หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1066

ตอนที่ 1066

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1066 กองทัพอสูรสวรรค์
เมื่อเห็นมู่เฉินพยักหน้า

รอยยิ้มอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของราชินีวิหคอมตะ มือเรียวยกขึ้น ลำแสงสายหนึ่งก็บินไปหามู่เฉิน เมื่อแสงนั้นจางลงก็กลายเป็นป้ายหินขนาดเท่าฝ่ามือสลักด้วยรูปสัตว์อสูรมากมาย เหมือนมีเสียงคำรามที่น่าตกใจนับไม่ถ้วนเปล่งออกมาอย่างเลือนราง

“นี่คือป้ายบัญชาการของกองทัพอสูรสวรรค์ เจ้าสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อเชื่อมต่อกับรัศมีจั้นยี่ของพวกเขาและควบคุมได้”

เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของนาง ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขณะที่กวาดมองป้ายหินในมือของมู่เฉิน ด้วยวัตถุนี้ก็เทียบเท่ากับการควบคุมกองทัพน่าสะพรึงกลัวที่สามารถเทียบเคียงได้กับระดับตี้จื้อจุน กระทั่งในเผ่าของพวกเขาวัตถุชิ้นนี้ก็ต้องถูกจัดอันดับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะอยากได้แค่ไหนก็ไม่กล้าคิดอะไรอื่น มากจนพวกเขาหวังว่ามู่เฉินจะสามารถควบคุมได้ มิฉะนั้นคงไม่มีใครสักคนที่สามารถหนีรอดออกจากที่นี่ได้

แววตาของมู่เฉินก็ลุกโชนขณะรับป้ายบัญชาการมาอย่างระมัดระวัง เขาจ้องมองป้ายหินที่มีรูปลักษณ์เรียบง่ายแต่บรรจุด้วยพลังงานที่น่ากลัว หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยไอคุกรุ่น

เมื่อมีวัตถุนี้ในมือก็หมายความว่าเขามีอำนาจในการเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน หากเขาสามารถนำสิ่งนี้กลับไปยังภูมิภาคทางเหนือ เขาอาจจะสามารถสู้กับขั้วอำนาจสูงสุดด้วยตัวคนเดียวเลย

แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็ได้แต่คิด ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาสามารถนำติดตัวกลับไปได้หรือไม่ ถึงแม้ว่าเขาจะทำได้ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสั่งการกองทัพอสูรสวรรค์โดยไม่ได้รับการปกป้องจากราชินีวิหคอมตะ

ขณะที่มู่เฉินกำลังน้ำลายสออยู่ในหัวใจ ราชินีวิหคอมตะก็จ้องมองปีศาจที่กำลังเผชิญหน้ากับราชันปักษาวิญญาณและราชันอสูรไร้พิรุณด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

การประจัญบานนี้สั่นสะเทือนโลกา การปะทะกันทุกครั้งทำให้ท้องฟ้าแยกออก มิติพังทลาย หากไม่ได้รับการปกป้องจากแท่นบูชา ผลกระทบเพียงอย่างเดียวก็สามารถฆ่าทุกคนนอกเหนือจากร่างดวงจิตทั้งสาม

นอกจากนี้ทุกคนบอกได้ว่าพลังของปีศาจนั่นค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากกดทับลงมายังทิศทางของแท่นบูชาอย่างต่อเนื่อง

“ผิดคาดจริงๆ ที่ให้ไอ้ปีศาจเตรียมการอย่างสมบูรณ์เช่นนี้ ตอนนี้ถ้าต้องการปราบมันอีกก็เป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียว” ราชินีวิหคอมตะถอนหายใจเบาๆ แต่นางรู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำได้ พวกนางทั้งสามสิ้นชีพไปแล้วโดยเหลือเพียงร่างดวงจิต นอกจากนี้แม้จะมีกองทัพอสูรสวรรค์เป็นไพ่ตาย แต่หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาก็ไม่พบกับจั้นเจิ้นซือที่ทรงพลังแท้จริง ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้สิ่งนี้เพื่อฆ่าปีศาจได้

ตอนนี้แม้ว่าพวกนางจะโชคดีพอที่ได้พบจั้นเจิ้นซือ แต่เขาก็อ่อนเยาว์เกินไป ไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะสามารถควบคุมพลังของกองทัพอสูรสวรรค์ได้หรือไม่ หากเขาล้มเหลวทำให้ปีศาจเป็นอิสระ ทั่วทั้งดินแดนเสินโซ่ก็จะแปดเปื้อนไปอย่างสิ้นเชิง มากจนอาจเล็ดลอดออกไปยังมหาพันภพได้

ดังนั้นตอนนี้พวกเขาได้แต่ทำสิ่งที่สามารถทำได้เท่านั้น

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ราชินีวิหคอมตะก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เงาร่างของนางค่อยๆ ลอยขึ้นไปยังจุดสูงสุดของแท่นบูชา จากนั้นก็จ้องมองไปที่สหายทั้งสองก่อนที่จะพยักหน้า

ทั้งสามวาดตราประทับพร้อมกัน ทันใดนั้นกระแสน้ำไม่สิ้นสุดก็ดันตัวขึ้นทั่วมิติ สภาพที่รุนแรงนี้ประหนึ่งธารสวรรค์เทลงอัดแน่นทั่วฟ้าดิน

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตสามสายพุ่งลงมาบนรูปปั้นหินทั้งสามที่แท่นบูชา

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

เกลียวแสงไร้ขอบเขตปะทุออกมาก่อนที่รูปปั้นหินจะระเบิด ร่างเงาทั้งสามทะยานขึ้น ขยายขนาดกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาสามร่างบนท้องฟ้า

เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ก็สูดลมหายใจเย็นเข้าลึกสุดปอด ร่างมหึมาทั้งสามก็คือร่างเดิมของราชันเทพอสูรทั้งสามนั่นเอง นอกจากนี้ก็ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่นี่เป็นโครงกระดูกแท้จริงที่เหลือไว้เบื้องหลังเมื่อพวกเขาสิ้นชีพไป

แต่ภายใต้การควบคุมของร่างดวงจิต โครงกระดูกทั้งสามก็ฟื้นฟูพลังเปล่งประกายอำนาจของระดับเทียนจื้อจุนออกมาอีกครั้ง

บนพื้นดินใบหน้าปีศาจที่น่ากลัวแข็งค้างชั่วครู่ ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่มาจากสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาทั้งสาม

โฮก!

ใบหน้าปีศาจบิดเบี้ยว ขณะที่รัศมีปีศาจเพิ่มขึ้นก่อร่างเป็นลวดลายปีศาจน่าสะพรึงบนใบหน้า ขณะนั้นใบหน้าปีศาจก็ขยายขนาดเป็นร้อยเท่า เมื่อมองจากระยะไกลครอบคลุมพื้นโลกหลายหมื่นลี้ ซึ่งดูน่าขนพองสยองเกล้าอย่างยิ่ง

ใบหน้าปีศาจหลุดเป็นอิสระ ลอยขึ้นบนท้องฟ้า ภาพร่างปีศาจนับไม่ถ้วนบิดตัวไปมาบนใบหน้า เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องอยู่ตลอดเวลา

เมื่อทุกคนเห็นสิ่งนี้ใบหน้าก็ซีดเผือด ชัดว่าถูกข่มขู่โดยรัศมีปีศาจ

ตู้ม!

บนท้องฟ้าร่างมหึมาทั้งสามพุ่งออกไป เพลิงอมตะ เกลียวแสงห้าสีและหมัดไร้พิรุณ กวาดไปหาใบหน้าปีศาจไม่ยั้ง

ใบหน้าปีศาจปลดปล่อยเสียงคำราม รัศมีปีศาจเพิ่มขึ้นก่อเป็นภาพปีศาจนับไม่ถ้วนส่งเสียงร้อง พลางปะทะกับกระบวนท่าโจมตีน่าสะพรึงกลัว

ทั้งสองฝ่ายเลือกวิธีที่ป่าเถื่อนที่สุดในการปะทะกัน ทุกครั้งที่ปะทะกันก็เผาฟ้าผลาญดิน ทำให้เกิดความกลัวในหัวใจของผู้ที่กำลังมองดู

ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมลงขณะที่เฝ้ามองการล้างผลาญ จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึกๆ โดยไม่ลังเลร่างเงาก็เคลื่อนไหวไปปรากฏตัวเหนือกองทัพอสูรสวรรค์

เขายื่นมือออกป้ายหินลอยอยู่กลางฝ่ามือ เมื่อเร้าคลื่นหลิง ทันใดนั้นป้ายหินก็เปล่งแสงสีขาวพร่างพราว ภาพสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนที่สลักอยู่บนป้ายเหมือนฟื้นชีวิตขึ้นมาใหม่

ตู้ม!

บนแท่นบูชาเงาร่างจำนวนหลายหมื่นก็ลืมตาโพลง จิตสังหารทรงพลังพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที

ทุกคนถอยหนีกันจ้าละหวั่นด้วยความตกใจจากแรงผลักดัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ด้วยกองทัพที่ทรงพลังนี้ เพียงแค่คิดทุกคนที่นี่ก็จะถูกฆ่าล้างอย่างสมบูรณ์

“ไม่รู้ว่ามู่เฉินจะสามารถควบคุมกองทัพทรงพลังเช่นนี้ได้หรือไม่” จิ่วโยวพูดด้วยความกังวล ขณะที่มองดูร่างมู่เฉินบนท้องฟ้า กองทัพอสูรสวรรค์ทรงประสิทธิภาพมากเกินไป ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็เป็นไปได้ที่จะได้รับการตีโต้จากรัศมีจั้นยี่ เวลานั้นมู่เฉินตายคาที่แน่นอน

ท่ามกลางสายตากระวนกระวายใจมากมาย มู่เฉินก็นั่งลงบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าหลังจากใช้ป้ายบัญชาการก็มีรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตที่เต็มไปด้วยความดุร้ายและความภาคภูมิใจกวาดเข้ามาหาเขาอย่างรุนแรง

ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ มหาสมุทรขนาดใหญ่ที่สร้างจากรัศมีจั้นยี่ก็ปกคลุมท้องฟ้า มู่เฉินดูตัวเล็กเท่ามดเมื่อเทียบกับมหาสมุทรรัศมีที่น่ากลัว

ภายใต้รัศมีจั้นยี่นี้ แม้แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น กองทัพที่เขาสั่งการในอดีตไม่มีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกองทัพอสูรสวรรค์ตรงหน้านี้เลย

แต่ในเวลานี้เขารู้ว่าไม่มีทางถอยอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงโยนความขี้ขลาดทั้งปวงทิ้ง หัวใจยึดมั่นขึ้น จากนั้นเขาก็ไม่ลังเล คลื่นจิตกวาดออกไปพุ่งเข้าสู่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต

ตู้ม!

เมื่อคลื่นจิตของเขาสัมผัสกับรัศมีจั้นยี่ขนาดมหึมา สมองของเขาก็ระเบิดทันที รัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงหลั่งไหลเข้ามาพร้อมกับเสียงคำรามฆ่าฟันนับไม่ถ้วนครอบงำสติของเขา

แต่โชคดีที่มู่เฉินเตรียมพร้อม เขารีบปกป้องจิดใจของตนปล่อยให้รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดไปทั่ว ยามนี้เขาเหมือนเรือลำเล็กในมหาสมุทรบ้าคลั่ง เสี่ยงต่อการถูกพลิกคว่ำตลอดเวลา

ร่างกายของเขาสั่นไหวภายใต้รัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตซึ่งค่อยๆ ปกคลุมร่างเขาจนมิด

ตู้ม!

คลื่นกระแทกทำลายล้างกระจายออกไปทั่วทั้งสุสานสักการะเทพ รัศมีความตายที่อยู่ในฟ้าดินก็สลายไปอย่างต่อเนื่อง ภายใต้คลื่นกระแทกอันน่าสะพรึงกลัว

อสูรวิญญาณที่โชคร้ายก็ตายด้วยอัตราเป็นหมื่น แม้แต่อสูรวิญญาณระดับจื้อจุนขั้นเก้าก็ตายไม่เห็นซาก เมื่อสัมผัสกับคลื่นกระแทกนี้

ทุกคนตกตะลึงเมื่อเฝ้าดูการเผชิญหน้าของการทำลายล้าง แม้ว่าราชันทั้งสามจะเป็นเพียงร่างดวงจิตที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ส่วนปีศาจก็ถูกสร้างขึ้นด้วยความปรารถนาของจอมพลปีศาจเท่านั้น แต่การปะทะกันนี้ก็เกินจินตนาการของพวกเขาไปมาก

ปัง!

คลื่นกระแทกน่าสยดสยองกวาดออกมาขณะที่วิหคอมตะกระพือปีก นางมองไปที่ร่างเทพอสูรทั้งสองก่อนจะตะโกนด้วยเสียงคมชัด “สร้างค่ายกล ตราประทับทำลายล้างปีศาจ!”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทั้งราชันปักษาวิญญาณและราชันอสูรไร้พิรุณก็คำรามตอบ ลวดลายพร่างพราวปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของพวกเขา ก่อนที่ร่างจะกลายเป็นแม่น้ำโชติช่วง

แม่น้ำแสงยาวหลายแสนจั้งดูเหมือนจะผ่านทะลุฟ้าดิน ซึ่งภายในเต็มด้วยลวดลายโบราณนับไม่ถ้วน และทุกลวดลายบรรจุด้วยพลังงานอันน่ากลัว

แม่น้ำแสงสามสายที่ก่อตัวขึ้นจากราชันเทพอสูทั้งสามกวาดออกพร้อมเสียงหวีดหวิว จากนั้นก็ม้วนเข้าหากันทะลุผ่านมิติ พวกมันราวกับโซ่ตรวนขนาดใหญ่พันรอบใบหน้าปีศาจไว้

โซ่ตรวนเชื่อมต่อกันราวกับตราประทับวิญญาณ จากนั้นก็กดทับลงมาพยายามที่จะผนึกปีศาจร้ายไว้

โฮก!

ปีศาจคำรามอย่างบ้าคลั่ง รัศมีปีศาจพวยพุ่งอย่างรุนแรง ทำให้โซ่ตรวนแม่น้ำแสงสั่นสะเทือนจากอานุภาพนี้

“สั่งการกองทัพอสูรสวรรค์!” ราชินีวิหคอมตะโกนร้องบอก

บนแท่นทุกคนจ้องมองอย่างกังวลไปที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต ร่างของมู่เฉินจมหายไปแล้ว ราวกับว่าเขาถูกระเหยให้กลายเป็นเถ้าถ่านโดยรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขต

บางคนรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเย็นวาบ ถ้ามู่เฉินไม่สามารถสั่งการกองทัพอสูรสวรรค์ได้ก็ไม่สามารถทำการโจมตีสุดท้ายต่อปีศาจนั้นได้ ถ้าเวลาถูกลากออกไปสามราชันก็จะหมดแรงในไม่ช้า

ขณะที่เม็ดเหงื่อตกลงภายใต้ความกังวล พายุคลั่งก็พัดออกมาจากรัศมีจั้นยี่ คลื่นพลังผันผวนก่อนที่ร่างเงานั่งนิ่งจะปรากฏขึ้น

ยามนี้เส้นเลือดบนร่างของมู่เฉินเต้นยุบยับไปหมด ใบหน้าก็บิดเบี้ยว ราวกับกำลังอดทนกับอาการเจ็บปวดที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็ฝืนทนไว้ได้ เกลียวแสงกะพริบที่กลางหว่างคิ้วของเขา ขนนกที่ลุกโชติช่วงด้วยผลึกเพลิงก็แตกออก กลายเป็นจุดแสงหลอมรวมเข้าในหัวสมองของเขา

สติของเขาซึ่งกำลังถูกทำลายก็กระจ่างชัดขึ้นทันที

มู่เฉินคว้าจับความชัดเจนในเสี้ยววินาทีนั้น ร่างของเขายืนขึ้น ป้ายหินในมือยกขึ้น รัศมีจั้นยี่ป่าเถื่อนก็ล้นทะลักออกมาพร้อมกับเสียงคำรามดังกึกก้องที่สั่นสะเทือนสวรรค์และโลก

“กองทัพอสูรสวรรค์ จงฟังคำสั่ง!”

ทันใดนั้นรัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดในดวงตาของกองทัพบนแท่นบูชาเบื้องล่าง…

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท