‘

สุดท้ายเขาก็ถูกก๊อบลิน 4 ตัวต้อนเข้ามุม และโดนแทงเข้าที่ท้องด้วยดาบเหล็กขึ้นสนิม แม้ว่านักเวทน้อยจะทุบก็อบลินที่อยู่ตรงหน้าเขาลงไปนอนวัดพื้น และดึงดาบออกมาจากท้องตัวเองแทงก็อบลินตัวนั้นจนตาย แต่ก็ดูเหมือนเขาจะไม่รอดแล้ว

ทุกอย่างใกล้จบลงแล้ว

แม้ว่าข้าจะเสียใจ แต่ดูเหมือนว่าเด็กคนอื่น ๆ เองก็ไม่อาจรอดพ้นชะตากรรมที่ต้องถูกฆ่าโดยเหล่าก็อบลิน

มาร์นี่เริ่มคิดว่าเขาควรจะทำยังไงต่อดี จะอยู่สนับสนุนทหารรับจ้างและสู้จนตัวตาย หรือหาโอกาสวิ่งหนี?

แต่ในขณะนั้น จู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นรอยยิ้มแปลก ๆ บนใบหน้าของเจ้าเด็กเปรตที่เป็นนักเวท

“โว้ววว! ก็อบลินให้ EXP สูงมาก ข้าเลเวลอัพแล้ว!”

หลังจากที่เขาพ่นคำพูดที่มาร์นี่ไม่อาจเข้าใจได้ เด็กผู้ชายที่พึ่งถูกดาบจ้วงไส้และถูกไล่ล่ามานาน เขาก็เริ่มปลดปล่อยพลังเวทของเขาอีกครั้ง ก็อบลินที่ประมาทด้วยความได้เปรียบมานาน ได้ถูกเขาเป่าลงไปจมดิน

เขาดูมีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยพลัง มันดูไม่เหมือนว่าเขาพึ่งถูกแทงโดยก็อบลินไปเมื่อกี้

จากนั้นมาร์นี่ก็สังเกตเห็นว่า แม้เสื้อผ้าบนหน้าท้องของนักเวทน้อยจะขาด แต่ใต้รอยขาดนั้นกลับไม่มีบาดแผลใด ๆ บนร่างกายของเขาเลย!

นี่ไม่ถูกสิ เขาเห็นชัด ๆ ว่าเด็กนั่นถูกดาบเหล็กขึ้นสนิมแทงทะลุท้อง แถมยังเห็นตอนที่ผิวหนังของเขาฉีกขาดและเลือดไหลทะลักออกมาจากบาดแผล จริง ๆ เขายังเห็นคราบเลือดติดอยู่บนเสื้อของเด็กอยู่เลย แล้วแผลหายไปไหนล่ะ? แผลเหวอะหายไปไหน?

จากนั้นสามัญสำนึกของมาร์นี่ก็ถูกทำลายมากขึ้นไปอีก

นักรบหนุ่มที่เกือบถูกทับกลายเป็นเนื้อบดใต้ภูเขาก็อบลิน ถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเวทรักษาของเด็กหญิงผมทวินเทลสีเงินถูกส่งมาที่เขา

ก็อบลินทุกตัวที่กองซ้อนกันบนตัวเขา ถูกระเบิดกระจายออกไปอย่างลึกลับ เช่นเดียวกับรอยฟกช้ำบนร่างกายของเขาที่หายไป แม้กระทั่งอาการหอบเนื่องจากการต่อสู้ที่ดุเดือดเมื่อกี้ก็ไม่มีเหลือ เขาดูมีชีวิตชีวาราวกับว่าการต่อสู้ก่อนหน้านี้เป็นของปลอม

“ใช่! ข้าก็เลเวลอัพแล้วด้วย!”

เขาจ้องมองไปยังอากาศบาง ๆ ตรงหน้าตัวเองด้วยความดีใจ ก่อนจะหยิบอาวุธของก็อบลินขึ้นมาและตะโกนว่า “บ้าไปแล้ว แม้แต่ดาบขึ้นสนิมจากเผ่าก็อบลิน ก็ยังมีค่าพลังโจมตีสูงกว่าดาบที่ดีที่สุดของหมู่บ้านเรา!”

จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าหาก็อบลินที่ยังตั้งสติไม่ได้

แม้แต่ทักษะการใช้ดาบของเขาก็ดูดีขึ้น เมื่อเทียบกับความสามารถในการโยนก็อบลินขึ้นฟ้าก่อนหน้านี้ ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะได้เรียนรู้ทักษะการแทงสองครั้งซ้อน ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างความเสียหายให้กับก็อบลินเป็นสองเท่า แต่ยังทำให้ก็อบลินที่ไม่ได้ตายทันทีกระเด็นออกไปอีกด้วย

แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่เชี่ยวชาญวิชานี้ เขาต้องวิ่งหนีสักพักก่อนจะใช้มันได้อีกครั้ง และเมื่อเขาสามารถใช้มันได้ เขาก็จะวิ่งย้อนกลับไปแทงก็อบลินที่วิ่งตามหลังมา…

ไม่ใช่แค่สองคนนี้เท่านั้น เด็กที่ใช้ธนูก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน หลังจากวิ่งหนีไปทั่ว ตอนนี้เขา…ก็ยังคงวิ่งหนีไปรอบ ๆ แต่เมื่อเทียบกับการหนีอย่างหัวซุกหัวซุนก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขาสามารถหันกลับมายิงธนูด้วยความเร็วสูงทีเดียวได้หลายนัด ก็อบลินที่ตามหลังมาต่างถูกเขาจัดการไปทีละตัวสองตัวทุกครั้ง

สรุป เด็กนี่มีลูกธนูกี่ดอกกันแน่?

ในขณะที่มาร์นี่กำลังแอบนับจำนวนลูกธนูของเด็กชายอย่างเงียบ ๆ เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าลูกธนูพวกนี้มาจากไหน

“ข้าก็เลเวลอัพแล้ว” เด็กผู้หญิงที่โตกว่าหยุดโบกไม้กางเขนด้วยความประหลาดใจ เธอบ่นพึมพำว่า “การสู้กับก็อบลินนี่มีประโยชน์จริงเหรอเนี่ย…”

“เยี่ยมมาก! พี่เจสสิก้าพี่รีบเรียนรู้ทักษะ ‘รักษา’ เลย ข้าจะเป็นอิสระซะที!” เด็กหญิงที่ถูกปกป้องอยู่ตะโกนอย่างมีความสุข จากนั้นก็วิ่งเข้าหาก็อบลินโดยไม่สนใจว่าใครจะพยายามหยุดเธอ

มันเป็นการเคลื่อนไหวที่บ้าบิ่นมาก มาร์นี่ขมวดคิ้ว สัญญาณเตือนภัยของเขาดังขึ้นมาทันที

เหตุผลที่พวกเด็ก ๆ สามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางฝูงก็อบลิน ต้องขอบคุณการใช้เวทย์รักษาอย่างต่อเนื่องของเด็กผู้หญิงคนนี้ และไม่ใช่แค่พวกเด็ก ๆ เท่านั้น แม้แต่ทหารรับจ้างของเขาเองก็ได้รับความช่วยเหลือจากเธอเช่นกัน ทหารรับจ้างกว่าครึ่งอาจจะตายไปแล้วถ้าไม่ได้รับการรักษาจากเธอ!

แต่ตอนนี้เธอกำลังวิ่งเข้าไปให้พวกก็อบลินฆ่าตาย!

มาร์นี่ไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไป เขาพยายามสั่งให้ทหารรับจ้างปกป้องเธอ หรืออย่างน้อยก็หยุดเธอไม่ให้ถูกฆ่า

นั่นเป็นช่วงเวลาที่เขาได้เห็นฉากที่น่าตกใจที่สุด

อากาศดูเหมือนจะหยุดนิ่งลง และปรากฏรัศมีสีทองเจิดจ้ารวมอยู่บนฝ่ามือของเด็กผู้หญิง ตอนนั้นเองโลกทั้งใบก็ดูเหมือนจะสูญเสียสีสันทั้งหมดไป แม้แต่การเคลื่อนไหวของก็อบลินก็ดูเชื่องช้าลง

ต่อมา รัศมีสีทองเจิดจ้าซึ่งรวมกันอยู่ในมือของเด็กหญิง ทำให้แม้กระทั่งเขาที่มองจากข้างสนาม ก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่รวมตัวกันกลายเป็นหอกสีทองขนาดยักษ์

แม้ว่ามันจะเป็นเพียงการควบแน่นจากแสงที่เปล่งประกาย แต่หอกก็ดูสูงส่งและงดงาม เป็นความงามที่ไม่มีใครสามารถละสายตาจากมันได้

ทันใดนั้นหอกก็ถูกปลดปล่อยออกมา มันพุ่งออกไปด้วยพลังที่ราวกับจะแทงทะลุสวรรค์และโลก มันทะลุก็อบลินทุกตัวที่อยู่ด้านหน้าเด็กสาวและตรึงพวกมันไว้กับพื้น!

————————————-

แม้ว่าระบบจะตบหน้าเขา แต่เอ็ดเวิร์ดก็ยังกดรับเควสจากระบบอย่างมีความสุข

นั่นเพราะหลังจากที่พวกเขาคลำหาวิธีใช้งานระบบ และได้ทำความคุ้นเคยกับมันมาหลายวัน เขาก็ได้เรียนรู้ว่าการทำเควส จะได้รับค่าประสบการณ์และรางวัลมากกว่าการล่าสัตว์

แต่ถึงแม้พวกเขาจะได้รับเควสเช่น ‘เควสรายวัน: ล่าสัตว์ฟันแทะ 10 ตัว‘ หรือ ‘เควสรายสัปดาห์: รวบรวมเขี้ยวหมูป่า 30 ชิ้น‘ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับเควสเสริม

หลังจากอ่านเนื้อหาเควสแล้ว พวกเขาก็แอบเข้าไปใกล้ทิศทางที่เกิดเสียงการต่อสู้ขึ้น

ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึง ทุกคนในปาร์ตี้ซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ขณะลอบมองสถานการณ์

การต่อสู้กินพื้นที่ค่อนข้างกว้างในป่า ที่ตรงใจกลางมีรถม้าหลายคันถูกล้อมอยู่ เอ็ดเวิร์ดจำได้ทันทีว่านี่คือกองคาราวานของพ่อค้า ในอดีตหมู่บ้านเคนนิงตันจะมีคาราวานพ่อค้าเดินทางมาเยี่ยมเป็นครั้งคราว ในเวลานั้น ทั้งหมู่บ้านจะคึกคักเหมือนกับช่วงงานเทศกาล น่าเสียดายที่หมู่บ้านเคนนิงตันนั้นยากจนเกินไป พวกเขาไม่มีเงินออมมากนัก พ่อค้าที่เดินทางมาไม่สามารถทำเงินได้มากในหมู่บ้านเช่นนี้ เมื่อเวลาผ่านไป คาราวานพ่อค้าก็หยุดแวะมายังหมู่บ้านของพวกเขา

มีก็อบลินอยู่จำนวนมากล้อมรอบกองคาราวาน ตัวของพวกมันสูงมากกว่าหนึ่งเมตร แม้พวกมันจะไม่มีอาวุธและชุดเกราะดีดีใส่ แต่พวกมันก็มีจำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยตัว

พวกฮัมบีสต์*ที่ลากรถได้ถูกฆ่าไปแล้ว ศพของพวกมันถูกทหารรับจ้างใช้เป็นกำแพงป้องกันง่าย ๆ ล้อมรอบรถบรรทุกสินค้าของคาราวาน

(ฮัมบีสต์ สัตว์จำพวกที่มีโหนกเหมือนอูฐ)

ในทางกลับกัน พ่อค้าและทหารรับจ้างมีจำนวนไม่ถึง 12 คน แม้พวกเขาจะมีอาวุธที่แหลมคมและชุดเกราะหนังชั้นเลิศ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับจำนวนของฝ่ายตรงข้ามได้นาน ตอนนี้ทหารรับจ้าง 2 คนที่อยู่ใกล้ขอบซากฮัมบีสต์ได้พลาดพลั้งไปแล้ว

เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น ก่อนที่ทุกคนจะตายกันหมด

“นี่เราต้องช่วยพวกเขาเหรอ เจ้า…อยากทำไหม” โจกลืนน้ำลายก่อนจะกระซิบถามเอ็ดเวิร์ด

“…” เอ็ดเวิร์ดไม่ตอบ เขากัดเล็บสีหน้าดูค่อนข้างลังเล

โกวต้านกับเจสสิก้าก็ลังเลเช่นกัน

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกับสถานการณ์อันตรายแบบนี้ สิ่งที่ทำให้พวกเขากังวลคือมีก็อบลินมากเกินไป พวกเขาอาจถูกฆ่าหากพวกเขาสอดมือเข้าไปช่วย!

แม้ว่าพวกเขาจะกลายเป็น ‘ผู้เล่น‘ และซีเว่ยก็เคยบอกพวกเขาแล้วว่า ถึงพวกเขาจะตาย ตราบใดที่พวกเขายังมีค่าประสบการณ์เพียงพอ พวกเขาก็จะสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ แต่พวกเขายังไม่สามารถเอาชนะสามัญสำนึกแบบเดิม ๆ ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าหลังจากพวกเขาออกจากหมู่บ้านเคนนิงตัน ทั้งกลุ่มก็ไม่มีใครเคยตายเลย ส่วนใหญ่จะมีแค่อาการบาดเจ็บและรอยฟกช้ำตามตัวที่พวกเขาได้รับระหว่างการต่อสู้เท่านั้น

ผิดกับเอลีน่า เธอไม่ลังเลเลย ในฐานะที่เธอเป็นนักบุญหญิง ศรัทธาของเธอแข็งแกร่งกว่าเด็กอีก 4 คนมาก

“ถ้าพวกเจ้ากลัว งั้นให้ข้าเบี่ยงเบนความสนใจของพวกก็อบลินเอง” เธอพูดอย่างกระตือรือร้น “ข้าคิดว่าข้าสามารถทุบพวกมันพร้อมกับได้เป็น 10 ตัว!”

“แต่พวกมันมีมากกว่าร้อย” โกวต้านโต้กลับเสียงต่ำ

“บรรพบุรุษตัวน้อย เจ้าเป็นคนเดียวในหมู่พวกเราที่สามารถใช้ทักษะชุบชีวิตได้ และตามที่เทพเจ้าเคยบอกไว้ ถ้าเจ้าตายที่นี่ เจ้าต้องรอไปอีก 3 วันก่อนที่เจ้าจะฟื้นคืนชีพ!” เอ็ดเวิร์ดรีบหยุดเธออย่างรวดเร็ว

“และลบ EXP 20%” เจสสิก้าเสริม

“เอ๊ะ? แต่ข้าเบื่อมากที่ต้องซ่อนตัวอยู่ข้างหลังพวกเจ้าทุกครั้ง…” เอลีน่าบ่นอย่างไม่มีความสุข

เอ็ดเวิร์ดหันไปทางโจที่เป็นวอร์ริเออร์ด้วยสีหน้าขอความข่วยเหลือ เขาอยากให้โจช่วยกล่อมเธอที

โจพยักหน้าเข้าใจ เขาตะโกนออกไปทันทีว่า ‘ว๊ากกกกกก!’ ขณะที่เขาพุ่งออกจากพุ่มไม้และฆ่าก็อบลิน

ทุกคนที่กำลังสู้อยู่ทั้งก็อบลินและกลุ่มพ่อค้า หันหน้ามาทางพวกเขาทันที

“ไอ้โง่!”

เอ็ดเวิร์ดลืมการเกลี้ยกล่อมเอลีน่าไปอย่างรวดเร็ว เขาหยิบไม้คทาขึ้นมาและไล่ตามโจออกไปโดยไม่รู้ว่าเขาควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ในขณะเดียวกัน โกวต้านก็ได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและยิงธนูไปที่ก๊อบลินตัวหนึ่ง ซึ่งกำลังพยายามซุ่มโจมตีพวกพ่อค้า ขณะที่เจสสิก้าได้บัฟให้โจด้วยสเตร็งเท่น(Strengthen)

“พวกเราเป็นสมาชิกหอการค้ากระดิ่งลมสีเงิน ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ!”

ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเหมือนนักธุรกิจท่ามกลางกลุ่มทหารรับจ้าง ตะโกนขอบคุณพวกเขาด้วยความดีใจ แต่จากนั้นเขาก็ถามออกมาอย่างงง ๆ ว่า “กองกำลังที่เหลืออยู่ไหน? มีผู้ใหญ่บ้างรึเปล่า?”

“ไม่มีคนอื่นแล้ว!” เอ็ดเวิร์ดตอบหลังจากปล่อยฟรอสบอมเพื่อตรึงก็อบลินสองตัว “มีแค่พวกเรา 5 คน”

ชายวัยกลางคนที่พึ่งจะดีใจก็เปลี่ยนไปทำหน้าเศร้าสลดตามเดิม

มีผีน้อย 5 ตัวที่ขนยังไม่ขึ้นโผล่มาในสถานการณ์ที่พวกเขาถูกล้อมรอบไปด้วยก็อบลินนับร้อย นี่มันคือการดับไฟป่าด้วยน้ำหนึ่งแก้วชัด ๆ

แต่ความคิดนี้ก็อยู่ได้ไม่นาน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง เพราะเด็กประหลาดทั้ง 5 คนนี้เก่งเกินคาด

แม้ว่าเจ้าเด็กตัวโตที่มีกล้ามเป็นมัด ๆ จะตอบสนองช้า และการเลื่อนไหวก็ไม่เหมือนนักรบเลย แต่การแกว่งดาบแต่ละครั้งของเขา จะส่งก็อบลินลอยขึ้นไปในอากาศ แถมไม่ว่าก็อบลินตัวนั้นจะแทงหรือทุบเขา ก็ไม่มีก็อบลินตัวไหนจะหยุดการพุ่งเข้าชาร์ตของเขาได้ พวกมันทั้งหมดปลิวขึ้นไปบนฟ้า!

นี่ผิดปกติมาก ในขณะที่นักดาบปกติมักจะไล่ตามเป้าหมายของพวกเขาและแทงมันจนตาย แต่เขากลับต่างออกไป หลังจากก็อบลินแต่ละตัวถูกส่งบินขึ้นไปบนฟ้า เขาก็จะคว้าพวกมันกลับมาและโยนมันขึ้นไปใหม่…

แม้จะดูทรงพลัง แต่ข้ากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ

นักเวทน้อยที่ดูเหมือนหัวหน้ากลุ่มนั่นยิ่งไปกันใหญ่ เมื่อก่อนเขาเคยได้พบนักเวทแก่ ๆ ในเมืองใหญ่ และได้เห็นพวกเขาใช้เวทมนตร์ในระยะใกล้มาแล้ว แต่นักเวททั้งหมดที่เขาพบ ต้องสวดมนต์หรือเตรียมวัสดุลึกลับบางอย่างก่อนที่พวกเขาจะสามารถปลดปล่อยเวทมนตร์ออกมาได้ แม้แต่คนที่ทรงพลังที่สุด ก็ยังต้องออกท่าทางหรืออะไรบางอย่างเพื่อร่ายเวทย์!

แม้ว่านักเวทน้อยคนนี้จะสลับไปมาระหว่างเวทย์ลูกไฟและระเบิดน้ำแข็ง แต่เขาก็สามารถร่ายเวทย์ได้โดยตรง โดยไม่ต้องเตรียมการใด ๆ เลย

ถ้าเป็นนักเวททั่วไป เราจะได้ยินพวกเขาร่ายประมาณว่า “วิญญาณน้ำในอากาศ จงเปลี่ยนแปรและสร้างรูปลักษณ์ของเจ้าใหม่ ในนามของน้ำแข็ง จงแช่แข็งเลือดและกระดูกของศัตรู เพื่อนำความหนาวเย็นมาสู่ผืนแผ่นดิน…”

ส่วนนักเวทน้อยคนนี้ “ฟรอสบอม!”

ทั้งหมดที่เขาพูดคือแค่นั้นแหละ…

ไม่ต้องพูดถึงว่าพลังโจมตีจากเวทมนตร์ของเขาที่ไม่ได้อ่อนกำลังลงเลย แม้เขาจะร่ายเวทมานานแล้วก็ตาม

นี่มันเหลือเชื่อมาก!

————————————————-

“ชุมนุมลับดวงตา…” แองโกร่าขมวดคิ้ว

“เอ่อ โทษทีนะ แต่เจ้าปล่อยข้าไปตอนนี้เลยได้ไหม” โจรหัวโล้นฉีกยิ้มขณะเอ่ยปากถาม

แองโกร่าหันไปหาจินนี่ “ฝังเขาไว้ใต้พื้นดินลึก 100 เมตร เหลือแค่หัวไว้บนดินก็พอ”

“เดี๋ยว! นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสัญญาไว้!” โจรหัวโล้นเด้งตัวลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ

“ข้าบอกว่าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่ข้าไม่เคยพูดว่าจะปล่อยเจ้าไปนี่” แองโกร่ายักไหล่ตอบ “เจ้าก็แค่ถูกฝัง มันเป็นเรื่องของเจ้า ว่าเจ้าจะขุดตัวเองขึ้นมาได้รึเปล่า”

“เจ้า…” โจรหัวโล้นดวงตาแดงก่ำ เขาพุ่งเข้าหาแองโกร่าพร้อมดาบในมือ เขาต้องการสู้ตายอย่างสิ้นหวัง อย่างไรก็ตาม เขากลับหายตัวไปทันทีเมื่อจินนี่ชี้นิ้ว เสียงตะโกนของเขาหายไปครึ่งทางโดยที่เขายังพูดไม่จบ

“ศัตรูของเจ้าถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว” จินนี่โบกมือให้แองโกร่า “งั้นข้าไปล่ะ~”

“เดี๋ยวก่อน”

แองโกร่าพูดรั้งจินนี่ไว้

“อะไร? ข้าบอกแล้วไงว่าข้าจะไม่รับคำสั่งจากเจ้า” จินนี่ตอบ

“ไม่ ข้าแค่อยากถามเกี่ยวกับ ‘ระบบโอเวอร์ลอร์ด’ สิ่งนี้มันคืออะไร” แองโกร่าถามอย่างจริงจัง “มันเป็นเวทมนตร์หรือภาพลวงตากันแน่”

แม้ว่าเขาจะไม่ชอบครอบครัวตัวเองนัก แต่เขาก็ยังเป็นบุตรจากตระกูลดยุค เขาไม่เหมือนเด็กอย่างเอลีน่าที่เติบโตในหมู่บ้านชนบทห่างไกล เขาเคยเห็นโลกมาตั้งแต่ยังเด็ก ได้สัมผัสกับเวทมนตร์และปาฏิหาริย์มากมาย แต่ถึงกระนั้น มันก็ไม่มีปาฏิหาริย์ใดที่พิเศษเท่ากับการดำรงอยู่ของสิ่งนี้ สิ่งที่เรียกว่า ‘ระบบโอเวอร์ลอร์ด‘

ยิ่งไปกว่านั้นสัญชาตญาณของเด็กหนุ่มยังสัมผัสได้ว่า ถ้าเขาไม่คว้าโอกาสนี้เพื่อรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากจินนี่ เขาอาจไม่เข้าใจความสามารถของระบบนี้ไปอีกนาน

“เจ้าหัวไวกว่าที่ข้าคิด” จินนี่ตัวฟ้าพูดชม

ความจริงแล้วจินนี่ก็คือซีเว่ยที่ปลอมตัวมา

แม้ว่าบัญชาของพระเจ้าจะมีความสามารถในการสร้างชีวิต (พูดให้ถูกก็คือความสามารถในการสร้าง NPC) แต่ก็ต้องใช้พลังงานมหาศาล เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองพลังเทพมากเกินไป ซีเว่ยจึงสวมชุดปลอมตัว และอวตารตัวเองลงมาเป็นจินนี่ผู้รับใช้ของแองโกร่า

ตั้งแต่แรก เมื่อเขาวางแผนที่จะสร้างหมู่บ้านเริ่มต้นนอกหุบเขาแห่งความตายที่น่าเศร้า เขาก็ได้สังเกตเห็นแองโกร่าผู้สมัครที่มีศักยภาพในการเป็นสาวกของเขา เขาจึงได้เปิดอำนาจระบบชั่วคราวให้อีกฝ่ายทดลองใช้

ตอนแรกซีเว่ยต้องการช่วยแองโกร่าเพียงเล็กน้อย หากแองโกร่าไม่ฉลาดพอที่จะสังเกตเห็นนักฆ่าจินนี่ในคลังระบบ หรือระวังเกินกว่าที่จะใช้มันตามคำอธิบายที่เขาให้ไว้ เขาก็จะตกเป็นเหยื่อของกลุ่มโจร หากเป็นเช่นนั้นซีเว่ยจะรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ต้องสูญเสียว่าที่สาวกคนใหม่ไป แต่เขาจะไม่ผิดหวัง เนื่องจากพื้นที่รอบนอกของหุบเขาแห่งความตายไม่ได้เล็ก ๆ และเขามีทางเลือกอื่น ๆ นอกเหนือจากแองโกร่ามากมาย

แต่เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่า แองโกร่าไม่เพียงแต่จะยอมรับความช่วยเหลือจากเขาเท่านั้น เขายังไม่สับสนกับคำอธิบายในหน้าอินเทอร์เฟซของระบบ แถมเมื่อซีเว่ยกำลังจะกลับไปยังอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา แองโกร่าก็ได้ถามเรื่องระบบโอเวอร์ลอร์ดโดยตรง และไม่ถามอะไรที่ไร้สาระ

ทันใดนั้นซีเว่ยก็เริ่มสนใจ อนาคตของเด็กคนนี้อาจประสบความสำเร็จอย่างมากด้วยความช่วยเหลือจากระบบของเขา

“นี่คือระบบ ซึ่งเป็น ‘พร’ ที่เทพเจ้าแห่งเกมประทานให้เจ้า” ซีเว่ยตอบแองโกร่าในฐานะที่เขายังปลอมตัวเป็นจินนี่ในตะเกียง

“ทำไมพระองค์ถึงให้พรแก่ข้า ข้าไม่เคยอธิษฐานถึงพระองค์เลย…อันที่จริง ก่อนหน้านั้นข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเทพเจ้าแห่งเกมมีอยู่จริง” แองโกร่าถามอย่างรวดเร็ว

“พระองค์คงพบว่าเจ้ามีพรสวรรค์ล่ะมั้ง ใครจะรู้?” ซีเว่ยยักไหล่อย่างเสแสร้ง

“เขาเป็นเทพเจ้าเช่นใด?”

แม้ว่าแองโกร่าจะไม่ศรัทธาในเทพเจ้า แต่เทพเจ้าก็ยังยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่สิ้นหวัง ดังนั้นเขาจึงรู้สึกขอบคุณ และอดไม่ได้ที่จะอยากเรียนรู้เกี่ยวกับเทพเจ้าองค์นี้ เทพเจ้าที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

ซีเว่ยคุยโวเกี่ยวกับตัวเองทันที “ท่านคือเทพเจ้าที่สุดยอดมาก ท่านฉลาด กล้าหาญ และหล่อเหลา แม้ว่าในตอนนี้ท่านจะมีสาวกไม่มาก แต่ท่านจะอยู่เหนือเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ในอนาคตอย่างแน่นอน! หากเจ้ามีโอกาส เจ้าลองอุทิศตัวเองเพื่อเทพเจ้าแห่งเกมดูสิ แล้วเจ้าจะเข้าใจ~”

จากนั้นก่อนที่แองโกร่าจะได้ถามคำถามอื่น ซีเว่ยก็ระเบิดกลายฝุ่นแสงที่สว่างจ้าทันที เขาหายไปจากสายตาของแองโกร่า

แองโกร่าทำหน้าหนักใจ เขายืนเอ๋อครู่หนึ่ง ก่อนจะได้สติจากเสียงกระพือปีกบนท้องฟ้า

มีนกที่ชอบของเน่ามากมายบินวนอยู่บนฟ้าเหนือหัวเขา

ที่นี่มีศพคนจำนวนมาก ด้วยอากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเลือด คาดว่าไม่ช้ามันจะไม่ใช่แค่นก เพราะแถวนี้ยังมีสัตว์กินเนื้อดุร้ายบางชนิดอาศัยอยู่ด้วย

แองโกร่าไม่ลังเลอีกต่อไป เขารีบเก็บของจำเป็นทั้งหมดจากรถม้าลงกระเป๋าหลังของเขา ก่อนจากไป เขาโบกมือลาสารถีชราอย่างเงียบ ๆ อันที่จริงแองโกร่าก็อยากจะฝังเขาให้ถูกต้องเช่นกันถ้าเขามีเวลา แต่มันไม่ใช่ ตอนนี้เขาต้องรีบไปแล้ว

“เอาล่ะ ต่อไปจะเป็นการเดินทางเพียงลำพังของข้า” แองโกร่าปลุกใจตัวเองเงียบ ๆ คนเดียว ก่อนที่เขาจะมุ่งหน้าไปยังศักดินาของตัวเอง เมืองเล็ก ๆ ที่ไร้ชื่อและห่างไกล

ในขณะเดียวกัน ซีเว่ยที่เฝ้าดูเด็กหนุ่มจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ เริ่มสัมผัสได้ถึงร่องรอยแห่งพลังศรัทธาที่เด็กหนุ่มมีต่อเขา…

“ไฮย๊า!” โจที่ตัวสูงและล่ำสัน พุ่งเข้าหาหมีดำขณะถือดาบที่ดีที่สุดในหมู่บ้านไว้ในมือ

หมีดำก็คำรามและพุ่งเข้าใส่เขาเป็นการตอบแทน

แต่เมื่อโจกระโดดออกไปได้ครึ่งทาง โกวต้านก็พึมพำเบา ๆ ขณะเล็งธนูของเขาไปที่หมีดำว่า “แอคคูเรทช็อต(Accurate Shot)!”

(Accurate Shot ยิงแม่นยำ)

ลูกธนูแทงเข้าไปในจมูกของหมีดำ ทำให้การเคลื่อนไหวของมันผิดเพี้ยนไปจากความเจ็บปวด มันคำรามขณะที่กุมจมูกของตัวเอง

“ฟรอสบอม(Frost Bomb)!” เอ็ดเวิร์ดส่งเสียงมาจากด้านหลังโจ เขาโบกไม้คทายาวขณะปล่อยลูกบอลหิมะสีขาวระเบิดแช่อุ้งเท้าหมีดำ และเกือบทำให้มันล้มลง

(Frost Bomb ระเบิดนำแข็ง)

“สเตร็งเท่น(Strengthen)!” เจสสิก้าร้องออกมาขณะเล็งไม้กางเขนไปทางโจ

(Strengthen เสริมแกร่ง)

“ตอนนี้แหละ!” โจโยนดาบที่ดีที่สุดในหมู่บ้านทิ้งลงพื้น และวิ่งเข้าชาร์ตหมีดำตรงช่วงท้อง กล้ามแขนของเขาปูดขึ้นขณะที่เขาคำรามว่า “ซูเพลกซ์(Suplex)!*”

(Suplex ทุ่มกลับหลัง)

จากนั้นเขาก็ยกหมีดำขึ้นจากพื้น และทุ่มสัตว์ร้ายกลับหลังเอาหัวมันปักพื้นอย่างแรง

ตัวอักษรสีแดงเลือดที่อ่านว่า ‘คริติคอล –150′ เด้งขึ้นเหนือหัวหมีดำทันที ร่างของมันกระตุกทีหนึ่งก่อนจะร่วงลงนอนคว่ำพื้นและตายทันที

เมื่อศพของหมีดำหายไป ปาร์ตี้กลุ่มนี้ก็ร้องตะโกนออกมาอย่างมีความสุขทันที

พวกเขาทั้งหมดเป็นเด็กที่มาจากครอบครัวนักล่า และมักจะต้องตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพบหมีดำในป่า

พวกเขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งพวกเขาจะเอาชนะมันได้อย่างง่ายดายแบบนี้!

“ค่าประสบการณ์ของหมีดำตัวนี้สูงมาก ข้าเลเวลอัพแล้ว! ข้าจะเลือกทักษะไหนต่อดี เฮฟวี่ช็อต(Heavy Shot) หรือสปลิทช็อต(Split Shot)”

(Heavy Shot ยิงแรง)

(Split Shot แยกช็อต ยิงธนูหลายลูกในการโจมตีครั้งเดียว)

“โห…ค่ามานาของทักษะเมจสูงเกินไปจริง ๆ ข้าใช้แค่ไม่กี่คาถา มานาของข้าเกือบจะหมดหลอดแล้ว”

“ไอ้หมีตัวนี้มันหนักเกินไป กระดูกข้อเท้าข้าร้าวแล้ว…”

มีเพียงเอลีน่าเท่านั้นที่ไม่มีความสุข

“ทำไมข้าถึงช่วยพวกเจ้าไม่ได้? หมีดำตัวนั้นจะหายไปทันทีที่โดนหอกแห่งชัยชนะจากข้าเพียงหอกเดียว” เธอบ่นอย่างไม่มีความสุข

“เพราะมีแต่เจ้าเท่านั้นที่สามารถใช้เวทรักษาได้ไง” โกวต้านพูดด้วยรอยยิ้ม

“ถูกต้อง เจ้าเท่านั้นที่ช่วยเราได้เมื่อเราบาดเจ็บ” เอ็ดเวิร์ดเห็นด้วย “ก่อนอื่นเจ้าช่วยโจหน่อยเถอะ ข้อเท้าเขากำลังบวมเหมือนหมูแล้ว”

“ไม่เป็นไรข้ายังไปต่อได้…” โจตบหน้าอกตัวเองอย่างมั่นใจ แต่ในไม่ช้าใบหน้าเขาก็เปลี่ยนสี “เดี๋ยวก่อน อาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าจะลดค่า STR และค่า AGI จริงเหรอ!”

“อย่าขยับ บาดเจ็บแค่นี้ข้ารักษาได้” เอลีน่ารีบรักษาข้อเท้าของโจอย่างสง่างามตามเอฟเฟกต์ของทักษะ จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับเจสสิก้าซึ่งเป็นนักบวชว่า “พี่เจสสิก้า พี่รีบอัพเลเวลและเรียนทักษะรักษาเร็ว ๆ นะ ข้าจะได้ไม่ต้องแอบอยู่ข้างหลังและเฝ้าดูพวกเขาสู้ตลอดเวลา”

“เข้าใจแล้วจ้า ท่านนักบุญหญิงผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเรา~” เจสสิก้าลูบหัวเล็ก ๆ ของเอลีน่าพลางยิ้มแย้มแจ่มใส

ในขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมตัวพักกินข้าวเที่ยงกันอย่างมีความสุข ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังแว่วมาจากที่ไกล ๆ

“อืม เราควรทำตามวิวรณ์ของเทพเจ้าแห่งเกมให้เสร็จเร็ว ๆ ” เอ็ดเวิร์ดหยุดคิดพักหนึ่งแล้วพูดว่า “ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาหรอก”

<ติ้ง!>

<เริ่มเควสเสริม: ช่วยเหลือคาราวานพ่อค้า>

<ภารกิจนี้มีเวลาจำกัด โปรดทำให้เสร็จโดยเร็วที่สุด>

เอ็ดเวิร์ด “…”

————————————————-

‘อะไร?!’

แองโกร่าผงะ จากนั้นหน้าจอกึ่งโปร่งแสงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา พร้อมคำว่า ‘โอ้~เทพเจ้าแห่งเกม โปรดมอบชีวิตใหม่ให้กับเรา’

ก่อนที่แองโกร่าจะได้ถามว่ามันคืออะไร ข้อความก็หายไป พร้อมกับหน้าอินเทอร์เฟซหลักของระบบที่ปรากฏขึ้นมาแทนที่

[ผู้เล่น: แองโกร่า เฟาสต์]

[คลาส: ขุนนางเมืองไร้ชื่อ]

[ความเจริญรุ่งเรือง: 0/100]

[ประสิทธิภาพ: 100 (ค่าเริ่มต้น)]

[ประชากร: 0/0]

[ผู้เล่น: 0]

[อาคาร: ไม่มี]

[คลัง (LV0): ตะเกียงนักฆ่าจินนี่ (ระดับ A) x1, ว่าง, ว่าง]

[←ก่อนหน้า หน้าถัดไป→]

แองโกร่ามองผ่านคำอธิบายที่เขียนอยู่อย่างรวดเร็ว ในที่สุดสายตาของเขาก็หยุดลงที่ ‘ตะเกียงนักฆ่าจินนี่’ ขณะที่เขาจ้องมัน หน้าต่างป๊อปอัพคำอธิบายที่เกี่ยวข้องก็ปรากฏขึ้นข้าง ๆ

[รายการ: ตะเกียงนักฆ่าจินนี่ (ระดับ A)]

[รายละเอียด: ไอเทมสิ้นเปลือง ทำการถูตะเกียงเพื่ออันเชิญจินนี่ระดับ A มาช่วยท่าน ระยะเวลาแสดงผล 1 นาที]

[ข้อจำกัดความรับผิดชอบ : อย่าถือว่าจินนี่เป็นทาสของท่าน และอย่าขอพรใด ๆ เพราะมันจะทำเพียงเอาชนะศัตรูของท่านเท่านั้น และไม่สามารถให้พรใด ๆ ได้]

[รับ]

[ใช่ / ไม่ใช่]

“นี่มันอะไร..?”

แองโกร่ารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิต

พวกโจรไม่รอให้เขามีเวลาคิดนานกว่านี้ ประตูรถม้าถูกทำลายจนแตกเป็นเศษไม้

ชายร่างกำยำหัวโล้นที่มีรอยสักอยู่บนหัว เดินเข้ามาจับขาของแองโกร่าและลากเขาออกจากรถม้าพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมที่ปรากฏอยู่บนหน้า

แองโกร่าล้มหน้าฟาดพื้นอย่างแรง รสเลือดกระจายอยู่ในปากของเขา เขารู้สึกราวกับว่ากระดูกและข้อต่อทั่วร่างของเขากำลังปวดร้าว

เขาไม่มีเวลาให้ลังเลอีกต่อไป

เมื่อเห็นกลุ่มโจรที่ล้อมรอบเขายกอาวุธในมือขึ้น และท่าทีของพวกมันเหมือนจะสับเขาเละเป็นเนื้อบดได้ตลอดเวลา แองโกร่าก็ตัดสินใจ

อีกครั้ง เขามุ่งความสนใจของเขาไปที่ตะเกียงนักฆ่าจินนี่ และเลือกรับตะเกียง

วินาทีต่อมา ตะเกียงวิเศษสีทองที่ดูเหมือนกาน้ำชาก็หล่นลงมาในมือเขา

“อะไรวะ?”

“เฮ้ พวกแกเห็นนั่นไหม”

“ทำไมถึงมีขอแปลก ๆ โผล่มาในมือมัน”

“นั่นเป็นของศักดิ์สิทธิ์รึเปล่า”

กลุ่มโจรเริ่มลังเลเพราะการปรากฏตัวของตะเกียงวิเศษที่โผล่ออกมาอย่างกะทันหัน

“ไม่ต้องไปกลัว! ไม่ว่ามันจะเป็นนักบวช ก็จะไม่มีใครรู้ว่าเราฆ่ามันถ้ามันตายที่นี่!” โจรหัวโล้นตะโกนขณะเหวี่ยงดาบยาวไปที่หัวของแองโกร่า!

ในเวลาเดียวกัน แองโกร่าก็เริ่มถูตะเกียงอย่างบ้าคลั่ง

ขณะที่ดาบกำลังจะฟาดโดนหัวเขา ควันสีฟ้าก็พุ่งออกมาจากตะเกียง

ควันได้ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและควบแน่นเป็นก้อน ปิดกั้นดาบไว้ไม่ให้โดนตัวแองโกร่า

ช่วงเวลาต่อมา ควันสีฟ้าก็ได้รวมเข้าด้วยกันกลางอากาศ และก่อตัวเป็นรูปมนุษย์ผิวสีฟ้าขนาดใหญ่

“จินนี่ในตะเกียงพร้อมให้บริการเจ้าแล้ว! ตอนนี้เจ้าต้องการให้ข้าจัดการกับผู้ใด” ใบหน้าสีฟ้าขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนวิลสมิธส่งยิ้มแปลก ๆ ออกมา ขณะที่เขาเลิกคิ้วและเหยียดแขนออกกว้าง ขวานที่ใหญ่กว่าร่างกายของเขาก็ได้ปรากฏขึ้นมาในอากาศบาง ๆ พร้อมกับเอฟเฟกต์แสงดาวระยิบระยับ “ขวานของข้ากำลังกระหายเลือด!”

ไม่ใช่แค่แองโกร่าเท่านั้นที่ตะลึงเท่านั้น พวกโจรรอบ ๆ ยังกลัวจนตัวแข็งทื่อด้วย

คนแรกที่ได้สติคือหัวหน้าโจรหัวโล้น “อย่าไปกลัว! มันก็แค่ตัวใหญ่กว่า มันไม่ได้เก่งอย่างที่เห็นหรอกโว้ย!”

โจรคนอื่น ๆ ฮึกเหิมขึ้น พวกเขายกอาวุธขึ้นมาและเริ่มปิดล้อมปีศาจตัวฟ้า โจรบางคนที่คิดว่าตัวเองฉลาด ได้ชี้อาวุธไปที่แองโกร่า เพราะคิดว่าถ้าแองโกร่าตาย ปีศาจตัวฟ้าที่ถูกอันเชิญมาก็จะหายไป

“ช่วยข้า…ฆ่าพวกมัน!” แองโกร่าตะโกนอย่างรีบร้อน เมื่อตระหนักว่าสถานการณ์ตอนนี้เริ่มไม่ดีแล้ว

“ได้ตามที่เจ้าต้องการ~” จินนี่ฮัมเพลงอย่างมีความสุข

วินาทีต่อมาเขาเหวี่ยงขวานเป็นวงกลมอย่างรวดเร็ว แยกร่างโจรทั้งหมดออกเป็นสองส่วนไปพร้อม ๆ กับอาวุธของพวกมัน ยกเว้นก็แต่โจรหัวโล้นที่ถอยหลบออกมาได้ทันเวลา

แม้ในขณะที่พวกมันตาย พวกโจรก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมพวกมันถึงตาย มันไม่ใช่แค่การปล้นธรรมดาเหรอ ทำไมพวกมันถึงถูกฆ่าโดยแกะอ้วนในพริบตาแบบนี้ล่ะ…

โจรหัวโล้นที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าโจร เสียใจจนลำไส้เขียว “เวร! ไอ้หมอนั่นไม่ได้บอกว่าแกะอ้วนคราวนี้เป็นแค่ลูกชายขยะจากตระกูลเฟาสต์เหรอวะ ถ้ามันขยะทำไมมันถึงอันเชิญปีศาจที่น่ากลัวแบบนี้ออกมาได้!”

เขารู้ดีว่าเขาไม่สามารถเอาชนะปีศาจจากตะเกียงได้ ระดับมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง เขาตัดสินใจหันหลังวิ่งหนีทันที

จินนี่โบกขวานในอากาศ และอาวุธในมือเขาก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการแกว่งเพียงครั้งเดียว เขาสามารถส่งขวานไปได้ไกลถึง 40 เมตร ในทิศทางที่โจรกำลังหลบหนี!

“เดี๋ยวก่อน! อย่าฆ่าเขา!” ทันใดนั้น แองโกร่าก็ตะโกนขึ้น

เมื่อได้ยินคำสั่ง จินนี่ก็บิดขวานไปด้านข้างเล็กน้อย ร่องลึกกว่า 5 เมตรถูกฟันลงข้างโจรหัวโล้น! แม้ว่าโจรหัวโล้นจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่การโจมตีที่เฉียดตัวเขาไปนิดเดียวก็ทำให้เขากลัวจนขาสั่นทรุดลงไปนั่งกับพื้น

“เจ้ามีแผนจะทำอะไรกับเขา” จินนี่ในตะเกียงถามขณะลากโจรไปหาแองโกร่า “ตัดหัว? แยกชิ้นส่วน? เฮ้ ข้ายังเก่งเรื่องการทรมานคนอีกด้วยนะจะบอกให้~”

ทันทีที่จินนี่พูด ขวานในมือเขาก็หายไปและแทนที่ด้วยโซ่กับมีด

“ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้วนายท่านเฟาสต์! โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!” โจรร่างกำยำกลัวจินนี่จนน้ำตาร่วง เขาคุกเข่าอ้อนวอนและเอาหน้าผากเขกเข้ากับพื้น

“ข้ามีคำถาม ถ้าเจ้าตอบข้ามาตามตรง ข้าอาจไว้ชีวิตเจ้า!” แองโกร่าจ้องเขาและพูดว่า “ทำไมเจ้าถึงรู้ว่า ‘ลูกชายของตระกูลเฟาสต์’ จะมาที่นี่ และ ‘ไอ้หมอนั่นที่เจ้าพูดถึง’ คือใคร”

“ขะ ข้าไม่รู้…” โจรพูดติดอ่าง

“ฆ่าเขา”

“ได๋เลย~”

“เดี๋ยวก่อน! ข้าไม่รู้จริง ๆ! ลูกค้าข้าทำตัวลึกลับมาก ตะ…แต่ข้าบอกท่านได้ว่าเขามาจาก ‘ชุมนุมลับดวงตา!’”

“ชุมนุมลับดวงตา?” แองโกร่าทวนซ้ำ เขาไม่เคยได้ยินชื่อองค์กรนี้มาก่อน

“มันเป็นกลุ่มที่ลักลอบขนสินค้าผ่านเทือกเขารอบ ๆ ประตูสีม่วงโดยใช้เหยี่ยวเมฆ พวกมันเป็นพวกลักลอบขุดสมบัติหายากและแปลกใหม่จากทวีปตะวันตก…” เพื่อความอยู่รอด หัวหน้าโจรสารภาพทั้งหมดที่เขารู้ “พวกมันมีอำนาจมากในพื้นที่นี้ พวกมันมีองค์กรสาขามากมาย และ ‘มิโนทอร์ 13 ถ้ำ’ ของเราก็เป็นหนึ่งในนั้น!”

————————————-

กำลังรีไรท์นะคะ ถ้าหลัง ๆ เห็นชื่อบางอย่างเปลี่ยน แสดงว่าเรายังรีไรท์ไม่ถึงน้า~

เมืองนอกหุบเขาแห่งความตายที่น่าเศร้า ไม่ใช่สถานที่ที่เขาสุ่มเลือกขึ้นมา แต่เป็นสถานที่ที่เขาเลือกหลังจากวางแผนมาแล้วอย่างดี

หมู่บ้านเคนนิงตันอยู่ห่างไกลเกินไปและป่ารอบ ๆ ก็มีเพียงสัตว์ป่าธรรมดา มันไม่ใช่สถานที่ที่ดีสำหรับผู้เล่นในการฟาร์มเลเวล

เนื่องจากการมีอยู่ของเทพเจ้า จึงมีโบสถ์และวิหารมากมายถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่พวกเขา และสถานเหล่านั้นก็ถูกปกคลุมไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า มันมีพลังเสมือนเป็นม่านบังตาสำหรับเทพเจ้าองค์อื่น ๆ หากซีเว่ยไม่มีสาวกของเขาอยู่ในนั้น เขาก็จะไม่สามารถมองเห็นสถานที่เหล่านั้นโดยใช้ดวงตาศักดิ์สิทธิ์ได้

และสถานที่ที่ไม่ได้รับการปกป้องด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าองค์อื่น ก็มักจะยากไร้ อันตราย และไม่เหมาะจะให้ผู้คนอยู่อาศัย แต่มันจะกลายเป็นหมู่บ้านเริ่มต้นสำหรับเหล่าสาวกของเขาที่สมบูรณ์แบบ

อย่างไรก็ตามซีเว่ยใช้เวลาพอสมควรในการค้นหาสถานที่ที่ค่อนข้างดี 2-3 แห่ง

หุบเขาแห่งความตายที่น่าเศร้าถือเป็นหนึ่งในนั้น

ในโลกที่เต็มไปด้วยเทพเจ้า สงครามเทพเจ้าเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง แต่ซีเว่ยยังไม่รู้รายละเอียดมากนัก เนื่องจากในเวลานั้นเทพเจ้าแห่งเกมยังไม่เกิด แต่จากร่องรอยที่คลุมเครือ ซึ่งเหลือทิ้งไว้ในความทรงจำเทพเจ้าของเขา ดูเหมือนว่าเมื่อก่อนจะมีหลายอาณาจักรที่เกี่ยวข้องกับสงครามครั้งนั้น

มันเป็นสงครามที่เกือบจะรีเซ็ตโลกทั้งใบ และทำให้ตรีเอกานุภาพแห่งการสรรค์สร้างต้องแยกอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าออกจากโลก และห้ามเทพเจ้าเข้าไปยังแดนมรรตัย

ในฐานะสะพานเชื่อมระหว่างทวีปตะวันออกและทวีปตะวันตก หุบเขาแห่งความตายที่น่าเศร้า ซึ่งทอดยาวหลายร้อยกิโลเมตร จึงเป็นหนึ่งในเขตสงครามหลักของสงครามเทพเจ้า ที่นี่ราชาแห่งความตายฮาเดส ได้สังหารเทพแห่งความตายยุคบรรพกาล และขโมยพลังของเขาไปยังโลกใต้พิภพ

เมื่อเทพแห่งความตายยุคบรรพกาลสิ้นลง เขาก็ได้ปล่อยพลังแห่งความตายจำนวนมากออกมาเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตเกือบครึ่งโลก

หนึ่งพันปีต่อมา พลังแห่งความตายยังคงเอ่อล้นออกมาจากหุบเขาแห่งความตาย และเปลี่ยนหุบเขานี้ให้กลายเป็นดินแดนต้องห้ามสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งหมด และมันก็ได้ตัดแยกทวีปสองทวีปออกจากกันอย่างสิ้นเชิง

ซีเว่ยไม่ได้ตั้งใจที่จะให้ผู้เล่นท้าทายซากศพของเทพเจ้ายุคดึกดำบรรพ์เหล่านั้นตั้งแต่ต้น แต่เนื่องจากพลังแห่งความตายเข้มข้นที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศมานานนับพันปี มันจึงได้ก่อตัวกลายเป็นไมแอชม่า(miasma)* สิ่งนี้ทำให้มีเหล่าเรฟเวแนนท์(revenants)*มากมายนับล้านปรากฏอยู่ทั่วทั้งหุบเขา แม้กระทั่งพื้นที่ชายขอบนอกไมแอชม่า ก็ยังมีพวกมันปรากฏขึ้นเป็นระยะ

(ไมแอชม่า(miasma) บรรยากาศที่เป็นพิษ ปกคลุมไปด้วยอำนาจมืด หรือมีอิทธิพลชั่วร้าย)

(เรฟเวแนนท์(revenants)* ผู้หวนคืน ผี วิญญาณที่ลุกขึ้นมาจากความตาย)

จำนวนของเรฟเวแนนท์ยังคงเพิ่มขึ้นทุกวัน และด้วยความเกลียดชังตามธรรมชาติที่พวกมันมีต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ยังมีลมหายใจ ทำให้พวกมันออกจากหุบเขาแห่งความตายโดยสัญชาตญาณ พวกมันมักจะรวมตัวกันเป็นฝูง และบุกเข้าทำลายหมู่บ้าน หรือเมืองของมนุษย์ที่อยู่โดยรอบเป็นประจำ

ทุก ๆ ปีจักรวรรดิจะใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อจัดกองทัพทำลายล้างเรฟเวแนนท์เหล่านี้ ไม่ใช่ว่าจักรวรรดิไม่ต้องการแก้ปัญหาที่ต้นตอ แต่พวกเขาไม่มีเทพจารีต*ที่มีอิทธิพลเหนือความตาย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถทำอะไรกับมันได้

(เทพจารีต คือเทพเจ้าที่คนในทวีปยอมรับ เทพที่นอกเหนือจากนั้น เช่นซีเว่ยที่เป็นเทพเจ้าแห่งเกมที่ถูกแบนจากคนหลายอาณาจักร ถือเป็นเทพนอกรีต)

แม้ว่าเหล่าเทพจะทุ่มพลังศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากเพื่อสร้างเครื่องรางป้องกันให้กับเหล่าสาวก แต่มันก็สามารถใช้ปกป้องพวกเขาได้เพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น ซึ่งการส่งคนจำนวนนี้บุกเข้าไปในไมแอชม่าที่เต็มไปด้วยเรฟเวแนนท์ทุกซอกหลืบของหุบเขา ก็มันไม่มีประโยชน์เลย

แถมราชาแห่งความตายเฮเดสก็เป็นพวกชอบเก็บตัว เขาเป็นเทพเจ้าที่หาตัวเจอได้ยากมาก และเขาก็ไม่เคยพูดคุยกับเทพเจ้าองค์อื่น ๆ เลย ไม่มีทางที่เขาจะสนใจปัญหานี้แน่

หุบเขาแห่งความตายที่น่าเศร้า จึงสามารถคงอยู่ในทวีปนี้ต่อไปได้ด้วยประการฉะนี้

นักบวชจากศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสวได้ทำนายว่าไมแอชม่าจะสลายไปเองในสามถึงสี่พันปี…และนั่นคือถ้าพวกเขาโชคดี

ดินแดนแห่งนี้ถูกเทพเจ้าองค์อื่น ๆ มองว่าเป็นพิษและถูกทอดทิ้ง แต่มันได้กลายเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับซีเว่ยในการตั้งหมู่บ้านเริ่มต้นของเขา จำนวนสัตว์ประหลาดไม่จำกัด จำนวนทรัพยากรที่ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่ต้องกังวลว่าการฆ่ามากเกินไปจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของโลก แถมเรฟเวแนนท์ของที่นี่ยังมีระดับความแข็งแกร่งเป็นขั้น ๆ ไปด้วย โดยเริ่มตั้งแต่พวกโครงกระดูก ซอมบี้ ไปจนถึงดูลาฮาน และมังกรซอมบี้ที่อยู่ลึกเข้าไปในใจกลางของหุบเขา ซึ่งนั่นหมายความว่า ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ กลุ่มสัตว์ประหลาดก็จะยิ่งอุดมสมบูรณ์และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ! เขาไม่ต้องกังวลว่าผู้เล่นจะหาที่อัพเลเวลไม่ได้เมื่อเลเวลพวกเขาสูงขึ้น

แถมเขาอาจจะเจอแจ็คพอตที่นี่ เนื่องจากหุบเขาแห่งความตายเป็นเขตสงครามหลักของเทพเจ้า บางทีอาจจะมีของล้ำค่าอยู่ในนั้น! (เช่นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ หรือชิ้นส่วนความเป็นพระเจ้าของเหล่าเทพ)

แม้จะไม่เหลือของมีค่าแบบนั้นอยู่ แต่อย่างน้อยก็ต้องมีซากศพของเทพบรรพกาลเหลืออยู่แน่! หากผู้เล่นสามารถหามันเจอและสังเวยมันให้เขา เขาก็จะยกระดับความเป็นพระเจ้าของเขาได้อย่างแน่นอน!

“แต่ก่อนหน้านั้น ฉันต้องเตรียมการบางอย่างก่อน” เขาบ่นกับตัวเอง “ถ้าเด็ก ๆ พวกนั้นเดินทางมาถึงและได้เจอแต่ความว่างเปล่า ฉันก็เสียศักดิ์ศรีในฐานะที่เป็นเทพเจ้าของพวกเขาหมด”

แองโกร่า•เฟาสต์ เป็นบุตรชายคนที่สามของดยุคอินทรีเงินฮอร์รัน•เฟาสต์ ในฐานะลูกคนสุดท้องของครอบครัว เขาไม่มีความหวังที่จะสืบทอดตำแหน่งของครอบครัวอย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้นดยุคผู้เป็นพ่อ ก็ไม่มีแผนจะปล่อยให้ลูกของเขาที่มีสายเลือดชนชั้นสูงกลายเป็นสามัญชนที่ต่ำต้อย

อย่างไรก็ตามแองโกร่าไม่มีความสามารถในการต่อสู้เลย ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเป็นอัศวินและคว้าศักดิ์ศรีให้กับตัวเองในสนามรบได้

แม้ว่าเขาจะศรัทธาเทพแห่งสงคราม ‘คราตอส’ เช่นเดียวกับพ่อของเขา แต่เขาก็เป็นเพียงผู้ศรัทธาที่ตื้นเขินเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถแม้แต่จะใช้ ‘ปราณต่อสู้’ ได้ ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเป็นนักบวชในวิหารแห่งความรุ่งโรจน์ได้เช่นกัน

เมื่อแองโกร่าเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ พี่ชายคนที่สองที่ไม่ชอบขี้หน้าเขา ก็ได้ปลุกพลังปราณต่อสู้ขึ้นมาได้

โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากมาย พี่ชายคนที่สองก็ได้ตบเขาลงกับพื้น แองโกร่าไม่มีแม้แต่แรงที่จะสู้กลับ ความภาคภูมิใจของเขาถูกทำลาย และนั่นก็เป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขา เขาได้สูญเสียศรัทธาในคราตอสไปหมดแล้วและกลายเป็นผู้ไร้ศรัทธา

โชคดีที่ดยุคปฏิบัติต่อทายาทของเขาอย่างดีพอสมควร หลังจากที่เขาตระหนักว่าแองโกร่าไม่มีความสามารถใด ๆ เขาจึงจ่ายเงินเพียงเล็กน้อยซื้อศักดินาจากอาณาจักร เพื่อให้แองโกร่าได้รับตำแหน่งบารอนพร้อมที่ดินในหมู่บ้านห่างไกล

แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ นอกประตูสีม่วงที่ทุกคนหวาดกลัว แต่อย่างน้อยเขาก็ยังได้เป็นขุนนาง ตามคำพูดของดยุคผู้เป็นพ่อ “การเป็นขุนนางในสถานที่อันตราย ยังดีกว่าการเป็นสามัญชนที่ต่ำต้อย”

ในรถม้าที่สั่นไหวไปตามพื้นถนนที่ขรุขระ แองโกร่ารู้สึกว่าอนาคตของเขาช่างมืดมนนัก

ตามรายงาน ทุกปีจะมีพวกเรฟเวแนนท์บุกเข้าโจมตีหมู่บ้านและเมืองของมนุษย์ที่อยู่บริเวณโดยรอบหุบเขาแห่งความตายที่น่าเศร้า และภายใต้สถานการณ์เหล่านั้น เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะปลอดภัยกว่าชาวบ้านทั่วไปรอบตัวเขานักหรอก

ในขณะที่เขายังคงกังวลเกี่ยวกับอนาคต สารถีสูงวัยก็ร้องอุทานขึ้นมาว่า “โจร! มีโจรอยู่ที่นี่! นายน้อยรีบ…อ๊ากกก!”

ตอนนี้เสียงกรีดร้องโหยหวนของสารถีผู้ซื่อสัตย์เงียบหายไปแล้ว ร่างกายของแองโกร่าสั่นด้วยความกลัว นี่เขาต้องตายก่อนที่จะไปถึงศักดินาของเขางั้นรึ?

‘พระเจ้า…หากท่านมีอยู่จริง โปรดเมตตามอบความหวังแก่ข้าด้วย แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ยังดี…’ เขาสวดวิงวอนอย่างสิ้นหวัง

และตอนนั้นเอง…

<ติ้ง! เจ้าได้เปิดใช้งานระบบ Overlord แล้ว!>

—————————————————–

เด็ก ๆ ทั้ง 5 ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ต่อหลักคำสอนที่ซีเว่ยตั้งขึ้นมา เนื่องจากพวกเขาไม่เก็ทมุกตลกของเกมจากชีวิตที่แล้วของซีเว่ย และพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งในหลักคำสอนของเขาได้

ซีเว่ยไม่ได้รีบร้อนทำตามแผน เขาพาพวกเด็ก ๆ ไปฝังศพชาวบ้านก่อน

มองจากมุมหนึ่ง เขี้ยวมังกรมีสัญชาตญาณและนิสัยเช่นเดียวกับสัตว์ตระกูลแมว พวกมันไม่ได้ล่าเพียงเพราะแค่ต้องการประทังชีวิตเท่านั้น มันล่าเพราะพวกมันชอบความรู้สึกของการล่า ดังนั้นชาวบ้านที่ถูกเขี้ยวมังกรกินจึงมีเพียงส่วนน้อย ชาวบ้านส่วนใหญ่ถูกมันฆ่าตายโดยไร้เหตุผล

หากพวกเขาทิ้งศพไว้ที่นี่ ไม่นานกลิ่นเนื้อเน่าก็จะดึงดูดสัตว์กินเนื้อในบริเวณใกล้เคียงเข้ามาที่นี่ อันที่จริงซีเว่ยเห็นอีกา 2-3 ตัวที่บินวนอยู่บนท้องฟ้าจ้องมองมาที่ศพ

ในฐานะที่ซีเว่ยเป็นชาวจีนก่อนที่เขาจะข้ามมายังโลกใบนี้ เขาถูกสอนให้เคารพผู้ตาย และการจะมอบความสงบสุขให้กับผู้ตายได้ ก็คือการฝังศพให้พวกเขาอย่างเหมาะสม และเมื่อพิจารณาถึงความรู้สึกของเหล่าเด็ก ๆ ที่รอดชีวิต การทิ้งศพไว้ในสภาพนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นชาวบ้านในชนบทห่างไกลก็ตาม

เมื่อมีซีเว่ยอยู่ด้วย ขั้นตอนที่จะต้องใช้เวลามากที่สุดอย่างการขุดหลุมและการฝังศพ ก็ใช้เวลาไม่นานนัก

ก่อนอาทิตย์ตก พวกเขาก็ทำหลุมฝังศพอย่างเรียบง่ายเสร็จ ไม้กางเขนทำจากไม้ตั้งตระหง่านอยู่ที่จุดศูนย์กลางของหมู่บ้าน และยังอยู่บนหลุมศพของพวกชาวบ้านด้วย

เมื่อได้พบความแปลกใหม่ของระบบ มันก็ทำให้พวกเด็ก ๆ ลืมความเศร้าไปชั่วขณะ แต่เมื่อพวกเขาต้องลากศพญาติของพวกเขาไปที่หลุมศพที่ละคน และเฝ้าดูใบหน้าของครอบครัวที่ราวกับว่าพวกเขาแค่กำลังหลับไปเฉย ๆ ค่อย ๆ ถูกปกคลุมไปด้วยเศษดิน พวกเด็ก ๆ ก็เข้าใจแล้วว่าพวกเขาจะไม่ได้พบกับครอบครัวของพวกเขาอีกต่อไป

เอลีน่าและเจสสิก้าต่างพากันร้องไห้โฮ ในขณะที่โจและโกวต้านกำลังร้องไห้อย่างเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ สีหน้าเอ็ดเวิร์ดดูเศร้ามาก แต่เขาก็เก็บอารมณ์ได้ดีมากเช่นกัน เขาไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยดเดียว แม้ว่ามือของเขาจะกำแน่นมากก็ตาม

“ท่านซีเว่ย เราจะทำยังไงต่อดีคะ?” เอลีน่าถามเสียงเบา ขณะพยายามกลั้นสะอื้น

“อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีความหมาย พรุ่งนี้เช้า จงออกเดินทางไปทางตะวันออก ผ่านเมื่อยูเก้น และไปยังเมืองที่ชื่อโจเนียส ที่ชายแดนของอาณาจักรนอกประตูสีม่วง ที่ที่เรียกกันว่า ‘หุบเขาแห่งความตายที่น่าเศร้า’ จะมีเมืองเล็ก ๆ รอพวกเจ้าอยู่ที่นั่น” ซีเว่ยบอกหลังจากเห็นสายตาของพวกเด็ก ๆ จ้องมาที่เขา “นั่นจะเป็นจุดหมายปลายทางของเจ้า และเป็นที่ที่ศาสนจักรของเราจะเติบโต มันคือหมู่บ้านเริ่มต้นของผู้เล่นทุกคน…”

“แต่เราไม่เคยไปไกลจากหมู่บ้านเคนนิงตันมาก่อน…” เอลีน่าพูดขณะที่เธอเอามือกุมไว้แนบอก ท่าทางของเธอคล้ายกับนกพิราบที่กำลังหัดบิน

“เด็กน้อย ทุกอย่างย่อมมีครั้งแรกเสมอ จงออกเดินทางด้วยความภาคภูมิใจ เพราะเจ้าได้รับพรจากเทพเจ้าแห่งเกมผู้ยิ่งใหญ่” ซีเว่ยพูดปลอบโยนพลางลูบหัวเธอเบา ๆ

“แต่…”

เอลีน่ายังคงก้มหน้าอย่างกังวล

ทันใดนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่าฝ่ามือที่ลูบหัวเธออย่างอ่อนโยนเมื่อครู่ได้หายไปแล้ว

“ท่านซีเว่ย?” เอลีน่ามองไปรอบ ๆ แต่เธอก็หาเขาไม่พบ

เด็กคนอื่น ๆ ส่ายหัวราวกับว่าพวกเขาเพิ่งจะตื่นจากความฝัน

“นายท่านผู้ใหญ่ไปไหนแล้ว” โจขมวดคิ้วถามอย่างงง ๆ

“ข้าไม่รู้ พวกเจ้าก็ไม่เห็นเหรอ” โกวต้านเกาหัวตัวเอง

“ข้าก็ไม่เห็นเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกทีเขาก็หายไปแล้ว…” เจสสิก้าพูดอย่างสงสัย

“ถ้าข้าจำไม่ผิด…” เอ็ดเวิร์ดที่โตที่สุดในหมู่พวกเขาพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

สายตาของคนที่เหลือมองมาที่เอ็ดเวิร์ดที่กำลังนึกอะไรบางอย่างอยู่

“เมื่อก่อนข้ากับพ่อข้าเคยไปที่เมือง ข้าเคยได้ยินมาว่า แม้แต่อัครมุขนายกของเทพบิดรทั้งเจ็ด ก็ไม่มีคุณสมบัติในการแต่งตั้งนักบุญ” เอ็ดเวิร์ดอธิบายอย่างช้า ๆ

“งั้นลุงซีเว่ยก็เป็นถึงพระสันตปาปาน่ะสิ!” โกวต้านร้องออกมาด้วยความตกใจ

“ไม่นะ พระสันตะปาปาคงไม่ออกจากโบสถ์หลักของศาสนจักรไปไหนมาไหนคนเดียวแบบนี้หรอก เว้นแต่จะจำเป็นจริง ๆ” เอ็ดเวิร์ดกล่าวย้ำพร้อมกับส่ายหัว “ถ้าจะพูดให้ถูก มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะเป็นผู้ถูกเลือก แต่…ข้ากลับไม่รู้สึกว่าเขาเหมือนผู้ถูกเลือกเลยสักนิด…”

“เจ้ากำลังพยายามจะพูดอะไร เอ็ดเวิร์ด” โจที่เป็นพวกสมองกล้ามรีบถาม

เจสสิก้าดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาของเธอเบิกกว้างอย่างตกใจ “เจ้าหมายถึง…?!”

“ใช่ ข้าเชื่อว่าท่านซีเว่ยอาจเป็นร่างอวตารของเทพเจ้าอย่างที่ในตำนานเคยกล่าวไว้!” เอ็ดเวิร์ดไม่ยื้อคำตอบอีกต่อไป เขาเฉลยทันที

“เป็นไปไม่ได้!” โจส่ายหัวด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

“ขะ ข้าก็คิดว่ามันเหลือเชื่อเกินไป!” เจสสิก้าเห็นด้วยกับโจ

“อย่าลืมว่าพวกเราทั้ง 4 เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา! มีเพียงเอลีน่าที่มีคุณสมบัติเป็นนักบุญหญิง ปกติแล้วเทพเจ้าจะไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลยสักนิด ไม่ต้องพูดถึงพรของเทพเจ้า! ถ้าเขาไม่ได้เป็นเทพจริง ๆ และถ้าเราไม่ร้องขอ เขาจะมอบระบบอันล้ำค่านี้ให้กับแก่เราได้ยังไง พวกเรามีบุญอะไร” เอ็ดเวิร์ดพูดออกมาด้วยความหลงใหล มีประกายไฟลุกโชนในดวงตาของเขา

“คิดดูสิ! เขาได้ทิ้งคำแนะนำไว้ให้เราก่อนที่เขาจะหายไปในช่วงเวลาสั้น ๆ นั่นไม่เหมือนวิวรณ์ของเทพเจ้าเหรอ”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของเอ็ดเวิร์ด คนอื่น ๆ ก็เริ่มจะเชื่อ

“งั้น…ข้าก็พึ่งถูกเทพเจ้าตั้งชื่อให้นะสิ!” โกวต้านอ้าปากค้าง เขาตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น “นี่พวกเจ้าจะเรียกข้าว่าโกวต้านไม่ได้อีกแล้วนะ ต่อไปนี้จงเรียกข้าว่าโตวก้าน!”

“ได้โกวต้าน” “เข้าใจแล้วโกวต้าน” “ ไม่มีปัญหาโกวต้าน!” อีกสามคนตอบทันที ในขณะที่เอลีน่าพยายามกลั้นยิ้มจนหน้าเบี้ยวอยู่ข้าง ๆ

โกวต้านพูดไม่ออก

“สรุป ข้าเชื่อว่าเส้นทางของเราในตอนนี้ชัดเจนมาก” เอ็ดเวิร์ดไอกลบเกลือน และพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้เช้าเราจะมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ตามคำสั่งของเทพเจ้าแห่งเกม!”

อีก 4 คนไม่ขัดข้อง พวกเขารีบกลับไปที่บ้านของตัวเองและใช้เวลาคืนสุดท้ายอยู่ในหมู่บ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่มานานกว่า 10 ปี…

ซีเว่ยที่กลับไปยังอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา กำลังใช้ดวงตาศักดิ์สิทธิ์มองลงมายังเหล่าสาวกตัวน้อย สิ่งที่พวกเขาคุยกันได้ทำให้ซีเว่ยประหลาดใจอย่างมาก

เขาไม่คิดเลยว่าเอ็ดเวิร์ดจะสามารถสรุปตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ แม้ว่าวิธีเดาของเขาจะดูยุ่งเหยิ่งไปหน่อย แต่เขาก็สามารถหาคำตอบที่ถูกต้องได้…

เมื่อเห็นเด็กทั้ง 5 กลับมาร่าเริงอีกครั้ง เขาก็ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ (แม้ว่าเขาจะไม่มีหน้าก็ตาม)

ตามที่คาดไว้ การเลือกเด็ก ๆ มาเป็นสาวกกลุ่มแรกเป็นทางเลือกที่ดีจริง ๆ

ไม่เพียงแต่พวกเขาจะยอมรับสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายเท่านั้น พวกเขายังสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ไวด้วย และเมื่อพวกเขาประสบกับความทุกข์ใจ พวกเขาก็จะกลับมาร่าเริงได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันก็จะช้าไม่ได้แล้ว ฉันต้องเตรียมการทั้งหมดให้เสร็จก่อนที่พวกเขาจะมาถึงเมืองเริ่มต้น”

ตอนนี้ความกังวลของเขาหายไปหมดแล้ว เขาจะไม่มีวันดับสูญแน่ เนื่องจากเขามีผู้ศรัทธาที่แท้จริง 4 คนและผู้ศรัทธาที่เคร่งศาสนาอีกหนึ่งคน เขาสามารถใช้พลังงานเทพได้มากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการมาถึงของพวกเขา

——————————————————————————————–

ตามคาด เหล่าเด็ก ๆ ที่ไม่เคยเห็นโลก จะต้องรู้สึกคล้อยตามคำพูดของเขา

ในขณะที่เขาพูดคำว่า “โอ้~เทพเจ้าแห่งเกม โปรดมอบชีวิตใหม่ให้กับเรา!” เด็ก ๆ ก็พูดซ้ำคำเหล่านั้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

วินาทีต่อมา ซีเว่ยก็รู้สึกได้ถึงพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ที่พวยพุ่งขึ้น!

แม้ว่าความศรัทธาของพวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับเอลีน่า แต่พวกเขาก็ผ่านเกณฑ์ของผู้ศรัทธาที่ตื้นเขินแล้ว ตอนนี้พวกเขากลายเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง และเป็นไปตามเงื่อนไขการเปิดใช้งานระบบ

“นี่ข้าตาฝาดรึเปล่า?”

“อะ ไอ้ที่ลอยอยู่ข้างหน้าข้านี่คืออะไรกัน!”

“ข้าก็ด้วย!”

“มันคืออะไร?”

พวกเด็ก ๆ ต่างพากันอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ เมื่อหน้าจอระบบปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา

“ไม่ต้องกลัว นี่คือสิ่งที่ข้าพึ่งพูดไป พรจากเทพเจ้าแห่งเกม!” ซีเว่ยพูดเพื่อให้พวกเขาสงบลง

หน้าจอระบบที่พวกเขามี แตกต่างจากของนักบุญหญิงที่เขาสร้างขึ้นเป็นพิเศษให้เอลีน่า ระบบของพวกเขาเป็นเพียงระบบพื้นฐาน ที่ไม่มีแม้แต่คลาสประจำตัวแถมมาให้ด้วยซ้ำ

หากพวกเขาเป็นคนที่ถูกอัญเชิญมาต่างโลก พวกเขาคงจะเดาได้แล้วว่าต้องทำอะไรหลังจากได้เห็นหน้าจอระบบ

แน่นอน ทั้งหมดที่พวกเขาต้องทำคือการทำเควส ฆ่ามอนเพิ่มเลเวล และขึ้นไปยังจุดสูงสุดของพีระมิด อะแฮ่ม และบางทีพวกเขาอาจเปิดฮาเร็มด้วย…

แต่เนื่องจากระบบเกมเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับผู้คนบนโลกใบนี้ โดยเฉพาะเหล่าเด็ก ๆ จากหมู่บ้านชนบทที่ไม่เคยออกไปสัมผัสโลกกว้าง พวกเขาจึงต้องใช้เวลาทำความเข้าใจก่อนที่จะใช้ระบบได้อย่างเหมาะสม

ดังนั้น ซีเว่ยจึงได้เริ่มอธิบายวิธีใช้งานหน้าจอระบบให้พวกเขาฟังอย่างละเอียด

“เลเวลจะเป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของเจ้า เมื่อระบบถูกเปิดขึ้นครั้งแรก ทุกคนจะมีเลเวล 1 เหมือน ๆ กัน ยิ่งตัวเลขนี้เพิ่มสูงขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น! และเจ้าจะได้รับคะแนนทักษะเป็นรางวัลทุกครั้งเมื่อเลเวลของเจ้าเพิ่มขึ้น”

“โอ้จริงสิ! เลเวลสูงสุดในตอนนี้คือเลเวล 30 เมื่อเจ้ามาถึงเลเวล 30 แล้ว เจ้าจะเพิ่มเลเวลต่อไปไม่ได้ จนกว่าขีดจำกัดเลเวลจะถูกปลดล็อค เมื่อระบบอัปเดตเวอร์ชันใหม่ในครั้งหน้า”

“เจ้าสามารถเพิ่มเลเวลได้โดยการสะสมค่าประสบการณ์ซึ่งเจ้าจะได้รับมันจากการฆ่าสัตว์ประหลาด…ใช่ มันคือสัตว์ประหลาดตัวเดียวกับที่พวกเจ้ากำลังคิดอยู่นั่นแหละ…ส่วนแถบค่าประสบการณ์จะอยู่ด้านล่างสายตาเจ้า แถบที่มีคำว่า EXP นั่นแหละ ทำไมเราถึงเรียกมันว่าค่าประสบการณ์? เจ้าไม่เคยได้ยินคำว่า ‘การฝึกฝนจะทำให้เจ้าประสบความสำเร็จ’ หรอกหรือ? เจ้าคงไม่คิดว่าแค่อยู่เฉย ๆ เจ้าจะทำทุกเป็นด้วยตัวเองใช่ไหม?”

“ต่อไป คลาสของพวกเจ้าจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการพัฒนาในอนาคตของเจ้า เริ่มแรกระบบจะมี 4 คลาสให้เจ้าเลือก วอร์ริเออร์(นักรบ) เรนเจอร์(นักล่า) เมจ(นักเวทย์) และเคลริค(นักบวช) ความแตกต่างระหว่างคลาสทั้ง 4 ส่วนใหญ่จะเป็นในด้านของทักษะที่พวกเจ้าจะได้รับ และการเติบโตของค่าสถานะ…อะไร? เจ้าถามว่าไม่จำเป็นต้องศรัทธาจอมขมังเวทย์อาซูเพื่อเป็นนักเวทย์หรือ? ใช่ เจ้าไม่ต้องศรัทธา ทำไมไม่มีคลาสนักล่า? อืม…ที่จริงมันก็คือเรนเจอร์นั่นแหละ”

“ทักษะเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เทพเจ้าแห่งเกมทรงประทานพรให้กับพวกเจ้า และทักษะแต่ละอย่างจำเป็นต้องค่อย ๆ เรียนรู้อย่างช้า ๆ ตามระดับเลเวลของพวกเจ้า ทักษะบางอย่างนอกจากเวเวลแล้ว จะมีข้อกำหนดด้านค่าสถานะที่ต้องการในการเรียนรู้ เมื่อเจ้าทำตามข้อกำหนดครบถ้วน เจ้าจะสามารถเรียนรู้มันได้ การร่ายทักษะเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะต้องใช้ MP ของเจ้า…ใช่ MP คือเกจสีน้ำเงิน”

“ค่าสถานะเป็นภาพสะท้อนพลังของเจ้า…เจ้าถามว่ามันคืออะไรงั้นเหรอ? อืม…มันเป็นตัวชี้วัดความสามารถทางด้านร่างกายและจิตใจของเจ้า”

“ถ้าเกจ HP ของเจ้าหมด เจ้าก็จะตาย ถ้าเกจ MP ของเจ้าหมด เจ้าก็จะไม่สามารถใช้ทักษะได้ STR เป็นค่าพลังทางกายภาพ มันคือตัวกำหนดความแข็งแรงและพลังโจมตีทางกายภาพของเจ้า AGI เป็นค่าความคล่องตัว มันคือตัวกำหนดความเร็วและการตอบสนองของเจ้า INT เป็นค่าความฉลาด มันคือตัวกำหนดความมุ่งมั่น ความสามารถทางจิตใจและพลังเวทของเจ้า”

“ทำไมเขาถึงมี STR 2 และเจ้ามีเพียง 1…เจ้าดูแขนของเขาที่หนาเกือบเท่าต้นขาเจ้าสิ! ค่าสถานะเริ่มต้นที่เจ้าจะได้รับ จะขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนบุคคลของเจ้า อย่าตั้งคำถาม! เจ้าไม่สามารถตำหนิใครได้นอกจากตัวเจ้าเอง”

ท้ายที่สุดแล้วระบบเหล่านี้เป็นสิ่งใหม่และน่าสนใจสำหรับเด็ก ๆ พวกเขาสามารถคิดคำถามแปลก ๆ ได้ทุกประเภท โดยเฉพาะคำถามที่ไม่เคยมีใครเคยถามเขามาก่อน มันเกือบจะทำให้ซีเว่ยปวดหัว

ด้วยเหตุนี้ซีเว่ยจึงรีบพูดสรุปทุกอย่างอย่างรวดเร็ว ในฐานะที่พวกเขายังเด็กและยังสามารถเติบโตได้ ความสามารถในการเรียนรู้และดูดซับของพวกเขานั้นแข็งแกร่งกว่าผู้ใหญ่มาก อันไหนที่พวกเขาไม่เข้าใจ เขาจะปล่อยให้พวกเด็ก ๆ ค่อย ๆ เรียนรู้มันด้วยตัวเอง

“ข้าจะเลือกเมจ ข้าอยากเรียนเวทมนตร์” เด็กชายที่ดูเหมือนผู้นำของกลุ่มพูดขึ้น

“ข้าอยากเป็นวอร์ริเออร์! พ่อข้าเป็นช่างตีเหล็ก ข้าเลยรู้ว่าดาบที่ดีที่สุดในหมู่บ้านอยู่ที่ไหน!” เด็กชายท่าทางแข็งแรงที่มีค่า STR เริ่มต้น 2 พูดเสียงดัง

“ข้าเป็นเคลริคได้ไหม” เด็กผู้หญิงหนึ่งเดียวถามขึ้นมาเสียงเบา

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเป็นเรนเจอร์ ข้าถนัดการใช้หนังสติ๊ก!” เด็กชายคนสุดท้ายตัดสินใจในที่สุด

เด็กทั้ง 4 คนเลือกคลาสของพวกเขาอย่างรวดเร็ว

ซีเว่ยเฝ้าดูการตัดสินใจของเด็ก ๆ เขาอยากจะบอกว่าพวกเขาสามารถเลือกคลาสเดียวกันได้ แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่พูด

“เอาล่ะ ถ้าเลือกได้แล้วก็บอกชื่อของพวกเจ้ามา”

เมื่อเห็นทั้ง 4 คนเริ่มตรวจสอบหน้าต่างระบบของตัวเอง ซีเว่ยก็จำได้ว่าเขาต้องถามชื่อพวกเด็ก ๆ ด้วย

“ข้าเอ็ดเวิร์ด•เคนนิงตัน” เด็กชายที่เลือกเป็นเมจแนะนำตัว

“ข้าเจสสิก้า•ไวส์” เด็กสาวที่บอกว่าจะเป็นเคลริคพูดเสียงเบา

“เรียกข้าว่า โจ•พอล ก็ได้!” เด็กที่เลือกเป็นวอร์ริเออร์ประกาศชื่อตัวเอง

“ข้าชื่อโกวต้าน*” เด็กที่ตัดสินใจเป็นเรนเจอร์พูด

(โกวต้าน ภาษาจีนแปลว่า ไข่สุนัข)

ดวงตาของซีเว่ยกระตุก “ทำไมชื่อเจ้าถึง…พิเศษจัง”

“พ่อข้าเป็นผู้ลี้ภัยที่ไม่มีชื่อสกุล” โกวต้านสารภาพตามความจริง

“เอาล่ะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะมีชื่อว่าโตวก้าน” ซีเว่ยตัดสินใจ

เด็กเหล่านี้เป็นผู้ศรัทธากลุ่มแรกที่เขามี ซึ่งอาจกลายเป็นอัครสาวกของเขาในอนาคต หากเด็กชายคนนี้ยังคงใช้ชื่อว่าโกวต้านต่อไป ศาสนจักรของเขาคงจะดูไม่น่าเชื่อถือ!

โกวต้าน…ไม่สิ โตวก้านจ้องไปที่ซีเว่ย ก่อนจะพยักหน้าให้เขาอย่างกระตือรือร้น

ซีเว่ยใช้นิ้วของเขาเขียนชื่อลงไปในช่องว่างสีขาวที่ลอยอยู่บนหัวของพวกเด็ก ๆ

“สัญลักษณ์นี้มีเพียง ‘ผู้เล่น’ ที่ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ ถ้าเจ้าได้เห็นผู้อื่นมีตัวอักษรเช่นนี้ลอยอยู่เหนือหัว พวกเจ้าจะรู้ได้ทันทีเลยว่าพวกเขาคือเพื่อนร่วมศาสนาของเจ้า!” ซีเว่ยแนะนำพวกเขาต่อ “แม้ว่าหลักคำสอนของศาสนจักรเราจะไม่ขอให้พวกเจ้าทุกคนรักกัน แต่อย่างน้อยพวกเจ้าก็ไม่ควรขัดแย้งกันอย่างรุนแรงใช่ไหม? อย่าลืมว่าพวกเจ้าเกือบจะเป็นอมตะกันแล้ว ฆ่ากันไปก็เปล่าประโยชน์”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กทั้ง 5 คนก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ทันใดนั้นเอง พวกเขาก็จำได้ว่าผู้ศรัทธาในศาสนจักรแห่งเกมจะถูกเรียกว่า ‘ผู้เล่น’

เอลีน่าเป็นคนที่คุ้นเคยกับซีเว่ยมากที่สุด ดังนั้นเธอจึงเป็นคนที่เกร็งน้อยที่สุดเวลาอยู่ต่อหน้าเขา เธอก้าวมาข้างหน้าและถามเขาว่า “ท่านซีเว่ย คำสอนของศาสนจักรของเราคืออะไรหรือ?”

ซีเว่ยชะงัก ที่จริงเขาก็ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ซีเว่ยก็ไม่เสียเวลาคิดนาน

“ประการแรก: ชีวิตก็คือเกม หลังจากที่เจ้าศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม เจ้าก็จะกลายเป็นผู้เล่น”

“ประการที่สอง: เวลาก็คือเงินเพื่อนข้า เงินสามารถซื้อได้ทุกอย่างยกเว้นประสบการณ์ ดังนั้นเจ้าไม่สามารถซื้อความสุขได้ด้วยเงินเดือนของเจ้า!”

“ประการที่สาม: แม้ว่าเจ้าจะมีภาระที่หนักหน่วงอย่างการกอบกู้โลกวางไว้บนบ่า แต่เจ้าก็สามารถหยุดพักเล่นไพ่ได้ในเวลาว่างเช่นกัน”

“ประการที่สี่: ทุกสิ่งที่มีเกจ HP สามารถกลายเป็นค่า EXP ให้เจ้าได้ ดังนั้นจงอย่าลืมว่าการฆ่าเป็นเพียงหนทางผ่านสู่ความสำเร็จหนทางหนึ่งเท่านั้น อย่าปล่อยให้การสังหารหมู่กลายเป็นเป้าหมายของตัวเจ้า”

“ประการที่ห้า: ความแข็งแกร่งของเจ้าขึ้นอยู่กับเวอร์ชันปัจจุบันของเกม อย่าโทษตัวเองในเส้นทางที่เจ้าเลือก แต่หากเจ้าต้องการตำหนิใครสักคน จงโทษนักออกแบบเกมที่ชั่วร้ายเหล่านั้น!”

“ประการที่หก: จงอย่าละทิ้งเกียรติและศักดิ์ศรีของเจ้าในฐานะผู้เล่น มิฉะนั้นเจ้าจะถูกลงโทษโดยเทพเจ้าแห่งเกม!”

“ประการที่เจ็ด: ก่อนที่เจ้าจะโดนธนูปักหัวเข่า จงออกไปเล่นสนุกให้เต็มที่!”

“ประการที่แปด: เทพเจ้าแห่งเกม ขอสงวนสิทธิ์ในการตีความหลักคำสอนที่กล่าวไปแล้วในข้างต้น”

——————————————

“ท่านซีเว่ยหนูเห็นทักษะ ‘ชุบชีวิต‘ มันใช่…”

เอลีน่าที่เพิ่งเลเวลอัพ มองไปที่ซีเว่ยอย่างมีความหวัง

ซีเว่ยเข้าใจความหมายของเด็กสาว เธอคงต้องการชุบชีวิตชาวบ้านที่ตายไปแล้วเหล่านั้น

“น่าเสียดาย เจ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้” เขาทำลายจินตนาการของเด็กหญิงอย่างไร้ความปราณี “ทักษะชุบชีวิต สามารถใช้ฟื้นคืนชีพเหล่าคนตายได้ดั่งที่เจ้าเข้าใจนั้นถูกต้องแล้ว แต่มันใช้ได้ผลเฉพาะเหล่าผู้ที่ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมเท่านั้น การใช้ทักษะหนึ่งครั้ง จะแลกกับจำนวน EXP บางส่วนที่พวกเขามีอยู่…แม้ว่ามันจะฟังดูโหดร้าย แต่นี้เป็นกฎระหว่างเทพเจ้า เราไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้”

ที่จริงแล้ว แม้แต่การชุบชีวิตแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เขาก็ทำได้โดยการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่บางอย่าง ที่ราชาแห่งความตายฮาเดสเหลือทิ้งไว้

เดิมทีเทพเจ้าแห่งเกม ไม่ได้มีอิทธิพลที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความตาย แต่สำหรับซีเว่ย มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ตัวละครในเกม จะสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้หลังจากที่พวกเขาตาย ดังนั้น เขาจึงได้ตัดสินใจสร้างกลไกการฟื้นคืนชีพแบบอัตโนมัติขึ้นมาสำหรับผู้ศรัทธาของเขา และเขาก็ทำสำเร็จ

หากผู้ศรัทธาของเขายังคงศรัทธาในตัวเขา ขณะที่พวกเขากำลังเสียชีวิต พวกเขาก็จะกระตุ้นให้เกิดกลไกการฟื้นคืนชีพแบบอัตโนมัติขึ้นมา จากนั้นวิญญาณของพวกเขาก็จะถูกส่งไปเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัย นั่นก็คือภายในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ย สถานะนี้ไม่ใช่การตายที่แท้จริง ดังนั้นราชาแห่งความตายฮาเดส ผู้มีอำนาจเหนือโลกใต้พิภพและความตาย จะไม่มีทางรู้ว่าวิญญาณที่ตายไปแล้วส่วนหนึ่ง ถูกดักจับไว้โดยซีเว่ย

หากมีคนร่ายทักษะชุบชีวิตให้กับศพของผู้ศรัทธาในศาสนจักรแห่งเกม ผู้ศรัทธาคนนั้นก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ทันที โดยผู้ที่ถูกชุบชีวิตจะถูกหักค่าประสบการณ์ 10% หากไม่มีใครช่วยชุบชีวิตให้พวกเขา พวกเขาก็จะฟื้นขึ้นมาเองหลังจากผ่านไป 72 ชั่วโมง และถูกหักค่าประสบการณ์ไป 30%

เมื่อ EXP คงเหลือของพวกเขาไม่เพียงพอ เลเวลของพวกเขาก็จะถูกปรับลด หากพวกเขามีค่าประสบการณ์น้อยกว่า 10% ที่เลเวล 1 มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฟื้นคืนชีพพวกเขากลับขึ้นมา แต่ในทางกลับกัน ตราบใดที่พวกเขามี EXP มากกว่า 20% ที่เลเวล 1 พวกเขาก็จะไม่มีวันตาย

แม้ว่าเทพองค์อื่น ๆ จะพยายามเลียนแบบซีเว่ย แต่มันก็ไร้ประโยชน์ พวกเขาไม่อาจทำมันด้วยตนเองได้ พวกเขาต้องการอิทธิพลบางส่วนจากเทพเจ้าที่มีอำนาจเกี่ยวข้องกับความตาย เพื่อให้สามารถทำได้เช่นเดียวกับเขา

อ่อ ยกเว้นเทพเจ้าอยู่องค์หนึ่ง ราชาแห่งความตายฮาเดส เขาทำได้ แต่เขาจะไม่ทำแน่

ในฐานะเทพที่มีอำนาจเหนือความตาย ความศรัทธาของสิ่งมีชีวิตไม่มีความหมายอะไรสำหรับราชาแห่งความตายฮาเดส เขาจะไม่ออกนอกลู่นอกทางเพื่อชุบชีวิตเหล่าผู้ศรัทธาของลูกน้องเขาแน่ หากเขาทำ มันจะลดความกลัวที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต้องเผชิญเมื่อพบกับความตาย และมันยังทำให้ศักดิ์ศรีของราชาแห่งความตายเสียหายด้วย เขาจะไม่ทำแบบนั้นยกเว้นว่าสมองของเขาจะมีปัญหา

เมื่อซีเว่ยสร้างกลไกการฟื้นคืนชีพแบบอัตโนมัติ มันก็ทำให้เขาได้เข้าใจตัวตนของเทพเจ้าแห่งเกมมากขึ้น นั่นคือตราบใดที่เขาคิดว่าสิ่งนั้นเป็นสามัญสำนึกสำหรับเกม เขาก็สามารถมีอิทธิพลต่อมันได้ในระดับหนึ่ง และเมื่อทำการเปรียบเทียบตัวเขาเองกับเทพเจ้าแห่งเกมองค์ก่อน แน่นอนว่าเขาต้องมีความรู้เรื่องเกมมากกว่าอยู่แล้ว

เด็กสาวที่เพิ่งมีความหวัง กลับถูกดับลงด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาของซีเว่ย เธอเช็ดน้ำตาขณะที่สะอื้นเบา ๆ

แต่เธอก็ไม่ได้หลีกหนีความเป็นจริงที่เธอพึ่งประสบ เธอใช้คะแนนทักษะที่เธอเพิ่งได้รับมาไปกับทักษะการรักษาที่ชื่อว่า ‘สัมผัสรักษา‘ แทน

เธอรีบเดินไปหาเหล่าผู้รอดชีวิตที่นอนหอบหายใจรวยรินอยู่บนพื้น

ขณะที่เธอยื่นมือออกไป ฝ่ามือของเธอก็เริ่มเปล่งประกายแสงสีขาวบริสุทธิ์ หากใครก็ตามผ่านมาเห็นฉากนี้ ถ้ามีคนบอกพวกเขาว่าเธอเป็นแม่ชีมากประสบการณ์จากศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสว ก็คงไม่มีใครสงสัยในตัวเธอ ถ้าไม่ใช่เพราะมีตัวเลข ‘+1‘ สีเขียวผุดขึ้นมาจากหัวคนที่นอนอยู่บนพื้นน่ะนะ…

ชาวบ้านที่ยังรอดชีวิตเหล่านี้ไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอะไรนัก พวกเขาแค่อ่อนเพลียจากการที่ถูกเขี้ยวมังกรขย้ำเล่น เพราะตั้งแต่แรกเหล่าผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นของเล่น ล้วนเป็นชาวบ้านหนุ่มสาวที่ร่างกายแข็งแกร่งและมีพลัง ดังนั้นตัวเลข ‘+1 ที่ผุดขึ้นมาจึงปรากฏอยู่เพียงไม่นาน ก่อนที่พวกเขาจะหายสนิท

ชาวบ้านเหล่านี้ตกอยู่ในห้วงแห่งความสิ้นหวัง หลังจากที่พวกเขาล้มเหลวในการพยายามหลบหนีหลายต่อหลายครั้ง พวกเขาไม่คิดเลยว่าเมื่อพวกเขาหันกลับมาอีกครั้ง เจ้าเขี้ยวมังกรที่ไล่ล่าพวกเขาอย่างกับแมวหยอกหนู จะขาดใจตายจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว

แม้ว่าผู้ที่โจมตีสัตว์ประหลาดครั้งสุดท้ายคือเอลีน่า แต่ชาวบ้านก็รู้ดีว่าคนที่ช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ คือคนนอกลึกลับผู้นี้

“นายท่าน!”

ชาวบ้านที่รอดชีวิตล้วนเป็นเด็กวัยรุ่นอายุประมาณ 12-15 ปี ประกอบด้วยเด็กชาย 3 คนและเด็กหญิงอีก 1 คน เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นผู้นำของกลุ่ม ก้าวออกมาด้วยขาสั่น ๆ และคุกเข่าลงตรงหน้าซีเว่ย เขาเริ่มร้องไห้อ้อนวอนด้วยเสียงแหบแห้งว่า “หมู่บ้านของเราถูกทำลายไปแล้ว พวกเราไม่เหลือหนทางใด ๆ แล้ว! หากเรายังอยู่ที่นี่ ถ้าไม่อดตายก็คงต้องถูกสัตว์ร้ายกินเข้าสักวันแน่! นายท่าน ได้โปรดเมตตาช่วยเราด้วย! ได้โปรดพาเราไปกับท่านด้วย!”

ซีเว่ยลูบคาง ดูเหมือนว่าพวกเด็ก ๆ จะเข้าใจผิดว่าเขาเป็นนักเวทพเนจร พวกเด็ก ๆ หวังว่าเขาจะเมตตาให้ความช่วยเหลือ

แต่นั่นเป็นไปไม่ได้ เขาเหลือเวลาอยู่ในดินแดนมรรตัยแห่งนี้ไม่มากนัก

“ข้าขอโทษ ข้าไม่สามารถพาพวกเจ้าไปด้วยได้ แต่ถ้าเจ้าเต็มใจที่จะศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมผู้ยิ่งใหญ่ ข้าก็สามารถมอบหนทางรอดให้พวกเจ้าได้” เขากล่าวอย่างเคร่งขรึมจริงจัง

เหล่าเด็ก ๆ รู้สึกผิดหวังที่ถูกซีเว่ยปฏิเสธ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กชายก็คุกเข่าคำนับเขาอย่างจริงจัง “เราเต็มใจที่จะศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม!”

เด็กคนอื่น ๆ ทำตามเขาและหมอบลงไปกับพื้น แต่เนื่องจากพวกเขาไม่เคยได้เรียนวิธีการคำนับที่ถูกต้อง พวกเขาจึงดูเหมือนกบตัวใหญ่ที่นอนคุดคู้อยู่บนพื้น

ภายใต้การจ้องมองที่เต็มไปด้วยความหวังของเอลีน่า ซีเว่ยกลับขมวดคิ้ว

เขาไม่สามารถรู้สึกได้ถึงพลังศรัทธาที่มาจากเด็ก ๆ เหล่านี้

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาแค่พูดมัน แต่ไม่ได้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมจากก้นบึ้งของหัวใจเหมือนที่เอลีน่าทำ

ซีเว่ยต้องการจะฉีกหน้าพวกเขาออก แต่ก็ยั้งตัวเองเอาไว้ทัน

เมื่อตอนที่เขายังอยู่บนโลก อันที่จริงเขาก็เป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงเข้าใจได้ว่าเด็ก ๆ เหล่านี้กำลังรู้สึกอย่างไร

ไม่มีใครยอมเปิดใจและเชื่อในศาสนาที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน จากคำพูดของคนแปลกหน้าเพียงไม่กี่คำหรอก…

แม้แต่เอลีน่าที่เขาคุ้นเคยมากที่สุด ก็ยังปฏิเสธเขาเมื่อเขาชวนเธอมาเป็นนักบุญในครั้งแรก ไม่ต้องพูดถึงเด็กเหล่านี้ที่เขาไม่เคยพบมาก่อน

หลังจากหยุดคิดสักพัก เขาก็พูดขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนเพิ่งสูญเสียคนที่พวกเจ้ารักไป ในเวลานั้น พวกเจ้าทำได้เพียงแค่มองดูพวกเขาตายลงอย่างไร้หนทาง หัวใจของพวกเจ้าเจ็บปวดยิ่งกว่าร่างกายของพวกเจ้าที่ถูกศัตรูทำร้าย แม้ว่าตอนนี้พวกเจ้าจะรอดตายแล้ว แต่ในเวลาที่พวกเจ้าทุกข์ทรมานที่สุด เทพเจ้าที่เจ้าศรัทธาได้ช่วยเหลือเจ้าหรือไม่ สงสารเจ้าหรือไม่? แม้ว่าเจ้าจะดั้นด้นเดินทางไปยังศาสนจักรของเทพในเมืองใหญ่ และเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านให้นักบวชที่นั่นฟัง คำตอบที่พวกเจ้าจะได้รับก็คือพูดอย่างสำรวมว่า ‘นี่คือสิ่งที่พระเจ้ากำหนด’ โดยไม่มีความรู้สึกสงสารเจือปนแม้แต่น้อย”

เหล่าเด็ก ๆ ที่ได้ฟังความจริงที่พวกเข้ารู้อยู่แก่ใจดี สีหน้าก็พลันหดหู่และมืดมน เด็กสาวคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ใช่เอลีน่าเริ่มสะอื้นไห้

เอลีน่าเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เธอและลูบหลังเธอเบา ๆ อย่างปลอบโยน

“แล้วเจ้าคิดว่า คำพูดของนักบวชพวกนั้นคือความจริงหรือ? ไม่ ไม่ใช่เลย! การมีอยู่ของเจ้าไม่มีความหมายสำหรับเทพผู้สูงศักดิ์และยิ่งใหญ่เหล่านั้น…ทำไมพวกเขาจะต้องสนใจในตัวเจ้า? ตัวเจ้าถูกพวกเขาทอดทิ้ง ดั่งที่มนุษย์ไม่เคยสนใจว่ามดตัวเล็ก ๆ เหล่านั้นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เทพเจ้าของพวกเจ้าก็ไม่เคยสนใจความทุกข์ของเจ้าที่เปรียบดั่งมดในสายตาพวกเขาเช่นกัน! เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมเจ้าถึงยังสวดอ้อนวอนให้พวกเขาอีกเล่า!” น้ำเสียงของซีเว่ยเต็มไปด้วยการยั่วยุ

“แทนที่เจ้าจะรอคอยความเมตตาที่ซึ่งเทพเหล่านั้นไม่มีทางมอบมันให้กับเจ้า ทำไมเจ้าไม่ใช้สองมือของเจ้า แผ้วถางเส้นของตัวเจ้าเอง ไม่มีความยุติธรรมที่แท้จริงบนโลกใบนี้ เพราะความ ‘ยุติธรรม‘ ถือเป็นพรของผู้ศรัทธาทุกคนของเทพเจ้าแห่งเกม! ทำไมพวกเจ้าไม่ลองดูล่ะ? ใช้สองมือของเจ้า และความพยายามของเจ้า เพื่อต่อต้านสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตา ที่คนเหล่านั้นใช้กำหนดคุณค่าของตัวเจ้า!”

ในตอนท้าย ซีเว่ยยิ้มบาง ๆ และพูดว่า “โอ้~เทพเจ้าแห่งเกม โปรดมอบชีวิตใหม่ให้กับเรา!”

———————————————

เมื่อเอลีน่านำซีเว่ยกลับมาถึงหมู่บ้านเคนนิงตัน ที่นี่ก็เหลือชาวบ้านที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงไม่กี่คน

การที่พวกชาวบ้านยังสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้จนถึงตอนนี้ นั่นเพราะเขี้ยวมังกรมีนิสัยชอบเล่นกับเหยื่อของมัน

มันจะปล่อยให้ชาวบ้านวิ่งหนีซ้ำแล้วซ้ำอีก จากนั้นมันก็จะไล่ตามพวกเขาและจับพวกเขากลับไปยังจุดเริ่มต้น แล้วปล่อยให้พวกเขาวิ่งหนีไปอีกครั้ง และอีกครั้ง เมื่อชาวบ้านถูกขย้ำจนไม่อาจลุกขึ้นมาขยับได้อีกต่อไป หรือเมื่อมันเริ่มเบื่อ มันก็จะขย้ำพวกเขาจนตายในครั้งเดียว!

ทันใดนั้น จู่ ๆ เขี้ยวมังกรก็เงยหน้าขึ้น และจับจ้องไปยังทางเข้าหมู่บ้าน

มันได้กลิ่นของเหยื่อตัวใหม่ และยังสัมผัสได้ถึงอันตรายที่มาพร้อมกับเหยื่อ

“ท่านซีเว่ย…” เอลีน่าจับปลายเสื้อของเขาขณะที่เธอพูดเสียงสั่นด้วยความกลัว

“ไม่ต้องกลัว” ซีเว่ยพูดอย่างมั่นใจ เขาตบหัวปลอบเธอเบา ๆ

ตอนแรกเมื่อเขาเห็นสัตว์ประหลาดตัวเป็น ๆ ซีเว่ยก็ตกใจ เพราะในโลกเดิมของเขามันไม่มีอะไรแบบนี้

แต่หลังจากนั้นเขาก็ตระหนักว่า เขี้ยวมังกรไม่มีพลังเวทมนตร์ใด ๆ อยู่ในร่าง แม้ว่ามันจะฉลาดอยู่นิดหน่อย แต่มันก็ไม่ถูกนับว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริง

หากเป็นศัตรูระดับนี้ ซีเว่ยสามารถเอาชนะได้เป็น 10 ตัวโดยไม่ต้องกะพริบตาด้วยซ้ำ!

เขี้ยวมังกรคงจะรู้ว่ากำลังถูก ‘เหยื่อ‘ ของมันมองเหยียด ดังนั้นมันจึงคำรามด้วยความโกรธและพุ่งเข้าหาซีเว่ย

เมื่อรู้สึกถึงลมกระโชกแรงที่พัดเข้ามา ซีเว่ยก็ยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชา เขาจ้องมองไปที่สัตว์ประหลาดตัวนั้นโดยที่เขาไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว

ทันใดนั้นสัตว์ประหลาดก็ถูกพลังที่มองไม่เห็นสะท้อนกลับ

เกราะกระดูกบนร่างของเขี้ยวมังกรแตกเป็นเสี่ยง ๆ แม้แต่หนามแหลมที่หางของมันก็หักครึ่ง เขี้ยวมังกรล้มลงและส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด

ฉากที่ปรากฏต่อหน้าเธอ ทำให้เอลีน่าตกตะลึง เธอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

แม้เธอจะรู้สึกว่าชายคนนี้แข็งแกร่ง และสามารถเอาชนะเขี้ยวมังกรได้ แต่เธอก็ไม่คิดเลยว่าเขาจะมีพลังมากถึงขนาดที่เอาชนะมันได้ โดยไม่จำเป็นต้องขยับแม้แต่ปลายนิ้ว!

อันที่จริง มันเข้าใจไม่ยากเลยว่าทำไมเขี้ยวมังกรถึงลงเอยแบบนี้

หากคุณถ่มน้ำลายขึ้นฟ้า ในที่สุดมันก็จะตกลงบนหน้าคุณเอง แม้ว่าซีเว่ยจะเป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่อ่อนแอที่สุดในแดนเทพ แต่เขาก็ยังเป็นเทพเจ้า!

ทันทีที่เขี้ยวมังกรโจมตีเขา มันก็ได้กระตุ้นพลัง ‘ความพิโรธของพระเจ้า‘ ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ดังนั้นการโจมตีของมันจึงถูกสะท้อนกลับไปหาตัวมันเองแรงกว่าเดิมถึง 2 เท่า!

เทพเจ้าไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน แต่ถ้าใครต้องการจะท้าทายเทพเจ้า อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องเป็น ‘แชมเปี้ยนในตำนาน’ นั่นคือข้อกำหนดเบื้องต้น นั่นคือกฎของธรรมชาติ ถ้าพวกเขาไม่แม้แต่จะผ่านเกณฑ์ข้อกำหนดดังกล่าว ก็จะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดบนโลกที่สามารถต่อกรกับเหล่าเทพได้

“ท่านซีเว่ย มันจะหนีไปแล้ว!” เอลีน่าตะโกนขึ้นเมื่อเธอเห็นเขี้ยวมังกรกำลังพยายามหนีออกจากหมู่บ้าน เธอกระตุกปลายเสื้อของซีเว่ย เธอเติบโตขึ้นในหมู่บ้านชนบทห่างไกล เธอจึงรู้ว่าสัตว์ป่าแทบทุกตัวเป็นสัตว์ที่มีความอาฆาตพยาบาท หากเธอปล่อยให้เขี้ยวมังกรที่บาดเจ็บหนีไปได้ ไม่นานมันก็จะกลับมาเพื่อแก้แค้นอย่างแน่นอน

“เอลีน่า ข้าทำได้เพียงเท่านี้” ซีเว่ยส่ายหัว “แต่เจ้าต้องการล้างแค้นให้กับครอบครัวของเจ้า ด้วยมือของเจ้าเองหรือไม่?”

ดวงตาของเธอสว่างขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนที่มันจะดับลงอย่างรวดเร็ว เธอส่ายหัว “หนูเอาชนะมันไม่ได้หรอกค่ะ หนูอ่อนแอเกินไป…”

แม้ว่าเขี้ยวมังกรจะอยู่ในสภาพใกล้ตาย แต่เด็กสาวชาวบ้านธรรมดา ๆ อย่างเอลีน่า ก็ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้

ซีเว่ยพยักหน้าเห็นด้วย หากเอลีน่ากลัวเกินกว่าจะล้างแค้นให้ชาวบ้าน หรือเธอถูกความเกลียดชังบังตา และรีบวิ่งออกไปหาเขี้ยวมังกรโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง เขาคงจะผิดหวังในตัวเธอมาก

แม้เธอจะประสบกับชะตากรรมที่เลวร้ายเช่นนี้ แต่เธอก็ยังมีสติและชั่งน้ำหนักตัวเลือกอย่างใจเย็นแทนที่จะวู่วาม มันเป็นลักษณะที่มีค่าสำหรับเด็กสาวที่เติบโตในหมู่บ้านห่างไกลเช่นนี้

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเทพเจ้าแห่งเกม สามารถมอบพลังให้เจ้าเอาชนะศัตรูตรงหน้าเจ้าได้” ซีเว่ยเกลี้ยกล่อมเธออย่างอดทน

เอลีน่านิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นมาอย่างแน่วแน่ และจ้องมองไปที่ซีเว่ย “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็เต็มใจที่จะเป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม!”

“ความศรัทธาไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถมีได้ด้วยปากเจ้า จงหลับตาและจินตนาการถึงพระนามของพระองค์ในใจเจ้า และสัมผัสถึงพลังของพระองค์ด้วยหัวใจของเจ้า” เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม

ถ้าเขาพูดประโยคนี้กับคนในโลกเดิมของเขา พวกเขาอาจจะคิดว่าเขาบ้า แต่ในโลกใบนี้ พวกเขาเข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไร

เอลีน่าทำตามที่เขาพูด เธอหลับตาเรียกหาเทพเจ้าแห่งเกมในใจของเธอ ในเวลาที่เธอสิ้นหวังมากที่สุด เทพเจ้าที่เธอศรัทธา ไม่แม้จะสนใจฟังคำอ้อนวอนของเธอ ท่านไม่สงสารและไม่ต้องการช่วยเหลือเธอ แต่ซีเว่ย เขากลับเป็นผู้มอบหนทางรอดให้เธอ และจุดประกายแห่งความหวังในใจเธอ ดังนั้นครั้งนี้ เอลีน่าจึงอธิษฐานอย่างจริงใจ และจริงจังที่สุดในชีวิตเธอ

“พูดคำว่า ‘โอ้~เทพเจ้าแห่งเกม โปรดมอบชีวิตใหม่ให้กับเรา’ อย่างจริงใจ” เสียงของเขาดังขึ้นในความเงียบ

“โอ้~ เทพเจ้าแห่งเกม โปรดมอบชีวิตใหม่ให้กับเรา!” เอลีน่าเอ่ยคำนั้นออกมาอย่างจริงใจ

เพียงพริบตา ซีเว่ยก็สัมผัสได้ถึงพลังงานอันบริสุทธิ์ที่เปี่ยมล้นออกมาจากร่างของเอลีน่า

‘ใช่แล้ว นี่แหละ!‘ ซีเว่ยตะโกนอยู่ในใจด้วยความตื่นเต้น

เขาเริ่มทำตามขั้นตอนที่เขาจินตนาการมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน โดยได้ฉายภาพของระบบที่ถูกสร้างขึ้นจากพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขา เข้าสู่จิตสำนึกของเด็กสาว ผ่านเส้นทางแห่งศรัทธาที่ถูกเปิดขึ้นระหว่างพวกเขา จากศรัทธาที่เธอมีต่อเขา

‘ทุกอย่างของฉันเดิมพันกับสิ่งนี้!‘

โดยไม่รู้ว่าซีเว่ยแอบทำอะไรอยู่ข้าง ๆ เด็กสาวที่หลับตาอธิษฐาน จู่ ๆ ก็พบว่ามีแผ่นเรืองแสงแผ่นบาง ๆ ปรากฏขึ้นในความมืดเบื้องหน้าเธอ

[ผู้เล่น: เอลีน่า]

[คลาส: นักบุญหญิง(ฝึกหัด)]

[เลเวล 1]

[ค่าประสบการณ์: 0/100]

[HP: 50/50]

[MP: 30/30]

[คุณสมบัติ: STR 1 / AGI 1 / INT 2]

[คะแนนทักษะ: 1]

เอลีน่าลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ แต่แผ่นเรืองแสงเบื้องหน้าเธอกลับไม่ได้หายไป ดูเหมือนมันจะไม่ใช่ภาพลวงตา

“นี่ อะไร…?” เอลีน่าพูดกับตัวเองอย่างสับสน

“นี่คือของขวัญจากเทพเจ้าแห่งเกมที่มอบให้แก่เหล่าผู้ที่ศรัทธาในพระองค์ ตราบใดที่เจ้ายังศรัทธาในพระองค์ มันจะไม่หายไป” เขาอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ใช้คะแนนทักษะที่เจ้ามีเรียนรู้ทักษะ และสังหารเขี้ยวมังกรตัวนั้นด้วยตัวเจ้าเอง”

เอลีน่าจ้องไปที่ซีเว่ยอย่างงุนงงอยู่สักพัก เมื่อเธอได้สติเธอก็พยักหน้าแรง ๆ ก่อนที่ใบหน้าของเธอจะแดงก่ำ เธอพยายามถามออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “หนะ หนูจะเพิ่มคะแนนทักษะได้ยังไง แล้ว…ทักษะคืออะไรเหรอคะ?”

“ทักษะคือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เทพเจ้าแห่งเกมประทานให้เจ้า” เขาอธิบายอย่างอดทน เขาลืมคิดไปเลยว่าเด็กผู้หญิงบนโลกใบนี้คงจะไม่รู้เรื่องเกมออนไลน์ คงต้องมีคนคอยอธิบายให้เธอฟัง และคนคนนั้นก็คือเขา “เปิดหน้าทักษะขึ้นมา และใช้คะแนนทักษะกับทักษะที่เรืองแสงอยู่ ทักษะที่ไร้แสง หมายความว่าเจ้ายังมีเลเวลหรือความสามารถไม่สูงพอที่จะเรียนรู้”

“มหัศจรรย์มาก…” เอลีน่าเริ่มควบคุมระบบที่ไม่คุ้นเคยอย่างเงอะงะ และพึมพำออกมาเป็นระยะ

ในฐานะเด็กที่เกิดและเติบโตในหมู่บ้านชนบท เอลีน่าเคยเรียนรู้ภาษาชูโมเนียนจากพ่อของเธอมาก่อน แต่ก็รู้เพียงไม่กี่คำ

ถึงกระนั้น เธอก็ยังเข้าใจคำศัพท์ทั้งหมดที่เขียนบนแผ่นเรืองแสงได้ นี่เป็นผลมาจากการที่ซีเว่ยใช้ระบบแปลภาษาเทพเจ้า ในการสร้างหน้าอินเตอร์เฟซของระบบเหล่านี้ ทำให้ทุกคนสามารถเข้าใจมันได้ แม้คนคนนั้นจะเป็นผู้ไม่รู้หนังสือก็ตาม

เมื่อเห็นเขี้ยวมังกรเกือบจะหนีออกจากหมู่บ้านได้สำเร็จ เอลีน่าจึงเลือกเรียนรู้ทักษะการโจมตี ที่นักบุญหญิงสามารถเรียนรู้ได้ตอนเลเวล 1 ‘หอกแห่งชัยชนะ‘

เธอรวบรวมพลังศรัทธาจนปรากฏเป็นหอกสีทอง เจาะร่างเขี้ยวมังกร ตอกสัตว์ร้ายตัวนั้นตรึงไว้กับพื้น

เจ้าเขี้ยวมังกรได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง มันดิ้นรนอยู่สักพัก ก่อนที่จะขาดใจตาย

เมื่อสัตว์ร้ายตายลง ในที่สุดเอลีน่าก็วางใจ

ทันใดนั้นเธอก็เห็นแสงสีทองส่องออกมาจากร่างไร้ชีวิตของเขี้ยวมังกร ก่อนที่ร่างของมันจะหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงหางแหลมรูปร่างเหมือนเขี้ยวมังกรที่หัก และกรงเล็บที่แหลมคม

“เกิดอะไรขึ้น?” เอลีน่าถามด้วยความประหลาดใจ

“ศัตรูที่ถูกสังหารโดยเหล่าผู้ศรัทธา จะถูกมอบเป็นเครื่องสังเวยแด่เทพเจ้าแห่งเกม และบางครั้งหลังจากร่างของมันถูกสังเวย ก็จะเหลือวัสดุหรือรางวัลบางอย่างไว้ เราเรียกมันว่า ‘ไอเทม’ ไอเทมที่เจ้าได้รับ จะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของศัตรูที่เจ้าเอาชนะได้ ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เมื่อเจ้าสังเวยศัตรู เทพเจ้าแห่งเกมก็จะมอบ ‘EXP’ ให้ตามความแข็งแกร่งของศัตรูที่เจ้าได้สังเวยไป เมื่อแถบ EXP ของเจ้าเต็ม เจ้าก็จะสามารถเพิ่มระดับเลเวล และเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ได้ และนั่นก็จะทำให้ตัวเจ้าแข็งแกร่งมากชึ้นเรื่อย ๆ!” ซีเว่ยอธิบาย

โดยพื้นฐานแล้วค่า EXP ของผู้เล่นจะมาจากพลังศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเขาได้รับเครื่องสังเวยจากผู้ศรัทธา เขาจะแยกพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับออกเป็น 2 ส่วน 70% จะถูกเก็บไว้ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเขา ในขณะที่ 30% จะถูกส่งคืนให้กับผู้ศรัทธาที่ส่งเครื่องสังเวยเข้ามา ผ่านสายใยแห่งศรัทธาในรูปแบบ ‘พรของพระเจ้า’ ในขณะที่พลังศักดิ์สิทธิ์ถูกสะสมไปเรื่อย ๆ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาได้รับ ก็จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง ที่มนุษย์สามารถนำไปใช้ได้ หรือเรียกอีกอย่างว่าการเลเวลอัพนั่นเอง

ทันทีที่เขาพูดจบ แสงสีทองก็พุ่งขึ้นมาจากร่างของเด็กสาว ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเธอได้เลเวลอัพ หลังจากที่เอาชนะเขี้ยวมังกร

———————————————-

“เอลีน่า เจ้าไปเยี่ยมนักบวชคนนั้นอีกแล้วรึ” ผู้ใหญ่บ้านที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้านเคนนิงตันอดไม่ได้ที่จะถาม เมื่อเห็นเอลีน่าวิ่งกลับเข้ามาจากด้านนอก

“ค่ะปู่!” เอลีน่าตอบอย่างมีความสุข

“เจ้าควรรักษาระยะห่างจากเขาไว้จะดีกว่านะ เด็กน้อย” ผู้ใหญ่บ้านแนะนำอย่างเข้มงวด “เขาน่าสงสัยเกินไป”

“แต่ท่านซีเว่ยเพิ่งช่วยรักษาลุงเพียร์ซไปเมื่อวาน…?” เอลีน่าถามอย่างงง ๆ

“ใช่ และเขาไม่ได้ขอเงินค่าตอบแทนแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว ถ้าเป็นนักบวชจากในเมือง จำนวนเงินที่ต้องใช้ในการรักษาอาการบาดเจ็บระดับนั้น เราอาจต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า 300 ริออน!” ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “นี่คือเหตุผลที่ข้าไม่เชื่อว่าเขาเป็นคนดี เด็กน้อย ฟังข้าแล้วอย่าไปเจอเขาอีก เจ้าเข้าใจไหม”

ผู้ใหญ่บ้านเคนนิงตันอายุเกิน 60 ปีแล้ว เขาอาจถือได้ว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีอายุยืนยาวมากในโลกใบนี้ ความสูงวัยของเขา ทำให้เขามีความรู้และประสบการณ์มากกว่าชาวบ้านทั่วไป

ถ้าซีเว่ยขออะไรตอบแทน เช่นเงินหรือหญิงสาวจากหมู่บ้าน เขาก็คงจะไม่กังวลมากนัก แต่คนประเภทนี้ที่ดูเหมือนไม่ต้องการอะไรตอบแทน กลับอันตรายที่สุดในความคิดของเขา

ในอดีตเคยมีบุคคลเช่นนี้มาปรากฏตัวที่หมู่บ้านใกล้เคียงแห่งหนึ่ง เขาดูเป็นมิตรและเข้าถึงได้ง่าย เขาช่วยชาวบ้านซ่อมอาคารและทำงานในฟาร์ม ไม่นานเขาก็ได้รับการยอมรับจากชาวบ้านผู้บริสุทธิ์

แต่ไม่นาน เหตุการณ์ก็พลิกผัน ชายคนนั้นคือสมาชิกของลัทธิบ้าที่คลั่งไคล้เทพเจ้าชั่วร้าย ขณะที่เขาได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้าน เขาก็ใช้เวลาเกือบปีในการเปลี่ยนหมู่บ้านให้เป็นเวทีบูชายัญ เขาฆ่าชาวบ้านและสังเวยเลือดเนื้อของพวกเขาทั้งหมดในชั่วข้ามคืน!

เมื่อกองทหารอาสามาถึงหมู่บ้าน ความมีชีวิตชีวาและความเจริญรุ่งเรืองแต่เดิมก็ได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น มันกลายเป็นฉากประหลาดของซากศพที่ถูกลูกสมุนของเทพเจ้าชั่วร้ายกัดกิน…

ผู้ใหญ่บ้านก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของกองทหารอาสาในวันนั้น และเขาจะไม่มีวันลบภาพที่ชั่วร้ายนั่นออกจากหัวของเขาได้ตลอดชีวิต

“ท่านซีเว่ยไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ปู่พูดหรอกนะ!” เอลีน่าเถียงกลับอย่างโกรธ ๆ

ผู้ใหญ่บ้านกำลังอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นร่างของชายคนหนึ่งรีบวิ่งมาจากทิศตะวันตกของหมู่บ้านด้วยความตื่นตระหนก

“ผู้ใหญ่บ้าน แย่แล้ว!” ชายคนนั้นพูดขณะพยายามหอบหายใจ “ทีมล่าสัตว์ของเราพบมูลเจ้าเขี้ยวมังกร มันยังใหม่อยู่เลย มันอยู่ในป่าไม่ไกลจากหมู่บ้านเรา! เพียร์ซก็บอกว่าไอ้ตัวที่โจมตีเขา…” พูดไปได้ครึ่งทางเขาก็เงียบลง เพราะเขาสังเกตเห็นเด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ

เขารีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันที “เหตุการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านใกล้ ๆ บางทีพวกเขาอาจถูกเขี้ยวมังกรโจมตี ตอนนี้มันมาถึงเขตป่าของเราแล้ว บางทีมันอาจมุ่งหน้ามาทางเรา…”

ไม่รู้ว่าเขี้ยวมังกรคืออะไร เอลีน่าเอียงคออย่างสงสัยขณะฟังผู้ใหญ่ 2 คนคุยกัน

“อะไรนะ?!” ผู้ใหญ่บ้านร้องอุทาน ใบหน้าของเขาซีดเผือก ร่องรอยบนใบหน้าของเขาลึกขึ้นจนทำให้เขาดูแก่ชราลงไปหลายปี

เขี้ยวมังกรเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและกระหายเลือดมาก มันคือสัตว์ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างสัตว์ป่าและสัตว์ประหลาด ขนาดของมันใหญ่เป็น 2 เท่าของเสือและสิงโต มันมีความแข็งแกร่งที่สามารถฆ่าหมูป่าได้ด้วยการตะปบเพียงครั้งเดียว และมีกระดูกที่แหลมคมรูปร่างเหมือนเขี้ยวมังกรอยู่ที่ปลายหาง อีกทั้งตัวของมันก็ถูกปกคลุมด้วยเกราะกระดูก ทำให้แม้แต่นักล่าที่ร่วมมือกัน 3-5 คนก็ไม่อาจล้มมันลงได้

แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า ก็คือความจริงที่ว่าเขี้ยวมังกรนั้นทั้งเจ้าเล่ห์และโหดร้าย มันชื่นชอบรสชาติของมนุษย์ โดยเฉพาะสมองของมนุษย์ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันจึงมักจะลอบเข้าไปในหมู่บ้านห่างไกลเพื่อหาเหยื่อ และเหยื่อที่มันโปรดปราณก็คือเหล่าเด็กเล็กและผู้อ่อนแอที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ โดยมันจะใช้หนามแหลมที่หางเจาะกะโหลกของพวกเขา และกินสมองของพวกเขาแบบสด ๆ นั่นคือทั้งหมดที่มันทำ โดยที่ไม่ยุ่งกับสัตว์เลี้ยงในฟาร์มเลยสักตัว

“ให้ทีมล่าสัตว์หยุดออกล่าและเฝ้าระวังรอบหมู่บ้าน คืนนี้ข้าจะรวบรวมเงินจากทุกคน…เจ้าเป็นนักวิ่งที่เร็วที่สุดในหมู่บ้าน พรุ่งนี้เช้าเจ้านำเงินติดตัวไปที่เมืองยูเก้น และขอความช่วยเหลือจากศาสนจักร ให้พวกเขาส่งพาลาดินมาช่วยเรา!” ผู้ใหญ่บ้านสั่งและกำชับอีกว่า “จำไว้ ว่าเจ้าสามารถขอความช่วยเหลือจากศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสว หรือวิหารแห่งความรุ่งโรจน์ได้เท่านั้น!”

ชายหนุ่มพยักหน้า ขณะที่เขากำลังจะตอบรับ ก็มีเสียงกังวานดังมาจากหอสังเกตการณ์ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน

ทันใดนั้นสีหน้าของผู้ใหญ่บ้านและชายหนุ่มก็เปลี่ยนไป

หมู่บ้านที่ค่อนข้างเงียบสงบ จู่ ๆ ก็เดือดขึ้นมา ชาวบ้านจำนวนมากรีบร้อนเปิดประตูออกมารวมกลุ่มกันปกป้องหมู่บ้านด้วยอาวุธง่าย ๆ ในครัวเรือนของแต่ละคน

ในตอนนั้นเอง เสียงระฆังก็หยุดลงอย่างกะทันหัน และถูกแทนที่ด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน

จากนั้นหอสังเกตการณ์ไม้ก็พังทลายลง จากกองเศษไม้ที่ร่วงลงมามีสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่ดูเหมือนหมาป่า แต่มีขนาดตัวใหญ่กว่ามาก ตั้งแต่หัวถึงหางของมันปกคลุมไปด้วยเกราะกระดูก มันย่างก้าวออกมาจากเศษซากหอสังเกตการณ์อย่างช้า ๆ หางแหลมที่น่ากลัวขยับไหวเบา ๆ ขณะที่ในปากของมันมีแขนมนุษย์เปื้อนเลือดถูกคาบไว้อยู่

แม้ว่ามันจะยืนสี่ขา แต่ระดับสายตาของมันก็อยู่ในระดับเดียวกับมนุษย์ เห็นได้ชัดเลยว่าตัวมันแข็งแกร่งและทรงพลังกว่าเขี้ยวมังกรทั่วไปมาก!

“วิ่ง! เอลีน่า!”

ผู้ใหญ่บ้านผลักเด็กหญิงไปข้างหลังและใช้ร่างตัวเองกับชายหนุ่มยืนบัง กันไม่ให้สัตว์ร้ายเห็นว่าเธอแอบหนีไปทางไหน

ในช่วงเวลานี้ มีชาวบ้านที่พยายามโจมตีเขี้ยวมังกร แต่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น สัตว์ประหลาดมีพลังมากพอที่จะแยกร่างมนุษย์ออกเป็นสองซีก พร้อมกับทำลายอาวุธของพวกเขาด้วยการกัดเพียงครั้งเดียว และมันยังทุบหัวมนุษย์เละเหมือนแตงโมได้ง่าย ๆ ด้วยการแกว่งหางของมัน ไม่ต้องพูดถึงกรงเล็บของมันที่สามารถทิ้งรอยบากไว้บนแผ่นหินที่แข็งแกร่งที่สุดได้อย่างง่ายดาย

ยังไม่หมดแค่นั้น เขี้ยวมังกรยังรวดเร็วและว่องไวมาก แม้แต่ลูกธนูที่นักล่าภาคภูมิใจ ก็ไม่สามารถโจมตีโดนมันได้ และถึงจะบังเอิญมีลูกธนูหนึ่งหรือสองลูกยิงถูกเขี้ยวมังกร มันก็จะถูกสะท้อนออกไปโดยเกราะกระดูกที่หุ้มอยู่บนตัวมัน ทำให้ธนูไม่สามารถสร้างความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ชาวบ้านไม่มีโอกาสชนะเลย

เอลีน่ารู้สึกกลัวมาก แข้งขาของเธออ่อนยวบจนแทบจะยืนไม่อยู่ เธอรู้ดีว่าแม้เธอจะอยู่ที่นี่ เธอก็ช่วยอะไรพวกชาวบ้านไม่ได้เลย แต่เธอก็ไม่สามารถหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวได้ เพราะเหล่าคนที่เป็นเหมือนดั่งครอบครัวของเธอ กำลังจะถูกสัตว์ประหลาดสังหารอย่างเลือดเย็น

สติของเธอกลับมาหลังจากหัวเธอขาวโพลนไปชั่วขณะจากความกลัว ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาได้

“ท่านซีเว่ย! ใช่! ถ้าเป็นเขา…”

แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่า ‘เทพเจ้าแห่งเกม’ เป็นเทพเจ้าประเภทใด แต่เธอก็รู้ว่าถ้าซีเว่ยสามารถแต่งตั้งนักบุญได้ เขาก็จะต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน!

ถ้าเป็นเขา บางทีอาจจะมีวิธีขับไล่สัตว์ประหลาดตัวนี้ออกไปจากหมู่บ้านได้!

เธอสะกดข่มความกลัวในใจ และรวบรวมพลังเพื่อให้ขาที่อ่อนยวบของเธอมีแรงก้าวเดิน เธอต้องไปถึงกระท่อมหินนอกหมู่บ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ระหว่างทางเธอสะดุดและล้มลงหลายครั้งด้วยความเร่งรีบ รอยฟกช้ำปรากฏขึ้นตามตัวเธอ แต่เธอก็ยังคงกัดฟันทนต่อความเจ็บปวด และกลั้นใจวิ่งต่อไป ในที่สุดเธอก็มาถึงกระท่อมหิน เธอลงมือเคาะประตูไม้ที่ชำรุดนั่นอย่างสุดกำลัง

โชคดีที่ประตูยังคงเปิดต้อนรับเธอเช่นเดิม ด้านหลังประตูเผยให้เห็นใบหน้าของซีเว่ยที่ไม่ได้หล่อเหลาอะไรเป็นพิเศษ แต่ก็มีเสน่ห์น่ามอง

“ท่านซีเว่ย ได้โปรดช่วยทุกคนในหมู่บ้านด้วย!”

“เกิดอะไรขึ้น” ซีเว่ยถามอย่างแปลกใจ เขามองไปที่รอยฟกช้ำตามตัวของเด็กหญิง

ในฐานะที่เขาเป็นเทพเจ้า ซีเว่ยมีดวงตาศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเฝ้ามองทุกสิ่งได้ (ยกเว้นบางพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยอิทธิพลของเทพเจ้าองค์อื่น) แต่เนื่องจากเขายังอ่อนแอ ในตอนนี้เขาจึงเห็นได้เพียงภาพที่คลุมเครือเหมือนมองจากกล้องวงจรปิดคุณภาพต่ำ และความสามารถนี้ก็สิ้นเปลืองพลังศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาจึงใช้มันเพียงครั้งหรือสองครั้งกับเอลีน่าเท่านั้น เพื่อที่จะเข้าใจตัวเธอให้ดีขึ้นและวางแผนโน้มน้าวเธอมาเป็นนักบุญ นอกนั้นเขาก็ไม่ได้ใช้มันเลย (ไม่ใช่เพราะเขาเป็นโลลิคอนนะ)

เอลีน่ารีบอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้าน

“ได้โปรดช่วยเราด้วย” เอลีน่าร้องไห้ขณะขอร้อง “ถ้าท่านสามารถช่วยหมู่บ้านของเราได้ ไม่ว่าจะต้องเป็นนักบุญหรืออะไรหนูก็จะทำ!”

“ศรัทธาไม่ใช่สิ่งที่จะแลกเปลี่ยนกันได้ด้วยการตอบแทน” ซีเว่ยกล่าวอย่างใจเย็น

“แต่…” เอลีน่าร้อนรน นอกจากตัวเธอเองแล้ว เธอก็ไม่มีอะไรที่เธอสามารถใช้เพื่อแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือของเขาได้

“ไม่เป็นไร ยังไงก็พาข้าไปที่หมู่บ้านดูก่อน”

ความจริงแล้วซีเว่ยไม่ได้ต้องการสิ่งใดตอบแทน เขาเพิ่งข้ามมาเป็นเทพเจ้าเพียงไม่นาน เขายังคงมีความคิดแบบมนุษย์อยู่และเขาก็ต้องการช่วยพวกชาวบ้านเช่นกัน

มันก็แค่…ถ้าเขาลงมือช่วยเหลือ ช่วงเวลาการปรากฏตัวในแดนมรรตัยของเขาจะสั้นลงก็เท่านั้น

เขาได้แต่คิดอย่างปลง ๆ

———————————————-

“ข้ามีแต่ชา เจ้าดื่มชาได้ไหม”

เขาอยู่ที่กระท่อมนี้มาเพียง 3 วัน ที่นี่จึงไม่ค่อยมีอะไรไว้ต้อนรับแขก และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเสียพลังงานเทพที่เขามีเพื่อสร้างมัน

ซีเว่ยเคยมีชีวิตมาแล้วทั้งสองโลก ทั้งตอนที่เขาเป็นมนุษย์และเทพเจ้า แต่ 3 วันมานี้เป็น 3 วันที่ซีเว่ยมีชีวิตยากจนที่สุด

เขาไม่มีทั้งโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และแอพสั่งอาหาร…

“ไม่เป็นไรค่ะ แค่น้ำต้มสุกหนูก็ดื่มได้ค่ะ!” เอลีน่าตอบ ผมสีเงินของเธอสั่นไหวเป็นจังหวะขณะที่เธอโยกตัวอย่างตื่นเต้นบนเก้าอี้

หลังจากรินชาให้เธอหนึ่งแก้ว ซีเว่ยก็หยิบจานออกมา เขาวางเนื้อย่างชิ้นใหญ่จากตะกร้าลงบนจาน บรรจงหั่นมันเป็นชิ้นเล็ก ๆ อย่างชำนาญ จากนั้นก็เสิร์ฟมันบนโต๊ะไม้เก่าตรงหน้าเด็กหญิง

ดวงตาของเด็กหญิงเป็นประกาย เธอเอื้อมมือไปหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งทันที ขณะที่เธอกำลังจะเอามันใส่ปาก เธอก็สังเกตเห็นว่าซีเว่ยกำลังจ้องมองเธออยู่ เธอจึงระงับความตะกละและกินมันอย่างมีมารยาทเหมือนเด็กที่ถูกอบรมมาอย่างดีแทน

“เจ้าไม่ต้องสนใจข้าเหรอ กินได้ตามสบาย” ซีเว่ยพูดพร้อมกับส่งยิ้มแบบป่วย ๆ ออกมา

“ไม่ค่ะ พ่อของหนูบอกว่าหนูต้องสุภาพและมีมารยาทเสมอเวลากิน” เอลีน่ากล่าวอย่างจริงจัง

“โอ้?” ซีเว่ยเลิกคิ้ว

ถ้าจำไม่ผิดเอลีน่าเป็นเด็กกำพร้าที่ปัจจุบันอาศัยอยู่กับลุงของเธอสินะ

“โอ้? ของท่านหมายความว่าอย่างไร ท่านไม่เชื่อเอลีนา!” เจ้าตัวเล็กพูดเสียงขรึมด้วยความไม่พอใจ แต่มุมปากของเธอยังมีคราบซอสเนื้อย่างเปื้อนอยู่ ทำให้เธอไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด

“ไม่ ข้าแค่แปลกใจที่มีคนจากหมู่บ้านห่างไกลอย่างเคนนิงตัน ให้ความสำคัญกับการสอนมารยาทบุตรหลานเช่นนี้” เขาอธิบาย

จริง ๆ แล้วสิ่งที่เขาพูดนั้นเหมือนเป็นการดูหมิ่นคนในหมู่บ้านเคนนิงตัน ถ้าชาวบ้านคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านอยู่ที่นี่ ซีเว่ยจะไม่มีทางพูดแบบนั้นออกไป แต่ในช่วง 2-3 วันที่เขาได้รู้จักกับเอลีน่า เขาก็รู้ดีว่าเด็กหญิงไม่ใช่คนคิดมากและปากสว่าง ดังนั้นเขาเลยชอบคุยเรื่องไร้สาระกับเด็กคนนี้

แน่นอนว่าเอลีน่าไม่ได้ตะหนักถึงเรื่องนี้เลย เธอทำหน้ามุ่ยและบ่นว่า “ก่อนที่พ่อของหนูจะตาย เขาได้บอกหนูว่าแม่เคยเป็นเลดี้จากตระกูลขุนนาง และวันหนึ่งหนูอาจมีโอกาสได้พบกับญาติของแม่ในอนาคต เพราะเรื่องนั้น ทำให้หนูต้องฝึกใช้มารยาทของเลดี้อยู่เสมอ แม้ว่าหนูจะคิดว่าการทำตามมารยาทพวกนั้นมันยาก…แต่หนูก็ต้องทำ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด ซีเว่ยก็แทบจะจินตนาการถึงละครดราม่าแนวรักแฟนตาซียุคกลางแบบคลาสสิคที่มี 10 ซีซั่น 120 ตอนออกมาได้เลย…

อย่างไรก็ตามในฐานะเทพเจ้า เขาไม่ได้สนใจเรื่องครอบครัวของมนุษย์มากนัก ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว

“เอลีน่า ชาวบ้านในหมู่บ้านของเจ้าส่วนใหญ่ศรัทธาเทพเจ้าองค์ใดรึ” เขาถามอย่างระมัดระวัง

“พ่อของหนูศรัทธาเทพเจ้าแห่งการล่าสัตว์และเทพธิดาแห่งพงไพร ปู่ผู้ใหญ่บ้านและป้าของหนู ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวและเจ้าแห่งขุนเขา พ่อหวังว่าหนูจะศรัทธาเทพเจ้าแห่งแสงสว่างเหมือนแม่…” เธอเล่าขณะนับนิ้วตามแต่ละคนที่เธอพูดถึง

“การศรัทธาเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวมีประโยคหรือไม่ พืชผลในหมู่บ้านดีขึ้นหรือไม่” ซีเว่ยถาม

“อืม…อาจจะ เพิ่มนิดหน่อย” เอลีน่าตอบอย่างเหม่อ ๆ แต่เมื่อพิจารณาจากการแสดงออกของเธอ เธอก็ดูไม่เชื่อคำตอบของตัวเองเช่นกัน

“ข้าก็ไม่ได้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว หรือเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิธรรมชาติระดับล่างอื่น ๆ เจ้าพูดได้ตามสบาย”

“…ที่จริงมันไม่มีประโยชน์เลย ปีที่แล้วมันฝรั่งที่เราปลูกไม่พอจ่ายภาษี ปู่ผู้ใหญ่บ้านเกือบจะถูกเจ้าหน้าภาษีบีบให้ตาย!” เอลีน่าบ่นอย่างไม่พอใจ

ซีเว่ยพยักหน้าอยู่ในใจ ตามที่คาด สามัญชนส่วนใหญ่จะบูชาเทพเจ้ามากว่า 2 องค์ขึ้นไป โดยแบ่งเวลายามว่างอันน้อยนิดที่พวกเขาเหลืออยู่ มาสวดมนต์และอธิษฐานต่อเหล่าเทพ ทำให้พวกเขาหลายคนเป็นเพียงผู้ศรัทธาที่ตื้นเขิน

แท้จริงแล้วข้อกำหนดเบื้องต้นประการหนึ่งสำหรับการรับพรจากเหล่าเทพ พวกเขาจำต้องเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง หรือถ้าหากพวกเขาศรัทธาในเทพ 2 งองค์ขึ้นไป เทพสององค์ที่พวกเขาบูชา ต้องอยู่ในตระกูลเทพเดียวกัน หรืออยู่ในสายบังคับบัญชาเดียวกัน เช่น เทพธิดาแห่งมหาสมุทร จะมีเจ้าแห่งน้ำอยู่ใต้อาณัติ

การบูชาเทพเจ้าแบบสุ่ม ๆ เช่นนี้ จะทำให้พรที่พวกเขาได้รับจากเทพเจ้านั้นเสื่อมพลังลงอย่างมาก จึงแทบไม่มีปาฏิหาริย์ใด ๆ เกิดขึ้นกับเหล่าชาวนาบนโลกใบนี้ พวกเขายังคงต้องทนทุกข์ทรมานจากสภาพอากาศและภัยธรรมชาติต่อไป

ความจริงแม้ว่าสามัญชนจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดของพวกเขาเพื่ออุทิศตนบูชาเทพเจ้า แต่คำอธิษฐานของพวกเขาก็ยังไม่สำคัญพอที่จะดึงดูดความสนใจของเทพได้

ปกติแล้วบนโลกนี้ ไม่มีใครศรัทธาเทพเจ้ามากกว่า 3 องค์ในเวลาเดียวกัน ถ้าพวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาจะถูกมองว่าเป็นผู้ที่มีศรัทธาไม่เหมาะสม เทียบเท่ากับผู้ไร้ศรัทธาที่เป็นพวกนอกรีต

มี 2 เหตุผลที่ชาวบ้านยังคงศรัทธาเหล่าเทพ แม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะยังคงทุกข์ยากอยู่เช่นเดิม เหตุผลแรกคือพวกเขาต้องการหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และเหตุผลที่สองคือศาสนจักร สามัญชนมักถูกเอาเปรียบโดยศาสนจักร ศาสนจักรขนาดใหญ่แทบจะผูกขาดการรักษาพยาบาล ความรู้ และการผลิตส่วนใหญ่เอาไว้

ถ้าสามัญชนต้องการการรักษา พวกเขาจะต้องมีศรัทธาต่อเทพเจ้าที่มอบการรักษาให้เขา หากพวกเขาพบโจรหรือสัตว์ร้ายและต้องการความช่วยเหลือจากพาลาดิน พวกเขาจะต้องมีศรัทธาต่อเทพเจ้าองค์เดียวกับเหล่าพาลาดิน และแม้แต่สิ่งของบางอย่างที่พวกเขาจำเป็นต้องซื้อ การจะซื้อมันได้ พวกเขาก็ต้องมีศรัทธาต่อเทพเจ้าบางองค์ที่มีของชิ้นนั้นขาย…

ภายใต้อิทธิพลของสังคมเช่นนี้ แม้ว่าการบูชาเทพจะไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น และแม้แต่ทำให้ชีวิตของพวกเขายากขึ้น สำหรับสามัญชนแล้ว พวกเขาก็ยังต้องเลือกเทพบางองค์เพื่อบูชาอยู่ดี

“ท่านซีเว่ย เทพองค์ใดหรือที่ท่านศรัทธา พระกิตติคุณแห่งชีวิตหรือเทพแห่งแสงผู้ยิ่งใหญ่?” เอลีน่าเอียงคออย่างสงสัย “ศาสตร์การรักษาของท่านทรงพลังมาก เทพเจ้าที่ท่านศรัทธาต้องมีพลังมหาศาลมากแน่!”

ในที่สุดเขาก็นำบทสนทนามาถึงจุดนี้ได้สำเร็จ ซีเว่ยตื่นเต้นมาก “ข้าศรัทธาในเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ!”

“องค์ไหน?” ตามแผน เอลีน่ารู้สึกสนใจและถามออกมาอย่างสงสัย

“เจ้าเคยได้ยินเรื่องเทพเจ้าแห่งเกมไหม”

“เทพเจ้าแห่งเกม…?” เอลีน่าส่ายหัว “หนูไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระองค์…”

“เขาคือเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอิทธิพลในสิ่งต่าง ๆ มากมายนับไม่ถ้วน! น่าเสียดายเพราะความยิ่งใหญ่และอำนาจที่มากเกินไปของพระองค์ ทำให้เทพเจ้าองค์อื่น ๆ อิจฉา พวกเขาร่วมมือกันผนึกพระองค์เอาไว้ไม่ให้พระองค์ขยายอิทธิพลลงมายังดินแดนมรรตัยได้ ไม่นานพระองค์ก็ถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำของเหล่าสรรพสิ่งในแดนมรรตัย” ซีเว่ยพูดกับเด็กหญิงอย่างจริงจัง

“ข้าเป็นนักบวชของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และหล่อเหลาอย่างร้ายกาจ ‘เทพเจ้าแห่งเกม’ ข้ากำลังออกเดินทางเพื่อตามหานักบุญ…เอลีน่า เจ้าเต็มใจที่จะเป็นนักบุญหญิงภายใต้ศาสนจักรเทพแห่งเกมหรือไม่”

แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะฟังดูเหมือนชายแปลก ๆ ที่พยายามลักพาตัวเด็กสาว แต่ซีเว่ยสาบานเลยว่าเขาไม่ใช่พวกโลลิคอน เขาถามเธอด้วยความบริสุทธิ์ใจจริง ๆ เพราะเธอเป็นคนที่เขาพูดคุยด้วยมากที่สุดในหมู่บ้านเคนนิงตัน

ในขณะเดียวกัน เอลีน่าก็เป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารัก บริสุทธิ์ไร้เดียงสา และมีพรสวรรค์ เธอสามารถเป็นนักบุญหญิงในอุดมคติของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่นอน

“นะ…นักบุญหญิง?” ปากของเอลีน่าอ้ากว้าง เธอทำตาโตได้อย่างน่ารักน่าชัง

“ใช่นักบุญหญิง! ตราบได้ที่เจ้าเข้าร่วมในศาสนจักรแห่งเกมของเรา เจ้าสามารถเป็นนักบุญหญิงได้ทันที!” ซีเว่ยพยายามชักชวนเด็กสาวให้เข้าร่วมกับเข้า

เอลีน่าพิจารณาสักพักก่อนจะส่ายหัวในที่สุด

“ขอโทษด้วยท่านซีเว่ย หนูขอบคุณในความกรุณาของท่าน แต่หนูยังอยากศรัทธาในเทพเจ้าแห่งแสงสว่างอย่างที่พ่อของหนูต้องการ”

“งั้นเหรอ…” ซีเว่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาล้มเหลวในการชักชวนเธอ

เขาไม่ได้บังคับให้เด็กสาวฟังเขาต่อ เพราะศรัทธาที่แท้จริงไม่สามารถบังคับกันได้

‘ล้มเหลวแฮะ อย่างที่คิดเลย เวลาแค่ 3 ไม่พอให้ฉันลักพาตัวนักบุญเข้าศาสนาได้หรอก…’

โชคดีที่มันไม่ได้สายเกินไป เขายังพอมีเวลา พลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่ทำให้เขาอยู่ต่อได้อีก 4 วัน ตอนนี้เขาต้องตัดสินใจแล้วว่า เขาจะอยู่ในเคนนิงตันต่อไป หรือจะออกไปหมู่บ้านอื่นเพื่อลองเสี่ยงโชคดู

แม้ว่าเขาจะไม่สามารถหานักบุญเข้าศาสนจักรตัวเองได้ แต่การหาผู้ศรัทธาสัก 2-3 คนก็น่าจะโอเค…

“นั่น…” เอลีน่ามองไปที่เนื้อย่างที่ยังอยู่บนส้อมของเธออย่างอาลัย จากนั้นเธอมองกลับไปที่ซีเว่ย “หนูยังกินมันได้ไหมคะ…?” เธอถามอย่างระมัดระวัง

“กิน กินสิ…” ซีเว่ยถึงกับอึ้งเมื่อเห็นท่าทางเศร้า ๆ ของเธอ “ข้าไม่ได้ใจแคบขนาดนั้น”

———————————————–

ก่อนที่ซีเว่ยจะข้ามโลกมา เขาได้อ่านนิยายเว็บแนวต่างโลกมามากมาย ในตอนนั้นซีเว่ยพบว่า ผู้ที่มีความสามารถเหนือธรรมชาติล้วนแต่ถูกจัดลำดับไว้อย่างชัดเจนเช่น พวกระดับบรอนซ์ ซิลเวอร์ และโกลด์ หรือ นักดาบฝึกหัด จักรพรรดิดาบ และปราชญ์ดาบ

แต่เมื่อเขามาถึงต่างโลก เขาก็ตระหนักว่าตรรกะนั้นมันใช้ไม่ได้กับโลกใบนี้

แน่นอนความแข็งแกร่งของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว แต่ในโลกที่เต็มไปด้วยเหล่าเทพเจ้านี้ ความสามารถในการต่อสู้ที่พวกเขามี ก็มักจะไม่สอดคล้องกับชื่อเสียงและสถานะทางสังคมของพวกเขา

ในศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสว ซึ่งบูชาหนึ่งในเจ็ดเทพบิดร เทพเจ้าแห่งแสงสว่าง ‘ลินท์’ ดูเหมือนจะมีระบบการจัดอันดับที่สมบูรณ์แบบสำหรับพาลาดิน เริ่มจาก อัศวินผู้ศรัทธา→อัศวินผู้มีเกียรติ→อัศวินผู้รุ่งโรจน์→อัศวินศักดิ์สิทธิ์

อย่างไรก็ตามผู้คนส่วนใหญ่ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอัศวินผู้มีเกียรติ มักเป็นขุนนางที่ซื้อตำแหน่งโดยการบริจาคเงินเพื่อให้ได้รับพรของเทพเจ้า เช่นเดียวกันกับตำแหน่งอัศวินผู้รุ่งโรจน์ หลายคนได้รับตำแหน่งนั้นโดยไม่ต้องผ่านการทดสอบที่หนักหน่วง พูดในแง่ของความสามารถเพียงอย่างเดียว คนเหล่านี้ไม่มีความสามารถแม้แต่จะสู้กับอัศวินผู้ศรัทธาที่ได้รับการเลื่อนขั้นจากผู้มีศรัทธาทางทหารของศาสนจักรได้

มีเพียงตำแหน่งเดียวที่ยังคงมีอำนาจ และเป็นที่ยกย่องในหมู่พาลาดิน นั่นก็คือตำแหน่งอัศวินศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากตำแหน่งนี้เป็นเพียงตำแหน่งเดียว ที่มีเพียงเทพเจ้าเท่านั้นที่สามารถแต่งตั้งได้

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า การแบ่งชนชั้นระหว่างคนรวยและคนจนได้ฝังรากลึกลงไปในสังคมของโลกใบนี้ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นสามัญชนที่มีศรัทธาต่อเทพเจ้ามากเพียงใด เวลาส่วนใหญ่ของพวกเขาก็มักจะหมดไปกับการต่อสู้กับความยากจนในชีวิตอยู่ทุก ๆ วัน จนถึงจุดที่พลังการอธิษฐานในหนึ่งปีของพวกเขา อาจไม่เท่ากับการถวายคริสตัลส่องสว่างเพียงหนึ่งวันของเหล่าขุนนาง

โลกใบนี้แม้จะเต็มไปด้วยเหล่าเทพเจ้า แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่โชคดีสามารถดึงดูดความสนใจของเหล่าเทพได้ตั้งแต่แรกเกิด และได้กลายเป็นผู้ถูกเลือกหรือนักบุญ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใคร ๆ ต่างก็แสวงหาอยากครอบครอง เพราะนอกจากพวกเขาจะได้รับพลังอันยิ่งใหญ่เหนือใคร ๆ แล้ว ยังได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงจากเหล่าผู้ศรัทธาคนอื่น ๆ อีกด้วย

นั่นหมายความว่า ไม่ว่าคน ๆ หนึ่งจะทำงานหนักแค่ไหน พวกเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะปีนขึ้นบันไดชนชั้นทางสังคมได้เลย ถ้าไม่ได้รับความสนใจจากเหล่าเทพเจ้า

นี่คือความเป็นจริง จากทั้งหมดที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าเทพเจ้าไม่ได้มีพลังหรือรู้เห็นไปหมดซะทุกอย่าง และสถานการณ์เช่นนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติที่มักจะเกิดขึ้นในสังคมที่ถูกปกครองโดยมนุษย์

แต่สิ่งนี้กลับทำให้ซีเว่ยมีโอกาสใช้ประโยชน์จากมัน สามัญชนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ และได้แต่แหงนหน้ามองดูศาสนจักรเหล่านี้ จะกลายเป็นรากฐานให้ศาสนจักรของเขาเติบโตขึ้นอย่างทวีคูณ!

บางทีอาจเป็นเพราะเขาเป็นคนจากต่างโลก ซีเว่ยจึงตระหนักว่า นอกจากความสามารถของเทพเจ้าแห่งเกมที่เขามีแล้ว เขายังสามารถเดินทางข้ามผ่านอุปสรรคระหว่างดินแดนแห่งเทพและดินแดนมรรตัยได้อย่างอิสระ แม้ว่ามันจะค่อนข้างมีข้อจำกัด แต่เขาก็ยังได้เปรียบอย่างมากเมื่อเทียบกับเทพเจ้าองค์อื่น ๆ

โดยปกติแล้ว เหล่าเทพจะถูกผูกมัดเข้ากับกฎของโลก และพวกเขาสามารถลงมาสู่แดนมรรตัยได้เพียง 3 วิธีเท่านั้น

วิธีแรกคือผ่านออร่าเคิล ซึ่งเหล่าเทพเจ้าจะส่งข้อความที่ตนต้องการสื่อ ผ่านเข้าสู่จิตสำนึกของผู้ศรัทธาที่พวกเขาได้เลือกสรรไว้ หรือใส่มันในรูปปั้นสักการะที่สร้างขึ้นตามรูปลักษณ์ของพวกเขา หรือโดยการเข้าสู่ฝันของผู้ศรัทธาที่ศรัทธาพวกเขาอย่างแรงกล้า มันถูกเรียกว่าวิวรณ์และการเทศนาของเทพเจ้า นี่คือวิธีการที่เทพเจ้าส่วนใหญ่มักใช้สื่อสารกับเหล่าผู้ศรัทธาผ่านดินแดนมรรตัย

วิธีที่สองคือการครอบครอง ซึ่งเทพเจ้าจะครอบครองร่างของหนึ่งในผู้ถูกเลือก หรือนักบุญของพวกเขาเป็นการชั่วคราว ปริมาณพลังที่เทพเจ้าจะสามารถใช้ได้ในสถานะนี้ จะขึ้นอยู่กับความจุของร่างกายที่พวกเขาครอบครองอยู่ ซึ่งมันจะแปรผันโดยตรงกับปริมาณพลังที่ร่างของพวกเขาสามารถทนรับได้ อย่างที่ได้อธิบายไปในตอนแรก เพราะแบบนี้ความสามารถของผู้ถูกเลือกที่เหล่าเทพเจ้าโปรดปราน จึงมักจะไม่ต่ำทราม

วิธีสุดท้าย คือการจุติลงมายังดินแดนมรรตัย วิธีนี้เทพเจ้าจะสร้างร่างเนื้อของพวกเขาขึ้นมาบนดินแดนมรรตัยเป็นการชั่วคราว แต่มันก็มีความเสี่ยงที่การจุติแต่ละครั้ง จะทำลายความเป็นพระเจ้าของพวกเขาไปบางส่วน แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่ถือเป็นรูปแบบที่แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถรองรับพลังเทพของพวกเขาได้ พวกเขาสามารถใช้พลังเทพของพวกเขาได้อย่างอิสระบนดินแดนมรรตัย โดยที่ไม่ละเมิดกฎของโลก ในรูปแบบการจุตินี้ พวกเขาสามารถคงพลังเทพไว้ได้ที่ประมาณ 80% ของพลังดั้งเดิมที่พวกเขามีบนแดนเทพ ทำให้แม้แต่ร่างจุติของเทพระดับ 3 ง่อย ๆ ก็สามารถต่อสู้กับนักรบในตำนานได้ นับประสาอะไรกับเทพเจ้าที่มีพลังสูงล้ำกว่านั้น

ทิ้งหนทางแรกซึ่งไม่มีความสามารถในการต่อสู้ไป การครอบครองร่างในวิธีที่ 2 อาจใช้การได้ดี แต่การครอบครองหนึ่งครั้งจะทำให้พวกเขาสูญเสียผู้ถูกเลือกไปหนึ่งคน ซึ่งนับเป็นความเสียหายร้ายแรงที่ศาสนจักรต้องประสบ หากไม่เข้าตาจนจริง ๆ เหล่าเทพเจ้าจะไม่ใช้มันอย่างแน่นอน

ทำไมงั้นเหรอ นั่นก็เพราะ แม้แต่ในศาสนจักรของเทพบิดรทั้งเจ็ด ซึ่งเป็นศาสนจักรที่แข็งแกร่งที่สุด จำนวนของผู้ถูกเลือกที่พวกเขามีก็มีไม่เกินสามสิบคน!

ส่วนการจุติ ไม่เพียงแต่จะมีระยะเวลาการคงอยู่ที่แสนสั้นเท่านั้น แต่มันยังสร้างความเสียหายต่อความเป็นพระเจ้าของเทพที่ทำเช่นนั้นด้วย สำหรับเทพเจ้าแล้ว ความเป็นพระเจ้าของพวกเขาเทียบเท่ากับความสำคัญของวิญญาณที่มีต่อมนุษย์ มันมีความสำคัญสูงสุดต่อเหล่าเทพ ดังนั้นเทพเจ้าจะไม่เลือกลงมาจุติยังดินแดนมรรตัยโดยใช้วิธีนี้ ยกเว้นว่ามันจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่พวกเขามี

สำหรับการลงไปสู่แดนมรรตัยโดยตรงนั้น คงเป็นไปไม่ได้ กฎของโลกใบนี้ถูกกำหนดโดยตรีเอกานุภาพแห่งการสรรค์สร้าง มันยากที่จะลบล้างได้ แม้แต่เทพบิดรทั้งเจ็ดก็ยังต้องจ่ายราคาแพง เพื่อที่จะผ่านกำแพงระหว่างดินแดนทั้งสอง อย่างดีที่สุด ความเป็นพระเจ้าของพวกเขาจะได้รับความเสียหายร้ายแรง และในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด พวกเขาจะดับสลายไปทันที!

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ซีเว่ยกลับสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านี้ได้ง่าย ๆ ในฐานะวิญญาณจากต่างโลก

เขาทำได้โดยการใช้พลังงานศักดิ์สิทธิ์สร้างร่างจุติจากชีวิตที่แล้วของเขาลงสู่ดินแดนมรรตัย แถมที่นั่นเขายังสามารถเรียกใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการ…ซึ่งมันถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎอย่างร้ายแรง!

มันฟังดูดีใช่ไหมล่ะ

แต่…ความจริงก็คือปริมาณพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาตอนนี้มันเหลือน้อยมาก

“อืม…ฉันมีพลังศักดิ์สิทธิ์เหลือใช้ได้เพียงแค่เจ็ดวันเท่านั้น…เอาล่ะ! ลงมือกันเถอะ!”

เคนนิงตันเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ บนภูเขาที่ห่างไกลจากตัวเมือง

ทั้งห่างไกลและยากจน ชาวบ้านยังคงอาศัยอยู่ที่นี่มารุ่นสู่รุ่น แทบจะไม่มีใครหลงหายหรือย้ายออกจากหมู่บ้านไปไหนเลย และไม่มีใครเดินทางเข้ามาในหมู่บ้านห่างไกลนี้เช่นกัน ยกเว้นว่าจะเกิดการแต่งงานระหว่างหมู่บ้านของพวกเขากับหมู่บ้านรอบ ๆ

ที่นี่เคยมีเด็กวัยรุ่นบางคนที่ออกเดินทางไปยังเมืองใหญ่ ด้วยการพกพาความฝันอันยิ่งใหญ่ใส่ไว้บนบ่า แต่ในสังคมสมัยนี้ เด็กที่ไม่มีทักษะพิเศษอื่นใดนอกจากการล่าสัตว์ พวกเขาจำต้องหวนกลับไปยังหมู่บ้านของพวกเขาอย่างน่าอนาถ และยังคงใช้ชีวิตอยู่กับอันตรายและความยากจนต่อไป

มันเป็นเช่นนั้น จนกระทั่งมีแขกพิเศษเข้ามาในหมู่บ้านเมื่อ 3 วันก่อน

เอลีน่าวัย 12 ปีเดินผ่านทุ่งมันฝรั่งอันแห้งแล้งผืนใหญ่ จังหวะการก้าวเดินของเธอนุ่มนวลและสง่างาม ขณะที่เธอเดิน ทวินเทลสีเงินของเธอก็กวัดแกว่งไปมาตามการเคลื่อนไหวของเธอ

เมื่อเธอมาถึงหน้ากระท่อมหินหลังเล็กนอกหมู่บ้าน เธอก็เคาะประตูเบา ๆ

หลังจากนั้นไม่นาน ประตูไม้ที่ชำรุดก็ถูกเปิดออก

ผู้ที่ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ คือชายหนุ่มร่างผอมแห้ง เขาดูเหมือนจะไม่ค่อยแข็งแรง แก้มของเขาซีดเผือกทำให้เขาดูอ่อนแอและขี้โรค

“สวัสดีค่ะท่านซีเว่ย” เด็กสาวกล่าวทักทายขณะก้มศีรษะลงอย่างสุภาพ

“อ่า เอลีน่านี่เอง ลุงของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

ชายหนุ่มคนนี้คือซีเว่ยที่เพิ่งจุติลงมาสู่แดนมนุษย์

เนื่องจากพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขามีนั้นเบาบางมาก เขาจึงได้ตัดสินใจใช้พลังศักดิ์สิทธิ์หนึ่งแต้ม เพื่อสร้างอวตารราคาประหยัดของตัวเอง โดยใช้ต้นแบบมาจากตัวเขาในชีวิตที่แล้ว

เขามาที่หมู่บ้านนี้ในฐานะนักบวช และได้อาศัยอยู่ในกระท่อมหินนี้เป็นชั่วคราว

เมื่อวานลุงของเอลีน่าได้รับบาดเจ็บสาหัสตอนที่เขาออกไปล่าสัตว์ ซีเว่ยจึงได้โอกาสโชว์ฝีมือดึงเขากลับมาจากเส้นตาย

“ใกล้ฟื้นแล้วค่ะ! ปู่ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าศาสตร์การรักษาของท่านแข็งแกร่งยิ่งกว่านักบวชจากศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสว!” เธอพูดอย่างมีความสุข

‘มันแน่นอนอยู่แล้ว ก็ฉันเป็นเทพจริง ๆ นี่…‘ เขาคิด

“นี่คือเนื้อเสือกวางที่ลุงของหนูล่ามาได้เมื่อวันก่อน! ป้าได้ทำมันเป็นเนื้อไข่ปลา* เขาให้หนูนำมันมาให้ท่าน มันสุกแล้วค่ะ” เธอพูดพร้อมกับยื่นตะกร้าในมือให้กับซีเว่ย พลางลอบกลืนน้ำลายอย่างเงียบ ๆ

(เนื้อไข่ปลาเป็นยาจีนทำมาจากกวาง ไม่ได้หมายถึงไข่ปลาจริง ๆ นะคะ)

“ฝีมือทำอาหารของป้าหนูสุดยอดมาก ท่านลองกินดูสิคะ!”

ซีเว่ยยอมรับตะกร้า มันหนักอย่างไม่น่าเชื่อ ดูเหมือนว่าข้างในจะมีเนื้อย่างอยู่มากทีเดียว

เขามองไปที่เด็กหญิงตัวน้อยจอมตะกละ และอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มของเขากลับดูเหมือนคนเป็นไตวายระยะสุดท้ายซะงั้น “ข้ากินคนเดียวชาตินี้คงไม่หมดแน่ เจ้ามากินด้วยกันเถอะ”

“จริงเหรอคะ?!” เธอถามด้วยความประหลาดใจ ดวงตาของเธอเป็นประกายเหมือนแมวน้อยจอมตะกละ แต่แล้วเธอก็ก้มหัวลงและอยู่ไม่สุขเล็กน้อย เพราะเธอจำได้ว่าครอบครัวของเธอเตือนไม่ให้เธอทำเช่นนั้น “หนูจะไม่รบกวนท่านเหรอ” เธอถามอย่างไม่มั่นใจ

“โอ้~นี่ข้าต้องกินมันทั้งหมดเองเลยเหรอเนี่ย…” ซีเหวยถอนหายใจขณะส่ายหัว

“งื้อ…” เอลีน่าทำคอตกและทำหน้ามุ่ยอย่างน่ารัก

“ไม่ต้องกังวล มากินด้วยกันเถอะ”

“เย้!…อ๊ะ หนูหมายถึงขอบคุณค่ะท่านซีเว่ย!”

——————————————————–

ซีเว่ยได้ย้ายมายังต่างโลก

แต่การข้ามโลกครั้งนี้มันช่างตรงข้ามกับเพื่อนร่วมก๊วนไปต่างโลกคนอื่น ๆ ที่โชคร้ายกลายเป็นสิ่งมีชีวิตเช่นก็อบลินและวินวูล์ฟ

ตัวเขาได้กลายเป็นเทพเจ้า!

แต่ถึงอย่างนั้นซีเว่ยกลับไม่คิดว่าเขาโชคดีขนาดนั้น ความจริงแล้วถ้าเขามีทางเลือก เขาก็อยากจะเปลี่ยนมันกับเหล่าเพื่อนร่วมก๊วนข้ามโลกคนอื่น ๆ ซะจริง ๆ

คุณถามว่าทำไมงั้นเหรอ? เพราะการไปต่างโลกของคนอื่น ๆ จะข้ามไปทั้งตัว ทั้งวิญญาณ และร่างกายเดิม หรืออย่างน้อยพวกเขาก็มีร่างกายใหม่ให้สิง แต่เขากลับกลายเป็นแค่ลูกบอลเรืองแสง!

ไม่ใช่แค่นั้น ตัวตนเทพเจ้าที่เขาได้รับมายังมีฐานะเป็น ‘เทพเจ้าแห่งเกม’ ที่ศรัทธากำลังเข้าสู่จุดวิกฤติ และอีกไม่นาน เขาก็อาจจะไม่สามารถแม้แต่จะคงรูปร่างเป็นลูกบอลเรืองแสงได้อีกต่อไป

ซีเว่ยได้ใช้พลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่เขามีอยู่เล็กน้อย รีบตรวจสอบความทรงจำเก่า ๆ ของเทพเจ้าชั้น 3 ตนนี้ทันที

บอกเลยว่าการค้นพบครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกอึ้งหนักมาก

ในโลกแฟนตาซีที่เขาถูกโยนเข้ามานี้ มีเทพเจ้าต่าง ๆ มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเทพเจ้าโบราณที่อยู่มานาน ต่างจากเขา เทพเจ้าแห่งเกมเป็นเพียงเทพเจ้าใหม่ไร้ประสบการณ์

ความจริง ความเป็นพระเจ้าของเขาถือกำเนิดขึ้นมาด้วยวิธีการนอกรีต จากอดีตอาณาจักร ‘Tierra(เทียร์ร่า)’ ในดินแดนมรรตัย*

(แดนมรรตัย มัน-ตะ-ยะ คือแดนของผู้ที่ต้องตาย ได้แก่ พวกมนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน ส่วนแดนของเหล่าเทพคือ อมร แดนแห่งผู้ที่ไม่ตาย ที่เราไม่แปลว่าแดนมนุษย์เพราะเทพบางองค์จะมีผู้ศรัทธาเป็นสัตว์ไม่ก็พวกอมนุษย์ด้วยจ้า เช่นเทพสมุทรจะมีผู้ศรัทธาเป็นเหล่ามนุษย์เงือก)

กษัตริย์องค์ที่ 11 ของอาณาจักรนี้ ‘ยาการันที่ 11’ ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นผู้ปกครองที่ไร้ศีลธรรม เอาแต่ใจ และใช้เวลาทั้งวันของเขาไปกับการเล่นเกม ไม่ว่าจะเป็นเกมไพ่ หมากรุก หรือเกมกีฬาเช่นโปโลและฟุตบอล โดยไม่ยอมทำงานบริหารบ้านเมือง

ยาการันที่ 11 เป็นผู้ไม่มีศรัทธา เขาไม่เคยเชื่อในเทพเจ้าหรือศาสนาใด ๆ

อย่างไรก็ตามในโลกนี้ที่เต็มไปด้วยเทพเจ้าต่าง ๆ มากมาย การเป็นผู้ไม่มีศรัทธาถือได้ว่าเป็นพวกนอกรีต แม้แต่ตัวพระองค์เองในฐานะกษัตริย์ ก็ยังถูกผู้คนรอบข้างกระซิบกระซาบนินทา ถูกตั้งคำถาม และได้รับคำกล่าวหามากมายอย่างลับ ๆ ถ้ามันยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่นาน สิ่งเหล่านี้ก็จะกลายเป็นอาวุธสำหรับผู้ที่โลภในบัลลังก์ พวกเขาจะต้องใช้มันใส่ร้ายพระองค์ให้สละราชสมบัติ

ยาการันที่ 11 จมปลักอยู่ในความคิด เขาต้องการปกป้องฐานะกษัตริย์ของเขาเอาไว้ แต่เขาก็ไม่อยากก้มหัวให้กับศาสนาใด ๆ ดังนั้น เขาจึงได้คิดแผนการที่สมบูรณ์แบบแผนการหนึ่งขึ้นมา เขาได้ประกาศว่าตนเป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม และได้ใช้แผนการที่หลากหลายเพื่อทำให้ปะชาชนของเขาเข้าร่วมกับศาสนาที่เขาสร้างขึ้น เขาได้ให้คำสัญญาและผลประโยชน์มากมายกับเหล่าขุนนาง และเขายังได้บังคับใช้กฎหมายหลาย ๆ อย่างเพื่อให้ประชาชนในอาณาจักรของเขาเปลี่ยนมาศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม

หลังจากการอุปโลกน์ศาสนาใหม่ขึ้นมาไม่นาน ศาสนาเกมก็ได้ฝังรากลึกลงในเทียร์ร่าและเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางประชาชนของอาณาจักร

เมื่อวันเวลาผ่านไป ประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของอาณาจักรก็ได้กลายเป็นผู้ศรัทธาในศาสนจักรแห่งเกม

เมื่อจำนวนผู้ศรัทธาเพิ่มขึ้น ความศรัทธามากมายมหาศาลที่มีก็ได้รวมกันก่อให้เกิดเทพเจ้าองค์ใหม่ขึ้นมา นั่นคือเทพเจ้าแห่งเกม

อย่างไรก็ตาม เกมถือเป็นสิ่งเสพติด เมื่อศาสนาได้เติบโตขึ้น ผู้คนจำนวนมากขึ้นก็ติดเกม(การพนัน) และได้ละทิ้งหน้าที่ของตนในสังคม ทำให้อาณาจักรเทียร์ร่าที่แข็งแกร่งแต่เดิมต้องอ่อนแอลง ยาการันไม่อาจส่งต่อบัลลังก์ให้กับลูกชายของเขาได้ เพราะก่อนหน้านั้นอาณาจักรได้ถูกตัดแบ่งออกเป็นหลายส่วน และถูกยึดครองโดยอาณาจักรเล็ก ๆ หลายแห่งรอบพรมแดนของเทียร์ร่า

เมื่อได้เห็นการล่มสลายของเทียร์ร่า อาณาจักรโดยรอบต่างปฏิเสธและสั่งแบนศาสนจักรแห่งเกม พวกเขาต่างออกกฎหมายว่าพลเมืองของพวกเขาทั้งหมด จะต้องไม่เข้าร่วมศาสนาจักรแห่งเกมโดยเด็ดขาด

นั่นทำให้ศาสนจักรที่เข้มแข็งและเจริญรุ่งเรือง ได้ล่มสลายหายไปในพริบตา เพราะผู้ศรัทธาส่วนใหญ่ได้ละทิ้งศรัทธาของพวกเขาไป

ในฐานะเทพเจ้าเกิดใหม่ เทพเจ้าแห่งเกมเดิมนั้นไม่ได้รับโอกาสที่จะทำให้ความเป็นพระเจ้าของตนมั่นคง ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะพังพินาศ สติของเขาที่พึ่งเกิดก็ได้แตกสลายจากเหตุการณ์นั้น และมันก็ได้เปิดทางให้วิญญาณจากต่างโลกอย่างเขาเข้ามาแทนที่…

“และ…ตอนนี้ฉันต้องมาตามเก็บกวาดความฉิบหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่ใช่ไหม!”

ซีเว่ยถอนหายใจ เขารู้สึกปวดหัวแม้ว่าเขาจะไม่มีหัวอยู่ก็ตาม

“ความเป็นพระเจ้าของฉันยังไม่คงที่ แถมพลังศักดิ์สิทธิ์ของฉันก็เบาบางและอ่อนแอมาก…ยังมีอะไรที่แย่กว่านี้อีกรึเปล่า”

ถึงอย่างนั้นซีเว่ยก็ไม่ได้รีบร้อน เขากลับพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น

ขั้นแรก เขาได้สร้างวิธีวัดปริมาณพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่โดยใช้หน่วยวัดพลังเทพที่เขากำหนดขึ้น นั่นทำให้เขารู้ว่าตอนนี้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขามีอยู่ทั้งหมด 10 แต้ม

สาเหตุที่เขาไม่ได้กำหนดให้มันมีเพียงแต้มเดียวแม้ว่ามันจะมีอยู่น้อยนิด นั้นก็เป็นเพราะว่าพลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่เทพเจ้าแห่งเกมองค์ก่อนได้ทิ้งไว้ให้เขานั้น มันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น

ถ้าเขาเปลี่ยนพลังทั้งหมดเป็นพลังงานดิบและโยนมันลงในแดนมรรตัย มันก็จะสลายกองทัพนับหมื่นได้ในทันที พลังของมันไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยไปกว่าพลังของระเบิดนิวเคลียร์เลย

แต่ถ้าเขาต้องการทำให้ความเป็นพระเจ้าของเขาคงที่ เขาจะต้องมีพลังงานศักดิ์สิทธิ์อย่างน้อย 100 แต้ม

ตอนนี้เขามีนักพนันที่ยังศรัทธาเขาอยู่เพียงไม่กี่คน แต่อัตราที่พวกเขาสร้างพลังศักดิ์สิทธิ์ให้เขานั้นท่วมท้นมากจนเขาแทบจะไม่เชื่อ แล้วถ้าอนาคตผู้ศรัทธาทั้งหมดของเขาเปลี่ยนไปศรัทธาศาสนจักรของเทพธิดาแห่งโชคลาภ ท่านหญิงฟอร์ทูน่าล่ะ เขาจะไม่แย่เหรอ

“ฉันปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้…”

ซีเว่ยตรวจสอบความสามารถที่เขามีอยู่อย่างรอบคอบ

เทพเจ้าแต่ละองค์มักจะมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป แต่ที่สำคัญคือเทพเจ้าแต่ละองค์จะประกอบด้วยลักษณะพื้นฐานสามประการที่คล้ายกันนั่นคือ พรของพระเจ้า ความพิโรธของพระเจ้า และบัญชาของพระเจ้า

พูดง่าย ๆ ก็คือ พรของพระเจ้า คือการโปรดสัตว์ เมื่อเทพเจ้าได้ติดต่อกับผู้ศรัทธาของพวกเขาในแดนมรรตัย พวกเขาจะทิ้งวิวรณ์หรือสิ่งของศักดิ์สิทธิ์บางอย่างไว้เบื้องหลัง หรือทำให้ผู้ศรัทธาตื้นตันใจด้วยพลังและอำนาจที่พระองค์มอบให้ ยิ่งความศรัทธาของคุณมีมากเท่าไหร่ เทพเจ้าก็จะยิ่งชื่นชอบคุณมากขึ้นเท่านั้น กระทั่งเมื่อศรัทธาที่คุณมอบให้มีมากถึงระดับหนึ่ง เทพเจ้าก็จะไว้ใจยอมมอบพลังเหนือมนุษย์บางอย่างให้กับคุณ

ความพิโรธของพระเจ้า ก็ตรงตัวเลย มันคือทัณฑ์สวรรค์ การลงโทษจากเทพเจ้า ที่เหล่าสรรพสิ่งในแดนมรรตัยมิอาจขัดขืนได้

บัญชาจากพระเจ้า เป็นพลังที่เทพเจ้าองค์นั้น ๆ มี มันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่มากจนอยู่ในระดับเหนือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น เทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว พลังของนางจะสามารถเพิกเฉยต่อฤดูกาลได้ เพราะนางสามารถทำให้พืชผลเจริญงอกงามได้ทุกเมื่อที่นางต้องการ พลังของนางสามารถช่วยให้ผู้ศรัทธา ควบคุมการเก็บเกี่ยวและควบคุมสภาพอากาศได้ในระดับหนึ่ง นั่นหมายความว่า ตราบใดที่มันเป็นส่วนหนึ่งของอิทธิพลที่เทพตนนั้นมี กฎธรรมชาติก็จะไร้ผล!

อย่างไรก็ตาม เทพเจ้าหลายองค์ก็มักจะมีอิทธิพลที่ทับซ้อนกัน เช่น เทพระดับสูงทั้ง 3 องค์ เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์แอมโปริโอ เทพเจ้าแห่งแสงลินท์ นักล่าแสงโจคอฟ และเทพชั้นต่ำอีกหลายองค์ที่จำชื่อไม่หวาดไม่ไหว พวกเขามีอิทธิพลเหนือธรรมชาติในเรื่องพลังแห่งแสงสว่าง

ในฐานะเทพเจ้าแห่งเกม บัญชาของพระเจ้าที่ซีเว่ยมีนั้นคลุมเครือมาก เนื่องจากเขามีอิทธิพลเหนือทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเกม แม้กระทั่งเรื่องโชคลาภเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

มันฟังดูดีใช่ไหมล่ะ แต่เมื่อพูดถึงระดับพลังที่เขาสามารถควบคุมได้ กับอิทธิพลที่เขามีนั้น เขาอาจทำได้แย่กว่าเทพชั้นสามทั่วไปซะอีก

พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ เมื่อซีเว่ยขยายอิทธิพลของเขาไปทับซ้อนกับเทพเจ้าแห่งสรรพสัตว์ เพื่อควบคุมสัตว์ป่าหรือแม้แต่เหล่าสัตว์ประหลาด เนื่องจากการล่าสัตว์และการต่อสู้กับสัตว์ ก็ถือเป็นเกมอย่างหนึ่ง

แต่ถึงอย่างนั้น หากเทพเจ้าแห่งสรรพสัตว์มีอิทธิพลเหนือสัตว์ร้ายถึง 90% อิทธิพลที่ซีเว่ยมีก็อาจมีไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำ…

พลังของเขาจับฉ่ายมาก…ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ศรัทธาของเขาจะละทิ้งศาสนาเกมของเขาอย่างง่ายดาย หากพวกเขาต้องการพรและพลังพิเศษที่เฉพาะเจาะจงจากเทพเจ้า พวกเขาสามารถได้รับพรแบบเดียวกันได้จากเทพเจ้าองค์อื่น ๆ และมันก็แข็งแกร่งกว่าพรที่เขาสามารถมอบให้ด้วยซ้ำ

คุณเป็นนักพนันและอยากโชคดี?

คุณสามารถนับถือท่านหญิงฟอร์ทูน่าได้

คุณเป็นนักสู้และต้องการร่างกายที่แข็งแกร่ง?

คุณสามารถนับถือเทพเจ้าแห่งสงครามได้

คุณเป็นไรเดอร์และต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับสัตว์พาหนะของคุณ?

คุณสามารถนับถือเทพแห่งสัตว์ขี่ได้

แล้วแบบนั้นทำไมคุณยังต้องการขี่จักรยาน*ไปกับเทพเจ้าแห่งเกมด้วย…

(ขี่จักรยาน น่าจะหมายถึงไปอย่างช้า ๆ แทนที่จะไปด้วยรถยนต์หรือเครื่องบิน)

“อืม…มันอาจจะไม่ได้ไร้ค่าอย่างที่ฉันคิด”

หากเทพท้องถิ่น*ได้เผชิญกับความฉิบหายแบบเดียวกับเขาในเวลานี้ พวกเขาอาจทำได้เพียงแค่หลับตารอการดับสูญอย่างทำอะไรไม่ได้

(เทพท้องถิ่น ที่หมายถึงคือเทพของต่างโลก ไม่ใช่เทพท้องถิ่นแบบเจ้าที่นะคะ)

แต่ซีเว่ยนั้นต่างออกไป ในฐานะโอตาคุติดบ้าน แนวคิดเรื่อง ‘เกม’ สำหรับเขา ไม่ง่ายเหมือนการเล่นไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ด(โต้วตี้จู่) หรือการพนันที่ปล่อยให้สุนัขกัดกันในสังเวียนที่คนบนโลกนี้คุ้นเคยหรอก

สำหรับเขา เกมมาพร้อมกับการถือกำเนิดของยุคอินเทอร์เน็ต มันมีจิตวิญญาณที่ถูกส่งต่อมายังรุ่นสู่รุ่น ถูกหล่อหลอมทีละขั้นตอน และในที่สุด มันก็ได้ทำให้ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนพากันหลงใหล

เรียกได้ว่าเกมคือศิลปะที่ช่วยให้ผู้คนจรรโลงใจและมีความสุขเมื่อได้เล่นมัน และมันก็ได้กลายเป็นศิลปะรูปแบบที่ 9 ที่เรียกว่า ศิลปะแบบวิดีโอเกม!

ในฐานะก้าวแรกของการพิชิตต่างโลก และในนามของเกมเมอร์จากโลก ซีเว่ยตัดสินใจที่จะ…เริ่มสร้างระบบก่อน

ข้าคือเทพเจ้าแห่งเกม I Am the God of Games

ข้าคือเทพเจ้าแห่งเกม I Am the God of Games

Status: Ongoing

นี่คือเรื่องราวของมนุษย์ธรรรมดาผู้ซึ่งได้ข้ามโลกมาเป็นเทพเจ้าชั้นสามที่กำลังจะตาย เขาได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรวบรวมเหล่าผู้ศรัทธา และก่อให้เกิดมหาสงครามเทพเจ้าครั้งที่สี่ในที่สุด

“เจ้าเคยได้ยินเรื่องเทพเจ้าแห่งเกมไหม?” “เทพเจ้าแห่งเกม…?” เอลีน่าส่ายหัวด้วยความสงสัย “ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระองค์…” “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเทพเจ้าแห่งเกม สามารถมอบพลังให้เจ้าเอาชนะศัตรูตรงหน้าเจ้าได้” ซีเว่ยเกลี้ยกล่อมเธออย่างอดทน เอลีน่านิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นมาอย่างแน่วแน่ และจ้องมองไปที่ซีเว่ย “ถ้าอย่างนั้น ข้าเต็มใจที่จะเป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม!” “ความศรัทธาไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถมีได้ด้วยปากเจ้า จงหลับตาและจินตนาการถึงพระนามของพระองค์ในใจเจ้า และสัมผัสถึงพลังของพระองค์ด้วยหัวใจของเจ้า” เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท