กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิด
ในมือของเขาถือดิสก์ค่ายกลรับส่งโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ เฝ้าดูรายละเอียดมันอย่างใกล้ชิด
บนดิสก์ค่ายกล ประกอบไปด้วย กิเลน หงส์ เต่า และมังกร อยู่ตามแต่ละมุม แต่ละด้าน
แต่ตอนนี้ หลังจากที่ถูกฆ่าโดยมังกรแล้ว กู่ฉิงซานก็เลือกเปลี่ยนไปอีกเส้นทางหนึ่ง
หลังจากข้ามผ่านกระบวนการอันยาวนาน ในที่สุด เขาก็มาถึงเชิงเขา
ตรงเชิงเขามีศาลารักษาการณ์อยู่
จ้องมองไปยังศาลากลางภูเขา
บนศาลา มอนสเตอร์ที่มีรูปร่างเหมือนม้า ทว่ามีเขาแหลมตรงส่วนเขากำลังหลับใหลอยู่
เมื่อสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนมาเยือน กิเลนก็ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน ลุกขึ้นมองกู่ฉิงซาน
และแล้ววิสัยทัศน์ของเขาก็ดำมืด
…
ย้อนกลับไปท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิด กู่ฉิงซานเริ่มคิดเกี่ยวกับวิธีการเข้าสู่วังสวรรค์เมฆาวิเวก
เขาค้นพบว่า ตนได้เลือกเดินทางบนเมฆกว่าสองครั้งสองคราแล้ว ผลสุดท้ายจบลงที่การไปกระตุ้นมังกรกับกิเลนเข้า
ก็แล้วถ้าอย่างงั้น… จะให้ทำอย่างไร?
ทุกกระบวนการกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
คราวนี้ กู่ฉิงซานไม่เลือกก้าวเดินบนก้อนเมฆอีกต่อไป
เขาเลือกที่จะบิน บินขึ้นสู่ท้องฟ้า และกลายเป็นกระแสแสงตรงไปยังภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป
หลังจากข้ามผ่านในส่วนของสวนอาหารและศาลา ไม่นาน กู่ฉิงซานก็มาถึงยอดเขา
ในเวลานั้นเอง เขาก็ค้นพบกับต้นไม้ร่มเงาขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ใจกลางยอดเขา
บนต้นไม้ร่มเงา ปรากฏนกตัวใหญ่ที่ทั้งร่างของมันปกคลุมไปด้วยขนสีแดงเข้ม
เมื่อกู่ฉิงซานบินลงจากท้องฟ้า นกตัวใหญ่ก็เชิดคอขึ้น และมองมาทางกู่ฉิงซาน
-นกตัวนี้มันเหมือนกันหงส์ที่ถูกแกะสลักอยู่บนดิสก์ค่ายกลรับส่งโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์เลย
ไม่สิ นี่มันไม่ใช่นก แต่เป็นหงส์ตัวนั้นเลยต่างหาก!
กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างหมดหนทาง
จากนั้น วิสัยทัศน์ก็พลันมืดบอด
กู่ฉิงซานกลับมาอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิดอีกครั้ง
เกิดอะไรขึ้น? มันไม่ราบรื่นหรือ? ร่างแสงทมิฬเอ่ยถาม
เวลานี้ ร่างแสงทมิฬกำลังถือใบหยกในมือของเขา กำลังสำรวจเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยบางอย่างในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ
มันค่อนข้างลำบาก แต่ผมจะลองหาวิธีดู กู่ฉิงซานกล่าว
ได้ยินแบบนั้นก็ค่อยโล่งใจ อย่าลืมว่าข้าสามารถใช้สกิลนี้ได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น จงถนอมมันให้ดี ร่างแสงทมิฬกล่าว
เข้าใจแล้ว ผมจะใช้มันให้คุ้มค่าที่สุด กู่ฉิงซานรับคำ
เขาลองพลิกดิสก์ค่ายกลไปมา ขบคิดอย่างเงียบๆ ว่าจะเข้าสู่วังสวรรค์เมฆาวิเวกได้อย่างไร
นี่มันเป็นปัญหาเสียจริง
เพียงแค่ถูกมองก็จบแล้ว งั้นฉันจะต้องใช้วิธีอะไรถึงจะสามารถเข้าไปยังวังสวรรค์ได้?
ต่อให้เขาปลอมเป็นนกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต ก็เกรงว่ามิอาจหลบเร้นสายตาของหงส์อยู่ดี
ดูเหมือนว่าพวกมันจะแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน
มังกรช่วยปกป้องรอบอาณาเขตวังสวรรค์เมฆาวิเวกทั้งหมด ส่วนกิเลนปกป้องประตูทางเข้าภูเขาเบื้องล่าง หงส์ก็ช่วยปกป้องส่วนเหนือของวัง เหลือแค่เต่าที่ยังไม่ทราบว่ามันซ่อนอยู่ที่ไหน
เมื่อต้องพบเผชิญกับอสูรวิญญาณที่ทรงพลังแบบนี้ ต่อให้เขามีโอกาสกว่าแปดร้อยครั้ง เกรงว่ายังไม่สามารถผ่านมันไปได้
เช่นนั้นยังมีวิธีใดที่สามารถใช้หลบเร้นไปจากสายตาของพวกมันได้หรือไม่?
กู่ฉิงซานจมอยู่ในห้วงความคิด
นี่เจ้ายังคิดไม่ออกอีกหรือ? ร่างแสงทมิฬถาม
ขอทดลองดูอีกครั้ง ช่วยส่งผมกลับไปด้วย กู่ฉิงซานกล่าว
ตกลง
ซุ่ม!
กระแสคลื่นความมืดมิดโถมทับกูฉิงซาน
หลังจากสนทนากับนางเซียนไป่ฮั่ว ใช้ด้ายมิติกลับไปยังสมาคมกำปั้นเหล็ก และเปิดใช้งานดิสก์ค่ายกล
กู่ฉิงซานก็กลับมาถึงโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์อีกครั้ง
คราวนี้ เขาเดินไปที่ขอบพื้นเมฆ และก้มมองลงไป
ใต้ท้องฟ้าสีเทา เป็นผืนแดนแห้งแล้งอันไร้ที่สิ้นสุด
คราวนี้ เขาจะไม่เดินบนเมฆหรือบินบนท้องฟ้า
กู่ฉิงซานตั้งใจที่จะบินไปตามใต้เมฆ ลอดผ่านสวนให้อาหาร และที่ตั้งของศาลารักษาการณ์ บินจากเบื้องล่าง มุ่งสู่ทิศทางของวังสวรรค์
ตราบใดที่ภูเขาบนก้อนเมฆ มันยังเป็นภูเขาปกติอยู่ ตนเองก็ย่อมสามารถอาศัยสองดาบ เปิดรู ขุดเข้าไปจากเบื้องล่างได้
ด้วยวิธีนี้ เขาก็จะสามารถหลบเลี่ยงหงส์จากเบื้องบน เข้าสู่ภายในวังสวรรค์จากใต้ดินได้อย่างง่ายดาย
กู่ฉิงซานลองคิดย้อนกลับไปกลับมาอีกครั้ง
และพบว่านี่แหละคือทางออก
ที่ต้องทำ มันก็แค่เมื่อตอนเปิดภูเขา จะต้องเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบเท่านั้น
มันคงจะเป็นการดีกว่า หากเขาแปลงกายเป็นสัตว์ที่เหมือนกับตัวตุ่น ขุดเข้าไปในดินตามใจต้องการ
โอเค ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว!
กู่ฉิงซานกระโดดลงจากก้อนเมฆ
เขาลดระดับลงมาเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงพื้นจึงค่อยๆ หยุดอย่างช้าๆ
พบว่าพื้นดินเบื้องล่างช่างแห้งแล้ง และเงียบเหงา
แต่เพื่อความปลอดภัย กู่ฉิงซานเลยไม่คิดจะสัมผัสกับพื้นดิน เขาตัดสินใจลอยอยู่ในอากาศเหนือมัน และเริ่มบินตรงไปข้างหน้า
เขาบินไปในทิศทางของภูเขาอันห่างไกล
มองขึ้นไปจากเบื้องล่างก้อนเมฆ ฉากภาพจะดูแตกต่างกันเล็กน้อย
เมฆอื่นๆ ล้วนบางเบา ทว่ามีเพียงเมฆใต้ภูเขาเท่านั้นที่หนาจนเกินไป
อย่างไรก็ตาม หากมันไม่ใช่เมฆหนาทึบ เกรงว่ามันคงจะไม่สามารถรองรับภูเขาขนาดใหญ่ และพระราชวังที่ตั้งอยู่เหนือมันได้น่ะสิ
กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมัน และเริ่มเร่งความเร็วขึ้น
เขาบินผ่านท้องฟ้าสีครามด้วยพลังทั้งหมดที่มี และในที่สุดก็มาถึงเบื้องล่างของภูเขาได้อย่างปลอดภัย
มังกรเหลือง กิเลน และหงส์ เขตความสนใจของพวกมันล้วนไม่ได้อยู่ในที่นี้
กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ กวาดเข้าไปในเมฆเหนือหัว
ปรากฏว่าไม่อาจรับรู้อะไรได้เลย
ดูเหมือนว่า จากตัวภูเขากับเมฆเบื้องล่างสุด จะมีระยะห่างกันอยู่บ้าง
กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก และบินขึ้นไปในเมฆหนาทึบ
กึ้ง!
บังเกิดเสียงหนักทึบ สั่นสะเทือนโลกหล้า
กู่ฉิงซานที่พึ่งบินเข้าไปในมวลเมฆ ก็ถูกตีกลับมา
เขาลูบหน้าผาก กระเด็นถอยหลังไปพักหนึ่ง ก่อนจะสามารถหยุดตนลงได้
กู่ฉิงซานกัดฟัน สงบนิ่งสักพัก เพื่อกล้ำกลืนความเจ็บปวดให้ลดน้อยลง
เขาเงยหน้ามองขึ้นไป
มันยังคงเต็มไปด้วยเมฆ เมฆที่ปกคลุมทุกสิ่งอย่าง
นี่มันเมฆอะไรกัน? เหตุใดเขาจึงไม่สามารถใช้จิตสัมผัสเทวะของตนเอง ค้นหาอะไรจากภายในมันได้เลย
นอกจากนี้ หัวของเขาเมื่อครู่ไปกระแทกเข้ากับอะไรกันแน่?
กู่ฉิงซานอดไม่ได้จีบออกด้วยวิชาลับ
นี่คือเทคนิคมนตราขั้นพื้นฐานที่สุด ผลลัพธ์ของมันคือการอัญเชิญวิญญาณลม
ทันทีที่พลังวิญญาณถูกขับเคลื่อน เทคนิคมนตราก็ประสบผล
สายลมพัดโชย
พัดโชยไปยังทิศทางเหนือเมฆ!
กู่ฉิงซานตอนนี้เป็นผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า ดังนั้นความยากง่ายในการใช้ออกด้วยเทคนิคมนตรา จึงค่อนข้างแตกต่างจากในอดีต
ชั้นเมฆของทั้งภูเขา ถูกปกคลุมไปด้วยสายลมแรง
เมฆถูกพัดพาออกไปอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นถึงฉากที่อยู่ภายใน
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น จ้องมองดูชั้นเมฆ สูญสิ้นความปรารถนาที่จะเปิดปากพูด
เพราะในที่สุด เขาก็รู้แล้วว่าหน้าผากเขากระแทกเข้ากับอะไรเมื่อครู่
เป็นกระดองเต่า!
ไม่ว่าจะเป็นมังกร กิเลน หรือกระทั่งหงส์ ล้วนมีขนาดและรูปร่างใหญ่ไม่ถึงหนึ่งหนึ่งในสิบส่วนของเต่าเบื้องหน้าเขาด้วยซ้ำ!
เต่ายักษ์ตัวนี้ กำลังแบกภูเขาไว้บนหลัง บินอยู่บนท้องฟ้าอย่างช้าๆ
นอกจากนี้ มันยังคงหลับตาอยู่ คล้ายกับว่ากำลังหลับใหล
การที่หัวของกู่ฉิงซานไปกระแทกเข้ากับมัน ไม่ได้ทำให้มันรู้สึกอะไรเลย
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานลอยล่องอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ เฝ้าสังเกตดูเต่ายักษ์
เขาพบว่า เมื่อใดก็ตามที่เต่าผ่อนลมหายใจ แม้จะแผ่วเบา ก็จักปรากฏเมฆหมอกสีขาวๆ ออกมาจากจมูก
เมฆค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ เริ่มทยอยปกปิดส่วนหนึ่งของร่างเต่า
กู่ฉิงซานหลับตาลง พยายามรับรู้อย่างเงียบๆ
เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่จากเต่าตัวนี้ คล้ายกับเปลวไฟที่โหมกระหน่ำไม่รู้จบ
ในการรับรู้ทางจิตวิญญาณของกู่ฉิงซาน ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่ามิแตกต่างจากหิ่งห้อย ขณะที่พลังของเต่านั้นราวกับเป็นดวงอาทิตย์
นี่คือเรื่องที่เขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน
แต่เดี๋ยวก่อนนะ
กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น เอ่ยงึมงำกับตัวเอง นี่มันไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นมังกร กิเลนและหงส์ ที่ฉันเคยเห็นพวกเขามาก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าพวกมันจะทรงพลังมากก็ตามที แต่พวกมันก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกเจ็บปวดต่อฉันแบบนี้เลย?
กู่ฉิงซานพยายามคิดอย่างหนัก ย้อนนึกถึงฉากที่สัตว์วิญญาณอีกสามตัวพบเจอเขา
ดูเหมือนว่าเต่าตัวนี้… จะมีบางอย่างผิดแปลกออกไปจริงๆ
สำหรับอสูรวิญญาณโบราณทั้งสามตัว มดดั่งเช่นเขาย่อมไม่มีภัยคุกคามใดๆ
แต่ทั้งสามก็ยังเลือกที่จะสังหารเขา
โดยไม่มีการสื่อสารใดๆ
ไร้ซึ่งสรรพเสียง
เช่นเดียวกับการกระทำสิ่งต่างๆ ตามกฎ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องจักรสังหาร
แต่เต่าตัวนี้กลับแตกต่างกันออกไป
เต่าค่อนข้างสงบและมั่นคง มันกำลังจมอยู่ในห้วงนิทรา
โดยปกติแล้ว ด้วยระดับของอสูรวิญญาณพวกนี้ มันสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
แต่เต่าไม่ค้นพบว่ามีภัยคุกคามใดๆ จากกู่ฉิงซาน
มันเลยยังคงสามารถหลับอย่างสงบสุข
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็เริ่มรู้สึกว่าอสูรวิญญาณอีกสามตัวคล้ายกับว่าจะมีอะไรผิดปกติ
ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในจิตใจของเขา
ต้องการเข้าสู่พระราชวังสวรรค์เมฆาวิเวกอย่างงั้นหรือ เช่นนั้นก็จงหยิบใบหยกพิทักษ์กายาออกมาเสีย
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นทันใด
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เต่าได้ตื่นแล้ว
มันจ้องมองมาที่กู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น เฝ้ารอชั่วขณะหนึ่ง
แต่กลับพบว่าวิสัยทัศน์เขายังไม่มืดบอด
นั่นหมายความว่าหากตนเดินมาตามเส้นทางนี้ เขาจะไม่ตาย
ใช่ คราวนี้เขายังไม่ตาย!
เจ้าตัวลอยล่องอยู่ในอากาศ สักพักค่อยได้สติกลับคืน
การดำรงอยู่ของเต่า แน่นอนว่าย่อยสามารถสะกดพลังของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์
ทว่าหากมันไม่ต้องการสังหารผู้ใด มันก็ย่อมสามารถระงับพลังของตนเองได้
กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน เขาหันไปกล่าวกับเต่ายักษ์ ใบหยกวังสวรรค์ถูกทำลายลงแล้ว แต่ท่านได้โปรดให้ข้าผ่านเข้าไปด้วยเถอะ
เต่าปฏิเสธทันที ไม่มีใบหยก? งั้นเจ้าก็มิอาจเข้าสู่วังสวรรค์
เต่ามองเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจและกล่าว ลืมมันซะเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็มีทางเดียวเท่านั้นที่จะเข้าไปในวังสวรรค์ได้ เฮ้อ…ข้าคงจำต้องส่งเจ้ากลับไป
และแล้ววิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานก็มืดบอดลง
……………………
ณ โลกอารยธรรมแห่งหอคอยสูง
ภายในวิหารแห่งความรู้
ช่วงเวลานี้ พิธีต้อนรับอันยิ่งใหญ่ได้สิ้นสุดลงแล้ว เหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงต่างก็แยกย้ายกันไป
บริวารและผู้ศรัทธาบางส่วนกำลังวุ่นอยู่กับการเก็บกวาด
ทว่าแม้จะยุ่งและวุ่นวาย แต่สีหน้าของทุกคนกลับเต็มไปด้วยความสุข
ลากยาวกระทั่งถึงกลางดึก ในที่สุดเหล่าบริวารและผู้ศรัทธาก็ทำความสะอาดทั้งภายในและภายนอกวิหารจนเสร็จสิ้น
จากนั้น ภายใต้คำสั่งของบิชอป ทุกคนก็เริ่มจัดสถานที่ทดสอบอีกครั้ง
นี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะจะต้องทำมันในทันที ไม่อย่างนั้นเกรงว่าจะสายเกินไป
เนื่องจากนับแต่พรุ่งนี้ไป ทางเข้าวิหารคงมิแคล้วคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่จะเข้าร่วมศรัทธา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม
เพราะในระหว่างพิธีต้อนรับราชินีแห่งหนามในช่วงกลางวัน จู่ๆ เธอก็ได้ประกาศว่าจะบริจาคทรัพย์สมบัติจำนวนมากให้แก่ทางวิหาร
และมันเป็นสมบัติจำนวนมหาศาลที่ถึงขั้นสามารถทำให้ตลอดทั้งดินแดนชิงอำนาจเคลื่อนไหวได้
แม้กระทั่งพระสันตะปาปาเองก็ยังปลื้มปีติ เขาดูคล้ายกับกลายเป็นหนุ่มน้อย อ่อนวัยลงกว่าเดิมนับสิบๆ ปี
และต้องไม่ลืมนะว่า วันนี้มันยังมีเรื่องแสนพิเศษเพิ่มอีกหนึ่ง!
นั่นคือ ในช่วงเช้า เทพวิญญาณได้เสด็จลงมายังโลก
เบื้องหน้าของทุกสิ่งมีชีวิต ในดินแดนชิงอำนาจ เทพวิญญาณได้ทำการ ‘ผนึกผู้ไม่เชื่อฟัง’
หลังจากนั้น ในช่วงที่พิธีเฉลิมฉลองยามบ่ายพึ่งเริ่มต้น ราชินีแห่งหนามก็ได้บริจาคทรัพย์ให้อย่างกะทันหัน ชนิดที่ว่า สร้างความสั่นสะเทือนยิ่งกว่าการปรากฏกายของเทพวิญญาณซะอีก! การบริจาคในครั้งนี้ส่งอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงกับทางคริสตจักร
ด้วยการบริจาคในครั้งนี้ อย่างน้อยๆ เป็นเวลากว่าสามสิบปี นักบวชทุกคนในวิหารไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายใดๆ เลย!
ยิ่งไปกว่านั้น นักบวชทุกคนในวิหารแห่งความรู้ ยังได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษจากทางอาณาจักรหนามนั่นคือ ได้รับเกียรติเป็นอัศวินกิตติมศักดิ์ของทางอาณาจักรหนาม
ซึ่งในโลกสองร้อยล้านชั้นของดินแดนชิงอำนาจ อัศวินกิตติมศักดิ์แห่งอาณาจักรหนาม มีสิทธิ์สามารถเบิกใช้เหรียญหมายเลขห้าร้อยกว่าหนึ่งหมื่นเหรียญ ในโลกใบไหนก็ได้!!
เงินจำนวนนี้ เพียงพอแล้วที่สำหรับให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อ สะดวกสบายไปได้ตลอดชีวิต!
และเนื่องจากอำนาจของทางวิหาร ถึงแม้จะมีบุคคลใดเกิดความริษยา แต่ก็มิกล้าโจมตีนักบวชเพื่อยึดทรัพย์อย่างแน่นอน
ไม่มีใครกล้าจัดการกับ ‘ผู้ศรัทธา’ ในเทพวิญญาณอย่างเปิดเผย
ดังนั้น เงินนี่จึงปลอดภัย และไม่สามารถถูกขโมยไปได้
เป็นผลให้ผู้คนสามารถกล่าวได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า การพิธีบริจาคของราชินีหนาม ส่งอิทธิพลเหนือล้ำยิ่งกว่าเทพวิญญาณไปแล้ว มันได้กลายเป็นหัวข้อข่าวสำคัญในโลกสองร้อยล้านชั้น ที่ไม่ว่าผู้ใด พอได้ฟังก็ต้องทอดถอนหายใจ
แต่สิ่งนี้มันจะเป็นการทำให้เทพวิญญาณขุ่นเคืองหรือไม่นะ?
ไม่แน่นอน เพราะการกระทำของฝ่าบาท นับว่าเป็นการช่วยพัฒนาคริสตจักรของเทพวิญญาณด้วยเช่นกัน
ในวันรุ่งขึ้น พระสันตะปาปาจะมอบตำแหน่งบิชอปกิตติมศักดิ์ให้แก่องค์ราชินี!
…
ลึกเข้าไปในวิหารแห่งความรู้
ห้องรับแขกของพระสันตะปาปา
แม้ว่ามันจะสายไปนิด แต่การเจรจาลับยังคงดำเนินอยู่ที่นี่
ผู้เข้าร่วมมือเพียงพระสันตะปาปา ราชินี และนายพลข้างกายพระราชินี
พระสันตะปาปากล่าวด้วยรอยยิ้ม ฝ่าบาทลอร่า ในตลอดทั้งหมื่นโลกา ทางวิหารได้สืบเสาะจนล่วงรู้ถึงความลับมากมาย เหตุใดท่านจึงยังดูกังวลอยู่อีก?
เป็นเพราะเรายังเยาว์วัยนัก แต่ขณะเดียวกันก็กระตือรือร้น หมายมั่นจะครอบครองในสิ่งที่ปรารถนา หรือเจ้าอาจจะพูดว่าเรากำลังร้อนใจอยู่ก็ได้ ลอร่าตอบ
ระหว่างกล่าว ลอร่าก็เอื้อมมือไปในความว่างเปล่า ควานหาอะไรบางอย่าง
แล้วเธอก็เหยียดไปคว้าจับอะไรบางอย่าง และชักมันออกมา
ปรากฏว่าเป็นถุงมือโซ่เหล็กคู่หนึ่ง ที่กำลังสาดประกายแสงสีทองเข้ม
อือ? นี่มันเกราะมืออัศวินระดับมหากาพย์ไม่ใช่หรือ? เราโชคดีอีกแล้วในครั้งนี้
ลอร่าอุทานด้วยความประหลาดใจ และโยนถุงมือไปเบื้องหลังเธอ
อีเลียรับเอาถุงมือไว้อย่างรวดเร็ว
ฝ่าบาท ท้องพระคลังไม่สามารถยัดอะไรลงไปได้มากกว่าอีกแล้ว ดังนั้นเกรงว่าถุงมือคู่นี้… อีเลียเอ่ยปาก
ไม่ใช่ว่าทางเราได้บริจาคสิ่งของมากมายให้แก่วิหารแห่งความรู้แล้วหรอกหรือ? ลอร่าชิงกล่าว
ของบริจาคพวกนั้น เป็นส่วนที่วางซ้อนๆ กันอยู่นอกพระคลัง…
โอ้…
ลอร่าหันไปกะพริบตากับเธอ
การบริจาคในครั้งนี้ กลับกลายเป็นว่า มันเป็นแค่การช่วยลดขยะบางส่วนที่อยู่นอกพระคลังเท่านั้นเอง
ทว่าถุงมือเหล็กคู่นี้เป็นสมบัติชั้นมหากาพย์ มันไม่สามารถโยนทิ้งลงไปกองกับ ‘ขยะ’ นอกพระคลังได้
อีเลีย เก็บถุงมือนั่นไว้สวมใส่เถอะ ลอร่ากล่าว
อีเลียชูมือขึ้น เผยถุงมือโปร่งสาดแสงสีขาวบริสุทธิ์ที่กำลังสวมใส่ให้ลอร่าดู ฝ่าบาททรงลืมไปแล้วหรือ? ว่าก่อนที่ท่านจะสุ่มได้ถุงมือโซ่เหล็ก ท่านได้มอบถุงมือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ระดับสิ่งประดิษฐ์เทวะให้กระหม่อมแล้ว
ลอร่าเริ่มกังวล เฮ้อ…แล้วเราต้องทำอย่างไรดี จริงสิพระสันตะปาปา เราจะบริจาคคู่ถุงมืออัศวินนี้ให้แก่ท่านอีกชิ้นก็แล้วกัน
ว่าจบ เธอก็หยิบถุงมือโซ่เหล็กกลับมา และโยนมันลงบนโต๊ะน้ำชา
พระสันตะปาปาแทบจะเก็บแววตาลิงโลดไว้ไม่มิด
ฝะ…ฝ่าบาทลอร่า ความเอื้อเฟื้อของท่านในคราวนี้ ทางวิหารรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก พระสันตะปาปากล่าวตะกุกตะกัก
ลอร่าส่ายมืออย่างไม่ใส่ใจ แต่แล้วสีหน้าของเธอก็เริ่มจริงจัง
ท่านสันตะปาปา เราจะขอกล่าวอย่างตรงไปตรงมากับท่าน แท้จริงแล้วเราปรารถนาจะล่วงรู้ความลับบางอย่าง
ฝ่าบาท วันพรุ่งนี้กระหม่อมจะมอบตำแหน่งบิชอปกิตติมศักดิ์ให้แก่ท่านอยู่แล้ว และเมื่อถึงเวลานั้น ท่านก็สามารถค้นหาข้อมูลทั้งหมดที่ทางวิหารแห่งความรู้เก็บรวบรวมเอาไว้ได้เลย ด้วยตนเองอย่างง่ายดาย
ไม่สิท่านสันตะปาปา ท่านคิดว่าการที่เราทุ่มเทถึงขนาดนี้ เพียงเพราะแค่ปรารถนาจะล่วงรู้ถึงความลับธรรมดาๆอย่างนั้นหรือ?
ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร?
เราต้องการทราบถึงความลับของเหรียญ ลอร่ากล่าว
คิ้วที่ขมวดมุ่นของพระสันตะปาปาคลายลง เขายิ้มและกล่าว เรื่องนี้ง่ายดายยิ่ง แม้ว่าเหรียญจำนวนมากจะมีฟังก์ชันที่ยอดเยี่ยมซ่อนอยู่ แต่สำหรับ เจ็ดร้อยเหรียญแรก ทางเราได้ล่วงรู้เกี่ยวกับมันเกือบทั้งหมดแล้ว
ลอร่า เรามิได้อยากรู้เรื่องพวกนั้น
พระสันตะปาปายังคงยิ้มแย้ม เขาพยักหน้า ฝ่าบาท กระหม่อมคาดไม่ถึงเลย ว่าความปรารถนาในการล่วงรู้ความจริงของฝ่าบาท จะควรคู่กับสถานะบิชอปกิตติมศักดิ์ของทางวิหารมากถึงเพียงนี้
เหรียญสุดท้ายทั้งสามร้อยหนึ่งเหรียญ มันถูกสร้างขึ้นโดยสี่เทพผู้ทรงธรรม มีความลับมากมายยังไม่เป็นที่ล่วงรู้มาถึงพวกเรา กระหม่อมไม่คาดคิดเลย ว่าฝ่าบาทจะกระตือรือร้นที่จะไขข้อข้องใจเกี่ยวกับเหรียญเหล่านั้น
พระสันตะปาปากล่าวด้วยความยินดี การตามหาความจริง ก็เปรียบดั่งการหาที่มาของอารยธรรมของตนเอง การล่วงรู้ถึงความจริงของเหรียญที่เทพวิญญาณสร้างขึ้นมาก็ประเสริฐยิ่งเช่นกัน ตราบใดที่ฝ่าบาทยังคงรักษาความสงสัยใคร่รู้นี้เอาไว้ได้ วันหนึ่ง ข้าสามารถให้ชื่อที่มีเกียรติยศยิ่งกว่านี้ให้ท่านได้
ลอร่าพยายามรักษาความสงบ ท่านเข้าใจผิดแล้ว อันที่จริง เรามิได้สนใจเหรียญ ‘หลักร้อย’ เหล่านั้นเลย
พระสันตะปาปาแทบสำลัก
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เขาก็ค้นพบว่าตนเองมิเข้าใจเด็กสาวตัวน้อยเบื้องหน้าอย่างสมบูรณ์
พระสันตะปาปา นี่…ท่านกำลังต้องการจะสื่ออะไร…
ลอร่าลดเสียงของเธอลด จนแทบกระซิบ ท่านสันตะปาปา เราอยากจะล่วงรู้ความลับของสามเหรียญสุดท้าย
รอยยิ้มบนใบหน้าของพระสันตะปาปาปิดสนิทลง น้ำเสียงดังดูแหบแห้งไปนิด สามเหรียญสุดท้ายถูกสร้างขึ้นมาเพียงอย่างละหนึ่งเท่านั้น ฝ่าบาท มันอาจจะเป็นปัญหาหากท่านคิดสืบเสาะร่องรอยของพวกมัน ดังนั้นทางคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ย่อมยินดีที่จะร่วมการค้นหามันไปพร้อมๆ กันท่าน
ลอร่า ท่านผิดแล้ว ตอนนี้เราไม่ต้องการความช่วยเหลือในด้านค้นหาจากทางคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ เพราะเราย่อมมีวิธีการที่จะใช้ตามหาทั้งสามเหรียญนั่นด้วยตนเอง
เธอมองไปยังพระสันตะปาปา และเห็นถึงความหวาดกลัวบางอย่างในสายตาของฝั่งตรงข้าม
ท่านสันตะปาปา คงจะคาดเดาได้แล้วใช่หรือไม่ ว่าเราเองก็ล่วงรู้ถึงเรื่องนั้น ลอร่ากล่าว
เรื่องอะไร? พระสันตะปาปาสวนกลับ
ต้นไม้โบราณได้บอกกับเราแล้ว ว่า มันเกี่ยวกับการทำให้คนตายกลับมามีชีวิต และการทำให้ทุกอย่างไหลย้อนกลับ แต่รายละเอียดเบื้องลึกแบบเฉพาะเจาะจงของมันยังไม่อาจรู้ได้
พระสันตะปาปาผุดลุกขึ้น กล่าวอย่างรวดเร็ว นี่ก็ดึกมากแล้ว ฝ่าบาท โปรดทรงกลับไปเถอะ
ลอร่ายังคงนั่งนิ่ง เอ่ยอย่างช้าๆ ท่านลืมเลือนแล้วหรือไร ว่าเราบริจาคไปมากเท่าใด -คิดจะไล่เราออกไปทั้งๆ แบบนี้เลยหรือ?
พระสันตะปาปาเอ่ยเสียงเย็นชา ฝ่าบาท วิหารแห่งความรู้สามารถดำรงอยู่ได้ แม้ไม่ได้รับสินน้ำใจจากท่าน และวิหารแห่งความรู้จะไม่มีทางเผยเรื่องราวต้องห้าเด็ดขาด ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นท่านก็ตาม
เขาดึงประตูเปิดออก เชิญท่าน ฝ่าบาท การสนทนาของพวกเราจบลงแล้ว และได้โปรดอย่ากลับมายังวิหารแห่งความรู้อีก!
อีเลียมองลอร่าด้วยความกังวล และขยับมาใกล้เธอเพื่อปกป้องอย่างเงียบๆ
ไม่เป็นไรหรอกอีเลีย ปล่อยให้เป็นหน้าที่เราเอง เรายังมีบางอย่างที่จะพูดกับพระสันตะปาปา
ว่าจบ ลอร่าก็เปิดกระเป๋าใบเล็กๆ ของเธอ และหยิบเอากล่องดำออกมา วางมันลงบนโต๊ะน้ำชาเบาๆ
โปรดดูสิ่งนี้ ลอร่ากล่าว
เธอเปิดกล่อง และปิดมันทันที
ในช่วงเวลานั้น พระสันตะปาปาได้เห็นถึงกระดูกนิ้วสีดำ กำลังนอนอยู่ภายในกล่องอย่างเงียบๆ
ขณะที่กล่องถูกเปิดออก…
เปลวไฟสีซีดพลันลุกโชนขึ้นจากกระดูกนิ้วสีดำนั่น เล็ดลอดออกมาจากกล่อง ราวกับหมอกในอากาศ มิอาจสลายจากกันได้เป็นเวลานาน
พระสันตะปาปาจ้องมองเปลวเพลิงสีขาวเมื่อครู่ สูญสิ้นความสงบในจิตใจ นั่นคือเทพวิญญาณแห่งข้า…
โดยไม่รู้ตัว เขาได้ปิดประตูกลับคืน
ท่านสันตะปาปา สามารถรู้สึกถึงมันได้ไหม? ลอร่าถามเสียงกระซิบ
พระสันตะปาปาจ้องมองเปลวไฟ บนหน้าผากของเขา เหงื่อเย็นค่อยๆ รวมตัวกัน คล้ายเม็ดถั่วขนาดใหญ่
ท่านมันปีศาจ เขาพึมพำ
เปล่าซะหน่อย นี่มันเป็นแค่ของแลกเปลี่ยนต่างหาก ลอร่ากล่าว
แต่การกระทำเช่นนั้น ถือว่าไม่ให้ความเคารพต่อเทพวิญญาณ พระสันตะปาปาสวนกลับไป
ไม่เคารพต่อเทพวิญญาณอย่างไร? กระดูกนิ้วนี่ ไม่ได้เป็นของสี่เทพทรงธรรม หรือมาจากร่างของเจ็ดเทพปีศาจ มันเป็นของเทพวิญญาณตนใดไม่รู้ที่ตกตายลงไปเมื่อนับล้านๆ ปีที่ผ่านมาแล้ว
ลอร่ายิ้ม ดังนั้น เรามั่นใจว่านี่จึงมิใช่การล่วงเกินต่อเจ็ดเทพ และจะขอมอบมันให้แก่ท่าน
และเป็นของเทพวิญญาณตนใดก็ไม่รู้
ซึ่งนี่มันแตกต่างจากเจ็ดเทพที่รู้จักกันดี ฉะนั้นย่อมต้องมีความลึกลับของทวยเทพที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนอยู่แน่ๆ
ดวงตาของพระสันตะปาปา ติดตรึงอยู่กับกล่อง กลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่
เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาว และซับเหงื่อเย็นของเขา
หรือว่าจะสังหารอีกฝ่ายลงแล้วชิงมาตอนนี้เลยดี?
พระสันตะปาปามองไปยังเด็กสาวตัวน้อยฝั่งตรงข้าม
เด็กสาวส่งรอยยิ้มจางๆ กลับมา คล้ายกับรับรู้ถึงความคิดเบื้องลึกในจิตใจของเขา
กิ่งก้านและใบไม้สีเขียวผุดจากเบื้องหลังเธอ และโอบรัดเธอเบาๆ
เป็นรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม!
บ้าจริง! เจ้าสิ่งนี้ก็เปรียบได้ดั่งการดำรงอยู่ของเทพวิญญาณ
มันกำลังปกป้องเธอ แบบนี้อย่างไรก็ไม่มีทางใช้กำลังชิงกระดูกนิ้วมาได้!
พระสันตะปาปาพยายามควบคุมอารมณ์ เปล่งเสียงกระซิบ ฝ่าบาทลอร่า ท่านต้องการอะไร?
จงบอกความลับแก่เรา และการบริจาคให้กับวิหารแห่งความรู้จะไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนสิ่งที่อยู่ในกล่องใบนี้ เราจะมอบให้แก่ท่านเป็นการส่วนตัว
หรือท่านจะปฏิเสธก็ได้ แต่เราเชื่อว่าย่อมต้องมีผู้อื่นล่วงรู้เรื่องนี้อยู่อีกอย่างแน่นอน
ลอร่าลดเสียงลงและกล่าว ต่อให้ท่านไม่พูด แต่หากเรามอบกระดูกนิ้วเทพวิญญาณให้แก่ทางวิหารอื่น ท่านคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น?
พระสันตะปาปาเงียบงันไปครู่หนึ่ง
แล้วจู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมาทันที
พระสันตะปาปาส่ายศีรษะ ที่เต็มไปด้วยห้วงอารมณ์ ท่านลอร่า ขอแสดงความยินดีกับการได้รับตำแหน่งบิชอปแห่งวิหารแห่งความรู้อย่างเป็นทางการ
ยอดเยี่ยม แต่อย่าลืมนะว่ารุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ที่นี่ ฉะนั้นท่านสันตะปาปาได้โปรดบอกความลับมา อย่าได้โกหก จากนั้นท่านสามารถนำกล่องนี้ไปได้
…ฝ่าบาท รับฟังให้จงดี ข้าจะเอ่ยมันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
รบกวนด้วย
นั่นเป็นช่วงยุคสมัยที่รุ่งโรจน์ที่สุดของเทพวิญญาณ สามเหรียญสุดท้ายถูกหล่อหลอมขึ้นโดยเทพวิญญาณจากยุคโบราณทั้งสามสิบสามองค์ เหล่าทวยเทพได้ทุ่มความพยายามอย่างถึงที่สุด เพื่อสรรค์สร้างอำนาจที่เหนือล้ำยิ่งกว่าเทพองค์ใดลงไปในเหรียญทั้งสามนี้
แต่ละเหรียญล้วนถือครองอำนาจแต่ละส่วน ท่านจะต้องรวบรวมพวกมันทั้งสาม และกระตุ้นพวกมันด้วยสิ่งมีชีวิตพิเศษทั้งสามที่แสดงอยู่บนเหรียญ เมื่อนั้นท่านจึงจะได้อำนาจที่ว่านั่นมาครอบครอง
ที่กล่าวมานั่นเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่? ลอร่ากำหมัดแน่น หอบหายใจถี่ระรัว
ย่อมเป็นเรื่องจริง เพราะนี่คืออำนาจสูงสุดที่จะสามารถเรียกคนตายให้ฟื้นคืนกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง สามารถควบคุมกระแสห้วงกาลเวลาให้ไหลย้อนกลับ และเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของทุกสิ่งมีชีวิต!
…………………….
กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิด นิ่งคิดอย่างเงียบๆ
ในหัวใจเจ้ารู้สึกไม่ยินยอม ยังคงหาหนทางไม่ออกใช่หรือไม่?
กู่ฉิงซานอีกคนหนึ่งเอ่ยถาม ขณะกำลังนั่งยองๆ กับพื้น เรียนรู้วิธีการใช้ตะเกียบคีบอาหาร
กู่ฉิงซาน นี่คุณแอบอ่านความรู้สึกผมอย่างงั้นหรือ?
อีกกู่ฉิงซานกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ความคิด ความปรารถนา ความรู้สึก สิ่งเหล่านี้ในหัวใจของทุกสิ่งมีชีวิต ข้าสามารถรับรู้ถึงมันได้อย่างง่ายดาย นี่คือความสามารถโดยกำเนิดของข้า
กู่ฉิงซาน ถ้าคุณอยากจะออกไปจากที่นี่ อย่าได้อ่านความคิดของผมอีก
ก็ได้ๆ อีกฝ่ายกล่าว
หลังจากนั้นพักหนึ่ง
อีกกู่ฉิงซานก็มองหน้าเขา เผยสีหน้ายิ้มแย้ม
ปากเอ่ยกล่าว โอ้ ข้าว่าวิธีนั้นของเจ้าน่าจะได้ผลนะ ยังเหลือโอกาสอีกเจ็ดร้อยเก้าสิบห้าครั้ง ขออภัย ครั้งต่อไปข้าจะไม่อ่านความคิดเจ้าอีกแล้ว
กู่ฉิงซานถลึงตามองเขา
ส่งผมย้อนกลับไปในอดีตได้เลย
จัดไป
ทันใดนั้นคลื่นแห่งความมืดมิดพลันพลุ่งพล่าน โถมทับเขาอย่างรวดเร็ว ผลักเขาเข้าสู่ห้วงกาลเวลา
ณ วังร้อยบุปผา
…
นางเซียนไป่ฮั่วขบขัน นั่นสินะ เพราะหลังจากที่เจ้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ เจ้าคงต้องอยู่ที่นั่นอีกนาน หากจะให้เจ้าย้อนกลับมายังโลกเทวะอีกครั้ง การเสียเวลาไปและกลับ มันคงจะไม่คุ้มค่า
ว่าจบเธอก็หยิบบางสิ่งออกมา
นี่คือดิสก์ค่ายกลสี่เหลี่ยมที่ถูกหล่อขึ้นด้วยบรอนซ์
กู่ฉิงซานรับมันไว้
กู่ฉิงซานเก็บดิสก์ค่ายกล กล่าวด้วยความจริงใจ ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่ส่งต่อสิ่งนี้ให้แก่ข้า
เซี่ยเต๋าหลิงยิ้ม เจ้ากับข้าเป็นศิษย์อาจารย์กัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพไป
ขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยถึงความตั้งใจของตัวเองออกมาทันใดนั้นเอง ช่วงเวลาก็หยุดพลันนิ่งลง
ในอีกเจ็ดวันถัดมา ในดินแดนชิงอำนาจ ใต้ผืนโลกทะเลทราย ร่างแสงทมิฬหยุดตะเกียบลง
ปากเอ่ยพึมพำ จังหวะนี้แหละ จงเร่งสร้างเหตุการณ์ใหม่เพื่อหลบเลี่ยงการกำจัดสิ่งแปลกปลอมของกฎแห่งห้วงกาลเวลาเสีย!
ณ วังร้อยบุปผา
ร่างของกู่ฉิงซานวูบไหวทันที
บังเกิดระลอกคลื่นในความว่างเปล่า เล็ดลอดออกจากรอบตัวเขา แผ่กระจายไปทั่ววังร้อยบุปผา
ฟิ้ว!
ภายใต้แรงฉุดดึงของมิติ กู่ฉิงซานผู้ลอบมาจากอนาคตได้หายไป
และเกือบจะในเวลาเดียวกัน ช่วงเวลาก็กลับมาเป็นปกติ
กู่ฉิงซาน หมายถึงกู่ฉิงซานที่อยู่ในห้วงเวลาอดีตตั้งแต่แรกได้ปรากฏกายขึ้น
ในโถงร้อยบุปผา ในเวลานี้ เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวต่อ
ฉิงซาน คราวนี้ข้าจะ ‘ส่งเจ้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ’ เพื่อให้เจ้ามีส่วนร่วมในการคัดกรองหน้าใหม่ และได้รับความช่วยเหลือจากระบบชีวิต
นี่จะเป็นวิธีการสามารถช่วยดาบพิภพได้เร็วขึ้นใช่หรือไม่ท่านอาจารย์ กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ใช่ มีเพียงการเร่งเสริมฐานวรยุทธเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ แสวงหาดาบนภาเพื่อช่วยเหลือมันได้ นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว
…
ด้ายมิติกำลังฉุดดึงกู่ฉิงซานเดินทางผ่านมิติที่ว่างเปล่า ข้ามผ่านอาณาจักรแปลกๆ นับไม่ถ้วน
ด้วยด้ายมิติที่เสี่ยวเหมียวเป็นคนให้มา ส่งผลให้เขาสามารถข้ามผ่านโลกนับ หนึ่งร้อยล้านชั้นได้อย่างรวดเร็ว
แผนการคราวนี้ เขาได้ทำการกระตุ้นด้ายมิติเอาไว้ล่วงหน้า และกะเวลาให้มันถูกเปิดใช้งานก่อนช่วงที่นางเซียนไป่ฮั่วจะเอ่ยถึงความตั้งใจส่งเขาไปยังดินแดนชิงอำนาจ
ไม่กี่นาทีต่อมา
กู่ฉิงซานที่สามารถได้รับดิสก์ค่ายกลรับส่งโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ ก็มาถึงสมาคมกำปั้นเหล็ก
ด้วยวิธีนี้เอง ส่งผลให้เขาสามารถหลีกเลี่ยงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของผู้ฝึกยุทธได้สำเร็จ!
ภายในสมาคมกำปั้นเหล็กเงียบเหงา ไม่มีใครเลยอยู่ในโลกมิติอนันต์แห่งนี้
ช่วงเวลาปัจจุบัน แบรี่กับเสี่ยวเหมียว ทั้งสองยังอยู่ในโลกเดิมของเขา
โลกเดิมที่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยอำนาจของทวยเทพ บังเกิดความวุ่นวายของมิติขึ้น ทำให้ไม่มีใครสามารถเข้าหรือออกได้
ดังนั้น กล่าวได้ว่าสมาคมกำปั้นเหล็ก เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในตัวเลือกขณะนี้ หากเขาเดินทางกลับมายังมัน ก็จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเหตุการณ์อื่นๆ
กู่ฉิงซานนำดิสก์ค่ายกลโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ออกมา ทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์
ในที่สุด เขาก็จะได้ไปตามหาดาบนภาซักที!
เขาเริ่มใส่ศิลาวิญญาณคุณภาพดีที่สุด ชิ้นแล้วชิ้นเล่าลงบนดิสค่ายกล
จากนั้น เขาก็เริ่มเปิดใช้งานค่ายกลทันที
เห็นแค่เพียงบนตัวดิสก์ เริ่มสาดแสงแวบวาบ
ปัง!
รัศมีแสงสวรรค์ ก่อให้เกิดเสาแสงขนาดใหญ่ พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ เสาแสงก็ค่อยๆ สลายไป
กู่ฉิงซานได้ออกจากโลกมิติอนันต์ไปแล้ว
…
ณ โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์
ณ เบื้องบนที่ลอยล่องไปด้วยมวลเมฆสีขาวนวล
จู่ๆ ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
เป็นกู่ฉิงซาน
เขาปรากฏกายขึ้น เร่งหยิบดิสค่ายกลออกมาอย่างรวดเร็ว พรมสองมือลงบนมันทันที
บนดิสก์ค่ายกล รัศมีแสงสวรรค์ชั้นแล้ว ชั้นเล่าปรากฏขึ้น
ดิสก์ค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่หลากหลายรูปแบบถูกจัดวางลงโดยเขา
กู่ฉิงซานโยนเม็ดยาวิญญาณเข้าปาก คว้าจับเช่าหยินกับดาบขุนเขาเทวะหกโลกาจากในอากาศที่ว่างเปล่า
หลังจากเสร็จสิ้นทุกกระบวนการนี้ เขาก็หันไปมองรอบๆ อย่างระมัดระวัง
การที่กู่ฉิงซานระวังตัวแจขนาดนี้ มันจะไปตำหนิเขาก็ไม่ได้
เพราะนางเซียนไป่ฮั่วเคยกล่าวเอาไว้ว่า ตั้งแต่ที่โลกสวรรค์และโลกแห่งผู้ฝึกยุทธถูกตัดการขาดเชื่อมต่อระหว่างกันและกัน มีเพียงผู้นำนิกายวังสวรรค์เมฆาวิเวกเท่านั้นที่สามารถรอดชีวิตในวังสวรรค์ได้ โดยใช้ ‘ใบหยกพิทักษ์กายา’
เห็นได้ชัดว่าโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์มีความอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับการออกจากวังสวรรค์ ไปสำรวจภายนอก ยิ่งเป็นไปไม่ได้
อ้างอิงตามคำพูดของนางเซียนไป่ฮั่ว เมื่อเจ้าออกจากวังสวรรค์ เจ้าจะตายทันที
ดังนั้น เมื่อกู่ฉิงซานเข้าสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ แวบแรกเขาจึงทุ่มพลังทั้งหมดที่มีเพื่อรักษาชีวิตตน
เจ้าตัวกวาดสายตาสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระมัดระวัง
แล้วก็พบว่ามีวังขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในภูเขาที่ห่างไกลออกไป
ขณะเดียวกัน ตำแหน่งที่กู่ฉิงซานลอยอยู่คือกลุ่มเมฆอันเปล่าเปลี่ยว
กู่ฉิงซานก้มลง และมองไปยังภูเขาที่อยู่ไกลออกไป
เขาค้นพบว่า ไม่ว่าจะเป็นตนเองหรือใต้ภูเขาที่ห่างไกล มันล้วนถูกรองรับโดยผืนเมฆ
นี่หมายความว่า ทุกสิ่งอย่างในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ สามารถตั้ง หรือเหยียบย่ำอยู่บนเมฆ เพื่อลอยบนท้องฟ้าได้ใช่หรือไม่?
กู่ฉิงซานเดินไปที่ขอบเมฆ และก้มมองลงไป
เบื้องล่าง เป็นดินแดนอันกว้างใหญ่ ไร้ที่สิ้นสุด
พอได้เห็นการมีอยู่ของผืนโลก กู่ฉิงซานก็รู้สึกโล่งใจ
เพราะนี่มันไม่เป็นเหมือนกับในโลกล่องเวหา ที่โลกเบื้องล่างล้วนเป็นเลือดเนื้อของมารโลกา ที่สามารถกลืนกินชีวิตผู้คนได้ตลอดเวลา
กู่ฉิงซานเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด
เห็นแค่เพียงแผ่นดินที่รกร้าง และไร้ซึ่งชีวิต
โลกทั้งใบเงียบเหงา ราวกับว่ามันจมอยู่ในทะเลทรายแห่งกาลเวลามายาวนานหลายร้อยปี
กู่ฉิงซานเกิดความรู้สึกบางอย่างเล็กน้อย
ในสมัยโบราณ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ ที่ทำให้โลกทั้งใบกลายเป็นว่างเปล่าเช่นนี้?
แล้วเจ้าตัวก็เบนสายตามองไปยังพระราชวังบนภูเขาที่ตั้งอยู่ห่างไกลอีกครั้ง
ตามความทรงจำของท่านอาจารย์ นั่นเป็นสิ่งปลูกสร้างหลักของนิกายวังสวรรค์เมฆาวิเวก
และมันค่อนข้างไกลจากจุดที่เขายืนอยู่
แต่นี่ไม่มีทางเลือก
การเคลื่อนย้ายโดยค่ายกลนั้นขาดความแม่นยำ มันทำได้เพียงส่งผู้ใช้ไปยังสถานที่ในขอบเขตของวังสวรรค์เท่านั้น ไม่อาจเคลื่อนย้ายเข้าไปในวังสวรรค์โดยตรงได้
กู่ฉิงซานพยายามรับรู้สภาพแวดล้อมเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่พบอันตรายใดๆ
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านพ้นขอบเขตพันวิบัติ ส่งผลให้การรับรู้ทางจิตวิญญาณของตนเองไม่อาจใช้งานได้ชั่วคราวในเวลานี้
ในเมื่อการออกจากวังสวรรค์เป็นอะไรที่อันตรายมาก ก็ควรระมัดระวังตัวไว้คงจะดีกว่า ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเขาคงต้องไปยังวังสวรรค์เพื่อทำการรวบรวมข้อมูลก่อน เป็นอันดับแรก
พอคิดได้ กู่ฉิงซานก็ตัดสินใจก้าวไปทันที
ร่างกายของเขากะพริบไหวครั้งแล้วครั้งเล่า วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ทุกสิ่งโดยรอบ ไม่มีอะไรเลย นอกจากถนนที่ปูด้วยเมฆ
ยิ่งนาน ความสงสัยของกู่ฉิงซานก็ยิ่งเติบโตขึ้น
ก็ในเมื่อมันไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวเขา แล้วโลกใบนี้มันอันตรายตรงไหนกัน?
ย่ำไปตามมวลเมฆสักพักหนึ่ง
ในที่สุด เขาก็เห็นก้อนหินที่มีขนาดสูงเท่ากับคนสามคน วางเป็นแนวตั้งอยู่ในหมู่เมฆ
กู่ฉิงซานหยุดลง และมองดูหิน
เห็นแค่เพียงสองตัวอักษรที่เขียนแบบเดียวกันกับในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ใจความว่า
สวนอาหาร
สวนอาหารอย่างงั้นหรือ?
กู่ฉิงซานบังเกิดข้อสงสัย
ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ คำว่า ‘สวนอาหาร’ หมายถึงสถานที่ให้อาหารอสูรวิญญาณ
กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ แต่ก็เห็นแค่เมฆและท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ไม่มีตึกราม หรือสิ่งใดเลย
มีแค่เพียงสองตัวอักษรขนาดใหญ่ที่เขียนอยู่บนหิน ไว้ระบุสถานที่แห่งนี้
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
วินาทีต่อมาตัวหินดูเหมือนว่าจะรู้สึกถึงการปรากฏตัวของเขา ทันใดนั้นมันพลันสาดแสงสว่าง
กู่ฉิงซานก้าวถอยหลังไป ทั้งคนทั้งร่างเริ่มตื่นตัว
แท้จริงแล้ว สิ่งของทุกอย่างที่นี่ มันช่างคล้ายกับเมฆหมอกหนา ชวนให้ผู้คนรู้สึกสับสนจริงๆ
หลังจากนั้นพักหนึ่ง
ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
กู่ฉิงซานที่ตั้งท่าเตรียมพร้อม ค่อยๆ วางสองดาบลงอย่างช้าๆ แล้วส่ายหัว
เขากำลังคิดที่จะออกเดินทางอีกครั้ง
แต่เดินต่อไปได้แค่ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ทั้งตัวเขาก็พลันแข็งค้าง สะบัดหัวเงยขึ้นไปเบื้องบนทันใด
นั่นมันอะไรกันน่ะ? เขาเอ่ยพึมพำเบาๆ
สุดปลายของเส้นขอบฟ้าอันห่างไกล เส้นแสงที่พลิ้วไสวไปมา แลคล้ายกับผ้าไหมผืนหนึ่งปรากฏขึ้น
ผ้าไหมผืนนี้เปล่งแสงสีเจือจางออกมาเป็นครั้งคราว แถมยังถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มเมฆหมอก ทำให้ไม่อาจมองเห็นรูปร่างที่แท้จริงของมันได้
ผ้าไหมค่อยๆ บินเข้ามาทางด้านกู่ฉิงซาน
ในขณะที่ผ้าไหมใกล้เข้ามา ท้องฟ้าก็เริ่มมืดมัว สภาพอากาศเริ่มแปรปรวน
ยามค่ำคืนได้มาถึง
ในเสี้ยววินาที วิสัยทัศน์ก็รวมกัน-
ปัง!
ท้องฟ้าระเบิดเลือนลั่น
พายุฝนสาดเทลง
สายลมพัดกรรโชกต่อเนื่อง
กู่ฉิงซานยืนหยัดอยู่ท่ามกลางพายุลมและฝน สายตาจดจ้องอยู่กับสิ่งนั้นอย่างตั้งใจ
ห่างไกลออกไป เขาเห็นผ้าไหมเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ผ้าไหมปรากฏขึ้นท่ามกลางเมฆหมอกสีดำ แต่ยังคงเว้นระยะห่างจากกู่ฉิงซาน
แต่ด้วยการอาศัยจิตสัมผัสเทวะและสายตาของเขา ทำให้กู่ฉิงซานสามารถตระหนักได้ถึงการดำรงอยู่ของมันอย่างชัดเจน
ว่านั่นมิใช่ผ้าไหม
แต่มันเป็นมังกร!
เหนือผืนฟ้าจากระยะไกล ปรากฏถึงมังกรที่ขยับกายเลื้อยไปมาอยู่ท่ามกลางอากาศ มันมาที่นี่เพราะสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของกู่ฉิงซาน
มันลดหัวลง วิสัยทัศน์ตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน
ท่ามกลางสายฝน หนึ่งคนหนึ่งมังกรเฝ้ามองกันและกันอย่างเงียบๆ
และแล้ววิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานก็มืดดับลง
ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เขาค้นพบว่าตนเองได้กลับมาอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิดแล้ว
นี่ผมตายงั้นหรือ? เขาถาม
ใช่ และเจ้ายังเหลือโอกาสอีกเจ็ดร้อยเก้าสิบสี่ครั้ง
ร่างแสงทมิฬกำลังถือเม็ดยาวิญญาณ อังมันใต้จมูก สูดดมกลิ่นอย่างระแวดระวัง
กู่ฉิงซานถามอย่างแปลกใจ นี่มันไม่ถูกต้อง เมื่อครู่เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตัวมังกรเองก็ยังอยู่ตั้งไกล แต่ทำไมผมถึงตายได้?
ร่างแสงทมิฬ เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?
ผมไม่เข้าใจ กู่ฉิงซานกล่าว
ร่างแสงทมิฬวางเม็ดยาวิญญาณลง เอ่ยอธิบายอย่างช้าๆ ก็เจ้าไปเผลอสบตามันเข้า เจ้าก็เลยตายไง
……………………….
ณ วังร้อยบุปผา
นางเซียนไป่ฮั่วเตือนกู่ฉิงซานอย่างระมัดระวัง
ฉิงซาน เดิมทีข้าไม่ต้องการบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้า แต่ข้ารู้ดีว่าเจ้าคือผู้ฝึกดาบ และดาบคือทุกสิ่ง ดังนั้น หากจะให้ต้องออกไปภายนอก เผชิญกับความเศร้าโศกที่มิอาจช่วยเหลือดาบพิภพจนมันสิ้นใจลงได้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นข้าขอบอกความจริงข้อนี้แก่เจ้าเสียดีกว่า
ดาบพิภพอยู่คู่กับข้ามานาน และเจ้าเองก็เป็นศิษย์ข้า ดังนั้นข้าจึงคิดว่ามันคงไม่เป็นอะไร
ได้ยินคำที่แสนจะคุ้นเคยเหล่านี้ ห้วงอารมณ์ของกู่ฉิงซานก็ผสมปนเปกัน
หากในช่วงเวลานี้ มีผู้คนล่วงรู้ว่าเรื่องราวอันน่าสิ้นหวังมากมายจะเกิดขึ้นในอนาคต พวกเขาจะรู้สึกยังไงกันนะ?
เขากล่าวอย่างหนักแน่นว่า ท่านอาจารย์ข้าต้องการซ่อมแซมดาบพิภพ ในตอนนี้เลย!
ฐานวรุยุทธ์ของเจ้าต่ำเกินไป มิอาจรักษาชีวิตในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้ นางเซียนไป่ฮั่วส่ายหัว
อาจารย์ ท่านลืมไปแล้วหรืออย่างไร ว่าแท้จริงแล้ว ข้าคือผู้หวนคืน กู่ฉิงซานกล่าว
นี่คือกลยุทธ์ที่เขาคิดขึ้น งัดออกมา เพื่อที่จะได้ในสิ่งที่ตนต้องการ
นายเซียนไป่ฮั่วตกใจเล็กน้อย
เธอมองกู่ฉิงซานด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ แต่ข้ามองไปยังสีหน้าของเจ้าเมื่อครู่ ชัดเจนว่า เจ้าไม่ทราบว่าสิ่งใดคือผู้หวนคืน
ไม่ใช่ ศิษย์แค่รู้สึกแปลกใจ ไม่คาดคิดว่าท่านอาจารย์เองก็จะทราบเรื่องนี้เช่นกัน กู่ฉิงซานแถ
เช่นนั้นเจ้าจงบอกข้ามา ว่าผู้หวนคืนคือสิ่งใด เซี่ยเต๋าหลิงถาม
กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงแผนกกิจการอาชีพโลก ทบทวนคำที่เฉินหวางกล่าวเอาไว้ แล้วเปล่งมันออกจากปากว่า คือคนที่กลับชาติมาเกิดจากโลกเทพวิญญาณ ยินยอมละทิ้งชีวิตที่มั่นคงในโลกเทพวิญญาณ และหันมาอุทิศตนเพื่อโลกเก้าร้อยล้านชั้น นี่คือสิ่งที่เรียกว่าผู้หวนคืน
เซี่ยเต๋าหลิงส่ายหัว ที่เจ้ากล่าวมาล้วนถูกต้อง แต่พื้นฐานวรุยุทธ์ของเจ้ายังต่ำเกินไป แม้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าจะเป็นผู้หวนคืน แต่ก็ยังไม่เหมาะที่จะไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์
ฉิงซาน ยามนี้เจ้าสมควรเร่งเสริมสร้างฐานวรุยุทธ์ และวิธีที่ดีที่สุดคือไปยังดินแดนชิงอำนาจ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ในวิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานก็หลงเหลือเพียงความมืดมน
เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
ทันใดนั้นเขาก็ค้นพบว่าตนเองยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิด
เมื่อกี้… เขาสงสัย
ร่างแสงทมิฬ เจ้าไม่อาจ ‘สร้างเหตุการณ์ใหม่’ ในช่วงเวลานั้นได้ หรืออาจไป ‘แตะต้องสิ่งที่เกิดขึ้นในภายหลัง’ ส่งผลให้เส้นแบ่งเวลาถูกรบกวน ดังนั้นเจ้าจึงถูกกำจัดโดยกฎเกณฑ์แห่งห้วงกาลเวลา
กู่ฉิงซานคิด สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น คือท่านอาจารย์ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะส่งข้ามายังดินแดนชิงอำนาจ…
ร่างแสงทมิฬ ถูกต้อง หลังจากอาจารย์ของเจ้าตั้งมั่นว่าจะ ‘ส่งเจ้ามายังดินแดนชิงอำนาจ’ เหตุการณ์ที่เหลือในอนาคตทั้งหมดก็จะเกิดขึ้นตามมา เจ้าจักต้องหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นี้ และไปยังเหตุการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงจะไม่ถูกกำจัดโดยกฎเกณฑ์ของเวลา
ยังไงก็ตาม เจ้ายังมีโอกาสอีกเจ็ดร้อยเก้าสิบเจ็ดครั้ง
กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึกๆ และกล่าว โอเค จัดไป เริ่มส่งผมอีกครั้งได้เลย
ตกลง
ซุ่ม!
คลื่นแห่งความมืดมิดโถมเข้าโอบร่างเขา
ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด กู่ฉิงซานได้ย้อนอดีตไปสู่ช่วงที่ผ่านมา
ณ วังร้อยบุปผา
ฉิงซาน เดิมทีข้าไม่ต้องการบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้า…
เสียงของนางเซียนไป่ฮั่วดังลอดเข้ามาในหูอีกครั้ง
กู่ฉิงซานขัดจังหวะเธอโดยตรง อาจารย์ ข้ามีความลับจะบอกแก่ท่าน
ความลับอันใด? เซี่ยเต๋าหลิงถาม
แท้จริงแล้วข้ามิเพียงเป็นผู้หวนคืน แต่ยังเป็นคนที่ย้อนเวลามาจากอนาคตอีกด้วย กู่ฉิงซานกล่าว
นางเซียนไป่ฮั่วเงยหน้า กวาดสายตามองเขาขึ้นๆ ลงๆ และเอ่ยถาม เจ้าย้อนเวลากลับมาอย่างงั้นหรือ?
ใช่ กู่ฉิงซานตอบ
แล้วเหตุใดความแข็งแกร่งของเจ้าถึงได้ยังคงอ่อนแอเช่นนี้? นางเซียนไป่ฮั่วงงงวย
กู่ฉิงซานจู่ๆ ก็คล้ายกับลิ้นจุกปาก ไม่อาจเอ่ยคำใด
นางเซียนไป่ฮั่วคิดเกี่ยวกับมัน ฉิงซาน ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่เชื่อเจ้านะ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความแข็งแกร่งคือรากฐานของทุกสิ่ง ดังนั้น ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะส่งเจ้าไปยังดินแดนชิงอำนาจก่อน เพื่อเสริมสร้างพื้นฐานวรุยุทธ์
แล้วกู่ฉิงซานตายทันที
เขาลืมตาขึ้น
เขาพบว่าตัวเองยังคงยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิด
เหลือโอกาสอีกเจ็ดร้อยเก้าสิบหก แต่ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกขอโอกาสแค่สองครั้งก็พอไม่ใช่หรือ ร่างแสงทมิฬกล่าว
ทำไมถึงพูดแบบนั้นเล่า? เอาเป็นคำพูดให้กำลังใจ หรืออะไรนอกจากนั้น คิดไม่ได้เลยหรือ? กู่ฉิงซานเศร้า
ข้าคิดอะไรยุ่งยากแบบนั้นไม่ออกหรอก เพราะติดอยู่ที่นี่ข้าไม่ได้พูดคุยกับผู้ใดเลย นิทราเป็นเพียงตัวเลือกเดียวที่เหลืออยู่เท่านั้น ร่างแสงทมิฬถอนหายใจ
พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็พาลย้อนนึกถึงซีน้อย
เขาตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบอาหารแห้งจำนวนมากออกมา
งั้นตอนนี้ก็เรียนรู้วิธีการกินซะ มันจะมีประโยชน์หลังจากที่คุณสามารถออกไปข้างนอกได้แล้ว กู่ฉิงซานกล่าว
ร่างแสงทมิฬปรับทัศนคติใหม่ และเริ่มให้ความสำคัญกับพวกมัน นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นทักษะการเอาชีวิตรอดที่สำคัญยิ่ง ผู้คนภายนอกล้วนรับประทานอาหารเกือบทุกวัน
กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงตอนที่มันทำลายเมืองเล็กๆ จึงเอ่ยให้คำแนะนำออกไปว่า อ้อ แล้วก็อย่าได้กินคนอีก คนน่ะเต็มไปด้วยโรคและทุกชนิดของสิ่งสกปรก ไม่ใช่ของดี ไม่อร่อย ต่อไปคุณจะต้องกินอาหารแบบเดียวกับที่พวกเรากิน
ร่างแสงทมิฬนิ่งคิดไปครู่ สุดท้ายพยักหน้า หากข้าออกไปภายนอกได้ ข้าจะใช้ชีวิตใหม่เหมือนคนทั่วๆ ไป
ว่าจบ เขาก็เปลี่ยนรูปลักษณ์กลายเป็นกู่ฉิงซานอีกคนหนึ่ง ตรงเข้าไปหาอาหาร นั่งลง และเริ่มคิดว่าจะกินอะไรก่อนดี
ช่วยส่งผมไปก่อน แล้วจากนั้นคุณค่อยเลือกว่าจะกินอะไรอย่างช้าๆ ก็ได้ ไม่มีใครแย่งแน่นอน กู่ฉิงซานกล่าว
จัดไป!
คลื่นแห่งความมืดมิดโถมทับเข้าใส่กู่ฉิงซานอีกครั้ง
ณ วังร้อยบุปผา
ท่านอาจารย์ ข้าคิดว่าพลังของข้าอ่อนแอเกินไป ดังนั้นสมควรเพิ่มพูนมันเสียก่อนเป็นอันดับแรก กู่ฉิงซานกล่าว
นางเซียนไป่ฮั่วเห็นด้วย อืม ความแข็งแกร่งเป็นรากฐานของทุกสิ่ง ข้าคิดว่า…
กู่ฉิงซานขัดจังหวะเธอทันที อาจารย์ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไปยังดินแดนชิงอำนาจ แต่ก่อนหน้านั้น ข้าอยากจะขอร้องอาจารย์ ให้ช่วยบอกวิธีไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์แก่ข้าด้วยเถอะ ข้าจะได้สามารถเดินทางไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์เมื่อใดก็ได้ หลังจากที่ข้ามีความแข็งแกร่งมากพอ
นางเซียนไป่ฮั่วขบขัน นั่นสินะ เพราะหลังจากที่เจ้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ เจ้าคงต้องอยู่ที่นั่นอีกนาน หากจะให้เจ้าย้อนกลับมายังโลกเทวะอีกครั้ง การเสียเวลาไปและกลับ มันคงจะไม่คุ้มค่า
ว่าจบเธอก็หยิบบางสิ่งออกมา
นี่คือดิสก์ค่ายกลสี่เหลี่ยมที่ถูกหล่อขึ้นด้วยบรอนซ์
ในมุมทั้งสี่ของดิสก์ค่ายกล แต่ละด้านแกะสลักไว้ด้วย กิเลน หงส์ เต่า และมังกร
นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว การจะเข้าสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ จำเป็นต้องใช้สองสิ่ง หนึ่งคือค่ายกลเคลื่อนย้ายของนิกายวังสวรรค์ อีกหนึ่งคือใบหยกพิทักษ์กายาของวังสวรรค์
หากเป็นในอดีต ข้าสามารถให้เจ้าเข้าสู่โลกใบนั้น และช่วยให้เจ้าให้สามารถคงชีวิตอยู่ได้เลยในทันที
แต่ตอนนี้ ใบหยกพิทักษ์กายาของวังสวรรค์ได้หมดพลังงานลงแล้ว และได้ถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถใช้มันช่วยรักษาชีวิตเจ้าเอาไว้ได้อีกต่อไป
ตอนนี้ ในมือข้า เหลือเพียงดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์แผ่นนี้เท่านั้น
และข้าขอส่งต่อมันให้แก่เจ้า
ขณะกล่าว เซี่ยเต๋าหลิงก็ขยับมือหยกเล็กน้อย
ดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายสี่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ ลอยไปอยู่ตรงหน้ากู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานรับมันไว้
เขาพบว่าตัวดิสก์มีน้ำหนักมาก เพียงสัมผัสก็รู้สึกเย็นวาบ มันท่วมไปด้วยความผันผวนชนิดหนึ่งที่มิอาจบอกบรรยายได้
นี่คือดิสก์ค่ายกลที่ตกทอดกันมาตั้งแต่ในยุคโบราณอันไกลโพ้น บนค่ายกลสลักไว้ด้วยอักษรรูนโบราณ แลดูลึกลับ กู่ฉิงซานเพ่งมองมันอยู่พักหนึ่ง ก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้
ทันใดนั้นเอง เขาก็ตระหนักได้ว่านี่คือค่ายกลชั้นสูง สูงล้ำเกินกว่าที่ความรอบรู้ในด้านค่ายกลของตนจะทำความเข้าใจได้
พอมั่นใจ บนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ปรากฏบรรทัดแสงหิ่งห้อยเด้งขึ้นมาทันที
ไอเท็ม ดิสก์ค่ายกลรับส่งโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์
ระดับ เป็นไอเท็มพิเศษ ไม่มีระดับ
พงศาวดารวันสิ้นโลก ไอเท็มนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์อันมีชื่อเสียง
วิชายุทธเทพสงคราม ไอเท็มนี้คือค่ายกลรับส่งโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ หากต้องการเข้าใจในโครงสร้างของค่ายกลนี้ คุณจำเป็นต้องจ่าย แปดแสนแต้มพลังวิญญาณ
คำอธิบาย ยิ่งคุณเสริมสร้างความสำเร็จในศาสตร์ค่ายกลของคุณได้มากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งช่วยลดการใช้แต้มพลังวิญญาณในการเรียนรู้มากเท่านั้น
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
แปดแสนแต้มพลังวิญญาณ เป็นจำนวนมหาศาล
ดังนั้น การฝึกฝน เพิ่มพูนความรู้ในด้านค่ายกล จึงไม่ใช่ตัวเลือกหลักของเขาในตอนนี้
แต่นับว่าโชคยังดี ที่ในที่สุดเขาก็ฟันฝ่าด่านนี้ได้สำเร็จแล้ว จากนี้ไป เขาสามารถเดินทางไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์เพื่อค้นหาดาบนภาได้ในทันที!
กู่ฉิงซานเก็บดิสก์ค่ายกล กล่าวด้วยความจริงใจ ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่ส่งต่อสิ่งนี้ให้แก่ข้า
เซี่ยเต๋าหลิงยิ้ม เจ้ากับข้าเป็นศิษย์อาจารย์กัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพไป
กู่ฉิงซานยิ้ม ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสำนึกรู้คุณ
มีอาจารย์ที่น่าเคารพแบบนี้ ตัวเขาในฐานะศิษย์ก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดอีก
ในเวลานี้ เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวต่อ ฉิงซาน คราวนี้ข้าจะ ‘ส่งเจ้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ’ เพื่อให้เจ้ามีส่วนร่วมในการคัดกรองหน้าใหม่ และได้รับความช่วยเหลือจากระบบชีวิต
กู่ฉิงซานเมื่อได้ยินสิ่งนี้ วิสัยทัศน์ก็พลันมืดมิด
เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง
และค้นพบว่า ตัวเองยังคงยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืด
เขามองไปทางร่างแสงทมิฬ
พบว่าอีกฝ่ายได้เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นตัวเอง อยู่ในท่วงท่าจับน่องไก่ในมือ อ้าปากกว้าง เตรียมที่จะกัดมัน เพื่อลิ้มลองรสชาติดูว่าจะเป็นอย่างไร
ทั้งสองประสานสายตากัน
… กู่ฉิงซานอีกคนหนึ่ง
………………………..
กู่ฉิงซานชี้ขึ้นเหนือหัวและกล่าว ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ เพราะมันยังอยู่ในโลกภายนอก และคอยเฝ้ามองพวกเราอย่างลับๆ อยู่ไง
ร่างแสงทมิฬหุบปากลงทันที
นั่นสินะ ยังมีเจ้าคนที่เข้ามาแทนที่เทพวิญญาณนั่นอยู่
และมันไม่ใช่ตัวตนธรรมดาๆ เลย
ด้วยสามสิ่งประดิษฐ์เทวะ มันย่อมสามารถใช้ผนึกสะกดตัวร่างแสงทมิฬได้ตลอดเวลา!
กู่ฉิงซานกล่าวอีกครั้ง เมื่อมันเห็นว่าพวกเราออกไปข้างนอกได้ มันก็จะฆ่าผมก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นเมื่อมันทำการปิดผนึกอีกครั้ง คราวนี้คุณก็จะไม่มีโอกาสออกไปข้างนอกอีกเลยตลอดกาล
ร่างแสงทมิฬเดินวนกลับไปกลับมาด้วยความกระสับกระส่าย
กู่ฉิงซานเฝ้ามองมันพักหนึ่งจึงเอ่ยปาก คุณต้องช่วยผม ผมไม่สามารถถูกมันฆ่าได้ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างก็เป็นอันจบ
ร่างแสงทมิฬหยุดฝีเท้าอย่างแรง ข้าจะสามารถช่วยเหลือเจ้าได้อย่างไร?
อันดับแรกช่วยแก้ข้อสงสัยสองเรื่อง กู่ฉิงซานกล่าว เรื่องแรก มนุษย์แสงไม่ใช่เจ็ดเทพปีศาจ หรืออะไรอย่างตัวแทนแห่งเจตจำนงของเทพวิญญาณใช่ไหม?
ร่างแสงทมิฬถามกลับ เจ้าคิดว่าทวยเทพคือสิ่งใด?
คือการดำรงอยู่แบบหนึ่ง ซึ่งครอบครองพลังอำนาจอันแข็งกร้าว ในระดับที่สูงล้ำจนมนุษย์ไม่อาจทำความเข้าใจ กู่ฉิงซานตอบ
ร่างเงาทมิฬ เกือบถูกต้อง แต่ตามความคิดของข้า มันคือการดำรงอยู่ที่ทรงอำนาจซึ่งสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตและโลกได้ นั่นแหละคือเทพวิญญาณ
ถ้างั้น ตัวตนของมนุษย์แสงแท้จริงแล้วคืออะไร?
มันคือการดำรงอยู่เช่นเดียวกับทวยเทพ แต่มันมิได้สร้างชีวิตและโลก ทว่าครอบครองอำนาจมากยิ่งกว่า อันตรายยิ่งกว่าทวยเทพ
งั้นทำไมมันถึงเลือกผนึกคุณ? หมายความว่ามันควรจะหวาดกลัวคุณใช่ไหม?
แต่ตอนนี้มันได้ครอบครองสามสิ่งประดิษฐ์เทวะแล้ว! ข้าไม่มีทางที่จะต่อกรกับสามสิ่งนั้นได้!
กู่ฉิงซานกล่าว ดีล่ะ ตอนนี้พวกเราก็เข้าใจแล้วว่าใครคือศัตรู คำถามต่อไปเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด
เขายังคงถามต่อ ในตอนที่ผมเข้ามาในวงกต มันได้มอบเหรียญแก่ผม ซึ่งสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น โดยพลังของมันคือ การเดินทางข้ามผ่านห้วงเวลา ย้อนกลับไปเมื่อห้านาทีก่อนได้
ร่างแสงทมิฬส่งเสียงฮึฮะหยามหยั่น
แต่กู่ฉิงซานยังคงถามต่อ ราวกับว่าเขาไม่ได้ยิน ทำไมมันถึงได้มอบเจ้าสิ่งนี้ให้กับผมเพื่อใช้ต่อกรกับคุณล่ะ? ทำไมมันไม่มอบอาวุธ ชุดเกราะ ม้วนคัมภีร์ หรืออะไรก็ได้ที่สามารถใช้โจมตีกับป้องกันได้ ทำไมต้องเป็นเหรียญด้วย?
กู่ฉิงซานเอ่ยเสริม หากช่องว่างความแข็งแกร่งมันกว้างเกินไป แม้ว่าจะสามารถย้อนเวลากลับไปยังห้านาทีก่อนหน้า แต่คุณก็ยังคงสามารถเอาชนะผมได้อยู่ดี งั้นทำไมพวกมันถึงได้มอบเหรียญนี้ให้กัน?
เจ้าต้องการจะรู้จริงๆ หรือ? ร่างแสงทมิฬถาม
มันต้องรู้แน่ๆ ว่าเหรียญนั้นเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวสำหรับคุณ ไม่อย่างนั้นมันคงไม่มอบสิ่งที่มีค่าขนาดนั้นมา
มีค่างั้นหรือ… ร่างแสงทมิฬเหน็บแนม
ใช่ แถมในตอนท้าย มันก็ยังเลือกที่จะยึดเหรียญกลับไป ชัดเจนว่านั่นเหรียญนั่นจะต้องมีค่ามากแน่ๆ กู่ฉิงซานกล่าว
ร่างแสงทมิฬเงียบงันไปเป็นเวลานาน
เป็นเพราะ… มันคิดว่าเหรียญนั่นสามารถหยุดข้าจากการทำสิ่งหนึ่งได้
หยุดไม่ให้ทำสิ่งใด? กู่ฉิงซานถาม
เป็น ‘การแทรกแซงห้วงกาลเวลา’ ข้าสามารถเปิดใช้งานสกิลนี้ได้ครั้งเดียวในชีวิต ในความเป็นจริง เหตุที่เทพวิญญาณหวาดเกรงข้าก็เพราะว่าเรื่องนี้ ร่างแสงทมิฬกล่าว
แทรกแซงห้วงกาลเวลา? กู่ฉิงซานทวนซ้ำ ไม่เข้าใจ
มีคำพยากรณ์เกิดขึ้น ว่าสกิลของข้าที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น สามารถคุกคามการดำรงอยู่ของพวกเขาได้
ร่างแสงทมิฬจ้องกู่ฉิงซาน น้ำเสียงของมันกลายเป็นตึงเครียดและหดหู่ คราวนี้ ถึงทีข้าถามเจ้าบ้างแล้ว
ไม่มีปัญหา กู่ฉิงซานรับคำ
หากเจ้าได้รับโอกาสให้ย้อนกลับไปในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา เจ้าจะสามารถหาวิธีการปลดปล่อยตนเอง ให้รอดพ้นจากผนึกได้อย่างปลอดภัยหรือไม่? ร่างแสงทมิฬถาม
กู่ฉิงซานแข็งค้าง
ทันใดนั้นเขาก็พลันตระหนักถึงความเป็นไปได้บางอย่าง
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดมนุษย์แสงจึงมอบเหรียญให้ตัวเขา!
การ…แทรกแซงห้วงกาลเวลา…มันมีข้อจำกัดอะไรไหม? กู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกประหม่าบ้างแล้ว
ในขณะนี้ ร่างกายเขาสั่นไหวไม่หยุดเลย
เพราะนี่คือห้วงอารมณ์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน!
แน่นอน เจ้าจะต้องทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับห้วงกาลเวลา เจ้าจึงจะสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ร่างแสงทมิฬเอ่ย
หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ผมจะทำสิ่งเดิมซ้ำไม่ได้ แต่ผมสามารถทำอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวเองได้ ถูกต้องไหม?
ใช่ แอบกลับไปอย่างลับๆ แล้วก็แอบกลับมา อะไรที่เกิดขึ้นไปแล้วห้ามทำซ้ำเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น มิติเวลาจะลบเจ้าที่เป็นสิ่งแปลกปลอมออกไปทันที เพื่อสยบความวุ่นวายของเส้นแบ่งเวลา
ก็ถ้าคุณมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้ แล้วทำไมไม่ใช้มันกับตัวเอง? กู่ฉิงซานถาม
นั่นเพราะว่าข้าถูกผนึกมาทั้งชีวิต ไม่ว่าจะย้อนกลับไปช่วงเวลาใดก็ล้วนไร้ความหมาย แท้จริงแล้วสิ่งที่เทพวิญญาณหวาดเกรงมากที่สุด นั่นคือการที่ข้าจะช่วยให้ศัตรูของพวกมันย้อนเวลากลับไป… ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ข้ากำลังจะทำ ร่างแสงทมิฬกล่าว
เข้าใจแล้ว
กู่ฉิงซานก้มหน้าลง คิดตริตรองอยู่พักหนึ่ง
ผมตัดสินใจได้แล้ว ว่าจะย้อนเวลากลับไปช่วงไหน เขากล่าวเสียงกระซิบ
ช่วงเวลาที่ว่า หากเปลี่ยนแปลงมัน จักสามารถช่วยปลดปล่อยเจ้าให้ออกจากผนึกได้อย่างปลอดภัยหรือไม่?
แน่นอน รวมไปถึงคุณด้วย กู่ฉิงซานกล่าว
ร่างแสงทมิฬจ้องมองเขา เอ่ยอย่างสงบ จดจำเอาไว้ให้ดี หากเจ้าโกหก ข้าจักทรมานเจ้า ทรมานจนถึงที่สุดไปตลอดกาล
กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปและกล่าว เชื่อผมสิ ผมจะเป็นคนพาคุณออกไปเอง
ร่างแสงทมิฬลังเล ข้าเคยรับฟังสิ่งมีชีวิตบนพื้นโลกเอ่ยปากสัญญามานับครั้งไม่ถ้วน แต่เกือบทั้งหมดน้อยครั้งนักที่จะเชื่อถือได้
กู่ฉิงซานกล่าว คุณได้เห็นความรู้สึกและความคิดของผมแล้วนี่ งั้นคุณก็น่าจะรู้ว่าสิ่งที่ผมต้องการทำมันคืออะไร ดังนั้นคุณมีแต่ต้องเชื่อผม ถ้าอยากออกไปใช้ชีวิตข้างนอก
ร่างแสงทมิฬนิ่งคิด สักพักก็ยื่นมือตนไปจับมือกู่ฉิงซาน
จดจำเอาไว้ ว่าเจ้าจะต้องค้นหาหนทางที่จะทำให้ตัวเองมีชีวิตรอด จนกว่าเจ้าจะกลับมาถึงจุดนี้ได้ เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม
วิธีของผม มันก็มีแต่อันตรายๆ ทั้งนั้น ถ้าหากผมไม่กลับมา มันแปลว่าผมตายแล้ว ถึงเวลานั้นคงได้แต่พูดขอโทษคุณ
เจ้าจะสามารถกลับมาได้อย่างแน่นอน
เอ๋? กู่ฉิงซานสงสัย
ร่างแสงทมิฬ เพราะในระหว่างแทรกแซงห้วงกาลเวลา เจ้าจะได้รับโอกาสกลับมาทั้งสิ้น ‘แปดร้อยครั้ง’ ในช่วงเวลาที่เจ้าเลือก เจ้าจะต้องหาหนทางให้จงได้!
แปดร้อยครั้ง…
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกู่ฉิงซาน
อย่าได้สบประมาทผมไป อันที่จริง ผมแค่ต้องการโอกาสเพียงครั้งเดียว นั่นเกินพอแล้ว กู่ฉิงซานกล่าวหนักแน่น
ร่างแสงทมิฬเฝ้ามองเขาอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานเห็นท่าทีอีกฝ่าย เริ่มลังเล และกล่าว เอ่อ อย่างมากที่สุดก็สองครั้ง!
ร่างแสงทมิฬเอ่ยต่อ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าพลาดโอกาส และไม่สามารถแก้ไขได้ เจ้าจะถูกฆ่าตายทันที เพื่อที่เจ้าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง แล้วข้าจะได้ส่งเจ้าไปในครั้งถัดไป
ตกลง
แล้วพวกเราจะเริ่มกันเมื่อไหร่ดี?
ตอนนี้เลย
วู้ม…
ท่ามกลางเสียงหวีดแหลมรุนแรง คลื่นแห่งความมืดมิดพลันโถมเข้าปกคลุมกู่ฉิงซาน
เขาค่อยๆ จมลงไปในห้วงแห่งความมืดมิด เฉกเช่นเดียวกันกับในห้วงทะเลลึกอันไร้ที่สิ้นสุด
มีเพียงความมืดมิด ไม่สามารถกะเกณฑ์ห้วงกาลเวลาได้เลย
ในเจ็ดวัน ทุกฉากประสบการณ์ก่อนที่กู่ฉิงซานจะมาอยู่ที่นี่ได้กะพริบผ่านตัวเขาไป
กาลเวลากำลังย้อนถอยหลังกลับไป
กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฉากเหล่านั้น จนกระทั่งกลับมาถึงจุดเริ่มต้นของเจ็ดวันก่อนหน้า
ทันใดนั้นจู่ๆ เขาก็กระอักเลือด ทั้งคนทั้งร่างสิ้นใจลงอย่างกะทันหัน!
…
‘เฮือก!’ กู่ฉิงซานสะดุ้งเบิกตาโพลง!
เวลานี้ เขาค้นพบว่าตนเองยังคงยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิด
เมื่อกี้นี้… เขากำลังจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เจ้าตาย ร่างแสงทมิฬชิงตอบ
เพราะอะไร?
เพราะเจ้าได้ข้ามเกินไปกว่าขีดจำกัดเจ็ดวัน ตามกฎของห้วงกาลเวลา มันจึงฆ่าเจ้า และตอนนี้เจ้าเหลือโอกาสอีกแค่ เจ็ดร้อยเก้าสิบเก้าเท่านั้น
…ขอโทษจริงๆ มันน่าตื่นตกใจเกินไป ผมยอมรับว่าผมทำผิดพลาดแบบโง่ๆ และผมจะไม่พลาดแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง
ร่างแสงทมิฬส่ายหัว เอ่ยปากถาม พร้อมจะต่อรึยัง?
จัดไป กู่ฉิงซานกัดฟันสู้
ซุ่ม!
คลื่นแห่งความมืดมิดโถมทับเขาอีกครั้ง
ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืด เขาได้เดินทางย้อนกลับไปในห้วงอดีตอีกครั้ง
ย้อนเวลากลับไป…
ทว่าทันใดนั้นเอง ในความมืดมิด พลันปรากฏปากใหญ่ที่มิแตกต่างไปจากปล่องภูเขาไฟขึ้นอย่างกะทันหัน มันดูดกลืนเขาและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ โดยรอบที่ไม่รู้จักเข้าไป
วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานพลันมืดบอด
แล้วเขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
กู่ฉิงซานค้นพบว่าตนเองยังคงยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิด
มันคือมอนสเตอร์ในสายหมอกแห่งกาลเวลา และยังคงสามารถมองได้ว่าเป็นหนึ่งในเทพวิญญาณบางองค์ของเจ้าได้เช่นกัน มันพึ่งจะกลืนกินเจ้าเข้าไป ร่างแสงทมิฬอธิบาย
เจ้าสิ่งนั้นก็ถูกนับว่าเป็นเทพวิญญาณด้วยงั้นหรือ? กู่ฉิงซานยากที่จะเชื่อ
แม้สิ่งมีชีวิตจะมีสติปัญญา แต่ก็ล้วนมักจะกราบไหว้ในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจเสมอมา
เจ้ายังเหลือโอกาสอีกเจ็ดร้อยเก้าสิบแปดครั้ง
กู่ฉิงซานกัดฟัน งั้นจัดมาอีกรอบ
ตกลง
ซุ่ม!
คลื่นแห่งความมืดมิดโถมทับตัวเขาอีกครา
ท่ามกลางห้วงอันมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด เขาได้เดินทางย้อนอดีตกลับไปอีกครั้ง
แต่ละฉากในก่อนหน้านี้ แวบวาบผ่านเข้ามาในดวงตาของกู่ฉิงซาน
ช่วงเวลาหนึ่ง ในที่สุดกู่ฉิงซานก็ค้นพบช่วงเวลาสำคัญที่เขาจักต้องกลับไป
เขาได้พลังทั้งหมดที่มีของตน โยนตัวกระแทกเข้ากับภาพฉากนั้น
เพล้ง!
ฉากภาพพลันแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ในความมืดมิด
ค่อยๆ บังเกิดเสียงและแสงสว่างขึ้น!
…
ฟ้าร้องดังกึกก้อง แสงจากสายฟ้าฟาดผ่าลงมาในห้องโถง
กู่ฉิงซานลืมตาของเขา
เจ้าตัวค้นพบว่าตนเองได้ย้อนกลับมายังนิกายร้อยบุปผา
นางเซียนไป่ฮั่วยืนอยู่ตรงข้ามเขา เอ่ยปากอย่างช้าๆ
ดังนั้น หากเจ้าต้องการซ่อมแซมดาบพิภพ เจ้าก็จะต้องก้าวเข้าสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ และพยายามเฟ้นหาแฝดของดาบพิภพ
ดาบเล่มนั้นถูกเรียกกันว่า ‘ดาบนภา’
นภาและพิภพ… สวรรค์และปฐพี มีเพียงสองดาบนี้เท่านั้นที่สามารถตัดสะบั้นเทพบรรพกาลได้
การแทรกแซงห้วงกาลเวลา… สำเร็จแล้ว!!
……………………………………..
ท่ามกลางซากปรักหักพัง
ยี่สิบนาทีได้ผ่านพ้นไปแล้ว
หากเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ มันก็ไม่สมควรจะยาวนานถึงขนาดนี้ คิดว่ากู่ฉิงซานจะต้องสามารถหาวิธีอยู่ร่วมกันกับความชั่วร้ายนั่นได้แล้วแน่ๆ ซูเซี่ยเอ๋อสรุป
แอนนาหันหลัง เดินออกไป ปากงึมงำด้วยความขุ่นเคือง ไอ้เทพวิญญาณบ้านั่น มันเกือบจะฆ่าฉิงซานของฉัน ฉันจะถอนตัวออกจากคริสตจักรแห่งความตาย แล้วรีบไปพบเขาทันที
ใจเย็นก่อน
ซูเซี่ยเอ๋อรั้งเธอไว้
อย่าห้ามฉัน! แอนนาตวาด
ซูเซี่ยเอ๋อไม่ได้โกรธอีกฝ่าย แต่เริ่มโน้มน้าวใจอย่างจริงจัง สถานที่แห่งนั้นถูกผนึกไว้โดยทวยเทพ แล้วเธอจะเข้าไปคนเดียวได้ยังไง? เธอจะปลดผนึกด้วยตัวคนเดียวได้หรือ? ไหนจะเรื่องถ้าเกิดการต่อสู้ขึ้นอีก เธอมีแผนรับมือกับมันรึยัง?
แอนนาชะงักไป แต่ก็ตอบกลับทันที ฉันไม่สน ฉันจะต้องรีบไปช่วยเขา!
ซูเซี่ยเอ๋อรั้งแอนนาไม่ยอมปล่อย กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เธอไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้ทั้งๆ แบบนี้ ในขณะเดียวกันการทำอะไรไม่ยั้งคิดของเธอ มันอาจเป็นการดึงดูดความสนใจจากเทพวิญญาณ และทำให้เขาต้องเดือดร้อน – ความจริงที่แสนเรียบง่ายนี้ เธอไม่เข้าใจจริงๆ หรือ
พูดถึงขนาดนั้น แสดงว่าเธอมีวิธีดีๆ แล้วสิ? แอนนาถาม
แน่นอน ซูเซี่ยเอ๋อตอบ
เธอกระชากแอนนามาใกล้ๆ โน้มศีรษะลงกระซิบ ในเมื่อฉิงซานยังมีชีวิตอยู่ ด้วยความสามารถของเขา มันย่อมไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ดังนั้นตอนนี้เธอจะต้องเชื่อใจเขา
แอนนาพยักหน้า
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทุกๆ การตัดสินใจของกู่ฉิงซาน มันควรค่าแก่การเชื่อถือ
ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวอย่างจริงจัง ในความเป็นจริง สิ่งที่พวกเราควรทำก็คือ การหาทางกำจัดตัวตนที่ทำตามพระประสงค์ของเทพวิญญาณทั้งเจ็ด
แอนนาตกตะลึง
นี่เธอกำลังหมายถึงร่างมนุษย์แสงใช่ไหม?
ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวอย่างอ่อนโยน ใช่ เพราะมันเป็นคนที่ทำร้ายฉิงซาน ถ้าไม่ฆ่ามันฉันคงทนมีชีวิตต่อไปไม่ได้ และถ้าเจ็ดเทพสามารถกลับมามีชีวิตได้จริงๆ ฉันก็จะฆ่าพวกเขาด้วย
ทำไมเราไม่ไปช่วยฉิงซาน แต่กลับต้องมาฆ่ามันก่อน? แอนนาถามด้วยความสับสน
ซูเซี่ยเอ๋ออธิบายอย่างอดทน เพราะถ้าเราไปช่วยฉิงซานตอนนี้ รู้ไหมว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น? ระหว่างเธอกับฉัน ไหนลองบอกซิว่ามีใครบ้างสามารถปลดผนึกของเทพวิญญาณได้? แล้วต่อให้โชคดีสามารถปลดผนึกได้จริงๆ แต่ถูกมนุษย์แสงจับได้ พวกเราคงตายกันหมด ต่อให้พวกเราหนีจากสถานการณ์นั้นได้ ก็แล้วไง? หลังจากนั้นพวกเราก็คงหัวซุกหัวซุน ถูกคนจากวิหารทั้งเจ็ดไล่ล่าไม่ใช่หรือ? ในกรณีนั้น ชะตากรรมสุดท้ายของพวกเราคงไม่พ้นความตาย!
ซูเซี่ยเอ๋อจับมือแอนนา กล่าวเฉียบขาด เธอห้ามถอนตัวจากทางคริสตจักรแห่งความตาย ส่วนฉันเองก็จะไม่ออกจากวิหารแห่งโชคชะตาเหมือนกัน พวกเราจะใช้ประโยชน์จากทางคริสตจักร เพิ่มพูนความแข็งแกร่งขึ้น ขณะเดียวกันก็คอยตรวจสอบข้อมูลของมนุษย์แสงจากภายในวิหาร เมื่อสามารถค้นหาจุดอ่อนของมนุษย์แสงได้ ถึงเวลานั้นถ้ามันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พวกเราจะกระโจนเข้าสู้ และสังหารมันซะ!
ซูเซี่ยเอ๋อมองแอนนา ฉันกลัวว่ามันจะเป็นการยากที่จะทำคนเดียว เธอต้องการที่จะร่วมมือกับฉันไหม?
แอนนารับฟังอย่างเงียบๆ จมลงสู่ห้วงความคิด
ในสายตาของซูเซี่ยเอ๋อ เจ้าตัวเห็นว่าอีกฝ่ายค่อยๆ พยักหน้ารับอย่างช้าๆ
อีกด้านหนึ่ง
จากจุดที่อยู่ห่างจากทั้งสองไปหลายพันเมตร
ยานอวกาศของสองวิหารได้มาถึงแล้ว
ระดับอาวุโสจากสองคริสตจักรกระโดดลงจากยานอย่างรวดเร็ว
แล้วพวกเธอล่ะ? บิชอปจากวิหารแห่งความตายถาม
อยู่อีกฟากหนึ่ง การต่อสู้รุนแรงมาก เหมือนกับว่าพวกเธอจะมีเรื่องผิดใจกัน! อัศวินที่เฝ้ารออยู่รีบชี้ไปทางจุดเกิดเหตุ
ระดับอาวุโสมองไปตามทิศทางที่เขาชี้
แต่แล้วในวินาทีต่อมา ทั้งหมดก็ต้องตกตะลึง
เห็นแค่เพียงซูเซี่ยเอ๋อกับแอนนา เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาจากระยะไกล สนทนากันอย่างจริงจัง
เกรงว่าบางที พวกเขาอาจจะไม่ทันสังเกตเห็น ว่าหญิงสาวทั้งสองกำลังเดินกุมมือกันอยู่
ทะเลาะกันซะที่ไหน พวกเธอ… ก็ดูสนิทกันดีนี่นา
…
ภายในผนึก
ผืนทรายถูกบดบังไปด้วยแสงอันมืดมิด
รัศมีแสงคมกริบ แปรผันเป็นใบมีดจำนวนมาก โอบล้อมรอบกู่ฉิงซานจากทุกทิศทาง มันเกือบที่จะโฉบเข้าหั่นตัวเขาอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดหยุดลงก่อนถึงตัวกู่ฉิงซาน มิได้ทิ่มแทงเข้าไป
กู่ฉิงซานเหยียดมือออกไป และดีดเด้ง! ลงบนหนึ่งในใบมีดเหล่านั้นเบาๆ
ถ้ายังแสดงทัศนคติแบบนี้ พวกเราคงร่วมมือกันออกไปจากที่นี่ไม่ได้หรอก
เขากล่าวเป็นภาษาโบราณ
ในพริบตา ใบมีดแสงทมิฬก็สั่นไหว ทั้งหมดสลายหายไปเหลือแต่ความว่างเปล่า
ความมืดมิดเบื้องหน้าเขาเกิดการกระเพื่อมไหว
ร่างร่างหนึ่งค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากภายในความมืดมิด ตลอดทั้งร่างของเขาสาดประกายแสงสว่างสดใส
กู่ฉิงซานมองรูปลักษณ์ของร่างดังกล่าว สีหน้าของเขาเผยถึงความคาดไม่ถึง
เพราะร่างดังกล่าว… มันเป็นร่างมนุษย์แสง!
มันเหมือนกันกับร่างมนุษย์แสงทุกประการ ไม่มีผิดเพี้ยนเลย
ร่างที่เหมือนกับมนุษย์แสงเปล่งเสียงกระซิบเป็นภาษาโบราณ เจ้ารู้สึกหรือไม่? กู่ฉิงซาน ความตายกำลังมาเยือนเจ้า
กู่ฉิงซาน เป็นอย่างนั้นหรือ?
หากเจ้ากล้าที่จะแข็งขืนกับเทพวิญญาณ จุดจบเดียวของเจ้าคือความตาย มนุษย์แสงกล่าว
กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างสงบ แต่คุณไม่ใช่เทพวิญญาณเสียหน่อย?
เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น? มนุษย์แสงเอ่ยถาม
เพราะเทพวิญญาณคงไม่พาตัวเองลงมาติดอยู่ในกับดักแบบนี้ อีกอย่าง พวกมันย่อมไม่มีทางกล้ามาเสนอหน้าอยู่ต่อหน้าคุณ กู่ฉิงซานกล่าว
มนุษย์แสงเงียบงันไปพักหนึ่ง
พริบตานั้นเอง มันคล้ายดั่งเหล็กที่ถูกหลอมละลาย ตลอดทั้งร่างกายจมลงสู่คลื่นแห่งความมืดมิด
จากนั้น อีกร่างหนึ่งก็ยืนขึ้นในแสงสีดำ
เป็นกู่ฉิงซาน
หมายถึงเป็นกู่ฉิงซานอีกคนหนึ่ง
กู่ฉิงซานคนนี้หลับตาลง คล้ายกำลังพยายามรับรู้อะไรบางอย่าง อย่างเงียบๆ
เขาลดเสียงลงและเอ่ยอย่างช้าๆ ภายใต้ลักษณะการแสดงออกที่สงบและเยือกเย็นเช่นนี้ กลับเปี่ยมไปด้วยโทสะและความโศกเศร้าอย่างไม่น่าเชื่อ
คุณสามารถอ่านอารมณ์ของผมได้งั้นหรือ? กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
อีกกู่ฉิงซานลืมตาขึ้น มองมาที่เขาโดยตรง เจ้าโกรธ เพราะไม่สามารถหยุดยั้งแผนการของเทพวิญญาณได้ และถูกพรากนางฟ้าตัดสินบาปไป เจ้าเสียใจ เพราะหมายจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อต้องการสังหารเทพวิญญาณ
เขากล่าวด้วยความพึงพอใจ ดี ดีมาก ข้ายอมรับการตัดสินใจของเจ้า และอีกซีกหนึ่งของความรู้สึกในกายเจ้า
อีกซีกหนึ่งของความรู้สึก? กู่ฉิงซานทวนซ้ำ
ใช่ ความรู้สึกครึ่งแรก อีกร่างกล่าว
กู่ฉิงซานคิดอยู่พักหนึ่งและเอ่ยออกมา ผมได้ยินมาว่ามีแค่เพียงซีน้อยเท่านั้นที่ไม่หวาดกลัวคุณ ดังนั้น คุณย่อมไม่ยอมรับการดำรงอยู่เช่นเธอใช่ไหม?
แน่นอน! เป็นเพราะเธอ ข้าเลยต้องจมอยู่กับความสิ้นหวังในที่แห่งนี้!
กู่ฉิงซานตริตรอง คุณสามารถรับรู้ความรู้สึกของผมได้ โดยการสัมผัสถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่สุดในหัวใจของผม และสามารถแปลงตนเป็นแบบเดียวกับผมใช่ไหม
อีกการดำรงอยู่ยิ้มหัวเราะเสียงดังลั่น ฮะ…ฮ่าๆๆ! หากเป็นอะไรที่เรียบง่ายเช่นนั้น เทพวิญญาณจะเกรงกลัวข้า และผนึกข้าได้อย่างไร!
แล้วมันเป็นแบบไหน? กู่ฉิงซานถาม
อีกการดำรงอยู่ยิ้ม จะบอกให้ก็ได้ เพราะพลังของข้านั้นไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวว่าใครจะมารู้ความลับ และถึงรู้ไป ก็แก้ไขมันไม่ได้อยู่ดี
สิ่งมีชีวิตทั้งมวล ตราบใดที่พวกเขามีความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างแรงกล้า ข้าจักสามารถไล่ตามความปรารถนานั่น เข้าไปสิงสู่ร่างกาย ผนึกวิญญาณ และควบคุมร่างเนื้อของมัน
แล้วถ้าเป็นในกรณีของเทพวิญญาณล่ะ?
เทพวิญญาณก็ไม่มีข้อยกเว้น!
กู่ฉิงซานเร่งกล่าวอย่างรวดเร็ว ที่แท้ก็เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ต่างมีความลุ่มหลงและปรารถนานั่นเอง ทว่ากับซีน้อยไม่ใช่ ซีน้อยเกิดมาบริสุทธิ์ไร้เดียงสา เธอจึงไม่มีความลุ่มหลงและความปรารถนาในจิตใจ ดังนั้นคุณเลยไม่สามารถรับมือกับเธอได้
กู่ฉิงซานกล่าวต่อ ความสามารถที่ว่ามามันทรงพลังมากจริงๆ พูดได้เลยว่า หากดวลกันตัวต่อตัว คุณแทบจะอยู่ยงคงกระพัน แต่หากเป็นการต่อกรกับศัตรูจำนวนมากเกินไป คุณย่อมไม่มีทางที่จะรับมือกับมัน นี่คือสาเหตุที่คุณไม่อาจปกป้องเขาวงกตเอาไว้ได้
ในที่สุดเขาก็ยืนยัน จากข้อสรุปนี้ มันก็ยังไม่สามารถอธิบายถึงเหตุผลที่เทพวิญญาณหวาดเกรงต่อคุณอยู่ดี มันจะต้องมีเหตุผลอื่นอีกแน่นอนที่คุณถูกผนึก
กู่ฉิงซานจ้องมองเขาสักพัก ก่อนที่อีกฝ่ายจะจมหายลงไปในกระแสคลื่นแห่งความมืดมิด
คราวนี้ ร่างที่คล้ายกับมนุษย์แสง ทว่าสาดไปด้วยแสงสีดำทมิฬทั้งตัวปรากฏขึ้น
ร่างทมิฬกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
กู่ฉิงซาน ข้ารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นภายนอกนั่น
อีกทั้งข้ายังสัมผัสได้ถึงเจตจำนงที่หมายจักสังหารเทพวิญญาณจากตัวเจ้า ตรงส่วนนี้ข้าเองก็เช่นกัน
เกี่ยวกับเรื่องของผนึก สิ่งที่ข้าต้องการจะเห็นคือความจริงใจของเจ้า ว่าจะมีวิธีทีที่สามารถหนีรอดออกไปจริงๆ ใช่หรือไม่ มิฉะนั้นต่อให้พวกเราพูดคุยกันมากกว่านี้ ทั้งหมดก็ล้วนไร้ประโยชน์
กู้ฉิงซานรับฟังอย่างระมัดระวัง
เขามิเอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ เพียงคว้าจับดาบยาวในอากาศที่ว่างเปล่า
มันเป็นดาบยาวที่เปล่งประกายสดใสดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง
ในความมืดมิด ร่างแสงทมิฬเพ่งสังเกตดาบยาว อุทานด้วยความประหลาดใจ นั่นมันดาบแห่งหกวิถี… แถมยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์
กู่ฉิงซานกุมดาบยาว ทะยานตัวสูงขึ้น และฟันมันลงเบาๆ ในอากาศที่ว่างเปล่า
ประกายแสงสีทองพลันกะพริบไหว
ขีดเขียนร้อยเรียงเป็นตัวอักษรโบราณ
ตราของผนึกทวยเทพซ้อนทับตีกันเป็นวงนับไม่ถ้วน ในเสี้ยววินาที ทั้งหมดก็พลันถูกเปิดใช้งานอย่างกะทันหัน
ตราเหล่านี้ปรากฏขึ้นเพียงชั่วคราว เมื่อพวกมันพบว่าไม่มีการโจมตีใดติดตามต่อมา ทั้งหมดก็ค่อยๆ ผลุบหายกลับเข้าไปดังเดิม
ด้วยการแตะสัมผัสลงเบาๆ ของตัวดาบ กลับสามารถชักนำให้กำแพงอุปสรรคของอำนาจเทวะเปิดใช้งาน เกิดการป้องกันขึ้นได้ ฉากนี้สามารถแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพอันยิ่งใหญ่ของดาบเล่มนี้ได้เป็นอย่างดี
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ดาบเล่มนี้ เป็นดาบที่สามารถแหกกฎเกณฑ์ทั้งมวลโดยเฉพาะ มิฉะนั้น กำแพงอุปสรรคของทวยเทพก็คงจะไม่มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้
เขาละมือออกจากดาบ ปล่อยให้มันลอยนิ่งอยู่ข้างกายตน
ร่างแสงทมิฬเงียบงันไปครู่หนึ่ง
มันเป็นเวลานานปีแล้ว นับตั้งแต่ที่ข้าถือกำเนิดก็ถูกผนึกเอาไว้ทันที แต่ในที่สุด ข้าก็จะได้ออกไปจากที่นี่! เขางึมงำ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาดี ที่จะออกไปภายนอก กู่ฉิงซานกล่าว
ทันใดนั้นร่างแสงทมิฬก็ตวัดหน้ามา ตะโกนเสียงแหลม เพราะเหตุใด!
………………………….
ท่ามกลางกระแสมิติอันสับสนวุ่นวาย
ยานอวกาศสองลำพุ่งชนกัน ก่อนจะร่อนลงจอดในโลกที่ถูกทิ้งร้างในบริเวณใกล้เคียง
นักบวชจากวิหารแห่งความตาย และอัศวินจากวิหารแห่งโชคชะตา ทั้งหมดต่างก็กำลังร้อนรน ทว่าทุกคนกลับไม่ได้รับอนุญาตให้แทรกตัวเข้าไปวุ่นวายแม้เพียงก้าว
ในระยะห่างไกลออกไปหลายพันเมตร การต่อสู้รุนแรงเป็นประวัติการณ์กำลังปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เปรี้ยง!
คลื่นสั่นสะเทือนที่เกิดจากฝีมือจากการเผชิญหน้าระหว่างทั้งสอง กินระยะแผ่ขยายเป็นวงกว้าง กรรโชกเป็นสายลมแรง กวาดเข้าใส่ฝูงชน
ผู้นำนักบวชจากวิหารแห่งความตายเอ่ยถามเสียงดัง เมื่อไหร่คนระดับอาวุโสของพวกเจ้าจะมาถึง
อัศวินจากวิหารแห่งโชคชะตาตอบกลับอย่างหมดหนทาง ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ทางเราก็ได้ส่งข้อความฉุกเฉินไปแล้ว ฉะนั้นมันควรจะไม่นานนัก
เงยหน้าขึ้นมองนักบวชแห่งความตายและเอ่ยถาม ว่าแต่ระดับอาวุโสทางฝั่งท่านเล่า? อีกนานหรือไม่กว่าจะมาถึง
นักบวชแห่งความตายกล่าวด้วยความขมขื่น เกรงว่าต่อให้ระดับอาวุโสของข้ามาถึง ก็ไม่น่าจะมีใครหยุดยั้งนางได้ในครั้งนี้
ทั้งสองต่างมองกันและกันอย่างช่วยไม่ได้ ในหัวใจบังเกิดความรู้สึกเห็นใจอีกฝ่าย
อันที่จริงแล้ว ช่วงที่ทั้งสองฝ่ายร่ำลาและแยกจากกัน ทุกอย่างมันก็ยังคงเป็นไปด้วยดีชัดๆ แต่ใครจะรู้ ว่าจู่ๆ หลังจากได้รับข้อมูลบางอย่าง ซูเซี่ยเอ๋อกลับสั่งให้ยานอวกาศของเธอ ไล่ตามยานอวกาศของวิหารแห่งความตาย
หลังจากปะทะกัน การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ปะทุขึ้น
ตอนแรกฝูงชนจากแต่ละฝั่งก็เตรียมที่จะลงมือโจมตีกันอยู่หรอก
แต่แอนนากับซูเซี่ยเอ๋อตะโกนหยุดไว้ในเวลาเดียวกัน
จากนั้น พวกเธอก็สาดฝีปากใส่กันไม่กี่คำ แล้วการต่อสู้ตัวต่อตัวก็บังเกิดขึ้น เวลานี้ คนจากแต่ละฝ่ายจึงค่อยเข้าใจ ว่านี่มันเป็นความคับข้องใจระหว่างบุคคล
ไม่สิ สมควรกล่าวว่ามันเป็นความสัมพันธ์ฉันมิตรที่พิเศษมากๆ คงจะถูกต้องกว่า
ด้วยเหตุฉะนี้เอง มันจึงไม่มีที่ว่างให้คนอื่นๆ เข้าแทรกแซง หรือไม่มีโอกาสแม้จะเอ่ยโน้มน้าวใจใดๆ
ควบคู่ไปกับความแข็งแกร่งของทั้งสองที่เหนือล้ำไปไกลห่างกว่าพวกเขา ดังนั้นทั้งหมดจึงทำได้แค่เพียงเฝ้าดูทั้งสองต่อสู้กัน
ห่างออกไปหลายพันเมตร
แอนนากับซูเซี่ยเอ๋อกำลังสาดการโจมตีใส่กันอย่างรุนแรง
แสงสีเทา และเปลวเพลิงสีดำแห่งความตาย ปะทะเข้าหากัน ก่อให้ผลพวงขนาดใหญ่ คลื่นระเบิดกวาดแยกผืนฟ้า สั่นสะเทือนผืนปฐพี
ซูเซี่ยเอ๋อกัดฟัน และทุ่มความพยายามทั้งหมด ระเบิดออกไปอย่างเต็มที่
แอนนาเองก็ไม่ยินยอมแสดงความอ่อนแอของตนออกมา เธอปลดปล่อยพลังขั้นสุดที่ตนมีเช่นกัน
การต่อสู้ยิ่งนาน ก็ยิ่งค่อยๆ ก่อให้เกิดความเสียหายมากขึ้น
ในจังหวะสุดท้าย คทาของซูเซี่ยเอ๋อวางพาดลงบนคอของแอนนา ขณะที่คมเคียวแหลมของแอนนา จี้รอบคอของซูเซี่ยเอ๋อ
ในช่วงเวลานั้นเอง บางสิ่งบางอย่างก็เกิดขึ้นในฉับพลัน ตลอดทั้งโลกนับล้านๆ…
ร่างมนุษย์แสงพลันปรากฏขึ้น
มันโผล่มาเบื้องหน้าทุกสิ่งมีชีวิตในดินแดนชิงอำนาจ และมอบรางวัลได้แก่ชายชรากับกู่ฉิงซาน
ยามเมื่อเห็นถึงฉากดังกล่าวบนท้องฟ้า ซูเซี่ยเอ๋อกับแอนนาก็หยุดมือในท้ายที่สุด
พวกเธอเฝ้าดูมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเหตุการณ์นั้น
เหตุการณ์ที่กู่ฉิงซานถูกดูดลงไปในทะเลทราย จมหายไปในผนึกของเทพวิญญาณ
และเทพวิญญาณประทานอำนาจให้แก่เขาเพียงสิบนาทีเท่านั้น
หลังจากนั้น เขาก็จะถูกกลืนกินโดยความชั่วร้าย และตกตายลงอย่างน่าสังเวช
และแล้ว ฉากบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ จางหายไป ภาพในโลกใบนั้นสลายไปโดยสมบูรณ์
ทุกอย่างจบลงแล้ว
เทพวิญญาณได้ลงทัณฑ์เป็นการส่วนตน ชะตากรรมของกู่ฉิงซานย่อมถึงวาระ
หญิงสาวทั้งสองแข็งค้างในสถานที่เดียวกัน มิอาจขยับกายเคลื่อนไหว
ฉิงซาน…
แข้งขาอ่อนเปลี้ย ซูเซี่ยเอ๋อคุกเข่าลงกับพื้น น้ำตาสองสายไหลอาบแก้มของเธอ
วินาทีต่อมา เธอก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย โยนตัวเองเข้าใส่คมเคียวทมิฬ
นั่นเธอคิดจะทำอะไรน่ะ! แอนนาตะโกน
เธอชักฝีเท้าถอยกลับไปหลายก้าว ยกเคียวยาวขึ้นสูงเพื่อป้องกันมิให้ตัวของซูเซี่ยเอ๋อสัมผัสถูกกับเพลิงทมิฬที่ลุกไหม้อยู่บนมัน
ซูเซี่ยเอ๋อส่ายหัว ยิ้มอย่างขมขื่น สิ่งเดียวที่ฉันเหลืออยู่ในโลกใบนี้คือเขา และในเมื่อตอนนี้เขาจากไปแล้ว ฉันก็ต้องตามเขาไป
สีหน้าแอนนาแปรเปลี่ยนกลับกลาย เธอจ้องมองซูเซี่ยเอ๋อ แต่มิอาจเปล่งคำใด
ซูเซี่ยเอ๋อเก็บคทา ชักกริชที่คมกล้าของมันสาดประกายเย็นเยียบออกมา เตรียมปาดมันเชือดคอตัวเอง
ช่วงเวลาที่กริชกำลังจะปาดผ่านลำคอขาวระหงของซูเซี่ยเอ๋อ แอนนาก็ชิงลงมือออกไป
เคร้ง!
กริชถูกปัดกระเด็นลอยไปไกล
ซูเซี่ยเอ๋อยังคงร่ำไห้ แหงนหน้ามองแอนนาด้วยความฉงน
ไม่ฆ่าฉัน แต่ก็ไม่ยอมให้ฉันฆ่าตัวตาย เธอต้องการอะไรกันแน่? ซูเซี่ยเอ๋อถาม
แอนนาร้องตะโกน ยัยโง่! ผู้หญิงที่สติขาดผึงอย่างเธอในตอนนี้น่ะ ฉันฆ่าไม่ลงหรอก แล้วก็ไม่ยอมให้ตายด้วย
ซูเซี่ยเอ๋อยิ้มด้วยความเศร้าหมอง ใบหน้าของเธอปรากฏความอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
แอนนา ฉันรู้ดีว่าถึงแม้เธอจะดูเย็นชาและไร้ความปรานี แต่ที่จริงแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่ดีมากคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้น มีหรือที่เธอจะช่วยฉัน… เอาล่ะ เรื่องต่างๆ ระหว่างเธอกับฉันถือว่าเลิกแล้วต่อกัน ในตอนนี้ อย่าได้มายุ่งกับฉันอีก ฉันจะเป็นคนกำหนดชะตากรรมของตัวเอง หยุดเข้ามาวุ่นวายซะ
ชั้นหมอกผุดออกมาจากร่างของซูเซี่ยเอ๋อ และค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นไพ่ใบหนึ่งในอากาศที่ว่างเปล่า
ภาพภายในไพ่ คือเทวดาศักดิ์สิทธิ์ เทวดาที่กำลังคุกเข่าข้างหนึ่งลง ขณะที่ในมือข้างหนึ่งถือผลแอปเปิลทองคำ
ซูเซี่ยเอ๋ออธิบาย ฉันจะเปิดใช้งานไพ่ผู้พลีชีพนี้ ใช้ความตายของตัวเองแลกเปลี่ยนกับพระพรจากบรรพกาล
และแอนนา ฉันจะมอบพรนี้ให้แก่เธอ มันจะช่วยให้เธอมีวาสนา เกิดโชคดีในหลายๆ เรื่อง
นี่ถือว่าเป็นของขวัญจากฉัน สำหรับหัวใจอันบริสุทธิ์และความเมตตาของเธอ
แอนนา ฉันจะไปหาฉิงซานแล้ว ฉะนั้นตอนนี้ ฉันขอลาก่อน
ระหว่างกล่าว ซูเซี่ยเอ๋อก็กำลังจะสั่งการไพ่
ยัยบ้า!
แอนนาพรวดเข้าไป คว้าคอเสื้อของซูเซี่ยเอ๋อด้วยมือเดียว ฉุดลากเธอไกลออกมากว่าหลายสิบเมตร
เมื่อสูญสิ้นการควบคุมจากซูเซี่ยเอ๋อ ไพ่พลีชีพที่ลอยล่องอยู่กลางอากาศก็ค่อยๆ สลายไป
ทำไมเธอถึงต้องเข้ามาวุ่นวายกับฉันด้วย!
ซูเซี่ยเอ๋อถูกคอเสื้อรั้งจนหายใจไม่ออก เธอไอออกมาและพยายามเอ่ยถามเสียงดัง
ดวงตาของแอนนาเบิกกว้างด้วยความโกรธ สาดสายตาใส่ซูเซี่ยเอ๋อ ฉันก็ไม่อยากจะยุ่งหรอก แค่มันทนไม่ได้จริงๆ เพราะชัดเจนว่าเขายังไม่ตาย แต่เธอดันเลือกที่จะตายก่อนเขา
ซูเซี่ยเอ๋อร่ำร้อง ส่ายศีรษะ นั่นมันก็แค่อีกภายในสิบนาที เพราะหลังจากนั้น อำนาจจากเทพวิญญาณที่มอบให้เขาก็จะสลายไป แล้วกู่ฉิงซานก็จะถูกบาปมหันต์ที่ถูกผนึกไว้ฆ่าตายลง ฉันเคยอ่านบันทึกในประวัติศาสตร์ของคริสตจักรมาแล้ว สิ่งที่ถูกผนึกอยู่ภายในนั้น แม้กระทั่งทวยเทพก็ยังหวาดกลัวมัน ดังนั้นมันย่อมเป็นไม่ได้ที่กู่ฉิงซานจะหลบหนี
แอนนาถอนหายใจยาว สีหน้าแลดูซับซ้อน อย่างน้อยก็ช่วยรอจนแน่ใจว่าเขาตายลงก่อนเถอะ แล้วเธอค่อยตายตาม
เธอกล่าวต่อ หยุดร้องสักที แล้วก็วางใจเถอะ ถ้าเขาตาย ก็จะไม่มีใครคอยห้ามเธออีกต่อไป
ซูเซี่ยเอ๋องงงัน แต่ทันใดนั้นราวกับเกิดประกายแสงขึ้นในแววตาที่สิ้นหวัง
ประโยคเมื่อกี้… เธอ…หมายความว่ายังไงกัน ซูเซี่ยเอ๋อถาม
แอนนาส่ายมือและกล่าว มันก็แค่สิบนาที เวลานี้ผ่านไปแล้วเจ็ดถึงแปดนาที ตอนนี้เรามาคอยดูกันก่อนดีกว่า ว่าเขาจะรอดไปได้ไหม
ซูเซี่ยเอ๋ออดไม่ไหวต้องเอ่ยถาม แล้วพวกเราจะแน่ใจได้ยังไงว่ากู่ฉิงซานตายไปแล้ว
แอนนา ก็ถ้าเธอเห็นฉันตายไปสักพัก นั่นก็พิสูจน์ได้ว่าเขาตายไปแล้วเช่นกัน
ซูเซี่ยเอ๋องงงันอีกครั้ง
ฉันไม่เข้าใจ เธอกล่าวอย่างช้าๆ
ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย แต่คราวนี้ มันไม่ได้มีความคิดที่จะตายทันทีเหมือนก่อนหน้า
แอนนา หลายพันปีก่อน ตระกูลเมดิซีของเราได้ติดต่อกับเทพแห่งความตาย และได้รับวัตถุศักดิ์สิทธิ์มา
วัตถุศักดิ์สิทธิ์อะไร? ซูเซี่ยเอ๋อถาม
แอนนา ตราแห่งศรัทธาของเทพแห่งความตาย ‘สัญญาชีวิต’
ซูเซี่ยเอ๋อย้อนคิด ชื่อมันฟังดุคุ้นๆ เหมือนกับว่าจะเป็นสิ่งที่เคยมีชื่อเสียงมากในอดีต เดี๋ยวก่อนนะ… ฉันนึกออกแล้ว!
เซี่ยเอ๋อเบิกตากว้าง จ้องมองแอนนา
ใช่ อย่างที่เธอคิดนั่นแหละ แอนนาตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
เธอมิได้หลบเลี่ยงสายตาของซูเซี่ยเอ๋อ ในช่วงเวลาสุดท้ายของภัยพิบัติเยือกแข็ง เขาได้กลายเป็นราชาภูต นำทัพคนตายจากปรภพโค่นเผ่ามารลงจนราพณาสูร และจากนั้น เขาก็จากโลกเดิมของพวกเราไป
แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น ซูเซี่ยเอ๋อถามอย่างใกล้ชิด
แอนนากล่าวอย่างสงบ ฉันก็เลยแขวนสัญญาชีวิตไว้บนคอของเขา
ซูเซี่ยเอ๋ออุทาน คนที่มีสัญญาชีวิตอยู่ เทพแห่งความตายจะยืดชีวิตของเขาออกไปเมื่อความตายได้มาเยือน แต่อำนาจที่พลิกคว่ำฟ้าดินนี้ไม่ได้มอบให้ฟรีๆ กฎของเทพวิญญาณจะดึงดูดพลังชีวิตมาสองเท่าจากคนก่อนหน้าที่สวมใส่มัน
แอนนาพยักหน้าและกล่าว ถูกต้องที่สุด นี่คือพันธสัญญาแห่งชีวิตระหว่างเขากับฉัน ถ้าฉันตายต่อหน้าเธอ นั่นหมายความว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากความตายแล้ว
แต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน…
ซูเซี่ยเอ๋อชิงตะโกนตัดหน้า นั่นก็หมายความว่าเขายังไม่ตาย!
แต่เซี่ยเอ๋อก็ยังไม่โล่งใจ ถามเพิ่มออกไป แล้วถ้าในกรณีที่เขาถอดสัญญาชีวิตออกจากคอ หรือมอบมันให้คนอื่นล่ะ?
วัตถุศักดิ์สิทธิ์ยังคงอยู่กับเขา เพราะฉันรู้สึกได้ว่าชีวิตของฉันยังคงเชื่อมโยงกับเขา แอนนาอธิบายอย่างอดทน ส่วนถ้าเป็นในกรณีที่เขาไม่ได้ห้อยสัญญาชีวิตเอาไว้ แต่ถูกฆ่าตายลงโดยบาปที่ถูกผนึกไว้ สัญญาชีวิตก็จะกลับมาหาฉัน
ซูเซี่ยเอ๋อไม่รอช้า เริ่มคำนวณเวลาทันที
นี่ผ่านมาได้เก้านาทีแล้ว
แอนนา อืม
ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งนาที ฉันจะอยู่กับเธอเอง ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว
ปุ้ง!
ไพ่กลายเป็นนาฬิกาโบราณที่ส่งเสียงคลิกๆ ทุกวินาที
เข็มวินาทีกำลังขยับทีละช่อง ทีละช่อง
แอนนากับซูเซี่ยเอ๋อมองนาฬิกาเป็นสายตาเดียว
ทั้งสองเงียบงันไปชั่วขณะ
ช่วงนาทีสุดท้ายช่างยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ
ซูเซี่ยเอ๋อเริ่มเครียด เธออดไม่ได้ที่จะฉกไปกุมมือของแอนนา เมื่อเห็นว่าเข็มวินาทีได้ผ่านไปครึ่งรอบแล้ว
ได้โปรดเถอะ อย่าเกิดอะไรขึ้นเลย
ดวงตาของซูเซี่ยเอ๋อแดงเรื่อ น้ำตาไหลรินออกมา
แอนนาอันที่จริงประหม่ายิ่งกว่า แทบไม่อาจรักษาความสงบเอาไว้ได้ กัดฟันกรอด ไม่เป็นไร เชื่อใจกู่ฉิงซานสิ
ถ้าสัญญาชีวิตปรากฏขึ้นบนตัวแอนนา หรือถ้าแอนนากลายเป็นเถ้าปลิวหายไป นั่นล้วนหมายความว่ากู่ฉิงซานได้ตายลงไปแล้ว
เข็มวินาทียังคงเดินไปข้างหน้า ทีละช่อง ทีละช่อง
คลิก เสียงเข็มวินาทีดังขึ้นอีกครั้ง
ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวขึ้นทันใด แอนนา
อะไร? สองตาของแอนนายังคงจ้องมองนาฬิกาอย่างใกล้ชิด ตอบรับกลับไปส่งๆ
ถ้าฉิงซานยังไม่ตาย นับว่าเธอได้ช่วยชีวิตฉันเอาไว้อีกครั้งหนึ่งแล้ว ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว
แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่าคิดมาก แอนนาตอบปัด
ถ้าฉิงซานยังไม่ตาย… ฉันขอสาบานว่าจะไม่หาโอกาสฆ่าเธออีก ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว
แอนนาฮึดฮัด เมื่อกี้ก็เอาแต่ร้องไห้ เอะอะก็จะตายเหมือนกับคนโง่ สักพักมาพูดเรื่องฆ่ากันอีกแล้ว ฉิงซานไปชอบคนแบบเธอได้ยังไงกัน?
พูดแบบนี้ได้ยังไง! ประโยคก่อนหน้านี้ฉันขอถอนคำพูด! ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว
เอ้า เมื่อกี้มันคำสาบานไม่ใช่หรือ คำสาบานมันถอนได้ที่ไหนกัน แอนนาแขวะ
คำสาบานของผู้หญิงไม่นับ! เซี่ยเอ๋อเถียง
แม้ทั้งสองจะปะทะฝีปากกัน แต่ความตึงเครียดในน้ำเสียงของพวกเธอไม่ได้ลดทอนลงเลย กระทั่งน้ำเสียงของแอนนาก็เริ่มสั่นเครือบ้างแล้ว
นั่นเพราะ…
ช่วงเวลาสุดท้ายได้มาถึง
มือของทั้งสองบีบกันแน่น
เข็มวินาที กำลังจะวนจนครบ
สิบนาทีได้วนจนครบแล้ว!
อ้างอิงตามคำพูดของเทพวิญญาณ นี่คือช่วงเวลาที่กู่ฉิงซานได้สูญเสียอำนาจในการคุ้มครองตน และจักต้องเผชิญหน้ากับบาปมหันต์ที่แสนน่าหวาดหวั่นโดยลำพัง
ซูเซี่ยเอ๋ออดไม่ได้ โผเข้ากอดแอนนา
อย่าตายนะ ได้โปรดเถอะ จะให้ฉันทำอะไรก็ได้ แต่เธอต้องไม่ตาย
เธออิงหน้าลงบนไหล่แอนนา น้ำตาไหลรินอย่างมิอาจควบคุม
แอนนาคลายมืออีกข้างจากเคียวยาว และโอบกอดซูเซี่ยเอ๋อเบาๆ
เธอไม่พูดอะไรเลย แต่น้ำตาก็เริ่มเอ่อล้นบ้างแล้วเหมือนกัน
คลิก…
คลิก…
คลิก…
ช่วงวินาทีนี้ราวกับว่าโลกทั้งใบมีแค่เข็มวินาที
ผ่านไปอีกหนึ่งนาที
สองนาที
สามนาที
ทุกนาทีช่างยาวนานราวกับเป็นศตวรรษ
แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปอีกสิบนาที ช่วงเวลาที่รู้สึกว่าแสนจะยาวนานของแอนนากับซูเซี่ยเอ๋อก็เริ่มกลายเป็นเร็วขึ้น
ซูเซี่ยเอ๋อยกมือขึ้นกุมปากเธอ ระเบิดน้ำตาออกมา ขณะเดียวกันเอ่ยถาม นี่หมายความว่าเขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม
แอนนาพยักหน้าอย่างแรง
…………………
เมื่อกู่ฉิงซานเปล่งคำเหล่านั้นออกมา ผู้คนในโลกนับล้านๆ ต่างพากันสะดุ้งเฮือก
ไม่มีใครเคยคิดมาก่อนเลย ว่าจะมีบางคนกล้าที่จะแข็งขืนต่อประสงค์ของทวยเทพ และเรียกร้องทวงชีวิต คืนชะตากรรมให้แก่อาวุธ
ถูกครอบงำไปแล้วหรือไร? เจ้ารู้หรือไม่ว่าบาปร้ายแรงเพียงใดกันที่เจ้ากำลังจะก่อขึ้น? น้ำเสียงของมนุษย์แสงเปลี่ยนไป
กู่ฉิงซานจ้องมนุษย์แสงไม่หลบตา ผมรู้ แต่ผมก็รู้ว่าวาจาของเทพวิญญาณนั้นสัตย์จริงเช่นกัน
มนุษย์แสงชะงักไป
เพราะนี่คือคำถามก่อนหน้าที่กู่ฉิงซานเอ่ยถามมนุษย์แสง ก่อนจะแสดงความปรารถนาของตนออกมา
และคำตอบของมนุษย์แสงคือ ‘วาจาของทวยเทพย่อมสัตย์จริง’
กู่ฉิงซานผายมือของเขา ผุดรอยยิ้มเย็น เช่นนั้นนี่มันอะไรกัน? ท่านเทพวิญญาณเคารพและยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล เหตุใดเมื่ออยู่ต่อหน้าทุกชีวิต ท่านจึงกลับคำ?
บังอาจ!
มนุษย์แสงตะโกนด้วยความโกรธ
อำนาจมหาศาลของมันเปรียบดั่งคลื่นสึนามิ โถมทับสร้างแรงกดดัน สั่นสะเทือนโลกทั้งสองร้อยชั้น สรรพชีวิตทั้งหมดอดไม่ได้ต้องตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว
ร่างของทุกผู้คนล้วนสั่นเทา
เป็นแค่สิ่งมีชีวิตต่ำต้อยและอ่อนแอ แต่กลับกล้าที่จะล่วงเกินเทพวิญญาณอย่างกะทันหัน สร้างความโกรธอย่างลึกล้ำที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสายธารแห่งประวัติศาสตร์
แม้แต่ในพระคัมภีร์หรือตำนานโบราณ ปรากฏการณ์นี้ล้วนไม่เคยถูกบันทึกไว้เลยว่าเคยเกิดขึ้น
ทว่า…
นับแต่สมัยโบราณกาล จวบจนถึงปัจจุบัน วาจาของเทพวิญญาณมิเคยบิดพลิ้ว
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ เทพวิญญาณคิดจะกลืนคำพูดของตนเองอย่างงั้นหรือ?
ห้วงอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป ค่อยๆ เติบโตขึ้นจากในจิตใจของผู้คนจำนวนมากอย่างเงียบๆ
มนุษย์แสงยกแท่งกระดูกขาว ชี้ไปทางกู่ฉิงซาน สรรพชีวิตทั้งมวลเอ๋ย พวกเจ้าจงเบิ่งตาดูฉากที่กำลังจะเกิดขึ้นเบื้องล่างนี้ให้จงดี
ทุกผู้คนเงยหน้าขึ้น
มนุษย์แสง ไม่ว่าเจ้าจะเคยทำคุณงามไว้เลอเลิศเพียงใด ทว่าหากคิดต่อต้านเทพวิญญาณ มันก็จะต้องพบกับจุดจบแบบนี้
ในตลอดทั้งวงกต หิมะพลันเหือดหาย ต้นไม้ พืชพันธุ์ทั้งหมดขึ้นมาแทนที่ สภาพแวดล้อมกลายเป็นเขียมชอุ่ม ทุกสิ่งอย่างล้วนถูกอาบด้วยรัศมีของเทพวิญญาณ
มนุษย์แสงลอยอยู่กลางอากาศ เปล่งประกายจรัส แผ่ขยายรัศมีออกทั่วโลกหล้า
อย่างไรก็ตาม เฉพาะเพียงในจุดที่กู่ฉิงซานยืนอยู่เท่านั้น ที่ถูกแปรสภาพเป็นทะเลทรายอันแห้งแล้ง
มนุษย์แสงเริ่มเอ่ยปากว่า
ลึกลงไปในโลกใบนี้ มีความชั่วร้ายถูกผนึกเอาไว้อยู่ และสิ่งที่มนุษย์ผู้นี้คิดก็มิแตกต่างไปจากความชั่วร้ายเลย
ดังนั้น ข้าจะผนึกเขาและความชั่วร้ายเอาไว้ด้วยกัน
ชายร่างใหญ่กล่าวเบาๆ วาดแท่งกระดูกขาวชี้ไปทางกู่ฉิงซาน
แสงอันศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นบนตัวกู่ฉิงซาน
มนุษย์แสง ข้าจักมอบพลังอำนาจให้แก่เจ้า พลังที่มากพอจะใช้ต่อกรกับสิ่งชั่วร้าย ทว่ามันจะคงอยู่ได้ไม่นานเกินไป
เจ้าจะต้องต่อสู้กับความชั่วร้ายในฐานะผู้รับใช้แห่งทวยเทพในผนึก
เมื่อเจ้ายอมแพ้ในการต่อสู้ เจ้าก็จะถูกกลืนกินโดยความชั่วร้ายทันที
แม้ว่าเจ้าจะไม่ยอมพ่ายแพ้ในการต่อสู้ แต่อำนาจแห่งเทพวิญญาณที่มอบให้ก็จะอ่อนแอลงภายในสิบนาที
เมื่ออำนาจที่เทพวิญญาณมอบให้แก่เจ้าค่อยๆ ถดถอยลง ถึงเวลานั้นเจ้าจะได้ค้นพบว่าตัวเจ้ามันต้อยต่ำเพียงไร
ความชั่วร้ายที่ถูกผนึกจะโลมเลีย กัดแทะทั้งกายและจิตวิญญาณของเจ้า
เมื่อเข้าใกล้ความตาย เจ้าจะได้รู้ซึ้ง ว่ามีเฉพาะเพียงอำนาจที่ทวยเทพประทานให้เท่านั้น จึงจะสามารถช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากความชั่วร้ายได้
เจ้าจะต้องเสียใจและเจ็บปวด เจ้าจะตระหนักได้ว่าตนเองทำสิ่งที่ผิดพลาดและไม่มีวันหวนคืน
ถูกผนึกอยู่ที่นี่ และถูกกลืนกินโดยความชั่วร้าย นั่นคือบาปเจ้าจักต้องชดใช้! มนุษย์แสงตะโกน
พร้อมกันกับพระประสงค์นี้ ด้วยเจตจำนงของเขา เม็ดทรายเบื้องล่างกู่ฉิงซานก็เริ่มเคลื่อนไหว
กู่ฉิงซานมิอาจขยับกายออกจากสถานที่นี้ได้ เขาทำได้เพียงค่อยๆ ปล่อยตนเองจมลงสู่ใต้ทะเลทราย
ร่างกายของเขาค่อยๆ จมลงไปในทรายดูด
ในที่สุดมนุษย์แสงก็กล่าว มนุษย์เอ๋ย เหล่าทวยเทพแน่นอนว่าย่อมมีเมตตา ดังนั้นข้าจะอนุญาตให้เจ้ากลับใจ สำนึกใจความผิดตน
มาเถิด จงบอกมา จงบอกความรู้สึกที่แท้จริงของเจ้าต่อสรรพสัตว์ทั้งมวล และให้ทุกคนได้จดจำถึงเหตุผลที่นำเจ้าไปสู่ความตาย
กู่ฉิงซานค่อยๆ จมลงไปในทะเลทราย
เขามิได้เอ่ยสิ่งใด
เพียงชูแขนขึ้น ขณะที่ทรายดูดยังไม่ฉุดลากร่างกายส่วนบนของเขาลงไป
ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตนับล้านๆ ในตลอดทั้งโลกสองร้อยล้านชั้น กู่ฉิงซาน ชู ‘นิ้วกลาง’ ใส่หน้าเทพวิญญาณ!
ตลอดทั้งหมื่นโลกาพลันจมลงสู่ความเงียบงัน
ทุกผู้คนต่างจ้องมองเขาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
นี่เขากล้างัด ‘สิ่งนั้น’ ออกมาได้อย่างไรกัน!
การแสดงออกในเชิงเหยียดหยามของสิ่งมีชีวิตเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมเป็นที่รู้จักในทุกอาณาจักร
และกู่ฉิงซานก็กำลังชูนิ้วกลาง ตั้งตรงแน่นิ่ง ไม่ขยับไหวใดๆ
นี่น่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายของเขา
เขายังคงรักษาท่วงท่านี้ไว้ จนกระทั่งร่างช่วงบนทั้งหมดจมลงไปในทรายดูด
ขณะที่ทรายกำลังเริ่มดูดลามไปถึงแขนที่ชูอยู่ของเขา แขนข้างนั้นก็เริ่มขยับไหว!
มันหุบนิ้วกลางกลับคืน นิ้วโป้งชูขึ้นแทนที่ จากนั้นก็ม้วนแขนพลิกตลบ ปลายนิ้วโป้งที่ชี้ขึ้นบน ถูกสลับกดมันลงมาข้างล่าง
ท่ามกลางทรายดูด ปรากฏเสียงหยามเหยียดดังขึ้น
คำพูดที่แกเปล่งออกมา มันสมควรแล้วหรือที่จะเป็นวาจาจากปากของทวยเทพ?
และแล้วทรายดูดก็จมทั้งแขนและนิ้วมือของเขาทั้งหมด
ทรายดูดค่อยๆ สลายหายไป
ทุกอย่างมันจบลงแล้ว
การต่อต้านและดูหมิ่นของมนุษย์ได้สิ้นสุดลง
เขาล่วงเกินเทพวิญญาณที่ได้บิดพลิ้วคำสัตย์ต่อตนเอง
ภาพที่น่าตกใจนี้ ตราตรึง ฝังลึกอยู่ในจิตใจของทุกผู้คน และเกรงว่าพวกเขาคงไม่อาจลืมเลือนมันไปได้ตลอดชีวิต
มนุษย์แสงหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง
สำหรับการลงโทษมนุษย์ผู้นี้ มันไม่สามารถกระทำหรือลงมืออะไรได้มากกว่านี้อีกต่อไป
เพราะในบันทึกของพระคัมภีร์ เหล่าทวยเทพล้วนไม่คิดกลับคำ
แต่วันนี้ มันกลับถูกพบเห็นแล้ว ท่ามกลางสายตาของสิ่งมีชีวิตนับล้านล้าน
หากตอนนี้มันยังมอบบทลงโทษอื่นๆ ให้แก่กู่ฉิงซานอีก ความหมายของการกระทำย่อมเปลี่ยนไปในอีกรูปแบบหนึ่งทันที
และเทพผู้ทรงอำนาจและทรงภูมิ ย่อมมิอาจกระทำเช่นนั้นได้
เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ
ในที่สุด มนุษย์แสงก็เปิดปาก และประกาศออกไป
ความชั่วร้ายได้ถูกผนึก และคนบาปเองก็จักต้องแบกรับกรรมจากการกระทำที่ตนได้ก่อขึ้น
ทวยเทพทรงมอบเส้นทางสู่การเป็นเทพให้สิ่งมีชีวิตทั้งมวล แต่ขณะเดียวกัน ทวยเทพก็จักลงทัณฑ์ต่อผู้ที่คิดแข็งข้อกับพระประสงค์แห่งตนเช่นกัน
พวกเจ้าควรจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้จงดี
ผู้กระทำผิดจะต้องตาย!
สิ้นประโยคนี้ มนุษย์แสงก็ทะยานตัวสูงขึ้น ระหว่างทางร่างกายของเขาก็สาดแสงอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา เมื่อแสงจางลง ก็หลงเหลือให้เห็นแค่เพียงความว่างเปล่าแล้ว
มนุษย์แสงได้จากไป
ท่ามกลางโลกนับไม่ถ้วน สิ่งมีชีวิตทั้งมวลที่กำลังคุกเข่าลง ต่างโค้งศีรษะจรดพื้น แสดงความเคารพสรรเสริญ
…
ณ สุดปลายแห่งหนึ่งของดินแดนชิงอำนาจ
บุหรี่ถูกจุดขึ้นสูบ
ซางหยิงฮ่าวสูดหายใจลึก และพ่นควันเป็นวงออกมา
สุดยอด…โคตรเท่เลย
เขางึมงำกับตัวเอง และกระโดดลงจากเรืออวกาศ
ใครบางคนบนเรือตะโกน อ้าวเฮ้? ทำอะไรน่ะ ไม่อยากจะนั่งเรือแล้วรึไง?
มันไม่จำเป็นแล้ว ซางหยิงฮ่าวส่ายมือ
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ก็ไม่คืนเงินให้หรอกนะ อีกฝ่ายจ้องเขา
ค่าเดินทางโดยเรือเป็นเงินก้อนใหญ่ ฉะนั้นเมื่อได้งับมันแล้ว เขาย่อมไม่มีทางปล่อยมันไป
อ๋า เออๆ เอาไปเถอะ หวังว่าจะเป็นการเดินทางที่ดีสำหรับนายนะ ซางหยิงฮ่าวยิ้ม
อีกฝ่ายจ้องเขาอย่างรอบคอบ ก่อนจะหันจากไป
โลกใบนี้มันคือที่ใช้เป็นทางผ่าน มันแห้งแล้ง ว่างเปล่า และแทบจะไม่มีกลุ่มอารยธรรมขนาดใหญ่อาศัยอยู่เลย
แต่ทำไมชายคนนี้ ทั้งๆ ที่จ่ายเงินมาแล้ว จู่ๆ ก็กลับไม่คิดจะออกเดินทางไป นี่มันเรื่องอะไรกัน?
กัปตันเรือบ่นพึมพำ สงสัยจะบ้า
เขาไม่ต้องการที่จะคิดเกี่ยวกับมันอีกต่อไป และหันกลับมาออกคำสั่งให้เริ่มแล่นเรือ
เรืออวกาศลอยออกจากโลกใบนี้
ซางหยิงฮ่าวยืนอยู่ในสถานที่เดิม หยิบแว่นกันแดดออกมาสวมใส่
เสียงของเขาค่อยๆ เริ่มเย็นลง ยโสยิ่งนัก มาทำแบบนั้นกับหุ้นส่วนของฉันได้ยังไง มันไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้วสินะ?
ไพ่ถูกโยนลงไปเบื้องหน้าเขา
ปุ้ง!
กิ้งก่าเขียวปรากฏกายขึ้น
เจ้าหนูหยิงฮ่าว เรียกหาข้าด้วยเรื่องใด? หรือเกิดการต่อสู้ขึ้น?
กิ้งก่ากวาดสายตามองรอบๆ อย่างระแวดระวัง
ผ่อนคลายเถอะบอส อันที่จริงแล้วฉันแค่มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จะเอ่ยถามน่ะ ซางหยิงฮ่าวกล่าว
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น กิ้งก่าก็ค่อยคลายใจลง มันกล่าว ก็แล้วถ้ามันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี่ถึงขั้นต้องเรียกข้าออกมาเลยหรือ? เอ๊อะช่างเถอะ ไหนลองว่ามาสิ
ซางหยิงฮ่าวสูดควันลึกๆ เข้าปอด
แล้วพ่นมันออกมาจนฟุ้งไปทั่ว
เขาโยนบุหรี่ลงกับพื้น ยกเท้าขึ้นเหยียบๆ บี้ๆ มัน
อ่า ฉันก็แค่อยากจะถามว่า ในประวัติศาสตร์ที่เทพวิญญาณตกตายลง มีวิธีไหนบ้างที่สามารถใช้ลอบฆ่าพวกเขาได้?
เขาก้มหน้าลงเอ่ยถามกิ้งก่าที่นอนแผ่อยู่กับพื้น ราวกับเป็นเรื่องไม่น่าตื่นตระหนกใดๆ
กิ้งก่าเงยหน้าขึ้นมองเขา นิ่งอึ้งอยู่นานค่อยเอ่ยปาก นี่มันใช้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไหนกัน?
…
กู่ฉิงซานจมลงใต้ทะเลทราย
เขารู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ หลุดเข้ามาในชั้นค่ายกล แต่มันไม่ใช่ค่ายกลหรอก มันเป็นกำแพงอุปสรรคบางอย่างที่คล้ายกับค่ายกลต่างหาก
ดูเหมือนว่าเขากำลังจะถูกดึงดูดเข้าสู่ผนึก
แน่นอน ว่าสิ่งที่เรียกตนเองว่าเทพวิญญาณ ย่อมไม่มีทางจะมอบซีน้อยคืนกลับมา
มันยอมกลืนคำสัญญาของตนเอง ดีกว่าการคืนซีน้อย นี่หมายความว่ามันจะต้องคิดทำอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ
แล้วอะไรบางอย่างที่ว่านั่นมันเกี่ยวข้องกับซีน้อยยังไงกันนะ?
กู่ฉิงซานตริตรอง ก้มลงมองไปตามทางเบื้องล่าง
ภายใต้ทะเลทราย มันก็ยังคงเป็นทะเลทรายอยู่
แต่ตอนนี้เขามีที่ว่างพอสำหรับขยับกายแล้ว
กู่ฉิงซานก้มลงมองทรายที่กำลังดูดเขาลงไปอย่างช้าๆ
พื้นที่เบื้องล่างช่างกว้างขวาง มันมีขนาดใกล้เคียงกันกับตลาดมืด
เพียงแต่ว่าที่นี่มันไม่มีอะไรเลยก็เท่านั้นเอง
จะเหนือ ใต้ ออก ตก มองไปรอบๆ ที่ใดก็ล้วนเห็นแต่ทรายกับทราย
กู่ฉิงซานก้มลงมองดูตนเองอีกครั้ง
เขาค้นพบว่าบนร่างกายตน ปรากฏประกายจรัสซึ่งเกิดจากอำนาจที่ถูกมอบให้โดยมนุษย์แสง
และยิ่งนาน อำนาจที่ว่านี้ก็ยิ่งอ่อนแอลงอย่างช้าๆ
ร่างมนุษย์แสงต้องการให้เขาต่อกรกับความชั่วร้าย ในขณะเดียวกันตนก็ค่อยๆ สูญสิ้นความแข็งแกร่งไปอย่างช้าๆ จนสุดท้ายไม่สามารถต้านทานการโจมตีของมอนสเตอร์ลงได้ ต้องพ่ายแพ้ตกตายลงท่ามกลางการต่อสู้อันรุนแรงในที่สุด
เอาตรงๆ นี่มันคือการทรมานอย่างช้าๆ และโหดร้าย เป็นการหยอกเย้าให้ผู้ถูกกระทำค่อยๆ จมลงสู่ความสิ้นหวัง
นายน้อย ท่านไม่เป็นอะไรนะ
ในความว่างเปล่า เสียงกระวนกระวายของฉานนู่ดังขึ้น
ไม่เป็นไรหรอก ข้าเพียงหุนหันพลันแล่นไปหน่อย ทำให้เจ้าต้องเป็นห่วงแล้ว กู่ฉิงซานกล่าว
ฉานนู่ ต่อจากไปนี้ในอนาคต เจ้าต้องคอยปรามข้าให้ดี หากต้องเผชิญกับเทพวิญญาณอย่างกะทันหันเช่นนี้อีก ครานี้มันเจ้าเล่ห์หาที่ใดเปรียบ เป็นข้าพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้น ต่อไปข้าจักต้องสุขุมให้มากกว่านี้ กู่ฉิงซานกล่าวเสียงกระซิบ
ข้าทราบแล้วนายน้อย ฉานนู่กล่าว
เอาล่ะ ตอนนี้ก็มาดูกันว่ามอนสเตอร์ที่ถูกคุมขังอยู่ที่นี่เป็นอย่างไร
กู่ฉิงซายยกสองแขนขึ้นกอดอก มองไปทางฝั่งตรงข้าม
กระแสพุ่งมาบรรจบกันในความว่างเปล่า ปรากฏเป็นเงาดำอันมืดมิด
ผนึก…
เงามืดเอ่ยด้วยน้ำเสียงโศกเศร้าและโกรธแค้น ต้องจมอยู่ในห้วงเวลาอันไร้ที่สิ้นสุด ติดอยู่ในผนึกไปชั่วนิรันดร์ เจ้าสามารถรับรู้ เข้าใจถึงความเจ็บปวดนี้หรือไม่?
กู่ฉิงซานถอนหายใจ ข้าเข้าใจอย่างสุดซึ้ง
เงามืดจู่ๆ ก็แผดเสียงคำรามออกมา มนุษย์ชั่วช้า! ในเมื่อเจ้าครอบครองอำนาจนั่น ข้าก็จะต้องสังหารเจ้า! เลือดเนื้อของเจ้าจักต้องกลายเป็นอาหาร จึงจะสามารถบรรเทาความเกลียดชังในหัวใจของข้าได้!
กู่ฉิงซานชี้ลงมายังรัศมีศักดิ์สิทธิ์บนร่างกายเขา เอ่ยถามอย่างจริงจัง นายกำลังหมายถึงเจ้าสิ่งนี้อย่างงั้นหรือ?
เงามืดไม่คิดตอบคำอีกต่อไป
มันกระจายหลายร้อยรัศมีทมิฬออกมา ทั้งหมดพุ่งฉวัดเฉวียนเข้าหากู่ฉิงซานจากทุกทิศทาง
กู่ฉิงซานยังคงยืนกอดอก มิแสดงออกถึงท่าทีหรือความตั้งใจที่จะต่อต้าน
รัศมีแสงมืดมิดนับร้อยพุ่งเข้าโอบล้อมกู่ฉิงซาน เตรียมระเบิดการโจมตีครั้งสุดท้าย
ช่วงเวลาที่ร่างตนกำลังจะถูกแยกส่วน กู่ฉิงซานก็ยังมิคิดขยับกายเคลื่อนไหว
ทว่าขณะเดียวกัน รัศมีเงามืดทั้งหมดก็หยุดชะงักไปอย่างกะทันหัน
เนื่องเพราะวาจาที่กู่ฉิงซานเอ่ยออกมาเพียงไม่กี่คำ
สนใจจะร่วมมือกันออกไปจากที่นี่รึเปล่าล่ะ?
………………………
ชายชราเปิดกล่องสมบัติ เผยให้เห็นถึงมงกุฎกระดูกที่อยู่ภายใน คว้ามือจับ และชูสูงขึ้น
เจ็ดร่างแสงเบื้องบนหันมามองเขาเป็นสายตาเดียวทันที
ที่แท้ก็เป็นผู้ศรัทธาแห่งข้านี่เอง
มนุษย์แสงเอ่ยขึ้นเบาๆ
ว่าจบ บทสวดศักดิ์สิทธิ์พลันบรรเลง ดังลงมาจากเบื้องบน
อำนาจอันไร้ที่สุดสิ้นกลายเป็นแสงสีฟ้าสดใส สาดกระทบเข้ากับตัวเขา เฉิดฉายไปตลอดทั้งเขาวงกต
ผู้ที่พยายามจะโจมตีหรือฉกชิงสิ่งประดิษฐ์เทวะจากชายชรา รับรู้ได้ถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่นี้ทันที
เทพวิญญาณ! นี่คือเทพวิญญาณแห่งมิติและเวลา!
บางคนตะโกนด้วยความยำเกรง
ผู้คนต่างคุกเข่ากับพื้น โค้งศีรษะลง
ภายใต้ความคุ้มครองของเทพ ย่อมไม่มีใครคิดกล้าปล้นชิงกับชายชราอีก
หากใครบางคนกล้าที่จะทำเช่นนั้น ความผิดนี้คงมิแคล้วทำให้เทพวิญญาณต้องขุ่นเคือง
มนุษย์ไม่ควรล่วงเกินเทพวิญญาณ มิฉะนั้นจะถูกประหารโดยตรงจากทางคริสตจักร
ในดินแดนชิงอำนาจ ความศรัทธาน่ะ นับเป็นสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกผู้คน
เทพวิญญาณทั้งเจ็ดถือเป็นที่สุดเสมอมา กระทั่งนักบวชซึ่งเป็นสาวกของเทพวิญญาณ ก็ไม่สมควรถูกดูหมิ่น
ทว่าขณะนี้ เทพแห่งมิติและเวลาได้มาปรากฏกายขึ้นด้วยตนเอง!
กู่ฉิงซานเฝ้ามองและรอดูสถานการณ์ในเวลานี้ สมองของเขาได้พิจารณาและตัดสินใจเด็ดขาด
เขากัดฟันและหยิบเหรียญออกมา
เหรียญที่จะสามารถช่วยให้ตนย้อนเวลากลับไปเมื่อห้านาทีก่อนได้!
ปากอ้าเตรียมที่จะร่ายคาถา ทว่ากลับเห็นแค่เพียงเหรียญที่หลุดออกจากมือของเขา ลอยขึ้นไปในอากาศบางเบา
มือหนึ่งคว้าจับเหรียญและลูบไล้มัน
เป็นมนุษย์แสง
ร่างแสงทั้งเจ็ดบัดนี้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์ที่สาดแสงศักดิ์สิทธิ์ ครอบครองคู่ปีก และปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
มนุษย์แสงมองกู่ฉิงซาน เอ่ยคำถามที่แฝงความนัยคล้ายไม่พึงใจ
ผู้โชคดีคนแรกที่สามารถเข้าสู่วงกตเอ๋ย เหตุใดเจ้าจึงอยากย้อนกลับไปเมื่อห้านาทีก่อน?
แสงที่อยู่ตามตัวมัน คล้ายกับกระแสธารปั่นป่วน โอบเข้ารายล้อมกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานราวกับตกอยู่ท่ามกลางพายุและคลื่นทะเลเดือดพล่าน ตนตระหนักได้ว่าย่อมสามารถถูกบดขยี้ได้ตลอดเวลาโดยอำนาจเทวะอันยิ่งใหญ่นี้
เขาทราบชัดว่าตนอยู่ในระหว่างช่วงเวลาเป็นตาย
สมองเร่งเร้าหาหนทางแก้ปัญหา หนึ่งมือยกชี้ไปทางชายชราและตะโกนด้วยความขุ่นข้อง เห็นได้ชัดว่าผมมาก่อน ฉะนั้นผมต้องการย้อนกลับไปเมื่อ ห้านาทีที่แล้ว และเก็บกู้สิ่งประดิษฐ์เทวะนั่นด้วยตัวเอง
มนุษย์แสงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือมาทางกู่ฉิงซานอย่างอ่อนโยน
สมบัติสองกล่องลอยออกมาจากถุงสัมภาระของกู่ฉิงซาน ตกลงในมือของมนุษย์แสง
กล่องสมบัติถูกเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
คู่ดวงตาอันมืดมิด
และแท่งกระดูกยาว
มนุษย์แสงเมื่อเห็นสองสิ่งประดิษฐ์เทวะ อำนาจอันไร้ที่สิ้นสุดบนร่างกายของมัน ที่แต่เดิมกระชากไปมาคล้ายกำลังจะถูกระเบิดออกก็ค่อยๆ สงบลง
มงกุฎกระดูกลอยตามมา และหยุดลงเบื้องหน้าของมนุษย์แสง
สามสิ่งประดิษฐ์เทวะลอยล่องอย่างเงียบๆ
ในขณะนี้ พวกมันได้มาอยู่พร้อมหน้าแล้ว
มนุษย์แสงกล่าว ไม่จำเป็นต้องอธิบายอื่นใดอีก ข้ารับรู้ถึงความรู้สึกของเจ้าแล้ว
มันท่องคาถากับสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสาม
จากนั้น มนุษย์แสงก็เริ่มหมุนควงกระดูกยาว ลั่นเสียงฮ่า!สดใส ฟาดไปทางร่างของยักษ์ผู้พิทักษ์หุบเหวด้วยเจตนาร้าย
ท่ามกลางการฟาดและตวาดของมนุษย์แสง กระดูกขาวนับไม่ถ้วนผุดออกมาจากพื้นดิน กระแทกเข้าใส่ยักษ์ใหญ่อย่างรุนแรง
เงาขนาดใหญ่หลุดออกมาจากตัวยักษ์ ส่งเสียงสะอื้นระงม มุดหายกลับลงไปในใต้ดิน
เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีที่เกิดจากการกระตุ้นสิ่งประดิษฐ์เทวะ มอนสเตอร์ก็ไม่สามารถทานทนได้อีกต่อไป ละทิ้งร่างสิงสู่ ผลุบหนีกลับไปยังส่วนลึกของพื้นโลก
ทันใดนั้นยักษ์ใหญ่ก็ได้สติกลับมาอีกครั้ง
มันมองไปยังมนุษย์แสงเบื้องบน คุกเข่าก้มตัวลงอย่างรีบร้อน
ราชาแมงป่องเองก็คุกเข่าลงกับพื้นเช่นกัน
โดยข้างกายเขา มีราชินีแมงป่องกับลูกชายของเธอ ที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากที่ไหน คุกเข่ารวมอยู่ด้วย
ดูเหมือนว่าทั้งสามคนจะยังปลอดภัยดี
มนุษย์แสงแสดงออกถึงความพึงพอใจ เขาเอ่ยกับกู่ฉิงซาน เจ้ามิจำเป็นต้องย้อนเวลากลับไป อันที่จริง การที่เจ้าสามารถค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะได้ถึงสองชิ้นนับว่าประเสริฐยิ่งแล้ว เจ้าทำได้ดีมาก
จากนั้น มันก็กล่าวคำที่กู่ฉิงซานย่อมไม่มีวันลืมเลือน
แต่สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าก็คือ การที่เจ้าได้คนพบเธอ
เธองั้นเหรอ?
กู่ฉิงซานตกใจ
ไม่รีรอให้ขบคิด มนุษย์แสงเริ่มท่องคาถาออกมา
หากกู่ฉิงซานได้ยินไม่ผิดนี่คือบทสวดภาษาโบราณ
จงคุมขัง
ด้วยเสียงของมนุษย์แสง มงกุฎกระดูกก็ย้อยลงไปตกลงบนศีรษะของซีน้อย
กระดูกยาวบางส่วนแตกออก เปลี่ยนเป็นชิ้นส่วนต่างๆ ของเกราะรบที่ดูซีดเซียวแต่ขณะเดียวกันก็สง่างาม ประกบสวมทับลงตลอดทั้งร่างของซีน้อยโดยสิ้นเชิง
ท้ายที่สุดเป็นคู่ดวงตามืดมิด มันค่อยๆ ย้อยลงไปตกลงบนสองตาของซีน้อย
ในระหว่างกระบวนการทั้งหมด กู่ฉิงซานกับซีน้อยมิอาจขยับกายเคลื่อนไหวได้เลย
ตูม!!
โดยมีซีน้อยเป็นจุดศูนย์กลาง บังเกิดคลื่นอัดอากาศอันไร้ที่สิ้นสุดกวาดกระจายไปทั่วสารทิศ
ซีน้อยหันขวับไปมองกู่ฉิงซาน กล่าวอย่างไร้หนทาง ฉิงซาน…
นี่คือคำสุดท้ายของเธอ
วินาทีต่อมา ศีรษะของซีน้อยก็ห้อยตกลง ทั้งคนทั้งร่างตกอยู่ในอาการสลบไสล
มนุษย์แสงวาดมือในความว่างเปล่า และซีน้อยก็ค่อยๆ ร่วงตกลง
และหายวับไปจากโลกใบนี้
กู่ฉิงซานแข็งค้าง
มนุษย์แสงไม่เหลือบมองเขาอีกต่อไป ค่อยๆ บินเข้าไปบนชั้นอากาศ
คู่ปีกที่อยู่เบื้องหลังมันสั่นไหวอย่างรวดเร็ว
พริบตานั้น ผู้คนจากโลกทั้งสองร้อยล้านชั้นต่างก็สัมผัสได้ถึงอำนาจของมัน
ท่ามกลางโลกนับไม่ถ้วน ผู้คนต่างพากันคุกเข่าลงบนพื้นดิน น้อมเคารพประกบมืออธิษฐานต่อทวยเทพ
ในทุกๆ โลก มนุษย์แสงปรากฏขึ้นพร้อมกับฉายภาพเขาวงกตขึ้นเบื้องหน้าต่อทุกสิ่งมีชีวิต
โลกทั้งสองร้อยล้านชั้นต่างเฝ้ามองถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในวงกต
มนุษย์แสงกล่าวอย่างเคร่งขรึมและรวบรัด ทุกสิ่งมีชีวิตในโลกตลอดทั้งสิบทิศเอ๋ย จงจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าเหตุการณ์ในวันนี้ เปรียบดังเทพวิญญาณได้เฉลยความจริงให้พวกเจ้ารับรู้
ทุกคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ต่างสวดภาวนาตามพระนามของเทพวิญญาณที่ตนศรัทธา
มนุษย์แสงมองชายชราที่ค้นพบมงกุฎกระดูก เอ่ยถามอย่างอ่อนโยน เจ้าช่วยให้เทพวิญญาณสามารถผนึกความชั่วร้ายได้อย่างสมบูรณ์อีกครั้ง ดังนั้นตอนนี้ข้าขอถามเจ้า ว่าความปรารถนาของเจ้าคือสิ่งใด?
ชายชราร่ำไห้ ร้องตะโกนด้วยความตื้นตันและตื่นเต้น ท่านเทพ ตัวข้าปรารถนาที่จะได้เป็นกึ่งเทพ!
เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่?
ใช่
เช่นนั้นจงคุกเข่าลง เจ้าเป็นผู้ศรัทธาในเทพแห่งมิติและเวลา และควรจักจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งมิติและเวลาเสียก่อน มนุษย์แสงกล่าว
ชายชราคุกเข่าลงกับพื้นโดยไม่ลังเล
มนุษย์แสงโผบินมาเบื้องหน้าเขา และแตะลงเบาๆ ตรงหว่างคิ้วของชายชรา
พริบตานั้น แสงสีฟ้าสว่างสดใสพลันระเบิดออกมาจากหว่างคิ้วของชายชราอย่างกะทันหัน
รังสีแสงวิบวับนี้ผุดออกมา และค่อยๆ ห่อหุ้มร่างกายของชายชราเอาไว้โดยสิ้นเชิง ก่อตัวจับกันเป็นกลุ่มแสงสีฟ้าที่สาดประกายราวกับผลึกแก้ว
มนุษย์แสงกดมือลงบนแสงสีฟ้าและเอ่ยถาม มีผู้รับใช้วิหารแห่งมิติและเวลาอยู่หรือไม่?
ท่ามกลางโลกหลายร้อนล้านชั้น วิหารแห่งมิติและเวลาที่อยู่ในห้วงทะเลลึก พระสันตะปาปากับบิชอปทั้งแปดคุกเข่าลงกับพื้นและกล่าว พระวิญญาณแห่งเทพทั้งเจ็ด ผู้รับใช้ของเทพมิติและเวลา กำลังเฝ้ารอคอยคำสั่งของท่านอยู่
มนุษย์แสงผลักกลุ่มแสงสีฟ้านี้ข้ามโลกนับไม่ถ้วน ส่งไปยังวิหารมิติและเวลาโดยตรง
มนุษย์แสงกล่าว ข้าขอสั่งให้เจ้าเลือกผู้ศรัทธาไร้มลทิน ให้มารายล้อมรอบนักบุญผู้ยังหลับใหลผู้นี้ และร่ายบทสวดแห่งมิติเวลาต่อเนื่องยาวนานเจ็ดวัน จนกระทั่งนักบุญผู้นี้ได้กลายเป็นกึ่งเทพ และตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์
พวกเราจะเชื่อฟังและทำตามประสงค์ของท่าน
พระสันตะปาปาหันไปออกคำสั่งกับบิชอปทั้งแปด แม้กระทั่งผู้ศรัทธาในเทพแห่งมิติและเวลาจากโลก สองร้อยล้านชั้นเองก็ตกปากรับคำ
จบเรื่องนี้ มนุษย์แสงก็บินกลับมาหากู่ฉิงซาน
มันลอยอยู่บนเบื้องสูง และประกาศอีกครั้งต่อหน้าโลสองร้อยล้านชั้น เบื้องหน้าข้า คือผู้รับใช้ที่มีความศรัทธาอันลึกล้ำเป็นอย่างยิ่ง
เขาได้ช่วยเหลือทวยเทพโดยการเก็บกู้ถึงสองสิ่งประดิษฐ์เทวะ และปิดผนึกความชั่วร้าย
เขาได้ช่วยเหลือเทพวิญญาณ ผนึกอาวุธที่ทรงพลังมากเกินไป
ดังนั้นพระคุณและความเมตตาของทวยเทพจึงถูกสงวนไว้ให้กับผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์และยอดเยี่ยมผู้นี้
เอาล่ะ จงเอ่ยในสิ่งที่เจ้าเลือกต่อหน้าสรรพสัตว์ทั้งมวล
มนุษย์แสงเฝ้ามองกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานเองก็เฝ้ามองมนุษย์แสง
ท่ามกลางโลกนับล้านๆ สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน ในขณะนี้ ต่างก็รับชมการตัดสินใจเลือกจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานไตร่ตรอง สักพักสีหน้าของเขาเริ่มปรากฏรอยยิ้มขึ้นทันใด
ท่านเทพ ผมปรารถนาสิ่งใดก็ท่านย่อมประทานให้ วาจาของท่านสัตย์จริงหรือไม่?
วาจาของทวยเทพล้วนสัตย์จริง มนุษย์แสงกล่าว
กู่ฉิงซานสรรเสริญ ท่านเทพวิญญาณผู้ทรงภูมิและยิ่งใหญ่ ผมไม่ต้องการเป็นกึ่งเทพ แต่มีแค่ความปรารถนาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
เจ้ามิต้องการเป็นกึ่งเทพกระนั้นหรือ?
ผมไม่ต้องการ
ตกลง เช่นนั้นจงบอกความปรารถนาอื่นของเจ้ามา มนุษย์แสงกล่าว
เด็กผู้หญิงเมื่อครู่นี้ ใช่ คนที่ท่านพึ่งจะพาตัวไปนั่นแหละ ผมปรารถนาให้เธอกลับมา กู่ฉิงซานกล่าว
มนุษย์แสง มนุษย์ที่น่าสงสาร ดวงตาของเจ้าช่างมืดบอด จงอย่ามองเธอแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก จงอย่าได้มัวเมาไล่ตามในสิ่งที่ผิด ข้าต้องบอกเจ้าตามตรงว่าคำขอนี้ถือได้ว่าเป็นลางร้าย
กู่ฉิงซาน แต่เธอเป็นสิ่งมีชีวิตที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสา หากท่านเทพเมตตาต่อทุกชีวิตทั้งมวลจริงๆ ผมเชื่อว่าท่านเทพย่อมไม่ปฏิเสธ
มนุษย์แสง มนุษย์เอ๋ย เธอคนนั้นเป็นเพียงอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสงคราม และตอนนี้สงครามมันก็จบลงไปแล้ว
มนุษย์เอ๋ย เจ้าควรตระหนักให้จงดี ว่านี่คือช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดของเจ้า และเจ้าไม่จำเป็นต้องไปพะวงเกี่ยวกับเรื่องไม่สำคัญที่ว่านั่น
กู่ฉิงซานเปล่งเสียงกระซิบ ไม่ นี่มิใช่เรื่องไม่สำคัญ แต่เธอเป็นมนุษย์ เป็นเด็กสาวบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ท่านเทพวิญญาณ ผมยินยอมแลกเกียรติยศและความรุ่งโรจน์ทั้งหมดเพื่อได้เธอกลับคืนมา
มนุษย์แสง เจ้าทราบหรือไม่ว่ากำลังจะพลาดสิ่งใดไป? หากเจ้ายินยอมเป็นกึ่งเทพ เจ้าจะสามารถเลือกหนึ่งในเจ็ดวิหาร จากนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นตัวแทนของเทพวิญญาณ ด้วยพระพรของเทพวิญญาณทั้งเจ็ด เจ้าจะสามารถมุ่งสู่หนทางอันยิ่งใหญ่อย่างการบรรลุเป็นเทพที่แท้จริงได้
มนุษย์เอ๋ย เมื่อเจ้ากลายเป็นเทพที่แท้จริง พลังอำนาจของเจ้าจะเหลือล้น ชนิดบดบังปฐพีและชั้นฟ้า ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ต้องหมอบกราบอยู่ใต้ฝ่าเท้าเจ้า
ดังนั้น จงละทิ้งสิ่งลวงตาในจิตใจตนเสีย และคุกเข่าลงต่อหน้าข้า ข้าจะมอบอำนาจสูงสุดให้แก่เจ้าเอง
กู่ฉิงซานถอนหายใจ ปากเปล่งเสียงกระซิบ มันไม่เกี่ยวกับว่าอำนาจที่จะได้รับมามันแข็งแกร่งเพียงใด มันไม่ใช่แค่เรื่องนั้น เหตุที่ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนไขว่คว้าพลัง ในการเป็นกึ่งเทพหรือกลายเป็นเทพ ไม่ใช่เพราะต้องการพลังเพียงอย่างเดียว
ไร้สาระ! แล้วเจ้าคิดว่าทุกสรรพชีวิตต้องการพลังไปเพื่ออะไรกัน? มนุษย์แสงถาม
กู่ฉิงซานหลับตาลง
ฉากต่างๆที่เขาอยู่ร่วมกันกับซีน้อยปรากฏขึ้นในห้วงคำนึงคิด
งั้นก็หยุดอยู่เฉยๆ… และยอมให้ปล้นซะดีๆ!
นายคิดจะฆ่าฉันเหรอ? เธอเหมือนจะร้องไห้
เธอชูสองแขนขึ้น ตะโกนโห่ร้อง ยอดไปเลย ในที่สุดฉันก็มีคู่หูแล้ว!
ซีน้อยมองไพ่ และกล่าว ฉันไม่เคยมีคู่หูมาก่อนเลย ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้ใช้ไพ่ใบนี้
เธอเอ่ยปากกล่าวกับเขาเบาๆ เพราะเทพวิญญาณบอกฉันว่า ชีวิตของฉันมีเพียงสองสิ่งเท่านั้น นั่นคือการต่อสู้และหลับใหล
ฉันรักดอกไม้เหล่านี้ และรู้สึกสุขที่ได้ท่องไปตามโลกต่างๆ
แก้แค้น? ซีน้อยทวนคำ แก้แค้นหมายความว่ายังไง?
ฉัน…ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไงดี เธอเปล่งเสียงกระซิบ สองมือกุมชามแล้วยกขึ้นซดอีกที
ฉันแค่อยากจะช่วยให้นายกลายเป็นกึ่งเทพ
แค่อยากช่วยนาย
แค่อยากช่วย…
ใช่
เธอแค่ต้องการจะช่วยให้ฉันกลายเป็นกึ่งเทพเท่านั้น
นั่นคือความปรารถนาทั้งหมดของเธอ
กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น ปากลั่นคำขาด ความปรารถนาเดียวของผมคือต้องการให้มนุษย์เช่นเธอมีชีวิต!
ผมต้องการให้เธอได้ใช้ชีวิตที่แท้จริงอีกสักครั้ง!!!
……………………
ภายในกล่อง คลื่นความผันผวน และกลิ่นอายโบราณของสองสิ่งประดิษฐ์เทวะ ปะทะเข้าใส่หน้ากู่ฉิงซาน
หนึ่งเป็นกระดูกยาวที่สาดแสงสลัว
อีกหนึ่งเป็นคู่ดวงตาอันมืดมิด
ยามเมื่อทั้งสองสิ่งนี้ถูกวางเอาไว้อยู่ด้วยกัน พวกมันก็เริ่มบังเกิดปฏิกิริยาตอบสนองทันที
คู่ดวงตาเริ่มดึงดูดแสงสลัวจากกระดูกขาว
ขณะเดียวกัน กระดูกยาวก็เหมือนจะถูกกระตุ้น จากที่แต่เดิมสาดเพียงแสงสลัว บัดนี้ยิ่งนาน มันก็ยิ่งพร่างพราว
เป็นผลให้คู่ดวงตายิ่งได้รับพลังเพิ่มมากกว่าเดิม
กู่ฉิงซานบังเกิดความรู้สึกประหลาดใจอย่างลับๆ
เขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปแตะพวกมัน เพื่อหมายจะได้รับข้อมูลจากระบบเทพสงคราม
แต่ใครจะรู้ ทันทีที่มือของเขายื่นออกไป ก็ดันถูกขวางไว้ด้วยพลังที่มองไม่เห็น สกัดไม่ให้เข้าถึงสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสอง
นี่ฉันไม่สามารถแตะต้องมันได้งั้นเหรอ?
ระหว่างกำลังสงสัย เห็นแค่เพียงเส้นแสงหิ่งห้อยจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม
พลังที่ห่อหุ้มอวัยวะทั้งสองนี้ ได้ตัดขาดวิธีการตรวจสอบทั้งหมด ดังนั้น ระบบจึงไม่สามารถได้รับข้อมูลเพิ่มเติมได้
ท่ามกลางความมืดมิดเบื้องบน คลื่นความผันผวนแปลกๆ พลันปรากฏขึ้น
คล้ายกับว่าบางสิ่งบางอย่างบนท้องฟ้าสูง สามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของสองสิ่งนี้
ซึ่งเหนือท้องฟ้าไปย่อมไม่มีสิ่งอื่นใด แต่เป็นเจ็ดร่างแสงซึ่งเป็นตัวแทนของเทพวิญญาณนั่นเอง
จากนั้น คล้ายกับว่ากำลังจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
กู่ฉิงซานไม่รีรอ เร่งฉกมือเอื้อมไปปิดกล่องทันใด
หากในตอนแรก ตัวกล่องสามารถเก็บซ่อนสิ่งประดิษฐ์เทวะเหล่านี้ไว้ได้โดยไม่ถูกค้นพบแล้วล่ะก็ นั่นหมายความว่า พลังในการตัดขาดโลกภายนอกของมันย่อมต้องทรงประสิทธิภาพมากแน่นอน
เขาไม่คิดอะไรแล้ว ตอนนี้หวังแค่เพียงว่าจะสามารถผนึกสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสองนี้ลงให้ได้อีกครั้ง!
ช่วงเวลาที่ฝากล่องถูกปิดลง คลื่นความผันผวนทั้งหมดก็หายไป
กู่ฉิงซานเดาถูก
เขาถอนหายใจยาว
ตอนนี้ มันยังมีเรื่องน่าสงสัยมากเกินไป ตัวเขาจึงไม่เต็มใจที่จะปลดปล่อยสิ่งประดิษฐ์เทวะออกมา
ฉันว่ามันแปลกอยู่นะ เดิมทีฉันคิดว่ามันจะเป็นการรังสรรค์ที่ดูประณีตอะไรซะอีก แต่ใครจะรู้ ว่าจริงๆ แล้วมันกลับกลายเป็นแค่ชิ้นส่วนอวัยวะ กู่ฉิงซานพึมพำ
ซีน้อย ในตอนแรกเทพวิญญาณก็มักจะใช้สิ่งประดิษฐ์เทวะที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกับอวัยวะพวกนี้นี่แหละ แต่จนกระทั่งหลายปีต่อมา พวกเขาจึงค่อยๆ พัฒนาทักษะการรังสรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ และทยอยละทิ้งวิธีการใช้พลังงานอย่างหยาบๆ แบบนี้ไป
แล้วอวัยวะพวกนี้มันมาจากอะไร? กู่ฉิงซานถาม
ซีน้อยกล่าวอย่างไม่ยี่หระ ย่อมเป็นชิ้นส่วนซากศพของมอนสเตอร์มิติในสมัยบรรพกาล
กู่ฉิงซานอุทานด้วยความประหลาดใจ เมื่อก่อนเทพวิญญาณใช้ชิ้นส่วนร่างกายของมอนสเตอร์มิติเป็นอาวุธอย่างงั้นเหรอ?
ซีน้อย ใช่แล้ว เพราะมอนสเตอร์มิติในยุคบรรพกาล มีความแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งชนิดที่ว่ามอนสเตอร์บางตน แม้กระทั่งเทพวิญญาณก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน
กู่ฉิงซานฝืนยิ้ม แม้กระทั่งในยุคสมัยนี้ ก็ยังไม่มีใครสามารถรับมือกับมอนสเตอร์มิติที่น่ากลัวที่สุดได้เหมือนกัน
เขาเก็บกล่องทั้งสองใบ
งั้นต่อไป พวกเรามาช่วยกันคิด
ขณะกล่าว จู่ๆ แสงสวรรค์โดยรอบจากค่ายกลก็เริ่มปั่นป่วนวุ่นวายอย่างกะทันหัน
หลากหลายจุดแสงรวมกลุ่มกัน และทะยานขึ้นไปยังเบื้องบนเพดานห้องอย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานปิดปากเงียบ เงยหน้าจ้องมองไปยังจุดแสงเหล่านั้น
นี่คือการตรวจจับความเปลี่ยนแปลงของค่ายกล ที่กำลังแสดงให้เห็นถึงพลังงานจากภายนอก
ในเวลาเดียวกัน จู่ๆ จุดแสงหลายสิบที่ส่งกลิ่นอายน่าสะพรึงก็ปรากฏขึ้นบนพื้นดิน
จากนั้น ก็มีเสียงกระซิบเล็กๆ น้อยๆ ดังขึ้น
พวกเราจะช่วยใครดี?
ไม่ต้องช่วยหรอก ปล่อยพวกมันซัดกันเอง ส่วนพวกเราก็เริ่มออกค้นหาเถอะ
คนอื่นๆ จงมากับข้า ข้ารู้ที่ตั้งของสิ่งประดิษฐ์เทวะแล้ว รอก่อนเถอะ เรากษัตริย์จะต้องบรรลุขึ้นเป็นกึ่งเทพให้จงได้!
เหอะ! อาศัยเพียงเจ้าน่ะหรือ?
เร่งมือออกตามหาเร็วเข้า ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา!
สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลาย
คนจากในตลาดมืดมาถึงซะแล้ว
เขาพึมพำเสียงต่ำ
พักหนึ่ง กู่ฉิงซานก็จำต้องออกมาจากห้องเก็บของ และบินกลับขึ้นไปตามทางอุโมงค์
แน่นอน ว่าพอตัวตนแข็งแกร่งจากตลาดมืดทยอยกันมาแล้ว หลังจากนั้น พวกเขาคงกระจายกันเข้ามาในเขาวงกต และเริ่มออกค้นหาร่องรอยของสิ่งประดิษฐ์เทวะ
ใจกลางของเขาวงกต ราชาแมงป่องดำกำลังต่อสู้กับยักษ์อย่างดุเดือด
ไม่จำเป็นต้องคิดว่ายักษ์มาจากไหน เพราะมันมิแคล้วเป็นร่างสิงใหม่ของมอนสเตอร์
กู่ฉิงซานออกจากใต้ดินอย่างรวดเร็ว
เขามองหาตึกรอบๆ ที่ยังไม่พังทลาย เอนกายพิงกำแพง และปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างเงียบๆ
ซีน้อยมองเขา และเห็นถึงความกังวลบนใบหน้าที่ยิ่งนาน ก็ยิ่งหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
กู่ฉิงซาน นายเป็นอะไรไปกันแน่? เธอถาม
กู่ฉิงซาน ฉันรู้สึกว่ามีหลายเรื่องที่มันผิดปกติน่ะสิ
พอได้ยิน ซีน้อยที่เปลี่ยนกลับเป็นไพ่ ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า ไม่เป็นไรหรอก มีฉันอยู่ทั้งคน ดังนั้นไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ไหน ฉันก็จะปกป้องนายเอง
ขณะทั้งสองกำลังสนทนา เสียงกรีดร้องสาปแช่งก็ดังมาจากในระยะไกล
ระยำเถอะ! ไม่มีสิ่งประดิษฐ์เทวะอยู่ที่นี่!
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะหันมอง
เห็นแค่เพียงสองหรือสามคนกำลังกึ่งนั่งกึ่งหมอบลงกับพื้น ท่ามกลางซากปรักหักพังของห้องสมุด ควานหาอะไรบางอย่าง อย่างบ้าคลั่ง
อีกหลายคนเองก็กำลังวิ่งวนอยู่รอบซากปรักหักพังของหอนาฬิกา
พวกเขาสามารถถอดรหัสที่ตั้งของสิ่งประดิษฐ์เทวะจากกวีพยากรณ์ได้จริงๆ!
ผู้คนมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ กำลังค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะ
และแน่นอน ว่าฉากทั้งหมดนี้ย่อมอยู่ในสายตาของมอนสเตอร์ในร่างยักษ์
มันเปล่งเสียงร้องคำรามด้วยความโกรธ กระตุ้นพลังจนไฟลุกโชติช่วง ระเบิดโจมตีเต็มกำลังเข้าใส่ราชาแมงป่อง
ตูม!
ผืนดินสั่นสะท้าน
สายลมอันดุร้ายจากกำปั้นนี้ หนุนเสริมเปลวไฟจนลุกโชติช่วงขึ้นไปถึงเมฆหนาเบื้องบน
หิมะถึงขั้นหยุดตกไปพักหนึ่ง
พายุรุนแรงแผ่วเบาลง
ใจกลางเขาวงกต แมงป่องดำถูกซัดเปรี้ยง! ด้วยหมัดหนัก ปลิวกระเด็นไปหลายร้อยเมตร
เขากลิ้งไถลไปกับพื้น และตูม! กระแทกเข้ากับโบสถ์ จนตัวโบสถ์พังทลายลง จึงค่อยหยุดร่างตนได้
ราชาแมงป่องกระอักเลือดคำโต พยายามฝืนยืนลุกขึ้น แต่เจ้าตัวกลับพบว่าไม่อาจรอดเร้นกำลังออกมาได้
ยักษ์ใหญ่ยังคงยืนหยัดอยู่กลางสวน
เกล็ดหิมะที่ลอยล่องอยู่ก่อนแล้ว ยามเมื่อร่วงโรยกระทบกับตัวเขา พวกมันก็ส่งเสียงฉ่าๆ สลายกลายเป็นไอน้ำพวยพุ่งไปทั่ว
ยักษ์ใหญ่สูดหายใจลึก ปากอ้าตะโกนด้วยความโกรธ …!
เสียงคำรามของมันช่างดูโดดเดี่ยว ขณะเดียวกันก็อ้างว้างและเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
กระทั่งตัวตนทรงอำนาจก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้กับพลังของยักษ์ใหญ่ ทว่าพวกเขาก็ไม่คิดหยุดมือ ตรงกันข้าม กลับเร่งค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะยิ่งกว่าเดิม
กู่ฉิงซานพอได้ยินเสียงคำรามของยักษ์ใหญ่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
นั่นเพราะแม้ตนจะเรียนรู้ภาษามาหลากหลายแล้วก็ตาม แต่ภาษานี้ กู่ฉิงซานไม่เคยได้เห็น ได้ยินมันมาก่อนเลย
คาดว่านี่น่าจะเป็นภาษาหลักดั้งเดิมของเจ้ามอนสเตอร์
ในสถานการณ์เช่นนี้ ช่วงฉุกละหุกที่มันอาจจะถูกผนึกได้ตลอดเวลา เจ้าตัวจึงละทิ้งภาษาอื่นจนสิ้น และเผลอพลั้งปากภาษาถิ่นของตนออกมา
ขณะเดียวกัน นี่ก็หมายความว่ามอนสเตอร์ตนนี้ลดความระแวงลงแล้วเช่นกัน
…และคาดว่าประโยคเมื่อครู่มันต้องสำคัญมากแน่ๆ!
กู่ฉิงซานก้มหน้าลง แต่กลับพบว่าสีหน้าของซีน้อยดูจะผิดแผกไป
ซีน้อย ทำหน้าแบบนี้ อย่าบอกนะว่าเธอรู้ว่าเจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นพูดว่าอะไร? กู่ฉิงซานถาม
ซีน้อย ใช่ ที่มันพูดเมื่อกี้คือภาษาที่เทพวิญญาณหรือมอนสเตอร์ต่างๆ ใช้กันทั่วไปในยุคบรรพกาล แต่ภาษานี้ได้ถูกเลิกใช้ไปนานแล้วโดยทวยเทพ แต่ฉัน เป็นเพราะจะต้องต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์ ดังนั้นเทพวิญญาณจึงเคยสอนภาษานี้แก่ฉัน
ระหว่างกล่าว เธอก็จั่วไพ่ใบหนึ่งออกมา
มันคือไพ่ที่ภายในเป็นรูปหนังสือเก่าแก่
ซีน้อย นาบไพ่ลงบนอกกู่ฉิงซาน นี่คือภาษาบรรพกาล ที่ใช้กันมานานปีมากแล้ว มันถูกล้มล้างไปโดยเทพวิญญาณ แต่ตอนนั้นฉันกลัวว่ามันจะสูญหายไปเลยเก็บมันไว้ ดังนั้นตอนนี้ นายจงตั้งใจเลือกที่จะยอมรับมัน เก็บไพ่ใบนี้เอาไว้ แล้วจากนั้น นายจะสามารถเข้าใจถึงภาษาที่มอนสเตอร์พูดได้
กู่ฉิงซานเลือกยอมรับ
ตัวไพ่พลันสาดแสงมรกต มันค่อยๆ ละลายแล้วหลอมรวมเข้ากับร่างกายของกู่ฉิงซาน
สักพักหนึ่ง กู่ฉิงซานก็คล้ายสามารถระลึกได้ ว่าสิ่งที่มอนสเตอร์ตัวเมื่อครู่กล่าวมันแปลว่าอะไร
กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ ‘หากเป็นเทพวิญญาณก็ว่าไปอย่าง แต่ทำไมกระทั่งเจ้าก็ยังต้องการผนึกข้าด้วย’ …นี่คือสิ่งที่มอนสเตอร์พูดอย่างงั้นเหรอ?
ใช่ ซีน้อยถอนหายใจ ก้มหน้าขบคิด พอลองมาย้อนนึกดูดีๆ แล้ว มอนสเตอร์ตัวนี้ถูกผนึกไปตั้งแต่แรกเกิดเลย จริงๆ แล้วมันก็น่าสงสารเหมือนกัน นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เวลามันเจอคำถามยากๆ มันเลยต้องนิ่งคิดอยู่นาน กว่าจะหาคำตอบได้ก็ได้นะ
กู่ฉิงซานแข็งค้างอยู่ในจุดเดิม หลังจากคำว่า ‘ใช่’ แม้ซีน้อยจะเอ่ยอะไรต่อเขาก็ไม่ได้ยินแล้ว
ไม่ถูกต้อง
กู่ฉิงซานเปล่งเสียงกระซิบ
ซีน้อย ไม่หรอก ก็ถูกแล้วนะ ก็เจ้ามอนสเตอร์เห็นกับตาว่ามีคนมากมายบุกเข้ามา แถมพลังเกือบทั้งหมดของมันยังถูกผนึกไว้โดยร่างแสง ดังนั้นการที่มันจะรู้สึกสิ้นหวังก็เป็นเรื่องธรรมดา
สิ้นหวังงั้นเหรอ? กู่ฉิงซานทวนซ้ำ
ใช่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันสามารถเข้าควบคุมผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปได้ทีละคนเท่านั้น แต่ตอนนี้ ยิ่งนาน ผู้คนก็ยิ่งทยอยกันเข้ามาในเขาวงกตมากขึ้น ดังนั้นมันย่อมไม่มีทางไล่ฆ่าพวกเขาได้ทุกคน ซีน้อยอธิบาย
กู่ฉิงซานส่ายหัวทันใด เอ่ยปฏิเสธ ไม่ ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น
งั้นก็ เดี๋ยวสิ นายเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นกับนาย? ขณะจะกล่าวต่อ พอหันไปมองกูฉิงซาน ซีน้อยก็เริ่มเป็นกังวล
เห็นแค่เพียงใบหน้าของกู่ฉิงซานที่ซีดเผือด ดวงตาของเขากระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น ความสงบเยือกเย็นเสมอมา สลายไม่มีให้เห็นอีกต่อไป
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ฉันไม่รู้นะว่าเธอสังเกตเห็นมันรึเปล่า แต่ตอนที่พูดภาษาถิ่น เจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นมันแหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า
จากท่าทีนั่น แปลความหมายได้ว่า มันไม่ได้กำลังพูดกับพวกเราที่กำลังค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะ
กู่ฉิงซานพูดซ้ำอีกครั้ง มอนสเตอร์ตัวนั้นพูดว่า – หากเป็นเทพวิญญาณก็ว่าไปอย่าง แต่ทำไมกระทั่งเจ้าก็ยังต้องการผนึกข้าด้วย?
นี่ … ซีน้อยนิ่งค้างไปพักหนึ่ง ไม่ทราบว่าจะกล่าวอะไรดี
กู่ฉิงซานพยักหน้าเบาๆ กล่าวเสียงกระซิบ ใช่ นั่นหมายความว่าตัวตนที่บงการเรื่องราวในครั้งนี้ ไม่ใช่เทพวิญญาณ
นะ…นะๆๆ นั่น…! ซีน้อยเริ่มพูดติดอ่าง แม้จะมีคำในใจ แต่ก็ไม่อาจเปล่งมันออกมาได้อยู่นาน
ถูกต้อง ถ้ามอนสเตอร์ไม่ได้พูดโกหกแล้วละก็… กู่ฉิงซานกล่าวต่อ นั่นหมายความว่าที่ร่างแสงบอกให้จุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ แท้จริงแล้วไม่ใช่ประสงค์ของเทพวิญญาณ
ตอนนี้ ฉันกลัวว่าบางทีเทพวิญญาณอาจจะตายไปแล้วจริงๆ
บางอย่างที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังม่านการแสดงทั้งหมดนี้ แท้จริงแล้วกำลังแสร้งแสดงตนเป็นเทพวิญญาณ เพื่อที่จะขึ้นเป็นทวยเทพองค์ใหม่
น้ำเสียงของกู่ฉิงซานกลายเป็นเย็นเยียบ
นี่มันเป็นเรื่องจริงที่สั่นสะเทือนโลกหล้า
เกรงว่าในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น มันคงจะไม่มีความลับใดน่าขนลุกไปยิ่งกว่านี้อีกแล้ว
กู่ฉิงซานกับซีน้อยมองหน้ากันและกัน สัมผัสได้ถึงความกลัวจากในแววตาของอีกฝ่าย
ทั้งสองเบนสายตากลับไปมองยักษ์ใหญ่โดยมิได้นัดหมาย
เห็นแค่เพียงสีหน้าของยักษ์ที่แปรเปลี่ยนไป
มันเป็นสีหน้าที่ถูกปกคลุมด้วยความสิ้นหวัง พรวดทะยานเข้าหามืออาชีพหลายคนที่อยู่ใกล้ที่สุด
ด้วยกำปั้นเพลิงที่เต็มไปด้วยโทสะ เหล่ามืออาชีพสองสามคนพลันตกตายลงทันที
ยักษ์ใหญ่ตะโกนร่ายเป็นคำยาวออกมา
เจ้าพวกผู้สมรู้ร่วมคิด อ้ายสุนัข พวกเจ้ามันไม่รู้อะไรเลย ดังนั้นตอนนี้ก็จงตายซะ!
นี่คือภาษาถิ่นที่ยักษ์ใหญ่พูด
ครานี้ กู่ฉิงซานบังเอิญเกิดความเข้าใจในที่สุด
จากนั้น ยักษ์ใหญ่ก็วิ่งเข้าหามืออาชีพอีกกลุ่มหนึ่งต่อ
แม้จะมีผู้แข็งแกร่งมากมาย ร่วมมือกันดิ้นรนต่อต้าน ทว่าพลังของยักษ์ใหญ่เหนือล้ำมากเกินไป
ต้องรู้นะว่า ยักษ์ใหญ่ตนนี้คือผู้พิทักษ์ที่ทรงพลังที่สุดในหุบเหวแห่งบาป!
ยักษ์ใหญ่เริ่มล่าสังหาร
บางคนรู้สึกหวาดกลัวในความตาย ทว่ามันมีไม่กี่คนเท่านั้นที่ตัดสินใจวิ่งหนีออกจากเขาวงกต
เพราะบัดนี้ ในหัวใจของทุกคนมันปริ่มเปรมไปด้วยความกระหายในโชคลาภอย่างคลั่งไคล้!
เพราะตราบใดที่พวกเขาสามารถค้นพบสิ่งประดิษฐ์เทวะ พวกเขาก็จะได้กลายเป็นกึ่งเทพ!
ไม่ว่าจะชื่อเสียงหรือเงินทอง หากต้องการได้มามันก็ต้องมีเผชิญกับอันตรายกันบ้างทั้งนั้น!
ดังนั้น โอกาสอันหาได้ยากยิ่งเช่นนี้ จะไม่สู้เพื่อมันได้อย่างไร!
ฝูงชนยิ่งมาก็ยิ่งคลั่งไคล้ ไล่ล่าควานหาสิ่งประดิษฐ์เทวะไม่หยุดยั้ง
ตลอดทั้งเขาวงกต มีเพียงกู่ฉิงซานกับซีน้อยที่มิได้เคลื่อนไหว
แล้วพวกเราจะเอายังไงกันดี? ซีน้อยสูญสิ้นน้ำเสียง
หนี ก่อนอื่นรีบหนีออกไปจากที่นี่! กู่ฉิงซานกล่าวเฉียบขาด
เขากำลังจะคว้ามือซีน้อย และใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต แต่ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน
ฮ่าๆๆ ฉันเจอแล้ว! ฉันเจอสิ่งประดิษฐ์เทวะแล้ว!!
เห็นแค่เพียงชายแก่คนหนึ่งที่ยืนอยู่บนหลังคาตึก ตะโกนราวกับคนคลุ้มคลั่ง
โดยมีกล่องสมบัติใบหนึ่งอยู่ในมือของเขา
สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยน เขาเร่งตะโกน ไม่นะ! อย่าเปิดมัน!
ทว่าก็สายไปเสียแล้ว
ขณะที่หลายคนต่างเร่งกระโจนเข้าใส่ชายชรา
ชายชราก็ไม่คอยท่า เปิดฝากล่องสมบัติออกอย่างรวดเร็ว
กลิ่นอายโกลาหลพรั่งพรูออกมาจากกล่องสมบัติ โผทะยานขึ้นไปกระทบกับอากาศเบื้องบน
ชายชราเงยหน้าขึ้นมองเจ็ดรังสีแสงร่างเงามนุษย์ เปล่งวาจาลั่น ท่านเทพวิญญาณ ข้าคือผู้ศรัทธาที่ซื่อสัตย์ของท่าน ยามนี้ ข้าได้ค้นพบสิ่งประดิษฐ์เทวะแล้ว ได้โปรดท่านช่วยดลบันดาลให้ข้าได้กลายเป็นกึ่งเทพด้วยเถอะ!
………………….
ภายในตลาดมืด
บางคนวางพระคัมภีร์ทั้งเจ็ดเล่มลงเบื้องหน้า กวาดสายตาอ่านมัน ขบคิดอย่างหนัก
บางคนก็รวมกลุ่ม แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน
บางคนก็หายเข้าไปในความมืดมิด หลบเร้นออกไปอย่างเงียบๆ
ในตลาดมืด ยิ่งนาน ผู้คนก็ยิ่งบางตา
มืออาชีพคนหนึ่งเหมือนจะตระหนักได้ถึงสถานการณ์ เขาเงยหน้าขึ้น กล่าวด้วยความสงสัย “เอ๋? ฉันรู้สึกไปเองรึเปล่านะ ว่าที่นี่มีคนน้อยลง?”
อีกคนที่กำลังนั่งอ่านเจ็ดพระคัมภีร์อยู่ข้างกายเขา กล่าวเป็นจริงเป็นจัง “คนอื่นอาจจะถอดรหัสกวีพยากรณ์จนสามารถมุ่งหน้าสู่เขาวงกตแล้วก็ได้ ตอนนี้ฉันเกรงว่าคงต้องรีบกันหน่อยแล้ว”
ชายคนแรกสีหน้าซีดเซียวลง “หมายความว่าพวกเราจะไม่มีโอกาสแล้วเหรอ?”
สหายของเขากล่าว “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เขาวงกตน่ะถูกสร้างขึ้นโดยทวยเทพ และการจะหาสิ่งประดิษฐ์เทวะให้เจอมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าได้เสียเวลาพูดแล้ว รีบถอดรหัสพระคัมภีร์ต่อเถอะ”
…
ประตูเขาวงกตถูกผลักเปิดออก
บนโถงทางเดินยาว รูปปั้นที่ถืออาวุธในมือ ถูกจัดวางเรียงไว้สองฟากฝั่ง
ในช่วงกลางของโถงทางเดินยาว ปรากฏให้เห็นถึงรูปปั้นขนาดใหญ่ถูกตั้งยืนหยัดอย่างมั่นคง
มันคือยักษ์ที่สวมใส่เกราะรบทั่วทั้งตัว
ในมือถือขวานสงครามขนาดใหญ่ ออกท่วงท่าง้างสูงขึ้น คล้ายกับว่ากำลังเตรียมพร้อมที่จะโจมตีออกไป
แม้จะไม่มีใครควบคุมขวานสงคราม ทว่าบนคมขวาน กลับบังเกิดภาพทับซ้อน ผันเปลี่ยนเวียนวน ตัดเฉือนอากาศจนบริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยเส้นแสงสีดำ
“นั่นเป็นจิตอาร์ติแฟค”
ซีน้อยชี้ไปยังขวานสงคราม ให้กู่ฉิงซานดู
กู่ฉิงซานพยักหน้า
ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ ว่าในโลกสมบัติของทริสเต้ ครั้งหนึ่งลอร่าเองก็เคยนำจิตอาร์ติแฟคออกมา และมอบมันให้แก่หลี่อันเพื่อเป็นรางวัลเหมือนกัน
ในช่วงเวลานั้นหลี่อันเกรงว่ากู่ฉิงซานจะไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ จึงได้บอกแก่กู่ฉิงซานว่าจิตอาร์ติแฟคนั้นมีราคาสูงเพียงใด
จิตอาร์ติแฟคครอบครองทุกชนิดของพลังงานอันน่าตื่นตะลึง ผู้ใช้มันแข็งแกร่งเท่าใด จิตอาร์ติแฟคก็จะระเบิดอำนาจได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น
จิตอาร์ติแฟคจึงเปรียบดั่งสรรพนามที่ใช้เรียกสมบัติล้ำค่า
ในดินแดนชิงอำนาจ นอกเหนือไปจากเหรียญทั้งหนึ่งพันหนึ่งเลขแล้ว ก็เป็นจิตอาร์ติแฟคที่แหละที่เป็นของล้ำค่า สามารถหมุนเวียนแลกเปลี่ยนกันในกลุ่มผู้คนได้
ดวงตาของกู่ฉิงซานเลื่อนไปยังรูปปั้นยักษ์
“ส่วนที่นายมองอยู่ นั่นคือผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาป ฉันเคยเห็นเขามาก่อน และบรรดาคนที่อยู่รอบตัวคือผู้รับใช้ของเขา”
“ดูเหมือนว่าเมื่อจิตวิญญาณถูกคุมขังโดยมอนสเตอร์ ร่างกายก็จะกลายเป็นรูปสลักหินแบบนี้สินะ” กู่ฉิงซานกล่าว
ซีน้อยเตือน “พวกเราเร่งฝีเท้าเถอะ เพราะถ้าหากมอนสเตอร์ดันมาเข้าสิงร่างผู้พิทักษ์ตนนี้ คงเกิดปัญหาไม่ดีตามมาแน่ๆ”
“ใช่แล้วล่ะ ฉันเองก็คิดว่ามันน่าจะกลับมาในเร็วๆ นี้เหมือนกัน” กู่ฉิงซานกล่าว
ด้วยความแข็งแกร่งส่วนตนของผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาป ประจวบกับจิตอาร์ติแฟคที่เขาถือครองอยู่ แม้จะไม่รู้ว่าแต้มพลังวิญญาณของเขาอยู่ในระดับใด แต่มันคงมิแคล้วยากที่จะต่อกร
กู่ฉิงซานกุมมือซีน้อย บังเกิดแสงกะพริบไหว
สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!
ทั้งสองปรากฏขึ้นทันทีในอีกสุดปลายด้านหนึ่งของโถงทางเดิน
พวกเขาเร่งออกจากโถงทางเดิน ผลักเปิดประตู และก้าวเข้ามาในสวน
เบื้องบน แสงทั้งเจ็ดยังคงเปล่งรัศมีอันศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรก็ตาม มันน่าแปลกใจจริงๆ ที่ในสวนแห่งนี้ กลับปรากฏหิมะร่วงโรยลงมา
หิมะเริ่มตกหนักขึ้น สายลมหนาวพัดหวนไปตลอดทั้งสวน
ถนนหลายสายทอดยาวออกไปทุกทิศทางในสวน นำไปสู่สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่นับร้อยที่อยู่สูงขึ้นไปบนเขา ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก ในวงกตนี้มีภูเขาอยู่จริงๆ แถมข้างบนภูเขา ก็ยังมีน้ำตกทอดยาวลงมา ลากไกลไปถึงยอดแหลมและบังกะโลอีกจำนวนหนึ่ง
ท่ามกลางสวน ปรากฏถึงผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปมากมายที่ถูกแปรสภาพให้กลายเป็นรูปปั้น กระจายตัวอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
รูปปั้นยืนนิ่ง คอยเฝ้าอยู่ตามทางเดิน ปกป้องสถานที่ที่ถนนจะนำพาไป
“แบบนี้สิค่อยดูเหมือนวงกตหน่อย ถนนหลายสิบหลายร้อยสายนี้ทอดยาวไปสู่สิ่งปลูกสร้างมากมาย เกรงว่าเวลานี้คงต้องพึ่งสกิลในการค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะของนายแล้วล่ะ ว่าพวกมันจะไปซ่อนอยู่ที่ไหน”
กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ
ถนนทุกสายถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ และไม่ปรากฏร่องรอยของรอยเท้าใดๆ เลย
ดูเหมือนว่าผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปเหล่านี้จะตกอยู่ในการควบคุมมาเป็นระยะเวลานานแล้ว
สิ่งปลูกสร้างที่มองเห็นล้วนแต่ถูกสร้างขึ้นมาตามลักษณะของวิหาร ตามความทรงจำที่ค้นวิญญาณมาจากนายพลที่ร่วงตกลงมาตายในร้านอาหาร เพียงมองรูปลักษณ์ภายนอกของสิ่งปลูกสร้าง ก็สามารถบ่งบอกการใช้งานของมันได้
กู่ฉิงซานเลือกหนึ่งในสามตำแหน่งที่อยู่ใกล้ที่สุด ที่กำลังแสดงอยู่ใน ‘การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์’
มันคือห้องสมุดที่อยู่ใกล้กันกับโบสถ์
ใช่ สิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นแรกถูกซ่อนเอาไว้ภายในห้องสมุด
กู่ฉิงซาน “มันควรจะเป็นทิศทางนั้น”
“งั้นก็ไปกัน” ซีน้อยกล่าว และกำลังจะก้าวไปข้างหน้า
แต่เธอก็ถูกกู่ฉิงซานรั้งตัวไว้
“ยังต้องรออะไรอยู่อีก?” ซีน้อยไม่เข้าใจ
“ถ้าคำนวณตามระยะเวลา มอนสเตอร์ประหลาดนั่นน่าจะกลับมาในเร็วๆ นี้ ถ้าพวกเราอยู่กันสองคนมันจะเดินทางลำบากกว่า ดังนั้นเธอเปลี่ยนเป็นไพ่ซะ คอยซ่อนตัวอยู่กับฉัน ถ้าถึงเวลาจำเป็นฉันจะเรียกเธอเอง” กู่ฉิงซานกล่าว
“เข้าใจแล้ว” ซีน้อยรับคำอย่างว่าง่าย
เธอถอยกลับมาหนึ่งก้าว ทันใดนั้นอักษรรูนโบราณสีมรกตก็พลันห้อมล้อมรอบกายเธอ
ไม่นาน เธอก็กลายเป็นไพ่เขียว และลอยมาตกอยู่ในมือของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานรับไพ่มา ขยับกายวูบไหว ทั้งคนทั้งร่างแปรเปลี่ยนเป็นอินทรีหิมะ
อินทรีหิมะโผบินขึ้นสู่เบื้องบน โฉบขึ้นไปในส่วนลึกของท้องฟ้า
ขณะเดียวกันในสวนเบื้องล่าง ก็ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
ต้องไม่ลืมนะว่ามอนสเตอร์น่ะ มันได้เปลี่ยนผู้พิทักษ์ให้กลายเป็นรูปปั้น
และรูปปั้น ย่อมไม่มีทางลอยบนท้องฟ้าได้
ดังนั้น แม้ว่ารูปปั้นจะสังเกตเห็นถึงอินทรี แต่มันก็ไม่สามารถโจมตีได้ในทันที เพราะอินทรีบินอยู่สูงเกินไป
ในกรณีที่มอนสเตอร์กลับมาอย่างกะทันหัน อย่างน้อยมันก็จะช่วยให้กู่ฉิงซานสามารถซื้อเวลาขบคิดได้
อินทรีหิมะบินมาอยู่เหนือห้องสมุด
มันม้วนตลบในอากาศอย่างรวดเร็ว คราวนี้เปลี่ยนร่างกลายเป็นผึ้ง
ผึ้งน้อยเกาะลงบนเกล็ดหิมะที่กำลังร่วงโรย ลอยตัวลดระดับลงไปตามทิศทางของสายลม กระพือปีกแค่เล็กๆ น้อยๆ ในยามจำเป็น
เกล็ดหิมะร่วงหล่นลงอย่างเงียบๆ บนหลังคาของห้องสมุด
ทว่าผึ้งมิได้จมรวมไปกับชั้นหิมะหนา
แต่มันบินไปยังรูกระเบื้องที่อยู่ใกล้เคียง แปลงกายเป็นมดขนาดเล็ก
พอมดปรากฏกายขึ้น มันก็นิ่งไปชั่วครู่
เพราะจิตสัมผัสเทวะที่มันปล่อยออกมา รับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างภายในสวน
ผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นอายน่าสะพรึง เริ่มขยับเขยื้อน
มอนสเตอร์ได้กลับมาแล้ว
มดนิ่งงัน ไม่ไหวติงไปชั่วขณะหนึ่ง
มันเฝ้ารอคอยอย่างอดทน จนกระทั่งมอนสเตอร์เข้าสู่ตัวตึกไป
เมื่อทางสะดวก มดจึงค่อยเริ่มคืบคลานไปตามช่องว่างเล็กๆ ระหว่างก้อนอิฐและกระเบื้อง ปีนป่ายขึ้นไปคล้ายกับมีทิศทางแน่นอนอยู่ในใจที่
และแล้วมดก็เข้าไปในช่องระบายอากาศ
มันคลานต่อไปตามช่องระบายอากาศที่ทอดยาว สุดท้ายค่อยมาถึงช่องระบายอากาศบนเพดานในห้องสมุด
มดหยุดพักเล็กน้อย โน้มศีรษะก้มลงมองเบื้องล่าง
เห็นแค่เพียงภายในโถงใหญ่ เรียงรายไว้ด้วยชั้นวางที่จัดเรียงหนังสือเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
โดยรูปปั้นเองก็นั่งอยู่ใจกลางห้องสมุด คล้ายกำลังหยิบยืมหนังสือขึ้นมาอ่าน
ไฟจากในเตาผิงส่องกระทบใส่เขา รูปลักษณ์ที่ดูแก่ชราและโศกเศร้าปรากฏออกมา
เขาเป็นมนุษย์ที่สวมชุดคลุมและถือไม้เท้าอยู่ในมือ
การที่สามารถขึ้นเป็นผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปทั้งๆ ที่ใช้ร่างกายมนุษย์เช่นนี้ เกรงว่าพลังของคนคนนี้จะต้องแข็งแกร่งไม่น้อยอย่างแน่นอน
มดจ้องมองเขา และถอยกลับไปซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าอีกฝ่ายจะยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แต่ยังไงก็สมควรที่จะต้องระมัดระวังเอาไว้ก่อน
แม้รูปลักษณ์ของอีกฝ่ายจะเหมือนนักเวท แต่หลังจากที่ได้ล่วงรู้ว่าในดินแดนชิงอำนาจมันมีอาชีพพิสดารแปลกใหม่อยู่มากมาย เขาก็ต้องระแวงเอาไว้ก่อน บางทีอีกฝ่ายอาจจะเป็นอาชีพผู้ใช้มนตราที่มีลักษณะการแต่งกายและอาวุธคล้ายคลึงกันก็ได้
หากเป็นนักเวท กู่ฉิงซานสามารถเลือกเข้าต่อสู้ระยะประชิดได้ทันที ฟาดฟันสักสองสามดาบก็สามารถสังหารอีกฝ่ายได้แล้ว
เพราะหากเป็นนักเวท คาถาของอีกฝ่ายมันย่อมต้องตระเตรียมการร่าย ซึ่งการร่ายมันจะไปเร็วกว่าสกิลล่าชีพของกู่ฉิงซานได้อย่างไร?
แต่ถ้าเป็นผู้ใช้มนตรามันจะแตกต่างกันออกไป
ผู้ใช้มนตราไม่เพียงแต่แตกฉานในศาสตร์มนตรา
แต่พวกเขายังมีความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดที่ไม่เลวอีกด้วย
หากกู่ฉิงซานต้องการสังหารผู้ใช้มนตราที่อยู่ในระดับเดียวกันกับราชาแมงป่อง ด้วยความแข็งแกร่งของตน มันคงจะเป็นการยากเกินไป
แถมคราวนี้ หากคิดแปลงกายเป็นราชาแมงป่อง ตนคงจะต้องสูญเสียแต้มพลังวิญญาณเป็นจำนวนมาก
มันจะเป็นการดีที่สุด หากไม่มีการสูญเสียแต้มพลังวิญญาณ
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ต่อให้เขาจะสามารถสังหารชายชราลงได้แล้วก็ตาม แต่ขณะเดียวกันนั่นก็จะเป็นการเปิดเผยตำแหน่งของตนเอง และหลังจากนั้นเจ้าตัวคงถูกมอนสเตอร์ในคราบผู้พิทักษ์คนอื่นๆ ออกไล่ล่าแบบไม่มีหยุดพัก
ระหว่างขบคิด เสียงของผู้หญิงก็ดังขึ้นในหัวใจของเขา
เธออยากจะรู้จริงๆ ว่ามันซ่อนอยู่ตรงไหน
กู่ฉิงซาน “ฉันเจอมันแล้ว อยู่ถัดไปจากรูปปั้น เบื้องหลังกำแพงตรงเตาผิง”
ซีน้อยประหลาดใจ “ทำไมมันถึงไปซ่อนอยู่ในที่แบบนั้น?”
กู่ฉิงซาน “ในตอนที่เทพวิญญาณมอบเหรียญย้อนเวลาให้ฉัน เขาก็ได้พูดอะไรบางอย่างออกมาอีก”
“พูดอะไร?”
“เขาได้พูดว่า เขาได้สร้างวงกตขึ้นมา และฝังสิ่งประดิษฐ์ทั้งสามเอาไว้ ใช้คำว่า ‘ฝัง’”
ซีน้อย “ดูเหมือนว่าเทพวิญญาณจะหวาดกลัวว่าสิ่งประดิษฐ์เทวะจะไปตกอยู่ในมือของมอนสเตอร์จริงๆ”
กู่ฉิงซาน “เหมือนว่าเทพวิญญาณจะเข้าใจเกี่ยวกับเจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้มากทีเดียว พวกเขาคงทราบความคิดของมัน ว่ามันย่อมไม่อาจตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วมีบางสิ่งถูกซ่อนอยู่ในผนัง”
ซีน้อย “งั้นถ้าพวกเราลงไปตอนนี้เลย มอนสเตอร์มันจะสังเกตเห็นไหม?”
“เห็นชัวร์ๆ”
“ทำไมนายถึงได้มั่นใจนักว่ามันจะเห็น?”
“นั่นเพราะมอนสเตอร์จงใจควบคุมรูปปั้นมาหยุดไว้ตรงเบื้องล่าง นั่นหมายความว่า ตราบใดที่รูปปั้นอยู่ที่นี่ มันย่อมมีความสามารถในการตรวจสอบว่าเกิดอะไรผิดปกติขึ้นรอบๆ รูปปั้นแน่ๆ และสามารถเข้าสิงรูปปั้นได้ตลอดเวลา” กู่ฉิงซานอธิบาย
“งั้นพวกเราควรทำยังไงดี?” ซีน้อยถาม
กู่ฉิงซาน “ฉันกำลังคิดอยู่”
ซีน้อย “งั้นเอาแบบนี้ดีไหม ฉันจะเป็นคนล่อเขาออกไปเอง”
กู่ฉิงซานส่ายหัวและกล่าว “ด้วยความแข็งแกร่งของเธอในปัจจุบัน เธอจะต้องถูกเขาจับตัวได้อย่างแน่นอน แล้วจากนั้นมอนสเตอร์ก็จะมาฆ่าเธอด้วยผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปที่แข็งแกร่งที่สุด”
ซีน้อยยิ้ม “กู่ฉิงซาน พูดแบบนี้แสดงว่านายยังคงไม่เข้าใจวิธีการต่อสู้ของราชทูตตัดสินบาปสินะ”
ปรากฏไพ่ใบหนึ่งขึ้นเบื้องหน้ามดจากในอากาศที่บางเบา
บนไพ่ไม่มีลวดลายใดๆ มีเพียงแค่ตัวอักษรถูกขีดเขียนไว้สามบรรทัดเท่านั้น
“นางฟ้าตัดสินบาปซี ได้ส่งคำขอมา เธอต้องการกลายเป็นหนึ่งในไพ่อัญเชิญของคุณ คุณอนุญาตหรือไม่?”
“เงื่อนไขของสัญญาอัญเชิญ ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ”
“ถ้าคุณเห็นด้วย โปรดแตะลงบนไพ่เบาๆ”
มดหยุดนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะยื่นหนวดของมันค่อยๆ เคาะลงบนไพ่
ทันใดนั้นไพ่ก็กลายเป็นสีเขียวมรกต และตกอยู่เบื้องหน้ามด
ซีน้อยที่อยู่ในไพ่กำลังยกมือขึ้นกุมปาก หัวเราะคิกคักเบาๆ
มดนิ่งอึ้ง มิได้เคลื่อนไหวใดๆ เป็นเวลานาน
“โอเค ต้องขอบอกว่าฉันตกใจจริงๆ นะ” กู่ฉิงซานกล่าว
“มีอะไรน่าตกใจ? ในเมื่อนายเป็นราชทูตตัดสินบาป ดังนั้นการทำสัญญาอัญเชิญย่อมเป็นเรื่องธรรมดา”
“งั้นฉันจะต้องทำยังไงต่อ?” กู่ฉิงซานถาม
ซีน้อยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “มา! เดี๋ยวพี่สาวจะสอนให้เอง… อันดับแรกเลยนายต้องอัญเชิญฉัน…”
…
ภายในห้องสมุดที่เงียบงัน จู่ๆ ก็บังเกิดเสียงอึงอลดังกึกก้อง
เพดานถูกระเบิดออก วัยรุ่นสาวในชุดขาวลดระดับลงจากเบื้องบน
ช่วงเวลาเดียวกันกับที่กำลังลดระดับลงมา เธอก็กุมไพ่หลายใบอยู่ในมือแล้ว
“แสงแห่งอัคคีจงปรากฏ!” วัยรุ่นสาวร้องตะโกน
ไพ่ใบหนึ่งถูกขว้างออกไป
ไพ่หายไป บังเกิดเปลวไฟขึ้นมาแทนที่ มันลุกโชติช่วงในอากาศ โอบเข้าล้อมรูปปั้นเอาไว้
พริบตาที่วัยรุ่นสาวปรากฏตัว รูปปั้นก็กลับมามีชีวิตทันที
ชายชราควงไม้เท้ามนตรา กระตุ้นชั้นอากาศให้เกิดไอเย็นเยียบ สร้างชั้นน้ำแข็งห่อหุ้มรอบตัวเขา
วัยรุ่นสาวในชุดขาวเพียงก่อกวน ทำหน้าตาล้อเลียน หันหลัง และวิ่งหนีไป
เธอพังประตูห้องสมุด และวิ่งไปกลางสวน
“ข้าจะฆ่าเจ้า!” ชายชราตะโกนคร่ำครวญ
ชายชราเคาะไม้เท้าตนลงกับพื้นอย่างแรง
ทันใดนั้นงูสีดำก็ผุดออกมา มันเหลียวหลังสบตากับเขา และเลื้อยออกไปล่าเป้าหมายด้วยความว่องไวดั่งสายฟ้าฟาด
หนึ่งไล่ล่า หนึ่งหลบหนี ในไม่ช้าทั้งคู่ก็หายไกลออกไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลานั้นเอง ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเตาผิง
เป็นกู่ฉิงซาน
เขากุมดาบยาวในมือ และยื่นมันเข้าไปในกองไฟ
ปรากฏรังสีดาบกะพริบไหว ผนังถูกเปิดออก
กล่องอันงดงามถูกวางอยู่ภายในกำแพงอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานจีบมือเข้า เคลื่อนย้ายกล่องใบนั้นเก็บใส่ถุงสัมภาระ
ต่อมา กู่ฉิงซานก็หายวับไปจากสถานที่เดียวกัน
ตลอดทั้งกระบวนการ กินเวลาแค่เพียงหนึ่งวินาทีเท่านั้น
เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในท่อระบายอากาศ และตะโกนทันที “ยกเลิกการอัญเชิญ!”
ณ สวนภายนอกห้องสมุด
ซีน้อยที่กำลังวิ่งเต้นอยู่พลันสลายเป็นควันในทันใด หายไปจากสายตาของชายชรา
ชายชราแข็งค้าง
“บัดซบ!”
เขาร่ำร้องตะโกน และสาดมนตราไปยังสถานที่เดิม ที่ซีน้อยเคยยืนอยู่
ตูม…
ปรากฏแอ่งลึกบนพื้นดิน
อีกด้านหนึ่ง
ไพ่อัญเชิญได้กลับมาปรากฏขึ้นต่อหน้ามดน้อย
ภายในไพ่ เป็นซีน้อยที่กำลังสบสายตา ส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับเขา
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง
ในที่สุดชายชราก็คล้ายตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เขาเร่งกลับไปยังห้องสมุดเพื่อตรวจสอบสถานการณ์อย่างรวดเร็ว
แล้วก็พบกับช่องว่างใหญ่ตรงผนัง ซึ่งภายในมีเพียงความว่างเปล่า
ขณะเดียวกัน ผีเสื้อตัวหนึ่งก็ได้บินออกจากหลังคาห้องสมุด สยายปีกฝ่าลมหิมะตรงไปยังสิ่งปลูกสร้างหลังต่อไป…
…………………..
ภายในเขาวงกต
อันที่จริงหากจะเรียกมันว่าเขาวงกตก็คงจะไม่ถูกนัก สมควรจะกล่าวว่ามันเป็นวังที่ดูยิ่งใหญ่และงดงามซะมากกว่า
เมื่อกู่ฉิงซานเดินลงมาจากผืนทราย ก็ราวกับได้เข้าสู่อีกโลกหนึ่ง
เขายืนอยู่ปากทางเข้าวัง ตะลึงงันกับฉากที่อยู่เบื้องหน้า
แสงมรกตสีเขียว
แสงดาราสีฟ้า
แสงหมอกสีเทา
แสงบริสุทธิ์สีขาว
แสงสีม่วงเข้ม
แสงสีทองสดใส
แสงทมิฬอันมืดมิด
เจ็ดแสงที่กล่าวมา ก่อร่างเป็นรูปลักษณ์ของมนุษย์ คล้ายกันกับมนุษย์แสงเจ็ดตนที่มิอาจมองเห็นเค้าโครงหน้าได้อย่างชัดเจน กำลังลอยอยู่เงียบๆ เหนือพระราชวัง
“พวกเขาเหล่านี้คือเทพวิญญาณใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ไม่ใช่ แสงพวกนี้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของพลังแห่งทวยเทพภายในนี้เท่านั้น” ซีน้อยกล่าว
วังทั้งหลังช่างยิ่งใหญ่และงดงาม แม้เขาจะเพียงยืนอยู่นอกประตูวัง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นสิ่งปลูกสร้างมากมายที่เชื่อมต่อกับด้านหลังของพระราชวัง ขยายออกไปถึงส่วนลึกของทะเลทราย มิอาจเห็นได้ถึงจุดสิ้นสุด
ในส่วนของกำแพงภายนอกวัง มันช่างทนทานและสวยงาม จัดวางเรียงรายไว้ด้วยรูปปั้นมนุษย์สีขาวบริสุทธิ์ โครงร่างเพรียวบาง งดงามราวกับมีชีวิต ก่อให้เกิดบรรยากาศที่ดูเคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์
จากเบื้องบน ร่างแสงทั้งเจ็ดล้วนไม่มีตนใดแยแสต่อการปรากฏตัวของกู่ฉิงซาน
อย่างไรก็ตาม มีซองจดหมายที่ประทับตราขี้ผึ้งปิดผนึกเอาไว้ตกลงมาจากฟ้าเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานรับซองจดหมาย
ซองจดหมายเกิดการระเบิดขึ้นอย่างกะทันหัน
เสียงที่น่าเกรงขามดังขึ้นจากในอากาศ
“สดับฟังให้จงดี เจ้าคือมนุษย์คนแรกที่สามารถมาถึงที่นี่ ดังนั้นเจ้าจะได้รับการอธิบายถึงเรื่องราวต่างๆ จากเรา และได้รับมอบรางวัลเพียงหนึ่งเดียว”
“หลายปีที่ผ่านพ้น เราได้คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าสถานการณ์ดั่งเช่นในวันนี้มันต้องเกิดขึ้น”
“เมื่อวันหนึ่งพวกเราได้จากไป และผนึกถูกปลดออก มันเป็นไปได้ว่าสิ่งชั่วร้ายจะเข้าควบคุมนักรบที่ทรงพลังจำนวนมาก กระทั่งรวมไปถึงบางส่วนที่คิดหมายจะขโมยหรือทำลายสิ่งประดิษฐ์เทวะ”
“แต่จงมั่นใจเถอะ ว่าเมื่อบุคคลที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับแสงปรากฏขึ้น อำนาจชั่วร้ายจะถูกระงับลงชั่วคราว และมันจะไม่สามารถครอบครองร่างกายของเจ้า หรือจองจำจิตวิญญาณของเจ้าได้”
“นอกจากนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าว เราจึงได้สร้างเขาวงกตแห่งนี้ขึ้น เพื่อฝังสามสิ่งประดิษฐ์เทวะเอาไว้”
“สิ่งชั่วร้ายที่ว่านั่นไม่สามารถค้นพบสิ่งประดิษฐ์เทวะได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ขณะเดียวกันเจ้าเองก็อยู่ในบรรทัดฐานเดียวกัน”
“เพื่อช่วยให้เจ้าสามารถหลีกเลี่ยงการขัดขวางจากสิ่งชั่วร้าย ดังนั้นเราจึงได้สร้างวิธีการชั่วคราวสำหรับการทดสอบขึ้น”
“วิธีที่ว่าคือ เดินทางข้ามผ่านห้วงมิติและเวลา”
เหรียญหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากในความว่างเปล่า ตกลงในมือของกู่ฉิงซาน
เสียงอันน่าเกรงขามยังคงกล่าวต่อ “ด้วยเหรียญนี้ เจ้าจะสามารถข้ามผ่านกระแสธารแห่งกาลเวลา แล้วย้อนกลับไปยังช่วงเวลาห้านาทีที่พึ่งผ่านพ้นมาได้”
“ทว่าโปรดจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าเหรียญนี้สามารถเปิดใช้งานได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ยามใช้งานมันเจ้าจำต้องเปล่งคาถา พระบัญญัติแห่งทวยเทพ”
“ด้วยสิ่งนี้ มันก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ได้”
“เวลานี้ก็จงไปเถิด ไปค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะ”
“มนุษย์เอ๊ย สิ่งที่เจ้ากำลังจะต้องพบเผชิญ มันคือการดำรงอยู่ที่เลวร้ายที่สุดของทวยเทพ ดังนั้นเจ้าจักต้องผนึกมันลงอีกครั้งให้จงได้”
“เมื่อบรรลุภารกิจ เจ้าก็จะได้กลายเป็นกึ่งเทพ”
“นี่คือสัญญาของทวยเทพที่มีต่อเจ้า”
ว่าจบ เสียงนั้นก็ค่อยๆ หายไป
กู่ฉิงซานวางเหรียญบนฝ่ามือ และลองสังเกตมันอย่างใกล้ชิด
เขาพบว่าเหรียญนี้ช่างราบเรียบ ไม่ว่าจะด้านหน้าหรือด้านหลัง มันก็ไม่มีรูปหรือข้อความใดๆ เขียนเอาไว้เลย
เป็นเหรียญที่บางและเรียบง่าย มิได้งดงามเท่าใดนัก
แต่แล้วเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน ในสายตาของเขา เส้นแสงหิ่งห้อยบนหน้าต่างเทพสงครามเริ่มปรากฏขึ้น
“โปรดทราบ ว่าระบบเองก็พึ่งจะเคยสัมผัสกับเจ้าสิ่งนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน”
“ระบบเทพสงครามจึงไม่สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมใดๆ เกี่ยวกับเหรียญนี้แก่คุณได้”
“สิ่งเดียวที่สามารถมั่นใจได้อย่างแน่นอน นั่นก็คือ เหรียญนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นของเลียนแบบ เป็นสิ่งที่ถูกจำลองขึ้นมาแบบหยาบๆ”
ของเลียนแบบงั้นเหรอ?
กู่ฉิงซานเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เพียงแค่ของเลียนแบบ แต่กลับสามารถทำให้ผู้คนเดินทางข้ามกาลเวลา และกลับไปยังเมื่อห้านาทีที่แล้วได้เชียวหรือ?
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “ระบบ พวกเราเองก็ดูเหมือนว่าจะสามารถข้ามกาลเวลาได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ งั้นพวกเราสามารถย้อนอดีตเหมือนกับเหรียญนี่ได้ไหม?”
ติ๊ง!
ระบบเทพสงครามตอบ “ก่อนที่คุณจะเข้าสู่โลกเก้าร้อยล้านชั้น ฉันครอบครองพลังที่สามารถใช้เดินทางข้ามผ่านกาลเวลาได้ก็จริง”
“แต่เมื่อคุณได้เข้าสู่โลกเก้าร้อยล้านชั้น คุณกลับเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างมากเกินไป ดังนั้นชะตากรรมจำนวนมากที่สมควรจะเกิดขึ้นและดับลง จึงถูกบังคับให้แปรผันโดยคุณ”
“ในการต่อสู้ระหว่างวิหคหนาม ชะตากรรมของโลกเก้าร้อยล้านชั้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ตัวแปรมากมายถูกสร้างขึ้นภายใต้ห้วงมิติและเวลา ชะตากรรมของผู้คนหลายพันล้านถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง”
“แล้วยังไง?” กู่ฉิงซานถาม
“เพราะการเปลี่ยนแปลงที่คุณนำมา มันมีขนาดใหญ่มากเกินไป มันได้ก่อให้เกิดระลอกคลื่นยักษ์ในสายธารแห่งกาลเวลา และผลกระทบจากระลอกคลื่นเหล่านั้น ล้วนก่อให้เกิดการเปลี่ยนผันและพัฒนาขึ้นอย่างเงียบๆ ระบบจึงไม่สามารถเดินทางข้ามผ่านกาลเวลาได้อีก”
กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “ดังนั้น สรุปสั้นๆ ว่าเหรียญเลียนแบบนี่มีค่ามากๆ เลยใช่ไหม?”
ระบบเทพสงคราม “ใช่ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงของเลียนแบบ แต่อำนาจของมันสามารถนำพาตัวตนเช่นคุณย้อนกลับไปยังห้านาทีก่อนหน้านี้ได้ พลังของมันย่อมต้องเหลือล้นและไม่อาจวัดคำนวณได้”
กู่ฉิงซานไตร่ตรองและกล่าว “แต่มันเป็นแค่ของเลียนแบบ… เรื่องที่ว่ามันไม่ใช่ของจริงนี่ยืนยันแน่นอนแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ มันเป็นแค่ของเลียนแบบ เป็นการจำลองแบบหยาบๆ จริงๆ” ระบบยืนยัน
“คุณไม่มีข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับมันจริงๆ เหรอ?” กู่ฉิงซานถามอย่างไม่เต็มใจ
“ไม่ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้สัมผัสกับเหรียญนี้” ระบบกล่าว
กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบ
ด้วยเหรียญนี้ เขาสามารถย้อนเวลากลับไปยังสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อห้านาทีที่แล้วได้
ด้วยเจ้าสิ่งนี้ เขาสามารถย้อนกลับไปด้วยเหตุผลอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นมอบความตายให้แก่ผู้อื่น กลับไปยึดครองสมบัติ หรือเรื่องใดๆ ที่พลาดพลั้งไป ก็ย้อนกลับไปแก้ไข
ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ พลังของมัน เป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของผู้คนได้เลย
ก็แล้วถ้าหากของเลียนแบบยังมีพลังมากถึงขนาดนี้ ถ้าอย่างงั้นแล้วของจริงเล่า?
ของจริงใช่ว่ามันเป็นหนึ่งในเหรียญจากเลขทั้งหมดหนึ่งพันหนึ่งตัวเลขหรือไม่?
กู่ฉิงซานตอบสนองในฉับพลัน
เขาส่งเหรียญให้กับซีน้อยและเอ่ยถาม “เธอเคยเห็นเหรียญนี่มาก่อนรึเปล่า หรือไม่ก็ท่ามกลางบรรดาเลขทั้งหมดหนึ่งพันหนึ่งมีเหรียญไหนสามารถใช้เดินทางข้ามผ่านกาลเวลาได้บ้าง?”
สีหน้าของซีน้อยดูแปลกใจ เธอเล่นกับเหรียญสักพักก็เอ่ยตอบ “เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้เห็นเหรียญนี่”
มองไปยังสีหน้าที่ดูผิดหวังเล็กน้อยของกู่ฉิงซาน ซีน้อยเร่งอธิบายอย่างจริงจังว่า “ไม่มีเทพวิญญาณตนใดสามารถเดินทางข้ามผ่านกาลเวลาได้หรอก เพราะถ้าทำได้ พวกเขาคงไม่ต้องตายแล้ว”
กู่ฉิงซาน “ถ้างั้นไม่มีเหรียญไหนที่มีความสามารถแบบเดียวกันนี้เลยเหรอ”
“ถูกต้อง” ซีน้อยกล่าว
กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างไม่ยินยอม “งั้นทำไมเทพวิญญาณถึงไม่ลอบหลอมเหรียญที่สามารถย้อนกลับไปได้นานกว่านี้ซะล่ะ เช่นเหรียญที่ย้อนเวลากลับไปได้หลายปี…?”
อันที่จริงแล้ว ที่เขาสนใจมันมากถึงขนาดนี้น่ะมันไม่น่าแปลกใจเลย เพราะแม้จะเป็นแค่การย้อนเวลาเพียงครั้งเดียว แต่มันสามารถส่งผลลัพธ์ได้ถึงขนาดไหน เจ้าตัวย่อมตระหนักแก่ใจเป็นอย่างดี
มันสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเอง ชะตากรรมของโลก และชะตากรรมของผู้คนนับล้านล้านได้!
ถ้าหากว่าเขาสามารถย้อนกลับไปได้อีกครั้ง…
อันที่จริงไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปไกลมากนักก็ได้ ขอเพียงแค่สามารถล่วงรู้ความลับของเหรียญเลขเก้าสี่สี่ และค้นหาจุดอ่อนของนักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาล เขาก็จะย้อนเวลาไป แล้วก็เชือดมันทิ้งซะ!
ในกรณีนี้ ไม่เพียงแต่สามารถช่วยให้ผู้คนมากมายรอดชีวิตมาได้ แต่กระทั่งท่านหญิงแบล็กซีก็จะไม่ตกตาย
ซึ่งท่านหญิงแบล็กซีน่ะเป็นคนที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา!
ตราบใดที่เขาสามารถช่วยชีวิตเธอได้ เขาก็จะสามารถล่วงรู้ถึงเรื่องราวทุกอย่าง!
ซีน้อยส่ายหัวและกล่าว “เจ็ดเทพปีศาจคิดว่าการเดินทางข้ามเวลามันจะก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นทั้งในอดีตและปัจจุบันต่อโลกมากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงรังเกียจ และปฏิเสธการย้อนเวลา”
เธอมองมายังกู่ฉิงซาน กล่าวด้วยความลังเลว่า “พูดแบบนี้อาจเป็นการดูหมิ่นทวยเทพ แต่ว่าเจ็ดเทพปีศาจน่ะไม่มีพลังในการเดินทางข้ามมิติเวลาหรอกนะ พลังของพวกเขานั้นอ่อนแอที่สุดในหมู่เทพทั้งมวล ในจำนวนเหรียญทั้งหนึ่งพันหนึ่งเหรียญ พวกเขาสร้างขึ้นได้เพียงเจ็ดร้อยเหรียญแรกเท่านั้น ส่วนอีกสามร้อยหนึ่งเหรียญที่เหลือ ถูกสร้างขึ้นมาโดย สี่เทพทรงธรรม”
“หมายความว่าสี่เทพทรงธรรมสามารถเดินทางข้ามผ่านกาลเวลาได้ใช่ไหม?”
“ไม่ซะทีเดียว ฉะนั้น อนุมานได้ว่าเหรียญนี่อาจเป็นสิ่งที่เทพปีศาจทั้งเจ็ดได้รับมาโดยบังเอิญ”
“งั้นทำไมพวกเขาถึงไม่เก็บมันไว้ใช้เองล่ะ?”
“มีหลายสิ่งที่เกี่ยวโยงกับพลังของเทพวิญญาณมากเกินไป เหรียญนี่เพียงอนุญาตให้มนุษย์ธรรมดาเดินทางข้ามเวลาได้ห้านาทีเท่านั้น ฉันคิดว่าเทพวิญญาณคงไม่อาจใช้มันด้วยตนเองได้”
ซีน้อยยื่นเหรียญคืนให้แก่เขา
กู่ฉิงซานรับเหรียญมา ปากอ้าถอนหายใจ
งั้นก็ช่างมันเถอะ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการค้นหาสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะ
………………….
ชายดำเมี่ยมพอได้ยินคำกล่าวของกู่ฉิงซาน เจ้าตัวก็พลันจมลงสู่ความเงียบ
เงียบสักพักหนึ่งเลย ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ว่าสมควรตอบคำถามของกู่ฉิงซานอย่างไรดี
หลังจากเฝ้ารออยู่เนิ่นนานกว่าหนึ่งนาที สุดท้ายชายผิวดำเมี่ยมเอ่ยปาก “ภรรยาและลูกของข้าตายไปแล้ว”
“ตายอย่างงั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานยิ้ม “โปรดอย่าได้ล้อเล่นเลย ภรรยาคุณแข็งแกร่งยิ่งกว่าคุณเสียอีก ฉะนั้นในเมื่อกระทั่งคุณยังไม่ตาย แล้วเธอจะตายลงได้ยังไง?”
ชายดำเมี่ยมเงียบไปอีกครั้ง
เขาตริตรอง เค้นสมองอย่างหนักเพื่อหาวิธีรับมือกับคำถามนี้
กู่ฉิงซานมองเขาด้วยรอยยิ้ม แววตาสาดประกายเย็นชา
แทบจะแน่นอนแล้วว่านี่เป็นตัวปลอม
ทว่ากลิ่นอายและอำนาจจากร่างกายของอีกฝ่าย แม้กระทั่งหางแมงป่องที่ใช้แทงในการโจมตีก่อนหน้านี้ มันเหมือนกับชายแมงป่องไม่มีผิดเพี้ยนเลย
ไม่รีรอให้ชายดำเมี่ยมตอบคำถาม กู่ฉิงซานก็เปิดใช้งานดิสก์ค่ายกล
เขาหายตัวไปจากที่นั่นอีกครั้งพร้อมกับซีน้อย
ในทะเลทรายอันห่างไกล
รังสีแสงสวรรค์กะพริบไหวอีกครั้ง
ร่างของกู่ฉิงซานกับซีน้อยปรากฏขึ้น
กู่ฉิงซานเอาดิสก์ค่ายกลออกจากอกเสื้อ ดึงศิลาวิญญาณที่ฝังไว้ภายในออกมา
ทันทีที่ศิลาวิญญาณเหล่านี้ถูกนำออก พวกมันก็แหลกเป็นผง ปลิวไปกับสายลม
เดิมที ศิลาวิญญาณที่ติดตั้งลงไปในมัน คือศิลาวิญญาณที่ดีที่สุด ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะสามารถใช้งานได้อยู่หลายครั้ง
แต่ในครั้งแรกที่พยายามหลบการโจมตีของแมงป่องดำ เขาใช้งานค่ายกลหนักมือมากไปหน่อย ส่งผลให้พลังงานของศิลาวิญญาณที่สูญเสียไปค่อนข้างสูง
กู่ฉิงซานนำศิลาวิญญาณทั้งหมดออกมา และยัดอันใหม่ลงไปในดิสก์ค่ายกล
“จากสองครั้งที่ผ่านมา เท่านี้รูปแบบการเคลื่อนไหว และวิธีการโจมตีของราชาแมงป่องดำก็ถูกคัดลอกได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
“สรุปว่าราชาแมงป่องตายแล้วจริงๆ ใช่ไหม?” ซีน้อยถาม
“ตอนแรกฉันคิดว่าใช่ แต่ตอนนี้สงสัยว่าน่าจะยังไม่ตาย” เขากล่าว
“แล้วนายรู้ได้ยังไง?”
“ก็ถ้าราชินีแมงป่องตายไปแล้ว มอนสเตอร์เมื่อครู่คงจะเอ่ยตอบทันทีว่า ‘ภรรยาและลูกของข้าตายไปแล้ว ดังนั้นเจ้าสามารถพาข้าไปด้วยได้เลย’ อะไรแบบนี้”
“นี่มันเป็นคำตอบง่ายๆ และตรงที่สุด และเขายังสามารถทำได้ถึงขั้นนำศพของราชินีแมงป่องออกมาให้ฉันดู”
กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “แต่เขาก็ไม่ทำ แถมยังไม่ตอบทันที จมอยู่ในห้วงความคิดยาวนาน”
ซีน้อย “เขาคิดนานจริงๆ”
กู่ฉิงซานหัวเราะ “นั่นทำให้พวกเราได้รู้เพิ่มอีกเรื่องหนึ่ง มอนสเตอร์ตัวนี้ไม่เก่งกาจในด้านการสื่อสารกับผู้คน ดังนั้นมันจึงไม่ทราบว่าการเงียบเป็นเวลานาน จะทำให้คนอื่นเกิดความระแวงสงสัยขึ้น”
“แล้วตอนนี้พวกเราจะทำยังไงกันดี?” ซีน้อยถาม
“ฉันได้ข้อมูลมามากพอแล้ว ตอนนี้พวกเราจะกลับไปหาเขาอีกครั้ง และทำอะไรให้มันชัดเจน” เขากล่าว
“ก็แล้วนายจะทำยังไง? นายคิดจะใช้ค่ายกลทำแบบเดิมซ้ำๆ อีกงั้นเหรอ?” ซีน้อยถาม
กู่ฉิงซาน “ไม่หรอก ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว เราไม่สามารถสังหารราชาแมงป่องได้ ก่อนที่พวกเราจะเข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง”
…
ชายดำเมี่ยมยังคงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางทะเลทราย
เขาดูหงุดหงิดมาก
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับคนตรงหน้ากันแน่นะ?
ทำไมคนคนนั้นถึงสามารถใช้พลังมิติได้อย่างอิสระ และหลบหนีไปจากตัวเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า?
มันน่าเสียดายจริงๆ ที่พลังส่วนใหญ่ของเขาถูกผนึกเอาไว้ใต้ทะเลทรายโดยฝีมือของมนุษย์แสง
มิฉะนั้น เขาคงสามารถคว้าตัวคนคนนั้น และเค้นถามหาวิธีออกไปจากโลกใบนี้แล้ว
ทว่าระหว่างกำลังอยู่ในห้วงความผิดหวัง ดั่งสำนวนคิดถึงโจโฉ โจโฉก็มา
กู่ฉิงซานกับซีน้อยปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาอีกครั้ง
“ภรรยาและลูกๆ ของข้าตายไปแล้ว ฉะนั้นพวกเจ้าจงเร่งพาข้าออกไปจากโลกใบนี้เถอะ” ชายดำเมี่ยมกล่าว
นี่คือประโยคที่เขาใช้เวลาเคี่ยวกรำมาอย่างยาวนาน
“คุณไม่ใช่ราชาแมงป่องดำ” กู่ฉิงซานโพล่งออกไปตรงๆ
“อืม…เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น?”
“เพราะว่าผมพึ่งจะได้เจอเขาตัวจริง” กู่ฉิงซานเฉลย
ชายดำเมี่ยมส่ายหัวและกล่าว “นั่นมันเป็นไปไม่ได้ ข้ายืนอยู่ที่นี่ตลอดเวลา ที่เจ้าเห็นคงเป็นตัวปลอมแล้ว”
“จงปรากฏ” กู่ฉิงซานตะโกน
ดิสก์ค่ายกลในมือของเขาสาดรังสีแสงสวรรค์สว่างวาบ
วินาทีต่อมา ชายดำเมี่ยมอีกคนก็ปรากฏขึ้นข้างกายเขา
ชายดำเมี่ยมคนนี้ เหมือนกันกับราชาแมงป่องที่คอยปกป้องทางเข้าเขาวงกตทุกประการ ไม่มีร่องรอยใดๆ แตกต่างกันเลย
ชายดำเมี่ยมทั้งสองมองหน้ากันและกัน
“นั่นมันตัวปลอม!”
“เจ้าบังอาจแสร้งลวงเป็นข้า!”
ทั้งสองตะโกนด้วยความโกรธ พุ่งเข้าโจมตีอีกฝ่ายในเวลาเดียวกัน
ตูม!
เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ชั้นอากาศที่มองไม่เห็นสั่นสะท้าน
ทั้งสองชักฝีเท้า ถอยกลับมายังตำแหน่งเดิมที่ตนเคยอยู่
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร…”
ชายดำเมี่ยมที่คอยเฝ้าทางเข้าเขาวงกตงึมงำเสียงกระซิบ
ไม่ว่าจะเป็นในด้านความแข็งแกร่ง รูปแบบการโจมตี ลักษณะนิสัย ฯลฯ ล้วนเหมือนตนเองทุกประการ แถมดูเหมือนว่าในด้านของประสบการณ์ต่อสู้ของอีกฝ่าย จะเหนือยิ่งกว่าตนซะอีก
“แค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาคือตัวจริง ส่วนคุณคือตัวปลอม” กู่ฉิงซานกล่าวกับอีกฝ่าย
ชายดำเมี่ยมไม่อาจเอ่ยคำใด
กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “ฉะนั้น พวกเราจะพาเขาหนีออกไปจากโลกใบนี้”
หนีออกไป…
พวกเขากำลังจะหนีไปแล้ว
ชายดำเมี่ยมได้สติกลับคืน สีหน้าของเขาสาดประกายดุร้าย คิดหมายจะสลับไปร่างที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามาโจมตีทั้งสาม
‘อย่าพึ่ง! สงบใจไว้ หากคิดที่จะเปลี่ยนเป็นร่างอื่นและหยุดพวกเขา มันคงจะสายเกินไป’
‘ยังไงก็ตาม ความแข็งแกร่งของศัตรูมิได้อ่อนแอเลย แถมยังมีแมงป่องดำที่ครอบครองพลังต่อสู้เทียบเท่ากับข้าอีก ดังนั้นข้าคงไม่สามารถหยุดพวกเขาไม่ให้หนีไปได้’
ในเวลานี้ กู่ฉิงซานมองไปยังชายดำเมี่ยม ส่ายหัวถอนหายใจ “ในเมื่อเป็นตัวปลอม คุณก็อยู่ที่นี่ตลอดไปเถอะ”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันหลัง เตรียมจะจากไปแล้วจริงๆ ในที่สุด ชายดำเมี่ยมก็อดไม่ได้ต้องตะโกนออกมา “ช้าก่อนคนคนนั้นเป็นตัวปลอม! จิตวิญญาณของราชาแมงป่องแท้จริงแล้วอยู่ที่นี่กับข้า!”
กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้าทันที
จิตวิญญาณอย่างงั้นเหรอ?
จิตวิญญาณอยู่กับเขา?
อ้างอิงตามคำนี้ หมายความว่าราชาแมงป่องสมควรจะถูกควบคุมร่างกายอยู่อย่างชัดเจน
มอนสเตอร์ที่ถูกผนึกอาจจะใช้วิธีการบางอย่างเพื่อเข้าสิงร่างกายของราชาแมงป่อง และแทนที่จิตวิญญาณของอีกฝ่าย
สิ่งนี้ มันคล้ายกันกับวิชายึดร่างสถิตที่ของผู้ฝึกยุทธเลย อาจารย์ของหงส์เต๋าเคยใช้ในโลกล่องเวหา
แต่การยึดร่างสถิตมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง เพราะหากพลาดพลั้ง ผู้ใช้วิชาจะสูญสิ้นทุกอย่างที่ตนไปจนหมดสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปน่ะมีอยู่มากมาย วิชายึดร่างสถิตของผู้ฝึกยุทธย่อมไม่อาจใช้งานกับคนจำนวนมากในเวลาเดียวกันได้
ยังไงก็ตาม ผู้พิทักษ์ทั้งหมดได้หายตัวไป
สิ่งนี้สามารถอนุมานได้อีกเรื่องหนึ่ง ว่าพลังของมอนสเตอร์ตนนี้ สามารถใช้ควบคุมคนจำนวนมากในเวลาเดียวกันได้
แต่จนกระทั่งถึงขณะนี้ กู่ฉิงซานยังไม่เห็นผู้พิทักษ์คนอื่นๆ ปรากฏตัวขึ้นเลย
ส่งผลให้พอจะอนุมานเพิ่มได้อีกเรื่องหนึ่ง…
นั่นคือ แม้ว่ามอนสเตอร์จะสามารถควบคุมร่างกายของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากในเวลาเดียวกันได้ แต่มันสามารถใช้งานร่างกายของสิ่งมีชีวิตได้ทีละหนึ่งเท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ราชินีแมงป่องยังมีชีวิตอยู่ แต่ในขณะนี้เธอถูกเก็บตัวไว้ในฐานะร่างสำรองของมอนสเตอร์
ดังนั้น สิ่งที่จะต้องทำตอนนี้ก็ได้ข้อสรุปแล้ว
กู่ฉิงซานทำการคาดคำนวณจนเสร็จสิ้น และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ซึ่งคราวนี้ มันเป็นเสียงหัวเราะที่แท้จริงของเขา หัวเราะด้วยความปีติเป็นอย่างยิ่ง
เขาหันไปเอ่ยกับคนข้างๆ ว่า “ซีน้อย หลังจากนี้ไปเธอต้องรู้จักสื่อสารกับคนภายนอกให้มากเข้าไว้นะ จะได้ไม่ถูกจับพิรุธได้แบบเขา ที่สุดท้ายก็เผยความลับทุกอย่างออกมาให้เห็นด้วยตัวเอง”
ซีน้อยถอนหายใจ “แต่ฉันคิดว่าปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าเขาดันโชคร้ายมาพบกับนายมากกว่า”
ชายดำเมี่ยมที่ยืนอยู่ข้างกายกู่ฉิงซานเอ่ยปาก “นายน้อย แล้วตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อดี?”
กู่ฉิงซาน “ก็ง่ายๆ”
เขาโยนดิสก์ค่ายกลลงกับพื้น
บังเกิดประกายแสงสวรรค์กะพริบไหวขึ้นเบื้องหน้า
ค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลกำลังจะถูกเปิดใช้งานในอีกไม่ช้า!
ซ้ายคว้าหมับ!กับมือชายดำเมี่ยม ขวาคว้าหมับ!กับมือของซีน้อย พริบตานั้นทั้งสามหายไปจากสถานที่เดียวกัน
สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!
และเป็นเวลาเดียวกันกับที่ค่ายกลถูกเปิดใช้งานพอดิบพอดี!
เขาถูกส่งหายวับไป
แต่กู่ฉิงซานกับอีกสองคนปรากฏขึ้นแทนที่ในตำแหน่งเดิมของชายดำเมี่ยม
“ไปกันเถอะ ได้เวลาเข้าไปในวงกตแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
“แล้วเรื่องของราชาแมงป่องล่ะ?” ซีน้อยอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม
กู่ฉิงซาน “ระยะทางที่มอนสเตอร์ตนนั้นถูกส่งออกไปค่อนข้างจะไกล ไหนจะกับดักค่ายกลอีก มันไม่น่าจะสามารถกลับมาได้ในเร็วๆ นี้ ขณะเดียวกันมันย่อมต้องรู้ว่าพวกเราสามารถเข้าสู่เข้าวงกตได้แล้ว ดังนั้นมันย่อมตัดสินใจละทิ้งร่างของราชาแมงป่องทันที และเลือกเข้าไปควบคุมผู้พิทักษ์คนอื่นๆ ที่ถูกเก็บตัวไว้ในวงกตแทน เพื่อขัดขวางไม่ให้เราเก็บกู้สิ่งประดิษฐ์เทวะ”
“ด้วยเหตุนี้ เจ้ามอนสเตอร์ก็จะไม่มีทางรู้ได้ว่า ฉันเข้าไปในวงกตได้ยังไง ขณะเดียวกันราชาแมงป่องดำก็จะเป็นอิสระ”
“ในกรณีนี้ ราชาแมงป่องย่อมต้องกลับมาช่วยเหลือภรรยาและลูกๆ ของเขาอย่างแน่นอน เมื่อเขาเข้ามาในวงกต เขาก็จะสามารถช่วยฉันเบนความสนใจของมอนสเตอร์ไปได้”
“ตอนนี้ ในที่สุดก็ถึงเวลาเริ่มภารกิจของพวกเราสักที”
กู่ฉิงซานหันไปมองชายผิวดำเมี่ยม
“ฉานนู่ เจ้าสามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้แล้ว”
“เจ้าค่ะนายน้อย”
ชายผิวดำเมี่ยมเบื้องหน้า กลายร่างกลับคืนเป็นหญิงในชุดคลุมฟ้า
หญิงในชุดคลุมฟ้ายื่นกิ่งไม้สีดำคืนให้แก่กู่ฉิงซาน
มันคือหมุดที่แมงป่องดำเคยมอบให้กับกู่ฉิงซาน
เมื่อครู่นี้ ฉานนู่ได้ใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต
เมื่อครู่สองชายดำเมี่ยมปะทะกัน ฉานนู่ใช้กิ่งไม้ดำโจมตี ผลลัพธ์เลยเป็นเสมอกัน รูปแบบการโจมตีเดียวกัน
กู่ฉิงซานก้มลงมองหมุด และถอนหายใจอย่างเงียบๆ
ในความเป็นจริง เขาวางแผนที่จะกลายเป็นราชาแมงป่องซะเอง เผยสองร่างให้เกิดความสับสน แล้วให้ซีน้อยฉวยจังหวะใช้เจ้าสิ่งนี้สังหารอีกฝ่ายลง
แต่ตอนนี้ พอได้รู้ว่าอีกฝ่ายคือร่างกายจริงๆ ของราชาแมงป่อง และยังมีโอกาสที่จะช่วยชีวิตของราชาได้ ดังนั้นหากจะให้ลงมือตามแผนเดิมเลยมันคงไม่ดี
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ราชาแมงป่องเองก็เป็นคนดีคนหนึ่ง หากจะให้ฆ่าแล้วรับเอาแต้มพลังวิญญาณไป ในหัวใจของกู่ฉิงซานคงอดรู้สึกผิดไม่ได้
“เจ้าเก็บเอาไว้เถอะ มันอาจจะสามารถใช้ประโยชน์ได้อีกก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว
“เข้าใจแล้วนายน้อย” ฉานนู่ชักหมุดกลับคืน
ซีน้อยจ้องมองใบหน้าเย็นชาของฉานนู่ ร้องอุทาน “ว้าว พี่สาวสวยมากๆ เลย พี่สาวเป็นใครเหรอ?”
“สวัสดี ข้าคือดาบของนายน้อย เรียกว่าฉานนู่” หญิงชุดคลุมฟ้าทักทายเล็กๆ น้อยๆ
ซีน้อยเร่งกล่าว “ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันเป็นคู่หูของนายน้อยคุณ เรียกฉันว่าซีน้อยก็ได้นะ”
“เข้าใจแล้วซีน้อย” ฉานนู่เผยรอยยิ้มแย้มบนใบหน้า หลังจากเรียกชื่อวัยรุ่นสาวคำหนึ่ง
เธอติดตามกู่ฉิงซานตลอดเวลา ดังนั้นย่อมเห็นทุกสิ่ง และเกิดความประทับใจดีๆ ต่อซีน้อยเป็นอย่างมาก
กู่ฉิงซาน “โอเค เรื่องสนทนาเอาไว้พอแค่นี้ พวกเราควรรีบเข้าไปข้างในได้แล้ว”
ฉานนู่เปลี่ยนเป็นดาบขุนเขาเทวะหกโลกา บินหายเข้าไปในอากาศที่ว่างเปล่าเบื้องหลังกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานพาซีน้อยตรงไปยังเนินทราย
ในขณะที่พวกเขาเดินเข้าไป เนินทรายก็ค่อยๆ แหวกออกเป็นสองฟากฝั่ง
ปรากฏบันไดหินทอดยาวลงไปเบื้องหน้าของทั้งสอง
…
อีกด้านหนึ่ง
รังสีแสงสวรรค์กะพริบไหว กระจายตัวออกไป
ชายดำเมี่ยมปรากฏขึ้นใจกลางค่ายกล
“อ๊ะ นี่มันเทคนิคส่งผ่านระยะไกล”
สีหน้าของเขาแลดูเย็นชา หันมองไปรอบๆ
จะต้องรีบกลับไปทันที!
พริบตานั้นชายดำเมี่ยมก็ทะยานตัวขึ้น เตรียมจะบินกลับไป แต่ทว่า…
ฟิ้ว!
ประกายแสงดันกะพริบไหวอีกครั้ง
ทั้งคนทั้งร่างของเขาหายตัวไปทันใด และปรากฏขึ้นอีกจุดหนึ่งที่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง
ชายดำเมี่ยมหันไปมองรอบๆ อีกครา
นี่ข้าถูกส่งผ่านมิติอีกแล้ว?
เขาเริ่มขยับตัวอีกครั้ง
ฟิ้ว!
ประกายแสงกะพริบไหว
แต่คราวนี้เขาพึ่งจะก้าวออกไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกส่งไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายอื่น
นี่คือชุดค่ายกลใหม่ที่กู่ฉิงซานคิดค้นขึ้น
…ค่ายกลเคลื่อนย้ายต่อเนื่อง!
ทุกครั้งเลยที่คิดมุ่งไปทางใด ตราบใดที่เขาเคลื่อนไหว ค่ายกลก็จะถูกกระตุ้นทำงานทันที
เขาจะถูกส่งไป ส่งมาระหว่างชุดค่ายกลเคลื่อนย้ายกว่าสามสิบหกชุด และไม่สามารถหลุดพ้นจากกับดักนี้ไปได้เลย
หากเป็นปรมาจารย์ค่ายกลมาติดอยู่ที่นี่แล้วละก็ จำต้องแก้ไขมันทีละชุด ทีละชุดเท่านั้นจึงจะสามารถออกไปได้
แต่หากเลือกใช้ความรุนแรง…
ชายดำเมี่ยมเหวี่ยงหมัดหนักกระแทกเข้ากับพื้นทรายอย่างแรง
กริ๊ก!
บังเกิดเสียงเบาๆ จากค่ายกล บ่งบอกว่ามันเกือบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
ในหัวใจของชายดำเมี่ยมผ่อนคลายลงทันที
หากเป็นแบบนี้ละก็ย่อมสามารถทะลวงฝ่ามันออกไปได้!
แต่ในอีกวินาทีต่อมา แสงสวรรค์ก็กะพริบไหวอีกครั้ง
เขาถูกส่งไปยังค่ายกลอื่น
ซึ่งยังเป็นค่ายกลที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่บุบสลาย
ชายดำเมี่ยมระเบิดโจมตีด้วยความโกรธ
ตูม!
ตลอดทั้งค่ายกลนี้พลันแตกเป็นเสี่ยงๆ
แต่ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาลงมือ ค่ายกลก็เริ่มทำงานไปแล้ว
ม่านแสงกะพริบไหว
การเคลื่อนย้ายเสร็จสมบูรณ์
เขาถูกส่งไปยังอีกค่ายกลหนึ่งที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี ไม่มีบุบสลาย!
ชายดำเมี่ยมสูดหายใจเข้าลึกๆ
ดูเหมือนว่าหากเขาไม่ทำลายชุดค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งหมดซะก่อน มันคงจะไม่มีทางออกไปได้!
แต่เจ้าตัวไม่อาจเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว
เพราะชายคนนั้นกำลังเข้าสู่เขาวงกต!
“ไม่มีทางเลือก คงต้องออกจากร่างนี้ และกลับไปทันที” ชายดำเมี่ยมบ่นพึมพำ
วินาทีต่อมา ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็สั่นเทา ตกอยู่ในสภาวะแข็งค้าง
หลังจากนั้นหลายลมหายใจ ดวงตาของชายดำเมี่ยมก็ค่อยๆ กลับมาคมชัด
“อ้าว? ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
เขาหันไปมองรอบๆ และค่อยๆ ทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“…กลับกลายเป็นว่ามันเลือกที่จะใช้งานร่างกายของข้า”
“ชักไม่ดีแล้ว คุณภรรยาและลูกน้อยของข้า รอก่อนนะ ข้าจะไปช่วยพวกเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ!”
ว่าจบ ชายผิวดำก็พุ่งไปข้างหน้า
ม่านแสงกะพริบไหว
เขาถูกส่งมายังอีกค่ายกลหนึ่ง
ขบคิดเล็กน้อย ก็เข้าใจได้ทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ชายผิวดำกล่าวด้วยห้วงอารมณ์ “ดี ดีมาก เพราะแบบนี้เองสินะ มันถึงตัดใจทิ้งการควบคุมกายข้าไปอย่างเร่งร้อน ไม่มีแม้กระทั่งเวลาที่คิดจะปลิดชีวิตสังหารทิ้ง”
ขณะกล่าว หางแมงป่องของเขาก็ยืดยาวออกมา และเริ่มจ้วงทำลายชุดค่ายกลอย่างบ้าคลั่ง
…………………..
ในทะเลทราย
กู่ฉิงซานลอยอยู่กลางอากาศ สองมือพรมลงบนดิสก์ค่ายกลอย่างว่องไว
เห็นแค่เพียงรังสีแสงสาดไสวออกมาจากดิสก์ค่ายกลอยู่บ่อยครั้ง รังสีแสงเหล่านั้นตกกระจายลงไปตามจุดต่างๆ ของทะเลทรายอันกว้างใหญ่เบื้องล่าง
ซีน้อยเฝ้าดูอยู่พักหนึ่ง อดไม่ต้องที่จะกล่าว “พวกเราคงต้องเร่งมือให้เร็วขึ้นกว่านี้นะ น่ากลัวว่าตอนนี้กวีพยากรณ์บางบทน่าจะถูกถอดรหัสได้บ้างแล้ว”
“ฉันรู้น่า” กู่ฉิงซานรับคำ
ซีน้อย “แต่ราชาแมงป่องทรงพลังมากเกินไป หากปากทางเข้าเขาวงกตถูกปกป้องโดยเขา ฉันเกรงว่าด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของพวกเรา มันคงจะไม่ไหว”
“อืม ฉันรู้แล้ว” กู่ฉิงซานรับคำดังเดิม
เขาเปลี่ยนทิศทาง แต่ยังคงเริ่มจัดวางค่ายกลต่อ ตามลำดับ
ซีน้อยเห็นเขาใจจดใจจ่อกับสิ่งอื่น คล้ายไม่ได้เพ่งสมาธิรับฟัง จึงกล่าวเตือน “มอนสเตอร์ในหุบเหวตนอื่นๆ ล้วนมีระดับพอๆ กับเขา บางคนอาจจะเก่งกว่าเขาเสียอีก ด้วยกำลังรบที่พรั่งพร้อมขนาดนั้น คงไม่มีใครสามารถเข้าไปในเขาวงกตและนำเอาสิ่งประดิษฐ์เทวะออกมาได้”
“เรื่องนั้นฉันเองก็รู้แล้วเหมือนกัน”
ซีน้อยเอื้อมมือออกไป คว้าแขนเขาที่กำลังขยับไปมา “ถ้านายไม่สามารถเป็นกึ่งเทพได้ นายก็จะไม่สามารถผนึกมอนสเตอร์ และพวกเราก็จะตายลงที่นี่!”
แขนที่ขยับไหว และกำลังจัดวางค่ายกลถูกขัดจังหวะลงอย่างกะทันหัน
เวลานี้ กู่ฉิงซานไม่สามารถจัดวางค่ายกลได้อย่างสงบอีกต่อไป
เขาหยุด และกล่าวอย่างไร้หนทาง “ฉันรู้ทุกอย่างที่เธอพูดมา ดังนั้นฉันเลยต้องเตรียมตัวก่อนนี่ไง”
มองไปยังสีหน้าแสนสงบของกู่ฉิงซาน ซีน้อยจึงค่อยคลายใจลงเล็กน้อย
“แล้วนายกำลังเตรียมอะไรอยู่?” เธอถามด้วยความสงสัย
กู่ฉิงซาน “ฉันยังไม่แน่ใจว่าราชาแมงป่องตายแล้วจริงๆ รึเปล่า ดังนั้นฉันเลยกำลังเตรียมกลยุทธ์ที่ช่วยให้ไม่ต้องมีฝ่ายไหนได้รับบาดเจ็บอยู่น่ะ”
“เดิมที ฉันคิดค้นกลยุทธ์นี้ขึ้นมาตั้งนานแล้ว แรกเริ่มมันเกิดจากความคิดที่ว่า หากเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่อยากจะฆ่าสังหารกันจะต้องทำอย่างไรดี? ดังนั้นจึงปรากฏชุดค่ายกลนี้ขึ้น ”
“มันเป็นค่ายกล? ถ้าเรื่องค่ายกลล่ะก็ ฉันพอจะรู้จักมันอยู่บ้าง แต่ฉันไม่เคยเห็นรูปแบบค่ายกลที่จัดวางสะเปะสะปะ แบบที่นายกำลังทำอยู่มาก่อนเลย ” ซีน้อยขมวดคิ้ว
“เวลายิ่งผ่านพ้น อะไรๆ มันก็ก้าวหน้า ค่ายกลรูปแบบใหม่ๆ มันก็ย่อมต้องปรากฏขึ้นเป็นธรรมดา” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาเริ่มจัดวางค่ายกลอีกครั้ง ปากเอ่ยถาม “ซีน้อย เมื่อคราวก่อน เธอปิดผนึกมอนสเตอร์ตัวนี้ได้ยังไง?”
ซีน้อยย้อนนึกอยู่พักหนึ่ง ตอบกลับไป “ฉันสู้ไม่ถอย สู้ สู้ และสู้จนมันไม่สามารถต่อต้านได้ จากนั้นก็เริ่มผนึกมัน”
กู่ฉิงซานพูดไม่ออก
“เจ้ามอนสเตอร์นั่น มันคงไม่ปล่อยให้เธอกระทำฝ่ายเดียวหรอกมั้ง?” เขาถาม
“มันพยายามที่จะคว้าจับฉันด้วยมือยักษ์นับไม่ถ้วน และสาดการโจมตีที่มองไม่เห็นมากมายใส่ฉัน”
“การโจมตีที่มองไม่เห็นงั้นเหรอ?”
ซีน้อย “อืม ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการโจมตีที่ว่านั่นมันคืออะไร แต่มันไม่ได้ผลกับฉัน ในขณะที่คนอื่นๆ หรือแม้แต่ทวยเทพ ก็ยังหวาดกลัวการโจมตีที่มองไม่เห็นนี้”
กู่ฉิงซานคิดอย่างรอบคอบ “ดูเหมือนว่าเธออาจจะครอบครองพลังพิเศษบางอย่าง ที่ช่วยให้พลังที่มองไม่เห็นของมอนสเตอร์ไม่อาจสร้างผลกระทบได้”
ในระหว่างกล่าว มือของเขาก็โฉบเข้าใส่ดิสก์ค่ายกล
เปรี้ยง!
รังสีแสงสวรรค์เจิดจ้าขึ้นท่ามกลางผืนทราย
แสงสวรรค์เหล่านี้สะท้อนใส่กันและกัน ค่ายกลมากมายที่จัดวางสะเปะสะปะเริ่มพัวพัน เชื่อมรวมกันเป็นหนึ่ง และค่อยๆ หายไปในความว่างเปล่า
จัดวางค่ายกลเรียบร้อย!
กู่ฉิงซานใช้ความรู้สึกรับรู้มันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเก็บดิสก์ค่ายกลกลับคืน “มาเถอะ พวกเราไปรวบรวมข้อมูลเพิ่มกัน”
“จะไปที่ไหน?” ซีน้อยถาม
“เขาวงกตของเจ็ดเทพ” กู่ฉิงซานตอบ
“นายจะไปต่อสู้กับราชาแมงป่องเหรอ!” ซีน้อยตกใจ
“ไม่สู้หรอก แค่อยากจะถามอะไรเขาสักหน่อย”
“นายคิดจริงๆ เหรอว่าเขาจะตอบคำอย่างตรงไปตรงมา”
“ก็ต้องลองดู”
“…ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่านายกำลังคิดอะไรอยู่” ซีน้อยถอนหายใจ
…
ณ ทางเข้าเขาวงกต
กู่ฉิงซานกับซีน้อยลดระดับลงมา
มือข้างหนึ่งของเขากุมซีน้อยเอาไว้ ขณะที่อีกข้างล้วงเข้าไปกำดิสก์ค่ายกลในอกเสื้อ
ชายผิวดำเมี่ยมหยุดยืนอยู่ตรงข้ามกับเขา
“เหตุใดพวกเจ้าจึงกลับมา?” ชายดำเมี่ยมเอ่ยถาม
“เพราะผมลืมบอกบางสิ่งไป” กู่ฉิงซานตอบ
“ลืมบอกสิ่งใด?”
“อ้างอิงตามคำพูดของเทพทั้งเจ็ด หากเข้าสู่เขาวงกต และได้รับสิ่งประดิษฐ์เทวะสามชิ้นมา มันจะสามารถผนึกมอนสเตอร์ที่กำลังจะตื่นขึ้นมาได้ ดังนั้นผมเลยคิดที่จะลองทำดู”
“แล้วเจ้าจะมีวิธีทำมันอย่างไร?”
“ผมค้นพบทางเข้าเขาวงกตแล้ว และมันก็ถูกซ่อนอยู่ในเนินทรายเบื้องหลังคุณ”
“หา? อย่างงั้นหรือ?”
“ใช่ ดังนั้น ทำไมคุณไม่มาเข้าร่วมกับพวกเรา แล้วมุ่งสำรวจเขาวงกตเพื่อค้นหาสามสิ่งประดิษฐ์เทวะด้วยกันล่ะ”
เขาเหลือบมอง เฝ้าสังเกตท่าทีการแสดงออกของชายดำเมี่ยมอย่างใกล้ชิด
เห็นแค่เพียงสีหน้าของอีกฝ่ายที่ค่อยๆ หม่นทะมึนลง
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ว่าแต่เจ้าค้นพบสถานที่ ที่จะพาออกไปสู่ภายนอกแล้วหรือยัง?” ชายดำเมี่ยมเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานชิงเคลื่อนไหวทันที
“ไม่แล้ว เพราะพวกเราคิดว่าสมควรตามหาสิ่งประดิษฐ์เทวะเสียก่อน” เขากล่าวเน้นทีละคำอย่างช้าๆ
วินาทีต่อมา มือในอกเสื้อของเขาก็กดลงบนดิสก์ค่ายกลทันที!
ฟิ้ว!
รังสีแสงกะพริบไหว
ค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลถูกเปิดใช้งาน!
ทันใดนั้นร่างของเขากับซีน้อยก็หายไปจากในสถานที่เดียวกัน
ทันทีที่พวกเขาหายไป เสียงฉีกขาดของผืนดินและอากาศก็ดังขึ้นในเวลาเดียวกัน
ฟุ่ม…
หางยาวสีดำทะลวงขึ้นมาจากเบื้องล่าง ในจุดเดิมที่อยู่ฉิงซานเคยยืนอยู่ บังเกิดแรงระเบิด สร้างหลุมบ่อขนาดใหญ่ เม็ดทรายสีเหลืองทั่วบริเวณดังกล่าว ทั้งหมดกลายเป็นสีเขียวเข้มและถูกพิษร้ายแรงของมันสลายไป
“หายตัวไปแล้ว? น่าเสียดายจริง เกือบจะจัดการได้อยู่แล้วเชียว!”
ชายดำเมี่ยมบ่นพึมพำ เจตนาฆ่าอันลึกล้ำผุดขึ้นมาแล้วบนใบหน้าของเขา
ในทะเลทราย
ห่างออกไปไกลสุดๆ จากอีกฟากหนึ่ง
รังสีแสงสวรรค์ปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า สาดแสงหลากสีสดใส
แสงที่ว่านี้กระจัดกระจายไปอย่างรวดเร็ว และร่างทั้งสองก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางทะเลทราย
เป็นกู่ฉิงซานกับซีน้อย
“อะไรกัน ที่แท้นายก็จัดวางค่ายกลเคลื่อนย้ายเองหรอกเหรอ?” ซีน้อยถาม
“ใช่ เพราะมันสะดวกสบาย จะเคลื่อนไหวยังไงก็ได้”
ทั้งสองยืนขึ้น และไม่เอ่ยคำใดออกมาสักพัก
คราวนี้ เห็นได้ชัดว่าราชาแมงป่องไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในวงกต สีหน้าของอีกฝ่ายก็เผยให้เห็นถึงเจตนาร้าย
“ตอนนี้พวกเราได้ฉีกหน้ากากของมันออกแล้ว งั้นเกมต่อไปพวกเราจะสู้ยังไงดี?” ซีน้อยถาม
“แต่มันก็รู้สึกแปลกๆ อยู่นะ ที่เขามักจะให้ความสนใจกับเรื่องที่ว่า พวกเราจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้รึเปล่า” กู่ฉิงซานไตร่ตรองเกี่ยวกับมัน พลางกล่าว
ซีน้อยเริ่มตื่นตัวขึ้นมา “หมายความว่าถ้ามอนสเตอร์ประหลาดอยู่ในตัวราชาแมงป่อง มันก็ย่อมต้องการที่จะออกไปจากที่นี่เหมือนกัน อย่างงี้ใช่ไหม”
กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “มาเถอะ พวกเราจะไปลองอีกครั้ง”
“แต่เราคงต้องเร่งมือให้ไวกว่านี้ ฉันกลัวว่าคนอื่นๆ ที่ได้อ่านกวีพยากรณ์ น่าจะสามารถถอดรหัสมันไปได้หลายบทแล้ว”
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่แยแส “ยิ่งกังวลมาก พวกเราก็ยิ่งไม่สามารถเร่งได้มาก ไปกันเหอะ”
หลังจากนั้นไม่นาน
พวกเขาก็มาหยุดยืนอยู่ตรงข้ามกับชายดำเมี่ยมอีกครั้ง
ไม่รีรอให้ชายดำเมี่ยมเคลื่อนไหวใดๆ กู่ฉิงซานก็ร้องตะโกนออกมา “พวกเราค้นพบสถานที่ที่จะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว คุณต้องการที่จะเดินทางไปกับพวกเราไหม?”
ชายดำเมี่ยมเดิมทีอยู่ในสภาวะพร้อมสู้ แรงกดดันตามร่างกายเขาปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทว่าหลังจากได้ยินประโยคนี้ ทั้งหมดพลันสลาย หายไปอย่างไร้วี่แวว
“ออกไปจากที่นี่ ออกไปจากที่นี่ ออกไปจากที่นี่” แมงป่องงึมงำ
“ใช่” กู่ฉิงซานเชื้อเชิญ “เพราะฉะนั้นมาเถอะ มาออกไปจากโลกใบนี้พร้อมกันกับพวกเรา”
แววตาของชายดำเมี่ยมกลายเป็นว่างเปล่า แต่เขาก็ยังพยายามเค้นรอยยิ้มให้อยู่บนใบหน้า “ไอ้โลกบัดซบแบบนี้ แน่นอน มันสมควรแล้วที่พวกเราจะต้องจากมันไป”
เขาเดินตรงเข้ามากู่ฉิงซานกับซีน้อย
“โปรดรอก่อน!” กู่ฉิงซานโบกมือให้อีกฝ่าย
ชายดำเมี่ยมจู่ๆ สีหน้าหม่นทะมึนลงทันใด อ้าปากเปล่งเสียงที่ฟังดูดุร้ายและบ้าคลั่ง “มีเรื่องอะไรอีก? หรือเจ้าไม่ต้องการให้ข้าไปด้วยแล้ว?”
“ไม่ใช่ แต่ผมแค่คิดว่าในเมื่อพวกเรามีโอกาสดีๆ แบบนี้ งั้นทำไมคุณไม่ไปพาภรรยากับลูกมาด้วยกันกับเราล่ะ?” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
………………………………….
ภายในท้องของแมลงปีศาจเขมือบโลกาจากยุคบรรพกาล
ณ โลกทะเลทราย
ท่ามกลางตลาดมืด
บางคนเปล่งเสียงตะโกนดังขึ้น “พวกเราอ่านเจอบทกวีพยากรณ์แล้ว! สำหรับคนที่ต้องการจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับมัน โปรดพาลูกน้องของคุณมาตกลงแลกเปลี่ยนกับพวกเรา โดยพวกเราจะรับแค่เหรียญที่ล้ำค่ายิ่งกว่าเลขสองร้อยขึ้นไปเท่านั้น ถ้าไม่มีอย่าได้มาคุย!”
ทุกคนต่างหันไปมองตามเสียง
และพบว่าเจ้าของเสียง เป็นชายแข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง
หลังจากที่เขาตะโกนปล่อยข่าวนี้ออกไป สมาชิกในองค์กรของเขาก็ตั้งขบวนรบ เตรียมพร้อมต่อสู้อย่างเต็มรูปแบบ
เพราะบางคนอาจจะกระโจนเข้าสู้ เพื่อพยายามแย่งชิงบทกวีพยากรณ์จากพวกเขาก็ได้
ชายทรงพลังอีกคนที่มีขนาดตัวสูงกว่าสามเมตรเดินเข้ามา หยุดยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขา
ชายผู้นี้คือนักรบที่ทรงพลัง มีชื่อเล่นว่า ‘ล่าหัว’
“นั่นมันล่าหัวผู้โด่งดังนี่นา? นายอยากแลกเปลี่ยนบทกวีพยากรณ์ใช่ไหม? หรือว่าจริงๆ แล้วอยากจะสู้แย่งชิงมันกับพวกเรากันแน่?” ชายแข็งแกร่งถาม
“แน่นอนว่าย่อมมาเพื่อขอแลกเปลี่ยนข้อมูล” ล่าหัวตอบกลับด้วยความหงุดหงิด “เพราะท้ายที่สุดแล้ว บทกวีพยากรณ์มันมีทั้งสิ้นยี่สิบเอ็ดบท ถึงแม้ว่าจะสามารถตีความบทกวีทั้งหมดได้ด้วยตัวเองก็ตามที แต่มันคงจะกินเวลามากเกินไป ดังนั้นฉันไม่ต้องการจะเสียเวลาวิเคราะห์ตำแหน่งของเขาวงกต”
“งั้นก็ดี ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ไหนลองยื่นข้อเสนอมา การแลกเปลี่ยนมันจะได้จบลงเร็วๆ” ชายแข็งแกร่งกล่าว
ล่าหัวนำเหรียญออกมา แสดงด้านหลังของมัน “นี่คือเหรียญเลขสามร้อยสามสิบเจ็ดและฟังก์ชันของมันคืออะไร นายคงจะรู้ดี ฉันขอใช้สิ่งนี้แลกเปลี่ยนกับข้อมูลของนาย”
ชายแข็งแกร่งมองเหรียญในมืออีกฝ่าย หัวเราะฮะฮ่าทันที
“ยอดเยี่ยม! ฉันพอใจกับเจ้าสิ่งนั้น ตกลงแลกเปลี่ยน!”
ฝูงชนเฝ้าดูพวกเขาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างเงียบๆ
ไม่นานนัก
ตลอดทั้งตลาดมืดก็เริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับบทกวีพยากรณ์
แทบจะไม่มีการต่อสู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้นเลย
เพราะยังไงซะ หากสู้กัน เวลามันก็จะยิ่งเชื่องช้าออกไป และทุกครั้งที่เสียเวลา นั่นหมายความว่าเส้นทางสู่กึ่งเทพได้ถูกคนอื่นๆ ฉวยโอกาสก้าวนำไปแล้ว
เพียงไม่นาน บทกวีพยากรณ์กว่าเก้าบท จากในพระคัมภีร์ก็ถูกถอดใจความออกมาได้
ยังเหลืออีกแค่สิบสองบทกวีพยากรณ์เท่านั้น!
…
อีกด้านหนึ่ง
กู่ฉิงซานกับซีน้อยกำลังบินอย่างรวดเร็ว เหนือผืนทรายอันไร้ขอบเขต
พวกเขาข้ามเนินทราย และมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง
ซีน้อยยังไม่อาจระงับความประหลาดใจเอาไว้ได้ เธอพูดกับกู่ฉิงซาน “นายสามารถเรียนรู้สกิลจาก ‘อริของเทพวิญญาณ’ ที่ใช้ในการไล่ล่าเทพวิญญาณได้ยังไงกัน นี่มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว”
“แล้วเธออยากจะเรียนรู้มันบ้างไหมล่ะ?” กู่ฉิงซานถาม
ซีน้อยผงกหัวหงึกๆ สีหน้าของเธอฟุ้งไปด้วยความตื่นเต้น
“แต่ฉันจะสอนเธอได้ยังไงดีนี่สิ” กู่ฉิงซานเกิดคำถาม
“เรื่องนั้นนายไม่ต้องกังวลไป เพราะเมื่อไหร่ที่ยศไพ่ของนายสูงขึ้นอีกสักนิดหน่อย นายก็จะสามารถสร้างไพ่ได้อย่างอิสระแล้วสามารถส่งต่อมันมาให้ฉันในรูปแบบของไพ่ได้” ซีน้อยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“มันสามารถทำแบบนั้นได้ด้วยงั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานแปลกใจ
ซีน้อยกล่าว “แน่นอน แต่ตอนนี้นายเป็นแค่ไพ่เทา กระทั่งลูกเล่นง่ายๆ อย่างการเรียกสมบัติ วัตถุ หรือเงิน ออกจากไพ่ยังแทบจะทำไม่ได้ ดังนั้นนายควรรีบยกระดับยศไพ่ของนายให้เร็วขึ้น และการกลายเป็นกึ่งเทพคือทางลัดที่ดีที่สุด”
กู่ฉิงซาน “ความแข็งแกร่งของเธอลดลงมากเลยงั้นเหรอ? ทำไมเธอถึงไม่เลือกเป็นกึ่งเทพล่ะ?”
“นั่นเพราะฉันวางแผนสำหรับวิธีการในการยกระดับตัวเองเอาไว้แล้ว แต่ของนายน่ะมันไม่ใช่ นายเป็นเพียงกระดาษขาวที่ว่างเปล่า ดังนั้น ในเมื่อนายไม่มีแผนใดๆ การยกระดับความแข็งแกร่งโดยใช้วิธีการของเทพวิญญาณจึงเป็นตัวเลือกแรกที่ดีที่สุด”
ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นเสียงของผู้ชายก็ดังขึ้น
“พวกเจ้ากำลังคิดจะไปที่ใด?”
ชายผิวดำเมี่ยมตัวใหญ่ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าทั้งสอง ยืนหยัดขวางทางเอาไว้
เขาคือราชาแห่งทะเลทราย เป็นการดำรงอยู่อันน่าขวัญผวาจากหุบเหวแห่งบาป!
“อ้าว? เป็นคุณนั่นเอง” ซีน้อยตอบกลับอย่างรวดเร็ว เผยรอยยิ้มกว้าง “พวกเรากำลังจะไป…”
กู่ฉิงซานชิงตอบทันที “ไปรอบๆ แถวๆ นี้ เพื่อหาว่ามันจะมีหนทางที่สามารถออกไปจากโลกใบนี้ได้อยู่รึเปล่า”
“ให้ฉันคุยกับเขาเอง” เขากระซิบบอกซีน้อย
ซีน้อยตะลึงงัน รีบปิดปากตัวเองอย่างรวดเร็ว
ชายดำเมี่ยมจ้องมองมนุษย์ทั้งสอง “ทำแบบนี้มันน่าแปลกอยู่นา ก็แล้วทำไมพวกเจ้าถึงไม่ไปถอดรหัสจากพระคัมภีร์ เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่จะผนึกมอนสเตอร์ลงได้”
กู่ฉิงซานไม่ตอบ เขาเพียงแค่นำบางสิ่งออกมา และโยนมันให้แก่ชายดำเมี่ยม
ชายดำเมี่ยมคว้าหมับ วางมันลงในมือของเขา
ปรากฏว่ามันคือถุงกระเป๋าสีดำขนาดเล็ก
“ขอโทษด้วยที่ผมได้แอบดูของในกระเป๋าไปก่อนแล้ว แต่ภายในทั้งหมดมันมีแค่เหรียญ คุณสามารถเก็บมันเอาไว้ใช้ในตอนที่ออกไปข้างนอกได้นะ” กู่ฉิงซานกล่าว
ชายดำเมี่ยมยังคงกุมถุงกระเป๋า และเอ่ยถามต่อ “แล้วเจ้าเล่า กำลังจะไปยังทิศทางใด?”
“ก็อย่างที่บอกไป ผมกำลังมองหาหนทางที่จะออกไปจากโลกใบนี้”
ชายดำเมี่ยม “แต่ตอนนี้ โลกใบทั้งถูกกลืนกินโดยแมลงปีศาจบนท้องฟ้า แล้วเจ้าจะหาหนทางออกไปได้อย่างไร?”
“นั่นก็จริง แต่ในเมื่อมันเป็นแมลงปีศาจ ฉะนั้นมันย่อมต้องมีรู หรือช่องทางต่างๆ ตามแต่ละส่วนภายในร่างกายอยู่แน่นอน และเป้าหมายของพวกเราคือการค้นหามัน” กู่ฉิงซานกล่าวเฉียบขาด
ชายดำเมี่ยมเงียบไป
“หนทางออกจากโลกใบนี้…” เขางึมงำเสียงกระซิบ
“เอาล่ะ พวกเราจะออกไปค้นหาต่อแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
“ไปเถอะ หวังว่าเจ้าจะค้นพบมันนะ” ชายดำเมี่ยมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แล้วเขาก็เอี้ยวตัวเปิดทางให้
กู่ฉิงซานกับซีน้อยบินผ่านเขาไป และทะยานขึ้นไปเหนือท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
ชายดำเมี่ยมมองตามทั้งสองอย่างเงียบๆ ปากเปล่งเสียงกระซิบ “หนทางที่จะออกไป…ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะพบมันนะ…”
ว่าแล้วเขาก็หายตัวไปจากในอากาศ
ท่ามกลางพายุทราย คลื่นลมพัดกระพือรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
…
เมื่อกู่ฉิงซานกับซีน้อยบินห่างออกมาไกลพอสมควรแล้ว
กู่ฉิงซานในที่สุดก็หยุดกลางอากาศ
ซีน้อยหยุดตาม และอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “ทำไมนายถึงบอกเขาไปแบบนั้น? ไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังตามหาเขาวงกตกันหรอกเหรอ?”
“หุบเหวแห่งบาปตั้งอยู่ที่ไหน?” กู่ฉิงซานไม่ตอบ แต่ถามกลับ
“อืม ถ้าให้พูดตามความเร็วในการบินในปัจจุบันของพวกเรา อีกสักสองชั่วโมงก็คงจะถึง” ซีน้อยบอก
“แล้วผู้พิทักษ์ในหุบเหวแห่งบาป เป็นมอนสเตอร์ที่ทรงพลังเหมือนกับชายผิวดำคนนี้ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้ง
“ไม่หรอก มีเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้นที่แข็งแกร่งเหมือนเขา แต่ก็ยังมีผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งอยู่อีกบ้างเหมือนกัน”
“แล้วพวกเขาสามารถรับมือกับมอนสเตอร์ที่ถูกผนึกอยู่ได้รึเปล่า?” กู่ฉิงซานถาม
ซีน้อยพอได้ฟังก็ชะงักไป
จู่ๆ เธอก็นึกขึ้นได้อย่างกะทันหัน ว่ามือยักษ์สีเขียวได้ผุดขึ้นทั่วผืนโลก บาปอันชั่วร้ายเกือบที่จะหลุดรอดออกมาจากใต้ดิน
และมันคือมอนสเตอร์อันน่าขนพองสยองเกล้าที่กว่าจะปิดผนึกมันได้ เธอถึงขั้นต้องทุ่มเต็มกำลังในช่วงเวลาที่เธอแกร่งที่สุด!
ใช่แล้วล่ะ มือยักษ์สีเขียวเข้าโอบคลุมผืนโลกทั้งใบ เก็บเกี่ยวทุกชีวิตใดก็ไม่ละเว้น นอกเหนือไปจากบนตลาดมืด ย่อมไม่น่าจะมีผู้ใดรอดชีวิตไปได้
แม้ว่าผู้พิทักษ์ในหุบเหวแห่งบาปจะทรงอำนาจเพียงใดก็ตาม เขาย่อมไม่สามารถต้านทานการกลืนกินของมอนสเตอร์ได้
“พวกเขาย่อมไม่สามารถทำอะไรได้ อย่างมากที่สุดคือไปรายงานเทพวิญญาณในทันที แต่ตอนนี้เทพวิญญาณได้จากไปแล้ว…ทว่าเขากลับยังคงมีชีวิตอยู่!” ซีน้อยกล่าวด้วยความฉงน
กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “ดูเหมือนว่าชายแมงป่องคนนี้จะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว…”
“ถ้าอนุมานจากเรื่องนี้ บางทีการปรากฏตัวของมนุษย์ที่มีรูปร่างคล้ายแสง นั่นอาจจะเกิดขึ้นจากการที่ผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปเฉียดเข้าใกล้กับความตายก็ได้นะ”
ซีน้อย “ทำไมนายถึงคิดแบบนั้น?”
กู่ฉิงซาน “เพราะสถานที่ที่เขาปรากฏตัว มันคือที่ที่เขาวงกตตั้งอยู่ เขากำลังปิดเส้นทางไม่ให้พวกเราเข้าสู่เขาวงกต”
กู่ฉิงซานกล่าวต่ออย่างช้าๆ “ก่อนหน้านี้ ครอบครัวแมงป่องเคยอยู่บนเรืออวกาศลำเดียวกันกับฉัน ทั้งหมดกระตือรือร้นสุดๆ ที่จะออกไปจากโลกใบนี้ แต่ตอนนี้เขากลับเลือกที่จะขวางทางฉัน แม้จะไม่มีเจตนาฆ่าผุดออกมาจากร่างกาย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ยินยอมที่จะให้เข้าไปเก็บกู้สิ่งประดิษฐ์เทวะ”
“ลองคิดดูดีๆ สิ ว่ามีสิ่งมีชีวิตอะไรอีกที่ไม่ต้อนรับผู้คนให้เข้าไปเก็บกู้สิ่งประดิษฐ์เทวะออกมา?”
“โลกทั้งใบต่างมุ่งหมายจะเปิดใช้งานสิ่งประดิษฐ์เทวะ แต่มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ไม่ต้องการให้เปิดมันในสถานการณ์เช่นนี้”
“เป็นมอนสเตอร์ที่ถูกผนึกไว้นั่นเอง”
“มันอาจเล็ดลอดออกมาจากผนึกของมนุษย์แสง และแทรกแซงเข้าไปในร่างกายของแมงป่องดำ ด้วยวิธีที่เราไม่อาจล่วงรู้หรือเข้าใจได้”
ซีน้อยไม่อาจหยุดส่ายหัว เธอกล่าว “แค่ด้วยจุดนี้เพียงจุดเดียว นายก็ตั้งข้อสงสัยว่าเขาไม่ใช่คนเดิมแล้วเหรอ?”
กู่ฉิงซานกล่าว “แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นั้น เนื่องจากเขาเป็นมอนสเตอร์ ดังนั้น มันอาจจะเกิดกรณีที่เขาใช้ออกด้วยสกิลเฉพาะตัว ที่สามารถช่วยให้เอาชีวิตรอดจากสถานการณ์ถึงตายเมื่อครู่นี้ก็ได้”
“จริงๆ แล้วฉันส่งถุงกระเป๋าดำให้เขา เพื่อต้องการที่จะยืนยันเรื่องนี้ เพราะพวกเราเคยตกลงกันว่าจะแบ่งเงินในถุงดำคนละครึ่ง แต่ตอนที่เขารับมันไป เจ้าตัวกลับทำท่าทีเหมือนกับว่าไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน”
“จริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่รู้สึกเคอะเขินมากกับเรื่องนี้ บนเรือ เขาแทบจะไม่ยอมรับมันเลย แต่ตอนนี้เขากลับรับมันไปง่ายๆ แถมยังไม่ยอมเอ่ยอะไรสักคำ”
เสียงของกู่ฉิงซานเริ่มหดหู่ลง “เขาคงตายไปแล้ว ราชินีแมงป่องเองแม้จะร้ายกาจแต่ก็เกรงว่าจะไม่พ้นชะตากรรมเดียวกัน ถ้าไม่เชื่อเธอลองอัญเชิญราชินีดูอีกครั้งก็ได้”
ซีน้อยหยิบไพ่อัญเชิญราชินีแมงป่องออกมา
แต่กลับพบว่าภายในมันว่างเปล่า
ซีน้อยมองมาทางกู่ฉิงซาน ถอนหายใจ “นายพูดถูก ดูเหมือนว่าเราจะต้องหาวิธีจัดการกับชายผิวดำก่อนซะแล้ว พวกเราถึงจะสามารถเข้าสู่เขาวงกตได้”
กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น
“ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่ตอนนี้คาดว่าผู้พิทักษ์ทุกคนในหุบเหวแห่งบาป คงจะไปกระจุกตัวรวมกันอยู่ภายในเขาวงกต”
“มอนสเตอร์ที่ถูกผนึกคงครอบครองร่างกายของพวกเขา และมันย่อมไม่มีทางปล่อยให้ผู้คนเข้าถึงสิ่งประดิษฐ์เทวะ เพื่อทำการผนึกมันใหม่ได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน”
ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อย
ท่ามกลางโลกกระจัดกระจาย ที่เปรียบดั่งแสงไฟริบหรี่ ลอยล่องอยู่ภายนอกเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชติช่วง
ทุกประเภทขององค์กรที่ทรงประสิทธิภาพ ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น กระทั่งตัวตนทรงอำนาจ ล้วนไม่มีผู้ใดให้ความสนใจที่นี่
ดังนั้น ทางฝ่ายระบบของราชามารเอง ก็ย่อมยังไม่เคยค้นพบกับการต่อต้านอันแข็งกร้าวจากที่นี่เช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นทาส วิญญาณ ต้นกำเนิดของโลก ทุกสิ่งอย่าง ระบบล้วนได้มาครอบครองได้อย่างง่ายดายตามต้องการ
แต่ในตอนนี้ สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก
เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ขัดขวางการกัดกร่อนโลกกระจัดกระจายของระบบราชามาร
นักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาล จู่ๆ ก็ถูกปลุกขึ้นมาโดยสถาบันเทพอย่างกะทันหัน
เมื่อต้องเผชิญกับอำนาจอันหาที่ใดเปรียบ สมาคมผู้พิทักษ์หอสูง และสหพันธ์โลก เก้าร้อย ล้านชั้นก็ได้ถูกทำลายลง
มันเริ่มต้นจากชั้นหนึ่ง ไปยังอีกชั้นหนึ่ง ทยอยล้างบางโลกทั้ง เก้าร้อย ล้านชั้น
นักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาลกวาดล้าง อาละวาดไปตลอดเส้นทาง
ในทุกๆ โลกที่มันข้ามผ่าน ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนถูกกลืนกิน สิ่งปลูกสร้างใดๆ ล้วนถูกทำลาย
และแล้วในที่สุด มันก็เดินทางย่ำกรายเข้าไปในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู
ที่นั่น มีระบบที่เสร็จสิ้นการอัปเกรดแล้ว เป็นระบบที่สามารถทะยานขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุด ครอบครองอำนาจที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อน
มันคือ…
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ จุติราชามาร
ท่ามกลางโลก เก้าร้อย ล้านชั้น ล้วนไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านนักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาลได้ กระทั่งระบบเองก็ไม่มีข้อยกเว้น
มอนสเตอร์ได้เจาะมิติเข้าไปยังดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู
เผ่ามาร ผู้เข้าสู่วิถีมาร และมารที่แท้จริงนับไม่ถ้วนล้วนถูกดูดกลืนวิญญาณ กลายเป็นสารอาหารให้แก่มัน
กระทั่งช่วงวินาทีสุดท้าย จอมมารที่แท้จริงก็ได้กระทำสิ่งหนึ่งจนเสร็จสมบูรณ์
ภายใต้การนำของระบบราชามาร เขาได้ใช้อำนาจทั้งหมดที่มีในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู ชักนำเอาร่างศพๆ หนึ่งออกมาจากสายธารแห่งกาลเวลา
ไม่มีใครรู้ว่าร่างศพนี้มาจากที่ไหน เว้นแค่เพียงระบบกับจอมมารที่แท้จริง
จอมมารที่แท้จริงได้ระดมพลเหล่ามารที่แท้จริงทั้งหมดที่ยังเหลือรอดอยู่ มาช่วยกันซ่อมแซมร่างศพนี้ทั้งกลางวันกลางคืน
ในช่วงเวลาที่นักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาลกำลังจะทำลายล้างดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูจนราพณาสูร ระบบก็สามารถปลุกร่างศพให้ตื่นขึ้นมาได้ทันเวลาในที่สุด
สุดท้ายแล้วนักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาล ก็ได้พบเจอกับศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อ และจมอยู่ท่ามกลางการต่อสู้เป็นเวลายาวนาน
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ไม่มีวี่แววว่าจะยุติลง
…
โลก เก้าร้อย ล้านชั้นอยู่ในปากเหวแห่งความพินาศ
แต่ในทางกลับกัน มันก็ส่งผลให้ระบบของราชามารไม่คิดเปลืองพลังงาน เบนความสนใจมาเล็กๆ น้อยๆ มายังโลกกระจัดกระจาย
ส่งผลให้ระบบทั้งหมดในโลกกระจัดกระจาย ล่าถอยกลับไป
โลกเหล่านี้จึงสามารถกลับมามั่นคง และปลอดภัยได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
ในช่วงเวลาที่กู่ฉิงซานได้ไปถึงโลกทะเลทราย
ณ โลกเทวะ
ภายในนิกายร้อยบุปผา
นี่คือช่วงเวลากลางดึก ทุกสิ่งอย่างช่างเงียบสงบ
ฉินเซี่ยวโหลวปิดประตู เริ่มแปะยันต์ไว้ตามผนัง ตามด้วยวางค่ายกลแจ้งเตือนนับสิบ พอทำจนจบครบสมบูรณ์ เจ้าตัวถึงค่อยรู้สึกคลายใจลงเล็กน้อย
เขาหันกลับมา กวาดตามองทุกคนภายในห้อง
ห่านขาว ซิวซิว ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ และตัวเขาเอง
สาวกของนิกายร้อยบุปผาทุกคน ยกเว้นกู่ฉิงซาน ได้มารวมตัวกันที่นี่
ห่านขาวเอ่ยถาม “เซี่ยวโหลว เจ้าคิดจะทำอะไรกัน ถึงได้เรียกพวกเรามาเงียบๆ กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้?”
ซิวซิวอ้าปากหาว “นั่นสิ ข้าเองก็เกือบจะหลับไปแล้ว จู่ๆ ก็เห็นยันต์สื่อสารพุ่งเข้ามา ข่มขวัญซะข้าแตกตื่นไปเลย”
ฉินรั่ว กล่าวด้วยสีหน้ากังวล “ศิษย์พี่สอง ท่านลงทุนใช้ยันต์กับค่ายกลตัดขาดทุกสิ่งทุกขนาดนี้ มีเรื่องใดก็ขอให้เร่งกล่าวเถอะ”
เซี่ยวโหลวมองทุกคนด้วยสีหน้าอันลึกล้ำ “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กสาวตัวน้อย นี่ในใจพวกเจ้าไม่บังเกิดความสงสัยใดๆ ขึ้นกันเลยหรือ?”
ทุกคนพอได้ฟังว่าเป็นเรื่องนี้ ก็พากันผ่อนคลายลงทันที
ว่านเอ๋อขยี้ตาของเธอ พยายามปลุกตัวเองจากสภาวะง่วงเหงา “ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง ข้าคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไรซะอีก”
ไม่กี่วันก่อน
เด็กสาวตัวน้อยปรากฏกายขึ้นบนบัลลังก์หมื่นบุปผา โดยอ้างตนว่าเป็นนางเซียนไป่ฮั่ว
จากนั้น เธอก็ก่นด่าสั่งสอนฉินเซี่ยวโหลวที่พูดไม่ดีออกไป
แต่เมื่อคนอื่นๆ ทราบข่าว และเดินทางมาถึง เด็กสาวตัวน้อยก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจเปลี่ยนวาจา ประกาศออกไปว่าแท้จริงแล้วเธอคือแขกของนางเซียนไป่ฮั่ว
ภายใต้สายตาระแวงสงสัยของทุกคน เธอจึงหยิบตราของนางเซียนไป่ฮั่วออกมาแสดง
ในเวลาเดียวกัน นางเซียนไป่ฮั่วก็ส่งยันต์สื่อสารมายังเหล่าสาวก
ในยันต์สื่อสาร นางเซียนไป่ฮั่วบอกว่าเธอมีธุระบางอย่างจำต้องออกไปข้างนอก ดังนั้นในระหว่างนี้ก็ขอฝากให้สาวกทั้งหลายคอยดูแลเด็กสาวตัวน้อยเอาไว้ให้ดี
เมื่อมีทั้งตราและยันต์สื่อสารเป็นเครื่องยืนยัน ดังนั้นจึงได้ข้อสรุปว่าเด็กสาวตัวน้อยเป็นแขกของนิกายร้อยบุปผาจริงๆ
ว่าแต่เรื่องนี้มันมีอันใดผิดปกติกัน?
ฉินเซี่ยวโหลวเมื่อเห็นปฏิกิริยาของทุกคน เขาก็ส่ายหัวด้วยความผิดหวัง “พวกเจ้าไม่ตระหนักถึงความผิดปกติของเด็กสาวนางนี้เลยหรือ?”
“เซี่ยวโหลว เจ้าต้องการจะกล่าวอะไรกันแน่?” ห่านขาวถามด้วยความอยากรู้
ซิวซิวเอ่ยปาก “ใช่ๆ ก็ในเมื่อนางมีตราของอาจารย์ และท่านอาจารย์ยังส่งยันต์มาอธิบายเป็นการส่วนตัว ดังนั้นพวกเราก็ต้องปฏิบัติต่อแขกเป็นอย่างดีตามคำขอของท่านอาจารย์สิ”
ว่านเอ๋อเริ่มเกิดความสนใจ เธอเอ่ยถาม “เด็กสาวคนนั้นมีอันใดผิดปกติกัน ศิษย์พี่สองโปรดแถลงไข”
“หากเจ้าลองคิดเกี่ยวกับมันอย่างรอบคอบ เจ้าจะค้นพบว่านางมีบางอย่างไม่ถูกต้อง” ฉินเซี่ยวโหลวค่อยๆ เฉลย
มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง?
ทุกคนจมอยู่ในห้วงความคิด
ว่านเอ๋อส่ายหัว “นางมีความสุขมากที่ได้เล่นกับข้า ข้าค่อนข้างที่จะชอบนาง”
“พวกเจ้าเล่นอะไรกัน?” ฉินเซี่ยวโหลวถาม
“ข้าพานางไปปีนต้นไม้ กระโดดเชือก ชวนเก็บก้อนหินที่งดงามในลำธารเล็กๆ จากนั้นก็ไปที่สวนอสูรวิญญาณ เพื่อให้อาหารพวกมัน ในช่วงหลายวันมานี้ ข้าเองก็ไม่พบว่านางมีพิรุธใดๆ เลย” ว่านเอ๋อกล่าว
ฉินรั่วพยักหน้า เอ่ยเสริม “ครั้งสุดท้ายข้าพานางออกไปเดินตลาด นางก็ใช้เวลาทั้งวันอย่างมีความสุข งอแงไม่ยอมจะกลับมาจนมืดค่ำ นี่คือลักษณะของเด็กน้อยทั่วไป ไม่มีอันใดผิดปกติ”
ซิวซิวพูดบ้าง “นางใช้ตะเกียบยื้อแย่งตีนเป็ดตุ๋นกับข้าในมื้อค่ำ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
ฉินเซี่ยวโหลวเมื่อเริ่มพบว่าสถานการณ์มันไม่ถูกต้อง ก็เร่งเตือนทันที “ก็ตุ๊กตาไง! พวกเจ้าไม่สังเกตหรือ? ว่านางถือตุ๊กตาอยู่!”
ว่านเอ๋อ “ย่อมสังเกต ไม่ใช่ว่าตุ๊กตาตัวนั้นมีลักษณะคล้ายท่านอาจารย์หรอกหรือ? แล้วมันทำไม?”
ฉินเซี่ยวโหลวดีดนิ้วดังเป๊าะ “นั่นแหละประเด็นสำคัญ!”
“พวกเจ้าลองคิดดูดีๆ สิ ว่าแขกจากนิกายอื่นๆ มีผู้ใดบ้างครอบครองตุ๊กตาที่มีลักษณะเหมือนกับท่านอาจารย์?”
หลายคนพอได้ฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
จริงสิ… นี่เหมือนกับว่าจะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวเคร่งขรึม “ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าตระหนักถึงเรื่องนี้ได้เมื่อใด แต่นางนำตุ๊กตาตัวนั้นติดตัวไปทุกที่เลย”
“แล้วเจ้าคิดว่ามันเพราะอะไร?” ห่านขาวถาม
“ข้าคิดว่าตุ๊กตาตนนั้นจะต้องมีอะไรบางอย่างไม่น่าไว้วางใจ จักต้องมีอำนาจบางอย่างถูกฝังเอาไว้ในมันแน่ๆ” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว
“ตุ๊กตาผ้าจะไปมีอำนาจบางอย่างได้อย่างไร?” ห่านขาวถาม
“ข้าได้ใช้เทคนิคทำนายชะตา คาดคำนวณไปกว่าหนึ่งพันเจ็ดร้อยเก้าสิบสี่ครั้ง และค้นพบว่า มิอาจวัดความแข็งแกร่งของเด็กสาวตัวน้อยได้เลย และตำแหน่งของนางก็ถูกบดบังด้วยบางสิ่ง ข้าจึงคิดว่าอำนาจที่รบกวนการทำนายของข้า น่าจะมาจากตุ๊กตาผ้า” ฉินเซี่ยวโหลวสรุป
ห่านขาวพยักหน้าอย่างลับๆ
‘ไม่คาดคิดเลยว่าสายตาของฉินเซี่ยวโหลวจะเฉียบแหลม มองทะลุมาถึงจุดนี้ได้’
นั่นคือตุ๊กตาผ้าที่เธอได้รับมาจากหยุนจี เมื่อออกจากสหพันธ์โลก เก้าร้อย ล้านชั้น
และบทบาทของตุ๊กตา จริงๆ แล้วคือการช่วยปกปิดกลิ่นอาย ป้องกันมิให้ถูกสอดส่องโดยผู้ไม่ประสงค์ดี
ห่านขาวบังเกิดห้วงอารมณ์ปีติเล็กน้อย
ดูเหมือนว่า นอกเหนือไปจากกู่ฉิงซานแล้ว ก็จะมีฉินเซี่ยวโหลวนี่แหละที่มีความนึกคิด เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตอนนี้แค่คาดเดาได้ถึงขนาดนี้ นับว่าเยี่ยมมากแล้ว
โชคชะตาของนิกายกำลังพลิกผันไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ระหว่างกำลังขบคิด ฉินเซี่ยวโหลวก็เอ่ยต่อ
“และพวกเจ้าไม่สังเกตเห็นเลยหรือ ว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ หน้าตาของเด็กสาวตัวน้อยนั่นอย่างไร!”
ทุกคนต่างชะงักไปพร้อมกัน
“หน้าตา? มันก็จริงนี่เด็กสาวนางนี้งดงามนัก” ซิวซิวพูดด้วยความอิจฉา
“เด็กสาวนางนี้น่ารักและดูบริสุทธิ์อย่างแท้จริง หากเติบใหญ่ขึ้น ข้าเองก็ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะงดงามเพียงใด” ฉินรั่วอุทาน
ว่านเอ๋อพยักหน้าตาม
“ผิดแล้ว! สายตาในการสังเกตของพวกเจ้าอ่อนด้อยเกินไป” ฉินเซี่ยวโหลวส่ายหัว
“เช่นนั้นในแง่ของรูปลักษณ์ เจ้าพบสิ่งใดผิดสังเกต?” ห่านขาวถาม
ฉินเซี่ยวโหลวเม้มริมฝีปากของเขา และในที่สุดก็เอ่ยประโยคที่สามารถสั่นสะเทือนผืนดินออกมาได้ในที่สุด
“ข้าค้นพบว่านางมีรูปลักษณ์ค่อนข้างเหมือนท่านอาจารย์”
แล้วทุกคนก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง
ทั้งหมดค่อยๆ ทยอยกันย้อนนึก
“จะว่าไป…ก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ” ซิวซิวกล่าว
ว่านเอ๋อยังคงเทียบเปรียบอยู่ในใจ ปากเอ่ยพึมพำ “ถึงแม้ว่าจะยังเด็ก แต่ตรงส่วนคิ้วดูเหมือนท่านอาจารย์จริงๆ นั่นแหละ”
ห่านขาวบังเกิดความพึงพอใจมากยิ่งขึ้น
ด้วยสิ่งนี้ มันสามารถสรุปได้ถึงความจริงข้อหนึ่ง นั่นก็คือความสามารถในการสังเกตของฉินเซี่ยวโหลวค่อนข้างดีมากจริงๆ
บางที หากกู่ฉิงซานอยู่ที่นี่ เซี่ยวโหลวอาจไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย
ห่านขาวกระแอมไอและกล่าว “เห็นด้วย ข้าคิดว่านางคล้ายกับอาจารย์มาก ดังนั้นเจ้าสมควรมีคำตอบแล้วกระมังเซี่ยวโหลว”
ฉินเซี่ยวโหลวพยักหน้าขึงขัง เอ่ยเสียงดัง “ข้าได้ค้นพบถึงความจริงแล้ว”
ห่านขาว “ยอดเยี่ยม ไหนลองบอกคำตอบของเจ้าให้พวกเราทราบหน่อย”
ฉินเซี่ยวโหลว “ข้าไม่กล้าพูดออกไป”
ห่านขาวยิ้มและกล่าว “มันไม่เป็นไรหรอก ที่นี่ก็คนกันเองทั้งนั้น เจ้าไม่ต้องหวาดกลัวไปว่าความคิดนี้จะรั่วไหล”
ฉินเซี่ยวโหลวมองห่านขาว สลับไปมองซิวซิว ฉินรั่ว และว่านเอ๋อ
สาวๆ ต่างพยักหน้าให้เขา
“ก็ได้ ข้าจะเอ่ยมัน”
ฉินเซี่ยวโหลวสูดหายใจลึก สีหน้าของเขาเขากลายเป็นซับซ้อนและหนักอึ้ง
“เด็กสาวตัวน้อยนางนี้ มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับท่านอาจารย์ แถมยังกอดตุ๊กตาที่เหมือนกันกับท่านอาจารย์อยู่ตลอดเวลา ประจวบกับถูกปกป้องด้วยอำนาจบางอย่าง ดังนั้นนางสมควรจะเป็น…”
“เป็นอะไร?” ซิวซิวอดไม่ไหว เร่งเค้นถาม
ฉินเซี่ยวโหลดกำมือของเขาและกล่าวอย่างลึกล้ำ “นางสมควรจะเป็น บุตรสาวลับๆ ของท่านอาจารย์!”
บังเกิดความเงียบงันขึ้นตลอดทั้งห้อง
ซิวซิวยกมือขึ้นกุมปากออกเธอ
ฉินรั่วกับว่านเอ๋อหันมามองหน้ากันและกัน
ฉินรั่ว ขบคิดจริงจัง สุดท้ายส่ายหัว “นี่ไม่น่าจะใช่ เพราะท่านอาจารย์ยังบริสุทธิ์อยู่”
“ถูกต้อง แม้ข้าจะเห็นด้วยกับเรื่องของหลักฐานและเหตุผลที่ว่าสาวน้อยนางนี้ไม่ปกติ แต่ประเด็นที่ว่านางเป็นลูกของท่านอาจารย์ ย่อมมิใช่”
ฉินเซี่ยวโหลวตะลึง เร่งถาม “แล้วพวกเจ้าทราบได้อย่างไรว่าท่านอาจารย์มิได้มีคู่ฝึกยุทธแบบคู่ครอง เห็นท่านอาจารย์เงียบๆ แต่อาจฟาดเรียบไปแล้วก็ได้นะ?”
ว่านเอ๋อส่ายมือ “นั่นมันเป็นเรื่องของผู้หญิงอย่างเรา เจ้าอย่าได้เอ่ยถามแล้ว ยังไงก็ตาม ในเรื่องนี้พวกเราสามารถยืนยันได้”
ฉินเซี่ยวโหลวกลายเป็นโง่งม
“ศิษย์พี่ใหญ่ เมื่อครู่ท่านเอ่ยสนับสนุนข้า ฉะนั้นคราวนี้ท่านก็ย่อมต้องเห็นด้วยกับข้า ถูกหรือไม่?” เขาหันไปถามห่านขาว
ห่านขาวก้มหน้าลง ร่างกายสั่นสะท้าน
อืม…ทนไว้ อดทนเข้าไว้
อดทน อดทน
อดทน และอดทน
อดทน อด…
อดไม่ไหวแล้วโว้ย!
“บักหำเซี่ยวโหลว มึงตาย!”
บรึ้ม!
หลังจากกล่าวทุกอย่างจบ มนุษย์แสงก็แตกตัวเป็นจุดดาวนับไม่ถ้วน กระจัดกระจายออกไป
โลกทั้งใบเงียบงันลงครู่หนึ่ง
และแล้ว ทั้งตลาดมืดก็ระเบิดเสียงอื้ออึงขึ้นทันใด บังเกิดเสียงสนทนาหนาหู
ขณะเดียวกันก็มีคนจำนวนไม่น้อยเลย ที่ไม่คิดเอื้อนเอ่ยคำใด แต่เลือกเร่งตรงไปยังร้านหนังสือทันที
พวกเขากำลังเร่งไปค้นหาเจ็ดพระคัมภีร์!
พระคัมภีร์แต่ละเล่มได้บันทึกคำพูด การกระทำของเทพวิญญาณเอาไว้ แน่นอน ว่ามันรวมไปถึงความคิดเห็นที่พวกเขามีต่อโลก และคำพยากรณ์ในอนาคต
ซึ่งหากคุณต้องการหาเขาวงกต คุณจะต้องอาศัยบทกวีพยากรณ์ทั้งยี่สิบเอ็ดจากในเจ็ดพระคัมภีร์!
โชคยังดี ที่เจ็ดพระคัมภีร์ ของเจ็ดเทพวิญญาณเป็นหนังสือที่ได้รับความนิยม มีจำนวนเหลือเฟือ หมุนเวียนไปตลอดทั้งโลกสองร้อยล้านชั้น แถมในบางกรณี ทางวิหารของเทพองค์นั้นๆ ยังถึงขั้นมอบพระคัมภีร์เป็นของขวัญฟรีๆ ให้แก่ผู้ศรัทธาเลยอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้เอง ท่ามกลางดินแดนชิงอำนาจ ไม่ว่าร้านหนังสือใด จึงล้วนแล้วแต่มีเจ็ดพระคัมภีร์วางขายอยู่ ทุกคนสามารถซื้อขายมันได้ตลอดเวลา
หลังจากเกิดความวุ่นวายขึ้น คนที่มาก่อนเพื่อนก็สามารถยึดครองพระคัมภีร์ที่ต้องการเกือบทั้งหมดจากในร้านหนังสือเจ็ดถึงแปดแห่ง
ทว่าก่อนจะสายเกินไป ชายทรงอำนาจคนนั้นก็เปลี่ยนใจในท้ายที่สุด ละทิ้งความคิดนี้ไป
เพราะเขาตระหนักได้ว่า หากเขากล้าทำเช่นนั้น เกรงว่าทุกคนคงจะรวมตัวกัน และสังหารตนตกตายลงอย่างสิ้นหวัง
ต้องไม่ลืมนะว่านี่คือคำพยากรณ์ของทวยเทพ!
มันมิใช่แค่เรื่องของการศรัทธาทั่วๆ ไป แต่ร่างมนุษย์แสงยังกล่าวอีกว่าที่เขาสามารถทำได้ คือการ ‘ซื้อเวลา’ ให้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
หากไม่พบเขาวงกตในท้ายที่สุด และสิ่งประดิษฐ์เทวะไม่ถูกเปิดใช้งาน ความชั่วร้ายก็จักไม่ถูกปิดผนึก
กรณีที่ล้มเหลวในการค้นหาสามสิ่งประดิษฐ์เทวะ และตัวเขาได้กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตนจะถูกมอนสเตอร์สังหารลง แต่คนอื่นๆ คนรุมทึ้งเขาจะตายไปซะก่อน
ชายทรงอำนาจสูดหายใจลึก และเริ่มทำการค้นหาบทกวีพยากรณ์จากพระคัมภีร์เล่มหนึ่งในอ้อมแขน กวาดอ่านมันอย่างรวดเร็ว
นี่คือพระคัมภีร์แห่งความตาย ที่ได้บันทึกถึงข้อเท็จจริง คำพูด และการกระทำของเทพแห่งความตายเอาไว้เป็นจำนวนมาก ผสมผสานไปกับหลากหลายสิบคำพยากรณ์เกี่ยวข้องกับอนาคต
แต่ละบทกวี แต่ละคำพยากรณ์ ล้วนมีเนื้อหายาวเหยียดเป็นหนึ่งพันบรรทัด
นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์จากเล่มเดียวเท่านั้น
ซึ่งโดยสิ้นเชิงแล้วมีอยู่ถึงเจ็ดเล่ม…
เขาสะบัดหัว ขับไล่ความท้อถอย และเริ่มอ่านบทกวีพยากรณ์ต่ออย่างระมัดระวัง
นี่นับว่าเป็นงานใหญ่จริงๆ แต่ไม่ว่ามันจะยากเย็นขนาดไหน เขาก็ต้องรีบหาบทกวีที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันให้เจอ ให้จงได้!
ตลอดทั้งตลาดมืดกลับคืนสู่ความสงบ
ผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือกระทั่งใกล้ตาย ต่างก็ยกหนังสือมากุมไว้ในมือ หมกมุ่นสมาธิ จดจ่ออยู่กับมัน
นั่นเพราะหนทางสู่การเป็นกึ่งเทพ กำลังอยู่ตรงหน้าแล้ว!
ตอนนี้ ไม่มีใครคิดจะฆ่าแกง หรือต่อสู้กันเพื่อสมบัติธรรมดาๆ อีกต่อไป
พวกเขาขมวดคิ้ว เค้นสมองอย่างหนัก เพื่อค้นหาเบาะแสของบทกวีพยากรณ์
ณ ขอบท่าเรืออวกาศ
กู่ฉิงซานยกชาร้อนมาให้ซีน้อย ส่วนเจ้าตัวเอนกาย หลังพิงเก้าอี้ อ่านหนังสือพิมพ์ในมือ
นี่คือหนังสือพิมพ์ของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง
หลังจากที่เงียบหายไปเป็นเวลานาน ในที่สุดมันก็มีข่าวใหม่ขึ้นมา
“นายไม่คิดจะไปตีความบทกวีพยากรณ์เลยเหรอ?” ซีน้อยเอ่ยถามเขาขณะดื่มชา
สมาธิของกู่ฉิงซานจมอยู่กับเนื้อหาในหนังสือพิมพ์ แต่เขาก็ยังตอบอย่างจริงจังว่า “อืม ไม่ไปหรอก เพราะฉันได้ละทิ้งสถานะผู้ศรัทธาไปแล้ว”
“อันที่จริงมันไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องสนใจฉัน นายสามารถทดลองดูก็ได้นะ” ซีน้อยสนับสนุน
“ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น?”
“เพราะถ้าอ้างอิงตามคำพูดของเทพวิญญาณ มันสามารถตีความได้ว่า ต่อให้นายไม่เป็นผู้ศรัทธาของเจ็ดวิหาร แต่ถ้านายปฏิบัติภารกิจลุล่วง นายจะสามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองได้ นายจะกลายเป็นกึ่งเทพโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ”
“หา? เทพวิญญาณจะใจดีถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?” กู่ฉิงซานยังคงอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ปากเอ่ยถาม
“เชื่อฉันเถอะ ฉันรู้จักเทพวิญญาณดี” ซีน้อยกล่าว “พวกเขาหวาดระแวงเกี่ยวกับผนึกที่ไม่รู้จัก และบาปที่ทรงพลังดุร้าย ฉะนั้น หากใครก็ตามที่สามารถช่วยให้พวกเขาบรรลุถึงสิ่งที่ต้องการได้ เทพวิญญาณย่อมต้องโปรดปราน และมอบรางวัลให้แน่นอน”
กู่ฉิงซานลังเล “แต่การกลายเป็นกึ่งเทพอย่างกะทันหัน จิตวิญญาณอาจจะต้องแบกรับภาระมากเกินไป”
ซีน้อยยิ้ม “กึ่งเทพมันไม่ส่งผลกระทบอะไรมากมายนักหรอก เพราะมันเป็นแค่จุดเริ่มต้นสู่เส้นทางแห่งทวยเทพ มันยังคงเป็นเรื่องยากที่จะได้กลายเป็นเทพที่แท้จริง”
“แล้วมีกึ่งเทพอยู่ในดินแดนชิงอำนาจบ้างรึเปล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ซีน้อย “แน่นอนว่ามี พวกเขาอยู่ในวิหารทั้งเจ็ด เหล่าผู้รับใช้ทวยเทพ ล้วนเป็นกึ่งเทพทั้งหมด”
กู่ฉิงซาน “ผู้รับใช้เทพ … ”
ตามความรู้ในความทรงจำของกู่ฉิงซาน เขารู้ดีว่าเทพวิญญาณแต่ละองค์ ล้วนมีคนรับใช้เป็นของตัวเอง
สำหรับผู้รับใช้เทพ เขามีหน้าที่จัดการกับกิจวัตรประจำวันของเทพที่แท้จริง และดำเนินการตามคำสั่งของเทพที่แท้จริงอย่างซื่อสัตย์
จู่ๆ กู่ฉิงซานก็พาลนึกไปถึงสุนัขดำที่อยู่ข้างกายแอนนา
ความแข็งแกร่งของมันอยู่ในระดับใดกันนะ?
“กลายเป็นกึ่งเทพ… เธอคิดว่าฉันควรจะลองงั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ซีน้อย “ใช่ เพราะถ้านายสามารถเป็นกึ่งเทพได้ มันจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของนายได้อย่างมหาศาล น่ากลัวว่าถ้านายตัดผ่านฐานวรยุทธ์ ยกระดับขึ้นไปหลายขอบเขตโดยตรง ยศไพ่ของนายก็จะตัดผ่านสีเทา ข้ามขึ้นไปอีกหลายระดับด้วยเหมือนกัน”
“โอ้…มันก็ฟังดูดีนะ” กู่ฉิงซานไตร่ตรองพลางรับคำ
เอาจริงๆ แล้วแม้จะได้ฟังเรื่องนี้ แต่ท่าทีของเขากลับดูตื่นเต้นแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ซีน้อยลุกขึ้นและกล่าว “ไปเถอะ พวกเราไปตามหาบทกวีพยากรณ์ในเจ็ดพระคัมภีร์กัน ฉันรู้จักเทพวิญญาณเป็นอย่างดี ฉะนั้นการจะหาบทกวีทั้งยี่สิบเอ็ด ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องยากเย็นอะไร”
เธอพูดต่อ “ฉันสามารถตีความมันในแต่ละบท เพื่อเสาะหาร่องรอยว่าเขาวงกตอยู่ที่ไหน”
“จากนั้นพวกเราก็ไปยังเขาวงกตของเทพวิญญาณ นำสิ่งประดิษฐ์เทวะออกมา และปิดผนึกความชั่วร้าย”
กู่ฉิงซานมองเธออย่างเงียบๆ และเอ่ยถาม “เธอเคยโดนเทพวิญญาณผนึกมาครั้งหนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงยังคิดจะช่วยเทพวิญญาณทำอะไรแบบนี้อีก? เธอสมควรที่จะอยากแก้แค้นพวกเขาสิ”
“แก้แค้น?” ซีน้อยทวนคำ “แก้แค้นหมายความว่ายังไง?”
กู่ฉิงซานส่ายมือบอกอีกฝ่ายให้วางพจนานุกรมที่กำลังจะหยิบลงไป และนึกถึงคำอธิบายที่มันเหมาะสม “มันก็… หมายความประมาณว่า ถ้าคนอื่นทำไม่ดีกับเธอ เธอก็ต้องการที่จะทำให้คนอื่นรู้สึกแย่ในแบบเดียวกัน”
ซีน้อยผุดรอยยิ้มจางๆ “เทพวิญญาณก็แค่กลัวฉัน”
กู่ฉิงซาน “แต่พวกเขาผนึกเธอ”
ซีน้อยมองเขาและกล่าว “นั่นมันเป็นเรื่องก่อนหน้านี้ ตอนนี้ฉันไม่คิดจะทำอะไรเพื่อพวกเขาอีกแล้ว แต่ฉันแค่อยากจะช่วยให้นายกลายเป็นกึ่งเทพก็เท่านั้นเอง”
กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบงัน
เขาค่อยๆ วางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะอย่างช้าๆ
ซึ่งนี่มันแตกต่างไปในครั้งอดีตที่ผ่านๆ มา หนังสือพิมพ์ไม่ได้เป็นตัวอักษรสีดำบนพื้นหลังสีขาว แต่ตลอดทั้งเล่มหนังสือพิมพ์ ในส่วนหน้าของเนื้อหา มันล้วนเป็นสีดำสนิท ความมืดมิดปกคลุมทุกอย่าง
ปรากฏบรรทัดตัวอักษรที่กำลังเผาไหม้หน้ากระดาษดำ
“ข่าวร้ายครั้งสุดท้าย”
“สหพันธ์โลก เก้าร้อยล้านชั้นถูกทำลาย”
“โลกนับล้านๆ จมลงสู่ความมืดมิด”
“ขณะนี้ มอนสเตอร์ลึกลับตนนั้นกับระบบของราชามารกำลังห้ำหั่น ทำลายล้างกันและกัน”
“ทว่าต่อให้ฝ่ายใดสามารถคว้าชัยชนะมาได้ สิ่งมีชีวิตทั้งมวล หากไม่ยินยอมเป็นทาสมัน ก็จักต้องตกตายลงอยู่ดี”
“โปรดทราบว่านี่คือการสื่อสารครั้งสุดท้ายจากพวกเรา ก่อนที่สมาคมผู้พิทักษ์หอสูงจะล่มสลายลง”
“ทุกอย่างมันจบสิ้นลงแล้ว”
“ลาก่อนตลอดกาล สหายของฉัน”
เมื่ออ่านถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ไม่คิดอ่านหนังสือพิมพ์อีกต่อไป ตัวอักษรลุกไหม้ที่เขียนลงบนหน้ากระดาษสีดำก็หายไปเช่นกัน
เปลวไฟเผาผลาญ กลืนกินหนังสือพิมพ์ทั้งเล่ม
ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง ความรุ่งโรจน์ของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง ได้กลายเป็นเถ้าถ่าน ลอยหายไปจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น
สหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้นเองก็ถูกทำลายลงเช่นกัน
ยุคสมัยได้จบสิ้นลงแล้ว
ม่านแห่งวันสิ้นโลกกำลังค่อยๆ ถูกเปิดฉากอย่างช้าๆ
วันนี้ มีเพียงดินแดนชิงอำนาจที่ถูกปิดซ่อนไว้ด้วยอำนาจเทวะของเหล่าทวยเทพเท่านั้น ที่ยังคงสามารถยืดลมหายใจต่อไปได้
แต่ก็ไม่มีใครรู้ ว่าโชคดีๆ แบบนี้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน
กู่ฉิงซานถอนหายใจหนักหน่วง ในมือจีบเข้าด้วยวิชาลับ
“ฉันมีบางอย่างอยากจะถามเธอสักหน่อย”
เขากล่าวกับซีน้อย
แสงอัศจรรย์พลันผุดออกมาจากมือของเขา ก่อร่างเป็นเค้าโครงใบหน้าที่แสนน่าหวาดหวั่น ลอยท่ามกลางอากาศบางเบา
ใบหน้านี้ประกอบไปด้วยรังสีแสง ครึ่งหนึ่งเป็นชาย อีกครึ่งเป็นหญิง ดวงตาและการแสดงออกของทั้งสองแลดูบ้าคลั่ง ปากอ้าเปิดกว้าง คล้ายกับว่ากำลังกรีดร้อง ชวนให้ดูเจ็บปวดและสิ้นหวัง
เดาไม่ผิดหรอก นี่คือตัวตนที่ดำรงอยู่ในสถาบันเทพ
มอนสเตอร์ที่ไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านมันได้!
“เธอรู้อะไรเกี่ยวกับมันไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ซีน้อยมองมัน สีหน้าเริ่มเป็นจริงเป็นจัง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มันมีอยู่หลายชื่อเรียก ผู้ล่า อริของเทพวิญญาณ ผู้กลืนกินอสุรกาย นักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาล”
กู่ฉิงซานเริ่มดูมีชีวิตชีวา “เธอรู้จักมันใช่ไหม?”
“ใช่” ซีน้อยพยักหน้าและกล่าว “เจ้าสิ่งนี้มันมาจากยุคโบราณ เป็นยุคก่อนที่เทพวิญญาณจะถือกำเนิดขึ้น”
“เจ้าสิ่งนี้ ครั้งหนึ่งมันเคยทำลายล้างยุคบรรพกาลมาแล้ว หลังจากการถือกำเนิดขึ้นของเทพวิญญาณ แม้ว่าเทพที่แท้จริงจะมีอำนาจที่แสนน่าหวาดหวั่น แต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่อาหารของสิ่งนี้”
“ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมทวยเทพถึงไม่หยุดรังสรรค์ทุกสรรพชีวิต ละเมิดกระทั่งข้อห้ามอย่างการรังสรรค์อาวุธที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตน ส่วนหนึ่งก็เกิดมาจากความหวาดกลัวต่อเจ้าสิ่งนี้นั่นเอง”
กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “แล้วในยุคที่ว่านั่น เทพวิญญาณสามารถโค่นเจ้าสิ่งนี้ลงได้รึเปล่า?”
ซีน้อย “เทพวิญญาณได้ทำการต่อสู้ขั้นแตกหักกับเจ้าสิ่งนี้ และช่วงเวลาที่ว่าฉันเองก็อยู่ด้วยเหมือนกัน”
“เธอได้สู้กับมันด้วยงั้นเหรอ!?”
“คว้าชัยชนะมาได้ใช่ไหม?”
“ใช่ แต่มันก็ยากเย็นเหลือเกิน เทพวิญญาณส่วนใหญ่ต้องตกตายลง หลายตัวตนที่ทรงอำนาจมากจนฉันรู้สึกว่าการมีอยู่ของพวกเขามันไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็ตกตายลงในการต่อสู้ขั้นแตกหักนี้”
“แล้วเจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นล่ะ?”
“พวกเราไม่สามารถทำลายมันได้ ทำได้เพียงปิดผนึกมัน แม้ว่ามันจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม แต่สำหรับเทพวิญญาณแล้ว นี่นับว่าอย่างน้อยก็สามารถปลอดภัยได้ชั่วคราว”
กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ
ซีน้อยกล่าวซอกแซก “แล้วนายไปรู้จักเจ้าสิ่งนี้ได้ยังไง?”
กู่ฉิงซาน “เพราะมันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง”
ซีน้อยมิได้ตอบเขา แต่แข้งขาของเธอพลันไร้เรี่ยวแรง ทิ้งตัวลงนั่งอย่างช้าๆ
นี่เป็นครั้งแรกเลยกที่กู่ฉิงซานเห็นเธอแสดงออกถึงความวิตกและหวาดกลัว
“ตอนนี้เทพวิญญาณก็ไม่อยู่แล้ว ดังนั้นหมายความว่าเจ้าสิ่งนี้คงเป็นอมตะ ฆ่าไม่ตายสินะ” กู่ฉิงซานถามอย่างไม่มั่นใจ
“ไม่หรอก” ซีน้อยส่ายหัว “เทพวิญญาณย่อมไปปล่อยให้สถานการณ์น่ากลัวแบบนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน”
“หลังจากผนึกมอนสเตอร์ตัวนี้ พวกเขาก็ได้ทำการศึกษามันมาเป็นเวลานานปี จนในที่สุดก็ค้นพบวิธี ‘รับมือ’ กับมอนสเตอร์ตนนี้”
ดวงตาของกู่ฉิงซานเปล่งประกาย ปากเอ่ยถาม “วิธีการอะไร?”
“มันเป็นความลับ ความลับของเทพวิญญาณ” ซีน้อยมองเขา ส่ายหัวพลางกล่าว
กู่ฉิงซานกล่าวเฉียบขาด “ฟังฉันนะซีน้อย เธอจะต้องบอกฉัน มิฉะนั้นผู้คนมากมายจะถูกมอนสเตอร์ตนนี้ฆ่าตาย และโลกทั้งมวลจะต้องถูกทำลายลง”
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากจะบอกนาย แต่ในเวลานั้นเหล่าทวยเทพได้โค่นมอนสเตอร์ตนนี้ลง และอาวุธทรงอำนาจเช่นฉันได้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาแทน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ปล่อยให้ฉันล่วงรู้ถึงความลับนี้” ซีน้อยกล่าว
“มันไม่มีเงื่อนงำอะไรสักนิดเลยเหรอ” กู่ฉิงซานถามอย่างไม่ยินยอม
“แน่นอนว่ามี ฉันรู้ว่าเทพวิญญาณเก็บซ่อนความลับเอาไว้ที่ไหน” ซีน้อยกล่าว
“มันอยู่ที่ไหน?”
“มันคือหมายเลขพิเศษ ที่แสดงถึงความตายอันไม่รู้จบในพระวจนะแห่งทวยเทพ เลขเก้าสี่สี่ ใช่แล้วล่ะ ความลับที่ว่าถูกเก็บไว้ในเหรียญเลขเก้าสี่สี่”
“เหรียญ? เทพวิญญาณซ่อนความลับเอาไว้ในเหรียญเนี่ยนะ?” กู่ฉิงซานไม่อยากจะเชื่อ
ทว่าในตอนนั้นเอง เขาก็พลันนึกถึงเหรียญหนึ่งศูนย์เก้าที่อยู่ในการครอบครองของตน
เหรียญนี้สามารถเรียกตู้เย็นออกมาได้
หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ
บรรดาเหรียญมากมายเหล่านั้น พวกมันล้วนมีฟังก์ชันที่แตกต่างกันออกไปใช่หรือไม่
ซีน้อย “ใช่ เหรียญที่มีเลขมากกว่าเก้าร้อยมันไม่ได้เป็นตัวแทนของความมั่งคั่ง หรือถูกใช้หมุนเวียนอีกต่อไป เหรียญเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นจากวัสดุนิรันดร์ของทวยเทพ มันใช้เก็บซ่อนความจริง และความลับของพวกเขาที่ไม่ต้องการเอ่ยถึง”
กู่ฉิงซานนิ่งค้าง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “แล้วเหรียญพวกนี้ มันจะเหมือนกันกับเหรียญที่มีเลขต่ำกว่าเก้าร้อยรึเปล่า?”
“ไม่ นายไม่สามารถวัดความจริงและความลับตามทัศนคติที่ใช้วัดความมั่งคั่งได้ เหรียญเลขที่มากกว่าเก้าร้อย แต่ละเลขล้วนมีความหมายพิเศษ และไม่สามารถแยกแยะได้เลยเหรียญใดมีความสำคัญมากกว่ากัน”
ซีน้อยคล้ายกับคิดอะไรบางอย่างออก ทันใดนั้นเสียงของเธอดูจะเบาลงและดูว้าวุ่นใจ
“เหรียญที่อยู่เหนือกว่าเลขเก้าร้อย ทั้งหมดล้วนมีค่าเท่าเทียมกัน แต่ว่ามีแค่เหรียญสามเลขสุดท้ายเท่านั้น ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพียงหนึ่ง …”
ทว่ากู่ฉิงซานไม่ทันได้ให้ความสนใจกับน้ำเสียงและท่าทีที่แปลกไปของซีน้อยในเวลานี้
เพราะเขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีการเอาชนะมอนสเตอร์ประหลาดอยู่
ถูกหล่อขึ้นเพียงชิ้นเดียว หรือหล่อขึ้นเป็นจำนวนน้อย นั่นหมายความว่ามันย่อมต้องเก็บงำความลับอันยิ่งใหญ่เอาไว้ นี่เป็นเรื่องง่ายสำหรับกู่ฉิงซานที่จะทำความเข้าใจได้ง่ายๆ
“เหรียญเลขเก้าสี่สี่…” กู่ฉิงซานพึมพำ “ฉันจะจำมันเอาไว้และตามหามัน!”
เขาผุดลุกขึ้นและกล่าว “สำหรับปัจจุบันนี้ พวกเรามาค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสามชิ้นกันก่อน แล้วออกจากโลกใบนี้กันเถอะ”
ซีน้อยลุกขึ้นตามเขาและกล่าว “พวกเราจะไปที่ร้านหนังสือกันแล้วใช่ไหม?”
“ไม่ พวกเราจะตรงไปที่ทะเลทรายเลย” กู่ฉิงซานกล่าว
ซีน้อยงุนงง “แต่พวกเรายังไม่ได้อ่านบทกวีพยากรณ์ทั้งยี่สิบเอ็ดเลยนะ แล้วแบบนี้พวกเราจะไปหาตำแหน่งของเขาวงกตเจอได้ยังไง”
กู่ฉิงซาน “แค่ตามฉันมาก็พอ”
ซีน้อย “นายมีวิธีงั้นเหรอ?”
กู่ฉิงซาน “อืม”
“นายสามารถค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะได้เลยโดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งพาบทกวีพยากรณ์?” ซีน้อยอดไม่ได้ เอ่ยถามอีก
กู่ฉิงซาน “อืม”
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายมีวิธี มันคืออะไรช่วยบอกฉันบ้างสิ” ซีน้อยคะยั้นคะยอ
“ก็…ใช้วิธีการเดียวกันกับตัวตนที่เธอเรียกมันว่า อริของเทพวิญญาณ ผู้กลืนกินอสุรกาย นักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาลยังไงล่ะ!”
กู่ฉิงซานเฉลย
บนหน้าต่างเทพสงคราม แต้มพลังวิญญาณนับพันถูกจ่ายออกไป
สกิลลึกลับจากสถาบันเทพ ‘การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์’ ได้ถูกเปิดใช้งานแล้ว!
……………………..
โลกทะเลทราย เบื้องล่างคลาคล่ำไปด้วยมือยักษ์สีเขียว
เบื้องบน ถูกปกคลุมไปด้วยแมลงปีศาจเขมือบโลกา
อย่างไรก็ตาม ราวกับประชดประชัน ผู้คนที่สามารถหลบลี้จากทั้งสองสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นได้ ทั้งหมดกลับกำลังก่อจลาจล เข่นฆ่าสังหารกันอย่างบ้าคลั่ง
พวกเขาต่างต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงสมบัติหายาก และเก็บรวบรวมทุกชนิดที่สามารถใช้เป็นเสบียงได้
ทั้งหมดพยายามอย่างหนัก เพื่อพิสูจน์ว่าตราบใดที่พวกเขาสามารถเก็บรวบรวมสิ่งเหล่านี้เอาไว้ได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะสามารถมีชีวิตยืนยาวได้กว่าคนอื่นๆ
เมืองลอยฟ้าแล่นออกไปยังมุมที่ห่างไกล
ณ บริเวณสถานที่ซึ่งแยกตัวออกมาจากสถานการณ์อันวุ่นวาย และยังคงสงบอยู่ชั่วคราว
ซีน้อยวางตะเกียบลง แสดงท่าทีว่ากินอาหารเสร็จแล้ว
“อา ขอโทษนะ ที่ฉันกินเยอะไปหน่อย” ซีน้อยกล่าวด้วยใบหน้าแดงซ่าน
อาหารทุกจานบนโต๊ะ เธอสวาปามคนเดียวเรียบ
กู่ฉิงซานหัวเราะ “ไม่ต้องใส่ใจหรอก เพราะการที่เห็นอาหารทุกชามถูกกินจนเกลี้ยงแบบนี้ ถือเป็นคำชมที่ดีที่สุดเลยสำหรับพ่อครัว”
“จริงๆ เหรอ?”
“จริงสิ ฉันไม่โกหกหรอกน่า”
กู่ฉิงซานเก็บหม้อและจาน
จากนั้นเขาก็หยิบส่วนผสมบางอย่างออกมา และเตรียมทำอาหารมื้อเล็กๆ สักสองจานสำหรับตนเอง
“อันที่จริงแล้วอาหารน่ะ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สามารถใช้บ่งบอกเรื่องราวของโลกใบนั้นๆ มันเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่จะทำให้เธอสามารถเรียนรู้ และเข้าใจสิ่งแปลกใหม่ของโลกใบนั้นๆ ขณะเดียวกันก็สามารถเพลิดเพลินไปกับมัน”
กู่ฉิงซานกล่าว ขณะเดียวกันก็เริ่มปรุงส่วนผสม
ซีน้อยไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่พยักหน้ารับฟัง
แต่ในตอนนั้นเอง โครม! ร่างหนึ่งก็ลอยมาแต่ไกล ร่วงตกกระแทกบนพื้นใกล้กับที่ทั้งสองนั่งอยู่
แสงสีแดงสดใสสลายออกจากร่างกาย ไม่นาน ก็ปรากฏถึงคราบเลือดที่ท่วมไปทั้งตัวอย่างน่าตกใจ
ร่างดังกล่าวนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น
กู่ฉิงซานชำเลืองมอง เขาวางอาหารทอดจานแรกลงบนโต๊ะ แล้วตรงไปหาร่างของคนคนนั้น
ซีน้อยหันไปมองชายเลือดท่วมและกล่าว “เขาบาดเจ็บหนักเกินไป จิตสำนึกพร่ามัว ร่างกายเองก็มีหลายส่วนที่สาหัสถึงตาย ถ้าไม่รีบช่วยเขาจะต้องตาย”
“ฉันรู้แล้ว”
กู่ฉิงซานตอบ เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าชายเลือดท่วม จากนั้นเพ่งสำรวจอย่างระมัดระวัง
ชายคนนี้สวมชุดสูทสีดำเข้ม คาดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในคนขององค์กรสาธารณะ
“นายกำลังจะทำอะไร?” ซีน้อยถามด้วยความสงสัย
“นอกไปจากลิ้มลองอาหารแล้ว มันยังมีอีกวิธีหนึ่ง ที่จะสามารถช่วยให้เรารู้จักโลกได้มากขึ้น”
ว่าจบ กู่ฉิงซานก็วางมือลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย
เปิดใช้งาน เทคนิคค้นวิญญาณ!
ทันใดนั้นเอง ร่างของชายเลือดท่วมก็สั่นสะท้าน และสิ้นชีวิตลง
กู่ฉิงซานเดินกลับมา ล้างมือด้วยน้ำสะอาด แล้วเริ่มผัดอาหารจานที่สองต่อ
“นี่นาย พึ่งจะฆ่า” ซีน้อยลังเลที่จะกล่าวต่อ
“สิ่งนี้เรียกว่าการค้นวิญญาณ มันเป็นเทคนิคที่ผู้ฝึกยุทธใช้ เพื่อที่จะได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากประสบการณ์ของผู้อื่น” กู่ฉิงซานอธิบาย
ชายร่างท่วมเลือดเมื่อครู่ เป็นคนที่เกิดในกองทัพของจักรวรรดิดวงดาว คือนายพลอาวุโสแห่งจักรวรรดิ การมายังตลาดมืดของเขาในคราวนี้ จุดประสงค์ก็เพื่อขายอาวุธจำนวนหนึ่ง
ด้วยความรู้และข้อมูลของชายคนนี้ มันช่วยให้กู่ฉิงซานสามารถรู้และเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวของดินแดนชิงอำนาจเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยเลย
และแล้วอาหารผัดจานที่สองก็ถูกเทลงใส่จาน
กู่ฉิงซานเติมข้าวจนพูนชาม และค่อยๆ กินมันอย่างช้าๆ
ซีน้อยขบคิดอย่างเงียบๆ สักพักก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเธอไปกุมมือกู่ฉิงซาน
“มีอะไรเหรอ?”
กู่ฉิงซานหยุดตะเกียบและเอ่ยถาม
ซีน้อยยกมือของเขาขึ้นมาวางลงบนหน้าผากเธอและกล่าว “ถ้านายต้องการที่จะรู้เรื่องราวบางสิ่งบางอย่างในสมัยโบราณ นายสามารถค้นวิญญาณจากฉันได้ เพราะฉันน่ะรู้อะไรหลายอย่างเลย”
กู่ฉิงซานทั้งโกรธทั้งขบขัน เขาดีดหน้าผากเธอ “การค้นวิญญาณมันมีความเสี่ยงอยู่ ฉันจะไม่ค้นวิญญาณเธอลวกๆแน่นอน”
“โอ้ เข้าใจแล้ว ฉันก็แค่คิดว่าตัวฉันอาจจะช่วยอะไรนายบ้างสักหน่อยแค่นั้นเอง”
ซีน้อยกลับไปนั่งดังเดิม พลางยกมือขึ้นลูบๆ หน้าผากที่ปวดแปล๊บ
เมื่อเห็นท่าทีที่ดูเศร้าๆ เล็กน้อยของเธอ กู่ฉิงซานก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ซีน้อย ถ้าฉันอยากจะรู้อะไร ฉันก็สามารถถามเธอตรงๆ ได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
ซีน้อยพอได้ฟัง ค่อยรู้สึกดีขึ้น “จริงด้วย! แถมวิธีนี้ยังง่ายและปลอดภัย ถึงขั้นสามารถคิดแบบนี้ได้ นายนี่มันฉลาดจริงๆ”
บอกตามตรงว่าเขาไม่อาจรับคำชมนี้เอาไว้ได้ เจ้าตัวส่ายหัว และเริ่มกินต่อ
แต่ในตอนนั้นเอง เขาคล้ายจดจำได้ถึงสิ่งหนึ่ง
เหลียวไปมองรอบๆ และไม่พบว่ามีใครคนอื่นอยู่ที่นี่ กู่ฉิงซานก็เดินเข้าไปในร้านอาหาร ตรงเข้าไปในครัว และหยิบเหรียญหนึ่งศูนย์เก้าออกมา เปล่งเสียงกระซิบ “เครื่องดื่มเย็นๆ”
ปุ้ง…
ลังไม้ตู้เย็นปรากฏขึ้นทันใด
เขาเร่งหยิบไวน์ขวดหนึ่งมา แล้วยัดตู้เย็นเก็บกลับคืน
สักพักเดินกลับมาโซนกินอาหาร เปิดจุกไวน์ ทั้งดื่มทั้งกิน อา…นี่ช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมเสียจริง
ซีน้อยพอเห็นถึงการกระทำของเขา ก็พาลเข้าใจในทันที
น้ำจากในขวดนั่น…คงจะเป็น ‘ซุป’ สินะ
อา… เขาคงไปเอาซุปมาเพิ่มแน่ๆ เลย นี่มันเป็นเพราะว่าฉันกินซุปหม้อแรกคนเดียวหมด ช่างน่าละอายจริงๆ
ซีน้อยหน้าแดงเล็กน้อย
กู่ฉิงซานเหลือบมองเธอและกล่าว “นี่ ทำไมจู่ๆ เธอถึงหน้าแดงขึ้นมากัน?”
ซีน้อยสะบัดหน้าไปทางตลาดมืด หันเหหัวข้อสนทนา กล่าวอย่างร้อนรน “ไม่มีอะไร ฉันก็แค่อยากรู้ว่าเมื่อไหร่คนพวกนั้นจะหยุดกันสักที”
“คนพวกนั้นน่ะเหรอ…” กู่ฉิงซานถูกเบนความสนใจ มองไปทางตลาดมืด
เขาสัมผัสได้เจ็ดถึงแปดกลิ่นอายที่ทรงพลังอย่างยิ่งยวด แต่ละกลิ่นอายก็ล้วนครอบครองดินแดนส่วนหนึ่งของตลาด และกำลังต่อสู้กัน
ดูเหมือนว่าชายที่แข็งแกร่งเหล่านี้จะยังไม่พอใจกับสมบัติที่ตนถือครองอยู่ในปัจจุบัน
ทั้งหมดต่างปรารถนาที่จะครอบครองสมบัติมากกว่าเดิม
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว “ดูเหมือนว่าอีกไม่นานพวกเราก็คงต้องเข้าไปสู้ด้วยบ้างแล้ว ระหว่างนี้ก็นั่งพักกันอีกหน่อยเถอะ”
“การต่อสู้แย่งชิงสิ่งของจากคนอื่นมันเป็นเรื่องสกปรก และเลวร้ายนะ นายไม่ทำมันไม่ได้เหรอ” ซีน้อยถาม
“ไม่ได้หรอก”
“เพราะท่ามกลางสถานการณ์สิ้นหวังแบบนี้ อาจจะมีอุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้นก็ได้” กู่ฉิงซานส่ายหัว
ทันทีที่เสียงของเขาตกลง แสงจรัสพลันสาดส่องลงมายังโลกทั้งใบ
มนุษย์แสงปรากฏกายขึ้น
ตัวแทนสูงสุดของทวยเทพ ปรากฏกายขึ้นบนท้องฟ้าอย่างกะทันหัน!
ข้อพิพาททั้งหมดยุติลงทันที
“ท่านเทพที่แท้จริง ตัวฉันคือผู้รับใช้ที่แสนจะต่ำต้อยของท่าน ได้โปรดช่วยฉันด้วย”
บางคนตะโกนขึ้น
ผู้ศรัทธาอีกคนทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้น ร่ำไห้เสียงดัง “ท่านเทพวิญญาณที่เคารพ ฉันเป็นผู้ศรัทธาในเทพแห่งความลึกลับ ขออ้อนวอนท่าน ได้โปรดช่วยฉันด้วย!”
ท่ามกลางตลาดมืด การสังหารฆ่าฟันอย่างบ้าคลั่งได้สลายหายไป
เหล่าตัวตนทรงพลังที่ยังมีเลือดติดอยู่ในมือ เพียงพริบตาเดียวกลับกลายเป็นผู้ศรัทธาที่แสดงถึงความจริงใจและดีงามออกมา
พวกเขาคุกเข่าลงกับพื้น แสดงออกถึงความภักดีและศรัทธาของตนต่อเทพวิญญาณ
กู่ฉิงซานที่คุ้นเคยกับฉากดังกล่าว ในช่วงเวลานี้ก็พลันหลุดหัวเราะออกมา
เขาบ่นพึมพำ “ทวยเทพน่ะ จะไม่ช่วยเหลือคนที่ดูถูกชีวิตผู้อื่น”
นี่คือถ้อยแถลงบทนำในพระคัมภีร์แห่งชีวิต ตามความทรงจำของนายพลจากจักรวรรดิดวงดาว มันคือความคิดที่จู่ๆ ก็ผุดออกมาจากความทรงจำจากการค้นวิญญาณ และกู่ฉิงซานเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัว
นายพลเป็นผู้ศรัทธาในเทพแห่งชีวิต เขาสามารถท่องบทสวดอธิษฐานได้มากกว่า แปดล้านคำ เป็นที่เคารพนับถือ ชื่นชม และรักใครของทั่วทั้งจักรวรรดิ
แต่น่าเสียดาย ที่เขาตายลงซะแล้วในตลาดมืด
เมืองลอยฟ้าถูกห่อหุ้มด้วยอำนาจอันเคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์ ท่ามกลางการสวดอ้อนวอน ผ่านพ้นไปนาน ในที่สุดมนุษย์แสงก็เอ่ยปาก
“ข้าจะหยุดการแพร่กระจายแห่งความชั่วร้ายเอาไว้ชั่วคราว เพื่อซื้อเวลาให้กับพวกเจ้า”
รัศมีเปล่งประกายออกจากมนุษย์แสง สาดไปทั่วทั้งโลก
รัศมีนี้ราวกับมีว่าพลังบางอย่าง เมื่อมือยักษ์สีเขียวตระหนักถึงแสงที่ว่า มันก็ค่อยๆ พากันหดหายกลับเข้าไปใต้ทะเลทราย
เวลาแห่งหายนะถูกยืดออกไป
ขณะเดียวกัน ฝูงชนต่างก็พากันระเบิดเสียงโห่ร้องสรรเสริญด้วยความตื่นเต้น
มนุษย์แสงเปิดปากพูดอีกครั้ง “เหล่าลูกแกะของทวยเทพเอ๋ย กล่าวตามความสัตย์จริง ที่ทุกสิ่งมีชีวิตสามารถรอดพ้นมาได้ก็เพราะพระพรแห่งทวยเทพ ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องจำคำกล่าวของข้าต่อจากนี้ไปให้จงดี”
“บาปที่ทรงพลังอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ถูกผนึกเอาไว้ในส่วนลึกของโลกใบนี้”
“เมื่อผนึกหลุดออกมา แมลงปีศาจจึงปรากฏขึ้น และต่อให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังไม่สามารถช่วยชีวิตพวกเจ้าจากความทุกข์ทรมานนี้ได้”
“แต่ยังมีอีกวิธีหนึ่ง”
“เจ้าต้องค้นหาบทกวีพยากรณ์ทั้งยี่สิบเอ็ดบท จากพระคัมภีร์ทั้งเจ็ด ที่เทพวิญญาณทิ้งเอาไว้”
และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มันถูกเปิดใช้งานก่อนเวลาอันควร เทพจึงได้ซ่อนทางรอดสุดท้ายเอาไว้ ในสถานที่ทุกสิ่งมีชีวิตเข้าถึงได้ยากที่สุด มีเพียงบทกวีเท่านั้น ที่บอกได้ว่ามันอยู่ที่ไหน
“จงไปตามบทกวีพยากรณ์ แสวงหาสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสามที่เทพวิญญาณได้ทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง พวกมันกระจัดกระจายอยู่ในโลกทะเลทราย ถูกซ่อนลึกเข้าไปในเข้าวงกตที่ไม่เคยมีผู้ใดค้นพบ”
“นำสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสามออกมาจากเขาวงกต แล้วปลดปล่อยให้พวกมันสัมผัสกับสายลมอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นพวกมันก็จะถูกเปิดใช้งาน”
“นี่คือ ‘มรดก’ ที่เทพวิญญาณทั้งเจ็ดทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง มันจะช่วยให้พวกเจ้าหลุดพ้นจากสถานการณ์อันโหดร้ายนี้ได้”
“แมลงปีศาจ เมื่อสัมผัสถึงอำนาจของสิ่งประดิษฐ์เทวะ มันก็จะคายโลกใบนี้ แล้วจากไป”
“สิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสามนั้นมีพลังมหาศาล มันจะช่วยปิดผนึกความชั่วร้ายอีกครั้ง”
“เหล่าเทพวิญญาณจักต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน!”
“นอกเหนือไปจากนี้ ผู้ที่สามารถค้นพบสิ่งประดิษฐ์เทวะ จะได้รับความโปรดปรานจากทวยเทพ ทวยเทพจะมอบของขวัญให้พวกเขาหลังจากที่สามารถปิดผนึกความชั่วร้ายเอาไว้ได้แล้ว…”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ มนุษย์แสงก็หยุดไป
ขณะที่หัวใจของทุกคน ยิ่งนานก็ยิ่งครึกโครม
ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยให้มนุษย์แสงเฉลยว่าของขวัญจากทวยเทพนั้นคือสิ่งใด
ภายใต้การจับต้องโดยสายตานับไม่ถ้วน ในที่สุดมนุษย์แสงก็ประกาศออกมาในท้ายที่สุด
“ของขวัญที่ว่าก็คือ…พวกเขาจะสามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของตนได้ในทันที และกลายเป็นกึ่งเทพ!”
………………………..
ในช่วงเวลาที่เมืองลอยฟ้ายกระดับสูงขึ้น ทางกู่ฉิงซานเองก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน
โดยไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ซีน้อยได้มาหยุดยืนอยู่ข้างเขา ก้มลงมองฉากภายใต้ผืนฟ้า
“ในที่สุด มันก็กำลังจะออกมา” ซีน้อยกล่าวด้วยอารมณ์
“มือพวกนี้คือมอนสเตอร์ตัวนั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ก็ไม่เชิง มือเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงผิวหนังของมัน ถ้าให้พูดชัดๆ คือมันยังคงอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น” ซีน้อยอธิบาย
กู่ฉิงซานมองเธอและกล่าว “กลับกลายเป็นว่าเธอเคยได้เผชิญหน้ากับการดำรงอยู่ระดับนั้น นี่มันยากที่จะจินตนาการจริงๆ”
ซีน้อยคิด “ตอนแรกฉันคิดว่าแมลงปีศาจเขมือบโลกาจากยุคบรรพกาลจะสามารถทำให้มันสงบลงได้ แต่สุดท้าย ใครจะรู้ว่าแท้จริงดันล้มเหลว ไม่แน่ใจว่าเทพวิญญาณยังมีกับดักอื่นเตรียมเอาไว้อีกรึเปล่า”
“ไม่ว่าเทพวิญญาณจะวางกับดักอะไรเอาไว้ แต่พวกเรายังไงก็สามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้อยู่แล้วหรอกหรือ?” กู่ฉิงซานถาม
“ไม่ได้หรอก เพราะตอนนี้ฉันอ่อนแอเกินไป” ซีน้อยถอนหายใจ
ทั้งสองนิ่งงันไป และหันกลับไปมองตามทิศทางตลาดมืด
เห็นแค่เพียงตลอดทั้งตลาดมืดกลับมาสับสนวุ่นวายอีกครั้ง เว้นไว้แต่เพียงในส่วนควบคุมการบินของเมืองลอยฟ้า สถานที่อื่นๆ ล้วนตกอยู่ในความโกลาหล
ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ ปล้น ฆ่า ทำลายล้าง…
ผู้คนต่างกรูกันวิ่งเข้าไปตามร้านค้าราวกับคนบ้า พบเห็นสิ่งใดที่มีประโยชน์กับตัวเองก็ปล้น หากโดนขัดขวางก็เข้าปะทะแตกหักโดยตรง
บางคนก็เกิดความคิดริเริ่มที่จะแก้แค้น
การต่อสู้ผุดขึ้นทุกหนแห่ง
นับว่าโชคยังดี ที่กู่ฉิงซานเลือกสถานที่หลบซ่อนตัวเป็นสุดปลายถนน ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีสินค้าอะไรน่าค้นหา มันจึงไม่คุ้มค่าให้มาสำรวจดู หรือมีใครมาเยือน
รับฟังเสียงโวยวายจากระยะไกล ซีน้อยอดไม่ได้ต้องกล่าว “เห็นได้ชัดว่านี่คือสถานการณ์สิ้นหวัง แล้วทำไมพวกเขายังต้องมาทำอะไรแบบนี้อีก?”
กู่ฉิงซานมองเธอและเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้ ย้อนกลับไปในช่วงที่เธอยังไม่ถูกผนึก เธอคงแทบจะไม่ได้ติดต่อกับมนุษย์เลยสินะ?”
“ใช่ นอกเหนือไปจากการต่อสู้กับมอนสเตอร์แล้ว ฉันก็หลับอย่างเดียวเลย…” ซีน้อยเฝ้ามองการต่อสู้เข่นฆ่าที่ผุดขึ้นมาไม่หยุดหย่อนในตลาดมืด ปากเอ่ยถาม “ทำไมพวกเขาถึงได้เป็นบ้ากันไปหมด”
กู่ฉิงซาน “ไม่เชิงว่าบ้า แต่นี่คือธรรมชาติของทุกสิ่งมีชีวิต”
“ธรรมชาติของทุกสิ่งมีชีวิต?” ซีน้อยไม่เข้าใจ “เมื่อต้องตกอยู่ท่ามกลางห้วงแห่งความสิ้นหวัง ทุกสิ่งมีชีวิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงนิสัยของพวกเขาหรือ?”
“มันไม่ใช่นิสัยที่เปลี่ยนแปลง แต่นี่คือนิสัยที่แท้จริงของพวกเขาเลยต่างหาก แต่สิ่งเหล่านี้มันถูกสะกดข่มเอาไว้ตลอดเวลา ทว่ายิ่งมีความแข็งแกร่งมากเท่าใด สิ่งที่คอยสะกดข่มนิสัยเหล่านี้ก็จะยิ่งบางเบาลง”
กู่ฉิงซานกล่าวจบ ก็นำบางสิ่งออกมาจากเบื้องหลัง
เป็นหม้อ
เครื่องปรุงรส และส่วนผสมต่างๆ วางเรียงรายบนโต๊ะ
เขาจีบออกด้วยวิชาลับ ล้างหม้อด้วยน้ำจากในอากาศ และเริ่มจัดการกับส่วนผสม
ซีน้อยเฝ้ามองด้วยความประหลาดใจ “นี่นายกำลังจะทำอะไร?”
“ก็กำลังจะทำหนึ่งในกิจวัตรตามธรรมชาติที่ทุกสิ่งมีชีวิตพึงกระทำ” กู่ฉิงซานตอบ
ตั้งแต่ที่เข้ามายังดินแดนชิงอำนาจ เขายังไม่ได้กินอาหารร้อนๆ สดใหม่เลยสักคำเดียว แน่นอน ว่าอาหารรสขมฝาดจากในร้านเมื่อครู่นี้ย่อมไม่นับ
การขยับกายเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้า เขาก็เตรียมอาหารได้ถึงสองสามจาน และหม้อซุป
“ในเมื่อตอนนี้ไม่สามารถรับมือกับศัตรูเลย งั้นฉันจะขอกินอะไรสักอย่างก่อน เพิ่มพูนพลังงาน แล้วค่อยมาคิดเกี่ยวกับมันอีกครั้ง” กู่ฉิงซานกล่าว
ซีน้อยมองอาหารในจานของเขา ขยับจมูกฟุดฟิด สีหน้าแสดงออกถึงความอิจฉา
“นายสามารถกินทั้งหมดนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวเลยเหรอ?” เธอถาม
“แน่นอนว่าไม่ เพราะงั้น เธอต้องมากินกับฉัน”
แล้วกู่ฉิงซานก็บอกให้เธอนั่งลง
ในช่วงเวลานี้ ซีน้อยดูค่อนข้างอึดอัดนิดหน่อย
“เกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานเห็นเธอทำท่าทีผิดปกติ จึงเหล่ตาถาม
ซีน้อยลังเล “ฉันบางทีฉันอาจจะไม่เหมาะกับอะไรแบบนี้
กู่ฉิงซานประหลาดใจ “มันก็แค่การกินอาหารนี่ มันจะไม่เหมาะกับเธอได้ยังไง?”
คู่ดวงตาของซีน้อยจดจ่ออยู่กับจานอาหาร เอ่ยปากกล่าวกับเขาเบาๆ “เพราะเทพวิญญาณบอกฉันว่า ชีวิตของฉันมีเพียงสองสิ่งเท่านั้น นั่นคือการต่อสู้และหลับใหล”
“การต่อสู้คือการล้างบางความชั่วร้าย ขณะที่การนอนหลับสามารถช่วยฟื้นฟูความแข็งแกร่ง”
“นอกเหนือไปจากนั้น ฉันก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกเลย เพราะทุกสิ่งจากที่กล่าวมา ล้วนทำให้ตัวฉันเสื่อมถอยลง”
กู่ฉิงซานเงียบไปพักหนึ่งค่อยเอ่ยถาม “หมายความว่าเธอยังไม่เคยกินอาหารมาก่อนเลยใช่ไหม?”
“ใช่”
“งั้นแสดงว่านอกจากการต่อสู้ กับการนอน เธอไม่เคยทำอย่างอื่นเลยเหรอ?”
“ไม่…ความจริงแล้วในตอนที่ฉันค่อยๆ เริ่มสังเกตโลก ฉันก็เริ่มรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง”
“มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ซีน้อยกล่าว “ฉันเริ่มคิดว่าตัวเองก็น่าจะสามารถให้ความสนใจในบางสิ่งบางอย่างได้เหมือนกันนะ”
กู่ฉิงซาน “ตัวอย่างเช่น?”
ซีน้อยหยิบไพ่ใบหนึ่งออกมา แล้วยื่นมันให้แก่กู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานรับมัน และมองดูไพ่
บนหน้าไพ่ เป็นช่อดอกไม้สีชมพูสดใส
เขาสะบัดไพ่อย่างอ่อนโยน
ปรากฏช่อดอกไม้สีชมพูที่ส่งกลิ่นหอมจางๆ ขึ้นในมือของเขา
“อา มันสวยงามมากจริงๆ” กู่ฉิงซานถอนหายใจ
เขายื่นช่อดอกไม้ให้ซีน้อย
ซีน้อยถือช่อดอกไม้ สูดดมมันเบาๆ ไม่กี่ครั้ง รอยยิ้มก็ค่อยๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าเธอ
“มีอยู่ครั้งหนึ่ง ช่วงเวลาที่ฉันพึ่งจะทำลายบาปในโลกใบหนึ่งลงไป ขณะที่กำลังจะออกจากโลกใบนี้ ฉันก็บังเอิญไปค้นพบดอกไม้พวกนี้ แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ฉันถึงได้เก็บรวบรวมมันมา”
“นับตั้งแต่ครั้งนั้น ทุกครั้งที่ฉันออกไปกำจัดบาปในโลกต่างๆ ฉันก็มักจะมองหาดอกไม้ และคอยเก็บรวบรวมมัน”
“เทพวิญญาณได้ค้นพบพฤติกรรมของฉัน พวกเขารู้สึกว่ามันแปลกมากๆ เลยเอ่ยถามว่าทำไมฉันถึงได้ทำแบบนั้น”
“แล้วเธอตอบกลับไปว่ายังไง” กู่ฉิงซานถาม
ซีน้อยเอ่ยพลางนึกย้อนคืนความทรงจำ “ฉันพูดว่า ฉันรักดอกไม้เหล่านี้ และรู้สึกสุขที่ได้ท่องไปตามโลกต่างๆ”
“นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ทัศนคติของเทพวิญญาณที่มีต่อฉันก็ได้เกิดเปลี่ยนแปลงไป”
กู่ฉิงซาน “เปลี่ยนไปยังไง?”
“พวกเขาดูเหมือนว่าจะหลบหน้าฉัน แต่เห็นได้ชัดว่ามีนางฟ้าบางคนก็ชมชอบดอกไม้เหมือนกัน แต่ทำไมฉันถึงชอบมันไม่ได้?” ซีน้อยถามด้วยความสับสน
เมื่อต้องเผชิญกับคู่ดวงตาที่กระจ่างใสและไร้เดียงสาของเธอ กู่ฉิงซานก็นึกคำพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
ซีน้อยเลยกล่าวต่อ “หลังจากนั้น เทพวิญญาณก็ให้ฉันเดินทางเข้าสู่โลกใบนี้ และต่อสู้กับมอนสเตอร์ใต้พิภพ ในตอนที่ฉันทุ่มสุดกำลังจนสามารถผนึกมอนสเตอร์ได้ เทพวิญญาณก็ปรากฏตัวขึ้น”
“พวกเขาผนึกฉัน แล้วฉันก็จมลงสู่ห้วงหลับลึก จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้”
กู่ฉิงซาน “พวกเราลองย้อนกลับไปที่คำถามก่อนหน้ากันดีกว่า การที่เทพวิญญาณไม่อนุญาตให้เธอทำสิ่งอื่นๆนอกเหนือไปจากการต่อสู้และหลับใหล ถ้างั้นพวกเขากินอาหารกันบ้างรึเปล่า?”
“กินสิ เทพวิญญาณน่ะชอบจัดงานเลี้ยง” ซีน้อยคล้ายจดจำได้ถึงบางสิ่ง สีหน้าเผยร่องรอยของความอิจฉา
กู่ฉิงซานยิ้มอย่างเงียบๆ
เขาเริ่มตักซุปด้วยตัวเอง ใส่ชาม และค่อยๆ ว่างลงเบาๆ เบื้องหน้าของซีน้อย
“ลองชิมดูสิ”
ซีน้อยกล่าวด้วยความกังวล “แต่ฉันไม่เคยดื่มอะไรแบบนี้เลย”
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันรับรองว่าซุปที่ฉันทำ มันคุ้มค่าให้เธอลอง”
ซีน้อยจ้องมองเขา
เขาพยักหน้า
ซีน้อยสูดหายใจลึก เอ่ยกับตัวเอง “ในความเป็นจริงแล้ว ฉันมักจะเกิดความสงสัย อยากรู้อยากเห็นอยู่เสมอว่าการกินอาหารนี่มันจะให้ความรู้สึกยังไงกันนะ”
เธอใช้สองมือประคองชามขึ้น ประกบริมฝีปากลงตรงขอบชาม ค่อยๆ จิบมันอย่างระมัดระวัง
“รสชาติเป็นยังไง?” กู่ฉิงซานถาม
เวลานี้ เขาค้นพบว่าตนเองกำลังประหม่าเล็กน้อย
ความรู้สึกนี้ มันเป็นครั้งแรกเลยที่เกิดขึ้นในรอบหลายปี ที่เขาแสดงออกมา
ซีน้อยนิ่งงันไปพักหนึ่ง
เธอก้มหน้าลง และลูบตา
“ฉัน…ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไงดี”
เธอเปล่งเสียงกระซิบ สองมือกุมชามแล้วยกขึ้นซดอีกที
…………………….
ณ โลกทะเลทราย
ภายในตลาดมืด
ท่าเรืออวกาศ
กู่ฉิงซานยืนอยู่นอกฝูงชน เฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อย่างเงียบๆ
ทุกอย่างยุ่งเหยิงไปหมด
เนื่องจากไม่มีวิธีที่จะหลบหนีไปจากโลกใบนี้ และยังได้รับผลกระทบจากการระเบิดของยานอวกาศ เหล่ามืออาชีพต่างโกรธแค้น ตรงมายังท่าเรือเพื่อเรียกร้องขอรับค่าเดินทางคืน
อย่างไรก็ตาม ทหารรักษาการณ์ในตลาดมืดน่ะมีจำกัด และเวลานี้ กระทั่งหัวหน้ารักษาการณ์และรองหัวหน้าก็ยังไม่ปรากฏตัว
ได้ยินมาว่าพวกเขาออกไปทำภารกิจสำคัญ ขณะเดียวกัน มืออาชีพบางคนที่ทรงพลัง ก็ค่อยๆ เริ่มค้นพบว่า เกรย์แฮนด์เจ้าของตลาดมืดไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้
ข่าวดังกล่าวราวกับติดปีก แพร่กระจายไปทั่วทั้งตลาดมืด
บางคนบังเกิดความคิดที่จะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ วางแผนกระทำดั่งใจต้องการ
ความขัดแย้งครั้งแรก ปรากฏขึ้นที่ตึกประมูล
แม้ตัวกู่ฉิงซานจะอยู่ในสถานที่ห่างไกล สุดปลายถนนอย่างท่าเรืออวกาศ แต่ก็ยังสามารถมองเห็นควันหนาทึบและเปลวไฟที่พวยพุ่งขึ้นได้
นี่คล้ายกับเป็นชนวนสัญญาณ ท่าเรือเกิดความวุ่นวายขึ้นทันที
หลายคนเร่งตรงเข้าไปในส่วนอากาศยาน และฉกฉวยพาหนะที่สามารถใช้บินได้หลบหนีไป
ทหารรักษาการณ์ที่หลงเหลือเองก็ไม่คิดเกลี้ยกล่อมอีก เริ่มหันไปเผชิญหน้ากับพวกมืออาชีพ
การจลาจลทุกหัวระแหงเริ่มปะทุขึ้น
บรรยากาศของทุกสถานที่ในตลาดมืดที่ยิ่งมาก็ยิ่งคุกรุ่น
กองกำลังต่างๆ เข้าห้ำหั่นกัน ส่งผลให้เมืองตลาดมืดที่อยู่สูงขึ้นมาจากผืนดินเบื้องล่างนี้ ที่แต่เดิมเคยสงบสุขมาเป็นเวลานาน เกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย
กู่ฉิงซานมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดนี้จากระยะไกล
เขาถอยหลังไปอีกก้าว และอีกก้าว และหมุนตัวเดินจากไป
สถานการณ์มันวุ่นวายมากเกินไป และเขาจะไม่โยนตนเองลงไปในโคลนตมเหล่านั้น
เจ้าตัวตรงมาที่ร้านอาหารใกล้กับท่าเรือ เมื่อพบโต๊ะโล่งจึงค่อยนั่งลง
“เฮ้เจ้าของร้าน…” กู่ฉิงซานตะโกน
เขามองไปรอบๆ แต่กลับพบว่าตลอดทั้งร้านอาหารว่างเปล่า ไร้ซึ่งผู้คน
เกรงว่าพนักงานคงตระหนักได้ถึงสถานการณ์ จึงหลบหนีออกจากที่นี่ มุ่งไปยังท่าเรือกันหมด
กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้น เดินอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์ นำอาหารปรุงสดใหม่ที่ถูกเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าออกมา
เขาลองชิมมัน
อืม…รสชาติแบบว่า…
แต่ร้านอาหารแห่งนี้ อยู่ในย่านสงบที่ห่างไกลที่สุดของท่าเรือ ดังนั้นรสชาติแบบนี้มันก็สมเหตุสมผลแล้ว
กู่ฉิงซานวางจานลงบนโต๊ะ แต่ยังไม่ได้เข้าไปสำรวจในห้องครัว
ถ้าตัวพ่อครัวทำอาหารแบบนี้ออกมาเสิร์ฟ ก็เดาได้เลยว่า อาหารจานอื่นของเขาก็คงไม่อาจทำให้ใครประทับใจได้เช่นกัน
ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็เข้าใจทันที ถึงความรู้สึกของแบรี่กับเสี่ยวเหมียว
เมื่อนึกถึงทั้งสอง ช่างโชคดีจริงๆ ที่ทั้งสองปลอดภัย
กู่ฉิงซานเดินกลับมาที่โต๊ะอาหาร และเริ่มทำสมาธิ
บนท้องฟ้า กำแพงเนื้อแดงยังคงเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ขยุกขยิกดูน่าขนลุก
แต่สิ่งที่แปลกก็คือ เมื่อโลกใบนี้ถูกกลืนกินโดยแมลงปีศาจแล้ว ผืนดินของโลกก็กลับเกิดก่อนสั่นไหวน้อยลง
แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถออกจากโลกใบนี้ได้
‘เหล่าทวยเทพ คิดจะทำอะไรกันแน่นะ?’
ตูม…
กู่ฉิงซานสะบัดหัว มองไปตามเสียงทันที
เห็นแค่เพียงภายในทะเลทรายที่อยู่ห่างไกลออกไป ปรากฏมือสีเขียวที่มีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับเมืองลอยฟ้า ผุดขึ้นมาจากผืนทราย และยกสูงขึ้น
ซึ่งนี่แตกต่างจากสีเขียวที่เขาเคยเห็นในอดีต สีเขียวนี้มันเผยให้เห็นถึงความรู้สึกน่าขยะแขยงอย่างมิอาจบอกบรรยายได้
มือยักษ์สีเขียวพยายามอย่างหนักที่จะไขว่คว้าบางสิ่งบางอย่าง
แต่น่าเสียดาย ที่มันอยู่ห่างไกลจากแมลงปีศาจเขมือบโลกาจากยุคบรรพกาลมากเกินไป จึงไม่สามารถเอื้อมถึงกำแพงเนื้อแดงได้
มือยักษ์สีเขียวหยุดอย่างไม่ยินยอม แต่ไม่ช้ามันก็เริ่มสั่นสะเทือนอีกครั้ง
มันปรารถนาที่จะคว้าจับบางสิ่งบางอย่างอยู่เสมอๆ
เจ้ามือนี่มันคืออะไรกันเนี่ย?
ถ้าทั้งมือและแขนของมันใหญ่โตถึงขนาดนี้ เช่นนั้นแล้วตัวของมันจะมีขนาดความสูงเท่าใดกัน!
กู่ฉิงซานกำลังคิด ทว่าทันใดนั้นเองเสียงสั่นสะเทือนก็ดังขึ้นต่อเนื่องจากในหูของเขา
ตูม ตูม ตูม!
เสียงอันไร้ที่สิ้นสุดปกคลุมไปตลอดทั้งโลก
กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้นอย่างช้าๆ ไปยืนตรงขอบเมืองลอยฟ้า มองไกลออกไปยังทะเลทรายอันกว้างใหญ่
เบื้องหลังเขา เสียงดัง และการต่อสู้ในตลาดมืดทั้งหมดค่อยๆ สลายไป
ตลอดทั้งตลาดมืดจมลงสู่ความเงียบ
ทุกคนหยุดมือจากสิ่งที่ตนกำลังกระทำ และมองลงไปยังผืนทราย
เป็นมือ
เป็นมือยักษ์!
มือยักษ์ที่มีขนาดเทียบเท่ากับเมืองลอยฟ้า มือแล้ว มือเล่าเริ่มผุดออกมาปกคลุมหนาแน่นทั่วผืนทราย
ไม่นะ…
พวกมันครอบคลุมไปทั่วผืนทรายเลย!
มือยักษ์สีเขียวเหล่านี้ไม่สามารถเอื้อมไปถึงกำแพงเนื้อที่บดบังผืนฟ้าได้
อย่างไรก็ตาม เมืองลอยฟ้าของพวกเขา กลับอยู่ใกล้แค่เอื้อมกับมือยักษ์!
พวกมันทั้งหมดส่ายไปมาอย่างไม่ยินยอม พยายามดิ้นรนเพื่อหาช่องว่าง พยายามคว้าจับทุกสิ่งที่สามารถคว้าได้
“เฮ้ ดูนั่นสิ!” บางคนตะโกนออกมา
เบื้องล่างลอยเมืองลอยฟ้า
เมืองรอบนอกที่อยู่ไกลออกไปพลันถูกคว้าจับด้วยมือยักษ์สีเขียว จากนั้นก็เริ่มถูกฉุดลากลึกลงไปในผืนทรายอย่างช้าๆ
ปรากฏร่างเงาจำนวนมากทะยานขึ้นมาจากเมืองเล็ก พยายามที่จะหนีรอดไปจากภัยพิบัตินี้
ทว่ามือเขียวที่อยู่รอบๆ กลับเริ่มสะบัดอย่างบ้าคลั่ง
ฉากนี้ราวกับไม้ตีแมลงวันที่กำลังหวดฟาดแมลงวันที่กำลังบินว่อน
ละอองเลือดแพร่กระจายไปทั่วทั้งอากาศ
มือยักษ์สีเขียวเสมือนดั่งมีอำนาจวิเศษ ทุกคนที่พยายามหลบหนีทั้งหมด คล้ายถูกดึงดูดกลับมา ติดหนึบเข้ากับมือยักษ์
ไม่เพียงแต่ฝูงชนที่บินหนีไปเท่านั้น กระทั่งนกบนท้องฟ้าก็ยังไม่รอดพ้น ส่งเสียงคร่ำครวญไม่หยุดหย่อน
ฝูงชนถูกดึงดูดไปกระจุกตัวกันหนาแน่นในมือยักษ์! มือยักษ์หุบเข้าหากัน ทั้งหมดถูกบดขยี้กลายเป็นซากเนื้อเหลว!
หนึ่งมือ
สองมือ
สาม สี่ ห้า…
มือยักษ์ต่างพากันคว้าจับฝูงชน
ไม่มีใครสามารถหนีรอดไปได้
ทุกคนในเมืองนั้นตายกันหมดแล้ว
มือยักษ์กุมเศษเนื้อในกำมือ และมุดกลับลงไปในผืนทราย
ผืนทรายเริ่มเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย ก่อตัวยุบลงไปเป็นระลอกคลื่นทรายดูด แลดูราวกับวังวนหุบเหวแห่งนรก
ความถี่ของการสั่นสะเทือนเล็กน้อยนี้ มิได้เหมือนกันกับแผ่นดินไหว ทว่าคล้ายกับการสะเทือนของบางสิ่งที่กำลังขบเคี้ยวเสียมากกว่า
บนท้องฟ้า ทุกคนถึงขั้นลืมหายใจ เฝ้ามองไปยังฉากนี้ด้วยความโง่งม
ทันใดนั้นเอง เสียงกรีดร้องแหลมสูงของหญิงสาวก็ดังขึ้น “มันกำลังจะมาแล้ว!”
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง
ต่างพบว่า มือยักษ์ข้างหนึ่งจากในบรรดาทั้งหมด กำลังเอื้อมตรงมายังทิศทางของเมืองลอยฟ้า
เมืองลอยฟ้าตกลงสู่ความสับสนวุ่นวายทันที
ผู้คนเริ่มดิ้นรนรักษาชีวิต โจมตีเข้าใส่มือยักษ์สีเขียวอย่างบ้าคลั่ง
ทุกคน…ทุกคนที่สามารถโจมตีมือยักษ์สีเขียวได้ ต่างทุ่มพลังทั้งหมดของพวกเขาออกไป
“กระบวนท่าของฉันไม่ได้ผล!”
“ทำอะไรกับมันไม่ได้เลย!”
“พวกเราไม่สามารถจัดการกับมันได้!”
ท่ามกลางเสียงร้องด้วยความสิ้นหวังของผู้คน มือยักษ์สีเขียวกวาดข้ามผืนฟ้า ปลดปล่อยแรงกดดันเข้าใส่เมืองลอยฟ้าอย่างมิอาจต้านทานได้
เพี๊ยะ!
บังเกิดเสียงบางเบาดังขึ้น ข่ายอาคมป้องกันในอากาศที่ถูกวางไว้รอบเมืองลอยฟ้า แตกออกราวกับฟองสบู่ ถูกทำลายลงโดยฝีมือของมือยักษ์สีเขียว
มือยักษ์สีเขียวยังคงใกล้เข้ามา
แต่เมื่อมันใกล้กับเมืองลอยฟ้าถึงที่สุดแล้ว มันก็กลับตบวูบ! ผ่านอากาศไป!
แค่นิดเดียวจริงๆ
แม้จะเพียงแค่ตบวืดผ่าน ทว่ามันกลับส่งผลให้กลิ่นเหม็นตลบอบอวลที่อาจมาจากซากศพ พัดกระพือขึ้นมาจากส่วนล่างของเมืองลอยฟ้า
ตลอดทั้งเมืองลอยฟ้าเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย
“รีบเพิ่มระดับความสูงเร็วเข้า!”
ทันใดนั้น บางคนก็ร้องตะโกนขึ้น
ฝูงชนได้สติจากห้วงฝัน
ทุกคนต่างเรียกร้อง พยายามตะโกนสุดเสียง
“รีบเพิ่มระดับความสูงเร็ว!”
“รีบเพิ่มระดับความสูงเร็ว!”
“รีบเพิ่มระดับความสูงเร็ว!”
การจลาจลทั้งหมดได้หยุดลง
ผู้คนหันมาให้ความสนใจกับกลางเมือง…ณ ศูนย์ควบคุมของตลาดมืด
นี่คือสถานที่ซึ่งมีอุปกรณ์ควบคุมการบินของเมืองวางอยู่
เห็นแค่เพียงเจ้าหน้าที่ตลาดมืดวิ่งเข้าไป และเริ่มเปิดใช้งานเครื่องมือที่ดูสลับซับซ้อนอย่างรวดเร็ว
บุคลากรมืออาชีพหลายคนล้อมรอบ เพื่อป้องกันศูนย์ควบคุมเมืองลอยฟ้า
แน่นอน ว่านี่คือปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาตญาณของพวกเขา
ในความเป็นจริง ไม่มีใครโง่พอที่จะโจมตีศูนย์ควบคุมลอยฟ้าในเวลานี้หรอก
ทุกวินาทีที่ผ่านพ้น ได้ยินชัดเจนถึงเสียงหัวใจเต้นตึกตัก
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากต้องการควบคุมเมืองให้ลอยสูงขึ้นกว่านี้ได้
แต่ทุกคนเข้าใจดี จึงเฝ้าอดทนรออย่างเงียบๆ
ในเวลานั้นเอง มือยักษ์สีเขียวก็กลับมาอีกครั้ง!
และคราวนี้ มือยักษ์ดูเหมือนว่าจะมีขนาดยืดยาวกว่าเดิมเล็กน้อย
มันพยายามเหยียดนิ้วทั้งห้าสุดกำลัง หมายมั่นต้องการที่จะฉุดลากเมืองลอยฟ้าลงมาเบื้องล่าง
เหล่ามืออาชีพพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะโจมตีขัดขวาง
ก่อนหน้านี้ ยังมีคนที่ซ่อนตัวอยู่อีกจำนวนหนึ่ง แต่ในเวลานี้ ไม่มีใครกล้าที่จะเฝ้ารอโชคชะตาอีกต่อไปแล้ว
ทุกประเภทของเทคนิคมนตรา ระดมยิงเข้าใส่มือยักษ์สีเขียว ทว่ามิอาจทำให้มันสั่นสะเทือนแม้แต่น้อย
ในสายตาของผู้คนที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง นิ้วมือสีเขียวสัมผัสเข้ากับตรงส่วนล่างของเมืองลอยฟ้าแล้ว
นิ้วแรกแตะลงเบาๆ
นิ้วที่สองเองก็มาแล้ว
นิ้วที่สาม…
มือยักษ์สีเขียวกำลังจะคว้าจับเมืองลอยฟ้าได้
แต่ทันใดนั้นเอง!
ตลอดทั้งเมืองลอยฟ้าก็บังเกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่
“ฮู้ม”
เมืองลอยฟ้าเริ่มลอยขึ้นมาแล้ว
ตอนนี้ มันสามารถควบคุมให้ขึ้น หรือลงจอดได้ตามต้องการ
ฝูงชนที่แต่เดิมกำลังเงียบงันและหมดหวัง พลันได้สติกลับคืน
พวกเขากรีดร้องด้วยความปีติอย่างบ้าคลั่ง
“เร็วเข้า!”
“เร็วกว่านี้!”
“สู้เขานะ!”
“ให้ตายเหอะ ลอยตัวสูงขึ้นไปให้ฉันที!”
ตู้ม…!
กระแสอากาศสีขาวพวยพุ่งออกมาจากเบื้องล่างของเมืองลอยฟ้า
เมืองลอยฟ้าเริ่มยกระดับสูงขึ้น
มันค่อยๆ หลุดออกจากนิ้วสัมผัสของมือยักษ์สีเขียว และบินสูงขึ้นไปเหนือผืนฟ้า
ในลมหายใจนั้น ตลอดทั้งเมืองพลันจมลงสู่ความเงียบ
ทว่าต่อมา
เฮ…!! บังเกิดเสียงโห่ร้องไชโย กึกก้องสั่นสะท้านไปทั้งสวรรค์และโลก กังวานไปทั่วทั้งเมืองลอยฟ้า
……………………..
กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน พยายามรับรู้สภาวะของตนเองอย่างเงียบๆ
กระแสพลังวิญญาณที่วิ่งพล่านไปตอนแรก เวลานี้เริ่มสงบลงระดับหนึ่งแล้ว
ตนเองอาจจะต้องใช้เวลาอีกสองสามวัน ถึงจะสามารถควบคุมพลังวิญญาณที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่นี้โดยสมบูรณ์
อาจกล่าวได้ว่าในช่วงเวลานี้ พลังวิญญาณอาจจะเกิดการปั่นป่วนได้ทุกสถานการณ์
ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ที่จะตัดผ่านไปยังขั้นต่อไปในทันที
ลืมมันเถอะ จะช้าจะเร็วอย่างไรซะเขาก็ยังมี ‘แต้มพลังวิญญาณ’ คอยช่วยเหลือ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องเร่งร้อนที่จะตัดผ่านให้มันเร็วเกินไป
แทนที่จะมามัวเสียเวลาคิดเรื่องยกระดับ กู่ฉิงซานเลือกที่จะหยิบถุงกระเป๋าสีดำออกมา
นี่คือกระเป๋าส่วนตัวของชายชุดคลุมดำ ที่ได้ถูกเปิดออกแล้วโดยความช่วยเหลือจากสามีของราชินีแมงป่อง
แต่น่าเสียดาย ที่ครอบครัวของพวกเขาได้หายไปกันหมดแล้วทั้งสามคน
ดังนั้น กู่ฉิงซานเลยได้เป็นคนแรกที่เปิดดูมัน ว่ามีอะไรอยู่ภายในบ้าง
เพราะท้ายที่สุดนี้ อนาคตในปัจจุบันมันไม่แน่ไม่นอน หากมีอะไรบางอย่างที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ แต่เขาไม่ทำ ก็นับว่าเป็นคนโง่แล้ว
เขาล้วงลงไปในกระเป๋าดำใบเล็ก และหยิบเอาเหรียญออกมา
มันคือเหรียญสีน้ำเงินเข้ม
หน้าเหรียญสลักไปด้วยมอนสเตอร์มิติขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกับปลาหมึกยักษ์ ในเวลาเดียวกัน มันก็กำลังใช้หนวดยาวเหยียดคว้าจับเรือที่ลอยอยู่ท่ามกลางกระแสมิติอันโกลาหล
กู่ฉิงซานเพียงแค่ถือเหรียญ ชั้นน้ำแข็งก็เริ่มปกคลุมในมือของเขา
โอ พอเทียบมอนสเตอร์มิติตัวนี้ มอนสเตอร์เลขเจ็ด กลายเป็นสัตว์เลี้ยงน่ารักไปเลย
กู่ฉิงซานพลิกเหรียญไปอีกด้าน แล้วก็เห็นถึงเลขที่สลักไปเบื้องหลัง
“หนึ่งศูนย์เก้า”
กลับกลายเป็นว่านี่คือเหรียญเลข หนึ่งศูนย์เก้า ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมผู้คนถึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ในระหว่างการเดินทางข้ามมิติ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันมีเหรียญอยู่ทั้งหมดหนึ่งพันหนึ่งร้อยเหรียญ โดยมีมอนสเตอร์สลักไว้จัดลำดับตามความแข็งแกร่งของมัน แต่มอนสเตอร์เลข หนึ่งศูนย์เก้า ยังน่าหวาดกลัวถึงขนาดนี้!
เรื่องราวพวกนี้ มันเกินกว่าความรู้ ความเข้าใจของกู่ฉิงซานไปแล้ว!
ขนาดผู้อัญเชิญปีศาจอย่างวังเฉิง ทำงานหนักมาครึ่งชีวิตของเขา ยังสะสมได้แค่เหรียญเลขเจ็ดเต็มกล่องเท่านั้นเอง
ขณะที่กู่ฉิงซานขายข้อมูลตัวเอง และทางตลาดมืดได้ให้รางวัลเป็นเหรียญเลขสิบเหรียญ พันเหรียญ สิ่งนี้จึงกระตุ้นให้มืออาชีพมากมายอิจฉาตาร้อน และพากันแกะรอย ลอบติดตามเขา
โดยไม่คาดคิด ชายชุดคลุมดำกลับมีเหรียญเลข หนึ่งศูนย์เก้า ไว้ในครอบครอง!
กู่ฉิงซานมองเข้าไปในกระเป๋าดำเล็กๆ และพบว่าไม่มีเหรียญแบบนี้อยู่อีกแล้ว
หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ชายชุดคลุมดำพกเหรียญ หนึ่งศูนย์เก้า ติดตัวเพียงเหรียญเดียว
กู่ฉิงซานตรวจสอบเหรียญเลข หนึ่งศูนย์เก้า ในมือ ทันใดนั้นบรรทัดตัวอักษรเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม
“เหรียญเลขหนึ่งศูนย์เก้า”
“ด้วยเหรียญนี้ คุณสามารถเรียกตู้เย็นส่วนตัวได้”
“วิธีการใช้ ให้ถือเหรียญเอาไว้ และทำสมาธิ นึกถึงเครื่องดื่มเย็นๆ ในหัวใจของคุณ”
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะยกคิ้วขึ้น
การที่ตัวเหรียญสามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ด้วยนี่ มันเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงจริงๆ
แบบนี้ใช่หมายความว่า เหรียญยิ่งมีตัวเลขสูง ก็ยิ่งมีฟังก์ชันพิเศษมากขึ้นใช่หรือไม่?
กู่ฉิงซานส่ายหัว เขารู้สึกว่า ความรู้ความเข้าใจของตนเกี่ยวกับโลกใบนี้มันช่างตื้นเขินเหลือเกิน
วังเฉิงเป็นคนที่เกือบจะรู้หนังสือ แต่ยังมีตัวอักษรบางตัวที่เขาอ่านไม่ออก และความรู้ของเขานั้นยังตื้นเขินเกินไป กระทั่งสกิลอัญเชิญภูตผี ก็ยังอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น
วังเฉิงใช้เวลาทั้งชีวิต จวบจนวาระสุดท้าย เขาก็ทำได้แค่เก็บเหรียญเลขเจ็ดดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงเหรียญเลข หนึ่งศูนย์เก้า ในมือของกู่ฉิงซาน เกรงว่าเลขห้าสิบเขาก็ยังไม่เคยจะได้สัมผัสมันด้วยซ้ำ
แม้ว่ากู่ฉิงซานจะได้รับความทรงจำจากวังเฉิงมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ด้วยความทรงจำนี้เอง ที่ทำให้กู่ฉิงซานกลายเป็นคนโง่ไป
เหมือนตัวอย่างเช่นในเวลานี้
ดังนั้น เขาคงต้องหาคนที่มีความรู้มากกว่านี้ แล้วทำการค้นจิตวิญญาณอีกฝ่าย เพื่อเพิ่มพูนความรู้ตนใช่หรือไม่?
กู่ฉิงซานเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังถึงความเป็นไปได้ของเรื่องนี้
ขณะที่เขากำลังทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ เจ้าตัวก็เอ่ยขึ้นมาอย่างเงียบๆ ในใจว่า “ขอเครื่องดื่มเย็นๆ”
โครม!
บนหน้าเหรียญ ปลาหมึกยักษ์พลันพ่นกล่องไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งมีความสูงเทียบเท่ากับคนคนหนึ่งออกมา
กู่ฉิงซานเร่งพรวดตัวไปข้างกล่องไม้ ใช้สองมือประคองมัน ให้มันหยั่งรากมั่นคงกับผืนทราย
เขาเปิดกล่องไม้ดู และพบว่าภายในของมันถูกแบ่งออกเป็นหลายชั้น มันเต็มไปด้วยขวดไวน์
กู่ฉิงซานกลายเป็นอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
เขาลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็หยิบมาสองสามขวด และลิ้มรสมันดู
ไม่นาน กู่ฉิงซานกก็ค้นพบว่าอุณหภูมิชั้นแรกของกล่องไม้อยู่ที่ประมาณสิบถึงสิบหกองศา เป็นส่วนที่มีไว้ใช้เก็บไวน์ผลไม้ที่มีรสชาติบางเบา
ในชั้นสอง อุณหภูมิอยู่ประมาณเจ็ดถึงเก้าองศา บางเครื่องดื่มก็ยังมีรสเบาอยู่
แต่ชั้นสามนี่แหละคือแก่นแท้ เพราะมันมีอุณหภูมิที่ต่ำมาก และมีไวน์ฤทธิ์แรงมากมายอยู่ภายใน
‘หา? เจ้าหมอนี่มันนักดื่มตัวยงเลยนี่นา’
แต่น่าเสียดาย ที่เขากับมันเป็นศัตรูกัน มิฉะนั้นอาจจะดื่มกันถูกคอก็ได้
กู่ฉิงซานเก็บตู้เย็นด้วยความพึงพอใจ และเก็บเหรียญ หนึ่งศูนย์เก้า ไว้กับตัวเองอย่างระมัดระวัง
หลังจากทั้งหมดนี้ เขาก็เริ่มสำรวจดูกระเป๋าดำอีกครั้ง
นอกเหนือไปจากเหรียญเลข หนึ่งศูนย์เก้า แล้วภายในกระเป๋าดำ ยังเต็มไปด้วยกองเหรียญ ทั้งหมดล้วนเป็นเลขสิบ
โชคหล่นทับโดยแท้!
กู่ฉิงซานตัดสินใจว่า ถ้าราชินีแมงป่องปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาจะแบ่งปันกองเหรียญนี้ให้แก่เธอ
ในเรื่องการแบ่งเงิน เขาจะแบ่งปันอย่างยุติธรรมแน่นอน
แน่นอนว่าจะขาดทุนเล็กน้อยก็ไม่มีปัญหา เหรียญเลขสิบเหล่านี้ เขาจะยอมให้อีกฝั่งหยิบไปเท่าไหร่ก็ได้ แล้วค่อยรับที่เหลือเอาไว้เอง
แต่ในส่วนของ…
อืม… ในส่วนของตู้เย็นคงไม่จำเป็นต้องให้เธอได้เห็นมันหรอกมั้ง
ในถุงกระเป๋าใบเล็กๆ นอกเหนือไปจากเหรียญเหล่านี้แล้ว
มันก็ไม่มีอะไรอีกเลย แม้กระทั่งหนังสือไพ่ของชายชุดคลุมดำ
ตรงส่วนนี้ทำให้กู่ฉิงซานรู้สึกเสียดายไม่น้อย
เขาเก็บทุกอย่างไว้ และเบนสายตามองไปทางตลาดมืด
ช่วงเวลาปัจจุบัน เสียงอึกทึกบนท้องฟ้าค่อยเริ่มสงบลง
ยานอวกาศที่ร่วงตกลงมา ล้วนได้รับการจัดการต่อโดยทางตลาดมืด
เกือบทุกคนที่ขึ้นยานอวกาศไป ล้วนเป็นมืออาชีพ ดังนั้นหากกล่าวถึงในแง่ความแข็งแกร่งรายบุคคล มันย่อมแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะตายลงในอุบัติเหตุนี้
ถ้าไม่ใช่เพื่อประหยัดพลังงานและหลีกเลี่ยงมอนสเตอร์มิติล่ะก็ ทุกคนย่อมไม่จำเป็นต้องใช้ยานเลย ที่พวกเขาใช้มัน ก็เพื่อแค่ต้องการใช้ยานเป็นที่หลบซ่อนตัวจากมอนสเตอร์มิติก็เท่านั้นเอง
แม้กำแพงเนื้ออันน่าสะพรึงจะปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
แม้ว่ายานอวกาศจะร่วงตกลงลำแล้วลำเล่า
แม้จะมีการจลาจล และการต่อสู้เกิดขึ้นหลายแห่งพร้อมกัน
แต่ผู้คนที่จ่ายค่าเดินทางไปล้วนไม่สนใจ ทั้งหมดต่างตรงไปยังท่าเรือและตะโกนขอเงินคืน
กระทั่งบางคนที่เป็นถึงตัวตนทรงอำนาจ ก็ยังมีจำนวนหนึ่งที่ลดตัวลงมาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้
กู่ฉิงซานเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น
โลกทั้งใบถูกกลืนเข้ามาในท้องของแมลงปีศาจเขมือบโลกาจากยุคบรรพกาล
แต่คนเหล่านี้กลับเมินเฉย และยังต้องการทวงถามกับทางตลาดมืดเพื่อขอเงินคืน
เงินมันสำคัญกว่าชีวิตขนาดนั้นเลยหรือ?
กู่ฉิงซานส่ายหัว
อย่างไรก็ตาม พอพูดถึงปัญหาเรื่องเงินแล้ว …
นั่นสินะ การเดินทางในมิติของดินแดนชิงอำนาจ เป็นอะไรที่ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายมากที่สุดแล้ว
อย่างเรืออวกาศของกู่ฉิงซาน เขาใช้เงินไปทั้งหมดยี่สิบเจ็ดเหรียญ
ยี่สิบเจ็ดเหรียญเชียวนะ!
เหรียญเลขสิบด้วย!
ด้วยเงินจำนวนนี้ มันก็เพียงพอแล้วที่จะครอบคลุมทุกการใช้จ่ายของกู่ฉิงซานในตลาดมืดนานนับสิบปี!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มเคลื่อนกายตรงไปยังทิศทางของท่าเรือ
ผ่านไปได้ครึ่งทาง เขาก็ปลอมกลับไปเป็นวังเฉิงอีกครั้ง
…
อีกด้านหนึ่ง
คนคุ้มกันของวิหารแห่งความตาย และวิหารแห่งโชคชะตาก็ได้มาถึงใจกลางของดินแดนชิงอำนาจ
พวกเขามาที่นี่เพื่อรับซูเค่อเอ๋อกับแอนนา
หญิงสาวทั้งสองบอกลากัน
“หมายความว่า เธอคือน้องสาวของซูเซี่ยเอ๋ออย่างงั้นเหรอ?” แอนนาถาม
ซูเค่อเอ๋อมองเธอและกล่าว “ใช่ พี่สาวของหนูยังบอกอีกด้วยนะว่าคุณน่ะไม่ใช่คนดี และต้องการจะฆ่าคุณอยู่เสมอ แต่เธอก็เคยบอกเหมือนกันว่าคุณเคยช่วยชีวิตเธอไว้ นี่มันฟังดูน่าสับสนจริงๆ”
“ดังนั้น ซูเซี่ยเอ๋อเลยบอกให้เธอหาโอกาสฆ่าฉันใช่ไหม?” แอนนากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ เดิมทีหนูเตรียมการที่จะลงมือกับคุณเอาไว้แล้ว” สีหน้าของซูเค่อเอ๋อแลดูซับซ้อน “แต่ในสถานการณ์ก่อนหน้านี้ พอหนูส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไป ขณะที่ทุกคนตัดสินใจจะหลบหนี คุณกลับตัดสินใจมาช่วยหนูอย่างห้าวหาญ”
ซูเค่อเอ๋อกล่าวต่อ “ฉะนั้น ไม่ว่าพี่สาวของหนูจะต้องการแบบไหน แต่หนูก็ไม่มีทางเนรคุณคน”
“นั่นเพราะเธอกำลังเข้าร่วมการทดสอบของผู้ใช้ไพ่ และไม่ได้ออกมาเป็นเวลานานแล้ว” ซูเค่อเอ๋อกล่าว
ซูเค่อเอ๋อคิดสักพัก เอ่ยต่อ “พี่สาวแอนนา คุณรู้ไหมว่ากู่ฉิงซานอยู่ที่ไหน?”
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงถามถึงเขา?” แอนนาเผยท่าทีตื่นตัว
เธอกวาดสายตามองซูเค่อเอ๋อขึ้นๆ ลงๆ
และพบว่าภาพลักษณ์ของซูเค่อเอ๋อกับพี่สาวตัวเองนั้นแตกต่างกันทั้งหมด
แต่ว่าในเรื่องของนม…
แอนนาอดไม่ได้ที่จะย้อนนึกถึงตอนที่เธอไปช่วยชีวิตซูเซี่ยเอ๋อในมหาวิทยาลัย
ซูเค่อเอ๋อกล่าว “เพราะหนูอยากจะรู้ ว่าคนแบบไหนกันนะที่สามารถทำให้หญิงสาวที่แสนเลิศเลอทั้งสองเกลียดชังกันได้ หนูอยากจะเจอเขา”
แอนนากำลังจะกล่าว แต่ในจังหวะนั้นเอง คนจากวิหารแห่งความตายก็ได้แทรกเข้ามา และยื่นหนังสือปกดำให้แก่เธอ
นี่คือหนังสือเวียน ที่ใช้แจ้งเตือนเกี่ยวกับเรื่องความลับของวิหารแห่งความตาย ซึ่งโดยปกติแล้วมันมักจะแสดงต่อบุคคลภายในที่มีสถานะเท่านั้น
แอนนาก้มลงอ่าน
มีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายในวิหารเมื่อเร็วๆ นี้
ดวงตาของเธอสั่นไหวเล็กน้อย สักพักเลยถึงยื่นข้อมูลนี้กลับไปให้อีกฝ่าย
“ฉันรับทราบแล้ว มันก็แค่เรื่องไร้สาระ ไม่จำเป็นต้องเอามารบกวนฉันในตอนนี้” แอนนากล่าว
อีกฝ่ายโค้งกายรับคำ และถอยจากไป
แอนนาหันกลับมา มองไปทางซูเค่อเอ๋อ “ฉันไม่ได้เกลียดพี่สาวของเธอ”
“คุณไม่ได้เกลียดเธอหรอกเหรอ? ไม่ใช่ว่าเธอคือคู่แข่งความรักของคุณ?” ซูเค่อเอ๋ออุทาน
แอนนากล่าวเสียงอ่อน “เรื่องของความรู้สึกน่ะเป็นเรื่องส่วนตัว ฉันจะไม่ยอมให้พี่สาวของเธอมาทำลายความงดงามในจิตใจของฉันหรอก นอกจากนี้ แม้พี่สาวของเธอจะเป็นคนซื่อๆ และคลั่งไคล้ไปกับสิ่งเล็กน้อยมากเกินความจำเป็น แต่ก็ยังเป็นคนดี”
ซูเค่อเอ๋อจ้องมองแอนนา กล่าวเสียงกระซิบ “นี่คุณมองเธอเป็นแบบนั้นจริงๆ?”
แอนนา “อืม สุดท้ายแล้วฉันจะบอกเธอนะ ว่ากู่ฉิงซานน่ะอยู่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ส่วนพิกัดของสถานที่ฉันในตอนนี้ฉันยังไม่รู้ แต่ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูน่าจะรู้ ฉะนั้นเธอสามารถกลับไปโลกเดิมของพี่สาวเธอ แล้วถามไถ่จากสองคนนี้ได้”
“แต่เธอควรที่จะต้องใส่ใจ เพราะเมื่อเธอไปหากู่ฉิงซาน เธอจะไม่สามารถกลับมาที่ดินแดนชิงอำนาจได้ชั่วคราว”
ว่าจบ เจ้าตัวก็หันหลังเดินจากไป
ซูเค่อเอ๋อนิ่งงันอยู่ในสถานที่เดิม เฝ้ามองแอนนาออกเดินทาง
จนกระทั่งยานอวกาศของวิหารแห่งความตายจากไป ซูเค่อเอ๋อก็ยังไม่คิดเคลื่อนไหว
“ฉันไม่สนหรอกนะว่าฉันจะได้เป็นเทพรึเปล่า ตราบใดที่ฉันสามารถหาเขาจนเจอได้…”
ซูเค่อเอ๋อเอ่ยสิ่งที่คิดออกมา
“แต่ คุณดันบอกว่า… ไม่ได้รังเกียจซูเซี่ยเอ๋อ”
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”
เธอคิดอย่างเงียบๆ อยู่สักพัก แล้วก็เริ่มตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ทันใดนั้นเอง เธอก็เอ่ยถามขึ้นอย่างกะทันหัน “หนังสือปกดำที่แอนนาอ่านเมื่อครู่นี้มีเนื้อหาว่าอย่างไร?”
คนคุ้มกันวิหารที่ยืนอยู่เบื้องหลังมองหน้ากันและกัน
คนคุ้มกันชราเอ่ยรายงาน “หนังสือเล่มนั้นคล้ายกับว่าจะเป็นหนังสือเวียน ที่คอยสรุปข่าวสารภายในที่ใช้กันในวิหารแห่งความตาย”
“แล้วพวกเราสามารถได้รับข้อมูลที่ว่านั่นมาได้ไหม?”
“เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับทางวิหารอื่น พวกเรามักจะรวบรวมข่าวสารเอาไว้เสมอ ดังนั้นตราบใดที่มันไม่ใช่ความลับจนเกินไป ย่อมสามารถล่วงรู้ได้”
“ดีมาก หนูอยากจะดูมันตอนนี้เลย”
“รับทราบ โปรดรอสักครู่”
หลังจากนั้นไม่นาน
หนังสือปกขาวก็ถูกนำออกมา
ซูเค่อเอ๋อกวาดตาอ่านมันอย่างรวดเร็ว
คิ้วของเธอยกสูงขึ้น ปากเปล่งเสียงกระซิบ “เห็นได้ชัดว่าเขาถูกออกหมายจับโดยทางวิหารของแก แต่แกกลับหลอกลวงฉันให้ออกจากดินแดนชิงอำนาจไป…”
หมอกสีเทาเริ่มเล็ดลอดออกมาจากตัวเธออย่างมิอาจควบคุมได้
พลังอันยิ่งใหญ่ที่ไร้ผู้ต้านของเธอ ทำให้ยานอวกาศของวิหารแห่งโชคชะตาเกิดการสั่นไหว
“เกิดอะไรขึ้น?”
หนึ่งในผู้ส่งสารรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงออกมาจากยาน
เขามองไปยังใบหน้าเย็นฉ่ำของหญิงสาวตรงหน้า อดเอ่ยถามไม่ได้ “มีใครในวิหารแห่งความตายล่วงเกินท่านหรือเปล่า? ‘ท่านหญิงซูเซี่ยเอ๋อ’”
………………………..
คลื่นลมที่เกิดจากแรงระเบิดพัดกระพือขึ้นจากผืนทราย หลอมรวมเข้ากับดาบสายลมกลางเวหา ก่อกำเนิดพายุเฮอริเคนปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า บดบังไปทั่วผืนดิน
ซีน้อยยังคงไม่หยุดเพียงเท่านี้ เธอจั่วไพ่อีกใบออกมา ปลดปล่อยเทคนิคมนตราซ้ำแล้วซ้ำเล่าเข้าใส่ศัตรูที่เหลืออยู่
กู่ฉิงซานคลายหอกปีศาจแดง และทันใดนั้นเกราะรบ ‘ของขวัญแห่งชีวิต’ ก็กลับมาสวมทับบนกายเขาอีกครั้ง
นอกเหนือไปจากนี้ ยังมีโล่แห่งความตายห้าดวง โคจรรอบกายเขา
มีบางคนพยายามที่จะโจมตีสังหารกู่ฉิงซานให้จบในคราวเดียว แต่ก็พบว่ากระทั่งโล่แห่งความตาย ตนก็ยังไม่สามารถทะลวงมันไปได้
กู่ฉิงซานวาดมือออกไป
สองดาบบินวาบผ่านท้องฟ้า กลับมาในมือของเขา
พลังป้องกันซ้อนทับกัน พุ่งสูงขึ้นจนอีกฝ่ายมิอาจคุกคาม ในฐานะผู้ฝึกดาบ กู่ฉิงซานก็ไม่จำเป็นต้องคอยพะวงเกี่ยวกับการต่อสู้อีกต่อไป
ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!
สับ!
ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!
หั่น!!
ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!
ฆ่าให้สิ้น!!!
ผสานไปกับเทคนิคมนตรากระสุนระเบิดของซีน้อย กู่ฉิงซานเริ่มเก็บเกี่ยวชีวิตของศัตรูอย่างไม่รู้จบ
กระแสลมจากแรงปะทะ พัดพาเมฆหมอกหายไปจนสิ้น
กลุ่มนักล่าเงินรางวัลนับสิบ ตกตายลงภายใต้การร่วมมือกันของซีน้อยกับกู่ฉิงซาน
ทันใดนั้นเอง ยักษ์เทาพลันเปล่งเสียงคำราม “ทุกคนจงมารวมตัวกัน เปล่งคำสาบานยอมสู้ตาย!”
ลูกน้องที่ยังเหลือรอดหันไปมองเขา และเร่งปฏิบัติตามทันที
กู่ฉิงซานหยุดดาบ
หากผู้เชี่ยวชาญหลายคนรวมตัวกัน และเริ่มการโจมตีโดยไม่คำนึงถึงชีวิตแล้วล่ะก็ ต่อให้เขาถือครองไพ่ที่ทรงพลังนับไม่ถ้วนอยู่ในมือ มันคงเป็นปัญหาไม่น้อย
แท้จริงแล้วกลับเห็นยักษ์เทามองมาที่เขาและซีน้อยอย่างมืดมน ปากเอ่ยลั่น “พวกเรากลุ่มนักล่าเงินรางวัลก่อตั้งมายาวนานกว่าเจ็ดร้อยปีแล้ว แต่ไม่เคยถูกทำลายลงเลย พวกแกรู้ไหมว่าเพราะอะไร?”
ซีน้อยถามกลับด้วยความสงสัย “เพราะอะไร?”
“นั่นเป็นเพราะว่าหากพวกเราถูกโยนลงในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างชีวิตและความตาย พวกเราจะตัดสินใจทำการเผาผลาญชีวิตของพวกเราด้วยม้วนคัมภีร์ลึกลับ และทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารศัตรู!” ยักษ์เทายิ้มเหี้ยมเกรียม
แล้วเขาก็หยิบม้วนคัมภีร์ออกมาอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ คลี่มันออก
เบื้องหลังเขา เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาต่างระเบิดพลังทั้งหมด ถ่ายเทลงไปในคัมภีร์
“เจ้าลูกกระต่ายสองตัว จงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว!” ยักษ์เทาคำราม
ในเวลาเดียวกัน เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่อยู่เบื้องหลังเขาก็เริ่มแสดงท่าทีตื่นเต้นและบ้าคลั่ง
พวกเขาเองก็กรีดร้องคำรามด้วยเช่นกัน
“สู้ตายไม่ยอมถอยหนี!”
“สู้ตายไม่ยอมถอยหนี!”
“สู้ตายไม่ยอมถอยหนี!”
ในอากาศ ฟุ้งไปด้วยเจตนาสู้ คล้ายกับว่าทุกคนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการจู่โจมครั้งสุดท้าย
กู่ฉิงซานเฝ้ามองฉากอันงดงามนี้ สีหน้าแปรเปลี่ยน “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เพื่อแสดงถึงความเคารพที่ฉันมีต่อศัตรู ฉันเองก็จะทุ่มสุดฝีมือเช่นกัน”
เขายกสองดาบขึ้น ขับเคลื่อนพลังวิญญาณเต็มเปี่ยม ทั้งคนทั้งร่างกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง
ซีน้อยมิได้กล่าวอันใด เธอเพียงจั่วไพ่อย่างเงียบๆ เฝ้ารับมือกับการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า ยักษ์เทาคลี่ม้วนคัมภีร์จนสมบูรณ์ในที่สุด!
เห็นแค่เพียงม้วนคัมภีร์ที่สามารถดึงดูดพลังได้มากพอ สาดแสงเข้าห่อหุ้มกลุ่มนักล่าเงินรางวัลทุกคนที่ยังเหลือรอดอยู่ทั้งหมด
ตูม!
บังเกิดเสียงพังครืนราวกับสวรรค์ล่มสลาย
กลุ่มแสงที่สาดออกมา ทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า ฉับไวดั่งดาวตก บินหายลับไปในอากาศอันห่างไกลอย่างรวดเร็ว!
ประกายแสงกะพริบไหวสองสามครั้ง และหายไปท่ามกลางท้องฟ้าที่ทอดยาวไกลออกไป ไม่ทราบเช่นกันว่ามันไปที่ไหน
กลุ่มนักล่าเงินรางวัล…
เผ่นหนีไปแล้ว!
“…” กู่ฉิงซาน
“…” ซีน้อย
ทั้งสองยืนตั้งท่าต่อสู้เต็มรูปแบบ ทว่าผลลัพธ์กลับออกมาเป็นแบบนี้
“พวกเขาเร็วเกินไป เกรงว่าพวกเราคงไม่สามารถไล่ตามทัน” ซีน้อยกล่าว
“ใช่ คงไล่ไม่ทัน ถ้าทันจะตบกระบาลมันซักป้าบ” กู่ฉิงซานสบถ
เออ ยักษ์เทามันไม่ได้โกหกไปซะทั้งหมด
ด้วยสกิลการหลบหนีและทักษะการแสดงที่หน้าด้านหน้าทนเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมกลุ่มนักล่าเงินรางวัลของเขาถึงสามารถอยู่รอดมาได้ยาวนานกว่าเจ็ดร้อยปี และยังไม่ถูกทำลายลง
กู่ฉิงซานยืนอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้นพลันสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งกำลังจะกลายเป็นอดีตในไม่ช้า
ทั่วทุกตำแหน่งที่ก่อให้เกิดพลังวิญญาณเริ่มปรับตัวขึ้น พลังวิญญาณจากทั้งร่างกายถูกกระตุ้นอย่างบ้าคลั่งเป็นประวัติการณ์
กู่ฉิงซานเริ่มจะเกิดความเข้าใจอย่างช้าๆ
ปรากฏว่านี่คือหายนะโทษทัณฑ์!
พวกนักล่าเงินรางวัลนับสิบ ล้วนแข็งแกร่งกว่าตนเอง แถมยังดาหน้ากันมาห้อมล้อมสังหารเขา ทว่าเนื่องจากซีน้อยได้ใช้เงาคู่ จึงกลับกลายเป็นอีกฝ่ายที่ตกตายลงเสียเอง สุดท้ายหลบหนีไป
หายนะโทษทัณฑ์ที่แท้ก็จบลงด้วยการแก้ปัญหานี้
“ฉันต้องการหยุดพักสักครู่” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาไม่ได้ทิ้งตัวลง แต่เริ่มทำการจัดตั้งหลายสิบค่ายกลกลางอากาศ จากนั้นคุกเข่าลงและเริ่มเหนี่ยวนำพลังวิญญาณจากภายในร่างกาย
เพียงครู่ เขาก็จมลงสู่ห้วงสมาธิ
การตัดผ่านขอบเขต กำลังดำเนินไปอย่างช้าๆ ภายใต้สถานะที่มั่นคง และไม่อาจย้อนกลับได้
นี่คือการยกระดับโดยไม่ต้องเผชิญกับทัณฑ์สายฟ้า
อย่างไรก็ตาม หากต้องเลือกเผชิญระหว่างสามหายนะโทษทัณฑ์กับทัณฑ์สายฟ้า กู่ฉิงซานแน่นอนว่าย่อมต้องเลือกทัณฑ์สายฟ้า
แต่เนื่องจากบุญที่เขาสั่งสมมามันมีมากเกินไป ทำให้กู่ฉิงซานต้องเผชิญกับหายนะโทษทัณฑ์เพียงสามครั้งเท่านั้น
ขณะที่ผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ที่กระทำเรื่องราวชั่วร้าย มักจะตกตายลงในขอบเขตพันวิบัติ เนื่องเพราะต้องเผชิญกับหายนะโทษทัณฑ์นับร้อยนับพันครั้ง
ชนิดที่ว่าอาจจะดื่มน้ำ แล้วดันสำลักตายได้
ชีวิตคือสิ่งไม่แน่ไม่นอน ยากที่จะคาดคำนวณใดๆ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
กู่ฉิงซานก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
เขาได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าแล้ว!
บนหน้าต่างเทพสงคราม ปรากฏบรรทัดแสงหิ่งห้อยขึ้น
“ขั้นตอนการยกระดับได้จบลงแล้ว”
“คุณสามารถยกระดับขึ้นสู่ขีดสุดความว่างเปล่าได้สำเร็จ”
“คุณได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า”
“เนื่องจากการรับรู้ทางจิตวิญญาณ ของขอบเขตพันวิบัติได้ยกระดับไปถึงจุดที่สามารถรับรู้ถึงหายนะโทษทัณฑ์ได้ ส่งผลให้พลังของมันถูกใช้ไปมากเกินความจำเป็น ดังนั้นการรับรู้ทางจิตวิญญาณของคุณจะใช้งานไม่ได้ชั่วคราว ทั้งนี้ทั้งนั้น ระยะเวลาขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของคุณเอง”
“โปรดทราบ ว่าการยกระดับในขอบเขตร่างเทวะ พันวิบัติ และขีดสุดความว่างเปล่า จะไม่เกิดการเหนี่ยวนำกระตุ้นพลังศักดิ์สิทธิ์ คุณจะต้องยกระดับขึ้นสู่ลมปราณจิตเสียก่อน จึงจะสามารถปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ได้”
แล้วบรรทัดแสงหิ่งห้อยก็ค่อยๆ หายไป
ไอ้เรื่องคำอธิบายพลังศักดิ์สิทธิ์น่ะ กู่ฉิงซานไม่สนใจหรอก เพราะเขาเคยได้อ่านคำอธิบายราวๆ นี้มาก่อนแล้ว จากตอนยกระดับขึ้นสู่พันวิบัติ
แต่การรับรู้ทางจิตวิญญาณที่หายไปชั่วคราวนี่ต่างหาก คือความท้าทายของจริง
เนื่องจากผู้ฝึกยุทธชมชอบที่จะใช้สัญชาตญาณของตนเองเชื่อมต่อกับโลกภายนอก ดังนั้นหากขาดการรับรู้ทางจิตวิญญาณไป พวกเขาคงรู้สึกอึดอัดคล้ายหายใจไปออก
เขาหันไปมองรอบๆ
เห็นแค่เพียงซีน้อยที่สะดุ้งผงกหัวขึ้น ส่ายหัวไปมาอย่างแรง ทั้งคนทั้งร่างง่วงเหงา แต่ก็ยังฝืนปกป้องเขาอย่างเงียบๆ
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
“งั้นก็ดี ยกระดับได้แล้วสินะ” ซีน้อยอ้าปากหาว
“ทำไมเธอถึงดูเหนื่อยขนาดนี้?” กู่ฉิงซานถาม
“เป็นเพราะว่าใช้เงาคู่”
“เพราะใช้เงาคู่? แล้วทำไมฉันถึงได้ไม่รู้สึกอะไรเลยล่ะ?”
“มันแน่นอนอยู่แล้วว่านายต้องไม่รู้สึกอะไร” ซีน้อยขยี้ตาง่วงๆ “เพราะยศของนายต่ำเกินกว่าที่จะเปิดใช้งานไพ่ได้ ดังนั้นภาระที่ต้องเปิดโหมดเงาคู่ประจัญบานที่จำต้องใช้พลังของสองคนจึงมาตกอยู่กับฉันเพียงคนเดียว”
“ขอโทษจริงๆ นะ งั้นช่วยบอกวิธี ที่จะทำให้ราชทูตตัดสินบาปแข็งแกร่งขึ้นหน่อยสิ ฉันจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อแบ่งเบาภาระให้กับเธอ” เขาขออภัย
ซีน้อย “มีอยู่สามวิธีที่จะช่วยให้แข็งแกร่งขึ้น หนึ่งคือยกระดับตามธรรมชาติ สองคือกลืนกินไพ่ใบอื่นๆ สามคือค้นหามรดกที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยเทพวิญญาณ นำมันมาใช้ยกระดับยศไพ่ของตัวเอง”
มรดกที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพวิญญาณ?
กู่ฉิงซานพาลนึกไปถึงเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
ในโลกสมบัติของทริสเต้ ระบบของราชามาร ต้นกำเนิด เองก็ได้รับมรดกตกทอดจากเทพวิญญาณเหมือนกัน มันจึงสามารถเร่งยกระดับกลายเป็น หมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ ปฏิวัติ
เขาไม่คาดคิดเลยว่า จู่ๆ ตนเองจะต้องมาตกอยู่ในสถานะเดียวกันกับระบบ จำเป็นต้องได้รับสิ่งดังกล่าวจึงจะสามารถแข็งแกร่งขึ้น
ซีน้อยอธิบายต่อ “การยกระดับเองตามธรรมชาติ คือวิธีที่เชื่องช้าที่สุด กลืนกินไพ่ใบอื่นๆ สิถึงจะเร็วกว่า แต่มันไม่เหมาะสมกับนาย เพราะนายจะต้องออกตามหาไพ่ที่เหมาะสมกันกับนายเท่านั้น และสุดท้าย , อาศัยมรดกที่เทพวิญญาณทิ้งไว้เบื้องหลังนั้นรวดเร็วที่สุด แต่มรดกเหล่านี้ล้วนเป็นความลับ ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถค้นหาได้โดยง่าย”
“โอเค กำลังคิดในใจว่าอธิบายเยอะจังเลยอยู่ใช่ไหม ไม่อธิบายต่อก็ได้ นายไปคิดเองแล้วกัน ฉันขอตัวนอนก่อน”
ซีน้อยกล่าวปิดประโยค
ภายในไพ่ เธอเปลี่ยนไปเป็นสวมเสื้อและกางเกงนอนดูน่ารัก เอาหัวมุดลงไปใต้หมอน
กู่ฉิงซานค่อยๆ เก็บไพ่ลงในกล่องหยกอย่างอ่อนโยน และสอดเข้าไปในแขนเสื้อ
เขามองไปที่หน้าต่างเทพสงคราม
เห็นแค่เพียงไพ่ใบหนึ่งปรากฏขึ้นใจกลางหน้าต่าง
มันคือไพ่สีเทา โดยมีตัวเขากุมสองดาบ ลอยอยู่กลางอากาศ
“ไพ่สีเทา ผู้ฝึกดาบกู่ฉิงซาน”
“ระดับ ไพ่สีเทาระดับ ศูนย์”
“คู่หู นางฟ้าตัดสินบาปซี”
“สังกัดสำรับไพ่ สำรับไพ่ผู้หลบหนี”
แล้วข้อมูลทั้งหมดก็หายไปในทันที
บรรทัดตัวอักษรเล็กๆ ปรากฏขึ้นใต้ไพ่
“ความแข็งแกร่งส่วนบุคคลของคุณได้รับการปรับปรุง เปลี่ยนจากระดับศูนย์เป็นหนึ่งดาวอย่างเป็นทางการ”
“คุณได้กลายเป็นไพ่ระดับหนึ่งดาว แล้ว”
“คุณได้รับไพ่สกิลสีเทา เจาะเกราะ”
ไพ่อีกใบที่มีพื้นหลังสีเทาปรากฏขึ้นบนหน้าต่าง
เบื้องหน้าของไพ่ เป็นภาพกระบี่ยาว โดยบริเวณใบของกระบี่สาดแสงเย็นเยียบออกมาเป็นครั้งคราว
“ไพ่สกิล เจาะเกราะ”
“หลังจากที่คุณติดตั้งไพ่ใบนี้ ทุกครั้งที่คุณสร้างความเสียหายแก่ศัตรู ศัตรูจะได้รับความเสียหายเพิ่มเติมขึ้นสามเปอร์เซ็นต์”
“คำอธิบาย นี่เป็นสกิลติดตัวจากไพ่สีเทา เมื่อคุณต่อสู้ ไพ่ใบนี้จะถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ และจะถูกใช้งานต่อไปจนจบการต่อสู้”
“เนื่องจากมันเป็นไพ่สีเทา มันจึงต้องพยายามอย่างหนัก”
หลังจากอ่านข้อมูลนี้ กู่ฉิงซานรู้สึกว่าไพ่ของเขาช่างอ่อนแอเหลือเกินหากเทียบกับซีน้อย
…ลืมมันเถอะ ยศของตนเองยังต่ำมาก ฉะนั้นจะไปมีไพ่ดีๆ กับเขาได้ยังไง
กู่ฉิงซานปลอบประโลมจิตใจตนเอง
…………………….
กู่ฉิงซานเบนสายตามองหน้าต่างเทพสงคราม
ตัวอักษรหิ่งห้อยยังคงกะพริบไหวต่อเนื่อง
“โหมดเงาคู่ประจัญบาน ในโหมดประจัญบานนี้ สองราชทูตตัดสินบาปจะสามารถแบ่งปันไพ่ต่อสู้ และประสบการณ์ต่อสู้ในรูปแบบของไพ่แก่กันและกันได้ทันที”
“คุณได้รับสิทธิ์ในการใช้ไพ่ระดับหยกทั้งหมดของนางฟ้าตัดสินบาปซี”
“คุณได้เรียนรู้วิธีการใช้ไพ่เหล่านั้น”
“ทว่าคุณเป็นไพ่ระดับเทา ดังนั้นนางฟ้าตัดสินบาปซีจึงไม่สามารถได้รับไพ่ต่อสู้ใดๆ จากคุณ”
“คุณยังไม่เคยใช้ไพ่สู้ นางฟ้าตัดสินบาปซีจึงไม่สามารถรับประสบการณ์ต่อสู้ใดๆ จากคุณ”
“พิจารณาจากข้อจำกัดเหลือนี้ ได้ข้อสรุปที่เท่าเทียมว่า เมื่อใดก็ตามที่คุณใช้ไพ่สามใบของอีกฝ่าย นางฟ้าตัดสินบาปซีจะสามารถสกัดหนึ่งในสกิลของคุณ มาใช้งานมันในรูปแบบไพ่ได้”
“อันดับแรก คุณสามารถกำหนดสกิลส่วนตัว สกิลแรกของคุณให้เป็นไพ่ และวางมันลงในสำรับไพ่ของนางฟ้าตัดสินบาปซี เพื่อพร้อมใช้งานได้เลย”
กู่ฉิงซานอ่านมันในลมหายใจเดียว
ซีน้อยเอ่ยปาก “ต่อจากนี้ไป นายจะสามารถใช้งานสำรับไพ่หยกของฉันได้เลยโดยตรง มันจึงเทียบเท่ากับว่ามีฉันสองคนในสนามรบ เท่านี้ก็น่าจะเอาชนะพวกเขาได้”
เธอกล่าวต่อ “ตามกฎแล้วนายสามารถระบุสกิลที่จะใส่ลงใน ‘สำรับร่วม’ ของพวกเราได้ แต่ฉันชอบสู้ด้วยเทคนิคมนตรา ไม่ต้องการสกิลระยะประชิดของนาย ดังนั้น ถ้าจะใส่มา ช่วยเลือกอันที่มันเหมาะสมหรือเป็นมนตราด้วย”
กู่ฉิงซานคิดสักพักและกล่าว “ขอนึกก่อนนะ”
ในเวลานี้ เขาได้รับประสบการณ์ในการใช้ไพ่จากซีน้อย ดังนั้นเค้นสมอง ใช้สมาธิในจิตใจเพื่อกำหนดสกิลที่จะแบ่งปันเป็นไพ่ที่ใช้ร่วมกัน
ทันใดนั้นไพ่สีเทาปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้าทั้งสอง
บนตัวไพ่ ถูกวาดด้วยสองลูกศร ม้วนเป็นวง วิ่งไล่หลัง สลับกันไปกันมา
“ไพ่ ร่างเงาแทนที่”
“สกิลเทวะประเภทมิติ คุณสามารถสลับตำแหน่งกับอะไรก็ตามที่อยู่ในรัศมีขอบเขตจิตใจของคุณได้ดั่งใจปรารถนา”
“คำอธิบาย สกิลเทวะนี้ เป็นสกิลแห่งกฎเกณฑ์ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็มิอาจต่อต้านมัน ในกรณีนี้รวมไปถึงค่ายกล กำแพงอุปสรรค กระทั่งเทคนิคลับ หรือวิชาลับต้องห้าม ก็มิอาจต่อต้านได้”
ซีน้อยตะลึงงัน เธอคว้าไพ่ใบนั้นในมือ ร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น “ว้าว! นี่เป็นไพ่สำหรับหลบหนีที่ดีที่สุดในระดับปัจจุบันที่ฉันสามารถใช้ได้เลย!”
กู่ฉิงซานยิ้ม
เขาดูดซับประสบการณ์ การต่อสู้ด้วยไพ่ของซีน้อยอย่างเงียบๆ
“ซีน้อย”
“หือ?”
“ฉัน… บางทีเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเทพวิญญาณถึงได้หวาดกลัวเธอ”
“ฮี่ฮี่ พูดอะไรล่ะนั่น ตอนนี้พลังฉันยังอ่อนแออยู่เลยนะ”
ในตอนนั้นเอง บนท้องฟ้า ในที่สุดยักษ์เทาก็สามารถตัดสินใจขั้นเด็ดขาดได้
“ไม่ว่ามันจะเป็นความลับอะไร แต่พวกเราก็ไม่สมควรไปกระตุ้นทางวิหาร”
เขาตะโกน “ไม่ต้องยั้งมือแล้ว! จงฆ่าพวกมันทั้งสองเพื่อฉัน!”
ว่าจบ กลุ่มนักล่าเงินรางวัลก็เฮลงไปทันที
กู่ฉิงซานกับซีน้อยกลายเป็นตื่นตัว
สองตาสาดมองศัตรู หนึ่งมือเริ่มจั่วไพ่จากในความว่างเปล่า
ซีน้อยเอ่ยถาม “นายพร้อมที่จะใช้ไพ่มนตราของฉันโจมตีรึยัง?”
กู่ฉิงซานเองก็จั่วไพ่จากในอากาศ ปากเอ่ยตอบ “คงไม่ล่ะ เพราะฉันเองก็ไม่เคยใช้พวกไพ่มนตราต่อสู้มาก่อนเลย ฉันรู้แค่วิธีต่อสู้ ดังนั้น…”
ซีน้อย “ดังนั้น?”
กู่ฉิงซาน “ดังนั้นฉันจะขอเป็นคนรับผิดชอบในการพุ่งโจมตีระยะประชิดเอง ส่วนเธอก็ต้องรับผิดชอบใช้เทคนิคมนตราจากระยะไกล นี่ต่างหากจึงถึงจะเป็นการจับคู่อาชีพที่เหมาะสม!”
ว่าจบเขาก็โบกมือออกไป
ไพ่ในมือถูกขว้างออก มันกลายเป็นกลุ่มแสงกระจัดกระจายรอบกายกู่ฉิงซาน
“เร่งเร้าโจมตี”
“เมื่อเปิดใช้งานไพ่ใบนี้ ความเร็วในการโจมตีของคุณจะเพิ่มขึ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์”
กู่ฉิงซานค่อยๆ วางไพ่ใบอื่นๆ กว่าอีกเก้าไพ่ ในอากาศอย่างเบามือ
ไพ่เก้าใบหมุนวนรอบตัวเขา และค่อยๆ จางหายไปในความว่างเปล่า
สองมือกลับมากุมดาบคู่ ทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า
ช่วงระหว่างเหินอากาศ ไพ่ใบที่สองก็สาดแสงสว่างขึ้นทันใด
มันเปล่งแสงสีมรกต กะพริบหายเข้าไปในความว่างเปล่า
วินาทีนั้นชุดเกราะรบโลหะทั้งตัว ที่สลักด้วยลวดลายแลดูซับซ้อนทว่าสง่างามก็พลันปรากฏขึ้นเบื้องหลังกู่ฉิงซาน
เกราะรบแยกตัวออกเป็น เกราะหมวก เกราะอก เกราะไหล่ เกราะข้อมือ เกราะเอว เกราะขา เกราะเท้า กระชับกับร่างกู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว
“เกราะรบระดับหยก ของขวัญแห่งชีวิต”
“เมื่อสวมใส่ชุดเกราะนี้ คุณจะได้รับสกิลพิเศษ ดื่มด่ำไปกับน้ำพุแห่งชีวิต”
“คำอธิบายสกิลพิเศษ ครึ่งหนึ่งของการโจมตีที่คุณได้รับ จะถูกเปลี่ยนสถานะให้เป็นพลังในการรักษา มันจะรักษาอาการบาดเจ็บของคุณต่อเนื่องแปดวินาที”
กู่ฉิงซานเปิดใช้งานสกิลพิเศษทันที
แสงมรกตพลันท่วมไปตามตัว สาดแสงออกมาจากทั้งคนทั้งร่างของเขา
อาศัยจังหวะช่วงที่แสงจ้าจนตาพร่ามัว พลันหายวับไปจากสถานที่เดิม ปรากฏขึ้นใจกลางกลุ่มนักล่าเงินรางวัลโดยตรง
“มันใช้ท่ามิติอีกแล้ว! เร่งฆ่ามันเร็วเข้า!”
บางคนร้องตะโกนขึ้น
ทุกคนโจมตีในเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม แสงมรกตบนตัวกู่ฉิงซานได้ทำการดูดซับการโจมตีเอาไว้ถึงครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด แถมยังเปลี่ยนมันเป็นช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่เขา
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาจะถูกรักษาในเวลาเดียวกันกับที่ได้รับบาดเจ็บ
ยังมี การโจมตีส่วนใหญ่ ไม่อาจสร้างความเสียหายให้กับชุดเกราะรบของกู่ฉิงซานได้ มันเพียงกระทบกับผิวเกราะจนเกิดเสียง ‘กิ๊งๆ!’ เท่านั้น!
และห้ามลืมนะว่า สำหรับผู้ฝึกดาบแล้ว หากพวกเขาไม่จำเป็นต้องคอยพะวงเกี่ยวกับการป้องกัน อาชีพนี้จะกลายเป็นการดำรงอยู่ที่เลวร้ายที่สุดในสนามรบ!
ดาบคู่ของกู่ฉิงซานลงมือพร้อมกัน
ค่ายกลดาบ ไท่หยี!
อำนาจคมกล้าจากดาบกลายเป็นวังวนที่มองไม่เห็น เกิดเสียงคำรามหวีดหวิวอย่างรุนแรงท่ามกลางฝูงชน
ฝนเลือดกระเซ็นไปทั่วฟ้า!
“ทุกคนถอยไป ฉันจะรับมือกับมันเอง!” นักล่าเงินรางวัลคนหนึ่งตะโกน
เขาโยนตนเข้าหากู่ฉิงซาน ทั้งคนทั้งร่างกลายเป็นเพชรแวววาว
ดาบสายลมเข้าตัดเฉือนมัน แต่ก็แทบไม่มีผลใดๆ เลย
เมื่อเห็นอย่างนี้ กู่ฉิงซานก็ทิ้งสองดาบในมือ สั่งการนึกคิดในจิตใจให้พวกมันจัดการค่ายกลดาบด้วยตัวมันเอง
ส่วนเขา หนึ่งมือเหวี่ยงออก คว้าจับไพ่ที่อยู่เบื้องหน้าตน
นี่คือไพ่สีแดงเข้ม
ตามตัวไพ่ ถูกวาดไปด้วยสีแดงเข้มแพรวพราว
ภายใต้ความแพรวพราวนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นภาพของสิ่งที่อยู่บนไพ่
“หอกปีศาจแดง”
กู่ฉิงซานกล่าวเสียงกระซิบ
หอกยาวสะท้อนไปด้วยสีแดงเข้มอันไร้ที่สิ้นสุดพลันผลุบออกมาจากในความว่างเปล่า และถูกคว้าจับโดยเขา
ในเวลาเดียวกัน เกราะมรกตทั้งร่างของเขาก็สลายไปอย่างรวดเร็ว
“แรร์ไอเท็ม หอกปีศาจแดง”
“เมื่อติดตั้งหอกปีศาจแดง คุณจะไม่สามารถสวมใส่เกราะรบใดๆ ได้ในเวลาเดียวกัน”
“หอกปีศาจแดงมีกฎเกณฑ์เฉพาะตัว คมกล้า”
“คำอธิบาย นี่คืออาวุธที่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยเหล่าทวยเทพในยุคบรรพกาล เพื่อใช้ทำร้ายพวกเดียวกันเอง”
“ไม่มีอะไรจะหยุดมันได้!”
กู่ฉิงซานกุมหอกยาว และล็อคสมญาเทพสงครามเป็น ‘นายพลชั้นเฉินเว่ย’
นายพลชั่นเฉินเว่ย ความเร็วในการโจมตีของคุณจะเพิ่มขึ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์
ด้วยโบนัส ‘เร่งเร้าโจมตี’ ก่อนหน้านี้ ควบคู่ไปกับสมญาเทพสงคราม ส่งผลให้ความเร็วในการโจมตีของกู่ฉิงซานทะยานขึ้นไปสู่ในระดับที่น่าหวาดกลัว!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง นักล่าเงินรางวัลเพชรก็ได้เข้ามาประชิดกู่ฉิงซานแล้ว
เขากำลังจะสำแดงสกิลระยะประชิดของตน ทว่ากลับเห็นแค่เพียงแสงสีแดงเข้มพรวดเข้าหา
รังสีแสงนี้มันว่องไวเกินไป เกินกว่าที่ขีดจำกัดปฏิกิริยาของตนจะตอบสนอง
เขาทำได้เพียงยกสองมือขึ้นตั้งการ์ดรังสีแสงนี้
ทว่าเส้นแสงสีแดงกลับสามารถวาบผ่านการ์ดเขาไปได้อย่างง่ายดาย
ระเบิดอัดอากาศปะทุขึ้นเป็นเสียงคร่ำครวญของท้องฟ้า กระจายเป็นวงกว้างราวกับคลื่นทะเล ความมืดมิดโดยรอบถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
ฉัวะ!
ด้วยการจ้วงแทงอย่างรวดเร็ว ควบคู่ไปกับคมกล้าอันหาที่ใดเปรียบ ผลลัพธ์ที่ออกมาย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว-
เพียงปลายแหลมน้อยๆ ของหอกปีศาจแดง คนร่างเพชรก็ถูกป่นแหลกเป็นผงทันที!
บนทะเลทราย มุมปากของซีน้อยยกสูงขึ้น
“ต้องอย่างนั้นสิ ถึงจะเป็นคู่หูของฉัน”
เธอเอื้อมมือไปคว้าจับอากาศที่ว่างเปล่า
กู่ฉิงซานได้ใช้ไพ่สามใบของเธอแล้ว ดังนั้นเธอย่อมสามารถสกัดสกิลต่อไปมาจากกู่ฉิงซานได้
ส่งผลให้สกิลต่อไปที่จะได้รับจากกู่ฉิงซาน ซีน้อยตั้งตารอคอยมันด้วยความหวัง
และแล้วไพ่ใบที่สองจากสกิลของกู่ฉิงซานเริ่มปรากฏขึ้น
คราวนี้ มันเป็นไพ่สีชมพู พร้อมกับรูปริมฝีปาก
“ไพ่ทักษะ จุมพิตแห่งรัก”
“ด้วยไพ่ใบนี้ คุณจะสามารถสร้างจูบที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์”
ซีน้อยกลายเป็นโง่งม สักพักหน้าของเธอก็เริ่มแดง
“บ๊ะ! ทำไมฉันต้องสกัดได้ไพ่ใบนี้ด้วยนะ!”
เธอผลักไพ่กลับไปด้วยอารมณ์ทั้งโกรธทั้งอาย!
อีกด้านหนึ่ง
ยักษ์เทาที่อยู่ในมุมสูง สังเกตว่าสถานการณ์รบกำลังเปลี่ยนแปลงไป
เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกยุทธปล่อยมือจากดาบคู่ของตน แต่สองดาบกลับยังคงเคลื่อนไหวได้เองอย่างต่อเนื่อง แถมยังระเบิดอำนาจอันรุนแรงของสกิลดาบออกมา
“โชคไม่ดีจริงๆ ดันต้องมาเจอกับนักดาบนิรันดร์อย่างกะทันหัน!” ยักษ์เทาตวาด
นักดาบนิรันดร์เป็นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธนานๆ ครั้งจะถือกำเนิดขึ้น และพลังโจมตีของพวกเขาจัดว่าน่าหวาดกลัวนัก!
ตนไม่สามารถปล่อยให้ศัตรูต่อสู้แบบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว!
ยักษ์เทาเอื้อมมือไปคว้าค้อนสงครามขนาดใหญ่ โถมตัววูบไปตามสายลมภายใต้ค่ายกลดาบที่กำลังร่ายระบำ
เขาพุ่งไปได้ครึ่งทาง แต่แล้วก็จำต้องหยุดกายลงอย่างกะทันหัน สะบัดค้อนใหญ่ กระแทกใส่เบื้องหน้าอย่างแรง
เปรี้ยง!!
ทว่ามันไม่เป็นผล!
สองหุ่นเชิดที่ในมือกุมกระบี่ดำปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน โบกสะบัดกระบี่เพื่อปัดป้องค้อนใหญ่นี้
“บัดซบ!” ยักษ์เทาคำราม
เขาก้มลงมองผืนทราย
เห็นแค่เพียงซีน้อยที่ที่พึ่งปลดปล่อยไพ่หุ่นเชิดสองใบออกมา
“หืม…อย่าคิดว่าฉันจะยืนอยู่เฉยๆ สิ”
เธอเริ่มวาดไพ่ออกไปอีกครั้ง
คราวนี้ ในที่สุดเธอก็ได้ไพ่สองใบที่ตนเองต้องการ
ซีน้อยโยนไพ่ใบหนึ่งไปที่กู่ฉิงซาน
ไพ่ได้หายวับไป
และร่างกายของกู่ฉิงซานก็ถูกล้อมด้วยห้าโล่ที่ซีดเซียว พวกมันโคจรไปมา “โล่มนตรา โล่แห่งความตาย”
“การเปิดใช้งานสกิลนี้ จะช่วยให้คุณสามารถปัดป้องการโจมตีจากศัตรูได้ถึงห้าครั้งติดต่อกัน”
แม้ว่ากู่ฉิงซานจะกุมหอกปีศาจแดงอยู่ ทำให้ไม่สามารถสวมเกราะรบได้ ทว่าโล่ป้องกันที่ลอยอยู่ในอากาศ มิได้สัมผัสต้องตัว ยังคงสามารถใช้งานได้
ซีน้อยชี้ไพ่อีกใบไปทางยักษ์เทา ปากอ้าตะโกน “เทคนิคต้องห้ามอาวุธ ค้อนสงคราม!”
ค้อนสงครามในมือของยักษ์เทาพลันหายวับไป และปรากฏขึ้นบนไพ่ของเธอ
ยักษ์เทาสบถด้วยความโกรธ “ ‘เอินเจี้ยน’ รีบใช้ร่างเงาของแก ไปฆ่านังผู้ใช้ไพ่ให้ฉันซะ!”
นักล่าเงินรางวัลที่กุมสองกริชแหลมในมือตอบรับคำ
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง ขอเวลาแค่นาทีเดียวก็พอ”
ว่าจบ เจ้าตัวก็กลายร่างเป็นเงาปีศาจ โฉบเข้าหาซีน้อย
นี่คือร่างเงาที่พบเจอได้ยากยิ่ง มันสามารถทะลุผ่านทุกชนิดของมนตรา ตราบใดที่สามารถสังหารศัตรูในระยะเวลาที่กำหนดได้ ร่างเงาจะดูดซับจิตวิญญาณของศัตรู เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายทั้งหมดที่เขาได้รับ
แต่ซีน้อยดูจะไม่สนใจขว้างไพ่ออกไป เธอเพียงสละไพ่หลายใบจากมือ ปล่อยทิ้งลงรอบตัว
จากนั้น…
เธอก็หยิบไพ่ใบแรกที่ได้มาจากกู่ฉิงซาน
เปิดใช้งานร่างเงาแทนที่!
ในเสี้ยววินาที นักล่าเงินรางวัลก็ปรากฏตัวขึ้นในตำแหน่งของซีน้อย
เขาหันไปมองรอบกายด้วยความสับสน
อ่าว? ทำไมจู่ๆ ตนถึงมายืนอยู่บนทะเลทรายกัน?
ทันใดนั้นเอง พื้นทรายใกล้ๆ กับเท้าเบื้องล่างเขา หลากหลายไพ่ก็เริ่มสาดรังสีแสงออกมา
ในเวลาเดียวกัน ซีน้อยก็ไปปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องบน
ปากเปล่งทำนองไพเราะเสนาะหู “บ๊ายบาย”
บรึ้ม!
………………….
บนยานอวกาศของกลุ่มนักล่าเงินรางวัล
ยักษ์เทาถอนสายตาออกจากท้องฟ้า
แม้บางสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าจะทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ แต่ตอนยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ
“นายพบเจ้าหนุ่มนั่นแล้วงั้นเหรอ?” เขาถาม
“ใช่”
“แล้วระดับความแข็งแกร่งของเขาล่ะ?”
“คำนวณตามมาตรฐานพลังของผู้ฝึกยุทธ คิดว่าน่าจะอยู่ในขอบเขตพันวิบัติขั้นปลาย” ตาสวรรค์กล่าว
พริบตานั้นกลุ่มนักล่าเงินรางวัลพลันระเบิดเสียงหัวเราะทันที
หากเป็นผู้ฝึกยุทธที่บรรลุถึงขอบเขต ดาราโกลาหล หวนคืนสู่ศูนย์ กระจ่างจิตเทวะ หรือเบิกเนตรมิติ กลุ่มนักล่าเงินรางวัลของพวกเขาคงจำต้องวางแผนจัดการอย่างรอบคอบ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในดินแดนชิงอำนาจกว่าสองร้อยล้านชั้น กลุ่มของพวกเขา ยังไม่นับว่าติดอยู่ในอันดับดีๆ
แต่ถ้าในภารกิจนี้ เป็นแค่การกำจัดผู้ฝึกยุทธขอบเขตพันวิบัติล่ะก็ ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา มันก็ไม่น่าจะใช่เรื่องยากเย็นอะไร
ยักษ์เทามองคนของเขา ปากอ้าตะโกนว่า “เช่นนั้นก็ดี ถึงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ก็ช่างหัวมัน พวกเราจะไปล่าเงินรางวัลมาก่อนเป็นอันดับแรก!”
“ทุกคน! มุ่งหน้าไปฆ่าเจ้าหนุ่มนั่นได้!”
“ครับบอส!”
…
กู่ฉิงซานค่อยๆ ลดระดับลงจากเบื้องบนอย่างช้าๆ
ท้องฟ้าบัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยแมลงปีศาจ
ไม่สิ อันที่จริงสมควรกล่าวว่าโลกทั้งใบถูกกลืนกินไปแล้วต่างหาก
โลกทั้งใบ บัดนี้อยู่ภายในกระเพาะของแมลงปีศาจ แต่มันกลับจมลงสู่ความเงียบอย่างน่าฉงน
ความเงียบงันนี้ เปรียบดั่งช่วงเวลาก่อนพายุซัดกระหน่ำ
“ครอบครัวแมงป่องถูกจับตัวไป” กู่ฉิงซานกล่าว
“มันเรื่องอะไรกัน?” ซีน้อยถาม
กู่ฉิงซานบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดไป
“นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นหนึ่งในวิธีคุมขังของเทพวิญญาณ” ซีน้อยครุ่นคิด
ท่าทีของเธอเปลี่ยนเป็นจริงจัง จั่วไพ่ออกมาจากในความว่างเปล่า
-มันคือไพ่อัญเชิญราชินีปีศาจแมงป่อง
ซีน้อยมองไปที่ไพ่ แต่กลับไม่พบอะไรเลย
“ฉันไม่สามารถอัญเชิญเธอได้แล้ว ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติจริงๆ” ซีน้อยขมวดคิ้ว
กู่ฉิงซานมองไพ่ที่ว่างเปล่า อดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “ราชินีแมงป่องเป็นบาป ฉันหมายถึงเธอก็เป็นหนึ่งในสำรับไพ่ผู้หลบหนีเหมือนกันเหรอ?”
“เปล่า เธอเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตในหุบเหวแห่งบาป เพราะก่อนที่ฉันจะทันได้สลายพลังไป ครั้งหนึ่งเธอเคยได้สัมผัสกับกลิ่นอายของฉัน ดังนั้นเธอเลยเกิดความสมัครใจที่จะทำสัญญากับฉัน”
“หุบเหวแห่งบาปคืออะไร?”
“ภายใต้ผืนทราย ลึกลงไปตรงก้นเหวจะมีผนึก เทพวิญญาณได้สร้างผู้พิทักษ์เอาไว้ปกป้องหุบเหวที่เก็บผนึก เผื่อว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น ผู้พิทักษ์จะสามารถเข้าไปแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที” ซีน้อยกล่าว
“แต่เทพวิญญาณได้จากไปตั้งนานแล้วนี่” กู่ฉิงซานท้วงติง
ซีน้อย “ดังนั้น พวกเขาจึงได้อาศัยอยู่ในหุบเหวแห่งบาปตลอดมา ไม่เคยออกไปจากนอกโลกเลย”
“แต่ฉันไม่คิดเลยว่าเทพวิญญาณจะตลบหลังพวกเขาแบบนี้”
ทั้งสองเงียบไป
จู่ๆ กู่ฉิงซานก็ยกดาบของเขาขึ้นอย่างกะทันหัน
ซีน้อยเองก็จั่วไพ่ออกมาเช่นกัน
มันเป็นไพ่ที่ภายในเป็นรูปถุงตาข่ายสีขาว
ไพ่ป้องกัน ตาข่ายสะท้อนกลับ!
ตาข่ายสะท้อนกลับ สามารถสะท้อนการโจมตีครั้งแรกของศัตรูได้อย่างสมบูรณ์
“คำอธิบาย ตาต่อตา ฟันต่อฟัน!”
“คำอธิบาย ถุงตาข่ายนี้ไม่สามารถตอบโต้การโจมตีถึงตายได้ และมันจะไม่สามารถสะท้อนกลับการโจมตีที่รุนแรงกว่าฐานพลังของราชทูตตัดสินบาปสามเท่า”
ปัง!
ไพ่แตกกระจาย
ในเวลาเดียวกัน ตาข่ายสีขาวก็ผลุบออกมาจากในความว่างเปล่า
ตาข่ายสีขาวบดบังขึ้นเบื้องหน้าทั้งสอง ปิดกั้นเสาแสงที่สาดลงมาอย่างกะทันหัน
เสาแสงกระทบลงกับตาข่าย เชือกที่เชื่อมติดกันถึงขั้นย้วยลงมาใกล้กับใบหน้าของทั้งสอง
“ไม่เป็นไร มันยังไม่ทะลุถึงขั้นขีดจำกัดสูงสุดที่ตาข่ายจะรับไหว การโจมตีนี้ยังพอสามารถสะท้อนกลับได้” ซีน้อยกล่าว
ทันทีที่เสียงตกลง เสาแสงก็ม้วนตัวกลมเป็นลูกบอล และดีดย้อนกลับไป
ทันใดนั้นเอง บนท้องฟ้าไกล ก็พลันเกิดประกายแสงสว่างวาบขึ้น
ยานอวกาศถูกระเบิดใส่อย่างแรง ควันโขมงพวยพุ่งเต็มท้องฟ้า
กู่ฉิงซานกับซีน้อยจ้องมองยานอวกาศ
ดูเหมือนว่าการโจมตีก่อนหน้านี้ จะเป็นการลอบโจมตีโดยตรงจากยานอวกาศ
“นายไปมีปัญหากับใครมาอีกรึเปล่า?” ซีน้อยถาม
“ไม่มีนะ แต่ฉันคิดว่าพวกเขาต้องการมาจับเรามากกว่า” กู่ฉิงซานกล่าว
“ใครจะมาจับพวกเรา?” ซีน้อยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“แน่นอนว่าต้องเป็นวิหารแห่งความตาย” กู่ฉิงซานกล่าว
ซีน้อยตระหนักถึงสถานการณ์ในทันใด
ไม่ไกลออกไป ผู้คนนับสิบเริ่มทยอยกันออกมาจากยานอวกาศที่กำลังร่วงตกลง พุ่งเข้าหาทั้งสองอย่างรวดเร็ว
ระยะห่างระหว่างทั้งสองไม่ไกลจากกันและกัน
คนเหล่านั้นพุ่งตรงมาข้างหน้าเร็วมาก และเริ่มจัดรูปแบบเป็นวง ปิดล้อมทั้งสองคน
ซีน้อยเอ่ยถาม “คนพวกนี้ บางคนดูเหมือนไม่เหมือนกับนักบวชเลย ทำไมพวกเขาถึงมาจับตัวพวกเราเพื่อเทพวิญญาณด้วย? หรือว่าพวกเขาเป็นอาวุธใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพวิญญาณ?”
กู่ฉิงซาน “ไม่ใช่อาวุธหรอก แต่น่าจะเป็นคนที่คิดจะฮุบรางวัลนำจับของจากทางวิหารมากกว่า”
“อะไรคือรางวัลนำจับ?”
“…”
ณ เวลานี้ กู่ฉิงซานได้รู้จักซีน้อยมากขึ้น
เขาค้นพบว่าซีน้อยแม้จะล่วงรู้ความลับมากมายจากในสมัยโบราณ แถมยังมีความสามารถในการต่อสู้ แต่เธอกลับไม่มีความรู้ ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับโลกในยุคปัจจุบันเลย
เขาอธิบายความหมายของ ‘รางวัลนำจับไป’
ระหว่างทั้งสองสนทนา ยักษ์เทาก็ก้าวนำออกมาจากท่ามกลางหลายสิบคน
โดยมีใบประกาศจับอยู่ในมือของเขา
มองไปยังวัยรุ่นชายและหญิงที่ตรงกันกับภาพ ยักษ์เทาก็พยักหน้ายืนยัน
เป้าหมายถูกต้อง
เขาคำรามเสียงกระจ่างใส “ไปฆ่ามันซะ!”
ในฐานะหัวหน้าทีม เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมีเสียเวลาเจรจาอะไรกับศัตรูให้มากความ
เมื่อคำสั่งถูกส่งออกไป นักล่าเงินรางวัลทั้งหมดก็กระโจนเข้ามารุมทันที
ซีน้อยกล่าวอย่างร้อนรน “ความแข็งแกร่งของนายต่ำเกินไป ดูแลตัวเองให้ดีแล้วกัน ฉันจะทำหน้าที่เป็นตัวรับโจมตีหลักให้เอง”
“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานรับคำด้วยความสุข
คนพวกนี้แข็งแกร่งเกินไป หากเป็นเขาที่ต้องสู้เพียงลำพัง ตนคงตัดสินใจเผ่นหนีไปแล้ว ทว่าหากมีคู่หูรู้ใจอยู่ด้วย ย่อมต่างออกไป
เขาสวมใส่ชุดเกราะเฉินเว่ย และเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
ร่างของซีน้อยกะพริบไหว วิ่งกุมไพ่ตรงไปข้างหน้า
เธอพยายามดึงดูดกำลังรบของศัตรูให้หันเหมาทางตัวเองให้มากที่สุด
ทว่าก็ยังมีอีกกว่าเจ็ดถึงแปดคนอยู่ดีที่พุ่งเข้าหากู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะออกมา
และพบว่าไม่มีใครอ่อนแอกว่าเขาเลย
อ้างอิงความแข็งแกร่งตามกลิ่นอายของคนเหล่านี้ อย่างน้อยที่สุด คืออยู่ในขอบเขตพันวิบัติของผู้ฝึกยุทธ
แถมยังมีหลายคนเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า และลมปราณจิตเลย
แม้กระทั่งคนที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตลมปราณจิต ขอบเขตดาราโกลาหลก็ยังมี!
กู่ฉิงซานตัดสินใจหลีกเลี่ยงชายคนที่สุดท้ายที่กล่าวถึง เขากุมสองดาบในมือ และหายวับ! ไปปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสามคนที่อ่อนแอที่สุดอย่างกะทันหัน
ดาบยาวขยับไหว
ล่าชีพ!
สองคนพลันตกตายลงในคมดาบเดียว
ขณะที่อีกหนึ่งอาศัยสัญชาตญาณตัวเอง สามารถปัดป้องคมดาบของกู่ฉิงซานเอาไว้ได้
อีกหลายคนเมื่อเห็นฉากนี้ก็เริ่มตื่นตัวทันที
“ระวังกันด้วย! เหมือนว่าเจ้าหนูนี่จะสามารถโจมตีแยกอากาศได้” นักล่าเงินรางวัลที่แกร่งที่สุดกล่าว
กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจ
คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะฉวยโอกาสฆ่าได้แค่สองคนเท่านั้น
นักล่าเงินรางวัลที่แข็งแกร่งที่สุด และนักรบระยะประชิดอีกสองคนประกบติดกับนักเทคนิคมนตรา เพื่อป้องกันว่ากู่ฉิงซานจะเร้นกายมาปรากฏตัวลอบสังหารอีกครั้ง
นักเทคนิคมนตรา เริ่มต้นร่ายมนตร์ด้วยความเร็วสูงสุด
ใบมีดตัดมิติ!
เพลิงผลาญ!
แยกลมปราณ!
รังสีเยือกแข็ง!
ทุกชนิดของเทคนิคมนตราสาดแสงระยับ วิบวับเข้าหากู่ฉิงซาน
เทคนิคมนตรา ห่ากระสุน โจมตีไม่รู้จบ!
เทคนิคเหล่านี้ล้วนผสมผสานกันอย่างชาญฉลาด เพื่อป้องกันไม่ให้กู่ฉิงซานถอยหนี
ทว่ากู่ฉิงซานเตรียมพร้อมใช้ร่างเงาแทนที่สำหรับสถานการณ์นี้เอาไว้อยู่แล้ว
ทว่าชายคนหนึ่งในบรรดานักล่าเงินรางวัลที่ไม่เคยเคลื่อนไหวเลยตั้งแต่ต้นก็ตะคอกออกมาอย่างกะทันหัน
“กฎเกณฑ์ ทุกมนตราจงปะทะกับเป้าหมายทันที!”
ช่วงเวลาฉุกละหุก เทคนิคมนตราทั้งหมดถูกปลุกเร้าขึ้น ความเร็วของพวกเขาทะยานจนเห็นแค่เพียงเส้นแสง ปะทะเข้าใส่กู่ฉิงซานในฉับพลัน
เปรี้ยง!
กู่ฉิงซานถูกกระแทกอย่างแรงจากเทคนิคมนตราเหล่านี้ เขาร่วงปะทะเข้ากับผืนทรายดังตู้ม! บังเกิดระลอกคลื่นทรายกระจายไปทั่ว
เม็ดทรายลอยฟุ้งกระจายไปทั่วฟ้า
กู่ฉิงซานกระอักเลือดออกมา พยายามยืนหยัดขึ้นบนผืนทราย
แม้ว่าเขาจะสวมใส่เกราะรบเฉินเว่ยอยู่ก็ตาม แต่หากถูกระดมยิงใส่ด้วยเทคนิคมนตรามากมายในคราวเดียวแบบนี้ เจ้าตัวก็ล้มได้เหมือนกัน
กลยุทธ์ของฝั่งตรงข้าม ช่างประณีตและมากไปด้วยฝีมือ ทุกอาชีพถูกจัดสรรหน้าที่ไว้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นคนร่ายมนตราโจมตี หรือคนที่ใช้เทคนิคกฎเกณฑ์โจมตีอย่างกะทันหัน กู่ฉิงซานที่ไม่ทันระวังเลยโดนเข้าจังๆ
มันเป็นเรื่องยากที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลัง แถมยังร่วมมือกันเป็นอย่างดี
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าที่แห่งนี้คือดินแดนชิงอำนาจ ดังนั้น เหล่านักล่าเงินรางวัลจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้มากเป็นพิเศษแน่นอน
กู่ฉิงซานหัวเราะ
ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน เกราะรบแตกเป็นเสี่ยง ห้อยอยู่ตามตัวของเขา และหลุดลุ่ยลงมา
“ประโยคหนึ่งก่อนที่จะถูกเทคนิคมนตราโจมตีเข้าใส่ เหมือนจะนั่นจะเป็นมนตราแห่งกฎเกณฑ์สินะ…”
“เจ้าสิ่งนั้นมันฟังดูน่าสนใจจริงๆ”
เขาบ่นพึมพำเบาๆ
ท่ามกลางหายนะโทษทัณฑ์ที่ร้ายแรงถึงตาย เจตนาฆ่าอันไร้ที่สิ้นสุดพลันปะทุขึ้นมาจากร่างของกู่ฉิงซานอย่างกะทันหัน
เขายื่นมือออกไปคว้าจับในอากาศที่ว่างเปล่า
ดาบขุนเขาเทวะและเช่าหยินถูกกุมอีกครั้ง
กู่ฉิงซานกำลังจะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
แต่ในตอนนั้นเอง เงาๆ หนึ่งก็ร่วงตกลงมาล้มลงข้างกายกู่ฉิงซาน
เป็นซีน้อย
เธออ้าปากหอบหายใจและกล่าว “บ้าจริง พอคนเยอะ จะทำอะไรมันก็ลำบากไปหมด”
กู่ฉิงซานหยุดมองเธอ “แล้วนี่ได้รับบาดเจ็บรึเปล่า?”
บนท้องฟ้า กลุ่มนักล่าเงินรางวัล ภายใต้คำสั่งของยักษ์เทา ได้ตีวงล้อม ปิดทางหนีทั้งคู่ถึงสองชั้น
ชายคนหนึ่งหัวเราะออกมา “บอส เหมือนว่างานคราวนี้เหมือนจะง่ายกว่าที่คิด”
“แต่ก็เพราะมันง่ายเกินไปนี่แหละ ทำให้ฉันดันคิดถึงปัญหาอื่นขึ้นมา” ยักษ์เทาขบคิด
“ปัญหาอะไรเหรอบอส?”
“ทั้งๆ ที่พวกเขาอ่อนแอถึงขนาดนี้ แต่ทางวิหารกลับต้องการให้พวกเขาตาย นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องไปรู้ความลับอะไรบางอย่างเข้าแน่ๆ…”
“บอสต้องการจะสื่ออะไร?”
“เค้นความลับของพวกมันออกมาก่อน ถึงค่อยลงมือฆ่าได้”
“แต่ถ้าเราทำแบบนั้น ไม่ใช่ว่านั่นจะเป็นการสร้างความไม่พอใจให้กับทางวิหารเหรอ?”
“อืม…เพราะนี่ไงฉันถึงได้ลังเลอยู่”
ระหว่างพวกเขากำลังตัดสินใจ ซีน้อยกับกู่ฉิงซานก็เร่งสื่อสารกันอย่างรวดเร็ว
“พวกเขามีจำนวนมากเกินไป แถมยังประสานงานกันเป็นอย่างดี ความแข็งแกร่งก็มากกว่าพวกเรา เธอว่าเอายังไงดี?” กู่ฉิงซานถาม
ซีน้อยส่ายหัวและกล่าว “ฉันเชี่ยวชาญในด้านเทคนิคมนตรา แต่ตอนนี้ได้สูญเสียอำนาจส่วนใหญ่ไปหมดแล้ว ดังนั้นนี่ก็เป็นเรื่องยากที่ฉันจะรับมือกับมันเหมือนกัน”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็คงจะมีแค่หนทางดะ…”
เขายังเอ่ยไม่ทันจบ ซีน้อยก็ขัดจังหวะขึ้นซะก่อน “ดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องหลอมรวมกันซะแล้วถึงจะสู้ได้”
กู่ฉิงซานตกใจ เอ่ยพึมพำ “เธอหมายความว่ายังไง?”
ซีน้อยเหยียดสองนิ้วออกไป แล้วไพ่สีขาวก็ผลุบออกมาจากในอากาศที่ว่างเปล่า
เธอจั่วไพ่ใบนั้นออกมา
นี่เรียกว่าไพ่เอกลักษณ์ (ไม่มีซ้ำ)
แสงจางๆ หลากสีระยับออกมาจากไพ่ ส่งผลให้ทั้งใบของมันดูวิจิตรตระการตา
บนหน้าไพ่ เป็นรูปของสองนางฟ้าที่งดงาม ยืนอิงแผ่นหลังกันและกัน ขณะที่สองมือของพวกเธอประกบพนมเบื้องหน้า แสดงท่าทีว่ากำลังอธิษฐานอยู่
ซีน้อยมองไพ่ และกล่าว “ฉันไม่เคยมีคู่หูมาก่อนเลย ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้ใช้ไพ่ใบนี้”
ว่าจบเธอก็โยนไพ่ออกไป
ไพ่หายวับไปอย่างกะทันหัน
ในเวลาเดียวกัน ตัวกู่ฉิงซานก็สาดแสงสีเทาออกมา
ส่วนทางซีน้อยสาดแสงสีเขียว
แล้วรังสีแสงทั้งสองประกบม้วนเป็นเกลียว รวมกันเป็นด้ายเส้นหนึ่ง
ด้ายเส้นนี้เชื่อมต่อระหว่างกู่ฉิงซานกับซีน้อย
ด้ายแสงผสานรวมกันเพียงชั่ววูบ และมันก็หายวับไป
ซีน้อยกล่าว “คราวนี้ล่ะ สถานการณ์มันจะแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง”
สายตาของกู่ฉิงซานเบนมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม
ที่บัดนี้ปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยเด้งเตือนขึ้นมา
“ไพ่เอกลักษณ์ เงาคู่ ได้ถูกเปิดใช้งานแล้ว”
“ราชทูตตัดสินบาป กู่ฉิงซาน กำลังพยายามประสาน”
“นางฟ้าตัดสินบาป ซี กำลังพยายามประสาน”
“การประสานสำเร็จแล้ว”
“โหมดเงาคู่ประจัญบาน เปิดใช้งาน ณ บัดนี้!”
……………………..
“ไม่เป็นไรหรอก เพราะพวกเรากำลังจะได้ออกไปจากที่นี่แล้ว”
ชายผิวดำเมี่ยมปลอบโยนลูกชายของเขา
เห็นได้ชัดว่าพนักงานยังตกใจอยู่ เขาเร่งก้มหัวให้คนในห้อง และถอยออกจากโซนที่นั่ง
เพราะตนต้องเร่งกลับไปตรวจสอบสถานการณ์
ประตูถูกปิดลงตามหลังเขา
อากาศแข็งตัวไปหลายลมหายใจ
หลายคนรับรู้ถึงการสั่นสะเทือน และการดิ้นรนของผืนโลกอย่างเงียบๆ
โลกทะเลทรายทั้งใบสั่นสะเทือนในระดับที่ผิดปกติ เวลานี้ หากบอกว่ามันเป็นแค่แผ่นดินไหวธรรมดาๆ คงจะไม่มีใครเชื่อแล้ว
“นี่ยังไม่ได้เวลาออกเรืออีกหรือ?” ราชินีแมงป่องถามกู่ฉิงซาน
“เหลืออีกราวๆ ครึ่งนาที” กู่ฉิงซานตอบ
“นับว่าโชคดีจริงๆ ที่พวกเรากำลังจะได้ออกไป” ชายผิวดำเมี่ยมถอนหายใจ
“เดี๋ยวก่อน ผมมีคำถาม ภายในห้องโถงเมื่อครู่มีคนอยู่ตั้งหลายพันคน แล้วคุณสามารถระบุตัวตนว่าเป็นผมตั้งแต่แรกเลยได้ยังไง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ชายดำเมี่ยมหัวเราะ “ก็ ‘หมุด’ ของข้าอยู่กับเจ้าตลอดเวลา แต่เจ้าไม่เคยใช้มันเลย”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”
ชายดำเมี่ยมกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “แต่เจ้าเชื่อข้าเถอะ เจ้าสามารถใช้มันได้อย่าวางใจ”
กู่ฉิงซาน อธิบายอย่างช้าๆ“อันที่จริงแล้วที่ผมไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับมัน เป็นเพราะผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร และจะใช้งานมันได้อย่างไร”
ในเวลานี้ เมื่อภายในโซนที่นั่งไม่มีใครอีก เขาจึงเปลี่ยนกลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม
ชายดำเมี่ยมยิ้มกว้าง “ด้วยหมุดแหลมของข้า ย่อมไม่มีมอนสเตอร์ตนใดในทะเลทรายสามารถทำให้เจ้าลำบากใจได้ ยิ่งไปกว่านั้น ศัตรูใดที่ถูกมันแทงย่อมต้องตกตาย เชื่อข้าเถอะ พิษร้ายของข้ามิใช่สิ่งที่จักแก้ได้โดยง่าย”
“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณ คุณมาก” กู่ฉิงซานพยักหน้ารับความปรารถนาดี
แต่แล้วราชินีแมงป่องก็ยื่นมือออกไปทางกู่ฉิงซาน พลางกล่าว
“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”
“อะไร?” กู่ฉิงซานงง
“ก็ในเมื่อเจ้าสังหารชายชุดคลุมดำลงได้ ฉะนั้นงานนี้ต้องมีส่วนแบ่ง” ราชินีแมงป่องกล่าว
“แต่คุณไม่ได้อยู่ที่นั่นสักหน่อย ว่าแต่คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?” กู่ฉิงซานถาม
“ข้าไม่สน แต่ตอนที่ช่วยถ่วงเวลาเจ้า ข้าใช้พลังไปไม่น้อยเลย” ราชินีแมงป่องทำท่าทางกวักมือของเธอ
กู่ฉิงซานหัวเราะ
ตัวตนระดับทรงอำนาจ ย่อมไม่มีทางที่จะโกหกเรื่องเล็กน้อยพวกนี้
อีกอย่าง ในระหว่างที่เขาต่อสู้กับเธอ เขาก็ตระหนักดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าตน
“แต่มันติดปัญหาอยู่นิดหน่อยน่ะสิ เพราะผมไม่สามารถเปิดถุงกระเป๋าใบนี้ได้” กู่ฉิงซานกล่าวตามความจริง
“สบายใจเถอะ ไม่มีใครในตลาดมืดสามารถเปิดกระเป๋าส่วนตัวของเขาได้หรอก แต่สามีของข้าสามารถทำได้” ราชินีกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ชายดำเมี่ยมฝืนยิ้ม เผยท่าทีกระดากอาย ปฏิเสธเล็กน้อย
ภรรยาจิกสายตาใส่เขาทันที
“รีบเอามา เราจะเปิดมันให้เจ้า แล้วมาแบ่งกันคนละครึ่ง” ราชินีแมงป่องกล่าว
“แต่ด้วยความแข็งแกร่งของคุณทั้งสอง ยังต้องมากังวลเรื่องเงินอยู่อีกเหรอ?” กู่ฉิงซานงง
ราชินีแมงป่องแสดงท่าทีกระวนกระวาย “ก็หลังจากที่ต้องออกจากภูมิลำเนาเดิม ทุกที่ต่อจากนี้แน่นอนว่าย่อมต้องใช้เงิน แล้วข้าก็อยากให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีในอนาคตอีก ไหนจะเรื่องโภชนาการอีก ดังนั้นเงินเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในตอนนี้”
“มันก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี งั้นพวกเรามาแบ่งเงินกัน” กู่ฉิงซานเห็นด้วย
โดยไม่ลังเล เขาหยิบถุงกระเป๋าสีดำออกมา และโยนมันให้แก่อีกฝ่าย
ราชินีแมงป่องคว้าหมับ! และส่งต่อให้ชายผิวดำเมี่ยม
ชายผิวดำวางถุงกระเป๋าลงบนฝ่ามือของเขา จากนั้นก็ยื่นอีกมือหนึ่งออกมา ชี้นิ้วลงบนปากถุง
แคว่ก!
เสียงจากการเปิดปากถุงดังขึ้นเล็กน้อย
ชายดำเมี่ยมหยิบถุงกระเป๋าขึ้น และต้องการที่จะยื่นมันให้แก่กู่ฉิงซาน
แต่ราชินีแมงป่องถลึงตาใส่เขา
ชายดำเมี่ยมสะดุ้ง ชักมือกลับ วางถุงกระเป๋าลงบนโต๊ะ
“มันไม่เป็นไรหรอก พวกคุณเชิญเลือกของที่ต้องการในถุงกระเป๋าใบนั้นก่อนได้เลย” กู่ฉิงซานกล่าว
“หา? ใจกว้างจังเลยนะ” ราชินีแมงป่องยิ้ม
“เอ่อ ก็ผมมันคนโสด ไม่ได้มีความกังวลอะไรเกี่ยวกับปัญหาชีวิตคู่ ดังนั้นพวกคุณเชิญเลือกมันก่อนเถอะ” กู่ฉิงซานย้ำ
เวลานี้ รอยยิ้มของราชินีแมงป่องดูจะจริงใจขึ้นหลายส่วน
‘เด็กหนุ่มคนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีอะไรอยู่ในถุงกระเป๋า แต่เขากลับบอกให้ฝ่ายตนเป็นคนเลือกก่อน หมายความว่าจิตใจของเจ้าหนุ่มนี่ไม่มีความละโมบอยู่เลยสินะ?’
ในเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงขนาดนี้ ฉะนั้นเธอจึงไม่รีบเลือกหยิบแต่สิ่งที่มันเลอค่าออกมา เดี๋ยวจะดูไร้มารยาทและแล้งน้ำใจเกินไป
เธอเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าเห็นว่าขอบเขตของเจ้า สมควรจะอยู่ในขอบเขตพันวิบัติขั้นปลายของผู้ฝึกยุทธ และกำลังจะทะลวงผ่านมันไปได้ในเร็วๆ นี้ใช่หรือไม่”
“เป็นอย่างที่คุณพูด” กู่ฉิงซานตอบ
“ดูจากสถานะของเจ้า คาดว่าสมควรจะเป็นหายนะโทษทัณฑ์ครั้งสุดท้าย”
“ถูกต้อง”
“เช่นนั้น นับแต่นี้ไปตลอดการเดินทาง พวกเราจะคอยดูแลเจ้าเอง”
“ขอบพระคุณมาก!” กู่ฉิงซานประสานสองกำปั้น คารวะทันที
หายนะโทษทัณฑ์ในครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งสำหรับตน แต่หากมีตัวตนอย่างราชินีแมงป่องคอยเฝ้าดูอยู่ด้วยล่ะก็ ทุกสถานการณ์ก็น่าจะสามารถผ่านพ้นไปได้อย่างง่ายดาย
“เจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไปนัก ในเมื่อพวกเราต่างก็ต้องการที่จะหนีออกไปจากที่นี่ ดังนั้นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็สมควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
ทันใดนั้นเอง…
ตูม!
พลันบังเกิดแรงกระแทกครั้งใหญ่ขึ้น
โลกทั้งใบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
แผ่นดินไหวคราวนี้ หนักหนายิ่งกว่าครั้งก่อนหน้า กระทั่งสายลมกรรโชกก็ยังกระพือขึ้นมาถึงบนท้องฟ้า
ทว่าโชคยังดี ที่เรือของพวกเขาได้แล่นออกมาแล้ว
เรืออวกาศทะลุเมฆเป็นแนวยาว กำลังค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้น
“ในที่สุดก็จะได้ไปเสียที”
สีหน้าของราชินีแมงป่องซีดขาวเล็กน้อย
ชายดำเมี่ยม “เฮ้อ มันเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่ต้องทำใจทิ้งหุบเหวแห่งบาปไป แต่ไม่มีทางเลือก เพราะชีวิตสำคัญกว่า”
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “แล้วทำไมพวกคุณถึงตัดสินใจจากมันไป?”
ราชินีแมงป่องถอนหายใจ “ก็คงจะเป็นเหตุผลเดียวกันกับเจ้า”
“ใช่” ชายดำเมี่ยมกล่าว “เพราะเจ้าสิ่งนั้นกำลังจะตื่นขึ้น”
ว่าจบ เขาก็เอื้อมมือไปลูบหัวลูกชาย
พริบตานั้นเอง อักษรรูนโบราณสีทองก็พลันผุดออกมาจากในความว่างเปล่า
อักษรรูนเหล่านี้รวมตัวกันเป็นด้าย พัวพันรอบตัวชายดำเมี่ยม และลากตัวเขาหายไป
ราชินีแม่งป่องไม่ทันจะได้มีเวลาเคลื่อนไหว ด้ายสีทองก็มัดเธอเสียก่อน
“บัดซบ นี่มันอำนาจ…”
ราชินีแมงป่องสบถด่าด้วยความโกรธแค้น ทั้งคนทั้งร่างของเธอหายวับไป
หลังจากนั้นไม่นาน ลูกชายเธอที่กำลังจะเริ่มร้องไห้ก็ถูกนำตัวไปโดยแสงสีทองเช่นกัน
ช่วงเวลาฉุกละหุก ทั้งสามทยอยกันหายไป
กู่ฉิงซานรู้สึกเพียงแค่ว่ามีแสงสีทองพุ่งเข้ามาด้านหน้าเขา แล้วทุกอย่างก็จบลง
บนโต๊ะ ถ้วยชาทั้งสี่ยังอุ่นอยู่เลย
แต่บัดนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวแล้วในโซนที่นั่ง
กู่ฉิงซานค่อยๆ ผุดลุกขึ้นอย่างช้าๆ
สถานการณ์ในปัจจุบันมันเกินกว่าจินตนาการทั้งหมดของเขา
ไม่ว่าจะเป็นราชินีแมงป่องหรือชายดำเมี่ยม ทั้งสองล้วนเป็นการดำรงอยู่ที่ทรงอำนาจ
อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับไม่มีแม้โอกาสที่จะต่อต้าน และถูกนำตัวหายไป
แม้จะรู้ว่ากระทั่งตัวตนทรงอำนาจอย่างราชินีแมงป่องก็ยังไม่อาจต้านทานได้ แต่กู่ฉิงซานก็ยังเลือกที่จะเรียกดาบขุนเขาเทวะหกโลกาออกมา
ครืน!
การสั่นสะเทือนของผืนโลกยิ่งนาน ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ความตายอันเข้มข้นตกลงมาจากในความว่างเปล่า คืบคลานเข้ามาในร่างกายและจิตใจของกู่ฉิงซาน
หายนะโทษทัณฑ์ กำลังจะมาเยือนแล้ว!
กู่ฉิงซานสงบใจตนลง พยายามควบคุมลมหายใจ
ทันใดนั้น เขาก็มองออกไปทางนอกหน้าต่าง เงยขึ้นไปในมุมสูง
เห็นแค่เพียงเหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า ยานอวกาศที่ลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟกำลังร่วงตกลงมา
กู่ฉิงซานเฝ้ามองฉากที่ยานอวกาศลำแล้วลำเล่าพากันร่วงหล่นลงมาอย่างเงียบๆ
เขาหลับตาลง และย้อนนึกไปถึงข้อมูลที่เขาได้อ่านจากป้ายแจ้งเวลา
… ไม่น่าจะผิดพลาดแล้ว
แล้วทำไมพวกมันทั้งหมดถึงได้ถูกทำลายลงล่ะ?
กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป เพื่อต้องการสำรวจท้องฟ้าเบื้องบน
เขาพบว่ามียานอวกาศนับไม่ถ้วนกำลังลุกไหม้ ร่วงตกลงมา ฉากนี้ราวกับว่าวันสิ้นโลกมาได้ถึง
ทันใดนั้นเอง เรืออวกาศที่กู่ฉิงซานนั่งอยู่ก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง คลื่นความผันผวนของมนตราบนอากาศเกิดความผิดปกติขึ้น
แบบนี้ไม่ดีแล้ว…
หัวใจของกู่ฉิงซานหม่นทะมึนลง
เขาเร่งหยิบถุงกระเป๋าดำใบเล็กจากบนโต๊ะขึ้นมา ง้างดาบยาวในมือ และจ้วง! แทงออกไปทิศทางนอกเรืออวกาศ
เทคนิคลับแห่งดาบ ฝ่าวารีเชี่ยว!
โครม!
ไม่ว่าผนังเรือจะทนทานสักเพียงไหน มันก็ไม่สามารถขวางการโจมตีแบบเต็มกำลังของเขาได้ รังสีดาบระเบิดสะท้านสะเทือนโดยตรง บังเกิดรูขนาดใหญ่ขึ้น สายลมหนาวจากด้านนอกหลั่งไหลเข้ามา
ร่างของกู่ฉิงซานวูบไหวเป็นเงา พรวดออกจากรูที่เปิดออกทันทีและ-
ตู้ม!
แทบจะในทันทีที่เขากระโจนตัวออก เรืออวกาศก็พลันเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ มันลุกไหม้และร่วงตกลงไม่ต่างไปจากยานอวกาศลำอื่นๆ
กู่ฉิงซานลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ แหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า
เห็นแค่เพียงอักษรรูนสีทองค่อยๆ ทยอยกันปรากฏขึ้น
อักษรรูนเหล่านี้บดบังไปทั่วผืนฟ้า
กู่ฉิงซานหยุดนิ่ง กวาดสายตาสำรวจโดยรอบ และพบว่ามีคนตัวตนทรงพลังมากมาย กำลังพยายามดิ้นรนหลบหนีจากลูกไฟที่ตกลงมา
แต่กลับไม่มีใครรู้เลยว่าทำไมเรื่องแบบนี้มันถึงได้เกิดขึ้น
สีหน้าของทุกคนฟุ้งไปด้วยความตื่นตระหนกและสับสน
เงยหน้ามองขึ้นไป คุณยังคงสามารถมองเห็นยานอวกาศจากภายนอกที่กำลังแล่นเข้าสู่โลกทะเลทราย
ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่ายานอวกาศใดก็ตามที่คิดหมายจะออกจากโลกใบนี้ หลังจากที่ได้สัมผัสต้องกับอักษรรูนโบราณแล้ว พวกมันล้วนลุกไหม้และล่มสลายลงทันที
เห็นได้ชัดว่าแม้จะยินยอมให้เข้ามา แต่ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกไป
กู่ฉิงซานเฝ้ามองรูนสีทองที่กำลังกะพริบไหว ปากเอ่ยพึมพำ “นี่มันบทบัญญัติที่ถูกขีดเขียนโดยทวยเทพ … ”
ในโลกสมบัติของทริสเต้ ณ ยอดภูเขาสูงสุดของทวยเทพ กู่ฉิงซานเองก็เคยได้พบเจอกับอักษรรูนโบราณที่คล้ายคลึงกันนี้มาก่อน
แต่เขาไม่คาดคิดเลย ว่าพอได้เข้ามายังดินแดนชิงอำนาจ เขาจะได้พบกับอำนาจเทวะเช่นนี้อีกครั้ง
พอลองย้อนนึกไปถึงครอบครัวของราชินีแมงที่ถูกพรากตัวไปก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นเพราะกลบางอย่างของเทพวิญญาณ
ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ในหัวใจของกู่ฉิงซานค่อยๆ หนักขึ้น คล้ายกับกำลังถูกแช่แข็ง
เทพวิญญาณต้องการจะทำอะไรกันแน่?
ใช่ว่าเป็นเพราะพวกเขาคาดการณ์มานานแล้วหรือไม่ ว่าในวันหนึ่ง นางฟ้าตัดสินบาปซีจะต้องหลุดรอดออกมา ดังนั้นพวกตนจึงได้วางกับดักชั่วร้ายนี่เอาไว้ มิอนุญาตให้สิ่งมีชีวิตใดหลบเร้นออกไป
ขณะเดียวกันนั้นเอง พลันบังเกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นจากทั้งสวรรค์และโลก
“ทำการอัญเชิญแมลงปีศาจเขมือบโลกาจากยุคบรรพกาล”
หลังจากที่เสียงนี้ตกลง อักษรรูนสีทองบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ
นั่นเพราะรูนได้ใช้พลังงานทั้งหมดของมันไปกับการอัญเชิญแล้ว ดังนั้นมันจึงย่อมจะหายไป
เห็นแค่เพียงชั้นแสงสีแดงที่กวาดปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า ก่อร่างเป็นกำแพงอุปสรรคใหม่ขึ้น
ทว่าอุปสรรคใหม่นี้กลับสร้างขึ้นมาจากเนื้อหนัง ขยิกขยุกไปมา คล้ายกำลังคืบคลานอยู่ตลอดเวลา
หลายคนพยายามบินทะลวงฝ่ากำแพงเนื้อสีแดงไป แต่ทั้งหมดกลับถูกโจมตีสวนมาโดยพลังที่มองไม่เห็น
กู่ฉิงซานเห็นกับตา ว่าชายคนหนึ่งที่มีกลิ่นอายเกือบจะเทียบเคียงได้กับจ้าววงการ ได้ถูกบดขยี้จนเป็นเนื้อเหลวด้วยพลังที่มองไม่เห็น ยามเมื่อคิดจะเผชิญหน้ากับอุปสรรคกำแพงเนื้อ
ชายแข็งแกร่งตายลง ทั้งๆ ที่ยังอยู่ห่างจากกำแพงเนื้อตั้งหลายเมตร!
หนวดเรียวยาวพลันยืดออกมาจากกำแพงเนื้อ และเริ่มดูดเลือดและเนื้อหนังของชายแข็งแกร่งผู้นั้น
เห็นได้ชัดว่านับตั้งแต่นี้ต่อไป กำแพงอุปสรรคเนื้อจะปิดกั้นทุกคนไม่ให้ออกไป
กู่ฉิงซานกัดฟัน สมองเร่งเร้าคิดหาวิธีที่จะฝ่าฟันอุปสรรคนี้
แต่ในตอนนั้นเอง เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังออกมาจากแขนเสื้อเขา
“โถ่ เสียงดังจังเลย”
กู่ฉิงซานหยิบไพ่ออกมาทันที
ในไพ่หยก ซีน้อยอยู่ในสภาพลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ปากอ้าหาว “เกิดอะไรขึ้น เล่นเอาฉันหลับไม่ลงเลย”
“เธอก็ลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสิ” กู่ฉิงซานกล่าว
ซีน้อยเงยหน้าขึ้น พริบตานั้นทั้งคนทั้งร่างหายง่วงทันที
“อ๊า! นั่นมันแมลงปีศาจที่สามารถกลืนกินโลกได้นี่นา แบบนี้โลกทะเลทรายคงไม่แคล้วถูกกลืนกินเข้าไปในท้องของมัน!” ซีน้อยอุทาน
“พอจะมีวิธีหาทางออกไปได้ไหม?” กู่ฉิงซานถาม
“ปีศาจแมลงตนนี้ดำรงอยู่มาก่อนที่เทพวิญญาณจะเกิดขึ้น มันแข็งแกร่งมาก และด้วยพลังของฉันในตอนนี้ ยังไม่แกร่งพอที่จะรับมือกับมันได้”
ทั้งสองมองหน้ากันและกัน ห้วงอารมณ์กลายเป็นหนักอึ้ง
…
อีกด้านหนึ่ง
ในอีกทิศทางของโลก ยานอวกาศลำหนึ่งพึ่งจะเข้าสู่โลกทะเลทรายเมื่อไม่นานมานี้
บนยานอวกาศ
ตาสวรรค์เบิกตาโพลง เปล่งเสียงรายงานอย่างรวดเร็ว “บอส! ฉันพบกับคนที่อยู่ในใบประกาศจับแล้ว!”
……………………
ภายในตลาดมืด
ฉานนู่เปลี่ยนเป็นดาวยาว ผลุบหายเข้าไปในความว่างเปล่าเบื้องหลังกู่ฉิงซาน
ส่วนกู่ฉิงซาน เขายังคงเลือกที่จะเปลี่ยนร่างเป็นวังเฉิง เร่งก้าวไปตามท้องถนน
ไม่ว่าจะเป็น ร้านขายอาวุธ ตึกประเมินค่าสมบัติ ห้องประมูล บาร์ ห้องอาหาร สนามกีฬา ร้านขายเสื้อเกราะ ศูนย์ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี ตลาดทาส โต๊ะรับสมัครงาน สำนักงานอสังหาโลกทะเลทราย ลานประกาศกิจกรรม ศูนย์รักษาความปลอดภัยตลาดมืด สมาคมนักล่าเงินรางวัล กิลด์โจร ร้านขายสกิล หรือทุกประเภทขององค์กรและกลุ่มแรงงาน กู่ฉิงซานล้วนละซึ่งความสนใจจากมัน
ตามแผนเดิม อันที่จริงแล้วมีสถานที่หลายแห่งเหมือนกันที่กู่ฉิงซานจะต้องเข้าไป
อย่างเช่น ตึกประเมินค่าสมบัติ เขาต้องการที่จะระบุความสามารถและหน้าที่ของกิ่งไม้สีดำ ว่ามันปลอดภัยหรือเปล่า ควรที่จะพกติดตัวไว้หรือไม่?
ส่วนร้านขายอาวุธ บาร์ ร้านขายสกิล ฯลฯ อีกมากมายล้วนควรค่าแก่การเข้าเยี่ยมชม
กู่ฉิงซานเดิมกระทั่งตั้งใจว่าจะไปกิลด์โจรดู ว่าพอจะสามารถหาหนทางเปิดกระเป๋าของชายชุดคลุมดำได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ กู่ฉิงซานต้องตัดใจทิ้งทุกอย่าง และขออย่างเดียวคือ สามารถหลบหนีไปจากโลกใบนี้ให้เร็วขึ้นแม้เพียงน้อย
เพราะเงามืดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนได้เข้าปกคลุมหัวใจของเขาโดยสมบูรณ์
กู่ฉิงซานเร่งฝีเท้า ปากอ้าหอบหายใจถี่เล็กน้อย
อาการหอบนี้มิได้เกิดจากความเหนื่อยล้า แต่เป็นเพราะร่างกายของเขาเกิดความตึงเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาหันไปมองรอบๆ อย่างรวดเร็ว
เห็นแค่เพียงในตลาดมืด ยามลาดตระเวนไปมา ผู้คนจากแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์เดินบนท้องถนนอย่างเป็นระเบียบ สภาพแวดล้อมโดยรอบช่างสุขสงบ
มีเพียงกู่ฉิงซานที่จมดิ่งอยู่ในห้วงวิตกกังวลบางอย่าง
ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน เขาค้นพบว่าตนเองได้เข้าสู่สภาวะต่อสู้ เตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์ถึงตายตลอดเวลา!
“นี่คงจะไม่พ้น หายนะโทษทัณฑ์…”
เขางึมงำเบาๆ
ใช่ โดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ หายนะโทษทัณฑ์ครั้งสุดท้ายที่ร้ายแรงที่สุดกำลังใกล้เข้ามาอย่างเงียบๆ
มันเป็นความรู้สึกที่ครุมเครือ ไม่ชัดเจน ราวกับว่าทางแยกแห่งความเป็นตายกำลังเฝ้ารอเขาอยู่ในระหว่างทางที่กำลังจะมุ่งไป
ให้ตายเถอะ!
ไอ้ความรู้สึกบ้านี่ ทำไมมันถึงได้แย่แบบนี้นะ!
กู่ฉิงซานพาลคิดถึงทัณฑ์สายฟ้า เพราะเมื่อเทียบเปรียบกับความรู้สึกของหายนะโทษทัณฑ์ที่ต้องเผชิญแล้ว สำหรับเขา การข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าแล้วยกระดับไปเลย มันดีกว่าเยอะ
เขาพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะข่มใจตัวเองให้เย็น และมุ่งหน้าต่อไป
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็มาจุดจุดสิ้นสุดของเส้นถนน
ศูนย์การบิน
สถานที่แห่งนี้คือสุดขอบของตลาดมืด เป็นท่าเรือที่มียานพาหนะขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลา
หากต้องการออกไปจากโลกใบนี้ เขาจะต้องมาที่นี่!
กู่ฉิงซานรีบก้าวเข้าไปในศูนย์การบินอย่างรวดเร็ว
“สวัสดี กระผมพอจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง?”
พนักงานคนหนึ่งหันมาเห็นกู่ฉิงซาน เจ้าตัวจึงก้าวเข้าหาเขาอย่างช้าๆ
“ฉันต้องการซื้อที่นั่งยานอวกาศ ที่กำลังจะออกไปจากที่นี่” กู่ฉิงซานกล่าว
“จุดหมายปลายทางของคุณอยู่ที่ไหน?” พนักงานถาม
กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านป้ายแจ้งเตือนเวลา
“จักรวรรดิเก้าดารา” เขาตอบ
ที่กู่ฉิงซานเลือกเรือลำนี้ เพราะยานอวกาศลำอื่นๆ ก่อนหน้าล้วนขึ้นเป็นสีแดง ซึ่งสีแดงหมายถึงเต็ม
ขณะที่หากดูตามป้ายแจ้งเวลา ยานอวกาศที่มุ่งหน้าไปยังจักรวรรดิ 9 ดารา กำลังจะออกเดินทางในอีกสิบนาทีเท่านั้น
แม้ว่านี่จะเป็นยานอวกาศขนาดเล็ก แต่ก็ยังมีที่นั่ง และเวลาออกเดินทางก็กระชั้นชิดที่สุดตามความต้องการของเขา
นี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
เพราะกู่ฉิงซานไม่ปรารถนาจะอยู่ในโลกทะเลทรายให้นานกว่านี้อีกแม้สักวินาทีเดียว
พนักงานกล่าว “ขอกระผมดูตารางที่นั่งสำหรับเที่ยวบินนี้ก่อน…อา ยังพอเหลืออีกสี่ที่นั่งพอดี คุณต้องการจะจองมันเลยหรือไม่?”
“จัดไปเลย”
“คุณจะชำระเงินแบบไหน? ขอบอกก่อนนะ แม้ว่ามันจะเป็นยานอวกาศขนาดเล็ก แต่พวกเราก็ไม่รับเหรียญที่ต่ำกว่าเลขแปด”
“ฉันใช้เหรียญเลขสิบ”
เบื้องหน้าของตัวเหรียญ ถูกสลักไปด้วยมอนสเตอร์ที่เต็มไปด้วยหนามแหลม ตามแขนขายาวเหยียด อัดแน่นไปคมมีดผุดขึ้นมาคล้ายกับฟันเลื่อย ตรงด้านล่างเขียนว่า “ผู้หลบซ่อนในมิติ ชอบกัดกินสิ่งมีชีวิตเป็นมื้ออาหาร ตามร่างกายเต็มไปด้วยหนามแหลมคม และมีพิษรุนแรง”
ด้านหลังของเหรียญ สลักไปด้วยตัวเลขสิบ
นี่คือเหรียญเลขสิบ มันเป็นรางวัลจากข้อมูลที่กู่ฉิงซานมอบให้แก่หัวหน้ารักษาการณ์
เมื่อพนักงานเห็นเหรียญเลขสิบท่าทีและทัศนคติของเขาก็เปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นทันที
เขากล่าว “สำหรับเหรียญเลขสิบ จ่ายแค่ยี่สิบเจ็ดเหรียญก็พอแล้ว”
กู่ฉิงซานหยิบมายี่สิบเจ็ดเหรียญ และมอบให้อีกฝ่าย
พนักงานเร่งจัดการทุกอย่างให้กู่ฉิงซานทันที
“ลูกค้าที่เคารพ โปรดเชิญทางนี้ กระผมจะพาท่านไปขึ้นเรือ” เขากล่าวด้วยความนอบน้อม
“โอเค ขอบคุณมาก” กู่ฉิงซานรับคำ
ทว่าทั้งสองพึ่งเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เสียงของผู้หญิงก็ดังตามมาจากเบื้องหลัง
“รอก่อน ยังพอมีที่ว่างอีกสักสามที่ไหม? พวกเราเองก็ต้องการจะขึ้นยานด้วยเหมือนกัน”
ทั้งสองหันกลับไปมอง
เห็นแค่เพียงหญิงที่ดูทรงเสน่ห์กำลังปราดเข้ามา เบื้องหลังเธอเป็นชายผิวดำเมี่ยม กำลังอุ้มเด็กชายอายุราวๆ หกถึงเจ็ดปีอยู่
กู่ฉิงซานตกใจ
เพราะผู้หญิงคนนี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี และก่อนหน้าที่ก็เคยปะทะกันมาแล้ว
ราชินีปีศาจแมงป่อง!
เวลานี้เธอเลือกที่จะเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์อย่างกะทันหัน!
“เป็นท่าน?” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
“ใช่ เป็นข้าเอง ขอข้าจองที่นั่งก่อน แล้วเจ้าก็ใช้คำเรียกข้าตามปกติเถอะ ไม่ต้องให้เกียรติอะไร…เอาไว้พวกเราค่อยมาคุยกันในภายหลัง” ราชินีแมงป่องส่ายมือให้เขา
พนักงานเอ่ยปาก “คุณผู้หญิงยังเหลืออีกสามที่นั่งคุณ”
“ฉันเหมาที่เหลือทั้งหมด” ราชินีแมงป่องกล่าว
“โอ้ ไม่มีปัญหา กระผมจะดำเนินการให้ทันที”
เขาเริ่มพรมมือลงในอากาศที่ว่างเปล่า อีกครั้ง และอีกครั้ง เหมือนว่าจะกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่
เบื้องหลังเธอ ชายผิวดำขลับโบกมือให้กู่ฉิงซาน แสดงรอยยิ้มออกมา
กู่ฉิงซานงงกับท่าทีของอีกฝ่าย แต่เขาก็ฝืนยิ้มตอบกลับไป
ชายผิวดำขลับคล้ายขบคิดอยู่สักพัก ก่อนตัดสินใจยกนิ้วขึ้น
และบนนิ้วมือของเขา พลันสาดแสงสีเขียวพลุ่งพล่าน ไร้ที่สิ้นสุดออกมา
กู่ฉิงซานเร่งจับกลิ่นอายของแสงสีเขียวนั่นทันที
และค้นพบว่ามันคือกลิ่นอายเดียวกันกับต้นไม้ใหญ่ที่เขาพบเจอในทะเลทราย
กู่ฉิงซานมองดูเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนชายดำขลับ
เด็กน้อยกำลังจ้องมองเขาเช่นกัน พลางปาดน้ำลายที่ไหลลงมาไม่หยุด
แทบไม่ต้องเสียเวลาคิด กู่ฉิงซานเค้นรอยยิ้ม เข้าใจทุกอย่างโดยสมบูรณ์
ปรากฏว่าเด็กคนนี้คือแมงป่องตัวน้อยนั่นเอง ส่วนชายผิวดำขลับตัวใหญ่ สมควรที่จะเป็นสามีของราชินีปีศาจแมงป่อง
ถ้าอย่างนั้น เขาก็ไม่ใช่ต้นไม้ ตัวตนของเขาเผยชัดเจนแล้ว
“มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ผมไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับคุณที่นี่” กู่ฉิงซานกล่าว
“พวกเราเองก็เหมือนกัน ข้าก็ไม่คิดเลยว่าฝีมือการต่อสู้ของเจ้าจะยอดเยี่ยมถึงขนาดนั้น และสัญชาตญาณเองก็ทรงพลังไม่แพ้กัน” ชายดำขลับกล่าว
สัญชาตญาณ?
เขากำลังต้องการจะสื่ออะไร?
ขณะกำลังขบคิด พนักงานก็ได้ดำเนินการลงทะเบียนเสร็จสิ้นแล้ว
ราชินีแมงป่องขมวดคิ้ว หยิบไม่กี่เหรียญออกมาจ่ายอย่างไม่เต็มใจ
“ท่านทั้งสี่ โปรดตามกระผมมา” พนักงานยิ้ม
หลายคนหยุดพูดคุย และตามพนักงานเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของท่าเรือบิน และมาถึงยานอวกาศขนาดเล็ก
แม้จะบอกว่าเป็นยานอวกาศ แต่จริงๆ แล้วมันดูคล้ายคลึงกับเรือใบของสมาคมหอสูงซะมากกว่า
“นี่คือเรือใบด้านมนตรา มันสมควรที่จะมีเสถียรภาพมากกว่ายานด้านเทคโนโลยี” ราชินีแมงป่องกล่าวด้วยความพึงพอใจ
ทั้งสี่คนเดินขึ้นยานอวกาศ…ไม่สิ ในเมื่อมันเป็นเรือ ก็สมควรเรียกว่าเรืออวกาศถึงจะถูกต้อง
ภายในเรือ ถูกตกแต่งเป็นโซนแยกแต่ละห้องสำหรับสี่คน
พนักงานเดินนำพวกเขาตรงไปยังประตูบานสุดท้าย และค่อยๆ เปิดมัน
ภายในว่างเปล่า แต่มีโต๊ะใหญ่ และเก้าอี้อีกสี่ตัว
บนโต๊ะ ถูกจัดวางไปด้วยเมลอนและผลไม้ต่างๆ พร้อมกับชาร้อนสี่ถ้วย
ด้านหนึ่งของห้อง เป็นกระจกขนาดใหญ่ที่ลากยาวจากมุมสูงบนเพดาน จรดลงมาติดกับพื้น ช่วยให้ผู้เดินทางสามารถรับชมฉากภายนอกได้อย่างเต็มตา
พนักงานแนะนำคนทั้งสี่ด้วยรอยยิ้ม “เรือกำลังจะแล่นออกในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า กระผมขอให้ทุกท่านเพลิดเพลินไปกับการเดินทาง”
เขากำลังจะโค้งกายคำนับ แต่ทันใดนั้นก็ชะงักไปทันที
ราชินีแมงป่อง สามี ลูกเธอ และกู่ฉิงซานเอง ลมหายใจของคนทั้งหมดพลันขาดห้วง
ครืนนนนน!
ภายใต้ผืนโลกกว้างไกล บังเกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่
แม้ว่าตลาดมืดจะอยู่บนท้องฟ้าสูง แต่การสั่นสะเทือนเล็กน้อยในอากาศ ก็ทำให้ผู้คนพออนุมานได้ถึงอัตราของแรงกระแทกนี้
สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนกลับกลาย
กู่ฉิงซานปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากของเขา เนื่องจากตนล่วงรู้ถึงที่มาของมันเป็นอย่างดี
ราชินีแมงป่อง และสามีของเธอ สบสายตากันและกันด้วยความกังวล
แต่แล้วจู่ๆ เด็กชายตัวเล็กก็ดึงแขนชายดำขลับ ตะโกนด้วยสีหน้าหวาดหวั่น “เจ้าสิ่งนั้นกำลังจะมาแล้ว คุณพ่อ เจ้าสิ่งนั้นกำลังจะออกมา!”
………………………
ท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราก
ยานอวกาศขนาดกลางลำหนึ่ง กำลังมุ่งหน้าสู่โลกทะเลทรายอย่างเต็มกำลัง
ชายคนหนึ่งรายงาน “บอส ถ้ายานเราบินด้วยความเร็วสูงสุดแบบนี้ต่อไป เครื่องยนต์อาจจะแบกรับภาระต่อไปไม่ไหว”
ยักษ์เทาที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ มองเข้าไปในกระแสมิติ
“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องยานหรอกน่า” ยักษ์เทาชี้ไปข้างหน้า หัวเราะร่า “ดูนั่นสิ เห็นไหมว่าพวกเรากำลังเข้าใกล้โลกทะเลทรายแล้ว! อีกไม่นานรางวัลจากวิหารแห่งความตายก็จะตกเป็นของพวกเรา!”
พริบตานั้นทั้งกลุ่มนักล่าเงินรางวัลพลันระเบิดเสียงโห่ร้องออกมา
“ตาสวรรค์ล่ะ ไปอยู่ที่ไหน?” ยักษ์เทาเหลียวไปถามข้างหลัง
“ฉันอยู่นี่ บอส”
ชายที่มีดวงตาสี่ดวงบนหน้าผาก ก้าวออกมา ตอบกลับไป
ยักษ์เทา “นายได้เห็นใบหน้าของทั้งสองในใบประกาศจับชัดเจนหรือเปล่า?”
“ฉันเห็นชัดเจน” ตาสวรรค์กล่าว
ยักษ์เทา “แล้วมันจะมีปัญหาอะไรไหม?”
ตาสวรรค์ตบหน้าอกตนและกล่าว “วางใจเถอะบอส ไม่ว่าพวกเขาจะปรากฏตัวขึ้นที่ไหนบนโลกทะเลทราย ฉันก็จะสามารถเห็นพวกเขาได้ทันที”
ยักษ์เทา “งั้นก็ดี ตอนนี้นายก็เริ่มต้นค้นหาพวกเขาได้เลย ถ้าเจอแล้วให้รีบมารายงานฉันทันที”
“รับทราบบอส” ตาสวรรค์รับคำ
เขานั่งลงบนดาดฟ้าเรือ ดวงตาทุกข้างค่อยๆ ปิดลง จมหายไปในห้วงสมาธิ
ชายที่ดูดุร้ายหลายคนเดินเข้าหายักษ์เทา กระแทกหัวเข่าลงข้างหนึ่งและกล่าว “บอส ได้โปรดให้ทีมของพวกเรา รับภารกิจสังหารในครั้งนี้ด้วยเถอะ”
พอได้ยินแบบนั้น ทีมอื่นๆ พลันหยุดมือจากสิ่งที่ทำทันที
พวกเขาผุดลุกขึ้น และมาหยุดอยู่ต่อหน้ายักษ์เทาทีละทีม ทีละทีม
ยักษ์เทาโบกมือ “ไม่ต้องแย่งกัน เพราะฉันจะไม่เลือกทีมไหนทั้งนั้น”
แต่ละคนหันมามองหน้ากันและกัน ไม่ทราบว่าเบอสของพวกเขาหมายความว่ายังไง
ยักษ์เทา “พวกแกคิดว่านี่มันเป็นภารกิจทั่วๆ ไปหรือไง? ไม่…ไม่ใช่เลย นี่คือโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงอนาคตของพวกเราทุกคน!”
เขาเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ปากอ้าตะโกน “เมื่อตาสวรรค์สามารถค้นพบเป้าหมาย ทุกคนในกลุ่มนักล่าเงินรางวัลของพวกเราจะร่วมมือกัน ทุ่มรุมโจมตีมันทันที!”
…
ภายในเมืองเล็กๆ
ยังคงเป็นในส่วนของศูนย์แรงงาน
แต่คราวนี้ มีเฉพาะแค่ ‘วังเฉิง’ เท่านั้นที่กำลังปฏิบัติภารกิจใหญ่
ในบ้านหลังเล็กๆ ตรงส่วนลึกสุดของศูนย์แรงงาน เขากำลังบอกข้อมูลที่รู้ออกไป
“มันเป็นเรื่องบังเอิญ ฉันดันไปอยู่ที่นั่นพอดี ในเวลานั้นฉันพบกับวัยรุ่นหนึ่งชายหนึ่งหญิงตามใบประกาศจับ” เขากล่าว
ตรงกันข้ามกับเขา หัวหน้าทหารรักษาการณ์และรองหัวหน้ากำลังรับฟังด้วยสีหน้าจริงจังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
วังเฉิงกล่าวต่อ “อาจจะเป็นเพราะฉันกำลังล่าสัตว์ และซ่อนตัวอยู่ใต้ทะเลทราย แถมยังปกปิดกลิ่นอาย ดังนั้นทั้งสองคนเลยไม่ทันสังเกตเห็นฉัน ก่อนจะบินผ่านฉันไป”
“แล้วพวกเขาไปทางทิศไหน? คุณพอจะจำพิกัดที่ราบได้หรือเปล่า?” หัวหน้ารักษาการณ์ถาม
“แน่นอน ขอแผนที่ให้ฉันด้วย” วังเฉิงกล่าว
ไม่นาน แผนที่ก็ถูกกางออกเบื้องหน้าทั้งสาม
วังเฉิงมอง และทำเครื่องหมายที่ไหนสักแห่งบนแผนที่
“พวกเขามุ่งหน้ามายังตำแหน่งนี้ บินข้ามฉันไป หยุดทำอะไรบางอย่าง สักพักพวกเขาก็หายตัวไป และจู่ๆ ฉันก็รู้สึกได้ถึงคลื่นความผันผวนแปลกๆ เลยลองใกล้เข้าไปในจุดที่ทั้งสองเคยยืน และดันไปพบกับอะไรบางที่พวกด้านผู้ฝึกยุทธ์มักจะใช้ป้องกัน มันเรียกว่า…”
วังเฉิงพยายามขบคิดอย่างหนัก
“ค่ายกลป้องกันพลังวิญญาณ” หัวหน้ารักษาการณ์อดไม่ได้ต้องช่วยเขาพูด
วังเฉิงปรบมือและกล่าว “ใช่! นั่นแหละ ค่ายกลป้องกันพลังวิญญาณ! ฉันรู้สึกถึงความผันผวนของมัน”
“งั้นหมายความว่าพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากคุณใช่ไหม?”
“ใช่ ฉันรู้สึกได้ว่าความผันผวนนั่นมันเสถียรและแข็งแกร่งมาก เลยคิดว่าพวกเขาน่าจะอยู่ไม่ไกลจากฉัน” วังเฉิงกล่าว
“งั้นก็ดี พวกเราขอยืนยันข้อมูลของคุณก่อน” หัวหน้ารักษาการณ์กล่าว
เขาหันไปมองรองหัวหน้า
รองหัวหน้า “หนึ่งในหน่วยลาดตระเวนที่เร็วที่สุดของพวกเรากำลังตรงไปยังจุดนั้น พวกเราจะได้รับข้อมูลทันที”
ขณะกล่าว เขาก็กดเครื่องมือขนาดเล็กที่แนบกับเอว และพูดอะไรบางอย่างลงไป
“รายงาน! พบว่ามีค่ายกลป้องกันหลายสิบชั้น และค่ายกลปกปิดของผู้ฝึกยุทธ์อยู่ที่นี่จริงๆ แต่ผมไม่สามารถถอดรหัสมันได้”
“รับทราบแล้ว รอการสนับสนุนอยู่ที่นั่นนะ”
“ครับผม!”
แล้วเสียงก็หายไป
หัวหน้ากับรองมองหน้ากับวูบหนึ่ง
หัวหน้ารักษาการหยิบหินทรงกลมที่เรืองแสงสีขาวออกมา
“เอาล่ะ ตอนนี้ขอให้คุณวางมือลงบนแท่นตรวจจับโกหก เพื่อพิสูจน์ว่าที่คุณได้เห็นทั้งสองคนนั้นเป็นเรื่องจริงด้วย” เขากล่าว
วังเฉิงยกมือขึ้น นาบมันลงโดยไม่ลังเลและกล่าว “ฉันขอสาบาน สองคนบนหมายจับได้เดินเข้าไปในค่ายกลเหล่านั้นแน่ๆ นี่ไม่มีทางผิดพลาด ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งที่ฉันบอกไปย่อมถูกต้องแน่นอน”
หินเรืองแสงสีขาวนิ่งงันไม่สั่นไหว
หัวหน้ารักษาการณ์ยิ้มและกล่าว “ดีมาก คุณทำได้ดีจริงๆ เอ้านี่ รางวัลของคุณ”
เขาพยักหน้ากับรอง
รองหัวหน้าหยิบถุงใบเล็กๆ และวางลงบนโต๊ะพร้อมบัตรกำนัล
วังเฉิงเมื่อได้รับสองสิ่ง ก็กล่าวด้วยความยินดี “ขอบคุณผู้ใหญ่ทั้งสอง!”
“เอาเถอะ คุณไปได้แล้ว”
“รับทราบ!”
วังเฉิงก้มตัวบอกลา และออกจากห้องไป
ประตูปิดลง
“นายคิดว่ายังไง?” หัวหน้ารักษาการณ์เอ่ยถาม
“ไม่มีความคิดเห็นเพิ่มเติม ในเมื่อข้อมูลที่เขาบอกต่อเราเป็นความจริง พวกเราก็สมควรจะไปจบภารกิจนี้ทันที แล้วรับรางวัลจากทางคริสตจักรแห่งความตาย” รองหัวหน้าถูฝ่ามือของเขา
หัวหน้ารักษาการณ์กล่าว “ดีล่ะ ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่เพื่อความปลอดภัย พวกเราต้องพาคนไปให้มากที่สุด! เพราะยังไงซะ รางวัลที่บอกว่าจะให้เข้าร่วมกับวิหารแห่งความตายน่ะมันไม่ได้ถูกจำกัดจำนวนเอาไว้!”
“รับคำสั่ง!”
…
วังเฉิงได้รับเงินรางวัลจากทหารรักษาการณ์มา ก็เดินออกจากศูนย์แรงงาน เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปตามมุมถนนกว่าแปดตรอกซอกซอยอย่างรวดเร็ว
วังเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ฉานนู่ ถึงตาเจ้าเปลี่ยนร่างแล้ว”
“ตอนนี้เลยใช่หรือไม่?”
“ไม่ ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“เข้าใจแล้วนายน้อย”
ขณะกล่าว วังเฉิงก็หายวับไปจากตรอกซอย
หลังจากนั้นหนึ่งลมหายใจ
หลากหลายมืออาชีพพลันปรากฏตัวขึ้นในตำแหน่งเดิมของเขา
“ขาดการติดตามไปซะแล้ว” คนหนึ่งกล่าวด้วยความหดหู่
อีกหลายคนพยายามงัดออกด้วยสกิลค้นหา แต่พวกเขากลับไม่พบร่องรอยของวังเฉิงเลย
ตอนนี้ พวกเขาทราบแล้วว่าอีกฝ่ายย่อมตระหนักถึงตัวตนของพวกเขา จึงหลอกล่อมาในทิศทางนี้และหลบหนีไป
“ดูเหมือนว่ามันเองก็มีความสามารถอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน” อีกคนหนึ่งกล่าว
“นั่นสินะ ไม่อย่างงั้นมันคงไม่ได้รับรางวัลจากทหารรักษาการณ์หรอก”
คนเหล่านี้อิจฉาตาร้อนต่อรางวัลที่วังเฉิงได้รับ พวกเขานิ่งงันอยู่ที่เดิมสักพักหนึ่ง ทดลองพยายามค้นหาทุกวิถีทางอีกครั้ง
แต่ก็ยังคงไม่พบวี่แวววังเฉิง
สุดท้ายจึงจากกันไปอย่างโกรธแค้น
ในขณะเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธ์หญิงในชุดคลุมฟ้าก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ใจกลางเมืองเล็กๆ
เธอแสดงหลักฐานการติดต่อกับหัวหน้ารักษาการณ์ให้คนเฝ้าทางเข้าได้ดู
“นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาในตลาดมืดใช่ไหม?” คนเฝ้าทางถาม
“ใช่” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ตลาดมืดน่ะอยู่ในมิติ คุณสามารถเดินไปตลอดทาง สุดทางคือเทคนิคมนตรามิติ” คนเฝ้าทางมองมายังรูปลักษณ์อันงดงามของฉานนู่ กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“เข้าใจแล้ว ขอบพระคุณท่านมาก”
ผู้ฝึกยุทธ์หญิงเดินเข้าไปตามทาง โดยไม่หันกลับมามองอีกเลย
ไม่นานนัก แสงสว่างก็วาบขึ้นอย่างกะทันหัน
เธอได้เข้ามาในตลาดมืดแล้ว
ฉานนู่เดินเข้าสู่ตลาดมืด สักพักหยุดฝีเท้า หันไปมองรอบๆ
มันดูไม่ใช่แค่ตลาด แต่กล่าวได้ว่าเป็นท่าเรือลอยฟ้าขนาดใหญ่จึงจะเหมาะสมกว่า
ที่นี่เต็มไปด้วยยานวกาศนับไม่ถ้วน ที่ทั้งกำลังออกตัว และลงจอด ฝูงชนคึกคักจอแจ เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตรูปร่างแปลกตา ดูมีชีวิตชีวาจริงๆ
ทว่าในตลาดมืด เผ่าพันธุ์ไหนก็ล้วนต้องแปลงตนให้อยู่ในสภาพร่างมนุษย์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการสื่อสารกันและกัน และประหยัดพื้นที่
“นายน้อย สถานที่นี่ช่างคึกคัก ดูเจริญหูเจริญตาจริงๆ” ฉานนู่กล่าวด้วยอารมณ์
เขาเปลี่ยนเป็นไพ่ ซ่อนตัวอยู่กับฉานนู่ และเฝ้ามองสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระแวดระวัง
ฉานนูพอก็ได้ยินถึงความผิดปกติ เธอก็ลดเสียงลง “นายน้อย เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”
“ข้ารู้สึกได้ถึงลางร้ายที่นี่ พวกเราจะต้องรีบหนีจากโลกใบนี้ทันที” กู่ฉิงซานตอบด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง
………………………
ในโลกทะเลทราย
ท่ามกลางผืนทรายอันกว้างใหญ่
เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มสาดแสง พายุทรายก็เริ่มก่อตัว สร้างความปั่นป่วนขึ้น
กู่ฉิงซานยืนอยู่ในจุดเดิมอย่างเงียบๆ เฝ้าคิดหาวิธีการหลบหนี
เหลือเวลาอีกแค่วันเดียวเท่านั้น ซึ่งนี่กล่าวได้ว่ามันเป็นเรื่องเร่งด่วน
แต่ในเวลานี้ ตัวเขาไม่สามารถใช้ชื่อของสมาคมกำปั้นเหล็กได้
เพราะอีกฝ่ายจะต้องพบร่องรอยของตัวเขาจากในที่สมัครภารกิจทีมชั่วคราวแล้ว แน่นอน คงเก็บรูปลักษณ์หน้าตาของเขาเอาไว้เช่นกัน
เขาได้สังหารชายชุดคลุมดำด้วยตนเอง
บางที ตอนนี้อีกฝ่ายอาจกำลังส่งคนมาจับตัวเขากับซีน้อยแล้วก็ได้
เนื่องจากตลาดมืดอยู่ภายใต้การควบคุมของคริสตจักรแห่งความตาย เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นที่นั่น มันก็เท่ากับการโยนตัวเองลงไปในกับดัก
แต่ถ้าไม่เข้าไปในตลาดมืด เขาก็จะไม่สามารถใช้ยานพาหนะออกจากโลกทะเลทรายได้
นี่มันน่าปวดหัวจริงๆ
กู่ฉิงซานเดิมวนกลับไปกลับมาเป็นเวลานาน ย้อนนึกเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่มันเกิดขึ้น
‘ซีน้อยเปลี่ยนเป็นไพ่ และปล่อยให้เขาทำหน้าที่พาเธอไป…’
จริงสิ! ในเมื่อตัวกู่ฉิงซานเองก็เป็นราชทูตตัดสินบาป ถ้างั้นเขาก็น่าจะเปลี่ยนตัวเองเป็นไพ่ได้เหมือนกันหรือเปล่า?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ พลันบังเกิดรูนสีเทาลอยล่องขึ้นรอบตัวเขา
กรอบรูนสีเทาว่ายวนอยู่ในความว่างเปล่า เสมือนกำลังเฝ้ารอคำสั่งจากเขาอยู่
หัวใจของกู่ฉิงซานบังเกิดความกระจ่างชัด
ตนสามารถเปลี่ยนเป็นไพ่เมื่อใดก็ได้ตลอดเวลา
เขาสั่งการนึกคิดในจิตใจ
ปุ้ง!
ร่างของกู่ฉิงซานหายไปจากทะเลทราย และถูกแทนที่ด้วยไพ่สีเทา
ในไพ่สีเทา ปรากฏภาพของกู่ฉิงซานที่กำลังหันไปมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น
เขาค้นพบว่าตนเองอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แสนจะคับแคบ รายล้อมไปด้วยหมอกหนาสีเทา ขยับเพียงนิดตัวก็จะชนกับกำแพงหนา
ในไพ่ของซีน้อยสามารถวางได้ทั้งห้องนอนและเตียงขนาดใหญ่ แต่ทำไมของเขาถึงได้แค่ยืนกันล่ะ?
กู่ฉิงซานคิด แล้วทันใดนั้นคำตอบก็ถูกส่งผ่านจากหมอกเทามาในหัวใจของเขา
คุณต้องยกระดับไพ่ของคุณ เพื่อที่จะขยายพื้นที่ใช้สอยของมัน
…ที่แท้ก็เป็นแบบนี้
กู่ฉิงซานกระจ่างชัด เขาวางมือลงบนขอบไพ่สีเทา และมองลอดออกไป
เขาค้นพบว่าตนเองสามารถมองดูวิวทะเลทรายจากไพ่ได้
มันช่างน่าทึ่งจริงๆ
เมื่อสั่งการนึกคิดในจิตใจอีกครั้ง ร่างของเขาก็วูบไหวทันที รูนสีเทารอบตัวหายไปโดยสิ้นเชิง ตัวเขาพุ่งออกมาจากไพ่ กลายเป็นร่างมนุษย์ปรากฏตัวขึ้นกลางทะเลทราย
กู่ฉิงซานคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดนึกแผนการออก
“ฉานนู่”
“นายน้อย ข้าอยู่นี่”
ฉานนู่โผล่ออกมาจากในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขา
“ข้ามีแผนเล็กๆน้อยๆ” กู่ฉิงซานกล่าว
“นายน้อยโปรดบัญชา”
“ก่อนอื่น เจ้าจงใช้ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิตแปลงตนเป็นมนุษย์ซะ”
“เจ้าค่ะ”
…
ไม่นานนัก กระแสแสงก็ตัดผ่านขอบฟ้า ร่อนตกลงบนพื้นดินหน้าทางเข้าเมืองเล็กๆ
ร่างของหญิงในชุดคลุมฟ้าปรากฏขึ้น
เธอดูเหมือนเป็นผู้ฝึกยุทธ์หญิงที่มีภูมิหลังบริสุทธิ์ ไร้มลทิน กระทั่งหนังสือหน้าประตูเมืองเล็กๆ ก็ยังไม่อาจตรวจเจอปัญหาใดๆ จากเธอ
หลังจากผ่านด่านทดสอบแล้ว เธอก็เข้าเมืองได้สำเร็จ
เนื่องจากผู้ฝึกยุทธ์หญิงไม่มีเงินเลย ดังนั้นเธอจึงตรงไปยังศูนย์ส่งเสริมแรงงาน และเริ่มรับภารกิจชั่วคราวกับใครบางคน
นี่คือภารกิจทีมชั่วคราวที่ง่ายที่สุด เหมือนกับการสำรวจผิวดินที่กู่ฉิงซานเคยทำ
เป้าหมายของภารกิจคือ ไปยังเขตทะเลทรายที่กำหนด และรวบรวมเศษผิวดิน เศษหินบางอย่าง
โดยรางวัลจะมีมูลค่าเป็นสี่สิบเหรียญ
สี่สิบเหรียญหมายเลขหนึ่ง ซึ่งกำลังแสดงรูปลักษณ์ของมอนสเตอร์กินพืชที่ลอยล่องอยู่ท่ามกลางกระแสมิติ
มันคือเหรียญที่มีมูลค่าต่ำสุดในดินแดนชิงอำนาจ
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่สี่สิบเหรียญเลขหนึ่ง ทว่าก็เพียงพอต่อการซื้ออาหารกินในเมืองเล็กๆ
ยังไงก็ตาม สำหรับหน้าใหม่ นี่เป็นงานที่จะต้องทำให้เสร็จ
เมื่อเริ่มออกเดินทาง ผู้ฝึกยุทธ์หญิงก็เอ่ยปากว่าเวลาของเธอมีจำกัด และหวังว่าเพื่อนร่วมทีมทั้งสองจะจับมือของเธอ และมุ่งไปยังจุดหมายด้วยกัน
จากนั้น ร่างของเธอก็กะพริบไหวหลายครั้ง คล้ายกับการเคลื่อนย้ายระยะไกล นำพาสองเพื่อนร่วมทีมของเธอไปยังจุดหมาย
เพื่อนร่วมทีมทั้งสองแน่นอนว่าย่อมต้องตกใจกับสิ่งที่พบเจอ
“ถึงฉันจะไม่มีความสามารถอื่นก็จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องความสามารถในการย้ายมิติล่ะก็ จัดว่าเชี่ยวชาญไม่น้อยเลย” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงอธิบายด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองจึงค่อยหายสงสัย
เพราะหากเธอมีความสามารถในการเคลื่อนย้ายแบบนี้ ผสานไปกับความสามารถในการต่อสู้ดียอดเยี่ยมแล้วล่ะก็ ผู้ฝึกยุทธ์หญิงตรงหน้าคงเข้าไปในตลาดมืดแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาทำงานง่อยๆ อยู่นอกเมืองแบบนี้หรอก
ภารกิจชั่วคราวนั้นง่ายมาก เพียงแต่มันไม่สามารถทำด้วยตัวคนเดียวได้
เมื่อมีท่าย้ายมิติ ทั้งสามจึงสามารถบรรลุภารกิจได้อย่างรวดเร็ว
และก็ทำเช่นนี้ซ้ำๆ อีกหลายครั้ง ผู้ฝึกยุทธ์หญิงพุ่งข้ามผ่านทะเลทรายกับเพื่อนร่วมทีมอีกสองคน
กระบวนการทั้งหมด ใช้เวลาทั้งสิ้นสิบนาที
ทั้งสามส่งภารกิจ และแยกย้ายกัน
เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากต้องการจะได้รับคุณสมบัติตั้งทีมถาวร พวกเขาจะต้องผ่านด่านทีมชั่วคราวซะก่อน
หน้าใหม่อีกสองคนรีบแยกไปหาทีมถาวรของตัวเอง
ผู้ฝึกยุทธ์หญิงยังคงอยู่ในศูนย์แรงงานตลาดมืด รับรางวัลภารกิจที่แสนน้อยนิด และตรงไปหาผู้จัดการเรื่องทีม
“ข้าต้องการสมัครทีมถาวร” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงกล่าว
“ต้องใช้อย่างน้อยสามคนเพื่อสร้างทีม และยังต้องจ่ายเหรียญเลขหนึ่งอีกยี่สิบเหรียญ เพื่อให้สมาชิกในทีมของคุณทำการลงทะเบียน” ผู้จัดการทีมกล่าว
ผู้ฝึกยุทธ์หญิงพยักหน้า โค้งกายคารวะและจากไป
เดินไปจนกระทั่งพบมุมอับในเมือง เธอจึงค่อยหยิบไพ่ออกมาจากแขนเสื้อเธอ
“นายน้อย เขาบอกว่าต้องการสมาชิกในการสร้างทีมสามคน” เธอเอ่ยด้วยท่าทีเศร้าๆ
กู่ฉิงซานที่ยืนอยู่ในไพ่กล่าว “ข้าได้ยินแล้ว คราวนี้เดินไปด้วยกันเถอะ”
เขากระโจนออกจากไพ่ และเปิดใช้งานความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต
อย่างรวดเร็ว กู่ฉิงซานได้เปลี่ยนร่างกลายเป็นวังเฉิง
ฉานนู่มองเขาและกล่าว “แต่พวกเราก็ยังมีแค่สองคนอยู่ดี ยังต้องการอีกหนึ่ง”
“เรื่องนั้นไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง” กู่ฉิงซานกล่าว
ทั้งสองเดินกลับไปยังศูนย์ส่งเสริมแรงงาน
“พวกเราต้องการจัดตั้งทีม” กู่ฉิงซานกล่าว
ผู้จัดการทีมเงยหน้า พอเห็นว่ามีแค่สองคน ก็เอ่ยทวนซ้ำด้วยความหงุดหงิด “จ่ายยี่สิบเหรียญเลขหนึ่งและต้องมีสมาชิก ‘อย่างน้อยสามคน’ ถึงจะจัดตั้งทีมได้”
กู่ฉิงซานส่งสัญญาณไปทางฉานนู่ ให้เธอนำเหรียญออกมา
เขายัดสี่สิบเหรียญทั้งหมดให้กับผู้จัดการและยิ้ม “เพื่อนของฉันอีกคนกำลังจะมาในเร็วๆ นี้ ได้โปรดช่วยลงทะเบียนให้พวกเราก่อนจะได้ไหม”
ผู้จัดการทีมรับเงินมา แต่ยังคงขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาไม่พูดอะไรมากความอีก และเริ่มทำการลงทะเบียนให้กับพวกกู่ฉิงซาน
กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างรวดเร็ว และติดอยู่แค่ในขั้นตอนสุดท้าย
ขั้นตอนนี้กำหนดให้สมาชิกในทีมแต่ละคนต้องทิ้งเสียง และรูปลักษณ์ของตนเองเอาไว้
ฉานนู่เป็นคนแรก เธอกดมือลงบนหินรูปสี่เหลี่ยมและกล่าว “ฉานนู่ ผู้ฝึกยุทธ์ สมาชิกทีมร้อยบุปผา”
จากนั้นก็เป็นกู่ฉิงซาน
เขากดมือลงบนหิน เปล่งเสียง “วังเฉิง ผู้อัญเชิญปีศาจ สมาชิกทีมร้อยบุปผา”
ผู้จัดการทีมค่อยอารมณ์ดีขึ้น เขาเอ่ยถาม “แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ?”
ฉานนู่หันไปมองกู่ฉิงซาน
“โปรดรอสักครู่ เดี๋ยวฉันจะไปตามตัวเขา” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แล้วเขาก็วิ่งออกจากประตูไป
ไม่นานนัก ชายอีกคนที่ดูสง่างามก็เดินเข้ามา
ชายคนนั้นตรงมาทางนี้อย่างรวดเร็ว เอ่ยกับผู้จัดการทีม “ต้องขออภัยที่ข้ามาสาย”
ผู้จัดการทีมไม่คิดพูดอะไร เขายื่นคอส่งสัญญาณไปทางหินสี่เหลี่ยม
ชายคนนั้นเร่งกดมือลงบนหินและกล่าว “ฉีหยาน ผู้ฝึกยุทธ์ ผู้ใช้เทคนิคมนตรา สมาชิกทีมร้อยบุปผา”
ก้มลงมองเงินที่ได้รับเพิ่มมาอีกเท่าหนึ่ง เขาก็เอ่ยปาก
“จากนี้ไป ทีมของคุณนับว่าได้ก่อตั้งขึ้นแล้ว และฉันขอแนะนำให้พวกคุณเริ่มต้นด้วยการหางานง่ายๆ เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกใบนี้ซะก่อน ถึงจะสามารถแสวงหาโชคลาภจากที่นี่ได้”
“ขอบพระคุณมาก”
ฉานนู่กับฉีหยานประสานสองกำปั้นให้แก่อีกฝ่าย
แล้วพวกเขาก็เดินออกมานอกศูนย์แรงงาน เริ่มมองหาภารกิจบนที่แปะบนผนัง
“นายน้อย ท่านดูนั่นสิ” ฉานนู่เตือนเขา
ทั้งสองหันไปมองยังทิศทางเดียวกัน
เห็นแค่เพียงบนผนังแปะภารกิจ มีรางวัลนำจับของกู่ฉิงซานแปะอยู่ด้านบนสุด
และไม่ใช่แค่เพียงเขา แต่ยังมีภาพของซีน้อยอีกด้วย
นี่อาจจะเป็นภาพที่ถูกถ่ายไว้ที่นี่ ในช่วงที่ทั้งสองรับมอบภารกิจ
เบื้องล่างของทั้งสอง คือรางวัลอันแสนน่าอัศจรรย์ใจที่เสนอขึ้นมา
ฝูงชนต่างแออัด เบียดเสียดกันเพื่อตะกายเข้าไปดูรางวัลภารกิจ
“ภารกิจที่ทางวิหารแห่งความตายปล่อยออกมาด้วยตัวเอง น้อยครั้งจริงๆ ที่โลกทะเลทรายจะเจอกับเรื่องน่าตื่นเต้นแบบนี้”
บางคนเดาะลิ้นจนเกิดเสียงดัง
“ลืมมันเถอะ สำหรับพวกเราอย่าแม้จะคิดรับภารกิจนี้เลย ได้ยินว่ากระทั่งคนใหญ่คนโตในตลาดมืดก็ยังเสร็จมันเหมือนกัน” คนคนหนึ่งกล่าว
หลายคนพอได้ฟัง ก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบๆ
ยังไงก็ตาม แววตาของพวกเขาก็ยังคงตรึงอยู่บนรายละเอียดรางวัลมหาศาล ไม่ยินยอมที่จะผละจากไป
กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ
แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ เขาถูกหมายหัวโดยวิหารแห่งความตาย และเกรงว่าตนคงจำเป็นต้องระมัดระวังตัวมากกว่านี้ หากคิดท่องไปในดินแดนชิงอำนาจ
“นายน้อย แล้วพวกเราควรทำอย่างไรดี?” ฉานนู่ถาม
“แน่นอนว่าต้องรีบสะสมเงินและได้รับสิทธิ์ที่จะเข้าสู่ตลาดมืด พวกเราคงต้องเร่งมือกันหน่อยแล้ว”
กู่ฉิงซานเหลือบมองเงินรางวัล สลับกับมองภารกิจทั้งหมดที่แปะบนผนัง และทำการเลือกมาหนึ่งงานที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด
“พวกเราจะไปทำภารกิจนี้กัน” เขากล่าวกับฉานนู่
ฉานนู่มองไปยังทิศทางที่อีกฝ่ายชี้
เห็นแค่เพียงหนึ่งในภารกิจ รายละเอียดว่า “ทางตลาดมืดได้ออกภารกิจสำคัญ นั่นคือการค้นหาข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับหมายจับของวิหารแห่งความตาย หากได้รับการยืนยันว่าข้อมูลที่คุณกล่าวมาเป็นความจริง จะได้รับรางวัลดังต่อไปนี้ทันที ”
“ได้รับคุณสมบัติในการเข้าสู่ตลาดมืด”
“ได้รับเหรียญเลขสิบ หนึ่งพันเหรียญ”
“ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสำคัญของข้อมูลที่ได้รับ หากเป็นประโยชน์มาก ทางทหารรักษาการจะเพิ่มเติมรางวัลให้”
“หมายเหตุ หากค้นพบว่ามีการฉ้อฉลหรือปลอมแปลงข้อมูล คนที่ให้ข้อมูลจะถูกประหารทันที!”
ฉานนู่อ่านคำอธิบายภารกิจ ชะงักงันไป
เธอเอ่ยผ่านความคิด “นายน้อย พวกเขาต้องการจับท่าน แต่ท่านแท้จริงกลับต้องการรายงานข้อมูลของตัวเองให้กับพวกเขา?”
กู่ฉิงซานพยักหน้า “อืม เพราะยังไงซะ พวกเราก็รู้อยู่แล้วว่าข้อมูลที่จะบอกไปมันเป็นความจริง แบบนี้เรียกว่าได้ผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย”
………………………
“หนึ่งวัน? นี่มันจะสั้นเกินไปแล้ว” กู่ฉิงซานอุทาน
เขามองวัยรุ่นสาว และเห็นแค่เพียงความสงบ ที่อีกฝ่ายเผยออกมา
เขาเอ่ยถามอย่างจริงจัง “แล้วแผนหลบหนีของพวกเราคืออะไร? ไหนลองบอกรายละเอียดมาสิ”
“แผนหรือ?” วัยรุ่นสาวชะงักและกล่าว “แผนของฉันหมดลงแล้ว”
“เธอหมายความว่าอะไร?” กู่ฉิงซานงง
“นายจำสิ่งที่ตัวเองพูดเอาไว้ไม่ได้หรือ?”
“ฉันพูดอะไรออกไป?”
วัยรุ่นสาวพูดด้วยท่าทีสบายๆ “พูดสิ ก็นายบอกเองว่าจากนี้ไปจะรับผิดชอบเรื่องเสื้อผ้า อาหาร แล้วก็ที่พักให้กับฉัน ฉะนั้น เรื่องการหลบหนีในคราวนี้ ขอมอบให้นายเป็นคนจัดการ”
กู่ฉิงซาน “…”
อืม แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดผิดนะ
เป็นเธอที่เสนอเงื่อนไขนี้มาเองเพื่อช่วยเหลือเขา นั่นหมายความว่านับจากนี้ไปกู่ฉิงซานจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบชีวิตเธอ
แล้วตัวเขาก็ออกปากเห็นด้วยอย่างชัดเจน
เดี๋ยวก่อนสิ
แต่เธอยังไม่ได้ช่วยหยุนจีเลยนี่นา
กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ถึงแม้ว่าฉันจะกลายเป็นราชทูตตัดสินบาปแล้วก็เถอะ แล้วฉันจะสามารถช่วยเหลือเพื่อนของฉันได้ยังไง?”
วัยรุ่นสาว “นายก็ต้องรีบยกระดับให้มันเร็วขึ้น ส่วนฉันเองก็ต้องรีบฟื้นฟูความแข็งแกร่งเดิมของตัวเอง”
กู่ฉิงซาน “จากนั้นล่ะ?”
วัยรุ่นสาว “เมื่อพวกเราแข็งแกร่งมากพอที่จะไปตามหาไพ่ที่ชื่อ เอาเป็นว่ามันอยู่ในสำรับไพ่อื่นก็แล้วกัน มันคือไพ่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเจ็ดเทพปีศาจ เพื่อใช้ในการปกป้องความปลอดภัยของพวกเขา”
วัยรุ่นสาวกล่าวต่อ “ไพ่ใบที่ว่าสามารถรักษาได้แม้กระทั่งเทพวิญญาณ ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่มันจะสามารถช่วยเพื่อนของนายได้”
“งั้นไปหามันตอนนี้เลยไม่ได้หรือ?”
“ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนายกับฉัน ย่อมไม่สามารถออกตามหาไพ่ใบนั้นได้ และแม้จะหาพบ แต่ฉันก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเปิดใช้งานมัน ส่วนนายอาจถึงขั้นตายลงเลยก็ได้”
“เข้าใจแล้ว…ต้องแกร่งก่อนเป็นอันดับแรกสินะ ดูเหมือนว่านี่คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกเรื่องจริงๆ”
ในเวลานั้น วัยรุ่นสาวมองเขา เอ่ยกระซิบเบาๆ “ฉันยังไม่รู้ชื่อของนายเลย”
“ฉันชื่อกู่ฉิงซาน ชื่อเดียวกันกับตอนที่ลงทะเบียนภารกิจนั่นแหละ” เขาตอบกลับ
พอได้ยิน วัยรุ่นสาวก็ยิ้มและกล่าว “งั้นหรือ ส่วนฉันชื่อว่าซี และในเมื่อนายเป็นคู่หูเพียงคนเดียวของฉัน ดังนั้นนายสามารถเรียกฉันว่าซีน้อยก็ได้”
ซีน้อยยืดเอวบิดขี้เกียจ “ฉันทุ่มเททำงานหนักมาตลอดทั้งคืนเพื่อเปลี่ยนร่างนาย ตอนนี้ฉันขอพักก่อนล่ะ เรื่องหลบหนีก็ฝากนายด้วยนะ”
กู่ฉิงซานกวาดตามองผืนทรายโดยรอบ เบนกลับมามองซีน้อยอีกครั้ง อดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “เธอคิดจะนอนที่นี่จริงๆ น่ะหรือ?”
ซีน้อย “ไม่ใช่แบบนั้น แต่นายจะต้องเป็นคนพาฉันไป ระหว่างที่ฉันกำลังนอน”
ปุ้ง!
แล้วจู่ๆ เธอก็เปลี่ยนเป็นไพ่สีเขียว ลอยไปเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน และตกลงในมือของเขา
“เก็บฉันดีๆ แล้วพาออกไปจากที่นี่ เรียกฉันได้ถ้ามีเรื่องฉุกละหุกเกิดขึ้น”
ซีน้อยในไพ่ย้ำเขาอีกรอบ
กู่ฉิงซานถือไพ่ อ่านรายละเอียดคำอธิบายที่ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม
“ไพ่เขียว นางฟ้าตัดสินบาป ซี”
“ระดับ ไพ่หยกระดับห้าดาว”
“คู่หู ผู้ฝึกดาบกู่ฉิงซาน”
“สังกัดสำรับไพ่ สำรับไพ่ผู้หลบหนี”
“คำอธิบาย เนื่องจากการสูญเสียพลังส่วนใหญ่ไป ระดับของนางฟ้าตัดสินบาปซีจึงตกลงมาอยู่ในระดับหยก”
“ซีน้อย เธอไม่มีแผนหรือไอเดียดีๆ ที่จะใช้หลบหนีเลยหรือ?” กู่ฉิงซานทนไม่ไหวจำต้องถาม
ซีน้อยที่อยู่ในไพ่ ส่ายมือไปมาให้เขา กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันเคยสู้กับมันมาก่อนก็จริง แต่หลังจากที่ถูกผนึกมานานปี และได้สลายอำนาจส่วนใหญ่เพื่อใช้หลบหนี ตอนนี้ฉันเลยไม่มีพลัง แถมยังไม่คุ้นเคยกับโลกใบนี้อีก ดังนั้นทุกอย่างขึ้นอยู่กับนายแล้วนะ!”
กู่ฉิงซาน “…”
‘ลืมมันเถอะ’ เขาปลอบใจตัวเองอย่างเงียบๆ ยังไงซะอีกฝ่ายก็ทำสิ่งต่างๆ มากพอแล้ว แถมยังช่วยให้เขากลายเป็นราชทูตตัดสินบาปอีก ที่เหลือจากนั้นเขาคงต้องทำด้วยตัวเอง
ทันใดนั้น เขาก็พึ่งนึกได้ถึงบางสิ่ง เอ่ยถามออกไป “ในเมื่อโลกใบนี้กำลังจะถูกทำลายลงแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องนำผลึกน้ำของเพื่อนฉันหนีไปด้วย”
“โถ่ ก็แล้วทำไมนายไม่รีบพูด ฉันเกือบจะนอนแล้วนะ” ซีน้อยบ่นหงุดหงิด
เธอเปลี่ยนร่างกลับมาเป็นคนอีกครั้ง ย่อตัวลงหน้าผลึกน้ำแข็ง ทาบมือลงไป
“ทำการเก็บกู้!” เธอตะโกน
ปุ้ง!
ทันใดนั้นผลึกน้ำแข็งก็แปรสภาพเป็นไพ่
ซีน้อยส่งไพ่ให้กู่ฉิงซาน บ่นอย่างไม่พอใจ “อา เหนื่อยมาก ฉันจะนอนแล้ว และในเร็วๆ นี้ นายห้ามปลุกฉันอีกเด็ดขาด!”
เธอเปลี่ยนกลับเป็นไพ่อีกครั้ง และบินไปในมือของกู่ฉิงซาน
บนหน้าไพ่ วัยรุ่นสาวบัดนี้มิได้สวมใส่ชุดขาวอีกต่อไป แต่เธออยู่ในสภาพชุดนอน ล้มตัวลงบนเตียงขนาดใหญ่ หลับใหลอย่างสบายอารมณ์
ดูเหมือนว่าเธอจะเหนื่อยมากจริงๆ
กู่ฉิงซานมองเธอ และมองดูไพ่ผลึกน้ำแข็งในมือ
คำอธิบายของไพ่ผลึกน้ำแข็งรวบรัดสั้นๆ เพียงแจ้งว่านี่คือไพ่เปล่า ที่ใช้สำหรับจัดเก็บชั่วคราว
กู่ฉิงซานมองดูไพ่ทั้งสองใบ และอดไม่ได้ต้องถอนหายใจ
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันเกินกว่าจินตนาการของเขาไปมากโข ราวกับความฝัน
เขาได้กลายเป็นราชทูตตัดสินบาป
ตอนนี้ หากย้อนกลับมาตั้งแต่จุดเริ่มต้น ถ้าตนเองไม่ได้พกไพ่จากสำรับทะเลเลือดแล้วล่ะก็ เขาคงไม่อาจดึงดูดความสนใจจากซีน้อยได้เลย
แต่ด้วยไพ่ทะเลเลือด มันเลยช่วยให้ทั้งสองฝ่ายต่างรู้จักกันมากขึ้น
ทว่าจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดก็คือ…
ในนาทีสุดท้าย เขาตัดสินใจที่จะช่วยชีวิตเธอ และยังช่วยเธอต่อต้านการจับกุมของชายชุดคลุมดำ
ส่งผลให้ในสายตาของซีน้อย มองเขาด้วยความสนิทสนมมากยิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เธอสามารถเห็นว่ากู่ฉิงซานได้ทำการปลดล็อกจิตวิญญาณ ดังนั้นเธอเลยต้องการเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นราชทูตตัดสินบาป
เวลานี้ ตลอดทั้งโลกมีราชทูตตัดสินบาปเพียงสองคนเท่านั้น คือเขากับซีน้อย
กู่ฉิงซานก้มลงมองไพ่ซีน้อย
หลังจากที่ได้มีคู่หู และมีคนสัญญาว่าจะดูแลเรื่องต่างๆ ให้เธอ เธอก็คลายใจลง นอนหลับอย่างสงบ
นี่มันจริงๆ เลยนะ..
กู่ฉิงซานส่ายหัว
เธอเคยเป็นนางฟ้าผู้ตัดสินบาป แถมยังทรงพลังชนิดแม้กระทั่งเทพวิญญาณก็ยังหวาดกลัว แต่ในระหว่างการพูดคุยกับกู่ฉิงซาน เธอดูใส่ซื่อบริสุทธิ์เอามากๆ
เกรงว่าในอดีตที่ผ่านพ้น นอกเหนือไปจากเรื่องการต่อสู้แล้ว เทพวิญญาณคงแทบไม่ได้สอนอะไรอย่างอื่นให้เธอเลย
เมื่อได้ลองคิดเกี่ยวกับมัน ว่าต้องตกเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้ในการต่อสู้ตั้งแต่เกิด และในที่สุดก็ถูกผนึกเอาไว้ ชีวิตมันจะเศร้าโศกขนาดไหนกันนะ
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
ช่างมันเถอะ ในเมื่อตอนนี้เขาสัญญาว่าจะดูแลเธอแล้ว ดังนั้นสิ่งที่จะต้องทำต่อไปเขาจะจัดการเอง
กู่ฉิงซานหยิบกล่องที่สลักขึ้นจากหยกวิญญาณที่ดีที่สุดออกมา และวางสองไพ่ลงไป
เมื่อซีน้อยเข้าไปในกล่องหยก เธอก็สัมผัสได้ถึงพลังงานจิตวิญญาณอันอุดมสมบูรณ์ทันที
เธอพลิกตัว เหยียดแขนขาอย่างสบายอารมณ์ในไพ่ ปากขมุบขมิบงึมงำ คล้ายละเมอ และหลับต่อไป
กู่ฉิงซานเก็บกล่องหยก
นับจากนี้ เหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งวัน โลกก็จะถูกทำลาย
มอนสเตอร์ประหลาดที่เกิดจากกฎไม่ดับสูญ กำลังจะปรากฏตัวขึ้น
มันจะกลืนกินทุกอย่างที่นี่
หากคุณต้องการที่จะออกจากโลกทะเลทราย และเดินทางท่ามกลางกระแสมิติอย่างปลอดภัย คุณจำเป็นต้องใช้ยานพาหนะที่มีคุณภาพดี
แต่เขาไม่มีเงิน!
กระทั่งคุณสมบัติที่จะเข้าสู่ตลาดมืดก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ!
แล้วควรจะทำยังไงดีล่ะทีนี้?
ตนเองสามารถเดินทางไปมาในกระแสมิติได้ก็จริง
ทว่ากระแสมิติในดินแดนชิงอำนาจกับภายนอกมันแตกต่างกัน ที่นี่น่ะเต็มไปด้วยมอนสเตอร์อันตราย
และเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าควรจะไปที่โลกไหนดี
กู่ฉิงซานจมอยู่ในห้วงความคิด
เหลือเวลาแค่หนึ่งวัน…
กระชั้นชิดเกินไป…
…
ภายในโลกหินขาว
นี่คือโลกที่อยู่ใกล้กับโลกทะเลทรายมากที่สุด
ได้ยินถึงเสียงหัวเราะดังออกมาจากในอาคารขนาดใหญ่
“ฮะฮ่าๆ ดูรางวัลภารกิจที่ทางวิหารแห่งความตายออกด้วยตัวเองนี่สิ พวกเราคงต้องรีบไปยังโลกทะเลทราย เก็บเกี่ยวชีวิตเจ้าหน้าใหม่ซะแล้ว!”
ยักษ์เทาที่มีร่างกายใหญ่โตกล่าวขณะหัวเราะเสียงดัง
หนึ่งในคนของเขาเอ่ยประจบประแจง “บอส นับว่าพวกเราได้เปรียบคนอื่นๆ มากจริงๆ เพราะสุดท้าย มันต้องใช้เวลาแค่ครึ่งวันเท่านั้น พวกเราก็จะสามารถไปถึงโลกทะเลทรายได้”
“ถูกต้อง ทางคริสตจักรจะอนุญาตให้พวกเขาเข้าสู่วิหารแห่งความตาย และบิชอปจะเป็นผู้แนะนำพวกเรา ช่วยเหลือให้พวกเราสามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ทุกคนในกลุ่มต่างก็ยิ้มออกมา
ยักษ์เทาหัวเราะอีกครั้งจนบริเวณโดยรอบสั่นสะเทือน รอบตัวเขา สมาชิกคนอื่นๆก็หัวเราะตามไปด้วย ไม่มีใครแสดงใบหน้าบึ้งตึง หรือไม่เห็นด้วยออกมา
“ฮ่าๆๆ นับว่าโชคหล่นทับกลุ่มนักล่าเงินรางวัล ‘คร่าทมิฬ’ ของฉันจริงๆ! แถมพวกเราเองก็ยังเลือกศรัทธาในเทพแห่งความตายพอดีอีกด้วย!”
ยักษ์เทากระชากใบรางวัลนำจับที่พึ่งถูกแขวนบนกำแพงเสียงดังแคว่ก ตะโกนว่า “ทุกคนเตรียมตัวทันที พวกเราจะไปโลกทะเลทราย ไปฆ่าเจ้าเด็กนั่น!”
“แล้วพวกเราจะไปวิหารแห่งความตายกัน!”
“ทุกคนจะได้กลายเป็นเทพ!”
………………………………
“โปรดทราบ”
“อีกไม่นาน คุณจะกลายเป็นไพ่!”
กู่ฉิงซานจ้องมองหน้าต่างมองต่างเทพสงคราม ทั้งคนทั้งร่างกลายเป็นโง่งม
แม้ประโยคนี้จะดูเรียบง่าย แต่ขณะเดียวกันมันก็เหนือล้ำเกินกว่าจินตนาการ กู่ฉิงซานต้องพยายามอย่างหนักเพื่อจะสงบสติอารมณ์ตน
ก่อนที่เขาจะทันได้คิดเกี่ยวกับมันได้มากกว่านี้ วัยรุ่นสาวก็เริ่มเคลื่อนไหวซะก่อน
เธอชูนิ้วชี้ขึ้น และกดมันลงเบาๆ บนระหว่าง
บังเกิดแสงสาดออกมาจากหว่างคิ้วเธอ ถ่ายเทลงในนิ้วที่พึ่งวางไป
ช่วงเวลาที่แสงนี้สาดออกมา คล้ายกับว่าโลกทั้งใบได้หายวับไป
ไร้ซึ่งมิติและเวลา
ปรากฏให้เห็นแค่เพียงจุดแสงที่ส่องประกายอยู่ในโลกสิบทิศ
ท่ามกลางโลกนับล้านๆ และสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ทั้งหมดต่างหมอบคลานเข้าหาจุดแสงนี้
กระทั่งกู่ฉิงซานก็ยังบังเกิดความรู้สึกนอบน้อมอย่างมิอาจต้านทานได้
วัยรุ่นสาวพยุงแสงนี้ไว้อย่างระมัดระวัง ค่อยๆ ก้าวเท้าเดินเข้าหากู่ฉิงซาน
ปากเปล่งเสียงกระซิบ “มอบสิทธิ์การเปลี่ยนร่าง”
สิ้นเสียง จุดแสงพลันถูกกดเข้าไปในหน้าอกของกู่ฉิงซาน
พริบตานั้นตลอดทั้งร่างของเขาพลันผลิบานไปด้วยบุปผาแสงสดใส
ในช่วงเวลาเดียวกัน กู่ฉิงซานรู้สึกคล้ายกับตนได้ถูกส่งออกห่างจากโลกใบนี้ไป มาปรากฏในมิติอันมืดมิดอีกแห่งหนึ่ง
การดำรงอยู่มากมายที่เร้นกายอยู่ในส่วนลึกของความมืดมิดนี้ เมื่อพวกมันเห็นกู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้น ทั้งหมดต่างก็แสดงออกถึงความสุขอย่างเปี่ยมล้น
“คุณได้กลายเป็นไพ่”
“คุณได้ละเมิดกฎเกณฑ์ที่ทวยเทพบัญญัติเอาไว้”
“เจตจำนงของทวยเทพกำลังจะสังหารคุณ”
“ทว่าก่อนหน้านี้คุณได้รับ ‘การรับรอง’ ให้สามารถเปลี่ยนร่างจากพลังแห่งบรรพกาลแล้ว”
“พิจารณาจากคำสาบานร่วมกันของทวยเทพ คุณได้รับสิทธิ์ในการเปลี่ยนร่างเป็นกรณีพิเศษ”
“คุณได้กลายเป็นไพ่โดยสมบูรณ์แล้ว”
บรรทัดแสงหิ่งห้อยหยุดลงเพียงเท่านี้
ทันใดนั้นปรากฏไพ่ใบหนึ่งขึ้นใจกลางหน้าต่างเทพสงคราม
มันเป็นไพ่สีเทา เบื้องหลังฟุ้งไปด้วยหมอกที่ดูสับสนไร้ที่สิ้นสุด เบื้องหน้าเป็นรูปกู่ฉิงซานกำลังยืนถือดาบคู่ ลอยอยู่กลางอากาศ
ในส่วนล่างของไพ่ บรรทัดคำอธิบายทยอยกันปรากฏออกมา
“ไพ่สีเทา ผู้ฝึกดาบกู่ฉิงซาน”
“ระดับ ไพ่เทาระดับศูนย์”
“คู่หู นางฟ้าตัดสินบาป ‘ซี’ ”
“สังกัดสำรับไพ่ สำรับไพ่ผู้หลบหนี”
หลังจากที่กู่ฉิงซานอ่านข้อมูลไพ่ของตัวเอง ข้อมูลทั้งหมดก็พุ่งออกมา และปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยขึ้นอีกครั้ง
“ในไม่ช้าคุณจะได้รับตำแหน่ง ราชทูตตัดสินบาป”
“คุณได้กลายเป็น ‘ราชทูตตัดสินบาป’ แล้ว”
เมื่ออักษรในบรรทัดสุดท้ายปรากฏขึ้น ตัวกู่ฉิงซานก็สาดแสงสว่างสดใส
มิติอันมืดมิดได้หายไป
กู่ฉิงซานค้นพบว่าตนได้กลับมายังโลกทะเลทรายอีกครั้ง
อักษรรูนสีเทาทั้งหมดรอบกายเขาได้หายไป
เขาลดระดับลงมาจากกลางอากาศอย่างช้าๆ และอดไม่ได้ที่จะทดลองขยับร่างกายของเขา
พบว่ามันไม่มีความผิดปกติใดๆ
“การเปลี่ยนร่างสำเร็จ!”
วัยรุ่นสาวชุดขาวกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
กู่ฉิงซานมองเธอ
เห็นแค่เพียงการแสดงออกที่ดูใกล้ชิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนของวัยรุ่นสาว เธอยิ้ม “นับตั้งแต่วันนี้ไป นายจะเป็นคู่หูเพียงหนึ่งเดียวของฉัน!”
เธอชูสองแขนขึ้น ตะโกนโห่ร้อง “ยอดไปเลย ในที่สุดฉันก็มีคู่หูแล้ว!”
“ใจเย็นก่อนนะ ช่วยอธิบายหน่อย ฉันยังไม่เข้าใจเลยว่านี่มันเรื่องอะไรกัน?” กู่ฉิงซานถาม
วัยรุ่นสาว “ไม่ใช่ว่านายต้องการช่วยเหลือทั้งสามร้อยกว่าชีวิตนั่นหรือ?”
กู่ฉิงซาน “อ่า ก็ใช่”
วัยรุ่นสาว “แล้วนายก็ไม่สามารถกลายเป็นเทพได้อีกด้วยใช่ไหม?”
“ใช่”
วัยรุ่นสาวปรบมือ “เพราะฉะนั้น ฉันก็เลยเปลี่ยนนายให้เป็นการดำรงอยู่ชนิดเดียวกันกับฉันไง!”
กู่ฉิงซาน “…เธอหมายถึงไพ่ใช่หรือเปล่า?” ตัวเขารู้สึกว่ากำลังฝันอยู่
“หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือตอนนี้ฉันเป็นไพ่? แล้วก็ยังเป็นไพ่ของเธอด้วย?” เขาอดไม่ได้ที่จะถาม
“ไม่ นายเป็นเหมือนกันกับฉัน เป็นผู้ตัดสินบาป” วัยรุ่นสาวส่ายหัว
กู่ฉิงซานถาม “แต่ฉันไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลย มันคืออะไร?”
วัยรุ่นสาวกำลังจะพูด แต่ทันใดนั้นตลอดทั้งผืนทรายพลันเกิดการสั่นสะเทือน
มันเป็นการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ วัยรุ่นสาวกับกู่ฉิงซานจำเป็นต้องลอยอยู่กลางอากาศหลายสิบลมหายใจ กว่าที่การสั่นสะเทือนจะหยุดลง
ทั้งสองค่อยกลับมาหยั่งเท้าบนพื้น
“แปลกจริง ตามความรู้ความเข้าใจของฉัน โลกใบนี้มันไม่สมควรจะเกิดแผ่นดินไหวได้เลยนี่นา” กู่ฉิงซานกล่าว
วัยรุ่นสาวพยายามรับรู้ถึงสิ่งรอบตัว สีหน้าของเธอหนักอึ้งขึ้น “อ๊ะ ดูเหมือนว่าฉันจะต้องรีบบอกนายทุกอย่างซะแล้ว ไม่อย่างนั้นมันจะสายเกินไป”
“ว่ามาสิ”
“นายรู้จักโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์ไหม?”
“รู้ มันคือโลกที่ดำรงอยู่มาก่อนทวยเทพจะปรากฏตัวขึ้น”
วัยรุ่นสาว “โลกใบนี้คือโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีกฎเกณฑ์ ‘ไม่ดับสูญ’ แต่บางครั้งกฎ ‘ไม่ดับสูญ’ จะถือกำเนิดสิ่งมีชีวิตบางอย่าง ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าการดำรงอยู่ของเทพวิญญาณขึ้น และสิ่งมีชีวิตที่ว่ามานี้ไร้ซึ่งอารมณ์หรือจิตสำนึก นอกเหนือไปจากการกลืนกินเทพวิญญาณจนเต็มท้องแล้ว ความสุขที่เหลือของมันก็มีเพียงการทำลายล้างเท่านั้น”
“มันฟังดูน่ากลัวจังแฮะ” กู่ฉิงซานกล่าว
“ใช่ ทุกครั้งที่มอนสเตอร์ไม่ดับสูญปรากฏกายขึ้น มันคือหายนะสำหรับเหล่าทวยเทพ”
“แต่นับว่าโชคยังดี ที่เหล่าทวยเทพโดดเด่นในการรังสรรค์ พวกเขาสามารถสร้างอาวุธและพลังอำนาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตนเองได้”
“ราชทูตตัดสินบาปเองก็เป็นหนึ่งในนั้นใช่ไหม?” กู่ฉิงซานถาม
“ถูกต้อง นายนี่ฉลาดเหมือนกันนะ” วัยรุ่นสาวยกย่อง “ทุกการดำรงอยู่ที่สามารถคุกคามเทพวิญญาณได้ จะถูกพิจารณาว่าเป็น ‘บาป’ โดยเทพวิญญาณ”
“อย่างไรก็ตาม ราชทูตตัดสินบาปก็ได้ถูกสร้างขึ้นโดยเจ็ดเทพปีศาจ และถูกสั่งให้ใช้พลังอำนาจที่เหนือล้ำยิ่งกว่าพวกเขา คอยทำหน้าที่ปกป้องเจ็ดเทพปีศาจ ถอนรากถอนโคนสิ่งที่เจ็ดเทพเรียกมันว่า ‘บาป’ ทั้งหมดให้สูญสิ้นไป”
กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “แล้วราชทูตตัดสินบาปทั้งหมดมีกันกี่คน?”
วัยรุ่นสาวส่ายหัว “มีกี่คนงั้นหรือ? แค่สร้างฉันคนเดียว เจ็ดเทพปีศาจก็ใช้พลังไปหมดแล้ว”
“เพื่อที่จะต่อสู้กับบาปที่มิอาจเอาชนะ เจ็ดเทพปีศาจได้พยายามรังสรรค์สิ่งที่ทรงพลังขึ้นมากมาย และมอบพวกมันให้กับฉันเพื่อสร้าง ‘สำรับไพ่ผู้ตัดสินบาป’ ขึ้น”
“ฉันรับภารกิจในการปกป้องเทพปีศาจ คอยวิ่งวุ่นไปในโลกนับอนันต์ ทั้งสังหาร ทั้งผนึกมอนสเตอร์เหล่านั้นเอาไว้ และในที่สุดเจ็ดเทพปีศาจก็ปลอดภัย”
“ครั้งสุดท้าย เจ็ดเทพปีศาจค้นพบว่าโลกก่อนประวัติศาสตร์ที่อยู่ภายใต้เท้าของพวกเราใบนี้ มันกำลังจะถือกำเนิดการดำรงอยู่แห่งบาปที่ทรงประสิทธิภาพขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงสั่งให้ฉันลงมือ”
“และในฐานะที่เป็นราชทูตตัดสินบาป ฉันจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อย”
“แต่ในครั้งนั้น สถานการณ์มันกลับยากเย็นกว่าที่เคย ฉันจำต้องใช้พลังทั้งหมดของฉัน ถึงจะสามารถผนึกบาปตนนั้น ให้จมลงสู่ห้วงนิทรา”
“แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น พอได้มาลองคิดๆ ดูแล้ว ฉันจึงตระหนักได้ว่าเทพวิญญาณน่ะรู้จักพลังของฉันเป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกใช้มอนสเตอร์ตัวนั้นในการกำจัดฉัน”
“เดี๋ยวก่อนสิ เมื่อกี้เธอพูดว่าพวกเขาคิดกำจัดเธองั้นหรือ?” กู่ฉิงซานทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม
วัยรุ่นสาวถอนหายใจ “ใช่แล้ว ในตอนที่ฉันสามารถผนึกมอนสเตอร์ลงได้ พลังของฉันก็หมดลง เทพวิญญาณก็ได้ใช้กับดักที่เตรียมเอาไว้ลอบโจมตีฉัน และผนึกฉันไปพร้อมกับมอนสเตอร์”
กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักค่อยเอ่ยถาม “หรือว่าพวกเขาจะกลัวเธอ?”
วัยรุ่นสาว “ถูกต้อง ในวันสุดท้ายที่ฉันอยู่พร้อมหน้ากับเจ็ดเทพปีศาจ ฉันค่อยๆ มีความนึกคิดเป็นของตัวเอง ไม่ใช่แค่เพียงเครื่องมืออีกต่อไป ฉันไม่มีวันลืมเลย ว่าในตอนที่ฉันแสดงอารมณ์ของตัวเองเป็นครั้งแรก สีหน้าของพวกเขาหวาดกลัวถึงขนาดไหน”
เธอเงียบไปและพูดต่อ “หลังจากนั้น ฉันก็ถูกผนึก และจมลงสู่ห้วงหลับไปเป็นเวลานาน เฝ้ารอวันเวลาที่จะตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ”
“ฉันค้นพบว่าโลกภายนอกได้เปลี่ยนผัน และเจ็ดเทพปีศาจก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว”
นอกจากนี้ยังไม่มีราชทูตตัดสินบาปปรากฏขึ้นมาให้เห็น แต่กลับเป็นผู้ใช้ไพ่มาแทนที่
“นี่คงเป็นเพราะเทพวิญญาณ ยังคงหวาดกลัวการปรากฏขึ้นของบาป แต่ขณะเดียวกัน ก็หวาดกลัว ‘ฉัน’ ที่ตนรังสรรค์ขึ้นมาเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึง ‘เปลี่ยนกฎเกณฑ์ของไพ่ ให้กลายเป็นผู้ใช้ไพ่แทน’ ซึ่งตัวตนเหล่านี้อ่อนแอกว่าเดิมหลายเท่านัก”
“แล้วถ้าอย่างนั้น ทำไมฉันถึงได้กลายมาเป็นราชทูตตัดสินบาปล่ะ?” กู่ฉิงซานถาม
“เป็นเพราะในตอนที่ฉันถูกสร้างขึ้น ‘สี่เทพทรงธรรม’ ได้มอบหมาย ‘อำนาจการรับรอง’ ที่จะช่วยให้ฉันสามารถ ‘เปลี่ยน’ คนอื่นเป็นราชทูตตัดสินบาปได้ แต่ภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นเทพทรงธรรมหรือเทพปีศาจ พวกเขาก็คงจะรู้สึกว่าพลาดเช่นกันที่มอบพลังนี้ให้แก่ฉัน”
“นอกเหนือไปจากที่ว่ามา ก็ยังมีเหตุผลอีกหนึ่ง” วัยรุ่นสาวมองกู่ฉิงซานและกล่าว “นั่นคือ นายเองก็เป็นเหมือนกันกับฉัน ที่ได้ถูก ‘ปลดล็อกจิตวิญญาณ’ ซึ่งอำนาจนี้เป็นสิ่งที่เจ็ดเทพปีศาจไม่สามารถทำได้ มีเพียงสี่เทพทรงธรรมเท่านั้นจึงจะสามารถทำมันได้”
“ดังนั้น ด้วยความร่วมมือกันระหว่างเทพทรงธรรมกับเทพปีศาจ ในที่สุดมันก็นำมาสู่การถือกำเนิดฉัน และการเปลี่ยนร่างเป็นราชทูตตัดสินบาปของนาย”
กู่ฉิงซานเงียบ แน่นอนอยู่แล้วว่าเธอต้องดูออก
ในความเป็นจริง หากคนที่พบความลับของเขาไม่ใช่วัยรุ่นสาวคนนี้ เขาคงจะสังหารมันเพื่อกลบซ่อนความลับของตนเองไปตลอดกาลแล้ว แต่ตอนนี้ อีกฝ่ายกลับเปิดใจกับเขา และใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้เขาเปลี่ยนเป็นราชทูตตัดสินบาป จนกลายมาเป็นความลับระหว่างทั้งสองคน
แม้ว่าการปลดล็อกจิตวิญญาณจะเป็นเพียงเงื่อนไขพื้นฐาน และทวยเทพก็หวาดเกรงการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถนี้ นี่ก็พอจะบ่งบอกได้แล้วว่าราชทูตตัดสินบาปน่าหวาดหวั่นขนาดไหน
ไม่ใช่ว่านี่หรอกหรือ คือสิ่งที่เขาตามหา?
“แล้วจากนั้นล่ะ?” กู่ฉิงซานถาม
วัยรุ่นสาว “เมื่อฉันตื่นขึ้นมา ฉันก็พบว่ามอนสเตอร์ไม่ดับสูญยังคงอยู่ในผนึกของฉัน”
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว “เทพวิญญาณไม่สมควรจะผิดพลาดแบบนี้ ทำไมสถานการณ์แบบนี้ถึงได้เกิดขึ้น?”
วัยรุ่นสาว “หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่นาน ฉันก็พบว่ามีหนึ่งในคริสตจักร ได้จัดสรรทรัพยากรณและกำลังคนจำนวนมาก เพื่อทำการศึกษาผนึกนี้ พวกเขาหมายปองพลังของสำรับไพ่ผู้ตัดสินบาป”
“ฉันฉวยโอกาสในช่วงจังหวะที่พวกเขายังไม่สำเร็จ คิดริเริ่มว่าจะออกไปอย่างไรดี”
“ต่อมา ฉันก็พบว่ามีเพียงการสลายอำนาจทั้งหมด ปิดผนึกภูมิปัญญาของตน และกลายเป็นการดำรงอยู่อ่อนแอเท่านั้น จึงจะสามารถเล็ดลอดไปจากผนึกหลังจากการหลับลึกได้”
“แต่นี่มันทำให้เกิดปัญหาขึ้น”
“ปัญหาอะไร?” กู่ฉิงซานถาม
“พอฉันออกมาจากสำรับไพ่ มันเลยกระตุ้นให้ ‘บาป’ที่เทพวิญญาณหวาดกลัว พลอยถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วย” วัยรุ่นสาวกล่าว
กู่ฉิงซานมองหน้าอีกฝ่าย ในแววตาเหมือนจะล่วงรู้ถึงความคิดของกันและกัน
วัยรุ่นสาวมองเข้าไปในดวงตาของกู่ฉิงซาน กล่าวอย่างจริงจัง “ที่จริงนี่ไม่ใช่การตัดสินใจของฉัน แต่เป็นความปรารถนาอันแรงกล้าของทางคริสตจักร ที่มุ่งหวังจะครอบครองสำรับไพ่ผู้ตัดสินบาป พวกเขาได้ทำการปลดผนึกบางอย่าง ส่งผลให้ฉันสามารถเป็นอิสระได้แม้จะในช่วงระยะเวลาสั้นๆ”
“ฉันคว้าโอกาสนั้นเอาไว้ เปลี่ยนสำรับไพ่ผู้ตัดสินบาปให้กลายเป็นสำรับไพ่ผู้หลบหนี จากนั้นก็สลายพลังทั้งหมดของฉันไป”
“ในเวลานั้น ฉันก็หลุดพ้นจากผนึก”
“แน่นอนว่าทางคริสตจักรสามารถตรวจพบฉันได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาล่วงรู้ความคิดของฉันที่ต้องการหลบหนีออกจากห้วงลึกของสำรับไพ่ผู้ตัดสินบาป” วัยรุ่นสาวกล่าว
“เธอเปลี่ยนสำรับไพ่ผู้ตัดสินบาป ให้กลายมาเป็นสำรับไพ่ผู้หลบหนี อย่างงั้นหรือ…” กู่ฉิงซานทวนซ้ำ
นี่เป็นสิ่งเดียวกันกับที่ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“แล้วทำไมเธอถึงต้องเรียกมันว่าสำรับไพ่ผู้การหลบหนีด้วย?”
วัยรุ่นสาว “ก็เพราะว่าฉันได้สูญเสียพลังส่วนใหญ่ไปแล้ว และเพราะอะไรถึงตั้งแบบนั้น นายน่าจะเดาออก”
กู่ฉิงซานแข็งค้าง เขาพลันตระหนักได้ถึงบางสิ่งในทันใด
“เข้าใจแล้ว” เขาพึมพำ “เธอได้ทิ้งผนึกทั้งหมดไป ดังนั้นหมายความว่า สิ่งที่กระทั่งเทพวิญญาณก็ยังหวาดกลัว กำลังจะตื่นจากการหลับใหลสินะ”
วัยรุ่นสาว “ใช่ และเหตุการณ์แผ่นดินไหวทั้งโลกเมื่อครู่นี้ คิดว่าเกิดจากการหลับใหลของมันที่ถูกรบกวน ฉันว่ามันกำลังจะตื่นขึ้นมาในไม่ช้า”
“งั้นพวกเราคงต้องรีบหนีกันในตอนนี้เลยใช่หรือเปล่า?”
“ถูกต้อง”
“แล้วพวกเราจะมีเวลาอีกนานแค่ไหน?”
วัยรุ่นสาวเหยียดนิ้วหนึ่งออกมา
“อีกหนึ่งวัน”
“หนึ่งวันต่อจากนี้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกทะเลทราย จะกลายเป็นอาหารของมัน”
…………………………………
กู่ฉิงซานคิดอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยถาม “แล้วเธอสามารถช่วยเหลือคนสามร้อยคนในเวลาเดียวกันได้หรือเปล่า?”
“ไม่ได้หรอก ความสามารถของฉันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรักษา หากอาศัยแค่มัน ย่อมไม่สามารถทำอย่างที่นายขอได้” เธอกล่าว
ดวงตาของกู่ฉิงซานสาดประกายสดใส “ฟังจากที่พูด หมายความว่ายังพอมีวิธีช่วยเหลือพวกเขาได้อยู่ใช่ไหม?”
“ใช่”
วัยรุ่นสาวหยิบหนังสือออกมา ยื่นให้กู่ฉิงซาน “วิธีอื่นที่เร็วที่สุดก็คือการกลายเป็นเทพวิญญาณ ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์แล้ว แม้ว่าเทพแห่งชีวิตจะเป็นเทพปีศาจ แต่ขณะเดียวกันเขาก็เชี่ยวชาญทางด้านการรักษา หากสามารถเข้าถึงกฎเกณฑ์สูงสุดของเทพแห่งชีวิตได้ ก็จะสามารถช่วยเหลือคนเหล่านี้ได้เช่นกัน”
กู่ฉิงซานก้มลงมองหนังสือ
ตรงหน้าปกของมัน เขียนเอาไว้ว่า บทสรุปการศึกษากฎเกณฑ์ของเทพแห่งชีวิต
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะฝืนยิ้มออกมา
ไม่นานมานี้ ในระหว่างที่กำลังเดินทางอยู่ท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราก ตัวเขาเคยได้กลายเป็นผู้ศรัทธาวิหารแห่งชีวิต
แต่ทันทีหลังจากที่ได้รับคำตอบจากร่างมนุษย์แสง เขาก็ยกเลิกสถานะของผู้ศรัทธาทันที
ถ้ารู้แต่แรกว่าตนจำเป็นต้องกลายเป็นเทพ เขาคงไม่ตอบปฏิเสธไปแบบนี้หรอก
ตอนนี้ เขาได้ละทิ้งหนทางสู่การเป็นเทพไปแล้ว ดังนั้นย่อมไม่สามารถรับอนุญาตให้เข้าสู่วิหารแห่งชีวิตได้อีก
แล้วเขาควรจะทำอย่างไรดี?
กู่ฉิงซานเงียบ สายตาจับจ้องลงบนผลึกน้ำแข็ง
หยุนจีที่อยู่ภายในกำลังหลับตาอยู่เงียบๆ คล้ายกับเจ้าหญิงนิทรา
กู่ฉิงซานพลันตระหนักได้ถึงอีกเรื่องอย่างกะทันหันว่าแท้จริงแล้วมันไม่ใช่แค่หยุนจี แต่บางทีเฉินหยางก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่
แล้วไหนจะพี่หมี แขนจักรกล และสหายที่ดีของแบรี่อีกมากมาย ที่ตอนนี้เพียงสามารถรักษาชีวิตตนเอาไว้ได้ชั่วคราว
พวกเขาไม่ได้เป็นแค่สหายที่ดีของแบรี่ แต่พวกเขาก็ยังปฏิบัติต่อกู่ฉิงซานเป็นอย่างดีเช่นกัน
เฉินหยางไม่เพียงเคยช่วยชีวิตตนเอาไว้ แต่ยังเคยช่วยท่านอาจารย์ของเขาอีกด้วย
แต่ตัวเขาเองกลับเลือกที่จะละทิ้งเส้นทางสู่การเป็นเทพ!
กู่ฉิงซานกุมหนังสือในมือ บังเกิดห้วงอารมณ์โศกเศร้า
“เฮ้ๆ นายช่วยมีท่าทีกระตือรือร้นหน่อยจะได้ไหม ที่นายต้องทำก็แค่ทุ่มเทพยายามให้หนักขึ้นเท่านั้นเอง พอกลายเป็นเทพแล้ว จะได้สามารถช่วยเหลือพวกเขาไง”
หลังการคุยเรื่องสำคัญจบลง ท่าทีของวัยรุ่นสาวก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม
กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ สุดท้ายกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันคงไม่สามารถกลายเป็นเทพได้”
แล้วเขาก็อธิบายเหตุผลออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่ใครจะรู้ ว่าหลังจากที่วัยรุ่นสาวรับฟังอย่างเงียบๆ สุดท้ายเธอกลับถอนหายใจโล่งอก!?
“นายจะไม่กลายเป็นเทพ นี่มันยอดไปเลย! เพราะถ้านายกลายเป็นเทพ ฉันคงต้องรีบหนีนายไปให้ไกลซะแล้ว” วัยรุ่นสาวกล่าวด้วยความยินดี
“ทำไมกันล่ะ?” กู่ฉิงซานงง
“เพราะฉันเกลียดเทพวิญญาณ” วัยรุ่นสาวย่นจมูกของเธอ
“อ่า…ถ้าอย่างนั้นพอจะมีวิธีอื่นอีกไหมที่จะสามารถช่วยคนที่ติดอยู่ในผลึกได้?” กู่ฉิงซานถาม
“นี่นายต้องการจะช่วยเหลือคนพวกนี้จริงๆ หรือ? นายเข้าใจหรือเปล่าว่าด้วยความแข็งแกร่งของนาย มันจะต้องใช้ความพยายามอย่างยากลำบากถึงขนาดไหน มันถึงจะเป็นไปได้?”
“เธอกำลังจะบอกว่าฉันต้องแข็งแกร่งขึ้นหรือ?”
“ใช่ นายต้องแข็งแกร่ง แกร่งยิ่งกว่าคนส่วนใหญ่ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น ก้าวเข้าไปสู่ขีดขั้นความแข็งแกร่งที่ตลอดทั้งชีวิตของบางคนมิอาจเอื้อมถึงได้”
“นั่นคือหนทางที่ฉันกำลังก้าวเดินอยู่” กู่ฉิงซานบอกเธอ
วัยรุ่นสาวรับฟังอย่างเงียบๆ เธออดไม่ได้ที่จะมองไปทางกู่ฉิงซาน สีหน้าปรากฏแววลังเล
คล้ายกับว่าวัยรุ่นสาวกำลังพิจารณาถึงสิ่งสำคัญบางอย่างอยู่
“คำถามต่อไปนี้สำคัญมาก นายต้องตอบด้วยความซื่อสัตย์ วัยรุ่นสาวกล่าว “นาย เกลียดผู้ใช้ไพ่หรือเปล่า?”
กู่ฉิงซานตกใจ
แม้ว่าเขาจะยังงงกับคำถาม แต่ก็ตอบกลับไป “ไม่หรอก ไม่ได้เกลียดเลย”
ถูกต้อง เพราะซูเซี่ยเอ๋อเองก็เป็นผู้ใช้ไพ่เหมือนกัน
“แล้วถ้าเป็นไพ่ล่ะ? นายคิดอย่างไรกับไพ่?” วัยรุ่นสาวถามต่อ
“คิดว่ามันเป็นการดำรงอยู่ที่วิเศษมาก” กู่ฉิงซานตอบ
“ปากบอกว่าวิเศษ แต่จริงๆ แล้วนายเกลียดไพ่หรือเปล่า? นายคิดว่าการดำรงอยู่ของฉันมันแปลกประหลาดไหม?” วัยรุ่นสาวยังคงถาม
“ไม่นะ เพราะตลอดทั้งสวรรค์และโลกในหมื่นโลกา มันมากล้นไปด้วยสิ่งมีชีวิตหลากหลายประเภท แล้วถ้าหากเทียบเธอกับพวกนั้นแล้ว ฉันว่าเธอน่ารักกว่าเยอะ” กู่ฉิงซานกล่าวตามความสัตย์จริง
เขาย้อนนึกไปถึงบรรดาเหล่าราชาภูตผี และกษัตริย์ปีศาจ
มารสวรรค์นั้นช่างแสนงดงาม ขณะเดียวกันอาชูร่าหญิงก็ไม่เลวเลย นอกจากสองเผ่าพันธุ์นี้แล้ว ก็ยังมีปีศาจเผ่าอื่นๆ ที่มีความงามเหนือล้ำยิ่งกว่าขอบเขตความงามของมนุษย์
วัยรุ่นสาวได้ยินคำตอบของเขาก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เชิดหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
เธอถอนหายใจ “ในเมื่อเป็นแบบนั้น ถ้านายต้องการจะช่วยคนพวกนี้จริงๆ อันที่จริงแล้วฉันมีวิธีอยู่”
กู่ฉิงซานอุทานด้วยความสุข “อ้า ถ้าเช่นนั้นก็รีบบอกวิธีที่ว่าให้กับฉันเถอะ”
“แต่วิธีการนี้ค่อนข้างยุ่งยาก และหากนายคิดใช้วิธีที่ว่า ฉันจะเหนื่อยมาก” วัยรุ่นสาวถอนหายใจอีกครั้ง
“เธอจะเหนื่อยมากอย่างนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานสับสน
“ใช่ หน้าใหม่อย่างนายนี่มันไม่เข้าใจอะไรเลยนะ รู้ไว้ด้วยว่า ถ้าฉันใช้วิธีนี้แล้ว มันจะสร้างภาระกับฉันอย่างมาก” วัยรุ่นสาวกล่าวด้วยท่าทีอิดออด
กู่ฉิงซาน ประสานสองกำปั้น “ถ้าเช่นนั้นได้โปรดใช้วิธีที่ว่ากับฉัน ฉันจะรู้สึกขอบคุณมากๆ และย่อมตอบแทนกลับไปอย่างแน่นอน”
“แล้วนายจะตอบแทนฉันอย่างไร?” วัยรุ่นสาวถาม
“เธอลองเสนอมาได้เลย” กู่ฉิงซานรับคำเสียงดัง
“ฉันพึ่งตื่นจากการหลับใหลมาอย่างยาวนานได้ไม่นานมานี้เอง เลยยังไม่ได้คิดเลยว่าชีวิตจะเอาอย่างไรต่อดี ถ้าเช่นนั้นจากนี้ไปนายจะต้องรับผิดชอบในด้านอาหาร เสื้อผ้า การเดินทาง และที่อยู่อาศัยของฉัน แบบนี้ดีไหม?”
“นั่นมันแค่เรื่องเล็กน้อย ไม่มีปัญหาเลย!”
กู่ฉิงซานตบหน้าอกของเขา
โดยคล้ายจะลืมไปแล้วว่าเวลานี้ตนเป็นเพียงยาจกคนหนึ่ง
เมื่อได้รับฟัง วัยรุ่นสาวก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
“ฉันเฝ้าสังเกตนายมาสักพักหนึ่งแล้ว และนายก็ดูเป็นคนดี ฉันจะเชื่อใจนายสักครั้งก็แล้วกัน”
ระหว่างกล่าว วัยรุ่นสาวก็หยิบสองสิ่งออกมาด้วยท่าทีจริงจัง
หนึ่งคือ…
พู่กัน
และถังสีสีเทา
เธอวางถังสีลง ถือพู่กันแล้วมองมาทางกู่ฉิงซาน
“นั่นมันอะไร?” กู่ฉิงซานงง
“อย่าพูดสิ”
การแสดงออกของวัยรุ่นสาวกลายเป็นจริงจัง
เธอจ้องมองกู่ฉิงซานอย่างรอบคอบ นิ่งงันเป็นเวลานาน สุดท้ายเอ่ยถาม “อาชีพของนายคืออะไร”
“พ่อครัว”
“ตลกละ ฉันหมายถึงอาชีพที่ใช้ต่อสู้”
“อ้อ ก็ผู้ฝึกดาบไง”
“ถ้าเช่นนั้นช่วยเอาดาบนายออกมาถือด้วย”
กู่ฉิงซานทำตามคำขอ สองมือคว้าจับไปในอากาศ หนึ่งมือกุมเช่าหยิน อีกหนึ่งมือกุมดาบขุนเขาเทวะหกโลกา
“ยืนนิ่งๆ เอาไว้นะ อย่าขยับ ห้ามเปิดปากพูด” วัยรุ่นสาวเตือน
“ฮื่อ”
กู่ฉิงซานส่งคำตอบเป็นลมผ่านทางรูจมูก
อันที่จริงแล้ว การที่อีกฝ่ายต่างเชื่อใจและยอมทำตามกันและกัน มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคิดต่อโลกที่คล้ายคลึงกัน ไหนจะเรื่องช่วยกันหาวิธีการทำลายผลึกน้ำแข็งอีก
และไพ่บางใบที่วัยรุ่นสาวใช้ ก็ทรงพลังอย่างคาดไม่ถึง
เหตุผลที่เธอพ่ายแพ้เขา หนึ่งเป็นเพราะก่อนหน้านี้เธอปิดผนึกภูมิปัญญาของตนเองไว้ และสองเธอไม่ได้ทุ่มเต็มกำลัง
หญิงสาวถอยหลังไปสองก้าว และมองเขาอีกครั้ง
“ไม่ดีกว่า ฉันว่านายลอยตัวขึ้นสักหน่อย ภาพมันจะได้ดูดีขึ้น”
เธอกวักมือขึ้น
กู่ฉิงซานย่ำลง กระโดดขึ้นเบาๆ สูงจากพื้นประมาณครึ่งเท้า สองมือกุมดาบ ลอยอยู่ในอากาศอย่างเงียบๆ
วัยรุ่นสาวเฝ้ามองเขา เอียงคอซ้ายทีขวาทีและกล่าว “สูงขึ้นอีกนิด”
อะ กู่ฉิงซานลอยสูงขึ้น
“ไม่ๆ แค่นิดเดียวก็พอ กลับลงมาอีกหน่อย”
“ต่ำไปแล้ว ขึ้นมาอีกสิ”
“เออๆ”
ในที่สุด วัยรุ่นสาวก็เผยท่าทีพึงพอใจออกมา
หลังจากนั้นเธอก็ยกถังสีขึ้น และจุ่มพู่กันลงไป
วัยรุ่นสาวเริ่มลากเส้นวาดกู่ฉิงซานที่ลอยอยู่ในความว่างเปล่า ขีดเขียนจนปรากฏอักษรรูนโบราณขึ้นตามมิติโดยรอบ
ขณะวาด เธอก็พึมพำคาถาไปด้วยตลอดเวลา
การแสดงออกของเธอดูตื่นตัวมากๆ คล้ายกับกลัวว่าหากผิดพลาดแม้เพียงน้อยจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
ทุกการกระทำ ทุกๆ จังหวะการเคลื่อนไหวของเธอจะต้องขบคิดอย่างรอบคอบเสียก่อน และจึงเริ่มขีดเขียนมัน
ตลอดกระบวนการนี้ ปากของเธอไม่เคยหยุดร่ายคาถาเลย
ค่ำคืนกำลังจะผ่านพ้นไป
ท้องฟ้าเริ่มสาดแสง อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นเล็กน้อย
ในที่สุดวัยรุ่นสาวก็หยุดเขียน
เธอมองงานของเธอโดยละเอียด และสุดท้ายพยักหน้าด้วยความพอใจ
บังเกิดความรู้สึกอ่อนเพลีย วัยรุ่นสาววิ่งเข้าหากู่ฉิงซานและกล่าว “นิ่งต่อไปนะ อย่าพึ่งขยับ”
ตรงข้ามกับเธอ ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานบัดนี้อยู่ในกรอบที่ลอยล่องไปด้วยอักษรรูนโบราณ
อักษรรูนเหล่านี้ล้วนเป็นสีเทา ก่อให้เกิดบรรยากาศที่ดูลึกลับ ลอยล่องอยู่ในความว่างเปล่าอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานไม่เคยเห็นอักษรรูนที่สลับซับซ้อนเช่นนี้มาก่อนเลย
เฝ้าสังเกตอักษรรูนอย่างใกล้ชิด ในหัวใจตนจะคล้ายบังเกิดความอ้างว้างอย่างมิอาจอธิบายได้
กู่ฉิงซานพยายามทำการรับรู้อย่างเงียบๆ
เขาพบว่าไม่มีวี่แววของหายนะโทษทัณฑ์
การรับรู้ทางจิตวิญญาณมิได้บ่งบอกใดๆ
ตั้งแต่ต้นจนจบ วัยรุ่นสาวไม่ได้แสดงเจตนาร้ายใดๆ
แต่สรุปแล้วนี่เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่กันแน่เนี่ย?
วัยรุ่นสาวร้องขอตนอย่างจริงจังว่าห้ามเคลื่อนไหว กระทั่งเอ่ยปากพูดก็ไม่ได้
แล้วจากนั้น เธอก็เริ่มร่ายคาถาเป็นเวลานาน
แต่คิดว่าตอนนี้ยังไม่เป็นการสมควรที่จะเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานไม่มีทางเลือก นอกจากเก็บความสงสัยเอาไว้เต็มอก และยังคงรักษาสภาวะสงบนิ่งต่อไป
โชคยังดีที่เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตพันวิบัติ ดังนั้น การเกร็งตัวให้อยู่ในสภาพนิ่งแบบนี้ มันจึงไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป
วัยรุ่นสาวร่ายคาถา กุมพู่กันไว้ในมือ และยังคงวาดอักษรรูนสีเทาในความว่างเปล่ารอบตัวกู่ฉิงซานต่อไป
จากนั้นสักพัก
ในที่สุดวัยรุ่นสาวก็หยุดวาด เธอถอนหายใจยาวออกมา
“เกือบจะเสร็จแล้ว นายยังไม่ต้องขยับนะ รอให้สีของฉันแห้งก่อน เดี๋ยวเรามาเริ่มขั้นตอนสุดท้ายกัน”
วัยรุ่นสาวกล่าว
กู่ฉิงซานหยุดอยู่นิ่งๆ ต่อไป
เขารู้สึกแปลกๆ เหมือนกับว่ากำลังตั้งท่าโพสต์ให้คนอื่นวาดภาพอยู่เลย
เขาไม่เคยต้องทำอะไรแบบนี้มาก่อน
ว่าแต่วิธีนี้มันจะสามารถช่วยหยุนจีกับเพื่อนๆ ได้จริงๆ น่ะหรือ?
หรือว่านี่คือวิธีการที่จะช่วยให้แข็งแกร่งขึ้น?
กู่ฉิงซานมิอาจหาเบาะแส หรือเงื่อนงำใดๆ จากการกระทำนี้ได้เลย
เขามองไปทางวัยรุ่นสาว
วัยรุ่นสาวเก็บถังสีและพู่กัน ถูสองมือเล็กๆ ของตัวเอง และพักเล็กน้อย
กู่ฉิงซานเงียบ
ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเชื่ออีกฝ่าย ถ้าเช่นนั้นก็เฝ้ารอจนกว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นก็แล้วกัน
นี่คือสิ่งที่ในหัวเขาคิด
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเอง สายตาของกู่ฉิงซานก็เบนออกไปยังทิศทางหนึ่งอย่างกะทันหัน
เพราะบนหน้าต่างเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยหลายบรรทัดพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา
“โปรดทราบ”
“อีกไม่นาน คุณจะกลายเป็นไพ่”
……………………………………
ภายในวิหารแห่งความตาย
เหรียญโบราณกำลังถูกเล่น พลิกกลับไปกลับมาบนห้านิ้วมือ
แต่ละนิ้วพลิกสลับเหรียญไปมาอย่างคล่องแคล่ว และสุดท้ายก็ดีดมันเด้งออกไปเบื้องหน้า
ติ๊ง
เหรียญโบราณเด้งไปยังใจกลางโต๊ะกลมขนาดใหญ่ ทว่าเมื่อตกกระทบ มันก็ยังคงหมุนวนอยู่อย่างนั้น มิได้คว่ำลงมาแต่อย่างใด
ภายในโถงของตัววิหาร บรรยากาศชวนน่าอึดอัด ทุกคนแทบจะไม่กล้าหายใจ
เหรียญยังคงหมุนอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดความสนใจของทุกผู้คน
เป็นเวลานานกว่า เสียงที่น่าเกรงขามก็ดังขึ้น
“นี่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของทางคริสตจักรเรา แต่พอเส้นทางสู่การเป็นทวยเทพถือกำเนิดขึ้น มันเลยถูกลืมเลือนไปชั่วคราว”
เสียงได้หยุดลง
แต่ยังคงไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร
สักพัก ชายในชุดคลุมดำก็ก้าวออกมา คุกเข่าข้างหนึ่งลงข้างๆ โต๊ะกลม
“ขออภัยจริงๆ ท่านพระสันตะปาปา เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของข้าเอง ฉะนั้นได้โปรดท่านลงโทษในความผิดบาปครั้งนี้ด้วย” เกรย์แฮนด์กล่าว
ซึ่งเกรย์แฮนด์ คือหนึ่งในแปดบิชอปของคริสตจักรแห่งความตาย
เขาย่อกายคุกเข่า น้อมรับความผิดพลาด
บรรยากาศภายในห้องโถงจึงค่อยคลายลง
ด้วยความกังวลเล็กน้อย พระสันตะปาปาเอ่ยปาก “เกรย์แฮนด์ ข้าได้ยินมาว่าลูกศิษย์ของเจ้าเองก็ตกตายลงใช่หรือไม่ จงอย่าได้โศกเศร้าไปเลย”
“เขาไม่อาจทำหน้าที่ของตัวเองได้ ฉะนั้นความตายจึงนับว่าเหมาะสมแล้ว” เกรย์แฮนด์ตอบ
“แล้วเจ้าตั้งใจจะทำอะไรต่อไป?” พระสันตะปาปาถาม
“ข้าจะออกไปตามล่าคนที่ทำลายแผนการอันยิ่งใหญ่ของพวกเราด้วยตัวเอง และช่วงชิง ‘ไพ่’ กลับมา”
“ไปด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ? ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้ายังไม่ถูกจุดประกายเลยไม่ใช่หรือไง?” พระสันตะปาปาย้อน
“นั่นก็จริง แต่มันไม่มีทางเลือก” เกรย์แฮนด์ถอนหายใจ
ผู้คนโดยรอบอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบกัน
หากเกรย์แฮนด์ออกไปลงมือด้วยตนเองในตอนนี้ นั่นหมายความว่าเขาจะต้องล้มเลิกการจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์กลางคัน
นี่เท่ากับเป็นการละทิ้งเส้นทางสู่การเป็นเทพ นับว่าเป็นบทลงโทษตนเองที่ร้ายแรงที่สุด
แต่ใครจะสามารถตำหนิเรื่องนี้ได้?
ในความเป็นจริง หากมิใช่เพราะเกรย์แฮนด์มีจุดประสงค์ที่จะจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เขาก็คงจะไม่จากโลกทะเลทรายมา
หากมิใช่เพราะต้องการล่วงรู้วิธีสู่การเป็นเทพ เกรย์แฮนด์ก็ยังคงอยู่ในโลกใบนั้น และปกป้อง ‘ไพ่’ ใบสำคัญต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ พบว่าทุกเทคนิคมนตราทั้งหมดที่เชื่อมต่อกับ ‘ไพ่’ ใบนั้นได้ถูกทำลายลงแล้ว
นั่นหมายความว่าการที่ทางคริสตจักรพยายามทุ่มเทอย่างหนักเป็นเวลากว่าหลายพันปี พริบตาเดียวพลันกลายเปล่าประโยชน์!
นี่นับว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ และเป็นบทลงโทษที่เกรย์แฮนด์จะต้องได้รับ
พระสันตะปาปาพอได้ฟังก็เงียบไปสักพัก สุดท้ายถอนหายใจออกมา
ถึงเรื่องนี้จะร้ายแรง แต่เขาก็กำลังพอใจกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ในช่วงเวลาที่เส้นทางแห่งทวยเทพปรากฏขึ้นมา
แล้วอีกอย่าง ความสามารถของเกรย์แฮนด์มิใช่เลวร้าย แถมยังเป็นที่ยอมรับกันในวงกว้าง
ดังนั้นถ้าจะตัดสินโทษขั้นเด็ดขาดกับเขา มันคงได้ไม่คุ้มเสีย
แถมตอนนี้ เกรย์แฮนด์ก็กำลังแสดงท่าทีสำนึกเสียใจและจงรักภักดีของเขาในฐานะบิชอปที่ทรงพลัง
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาก็เอ่ยเบาๆ “เอาเถอะ ข้าจะใช้คำทำนายของพระผู้เป็นเจ้าก็แล้วกัน”
ทันทีที่คำเมื่อครู่หลุดออก ทุกคนในสถานที่ปัจจุบันก็เร่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงอย่างรวดเร็ว
พระสันตะปาปา หยิบกล่องโลหะสีดำออกมาอย่างระมัดระวัง
เขาเปิดฝากล่องออก
วูบ!
เสียงที่บาดลึกถูกปลดปล่อยออกมาจากในกล่อง แต่ทั้งหมดก็เงียบลงไปทันที
ท่ามกลางม่านยามค่ำคืนอันมืดมิด คำทำนายของเทพแห่งความตายที่ถูกเก็บเอาไว้มานานปี ก็ดังขึ้นในจิตใจของทุกผู้คนที่อยู่ภายในโถงโดยตรง
ม่านอันมืดมิดหยุดลง และหายไปอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของทุกคนแสดงออกถึงความกระจ่างชัด
“เป็นอย่างไร ชัดเจนแล้วหรือไม่?” พระสันตะปาปาถาม
“เป็นที่ชัดเจน” บิชอปคนหนึ่งกล่าว “เมื่อเส้นทางสู่ทวยเทพปรากฏขึ้น ผู้ศรัทธาทุกคนไม่ว่าจะลำดับชั้นใดก็ล้วนได้รับคำสั่งให้ทำตามเป้าหมายเดียวกัน และจะต้องห้ามละเมิด หรือเปลี่ยนแปลงใดๆ”
พระสันตะปาปามองเกรย์แฮนด์และยิ้ม “การก้าวสู่เส้นทางแห่งทวยเทพเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดเอาไว้แล้ว ฉะนั้นเกรย์แฮนด์ จงอย่าคิดละทิ้งจากมันไป เจ้าจะต้องเฝ้ารอจนกว่าจะสามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของตนขึ้น”
ทันใดนั้น เกรย์แฮนด์พลันก้มหัวโค้งกาย แสดงออกถึงความสำนึกคุณ
ก็ถ้าเขาเลือกได้ ใครมันจะไปอยากละทิ้งโอกาสที่ตนจะสามารถก้าวขึ้นไปเป็นเทพวิญญาณกัน?
ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “พระสันตะปาปา ข้าขอคัดค้าน”
ฝูงชนหันไปมองเขาเป็นสายตาเดียว และพบว่าต้นเสียงคือบิชอปธรรมดาคนหนึ่ง
เขากล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “ทางคริสตจักรได้ทุ่มเทเวลาเตรียมการตั้งนานหลายปี จนในที่สุดก็สามารถคว้าโอกาสเดียวในชีวิต ในช่วงเวลาที่เธออ่อนแอที่สุด ที่จะสามารถจับตัวเธอได้ แต่สุดท้ายแผนดันพังทลายลง แบบนี้ไม่ใช่ว่าเกรย์แฮนด์สมควรถูกลงโทษหรอกหรือ?”
พระสันตะปาปากล่าวด้วยความกรุณา “เหตุผลที่เกรย์แฮนด์ออกจากโลกแห่งทะเลทราย นั่นก็เพื่อตอบสนองต่อคำเรียกร้องของพระผู้เป็นเจ้า กลับมายังที่นี่เพื่อจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์”
“ส่วนเรื่องของไพ่ใบนั้น ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางคริสตจักรเรา”
“เมื่อเทียบเปรียบกับการที่เกรย์แฮนด์สามารถก้าวขึ้นสู่เส้นทางแห่งทวยเทพ แบบนั้นย่อมดีกว่า”
“บางทีพระผู้เป็นเจ้าอาจจะคิดว่า พวกเราไม่สมควรที่จะแสวงหาความลับ ดังนั้นจึงได้ดลใจส่งเกรย์แฮนด์กลับมาหาพวกเราก็ได้”
บิชอปธรรมดาขบริมฝีปากตนเอง สีหน้าของเขาเผยถึงความไม่ยินยอม “แต่ทั้งหมดมันเป็นเพราะเกรย์แฮนด์”
พระสันตะปาปาขัดจังหวะเขา “เส้นทางสู่การเป็นเทพคือประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เจ้าคิดว่าความคิดเห็นของเจ้ามีค่ามากกว่าความคิดอ่านของทวยเทพหรือไม่?”
ในช่วงท้ายๆ น้ำเสียงของพระสันตะปาปาฟังแลดูเย็นชาลง
บิชอปตกใจ เร่งกล่าวด้วยความหวาดกลัว “มิกล้า มิกล้า”
พระสันตะปาปาหันไปมองรอบๆ
ปรากฏว่าไม่มีใครโต้แย้งใดๆ อีกๆ
นี่เป็นคำทำนาย ที่ท่านเทพได้ทิ้งเอาไว้เป็นการส่วนตน
ทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกับจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าจะกล้าคัดค้าน!
เมื่อถึงจุดนี้ เกรย์แฮนด์ก็ค่อยๆ ยืนขึ้น กล่าวขอบคุณอย่างสุดซี้ง
พระสันตะปาปา “ไม่เป็นไรหรอก เพราะคำพูดของพระผู้เป็นเจ้าถือว่าเป็นที่สุด ไม่อนุญาตให้ดูหมิ่นได้”
ในช่วงเวลานี้ บรรยากาศในห้องโถงก็ค่อยๆ คลายลง
ใช่แล้วล่ะ เทพวิญญาณน่ะได้จัดเตรียมคำทำนายทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว
ฉะนั้น ท่านจะไม่สามารถสังเกตเห็นถึงทิศทางของคริสตจักรได้อย่างไร?
บางที เทพวิญญาณอาจจะไม่ต้องการให้พวกเขาตรวจสอบความลับของ ‘ไพ่’ ใบนั้นก็ได้
ในหัวใจของทุกคนขบคิดอย่างเงียบๆ
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองลงตรงใจกลางโต๊ะกลมอีกครั้ง
เหรียญเก่าแก่บนโต๊ะ ค่อยๆ หมุนช้าลง
และหากคุณมีสายตาที่ดีมากพอ คุณจะสามารถมองเห็นถึงภาพที่แสดงอยู่บนเหรียญทั้งสองด้านได้
ด้านหนึ่งเป็นภาพของวัยรุ่นสาวที่กำลังหลับใหลอยู่
โดยรอบตัวของวัยรุ่นสาว มันสลับซับซ้อนไปด้วยเครื่องหมายที่แลดูลึกลับ
เครื่องหมายอันลึกลับเหล่านี้ คอยรายล้อมและปกป้องวัยรุ่นสาวที่อยู่ในกลางของเหรียญ
อีกด้านหนึ่งของเหรียญ คือกระแสมิติอันโกลาหลอันไร้ที่สิ้นสุด หากเฝ้ามองมันไปนานๆ คุณจักรู้สึกว่าภายในหัวใจสั่นสะท้าน
ใช่แล้วล่ะ นี่คือหนึ่งในเหรียญที่ถูกจัดอันดับจากเลขนับหนึ่งพันหนึ่ง มันคือเหรียญที่แข็งแกร่งเป็นอันดับที่สาม!
เหรียญหมายเลขเก้าร้อยเก้าสิบเก้า วัยรุ่นสาวที่กำลังหลับใหล
หากในแง่ของความลึกลับ เหรียญเลขเก้าร้อยเก้าสิบเก้านี้ นี้นับว่าเป็นเหรียญที่ลึกลับที่สุดจากทั้งหมดหนึ่งพันหนึ่งเหรียญ
หากเหรียญนี้ปรากฏขึ้นในโลก ย่อมไม่มีใครสามารถล่วงรู้ถึงชื่อที่แท้จริงของเหรียญได้
เพราะเหรียญทั้งสามอันดับแรก ต่างล้วนมีด้วยกันทั้งสิ้นอย่างละเหรียญเดียว
และเนื่องจากเหรียญนี้ไม่มีแม้แต่ข้อมูลพื้นฐานใดๆ ปรากฏมาก่อน
มันจึงเป็นหนึ่งในสามเหรียญที่ลึกลับที่สุดในดินแดนชิงอำนาจ
เหรียญนี้ไม่ได้เป็นตัวแทนของความมั่งคั่ง
แต่มันคือตัวแทนของความลึกลับที่มีค่ามหาศาลยิ่งกว่าเงินตราจะสามารถนับคำนวณได้
หากกู่ฉิงซานอยู่ที่นี่ เขาคงจะประหลาดใจไม่น้อย เพราะรูปของวัยรุ่นสาวที่ปรากฏขึ้นบนเหรียญ มันแทบจะไม่แตกต่างจากวัยรุ่นสาวที่เขาเพิ่งให้การช่วยเหลือไปเลย
น่าเสียดาย ที่เขาคงไม่อาจล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ไปอีกนาน
ภายในห้องโถงใหญ่ เสียงของพระสันตะปาปาดังขึ้นอีกครั้ง
“เอาล่ะ เรื่องนี้ถูกตัดสินแล้ว เกรย์แฮนด์จะอยู่ที่นี่ คอยจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง คนอื่นๆก็เช่นกัน จนกว่าจะสามารถจุดประกายได้ จะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหน”
“ขณะเดียวกัน พวกเราก็จะตั้งรางวัลนำจับสูงค่า ปล่อยออกไปทั่วทั้งดินแดนชิงอำนาจ เพื่อจับตัวคนคนนั้น”
“ผู้ศรัทธาทุกคนจะได้มุ่งมั่นในหนทางสู่การเป็นเทพ นี่คือเป้าหมายสูงสุด เรื่องอื่นสมควรโยนทิ้งเอาไว้เบื้องหลังก่อน!”
“เรื่องต่อไป”
“แอนนากำลังจะกลับมาแล้ว”
“เส้นทางสู่การเป็นเทพถูกเปิดออกโดยเธอกับซูเค่อเอ๋อจากวิหารแห่งโชคชะตา นี่นับว่าเป็นพรจากทวยเทพ และเกียรติยศสูงสุด”
…
ภายในโลกทะเลทราย
ท่ามกลางเนินทรายที่ถูกล้อมไปด้วยค่ายกลปกปิด
กู่ฉิงซานกำลังจีบออกด้วยวิชาลับ
ทันใดนั้นเม็ดทรายก็ถูกกวาดออกไปด้านข้าง ผลึกคริสทัลน้ำแข็งปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาและวัยรุ่นสาวในชุดขาว
ภายในผลึกน้ำแข็ง หญิงงามที่เปรอะไปด้วยเลือด สภาวะตกอยู่ในอาการโคม่า สลบไสลอยู่
ตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ หยุนจี
“นี่น่ะหรือคนที่นายต้องการให้ฉันช่วย?” วัยรุ่นสาวในชุดขาวเอ่ยถาม
“ใช่ ช่วยดูให้หน่อยนะ” กูาฉิงซานกล่าว
วัยรุ่นสาวก้าวออกมาข้างหน้า นั่งคุกเข่าลงตรงข้ามผลึกน้ำแข็ง
“อำนาจเทวะผลึกน้ำแข็ง…ช่างเป็นความทรงจำที่ชวนให้คิดถึงจริงๆ”
วัยรุ่นสาวลูบไล้ผิวผลึก ท่าทีของเธอเต็มไปด้วยห้วงอารมณ์
กู่ฉิงซานยกคิ้วขึ้น ปากเอ่ยถาม “นี่เธอรู้ด้วยหรือว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร? แล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าใครเป็นคนใช้เทคนิคนี้?”
วัยรุ่นสาวส่ายหัว “อำนาจเทวะนี้มีมานานนมแล้ว มีเทพวิญญาณมากมายที่สามารถเปิดใช้งานมันได้ ฉะนั้นฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นฝีมือของใคร”
“แต่จากนี้ไป จะเข้าสู่ขั้นตอนการรักษาเธอ ตอนนี้นายอย่าเพิ่งพูดมาก”
“โอเค” กู่ฉิงซานรับคำ
เห็นแค่เพียงวัยรุ่นสาวจั่วไพ่หลายใบออกมาจากในความว่างเปล่า
เธอนำไพ่แตะลงบนผิวน้ำแข็ง ไพ่แล้วไพ่เล่า แตะเสร็จก็หยิบขึ้นมันมา ทำซ้ำไปเรื่อยๆ
ภายใต้ผลึกน้ำแข็ง สีหน้าของหยุนจีค่อยๆ ดีขึ้น บาดแผลตามร่างกายเธอเริ่มถูกฟื้นฟู
กู่ฉิงซานเมื่อได้เห็นก็รู้สึกสุขใจยิ่ง
แต่แล้วเมื่อเก็บไพ่ทั้งหมดกลับคืน วัยรุ่นสาวก็ผุดลุกและกล่าว “ไม่ดีแน่ ฉันไม่สามารถช่วยเหลือเธอได้”
กู่ฉิงซานตะลึงกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
เขาให้กำลังใจวัยรุ่นสาว “แต่คนในผลึกเหมือนจะถูกรักษาดีขึ้นแล้วนะ อย่าท้อแท้สิ ช่วยลองมันอีกครั้ง”
วัยรุ่นสาวส่ายหัว “หากเป็นฉันเพียงลำพัง ย่อมไม่สามารถช่วยเหลือได้”
ว่าแล้วเธอก็หยิบหนังสือ และดึงไพ่ออกมา
วัยรุ่นสาวหันมามองกู่ฉิงซาน และถอนหายใจ “ในเมื่อนายช่วยฉันไว้ ฉะนั้นฉันจะยอมปลดภูมิปัญญาของตัวเองก็แล้วกัน”
ไพ่เหล่านั้นพลันสาดแสง และค่อยๆ ผลุบหายเข้าไปในร่างกายของวัยรุ่นสาว
วัยรุ่นสาวยืนนิ่งงัน
ทว่าห้วงอารมณ์ของเธอกลับแปรเปลี่ยนไป
การแสดงออกของเธอดูเคร่งขรึมจริงจัง ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และสง่างาม
วัยรุ่นสาวไม่ได้พูดมากความ เธอวางมือลงบนผลึกน้ำแข็ง
“เทคนิคแห่งเทพวิญญาณเอ๋ย จงเปิดเผยถึงความลับของเจ้า” เธอเปล่งเสียงกระซิบ
ขณะเดียวกันกับการเคลื่อนไหวของวัยรุ่นสาว ผลึกคริสทัลก็เริ่มสั่นคลอนอย่างรุนแรง
กู่ฉิงซานเฝ้ามองด้วยความวิตกกังวล
หากผลึกน้ำแข็งพังทลายลง หยุนจีก็จะต้องตาย
อย่างไรก็ตาม การที่วัยรุ่นสาวสามารถสั่นคลอนผลึกน้ำแข็งได้ นี่ย่อมหมายความว่าเธอสามารถค้นพบวิธีการบางอย่างแล้ว
ถึงตอนนี้ กู่ฉิงซานจะยังไม่รู้ว่าการนำเด็กสาวคนนี้มาช่วยรักษา ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือเปล่าก็เถอะ
ในระหว่างนั้น วัยรุ่นสาวก็ชักมือกลับ และยืนขึ้นอีกครั้ง
เธอปาดเหงื่อบนหน้าผาก หันมาพูดกับกู่ฉิงซาน “สถานการณ์มันค่อนข้างซับซ้อน นายจะต้องเชื่อฟังคำสั่งจากนี้ไปของฉัน”
กู่ฉิงซานพยักหน้า
ฉันเกรงว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ถูกช่วยเหลือเอาไว้โดยท่านหญิงแบล็กซี คนอื่นที่เหลือคงถูกสังหาร และกลืนกินวิญญาณโดนสัตว์ประหลาดนั่นหมดแล้ว
วัยรุ่นสาว “อำนาจเทวะผลึกน้ำแข็งทั้งสามร้อยแปดสิบเอ็ดชิ้นก่อตัวกันเป็นวัฏจักร มันสร้างเครื่องมือดูดซับพลังงานขึ้นมา การทำงานของมันใกล้เคียงกับค่ายกลของผู้ฝึกยุทธ์แบบนาย”
“เครื่องมือที่คล้ายกันกับค่ายกลนี้ สามารถดูดซับพลังงานทั้งหมดจากในมิติของดินแดนชิงอำนาจ เพื่อเติมพลังงานให้กับตัวเองได้”
“ในกรณีนี้ ส่งผลให้ผลึกน้ำแข็งสามารถคงอยู่ได้เป็นระยะเวลานาน คนที่อยู่ภายในมันจึงยังสามารถรักษาพลังชีวิตเฮือกสุดท้ายเอาไว้ได้ ไม่ตกตายลง”
“แต่ปัญหาก็คือ ยามที่ผลึกน้ำแข็งถูกยกเลิก นายจะต้องช่วยรักษาทั้งสามร้อยแปดสิบเอ็ดคนได้พร้อมกัน ทั้งหมดจึงจะสามารถรอดชีวิตมาได้”
กู่ฉิงซานงง “ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ทำไมไม่สามารถช่วยทีละคนได้?”
วัยรุ่นสาวจ้องมองผลึกน้ำแข็ง สีหน้าของเธอแสดงออกถึงความชื่นชม
“ในความเป็นจริง อำนาจเทวะนี้สามารถตั้งค่าให้ช่วยเหลือทีละคนก็ได้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งจงใจตั้งค่าให้ต้องช่วยเหลือพร้อมๆ กันเท่านั้น ซึ่งนี่มันมีความหมายที่ลึกซึ้งมากทีเดียว”
“ความหมายลึกซึ้งที่ว่าคืออะไร?”
“ก็คือ หากนายไม่มีความแข็งแกร่งชนิดเหนือจินตนาการ จนสามารถช่วยเหลือทุกคนได้ในครั้งเดียว ถ้าแบบนั้นก็อย่าสอดเข้ามาช่วยจะดีกว่าอย่างไรล่ะ ฉันคิดว่านี่คือสิ่งที่ผู้ใช้เทคนิคนี้อยากจะสื่อ” วัยรุ่นสาวกล่าว
“แล้วเธอสรุปแบบนั้นไปได้อย่างไร? นี่มันไม่มีเหตุผลเลยนะ” กู่ฉิงซานสวน
“ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลนะ เห็นผู้หญิงตรงหน้าไหม เพราะอาการบาดเจ็บของเธอเกิดจากสิ่งแปลกประหลาด เกิดจากสิ่งที่เทพวิญญาณหวาดกลัวเป็นที่สุด ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนหวาดกลัวมันเช่นกัน ดังนั้นหากนายคิดจะช่วยเหลือพวกเขา ก็ต้องครอบครองพลังที่มากพอจะสามารถต่อกรกับมันได้!”
…………………………………………….
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดเส้นหิ่งห้อยผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
“คุณได้ข้ามผ่านโซ่ตรวนแห่งขอบเขต สามารถสังหารผู้ใช้ไพ่ที่ทรงพลังยิ่งกว่าตนเองหลายเท่าลงได้”
“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณส่วนเกิน”
“ในมุมมองที่ว่าผู้ใช้ไพ่ที่คุณสังหาร เป็นผู้ครอบครองสำรับไพ่แห่งความตาย ซึ่งทรงพลังยิ่งกว่าเหล่าบรรดาผู้ใช้ไพ่ในระดับปกติ ดังนั้นคุณจึงสมควรได้รับแต้มพลังวิญญาณเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่ง”
“โดยรวมแล้ว การสังหารผู้ใช้ไพ่สำรับแห่งความตาย จะได้รับแต้มพลังวิญญาณหนึ่งแสนสองหมื่นแต้ม”
“แต้มพลังวิญญาณส่วนเกินของคุณมีหนึ่งแสนเก้าหมื่นสองพันสี่ร้อยแต้ม”
กู่ฉิงซานเบิกตากว้างมองแต้มพลังวิญญาณอันมหาศาลที่ได้รับ แต่เมื่อย้อนคิดไปว่าตนจำเป็นต้องใช้แต้มพลังวิญญาณกว่าหนึ่งล้านแต้ม ความตื่นเต้นในหัวใจของเขาก็ฝ่อลง สลายไปอย่างไร้ร่องรอย
เหล่าผู้ศรัทธาแห่งเทพทั้งเจ็ดกำลังทยอยกันไปจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง
ยุคสมัยใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว หากคุณไม่ทันระวัง เผลอแป๊บเดียวคงต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคนอื่น
กู่ฉิงซานส่ายหัว วิสัยทัศน์ของเขาตกลงบนหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากร่างศพเพียงไม่กี่เมตร
มันคือหนังสือเก็บไพ่
กู่ฉิงซานสั่งการนึกคิดในจิตใจ
แล้วหนังสือเก็บไพ่ก็ลอยเข้ามาในมือของเขาทันที
“หนังสือแห่งความตายและการจองจำ”
“ในหนังสือเล่มนี้ ประกอบไปด้วยไพ่กักขังจองจำกว่าห้าร้อยสามสิบเจ็ดใบ ทั้งหมดเชื่อมต่อกับ ‘ไพ่’ ที่เขาพาหลบหนีมา”
“เนื่องจากคุณไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ไพ่ชุดนี้ ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถเปิดใช้งานไพ่ใดๆ จากหนังสือเล่มนี้ได้”
กู่ฉิงซานโยนหนังสือแห่งความตายและการจองจำขึ้นไปในอากาศ
ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาพลันกะพริบไหว ทะยานขึ้นไปในท้องฟ้า จากนั้นก็ฉึก! แทงเข้าใส่ตัวหนังสือ
หนังสือแห่งความตายและการจองจำราวกับมีชีวิต มันกรีดร้องเสียงแหลม
อย่างไรก็ตาม ดาบขุนเขาเทวะหกโลกายังคงตรึงแน่นอยู่กับมัน แม้ว่าตัวหนังสือจะพยายามดิ้นรน แต่ก็มิอาจหลุดพ้นได้
ทว่าแม้มิหลุดพ้น แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมจำนน
ดวงตาของกู่ฉิงซานสาดประกายคมกล้า
พลันบังเกิดร่างเงาดาบสีดำนับไม่ถ้วนผลิบานออกมาจากดาบยาว ว่ายวนทั้งฟันทั้งสับไปรอบตัวหนังสือ
แคว่ก!
ในที่สุด หนังสือแห่งความตายก็ถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ อักษรรูนโบราณที่ครอบคลุมอยู่ภายนอกสาดแสงหลากสีออกมา
แสงหลากสีที่ครอบคลุมเหล่านั้น ค่อยๆ กระจัดกระจายหายไปในความว่างเปล่า
ฉากนี้คล้ายกันกับในตอนที่ลูกพี่ไก่ได้ทำลายกำแพงอุปสรรคของทะเลเลือดในห้องพักของอัลเบอัส
ทว่าจู่ๆ เส้นแสงสีดำพลันแหวกช่องว่างมิติออกมาด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าฟาด พุ่งฟุบ! ผลุบเข้าไปในแขนของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานเร่งกระตุกมือ
แต่กว่าจะทันรู้ตัว ก็พบว่าอักษรรูนโบราณได้จมหายเข้าไปในแขนเขา ไร้ซึ่งวี่แววเสียแล้ว
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดแสงหิ่งห้อยเด้งเตือนขึ้น
“คุณได้สังหารผู้ศรัทธาในเทพแห่งความตาย ดังนั้นกฎของเทพแห่งความตายจึงได้ทำเครื่องหมายบนตัวคุณ”
“ความผิดที่คุณได้กระทำต่อผู้ศรัทธาแห่งความตาย ได้ถูกแจ้งแก่อาวุโสระดับสูงแห่งคริสตจักรแล้ว”
กู่ฉิงซานกวาดอ่านจบ เงียบงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถาม “ระบบ แล้วเครื่องหมายนี่พอจะมีวิธีกำจัดมันหรือเปล่า?”
ติ๊ง!
ระบบเทพสงครามตอบด้วยน้ำเสียงคมชัด “ท่ามกลางโลกนับล้านๆ ย่อมมีบางวิธีที่สามารถแก้ปัญหานี้แก่คุณได้ โปรดไขว่คว้ามันด้วยตัวของคุณเอง”
กู่ฉิงซานระบายลมหายใจโล่งอก
ตราบใดที่มันมีวิธี นี่ก็ไม่น่าจะมีปัญหามากเกินไป
เขาเดินไปที่ร่างศพและเริ่มควานหาของ
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้พบกับกระเป๋าสีดำใบเล็ก
คำอธิบายของระบบเทพสงครามดังขึ้น
“ผู้ศรัทธาแห่งความตาย ผู้ใช้ไพ่ ศิษย์ผู้ครอบครองเทียนซวนระดับสูง กระเป๋าส่วนตัวของคาร์ล่า”
“คุณจำเป็นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคลับประเภทมิติ เพื่อที่จะเปิดกระเป๋าใบนี้”
เลื่อนสายตาออกจากหน้าต่างเทพสงคราม กู่ฉิงซานแค่เพียงเก็บกระเป๋าสีดำใบนี้อย่างลวกๆ
‘ขอเก็บมันเอาไว้ก่อน’ อย่างไรเสียตนก็จำเป็นที่จะต้องเปิดกระเป๋าใบนี้ให้จงได้
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาน่ะเป็นคนยากจน กระทั่งเงินสักเหรียญก็ยังไม่มีเลยตอนนี้
ตรงกันข้าม จากในบรรดาหลากหลายอาชีพ ผู้ใช้ไพ่ถูกจัดว่าร่ำรวยมากที่สุด
ดังนั้น เขาจะต้องชิงเงินของศัตรูผู้นี้มาเป็นของตัวเองให้จงได้!
หลังจากเสร็จสิ้นทุกกระบวนการ กู่ฉิงซานก็จีบออกด้วยวิชาลับ
อันดับแรก เริ่มจากการเผา
ร่างศพบังเกิดเสียงสะเก็ดไฟที่กำลังลุกไหม้
ไม่นาน ร่างศพก็ถูกเผาไป มิหลงเหลือร่องรอยใดๆ อีกเลย
กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะของเขาอีกครั้ง สำรวจรอบทิศ
แต่กลับไม่พบร่องรอยใดๆ
อย่างน้อยก็เป็นภายในพิสัยจิตสัมผัสเทวะของเขา ที่ไม่สามารถตรวจพบร่องรอยได้
ดูเหมือนว่าวัยรุ่นสาวจะไม่ใช่คนโง่ แม้จะตื่นตระหนก แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะกลบร่องรอยตัวเองในระยะทางใกล้ๆ กับสถานที่สู้รบ
กู่ฉิงซานเมื่อเห็นแบบนั้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขาเคลื่อนกาย และบินข้ามผืนฟ้าไป
ไล่ไปตามทิศทางการหลบหนีของวัยรุ่นสาว ไม่นานนัก เขาก็พบกับร่องรอยที่กลบไม่มิดของเธอในทะเลทราย
อันที่จริง การต่อสู้ก่อนหน้านี้มันก็ไม่ได้นานเท่าไหร่นัก
เวลาส่วนใหญ่ในระหว่างการต่อสู้ หมดไปกับการล่อลวงให้ชายชุดคลุมดำกลายเป็นอัมพาต ขณะที่การต่อสู้แท้จริงมีเพียงดาบสุดท้ายเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ คาดว่าวัยรุ่นสาวจึงยังวิ่งไปได้ไม่ไกล
ร่างของกู่ฉิงซานกะพริบไหว และตกลงเบื้องหน้าเธอ
วัยรุ่นสาวเมื่อเห็นเขาก็หยุดฝีเท้าลงอย่างรวดเร็ว
“มันจบแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความผ่อนคลาย
วัยรุ่นสาวเหม่อมองเขา สูดหายใจลึก
แล้วจู่ๆ ก็ระเบิดเสียงร่ำไห้ออกมาทันที
เธอร้องไห้ กล่าวด้วยความมั่นอกมั่นใจในสิ่งที่คิด “นายยอมตายเพื่อช่วยฉัน เพราะฉะนั้นจากนี้ไป ก็ขอให้นายพักผ่อนอย่างสงบเถอะ และวางใจได้เลย ฉันจะสู้กับเจ้าหมอนั่นจนตัวตายเหมือนกัน ไม่ยินยอมให้เขาจับตัวกลับไป ไม่ยอมให้นายต้องตายเปล่า!”
“…” กู่ฉิงซาน
‘นี่เธอคิดว่าเขาตายในการต่อสู้ไปแล้วอย่างนั้นหรือ?’
ขณะขบคิด กู่ฉิงซานก็เห็นว่าวัยรุ่นสาวประกบสองมือ กุมเข้าหากัน เริ่มสวดภาวนา “ขอให้ดวงวิญญาณเบื้องหน้าจากไปอย่างสงบ ไม่มีสิ่งใดคั่งค้างในโลกใบนี้ กลับคืนสู่อ้อมอกของพระผู้เป็นเจ้าชั่วนิรันดร์…”
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะกล่าว “ช่วยดูดีๆ ก่อน ฉันยังมีชีวิตอยู่”
วัยรุ่นสาวผงะ
เธอจ้องกู่ฉิงซานอย่างใกล้ชิด และมองเงาของเขาอย่างจงใจ เอ่ยปากถามด้วยความลังเล “ตกลงว่านายยังไม่ตายหรอกหรือ?”
“เออยัง” กู่ฉิงซานตอบ
“แล้ว…เจ้าวายร้ายคนนั้นล่ะ?” เธอถามกลับ
“ฉันฆ่าเขาไปแล้ว”
ดวงตาของวัยรุ่นสาวกะพริบปริบๆ กวาดมองขึ้นมองลง กล่าวด้วยความสงสัย “ฆ่าไปแล้ว? อาศัยแค่นายเนี่ยนะ?”
กู่ฉิงซานไร้คำจะกล่าว
จู่ๆ ตัวเขาก็บังเกิดความคิดที่ว่าชาติก่อนคงไปติดหนี้อะไร ‘ไพ่’ ใบนี้เอาไว้กันแน่นะ ชาตินี้ถึงได้โดนกวนประสาทถึงขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม วัยรุ่นสาวย่อมไม่ใช่คนโง่
เธอหลับตาลง และทำการรับรู้เล็กน้อย ก่อนจะอุทานด้วยความประหลาดใจ “เทคนิคมนตรากักขังในร่างกายฉัน ทั้งหมดได้หายไปแล้ว”
“ฉันเป็นอิสระ!”
เธอร้องไห้ด้วยความดีใจ น้ำตาแห่งความสุขหลั่งไหลออกมาเป็นสาย
กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ตรงจุดเดิม เฝ้ารอให้อารมณ์ของอีกฝ่ายทุเลาลง
หลังจากนั้นสักพัก
วัยรุ่นสาวก็ขยี้ตาแดงของเธอแล้วยื่น ‘เทพแห่งกองทัพทะเลเลือด’ คืนให้แก่กู่ฉิงซาน
“ไม่ใช่ว่าเธอต้องใช้มันหรือ?”
กู่ฉิงซานรับไพ่และกล่าว
วัยรุ่นสาว “กฎเกณฑ์แห่งไพ่ทั้งหมดที่พันธนาการฉันได้หายไปแล้ว ดังนั้นฉันไม่จำเป็นต้องตามหาสำรับไพ่อื่นๆ เพื่อใช้หลบหนีอีกต่อไป”
“อ่า ก็โชคดีไป เพราะฉันเองก็เคยได้ยินมาว่า สำหรับไพ่หนึ่งใบที่ต้องการเข้าไปยังสำรับอื่น จำเป็นต้องผ่านบททดสอบอีกมากมาย นั่นหมายความว่าสุดท้ายก็ต้องจ่ายออกด้วยราคาที่มหาศาลอยู่ดี”
“ถูกต้องแล้ว” วัยรุ่นสาวพยักหน้า พลางถอนหายใจ “ตัวอย่างเช่นฉัน เพราะฉันตัดสินใจที่จะถอนตัวจากสำรับไพ่ เลยต้องจมลงสู่การหลับลึกมาเป็นเวลานาน”
ทว่าเมื่อกล่าวจบ ก็พลันบังเกิดความเงียบงันขึ้น
วัยรุ่นสาวยกสองมือกุมหน้า กรีดร้องทันใด “อ๊า ทำไมนายถึงมาล้วงความลับของฉันแบบนี้!”
กู่ฉิงซานหงุดหงิด “เฮ้ๆ ล้วงความลับที่ไหน เธอเป็นคนพูดมันออกมาเองต่างหาก”
วัยรุ่นสาว “ฉันไม่สน นายนั่นแหละเป็นคนชงให้พูด นายมันคนเลว นายจงใจล่อลวงฉัน!”
กู่ฉิงซานพยายามปรามอารมณ์ตัวเอง “เธอต้องมีเหตุผลหน่อยสิ ฉันไม่ใช่ผู้ใช้ไพ่นะ ฉันเลยไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“นายมีเป้าหมายลามกอะไรหรือเปล่ามาละลาบละล้วงอดีตของฉันแบบนี้” วัยรุ่นสาวกล่าวอย่างเศร้าๆ
หากไม่ใช่เพราะเขาต้องอาศัย ‘ไพ่’ ใบนี้ช่วยเหลือหยุนจีแล้วล่ะก็ กู่ฉิงซานมั่นใจมากๆ ว่าตอนนี้เขาคงกระโดดถีบขาคู่ใส่เธอ แล้วปลีกตัวจากไปแล้ว
…………………………………………….
ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน
ชายในชุดคลุมดำกุมหนังสือในมือ บินตรงไปยังทิศทางหนึ่ง
หนังสือเล่มนั้นกางออกอยู่เบื้องหน้าเขา
โดยมีกลิ่นอายที่มองไม่เห็นจากไพ่ใบหนึ่ง ห่อหุ้มรอบกายเขาเอาไว้
กลิ่นอายที่ว่านี้เป็นตัวคอยฉุดดึง นำทางแก่เขา
อำนาจของไพ่จะไม่หายไป จนกว่าเขาจะไล่ตามเป้าหมายได้ทัน
ดังนั้น ตอนนี้ชายชุดคลุมดำจึงไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย เขาเพียงแค่สำรองพลัง เฝ้ารอจนกระทั่งไล่ตามทัน แล้วเริ่มเปิดฉากโจมตีก็จบ
ในระหว่างที่กำลังไล่ติดตาม ช่วงที่ไม่มีอะไรทำ ชายชุดดำก็ก้มลง พลิกหน้าหนังสือ ดูไพ่ต่างๆ ที่ถูกฝังอยู่ภายใน
ในแววตาของเขา ยิ่งมองพวกมัน ก็ยิ่งทอแววริษยา
นี่คือหนังสือเก็บไพ่ของระดับ ‘ที่ปรึกษา’
และไพ่ทั้งหมดในหนังสือ ล้วนมีไว้สำหรับกักขัง ‘ไพ่’ ที่แสนพิเศษใบนั้น
เพียงแค่พลิกผ่านหน้าหนังสือ รายละเอียดของไพ่ต่างๆที่อยู่ตามแต่ละหน้า ไม่ว่าจะเป็นลำดับ หรือการจัดวางที่สอดคล้องของไพ่ ก็จะถูกส่งเข้ามาในจิตใจของผู้อ่านทันที
‘เฮ้อ…เมื่อไหร่ฉันจะสามารถไปถึงระดับที่ปรึกษากับเขาบ้างสักทีนะ?’
แต่วันนั้นไม่น่าจะอีกไกลเกินเอื้อม เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในบรรดาศิษย์ทั้งหลาย กล่าวได้เลยว่าเขานั้นโดดเด่นเป็นที่สุด
แม้กระทั่งอาจารย์ที่ปรึกษาก็ยังยอมรับว่าความสามารถในการใช้ไพ่ของเขาช่างยอดเยี่ยม
ชายชุดคลุมดำถอนหายใจ และเริ่มจินตนาการถึงวันนั้นที่รอคอย
ช่วงเวลานั้นเอง สายลมในท้องฟ้ายามค่ำคืนก็พลันหยุดลง
ซึ่งหมายความว่าเขาใกล้จะถึงตัวอีกฝ่ายแล้ว
ชายชุดคลุมดำเตรียมตัว พร้อมที่จะรับมือกับการต่อสู้ทันที
วินาทีต่อมา เขาก็ลดระดับลง
ปัง!
จากเบื้องบน ทิ้งดิ่งลงมายังเบื้องล่างอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดเม็ดทรายปลิวว่อนไปทั่ว
กู่ฉิงซานและวัยรุ่นสาวหยุดอยู่ที่นั่น
ท่ามกลางฝุ่นทรายที่ฟุ้งกระจัดกระจาย ร่างของชายชุดคลุมดำปรากฏขึ้น
แม้ว่าจะล่าช้าไปบ้าง แต่สุดท้ายก็ไล่ตามทันได้ในที่สุด
ในเมื่ออีกฝ่ายย่อมมีวิธีการที่จะใช้ในการติดตาม ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงไม่สามารถใช้พลังวิญญาณทั้งหมดที่มีไปกับการหลบหนี
หากเขาเลือกกรณีดังที่กล่าวมา สุดท้ายถ้าอีกฝ่ายไล่ตามทัน กู่ฉิงซานคงไม่มีพลังมากพอที่จะต่อสู้กลับได้
กู่ฉิงซานนึกคิดในจิตใจ
เขาคว้าจับธนูเย่หยูออกมา และสะพายซองลูกศรไว้เบื้องหลังเขา
“นั่นคือคนที่เธอพูดถึงใช่ไหม?” กู่ฉิงซานถามเสียงกระซิบ
“ไม่ใช่ แต่คนคนนี้คือลูกศิษย์ของเขา” วัยรุ่นสาวตอบ
มือของเธอกำลังกุม ‘เทพแห่งกองทัพทะเลเลือด’ ขณะเดียวกัน แสงสีแดงเลือดก็ค่อยๆ เรืองรองขึ้นตามร่างกาย
เธอกำลังสื่อสารกับทะเลเลือด โดยหวังว่าจะลบล้างสถานะในอดีตของเธอ และกลายมาเป็นไพ่แห่งทะเลเลือด
กู่ฉิงซานพอได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นแค่ลูกศิษย์ เขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เขาสัมผัสได้ว่าฝ่ายตรงข้ามเหมือนจะไม่ได้แข็งแกร่งจนเกินกว่าที่จะไม่สามารถเอาชนะได้
อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายน่ะเป็นผู้ใช้ไพ่ของจริง
ซึ่งเป็นอาชีพที่ทรงพลังโดยกำเนิด
“แบบนี้ไม่ดีแน่! ฉันไม่สามารถโค่นผู้ใช้ไพ่ได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะถ่วงเวลาได้สักพัก เธอรีบหนีไปเร็วเข้า!”
กู่ฉิงซานแสร้งตะโกน
“นาย…นายไม่จำเป็นต้องทำเพื่อฉันถึงขนาดนั้น…” วัยรุ่นสาวขบริมฝีปากของเธอ
ไม่คาดคิดเลยว่าในหัวใจของชายหนุ่ม จะเปี่ยมไปด้วยความดีเช่นนี้ แม้เขาและเธอจะเพิ่งเจอกันโดยบังเอิญ แต่กู่ฉิงซานกลับถึงขั้นยินยอมเสียสละตัวเขาเองเพื่อต่อต้านศัตรู
น้ำตาเริ่มเอ่อล้น วัยรุ่นสาวสะบัดหน้ากลับหลัง บินออกไปในระยะทางไกล หายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว
ส่วนกู่ฉิงซาน เขาคอยทานรับกับคู่ต่อสู้ ยกมือขึ้นเตรียมง้างเล็ง
แล้วเขาก็ใช้ออกด้วยระบำผันผวนโดยตรง!
ลูกศรวูบไหวคล้ายกับภาพติดตา ฉวัดเฉวียนเป็นทางโค้งแล้วบินออกไป
ชายในชุดคลุมดำเมื่อเห็นฉากนี้ ก็เผยรอยยิ้มหยามออกมา
“สกิลธนูหรือ? อืม อันที่จริงแล้วฝีมือธนูเจ้าก็ไม่เลวหรอกนะ แต่น่าเสียดาย ที่อาชีพระดับต่ำต้อยแบบนั้น ไม่มีทางสู้กับข้าได้”
ว่าจบ พลันปรากฏไพ่ใบหนึ่งขึ้นในมือของเขา
บนหน้าไพ่ เป็นรูปของโล่มากมาย ที่มีความโค้งทำองศาแตกต่างกันออกไป
ตัวไพ่หายวับ รอบตัวชายชุดคลุมดำปรากฏโล่ทรงกลม โค้งทำมุมองศาครอบคลุมทั้งร่างกายของเขา
แปรเปลี่ยนเป็นโล่ทรงกลมที่ครอบคลุมลงมาอย่างรวดเร็ว
“นี่คือไพ่ที่ใช้ป้องกันการโจมตีจากระยะไกล มันครอบครองถึงห้าความสามารถในการปัดป้องจากการโจมตีในรูปแบบระยะไกลได้ ทว่าพลังในการป้องกันเทคนิคมนตรา และการต่อสู้ในระยะประชิดจะลดต่ำลง”
ในช่วงเวลาที่โล่ปกคลุมนั้นเอง ลูกศรของกู่ฉิงซานก็มาถึงพอดี
ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง!
ลูกศรร่วงหล่นราวกับสายฝน ไม่มีศรใดเจาะโล่เข้าไปได้เลย
“โถ่ นักธนูผู้น่าสงสาร เว้นแต่ว่าเจ้าจะแกร่งกว่านี้สักสามเท่า มันถึงพอเป็นไปได้ที่จะทำลายการป้องกันของข้า”
ชายชุดคลุมดำยกมือขึ้นกอดอก ถอนหายใจเสียงดังอย่างจงใจ
สกิลธนูของอีกฝ่ายน่ะไม่เลวเลย
แต่น่าเสียดาย ที่สกิลธนูดังกล่าว มันไม่เพียงพอที่จะนำมาใช้เผชิญหน้ากับผู้ใช้ไพ่
นี่แหละ คือข้อแตกต่างระหว่างอาชีพโดยกำเนิดล่ะ!
นอกเสียจากว่าฝ่ายตรงข้ามจะสามารถเลื่อนอาชีพขั้นพื้นฐานของนักธนู ขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงกว่า ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังจะได้สัมผัสแม้ปลายเล็บเขา
สำหรับตอนนี้ ผลของการต่อสู้นับว่าได้ข้อสรุปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
ชายชุดคลุมดำจั่วไพ่ออกมา
‘พอดีกว่า รีบทำให้มันจบๆ ไป ไปเก็บกู้ ‘ไพ่’ ที่หลบหนีไปกลับคืน แล้วรายงานต่อท่านอาจารย์’
ทว่าขณะขบคิด เขาดันพบว่านักธนูได้โยนทิ้งอาวุธในมือของตนลงอย่างกะทันหัน
“ฉันขอยอมแพ้” นักธนูตะโกนอย่างหมดท่า
ชายชุดคลุมดำชะงักไป
‘เฮ้ เฮ้ กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่แค่มีอาชีพขยะเท่านั้น แต่กระทั่งคนก็ยังเป็นขยะด้วยหรือนี่?’
แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้เล่นสนุกกับมันสักหน่อยก่อนที่จะลงมือฆ่า
กระบวนการก็เอาเป็น รอจนนักธนูปลดอาวุธทั้งหมด ให้มันวิงวอนขอความเมตตา แล้วจากนั้นก็ค่อยสังหารมันซะ
หากได้เห็นสีหน้าของความสิ้นหวังและโกรธแค้น ฉากนี้คงจะทำให้ตนมีความสุขไม่น้อย
ส่วนเรื่อง ‘ไพ่’ ที่หลบหนีไป
ชายชุดคลุมดำก้มลงมองหนังสือในมือของเขา
นี่คือหนังสือของระดับที่ปรึกษา และเทคนิคมนตรากักขังทั้งหมดที่ติดอยู่ในตัวของ ‘ไพ่’ ใบนั้นก็ล้วนอยู่ที่นี่
ฉะนั้น ต่อให้เสียเวลามากขึ้นกว่าเดิมอีกนิด เธอก็ย่อมไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้อยู่ดี
เมื่อคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ชายชุดคลุมดำก็ทำการตัดสินใจ
เขาเอ่ยปากอย่างช้าๆ “ยอมจำนนเป็นหนทางที่ฉลาดเลือก แต่ก่อนอื่นเจ้าจะต้องทิ้งซองใส่ลูกศรที่อยู่เบื้องหลังซะก่อน จงอย่าได้ชักช้า!”
“เข้าใจแล้ว”
นักธนูปลดซองใส่ลูกศร และโยนมันทิ้งลงกับพื้นทันที
เมื่อเห็นอีกฝ่ายปฏิบัติตามอย่างว่าง่ายเช่นนี้ ในหัวใจของชายชุดคลุมดำก็บังเกิดการดูแคลนขึ้นอีกหลายส่วน
แต่นี่มันก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะอีกฝ่ายอย่างไรก็ไม่มีโอกาสที่จะชนะตนเอง
ชายชุดคลุมดำก้มลงมองธนูและลูกศรบนพื้น ท่าทีผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“เอาล่ะ ตอนนี้ก็คุกเข่าลงเสีย”
ขณะสั่ง เขาก็เฝ้ามองไปยังฝั่งตรงข้าม เตรียมรับชมความอัปยศและสิ้นหวังของอีกฝ่าย
แน่นอน เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าสุนัขเบื้องหน้าเล่นตุกติก เขาก็เตรียมไพ่ป้องกันใบอื่นๆ เอาไว้ในมือแล้วเช่นกัน
เห็นแค่เพียงนักธนูที่ยังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายยืดหลังตรง รวบรวมความกล้าออกมา “ขอปฏิเสธ! ฉันไม่สามารถทำให้นิกายตัวเองต้องเสื่อมเสียศักดิ์ศรีได้!”
ว่าจบ นักธนูก็หันหลัง และวิ่งหนีไป
ในฐานะที่เขาเป็นนักสู้ระยะไกล ดังนั้นเจ้าตัวจึงมีความว่องไว และเป็นการง่ายที่จะหลบหนี
แต่…ทำแบบนี้แล้วมันช่วยอะไรได้รึไง?
ชายชุดคลุมดำหัวเราะ
เขาเก็บไพ่ป้องกันในมือ จั่วไพ่ใบอื่นออกมา เหวี่ยงมันออกไป
ไพ่ใบใหม่ถูกเปิดใช้งาน
แล้วชายชุดคลุมดำก็หายวับไปจากสถานที่เดิม ทั้งคนทั้งร่างปรากฏกายขึ้นอีกครั้งเบื้องหน้านักธนู ปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของเขา
นักธนูตะลึงงัน
ด้วยความเร่งรีบ นักธนูไม่อาจหยุดฝีเท้าของตนได้ในทันที เขาสะดุดขาตัวเองกลิ้งม้วนกับพื้นไปสองสามตลบ ก่อนจะสามารถกลับมาควบคุมสมดุลร่างกายได้
และด้วยการสะดุดกลิ้งนี่เอง ที่ทำให้เขาอยู่ห่างจากผู้ใช้ไพ่เป็นระยะไม่ถึงสิบจั้ง
“นี่ก็เป็นพลังของผู้ใช้ไพ่อย่างนั้นหรือ…?” นักธนูเอ่ยพึมพำ
เขาถอนหายใจ “นักธนูผู้น่าสงสาร ตอนนี้เจ้าจะเลือกได้รึยัง ว่าอยากตายหรือจะคุกเข่าลง”
นักธนูถอนหายใจ
พริบตานั้นความหวาดกลัวบนใบหน้าของเขาหายวับไปโดยสิ้นเชิง เจ้าตัวกล่าวอย่างเฉยเมย “นายนี่มันเย่อหยิ่งเกินไป รู้ไหมว่าทัศนคติแบบนั้นมันเป็นอันตรายในการต่อสู้”
ด้วยประโยคนี้ ชายในชุดคลุมดำพลันบังเกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้น
แต่มันไม่มีใครอยู่รอบๆ เลยนี่นา แล้วอีกอย่างอาวุธของนักธนูก็ถูกโยนทิ้งไปแล้ว เขายังมีอันตรายใดที่ต้องเผชิญอีกเล่า?
ชายชุดคลุมดำอดไม่ได้ จำต้องจั่วไพ่เพิ่มขึ้นมาอีกสักสามใบ
อย่างไรก็ตาม ความสยองขวัญพลันบังเกิดขึ้น
ชายชุดคลุมดำพบว่าช่วงเวลานี้ เขาไม่สามารถยกมือของตนเพื่อจั่วไพ่ได้ ทั้งคนทั้งร่างมิอาจขยับกายเคลื่อนไหวอีกต่อไป
นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นพลังในการควบคุม!
แต่…ศัตรูที่ใช้สกิลนี้ใส่เขามันอยู่ที่ไหนกัน?
บ้าจริง! เห็นได้ชัดว่าตัวเขามีไพ่อยู่เกือบร้อยใบ แถมยังมีทั้งวิธีการและพลังอีกนับไม่ถ้วนที่ยังไม่สำแดงออกมา
หากเขาลงมืออย่างเต็มที่แล้วล่ะก็ บอกได้เลยว่าต่อให้โลกทั้งใบก็ยังสามารถสั่นคลอนมันได้!
แล้วเป็นใครกันที่กำลังใช้สกิลควบคุมตัวเขา?
ระหว่างที่กำลังสับสนและไม่ยินยอม โลกทั้งใบของชายชุดคลุมดำก็พลันกลายเป็นมืดมิด
ในช่วงวินาทีสุดท้าย คล้ายกับว่าจะเห็นนักธนูกุมดาบยาวในมือ และสับอากาศจากระยะไกลมาทางเขา
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ไพ่ป้องกันนับไม่ถ้วนก็ถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ มันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของชายชุดคลุมดำ
ทว่าอำนาจของไพ่เหล่านั้นกลับถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เขาสูญสิ้นการควบคุมตนเองไป และต้องเผชิญหน้ากับพลังแหกกฎของดาบยาว ผู้ใช้ไพ่อย่างเขาก็มิอาจกระทำสิ่งใดได้เลย
ฉัวะ!
หมอกเลือดสาดกระจาย ทว่าทั้งหมดก็ถูกพัดปลิวไปด้วยรังสีดาบที่ระเบิดออก
ร่างกายของผู้ใช้ไพ่เดิมทีก็อ่อนแออยู่แล้ว เมื่อต้องเผชิญกับรังสีดาบ มันก็มิอาจทานทน ถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ!
และต้องไม่ลืมนะว่า โล่ของเขาน่ะ มันเป็นโล่ที่เน้นใช้ป้องกันการโจมตีจากระยะไกล หากแต่มันไม่สามารถป้องกันการโจมตีจากดาบยาวได้
เพราะตามกฎเกณฑ์ของไพ่ ดาบน่ะคืออาวุธโจมตีระยะประชิด
“เทคนิคลับแห่งดาบ ล่าชีพ!”
ในระยะสิบจั้ง ไม่ว่าจะชีวิตหรือจิตวิญญาณใดก็ล้วนต้องดับสูญ!
กู่ฉิงซานมิได้เหลียวมองศพอีกต่อไป
คนประเภทนี้ที่มักจะปฏิบัติกับศัตรูด้วยความดูแคลน มันไม่คุ้มค่าที่จะเปลืองสายตาของเขา
เจ้าตัวเพียงเบนมองไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้า
มองไปยังหน้าต่างเทพสงคราม ในส่วนของแต้มพลังวิญญาณกำลังพุ่งทะยานขึ้นอย่างบ้าคลั่ง!
………………………………….
แสงสีทะมึนปกคลุมไปทั่วทั้งทะเลทราย แปรเปลี่ยนตลอดทั้งพื้นที่ให้กลายเป็นความมืดมิด
ชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นใจกลางความมืดมิดที่ว่า
ชุดคลุมยาวสีดำของเขา ถูกลงอักขระไว้ด้วยอักษรรูนโบราณตลอดทั้งชุด กระทั่งหมวกปีกกว้างที่สวมใส่ก็ยังเป็นสีดำ มันถูกดึงลงมาจนปกปิดรูปลักษณ์ใบหน้า
ตลอดทั้งพื้นที่ หลงเหลือแค่เพียงจุดเดียว คือจุดที่ราชินีแมงป่องยืนอยู่ ที่ยังมิได้ถูกความมืดมิดกลืนกินไป
ชายคนนั้นหันไปมองรอบๆ ก่อนจะมุ่งความสนใจไปยังราชินีแมงป่อง
“แล้วคนอื่นๆ เล่า?” เขาถามห้วนๆ
ราชินีแมงป่องยกมือป้องปากหาว “เจ้าถามข้าหรือ?”
“อย่ามาเล่นลิ้น! ที่นี่มันมีแต่ท่าน หากไม่ถามท่านแล้วยังเหลือใครให้ถามอีก!” ชายคนนั้นกล่าวด้วยความโกรธ
ราชินีแมงป่องเอียงศีรษะ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “โอ้ คนอื่นๆ คงหมายถึงข้าด้วยสินะ เพราะที่นี่มีแค่ข้าคนเดียว อืม ข้าอยู่ที่นี่นี่แหละ และตอนนี้ก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะไปที่ไหนดี”
“ท่านกล้าล้อข้าเล่นหรือ?”
“ข้าก็แค่พูดความจริง”
“ได้ ได้เลย รอให้ข้าพบไพ่ใบนั้นก่อนเถอะ แล้วจะกลับมาคิดบัญชีกับท่าน”
ชายคนนั้นกระทืบเท้า เตรียมที่จะแยกตัวออกไป
ทว่าทันใดนั้นเอง สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนกลับกลาย เจ้าตัวเหวี่ยงสะบัดมือไปยังเบื้องหลัง พลางเรียกไพ่กว่าแปดใบออกมา
บังเกิดชั้นแสงห่อหุ้มรอบตัวเขา ก่อร่างเป็นกำแพงทะมึน ซ้อนทับๆ กันหลายชั้นจนกลายเป็นโล่ขนาดใหญ่ พร้อมกับปรากฏเกราะยักษ์ที่กำลังสาดแสงสีดำหม่นสวมทับตัวเขา
ตูม!
ตามด้วยประกายแสงเสียบแทงเข้ามาดั่งสายฟ้าฟาด
ด้านในของกำแพงทะมึนแตกสลาย โล่ทั้งหมดถูกทำลายลง เหลือเพียงปราการเกราะยักษ์สุดท้ายเท่านั้น ที่สามารถทานทนต่อกระแสแสงนี้ได้
ชายเสื้อคลุมดำถูกแรงปะทะ ถอยไถลไกลออกกว่าหลายสิบเมตรในคราเดียว
เขาอยู่ในสภาพกึ่งลุกกึ่งหมอบ ก้มลงมองไปยังกำแพงโล่
พบว่ามันถูกปลายหางแหลมแทงเข้าใส่ จนกลายเป็นร่องลึก
ดูเหมือนว่าแม้จะเพียงเล็กน้อย แต่หางแหลมก็มิอาจเจาะปราการเกราะยักษ์ได้
“ราชินีปีศาจแมงป่อง ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? อย่าบอกนะว่าท่านคิดจะขโมยไพ่? อยากจะก่อสงครามเต็มรูปแบบกันอย่างนั้นหรือ?”
การแสดงออกของชายชุดคลุมดำกลายเป็นเดือดดาล เขาจั่วไพ่ใบหนึ่งออกมาจากในความว่างเปล่า และแสดงมันต่อหน้าราชินีแมงป่อง
มันไม่มีสิ่งใดอยู่บนหน้าไพ่เลย นอกเหนือไปจากแตรเขาสัตว์
แตรเขาสัตว์แห่งสงคราม
ราชินีแมงป่องค่อยๆ หดหางของเธอกลับมาอย่างช้าๆ เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ต่อให้เจ้าใช้แตรสงครามเรียกใครมามันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ คือสิ่งที่ข้าต้องทำเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของราชินี”
“ลองใช้ไพ่ใบนั้น และกล่าวหมิ่นข้าอีกครั้งดูสิ?” เธอล้อเลียนน้ำเสียงห้วนๆของอีกฝ่าย
“เจ้าลองคาดเดาดูเองก็แล้วกันว่าเกรย์แฮนด์จะตัดสินว่าอย่างไร ถ้าเจ้าอยากจะสู้ข้าก็ยินดี และขอสัญญาเลยว่าข้าจะค่อยๆกินเจ้าทีละนิด ทีละนิด จนกว่าเจ้าจะยอมแพ้ และหมดสติไป”
ราชินีแมงป่องกล่าว ขณะเดียวกันก็ส่ายหางของเธอ
ร่างกายส่วนบนของเธอช่างแสนจะมีเสน่ห์ ทว่าส่วนล่างของเธอกลับอยู่ในรูปลักษณ์ของแมงป่อง
หางอันแหลมคมของเธอ ชูขึ้น ชี้ตรงมายังตำแหน่งหัวใจของฝ่ายตรงข้าม คล้ายกับว่าพร้อมที่จะจู่โจมอีกครั้งได้ตลอดเวลา
“เหอะ! ในเมื่อท่านกล้าที่จะแตะต้องไพ่ใบนั้น นั่นหมายความว่าท่านได้ฉีกข้อตกลงกับพวกเราแล้ว ท่านจะกลายเป็นผู้ร้าย! เป็นผู้ก่อให้เกิดสงคราม!” ชายชุดคลุมกล่าวอย่างไม่ยินยอม
แต่ราชินีแมงป่องกลับหัวเราะ
“ข้าบอกตอนไหนว่าเป็นข้าที่ขโมยไพ่ใบนั้นมา? กลับกลายเป็นว่าเกรย์แฮนด์ส่งไอโง่แบบเจ้ามาเฝ้าที่นี่ ช่างน่าสมเพชซะจริง”
“ข้ามีหลักฐาน! คอยดูเถอะถ้าแสดงมันออกมาแล้วท่านจะยังหัวเราะได้อีกหรือไม่” ชายชุดคลุมดำกล่าวอย่างเคร่งขรึม
เขาเรียกสติฟื้นคืน บังคับอารมณ์ให้มันสงบลง และจั่วไพ่ออกมา
“เทคนิคมนตรา ย้อนปรากฏ!”
เห็นแค่เพียงคนตะคอกคำหนึ่ง เปิดใช้งานไพ่ทันที
ทุกสรรพสิ่งโดยรอบก็พลันมืดมิด ก่อนจะฉายภาพเสมือนของไพ่ขึ้น
ในเสี้ยววินาที ร่างเงาของไพ่หลายสิบใบก็ปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า
ชายคนนั้นเดินไปที่ไพ่แต่ละใบ ตรวจสอบมันดูอย่างระมัดระวัง
หุ่นเชิดสงคราม ดาบสั้น หอกปีศาจแดง และไพ่อุปกรณ์บางอย่าง ทุกชนิดของไพ่ที่วัยรุ่นสาวได้ใช้ บัดนี้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของชายชุดคลุมดำ ในรูปแบบภาพมายา
เขามองดูไพ่แต่ละใบ ในที่สุดก็มาถึงภาพสุดท้าย
“หุบเหวแห่งบาป อัญเชิญราชินี”
สีหน้าของชายชุดคลุมแปรเปลี่ยนไป
แต่เดิม กลับกลายเป็นว่าราชินีแมงป่องเป็นฝ่ายถูกเรียกตัวมาจริงๆ
ช่วงเวลานี้ ได้พิสูจน์แล้วว่าราชินีแมงป่องบริสุทธิ์โดยสมบูรณ์
เมื่อได้ลองมองย้อนกลับไป น้ำเสียงที่เขาใช้พูดกับอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ มันก็ดูจะเป็นการล่วงเกินอยู่เล็กน้อยเหมือนกัน
แต่ว่านะ
ราชินีแมงป่องจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยได้อย่างไร?
ชายคนนั้นหันมองราชินีแมงป่อง เอ่ยเสียงหม่น “ไพ่อัญเชิญก็หายไปแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดท่านถึงยังอยู่ที่นี่”
ราชินีแมงป่องจ้องกลับ และเอ่ยถาม “เจ้าถามข้าหรือ?”
ชายคนนั้นพยายามอดทน และในที่สุดก็เปลี่ยนน้ำเสียงตนให้ฟังดูเคารพอีกฝ่ายมากขึ้น “ข้าขอเรียนถาม ว่าเหตุใดท่านถึงยังคงอยู่ที่นี่?”
ราชินีแมงป่อง “เจ้าสมองหมู แค่นี้ก็ไม่เข้าใจหรือ? นั่นเพราะเดิมทีข้าก็อาศัยอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้อยู่แล้วน่ะสิ เจ้าจะให้ข้าไปที่ใดกัน?”
ชายชุดคลุมดำแข็งค้าง
มันจบแล้ว ทุกอย่างถูกปะติดปะต่อเข้าด้วยกันพอดิบพอดี
เขาเข้าใจแล้ว ว่าฝ่ายตรงข้าม กำลังถ่วงเวลาให้กับไพ่ที่กำลังหลบหนีไป
และเกรงว่าด้วยความแข็งแกร่งของเขา หากคิดจะหนีรอดจากราชินีเพื่อไล่ตามไพ่ไป มันคงจะเป็นไปไม่ได้
เขาถอนหายใจยาว
ไพ่ใบนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด แต่มันดันหายไปอย่างกะทันหัน แล้วตัวเขาเองก็ถูกตรึงให้ติดอยู่ที่นี่
นอกจากนี้ ยังต้องโทษตัวเองที่ร้อนรนเกินไป จนเผลอมัวแต่เล่นกับแมงป่องตัวนี้
เมื่อคิดได้ เขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ในมือจั่วไพ่ และเริ่มกระตุ้นมันทันที
ไม่ช้า เสียงที่ต่ำลึกของชายคนหนึ่งก็ดังออกมาจากไพ่
“เจ้าพบมันหรือเปล่า?”
“รายงานท่านอาจารย์ ราชินีแมงป่องหยุดข้าเอาไว้ ข้าเลยยังไม่อาจหาไพ่ใบนั้นพบ” ชายชุดคลุมดำจ้องมองราชินีอย่างรุนแรง
“ราชินีปีศาจแมงป่อง…”
ปลายสายจากในไพ่เงียบงันไปครู่หนึ่ง
แล้วจู่ๆ หนังสือเล่มหนึ่งก็กระโดดออกมาจากไพ่ บินเข้าไปหาราชินีแมงป่อง
ราชินีแมงป่องยิ้มเล็กน้อย และวางมือของเธอกดลงบนหนังสือ
หนังสือส่งเสียงดังออกมาทันที “ข้อตกลงยังไม่ได้รับความเสียดายใดๆ ราชินีเพียงถูกอัญเชิญออกมาเท่านั้น!”
ชายชุดคลุมดำตกใจจนตื่นตระหนก เขาคุกเข่าลงกับพื้น “ท่านอาจารย์ แต่ราชินีต้องการทำร้ายข้า!”
“สิ่งที่เกิดขึ้น ค่อยว่ากล่าวกันในภายหลัง แต่ตอนนี้ เจ้าจะต้องเร่งออกไปรับไพ่คืนมาโดยเร็วที่สุด”
“รับทราบ!” ชายชุดคลุมดำตอบกลับอย่างรวดเร็ว
ด้านหน้าเขา หนังสืออีกเล่มหนึ่งพลันปรากฏออกมา
หน้าหนังสือเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เผยให้เห็นถึงไพ่แต่ละใบที่ฝังอยู่
“นี่คือไพ่พันธนาการที่ห้าร้อยสามสิบเจ็ดที่ข้าได้ทำการติดตั้งเอาไว้บนไพ่ใบนั้น ตอนนี้ เจ้าได้รับอนุญาตให้ใช้มัน จงเร่งไปเก็บกู้ไพ่ใบนั้นคืนมาทันที!”
“ขอรับ!”
ชายชุดคลุมดำคว้าจับหนังสือ และทะยานหายขึ้นไปบนฟากฟ้าทันที
อย่างไรก็ตาม ไพ่ที่เขาใช้ในการสื่อสารก็ยังคงมิได้ถูกยกเลิกไป
ชายที่ชื่อว่าเกรย์แฮนด์เปล่งเสียงออกมา “ฝ่าบาท ข้าจำเป็นต้องบอกท่านอย่างจริงจัง ว่าไพ่ใบนั้นสำคัญต่อข้ามาก หวังว่าท่านจะเข้าใจ”
“แล้วเจ้าสิ่งนั้นมันเกี่ยวข้องอะไรกับข้าด้วย? เดิมทีข้ากำลังเตร็ดเตร่อยู่ในทะเลทราย แต่ดันถูกอัญเชิญมาอย่างกะทันหัน จนถึงตอนนี้ก็ยังสับสนอยู่เลย” เธอหัวเราะ
เกรย์แฮนด์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะตาม “ข้าไม่คิดว่าท่านจะเข้ามาแทรกแซงเกี่ยวกับเรื่องพิธีกรรมไพ่ของข้าหรอก เพราะอย่างไรเสีย ทั้งหมดนี้มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของข้า ผู้สูงศักดิ์เช่นท่านย่อมไม่ลดตัวลงมายุ่งเกี่ยว”
“แน่นอน เจ้าเองก็คอยดูแลตลาดมืดของเจ้าไป ส่วนเราจะอยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างสงบสุข นี่คือข้อตกลงที่พวกเราคุยกันเมื่อนานมาแล้ว”
“นั่นคือสิ่งที่สมควรจะเป็น” เกรย์แฮนด์เห็นด้วย
“แต่ว่านะ ลูกศิษย์เจ้านี่มันช่างหยิ่งยโส ตรงตามลักษณะนิสัยของผู้ใช้ไพ่เสียจริง ข้าคิดว่ายิ่งนานวัน เขาก็ยิ่งโง่เง่า ทำอะไรไม่ยั้งคิดมากขึ้นเรื่อยๆ”
ราชินีแมงป่องกล่าวต่อ “เห็นได้ชัดว่าการแทรกแซงเจ้ามันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อหุบเหวแห่งบาปของเรา ดังนั้นเจ้าควรจะเชื่อใจข้า ว่าข้าหาใช่คนโง่ที่จะทำให้ทุกอย่างมันพังลงไม่”
อีกฝั่งหนึ่งพลันเงียบงัน สักพักเลยกว่าจะได้ยินเสียงถอนหายใจออกมา “นี่ไม่มีทางเลือก เพราะเวลานี้ข้ามีบางสิ่งบางอย่างต้องทำ และจำต้องใช้เวลาอีกสักพักจึงจะกลับไปได้ ตอนนี้เลยได้แต่ต้องให้ลูกศิษย์เป็นคนดูแลตลาดมืดไปก่อน ใครจะรู้ว่าเขาจะทำตัวไร้สมองแบบนี้”
น้ำเสียงของเกรย์แฮนด์ฟังดูหงุดหงิดเล็กน้อย
เขาได้ทำการติดตามร่องรอยของเทคนิคมนตราแล้ว และพบว่าราชินีแมงป่องถูกอัญเชิญมาที่นี่จริงๆ
แม้กระทั่งข้อตกลงระหว่างทั้งสองฝ่าย ที่ได้ตรวจสอบผ่านเล่มหนังสือ ก็ยังไม่มีปัญหา
และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่อีกฝ่ายกล่าว ต่อให้เธอมาขัดขวางเขา มันก็ไม่ได้ก่อประโยชน์ใดๆ
สำหรับตัวตนอย่างราชินีแมงป่อง หากเธอไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เธอย่อมไม่มีวันที่จะหันมาเหลียวแลคุณ
ฉะนั้น
เรื่องราวทั้งหมดนี้จึงล้วนแต่เป็นความผิดพลาดของลูกศิษย์โง่เขลาของเขา
มันช่างงี่เงาซะจริงๆ ถึงแม้ว่าอาชีพผู้ใช้ไพ่จะกุมอำนาจเหนือกว่าในหลากหลายอาชีพตั้งแต่แรกเริ่มก็เถอะ แต่ถ้าไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ใจเย็นเข้าไว้ ต่อไปภายภาคหน้าคงไม่สามารถพัฒนาตนเอง ทำสัญญากับสิ่งที่แข็งแกร่งกว่าได้
และเนื่องจากเขาเป็นลูกศิษย์ของตน ดังนั้นจึงมักจะคิดไปเองว่าตัวเขาสูงส่งอยู่เสมอ
แต่น่าเสียดาย ที่เวลานี้เกรย์แฮนด์อยู่ในโลกที่ห่างออกไปกว่าร้อยล้านชั้น ดังนั้นในระยะเวลาสั้นๆ เขาย่อมไม่อาจกลับมาที่นี่ได้
ไม่ว่าจะเป็นการสอนสั่งศิษย์ หรือว่าการตามหาไพ่ที่แสนสำคัญ เขาไม่สามารถกระทำสิ่งใดได้เลย
ดังนั้นเกรย์แฮนด์จึงจำได้แต่ข่มสติอารมณ์ และพยายามรับรู้ถึงปัญหาในเวลานี้
“หากศิษย์ของข้าทำอะไรหยาบคายลงไป ข้าขอใช้นามตนเอง ขออภัยแทนเขาด้วย” เกรย์แฮนด์ยอมรับผิด
ราชินีแมงป่อง “แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด แต่ข้าแค่หวังว่า หลังจากนี้ไป จงอย่าได้อัญเชิญข้าแบบมั่วซั่วอีก เพราะข้าเองก็มีหลายสิ่งที่จะต้องทำ”
เกรย์แฮนด์นิ่งคิด สักพักกล่าวเสียงอ่อนลง “โปรดวางใจ ตัวข้าครอบครองเทคนิคมนตรายับยั้งอยู่นับร้อย หากกลับไป ข้าจะมาจัดการเรื่องนี้ให้ จะไม่สร้างปัญหาให้แก่ท่านอีก”
“ได้ยินเช่นนั้นก็ดี” ราชินีแมงป่องพูดด้วยความพอใจ
“เอาล่ะ หวังว่าพวกเราคงจะได้เจอกันอีก ลาก่อน”
“ลาก่อน”
แล้วไพ่สื่อสารก็หายไป
เทคนิคมนตราทั้งหมดถูกยกเลิก
เกรย์แฮนด์จากไปแล้ว
เหลือเพียงราชินีแมงป่องที่ยืนอยู่ในจุดเดิมอย่างเงียบๆ คล้ายกับว่าเธอกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
สักพักหนึ่ง
เธอก็ถอนหายใจเบาๆ “เท่านี้ก็หายกันแล้วนะเจ้าผู้ฝึกยุทธ์หนุ่ม”
….
ท่ามกลางทะเลทรายอันไร้ที่สิ้นสุด
กู่ฉิงซานยังคงหลบหนี
ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรไล่ตามมาก็จริง แต่ในหัวใจของเขามันกลับฟุ้งไปด้วยความกดดันและตึงเครียด
หากกระทั่งพลังผนึกอาวุธของวัยรุ่นสาวยังไม่อาจต่อกรกับอีกฝ่ายได้ ฉะนั้นศัตรูย่อมจะต้องแข็งแกร่งมากแน่ๆ
และหากไพ่วัยรุ่นสาวมีความสำคัญจริงๆ อีกฝ่ายย่อมไม่ยอมทิ้งไป อย่างไรก็ต้องไล่ตามมา
ชั่วขณะหนึ่ง หางตาของกู่ฉิงซานก็กระตุกวูบ
ความรู้สึกเร่งร้อนในหัวใจของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างกะทันหัน การรับรู้ทางจิตวิญญาณเริ่มสัมผัสได้ถึงความตายอันคลุมเครือ ปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบๆ
หากเทียบเปรียบกับอาชีพอื่นๆ ผู้ฝึกยุทธ์จำต้องข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ ดังนั้นการยกระดับแต่ละคราวของพวกเขา มันจึงเป็นไปอย่างยากเย็นยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกยุทธ์ก็ยังมีข้อดีที่โดดเด่นกว่าสายอาชีพอื่นๆ อยู่อย่างหนึ่งเหมือนกัน นั่นก็คือ พลังในการรับรู้ทางจิตวิญญาณของพวกเขาจะเฉียบคมมาก สามารถคาดเดาสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคตอันใกล้ได้
แม้ตอนนี้กู่ฉิงซานค่อนข้างจะห่างไกลจากสถานที่ต่อสู้แล้ว ทว่าในหัวใจของเขาก็ยังสัมผัสได้ว่านี่มันพึ่งจะแค่เริ่มต้น
มีบางอย่างกำลังไล่ติดตามเขามา
กู่ฉิงซานหยุดลงอย่างกหนะทันหัน
เขาเร่งตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบไพ่ออกมา
ทันทีที่ไพ่ปรากฏขึ้น มันก็แปรสภาพกลายเป็นวัยรุ่นสาวในชุดขาว
“เธอช่วยใช้ไพ่เทคนิคมนตราตรวจสอบหน่อยจะได้ไหม ว่าพวกเราปลอดภัยหรือยัง” กู่ฉิงซานกล่าว
“ไม่ปลอดภัยแน่นอน” วัยรุ่นสาวกล่าวด้วยความกังวลใจ เพราะฉันถูกจองจำโดยกฎเกณฑ์ของไพ่จำนวนมาก หนึ่งในนั้นต้องมีไพ่ติดตามตัวอยู่แน่ๆ”
กู่ฉิงซานหยิบไพ่ ‘เทพแห่งกองทัพทะเลเลือด’ ออกมา ปากเอ่ยถาม “แล้วถ้าฉันให้ไพ่ใบนี้กับเธอล่ะ เธอพอที่จะสามารถจัดการกับเทคนิคที่กำลังตีตรวนและติดตามเธออยู่ได้หรือเปล่า?”
“ถ้าเช่นนั้นช่วยถ่วงเวลาให้ฉันหน่อย” วัยรุ่นสาวกล่าว
………………………………….
ท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน
ร่างของกู่ฉิงซานโจนทะยานขึ้นสู่เบื้องบน ก้มลงมองเบื้องล่าง
และวัยรุ่นสาวเองก็กำลังแหงนมองดูเขาอยู่เช่นกัน
ดวงตาของทั้งสองสบประสาน
ทางฝั่งกู่ฉิงซาน แววตาของเขาช่างสงบดั่งน้ำนิ่ง
ขณะที่ในแววตาของวัยรุ่นสาว กลับเต็มไปด้วยระลอกคลื่น ฟุ้งไปด้วยความวิตกกังวลที่มิอาจเอ่ยอธิบายได้
เมื่อได้เห็นถึงกระบวนท่าตัดแบ่งขุนเขาไร้ตัวตน ราชินีแมงป่องก็หยุดฝีเท้าลง กล่าวอย่างแช่มช้า “นี่มันกระบวนท่าจากโบราณกาล แถมดูเหมือนว่าจะประเภทนักสู้ แต่เจ้าหนุ่มนั่นยังไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะสำแดงพลังทั้งหมดของมันออกมาได้…”
“พี่สาวแมงป่อง รีบช่วยฉันจับตัวเขาเร็วเข้า!” วัยรุ่นสาวกระวนกระวาย
“เข้าใจแล้ว”
ราชินีแมงป่องตั้งท่วงท่า หนึ่งมือกุมโล่ หนึ่งมือกุมหอกปีศาจแดง ทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า
ส่วนวัยรุ่นสาว มือของเธอตวัดไปในอากาศที่ว่างเปล่า
เธอกำลังจะจั่วไพ่อีกใบออกมา
ทว่าความรู้สึกเย็นเยียบกลับเสียดแทงลึกเข้ามาถึงไขกระดูกเบื้องหลังเธอซะก่อน ขณะเดียวกัน คมกล้าบางอย่างก็ถูกพาดวางลงผ่านไหล่ของเธอ
มันเป็นดาบยาวที่มีสีราวกับหยาดน้ำค้าง
กู่ฉิงซานจี้คอเธอจากเบื้องหลัง
“นาย…” วัยรุ่นสาวอุทานด้วยความตกใจ
กู่ฉิงซานกดดาบลงไปลึกกว่าเดิมเบาๆ
วัยรุ่นสาวหุบปากลงทันที
แล้วจู่ๆ เธอก็เริ่มร้องไห้ออกมา
“นายคิดจะฆ่าฉันหรือ?”
วัยรุ่นสาวถามเสียงสะอื้น
“ไม่ อันที่จริงแล้วฉันแค่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย” กู่ฉิงซานกล่าว
ต้องขอบคุณสถานะอันแสนพิเศษของขอบเขตพันวิบัติ เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกว่าตัวเองจะตาย การรับรู้ทางจิตวิญญาณก็จะเกิดขึ้น
ทว่า ในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ เจ้าตัวกลับไม่ได้ตระหนักถึงลางสังหรณ์ที่ว่าเลย
ประจวบกับเมื่อพิจารณาจากคำพูดและการกระทำของวัยรุ่นสาว จะพบว่า แม้เธอจะมีพลังมากมาย แต่เธอก็มิได้ตั้งใจใช้มันอย่างเต็มที่เพื่อฆ่าเขา
ไม่ว่าจะเป็นการผนึกอาวุธ ใช้หุ่นเชิดต่อสู้ อัญเชิญราชินีปีศาจแมงป่อง แม้กระทั่งหอกปีศาจแดง แท้จริงแล้วที่กล่าวมาล้วนเป็นอะไรที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง
เธอเอาแต่พูดว่าต้องการบางสิ่งบางอย่างจากตัวเขา
แต่กู่ฉิงซานตอนนี้เป็นยาจก แล้วเธอมาเห็นของมีค่าอะไรในตัวของเขากัน?
“ยกเลิกไพ่ทั้งหมดของเธอซะ แล้วมาคุยกันดีๆ” กู่ฉิงซานกล่าว
วัยรุ่นสาวปฏิบัติตามเขา
ไพ่ทั้งหมดถูกยกเลิก สักพักหนึ่งมันก็หายไป
เหลือแค่เพียงราชินีปีศาจแมงป่องที่ยังไม่จากไป
ราชินีแมงป่องลดระดับจากฟากฟ้า หยั่งเท้าลงบนผืนทราย เฝ้ามองดูฉากเบื้องหน้าเธออย่างเงียบๆ
“วางใจเถอะ สัญญาของข้ากับไพ่ได้หมดลงแล้ว เวลานี้ข้าเพียงรู้สึกอยากรู้อยากเห็นนิดๆ หน่อยๆ ดังนั้นจึงเลือกที่จะอยู่ต่อ” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง
กู่ฉิงซานเหลือบมองเธอ
แน่นอน เขารู้ว่าเธอแข็งแกร่ง แต่ทว่าก็ไม่ได้ระเบิดมันออกมาตั้งแต่แรกเริ่ม
ได้ยินมาว่าไพ่อัญเชิญจะเชื่อมต่อกับจิตใจของผู้ใช้ไพ่ และจะลงมือต่อสู้ตามความคิดของผู้ใช้ไพ่
ราชินีแมงป่องคร้านที่จะต่อสู้ เกรงว่านั่นมันคงเป็นเพราะว่าวัยรุ่นสาวไม่ได้มีเจตนาที่จะให้การต่อสู้มันลุกลาม บานปลายมากเกินไปนั่นเอง
กู่ฉิงซานละความสนใจจากราชินีแมงป่อง หันมาถามวัยรุ่นสาว “เธอสังเกตเห็นฉันตั้งแต่แรก ดังนั้นเธอเลยคิดชวนฉันเข้าร่วมทีมชั่วคราวใช่ไหม?”
“ใช่” วัยรุ่นสาวตอบอย่างเชื่อฟัง
“หมายความว่าเธอคิดจะปล้นฉันแต่แรกแล้ว?”
“ใช่”
“แต่ฉันไม่มีเงิน แล้วทำไมเธอถึงได้เลือกที่จะมาปล้นคนอย่างฉัน”
“ฉันไม่ได้ต้องการปล้นเงินของนาย” วัยรุ่นสาวร้อนรน
“เธอต้องการอะไร?” กู่ฉิงซานถาม
วัยรุ่นสาวเหลือบตามองคมดาบที่พาดไหล่ของเธอ เจ้าตัวสั่นสะท้านเล็กน้อย น้ำตาร่วงหล่นลงกับผืนทราย
‘มันจบแล้ว ทั้งๆ ที่ในที่สุดฉันก็หนีออกมาได้แล้วแท้ๆ แถมยังโชคดีพบกับแสงแห่งความหวัง แต่สุดท้ายตอนจบก็ยังสิ้นหวังอยู่ดี’
วัยรุ่นสาวร่ำไห้ “ฉันก็แค่…ต้องการไพ่บนตัวนาย”
ไพ่?
กู่ฉิงซานนิ่งค้างไป ขบคิดเล็กน้อย
แล้วเขาก็หยิบไพ่ใบหนึ่งออกมา
มันเป็นไพ่สีแดงเลือด บนหน้าไพ่เป็นรูปของมอนสเตอร์สูงตระหง่านราวกับขุนเขา สองตาของมันหรี่แคบเป็นแนวตั้ง พร้อมด้วยคู่ปีกสีเทาที่หุบอยู่ตรงแผ่นหลัง
เบื้องหลังของมอนสเตอร์ คือดงมอนสเตอร์ ที่มากมายจนมิอาจนับจำนวนได้
พวกมันทั้งหมดยืนเรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อย จัดเรียงกลุ่มกองแบ่งกันเป็นสี่เหลี่ยม ทุกตนถืออาวุธในมือ และต่างเผยเจตนาฆ่าออกมา
ไพ่สงคราม เทพแห่งกองทัพทะเลเลือด
เมื่อถือไพ่ใบนี้ บรรทัดแสงหิ่งห้อยก็ปรากฏขึ้นในสายตาของกู่ฉิงซาน
“ไพ่สงคราม เทพแห่งกองทัพทะเลเลือด”
“คุณเป็นเจ้าของไพ่ใบนี้”
“ด้วยเหตุผลบางประการ เทพแห่งกองทัพทะเลเลือดได้ทำสัญญากับคุณ และเขาจะเชื่อฟังในทุกๆ การเรียกขานและคำสั่งของคุณ”
นี่คือไพ่ที่ซูเซี่ยเอ๋อมอบมันให้แก่เขา โดยบอกว่าเป็นการแลกกันกับไพ่พยากรณ์โชคชะตา
ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวว่าไพ่ใบนี้เป็นหลักประกันว่าเธอจะหยิบยืมไพ่พยากรณ์โชคชะตาไปชั่วคราว และจะนำมันกลับมาคืนให้แก่เขาอย่างแน่นอน
นี่เป็นหนึ่งในวิธีที่ซูเซี่ยเอ๋อคิดช่วยป้องกันภัยแก่กู่ฉิงซาน
เธอกลัวว่ากู่ฉิงซานจะยังต้องเผชิญกับอันตราย ดังนั้นก่อนที่เธอจะจากไป ซูเซี่ยเอ๋อจึงตัดสินใจมอบไพ่ที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเธอเองให้แก่เขา และบังคับเขาลงนามทำสัญญากับทะเลเลือด
“เธอต้องการไพ่ใบนี้ใช่หรือเปล่า?” กู่ฉิงซานถาม พลางยื่นอีกมือหนึ่งที่กุมไพ่ออกไปเบื้องหน้าวัยรุ่นสาว
“อ๊า ใบนี้แหละ!”
วัยรุ่นสาวจ้องมองไพ่ทะเลเลือด ดวงตาของเธอเปล่งประกายสดใส คล้ายลืมเลือนไปแล้วว่ามีคมดาบกำลังจ่อคอยของเธออยู่
“เธอต้องการใช้เจ้าสิ่งนี้ทำอะไร?”
“ขอสารภาพตามตรงว่าฉันแอบหนีออกมา”
“หา?”
วัยรุ่นสาวกล่าวด้วยความท้อแท้ “ฉันถูกกักขังไว้โดยบุคคลที่แสนจะน่าหวาดกลัว เขาทุ่มพยายามอย่างสุดแสนที่จะให้ฉันยอมจำนนต่อเขา ต้องการให้ฉันรับใช้เขา แต่เนื่องจากข้อจำกัดบางประการ ทำให้เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ขณะเดียวกัน ตัวฉันเองก็ไม่สามารถทำลายโซ่ตรวนที่เขาวางไว้ในร่างกายของฉันได้เช่นกัน”
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “แต่เธอเป็นผู้ใช้ไพ่ที่ร้ายกาจมากเลยนะ ฉันเห็นกับตาว่าเธอยังไม่ได้ลงมือเต็มกำลังด้วยซ้ำ เธอไม่สามารถใช้ไพ่พวกนั้นโค่นเขาลงได้เลยหรือ?”
“เฮ้อ ในช่วงที่ฉันหลับใหล เขาได้ใช้ไพ่ที่ทรงพลังที่สุดกักขัง ตีตรวนฉันเอาไว้ ด้วยเหตุนี้เอง ตามกฎเกณฑ์ของไพ่ หากฉันทำร้ายเขา ทั้งหมดจะล้มเหลวทันที”
“แล้วไพ่ในมือของฉันสามารถช่วยเธอทำลายโซ่ตรวนที่คอยกักขังไว้ได้หรือเปล่า?” กู่ฉิงซานถาม
วัยรุ่นสาวแหงนมองกู่ฉิงซาน เผยสีหน้าอ้อนวอน “ใช่ ท่ามกลางสำรับไพ่นับไม่ถ้วน ทะเลเลือดเป็นสำรับไพ่ที่พิเศษออกไป ตราบใดที่ฉันครอบครองไพ่ทะเลเลือด ฉันก็จะสามารถเรียกพลังของทะเลเลือดออกมาต่อกรกับเขาได้ หากเป็นในกรณีที่ฉันอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์แห่งไพ่ ฉันอาจจะหนีรอดไปได้ก็ได้”
กู่ฉิงซานเดิมทีกำลังจะกล่าวต่อ แต่บางคำในประโยคเมื่อครู่มันสะกิดใจเขาจนชะงักไป
เพราะนั่นมันเป็นเรื่องน่าตกใจจนถึงขั้นทำให้สีหน้าของเขาต้องแปรเปลี่ยน
เขาสูญสิ้นเสียงของตัวเอง “เดี๋ยวก่อนนะ นี่เธอเองก็เป็นไพ่หรือ?”
วัยรุ่นสาวเมื่อเห็นการแสดงออกที่อึ้งทึ่งของกู่ฉิงซาน เจ้าตัวก็เชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ใช่ จริงๆ แล้วฉันเป็นไพ่ ก่อนหน้านี้ฉันหลับใหลไปนาน ไม่อย่างนั้นนายคิดหรือว่าฉันจะยอมให้เขาใช้ทุกชนิดของกฎเกณฑ์มาล่ามฉันเอาไว้แบบนี้”
กู่ฉิงซานลูบหน้าผากเขา พยายามบังคับให้ตัวเองสงบลง
เขาเพิ่งจะเข้ามาในเมืองเป็นครั้งแรก รับภารกิจจากศูนย์แรงงาน ออกมาจากเมือง แล้วก็ดันถูกปล้นโดยอีกฝ่าย
ไม่ เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
สิ่งสำคัญก็คือ…
“เธอรู้หรือเปล่า ว่านอกจากการปล้นแล้ว มันยังมีวิธีสันติ ที่จะสามารถได้รับสิ่งของจากผู้อื่นอยู่อีกนะ” เขาถาม
“นายกำลังหมายถึงทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนใช่หรือเปล่า?”
วัยรุ่นสาวมองเขาด้วยความเสียใจ ก้มหัวลง กล่าวตะกุกตะกัก “แต่ฉันคงไม่ใช่ไพ่อย่างที่นายคิดหรอก…”
กู่ฉิงซานนิ่งไปสักพัก เพื่อพยายามทำความเข้าใจถึงความหมายของอีกฝ่าย
และแล้วเขาก็ตะโกนด้วยความโกรธ “ไพ่แบบไหนกันที่ฉันคิด? นี่เธอจินตนาการเลยเถิดไปถึงไหน!”
“ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่านายพูดเรื่องการแลกเปลี่ยนออกมา ในหัวคงกำลังคิดอยู่แต่เรื่องหื่นกามล่ะสิ!” วัยรุ่นสาวโต้ตอบ
กู่ฉิงซานถูกตอกกลับด้วยประโยคนี้ ก็สตั้นไป
เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะควบคุมอารมณ์ตนเอง ไม่ให้ตวัดดาบ ฟันคอของวัยรุ่นสาว
เขาสูดลมหายใจเข้า หายใจออก อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง จนในที่สุดก็สงบสติอารมณ์ลงได้
“ฉันหมายถึงการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมต่อกันและกัน ไม่ใช่การบังคับขืนใจอีกฝ่าย” เขาเอ่ยปากในท้ายที่สุด
“เอ๊ะ? นั่นมันหมายความว่าอย่างไร?”
วัยรุ่นสาวนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง เมื่อไม่ได้คำตอบ เธอก็เอื้อมมือไปคว้าพจนานุกรมจากด้านหลัง เปิดมัน ไล่หาคำที่กู่ฉิงซานพูด “ขอโทษที พอดีฉันไม่คุ้นเคยกับศัพท์อะไรแบบนี้ ฉันตรวจสอบความหมายดูแล้ว ความหมายของการแลกเปลี่ยนมันตรงตามที่นายบอกจริงๆ”
“ฉะนั้น ถ้าฉันต้องการไพ่ในมือนาย แล้วนายต้องการแลกเปลี่ยนอะไรจากฉัน?” วัยรุ่นสาวถาม
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ “ฉันต้องการเธอ”
วัยรุ่นสาวยกมือขึ้นทาบอก “นั่นไง นายมันหื่นกามจริงๆ ด้วย”
“ไม่ต้องฟังจบก็รู้แล้ว ฉันเดาใจจริงของนายออกหรอก!” วัยรุ่นสาวถลึงตาใส่เขา
เส้นเอ็นแห่งความโกรธเกรี้ยวเริ่มผุดขึ้นมาตามใบหน้าและแขนของกู่ฉิงซาน เขาแทบอดใจไม่ไหวที่จะเหวี่ยงดาบออกไป
“ฟังให้จบ ฉันต้องการเธอ ให้เธอช่วยรักษาใครสักคนหนึ่ง แต่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเธอมีความสามารถในการรักษาหรือเปล่า” เขารีบพูดให้มันจบๆ ไปในลมหายใจเดียว
“อ้าว เป็นแบบนั้นเองหรือ?” วัยรุ่นสาวอุทาน
“ก็ใช่ไง หรือเธอคิดว่ามันเป็นอะไรล่ะ!”
ราชินีแมงป่องอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เอ่ยพึมพำเบาๆ “ดูเหมือนว่าการตอบรับคำอัญเชิญในครั้งนี้จะไม่สูญเปล่าแล้ว…”
วัยรุ่นสาว “ฉันมีไพ่รักษาอยู่ไม่น้อยเลย มันสามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บต่างๆ ได้นี่ไม่น่าจะมีปัญหา”
“แล้วถ้ามันเป็นบาดแผลที่แม้กระทั่งเทพวิญญาณก็ยังไม่มีวิธีรักษาล่ะ เธอจะสามารถรักษามันได้ไหม?” กู่ฉิงซานถาม
“ในกรณีนั้นฉันคงต้องไปดูมันด้วยตัวเอง ตอนนี้คงไม่สามารถรับประกันได้” วัยรุ่นสาวกล่าวจริงจัง
กู่ฉิงซานพยักหน้า
เนื่องจากอีกฝ่ายแสดงออกอย่างจริงจัง ฉะนั้นมันจึงมีค่าพอให้เขาเชื่อใจ
ตรงกันข้าม ถ้าวัยรุ่นสาวอวดโอ่ด้วยความภาคภูมิใจ เขาคงเลือกที่จะไม่เชื่อเธอ
ทว่าโดยไม่ทันคาดคิด จู่ๆสีหน้าของวัยรุ่นสาวก็เปลี่ยนไป “แย่แล้ว! เขากำลังจะจับฉันกลับไป!”
เห็นแค่เพียงโซ่หนามสีดำผุดออกมา รัดตรึงกายเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา
“นี่น่ะหรือคือโซ่ที่ใช้กักขังเธอ?” กู่ฉิงซานถาม สายตากวาดมองโซ่ตรวน
“ใช่ อนิจจา ฉันคงไม่สามารถทำตามข้อตกลงของพวกเราได้แล้ว” วัยรุ่นสาวกล่าวอย่างเศร้าๆ
โซ่ดำเริ่มฉุดลากเธอขึ้นไปบนท้องฟ้า ตรงไปยังทิศทางหนึ่ง
กู่ฉิงซานเงียบงันไปครู่
‘ชีวิตของหยุนจีกำลังตกอยู่ในอันตราย’
‘หากพลาดโอกาสนี้ไป ฉันคงจำเป็นต้องเสียทั้งแรงและเวลา เพื่อที่จะได้รับเงินมา ไหนจะยังต้องควานหาวิธีการรักษาที่ถูกต้องอีก’
‘ถึงเวลานั้นมันคงจะสายเกินไปแล้ว’
วินาทีนั้นดวงตาของกู่ฉิงซานพลันสาดประกายคมกล้า
ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาโบยบินขึ้นไปบนฟากฟ้าทันใด
แสงดาราเปล่งประกายออกมาจากดาบยาว ราวกับดาวตกร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า ลอยตรงไปยังทิศทางวัยรุ่นสาว
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!
แสงดาวเจิดจรัสกลายเป็น เส้นแสงเล็กๆ ตัดไปยังจุดที่โซ่ทมิฬรัดพันตัววัยรุ่นสาว
พลังศักดิ์สิทธิ์ แหกกฎ!
โซ่หนามสีดำพลันแตกกระจาย แต่เดิมที่เคยรัดพันจนแน่นคลายออก ร่วงหล่นหายไป
ดาบยาวกะพริบไหว บินกลับมาข้างกายกู่ฉิงซาน
สีหน้าของวัยรุ่นสาวแสดงออกถึงความสุข แต่สักพักมันก็เปลี่ยนเป็นหวาดกลัวอย่างรวดเร็ว
เธอตะโกนไปทางกู่ฉิงซาน “เขากำลังจะมาแล้ว พวกเราจะต้องรีบหนีทันที!”
ร่างของกู่ฉิงซานวูบไหว พริบตาเดียวก็โผล่มาคว้าจับเธอกลางอากาศ
“ถ้าเธอไม่อยากจะถูกจับ ก็รีบเปลี่ยนเป็นไพ่เดี๋ยวนี้!”
เขาสั่งเพียงสั้นๆ
ในเวลานี้ วัยรุ่นสาวกลายเป็นหลักแหลม เธอเปลี่ยนร่างตนเป็นไพ่โดยตรง
กู่ฉิงซานคว้าไพ่ เก็บมันใส่ถุงสัมภาระ
เขากวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปให้ไกลที่สุด และใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว
พริบตานั้นเขาก็หายไปจากบนฟ้า และปรากฏขึ้นอีกครั้งในขอบฟ้าไกล ห่างออกไปหลายร้อยลี้
กู่ฉิงซานไม่กล้าจะชะล่าใจ และเขาไม่สนเลยว่าจะต้องเสียพลังวิญญาณไปเท่าไหร่ ตนเริ่มใช้ออกด้วยร่นระยะอีกครั้ง!
ชั่วพริบตา ร่างเขาก็ไกลห่างออกไปอีกที
หนึ่งลมหายใจ
สองลมหายใจ
สามลมหายใจ
และแล้ว ณ ในจุดที่ทั้งสองเพิ่งจะต่อสู้กัน
ก็ปรากฏถึงเส้นแสงสีดำหยดย้อยลงมาจากผืนฟ้า ..
…………………………………
กู่ฉิงซานตะลึงงันไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบสนองต่อคำกล่าวของอีกฝ่าย
เขาเหยียดมือ คว้าจับอากาศที่ว่างเปล่า เรียกธนูเย่หยูออกมา
ช่วงเวลานี้ มันก็ล่วงเลยมาจนถึงกลางดึกแล้ว สายลมพัดฝุ่นและเม็ดทรายขึ้นไปบนฟากฟ้า กระจายออกไป เผยให้เห็นถึงดวงจันทร์เปล่าเปลี่ยว สาดแสงลงมาจากเบื้องบน
กู่ฉิงซานยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ เจตนาฆ่าจากทั้งคนทั้งร่างเริ่มฟุ้งขึ้นมาหลายส่วน
ตามปกติ หากมีคนมากล้ามาพูดกับเขาแบบนี้ เขาคงจะลงมือเชือดมันไปแล้ว
แต่ขณะนี้ กู่ฉิงซานยังคงพยายามควบคุมอารมณ์ของเขาอย่างถึงที่สุด ยังไม่ลงมือออกไป
เพราะท้ายที่สุดนี้ เขาน่ะเป็นทหารที่ข้ามผ่านการสงครามมาแล้วมากมาย แต่ตรงกันข้าม มองย้อนกลับไป ทั้งสามเบื้องหน้าเป็นเพียงหน้าใหม่ แถมยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ
อีกอย่าง ตลอดระยะเวลาที่ร่วมทางกันมา ทั้งสามก็ประพฤติตัวอย่างสุภาพและจริงใจต่อเขา
บางครั้งทั้งสามก็ใส่ใจ และแสดงออกถึงความเคารพต่อกู่ฉิงซาน
แต่ทำไมตอนนี้…ถึงได้คิดมาปล้นเขาล่ะ?
เป็นเรื่องที่หาได้ยากนัก ที่กู่ฉิงซานจะเกิดความรู้สึกสับสน เหมือนกันกับในสถานการณ์ปัจจุบันนี้
เขายิ้มและเอ่ยถาม “โทษที ฉันได้ยินผิดไปหรือเปล่า เมื่อกี้เธอพูดว่า…ปล้น?”
วัยรุ่นสาวพยักหน้า “ไม่ผิดนะ นี่คือการปล้น”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเข้าใจความหมายของเธอ วัยรุ่นสาวก็ดูจะโล่งใจเล็กน้อย
กู่ฉิงซานมองเธอ แล้วสลับไปมองเพื่อนเธออย่างรวดเร็ว
เขาพบว่าวัยรุ่นชายสองคนได้ย้ายออกจากจุดเดิม เบี่ยงซ้าย เบี่ยงขวา เข้าขนาบเขาให้อยู่กลางวงล้อม
ดูเหมือนว่า…
คงคิดจะปล้นจริงๆ
นิ้วเรียวของกู่ฉิงซานลูบไล้ไปตามคันธนูเย่หยู ก่อนจะนิ่งงันไม่ไหวติง
เขาพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองอีกครั้ง
วัยรุ่นสาวที่อยู่เบื้องหน้าเขา สีหน้าของเธอฉายแววไร้เดียงสา ดวงตาเปล่งประกายสดใส วิธีการพูดก็ดูขี้อายและจริงใจ ชายกระโปรงยาวของเธอโบกไสวไปกับสายลมยามค่ำคืน โดยรวมแล้วดูราวกับเทพธิดาที่จุติลงมาบนโลกใบนี้
เมื่อต้องเผชิญกับฉากน่าประทับใจดังกล่าว กู่ฉิงซานจึงรู้สึกลังเลเล็กน้อยที่จะลงมือ
เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เธอคิดจะปล้นฉัน แล้วรู้หรือเปล่าว่าการปล้นมันหมายความว่าอย่างไร?”
วัยรุ่นสาวชะงักงัน
“อ่า…คือว่า…”
เธอเอื้อมไปด้านหลัง รีบฉวยหยิบพจนานุกรมมา แล้วพลิกหน้ากระดาษมันอยู่นานสองนาน ก่อนจะพบกับคำที่ต้องก่อน
ปากเปล่งเสียงกระซิบท่ามกลางแสงจันทร์ “การปล้น หมายถึงการที่หมากของฝ่ายหนึ่ง ล้อมรอบอีกฝั่งหนึ่งได้ และฝั่งที่ชนะจะได้กินหมากของอีกฝั่ง คิดว่าไม่น่าจะใช่ความหมายนี้ ขอโทษที ขอหาอีกรอบนะ”
เธอมองกู่ฉิงซาน ก้มหัวขอโทษ และเริ่มค้นหาต่อไป
กู่ฉิงซานยืนถือธนูเย่หยู เฝ้ารอวัยรุ่นสาวค้นหาคำตอบอย่างเงียบๆ
หากจะต้องเจอศัตรูที่ร้ายกาจ กระโจนเข้าสู่อันตราย ฟาดฟันต่อสู้อย่างหนักหนาสาหัส กู่ฉิงซานจะไม่หวั่นเลย
…แต่ถ้าต้องมาสู้กับคนที่ใสซื่อแบบนี้
กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างลับๆ
หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง
ในที่สุดวัยรุ่นสาวก็ยืดอกขึ้น เปล่งเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ “การปล้น หมายถึงการหยุดอีกฝ่าย แล้วขโมยทรัพย์สินของเขามาเป็นของตัวเอง”
ว่าจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองแสงจันทร์บนท้องฟ้า ทั้งคนทั้งร่างเริ่มวิตกกังวล
“อา เวลาใกล้จะหมดลงแล้ว”
แล้วจู่ๆ เธอก็ตะโกนออกมา “เทคนิคต้องห้าม!”
ขนาบข้างกับกู่ฉิงซาน หนึ่งในสองวัยรุ่นชายพลันแปรเปลี่ยนเป็นกระแสแสง บินกลับเข้ามาในมือของเธอ
เขาได้กลายเป็นไพ่ไปแล้ว!
วัยรุ่นสาวเผชิญหน้ากับกู่ฉิงซาน จากนั้นพลิกไพ่นี้เข้าหาเขาและกล่าว “เทคนิคต้องห้ามอาวุธ คันธนูและลูกศร!”
กู่ฉิงซานยังไม่ทันจะได้ตอบสนอง ธนูเย่หยูก็หายวับไปจากมืออย่างกะทันหัน
ธนูเย่หยูและถุงใส่ลูกศรของเขา ทั้งหมดหายไป และปรากฏขึ้นภายในไพ่ของวัยรุ่นสาว บนมือของวัยรุ่นชายที่อยู่ภายใน
วัยรุ่นสาวกล่าวเสียงเย็น “ตอนนี้การโจมตีของนายก็ได้ถูกผนึกเอาไว้แล้ว ดังนั้นส่งมอบอย่างบางที่เก็บเอาไว้ออกมาซะ”
กู่ฉิงซานหาได้ตื่นตระหนกไม่ เขาหัวเราะ “แล้วถ้าฉันไม่ให้ล่ะ?”
พริบตานั้น เขาพลันหันขวับ เหวี่ยงกำปั้นหวดเข้าใส่เบื้องหลัง
สกิลเทวะ สวรรค์ล่มสลาย!
ปัง!
ด้วยหมัดนี้ของเขา วัยรุ่นชายอีกคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ถูกคลื่นอัดอากาศซัดเปรี้ยง!เข้าใส่ ลอยคว้านขึ้นไปในอากาศ
สีหน้าของวัยรุ่นสาวแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “จริงๆ แล้วยังมีความสามารถด้านเพลงหมัดด้วยสินะ ถ้าอย่างนั้นก็ต้อง”
เธอจั่วไพ่ออกมาจากในความว่างเปล่า
บนหน้าไพ่ ปรากฏภาพของวัยรุ่นชายที่เพิ่งกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้าเมื่อครู่
กลับกลายเป็นว่าวัยรุ่นชายทั้งสองคน แท้จริงแล้วเป็นไพ่ของเธอทั้งหมด!
วัยรุ่นสาวถือไพ่ใบนี้ ขณะที่อีกมือหนึ่งจั่วไพ่ชุดเกราะออกมาจากในความว่างเปล่า
ภายในไพ่ชุดเกราะ ประกอบไปด้วยเกราะไหล่ เกราะหน้า เกราะหัว เกราะแขน เกราะขา…
เธอสะบัดไพ่เบาๆ เรียกพวกมันออกมา ทันใดนั้นวัยรุ่นชายทั้งในไพ่และนอกไพ่ก็พลันถูกสวมทับไปด้วยชุดเกราะ
หากได้รับอุปกรณ์เสริมเหล่านี้ วัยรุ่นชายก็ไม่จำเป็นต้องมาคอยกังวลเกี่ยวกับเรื่องถูกโจมตีด้วยเพลงหมัดอีกต่อไป
และขณะเดียวกัน ก็สามารถทุ่มเทสมาธิ เน้นไปยังการโจมตีให้หนักหน่วงขึ้น!
“มันจบแล้ว นายไม่สามารถชนะฉันได้หรอก ได้โปรดมอบสิ่งที่นายมีมาเถอะ!” วัยรุ่นสาวตะโกน
แต่กู่ฉิงซานมิได้เอ่ยสิ่งใด
จู่ๆ เจ้าตัวก็คว้ากระบี่ยาวออกมา จ้วงแทงราวกับพายุไปถึงยี่สิบสี่กระบี่ บีบบังคับให้วัยรุ่นชายที่สวมใส่เกราะรบเต็มตัวต้องล่าถอยออกไป
ขณะเดียวกันก็ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้ ตบลงในถุงสัมภาระตน
ชุดเกราะนายพลชั้นเฉินเว่ยถูกเรียกออกมา มันแยกกระจัดกระจาย และประกอบติดไปตามส่วนร่างกายต่างๆ ของกู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว
เขาปิดใบหน้าด้วยหน้ากากทองคำ จ้องมองไปทางวัยรุ่นสาวและกล่าว “มาลองกันอีกครั้ง”
วัยรุ่นสาวพอเห็นก็กัดฟันกรอด เธอหยิบดาบสั้นของตัวเองออกมา วางมันลงในไพ่ของวัยรุ่นชาย
พริบตานั้นในมือของวัยรุ่นชายปรากฏดาบสั้นขึ้นมาทันที
เขาตั้งหลัก ปราดเข้าหากู่ฉิงซานอีกครั้งพร้อมกันกับฟาดคมดาบที่สาดประกายแสงสีหมึกเข้าใส่กู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว
เพราะที่กำลังเผชิญ มันคือพลังจากหนึ่งในห้าธาตุจำเพาะ ที่ประกอบไปด้วย ลม สายฟ้า แสง ความมืด และเสียง
สกิลดาบสั้นประเภทนี้ กล่าวได้ว่าเป็นสกิลดาบสั้นระดับสูง เป็นสกิลดาบสั้นที่ใช้จิตวิญญาณธาตุความมืด ผสานเข้าไปในกระบวนท่าดาบ
ไม่คาดคิดเลยว่าแค่ไพ่ แต่กลับสามารถทำได้ถึงขนาดนี้!
อย่างไรก็ตาม กว่าจะคิดได้ว่าสมควรจะหยิบยื่นดาบสั้นมาช่วยสู้ มันก็สายเกินไปแล้ว! พริบตานั้นเอง ประกายแสงสีน้ำเงินพลันถูกจุดขึ้น
กู่ฉิงซานพรวดออกมาข้างหน้า
บนใบมีดของกระบี่จักรพรรดิศพ สาดประกายแสงสีน้ำเงินซ้อนทับกันอย่างรุนแรง
สองคมเหล็กกล้าปะทะเข้าหากัน
ตูม!
พลังธาตุทั้งสอง หนึ่งน้ำเงินหนึ่งดำ สาดแสงและเงาออกมาอย่างต่อเนื่อง กระจัดกระจายไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก
กู่ฉิงซานก้าวถอยหลัง เอ่ยปากออกมาอย่างจงใจ “ต้องการบางสิ่งจากฉันหรือ? ถ้าเช่นนั้นเธอคงมีทางเดียวแล้วล่ะ นั่นคือต้องฆ่าฉันซะก่อน แล้วค่อยชิงมันไป!”
วัยรุ่นสาวส่ายมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “แบบนั้นไม่ได้นะ! ฉันไม่อยากจะฆ่าคุณ เพราะคุณเป็นคนดี!”
กู่ฉิงซานสตั้นไป เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัว
ข้อสรุปของเขา มันไม่ผิดพลาดจริงๆ
อีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาที่จะฆ่าเลย
แล้วถ้าอย่างนั้น ไอ้การต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้นนี่มันคือเรื่องบ้าอะไรกัน?
วัยรุ่นสาวเผยท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องใช้ความแข็งแกร่งที่มากกว่า บังคับให้เขาจำนนแต่โดยดีซะแล้ว” เธอพึมพำกับตัวเอง
ระหว่างกล่าว ไพ่ใบหนึ่งก็ถูกจั่วขึ้นมา
ไพ่ใบนี้แตกต่างจากไพ่ก่อนหน้า
ไพ่ก่อนหน้าที่เธอจั่วขึ้น บริเวณส่วนหลังและขอบไพ่มันมีสีดำ ทว่าไพ่ใบล่าสุดกลับมีสีแดงเข้ม
ส่วนหน้าไพ่ มันฉายไปด้วยแสงสีแดงแพรวพราว
ส่งผลให้ไม่สามารถมองเห็นถึงสิ่งที่อยู่บนไพ่ได้อย่างชัดเจน
“หอกปีศาจแดงจงปรากฏ” วัยรุ่นสาวเปล่งเสียงกระซิบ
มืออีกข้างของเธอเหวี่ยงไปจั่วไพ่อีกใบออกมาอย่างรวดเร็ว และโยนมันออกไป
“ราชินีปีศาจแมงป่องจากหุบเหวแห่งบาปเอ๋ย จงปรากฏกายเพื่อช่วยเหลือเรา!”
ปัง!
ไพ่ระเบิดฟุ้ง กลายเป็นเขม่าควัน
พร้อมกันกับผู้หญิงที่มีรูปลักษณ์เป็นแมงป่อง ปรากฏกายขึ้นในทะเลทราย
ทั้งร่างของเธอสาดประกายเย็นเยียบและมืดมน โดยมีโล่เล็กๆ ที่ดูประณีตอยู่ในมือของเธอ
“ไม่คิดเลยว่าจะมีคนที่สามารถอัญเชิญข้ามาได้…”
ในเวลาเดียวกัน วัยรุ่นสาวก็โยนไพ่สีแดงเข้มออกไป
ราชินีปีศาจแมงป่องยืนมือออกไปรับ
ทันใดนั้นหอกยาวที่สาดแสงสีแดงเข้มอันไร้ที่สิ้นสุดก็ปรากฏขึ้นในมือของเธอ
เธอยกโล่ขึ้น วางหอกประทับลงเหนือมัน หมุนควงหอกกระทบกับโล่ส่งเสียงกึ้งๆๆ ข่มขวัญอย่างต่อเนื่อง แล้วค่อยๆตรงเข้าหากู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานมองไปที่หอกยาว สีหน้าของเขาเริ่มจะหนักอึ้งขึ้น
จากหอกยาว เขาสามารถสัมผัสได้ถึงคมกล้าอันหาที่เปรียบไม่ได้ของมัน
เขายกกระบี่จักรพรรดิศพขึ้น
แต่วัยรุ่นสาวก็ฉวยโอกาสผนึกอีกครั้ง
เธอหยิบไพ่ใบแรกออกมา แล้วเล็งไปทางกู่ฉิงซาน
“เทคนิคต้องห้าม อาวุธกระบี่”
ทันใดนั้นเอง กระบี่ยาวในมือของกู่ฉิงซานก็หายวับ ไปปรากฏอยู่ภายในไพ่
บัดนี้ภายในไพ่ ปรากฏภาพของวัยรุ่นชายที่หนึ่งมือถือธนู อีกหนึ่งมือถือกระบี่ และสะพายถุงเก็บลูกศรเอาไว้เบื้องหลัง
ณ จุดนี้ ธนูและกระบี่ของกู่ฉิงซานได้ถูกผนึกไว้ในไพ่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นว่าราชินีแมงป่องกำลังใกล้เข้ามา กู่ฉิงซานก็ดีดตัวถอยหลังไป
สัญชาตญาณของเขาร้องเตือนว่าให้ระวังหอกปีศาจแดงเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่กล้าพอที่จะรับมันด้วยมือเปล่า
“น้องชาย อย่าหนีเลยดีกว่าน่า” ราชินีปีศาจแมงป่องหัวเราะคิกคัก
แล้วเธอก็เร่งความเร็วขึ้น
หลังจากนั้นสองลมหายใจ กู่ฉิงซานก็ไม่อาจหลบเลี่ยงเธอได้อีกต่อไป
กู่ฉิงซานพยายามยืดเวลาให้นานที่สุด หนึ่งมือยื่นออก จีบด้วยวิชาลับ พร้อมกันกับพลังสายฟ้าจากทั้งคนทั้งร่างถ่ายเทไปยังมัน
ปรากฏสามหลุมดำผุดขึ้นเบื้องหน้าเขา
เปรี้ยง!
สายฟ้าสีน้ำเงินเข้มวิ่งแยกออกเป็นสามกลุ่มก้อน มันพรวดออกปะทะเข้าใส่ราชินีแมงป่องโดยตรง
สายฟ้าโกลาหล!
ราชินีแมงป่องหยุดฝีเท้าของเธอทันที และยกโล่ในมือขึ้นปัดป้อง
สามกลุ่มก้อนสายฟ้าปะทะกับโล่เล็ก กระจัดกระจายหายไปในทันใด
ห่างออกไปหลายร้อยเมตรจากทั้งสอง สามกลุ่มสายฟ้าปรากฏขึ้นอีกครั้ง และปะทะเข้ากับผืนทราย
ตูม!
ภายใต้แสงจันทร์อันหนาวเหน็บ เม็ดทรายระเบิดพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า ปลิวว่อนไปทั่ว
กู่ฉิงซานดีดตัวถอยอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่าง
กู่ฉิงซานหันขวับ! เงยหน้าขึ้นอย่างแรง
เห็นแค่เพียงวัยรุ่นชายที่ถูกซัดปลิวไปก่อนหน้านี้ กำลังโฉบลงมา พร้อมกับฟาดดาบสั้น โถมเข้าใส่เขา
วัยรุ่นชายเฝ้ารอคอยมานานแล้ว และในที่สุดเขาก็สามารถคว้าจังหวะพลั้งเผลอของอีกฝ่ายได้เสียที
ในช่วยเวลานี้ เบื้องล่างของวัยรุ่นชาย ศัตรูของเขาเพิ่งจะจบการร่ายคาถา แถมยังมือเปล่า ดังนั้นย่อมไม่มีทางที่จะต่อต้านตนเองได้
“ถ้านายยังไม่อยากตาย ก็ยอมแพ้ซะ!”
วัยรุ่นชายตะโกน หวดฟาดคมดาบสั้นลงมา
เมื่อประโยคนี้จบลง เขาก็มาถึงเหนือหัวของกู่ฉิงซานแล้ว
ห้วงเวลาราวกับหยุดนิ่งไปเสี้ยวหนึ่ง ตามร่างกายของกู่ฉิงซาน พลันฟุ้งไปด้วยกลิ่นอายโบราณอย่างกะทันหัน
ร่างเขาวูบไหวเป็นเงา ปากอ้าคำรณสะบัดตัวขึ้นสู่ฟากฟ้า กระแทกโจมตีเข้าใส่วัยรุ่นชายอย่างแรง
วัยรุ่นชายเหวี่ยงดาบสั้นในมือตน ทว่าดาบดันกระดอนกลับคืนด้วยพลังที่มองไม่เห็นก่อนที่มันจะทันได้สัมผัสลงกับร่างของกู่ฉิงซาน
ขณะเดียวกัน จู่ๆ บนตัวของกู่ฉิงซานก็ปรากฏร่างเงาขึ้น มันเป็นร่างเงาของผู้หญิงที่บริเวณส่วนหัวเต็มไปด้วยงู แผ่กลิ่นอายอันยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามออกมา
ซัดเปรี้ยง!
บังเกิดเสียงดังหนักทึบ กังวานไปทั้งสี่ทิศ
สกิลเทวะ ตัดแบ่งขุนเขาไร้ตัวตน!
หลังจากการปะทะนี้ วัยรุ่นชายก็สลายกลายเป็นควันหายไปเลยโดยตรง
ขณะเดียวกัน ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานก็กลายรูปเป็นร่างคล้ายกับมังกรคลั่ง โผทะยาน แหวกเมฆหมอก เจาะผ่านขึ้นไปบนท้องฟ้ายามราตรี
………………………………….
ทันทีที่เข้ามาในเมือง หนังสือชำรุดเก่าๆ ก็ลอยมาปรากฏต่อหน้ากู่ฉิงซาน
มันจ้องมองกู่ฉิงซาน กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบห้าว “อันที่จริงแล้ว แขกผู้มีเกียรติทุกคนสามารถเข้าสู่ตลาดมืดได้เลยโดยตรง แต่เฉพาะเจ้าเท่านั้น เจ้าหน้าใหม่ ที่เราผู้ชราต้องเบี่ยงเบนความสนใจมา”
“อาวุโสมีเรื่องอะไรจะถามไถ่?” กู่ฉิงซานกล่าว
หนังสือเก่าแกว่งไปมาสองสามเที่ยวและกล่าว “นี่คืองานของข้า ฉะนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพจนเกินไป มาเถอะ มาเริ่มกันเลย”
มันกลั้วคอเพื่อจะเปล่งเสียงได้ชัดเจน “เป็นกลุ่มอิทธิพลใดที่เจ้าจากมา?”
“…ผมไม่ได้สังกัดกลุ่มไหนเลย”
“เราผู้ชรารู้แล้วนะว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่ทางเข้านั่น” หนังสือเก่ากล่าว “หมายความว่าเจ้ามิใช่เพียงไม่มีกลุ่มอิทธิพลคอยคุ้มหัว แต่ยังเป็นเจ้าหนุ่มที่แสนจะโชคร้ายอีกด้วย ช่างน่าสมเพชซะจริง”
“…”
“นี่หมายความว่าเจ้าเดินทางมายังตลาดมืดแห่งนี้เพียงลำพัง แล้วเจ้าใช้เหรียญอะไร พกเงินมาทั้งหมดเท่าไหร่กัน?”
“ผม…”
กู่ฉิงซานนิ่งงันไปชั่วคราว
ก็แล้วเขาจะไปมีเงินได้อย่างไร?
กล่องเก็บเงินเลขเจ็ดเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็ได้จ่ายมันเป็นค่าโดยสารยานอวกาศไปแล้ว
ตอนนี้เขาหมดตูด ไม่มีเงินเลย
ถึงตอนโยนเงินทิ้งมันจะรู้สึกยอดเยี่ยมมากเลยก็เถอะ แต่ตอนนี้ชักจะรู้สึกเสียใจขึ้นมาซะแล้ว
และดูท่าทีของหนังสือเล่มนี้ น่ากลัวว่าถ้าเขาบอกออกไปว่าไม่มีเงิน คงจะถูกมันไล่ตะเพิดไปแน่ๆ
กู่ฉิงซานเกาหัวและกล่าว “ผมใช้เหรียญเลขเจ็ดส่วนจำนวนก็…น่าจะซักกล่องเต็มกล่องเล็กๆ ใบหนึ่ง”
หนังสือเก่าถอนหายใจ ก่นด่าดูถูก “เหรียญเลขเจ็ด? เหอะ ตัวก็โต แต่กลับใช้แค่เหรียญระดับต่ำ ช่างน่าสมเพชจริงๆ”
“เพราะฉะนั้นผมเลยไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากมาที่ตลาดมืดแห่งนี้เพื่อแสวงหาโอกาส” กู่ฉิงซานพูดสนับสนุนความคิดอีกฝ่าย
หนังสือเก่า “เราผู้ชราจะแนะนำเคล็ดลับอะไรให้สักสองข้อนะ ก่อนอื่นเจ้าจงไปเดินสำรวจรอบเมือง แล้วหาซื้อสิ่งที่จำเป็น ใช้จ่ายเงินทั้งหมดที่เก็บเอาไว้ซะ”
“สอง จงตรงไปทางซ้ายมือราวๆ หกร้อยเมตร ที่นั่นมีศูนย์ส่งเสริมแรงงานประจำตลาดมืดของพวกเราอยู่ เจ้าสามารถรับภารกิจมาทำจากที่นั่นได้ แต่เราผู้ชราไม่เห็นด้วยกับการที่เจ้าต้องต่อสู้เพียงลำพัง เพราะโลกใบนี้มันกว้างใหญ่เกินไป และงานส่วนมาก ระหว่างกระบวนการมันมักจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า และพวกเราเองก็หวังว่าจะได้มืออาชีพที่สามารถดำเนินงานให้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
“ดังนั้น ถ้าเจ้าต้องการมีส่วนร่วมในการใช้แรงงานเพื่อแลกกับเงินค่าจ้าง การไปที่นั่นแล้วหาสมาชิกร่วมทีมสักสองสามคนจะเป็นอะไรที่ดีที่สุด จากนั้นก็รับภารกิจในแบบทีมจากทางตลาดมืดซะ”
กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ทำไมท่านถึงไม่ให้ผมรับภารกิจแบบเดี่ยวตั้งแต่แรกไปเลยล่ะ? ไหนบอกว่าต้องการคนที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นผมคนเดียวก็พอแล้วที่จะสามารถทำภารกิจต่างๆ ให้สำเร็จได้”
หนังสือเก่าถาม “เหอๆ ถ้าเจ้าเป็นผู้ทรงพลังจริง คงจะมีเงินดีๆ ติดตัว และไม่ต้องมาทำงานง่อยๆ รายได้ต่ำแบบนี้หรอก ถูกไหม?”
“…”
กู่ฉิงซานถูกหยุดไว้ด้วยประโยคเดียว
“มันไม่มีตัวตนที่ทรงพลังถึงขนาดนั้นอยู่ในเมืองแบบนี้หรอก” หนังสือเก่าอธิบาย “เว้นแต่เจ้าจะสามารถทำภารกิจของที่นี่ได้มากพอ ตรงตามเงื่อนไขของตลาดมืด ซึ่งงานพวกนั้นมันจะถูกสงวนไว้ให้กับมืออาชีพที่ทำภารกิจเพียงลำพัง แม้งานจะยาก แต่เงินที่ได้รับก็จะสูงเช่นกัน”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ “โอเค ขอบคุณมากจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะไปลองดู”
“ไปเถอะ แต่ตอนที่เราผู้ชราเห็นว่าเจ้าอ่านหนังสือแนะนำตั้งหลายเล่มตลอดเวลาที่ต่อแถวเข้าเมือง เลยอยากจะแนะนำอะไรสักหน่อย”
“เชิญชี้แนะ”
“จงอย่าไว้ใจใคร”
“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก”
กู่ฉิงซานหันกลับ และเดินตรงไปยังศูนย์แรงงานในตลาดมืด
ในเวลานี้ กู่ฉิงซานเริ่มมีความกังวลเล็กน้อย
หยุนจีกำลังอาศัยอำนาจเทวะจากผลึกน้ำแข็ง เพื่อรักษาชีวิตของเธอเอาไว้ชั่วคราว
ไม่รู้ว่าเธอจะตายลงเมื่อไหร่
ตนเองจึงต้องเข้าสู่ตลาดมืด เพื่อค้นหาวิธีรักษาเธอ
แต่ถึงจะเข้ามาได้ เขากลับมีสถานะเป็นแค่เพียงคนยากจนที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น
ตามความทรงจำของวังเฉิง ตลอดทั้งหมื่นโลกา สมบัติที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ก็มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญเงินได้เช่นกัน
แต่ที่พอจะรู้จักกันอย่างกว้างขวางก็มีแค่ศิลาวิญญาณ ทว่าศิลาวิญญาณของเขา มันไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะใช้แลกเปลี่ยนเป็นเหรียญเงินได้
แต่หากต้องการได้รับเงินมากพอ เขาสามารถนำกิ่งไม้สีดำไปขายได้ แต่น่าเสียดาย ที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้เป็นจำนวนเงินเท่าใด มันถึงจะสอดคล้อง ตรงตามการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม
กิ่งไม้สีดำนี้ได้ช่วยชีวิตตนเองจากหายนะโทษทัณฑ์ กู่ฉิงซานไม่มีความคิดที่จะสัมผัสมันด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นถ้ามันซ่อนลูกเล่นอะไรเอาไว้แล้วล่ะก็ หากเขาคิดเสียใจ มันคงจะสายเกินไปแล้ว
ขณะเดียวกัน หากไม่สัมผัสโดยตรง เขาก็จะไม่สามารถใช้พลังเพื่ออ่านคำอธิบายสิ่งของจากระบบเทพสงครามได้
ดังนั้น ในตอนนี้เขาจึงยังเป็นเพียงคนยากจน
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกครั้ง
เขามาถึงจุดนี้ได้อย่างไรกันนะ?
ระหว่างขบคิด ตนก็เดินเข้าไปยังศูนย์แรงงาน
ทุกอย่างที่นี่ค่อนข้างชัดเจนมาก ภารกิจทั้งหมดได้ถูกเขียนแล้วแปะเอาไว้บนผนังนอกศูนย์แรงงาน
กู่ฉิงซานเดินไปตรงส่วนแนะนำ กวาดสายตาอ่านมันอย่างละเอียด
ก็เหมือนกันกับที่หนังสือเก่าได้อธิบายเอาไว้ แต่เนื้อหามันกลับเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
และไม่มีภารกิจเดี่ยวเลย
ส่วนแบบทีมชั่วคราว สามารถรับได้แต่งานง่ายๆ เท่านั้น
ขณะที่ระดับภารกิจแบบทีมถาวร แน่นอนว่ายิ่งยาก รางวัลที่ได้ก็จะยิ่งเยอะ
อย่างไรก็ตาม ในฐานะหน้าใหม่ คุณจะต้องทำภารกิจแบบทีมชั่วคราวเสียก่อน จึงจะสามารถเข้าร่วมภารกิจแบบทีมถาวรได้
นี่นับว่าเป็นการทดสอบสำหรับหน้าใหม่
เพราะถ้าหากคุณไม่แม้จะสามารถบรรลุภารกิจง่ายๆ ของทีมชั่วคราวได้ ก็อย่าคิดฝันว่าจะได้รับภารกิจอื่น หรือกลับมาเสนอหน้าที่นี่อีก
กู่ฉิงซานกำลังอ่านรายละเอียดต่างๆ อยู่ ทันใดนั้นเอง เสียงเสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาในหูของเขา
“สวัสดี นายเป็นหน้าใหม่ใช่หรือเปล่า?”
เขาหันไปตามเสียง
เห็นแค่เพียงเด็กหนุ่มหล่อเหลา มองมาทางเขาด้วยรอยยิ้ม
“นายรู้ได้อย่างไรกัน?” กู่ฉิงซานถาม
“ก็เพราะนอกไปจากหน้าใหม่แล้ว มันไม่มีใครหรอกที่จะมายืนอ่านคำแนะนำภารกิจที่ศูนย์แรงงานแบบนี้” เด็กหนุ่มกล่าว
“แล้วอย่างไร มันเกี่ยวอะไรกับนาย?”
“ก็เกี่ยวนะ เพราะพวกเรากำลังหาคนเพื่อจัดตั้งทีมชั่วคราวอยู่ จะได้ไปทำภารกิจเพื่อแลกเงินรางวัลกัน”
“ทางนายมีอยู่กี่คน?”
“สาม”
“แค่สามก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกนายที่จะสามารถรับภารกิจแบบทีม”
“แต่ว่าพวกเราต้องการที่จะทำงานให้มันเต็มประสิทธิภาพและสูงยิ่งกว่านี้ไง พวกเราถึงได้อยากจะรับเพิ่มอีกคนหนึ่ง”
“จะทำภารกิจอะไร?”
“เก็บรวบรวมวัสดุชั้นผิวดินในตำแหน่งที่กำหนด”
กู่ฉิงซานมองไปยังผนังอีกด้านหนึ่ง
บริเวณผนังอีกด้าน เบื้องหน้ามันแออัดไปด้วยกลุ่มฝูงชนที่กำลังจ้องมอง เฝ้ารอภารกิจใหม่ๆ ที่จะแปะลงมาอยู่ตลอดเวลา
กู่ฉิงซานเหลือบมองผ่านคนเหล่านั้น
แล้วเขาก็สามารถค้นพบภารกิจเก็บรวบรวมชั้นผิวดินได้อย่างง่ายดาย
นี่ไม่เพียงเป็นภารกิจทีมชั่วคราว แต่ยังเป็นภารกิจที่ง่ายที่สุดอีกด้วย
มันเป็นภารกิจที่ไม่อันตราย หรือว่าต้องใช้ความพยายามมากมายอะไร
แต่ค่าตอบแทนก็น้อยมากเช่นกัน
ดังนั้น แม้ว่านี่จะเป็นภารกิจของทีมชั่วคราว แต่ก็ไม่มีทีมใดยินดีที่จะเสียเวลาทำภารกิจนี้
กู่ฉิงซานขบคิดเกี่ยวกับมัน และตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
…อืม ในเมื่อตัวเขาเพิ่งจะเริ่มทำภารกิจแรก ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นภารกิจนี้ก็ดีเหมือนกันนะ
เพราะอีกอย่าง ภารกิจทีมชั่วคราวมันยังสามารถช่วยให้เขาคุ้นเคยกับกระบวนการภารกิจได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ เขาก็จะมีคุณสมบัติได้เข้าร่วมทีมประจำ และสามารถใช้ความสามารถในการต่อสู้เพื่อค้นหาทีมที่มั่นใจว่าสามารถมีรับภารกิจที่ยากที่สุด และได้รับผลตอบแทนก้อนใหญ่ได้
ด้วยเงินนี้ เข้าก็จะสามารถเข้าสู่ตลาดมืดได้เร็วขึ้น
“แล้วเพื่อนคนอื่นๆ ของนายอยู่ที่ไหน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ชายหนุ่มหันกลับ โบกไม้โบกมือไปทางฝูงชน
ไม่นานนัก วัยรุ่นสาวสวยและชายหนุ่มที่ดูองอาจก็เดินเข้ามา
พวกเขาหยุดอยู่ต่อหน้ากู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานมองดูพวกเขา และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
‘นี่มันเด็กเกินไป’
น่ากลัวว่าวัยรุ่นสามคนนี้ จะไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากเท่าใด มิฉะนั้นพวกเขาคงจะไม่เลือกรับภารกิจที่ง่ายที่สุดแบบนี้หรอก
วัยรุ่นสองชายหนึ่งหญิงเหมือนจะเข้าใจความหมายที่สื่อออกมาผ่านทางสายตาของเขา
ชายหนุ่มอีกคนกล่าว “นายอย่ามาดูถูกพวกเราเชียวนะ พวกเราแข็งแกร่งจริงๆ แต่ภารกิจนี้มันต้องมีสี่คนถึงจะเร่งเวลาให้เร็วขึ้นได้ พวกเราเลยต้องการนาย”
“เออๆ ก็ได้ๆ ฉันเอาด้วย” กู่ฉิงซานตอบ
สองชายหญิงหนึ่งมองหน้ากันและกัน ในแววตาแสดงออกถึงความสุข
จากนั้นพวกเขาก็รีบพาตัวกู่ฉิงซานไปลงทะเบียนทีมชั่วคราวทันที และเลือกภารกิจที่จะรับ
ในไม่ช้า ทั้งสี่ก็ตระเตรียมสัมภาระจนเสร็จ
ในตอนแรกพวกเขาต้องการที่จะเช่าเรือเหาะราคาถูก แต่กู่ฉิงซานกลับชี้ให้เห็นว่า เงินตอบแทนของภารกิจนี้ มันได้ไม่คุ้มเสียกับการเช่าเรือเหาะ
กู่ฉิงซานจึงอธิบายไปว่าภารกิจนี้มีเวลาจำกัด และมันก็เขียนบอกอยู่ในใบภารกิจ ฉะนั้น สมควรรีบไปจัดการให้ลุล่วงก่อนจะดีกว่า ค่อยกลับมากิน!
ก่อนจะออกเดินทางวัยรุ่นสาวก็พบว่าดาบสั้นของเธอหายไป
หลายคนช่วยกันย้ำเตือนเธอว่าให้ลองนึกดูดีๆ และในที่สุดก็ค้นพบว่าดาบสั้นมันก็ถูกวางไว้ตรงต้นไม้ ข้างๆ กับเธอนั่นแหละ
ในระยะเวลาสั้นๆ สุดท้ายทั้งสี่ก็ออกจากเมืองมาได้ และมุ่งหน้าสู่ปลายทางของภารกิจ
กู่ฉิงซานรู้สึกเสียใจเล็กน้อยในเวลานี้ ที่ตัดสินใจเลือกมากับพวกวัยรุ่นเจ้าปัญหากลุ่มนี้
อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้รับภารกิจมาแล้ว ดังนั้นถ้ายอมแพ้จะกลางคัน เดี๋ยวเขาคงถูกตีตราว่าเป็นหน้าใหม่ที่ไม่มีความน่าเชื่อถืออีก
กู่ฉิงซานจึงเลือกไม่ออกจากทีม และดำเนินภารกิจต่อไป
จากนั้น หนึ่งในวัยรุ่นชายที่ดูองอาจก็เดินนำทุกคนไปได้ประมาณยี่สิบนาที กู่ฉิงซานจึงตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
เขาขอให้ทุกคนหยุดก่อน จากนั้นก็เริ่มวิเคราะห์แผนที่อย่างรอบคอบ และพบว่าพวกตนเดินไปอีกทิศทางหนึ่ง ที่ผิดไปจากปลายทางจริงๆ
ต่อมา ทุกคนจึงเห็นพ้องต้องกันว่ากู่าฉิงซานสมควรจะเป็นผู้นำทีม
และในที่สุดก็มาถึงบริเวณเก็บสะสมพื้นผิวดินสักที
โชคดีจริงๆที่มันเป็นงานง่ายๆ
ศูนย์แรงงานได้มอบไพ่จัดเก็บวัสดุสี่ใบให้แก่พวกเขา แบ่งให้ถือคนละหนึ่ง เพื่อใช้แยกกันตรวจสอบและเก็บรวบรวมวัสดุ
และเมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ไพ่วัสดุในมือของแต่ละคนก็จะบังเกิดเสียงนุ่มนวลดังออกมา
หลังจากที่ไพ่ทั้งสี่ใบเก็บรวบรวมวัสดุจนเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาก็จะสามารถกลับไปรับเงินรางวัลได้
กู่ฉิงซานถือไพ่ที่ได้รับมอบหมายของตน แล้วเดินข้ามผ่านทะเลทรายอันกว้างใหญ่ตามภารกิจที่ได้รับ
เมื่อเขามาถึงปลายทางของภารกิจ ไพ่ในมือของเขาก็ส่งเสียงเบาๆ
กู่ฉิงซานพลิกไพ่ วางมันไว้เสมอดวงตา เพื่อสังเกตมันอย่างระมัดระวัง
เห็นแค่เพียงบนไพ่ที่แต่เดิมเคยว่างเปล่า บัดนี้ถูกเติมเต็มไปด้วยเม็ดทราย
สองบรรทัดตัวอักษรเล็กๆ ปรากฏใต้เนินทราย
“เนินเขาทางตะวันออกส่วนที่สองของการตัดแบ่งเขตแดนทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เขตที่ยี่สิบสอง”
“คุณสมบัติทางธรณีวิทยาของพื้นดินได้ถูกเก็บรวบรวมแล้ว”
หลังจากนั้นไม่นาน
คนอื่นๆ ก็เดินเข้ามาหาเขา ดูเหมือนว่าจะเก็บรวบรวมวัสดุเสร็จสิ้นแล้วเช่นกัน
ทั้งสี่รวมตัวกัน และส่งไพ่ให้แก่กู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานรับเอาไพ่มา และเตรียมที่จะพาทุกคนกลับไป
แต่เขากลับพบว่าไพ่สามในสี่ใบยังคงว่างเปล่าอยู่
หลังจากที่ได้ลองถามไถ่อย่างรอบคอบ กู่ฉิงซานก็ตระหนักได้ว่าทั้งสามคนคิดใช้ทางลัด
เหตุผลของพวกเขาก็คือ วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพกว่า
กู่ฉิงซานไม่ได้แสดงออกถึงความเหนื่อยล้า เขาเพียงเก็บมันไว้ในหัวใจ และพยายามอธิบายต่อทั้งสามอย่างอดทนว่าทำไมพวกเขาถึงใช้ทางลัดไม่ได้
ทั้งสามคนจึงยอมรับในที่สุด
แต่กว่าที่พวกเขาจะยอมรับได้ และทำงานจนลุล่วง ท้องฟ้ามันก็มืดลงซะแล้ว
และเวลาจำกัดของภารกิจก็ได้ล่วงเลยไปแล้วเช่นกัน
นี่หมายความว่าภารกิจล้มเหลว
กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ในที่เดิม
เขาไม่คาดคิดเลยว่าแค่ภารกิจง่ายๆ แต่ผลลัพธ์กลับออกมาแบบนี้
แต่เมื่อเห็นท่าทีเศร้าๆของสมาชิกทีมคนอื่นๆ กู่ฉิงซานจึงค่อยสงบอารมณ์ลง และกล่าวสอนสั่งไป “เอาเถอะ ถึงจะไม่ทันเวลาแต่ก็ถือว่าได้ปฏิบัติภารกิจจนเสร็จสิ้นลงแล้ว อย่างไรก็จำเอาไว้เป็นบทเรียนในครั้งต่อไปก็แล้วกัน จะได้ทำให้มันดีกว่านี้”
ถัดมา เขาก็กล่าวให้กำลังใจอยู่หลายคำ ทั้งสามจึงค่อยๆ สลัดความผิดหวังออกไป
ในที่สุด ก็ถึงเวลากลับ
กู่ฉิงซานระบายลมหายใจอย่างเงียบๆ ในหัวใจ และก้าวนำไปตามทิศทางที่ต้องเดินกลับ
ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ต้องหยุดลง เพราะพบว่าคนอื่นๆ กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
เขาหันกลับไปมองเบื้องหลัง
เห็นแค่เพียงวัยรุ่นทั้งสามยังคงยืนนิ่งอยู่ในจุดเดิม เฝ้ามองดูเขาอย่างเงียบๆ
“มีอะไรหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ในเวลานี้ ตัวกู่ฉิงซานได้ละทิ้งเรื่องภารกิจที่ล้มเหลวไปแล้ว เขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
เห็นแค่เพียงวัยรุ่นหญิงสาวสวยก้าวออกมาข้างหน้า
เธอจ้องมองกู่ฉิงซานที่กำลังยิ้มด้วยความวิตกและหวาดกลัว
“ฉัน…” สาวสวยพูดด้วยความลังเล
กู่ฉิงซานกระตุ้น “ไม่เป็นไรหรอก ถ้ามีปัญหาอะไรสามารถบอกฉันมาได้เลยตรงๆ”
“จริงๆหรือ?” วัยรุ่นสาวมองเขาด้วยความหวัง
“อืม เธอต้องกล้าเข้าไว้นะ ในความเป็นจริงการสื่อสารก็เป็นสิ่งจำเป็น ไม่อย่างนั้นถ้าเธอไม่พูดอะไรเลย ฉันก็จะไม่รู้นะว่าเธอคิดอะไรอยู่” กู่ฉิงซานค่อยๆ ลดเสียงลง
ผ่านไปนาน…
ในที่สุดวัยรุ่นสาวก็รวบรวมความกล้าของเธอ
เจ้าตัวยกดาบสั้นขึ้น ชี้ไปทางกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็หยุดอยู่เฉยๆ…แล้วยอมให้ปล้นซะดีๆ!”
………………………………….
หน้าแรกของหนังสือเริ่มเกริ่นจากประโยคที่ว่า
‘ท่ามกลางโลกเก้าร้อยล้านชั้น มันเต็มไปด้วยโลกมากมาย ไร้ที่สิ้นสุด’
และในบรรดาโลกมากมาย ไร้ที่สิ้นสุดเหล่านั้น จะมีบางโลกที่พิเศษ แตกต่างออกไป
โลกที่พิเศษออกไปนี้ คือโลกแรกๆ ที่ถือกำเนิดขึ้น และบางโลกยังถึงขั้นดำรงอยู่มาก่อนที่ทวยเทพจะถือปรากฏขึ้นซะอีก
อธิบายคร่าวๆ เช่นนี้ก็น่าจะเดาออกแล้ว ใช่ มันคือโลกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มิใช่โลกที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพวิญญาณ
โลกดังกล่าวนี้ จะถูกเรียกรวมๆ กันว่า ‘โลกยุคก่อนประวัติศาสตร์’
และโลกที่กู่ฉิงซานอยู่ในขณะนี้ ก็คือ ‘โลกยุคก่อนประวัติศาสตร์’
ไม่มีใครรู้ว่ามันดำรงอยู่มานานแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ มันย่อมข้ามผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามากมายยิ่งกว่าโลกนับล้านๆ ใบในปัจจุบัน
เพียงเพราะโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์มันมีแหล่งกำเนิดที่มีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนใคร
นั่นคือ ‘ไม่มีวันดับสูญ’
ทุกสรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพวิญญาณ เมื่อมีจุดเริ่มต้น ก็ย่อมต้องมีจุดสิ้นสุด
ทว่าโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์หาใช่ไม่ เพราะมันครอบครองคุณสมบัติ ‘ไม่มีวันดับสูญ’ อยู่
กระทั่งช่วงเวลาที่หน้าประวัติศาสตร์เกิดภัยพิบัติร้ายแรงขึ้น โลกยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็เพียงแค่พังทลายลงชั่วคราวเท่านั้น
แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปีต่อมา กฎเกณฑ์แห่งโลกก็จะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
แล้วโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็จักถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครา
แน่นอน ว่าการถือกำเนิดใหม่ของโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์ ย่อมต้องมีบางสิ่งแตกต่างไปจากที่เคยเป็นมาเล็กน้อย
ท่ามกลางโลกนับล้านล้าน เจ้าคุณสมบัติ ‘ไม่มีวันดับสูญ’ ที่ครอบครองพลังเหนือล้ำยิ่งกว่าเทพวิญญาณนี้ มันได้กลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่เหล่าตัวตนทรงอำนาจให้ความสนใจมากที่สุด
อย่างในโลกที่เต็มไปด้วยทะเลทรายแห่งนี้เอง โดยสิ้นเชิงแล้ว มันเคยตกอยู่ภายใต้การครอบครองของตัวตนทรงอำนาจทั้งสิ้นสามสิบเจ็ดคน มีการพังทลายลงตามธรรมชาติมาแล้วกว่าหกสิบเอ็ด ครั้ง เกิดหายนะครั้งใหญ่เก้าครั้ง และตกอยู่ในสภาวะสงครามกว่าเจ็ดพันเก้าร้อยยี่สิบห้าคราว
หนังสือเล่มนี้ ที่อยู่ในมือของกู่ฉิงซาน เป็นหนังสือที่บันทึกรายละเอียดก่อน และหลังการล่มสลายครั้งที่ห้าของโลกทะเลทราย
ในเวลานั้น มีจ้าววงการที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ได้โค่นอดีตเจ้าของโลกทะเลทราย และกลายเป็นผู้ครอบครองมันคนใหม่แทน
ส่วนในเรื่องที่เขาแข็งแกร่งเป็นพิเศษ นั่นก็เพราะเขามีความสามารถเฉพาะอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ…
ก๊อบปี้ตัวเอง
เขาสามารถก๊อบปี้ตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นี่แตกต่างไปจากเทคนิคมนตราแยกร่างหรือสร้างร่างอวตาร แต่มันคือการผลิตคนที่มีชีวิตอย่างแท้จริง
ซึ่งร่างที่เกิดขึ้นมา จะเหมือนกับอย่างไรเกิดใหม่ ไม่เว้นกระทั่งในด้านของความแข็งแกร่ง
ทว่าเมื่อร่างใหม่ได้รับการฝึกปรืออย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่แรกเริ่ม จนก้าวกระโดดขึ้นมายังจุดสูงสุดของตัวต้นแบบได้อีกครั้ง
เมื่อก้าวมาถึงตัวต้นแบบในระดับจ้าววงการได้แล้ว ร่างก๊อบปี้ก็จะเริ่มสร้างตัวก๊อปี้ของตัวเองขึ้นมาอีกคราว และดำเนินกระบวนการดั่งที่กล่าวไปข้างต้นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ด้วยวิธีนี้ คนใหม่ก็จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ความแข็งแกร่งของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ
ในช่วงเวลาที่จ้าววงการคนนี้เอาชนะเจ้าของโลกทะเลทราย เขาก็ก๊อบปี้ตนเองไปได้กว่าเจ็ดสิบคน!
กล่าวได้ว่าตัวเขาเพียงคนเดียว แต่กลับมาสามารถสำแดงพลังได้เทียบเท่ากับตัวเขาเองเจ็ดสิบคน!
ส่วนเหตุผลที่เขาเข้ายึดครองโลกทะเลทรายนี่ก็เพื่อต้องการที่จะศึกษากฎเกณฑ์ของคุณสมบัติ‘ไม่มีวันดับสูญ’ ของโลกใบนี้
ตอนแรก ทุกอย่างก็เป็นปกติดีอยู่หรอก
เขาได้รับข้อมูลเชิงลึกมากมายจากการตรวจสอบโลกใบนี้
อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้น วันหนึ่งจ้าววงการที่แข็งแกร่งคนนี้ ที่เริ่มศึกษากฎ ‘ไม่มีวันดับสูญ’ ก็เริ่มกลายเป็นบ้า
ร่างก๊อบปี้ของเขาเจ็ดสิบกว่าคนได้โจมตีกันเอง และไม่เพียงสังหารตนเองตกตายลงเท่านั้น แต่ยังถึงขั้นทำลายโลกทั้งใบลงอีกด้วย
รายละเอียดทั้งหมดจบลงเพียงเท่านี้ กู่ฉิงซานอ่านจบ ก็ปิดหนังสือลง
หนังสือเอ่ยถาม “คุณต้องการที่จะดูเนื้อหาอื่นๆอีกหรือไม่?”
กู่ฉิงซานมองไปข้างหน้า
ที่ปากทางเข้าเมือง ทหารติดอาวุธนับสิบ กำลังเฝ้ามองดูฝูงชนอย่างใกล้ชิด
เมื่อใดก็ตามที่มีคนเดินเข้าประตูไป ทหารทั้งหมดจะกุมปืนเตรียมเล็งไปทางคนคนนั้น เพื่อเตรียมพร้อมไว้ก่อน หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน จะได้จัดการได้อย่างทันท่วงที
ขณะเดียวกัน ผู้ที่ต้องการจะเข้ามาในเมือง ก็จะต้องยื่นมือออกมา และวางมันลงบนหนังสือเล่มหนึ่งที่ลอยอยู่ในอากาศ
มันคือหนังสือปกเงินหนา
หนังสือเล่มนี้มีชื่อเรียกว่า ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิต
ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตจะเป็นผู้ตัดสินว่า สมควรอนุญาตให้บุคคลเบื้องหน้าได้รับสิทธิ์ในการเข้าไปในเมืองหรือไม่
ในขณะนี้ คิวค่อนข้างยาว และการตรวจสอบก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า กู่ฉิงซานเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องต่อคิวไปถึงเมื่อไหร่
กู่ฉิงซานกล่าว “ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากจะหาอะไรอ่านก่อน เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกใบนี้ รบกวนหน่อยนะ”
“โปรดรอสักครู่”
หนังสือรับคำ และบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
ไม่นานนัก หนังสืออีกเล่มหนึ่งก็ตกลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานพลิกหน้ากระดาษของมัน และเริ่มตั้งใจอ่านอย่างจริงจัง
หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอารยธรรมที่เกิดขึ้นในโลกทะเลทรายแห่งนี้
มันเป็นโลกอารยธรรมด้านมนตรา ซึ่งได้มาถึงจุดสูงสุดแห่งความรุ่งเรืองในระยะเวลาหนึ่งหมื่นสามพันปี
ในช่วงเวลานั้น อารยธรรมของโลกใบนี้ก็ได้เชื่อมต่อเข้ากับโลกอีกหลายร้อยล้านใบ ผู้คนสามารถเดินทางข้ามผ่านไปมาระหว่างชั้นโลกได้อย่างอิสรเสรี
จนกระทั่งวันหนึ่ง อารยธรรมแห่งโลกใบนี้ ก็ล้มเลิกการสำรวจโลกภายนอก
เพราะพวกเขาล่วงรู้แล้วว่าโลกที่พวกตนอาศัยอยู่ คือโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์
ดังนั้น พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะสำรวจโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่แทน
ไม่กี่ปีต่อมา
ในชั่วข้ามคืน อารยธรรมทั้งหมดก็ล่มสลายลงอย่างกะทันหัน
โลกนับล้านๆได้สูญเสียการเชื่อมต่อกับอารยธรรมนี้
ไม่กี่วันถัดมา ตัวตนทรงอำนาจจากโลกอื่นก็เข้าตรวจสอบสถานการณ์เพราะความอยากรู้อยากเห็น
พวกเขาค้นพบว่าโลกทั้งใบทรุดตัวลงโดยสมบูรณ์ และอารยธรรมที่เคยรุ่งเรืองก็เหลือเพียงเศษซากปรักหักพังนับไม่ถ้วน
ทุกคนตายกันหมดแล้ว ตายกันหมดเลย
ทั้งๆ ที่มันกำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด และกำลังพัฒนาขึ้นแท้ๆ
ฉากนี้ทำให้ผู้ตรวจสอบในเวลานั้นต้องสั่นสะท้าน
อารยธรรมอันยอดเยี่ยม ได้สิ้นสุดลง ปิดม่านการแสดงของมันไปอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานปิดหนังสือ ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คุณต้องการจะอ่านอะไรอีกหรือไม่?” หนังสือถาม
กู่ฉิงซานมองไปข้างหน้า
และพบว่าแถวยังคงเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า
“โอเค ขอหนังสือให้ฉันอีกสักเล่มเถอะ”
หนังสือเล่มนี้บินขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที และหนังสืออีกเล่มหนึ่งก็ตกลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานรับมัน เปิดหนังสือ และเห็นถึงกระบวนการล่มสลาย และก่อกำเนิดใหม่ของโลก
ในระหว่างต่อแถวเข้าคิว เขาอ่านหนังสือหลายเล่มติดต่อกัน และค้นพบว่าโลกใบนี้เมื่อล่มสลายลง มันก็จะถือกำเนิดใหม่อยู่เสมอ
ขณะเดียวกัน ตัวตนทรงอำนาจนับไม่ถ้วนที่ครอบครองโลกใบนี้ ล้วนไม่มีผู้ใดมีจุดจบที่ดี
ต่อมา ผู้คนก็เริ่มจะเข้าใจ
โลกยุคก่อนประวัติศาสตร์อาจจะมี ‘คำสาป’ แปลกๆ หรืออะไรบางอย่างอยู่ก็ได้
และด้วยเหตุนี้เอง จึงไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามายังโลกใบนี้
จนกระทั่งเมื่อหนึ่งพันเจ็ดร้อยปีก่อน
เจ้าของตลาดมืดได้มายังโลกใบนี้
เขาละทิ้งความคิดที่จะครอบครองโลกทั้งใบ แต่เลือกที่จะสร้างเฉพาะตลาดมืดขึ้นมาแทน
นับตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่มีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นอีกเลย การค้าขายสามารถดำเนินไปอย่างปกติสุข
และเนื่องจากเจ้าของตลาดมืดแห่งนี้ก็เป็นผู้ทรงพลังไม่เลวเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเสี่ยงที่จะเข้ามายุ่มย่ามกับตลาดมืดแห่งนี้
แต่เจ้าของตลาดมืดก็ไม่ใช่คนใจคอคับแคบ หากจ้าววงการคนอื่นๆคิดหมายจะมาสำรวจโลกใบนี้ เขาก็มิได้ขัดขวางแต่อย่างใด
เขาอนุญาตให้ตัวตนทรงอำนาจเข้าไปในส่วนลึกของโลกใบนี้ เพื่อสำรวจหาความลึกลับของมันได้ตามใจต้องการ
ด้วยเหตุนี้เอง เหล่าตัวตนทรงอำนาจจึงไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายกับตลาดมืดของเขา
แถมด้วยการดำรงอยู่ของตลาดมืด ตัวตนทรงอำนาจที่เข้ามาตรวจสอบ ยังได้รับการสนับสนุน ในแง่ของทรัพยากรและสถานที่พักผ่อนอีกด้วย
เป็นผลให้ตลาดมืดเกรย์แฮนด์แห่งนี้ได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่
เมื่อเวลาผ่านไป ตลาดมืดก็เริ่มเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งพันปีที่ผ่านมา
กู่ฉิงซานปิดหนังสือและปล่อยให้มันลอยกลับข้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง
แต่คราวนี้เขาหยุดที่จะถามหาหนังสือเล่มต่อไป
เพราะในที่สุด หลังจากที่รอคอยมานาน ก็เหลือเพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่ตรงหน้า แล้วจากนั้นมันก็จะเป็นตาของกู่ฉิงซานที่ได้เข้าเมือง
ในขณะนี้ ตรงบริเวณทางเข้าเมือง
ชายคนหนึ่งที่สะพายปืนไรเฟิลไว้บนหลัง ก็ได้ยื่นมือกดทับลงบนหน้าปกของ ‘ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิต’
เขากำลังถูกทดสอบโดยหนังสือปกเงินเล่มนี้
“โดดเด่นในด้านเทคโนโลยี เป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างเหยี่ยว อนุญาตให้ผ่านได้” ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตตะโกนด้วยความเหนื่อยหน่าย
ชายคนนั้นเดินเข้าเมืองไป ภายใต้สายตาของทหารรักษาการณ์มากมาย
เป็นผู้ชายร่างผอมสูง
เขาเดินไปที่ปากทางเข้าประตู และวางมือลงบนหนังสือปกเงิน
ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน
“โดดเด่นในด้านธาตุทั้งห้า เป็นสิ่งมีชีวิตธาตุมืด ทุกอย่างปกติดี”
ชายร่างผอมสูงพอได้ฟัง ก็คลายใจลงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่า เมื่อสมุดปกเงินกล่าวคำ ‘ทุกอย่างปกติดี’ ทหารรักษาการณ์ทั้งหมดต่างก็หันขวับมามองเขาเป็นสายตาเดียว
ชายผอมสูง เดินเข้ามาในเมือง
เบื้องหลังเขา ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตแผดเสียงกะทันหัน “จังหวะนี้แหละ ฆ่ามันซะ!”
ทหารรักษาการณ์ที่เตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว ได้สาดการโจมตีอย่างเต็มรูปแบบเข้าใส่ทันที
ใบหน้าของชายผอมสูงแปรเปลี่ยนไป
เขามีเวลาแค่เพียงเรียกกลุ่มสสารสีทะมึนในมือเท่านั้น ยังไม่ทันใช้ออกด้วยเทคนิคมนตรา ก็ถูกฆ่าตายลงซะแล้ว
เงาแห่งความมืดผุดออกมาจากร่างเขา ราวกับสายลม แตกกระจัดกระจายออกไปทุกทิศทาง
เมื่อเห็นกับตาว่าสัตว์ประหลาดถูกสังหารลง ทหารรักษาการณ์ทั้งหมดก็ค่อยๆ ถอยกลับไปอย่างช้าๆ
หัวหน้าทหารถามผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิต “ท่านครับ ช่วยอธิบายถึงสถานการณ์ด้วย”
ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตกล่าว “ชายคนเมื่อครู่ ได้ดาวน์โหลดเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ ต้นกำเนิดมา ฉันได้กลิ่นอายของระบบจากตัวเขามาตั้งแต่ในระยะไกล”
หัวหน้าทหารแสดงออกถึงความวิตกกังวลเล็กน้อย “ในช่วงเวลาสั้นๆ นี่ก็เป็นคนที่สิบห้าแล้ว…ระบบของราชามารต้องการจะทำอะไรกันแน่นะ?”
“ไม่สำคัญหรอก เพราะยังไงซะ ไม่ว่าระบบใดก็ตาม มันย่อมไม่สามารถหลบซ่อนไปจากสายตาของฉันได้” ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตกล่าว
มันตะโกนหากู่ฉิงซาน “อย่ามัวชักช้า! ถึงตาแกแล้ว”
ทหารทั้งหมดมองมายังกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว
ทาสของราชามารได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน เช่นนั้นแล้วคนตรงหน้าผู้นี้จะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยหรือไม่?
เหล่าทหารกุมอาวุธในมือของพวกเขาอีกครั้ง
กู่ฉิงซานก้าวตรงไปข้างหน้าอย่างสงบ และวางมือลง
เขาจะกลัวไปทำไม ในเมื่อตนไม่ได้มีระบบของราชามารอยู่ในตัว
แต่เอ…เขาก็เคยดาวน์โหลดระบบของราชามารมาก่อนนะ แถมยังเคยดาวน์โหลดระบบของเทพสวรรค์ และระบบชีวิต มาก่อนด้วย
แล้วหนังสือเล่มนี้จะตรวจพบถึงมันได้รึเปล่า?
ถึงจะไม่ถึงขั้นกลัว แต่กู่ฉิงซานก็เริ่มรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
ไม่ช้า เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างผุดออกมาจากหนังสือ เข้าโอบรอบตัวเขา
นี่อาจจะเป็นการตรวจสอบของผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตก็ได้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตไม่เอ่ยคำใดเลย
นี่มันชักจะเริ่มผิดปกติแล้ว
เจตนาฆ่าของทหารรักษาการณ์ค่อยๆ พวยพุ่งขึ้น
กู่ฉิงซานเองแม้จะสงบเงียบ แต่เขาก็ได้แอบทำการกระตุ้นพลังวิญญาณในร่างกาย ตระเตรียมรับมือถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้า
ทว่าทันใดนั้นเอง ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตก็หัวเราะลั่น
“ก๊ากฮ่าๆๆๆ”
มันตะโกน “เจ้ามนุษย์ผู้ฝึกยุทธ์นี่โคตรจะโชคร้ายเลย เขาอย่างไรจะสามารถข้ามผ่านอาณาเขตของหน้าใหม่มาได้ แต่ระหว่างเดินทางในกระแสมิติ ระบบชีวิตก็พังทลายลง เขาเลยติดแหง็กอยู่ในกระแสมิติ ช่างโชคร้ายจริงๆ!”
กู่ฉิงซานหันไปมองดูรอบๆ อย่างลับๆ
เขาพบว่าทหารรักษาการณ์ระบายลมหายใจ มือที่กุมอาวุธแน่นหลวมลงเล็กน้อย
แถมทั้งหมดยังแทบจะกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่
ต้องไม่ลืมนะว่าระบบชีวิตน่ะสามารถช่วยส่งเสริมให้ผู้คนได้รับความแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วได้
แต่ช่างน่าเสียดาย ที่เส้นทางสู่การเป็นทวยเทพดันถือกำเนิดขึ้นมา จนทำให้ระบบชีวิตถูกทำลายลงโดยเจ็ดเทพ และดึงพลังไปสร้างร่างมนุษย์แสงขึ้น
ช่างนับว่าเป็นเรื่องที่โชคร้ายจริงๆ สำหรับหน้าใหม่ที่ดันเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจช้าจนเกินไปแบบนี้
การที่เขาไม่มีระบบ แต่สามารถรอดพ้นจากการถูกกินของมอนสเตอร์มิติได้ก็นับว่าเก่งแล้ว
ยังไงก็ตาม หากเป็นแบบนี้ มนุษย์ตรงหน้าก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เพราะในแผนกอาชีพของสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น การตรวจสอบจะเป็นไปอย่างเข้มงวดมาก หน้าใหม่คนนี้จึงย่อมไม่สมควรที่จะมีความผิดปกติใดๆ
กู่ฉิงซานหันไปมองฝูงชนรอบๆ และพบว่าทั้งหมดกำลังหัวเราะ
เขาผายมือออก แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “โชคร้ายจริงๆ นั่นแหละ พวกคุณพอจะมีหนทางอื่นที่จะช่วยให้ผมไล่ตามคนอื่นทันบ้างไหมเนี่ย?”
ผู้คนโดยรอบพอได้ฟังก็หัวเราะหนักยิ่งกว่าเดิม
“เฮ้อ เข้าไปเถอะ เจ้าคนโชคร้าย หวังว่าจากนี้ไปแกจะโชคดีกับเขาบ้างนะ” ผู้ตรวจสอบสิ่งมีชีวิตกล่าว
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากๆ”
กู่ฉิงซานเดินผ่านเข้ามา
แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ เฝ้าตรวจสอบท่าทีของผู้คนอย่างระแวดระวัง
เมื่อเห็นว่าตนเข้ามาในเมืองแล้ว พวกทหารรักษาการณ์ก็ถอนสายตา และหันไปสนใจคนอื่นต่อไป
ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถผ่านมาได้อย่างปลอดภัยแล้วจริงๆ
………………………………….
กู่ฉิงซานนั่งลงบนฟูก พยายามสุดกำลังที่จะควบรวมฐานวรยุทธ์ของเขา
หลังจากที่ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ ขอบเขตวรยุทธ์ก็จะยกระดับขึ้น
นี่คือกระบวนการอันยอดเยี่ยมของผู้ฝึกยุทธ์
พลังวิญญาณพวยพุ่งอย่างรวดเร็ว ดั่งคลื่นที่บ้าคลั่ง มันผุดออกมาตามแขนขา และส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างต่อเนื่อง หน้าที่ของกู่ฉิงซานก็คือ ต้องหาวิธีที่จะทำให้พลังวิญญาณที่ปะทุออกมาสงบลง กลับไปมีเสถียรภาพดังเดิม มิฉะนั้น มันอาจส่งผลกระทบต่อเส้นลมปราณได้
เขาเหนี่ยวนำกระแสพลังวิญญาณที่เอ่อล้น ค่อยๆชักนำมันเข้าสู่ตันเถียน ก่อให้เกิดเป็นกระแสหมุนวน พลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านค่อยๆ ถดถอยลงอย่างช้าๆ
นี่เป็นกระบวนการละเอียดอ่อน ซึ่งสามารถลดความเสียหายต่อร่างกายที่เกิดจากพลังวิญญาณอันรุนแรงได้
หนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านพ้นไป
ในที่สุดกู่ฉิงซานก็ลืมตาตื่น
ตอนนี้ เขากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตพันวิบัติขั้นปลายแล้ว!
และเนื่องจากเขามิใช่แค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝึกฝนทักษะดาบ แต่ยังรวมไปถึงทักษะของนักสู้ ยิงธนู กระบี่ ฯลฯ ด้วยเหตุนี้เอง ทุกสัดส่วนของร่างกายเขาที่เกี่ยวข้องกับทั้งหมดที่กล่าวมา มันจึงล้วนแข็งแกร่งขึ้น
นี่นับเป็นความสุขอันไม่คาดฝัน
ทันใดนั้นแสงบางอย่างก็แยงเข้ามาในสายตาของกู่ฉิงซาน
ตรงส่วนล่างของหน้าต่างเทพสงครามกำลังกะพริบไหว
คราวนี้เป็นในส่วนของ ‘สมญาเทพสงคราม’
กู่ฉิงซานแปลกใจ เขาอดไม่ได้ที่จะกดเปิดฟังก์ชันนี้
เห็นแค่เพียงบรรทัดแสงหิ่งห้อยผุดออกมาจากตัวเลือก ‘สมญาเทพสงคราม’
“คุณได้บรรลุเงื่อนไขขั้นต่ำสำหรับการเปิดใช้งานสมญาใหม่แล้ว”
“เนื่องจากคุณได้กลายเป็นนายพลชั้นเฉินเว่ยของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ และสามารถยกระดับฐานวรยุทธ์มาได้ถึงขอบเขตพันวิบัติขั้นปลาย ดังนั้นสมญา นายพลชั้นโหยวจี ของคุณจึงได้รับการยกระดับ”
“ตอนนี้ คุณสามารถใช้สมญาใหม่ นายพลชั้นเฉินเว่ย ได้แล้ว”
“สมญา นายพลชั้นเฉินเว่ยครอบคลุมไปถึงสมญานายพลชั้นโหยวจีและก่อนหน้า”
“อธิบาย นี่คือยศทหารชั้นสูงสุดของกองทัพพันธมิตรเผ่ามนุษย์”
“หากสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ โจมตีฉับไว เพิ่มขึ้น 20 %”
กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านสมญาใหม่ด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าของเขาค่อยๆ เผยรอยยิ้มแย้ม
สมญานายพลชั้นโหยวจี เดิมทีให้โบนัสการโจมตีเร็วแก่เขาสิบห้าเปอร์เซ็นต์แต่เฉินเว่ยกลับให้เขาโดยตรงถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์
ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เชียวนะ!
แต่เดิม สกิลดาบของเขาก็เน้นคว้าชัยชนะอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว และตอนนี้ความเร็วของมันกลับสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์นี่จะช่วยให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี!
เพราะการโจมตีเร็วขึ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่ว่านี่มันไม่ใช่แค่ดาบ
แต่ยังรวมไปถึง นักสู้หวูเต๋า กระบี่ ธนู เพิ่มเสริมเข้าไปด้วยเช่นกัน
แค่คิดแทนศัตรูที่ต้องมาสู้กับเขา ก็รู้สึกหวาดกลัวแทนพวกมันไม่ได้แล้ว
กู่ฉิงซานทำการล็อกสมญาของเขาไว้ที่ ‘นายพลชั้นเฉินเว่ย’ คว้าเอาดาบเช่าหยินออกมา และเริ่มเคลื่อนกาย ใช้ออกด้วยเทคนิคดาบ
ดาวยาวโบกสะบัด
สาดประกายเย็นเยียบ
“เอ๊ะ?”
แต่แล้วคิ้วของกู่ฉิงซานก็ต้องขมวดลงโดยไม่คาดฝัน
แม้เขาจะค้นพบว่าความเร็วของตัวเองว่องไวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ในขณะเดียวกัน เขากลับรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยที่ไม่สามารถควบคุมดาบของตนได้
ความเร็วระดับนี้…เหมือนว่ามันจะมากเกินไปหน่อย
กู่ฉิงซานพิจารณาอย่างรอบคอบ และในที่สุดก็พยักหน้าตัดสินใจว่าปัญหาในข้อนี้ จะต้องเร่งแก้ไขมันทันที
ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกดาบ แต่กลับไม่สามารถควบคุมดาบได้ นี่นับว่าเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่ง
เขาผุดลุกขึ้น และเริ่มร่ายระบำดาบอย่างช้าๆ
เขาเริ่มใหม่ตั้งแต่การฝึกกระบวนท่าดาบขั้นพื้นฐานอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ก่อนจะเริ่มผสานสกิลดาบเข้าด้วยกัน จนสามารถใช้งานมันได้อย่างไม่ติดขัด จากนั้นก็หันไปเริ่มทดสอบกับเทคนิคลับแห่งดาบอีกครั้ง และสุดท้ายเป็นค่ายกลดาบ
ตั้งแต่ต้นจนจบ กู่ฉิงซานได้ปรับเปลี่ยนมันเล็กน้อย เพื่อให้เหมาะสมกับความเร็วที่เพิ่มขึ้น
หลังจากฝึกฝนมากว่าสองชั่วยาม เขาก็สามารถไล่ตามความเร็วของ ‘นายพลชั้นเฉินเว่ย’ จนทันในที่สุด
จากนั้นจึงเก็บดาบเช่าหยิน และทิ้งตัวกลับไปนั่งพักบนฟูกอีกครั้ง
จนกระทั่งตอนนี้ เขาถึงได้มีเวลาทบทวน ได้คิดเกี่ยวกับโทษทัณฑ์ที่พึ่งเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ
แต่ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ กู่ฉิงซานก็ยิ่งงุนงงมากขึ้นเท่านั้น
แปลกจัง…
หายนะของโทษทัณฑ์ มันไม่สมควรที่จะจบลงอย่างง่ายดายเช่นนี้นี่นา?
อย่างเช่นในระหว่างกระบวนการข้ามผ่านโทษทัณฑ์เมื่อครู่ ที่เขาทำก็เพียงแค่โค่นกลุ่มคนที่ลอบโจมตีเขาอย่างกะทันหัน ครั้งเดียวเท่านั้นเอง
การโจมตีของพวกมันก็ถูกสกัดไว้โดยเกราะรบ ทำให้เขามิได้เป็นอันตรายใดๆ
แต่โทษทัณฑ์มันจะจบลงแค่นั้นจริงๆ น่ะหรือ?
หรือว่าเขาได้ไปพบเจอกับหายนะที่ร้ายแรงยิ่งกว่ามาก่อนแล้ว แต่ไม่ทันจะรู้ตัว?
ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทวนซ้ำถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจของเขา
หลังจากกลั่นกรองทุกประเภทของสถานการณ์ กู่ฉิงซานก็สามารถเข้าใกล้คำตอบของปัญหานี้ได้ในที่สุด
“ที่ติดใจที่สุดคงไม่พ้นต้นไม้ต้นนั้น มันจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติอย่างแน่นอน…” เขางึมงำกับตัวเอง
แต่ในตอนที่พบเจอกับต้นไม้ใหญ่ เขาก็ปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ ทำการสำรวจบริเวณโดยรอบ รวมไปถึงใต้ทะเลทรายแล้วนี่นา
ซึ่งน่าเสียดาย ที่จิตสัมผัสเทวะกลับไม่พบอะไรเลย
หากโทษทัณฑ์ที่เขาจะได้เผชิญ จริงๆ แล้วมิใช่กลุ่มฝูงชนที่ลอบโจมตี แต่เป็นต้นไม้ต้นนั้นละก็…เขาคงจะตายไปแล้ว เพราะอีกฝ่ายย่อมต้องแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้
มิฉะนั้น จิตสัมผัสเทวะของเขาก็คงไม่ถูกบดบังจนไม่อาจตรวจพบได้ถึงสิ่งใดแบบนี้หรอก
บ้าจริง…
ที่แท้เรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่นะ?
ย้อนนึกไปถึงแมงป่องน้อยสีดำที่เขาเห็นหลังจากได้สติกลับมาจากพักฟื้น กู่ฉิงซานเองก็เหมือนจะเริ่มเข้าใจขึ้นเล็กน้อย
เขาครุ่นคิด สักพักก็จดจำบางสิ่งขึ้นได้
กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และกวาดจิตสัมผัสเทวะเข้าไปสำรวจมัน
และพบว่ากิ่งไม้ที่ได้รับจากต้นไม้ใหญ่ยังคงถูกเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี
ตลอดทั้งกิ่งก้านเป็นสีดำขลับ
ช่วงเวลานี้เอง กู่ฉิงซานเริ่มเพิ่มความระมัดระวังขึ้นเล็กน้อย และเตรียมที่จะใช้ออกด้วยวิชาลับเข้าใส่กิ่งไม้ที่อยู่ในถุงสัมภาระ
แต่ตอนนี้
กลับบังเกิดเสียงร้องเตือนขึ้นในจิตใจ ส่งผลให้เขาหยุดความคิดนี้ไป ไม่กล้าที่จะแตะมันอย่างกะทันหัน
กู่ฉิงซานขยับมือของจากถุงสัมภาระ ถอนหายใจอย่างเงียบๆ
เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ปล่อยเขาไป แต่คราวนี้นับว่าตนโชคดีมากจริงๆ ที่สามารถรอดชีวิตมาได้
เขาคงต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้ในอนาคต จะต้องไม่ประมาทอีกต่อไป
สำหรับกิ่งไม้นี้ สุดท้ายเดี๋ยวมันก็จะเป็นตัวเฉลยถึงความจริงทั้งหมดเอง
เพราะตามความทรงจำของวังเฉิง ในตลาดมืดน่ะมีองค์กรพิเศษบางแห่งที่รับหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบในการประเมินราคาสมบัติที่หายากอยู่
เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะนำกิ่งไม้ออกไปให้ทำการตรวจสอบ แล้วสุดท้ายคำตอบทุกอย่างก็จะถูกเฉลยออกมาเอง
เอาล่ะ มันถึงเวลาออกเดินทางแล้ว
กู่ฉิงซานเก็บฟูก หยิบเม็ดยาวิญญาณออกมา โยนเข้าปาก
เขาเคลื่อนกายวูบไหวอีกครั้ง ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
ยิ่งนาน พายุทะเลทรายก็เริ่มลดน้อยลง
ในที่สุด กู่ฉิงซานก็สามารถบินมาถึงเขตเบื้องบนที่ไร้ซึ่งพายุทราย
ตามสามัญสำนึก ลมในที่สูง สมควรจะรุนแรงยิ่งกว่า แต่โลกใบนี้ช่างแปลกนัก ยิ่งสูง ลมกลับยิ่งน้อย
กู่ฉิงซานมองไกลออกไป
เห็นแค่เพียงโลกทั้งใบถูกปกคลุมไปด้วยทรายและฝุ่นควัน ลากยาวไปสุดเส้นขอบข้า
ที่นี่ นอกจากลมและทรายแล้ว มันก็ไม่มีอย่างอื่นอีกเลย
ถึงบางครั้ง จะปรากฏสถานที่ที่สามารถหลบเลี่ยงพายุทรายได้ก็ตามที แต่มันก็ใช้หลบเลี่ยงได้ไม่นาน เพราะสุดท้ายก็จะถูกพายุทรายกลบฝังลงไปอยู่ดี
นั่นหมายความว่า มีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในทราย จึงก่อให้เกิดผลดังกล่าวนี้ขึ้น
กู่ฉิงซานมองไปยังทิศทางที่กำหนด เขาเปลี่ยนเป็นกระแสแสง ตัดผ่านท้องฟ้าไป
…
ห้าวันต่อมา
ในที่สุดกู่ฉิงซานก็สามารถมาถึงที่หมายของเขา
เขามาปรากฏตัวขึ้นนอกเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง
ปัจจุบัน เมืองเล็กๆ แห่งนี้คือทางเข้าสู่ตลาดมืด ซึ่งเจ้าหน้าที่ในด่าน มีหน้าที่ตรวจสอบและจัดการสิ่งของที่มีคุณสมบัติสามารถเข้ามาภายในเมือง และตรงไปสู่ตลาดมืดได้
ขณะที่องค์กรที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น หรือตัวตนที่มีชื่อเสียงย่อมสามารถเข้าสู่ตลาดมืดได้เลยโดยตรง
แต่หากเป็นคนธรรมดาๆ หากต้องการจะเข้าไป เขาก็ต้องได้รับการตรวจสอบเล็กๆ น้อยๆ หน้าเมืองเสียก่อน
กู่ฉิงซานลังเลเพียงเสี้ยวนาที และตัดสินใจที่จะไม่เปิดเผยตัวตนของเขาในฐานะสมาชิกของสมาคมกำปั้นเหล็ก
เพราะอย่างไรซะ แบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็ยังอยู่ในโลกของเขา และเนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ขึ้น ส่งผลให้พวกเขาออกมาไม่ได้สักพัก
ส่วนตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการคนอื่นๆที่ตนรู้จัก พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสงคราม และยังถูกคุ้มครองรักษาเอาไว้โดยผลึกน้ำแข็ง กระจัดกระจายไปในดินแดนชิงอำนาจแต่ละแห่ง
ดังนั้น มันจึงไม่เป็นการฉลาดเลยหากกู่ฉิงซานเลือกที่จะเปิดเผยตัวตนในเวลานี้
เขาถอนหายใจ ก้าวฉับๆ ตรงมาที่ทางเข้า
ตรงจุดนี้ มีผู้คนจำนวนมากยืนรอต่อแถวเพื่อเข้าเมืองอยู่
พวกเขากระจายตัวเป็นกลุ่มอย่างเป็นระเบียบ
ผู้คนอ่อนโยน สุภาพ ทักทายกันและกัน
นี่ไม่ใช่เพราะว่าทุกคนกำลังอารมณ์ดีอยู่หรอกนะ
แต่เป็นเพราะบนท้องถนนสองฟากฝั่ง มันเต็มไปด้วยหัวสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน ที่ถูกวางซ้อนๆเรียงกันหนาแน่น ก่อกำเนิดเป็นกำแพงที่ทั้งสูงใหญ่และหนา อยู่ต่างหาก
กำแพงที่ถูกสร้างขึ้นโดยหัวสิ่งมีชีวิต ลากยาวมาตั้งแต่ทะเลทรายที่อยู่ไกลออกไป มาจนถึงสองข้างของประตูเมืองทางเข้านี้
หัวนับพันคนเหล่านี้ ล้วนมาจากผู้คนที่ไม่คิดปฏิบัติตามกฎของตลาดมืด
ภายใต้สภาพแวดล้อม และการจับจ้องของหัวมนุษย์นับไม่ถ้วน ผู้คนที่คิดหมายจะเข้าเมืองจึงต้องเรียนรู้กฎของที่นี่โดยเร็วที่สุด
หากคุณต้องการจะเข้าสู่ตลาดมืด คุณจะต้องยอมรับกฎสองข้อดังต่อไปนี้…
ไม่อนุญาตให้ลัดคิว
ไม่อนุญาตให้ส่งเสียงดัง
นอกเหนือไปจากนั้น อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฝูงชนยังคงเงียบ นั่นก็เพราะ มีอยู่หลายคนเลยที่กำลังต่อคิว ขณะเดียวกันก็ก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่
ทุกคนต่างก้มหัวลง อ่านเนื้อหาในหนังสืออย่างสงบและตั้งใจ
กู่ฉิงซานบังเกิดข้อสงสัย เขาสังเกตอย่างรอบคอบ และพบว่าหนังสือบางเล่มกำลังกะพริบไหวเป็นครั้งคราว
ดูเหมือนว่าพวกหนังสือ มันกำลังคอยไล่สอบถามบรรดาผู้กำลังต่อคิวเข้าแถว ว่าต้องการที่จะล่วงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตลาดมืดแห่งนี้หรือไม่ ในระหว่างที่กำลังเฝ้ารอ
นั่นก็เพราะมันว่าง
และอีกอย่างเจ้าของตลาดมืดเองก็ยังรู้สึกว่า หากให้ผู้คนได้เรียนรู้เกี่ยวกับตลาดมืดซะก่อน มันก็คงจะเป็นเรื่องที่ดี
กู่ฉิงซานมองดูหนังสือเหล่านั้น อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย วังเฉิงไม่รู้หนังสือ ทำให้ตลอดทุกครั้งที่เข้ามายังตลาดมืด วังเฉิงจึงไม่เคยจะอ่านมันเลย
มิฉะนั้นกู่ฉิงซานที่ได้ความทรงจำของวังเฉิงมา ก็คงจะเข้าใจเกี่ยวกับตลาดมืดได้มากกว่านี้
ในตอนนั้นเอง หนังสือปกเขียวเล่มหนึ่งก็บินมาอยู่เหนือหัวเขา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณท่าน ต้องการรับบริการหรือไม่?”
“โอ้ ก็เอาสิ แต่ฉันสงสัยจังว่าคุณสามารถทำอะไรได้บ้าง” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างสุภาพ
“กระผมคือหนังสือที่ได้บันทึกเรื่องราวของโลกใบนี้ทั้งก่อนและหลังการล่มสลายในครั้งที่ห้า หากท่านสนใจ สามารถเริ่มเปิดอ่านกระผมได้เลยในทันที”
“ฉันสนใจ ขอบคุณมาก”
“ด้วยความยินดี มาเริ่มกันเลย”
หนังสือค่อยๆ ตกลงมาอยู่ในมือของกู่ฉิงซานอย่างช้าๆ หน้าแรกของมันเปิดออกเองโดยอัตโนมัติ
ด้วยเหตุนี้เอง ระหว่างที่กำลังต่อแถว กู่ฉิงซานจึงได้มีโอกาสได้ล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของการล่มสลายทั้งห้าครั้งของโลกใบนี้
………………………………….
สายลมจากคมดาบพัดกระพือ
เศษแขนขาที่โดนตัดหั่น ร่วงหล่นกระทบผืนทราย ถูกกลบถมหายลงไปอย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน และหันไปแสดงออกถึงท่าทีขอโทษต่อต้นไม้เขียวชอุ่ม “ต้องขออภัยด้วยที่ทำให้อาณาเขตของท่านสกปรก”
ต้นไม้ใหญ่ส่งเสียงฮึมฮัม “ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่เรื่องเล็กน้อย”
กู่ฉิงซานยิ้ม “เช่นนั้นผมขอลาก่อน”
“ไปเถอะ แต่จงจดจำเอาไว้ให้ดี ว่ายามเมื่อว่างเว้นสามารถมาที่นี่ได้ตลอดเวลา”
“ผมเข้าใจแล้ว ลาก่อน”
กู่ฉิงซานทะยานตัวสูงขึ้นอีกครั้ง
เขาควานหาทิศทาง และบินตรงไปยังตลาดมืด
คราวนี้เขาไม่พบกับใครเข้ามาขัดขวางอีกแล้ว ในไม่ช้ากู่ฉิงซานก็บินหายไปจากอาณาเขตที่สงบร่มเย็นของต้นไม้ใหญ่ เผชิญกับพายุทรายอีกครั้ง
แล้วหลังจากนั้นเขาก็หายไป
แมงป่องสีดำขนาดเล็กผุดออกมาจากพื้นทรายอีกครั้ง ส่งเสียงฮึดฮัดให้กับต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้ามัน
นี่คือแมงป่องเล็กตัวเดียวกันกับที่ลอบสังเกตดูกู่ฉิงซานเมื่อก่อนหน้านี้
ต้นไม้ใหญ่สั่นไหวสองสามครั้ง กล่าวปฏิเสธอีกฝ่าย “ลืมมันเสียเถอะ”
แต่เจ้าแมงป่องน้อยยังคงงึมงำต่อไป
ต้นไม้ใหญ่ “อา…นั่นเป็นเพราะเขาเป็นคนสุภาพอย่างไรเล่า และข้าก็ชอบคนสุภาพ”
แมงป่องน้อยบ่นด้วยความไม่พอใจ
ต้นไม้ใหญ่อธิบายอย่างอดทน “ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้เห็นมนุษย์ที่สามารถใช้ทักษะระดับสูงของทั้งสองอาชีพได้ ในร่างกายของเขา จะต้องมีความลับอันน่าทึ่งซุกซ่อนเอาไว้อย่างแน่นอน ถึงสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างง่ายดาย”
ขณะกำลังพูดคุย เศษซากศพที่ถูกห่อหุ้มด้วยเม็ดทรายก็ผุดขึ้นมา
มันคือซากศพของคนนับสิบที่ถูกสังหารลงโดยกู่ฉิงซานเมื่อครู่
นอกจากร่างศพแล้ว ก็ยังมีน้ำเต้าที่บรรจุน้ำแร่ วางไว้บนพื้นเช่นกัน
“สิ่งเหล่านี้น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับมื้อเย็น และนั่นเป็นน้ำแร่ที่เขามอบให้ เจ้าลองชิมดูสิว่ามันรสชาติดีหรือไม่?”
แมงป่องตัวน้อยกวาดตามองเศษซากศพนับสิบ ก่อนจะสลับไปมองขวดน้ำเต้าอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พอใจ
มันฮึดฮัดใส่ต้นไม้ใหญ่
ต้นไม้ใหญ่ถอนหายใจ “เจ้าก็แค่อยากกินของสด”
ทันใดนั้นเอง บนร่างของหนึ่งในซากศพก็สาดประกายแสงสีแดงออกมา
มันเป็นเสียง ‘ติ๊ดๆ’ ของเครื่องจักร
การสนทนาของต้นไม้ใหญ่ถูกขัดจังหวะลง
ทั้งตัวมันและแมงป่องน้อยถูกดึงดูดโดยเจ้าเครื่องนี้
แมงป่องน้อยรับฟังอยู่สักพัก สุดท้ายยอมแพ้ หันไปส่งเสียงจิ๊ๆ ให้กับต้นไม้ด้วยความสงสัย
“อ๊ะๆ ไม่ต้องมาถามข้า ข้าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับด้านเทคโนโลยี เอาไว้ถ้าเจ้าสามารถเรียนรู้ได้มากกว่านี้ ก็ลองไปศึกษามันเองในอนาคตก็แล้วกัน” เสียงของต้นไม้ใหญ่กลายเป็นหงุดหงิด
แล้วเครื่องจักรที่กะพริบสีแดงถี่ๆ หยุดลงอย่างกะทันหัน
ไม่นานนัก หลายสิบจุดดำก็ปรากฏขึ้นจากขอบฟ้าไกล
จุดดำเหล่านี้บินด้วยความเร็วอันน่าตื่นตายิ่ง ไม่นานมันก็ตกลงเบื้องหน้าซากศพนับสิบ
“บอส ค้นพบพี่น้องพวกเราแล้ว แต่น่าเสียดาย ทุกคนไม่มีใครรอดเลย” คนหนึ่งรายงาน
“ตอนแรกฉันก็คิดว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับฟังก์ชันตรวจสอบสัญญาณชีวิตซะอีก แต่ตอนนี้คงไม่ผิดแล้ว มีใครบางคนกล้าที่จะฆ่าพวกเราจริงๆ!” สีหน้าของบอสกลายเป็นมืดมน
ภายในกลุ่มผู้มาใหม่ ฟุ้งไปด้วยเจตนาร้าย
พวกเขากำลังกระหายที่จะค้นหาเจ้าบ้าที่กล้าทำร้ายเพื่อนของตน!
“ตาแก่เก้า ช่วยไปตรวจสอบหน่อยสิ” บอสกล่าว
“รับทราบ”
หนึ่งในกลุ่มฝูงชน คนตัวเล็กๆ ก้าวออกมาข้างหน้า และดึงเครื่องจักรที่เพิ่งส่งเสียงติ๊ดๆ เมื่อครู่ออกจากร่างศพ
และไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำได้อย่างไร แต่เครื่องจักรขนาดเล็กได้เริ่มถูกเปิดใช้งานอีกครั้ง
ต่อมา สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ก็ฉายกลายเป็นจอม่านแสงกระจ่างใสขึ้นต่อหน้าทุกคน
ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่พบหน้า กระทั่งถึงจุดสิ้นสุดที่กู่ฉิงซานสังหารสมาชิกแก๊งไปในดาบเดียว
ทุกคนเฝ้ารับชมกระบวนการทั้งหมดอย่างเงียบๆ
“ไอ้บ้า! ถึงพวกเราเพิ่งจะมาอยู่ในโลกเกรย์แฮนด์ได้ไม่นานก็จริง แต่พวกเราก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่เจ้าขยะนั่นจะสามารถมารังแกได้!” บางคนสบถด้วยความโกรธ
“ถูกต้อง!”
“มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้”
“ถ้าปล่อยไปสักสองสามวัน เรื่องที่พวกเราหลายคนถูกฆ่าตายก็คงจะแพร่งพรายออกไปโดยเจ้าหมอนั่น แบบนี้มันไม่ได้หมายความว่ากองกำลังของพวกเราจะถูกหัวเราะเยาะหรือ?”
“ใช่ ยอมไม่ได้!”
เห็นทุกคนตอบรับ บอสก็พยักหน้าด้วยความยินดี
เขากล่าวต่อ “เจ้าเด็กเปรตนั่น มันกำลังมุ่งหน้าไปยังตลาดมืด พวกเราจะไปจับตัวมัน แล้วก็ฆ่ามันซะ!”
“แต่สกิลดาบของมันแปลกประหลาดจริงๆ ขอให้ทุกคนระมัดระวังตัวกันด้วย”
“เอาล่ะ ตอนนี้ พวกเราก็มาช่วยกันเก็บซากศพกันก่อน แล้วค่อยเตรียมตัวไป!”
“รับทราบ!” ฝูงชนตะโกนตอบ
พวกเขารีบเก็บรวบรวมซากศพของสหายทันที
แมงป่องน้อยที่กำลังเฝ้าดูคนเหล่านั้น เมื่อเห็นซากศพอยู่เก็บมันก็ชะงักไป
‘(นั่นมันอาหารของฉันนะ!)’
แมงป่องน้อยวิ่งเข้าหากลุ่มคน ตะโกนใส่พวกเขา
การปรากฏตัวของมันได้ดึงดูดความสนใจของคนเหล่านั้นทันที
อันที่จริง มันเป็นเรื่องปกติที่จะพบสิ่งมีชีวิตอย่างแมงป่องในทะเลทราย
ดังนั้น ในตอนแรกทุกคนจึงเพิกเฉยต่อมัน
แต่ตอนนี้ เจ้าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ นี่ มันกลับกล้าที่จะหยุดทุกคนไม่ให้รวบรวมศพ
ดูเหมือนว่ามันอยากจะกินศพเพื่อนๆ ของเขาเป็นอาหารเย็นใช่ไหม?
‘แมงป่องสารเลวเอ๊ย!’
ชายที่อยู่ใกล้ที่สุด ก้าวออกมาข้างหน้า ง้างเท้ายกขึ้น เตรียมที่จะย่ำแมงป่องน้อยให้จมลงสู่ความตาย
แต่ทันทีที่ยกเท้าขึ้น ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ล้มลง
‘เอ๊ะ?’
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น’
คนอื่นๆ หันไปมอง และเริ่มตรวจสอบด้วยความระมัดระวังทันที
แต่เขาก็พบว่าชายคนนี้ได้ตายไปแล้ว
“ศัตรูลอบโจมตี!”
ชายคนหนึ่งบังเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง เขาตะโกนก้อง
หลายสิบคนได้สติกลับคืน เร่งชักอาวุธประจำกายของตนออกมา เตรียมพร้อมต่อสู้
พวกเขาหันไปมองรอบๆ อย่างระแวดระวัง
จากนั้น ทั้งหมดก็ล้มลงกับพื้น
พวกเขาขาดใจตายลงอย่างกะทันหัน ไม่มีหลงเหลือเลย
ในความว่างเปล่า สีเขียวขจีค่อยๆผุดออกมา
แสงสีเขียวนี้บินจากหลายสิบศพที่มาใหม่ และกลับมาตกลงบนต้นไม้อีกครั้ง
เวลานี้ ต้นไม้แลดูเปล่งประกายสดใสมากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อเห็นว่าผู้คนเหล่านี้ล้มเหลวในการแย่งอาหาร แถมยังกลับกลายเป็นอาหารซะเอง แมงป่องน้อยก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
มันส่งเสียงงึมงำๆ ไปทางต้นไม้ใหญ่
ต้นไม้ใหญ่ตอบกลับมา “ใช่ อาหารเย็นวันนี้อุดมสมบูรณ์จริงๆ และข้าคิดว่ามันน่าจะเพียงพอไปถึงวันพรุ่งนี้ เจ้าควรจะพอใจแล้วนะ ลูกชายของข้า”
แมงป่องน้อยพยักหน้า
“ก็ดี” ต้นไม้ใหญ่ถอนหายใจโล่งอก
พร้อมกันกับคำพูดของมัน ร่างศพทั้งหมดก็จมหายลงไปในผืนทราย
ผืนทรายอันกว้างใหญ่เริ่มเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เม็ดทรายกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง
พื้นดินสีดำเบื้องล่างขนาดใหญ่เท่าเมือง ค่อยๆยกตัวสูงขึ้น
พื้นดินสีดำนี้…
ไม่สิ นี่มันไม่ใช่พื้นดิน แต่เป็นผิวสีดำที่แข็งแกร่งและมีความทนทานสูงลิ่วต่างหาก!
ผิวอันแข็งแกร่งที่ปลดปล่อยกลิ่นอายความชั่วร้ายออกมาตามธรรมชาติ แผ่ขยายออกไปไกลสุดขอบฟ้า
แต่ในพริบตา ด้วยผิวที่สร้างขึ้นเองตามธรรมชาติอันโหดร้ายนี้ กลิ่นอายทั้งหมดพลันถูกสะกดข่มเอาไว้อย่างกะทันหัน ไม่เหลือทิ้งร่องรอยรั่วไหลใดๆ ออกมาอีกเลย
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ ร่างของมันก็ได้เปิดเผยออกจากทรายโดยสมบูรณ์
ปรากฏว่ามันคือแมงป่องดำที่มีขนาดตัวเทียบเท่าได้กับเมืองเมืองหนึ่ง!
ตลอดทั้งตัวของมันเป็นสีดำ แลดูน่าหวาดกลัวจนไม่อยากจะเชื่อ
แม้ว่ามันจะหมอบนิ่งๆ อย่างเงียบๆ มิได้เคลื่อนกายไปไหน แต่เชื่อเถอะว่า หากทุกคนได้มาเห็นมันกับตา ไม่ว่าใครหัวใจก็คงแทบจะหยุดเต้น
สถานที่เดียวของแมงป่องยักษ์ที่ไม่เป็นสีดำ แต่เป็นสีเขียวโดดเดี่ยวก็คือต้นไม้ใหญ่
เป็นต้นไม้ใหญ่ที่สามารถต้านทานแรงลมและทรายอันไร้ที่สิ้นสุด
ซึ่งเมื่อทุกอย่างปรากฏออกมาแล้ว คุณจะพบว่าแท้จริงมันไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดา แต่เป็นหางมฤตยูของแมงป่องต่างหาก!
ตลอดทั้งโลกที่ฟุ้งไปด้วยพายุทราย น่ากลัวว่าจะไม่มีอาวุธใด ร้ายแรงไปกว่าหางมฤตยูนี้อีกแล้ว!
“ไปเถอะ ได้เวลากลับบ้านแล้ว”
แมงป่องยักษ์ส่งเสียงหึ่งๆ
ซึ่งนี่เป็นเสียงเดียวกันกับต้นไม้ใหญ่ก่อนหน้านี้
แมงป่องน้อยส่งเสียงเล็กแหลมสองครั้ง ดูเหมือนว่ามันจะร้องขออะไรบางอย่าง
“ก็ได้ๆ เจ้าปีศาจน้อยโลภมากเอ๊ย ข้าจะให้เจ้าได้กินขนมขบเคี้ยวไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกัน” แมงป่องยักษ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เบื้องหลังมัน ปรากฏศพๆหนึ่งผุดขึ้นมา
แมงป่องน้อยค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง
และมันก็ค้นพบว่า นี่คือคนที่พยายามจะเหยียบมันในตอนแรก
แมงป่องน้อยปีนขึ้นไปบนใบหน้าของศพด้วยความพึงพอใจ
จากนั้นก็เริ่มกัดแทะ…
แมงป่องยักษ์เริ่มคืบคลานไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางผืนทราย
“ชายคนที่จากไปก่อนหน้านี้ เจ้ายังต้องการจะกินเขาอยู่อีกหรือไม่?” แมงป่องยักษ์เอ่ยถาม
แมงป่องน้อยกำลังวุ่นอยู่กับการกิน มันไม่ยอมตอบ แต่ยกหางชูขึ้นมาจากเบื้องหลัง และกวัดแกว่งซ้ายขวา สุดท้ายชี้ลงมายังอาหารที่อยู่เบื้องหน้าแทน
“อืม เจ้าทำถูกต้องแล้ว หากเป็นคนที่หยาบคายเหล่านี้เจ้าย่อมสามารถกินได้เต็มที่ เพราะพวกมันไม่มีประโยชน์อื่นใดอีกนอกจากกลายมาเป็นอาหาร” แมงป่องยักษ์แสดงท่าทีพอใจ
“จิ จิ?” แมงป่องน้อยถามด้วยความสงสัย
แมงป่องยักษ์สอนสั่งสายเลือดของตัวเอง “เหตุผลที่ความสุภาพเป็นสิ่งสำคัญ นั่นเพราะท่ามกลางสิ่งมีชีวิตนับร้อยล้านพันล้านอันน่าเกรงขาม มันล้วนเต็มไปด้วยปริศนาที่ไม่รู้จัก แต่หากเจ้าแสดงมารยาทที่ดีต่อพวกเขา ให้เหมาะสมเหมือนกันกับเจ้าหนุ่มคนนั้น เจ้าก็จะสามารถมีชีวิตรอด อายุยืนยาวต่อไปได้อย่างแน่นอน”
“จิ จิ?”
แมงป่องน้อยโต้กลับ เหมือนว่าจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
แล้วทั้งสองก็ค่อยๆ ไกลห่างออกไป
…
อีกด้านหนึ่ง
กู่ฉิงซานที่กำลังบินอยู่กลางอากาศจู่ๆก็ต้องลดระดับลงอย่างกะทันหัน
เขาไม่ลังเลเลยที่จะใช้ศิลาวิญญาณ จัดค่ายกลป้องกัน ค่ายกลแจ้งเตือน ค่ายกลปกปิด ค่ายกลโจมตี และค่ายกลกักวิญญาณ ซ้อนๆ ทับกัน
ซึ่งสิ่งที่ต้องแลกมา มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย
อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานจำเป็นต้องจ่ายศิลาวิญญาณเพื่อสิ่งเหล่านี้
เนื่องจากพลังวิญญาณของเขากำลังพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันเข้าสู่สภาวะที่มิอาจระงับข่มได้
หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ
หายนะจากโทษทัณฑ์ที่สองของเขา ได้สิ้นสุดลง
ณ เวลานี้ กู่ฉิงซานได้ยกระดับขึ้นมาอยู่ในขอบเขตพันวิบัติขั้นปลายเป็นที่เรียบร้อย!
………………………………….
“สำหรับท่าน” เขากล่าว
เม็ดทรายเริ่มแยกตัวออกจากกันเป็นหลุมลึก และขวดน้ำเต้าก็จมลงไปภายใน
“อา ขอบคุณเจ้ามากจริงๆ” ต้นไม้ใหญ่ตอบด้วยความสุข
“ด้วยความยินดี มันก็แค่ของเล็กๆ น้อยๆ ถือซะว่าเป็นการมอบมันให้แก่ท่านแลกกับสถานที่พักผ่อน” กู่ฉิงซานโบกมือ
ต้นไม้ใหญ่ “ข้ามิใช่โจร เจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจจนเกินไป เอาเป็นว่าข้าจะตอบแทนเจ้ากลับคืนก็แล้วกัน หวังว่าเจ้าจะไม่รังเกียจมันนะ”
เห็นแค่เพียงกิ่งก้านสีดำของต้นไม้ใหญ่ที่หักออก และตกลงข้างๆ กับกู่ฉิงซาน
“โปรดรับมันไว้ นี่คือความปรารถนาดีเล็กๆ น้อยๆ ของข้า” ต้นไม้ใหญ่กล่าว
กู่ฉิงซานก้มลงมองกิ่งไม้
‘ก็แล้วไอ้ของแบบนี้…มันจะเอาไปใช้ทำอะไรได้กัน?’
อย่างไรก็ตาม หากเขาไม่รับมันหรือแสดงท่าทีรังเกียจ มันจะไม่เป็นการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอับอายหรอกหรือ?
“ขอบพระคุณท่านมาก” เขากล่าว
“อืม” ต้นไม้ใหญ่รับคำ
หลังจากนั้น ไม่ว่าฝ่ายไหนก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก
หนึ่งมือจีบเข้าด้วยวิชาลับ ยกกิ่งไม้ลอยขึ้นมาในอากาศ และเก็บเข้าไปในถุงสัมภาระ
จากนั้น เขาก็หยิบฟูกออกมา นั่งลง และเริ่มพักผ่อนดื่มกิน
เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
สองชั่วยามต่อมา
กู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น ทั้งคนทั้งร่างสาดประกายสดใส
ทันใดนั้นเอง เขาก็ค้นพบว่า มีแมงป่องสีดำตัวเล็กกำลังยืนอยู่บนผืนทรายตรงหน้าเขา
แมงป่องดำเฝ้ามองดูเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อกู่ฉิงซานลืมตาขึ้น เขาก็ตกใจ
ส่วนแมงป่องมุดเข้าไปในทราย ซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เขาลุกขึ้นยืนและเตรียมที่จะจากไป
“ท่าน ผมคงต้องบอกลาแล้ว” เขาหันไปพูดกับต้นไม้ใหญ่
“เจ้าจะไปที่ใด?” ต้นไม้ใหญ่เอ่ยถาม
“ไปยังตลาดมืด ผมไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน เลยว่าจะลองดู” กู่ฉิงซานกล่าว
“โอ้ แล้วเจ้าจะไปที่นั่นทำไมกันล่ะ?” ต้นไม้ยังคงถามต่อ
“พอดีว่าผมต้องการที่จะเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับการรักษา เนื่องจากเพื่อนของผมได้รับบาดเจ็บสาหัส และตัวผมในตอนนี้ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย” กู่ฉิงซานพยายามสงบใจ
“รักษาสินะ…” ต้นไม้ใหญ่ถอนหายใจ “เกรงว่าหากเป็นเรื่องนั้นข้าคงไม่สามารถช่วยได้ แต่เจ้าเป็นคนหนุ่มที่มีจิตใจดีทีเดียว ดังนั้นจงก้าวต่อไปข้างหน้า อย่าได้ท้อถอย”
“ถ้าเช่นนั้นผมขอลาก่อน” กู่ฉิงซานประสานกำปั้น
ต้นไม้ใหญ่ “ลาก่อน”
กู่ฉิงซานทะยานตัวสูงขึ้น พุ่งไปบนท้องฟ้า
เขาออกจากพื้นที่ซึ่งไร้พายุทราย ที่ถูกปกคลุมอยู่รอบต้นไม้
ทันใดนั้นเอง พายุทรายอันไร้ที่สิ้นสุดก็โหมกระหน่ำเข้าใส่เขาอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็สังเกตเห็นว่ามีคนนับสิบปรากฏตัวขึ้นข้างๆ เขา
เมื่อกู่ฉิงซานเห็น อีกฝ่ายก็ย่อมที่จะมองเห็นเขาเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายกำลังมุ่งตรงไปยังทิศทางเดียวกัน
‘ดูเหมือนว่าเจ้าพวกนั้นก็กำลังจะตรงไปยังตลาดมืดเหมือนกัน’
กู่ฉิงซานคิดอย่างเงียบๆ และตัดสินใจลดความเร็วลง เพื่อให้อีกฝ่ายจากไปก่อน
หนึ่งเพราะอีกฝ่ายมีหลายคน สองเพราะเขาไม่ต้องการที่จะปะทะกันแล้วเกิดปัญหา สามคือหยุนจียังคงบาดเจ็บสาหัส กู่ฉิงซานจำเป็นต้องใช้สมาธิเกี่ยวกับเรื่องนี้ และหาวิธีช่วยเหลือเธอให้เร็วที่สุด
อีกกลุ่มหนึ่ง เพื่อเห็นท่าทีของกู่ฉิงซาน พวกเขาก็แสดงท่าทีพอใจออกมา
และเริ่มหันไปมองหน้ากันและกัน
ชายคนหนึ่งยกมือขึ้น และเลื่อนเล็กน้อยไปยังทิศทางของกู่ฉิงซาน
โดยมือข้างนั้นของเขา มีนาฬิกาข้อมือสวมใส่อยู่
ก้มลงมองไปยังบางสิ่งบางอย่างที่ปรากฏขึ้นบน ‘นาฬิกาข้อมือ’ ชายคนนั้นก็เริ่มรายงานอะไรบางอย่างแก่เพื่อนๆในกลุ่มของเขาทันที
พอได้ฟัง ท่าทีของคนในกลุ่มก็ผ่อนคลายลง
ชายที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำขบคิดเล็กน้อย และกล่าวอะไรบางอย่างกลับฝูงชน
ในเวลาเดียวกัน สัญญาณเตือนก็เริ่มร้องดังขึ้นในหัวใจของกู่ฉิงซาน
จู่ๆก็ฉิงซานก็เข้าใจได้ในทันที
นี่คือโทษทัณฑ์!
หายนะอีกครั้งที่สองได้มาเยือนเขาแล้ว!
หายนะนี้คืบคลานเข้ามาอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งในวินาทีสุดท้าย มันจึงปะทุออกมา เป็นการจู่โจมอย่างกะทันหัน
ยังไม่ทันได้มีเวลาป้องกัน…
ตูม!
กู่ฉิงซานหลบเลี่ยงเจ็ดแปดการโจมตี แต่ในการโจมตีสุดท้ายเขาก็ถูกมันซัดเข้าใส่เต็มรัก ทั้งคนทั้งร่างกระเด็นกระดอนกลับไป
กู่ฉิงซานร่วงตกจากฟ้าเป็นเส้นโค้ง กระเด็นลอยกลับไปทางเหนือต้นไม้ใหญ่
ตูม!
เขาตกลงกระแทกกับพื้น แรงปะทะมหาศาลก่อให้เกิดหลุมทรายขนาดใหญ่ กระทั่งพื้นดินสีดำที่ซ่อนอยู่เบื้องล่างก็ปรากฏต่อหน้าเขา
กู่ฉิงซานสะบัดหัวและบินขึ้นไปอีกครั้ง
มันเป็นอุบัติเหตุไม่คาดฝัน กระทั่งเจตนาฆ่าของอีกฝ่ายก็เพิ่งปะทุออกมา
นับว่าโชคยังดีบนร่างเขาสวมใส่เกราะรบนายพลชั้นเฉินเว่ยอยู่ มันเลยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก
ทว่าก็ยังปรากฏรอยร้าวเล็กๆ ขึ้นบนชุดเกราะ
กู่ฉิงซานทะยานตัวสูงขึ้น หยิบธนูเย่หยูออกมาทันที
คนร้ายนับสิบได้บินตรงเข้ามา
พวกเขาชะงักไปกลางอากาศ สายตาจับจ้องกู่ฉิงซาน ปากหัวเราะคิกคัก
“พี่ชายซี ดูเหมือนว่าเจ้าหมอนั่นมันจะเป็นนักธนูนะ ดูก็รู้ว่าคู่ต่อสู้อ่อนแอเกินไป ฉันกลัวว่าเขาจะไม่มีสมบัติอะไร” คนหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ยุงแม้จะตัวเล็ก แต่มันก็ยังมีเนื้อ ถ้าเจอมัน ก็สมควรที่จะฆ่าทิ้งซะ”
ชายที่ทุกคนเรียกกันว่าพี่ชายซีกล่าวอย่างไม่แยแส
ชายอ้วนที่ดูแข็งแกร่งกล่าว “มันเป็นนักธนู พวกเราไม่ต้องลงมือกันทีเดียวทั้งหมดก็ได้ แค่คนเดียวก็พอแล้ว”
กู่ฉิงซานแม้จะอยู่ไกล แต่ก็ยังพอจับใจความได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
ดังนั้นเจ้าตัวจึงไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้ว
พวกคนแบบนี้จำเป็นต้องฆ่าเท่านั้น
ในเวลาเดียวกัน ชายอีกคนก็ชักมีดสั้นออกมาและกล่าว “ใครก็ตามที่ฆ่ามันได้คนแรก คนคนนั้นก็จะมีสิทธิ์เลือกขอ”
ปุ!
ยังไม่ทันจะได้เอ่ยจนจบประโยค ชายมีดสั้นก็ถูกศรของกู่ฉิงซานยิงทะเลเข้าหัว
หมอกเลือดสายกระจายไปทั่ว
สีหน้าทุกคนแปรเปลี่ยนกลับกลาย
“ระยำเถอะ! ไอ้บ้านั่นมันฝีมือธนูไม่เลวเลย พวกเราคงต้องร่วมมือกันแล้ว!” พี่ชายซีตะโกน
หลายสิบคนชักอาวุธประจำกายของพวกเขาออกมา และวิ่งเข้าหากู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานบินถอยหลังกลับ ขณะเดียวกันมือก็เอื้อมไปคว้าลูกศรเบื้องหลัง
ฟิ้ว!
ระบำผันผวน!
ศรห้าดอกกลายเป็นภาพติดตา เลี้ยวลดโค้งงอ ระเบิดเข้าไปกลางฝูงชน ม้วนเข้าแทงไปสองคน ตกตายทันที!
พี่ชายซีเห็นแบบนั้นก็โกรธเกรี้ยว
ครั้งนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะเชื่อมั่นในการคำนวณจากเครื่องมือมากเกินไป ดังนั้นจึงถูกโจมตีสวนกลับโดยอีกฝ่าย
“บ้าจริง! ทักษะธนูของมันทรงพลังเกินกว่าที่เครื่องคำนวณระบุเอาไว้ พวกเราต้องเข้าไปประชิดตัวมันทันที!”
แต่น่าเสียดาย
เพราะถ้าพวกมันยังเข้าใจ กู่ฉิงซานแน่นอนว่าย่อมเข้าใจเช่นกัน เขาหลบหนีอย่างรวดเร็วด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว จนคนเหล่านั้นไม่สามารถไล่ตามทันได้
อีกหนึ่งลมหายใจผ่านพ้นไป
ชายอีกคนหนึ่งก็ถูกยิงเข้าที่แขนโดยกู่ฉิงซาน
และเขาคือชายอ้วนที่ดูแข็งแกร่งนั่นเอง
หนึ่งมือกระชากลูกศรออกอย่างแรง ปากอ้าตะโกนเรียกคนรอบกายด้วยความโกรธ “พวกแกทั้งหมดมาที่นี่!”
ผู้คนพอได้ยินเสียงคำรามของเขา ก็วูบกายกลับมารายล้อมรอบตัวชายอ้วนทันที
ชายอ้วนกัดฟัน จ้องมองกู่ฉิงซาน และกล่าวกับฝูงชน “ฉันจะลงทุนใช้ไพ่ตาย เพราะฉะนั้นชีวิตและสมบัติทุกอย่างของไอ้บ้านั่นต้องตกเป็นของฉัน!”
“เข้าใจแล้ว!” ฝูงชนพยักหน้า
ชายอ้วนลูบไล้แหวนบนนิ้วของเขา และเปิดใช้งานเทคนิคมนตราบนแหวน ‘เคลื่อนย้ายมิติโกลาหล’ ทันที!
เคลื่อนย้ายมิติโกลาหล เป็นสกิลมิติ เป็นเทคนิคมนตรา ที่จะสามารถนำพาพวกเดียวกันที่อยู่ในรัศมี 10 เมตรรอบตัวตัดผ่านอุปสรรค แล้วไปปรากฏตัวในตำแหน่งรัศมีหนึ่งกิโลเมตร ล้อมรอบศัตรูได้เลยโดยตรง
คนทั้งหมดหายวับไป
พวกเขาปรากฏตัวขึ้นรอบกายกู่ฉิงซาน ปิดล้อมทิศทางเขาโดยสมบูรณ์
สำหรับนักธนู การที่พวกเขาวางกลยุทธ์ปิดล้อมแบบนี้นับว่าถูกต้องแล้ว
เพราะอาชีพโจมตีระยะไกล ย่อมไม่สามารถหลบหนีจากการโอบล้อมระยะใกล้เช่นนี้ได้
“ไอ้หนู” ชายอ้วนบึกบึนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วิชาธนูน่ะมันเป็นทักษะเอาไว้ให้พวกผู้หญิงเขาเล่นกัน ตอนนี้แกหนีไม่พ้นแล้ว”
จู่ๆ คนทั้งหมดก็เข้ามาในระยะประชิด ทำเอากู่ฉิงซานต้องเผยท่าทีแปลกๆ ออกมา
แต่เขามิได้เอ่ยสิ่งใด
ธนูยาวและลูกศรหายวับไปทันที
แต่กลับปรากฏกระแสแสงเย็นเยียบตัดผ่านท้องฟ้า พร้อมกับคมกล้าจากแสงจันทร์สีนวลสว่างไสว ร่ายรำขึ้นในอากาศขึ้นแทนที่
เทคนิคลับแห่งดาบ ล่าชีพ!
พลังศักดิ์สิทธิ์ ตัดขาดการเชื่อมต่อ!
เทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา รูปแบบฟันต่อเนื่อง!
ทุกคนที่เสนอหน้าเข้ามาใกล้ยืนแข็งค้างในสถานที่เดียวกัน ทั้งหมดถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ถูกแรงอัดอากาศจากสกิลดาบระเบิดปลิวกระจัดกระจาย ว่อนไปทั่วต้นไม้ใหญ่
กู่ฉิงซานค่อยๆเก็บดาบกลับคืนอย่างช้าๆ
เขาก้มลงมองหยดเลือดบนทรายสีเหลืองนวล ปากอ้าถอนหายใจ
“โทษทีฉันลืมบอกไป ธนูน่ะมันแค่การอุ่นเครื่อง อันที่จริงแล้วฉันใช้ดาบในการฆ่าคนเป็นหลักต่างหาก”
………………………………….
กู่ฉิงซานอยู่ในจุดเดิม นิ่งงันไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะจีบมือออกด้วยวิชาลับ รวบรวมทรายสีเหลืองนวลรอบๆ นำมาปกคลุมผลึกน้ำแข็งอีกครั้ง
จากนั้นก็ตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา
สองมือของกู่ฉิงซานพรมลงบนดิสก์อย่างรวดเร็ว
ไม่นาน แสงสวรรค์ก็สาดส่องออกมาจากดิสก์ค่ายกล
โดยมีผลึกน้ำแข็งถูกตั้งไว้อยู่ในใจกลางค่ายกลปกปิดขนาดใหญ่ ซ้อนทับๆ กันหลายชั้น
กู่ฉิงซานคิดอยู่พักหนึ่ง และตัดสินใจวางค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดเล็กเพิ่มเข้าไปด้วย เพื่อที่เขาจะสามารถเดินทางมาที่นี่ได้ แม้จะอยู่ในอีกซีกหนึ่งของโลกใบนี้ก็ตามที
หลังจากทำทั้งหมดนี้ เขาก็เก็บดิสก์ค่ายกลกลับคืน
ก็รู้อยู่หรอก ว่าค่ายกลพวกนี้มันอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก แต่จะดีจะร้าย ด้วยค่ายกลปกปิดกว่าสิบเจ็ดค่ายซ้อนทับๆ กัน มันก็น่าจะสามารถกลบกลิ่นอายอำนาจเทวะที่ผุดออกมาจากผลึกน้ำแข็งได้สักเล็กน้อย
จากนี้ไป ที่ต้องทำก็คือหาวิธีในการรักษาหยุนจี
ตามความทรงจำของวังเฉิง ที่นี่คือโลกของเกรย์แฮนด์ แถมยังเป็นตลาดมืดลำดับที่สิบเอ็ดในดินแดนชิงอำนาจอีกด้วย
ถึงแม้ว่าวังเฉิงจะอยู่ในยานอวกาศมาเกือบครึ่งชีวิต และไม่มีความรู้ความสามารถในการหาเงินได้เยอะๆ ก็ตามที แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าตลาดมืดน่ะ มันเจริญรุ่งเรืองขนาดไหน และมีสิ่งแปลกประหลาดมากมายเพียงใดอยู่ในนั้น
ตลอดทั้งสองร้อยล้านชั้นในดินแดนชิงอำนาจ ได้ถือกำเนิดอารยธรรมที่แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนขึ้น นอกจากนี้ยังมีความหลากหลายทางทรัพยากร และสมบัติแปลกๆ ปรากฏขึ้นมาอีกมากมาย
และสถานที่อย่างเช่นตลาดมืด มันไม่ได้มีการจัดเก็บภาษี ขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะอารยธรรม หรือธุรกรรมใดๆ ที่อยู่ที่นี่ ทั้งหมดจะได้รับการคุ้มครองจากเจ้าของตลาดมืด
เจ้าของตลาดมืดล้วนใหญ่ล้วนเฉลียวฉลาด พวกเขามักจะคิดค่าบริการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เอง ทุกชีวิตที่เข้ามาเยือนจึงประทับใจกับผลกำไรที่ตนเองได้รับ เกิดการบอกปากต่อปาก จนกระแสผู้คนหลั่งไหลเข้ามา
ในตลาดมืดอาจจะมีความรู้หรือข้อมูลบางอย่างที่สามารถช่วยให้กู่ฉิงซาน สามารถเรียนรู้วิธีการรักษาตัวตนระดับจ้าววงการอยู่ก็ได้
ดังนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดของเขาก็คือ การตรงไปยังตลาดมืด
นึกถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ลังเลอีกต่อไป
เขาหยิบเอาเม็ดยาวิญญาณออกมา โยนเข้าใส่ปาก
โลกใบนี้ค่อนข้างกว้างใหญ่ แม้ตนจะมีฐานวรยุทธ์ในขอบเขตพันวิบัติขั้นกลางแล้วก็ตามที แต่การเดินทางไปยังตลาดมืดคงจะยาวนานและยากลำบากไม่น้อย
เอาล่ะ เท่านี้ทุกอย่างก็เตรียมพร้อมแล้ว
กู่ฉิงซานทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นกระแสแสง พุ่งหายไปยังทิศทางหนึ่งไกลออกไป
…
ภายในโลกเกรย์แฮนด์
เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า
เม็ดทรายและฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว
โลกทั้งใบราวกับถูกดูดเข้าไปท่ามกลางพายุทราย
ทว่าบางครั้ง ก็ยังปรากฏสถานที่อันหาได้ยากยิ่ง สถานที่ซึ่งมีพลังปริศนาคอยคุ้มครอง ป้องกันมิให้เศษฝุ่นทรายปลิวเข้าไปได้อยู่
กู่ฉิงซานบินมาทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า
ช่วงเวลานี้ แดดบนท้องฟ้านับว่าร้อนแรงที่สุดของวัน
มันคือช่วงเวลาเที่ยง
เหนือพายุทรายอันไร้ขอบเขต เจ็ดดวงอาทิตย์ร้อยเรียงกันเป็นทิวแถว สาดแสงอันร้อนแรงออกมา
ทุกอย่างแทบจะไหม้เกรียม
หากกู่ฉิงซานไม่ได้ใช้พลังวิญญาณปกป้องร่างกายตนเองเอาไว้ล่ะก็ เขารู้สึกว่าตัวเองคงจะถูกย่างจนสุกไปแล้ว
จากความทรงจำของวังเฉิง โลกใบนี้ใกล้จะล่มสลายลงแล้ว
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของวังเฉิงอยู่ในระดับต่ำ ประจวบกับสถานะของเขา จึงยังมีอีกหลายสิ่งในโลกใบนี้ที่เจ้าตัวไม่อาจล่วงรู้
กู่ฉิงซานรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ข้อมูลมันน้อยเกินไป ไม่เอื้อต่อการตระเตรียมกลยุทธ์ล่วงหน้าของเขาเอาเสียเลย
เขารู้สึกว่าตนเองได้สูญเสียพลังวิญญาณไปมากพอสมควรแล้ว จึงก้มลงมองหาจุดพักบนพื้นทราย
พายุทรายปกคลุมไปทั่วฟ้า บดบังวิสัยทัศน์ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้อย่างชัดเจน
เขาจึงตัดสินใจปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ ทำการตรวจสอบ ค้นหาสถานที่ซึ่งอยู่ภายใต้พายุทรายโดยละเอียดอีกครั้ง
เบื้องล่างของพายุทรายก็ยังคงเป็นผืนทราย
ภายใต้ผืนทราย ปรากฏถึงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน แต่ที่สะดุดตาที่สุดคงจะเป็น
ต้นไม้สีเขียวชอุ่มขนาดใหญ่
มันคือต้นไม้ที่ผุดงอกออกมาจากเนินทราย กำลังเปล่งประกายสีเขียวอ่อน กระจายไปตามพายุทรายที่อยู่รอบตัวมัน
บริเวณใกล้เคียงกับต้นไม้ใหญ่ไร้ซึ่งพายุทราย แสงระยิบระยับสีเขียวช่วยให้แลดูสงบ มันเต็มไปด้วยพลัง ส่งผลให้เกิดโลกอันแสนจะเงียบสงบใบเล็กขึ้นที่นั่น
กู่ฉิงซานไม่ลังเลเลยที่จะบินลงไป
หลังจากฟันฝ่าพายุทรายมาเป็นเวลานาน พละกำลังกายของเขาก็เริ่มจะไม่เพียงพอ และต้องการที่จะพักผ่อน หยุดเพื่อหาอะไรกินสักเล็กน้อย
เขาร่อนลงเบื้องหน้าต้นไม้ใหญ่ กวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ
และพบว่าแถวนี้มันไม่มีอะไรเลย
กู่ฉิงซานเดินไปหยุดหน้าต้นไม้ใหญ่ โค้งกายคารวะ กล่าวทักทายอย่างเป็นจริงเป็นจัง “ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ แค่รู้สึกเหนื่อยกับการเดินทาง เลยอยากจะขอมาพักผ่อนที่นี่สักครู่”
เขาตบลงในถุงสัมภาระ หยิบขวดน้ำเต้าที่บรรจุน้ำแร่วิญญาณออกมา แล้วเทลงบนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่
นี่คือหลักปฏิบัติที่กู่ฉิงซานคิดว่าสมควรจะกระทำ
เพราะการที่ท่ามกลางทะเลทราย การจะปรากฏถึงพืชพรรณเขียวชอุ่มขึ้น มันเป็นไปได้ยากมาก
นั่นแสดงว่าต้นไม้ต้นนี้ต้องมีพลัง มีชีวิตและสติปัญญา
และด้วยการเทน้ำพุวิญญาณให้แก่มัน มันก็ย่อมจะต้องตอบสนองกลับมาด้วยท่าทีน่าพอใจ
กู่ฉิงซานได้รับความทรงจำของวังเฉิง
แม้ว่าวังเฉิงจะเป็นแค่คนเก็บซากยาน ไม่ได้มีระดับสูงอะไร แต่อย่างน้อยเจ้าตัวก็ยังเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ามีประเภทของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน อยู่ในดินแดนชิงอำนาจ
กู่ฉิงซานพยายามคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับเรื่องนี้
ต่อจากนี้ไปในอนาคต ตนเองคงจะต้องเดินทางอีกยาวไกลในดินแดนชิงอำนาจ
ดังนั้น หมายความว่าหากเหยียบย่ำลงบนสถานที่ไม่คุ้นเคย มันก็ย่อมต้องเป็นการดึงดูดความสนใจจากสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในกรณีนี้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือการแสดงออกถึงเจตนาและทัศนคติที่ดีให้แก่มัน
แม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายที่สุด ก็จำต้องแสดงออกถึงเจตนาดี นี่คือหนึ่งในขั้นพื้นฐานที่สุดในการเอาชีวิตรอด
แน่นอน ว่าวิธีการที่รุนแรงยิ่งกว่า ย่อมไม่พ้นการต่อสู้
แต่หลังจากที่ได้ประสบพบเจอกับร่างมนุษย์แสง กู่ฉิงซานก็รู้สึกว่าเขาจะต้องไม่ประมาทต่อภูมิปัญญาของเหล่าสิ่งมีชีวิตใดๆ
เนื่องจากร่างของมนุษย์แสงได้ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าสิ่งมีชีวิตนับพันล้าน กระทั่งมอนสเตอร์มิติมันก็ยังเลือกที่จะปรากฏตัวขึ้น
ซึ่งนั่นสามารถพิสูจน์ได้ถึงสิ่งหนึ่ง
นั่นก็คือ เจ็ดเทพต่างเชื่อกันว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในดินแดนชิงอำนาจล้วนมีสติปัญญา และสามารถก้าวขึ้นมาเดินบนเส้นทางแห่งทวยเทพได้
คล้ายกับกำลังจะสื่อกลายๆ ว่าทุกสิ่งมีชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน
ดังนั้น หากสิ่งมีชีวิตทุกคนได้รับการปฏิบัติราวกับมีสติปัญญาเท่าเทียมกัน ดังนั้น เมื่อกู่ฉิงซานเข้าสู่อาณาเขตของคนอื่น เขาจึงจำเป็นต้องแสดงทัศนคติดีๆ ออกไป
ไม่มีใครหรอก ที่จะยินดีต้อนรับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก ให้เดินเข้ามาในบ้านของตัวเอง
แต่ถ้าหากคนแปลกหน้ามาด้วยอัธยาศัยที่ดีมันก็อีกเรื่องหนึ่ง
นี่คือมุมมอง และข้อสรุปแรกที่กู่ฉิงซานมีต่อดินแดนชิงอำนาจ
ด้วยเหตุนี้เอง กู่ฉิงซานจึงเลือกแสดงออกถึงเจตนาดี และมอบของขวัญให้แก่ต้นไม้ใหญ่ทันทีที่เข้าก้าวเข้ามาในอาณาเขตของมัน
เห็นแค่เพียงน้ำแร่วิญญาณที่ถูกเทลงบนกิ่งก้านต้นไม้ ไม่นานก็ถูกดูดซึมลงไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเอง เสียงกระหึ่มก็ดังตามออกมาจากต้นไม้
“ข้าไม่ได้ดื่มน้ำแร่ที่มีรสชาติเช่นนี้มานานมากแล้ว หากมอบมันให้ข้าอีกสักหน่อย จะรู้สึกขอบคุณมาก”
กู่ฉิงซานแหงนหน้ามองต้นไม้ใหญ่ด้วยความประหลาดใจ
เขาหยิบน้ำเต้าอีกอันออกมา และราดลงบนต้นไม้
น้ำแร่ใสสะอาดทั้งหมดถูกดูดซึมจนเกลี้ยงทันที
“อา…”
ต้นไม้ระบายลมหายใจด้วยความพอใจ
มันกล่าวต่อ “ผู้เดินทางไกลเอ๋ย น้ำแร่ของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกพึงพอใจยิ่ง ดังนั้นเจ้าสามารถพักผ่อนที่นี่ได้ตามต้องการ”
‘หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ ก่อนหน้านี้ฉันยังไม่ได้อนุญาตให้พักอยู่ที่นี่อย่างนั้นสินะ’
กู่ฉิงซานเข้าใจในทันที
ดูเหมือนว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันจะถูกต้องแล้ว
เขาประสานสองกำปั้นและกล่าว “ขอบคุณท่านมาก”
“ด้วยความยินดี แต่หากเป็นไปได้ ข้าขอแร่ที่ยังอยู่ในขวดน้ำเต้าจะได้หรือไม่” ต้นไม้ใหญ่กล่าว น้ำเสียงของมันฟังดูเก้อเขินกับสิ่งที่ตนขออยู่เหมือนกัน “แต่คราวนี้ไม่ต้องเทนะ เพราะลูกของข้ากำลังจะกลับมา ข้าจะเก็บเอาไว้ให้มัน บางทีมันอาจจะชื่นชอบน้ำแร่นี้ก็ได้”
กู่ฉิงซานยิ้ม
ทั่วบริเวณแห่งนี้คือทะเลทราย ดังนั้นจึงยากนักที่จะได้พบเจอกับน้ำดีๆ
อีกอย่าง ว่ากันว่าโลกใบนี้เกือบจะล่มสลายลงแล้ว
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมน้ำแร่วิญญาณถึงได้รับความสนใจในที่แห่งนี้
สำหรับกู่ฉิงซาน มันก็แค่น้ำแร่ ดังนั้นจะให้เพิ่มมากกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงไม่เป็นอะไร
กู่ฉิงซานหยิบขวดน้ำเต้าเพิ่มอีกหนึ่ง แล้ววางมันลงบนพื้นข้างๆ ต้นไม่ใหญ่
…………………………………………………
รอบๆ ผลึกน้ำแข็ง บางครั้งก็มีลวดลายของอำนาจเทวะ ปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งคราว
ภายในผลึกน้ำแข็ง หยุนจีสิ้นสติไปแล้ว ไม่สามารถสื่อสารใดๆ กับกู่ฉิงซานได้อีก
ทว่าเมื่อกู่ฉิงซานมาหยุดยืนต่อหน้าผลึกน้ำแข็ง เทคนิคมนตราที่เธอจัดตั้งไว้ล่วงหน้าก็สำแดงผล
แสงสีดำส่องสว่างระยิบระยับออกมาจากหว่างคิ้วของหยุนจี ผลุบออกมาจากผลึกน้ำแข็ง ตกลงเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานคิดเล็กน้อย ตัดสินใจเอื้อมมือไปคว้าจับมัน
ทันใดนั้นแสงสีดำก็ผลุบหายเข้าไปในมือของเขา เคลื่อนไหวไปตามแขน สุดท้ายจมลงในทะเลแห่งห้วงสติ
เสียงของหยุนจีดังขึ้นในหูของเขา
“กู่ฉิงซาน ฉันกำลังจะหมดสติลง แต่ฉันได้บันทึกทุกอย่างก่อนหน้านี้เอาไว้หมดแล้ว ดังนั้น ถ้านายมาถึงที่นี่ ไม่ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วก็ตาม นายก็จะสามารถรับรู้เรื่องราวทั้งหมดได้อยู่ดี”
เสียงค่อยๆ จางหายไป
ภาพอันคมชัดปรากฏขึ้นในทะเลแห่งห้วงสติของกู่ฉิงซาน
มันคือภาพที่เกิดขึ้นหลังจากเขาและหนิงเยว่ฉานออกจากสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น
เซี่ยเต๋าหลิงรับเอาตุ๊กตาผ้าของหยุนจีมา และกลายเป็นสาวโลลิ
เธอดูเหมือนจะยินยอมรับฟังคำแนะนำ และเลือกที่จะอยู่ในโลกของตัวเอง ตัดสินใจไม่ก้าวสู่ภายนอก
เรื่องราวต่อมา หยุนจี เฉินหวาง และตัวตนทรงอำนาจคนอื่นๆ ได้เข้าร่วมการประชุมระดับสูงของสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น
ในการประชุม บางคนก็สนับสนุนหอคอยสูง บางคนก็สนับสนุนให้รอดูสถานการณ์ก่อนจะดีกว่า บางคนก็บอกให้ไปดักโจมตีหยั่งเชิงมันก่อนจะถึงที่หมาย และบางคนก็สนับสนุนว่าพวกเขาสมควรที่จะล่าถอยทันทีเพราะไม่อยากเผชิญชะตากรรมเดียวกันกับปืนกลมือ
หลังจากลงคะแนนเสียง สหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้นก็ได้ข้อสรุปว่า จะส่งทีมต่อสู้ที่นำโดยท่านหญิงแบล็กซีออกไป
จากนั้น สงครามอันน่าสลดใจก็บังเกิดขึ้น
สถานการณ์สงครามเอนเอียงไปในทิศทางเดียว
ไม่มีใครสามารถทำอะไรกับมอนสเตอร์ประหลาดของสถาบันเทพได้
เมื่อมันเริ่มดูดวิญญาณ มันก็ทำลายหอคอยแห่งความรู้ทันที พันธมิตรทางฝั่งโลกเก้าร้อยล้านชั้นเริ่มจะล่มสลาย
สงครามกำลังจะมาถึงจุดสิ้นสุด
หยุนจี เฉินหวาง และคนอื่นๆ กำลังจะตาย แต่ในช่วงเวลาวิกฤติยิ่ง ทั้งหมดก็ได้รับความช่วยเหลือจากท่านหญิงแบล็กซี
ท่านหญิงแบล็กซีได้ขัดจังหวะการดูดกลืนดวงวิญญาณของมอนสเตอร์ประหลาด และส่งจ้าววงการที่ยังรอดชีวิตทั้งหมดเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจ
แล้วภาพก็สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้
กู่ฉิงซานหลับตาลง เฝ้าดูและกลั่นกรองกระบวนการทั้งหมด
ในตอนแรก เมื่อเซี่ยเต๋าหลิงกลายเป็นสาวโลลิ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอยู่หรอก
แต่ทันทีที่ภาพมันเปลี่ยนไปเป็นฉากสงคราม อารมณ์ของเขาก็ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว มันมืดมนลง หนักอึ้งขึ้น
มอนสเตอร์ตัวนั้นแปลกประหลาดมากเกินไป
ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีประเภทใด ก็ไม่สามารถทำอันตรายต่อมันได้เลย
กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น ดวงตาจ้องมองเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย ตกอยู่ในภวังค์สมาธิ
“แบล็กซี…หวังว่าคุณจะรอดชีวิตไปได้นะ…”
เขาพึมพำเบาๆ
ท้ายที่สุดนี้ หากอิงตามคำอธิบายของฉานนู่ ในช่วงเวลาคัดเลือกหน้าใหม่ ท่านหญิงได้เคยพูดอะไรบางอย่างกับตัวเขา
บางที…เธอกับเขาอาจจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกันใช่หรือไม่?
แต่น่าเสียดาย ที่ตอนนี้เขาไม่สามารถไปพบเธอ
ระดับของการต่อสู้ มันเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของกู่ฉิงซาน
จากภาพสุดท้าย เหมือนว่าจะไม่มีใครสามารถช่วยเหลือท่านหญิงแบล็กซีได้
กู่ฉิงซานไม่อาจข่มใจคิดไปถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
แต่สำหรับกู่ฉิงซาน เรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาก็คือ…
ท่านอาจารย์ได้ออกไปจากโลกเก้าร้อยล้านชั้นแล้ว เธอถูกส่งกลับไปยังโลกกระจัดกระจาย และไม่น่าจะออกไปไหนอีกสักพัก
เมื่อกู่ฉิงซานคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณหยุนจี
ท่านหญิงแบล็กซีน่ะไม่สามารถหยุดยั้งมอนสเตอร์ประหลาดตัวนี้
ในบรรดาสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น แม้ว่าผู้เข้าร่วมสงครามบางคนจะทรงพลังเช่นเดียวกันท่านหญิงแบล็กซี หรืออาจเรียกได้ว่าสามารถยืนอยู่ในจุดสูงสุดเช่นเดียวกันก็ตาม แต่กู่ฉิงซานเกรงว่าทั้งหมดจะอยู่ในสภาพเดียวกันกับท่านหญิงแบล็กซี นั่นคือไม่อาจต้านทานเจ้ามอนสเตอร์ได้
หลังจากสงครามในครั้งนี้ สหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้นคงจะล่มสลาย ที่เหลือรอดคงถอนตัวกันออกไปอย่างรวดเร็ว
มันเป็นเรื่องน่าขันจริงๆ ทั้งที่เดิมที โลกไม่ปลอดภัยสมควรจะเป็นโลกกระจัดกระจาย แต่เวลานี้มันดันปลอดภัยยิ่งกว่าในโลกเก้าล้านชั้นซะอีก
สรุปได้ว่าท่านอาจารย์ไม่น่าจะได้รับอันตรายใดๆ
ดังนั้นตอนนี้…
กู่ฉิงซานเพ่งมองผลึกน้ำแข็ง และค่อยๆ เอื้อมมือออกไป
เขาวางมือตนลงบนผิวผลึกน้ำแข็ง
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ไอเท็ม ผลึกน้ำแข็งอำนาจเทวะ”
“คำอธิบาย นี่คือผลึกน้ำแข็งแห่งกฎเกณฑ์ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของอำนาจเทวะ”
“พงศาวดารวันสิ้นโลก ผลึกน้ำแข็งประกอบไปด้วยอำนาจเทวะ ซึ่งเป็นเทคนิคลับของทวยเทพ ในครั้งอดีตมันเคยปรากฏขึ้นมาอยู่หลายครั้ง โดยมีหน้าที่ปกป้องทุกสรรพชีวิตในช่วงเวลาสำคัญ”
“หากคุณต้องการดูเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับมัน โปรดจ่ายหนึ่งพันแต้มพลังวิญญาณ”
เส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้น แล้วก็หยุดกึกลง
จากนั้น ในส่วนแถบด้านล่างของหน้าต่างเทพสงคราม ตรงปุ่มฟังก์ชัน ทุกอย่างล้วนเป็นสีเทาดำทั้งหมด
ยกเว้นก็แต่ตรง ‘วิชายุทธ์เทพสงคราม’ ที่กำลังส่องสว่าง
มันเปล่งประกายสุกใส และค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากเบื้องล่าง มาหยุดลงใจกลางหน้าต่างระบบเทพสงครามในที่สุด
เสียงจักรกลอันเย็นเยียบของระบบเทพสงครามดังขึ้น
“ค้นพบเทคนิคลับของเทพวิญญาณ”
“ตัวเลือกพิเศษได้ปรากฏขึ้น”
“ระบบขอร้องถามดังต่อไปนี้”
“ฉันขอถามว่าคุณต้องการที่จะอัปเกรดฟังก์ชันวิชายุทธ์เทพสงคราม เพื่อขยายขอบเขตในการเรียนรู้ของมัน ให้ครอบคลุมไปถึงระดับที่สามารถเรียนรู้สกิลของเทพวิญญาณหรือไม่?”
กู่ฉิงซานกล่าวทันที “แน่นอน”
“ระบบยอมรับความประสงค์ของคุณแล้ว และจะทำการอัปเกรดวิชายุทธ์เทพสงคราม เพื่อให้คุณสามารถเรียนรู้สกิลของทวยเทพได้”
“ตอนนี้ โปรดเตรียมหนึ่งล้านแต้มพลังวิญญาณ เพื่อทำการอัปเกรดวิชายุทธ์เทพสงครามให้สมบูรณ์ด้วย”
หนึ่งล้านแต้มพลังวิญญาณ!
กู่ฉิงซานสูดลมหายใจลึก
ตอนนี้เขามีแค่เจ็ดหมื่นสามพันแต้มพลังวิญญาณเอง
เดิมที เขามั่นใจว่าแต้มพลังวิญญาณเท่านี้ ก็น่าจะเพียงพอต่อการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆแล้ว
แต่ใครจะไปคาดคิด ว่าหากเขาต้องการที่จะเรียนรู้สกิลของเหล่าทวยเทพ จำเป็นต้องใช้แต้มพลังวิญญาณอีกกว่าเก้าแสนสองหมื่นเจ็ดพันแต้ม!
นี่มันคือจำนวนที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
อย่างไรก็ตาม…
เกือบทุกคนในดินแดนชิงอำนาจ ทั้งหมดกำลังเลือกเดินไปในเส้นทางสู่ทวยเทพ
แต่ตัวเขาเองไม่ได้เป็นผู้ศรัทธา หากในอนาคตต้องต่อกรกับสาวกที่สามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่ตัวเขายังไม่ได้ครอบครองสกิลใดๆ ที่แข็งแกร่งเลย อะไรๆ มันก็คงจะยาก
ดังนั้น การอัปเกรด ‘วิชายุทธ์เทพสงคราม’ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เขาจะต้องทำ
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลลับที่ถูกซุกซ่อนไว้ในเหตุการณ์ดังกล่าวอีก
อย่างเช่น มันชัดเจนว่าท่านหญิงแบล็กซีสามารถทำการแช่ผลึกน้ำแข็ง ช่วยเหลือให้เหล่าสิ่งมีชีวิตในสนามรบสามารถรอดชีวิตมาได้
ดังนั้นเธอก็สมควรที่จะเป็นเทพวิญญาณ!
ต่อให้ไม่ใช่เทพวิญญาณก็ตาม แต่จะต้องเป็นการดำรงอยู่ที่ใกล้เคียงกับเทพวิญญาณแน่ๆ
แล้วถ้าเธอเป็นเทพจริงๆ แล้วทำไมถึงเลือกซ่อนตัวอยู่ในโลกเก้าร้อยล้านชั้นมาเป็นระยะเวลานานถึงขนาดนี้กัน?
เธอมีเป้าหมายอะไรกันแน่?
กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมันอย่างเงียบๆ
นับว่าโชคยังดี ที่ดูจากพฤติกรรมของเธอแล้ว บ่งบอกว่าเธอกำลังช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ส่งเสริมให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นในช่วงเวลาวิกฤติ
กู่ฉิงซานคิดและเอ่ยถาม “ฉันไม่สามารถอัปเกรดได้ในตอนนี้ เอาไว้หลังจากได้รับแต้มพลังวิญญาณมากพอแล้วค่อยมาว่ากันอีกครั้ง”
“แน่นอนว่าการยกระดับวิชายุทธ์เทพสงคราม คุณจะต้องมีหนึ่งล้านแต้มพลังวิญญาณ ขณะเดียวกันระบบก็จะสามารถตรวจจับการดำรงอยู่ของเทคนิคลับบางอย่างของเทพวิญญาณได้”
กู่ฉิงซานวางมือของเขาลงบนผลึกน้ำแข็งและกล่าว “แบบอันนี้น่ะหรือ?”
“ถูกต้อง ผลึกน้ำแข็งนี้มันประกอบไปด้วยสกิลของเทพวิญญาณ ดังนั้นมันจึงสามารถกระตุ้นเงื่อนไขการอัปเกรดของวิชายุทธ์เทพสงครามได้”
“เข้าใจแล้ว ฉันจะรีบไปหาแต้มพลังวิญญาณมาให้เร็วที่สุด”
กู่ฉิงซานกล่าวจบ ก็ผละมือออก
เส้นแสงหิ่งห้อยทั้งหมดบนหน้าต่างเทพสงครามหายไป
ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ
กู่ฉิงซานไม่รีบร้อนที่จะทำลายผลึกน้ำแข็ง
เนื่องเพราะอำนาจเทวะของมันที่อยู่ภายใน กำลังคอยหล่อเลี้ยง รักษาชีวิตของหยุนจีเอาไว้
หากเขาทำลายผลึกน้ำแข็ง แต่ยังไม่มีหนทางที่จะสามารถช่วยเหลือเธอได้ นั่นคงไม่ต่างอะไรกับการฆ่าเธอทางอ้อม
กู่ฉิงซานเฝ้าสังเกตผลึกน้ำแข็งอย่างระมัดระวัง
มันอุดมไปด้วยอำนาจเทวะ ที่แสนจะยิ่งใหญ่
แต่สถานการณ์เช่นนี้ ไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป
อำนาจเทวะ ยิ่งนานวัน ย่อมต้องยิ่งเสื่อมถอย
เมื่อถึงเวลานั้น หยุนจีก็จะตายลงอย่างไม่ต้องสงสัย
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว
หยุนจีตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ ในโลกเก้าร้อยล้านชั้นเธอคือบุคคลที่มีชื่อเสียง
แต่ตอนนี้เธอกำลังจะตาย
แล้วตัวเขาจะต้องใช้วิธีใดกันนะ ถึงจะสามารถช่วยชีวิตจ้าววงการคนนี้เอาไว้ได้?
………………………………….
ย้อนเวลากลับไปอีกสักเล็กน้อย
ในช่วงเวลาที่กู่ฉิงซานยังคงซ่อนตัวอยู่ในซากยานอวกาศ แต่สุดท้ายก็ถูกอัญเชิญโดยวังเฉิง
อีกด้านหนึ่ง
ภายนอกดินแดนชิงอำนาจ
ณ โลกของหอคอยสูง
สงครามโศกนาฏกรรมที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนกำลังจะสิ้นสุดลง
ตูม…
ในระยะไกลออกไป หอคอยสูงที่เชื่อมต่อระหว่างผืนฟ้าและผืนดินหักโค่นลงอย่างกะทันหัน
หอคอยแห่งความรู้ของเหล่าทวยเทพถูกทำลายลงแล้ว!
เสียงกรีดร้องแหลมของผู้หญิงกังวานไปทั้งโลก “เจ้าพวกสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยทวยเทพเอ๋ย พวกเจ้ามันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความสิ้นหวัง”
เสียงของผู้ชายที่ดูบ้าคลั่งดังตามมา “ค่าของพวกเจ้ามีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือจิตวิญญาณที่จะกลายมาเป็นสารอาหารให้แก่พวกเรา!!”
ตามด้วยสองเสียงผสานแผดร้องทั้งชายหญิง “จิตวิญญาณ! จงมอบจิตวิญญาณของพวกเจ้าแก่ข้า! อ๊า”
ท่ามกลางเสียงแผดร้อง มอนสเตอร์ที่ยืนอยู่ใจกลางสนามรบก็เริ่มอ้าปากกว้าง
เหล่าผู้คนที่กำลังต่อสู้อยู่พลันร่วงกระแทกลงกับพื้น
จิตวิญญาณผุดออกจากร่างของพวกเขา ถูกดูดเข้าไปในปากของมอนสเตอร์
ตลอดทั้งสนามรบ จิตวิญญาณนับไม่ถ้วนถูกดึงดูดไปทางมอนสเตอร์
เฉพาะเพียงคนจากสถาบันเทพเท่านั้นที่ไม่หวั่นเกรงต่อการดูดวิญญาณนี้ นอกเหนือไปจากพวกเขา คนอื่นๆ ล้วนต่างตกอยู่ในความหวาดกลัว สิ้นหวังเป็นประวัติการณ์
ตัวตนทรงอำนาจที่กำลังต่อกรกับคนจากสถาบันเทพ จำต้องละทิ้งพวกมัน หันไปโถมโจมตีด้วยพลังที่รุนแรงที่สุด ทุ่มสุดกำลังเข้าใส่มอนสเตอร์แทน
ทว่าการโจมตีของพวกเขากลับไร้ประโยชน์
มอนสเตอร์ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างปลอดภัย ไร้ซึ่งอันตรายใดๆ มันยังคงดูดวิญญาณอย่างต่อเนื่อง
กระทั่งเหล่าจ้าววงการจำนวนมากก็ยังไม่สามารถต้านทานการถูกดูดกลืนนี้ได้ จิตวิญญาณของพวกเขาเริ่มถูกแยกออกจากร่างกาย ลอยเข้าไปในปากมอนสเตอร์
และบรรดาผู้คนที่พอมีความสามารถในการต้านทานมัน ก็มิใช่จะรอดพ้น ต้องตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เพราะในทุกๆ วินาทีที่ขัดขืน ร่างกายของพวกเขาจะได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ค่อยๆ ถูกทำลายลง
ภายในไม่กี่ลมหายใจ หลายร่างของพวกเขาก็ถูกทำลายลงด้วยพลังที่มองไม่เห็น จิตวิญญาณไร้ซึ่งที่พึ่งพิงอีกต่อไป
จวบจนถึงสถานการณ์นี้ จิตวิญญาณของพวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานการดูดกลืนของมอนสเตอร์ และจำต้องลอยไปหามัน ถูกกินแม้จะไม่ยินยอม
ตลอดทั้งสนามรบ จำนวนผู้รอดชีวิตลดน้อยถดถอยลงเรื่อยๆ
จุดจบของโลกเก้าร้อยล้านชั้นดูเหมือนว่าจะใกล้เข้ามาแล้ว
แต่ทันใดนั้นเอง แสงสว่างสีฟ้าดั่งท้องทะเลก็โอบเข้าปกคลุมทั่วทั้งสนามรบ
ภายใต้แสงสีฟ้าสดใสนี้ เหล่าจิตวิญญาณพลันได้รับอิสรภาพทันที
มนตราดูดวิญญาณของมอนสเตอร์ถูกขัดจังหวะอย่างกะทันหัน
“เป็นใครกัน! ที่กล้าขัดขวางการช่วงเวลาอันโอชะของข้า!”
ชายหญิงตะโกนด้วยความโกรธเคือง
ขณะเดียวกัน ผู้คนที่ยังรอดชีวิตอยู่ในสนามรบ ต้องก็โห่ร้องด้วยความประหลาดใจ
“ท่านหญิงแบล็กซี!”
“ท่านแบล็กซีมาที่นี่!”
“พวกเรารอดแล้ว!”
“ท่านหญิง ได้โปรดนำทัพพวกเราเข้าต่อสู้ด้วยเถอะ!”
ได้ยินถึงเสียงร่ำร้องของทุกคน ท่ามกลางความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตก็บังเกิดเสียงทอดถอนหายใจดังขึ้น
เหล่าผู้ที่ยังรอดชีวิต ภายในหูของพวกเขาได้ยินเสียงของท่านหญิงแบล็กซี “ข้าจะพาพวกเจ้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ ที่นั่น กำแพงอุปสรรคที่เกิดจากอำนาจเทวะของเจ็ดเทพกำลังจะถูกเปิดใช้งานในไม่ช้า ตลอดทั้งดินแดนชิงอำนาจจะถูกซ่อนโดยสมบูรณ์”
“จงอย่าได้ออกไปจากดินแดนชิงอำนาจ เพราะตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น มีเพียงสถานที่นั่นแห่งเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ชั่วคราว!”
“พวกเจ้าจะต้องฟื้นฟูความแข็งแกร่งตน อยู่รอดต่อไป และคิดหาวิธีจัดการกับมัน”
ร่างของคนที่รอดถูกอาบไปด้วยแสงสีฟ้าใส บังเกิดชั้นผลึกควบแน่นตลอดทั้งร่างกายของพวกเขา
ชั้นน้ำแข็งคริสทัลแช่แข็งพวกเขา แล้วจากนั้น
ผลึกน้ำแข็งทั้งหมดก็ลอยขึ้นไปในอากาศ และหายวับไปทันที
มอนสเตอร์เฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ
อันที่จริงมันลองพยายามอยู่สองสามครั้งแล้ว แต่ก็พบว่าไม่อาจหยุดกฎเกณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้เลย
เฝ้ารอจนกระทั่งทุกอย่างจบลง มอนสเตอร์จึงมองไปที่ใดสักแห่งในความว่างเปล่า
เสียงผู้หญิงของมอนสเตอร์หัวเราะคิกคัก ปากเอ่ยถามอย่างช้าๆ “คนเหล่านั้นถูกส่งไปที่ใดกัน?”
ทว่าโดยรอบกลับมีเพียงความเงียบ
ไม่มีใครตอบคำถามของเธอ
แต่เสียงของผู้หญิงก็เริ่มดูภาคภูมิใจมากขึ้น “ข้าไม่สามารถหยุดสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจากการหลบหนีได้ ฉะนั้น ขอเดาว่ากระบวนการนี้ คงจะมีแต่เทพเท่านั้นที่ทำได้ ไม่คาดหวังเลยว่านอกจากเจ้าเจ็ดเทพชั่วร้ายนั่น จะยังมีเทพวิญญาณหลงเหลืออยู่ที่นี่ ไม่ยอมหลบหนีไปจากโลกเก้าร้อยล้านชั้นอยู่อีก”
เสียงผู้ชายคลุ้มคลั่ง “แต่ในเมื่อยังไม่หลบหนีไป เช่นนั้นโชคชะตาของเจ้าคงถึงวาระเสียแล้ว!”
สองเสียงร่วมกันแผดก้อง “เจ้าไม่สามารถหนีไปได้ โชคชะตาของเจ้าคือต้องมาตกอยู่ภายในท้องของข้า!”
ท่ามกลางแสงสีฟ้าไร้ขอบเขต เสียงของหญิงสาวถอนหายใจดังขึ้น
เธอกล่าว “แม้วันนี้ข้าจะตาย แต่มันไม่ใช่ในฐานะของกินของเจ้า!”
ระหว่างกล่าว โลกทั้งใบก็เริ่มล่มสลายลง
…
อีกด้านหนึ่ง
นักรบที่ยังมีชีวิตรอด ทั้งหมดต่างถูกผนึกด้วยผลึกน้ำแข็งสีฟ้า ถูกส่งข้ามโลกนับไม่ถ้วนตรงไปยังดินแดนชิงอำนาจ
ผลึกน้ำแข็งราวกับฝนดาวตก กระจายกันออกไปตามจุดต่างๆ อย่างรวดเร็วในดินแดนชิงอำนาจสองร้อยล้านชั้น
ฝนดาวตกสิ้นสุดลง
วินาทีต่อมา
เสียงของมนุษย์แสงก็ก้องกังวานผ่านทุกชั้นโลกในดินแดนชิงอำนาจ
เป็นเสียงอันศักดิ์สิทธิ์และน่าเคารพนอบน้อม มนุษย์แสงป่าวประกาศว่า “โปรดทราบ ผู้ศรัทธาคนแรกที่สามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว”
“หนทางสู่การเป็นเทพได้เปิดออกอย่างเป็นทางการ”
“อำนาจเทวะที่ถูกวางไว้โดยเทพวิญญาณจะถูกเปิดใช้งานในไม่ช้า”
“ดินแดนชิงอำนาจจะถูกซ่อนจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น”
“นับจากนี้ไป ใครก็ตามที่ออกจากดินแดนชิงอำนาจ จะไม่สามารถเข้ากลับมายังดินแดนชิงอำนาจได้อีกเลยตลอดกาล!”
ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น ดินแดนชิงอำนาจทั้งหมดค่อยๆ หายไป
ผู้คนไม่สามารถค้นหาโลกสองร้อยล้านชั้นได้อีกต่อไป สูญสิ้นซึ่งหนทางเข้าสู่โลกเหล่านั้น
…
เวลาเดียวกัน ในดินแดนชิงอำนาจ
หนึ่งในผลึกน้ำแข็งสีฟ้า จากมากมายนับไม่ถ้วนได้ข้ามผ่านกระแสมิติ และร่วงตกลงสู่โลกเกรย์แฮนด์
รอบๆ ผลึกน้ำแข็ง ปรากฏลวดลายอันลึกลับของทวยเทพขึ้นเป็นครั้งคราว
ลวดลายเหล่านี้ มีไว้เพื่อให้มั่นใจว่าผลึกน้ำแข็งจะไม่ถูกรบกวน หรือตรวจพบได้โดยอำนาจใดๆ
ผลึกน้ำแข็งเงียบงัน และทันใดนั้นมันก็ตัดผ่านท้องฟ้า ร่วงตกลงไปในทะเลทรายที่อยู่ห่างไกลในโลกเกรย์แฮนด์
ผลึกน้ำแข็งจมลงใต้พื้นดิน ความมืดมิดรายล้อมมันโดยสมบูรณ์
เป็นเวลานาน
เสียงของผู้หญิงจากผลึกน้ำแข็งก็ดังขึ้น
“กระ…บี่…ปฏิญาณ”
ซูม!
ระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นแผ่กระจายออกไปทั่วโลก
ภายในใต้ดินอันมืดมิด
เสียงไออย่างรุนแรงของหญิงสาวดังขึ้น ราวกับว่ามนตราก่อนหน้านี้ได้ดูดกลืนพลังทั้งหมดของเธอไป
หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็เริ่มพูดออกมา “อีกฝั่ง…หนึ่ง…เป็น…ใครกัน?”
ทันใดนั้น เสียงที่ดูกังวลก็ดังขึ้นใกล้กับผลึกน้ำแข็ง
“คุณคือหยุนจี? จ้าวแห่งหมอก ผู้คุ้มภัยแห่งโชคชะตาลี้ลับ ภัยพิบัติแห่งอาณาจักรทั้งมวล ใช่หรือเปล่า?”
นี่คือเสียงของกู่ฉิงซาน
…
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ณ โลกเกรย์แฮนด์
รุ่งสางยังมาไม่ถึง ดังนั้นนี่คือช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดของวัน
เหนือท้องฟ้าอันห่างไกล พริบตานั้นได้ยินถึงเสียงพรึบของปีกที่กระพือ
นกตัวหนึ่งบินตัดผ่านความมืดมิด โผบินจากส่วนลึกของฟากฟ้า
นกตัวนี้มิได้ส่งกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นใดๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็สามารถสรุปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
‘มันเป็นแค่นกธรรมดา’
ชั่วขณะหนึ่ง
มันพยายามเร่งความเร็วของตัวเอง
ไม่นาน
นกก็ได้ลดระดับลงจากฟ้า ร่อนลงมากำลังจะถึงพื้นดิน
แล้วจู่ๆ มันก็หายวับไปทันที
แต่กลับปรากฏถึงชายในชุดเกราะดำ หน้ากากเกราะทองปรากฏขึ้นแทน
ชายคนนั้นยืนอยู่กลางอากาศ ก้มลงมองผืนทะเลทรายกว้างใหญ่เบื้องล่าง
ร่างของเขากะพริบไหว หายไปจากสถานที่เดิม และตกลงบนพื้นแห่งหนึ่งในระยะไกลออกไป
ด้วยผ้าสีดำที่ถืออยู่ในมือ จิตสัมผัสเทวะของชายคนนั้นก็ได้ล็อกลงตรงตำแหน่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เขารีบวิ่งไปข้างหน้า นั่งยองๆ แล้วค่อยๆ นาบมือหนึ่งหมุนวนรอบเนินทราย
ในมืออีกข้างหนึ่งจีบออกด้วยวิชาลับ
ฮ่า!
พลังวิญญาณพัดกระพือดั่งสายลมกรรโชก ปัดเป่าทรายเบื้องหน้าไป
ผลึกน้ำแข็งสีฟ้าปรากฏต่อหน้าเขา
ภายในผลึกน้ำแข็ง หญิงงามที่ตามตัวเปื้อนไปด้วยเลือด ตกอยู่ในอาการโคม่ากำลังหลับตาพริ้ม
อาการบาดเจ็บตามร่างกายของเธอช่างน่าตื่นตระหนก ทั้งคนทั้งร่างคล้ายกับกำลังใกล้จะตาย
หากไม่ใช่เพราะอำนาจสีครามที่เวียนวนอยู่ในผนึกคริสทัลคอยค้ำจุนชีวิต เกรงว่าเธอคงจะตายไปแล้ว….
………………………………….
งูสายฟ้ารัดพันรอบใบดาบ สาดประกายพรั่งพราวอย่างต่อเนื่อง
กู่ฉิงซานยกดาบง้างขึ้นสูง แสดงท่าทีเตรียมจะทิ่มแทงลงไป
ตลอดทั้งลำยานพลันสั่นไหว
เห็นแค่เพียงแท่นควบคุมเรือ และเครื่องมือทั้งหมดกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ยานอวกาศกลับมาอยู่ในการควบคุมอีกครั้ง
ยานอวกาศเริ่มเร่งเครื่อง
สถานการณ์นี้มีเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น
คือกัปตันไม่กล้าที่จะทานทนต่อการโจมตีอันโหดร้ายเช่นนี้อีกต่อไป และยกเลิกสกิลหลอมรวมเข้ากับยานอวกาศ
เขาเลือกที่จะถอยหนี
กู่ฉิงซานผละมือ ปล่อยดาบยาวที่ค้างเติ่งกลางอากาศ ให้มันลอยไว้ทั้งอย่างนั้น
เขาหันหลังกลับ และเริ่มปรับตัวควบคุมต่างๆบนแท่น หมายจะช่วยให้ยานแล่นเร็วขึ้น
ไม่ช้า ความเร็วของยานอวกาศก็เพิ่มขึ้นถึงขีดสุด
ด้วยอัตราเร็วนี้ ตราบใดที่ไม่มีสิ่งใดมารบกวนอีกราวๆ หกถึงเจ็ดนาที ยานอวกาศก็จะไปถึงตลาดมืดเกรย์แฮนด์ในที่สุด
หลังจากนั้นหลายลมหายใจ
ประตูห้องควบคุมก็เปิดออก
ร่างของกัปตันกะเผลกๆ เข้ามา
ตามเสื้อผ้าของเขาถูกปกคลุมไปด้วยรอยเลือดจางๆ เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มแผ่นหลังและหน้าผาก สภาพดูน่าสังเวช
“ระยำเถอะ นี่แกหาฉันเจอได้อย่างไรกัน?”
กัปตันพ่นฟองเลือด เอ่ยถามด้วยความเกลียดชัง
กู่ฉิงซานเหยียดนิ้วชี้ออก สะบัดสั่งดาบขุนเขาเทวะหกโลกาเบาๆ
ดาบขุนเขารับฟัง มันปฏิบัติตามโดยการบินหายออกไปจากห้องควบคุมทันที และไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะมุ่งหน้าไปที่ใด
กู่ฉิงซานเอ่ยปาก “ผมเป็นทหารผ่านศึกที่ได้เดินทางข้ามผ่านไปตลอดทั้งโลกนับล้านๆ ใบ เป็นเวลานานหลายปี แค่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าคุณน่ะเป็นปรมาจารย์หุ่นเชิดโลหะเหมือนกับคนที่เคยได้ปะทะกันมาก่อนแล้ว”
กัปตันตะโกน “ผายลมเถอะ! ฉันเป็นคนแรกที่สามารถหลอมรวมเทคนิคผสานโลหะกับวิญญาณชักใยหุ่นเชิดเข้าด้วยกันได้ แล้วก่อนหน้านี้ฉันก็ไม่เคยปะทะกับแกมาก่อนสักหน่อย!”
กู่ฉิงซานผงะ หน้าแตกดังเพล้ง แผนการเนียนของเขาล้มเหลว!
กลับกลายเป็นว่าบักหำนี่คือผู้บุกเบิกอาชีพนี้เสียอย่างนั้น!
ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมในสารานุกรมอาชีพของแผนกกิจการ ถึงได้มีอาชีพใหม่เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี
ปรากฏว่าในดินแดนชิงอำนาจ แม้กระทั่งตาแก่เก็บซากยานอวกาศ ก็ยังสามารถสร้างอาชีพใหม่ขึ้นมาได้…
กู่ฉิงซานคิดอย่างเงียบๆ ในจิตใจบังเกิดความชื่นชมในตัวอีกฝ่าย
“ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้ผมได้จ่ายเงินสำหรับค่าใช้ยานอวกาศไปแล้วก็แล้วกัน ถ้าไปถึงตลาดผมจะแยกตัวออกไปทันที ตกลงไหม?”
“จากนั้น พวกเราก็ถือว่าไม่ได้ติดหนี้อะไรกันอีก และไม่คิดแค้นใดๆ ต่อกัน”
กู่ฉิงซานกล่าว
กัปตันครุ่นคิดมิเอ่ยสิ่งใด
‘เจ้าหมอนี่มันประหลาดเกินไป มันอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด ไม่น่าจะใช่คู่ต่อสู้ของเรา’
‘แต่มันกลับสามารถมองเห็นถึงความสามารถของเราได้’
‘เดี๋ยวก่อนนะ’
‘บางทีใช่ว่ามันอาจจะเห็นแค่ความสามารถในการต่อสู้ แต่แท้จริงแล้วยังคงอ่อนแออยู่ดีรึเปล่า?’
หากลองได้คิดอย่างรอบคอบ จะพบว่าตนเองก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย และทั้งหมดมันก็ล้วนเกิดขึ้นเพราะความประมาททั้งสิ้น
ให้ตายเถอะ!
เจ้าหมอนี่มันต้องเก็บงำความลับอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ
จะสู้ต่อดี หรือว่าหยุดลงแค่นี้?
กัปตันลังเล สายตาของเขาหุบต่ำลงกับพื้น
ลงในตำแหน่งกล่องเงินที่กู่ฉิงซานโยนทิ้งเอาไว้
กล่องเงินที่เต็มไปด้วยเหรียญเลขเจ็ด
ใช่แล้ว เจ้าหมอนั่นโยนกล่องที่เต็มไปด้วยเหรียญโดยไม่ลังเล
คนประเภทไหนกันที่ไม่สนใจเงิน? นั่นมันมีแต่คนรวยไม่ใช่รึไง?
กู่ฉิงซานแม้ไม่ได้หันกลับมา แต่จิตสัมผัสเทวะของเขาคอยสังเกตในทุกๆ การกระทำของอีกฝ่าย
ตระหนักได้ถึงสายตาและการแสดงออกทางสีหน้าของกัปตัน ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็เหมือนจะเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายเล็กน้อย
กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจ
ในขณะที่กำลังจัดการเรื่องยานอวกาศ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ก็ได้ บอกความจริงออกไปก็คงจะไม่เป็นไร อันที่จริงแล้วผมเป็นหน้าใหม่ในดินแดนชิงอำนาจ และตั้งใจจะไปตามหาเพื่อนที่ตลาดมืดเกรย์แฮนด์ ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีเงินติดตัวเลย”
ความเร็วของยานอวกาศค่อยๆไวขึ้น ระยะทางสู่ตลาดมืดค่อยๆ หดสั้นลง
“หน้าใหม่? จะบอกว่าแกเพิ่งเข้ามาในดินแดนชิงอำนาจอย่างนั้นหรือ?”
มุมปากของกัปตันยกสูงขึ้น เผยถึงความประชดประชันเต็มรูปแบบ “หน้าใหม่จะไปสามารถมองเห็นอาชีพที่แท้จริงของฉัน ที่ปิดซ่อนมันมาตั้งหลายปีได้อย่างไรกัน?”
“แล้วหน้าใหม่ที่ไหนกัน ถึงไม่คิดจะใส่ใจกล่องเหรียญเงินเลย?”
เสียงของกัปตันกลายเป็นแหบห้าว ฟุ้งไปด้วยอารมณ์ “เมื่อมีอายุอยู่มาได้ถึงปูนนี้ ฉันก็ได้เข้าใจถึงเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ ในชีวิตของผู้คน ตราบใดที่ตริตรองให้ดี มันจะมีเพียงไม่กี่สิ่งเท่านั้นที่ควรค่าแก่การใส่ใจ”
“คมคายไม่เลว ผมต้องมองคุณใหม่ซะแล้ว” กู่ฉิงซานยกย่อง
สายตาเบนไปมองตำแหน่งมิติบนแผนที่
‘เกือบจะถึงแล้ว’
‘ถึงจะช้าไปนิดหน่อย แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร’
กัปตันส่ายหัวและกล่าว “นี่เลยเป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกว่าแกโคตรจะรวย เพราะตราบใดที่มีเงินหรือทุกอย่างอยู่แล้ว อย่างอื่นเล็กๆ น้อยเช่นเงินในกล่องใบนี้ แกย่อมไม่มีทางจะไยดีมัน”
“…ผมขอถอนคำพูดที่ชื่นชมคุณเมื่อครู่ออกไป” กู่ฉิงซานงึมงำ
กัปตันแสร้งถ่วงเวลามานาน จนในที่สุดเขาก็ใกล้จะเสร็จสิ้นคำร่ายเทคนิคมนตราแล้ว
เขายิ้มและกล่าวทิ้งท้าย “แกไม่สนใจเงินในกล่องนั้นเลย นั่นเป็นเพราะว่าแกเคยเห็นเงินที่มากยิ่งกว่านี้มาก่อนแล้ว เป็นคนร่ำรวยมั่งคั่งมากกว่าที่แสร้งแสดงอยู่ในปัจจุบัน”
“รู้อะไรไหม การที่แกโยนกล่องใบนี้ออกมา กริยาท่าทีมันเหมือนกันกับกลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเลย”
“คุณกำลังเข้าใจผิด มันไม่ใช่แบบนั้น” กู่ฉิงซานปฏิเสธเด็ดขาด
“หยุดเล่นละครสักที! กริยาท่าทีที่ไม่แยแสในเงินตราของแก มันเหมือนกับพวกวิหคนามในตำนานเลย!!” กัปตันจี้ใจดำเขา
“อ๊ะ…บางทีนั่นอาจเป็นเพราะบังเอิญไปติดนิสัยแย่ๆ จากวิหคหนามบางตนมามากกว่า แต่ผมไม่มีเงินจริงๆ นะ” กู่ฉิงซานพยายามให้เหตุผล
“มีแต่ศพเท่านั้นที่ไม่มีทางโกหก!” กัปตันตะโกนกร้าว
เทคนิคมนตราของเขาเสร็จสมบูรณ์ในที่สุด
ตูม…
ตลอดทั้งยานอวกาศพลันแยกออกจากกัน
กู่ฉิงซานถูกโยนเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าทันที
เบื้องหลังเขา คือยานอวกาศที่หลอมรวมตัวกันอีกครั้ง กลายเป็นหุ่นยักษ์ที่ถูกหลอมไปด้วยโลหะ
ยักษ์โลหะตัวนี้ เหมือนว่าจริงๆ แล้วจะเป็นยานอวกาศของกัปตัน
มันเปิดปาก น้ำเสียงฟุ้งไปด้วยเจตนาฆ่า “แกเป็นคนแรกเลยที่อ่อนแอกว่าฉัน แต่กลับสามารถทำร้ายฉันได้”
“สติปัญญา และกลยุทธ์ของแกควรค่าที่จะต้องตายลงด้วยรูปแบบที่ร้ายกาจที่สุดของฉัน”
“มาเลย จงมาเล่นกับเราผู้ชราให้สนุกมือ!”
“นี่จะเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเราสอง พวกเราคนใดคนหนึ่งจะต้องตาย!”
“มีเฉพาะผู้ชนะที่ยืนหยัดเป็นคนสุดท้ายเท่านั้นถึงจะได้รับทุกสิ่งอย่างไป!”
ยักษ์ใหญ่ที่ยืนอยู่ในความว่างเปล่า แผดเสียงคำรามก้อง สร้างขวัญกำลังใจในการต่อสู้
เขาพร้อมแล้วสำหรับการต่อสู้ระหว่างชีวิตและความตาย!
แต่ตรงกันข้ามกับเขา วังเฉิงตัวปลอมดูจะไม่สนใจเลย
ชายคนนั้นถือผ้าสีดำไว้ในมือ ก้มมองมันและเอ่ยกับตัวเอง “อีกไม่ไกลแล้ว…หวังว่าจะไปทันนะ”
ยักษ์งงงวย
“นี่แกไม่ได้ฟังคำปลุกใจเมื่อกี้ของฉันเลยหรือ?”
ยักษ์ถาม มันเต็มไปด้วยความโกรธ
กู่ฉิงซานไม่สนใจ เขาหันหลังกลับ และบินไปยังทิศทางของตลาดมืด
แปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสง พุ่งหายไปด้วยความเร็วสูงสุดท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราก
พระเอกของเรา…
เผ่นหายไปแล้ว
เอ่อ…
ใช่ๆ หนีไปแล้วจริงๆ
ยักษ์ใหญ่ยืนอยู่ในสถานที่เดิม “…”
“ไอ้ลูกเต่า!!!”
ยักษ์คำราม
มันกลายร่างกลับเป็นยานอวกาศอีกครั้ง กระตุ้นพลังงานสูงสุด เร่งความเร็วสุดกำลัง
“อ้าก! ไอ้เด็กเปรต ฉันจะฉีกทึ้งศพแกเป็นชิ้นๆ!”
ยานอวกาศขับเคลื่อน ไล่ไปตามทิศทางบินของกู่ฉิงซาน
แม้ว่านี่จะเป็นยานอวกาศขนาดกลางที่ใช้ในการลากซากขยะ แต่มันก็เป็นยานที่ผลิตขึ้นในดินแดนชิงอำนาจ ดังนั้นหลังจากที่ได้รับการปรับปรุงทางเทคโนโลยีมามากมาย ตัวระบบของยานจึงเปี่ยมไปด้วยพลัง
ด้วยความเร็วนี้ มันย่อมสามารถไล่ตามกู่ฉิงซานได้อย่างไม่ยากเย็น
ยานอวกาศเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงสุด!
หลังจากนั้น เพียงไม่กี่นาที กัปตันก็ได้ค้นพบกับเจ้าเด็กเหลือขอท่ามกลางกระแสมิติ
กำลังจะจับตัวได้แล้ว!
กัปตันบดฟันของเขาจนแทบแตกละเอียด
เขาควบคุมยานอวกาศ ระเบิดเสียงคำรามอึกทึก เร่งมันให้เร็วขึ้นอีกครั้ง!
ทันใดนั้นเอง สัญญาณเตือนภัยจากบนยานก็ดังขึ้น
เสียงคำรามของเครื่องยนต์เริ่มอ่อนกำลังลง
ความเร็วลดน้อยถดถอย
ข้างกายกู่ฉิงซาน หญิงในชุดคลุมฟ้าปรากฏตัวขึ้น
เมื่อครู่ในห้องควบคุมยานอวกาศ หลังจากที่กัปตันปลดการผสานโลหะกับยาน กู่ฉิงซานก็สั่งให้ฉานนู่ออกไป
ฉานนู่ตบลงในถุงสัมภาระของเธอ นำเรือชูชีพขนาดเล็กที่ดูคล่องตัวออกมา ซึ่งนี่เป็นเรือลำหนึ่งที่ดีที่สุดภายในยานของกัปตัน และมันเปี่ยมไปด้วยพลังงาน
ฉานนู่ “นายน้อย นอกจากนำเรือชูชีพมา ข้ายังได้ถอดแท่นพลังงานส่วนใหญ่ของยานอวกาศตามที่ท่านบอกแล้ว และทั้งหมดอยู่ภายในถุงสัมภาระใบนี้”
“ทำได้ดีมาก”
กู่ฉิงซานขึ้นเรือชูชีพขนาดเล็ก ทำการควบคุมเรือ และสตาร์ทเครื่องยนต์
“สารเลว อย่าได้คิดหนี!”
กัปตันร้องตะโกนด้วยความโกรธ
เขากระโจนออกจากยานอวกาศ และบินตรงมายังทิศทางนี้
กู่ฉิงซานสตาร์ทเรือชูชีพขนาดเล็ก ป้อนพิกัดตำแหน่งอย่างรวดเร็ว
เรือชูชีพระเบิดเสียงดังน้อยๆออกมา และบินฟิ้ว! ไกลออกไปในกระแสมิติ
ทิ้งไว้เพียงฉานนู่ที่ยืนหยัดอยู่ตรงจุดนั้น
หนึ่งมือกุมดาบขุนเขาเทวะหกโลกา อีกหนึ่งมือกุมเช่าหยิน ขวางหน้ากัปตันเอาไว้
“ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการจะสู้กันหรอกหรือ?”
เธอเอ่ยถามเสียงเย็น
สองดาบแตกออก พรั่งพราวเป็นเงา ห่อหุ้มรอบตัวกัปตันเอาไว้
เปรี้ยง!
เปรี้ยงงงง!
หลังจากการห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดหลายกระบวนท่า ทั้งสองก็แยกจากกัน
กัปตันมองฉานนู่ เบนข้ามหลังเธอไปตามทิศทางเรือชูชีพที่ได้หายไปจากสายตาได้สักพักแล้ว ในหัวใจของเขาตระหนักชัดว่าเวลานี้ย่อมไม่สามารถไล่ตามได้ทัน
เขาตะโกนอย่างโกรธแค้น “ขี้ขลาด! ไม่มีกระทั่งความกล้าที่จะสู้กับฉัน!”
“เจ้าผิดแล้ว” ฉานนู่เอ่ยเสียงเย็น
“ผิดอย่างไร? มันหนีหายไปแล้วชัดๆ!” กัปตันหน้าบึ้งตึง
“ถ้ามีความกล้าหาญ นายน้อยของแกอย่างไรก็ต้องเลือกสู้ มีหรือจะคิดหนี?”
“นายน้อยของข้ายุ่งมากในเวลานี้ เขาจะมามีเวลาเล่นสนุกกับเจ้าได้อย่างไร?” ฉานนู่ส่ายหัว กล่าวอย่างไม่แยแส
“หากพูดไปมันอาจจะทำร้ายจิตใจ แต่ลองคิดดูดีๆ เถิด เจ้าคู่ควรที่จะต่อกรกับเขาจริงๆ น่ะหรือ?”
ทันทีที่เสียงตกลง ร่างของเธอที่อยู่ตรงหน้ากัปตันก็หายไป
ในจุดที่ไกลห่าง ฉานนู่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง และหายไปอีกคราว
หลังจากทำซ้ำๆ เช่นนี้อยู่สามรอบ เธอก็หายไปจากสายตาของกัปตัน มิอาจมองเห็นได้อีกเลย
ท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราก ตลอดทั้งความว่างเปล่าเหลือกัปตันยืนเหงาอยู่เพียงลำพัง
………………………………….
กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ
ตลอดทั้งห้องโดยสารไร้ซึ่งเสียงพูดคุย ไม่ได้ยินเสียงรบกวนใดๆ เลย
ลูกเรือทั้งหมดหายไปราวกับอากาศธาตุ
แม้กระทั่งศพของเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งที่ถูกแขวนประจานในพื้นที่ส่วนกลางก็หายไป
ผ่านทางหน้าต่าง จะสามารถมองเห็นถึงกระแสมิติอันโกลาหลภายนอก และบางครั้งก็ยังมองเห็นถึงมอนสเตอร์ขนาดเล็กบินสวนกันไปมา
อย่างไรก็ตาม ภายในห้องโดยสาร มันกลับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลย
ยานอวกาศทั้งลำ เงียบงันราวกับความตาย
กู่ฉิงซานสวมหน้ากากเกราะทองคำ กุมดาบยาวตรงไปยังห้องกัปตัน
เขาเตะเปิดประตู
แต่ก็ไม่พบว่ามีใครอยู่ภายใน
กู่ฉิงซานเงียบไปหนึ่งลมหายใจ ก่อนจะตัดสินใจว่าควรจะไปยังห้องควบคุมยาน
สำหรับเวลานี้ ไม่ว่ามันจะเกิดเรื่องน่าสงสัยหรือหวาดกลัวแค่ไหน เขาก็ไม่สนใจ
เพราะสิ่งเดียวที่ควรให้ความสำคัญ นั่นก็คือรีบไปยังตลาดมืดเกรย์แฮนด์เพื่อช่วยชีวิตคน!
ประตูห้องควบคุมยานอวกาศถูกปิดเอาไว้อย่างแน่นหนา
แต่มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับกู่ฉิงซาน สองเท้าของเขายังคงก้าวฉับๆ ตรงไปข้างหน้า
ดาบเช่าหยินโผล่ออกมาจากในความว่างเปล่า บินนำเข้าไปเผชิญกับประตูห้องควบคุม
ดาบยาวจ้วงแทงออกไป
เทคนิคลับแห่งดาบ ฝ่าวารีเชี่ยว!
ตูม!
ประตูโลหะหนาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
กู่ฉิงซานเดินเข้ามา กวาดตามองรอบห้องควบคุมที่เต็มไปด้วยทุกชนิดของตัวควบคุมอันหลากหลาย
แม้ว่าวังเฉิงจะมีประสบการณ์มากมายที่ใช้ชีวิตอยู่บนยานอวกาศ แต่เขาก็ไม่สามารถขับเทคโนโลยียานอวกาศได้
แต่กู่ฉิงซานก็หาได้ลังเลไม่
เขาเอื้อมมือออกไป แตะลงบนแท่นควบคุม เดินลากตั้งแต่ส่วนปลายของมัน ยาวตรงไปอีกด้านหนึ่ง
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดแสงหิ่งห้อยเริ่มเด้งเตือนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
“คุณได้สัมผัสกับศูนย์ควบคุมหลักของยานอวกาศขนาดกลางแบบเก่า”
“คุณได้สัมผัสกับตัวควบคุมทิศทาง”
“คุณได้สัมผัสกับตัวควบคุมความเร็ว”
“คุณได้สัมผัสกับตัวควบคุมการล่องหน”
“คุณได้สัมผัสกับระบบควบคุมการเผาไหม้”
“คุณได้สัมผัสกับเรดาร์ตรวจสอบมิติ”
“คุณได้สัมผัสกับตัวควบคุมไฟ”
…
“อุปกรณ์ควบคุมยานอวกาศในข้างต้นที่กล่าวมา จะแสดงทักษะดังต่อไปนี้”
“วิธีการควบคุมยานอวกาศขนาดกลาง วิธีการควบคุมการบิน วิธีการควบคุมการล่องหน วิธีควบคุมความเร็วและชะลอความเร็ว วิธีควบคุมเรดาร์ วิธีควบคุมการโจมตีด้วยไฟ…”
“เพื่อที่จะเข้าใจทักษะการควบคุมทั้งหมด จำเป็นต้องใช้หนึ่งพันสามร้อยเจ็ดสิบหกแต้มพลังวิญญาณ คุณยินดีที่จะจ่ายมันหรือไม่?”
“ฉันยินดี” กู่ฉิงซานกล่าว
“ได้รับแต้มพลังวิญญาณแล้ว เริ่มต้นทำการเรียนรู้ได้” ระบบเทพสงครามตอบ
หนึ่งลมหายใจ
สองลมหายใจ
สามลมหายใจ
กู่ฉิงซานปล่อยดาบในมือของ เดินตรงไปยังแท่นควบคุม และเริ่มปรับระบบทำงานอย่างรวดเร็ว
ก่อนอื่นเลย กู่ฉิงซานเลือกที่จะทิ้งซากขยะที่กำลังถูกลากจูงไปขาย ปล่อยพวกมันไป จากนั้นก็ปรับความเร็วกับตัวจัดการล่องหน ให้เป็นระดับสูงสุดทั้งคู่
ด้วยวิธีนี้ ยานอวกาศก็จะมีน้ำหนักลดลง แต่เนื่องจากความเร็วที่เพิ่มขึ้น การกินพลังงานก็จะมากขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน
โดยทั่วไปแล้วกัปตันจะไม่อนุญาตหรือยอมให้ยานอวกาศเคลื่อนที่แบบนี้
แต่ทำไมกู่ฉิงซานจะต้องมาสนใจเกี่ยวกับพลังงานมันด้วยเล่า?
ยานอวกาศทั้งลำส่งเสียงคำราม เริ่มเร่งความเร็วท่ามกลางมิติอันโกลาหล
ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังกู่ฉิงซาน
“ฉันไม่คิดเลย ว่านายเองก็มีความรู้ในการขับยานอวกาศเหมือนกับคนอื่นเขาด้วย”
นี่คือเสียงของกัปตัน
ไม่มีใครรู้ว่าเขามายืนอยู่หน้าประตูห้องควบคุมตั้งแต่เมื่อไหร่
กู่ฉิงซานไม่ได้มองย้อนกลับไป เขาเพียงกล่าว “ผมมีเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องไปทำ”
เสียงของกัปตันจมลงและกล่าว “แต่นายกำลังใช้ยานอวกาศของฉันอยู่”
“ใช่ ผมรู้ตัวดี และยินดีที่จะจ่ายสำหรับมัน”
กู่ฉิงซานคว้ากล่องใส่เหรียญของวังเฉิง และเหวี่ยงมันกลับหลัง
เคร้ง!
กล่องตกกระทบลงกับพื้น ระหว่างกลางชายทั้งสอง เหรียญสีฟ้ามากมายกระจายออกจากกล่อง
กัปตันก้มมองเหรียญที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ดวงตาของเขาทอประกายระยิบระยับ
จู่ๆ ก็เข้าควบคุมยานอวกาศ จากนั้นก็โยนเหรียญในกล่องทั้งหมดทิ้งไปอย่างไม่ลังเล การกระทำต่างๆ ของวังเฉิงล้วนเกินความคาดหมายของเขา
“แล้วนายคิดจะใช้ยานอวกาศของฉันทำอะไร?” กัปตันถามด้วยความไม่มั่นใจ
“รีบตรงไปยังตลาดมืดให้เร็วขึ้น”
“จากนั้นล่ะ? นายคิดจะทำอะไรต่อ?”
“นั่นมันเป็นเรื่องส่วนตัวแล้ว ผมจะไม่บอกอะไรอีก”
กู่ฉิงซานไม่มองย้อนกลับมา เขายังคงควบคุมยานอวกาศขณะกล่าว
เขาจับตัวเซนเซอร์แรงลม เพื่อมองหาความเป็นไปได้ที่จะทำให้เรือแล่นเร็วกว่าในปัจจุบัน
ชีวิตของหยุนจีกำลังตกอยู่ในอันตราย ตอนนี้ไม่อาจล่าช้าได้ จะต้องรีบไปหาเธอทันที!
กัปตันก้มลงมองกล่องเงินบนพื้น สลับกับเงยขึ้นมองแผ่นหลังของวังเฉิง
“ฉันไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเผลอดูถูกนายมากเกินไปถึงขนาดนี้ คงจำเป็นต้องมาใช้เวลาทำความรู้จักกันให้มากกว่าเดิมซะแล้ว”
ขณะกล่าว เขาก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นอย่างเงียบๆ เล็งไปทางกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว
‘ไอ้โง่นี่ ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ยังคิดจะทำอะไรอีก!’
กู่ฉิงซานไม่รอช้า กวาดจิตสัมผัสเทวะเจาะผ่านออกไปนอกยานอวกาศ และตรึงเข้ากับท่อนไม้หักๆ ที่ลอยคว้างอยู่ในกระแสมิติ
สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!
กู่ฉิงซานแลกเปลี่ยนตำแหน่งกับท่อนไม้หักๆ
เขาปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางกระแสมิติ และท่อนไม้ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าแท่นควบคุม
วินาทีต่อมา
ร่างเงาแทนที่ก็ถูกใช้ออกอีกครั้ง!
กู่ฉิงซานและกัปตันได้สลับตำแหน่งกัน
เขาปรากฏตัวขึ้นในห้องควบคุมยาน ขณะที่กัปตันถูกโยนเข้าสู่วังวนอันเชี่ยวกรากของกระแสมิติ!
ร่างกายวูบไหว กู่ฉิงซานกลับมายืนอยู่หน้าแท่นควบคุมอีกครั้ง
ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ท่อนไม้หักเพิ่งจะตกกระทบลงกับพื้น
ไม่มีกระทั่งเวลาพักหายใจ กัปตันที่แข็งแกร่งที่สุด ถูกโยนออกจากยานอวกาศไปซะแล้ว
กู่ฉิงซานยังคงควบคุมยานอวกาศ มุ่งตรงไปข้างหน้า
ความสนใจของเขามิได้ถูกเบนเบี่ยงไปเลยแม้เพียงน้อย สมาธิจดจ่ออยู่กับการขับยาน ในใจร้อนรุ่มคาดหวังว่าต้องไปถึงตลาดมืดให้เร็วขึ้นสักหน่อยก็ยังดี
หลังจากนั้นผ่านไปหลายสิบลมหายใจ
เสียงหอบแฮกก็ดังมาจากทางประตูห้องควบคุมอีกครั้ง
“วังเฉิง! สารเลว! แกเป็นใครกันแน่!” กัปตันร้องตะโกนด้วยความโกรธ
“ไม่ต้องสนหรอกว่าผมเป็นใคร แต่อย่ามายุ่งกับผมก็พอ” กู่ฉิงซานก้มหน้าบังคับยานอวกาศ ตอบอย่างไม่ใส่ใจ
กัปตันหยุดคิด ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน
“ฮะ ฮะฮ่า ฮ่าๆๆ แค่นี้ก็มั่นใจได้แล้ว แกไม่ใช่วังเฉิงอย่างแน่นอน!”
“กะแล้วเชียว เจ้าวังเฉิงมันจะไปสามารถอัญเชิญภูตระดับราชาได้อย่างไรกัน!”
เขาพึมพำ “ด้วยเทคนิคมิติที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ฉันขอเดาเลยว่าแกจะต้องเป็นคนสำคัญไม่น้อยแน่ๆ”
“แกมีฝีมือที่ดี แต่ดูก็รู้ว่ากำลังพยายามปิดบังหรือหลีกเลี่ยงอะไรบางอย่าง”
“และฉันขอเดาว่าแกน่ะมันคนประเภทเดียวกันกับฉัน”
“แกไม่ใช่อาชญากรที่มีใครต้องการตัว แต่เป็นใครบางคนที่จำเป็นต้องปกปิดตัวตน แกน่าจะเพิ่งทำเรื่องราวใหญ่โตไป และต้องการหลบซ่อนจนกว่าเรื่องที่ว่านั่นมันจะถูกสายลมพัดผ่านไป สุดท้ายก็มาจบลงที่ยานของฉัน”
กัปตันกล่าวอย่างช้าๆ ดวงตาของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนสี
ใบหน้าของเขาดูจะตื่นเต้นเล็กน้อย และเริ่มขยับนิ้วมือ “พลังที่แกครอบครองมันร้ายกาจจริงๆนะ แต่น่าเสียดายที่ดันมาอยู่บนยานของฉัน”
“ดังนั้น ทุกสิ่งที่แกมี รวมไปถึงชีวิต สุดท้ายก็จะตกอยู่ในมือของฉัน!”
ว่าจบ กัปตันก็วางมือลงบนประตู ทั้งคนทั้งร่างของเขาพลันหายวับไป
พร้อมกันกับตัวยานอวกาศที่หลุดจากการควบคุมของกู่ฉิงซาน
ยานอวกาศทั้งลำชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ในที่สุดมันก็หยุดลง และเริ่มลอยเคว้งท่ามกลางมิติ
ในเวลาเดียวกัน สมาชิกยานก็ผุดออกมาจากผนังโลหะ
ใบหน้าของพวกเขาล้วนเย็นชาและแข็งทื่อ ราวกับซอมบี้ในนิยายวันสิ้นโลก
“ทำไมต้องทำให้เรื่องราวมันวุ่นวายแบบนี้ด้วย?”
กู่ฉิงซานส่ายหัวและถอนหายใจ
ดาบเช่าหยินบินออกไป เชือดเฉือนสมาชิกยานนับสิบไปตลอดทาง
ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง!
เสียงสายฟ้าสาดกระเซ็นไปทุกหนแห่ง
สมาชิกยานถูกกดดันให้ถอยร่นไปเล็กน้อย มีบางคนที่ปรากฏถึงร่องรอยขีดข่วนบนร่างกาย ทว่าพวกเขาไม่ได้ ‘นิ่งค้างไป’
การลงมือในครั้งนี้ พวกเขาแทบจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย
หากมีเพียงหนึ่งหรือสองคน มันก็ไม่น่าจะเป็นอะไร
แต่นี่ ตอนนี้ ทุกคนล้วนไม่มีใครได้รับผลกระทบจากสกิล ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ เลย
สิ่งนี้ทำให้กู่ฉิงซานค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว
เสียงของกัปตันกลายเป็นดุร้ายและตื่นเต้น “ถ้าเป็นในโอกาสอื่น บางทีฉันอาจจะพิจารณาข้อเสนอของแก แต่ยานอวกาศลำนี้คือดินแดนของฉัน! มันเป็นโลกของฉัน! และฉันจะเป็นคนตัดสินชีวิตแกในเวลานี้!”
“มาเถอะเจ้าวังเฉิงตัวปลอม ไม่ใช่ว่าแกมีภูตผีที่ทรงพลังมากๆ อยู่หรอกหรือ?”
“ฉันเข้าใจนะว่าแกเป็นผู้อัญเชิญภูต และยังรู้ถึงขั้นตอนการเรียกทั้งหมดด้วย ดังนั้นฉันสัญญาเลยว่าแกจะไม่มีโอกาสได้เรียกมัน!”
ขณะกล่าว เหล่าสมาชิกยานก็เริ่มขยับไหว
พวกเขาเข้าล้อมรอบตัวกู่ฉิงซานและโจมตี
ตาของกู่ฉิงซานกลายเป็นคมชัด
ฟิ้ว!
ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาชิงลงมือ
รังสีดาบขนาดใหญ่ นวลผ่องดั่งจันทร์เพ็ญบนฟากฟ้าที่โค้งมนปรากฏออกมา
สมาชิกยานทั้งหมดถูกตัดหั่นเป็นชิ้นๆ ด้วยคมเขี้ยวแสงจันทร์นี้!
สายลมที่เกิดจากดาบ พัดกระพือแขนขาที่ถูกตัดแยกออก กระแทกเข้ากับกำแพงโลหะ จนบังเกิดเสียงหนักทึบต่อเนื่อง
ซากศพร่วงตกลงกับพื้น แตะกลับไม่มีร่องรอยของเลือดปรากฏอยู่เลย
ในไม่ช้า ร่างศพเหล่านั้นก็หายไป
ที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น กลายเป็นเกราะรบ และอุปกรณ์ป้องกันอันหลากหลายแทน
กู่ฉิงซานจ้องมองอุปกรณ์ที่แตกหักเหล่านั้น ในหัวใจเริ่มตระหนักชัด
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ ถึงไม่สามารถหยุดอีกฝ่ายหนึ่งได้
เพราะพวกเขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นชุดเกราะนั่นเอง!
กัปตันเงียบไปหนึ่งลมหายใจ ก่อนจะหัวเราะอย่างกะทันหัน “มีสกิลอันร้ายกาจอยู่ถึงสอง ก็แล้วอย่างไร? แกจะสามารถต่อสู้ต่อไปแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว?”
เกราะค่อยๆ จมลงในยานอวกาศและหายไป
หลังจากนั้นในช่วงเวลาสั้นๆ
สมาชิกยานก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้ ดวงตาของพวกเขาช่างสดใส ท่าทีและการเคลื่อนไหวดูยืดหยุ่นคล่องแคล่วมากขึ้น
“คนของฉันไม่มีวันตาย และพวกเขาไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย!”
กัปตันหัวเราะ
กู่ฉิงซานไม่สนใจเสียงเยาะหยันของกัปตัน
มือของเขาแตะลงบนแท่นควบคุมยานอวกาศ ในวิสัยทัศน์จับจ้องอากาศที่ว่างเปล่าเบื้องหน้า
หลายเส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ค้นพบไอเท็ม ยานอวกาศหุ่นเชิด”
“ไอเท็มชิ้นนี้ได้รับการร่ายเทคนิคมนตรา ผสานโลหะ(ขั้นสูง) วิญญาณชักใยหุ่นเชิด(ขั้นกลาง)”
“ผสานโลหะ(ขั้นสูง) คุณสามารถรวมตัวเองเข้ากับโครงสร้างโลหะ หรือสามารถควบคุมโลหะได้ดั่งใจของคุณ”
“วิญญาณชักใยหุ่นเชิด(ขั้นกลาง) คุณสามารถควบคุมหุ่นเชิดของคุณด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณได้”
“เนื่องจากคุณได้ปลดล็อกจิตวิญญาณแล้ว ส่งผลให้คุณสามารถเรียนรู้เทคนิคทั้งสองนี้ได้เลยโดยตรง”
“หากทำการเรียนรู้สองเทคนิคมนตรานี้ คุณจะได้รับตำแหน่ง ปรมาจารย์หุ่นเชิดโลหะ”
กู่ฉิงซานตกตะลึง
จู่ๆ เขาก็ได้ทราบว่ากัปตันนั้นเป็นปรมาจารย์หุ่นเชิดโลหะ
ถ้าอย่างนั้น หมายความว่าเจ้าหน้าที่อันดับสอง และสมาชิกยานทั้งหมดในวันนี้ ก็ล้วนเป็นหุ่นเชิดที่ถูกสร้างขึ้นโดยกัปตันผู้สามารถควบคุมวัตถุและชุดเกราะได้น่ะสิ!
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเสียงมรณะไม่ทำงาน อันที่จริงมีใบ้ให้แล้วในตอนที่อันดับสองพูดว่า ‘เจ้าเด็กเหลือขอ’ มันคือคำพูดเดียวกันกับที่กัปตันใช้เรียกกู่ฉิงซาน
ไม่เพียงแค่นั้น แต่ยานอวกาศทั้งลำก็ได้หลอมรวมเข้าด้วยกันกับเขา ซึ่งเกรงว่านี่มันคงจำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างมากแน่ๆ
หากคุณไม่ทราบว่ากัปตันได้หลอมรวมเข้ากับยานทั้งลำ และยังคงบ้าบิ่นต่อสู้ต่อกับหุ่นเชิดบนยานต่อไป เกรงว่าสถานการณ์ยิ่งนานคงยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมกัปตันถึงดูมั่นใจนักมั่นใจหนา ว่าจะสามารถเอาชนะกู่ฉิงซานได้
แต่ตอนนี้ ..
กู่ฉิงซานกุมดาบขุนเขาเทวะหกโลกา และเริ่มกระตุ้นพลังวิญญาณ
รังสีดาบสีน้ำเงินขาวสาดแสงเปรี๊ยะปร๊ะ ดังออกมาจากดาบขุนเขาเทวะ
กัปตันหัวเราะอย่างภาคภูมิ “เหอะ! นั่นแกคิดจะทำอะไร? โจมตีฉันหรือ? ช่างน่าสงสาร เพราะแกไม่มีทางหาฉันเจอได้หรอก”
กู่ฉิงซานไม่ได้พูดอะไรเลย เขาเพียงแทงดาบขุนเขาเทวะ เสียบลงบนพื้นกลางลำยานด้วยเจตนาร้าย!
ยานอวกาศทั้งลำพลันสั่นไหว
โดยทั่วไปแล้ว ยานอวกาศน่ะมักจะมีความทนทานเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้องใช้เดินทางในมิติอันเชี่ยวกราก
และตอนนี้ ยานอวกาศก็ยังหลอมรวมเข้าด้วยกันกับกัปตัน ดังนั้นการป้องกันจึงเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล!
แต่ว่าอีกฝ่ายช่างน่าสงสาร
นั่นเพราะดาบเล่มนี้ครอบครองพลังแหกกฎเกณฑ์
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการผสานโลหะหรือชักใยหุ่นเชิด มันก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเมื่ออยู่ต่อหน้าดาบขุนเขาเทวะเล่มนี้!!
ดังนั้น ด้วยดาบขุนเขาเทวะ มันย่อมสามารถทำร้ายอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน
กู่ฉิงซานกระชากดาบยาวออกมา
ยานอวกาศทั้งลำสั่นสะท้านอีกครั้ง
กัปตันพยายามฝืนบังคับตนให้สงบ “เหอะ พอไม่สามารถหาตัวฉันได้ ก็คิดจะทิ่มแทงยานอวกาศไปมั่วๆ เช่นนั้นหรือ ช่างเป็นคนที่โง่เขลาซะจริง”
กู่ฉิงซานเงียบ เขาไม่เอ่ยคำใด ทำการกระตุ้นพลังวิญญาณอีกครั้ง
เทียบกันกับเมื่อครู่นี้ รังสีดาบที่กำลังเปล่งออกมาในปัจจุบันดูจะรุนแรงกว่ามาก
เสียงพูดของกัปตันดังขึ้นอีกครั้งทันที
คราวนี้เขาพูดรัวเร็วกว่าเดิม “เฮ้ เฮ้ พวกเรากำลังสู้กันอยู่นะ แต่ยานลำนี้เป็นแค่ที่ให้พวกเราหยั่งเท้า เพราะฉะนั้นฉันคิดว่ามันไม่ควร..”
กู่ฉิงซานเสียบดาบยาวลงบนพื้นยานอีกครั้ง
ยานอวกาศสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คล้ายกับว่าวินาทีต่อไปมันจะแตกสลาย
สมาชิกยานสูญเสียการควบคุมโดยสมบูรณ์ พากันล้มตัวลงกับพื้น
เหมือนว่าจะได้ยินถึงเสียงกรีดร้องของความเจ็บปวดจางๆ ดังมาจากส่วนลึกของภายในตัวยาน
กู่ฉิงซานเผยรอยยิ้มหวาน ปากเอ่ยกล่าว “ปากบ่นอีกอย่าง แต่อย่างไรซะร่างกายก็ยังซื่อสัตย์อยู่ดี”
คราวนี้บนดาบยาว รังสีดาบคึกคะนอง แผดเผาเป็นประกายยิ่งกว่าที่แล้วๆ มา!
………………………………….
ท่ามกลางสายธารแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนาน มักจะมีเหตุการณ์สำคัญที่สามารถสั่นสะเทือนได้ทั้งโลกเก้าร้อยล้านเกิดขึ้นเสมอมา
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เหล่านี้มันก็ยังพอที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ บางคนถึงขั้นทำนายมันได้ล่วงหน้า บางคนถึงขั้นล่วงรู้ถึงทุกรายละเอียดของมันได้ด้วยซ้ำ
ทว่าครั้งนี้มันต่างออกไป
มนุษย์แสงปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ
ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะมาพร้อมกับประกาศใหม่ และบัญญัติกฎใหม่ขึ้น
แต่วินาทีเดียวก่อนที่ร่างของมนุษย์แสงจะประกาศต่อทั้งโลกสองร้อยล้านชั้นในดินแดนชิงอำนาจ
ตลอดทั้งดินแดนชิงอำนาจพลันชิงมืดฟ้ามัวดินลงอย่างกะทันหัน
แสงจรัสที่เปล่งประกายสดใส ลากเป็นทางแลดูคล้ายหางอันยาวเหยียด ปรากฏขึ้นในทุกสถานที่ของดินแดนชิงอำนาจ
ฉากนี้มันแลคล้ายกับฝนดาวตก
อย่างไรก็ตาม อำนาจอันยิ่งใหญ่ที่มิอาจอธิบาย ก็ได้ห่อหุ้มฝนดาวตกเหล่านั้นเอาไว้ ส่งผลให้ไม่มีใครสามารถตรวจจับต้นกำเนิดของฝนดาวตานี้ได้เลย
กระทั่งการดำรงอยู่ที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนชิงอำนาจ ทั้งหมดก็รู้เพียงแค่ว่ามีหลายสิ่งที่ไม่รู้จักได้ทำลายมิติและเวลา จากที่ไกลแสนไกล มายังดินแดนชิงอำนาจโดยตรง
แต่สิ่งที่ว่ามาเมื่อครู่นี้คืออะไร และวิธีการที่พวกเขาใช้เดินทางมาได้นั้น ไม่มีใครทราบคำตอบเลย
แม้แต่ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการตรวจสอบที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าฝนดาวตกพวกนี้หายไปที่ไหน
ฉากนี้มันกินเวลาเพียงวินาทีเดียว
วินาทีเดียวสั้นๆ
แค่วินาที
ฝนดาวตกทั้งหมดก็ถูกปกปิดตัวตน และหายไปโดยสิ้นเชิง
ราวกับว่ามันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
ดินแดนชิงอำนาจกลับคืนสู่สภาวะปกติ
และในเวลานั้นเอง เสียงของมนุษย์แสงก็ดังขึ้น
“โปรดทราบ ผู้ศรัทธาคนแรกที่สามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว”
“หนทางสู่การเป็นเทพได้เปิดออกอย่างเป็นทางการ”
“อำนาจเทวะที่ถูกวางไว้โดยเทพวิญญาณจะถูกเปิดใช้งานในไม่ช้า”
“ดินแดนชิงอำนาจจะถูกซ่อนจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น”
“นับจากนี้ไป ใครก็ตามที่ออกจากดินแดนชิงอำนาจ จะไม่สามารถเข้ากลับมายังดินแดนชิงอำนาจได้อีกเลยตลอดกาล!” ด้วยการประกาศของมัน ดินแดนชิงอำนาจก็ได้หายวับไปจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น
นี่คืออำนาจเทวะของเทพวิญญาณทั้งเจ็ด ที่ทำการเปิดใช้งานกำแพงอุปสรรคอย่างเต็มกำลัง
โดยบทบาทเดียวของมันคือการซ่อน
…ซ่อนดินแดนชิงอำนาจทั้งหมดเอาไว้
ไม่มีใครรู้ว่าเทพวิญญาณทั้งเจ็ดกำลังคิดอยู่คืออะไร ทำไมถึงได้ทำการจัดวางมันไว้ล่วงหน้าแบบนี้
อย่างไรก็ตาม เหล่าทวยเทพคงไม่ทันคาดคิดเหมือนกัน ว่าฝนดาวตกจะวิ่งเข้ามาในช่วงเวลาก่อนที่ดินแดนชิงอำนาจทั้งหมดจะถูกซ่อนเอาไว้
…
บนยานอวกาศ
กัปตันตั้งใจฟังอย่างรอบคอบ เกี่ยวกับการประกาศของมนุษย์แสง
เขาไม่ได้เคลื่อนกายไปที่ใดเลย จนกระทั่งมนุษย์แสงหายไป
‘มีคนที่สามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว!’
กัปตันถอนหายใจ ดูเหมือนว่าห้วงอารมณ์ที่แฝงมากับในน้ำเสียงมันไม่อาจฝืนระงับได้อีกต่อไป
ใช่! โดยการจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ คุณจะสามารถได้ล่วงรู้ถึงทักษะและความรู้ของเทพ และใครบางคนก็ได้รับสิ่งนั้นไปก่อนแล้ว!
ย้อนมองกลับมาทางตนเองเล่า?
เขายังคงต้องพยายามดิ้นรนเพื่อหาเงินให้เพียงพอต่อการใช้เดินทางอยู่เลย
ไม่เพียงแค่ค่าเดินทางในการเดินทางไปกลับจากวิหารเท่านั้น
แต่มันรวมไปถึงหลังจากการจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ด้วย เพราะแค่การฝึกฝนความสามารถต่างๆของเทพวิญญาณ มันก็ต้องใช้เวลา และทรัพยากรไม่ใช่หรือ?
ซึ่งในโลกใบนี้ ถ้ามีเงินไม่เพียงพอ ไม่ว่าเรื่องใดก็คงไม่อาจทำสำเร็จได้
ไม่ต้องพูดถึงการเป็นเทพ แม้กระทั่งการรักษาสิ่งพื้นฐานที่สุดของมืออาชีพอย่างเกียรติและศักดิ์ศรี มันก็จำเป็นต้องมีทุนสนับสนุนที่เพียงพอกันทั้งนั้น
กัปตันก้มหน้าลง เงียบงันไปครู่หนึ่ง
มือของเขากำแน่น คลายออก กำแน่น คลายออก สลับวนเวียนซ้ำๆ
“ตอนนี้เกือบจะถึงเวลาแล้ว และภัยคุกคามเพียงอย่างเดียวของฉันก็คือวังเฉิง และวังเฉิงมันก็ยกเลิกการอัญเชิญภูตไปแล้วซะด้วย…”
“ดูเหมือนว่าฉันคงจะต้องทำทุกอย่างให้มันจบไปซะแล้วสิในตอนนี้”
‘ฉันได้เตรียมการมาไว้มากมาย ก็เพื่อเฝ้ารอให้วันนี้มาถึงไม่ใช่หรือ?’
‘แล้วยังจะต้องมามัวลังเลอะไรเกี่ยวกับมันอีก?’
กัปตันในที่สุดก็กำหมัดแน่น และตัดสินใจขั้นเด็ดขาด
อีกด้านหนึ่ง
กู่ฉิงซานยืนอยู่ในห้องส่วนตัวของวังเฉิง
หนังสือพิมพ์ในมือของเขาได้เปิดเผยถึงเนื้อหาของข่าวทั้งหมด
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภายนอกยานอวกาศ ในโลกสองร้อยล้านชั้นของดินแดนชิงอำนาจได้มีฝนดาวตกวูบหายไป
นั่นเพราะเขากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ผิดปกติอย่างอื่นอยู่
หนังสือพิมพ์ลุกเป็นไฟ
กู่ฉิงซานไม่ทันจะได้มีเวลาตอบสนอง เสียงคำรามของเปลวไฟก็ผุดออกมาจากในอากาศที่ว่างเปล่า และเผาฉบับหนังสือพิมพ์ทิ้งไป
อย่างไรก็ตามหนังสือพิมพ์กลับมิได้ลอยเป็นเถ้าฟุ้งกระจาย
แต่มันกลับกลายเป็นบางสิ่ง ที่คล้ายๆ กับผ้าสีดำกำลังแผ่ขยายอยู่ในมือของกู่ฉิงซาน
สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนไป
เมื่อเห็นถึงปรากฏการณ์นี้ เขาก็ตระหนักได้ว่ามันไม่ใช่หนังสือพิมพ์ธรรมดาๆ แต่คล้ายจะมีฟังก์ชันพิเศษอื่นๆ แอบแฝงมา
นี่คือหนังสือพิมพ์ที่เสี่ยวเหมียวเคยยัดใส่มือตัวเขาเอง
แต่ตอนนี้ เนื่องจากมันไม่น่าจะใช่หนังสือพิมพ์ธรรมดาแล้ว ดังนั้น ย่อมหมายความว่าเสี่ยวเหมียวต้องจงใจใส่อะไรบางอย่างที่แฝงความหมายอันลึกซึ้งเอาไว้แน่นอน
ซึ่งนี่มันแตกต่างไปจากสมองกล้ามเนื้ออย่างพี่ชายของเธอ เสี่ยวเหมียวน่ะมักจะวางแผน และมีความคิดมากมายอยู่เสมอ
แล้วถ้าเช่นนั้น ผ้าสีดำที่ซ่อนอยู่ภายใต้หนังสือพิมพ์มันคืออะไรกันแน่นะ?
กู่ฉิงซานไตร่ตรองด้วยความสงสัย
อย่างไรก็ตาม เห็นแค่เพียงบนผิวผ้าสีดำเริ่มเกิดแสงสว่างจางๆขึ้น
เริ่มจากจุดแสงเล็กๆ ค่อยๆ กลายเป็นแสงสลัว แล้วก่อให้เกิดหมอกควันขึ้น
นี่มันเป็นฉากที่ค่อนข้างจะแปลกมาก
ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังสงสัย หน้าต่างเทพสงครามก็ส่องสว่างขึ้น
บรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏลงใจกลางหน้าต่าง
“ผนึกผ้าดำได้ถูกเปิดออกแล้ว”
“คุณได้ค้นพบไอเท็ม ผ้าดำปริศนาแห่งกระบี่ปฏิญาณ”
“คุณภาพ อุปกรณ์พิเศษ”
“คำอธิบายตามพงศาวดารวันสิ้นโลก กระบี่ปฏิญาณ คือหนึ่งในองค์กรที่ลึกลับที่สุดในโลกเก้าร้อยล้านชั้น ข่าวที่เปิดเผยต่อสาธารณะไม่มีระบุว่าพวกเขากระทำสิ่งใดเลย แต่มีเฉพาะเพียงตัวตนทรงอำนาจระดับสูงเท่านั้น ที่ทราบว่ามันมีอยู่จริง”
“วิชายุทธ์เทพสงคราม ผ้าดำปริศนา เป็นไอเท็มพิเศษขององค์กรที่ใช้สำหรับการติดต่อกับมิติและเวลาบางแห่ง คุณไม่สามารถเรียนรู้ทักษะใดๆ จากมันได้”
กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านจนจบ
และไม่รีรอให้เขาใช้เวลากลั่นกรอง ก็มีเสียงของผู้หญิงดังออกมาจากผ้าดำที่อยู่ใจกลางหมอกเย็น
“อีกฝั่ง…หนึ่ง…เป็น…ใครกัน?”
เสียงของหญิงสาวที่ฟังดูไม่ปะติดปะต่อ และแผ่วเบา คล้ายกับคนที่กำลังใกล้ตายดังขึ้น
เมื่อได้ยินถึงเสียงอันคุ้นเคยนี้ จิตฟุ้งซ่านของกู่ฉิงซานก็สงบลงโดยสมบูรณ์
เขาเอ่ยถามทันที “คุณคือหยุนจี? จ้าวแห่งหมอก ผู้คุ้มภัยแห่งโชคชะตาลี้ลับ ภัยพิบัติแห่งอาณาจักรทั้งมวล ใช่หรือเปล่า?”
ปรากฏเสียงรบกวนดังมาจากฝั่งตรงข้าม
จำต้องใช้เวลาสักพักเลย กว่าที่เสียงรบกวนเหล่านี้จะสงบลง
เสียงของผู้หญิงดังขึ้นอีกครั้ง
“กู่ฉิงซานหรือ? ฉันแค่รู้ว่ามีคนของพวกเราอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นนาย”
เธออ้าปากสูดลมหายใจ ดิ้นรนเอ่ยต่อด้วยความยากลำบาก “…อาการบาดเจ็บของฉันร้ายแรงเกินกว่าจะเคลื่อนไหวได้ ฉันทำได้แค่ส่งสัญญาณที่อยู่ให้กับนาย ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไรต้องทำแล้วล่ะก็ ได้โปรดรีบมาช่วยฉันด้วยเถอะ”
เห็นแค่เพียงจุดแสงในหมอกหนารวมตัวเข้าด้วยกันจากผ้าสีดำ ก่อนจะไหลลงไปในมือของกู่ฉิงซาน ตรงไปยังทะเลแห่งห้วงสติของเขา
กู่ฉิงซานสามารถรับรู้ถึงตำแหน่งแบบเฉพาะเจาะจงของอีกฝ่ายทันที
“คุณรอก่อนนะ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
เขาตะโกน
หยุนจี “ฉันจะไม่ไหวแล้ว แต่อย่างน้อยฉันก็พอที่จะบอกอะไรบางอย่างกับนายก่อนตายได้ เพราะฉะนั้นช่วยรีบมาเร็วๆด้วยเถอะ”
ดูเหมือนว่าคำกล่าวนี้จะใช้พลังของเธอจนหมดสิ้น เพราะเมื่อพูดจบ เสียงก็ถูกตัดไปทันที
กู่ฉิงซานแทบลืมหายใจ
เขาเร่งหยิบแผนที่นำทางจากในลิ้นชักและเริ่มตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง
ตามความทรงจำของวังเฉิง กู่ฉิงซานได้ทำการเทียบเปรียบพิกัด และจัดวางแผนภูมินำทาง จนสามารถค้นพบถึงตำแหน่งของหยุนจีได้อย่างรวดเร็ว
ตลาดมืดเกรย์แฮนด์
อ้างอิงจากตามพิกัด มันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่!
กู่ฉิงซานเริ่มเค้นสมองคิดหาวิธีช่วยเหลือเธอทันที
นับจากช่วงเวลานี้ไป เขาได้ละทิ้งซึ่งแผนการทุกอย่างทั้งหมดที่ทั้งคิด ทั้งเตรียมการ โยนไปไว้เบื้องหลังโดยสมบูรณ์
ช่างหัวมันว่ายานอวกาศลำนี้จะมีความลับหรือปัญหาอะไรเก็บซ่อนอยู่ เพราะในปัจจุบันการช่วยคนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!
ตอนนี้ ยานกำลังจะมุ่งหน้าไปยังตลาดมืดอยู่แล้วก็จริง แต่เนื่องจากเพราะพวกมอนสเตอร์มิติ ที่บางครั้งก็ปรากฏตัวออกมาระหว่างทางอย่างกะทันหัน ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง ไม่สามารถเร่งความเร็วยานได้
เขาจะต้องไปควบคุมยานอวกาศให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุด!
กู่ฉิงซานตัดสินใจ และรีบออกจากห้องของวังเฉิงอย่างรวดเร็ว
เขาตระหนักได้มาตั้งนานแล้วว่ากัปตันน่ะ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในเรื่องของเงิน
ดังนั้น เขาจะใช้เงินทั้งหมดของวังเฉิง แก้ไขปัญหาในข้อนี้
เพราะท้ายที่สุดแล้ว คำขอเดียวของเขาก็คือต้องการให้เร่งเครื่องเร็วขึ้น
กู่ฉิงซานก้าวฉับๆตรงไปยังห้องของกัปตัน
แต่สักพักหนึ่ง
ฝีเท้าของเขาก็ต้องหยุดลง
เพราะดันมีเรื่องแปลกๆ บางอย่างเกิดขึ้นรอบตัวเขา
กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ ชุดเกราะรบนายพลชั้นเฉินเว่ยบินออกมาและสวมทับใส่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว
เขาเอื้อมออกไปคว้าดาบขุนเขาเทวะหกโลกาไว้ในกำมือ
“จงเผยตัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
กู่ฉิงซานตวาด
แต่ก็ไม่มีใครตอบเขา
อันที่จริงแล้วเรือทั้งลำบัดนี้กลายเป็นวังเวง ไร้สิ่งสรรพเสียงใดๆ
กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา กวาดไปตลอดทั้งลำยาน
…ไม่มีใคร
ทุกคนบนยานอวกาศหายหัวไปกันหมดเลย!
………………………………….
กู่ฉิงซานเปลี่ยนเป็นวังเฉิง แล้วก้าวเดินกลับไปยังทางแยกสู่ยานอวกาศหลัก
ทันทีที่ออกจากซากยาน เขาก็พบว่าเจ้าหน้าที่ลำดับสองที่ยืนอยู่ตรงทางเข้ายานหลัก กำลังมองมาที่เขาด้วยความเย็นชา
ภารกิจค้นหาได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
ทุกคนกลับไปยังยานหลัก เหลือเพียงอันดับสองเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ที่นี่ มันเหมือนกับว่าเขากำลังรอใครบางคนอยู่
กู่ฉิงซานชำเลืองมองอีกฝ่ายแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด สองเท้ายังคงก้าวตรงไปตามเส้นทางเข้าสู่ยานอวกาศหลัก
“วังเฉิง แล้วภูตอัญเชิญของนายไปอยู่ที่ไหนซะแล้วล่ะ?” เมื่อเขาผ่านไป อันดับสองก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ทุกอย่างจบแล้ว มันเลยกลับไป” กู่ฉิงซานกล่าว
เจ้าหน้าที่อันดับสองนิ่งงัน ก่อนที่จะยื่นถุงใบเล็กๆ ออกมา
“นี่คือเงินเดือนเดือนนี้ของนาย ทุกคนได้รับกันหมดแล้ว เหลือแค่นายที่ยังไม่ได้” เขากล่าว
“โอ้ ขอบคุณนะ มิน่าล่ะนายถึงมารอฉันอยู่ที่นี่” กู่ฉิงซานรับถุงมา
แล้วเขาก็เดินต่อไปยังทางเข้าเรือ โดยไม่คิดเหลียวหลังกลับมามอง หายไปในระเบียงทางเดินยานอวกาศ
โดยมีคู่ดวงตาของอันดับสองจ้องมองอยู่จากเบื้องหลัง จนกระทั่งอีกฝ่ายหายไป ก็ยังไม่คิดเคลื่อนกาย
ผ่านไปเป็นเวลานาน อันดับสองก็งึมงำออกมา “ ‘ไอ้เด็กเหลือขอ’ ในที่สุดภูตอัญเชิญก็หายไปสักทีนะ…”
เขาปล่อยลมหายใจยาว สีหน้าผ่อนคลายลง
ถ้าวังเฉิงไม่มีราชาภูตที่แข็งแกร่งอยู่เคียงข้างแล้วล่ะก็ ใครมันจะไปหวาดกลัวเขา
ก่อนหน้านี้มันยังไม่ชัดเจนว่าวังเฉิงสามารถเรียกราชาภูตมาได้อย่างไร?
แต่หากคุณต้องการจะกำจัดผู้อัญเชิญ คุณก็แค่เร่งมือโจมตีหรือสังหาร ให้พวกเขาไม่มีเวลามากพอที่จะร่ายคาถาก็พอแล้ว เพราะถ้าอัญเชิญอะไรมาไม่ได้ทุกอย่างก็เป็นอันจบ
ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้วยสภาพของยานอวกาศที่คับแคบ มันย่อมเป็นเรื่องง่ายที่จะทำ เจ้าหน้าที่อันดับสองขบคิด สองขาเริ่มก้าวเดิน มุ่งเข้าสู่ทางเข้ายานอวกาศหลักอย่างช้าๆ
อีกด้านหนึ่ง กู่ฉิงซานกำลังเดินผ่านพื้นที่ส่วนกลางของยาน เขาเห็นศพของเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่ง กับอีกเจ็ดแปดคนอยู่ด้วยกัน ถูกแขวนประจานต่อหน้าสาธารณะ
และลูกเรืออีกหลายคน ก็กำลังรวมตัวกันสนทนากันอยู่ที่นี่
“กลับกลายเป็นว่าวังเฉิงกล่าวหาผิดคน จริงๆ แล้วไม่ใช่เจ้าหน้าที่อันดับสอง แต่เป็นอันดับหนึ่งต่างหาก”
“ฉันเองก็รู้สึกเหมือนกัน ว่าอันดับหนึ่งมีปัญหามานานแล้ว”
“นั่นสิ เขามักจะทำโอ้อวดใหญ่โต ทำอย่างกับสามารถใช้มือเดียวโอบคลุมไปทั่วฟ้า แต่สุดท้ายพอถูกกัปตันจับได้ ก็จบลงในสภาพนี้”
“ฉันสงสัยจัง ว่าเขาจะได้เงินจากไป่หยูกับจางยี่ไปเท่าไหร่กันนะ”
“ไม่ว่าจะได้เงินไปเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็จะเป็นไปตามกฎของกัปตัน ใครที่ทำผิดถูกลงโทษ และ ‘เงิน’ ของคนคนนั้นก็จะถูกแบ่งปันให้กับฉันและทุกๆ คน”
“พอมาลองคิดดูดีๆ พวกลูกเรือที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ กัปตันก็นำ ‘เงิน’ ของพวกเขามาแบ่งให้ทุกคนเหมือนกันนี่นา”
กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้า ไม่ได้ก้าวออกมาข้างหน้า
เขาเพียงตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ ถึงสิ่งที่ทุกคนพูด
ตามความทรงจำของวังเฉิง ในภารกิจก่อนหน้านี้ก็มีบ้างเป็นบางคนที่เสียชีวิต
แต่มันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเมื่อเลือกที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในงานอันตราย ก็ต้องพร้อมยินยอมแบกรับความเสี่ยงเอง
เมื่อไม่นานมานี้ ยานอวกาศได้บังเอิญถูกมอนสเตอร์โจมตีอย่างกะทันหัน ทำให้ในช่วงเวลานั้นมีหลายคนที่ต้องจบชีวิตลง
ซึ่งนั่นถือว่าเป็นความบังเอิญโชคร้ายเท่านั้น แต่คราวนี้ …
กู่ฉิงซานเหลือบมองไปยังเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่ง และอีกหลายศพ
ตามประกาศของกัปตัน คนพวกนี้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับอันดับหนึ่ง พวกเขาได้คอยให้ความช่วยเหลืออันดับหนึ่งในการจัดการเรื่องต่างๆ อย่างลับๆ คิดคดทรยศต่อความไว้วางใจของกัปตัน
ซึ่งตามกฎแล้ว คนพวกนี้จะต้องตาย และถูกริบทรัพย์สินทั้งหมดเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยการกระทำนี้ มันส่งผลให้สถานการณ์ของยานอวกาศไม่ค่อยจะดีนัก
ไม่ว่าจะเป็นการบังเอิญถูกมอนสเตอร์โจมตี แล้วไหนจะยังถูกลงโทษสังหารจากการทรยศกัปตันอีก
ส่งผลให้ในปัจจุบัน ตลอดทั้งยานอวกาศจึงเหลือคนอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น
โชคยังดี ที่แม้ว่าการตัดสินใจของกัปตันจะเด็ดขาดรุนแรง แต่มันก็ทำให้ทุกคนได้รับผลประโยชน์เสมอมา ดังนั้นคนอื่นๆที่เหลือจึงยังคงอยู่ได้อย่างสบายใจ
กู่ฉิงซานเอียงคอ มองหน้าหน้าต่างยาน เฝ้าดูกระแสมิติอันโกลาหลที่อยู่ภายนอก
มันคือมิติอันกว้างใหญ่ที่จะนำไปสู่โลกสองร้อยล้านชั้น พื้นที่ที่มีมอนสเตอร์ดุร้ายมากมายเจริญเติบโต พื้นที่ที่อารยธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมดจำเป็นต้องเดินทางผ่านเส้นทางมิติอันไร้ที่สิ้นสุดนี้ จึงจะสามารถเข้าถึงโลกอื่นๆ ได้
ตามความทรงจำของวังเฉิง เพื่อให้แน่ใจว่ายานอวกาศจะสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย อย่างน้อยก็จำเป็นต้องมีมือดีกว่าสิบคนคอยทำหน้าที่ควบคุมมัน
แต่ตอนนี้ คนส่วนใหญ่บนยานได้ถูกฆ่าตายกันไปหมดแล้ว เหลือแค่เจ็ดถึงแปดคนเท่านั้น
ดูเหมือนว่าหลังจากไปถึงตลาดมืด ยานอวกาศลำนี้คงจำเป็นต้องเปิดรับสมัครลูกเรือเพิ่มขึ้น
กู่ฉิงซานส่ายหัวและออกไปจากที่นี่
เขากลับไปยังห้องพักส่วนตัวของวังเฉิง
เมื่อปิดประตู กู่ฉิงซานก็แกะถุงออก เทเงินลงบนโต๊ะ
กริ๊ง!
เหรียญโลหะตกกระทบกับโต๊ะ ทำให้บังเกิดเสียงไพเราะอันน่ารื่นรมย์
เหรียญเหล่านี้เป็นเหรียญโลหะสีฟ้า มันหนา และไม่เพียงแต่มีผิวที่แข็ง แต่ยังมีรูนอันลึกลับ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการปลอมแปลงถูกสลักเอาไว้อีกด้วย
และบนเหรียญยังสลักไว้ด้วยมอนสเตอร์หกแขนบนด้านหน้า ขณะที่อีกด้านหนึ่งถูกสลักด้วยตัวเลข ‘เจ็ด’ ที่มักจะใช้กันและเป็นที่รู้จักกันในสากลของโลกเก้าร้อยล้านชั้น
นี่คือเหรียญเงินหมายเลขเจ็ด
ในดินแดนชิงอำนาจ จะมีการจัดเรียงลำดับอำนาจในการซื้อขาย โดยจะมีทั้งสิ้นหนึ่งพันหนึ่งเลขเหรียญ
ยิ่งจำนวนเลขมากเท่าไหร่ อำนาจในการซื้อขายก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
จากทั้งหมดหนึ่งพันหนึ่งเหรียญ อำนาจในการซื้อขายของเหรียญลำดับเจ็ดนี้ ถือว่าค่อนข้างแย่
แต่คุณจะไปคาดหวังอะไรกับเงินที่ได้รับจากการทำงานอย่างการเก็บซากยานห่วยๆ กันเล่า?
เพราะยานอวกาศที่ดีอย่างแท้จริงน่ะ มันไม่ใช่สิ่งที่มอนสเตอร์มิติธรรมดาจะสามารถค้นพบหรือถูกทำลายได้ง่ายๆ หรอกนะ
มีเฉพาะเพียงคนที่ไม่มีเงินเท่านั้น ถึงได้เลือกใช้ยานขนส่งที่เสี่ยงอันตรายสูง แล้วก็ซากยานของพวกนี้นี่แหละ ที่กลุ่มเก็บซากของกู่ฉิงซานไปเก็บกู้มันมาอีกที
ด้วยเหตุนี้เอง งานเก็บซากยานจึงไม่ใช่งานที่สามารถทำกำไรได้มากมายนัก
ทำงานแบบนี้ ถ้าหวังจะรวย คงไม่ต่างจากฝันกลางวัน เช่นเดียวกันกับโศกนาฏกรรมของวังเฉิงที่เพิ่งเกิดขึ้น
น่าเสียดายจริงๆ เพราะหากเทคนิคลับในการอัญเชิญภูตผีของวังเฉิงสามารถไปได้ไกลกว่านี้อีกสักขั้น เขาคงสามารถหลุดพ้นจากธุรกิจนี้ และไปแสวงหาอาชีพที่ดีกว่าได้แล้ว
แต่เขาก็ไม่มีโอกาสนั้น
กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างเงียบๆ ก้มลงมองดูเงินเล็กๆ น้อยๆ ของวังเฉิง
บนโต๊ะโดยรวมแล้ว มีเหรียญสีฟ้าเลขเจ็ดอย่างเต็มที่ก็สิบสี่เหรียญ
นี่คือเงินเดือนทั้งเดือนของวังเฉิง
กู่ฉิงซานรำพึง ย้อนนึกตามความทรงจำของวังเฉิงก่อนจะเดินตรงไปยังจุดหนึ่งของห้องแล้วก้มลงล้วงไปหยิบบางสิ่งขึ้นมา
เป็นกล่องใบเล็กๆ ที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา
เขายกกล่องขึ้น วางบนโต๊ะ แล้วเปิดมัน
ภายในกล่อง ทั้งหมดเต็มไปด้วยเหรียญหมายเลขเจ็ด
กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น
เอาเถอะ อย่างไรเสียตอนนี้ฉันก็กำลังกินแกลบอยู่พอดีเหมือนกัน ถึงแม้ว่าค่าของเงินนี่แทบจะต่ำที่สุด แต่การได้มันมาก็เหมือนกับลาภลอยล่ะนะ
เขาหยิบเหรียญขึ้นมา วางลงบนฝ่ามือตน เพ่งมองมันอย่างใกล้ชิด
มอนสเตอร์หกแขนที่อยู่บนเหรียญ เหมือนจะรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา
และมันคล้ายกับกำลังหงุดหงิด เลยโบกไม้โบกมือทั้งหกขู่ไปทางกู่ฉิงซาน
ตรงส่วนล่างของมอนสเตอร์ มีสองบรรทัดเล็กๆ ถูกสลักเอาไว้
“หกกรงเล็บ”
“มอนสเตอร์ขนาดเล็ก ลักษณะผิวหนังหนา เป็นภัยคุกคามที่อ่อนแอ”
พอได้อ่านสองบรรทัดนี้ มุมปากของกู่ฉิงซานก็ยิ้มหยันด้วยความขมขื่นให้กับตัวเอง
“มอนสเตอร์ขนาดเล็กเป็นภัยคุกคามที่อ่อนแออย่างนั้นหรือ?”
เขาพูดในสิ่งที่คิดออกมา
ไอ้เจ้ามอนสเตอร์หกกรงเล็บตัวนี้ ครั้งหนึ่งกู่ฉิงซานเคยได้พบกับมันมาแล้ว ช่วงที่เขาเพิ่งออกจากอาณาเขตหน้าใหม่
ในเวลานั้น มอนสเตอร์ตัวนี้วิ่งอาละวาดไปทั่ว และไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ไม่กล้าที่จะยั่วยุมัน
กู่ฉิงซานเห็นด้วยตาของเขาเองว่าท่ามกลางกระแสมิติอันโกลาหล มันอยากจะกินใครก็ได้กิน และไม่มีใครหยุดมันได้
อย่างไรก็ตาม มันกลับอยู่ในอันดับเจ็ดเท่านั้น และถูกเรียกว่าเป็นมอนสเตอร์ขนาดเล็ก แถมยังเป็นภัยคุกคามที่อ่อนแออีก
ตามความทรงจำของวังเฉิง…มีเหรียญทั้งสิ้นหนึ่งพีนหนึ่งเหรียญในดินแดงชิงอำนาจ และมอนสเตอร์แต่ละตัวก็จะถูกสลักอยู่บนนั้น
มอนสเตอร์เหล่านี้จะถูกจัดเรียงตามลำดับความแข็งแกร่งของตน
มอนสเตอร์ที่ถูกสลักในเหรียญเลขหนึ่งคืออ่อนแอที่สุด
มอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดจะถูกแกะสลักบนเหรียญหนึ่งพันหนึ่ง
แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นมอนสเตอร์ตัวนั้น
มีการกล่าวกันว่า ในสมัยโบราณ กระทั่งเทพวิญญาณก็ถึงขั้นต้องต่อกรกับมันหลายปี พวกเขาถึงจะสามารถสังหารมันลงได้
มันจึงเป็นมอนสเตอร์ที่มีอยู่ในตำนานเท่านั้น และคนทั่วๆ ไปย่อมไม่มีแม้โอกาสจะได้เห็นตัวมันที่ถูกสลักอยู่บนเหรียญ
ในระหว่างโลกสองร้อยล้านชั้น ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้เป็นประจักษ์พยานสายตา หรือได้สัมผัสเหรียญเลขหนึ่งพันหนึ่งเลยในตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา
สำหรับมืออาชีพทั่วไป ถ้าสามารถหาเหรียญเลขห้าร้อยขึ้นไปได้ เรื่องกินอยู่ หรือเสื้อผ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว
กู่ฉิงซานครุ่นคิดและถอนหายใจ
เขาเก็บเหรียญเลขเจ็ดทั้งหมดลงในกล่อง แล้วจับยัดไว้ในถุงอีกที
หลังจากจบเรื่องนี้ จู่ๆ กู่ฉิงซานก็เหมือนจะนึกได้ถึงอีกเรื่องหนึ่ง
เขาหยิบหนังสือพิมพ์ออกมา
สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาของเขาคือรูปภาพ
หอคอยที่สูงตระหง่านเหนือฟากฟ้า ช่วงกลางของหอคอยได้ถูกตัดขาดออกจากกัน และกำลังล่มสลายลงอย่างช้าๆ
บรรทัดข้อความปรากฏขึ้นใต้ภาพอย่างรวดเร็ว
“วันแห่งการล่มสลายของหอคอยสูง”
“ความหวาดกลัวอันมิอาจบอกบรรยายได้เกิดขึ้นแล้ว! มันเร็วจนเกินไปที่ทุกคนจะคาดคิด”
“หอคอยแห่งความรู้ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาลได้ถูกทำลายลง”
“สมาคมผู้พิทักษ์หอสูงได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง แต่ก็ยังคงยืนหยัดต่อต้านจนวินาทีสุดท้าย”
“ฉุกเฉิน! ฉุกเฉิน! นี่คือคำร้องฉุกเฉิน! ได้โปรดเดินทางมาให้การสนับสนุนพวกเราด้วย! จ้าววงการตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นได้โปรดให้การสนับสนุนด้วยเถอะ!”
“นี่คือสงครามที่เกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของโลกเก้าร้อยล้านชั้น หากสงครามในครั้งนี้พวกเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ‘เจ้าสิ่งนั้น’ มันจะกลายเป็นการดำรงอยู่ที่น่าเกรงขามยิ่งขึ้น ดังนั้น ได้โปรดมายังโลกของหอคอยสูงเพื่อความอยู่รอดของตัวคุณเอง!”
กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านหนังสือพิมพ์ เขาแทบลืมหายใจ
สถานการณ์มันเลวร้ายถึงขนาดนี้เลยหรือ?
สิ่งนี้มันเหนือความคาดหมายของเขาไปโดยสิ้นเชิง
สิ่งที่อยู่ในสถาบันเทพ ใบหน้าครึ่งชายครึ่งหญิงนั่น…มันเป็นตัวอะไรกันแน่?
แท้จริงแล้วการดำรงอยู่ของสิ่งนั้นมันต้องการอะไร? มันถึงขั้นสามารถทำลายหอคอยแห่งความรู้ที่เทพวิญญาณรังสรรค์ขึ้นมาแต่โบราณกาลได้เลยเชียวหรือ?
ไม่มีใครสามารถต้านทานมันได้จริงๆ?
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะคิดอีกรอบ
ณ ขณะนี้ เนื้อหาของหนังสือพิมพ์ได้ถูกนำเสนอจนหมดสิ้นแล้ว และเขาก็ได้อ่านมันทั้งหมด
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เก็บหนังสือพิมพ์ไป อีกเรื่องที่มันไม่คาดงันก็ดันเกิดขึ้นตามมา
มนุษย์แสงปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา
มันปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกสรรพชีวิตในโลกสองร้อยล้านชั้นในปัจจุบันทั้งหมดอีกครั้ง
ด้วยความศักดิ์สิทธิ์และน่าเคารพนอบน้อม มนุษย์แสงป่าวประกาศว่า “ โปรดทราบ ผู้ศรัทธาคนแรกที่สามารถจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว”
“หนทางสู่การเป็นเทพได้เปิดออกอย่างเป็นทางการ”
“อำนาจเทวะที่ถูกวางไว้โดยเทพวิญญาณจะถูกเปิดใช้งานในไม่ช้า”
“ดินแดนชิงอำนาจจะถูกซ่อนจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น”
“นับจากนี้ไป ใครก็ตามที่ออกจากดินแดนชิงอำนาจ จะไม่สามารถเข้ากลับมายังดินแดนชิงอำนาจได้อีกเลยตลอดกาล!”
………………………………….
กัปตันกดลงบนโต๊ะอีกครั้ง ถ่ายทอดคำสั่ง “เจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งละเมิดกฎและได้ถูกฉันสำเร็จโทษแล้ว ใครก็ได้สักสองคนช่วยเข้ามาหน่อย มาช่วยเย็บหัวของเขาเข้ากับศพ แล้วจับไปแขวนประจานกลางยานให้ทุกคนได้เห็น”
ไม่นานนัก ลูกน้องสองคนก็เข้ามา
พวกเขาโค้งคำนับให้กัปตัน หนึ่งคนเดินไปจับหัวอันดับหนึ่ง อีกคนเดินไปพยุงร่างศพ แล้วยกออกไปอย่างรวดเร็ว
กัปตันหันมามองวังเฉิงแล้วยิ้ม
“แบบนี้เป็นไง?”
“ขอบคุณกัปตัน ที่ช่วยเรียกคืนความยุติธรรมให้กับผม”
“เท่านี้ก็วางใจได้แล้วสินะ?”
“วางใจแล้ว” วังเฉิงกล่าวด้วยความปีติอย่างสุดซึ้ง
“เอาล่ะ นายก็ไปได้แล้ว แต่ห้ามลืมล่ะ ว่าไม่มีใครสามารถทำลายกฎที่ฉันตั้งเอาไว้ได้”
“รับทราบครับกัปตัน”
ว่าจบ วังเฉิงกับภูตอัญเชิญก็เดินออกไป
กัปตันเฝ้ามองทั้งสองจากเบื้องหลังอย่างเงียบๆ
“เฮ้ไอ้เด็กเหลือขอ” จู่ๆ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมา
“ว่าไงครับกัปตัน?”
“สลายภูตอัญเชิญของนายไปได้แล้ว เดี๋ยวลูกเรือคนอื่นๆ ของฉันจะตกใจ”
วังเฉิงไม่ได้พูดอะไร แต่ภูตอัญเชิญของเอาเป็นฝ่ายตอบกลับมา “ข้าจะไปส่งเขาที่ห้องก่อน และเมื่อถึงเวลานั้นสัญญาอัญเชิญจึงจะเสร็จสมบูรณ์”
กัปตันรับฟัง ในสมองคิดอย่างรอบคอบ สุดท้ายคิ้วที่ยับย่นของเขาก็ค่อยๆ คลายลง
เขาพยักหน้า “เอาเถอะ ถ้าเช่นนั้นนายก็รีบกลับไปเร็วๆ มันจะได้ไม่ส่งผลกระทบกับคนอื่น”
“เมื่อวังเฉิงปลอดภัย ข้าจะจากไปเอง” ภูตอัญเชิญกล่าว
ปัง…ประตูถูกปิดลง
พวกเขาได้ออกไปแล้ว
แต่กัปตันก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในจุดเดิม เงียบงันไปครู่หนึ่ง
กำปั้นของเขากำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าการสังหารอันดับหนึ่งไป ยังไม่เพียงพอที่จะระงับความโกรธในจิตใจของเขาให้สงบลงได้
“สารเลว…” กัปตันพึมพำเสียงกระซิบ
แล้วจู่ๆ เขาก็หยิบกล่องเล็กๆ ออกมาจากใต้โต๊ะ ควานหาอะไรบางอย่างเป็นเวลานาน สุดท้ายก็หยิบเหรียญออกมา
นี่คือเหรียญพิเศษที่มีพื้นผิวเรียบ ไม่มีร่องรอยหรือรูปภาพอะไรอยู่บนมันเลย
กัปตันพ่นลมหายใจใส่เหรียญ ฮัมเพลงเสียงกระซิบลงกับมัน “แม่มดจ้าวมนตราเอ๋ย ฉันขออัญเชิญท่าน”
พร้อมกันกับเสียงนี้ ใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนเหรียญ
“มีเรื่องอะไร?” ผู้หญิงคนนั้นถาม
“แม่มดจ้าวมนตรา ฉันต้องการให้ท่านช่วยทำนาย”
“เจ้าก็รู้ว่าการร้องขอข้าต้องมีค่าใช้จ่าย”
“แน่นอน”
“ในเมื่อเจ้ายินดี เช่นนั้นโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปเตรียมพิธี”
แล้วผู้หญิงบนเหรียญก็หายไป
ไม่นานนัก เสียงของแม่มดก็ดังขึ้นอีกครั้ง “จงพูดในสิ่งที่หัวใจเจ้าปรารถนาจะล่วงรู้”
กัปตัน “นี่มันเป็นเรื่องแปลกมากจริงๆ ชัดเจนว่าฉันมีความแข็งแกร่งมากกว่าศัตรู แต่สัญชาตญาณของฉันมันกลับร้องเตือนว่าอย่าไปสู้กับเขา”
“เห? ฟังดูเหมือนว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่พิเศษนะ”
เสียงของแม่มดเผยถึงร่องรอยความตื่นเต้น
ในฐานะผู้คอยรับหน้าที่ทำการสำรวจธรรมชาติอันลึกลับทั้งมวล เธอจึงมักสนใจในสิ่งที่มันไม่สมเหตุสมผลอยู่เสมอ
กัปตัน “ตอนนี้ ฉันต้องการทราบว่าถ้าฉันลงมือต่อสู้จริงๆ ฉันจะสามารถเอาชนะภูตอัญเชิญที่วังเฉิงเรียกออกมาได้หรือไม่”
“รอประเดี๋ยว”
อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง
ในขณะที่กัปตันยิ่งนานก็ยิ่งเริ่มกังวล เสียงของแม่มดก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ตอนนี้เจ้าสามารถโยนเหรียญได้เลย”
“แล้วอย่างไรต่อ?”
“ถ้าเหรียญคว่ำลงแล้วมันโชว์รูปร่างจำลองของเจ้า นั่นก็หมายความว่าเจ้าชนะ”
“แล้วถ้าคว่ำเป็นร่างจำลองของภูตอัญเชิญล่ะ?”
“เจ้าก็จะต้องตาย”
“มีเพียงสองกรณีเท่านั้นเองหรือ?”
“เจ้าต้องลองทำมันก่อน ข้าจะคอยดูอยู่ข้างๆ” แม่มดย้ำ
กัปตันกัดฟัน ตัดสินใจโยนเหรียญ
บนเหรียญ ใบหน้าของแม่มดหายไปทันที ตลอดทั้งเหรียญกลับมาเรียบเนียน ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ อีกครั้ง
กัปตันดีดนิ้วของเขา
ติ๊ง…
เหรียญถูกโยนสูงขึ้น ม้วนไปมาในอากาศ
เคร้ง!
มันตกลงบนโต๊ะ กระดอนอยู่สองสามครั้ง
และหยุดลงอย่างกะทันหัน!
เหรียญหยุดลงอยู่บนโต๊ะอย่างมั่นคง ในสภาพมิได้คว่ำหรือหงายลงไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
กัปตันจ้องมองมันด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ไม่อาจกล่าวคำใดได้ไปครู่หนึ่ง
“ฮะ ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ”
เสียงหัวเราะที่ไม่อาจทนเก็บงำของแม่มดดังขึ้น
“สถานการณ์แบบนี้คืออะไร?” กัปตันถามด้วยความร้อนใจ
“นี่มันน่าสนใจจริงๆ ความแข็งแกร่งของราชาภูตนั้นด้อยกว่าเจ้าอยู่มากโข ทว่ายามเมื่อต้องต่อสู้เป็นตายกันจริงๆ พวกเจ้ากลับเคียงคู่สูสี”
แม่มดอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ในเมื่อผลการทำนายอันหาได้ยากยิ่งนี้ปรากฏขึ้น ความลึกล้ำของมันอาจจะนำพาความโชคดีมาสู่ข้าก็เป็นได้ ดังนั้นคราวนี้ข้าจะไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ”
“แต่จะคอยเฝ้าตั้งตารอ ว่าชะตากรรมสุดท้ายของเจ้ามันจะจบลงเช่นไร”
หลังจากนั้น เสียงของเธอก็หายไปจากห้อง
เธอจากไปแล้ว
ภายในห้องเหลือกัปตันคนเดียวที่นั่งอยู่ลำพัง
เงียบงันไปครู่หนึ่ง
จู่ๆ เสียงคำรามก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน “บัดซบ!”
เปรี้ยง! กำปั้นถูกทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง
ทุกสิ่งอย่างกระดอนขึ้น ก่อนจะร่วงกลับมากระจัดกระจายบนโต๊ะดังเดิม
อย่างไรก็ตาม มีเพียงเหรียญที่ยังคงนิ่งงัน อยู่ในสภาวะเดิมอย่างมั่นคง
“ไม่มีทาง ฉันจะไม่ยอมให้…”
กัปตันงึมงำด้วยความโกรธ
เขาลุกขึ้น เดินตรงไปทางกำแพง และยกมือวางนาบลงบนมัน
ทันใดนั้นการแสดงออกทางสีหน้าก็เขาก็แปลกไป
“บ้าจริง หรือว่าเจ้าภูตอัญเชิญนั่นมันจะไปรู้อะไรบางอย่างเข้าแล้ว?”
“…แบบนี้ไม่ดีแน่ ฉันจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมยิ่งกว่านี้”
หลังจากที่แนบมือเข้ากับกำแพง กัปตันก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง และเร่งออกจากห้องไป
ประตูถูกปิดลง
ภายในห้องเงียบงันโดยสมบูรณ์
แต่หลังจากนั้นอีกสองสามลมหายใจ…
เหรียญผิวเรียบบนโต๊ะก็เริ่มเอนเอียง พลิกคว่ำลงไปยังทิศทางหนึ่งอย่างช้าๆ
อีกด้านหนึ่ง
กู่ฉิงซานกับฉานนู่เดินเข้ามาในซากปรักหักพังของยานอวกาศหมายเลขสองอีกครั้ง
“นายน้อย ทำไมพวกเราถึงต้องมาที่นี่?” ฉานนู่ถาม
“เพราะคนด้านนอกทั้งหมด ไม่มีใครรู้ว่าไป่หยูกับจางยี่คิดจะฆ่าคนที่นี่ และชัดเจนว่าในเวลานั้น เมื่อพวกเขาทำสำเร็จ พวกเขาก็ได้เฉลยออกมา ว่าได้ตกลงกับเจ้าหน้าที่ลำดับสองเอาไว้แล้ว”
กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “ส่วนเจ้ากัปตันที่น่าหัวเราะนั่น ก็ยังแสร้งสวมบทบาทใช้เสียงมรณะของเทพแห่งความตายเพื่อพิสูจน์ความจริงอีก”
ฉานนู่ขบคิดอย่างระมัดระวัง “นี่มันแปลกจริงๆ ด้วย ทั้งๆ ที่คนที่ช่วยไป่หยูกับจางยี่เป็นเจ้าหน้าที่ลำดับสองอย่างชัดเจน ถึงนายน้อยจะแสร้งบอกว่ามันไม่ใช่ก็เถอะ แต่เสียงมรณะแห่งความตายกลับไม่ดังขึ้น หรือว่าตัวนาฬิกาจะมีปัญหา?”
“ไม่หรอก แต่ปัญหามันอยู่ที่เจ้าหน้าที่ลำดับสองต่างหาก” กู่ฉิงซานกล่าว
ฉานนู่ตกใจ เร่งเอ่ยถาม “นายน้อย ท่านมองสถานการณ์นี้เป็นอย่างไร? ”
กู่ฉิงซานถามกลับ “เจ้าจดจำถึงคำที่เขากล่าวกับเสียงมรณะของเทพแห่งความตายได้หรือไม่?”
ฉานนู่ย้อนคิดอย่างรอบครอบ เอ่ยทวนซ้ำ “เขาพูดว่า ‘ผมต้องการพิสูจน์ต่อหน้าทุกคนว่าเจ้าหน้าที่ลำดับสองบนยานไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย แล้วก็ไม่ได้ลงมือฆ่าใครด้วย’ ”
“เป็นอย่างไร? ได้ค้นพบถึงความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคนี้หรือไม่?”
“…ไม่เลย” ฉานนู่ตอบ
ฉานนู่ตาสว่างขึ้นทันใด “จริงสิ เขาแค่บอกว่าเจ้าหน้าที่ลำดับสองไม่ได้ทำ แต่ไม่ได้บอกว่าเขาไม่ได้ทำซะหน่อย”
“ดังนั้น หมายความว่าเขาจะต้องไม่ใช่เจ้าหน้าที่ลำดับสอง”
“แล้วเขาเป็นใครกัน?”
“ไม่รู้สิ แต่ข้าคิดว่า ‘ไม่น่าจะใช่มนุษย์’ ”
“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น”
“เพราะเขาสามารถปิดกั้นสายฟ้าของข้าได้ ถึงแม้ว่าตามกฎธรรมชาติแล้ว ธาตุดินจะยับยั้งธาตุสายฟ้าได้ก็ตามที แต่เมื่อดาบของข้าตัดลงบนตัวเขา มันกลับเกิดความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้”
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงบ “ตอนนี้สถานการณ์มันซับซ้อนเกินไป มีเฉพาะซากยานนี้ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้หลบซ่อนได้อย่างปลอดภัย”
“ดังนั้น ที่พวกเรามาที่นี่ ก็เพื่อทำการเปลี่ยนสถานะกัน”
ระหว่างกล่าว กู่ฉิงซานก็ถอดเกราะรบเฉินเว่ยออก
“นายน้อย ข้ามิได้เห็นท่านระมัดระวัง และรอบคอบถึงเพียงนี้มานานมากแล้ว” ฉานนู่เอ่ยปากชื่นชม
กู่ฉิงซานถอนหายใจ “มีอาชีพและสิ่งมีชีวิตหลายรูปแบบนับไม่ถ้วนในดินแดงชิงอำนาจ มอนสเตอร์มิติหลายชนิดแข็งแกร่งอย่างมหาศาล ถ้าไม่ระวังตัวให้ดี ก็คงไปได้ไม่ไกลในดินแดนที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้านแบบนี้”
ฉานนู่จดจำได้ถึงบางสิ่ง เธอขมวดคิ้ว “นั่นสินะ เพราะนายน้อยยังมีอีกสองหายนะที่จะต้องคอยระวังนี่นา”
กู่ฉิงซานพยักหน้า
ในเรื่องของโทษทัณฑ์ เขาไม่กล้าคิดประมาทมันเลย
จากนั้น เขาก็เริ่มใช้ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต ทั้งคนทั้งร่างค่อยๆ กลายเป็นวังเฉิง
ในซากปรักหักพังของยานอวกาศ สองวังเฉิงมองหน้ากันและกัน
“นายน้อย ทำแบบนี้…หมายความว่าข้าไม่จำเป็นต้องแสร้งเป็นวังเฉิงอีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่?”
หนึ่งในวังเฉิงเอ่ยถาม
“อืม ข้ามีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มิอาจคาดฝันขึ้น ทุกการลงมือและตัดสินใจต้องฉับไวและรวดเร็ว ดังนั้นจากนี้ไป ข้าจะเป็นคนรับหน้าที่นี้เอง” อีกวังเฉิงกล่าว
“เข้าใจแล้ว”
วังเฉิงคนแรกถอนหายใจโล่งอกที่สามารถปลดเปลื้องภาระนี้ได้เสียที ใบหน้า และตามร่างกายเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กลับคืนสู่สภาพหญิงสาวในชุดคลุมฟ้า
………………………………….
กัปตันมองไปยังกู่ฉิงซาน
เห็นแค่เพียงภูตผีระดับราชาในชุดเกราะทมิฬ ที่ตามเกราะมีเส้นสายสีดำคล้ายกับหมอกควันลอยขึ้นเป็นแนวตั้ง ส่ายไปมาในอากาศที่ว่างเปล่า
บนหน้ากากเกราะทองคำที่มันสวมใส่ สลักไปด้วยอักษรรูนลึกลับมากมาย
กัปตันสามารถรับรู้ได้ถึงขีดพลังของภูตผีตนนี้
หลังจากการทดสอบความจริงเมื่อครู่ เขาก็ตระหนักได้ว่าภูตผีได้ปรับสภาวะตนเองให้อยู่ในสถานะขีดสุดตลอดเวลา กลิ่นอายสังหารช่างเข้มข้นรุนแรง เจตดาบที่เดือดดาลและดุร้ายพร้อมที่จะปะทุออกทุกเมื่อ หากไม่ได้ดั่งใจก็คงจะลงมือทันที
นี่นับว่าเป็นตัวอันตรายอย่างแท้จริง
แต่ที่น่าปวดหัวยิ่งกว่าก็คือ ภูตผีตนนี้ถูกเรียกมาที่นี่ด้วยกฎแห่งการอัญเชิญ ซึ่งนั่นหมายความว่ามันสามารถยกเลิกข้อตกลงและกลับไปยังโลกของตนเองได้ตลอดเวลา
แต่มันก็ไม่ทำ…นั่นหมายความว่าหากเหตุการณ์มันเลยเถิดไป จนมิอาจบรรลุข้อตกลงระหว่างมันกับวังเฉิงได้ มันอาจจะอาละวาดสังหารหมู่ผู้คนที่นี่
…แบบนั้นไม่ดีแน่
กัปตันหรี่ตาแคบลง หากมองดูจะคล้ายกับว่าเขากำลังยิ้มอยู่
เขากระแอมและกล่าว “เจ้าหน้าที่ลำดับสองคงไม่ได้ตั้งใจหรอก ฉันเชื่อเขา” บังเกิดความวุ่นวายขึ้นโดยรอบ
เพราะมันเป็นเรื่องน่าฉงนจริงๆ สำหรับทุกคน ที่กัปตันไม่ได้เลือกไปเค้นถามเจ้าหน้าที่ลำดับสอง แต่ดันเลือกที่จะไปอธิบายให้กับภูตอัญเชิญฟังแทน
แบบนี้ ใช่เป็นการลำเอียง ยอมอ่อนข้อให้หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ภูตผีดูเหมือนจะไม่สนใจ มันยังคงยอกย้อน “แต่วังเฉิงเองก็ได้รับการทดสอบความจริงแล้ว แล้วเหตุใดเจ้าหน้าที่ลำดับสองถึงไม่ต้องรับการทดสอบความจริงบ้างเล่า?”
ปลายคิ้วของกัปตันดูจะกระตุกเล็กน้อย
‘นี่มันชักจะอวดดีเกินไปแล้ว! มันรู้บ้างหรือเปล่าว่าไม่มีใครบนยานลำนี้กล้าที่จะท้าทายอำนาจเขา!!’
ดวงตาของกัปตันเลื่อนลงไปมองตรงมือของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
เขาพบว่ามือของกู่ฉิงซานในชุดเกราะดำกำลังกดลงบนด้ามดาบอยู่
ตามตัวดาบถูกห่อหุ้มไปด้วยสายฟ้าสีน้ำเงินขาว สาดแสงไสวอย่างไม่รู้จบ
‘…เป็นผู้ใช้ธาตุ แถมยังใช้ดาบ ภูตผีเช่นนี้ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย’
‘และเมื่อครู่นี้ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นมันที่พลิกคว่ำทุกคนในดาบเดียว’
กัปตันขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเริ่มลังเล
เห็นได้ชัดว่าภูตตนนี้ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าใดนัก แต่ทำไมกันนะ? ทำไมในหัวใจของเขายิ่งนานก็ยิ่งรู้สึกเริ่มถูกกดดัน?
จะโจมตีมันเลยดีไหม…หรือว่าไม่ดี?
ตัวเลือกที่กล่าวมาข้างต้นนี้ จะนำไปสู่สองสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง
กัปตันสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะตัดสินใจขั้นสุดท้าย
เขาเปิดปากและกล่าว “เจ้าภูตผี คือว่าฉัน…”
“กัปตัน!” เจ้าหน้าที่ลำดับสองแทรกขัดจังหวะ
เขาก้าวออกมาทันใด และกล่าวกับนาฬิกาดำ “ผมต้องการพิสูจน์ต่อหน้าทุกคนว่า ‘เจ้าหน้าที่ลำดับสอง’ บนยานไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย แล้วก็ไม่ได้ลงมือฆ่าใครด้วย”
เมื่อเสียงเงียบลง นาฬิกาสีดำก็ยังคงเงียบ มันไม่ได้ดังขึ้น
ฝูงชนที่รับชมต่างส่งเสียงเฮลั่น
หมายความว่าเจ้าหน้าที่ลำดับสองกำลังพูดความจริง!
เขากลับมาได้รับความไว้วางใจจากทุกคนอีกครั้ง!
กัปตันได้สติกลับคืน เขามองกู่ฉิงซาน แล้วหันไปหาวังเฉิง “ดูสิ ก็อย่างที่ฉันบอกไปนั่นแหละ ว่าตลอดทั้งยานลำนี้ไม่มีใครคิดที่จะฝ่าฝืนกฎของฉันหรอก”
เจ้าหน้าที่ลำดับสองพูดบ้าง “เป็นสองคนนั่นต่างหากที่วางแผนจะฆ่านาย ฉันขอบอกเลยนะว่าถ้านายตายด้วยฝีมือพวกเขา แล้วฉันรู้ ฉันนี่แหละจะเป็นคนแก้แค้นให้นายเอง!”
ขณะพูด เขาก็หันหน้าไปทางนาฬิกาดำ
นาฬิกาดำยังคงไม่ดังอยู่ดี
ฝูงชนโห่ร้องดีใจอีกครั้ง
หลังจากเจ้าหน้าที่ลำดับสองสามารถผ่านการทดสอบความจริงจากนาฬิกาดำของกัปตันได้อย่างต่อเนื่อง บรรยากาศในพื้นที่ก็เริ่มแตกต่างออกไป
ใบหน้าเขม็งเกร็งของผู้คนคลายลง มันเริ่มผุดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
ใช่แล้วล่ะ กัปตันน่ะเป็นคนที่เชื่อถือได้ เขาคือคนที่ได้รับความไว้วางใจจากทุกคนเสมอมา
ดังนั้น กัปตันย่อมสามารถรักษากฎของยานทั้งลำเอาไว้ได้อย่างแน่นอน
เจ้าหน้าที่ลำดับสองเองก็ซื่อสัตย์ และไม่ได้คิดร้ายใดๆ กับคนของตัวเอง
ยานลำนี้คุ้มค่าที่จะใช้ชีวิตอาศัยอยู่จริงๆ!
กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ในจุดเดิม สายตาของเขามองไปยังนาฬิกาดำและตกลงสู่ห้วงความคิด
ตามความทรงจำของวังเฉิง นาฬิกาดำนี้ถูกนำมาจากคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งความตาย เป็น ‘สิ่งประดิษฐ์ศักดิสิทธิ์’ ที่มักจะใช้กันโดยทั่วไปในดินแดนชิงอำนาจ ที่ถูกเรียกกันว่า ‘เสียงมรณะของเทพแห่งความตาย’
เมื่อมีคนพูดกับเสียงมรณะ นาฬิกาจะแยกแยะจริงและเท็จของคำพูดของอีกฝ่ายจากในส่วนลึกระดับจิตวิญญาณและทำการตัดสิน
สำหรับคริสตจักรแห่งความตายแล้ว พวกเขามักจะมอบเสียงมรณะนี้ให้แก่กลุ่มกองกำลัง และอิทธิพลต่างๆ เหตุผลก็เพราะ…
หนึ่งคือเพื่อใช้สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธินี้เป็นการขยายอำนาจของคริสตจักรแห่งความตาย
สองคือ เมื่อมีคนใช้เสียงมรณะ พวกเขาก็จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่ทางคริสตจักร
สามคือ เมื่อนาฬิกาเริ่มทำงาน มันก็จะทำการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ และส่งย้อนกลับไปยังวิหารแห่งความตาย เป็นการส่งข้อมูลกลายๆ ให้แก่สมาชิกของโบสถ์ที่เกี่ยวข้อง
แม้ว่าหลายกลุ่มอิทธิพลจะรู้ดีว่านี่คือกลยุทธ์สืบข่าวกรองอันยอดเยี่ยมของคริสตจักรแห่งความตาย แต่หลังจากที่ได้ลองพิจารณาดูแล้ว พวกเขาก็ยังยินดีน้อมรับเสียงมรณะของเทพแห่งความตายเอาไว้อยู่ดี
นั่นเพราะด้วยสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ มันจะช่วยเปิดโปงความจริงที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถโกหกได้
มันคือเครื่องมือตรวจสอบความจริงระดับสูงสุด!
เพราะอย่างไรเสีย หากไร้ซึ่งคำโป้ปดใดๆ ภายในกลุ่มอิทธิพลและองค์กรของพวกเขาก็จะมีเสถียรภาพ
เป็นเวลานานปีนับไม่ถ้วนแล้ว ที่ไม่มีใครสามารถโกหกเสียงมรณะของเทพแห่งความตายได้
ดังนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ลำดับสองผ่านการทดสอบความจริงจากกัปตัน ทุกคนจึงรู้สึกโล่งใจ
วังเฉิงหยุดคิดอยู่สักพัก สุดท้ายจึงเผยใบหน้ายิ้มแย้มออกมา
“ขอบคุณมากกัปตัน ในเมื่อเป็นแบบนี้ผมก็วางใจได้แล้ว” วังเฉิงกล่าว
กัปตันดุ “ไอ้เด็กเหลือขอเอ๋ย ทำให้สถานการณ์มันบานปลายซะจริง! รู้บ้างไหมว่าฉันต้องจ่ายให้กับคริสตจักรแห่งความตายในทุกๆ ครั้งที่ต้องการพิสูจน์ความจริงกับนาฬิกานี่”
วังเฉิงหัวเราะฮี่ๆ
ในเวลานี้ มีหลายคนเริ่มทยอยกันออกมาจากซากยานอวกาศลำที่สอง กระซิบข้างหูกัปตัน
ทันใดนั้นรอยย่นบนใบหน้าของกัปตันก็คลายลง
เขาประกาศ “เนื่องจากไป่หยูกับจางยี่ทรยศต่อฉัน และคิดร้ายต่อพวกเดียวกันเองอย่างกะทันหัน ดังนั้น ฉันจะทำการริบทรัพย์สินส่วนตัวของพวกเขา!”
“และเมื่อเรื่องราวทุกอย่างมันจบลง ฉันก็จะขอแจกจ่ายทรัพย์สินที่ว่านั่นให้แก่ทุกคน!”
ฝูงชนโห่ร้องดีใจ ส่งเสียงดังยิ่งกว่าในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา
กัปตันไม่เพียงแต่จะรักษากฎอย่างเคร่งครัด แต่ยังคงใจกว้างกับลูกเรือทุกคนเสมอ!
“วังเฉิง นายเป็นเหยื่อในครั้งนี้ ดังนั้นนายจะได้รับส่วนแบ่งมากที่สุด” กัปตันขยิบตาให้วังเฉิง
วังเฉิงยิ้มและกล่าว “ขอบคุณมากครับกัปตัน”
กัปตันส่ายมือเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก แต่ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างได้รับการแก้ไขแล้ว นายก็รีบๆ ปล่อยเจ้าภูตบ้านั่นกลับไปสักทีเถอะ”
ฉานนู่ในร่างวังเฉิงนิ่งงันไปชั่วคราว
นั่นเป็นเพราะว่าเธอกำลังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกู่ฉิงซานอย่างลับๆ
“กัปตัน พอดีว่าผมยังมีอีกเรื่องต้องการจะรายงานกับคุณ แบบเป็นการส่วนตัว” วังเฉิงกล่าว
“หืม?” กัปตันยกคิ้วสูง เขามองไปทางวังเฉิง ก่อนจะสลับมองกู่ฉิงซาน
และพบว่าภูตผียังไม่หายไป
‘วังเฉิงไปตกลงกับมันว่ายังไงกันแน่นะ?’
กัปตันครุ่นคิดสักพักและกล่าว “งั้นอันดับสอง นายรับผิดชอบงานต่อที่นี่ ส่วนวังเฉิง นายไปที่ห้องกัปตันกับฉัน”
หลังจากนั้นไม่นาน
ภายในห้องกัปตัน
วังเฉิงก็ได้รายงานความลับออกไป ทำให้ทุกอย่างมันชัดเจน
กัปตันที่นั่งอยู่ตรงข้าม รับฟังอย่างเงียบๆ
ใบหน้าของเขายิ่งนานก็ยิ่งมืดมนราวกับธารน้ำลึก
ในฐานะกัปตัน กลับมีบางคนกล้าที่จะเล่นตุกติกกับเขา!
การแสดงออกทางสีหน้าของกัปตัน เป็นตัวบ่งบอกถึงความโกรธในหัวใจของเขาได้เป็นอย่างดี
“ถ้างั้น หมายความว่าจริงๆ แล้วมันอาจเป็นเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งที่ร่วมมือกับไป่หยูและจางยี่อย่างงั้นสินะ เพราะยังไงซะ ถ้าอยากจะกลบเรื่องให้มิด มันก็ต้องตกลงกับคนระดับสูงที่สุดที่คอยสั่งการอยู่แล้ว ถูกไหม?” กัปตันถาม
“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น” วังเฉิงพยักหน้า
“งั้นแล้วเจ้าหน้าที่ลำดับสองล่ะ?”
“เดิมทีจางยี่ก็พูดถึงเจ้าหน้าที่ลำดับสองเหมือนกัน แต่ความจริงเขาอาจจะโกหกเพื่อกลบเกลื่อนให้อันดับหนึ่งก็ได้ แต่ยังไงซะจางยี่ก็ถูกภูตอัญเชิญฆ่าไปแล้ว ผมเองก็เลยไม่รู้ว่ามีคนสมรู้ร่วมคิดอยู่อีกหรือเปล่า แต่มั่นใจได้เลยว่าเจ้าหน้าที่ลำดับหนึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แน่ๆ”
กัปตันมองดูภูตอัญเชิญ “ถ้ารู้ตั้งแต่แรก งั้นทำไมนายถึงไปมุ่งเป้าไปที่ลำดับสอง?”
“นี่เรียกว่ากลยุทธ์ระเบิดควัน เป็นการใช้ลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ เพื่อสร้างความสับสนให้แก่ศัตรู เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้หรือไง เจ้าโง่” ภูตอัญเชิญหัวเราะ
“ไอ้ภูตผีนี่…”
วังเฉิงเร่งแทรก “กัปตัน คุณได้จ่ายค่าธรรมเนียมของเสียงมรณะของเทพแห่งความตายไปเท่าไหร่กัน เดี๋ยวผมจะออกในส่วนนั้นให้เอง”
หลังจากได้ฟัง สีหน้าของกัปตันก็ดูดีขึ้น
เขามองไปยังภูตอัญเชิญในชุดเกราะดำ และกล่าวอย่างรวดเร็วกับวังเฉิง “ที่นายยังไม่ยอมยกเลิกการอัญเชิญมัน เหตุผลจริงๆ แล้วก็เป็นเพราะเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งยังไม่ถูกกำจัดอย่างงั้นสินะ?”
“ถูกต้อง”
“ก็ได้ ฉันเข้าใจแล้ว ในเมื่อมันเป็นเพราะเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งละเมิดกฎ งั้นฉันก็สมควรที่จะจัดการเขาตามกระบวนการยุติธรรม”
ว่าแล้วกัปตันก็กดลงที่ไหนสักแห่งบนโต๊ะและกล่าว “ไปเรียกเจ้าหน้าที่ลำดับหนึ่งมา”
ตลอดทั้งลำ ความแข็งแกร่งของเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งเป็นรองแค่เพียงกัปตันเท่านั้น
กัปตันโดยทั่วไปแล้วมักจะไม่ได้ลงมาสั่งการอะไรแบบเฉพาะเจาะจง แต่จะเป็นเจ้าหน้าที่ลำดับหนึ่งแทนที่เป็นคนสั่งการ และควบคุมยานทั้งลำ
ความแข็งแกร่งของกัปตันนั้นลึกลับมากเกินไป ไม่มีใครล่วงรู้ถึงมันได้อย่างชัดเจน
แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ลำดับหนึ่ง ทุกคนต่างก็รู้ว่าเขานั้นร้ายกาจและทรงพลังเพียงใด
แล้วแบบนี้กัปตันจะสามารถจัดการกับเจ้าหน้าที่ลำดับหนึ่งได้โดยที่เรื่องราวมันไม่บานปลายหรือเปล่านะ?
หรือว่าจริงๆ แล้วที่กัปตันเรียกเจ้าหน้าที่ลำดับหนึ่งมา เพราะต้องการจะสร้างปัญหาให้กับทางวังเฉิงซะเอง?
วังเฉิงย้อนนึกทบทวนถึงความทรงจำในอดีต ขณะเดียวกันก็คาดคะเนสถานการณ์ในปัจจุบันอย่างลับๆ ทั้งคนทั้งร่างยังคงสงบ ไม่เผยท่าทีหวาดวิตกใดๆ
ภูตเกราะดำยังคงยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างเงียบๆ นิ่งงันไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง
“กัปตัน ผมสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คุณถึงได้เรียกผมมาพบ?” เจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งถามด้วยความนอบน้อม
กัปตันชี้ไปที่ชั้นวางหนังสือบนผนังและกล่าว “ช่วยไปหยิบหนังสือเล่มที่สิบเจ็ดในแถวที่สามแล้วยื่นมันให้กับวังเฉิงหน่อยสิ…ฉันอยากจะให้หนังสือเล่มนั้นกับเขา”
“รับทราบ” อันดับหนึ่งปฏิบัติตาม
เขาหันหลังกลับ มองไปยังชั้นวางหนังสือ
แถวที่สาม…เล่มที่สิบเจ็ด…
อันดับหนึ่งเงยหน้าขึ้นมอง
ขณะที่สายตาของกัปตันจับจ้องอยู่กับด้านหลังของอันดับหนึ่ง
กัปตันยกมือขึ้นมาอย่างเงียบๆ กางนิ้วทั้งห้า และจ้วงดึงอย่างรุนแรงไปทางอันดับหนึ่ง!
แกรก!
คอของเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งถูกหักโดยตรง!
กัปตันสะบัดแขนของเขา และกระชากอากาศอย่างรุนแรง
ปุ!
ละอองเลือดปะทุขึ้น
หัวของเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งที่ลำคอถูกบิดเป็นเกลียวร่วงตกลงมา ศพของเขากระแทกลงกับพื้น บังเกิดเสียงดังหนักทึบ
ในฐานะผู้แข็งแกร่งที่เกือบแข็งแกร่งที่สุดบนยาน เจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งได้ตายลงไปอย่างเงียบๆ โดยไม่ทันจะได้ขัดขืนใดๆ เลย…
………………………………….
“นายน้อย การที่ท่านปลอมตัวเป็นเขาเช่นนี้ หมายความว่ามีแผนการอยู่ในหัวแล้วใช่หรือไม่?” ฉานนู่ถามด้วยรอยยิ้ม
กู่ฉิงซานก้มลงมองซากศพของวังเฉิง ขมวดคิ้วมุ่น “นี่มันเป็นการลอบสังหารที่ถูกวางแผนเอาไว้แล้ว นั่นหมายความว่ายังมีผู้คนอีกไม่น้อยที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ดังนั้น หากข้าที่ปลอมเป็นเขาเดินดุ่มๆ ออกไปภายนอกเพียงลำพัง เกรงว่ามันอาจจะนำไปสู่ปัญหามากมายที่จะตามมา ถึงเวลานั้นถ้าจะแก้มันคงยาก”
“เช่นนั้นพวกเราสมควรจะทำอย่างไรดี?” ฉานนู่ถาม
“เจ้าจะไม่ช่วยข้าคิดหาทางออกสักหน่อยหรือ?” กู่ฉิงซานถามกลับ
“นายน้อย ท่านล้อข้าเล่นแล้ว เรื่องยากๆ แบบนี้ ต้องเป็นท่านต่างหากถึงจะเหมาะสม”
“แล้วเจ้าเล่า?”
“ข้าเป็นแค่ดาบ ข้ามีหน้าที่รับฟังและคอยทำตามคำสั่งของนายน้อยเท่านั้น”
“…เฮ้อ”
“เหตุใดนายน้อยถึงถอนหายใจ?”
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่รู้สึกเจ็บปวดในใจขึ้นมานิดหน่อย”
ในเวลานั้นเอง เสียงเอะอะจากภายนอกซากยานก็รุนแรงยิ่งกว่าเดิม
“นายน้อย ช่วยคิดให้เร็วกว่านี้จะได้หรือไม่ มิฉะนั้นพวกเราคงไม่มีทางอื่นนอกจากกระโจนออกไปฆ่าพวกเขา”
กู่ฉิงซานมองไปยังฉานนู่ที่แม้ปากจะกล่าวแบบนั้น แต่กายกลับยังคงดูสงบและผ่อนคลาย ในหัวใจของเขาก็บังเกิดความคิดหนึ่งวาบผ่านเข้ามา
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ฉานนู่ เจ้าจงใช้วิชาลี้ลับ แล้วแปลงตนเป็นวังเฉิงแทนข้าเสีย”
“อ้าว? แล้วนายน้อยเล่า?”
“ข้าจะแปลงกายกลับเป็นตัวเอง”
ฉานนู่คิดและกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว นายน้อยต้องการใช้ฐานะสมาชิกสมาคมกำปั้นเหล็กของตัวเอง แสร้งทำเป็นปกป้องวังเฉิงใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่แบบนั้น” กู่ฉิงซานหัวเราะ “ตอนนี้แบรี่กับเสี่ยวเหมียวกำลังปกป้องโลกของข้าอยู่ ข้าไม่สามารถให้พวกเขาเคลื่อนไหวได้”
“แต่ด้วยชื่อเสียงของสมาคมกำปั้นเหล็ก มันก็น่าจะเพียงพอต่อการรับมือกับสถานการณ์เล็กๆ น้อยๆ แบบนี้นะ” ฉานนู่เผยรอยยิ้มจางๆ
กู่ฉิงซานนำชุดเกราะนายพลชั้นเฉินเว่ยออกมา สวมทับปกคลุมทั่วร่างกาย ตามด้วยหน้ากากเกราะทองคำ
ใบหน้าของเขาถูกซ่อนไว้เบื้องหลังหน้ากาก
ในเวลานี้ เขาก็เอ่ยปาก “ฉานนู่ บางครั้งเราสามารถพึ่งพาผู้อื่นได้ก็จริง แต่พอบ่อยครั้งเข้า เจ้าจะค้นพบว่าความจริงแล้ว ตนต่างหากที่เป็นที่พึ่งแห่งตน”
“เหตุใดนายน้อยถึงกล่าวเช่นนั้น?”
“เพราะแบรี่น่ะมีศัตรูอยู่มากมาย ทำให้ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถออกไปไหนได้เลย ต้องเฝ้ารอจนกระทั่งขาของตัวเองหายดี ขณะที่เวลานี้ข้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย และความแข็งแกร่งของข้ายังคงต่ำเกินไป”
“ตรงกันข้าม ศัตรูของแบรี่จะต้องแข็งแกร่งมากกว่าข้าอย่างแน่นอน หากข้ากระโจนออกไป พร้อมกับสำแดงตนเป็นสมาชิกของสมาคม บางทีคนเหล่านั้นอาจจะใช้ข้าเป็นตัวแทนในการระบายความเกลียดชัง หรืออาจถึงขั้นลอบสังหารข้าเลยก็ได้”
“ดังนั้น อย่าคาดหวังว่าชื่อเสียงใหญ่โต จะให้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป เพราะในบางครั้ง มันก็มีแนวโน้มที่อาจถูกโยนเข้าไปในวังวนที่อันตรายยิ่งกว่า”
“ขอบคุณที่สอนสั่ง ว่าแต่นายน้อย แล้วตอนนี้พวกเราสมควรทำอย่างไรดี?”
ฉานนู่กลายเป็นสับสน
กู่ฉิงซาน “ในเมื่อวังเฉินเป็นผู้อัญเชิญภูตผี เช่นนั้นข้าก็จะรับบทบาทเป็นภูตที่ถูกอัญเชิญเอง”
….
หลังจากนั้นไม่กี่นาทีต่อมา
ภายนอกซากปรักหักพังของยานอวกาศ หลายกลุ่มย่อยที่รับผิดชอบในการค้นหา ทั้งหมดได้กลับมาแล้ว
ตรงทางแยกที่จะนำไปสู่ยานอวกาศหลัก ห้าร่างที่ดูคลุมเครือของนักรบห้าคน กำลังถูกตะโกนสั่งให้นำของที่ค้นเจอจากยานลำอื่นออกมาแสดงอย่างซื่อสัตย์
และคนที่เหมือนจะเป็นผู้นำ ก็คือคนที่ทั้งตัวเป็นสีฟ้า ตลอดทั้งร่างคล้ายกับหิน
เขาคือเจ้าหน้าที่ลำดับสองคนใหม่ มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าคนอื่นๆ ภักดีต่อกัปตัน เนื่องจากลำดับสองคนล่าสุดถูกมอนสเตอร์มิติกินไป เลยก็เป็นตาของเขาที่ได้ขึ้นมารับตำแหน่งนี้แทน
ปัจจุบัน เขาค่อนข้างจะหงุดหงิดเล็กน้อย หันไปพูดกับคนข้างๆ “ไปดูหน่อยสิ ว่าทำไมซากยานอวกาศลำที่สองมันถึงยังไม่มีใครออกมาเลย”
“เอ่อพี่ใหญ่หยาน นั่นมันก็เป็นเพราะว่า…” ชายคนนั้นเปล่งเสียงกระซิบกับเขา
แต่พี่ใหญ่ก็ยังคงร้อนใจ “ฉันรู้เหตุผลหรอกน่า ว่ามันเพราะอะไร แต่ฉันไม่สามารถปล่อยเวลาให้มันล่าช้าเกินไปได้ บอสน่ะไม่สนใจชีวิตของพวกมดปลวกหรอก แต่ถ้าประสิทธิภาพในการทำงานของเราต่ำเกินไป แล้วยังปล่อยให้ช้าแบบนี้…เอาเป็นว่า นายเข้าไปช่วยเจ้าจางยี่มันหน่อยก็แล้วกัน”
“รับทราบ”
ภายใต้การสั่งการนี้ ประกายสังหารก็พลันวาบผ่านเข้ามาในสายตาของเขา
เขาโค้งกายคำนับเจ้าหน้าที่ลำดับสอง และเตรียมที่จะเดินเข้าไปในซากยานอวกาศลำที่สอง
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง
ปัง!
เสียงอู้อี้หนักทึบก็ดังมาจากซากยาน บานประตูถูกเปิดออก
วังเฉิงก้าวออกมา พร้อมกับชายในชุดเกราะดำ และหน้ากากเกราะทอง
“วังเฉิง!” บางคนร้องอุทานด้วยความตกใจ
“โอ้ ก็เป็นฉันเองน่ะสิ ทำไมพวกนายทุกคนถึงได้ดูประหลาดใจกันจัง?” วังเฉิงกล่าวเบาๆ
โดยไม่รีรอให้ลูกน้องของเขาพูด เจ้าหน้าที่ลำดับสองได้แหวกฝูงชน ก้าวออกมา
“วังเฉิง แล้วเมียนายกับจางยี่ล่ะ?” เขาเอ่ยถามเสียงจม
“ตายแล้ว” วังเฉิงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เจ้าหน้าที่ลำดับสองแข็งค้างไปครู่หนึ่ง แต่เขาก็กลับมาตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
เรื่องนี้ เขาไม่รู้ว่าวังเฉิงรู้อะไรเกี่ยวกับมันมากแค่ไหน แต่ถ้าวังเฉิงล่วงรู้ทุกอย่างจากปากจางยี่แล้วล่ะก็ วังเฉิงจะต้องตรงไปหากัปตันแน่ๆ
หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ วังเฉิงจะต้องถูกจัดการทันที และจะต้องไม่ปล่อยให้กัปตันล่วงรู้ว่า ตัวเขาในฐานะเจ้าหน้าที่ลำดับและลูกน้อง ได้ถูกจางยี่ซื้อตัวไปแล้ว!
ลำดับสองหัวเราะหยัน “ตายแล้ว? แสดงว่านายฆ่าพวกเขาสินะ จำได้ใช่ไหมว่ากฎของยานเรา การฆ่าพรรคพวกเดียวกัน ชีวิตย่อมต้องแลกด้วยชีวิต…ทุกคนจงไปฆ่าเขาเสีย!”
ทุกคนที่ได้รับคำสั่ง ปรี่ตรงเข้าหาวังเฉิงทันที
ดูจากท่าทีของเจ้าหน้าที่ลำดับสอง พวกเขาก็สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างถ่องแท้
เจ้าหน้าที่ลำดับสองต้องการชีวิตของวังเฉิง!
ในช่วงเวลานี้ อีกฝ่ายน่ะมีแค่คนเดียว ดังนั้นคงไม่จำเป็นต้องระแวดระวัง หรือคิดกังวลจนมากเกินไปเกี่ยวกับมัน
คนของเจ้าหน้าที่ลำดับสอง กระทั่งทีมค้นหาทั้งหมดต่างก็โจมตีพร้อมกัน ใช้กำลังคนที่มากกว่าโถมเข้าสังหารชีวิตของวังเฉิง
ฝูงชนเฮเข้ามาจากทุกทิศทาง พวกเขาล้อมรอบวังเฉิง เรียกได้ว่าจากทั้งสามร้อยหกสิบองศา ปิดล้อมโจมตีชนิดไม่มีที่ให้หลีกลี้จากความตาย
วังเฉิงหัวเราะ ทว่ามิได้เคลื่อนไหว แต่เป็นชายในเกราะดำที่อยู่ข้างกายเขา ที่ชักดาบยาวออกมา
ดาบยาวกวาดรอบตัววังเฉิงเป็นวง กรีดตัดอากาศเป็นเส้นยาว
เมื่อเห็นถึงฉากนี้ ความคิดหนึ่งก็วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของทุกผู้คน
นั่นเขาทำอะไรน่ะ? มันไม่เห็นจะโดนสักหน่อย
อย่างไรก็ตาม ในพริบตาต่อมา อาวุธมากมายก็ร่วงตกลงกับพื้น สกิลถูกระงับ เทคนิคมนตรากระจัดกระจาย กำปั้นคลายลง
ทุกชนิดของการโจมตีสูญสิ้นกำลังของมันไปกลางคัน
ผู้คนพบว่าพวกเขาสูญเสียการควบคุมร่างกายของตัวเองไป ยืนแข็งทื่ออยู่ในจุดเดิม มิอาจขยับเขยื้อนได้
ส่วนเจ้าหน้าที่ลำดับสอง ที่ข้ามผ่านประสบการณ์ต่อสู้มามากมาย พลันตระหนักถึงสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งคนทั้งร่างของเขาขยายตัวขึ้น และกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ประกอบไปด้วยหินโดยสมบูรณ์
เคร้ง!
ดาบเช่าหยินสับผ่านอากาศ ประกายสายฟ้าวาบออกมา
“เห?” กู่ฉิงซานส่งเสียงประหลาดใจเล็กน้อย อีกฝ่ายสามารถแปลงเป็นหินได้อย่างกะทันหัน
และหินน่ะ มันไม่เพียงแต่จะไม่หวั่นเกรงต่อสายฟ้า แต่ยังไม่จัดอยู่ในหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต ส่งผลให้การระเบิดโจมตีที่เกิดจากการผสานรวมของสกิลล่าชีพไม่ได้ผล
ช่างเป็นเรื่องที่พบเจอได้ยากจริงๆ
แต่ถึงลำดับสองจะรอด แต่คนอื่นน่ะไม่!
พวกมันที่คิดโจมตีฉัน จะต้องได้พบกับความเจ็บปวด!
ทั้งหมดล้มลงกับพื้น สิ้นสติไปทันที กู่ฉิงซานไม่ได้สังหารพวกเขาถึงตาย เพียงน็อกคนเหล่านี้ให้สลบไป
สำหรับเจ้าหน้าที่ลำดับสอง…
กู่ฉิงซานยิ้ม “ร่างนั่นมันน่าสนใจมากทีเดียว นับว่าช่วยเปิดหูเปิดตาได้ไม่เลวเลย”
เขายกดาบขึ้นและการฟาดฟันครั้งที่สองนี้ มันจะไม่ง่ายเหมือนกับในครั้งแรก!
ฉับพลันนั้นเอง เสียงแหบแห้งตะโกนขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“หยุดนะ!”
วู้ม…
บังเกิดลมกระโชกแรง กำแพงสายลมได้แยกตัวกู่ฉิงซานออกจากคนอื่นๆ
ชายคนหนึ่งที่สวมหมวกกัปตันปรากฏตัวขึ้นตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน เขามีแผ่นหลังที่โก่งและใหญ่ ตรงส่วนผมชุ่มด้วยน้ำมัน จมูกงองุ้มราวตะขอ คู่ดวงตาหรี่แคบจิกมองมาที่กู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานรู้จักบุคคลคนนี้
ตามความทรงจำของวังเฉิง เขารู้ดีว่าคนคนนี้คือกัปตันของยานอวกาศ และเป็นบอสของคนทั้งหมด
กัปตันจ้องเขม็งไปยังหลายคนที่นอนนิ่งกับพื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงหม่น “วังเฉิง! นี่มันเรื่องบ้าอะไร!?”
วังเฉิงเอ่ยเสียงเย็น “ก็คนอื่นๆ ต้องการจะฆ่าผม เลยเป็นธรรมดาที่ผมจะต่อต้าน”
กัปตันเพ่งมองอย่างระมัดรัวง เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ ที่นอนอยู่บนพื้นไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ความตึงเครียดในหัวใจของเขาก็คลายลงอย่างช้าๆ
เขาชี้ไปทางกู่ฉิงซานแล้วเอ่ยถาม “แล้วไอ้หมอนั่นเป็นใคร?”
“กัปตัน ผมเป็นผู้อัญเชิญภูตผีนะ เขาก็ต้องเป็นภูตที่ผมเรียกมาอยู่แล้วน่ะสิ” วังเฉิงกล่าว
กัปตันเหลียวกลับไปมองเบื้องหลังตน
ท่ามกลางบรรดาชายนับสิบ หนึ่งในนั้นก้าวออกมาข้างหน้าอย่างเงียบๆ กระซิบข้างหู “เป็นภูตจริงๆ แถมยังเป็นระดับราชาภูตด้วย”
เจ้าหน้าที่ลำดับสองใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ เปลี่ยนกลับเป็นคน และกล่าวอีกครั้ง “กัปตัน! วังเฉิงเรียกภูตผีออกมา แล้วได้ฆ่าภรรยาของตัวเองกับจางยี่ นี่มันเป็นการละเมิดกฎของยาน!”
“กัปตัน เขาเพิ่งจะทำลายกฎของคุณไป แต่ยังปฏิเสธหัวชนฝาไม่ยอมรับผิด ดังนั้น ผมเลยสั่งให้ทุกคนจับตัวเขา” เจ้าหน้าที่ลำดับสองอธิบาย พลางสาดสายตามองวังเฉิงกับกู่ฉิงซานด้วยความเกลียดชัง ในหัวใจนึกคิด
‘บัดซบ!’
‘วังเฉิงมันไปหาภูตผีที่ร้ายกาจขนาดนี้มาได้อย่างไรกัน!’
แรงกดดันของกัปตันแปรเปลี่ยนไป
“วังเฉิง! ฉันได้ตั้งกฎเอาไว้ตั้งนานแล้วนะ ว่าห้ามฆ่ากันเอง นี่แกพยายามที่จะแหกกฎของฉันหรือ?” เขากล่าวอย่างมืดมน
วังเฉิงหัวเราะขึ้นทันใด “กัปตัน พวกเขาต้องการจะฆ่าผมนะ จะไม่ให้ผมต่อต้านเลยหรือ?”
กัปตันนิ่งค้างไป
แล้วจู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าเรื่องราวในคราวนี้มันคงจะไม่ง่าย
ตอนนี้ คนทั้งลำเรือกำลังเฝ้าดูฉากนี้อยู่ ถ้าเขาจัดการไม่ดี เกรงว่ามันอาจเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ตามมา
“วังเฉิงไอ้บ้าเอ๊ย” กัปตันสบถ “ไม่ว่าจะนายหรือใครก็ตามที่กล้าหลอกฉัน ขอสาบานเลยว่ามันจบไม่สวยแน่”
เขาเอื้อมมือไปในอกเสื้อ แล้วหยิบเอานาฬิกาสีดำขนาดเล็กออกมาวางไว้ในมือ
กว่าจะได้นาฬิกาเรือนนี้มา เขาต้องจ่ายทรัพย์สมบัติออกไปมากมาย
“วังเฉิง ไหนลองเล่าเรื่องของนายมาอีกครั้งสิ แต่ฉันขอเตือนเลยนะ ว่าอย่าโกหก ไม่อย่างนั้น ‘เสียงมรณะ’ จะดังขึ้นทันที และขอสาบานเลยว่าถ้ามันดัง ฉันไม่เอานายไว้แน่!” กัปตันขู่
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” วังเฉิงรับคำอย่างแผ่วเบา บอกเล่าเรื่องราวออกไป “ไป่หยูมันเป็นนังผู้หญิงราคาถูก มันสมรู้ร่วมคิดกับจางยี่ ติดสินบนคนมากมายเพื่อปกปิดการกระทำอันชั่วร้าย ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาค้นหา กำจัดสามีของตัวเอง นั่นแหละข้อเท็จจริงทั้งหมด!”
กัปตันก้มลงมองดูนาฬิกาดำในมือของเขา นาฬิกาดำมิได้ส่งเสียงแต่อย่างใด
กัปตันค่อยๆ ผ่อนคลายลง กลับกลายเป็นว่ามันคือความจริง เหตุผลที่วังเฉิงฆ่าคน นั่นก็เพราะเพื่อปกป้องตัวเอง
กัปตันเริ่มไตร่ตรอง เนื่องจากมันเป็นการป้องกันตัวเอง ฉะนั้นเรื่องนี้คงจัดการได้ไม่ยากจนเกินไป
“เอาล่ะ ในเมื่อมันเป็นความเข้าใจผิด ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้เรื่องราวมันจบลงแค่นี้เถอะ” กัปตันกล่าว
โดยไม่คาดคิด ภูตอัญเชิญที่ยืนอยู่ข้างกายวังเฉิงก็ระเบิดเสียงหัวเราะบาดแหลมออกมา
เสียงหัวเราะนี้แทรกซึมเข้าไปในจิตใจของผู้คน ชวนให้ทั้งหมดรู้สึกอึดอัด
ทุกคนถึงนึกขึ้นได้ว่าทางฝั่งนั้นไม่ได้มีเพียงวังเฉิง แต่ยังมีภูตผีทรงพลังที่ถูกอัญเชิญมารวมอยู่ด้วย
ภูตผีที่โจมตีเพียงครั้งเดียว ก็สามารถโค่นหลายสิบคนลงได้ในเวลาเดียวกัน หากวังเฉิงไม่หยุดเอาไว้ เกรงว่าคนพวกนั้นคงตายไปแล้ว
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นไพ่ตายของวังเฉิง
ช่างน่าขันนัก ที่ไป่หยูกับจางยี่ไม่แม้แต่จะตระหนักได้ถึงไพ่ตายของศัตรู ดังนั้นพวกเขาจึงกล้าที่จะลอบสังหารอีกฝ่าย
วังเฉิงหันไปมองภูตผีข้างตัวเอง ก่อนจะมองกลับมาที่กัปตัน
“กัปตัน ภูตของผมมีอะไรบางอย่างจะบอกคุณ” วังเฉิงกล่าว
“จะบอกอะไร?” กัปตันถามด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง
“มันบอกว่า เมื่อครู่นี้เจ้าหน้าที่ลำดับสองต้องการจะฆ่าผม ตอนนี้เลยอยากจะขอร้องกัปตัน ให้สั่งเขาพูดความจริงออกมาสักสองสามประโยคบ้างจะได้หรือไม่?”
………………………………….
กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางหมอกและควัน พร่ำบ่นถอนหายใจอย่างเงียบๆ
ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้?
เห็นได้ชัดว่าเขาซ่อนตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นถูกอัญเชิญมาเสียอย่างนั้น
แน่นอน ว่าการอัญเชิญนี้ย่อมต้องสอดคล้องกับความต้องการของกู่ฉิงซานเช่นกัน หากเขาปฏิเสธไป เทคนิคอัญเชิญของอีกฝ่ายก็จะล้มเหลว
ถ้าเขาต้องการทำตามแผนการเดิม การอัญเชิญนี้ตนไม่สมควรที่จะยอมรับ
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เฝ้ามองสถานการณ์ที่แสนจะโชคร้าย และความไม่ยินยอมพร้อมใจที่จะตกตายลงของชายที่ชื่อวังเฉิง สุดท้ายกู่ฉิงซานจึงตอบสนองต่อการอัญเชิญ และเรียกดาบมาคว้ากุมไว้ในมือ
ท่ามกลางฝุ่นและควัน
“ฉานนู่ จงจดจำกระบวนท่าดาบนี้เอาไว้ให้ดี”
เขาที่กำลังกุมเช่าหยิน หันไปกล่าวกับอากาศเบื้องหลังด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ด้วยเสียงนี้ ชายและหญิงจึงได้สติกลับคืน และไม่ลังเลเลยที่จะเริ่มจู่โจมในเวลาเดียวกัน
‘อย่ามาล้อเล่นนะ! เจ้าวังเฉิงน่ะมันเป็นผู้อัญเชิญภูตผี’
‘ถึงแม้ว่าเรื่องที่เขาสามารถอัญเชิญได้สำเร็จมันจะยังไม่ชัดเจนก็เถอะ แต่ที่มั่นใจได้เลยก็คือ ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เขายินยอมจ่ายทุกอย่างที่ตนมี แม้กระทั่งจิตวิญญาณของตนเอง’
‘ด้วยราคาที่สูงลิ่วถึงเพียงนั้น ภูตผีที่อัญเชิญมาจะต้องร้ายกาจเป็นแน่!’
ชายและหญิงทุ่มเต็มกำลัง กระโจนเข้าไปในหมอกควัน ง้างเตรียมระเบิดการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของตนออกมา
ทว่า ยังไม่ทันจะได้ใช้ออกด้วยเทคนิค ทั้งสองก็พลันชะงักงันไป
ชายและหญิงแข็งค้างอยู่ในสถานที่เดียวกัน ไม่แม้จะสามารถกระดิกนิ้วได้
ดูเหมือนว่าเขาและเธอจะไม่สามารถควบคุมร่างกายได้อย่างใจนึก คล้ายกับจิตวิญญาณถูกตัดขาดออกจากร่างกาย มิอาจสั่งการมันได้อีกต่อไป
…ซึ่งนี่ก็เนื่องมาจากคมดาบของกู่ฉิงซานที่วูบไหวเมื่อครู่
ดาบเช่าหยินโบกสะบัดอย่างไร้เจตนาฆ่าแม้เพียงน้อย ดาบนี้ถูกวาดออกไปอย่างเรียบง่ายและไม่ใส่ใจ กระทั่งคนที่ถือดาบเองก็ยังไม่แสดงออกถึงแรงกดดันใดๆ
หากจะให้อธิบายว่ามีอะไรพิเศษเกี่ยวกับคมดาบเมื่อครู่ นั่นคงจะเป็นความเร็ว
เร็วแบบขั้นสุดยอด
แต่น่าเสียดายที่ดาบนี้ยังคงอยู่ห่างไกลจากอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะเร็ว แต่ก็มิอาจสัมผัสได้แม้ปลายเส้นผมของอีกฝ่ายอยู่ดี
ทว่าช่างน่าฉงนนัก ที่หลังจากวาดดาบนี้ออกไป ทั้งชายหญิงกลับไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวของพวกเขาได้เลย
กู่ฉิงซานสะบัดดาบออกไปอีกครั้ง แต่ดาบนี้แตกต่างจากเดิม รังสีดาบควบแน่นเป็นเส้น และตามต่อด้วยเสียง ‘ฉับ!’
ทันใดนั้น สองหัวก็ขาดกระเด็นขึ้นฟ้า ร่างที่เหลือร่วงตกลงกับพื้น ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มต้น ทุกอย่างก็จบลงเสียแล้ว
กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน
ในความว่างเปล่าที่อยู่เบื้องหลังเขา ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาปรากฏกายออกมา
ฉานนู่กล่าวด้วยความเคอะเขินเล็กน้อย “นายน้อย เมื่อครู่ข้าเห็นไม่ชัดเจนนัก มันใช่ ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ หรือไม่?”
ตัดขาดการเชื่อมต่อ คือพลังศักดิ์สิทธิ์ธาตุสายฟ้าของกู่ฉิงซาน ที่ไม่ว่าผู้ใดถูกมันโจมตี สติจะถูกตัดขาดแยกออกจากร่างกายเป็นเวลาสามวินาที
นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกยกระดับขึ้นจาก ‘สูญสิ้นการควบคุม’ และ ‘ไม่ยอมอ่อนข้อ’ ซึ่งไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ไม่มียกเว้น
กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ไม่เพียงแต่ตัดขาดการเชื่อมต่อหรอกนะ เจ้าลองมองดูดีๆ อีกครั้งสิ”
เขาวาดดาบเช่าหยินออกไปอีกครา โดยครั้งนี้ เจ้าตัวชะลอความเร็วลง เพื่อจะให้ฉานนู่ได้มองเห็นถึงการเคลื่อนไหวของเขาอย่างเต็มที่
หลังจากเพ่งมองอย่างจริงจังแล้ว ฉานนู่ก็กล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว มันมีอีกหนึ่งเทคนิคลับแห่งดาบแนบติดมาด้วย นั่นก็คือ ‘ล่าชีพ!’ ”
“ถูกต้อง”
“ล่าชีพ…เมื่อศัตรูอยู่ห่างจากคุณในช่วงระยะสิบจั้ง คุณจะสามารถสับสะบั้นพวกเขาได้เลยจากระยะไกล”
“โปรดทราบ จำเป็นต้องอยู่ในระยะสิบจั้งเสียก่อน เทคนิคลับแห่งดาบนี้จึงจะสามารถใช้งานได้”
“โปรดทราบ สามารถใช้เทคนิคลับอื่นๆ ควบคู่ไปกับเทคนิคล่าชีพได้”
เมื่อครู่นี้ คนทั้งสามยืนอยู่ใกล้กันมาก ดังนั้นในช่วงที่กู่ฉิงซานถูกเรียกออกมา อีกฝ่ายก็อยู่ในระยะสิบจั้งของเขาแล้ว
ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว กู่ฉิงซานจะมีอยู่สองทางเลือก
หนึ่งคือ เปิดใช้งาน ‘ล่าชีพ’ และทุ่มโจมตีขั้นเด็ดขาดเข้าใส่โดยตรง
สองคือ จะต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังเสียก่อนเป็นอันดับแรก โดยเริ่มจาก ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ เพื่อควบคุมอีกฝ่ายให้ไม่สามารถต่อต้านได้ และฟันซ้ำด้วยอีกคมดาบอีกที
และกู่ฉิงซานก็เลือกกลยุทธ์การต่อสู้ที่สอง
ต้องไม่ลืมนะว่าชายหญิงสองคนนี้สามารถจัดวางกับดักไว้รอบยานทั้งลำได้ จึงสามารถสังหารวังเฉิงลงในคราวเดียว
…บางทีมันอาจจะยังมีกับดักอื่นอีกก็ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนที่กู่ฉิงซานอยู่ในแผนกกิจการอาชีพโลก เขาได้แอบอ่านสารานุกรมอาชีพมาแล้วด้วยตาตัวเอง สามารถเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ว่าในโลกนับล้านล้านน่ะมีอาชีพอยู่นับไม่ถ้วน ทั้งยังมีกลวิธีอันหลากหลาย ซึ่งมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคาดเดา
ในพริบตานั้น เขาเลยตัดสินใจทันทีที่จะเข้าควบคุมอีกฝ่ายหนึ่งก่อน
ฉานนู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวด้วยความประหลาดใจ “นายน้อย ถ้าเป็นแบบนี้ หมายความว่าตราบใดที่ใช้ ‘ล่าชีพ’ ศัตรูที่อยู่ในระยะสิบจั้งก็จะถูกสังหารลงอย่างแน่นอนใช่หรือไม่?”
กู่ฉิงซานพยักหน้า “นั่นก็ใช่ แต่ว่านะ ถ้าอีกฝ่ายรู้ถึงความสามารถของล่าชีพ หรือครอบครองการรับรู้ทางจิตอันแรงกล้าไว้ล่ะก็ ในช่วงเวลาที่เขาจะตาย มันก็เป็นไปได้มากทีเดียว ที่พวกเขาจะสามารถหลบเลี่ยงได้ ดังนั้นข้าจึงต้องใช้ล่าชีพผสานเข้ากับเทคนิคตัดขาดการเชื่อมต่อ”
ฉานนู่ “หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ…”
“ถูกต้อง หากศัตรูอยู่ใกล้ในระยะสิบจั้ง ตราบใดที่ข้าวาดดาบออกไป อีกฝ่ายย่อมมิแคล้วถูกสังหารลงอย่างง่ายดาย” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา
ฉานนู่นิ่งไป จมลงสู่ห้วงความคิด
ท่ามกลางความเงียบ เธอค่อยๆ ย่อยกระบวนท่าดาบรูปแบบนี้ ประทับลงในจิตใจอย่างช้าๆ นับจากนี้ไป กลวิธีในการต่อสู้ของเธอกับนายน้อยจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมนายน้อยถึงได้ขอให้เธอเฝ้าดูกระบวนท่าดาบนี้อย่างจริงจัง
ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมเซี่ยเต๋าหลิงถึงได้ยินยอมจ่ายทรัพยากรมากมายเพื่อแลกเปลี่ยนเทคนิคลับแห่งดาบนี้กับผู้อื่น
พอได้มาลองคิดๆ ดูตอนนี้ ว่าตั้งแต่ช่วงแรกๆ กู่ฉิงซานก็เปิดเผยพลังศักดิ์สิทธิ์ธาตุสายฟ้ามาก่อนนี่นา ดังนั้นเซี่ยเต๋าหลิงย่อมจดจำมันได้อย่างแน่นอน
แม้ว่าเซี่ยเต๋าหลิงจะยังไม่ทราบว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ธาตุสายฟ้าของกู่ฉิงซาน จะยกระดับขึ้นไปแล้วอีกถึงสองขั้นก็ตาม แต่เธอก็ยังคอยเฝ้ามองหาสกิลดาบที่เหมาะสมกับพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นแก่ลูกศิษย์อยู่ดี
ด้วยความสามารถในการควบคุมของสายฟ้า และเทคนิคลับแห่งดาบนี้ ทั้งสองช่างเป็นการผสานกันที่ลงตัว ราวกับว่าถูกสร้างมาเป็นพิเศษเพื่อกู่ฉิงซานโดยเฉพาะเลย!
ภายในระยะสิบจั้ง เขาคือนักดาบล่าวิญญาณอย่างแท้จริง!
ฉานนู่ตริตรองเกี่ยวกับรูปแบบและวิธีการต่อสู้ในอนาคตของเธออย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานเก็บดาบเช่าหยิน จากนั้นก็ก้มลงเพื่อตรวจสอบร่างกายของวังเฉิง เลือดยังคงหลั่งรินออกมาจากดวงตาของวังเฉิงที่เบิกกว้าง ใบหน้าของเขาฟุ้งไปด้วยความเจ็บปวดและไม่ยินยอม
กู่ฉิงซานถอนหายใจ ส่ายศีรษะอย่างเงียบๆ “คนแปลกหน้าเอ๋ย ได้เห็นแล้วใช่ไหม ว่าฉันทำตามที่นายต้องการสำเร็จแล้วนะ”
ด้วยประโยคนี้ รูนสีเทาก็ผุดออกมาจากร่างกายของวังเฉิง รูนนี้ตกลงมาอยู่ในมือของกู่ฉิงซานอย่างสงบ
เส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม
“กฎมาตราที่หนึ่งของการอัญเชิญ การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม”
“เท่าเทียมที่ว่านี้ หมายถึงการลงนามในสัญญาอัญเชิญ ว่า ‘เอ’ จะยินดีถูกอัญเชิญมาตามข้อเสนอของ ‘บี’ ขณะที่บีจะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่เอ”
“ซึ่งการอัญเชิญนี้ตรงตามเงื่อนไขข้างต้น”
“เวลานี้ ราชาภูตผีแห่งประภพจึงสมควรได้รับค่าตอบแทน”
“รูนจิตวิญญาณของวังเฉิง รูนนี้ประกอบไปด้วยประสบการณ์ ความรู้ ทักษะความสามารถ เงินทั้งหมดในชีวิตของวังเฉิง และแต้มพลังวิญญาณที่จิตวิญญาณของเขามี”
“เวลานี้ คุณสามารถดูดซับรูนดังกล่าวได้แล้ว”
กู่ฉิงซานค่อยๆ สัมผัสเบาๆ ลงกับตัวรูน
ทันใดนั้นเอง ภาพจำนับไม่ถ้วนก็ถาโถมเข้ามาในจิตใจของเขา
เวลาคล้ายกับจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่ในความเป็นจริงแล้วมันสั้นมาก หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่ลมหายใจ กู่ฉิงซานก็แตกฉานในสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้นมากมาย แต้มพลังวิญญาณของเขาก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
เดิมที หลังจากได้รับนาฬิกาเทพของสถาบันเทพ และได้เรียนรู้ ‘การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์’ เขาก็ยังคงมีแต้มพลังวิญญาณอยู่กว่าแปดหมื่นหกพันแต้ม
แต่ต่อมา หลังจากที่เขาได้ทำการเรียนรู้สกิลกระบี่ ธนู นักสู้ การปรุงอาหารวิญญาณ และใช้งานความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต แม้ในส่วนหลังจะเป็นแค่มดหรือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กก็ตามที แต่อย่างไรเสียมันก็ต้องใช้แต้มพลังวิญญาณอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้เอง แต้มพลังวิญญาณของเขาเลยลดลงไป เหลือประมาณเจ็ดหมื่นแต้ม
แต่วังเฉิงซึ่งได้ทำการอัญเชิญเขามา กลับมอบแต้มพลังวิญญาณของตนให้แก่เขาถึงสามพันแต้ม!
ด้วยเหตุนี้ แต้มพลังวิญญาณของกู่ฉิงซานจึงถูกเติมเต็มอีกครั้ง กลับมาอยู่ที่เจ็ดหมื่นสามพัน
ส่วนของแถมน่ะหรือ…
กู่ฉิงซานยกมือขึ้น เงาสีเทาผุดออกมาจากมือของเขา
นี่คือสัญญาภูตผี
หลังจากที่ได้รับสืบทอดต่อจากวังเฉิงแล้ว กู่ฉิงซานก็ได้รับเทคนิคอัญเชิญมาไว้ในครอบครอง!
กู่ฉิงซานมองไปยังแต้มพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้น สลับกับมองเงาสีเทาบนมือของเขา เจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมพวกภูตผีปีศาจถึงได้ยินดีตอบรับการอัญเชิญกันนักหนา เป็นเพราะมันสามารถได้รับโชคลาภมาได้ง่ายๆ เช่นนี้นี่เอง”
ทันใดนั้น ซากปรักหักพังของยานอวกาศ ก็ปรากฏถึงเสียงรบกวนเล็กน้อยจากเบื้องบน
ดูเหมือนว่ามีใครบางคนกำลังมาที่นี่
ฉานนู่เร่งเร้า “นายน้อย ตอนนี้พวกเราสมควรจะทำอย่างไรดี?”
“อ๋อ ไม่ต้องกังวลไปหรอก”
กู่ฉิงซานตอบรับ และเก็บเทคนิคอัญเชิญกลับคืน เขานั่งยองๆ ลง ส่ายหัวให้กับศพของวังเฉิง กล่าวขออภัย “ขอโทษทีนะ ฉันจำเป็นต้องทำจริงๆ”
ภายใต้สายตาของฉานนู่ กู่ฉิงซานได้กระชากเส้นผมของวังเฉิง เขากำเส้นผมนั้น และเริ่มใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต
และแล้ว วังเฉิงคนที่สองก็ปรากฏตัวขึ้น
………………………………….
ท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราก
ฝูงกลุ่มแสงโปร่งใสที่มองไม่เห็น กำลังแล่นไปตามกระแสมิติโดยเลี่ยงเส้นทางที่มีมอนสเตอร์กระจุกตัวกันหนาแน่น มุ่งไปตามทิศทางที่สงบ และปลอดภัยที่สุด
เนื่องจากเส้นทางที่พวกเขามุ่งไป มันไม่ได้นำไปสู่วิหารทั้งเจ็ด ท่าเรือขนาดใหญ่ที่คึกคัก หรือโลกมิติอนันต์อันหาได้ยากยิ่งในดินแดนชิงอำนาจ ดังนั้นยานของพวกเขาจึงสามารถหลบรอดจากสายตาของมอนสเตอร์มิติได้ตลอดมา โดยเฉพาะในวันนี้
“บอส ทุกอย่างข้างหน้าปกติดี”
“บอส ทางฝั่งซ้ายขวาก็ปกติดี”
“บอส ทางฝั่งด้านหลังก็ปกติดี ถึงก่อนหน้านี้จะมีมอนสเตอร์มิติปรากฏตัวขึ้นมาก็เถอะ แต่มันก็แค่ลอยผ่านไป และตอนนี้ก็น่าจะหายไปในทิศทางอื่นแล้ว” ภายในยาน หลายเสียงรายงานดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงที่แข็งกร้าวก็ถามสวนกลับมา “แล้วอีกนานแค่ไหนกว่าพวกเราจะไปถึงตลาดมืดเกรย์แฮนด์?”
“ตอนนี้พวกเราอยู่ในเส้นทางลับที่มุ่งสู่ตลาดมืดเกรย์แฮนด์แล้ว คาดว่าอีกหนึ่งชั่วโมงก็คงจะถึง” ใครบางคนตอบเขา
เสียงแข็งกร้าวออกคำสั่งอีกครั้ง “จากนี้ไป ทุกคนจะต้องตื่นตัวให้ดี เพราะตลาดมืดแห่งนี้ มักจะอันตรายมากกว่าตลาดอื่นๆ” ด้วยคำสั่งของเขา บรรยากาศในยานทั้งลำก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที
เสียงแข็งกร้าวยังคงกล่าว “งั้นในระหว่างนี้ พวกเราก็แยกกันไปสำรวจตามจุดต่างๆ ของเจ้าขยะที่ลากกลับมากันก่อนเถอะ ว่าข้างในมันมีอะไรอยู่บ้าง”
“รับทราบบอส!” คำสั่งถูกปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว
ห้ากลุ่มเล็กที่เตรียมพร้อมมานานแล้ว เมื่อได้รับคำสั่งของกัปตันของพวกเขา ก็เริ่มเจาะเข้าไปในซากปรักหักพังของยานอวกาศ เพื่อค้นหาสิ่งมีค่าที่พอจะขายได้ ที่อาจหลงเหลืออยู่ข้างในทันที
และตรงบริเวณไม่ใกล้ไม่ไกลกับที่กู่ฉิงซานหลบซ่อนตัวอยู่ ก็ปรากฏถึงสองชาย หนึ่งหญิงเดินเข้ามา พวกเขาเริ่มออกค้นหาของมีค่าที่อาจหลงเหลืออย่างจริงจัง
นี่มันเป็นธุรกิจที่แสนจะคุ้นเคย และไม่น่าจะมีปัญหาอะไร กู่ฉิงซานเองก็ยังรู้สึกว่ามันไม่สมควรที่จะมีปัญหาเช่นกัน
ก่อนหน้านี้เขาได้ปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไปแล้วอย่างระมัดระวัง เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของยานอวกาศ และผู้คนที่อาจต้องเผชิญหน้า
สถานการณ์ในปัจจุบันก็คือ ซากยานอวกาศลำนี้ดูเหมือนจะถูกเก็บกู้โดยคนบางกลุ่มที่เชี่ยวชาญด้านการคัดแยกขยะในพื้นที่มิติ และเนื่องจากการที่ต้องมาทำงานอันตรายและไม่น่าไว้ใจแบบนี้ในมิติที่ว่างเปล่า ก็ย่อมแสดงว่าสถานะของคนกลุ่มนี้อยู่ในระดับล่างของดินแดนชิงอำนาจ
ซึ่งความแข็งแกร่งของพวกเขาเป็นตัวบ่งบอกถึงจุดนี้ได้เป็นอย่างดี
เพราะนอกเหนือไปจากกัปตันที่ทุกคนเรียกกันว่าบอส คนอื่นๆ ล้วนถูกกู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะเข้าไปตรวจสอบทั้งสิ้น ทำให้ได้รู้ว่า ด้วยฐานวรยุทธ์ของกู่ฉิงซาน และความแข็งแกร่งของคนพวกนี้ แต่เดิมแล้วเท่าเทียมกัน
เมื่อตรวจสอบเสร็จ กู่ฉิงซานก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที
หากเป็นความแข็งแกร่งในระดับเดียวกัน ไม่ว่าหน้าไหนเขาก็ไม่กลัวเกรงทั้งนั้น ตราบใดที่ระวังตัวกัปตันเอาไว้ มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ในช่วงเวลานี้ เขายังคงอยู่ในสภาพไข่มด ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของซากยานอวกาศ ส่วนเหตุผลที่ทำให้ตนยังคงเลือกที่จะอยู่อย่างนิ่งๆ นั้นมีอยู่ด้วยกันสองประการ
หนึ่งคือเขาเพิ่งเข้ามาในดินแดนชิงอำนาจ และยังไม่เชี่ยวชาญเทคนิคพื้นฐานในการเดินทางระหว่างโลก ตอนนี้เขาจึงเลือกจะติดตามคนกลุ่มอื่นไปก่อน
สองคือเขาเพิ่งผ่านพ้นโทษทัณฑ์หรือที่เรียกกันว่าหายนะในขอบเขตพันวิบัติครั้งแรกไป ส่งผลให้ฐานวรยุทธ์ของเขายังไม่มั่นคง เนื่องจากมันพุ่งสูงขึ้นอย่างกะทันหัน
ซึ่งโดยสิ้นเชิงแล้ว เจ้าตัวจะต้องเผชิญกับโทษทัณฑ์ทั้งสิ้นสามครั้ง
ผ่านโทษทัณฑ์ครั้งแรกไป กู่ฉิงซานก็จะสามารถยกระดับขึ้นมาในขอบเขตพันวิบัติขั้นกลางได้เลย
ผ่านโทษทัณฑ์ครั้งที่สอง เขาก็จะยกระดับขึ้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์พันวิบัติขั้นปลาย
ผ่านโทษทัณฑ์ครั้งที่สาม เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์อีกต่อไป แต่จะสามารถยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าได้เลยโดยตรง
แต่โทษทัณฑ์ในครั้งที่สามน่ะอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ระยะเวลาของมันบ้างสั้นบ้างยาว แตกต่างกันไปในแต่ละคน บางครั้งคุณอาจจะคิดว่ามันจบลงไปแล้ว แต่บางทีมันอาจจะยังไม่จบลงก็ได้
บ่อยครั้งสำหรับบางคนที่แม้จะข้ามผ่านภัยพิบัติมาได้แล้ว แต่ก็ยังได้พบพานหายนะที่ตนละเลยไป
กู่ฉิงซานได้อ่านหนังสือโบราณของโลกล่องเวหามามากมาย และยังได้อ่านบันทึกฝึกยุทธ์บางส่วนที่ท่านอาจารย์มอบให้ ขณะนี้เขาถึงได้ย้อนนึกขึ้นมาได้ว่า ในช่วงที่ฉีหยานตกตายลง มันอาจจะเกี่ยวข้องกับหายนะครั้งสุดท้ายของอีกฝ่ายก็ได้
บางทีเวลานั้น การข้ามผ่านโทษทัณฑ์ที่ฉีหยานต้องเผชิญมันอาจจะยังไม่จบลงโดยสิ้นเชิง อีกฝ่ายไม่สมควรรีบตรงเข้ามาในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ทันทีที่สามารถทะลวงขอบเขตได้
สรุปสั้นๆ ว่าต่อให้ยกระดับขึ้นได้แล้วก็จริง แต่ผลพวงจากหายนะที่ต้องเผชิญมันอาจจะยังคงหลงเหลืออยู่ ด้วยเหตุนี้ กู่ฉิงซานที่พึ่งข้ามผ่านโทษทัณฑ์ครั้งแรกมาได้ จึงยังไม่มีความตั้งใจที่จะแสดงตัวใดๆ
เขาพร้อมที่จะหลบซ่อนตัวตลอดเวลา เฝ้ารอจนกระทั่งยานอวกาศลงจอด และเขาสามารถควบรวมฐานวรยุทธ์ให้คงที่ แล้วค่อยพยายามหาโอกาสหลบหนีออกจากยานก็ยังไม่สาย
จากนั้น เขาก็จะพยายามเข้าถึงโลกของดินแดนชิงอำนาจ พยายามเรียนรู้ ทำความเข้าใจในเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับมัน เพื่อหาทางเอาชีวิตรอด
นี่คือแผนที่กู่ฉิงซานคิดเอาไว้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นหรือโชคชะตาที่นำพามันก็มักจะไม่เป็นไปตามความปรารถนาในใจของผู้คนเสมอไป
ท่ามกลางซากปรักหักพังของยานอวกาศ
“ที่รัก ช่วยมาดูตรงนี้หน่อยสิ” ผู้หญิงที่ได้รับภารกิจค้นหาตะโกนขึ้น
แล้วหนึ่งในชายทั้งสอง คนที่อ้วนมากกว่าก็เดินเข้ามา ปากเอ่ยถาม “มีอะไรงั้นหรือ? ยานอวกาศเส็งเคร็งแบบนี้ ไม่น่าจะมีสมบัติอะไรอยู่แท้ๆ นี่นา”
“แน่นอนว่ามันไม่ใช่สมบัติ แต่ฉันไม่สามารถเปิดกล่องใบนี้ได้ เพราะงั้นก็เลยอยากจะขอให้ที่รักช่วย” ผู้หญิงคนนั้นเอื้อมไปจับมือเขา กล่าวเสียงหวาน
ชายอ้วนก้มลงมองรูปทรงและรายละเอียดของกล่อง ไม่นานก็ตัดสินใจได้ในที่สุด
เขายิ้ม “ไม่คิดเลยว่าจะโชคดีแบบนี้ ภายในกล่องน่าจะเป็นของดีไม่น้อยแน่เลย”
“ที่รัก คุณรู้ได้อย่างไรกัน?” ผู้หญิงเอ่ยถาม
“เพราะกล่องใบนี้มันเต็มไปด้วยโปรแกรมทำลายอัตโนมัติ หากคุณไม่รู้รหัสผ่าน แล้วต้องการจะฝืนเปิดมัน สิ่งที่อยู่ภายในก็จะถูกทำลายโดยตรงด้วยระเบิดขนาดเล็กที่ถูกติดตั้งเอาไว้” ชายอ้วนกล่าว
“แต่ฉันขอเดาว่าคุณมีวิธีที่จะได้มันมาโดยไม่จำเป็นต้องรู้รหัสใช่ไหม?” หญิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอน เพราะฉันเป็นผู้อัญเชิญภูตผี ขอแค่ใช้ความสามารถในการอัญเชิญมาดัดแปลงเล็กๆ น้อยๆ ฉันก็จะสามารถทำการดึงเอาวัตถุที่อยู่ภายในนั้น ออกมาได้เลยโดยตรง” ชายอ้วนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
หญิงสาวมองดูเขา แสดงออกถึงสีหน้าชื่นชม “ความสามารถในการอัญเชิญของคุณช่างเป็นอะไรที่ยากนักจะพบเจอจริงๆ อนาคตของพวกเราทั้งคู่ขึ้นอยู่กับคุณแล้วนะ”
“วางใจเถอะภรรยาที่รัก ฉันจะเร่งทำงานเก็บเงินให้มากพอ แล้วจะพาเธอขึ้นยานอวกาศระดับสูง มุ่งหน้าไปยังวิหารแห่งชีวิตเพื่อจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์!”
ระหว่างกล่าว เขาก็คุกเข่าลงเบื้องหน้ากล่อง
เขากดมือลงบนกล่องเบาๆ และเริ่มใช้ออกด้วยสกิลอัญเชิญฉบับดัดแปลงอย่างเงียบๆ
ปรากฏแปดเงาสีเทาผุดยั้วเยี้ยขึ้นมาตามแขนของเขา คล้ายดั่งหนวดปลาหมึก ทยอยเลื้อยผ่านมือและจมลงไปในกล่อง
ด้วยพลังอัญเชิญภูตผี ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยที่จะดัดแปลงมัน แล้วนำมาใช้เคลื่อนย้ายบางสิ่งที่ถูกชั้นอุปสรรคบางๆปิดกั้นไว้ออกมา
ชายอ้วนขมวดคิ้ว และมุ่งสมาธิอยู่กับสิ่งที่อยู่ภายในกล่อง แต่ทันใดนั้นเอง…
ปากของเขาก็ถูกอุด พร้อมกับมีดสั้นที่เสียบเข้าขั้วหัวใจ ทะลุออกมาถึงทรวงอก!
ชายอ้วนเบิกตากว้าง พยายามดิ้นรนด้วยความสิ้นหวัง แต่กลับเห็นแค่เพียงมีดสั้นที่ถูกชักออก ตามต่อด้วยมือข้างหนึ่งที่กระซวกผ่านรอยแผล คว้ากุมหัวใจของตน และบดขยี้มันโดยตรง
ชายอ้วนแข็งค้างไป และร่วงลงกับพื้น ทว่าด้วยความแข็งแกร่งในฐานะผู้อัญเชิญภูตผี เขาจึงยังไม่ตายลงในทันที…แต่สภาพนี้ก็คงจะอีกไม่นาน
“วังเฉิง ในที่สุดแกก็ถึงคราวตายซักที” เสียงของชายอีกคนดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง
ชายอ้วนที่ล้มตัวลงกับพื้นค่อยๆ ยกสายตาตนเองขึ้นอย่างยากลำบาก แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้วิสัยทัศน์ของเขาพร่ามัวไปด้วยน้ำตา
ภรรยาที่เขารักกำลังอิงแอบแนบกับแขนของชายอีกคนหนึ่ง สองมือกุมผ้าเช็ดหน้า ค่อยๆ ซับเลือดที่กำลังหยดย้อยลงจากมีดสั้น
ชายอีกคนก้มลงมองเขา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่วัง เรื่องภรรยาพี่ไม่ต้องกังวลไป เดี๋ยวผมจะดูแลให้เอง ตอนนี้ก็ตายๆ ไปให้พ้นๆ ได้แล้ว”
ชายอ้วนที่ถูกเรียกว่าวังเฉิงกระอักเลือดออกมา เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “บอสจะต้องไม่ยอม…”
“สบายใจได้น่า ฉันได้ตกลงกับเจ้าหน้าที่ลำดับสองเอาไว้แล้ว เขาได้รับเงินมากพอที่จะช่วยฉันปิดบังการกระทำในครั้งนี้”
ดวงตาของวังเฉิงไหลเป็นสายเลือด เขาจ้องมองหญิงสาวแต่ไม่ได้เอ่ยคำใด
ผู้หญิงคนนั้นเผยอริมฝีปาก และกล่าว “ตาแก่วัง เรื่องนี้ตำหนิฉันไม่ได้หรอกนะ เพราะจริงๆ แล้วคุณน่ะมันไร้ประโยชน์! ฉันอุตส่าห์ติดตามคุณมานานแล้ว แต่พอถึงเวลาที่จะต้องไปยังวิหารเทพ คุณกลับไม่สามารถช่วยออกเงินให้ฉันได้”
ชายอีกคนกอดเธอและยิ้ม “พี่วัง พี่มั่นใจได้เลยว่าด้วยเงินเก็บของพี่ รวมกันกับเงินออมของพวกเราทั้งสองคน มันจะเพียงพอที่จะช่วยให้ฉันกับเธอเดินทางไปยังวิหารแห่งชีวิต ส่วนพี่ก็พักผ่อนอยู่ที่นี่อย่างสงบเถอะ”
วังเฉิงมองผู้ชาย สลับไปมองผู้หญิง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขมขื่นออกมา
ในฐานะผู้อัญเชิญที่เกี่ยวข้องกับภูตผี กระทั่งในเวลานี้เขาก็ยังรู้สึกว่าพลังชีวิตของตนเองกำลังหมดลงอย่างรวดเร็ว
เขากำลังจะตาย
แต่เขาจะไม่ยอมตายไปเฉยๆ แบบนี้!
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ บางทีอาจจะเป็นในระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังพูด วังเฉิงก็ได้ใช้เลือดของตัวเอง ตวัดไปมาเป็นลวดลายบางอย่างบนพื้น
เขาปลุกเร้าพละกำลังเฮือกสุดท้ายทั้งหมดในชีวิต เพื่อเตรียมเปิดใช้งานเทคนิคมนตราอัญเชิญที่แข็งแกร่งที่สุดของตน
อย่างไรก็ตาม ทั้งชายหญิงที่อยู่ตรงข้ามเขากลับไม่ห้ามปรามใดๆ แค่คอยเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างไม่แยแส
ผู้ชายโอบกอดหญิงไว้ในอ้อมแขน และส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “ก่อนที่พวกเราจะเข้ามา ฉันได้วางอุปสรรคศักดิ์สิทธิ์ไว้รอบๆ ซากยานแล้ว นั่นหมายความว่าเทคนิคมนตราอัญเชิญสิ่งชั่วร้ายของพี่จะไม่สามารถเจาะมันเข้ามาได้”
ผู้หญิงมองดูเขาด้วยความซับซ้อนเล็กน้อย ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “วังเฉิง พวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี รู้เรื่องเกี่ยวกับคุณดีทุกอย่าง แล้วทำไมเราจะไม่รู้ว่าคุณกำลังคิดจะทำอะไร? ”
วังเฉิงก็ยังรู้สึกตัวนะว่าที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริง ที่เทคนิคอัญเชิญของเขาถูกขังอยู่ในยานอวกาศโดยอำนาจศักดิ์สิทธิ์โดยสิ้นเชิง
ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความอ้างว้างและไม่ยินยอม แต่ก็ไม่เต็มใจจะตอบอีกฝ่ายไป เพราะแม้ว่าจะต้องตาย แต่เขาจะต้องทำให้ดีที่สุดก่อนจะสิ้นใจลงให้จงได้!
วังเฉิงปาดเลือดและน้ำตาบนใบหน้าของเขา ขมุบขมิบร่ายคำอัญเชิญให้จบครบสมบูรณ์
“ไม่ว่าจะเป็นภูตผีจากโลกใดก็ตาม ตราบใดที่ท่านสามารถแก้แค้นให้ฉันได้ ฉันก็ยินดีที่จะยกประสบการณ์ ความรู้ ทักษะความสามารถ และเงินตราทั้งชีวิตของฉันให้กับท่าน”
“ฉันยินยอมจมลงสู่ความมืดมิด และคำสาปแช่งชั่วนิรันดร์ จิตวิญญาณของฉันจะกลายเป็นแต้มพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์ และมอบมันให้แก่ท่าน!”
“ตอนนี้ ได้โปรดปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าฉัน ช่วยแก้แค้นให้กับความเกลียดชังอันฝังรากลึกนี้ด้วยเถอะ!”
เปรี้ยง!
เมฆหมอกสีเทาขนาดใหญ่ฟุ้งกระจายออกจากเขาไปทุกทิศทาง ชายและหญิงอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยห่างออกไป
ผู้ชายส่ายหัว “ไร้ประโยชน์น่า เทคนิคอัญเชิญของพี่มันไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ และพี่จะตายไปทั้งๆ ที่ไม่มีใครรู้”
ขณะกล่าว กลับเห็นแค่เพียงเมฆหมอกสีเทาขนาดใหญ่เริ่มหลอมรวมกันอีกครา ห่อหุ้มร่างกายของวังเฉิงเอาไว้ แล้วควบไปรวมกันที่ฝ่ามือของเขา
นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกถึงความสำเร็จของเทคนิคอัญเชิญ
“ได้ยังไงกัน! ทำไมเขาถึงเปิดใช้งานมันได้สำเร็จล่ะ!?” ผู้หญิงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
ชายข้างกายเธอไม่อาจบังคับตนให้ใจเย็นอีกต่อไป เขาวูบกายไปข้างหน้า เหวี่ยงสะบัดมีดสั้นในมือด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
บังเกิดประกายแสงเย็นวาบ
แขนข้างที่หมอกสีเทาไปควบรวมกันถูกตัดออก แต่ชายคนนั้นดูเหมือนว่าจะยังไม่สบายใจ เขาจึงตัดแขนอีกข้างของวังเฉิง รวมไปถึงขาทั้งสองด้วยเช่นกัน
“ฟู่ว…ไหนคราวนี้ลองดูสิว่าแกจะมีวิธีอะไรมาจัดการกับฉันอีกไหม” ชายคนนั้นอ้าปากหอบหายใจหนักหน่วง
แต่วังเฉิงกลับไม่สนใจชายคนนั้นเลย เพราะเขากำลังกลั้นลมหายใจเฮือกสุดท้ายเอาไว้ พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะรักษาสติและเฝ้ารอ…
รอกฎเกณฑ์แห่งการอัญเชิญตอบรับกลับมาว่าภูตผีตนใดที่เขาสามารถเรียกมันมาได้
ทันใดนั้นเอง วังเฉิงก็คลายลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเขาออกมา
ปากเอ่ยกล่าว “ราชาภูต…แห่งประภพ…ได้โปรด…” เสียงถูกตัดออกไป
คู่ดวงตาที่เต็มไปด้วยเลือดหมองลง ไร้ซึ่งวี่แววแห่งชีวิตอีกต่อไป เขาตายซะแล้ว
แต่โชคยังดี ที่เทคนิคอัญเชิญไม่ได้ถูกขัดจังหวะใดๆ หมอกสีเทาที่เกิดจากการทุ่มพลังทั้งหมดในการอัญเชิญ ปรากฏอักษรรูนลึกลับขึ้น และระเบิดออกทันที
ตูม!
“ซวยฉิบหาย พล่ามแผนการมาตั้งครึ่งตอน สุดท้ายไม่ได้ใช้เฉยเลย!”
………………………………….
ท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์แสงน่ะมันก็เป็นเพียงตัวแทนของกฎเกณฑ์ ที่มันสามารถทำได้ก็แค่ปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น ในที่สุดมันก็ไม่คิดถกเถียงสิ่งใดต่ออีก และหายตัวไปจากกู่ฉิงซานโดยตรง
กู่ฉิงซานคิดอย่างเงียบๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้
เทพวิญญาณได้ตั้งคำสาป ‘ความลับที่ไม่อนุญาตให้บอกเล่าแก่ผู้ใด’ ขึ้นในโลกสองร้อยล้านชั้น ในดินแดนชิงอำนาจ
นี่อาจจะหมายความได้ว่า น่าจะมีคำสาปอื่นถูกสาปอยู่อีกเช่นกันใช่หรือไม่?
ไม่มัวเสียเวลาคิด กู่ฉิงซานทดลองฝืนข้อห้ามทันที แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ช่างมันเถอะ อย่างไรเสีย นี่ก็ดูสมเหตุสมผลดี เพราะถ้ามันเป็นความลับร้ายแรงจริงๆ แล้วเทพวิญญาณจะมาบอกมันแก่ตนเองทำไมกัน?
ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ แค่เพียงการสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกทั้งสองร้อยล้านชั้น ก็เป็นเรื่องยากพออยู่แล้ว พวกเขาคงไม่มีเวลามาจัดการเรื่องคำสาปหรอกมั้ง?
แล้วถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ฉันควรทดลองทำอะไรต่อไปดี?
กู่ฉิงซานลองคิดทบทวนเกี่ยวกับมัน
โลกเก้าร้อยล้านชั้นได้ถูกทำลายลง และเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว เทพวิญญาณจึงหลบหนี ไม่เช่นนั้นก็ตาย กรณีนี้พิสูจน์ได้ถึงสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือ…ต่อให้สิ่งชีวิตใดๆ จะแข็งแกร่งขึ้นจนกลายเป็นกึ่งเทพก็ตาม แต่มันก็ไร้ประโยชน์เมื่อต้องเผชิญกับวันสิ้นโลก
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดได้ว่าตนยังคงเหลืออีกสองหายนะที่จะต้องพบเจอ เขาก็ล้มเลิกการทดลอง ไม่ยินดีที่จะกระตุ้นมันให้มากไปกว่านี้ทันที
จะไม่ยอมก้าวเท้าเข้าไปเหยียบกับระเบิดด้วยตัวเอง!
เขาหันไปมองรอบๆ เจ้าตัวพบว่าร่างมนุษย์แสงเริ่มทยอยหายไปจากในอากาศที่บางเบามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
พวกมอนสเตอร์ที่อยู่ในกระแสมิติก็เริ่มทยอยกันเคลื่อนไหวแล้ว!
หากอ้างอิงตามที่มนุษย์แสงบอก มอนสเตอร์ในบริเวณนี้น่ะ ไม่แข็งแกร่งมากมายอะไร
อย่างไรก็ตาม แม้จะอ่อนแอ แต่ถึงกระนั้นมอนสเตอร์ที่อยู่ต่อหน้าเขามันก็ยังมีจำนวนมากเกินไปอยู่ดี นี่มิใช่สิ่งที่กู่ฉิงซานจะสามารถเอาชนะได้!
ยิ่งในพื้นที่มิติห่างไกลออกไป ที่มีมอนสเตอร์ที่แกร่งเทียบเท่าหรือเหนือยิ่งกว่ากึ่งเทพอาศัยอยู่ ก็ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง!
ถ้าได้สู้กัน น่ากลัวว่าภายในไม่กี่ลมหายใจ กระดูกของกู่ฉิงซานคงกลายเป็นไม้จิ้มฟันให้พวกมันแทะเล่น
ฉะนั้นคงต้องเร่งมือ ไม่มีเวลาให้พักอีกแล้ว!
กู่ฉิงซานถอนหายใจ เขาคว้าก้อนกรวดชิ้นเล็กๆ ที่ลอยผ่านมา
ท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราก เศษหินเศษกรวดน่ะมีอยู่มากมาย และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่แปลกหรือดูสะดุดตาแต่อย่างใด
กู่ฉิงซานกำก้อนกรวด และเริ่มเปิดใช้งานความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต แล้วทั้งคนทั้งร่างของเขาก็หายวับไปในอากาศที่บางเบา
ก้อนกรวดร่วงตกลงอีกครั้ง ก่อนจะถูกห่อหุ้มด้วยกระแสลมในมิติที่ว่างเปล่า ลอยออกไปในทิศทางที่ไม่รู้จัก
ท่ามกลางกระแสมิติ มอนสเตอร์ที่ทรงพลัง ล้วนไม่มีตนใดให้ความสนใจกับก้อนกรวดเลย พวกมันต่างเลือกวิหารที่ต้องการ และเริ่มออกเดินทางไป
ในเวลาเดียวกัน ก็เริ่มมียานพาหนะมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏขึ้นภายในกระแสมิติ
กระแสมิติที่แต่เดิมว่างเปล่าไร้ขอบเขต บัดนี้เริ่มกลายมาเป็นมีชีวิตชีวามากขึ้น เกือบทุกสรรพชีวิตต่างตัดสินใจออกเดินทาง มุ่งหน้าตรงไปยังที่ตั้งของวิหาร
นี่คือวันแรกแห่งยุคแสวงบุญ!
ขณะเดียวกัน ก็ไม่มีมอนสเตอร์มิติตัวใดหยุดรออยู่เฉยๆ อีกต่อไป พวกมันเริ่มออกจากพื้นที่ของตัวเอง ล่องลอยไปตามเส้นทาง ออกล่าในตำแหน่งที่ใกล้เคียง กัดกินสิ่งมีชีวิตที่พอจะคว้าจับได้ เพื่อเติมเต็มพลังงานให้แก่ร่างกายตนเอง
มอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งบางตัวเริ่มวิ่งป่วนไปทั่วในกระแสมิติ มีบ้างที่บังเอิญไปชนเข้ากับยานพาหนะล่องหน เมื่อตำแหน่งอาหารปรากฏ มันก็เตรียมที่จะเขมือบกินทันที
แต่สนามล่าของพวกมันก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป
เพราะยานบินล่องหนย่อมมิได้ไร้ผู้คน เพื่อถูกพบเจอ พวกเขาก็เริ่มพากันกระโจนออกมาเข้าต่อสู้กับมอนสเตอร์มิติทันที
บางครั้ง ก็เป็นฝ่ายมอนสเตอร์ที่ได้รับบาดเจ็บ และหลบหนีไป
บางครั้ง สิ่งมีชีวิตจากทุกเผ่าพันธุ์บนยานบินก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของมอนสเตอร์มิติได้ สุดท้ายก็ถูกพวกมันจับกิน
มีแม้กระทั่งยานบินบางลำที่เลือกจะหลบหนี แต่เมื่อหักเลี้ยวออกไปก็ดันบังเอิญไปชนเข้ากับยานล่องหนลำอื่นเสียอย่างนั้น
ด้วยเหตุนี้เอง ยานบินล่องหนที่ไม่เกี่ยวข้อง จึงต้องถูกลากมาเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์มิติด้วยเช่นกัน
พวกเขาต้องร่วมมือกันโต้กลับ
สงครามขนาดย่อมปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว จากในทุกเส้นทางของกระแสมิติอันเชี่ยวกราก!
มันเริ่มมากขึ้น ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งกระแสมิติเริ่มสะท้อนไปด้วยเสียงคำรามของมอนสเตอร์ และเสียงฉวัดเฉวียนของเทคนิคมนตรา บ้างก็เป็นเสียงกรีดร้องน่าสมเพชของสิ่งมีชีวิต
นับจากช่วงเวลานี้ไป กระแสมิติที่แต่เดิมเคยเงียบเหงา บัดนี้ครึกครื้น มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างออกเดินทางอย่างบ้าคลั่ง
ทุกคนล้วนต้องการที่จะไปจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของตนเองให้เร็วที่สุด เพื่อเริ่มก้าวเดินบนเส้นทางสู่กึ่งเทพ
ยุคแห่งการแสวงบุญอันยิ่งใหญ่ได้มาถึงแล้ว!
…
กู่ฉิงซานที่อยู่บนก้อนกรวดเล็กๆ เห็นถึงฉากทั้งหมดนี้ด้วยตาของเขาเอง
เขาแปลงร่างเป็นมดละลายไฟตัวเล็ก เกาะติดอยู่กับขอบกรวด แนบกายยึดติดลงกับผิวของมัน
มดละลายไฟ คือมดที่มีขนาดตัวเล็กมาก และชอบกัดกินพวกหินและกรวด ซึ่งสัตว์ชนิดนี้ เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่กู่ฉิงซานได้รับมาจากโลกล่องเวหา ก่อนจะต่อสู้กับสตรีแห่งรากษส เขาได้ทำการเก็บรวบรวมชิ้นส่วนตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนเกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยาง และมดละลายไฟเองก็เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่เขาใช้ในการต่อสู้
มดตัวน้อยเกาะอยู่กับก้อนกรวด ลอยข้ามผ่านสนามรบอันดุเดือด สนามรบหนึ่งข้ามไปอีกสนามรบหนึ่ง ท่ามกลางกระแสมิติ
หลังจากลอยไปได้สักพัก มดละลายไฟก็กระโดดเปลี่ยนพาหนะ คราวนี้ลงไปเกาะบนผ้าขี้ริ้วแทน เพราะก้อนกรวดน่ะมันเล็ก ดังนั้นจึงถูกพัดพาไปกับสายลมได้ทั้งง่ายและเร็วเกินไป จนตัวเขาไม่สามารถควบคุมมันได้
ในทางตรงกันข้าม อัตราเร็วของผ้าขี้ริ้วน่ะเชื่องช้ากว่ามาก มดละลายไฟใช้ขาของมันเกี่ยวยึดผ้าขี้ริ้วเอาไว้ แล้วเงยหน้าหันไปมองรอบๆ
มันกำลังสังเกตเหตุการณ์ทั้งใกล้และไกลอย่างรอบคอบ ในสมองขบคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวเอง เมื่อถึงจุดหนึ่ง สองหนวดของมดละลายไฟก็กระตุกทันที เพราะไม่ใกล้ไม่ไกลออกไปจากมัน เป็นยานพาหนะที่อยู่ในสภาพเสียหาย ลอยคว้างอยู่ในกระแสมิติอย่างเงียบๆ ซึ่งดูเหมือนว่าตรงจุดนี้ การต่อสู้มันได้จบลงแล้ว
มองไปยังยานพาหนะที่เสียหาย สรุปได้ว่าในที่สุดคงเป็นฝ่ายมอนสเตอร์มิติที่ได้รับชัยชนะ และกลืนกินสิ่งมีชีวิตทั้งหมดไป
หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ยานบินลำนี้คงจะลอยอยู่ในความว่างเปล่าไปอีกนานแสนนาน
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของมดละลายไฟ ยานบินลำนี้กำลังจะค่อยหายไปอย่างช้าๆ ใช้เวลาเพียงไม่นาน ยานบินทั้งลำก็จะหายไปจากกระแสมิติ
มดละลายไฟจ้องมองดูฉากนี้ ค่อยๆ จมลงสู่ความเงียบ มันห่อผ้าขี้ริ้วไว้รอบตัว ปล่อยตนลอยล่องไปตามกระแสลม มุ่งไกลออกไปเบื้องหน้า
เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ซากปรักหักพังของยานอวกาศอีกลำก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้ามัน นี่คือยานอวกาศจากอารยธรรมด้านเทคโนโลยี
ดูจากระดับความเสียหายอย่างรุนแรงตรงลำยาน และหลุมขนาดใหญ่จากภายนอกแล้ว ก็พอจะสามารถคาดเดาได้ว่ามันถูกโจมตีด้วยสิ่งที่ทรงพลังเพียงใด
…จะต้องเป็นอะไรที่น่าหวาดกลัวมากแน่ๆ
เวลานี้ เรือทั้งลำถูกทิ้งร้าง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนเรือหายไป หลงเหลือเพียงแขนขาไม่กี่ข้าง และคราบเลือดเท่านั้น ซึ่งนี่เป็นตัวบ่งบอกความรุนแรงของการต่อสู้ได้เป็นอย่างดี
ผ้าขี้ริ้วลอยไปใกล้กับยานอวกาศอย่างช้าๆ
ช่วงเวลาที่ทั้งสองลอยผ่านกัน มดละลายไฟก็กระโจนลงจากผ้าขี้ริ้วทันที
มันแปลงร่างกลายเป็นนกชนิดหนึ่ง สยายปีกแหวกสายลม พุ่งตรงเข้าไปในซากยานอวกาศด้วยความเร็วสูงสุด
นกบินเข้าไปในห้องโดยสารตามรูที่ถูกเปิดออก กลิ้งลงกับพื้น แปลงกายเป็นมดละลายไฟอีกครั้ง แล้ววิ่งเข้าไปในท่ออากาศ
มดละลายไฟวิ่งลงไปตามท่อ เข้าไปในส่วนที่ลึกสุดของเรือที่เต็มไปด้วยโครงสร้างเชิงกลมากมาย
มันคืบคลานเข้าไปในส่วนลึกของวัตถุโลหะทั้งหมด และแปลงกายเป็นไข่มด หยุดนิ่งอยู่ที่นั่น มิคิดเคลื่อนกายไปที่ใดอีกเลย
นี่คือหนึ่งในสายพันธุ์ที่เล็กที่สุด และไม่โดดเด่นมากที่สุดที่กู่ฉิงซานได้รวบรวมเอาไว้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซากยานอวกาศยังคงลอยล่องอยู่ในความว่างเปล่า แต่กลับไม่มีมอนสเตอร์ตนใดเลยที่ให้ความสนใจกับซากเรือ เพราะพวกมอนสเตอร์มันสามารถเรียนรู้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงวิธีการแยกแยะว่ายานพาหนะใดที่ถูกกินแล้ว โดยดูจากรอยประทับที่มอนสเตอร์ตัวที่กินทิ้งเอาไว้
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
สองชั่วโมงผ่านไป
ห้าชั่วโมงผ่านไป
และแล้วภายในซากยานอวกาศที่ว่างเปล่า ก็บังเกิดเสียงดังขึ้น
“รายงานบอส ผมเข้ามาแล้วนะ”
“พวกเราได้ทำการตรวจสอบแล้ว”
“อิงตามมาตรการตรวจสอบของเรา สัญญาณชีวิตที่อยู่ในยานอวกาศลำนี้ทั้งหมดล้วนแต่อยู่ในระดับต่ำสุด มันอาจมีพวกแมลงเล็กๆ หลงเหลืออยู่ แต่นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกลำอย่างไรก็ต้องมีแบบนี้ แต่ผมสามารถรับประกันได้ ว่าไม่มีผู้คนรอดชีวิตอยู่บนยาน”
“อ่าใช่ ระบบอาวุธของยานอวกาศถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิงแล้วโดยมอนสเตอร์”
“เปลือกนอกของยานอวกาศไม่สามารถซ่อมแซมได้”
“แต่ระบบประมวลผลยังคงอยู่ในสภาพดี”
“บันทึกการบินก็ไม่ได้เสียหายอะไร”
“ใช่ ห้องเก็บข้อมูลก็ดูจะไม่บุบสลาย”
“บอส แต่ยานอวกาศลำนี้มาจากอารยธรรมด้านเทคโนโลยี บางทีพวกเราไม่สมควร…”
“ให้ลากมันกลับไปงั้นหรือ โอเค งั้นผมจะโทรเรียกฝูงบินล่องหนให้ก็แล้วกัน ส่วนคุณก็ช่วยส่งคนเกี่ยวตะขอมา”
“…แต่บอกตามตรงเลยนะว่าคราวนี้งานมันหนักจริงๆ ฉะนั้นถึงเวลาแบ่งเงินกันอย่าลืมเห็นหัวผมบ้างล่ะ”
“เข้าใจแล้ว จะเริ่มทำงานเดี๋ยวนี้เลย”
และเสียงสนทนาก็หยุดลง ยานอวกาศจมลงสู่ความเงียบอีกครั้ง
หลังจากนั้นไม่นาน ซากยานอวกาศก็เริ่มเกิดการเคลื่อนไหว
มันมิได้ลอยคว้างอย่างไร้จุดหมาย แต่มุ่งตรงไปในทิศทางหนึ่งอย่างมั่นคง และดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยตนเอง เพราะไม่ได้ยินเสียงจากเครื่องยนต์และระบบขนส่งพลังงานเลย
ในเวลาเดียวกัน ซากเรือทั้งหมดก็ถูกล่องหน หายวับไปจากในกระแสมิติอันเชี่ยวกรากทันที
ไม่มีใครสามารถมองเห็นมันได้
ไม่มีใครรู้ว่ามันจะไปที่ไหน
แต่ที่แน่ๆ ในเวลานี้ ไข่มดที่เข้ามาในยานอวกาศก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ภายในโครงสร้างเชิงกลของยาน
ไข่มดนิ่งงันไม่ไหวติง เฝ้ารอคอยโอกาสอย่างเงียบๆ
…………………………………
“…ฉันเคยเห็นความตายมามากเกินไปแล้ว ฉะนั้นฉันขอเลือกวิหารแห่งความลึกลับ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
“เช่นนั้น นับจากนี้ไป เจ้าคือผู้ศรัทธาในเทพแห่งความลึกลับ จงเร่งออกจากที่นี่ ไปยังโลกแห่งเขตสงครามของเทพ จากนั้นจงเข้าไปในวิหารแห่งความลึกลับ และใช้พลังของวิหาร จุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเสีย” กล่าวจบ ร่างมนุษย์แสงก็หายวับไป
ซางหยิงฮ่าวตะโกนด้วยความตื่นเต้น “คิดไม่ถึงเลยว่าฉันจะได้เจอโอกาสดีๆ อย่างการสามารถกลายเป็นเทพมาวางไว้ต่อหน้าแบบนี้ ดูเหมือนว่าฉันจะต้องเร่งออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แล้วไปจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ซะแล้ว”
“พอฉันได้กลายเป็นเทพ ฉันก็จะตั้งฉายาตัวเองว่าเทพนักฆ่า ฮะฮ่า!”
ซางหยิงฮาวลุกโชนไปด้วยความหวัง แต่แล้วเขาก็เริ่มรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติรอบตัวเขา
หันไปมองรอบๆ จึงเห็นว่าตลอดทั้งถ้ำใต้ดิน สัตว์ป่าและมอนสเตอร์ทั้งหมด เบนสายตาออกจากร่างมนุษย์แสงตรงหน้า จ้องมองมาที่เขาเป็นจุดเดียว
ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยหลากหลายห้วงอารมณ์ทั้งประหลาดใจ สับสน สงสัย และหวาดกลัว
ซางหยิงฮ่าวถูกจับจ้องเป็นสายตาเดียว
เขาก้าวถอยหลัง หัวเราะแห้งๆ “นี่พวกนาย ทำไมถึงได้มองฉันแบบนั้นกัน? หรือว่าฉันมาที่แล้วทำอะไรผิดไป?”
กิ้งก่าเกล็ดเขียวที่กำลังมองซางหยิงฮ่าว เอ่ยเสียงจม “ไม่ใช่หรอก แต่เป็นเพราะส่วนใหญ่ทุกตนต่างก็ประหลาดใจจนเกินไป เลยพากันหันมามองเจ้า”
“ใช่ เพราะหลังจากนี้ไป ข้ากลัวว่าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกนานเลย” เสือดาวกล่าว
“ทำไมกัน?” ซางหยิงฮ่าวไม่เข้าใจ
“เพราะโลกที่พวกเราอยู่ มันอยู่ทางเหนือตอนบนสุดของดินแดนชิงอำนาจน่ะสิ” ไฮยีน่าอธิบายอย่างอดทน
กิ้งก่าตนอื่นช่วยเสริม “แต่ว่านะ โลกเขตสงครามของเทพที่เจ้าต้องไปน่ะ มันเป็นโลกทางใต้ที่ได้รับการยอมรับว่าอยู่ด้านล่างสุดของดินแดนชิงอำนาจ
“ก็หมายความว่า…”
“หมายความว่าเจ้าจะต้องข้ามผ่านตลอดทั้งดินแดนชิงอำนาจ ข้ามผ่านไปทั้งโลกสองร้อยล้านชั้น ก่อนที่เจ้าจะไปถึงโลกเขตสงครามของเทพ”
ข้ามผ่านโลกสองร้อยล้านชั้น!
ซางหยิงฮ่าวแข็งค้าง
บรรดาเหล่าสัตว์ป่ายังไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ พวกมันเอ่ยต่อ
“แม้ว่าจะมีสิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกที่เรียกกันว่า ‘โลกมิติอนันต์’ อยู่ก็ตาม แต่พวกเราน่ะเป็นสัตว์ ดังนั้นจึงไม่มีสกุลเงินให้เจ้าหยิบยืมเพื่อเดินทางผ่านโลกมิติอนันต์หรอก”
“หยิงฮ่าว ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า อย่าว่าแต่เดินทางในกระแสมิติเลย แค่โลกของพวกเราเจ้าก็ไม่รอดแล้ว”
“เนื่องจากพวกมอนสเตอร์ในกระแสมิติมันไม่ใช่พวกกินพืช ดังนั้นถ้าเจ้าหลงเข้าไปละก็ พนันได้เลยว่าซากศพเจ้าคงจะไปติดอยู่ตามซอกฟันของพวกมันตัวใดตัวหนึ่งนั่นแหละ”
“กุ๊ๆ ตั้งสองร้อยล้านชั้นแน่ะ บางทีอาจจะต้องใช้เวลาอีกนานแสนนานเลยก็ได้นะ เจ้าหนูหยิงฮ่าว”
ระหว่างบรรดาสัตว์กล่าว กลับได้ยินเพียงเสียง ‘ตุ๊บ’ เท่านั้น
เป็นขาของซางหยิงฮ่าวที่อ่อนเปลี้ย และล้มลงกับพื้น เมื่อมองไปยังใบหน้าโศกเศร้าของซางหยิงฮ่าว พวกสัตว์ป่าก็เริ่มเห็นอกเห็นใจเล็กน้อย
แต่พวกมันก็มิได้พูดปลอบอะไรออกไป นั่นเพราะทางพวกมันเองก็ต้องเริ่มเคลื่อนไหวแล้วเหมือนกัน
…ใช่ พวกมันยังต้องเลือกศรัทธาของตนเอง และไปยังวิหารที่กำหนด
ไม่เพียงแต่ในโลกใบนี้เท่านั้น แต่หลายร้อยพันล้านโลก หลายร้อยพันล้านสิ่งมีชีวิตเอง ก็เตรียมที่จะออกเดินไปทางไปยังวิหารทั้งเจ็ดเช่นกัน
เพราะมีเฉพาะเพียงวิหารที่สอดคล้องกันกับศรัทธาของตนเองเท่านั้นจึงจะจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้!
มันคือหนทางเดียวสู่การเป็นกึ่งเทพ!
การแสวงบุญครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของดินแดนชิงอำนาจ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเงียบๆ
และในยุคถัดๆ ไป ช่วงเวลานี้ก็จักถูกขนานนามว่ายุคสมัยแห่งการแสวงบุญ!
…
ในโลกบางชั้น
ณ สถานที่แสนงดงามและรุ่งโรจน์
นี่คือสถานที่แห่งการตกผลึกจากทุกอารยธรรมของเผ่าพันธุ์ตลอดทั้งหมื่นโลกา โลกทั้งใบได้รับการพัฒนาในระดับสูง สิ่งประดิษฐ์และอุปกรณ์ล้ำสมัยมากมาย ล้วนถูกผลิตขึ้นมาไม่หยุดหย่อน ชนิดที่ว่าแม้แต่การมีชีวิตอมตะก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว แต่ปัญหาที่ใหญ่หลวงที่สุดที่พวกเขากำลังพบเจอในตอนนี้ก็คือ อาจจะไม่มีใครสามารถรอดไปได้จนถึงช่วงเวลาแห่งความเป็นอมตะเสียแล้ว
โลกใบนี้ คือโลกอารยธรรมของหอคอยสูง
ปรากฏให้เห็นถึงหอสูงทั้งเล็กใหญ่ตั้งตระหง่าน แต่ละหอสูงเปี่ยมไปด้วยทุกชนิดของการตกผลึกในด้านความรู้ และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในบางประเภท
และที่สำคัญก็คือ มันยังเป็นหนึ่งในเจ็ดโลก ที่มีวิหารแห่งความรู้ตั้งอยู่
ช่วงเวลานี้ ภายในโรงแรมที่หรูหราที่สุดในโลก
ผู้ครองนครรุ่นเยาว์ได้เดินทางไกลมายังที่นี่ และกำลังชั่งน้ำหนักบางสิ่งในมือ
เบื้องหน้าของเธอ ยังคงมีมนุษย์แสงลอยอยู่อย่างเงียบๆ
“เห็นได้ชัดว่าเรามีที่นี่ก็เพื่อต้องการเสริมแกร่งให้กับตนเอง โดยเลือกทำการแลกเปลี่ยนกับวิหารแห่งความรู้ ใครจะไปคิดกันว่ามันจะเกิดสิ่งนี้ขึ้น” เธอถอนหายใจ
“ฝ่าบาท นี่คงจะเป็นประสงค์ของทวยเทพ ที่อยากจะให้ท่านเข้าร่วมกับวิหารของเราในวันนี้” บิชอปกล่าว
“ไม่ล่ะ เรามาที่นี่ก็เพื่อทำการแลกเปลี่ยนเท่านั้น หากเราเข้าร่วม แล้วเรื่องการแลกเปลี่ยนเล่าจะทำอย่างไร?” ผู้ครองนครรุ่นเยาว์เอ่ยถาม
“หากเข้าร่วมกับวิหารของเรา ท่านอาจจะมีโอกาสได้ก้าวขึ้นสู่กึ่งเทพ กระทั่งเทพที่แท้จริงก็ยังเป็นได้!” บิชอปอีกคนหนึ่งพยายามโน้มน้าวอย่างจริงใจ
นี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่บิชอปแสดงความจริงใจซื่อสัตย์ที่สุดในชีวิตของเขาออกมา บอกได้เลยว่ากระทั่งตอนที่สวดอธิษฐานต่อทวยเทพ เขาก็ยังไม่ทุ่มเทถึงขนาดนี้เลย
เพราะสุดท้ายแล้ว ตราบใดที่ตนสามารถเกลี้ยกล่อมราชินีรุ่นเยาว์ให้เข้าร่วมกับวิหารแห่งความรู้ได้ ตำแหน่งพระสันตะปาปาองค์ต่อไปก็คงไม่พ้นเงื้อมมือเขา!
“ลืมมันเถอะ เรามีหนทางเป็นของตัวเอง นอกจากนี้เผ่าพันธุ์ของเราก็ไม่เคยหวั่นเกรงปัญหาใดๆ ฉะนั้น เรื่องการจะได้กลายเป็นเทพวิญญาณอะไรนั่นจึงไม่นับว่าเป็นสิ่งใด” ราชินีรุ่นเยาว์ตอบกลับไป
ขณะกล่าว เธอก็เอื้อมมือล้วงเข้าไปในอากาศที่ว่างเปล่า
และเพียงไม่นาน ก้อนอัญมณีที่สาดแสงเงางามก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเธอ
“อืม…อัญมณีคุณภาพสูงไม่เลว พวกเจ้าต้องการสิ่งนี้หรือไม่?” ราชินีถาม
บิชอปทั้งสองแทบลืมหายใจ พวกเขาเริ่มทำการตรวจสอบ สังเกตอัญมณีอย่างรอบคอบ
ต้นกำเนิดอัญมณีเบื้องหน้านี้ มันประกอบไปด้วยแก่นแท้สำคัญของพลังธาตุ ด้วยขนาดเพียงเล็บมือ ก็เพียงพอต่อการดำเนินกิจการของเมืองทั้งเมืองได้เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 1 ปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม อัญมณีที่อยู่ในมือขององค์ราชินี กลับมีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับกำปั้น…
ในหัวใจของทั้งสองเต้นครึกโครม กลืนน้ำลายอึกๆ ด้วยความประหม่า
สองบิชอปกำลังจะเอ่ยปาก แต่ก็ดันถูกหญิงในชุดเกราะรบขัดเสียก่อน
หญิงในเกราะรบกล่าว “สิ่งนี้ไม่สมควรจะขาย เพราะในการเคลื่อนย้ายมิติในโลกของพวกเราเองก็จำเป็นต้องใช้อัญมณีนี้เช่นกัน ตราบใดที่มีมัน อย่างน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องมาคอยเปลี่ยนอุปกรณ์พลังงานของข่ายอาคมอำพรางในทุกๆ วัน”
“ว้าว มันสะดวกขนาดนั้นเชียวหรือ ก็ได้ งั้นไม่ขายแล้ว” ราชินีกล่าว
เธอโยนอัญมณีขนาดเท่ากำปั้นไปทางหญิงในชุดเกราะ ปากเอ่ยสั่ง “อีเลีย ด้วยสิ่งนี้เจ้าก็ไม่น่าจะต้องมามัวกังวลเกี่ยวกับเรื่องการเดินทางอีกต่อไป เพราะท้ายที่สุดแล้ว แม้ตัวเราจะรู้ตื่นขึ้นมาก็จริง แต่ความแข็งแกร่งของเรายังอ่อนด้อยนัก มันยังไม่เพียงพอต่อกระบวนการเคลื่อนย้ายผ่านโลก หากเกิดปัญหาขึ้นมา พลังของเราสามารถช่วยเหลือได้เพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น ขณะที่คนอื่นๆ คงมิแคล้วถูกกลืนลงในปากมอนสเตอร์มิติ”
“น้อมรับคำสั่ง ฝ่าบาทลอร่า ทางเราจะใช้มัน และตระเตรียมการทุกอย่างให้พร้อม” อีเลียตอบรับ
ลอร่าพยักหน้าด้วยความพอใจ
เธอหันกลับมามองสองบิชอปประจำวิหารแห่งความรู้อีกครั้ง กล่าวด้วยความเสียใจ “ต้องขออภัยจริงๆ สิ่งนี้ไม่สามารถขายได้”
“แต่ว่านะ ถ้าเป็นก้อนที่เล็กกว่าละก็…”
เด็กสาวเอื้อมมือล้วงเข้าไปในความว่างเปล่าอีกครั้ง และสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง
“เอ๊ะ? นี่มันช่างบังเอิญเสียจริง!”
สีหน้าของลอร่าเผยถึงความประหลาดใจ เด็กสาวดึงบางสิ่งบางอย่างออกมาจากในความว่างเปล่าอีกครั้ง
…และมันยังคงเป็นอัญมณีที่มีลักษณะเหมือนกันกับก้อนเดิม ทว่าคราวนี้กลับมีขนาดใหญ่กว่าถึงสองเท่า!
ดวงตาของบิชอปทั้งสองจ้องมันจนแทบจะถลน!
…
ภายนอกอาณาเขตหน้าใหม่
ท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราก
กู่ฉิงซานเฝ้ามองมนุษย์แสงเบื้องหน้า ก่อนจะสลับไปมองมอนสเตอร์มิติที่อยู่รอบๆ
“หากฉันกลายเป็นผู้ศรัทธา ฉันจะสามารถแก้ปัญหาในปัจจุบันนี้ได้หรือเปล่า?” เขาถาม
เพราะรอบตัวเขา เต็มไปด้วยมอนสเตอร์มิติ แต่บัดนี้พวกมันถูกหยุดไว้ด้วยร่างของมนุษย์แสง
อย่างไรก็ตาม คาดว่าอีกไม่นานการหยุดชะงักนี้ก็จะจบลง เพราะร่างมนุษย์แสงจะอยู่อีกแค่สามนาทีเท่านั้น แล้วเมื่อเวลามาถึง เขาก็จะตกลงสู่อันตรายอย่างแท้จริง
มนุษย์แสงเงียบ ไม่ยอมตอบคำถามของกู่ฉิงซาน
“ดูเหมือนว่าจะไม่ได้สินะ” กู่ฉิงซานถอนหายใจ
มนุษย์แสงเอ่ยปาก “หากเจ้ากลายเป็นผู้ศรัทธา ข้าก็ยินดีตอบคำถามให้”
“ท่านเป็นเพียงแค่กฎเกณฑ์ที่ฉายออกมาไม่ใช่หรือ? แค่คำตอบเล็กๆ น้อยๆ นี่จะตอบให้หน่อยไม่ได้เลยหรือไง?”
“ … ”
“เอาเถอะ ก็ได้ งั้นฉันขอเลือกเป็นผู้ศรัทธาในวิหารแห่งชีวิตก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานปัดรำคาญ
มนุษย์แสง “เช่นนั้น นับจากนี้ไป เจ้าคือผู้ศรัทธาในเทพแห่งชีวิต จงเร่งออกจากที่นี่ไปยังโลกแห่งหมื่นพงไพรจากนั้นจงเข้าไปในวิหารแห่งชีวิต และใช้พลังของวิหาร จุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเสีย”
กู่ฉิงซานพยักหน้าและกล่าว “งั้นตอนนี้ฉันก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ศรัทธาในเทพแล้วใช่ไหม ดังนั้น ได้โปรดบอกวิธีการที่ฉันจะสามารถรอดจากสถานการณ์ในตอนนี้ไปได้อย่างปลอดภัยด้วยเถอะ”
มนุษย์แสงตอบ “หากไม่มีความช่วยเหลือจากยานพาหนะและเครื่องมือต่างๆ เพื่อใช้ในการซ่อนตัวแล้วละก็ มันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเดินทางข้ามผ่านกระแสมิติอันเชี่ยวกรากภายในดินแดนชิงอำนาจได้อย่างปลอดภัย แม้ว่ามอนสเตอร์มิติที่อยู่ใกล้เคียงกับเจ้าในตอนนี้มันจะมิได้แข็งแกร่งนักก็ตามที แต่โปรดจงระลึกอยู่เสมอว่าท่ามกลางกระแสมิติ ล้วนเต็มไปด้วยสิ่งพิเศษไม่ธรรมดา ความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์บางตนนั้นเทียบเท่าได้กับกึ่งเทพ บางทีก็แข็งแกร่งยิ่งกว่า”
กู่ฉิงซานรับฟัง เอ่ยในสิ่งที่คิด “หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ถ้าฉันเปิดเผยตนว่าอยู่เพียงลำพังในกระแสมิตินี้ มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะตกตายถูกต้องไหม?”
“เจ้าเข้าใจได้ถูกต้องเกี่ยวกับคำตอบนี้ และจงจดจำไว้ให้ดี ว่าห้ามแพร่งพรายคำตอบออกไป” มนุษย์แสงย้ำเตือน
และมันก็กำลังจะจากไป แต่กลับเห็นแค่เพียงชายที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามถอนหายใจและพึมพำออกมาเสียก่อน “ถ้างั้น เข้าร่วมกับวิหารของท่านไปมันก็ไม่สามารถช่วยข้ามผ่านกระแสมิติอันเชี่ยวกรากได้อย่างอิสระอยู่ดีน่ะสิ เฮ้อ เทพวิญญาณช่างอ่อนแอเสียจริงๆ”
ว่าจบ ชายคนนั้นก็ตบหน้าผากตัวเอง และตัดสินใจว่า “ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ ถ้างั้นฉันขอถอนตัวจากการเป็นผู้ศรัทธาวิหารก็แล้วกัน!”
เขาเงยหน้าขึ้นมองมนุษย์แสง “แน่นอน ฉันจำได้ดีว่าบทลงโทษสำหรับการถอนตัวจากทวยเทพน่ะมีอยู่สองข้อ ข้อแรกคือไม่สามารถกลายเป็นผู้ศรัทธาได้อีกต่อไป ส่วนข้อที่สองคือถูกปฏิเสธโดยเทพทั้งเจ็ดใช่ไหม?”
มนุษย์แสงลังเลอยู่นานก่อนจะตอบ “ปกติแล้วข้าจะตอบเพียงคำถามเดียวแก่เจ้าเท่านั้น แต่ในเมื่อเจ้าจะถอนตัวทันทีที่เข้าร่วม และคำถามนี้ก็เกี่ยวข้องกับความศรัทธาโดยตรง ฉะนั้นข้าจึงจะขอตอบเจ้าว่า ใช่!”
“หากเจ้าถอนตัวออกจากทางคริสตจักร ตลอดทั้งชีวิตเจ้าจะไม่ได้รับคำสอนจากทวยเทพอีกเลย และเจ้าจะถูกปฏิเสธโดยเทพวิญญาณทั้งเจ็ด ผลพวงที่ตามมาคือ หากเจ้าตาย จิตวิญญาณของเจ้าจักต้องล่องลอยในความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุดไปตลอดกาล”
มนุษย์แสงกล่าวจบ มันก็เฝ้ามองชายตรงหน้าอย่างใกล้ชิด
ทว่ากลับเห็นแค่เพียงสีหน้าแสดงออกถึงความพอใจและกล่าว “ตามนั้นเลย ฉันขอถอนตัว”
“การกระทำดั่งถ่มน้ำลายใส่กันเช่นนี้ เจ้าไม่เกรงกลัวในเทพทั้งเจ็ดเลยกระนั้นหรือ?” มนุษย์แสงเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานหรี่สองตาแคบลง สวนกลับไป “จะกลัวไปทำไม ไม่ใช่ว่าพวกเขาตายไปแล้วหรอกหรือ? หรือว่าแท้จริงแล้วยังไม่ตาย แต่แกล้งโกหกไปอย่างนั้นกันแน่?”
“…” มนุษย์แสง
ในดินแดนชิงอำนาจ
สิ่งมีชีวิตตลอดทั้งโลกสองร้อยล้านชั้นต่างแหงนหน้ามองมนุษย์แสงด้วยความกระตือรือร้น ทั้งหมดต่างไม่ยินดีที่จะละสายตาตนเองออกไปจากมัน
เพราะด้วย ‘ขอบเขต’ ของพวกเขา แน่นอนว่าย่อมสามารถมองเห็นได้ถึงแหล่งที่มาของกฎเกณฑ์แห่งโลกจากมนุษย์แสงเบื้องหน้านี้
เพียงได้จ้องมองมนุษย์แสง ทั้งหมดก็ราวกับได้รับถึงประสบการณ์ และความรู้อันเลอเลิศ ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์แสงยังกล่าวอีกว่า “หนทางสู่การเป็นเทพ”
บางคนมิอาจระงับความตื่นเต้นในจิตใจ เอ่ยตะโกนถามเสียงดัง “แล้วฉันจะกลายเป็นเทพวิญญาณได้อย่างไรกัน?”
มนุษย์แสงผายมือออก ในมือของมัน ปรากฏถึงสองลำแสงที่กำลังหมุนวน
หนึ่งคือแสงสีขาวที่เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ อีกหนึ่งเป็นแสงสีเขียวมรกต
ท่ามกลางสายตาของสิ่งมีชีวิตตลอดทั้งโลกสองร้อยล้านชั้น มนุษย์แสงก็เริ่มกล่าวต่อ
“ก่อนที่เทพทั้งเจ็ดจะจากไป พวกเขาได้ซ่อนพลังอันไร้ที่สิ้นสุดไว้ในระบบเทพสวรรค์และระบบชีวิต”
“และตอนนี้ สองระบบและพลังที่ว่านั่นก็ได้ถูกข้าดูดกลืนมาแล้วโดยสมบูรณ์”
“ด้วยพลังนี้ จักเพียงพอให้ข้าปลุกอำนาจของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหารทั้งเจ็ด!”
ระหว่างกล่าว มนุษย์แสงก็ค่อยๆ ยกมือขึ้น
แล้วแสงแห่งความศักดิ์สิทธิ์ก็ผสานไปกับแสงแห่งชีวิต แปรเปลี่ยนเป็นแสงเจ็ดสีที่แตกต่างกันออกไป บินหายเข้าไปในความว่างเปล่า
ในขณะเดียวกัน ภาพจากโลกทั้งเจ็ดใบก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาของทุกคน
แสงสีเขียวตกลงไปในหมื่นพงไพร
แสงสีฟ้าตกลงไปในห้วงทะเลลึก
แสงสีเทาตกลงไปในเกาะหมอกท่ามกลางทะเลแห่งความตาย
แสงสีขาวศักดิ์สิทธิ์ตกลงไปในเมืองแห่งทูตสวรรค์
แสงสีม่วงเข้มตกลงไปในเขตสงครามของเทพ
แสงสีทองสุกใสตกลงไปในหอคอยสูงแห่งอารยธรรม
แสงอันมืดมิดตกลงไปในถิ่นกันดารแห่งความตาย
แสงทั้งเจ็ดบินไปด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ และตกลงไปในวิหารของทั้งเจ็ดโลกอย่างรวดเร็ว
เปรี้ยง!
บังเกิดสายลมแรงอันไร้ที่สิ้นสุดกระพือขึ้นมาจากวิหารของทวยเทพทั้งเจ็ด
วิหารซึ่งแต่เดิมฟุ้งไปด้วยความเคร่งครัดและสงบ บัดนี้เริ่มสาดแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา
ในเวลานั้นเอง เสียงของมนุษย์แสงก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ตั้งแต่วันนี้ไป โลกสองร้อยล้านชั้นและสิ่งมีชีวิตทั้งมวล จะได้รับอนุญาตให้รับใช้เทพ”
“หากสรรพชีวิตตนใดมีความเชื่อในเทพวิญญาณอย่างแท้จริง พวกเขาจะสามารถสักการะหนึ่งในเจ็ดวิหารได้”
จากนั้น พวกเขาก็จะกลายเป็นผู้ศรัทธาในทวยเทพ และจะได้รับคุณสมบัติใหม่ทั้งหมด
“ผู้ศรัทธาจะสามารถเข้าไปจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ตามความศรัทธาของตนเอง ในวิหารแห่งเทพทั้งเจ็ดได้”
“โดยอาศัยต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เหล่าผู้ศรัทธาก็จะได้รับวิธีการทีละขั้นทีละตอนเพื่อก้าวขึ้นไปสู่เทพ ค่อยๆ พัฒนาตนเองจนถึงขีดสุด และกลายเป็นกึ่งเทพที่น่าภาคภูมิใจของทุกชีวิต”
“เมื่อไหร่ก็ตามที่ใครบางคนสามารถจุดประกายของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาบรรลุแล้วจนถึงขั้นกึ่งเทพ เขาก็จะได้รับ ‘ความลับ’ ไป”
“ความลับที่สามารถเปลี่ยนตนจากกึ่งเทพ ให้กลายเป็นเทพที่แท้จริง!”
“และแล้วเขาก็จะกลายเป็นเทพวิญญาณในที่สุด!” มนุษย์แสงกล่าวอย่างช้าๆ
คำพูดของมันน่าตกตะลึงเกินไป ตลอดทั้งโลกสองร้อยล้านชั้นพลันเงียบงัน จำต้องใช้เวลาสักพักเลยทีเดียวกว่าจะเกิดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
ในที่สุดมนุษย์แสงก็กล่าวต่อ “ศรัทธาคือสิ่งที่มาจากความปรารถนาที่อยู่ลงไปลึกสุดในจิตใจ เทพวิญญาณจะไม่ยอมรับหัวใจที่โอนอ่อนไปๆ มาๆ ดังนั้นเหล่าผู้ที่ยังมิได้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย พวกเจ้าจึงมีเวลาเพียงสามนาทีเท่านั้น ที่จะตัดสินใจเลือกว่าเทพองค์ใดที่ตนสมควรน้อมสักการะ”
“หากลุแล้วซึ่งสามนาที แต่เจ้ายังมิได้เลือกเทพที่ศรัทธา เจ้าก็จะสูญสิ้นคุณสมบัติที่จะกลายเป็นผู้ศรัทธาไปตลอดกาล”
“หมายความว่าเจ้าจะไม่สามารถจุดประกายของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้”
“หนทางสู่การเป็นเทพของเจ้าจะถูกปิดผนึกไปตลอดกาล”
“ในทางตรงกันข้าม หากเจ้าเลือกเทพประจำตนได้แล้ว ในฐานะผู้ศรัทธา พวกเจ้าก็จะได้รับรางวัลพิเศษ นั่นก็คือ…ผู้ศรัทธาทุกคนจะสามารถเอ่ยถามคำถามจากข้าได้ แต่ในโลกสองร้อยล้านชั้น ในดินแดนชิงอำนาจ เจ็ดเทพได้บัญญัติกฎข้อหนึ่งขึ้น ซึ่งกฎที่ว่านั่นก็คือ ไม่ว่าใครก็จะไม่สามารถบอกออกมาได้ว่าพวกเขาได้รับคำตอบอะไรไป มิฉะนั้นจะถูกสังหารลงโดยคำสาปของเจ็ดเทพ”
“ตอนนี้ พวกเจ้าสามารถเริ่มเลือกเทพที่เจ้าต้องการจะสักการะได้แล้ว”
“จดจำไว้ให้ดี ว่ามีเวลาเพียงสามนาทีเท่านั้น”
หลังจากที่อธิบายจบ มนุษย์แสงก็เงียบไป
โดยเบื้องหลังเขา ภาพฉายของวิหารทั้งเจ็ดยังคงลอยล่อง มิเคยจางหายไป
มนุษย์แสงลอยตัวอยู่เบื้องหน้าทุกสิ่งมีชีวิตอย่างเงียบๆ เฝ้ารอให้ทั้งหมดทำการเลือกสรร
‘จุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์’
‘บรรลุเป็นกึ่งเทพ’
‘ล่วงรู้ถึงความลับในการก้าวเป็นเทพ’
‘ได้รับการแถลงไขข้อข้องใจ แต่ว่าจะต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ของเหล่าทวยเทพ’
ซึ่งอันที่จริง ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดในเบื้องต้นที่ได้กล่าวมา ก็ล้วนมากพอแล้วที่จะกระตุ้นความสนใจจากทุกตัวตนที่แข็งแกร่ง
ปัจจุบัน เหตุการณ์เหล่านี้ได้ปรากฏขึ้นพร้อมกันเบื้องหน้าสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนในโลกสองร้อยล้านชั้น!
ทุกชีวิตต่างถูกจับโยนลงมาให้เลือก
เค่อเอ๋อกับแอนนายืนอยู่ในความว่างเปล่า เฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
“แล้วในฐานะที่เราเป็นผู้ศรัทธาอยู่ก่อนแล้ว เช่นนั้นพวกเราจะยังคงสามารถเอ่ยถามท่านได้ใช่หรือไม่?” เค่อเอ๋อเอ่ยถาม
มนุษย์แสง “ทุกชีวิตจะได้รับสิทธิ์นี้ ข้าจะตอบคำถามของพวกเจ้าแต่ละคน อย่างไรก็ตาม จงจดจำเอาไว้ให้ดีว่าตลอดทั้งโลกสองร้อยล้านชั้นนี้ มันได้ถูกปกคลุมไปด้วยกฎและคำสาปของเทพทั้งเจ็ดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นจงอย่าแพร่งพรายคำตอบของตัวเองออกไป มิฉะนั้นเจ้าจะต้องตาย”
“อืม เข้าใจแล้ว”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
สองสาวพยักหน้าพร้อมกัน
มนุษย์แสง “หากเจ้าหวั่นเกรงว่าผู้อื่นจะได้ยินคำถามของเจ้า ก็จงเอ่ยถามมันในจิตใจ และข้าจะเป็นคนตอบให้เอง”
สองสาวตริตรองอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับเรื่องนี้
ด้วยกฎของทวยเทพ เขาจะตอบคำถามให้แก่ผู้ศรัทธาในตนเอง
ว่าแต่คำถามอะไรกันหนอ ที่พวกเธออยากจะถามออกไป?
…
ในอาณาเขตโลกใหม่
“ยอดไปเลย! โชคดีจริงๆ ที่ไม่ต้องมาติดแหง็กอยู่ในที่บ้าๆ แบบนี้อีกต่อไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันขอเลือกวิหารแห่งโชคชะตา!” หน้าใหม่คนหนึ่งที่มีกรีนการ์ดตะโกนเสียงดัง
มนุษย์แสงที่ลอยอยู่เบื้องหน้าเขา “วิหารแห่งโชคชะตา นั่นคือตัวเลือกของเจ้าใช่หรือไม่?”
“ใช่ ฉันเลือกวิหารแห่งโชคชะตา!” หน้าใหม่คนนั้นกัดฟันกล่าว
มนุษย์แสง “เช่นนั้น นับจากนี้ไป เจ้าคือผู้ศรัทธาในเทพแห่งโชคชะตา จงรีบไปยังโลกของเกาะหมอก จากนั้นก็จงเข้าไปในวิหารแห่งโชคชะตา และใช้พลังของวิหาร จุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเสีย”
หน้าใหม่เอ่ยถามด้วยความสงสัย “แล้วมันยากลำบากมากหรือไม่?”
มนุษย์แสงมิเอ่ยปากตอบ แต่ส่งเสียงไปในจิตใจของอีกฝ่ายโดยตรงแทน “ใช่ นี่เป็นขั้นตอนแรกที่จำเป็น เป็นขั้นตอนที่เรียกว่าการแสวงบุญ”
“จงจดจำเอาไว้ให้ดี แม้คำตอบนี้จะเรียบง่าย แต่เจ้าจะต้องไม่บอกมันแก่ผู้ใด”
ว่าจบ มนุษย์แสงก็หายไปจากเบื้องหน้าเขา
หน้าใหม่คนนั้นนิ่งงันไป จำต้องใช้เวลาอยู่สักพัก ปากเอ่ยพึมพำ “เอ…ทำไมถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดไปกันนะ?”
เป็นเวลานาน ทันใดนั้นหน้าใหม่ก็เริ่มตอบสนอง เขาตะโกนเสียงดัง “ช้าก่อน ท่านจะต้องตอบคำถามข้าก่อนแล้วจึงค่อยจากไปไม่ใช่หรือ!?”
ข้างๆ กันกับเขา เหล่าสหายต่างมองหน้าใหม่คนแรก อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและถอนหายใจ
เจ้าบ้า ก็แกเผลอหลุดปากถามคำถามโง่ๆ นั่นไปแล้วไม่ใช่รึไง!
เพื่อนๆ ที่อยู่ข้างๆ สงบใจลง และเอ่ยกับมนุษย์แสงที่อยู่ตรงหน้า “ท่านเทพที่เคารพ ฉันเลือกที่จะรับใช้เทพแห่งชีวิต”
“นั่นคือการตัดสินใจสุดท้ายของเจ้าใช่หรือไม่?”
“ใช่”
“เช่นนั้น นับจากนี้ไป เจ้าคือผู้ศรัทธาในเทพแห่งชีวิต จงเร่งออกจากที่นี่ไปยังโลกแห่งหมื่นพงไพรจากนั้นจงเข้าไปในวิหารแห่งชีวิต และใช้พลังของวิหาร จุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเสีย”
“ฉันเข้าใจแล้วท่านเทพที่เคารพ เช่นนั้นสามารถเอ่ยคำถามเลยจะได้หรือไม่?”
“ย่อมสามารถ”
“สิ่งที่ฉันอยากจะถามก็คือ…”
…
สามนาทีได้ผ่านพ้นไป
ท่ามกลางโลกสองร้อยล้านชั้น
ภายในโลกนับพันล้าน
เกือบทุกชีวิตต่างขบคิด เลือกเทพที่ศรัทธา แล้วตั้งคำถาม
ภายในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่ง
ทุกชนิดของมอนสเตอร์ที่โดยปกติแล้วมักจะซ่อนตัวอยู่ในเงามืด บัดนี้ไม่สามารถปกปิดรูปลักษณ์อันน่าหวาดหวั่นของพวกมันเอาไว้ได้อีกต่อไป
เนื่องจากเบื้องหน้าของพวกมัน ปรากฏถึงมนุษย์แสงที่สาดประกายสว่าง สลายความมืดมิดไป
มอนสเตอร์ทุกตัวล้วนมีสติปัญญา ดังนั้นพวกมันจึงกำลังพิจารณาในตัวเลือก
ลึกเข้าไปในถ้ำใต้ดิน
ปรากฏให้เห็นถึงมนุษย์คนหนึ่งกำลังยืนอยู่ในพื้นที่โล่งกว้าง
เขาคือชายที่สวมใส่แจ็คเก็ตหนังสีดำ ถุงมือที่ใส่ก็ยังเป็นสีดำ กุมมีดสั้นไว้ในสองมือ และคาบไพ่ใบหน้าไว้ในปากของเขา
ลักษณะของชายผู้นี้ คล้ายกับข้ามผ่านมาแล้วซึ่งทุกประสบการณ์อันหลากหลาย ผ่านพ้นมาแล้วซึ่งทุกชนิดของความเจ็บปวด
โดยข้างกายเขา มีกิ้งก่าเกล็ดเขียวตัวหนึ่งกำลังคืบคลานอยู่
“เจ้าหนูหยิงฮ่าว ข้าไม่คิดฝันเลยว่าเจ้าจะได้รับโอกาสเช่นนี้” กิ้งก่ากล่าวด้วยอารมณ์
“ฮะฮ่า! หนทางสู่การเป็นเทพอย่างนั้นหรือ? ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่ฉันควรจะเลือกวิหารอะไรดีนะ ถึงจะเหมาะสมกับการพัฒนาของฉัน”
ซางหยิงฮ่าวกล่าวอย่างช้าๆ
แต่ระหว่างที่ตนกำลังสงสัย กลับเห็นแค่เพียงประกายวาบจากมนุษย์แสงเบื้องหน้า โถมเข้าตรึงร่างของเขาอย่างกะทันหัน
“เฮ้ๆ จะทำอะไรน่ะ ฉันยังไม่ทันจะได้เลือกเทพที่ศรัทธาเลยนะ!” ซางหยิงฮ่าวถามสวนกลับไป
ระหว่างถาม ประกายที่ห่อหุ้มกายเขาก็ถูกเรียกกลับคืน
มนุษย์แสงส่งเสียงผ่านเข้าไปในจิตใจของเขา “เจ้าเป็นผู้ใช้ไพ่ประเภทลอบสังหาร ดังนั้นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดคือวิหารแห่งความตายและวิหารแห่งความลับ”
ซางหยิงฮ่าวนิ่งงันไปทันใด
กลับกลายเป็นว่าเมื่อครู่คือคำถาม และมนุษย์แสงก็ได้ตอบคำถามเขาไปซะแล้ว
ซางหยิงฮ่าวแทบจะไม่เสียเวลาคิดเลย เขาเอ่ยปาก
“…ฉันเคยเห็นความตายมามากเกินไปแล้ว ฉะนั้นฉันขอเลือกวิหารแห่งความลึกลับ”
………………………………….
วิหารสักการะเทพทั้งเจ็ดพังทลายลงอย่างรวดเร็ว ทุกสิ่งอย่างแปรสภาพเป็นอนุภาคเล็กๆ ละเอียดคล้ายกับเม็ดทราย และในพริบตามันก็กระจัดกระจายเป็นหมอกสีเทา
เวลานี้ ใจกลางดินแดนชิงอำนาจได้คละคลุ้งไปด้วยหมอกสีเทา
ซึ่งแม้จะปรากฏขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ฉากนี้ก็ถูกซ่อนเอาไว้ชั่วคราว มิได้ถูกสังเกตเห็นโดยสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในทันที
แอนนากับซูเค่อเอ๋อยืนอยู่ท่ามกลางหมอกหนา เฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ
“มันจะเป็นคำทำนายแบบไหนกันนะ?” แอนนาอดไม่ได้ที่จะถาม
“หนูเองก็สนใจเหมือนกัน เพราะท้ายที่สุดนี้ อย่างไรเสีย มันก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาส่วนใหญ่จะสามารถมาเห็นด้วยตาตัวเองได้” เค่อเอ๋อกล่าว
และไม่ปล่อยให้ทั้งสองต้องรอนานจนเกินไป
ในตอนแรก แม้โดยรอบมันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สักพัก หมอกสีเทาก็เริ่มเกาะกลุ่ม รวมกันก่อตัวเป็นรูปร่างของมนุษย์…ร่างมนุษย์นี้ดูเหมือนกับเปลือกที่ว่างเปล่า มิแตกต่างไปจากแม่พิมพ์
เปลือกมนุษย์ค่อยๆ ดูดซับหมอกสีเทาทั้งหมด ยิ่งดูดนาน ตามตัวของมันก็เริ่มสาดประกายแสงเจิดจ้า
จากนั้น เสียงของมันก็ก้องกังวานขึ้น
“สิ่งที่เกิดขึ้นในคำทำนาย นั่นคือการล่มสลายของภายนอกดินแดนชิงอำนาจที่กำลังจะมาถึง”
“และมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อกร หากต้องพึ่งพาพลังของผู้ศรัทธาเพียงอย่างเดียว”
มนุษย์แสงผายมือออก และชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า
“นั่นมันกำลังจะทำอะไรน่ะ? ดูไม่เหมือนกับกำลังบอกคำทำนายอยู่เลย?” แอนนาถามอย่างรวดเร็ว
เค่อเอ๋อรีบตอบกลับมา “หนูเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น บางทีนี้อาจจะเป็นเพราะภัยพิบัติได้มาถึงแล้ว ดังนั้นเทพวิญญาณเลยทำการกระตุ้นบางอย่างที่พวกเขาเคยจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าหรือเปล่า?”
ทว่าวินาทีต่อมา สีหน้าของทั้งสองก็แปรเปลี่ยนไป
ได้ยินถึงเสียงของมนุษย์แสงกล่าวอีกครั้ง
“ภัยพิบัติจะต้องได้รับการแก้ไขในทันที มิฉะนั้นแล้ว หากสายเกินไป โลกเก้าร้อนล้านชั้นจะไม่อาจมีวิธีใดต้านทานมันได้อีกเลย”
“ตามกลยุทธ์ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า ขอทำการอัญเชิญเทพทั้งเจ็ดกลับมาอีกครั้ง”
ในมือของมนุษย์แสง บังเกิดประกายระยิบระยับเปล่งออกมาออกมา แทรกซึมเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่า และยิงมันหายเข้าไปในระยะทางอันไร้ที่สิ้นสุด
ลำแสงนี้เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ แข็งกล้า น่าเคารพ และนอบน้อม กระทั่งแอนนากับซูเค่อเอ๋อที่เคยข้ามผ่านประสบการณ์อันหลากหลายมามากมาย ก็ยังแทบมิอาจฝืนยืนไหว จำต้องคุกเข่าลงต่อหน้าแสงนี้
แอนนากลั้นหายใจ ปากเปล่งเสียงกระซิบ “อย่างที่เธอเดาเอาไว้เลย ทวยเทพได้จัดเตรียมวิธีการบางอย่างเอาไว้ล่วงหน้าจริงๆ”
เค่อเอ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้วิญญาณ “แต่หนูเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่ามันจะถึงขั้นเป็นการอัญเชิญเทพทั้งเจ็ดกลับมา!”
“ทำไมล่ะ นั่นมันเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ? เพราะถ้าทวยเทพกลับมา พวกเขาจะได้นำพาทุกสรรพชีวิตเข้าต่อกรกับภัยพิบัติไง” แอนนาพูดด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่แบบนั้น เพราะในบันทึกของพวกเรา…” เค่อเอ๋อเอ่ยไปเพียงครึ่งประโยคโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ค้นพบได้อย่างทันท่วงทีว่าตนเองพูดมากเกินไป เด็กสาวจึงหุบปากลงทันที
“โปรดจงหวนกลับมา” มนุษย์แสงถอนหายใจยาว
แสงจรัสแทรกซึมเข้าไปในความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด จากนั้นก็เฝ้ารออยู่นานหลายสิบลมหายใจ
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากเสาแสงที่งดงามนี้แล้ว มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลย
ไร้ซึ่งการมาเยือนของเทพวิญญาณ
สักพักหนึ่ง มนุษย์แสงก็ลดมือของตนลง และเสาแสงที่ตัดผ่านผืนฟ้าก็กระจัดกระจายไปทันที
ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ในเวลานี้คล้ายกับว่ามนุษย์แสงจะดูอ้างว้างเป็นพิเศษ
มันลดระดับลงอย่างเงียบๆ ลอยมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของแอนนาและเค่อเอ๋อ คล้ายกับกำลังพินิจสาวทั้งสอง
สองสาวโค้งคำนับพร้อมกัน
เค่อเอ๋อคำนับตามขนบของเทพแห่งโชคชะตา ส่วนแอนนาคำนับตามหลักคำสอนของเทพแห่งความตาย
นี่คือสิ่งที่ผู้ศรัทธาพึงกระทำ ยามอยู่ต่อหน้าทวยเทพ
มนุษย์แสงพยักหน้าเล็กน้อย
“วันเวลาได้ผ่านพ้นไปนานเกินไปแล้วหรือไร เหตุใดผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้าจึงมีเพียงผู้ศรัทธาในโชคชะตาและความตายเท่านั้น?”
มันยกมือขึ้นทันที และสองหมอกสีเทาก็ลอยไปตกลงในมือของแอนนาและเค่อเอ๋อ
“ในฐานะที่พวกเจ้ามีความพยายามที่จะปลุกเทพวิญญาณ และช่วงเวลาสุดท้ายของทุกสิ่งมีชีวิตได้มาถึงแล้ว เจ็ดเทพจึงได้เตรียมของขวัญเอาไว้ให้ เป็นสิ่งตอบแทนในการอัญเชิญพวกเขา”
ทันใดนั้นเอง กลุ่มหมอกสีเทาทั้งสองก็แปรสภาพเป็นหนังสือ
หนึ่งเป็นหนังสือปกสีขาวบริสุทธิ์ อีกหนึ่งเป็นหนังสือปกสีดำ
หนังสือปกขาวบริสุทธิ์บินไปข้างหน้าเค่อเอ๋อ
และแน่นอน ว่าปกดำย่อมตกลงเบื้องหน้าแอนนา
มนุษย์แสงกล่าว “นี่คือหนังสือแห่งโชคชะตาและความตาย ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะเคารพรักมัน และเรียนรู้จากมันเช่นเดียวกันกับที่น้อมนำตามหลักคำสอนของเทพวิญญาณ”
ซูเค่อเอ๋อเม้มริมฝีปากของเธอแน่น และโค้งคำนับด้วยความเคารพอีกครั้ง โดยไม่เอ่ยสิ่งใด
แต่ทางแอนนา เธออดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “แล้วเทพทั้งเจ็ดองค์ล่ะ? ถูกอัญเชิญแล้วทำไมถึงไม่ปรากฏตัวออกมา?”
เค่อเอ๋อดึงแขนเสื้อเธอ ปากเปล่งเสียงกระซิบ “มนุษย์แสงคือสัญลักษณ์ของกฎเกณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยอำนาจของทวยเทพ มันอาจจะไม่สามารถตอบคำถามของคุณได้ก็ได้นะ”
แต่แท้จริงมนุษย์แสงกลับนิ่งงันไปครู่
จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน “เทพวิญญาณทั้งเจ็ดไม่ตอบสนองต่อการอัญเชิญในครานี้”
“ซึ่งเป็นไปได้มากทีเดียว ว่าพวกท่านอาจร่วงโรย ตกตายลงไปแล้ว”
“ในช่วงเวลาที่รัศมีแห่งทวยเทพมืดมนจนถึงขีดสุด แต่ความชั่วร้ายกลับเติบใหญ่และเริ่มเหิมเกริม”
“ดังนั้นตอนนี้ ข้าจึงจำต้องงัดกลยุทธ์สุดท้ายออกมา เพื่อเป็นการต่อสู้ล้างแค้นให้แก่เทพทั้งเจ็ด ที่ตระเตรียมการเอาไว้ในกรณีที่พวกเขาตายลง”
มนุษย์แสงกล่าว มันยกมือขึ้น ยิงลำแสงไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง โลกกว่าสองร้อยล้านชั้นก็พลันรับรู้ได้ถึงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ที่หลุดรอดออกมาจากใจกลางดินแดนชิงอำนาจ
ภาพฉายของมนุษย์แสงปรากฏขึ้นทั่วทุกมุมโลก
ข้ามผ่านตลอดทั้งสองร้ยล้านชั้น มันปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกสิ่งมีชีวิตในเวลาเดียวกัน นี่เกือบจะเป็นอำนาจระดับเดียวกันกับทวยเทพ!
ไม่ต้องกล่าวถึงอำนาจเทวะทั้งเจ็ดชนิดที่กำลังไสวไปมาตลอดเวลาจากบนตัวของมนุษย์แสง
ท่ามกลางโลกนับไม่ถ้วน ผู้คนต่างพากันคุกเข่าลง แสดงถึงความเคารพ
มนุษย์แสงลอยล่องอยู่ในอากาศอย่างเงียบๆ คล้ายกับกำลังพินิจถึงทุกสิ่งมีชีวิตในโลกสองร้อยล้านชั้น
มันเอ่ยปากขึ้นอย่างกะทันหัน “สิ่งมีชีวิตนับพันล้านเอ๋ย จงตั้งใจฟังให้ดี”
“เทพทั้งเจ็ดได้ตายลงไปแล้ว”
“ช่วงเวลาสุดท้ายของทุกสรรพชีวิตกำลังจะมาเยือน”
“นับจากช่วงเวลานี้ไป ระบบของเทพสวรรค์และระบบชีวิตจะถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์!”
…
ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อย
ในช่วงที่แอนนาเพิ่งเข้าไปในวิหารสักการะของเจ็ดเทพ
เช่นเดียวกันในดินแดนชิงอำนาจ อาณาเขตของหน้าใหม่
บนเนินเขาสูง
ทุกชนิดของเสียงสายลมที่พัดกระพือจากการระเบิดเทคนิคดาบ สะท้อนไปตลอดทั้งเขาชัน ดังก้องขึ้นมาถึงหอคอย ทะลุขึ้นไปถึงชั้นฟ้า
กู่ฉิงซานในชุดเกราะดำ และหน้ากากเกราะทองยืนอยู่ตรงขอบหอคอยปราการ เฝ้ามองดูเบื้องล่างอย่างเงียบๆ
ดาบขุนเขาเทวะและเช่าหยินวิ่งฝ่าฝูงแกะไปอย่างรวดเร็ว และบางครั้งก็ระเบิดเทคนิคลับแห่งดาบอันทรงพลังออกมา
หลังจากนั้นไม่นาน ในระยะที่ไกลออกไป สองดาบก็ได้สังหารปีศาจแกะดำทั้งฝูงที่อยู่บริเวณโดยรอบจนสิ้น อาศัยประโยชน์จากช่องว่างในช่วงเวลาที่ดาบบินลอยไปไกล กลุ่มปีศาจแกะดำที่แข็งแกร่งก็เริ่มปีนป่ายขึ้นมาจนถึงประตูหอคอย
กู่ฉิงซานยกมือขึ้น เอื้อมคว้าลูกศร วางมันลง ดึงสาย และยิงออกไป
ฟิ้ว!
ลูกศรถูกผละออก ทิ่มเข้าไปในดวงตาของแกะดำ เจาะเข้าไปถึงส่วนลึกของกะโหลกมันโดยตรง
กระทั่งเสียงกรีดร้องน่าสังเวชก็ยังไม่ทันจะได้เปล่งออกมา ปีศาจแกะดำตนนั้นได้สิ้นใจทันที
…เพลงธนู ร้อยก้าวผ่านหยาง!
นี่คือสกิลธนูของกู่ฉิงซานที่ถูกลืมเลือนไปแล้ว ทว่าหลังจากที่ได้เรียนรู้สกิลธนูจากโลกเทวะและโลกล่องเวหา เขาก็สามารถกลับมาเข้าใจมันได้อีกครั้ง
ปีศาจแกะดำอีกหลายตนฉวยจังหวะนี้ เร่งความเร็วขึ้น กระโจนสูง พยายามจะโจมตีหอคอยให้แตกพ่ายในคราเดียว
กู่ฉิงซานคว้าลูกศรมาแนบกับคันธนูอย่างรวดเร็ว
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
ยิงต่อเนื่อง!
โผล๊ะ!
ศรมากมายแปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา ระดมยิงเข้าใส่ปีศาจแกะดำที่อยู่บนพื้นดิน
บนท้องฟ้าไกล ดาบขุนเขาเทวะเปลี่ยนร่างเป็นฉานนู่ คว้าจับดาบเช่าหยิน
ในเสี้ยววินาที ฉานนู่ก็หายวับไป
เธอปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนหอคอยปราการ ยืนอยู่ข้างกายกู่ฉิงซาน
สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!
“นายน้อย เมื่อครู่ดูเหมือนข้าจะสนุกมือเกินไปหน่อย เลยไม่ทันหันหลังกลับมามองสถานการณ์ทางฝั่งท่าน” ฉานนู่กล่าวด้วยความอับอาย
“แค่เรื่องเล็กน้อยน่า เจ้าเองก็ไม่ได้ต่อสู้อย่างหนักมาเป็นเวลานานแล้วนี่ ดังนั้นนานๆ ที ไปอาบเลือดของศัตรูจนท่วมมันก็ดีเหมือนกัน” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
เขาเก็บคันธนูและลูกศร
“พวกเราควรจะไปกันได้แล้ว” เขากล่าว
ฉานนู่อุทานด้วยความสุข “มันเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?”
“อืม ข้าตระหนักได้ว่าระบบกำลังถูกดาวน์โหลดอยู่” กู่ฉิงซานพยักหน้า
ในสายตาของเขา หน้าต่างสีเขียวที่ส่อกลิ่นอายอำนาจของชีวิตค่อยๆ เริ่มก่อตัวขึ้น
บรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏบนหน้าต่างเขียว
“ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้รับความสนใจจากระบบ”
“คุณยินดีที่จะติดตั้งระบบนี้ และเดินทางไปพร้อมกับระบบหรือไม่?” ระบบเอ่ยถามในที่สุด
กู่ฉิงซาน “ฉันยินดี”
ด้วยคำพูดของเขา ม่านแสงสีเขียวพลันห่อหุ้มรอบกาย สาดประกายกะพริบไหวในเสี้ยววินาที
แล้วกู่ฉิงซานก็หายตัวไปจากอาณาเขตหน้าใหม่
ทั้งตัวถูกห่อหุ้มด้วยชั้นแสงสีเขียว พลังงานบางอย่างฉุดดึงเขาข้ามโลกนับไม่ถ้วนในกระแสมิติอันเชี่ยวกราก
สำหรับกระแสมิติในดินแดนชิงอำนาจ หากเปรียบเทียบกับกระแสมิติในโลกกระจัดกระจายแล้ว บอกได้เลยว่าแตกต่างกันดั่งหน้ามือกับหลังเท้า
เพราะภายในกระแสมิติของดินแดนชิงอำนาจ มันเต็มไปด้วยการดำรงอยู่อันแปลกประหลาดมากมายนับไม่ถ้วน
มอนสเตอร์ทุกชนิดในมิติ บางตนถึงขั้นครอบครองพื้นที่มิติบางส่วนเป็นของตนเอง บางตนก็คอยดักรอบนเส้นทางเข้าสู่โลกบางแห่ง
กู่ฉิงซานเห็นถึงมอนสเตอร์ที่มีขนาดใหญ่โตกว่าเรือใบของทางสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงหลายเท่าตัว มันกำลังบินอย่างสบายใจเฉิบในความว่างเปล่า
ระหว่างกำลังโผบิน มอนสเตอร์ตัวนั้นก็คอยเหยียดแขนทั้งหกของมันออกไปพลางๆ ยืดออกไปคว้าจับมอนสเตอร์และยานบินที่เชื่องช้าเกินกว่าจะหลบหนี จับโยนเข้าปากตน
กู่ฉิงซานพยายามทำการรับรู้ถึงกลิ่นอายของมอนสเตอร์ตัวนั้น
ดูเหมือนว่ามันจะแกร่งยิ่งกว่าตัวเขาหลายเท่านัก
อีกอย่าง เห็นได้ชัดว่ายานอวกาศเมื่อครู่น่ะเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ระหว่างเดินทาง มอนสเตอร์ตนนั้นกลับเร็วยิ่งกว่า มันคว้าจับพวกเขาและกลืนกินไปเลยโดยตรง
มองจากท่าทีของมอนสเตอร์หกแขน ดูมันจะมีความสุขมากทีเดียว
เนื่องจากรูปร่างภายนอกของมันทำมาจากโลหะ ประจวบกับแขนทั้งหกข้าง ทำให้ตัวมันแลดูคล้ายกับแมงมุมเหล็ก
บางทีอาจเป็นเพราะมันได้กลืนกินอารยธรรมจากโลกด้านเทคโนโลยีเข้าไปมากมาย จนร่างกายแปรสภาพเป็นแบบนั้นก็เป็นได้
กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูมันอย่างเงียบๆ และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
มอนสเตอร์ในมิติที่ว่างเปล่าพวกนี้ มักจะปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตที่เดินทางผ่านโลกเป็นอาหาร ภายในกระแสมิติจึงเปรียบดั่งสนามล่าของพวกมัน
โชคยังดีที่ตนเองได้รับการปกป้องจากระบบ มิฉะนั้นแล้วสำหรับหน้าใหม่ มันคงจะเป็นเรื่องยากที่จะเดินทางผ่านกระแสมิติในดินแดนชิงอำนาจ
ทว่าเมื่อเดินทางมาได้ถึงจุดหนึ่ง จู่ๆ กู่ฉิงซานก็คล้ายถูกแรงกดดันบางอย่าง โถมทับเข้าใส่อย่างฉับพลัน
มันเป็นความรู้สึกวิกฤตอันมิอาจอธิบายได้
มันเป็นสัมผัสเดียวกันกับความรู้สึกที่มักจะตระหนักได้ก่อนจะถึงฆาต!
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาแตะบนหน้าผาก
สัมผัสได้ถึงเหงื่อเย็นที่ผุดมาไม่หยุดหย่อน
ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะติดตามระบบชีวิตไปยังโลกอื่น แล้วทำไมการรับรู้ทางจิตวิญญาณ[1] มันถึงได้เกิดขึ้นในเวลานี้กัน?
แต่เขาไม่มีเวลาจะทันได้คิดเกี่ยวกับมัน แถบตัวอักษรสีแดงเลือดก็ปรากฏขึ้นในสายตา
นี่คือการแจ้งเตือนฉุกเฉินของหน้าต่างเทพสงคราม
“โปรดทราบ ระบบชีวิตกำลังพังทลายลง”
กู่ฉิงซานเบิกตากว้าง
เขาไม่มีเวลาจะได้เอ่ยถาม เพียงได้ยินถึงเสียงเสียดแหลมอย่างรุนแรงในหูของตนเท่านั้น
ปัง!
ชั้นแสงสีเขียวที่คอยห่อหุ้มรอบตัวเขาได้สลายไป
กู่ฉิงซานพบว่าร่างอันไร้ซึ่งการป้องกันใดๆ ของเขาลอยเคว้งอยู่ในกระแสมิติที่ว่างเปล่า
มอนสเตอร์มากมายสังเกตเห็นเขาในทันที
“ท่าไม่ดีแล้ว!”
กู่ฉิงซานกรีดร้องอย่างลับๆ
เมื่อมาถึงจุดนี้ เข้าก็สามารถเข้าใจถึงมันได้โดยสมบูรณ์
ว่านี่คงจะเป็นโทษทัณฑ์แรกของตนในขอบเขตพันวิบัติ!
เขากำลังจะตอบโต้ แต่กลับพบว่าพวกมอนสเตอร์มิได้ถลาเข้ามา
กู่ฉิงซานงง
แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็สังเกตเห็นว่ามีร่างเรืองแสงปรากฏขึ้นต่อหน้ามอนสเตอร์เหล่านั้น
ทุกชนิดของมอนสเตอร์ต่างสั่นกลัว ก้มหน้างันงก
และเบื้องหน้าเขา ก็ปรากฏร่างเรืองแสงที่ว่าขึ้นเช่นกัน
มนุษย์แสงที่ครอบครองพลังแห่งทวยเทพ อำนาจที่มิอาจมีผู้ใดเทียบเทียมได้
หลังจากนั้น มนุษย์แสงก็เอ่ยปาก
“สิ่งมีชีวิตนับพันล้านเอ๋ย จงตั้งใจฟังให้ดี”
“เทพทั้งเจ็ดได้ตายลงไปแล้ว”
“ช่วงเวลาสุดท้ายของทุกสรรพชีวิตกำลังจะมาเยือน”
“นับจากช่วงเวลานี้ไป ระบบของเทพสวรรค์และระบบชีวิตจะถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์!”
“ทวยเทพทรงสร้างอำนาจแห่งสองระบบขึ้น และอำนาจทั้งสองที่ว่านั่น ปัจจุบันทั้งหมดได้ตกอยู่ในมือของข้าแล้ว”
“ด้วยอำนาจแห่งเทพทั้งเจ็ดจากโบราณกาลนี้ มันจะช่วยเปิดหนทางใหม่ในการต่อสู้กับความชั่วร้ายสำหรับทุกสิ่งมีชีวิต”
“นี่คือการแก้แค้นของเทพทั้งเจ็ด และยังเป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเจ้าอีกด้วย”
“โอกาสที่ว่านั่นก็คือ…”
“หนทางสู่การเป็นเทพ!”
………………………………….
[1] ลางสังหรณ์
แอนนากระโจนเข้ามาในถ้ำมืด
เธอกำลังจะโบกสะบัดเคียวที่ลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงสีดำ แต่ก็ต้องชะงักลง ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าอย่างกะทันหัน
เพราะเด็กสาวตัวน้อยจากคริสตจักรแห่งโชคชะตา ยังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วยสองตาหลับสนิทดังเดิม ไร้ซึ่งร่องรอยของบาดแผลใดๆ
“ซิสเตอร์แอนนา ดูคุณจะตกใจไม่น้อยเลยนะ” เด็กสาวหัวเราะ
ข้างๆ เธอ คือสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่กำลังแผ่กลิ่นอายลางไม่ดีอย่างรุนแรงออกมา
มันเป็นหมียักษ์…หมียักษ์ที่ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีเทา
ซึ่งเมื่อครู่นี้ภายนอกถ้ำมืด ก็เป็นกลิ่นอายจากตัวมันนี่แหละ ที่กดดันทุกคน
หมียักษ์สีเทามีขนาดความสูงเทียบเท่ากับตึกห้าชั้น แต่ตอนนี้มันกำลังนอนหมอบอยู่กับพื้น ส่งผลให้มีความสูงอยู่แค่ตึกสองชั้นเท่านั้น
และมอนสเตอร์ประหลาดเช่นนี้ แท้จริงแล้วกำลังนอนลงอย่างว่าง่ายอยู่ข้างกายของเด็กสาว
เด็กสาวเอื้อมมือน้อยๆ ไปสัมผัสลงบนหัวของหมียักษ์ สองตาของมันหยีแคบลง แสดงออกถึงความพอใจ
เวลานี้ คล้ายกับว่าหมียักษ์กำลังค่อยๆ ผล็อยหลับไป
“เจ้าสิ่งนี้เธอเป็นคนอัญเชิญมันขึ้นมาอย่างนั้นหรือ? ไม่สิ ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะด้วยความแข็งแกร่งของเธอ มันไม่น่าจะสามารถสร้างรอยแยกมิติในวิหารของเจ็ดเทพได้” แอนนาพูดในสิ่งที่คิด
“หนูรู้ดีว่าซิสเตอร์แอนนาน่ะแตกต่างจากพวกขยะเหล่านั้น” สาวน้อยกล่าวด้วยความสุข “แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของความงาม แต่ยังเป็นจิตใจที่แข็งแกร่ง ที่กล้าก้าวออกมาช่วยหนู”
เด็กสาววาดแขนออกไป
ทันใดนั้นหนังสือปกสีเทาก็ปรากฏขึ้นในมือของเธอ
“นี่ต่างหากคือหนังสือพยากรณ์ที่แท้จริง” เด็กสาวตัวน้อยบอก
เธออธิบาย “ในความเป็นจริงแล้ว แม้แต่เหล่าทวยเทพต่างคนต่างก็มีโชคชะตาเป็นของตัวเอง และคำพยากรณ์ของเทพวิญญาณก็จะต้องถูกกระตุ้นด้วยพลังแห่งโชคชะตาที่ว่า ดังนั้นตั้งแต่โบราณตราบจนมาถึงปัจจุบันนี้ ทุกครั้งเกิดการเปิดคำทำนายของเทพวิญญาณ มันจะเป็นคริสตจักรแห่งโชคชะตาที่เป็นผู้ลงมือควบคุมอย่างลับๆ”
“หา? แล้วทำไมเธอถึงไม่บอกให้มันเร็วกว่านี้ล่ะ” แอนนาไม่เข้าใจ
“เพราะเทพวิญญาณมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับห้วงอารมณ์ของทุกสิ่งมีชีวิต พวกท่านจึงตระหนักได้ว่า หากปล่อยให้ทุกคนล่วงรู้ว่าทุกอย่าง แท้จริงแล้วถูกควบคุมโดยพวกเราคริสตจักรแห่งโชคชะตา อีกทั้งหกคริสตจักรใหญ่ย่อมต้องเกิดซึ่งความโลภ สุดท้ายแล้วมันก็จะนำไปสู่การล่มสลายลงของคริสตจักรแห่งโชคชะตาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ นี่เป็นปัจจัยอันน่ากังวลอันใหญ่หลวงที่สุด”
“ดังนั้น เทพวิญญาณทั้งเจ็ดจึงได้ตระเตรียมวิธีการบางอย่างล่วงหน้า เพื่อช่วยพวกเราคริสตจักรแห่งโชคชะตาปิดบังความลับนี้”
“ส่วนเหตุผลที่ว่าหนูไม่คิดจะปิดบังความลับนี้อีกต่อไป นั่นก็เพราะนี่คือคำพยากรณ์ครั้งสุดท้ายแล้ว ดังนั้นถ้าจะบอกความจริงกับซิสเตอร์แอนนา มันก็คงจะไม่เป็นอะไร”
แอนนากวาดตามองเด็กสาวขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะสลับไปมองหมียักษ์ข้างๆ และถอนหายใจโล่งอก
“ถ้าฉันรู้ว่าเธอแข็งแกร่งมากถึงขนาดนี้ ฉันคงไม่เสียเวลาโกรธและกังวลเหมือนในตอนนี้หรอก” หญิงสาวบ่น
“ฮี่ๆ” สีหน้าของเด็กน้อยแสดงออกถึงความละอายนิดๆ หน่อยๆ
เธอเอื้อมมือออกไป ทันใดนั้นความมืดมิดตรงหน้าหญิงสาวและเด็กสาวก็จางหายไป เผยให้เห็นถึงฉากที่ปรากฏขึ้นด้านนอก
ในเวลานี้ คนทั้งหลายกำลังหารือกันถึงเรื่องพันธมิตร
เมื่อเห็นแบบนั้น คิ้วของแอนนาก็ต้องยกสูงขึ้นอีกครั้ง แต่เด็กสาวก็พยายามเกลี้ยกล่อมเธอซะก่อน “ซิสเตอร์แอนนา ในความเป็นจริงแล้ว คุณไม่ต้องใส่ใจเกี่ยวกับพวกเขาเลย”
“เพราะอะไร?”
“ซิสเตอร์แอนนา คุณจะต้องเข้าใจก่อนนะว่า ไม่ใช่ทุกคนที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์เหมือนกันกับคุณ ดังนั้นจะมีหลายคนไม่ชอบคุณมันก็ไม่แปลก เพราะตั้งแต่ที่คุณปรากฏตัวขึ้นในดินแดนชิงอำนาจ คุณก็มีผู้รับใช้เทพคอยติดตามและคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา”
“แอนนาคนแบบคุณน่ะหาได้ยากมาก ในขณะที่คนที่มีความสามารถทั่วๆ ไปในโลกใบนี้ล้วนต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ตัวเองสามารถอยู่รอดและแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่เมื่อโชคชะตาต้องการทดสอบพวกเขาจริงๆ ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะตาย”
“เพราะฉะนั้น ซิสเตอร์ได้โปรดอย่าโกรธเคืองพวกเขาเลย”
แอนนาจ้องมองสาวน้อยที่แสนจะใสซื่อ ความโกรธในจิตใจของเธอค่อยๆ มลายลง
“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นก็แล้วกันไปเถอะ แต่ในเมื่อเธอมีความแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็รีบมาช่วยกันแก้ปัญหาให้เร็วที่สุดเถอะ จะได้แยกย้ายกันกลับไปเร็วๆ”
“ตามที่คุณปรารถนา” เด็กสาวตัวน้อยกล่าว
เธอตบลงบนหัวของหมียักษ์ เงยหน้าขึ้นตะโกนสั่งเสียงดัง “เด็กน้อย ได้เวลาทำงานแล้ว!”
หูของหมียักษ์กระดิกทันที มันลืมตาขึ้น เปล่งเสียงคำรามสะท้านสะเทือนผืนดินอย่างกะทันหัน
โฮก!
ร่างใหญ่โตของมันโฉบออกไปราวกับสายฟ้าฟาด พรวดออกจากถ้ำมืด
และปรากฏการณ์นี้ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินไป ดังนั้นหลายคนที่อยู่ภายนอกจึงยังไม่ทันแม้ตอบสนอง
ชายผมบลอนด์ถูกหมียักษ์คว้าตัว จับยัดเข้าไปในปาก ถูกเคี้ยวกรุบๆ อย่างรุนแรง และกลืนเข้าไปในท้องโดยตรง
หมียักษ์ยกฝ่ามือของมันขึ้น และฟาดตบอย่างแรงลงบนพื้นห้องโถงใหญ่
คนอื่นๆ ที่กำลังจะโต้กลับ จู่ๆ ก็เสียสมดุลไปอย่างกะทันหัน มิอาจเคลื่อนไหวได้ดั่งใจ
หมียักษ์ย่อมไม่พลาดโอกาสนั้น ร่างของมันสาดประกายกะพริบไหว ภายในไม่กี่ลมหายใจ มันก็กวาดเรียบทั้งห้าคนได้อย่างสมบูรณ์
มันเริ่มกัดแทะซากศพทั้งห้าจนหมดไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แปรสภาพกลายเป็นหมอก กระจัดกระจายไปรอบห้องโถงและหายไป
เด็กสาวตัวน้อยอธิบายกับแอนนา “มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะตอนที่หนูเข้ามาที่นี่ หนูสัมผัสได้ว่าพลังที่เทพทั้งเจ็ดทิ้งเอาไว้นั้นอ่อนโทรมลงมาก ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เลยจำเป็นต้องเก็บเกี่ยวพลังวิญญาณสดใหม่เสียก่อน จึงจะทำการพยากรณ์ได้”
“ในความเป็นจริงมันอาจจะต้องใช้จิตวิญญาณสดใหม่ซักสาม แต่ห้าก็ได้มั้ง ไม่เป็นไรหรอก เพราะอย่างไรเสียก็แค่คนธรรมดาห้าคนที่หายตัวไป และตอนนี้ พวกเขาก็ได้ทำประโยชน์โดยการเปลี่ยนตนเป็นพลังงานบริสุทธิ์แก่พวกเราแล้ว”
“แต่พวกเขาตายกันหมดเลยนะ แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าการทดสอบของทวยเทพล้มเหลว?” แอนนาถาม
“การทดสอบ? การทดสอบมันได้ผ่านไปแล้วต่างหาก” เด็กสาวตัวเล็กหัวเราะ “ซิสเตอร์แอนนา คุณผ่านการทดสอบแล้ว ไม่รู้ตัวเลยหรือ”
แอนนาตะลึงงัน “อ่าว การทดสอบครั้งสุดท้ายไม่ใช่ว่ามันเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งหรอกหรือ? แต่นี่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
สีหน้าของสาวน้อยกลายเป็นจริงจัง ปากเอ่ยอย่างเฉียบขาด “ในโลกใบนี้ สิ่งที่เรียกว่าความแข็งแกร่งน่ะมีอยู่หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญ สติปัญญา นั่นก็นับว่าเป็นความแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน”
“แต่สำหรับเทพวิญญาณ ความแข็งแกร่งเหล่านี้ล้วนอ่อนแอและแสนจะคลุมเครือ มิอาจนำมาหยิบยกได้”
“เป้าประสงค์ที่เหลืออยู่ของเทพทั้งเจ็ดได้บอกกับหนูว่า พวกเขาต้องการควานหาผู้ที่มีความเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตทั้งปวง และหาญกล้าที่จะต่อสู้เพื่อสิ่งที่ตนเมตตาเหล่านั้น”
“ซึ่งคุณ…ซิสเตอร์แอนนา เป็นคุณเพียงคนเดียวที่กล้าจะก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อช่วยหนู”
“ดังนั้น คุณเลยผ่านการทดสอบ”
เด็กสาวตัวน้อยยกหนังสือพยากรณ์มาไว้เบื้องหน้าแอนนา
“ซิสเตอร์ ได้โปรดวางมือของคุณลงบนหนังสือด้วย”
ดวงตาของแอนนาเผยถึงความรู้สึกซับซ้อน หัวเราะให้กับตัวเอง “เห็นได้ชัดว่าฉันก็แค่อยากรีบกลับวิหารของตัวเองเพื่อไปฝึกฝนต่อ แต่ไม่คิดเลยว่าผลลัพธ์ของมันจะเป็นแบบนี้”
เด็กสาวเอียงศีรษะและกล่าว “โชคชะตาน่ะ มันก็เป็นแบบนี้แหละ”
แอนนาพอได้ฟังก็ถอนหายใจ
เธอเฝ้ามองหนังสือพยากรณ์อย่างเงียบๆ
ในการรับรู้ของเธอ มันไม่ปรากฏถึงลางบอกเหตุแห่งความตายใดๆ
ตรงกันข้ามเลย มันกลับสามารถรับรู้ได้ถึงอำนาจเทวะออกมาจากหนังสือเล่มนี้
อำนาจเทวะตรึงเข้ากับตัวเธอ เฝ้ารอคอยให้เธอไปกระตุ้นมัน
แอนนาวางฝ่ามือลงบนปกหนังสือพยากรณ์
“บอกหน่อยสิ ว่าเธอชื่ออะไร” แอนนาถามขึ้นอย่างกะทันหัน
“ซิสเตอร์เรียกหนูว่าเค่อเอ๋อก็ได้” เด็กสาวตัวน้อยเผยรอยยิ้มสดใส
“เค่อเอ๋อ?”
“ใช่ หนู ‘ซูเค่อเอ๋อ’ ”
แอนนาตัวแข็งค้างไป เพราะชื่อนี้ มันดันไปคล้ายกับใครคนหนึ่ง
ซูเค่อเอ๋อเองก็วางมือลงบนปกหนังสือพยากรณ์เช่นกัน เจ้าตัวเผยถึงสีหน้าสนุกสนาน “หนูมีเรื่องส่วนตัวจะบอกคุณด้วยนะ แต่ตอนนี้ พวกเรามาเป็นประจักษ์พยานต่อคำทำนายสุดท้ายที่เทพทั้งเจ็ดทิ้งเอาไว้ข้างหลังกันก่อนเถอะ”
ว่าจบ เด็กสาวก็เริ่มร่ายคาถาในความเงียบ
หนังสือพยากรณ์ปกสีเทาเริ่มแพร่กระจายกลุ่มหมอกออกมา และปกคลุมทั้งสองเอาไว้
ปัง!
ความมืดมิดทั้งหมดหายวับไป
ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นในห้องโถงใหญ่อีกครั้ง
เสาใหญ่ที่คอยค้ำยัน เสาแล้วเสาเล่าเริ่มทยอยกันหักโค่นลง ตลอดทั้งพื้นที่เริ่มพังทลาย วิหารของเจ็ดเทพกำลังล่มสลาย
ทว่าขณะเดียวกัน อำนาจเทวะอันเหลือล้นก็ท่วมไปทั้งอากาศที่ว่างเปล่า
“มันกำลังจะเริ่มแล้วนะ!”
ซูเค่อเอ๋อเตือนแอนนาด้วยความสุข
………………………………….
หนังสือศิลาได้เปล่งคำพยากรณ์อันร้ายแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
สีหน้าของผู้ศรัทธาทั้งเจ็ดแปรเปลี่ยนกลับกลาย
เพราะเขาและเธอล้วนเป็นสาวกชั้นนำของคริสตจักรตน ดังนั้นทั้งหมดจึงย่อมสามารถตีความหมายที่ดังออกมาจากหนังสือศิลาได้อย่างง่ายดาย
“นี่มันเรื่องร้ายแรงเกินไป พวกเราควรจะหยุดแล้วกลับไปที่โบสถ์ของตัวเองกันก่อนจะดีกว่า” เด็กสาวที่ปิดตาผละมือของเธอออกจากหนังสือศิลา
ในบรรดาคนทั้งหมด เธอเป็นคนที่มีอายุน้อยที่สุด ดังนั้นในขณะนี้จึงเกิดความรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
“เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง!” แอนนาที่อยากกลับจนเต็มแก่แล้วชูมือขึ้นทันที
พอได้ฟัง คนอื่นๆ จึงคอยยกมือออกจากหนังสือศิลา หยุดการถ่ายเทพลังงานลงไป
ปฏิกิริยาของหนังสือศิลาหยุดลงทันที
ชายผมบลอนด์กล่าวอย่างจริงจัง “แต่หนังสือศิลาได้ปรากฏขึ้นมาแล้วนะ ซึ่งปรากฏการณ์นี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าอำนาจของเทพวิญญาณได้ผนึกโลกใบนี้ไปแล้วโดยสมบูรณ์ พวกเราไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้หรอก”
“ใช่ นี่ก็เป็นปัญหาใหญ่เหมือนกัน และทางออกเดียวที่พวกเราจะหนีไปได้ นั่นก็คือพวกเราทั้งเจ็ดไม่บรรลุก็ล้มเหลวในบททดสอบ” หญิงชุดเขียวกล่าว
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จงใจยอมแพ้ในบทสอบของทวยเทพเป็นไง?” เด็กสาวที่ปิดตาเอ่ยปาก
“นั่นมันฟังดูเป็นวิธีที่ยอดไปเลย!” แอนนาสนับสนุนอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
ตราบใดที่ทุกคนล้มเหลว เขาและเธอทั้งเจ็ดก็จะสามารถเดินทางกลับไปที่โบสถ์ของตนได้เลยโดยตรง
นี่เป็นวิธีที่ประหยัดเวลาได้มากที่สุด!
แอนนาหันไปมองคนอื่นๆ ด้วยความคาดหวังว่าพวกเขาจะเห็นด้วยกับเธอ
แต่กลับพบว่า คนอื่นๆ ค่อยๆ พากันส่ายหัว
ชายผมบลอนด์กล่าว “สุภาพสตรีทั้งสอง ดูเหมือนว่าพวกคุณจะเข้าใจผิดไปนะ”
แอนนา “เข้าใจอะไรผิด?”
ชายผมบลอนด์ค่อยๆ กำหมัดอย่างช้าๆ เอ่ยเสียงจม “คำพยากรณ์ของเจ็ดเทพได้มาถึงช่วงจุดสิ้นสุดแล้ว ดังนั้นในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ถ้าพวกเราสามารถนำคำพยากรณ์กลับไปที่คริสตจักร พวกเราก็จะได้รับรางวัลมากกว่าที่เคยได้ตกลงกันไว้ในอดีต”
ชายที่ถือสามง่ามกล่าว “เพราะฉะนั้นได้โปรดพิจารณาให้ดีเถอะ นี่คือคำพยากรณ์สุดท้ายของทวยเทพ นั่นหมายความว่าถ้าพวกเราสามารถล่วงรู้ถึงรายละเอียดของมัน พวกเราก็จะได้รับชื่อเสียงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!”
“ไม่เพียงเท่านั้น” หญิงชุดเขียวแทรก “คำทำนายสุดท้ายของทวยเทพจะต้องมีความลับอันลึกล้ำอย่างสุดแสนอยู่แน่ๆ และถ้าพวกเราสามารถนำมันกลับไป พวกคนระดับสูงจำนวนมากจะต้องเข้ามาพบกับพวกเราเป็นการส่วนตัว ซึ่งพวกเราสามารถฉวยโอกาสนั้น ปีนป่ายขึ้นไปสานสัมพันธ์กับพวกเขาได้”
หลายคนยกเหตุผลต่างๆ นานาขึ้นมา พร้อมกับใบหน้าที่แสดงถึงความตื่นเต้น
นี่เป็นโอกาสที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับตนเองมาก่อน
สันนิษฐานได้เลยว่า กระทั่งผู้นำคริสตจักรที่ส่งพวกเขามา ก็คงไม่คาดคิดเหมือนกันว่ามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ขึ้น!
แอนนากวาดตามองใบหน้าของคนทั้งหลาย เธอตระหนักได้ทันทีว่าคงไม่มีทางโน้มน้าวใจพวกเขา ปากอ้าถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
ทำไมคนพวกนี้ถึงยังมามัวทำลอยหน้าลอยตาได้อยู่กันนะ?
พวกเขาไม่เข้าใจเลยรึไง ว่าความแข็งแกร่งส่วนตนต่างหาก ที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการใช้ตัดสินได้ทุกสิ่ง
แต่แทนที่จะเลือกไขว่คว้าชัยชนะมาได้ด้วยความแข็งแกร่งของตนเอง พวกเขากลับเลือกที่จะใช้ทางลัดให้ได้มาซึ่งชื่อเสียง ด้วยเหตุนี้ กล่าวได้ว่าเรื่องแนวคิดพื้นฐานที่จำเป็นต้องมีในการยกระดับ พวกเขาก็ขาดแคลนไปมากโขแล้ว
ที่จริงถ้าเสริมแกร่งต่อไปเรื่อยๆ มันก็น่าจะพอแล้ว เพราะตราบใดที่มนุษย์ฝึกฝนได้จนถึงขั้นสามารถครอบครองความแข็งแกร่งเช่นเดียวกันกับเทพวิญญาณ ถึงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือสมบัติใดๆ ทั้งหมดก็จะถูกนำมามอบให้กับพวกเขาเอง
ความแข็งแกร่งน่ะคือทุกสิ่ง!
แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่ทุกอย่างมันดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว เธอไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของทุกคนได้
เด็กสาวที่หลับตาอยู่หันไปมองแอนนา ยิ้มให้เธอในเชิงขอโทษ
แอนนาส่ายหัวเล็กน้อย ส่งสัญญาณว่าไม่เป็นไรหรอก
‘เฮ้อ…อย่างน้อยก็ยังมีความโชคดีในความโชคร้าย’
เพราะในบรรดากลุ่มคนเหล่านี้ อย่างน้อยเธอก็ได้พบกับคนที่มีความคิดเดียวกันกับตัวเอง
อีกฝ่ายเป็นแม่ชีของคริสตจักรแห่งโชคชะตา มีนิสัยที่อ่อนโยนละสุภาพต่อคนอื่นๆ เป็นอย่างมาก
แอนนาเกิดความรู้สึกประทับใจกับเด็กสาวตัวน้อยคนนี้
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ไม่ว่าอย่างไรลำพังเธอและเด็กสาวก็ย่อมไม่สามารถที่จะเปลี่ยนความคิดของทุกคนได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมไม่มีทางเลือกใดอีก นอกไปจากร่วมมือกับผู้ศรัทธาเทพองค์อื่นๆ เพื่อหวังว่าจะสามารถช่วยให้บรรลุการทดสอบได้เร็วขึ้นแม้จะเล็กน้อย
ผู้ศรัทธาทั้งเจ็ดกดมือลงบนหนังสือศิลาอีกครั้ง และถ่ายเทพลังเข้าไป
เสียงอันเปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ดังขึ้นมาจากหนังสือศิลาในทันที
“ความแข็งแกร่งคือรากฐานของทุกสิ่งอย่าง!”
แอนนายกคิ้วสูงขึ้นด้วยความประหลาดใจ นี่มันเหมือนกับสิ่งที่ในจิตใจของเธอคิดเอาไว้เลยนี่นา
เสียงยังคงดังต่อ
“การทดสอบขั้นสูงสุดของทวยเทพ คือการทดสอบความแข็งแกร่ง”
“ความแข็งแกร่งของพวกเจ้าจะได้รับการประเมินอย่างเท่าเทียมกัน และบททดสอบที่เกี่ยวข้องกำลังจะเริ่มต้นขึ้น!”
“โปรดเอาชนะสิ่งรังสรรค์ของทวยเทพ เพื่อเปิดคำพยากรณ์สุดท้าย!”
โครม!
ตลอดทั้งห้องโถงเกิดการสั่นสะเทือนอีกครั้ง
“ร้องขอให้ผู้ทดสอบก้าวไปในส่วนลึกของถ้ำ เพื่อเข้ารับการทดสอบ” หนังสือศิลากล่าว
“ดูนั่นสิ!” ชายผมบลอนด์อุทาน
ทุกคนหันไปมองตามเขา
เห็นแค่เพียงสุดปลายอีกด้านหนึ่งของห้องโถงใหญ่ ปรากฏถ้ำอันมืดมิดผุดออกมาจากในอากาศที่ว่างเปล่า
ถ้ำแห่งนี้เปรียบเสมือนกับปากใหญ่ของสัตว์ประหลาด มันฟุ้งไปด้วยกลิ่นอายอันน่าสยดสยองอย่างมิอาจบอกบรรยายได้
แม้ว่าจะไม่สามารถมองเห็นภายในได้อย่างชัดเจน แต่ก็สามารถสัมผัสได้ว่า กำลังมีบางสิ่งบางอย่างที่มีขนาดใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ในถ้ำมืด
ความหนาวเย็นเสียดแทงเข้ามาในจิตใจของทุกคน
นั่นคือสิ่งรังสรรค์ของทวยเทพ!
ทุกคนต่างก็คิดเห็นเช่นเดียวกันในเรื่องนี้
ชายผมบลอนด์คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “ในบรรดาพวกเรา คนที่เหมาะสมที่สุดที่จะเผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้จักก็คือผู้ศรัทธาของเทพแห่งโชคชะตา ดังนั้นมันจะเป็นการดีกว่าถ้าเป็นเธอที่เข้าไปคนแรก”
เขาหันมามองเด็กสาวที่สองตาปิดสนิท
และคนอื่นๆ ก็เอ่ยอนุมัติเป็นเสียงเดียวกันทันที
“หา? เป็นหนูหรือ?” เด็กสาวคนนั้นลังเล แต่สุดท้ายก็รวบรวมความกล้าและพูดขึ้น “ตกลง หนูจะไปเอง”
แอนนาคว้าหมับ รั้งเธอเอาไว้
หญิงสาวหันไปมองชายผมบลอนด์และกล่าว “เธอคนนี้เชี่ยวชาญในด้านการทำนายและสอดแนม ไม่เหมาะที่จะถูกส่งให้เข้าไปทานรับการต่อสู้อย่างกะทันหัน พวกนายที่เป็นนักสู้ระยะประชิดต่างหาก ที่สมควรจะเป็นคนเข้าไป”
ชายผมบลอนด์ขมวดคิ้ว และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่เด็กสาวที่สองตาปิดสนิทยิ้มเล็กน้อย ค่อยๆ แกะมือของแอนนาอย่างแผ่วเบา “ไม่เป็นไรหรอก ในกรณีที่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น หนูจะยอมแพ้ทันที และรีบกลับมาบอกทุกคนเกี่ยวกับสถานการณ์ภายใน”
ว่าจบ เด็กสาวก็ยกสองมือขึ้นกุมจี้บนคอ ค่อยๆ เดินตรงเข้าไปในถ้ำมืด
ในหัวใจของแอนนาเริ่มลุกโชน
เธอหันไปมองคนอื่นๆ โดยรอบด้วยความโกรธ และตะโกนออกมา “เห็นได้ชัดว่าฉันกับเด็กคนนั้นยื่นข้อเสนอให้พวกเรายอมแพ้ แต่พวกนายกลับยืนกรานที่จะบรรลุการทดสอบให้จงได้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ กลับไม่กล้า เลือกที่จะถอยหนี”
“ไม่ใช่แบบนั้น” ชายที่ถือสามง่ามอธิบาย “พวกเราแค่ให้เธอไปตรวจสอบสถานการณ์ ส่วนการต่อสู้ที่แท้จริงหลังจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของพวกเราต่างหาก”
ชายผมบลอนด์ช่วยเสริม “ในบรรดาพวกเราทั้งเจ็ดคน เด็กคนนั้นมีกำลังรบอ่อนด้อยที่สุด ดังนั้นในครั้งนี้เธอเลยได้รับเลือกให้ไปทำหน้าที่ตรวจสอบ ส่วนเรื่องสำคัญอื่นๆ จะขึ้นอยู่กับพวกเรา”
“ถูกต้อง”
“นั่นแหละคือสิ่งที่สมควรจะเป็น”
“มันคือการแบ่งงานตามความเหมาะสมต่างหาก”
ผู้หญิงในชุดเขียว ชายน้ำแข็งที่สวมถุงมือ และชายร่างใหญ่ที่มีคู่ปีก ต่างพากันพูดสวนกลับมา
เมื่อต้องเผชิญกับข้อสรุปอันเป็นเอกฉันท์ แอนนาก็ไม่สามารถหาคำมาโต้แย้งได้อีกต่อไป
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เธอเองก็ไม่ใช่พวกใช้ฝีปากสู้ซะทีเดียว
ทันใดนั้นเอง เสียงกรีดร้องอันน่าหวาดกลัวก็พลันดังขึ้น
“อ๊าาาาา…”
ในเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดที่ดังออกมา มันผสานโชยมากับกลิ่นเลือดอันรุนแรง
กลิ่นสาบเลือดพร้อมกันกับกลิ่นอายลางไม่ดีอย่างร้ายแรง กระพือเข้าใส่ทุกคน
“นี่มัน…”
ชายที่มีคู่ปีกเอ่ยงึมงำ ก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว
ด้วยกลิ่นอายที่พัดผ่าน ส่งผลให้ฝูงชนตระหนักได้ในทันที ว่าอำนาจที่แฝงมากับมันนี้ แข็งกร้าวยิ่งกว่าเขาและเธอทุกคน
ในถ้ำมืด เสียงกรีดร้อง และการต่อสู้ยังคงดังสะท้อนออกมาอีกครั้ง และอีกครั้ง
สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนกลับกลาย
ชายผมบลอนด์กล่าว “แบบนี้ไม่ดีแน่ มอนสเตอร์ภายในถ้ำมันแข็งแกร่งเกินไป ด้วยพลังของฉัน อย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงตกตายไปพร้อมกับมันเท่านั้น”
“ถ้าถึงขั้นต้องแลกชีวิตเพื่อคำพยากรณ์แล้วล่ะก็ สำหรับฉันมันไม่คุ้มค่าเลย!”
เขาส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชายผู้ถือสามง่ามก้าวถอยหลังและกล่าว “ดูเหมือนว่าสถานการณ์นี้มันจะอันตรายเกินกว่าที่พวกเราคาดไว้ ดังนั้น ฉันขอแนะนำให้ทุกคนยอมแพ้ แล้วรีบกลับไปขอความช่วยเหลือจะดีกว่า!”
“นั่นเป็นทางเลือกที่ฉลาดมาก ฉันเห็นด้วย!” หญิงในชุดเขียวสนับสนุน
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงของหญิงสาวที่เปี่ยมไปด้วยความโกรธและเจตนาฆ่าก็ก้องกังวานขึ้น
“ไอ้…พวก…สารเลว!” แอนนาตะโกนกร้าว
เธอหันไปมองหนังสือศิลาและเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “เด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?”
“ยังมีลมหายใจอยู่ แต่รวยรินเหลือเกิน” หนังสือศิลาตอบ
ใบหน้าของแอนนาซีดเผือด เร่งถามด้วยความกังวล “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเธอล้มเหลวแล้วใช่ไหม? ถ้าเช่นนั้นฉันก็สามารถเข้าไปได้เลยซินะ!”
“ย่อมสามารถ”
ระหว่างกลางอากาศ ปากของหญิงสาวก็เริ่มขมุบขมิบ สวดมนต์อธิษฐาน
“ความตายเอ๋ย ในฐานะที่ข้าเป็นผู้รับใช้แห่งเจ้า ฉะนั้นไม่ว่าจักชีวิตหรือความตายของสิ่งมีชีวิตใด ก็ล้วนจักต้องถูกตัดสินโดยข้า!”
เปิดใช้งานเทคนิคมนตราแห่งความตาย!
เปรี้ยง!
ผมสีดำเข้มปลิวไสวอย่างรุนแรง เฉกเช่นเดียวกันกับแสงทมิฬที่สาดออกมาจากตัวของแอนนา ท่วมทับไปตลอดทั้งห้องโถงใหญ่
ด้ามเคียวยาวที่ถูกกุมอยู่ในมือเธอพลันลุกไหม้ เปลวเพลิงอันมืดมิดเริ่มลุกลามขึ้นไปติดตามขอบใบเคียวอันแหลมคมอย่างเงียบๆ
แอนนาไม่ลังเลเลยที่จะระเบิดพลังของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่!
แต่แล้วในเสี้ยววินาที ปรากฏการณ์เมื่อครู่ทั้งหมดก็หายไป
ร่างของแอนนาหายเข้าไปในถ้ำมืด
ที่เหลืออยู่อีกห้าคน ฉันมองเธอ เธอมองฉัน นิ่งงันไปพักหนึ่ง ไม่อาจเอ่ยคำใดได้
แต่ไม่นานนัก ผู้หญิงในชุดเขียวก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “ฉันขอแนะนำให้พวกเราร่วมมือกันอย่างจริงจัง”
“เธอหมายความว่าอย่างไร?” ชายผมบลอนด์ถาม
“อย่าบอกนะว่านายไม่รู้สึกเลยว่า ผู้หญิงจากคริสตจักรแห่งความตายน่ะมีความคิดที่จะฆ่าพวกเรา”
หญิงชุดเขียวส่ายหัวและกล่าวต่อ “เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ใช่คนปกติ แถมพลังที่เธอระเบิดออกมามันก็น่ากลัวเกินไป ซึ่งถ้าเธอคิดลงมือกับพวกเราด้วยพลังแบบนั้นจริงๆ…ฉันไม่คิดว่าจะมีใครสามารถต้านทานมันได้หรอก”
บังเกิดซึ่งความเงียบ
ชั่วเวลานี้ เหล่าผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ทั้งหลายต่างก็เริ่มแสดงความคิดเห็นของพวกเขาออกมาทีละคน ทีละคน
“ถึงแม้ว่าเธอจะน่าหวาดกลัว แต่อย่างไรเสียคนหมู่มากก็ย่อมมีกำลังรบมากกว่าเสมอ” ชายที่ถือสามง่ามกล่าว
“ใช่ เพราะฉะนั้นมาร่วมมือกันเถอะ” ชายที่มีคู่ปีกเห็นด้วย
ชายผมบลอนด์ครุ่นคิดและสรุปออกมา “ถ้าพวกเราสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และร่วมมือกันล่ะก็ ไม่ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากแค่ไหน ตัวอย่างเช่น เกิดเผชิญหน้ากับคนทรยศของโบสถ์อื่นๆ เข้า…ก็น่าจะสามารถเอาชนะได้ไม่ยาก”
“นั่นแหละคือสิ่งที่ควรจะเป็น” ผู้หญิงในชุดเขียวกล่าวทันที
………………………………….
ปลายักษ์ที่ทั้งตัวเกือบจะโปร่งใส ว่ายผ่านเข้าไปในอากาศที่ว่างเปล่า ข้ามผ่านกระแสมิติอันเชี่ยวกราก
ปรากฏให้เห็นถึงสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดมากมายรอบตัวปลายักษ์ ทว่ากลับไม่มีตนใดเลยที่รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของมัน
หากมีใครคอยสังเกตถึงทิศทางของปลายักษ์ตัวนี้ไปตลอดทาง พวกเขาจะพบว่ามันกำลังเวียนว่ายไปยังทิศทางหนึ่งด้วยการเคลื่อนไหวที่ประหลาดตา
เพียงไม่นาน ปลายักษ์โปร่งใสก็เดินทางมาถึงใจกลางของดินแดนชิงอำนาจ
ในความเป็นจริงแล้ว โลกทั้งสองร้อยล้านชั้นในพื้นที่ชิงอำนาจนั้นมีลักษณะอยู่ในรูปแบบเป็นวงแหวนปิด
หากยังนึกภาพไม่ออก ขอให้จงนึกถึงเป้ายิงธนู นั่นแหละคือลักษณะพื้นที่ของดินแดนชิงอำนาจ
อย่างไรก็ตาม ใจกลางของดินแดนมันกลับไม่มีอะไรเลย
ปลายักษ์โปร่งใสว่ายเวียนอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง ก่อนจะมีแสงเจ็ดสีผุดออกมาจากร่างกายของมัน โดยเริ่มจาก
แสงสีเขียวที่เป็นตัวแทนของชีวิต
แสงสีฟ้าที่เป็นตัวแทนของมิติและเวลา
แสงสีเทาดั่งหมอกหนาที่เป็นตัวแทนของโชคชะตา
แสงศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นตัวแทนของศรัทธา
แสงสีม่วงที่เป็นตัวแทนของความลึกลับ
แสงสีทองที่เป็นตัวแทนของอารยธรรมอันรุ่งโรจน์
และ…
แสงสุดท้ายอันมืดมิด ที่เป็นตัวแทนของความตาย
เจ็ดแสงสาดสะท้อนเข้าด้วยกันในความว่างเปล่า
ทันใดนั้นเอง ในความว่างเปล่าก็ปรากฏทางเข้าถ้ำขึ้น
ปลายักษ์ดีดตัวสูง เหวี่ยงตัวเข้าไปในถ้ำทันที
ในเสี้ยววินาที แสงเจ็ดสีก็วูบดับลง
พร้อมกันกับปลายักษ์และถ้ำ ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
…
ท่ามกลางห้องโถงใหญ่ที่ว่างเปล่า
การแสดงออกของแอนนาดูจะร้ายแรงมากขึ้น
ตลอดทั้งใบหน้าของเธอถูกปกคลุมไปด้วยความเย็นเยียบ ทั้งคนทั้งร่างฟุ้งไปด้วยความโกรธ ยืนอยู่ตรงข้ามกับสหายทั้งหก
ก้มลงมองมายังชุดกระโปรงยาวที่ดูหรูหราและงดงามของตัวเองที่ใช้ในงานพบปะสังสรรค์ แล้วสลับไปมองชุดเกราะเต็มตัวบนร่างของทั้งหก แอนนาก็มิอาจยับยั้งความโกรธในจิตใจของเธอได้อีกต่อไป
“ถ้าเช่นนั้น ทุกคนก็รู้อยู่แล้วสินะว่าจะเกิดอะไรขึ้น และมีฉันแค่คนเดียวที่โง่ไปเอง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
อีกหกคนหันมามองหน้ากันและกัน
หญิงสาวในชุดเขียวเอ่ยปาก “ภารกิจนี้ค่อนข้างจะพิเศษ แต่ดูชุดของเธอสิ ในฐานะตัวแทนของคริสตจักรแห่งความตาย กลับมาทำเป็นเล่นแบบนี้”
หญิงสาวจ้องมองไปยังใบหน้าอันสมบูรณ์แบบของแอนนา สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ที่สามารถดึงดูดได้ทุกสิ่งมีชีวิต ความริษยาก็สาดประกายขึ้นมาในแววตาของเธอ
ชายอีกคนที่ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งก็พูดขึ้นด้วยเช่นกัน “นั่นสิ นี่คือช่วงเวลาเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ ทางคริสตจักรของฉันถึงขั้นจัดการต่อสู้ขึ้น เพื่อเฟ้นหาผู้ชนะคนสุดท้ายที่จะมีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้ามารับภารกิจนี้ แต่ดูเธอที่เป็นตัวแทนของคริสตจักรแห่งความตายสิ เฮ้อ…”
หญิงสาวในชุดเขียวเยาะหยัน “คริสตจักรแห่งชีวิตของทางเราก็ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเช่นกัน ฉันถึงขั้นพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้รับโอกาสนี้มา แต่ไม่คาดคิดเลยว่าคริสตจักรแห่งความตายที่โดดเด่นที่สุดมาเป็นระยะเวลานานกว่าเจ็ดร้อยปี กลับส่งหน้าใหม่ที่โง่เขลา ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรมา”
แอนนาเงียบไป
เธอมัดผมยาวที่ย้อยปรกไหล่ เปล่งร่ายคาถาเสียงกระซิบในหัวใจ
“ความตายเปรียบเสมือนเงาที่ตามติดทุกชีวิตอย่างใกล้ชิด”
ในความว่างเปล่า เคียวยาวที่ตลอดทั้งด้ามของมันเป็นสีดำ ได้ปรากฏขึ้นในมือของเธอ
แอนนากุมเคียวยาว และจ้องมองไปทางหญิงสาวชุดเขียวด้วยความเย็นชา
หญิงสาวกล่าวอย่างช้าๆ “ถ้าเธอมีปัญหากับฉัน ทำไมไม่ลองเข้ามาลิ้มรสความลับของความตายดูสักหน่อยล่ะ?”
จากนั้นแอนนาก็สลับไปมองชายคนหนึ่งที่ทั้งร่างกายปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง “นายก็เหมือนกัน จะเอาด้วยก็ได้นะ ฉันรับประกันเลยว่าจะช่วยลบล้างความคิดบ้าๆ นั่นออกไปให้เอง”
เพราะมีแค่คนตายเท่านั้น ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้
นี่คือการยั่วยุของแอนนา ที่สื่อกลายๆ ว่าต้องการจะสู้กับทั้งสอง
ทั้งชายหญิงหน้าเปลี่ยนสีไปในเวลาเดียวกัน
เขาและเธอเกือบจะลงมืออยู่แล้ว ทว่าเมื่อมองไปยังใบมีดคบกริบของเคียวยาว ในหัวใจของพวกเขาก็ฟุ้งไปด้วยความลังเล
ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่าแอนนาคนนี้ แท้จริงแล้วเป็นคนที่ลึกลับมากๆ เธอได้รับการดูแลราวกับอยู่ในฝ่ามือของคริสตจักรแห่งความตายตลอดเวลา และมักจะออกไปดื่มกับผู้รับใช้เทพอยู่เสมอๆ
ไม่มีใครเลยที่สามารถสัมผัสต้อง ตัวเธอได้
อย่างไรก็ตาม นี่มันเป็นสิ่งที่พอจะคาดเดาได้ ว่าการที่ตลอดทั้งคริสตจักรให้ความสำคัญกับคนคนหนึ่งอย่างจริงจังเช่นนี้ นั่นหมายความว่าเธอจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ อย่างแน่นอน
ควบคู่ไปกับลักษณะพิเศษของคริสตจักรของเธอ ดังนั้นการต่อสู้นี้ ทั้งชายหญิงคิดว่าตนอาจจะไม่สามารถเอาชนะได้ก็ได้
นี่พวกเขาต้องการที่จะเป็นศัตรูกับ ‘ความตาย’ จริงๆ อย่างนั้นหรือ?
เขาและเธอลังเล มิอาจตัดสินใจได้อยู่พักหนึ่ง
“ใจเย็นก่อน!”
ชายผมบลอนด์ก้าวออกมา และหยุดยืนอยู่ใจกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย
เขาพยายามไกล่เกลี่ยด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีแล้วทางวิหารของพวกเราก็เป็นพันธมิตรกัน ถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่พบหน้ากันก็ตาม แต่ใครจะรู้ บางทีในอนาคตพวกเราอาจจะต้องได้รับการสนับสนุนซึ่งกันและกันก็ได้ ดังนั้นอย่าทำอะไรให้ความสัมพันธ์มันต้องร้าวฉานเลย!”
เฝ้ามองมาที่แอนนา ชายผมบลอนด์กล่าวอย่างอ่อนโยน “ฉันขอเป็นคนอธิบายให้เธอเข้าใจก็แล้วกันนะ พวกเรามาที่นี่ในฐานะตัวแทนแห่งคริสตจักรของตน มาร่วมมือกันทำภารกิจลับในครั้งนี้ เพราะปัจจุบัน หนังสือของเทพทั้งเจ็ดสามารถทำการกระตุ้นได้อีกครั้งแล้ว ”
แอนนาที่งุนงงตลอดมา ในที่สุดก็เผยถึงสีหน้ากระจ่างในฉับพลัน
ที่แท้มันก็เป็นแบบนี้!
ไอ้หมาดำมันหลอกลวง โยนงานหนักมาให้ตัวเธอเอง!
เมื่อคิดถึงจุดนี้ แอนนาก็เริ่มปวดหัว จนลืมเลือนเรื่องที่คิดจะต่อสู้ไป
หนังสือของเจ็ดเทพ หรือที่เรียกกันว่าหนังสือพยากรณ์ของเหล่าทวยเทพ เป็นหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นโดยเทพวิญญาณทั้งเจ็ด ซึ่งในทุกๆ หลายร้อยหรือหลายพันปี หนังสือพยากรณ์เล่มนี้จะเผยคำทำนายของเทพวิญญาณออกมา
และในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้ศรัทธาในเทพทั้งเจ็ดจำเป็นต้องมารวมตัวกัน ช่วยกันค้นหาวิธีผ่านการทดสอบของเทพทั้งเจ็ด เพื่อที่จะได้รับคำพยากรณ์ร่วมกันได้
ส่วนบททดสอบของเทพวิญญาณจะแตกต่างกันออกไป มันเต็มไปด้วยทุกประเภทของความแปลกประหลาด จึงไม่มีใครรู้ได้ว่าการทดสอบที่ตนจะต้องเผชิญคืออะไร
บางครั้ง เทพวิญญาณก็อาจจะขอให้คุณทำการพิชิตโลก ซึ่งมันง่าย แต่ก็มีอยู่บ่อยครั้งที่จะพบเจอกับการทดสอบอันพิสดารที่ยากเกินกว่าจะบรรลุ
ในตอนแรก ทางคริสตจักรแต่ละแห่งไม่ส่งพวกผู้อาวุโส ก็เป็นผู้นำคริสตจักรมาด้วยตนเอง
แต่เนื่องจากเคยมีผู้อาวุโสที่ได้รับการทดสอบจากเจ็ดเทพ โดนถูกขอให้เขาออกไปเต้นรำกับเจ็ดล้านเผ่าพันธุ์ ให้ครบภายในเวลาห้าปี สุดท้ายทางอาวุโสของวิหารก็ยอมแพ้ และไม่กล้าที่จะมาอีกเลย
พวกผู้ใหญ่เลือกที่จะหลีกเลี่ยงมัน
ในท้ายที่สุด การทดสอบนี้จึงมาตกอยู่ในมือของหน้าใหม่ของคริสตจักรแต่ละแห่ง
เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตราบใดที่หน้าใหม่ประสบความสำเร็จ พวกเขาก็จะนำคำพยากรณ์กลับมา
แต่ถ้าล้มเหลว ก็แค่ส่งคนใหม่ไปอีกครั้งเรื่องก็จบ
ขณะเดียวกันหน้าใหม่ที่มารับภารกิจนี้ก็จะได้รับรางวัลที่ตกลงกันไว้จากทางโบสถ์
และมันเป็นรางวัลอย่างงาม
ซึ่งคนอื่นๆ อาจจะรู้สึกสนใจเรื่องอะไรพวกนี้ แต่สำหรับแอนนา เธอค่อนข้างรู้สึกหงุดหงิด
เพราะด้วยสถานะปัจจุบันของเธอ ตราบใดที่เธอยังคงสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งได้ต่อไป
แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว เรื่องรางวัลอะไรนั่นเธอไม่สนใจเลย
แอนนาก้มหน้าลง และถอนหายใจ “เอาเถอะ จะให้ออกไปเลยมันคงจะทำไม่ได้ใช่ไหม ถ้าเช่นนั้นก็มาเริ่มแล้วรีบทำให้มันจบๆ ไปดีกว่า”
สองชายหญิงที่กำลังกังวล หันมามองหน้ากันและกัน และเห็นว่าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของอีกฝ่ายได้สลายหายไปแล้ว
…เธอจะไม่สู้แล้วสินะ?
ว่าแต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้แสดงสีหน้าแบบนั้นออกมากัน?
ขณะที่ทั้งสองกำลังลังเล พวกเขาก็ใช้โอกาสนี้ยอมถอยกลับมา
ส่วนแอนนา เธอละความสนใจโดยสิ้นเชิงสำหรับเรื่องของสองคนนั้น เพราะสุดท้ายอีกฝ่ายก็เป็นเพียงตัวตนที่อ่อนแอ ขณะที่สิ่งที่เธอจะต้องเผชิญนั้นดูจะเป็นปัญหามากกว่า หญิงสาวจึงตัดสินใจละทิ้งความปรารถนาที่จะต่อสู้ไป
สุดท้าย จึงไม่มีฝ่ายใดคิดลงมือ
“เอาล่ะ ในเมื่อเรื่องมันจบแล้ว ถ้าเช้นนั้นพวกเราก็มาทำสิ่งต่างๆ ให้มันจบลงโดยเร็วเถอะ” ชายผมบลอนด์หัวเราะ
เขากางมือออกไป
ปรากฏถึงกริชที่ดูประณีตขึ้นในมือของเขา
แสงสีทองระเบิดออกมาจากใบมีดอันแหลมคมของกริช
แอนนาถอนหายใจอย่างหมดหนทาง และกระแทกด้ามของเคียวยาวลงกับพื้นดิน
ตูม!
เพลิงสีดำกระชากขึ้นมาจากเคียวอย่างรุนแรง
แสงสีดำที่ลุกไหม้ ปกคลุมตลอดทั้งตัวแอนนาโดยสิ้นเชิง หากจ้องมองมา จะแลคล้ายกำลังเห็นถึงหุบเหวอันมืดมิดที่ไม่รู้จัก
ซึ่งนี่มันเป็นเพียงแค่การปลดปล่อยพลังของเธอเท่านั้น!
ด้วยความแข็งแกร่งอันน่าตื่นตานี้ ทำให้สีหน้าของทุกคนต้องแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง
เมื่อนำตนมาเทียบเปรียบกับหญิงสาวตรงหน้า ชายคนหนึ่งก็ยิ้มหยันให้กับตนเอง เขาคว้าจับสามง่ามจากในอากาศที่ว่างเปล่า และเริ่มร่ายมนตราในจิตใจ
ปรากฏถึงแสงสีม่วงจางๆ ปะทุขึ้นมาจากสามง่าม
หญิงในชุดเขียวเรียกคันธนูยาวออกมา
ชายที่ทั้งร่างถูกปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นเยือกหยิบถุงมือออกมา แล้วสวมใส่มัน
เด็กสาวอีกคนหนึ่งหลับตาลง มิได้เอ่ยสิ่งใด ที่ทำก็เพียงยกสองมือขึ้นมากุมจี้ที่แขวนไว้ในอ้อมอก
ผู้ชายที่ตัวสูงที่สุดไม่ได้เอาอะไรออกมา ทว่ากลับมีคู่ปีกศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ กางออกจากบนแผ่นหลังของเขาอย่างช้าๆ
ทุกชนิดของแสงพรั่งพราวออกมาจากร่างของพวกเขาและเธอ
แล้วแสงทั้งเจ็ดก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียว!
หนังสือที่แกะสลักขึ้นจากหินค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ตั้งวางอยู่อย่างเงียบๆ ต่อหน้าคนทั้งเจ็ด
หนังสือมีความสูงเทียบเท่ากับคนสามคนยืนเรียงต่อกัน ตามผิวของมันสลักไปด้วยรูปแบบอันศักดิ์สิทธิ์ และส่งกลิ่นอายของทวยเทพออกมาตลอดเวลา และที่สำคัญหน้าหนังสือปิดอย่างแน่นหนา ไม่มีร่องรอยของการเปิดมาก่อนเลย
“หนังสือศิลาปรากฏขึ้นแล้ว ทีนี้พวกเราก็สามารถเริ่มต้นกันได้สักที” ชายผมบลอนด์กล่าว
เขาก้าวออกมาข้างหน้า คุกเข่าลงข้างหนึ่ง และกดฝ่ามือตนลงบนผิวของหนังสือศิลา
คนอื่นๆ ก็ก้าวออกมาข้างหน้าเช่นกัน ทั้งหมดคุกเข่าลง และยื่นฝ่ามือออกไป
แอนนาถอนหายใจ แต่สุดท้ายก็ต้องทำตามข้อปฏิบัติ
สักพักหนึ่ง…
ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สีหน้าของทั้งเจ็ดคนเริ่มเผยให้เห็นถึงร่องรอยของความประหลาดใจ
นี่มันไม่ถูกต้อง ตามบันทึกโบราณ เมื่อผู้ศรัทธาทั้งเจ็ดดำเนินการมาจนถึงขั้นตอนนี้ หนังสือศิลาก็จะทำการเลือกหนึ่งในผู้ศรัทธาของทวยเทพ และมอบบททดสอบแบบเฉพาะเจาะจงให้แก่คนผู้นั้น
และเมื่อผู้ศรัทธาเสร็จสิ้นการทดสอบ พวกเขาก็จะได้รับคำพยากรณ์ที่เกี่ยวข้องไป
อย่างไรก็ตาม คราวนี้ทำไมหนังสือศิลาถึงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลยล่ะ?
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังประหลาดใจ เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ก็สะท้อนออกมาจากภายในหนังสือศิลา
“ลางร้าย!”
“ลางร้ายอันลึกล้ำที่มิอาจแก้ไขได้!”
“นอกเหนือไปจากดินแดนชิงอำนาจ การทำลายล้างอันเป็นประวัติการณ์จักปะทุขึ้น!”
“คำพยากรณ์ของเทพทั้งเจ็ดได้มาถึงจุดสิ้นสุด”
“ผู้ศรัทธาทั้งเจ็ดโปรดจงเตรียมตัวให้พร้อม สำหรับการเผชิญต่อบททดสอบของเทพวิญญาณ เพื่อเปิดใช้งานคำพยากรณ์สุดท้าย!”
………………………………….
ณ ดินแดนชิงอำนาจ อาณาเขตของคริสตจักรแห่งความตาย
ภายในโบสถ์
“อรุณสวัสดิ์นายท่าน”
“ยินดีที่ได้พบนายท่าน”
“นายท่านที่เคารพ มีอะไรให้รับใช้หรือไม่?”
เหล่าผู้ศรัทธา คนแล้วคนเล่ากล่าวทักทายพลางน้อมกายคำนับ
หมาดำที่ลอยอยู่กลางอากาศผงกหัวให้เหล่าผู้ศรัทธาเล็กน้อย
“แอนนายังไม่ออกมาอีกหรือ?” มันถาม
“ขอรับ เธอยังคงฝึกตนอย่างหนักอยู่ในโลกของราชทูตแห่งความแห้งแล้ง”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปดูเสียหน่อย”
หมาดำกล่าว แล้วก็หายวับไปจากโบสถ์
วินาทีถัดมา มันก็ปรากฏตัวขึ้นในโลกที่ฟุ้งไปด้วยความมืดมิด
“กลิ่นอายแห่งความตาย…รู้สึกว่าจะอยู่ตรงนั้น”
หมาดำมองไปยังทิศทางหนึ่ง ก่อนจะทะยานตัวมุ่งไปด้วยความเร็วอันมิอาจจินตนาการได้ ไม่กี่ลมหายใจก็มาถึงที่หมาย
มันตกลงเหนือยอดตึกระฟ้า ก้มลงมองซากปรักหักพังของโลกจากในจุดที่ห่างไกล
ภายใต้หมอกแสงสีเทาสลัว ร่างใหญ่เริ่มปรากฏกายให้เห็นจากระยะไกล
โครม โครม โครม!
ในทุกๆ ย่างก้าวของร่างที่ว่า ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนของพื้นดินอย่างรุนแรง
หมาดำเฝ้ามองฉากนี้อย่างเงียบๆ จนกระทั่งร่างใหญ่มาหยุดอยู่เบื้องหน้าตึกระฟ้า
อีกฝ่ายมีความสูงแทบจะไม่แตกต่างจากตึกระฟ้าที่หมาดำยืนอยู่เลย ขณะเดียวกันทั้งร่างของมันก็ถูกสวมทับไปด้วยชุดเกราะสีซีด โดยเฉพาะหมวกเกราะที่ดูแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ปกคลุมจนมิด ไม่มีกระทั่งที่ว่างให้ดวงตามองลอดผ่านออกมา
เมื่อมันหยุดนิ่ง ผืนดินที่มันหยั่งเท้าสัมผัสก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากดินเป็นกรวด กระทั่งตึกระฟ้าที่หมาดำยืนอยู่ก็เริ่มทรุดโทรม เหี่ยวแห้งลงคล้ายถูกลิดรอนอายุขัยไปอย่างรวดเร็ว
หมาดำมองมอนสเตอร์ตัวใหญ่ ปากเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม “ราชทูตแห่งความแห้งแล้ง เจ้าจะยินยอมภักดีต่อคริสตจักรแห่งความตายหรือไม่?”
เบื้องหลังเกราะรบ เสียงหอบหายใจหนักหน่วงของมอนสเตอร์ที่เพิ่งประสบกับการขับสู้มาอย่างยาวนาน ได้เผยถึงความลังเลออกมา
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง อีกคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือหมวกเกราะของมอนสเตอร์อย่างกะทันหัน
เป็น ‘แอนนา’
แอนนาที่กำลังมุ่งมั่นทุ่มเทฝึกฝนได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
เธอดูไม่แตกต่างไปจากในอดีตเลย ท่วงท่าในการเคลื่อนไหวของหญิงสาวยังคงงดงาม และเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความเยาว์วัย
แต่ที่ต่างไปจากเดิม ดูจะเป็นผมยาวสีแดงเพลิงของเธอ
ผมยาวที่ยามปกติมักจะสะท้อนแสงสดใส บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท และมันไม่ใช่สีดำธรรมดา แต่เป็นสีดำที่ถูกห่อหุ้มด้วยความมืดมิดอันลึกล้ำ
แอนนากุมเคียวทมิฬไว้ในแนวนอน และใช้ปลายด้ามของมันเคาะลงบนหมวกเกราะของมอนสเตอร์
“อย่าสร้างปัญหาให้ฉันมากกว่านี้เลย อย่าบอกนะว่านายลืมคำพูดตัวเองเมื่อกี้ไปแล้ว?” เธอกล่าว
มอนสเตอร์หยุดหอบหายใจไปสักพัก ในที่สุดมันก็คุกเข่าลงอย่างช้าๆ ต่อหน้าหมาดำ
“ข้ายินยอมภักดีต่อคริสตจักรแห่งความตาย”
เสียงที่อุดอู้แต่ดังสนั่นดั่งฟ้าร้อง พึมพำออกมา
เมื่อหมาดำได้รับคำตอบ ทันใดนั้นเปลวไฟทมิฬก็กระชากออกมาจากตัวมันทันที
เปลวไฟทมิฬเหล่านี้ควบรวมกันเป็นเส้นตัวอักษรบางอย่าง และบินตรงเข้าไปในร่างของมอนสเตอร์
ร่างของมอนสเตอร์สั่นเทาด้วยความเจ็บปวด และจำต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเพื่อฟื้นคืนสติอารมณ์ให้กลับมา
หมาดำกล่าว “ตามข้อตกลงที่ทวยเทพได้กำหนดขึ้น นับจากนี้ไป เจ้าจะได้กลับเข้าสู่อ้อมอกของเทพแห่งความตาย จักได้รับเกียรติยศ และความรุ่งโรจน์อย่างหาที่ใดเปรียบ!”
เปรี้ยง!
จากฝั่งซ้ายและขวาของร่างราชทูตแห่งความแห้งแล้ง จู่ๆ ก็ปรากฏถึงประตูทมิฬที่เปิดออก
ราชทูตไม่สามารถต่อต้านขัดขืนใดๆ ได้เลย ทั้งร่างของมันหายเข้าไปในประตูทมิฬโดยสมบูรณ์
แต่แอนนายังคงปลอดภัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ
หญิงสาวค่อยๆ ร่อนลงบนยอดตึกระฟ้า วางพาดเคียวยาวสีดำบนไหล่เธอ ปากอ้าหาว
“เหนื่อยจัง ฉันขอกลับไปนอนก่อนนะ…เอ ว่าแต่ท่านมาทำอะไรที่นี่กัน?”
หมาดำตอบกลับไปอย่างเงียบๆ “กระทั่งราชทูตแห่งความแห้งแล้งก็ยังยอมจำนน ข้าต้องขอบอกเลยว่าพัฒนาการของเจ้าช่างเป็นไปอย่างก้าวกระโดดเสียจริงๆ”
“หยุดพูดไร้สาระเถอะ เข้าประเด็นมาเลยดีกว่า”
“ก็ได้ๆ ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่มีเวลาได้นอนพักน่ะสิ”
“ว่าไงนะ? ฉันอุตส่าห์ทุ่มทำงานอย่างหนัก เพื่อจัดการเจ้าตัวสร้างปัญหานั่น อย่าบอกนะว่ามีงานอื่นให้ทำอีกแล้ว? ไม่เอาล่ะ ช่างหัวงานอื่นมัน ฉันจะไปนอน!”
“…เอาเป็นแลกเปลี่ยนกับการที่ข้าจะพาเจ้าไปดื่มเป็นไง?”
“เห? เป็นพระคุณจริงๆ หวังว่าคราวนี้จะไม่ทิ้งให้ฉันเป็นคนจ่ายบิลอีกหรอกนะใช่ไหม?”
“ไม่แน่นอน ข้าจะเป็นคนจ่ายเอง ถ้าเจ้าไม่เชื่อใจ ข้าจะจ่ายบิลให้ก่อนเลย แล้วหลังจากนั้นเราค่อยมาดื่มกัน”
“ฮี่ๆ ฟังดูจริงใจไม่เลวเลยนี่ ถ้าเช่นนั้นก็ได้ ฉันจะไปดื่มกับท่าน แล้วค่อยกลับไปนอน”
“แต่ก่อนหน้านั้น เจ้าจะต้องไปทักทายแขกผู้มาเยือนในนามของคริสตจักรแห่งความตายเสียก่อน”
“ที่แท้ก็เรื่องงานอีกแล้ว เหอะ ถ้าเช่นนั้นไม่เป็นไร ฉันไม่ไปกับท่านก็ได้ ซื้อเหล้ากินเองคนเดียวสะดวกกว่าซะอีก!”
“แอนนา ฟังนะ มันเป็นงานง่ายๆ ที่เจ้าต้องทำก็เพียงแค่เอ่ยทักทายกับคนเหล่านั้นไปสักสองสามคำ แล้วเจ้าก็แยกตัวออกมาได้เลย ถึงตอนนั้นข้าจะพาเจ้าไปดื่มเอง” หมาดำพยายามอธิบาย
“แน่ใจนะ?” แอนนาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“แน่ใจสิ! ข้าน่ะมักจะมอบหมายงานยากลำบากให้กับคนอื่นๆ แต่สำหรับเจ้าที่พิเศษกว่าใคร และสนิทสนมกับข้าเป็นการส่วนตัว ข้าย่อมใจดีมอบหมายงานสบายๆ ให้แก่เจ้าอยู่แล้ว” หมาดำกล่าวอย่างจริงใจ
“…แค่พูดทักทายไม่กี่คำก็ไม่น่าจะนานอะไร โอเค เอาก็เอา” แอนนาพูดกับตัวเอง
“ยอดเยี่ยม! ข้าจะรอเจ้าอยู่ในวิหาร เจ้าเสร็จธุระเมื่อไหร่ พวกเราจะตรงไปที่บาร์ทันที!” หมาดำกล่าว
“อืม ในเมื่อท่านแสดงถึงความจริงใจแบบนี้ ฉันยอมทำให้ก็ได้ แต่ท่านจะต้องบอกฉันก่อนว่าคนอื่นๆ เป็นใคร และฉันจะต้องพูดเรื่องอะไรกับพวกเขาเมื่อพบเจอ”
“พวกเขามาจากพันธมิตรแห่งคริสตจักรอื่นๆ และยังเป็นสาวกหลักของโบสถ์ คล้ายกันกับเจ้านั่นแหละ”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมฉันถึงต้องไปพบพวกเขาด้วยล่ะ?”
“เพื่อทำความคุ้นเคยและจดจำใบหน้าซึ่งกันและกัน จะได้ไม่เผลอทำร้ายกันหากเกิดการต่อสู้ขึ้นในอนาคต”
“ถ้าเช่นนั้นก็เรื่องง่ายๆ ฉันจะทำให้มันจบๆ ไปโดยเร็วที่สุด แล้วจะกลับไปดื่มนะ”
หนึ่งคนหนึ่งหมาตกลงกันจบ ก็หายวับไปจากโลกราชทูตแห่งความแห้งแล้ง
หลังจากนั้นไม่นาน แอนนาก็รีบตรงเข้าไปยังห้องรับรองลับของทางคริสตจักร
ชายหญิงกว่าเจ็ดแปดคนเฝ้ารอเธออยู่ก่อนแล้ว
เขาและเธอมาจากนิกายศาสนาและกลุ่มอิทธิพลที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลัง
“ขอโทษทีที่ฉันมาสาย”
หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีดำ เดินเข้ามาในท่วงท่าสง่างามเอ่ยปากกล่าว
“เหอะ! เห็นได้ชัดว่านี่มันเป็นเรื่องสำคัญ แต่เธอก็ยังมาสาย” หญิงสาวที่สวมชุดเกราะเต็มตัวบ่นด้วยความหงุดหงิด
“หืม? แต่ฉันว่าเวลานี้มันก็เหมาะสมแล้วนะ หรือคุณคาดหวังให้ ‘ความตาย’ มาเยือนตัวเองเร็วกว่าที่คิดล่ะ?” แอนนากล่าวด้วยรอยยิ้ม
หญิงชุดเกราะมองไปยังท่าทีผ่อนคลายของแอนนา และนึกขึ้นได้ว่าสถานะของอีกฝ่ายคือตัวแทนของคริสตจักรแห่งความตาย ก็เลยจำใจทน ไม่ถกเถียงต่อ
แอนนากวาดมองใบหน้าของทุกคนเพื่อจดจำพวกเขา ก่อนจะเอ่ยเชิญ “พวกคุณนั่งกันก่อนเถอะ ที่นี่มีเก้าอี้อยู่มากมาย ทำไมต้องยืนคุยกันด้วยล่ะ?”
ชายคนหนึ่งก้มลงมองนาฬิกาพกของเขาและกล่าว “ฉันเกรงว่าเราจะไม่มีเวลามานั่งพูดคุยกันอย่างช้าๆ แล้วน่ะสิ”
“ถูกต้อง ในเมื่อตอนนี้คริสตจักรแห่งความตายก็มาถึงแล้ว พวกเราก็มาเริ่มกันสักทีเถอะ” อีกคนกล่าว
ว่าจบ ทุกคนต่างก็หันไปมองหญิงสาวที่มีรูปร่างราวกับกลุ่มหมอกลวงตา
เมื่อเห็นว่าถูกทุกคนจ้องมอง หญิงสาวก็เอ่ยปาก “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ แต่การเดินทางข้ามผ่านชั้นโลกในดินแดนชิงอำนาจ จำเป็นต้องมีอะไรบางอย่างคอยปกป้อง…”
“เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง” อีกคนกล่าว
ในมือของเขา กำลังกุมบอลน้ำแข็งที่ส่งกลิ่นอายเย็นสดชื่นออกมา
“เทคนิคเยือกแข็งของฉันจะช่วยกักเก็บกลิ่นอายของพวกเราทั้งหมด ส่งผลให้จะไม่มีใครสามารถสังเกตเห็นถึงพวกเราได้อย่างแน่นอน แต่ในช่วงเวลาสามสิบลมหายใจ ทุกคนจะต้องถูกแช่แข็งโดยสิ้นเชิง จะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ชั่วคราว”
บางคนเอ่ยยกย่อง “ก็แค่ถูกแช่แข็งใช่ไหม? แบบนั้นมันก็ไม่จำเป็นต้องทนกับความเจ็บปวดใดๆ แค่นั้นก็ดีมากแล้ว”
“ใช่ มันยังไม่สายเกินไป พวกเรามาเริ่มกันเลยเถอะ” อีกคนกระตุ้น
แอนนาที่รับฟังบทสนทนาของทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเธอ ดูเหมือนว่าจะแตกต่างไปจากที่หมาดำพูดไว้
“ขอโทษที ฉันอยากจะถามว่า…”
เธอพยายามที่จะเอ่ยปากถามอะไรบางอย่าง
อย่างไรก็ตาม มันสายเกินไปแล้ว
บอลน้ำแข็งถูกบดขยี้จนแตกเป็นผง
พริบตานั้นทุกคนในห้องก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง
แอนนาขยับเขยื้อนตัวไม่ได้เลย!
และไม่ใช่แค่เธอ คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน!
ในเวลาเดียวกัน ผู้หญิงในร่างเงาหมอกก็ได้เริ่มร่ายเทคนิคมนตรา
ใต้ฝ่าเท้าของทุกคนปรากฏถึงปากใหญ่อ้าขึ้น
ปากใหญ่นี้พุ่งพรวดขึ้นมา และกลืนกินทุกคนหายเข้าไปในปากของมัน
เผยให้เห็นถึงร่างของมอนสเตอร์โปร่งใสเจาะขึ้นมาจากพื้นดิน
มอนสเตอร์ตัวนี้ รูปลักษณ์ของมัน ดูคล้ายกับปลายักษ์บางชนิดจากในยุคโบราณ
อีกด้านหนึ่ง
บนยอดสุดของวิหาร
บทสนทนากำลังดำเนินไปอย่างเงียบๆ
“เจ้าเล่นหลอกลวงนางแบบนี้เลยอย่างนั้นหรือ?” อีกาดำเอ่ยถาม
“ก็มันไม่มีทางเลือกนี่นา ยังจะมีวิธีอะไรอีกนางถึงจะยอมปฏิบัติตาม ข้าก็ทำได้แค่เท่านี้” หมาดำบ่นอุบ
“แต่หลังจากที่นางกลับมา วิหารคงต้องพังยับเยินอีกครั้งเป็นแน่” อีกาดำถอนหายใจ
“ปล่อยนางไป ส่วนข้าว่าจะขอตัวออกไปปฏิบัติภารกิจเผยแผ่ศาสนาสักหน่อย คงจะไม่ได้กลับมาอีกสักพักนะ” หมาดำกล่าว
และจู่ๆ มันก็หายวับไปทันที
บนยอดวิหาร เหลืออีกาดำอยู่เพียงลำพัง
อีกาดำเงียบไปนาน ก่อนจะสบถออกมา
“เผยแผ่ศาสนาอะไรกัน เจ้าก็แค่กลัวว่าจะถูกแอนนาระบายความโกรธใส่มิใช่หรือ ทำแบบนี้มัน…ช่างไร้ศักดิ์ศรีในฐานะผู้รับใช้เทพแห่งความตายซะจริงๆ!”
…………………………………..
กู่ฉิงซานปาดเหงื่อบนหน้าผาก เขาไม่อาจเอ่ยคำใดได้อยู่เนิ่นนาน
ผู้หญิงคนนี้ จะบ้าเลือดไม่รักชีวิตตัวเองเกินไปแล้ว!
กระทั่งตัวตนอย่างอาจารย์เขา หากจะต้องต่อกรกับศัตรูจำนวนมาก นางยังต้องเค้นสมองขบคิดถึงสถานการณ์บางอย่างก่อนที่จะลงมือเลย
ทว่าสำหรับหญิงคลุ้มคลั่งตรงหน้า นางช่างตรงกันข้าม ในสายตาและความคิดของนาง เป็นในทิศทางตรง ดั่งกระบี่เท่านั้น
ในช่วงวินาทีสุดท้าย กู่ฉิงซานได้กวาดจิตสัมผัสเทวะตนข้ามผ่านตลอดทั้งฝูงปีศาจแกะดำ และตรึงอยู่กับหนิงเยว่ฉาน
เขาเกือบที่จะใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วแล้ว
เดชะบุญจริงๆ ที่ตนตัดสินใจช้าไปหน่อย
มิฉะนั้น ทันทีที่หนิงเยว่ฉานหายตัวไป ก็คงจะเป็นเขาที่เสนอหน้าไปกลางดงปีศาจแกะเพียงลำพัง และถูกพวกมันรุมทุบตีระบายความโกรธแค้น
ถ้าเป็นแบบนั้นละก็…
กู่ฉิงซานถอนหายใจ ในเมื่อมันยังไม่เกิดขึ้นก็เลิกคิดเถอะ ปล่อยมันไปเสีย
หนิงเยว่ฉานพุ่งเข้าสังหารราชาปีศาจแกะโดยตรง ด้วยผลงานอันน่าตกตะลึงเช่นนี้ จึงสามารถดึงดูดความสนใจจาก ‘ระบบชีวิต’ และข้ามผ่านอาณาเขตของหน้าใหม่ได้ในที่สุด
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ในหัวใจตนไม่ต้องคอยมามัวพะวงเกี่ยวกับหญิงสาวอีกต่อไป
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานจึงค่อยผ่อนคลายลง
ตอนนี้ สิ่งที่เขาควรมุ่งสมาธิ เหลือแค่การหาหนทางให้ตัวเองสามารถดาวน์โหลดระบบชีวิตได้ก็เท่านั้น
สิ่งที่เรียกว่าระบบชีวิต มันคือระบบพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพ
เดิมทีแล้วเหล่าทวยเทพน่ะชิงชังในตัวระบบ
เพราะระบบทุกชนิดที่ชั่วร้าย ต่างก็ล้วนงัดทุกประเภทของกลยุทธ์อันหลากหลาย เพื่อหมายจะล่อลวงจิตใจของทุกสิ่งมีชีวิตให้ดาวน์โหลดมัน
ฉะนั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเหล่าทวยเทพ ที่จะสามารถปกป้องสิ่งมีชีวิตนับล้านๆ ได้ตลอดเวลา
แม้จะเป็นเทพ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรแบบนั้นได้
หลังจากใช้เวลาอยู่นานปีขบคิดถึงปัญหาดังกล่าว ในที่สุดเหล่าทวยเทพสามารถก็นึกวิธีที่จะต่อกรกับเหล่าระบบออก
นั่นก็คือ การสร้างระบบใหม่ขึ้นมาด้วยตัวเอง และใช้ระบบที่ว่านั่นต่อกรกับระบบชั่วร้ายอื่นๆ
เหล่าทวยเทพได้รังสรรค์ขึ้นมาทั้งสิ้นสองระบบ
หนึ่งคือระบบของเทพสวรรค์
อีกหนึ่งคือระบบชีวิต
ในส่วนของระบบเทพสวรรค์ จะต้องเป็นผู้ศรัทธาของเหล่าทวยเทพเท่านั้น จึงจะได้รับสิทธิ์ในการดาวน์โหลดมัน
ระบบเทพสวรรค์ประกอบไปด้วยหลากหลายกฎเกณฑ์ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยทวยเทพ เทคนิคการลงทัณฑ์จากทวยเทพ สกิลเทวะ อำนาจเทวะ โดยผู้ศรัทธาจะได้รับสิทธิ์ในการดาวน์โหลดระบบเทพสวรรค์ จะได้รับหน้าที่แทนทวยเทพทั้งปวง ก้าวเดินในเส้นทางแห่งเทพวิญญาณท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทั้งมวล
ขณะที่ระบบชีวิตจะแตกต่างกันออกไป
นี่คือการรังสรรค์ของทวยเทพ ที่ถูกออกแบบมาให้สอดคล้องกับองค์ประกอบขั้นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ช่วยส่งเสริมให้พวกเขายกระดับขึ้น
ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็สามารถดาวน์โหลดระบบชีวิตได้ ทั้งหมดจะได้รับกุญแจแห่งความก้าวหน้าในการพัฒนาสู่ขั้นต่อไป
ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว และธรรมชาติชีวิตของพวกเขาจะถูกวิวัฒน์ สามารถพัฒนาไปได้อย่างก้าวกระโดด เพื่อบรรลุถึงการเติบใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
โดยทั้งสองระบบนี้ มีอยู่ในโลกสองร้อยล้านชั้นภายในดินแดนชิงอำนาจ
ดังนั้น ดินแดนชิงอำนาจจึงเป็นสถานที่ ที่ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนเฝ้าใฝ่ฝันจะได้มาเยือน
แต่ขณะเดียวกัน ดินแดนชิงอำนาจก็เป็นสนามรบขนาดใหญ่ สนามรบที่เหล่าทวยเทพเลือกที่จะทิ้งระบบเอาไว้ที่นี่ เพื่อใช้มันต่อกรกับศัตรูทั้งหมดที่คิดต่อต้าน
ดังนั้นภายในดินแดนชิงอำนาจ มันจึงเต็มไปด้วยทุกชนิดของอันตรายและการเผชิญหน้า
ตั้งแต่การสู้รบไปถึงการลอบสังหาร สงครามขนาดย่อม แก่งแย่งสมบัติ สงครามศาสนา สงครามขนาดใหญ่เต็มรูปแบบ และทุกชนิดของภัยพิบัติแสนอันตรายอันไร้ที่สิ้นสุด
อาจกล่าวได้ว่าที่นี่คือฟาร์มเนื้อขนาดยักษ์ที่คอยเก็บเกี่ยวทุกชีวิตทั้งมวล
หากไม่มีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับ ‘คุณสมบัติหน้าใหม่’ จากสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น
หลังจากที่ได้เข้ามาที่นี่ พวก ‘หน้าใหม่’ จะต้องแสวงหาหนทางที่จะแข็งแกร่งขึ้น หรือไม่ก็ตกตายลงระหว่างทาง
กู่ฉิงซานยืนอยู่บนหอคอยในมุมสูง ก้มมองลงไป
เห็นแค่เพียงฝูงแกะที่กำลังโกรธแค้น วิ่งตรงขึ้นมายังหอคอยบนภูเขา
ในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่าราชาปีศาจแกะดำองค์ใหม่จะถือกำเนิดขึ้นแล้ว
และเห็นได้ชัดว่าราชาแกะองค์ใหม่ ก็ต้องการที่จะเดินตามรอยราชาแกะตัวก่อนหน้า คิดหมายในเป้าประสงค์เดียวกัน
บรรดาหน้าใหม่หลายคนที่กระจายตัวกันอยู่รอบๆ ฝูงแกะ เมื่อพวกเขาสบโอกาสก็โจมตีและเก็บเกี่ยวชีวิตของพวกมันทันที
ฝูงแกะที่ถูกโจมตีก็เริ่มต่อต้านกลับด้วยความโกรธ
รูปร่างของพวกมันปราดเปรียว คู่เขาที่ม้วนงอเหนือหัวไม่เพียงแต่จะคมกริบ แต่มันยังสามารถใช้โจมตีได้หลากหลายรูปแบบอีกด้วย
เบื้องล่างตน กู่ฉิงซานเห็นหน้าใหม่คนหนึ่งกำลังถูกแกะหลายสิบตัวตีวงล้อมในเวลาเดียวกัน และสุดท้ายก็ไปไม่รอด ถูกปีศาจแกะดำกระแทกหัวเข้าใส่ ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาแหลกกระจาย แยกจากกันเป็นหลายสิบส่วนทันที
และแล้ว เลือดของหน้าใหม่คนที่ว่าก็กลายมาเป็นพลังงานให้แก่ปีศาจแกะดำ
รูปร่างของปีศาจแกะดำบริเวณนั้นค่อยๆ ใหญ่โตขึ้น
คู่เขาบนหัวของพวกมันเริ่มขยายขนาด พร้อมด้วยรูปแบบลึกลับที่ปรากฏตามมา
แต่เมื่อมีคนตาย ก็ย่อมต้องมีคนที่สามารถทำได้สำเร็จเช่นกัน
หน้าใหม่อีกคนหนึ่งที่กำลังจะหลบหนี หลังจากสังหารปีศาจแกะดำไปมากกว่าสามสิบตัวติดต่อกัน จู่ๆ เขาก็ชะงักฝีเท้าไปอย่างกะทันหัน
“ฮ่าๆๆ! ฉันขอตัวไปก่อนล่ะ!” เขาตะโกนหัวเราะร่า
วินาทีต่อมา ม่านแสงก็ห่อหุ้มรอบกายเขา และส่งเจ้าตัวหายวับไป
ฉากนี้ได้กระตุ้นให้ผู้คนตัดสินใจเลือกที่จะเสี่ยงมากขึ้น
คนอื่นๆ ที่เหลือต่างรีบวิ่งลงมาจากหอคอยปราการ และกระโจนเข้าต่อสู้กับปีศาจแกะดำโดยตรง
ข้อได้เปรียบของกลยุทธ์การต่อสู้นี้ก็คือ คุณสามารถวิ่งย้อนกลับไปหลบบนหอคอยได้ตลอดเวลา ในขณะเดียวกันคุณก็สามารถหาโอกาสที่คอยสังหารปีศาจแกะดำหนึ่งหรือสองตัวในเวลาที่มันพลั้งเผลอ
การต่อสู้ได้ถูกโยนเข้าสู่ช่วงโหดร้ายและรุนแรงที่สุดแล้ว
ทว่ากู่ฉิงซานก็ยังมิได้เข้าร่วม
เขาหันซ้ายหันขวา มองไปรอบๆ
ตอนนี้ ไม่มีใครอยู่บนเหนือสุดหอคอยอีกต่อไป
เข้าไปหลบอยู่หลังฉากในหอคอยปราการอันแข็งแกร่ง กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระของเขา หยิบดิสก์ค่ายกลขนาดเล็กออกมา และเริ่มจัดวางมัน
ค่ายกลป้องกันหลายสิบชั้นถูกจัดตั้งขึ้น และสุดท้ายก็เป็นค่ายกลเก็บเสียง
“เจ้าออกมาได้แล้ว”
กู่ฉิงซานกล่าว
ในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขา ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาค่อยๆ ผุดออกมา
ดาบยาวกลายร่างเป็นฉานนู่ ตกลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
ฉานนู่ “ข้ามาแล้วนายน้อย”
“อืม ในช่วงเวลาคัดกรองหน้าใหม่ เจ้าได้ยินท่านหญิงแบล็กซีเอ่ยถึงสิ่งใดหรือไม่?” กู่ฉิงซานถาม
“นายน้อย เรื่องนั้นสำคัญมากเลยหรือ?” ฉานนู่ถามอย่างระแวดระวัง
“มันสำคัญมาก ข้าต้องการจะทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลานั้น” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“เข้าใจแล้ว” ฉานนู่พยักหน้า
“นายน้อย ข้าค่อนข้างมั่นใจว่าท่านหญิงแบล็กซีมิได้ปลดปล่อยเทคนิคมนตราใดๆ กับท่าน แต่ข้ากลับไม่สามารถมองเห็นนางได้อย่างชัดเจน จึงไม่รู้ว่านางได้กระทำสิ่งใดกับท่าน”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น มิใช่ว่าเจ้าสามารถแหกได้ทุกกฎเกณฑ์หรอกหรือ?” กู่ฉิงซานสวนกลับอย่างไม่ยินยอม
“ข้าสามารถทำมันได้ แต่อีกฝ่ายมิได้ใช้มนตราใดๆ กับท่าน ดังนั้นพลังแหกกฎของข้าจึงไม่มีประโยชน์ใดๆ”
“ในพื้นที่มิติที่ข้าอยู่ มันไม่มีเทคนิคมนตราใดๆ ปรากฏขึ้นมาเลย”
“ดังนั้นข้าจึงไม่อาจทราบถึงสิ่งที่นางทำได้”
“แต่ในทะเลลึก ข้ามั่นใจว่ามิอาจมองเห็นรูปลักษณ์ที่ปรากฏตัวของหญิงสาวได้อย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้ข้าเลยคิดว่าพวกเรากับอีกฝ่าย ไม่น่าจะอยู่ในมิติและเวลาเดียวกัน”
“ไม่ได้อยู่ในมิติและเวลาเดียวกัน?”
“ใช่ น่าเสียดายที่นางมิได้หลอมรวมเข้ากับมิติและเวลาบนตัวนายน้อย มิฉะนั้นข้าคงสามารถแหกกฎเกณฑ์เทคนิคมนตราของนางได้ และเห็นถึงรูปลักษณ์ที่ปรากฏของนางไปแล้ว” ฉานนู่อธิบายด้วยความเสียใจ
ขณะที่กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ช็อก
หากอ้างอิงตามผลจากการคัดกรองคุณสมบัติของพวกหน้าใหม่ ท่านหญิงแบล็กซีอยู่ในมิติและเวลาที่แตกต่าง แต่กลับสามารถตรึงหน้าใหม่ทั้งหมดให้หยุดนิ่งได้ในเวลาเดียวกัน และสามารถตรวจสอบความแข็งแกร่งของหน้าใหม่ทุกคนได้ในเวลาเพียงลมหายใจเดียว!
จำเป็นต้องใช้ความแข็งแกร่งในระดับใดกัน ถึงจะสามารถทำเช่นนั้นได้!!
กู่ฉิงซานถอนหายใจ ยังคงถามต่อ “แล้วนางกล่าวอะไรหรือเปล่า?”
“นางคล้ายจะกล่าวอยู่หลายประโยค แต่ข้าจดจำได้เพียงในช่วงเวลาที่ห้วงอารมณ์ของนางรุนแรงที่สุดเท่านั้น”
“นางพูดว่าอะไร?”
“เหมือนกับว่านางจะปรารถนาอย่างยิ่งยวดให้ท่านแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด”
“แข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว…”
กู่ฉิงซานหายไปในความคิด
‘ปรารถนาให้ฉันแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นแสดงว่าอีกฝ่ายก็ไม่น่าจะมีอันตรายใดๆ’
‘ถ้าเช่นนั้นทำไมอีกฝ่ายถึงได้มอบสถานะ ‘ผู้หวนคืน’ ให้แก่ฉันล่ะ?’
ถ้าอนุมานว่านี่เป็นความประสงค์ดีของอีกฝ่าย สถานะนี้คงจะช่วยให้เขานั้นสะดวกสบายมากขึ้น ส่งผลให้เขาได้รับผลประโยชน์มากขึ้นนั่นเอง
กู่ฉิงซานตริตรองอย่างเงียบๆ ไปสักพัก ก่อนที่จะหยิบยกเอาคำพูดหนึ่งในความคิดของเขาขึ้นมา
“แข็งแกร่งขึ้น…”
ปากขมุบขมิบพึมพำ สองเท้าก้าวออกจากหอคอยปราการ มุ่งหน้าลงไปยังภูเขาชันเบื้องล่าง
ช่วงเวลานี้ ปริมาณของปีศาจแกะดำที่บุกเข้ามาเริ่มทวีจำนวนมากขึ้นแล้ว ผลพวงที่ตามมาก็คือ ทางฝั่งหน้าใหม่เลยค่อยๆ ทยอยลดจำนวนลงเช่นกัน
หน้าใหม่บางส่วนก็ถูกฆ่าตาย และกลายเป็นพลังงานเลือดให้แก่ฝูงแกะ
ขณะที่หน้าใหม่คนอื่นๆ ก็ได้ถูกส่งหายไปเลยโดยตรง หลังจากที่ได้สำแดงพลังอันโดดเด่นของพวกเขา ได้รับความสนใจจากระบบชีวิต
พวกเขากำลังรีบถอยหนีขึ้นมาบนเนินด้วยความหวาดกลัว
ในขณะเดียวกัน ฝูงปีศาจแกะก็ทยอยกันยกพลปีนขึ้นมา
กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางสายลม เฝ้ามองดูฝูงแกะเบื้องล่างอย่างเงียบๆ
…ผู้หญิงคนนั้นต้องการให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น
นั่นสินะ เพราะถ้าไม่แข็งแกร่ง แล้วฉันจะมีคุณสมบัติไถ่ถามเธอได้อย่างไร ว่าทำแบบนี้ไปเพราะอะไร?
หากเขาล่วงรู้ความลับนี้ในช่วงที่ยังอ่อนแอ แล้วเขาจะใช้อะไรในการปกป้องมันเล่า?
ในวันสิ้นโลก หากอาณาจักรทั้งมวลถูกทำลายลง สิ่งที่เป็นบาปมหันต์ที่สุดของสิ่งมีชีวิตมันก็คือความอ่อนแอนี่แหละ!
มีเฉพาะเพียงสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดเท่านั้น จึงจะสามารถค้นหาหรือครอบครองความลับที่ล่มสลายกระทั่งโลกทั้งใบได้อย่างอิสระ! ต้องแกร่งเท่านั้นถึงสามารถรับรู้ความจริงที่อยู่เบื้องหลังสถานการณ์อันน่าสลดในปัจจุบันนี้ได้!!
กู่ฉิงซานถอนหายใจ เขาไม่เสียเวลาคิดมากอีกต่อไป
ตนเองได้มาถึงดินแดนชิงอำนาจแล้ว
และเส้นทางแห่งความแข็งแกร่ง มันก็กำลังอยู่เบื้องล่างฝ่าเท้าของตนเองนี่เอง
เขามองไปยังฝูงปีศาจแกะที่กำลังจะปีนขึ้นมาใกล้ส่วนบนของเนินเขา ช่วงเวลานี้เจ้าตัวก็เอื้อมมือเข้าไปในความว่างเปล่า
ทันใดนั้นคันธนูอันงดงามก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
เป็นธนูเย่หยู
ขณะเดียวกัน ถุงใส่ลูกศรก็ถูกสะพายไว้เบื้องหลัง
เขายกคันธนูยาวขึ้น เล็งลงไปยังฝูงปีศาจแกะดำที่อยู่เบื้องล่าง
ทว่าสายธนูยังไม่ทันจะขยับไหว สองภาพติดตาก็ระเบิดคลื่นอัดอากาศ ทิ้งตัวลงไปยังกลางดงของพวกมันเสียแล้ว
เป็นดาบเช่าหยิน
และดาบขุนเขาเทวะหกโลกา
‘ต้องการให้ฉันแข็งแกร่งขึ้นใช่ไหม…ถ้าเช่นนั้นก็ขอจัดให้ตั้งแต่ตอนนี้เลยก็แล้วกัน!’
………………………………….
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หลายเส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“จะพิชิตหรือเป็นฝ่ายถูกพิชิต นั่นแหละปัญหา”
“เมื่อสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ พิชิต”
“พิชิต เมื่อคุณใช้สกิลนี้กับศัตรูที่เป็นเป้าหมาย พวกมันทั้งหมดจะโจมตีคุณด้วยเหตุผลบางประการ”
“คำอธิบาย สกิลนี้เป็นวิชาลี้ลับ เป็นสกิลกฎแห่งการกระทำกรรมและมันไม่สามารถหลบเลี่ยงได้”
กู่ฉิงซานทำการล็อกสมญาตนเองเป็น ‘ดาราจรัสเทพสงคราม’ ทันที และเริ่มเปิดใช้งานสกิล ‘พิชิต’ เข้าใส่ฝูงปีศาจแกะดำ!”
ขณะเดียวกัน ในระหว่างที่เขากำลังเปิดหน้าต่างเทพสงคราม และทำการเลือกสมญา
บนพื้นที่ราบลุ่ม ท่ามกลางหอคอยหลายแห่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกัน กลุ่มของปีศาจแกะกำลังมารวมตัวกันอยู่
ผู้นำของปีศาจฝูงแกะเชิดศีรษะขึ้น ปากอ้าร้องตะโกนเรียกระดมพลปีศาจแกะดำทั้งหมด
“แบะ แบะ แบะ!”
พี่น้องทั้งหลายจงหยุดมือ! พวกเราจงมารวมตัวกันเสียก่อนจึงค่อยทุ่มโจมตีอย่างเต็มกำลังในคราเดียว!
ภายใต้คำสั่งของมัน จำนวนฝูงปีศาจแกะดำก็เริ่มเพิ่มขึ้น รวมตัวกันเป็นกำลังรบอันยิ่งใหญ่
เมื่อเห็นว่าฝูงปีศาจแกะดำนับพันได้มาชุมนุมกันแล้ว ผู้นำปีศาจแกะก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
มันชี้ขึ้นไปยังหอคอยที่อยู่ใกล้ที่สุด ปากอ้าคำรามลั่น “แมะแมะ! ” โจมตีได้!
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง มันก็เป็นช่วงที่กู่ฉิงซานเปิดใช้งานสกิล ‘พิชิต’ พอดิบพอดี
บนที่ราบ ฝูงปีศาจแกะดำที่กำลังเคลื่อนพลพลันหยุดชะงักลงทันที
นั่นเพราะเกิดสถานการณ์อันไม่คาดฝันขึ้นอย่างกะทันหัน…
ปรากฏปีศาจแกะดำเจ็ดแปดตัวที่ดูแข็งกร้าว วิ่งออกมาจากฝูงชน ร่วมกันใช้อาวุธในมือพุ่งเข้าเสียบร่างของผู้นำปีศาจแกะดำ
ผู้นำปีศาจอ้าปากค้าง สายตาค่อยๆ เลื่อนลงมาจ้องมองอาวุธหลายชิ้นที่เสียดแทงผ่านร่างกายของตน
มันเงยหน้าขึ้นมองปีศาจแกะดำผมลอนตรงหน้า ขยับปากกล่าวอย่างยากลำบาก “แบะ แมะ?” ทำไมถึงได้ทำแบบนี้?
ปีศาจแกะดำอีกฝั่งที่ดูแข็งกร้าวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แมะ แบะ แบะ” เรื่องนี้ไม่อาจโทษพวกเราได้ ทั้งหมดมันก็เป็นเพราะเจ้านั่นแหละ!
มันชักอาวุธออก และสวบ! แทงซ้ำเข้าไปยังจุดสำคัญของผู้นำฝูงปีศาจแกะดำอีกครั้ง
ชักออก และแทงกลับเข้าไป ทำเช่นนี้สลับไปมาต่อเนื่อง!
ผู้นำฝูงปีศาจแกะคุกเข่าลงกับพื้น ทั้งร่างของมันสิ้นแล้วซึ่งลมหายใจ
มันตกตายลงทั้งๆ อย่างนั้น
บังเกิดความเงียบงันขึ้นในฝูงแกะ
…ราชาของพวกมันตายลงเสียแล้ว
ในสนามรบ การโจมตีทั้งหมดพลันหยุดลงอย่างกะทันหัน
ฝูงแกะทั้งหมดต่างมองมายังศพผู้นำของพวกมัน
ขณะเดียวกัน ตามหอคอยต่างๆ บนพื้นที่ราบ เหล่าหน้าใหม่หลากหลายเผ่าพันธุ์ที่ครอบครองกรีนการ์ดก็จำต้องถูกบังคับให้หยุดโจมตีลง
นั่นเพราะแม้ว่าปีศาจแกะดำแต่ละตัวมันจะไม่แข็งแกร่งเท่าใดนัก ทว่าหากปีศาจแกะดำทั้งหมดในที่ราบรวมตัวกัน มันจะแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
หากแกะดำนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน พวกมันจักสามารถระเบิดพลังอำนาจชนิดที่ห่างไกลจากสามัญสำนึกได้ออกมา
เหล่าหน้าใหม่ที่ถือกรีนการ์ดจึงไม่กล้าที่จะออกจากหอคอย เพื่อไปจัดการกลุ่มแกะฝูงใหญ่ที่ว่านั่น
“เจ้าพวกปีศาจแกะดำมันกำลังทำบ้าอะไรกันอยู่?”
หน้าใหม่จากหลากหลายเผ่าพันธุ์ต่างเกิดความสงสัย
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ใจกลางของฝูงปีศาจแกะดำ แกะผมลอนก็ได้ย่ำลงบนศพของอดีตผู้นำ ร้องตะโกนกล่าว “แบะแบะ แมะๆ” เขาสมควรตายแล้ว! เป็นเพราะเขาที่บีบบังคับให้พวกเราโจมตีหอคอยตามอำเภอใจ แต่กลับไม่เคยทำสำเร็จเลยสักครั้ง
บังเกิดความวุ่นวายขึ้นในฝูงแกะ
หนึ่งในฝูงตะโกนขึ้นด้วยความสงสัย “แมะ! แบะ แมะ” แต่พวกเราจะทำอะไรได้? วิธีที่จะสามารถได้รับพลังงานจากเลือด มันก็มีแค่การบุกโจมตีหอคอยเท่านั้น ไม่มีวิธีอื่นใดอีก
คำกล่าวนี้เป็นความจริง และมันคือความจริงอันแสนโหดร้าย
‘หากปีศาจแกะดำต้องการที่จะวิวัฒนาการ พวกมันก็ต้องโจมตีหอคอย มิฉะนั้นพวกมันก็จะไม่ได้รับพลังงานที่จะใช้ในการวิวัฒน์’
ปีศาจแกะดำตนอื่นๆ พอได้ฟัง ก็พากันพยักหน้า
พวกมันต่างมองไปยังแกะผมลอน เพื่อต้องการได้ยินถึงคำอธิบาย
เห็นแค่เพียงปีศาจแกะผมลอนสูดหายใจลึก ยกสองกีบขึ้น ประกาศกร้าวต่อหน้าฝูงแกะทั้งหมด “แมะ แมะ” ข้ามีแผน…
ระหว่างกล่าว กีบเท้าของมันก็ชี้ไปยังภูเขาสูงชันที่ห่างไกลออกไป
“แบะ แบะ แบะ แมะ…”
แกะผมลอนเปล่งเสียงคำรามต่อเนื่อง
“จงดูภูเขาลูกนั้น มันเป็นตำแหน่งที่ง่ายต่อการป้องกัน และยากต่อการบุกโจมตี ที่แห่งนั้นจะกลายเป็นบ้านหลังใหม่ของพวกเรา!”
“เมื่อพวกเราบุกยึดครองหอคอยที่ว่านั่นได้แล้ว หลังจากนี้ไป ทุกชนิดของเผ่าพันธุ์นับหมื่นก็จะกลายเป็นฝ่ายต้องบุกเข้ามาโจมตีพวกเราเสียเอง!”
“สถานการณ์จะพลิกกลับทันที!”
มันชี้มาที่ตัวเองและกล่าว “และตอนนี้ ราชาองค์ใหม่ของพวกเจ้า ขอสั่งให้กองทัพทั้งหมดบุกขึ้นไปโจมตีหอคอยนั่นเสีย!”
ฝูงแกะกลายเป็นเดือดพล่าน!
พวกมันไม่เคยคิด หรือเคยได้ยินมาก่อนเลย ว่าตนเองก็สามารถกลายเป็นเจ้าของหอคอยได้เหมือนกัน!
ถูกอย่างที่แกะผมลอนกล่าว หากกองทัพของพวกมันยึดหอคอยนั่นได้ พวกมันก็จะมีป้อมปราการอันแข็งแกร่งคอยป้องกัน และสร้างอาณาจักรของปีศาจแกะดำขึ้น
ขณะที่กลุ่มเผ่าพันธุ์อื่นที่มายังอาณาเขตแห่งนี้จะต้องเป็นฝ่ายบุกเข้ามาแทน!
“ใช่!”
“ใช่!”
“ทำไมถึงไม่เคยคิดได้มาก่อนเลย!”
ปีศาจแกะตนแล้วตนเล่าเริ่มโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
แล้วพวกมันก็กรีธาทัพ ควบสี่กีบตรงไปยังภูเขาที่อยู่ในทิศทางห่างไกลทันที
ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าว แน่นอนว่าต้องถูกตรวจพบจากบรรดาหอคอยเมืองต่างๆ อย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น! ทำไมพวกมันถึงหนีไปล่ะ ทำไมถึงเป็นแบบนี้!” หน้าใหม่ผู้เสียเงินไปมากมายในการซื้อกรีนการ์ดร้องออกมา
หน้าใหม่อีกคนเริ่มร้อนใจ ถ้าฝูงแกะหายไปแล้วจะให้พวกเขาฆ่าอะไร? แบบนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากระบบได้น่ะสิ!
เขาจึงเร่งทะยานตัวออกจากหอคอย ไล่ตามฝูงที่กำลังไกลออกไป
“อย่าได้คิดที่จะหนี…”
ทว่าเสียงตะโกนของเขาก็ถูกหยุดลงอย่างกะทันหัน
พลั่ก!
หน้าของเขากระแทกเข้ากับอุปสรรคโปร่งใส ทั้งคนทั้งร่างแนบติดกับกำแพง เกาะหนึบอยู่นานจึงค่อยร่วงตกลงมา
…ดูเหมือนว่าเขาจะกระแทกแรงเกินไปหน่อย เลยสลบเหมือดไปทันที
อีกหนึ่งกลุ่มหน้าใหม่ที่มีกรีนการ์ด เมื่อเห็นว่าฝูงกองทัพแกะได้กรีธาทัพผ่านบริเวณหอคอยของตนเองไป พวกเขาก็เร่งพาเหล่าสหายบินออกจากหอคอยทันที
…แต่แล้วพวกเขาก็ต้องเร่งบินเยี่ยวราดกลับมา
‘ไม่ไหวหรอก! จำนวนของปีศาจแกะดำที่เกาะกลุ่มกันมันเยอะเกินไป ถ้าไม่มีหอคอยเป็นอุปสรรคคอยป้องกัน พวกเขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน’
สุดท้าย ฝูงแกะก็ข้ามผ่านพื้นที่ของหอคอยแห่งนั้นไป
ทุกหอคอยบนพื้นที่ราบ ทั้งหมดทำได้เพียงเฝ้ามองดูฝูงแกะไกลห่างออกไป
นี่มันเกิดเรื่องบัดซบอะไรขึ้นกันแน่?
หน้าใหม่ที่จ่ายเงินมากโขเพื่อซื้อกรีนการ์ดสบถด้วยความหงุดหงิด
เนื่องจากไม่มีใครสามารถเข้าใจภาษาของปีศาจแกะดำได้ ดังนั้นมันจึงไม่มีใครรู้ว่าในฝูงแกะ มันเพิ่งเกิดการรัฐประหารขึ้น และการกระทำที่ว่านั่นก็ได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของแกะดำทั้งหมด!
อีกด้านหนึ่ง บนภูเขาสูงชัน
เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจพลันปะทุขึ้นจากบนหอคอยที่ว่างเปล่าอันแสนโดดเดี่ยว
หน้าใหม่ที่ไร้ซึ่งกรีนการ์ดทยอยกันหยิบอาวุธตนขึ้นมา เฝ้ารอคอยการมาถึงของฝูงแกะด้วยความตื่นเต้น
หนิงเยว่ฉานสวมเกราะรบนายพลชั้นหยงเซินเรียบร้อยแล้ว
เธอหันมามองกู่ฉิงซานและถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสามารถทำมันได้อย่างไรกัน?”
กู่ฉิงซานไม่ได้ตอบคำถามเธอตรงๆ แต่อธิบายไปว่า “ฟังให้ดี เจ้ากำลังจะออกจากโลกเดิมของเจ้าเป็นครั้งแรก ดังนั้นจงจดจำให้มั่นถึงคำที่ข้าจะแนะนำแก่เจ้า”
“เชิญชี้แนะ”
“ท่ามกลางโลกนับล้านล้าน ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น เรามิอาจคาดคำนวณและตัดสินทักษะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตต่างๆได้โดยง่าย ข้าหวังว่าหากเจ้าต้องต่อสู้อีกในอนาคต เจ้าจักต้องระมัดระวังตัวให้ดี”
หนิงเยว่ฉานเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรับคำ “ข้าเข้าใจถึงสิ่งที่เจ้าต้องการจะสื่อแล้ว”
ไม่ไกลออกไปจากภูเขา ฝูงปีศาจแกะดำได้ข้ามผ่านกำแพงโปร่งใส่ เข้ามายังพื้นที่หอคอยของพวกเขาในที่สุด
หนิงเยว่ฉานมองไปยังการมาเยือนของฝูงปีศาจแกะ เธอยกมือขึ้นปัดเกราะหมวกลงมาคลุมใบหน้า
ตามด้วยเสียงอันกระจ่างใส ดังลอดออกมาจากเกราะโลหะที่สาดประกายเย็นเยียบ
“มิใช่เพียงข้าหรอกที่จักต้องระมัดระวังตัวจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แต่พวกมันเองก็ควรจะระมัดระวังถึงสิ่งหนึ่งด้วยเช่นกัน”
“แล้วสิ่งนั้นคืออะไร?” กู่ฉิงซานถาม
“ก็คมกระบี่ข้าอย่างไรเล่า!”
เปรี้ยง!
หนิงเย่วฉานกุมกระบี่ยาวในมือ ทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า โฉบถลาลงเข้ากลางดงฝูงปีศาจแกะ
จากระยะไกล จะเห็นแค่เพียงเส้นแสงสีหิมะร่วงตกลงจากฟากฟ้า จากนั้นก็ถูกกลืนหายเข้าไปกับกลุ่มก้อนสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด
หนึ่งลมหายใจผ่านพ้นไปอย่างเงียบๆ
ก่อนจะบังเกิดรังสีแสงของกระบี่ยาว พวยพุ่งขึ้นสู่สรวงสวรรค์
คมกระบี่สาดแสง ซ้อนทับกันเป็นเงา ฟาดสะบั้นด้วยความดุร้าย ทั้งหั่นทั้งสับแกะดำไปทุกทิศทาง
กระบี่ยาววูบไหวไม่หยุดยั้ง หมุนคว้านกลางดงฝูงแกะ เก็บเกี่ยวชีวิตศัตรูอย่างไม่หยุดหย่อน
ฝูงปีศาจแกะดำเริ่มตอบสนองทันที
ปีศาจแกะดำเริ่มแห่กันไปยังสถานที่ซึ่งเกิดประกายรังสีกระบี่กะพริบไหว มันทุ่มเต็มกำลังเพื่อหมายจักสังหารศัตรูที่ใจกล้า บ้าบิ่นผู้นี้
อย่างไรก็ตาม คมกระบี่ดูจะร้ายกาจเกินไป
ความพยายามใดๆ ที่คิดหมายจะต่อต้านการดำรงอยู่ของมัน มิถูกตัดหั่นเป็นชิ้นๆ ก็จักถูกกระแทก กระดอนกลับไปเบื้องหลัง
ทั้งแขนทั้งขาสีดำปลิวว่อนไปทั่ว
ฉากนี้แลคล้ายดั่งพายุแห่งความตายพัดกระหน่ำเข้าใจกลางฝูงแกะ
กระบี่ยาวโฉบไปข้างหน้า ทะลวงต่อไป ทะลวงอีกครั้ง และอีกครั้ง!
ปีศาจแกะดำนับไม่ถ้วนต่างกรีดร้องด้วยความโกรธ…อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสิ่งนี้จักเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ก็ยังมีปีศาจแกะดำที่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อยู่เหมือนกัน
พวกเขาเริ่มที่จะเข้าใจถึงความจริงบางอย่าง
…ไม่คาดคิดเลยว่าศัตรูผู้นี้จะสามารถค้นพบตำแหน่งของราชาปีศาจแกะแล้ว!
ปีศาจแกะดำที่รู้ตัว เร่งควบสี่กีบตรงไปยังใจกลาง เพื่อปกป้องราชาแกะองค์ใหม่ทันที
ทั้งกองทัพถูกกดดันอย่างหนัก ไหลไปตามกระแสทิศทางของลำแสงกระบี่ยาว หมายมั่นพยายามที่จะหยุดมันลง
ฉวัดเฉวียน!
วูบ!
ฟุบ! ฉัวะ!
หนิงเยว่ฉานราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ แทรกตนแหวกฝ่าตรงไปยังเบื้องหน้าอย่างไม่รู้จบ
แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะแข็งแกร่งเพียงใด แต่เธอก็มีเพียงลำพังอยู่ดี
ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของฝูงปีศาจแกะดำ ความเร็วของกระบี่ยาวก็ค่อยๆ ถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง
“แบบนี้ชักจะไม่ดีแล้ว!” สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลาย
เขากำลังจะกระโจนลงไปช่วย ทว่าในรูหูกลับได้ยินถึงเสียงอันคมชัดเสียดขึ้นมาจากในฝูงปีศาจแกะดำเสียก่อน
“ไม่เจ้าตาย ข้าก็พินาศ!”
มันคือเสียงของหญิงสาวที่ตะโกนขึ้น
ช่วงเวลาต่อมา ประกายรังสีแสงของคมกระบี่ก็พลันสาดแสงเรืองรองกว่าที่เคย
คมกล้าของกระบี่ยาว ดุดันเป็นประวัติการณ์!
ท่ามกลางช่วงเวลาเดือดพล่าน ทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้ากระบี่ยาวก็ถูกตัดสะบั้นจนสิ้น ทั้งเลือดทั้งเนื้อปลิวว่อนไปในอากาศ
หนิงเยว่ฉานสามารถแทรกตัว ฝ่าเข้าไปถึงใจกลางของฝูงปีศาจแกะดำได้ในที่สุด และ…
ฉัวะ!
กระบี่สาดแสงกะพริบไหวอีกครั้ง
ราชาปีศาจแกะดำองค์ใหม่ถูกคมกระบี่เข้าโดยตรง ตัดแยกออกจากกันเป็นสองท่อน
ฝูงแกะเงียบกริบลงทันใด
ราชาองค์ใหม่ของพวกมัน…ถูกฆ่าตายเสียแล้ว!
ในช่วงเวลาดังกล่าว หน้าใหม่คนอื่นๆ ที่กำลังเร่งรุดมาก็อดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้าลง
ทั้งหมดกำลังช็อก
เทคนิคการฆ่าสังหารเช่นนี้มันมีใครที่ไหนเขาทำกัน? ผู้หญิงคนนี้ไม่แม้จะคิดรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้เลยด้วยซ้ำ!
วินาทีต่อมา ฝูงปีศาจแกะดำก็ระเบิดเสียงหอนน่าหวาดกลัวออกมา พวกมันฟุ้งไปด้วยความโกรธ
พวกมันร่วมมือกัน และโถมโจมตีอย่างเต็มรูปแบบเข้าใส่หญิงกระบี่ในคราเดียว
กล้าที่จะบุกเข้ามาสังหารราชาของพวกเรา นางผู้หญิงคนนี้จะต้องตาย!
อย่างไรก็ตาม พลันบังเกิดม่านแสงสว่างวาบขึ้นใจกลางฝูงแกะ
เสี้ยวพริบตานั้นเอง หญิงกระบี่ในชุดเกราะหิมะก็หายวับไปจากกลางวงล้อม
…เธอหายตัวไปเลยโดยตรง
ไม่ว่าฝูงปีศาจแกะดำจะพยายามค้นหาอย่างไร พวกมันก็ไม่อาจพบเจอร่างของเธอเลย
กระทั่งหน้าใหม่ก็ยังแข็งค้าง ตกตะลึงไปเช่นกัน
แต่สุดท้ายหนึ่งในนั้นก็เริ่มตอบสนอง ปากอ้าตะโกนกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นคลุ้มคลั่ง “เธอผ่านแล้ว! เธอสามารถดึงดูดความสนใจจากระบบได้สำเร็จ!”
………………………………….
“คุณเห็นข่าวล่าสุดแล้วหรือยัง?” กู่ฉิงซานถาม
“จะไม่เห็นได้อย่างไร? มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำใจ เมื่อต้องสูญเสียบุคลากรไป แต่บอกตามตรงว่าตอนนี้ มันมีปัญหาที่น่ากังวลใจยิ่งกว่าซะอีก” ชายแก่ยิ้มอย่างขมขื่น
“เกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานตื่นตัว
“ก็โลกลำดับชั้นของสถาบันเทพ จู่ๆ ก็หลุดพ้นจากข้อกฎเกณฑ์ของพื้นที่มิติไปอย่างกะทันหันน่ะสิ และมันกำลังมุ่งหน้าตรงมาทางสำนักงานใหญ่สมาคมผู้พิทักษ์หอคอยสูงของพวกเรา” ชายแก่กล่าว
กู่ฉิงซานนิ่งค้างไป สายตาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ
ชายแก่เมื่อถูกจ้องแบบนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก เขาโบกไม้โบกมือ “ระยะทางมันยังอีกไกล อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง กว่าที่โลกทั้งสองใบจะปะทะกัน เพราะฉะนั้นข้าจะจัดการธุระให้เจ้าก่อน แล้วค่อยรีบปิดร้านและกลับไป”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่ถึงจะได้ยินข่าวแล้ว แต่ผมก็ยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะช่วยอะไรได้อยู่ดี”
“มันไม่เป็นไรหรอก แค่เจ้าคิดที่จะช่วย ข้าก็ซาบซึ้งน้ำใจมากแล้ว” ชายแก่ตอบรับด้วยความสุข “อีกอย่าง โลกสมาคมของพวกเราก็อยู่ใกล้กันกับ สหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น เดี๋ยวเหล่าตัวตนทรงอำนาจจากทางฝั่งนั้นก็จะเข้ามาช่วยเหลือเอง”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะรีบซื้อของที่ต้องการ จะได้ไม่เป็นการเสียเวลาคุณ”
กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “พอดีว่าเพื่อนของผมเพิ่งเข้ามายังโลกเก้าร้อยล้านชั้นเป็นครั้งแรก เลยอยากจะมาขอซื้อเทคนิคมนตราที่สามารถใช้เรียนรู้ภาษาได้ในทันที”
“เจ้าต้องการที่จะเข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ ดูเหมือนว่าจะต้องไปรายงานตัวภายในหนึ่งชั่วโมง”
“เช่นนั้นข้าเกรงว่ามันคงจะสายเกินไปแล้วที่จะเรียนรู้ ถ้าจะให้ดี คงต้องใช้หนังสือที่แพงที่สุด”
ว่าจบ ชายแก่ก็หยิบหนังสือเล่มเล็กที่ดูประณีตออกมาจากชั้นวาง
“หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เจ้าสามารถเข้าใจภาษาที่ใช้กันโดยทั่วไปกว่าสามพันภาษาได้ในทันที อย่างไรก็ตาม ราคามันก็แพงมากเหมือนกัน แต่ในฐานะที่เจ้าคือหนึ่งในเพื่อนที่ดีของสมาคมเรา ข้าสามารถเพิ่มส่วนลดให้ได้”
“ลดได้เท่าไหร่หรือ?”
“ลดได้สิบเปอร์เซ็นต์”
“ลดมากกว่านี้อีกได้ไหม?”
“นี่เรียกได้ว่าลดกันสุดๆ แล้วนะเจ้าหนุ่ม ให้น้อยกว่านี้ก็คงจะไม่ได้”
“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร อย่างไรลดก็คือลดอยู่ดี! ข้าต้องขอบคุณมากจริงๆ ถ้าเช่นนั้น ได้โปรดช่วยวางบิลค่าใช้จ่ายไว้ในนามของผม…กู่ฉิงซานแห่งสมาคมกำปั้นเหล็กด้วย”
“…”
พริบตาที่คำคำนี้หลุดออกมา สีหน้าของชายแก่คล้ายกับว่าจะเผยถึงความกังวลขึ้นมาหลายส่วน
ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ต้องพูดว่า “ช้าก่อน! เจ้าคิดจะใช้มันเพียงครั้งเดียวเพื่อสหายของเจ้าใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องซื้อหนังสือราคาแพงแบบนี้เลย”
“แล้วจะให้ผมทำอย่างไร?”
“ข้าจดจำได้ว่าทางเราเคยมอบหนังสือปกฟ้าให้แก่เจ้า”
“โอ้ใช่ แต่หนังสือเล่มนั้นจำกัดการใช้งานแค่หนึ่งคนไม่ใช่หรือ”
กู่ฉิงซานกล่าว เขาเอื้อมมือไปแตะถุงสัมภาระ เพื่อเรียกหนังสือออกมา
ชายแก่คว้าหมับทันที หนึ่งมือจับ หนึ่งมือถู ปากอ้าขยับร่ายคาถา
“เรียบร้อย ข้ามอบสิทธิ์อนุญาตให้สามารถใช้งานมันได้อีกหนึ่งครั้งแล้ว เท่านี้เจ้าก็จะสามารถให้เพื่อนเจ้าถือหนังสือเล่มนี้ แล้วทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษาได้เลยโดยตรง”
“แล้ว…ไม่จำเป็นต้องซื้อมันหรือ?”
“บ๊ะ! เจ้าคือแขกวีไอพีของพวกเรา ทำไมต้องจ่ายมันด้วย ทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้”
“ช่างเป็นคนที่ใจดีอะไรแบบนี้ ผมไม่รู้เลยว่าจะตอบแทนท่านอย่างไรดี”
“เรื่องนั้นง่ายมาก ลองมองออกไปรอบๆ นะ เห็นนั่นไหม? ยังมีร้านหนังสืออีกสามร้านในซอยแห่งนี้ เอาเป็นว่าถ้าเจ้าอยากจะตอบแทนข้า ครั้งต่อไป ถ้าจะคิดวางบิล ช่วยไปติดบิลร้านพวกนั้นแทนก็แล้วกัน แค่นี้แหละ ข้าจะรู้สึกขอบคุณมากๆ”
“โอ้ ผมเข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ลา…”
“เออ! ลาก่อน ห้ามลืมนะ! ครั้งต่อไปต้องไปติดบิลที่ร้านหนังสืออื่น!”
ชายแก่เร่งผลักทั้งสองออกจากร้านตน ตามด้วยเสียง ‘ปัง!’ ปิดดังตามมาทันที
กู่ฉิงซานจึงนำหนิงเยว่ฉานเดินออกมา
เขายื่นหนังสือปกฟ้าให้แก่หนิงเยว่ฉาน
“แล้วข้าจะต้องทำอย่างไร?”
“นั่นง่ายมาก ตราบใดที่เจ้าถือมันไว้ มันจะถ่ายทอดภาษาของโลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้นแก่เจ้า แต่อาจจำเป็นต้องใช้เวลากว่าร้อยลมหายใจ เพื่อทำการเรียนรู้มัน”
“…” หนิงเยว่ฉาน
เธอยกสองมือขึ้นกอดหนังสือปกฟ้าไว้ในอ้อมแขน
กู่ฉิงซานคิดอยู่พักหนึ่งจึงกล่าว “อ้อ อย่าทำหนังสือเล่มนั้นหายเชียวล่ะ เพราะข้ายังต้องพึ่งพามันอยู่ อาจต้องใช้มันช่วยให้คนอื่นเรียนรู้ภาษาอีกในครั้งต่อไป”
“เข้าใจแล้ว แต่ข้าเห็นว่าเจ้ายังไม่ได้จ่ายเงินเลยมิใช่หรือ?” หนิงเยว่ฉานถาม
“ชื่อของข้า นั่นแหละคือเงิน” กู่ฉิงซานตอบ
หญิงสาวพอได้ฟังก็จ้องมองเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง บังเกิดความประทับใจอย่างลึกล้ำ
ส่วนกู่ฉิงซาน พูดจบเขาก็หันหน้าไปอีกด้าน ปากเอ่ยพึมพำ “อา…ใช่! ความรู้สึกแบบนี้เองสินะ คือความรู้สึกที่คล้ายกับพวกกินแล้วชักดาบรู้สึกกัน นี่มันช่างน่าจดจำเสียจริงๆ”
…
ไม่นาน พวกเขาก็เดินมาถึงจุดตรวจสถานีด่านหน้า
กระบวนการข้ามพรมแดนนั้นเรียบง่ายเป็นอย่างมาก
เบื้องหน้าของทั้งสอง จะมีชายคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบทหารคอยนั่งตอกไพ่อยู่หลังโต๊ะ พวกกู่ฉิงซานเพียงยื่นไพ่ให้ อีกฝ่ายก็จะประทับตราลง และส่งมันกลับคืนมา
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว ชายคนนั้นก็จะหยิบกรีนการ์ดใบเล็กๆ ขึ้นมา และกระซิบถาม “ฉันสามารถจัดตำแหน่งดีๆ สำหรับพวกหน้าใหม่ได้นะ พวกนายต้องการจะซื้อมันหรือเปล่า?”
“คุณสามารถระบุตำแหน่งในดินแดนชิงอำนาจให้พวกเราได้อย่างนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าพวกหน้าใหม่ก็สามารถดาวน์โหลดระบบได้โดยตรงเลยน่ะสิ” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสนใจ ชายคนนั้นก็อธิบายอย่างอดทน “ในดินแดนชิงอำนาจมีพื้นที่กว่าสองร้อยล้านชั้น ฉะนั้นแน่นอนว่าทางเราคงไม่สามารถส่งพวกนายไปยังสถานที่ที่ต้องการได้ อันที่จริงแล้วตำแหน่งดีๆ ที่ว่านั่นหมายถึงพื้นที่กิจกรรมแรกของพวกหน้าใหม่ต่างหาก พวกเราน่ะคุ้นเคยกับที่แห่งนั้นเป็นอย่างดี และรู้ว่าตำแหน่งไหนมี ‘ปีศาจแกะดำ’ อยู่เยอะมากที่สุด และพวกเราก็จะส่งนายไปยังสถานที่แห่งนั้น!”
‘ปีศาจแกะดำ’ คือมอนสเตอร์ที่อ่อนแอที่สุดในดินแดนชิงอำนาจ พวกมันมักจะปรากฏตัวขึ้นในอาณาเขตของหน้าใหม่ และสำหรับหน้าใหม่ มีเพียงการล่าปีศาจแกะดำเท่านั้น ถึงจะสามารถดึงดูดความสนใจจากระบบ และทำการดาวน์โหลดมันได้
นี่คือระบบที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยเหล่าทวยเทพ ระบบนี้ไม่เป็นอันตรายใดๆ ต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมวล และมันยังสามารถช่วยเหลือให้สรรพสัตว์ทั้งหลายสามารถวิวัฒนาการและแข็งแกร่งได้รวดเร็วขึ้นอีกด้วย
ส่วนวิธีการที่จะครอบครองมันก็คือ คุณจะต้องทำให้มันรู้สึกสนใจในตัวคุณให้จงได้!
และในฐานะหน้าใหม่ วิธีเดียวที่จะกระตุ้นความสนใจจากระบบ นั่นก็คือการล่าสังหารฝูงปีศาจแกะดำให้มากที่สุดนั่นเอง
ยิ่งคุณฆ่าพวกมันไปได้มากเท่าไหร่ ระบบก็จะยิ่งสังเกตเห็นถึงคุณได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
ชายคนนั้นสะบัดกรีนการ์ดในมือไปมา เอ่ยเสียงกระซิบต่อ “นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการผ่านอาณาเขตของพวกหน้าใหม่ นายต้องการที่จะซื้อมันหรือเปล่าล่ะ?”
กู่ฉิงซานกระซิบกลับไป “ผมไม่มีเงิน แต่สามารถวางบิลได้ใช่หรือเปล่า?”
ชายคนนั้นจ้องเขม็งเข้าไปในแววตาของกู่ฉิงซาน
วางบิล…
ไอ้หนุ่มนี้ อนาคตมันมีแววสดใสแน่นอน กล่าวอย่างประชดประชัน
หลังจากขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายคนนั้นก็พยักหน้าและกล่าว “ถ้าองค์กรของนายมีความน่าเชื่อถือมากพอ มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดีเลย ผมเป็นคนจากสมาคมกำปั้นเหล็ก ชื่อของผมก็คือ…”
‘สมาคมกำปั้นเหล็ก! ฉิบหายแล้ว นั่นมันสุดยอดนักเบี้ยวหนี้ในตำนาน!’
ทันทีที่คำคำนี้หลุดออกมา ทั้งร่างของชายคนนั้นก็ราวกับถูกเขย่า สั่นไหวอย่างมิอาจควบคุมได้
เขาขัดจังหวะคำพูดของกู่ฉิงซานทันที ปากเอ่ยกล่าวอย่างจริงจัง “ลืมมันเถอะ! ฉันล้อเล่น! พวกเราทหารกล้าจะไม่ยอมรับสินบนหรือการขายข้อมูลใดๆ ให้กับใครเด็ดขาด! นี่มันเป็นมาตรการสำคัญที่ใช้ทดสอบพวกหน้าใหม่ เพื่อยืนยันว่าการแข่งขันจะเป็นไปอย่างเป็นธรรมต่างหาก!”
เขารีบโบกมือด้วยใบหน้าสัตย์ซื่อ เร่งให้ทั้งสองเดินผ่านด่านตรวจเข้าไป
ทั้งสองเดินผ่านด่านตรวจ และมาถึงห้องรับรอง
เห็นแค่เพียงทุกชนิดของสิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์มากมายที่แตกต่างกันออกไป เกือบทั้งหมดต่างก็ถือกรีนการ์ดไว้ในมือของพวกเขา
ด้วยกรีนการ์ดใบนี้ พวกเขาจะถูกจัดตำแหน่งให้อยู่ในพื้นที่ที่ง่ายที่สุดในการล่าปีศาจแกะดำ
พวกเขาเบนสายตามองกู่ฉิงซานและหนิงเยว่ฉานที่เดินเข้ามา และเมื่อเห็นว่าในมือของทั้งสองไม่มีกรีนการ์ด ตนแล้วตนเล่าก็เริ่มแสดงสีหน้าเย้ยหยัน
“สองหน้าใหม่ที่น่าสงสาร”
“ไม่รู้จักคิดที่จะซื้อกรีนการ์ดเอาไว้ พวกมันคงยังไม่รู้ถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับเวลาต่อสู้ล่ะสิ”
“หยุดพูดเถอะน่า ปล่อยให้พวกมันติดแหง็กอยู่ในอาณาเขตหน้าใหม่ไปนั่นแหละ”
“ฮะฮ่า! ไม่ว่าพวกมันจะทำอย่างไร ก็คงไม่มีทางผ่านอาณาเขตนี้ไปได้”
“อย่าไปมองเลย พวกไร้สมองน่ะไม่น่าสนใจหรอก”
สิ่งมีชีวิตจากหลากหลายเผ่าพันธุ์สื่อสารกันอย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานนำหนิงเยว่ฉานไปนั่งลงอีกมุมหนึ่ง
“เมื่อครู่ ดูเหมือนว่าเจ้าจะทำให้คุณทหารด่านตรวจโกรธอีกแล้วนะ” หนิงเยว่ฉานกล่าว
“อืม เขาไม่ยอมให้ข้าวางบิลเสียอย่างนั้น” กู่ฉิงซานพูด้วยท่าทีเศร้าๆ
“ไม่ต้องทวนซ้ำก็ได้ ตอนนี้ข้าเข้าใจในที่ภาษาเจ้าพูดแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเราจะเสียเปรียบคนอื่นๆ ใช่หรือไม่?”
“นี่มันก็แค่เริ่มต้น เพราะไม่ใช่ว่าใครๆ ก็สามารถเข้ามายังดินแดนชิงอำนาจได้ ดังนั้นหากได้รับความสะดวกสบายเพิ่มเติมแม้เพียงนิด ทุกคนก็ล้วนยินดี” กู่ฉิงซานกล่าว
ตรงกันข้ามกับเขา ชายที่ตลอดทั้งร่างเป็นสีเขียวได้ยิ้มออกมา “ได้รับความสะดวกสบายแม้เพียงนิดอย่างนั้นหรือ? รู้หรือเปล่าว่าพวกโง่ที่คิดแบบนั้นต้องติดแหง็กอยู่ในอาณาเขตหน้าใหม่ตั้งกี่ปี?”
เพื่อนในกลุ่มของเขาเอ่ยขัด “เฮ้ยช่างเถอะน่า มันโง่ก็ปล่อยให้โง่ไป”
คนอื่นๆ ต่างหัวเราะออกมา
“ส่งเสียงดังอะไรกัน! หุบปากซะ!” เสียงจากภายนอกดังก้องเข้ามา
ฝูงชนสงบลงทันที
เห็นแค่เพียงเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินเข้ามา สายตากวาดมองกรีนการ์ดในมือของแต่ละคน
แล้วเขาก็เริ่มที่จะจัดแจง
“นาย นาย แล้วก็พวกนาย มากับฉัน ทางเราจะส่งพวกนายไปยังตำแหน่งที่ได้รับการพิจารณาแล้ว”
หลายคนลุกขึ้นและตามเขาไป
หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่คนเดิมก็เข้ามาอีกครั้ง และนำหน้าใหม่บางส่วนไปส่งยังจุดต่อไป
ขณะที่พวกหน้าใหม่ที่ไม่มีกรีนการ์ดในมือ จะต้องคอยนั่งรออยู่อย่างช้าๆ
“พวกเราควรจะทำอย่างไรดี?” หนิงเยว่ฉานถาม
“รอไปก่อน ไม่ต้องใส่ใจเรื่องนี้หรอก” กู่ฉิงซานถอนหายใจ
เฝ้ารออยู่นาน เกือบทุกคนก็ถูกส่งไปก่อนแล้ว เหลือแค่พวกหน้าใหม่ที่ยังไม่มีกรีนการ์ด
เจ้าหน้าที่เดินนำพวกเขาไปยังข่ายอาคมเคลื่อนย้าย และหันมาพูดด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย “หวังว่าพวกนายจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในอาณาเขตของหน้าใหม่นะ”
“นั่นเขาหมายความว่าอย่างไร?” หน้าใหม่คนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่อง เอ่ยถามคนรอบข้าง
“เขาหมายความว่า ‘พวกเราคงจะไม่มีทางผ่านอาณาเขตหน้าใหม่ไปได้’ น่ะสิ” หน้าใหม่อีกคนกล่าวด้วยความขุ่นเคือง
ม่านแสงกะพริบไหว
และหน้าใหม่กลุ่มสุดท้ายก็หายตัวไปจากข่ายอาคม
…
ณ ดินแดนชิงอำนาจ
ภายในอาณาเขตของพวกหน้าใหม่
การต่อสู้แข่งขัน ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ณ ตรงตำแหน่งหอคอยปราการที่ว่างเปล่า
กลุ่มของพวกหน้าใหม่ที่ไม่มีกรีนการ์ดได้ปรากฏตัวขึ้น และตกลงบนหอคอยขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม หอคอยเหล่านี้ แต่ละหอกระจายแยกห่างกันไปในตำแหน่งต่างๆ และถูกแยกจากกันด้วยกำแพงอุปสรรคโปร่งใสขนาดใหญ่ ส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ของกันและกัน ทำได้เพียงคอยเฝ้ามองกันจากระยะไกลเท่านั้น
เบื้องล่างหอคอยปราการ กลุ่มฝูงปีศาจแกะดำได้สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังมาเยือน
พวกมันคำรามด้วยความโกรธ และรีบควบสี่กีบตรงมายังหอคอยปราการทันที
มอนสเตอร์เหล่านั้นมีหัวเป็นแกะ พวกมันคือปีศาจแกะดำ!
พวกมันเป็นมอนสเตอร์ชั่วร้าย ที่คอยสูบกินพลังงานจากเลือดของสิ่งที่ฆ่า เพื่อใช้ในการวิวัฒนาการ นิสัยตามธรรมชาติโหดร้าย ไม่แยแสต่อสิ่งมีชีวิตใดๆ
ทันทีที่หน้าใหม่มาถึงหอคอยปราการ การต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว
หน้าที่ของพวกเขาก็คือจะต้องปกป้องหอคอย และสังหารฝูงปีศาจแกะดำเหล่านี้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี!
หากทำภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพดีเยี่ยม มันก็จะเป็นการดึงดูดความสนใจจากระบบ และสามารถทำการดาวน์โหลดมันได้ในท้ายที่สุด
“ฆ่า!”
เหล่าหน้าใหม่คำรามก้อง ประกาศสู้
หอคอยแห่งแล้วแห่งเล่าปะทุขึ้นด้วยไฟสงคราม เสียงการฆ่าสังหารดังสนั่นจนแสบหู ชวนให้ผู้ฟังเกิดความตื่นเต้น
กู่ฉิงซานเองก็ยืนอยู่บนหอคอยปราการเช่นกัน
แต่ทว่า…
หอคอยที่เขาและหนิงเยว่ฉานถูกส่งมา…มันถูกตั้งไว้อยู่บนภูเขาสูงชัน
ขณะที่ปีศาจแกะดำทั้งหมดต่างมุ่งเข้าไปโจมตีหอคอยบนพื้นที่ราบ ละซึ่งความสนใจใดๆ ต่อหอคอยบนภูเขาสูงแห่งนี้
ก็ในเมื่อมีหอคอยบนพื้นที่ราบ ที่สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายอยู่มากมาย แล้วเหตุใดพวกมันจะต้องปีนป่ายอย่างยากลำบากมาถึงที่นี่ด้วยเล่า?
นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา
ในฐานะนายพลที่ข้ามผ่านการต่อสู้มานานปี ในเวลานี้หนิงเยว่ฉานเพียงมองการต่อสู้ในพื้นที่ราบอันห่างไกล ก็สามารถเข้าใจถึงสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
และไม่ใช่แค่เธอ แต่หน้าใหม่คนอื่นๆ ที่ไม่มีกรีนการ์ด ที่สูงส่งมายังตำแหน่งใกล้เคียงนี้ ล้วนแสดงถึงความไม่พอใจออกมา
“พวกเขาจงใจส่งพวกเรามาที่นี่!” หน้าใหม่คนหนึ่งร่ำไห้
ร่างกายของเขาเติบใหญ่ขึ้นอย่างกะทันหัน กลายเป็นบึกบึนพร้อมด้วยสองปีกที่งอกขึ้นบนหลัง ทะยานตัวขึ้นไปในอากาศ บินลงไปยังพื้นที่ราบ แต่…
ปัง!
บังเกิดถึงเสียงหนักทึบ หน้าใหม่ผู้เพิ่งถลาลงไปปะทะเข้ากับกำแพงใส และเด้งกระดอนกลับมาทันที
นี่คือกำแพงป้องกันที่ถูกระบบตั้งค่าเอาไว้ มันไม่ใช่สิ่งที่ความแข็งแกร่งของพวกหน้าใหม่จะสามารถทำลายได้
หนิงเยว่ฉานชักกระบี่ยาวออกมา ส่ายหัวและกล่าว “พวกเราไม่สามารถออกไปได้ ขณะเดียวกันมอนสเตอร์ก็ไม่ยอมมาหาพวกเรา นี่พวกเราจะต้องอยู่ที่นี่ไปโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยนั้นหรือ?”
“ไม่มีทางซะล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว
พอได้ฟัง ดวงตาของหนิงเยว่ฉานก็เปล่งประกายสดใสทันที เธอเอ่ยถาม “เจ้ามักจะมีแผนการชั่วร้ายเสมอมา บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าคราวนี้มีความคิดอะไรอีก?”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ “แผนชั่วที่ไหนกัน ที่พวกเราต้องทำก็แค่แก้ปัญหานิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง”
เมื่อคำนี้ถูกเปล่งออกมา มันก็ได้ดึงดูดความสนใจจากหน้าใหม่ที่ไร้กรีนการ์ดรอบตัวเขาทันที
“ปัญหาอันใด?” หนิงเยว่ฉานมองเขาและเอ่ยถาม
“ก็ปัญหาที่ว่า ‘จะพิชิตหรือเป็นฝ่ายถูกพิชิต’ น่ะซี “
ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็เลื่อนหน้าต่างเทพสงครามไปในส่วนของฟังก์ชั่น ‘สมญาเทพสงคราม’
…ไม่นาน เขาก็พบกับสมญาที่ตนต้องการ
‘ดาราจรัสเทพสงคราม!’
………………………………….
ณ สหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น
บนทางเดินยาวนอกแผนกกิจการอาชีพโลก
เซี่ยเต๋าหลิงกับเหลิงเทียนสิงโค้งกายคำนับเหล่าจ้าววงการ “เช่นนั้นข้าขอคงต้องขอตัวก่อน”
“เข้าใจแล้ว ลาก่อน” เฉินหยางโบกมือด้วยรอยยิ้ม
“ขอเวลาสักครู่สิ” หยุนจีเอ่ยปากออกมา
“ท่านมีอะไรงั้นหรือ?” เซี่ยเต๋าหลิงถาม
หยุนจี “ถ้ากลับไป แล้วเจ้าจะทำอะไรต่อไป?”
“ข้าจะส่งเขากลับไปก่อน จากนั้นก็ไปยังพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์เพื่อจัดการปัญหาบางอย่าง”
“งั้นปัญหาที่ว่ามันคืออะไร?” หยุนจีถามต่อ
“ข้าคิดจะจัดระเบียบกำลังคนออกไปสำรวจรอบๆ อาณาจักรมาร หรือไม่ก็ก่อสงครามเล็กๆ น้อยๆ กับพวกมัน”
แม้ปากจะเอ่ยตอบ แต่เซี่ยเต๋าหลิงก็อดฉงนเล็กน้อยในหัวใจ
เหตุใดตัวตนทรงอำนาจถึงได้สนใจในสิ่งที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเขากันแน่นะ?
หยุนจียื่นแขนออกมาจากเสื้อคลุมดำ
เป็นตุ๊กตาผ้าอยู่ในมือ และเจ้าตัวก็มอบให้แก่เซี่ยเต๋าหลิง
ตุ๊กตานี้ราวกับมีชีวิต มันมีลักษณะเหมือนกับเซี่ยเต๋าหลิงทุกประการ
เซี่ยเต๋าหลิงก้มลงมองตุ๊กตา ก่อนจะเงยหน้ามองหยุนจีอีกครั้งนึง
หลังจากที่กู่ฉิงซานจากไป หยุนจีก็กลับเข้าไปซ่อนอยู่ในชุดคลุมดำอีกครั้ง ทำให้ไม่สามารถเห็นถึงสีหน้าของเจ้าตัวได้
หยุนจีกลับกลายเป็นดูลึกลับมากขึ้น และทรงเกียรติมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่าง อย่างไม่อาจอธิบายได้
เฉินหยางมองหยุนจี สลับกับมองเซี่ยเต๋าหลิง
“รับมันไปเถอะ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีกี่คนที่ต้องการมัน ทว่ากลับไม่มีโอกาสได้มันไป” เฉินหยางกระตุ้นเล็กน้อย
เซี่ยเต๋าหลิงจึงค่อยรับตุ๊กตาผ้ามาด้วยความลังเล
เธอแขวนตุ๊กตาผ้าเอาไว้ตรงเอว และกล่าวแสดงความขอบคุณ
หยุนจี “พลังของเจ้าจะถูกเก็บสะสมเอาไว้ และมันจะปะทุออกมาขณะเจ้ากำลังข้ามผ่านอุปสรรคสุดท้ายของมนุษย์ แล้ววันหนึ่ง เจ้าจะกลายมาเป็นเหมือนกับพวกเรา”
“ฉะนั้น ในช่วงเวลาสำคัญเยี่ยงนี้ จงอย่าได้ออกไปไหน จงกลับไปทำสมาธิ ฝึกปรือในที่พักอาศัยเสีย แล้วเจ้าจะได้พบกับชีวิตที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง”
“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะของท่าน ว่าแต่ตุ๊กตาตัวนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับคำแนะนำของท่านหรือไม่?” เซี่ยเต๋าหลิงถาม
“แน่นอนว่าเกี่ยว”
หยุนจีขมุบขมิบปากร่ายคาถา
พริบตานั้นเอง ตุ๊กตาผ้าพลันกระตุกไหว มันดิ้นหลุดจากเอว กระโดดไปเกาะมือของเซี่ยเต๋าหลิงและเปล่งเสียงออกมา
“สาวน้อยควรจะใส่ใจเพื่อปกป้องตัวเอง”
พร้อมกันกับเสียงนี้ ทั้งคนทั้งร่างของเซี่ยเต๋าหลิงก็ค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
ขนาดตัวของเธอเริ่มหดเล็กลง สีผิวของเธอเริ่มขาวนวลมากขึ้น มือและเท้ากลายเป็นกะทัดรัด กลิ่นอายทรงเกียรติได้กระจัดกระจายหายไป
เธอกลายสภาพมาเป็นเด็กสาวอายุเพียงแปดถึงเก้าขวบ!
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
น้ำเสียงของเซี่ยเต๋าหลิงเผยถึงร่องรอยของความตึงเครียด ทว่าด้วยขนาดตัวที่เป็นเพียงเด็กสาว ส่งผลให้เสียงของมันฟังดูน่ารักน่าชังมากทีเดียว
หนึ่งมือยกขึ้น สลับแปรผันเตรียมที่จะปลดปล่อยมนตรา
พลังวิญญาณพลุ่งพล่านออกจากร่างกายเธอ เตรียมที่จะกระตุ้นมนตรา แต่ทว่า…
ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ การแสดงออกของเธอมันก็ดูน่ารักเกินไป มันแทบจะไม่สามารถส่งแรงกดดันใดๆออกมาได้เลย
“ไม่เป็นไรหรอก เจ้าสิ่งนี้แค่ทำให้เจ้ากลับกลายเป็นเด็กชั่วคราว ซึ่งนี่มันดีต่อตัวเจ้าเองนะ” เฉินหยางอธิบาย
เซี่ยเต๋าหลิงมองเขา และสลับไปมองหยุนจีที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ชุดคลุม
แล้วเจ้าตัวก็ยอมปล่อยประทับมนตราของตัวเองและกล่าวอย่างไม่รู้เหตุ “แม้ข้าจะไม่ทราบว่านี่มันคือสิ่งใด แต่ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงเจตนาดีจากท่านจ้าววงการทั้งหลาย”
เซี่ยเต๋าหลิงกอดตุ๊กตา ปากเอ่ยกล่าวอย่างจริงจัง ท่าทียังแลดูลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูก ฉากนี้มิแตกต่างไปจากโลลิน้อยน่ารักที่กำลังเขินอายอยู่เลย
ในที่สุด หยุนจีก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “เพราะเจ้ากำลังจะตัดผ่านขอบเขต และหากเวลานั้นมาถึง มันจะเป็นการดึงดูดความสนใจจากทุกฝ่าย และอิทธิพลต่างๆ จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อได้รับตัวตนทรงอำนาจคนใหม่ที่ไม่มีพื้นหลังใดๆ มาไว้ในครอบครอง”
พี่หมีร่วมอธิบาย “บางฝ่ายอาจจะมีวิธีการชักชวนโดยแลกเปลี่ยนกับข้อเสนอที่ทำให้คุณพอใจ แต่บางฝ่ายก็อาจจะใช้วิธีการที่น่ารังเกียจ กระทั่งกลุ่มอำนาจมืดก็ยังอาจจะให้ความสนใจคุณ และไม่เลือกวิธีการที่จะได้คุณไว้ในครอบครอง”
“ดังนั้นคุณจะต้องนำตุ๊กตาผ้าตัวนี้ติดตัวเอาไว้ มันคือวิชาลี้ลับที่จะช่วยซ่อนคุณจากโชคชะตา ตราบใดที่ตุ๊กตาอยู่ข้างกับคุณ เมื่อไหร่ที่คุณตัดผ่านอุปสรรค ก็จะไม่มีอิทธิพลใดล่วงรู้ว่าคุณอยู่ในโลกไหน พวกมันจะไม่สามารถตามหาตัวคุณได้”
หยุนจี “เทคนิคมนตราประเภทลี้ลับนี้จะมีผลข้างเคียง นั่นก็คือร่างกายของเจ้าจะอยู่ในวัยเด็กชั่วคราว”
“เอาล่ะ อธิบายจบแล้ว จากนี้ก็ขอให้กลับไปยังโลกของตัวเองก่อน และอย่าเพิ่งออกไปไหนชั่วคราว จนกว่าการข้ามผ่านอุปสรรคของเจ้าจะประสบความสำเร็จ และสามารถรับรู้ถึงพลังของมันได้อย่างคงที่”
เซี่ยเต๋าหลิงรับฟังอย่างตั้งใจ และกำลังจะเอ่ยปาก แต่เธอก็ถูกแตะเบาๆ ลงบนไหล่เสียก่อน
ซึ่งคนที่ตบ คือหยุนจี
หยุนจีที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
พริบตานั้นเซี่ยเต๋าหลิงก็หายไปจากสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้นทันที
เฉินหยางก้าวไปข้างหน้าและตบลงบนไหล่ของเหลิงเทียนสิง “จงอย่าท้อถอย กลับไปก็เร่งฝึกปรือให้หนัก”
แล้วเหลิงเทียนสิงก็หายตัวไป
เขาถูกส่งกลับไปยังโลกเทวะ
แขนจักรกลที่เงียบมาโดยตลอดจนกระทั่งถึงตอนนี้ ค่อยเอ่ยปากออกมา “มนตราน่าเบื่อ”
“น่าเบื่อที่ไหนกัน มันน่าสนใจมากๆ เลยต่างหาก การที่สามารถเปลี่ยนผู้นำพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ให้กลายเป็นสาวน้อยวัยแปดเก้าขวบเนี่ย” เฉินหยางหัวเราะ
อย่างไรก็ตาม เมื่อหันไปมองหยุนจี ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “วันนี้เจ้าดูผิดปกติออกไปนะ”
“ก็ไม่นี่ ฉันแค่อยากจะปกป้องเธอเท่านั้นเอง เพราะท้ายที่สุดนี้ ฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความตาย” หยุนจีกล่าว
“อาจารย์ของกู่ฉิงซานจะตายอย่างงั้นหรือ?” แขนจักรกลถาม เขาเริ่มรู้สึกสนใจ
หยุนจี “ไม่ใช่เธอ แต่เป็นพวกเราต่างหาก”
“พวกเรา…?” พี่หมีอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่ มีอะไรบางอย่างกำลังมุ่งตรงเข้ามาหาพวกเรา และทุกคนมีโอกาสที่จะตายเพราะมัน ดังนั้นฉันเลยอยากจะช่วยเธอล่วงหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรค ในระหว่างที่ไม่มีใครคอยปกป้องเธอ ฉันเลยเลือกที่จะช่วยเธอล่วงหน้า” หยุนจีอธิบาย
ทันทีที่เสียงนี้ตกลง อีกเสียงหนึ่งที่หวีดแหลมก็ร้องดังขึ้น
มันคือเสียงนกหวีดที่กระจายไปตลอดทั้งสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น
“นั่นมันสัญญาณเตือนภัยเต็มรูปแบบ?” เฉินหยางอุทานด้วยความประหลาดใจ
“อย่าล้อเล่นน่า ถ้ามันคือสัญญาณเตือนภัยเต็มรูปแบบจริง นั่นหมายความว่าพนักงานทุกคน จากทุกแผนกจะต้องหยุดมือจากสิ่งที่ทำ และเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ทันที…นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่” พี่หมีตะโกน
ทันใดนั้นเองสีหน้าของแต่ละคนก็กระตุกวูบ ทั้งหมดเร่งดึงหนังสือพิมพ์ออกมาจากร่างกายทันที
เห็นแค่เพียงหนังสือพิมพ์ที่ว่างเปล่า ค่อยๆ ถูกเติมแต่งด้วยบรรทัดข้อความและภาพปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
มันเป็นภาพของปืนกลมือ
ไม่ทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับมัน ชิ้นส่วนของปืนกลถูกจับแยกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กระทั่งปากกระบอกปืนก็หักงอ กระจายอยู่เต็มพื้น
บนพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์เขียนไว้เพียงสองบรรทัด…
“ทีมสำรวจสถาบันเทพของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงทั้งหมดถูกทำลาย!”
“ก่อนตาย พวกเขาได้ส่งคำเตือนสุดท้ายมาว่า นี่คือการดำรงอยู่ที่น่าหวาดกลัวและแปลกประหลาดที่สุดในโลกเก้าร้อยล้านชั้น มันจะต้องถูกทำลายลงในทันที! โดยเร็วที่สุด!”
หลายคนกวาดสายตาอ่านหนังสือพิมพ์ ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงันไปครู่
พวกเขาเป็นตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการที่พบเผชิญกับประสบการณ์ต่างๆ มามากมาย แต่ในช่วงเวลานี้ กลับบังเกิดถึงความโศกเศร้าที่มองไม่เห็นเข้าปกคลุมพวกเขา
“ปืนกลตายแล้ว” เฉินหยางกล่าวเสียงต่ำ
“ใช่ ไม่คิดเลยว่านี่จะเป็นเรื่องจริง ทั้งๆ ที่มันแข็งแกร่งถึงขนาดนั้นแท้ๆ แต่กลับต้องตายลงอย่างกะทันหัน” แขนจักรกลกล่าว
เสียงของผู้หญิงที่ดูสูงศักดิ์เริ่มประกาศดังออกไปทั่วทั้งสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น
“ทุกคนโปรดทราบ”
“ทุกคนโปรดทราบ”
“สงครามใกล้เข้ามาแล้ว”
“ระดับชั้นโลกของสถาบันเทพถูกแยกออกจากมิติเดิม และมันกำลังมุ่งหน้าไปยังทางตอนใต้ของยี่สิบเจ็ดชั้นโลกของเรา”
“ทุกคนโปรดเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ด้วย”
“ขอย้ำ ทุกคนโปรดเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้!”
จ้าววงการทั้งสี่รับฟังอย่างเงียบๆ
“ท่านหญิงแบล็กซีถึงขั้นประกาศคำเตือนด้วยตัวเอง ดูเหมือนว่าสถานการณ์มันจะเป็นเรื่องร้ายแรงจริงๆ”
“ยี่สิบเจ็ดชั้นโลกทางใต้ของพวกเรา…ก็ไม่ไกลมากนะ ที่ตรงนั้นมันมีอะไรอยู่กันแน่?” แขนจักรกลเอ่ยถาม
“สำนักงานใหญ่ของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง” เฉินหยางตอบ
ช่วงเวลานั้นเอง สองพนักงานได้วิ่งตรงมายังทั้งสี่
“ท่านผู้ทรงเกียรติ การประชุมระดับสูงกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ขอพวกท่านได้โปรดเข้าร่วมประชุมในทันทีด้วย” พวกเขากล่าวด้วยความนอบน้อม
“เข้าใจแล้ว เจ้าไปตามคนอื่นๆ เถอะ ส่วนพวกเราจะไปทันที” เฉินหยางกล่าว
“รับทราบ!”
แล้วสองพนักงานก็วิ่งจากไป
ในขณะนี้ บริเวณโดยรอบไม่มีใครอยู่อีกต่อไป เฉินหยางหันมามองหยุนจี สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความน่าเกรงขามอย่างเป็นประวัติการณ์
เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “จ้าวแห่งหมอก ผู้คุ้มภัยแห่งโชคชะตาลี้ลับ ภัยพิบัติแห่งอาณาจักรทั้งมวล นายหญิงหยุนผู้สูงศักดิ์ เวลานี้ ข้าขอถามเจ้าถึงความลับที่เจ้าเก็บกุมเอาไว้ ว่าเราทั้งหลายนั้นมีโอกาสจะรอดพ้นจากความตายหรือไม่”
หยุนจีที่ทั้งกายซ่อนอยู่ในชุดคลุมดำ จู่ๆ ก็มีหมอกหนารายล้อมรอบตัวเธอทันที
เมื่อเฉินหยางทำการไต่ถามอย่างเป็นทางการ สองเสียงก็ดังออกมาจากในชุดคลุมพร้อมกัน
มันเป็นเสียงที่เย็นชาและไร้อารมณ์ เป็นสองเสียงของหยุนจีที่เอ่ยออกมาในห้วงอารมณ์ที่ต่างกัน
…………………………………………….
ก่อนที่กู่ฉิงซานจะทันได้ถามประโยคนี้ สภาพแวดล้อมโดยรวมก็เงียบงันลงไปแล้ว
ขณะเดียวกัน เอกสารฉบับใหม่ในมือของพนักงานก็กำลังคลี่ออกอย่างช้าๆ
เอกสารนี้ถูกขีดเขียนไว้ด้วยตัวอักษรมากมาย ยามเมื่อถูกคลี่โดยสมบูรณ์ โดมโปร่งใส่ก็กระจายออกจากมัน เข้าปกคลุมรอบตัวเขา รวมไปถึงเซี่ยเต๋าหลิงและจ้าววงการคนอื่นๆ
แผนกกิจการอาชีพโลกที่ฟุ้งไปด้วยเสียงดัง บัดนี้ถูกตัดขาดออกไปอยู่ภายนอก
พนักงานกระแอมและกล่าว “ตามมาตราเจ็ดสิบเจ็ด ของบทที่ห้า วรรคที่สี่ แห่งสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น ระบุเอาไว้ว่า สถานะผู้หวนคืนจะต้องถูกเก็บเป็นความลับ จะต้องได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนที่ดีในระดับหนึ่ง”
“ขอทุกท่านโปรดใช้เจตจำนงจิตวิญญาณของตนในการทำข้อตกลงเพื่อรักษาความลับนี้ด้วย”
พนักงานส่งเอกสารให้เฉินหยาง “พี่ใหญ่ ได้โปรดให้ความร่วมมือด้วย”
“แน่นอน เพราะนั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น” ขณะกล่าว เฉินหยางก็ยื่นนิ้วออกไป และเคาะลงบนเอกสารด้วยความสุข
อีกสามจ้าววงการก็ยื่นมือออกไปสัมผัสลงบนเอกสารเช่นกัน
เซี่ยเต๋าหลิง หนิงเยว่ฉาน และเหลิงเทียนสิงก็กดมือลงบนเอกสาร
พนักงานเก็บเอกสารอย่างระมัดระวัง เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาจึงค่อยผ่อนคลายลง
เขาหันไปทางกู่ฉิงซานและกล่าว “ตอนนี้ ผมจะอธิบายถึงสถานะของคุณอย่างเป็นทางการ…”
“รบกวนด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว
พนักงานกำลังจะเอ่ยปาก แต่ก็ถูกหยุดไว้โดยเฉินหยางเสียก่อน
“เจ้าทำหน้าที่แค่นี้ก็พอแล้ว ในเมื่อคนอื่นๆ ต่างก็ลงนามรักษาความลับ” เฉินหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้น ไอ้คำพูดที่ดูเป็นทางการน่ะไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะท้ายที่สุดนี้ แม้เจ้าจะพยายามใช้คำลวงกู่ฉิงซานอย่างไร สุดท้ายข้าก็ต้องบอกความจริงแก่เขาในภายหลังอยู่ดี”
พนักงานยิ้มอย่างขมขื่นและหุบปากลง
เฉินหยางกอดอก พลางกล่าวกับกู่ฉิงซาน “เจ้าทราบเรื่องที่เหล่าทวยเทพได้สร้างโลกขึ้นมาหรือไม่?”
“ผมพอจะรู้มาบ้าง” กู่ฉิงซานตอบตามตรง
เฉินหยาง “ในสมัยโบราณกาล ก่อนที่เทพวิญญาณจะสร้างโลกขึ้น เดิมทีมันมีโลกที่พิเศษจำนวนหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว มันก็ต้องเป็นเช่นนั้นน่ะซี เพราะอย่างไรเสีย ในยุคโบราณ ทวยเทพก็ไม่ได้ปรากฏตัวมาจากในความว่างเปล่าเสียหน่อย แต่พวกเขานั้นมีที่อยู่อาศัยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“โลกเหล่านั้นเป็นดินแดนของเทพวิญญาณ นอกเหนือไปจากเทพวิญญาณแล้ว ก็มีเฉพาะเพียงตัวตนที่แข็งแกร่งและได้รับความโปรดปรานจากเทพวิญญาณเท่านั้น ถึงจะได้รับเชิญจากเทพ ให้ไปยังโลกที่ว่า เดินทางมายังโลกอันเจริญรุ่งเรืองภายใต้การคุ้มครองของเหล่าทวยเทพ”
“ถึงแม้ว่าผู้แข็งแกร่งเหล่านี้จะไม่ใช่ลูกหลานของทวยเทพ แต่เนื่องจากความสามารถอันยอดเยี่ยม และอำนาจอันทรงประสิทธิภาพ ผสานไปกับการได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ได้เปรียบ ส่งผลให้ความสามารถของพวกเขาทวีมากขึ้น มีอำนาจมากขึ้น ไปไกลเกินกว่าที่คนทั่วไปจะสามารถเข้าใจได้”
“ในยุคนั้น โลกของเทพวิญญาณและโลกเก้าร้อยล้านชั้นยังคงเชื่อมต่อกัน และตราบใดที่ได้รับอนุญาตจากเทพวิญญาณ ไม่ว่าใครก็จะสามารถข้ามผ่านไปมาระหว่างโลกของเทพวิญญาณกับโลกตนเองได้”
“แต่ภายหลัง เมื่อวันสิ้นโลกได้มาถึง เทพวิญญาณได้หายตัวไป โลกเหล่านั้นก็ถูกตัดขาดการเชื่อมต่อออกไปเช่นกัน”
“ผู้คนที่อาศัยอยู่ในโลกเทพวิญญาณไม่สามารถออกมาได้ ขณะเดียวกันคนนอกก็ไม่สามารถเข้าไปได้”
“มีคนกล่าวกันว่า ผู้ที่อยู่ในโลกเทพวิญญาณ จักสามารถหลบลี้จากวันสิ้นโลก และใช้ชีวิตเป็นอยู่ที่ดีได้”
“อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีผู้คนบางส่วนในโลก ได้ใช้วิธีการที่พิเศษบางอย่าง สังเกตเห็นถึงหายนะของโลกเก้าร้อยล้านชั้น ค้นพบว่าโลกนับล้านล้านใบได้ถูกทำลายลง สิ่งมีชีวิตมากมายต้องประสบกับความทุกข์ทรมาน”
“จึงเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขึ้น”
“บางคนรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ภายนอก เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเขา เพียงแค่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในโลกที่เทพวิญญาณทิ้งไว้ก็เพียงพอแล้ว”
“ขณะที่บางคนคิดว่าสิ่งนั้นมันหาได้ส่งผลดีไม่ เพราะสุดท้ายแล้วโลกของเทพวิญญาณก็คงไม่อาจหลบหนีจากโชคชะตา ยิ่งไปกว่านั้น ในโลกภายนอกยังมีทั้งเรื่องที่เขากังวล หรือผู้คนที่เขายังคงห่วงใย”
“ด้วยเหตุนี้เอง ฝ่ายหลังจึงต้องการที่จะหลบหนีออกจากโลกเทพ ต้องการที่จะกลับเข้าสู่โลกเก้าร้อยล้านชั้น เพื่อต่อสู้ร่วมกันกับเรา ช่วยกันฟันฝ่าวิกฤต”
“ทว่าโลกของเทพวิญญาณนั้นได้ถูกตัดขาดไปแล้วโดยสมบูรณ์ มันไม่มีใครนอกเหนือไปจากเทพที่จะสามารถเปิดช่องว่างมิติ เพื่อให้พวกเขาสามารถกลับมายังโลกเก้าร้อยล้านชั้นได้อีกครั้ง”
“ทว่าท้ายที่สุด ก็มีผู้หลักแหลมคนหนึ่งที่สามารถคิดค้นวิธีการหนึ่งขึ้นมาได้”
“นั่นคือ ‘การส่งจิตวิญญาณกลับมาเกิดใหม่’ แยกจิตตนออกจากร่างกาย เพื่อออกไปค้นหาสถานที่ที่จะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งท่ามกลางโลกเก้าร้อยล้านชั้น”
“แต่ข้อเสียของการกลับมาเกิดใหม่ก็คือ จิตวิญญาณจะถูกผนึกความทรงจำเอาไว้ชั่วคราว และความสามารถทั้งหมดจะถูกสลายไป มีเพียงจิตบริสุทธิ์เท่านั้นจึงจะสามารถมาเกิดใหม่ในโลกได้”
“ผู้ที่มีประสบการณ์เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณจะมีลักษณะเฉพาะบางอย่างต่างออกไป อย่างเช่น มีความปรารถนาอันแรงกล้าและยาวนาน สามารถข้ามผ่านไปมาระหว่างหนึ่งถึงสองโลกได้ มีความเกี่ยวข้องกันกับสิ่งประดิษฐ์เทวะที่ทรงพลัง มีความสามารถพิเศษดั่งได้รับการประทานพรจากเหล่าทวยเทพ แต่ก็มีน้อยคนนัก ที่หลังจากจิตวิญญาณกลับมาเกิดใหม่ แล้วจะสามารถปลดผนึกความทรงได้เลยในทันทีที่ปรากฏตัว!”
“คนเหล่านี้ที่กลับชาติมาเกิดจากโลกเทพวิญญาณ พวกเราจะเรียกกันว่าผู้หวนคืน”
“เมื่อเติบใหญ่ พวกเขาจะเข้าสู่สถานะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว”
“ผู้หวนคืนน่ะคือคนที่ยินยอมละทิ้งชีวิตที่มั่นคงในโลกเทพวิญญาณ และหันมาอุทิศตนเพื่อโลกเก้าร้อยล้านชั้น เป็นตัวตนที่น่านับถือ และยังเป็นผู้ช่วยเหลือที่ทรงพลังอีกด้วย”
“กล่าวโดยสรุปแล้ว โลกเก้าร้อยล้านชั้นน่ะยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อนรับผู้หวนคืน!”
เฉินหยางมองดูกู่ฉิงซาน และกล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้ม
สายตาของเขาในเวลานี้ มันไม่เหมือนกับการมองน้องชายคนเล็กของพี่ใหญ่อีกต่อไป แต่มันเป็นสายตาที่มองดูชายผู้แข็งแกร่งในฐานะที่เท่าเทียมกัน
และสายตาของจ้าววงการคนอื่นๆ ก็มองเขาเฉกเช่นเดียวกัน
กู่ฉิงซานหันไปมองนางเซียนไป่ฮั่วด้วยความสับสน
ก่อนหน้านี้ นางเซียนเองก็ต้องการที่จะบอกเขาถึงความลับเกี่ยวกับผู้หวนคืนเช่นกัน แต่เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวที่สาวกคนอื่นๆ อยู่ นางจึงมิได้กล่าวมันออกไป และหันไปพูดอย่างอื่นแทน
นางเซียนไป่ฮั่วพยักหน้าให้เขา
“ถูกต้องแล้ว ฉิงซาน มันเป็นไปได้มากทีเดียวที่เจ้าจะเป็นผู้หวนคืน เพราะเจ้ามีความผูกพันกับโลกเทวะ” เซี่ยเต๋าหลิงสารภาพ
แรกเริ่มเดิมที โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์น่ะมันไม่มีชื่อ จนกระทั่งหลังจากที่ได้ผสานรวมเข้ากับโลกเทวะ ผู้คนในโลกจึงค่อยตระหนักได้ว่าโลกของตนจำเป็นต้องมีชื่อเรียก เพื่อที่จะได้สามารถแยกความแตกต่างกับโลกอื่น
ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์จึงไม่เสียเวลาคิดให้มากความ พวกเขาเลยเรียกโลกของตนเองหลังจากการผสานรวมว่าโลกเทวะโดยตรง
กู่ฉิงซานรับฟังเฉินหยางและเซี่ยเต๋าหลิงอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เขาอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึก
ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดปกติกับเรื่องนี้
เห็นได้ชัดว่าในชีวิตก่อนหน้า เขากำลังจะตายในสงคราม แต่จู่ๆ ก็ถูกส่งกลับมาจุติ แล้วทำไมเขาถึงถูกเข้าใจว่าเป็นผู้หวนคืนกันนะ?
หรือว่าการตรวจสอบสถานะของท่านหญิงแบล็กซีจะผิดพลาดกันแน่?
แต่เธอแข็งแกร่งกว่าเฉินหยางนี่นา ดังนั้นมันไม่ควรที่จะผิดพลาดสิ
อีกอย่าง เขาก็จดจำสิ่งต่างๆ ในชีวิตก่อนหน้าของตนได้อย่างชัดเจน
เขาไม่เคยอาศัยอยู่ในโลกเทพวิญญาณเสียหน่อย!
…ใช่แล้วล่ะ
ตนนึกออกแล้ว ว่าในช่วงระหว่างการคัดเลือกคุณสมบัติของหน้าใหม่ คล้ายกับว่ามีเสียงของผู้หญิงกำลังพูดกับตัวเอง
ว่าแต่คนๆ นั้นเป็นใครกัน ใช่ท่านหญิงแบล็กซีหรือไม่?
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไป แตะลงบนดาบยาวตรงเอว
ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา
ฉานนู่สามารถแหกทุกกฎเกณฑ์ได้
แม้จะไม่แน่ใจ แต่บางทีฉานนู่อาจจะได้ยินได้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ได้
แต่ตอนนี้ มันไม่ใช่เวลาที่จะมาสอบถามถึงมัน เอาไว้เขาอยู่คนเดียวเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน
กู่ฉิงซานเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เขาก็มิได้เผยท่าทีใดๆ เลย เพียงแสดงออกถึงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยเท่านั้น
ซึ่งการแสดงออกและห้วงอารมณ์ดังกล่าว มันสอดคล้องกับปฏิกริยาที่เขาควรจะแสดงออกมา
“เอาล่ะ” พนักงานกล่าว “ในเมื่อทุกท่านได้ลงนามข้อตกลงทางจิตวิญญาณกันแล้ว ฉะนั้น ไฟล์ส่วนตัวของกู่ฉิงซานก็จะถูกอัพเกรดให้ไปเป็นระดับ ‘ความลับ’ และคนส่วนใหญ่จะไม่ได้รับอนุญาตให้อ่านมัน”
เขาหยิบไพ่สามใบออกมา แล้วส่งสองใบให้แก่กู่ฉิงซานและหนิงเยว่ฉานตามลำดับไพ่ ขณะที่อีกใบหนึ่งสะบัดไปในความว่างเปล่าและหายไป
“หน้าใหม่ทั้งสามจะได้รับไพ่หน้าใหม่ การคัดกรองหน้าใหม่อาชีพผู้ฝึกยุทธ์ได้สิ้นสุดลงแล้ว”
พนักงานกล่าวกับเซี่ยเต๋าหลิงและคนอื่นๆ
เขาโค้งคำนับแก่เฉินหยางและเหล่าจ้าววงการ “หากไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมคงต้องขอตัวก่อน”
“อืม ไปเถอะ เพราะเจ้าเป็นคนขยันแบบนี้นี่เอง งานมันถึงได้ออกมาดี” เฉินหยางหัวเราะ
“ว่าแต่ไพ่มันนี้จะใช้งานมันได้อย่างไรกัน?” หนิงเยว่ฉานถามด้วยความสงสัย
“เมื่อคุณกล่าวชื่อของตัวเองออกไปในเวลาที่ถือมัน มันจะพาคุณข้ามผ่านโลกนับล้านล้านใบ ตรงไปยังสถานีด่านหน้าของดินแดนชิงอำนาจโดยตรง” พนักงานหันกลับมาอธิบาย
“ด้วยไพ่ใบนี้น่ะหรือ?” หนิงเยว่ฉานถามย้ำอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ถูกต้อง สถานีด่านหน้าคือโลกมิติอนันต์ ซึ่งเป็นของสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้นที่ถูกเชื่อมต่อไว้กับไพ่ใบนี้”
“และคุณจะต้องไปรายงานตัวภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง”
หยุนจีมองหนิงเยว่ฉานและเตือน “อา…สาวน้อย ฉันรู้สึกถูกชะตากับเธอจัง ดังนั้นเลยอยากจะขอเตือนอะไรสักประโยคหนึ่ง”
“อาวุโสเชิญกล่าว” หนิงเยว่ฉานประสานกำปั้นด้วยความเคารพ
“จงอย่าดูถูกไพ่ ห้ามดูถูกผู้ใช้ไพ่โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นเธอจะต้องประสบกับปัญหา และรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่สบประมาทอีกฝ่ายไปในก่อนหน้านี้” หยุนจีกล่าว
เฉินหยางไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เขาเอ่ยเสริม “และเจ้าควรจะอยู่ให้ห่างจากผู้ใช้ไพ่ พวกเขามักจะหลงตัวเอง และวิปลาส”
“พวกเขามักจะจัดการสิ่งต่างๆ จากในมุมมองของตัวเอง และไม่เคยคิดถึงคนอื่นๆ เลย” แขนจักรกลอดไม่ได้ที่จะกล่าว
“และหลังจากที่พวกเขาได้ทำในสิ่งที่ตนต้องการแล้ว พวกเขาจะรู้สึกว่ามันช่างสมบูณณ์แบบ แต่เชื่อฉันเถอะ หนูจะไม่รู้สึกยินดีในสิ่งที่พวกเขาทำหรอก” พี่หมีว่าต่อ
จ้าววงการทั้งสี่กล่าวจบ ทั้งหมดต่างก็ถอนหายใจ มองกันและกันอย่างเข้าอกเข้าใจ
“…” หนิงเยว่ฉาน
“ผู้น้อย…จะจดจำไว้” เธอประสานกำปั้นให้อีกฝ่าย
จ้าววงการทั้งสี่ถึงกับเตือนเป็นเสียงเดียวกัน เรื่องนี้จึงถูกประทับลึกลงในจิตใจของหนิงเยว่ฉานทันที
หากกระทั่งตัวตนทรงอำนาจก็ยังต้องทนทุกข์กับมัน เธอก็จะระมัดระวังให้ถึงที่สุด
‘ผู้ใช้ไพ่’
ตนเองจะไม่ญาติดีกับผู้ใช้ไพ่โดยเด็ดขาด!
กู่ฉิงซานมองอาจารย์ตน ก่อนจะหันไปมองเหล่าจ้าววงการอีกครั้งและกล่าวลา “เช่นนั้นพวกเราคงต้องไปแล้ว”
เซี่ยเต๋าหลิงกระตุ้นเตือน “อืม หลังจากเจ้าไป จงจดจำเอาไว้ว่าหากพบเผชิญกับอันตรายจริงๆ ก็ขอให้หลบหนีเสีย เพราะในสถานที่อย่างเช่นดินแดนชิงอำนาจ ตราบใดที่เจ้าสามารถรอดชีวิตไปได้ จะวิธีการใดมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายใดๆ”
“อาจารย์เจ้าพูดถูกแล้วนะ” เฉินหยางตบไหล่เขา “แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้หวนคืนก็ตาม แต่ความทรงจำของเจ้ายังไม่ตื่นขึ้น ดังนั้นจะเป็นการดีที่สุดที่จะไม่ประมาท เพราะถ้าตาย ทุกอย่างก็เป็นอันจบ”
จ้าววงการคนอื่นๆ พยักหน้า
หยุนจีกล่าว “หากมันไม่ไหวจริงๆ ก็ใช้ด้ายมิติของเสี่ยวเหมียว หนีกลับไปยังสมาคมกำปั้นเหล็กได้เลย”
“พวกเราสมาคมกำปั้นเหล็กไม่มีใครถอยหนีกันหรอก” กู่ฉิงซานตบลงบนหน้าอกเขา
“แม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ถึงตายก็ไม่คิดจะหนีหรือ?” หยุนจีถาม
กู่ฉิงซานกล่าวเด็ดขาด “แน่นอนว่าจะไม่หนี…ยกเว้นในกรณีที่ทางสมาคมมีเรื่องเร่งด่วนต้องจัดการ ผมถึงจะรีบกลับไปในทันที”
กู่ฉิงซานยิ้ม และหันไปมองหนิงเยว่ฉาน
หนิงเยว่ฉานพยักหน้า
ทั้งสองกำไพ่ในมือ และเอ่ยปากพร้อมกัน
หนิงเยว่ฉาน “ข้าหนิงเยว่ฉาน”
กู่ฉิงซาน “ข้ากู่ฉิงซาน”
พริบตานั้นรังสีแสงก็สาดออกมาจากตัวไพ่ทันที ห่อหุ้มกายเขาและเธอ หายวับไปจากแผนกกิจการอาชีพโลก
…………………………………………….
ภายใต้ทะเลลึกที่เต็มไปด้วยความมืดมิด
ในสถานที่ซึ่งความเงียบงันได้ปกคลุมตลอดทั้งเดือนปี
ในสถานที่ซึ่งมิติและเวลาคล้ายกับจะถูกตัดขาดออกจากกัน
ท่ามกลางความมืดมิด ทุกอย่างดูสับสนและวุ่นวาย มิอาจมองหรือแยกแยะในสิ่งที่เห็นได้
ทันใดนั้นเอง จุดดวงไฟกว่าห้าหมื่นแปดพันหกร้อยแปดสิบดวงก็พลันส่องสว่างขึ้น
แต่ละจุดดวงไฟเหล่านี้คือสิ่งที่ใช้แสดงตัวตนของผู้ฝึกยุทธ์
แสงสวรรค์เรืองรองสลัวๆ เล็ดลอดออกมาจากพวกเขา เปล่งประกายออกไปทุกทิศทาง
แม้ว่าแสงสวรรค์นี้จะอ่อนแอ ทว่าสำหรับในทะเลลึกอันมืดมิดแล้ว มันก็เพียงพอที่จะส่องให้เห็นถึงใบหน้าของพวกเขา
ทุกผู้คนต่างหลับตาสนิท คล้ายกับถูกสะกดจิตให้อยู่ในสภาวะหลับลึก
เกือบจะในทันที จุดดวงไฟกว่าห้าหมื่นแปดพันหกร้อยแปดสิบที่ส่องสว่าง ก็เริ่มต้นที่จะสั่นไหว
คล้ายกับดวงไฟในเชิงเทียนที่มีคนมาเป่าลมใส่พวกมัน
ถัดมา ดวงไฟส่องไสวมากมายก็มิอาจทานทนต่อแรงลมนี้ได้อีกต่อไป มันค่อยๆ ทยอยกันดับวูบลงอย่างรวดเร็ว
ห้าหมื่นแปดพันหกร้อยแปดสิบ
สี่หมื่นหนึ่งพันเก้าร้อยหกสิบเอ็ด
สามหมื่น
หนึ่งหมื่นห้าสิบ
สี่สิบ
สาม!
ไม่นานนัก ภายใต้ทะเลลึกอันมืดมิด จุดดวงไฟเกือบทั้งหมดก็ดับลง หลงเหลือเพียงสามจุดแสงเท่านั้น
เสียงของผู้หญิงที่ฟังดูประหลาดใจเล็กน้อยดังออกมาจากห้วงทะเลลึก
“เอ? ทั้งๆ ที่โลกด้านฝึกยุทธ์ถดถอยมาเป็นเวลานานมากแล้วแท้ๆ แต่ในเวลานี้ กลับปรากฏหน้าใหม่ที่แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน นี่มันเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ…”
“เอาล่ะ ถึงเวลาที่จะตรวจสอบตัวตนของพวกเขาแล้ว…”
พร้อมกันกับเสียงนี้ หนึ่งในสามจุดดวงไฟก็ส่องสว่างขึ้น เผยให้เห็นถึงทั้งร่างของผู้ฝึกยุทธ์โดยสมบูรณ์
ปรากฏถึงร่างของผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์ที่สวมใส่เกราะรบสีแดง
“อืม ต้นกล้าแห่งนักสู้หวูเต๋าที่ดี มีสถานะผู้บริสุทธิ์ เจ้าตัวเหมือนว่าจะฟันฝ่าการต่อสู้สาหัสมานานปี ดังนั้นหากคนๆ นี้ได้เข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ เขาก็น่าจะมีโอกาสสูงที่จะรอดชีวิต”
เสียงของผู้หญิงกังวานเบาๆ
ทันใดนั้นรุ่นเยาว์ที่ว่าก็หายวับไปจากห้วงทะเลลึก
จากนั้น จุดดวงไฟที่สองก็ส่องไสว ปรากฏให้เห็นถึงพลังวิญญาณอันอุดมสมบูรณ์ที่แผ่ออกมาจากร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์คนถัดมา
นี่คือผู้ฝึกยุทธ์หญิงที่สวมเกราะรบสีขาวหิมะ และในมือก็ยังกุมกระบี่ยาวสีหิมะเช่นกัน
“ผู้ฝึกยุทธ์หญิงที่ใช้กระบี่? สถานะผู้บริสุทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นตัวตนที่แสนพบเจอได้ยากยิ่ง…”
“มีความสำเร็จถึงเพียงนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย นี่มันน่าสนใจจริงๆ สมควรแล้วที่เจ้าได้รับเลือกให้ไปตะลุยยังดินแดนชิงอำนาจ”
เสียงของผู้หญิงแสดงออกถึงความสุขเล็กน้อย เธอกล่าวประเมินด้วยรอยยิ้ม
และร่างของหนิงเยว่ฉานก็หายวับไปจากห้วงทะเลลึก
จุดดวงไฟหนึ่งเดียวที่เหลือส่องสว่างขึ้น เผยให้เห็นถึงร่างของผู้ฝึกยุทธ์คนสุดท้าย
ปรากฏให้เห็นถึงชุดเกราะรบสีดำ ในมือแต่ละข้างกุมดาบคนละเล่ม โดดเด่นสะดุดตาด้วยเกราะหน้าสีทองคำ
นี่คือผู้ฝึกดาบ
เขายืนนิ่งงันอยู่ท่ามกลางห้วงทะเลอันมืดมิด ยามเมื่อถูกสวมทับด้วยเกราะรบนี้ ส่งผลให้คนที่อยู่เบื้องหลังมันแลดูคล้ายกับปีศาจที่คงกระพัน
แสงสวรรค์เรืองรองเล็ดลอดออกมาจากร่างของเขา ขับไล่ความมืดมิดรอบตัว
ทว่าคราวนี้ แม้ผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ยินถึงเสียงของผู้หญิง
ขณะเดียวกัน ในส่วนของมหาสมุทร จู่ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
กระแสน้ำวนในมหาสมุทรเริ่มปรากฏ มันกระชากไปมา ก่อตัวเป็นวง ล้อมรอบกายของผู้ฝึกดาบ ขจรขจายออกไปอย่างไม่รู้จบ
แล้วความมืดมิดทั้งหมดก็กระจายหายไปอย่างรวดเร็ว
ความมืดมิดที่มิอาจมีใครล่วงรู้ได้ว่ามันปกครองโลกใบนี้มากี่ปี ทว่าบัดนี้มันจางหายไปอย่างสมบูรณ์
ตลอดทั้งผืนทะเลกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มดูน่าหลงใหล
ในน้ำสีน้ำเงินเข้ม ผู้ฝึกยุทธ์ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม ใจกลางของกระแสน้ำวน
เขาถูกแช่อยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็ปรากฏถึงมือหยกเขียวยื่นออกมาจากทะเลสีน้ำเงิน
มือนี้กดลงบนเกราะหน้าของผู้ฝึกดาบ และดึงมันออก
ใบหน้าของผู้ฝึกดาบปรากฏขึ้นในห้วงทะเล ภายใต้แสงสีฟ้าบริสุทธิ์ รูปลักษณ์ตลอดทั้งใบหน้าได้เผยโฉมออกมา
นิ่งงันไปครู่หนึ่ง
มือหยกที่ดึงเกราะหน้าออกได้วางมันลง และปล่อยให้เกราะหน้าไหลไปตามกระแสคลื่น
มือหยกได้เหยียดออกมาอีกครั้ง และสัมผัสลงบนใบหน้าของกู่ฉิงซาน
แล้วเสียงของผู้หญิงก็ดังขึ้นอีกครา
“เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานจนเกินไปได้”
“ข้าจะช่วยพรางตนให้ เพื่อเป็นการปกป้องเจ้า”
“และเพื่อเป็นการตอบแทนที่ข้าช่วยเหลือ หวังว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุดนะ…”
“กู่ฉิงซาน!”
เกราะหน้ากลับมาประกบติดเหนือใบหน้าเขาดังเดิม
ปัง!
กระแสน้ำวนแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นมหึมา โถมผ่านใส่กู่ฉิงซาน เข้าห่อหุ้มทั้งตัวเขา และหายไปในทันที
มหาสมุทรสีน้ำเงินเข้มได้กลับคืนสู่ความมืดมิดอย่างรวดเร็ว
ทะเลสีดำได้กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
ราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ มิได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ณ สหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น
ในส่วนของแผนกกิจการอาชีพโลก
เฉินหยางและคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่นั่น และเฝ้ารอมาสักพักแล้ว
“เหมือนกับว่าจะช้ากว่าปกติรึเปล่า?” เฉินหยางกล่าว
พนักงานยิ้ม “ช้ากว่าปกติจริงๆ แต่นี่แสดงให้เห็นว่าบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ในครั้งนี้สามารถดึงดูดความสนใจจากท่านหญิงแบล็กซีได้”
“สถานการณ์เช่นใดกันที่นำไปสู่การดึงดูดความสนใจของท่านหญิงแบล็กซี?” เซี่ยเต๋าหลิงเอ่ยถาม
เธออดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล เพราะท้ายที่สุดนี้ ทั้งสามคนที่มาด้วยกัน มาจากการตัดสินใจเลือกของเธอเอง
และตัวกู่ฉิงซานเองก็ยังเป็นหนึ่งในนั้นอีกด้วย
“ผ่อนคลายเถอะ ถ้าจะให้พูดโดยทั่วไปแล้ว นี่มันเป็นสิ่งที่ดีนะ” หยุนจีปลอบ
พนักงานยังคงยิ้มและกล่าว “ใช่แล้วครับ เฉพาะหน้าใหม่ที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น ถึงจะสามารถดึงดูดความสนใจของท่านหญิงแบล็กซีได้ ท่านอาจจะสังเกตเห็นถึงตัวตนที่ยอดเยี่ยมมาปรากฏขึ้นในครั้งนี้ก็ได้”
“นอกจากนี้ ท่านหญิงแบล็กซียังสามารถช่วยตรวจสอบ ‘สถานะ’ ของหน้าใหม่ได้อีกด้วย และหากมีปัญหาใดๆ ท่านจะแจ้งให้พวกเราทราบทันที”
ช่วงเวลานั้นเอง ไฟสีฟ้าสามดวงก็กระพริบไหว
กู่ฉิงซาน หนิงเยว่ฉาน และเหลิงเทียนสิงกลับมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง
โดยในมือของแต่ละคน กำลังกุมหมายเลขที่แตกต่างกันออกไป
ในมือของเหลิงเทียนสิง มันกุมไว้ด้วยเลข ‘ห้า’ หนิงเย่วฉานเป็นเลข ‘สอง’ ของกู่ฉิงซานคือ ‘หนึ่ง’
แม้จะเป็นตัวเลขเหมือนกัน แต่ความแตกต่างก็คือเลขในมือของเหลิงเทียนสิงเป็นสีเทา ในขณะที่ของกู่ฉิงซานและหนิงเยว่ฉานกำลังเปล่งประกาย
เฉินหยางพอได้เห็นมันก็หัวเราะออกมา
“ฮะฮ่า! ฉิงซาน เจ้าเป็นอันดับหนึ่งจริงๆ ข้าว่าแล้วเชียวว่าแบรี่จะต้องไม่มองคนผิดไป” เขาตะโกนเสียงดัง
กู่ฉิงซานตกใจ และก้มลงมองดูเลขในมือของตนเองด้วยความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ตนยังไม่ได้ทำอะไรเลย นี่มันเสร็จสิ้นการคัดกรองแล้วงั้นหรือ?
ระหว่างนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าตัวเอง และพูดอะไรบางอย่าง
แต่เขาไม่สามารถจดจำคำพูดของอีกฝ่ายได้เลย แม้กระทั่งรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายก็ยังเลือนราง
เธอเอ่ยอะไรกับตนกันแน่นะ?
กู่ฉิงซานพยายามย้อนทวนคิดถึงมันอย่างหนัก
เซี่ยเต๋าหลิงมองเหลิงเทียนสิงและกล่าว “จงอย่าท้อแท้ไป เจ้าอยู่ในอันดับที่ห้าก็จริง แต่มันคืออันดับห้าในหมู่รุ่นเยาว์ที่โดดเด่นทั้งหมด! จงฝึกปรือให้หนักขึ้น และมาพยายามอีกครั้งในคราวหน้า”
เหลิงเทียนสิงยิ้มอย่างขมขื่น ทว่าขณะเดียวกันก็ทั้งรู้สึกยินดีและเศร้าใจ
เศร้าใจที่เขาตกรอบการคัดเลือก
ขณะเดียวกันก็ยินดี เพราะตนไม่คาดหวังเลยว่าความแข็งแกร่งของตนจะอยู่ในอันดับห้า จากในหมู่หน้าใหม่ของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์
หนิงเยว่ฉานก้มลงมองดูเลขสองในมือเธอ แล้วหันไปมองเลขหนึ่งในมือของกู่ฉิงซาน เจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะฉกมือไปกุมกระบี่ยาวตรงเอวตน ในจิตใจหมายที่จะพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงนี้ ทว่าเมื่อมองสถานการณ์โดยรอบแล้ว เธอจึงละทิ้งความคิดนี้ไป
เอาไว้ในภายหลัง ตนค่อยหาเวลามาสู้กับเขาก็ได้…
หนิงเยว่ฉานคิดอย่างเงียบๆ
ในเวลานั้นเอง กระดาษใบหนึ่งก็ค่อยๆ ลอยลงมาตกลงบนสารานุกรมอาชีพเผ่ามนุษย์อย่างแผ่วเบา
พนักงานหยิบกระดาษขึ้นมา และกล่าวด้วยความเคารพลึก “ขอบพระคุณท่านหญิงแบล็กซี”
พนักงานยิ้มด้วยความอึดอัดใจ ‘เรื่องนั้นฉันก็รู้ แต่มันเป็นมารยาทไหม?’
เขาค่อยๆ คลี่กระดาษออกและอ่านมัน “การคัดเลือกหน้าใหม่ในสายอาชีพผู้ฝึกยุทธ์ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว”
“โดยสิ้นเชิง มีหน้าใหม่สามคนที่ผ่านมาตรฐานการเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจ อันได้แก่…”
“กูชางหยุน อันดับสาม ตัวแทนจากโลกเก้าลี้ลับ ผู้ฝึกยุทธ์นักสู้หวูเต๋า หน้าใหม่ สถานะผู้บริสุทธิ์”
“หนิงเยว่ฉาน อันดับสอง ตัวแทนจากโลกเทวะ ผู้ใช้กระบี่ หน้าใหม่ สถานะผู้บริสุทธิ์”
“กู่ฉิงซาน อันดับหนึ่ง ตัวแทนจากโลกเทวะ ผู้ฝึกดาบ หน้าใหม่ สถานะผู้หวนคืน”
ทุกคนพอได้ยินก็เงียบไป ดวงตาของพวกเขาต่างเบนมาตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน
“กลับกลายเป็นว่าเขาคือ ‘ผู้หวนคืน!’ ดวงตาของแบรี่กับเสี่ยวเหมียวช่างแหลมคมจริงๆ ที่เลือกเขาเข้ากับสมาคม” แขนจักรกลกล่าวด้วยความประหลาดใจ
หยุนจีหัวเราะ “ฉันก็อุตส่าห์คิดว่าจะหาโอกาสแกล้งสหายตัวน้อยสักหน่อย แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาจะเป็นผู้หวนคืน”
กู่ฉิงซานได้ยินคนทั้งหลายกล่าวออกมา
เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย “ผู้หวนคืนคืออะไร?”
…………………………………………….
ทันทีที่หลายคนผ่านประตูเข้ามา ก็มีคนออกมาต้อนรับพวกเขา
เป็นชายที่แต่งตัวในชุดมืออาชีพ เขาเอ่ยปากทักทายด้วยความเคารพนอบน้อม “พี่ใหญ่ ถึงขั้นพาคนอื่นๆ มาเป็นการส่วนตัวขนาดนี้ มีเรื่องใหญ่อะไรหรือเปล่า?”
เฉินหยางกล่าว “ก็แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เจ้าน่าจะช่วยจัดการกับมันได้”
“ไม่มีปัญหา ผมจะจัดการให้ทันที วางใจได้เลย” ชายคนนั้นเร่งตอบกลับ
เฉินหยางตบไหล่เขาและยิ้ม “ทัศนคติในการทำงานดีไม่เลวเลยนี่ ข้าชักจะชอบเจ้าเข้าให้แล้ว!”
ชายคนนั้นพอถูกชมก็ปลื้มปีติ เร่งรับคำด้วยรอยยิ้ม “ไม่กล้า! ผมไม่กล้ารับคำชมนี้หรอก”
เขาคว้าไปในอากาศที่ว่างเปล่า เร่งหยิบบัตรประจำตัวออกมาอย่างรวดเร็ว
เขากล่าว “ภายใต้ใบอนุญาตที่หนึ่งร้อยสิบเจ็ด ผู้เชี่ยวชาญหมายเลขสอง ประจำแผนกกิจการอาชีพ โปรดบอกจุดประสงค์ของคุณมา เพื่อให้ทางเราตรวจสอบและยอมรับงานให้อยู่ภายใต้การกิจการของเราอย่างเป็นทางการ”
เซี่ยเต๋าหลิงกล่าว “ข้าเป็นผู้นำของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ จุดประสงค์คือต้องการยื่นรายชื่อคัดกรองสายอาชีพผู้ฝึกยุทธ์ ในการได้รับคุณสมบัติเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจ”
หลังจากที่ได้ฟังอย่างตั้งใจ สีหน้าของชายคนนั้นก็ผ่อนคลายลงทันที
ตัวตนทรงอำนาจหลายคนเดินทางมาถึงที่นี่เป็นการส่วนตัว ไอ้เขาก็คิดจริงจังว่ามันจะเป็นเรื่องสำคัญอะไรเสียอีก จึงออกมาต้อนรับเป็นการส่วนตัว
แต่ใครจะรู้ ว่าจริงๆ แล้วมันจะเป็นเรื่องง่ายดายขนาดนี้
“เข้าใจแล้ว ผมจะจัดการให้ในทันที”
ขณะกล่าว เขาก็หยิบเอาบัตรทำงานออกมาอีกครั้ง แล้วพรมมือพิมพ์ลงในอากาศที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว
“ขออัญเชิญสารานุกรมอาชีพมนุษย์”
ปัง!
ปรากฏถึงเสียงหนักทึบ หนังสือขนาดใหญ่เท่ากับโต๊ะตกลงเบื้องหน้าของฝูงชน
และเพียงความหนาของตัวหนังสือ มันก็สูงเทียบเท่าได้กับขนาดครึ่งตัวคนแล้ว
ชายคนนั้นกล่าวขออภัย “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ เนื่องจากอาชีพของเผ่ามนุษย์มีมากเกินไป ชนิดที่ว่าโดยเฉลี่ยแล้วพวกมันจะเพิ่มขึ้นราวๆ สิบเจ็ดอาชีพต่อปี ดังนั้นหนังสือเล่มนี้เลยหนาเป็นพิเศษ”
“ไม่เป็นไรหรอก ได้โปรดจัดการเรื่องของพวกเราให้เรียบร้อยก็พอแล้ว” เซี่ยเต๋าหลิงกล่าว
ชายคนนั้นกดมือลงบนหน้าปกหนังสือและกล่าว “ท่านหญิงแบล็กซี เผ่ามนุษย์อาชีพผู้ฝึกยุทธ์ต้องการยื่นใบสมัคร ด้วยหวังว่าจะได้รับการคัดเลือกหน้าใหม่ไปยังดินแดนชิงอำนาจ”
“ข้าได้ยินแล้ว”
เห็นแค่เพียงแสงสีฟ้าที่ตกลงมาจากเบื้องบน จมหายลงไปในสารานุกรม
หลังจากนั้น เสียงของผู้หญิงที่ดูยิ่งใหญ่ก็ดังออกมาจากสารานุกรม “ผู้ฝึกยุทธ์สินะ? อืม ไหนขอข้าดูหน่อย…”
หนังสือเล่มหนาเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติ พลิกกลับไปกลับมาอย่างต่อเนื่อง
กู่ฉิงซานเพ่งสายตามอง และเห็นว่าในหนังสือปรากฏถึงอาชีพต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น นักเวท ผู้ใช้ไพ่ นักย่องเบา นักล่าสังหาร อัศวิน ผู้อัญเชิญ นักมวย นักบุญ จอมกระบี่วิญญาณ ผู้ถักทอชีวิต ผู้ใช้ธาตุ ผู้ขับขานคลื่นพลัง นักดนตรี นักผจญภัย นักฝึกสัตว์ จ้าวสมุทร หมอดู ฯลฯ
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “มีอาชีพมากมายขนาดนี้ แล้วมันจะมีมาตรฐานในการจัดสรรประเภทอย่างไรกัน?”
เฉินหยางตอบ “อ้างอิงจากสองปัจจัย ปัจจัยแรก คือประเภทพลังที่ใช้ และปัจจัยทิศทางในการพัฒนาตามแต่ละโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่”
ระหว่างนั้นเอง หน้าหนังสือที่พลิกมานานก็หยุดลง
“ข้าเจอแล้ว” เสียงของผู้หญิงดังขึ้น
“ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น ปัจจุบันมีโลกด้านฝึกยุทธ์อยู่ทั้งสิ้นหนึ่งหมื่นเก้าพันห้าร้อยหกสิบโลก และแต่ละโลกจะต้องคัดเลือกรุ่นเยาว์สามคนเป็นตัวแทนหน้าใหม่ของโลก เพื่อมาให้ข้าเปรียบเทียบและคัดกรอง”
“คุณนำรายชื่อของพวกเขามาด้วยรึเปล่า?” พนักงานถามเซี่ยเต๋าหลิง
เซี่ยเต๋าหลิงหยิบใบหยกออกมา และมอบมันให้เขา
พนักงานวางใบหยกลงบนปกสารานุกรม
เสียงอันยิ่งใหญ่ของผู้หญิงดังขึ้นทันที “มีผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสิ้นห้าหมื่นแปดพันหกร้อยแปดสิบคน แน่ใจแล้วใช่หรือไม่ว่าทุกคนอยู่ในโลกที่เกี่ยวข้อง”
เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวเฉียบขาด “หน้าใหม่ทั้งหมดจากในพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์เตรียมตัวพร้อมแล้ว ทุกคนต่างอยู่ในโลกของสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น และต่างก็ทราบถึงกฎเกณฑ์ในการเข้าร่วมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
เสียงผู้หญิงตอบ “ดีมาก หากเป็นเช่นนั้น งานคงจะเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากนี้อีกห้านาที ข้าจะเริ่มต้นการคัดเลือกหน้าใหม่ในอาชีพผู้ฝึกยุทธ์”
“ต้องรบกวนแล้ว ท่านหญิงแบล็กซี” พนักงานกล่าว
เฉินหยางและจ้าววงการคนอื่นๆ ต่างเสริมด้วยความสุภาพ “ขอบพระคุณท่านหญิง”
“ข้าเต็มใจทำ พวกเจ้าไม่ต้องสุภาพจนเกินไป” เสียงผู้หญิงกล่าว
สิ้นประโยคนี้ แสงสีฟ้าก็บินออกจากสารานุกรม และแยกออกไปตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน เหลิงเทียนสิง และหนิงเยว่ฉาน
แสงสีฟ้าแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว และครอบคลุมทั้งสามเอาไว้
นางเซียนไป่ฮั่วกล่าวกับทั้งสาม “พวกเจ้าเร่งสวมใส่เกราะรบต่างๆ เร็วเข้า เกราะรบก็ยังเป็นส่วนหนึ่งในการใช้คัดกรองความแข็งแกร่งส่วนตนของพวกเจ้า แล้วอย่าลืมนำอาวุธออกมาด้วยล่ะ”
หนิงเยว่ฉานสวมใส่เกราะรบชั้นหยงเซินจนเสร็จ ในมือกุมกระบี่ยาว ปากเอ่ยถาม “ข้ารู้สึกว่ามันมีอะไรผิดปกติอยู่นะ”
“อะไรงั้นหรือ?”
เหลิงเทียนสิงสวมชุดเกราะนายพลโหยวจี สะบัดคลี่พัดในมือแล้วเอ่ยถาม
“ก็หากมีกฎเช่นนั้น งั้นหากข้ามอบอาวุธทรงพลัง และเกราะรบไร้เทียมทานให้แก่หน้าใหม่ที่เข้าร่วมการคัดกรอง พวกเขาจะไม่ได้รับสิทธิ์ ผ่านเข้ารอบโดยตรงเลยหรอกหรือ?” หนิงเยว่ฉานกล่าว
“เหตุการณ์แบบนั้นย่อมไม่มีทางเกิดขึ้น” แขนจักรกลกล่าว “ท่านหญิงแบล็กซีจะใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราประเภทลึกลับในการวัดความสอดคล้องระหว่างอาชีพนั้นๆ แหละอุปกรณ์ของผู้สวมใส่ หากพบว่าถูกหยิบยืมมาจากผู้อื่น ก็จะถูกตัดสิทธิ์ไปเลยทันที”
“สำหรับอาวุธ เคยมีหน้าใหม่คิดไม่ซื่อบางคน เลือกที่จะกุมอาวุธเทวะที่ทรงประสิทธิภาพอย่างมากไว้ในมือของเขา แต่ก็ทำได้เพียงกุมมันไว้ มิอาจกวัดแกว่งมันได้ ซึ่งแน่นอนว่านี่ไม่สามารถหลบลี้สายตาของท่านหญิงแบล็กซีไปได้ เพราะการตรวจสอบของเธอนั้นลึกซึ้งเข้าไปถึงข้างในชั้นจิตวิญญาณ”
“ท่านหญิงแบล็กซีเองก็เป็นตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการด้วยอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานถามด้วยความสนใจ
“อา ไม่ใช่แบบนั้นหรอก” เฉินหยางกล่าว “ที่จริงแล้วนางแข็งแกร่งกว่าพวกเรามากมายนัก”
“ยิ่งไปกว่านั้น ท่านหญิงก็มีชีวิตอยู่มาตั้งนานแล้ว และความสนใจของท่านหญิงเพียงอย่างเดียวก็คือ การคัดกรองหน้าใหม่จากสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น” พี่หมีกล่าว
พนักงานเองก็เอ่ยสนับสนุนในเชิงเดียวกัน “ใช่แล้ว และต้องขอบคุณในความตั้งใจของท่านหญิงที่ต้องการจะช่วยเหลือ มิฉะนั้นพวกเราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องใช้บุคลากรเท่าไหร่ในระหว่างกระบวนการคัดกรอง”
ขณะที่ทุกคนกำลังกล่าว กู่ฉิงซานก็เรียกเกราะรบนายพลชั้นเฉินเว่ยของตนเองออกมา
ทั้งชุดเกราะรบนายพลเฉินเว่ยเป็นสีดำบริสุทธิ์ มีเพียงตรงเกราะหน้าเท่านั้นที่มีสีทองซีด
กู่ฉิงซานตบลงบนเกราะรบเบาๆ
ชิ้นส่วนต่างๆ ของเกราะรบกระจายตัวออกทันที มันว่ายวนไปประกบติดตามส่วนต่างๆ ของกู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานสวมใส่หน้ากากทองคำซีดเป็นชิ้นสุดท้าย
ยามเมื่อสวมใส่จนสมบูรณ์ ก็ปรากฏให้เห็นถึงร่องรอยของหมอกสีดำคล้ายกับเส้นด้าย พวยพุ่งขึ้นเป็นแนวตั้งออกมาจากเกราะรบ หากมองจากระยะไกลจะแลดูคล้ายกับเปลวไฟสีดำที่ลุกไหม้ ทั้งร่างของกู่ฉิงซานบัดนี้ราวกับปีศาจร้าย
เขาคว้าจับดาบเช่าหยินและดาบขุนเขาเทวะหกโลกาจากในอากาศที่ว่างเปล่า กุมมันไว้มือละข้าง
“หากข้าได้กระโจนลงสู่สนามรบยามสวมใส่ชุดเกราะรบนี้ ในหัวใจคงรู้สึกปลอดภัยขึ้นไม่น้อย”
กู่ฉิงซานทดลองขยับร่างกายไปมาด้วยความพึงใจ
เซี่ยเต๋าหลิงจ้องมองกู่ฉิงซานและกล่าว “ชุดเกราะรบนี้ไม่เพียงมีความสามารถช่วยให้เจ้าซึมซับพลังงานวิญญาณจากฟ้าดินได้ แต่มันยังช่วยให้เจ้าสามารถต้านทานคำสาปแช่ง และการโจมตีทางจิตเทวะ มีความทนทานล้ำเลิศ เป็นเกราะระดับสูงที่สุดในปัจจุบันที่พวกเรามี”
ทักษะการหลอมกลั่นของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ดูจะเพิ่มพูนขึ้นหลายระดับ กว่าที่ผ่านมามากจริงๆ
ชุดเกราะนี้คือเกราะรบนายพลที่มีคุณภาพสูงสุด เป็นเหมือนดั่งสิ่งที่ยืนยันความก้าวหน้าทางด้านการหลอมกลั่นของโลกผู้ฝึกยุทธ์
“ได้เวลาแล้ว การคัดกรองอย่างเป็นทางการจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้”
เสียงของท่านหญิงแบล็กซีดังขึ้นอีกครั้ง
วินาทีต่อมา แสงสีฟ้าที่ครอบคลุมกู่ฉิงซาน หนิงเยว่ฉาน และเหลิงเทียนสิงก็สาดแสงสว่างสดใส
ในพริบตา พวกเขาทั้งสามก็หายตัวไปจากในสถานที่เดียวกัน
“เอาล่ะ ทุกท่านโปรดรอสักครู่ สำหรับเรื่องคัดกรองหน้าใหม่นี้ ท่านหญิงแบล็กซีมักจะจัดการได้อย่างรวดเร็วเสมอ” พนักงานกล่าวด้วยความนอบน้อม
เซี่ยเต๋าหลิง เฉินหยาง และคนอื่นๆ พยักหน้ารับ
…………………………………………….
ภายใน คณะตุลาการโลก
มันเป็นสำนักงานเล็กๆ และไม่ใช่สถานที่ที่ทุกคนจะมาทำงานกันในวันธรรมดา
แต่จะดีจะร้าย สถานที่แห่งนี้ก็ยังเป็นแผนกสำคัญของสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น และมีเพียงตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้ามายังแผนกนี้ได้
ดังนั้น เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ผู้บริหารระดับสูงจึงได้เพิ่มพื้นที่สำนักงานบางส่วนในแผนกอันสำคัญนี้ ให้สามารถวางโต๊ะขนาดยาวลงได้
ด้วยโต๊ะตัวนี้ อย่างน้อยทุกคนก็จะสามารถใช้มันเล่นไพ่และติดต่อประสานงานกับคนอื่นๆ ได้
เฉินหยางโยนไพ่ลงบนโต๊ะ ผลักเก้าอี้ออก แล้วยืนขึ้น
“พอแค่นี้แหละ ถ้าหยุดตอนนี้มันก็จะกลางๆ ข้าจะไม่อยู่ในสถานะแพ้หรือชนะ เจ้าคิดว่าอย่างไร?” เขาถาม
“ผายลมเถอะ! เห็นอยู่ชัดๆ ว่านายชนะมากที่สุด”
เพื่อนเล่นไพ่ของเขา ที่อยู่ในรูปลักษณ์ของหมีกล่าวอย่างขุ่นเคือง
“ช่างมันเถอะน่า ยังกะว่าคนอย่างนายหรือฉันสนใจเรื่องแพ้ชนะอย่างงั้นแหละ” คนที่ซ่อนตัวอยู่ในชุดคลุมดำกล่าว
“อย่างไรก็เถอะเฉินหยาง นายออกไปทำอะไรมากัน? ถึงได้มีเงินกลับมามากมายขนาดนี้” แขนจักรกลถาม
“นั่นสิ นายไปทำอะไรมากันแน่?” หมีอดไม่ได้ต้องถามบ้างเช่นกัน
“ก็เกิดปัญหาเล็กๆ น้อยขึ้นกับน้องชายคนเล็กของแบรี่น่ะซี่ ข้าเลยไปช่วยเขานิดๆ หน่อยๆ แต่ใครจะรู้ ว่ากลับเป็นตรงกันข้าม เป็นข้าแทนเสียนี่ที่ได้รับสมบัติกลับมามากมาย” เฉินหยางหัวเราะ
เมื่อเห็นว่าทุกคนสนใจ เฉินหยางก็เล่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับมัน
“น้องชายคนเล็กของแบรี่? ฉันเหมือนจะจำได้ว่าเขาชื่อ กู่ฉิงซาน…” หมีงึมงำครุ่นคิด
“อ๋อใช่ๆ เจ้าหนูคนนั้นมันเป็นวัตถุดิบชั้นดี เป็นผู้ฝึกดาบที่มีพรสวรรค์ไม่เลวเลย เขาอาจจะกลายเป็นตัวตนที่ร้ายกาจก็ได้นะในอนาคต” แขนจักรกลกล่าว
“แถมยังมีข่าวลือว่าราชินีแห่งหนาม มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาด้วยนา” คนในเสื้อคลุมแทรกขึ้นมา
“หือ? ผู้หญิงอย่างเธอนี่ฟังข่าวซุบซิบทุกวัน…เอ่อช่างมันเถอะ ฉันขอตัวก่อนดีกว่า” แขนจักรกลเปลี่ยนใจไม่พูดจนจบอย่างกะทันหัน
“เดี๋ยวสิ วันนี้ข้าได้กำไรมามหาศาลเลยนะ เพราะงั้นข้าอยากจะให้ทุกคนมากินอาหารเย็นด้วยกันก่อน แล้วค่อยกลับไป” เฉินหยางกล่าว
“ก็ได้ๆ”
เฉินหยาง หมี คนในชุดคลุม และแขนจักรกลจึงลุกขึ้น พากันเดินออกไปข้างนอก
พวกเขาเปิดประตู
ทันใดนั้นเอง ทุกชนิดของเสียงรบกวนจากสำนักงานฝั่งตรงข้ามที่มีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับสนามฟุตบอลก็ดังแทรกเข้ามาในรูหู
ภายในสำนักงานอีกฝั่ง แออัดไปด้วยผู้คนนับไม่ถ้วน
ทุกคนต่างตะโกนเสียงดัง และไม่หยุดที่จะแสดงเอกสารในมือของพวกเขา
ทั้งสี่คนเฝ้ามองฉากนี้อย่างเงียบๆ
“เฮ้อ แผนกกิจการอาชีพโลกนี่ไม่เคยจะได้หยุดกันเลยรึไง? โชคดีจริงๆ ที่ทางฝั่งเรามีกำแพงเก็บเสียงอยู่ เสียงมันเลยไม่ได้เข้ามารบกวนถึงที่นี่” เฉินหยางบ่น
“นายต้องเข้าใจปัญหาของพวกเขา เพราะมีอาชีพใหม่เกิดขึ้นมาในทุกๆ วัน ทางฝั่งนั้นเลยเต็มไปด้วยเอกสารและผู้คน แถมยังต้องคอยตรวจสอบแนวโน้มการพัฒนาของแต่ละสายอาชีพ และจัดเตรียมเกณฑ์การให้คะแนนสายอาชีพแต่ละสายอีก”
“ฟังแล้วชวนปวดหัวดีแฮะ เป็นฉัน ถ้าต้องทำงานแบบนั้น วันไหนว่างๆ คงต้องออกไปหาโลกมาทำลายเล่นซักสองสามใบ เพื่อคลายเครียดแล้ว” คนในชุดคลุมกล่าว
“ใช่ โชคดีจริงๆ ที่พวกเราไม่ต้องไปทำงานแบบนั้น” แขนจักรกลกล่าวด้วยอารมณ์
“ตอนนี้พอมาลองคิดๆ ดู แบรี่มันฉลาดจริงๆ ที่มักจะติดบิล เลือกที่จะเป็นหนี้เขาไปทั่ว จนไม่มีแผนกไหนกล้าเรียกใช้งานเขา เพราะเกรงว่าทางแผนกจะถูกพวกเจ้าหนี้บุกตามเข้ามาทวง จนไม่สามารถทำงานได้” เฉินหยางถอนหายใจ
“ไปเถอะ” หมีกล่าว
ทว่าเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าว เฉินหยางก็อุทานออกมาทันใด “เอ๊ะ?”
“มีอะไรงั้นหรือ?” คนในชุดคลุมถาม
“นั่น…ผู้หญิงคนนั้นเป็นอาจารย์ของกู่ฉิงซาน ทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่ หรือว่ามีบางส่วนที่ข้าจัดการพลาดไปกัน?” เฉินหยางกล่าวด้วยความสงสัย
ระหว่างกล่าว เซี่ยเต๋าหลิงก็หันไปเห็นเฉินหยางพอดี
และเธอไม่ลังเลเลยที่จะเดินเข้ามา โค้งกายลงให้แก่เขาด้วยความสุภาพ “ผู้ทรงเกียรติเฉิน พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”
“เจ้ามายังคณะตุลาการโลกได้อย่างไร? หรือว่ามีบางสิ่งที่มันไม่ถูกต้องในเรื่องก่อนหน้านี้?” เฉินหยางถาม
“หามิได้ ข้าเพียงมายังแผนกกิจการอาชีพ เพื่อยื่นเรื่องขอส่งรายชื่อผู้ฝึกยุทธ์ที่มีคุณสมบัติเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจ” เซี่ยเต๋าหลิงอธิบาย
“อ้อ ที่แท้ก็เรื่องการคัดเลือกพวกหน้าใหม่นี่เอง หมายความว่ากู่ฉิงซานก็กำลังจะได้เข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจแล้วสินะ?”
“เป็นเช่นนั้น”
ว่าจบ เซี่ยเต๋าหลิงก็โบกมือ เรียกกู่ฉิงซานและคนอื่นๆ ออกมา
“อ้าว? นั่นพี่เฉินหยาง พี่หมี คุณหยุนจี แล้วก็คุณเพลิงทมิฬนี่นา?” กู่ฉิงซานอุทานด้วยความประหลาดใจ
“ไง”
“สวัสดีเจ้าหนุ่ม”
“น้องชายตัวน้อย ไม่ว่าจะได้มองกี่ครั้งก็ยังหล่อเสมอเลย คราวหน้าพี่สาวจะมาชวนไปกินข้าวด้วยกันนะ”
“ฉิงซาน เป็นอย่างไรบ้างล่ะช่วงนี้”
ทั้งสี่คนทักทายเขา
คนในชุดคลุมยกฮู้ดคลุมหัวออก เผยให้เป็นถึงใบหน้าอันงดงามน่าหลงใหล
กลับกลายเป็นว่าคนในชุดคลุมดำคือหยุนจี หญิงทรงอำนาจระดับจ้าววงการ
“ต้องขออภัยจริงๆ ถ้าเกิดไปรบกวนเข้า พอดีว่าพวกผมมาจัดการธุระนิดหน่อยที่นี่” กู่ฉิงซานกล่าว
เฉินหยางมองไปยังไม่กี่คนรอบตัวเขาและกล่าว “ไม่เป็นไรหรอก เอางี้แล้วกัน เดี๋ยวพวกข้าจะไปดูเจ้าด้วย”
“ความสามารถในการต่อสู้ของผมมันไม่คุ้มค่าที่จะแสดงต่อหน้าพวกคุณทุกคนหรอก…” กู่ฉิงซานหัวเราะให้กับตัวเอง
หลังจากที่เขาเข้าร่วมกับสมาคมกำปั้นเหล็ก ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับโลกเก้าร้อยล้านชั้นของตนเองก็กระจ่างชัด
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตาย และเพื่อที่จะสามารถคงไว้ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลัง ดังนั้นการคัดเลือกเข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจจึงไม่จำเป็นที่จะต้องต่อสู้กัน
ส่วนคุณสมบัติที่ว่าตนจะสามารถเข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจได้หรือไม่นั้น จะถูกตัดสินโดยเทคนิคมนตราประเภทลึกลับขนาดใหญ่ จากนั้นก็จะถูกคัดกรองโดยเครื่องมือทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอีกครั้ง
เฉินหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเกรงว่าเจ้าจะสูญเสียสิทธิ์ของตัวเองไป เพราะยังมีบางเรื่องที่ไม่เข้าใจ”
“ใช่ อย่างเช่นของแบรี่ ตอนนั้นเขาต้องการที่จะเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจ แต่เขาลงอาชีพนักมวยไปตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เข้าไปสักที” หยุนจีเหน็บแนม
หลายคนเหลือบมองกันและกัน และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“เกิดอะไรขึ้นกับเขาอย่างงั้นหรือครับ?” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ก็อาชีพของเขาคือนักมวย แต่ทุกครั้งที่เขาเข้ารับการทดสอบ เขาดันไม่รู้ว่าตัวเองจำเป็นที่จะต้องสวมถุงมือเอาไว้ด้วยน่ะสิ ดังนั้นเมื่อถึงการทดสอบ เขาเลยสามารถแสดงพลังต่อสู้ออกมาได้แค่ 30% เท่านั้น ซึ่งตามปกติแล้วถือว่าสู้ใครไม่ได้เลย” แขนจักรกลและเพลิงทมิฬ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“…ไม่มีใครบอกอะไรเขาเลยหรือ?” กู่ฉิงซานถาม
“ก็นักมวยทุกคนเป็นคู่แข่งกัน ใครมันจะไปยอมบอกเขา?”
“นอกจากนี้นะ เจ้าแบรี่มันก็มักจะใจร้อนเสมอ กฎระเบียบก่อนทดสอบอะไรมันก็ไม่ตั้งใจฟังเลย”
“แต่ก็เพราะแบบนั้นเอง แบรี่เลยเร่งฝึก จนความแข็งแกร่งเขาก้าวกระโดด และสามารถผ่านการทดสอบเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจด้วยการแสดงพลังแค่ 30% ของตัวเองเท่านั้น”
“ส่วนน้องสาวของเขาเสี่ยวเหมียวน่ะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เธอสามารถผ่านการทดสอบได้เลยในทันที”
“ใช่ ถ้าจะให้พูดก็คือ คงเป็นในรอบสุดท้ายนั่นแหละ ฉันถึงได้เห็นพลังของเธอด้วยตาของตัวเอง”
กู่ฉิงซานพอได้ฟังสี่จ้าววงการกล่าวมาถึงจุดนี้ เขาก็เข้าใจในที่สุด
อีกฝ่ายหนึ่งกำลังเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นกับเขาในระหว่างการทดสอบ
นางเซียนไป่ฮั่ว แน่นอนว่าย่อมสามารถมองเห็นถึงสิ่งที่อีกฝ่ายคิด จึงใช้โอกาสนี้เอ่ยถามคำในจิตใจ “ผู้ทรงเกียรติเฉิน จ้าววงการเช่นพวกท่าน มีจำนวนสิทธิ์ในมือมากหรือไม่?”
“เจ้ากำลังพูดถึงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนชิงอำนาจใช่ไหม? ฮะฮ่า! แน่นอนว่ามันย่อมไม่มี เพราะหากใช้กลโกงส่งคนที่ไม่แข็งแกร่งพอเข้าไป มันจะไม่เทียบเท่ากับว่าเป็นการส่งเขาไปตายหรือ?”
พี่หมีเอ่ยเสริม “ยิ่งไปกว่านั้น เผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าก็ไม่เรียบง่ายเหมือนดั่งเช่นเผ่าพันธุ์อื่นๆ พวกเจ้ามีอาชีพนับพันหมื่น ทำให้มันเป็นไปไม่ได้ อย่างการที่จะให้นักเวทมาเข้ารับการทดสอบของนักมวย”
เพลงทมิฬกล่าวเสริม “ก็ถ้านักเวทที่สามารถเอาชนะผู้คนได้มากมาย ดันมาถูกจัดการลงด้วยนักมวย เพียงเพราะแค่ไม่ถนัดการต่อสู้ประเภทระยะประชิด มันก็คงจะเป็นเรื่องน่าขบขันมาก”
พวกเขาหัวเราะพร้อมกัน ราวกับว่ามันเคยมีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นมาแล้ว
“ดังนั้น ทุกอย่างจึงล้วนขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง นี่คือความยุติธรรมและการปกป้องผู้อ่อนแอ เพราะท้ายที่สุดแล้ว มีผู้คนมากมายต้องตกตายในดินแดนชิงอำนาจ คนอ่อนแอไม่สามารถทนอยู่ได้ ทุกคนที่มีสมองน้อยหรือไม่แข็งแกร่งพอ ไปยังดินแดนทรงอำนาจก็ตายกันทั้งนั้น”
เซี่ยเต๋าหลิงพอได้ยินคำเหล่านี้ ก็ค่อยรู้สึกโล่งใจอย่างสมบูรณ์
“ข้าก็หลงนึกว่าการคัดเลือกจะคล้ายคลึงกันกับในกลุ่มพันธมิตร ที่ทุกอย่างนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับเส้นสาย หากเป็นการเอาชนะอย่างใสสะอาด ศิษย์ข้าเองก็คงไม่พบเจอปัญหาใดๆ”
ระหว่างสนทนา ทั้งหมดก็เดินไปพลางๆ เข้าไปในส่วนของกองกิจการอาชีพโลก
…………………………………………….
สิบหกจานอาหารเครื่องเคียง กระทั่งอาหารจานหลักอย่างข้าวต้ม บะหมี่ ทุกชนิดล้วนเป็นอาหารชั้นสูงทั้งสิ้น
หากได้กินอาหารเช้าแบบนี้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นหญิงใด พวกนางคงรู้สึกเปรมปรีดิ์ไปจนตาย
กู่ฉิงซาน ฉินรั่ว และว่านเอ๋อช่วยกันเก็บรวบรวมภาชนะ และเตรียมที่จะเสิร์ฟชาวิญญาณให้แก่ทุกคน
“ของข้าไม่ต้อง ข้าจะไปฝึกยุทธ์ต่อ”
ฉินเซี่ยวโหลวลุกขึ้นยืน และตบลงบนไหล่ของกู่ฉิงซาน
เขาเดินออกจากวังร้อยบุปผา บินกลับขึ้นไปบนว่าว ทิ้งตัวลงนั่งอย่างมั่นคง และจมลงสู่ห้วงสมาธิอย่างรวดเร็ว
“นั่นเขา?”
เหลิงเทียนสิงงงกับฉากตรงหน้า
กู่ฉิงซานเร่งอธิบาย “เอ่อ พอดีว่านั่นคือหนึ่งในรูปแบบการฝึกยุทธ์ของทางนิกายเราน่ะ”
“หากขึ้นไปแล้ว นอกเหนือจากการฝึกยุทธ์ จะมิอาจขยับกายเคลื่อนไหวได้แม้เพียงน้อย รูปแบบการฝึกยุทธ์ของนิกายเจ้าช่างน่าชื่นชมจริงๆ” เหลิงเทียนสิงถอนหายใจ ปากเอ่ยสรรเสริญ
ทว่าสาวกทุกคนในนิกายร้อยบุปผากลับไม่มีใครเลยที่จะตอบเขา
“เอาล่ะ เวลานี้พวกเราก็มาเข้าประเด็นสำคัญกันจะดีกว่า” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว
“หากจะให้กล่าวชัดๆ ก็คือฉิงซาน หนิงเยว่ฉาน เหลิงเทียนสิง นี่คือเรื่องของพวกเจ้าทั้งสามคน”
นางเซียนไป่ฮั่วเอ่ยต่อ “ข้าได้หารือกับนักพรตเป่ยหยวน นายพลกงซุน และผู้นำจากหลากหลายสำนักแล้ว ได้ข้อสรุปว่า พวกเจ้าทั้งสามเป็นผู้ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนหน้าใหม่ในโลกของเรา”
“เหลิงเทียนสิงเป็นนายพลชั้นโหยวจี และก่อนที่จะมาที่นี่ เจ้าก็ได้รับวัสดุและอุปกรณ์ที่จำเป็นเรียบร้อยแล้ว”
“หนิงเยว่ฉานเป็นนายพลชั้นติงหยวน เจ้ามักจะเป็นผู้นำการต่อสู้ และอยู่ในแนวหน้าของสนามรบเสมอๆ ดังนั้นแต้มทางกองทัพของเจ้าจึงมากพอให้เพิ่มยศขึ้นเป็นนายพลชั้นหยงเซิน”
“หนิงเยว่ฉาน ในช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ เกราะรบของเจ้าเสียหายไปแล้วมากกว่าครึ่ง ฉะนั้นในเมื่อเจ้าได้รับการอวยยศใหม่ ข้าจึงจะมอบเกราะรบชั้นหยงเซินให้แก่เจ้า”
“จากนี้ไป เจ้าจะกลายเป็นนายพลชั้นหยงเซิน”
ด้วยคำกล่าวนี้ นางเซียนไป่ฮั่วก็นำชุดเกราะใหม่เอี่ยมออกมา และส่งมันไปเบาๆ
เกราะรบลอยมาอยู่เบื้องหน้าหนิงเยว่ฉาน
หนิงเยว่ฉานประสานกำปั้น “ขอบคุณท่านนักปราชญ์”
“ลองสวมใส่มันดูสิ” เซี่ยเต๋าหลิงพยักหน้าและยิ้ม
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองดูชุดนายพลชั้นหยงเซิน
มันเป็นชุดเกราะโลหะสีขาวหิมะ ที่ฝังไว้ด้วยอักษรรูนที่ดูซับซ้อนนับไม่ถ้วน แต่ละชิ้น แต่ละส่วนช่างเพรียวบางและงดงาม
หนิงเย่วฉานวางฝ่ามือลงบนมัน ทันใดนั้นตลอดทั้งชุดเกราะก็พลันแยกออกจากกัน
ชุดเกราะกระจายเป็นส่วน มันบินวนไปรอบตัวหนิงเยว่ฉาน และเริ่มประกบทับกับร่างกายอย่างรวดเร็ว
กระบี่สีหิมะ กระทั่งเกราะรบก็ยังมีสีหิมะ
หนิงเยว่ฉานบัดนี้แลดูทรงเกียรติ และเต็มไปด้วยความงดงามของหญิงสาว
เธอลองเดินไปไม่กี่ก้าว ขยับแขนขาเล็กๆ น้อยๆ เพื่อทำการรับรู้ถึงเกราะรบของเธอ
สักพักเจ้าตัวก็เผยถึงท่าทีพึงพอใจออกมา
กู่ฉิงซานแช่อยู่ในความคิด ปากเอ่ยรำพึง “ชุดเกราะระดับนี้ ดูเหมือนว่าหากเป็นเมื่อก่อน โลกเราคงไม่มีทางสร้างมันขึ้นมาได้”
หนิงเยว่ฉานกล่าว “เป็นธรรมดา เพราะหลังจากที่ได้รับโลกเทวะมา พวกเราก็ได้ทำการศึกษากฎการหลอมกลั่นของมัน นอกจากนี้ อาจารย์เจ้ายังช่วยไปรวบรวมเทคนิคลับเกี่ยวกับการหลอมกลั่นจากพันธมิตรผู้ฝึกยุทธมาอีกด้วย”
เหลิงเทียนสิง “ด้วยเหตุนี้ กฎการหลอมกลั่นอาวุธและเกราะรบของพวกเราถึงก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาในครั้งอดีตไปมากโข หากเปรียบเทียบ ก็คงจะเป็นความแตกต่างห่างชั้นกันระหว่างเมฆาและโคลนตม”
กู่ฉิงซานพยักหน้า ในหัวใจของเขารู้สึกโล่งอกมากขึ้น
การหลอมกลั่นคือหนึ่งในหกศิลป์ ขณะเดียวกัน หกศิลป์ก็คือรากฐานอารยธรรมของโลกผู้ฝึกยุทธ์
โดยรวมแล้วจึงกล่าวได้ว่า ยิ่งแตกฉานในหกศิลป์มากเท่าใด ความแข็งแกร่งของอารยธรรมผู้ฝึกยุทธ์ก็จะยิ่งทรงพลังขึ้นเท่านั้น
ในเวลานี้ เซี่ยเต๋าหลิงได้หยิบถุงสัมภาระอีกใบขึ้นมา และโยนไปทางหนิงเยว่ฉาน
“หนิงเยว่ฉาน ในเมื่อเจ้าได้รับเกราะรบนายพลชั้นหยงเซินแล้ว ก็ยังมีอุปกรณ์อื่นๆ อีกอยู่ภายในนี้ จงตรวจสอบมันทีละชิ้น ทีละชิ้นเสีย”
“เหลิงเทียนสิง หนิงเยว่ฉาน พวกเจ้าทั้งสองทราบหรือไม่ว่าเพลานี้อีกเรื่องที่ยังขาดหายไปคือสิ่งใด?”
เหลิงเทียนสิงและหนิงเยว่ฉานส่ายหัวพร้อมกัน
ก่อนที่จะมา เขาและเธอต่างก็ได้รับมอบสิ่งต่างๆ จากอาวุโส และผู้นำนิกายจนพรั่งพร้อมแล้ว
เขาและเธอรู้ไม่มากก็น้อย เกี่ยวกับสิ่งต่อไปที่กำลังจะต้องเผชิญ และก็เตรียมพร้อมแล้วสำหรับมัน
นางเซียนไป่ฮั่วมองไปยังกู่ฉิงซานอีกครั้งและกล่าวว่า “ฉิงซาน สิ่งที่ยังขาดหายไปก็คือเรื่องเกี่ยวกับแต้มความสำเร็จทางกองทัพของเจ้าในตอนนี้อย่างไรเล่า”
“แต้มความสำเร็จทางกองทัพ…ของข้าน่ะหรือ?”
กู่ฉิงซานยกมือขึ้นชี้หน้าตนเอง คล้ายกับมิอาจตอบสนองได้ทัน
“ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ที่โลกเทวะกำลังประสบกับความขมขื่นและกำลังจะถูกทำลาย เจ้าได้ชักชวนมารสวรรค์มาช่วยเหลือไว้ได้อย่างทันท่วงที สังหารผู้ฝึกยุทธ์ขีดสุดความว่างเปล่า ช่วยชีวิตผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดเอาไว้ แต่ตนเองกลับถูกส่งกลับไปยังโลกอื่น”
“หลังจากที่พวกเราทุกคนได้ร่วมปรึกษา และพิจารณาจากขอบเขตวรยุทธ์ของเจ้าในปัจจุบันอีกครั้ง ทั้งหมดจึงต่างเห็นตรงกันว่าเจ้าสมควรได้รับการอวยยศ”
“เดิมเจ้าเป็นนายพลชั้นโหยวจี แต่เนื่องจากความสำเร็จทางกองทัพอย่างมหาศาล พวกเราจึงเพิ่มยศของเจ้าให้เป็น ‘เฉินเว่ย’”
กู่ฉิงซานตะลึงงัน มิอาจตอบโต้กลับไปได้ชั่วคราว
“ท่านอาจารย์ มันข้ามช่วงใหญ่เกินไปหรือไม่” เป็นเวลานานกว่าที่เขาจะเอ่ยปากออกมา
ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ ตำแหน่งทางทหารระดับต่ำเราจะไม่พูดถึง ทว่าสำหรับยศนายพลแล้ว มันจะถูกแบ่งออกเป็นสี่ชั้น
สี่ชั้นเรียงจากลำดับต่ำไปสูงดังนี้ โหยวจี ติงหยวน หยงเซิน และเฉินเว่ย
กู่ฉิงซานจู่ๆ ก็ก้าวกระโดดขึ้นจากนายพลโหยวจี เป็นระดับสูงสุด ‘เฉินเว่ย’ อย่างกะทันหัน!
หนิงเยว่ฉานเดินเข้ามา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอแสดงความยินดีด้วย นี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรจะได้รับ”
เหลิงเทียนสิงเองก็เดินเข้ามาและกล่าว “เจ้าเหมาะสมกับยศนี้จริงๆ”
ซิวซิวชูสองมือ โห่ร้องไชโยอย่างมีความสุข “ศิษย์พี่! ตอนนี้ท่านได้กลายเป็นนายพลเฉินเว่ยแล้ว!”
ฉินรั่วหันไปถามว่านเอ๋อ “เฉินเว่ยนี่คือยศสูงสุดของระดับนายพลใช่ไหม?”
“อา เท่าที่จำได้เหมือนจะเป็นอย่างงั้นนะ” ว่านเอ๋อตอบ
ฉินรั่วหันไปโค้งกายให้แก่กู่ฉิงซาน “ศิษย์พี่ ท่านสมควรได้รับมันแล้ว”
ว่านเอ๋ออดไม่ได้ต้องพยักหน้าสนับสนุน
เพราะสิ่งที่เขากระทำ มันย่อมไม่มีผู้อื่นใดอีกแล้วที่จะสามารถเลียนแบบได้
หากตัวตนอย่างเขาไม่ได้รับยศนายพลชั้นเฉินเว่ย แล้วยังจะมีผู้ใครสมควรจะได้รับมันอีกเล่า?
เซี่ยเต๋าหลิงยิ้มและกล่าว “พวกเราได้เตรียมของต่างๆ เอาไว้ให้เจ้าแล้ว แต่เฉพาะในส่วนของอาวุธที่ไม่ได้ตระเตรียมเอาไว้ เนื่องจากข้าคิดว่าดาบในมือเจ้ามันทรงพลังมากพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสริมแต่งใดๆ อีก”
“แต่หากไม่มีอาวุธ แล้วเช่นนั้นศิษย์พี่จะได้รับสิ่งใดมาชดเชยเล่า?” ซิวซิวเอ่ยถามทันที
“ข้าได้จ่ายทรัพยากรของโลกใบนี้ออกไปมากมาย เพื่อแลกเปลี่ยนกับเทคนิคลับแห่งดาบให้แก่เขา” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว
กู่ฉิงซานตระหนักได้ในทันที
กลับกลายเป็นว่านี่คือสิ่งที่ท่านอาจารย์มองขาด และพิจารณาเกี่ยวกับมันมาก่อนแล้ว
“เช่นนั้นทางด้านเกราะรบเล่า?” ฉินรั่วเอ่ยถามด้วยความกังวล
“เกราะรบเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ฝึกดาบ ฉะนั้นแน่นอน ว่าข้าย่อมเตรียมเกราะรบนายพลเฉินเว่ยแก่เขา” สีหน้าของนางเซียนแสดงออกถึงความสุข “มันคือเกราะที่สิบสองปรมาจารย์หลอมกลั่นต่างร่วมมือกันรังสรรค์ขึ้นมาอย่างเต็มกำลัง จนผลิตชุดเกราะรบที่เรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จขั้นสูงสุดนี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์”
ว่าจบ เธอก็โยนถุงสัมภาระให้แก่กู่ฉิงซาน
ทุกคนมองมาที่เขาเป็นสายตาเดียว เพื่อต้องการจะดูว่าเกราะรบนี้มีหน้าตาเป็นอย่างไร
กู่ฉิงซานมิได้เร่งร้อนที่จะเปิดถุง ปากเอ่ยถามเสียก่อน “แล้วสิ่งที่พวกเราจะต้องทำคืออะไร? ใช่ไปยังดินแดนชิงอำนาจเลยหรือไม่?”
นางเซียนกล่าว “มิใช่ ดินแดนชิงอำนาจคือสถานที่รวมตัวกันของหมื่นสมัครพรรคพวกจากทุกโลกลำดับชั้น ทั้งหมดต่างมุ่งมั่นที่จะขึ้นเป็นจ้าวโลก ดังนั้นจึงมีอยู่บ่อยครั้งที่คนเหล่านั้นตกตายลงในสนามรบ แต่ตราบใดที่เจ้าสามารถรอดชีวิตมาได้ เจ้าก็จักสามารถเพิ่มพูนความสามารถตนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากเย็นนักสำหรับคนธรรมดาที่จะเข้าไป”
“ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์มากมายได้หันไปพึ่งพาระบบของราชามาร โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ที่หลงเหลืออยู่นี้คือโลกที่ต่อต้านผู้เข้าสู่วิถีมาร และแทบจะไม่ว่างเว้นในการต่อสู้กับปัญหาภายในและภายนอก”
สีหน้าของเธอกลายเป็นร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ “และเพราะข้าได้กลายเป็นผู้นำพันธมิตร ดังนั้นข้อเสนอของข้าจึงถูกหยิบยกขึ้นมา ว่าพวกเราควรจะเริ่มทำการคัดเลือกหน้าใหม่ให้เร็วยิ่งกว่ากำหนด”
“พวกเจ้าจะต้องมีชัยเหนือผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์หลายหมื่นคนจากโลกด้านการฝึกยุทธ์ จงกลายเป็นหน้าใหม่ที่แข็งแกร่ง เป็นผู้ที่จะได้รับคุณสมบัติให้เข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจในนามของผู้ฝึกยุทธ์เสีย!”
กู่ฉิงซานขบคิดก่อนจะกล่าว “แล้วมันไม่มีวิธีอื่นที่จะสามารถเข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจได้เลยหรือ?”
นางเซียนมองเขาและกล่าว “ก็ยังพอมี หากเจ้าไปร้องขอเฉินหยาง หรือจ้าววงการคนอื่นๆ ในองค์กรขนาดใหญ่ พวกเขาอาจจะแบ่งปันสิทธิ์ของหน้าใหม่ในส่วนของตนเองให้แก่เจ้าก็ได้”
“แต่ข้าจะต้องขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อน ว่าในเผ่ามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมืออาชีพในสายใด ล้วนต้องเผชิญกับทุกประเภทของความท้าทายกันทั้งนั้น เจ้าจึงจะสามารถเอ่ยปากได้ว่าตนนั้นแข็งแกร่ง และกลายเป็นหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดที่ได้รับเลือก”
“แข็งแกร่งก็จะสามารถก้าวไปข้างหน้า อ่อนแอก็แค่ถอยกลับมาตั้งหลัก นี่มิใช่เพียงกฎเกณฑ์ของเผ่ามนุษย์ แต่ยังเป็นระบบที่ยุติธรรมมากที่สุดอีกด้วย”
“หากเจ้าไปร้องขอตัวตนทรงอำนาจอย่างเฉินหยาง บางทีเฉินหยางอาจจะมอบสิทธิ์นั้นให้เจ้าก็ได้ แต่ขณะเดียวกัน นั่นก็เทียบเท่าได้กับเป็นการฉกฉวยสิทธิ์ของบุคคลอื่น”
กู่ฉิงซานส่ายหัวทันทีและกล่าว “ลืมมันเถิด พวกเราเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แล้วเหตุใดพวกเราจะต้องไปอ้อนวอนขอสิทธิ์จากคนอื่นๆ ด้วย ข้าไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นหรอก แต่จะไขว่คว้าคุณสมบัตินั้นมาด้วยตนเอง”
หนิงเยว่ฉานเอ่ยเช่นเดียวกัน “พวกเราจะพึ่งพาความสามารถของตนเอง เหตุใดต้องไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นด้วย?”
เหลิงเทียนสิงพูดบ้าง “ถูกต้อง เป็นเช่นนั้น”
นางเซียนไป่ฮั่วพอได้ฟัง ในแววตาของเธอก็เปล่งประกายด้วยความพึงพอใจ
‘อันที่จริงแล้ว ในส่วนของผู้ฝึกยุทธ์มันก็ยังพอจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ได้’
ทว่าเมื่อมีการแข่งขันอย่างเที่ยงธรรมปรากฏขึ้นตรงหน้า หากผู้ฝึกยุทธ์ไม่คิดทำตามกฎหมายเดินทางลัด เขาจะไปมีผู้ใดให้การยอมรับและนับถือเล่า? นั่นมิใช่สิ่งที่คนแข็งแกร่งเขาทำกัน
เซี่ยเต๋าหลิงหันไปกล่าวกับบรรดาลูกศิษย์ “ไป่หยิงเทียน เจ้าจะต้องปกป้องนิกาย และสอนสั่งศิษย์น้องคนอื่นๆ ให้ดี”
ห่านขาวกล่าว “น้อมรับคำสั่ง”
“ซิวซิว ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ พวกเจ้าจักต้องหมั่นฝึกฝน เพียรพยายามต่อไป เพื่อโอกาสในคราวหน้าที่จักได้เข้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ”
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”
สามหญิงกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน
ไม่รีรอให้กู่ฉิงซาน หนิงเยว่ฉาน และเหลิงเทียนสิงตอบสนอง เห็นแค่เพียงเซี่ยเต๋าหลิงที่วาดชายเสื้อยาวออกไป และทั้งสามคนก็หายวับไปจากห้องโถงทันที
“ข้าจะไปส่งพวกเขาเข้าร่วมการคัดเลือกหน้าใหม่” ว่าจบ เซี่ยเต๋าหลิงก็หายตามไปติดๆ
…………………………………………….
กู่ฉิงซานอ่านข้อความบนหน้าต่างระบบเทพสงครามอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
เขาอยากจะรู้ว่าเทคนิคลับแห่งดาบชนิดใดกันหนอ ที่กระทั่งท่านอาจารย์ก็ยังรู้สึกว่ามันดี
เส้นแสงตัวอักษรหิ่งห้อยค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละบรรทัด
“เทคนิคลับแห่งดาบ ‘ล่าชีพ’ เมื่อศัตรูอยู่ห่างจากคุณในช่วงระยะสิบจั้ง คุณจะสามารถสับสะบั้นพวกเขาได้เลยจากระยะไกล”
“โปรดทราบ จำเป็นต้องอยู่ในระยะสิบจั้งเสียก่อน เทคนิคลับแห่งดาบนี้จึงจะสามารถใช้งานได้”
“โปรดทราบ สามารถใช้เทคนิคลับอื่นๆ ควบคู่ไปกับเทคนิคล่าชีพได้”
“การเรียนรู้เทคนิคลับแห่งดาบนี้ จำเป็นต้องใช้สองพันแต้มพลังวิญญาณ”
กู่ฉิงซานแทบลืมหายใจไปครู่หนึ่ง
แม้ว่าตนจะมีเทคนิคดาบบิน แต่ดาบบินก็ยังไม่สามารถใช้โจมตีเป็นระยะเวลานานได้อยู่ดี อีกอย่าง ผู้ฝึกดาบน่ะคืออาชีพที่มักจะทุ่มเต็มกำลังในการสังหาร ซึ่งสุดท้ายแล้วการจะทำแบบนั้นได้มันก็จำเป็นต้องเข้าใกล้กับศัตรู
ในระหว่างการต่อสู้กับผู้ฝึกดาบ สิ่งที่อาชีพอื่นๆ หวาดกลัวมากที่สุด แน่นอนว่าคือการอยู่ในระยะประชิดกับพวกเขา!
อย่างไรก็ตามเทคนิคลับ ‘ล่าชีพ’ มันจะช่วยเสริมให้ระยะโจมตีของดาบยืดยาวออกไปได้ไกลกว่า 10 จั้ง!
ต่อให้อยู่ห่างจากศัตรู แต่ผู้ฝึกดาบก็ยังสามารถโบกสะบัดดาบยาว ฟาดฟันกระบวนท่าเข้าใส่ศัตรูได้เลยโดยตรง!
ซึ่งนี่มันก็นับว่าเพียงพอแล้วที่จะสร้างความประหลาดใจและสังหารอีกฝ่ายลงได้ในทันที
สามารถโจมตีในระยะที่ห่างออกไปได้ไกลกว่าสิบจั้ง นี่มันเป็นสิ่งที่พลิกสถานการณ์เป็นตายได้เลย
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดชื่อของเทคนิคลับนี้จึงถูกตั้งว่าล่าชีพ”
“มันกระทั่งสามารถใช้ร่วมกับเทคนิคดาบอื่นๆ ได้ อีกความหมายหนึ่งก็คือ ฉันสามารถใช้ ‘กลืนกินหวนกลับ’ ในระยะที่ห่างออกไปกว่าสิบจั้งได้…”
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดท่านอาจารย์ถึงให้ความสำคัญกับเทคนิคดาบนี้”
กู่ฉิงซานรำพึง
เขาหลับตาลง และไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะจ่ายสองพันแต้มพลังวิญญาณเพื่อเรียนรู้สกิล ‘ล่าชีพ’
กระแสไอร้อนพวยพุ่งจากใบหยก ไหลผ่านนิ้วมือเข้าไปในแขนของเขา หลอมรวมกันในทะเลแห่งห้วงสติ ความรู้ความเข้าใจนับไม่ถ้วนของเทคนิคดาบ ผสานเข้ากับจิตใจของกู่ฉิงซาน
ผ่านไปพักหนึ่ง กู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น
เขาคว้าดาบเช่าหยินมาไว้ในกุมมือ และมองไปยังผนังวังที่อยู่ไม่ไกลออกไป
ตริตรองอยู่ครู่หนึ่ง กู่ฉิงซานจึงกระชับดาบ และวาดมันไปในอากาศที่ว่างเปล่าอย่างแผ่วเบา
ฟึบ…
บังเกิดเสียงดังของการเสียดทานบนผนัง
คล้ายกับว่าโดนของมีคมบางอย่างกรีดเข้ากับผนัง
กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้น ร่างของเขาวูบไหวเป็นภาพติดตา ร่ายระบำดาบยาวของตนไปมาในห้องโถง
เห็นได้ชัดว่าตัวเขาอยู่ห่างจากผนัง แต่ในทุกๆ ครั้งที่เขาวาดดาบออกไป รอยขีดข่วนใหม่ก็จะเกิดขึ้นมา
ไม่นานนัก กู่ฉิงซานก็เก็บดาบกลับคืน
“สุดยอด ด้วยเทคนิคลับแห่งดาบนี้ มันคุ้มค่ายิ่งกว่าการที่ฉันเรียนรู้เทคนิคลับแห่งดาบธรรมดาๆ หลายสิบเทคนิคเสียอีก” กู่ฉิงซานถอนหายใจเบาๆ
เขาหันหลังกลับ และนั่งลงบนฟูกอีกครั้ง
สายตายังคงเหลือบมองหน้าต่างเทพสงคราม
หลังจากทำการเรียนรู้ชุดวิชากระบี่ ธนู และดาบไปแล้ว แต้มพลังวิญญาณของเขาก็ยังคงเหลืออยู่อีกมากกว่าหกหมื่น
แต้มพลังวิญญาณมีอยู่เหลือเฟือ
ถัดมา กู่ฉิงซานก็หยิบใบหยกออกมาอีกครั้ง และเริ่มต้นทำการคัดเลือกเทคนิคมนตราที่เหมาะสม
กล่าวกันว่าค่ายกล แท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์กับเทคนิคมนตรา แกนหลักของมันสอดคล้องต่อกันและกัน ถูกแบ่งออกเป็น ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลม สายฟ้า แสง ความมืด และเสียง
กู่ฉิงซาน เดิมเป็นผู้ฝึกยุทธ์ธาตุสายฟ้า แต่ก็ต้องหยุดไปเข้าสู่วิถีดาบ ทว่าในเวลานี้เขาสามารถทะลวงขีดจำกัด ไม่จำเป็นต้องมุ่งสมาธิไปยังทักษะดาบเพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว ตนสามารถเรียนรู้เทคนิคมนตราสายฟ้าได้เลยในทันที
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีแต้มพลังวิญญาณมากมาย แต่การจะเรียนรู้ให้หมดทุกอย่างเลยก็ไม่สมควร มันจะเป็นการเสียของเกินไป
กู่ฉิงซานไม่เต็มใจที่จะฝึกฝนเทคนิคมนตราทั้งหมดของผู้ฝึกยุทธ์ เพราะเขาไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับพวกมัน
ดังนั้น หากจะให้เลือกเรียนรู้เทคนิคมนตรา แต่ละวิชาที่เลือกมามันจะต้องเป็นสิ่งจำเป็นเท่านั้น
จำต้องใช้เวลาไปพอสมควรเลย ในส่วนของการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคมนตรา
เอาล่ะ ทีนี้ก็มาถึงตาของนักสู้หวูเต๋า
เพื่อที่จะเรียนรู้สกิลเทวะ ‘สวรรค์ล่มสลาย’ ตนเองจำเป็นที่จะต้องมีรากฐานบางอย่างในวิถีนักสู้
การฝึกฝนฐานวรยุทธ์ของวิถีนักสู้ มันจะเป็นการช่วยเสริมสร้างจิตวิญญาณและร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ ซึ่งแม้ว่าตนจะเป็นผู้ฝึกดาบ แต่หากทั้งสองสิ่งที่กล่าวมาแข็งแกร่งขึ้น มันก็เป็นเรื่องที่ดี
เฝ้ารอจนกระทั่งตนเรียนรู้ฐานวรยุทธ์ของวิถีนักสู้มาจนถึงระดับหนึ่งแล้ว สายตาของกู่ฉิงซานก็ไปตกลงอีกหนึ่งสกิลเทวะ
หวูเต๋ากุ่ยชั่ง(หวนคืนไร้ลักษณ์) ตัดแบ่งขุนเขาไร้ตัวตน!
…
แสงสลัวยามค่ำคืนสลายหายไป
รุ่งอรุณได้ถึงแล้ว
กู่ฉิงซานนั่งยองๆ อยู่ในลำธารเบื้องหลังภูเขานิกาย ขัดๆ ถูๆ หม้อเหล็กขนาดใหญ่อย่างจริงจัง
ตอนนี้ เขากำลังทำอาหารเช้าให้แก่ผู้คนทั้งหมดในนิกาย
เครื่องครัวทีละชิ้น ทีละชิ้นถูกนำออกมาวางอย่างเรียบร้อย กู่ฉิงซานกำลังนึกถึงอาหารที่จะทำในวันนี้
ท่านอาจารย์กล่าวว่าตนจะไม่กิน แต่นางจะไม่ปฏิเสธหากเขามอบชามข้าวต้มดอกไม้วิญญาณให้
ส่วนห่านขาว มันย้ำเตือนกับตนเองนักหนามาตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า อยากจะรับประทานบะหมี่รสจัดในตอนเช้า
อืม…เมนูค่อนข้างจะขัดแย้งกันนิดหน่อยแฮะ
ส่วนคนอื่นๆ ซิวซิวไม่ควรกินอะไรมากเกินไปในตอนเช้า เด็กสาวจะต้องกินน้ำตามังกร และชาวิญญาณที่ใช้ในการซ่อมแซมจิตเทวะ
ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ มิได้กล่าวว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษ ดังนั้นเขาแค่ต้มโจ๊กหรือบะหมี่เช่นเดียวกับท่านอาจารย์ไปให้พวกนางก็น่าจะเพียงพอแล้ว
สำหรับเซี่ยวโหลว…
ระหว่างขบคิด ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็เห็นว่ามีก้อนเปลวไฟลอยเข้ามา
เขาคว้ารับยันต์สื่อสาร และกระตุ้นพลังวิญญาณลงไป
เสียงของเซี่ยเต๋าหลิงดังขึ้น “จงทำอาหารให้อร่อยเป็นพิเศษ วันนี้มีแขกสองคนมาเยี่ยมเยือน”
มีแขกมางั้นหรือ?
กู่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ท่านอาจารย์เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีหน้าตา ดังนั้นหากถึงขั้นส่งยันต์สื่อสารมาเตือนว่า ‘ต้องทำอาหารอร่อยๆ’ กู่ฉิงซานก็ย่อมแสดงฝีมือของเขาออกมาให้ดีที่สุด
เขาเร่งจัดเตรียมเครื่องเคียงอาหารวิญญาณกว่าสิบหกจานในลมหายใจเดียว จากนั้นก็ปรุงข้าววิญญาณ ต้มลงในหม้อใหญ่ ทำน้ำซุปเห็ดหลินจือตุ๋นแสนอร่อย ลวกเส้นบะหมี่ นำพวกมันใส่ลงในชาม และราดซอสอย่างระมัดระวัง
ด้วยซอสและน้ำซุปนี้ หากเพียงแค่ใช้ตะเกียบคนๆ ผิวน้ำของมัน กลิ่นหอมละมุนจากภายในก็จักกระจายออกมา ลอยฟุ้งไปทั่วทั้งนิกายร้อยบุปผา!
เมื่อถึงจุดนี้ อาหารมื้อเช้าของนิกายร้อยบุปผาก็พร้อมรับเสิร์ฟ!
ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ มายืนรอเขาสักพักหนึ่งแล้ว
พวกเธอเฝ้ามองดูกู่ฉิงซานวุ่นอยู่กับอาหารวิญญาณอย่างขะมักเขม้น
ยิ่งมองอาหารของเขา รอยยิ้มบนใบหน้าของสองหญิงสาวก็ยิ่งปรากฏ
พวกเธอช่วยกู่ฉิงซานจัดวางอาหารวิญญาณลงในถาด และเดินกลับมายังโถงร้อยบุปผาด้วยกัน
และในเวลานี้ แขกของนิกายร้อยบุปผาเองก็ได้มาถึงแล้วเช่นกัน
กู่ฉิงซานต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะแขกทั้งสองที่ว่ามานี้เขารู้จักกันเป็นอย่างดี
เป็นหนิงเยว่ฉาน และเหลิงเทียนสิง
แต่เดิม กลับกลายเป็นว่าแขกทั้งสองคือเขาและเธอ
หนิงเยว่ฉานมองกู่ฉิงซาน ก่อนจะสลับไปมองหม้อข้าวต้มที่อยู่ในอ้อมแขนเขา “ข้าหลงคิดว่าผู้ที่รับผิดชอบเรื่องการปรุงอาหารในนิกายคือฉินเซี่ยวโหลวเสียอีก”
“เซี่ยวโหลวกำลังวุ่นอยู่กับการฝึกยุทธเมื่อเร็วๆ นี้ ดังนั้นข้าจึงมารับหน้าที่ดูแลจัดการอาหารแทนชั่วคราว” กู่ฉิงซานตอบ
เขาจัดวางอาหารทั้งหมดลงบนโต๊ะ และก้าวไปข้างหน้า ประสานกำปั้นกับเหลิงเทียนสิง
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“นานจริงๆ ที่มิได้พบเจอ”
ทั้งสองต่างยิ้มให้แก่กัน
ท้ายที่สุดนี้ พวกเขาต่างฝ่ายต่างก็เสี่ยงชีวิตมาด้วยกันตั้งแต่แรก ดังนั้นมิตรภาพย่อมผลิบาน ไม่ต้องกล่าวบรรยายอะไรให้มากความ
“เอาล่ะ พวกเรามาเริ่มทานอาหารเช้ากันก่อน เรื่องราวต่างๆ ไว้มาคุยกันในภายหลัง” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว
ฝูงชนจึงหยุดสนทนา ทยอยกันนั่งลง และเริ่มรับประทานอาหาร
หากเป็นในสถานการณ์ทั่วๆ ไปแล้ว ปกติบรรดาสาวกจะสามารถสนทนากันระหว่างกินได้
อย่างไรก็ตาม หากมีบุคคลภายนอกอยู่ด้วย สาวกนิกายจะต้องรักษามารยาทให้ดีที่สุด ไม่ควรจะพูดอะไรออกมาแม้ครึ่งคำ
นี่คือกฎที่ทางสำนักใหญ่บัญญัติขึ้น แม้นางเซียนไป่ฮั่วจะไม่ใส่ใจ แต่หากอยู่ในสถานการณ์ที่มีแขกมาเยือน มันก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีหน้าตาที่จำต้องเก็บมาพิจารณา
ทุกคนรักษาความสงบ และกินอาหารเช้าอย่างเงียบๆ
นางเซียนไป่ฮั่วยอมกินข้าวต้มดอกไม้วิญญาณของเขาจริงๆ
ขณะที่ห่านขาว กินบะหมี่ไปกว่าสองชามแล้ว มันโค้งคอลงกินเห็ดตุ๋น เพลิดเพลินไปกับรสอาหาร
ฉินเซี่ยวโหลวได้ลิ้มลองอาหารวิญญาณทั้งสิบหกจาน สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความหลงใหลและขบคิด
หากมิใช่เพราะยามนี้ยังไม่สมควรเอ่ยคำใด บางทีเขาอาจจะตะโกนชมอาหารเหล่านี้ของกู่ฉิงซานไปแล้ว
ขณะที่ใบหน้าของซิวซิวดูจะเศร้าสร้อย เธอนั่งกินอาหารซ่อมแซมจิตเทวะที่ไม่น่าจะอร่อยถูกปาก แต่เมื่อเด็กสาวกินจนหมด กู่ฉิงซานก็ยื่นชามบะหมี่เล็กๆ แก่เธอ และขนมขบเคี้ยวอีกนิดๆ หน่อยๆ
ใบหน้าของซิวซิวแสดงออกถึงความสุขทันที
ฉินรั่วกินอย่างเชื่องช้า มารยาทงดงามเป็นอย่างมาก ส่วนว่านเอ๋อก็มิได้กินมากจนเกินไป
ทางเหลิงเทียนสิง ระหว่างกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เขาก็แอบยกนิ้วโป้งให้กู่ฉิงซาน
‘ฝีมือเจ้าสุดยอดไปเลย’
‘ยังมีอีกเยอะเลยนะ’ กู่ฉิงซานตอบ
ทางหนิงเยว่ฉาน นางยกชามข้าวขึ้นมากิน แต่ขณะเดียวกันก็เบนสายตาไปมองกู่ฉิงซานเป็นครั้งคราว
นางใช้ตะเกียบลองชิมอาหารทุกจาน สีหน้าของนางแสดงออกถึงความประหลาดใจ
เจ้าตัวเป็นถึงนักบุญหญิงของนิกาย ดังนั้นจึงพอที่จะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องอาหารวิญญาณอยู่บ้าง
อาหารวิญญาณเหล่านี้ล้วนอยู่ในระดับสูงสุด หากจะกล่าวว่าเทียบเคียงได้กับฉินเซี่ยวโหลวคงมิใช่เรื่องเกินเลย
หนิงเยว่ฉานอดไม่ได้ที่จะส่งความคิดไปอย่างเงียบๆ “ข้าไม่คิดเลย ว่าเจ้าจะมีฝีมือในด้านอาหารวิญญาณด้วย”
กู่ฉิงซานยืดอกตนขึ้นทันที “ข้าย่อมมีฝีมืออยู่แล้ว และจะบอกอะไรให้นะ ว่าอาหารวิญญาณของข้าเป็นที่เลื่องลือกันออกไปในหลายโลก คนส่วนใหญ่ไม่มีทางจะได้กินมันง่ายๆ หรอกนะ”
หนิงเยว่ฉานมองเขา และอดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ
“นั่นสิ หากหญิงนางใดได้ร่วมหอลงโรงกับเจ้า พวกนางคงเปรียบดั่งได้รับพรอันประเสริฐโดยแท้”
………………………………….
เมฆหมอกทะมึนบนท้องฟ้าได้กระจัดกระจายหายไปแล้ว
ฉินเซี่ยวโหลวสามารถข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้สำเร็จ
ทว่าถึงแม้เขาจะได้รับการอนุญาตจากนางเซียนไป่ฮั่วแล้วก็ตาม แต่เจ้าตัวก็ยังไม่คิดจะกลับลงมายังพื้นดิน
เขายังคงนั่งทำสมาธิอยู่บนว่าว หนึ่งมือกุมใบหยก ตริตรองถึงรายละเอียดเทคนิคฝึกยุทธ์ของขอบเขตก้าวสู่เทพอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
เซี่ยเต๋าหลิงกับกู่ฉิงซานไม่เคยเห็นฉินเซี่ยวโหลดจริงจังขนาดนี้มาก่อนเลย
หากเป็นในอดีต ฉินเซี่ยวโหลวคงบินลงมาตั้งนานแล้ว เขาคงแทบจะอดใจไม่ไหว เดินทางออกไปหาสถานที่เที่ยวสนุก
เมื่อเห็นถึงฉากนี้ เซี่ยเต๋าหลิงกับกู่ฉิงซานก็ถอนจิตสัมผัสเทวะกลับคืน ห้วงอารมณ์ของเขาและเธอกลายเป็นเบิกบาน
การที่ฉินเซี่ยวโหลวตั้งอกตั้งใจเช่นนี้ บอกตามตรงว่ามันน่าทึ่งยิ่งกว่าการได้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเสียอีก
กู่ฉิงซานกับนางเซียนหันกลับมาหารือกันอีกสักพัก ก่อนที่ศิษย์จะหยิบถุงหอมหลากสีออกมา และยื่นมันให้แก่อาจารย์ของตน
นี่คือมรดกและทรัพยากรสำรองทั้งหมดของนิกายร้อยบุปผา
มองลงไปยังถุงหอมหลากสี ห้วงอารมณ์ของทั้งศิษย์และอาจารย์ก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น
ฝ่ายหนึ่งละจากถุงหอมไป ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคอยเก็บรักษามันเอาไว้ ช่วงวันเวลาเหล่านั้น มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมายจริงๆ
และสิ่งที่โชคดีที่สุดก็คือ ต่างฝ่ายต่างก็สามารถรอดชีวิตมาได้
กู่ฉิงซานกล่าว “ข้าได้ใส่เทคนิคฝึกยุทธ์บางส่วนของโลกล่องเวหาไว้ในใบหยก และเก็บใส่ภายในนั้นแล้ว”
“นอกจากนี้ข้ายังได้ทำการคัดลอกเนื้อหามากมายจากในใบหยกของนิกาย เพื่อเอาไว้ใช้นำมาศึกษาเองอย่างช้าๆ ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์จะอนุญาตหรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา” เซี่ยเต๋าหลิงกล่าว
“เช่นนั้นศิษย์ขอตัวลา”
กู่ฉิงซานพยักหน้า เขายืนขึ้นและเตรียมที่จะกลับไปพักผ่อน
“ช้าก่อนฉิงซาน” นางเซียนเรียกเขา
“ท่านอาจารย์ยังมีเรื่องใดต้องการจะสอนสั่ง?”
“ก็ไม่เชิงหรอก แต่บังเอิญว่าในตอนที่ข้าเข้าร่วมกับพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ข้าเคยได้มีโอกาสเข้าร่วมการประลองกับโลกด้านฝึกยุทธ์อื่นๆ นั่นก็เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคนิคมนตรา ความเชี่ยวชาญ และตรวจสอบซึ่งกันและกัน”
เซี่ยเต๋าหลิงหยิบใบหยกออกจากแขนเสื้อ และโยนมันให้แก่กู่ฉิงซาน
เธอกล่าว “ภายในใบหยกมีเทคนิคลับแห่งดาบ ซึ่งกระทั่งในสายตาข้า ก็ยังเห็นว่ามันมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง”
“ดังนั้น ข้าจึงพยายามคิดหาหนทางแลกเปลี่ยนเทคนิคลับแห่งดาบนี้จากเจ้าของของมัน จนได้รับมาในที่สุด”
“และในเมื่อเจ้าเองก็เป็นผู้ฝึกดาบ ฉะนั้นเทคนิคลับที่ข้าได้มา ก็จะถูกส่งต่อไปยังเจ้า”
กู่ฉิงซานรับใบหยก ประสานกำปั้นและกล่าว “ขอบพระคุณท่านอาจารย์”
แม้เซี่ยเต๋าหลิงจะกล่าวอธิบายเพียงสั้นๆ แต่ใจความสำคัญของมัน กู่ฉิงซานกลับสามารถตระหนักได้อย่างชัดเจนว่านี่คงเป็นเทคนิคลับแห่งดาบที่ยากนักจะพบเจอจริงๆ
เพราะไม่ว่าใครต่างก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเทคนิคลับแห่งดาบ คือพลังศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกดาบ ที่มีอำนาจอย่างหาที่เปรียบมิได้ในการต่อสู้ระยะประชิด
ขณะเดียวกัน วิสัยทัศน์ของนางเซียนนั้นสูงส่งเสมอมา ดังนั้นการที่นางบอกว่าสายตานางก็ยังเห็นว่ามันมีประโยชน์ แสดงว่าเทคนิคลับแห่งดาบนี้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
นางจักต้องจ่ายทรัพยากรล้ำค่าไปมากมายเพียงใดกันหนอ จึงจะสามารถแลกเปลี่ยนมันมาได้
อย่างไรก็ตาม ในตลอดทั้งนิกายร้อยบุปผา มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้ฝึกดาบ
นั่นหมายความว่า การที่นางเพียรพยายามจนได้รับเทคนิคลับแห่งดาบนี้มา นั่นก็เพื่อตนเอง
ในหัวใจของกู่ฉิงซานบังเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้น
“จงนำมันกลับไป ศึกษามัน และพยายามเรียนรู้เทคนิคลับแห่งดาบชนิดนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด เอาล่ะ เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว”
กู่ฉิงซานไม่คิดจะพูดอะไรให้มันมากความอีกต่อไป เขาพยักหน้าเล็กน้อย และถอยกลับไป
ระหว่างเดินทางกลับไปยังวังหลานเฉา กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
ท่านอาจารย์ปฏิบัติต่อตนเองเป็นอย่างดี ปฏิบัติต่อสาวกทุกคนเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
แล้วจะไม่ให้เขาเพียรพยายามอย่างหนักได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม เมื่อกู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ บอกตามตรงว่าบางอย่างเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นความจริงอยู่ดี
แบรี่อาศัยอยู่ในโลกมิติอนันต์ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายที่เขาสามารถทะลวงชั้นมิติมากมายได้อย่างง่ายดาย
นั่นเป็นเพราะเอกลักษณ์ของโลกมิติอนันต์ ที่มันเชื่อมต่อกับโลกอื่นๆ นับไม่ถ้วนดั่งชื่อตน ดังนั้นการทะลวงมิติจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
ทว่าท่านอาจารย์น่ะยืนหยัดอยู่ในโลกหกวิถี แต่กลับสามารถใช้กำปั้นทะลวงมิติที่ว่างเปล่า เปิดภาพเสมือนของโลกอื่นสู่สายตาได้
ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าอาจารย์จะยังด้อยกว่าแบรี่อยู่ไม่น้อย แต่ความแข็งแกร่งที่เธอแสดงออกมานั้นเป็นของจริง
ท่านอาจารย์เหมาะสมแล้วจริงๆ ที่ได้ขึ้นเป็นผู้ปกครองพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์!
คนที่เลือกท่านอาจารย์ให้เป็นผู้นำ ช่างมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลยิ่งนัก!
กู่ฉิงซานพยักหน้าช้าๆ และเข้าไปภายในวังหลานเฉา
ภายในห้องโถง เครื่องใช้ทั้งหมดได้รับการทำความสะอาด และจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ส่วนใหญ่ของห้องโถงก็ยังว่างเปล่า ยามเมื่ออยู่คนเดียวมันก็ชวนให้รู้สึกโดดเดี่ยว
โชคยังดีที่มันมีพื้นที่ขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงมีสายลมอ่อนๆ พัดเข้ามา ทำให้ผู้พักอาศัยสะดวกสบาย ไม่รู้สึกอึดอัดใดๆ
กู่ฉิงซานนั่งลงบนฟูก และเริ่มคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับดินแดนชิงอำนาจ
โลกเดิมของเขาบัดนี้ได้รับการคุ้มครองโดยเหล่าทวยเทพ และกำลังจะถูกเปลี่ยนคุณสมบัติ ส่งผลให้ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ไม่สามารถเข้าหรือออกจากโลกใบนั้นไปได้
ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงไม่สามารถกลับไปปีนหอคอยที่อยู่ภายในมัน
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้หากเขาต้องการที่จะเร่งเพิ่มพูนฐานวรยุทธ์ตนให้เร็วที่สุด จึงไม่มีหนทางใดอื่นอีก นอกจากตรงไปยังดินแดนชิงอำนาจ
ซึ่งข้อเสนอนี้ ร่างใหญ่ก็เคยได้บอกกับเขาเอาไว้เช่นกัน
แบรี่และเสี่ยวเหมียวก็เคยบอกมันแก่เขา
เวลานี้ กระทั่งท่านอาจารย์ก็ยังรู้สึกว่ามันสมควรจะเป็นเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็เริ่มใช้อำนาจในมือตน ตระเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน
เขาเริ่มทำการตรวจสอบสิ่งที่ตนมี ทีละชิ้น ทีละชิ้น
ถุงหอมหลากสีได้ถูกส่งคืนให้แก่ท่านอาจารย์แล้ว แม้ว่าเขาจะใช้บางสิ่งภายในนั้นเป็นการส่วนตัวไปบ้าง แต่หลังจากที่ได้รับทรัพยากรของหวังหงษ์เต๋ามา เขาก็นำมันเข้าไปแทนที่ส่วนเดิมที่ขาดหายไปของนิกาย อันที่จริงต้องกล่าวว่ามันเพิ่มพูนขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก
แต่กู่ฉิงซานก็ยังเก็บบางสิ่งที่พอจะมีประโยชน์ไว้กับตัวเช่นกัน
อย่างน้อยเขาก็ได้ทำการคัดลอกเทคนิคฝึกยุทธ์มากมายเอาไว้ในใบหยก
ในเวลานี้ เขาได้หยิบหนึ่งในใบหยกที่ว่าขึ้นมา บนหน้าต่างเทพสงครามพลันผุดหลายบรรทัดแสงตัวอักษรเด้งขึ้นทันที
“สกิลเทวะประเภทประภพ สายธารแห่งการหลงเลือน”
“หากต้องการฝึกฝนสกิลเทวะดังกล่าว คุณจำเป็นต้องมีเงื่อนไขที่สอดคล้องดังต่อไปนี้”
“มีพรสวรรค์ทางพลังวิญญาณในการใช้ธาตุทั้งห้าในขั้นห้า”
“ครอบครองเทคนิคเทียนซวน เพรียกวิญญาณ”
“ครอบครองเทคนิคลับ ผนึกร่างสู่หยิน”
“ครอบครองเทคนิคลับ วิญญาณหวนคืน”
“ครอบครองเชื่อมต่อหกวิถี เรือข้ามประภพ”
กู่ฉิงซานอ่านมันอีกครั้ง และอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
การเรียนรู้สกิลเทวะแห่งหกวิถี มันมีเงื่อนไขมากมายจริงๆ
แต่โชคยังดี…
ที่เขาได้รับการปลดปล่อยจิตวิญญาณ และไร้ซึ่งข้อจำกัดใดๆ แล้ว!
มุมปากของกู่ฉิงซานยกสูงขึ้น เขาเอ่ยสั่งหน้าต่างระบบเทพสงครามด้วยความมั่นใจ
“ระบบ ฉันต้องการใช้แต้มพลังวิญญาณของฉันเพื่อเรียนรู้สกิลเทวะ สายธารแห่งการหลงเลือน”
ติ๊ง!
บังเกิดเสียงอันคมชัดดังขึ้น
ระบบเทพสงครามตอบกลับ “คุณไม่สามารถเรียนรู้สกิลเทวะนี้ได้”
กู่ฉิงซานชะงักไป เขาเร่งถามอย่างรวดเร็ว “ทำไมกัน? ฉันได้รับการปลดปล่อยจิตวิญญาณแล้วชัดๆ มันไร้ซึ่งข้อจำกัดใดๆ ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมฉันถึงไม่สามารถฝึกมันได้?”
ระบบเทพสงครามตอบ “ใช่ จิตวิญญาณของคุณได้รับการปลดเปลื้องแล้วก็จริง แต่คุณยังคงมีข้อจำกัดเรื่องเพศอยู่ดี”
ข้อจำกัดเรื่องเพศ!
กู่ฉิงซานเกือบจะกระอักเลือดออกมา
“หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์หญิงเท่านั้นถึงจะสามารถเรียนรู้มันได้?” เขาถาม
“ถูกต้อง นี่คือเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมี”
กู่ฉิงซานพ่นลมหายใจด้วยความเสียดาย
ดูเหมือนว่าตนเองจะไม่มีทางเรียนรู้สกิลนี้ได้อีกแล้ว
เว้นเสียแต่ว่า…
ไม่ล่ะ แบบนั้นไม่เอา ลืมมันเสียเถอะ!
เขาเก็บใบหยก และหันไปหยิบกระบี่ยาวขึ้นมา
นี่คือกระบี่ยาวที่มีสีดำสนิท ทันทีที่มันปรากฏ เสียงหวีดร้องโหยหวนด้วยความโศกเศร้าและทุกข์ตรมนับไม่ถ้วนก็ดังออกมาจากมัน
เงาสีเทาพัวพันรอบใบกระบี่
เงาสีเทาเหล่านี้ เวียนว่ายอยู่พักหนึ่ง ทว่าเมื่อไม่ได้รับการกระตุ้นพลังวิญญาณใดๆ มันก็ค่อยๆ สลายหายไป
ใบกระบี่แม้จะยาว แต่ก็เรียวเล็กและแคบมาก มิใช่สิ่งที่เหมาะสมจะใช้ต่อสู้ ส่วนใหญ่แล้วมันมักจะถูกใช้เป็นสื่อกลางในการปลดปล่อยเทคนิคมนตราเสียมากกว่า
นี่คือกระบี่จักรพรรดิศพจากโลกล่องเวหา เป็นของผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตลมปราณจิตหวังหงษ์เต๋า
กระบี่นี้อยู่คู่กับหวังหงษ์เต๋ามานานปี มันได้เป็นพยานในทุกๆ การต่อสู้ของเขา
และยังได้บันทึกทักษะการต่อสู้ทั้งหมดของหวังหงษ์เต๋าเอาไว้อีกด้วย!
กู่ฉิงซานยื่นมือออกไป และค่อยๆ กุมกระบี่ยาว
ทันใดนั้นเอง บนหน้าต่างเทพสงคราม ฟังก์ชัน ‘วิชายุทธ์เทพสงคราม’ ก็สว่างขึ้น
สกิลกระบี่ตลอดทั้งชีวิตของหวังหงษ์เต๋า รวมไปถึงเทคนิคมนตราของกระบี่ผุดขึ้นมาอยู่ต่อหน้ากู่ฉิงซาน
ในบรรดาสกิลต่างๆ ของหวังหงษ์เต๋า มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่บริสุทธิ์ ส่วนใหญ่แล้วมันเกี่ยวข้องกับเทคนิคมนตราซากศพและแมลงทั้งสิ้น
บนตัวกระบี่ เต็มไปด้วยวิชาชั่วร้ายมากเกินไป กู่ฉิงซานเพียงกวาดตามองคำอธิบายข้างต้นของพวกมัน เขาก็จำต้องขมวดคิ้วทันที
เขาเลือกแยกสกิลที่บริสุทธิ์ออก จากนั้นก็นำมันไปรวมกันกับสกิลกระบี่ของนิกายร้อยบุปผา เพื่อเตรียมทำการเรียนรู้มันร่วมกันในทีเดียว
ส่วนวิชาชั่วร้ายทั้งมวล เขาละทิ้งมันไปโดยสิ้นเชิง
หลังจากนั้น กู่ฉิงซานก็ได้แยกเทคนิคธนูและลูกศรของนิกายกวงหยางออกมา และจัดเรียงมันอย่างระมัดระวัง
ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ สกิลในสาขาธนูและลูกศรช่างหาได้ยากเย็นยิ่ง กระทั่งชุดเทคนิคที่เซี่ยเต๋าหลิงรวบรวมมา ยังแทบจะไม่มีเลย มีเพียงสกิลขั้นพื้นฐานเท่านั้น
กู่ฉิงซานคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะนำใบหยกของนิกายกวงหยางออกมา และทำการค้นหามันอย่างรอบคอบ
ในที่สุดเขาก็พบสกิลสาขาธนูและลูกศรในที่สุด
แต่มันก็ยังมีเพียงสกิลเดียวอยู่ดี
เห็นได้ชัดว่าในระบบของผู้ฝึกยุทธ์ ธนูและลูกศรมิใช่เทคนิคหลักที่ใช้ในการโจมตี
แต่กู่ฉิงซานก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะท้ายที่สุดนี้ สกิลธนูของเขาเกือบทั้งหมดได้หายไปแล้ว มันหลงเหลือแค่ ‘ระบำผันผวน’ เท่านั้น
เขาจึงทำการเรียนรู้สกิลธนูและลูกศรทั้งหมด
หลังจากกระบี่ ก็ตามด้วยธนู และในที่สุดก็มาถึงใบหยกที่ท่านอาจารย์มอบให้
กู่ฉิงซานค่อยๆ จับมันขึ้นมาเบาๆ
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยค่อยๆ ทยอยกันปรากฏขึ้นมาทันที
“คุณได้ค้นพบเทคนิคลับแห่งดาบชนิดใหม่”
“เทคนิคลับแห่งดาบ ‘ล่าชีพ’”
………………………………….
เหนือขึ้นไปเบื้องบน เสียงของทัณฑ์สายฟ้าดังกึกก้องไม่รู้จบ
ฉินเซี่ยวโหลวยังคงข้ามผ่านโทษทัณฑ์
“ดาบพิภพกำลังจะตาย โลกนับล้านล้านล้วนไม่มีวิธีใดที่จะช่วยเหลือมัน ทว่าดาบนภาคือแฝดของดาบพิภพ ฉะนั้นจึงมีเพียงการออกค้นหาดาบนภาเท่านั้นจึงจะสามารถซ่อมแซมดาบพิภพได้”
เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวอย่างช้าๆ
กู่ฉิงซานแทบจะทนรอไม่ไหว เขาเร่งกล่าว “เช่นนั้น ข้าร้องขอท่านอาจารย์ ให้ยอมรับข้าเข้าสู่วังสวรรค์เมฆาวิเวก แล้วส่งข้าไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ด้วยเถิด”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้” เซี่ยเต๋าหลิงส่ายหัวเบาๆ
“การจะเข้าสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ จำเป็นต้องใช้สองสิ่ง หนึ่งคือค่ายกลเคลื่อนย้ายของนิกายวังสวรรค์ อีกหนึ่งคือใบหยกพิทักษ์กายาของวังสวรรค์”
“หากเป็นในอดีต ข้าสามารถให้เจ้าเข้าสู่โลกใบนั้น และช่วยให้เจ้าให้สามารถคงชีวิตอยู่ได้เลยในทันที”
“แต่ตอนนี้ ใบหยกพิทักษ์กายาของวังสวรรค์ได้หมดพลังงานลงแล้ว และได้ถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถใช้มันช่วยรักษาชีวิตเจ้าเอาไว้ได้อีกต่อไป”
“อาจารย์ เมื่อเป็นแบบนั้นแล้วพวกเราจะทำอย่างไรดี?”
เซี่ยเต๋าหลิงยังคงส่ายหัว เธอกล่าว “ในความเป็นจริง ต่อให้มีใบหยกพิทักษ์กายา ก็ยังเป็นการยากนักที่จะค้นพบดาบนภา”
“เพราะเหตุใด?”
“เพราะมันมิได้อยู่ในวังสวรรค์เมฆาวิเวก แต่ลอยล่องอยู่ในที่ใดสักแห่งในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์”
กู่ฉิงซานงง “งั้นข้าก็แค่เข้าไปในโลกใบนั้น แล้วตามหามันด้วยตนเองก็ได้มิใช่หรือ?”
“มันไม่ง่ายขนาดนั้น”
เซี่ยเต๋าหลิงเฝ้ามองศิษย์ตน และอธิบายอย่างช้าๆ “ในความเป็นจริง ทุกๆ ผู้นำนิกายวังสวรรค์เมฆาวิเวกต่างก็ได้รับการตักเตือนสืบต่อมา ว่าหลังจากเข้าไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์แล้ว จักต้องอยู่แต่ในวังสวรรค์ ห้ามออกมาโดยเด็ดขาด”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?”
“เพราะโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์เป็นสถานที่ที่อันตรายมากเกินไป เราสามารถอยู่รอดได้โดยการอาศัยอยู่ในวังสวรรค์เท่านั้น”
“จุดประสงค์ของการเดินทางไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ของนิกายพวกเราก็คือ การเข้าไปอ่าน และศึกษาหนังสือโบราณของนิกายในวังสวรรค์ เพื่อค้นหาวิถีและเทคนิคลับที่เหมาะสมกับตนเอง”
“และหากเจ้าคิดออกจากวังสวรรค์ เจ้าจะต้องตายทันที”
กู่ฉิงซานไตร่ตรอง พิจารณาอย่างรอบคอบ และกล่าว “ด้วยกฎเกณฑ์ของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ที่จำกัดฐานวรยุทธ์ของทุกคน ดังนั้นพลังของพวกเขาจึงต่ำต้อยในโลกดึกดำบรรพ์ พวกเขาจึงจำเป็นต้องใช้ใบหยกพิทักษ์กายาใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านบรรพบุรุษได้เตือนคนรุ่นหลังในอนาคตว่า จำเป็นต้องบรรลุการฝึกยุทธ์ไปถึงระดับหนึ่งก่อน จึงจะสามารถออกจากวังสวรรค์ เพื่อไปสำรวจโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้”
เซี่ยเต๋าหลิงถอนหายใจเบาๆ และกล่าว “ยามเมื่อเหล่าทวยเทพในสมัยโบราณยังคงอยู่ในโลกสวรรค์ พวกเขาต่างมุ่งมั่นทุ่มเทที่จะสรรสร้างโลกหกวิถี และทำการติดต่อกับพวกมนุษย์อยู่บ่อยครั้ง”
“สำหรับเรื่องที่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์และหกวิถีถูกแยกออกจากกัน มันเกิดขึ้นในภายหลัง และไม่มีผู้ใดรู้เช่นกันว่าเหล่าทวยเทพทั้งหมดหายไปได้อย่างไร”
“ดาบพิภพเป็นสิ่งที่ท่านบรรพบุรุษได้มาโดยบังเอิญ และเขาก็บอกกับลูกหลานอย่างจริงจังว่า ดาบเล่มนี้จะต้องถูกสืบทอดต่อๆ กันไป”
กู่ฉิงซานเอ่ยแทรกขึ้นมา “หลังจากที่เทพบรรพกาลหายตัวไป พวกเขาก็ได้ทำการตัดขาดโลกสวรรค์กับโลกมนุษย์ใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง และไม่มีผู้ใดเลยที่ล่วงรู้ถึงเรื่องนั้น มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเชื่อมต่อกับโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้”
“บางทีมันอาจจะเป็นเพราะท่านบรรพบุรุษเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ท่านจึงพอที่จะสามารถสร้างค่ายกลรับส่งระหว่างสองโลกขึ้นมาได้”
“ท่านบรรพบุรุษได้เตือนลูกหลานในรุ่นต่อๆ มาว่านี่เป็นความลับสุดยอดของนิกาย หากมันแพร่งพรายออกไปแม้เพียงครั้ง จะเป็นการชักนำภัยพิบัติอันยากจะคาดเดา”
“ดังนั้น เรื่องนี้จึงเป็นที่รู้กันเฉพาะผู้นำจากรุ่นสู่รุ่นเท่านั้น”
เซี่ยเต๋าหลิงเผยถึงร่องรอยแห่งความทรงจำและยังคงกล่าวต่อ “ทว่าความเจริญรุ่งเรืองกลับเสื่อมถอย อำนาจของนิกายมิได้ยิ่งยงตลอดไป ในช่วงเวลาที่ข้าได้เข้าสู่นิกาย นิกายก็ถดถอยลงไปมากแล้ว และสุดท้ายก็เป็นเพราะข้า นิกายจึงถูกทำลายลงในที่สุด”
“ทว่าทั้งมรดกและความลับทั้งหมดของนิกาย ท่านผู้นำได้ส่งต่อมันมาแก่ข้าในวินาทีสุดท้าย”
“ฉิงซาน ในเมื่อนอกไปจากนิกายร้อยบุปผา เจ้ายังไม่เคยเข้าร่วมนิกายใดอีก ฉะนั้น เอาไว้ยามเมื่อเจ้าแกร่งพอที่จะสามารถเข้าไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้ ข้าจึงจะยอมรับเจ้าเข้าสู่วังสวรรค์เมฆาวิเวก และให้รับตำแหน่งผู้นำสืบไป”
กู่ฉิงซานสับสน “แต่ดาบพิภพกำลังแตกสลาย เช่นนั้นมันจะต้องใช้เวลาอีกสักเท่าใดกันข้าจึงจะสามารถไปสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้?”
เซี่ยเต๋าหลิง ใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ดาบพิภพ ขณะที่อีกข้างผันแปรสัญลักษณ์ที่ดูซับซ้อน
วิชาลับจงปรากฏ!
ทันใดนั้นเอง กล่องหยกทั้งใบที่ภายในถูกวางไว้ด้วยดาบพิภพก็ลอยขึ้นมาในอากาศ ก่อนจะนิ่งงันไม่ไหวติงคล้ายกับกำลังถูกหยุดเวลา
“นี่คือเทคนิคต้องห้ามของข้า มันสามารถช่วยชะลอการไหลของกระแสเวลาให้ยืดยาวออกไป เพื่อเฝ้ารอจนกระทั่งเจ้ามีความแข็งแกร่งมากพอ”
กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็โล่งใจ
เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวต่อ “ตามกฎของท่านบรรพบุรุษแล้ว เจ้าจะต้องมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะสามารถออกจากวังสวรรค์เมฆาวิเวกให้ได้เสียก่อน จึงจะสามารถเข้าไปสำรวจโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้”
เธอยิ้มและหัวเราะกับตัวเอง “ในอดีต ทุกครั้งเลยที่ข้าได้อ่านหนังสือของนิกาย ข้ามักจะคิดว่า ‘ขอบเขตวรยุทธ์’ เหล่านั้นคงจะมีอยู่แค่ในตำนาน”
“จนกระทั่งข้าได้ล่วงรู้ถึงเรื่องราวของโลกเก้าร้อยล้านชั้น ข้าจึงได้ตระหนักว่าสิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้ล้วนเป็นความจริง”
กู่ฉิงซาน “ในเรื่องของขอบเขตวรยุทธ์ ข้าทราบเพียงว่าเหนือยิ่งกว่าพันวิบัติ คือขีดสุดความว่างเปล่า และลมปราณจิต สองขอบเขตเท่านั้น เหนือยิ่งกว่ายังไม่มีความชัดเจนใดๆ”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าอยู่กับสมาคมกำปั้นเหล็กหรอกหรือ? นี่พวกเขาไม่ได้บอกเจ้า?” เซี่ยเต๋าหลิงเอ๋ยถาม
กู่ฉิงซานตอบอย่างหมดหนทาง “เสี่ยวเหมียวบอกแค่ว่าในโลกเก้าร้อยล้านชั้นน่ะ มีตัวตนทรงอำนาจที่ครอบครองทุกชนิดของความแข็งแกร่งอยู่มากมายเกินไป ดังนั้นจึงมิอาจแบ่งแยก ตัดสินให้มันชัดเจนได้ว่าผู้ใดเหนือกว่าหรือด้อยกว่า และไว้ยามเมื่อข้าสามารถแยกมิติที่ว่างเปล่า เผยโลกใบอื่นสู่สายตาตนเองให้ได้เสียก่อน จึงจะมีคุณสมบัติได้ล่วงรู้ถึงระดับของขอบเขตที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า”
“แท้จริงแล้วที่พูดแบบนั้นเพราะนางคงหวังดีกับเจ้า เพื่อที่จะช่วยหลีกเลี่ยงมิให้จิตแห่งเต๋าของเจ้าเกิดความว้าวุ่นและย่อท้อ” เซี่ยเต๋าหลิงอธิบายต่อ “มาตรฐานความแข็งแกร่งของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ในสมัยโบราณมันค่อนข้างละเอียด แต่ข้าจะอธิบายแก่เจ้าดังนี้”
“ร่างเทวะ พันวิบัติ ขีดสุดความว่างเปล่า และลมปราณจิต สี่ขอบเขตเหล่านี้เจ้ารู้อยู่แล้ว แต่เหนือขึ้นไปยิ่งกว่านั้นมันยังมีอีกสี่ขอบเขต นั่นก็คือ ดาราโกลาหล หวนคืนสู่ศูนย์ กระจ่างจิตเทวะ และเบิกเนตรมิติ”
“ดาราโกลาหลหากเทียบเปรียบกับลมปราณจิต จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าถึงสามเท่า หวนคืนสู่ศูนย์จะแกร่งกว่าดาราโกลาหลสอบสองเท่า จนกระทั่งมาถึงขอบเขตกระจ่างจิตเทวะ ที่มีความสามารถมากพอจะบดขยี้สวรรค์และโลก มากพอที่จะขึ้นมามีหน้ามีตาในโลกเก้าร้อยล้านชั้นได้ ก็จักถูกเรียกว่าเต๋าผู้ทรงเกียรติ”
กู่ฉิงซานคิดและกล่าว “เช่นนั้นพวกอาวุโสพันธมิตรที่ตายลงก่อนหน้านี้ก็เป็นเต๋าผู้ทรงเกียรติ ที่อยู่ในขอบเขตกระจ่างจิตเทวะใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง พวกเขาคือกระจ่างจิตเทวะ ขอบเขตที่มีอำนาจทำลายสวรรค์และโลกได้ แต่ยังคงไม่สามารถทำให้โลกใบอื่นปรากฏสู่สายตาตนเองได้ นี่คือขอบเขตของพันธมิตรที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน”
กู่ฉิงซาน “แม้กระทั่งจ้าวแห่งเต๋าก็ยังมิสามารถกลายเป็นผู้ริเริ่มอย่างแท้จริงงั้นหรือ?”
“อืม ในบรรดาขอบเขตทั้งหมดที่กล่าวมา มีเพียงขอบเขตเบิกเนตรมิติ เท่านั้นที่จะถือว่าเป็นผู้ริเริ่ม สามารถเดินทางไปในทุกหมื่นโลกาและอาณาจักรได้”
“แล้วหลังจากขอบเขตเบิกเนตรมิติล่ะท่านอาจารย์?” กู่ฉิงซานถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“นั่นจะเป็นอีกโลกหนึ่งแล้ว พวกเขาจะกลายเป็นกระแสหลักของโลกเก้าร้อยล้านชั้น แต่มันยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวถึง” เซี่ยเต๋าหลิงตอบอย่างช้าๆ
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงกำปั้นเหล็กแบรี่ ที่สามารถใช้หมัดเดียวฉีกมิติ เผยให้เห็นถึงโลกนับไม่ถ้วน ฉายให้เห็นถึงกระทั่งฉากอันงดงามของท่าเรือนางฟ้าในความว่างเปล่า
เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “อาจารย์ แล้วตอนนี้ท่านอยู่ในขอบเขตใด? ยังคงห่างไกลจากเต๋าผู้ทรงเกียรติใช่หรือไม่?”
เซี่ยเต๋าหลิงเงียบ และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ
“ข้าต้องอยู่ในพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่คุ้นเคยทั้งผู้คนและสถานที่ ไม่เพียงแต่จะต้องต่อสู้กับกองทัพมาร แต่ยังต้องระวังอันตรายจากผู้คนอีก ดังนั้นข้าจึงไม่อาจทำตัวให้เด่นดังเกินหน้าเกินตาคนอื่นได้”
“แต่พวกเขาบอกว่าท่านอาจารย์เป็นคนเดียวที่สามารถได้รับชัยชนะ”
“นั่นเพราะมันสถานการณ์บีบบังคับ มันเป็นจุดที่หากไม่ชนะก็จักต้องตายเท่านั้น”
“งั้น…ก็หมายความว่าท่านอาจารย์ได้ปกปิดความแข็งแกร่งของตนเอาไว้ตลอดมาเลยใช่หรือไม่?”
“ไม่เพียงแค่นั้น หลังจากช่วงเวลาที่กล่าวมา ข้ายังสามารถยกระดับขึ้นไปยังอีกขั้นได้อีกด้วย”
เซี่ยเต๋าหลิงถกชายเสื้อขึ้น เผยให้เห็นผิวนวลละเอียดลออ เกร็งกำปั้นและชกมันเบาๆ ไปในอากาศที่ว่างเปล่า
สกิลเทวะ สวรรค์ล่มสลาย!
นี่คือการชกเบาๆ อย่างเงียบงัน แต่ราวกับเดจาวู เพราะมันช่างเป็นฉากที่คุ้นตา
ในความว่างเปล่าทั้งมวล ราวกับม่านการแสดงที่ถูกเปิดออก มันแหวกแยกเป็นสองฟากฝั่งอย่างช้าๆ
มันคืออำนาจอันยิ่งใหญ่อย่างที่มิอาจจินตนาการได้ คล้ายกับฉากที่คนธรรมดาสามารถแหวกทะเลลึกให้แยกออกจากกัน
ช่องว่างมิติที่ถูกเปิดออกจากในความว่างเปล่า ค่อยๆ ปรากฏถึงแสงและเงาของโลกที่ทับซ้อน และสลับกันเป็นชั้นๆ ปรากฏอยู่เหนือหัวของคนทั้งสาม
การชกนี้ได้ทะลุขีดจำกัดกฎเกณฑ์ของโลก และทำให้ฉากเสมือนจริงของโลกปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า เผยให้เห็นอยู่ในสายตา
กู่ฉิงซานเห็นกว่าห้าถึงหกโลกเสมือนจริงเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ ภาพของพวกมันปรากฏขึ้นทีละภาพ…ทีละภาพ
ถึงแม้ว่านี่มันจะไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับการชกของแบรี่ แต่มันก็เพียงพอแล้วที่โลกนับพันล้านจะเกิดความตื่นตะลึง
“ท่าน…อาจารย์…”
หัวใจของกู่ฉิงซานคล้ายถูกกระแทกอย่างแรง ปากของเข้าอ้าค้าง มิอาจเอ่ยคำออกมาให้ครบจบประโยค
นางเซียนไป่ฮั่ววาดชายเสื้อออกไป
ทันใดนั้นโลกเสมือนในความว่างเปล่าก็หายวับไปจากสายตา
วังร้อยบุปผากลับคืนมาเป็นปกติดังเดิม คล้ายกับทุกสิ่งอย่างเมื่อครู่เป็นเพียงภาพมายา
นางเซียนไป่ฮั่วกล่าวเบาๆ “ด้วยการผสานรวมห้าโลก และต้องต่อกรกับกองทัพมารทุกวัน ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ หากข้ามิอาจย่างก้าวสู่ขึ้นสู่ ‘ผู้ริเริ่ม’ ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะเหลือหน้าไว้สนทนากับผู้คนในโลกเก้าร้อยล้านชั้นอย่างไรแล้ว”
“พวกเรามาว่าเรื่องที่คั่งค้างกันอย่างจริงจังดีกว่า ฉิงซาน หากเจ้าต้องการไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์เพื่อค้นหาดาบนภา เจ้าจะต้องเร่งเพิ่มพูนฐานวรยุทธ์ของตนโดยเร็วที่สุด”
“แล้วข้าสมควรจะทำอย่างไร?”
“จงไปยังดินแดนชิงอำนาจ กระโจนเข้าสู่สมรภูมิอย่างเต็มกำลัง”
………………………………….
กู่ฉิงซานบินกลับลงมายังวังร้อยบุปผา
ณ เวลานี้ ภายในโถงร้อยบุปผาได้จมลงสู่ความเงียบงันไปแล้ว
เพราะทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน เหลือเพียงนางเซียนไป่ฮั่วผู้เดียวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หมื่นบุปผา
นางเซียนไป่ฮั่ววางศอกลงบนพนัก โน้มตัวลงวางแก้มแนบกับมือและกล่าว “ถึงเจ้าจะบอกเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง แต่ข้าเกรงว่ามันอาจจะไร้ประโยชน์อยู่ดี”
กู่ฉิงซานหัวเราะ “ศิษย์พี่ใช้เวลาส่วนใหญ่เอาแต่เล่น แต่ข้าเชื่อว่าตราบใดที่เขาตั้งใจจริง เขาย่อมสามารถเข้าใจในสิ่งที่ข้าจะสื่อได้อย่างแน่นอน”
ระหว่างกล่าว จู่ๆ เมฆครึ้มก็เริ่มปรากฏขึ้นมาจากสุดขอบฟ้าไกล
ฝนที่แต่เดิมตกปรอยๆ บัดนี้เริ่มตกหนักขึ้น
ค่ำคืนอันสงบสุขเกิดแปรผัน เป็นสัญญาณของพลังงานบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น
ชั่วเวลานั้นเอง
เปรี้ยง!
เสียงสายฟ้าพลันฟาดผ่าลงมา
“นี่มันทัณฑ์สวรรค์ ไม่คาดหวังเลยว่ามันจะมาเร็วถึงขนาดนี้” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
นางเซียนไป่ฮั่วแสดงออกถึงความสุขบนใบหน้า “ข้าหวังว่าเขาจะตั้งใจฝึกยุทธ์เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่รีบหมดไฟไปเสียก่อน ”
เธอปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ เพื่อสังเกตฉินเซี่ยวโหลวที่อยู่บนว่าว ดวงตาของเธอปิดลง ไร้ซึ่งผลกระทบใดๆ จากสายลมและสายฝน ทั้งคนทั้งร่างดูจริงจังอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
“ข้าคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก ทัณฑ์สวรรค์ของเซี่ยวโหลวจึงจะจบลง ฉิงซาน ระหว่างนี้ก็จงเอ่ยธุระของเจ้ามา”
“อาจารย์ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ามีบางสิ่งในใจจะเอ่ยถาม?” กู่ฉิงซานสงสัย
“ดูด้วยสายตาก็รู้” เซี่ยเต๋าหลิงมองเขาและกล่าว “ตั้งแต่ข้ากลับมา ก็เห็นว่าเจ้าคล้ายมิได้อยู่ในห้วงอารมณ์ที่ดีนัก”
กู่ฉิงซานเงียบไป สุดท้ายก็สารภาพด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ข้ามิอาจเล็ดลอดสายตาของท่านอาจารย์ไปได้จริงๆ”
เขาตบลงในถุงสัมภาระ หยิบกล่องหยกยาวออกมาและเปิดมัน
ปรากฏให้เห็นถึงดาบพิภพที่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าวถูกวางไว้ในนั้นอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานกล่องหยกขึ้น และมอบมันให้แก่เซี่ยเต๋าหลิง
“ดาบพิภพ? เหตุใดมันจึงได้รับความเสียหายร้ายแรงขนาดนี้?” เซี่ยเต๋าหลิงอุทานเบาๆ
เธอบินลงมาจากบัลลังก์หมื่นบุปผา ตกลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน และเริ่มตรวจสอบดาบยาวอย่างระมัดระวัง
“มันแทบจะพังทลายลงแล้ว…นี่ไม่น่าเป็นไปได้ ก่อนหน้านี้เจ้าพานพบสิ่งใดมาหรือ?” นางเซียนทั้งตอบและถาม
กู่ฉิงซานบอกเล่าเรื่องราว “พวกเราบังเอิญได้ไปเผชิญกับมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งเป็นประวัติการณ์ ในโลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเหล่าทวยเทพ ช่วงเวลานั้น มอนสเตอร์เกือบจะเอาชีวิตข้า ดาบพิภพจึงเร่งทุ่มเต็มกำลัง ดูดซับแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดที่ข้ามี รวมพลังกันสังหารสัตว์ประหลาดตัวนั้นลงได้ในที่สุด”
ในหลากหลายเรื่องราว กู่ฉิงซานไม่คิดซ่อนความจริงจากเซี่ยเต๋าหลิง
อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องของร่างใหญ่และมอนสเตอร์ตนนั้น เขาจะไม่ยินยอมอธิบายถึงรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับมัน
กระทั่งก่อนหน้านี้ ที่เขายอมเล่าถึงเรื่องของระบบ กู่ฉิงซานก็แค่เล่าแบบคลุมเครือ และไม่ได้บอกถึงที่มาของระบบของเทพสวรรค์
เพราะความลับบางอย่าง ตราบใดที่ส่งเสียงพูดออกมา การดำรงอยู่อันลึกลับอาจจะสังเกตเห็นถึงมิติและเวลาที่เขาอยู่ก็เป็นได้
สำหรับกู่ฉิงซาน มอนสเตอร์ตัวนั้นมันประหลาดมากเกินไป กู่ฉิงซานจึงไม่ต้องการบอกเรื่องนี้กับใคร
นี่หาใช่เรื่องความไม่ไว้วางใจไม่ แต่เป็นความห่วงใยที่เขามีต่อผู้คนรอบตัวต่างหาก
การเก็บงำความลับนี้เอาไว้ ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยปกป้องร่างใหญ่ แต่ยังสามารถช่วยปกป้องผู้คนจากนิกายร้อยบุปผา ที่ไม่ล่วงรู้ถึงความลับนี้ ไม่นำพาอันตรายใดๆ มาสู่พวกเขา
เซี่ยเต๋าหลิงยื่นมือออกมา และลูบไล้ไปตามตัวดาบพิภพ กล่าวอย่างแผ่วเบา “มันกำลังจะตาย”
“ไม่จริง นั่นมันเป็นไปไม่ได้!” กู่ฉิงซานสวนด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ไม่หรอก นี่เป็นเรื่องจริง สันดาบของตลอดทั้งดาบพิภพได้กลายเป็นสีขาวอมเทาแล้ว และจิตแห่งดาบเองก็อยู่ในสถานะไร้สติโดยสิ้นเชิง คงสามารถยื้อชีวิตต่อไปได้อีกไม่นาน”
เซี่ยเต๋าหลิงถอนหายใจ “มันได้รับความเสียหายร้ายแรง แต่ก็สามารถช่วยปกป้องชีวิตเจ้าเอาไว้ได้…ถือว่ามันได้ทำหน้าที่ตนเองอย่างสมบูรณ์แล้ว”
“อาจารย์ ท่านสามารถซ่อมมันได้หรือไม่?”
“มันได้กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ข้าเองก็มิทราบวิธีในการซ่อมแซมมัน และเกรงว่าบางทีตลอดทั้งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ ก็คงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงวิธีการซ่อมแซมมัน” เซี่ยเต๋าหลิงส่ายหัว
ในจิตใจของกู่ฉิงซานกลายเป็นว่างเปล่าไปชั่วขณะหนึ่ง
ดาบพิภพคือดาบของนิกาย เป็นดาบที่ท่านอาจารย์ไว้วางใจมอบมันให้แก่เขาด้วยตนเอง
กู่ฉิงซานเคยคิดว่า หากนำดาบพิภพกลับมา ท่านอาจารย์จะต้องมีวิธีในการซ่อมแซมมันอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นความปรารถนาที่เขาคิดไปเองเสียแล้ว
ในความเป็นจริง ในหัวใจของเขาเองก็ยังตระหนักดี ว่าการที่ตัวดาบแตกร้าวถึงขนาดนี้ มันเป็นเรื่องยากที่จะซ่อมแซม
แต่เขาก็แค่ยังลังเล ไม่เต็มใจที่จะยอมรับมัน
กู่ฉิงซานค่อยๆ ก้มหน้าลง
ตลอดทั้งเส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ของเขา ก็มีดาบพิภพนี่แหละที่ร่วมทางเดินมาด้วยกันตั้งแต่เริ่มต้น
แต่สุดท้ายเขากลับตอบแทนมันเช่นนี้หรือ?
หลายต่อหลายครั้งหากไม่มีดาบพิภพ ตนเองก็ไม่ทราบว่าจะรอดชีวิตมาได้หรือไม่
ตัวอย่างเช่นในช่วงเวลาที่สังหารเซ่าหวูชุ่ย หากมิใช่เพราะอำนาจของดาบพิภพ เขาคงไร้ซึ่งความหวังที่จะสังหารฝ่ายตรงข้ามให้ตกตายลงในกระบวนท่าเดียว
บังเกิดความเงียบงันขึ้นในห้องโถง
เสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กังวานไปทั่วทุกสถานที่ แต่กู่ฉิงซานก็ยังนิ่งงันอยู่อย่างนั้น คล้ายกับไม่รับรู้ถึงสิ่งใดเลย
ดาบพิภพ
เขาไม่สามารถช่วยอะไรมันได้…
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มฟุ้งไปด้วยความเศร้าหมอง
หลังจากผ่านไปนาน เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ
“ท่านอาจารย์”
เขาโค้งกายคำนับนางเซียนไป่ฮั่ว “ข้าต้องไปแล้ว”
“ไป? เพิ่งจะกลับมาก็จะไปเสียแล้วหรือ?” นางเซียนไป่ฮั่วอุทานด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ แค่ได้กลับมาแล้วเห็นว่าท่านอาจารย์ยังสุขสบายดี เซี่ยวโหลวมีความก้าวหน้า ซิวซิวกำลังเติบใหญ่ และได้เห็นถึงความมุ่งมั่นของฉินรั่วและว่านเอ๋อ ข้าก็ไม่สิ่งใดต้องกังวลอีกแล้ว”
“แล้วเจ้าจะไปที่ใด?”
“ท่องไปในหมื่นโลกา เพื่อสรรหาวิธีซ่อมแซมดาบพิภพ”
“ดาบพิภพหาใช่ดาบทั่วๆ ไปไม่ มันมิใช่สิ่งที่ผู้ใดก็ได้จะสามารถซ่อมแซม ข้าเกรงว่ามันจะจากไปเสียก่อนที่เจ้าจะค้นพบผู้ที่ซ่อมแซมมัน”
“แต่นี่คือดาบข้า มันเคยช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ดังนั้นยามนี้ข้าก็จะต้องช่วยชีวิตมันเช่นกัน”
กู่ฉิงซานกล่าว เขาประสานหนึ่งกำปั้นหนึ่งฝ่ามือให้แก่อีกฝ่าย
“ท่านอาจารย์ โปรดอนุญาตให้ข้าออกไปด้วย”
เซี่ยเต๋าหลิงมองเขาและเอ่ยถาม “เจ้าจะออกค้นหาโดยวิธีใด?”
กู่ฉิงซานกล่าว “ข้าจะกลับไปยังสมาคมกำปั้นเหล็ก จากนั้นก็จะใช้ช่องทางมิติของโลกมิติอนันต์ออกค้นหาสหายของแบรี่ ไปปรึกษาพวกเขาว่าพอจะมีทางออกหรือไม่”
เซี่ยเต๋าหลิงจมอยู่ในการตริตรองอย่างลึกล้ำ
เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง แสงจากสายฟ้าฟาดสาดเข้ามาในห้องโถงใหญ่
ระหว่างช่วงเวลาของประกายสายฟ้า กู่ฉิงซานสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ถึงความลังเลบนใบหน้าของเซี่ยเต๋าหลิง
ท่านอาจารย์มักจะมีความคิดที่ดี และตัดสินใจทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว แต่วันนี้เหตุใดกัน ทำไมนางถึงได้เผยถึงการแสดงออกเช่นนี้?
กู่ฉิงซานคิดด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
ในเวลานั้นเอง ตาของเซี่ยเต๋าหลิงก็ตรึงอยู่กับร่างของกู่ฉิงซานอีกครั้ง
เธอจ้องมองกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ ปากเอ่ยถามเสียงกระซิบ “ฉิงซาน ในเมื่อเจ้าได้เดินทางไปในอาณาจักรทั้งหมื่นโลกามาแล้ว เช่นนั้นเจ้าเคยคารวะผู้อื่นหรือไม่? เคยได้เข้าสู่นิกายอื่นๆ อย่างเป็นทางการหรือเปล่า?”
ไม่รีรอให้กู่ฉิงซานเอ่ยปาก เธอก็อธิบายในสิ่งที่เพิ่งกล่าวไป “ข้าไม่ถือโทษใดๆ หากเจ้าคิดศึกษาเรียนรู้จากผู้อื่น ตลอดทั้งหมื่นโลกามีตัวตนทรงอำนาจที่ควรค่าคารวะและเข้ารับการเรียนรู้จากพวกเขาอยู่มากมาย ฉะนั้นการที่เจ้าจะเข้าไปอยู่ในนิกายฝึกยุทธ์อื่นๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
“ไม่เคยขอรับ” กู่ฉิงซานตอบ
เซี่ยเต๋าหลิงพยักหน้าอย่างเงียบๆ
ดูเหมือนว่าเธอจะกำลังคิดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ถอนหายใจ “อันที่จริงแล้ว…วิธีการของเจ้ามันไร้ประโยชน์ ต่อให้เป็นเหล่าจ้าววงการ ก็เกรงว่าพวกเขาจะไม่สามารถซ่อมแซมดาบพิภพได้”
เธอวาดมือออกไป จัดวางค่ายกลปิดกั้นนับสิบ ปิดผนึกตลอดทั้งโถงร้อยบุปผาด้วยวิชาลับ
“จากนี้ไป พวกเราจะสื่อสารกันด้วยจิตสัมผัสเทวะเท่านั้น เจ้ามิต้องเอ่ยคำใดออกมา”
เซี่ยเต๋าหลิง “ดาบเล่มนี้สามารถสะบั้นสิ่งใดได้บ้าง? ฉิงซาน เจ้ารู้หรือไม่?”
เมื่อเห็นถึงความระแวดระวังของท่านอาจารย์ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะคิดอย่างรอบคอบก่อนจะตอบกลับไป
ในอดีต ครั้งหนึ่งดาบพิภพได้เคยสังหารผู้คุมวิญญาณระดับต่ำจากในประภพมาก่อน
ซึ่งผู้คุมวิญญาณ แม้จะมีระดับต่ำ แต่แท้จริงแล้วก็ถูกจัดว่าเป็นผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ
กู่ฉิงซานตอบผ่านจิตสัมผัสเทวะ “ดาบพิภพ…ดูเหมือนว่ามันจะสามารถสังหารลูกหลานของทวยเทพได้”
เซี่ยเต๋าหลิงมองเขา แต่มิได้เอ่ยคำใด
กู่ฉิงซานนิ่งไปสักพัก และทันใดนั้นเอง ก็เหมือนกับว่าเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
“จริงสิ! ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นน่ะ ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพ แต่ดาบเล่มนี้กลับสามารถสังหารผู้สืบสายโลหิตจากพวกเขาได้ นี่มันแปลกเกินไป”
“เพราะมันไม่มีใครหรอก ที่คิดสร้างอาวุธที่สามารถใช้ฆ่าลูกหลานของตนเองขึ้นมา”
กู่ฉิงซานกำลังคิดอย่างลับๆ
ในเวลานี้ เซี่ยเต๋าหลิงก็ส่งเสียงผ่านความคิดกลับมา “นี่คือดาบประจำนิกายในครั้งอดีตของข้า มันเป็นดาบที่ได้รับการเคารพบูชา ที่บรรพบุรษนิกายได้นำมาจากโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์”
“หากคิดจะซ่อมแซมดาบเล่มนี้ เจ้าจะต้องเดินทางไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ เพื่อค้นหาอีกครึ่งหนึ่งของมัน”
กู่ฉิงซานเฝ้ามองอาจารย์ตน แต่ก็ยังไม่สามารถกลั่นกรองในสิ่งที่เธอกล่าวได้
อดีตนิกาย?
โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์?
อีกครึ่งหนึ่งของมัน?
ในสองประโยคข้างต้น ข้อมูลที่อัดแน่นอยู่ในมันมีมากเกินไป
“ทุกคนต่างก็คิดกันว่าโลกสวรรค์ได้ถูกทำลายลง และหายไปอย่างไร้ร่องรอย”
“ทว่าในโลกทั้งใบ กลับยังคงมีข้า ศิษย์คนสุดท้ายแห่งวังสวรรค์เมฆาวิเวก ที่รู้ว่ามันมิได้เป็นเช่นนั้น”
“ดังนั้น หากเจ้าต้องการซ่อมแซมดาบพิภพ เจ้าก็จะต้องก้าวเข้าสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ และพยายามเฟ้นหาแฝดของดาบพิภพ”
“ดาบเล่มนั้นถูกเรียกกันว่า ‘ดาบนภา’”
“นภาและพิภพ…สวรรค์และปฐพี มีเพียงสองดาบนี้เท่านั้นที่สามารถตัดสะบั้นเทพบรรพกาลได้”
“ฉิงซาน เดิมทีข้าไม่ต้องการบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้า แต่ข้ารู้ดีว่าเจ้าคือผู้ฝึกดาบ และดาบคือทุกสิ่ง ดังนั้น หากจะให้ต้องออกไปภายนอก เผชิญกับความเศร้าโศกที่มิอาจช่วยเหลือดาบพิภพจนมันสิ้นใจลงได้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นข้าขอบอกความจริงข้อนี้แก่เจ้าเสียดีกว่า”
ใบหน้าของเธอเผยถึงความอ่อนโยน “ดาบพิภพอยู่คู่กับข้ามานาน และเจ้าเองก็เป็นศิษย์ข้า ดังนั้นข้าจึงคิดว่ามันคงไม่เป็นอะไร”
“อาจารย์ แล้วท่านเคยไปยังสถานที่แห่งนั้นหรือไม่?” กู่ฉิงซานถาม
“แน่นอนว่าข้าเคยไปที่นั่น อันที่จริงแล้วผู้นำวังสวรรค์เมฆาวิเวกแต่ละรุ่น ทุกคนจะได้รับโอกาสให้เข้าสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ มิฉะนั้นแล้วเจ้าคิดว่าข้าสามารถเรียนรู้สกิลเทวะแห่งหกวิถีมาได้มากมายขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?”
เซี่ยเต๋าหลิงเผยถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแย้ม “เมื่อครั้งอดีต ข้าเคยเป็นสาวกของวังสวรรค์เมฆาวิเวก เคยได้อ่านหนังสือโบราณของนิกายที่กล่าวกันถึงทฤษฎีเกี่ยวกับเทพวิญญาณ เดิมทีแล้วข้าคิดว่านิกายข้าช่างอวดโอ้ยิ่งนัก”
“จนกระทั่งข้าได้ค้นพบว่ามันเป็นเรื่องจริง เมื่อได้เดินทางเข้าสู่โลกใบนั้น”
………………………………….
เมื่อนางเซียนไป่ฮั่วกล่าวถึงจุดนี้ ซิวซิว ฉินรั่ว และว่านเอ๋อที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็พากันเงี่ยหูตั้งใจฟัง
เพราะท้ายที่สุดนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับกู่ฉิงซานที่จะกลับมาได้อย่างปลอดภัย แล้วที่สำคัญก็คือ เขายังได้เป็นสหายกับตัวตนดั่งเช่นเฉินหยางอีก ดังนั้นทุกนางในที่นี้จึงอยากจะรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาเป็นธรรมดา
กู่ฉิงซานขบคิดเล็กน้อยและกล่าว “ข้าร้องขอให้ท่านอาจารย์นำเซี่ยวโหลวลงมาก่อนจะได้หรือไม่ ข้าคิดว่าบางเรื่อง หากเขาได้รับฟังด้วยมันก็คงจะดี”
“เจ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ น่ะหรือ?”
“ขอรับ”
นางเซียนไป่ฮั่ววาดมือ แล้วว่าวก็ค่อยๆ ลดระดับลงมา
ฉินเซี่ยวโหลวที่นั่งอยู่บนว่าวยังคงแสร้งทำเป็นอยู่ในสภาวะสมาธิ
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะศิษย์พี่สอง เรื่องราวจากนี้ไปข้าขอให้ท่านตั้งใจฟังให้ดี ข้าคิดว่าเรื่องจากนี้ไปมันจำเป็นที่จะต้องบอกแก่ทุกคน เพื่อให้พวกเราคนในนิกายเข้าใจตรงกัน”
ฉินเซี่ยวโหลวลืมตา ปากเอ่ยกล่าวด้วยความผิดหวัง “ข้าก็หลงคิดว่าเจ้าหว่านล้อมอาจารย์ ช่วยให้ข้าลงมาได้แล้วสัยอีก”
เมื่อเขาเปิดปากพูด สายตาดุร้ายของนางเซียนก็กวาดไปทันที จนเจ้าตัวรีบหุบปากลงอย่างรวดเร็ว
แล้วกู่ฉิงซานก็เริ่มบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
นับตั้งแต่ที่สองสาวจากเขาไปในโลกล่องเวหา เขาก็ได้ใช้วิชาลี้ลับที่ตนครอบครอง ต่อกรกับวิชาลี้ลับของสตรีแห่งรากษส จนคว้าชัยชนะมาได้
ถึงเวลานั้นจิ้งจอกขาวจึงค่อยปรากฏตัวขึ้น ทว่าสุดท้ายก็ถูกเสี่ยวถายที่เปลี่ยนรูปเป็นมารสังหารลง
และมารโลกาก็คือลูกของเสี่ยวถาย
ความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ในโลกล่องเวหาถูกเปิดเผย
เมื่อเล่ามาจุดนี้ ก็บังเกิดบรรยากาศที่ชวนให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดขึ้น
มันไม่มีใครสนใจในส่วนของเรื่องที่โลกล่องเวหาถูกทำลายลงหรอก แต่ทุกคนต่างถอนหายใจกับเรื่องน่าเศร้าที่เสี่ยวถายต้องเผชิญต่างหาก
จากนั้น กู่ฉิงซานก็บอกเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของโลกมิติอนันต์ สถานที่ซึ่งตนเองได้ไปรู้จักกับแบรี่และเสี่ยวเหมียว
จากนั้นก็ในส่วนของการเรียกขานของวิหคหนาม
การทรยศของทริสเต้ เจ้าหญิงหนาม
ระบบของราชามารที่หมายจะวิวัฒนาการขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การรวมตัวกันของผู้เข้าสู่วิถีมารกว่าสองร้อยล้านคน
ยอดภูเขาน้ำแข็งของเหล่าทวยเทพ
โลกใต้ดินที่ถูกทิ้ง
การสูญพันธุ์ของสายพันธุ์เทพ ที่ถูกมารสวรรค์ทางฝั่งระบบของราชามารจ้างวานมาเป็นคนลงมือ
ตามต่อด้วยตนเองและมารสวรรค์ฝั่งตนที่ทำการแลกเปลี่ยนกัน
เรื่องราวยามเมื่อเกิดโทษทัณฑ์จากสายลมและสายฟ้าขึ้น
การเผชิญหน้าระหว่างระบบของราชามาร และระบบของเทพสวรรค์
กู่ฉิงซานเล่าทุกอย่างในไม่กี่ลมหายใจ ขณะเดียวกันทุกคนที่กำลังตั้งใจฟัง บางครั้งก็ถึงขั้นลืมหายใจ และรู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลา
จนกระทั่งกู่ฉิงซานอธิบายถึงโลกเดิมของเขา
“ดูเหมือนว่าข้าจะสามารถเดินทางไปมาระหว่างโลกใบนี้ กับโลกเดิมได้ นั่นจึงหมายความว่าข้าเป็นคนของทั้งสองโลก” กู่ฉิงซานกล่าว
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไม่ควรบอกเรื่องนี้ให้แก่คนอื่นฟังอีก และพวกเจ้าทุกคนก็เหมือนกัน จงอย่าได้แพร่งพรายความลับอันยิ่งใหญ่นี้ของกู่ฉิงซานออกไป” นางเซียนกล่าวกับสาวกของเธอ
ทั้งหมดต่างพยักหน้ารับ
เมื่อเห็นถึงฉากนี้ กู่ฉิงซานก็บังเกิดความตกใจ
ตอนแรกเขามาจากอีกโลกหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตัวเขา และตนคิดว่าการที่เอ่ยมันออกมาตามตรงจะเป็นการทำให้ท่านอาจารย์เกิดความสงสัยเสียอีก แต่ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะผ่านไปอย่างง่ายดายเช่นนี้
นางเซียนไป่ฮั่วเมื่อเห็นถึงการแสดงออกของกู่ฉิงซาน ก็เอ่ยปากอย่างจริงจัง “เจ้าทราบอะไรเกี่ยวกับเรื่อง ‘ผู้หวนคืน’ หรือไม่?”
“ผู้หวนคืน?”
“ใช่ แท้จริงแล้วโลกของพวกเรา เดิมทีมันมีความลับ…” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน “ช่างมันเถิด หากเจ้าทราบถึงเรื่องนี้ไป มันจะไม่เป็นการดี เอาไว้เมื่อเจ้ามีกำลังที่สามารถแบกรับมันได้มากพอ ข้าจะบอกมันแก่เจ้าอีกครั้ง”
เธอหันไปบอกกับทุกคน “วันนี้ก็ดึกมากแล้ว ซิวซิว ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ พวกเจ้าทุกคนจงกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“วังหลานเฉาทำความสะอาดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ฉิงซาน เจ้าเองก็ไม่ได้กลับมานานแล้ว จงไปพักผ่อนที่นั่นเถอะ เอาไว้วันพรุ่งนี้ข้าจะมาสนทนากับเจ้าอีกครั้ง”
“ส่วนฉินโหลว เจ้าจงอยู่บนว่าวต่อไป จนกว่าจะตัดผ่านไปยังก้าวสู่เทพ ห้ามลงมาโดยเด็ดขาด”
“ทุกคน แยกย้ายได้”
ด้วยคำสั่งของนางเซียน ทุกคนแม้ว่าจะยังคุยกันได้ไม่เต็มอิ่ม แต่ก็ต้องแยกย้ายกันไป
เหลือเพียงกู่ฉิงซานเป็นคนสุดท้าย
นางเซียนไป่ฮั่วมองมาที่เขา
“ข้าขอเวลาสักสองสามลมหายใจ เพื่อไปกระตุ้นแรงใจแก่ศิษย์พี่สองสักเล็กๆ น้อยๆ จะได้หรือไม่” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
นางเซียนพยักหน้า และหันหลังจากไป
เฝ้ารอจนกระทั่งทั่งทุกคนออกไปกันหมดแล้ว กู่ฉิงซานจึงค่อยบินขึ้นไปบนฟ้า มาหยุดอยู่เบื้องหน้าฉินเซี่ยวโหลว
ฉินเซี่ยวโหลวเผยถึงสีหน้าเปี่ยมสุข “ศิษย์น้อง เจ้าได้เก็บสุรากับของคาวไว้ให้ข้าใช่หรือไม่?”
“ไม่ แต่ข้ามีบางอย่างจะพูดกับเจ้า”
“เรื่องอะไรหรือ?”
“ศิษย์พี่สอง ท่านทราบถึงประวัติความเป็นมาของฉินรั่วกับหว่านเอ๋อหรือไม่?”
“ไม่ค่อยกระจ่างเท่าใดนัก” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว “แต่ท่านอาจารย์เล่าว่าพวกนางเป็นคนที่น่าสงสาร”
กู่ฉิงซานบอกถึงรายละเอียด “ฉินรั่ว นางคือผู้ที่จะกลายมาเป็นเสาหลักของโลกในรุ่นต่อไป นางเริ่มต้นฝึกยุทธ์ตั้งแต่อายุสามขวบ และหลังจากฟันฝ่ามายาวนานกว่ายี่สิบเจ็ดปี วันหนึ่ง ในที่สุดนางก็สามารถตัดผ่านขึ้นมาเป็นขอบเขตพันวิบัติจนได้ กลายมาเป็นผู้ฝึกยุทธ์อายุน้อยที่โดดเด่นที่สุดในโลก”
“ส่วนว่านเอ๋อ นางคือบุตรสาวของผู้นำนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แม้จะครอบครองสถานะที่สูงศักดิ์ถึงปานนั้น นางก็มิเคยหย่อนยานที่จะฝึกฝน เนื่องด้วยคุณสมบัติในด้านนี้ของตนไม่สู้ดี นางจึงต้องพยายามยิ่งกว่าผู้อื่นมากมายนัก หลายครั้งหลายหนที่ต้องหยั่งเท้าอยู่บนขอบเหวแห่งความตาย แต่ก็ยังเลือกที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดเกรง จนสุดท้ายจึงตัดผ่านมาในระดับที่สูงขึ้นได้ในที่สุด”
“อย่างไรก็ตาม แม้ทั้งสองจะเพียรพยายามอย่างหนัก แต่ก็ยังถูกรุกรานจากผู้คนในโลกอื่น ทุกคนในครอบครัว กระทั่งคนรักต่างก็ตกตาย ไม่ก็ถูกจับไปเป็นทาส”
“เห็นได้ชัดว่าแม้จักทุ่มเทอย่างหนัก แต่ในที่สุดผลลัพธ์มันกลับช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ศิษย์พี่คิดว่าตรงจุดนี้ มีส่วนใดกันที่ผิดพลั้งไป?”
ฉินเซี่ยวโหลวอึ้ง
กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “คราวนี้มากล่าวกันถึงเรื่องของท่านอาจารย์เรากัน อาจารย์เองก็ไม่คาดคิดเลยว่าการผสานรวมโลกจะมีอันตรายถึงเพียงนี้ แม้ท่านจะหมั่นเพิ่มพูนฐานวรยุทธ์ แต่ท้ายที่สุดก็เกิดสถานการณ์ที่ยากจะคาดเดาขึ้น โดยผลพวงของมันคือจักต้องถูกลบล้างตัวตนออกไป”
“นางจึงจำต้องเข้าร่วมกับพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ต้องออกไปต่อกรกับกองทัพมารทั้งวันคืน เพื่อรักษาชีวิตตนและโลกใบนี้ให้คงอยู่ต่อไป”
“แต่ก็ยังมีคนแอบลักลอบเข้ามาในโลกของพวกเรา พยายามที่จะลักพาตัวซิวซิว เพื่อหมายจะควบคุมท่านอาจารย์ของพวกเรา”
“ทุกคนต่างก็ทุ่มเทอย่างหนัก เพื่อป้องกันทุกชนิดของหายนะที่เข้ามาย่างกรายอย่างไม่หยุดหย่อน และเพื่อที่จะไม่ให้คนของตัวเองตกอยู่ในอันตราย”
“ศิษย์พี่ ท่านสามารถทำเป็นเล่นต่อไปก็ได้”
“แต่เมื่อท่านมองดูผู้คนรอบกาย ท่านเห็นผู้ใดพร่ำบ่นเรื่องความยากลำบากของตนหรือไม่”
“ช่วงเวลารับประทานอาหารเมื่อครู่ ฉินรั่วและว่านเอ๋อก็ยังต้องการใช้เวลาอย่างคุ้มค่า เอ่ยถามปัญหาฝึกยุทธ์ที่ตนติดขัดจากศิษย์พี่ใหญ่”
“พวกนางแม้จักสูญเสียทุกสิ่งอย่างไปแล้ว แต่ก็ยังเลือกที่จะต่อสู้ดิ้นรน เจ้าทราบหรือไม่ว่าเหตุใดพวกนางถึงทำเช่นนั้น?”
“ดูท่านอาจารย์ของพวกเราสิ แม้อาหารจะอยู่ตรงหน้า แต่ท่านก็ยังต้องปลีกตัวออกไปจัดการธุระกับโลกภายนอก”
“การที่นางทุ่มเทลำบากเช่นนี้ มันเพื่อใครกัน?”
ฉินเซี่ยวโหลวนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”
“ศิษย์พี่นั่นมีศักดิ์สูงกว่าข้าที่เป็นศิษย์น้อง ข้าจึงทำได้เพียงเน้นยำถึงสิ่งที่ศิษย์พี่ควรให้ความสำคัญ นอกไปจากเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่มีเรื่องใดให้พูดอีก”
“สุดท้ายแล้วนะศิษย์พี่ ข้าแค่อยากจะถามท่านสักเรื่องหนึ่ง”
“จงถามมา”
กู่ฉิงซานเอ่ยปากอย่างช้าๆ “ยามเมื่อซิวซิวเกือบจะถูกจับตัวไป หากไม่มีฉินรั่วและว่านเอ๋อ ท่านจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไรกัน?”
ฉินเซี่ยวโหลวอ้าปาก แต่กลับพบว่าตนมิอาจเอ่ยคำใดออกมาได้
“หากเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น ด้วยอุปนิสัยของท่านอาจารย์ แน่นอนว่าย่อมจะต้องบุกไปลงมือกับคนเหล่านั้นอย่างเต็มกำลัง แม้ว่าจักต้องพินาศสิ้นไปด้วยกันก็ตาม”
กู่ฉิงซานถามต่อ “แล้วหากอาจารย์เสียชีวิต ซิวซิวก็คงสิ้นใจลงด้วยเช่นกัน เมื่อเป็นแบบนั้นเจ้าจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ในทุกๆ วันอีกหรือ?”
จากนั้น กู่ฉิงซานก็ไม่สนใจฉินเซี่ยวโหลวที่บัดนี้นิ่งงันราวกับไม้สลักอีกต่อไป และบินกลับลงไปยังวังร้อยบุปผา
……………………………….
ช่วงเวลาเย็น
ว่าวใบหนึ่งปรากฏขึ้นในนิกายร้อยบุปผา
มันเป็นว่าวที่มีขนาดเดียวกันกับฟูกนอน แขวนอยู่บนฟากฟ้า และแทบจะไม่มีการขยับไหวใดๆ เลย
ต่อให้สายลมยามค่ำจะอ่อนลง หรือท้องฟ้าจะมีฝนปรอยๆ ตกลงมา ทว่าว่าวกลับไม่มีทีท่าว่าจะร่วงหล่นมาเลย
ดูเหมือนว่าว่าวนี้จะขับเคลื่อนด้วยค่ายกลบางอย่าง ส่งผลให้มันไม่จำเป็นต้องอาศัยพลังงานลมในการลอยตัวแต่อย่างใด
“แบบนี้มันจะดีหรือ?”
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองและเอ่ยถาม
“มันไม่เป็นไรหรอก” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว “หากผู้ใดคิดจะฝึกยุทธ์ หนทางที่คนผู้นั้นต้องพบเผชิญย่อมยากลำบากเสมอ หากพวกเราไม่บีบคั้นเขาเช่นนั้น เกรงว่าทั้งชีวิตเขาคงไม่สามารถยกระดับไปได้”
เธอเอ่ยเสริมว่า “เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนพร้อมกันแล้ว ก็จงมาเถิด พวกเราจะได้ชิมรสฝีมือของกู่ฉิงซานกันเสียที”
ว่าจบ ซิวซิว ฉินรั่ว และว่านเอ๋อก็เดินเข้ามาพร้อมถ้วยชามและตะเกียบ
ทุกคนนั่งลงบนโต๊ะอาหาร
นอกไปจากนางเซียนไป่ฮั่วกับห่านขาวแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าบ้างเป็นครั้งคราว
กู่ฉิงซานมองอาจารย์และห่านขาว ก่อนจะสลับมองศิษย์น้องหญิงทั้งสาม และอดไม่ได้ที่ปรบมือ “มาเถิด ถ้าไม่รีบกินเดี๋ยวมันจะเย็นนะ”
พอถูกเรียกสติ ทุกคนจึงค่อยยกตะเกียบขึ้น
“อ๊า รสชาติดีจัง!”
ซิวซิวที่กัดไปเพียงคำแรก เบิกตากว้าง
“นั่นสิ อาหารวิญญาณของฉิงซานทำออกมาได้ดีทีเดียว” ห่านขาวแสดงความคิดเห็น
ส่วนนางเซียนไป่ฮั่ว เธอลองชิมอาหารไปสองสามอย่าง ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
เธอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงกล่าว “ฉิงซาน ซิวซิวกำลังเริ่มจะเติบใหญ่ขึ้นแล้ว ขณะที่ฉินรั่วกับว่านเอ๋อเองก็ผ่านพ้นความเจ็บปวดมามากมาย ฉะนั้นในช่วงนี้ เรื่องจัดการอาหาร ข้าอยากจะขอมอบมันให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ…เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”
“ยินดีขอรับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง ท่านอาจารย์” กู่ฉิงซานกล่าว
“ดีมาก” นางเซียนผุดลุกขึ้น และกล่าว “ฉิงซาน หากนิกายเรากลับมากินอาหารได้อย่างอิ่มเอมอีกครั้ง ข้าก็รู้สึกโล่งใจแล้ว เจ้าค่อยๆ กินมันไปเถิด”
“อ้าว? อาจารย์ทานพอแล้วหรือ?” ซิวซิวที่กำลังขมุบขมิบปากเอ่ยถาม
“พอดีว่ามีกลุ่มคนจากพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์มาเยือนน่ะ” นางเซียนอธิบาย
กู่ฉิงซานยืนขึ้น เขาเอ่ยปากขอ “อาจารย์ ข้าจะไปกับท่านด้วย”
“อย่าได้กังวลไป เพราะในเวลานี้ทุกคนที่มาเยือน ต่างก็ล้วนเป็นผู้ให้การสนับสนุนข้า การมาในครั้งนี้คาดว่าพวกเขาคงได้ทราบข่าวเหตุการณ์เมื่อเช้าแล้ว จึงเร่งตรงมาที่นี่”
“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นอาจารย์จะให้ข้าทอดอาหารสักสองสามจาน แล้วเชิญพวกเขามารับประทานร่วมกันด้วยหรือไม่?”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับพวกเขาหรอก เอาไว้หลังจากที่ข้าตกลงกับพวกเขาแล้วจะรีบกลับมา เพราะข้าเองก็ยังมิได้ตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของโลกใบนี้เลย”
กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็พยักหน้า
ในพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ แม้ว่าท่านอาจารย์จะได้รับตำแหน่งผู้นำ แต่มันก็แค่ในนามเท่านั้น ยังมีผู้คนอีกส่วนหนึ่งที่คิดว่านางยังไม่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม เวลานี้สถานการณ์มันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
กลุ่มคนที่ต่อต้านนางในพันธมิตร ทั้งหมดได้หายไป
ไม่ว่าอาจารย์จะคิดครอบครองทั้งพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ หรือออกจากพันธมิตรไป ตัวเลือกใดก็ล้วนจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตัวเลือกนี้มันจะเกี่ยวพันธกับอนาคตของโลกเทวะโดยตรง
แม้ว่านี่จะเป็นการตัดสินใจของนางเซียนไป่ฮั่ว แต่กู่ฉิงซานเองก็ยังระมัดระวัง และเริ่มคิดถึงข้อได้ข้อเสียที่จะเกิดขึ้นตามมา
ระหว่างขบคิด นางเซียนก็เอ่ยปาก “ฉิงซาน หลังจากนี้พวกเราจะกลับมาสนทนาในเรื่องนี้กันอีกครั้ง”
“ขอรับ” กู่ฉิงซานรับคำ
ฉินรั่วกล่าวด้วยความกังวล “ท่านอาจารย์ แต่ท่านเพิ่งจะกินไปนิดเดียวเองนะ รองท้องสักหน่อยก่อนไปไม่ได้เลยหรือ?”
นางเซียนไป่ฮั่วยิ้ม
ฉินรั่วน่ะเป็นคนที่รอบคอบและห่วงใยผู้อื่นมากที่สุด หากมิได้เข้าร่วมกับนิกายช้าเกินไป นางคงจะได้รับตำแหน่งศิษย์พี่หญิงใหญ่ไปแล้ว
“ช่างมันเถิด หากปล่อยให้พวกเขารอมันคงไม่ดี ขอข้าไปหยั่งเชิงทัศนคติของพวกเขาก่อน”
“และด้วยฐานวรยุทธ์ของข้า ทำให้ข้าสามารถดูดซับแก่นแท้ของกฏเกณฑ์แห่งฟ้าดินได้ ดังนั้นอาหารมันไม่จำเป็นสำหรับข้าอีกต่อไปแล้ว”
นางเซียนกล่าวด้วยความเคารพลึก
ร่างกายของนางวูบไหว และหายไปจากโต๊ะอาหาร
บรรดาหญิงสาวพอได้ฟัง ต่างก็ระเบิดเสียงชวนหลงใหลขึ้นมา
“อืม ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ถึงจะสามารถไปถึงจุดนั้นได้” ว่านเอ๋อถอนหายใจ
“พวกเรามาเริ่มฝึกหนักกันดีกว่า เพื่อที่ว่าวันหนึ่งจะได้กลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งดั่งเช่นท่านอาจารย์” ฉินรั่วสนับสนุน
ซิวซิวสูดหายใจและกล่าว “อาจารย์ไม่กินอาหารมนุษย์อีกต่อไปแล้ว เกรงว่าชั่วชีวิตข้าคงไม่สามารถไปยืนหยัดอยู่ในระดับเดียวกับนางได้”
กู่ฉิงซานนั่งฟังบทสนทนาของทั้งสามสาว เขาอดไม่ได้ที่จะเบนสายตาไปมองห่านขาว
เวลานี้ หัวของห่านขาวฝังลึกอยู่ในเข่งเกี๊ยวกุ้ง มันกำลังเพลิดเพลินไปกับเนื้อกุ้งหนึบหนับแสนอร่อย
กู่ฉิงซานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเอ่ยปาก “เอาเถิด ท่านอาจารย์ใช่คนธรรมดาเสียที่ไหนกัน พวกเจ้าจะนำตนเองไปเทียบเปรียบ มันคงไม่เหมาะหรอก”
ว่าแล้วเขาก็ใช้ตะเกียบคีบอาหารให้กับแต่ละคน
อาหารที่แตกต่างกันในแต่ละจานเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่พวกนางชื่นชอบ
ด้วยเหตุนี้เอง สาวกคนอื่นๆ ของนิกายร้อยบุปผาจึงหุบปากลง และเริ่มขยับตะเกียบอีกครั้ง
ระหว่างรับประทาน พวกนางก็เริ่มเปิดประเด็นสนทนาอยู่สองสามครั้ง มีบ้างเหมือนกันที่เอ่ยถามถึงเรื่องการฝึกยุทธ์ของห่านขาว
ทุกคนต่างสนทนากันอย่างสนุกสนาน
…เว้นไว้แต่เพียงฉินเซี่ยวโหลวที่นั่งอยู่บนว่าว
โดยที่ไม่ว่าเจ้าตัวจะชอบหรือไม่ก็ตาม สุดท้ายเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี นอกจากต้องนั่งบนว่าว และหลับตาฝึกยุทธ์ต่อไป
จนกว่าจะสามารถตัดผ่านก่อกำเนิด และขึ้นสู่ขอบเขตก้าวสู่เทพ เขาจึงจะสามารถกลับลงมาบนพื้นดินได้
หลังมื้ออาหารเย็น กู่ฉิงซานก็เก็บจานชาม และเริ่มทำความสะอาดมันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยกตะกร้าขึ้นจากบ่อแช่แข็ง และวางผลไม้ที่อุณหภูมิเย็นได้ที่ลงบนโต๊ะ
ศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างเริ่มปอกเปลือก และลงมือกินผลไม้ ขณะเดียวกันก็เริ่มพูดคุยกันต่อ
ฉินรั่วกับว่านเอ๋อเอ่ยขอคำแนะนำจากห่านขาว เพื่อต้องการที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคการฝึกยุทธ์
ขณะที่ทางฝั่งกู่ฉิงซาน เขากำลังช่วยซิวซิวปอกเมลอนและแตงโม
ผ่านไปไม่นาน นางเซียนไป่ฮั่วก็กลับมาอีกครั้ง
มองไปยังรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ กู่ฉิงซานก็เอ่ยถาม “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”
“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถออกจากกลุ่มพันธมิตรได้อีกต่อไปแล้ว” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว
“เพราะเหตุใด?”
“เพราะยามนี้ ทุกคนต่างก็ให้การสนับสนุนข้าในฐานะผู้นำ และหน่วยงานที่รับผิดชอบของพันธมิตรก็อยู่ทางฝั่งข้า”
“ข่าวแพร่กระจายไปเร็วจริงๆ” กู่ฉิงซานหัวเราะ
“ถูกต้อง พวกเขาไม่น่าจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้แท้ๆ แต่กลับสามารถรับข่าวมาได้ และเร่งมาหาข้าเป็นกลุ่มแรก”
“อาจารย์ ศิษย์พี่ นี่พวกท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่หรือ?” ซิวซิวทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานลูบหัวเธอและกล่าว “เรื่องขีดจำกัดการผสานรวมโลกน่ะ”
“อ้อจริงสิ” นางเซียนไป่ฮั่วอุทาน “เรื่องขีดจำกัดทั้งหมดของกลุ่มพันธมิตร มันได้ถูกโอนมาอยู่ในมือข้าแล้วนะ”
ว่าจบ เธอก็หยิบตราเล็กๆ ที่เหมือนกันกับของแปดอาวุโสออกมา ทว่าตรานี้ดูดีๆ แล้วเหมือนจะประณีตยิ่งกว่า
“นี่คือตราที่ทางคณะตุลาการโลกส่งมา พวกเขาส่งตรงถึงมือข้า แถมยังแนบเอกสารที่ประทับตราจากทางประธานคณะตุลาการโลก และถูกลงนามโดยจ้าววงการเฉินหยางมาอีกด้วย”
“ด้วยสองสิ่งนี้ใช่หรือไม่ ที่ทำให้คนในพันธมิตรหวาดกลัว?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ไม่ใช่กลัวธรรมดา แต่กลัวมากเลยล่ะ” นางเซียนเผยยิ้ม ยิ้มแบบยิ้มจริงๆ อันหาได้ยากยิ่ง
“เนื่องจากผลลัพธ์มันปรากฏมาในรูปแบบนี้ ในเมื่ออำนาจได้มาอยู่ในมือของอาจารย์แล้ว ท่านเลยไม่จำเป็นต้องเร่งร้อนที่จะโยนตำแหน่งผู้นำทิ้งไปใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานกล่าว
นางเซียน “ข้าก็คิดเห็นเช่นนั้นเหมือนกัน ด้วยตำแหน่งผู้นำพันธมิตรในตอนนี้ อย่างน้อยข้าเองก็ไม่ต้องไปร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นอีกครั้ง เพื่อแลกกับจำนวนขีดจำกัดผสานโลก”
เธอมองมายังกู่ฉิงซานและเอ่ยถาม “แล้วเจ้าเล่า? เมื่อครั้งที่เจ้าไปยังโลกล่องเวหา ข้าได้ยินฉินรั่วกับว่านเอ๋อกล่าวว่า…”
“เจ้าสามารถใช้ออกด้วยกลอุบายที่สอดคล้องกับสถานการณ์ สังหารผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตลมปรารณจิตลงได้ นี่มันเหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ แต่มันก็ทำให้ข้าภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก”
“แต่เรื่องราวหลังจากนั้นเล่า? มันเกิดอะไรขึ้น เจ้าได้ผ่านพ้นประสบการณ์แบบใดมา?”
………………………………………………..
ณ บริเวณในส่วนภูเขาหลังนิกายร้อยบุปผา
น้ำพุวิญญาณไหลลงมาจากภูเขาลูกนี้ เมื่อตกลงมา พวกมันก็ก่อตัวเป็นกระแสธารเล็กๆ ไหลผ่านครัวของนิกาย
นี่คือน้ำพุวิญญาณที่ไหลออกมาจากชีพจรจิตวิญญาณธรรมชาติของโลก ส่งผลให้มันมีกลิ่นอายที่เย็นสดชื่น และอุดมไปด้วยพลังงานวิญญาณจากทั้งสวรรค์และโลก
ซึ่งมีเพียงนิกายร้อยบุปผาเท่านั้นที่สามารถผูกขาดชีพจรจิตวิญญาณชั้นเลิศขนาดนี้ได้
กู่ฉิงซานย่ำลงไปในธาร โค้งตัวลงกึ่งลุกกึ่งนั่ง ทั้งขัดทั้งถูหม้อในมืออย่างจริงจัง
เส้นแสงหิ่งห้อยเล็กๆ เด้งเตือนออกมาจากหน้าต่างเทพสงคราม
“เครื่องครัวทั้งหมดนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับพงศาวดารวันสิ้นโลก”
“นี่คืออุปกรณ์ทำครัว ซึ่งหลงเหลือสูตรอาหารวิญญาณที่ทำในครั้งก่อนๆ ทิ้งเอาไว้ คุณต้องการเรียนรู้สกิลการทำอาหารที่อยู่ในมันหรือไม่?”
“หากต้องการเรียนรู้สกิลในการปรุงอาหาร คุณจะต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณหนึ่งร้อยแต้ม”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ และจ่ายร้อยแต้มไปอย่างเงียบๆ
เพียงแค่มาในครัว เขาก็ค้นพบว่าเครื่องครัวหลายชนิดที่ใช้ในการปรุงอาหาร นั้นมีสกิลการทำอาหารของฉินเซี่ยวโหลวหลงเหลืออยู่
ซึ่งปกติกู่ฉิงซานเองก็เป็นพวกทำอาหารเพื่อหาเลี้ยงชีพอยู่แล้ว ทักษะที่เขามีจึงไม่เป็นสองรองใคร ดังนั้นในยามที่ฉินเซี่ยวโหลวไม่อยู่ เขาเลยต้องมารับหน้าที่พ่อครัวแทน
แต่ใครจะรู้ ว่าเมื่อมายังที่นี่ เขาจะสามารถได้รับสกิลการปรุงอาหารวิญญาณของฉินเซี่ยวโหลวมาครอบครองได้เสียงั้น
ราวกับโชคหล่นทับ กู่ฉิงซานได้ทำการเรียนรู้สกิลการทำอาหารทั้งหมด!
สำหรับเขา การเรียนรู้ทั้งหมดนี้ ไม่เพียงช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ แต่ยังช่วยให้เขาสามารถจดจำวิธีการปรุงอาหารต่างๆได้มากขึ้นอีกด้วย
หลังจากเรียนรู้พวกมัน กู่ฉิงซานก็ผสานรวมวิธีการปรุงอาหารของตน และของฉินเซี่ยวโหลวเข้าด้วยกันในทะเลแห่งห้วงสติ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าสกิลการปรุงอาหารของเขาได้ค่อยๆ ข้ามผ่านกำแพงอุปสรรค ก้าวกระโดดขึ้นไปสู่ในระดับใหม่ที่สูงกว่าแล้ว
และทั้งหมดนี้ กู่ฉิงซานก็ยังไม่ทันได้ตระหนักถึงมัน
เขาแค่รู้สึกว่าตนสามารถเข้าใจถึงรสชาติของอาหารได้แม่นยำยิ่งขึ้นเท่านั้น
เพราะยังไงเสีย ท้ายที่สุดนี้การที่สกิลปรุงอาหารสามารถยกระดับขึ้นไปได้อีกขั้น มันมิได้ไปกระตุ้นฟ้าดิน ก่อให้เกิดทัณฑ์สวรรค์ขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้นเขาจะไม่รู้ตัวก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
นี่ก็เกือบจะสายแล้ว
เวลาอาหารเย็นเริ่มใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
กู่ฉิงซานวางหม้อเหล็กลงด้านข้าง ถกแขนเสื้อพับขึ้น และเริ่มคิดอย่างจริงจัง
“เอาล่ะ ทุกอย่างถูกล้างจนสะอาดแล้ว ถ้าอย่างงั้นฉันจะทำอะไรดีนะในคืนนี้?”
“ท่านอาจารย์ชอบอาหารที่มีรสชาติจัดจ้าน แต่ซิวซิวไม่สามารถกินอะไรที่เผ็ดเกินไปได้ ขณะเดียวกัน ถึงแม้ว่าฉินรั่วกับว่านเอ๋อจะตกอยู่ความทุกข์ตรมมานาน แต่แท้จริงแล้วในอดีตที่ผ่านมา ภูมิหลังของพวกเธอล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีอิทธิพล ดังนั้นลิ้นรับรสคงจะไม่ธรรมดาเช่นกัน…คนหนึ่งชอบปลาสด อีกคนหนึ่งชอบอาหารรสเค็ม นี่มันเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะทำอาหารให้ถูกปากทุกคน”
กู่ฉิงซานเค้นสมองคิดอยู่สักพัก แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ดีมากพอ สุดท้ายเขาจึงไม่เสียเวลาคิดมันอีกต่อไป เพราะปัญหามันแก้ได้ง่ายๆ โดยการทำอาหารหลายๆ อย่างให้แต่ละคนก็พอแล้ว
เขาจุดไฟข้างลำธาร วางแผ่นเหล็กลง และเริ่มทำบาร์บีคิวและปลาย่าง
จากนั้นตนก็หันไปจุดอีกเตาหนึ่ง วางหม้อนึ่งลงไป และเริ่มจัดวางเข่งติ่มซำกว่าเจ็ดถึงแปดเข่ง โดยแต่ละเข่งจะใส่เป็นเกี๊ยวกุ้ง ตีนไก่กรอบ ข้าวหมูหวาน ก้ามปูฉ่ำๆ ข้าวเนื้อนึ่ง ซุปบัว ไข่ตุ๋น ฯลฯ
หลังจากเตรียมหม้อนึ่งเสร็จแล้ว เขาก็นำหม้อต้มไปตักน้ำในธารมาต้มให้เดือด ใช้ความร้อนฆ่าแบคทีเรียต่างๆ ที่อาจปนเปื้อนเข้ามา จากนั้นก็โยนวัตถุดิบหลายอย่างที่หายากลงไป คนให้เข้ากัน หันกลับไปล้างไก่ขาวให้สะอาด ยัดโสมหิมะใส่เข้าไปในตัวมัน ตามด้วยใส่ตัวไก่ลงไปในหม้อต้มอีกครั้งและปิดฝาเพื่อทำสตู
ในช่วงเวลานี้ บาร์บีคิวและปลาย่างก็กำลังได้ที่พอดี กลิ่นเนื้ออันหอมหวนฟุ้งโชยออกมา แตะจมูกของกู่ฉิงซาน
เขาจึงเร่งนำพริกหยวก และผักต่างๆ ออกมา เริ่มวางมันลงบนแผ่นเหล็ก
เมื่อพริกหยวกนุ่มนิ่มปะทะเข้ากับเหล็กร้อนๆ ก็ได้ยินแค่เพียงเสียง ‘ซุ่ม’ รสชาติเผ็ดที่กระตุ้นให้เกิดความอยากอาหารได้ถูกย่างในอุณหภูมิที่สูงจนสุกอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นอีกหนึ่งถึงสองลมหายใจ จานในส่วนของอาหารย่างก็จะพร้อมเสิร์ฟ
ซึ่งในช่วงเวลานี้ หม้อสตูจำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักพักหนึ่ง อาหารในหม้อนึ่งก็ยังไม่ได้ที่ กู่ฉิงซานจึงหันความสนใจมาเตรียมจัดการอาหารย่างอย่างเงียบๆ
ในสมองของเขากำลังคิดเกี่ยวกับอาหารจานต่อไป ว่าจะเป็นอะไรดี
ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกได้ว่ามันมีบางอย่างผิดปกติไป
มือเอื้อมไปคว้าจับดาบขุนเขาเทวะหกโลกาจากในอากาศที่ว่างเปล่า ปากอ้าตะโกนก้อง “นั่นใคร!?”
ทว่าทุกสารทิศมีเพียงความเงียบ
นอกไปจากเสียงเปลวไฟที่ปะทุ และหม้อที่กำลังเดือดแล้ว ก็ไม่มีเสียงใดอีกเลย
ราวกับนอกจากเขาแล้ว ไม่มีใครอื่นอยู่ที่นี่
สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง เจตนาฆ่าเริ่มพวยพุ่งขึ้น
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร หากยังไม่ยอมเผยตัวออกมา ก็อย่าหาว่าข้าไม่สุภาพก็แล้วกัน” เขาเอ่ยเสียงเฉียบขาด
ราวกับตระหนักได้ถึงเจตนาฆ่าของอีกฝ่าย จากในที่มืด ก็มีเสียงตอบกลับมาในที่สุด
“ศิษย์น้องอย่าเพิ่งลงมือ เป็นข้าเอง ฉินเซี่ยวโหลว!”
กู่ฉิงซานชะงักไป
น่าจะจริงแฮะ เพราะที่นี่คือภูเขาด้านหลังของนิกายร้อยบุปผา แถมยังมีค่ายกลขนาดใหญ่มากมายนับไม่ถ้วนรายล้อมตลอดภูเขาทั้งลูก
ซึ่งนั่นหมายความว่า นอกเหนือไปจากตัวตนทรงอำนาจอย่างเฉินหยางแล้ว ยังจะมีใครสามารถปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างเงียบๆ ได้อีก?
อย่างไรก็ตาม…
ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่สองกำลังปิดด่านฝึกตนอยู่หรือ?
เขาหันไปมองรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ยังไม่พบสิ่งใดเลย
“เฮ้ ศิษย์น้อง ข้าอยู่นี่”
เสียงของฉินเซี่ยวโหลวดังขึ้นอีกครั้ง
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา เพื่อค้นหาต้นตอของเสียง
เห็นแค่เพียงเต่าตัวหนึ่งกำลังปีนขึ้นมาบนชายฝั่งลำธารอย่างช้าๆ
เต่าคลานขึ้นมาและกล่าวว่า “เนื้อย่างบนแผ่นเหล็กของเจ้ากำลังจะไหม้แล้ว มันจะเป็นการดีกว่านะถ้าเจ้าหยิบมันขึ้นมาก่อน”
กู่ฉิงซานจึงหันไปยกพวกมันขึ้นมาใส่จาน
แต่สายตาของเขาก็มิได้ละไปจากตัวเต่าเลย
ศิษย์พี่สองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่เนี่ย?
อย่างไรก็ตาม เต่าที่ใส่ปลอกคอโซ่เล็กๆ สีเขียวก็ค่อยๆ คลานมาตรงเท้าของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานทั้งสงสัยและประหลาดใจ “ศิษย์พี่สอง นี่ท่านไปเรียนรู้วิชาความลี้ลับของทุกสรรพชีวิตมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
เต่าเอ่ยปาก “อะไร? เจ้าคิดว่าเจ้าเต่าเขียวนี่เป็นข้าอย่างงั้นหรือ ไม่ๆๆ ข้าไม่ใช่เจ้าเต่านี่”
“เช่นนั้นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
“เก็บตัว กำลังปิดด่านฝึกตน” เต่ากล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“แล้วที่อยู่ตรงนี้มันคืออะไรกัน?”
“นี่คือโซ่ข้า มันเชื่อมต่ออยู่กับอำนาจพลังศักดิ์สิทธิ์ของข้า ทำให้ข้าสามารถควบคุมเต่าที่เพิ่งตายลงได้ชั่วคราว”
“เจ้าสามารถควบคุมศพได้อย่างงั้นหรือ? นี่เจ้าไปได้รับวิชาแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” กู่ฉิงซานอุทานอย่างคาดไม่ถึง
เต่าส่ายหัวและยังคงกล่าวอย่างภาคภูมิ “นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าได้รับมาเมื่อยามยกระดับขึ้นสู่ขั้นก่อกำเนิด…ถึงแม้ว่ามันจะแปลกมาก แต่ก็มีประโยชน์มากเช่นกัน”
“งั้นเจ้ามาทำอะไรที่หลังเขาแห่งนี้กัน?”
“เฮ้อ นั่นก็เพราะการปิดด่านฝึกตนมันน่าเบื่อเกินไป ข้าก็เลยออกมาผ่อนคลายไง ไม่ได้เลยหรือ?” เต่าร่ำร้องอย่างขมขื่น
กู่ฉิงซานเตือน “เจ้าน่าจะตั้งใจเก็บตัวนะ เฝ้ารอจนกว่าฐานวรยุทธ์ยกระดับขึ้น แล้วค่อยออกมาก็ได้ แบบนั้นมันจะปลอดภัยกว่า”
คราวนี้เต่าไม่เห็นด้วย “ครั้งก่อนที่โลกผสานรวมเข้าด้วยกัน ข้าทุ่มเทพยายามอย่างหนักไปแล้ว ฉะนั้น ยามนี้ข้าจึงสามารถยกระดับขึ้นสู่ก่อกำเนิดได้อย่างรวดเร็วไง”
“แล้วเรื่องที่เจ้าออกมานี่ ท่านอาจารย์ทราบหรือไม่?” กู่ฉิงซานถาม
เต่าหดหัวและกล่าว “จงอย่าได้บอกท่านอาจารย์ ข้าเพียงแค่ออกมาสูดอากาศหายใจ และบังเอิญได้สูดกลิ่นหอมหวนที่โชยมาจากที่นี่ก็เท่านั้นเอง”
มันถอนหายใจ “ต้องขอบอกว่าฝีมือการปรุงอาหารวิญญาณของศิษย์น้องสามพัฒนาขึ้นมากทีเดียว มันอยู่ในระดับสูงชนิดว่าข้าอยู่ไกลไปตั้งครึ่งภูเขาแต่ก็ยังได้กลิ่นของมัน”
เมื่อได้ยินถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานจึงค่อยเข้าใจ
ว่าแท้จริงแล้วเจ้าหมอนี่ไม่ได้คิดเก็บตัว ปิดด่านฝึกตนอย่างจริงจังแต่อย่างใด แถมยังแอบออกมาเดินรอบๆ เพื่อที่จะหาอะไรเก็บกลับไปกินและดื่มอีก?
กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ศิษย์พี่ แต่ข้าจำได้ว่าที่เก็บตัวก็มีอาหารอยู่มิใช่หรือ?”
“นั่นมันพวกเม็ดยา! ทั้งรสชาติและกลิ่นเทียบไม่ได้เลยกับอาหารของข้า ข้าเลยไม่กินมันจนตอนนี้จะอดตายอยู่แล้ว”
เต่าส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่า “ศิษย์น้องเอ๋ย ศิษย์พี่ที่น่าสงสารของเจ้ากำลังทรมานจากการปิดด่านฝึกตนอันแสนขมขื่น ขอเจ้าโปรดมอบอาหารให้ศิษย์พี่ผู้นี้ด้วยเถิด”
“…อยากจะกินอะไรล่ะ?”
“ข้าอยากจะกินเนื้อย่างชิ้นใหญ่ที่สุดตรงนั้น! และขอเหยือกสุราวิญญาณเยือกแข็งอีกเหยือกหนึ่ง!”
กู่ฉิงซานก้มลงมองบนกระดองเต่าและอดไม่ได้ที่จะกล่าว “เจ้าจะเอามันไปได้หมดหรือ?”
“ไม่ต้องกังวลไป กระแสน้ำแห่งนี้ไหลไปยังทิศทางที่ข้าเก็บตัวอยู่ ดังนั้น ข้าแค่ว่ายน้ำไปกลับสักสองรอบก็ได้แล้ว”
“งั้นก็ตกลง”
กู่ฉิงซานแม้จะเกิดอาการปวดหัวอยู่บ้าง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นศิษย์พี่ และถูกขอร้องถึงขนาดนี้ เขายังจะทำอะไรได้อีกเล่า?
เขาเริ่มล้างแผ่นเหล็ก และรีบปรุงอาหารจานเนื้ออย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นาน จานเนื้อย่างร้อนๆ สีแดงฉ่ำก็ถูกวางลงบนหลังเต่า มันคลานลงไปในลำธาร และว่ายไปตามกระแสน้ำอย่างมั่นคง
กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูเต่าว่ายหายไป แต่จู่ๆ ก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งในทันใด
เขาหันขวับกลับหลังอย่างรวดเร็ว
เห็นแค่เพียงห่านขาวที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ จ้องมองไปยังเจ้าเต่าด้วยความเย็นชา
ไม่มีใครรู้นางมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่
กู่ฉิงซานไม่ได้สังเกตเห็นเลยในตอนแรก แต่หลังจากที่อีกฝ่ายไม่คิดยับยั้งอารมณ์ของตนที่ปะทุออกมา กู่ฉิงซานจึงค่อยรู้สึกตัวถึงมัน
แบบนี้ก็แสดงว่า…นางได้ยินถึงบทสนทนาทั้งหมดเลยใช่หรือไม่?
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้ง “ศิษย์พี่ใหญ่”
ห่านขาวพยักหน้าอย่างช้าๆ และกล่าว “ข้ากะจะมาดูว่าอาหารในค่ำคืนนี้เป็นรูปแบบใด ไม่คาดคิดเลยว่าจะพบเจอกับเรื่องน่าประหลาดใจยิ่งกว่า”
ความโกรธเริ่มพรั่งพรูออกมาจากร่างกายของห่านขาว
ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์จะไม่คิดเก็บซ่อนแรงกดดันของนางเลย!
ฝูงนกในป่าใหญ่เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันนี้ พวกมันทั้งฝูงก็สยายปีกพรึบ บินหนีไปพร้อมๆ กัน
ส่วนเต่า มันว่ายไปได้เพียงครึ่งทางก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น
เต่าหันหัวไปมองรอบๆ
“ศิษย์พี่ใหญ่!”
เต่าร้องอุทานออกมา
เวลานี้ มันไม่สนใจเนื้อหมูย่างชิ้นใหญ่บนหลังอีกต่อไป ตะกายขาทั้งสี่ว่ายตรงดิ่งไปยังอีกทิศทางหนึ่งทันที
“คิดหนีหรือ?”
น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น
ทันใดนั้นห่านขาวก็หายวับไป
เห็นแค่เพียงเส้นแสงสีขาวที่โฉบไปในอากาศ
หลังจากนั้นไม่นาน ด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่และพละกำลังที่มหาศาล เจ้าเต่าก็ถูกโยนกลับมาตกลงข้างเท้าของกู่ฉิงซาน
ห่านขาวเดินมาจากลำธาร สลัดน้ำออก และกล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้าก็หลงคิดว่าเจ้ากำลังฝึกหนัก แต่ที่ไหนได้กลับมาแปลงเป็นเต่า และมัวแต่เล่นสนุก!”
เต่าเผยรอยยิ้มประจบประแจง ประสานสองขาหน้า โค้งกายลงครั้งแล้วครั้งเล่า “ศิษย์พี่ใหญ่ โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ขอเถอะ อย่าบอกท่านอาจารย์เลยนะ”
“เจ้าทราบหรือไม่ว่าท่านอาจารย์น่าหวาดกลัวขนาดไหน?” ห่านขาวกล่าวเสียงเย็น
“แน่นอนข้ารู้ หากท่านบอกนาง ข้าจะต้องตายแน่ๆ” เต่าร้องขอความเมตตา
เต่าราวกับนึกได้ถึงบางสิ่ง มันหันไปมองดูกู่ฉิงซานอีกครั้ง
“ศิษย์น้องกู่ เร็วเข้า! เร่งช่วยข้าขอร้องศิษย์พี่ใหญ่ว่าอย่าไปบอกท่านอาจารย์!”
“…” กู่ฉิงซานเฝ้ามองไปยังท่าทีอ้อนวอนของเต่า และความโกรธเกรี้ยวของห่านขาว เจ้าตัวนิ่งงันไปสักพักหนึ่ง และรู้สึกว่าการแก้สถานการณ์ในตอนนี้มันหนักหนาเสียยิ่งกว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้เข้าสู่วิถีมารกว่าสองร้อยล้านคนเสียอีก!
…………………………………………….
เฉินหยางหันกลับไปมองศพของทั้งแปดอาวุโส
เขาขมวดคิ้วและกล่าวขอโทษ “ขออภัยจริงๆ หนึ่งในข้อเสียของข้าก็คือเรื่องซากที่หลงเหลือหลังจากการสังหารผู้คนนี่แหละ มันแย่จริงๆ ที่ละเลงเลือดจนทำให้ที่พำนักของผู้อื่นสกปรก”
“นั่นไม่สำคัญหรอก เพราะแท้จริง เป็นท่านต่างหากที่ช่วยจัดการแก้ปัญหาใหญ่ให้แก่พวกเรา”
เซี่ยเต๋าหลิงเอ่ยแสดงความขอบคุณ
“อา ในเมื่อเจ้าไม่ถือสา เช่นนั้นพวกเราก็มาจบเรื่องนี้กันเสียทีเถอะ”
เฉินหยางชูมือขึ้น และค่อยๆ ดึงอากาศที่ว่างเปล่าเหนือศีรษะเขาลงมา
ปรากฏถึงโทรศัพท์สมัยเก่าติดมากับมือของเขา
เขากระแอมเล็กน้อย และเริ่มพูดกับโทรศัพท์ “นี่ข้าเฉินหยาง ไปเรียกตาแก่มารับโทรศัพท์หน่อยสิ”
เกิดเสียงรบกวนแทรกเข้ามาเล็กน้อยจากไมโครโฟนปลายสาย ก่อนที่จู่ๆ ก็มีเสียงเพลงอันไพเราะดังตามขึ้นมา
ภายในทำนองเพลง เสียงอิเล็กทรอนิกส์จักรกลตอบกลับมา “นี่คือสำนักงานประธานคณะกรรมการตุลาการโลก ท่านประธานอยู่ในระหว่างออกไปดูคอนเสิร์ต ถ้ามีเรื่องเร่งด่วนอะไร กรุณาฝากข้อความทิ้งไว้ แต่ถ้าเป็นเรื่องด่วนโคตรๆ งั้นก็กรุณาไปจัดการด้วยตัวเองเสีย ขอบคุณ”
“ติ๊ด!”
เสียงบันทึกการสนทนาดังขึ้น
เฉินหยางพูดผ่านโทรศัพท์ “ข้าเฉินหยาง มีเรื่องรายงานดังนี้”
“แปดอาวุโสของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ได้ยื่นคำร้องขอถึงข้า ว่าต้องการมอบสิทธิ์ขีดจำกัดการผสานโลกทั้งหมดกลับคืนให้แก่ตำแหน่งผู้นำพันธมิตร”
“จากในมุมมองและทัศนคติของพวกเขา ข้าค่อนข้างมั่นใจและเห็นด้วยกับเรื่องนี้ และจะส่งไฟล์กับเอกสารที่เกี่ยวข้องแนบไปให้ในภายหลัง”
“ตาแก่ ถ้ากลับมาแล้วก็อย่าลืมรีบตรวจสอบมันเร็วๆ ด้วยล่ะ”
“รายงานเบื้องต้น จบลงแค่นี้”
เฉินหยางผละมือออก
แล้วโทรศัพท์สมัยเก่าก็ถูกสายของมันดึง ลอยกลับขึ้นไปเหนือหัวของเขาโดยอัตโนมัติ และหายวับไป
“เป็นยังไง? วิธีที่พี่ชายเฉินใช้จัดการมันยอดไปเลยใช่ไหม?” เขายิ้มให้กับกู่ฉิงซาน
“ขอบคุณพี่ชายเฉิน เอาไว้ว่างๆ ผมจะขออนุญาตชวนพี่ไปดื่มสุราด้วยกันในภายหลัง” กู่ฉิงซานกล่าว
“ขอเป็นของกินด้วยก็แล้วกัน ข้าได้ยินมาว่าฝีมือการปรุงอาหารของเจ้าไม่เลวเลย เหมือนว่าจะเคยได้รับคำชมจากปากของผู้จัดการครัวด้วยนี่นา”
“เรื่องนั้นผมพอมีฝีมืออยู่บ้าง”
“เอาล่ะ ครั้งต่อไปเอาไว้ถ้าข้าไปสมาคมต่อสู้กับแบรี่เมื่อไหร่ ข้าหวังว่าจะได้ลิ้มรสฝีมือเจ้า”
“ถ้าพี่เฉินมีเวลาว่างเมื่อไหร่ โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อพวกเรา ทางสมาคมยินดีต้อนรับท่านตลอดเวลา” กู่ฉิงซานหัวเราะ
เฉินหยางพยักหน้าให้เขา และหันไปพยักหน้าให้เซี่ยเต๋าหลิงเล็กน้อย “เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน”
เฉินหยางเดินเข้าไปในเสาแสง และค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนเพดานโถง ก่อนจะหายวับไปในที่สุด
ตลอดทั้งห้องโถงบัดนี้เหลือเพียงอาจารย์และศิษย์
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ทุกอย่างจบลง ซิวซิว ฉินรั่ว และว่านเอ๋อก็ปรากฏกายขึ้นจากทางด้านหลังโถงใหญ่
ตามด้วยห่านขาวที่เดินตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย
“ศิษย์พี่สาม!” ซิวซิวร้องอุทานด้วยความดีใจ
“ฮ่า! ซิวซิว ไม่เจอกันนานเลยนะ มานี่สิ!”
กู่ฉิงซานเองก็ก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย
เขาย่อตัวลงโอบซิวซิว และยกเด็กสาวขึ้นมาวางบนไหล่ข้างประจำของตน
ซิวซิวตอนแรกอึ้งไปเล็กน้อย แต่สักพักเด็กสาวก็เผยสีหน้าที่แลดูมีความสุขออกมา
เธอเป็นคนที่ได้รับความทุกข์ทรมาน ถูกทารุณอย่างโหดร้ายตั้งแต่ในวัยเด็ก เมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมา ก็ต้องอยู่ในนิกายที่แทบจะไม่มีใครเลย ทำให้ตลอดทั้งนิกาย เด็กสาวจึงมีเพื่อนเล่นแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
ช่วงเวลาต่อมา สงครามก็อุบัติขึ้น ส่งผลให้ทั้งฉิงซานและเสี่ยวโหลวจำต้องถูกส่งไปอยู่ในแนวหน้า
ซึ่งช่วงเวลาที่ว่านั้น ไม่มีใครมาเล่นกับเธอเลย
อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานที่เด็กสาวให้การยอมรับว่าเป็นศิษย์พี่ ในเวลานี้ได้กลับมาแล้ว แถมยังช่วยจบปัญหาร้ายแรงที่นิกายต้องเผชิญลงได้อีกด้วย
และแม้ว่าจะไม่ได้พบเจอกันเป็นเวลานาน แต่ศิษย์พี่ของเธอก็ยังคงปฏิบัติต่อตนเองเหมือนเดิม
ยิ่งไปกว่านั้น ในนิกายเวลานี้ก็มีศิษย์น้องหญิงเพิ่มมาอีกตั้งสองคน!
ทำให้นิกายเริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้น
ซิวซิวกล่าวด้วยความสุข “ว้าว ไหล่ของศิษย์พี่นั่งสบายดีจริงๆ”
“แน่นอน เพราะข้าได้ผ่านการฝึกพิเศษจนเชี่ยวชาญ…อ้าวศิษย์พี่ใหญ่ ท่านสบายดีหรือไม่?”
“อืม แต่เจ้าสิ ดูเติบโตขึ้นมากทีเดียว” ห่านขาวกล่าว
กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นตัวฉินเซี่ยวโหลว
“เอ๊ะ? แล้วศิษย์พี่สองเล่า เขาหายไปไหนกัน?” เจ้าตัวเองถาม
“ศิษย์พี่สองเจ้ากำลังเก็บตัวฝึกยุทธ์อยู่”
“เก็บตัวฝึกยุทธ์…หมายถึงปิดด่านฝึกตนน่ะหรือ?” กู่ฉิงซานอุทานด้วยน้ำเสียงแปลกๆ
เพราะฉินเซี่ยวโหลดน่ะเป็นคนฉลาด และมีความเชี่ยวชาญในหกศิลป์ แต่แท้จริงแล้วเขากลับเป็นคนที่เกลียดการฝึกยุทธ์
ดังนั้น ทุกครั้งเลยที่เขาว่างเว้น ซึ่งก็เกือบตลอดเวลา เซี่ยวโหลวมักจะออกไปเกี้ยวผู้ฝึกยุทธ์หญิงจากนิกายอื่นโดยเลือกที่จะเปิดเผยสถานะของตน เพื่อให้ได้รับการต้อนรับอย่างดี
แน่นอนว่าการที่เขาบอกสถานะของตนแก่สาวๆ ออกไป มันจะส่งผลดีอย่างมหาศาล
เพราะท้ายที่สุดนี้ นางเซียนไป่ฮั่วน่ะเปรียบดั่งผู้ปกครองโลกทั้งใบ และยังเป็นกู่ฉิงซานที่ช่วยเหลือทุกชีวิตเอาไว้ในโลกเทวะอีกด้วย
ดังนั้นชื่อเสียงของนิกายร้อยบุปผาจึงทรงพลัง และมีศักดิ์ศรีเป็นอย่างมาก
“ที่เขาเลือกเก็บตัวอย่างจริงจัง นั่นเพราะก่อนหน้านี้คนที่แสร้งเป็นเจ้าเกือบจะสามารถนำตัวซิวซิวออกไปได้แล้ว ขณะที่พื้นฐานวรยุทธ์ของเขาต่ำต้อยเกินไป จึงไม่ทันได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ จนฉินรั่วกับว่านเอ๋อยื่นมือเข้ามา เขาถึงค่อยๆ เริ่มเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด”
นางเซียนไป่ฮั่วแสดงออกถึงความพอใจ “นับแต่นั้นมาเขาก็เริ่มเก็บตัวฝึกยุทธ์ ซึ่งนี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่ยาวนานและจริงจัง ข้าละอดไม่ได้เลยที่จะคาดหวังกับเขา”
“แล้วศิษย์พี่สอง ตอนนี้ฝึกไปถึงขอบเขตไหนแล้ว?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ก่อกำเนิด”
“…”
“เพราะก่อนหน้านี้เขาอยู่ในระดับแก่นทองคำ มิใช่ขั้นสูงอะไร ดังนั้นด้วยการฝึกยุทธ์เพียงสองวัน เขาก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อกำเนิดได้ในที่สุด”
“ใช้เวลาแค่สองวัน?”
“ถูกต้อง ใช้เวลาฝึกยุทธ์แค่สองวันเท่านั้น”
“แต่หากอ้างอิงจากวันเวลา สองวันมันก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้วนี่นา เช่นนั้นเวลานี้ศิษย์พี่สองก็สมควรที่จะยกระดับไปยังขอบเขตต่อไปแล้วสิ เหตุใดจึงยังติดอยู่แค่ก่อกำเนิด?”
“เพราะเขารู้สึกว่าขั้นก่อกำเนิดก็เพียงพอแล้ว และการฝึกยุทธ์มากไปมันจะทำให้รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย และยังส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเขา ซึ่งมันจะทำให้เขานอนหลับได้ไม่ดีในเวลากลางคืน”
“หลังจากนั้นมา แม้จะยังเก็บตัวอยู่ แต่เจ้าตัวก็หาได้จริงจังไม่ ดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า”
“…”
เป็นอีกครั้งในวันนี้ ที่กู่ฉิงซานพูดอะไรไม่ออก
ดูเหมือนว่าหลังจากกลับมานิกายแล้ว จะมีเรื่องให้เขาทึ่งจนพูดไม่ออกมากขึ้นเยอะทีเดียว
กู่ฉิงซานคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “อย่างน้อยเรื่องของซิวซิว ก็ช่วยปลุกให้เขาตื่นตัว และด้วยพรสวรรค์โดยกำเนิด ผสานไปกับสติปัญญาที่มี ตราบใดที่เซี่ยวโหลวมุ่งมั่นฝึกยุทธ์อย่างจริงจัง การตัดผ่านพื้นฐานวรยุทธ์ไปยังขอบเขตที่สูงยิ่งกว่าคงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
ฉินเซี่ยวโหลวมีความคิดที่พิสดารมากเกินไป เขามักจะทำในสิ่งที่แปลกประหลาด โดยไม่สนใจว่าคนทั้งโลกจะมองเขาเป็นตัวอะไร
จากนั้น ก้อนเปลวไฟที่ลุกไหม้ก็ลอยเข้ามาในโถงใหญ่
นางเซียนไป่ฮั่วรับยันต์สื่อสารมา และทำการกระตุ้นพลังวิญญาณ
เนื้อหาที่ส่งผ่านความคิดดังออกจากยันต์สื่อสาร เข้าไปในจิตสัมผัสเทวะของเธอ
นางเซียนไป่ฮั่วครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะหันมากล่าวกับบรรดาลูกศิษย์ “นักพรตเป่ยหยวนมีบางอย่างจะหารือกับข้า เอาไว้สักพักข้าจะกลับมาฟังเจ้าเล่าถึงเรื่องราวทั้งหมดในภายหลัง”
“ไป่หยิงเทียน”
“ข้าอยู่นี่”
“ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ เจ้าจงรับหน้าที่ดูแลทุกคนให้ดี!”
“น้อมรับคำสั่ง!” ห่านขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพลึก
แล้วนางเซียนก็เคลื่อนกายหายตัวไปจากโถงใหญ่
บรรยากาศในโถงใหญ่ผ่อนคลายลงทันที
เนื่องจากท่านอาจารย์มีฐานวรยุทธ์ที่สูงล้ำ แถมยังเป็นผู้นำของโลกด้านฝึกยุทธ์นับพัน ดังนั้นแรงกดดันที่นางมีจึงหนักหนาเกินไป
ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์จะดีกับทุกคน แต่อย่างไรเสียท่านก็ยังเป็นอาจารย์อยู่ดี
กระทั่งฉินรั่วและว่านเอ๋อ หลังจากที่เข้ามาอยู่ในนิกายได้ไม่กี่วัน ท่าทีการแสดงออกของพวกเธอก็ค่อยๆ กลายเป็นเหมือนกับซิวซิว นั่นคือหงอทุกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้านางเซียนไป่ฮั่ว
และต้องไม่ลืมนะว่าพวกเธอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ชั้นยอดในขอบเขตพันวิบัติ!
นี่มันช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย คาดว่าคงจะเป็นความสัมพันธ์ที่ยากจะอธิบายของผู้คนล่ะมั้ง
ในขณะนั้นเอง ทันทีที่นางเซียนจากไป ท่าทีของทุกคนก็แลดูผ่อนคลายมากขึ้น
ห่านขาวสูดหายใจเข้าลึกๆ และกล่าว “ท่านอาจารย์จะจริงจังเกินไปแล้ว ในเมื่อท่านไม่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นพวกเราก็มาตั้งวงสนทนากันดีกว่า”
หลังจากได้ยินคำกล่าวของห่านขาว…ซิวซิว ฉินรั่ว ว่านเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าพร้อมกัน
พวกเธอในเวลานี้โล่งใจแล้ว
ทว่ามีเพียงกู่ฉิงซานที่มิได้พยักหน้าหรือโล่งใจใดๆ
เขาก้มหน้าลงกับพื้น ในหัวใจราวกับมีม้านับสิบหมื่นกำลังควบวิ่ง
‘ท่านอาจารย์ ทำแบบนี้มันสนุกนักหรือไง?’
สายตาของกู่ฉิงซานเบนไปยังห่านขาว ในหัวใจของเขาผุดคำนี้ขึ้นมาอย่างเงียบๆ
ห่านขาวหันไปมองรอบๆ และกล่าวกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม “เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองหายนะที่ผ่านพ้นไปของนิกาย และการกลับมาของกู่ฉิงซาน ข้าขอแนะนำให้พวกเราไปนำขนมวิญญาณมา และจัดงานเลี้ยงน้ำชากัน”
“ว้าว! มีขนมให้กินด้วย!”ซิวซิวชูสองมือขึ้นไชโย
สีหน้าของฉินรั่วและว่านเอ๋อเองก็แสดงออกถึงความสุข
“เจ้าค่ะ!” สามสาวตอบพร้อมกัน
“ช้าก่อน…เหตุใดพวกเจ้าถึงได้มีความสุขนักที่ได้ทานขนม?” กู่ฉิงซานงง
ซิวซิวตอบเขา “ศิษย์พี่ ท่านไม่รู้สินะ ว่าตั้งแต่ที่ศิษย์พี่สองให้คำมั่นว่าจะเก็บตัวฝึกยุทธ์ อาหารของพวกเราก็หมดลง”
“เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง
ห่านขาว “เนื่องจากฉินเซี่ยวโหลวเป็นผู้รับผิดชอบด้านอาหารวิญญาณทุกวัน ดังนั้นเมื่อเขาเก็บตัว และแยกจากไป พวกเราเลยไม่มีอะไรกินเป็นธรรมดา”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้า…”
“พวกเราเลยต้องกินเม็ดยา และดื่มน้ำค้างแทนทุกวัน” ซิวซิวกล่าวด้วยความขมขื่น
“แล้วทำไมถึงไม่ออกไปซื้ออาหารวิญญาณจากภายนอก?”
ห่านขาวส่ายหัวและถอนหายใจ “มันจะมีอยู่ด้วยหรือ คนที่ได้ลิ้มรสอาหารฝีมือฉินเซี่ยวโหลว แล้วยังออกไปกินอาหารข้างนอกได้อีก”
กู่ฉิงซานพูดไม่ออกอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าทุกคนกำลังหิวโซ แต่ก็ยังเลือกที่จะยึดมั่นในศักดิ์ศรี หากไม่ได้กินอาหารอร่อยก็ยอมอดเสียดีกว่า หากเป็นกันถึงขนาดนี้ก็คงจะโทษใครไม่ได้อีกแล้ว
กู่ฉิงซานหันไปมองฉินรั่วและว่านเอ๋อ
ฉินรั่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราในตอนนี้มีความสุขมากก็จริง แต่ว่า…”
ว่านเอ๋อกล่าว “แต่ว่าตอนนี้พวกเราไม่ได้กินอาหารวิญญาณร้อนๆ มาตั้งนานแล้ว”
เกือบทั้งหมดเอ่ยปาก ขณะเดียวกันทุกสายตาก็จ้องมองมาที่กู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานเริ่มที่จะปวดหัว
อันที่จริงแล้ว เขากำลังหาเวลาว่างเพื่อหารือเรื่องบางอย่างกับเซี่ยเต๋าหลิง
แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ทัน จึงเลือกที่จะหลบเลี่ยงมันไปก่อนในตอนนี้
ส่วนเหตุผลก็คงจะเป็นเพราะ…
กู่ฉิงซานหันไปมองห่านขาว
เห็นแค่เพียงการแสดงออกทางสีหน้าของห่านขาวที่คอยส่งกำลังใจและหันไปพยักหน้าให้ซิวซิวอย่างเงียบๆ
ซิวซิวรวบรวมความกล้าและกล่าวด้วยความเหนียมอาย “ศิษย์พี่กู่ เมื่อครู่ในช่วงที่พวกเราซ่อนตัวอยู่หลังฉาก พวกเราได้ยินคนที่ดูเก่งกาจผู้นั้นกล่าวว่าท่านมีฝีมือในการปรุงอาหารใช่หรือไม่”
ห่านขาวอุทานด้วยความประหลาดใจทันที “เอ๊!? คนอย่างฉิงซานเองก็ทำอาหารเป็นเหมือนกันหรือ? แต่จะอร่อยจริงหรือเปล่านะ? ดีล่ะ! งั้นวันนี้พวกเราจะเป็นคนลองชิมมันเอง!!”
กู่ฉิงซาน “…”
…………………………………………….
“สวัสดีเฉินหยาง ผมไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับคุณที่นี่” กู่ฉิงซานทักทายด้วยรอยยิ้ม สรรพนามที่ใช้เรียกขานของเขาเปลี่ยนไป
ช่วงก่อนหน้านี้ในอัลเบอัส ระหว่างรอราชินีหนามขึ้นสรรเสริญและมอบรางวัล แบรี่ได้พากู่ฉิงซานเข้าไปแนะนำตัวกับเพื่อนๆ ของเขา
และเฉินหยางเองก็เป็นหนึ่งในเพื่อนของแบรี่ที่อยู่ที่นั่น
ในฐานะที่เป็นถึงหนึ่งในพี่ใหญ่ในบรรดาจ้าววงการ ดังนั้นเมื่อเขานำรุ่นเยาว์คนหนึ่งมาแนะนำตัวกับทุกคน จึงย่อมเป็นธรรมดาที่เพื่อนๆ ของแบรี่จะให้ความสนใจกับกู่ฉิงซาน
และผลที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขาทั้งหลายก็คือ หน้าใหม่คนนี้มิได้ตื่นเวทีเลย แถมพื้นฐานวรยุทธ์ส่วนตนหากเทียบกับอายุแล้วก็นับว่าอยู่ในอันดับต้นๆ วิธีการพูดคุยก็ดูไม่เสแสร้ง ดังนั้นทุกคนจึงยินดีที่จะพูดคุยกับเขา
ในเวลานั้น กู่ฉิงซานได้ทิ้งความประทับใจดีๆ เอาไว้กับเหล่าจ้าววงการมากมาย
โดยรวมแล้ว สรุปได้ว่าการเปิดตัวของกู่ฉิงซานด้วยฝีมือของแบรี่ ประสบผลสำเร็จอย่างแท้จริง
ชายที่ชื่อว่าเฉินหยางกล่าว “หลังจากวันนั้น ข้าก็ยังไม่ได้เห็นแบรี่ในบ่อนกาสิโนเลย แต่ข้าได้ยินมาว่าเขากับเสี่ยวเหมียว ออกไปเที่ยวกับเจ้า”
“ใช่ครับ ทางฝั่งเขายังปกติดี ผมเลยแยกตัวออกมาก่อน ส่วนเรื่องอาหารดูเหมือนว่าพวกเขาจะชอบมันมากๆ ดังนั้นพวกเขาก็น่าจะยังสบายดี”
ระหว่างกล่าว กู่ฉิงซานก็หันไปส่งสายตาให้เซี่ยเต๋าหลิง สื่อกลายๆ ว่าเธออย่าเพิ่งทำอะไรในเวลานี้
“แล้วพวกเขาเลือกที่จะติดบิลทิ้งเอาไว้อีกหรือเปล่าล่ะคราวนี้?” เฉินหยางหัวเราะ
“ไม่แน่นอน เพราะคราวนี้ผมเป็นคนจ่ายมันทั้งหมดเอง” กู่ฉิงซานตบลงบนหน้าอกของเขา
“โห? อย่างงั้นหรือ? เช่นนั้นเมื่อไหร่เจ้าจะพาข้าไปเที่ยวบ้างเล่า?”
“ฮ่าๆ นั่นไม่มีปัญหาเลยครับ ครั้งต่อไปผมจะพาพี่ชายเฉินไปด้วยกันอย่างแน่นอน”
เฉินหยางพยักหน้าและกล่าว “เช่นนั้นก็ดี ดูข้าสิ ข้ามักจะถูกอัญเชิญมาเป็นผู้ชี้ขาด นี่มันช่างน่าเบื่อจริงๆ ไม่เคยจะได้เล่นไพ่อย่างสงบๆ ซักที…ว่าแต่เจ้ามาทำอะไรที่นี่กัน?”
กู่ฉิงซานตอบ “พอดีว่าผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเกี่ยวกับอาจารย์ของผม ดังนั้น หลังจากที่ได้ตระเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับแบรี่และเสี่ยวเหมียวแล้ว ผมเลยกลับมาหาท่าน”
“นางเป็นอาจารย์ของเจ้างั้นหรือ?”
เฉินหยางเอียงศีรษะ มองผ่านกู่ฉิงซานไปยังเซี่ยเต๋าหลิง
กู่ฉิงซานแนะนำ “ใช่ นี่คืออาจารย์ของผมชื่อว่าเซี่ยเต๋าหลิง ท่านอาจารย์ แขกผู้มาเยี่ยมเยือนนิกายของพวกเราท่านนี้คือตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ ผู้เป็นจ้าวโลกในชั้นสามร้อยเก้าสิบถึงหกร้อยหกสิบหก เป็นผู้ทรงเกียรติที่มีชื่อว่าเฉินหยาง”
เซี่ยเต๋าหลิงเก็บแส้ ประสานสองมือโค้งกายคำนับ “ยินดีที่ได้พบท่านผู้ทรงเกียรติ”
เฉินหยางกลับกลายเป็นจริงจัง เขารับการคำนับและกล่าวอย่างสุภาพ “เมื่อครู่ที่ข้าพูดไม่ดีใส่เจ้า ต้องขออภัยด้วยนะ”
ว่าจบ เขาก็หันมาตำหนิคนข้างกาย “ฉิงซาน เจ้าเด็กนี่ ถ้าอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกแล้วทำไมถึงไม่พูด ข้าเลยต้องมาทำอะไรไม่จำเป็นเลยเห็นไหม”
เฉินหยางเอื้อมมือออกไป และเริ่มพรมลงในอากาศที่ว่างเปล่า
ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ จู่ๆ ก็ปรากฏถึงเส้นแสงสีดำนับไม่ถ้วน กระจุกตัวกันหนาแน่นเผยขึ้น
และสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ เส้นแสงสีดำเหล่านี้ติดอยู่ตามแขนขา และส่วนต่างๆ บนร่างกายของเซี่ยเต๋าหลิง และแน่นอนว่าทางฝั่งแปดอาวุโสก็เช่นกัน
เซี่ยเต๋าหลิงและแปดอาวุโสมองดูเส้นสีดำที่สาดแสงประหลาดเหล่านี้ด้วยความสงสัย
เมื่อได้สติกลับคืน ทั้งหมดก็เริ่มทำการรับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบ แต่กลับพบว่าตามร่างกายของตนเองบัดนี้ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คาดว่าน่าจะเป็นตั้งแต่ที่แสงสีดำนี้ติดกับตัวของพวกเขา ทั้งหมดก็ไม่อาจรู้สึกอะไรได้อีกเลย
ด้วยสองมือที่พรมลงอย่างต่อเนื่องของเฉินหยาง เส้นแสงสีดำที่รายล้อมเซี่ยเต๋าหลิง เส้นแล้วเส้นเล่าก็ค่อยๆ ถูกเก็บรวบรวมโดยเขาจนสิ้น
ระหว่างที่กำลังเก็บรวบรวมเส้นแสงสีดำ เฉินหยางก็อธิบาย “เจ้าพวกแปดก้อนอึนั่นข้าไม่สนใจหรอก แต่ที่สำคัญก็คือ เทคนิคเต๋าของอาจารย์เจ้า มันคือสกิลเทวะประเภทการกระทำ(กรรม) ที่สามารถข้ามผ่านขอบเขต และอาจทำร้ายผู้คนได้ ดังนั้นข้าจำต้องป้องกันมันเอาไว้ก่อน”
“ข้าต้องขออภัยด้วยที่สร้างปัญหาแก่ท่าน” เซี่ยเต๋าหลิงขอโทษ
“โอ้ ไม่ ไม่หรอก อันที่จริงแล้วเป็นข้าต่างหากที่สร้างปัญหาแก่เจ้า”
เฉินหยางอธิบายอย่างรวดเร็ว “ ‘ตรวนแห่งความสิ้นหวัง’ ของข้าอาจจะหลงเหลือพลังงานบางอย่างทิ้งไว้อยู่รอบๆ ตัวเจ้าอีกสักหนึ่งถึงสองชั่วยาม ”
“ในช่วงเวลานั้น ตัวเจ้าจะบังเกิดความคิดมืดมนมากมายขึ้นในจิตใจ ทว่าด้วยจิตแห่งเต๋าของเจ้า คาดว่าไม่นานก็สมควรที่จะต้านทานมันได้”
เขามองมายังกู่ฉิงซาน และตำหนิเจ้าตัวอีกครั้ง “เจ้าเนี่ยนะ ทำไมถึงไม่ยอมออกมาตั้งแต่แรกเล่า”
กู่ฉิงซานพูดอะไรไม่ออก
‘ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเอ็งเป็นคนถูกเชิญมาที่นี่ แต่แสร้งทำเป็นขรึมไม่ยอมชายตามองข้าเอง จนกระทั่งข้ามาหยุดยืนต่อหน้า…เป็นแบบนี้แท้ๆ แล้วยังคิดจะมาตำหนิกันอีกหรือ?’
อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานไม่ได้พูดคำในใจเมื่อครู่ออกไป เขาเพียงหัวเราะ “พี่เฉิน แล้วตอนนี้ท่านในฐานะผู้ชี้ขาดคิดเห็นว่าเช่นไร?”
สีหน้าของเฉินหยางเผยถึงการขบคิด และไม่เอ่ยคำใดไปครู่หนึ่ง
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังลังเล กู่ฉิงซานก็เอ่ยปาก “ในเมื่อทางพันธมิตรไม่ให้โควตาแก่ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นผมขอใช้โควตาของทางสมาคมกำปั้นเหล็กก็แล้วกัน”
“แบบนั้นไม่ดีหรอก” เฉินหยางเริ่มกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“มีปัญหาอะไรงั้นหรือครับ?” เห็นถึงการแสดงออกของอีกฝ่าย กู่ฉิงซานเริ่มกลายเป็นจริงจังมากขึ้น
เฉินหวางถอนหายใจและกล่าว “ช่วงที่ผ่านมานี้คงต้องโทษข้าที่มัวแต่เล่นไพ่มากเกินไป ดังนั้นจึงมิได้ทำการบังคับกฎอย่างจริงจัง”
กู่ฉิงซานงง
เฉินหยางเริ่มอธิบาย “แท้จริงแล้วยังมีผู้ใดอีกเล่าที่ไม่กระจ่างเกี่ยวกับเรื่องของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์? ในเมื่ออาจารย์เจ้าติดร่างแหไปด้วยแล้ว เช่นนั้นข้าจึงจะบอกให้”
เขาเปิดประเด็น “พันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์…ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมานี้ มันไม่เคยปรากฏถึงจ้าวแห่งเต๋าผู้มีโอกาสที่จะได้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ที่สามารถยกระดับขึ้นเป็นตัวตนทรงอำนาจได้เลย นั่นก็เพราะเมื่อกลุ่มพันธมิตรตกอยู่ในอันตราย ผู้รับตำแหน่งจ้าวแห่งเต๋าก็มักจะถูกโยนลงไปอยู่ในแนวหน้าเสมอๆ โดยการลงคะแนนกดดันของอาวุโสทั้งแปด..จ้าวแห่งเต๋าจำต้องต่อกรกับผู้เข้าสู่วิถีมารมากมายในคราวเดียว ขณะที่เมื่อเขาเหล่านั้นมิอาจทานทนได้ไหว ก็จักถูกละทิ้งไปอย่างไม่ไยดี”
“ขณะที่จ้าวแห่งเต๋าคนล่าสุดนั้นดูจะหลักแหลมไม่เบา เขาตัดสินใจเกษียณตัวเอง เลือกคนใหม่ขึ้นมาแทนที่ ออกปากประกาศว่าตนจักยินยอมพินาศไปพร้อมกับผู้เข้าสู่วิถีมาร ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อปกป้องลูกหลานของเขา และยังคงรักษา ยึดมั่นไว้ซึ่งจิตแห่งเต๋าของตัวเอง (หมายถึงไม่เบี่ยงเบนไปตามผลประโยชน์ที่อาวุโสทั้งแปดจะมอบให้ โดยแลกกับการรับใช้)”
“ในขณะที่อาณาจักรมารกำลังล่าถอย กลุ่มพันธมิตรจึงได้มีเวลาเลือกผู้นำคนใหม่ เพื่อมาใช้รับมือกับระบบของราชามารเสียที แต่สุดท้ายผู้นำคนใหม่กลับต้องมาพบเจอกับอะไรแบบนี้ หากเป็นข้า ขอยอมตายแล้วไปเกิดใหม่ยังรู้สึกดีกว่า”
“แต่ใครจะรู้…ว่าจริงๆ แล้วผู้นำคนนั้นจะเป็นอาจารย์ของเจ้า”
ด้วยประโยคข้างต้นที่กล่าวออกมาในลมหายใจเดียว มันได้เปิดเผยเนื้อในอันชั่วร้ายของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ออกมาจนสิ้น
กู่ฉิงซานยิ้มหยันอย่างเงียบๆ
‘ไม่ว่าจะโลกไหน มันก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย’
นับตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน มีกองกำลังและกลุ่มอิทธิพลนับไม่ถ้วน ที่ต่างก็ใช้ข้อแก้ตัวที่ฟังดูดีและสวยงามเป็นเปลือกนอก เพื่อที่จะดำเนินการและอำนวยความสะดวก ให้แก่เรื่องร้ายๆ ที่ตนเองกระทำ
เนื่องจากความแข็งแกร่งอันยอดเยี่ยมของเซี่ยเต๋าหลิง ที่ทำให้ทุกคนต่างเริ่มเกิดความหวัง ด้วยเหตุนี้เอง นางจึงได้ถูกเลือก ขณะที่กลุ่มอาวุโสก็อดไม่ได้ที่จะแทรกแซงเข้ามาในโลกของนาง เพื่อหมายว่าหลังจากกุมจุดอ่อนของนางเอาไว้ได้แล้ว จึงค่อยบังคับให้นางเป็นหุ่นเชิด คอยทำงานให้แก่พวกเขา
กู่ฉิงซานกล่าว “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของพี่ชายเฉิน ผมจะเป็นคนเกลี้ยกล่อมท่านอาจารย์ให้คอยจัดการเรื่องนี้ให้เอง หลังจากนี้พี่เฉินจะได้ไม่ต้องคอยพะวงเกี่ยวกับเรื่องของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์อีกต่อไป”
เฉินหยางตบไหล่เขาและกล่าว “ต้องอย่างนั้นสิ! ปล่อยเรื่องวุ่นวายให้พวกผู้ใหญ่เขาทำกันไป ขณะที่เจ้าน่ะ มีทั้งแบรี่และเสี่ยวเหมียว ในโลกเก้าร้อยล้านชั้นไม่ว่าที่ใดเจ้าก็ย่อมสามารถไปได้ กลุ่มขยะอย่างพันธมิตรมันไม่คุ้มค่าให้เจ้าอยู่หรอก จงทะยานออกจากกรอบ และกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่โดดเด่นยิ่งกว่าผู้ใดเสีย!”
“เอ่อแล้วเรื่อง…ของท่านอาจารย์ผมล่ะจะว่ายังไง” กู่ฉิงซานถาม
“อย่าไปบอกแบรี่เกี่ยวกับเรื่องนี้เชียว ไม่งั้นข้าคงโดนสวดยับแน่ๆ” เฉินหยางเตือนเขาอย่างจริงจัง
“แล้วถ้าอย่างงั้นเรื่องโควตา…”
“ข้าจะมอบโควตาให้แก่เจ้าเอง และไม่ต้องรอกระบวนการยุ่งยากวุ่นวายอะไรด้วย ข้าจะจัดการให้เดี๋ยวนี้เลย”
กู่ฉิงซานเร่งรับความปรารถนาดีอย่างรวดเร็ว “ผมต้องขอโทษสำหรับเรื่องนี้ด้วย แต่เดี๋ยวสิ ผมจำได้ว่าโควตาในการผสานโลกมันมีค่ามากเลยไม่ใช่หรือ ผมคงไม่สามารถ…”
“ไม่เป็นไรหรอก” เฉินหยางส่ายมือส่งๆ และกล่าว “เรื่องของเจ้าขอให้พี่ชายเฉินผู้นี้จัดการเอง หรือว่าเจ้าไม่ไว้ใจข้า?”
กู่ฉิงซานไม่ดิ้นรนเถียง เขาประสานกำปั้นแก่อีกฝ่าย “ถ้าเช่นนั้นผมขอรับน้ำใจของพี่ชายเฉินเอาไว้ก็แล้วกัน”
เฉินหยางพยักหน้าด้วยความพอใจ
เขาหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมา แล้วพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ จนพบชื่อว่าเซี่ยเต๋าหลิง และจำนวนโลกที่ผสานรวม
“นี่สินะ”
เฉินหยางพึมพำ ก่อนจะหยิบดินสอออกมาและขีดเขียนมัน
“บัญชีของนางได้ถูกชำระแล้วโดยข้า…เฉินหยาง”
สุดท้าย เขาก็ลงนามในชื่อของตัวเอง
“เอาล่ะ เท่านี้ก็จบแล้ว”
เขาเก็บสมุด และหันมาพูดกับกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานถอนหายใจโล่งอกอย่างลับๆ
ห้าโควตาสำหรับการผสานรวมโลก…ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นนี้ นับว่ามีมูลค่ามหาศาล
แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าอีกฝ่ายเพียงขีดเขียนมันง่ายๆ ก็จบแล้ว
“พี่ชายเฉิน ถ้ายังไงช่วยหักจากบิลของสมาคม…”
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความรู้สึกผิด
เซี่ยเต๋าหลิงเมื่อเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น นางก็ประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่าย และกล่าว “ขอบพระคุณสำหรับความช่วยเหลือของท่าน”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้ามิได้สูญเสียอะไรเลย” เฉินหยางกล่าว
เขายกนิ้วโป้งขึ้น หงายมันชี้ไปยังอาวุโสทั้งแปดที่กำลังงงงวยอยู่เบื้องหลัง
“พวกเขาได้กระทำสิ่งโสมมต่างๆ เอาไว้มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ สั่งสมความมั่งคั่งและสมบัตินานับไม่ถ้วน คิดว่าข้าจะมองไม่ออกเลยหรือ”
“ข้าจะยึดความมั่งคั่งของพวกเขา บางทีสมบัติทั้งหมดมันอาจจะเพียงพอที่จะชดเชยความสูญเสียในครั้งนี้ของข้าก็ได้”
“เป็นไง? ด้วยวิธีนี้พวกเราทุกคนก็จะมีความสุขแล้ว เห็นไหม?”
แปดอาวุโสตกตะลึงงัน
พวกเขาอยากจะทุบตีสมองของตนเองจริงๆ ไม่คาดคิดเลยว่าแผนการที่พวกเขาวางไว้เป็นอย่างดี จะพลิกผันมาอยู่ในจุดนี้ได้
สีหน้าของหัวหน้าอาวุโสหม่นทะมึน เขาเอ่ยเสียงจม “ท่านผู้ชี้ขาด คำพูดเมื่อครู่ของท่านหมายความว่ากระไรกัน? ท่านคิดจะยึดครองโลกของพวกเราอย่างนั้นหรือ?”
“พวกเราไม่ยอม! พวกเราจะทำการยื่นอุทธรณ์!” อีกอาวุโสเริ่มตะโกน
“ใช่! พวกเราไม่กลัวท่านหรอก!”
“ท่านผู้ใหญ่ เหตุใดท่านจึงไม่มีเหตุผลเลย?”
คนแล้วคนเล่าต่างเริ่มร่ำร้องออกมา
เฉินหยางเผยถึงความหงุดหงิด เขายื่นมือออกไปในอากาศที่ว่างเปล่าโดยไม่คิดหันไปมอง
“ข้า…เฉินหยาง ไม่มีเหตุผลใดจักต้องสังหารพวกเจ้า แต่ในเมื่อพวกเจ้ารนหาที่…งั้นก็อย่าเสียเวลาพูดคุยกันอีกเลย จงไปเกิดใหม่เสียเสียให้สิ้น”
ยามเมื่อเสียงนี้ตกลง เส้นแสงสีดำนับไม่ถ้วนก็จมลงไปในร่างของแปดอาวุโส
แปดอาวุโสจู่ๆ ก็ชักอาวุธของตนออกมาทันที จากนั้นก็เริ่มฟันเข้าใส่ผู้คนที่อยู่รอบกายตนเอง
แต่ที่น่าฉงนก็คือ การฟาดฟันนี้มันกลับมิได้ใช้ออกด้วยพลังวิญญาณเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าอาวุโสทั้งแปดได้สูญสิ้นสติปัญญา และคิดได้แค่เพียงต้องฆ่าฟันคนอื่นเท่านั้น
ภายในห้องโถง เพียงไม่นานทุกอย่างก็เงียบสงบลงโดนสิ้นเชิง
แปดอาวุโสล้มลงกับพื้น
พวกเขาสิ้นใจแล้ว
ศีรษะกระเด็นขึ้นฟ้า ลอยไกลออกไป ก่อนจะตกลงกับพื้น กลิ้งไปหยุดลงข้างเท้าของอาวุโสทั้งแปดพอดิบพอดี
รอยยิ้มบนใบหน้าของแปดอาวุโสแข็งค้างไป
มันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับว่าคนที่พยายามจะช่วยชีวิตถูกสังหารลงในพริบตา
และที่สำคัญก็คือ ชายผู้นั้นไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของพวกเขา แต่ยังเป็นผู้กุมความลับมากมายของโลกใบนี้เอาไว้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นมันแค่พริบตาเดียวเท่านั้น กู่ฉิงซานยืนอยู่ใกล้กับตัวปลอมของเขามากเกินไป ซึ่งด้วยระยะห่างดังกล่าว มันย่อมไม่มีใครสามารถหยุดผู้ฝึกดาบมิให้ลงมือสังหารได้
เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ แปดอาวุโสก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง
กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน และหันไปมองแปดอาวุโสด้วยรอยยิ้ม
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส “เอาล่ะ ทีนี้ปัญหาระหว่างพวกเราก็ได้รับการแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หวังว่าจากนี้ไปทุกท่านจะสามัคคีกลมเกลียวซึ่งกันและกันนะ”
พรืด!
ว่านเอ๋อที่ซ่อนอยู่หลังฉาก กลั้นไม่ไหว หลุดเสียงหัวเราะออกมา
และเสียงหัวเราะนี้ก็ราวกับเชื้อร้ายที่สามารถแพร่กระจายติดต่อกันได้
บนบัลลังก์หมื่นบุปผา มุมปากของเซี่ยเต๋าหลิงเองก็โค้งขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน
ทว่าเสี้ยววินาทีต่อมา เธอก็หายวับไปจากบัลลังก์
ในเสี้ยววินาทีเดียวกัน เจ็ดถึงแปดรัศมีของเทคนิคมนตราก็สาดแสงออกมา เจตนาฆ่าท่วมไปทั่วตลอดทั้งโถง โถมทับเข้าใส่กู่ฉิงซานดั่งน้ำหลาก
นางเซียนไป่ฮั่วปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน วาดชายเสื้อออกไปส่งๆ สลายเทคนิคมนตราเหล่านั้นกระจายหายไป
แปดอาวุโสแผดเสียงร้องด้วยความโกรธ
“สารเลว!”
“เจ้ากล้าสังหารผู้คนต่อหน้าพวกเรา!”
“เซี่ยเต๋าหลิง เหตุใดเจ้าถึงยังปกป้องมันอยู่อีก!”
“กู่ฉิงซานจะต้องตาย!”
“เซี่ยเต๋าหลิง หากไม่จัดการเรื่องนี้ให้มันชัดเจน อย่าหวังว่าเจ้าจะผ่านวันนี้ไปได้!”
นางเซียนไป่ฮั่วสาดเสียงเย็น “อยู่ต่อหน้าข้าแท้ๆ แต่กลับต้องการสังหารศิษย์ข้า พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้า เซี่ยเต๋าหลิงผู้นี้จะยอมอยู่เฉยๆ ให้ถูกรังแก?”
“หากวันนี้ข้าปล่อยให้พวกเจ้าเข้ามาก้าวก่ายในโลกของข้า ข้าคงไม่มีหน้าไปพบผู้ใดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์อีกแล้ว!”
ขณะกล่าว กลิ่นอายอันยิ่งใหญ่จากโบราณกาลก็ปะทุออกมาจากกายเธอ ผ้าไหมสีมรกตที่สวมใส่แปรเปลี่ยนเป็นสีหิมะในคราวเดียว
แส้เถาวัลย์ที่ปกคลุมไปด้วยหนามแหลมปรากฏขึ้นในมือของเธอ
วูบ…เพียะ!
แส้ยาวฟาดสะบัด บังเกิดเสียงแหวกมิติ คล้ายกับกำลังเกิดการเรียกขานอะไรบางอย่าง
ในอากาศที่ว่างเปล่าพลันถูกปกคลุมไปด้วยทุกชนิดของบุปผาหลากสี
ฉากอันงดงามเบื้องหน้านี้ ส่งผลให้แปดอาวุโสจำต้องหุบปากลง ราวกับมีอะไรบางอย่างจุกอยู่ในลำคอของพวกเขา
ทันใดนั้นเอง หนึ่งในแปดก็ฝืนตะโกนออกมา
“โอ้สวรรค์! นางคิดจะใช้สกิลเทวะอาชูร่า ยักษาวิปัสสนา!”
ด้วยเสียงตะโกนนี้ เหล่าอาวุโสแต่ละคนก็อดไม่ได้ที่จะชักฝีเท้ากลับ
เซี่ยเต๋าหลิงได้กลายเป็นที่รู้จักนับตั้งแต่สงครามครั้งแรกที่เธอเข้าร่วม
ในความพ่ายแพ้คราก่อนของกองทัพพันธมิตร มีเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถต่อสู้ และโค่นกองทัพมารลงได้ โดยอาศัยวิชาชั้นยอดอันหลากหลาย
และยักษาวิปัสสนานี้ ก็เป็นหนึ่งในสองที่ร้ายกาจที่สุด จากในบรรดาสกิลเทวะจำนวนมากของเซี่ยเต๋าหลิง
‘นี่นางต้องการจะสู้จริงๆ น่ะหรือ?’
‘นางกล้าดียังไง?’
คนที่เป็นหัวหน้าของเหล่าอาวุโสก้าวออกมาข้างหน้า และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “เซี่ยเต๋าหลิง เจ้ามันบ้าไปแล้ว เวลานี้ข้ากระจ่างใจแล้วว่าการที่บรรดาเต๋าผู้ทรงเกียรติ และเหล่าพันธมิตรเลือกเจ้าเป็นผู้นำ แท้จริงแล้วพวกเขาคิดผิด!”
เซี่ยเต๋าหลิง “นั่นคือประสงค์ของเต๋าผู้ทรงเกียรติและสหายพันธมิตร ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้าทั้งแปดคน”
“ไม่! การที่ทุกคนเลือกเจ้า แท้จริงแล้วมันเป็นเพราะข้อตกลงร่วมกัน ” อาวุโสส่ายหัว
“ข้อตกลง?”
“ใช่ คนเช่นเจ้า คิดว่าตนสามารถเข้าใจถึงกฎขั้นพื้นฐานของพันธมิตรได้อย่างงั้นหรือ!?”
อาวุโสถอนหายใจและส่ายหัว “ในความเป็นจริงแล้ว มันก็เป็นอย่างที่ศิษย์ของเจ้าเอ่ยในคราแรก ทุกกลุ่มอิทธิพลล้วนมีกระบวนการที่คล้ายคลึงกัน การทำเช่นนั้นก็เพื่อที่จะสามารถมั่นใจได้ว่าการดำเนินงานในทุกระดับชั้นจะมีประสิทธิภาพ”
“พวกเราถึงได้ส่งคนมาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตของเจ้า ขณะเดียวกันก็เพื่อบรรลุข้อตกลงร่วมกันนั่นเอง”
“ในความเป็นจริงแล้ว ในเวลานี้ วิธีที่ชาญฉลาดที่สุดของเจ้าก็คือ การส่งตัวซิวซิวมาให้แก่พวกเรา”
“ตราบใดที่เจ้ามีไหวพริบ เห็นด้วยกับการกระทำของพวกเรา มอบสาวกมา ทางเรามีหรือที่จะทำไม่ดีกับนาง?”
“หากทำเช่นนั้น ตัวเจ้าเอง ก็จะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากพวกเรา และกลายเป็นผู้นำที่แท้จริงของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์”
เซี่ยเต๋าหลิงเอียงคอเอ่ยถาม “แล้วข้าก็จะเป็นเหมือนกันกับจ้าวแห่งเต๋าในอดีตใช่หรือไม่?”
“แน่นอนว่ามิใช่แค่จ้าวแห่งเต๋า แต่ทุกผู้คนที่รับตำแหน่งผู้นำก่อนหน้านี้ก็เช่นกัน”
“มีเพียงวิธีนี้ วิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เจ้าได้รับความไว้วางใจจากทุกคน”
“เซี่ยเต๋าหลิง ทุกผู้คนต่างตั้งความหวังกับเจ้าไว้สูงนัก แต่เหตุใดเจ้าถึงได้ต้องการจะต่อต้านเรา? เหตุใดเจ้าจึงต้องการบ่อนทำลายสมดุลนี้! รู้หรือไม่ว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มพันธมิตร มันจะส่งผลกระทบโดยรวมต่อโลกด้านวรยุทธ์นับร้อยพันทั้งปวง!”
“ผู้ฝึกยุทธ์นับร้อยนับพันล้านคนต่างก็คาดหวังว่าเจ้าจะนำพากลุ่มพันธมิตรให้หลุดพ้นจากความพ่ายแพ้ หวังว่าเจ้าจะนำพาทุกคนโค่นล้มอาณาจักรมารลง!”
อาวุโสแผดเสียงเร่าร้อน “แต่ตอนนี้! เจ้ากลับไม่ยินยอมที่จะเสียสละกระทั่งผลประโยชน์เล็กน้อยส่วนตน เพื่อส่วนรวม เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าผู้ชราก็ไม่ทราบแล้วจริงๆ ว่าเจ้าจะนำพากลุ่มพันธมิตรไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้อย่างไร เจ้าช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก!”
“เมื่อครู่เจ้าเรียกศิษย์ข้าว่า…ผลประโยชน์อย่างงั้นหรือ?”
ขณะกล่าว เซี่ยเต๋าหลิงก็อดหัวเราะเย็นเยียบออกมาไม่ได้
เธอสะบัดควงแส้เถาวัลย์ในมือ และกล่าว “พวกเจ้ามันช่างไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ”
เธอเปล่งเสียงสดใส “ในวันนี้ ข้าจะใช้การกระทำของข้า แทนการส่งสารให้แก่ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนในพันธมิตร ว่านับจากนี้ไป ทุกผู้คนที่พวกเขาห่วงใย ทุกผู้คนที่พวกเขาต้องการจะปกป้อง ทุกผู้คนที่พวกเขายินยอมตายแทนได้ จักไม่ถูกหยามหมิ่นจากภยันตรายใดๆ อีกต่อไป”
“โดยการเริ่มจากข้าเลยก็แล้วกัน กลุ่มพันธมิตร จะไม่ใช่กลุ่มที่รวมตัวกันเพื่อผลประโยชน์อีกต่อไป”
“หากวันพรุ่งพวกเราจักต้องสละชีพในแนวหน้าระหว่างการต่อสู้กับอาณาจักรมาร นั่นก็เป็นเพราะพวกเราต่างก็มีเป้าประสงค์เดียวกัน”
“ใช่แล้ว เราสละชีพ นั่นก็เพราะพวกเราล้วนมีสิ่งที่ตนจะต้องปกป้อง เป็นสิ่งสูงค่าที่ควรค่าแก่การลากศัตรูตรงหน้าให้ตกตายลงไปด้วยกัน”
“นับจากนี้ไป ทุกชีวิตทั้งมวลจะอยู่ร่วมกัน โดยไม่ใช่ด้วยผลประโยชน์ แต่ด้วยเป้าประสงค์ของตนเอง”
“แต่พวกเจ้า! ในเลือดและเนื้อของพวกเจ้ากลับหมดสิ้นแล้วซึ่งความดี หลงเหลือเพียงความทะเยอทะยานเพื่อประโยชน์แห่งตน นั่นคือเหตุผลที่จิตแห่งเต๋าของเจ้าตกต่ำและมืดบอด จนมันมิอาจตัดผ่านไปยังขอบเขตที่เหนือล้ำยิ่งกว่านี้ได้”
“ซึ่งตรงส่วนนี้ เจ้าไม่เพียงต้องการตัวซิวซิว แต่ยังหมายจะสังหารฉิงซาน! ในวันนี้ เป็นข้าต่างหากที่จะไม่ปล่อยพวกเจ้าไป!”
เซี่ยเต๋าหลิงสะบัดแส้ยาวของเธอ
ช่วงเวลาต่อมา บุปผานับพันหมื่นก็เบ่งบานในเวลาเดียวกัน ดอกแล้วดอกเล่าร้อยเรียงกันเป็นมาลัย ก่อนจะพากันกลายสภาพเป็นอักษรรูน
สกิลเทวะจงปรากฏ!
ในอากาศที่ว่างเปล่า เทวรูปโบราณที่มีดวงตานับพัน และแขนอีกกว่าเก้าร้อยเก้าสิบข้างพลันปรากฏออกมา
ยามเมื่อที่เทวรูปโบราณปรากฏขึ้น กลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์ก็ท่วมทับไปตลอดทั้งห้องโถงทันที
เจตนาฆ่าก่อนหน้านี้ถูกลบกลบไปจนสิ้น!
เซี่ยเต๋าหลิงคำรามก้อง “พูดจบแล้วใช่ไหม? เช่นนั้นก็จงตายเสีย!”
ตรงข้ามกับเธอ แปดอาวุโสตระหนักทันทีว่าช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดได้มาถึงแล้ว
ทั้งแปดประทับฝ่ามือเข้าหากัน ปากอ้าตะโกนก้อง “ขออัญเชิญผู้ชี้ขาด! ตุลาการแห่งโลกเก้าร้อยล้านชั้นจงปรากฏ!”
บนหน้าอกของพวกเขาแต่ละคน แขวนไว้ซึ่งจี้ที่ไม่สมประกอบ
แต่ในเวลานี้ จี้ดังกล่าวได้ผลุบออกจากทุกคน ลอยมาหยุดอยู่กลางอากาศ ประกอบกันจนสมบูรณ์ กลายเป็นตราขนาดเล็ก
ตราเริ่มสั่นสะเทือนในอากาศที่ว่างเปล่า เปล่งเสียงหวีดดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้นเอง บังเกิดลำแสงสาดลงมาจากเหนือห้องโถงใหญ่ และเสียงร้อนใจที่ดังตามมา
“ผู้ใดกันที่เรียกหาข้า!”
พร้อมกันกับเสียงนี้ ร่างร่างหนึ่งก็ค่อยๆ ลดระดับลงมาจากแสง หยั่งเท้าลงกับพื้น
เป็นชายที่มีใบหน้าแลดูถมึงทึง ไว้หนวดเป็นตอๆ
ช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาตกลงมา ในมือของเขาก็กำลังกำไพ่เอาไว้เช่นกัน
ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะถูกเรียกมาอย่างกะทันหันในระหว่างกำลังเล่นไพ่อยู่
ชายคนนั้นเก็บไพ่ เบนสายตาไปมองเทวรูปโบราณในอากาศที่ว่างเปล่า ก่อนจะเบนสายตาคมกล้าไปยังแปดอาวุโส
“ตุลาการโลก หาใช่สิ่งที่จะเรียกขานกันตามใจชอบไม่ เจ้าทำให้เกมพนันของข้าต้องล่าช้าออกไป แท้จริงเพราะต้องการเรียกข้าให้มาช่วยชีวิตของพวกเจ้าใช่หรือไม่ หากใช่ ไม่ต้องถึงมือศัตรู แต่ข้านี่แหละที่จะสังหารพวกเจ้าด้วยตนเอง!” ชายคนนั้นตะโกนด้วยความหงุดหงิด
หัวหน้าของแปดอาวุโสโค้งกาย เผยรอยยิ้มแห่งความปีติ “ท่านผู้ใหญ่! โปรดมั่นใจ พวกเราหาได้เรียกขานท่านมาเพราะเรื่องส่วนตัวไม่ สถานการณ์ในตอนนี้จำเป็นต้องให้ทางตุลาการเป็นผู้ชี้ขาดจริงๆ”
“จงพูดมา อย่าได้ชักช้า” ชายในแสงกล่าว
หัวหน้าอาวุโสชี้ไปทางนางเซียนไป่ฮั่ว เซี่ยเต๋าหลิง และกล่าวด้วยความปีติ “รายงานท่านผู้ใหญ่ หญิงนางนี้ได้ทำการผสานห้าโลกโดยพลการ มันเกินกว่าขีดจำกัดสองโลกที่ได้ร่างเอาไว้ ดังนั้นทางเราจึงอยากร้องขอให้ท่านจัดการนางผู้ผิดกฎออกไป”
“หืม? ไม่ใช่ว่าเรื่องของนางถูกรายงานมาแล้วหรอกหรือ ว่านางสามารถใช้ขีดจำกัด(โควตา) ของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ได้ไง” ชายคนนั้นถามด้วยความสงสัย
“นั่นเป็นเรื่องจริง แต่ตอนนี้ทางเราไม่ยินยอมมอบขีดจำกัดให้แก่นางแล้ว!” หัวหน้ากล่าว
อีกเจ็ดอาวุโสก็พยักหน้าด้วยเช่นกัน
“ท่านผู้ใหญ่ ขีดจำกัดของพันธมิตรอยู่ในมือของพวกเราทั้งแปดคน และพวกเราขอประกาศไว้ ณ ที่นี้ว่านางจะไม่สามารถใช้ขีดจำกัดของพันธมิตรได้อีกต่อไป” หัวหน้ากล่าว
‘นี่แหละคือสิ่งที่เจ้าจะต้องจ่าย หากคิดจะถอนฟืนร้อนออกจากใต้หม้อเดือด!’
ไม่ว่าเซี่ยเต๋าหลิงจะมีผู้คนในพันธมิตรให้การสนับสนุนอยู่มากมายเพียงใด มันไม่สำคัญว่าฝีมือต่อสู้ของนางจะร้ายกาจเพียงใด เพราะตราบใดที่นางทำการผสานรวมมากกว่าสองโลกโดยพลการ นี่จักกลายเป็นตรวนที่คอยสาปส่งนางไปชั่วนิรันดร์!
“หากนางไม่มีขีดจำกัด ตามกฎแล้วนางจักถูกตัดสินให้ต้องตาย” ชายในแสงกล่าวอย่างเรียบง่าย
เขามองไปยังเซี่ยเต๋าหลิง กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียใจ “เจ้าจะปลิดชีพด้วยตนเอง หรือให้ข้าเป็นคนลงมือสังหาร?”
เซี่ยเต๋าหลิงสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจอันไร้ซึ่งหนทางต่อต้านจากอีกฝ่าย ในสมองก็เริ่มเค้นความคิดอย่างรวดเร็ว
…ไม่ดีแน่ แม้จักทุ่มเต็มกำลังคงไม่ไหวอยู่ดี
นางและเขาต่างชั้นกันเกินไป ต่อให้ตนใช้ออกด้วยสายธารแห่งการหลงเลือน ก็คงไม่อาจทำอะไรตัวตนทรงอำนาจผู้นี้ได้อยู่ดี
หญิงสาวถอนหายใจอย่างลับๆ โค้งกายคำนับ “เช่นนั้นข้าใคร่เอ่ยถามว่า ท่านพอจะให้เวลาข้าสักเล็กน้อย เพื่อสะสางสิ่งที่จำต้องทำก่อนตายจะได้หรือไม่?”
ชายในแสงกล่าว “การตัดสินชี้ขาดของตุลาการโลก จักไม่ยินยอมให้โลกหรือบุคคลใดคิดต่อต้าน…แต่อย่างน้อยในด้านห้วงอารมณ์ขั้นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต พวกเราก็ยังคงมีมัน ดังนั้น ข้าสามารถให้เวลาสักเล็กน้อยแก่เจ้าเพื่อสะสางสิ่งที่ต้องทำได้ จงอย่าชักช้าล่ะ”
เซี่ยเต๋าหลิง “ขอบพระคุณท่าน”
สิ้นเสียง พลังวิญญาณจากตลอดทั้งกายเธอก็ถูกขับเคลื่อนทันที
ปัง!
ในอากาศที่ว่างเปล่า หมู่มวลบุปผาถูกเปลี่ยนเป็นผง ขณะเดียวกันเทวรูปโบราณก็ค่อยๆ ลืมตาของมันขึ้นอย่างช้าๆ
เจตนาฆ่าของเซี่ยเต๋าหลิงติดตรึงลงบนร่างของแปดอาวุโส
อาวุโสทั้งแปดร้องอุทาน “ท่านผู้ใหญ่! แบบนี้มิได้นะ เพราะสิ่งที่นางคิดจะสะสาง นั่นคือการตกตายไปพร้อมกับพวกเรา!”
ชายคนนั้นขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกรำคาญกับปัญหา
ในเวลานั้นเอง เซี่ยเต๋าหลิงก็ปล่อยจิตสัมผัสเทวะ ส่งผ่านความคิดสุดท้ายแก่กู่ฉิงซาน
“ฉิงซาน สิ่งที่เจ้าทำนับว่าถูกต้องแล้ว จงอย่าได้โทษตัวเองหรือเศร้าเสียใจไป”
“ท้ายที่สุดนี้ หากข้าตาย เจ้าจงเป็นผู้นำแห่งทุกชีวิตแทนเสีย และไม่ต้องกังวลใดๆ ในเรื่องของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์”
“เพราะข้ามีวิชาลับที่จักสามารถใช้ซ่อนโลกของเราเอาไว้ได้ชั่วคราว ซึ่งมันอยู่ใน…”
แต่คำสั่งเสียของเธอก็ถูกขัดจังหวะโดยกู่ฉิงซานอย่างกะทันหัน
“ท่านอาจารย์ ท่านจะไม่ตายหรอก” กู่ฉิงซานกล่าว
“เอ๊ะ?” เซี่ยเต๋าหลิงยกคิ้วสูง
“ฟังไม่ผิดหรอก” กู่ฉิงซานหัวเราะ “มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเรา”
เขาเดินผ่านนางเซียนไป่ฮั่ว มาหยุดอยู่ต่อหน้าชายในแสง
ชายคนนั้นเหลือบมองกู่ฉิงซานอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก แต่ทันใดนั้นเจ้าตัวก็คล้ายนึกได้ถึงบางสิ่ง เขาเบนสายตากลับมามองอีกครั้งอย่างตั้งใจ
“อ้าว? เหตุใดเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่? แล้วแบรี่เล่า เขาไปมัวเล่นพนันอยู่ที่ใดกัน?”
………………………………….
ณ นิกายร้อยบุปผา
ภายในโถงใหญ่ การเจรจาอย่างเป็นทางการกำลังเกิดขึ้น
นางเซียนไป่ฮั่ว เซี่ยเต๋าหลิงในชุดคลุมมรกต ตรงคอปกเสื้อร้อยเรียงไปด้วยขนนก กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์หมื่นบุปผา
โดยมีผู้ฝึกยุทธ์ที่ถูกตีตรวน ล่ามไว้ด้วยโซ่นหลายเส้น กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ไกลออกไปในมุมห้องโถง
หากมองจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ปรากฏอยู่ ชายผู้นั้นเหมือนกันกับกู่ฉิงซานทุกประการ
ในใจกลางห้องโถง เป็นกลุ่มชายชราทั้งแปดที่กำลังถกเถียงกับเซี่ยเต๋าหลิงอยู่
พวกเขาคือเหล่าอาวุโสของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ ที่มีตำแหน่งสูงล้ำ และยังมีหน้าที่ในการจัดการกิจการต่างๆ ของทางพันธมิตรอีกด้วย
กล่าวได้ว่ากระทั่งผู้นำพันธมิตรเองก็ยังต้องพึ่งพาพวกเขา เพื่อที่จะบรรลุเรื่องราวต่างๆ
ผู้อาวุโสกล่าว “เซี่ยเต๋าหลิง เจ้าเป็นถึงผู้นำแห่งพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ เหตุใดจึงต้องกระทำกับผู้ฝึกยุทธ์ตัวน้อยๆ เช่นนี้ด้วย?”
เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เขาแสร้งปลอมเป็นศิษย์ข้า สืบเสาะทุกชนิดของความลับในโลกใบนี้ แล้วจะให้ข้าทำเป็นปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปกระนั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งกล่าว “มิใช่เช่นนั้น ชายผู้นี้เป็นคนจากพันธมิตรที่ถูกส่งมาเพื่อตรวจสอบว่าเจ้าเกี่ยวข้องอันใดกับอาณาจักรมารหรือไม่ต่างหากเล่า การที่ทางพันธมิตรกระทำเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ใจของผู้นำ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
เซี่ยเต๋าหลิงพยักหน้าและกล่าว “เรื่องนั้นข้าเข้าใจ แต่ข้าได้ทำการค้นวิญญาณของเขาแล้ว แม้ว่าความทรงจำบางส่วนของเขาจะถูกปิดผนึกเอาไว้ก็ตาม และแม้ข้าจะไม่เห็นมัน แต่เรื่องที่เขาคิดจะพาซิวซิวไปนั้นข้ากระจ่างแก่ใจอย่างชัดเจน”
เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวด้วยความเย็นชา “พยายามที่จะลักพาตัวสาวกของข้า เรื่องนี้ทางพันธมิตรจะอธิบายว่าอย่างไร?”
ผู้อาวุโสหลายคนแสดงถึงสีหน้าอึดอัดใจ และเงียบไป
เป็นเพราะเรื่องนี้นั่นเอง ที่ทำให้แผนการของพวกเขาถูกเปิดโปงโดยสิ้นเชิง
“เซี่ยเต๋าหลิง พวกเราจะไม่ชี้นิ้วสั่งเจ้า พวกเราเพียงต้องการที่จะล่วงรู้เกี่ยวกับเจ้าให้มากขึ้นผ่านทางสาวกเจ้าก็เท่านั้นเอง และจากนั้นสาวกเจ้าก็จะถูกส่งตัวกลับมาในภายหลัง หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ” ผู้อาวุโสพยายามอย่างดีที่สุด ที่จะโน้มน้าวใจ
“เมื่อได้ขึ้นเป็นผู้นำพันธมิตร จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานจากอาณาจักรนิรันดร์ ก็ได้นำบุตรของตนมาฝากฝังให้เป็นศิษย์ในนิกายข้า เพื่อเรียนรู้แลกเปลี่ยนกระบวนวิชาแก่กันและกัน เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เจ้าสามารถไถ่ถามมันจากเหล่าอาวุโสได้”
“ถูกต้อง ซึ่งในกรณีนี้ จะทำให้ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งเราหรือเจ้าก็ล้วนได้รับผลประโยชน์ ฉะนั้นเจ้าก็ไม่สมควรที่จะสร้างปัญหาใดๆ” อีกหนึ่งอาวุโสเตือน
“ใช่ นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น”
“นี่แหละ จึงจะสมเหตุสมผล”
แต่เซี่ยเต๋าหลิงก็ยังส่ายหัวและกล่าว “หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่คิดจะรับตำแหน่งผู้นำพันธมิตรอีกต่อไป พวกเจ้าจงไสหัวไปเสีย!”
หลายอาวุโสหันมามองหน้ากันและกัน
‘ใครจะไปรู้ว่าเรื่องราวต่างๆ มันจะลุกลามเช่นนี้?’
‘เหตุใดเซี่ยเต๋าหลิงจึงไม่ฟังเหตุผลเลย?’
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ หากมิใช่เซี่ยเต๋าหลิงแล้ว ยังจะมีผู้ใดอีกเล่าที่จะสามารถขึ้นเป็นผู้นำได้?
พันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์น่ะกำลังจะพินาศ
หากนางถอนตัวออกไป เกรงว่าเหล่าผู้ที่สนับสนุนนางก็จะเข้าข้างนางเช่นกัน และอาจกระทำการต่างๆ ด้วยตนเองโดยพลการได้
ไม่มีทางเสียล่ะ!
ใครจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นกัน!?
ภายในวันนี้ จักต้องปราบพยศนังผู้หญิงคนนี้ให้จงได้!
อีกอาวุโสถอนหายใจ และเอ่ยขึ้น “เซี่ยเต๋าหลิง มันจะดีกว่าไหมหากเจ้าปล่อยเรื่องนี้ให้มันผ่านไป พวกเราสามารถมอบอำนาจมหาศาลให้แก่เจ้าได้ แต่จากนี้ไป ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจถึงสิ่งหนึ่งให้มันชัดเจน นั่นคือขีดจำกัดในการผสานรวมโลกอยู่ในมืออาวุโสอย่างพวกเรา”
คิ้วดั่งใบหลิวของเซี่ยเต๋าหลิงอดไม่ได้ที่จะขมวดเข้าหากัน
ใช่ นั่นแหละปัญหาใหญ่ที่สุดของเธอ
เพื่อที่จะให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น เธอจึงได้รวบรวมโลกหลายใบเข้าด้วยกัน จากนั้นเธอถึงเพิ่งมาได้รู้ว่าการกระทำเช่นนั้น คือการนำภัยพิบัติมาสู่โลกและตนเอง
หากไม่มีขีดกำจัด(โควตา) ของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ทุกอย่างก็เป็นอันจบ
เกิดความเงียบงันขึ้นเป็นระยะเวลานาน
เซี่ยเต๋าหลิงเอ่ยถาม “เช่นนั้นแล้วจะทำอย่างไรกับคนที่แสร้งปลอมเป็นศิษย์ข้า?”
“เจ้าจะต้องมอบเขาให้แก่เรา เพราะเขาคือคนของเรา เขามิสมควรที่จะมาตายลงในสถานที่แห่งนี้!” อีกอาวุโสกล่าวน้ำเสียงเฉียบขาด
เซี่ยเต๋าหลิงกำลังจะเอ่ยปากอีกครั้ง แต่จู่ๆ สายตาของเธอก็เลื่อนออกไป
แปดอาวุโสเองก็เช่นกัน
ทั้งหมดมองไปยังประตูใหญ่ทางเข้าโถง
เห็นแค่เพียงผู้ฝึกดาบรุ่นเยาว์กำลังยืนอยู่หน้าทางเข้า เฝ้ามองดูทุกคนในโถงด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เป็นกู่ฉิงซาน!
กู่ฉิงซานตัวจริงได้กลับมาแล้ว!
ในช่วงเวลาที่สำคัญเยี่ยงนี้ สาวกของนิกายร้อยบุปผาได้กลับคืนสู่โลกของตน!
“เจ้าได้พบกับศิษย์น้องหญิงทั้งสองแล้วหรือยัง?” นางเซียนไป่ฮั่วถามด้วยรอยยิ้ม
“ขอรับ” กู่ฉิงซานกล่าว
“เจ้าพอใจกับการตัดสินใจนี้ของข้าหรือไม่?”
“พวกนางแม้เป็นคนที่น่าสงสาร แต่อุปนิสัยกลับดีเป็นอย่างมาก ข้ายินดีต้อนรับพวกนางเข้าสู่นิกาย” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาก้าวเข้ามาในห้องโถงอย่างช้าๆ โค้งกายคารวะนางเซียนไป่ฮั่วด้วยความนอบน้อม
“ท่านอาจารย์ ข้ากลับมาแล้ว”
“เอาเถิด จงไปพักผ่อนเสีย ข้ามีบางอย่างที่จักต้องหารือ เอาไว้พวกเราค่อยมาพูดคุยกันในภายหลัง”
“สิ่งที่ท่านอาจารย์กำลังหารือ ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสายลับหรือไม่?”
กู่ฉิงซานชี้ไปยังมุมห้องโถง
ชายที่แสร้งปลอมเป็นเขายังคงถูกตีตรวนอย่างแน่นหนา มิอาจเคลื่อนกายไปไหนได้
นางเซียนไป่ฮั่วเมื่อเห็นเขากล่าวถึงเรื่องนี้ ภายในจิตใจก็รับรู้ได้ทันทีว่าศิษย์ตนมีความคิดบางอย่าง จึงเออออตามเขาไป “สำหรับเรื่องนี้ ฉิงซาน เจ้ามีความคิดเห็นว่าสมควรทำเช่นไร?”
“ข้าคิดว่าเรื่องนี้หาได้สำคัญไม่ จะทะเลาะกันไปด้วยเหตุใด ไม่จำเป็นต้องคิดมากจนเกินไปเลย” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาพูดต่อ “การที่คนอื่นๆ ต้องการจะรู้เกี่ยวกับท่านอาจารย์ ก็เพื่อที่พวกเขาจะอยู่ร่วมกันกับอาจารย์อย่างสนิทสนม นั่นมันก็เป็นเรื่องที่ดีมิใช่หรือ…พวกท่านเล่าว่าอย่างไร?”
กล่าวยังไม่ทันจบประโยค เขาก็หันไปทางแปดอาวุโส
แปดอาวุโสตกใจไปพักหนึ่ง แต่ก็รีบพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว “เป็นเช่นนั้น!”
“นั่นแหละเหตุผล”
“นั่นคือสิ่งที่พวกเราคิด!”
“กู่ฉิงซาน ช่วยเกลี้ยกล่อมอาจารย์เจ้าด้วยเถอะ”
กู่ฉิงซานพยักหน้าให้เหล่าอาวุโส แสดงถึงความใส่ใจในการรับฟังพวกเขา
เจ้าตัวหันไปโน้มน้าวนางเซียนไป่ฮั่ว “แท้จริงแล้ว นี่คือกระบวนการที่เหล่ากลุ่มอิทธิพลมากมายล้วนกระทำกัน เพื่อเป็นการอยู่ร่วมกันอย่างสบายใจและสงบสุข ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นที่จะทำให้มันถูกต้อง”
“ซึ่งข้าเชื่อว่าต้นตอความคิดนี้ของทุกท่านล้วนหวังดี ท่านอาจารย์ ท่านไม่จำเป็นต้องไปถกเถียงอันใดเลย”
“หือ? เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ อย่างงั้นหรือ?” เซี่ยเต๋าหลิงเอ่ยถาม
“ขอรับ ท่านอาจารย์และทุกคนจักต้องร่วมมือกันอีกในอนาคต ดังนั้นความเมตตาในครั้งนี้จะส่งผลให้เกิดความสามัคคีและกลมเกลียวกันแค่ไหน ท่านลองคิดดู” กู่ฉิงซานกล่าว
ว่าแล้วเขาก็เดินไปหาตัวปลอมอย่างช้าๆ
“อาจารย์ ท่านไม่จำเป็นต้องตีตรวนอย่างแน่นหนาถึงเพียงนี้หรอก เพราะในหัวใจของผู้ฝึกยุทธ์ผู้นี้ คงสำนึกเสียใจแล้ว และอีกอย่าง กระทำเช่นนี้เดี๋ยวผู้คนจะพาลคิดไปว่านิกายร้อยบุปผาของเราดูแลแขกได้ไม่ดี”
ระหว่างกล่าว เขาก็ยังเดินไปหาตัวปลอม
นางเซียนไป่ฮั่วตกใจ
ขณะที่เหล่าอาวุโสต่างพากันตะโกนสรรเสริญ
“เซี่ยเต๋าหลิง เจ้ามีศิษย์ที่ดีจริงๆ”
“ในหัวใจช่างเต็มไปด้วยเมตตา น่ายกย่องยิ่งนัก”
“การที่ในนิกายเจ้ามีสาวกเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดี”
เซี่ยเต๋าหลิงตกอยู่ในความสับสน นางมิได้เอ่ยคำใด ในสายตาเพียงเฝ้ามองทุกฝีก้าวของกู่ฉิงซาน
ณ จุดนี้ กู่ฉิงซานก็ได้เดินมาหยุดอยู่ต่อหน้าตัวปลอมแล้ว
เขามองอีกฝ่าย และเผยรอยยิ้มขออภัย “ถูกตีตรวนแน่นหนาเช่นนี้ คงจะรู้สึกอึดอัดใช่หรือไม่? ข้าต้องขอโทษเจ้าแทนอาจารย์ด้วย แท้จริงแล้วพวกเรานิกายร้อยบุปผาไม่ควรกระทำเช่นนี้กับเจ้าเลย”
เมื่อเห็นว่าตัวจริงพูดกับตนดีมากๆ เจ้าตัวก็ผ่อนคลายลง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นข้าที่ผิดเอง ที่หยิบยืมสถานะของเจ้า เพื่อต้องการที่จะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับท่านผู้นำพันธมิตรให้มากขึ้น”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลย นี่มันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว”
กู่ฉิงซานตบลงบนไหล่อีกฝ่าย อย่างไม่ใส่ใจ
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของเจ้า เจ้าช่างเป็นคนใจกว้างจนน่าประทับใจจริงๆ” อีกฝ่ายกล่าว
พอถูกชม กู่ฉิงซานเองก็ดูจะเผยถึงท่าทีเคอะเขินเล็กน้อย
“สหายเจ้าผิดแล้ว อันที่จริงเจ้าไม่ต้องคิดมากพึงเพียงนั้นก็ได้ นั่นก็เพราะ…”
ฉัวะ!
คมกล้าของใบดาบกะพริบไหวขึ้นทันใด
ศีรษะของตัวปลอมถูกตัดสะบั้นอย่างไร้คำเตือนใดๆ มันลอยคว้างมายังใจกลางห้องโถง ก่อนจะกลิ้งหลุนๆ ไปยังเท้าของเหล่าอาวุโส
บนร่างกายที่ไร้ซึ่งหัวสาดไปด้วยละอองเลือดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะอ่อนเปลี้ยและร่วงลงกับพื้น
ตุบ…
“นั่นก็เพราะเจ้าได้ตายไปแล้ว และนิกายร้อยบุปผาของข้าก็ใจกว้างเสมอมา พวกเราน่ะไม่คิดใส่ใจหรือเอาผิดใดๆ กับคนตายหรอก”
กู่ฉิงซานสะบัดเลือดที่เปรอะคมดาบ ปากเอ่ยกล่าวด้วยความจริงใจ
……………………………
บนทะเลสาบ
การแสดงออกของฉินรั่วและว่านเอ๋อกลายเป็นอบอุ่นและจริงใจ
หากไม่มีชายตรงหน้า พวกเธอคงไม่สามารถรอดชีวิตมาได้ ยิ่งเรื่องการได้รับอิสระคงไม่ต้องกล่าวถึง
ช่วงวันเวลาทั้งทั้งสามอยู่ร่วมกัน ทำให้ต่างฝ่ายต่างเกิดความเคารพและไว้วางในกันและกัน
ว่านเอ๋อแทบทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม “นายน้อย…ไม่สิศิษย์พี่ หลังจากนั้นศิษย์พี่ก็ได้ติดตามจิ้งจอกขาวไปยังโลกของมันใช่หรือไม่?”
กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น
จิ้งจอกขาวน่ะหรือ?
มันยืนหยัดต่อหน้าเสี่ยวถายได้แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น
เมื่อต้องเผชิญกับหนึ่งในตัวตนทรงอำนาจของโลกเก้าร้อยล้านชั้น ใครมันจะไปสามารถคาดเดาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวินาทีต่อไปได้?
หลังจากที่ฉินรั่วและว่านเอ๋อจากไป เรื่องราวทั้งหมดก็พลิกผัน เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย ดังนั้นต่อให้เป็นเขา ก็คงจะไม่สามารถอธิบายทุกเรื่องราวให้มันกระจ่างในระยะเวลาสั้นๆ ได้
“หลังจากนั้น ข้าก็ได้ต่อสู้กับใครบางคน และเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นตามมา แต่หากจะให้เล่า ข้าเกรงว่ามันคงจะใช้เวลานานกว่าจะจบ”
“งั้นก็ลืมมันเถอะ ศิษย์พี่ดูเหมือนว่าจะได้ผ่านประสบการณ์ที่ทั้งดีและร้ายมามากมาย มันคงจะไม่ง่ายเลยถ้าจะเล่าให้ฟัง เอาไว้หากมีเวลาว่าง พวกเราค่อยไปนั่งสนทนาถึงรายละเอียดกันอย่างช้าๆ ทีหลังก็ได้” ฉินรั่วกล่าวด้วยความเห็นใจ
“มิใช่ว่าไม่อยากจะบอกนะ แต่ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจคงจำเป็นต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งเลย ฉะนั้นพวกเจ้าพอจะช่วยบอกข้าหน่อยได้ไหม ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในโลกใบนี้ แล้วข้าจะบอกพวกเจ้าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าในภายหลัง”
สองสาวงามพอได้ฟังก็พยักหน้าพร้อมกัน
กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “สุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้นกับคนที่แสร้งปลอมเป็นข้า?”
ว่านเอ๋อตอบ “เขาถูกจับตัวไปขังไว้โดยท่านอาจารย์ และเวลานี้เหล่าอาวุโสของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ ก็มาที่นี่เพื่อจะพาชายคนนั้นกลับไป”
“โดนจับได้ถึงขนาดนี้ พวกเขายังจะกล้ามาขอร้องอีกหรือ?” กู่ฉิงซานถอนหายใจ
“ใช่ พวกเขาอ้างเหตุผลว่านี่คือกระบวนการตรวจสอบผู้นำคนใหม่ ดังนั้นพวกเขาจึงส่งคนมาสืบมันอย่างลับๆ” ฉินรั่วอธิบาย
“เข้ามาตรวจสอบ โดยการเลือกแสร้งปลอมเป็นข้า แล้วทำการสอดแนมเนี่ยนะ?”
กู่ฉิงซานเยาะหยัน ในน้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งเจตนาฆ่า
ฉินรั่วกล่าว “ท่านอาจารย์ได้ใช้วิธีการมากมายกับชายคนนั้น และในที่สุด ก็ค้นพบว่าเขามาจากพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ และเป็นตัวแทนของอาวุโสแห่งพันธมิตร”
ว่านเอ๋อเสริม “หากไม่คิดถึงเรื่องศีลธรรม ท่านอาจารย์คงลงมือสังหารเขาไปแล้ว”
“ว่าแต่จุดประสงค์ของชายคนนั้นคืออะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนางเซียนไป่ฮั่ว เพื่อที่จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับความแข็งแกร่งและลักษณะเฉพาะของผู้ฝึกยุทธ์ในโลกใบนี้ รวมไปถึงในด้านหกศิลป์ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ ชุดเกราะ หรือแม้กระทั่งวิธีการจัดวางค่ายกล”
“โห?”
กู่ฉิงซานยิ้มเย็น ปากเอ่ยถาม “สรุปง่ายๆ ว่าพวกเขากำลังค้นหาจุดอ่อนของท่านอาจารย์ และจุดอ่อนของโลกใบนี้ใช่หรือไม่?”
“มันเป็นอย่างนั้น อันที่จริงแล้ว ถ้าจะให้กล่าวตรงๆ คนที่แสร้งเป็นเจ้าได้ลงมือกระทำบางสิ่งบางอย่างไปอยู่เหมือนกัน”
“เขากระทำสิ่งใด?”
“เขาพยายามที่จะพาตัวซิวซิวออกไป”
ในหัวใจของกู่ฉิงซานกระตุกวูบทันที
ชัดเจนว่าอีกฝ่ายได้ค้นพบจุดอ่อนของเซี่ยเต๋าหลิงแล้วจริงๆ!
ในอดีต ซิวซิวเคยถูกจับตัวไว้โดยศัตรูของเซี่ยเต๋าหลิง เด็กสาวต้องทนทุกข์ทรมานเนื่องจากไม่ยินยอมปริปากใดๆ ด้วยเหตุนี้เซี่ยเต๋าหลิงจึงสามารถรอดพ้นจากหายนะมาได้
หลังจากเซี่ยเต๋าหลิงก้าวขึ้นสู่ประทับเทพ ในที่สุดนางก็ได้ล้างแค้นสมใจ แต่ขณะเดียวกันก็ค้นพบว่าซิวซิวได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู และใกล้จะตายแล้ว
ต้องไม่ลืมนะว่าซิวซิวคือลูกสาวของอาจารย์ของเซี่ยเต๋าหลิง
และซิวซิวยังเป็นคนที่พยายามปกป้องเซี่ยเต๋าหลิงโดยยินยอมแลกแม้ชีวิต
ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เซี่ยเต๋าหลิงจะไม่มีทางยินยอมให้ซิวซิวได้รับบาดเจ็บใดๆ โดยเด็ดขาด
หากซิวซิวถูกลักพาตัวไปจริงๆ กู่ฉิงซานไม่อยากจะคิดเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับท่านอาจารย์
“แล้วซิวซิวเป็นอย่างไรบ้าง?” กู่ฉิงซานเร่งถาม
“ถ้าจะให้พูดก็คงจะต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะในเวลานั้น พวกเราเพิ่งจะกลับมาจากโลกล่องเวหา และพยายามตามหานิกายร้อยบุปผาตามที่เจ้าเคยได้บอกไว้”
“จนในที่สุด เมื่อได้ค้นพบนิกายร้อยบุปผา ผลปรากฏว่าท่านอาจารย์กับศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นั่น มีเพียงศิษย์พี่สองฉินเซี่ยวโหลวที่ออกมาพบกับพวกเรา และเมื่อเขาเห็นว่าพวกเรากับเจ้าเกี่ยวข้องกัน เขาจึงเชื้อเชิญพวกเราเข้ามาในนิกาย เพื่อรอให้นางเซียนไป่ฮั่วกลับมา แล้วค่อยว่ากันอีกครั้ง”
“จากนั้น?”
“จากนั้นเราก็ได้พบกับเหตุการณ์ที่เพิ่งได้กล่าวไป พวกเราเจอกับชายที่แสร้งเป็นเจ้า ระหว่างที่กำลังคิดกันว่า ‘นี่มันผิดปกติ เจ้าไม่น่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้’ ประจวบกับที่ซิวซิวเป็นศิษย์น้องของเจ้า พวกเราจึงเลือกที่จะเข้าไปขวางเขา”
“แล้ววิธีการใดกันที่พวกเจ้าใช้ขัดขวาง”
ฉินรั่วยิ้ม “พวกเรากล่าวหาว่าเขาเป็นคนบ้ากาม คิดจะนำศิษย์น้องที่เป็นแค่เด็กออกไปทำมิดีมิร้าย”
ว่านเอ๋อหัวเราะ “เพราะก่อนหน้านี้พวกเราเคยลองยั่วยวนเขา และเขาก็พยายามที่จะยื่นมือเข้ามาลูบไล้ตามร่างกายของพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงแสร้งทำเป็นว่าเขาจะทำแบบเดียวกันนี้กับซิวซิว สุดท้ายเขาเลยไม่กล้านำตัวซิวซิวจากไป”
ฉินรั่วกล่าวด้วยความรื่นรมย์ “นับว่าโชคยังดีที่เขาแสร้งปลอมตัวเป็นเจ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นพื้นฐานวรยุทธ์ของเขาจึงไม่สูงมากนัก เมื่อถูกพวกเราขวาง เขาจึงไม่คิดกล้าต่อต้านใดๆ”
กู่ฉิงซานถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก “เดชะบุญจริงๆ ที่ข้าได้ปลดเปลื้องพันธนาการให้แก่พวกเจ้าก่อนที่จะกลับมา”
สองหญิงงามพอได้ฟัง ก็พยักหน้าพร้อมกัน
พวกเธอทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตพันวิบัติ มันจึงเป็นการง่ายที่จะหยุดยั้งผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตก้าวสู่เทพ
“หลังจากนั้น อาจารย์ก็กลับมา” ฉินรั่วกล่าว
“อาจารย์เจ้าจดจำพวกเราได้ และเร่งไถ่ถามข่าวคราวของเจ้าทันที”
“ส่วนคนที่แสร้งปลอมตัวเป็นเจ้า อาจารย์ได้ใช้วิชาต่างๆ รวมไปถึงการค้นวิญญาณ เพื่อสืบหาถึงเรื่องราวทั้งหมด เพื่อที่จะได้เตรียมรับมือกับทุกชนิดของปัญหาที่อาจจะตามมาในภายหลัง”
“อาจารย์เจ้ารู้สึกซึ้งใจเป็นอย่างมาก ในเรื่องที่พวกเราได้ช่วยซิวซิวเอาไว้ และนางยังรู้สึกซึ้งใจที่พวกเราร่วมกันต่อกรกับฉีหยานในโลกเทวะ ดังนั้นนางจึงเอ่ยปากถามว่าพวกเราต้องการที่จะอยู่ที่นี่หรือไม่”
“แล้วพวกเราเองก็กำลังคิดว่าไม่มีที่ไปอยู่พอดี อีกอย่างอาจารย์เจ้าก็ดูเป็นคนดีมาก พวกเราเลยตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่”
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความยินดี “ยินดีต้อนรับเจ้าทั้งสอง อันที่จริงแล้วการที่ตัดสินใจอยู่ในนิกายร้อยบุปผา มันก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับพวกเจ้าเหมือนกัน”
“พวกเราก็คิดเช่นนั้น”
“หากเทียบเปรียบกับในอดีตแล้ว ชีวิตของพวกเราในปัจจุบัน ทุกวันนี้ราวกับได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง” ว่านเอ๋อกล่าวด้วยอารมณ์
ฉินรั่ววาดมือออกไป
ราวกับรับรู้ถึงสัญญาณ เรือเหาะค่อยๆ ลดระดับลงสู่ทะเลสาบอย่างช้าๆ
“ศิษย์พี่ พวกเราไปกันเถิด กลับไปยังนิกายกัน” เธอกล่าว
“ใช่ พวกเราจะต้องรีบพาเจ้ากลับไปให้ความช่วยเหลือ” ว่านเอ๋อก็พูดด้วย
“ให้ความช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที
นี่คือคำถามที่เขารู้สึกสงสัยมากที่สุดในวันนี้
เพราะตนได้จากโลกใบนี้มานานเกินไป ดังนั้นเขาจึงต้องเร่งรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ทั้งหมดมาอย่างรวดเร็ว
ฉินรั่วอธิบาย “ท่านอาจารย์ได้กลายเป็นผู้นำของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ขณะเดียวกัน หลายคนในพันธมิตรก็ยังไม่วางใจในตัวนาง”
“และตอนนี้ พวกคนที่ไม่วางใจที่ว่า ก็กำลังอยู่ภายในนิกายร้อยบุปผาใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานกล่าว
“ใช่ เหล่าอาวุโสกำลังเจรจากับท่านอาจารย์อยู่ว่าจะจัดการกับคนที่แสร้งปลอมเป็นเจ้าอย่างไร”
กู่ฉิงซานหลับตาลง และคิดอยู่พักหนึ่งจึงกล่าว “ด้วยนิสัยของท่านอาจารย์ หากมีคนอ้างว่าเป็นข้า นางคงโกรธเกรี้ยวและลงมือสังหารชายผู้นั้นลงโดยตรง ยิ่งคิดจะลักพาตัวซิวซิวอีก อาจารย์คงไม่มีทางยอมปล่อยชายคนนั้นไป”
เขาเอ่ยถาม “ดังที่กล่าวมา ฉะนั้นเหตุใดท่านอาจารย์จึงได้ยอมเจรจากับคนเหล่านี้อยู่อีก?”
ฉินรั่ว “พวกเราเองก็ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์เหมือนกัน แต่คาดว่าน่าจะเป็นเพราะการผสานรวมโลก ท่านอาจารย์จึงเป็นรองฝ่ายตรงข้าม”
“ใช่ๆ ท่านอาจารย์ดูเหมือนว่าจะหมดหนทางจริงๆ” ว่านเอ๋อกล่าว
กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ
‘น่าจะเป็นแบบนั้น เพราะท่านอาจารย์ได้ทำการผสานรวมโลกตั้งหลายใบเข้าด้วยกัน และจำต้องใช้โควตาของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ เพื่อมิให้เป็นการฝ่าฝืนกฎของโลกเก้าร้อยล้านชั้น’
หากอิงตามที่เสี่ยวเหมียวกล่าว ถ้าไม่มีโควตาใดๆ ใครก็ตามที่ทำการผสานรวมโลกมากกว่าสอง ก็จะถูกกำจัดลงไปเลยโดยตรง
สองสาวมองหน้ากันและกัน ฉินรั่วเอ่ยกับกู่ฉิงซานอย่างจริงจัง “ในเวลานี้ ทั้งข้าและว่านเอ๋อต่างก็คิดเห็นเหมือนกัน นั่นคือสถานที่แห่งนี้ต้องการเจ้า”
“ไว้ใจข้าได้เลย” กู่ฉิงซานรับคำ
ว่านเอ๋อยิ้มหวาน “หากมองจากในตอนอยู่โลกล่องเวหา ที่แม้จะพบเผชิญกับภยันตรายมากมาย แต่สุดท้ายศิษย์พี่ก็สามารถฟันฝ่ามันมาได้ ฉะนั้นแล้ว ตราบใดที่มีศิษย์พี่อยู่ที่นี่ ท่านอาจารย์ย่อมต้องสามารถผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้อย่างแน่นอน”
ฉินรั่วสนับสนุน “เป็นเช่นนั้น”
“เข้าใจแล้ว พวกเราไปกันเถิด กลับไปหาพวกเขากัน” กู่ฉิงซานกล่าว
สองสาวรับคำพร้อมกัน “เจ้าค่ะศิษย์พี่”
แล้วเรือเหาะก็เริ่มเคลื่อนตัวขึ้นไปในเมฆหมอก ตัดผ่านไปยังเส้นขอบฟ้า บินตรงไปยังทิศทางของนิกายร้อยบุปผา
…………………………………………..
บนท้องฟ้า
ว่อนไปด้วยยันต์สื่อสารที่ลุกไหม้ แพร่กระจายออกไปในทุกทิศทาง
‘กู่ฉิงซานตัวจริงได้กลับมาแล้ว!’
ข่าวนี้แพร่กระจายราวกับไฟลามทุ่ง ฟุ้งไปตลอดโลกทั้งใบ
อย่างไรก็ตาม เหมือนกับว่าเจ้าตัวที่กำลังเป็นข่าวอยู่จะไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
เขากับหนิงเยว่ฉานยืนอยู่ใจกลางทะเลสาบ พูดคุยกันกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่พึ่งเกิดขึ้น
“ดังนั้น แม้ว่าโลกหลายใบจะถูกผสานรวมเข้าด้วยกัน แต่เจ้าก็ยังไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เลย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
หนิงเยว่ฉาน “ใช่ กระทั่งในเวลานี้ โลกทั้งใบนอกไปจากพวกเรา คนจากโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอีกเลย ตรงจุดนี้มันน่าฉงนนัก เกรงว่านอกเหนือไปจากอาจารย์ของเจ้า คงจะไม่มีใครทราบว่าแท้จริงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
กู่ฉิงซานเงียบไป เขาจมลงสู่ห้วงความคิด
‘นี่ย่อมเป็นเพราะหกวิถีถูกทำลายลง’
‘เมื่อต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจอันน่าสะพรึง คาดเดาว่าเศษเสี้ยวของโลกจำนวนมากจึงเกิดปัญหาขึ้น’
‘แล้วอะไรที่น่าสนใจน่ะหรือ มันก็คือหลังจากที่ฉันค้นพบถึงความจริงที่ว่าโลกหกวิถีเกิดการพังทลายลง แต่เศษเสี้ยวที่แตกกระจายออกมาของมันก็ยังคงเป็นโลกหกวิถีอยู่ดีน่ะสิ!’
ไม่ว่าจะเป็นโลกเทวะ โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ และโลกเดิมของเขา ก็ยังคงเป็นโลกหกวิถี
ทว่าจากทั้งสามโลกที่กล่าวมา โลกที่พิเศษออกไปก็คือโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ ที่หกวิถีในส่วนของโลกสวรรค์ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เป็นเพราะมันถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์ไปแล้วใช่หรือไม่?
กู่ฉิงซานละความคิดนี้ไป เขาเอ่ยถามต่อ “ข้าก็แค่มาข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในโลกใบนี้ เหตุใดกระบวนการดังกล่าวมันถึงได้ดึงดูดความสนใจจากเจ้าและคนอื่นๆ กัน?”
สีหน้าของหนิงเยว่ฉานกลายเป็นจริงจังขึ้นเล็กน้อย “นั่นเพราะเจ้ามิได้ยื่นเรื่องข้ามผ่านโทษทัณฑ์ จึงถูกต้องสงสัยว่าเป็นคนนอก และพวกเราไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกยุทธ์จากโลกภายนอกเข้ามาสู่โลกของพวกเรา”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?”
“เพราะคนที่แสร้งเป็นเจ้าได้รับข้อมูลของโลกพวกเราไปมากมาย จนกระทั่งเขาได้มาพบกับข้า และสองศิษย์น้องของเจ้า”
“แล้วพวกเจ้าจับเขาทันทีที่เจอเลยหรือไม่?”
“ไม่ พวกเราเกรงว่าเขาจะใช้วิธีการบางอย่างจากโลกอื่นที่พวกเราไม่รู้จักแล้วหลบหนีไป ดังนั้นพวกเราจึงไม่ไปวุ่นวายกับเขาให้มากจนเกินควร และเฝ้ารอให้อาจารย์ของเจ้ากลับมา จึงค่อยรายงานแก่นาง”
“ท่านอาจารย์ข้าลงมือด้วยตัวเองเลยงั้นหรือ?”
“ถูกต้อง”
กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “คนคนนั้นปลอมตัวเหมือนข้ามากเลยรึเปล่า?”
หนิงเยว่ฉานพยักหน้าเล็กน้อย “คาดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขาคงจะสืบประวัติมาหนักไม่น้อย เพราะกระทั่งอาวุธของเจ้า พวกเขาก็ยังเลียนแบบได้ ไม่เว้นแม้แต่ธนูเย่หยู ธนูที่ซึ่งมันแทบจะไม่ถูกหยิบออกมาใช้เลย ไม่ว่าจะเป็นตัวเจ้าหรือข้า”
“แล้วเจ้าสามารถมองทะลุถึงตัวจริงของเขาได้อย่างไร?”
“เมื่อเทียบกับเจ้า เขาสมบูรณ์แบบมากเกินไป นอบน้อม พิถีพิถันกับทุกสิ่ง โดยเฉพาะวาทศิลป์ในการพูดจาและทำสิ่งต่างๆ ให้ผู้คนรู้สึกประทับใจ”
“…ฟังดูเหมือนกับว่าเจ้ากำลังด่าข้าอยู่เลย”
“ก็ได้ ข้ายอมรับว่าถ้าเทียบกันแล้ว เจ้าดูแย่ลงไปเยอะเลย”
หนิงเยว่ฉานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เหมือนกับว่าเธอจะพลันจดจำได้ถึงบางสิ่ง เจ้าตัวเอ่ยปากอีกครั้ง “ศิษย์น้องฉินรั่วและว่าเอ๋อของเจ้า ก่อนหน้านี้พวกเราได้เคยสนทนากันเป็นการส่วนตัว พวกนางบอกว่า มองคราแรกชายคนนั้นดูเหมือนกันกับเจ้าทุกประการก็จริง แต่พวกนางสงสัยว่าเขาไม่ใช่เจ้า”
กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ชะงักทันที
แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นฉินรั่วและว่านเอ๋อที่ได้เข้าร่วมกับนิกายร้อยบุปผา หลังจากที่พวกนางกลับมาจากโลกล่องเวหา
หญิงสาวทั้งสอง อดีตเคยเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ได้รับพรจากสวรรค์ ในโลกเดิม พวกเธอล้วนเป็นตัวตนที่แสนโดดเด่น แต่น่าเสียดาย ที่โลกเดิมดันถูกโลกล่องเวหาบุกรุก ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โชคชะตาของพวกเธอจึงบิดผันไป
พวกเธอและกู่ฉิงซานต่อสู้เคียงข้างกัน ฟันฝ่าอุปสรรคอันยากลำบากร่วมกันไปมากมาย
ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว กู่ฉิงซานจึงค่อยๆ ยอมรับในตัวของหญิงสาวทั้งสอง
และตอนนี้ พวกเธอก็ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมกับนิกายร้อยบุปผาเป็นที่เรียบร้อย เขาละอยากเห็นจริงๆ ว่าตอนนี้ทั้งสองเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม
ชายคนนั้นกลับเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี จนเจ้าตัวมั่นใจว่าสามารถแสร้งเล่นละครเป็นกู่ฉิงซานได้อย่างสมบูรณ์แบบ และผู้อยู่เบื้องหลังเขาก็ได้ทำการทดสอบต่างๆ นานา เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดใหญ่หลวงใดๆ เกิดขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะเข้าสู่โลกใบนี้
ทว่าหลังจากที่เขาสามารถปิดบังตัวเอง หลอกลวงผู้คนไปได้มากมาย เขากลับถูกหญิงสาวทั้งสามมองทะลุตัวตนจริงๆ ได้อย่างง่ายดาย
นี่มันช่างน่าแปลกจริงๆ
“แล้วพวกนางรู้ได้อย่างไรว่าชายคนนั้นไม่ใช่ข้า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
แต่คราวนี้ หนิงเยว่ฉานไม่ยอมตอบคำถามเขา
เธอย้อนนึกไปถึงคำพูดของฉินรั่วและว่านเอ๋อในวันนั้น และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคัก จนต้องยกมือขึ้นมากุมปาก
และเมื่อมองมายังกู่ฉิงซาน ดวงตาของหนิงเยว่ฉานก็แลดูจะอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย
เธอยังคงเลือกที่จะไม่ตอบ แต่กล่าวว่า “ชายผู้นั้นมีรูปลักษณ์เหมือนกับเจ้าทุกประการ แต่ข้าคิดว่าเขาไม่ใช่เจ้า”
“ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม แต่ข้าสามารถบอกได้ว่าเขามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไปตั้งแต่แรกพบ”
“แต่ในครั้งนี้ เมื่อเจ้าตัวจริงได้กลับมา ข้าก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นอีกเล็กน้อย”
“นี่เจ้ายังอยากจะวิจารณ์ข้าอีกอย่างงั้นใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเริ่มไม่พอใจ
หนิงเยว่ฉานส่ายหัวและกล่าวพึมพำกับตัวเอง “อันที่จริงแล้ว ในการต่อสู้เมื่อครู่ ที่เจ้าตะโกนว่าจะโจมตีข้า ขณะเดียวกันก็เลือกที่จะถอยเว้นระยะห่างออกไป ข้าก็สามารถตระหนักได้แล้ว ว่าเจ้าตัวจริงได้กลับมา”
“ไหนจะนำน้ำตามังกรอีก คราวก่อนก็เป็นดอกไม้น้ำตามังกรมิใช่หรือ ที่เจ้าคิดจะเอาใจและประจบประแจงมอบมันให้แก่ข้า”
“ข้าน่ะหรือประจบประแจงเจ้า?”
หนิงเยว่ฉานกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แน่นอน เป็นเพราะเจ้าหวาดเกรงในเจตกระบี่ของข้า กระบี่ที่มิเคยยั้งมือของข้า เพียงทานรับกระบี่แรก เจ้าก็ถอยลี้จากกระบี่ เป็นเพราะเจ้าเกรงว่าเจตกระบี่ข้าจะทำร้ายเจ้า ”
กู่ฉิงซานเงียบไป เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว และกล่าว “ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดชายผู้นั้นจึงไม่อาจซ่อนความจริงจากสายตาของเจ้าไปได้”
ณ เวลาเดียวกันนั้นเอง เรือเหาะวิญญาณอีกลำหนึ่ง ก็บินมาจากเส้นขอบฟ้า
เรือเหาะลำนี้เด่นสะดุดตายิ่งกว่าลำอื่นๆ เนื่องจากบนผิวเรือถูกขีดเขียนไว้ด้วยตัวอักษรที่ราวกับหงส์ร่อนมังกรรำเป็นคำว่า ‘ซาน’
กู่ฉิงซานมองไปทางเรือเหาะและกล่าว “นั่นคงจะเป็นเรือเหาะฝีมือศิษย์พี่ข้า ในที่สุดก็มาเสียที”
หนิงเยว่ฉานพยักหน้าและกล่าว “ในเมื่อคนจากนิกายเจ้ามาแล้ว เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน”
“เจ้าจะไปไหน?” กู่ฉิงซานถาม
“ข้ายังมีภารกิจลาดตระเวนอยู่ ต้องมั่นใจว่าจะไม่มีผู้ฝึกยุทธ์จากโลกภายนอกแทรกซึมเข้ามาในโลกของพวกเราในตลอดทั้งสองวันนี้”
“ในตลอดทั้งสองวันนี้อย่างงั้นหรือ?”
“ถูกต้อง เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เหล่าอาวุโสจากพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์มาประชุมกันในนิกายเจ้า ดังนั้นข้าจึงได้รับภารกิจให้มาเฝ้าระวังความปลอดภัยด้วยตัวเอง”
“ประชุมอาวุโสของพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์!”
กู่ฉิงซานตริตรองอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับความสำคัญของเรื่องนี้
“ในเมื่อเจ้าติดธุระอยู่ เช่นนั้นก็ไปเถอะ เอาไว้พวกเราค่อยมาคุยกันอีกในภายหลัง” เขากล่าว
“อื้อ”
หนิงเยว่ฉานมองเขาอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะเคลื่อนกายบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ออกลาดตระเวนกับเธอก็จากไปเช่นกัน
เหลือเพียงเรือเหาะลำหนึ่งที่ใกล้เข้ามา
แต่ไม่ใช่ฉินเซี่ยวโหลว
แท้จริงแล้วกลับปรากฏถึงร่างของสองสาวงามที่กำลังร่อนลงมาอย่างช้าๆ หยั่งเท้าลงบนผิวทะเลสาบอันนิ่งสงบ
คนที่ดูอบอุ่นและอ่อนโยนคือฉินรั่ว ส่วนอีกคนที่ดูละเอียดอ่อนและมีชีวิตชีวาคือว่านเอ๋อ
กู่ฉิงซานมองพวกเธอด้วยรอยยิ้ม
ในโลกล่องเวหา ช่วงเวลานั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมาย แต่เขาและพวกเธอก็จำต้องแยกจากกันกลางทาง
และมันก็เป็นเวลานานมากแล้ว ที่กู่ฉิงซานไม่ได้เจอกับพวกเธอ
ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังจะกล่าว สองสาวที่อยู่ตรงกันข้ามก็เป็นฝ่ายชิงเคลื่อนกายก่อน
ว่านเอ๋อลอยมา และกุมมือของเขา ปากเอ่ยกล่าวด้วยเสียงหวานที่ดูมีเลศนัย “นายน้อย ในที่สุดท่านก็กลับมา ศิษย์น้องว่านเอ๋อคิดถึงท่านจริงๆ”
ฉินรั่วก็ลอยมาหาเขาเช่นกัน เธอคล้องแขนกู่ฉิงซานและแนบกายลง
หญิงสาวเปล่งเสียงกระซิบ “นายน้อย ท่านคิดถึงข้ากับน้องว่านเอ๋อบ้างหรือไม่?”
กู่ฉิงซานดีดตัวถอยหลังไปสองสามก้าวทันที เร่งเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้ากัน?”
สองหญิงสาวชะงักไป แต่แล้วก็เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มจริงใจ “เป็นเจ้าตัวจริง ข้าต้องขออภัยด้วย พวกเราทำแบบนั้นเพราะต้องการตรวจสอบ ว่าเป็นคนอื่นที่มาแสร้งปลอมเป็นเจ้าหรือไม่”
“ฮี่ๆ ตอนนี้พวกเราควรจะเรียกเขาว่าศิษย์พี่สิ” ว่านเอ๋อยิ้ม
กู่ฉิงซานจึงค่อยผ่อนคลายลง
แต่แล้วเขาก็เหมือนจะตระหนักได้ถึงบางสิ่งในทันใด
“ช้าก่อน อย่าบอกนะว่าเมื่อครู่นี้ก็เป็นวิธีเดียวกันกับที่พวกเจ้าใช้ตรวจสอบคนที่แสร้งปลอมเป็นข้า?” เขาเอ่ยถามแปลกๆ
“ใช่ เมื่อเขาปรากฏตัว ข้ากับน้องสาวก็รู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง” ฉินรั่วกล่าว
“ดังนั้น พวกเราจึงใช้วิธีการเล็กน้อยเพื่อล่อลวงเขา และเพียงพริบตาผลลัพธ์ที่ว่าจริงหรือเท็จก็ปรากฏทันที” ว่านเอ๋อเสริม
กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความกังวล “แล้วพวกเจ้ามิได้ถูกลวนลามใดๆ ใช่หรือไม่?”
“วางใจเถอะ พวกเรามิได้ถูกลวนลามใดๆ” ว่านเอ๋อส่ายมือและกล่าว
“ว่าแต่ปฏิกริยาของเขาแตกต่างจากข้าอย่างไร?” กู่ฉิงซานถามด้วยความสนใจ
ว่านเอ๋อตอบด้วยรอยยิ้ม “ก็หลังจากนั้น คำพูดและการกระทำของเขามันไม่ไก่อ่อน…”
ฉินรั่วกระแอมไอ และลอบดึงแขนเสื้อว่านเอ๋อทันที
ว่านเอ๋อหุบปากลง
อย่างไรก็ตาม เวลานี้สองศิษย์น้องต่างก็กำลังมองเขาด้วยรอยยิ้มที่ฉายอยู่ในแววตาของพวกเธอ
“เขาไม่ทำไมนะ?” กู่ฉิงซานถามย้ำ
“น้องสาวว่านเอ๋อจะบอกว่า ด้วยการกระทำและคำพูดของเขา มันไม่น่าจะใช่คนดี” ฉินรั่วแทรก
“อืมๆ นั่นแหละที่ข้าจะกล่าว มันดูไม่เป็นคนดี” ว่านเอ๋อสนับสนุน
…………………………………………….
ท่านอาจารย์บอกว่าศิษย์น้องหญิงทั้งสองจะมารับ นี่หมายความว่านิกายของเรามีศิษย์ใหม่แล้วอย่างงั้นเหรอ?
สมองของกู่ฉิงซานมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะทำตามคำสั่งของนางเซียนไป่ฮั่ว เฝ้ารออยู่ในสถานที่เดิมอย่างเงียบๆ
ไม่นานนัก ก็เริ่มปรากฏถึงเงาของเรือเหาะขึ้นบนเส้นขอบฟ้า
เรือเหาะตรงมายังจุดที่เขาอยู่อย่างรวดเร็ว โดยมีหลายสิบผู้ฝึกยุทธ์ติดอาวุธ คอยประจำตำแหน่งอยู่ตามสองฟากฝั่ง
กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฉากนี้ด้วยความแปลกใจ
ในครั้งอดีต เขาเคยลอบแอบออกมากับเซี่ยวโหลว เพื่อหาสถานที่ดื่มกิน ช่วงเวลานั้นในนิกายยังแทบจะไม่มีผู้ฝึกยุทธ์คนใดอยู่เลย แถมเรือเหาะก็ยังไม่ใหญ่โตเช่นนี้อีกด้วย
แล้วนิกายของเขายิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เรือเหาะแม้จะยังคงอยู่ห่างไกล แต่เสียงคำรามของมัน กรีดแทงผ่านอากาศ ดังสะท้อนมาถึงทั่วทั้งทะเลสาบ
“เจ้าเป็นใครกัน ถึงได้กล้าตัดผ่านขอบเขตในโลกใบนี้ โดยไม่แจ้งให้ผู้ใดทราบล่วงหน้า?”
เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว กู่ฉิงซานจึงรู้ทันทีว่าเขาเข้าใจผิดไป
คนเหล่านี้มิใช่คนของนิกาย แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นหน่วยลาดตระเวน
กู่ฉิงซานตอบสวนกลับไป “ข้าเป็นสาวกของนิกายร้อยบุปผา ส่วนในเรื่องการข้ามผ่านโทษทัณฑ์โดยไม่ได้บอกกล่าวผู้ใด ข้าต้องขออภัยจริงๆ”
“สาวกนิกายร้อยบุปผา? มีนามว่ากระไรกัน?”
“ผู้น้อยกู่ฉิงซาน”
เมื่อประโยคนี้หลุดออกไป อีกฝ่ายหนึ่งก็เงียบงันไปทันที
กระทั่งเรือเหาะที่กำลังลดระดับลงมาจอดก็ยังหยุดนิ่ง มิคิดเฉียดเข้ามาใกล้เขาอีกเลย
เสียงของผู้ฝึกยุทธ์คนเมื่อครู่ตะโกนขึ้น “ส่งสัญญาณ!”
“ขอรับ!”
สองผู้ฝึกยุทธ์รับคำและปฏิบัติตาม
เห็นแค่เพียงสัญญาณฉุกเฉินทางทหารพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ลอยฟุ้งเป็นควันกลางอากาศอยู่หลายลมหายใจ
เมื่อสัญญาณถูกส่งออกไป ผู้คนบนเรือต่างก็เริ่มผ่อนคลายลง แต่พวกเขาก็ยังไม่ก้าวออกมาข้างหน้า ทำแค่เพียงคอยป้องกันจากระยะไกล
ในสมองของกู่ฉิงซานลองทบทวนเกี่ยวกับฉากนี้ เขาเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ขึ้นมาบางส่วนแล้ว
เดิมทีคนเหล่านี้ตกใจกับการข้ามผ่านข้ามโทษทัณฑ์โดยไม่มีการแจ้งเตือน พวกเขาจึงมาเพื่อตรวจสอบสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เหมือนกับว่าจะร้ายแรงกว่าเดิม เพราะพวกเขาอาจจะกำลังคิดว่ากู่ฉิงซานเป็นตัวปลอม!
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดท่านอาจารย์ถึงบอกเขาว่าให้อยู่นิ่งๆ อย่าวิ่งเถลไถลไปไหน!
ระหว่างที่เขากำลังขบคิด สถานการณ์ก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
หลายสิบผู้ฝึกยุทธ์พร้อมกับดิสก์ค่ายกลในมือของพวกเขาบินมาจากฟากฟ้าอันห่างไกล
พวกเขาร่อนลงเหนือหัวเรือเหาะ เผชิญหน้ากับกู่ฉิงซาน และเริ่มร่วมมือกันประสานค่ายกล
ชั้นแสงสวรรค์สว่างไสวผุดออกมาจากดิสก์ค่ายกล ควบรวมกันเป็นอักษรรูนลึกลับ ผลุบหายเข้าไปในความว่างเปล่า
คิ้วของกู่ฉิงซานขมวดเข้าหากัน
เขามิได้เห็นการจัดตั้งค่ายกลที่งุ่มง่ามและเชื่องช้าเช่นนี้มานานมากแล้ว
ใช่แล้วล่ะ เพราะคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ในครั้งอดีตก็คือ มันเป็นโลกที่อุดมไปด้วยทรัพยากรอันสมบูรณ์ ในขณะที่โลกเทวะจะโดดเด่นทางด้านวิธีการหลอมกลั่นอาวุธและชุดเกราะ
แต่กู่ฉิงซานได้เดินทางไปยังโลกล่องเวหา เขาได้เรียนรู้ค่ายกลทุกแขนงจากโลกใบนั้น
โลกที่ซึ่งโดดเด่นที่สุดในด้านการจัดวางค่ายกล!
หลังจากผ่านพ้นการต่อสู้ในโลกล่องเวหา ก่อนจะออกจากโลกใบนั้นไป กู่ฉิงซานก็ได้ทำการเรียนรู้ค่ายกลทั้งหมดด้วยแต้มพลังวิญญาณของตนเอง
ส่งผลให้ด้วยความสามารถของเขาในตอนนี้ เจ้าตัวจึงถือได้ว่าเป็นมือหนึ่งในด้านค่ายกลของโลกล่องเวหา!
แต่จะว่าไปแล้ว เมื่อลองมองย้อนกลับไป เขาแทบจะไม่เคยเห็นค่ายกลขนาดใหญ่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์มาก่อนเลยนี่นา ดูเหมือนว่าทางฝั่งนี้เอง ด้านค่ายกลก็ยังพัฒนาขึ้นบ้างเหมือนกัน
บนท้องฟ้า การเคลื่อนไหวของปรมาจารย์ค่ายกลแต่ละคน ในแต่ละรายละเอียดการจัดวาง มันถูกคำนวณโดยเขาอย่างเงียบๆ จนเจ้าตัวสามารถเห็นถึงเงื่อนงำของมันได้ในที่สุด
นี่คือค่ายกลขนาดใหญ่ บทบาทของมันคือการจองจำ และห้ามไม่ให้ศัตรูที่อยู่ภายในสามารถใช้พลังวิญญาณได้
ซึ่งค่ายกลนี้ถูกจัดตั้งมาครึ่งทางแล้ว และอีกสองสามลมหายใจมันก็จะเสร็จสมบูรณ์ เมื่อเวลานั้นมาถึง มันคงจะมีปัญหาตามมาแน่ๆ
กู่ฉิงซานเลิกคิดเกี่ยวกับมัน เขาตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา
ดิสก์ค่ายกลจากโลกล่องเวหา
สองมือของเขาพรมลงบนดิสก์ค่ายกลอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดหรือว่าอะไรก็ตาม เจ้าตัวก็ไม่ยินดีจะยอมอยู่เฉยๆ ให้จับตัว
ถ้านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด เอาไว้ค่อยมาขอโทษกันทีหลังก็ได้
แต่ถ้านี่มันไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด หากเขายืนอยู่เฉยๆ จนตกอยู่ในค่ายกลของอีกฝ่าย เขาก็คงจะไม่สามารถตอบโต้อะไรได้อีกแล้ว
ชั่วเวลานี้ ทั้งสองฝ่ายต่างอยู่ในสถานะจัดวางค่ายกล
เมื่อปรมาจารย์ค่ายกลหลายสิบคนเสร็จสิ้นการจัดวาง กู่ฉิงซานเองก็จัดวางได้พอดีในเวลาเดียวกัน
ทั้งสองฝ่ายต่างทำการกระตุ้นค่ายกล
“จงเปิดออก ค่ายกลสี่ทิศกักวิญญาณร้าย!”
หลายสิบปรมาจารย์ค่ายกลตะโกนขึ้นพร้อมกัน
แสงสวรรค์เรืองรอง ขับเคลื่อนจากดิสก์ค่ายกลอย่างช้าๆ
ทางฝั่งกู่ฉิงซาน เขาเอื้อมมือออกไป และกดลงบนดิสก์ค่ายกลเพื่อทำการกระตุ้นพลังวิญญาณ
บนดิสก์ค่ายกล บังเกิดแสงสวรรค์กะพริบไหวขึ้นพร้อมกัน
“จงเปิดออก ค่ายกลปัดเป่าหมื่นวิญญาณมลายสูญ!”
แสงสวรรค์จากทั้งสองทิศทางแผ่กระจายไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก ก่อนจะปะทะเข้าหากัน
นี่คือการต่อสู้ระหว่างค่ายกลกับค่ายกล!
เปรี้ยง!
สองแสงสวรรค์ยื้อกันไปมาอย่างต่อเนื่อง แต่ในที่สุดก็สลายหายไปในความว่างเปล่าในเวลาเดียวกัน
สีหน้าของผู้ฝึกยุทธ์ซีดเซียวลงทันที
เห็นได้ชัดว่าพวกตนเป็นฝ่ายเริ่มจัดตั้งค่ายกลก่อน แต่กลับไม่สามารถใช้มันเอาชนะอีกฝ่ายได้
ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายมีเพียงลำพัง และเริ่มเปิดใช้งานค่ายกลหลังพวกเขาตั้งครึ่งทางแล้ว การจัดตั้งค่ายกลที่รวดเร็วเช่นนี้ ไม่เคยได้เห็นและได้ยินมาก่อนเลย
แถมค่ายกลที่ว่า ยังสามารถต่อต้านค่ายกลกักวิญญาณ ที่ฝ่ายตนนับสิบร่วมกันจัดวางขึ้นมาได้อีก
จักต้องเป็นผู้ที่แตกฉานในด้านค่ายกลถึงเพียงใดกัน จึงจะสามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้!
ทุกคนตระหนักถึงสถานการณ์ในปัจจุบันทันที
ทันใดนั้นสัญญาณอีกดวงหนึ่งก็ถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้า
คราวนี้มันเป็นสัญญาณสีแดงเข้มที่ดูเด่นสะดุดตา บ่งบอกชัดเจนว่าสถานการณ์กำลังทวีความอันตรายยิ่งขึ้น
หลังจากส่งสัญญาณไป ฝูงชนต่างก็เริ่มสบถด้วยความโกรธ
“เจ้าไม่ใช่กู่ฉิงซาน!”
“ถูกต้อง! กู่ฉิงซานมิใช้ค่ายกลในการต่อสู้!”
“กู่ฉิงซานเป็นผู้ฝึกดาบ แต่เจ้าไม่เหมือนกับเขา เจ้ามันเป็นตัวปลอม!”
ชายผู้นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ร้าย เพียงแค่ถูกต้องสงสัยและจับกุมตัว เขาก็เร่งร้อนเปิดเผยสถานะปรมาจารย์ค่ายกลของตนออกมาทันที
“วายร้าย! เจ้ามาจากโลกใดกัน จงบอกข้ามา!”
เมื่อต้องเผชิญกับการสาดเสียเทเสียเหล่านี้ กู่ฉิงซานก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและไร้หนทาง
ดูเหมือนว่าความกังวลของท่านอาจารย์จะสมเหตุสมผลจริงๆ
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เถลไถลไปรอบๆ แต่เขาก็ทำการตัดผ่านขอบเขตทันทีที่กลับมา ดังนั้นมันจึงเกิดเสียงดังเป็นธรรมดา
ซึ่งในจุดนี้ เขาลืมที่จะอธิบายรายละเอียดของมันให้แก่อาจารย์ไป
กู่ฉิงซานชูมือของเขาขึ้นไปในอากาศ โบกไปมาและตะโกนว่า “ทุกท่านโปรดสงบใจลงก่อน ข้าสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้”
ขณะเดียวกัน จู่ๆ ก็ได้ยินถึงเสียงอันเย็นชาของหญิงสาวดังมาจากระยะไกลออกไปในความว่างเปล่า
“จำต้องอธิบายอะไรอีกหรือ? กู่ฉิงซานมิได้แตกฉานในเทคนิคค่ายกล เพียงเท่านี้ก็สรุปได้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพ่นคำใดอีก!”
พร้อมกับคำกล่าวนี้ การแสดงออกของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ต่างก็เผยถึงความสุขทันที
“เป็นท่านนายพล!”
“ท่านนายพลมาที่นี่ด้วยตนเอง!”
“เจ้าหนู เวลานี้ต่อให้อยากจะหนี เจ้าก็ไม่สามารถหนีได้แล้ว!”
ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง ปรากฏถึงกระแสแสงตัดผ่านเส้นขอบฟ้า บินเข้าหากู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว
วินาทีถัดมา
กู่ฉิงซานก็ตระหนักได้ทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
“แบบนี้ไม่เข้าท่าแล้ว!”
ปากอ้าร้องเสียงกระซิบ
ในเวลาเดียวกัน ก็ได้ยินถึงเสียงอันคมชัดของอากาศที่ถูกแหวกออก
เห็นถึงคมกระบี่ที่สาดประกายแสงขึ้นมาทันใด
และไม่ว่าคมกระบี่นี้จะตัดผ่านไปที่ใด อากาศบริเวณนั้นก็จะถูกแหวกออก เผยให้เห็นถึงรอยร้าวสีดำในความว่างเปล่า
ใบกระบี่สีขาวนวลที่สามารถก่อให้เกิดรอยร้าวของมิติตกลงมาจากฟากฟ้า
กระบี่ยาวจ้วงแทงลงบนหัวของกู่ฉิงซานโดยตรง!
ช่างเป็นกระบี่ที่รวดเร็วและดุร้ายอะไรเช่นนี้!
ด้วยเพลงกระบี่ดังกล่าว มันไม่เพียงปิดทางหลบหนีทั้งหมด แต่ยังส่อเจตนาชัดเจนว่าจักสังหารศัตรูตรงหน้าลงให้จงได้อีกด้วย
กู่ฉิงซานตระหนักดีว่าเพลงกระบี่นี้ทรงอำนาจเพียงใด
ช่วงเวลาฉุกละหุก ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็ถูกคว้าจับไว้ในมือของเขา
เทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา!
ดาบยาวที่สาดรัศมีแสงสีนวลผ่องฟาดสับเข้าต้อนรับเพลงกระบี่ยาว
เคร้ง!
สองโลหะคมกล้าปะทะเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเสียงกังวาน เสียดแทงเข้ามาในแก้วหู
ตลอดทั้งสวรรค์และโลกสั่นสะท้าน
ปรมาจารย์ค่ายกลที่มีระดับวรยุทธ์
ไม่มากพอ สัมผัสได้ถึงเหตุไม่สู้ดี พวกเขาจำต้องเร่งถอยหลังไป
“เอ๊?”
เสียงเย็นชาของหญิงสาวเผยถึงความประหลาดใจ
กระบี่ในมือเธอถูกหยุดอย่างไม่คาดฝัน
เมื่อกระบี่หยุด เงาที่โฉบลงมาก็หยุดลงเช่นกัน เผยให้เห็นถึงเรือนร่างของเธอ
กู่ฉิงซานกวาดสายตามอง
เบื้องหน้าเขา คือหญิงสาวที่ใบหน้าของเธอถูกสวมทับไว้ด้วยหมวกเกราะ ส่งผลให้ไม่สามารถกวาดจิตสัมผัสเทวะเข้าไปสำรวจได้
สัดส่วนของเธอเพรียวบาง แม้จะถูกสวมทับด้วยเกราะรบ แต่ก็ยังเผยถึงหุ่นผอมบาง ละเอียดอ่อนอยู่ดี
กระบี่ยาวอยู่ในมือของเธอ
ตลอดทั้งคนทั้งร่างสาดประกายเย็นเยียบและโหดร้าย ส่อชัดเจนถึงเจตนาฆ่า
เป็น หนิงเยว่ฉาน!
ผู้ที่มีเอกลักษณ์เช่นนี้ ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ นอกเหนือไปจากเธอ ก็ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว
กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “เฮ้อ แม้กระทั่งเจ้าก็ยังไม่ทราบว่าเป็นข้ากระนั้นหรือ? นี่มันช่างน่าเสียใจจริงๆ”
แต่หนิงเยว่ฉานไม่สนใจคำกล่าวของเขา เจ้าตัวเอ่ยอย่างเฉยเมย “บนโลกใบนี้ มีหลากหลายวิธีที่จะใช้แสร้งปลอมตัวเป็นเขา แม้ผู้อื่นจะไม่รู้ แต่มันไม่อาจหลอกสายตาของข้าไปได้” เธอยังคงกล่าวต่อ “ในเมื่อเจ้าสามารถหยุดกระบี่เดียวปลิดชีพของข้าได้ เช่นนั้นจากนี้ไปก็จงเตรียมรับความเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตกตายเถิด”
กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ฟังจากเสียงของเธอ แม้ว่าน้ำเสียงมันจะยังดูสงบ แต่ก็เก็บซ่อนความโกรธเอาไว้ภายในใจ
เธอกำลังจะเอาจริงแล้ว!
เห็นแค่เพียงหนิงเยว่ฉาน ง้างกระบี่ และเตรียมที่จะโจมตีอีกครั้ง กู่ฉิงซานก็อดไม่ไหว เร่งตะโกนอย่างรวดเร็ว “ช้าก่อน! เมื่อครู่เป็นเจ้าที่ลอบโจมตี ฉะนั้นคราวนี้ต้องเป็นข้าที่เปิดฉากโจมตีก่อนสิ ต้องแบบนี้มิใช่หรือ จึงจะเหมาะสม และเท่าเทียมตามหลักการของผู้ใช้กระบี่ที่เที่ยงธรรมและเที่ยงแท้!”
หนิงเยว่ฉานชะงักไปเล็กน้อย
กู่ฉิงซานเมื่อเห็นถึงช่องว่างนี้ เขาก็เร่งเว้นระยะห่างออกไปไกลทันที
อย่ามาล้อเล่นนะ! สำหรับผู้หญิงที่มีนิสัยทุ่มเต็มกำลัง ชนิดยินยอมแลกชีวิตในการต่อสู้ เขาไม่ต้องการที่จะเข้าไปยุ่งด้วยหรอก!
เขาเค้นสมองอย่างรวดเร็ว และคิดเกี่ยวกับวิธีการที่จะใช้รับมือกับนาง
โชคยังดีที่เขาเคยได้เผชิญกับอันตรายระดับความเป็นความตายมานับไม่ถ้วน ดังนั้นเมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้ สมองของเขาจึงสามารถกลับมาทำงานได้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่คิ้วดั่งใบหลิวของหนิงเยว่ฉานยกสูงขึ้น กู่ฉิงซานก็สามารถคิดหาวิธีได้ในที่สุด
กระบี่ยาวกะพริบไหว
หนิงเยว่ฉานเริ่มลงมือแล้ว!
กู่ฉิงซานเร่งถอยห่างออกไปอีกครั้ง เขาตบลงในถุงสัมภาระ รีบหยิบบางสิ่งออกมา
เขาตะโกน “เจ้าเห็นหรือไม่ว่าสิ่งนี้คืออะไร!”
ในมือของเขา กุมไว้ซึ่งดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ
นี่คือดอกไม้น้ำตามังกร ที่มีสรรพคุณดีเยี่ยมในการรักษาจิตวิญญาณ กลิ่นหอมของมันช่างละเอียดอ่อน และสามารถแพร่กระจายกลิ่นไปได้เป็นเวลานาน มันจึงเป็นสิ่งที่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์หญิงชมชอบ
แต่น่าเสียดาย ที่ดอกไม้เช่นนี้มันหายากมากเกินไป แม้กระทั่งในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรก็ยังแสนหายาก
อย่างไรก็ตาม ในนิกายร้อยบุปผา แท้จริงแล้วกลับเต็มไปด้วยดอกไม้ชนิดนี้
นี่คือดอกไม้ที่นางเซียนไป่ฮั่วใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก ในการค้นหามันตลอดทั้งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ แล้วนำมาเพาะปลูกที่นิกาย
เนื่องจากจิตเทวะของซิวซิวได้รับบาดเจ็บจนบอบช้ำตั้งแต่วัยเด็ก นางเซียนไป่ฮั่วจึงมักจะนำดอกไม้ชนิดนี้มาทำอาหารให้เธอกินบ่อยๆ ด้วยความหวังที่ว่าเด็กสาวจะหายดีในไม่ช้า
หลังจากที่นางเซียนเก็บรวบรวมดอกไม้น้ำตามังกร ส่งผลให้ปกติมันก็หายากอยู่แล้ว ยิ่งหายากเข้าไปอีก
ดังนั้นการที่กู่ฉิงซานนำดอกไม้ดอกนี้ออกมา มันจึงพอที่จะใช้ยืนยันตัวตนได้
ก่อนหน้านี้ ช่วงที่อสูรวิญญาณก่อกบฏ หนิงเยว่ฉานเคยได้รับคำขอร้องจากกู่ฉิงซาน ว่าให้ไปรับตัวเขากลับมา
ในเวลานั้น กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนเรือเหาะของหนิงเยว่ฉาน และมอบดอกไม้น้ำตามังกรให้แก่เธอ
และเรื่องนี้ มีเพียงเขาและเธอสองคนเท่านั้นที่รู้
ซึ่งต่อให้เป็นคนจากพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ที่ได้ลอบเข้ามาทำการค้นวิญญาณจากผู้ฝึกยุทธ์ในโลกใบนี้ ก็ย่อมไม่มีทางทราบถึงเรื่องดอกไม้ได้
หนิงเยว่ฉานเป็นตัวตนเช่นไร?เธอย่อมสามารถเข้าใจถึงความหมายของดอกไม้นี้ได้อย่างแน่นอน
ด้วยดอกไม้น้ำตามังกร มันก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ได้ว่ากู่ฉิงซานไม่ใช่ตัวปลอม!
วินาทีต่อมา
คมกระบี่ก็หยุดลงจริงๆ
คมกระบี่ที่สาดแสงร้ายกาจเป็นประวัติการณ์พลันชะงักงัน ใบกระบี่ค่อยๆ ยื่นออกไปสัมผัสดอกไม้สีขาวอย่างช้าๆ
ใบกระบี่สัมผัสกับกลีบดอกไม้อย่างอ่อนโยน ราวกับคมกล้าทั้งหมดของมันถูกเก็บกลับคืน
หนิงเยว่ฉานคลายวิชาลับออก ปลดเกราะหมวกของเธอ เปิดเผยถึงใบหน้าที่งามล่มเมือง
เจตนาฆ่าได้หายไปแล้ว
คู่ดวงตาดั่งเม็ดอัลมอนด์ จ้องมองดูกู่ฉิงซาน คล้ายกับว่ามีหลายพันคำต้องการจะเอ่ยออกมา
แต่ในสถานที่ที่มีผู้คนมากมายเช่นนี้ เธอจะสามารถเอ่ยมันออกมาได้อย่างไร?
หญิงสาวก้มลงมองดูรอยฉีกบนก้านของน้ำตามังกร ปากเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “เหมือนจะมีส่วนที่ขาดออกไปนะ นี่คงจะเป็นดอกไม้จากกิ่งก้านเดียวกันใช่หรือไม่?”
“อืม ในวันนั้นที่ได้มอบ ข้าได้มอบมันให้แก่เจ้าเพียงหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วยังมีอีกก้านหนึ่งที่แยกออกมา” กู่ฉิงซานกล่าว
หลังจากขบคิดสักพัก เขาก็เอ่ยออกมาอีกครั้ง “และดอกนี้ ข้าก็ขอมอบมันให้แก่เจ้าเช่นกัน”
ดอกไม้สีขาวเล็กๆ ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ชวนให้จิตใจของผู้คนรู้สึกสงบออกมา
หนิงเยว่ฉานเก็บกระบี่กลับคืน
เธอก้าวเข้ามา และรับดอกไม้ไปอย่างระมัดระวัง อังใต้จมูก สูดดมกลิ่นอย่างมันอย่างแผ่วเบา
“สองดอกแล้วสินะ ก็ได้ ข้าจะรับมันไว้ จะเก็บพวกมันให้อยู่เคียงคู่กัน”
หญิงสาวเอ่ยกระซิบอย่างนุ่มนวล
…………………………………………….
ใจกลางทะเลสาบ กู่ฉิงซานกำลังพิจารณาอย่างรอบคอบ
เขาไม่ได้ระมัดระวังตัวแจขนาดนี้ มาเป็นเวลานานแล้ว
แต่เรื่องนี้มันมิอาจตำหนิเขาได้ เพราะทั้งหมดนี้ ในที่สุดตัวเองก็ได้มาถึงขอบเขตพันวิบัติเสียที
เมื่อครั้งที่ได้ก้าวเข้าสู่โลกเทวะ เกราะรบเพลิงคำรนเคยอธิบายเกี่ยวกับขอบเขตวรยุทธ์แก่เขา
เจ้าตัวยังคงจดจำได้ดีถึงสิ่งที่เกราะรบเพลิงคำรนกล่าว
“ขอบเขตสูงสุดของโลกเจ้าคือประทับเทพ เหนือยิ่งกว่าขอบเขตประทับเทพคือร่างเทวะ พันวิบัติ และขีดสุดความว่างเปล่า สามขอบเขต”
“และในขอบเขตพันวิบัติ ว่ากันว่าเป็นขอบเขตที่แปลกประหลาดมากที่สุด เพราะผู้ฝึกยุทธ์จำเป็นต้องรับมือกับภัยพิบัตินานับไม่ถ้วนในขอบเขตนี้ ทว่าเมื่อข้ามผ่านสถานการณ์ดังที่กล่าวมาจนสิ้น เจ้าก็จะสามารถก้าวขึ้นสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าได้ในที่สุด”
ดังนั้น ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตพันวิบัติ จึงมิต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สายลมและสายฟ้าจากสวรรค์ แต่จะต้องเผชิญกับทุกรูปแบบของภัยพิบัติแทน
หลังจากเสร็จสิ้นการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ทั้งหมดได้แล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ก็จะสามารถยกระดับขึ้นสู่ขีดสุดความว่างเปล่าไปได้เลยตามธรรมชาติ
ในโลกล่องเวหา มีมุมมองที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ผู้ฝึกยุทธ์จะอยู่ในสภาวะพร้อมข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้ตลอดเวลาในส่วนนี้ กล่าวได้ว่าพวกเขามีความเข้าใจ และความเห็นเช่นเดียวกันกับโลกเทวะ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความเห็นเช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นทางฝั่งผู้ฝึกยุทธ์ของโลกล่องเวหาที่เข้าใจมันได้ลึกซึ้งยิ่งกว่า
ในมุมมองของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าภัยพิบัตินี้เกี่ยวข้องกับกรรมของผู้ฝึกยุทธ์
ผู้ฝึกยุทธ์ที่เคยออกล่าสังหารมามากมาย จะต้องถูกกีดกันจากบาปและความชั่วร้ายอันแสนสาหัสที่ตัวเขาเป็นคนก่อในขอบเขตนี้
ว่ากันว่าครั้งหนึ่ง เคยมีผู้ฝึกยุทธ์ที่เลือกเดินทางสายมาร ต้องเผชิญกับภัยพิบัติกว่าแปดพันเก้าร้อยหกสิบสามครั้งในขอบเขตพันวิบัติ
และในท้ายที่สุด เขาก็สิ้นใจลงในการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะยกระดับขึ้นเป็นขีดสุดความว่างเปล่า
โดยภัยพิบัติของโทษทัณฑ์ในครั้งสุดท้ายครั้งนั้น ก็คือศิษย์น้องของเขา
ในครั้งอดีต เมื่อเขาก้าวเข้าสู่ประตูนิกาย ครั้งหนึ่งในช่วงเวลาที่โลกถูกโจมตี เขาได้ฉวยโอกาสนั้นหักหลังศิษย์น้องของตนเอง
หลังจากที่ศิษย์น้องของเขาถูกผลักลงสู่ซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยอันตรายแล้ว ก็ไม่มีใครได้รับข่าวของชายคนนั้นอีกเลย
อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกยุทธ์ที่เลือกเดินทางสายมารผู้นี้ หลังจากที่จัดการศิษย์น้องได้แล้ว เขาก็ยังมิคิดหยุดยั้งบาปกรรมของตน กลับยังเลือกที่จะใช้กลยุทธ์ทั้งอ่อนแข็ง หว่านล้อมคู่หมั้นของศิษย์น้อง จนตกเป็นของตนได้ในที่สุด
แล้วเรื่องนี้ก็ผ่านพ้นมานานปี จนผู้คนแทบจะลืมเลือนไปแล้ว
แต่ใครจะไปรู้ ว่าศิษย์น้องของเขาจะเปลี่ยนโชคร้ายที่เผชิญเป็นพรอันแรงกล้า เจ้าตัวได้พบกับสถานที่ชั้นเลิศในซากปรักหักพัง และแอบเข้าไปฝึกยุทธ์อยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายสิบปี จนในที่สุดก็สามารถหลุดออกมาจากสถานที่แห่งนั้นได้
เมื่อศิษย์น้องกลับมา มันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ผู้ฝึกยุทธ์ที่เลือกเดินทางสายมารเกือบจะก้าวขึ้นสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าพอดิบพอดี
ศิษย์น้องจึงได้ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาสุดท้ายในการตัดผ่าน ฉวยโอกาสพุ่งเข้าไปและตัดหัวอีกฝ่ายจนขาดกระเด็น!
นับแต่นั้นมา ในโลกล่องเวหา เหล่าผู้ฝึกยุทธ์มากมายจึงหาได้เกรงกลัวต่อภัยธรรมชาติไม่ แต่หวาดกลัวในกรรมของภัยพิบัติ ของขอบเขตพันวิบัติแทน
เพราะท้ายที่สุด กรรมของผู้ฝึกยุทธ์ในโลกล่องเวหา นั้นมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว ดังนั้นภัยพิบัติที่พวกเขาต้องพานพบจึงเปรียบดั่งฝันร้ายที่คอยหลอกหลอน ตามติดดั่งเงาตามตัว
‘ขอบเขตพันวิบัติ…’
คือขอบเขตที่ต้องทำการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ตลอดเวลา…
กู่ฉิงซานรู้สึกปวดหัว และอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมานวดๆ ตรงหว่างคิ้ว
เขาตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอาใบหยกออกมา
นี่คือเทคนิคลับจากในถุงสัมภาระของผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า เป็นสิ่งที่เขานำมันมาจากโลกล่องเวหา
ในวันนั้น ที่กู่ฉิงซานสังหารหวังหงษ์เต๋า ฉานนู่ได้ฉกเอาถุงสัมภาระของอีกฝ่ายมาได้อย่างรวดเร็ว
ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดในขอบเขตลมปราณจิต ถุงสัมภาระของหวังหงษ์เต๋าจึงเต็มไปด้วยของดี
แต่ตอนนี้ ทั้งหมดกลายเป็นของกู่ฉิงซานไปแล้ว
ระหว่างที่เขาถือใบหยก เส้นแสงหิ่งห้อยก็ปรากฏขึ้นทันทีบนหน้าต่างเทพสงคราม
“ชื่อไอเท็ม เทคนิคลับ การเหนี่ยวนำกรรมแห่งพันวิบัติ”
“ประเภท เทคนิคฝึกยุทธ์”
“วิชายุทธ์เทพสงคราม การเรียนรู้เทคนิคฝึกยุทธ์นี้ จะช่วยให้คุณสามารถรับรู้ได้ถึงภัยพิบัติจำนวนมากที่คุณจะต้องเผชิญในขอบเขตพันวิบัติ”
“โปรดทราบ นี่คือเทคนิคลับที่ผู้ฝึกยุทธ์ในโลกล่องเวหาทำการศึกษาเกี่ยวกับขอบเขตพันวิบัติมาโดยเฉพาะ แม้ว่ามันจะสามารถช่วยให้คุณรับรู้คร่าวๆ ถึงจำนวนของภัยพิบัติได้ แต่มันไม่อาจช่วยคาดการณ์ระยะเวลาล่วงหน้าของภัยพิบัติได้”
“คำอธิบาย การศึกษาเทคนิคฝึกยุทธ์นี้ จำเป็นต้องจ่ายสองร้อยแต้มพลังวิญญาณ”
“คำอธิบายตามพงศาวดารวันสิ้นโลก ไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นเกี่ยวกับมัน”
ด้วยแต้มพลังวิญญาณที่มีมากกว่าแปดหมื่นแต้ม กู่ฉิงซานทำการจ่ายสองร้อยแต้มพลังวิญญาณไปทันที
เขากุมใบหยกในมือ สองตาปิดสนิท
กระแสความร้อนไหลบ่าออกจากใบหยก ผลุบเข้าไปตามมือของเขา วิ่งไปตามกระดูกและแขน ไหลลงสู่ทะเลแห่งห้วงสติ
เพียงไม่นาน กู่ฉิงซานก็สามารถเข้าใจถึงวิธีการเหนี่ยวนำของเทคนิคลับนี้ได้สำเร็จ
เขายื่นมือออกไปจีบออกด้วยวิชาลับ และทำการกระตุ้นเทคนิค
ทันใดนั้นสวรรค์และโลกราวกับเชื่อมต่อเข้าด้วยกันกับเขา ภาพของบาป (กรรม) ที่เคยกระทำในอดีตผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา
ภัยพิบัติแล้ว ภัยพิบัติเล่าเริ่มจะปรากฏขึ้นมาทีละหนึ่ง ทีละหนึ่ง
โดยสิ้นเชิงแล้ว รวมทั้งหมดเป็น…
สามครั้ง!
ครั้งแรกคือขอบเขตพันวิบัติขั้นต้น อีกครั้งคือขั้นกลาง และครั้งสุดท้ายคือขั้นปลาย
จากนั้น เขาก็จะสามารถยกระดับขึ้นสู่ขีดสุดความว่างเปล่าได้เลยโดยตรง
กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น ในหัวใจค่อนข้างรู้สึกสับสนเล็กน้อย
เพราะสามครั้งคือจำนวนภัยพิบัติขั้นต่ำที่สุด ที่ผู้ฝึกยุทธ์จำต้องเผชิญในขอบเขตพันวิบัติ
…นี่หมายความว่าตัวเขาไม่มีบาปเลยกระนั้นหรือ?
หรือว่าพวกเกมแห่งชีวิตนิรันดร์ การดิ้นรนในโลกเทวะ การต่อสู้ในโลกปรภพ และการเรียกขานของวิหคหนาม
สิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมา แท้จริงแล้วมันมิได้ก่อให้เกิดบาป แต่ก่อให้เกิดคุณงามความดีแทนหรือ?
บางที อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ ที่ส่งผลให้ภัยพิบัติที่เขาต้องเผชิญมันมีแค่สามครั้งเท่านั้น
ในกรณีนี้ ตราบใดที่เขาให้ความสนใจกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น เขาก็จะสามารถผ่านพ้นสถานการณ์แห่งเภทภัยไปได้อย่างง่ายดาย
นี่นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างแท้จริง
กู่ฉิงซานอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
ในเมื่อปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้ว งั้นต่อไปตอนนี้ เขาก็จะได้ติดต่อกับอาจารย์สักที
เขาไม่ลังเลเลยที่จะตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเขาตราสัญลักษณ์นายพลออกมา
หากระยะทางไม่ไกลเกินไป แต่ละฝ่ายที่ครอบครอง จะสามารถส่ง หรือนำสิ่งของผ่านทางตราสัญลักษณ์ให้แก่กันและกันได้ทันที
กู่ฉิงซานหยิบยันต์สื่อสารของนางเซียนไป่ฮั่วออกมา กล่าววาจาลงไปหลายคำ ก่อนจะยัดมันลงไปในตราสัญลักษณ์นายพล
และแทบจะในทันที เขาก็สัมผัสได้ว่ายันต์สื่อสารได้หายไป
นี่หมายความว่านางเซียนไป่ฮั่วได้รับยันต์สื่อสารของเขา และหยิบมันออกไปจากตรานายพลแล้ว!
กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย
นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้เจอท่านอาจารย์
ช่วงก่อนหน้านี้ ครั้งหนึ่งตนเคยลองพยายามใช้งานตราสัญลักษณ์นายพลในโลกล่องเวหาอยู่เหมือนกัน แต่น่าจะเป็นเพราะระยะทางที่ไกลเกินไป ตราสัญลักษณ์นี้จึงไม่สามารถใช้งานได้
และเมื่อได้กลับมายังโลกเทวะอีกครั้ง ซึ่งแม้ขณะนี้อาณาเขตของโลกจะกว้างใหญ่ยิ่งกว่าเดิมอย่างมหาศาล แต่เมื่อเป็นโลกเดียวกัน ตราสัญลักษณ์นายพลจึงยังใช้งานได้เป็นอย่างดี
เฝ้ารอสักพักหนึ่ง ยันต์สื่อสารจากอีกฝั่งก็ถูกยัดเข้ามาในตรานายพล
กู่ฉิงซานเร่งนำมันออกมา และกระตุ้นพลังวิญญาณใส่มันทันที
ได้ยินถึงเสียงที่แฝงไว้ซึ่งร่องรอยจางๆ ของความกังวลของนางเซียนไป่ฮั่วดังออกมาจากยันต์ “ฉิงซาน เมื่อไม่นานมานี้มีบางคนแสร้งปลอมตัวเป็นเจ้า แม้ว่าสุดท้ายจะถูกข้าจับตัวไว้แล้วก็ตาม แต่ตอนนี้เจ้าไม่สมควรเถลไถลไปในที่ใด เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและปัญหาใหม่ตามมา จงรออยู่ที่นั่น ศิษย์น้องหญิงทั้งสองกำลังไปรับตัวเจ้ากลับมา”
แสร้ง…ปลอมตัวเป็นฉันงั้นหรือ?
กู่ฉิงซานตกใจ
แต่เขาก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
นอกเหนือไปจากผู้ฝึกดาบในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ยังจะมีใครอีกที่สามารถปลอมเป็นเขาได้?
ในโลกใบนี้ ไม่น่าจะปรากฏเรื่องเช่นนี้ขึ้น
บางทีเกรงว่านี่อาจจะเป็นฝีมือของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ มันอาจจะเป็นฝีมือของผู้ฝึกยุทธ์จากต่างโลกก็ได้
ดูเหมือนว่าคนที่ทำเรื่องนี้ ชัดเจนว่าได้ทำการตรวจสอบเรื่องที่ฉีหยานได้บุกเข้ามายังโลกเทวะแล้ว
ในวันนั้น นางเซียนไป่ฮั่วกับนักพรตเป่ยหยวนได้ร่วมมือกันทุ่มสุดกำลังเพื่อรับมือกับฉีหยาน ซึ่งในท้ายที่สุด กู่ฉิงซานก็ได้เรียกมารสวรรค์มา และส่งฉีหยานไปยังโลกของพวกเธอ
ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานเองก็ถูกส่งไปยังโลกล่องเวหา
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น และผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนที่เห็นต่างก็เป็นพยานในเรื่องนี้
กู่ฉิงซานขมวดคิ้วเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าคนที่วางแผนปลอมตัวเป็นกู่ฉิงซาน เหมือนจะล่วงรู้ว่าตัวเขาเองเคยทำอะไรมาก่อน
อีกฝ่ายยังรู้กระทั่งว่ากู่ฉิงซานได้หายตัวไปจากโลกใบนี้
ดังนั้น หากแสร้งปลอมตัวเป็นตน แล้วเดินผ่านท่ามกลางฝูงชน ย่อมแน่นอนว่าจะต้องสามารถได้รับข้อมูลของโลกใบนี้ไปได้มากมาย
อย่างไรก็ตาม ทั้งๆ ที่มีอาจารย์อยู่ แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงได้กล้า
ไม่สิ!
เพราะท่านอาจารย์จำเป็นต้องใช้สักส่วนที่จำกัดในการผสานรวมโลก ท่านถึงได้เลือกเข้าร่วมกับพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์
ด้วยเหตุนี้เอง ท่านจึงมักจะต้องออกไปข้างนอกอยู่บ่อยๆ เพื่อเข้าร่วมในการต่อสู้ต่างๆ ของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์
ดังนั้น หากเป็นในช่วงที่ท่านอาจารย์ไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้วล่ะก็ คนที่แสร้งปลอมตัวเป็นเขา ก็อาจเป็นไปได้ที่จะบรรลุเป้าหมายจนสำเร็จ!
ตนผู้สามารถช่วยโลกเทวะเอาไว้ได้ และสามารถกลับมาจากโลกอันห่างไกล
ด้วยเหตุผลตามประโยคข้างบนที่กล่าวมา ส่งผลให้คนที่ปลอมเป็นเขา จะต้องได้รับคำขอบคุณจากทุกคนอย่างแน่นอน
บางที คนที่ปลอมตัวเป็นตน อาจจะได้ทำการตรวจสอบพื้นเพของโลกใบนี้มาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ได้
ท่านอาจารย์บอกว่าอย่าเถลไถลไปรอบๆ เพราะเกรงว่าผู้ฝึกยุทธ์จะลงมือกับเขาซึ่งเป็นตัวจริง
กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่ากลยุทธ์ที่ตนใช้ปลอมตัวเป็นฉีหยานเข้าไปในโลกล่องเวหา จะถูกคนอื่นใช้โดยการปลอมตัวเป็นตนเข้ามายังโลกเทวะเช่นกัน
นี่สินะที่เรียกกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง
แต่นับว่าโชคยังดีที่ท่านอาจารย์ได้รับรู้ถึงเรื่องนี้ และออกไปจัดการกับมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม…
ประโยคสุดท้ายที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ‘ศิษย์น้องหญิงทั้งสอง’ นั่นมันเรื่องอะไรกันแน่นะ?
………………………………….
ช่วงกลางดึก
บริเวณพื้นที่ราบสูงที่ยากจะเข้าถึง
ทิวทัศน์โดยรอบ เป็นเทือกเขาที่ถูกคั่นกลางไว้ด้วยทะเลสาบ
อย่างไรก็ตาม กลับปรากฏถึงเมฆที่ทะมึนยิ่งกว่าความมืดในยามค่ำคืน ปกคลุมไปตลอดทั้งทะเลสาบ
ประกายสายฟ้าหยดย้อยลงจากก้อนเมฆ และยังคงผ่าลงสู่ทะเลสาบอย่างต่อเนื่อง
หากมองจากระยะไกล จะเห็นเหมือนกับว่ามีเส้นสายสีไข่มุกร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า กลมกลืนแลดูงดงามไปกับฉากหลังในยามค่ำคืน
อย่างไรก็ตาม เมื่อไข่มุกเหล่านั้นตกลงสู่ทะเลสาบ พวกมันจะแตกกระจาย และกลายเป็นงูสายฟ้าเส้นเล็กๆ วิ่งไปคนละทิศทางทันที
ระหว่างสวรรค์และโลก บังเกิดเสียงระเบิดแล้วระเบิดเล่าของสายฟ้า ดังก้องไปทั่วบริเวณ
ขณะเดียวกัน ประกายแสงจากสายฟ้าก็เริ่มรุนแรงมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
ทัณฑ์สายฟ้าดั่งดวงดาราสุกสกาวจากทุกทิศทาง ร่วงโรยลงมายังทะเลสาบ
ท่ามกลางแสงสะท้อนจากทะเลสาบ สวรรค์และโลกถูกเติมเต็มไปด้วยประกายแสงสายฟ้า
โดยใจกลางของสายฟ้าทั้งหมด ใจกลางทะเลสาบใหญ่ ปรากฏให้เห็นถึงผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์คนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น
มนุษย์คนนั้นกำลังโบกสะบัดดาบยาวในมือของเขา โขกสับเข้าใส่สายฟ้าอันไร้ที่สิ้นสุด ที่กำลังโถมลงมา
ผู้ฝึกยุทธ์กำลังปกป้องตนเอง โดยการใช้สองดาบที่กุมอยู่ในมือ ปัดป้องการโจมตีจากสายฟ้าเสียงคำรามของสายฟ้าดำเนินเช่นนี้ต่อไปอีกกว่าหนึ่งชั่วยาม จนในที่สุดมันก็ค่อยๆ สลายหายไป
อย่างไรก็ตาม สวรรค์และโลกยังมิได้กลับคืนสู่ความสงบ
ลมทะเลสาบเริ่มกรรโชกรุนแรง
เสียงหวีดหวิวของสายลม และเสียงกรีดร้องของการดำรงอยู่ที่ไม่ทราบชนิดมากมาย ค่อยๆ ย่างกรายเข้ามาเยือนโลกใบนี้
สักพักหนึ่ง เสียงหอนและกรีดร้องใคร่ครวญก็ดังขึ้นจนฟังชัด
ทุกชนิดของสิ่งมีชีวิตในโลกปีศาจและโลกภูตผี เริ่มปรากฏกายขึ้นในสายลม
เจตนาฆ่าพวยพุ่งออกมาจากทุกทิศทาง
ภูตผีปีศาจนับสิบรายล้อมผู้ฝึกยุทธ์เพียงหนึ่งจากทุกสารทิศ
ทว่ากลับเห็นแค่เพียงเจ้าตัวประสานกำปั้น ผุดรอยยิ้มออกมา และเอ่ยอะไรบางอย่างกับในความว่างเปล่า
หากผู้ใดก็ตามในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์มาเห็นถึงฉากนี้ พวกเขาคงจะเกิดความประหลาดใจอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เพราะในการยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตพันวิบัติ หลังจากที่สิ้นการต่อกรกับทัณฑ์สายฟ้าแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ก็จะต้องเผชิญหน้ากับกษัตริย์ปีศาจ และราชาภูตผีที่มารับตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ทั้งสิบแปดตน พร้อมกันกับผู้บังคับบัญชาของพวกมันที่ตามมา เพื่อสังหารหมู่ผู้ที่คิดข้ามผ่านโทษทัณฑ์
นี่คือหายนะที่ผู้ฝึกยุทธ์จะต้องเผชิญเสมอมา ทุกคนในอดีตล้วนต้านทานการบุกสังหารตนอย่างเต็มกำลัง
อย่างไรก็ตาม ชายคนนี้กลับเป็นฝ่ายประสานมือทักทายผีปีศาจที่มากับทัณฑ์สายลม
และที่แปลกยิ่งกว่านั้น คือมันได้ผล!
เห็นแค่เพียงในทัณฑ์สายลม เสียงกรีดร้องโหยหวนค่อยๆ จางหายไป
ตามมาด้วยทุกชนิดของโทนเสียงที่ต่างกันออกไปตอบสวนกลับมา
แม้โทนเสียงจะแตกต่าง แต่น้ำเสียงของจากในทัณฑ์สายลมดูจะเผยถึงความรู้สึกอบอุ่นเล็กๆ น้อยๆ
ยิ่งนาน พวกผีปีศาจก็ยิ่งปรากฏขึ้นในทัณฑ์สายลม ทั้งหมดเริ่มสนทนาอย่างสนิทสนมกับผู้ฝึกยุทธ์
เมื่อเวลาผ่านไป บทสนทนาก็ยิ่งเริ่มออกรสขึ้นเรื่อยๆ
ถึงขนาดที่ว่ามารสวรรค์ที่ครองตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ ต้องมาหยุดยืนกอดแขนอยู่ข้างกายของผู้ฝึกยุทธ์เลยทีเดียว
หลายราชาภูตผีหัวเราะเสียงดังลั่น
ขณะที่พวกกษัตริย์ปีศาจตนใหม่ๆ กำลังคิดว่าจะเข้าไปทำความรู้จัก และเป็นสหายกับผู้ฝึกยุทธ์คนนี้ได้อย่างไรดี
มีปีศาจบางตนเหมือนกันที่ไม่อาจเข้าใจถึงสถานการณ์ จึงหันไปสอบถามปีศาจตนอื่นๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
‘ที่แท้ก็เป็นเรื่องอันมีชื่อเสียงโด่งดังก่อนหน้านี้นั่นเอง!’
การเจรจาแลกเปลี่ยนที่มีจำนวนจิตวิญญาณกว่าสองร้อยล้านดวงเป็นรางวัล!
ในช่วงเวลานั้น เหล่าราชาภูตผี และกษัตริย์ปีศาจที่เข้าร่วม ต่างก็ได้รับผลกำไรตอบแทนกลับมามากมาย
และเวลานี้ ตัวต้นเรื่องในการเจรจาแลกเปลี่ยนในคราวก่อน ก็กำลังยืนอยู่ต่อหน้าทุกคนแล้ว!
เมื่อต้องเผชิญกับผู้ฝึกยุทธ์ที่เปรียบดั่งเหมืองทองคำ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ปีศาจตนใด ต่างก็อยากจะก้าวออกมา และเป็นสหายกับเขาทั้งนั้น
ส่วนเรื่องที่จะเอาชนะเขาหรือสังหารเขาน่ะหรือ ช่างหัวมันสิ!
เพราะคนตรงหน้าเป็นใครกัน!?
เป็นสมาชิกหมายเลขสามของสมาคมกำปั้นเหล็ก
เป็นราชาภูตผีแห่งหกวิถี
ไม่ว่าจะสถานะไหน มันก็สุดโต่งทั้งนั้น! ดังนั้นมันจะไม่เป็นการดีกว่าหรือถ้าจะไม่ยั่วให้เขาโกรธ และให้ทุกอย่างมันจบลงด้วยดี
ขณะเดียวกันทางฝั่งราชาภูตผี หลายราชาที่มีส่วนร่วมในทัณฑ์สายลมในครั้งก่อน ต่างก็ได้เปิดเผยรายละเอียดของกู่ฉิงซานให้แก่เพื่อนคนอื่นๆ ฟัง
พวกมันเล่าว่าเขาได้ลงทัณฑ์นรกทั้งขุม ล้างบางคนตายนับล้านๆ โดยไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ
และสงครามในเวลาต่อมา เขาก็ได้สั่งการให้คนตายจากนรก บุกเข้าไปกัดกินเผ่ามารทั้งหมดที่เข้ามารุกราน
ด้วยเหตุนี้…
ควรที่จะเป็นพันธมิตรกัน และสร้างโอกาสแลกเปลี่ยนกันจะเป็นการดีกว่า
เพราะยิ่งมีเพื่อนมาก การเดินทางหรือกิจกรรมใดๆ ก็ย่อมสะดวกสบายมากขึ้น
พวกปีศาจและภูตผีต่างก็คิดแบบนั้น
ด้วยเหตุนี้เอง ฉากอย่างการลงทัณฑ์จากสวรรค์ บรรยากาศจึงค่อยๆ กลายเป็นความสามัคคีและเป็นมิตร
อย่างไรก็ตาม เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ
ไม่นาน ช่วงเวลาสิ้นสุดของทัณฑ์สายลมก็ได้มาถึง
ทุกคนพูดคุยกันอีกสักพัก ทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลติดต่อกันและกัน และหารือเกี่ยวกับธุรกิจต่อไปในอนาคต
กษัตริย์ปีศาจและราชาภูตผีทั้งหมดต่างชักอาวุธขึ้น และเริ่มกล่าวคำอำลากับผู้ฝึกยุทธ์
ติ๊งๆๆ
เสียงปะทะอันคมชัดจากอาวุธทั้งสิบแปดชนิด สะท้อนไปมาท่ามกลางทัณฑ์สายลม
ทุกคนต่างเริ่มบอกลา
และแล้วสายลม
ก็ค่อยๆ สงบลง
โทษทัณฑ์จบลงในที่สุด
กู่ฉิงซานยืนยิ้ม และโบกมือลาปีศาจและภูตผีทั้งหมด
เมื่อผีปีศาจทั้งหมดได้กลับคืนสู่โลกของพวกมันแล้ว กู่ฉิงซานจึงค่อยลดอาวุธตนลง
เขารู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย
เพราะเมื่อต้องเผชิญกับกษัตริย์ปีศาจและราชาภูตผีที่ครอบครองตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ทั้งสิบแปดแล้ว เขาจำเป็นที่จะต้องทักทาย กล่าวสนทนาโดยห้ามไร้ซึ่งความเย็นชา ไม่เพียงเท่านั้น สำหรับพวกที่มาใหม่ เขายังจำเป็นต้องใช้คนกลางเป็นตัวช่วยแนะนำกันและกันอีกต่างหาก
ส่วนในเรื่องธุรกิจแลกเปลี่ยนในอนาคต เขาจะต้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายอย่างรอบคอบ และจะบอกเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับมันในครั้งต่อไป
อนิจจา นี่มันเป็นเรื่องจริงเช่นนั้นหรือนี่?
การข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของตนเอง มันกลับกลายมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน?
แทนที่จะเป็นแบบนี้ บางทีการสู้กันมันอาจจะดีเสียกว่าอีก เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังได้รับแต้มพลังวิญญาณมาจากพวกมันไม่ใช่หรือ?
แต่ตอนนี้ สัมพันธ์ได้ถูกสานแล้ว ดังนั้นเมื่อเผชิญกับหลายผีปีศาจที่เข้ามาทักทายด้วยไมตรีจิต ตนคงไม่สามารถก้าวออกไปข้างหน้าและสับอีกฝ่ายได้
เขาไม่ใช่คนแบบนั้น
โดยเฉพาะมารสวรรค์
เวลานี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนว่าหลี่อันจะติดธุระบางอย่างอยู่ จึงไม่ได้รับตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ในครั้งนี้
คนที่มาแทนเป็นหนึ่งในน้องสาวของเธอ
และน้องสาวของเธอ ก็พยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อยั่วยวนเขา
ซึ่งในส่วนนี้ บอกตรงๆ เลยว่ากู่ฉิงซานแทบจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
มือของเขากดลงบนด้ามดาบหลายต่อหลายครั้ง แทบจะทนไม่ไหวที่จะง้างสับอีกฝ่าย
ทว่าเมื่อได้ลองไตร่ตรองอย่างรอบคอบ และพบว่าการสานสัมพันธ์กับมารสวรรค์มันไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะหลี่อันที่มีความจริงใจกับตนเอง ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงจำใจต้องอดกลั้น ฝืนทนต่อไปแม้ในใจจะไม่ยินยอมก็ตาม
โชคดีจริงๆ ที่ทั้งหมดมันจบลงแล้ว
กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความโล่งอก และหันไปมองหน้าต่างเทพสงคราม
ปรากฏถึงบรรทัดแสงตัวอักษรขนาดเล็ก
“ทัณฑ์สวรรค์ได้สิ้นสุดลงแล้ว”
“ต้องขอบคุณของขวัญที่เกิดจากการผสานรวมโลก ทำให้คุณสามารถยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตพันวิบัติได้สำเร็จ”
“คุณได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตพันวิบัติแล้ว”
“โปรดทราบด้วยว่า การยกระดับจากร่างเทวะ พันวิบัติ และขีดสุดความว่างเปล่า จะไม่เกิดการเหนี่ยวนำในการกระตุ้นพลังศักดิ์สิทธิ์ คุณจำเป็นที่จะต้องยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตลมปราณจิตเสียก่อน จึงจะสามารถปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ให้ตื่นขึ้นได้”
กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “นี่เป็นเฉพาะฉันคนเดียว หรือคนทั้งหมดก็เป็นแบบนี้ด้วย?”
“นี่คือกฎขั้นพื้นฐานของขอบเขตวรยุทธ์ มันคือสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดจะต้องเผชิญ” ระบบตอบกลับ
“เข้าใจแล้ว งั้นพวกเราค่อยมาพูดถึงเรื่องนี้กันในภายหลัง”
กู่ฉิงซานหลับตาลง และเริ่มทำการรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพื้นฐานวรยุทธ์อย่างรอบคอบ
นี่คือของขวัญอันล้ำค่าที่ได้มาจากแหล่งกำเนิดของโลก พลังวิญญาณของเขาทั้งสงบ และเสถียรไม่มีทีท่าว่าจะหลุดจากการควบคุมเลย
และความเข้าใจของเขาในส่วนของกฎเกณฑ์ของโลก มันก็ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
สำหรับเรื่องปริมาณพลังวิญญาณ
ปัจจุบันพลังวิญญาณของตนเองได้ถูกเติมเต็มขึ้นมากกว่าเดิมถึง ในสิบส่วน!
นี่หมายความว่าเขาสามารถผันแปรกลยุทธ์ และต่อสู้ได้นานยิ่งขึ้น
นับจากนี้ไป เขาจะสามารถสำแดงวิชาลับอย่างค่ายกลดาบได้อย่างไม่ขาดสาย
นั่นนับว่าเป็นข่าวดี
“แน่นอน การที่ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมันช่างเป็นอะไรที่รู้สึกดีจริงๆ”
กู่ฉิงซานพึมพำกับตัวเอง
จากนั้น เขาก็หยิบเอาเม็ดยาออกมา โยนมันเข้าปาก และนั่งสมาธิเหนือคลื่นทะเลสาบ
ถึงแม้ว่าทัณฑ์สายลมจะไม่ได้กินพลังงานใดๆ แต่ทัณฑ์สายฟ้ามันทำให้เขารู้สึกอ่อนล้าไม่น้อยจริงๆ
ดังนั้นตนจึงต้องเร่งฟื้นฟูพละกำลังกลับคืนมา
ปัจจุบันนี้ โลกเทวะและอีกหลายโลกได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์แล้ว
และท่านอาจารย์ยังได้นำโลกใบนี้ เข้าร่วมกับพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์อีกด้วย
ฉะนั้นไม่ต้องกล่าวถึงสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป แต่กระทั่งกิจกรรมของมนุษย์ เมื่อได้รับรู้ถึงวัฒนธรรมใหม่ๆ มันก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
ดังนั้น ก่อนจะเดินทางกลับไปยังนิกายร้อยบุปผา กู่ฉิงซานจึงไม่คิดเร่งรีบใดๆ
เขาจะต้องเตรียมการอย่างระมัดระวังและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในที่สุด กู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น
ร่างกายของเขาได้กลับคืนสู่สภาวะสมบูรณ์พร้อมอีกครั้ง
เขาเหยียดตัวบิดขี้เกียจ และค่อยๆ ลุกขึ้นยืนกลางทะเลสาบ
ตอนนี้ เขาพร้อมที่จะจัดการกับเรื่องราวทุกสิ่งแล้ว!
………………………………….
ณ จักรวรรดิฟูซี
ใจกลางเมืองหลวง
ต้องขอบคุณกฎเหล็กอันแสนเด็ดขาดของจักรพรรดินีเวโรน่า ทำให้หลังจบสงคราม ทุกอย่างที่นี่จึงสามารถกลับคืนสู่ความเป็นระบบระเบียบได้อย่างรวดเร็ว
ภายในห้องอาหารลอยฟ้าที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมากที่สุดในจักรวรรดิ
แบรี่นั่งอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง เบื้องหน้าเขาถูกจัดวางไว้ด้วยอาหารอร่อยๆ ทั่วโต๊ะ
“ขอสรรเสริญเหล่าทวยเทพที่ได้สร้างโลกดีๆ แบบนี้ทิ้งเอาไว้!”
“บาร์บีคิวมันอร่อยจริงๆ”
“เฮ้บริกร แล้วอาหารจานนี้เรียกว่าอะไร? ช่างมันเถอะ ไม่อยากรู้แล้ว แต่เอามาเสิร์ฟให้ฉันอีกจานก็พอ”
“อืม…ซุปถ้วยนี้ซดแล้วรู้สึกสดชื่นดีจริงๆ”
“ถ้าฉันได้กินอาหารดีๆ แบบนี้ทุกวัน สาบานเลยว่าในชีวิตนี้ ฉันจะไม่ไปล่ามอนสเตอร์เอกภพกินอีกแล้ว”
“ช่วยเสิร์ฟซุปให้ฉันอีกจานด้วยนะ”
ขณะกำลังรับประทาน เขาก็เอ่ยชมออกมาไม่ขาดปาก
หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ เสี่ยวเหมียวได้ลุกจากโต๊ะไปก่อนแล้ว
เธอเช็ดปากเบาๆ และทิ้งผ้าผืนนั้นไว้ เร่งรุดออกไปอย่างอดใจรอไม่ไหว
เนื่องจากเทพธิดากงเจิ้งได้แนะนำสถานที่ดีๆ เอาไว้หลายแห่ง ดังนั้นพออิ่มท้อง เสี่ยวเหมียวจึงรีบไปด้วยความตื่นเต้นทันที
สุดท้ายเลยเหลือแบรี่ที่นั่งอยู่ลำพัง และยังคงกินไม่หยุดมาเป็นเวลายาวนานกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว
และเนื่องจากที่นี่เป็นห้องส่วนตัวที่แยกต่างหากออกมา มันเลยไม่มีใครเข้ามารบกวนเวลาอาหารของเขา แต่ที่ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างราบรื่นเช่นนี้ จริงๆ แล้วก็เพราะ…
เจ้าของร้านอาหารและพนักงานได้รับการแจ้งล่วงหน้าเอาไว้แล้ว
พวกเขาได้รับแจ้งว่าจะมีสองมืออาชีพที่น่านับถือมารับประทานอาหารในร้านแห่งนี้
ดังนั้น ส่งผลให้แม้จะได้เห็นแบรี่ที่เอาแต่กินไม่หยุดมาเป็นเวลายาวนานกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วก็ตาม พนักงานเสิร์ฟก็ยังพอสามารถทำความเข้าใจได้
เพราะมืออาชีพน่ะมักจะแตกต่างจากคนปกติทั่วไป การที่เขาจะสามารถกินอาหารได้อย่างมหาศาลมันจึงไม่น่าแปลกใจอะไร
พนักงานนำอาหารจานใหม่มาเสิร์ฟให้แบรี่ และเก็บจานอาหารเดิมกลับไปอย่างคล่องแคล่ว
การเคลื่อนไหวของเขาช่างกระฉับกระเฉง แต่ขณะเดียวกันก็นุ่มนวล ไม่เป็นการรบกวนการรับประทานของแบรี่เลย
อย่างไรก็ตาม แบรี่ที่กำลังสวาปามอาหารอย่างมีความสุข ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจกับการกระทำเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้
เศษอาหารที่เหลือจะถูกส่งไปยังสถานที่ทำความสะอาดตามขั้นตอนปกติ และจัดเก็บเอาไว้อย่างเรียบร้อย
ซึ่งมันจะยังไม่ถูกทำความสะอาดในทันที แต่จะทำการชะล้างและฆ่าเชื้อในทีเดียวหลังเวลาร้านปิด
เพราะที่แห่งนี้มีเครื่องทำความสะอาดอัตโนมัติ ดังนั้นกระบวนการทำความสะอาดจึงเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องมาคอยล้างจานตลอดเวลาแต่อย่างใด
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ในที่สุดแบรี่ก็เติมเต็มกระเพาะของเขาจนอิ่มสักที
เขากวักมือเรียกพนักงาน และยื่นบัตรให้อีกฝ่าย
“ระหว่างกิน ถึงจะไม่สนใจ แต่ฉันก็เห็นถึงความใส่ใจที่นายมีต่อลูกค้านะ เพราะงั้นเอานี่ไป แล้วอย่าลืมรวมค่าทิปเล็กๆ น้อยๆ ไปด้วยล่ะ” เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมา
พนักงานเสิร์ฟยิ้ม และรีบไปทำการชำระเงินอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยื่นสองมือออกไป ส่งบัตรคืนให้แก่แบรี่
“ท่านครับ บิลได้รับการชำระเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนของท่านในครั้งนี้ ถ้าเป็นไปได้ คราวหน้าพวกเราขอเชิญท่านมาใช้บริการอีกนะครับ” พนักงานกล่าวด้วยความเคารพ
แบรี่พยักหน้า เขารับบัตร และเดินออกจากห้องอาหารด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
เมื่อท้องอิ่ม จากนั้นเขาก็จะไปยังกาสิโน และอยู่ที่นั่นจนกว่าจะถึงเที่ยงคืน!
หลังจากสนุกไปกับการเล่นพนัน เขาตั้งใจที่จะไปต่อที่บาร์เพื่อดื่มเหล้าฆ่าเวลาให้ผ่านพ้นไป
อืม นี่ช่างเป็นแผนการใช้วันหยุดที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!
หลังจากที่แบรี่ออกจากห้องอาหาร
เฝ้ารอจนกระทั่งแน่ใจว่าเขาได้ไปถึงกาสิโน และเบนสมาธิไปกับการเล่นพนันแล้ว
สองบริกรก็เร่งตรงไปยังเครื่องล้างจานทันที และทำการเลือกบางจานที่ดูพิเศษออกไปจากทั้งหมดหลายร้อยจานอย่างระมัดระวัง
ซึ่งจานพิเศษที่ว่า คือจานที่ถูกใช้โดยแบรี่กับเสี่ยวเหมียวนั่นเอง
สองบริกรทำการเคลื่อนย้ายมันอย่างรวดเร็ว
จานที่ถูกใช้โดยแบรี่กับเสี่ยวเหมียว ถูกส่งไปบรรจุในกล่องผนึกขนาดใหญ่
ขณะเดียวกัน ตรงด้านหลังของห้องอาหาร ก็มีรถขนส่งเครื่องเคียงและอาหารทะเลกำลังจอดรออยู่เป็นเวลานานแล้ว
กล่องผนึกถูกส่งต่อเข้าไปในคลังบรรทุกสินค้า
จากนั้นรถขนส่งก็เริ่มเดินเครื่อง และมุ่งไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ ขับไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงเขตชานเมืองของจักรวรรดิจึงค่อยหยุดลง
มันคือสถานที่สำหรับทำการจัมป์มิติ
หลังจากเกิดการขยายตัวครั้งใหญ่ของผืนโลก เทพธิดากงเจิ้งก็ได้ทำการก่อตั้งศูนย์อพยพเอาไว้ใกล้กันกับเมืองของมนุษย์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้พวกเขา ในการจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ
กล่องผนึกถูกยกออกจากคลังสินค้า และส่งผ่านเครื่องจัมป์ตรงจุดนี้
โดยไม่มีใครรู้ว่ามันจะถูกส่งไปที่ไหน
นอกเสียจาก…
ลึกเข้าไปในป้อมปราการดวงดาวเฉินเตี้ยนเฮ่า บนจอม่านแสงขนาดใหญ่ กำลังฉายถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
“เริ่มกระบวนการคัดแยกน้ำลายที่เหลือ”
“หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการคัดแยกทั้งยี่สิบห้าขั้นตอน ผลปรากฏว่า ผู้หญิงที่ชื่อเสี่ยวเหมียวไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้บนโต๊ะอาหารเลย สามารถเก็บได้แค่น้ำลายของผู้ชายที่ชื่อแบรี่เท่านั้น”
“เริ่มต้นการสกัดเซลล์จากน้ำลาย”
“การสกัดล้มเหลว”
“การสกัดล้มเหลว”
“การสกัดล้มเหลว”
“การสกัดประสบความสำเร็จ!”
“เซลล์ได้รับการประมวลผล เริ่มทำการสกัดดีเอ็นเอที่สอดคล้องกัน”
“ได้รับดีเอ็นเอผู้ชายจากที่ชื่อแบรี่ แล้ว”
“พิจารณาจากความแข็งแกร่งของเขา ผลสรุปว่าเป็นตัวอย่างสำคัญ ทำการจัดส่งไปเก็บยังธนาคารยีน”
“เริ่มกระบวนการวางแผนการขั้นที่สอง”
“ปฏิบัติการจัดเก็บยีนของผู้หญิงที่ชื่อเสี่ยวเหมียว เริ่ม ณ บัดนี้!”
…
อีกด้านหนึ่ง
บนถนนที่ดูวุ่นวาย
ภายในร้านเสื้อผ้า
ตั้งแต่ที่เสี่ยวเหมียวเดินเข้ามาในร้าน เธอก็ลองเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งแต่หัวจรดเท้า บนไหล่ที่เคยว่างเปล่า ตอนนี้ก็สะพายไว้ด้วยกระเป๋าใบเล็กน่ารัก
เธอหยิบลิปสติกขึ้นมาจากมัน และทาอย่างระมัดระวังเบื้องหน้ากระจก
เจ้าตัวยิ้มด้วยความพึงพอใจ
“ช่วยห่อเจ้านี่ ตรงนี้ และก็อันนี้ใส่ถุงให้ฉันด้วย ฉันต้องการมันทั้งหมดเลย” เธอชี้ไปยังเสื้อผ้าหลายตัวที่พึ่งลองใส่ไป
“ค่ะคุณผู้หญิง ทั้งหมดรวมเป็นหนึ่งแสนสองหมื่นแปดพันแต้มเครดิตนะคะ” พนักงานขายกล่าว
เสี่ยวเหมียวยื่นบัตรออกไป
พนักงานขายรับบัตรมา และเริ่มชำระเงิน
เสื้อผ้าถูกห่อและเก็บใส่ถุงอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากได้ทำการเลือกซื้อสินค้าไปมากมาย ส่งผลให้เสี่ยวเหมียวได้กลายเป็นลูกค้าวีไอพีของแบรนด์นี้ทันที แถมยังได้รับบัตรวีไอพีแถมเพิ่มมาอีกด้วย
เธอรับบัตรวีไอพี และโยนมันเข้าไปในมิติห้องเสื้อพร้อมกันกับชุดใหม่ของเธอโดยตรง
ในตอนที่เสี่ยวเหมียวอายุได้สิบเอ็ดปี เจ้าตัวก็มีพลังถึงขั้นสามารถเปิดพื้นที่มิติพิเศษ ไว้ใช้สำหรับเป็นห้องเก็บเสื้อผ้าส่วนตัวได้แล้ว
แต่น่าเสียดาย ที่ภายในห้องมีเสื้อผ้าอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชุดเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เวลานี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป…
“ห้องมิติเก็บเสื้อจะเต็มเสียแล้ว นี่มันน่ารำคาญจริงๆ” เสี่ยวเหมียวบ่นพึมพำ
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่น้ำเสียงของเธอกลับไม่เผยถึงร่องรอยรู้สึกทุกข์ใจใดๆ เลย
“ช่างมันเถอะ เอาไว้เดี๋ยวค่อยเปิดพื้นที่มิติที่สองเพิ่มทีหลังก็แล้วกัน”
เสี่ยวเหมียวเอียงศีรษะของเธอ คิดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับมัน และตัดสินใจอย่างมีความสุข
“คุณผู้หญิง ชำระเงินเสร็จสิ้นแล้ว นี่บัตรของคุณค่ะ”
พนักงานขายยื่นสองมือส่งบัตรคืนให้แก่เสี่ยวเหมียวด้วยความนอบน้อม
เสี่ยวเหมียวรับบัตรมา และเสียบมันเก็บใส่กระเป๋าเล็กๆ ที่สะพายไว้ข้างกายอย่างระมัดระวัง
ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา เพราะด้วยบัตรใบนี้มันทำให้เธอสามารถใช้ชีวิตได้ดั่งราชินีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่จำเป็นต้องฝากบิลหรือติดหนี้คนอื่นทิ้งเอาไว้ ดังนั้นการที่เธอเก็บมันไว้อย่างระมัดระวังจึงสมเหตุสมผลแล้ว
แถมพนักงานขายก็ต้อนรับเธอเป็นอย่างดี ทุกคนแสดงออกถึงความสุขและเต็มใจให้บริการ เพื่อให้ตลอดทั้งกระบวนการช็อปปิ้งเป็นไปอย่างสะดวกสบายและน่าพึงพอใจ
การที่ได้ใช้จ่ายเงิน ไม่ใช้หนี้ มันช่างเป็นความรู้สึกที่วิเศษจริงๆ
ย้ำอีกครั้งนะ ว่านี่คือการจ่ายเงินจริงๆ ไม่ใช่เป็นหนี้!
มันคือการจ่ายเงินจริงๆ!!
เสี่ยวเหมียวรู้สึกว่าเธอได้ตกหลุมรักโลกใบนี้เสียแล้ว
เจ้าตัวเดินออกจากร้านขายเสื้อผ้า และมองหาร้านช็อปปิ้งร้านต่อไป
ตลอดเส้นทาง คู่มือช็อปปิ้งของเทพธิดากงเจิ้งมีประโยชน์มากจริงๆ มันช่วยให้เสี่ยวเหมียวได้เพลิดเพลินไปกับการช็อปปิ้งได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีสะดุดเลย
และถ้าดูจากคู่มือการช็อปปิ้งของเทพธิดากงเจิ้ง สถานที่ต่อไปของเสี่ยวเหมียวก็คือ…
‘หนึ่งในร้านออกแบบทรงผมส่วนบุคคลที่ติดอันดับหนึ่งในสามของโลก’
ไม่นานนัก เสี่ยวเหมียวก็เดินมาหยุดอยู่หน้าร้าน
เธอเงยหน้าขึ้นไปมองป้ายโฆษณา
บนป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ เป็นรูปของผู้หญิงที่มีหน้าตางดงาม เธอกำลังเผยรอยยิ้มสดใสและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“มันคงจะไม่ใช่การแปลงโฉมหรือศัลยกรรมใบหน้าหรอกนะ” เสี่ยวเหมียวเอ่ยถามด้วยความกังวล
“โปรดมั่นใจ สถานที่นี้ไม่ใช่แบบนั้น”
เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น “ตระกูลเจ้าของร้านแห่งนี้ เป็นตระกูลที่เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอก อย่างเช่นเรื่องการบำรุงรักษาผิวพรรณ คุณสามารถสปาผิวให้ชุ่มชื้น ขัดผิวให้ขาวผ่องนุ่มนวล และหลังจากนั้น ผู้เชี่ยวชาญในการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์กว่าหกคนจะช่วยกันออกแบบทรงผมและภาพลักษณ์ใหม่ให้แก่คุณ”
เสี่ยวเหมียวพอได้ฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาสัมผัสลงบนใบหน้าของตัวเอง
จริงสิ เธอจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองบำรุงผิวครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
แล้วผมของเธอ มันก็ยาวขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับไม่มีเวลาที่จะตัดมันเลย
มันกี่วันมาแล้วกันนะ…
เสี่ยวเหมียวก้าวเข้าไปข้างใน
“ยินดีต้อนรับค่ะ!”
“โอ้! คุณคงจะเป็นแขกผู้มีเกียรติที่ได้ทำการนัดหมายไว้ใช่ไหมคะ กรุณาตามดิฉันมาได้เลย”
สองชั่วโมงต่อมา
เทพธิดากงเจิ้งก็ได้รับเส้นผมของเสี่ยวเหมียวมาในที่สุด
“ได้รับยีนของผู้หญิงที่ชื่อเสี่ยวเหมียวมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
“พิจารณาจากความแข็งแกร่งของเธอ ผลสรุปว่าเป็นตัวอย่างสำคัญ ทำการจัดส่งไปเก็บยังธนาคารยีน”
“โครงการวิจัยรวบรวมยีนชั้นเลิศของผู้หญิง เริ่มกระบวนการเพาะเลี้ยง และทดสอบในครั้งที่หนึ่ง”
“โครงการการจัดเก็บรวบรวมยีนยังคงดำเนินต่อไป”
“เริ่มทำการสกัดตัวอย่างยีนจากบุคคลสำคัญทั้งหมดในโลก”
“ยีนของเก้าตระกูลใหญ่ ถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว”
“จากการวิเคราะห์ พิจารณาว่ายีนของตระกูลเมดิซี มีลักษณะที่ค่อนพิเศษออกไป”
“ขั้นตอนที่สามของแผนการ ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นแล้ว”
“ในไม่ช้า แผนปฏิบัติการจัดเก็บยีนของตระกูลเมดิซี จากจักรพรรดินีเวโรน่า กำลังจะเริ่มขึ้น”
“เริ่มปฏิบัติการได้!”
………………………………….
แบรี่กอดอกและกล่าว “จะให้ช่วยดูแลโลก? คิดดีแล้วเหรอ มันจะดีกว่าไหมถ้าให้ฉันกลับไปด้วยกันกับนาย เพื่อดูว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์กันแน่”
เสี่ยวเหมียวยกมือขึ้นดึงแขนเสื้อพี่ชายเธอและกล่าว “พี่ชาย มีบางอย่างไม่ถูกต้อง น้องรู้สึกว่ามิติของโลกใบนี้กำลังถูกแช่แข็ง ส่งผลให้อีกไม่นาน พวกเราจะไม่สามารถเข้าหรือออกไปได้”
“ว่าไงนะ? หมายความว่าถ้าพวกเราออกไปก็จะไม่สามารถกลับมาได้อีกเลยเหรอ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น นี่เป็นแค่ความปั่นป่วนของมิติเวลา แต่มันก็ยังกินเวลานานอยู่ดี น้องกลัวว่าพวกเราไปแล้วจะไม่สามารถกลับมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ”
“งั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่ เพราะถ้าในเมื่อพวกเราเข้าไม่ได้ คนอื่นก็ไม่น่าจะเข้ามาได้เหมือนกัน” แบรี่กล่าว
เสี่ยวเหมียวถอนหายใจ กล่าวด้วยอาการปวดหัว “พี่ชาย พี่ลืมเรื่องพระเจ้าของสถาบันเทพไปแล้วเหรอ?”
พอได้ฟัง แบรี่ก็ร้องอ๋อ เขาตบหัวตนเองแทนคำตอบแก่เธอ
เสี่ยวเหมียว “ก่อนหน้านี้พวกเราถูกหลอกให้คิดว่ามันตายไปแล้ว แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นพระเจ้าจริงๆ น้องหมายถึงถ้าหากมันเป็นการดำรงอยู่ระดับนั้น บางทีก่อนที่โลกมิติอนันต์จะเสถียร มันอาจจะค้นพบช่องโหว่ของโลกใบนี้แล้วบุกเข้ามาก็ได้”
แบรี่พยักหน้า ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของน้องสาว
“น้องกำลังจะบอกว่า พวกเราควรจะอยู่ที่นี่ใช่ไหม”
“ใช่”
“เพราะพี่จะไม่ตายในการต่อสู้ ดังนั้นหากพวกมันบุกเข้ามา พี่ก็จะสามารถยืนหยัดอยู่ในแนวหน้าได้ ขณะที่น้องสามารถช่วยพาโลกทั้งใบหนีไปได้ในระหว่างการต่อสู้”
“ถูกต้อง”
“และเมื่อโลกใบนี้กลายเป็นโลกมิติอนันต์โดยสมบูรณ์ ช่องว่างมิติก็จะปิดลง โลกก็จะปลอดภัย และงานของพวกเราก็จะเสร็จสมบูรณ์”
“พี่ชาย คิดได้ไกลขนาดนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว พี่ดูฉลาดขึ้นมากเลยนะ” เสี่ยวเหมียวอุทานอย่างไม่คาดฝัน
“ฉะนั้น ช่วยผมหน่อยจะได้ไหม” กู่ฉิงซานร้องขอ
เขาหันไปมองหน้าต่างเทพสงคราม
เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งนาทีบนหน้าต่าง
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวพยักหน้า
“ก็ได้ๆ แต่ท่านลุงแบรี่คนนี้ยังไม่อยากรีบร้อนที่จะปีนหอคอยแห่งหมื่นโลกาหรอกนะ เพราะสิ่งที่ฉันต้องการ คือการไปดื่มในบาร์ที่ดีที่สุด และเล่นพนันในกาสิโนที่มีชื่อเสียงที่สุดต่างหาก” แบรี่ยิ้ม
“ส่วนฉันจะไปช็อปปิ้ง กู่ฉิงซาน เงินฝากของนายมากพอที่ฉันจะให้ฉันใช้จ่ายโดยไม่ต้องไปทำงานเป็นการแลกเปลี่ยนใช่ไหม?”
กู่ฉิงซานเคาะศีรษะตนเองดังก๊อง
“เทพธิดากงเจิ้ง”
“ใต้เท้า ฉันรู้แล้ว สำหรับเรื่องเงิน คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับมันเลย”
“โอเค งั้นเรื่องพาพวกเขาไปเที่ยว ฉันขอมอบหมายให้เป็นหน้าที่คุณก็แล้วกันนะ”
“ยินดีรับใช้”
กู่ฉิงซานหันไปมองแบรี่กับเสี่ยวเหมียวอีกที
และเห็นว่าทั้งสองกำลังเผยรอยยิ้มแล้ว และพยักหน้าให้ตน
กู่ฉิงซานจึงค่อยรู้สึกโล่งใจ
ม่านแสงกะพริบไหว
แล้วเขาก็หายตัวไปจากโลกใบนี้
หลังจากที่เขาหายไป
รอยยิ้มบนใบหน้าของแบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็หายไปเช่นกัน
“น้องสาว”
“อืม อย่างที่พี่คิดนั่นแหละ ดูเหมือนว่ากู่ฉิงซานจะรู้อะไรบางอย่างจริงๆ”
“แล้วน้องคิดว่าเขารู้เรื่องอะไร? ใช่เรื่องเดียวกันกับพวกเรารึเปล่า?”
“ไม่น่าจะใช่หรอก แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องที่พวกเรารู้ไม่ว่าอย่างไรก็บอกเขาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นการลากเขาให้จมลงมาด้วยกัน”
“เฮ้อ” แบรี่ถอนหายใจ “ไม่คาดคิดเลยว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วถึงขนาดนี้ รวดเร็วชนิดที่ว่าโลกหกวิถีรวมเป็นหนึ่งในครั้งเดียว พี่ล่ะสงสัยจริงๆ ว่ามีสิ่งไหนอีกบ้าง ที่ทวยเทพได้เตรียมการเอาไว้ แล้วพวกเรายังไม่ได้ค้นพบมัน”
“อย่าพึ่งไปคิดมากเลย ตอนนี้พวกเราควรสะสมพละกำลังเอาไว้ แล้วอยู่กับปัจจุบันจะดีกว่า” เสี่ยวเหมียวกล่าวด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ
“ว่าแต่ทางด้านทะเลเลือดเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เขายังคงค้นหาความลับของป่าช้าวันสิ้นโลกอยู่”
แบรี่ปฏิเสธที่จะยอมรับ เขาเอ่ยถามต่อ “แล้วยังมีใครในองค์กรอีกบ้างที่พอจะสามารถช่วยได้”
“ไม่มีเลย ไก่ใหญ่กำลังรักษาบาดแผล ส่วนปืนกลก็บุกไปที่สถาบันเทพแล้ว – ตอนนี้พวกเราคงหวังได้แค่ว่าทีมตรวจสอบของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงจะสามารถสร้างปัญหาเล็กๆ น้อยให้กับสถาบันเทพได้ มิฉะนั้นคงเหลือแค่พวกเรา ที่จะต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหมอนั่น” เสี่ยวเหมียวกล่าว
คำพูดนี้กระตุ้นแบรี่ให้นึกได้ถึงบางอย่าง
เขาล้วงเอาหนังสือพิมพ์ที่ว่างเปล่าออกมาจากอกเสื้อ
“ข่าวของวันนี้” แบรี่พูดกับหนังสือพิมพ์
ทันใดนั้นหนังสือพิมพ์ที่ว่างเปล่าก็ปรากฏภาพและข้อความมากมายขึ้นมา
“หืม? ข่าวนี้มัน…น้องสาว ลองดูนี่สิ!” แบรี่ตะโกน
“ไหนๆ ข่าวอะไร” เสี่ยวเหมียวชะโงกหน้าเข้ามา
เธอเอื้อมมือไปจับหนังสือพิมพ์และดูข่าวของวันนี้
เห็นแค่เพียงร่างของปืนกลอยู่บนหน้าปก
มันกำลังกราดยิงอย่างรุนแรงเข้าใส่สิ่งปลูกสร้างที่ดูวิจิตรงดงาม
โดยมีบรรทัดพาดหัวข่าวเขียนเอาไว้ว่า ‘ทีมตรวจสอบของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงได้ไปถึงสถาบันเทพแล้ว!’
พี่ชายและน้องสาวกวาดสายตาอ่านพาดหัวข่าวนี้อย่างรวดเร็ว
“เจ้าปืนกล เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามอย่างเต็มที่ ดูเหมือนว่าการต่อสู้ทางฝั่งนั้นจะเข้มข้นมากจริงๆ” แบรี่กล่าว
“แต่มันก็เป็นข่าวดีสำหรับเราเหมือนกันนะ น้องหวังว่าพวกเขาจะสามารถถ่วงเวลาไปได้เรื่อยๆ จนกว่าโลกมิติอนันต์แห่งนี้จะสมบูรณ์” เสี่ยวเหมียวกล่าว
“ใช่ เพราะท้ายที่สุดนี้ ถ้าข่าวเกี่ยวกับสมบัติในโลกใบนี้หลุดออกไป ผู้คนจำนวนมากคงคลั่งกันจนเป็นบ้าแน่ๆ”
ว่าแล้วทั้งสองก็แหงนหน้ามองหอคอยแห่งหมื่นโลกาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
หอคอยสูงแห่งนี้ถูกหล่อขึ้นด้วยทองแดง มันตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่อย่างเงียบๆ
นี่คือวิธีการช่วยเหลือตนเองที่เหล่าทวยเทพเหลือทิ้งเอาไว้ให้กับเหล่าสิ่งมีชีวิต
“พวกเราจะต้องปกป้องโลกใบนี้เอาไว้ให้จงได้” แบรี่กำหมัดแน่น
“ใช่ รอกันที่นี่เถอะ” เสี่ยวเหมียวถอนหายใจและกล่าว
แต่ในเวลานั้นเอง เสียงของยานบินก็ดังขึ้นจากบนฟากฟ้า
เห็นแค่เพียงเรือรบประจัญบานร่อนลงมาจอดที่นี่
ประตูห้องโดยสารถูกเปิดออก ตามด้วยหุ่นรบขนาดเล็กตกลงมา หยุดอยู่ต่อหน้าพี่ชายและน้องสาว
เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังออกมาจากหุ่นรบ
“สวัสดี ฉันได้รับคำสั่งจากใต้เท้ากู่ฉิงซาน ให้มาช่วยบริการท่านทั้งสอง”
หุ่นรบยื่นมือออกไป และส่งบัตรสองใบที่มีขนาดเล็กและบางราวกับปีกจักจั่นให้พี่ชายและน้องสาว
“เจ้าสิ่งนี้มันใช้ทำอะไร?” แบรี่เอ่ยถาม
“มันคือบัตรชำระเงินแบบไม่จำกัดจำนวน” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว
แบรี่รับเอาบัตรมา
“แล้วนอกเหนือไปจากใช้จ่ายเงินแล้ว มันยังมีฟังก์ชันอื่นอีกไหม?” เสี่ยวเหมียวถาม
“แน่นอนว่ามี เพื่อแก้ไขปัญหาการเดินทางที่อาจจะเกิดขึ้น พวกคุณสามารถติดต่อกับฉันผ่านบัตรใบนี้ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าพวกคุณจะมองหากาสิโน บาร์ หรือรีสอร์ตไว้ใช้พักผ่อน ก็สามารถถามจากฉันได้เลยโดยตรง”
“แล้วที่ช็อปปิ้งล่ะ พอจะมีพิกัดบ้างไหม?”
“พิกัดของสถานที่ที่สอดคล้องกับการช็อปปิ้งได้ทำเครื่องหมายเอาไว้ให้คุณแล้ว อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สงครามพึ่งจะจบลง ดังนั้นพวกห้างหรือในหลายๆ สถานที่จึงยังคงเงียบเหงา”
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก สำหรับฉันแล้ว คนน้อยมันจะสะดวกกว่า”
ว่าจบ เสี่ยวเหมียวก็ยื่นมือไปรับบัตรมา
“พี่ชาย ตอนนี้พวกเรามาผ่อนคลายกันก่อนดีไหม?” เสี่ยวเหมียวถาม
“แน่นอน” แบรี่ตอบรับทันที
เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ทั้งสองท่านอยากจะทำอะไรกันก่อน? ไม่ว่าจะเป็นในด้านความบันเทิงหรือเรื่องการกิน ฉันสามารถเลือกสถานที่ให้บริการที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองท่านได้”
“ขอเลือกกินก่อน! พวกเราต้องการจะกินอาหารที่แพงที่สุดในโลก!”
แบรี่ตะโกนเสียงดัง
เทพธิดากงเจิ้งทำการแสดงพิกัดหลายแห่งบนบัตรที่ทั้งสองพึ่งจะรับไปทันที
“พิกัดเหล่านี้เป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก” เทพธิดากงเจิ้งอธิบาย
เสี่ยวเหมียวกวาดสายตาผ่าน และกล่าว “น้องเลือกได้ที่หนึ่งแล้ว พี่ชาย พวกเราไปกันเถอะ”
“ฉันขอถามย้ำอีกครั้งนะ บัตรใบนี้สามารถรูดได้แบบไม่จำกัดจำนวนแน่ๆ ใช่ไหม?” แบรี่อดไม่ได้ที่จะถามซ้ำ
“ใช่แล้ว คุณสามารถใช้มันได้อย่างอิสระ โปรดมั่นใจ” เทพธิดากงเจิ้งยืนยัน
แบรี่ “เอาล่ะ งั้นก็ไปกันเถอะ”
เสี่ยวเหมียวคว้าจับมือของแบรี่ และกำลังจะเริ่มทำการย้ายมิติ
แต่จู่ๆ เธอก็หยุดลงอย่างกะทันหัน และหันไปเอ่ยถามหุ่นรบ “คุณเป็นใครกัน?”
“ฉันคือเทพธิดากงเจิ้ง เป็นเพื่อนของใต้เท้ากู่ฉิงซาน ยินดีที่ได้รู้จัก” เทพธิดากล่าว
“ชื่อว่าเทพธิดากงเจิ้งเหรอ? งั้นเธอก็เป็นผู้หญิงน่ะสิใช่ไหม? ทำไมไม่ไปช็อปปิ้งด้วยกันกับฉันล่ะ? ฉันจะต้องลองชุดนะ แต่ยังไม่มีเพื่อนในโลกนี้คอยช่วยให้คำแนะนำเลย” เสี่ยวเหมียวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แต่หุ่นรบกลับเงียบงัน ไม่เอ่ยตอบคำใดไปครู่หนึ่ง
“ไปกันเหอะ พี่อยากจะชิมอาหารของโลกใบนี้แล้ว” แบรี่เร่งเร้า
เสี่ยวเหมียวจึงไม่คิดชักชวนอีกต่อไป
เธอย้ำเตือนครั้งสุดท้าย “เทพธิดากงเจิ้ง ถ้าสิ่งมีชีวิตตนไหนในหกวิถีไม่เชื่อฟัง เธอสามารถแจ้งพวกเราได้ตลอดเสมอเลยนะ”
“รับทราบแล้ว ฉันขอขอบคุณท่านทั้งสองแทนใต้เท้ากู่ฉิงซานด้วย” เทพธิดากล่าว
เสี่ยวเหมียวพยักหน้าให้หุ่นรบเล็กน้อย และเริ่มใช้งานเทคนิคมนตรามิติ
พี่ชายและน้องสาวหายวับไปจากสถานที่เดียวกัน
แม้แขกจะจากไปแล้ว แต่หุ่นรบก็ยังคงนิ่ง
มันยืนอยู่ในจุดเดิมเป็นเวลานาน
อีกด้านหนึ่ง
ณ ขั้วโลกเหนือ
ภายในป้อมปราการดวงดาวเฉินเตี้ยนเฮ่า
มันลอยอยู่เหนือยานอวกาศของเก้าตระกูลใหญ่ และยังคงถอดรหัสความลับของยานอวกาศ
ผ่านไปสักพักหนึ่ง
ในส่วนลึกเข้าไปของป้อมปราการดวงดาว
บนจอม่านแสง ข้อมูลที่กะพริบไหวอย่างบ้าคลั่งทั้งหมดหายวับไปอย่างกะทันหัน
หลงเหลือเพียงไม่กี่บรรทัดบนจอม่านแสง
“แกนกลางหลักของจักรวรรดิดวงดาวได้ถูกถอดรหัสลงแล้ว”
“จะแสดงถึงผลงานวิจัยที่ได้รับดังต่อไปนี้”
“ผลงานวิจัย แผนการรวบรวมยีนชั้นเลิศ”
“ได้รับฐานข้อมูลการทดลอง”
“ได้รับสถานที่จัดเก็บยีนของจักรวรรดิดวงดาว”
“ได้รับเทคโนโลยีทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง”
“หลังจากศึกษาข้อมูลร่างกายที่เกี่ยวข้องจากการทดลองแล้ว ผลสรุปว่าเทคโนโลยียังไม่สมบูรณ์ และยังคงขาดข้อมูลการทดลองที่สอดคล้องกัน”
“สถานะทางเทคโนโลยี ถูกปิดผนึก”
“เหตุผลที่ปิดผนึก เนื่องจากทางถูกสาธารณรัฐดวงดาวโจมตีอย่างกะทันหัน ส่งผลให้จักรวรรดิแห่งดวงดาวล่มสลาย งานวิจัยทดสอบทั้งหมดจึงถูกทำลายลงก่อนที่พวกเขาจะตื่นขึ้นมา”
“เก้าตระกูลใหญ่ถูกเนรเทศนับตั้งแต่วันนั้น”
เมื่ออธิบายถึงจุดนี้ เทพธิดากงเจิ้งก็เงียบงันไปหลายวินาที
ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังคิดสิ่งใดอยู่
แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ บนจอม่านแสงก็ปรากฏไม่กี่บรรทัดขึ้นมาอีกครั้ง
“การตัดสิน แผนการรวบรวมยีนชั้นเลิศ จะถูกรื้อฟื้น และเริ่มปฏิบัติการใหม่อีกครั้งทันที”
“เริ่มกระบวนการใช้ทรัพยากรทั้งหมด เพื่อดำเนินการทดลอง และรวบรวมข้อมูลเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีการจัดเรียงยีน”
“ระดับงานวิจัย ความลับสุดยอด”
“คนวงในที่สามารถล่วงรู้ กู่ฉิงซาน”
“เพื่อเป็นการลดระยะเวลาการวิจัย และปรับปรุงประสิทธิภาพการวิจัย ดังนั้นในเวลานี้ วัตถุประสงค์ของงานวิจัยจึงจะถูกปรับลดลง”
“จากสองวัตถุประสงค์การวิจัย ทำการพิจารณาตัดสินใจที่จะลบ การจัดเรียงยีนสั้นเลิศอย่างมีประสิทธิภาพของเพศชาย”
“กำหนดวัตถุประสงค์การวิจัย การจัดเรียงยีนสั้นเลิศอย่างมีประสิทธิภาพของเพศหญิง”
“ดังนั้น นับจากนี้ไปโครงการวิจัยจึงสมควรที่จะดำเนินการเปลี่ยนชื่อ”
“โครงการวิจัยได้รับการเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการ เทพธิดาฟื้นคืน”
“เริ่มกระบวนการสกัดยีนจากคลังพันธุกรรม และจัดการทดลองตามลำดับความสำคัญ จากผลการทดลองในครั้งอดีต”
“ถังบ่มเพาะ ถูกจัดเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว”
“เริ่มต้นงานวิจัยได้!”
………………………………….
แบรี่แหงนหน้ามองหอคอยทองแดงที่เสียดแทงลึกขึ้นไปในท้องฟ้า เขาอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความวิตกกังวลน้อยๆ ขึ้นในจิตใจ
“ฉันกลัวว่าการรังสรรค์นี้ของเทพวิญญาณ จะนำพามาซึ่งกลิ่นสาบเลือดของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่เอ่อนอง” เขากล่าว
“คุณกำลังจะบอกว่า ผู้คนมากมายจะต่อสู้ เพื่อแย่งชิงหอคอยและโลกใบนี้ใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
แบรี่ “นั่นคือสิ่งที่สมควรจะเป็น ถ้ากฎเกณฑ์ของหอคอยเป็นอย่างที่ใบหน้าทองแดงพูด ที่บอกว่าสามารถช่วยให้ทุกเผ่าพันธุ์ชีวิตแข็งแกร่งขึ้นได้ แล้วข่าวมันแพร่กระจายออกไป ฉันเดาได้เลยว่ามันคงจะเกิดการปั่นป่วนครั้งใหญ่ขึ้น”
เสี่ยวเหมียว “เมื่อถึงเวลานั้น ทุกชนิดของความยากลำบากก็จะตามมา ปัญหามากมายจะเกิดขึ้น สุดท้ายอิทธิพลจากทุกฝ่ายก็จะเริ่มลงมือ ซึ่งนี่คือสิ่งที่เคยปรากฏขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้งในประวัติศาสตร์”
“นั่นมันเป็นปัญหาจริงๆ อย่างน้อยก็มีสถาบันเทพที่หนึ่งแล้ว ที่รู้เรื่องนี้” กู่ฉิงซานกล่าว
ทั้งสามคนเริ่มวิตกกังวล
แต่ในเวลานั้นเอง ใบหน้าทองแดงก็พูดขึ้น
“เจ้าไม่ต้องกังวลไป สถานการณ์เช่นนั้น แน่นอนว่าเทพวิญญาณย่อมคาดการณ์เอาไว้แล้ว”
ทั้งสามหันไปมองใบหน้าทองแดงพร้อมกัน
ใบหน้าทองแดงยังคงกล่าวต่อ “เมื่อไหร่ก็ตามที่หกวิถีถูกผสานรวมเข้าด้วยกัน และหอคอยแห่งหมื่นโลกาถือกำเนิดขึ้น เทพวิญญาณจักอวยพรคุ้มภัยแก่โลกใบนี้”
“อวยพรคุ้มภัย?” กู่ฉิงซานก้มลงมองใบหน้าทองแดง ปากเอ่ยถามซิอีกครั้ง
ใบหน้าทองแดงกล่าว “ยามที่ข้าสลายไป กฎเกณฑ์ของโลกก็จะเปลี่ยนคุณสมบัติของมัน กลายเป็นโลกมิติอนันต์”
โลกมิติอนันต์!
โลกที่ตราบใดเราทราบถึงพิกัดของมัน เราก็จะสามารถข้ามผ่านข้อจำกัดของมิติและเวลา แล้วไปปรากฏตัวได้ในสถานที่นั้นๆ ได้เลยโดยตรง!
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ จำเป็นต้องได้รับการยินยอมให้เข้ามาจากเจ้าของมันเสียก่อน
เพราะโลกมิติอนันต์น่ะเปรียบดั่งเซฟเฮ้าส์ ไม่ใช่สิ่งที่อิทธิพลจากภายนอกจะสามารถบุกเข้ามาตามอำเภอใจได้
และเป็นเพราะแบรี่มีสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมอยู่นั่นเอง เขาจึงยังสามารถรอดชีวิตมาจนถึงขนาดนี้ได้ ทั้งๆ ที่ตนได้รับบาดเจ็บสาหัส
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเขาหรือเสี่ยวเหมียว ก็จะไม่มีใครสามารถเข้าสู่สมาคมกำปั้นเหล็กได้
เมื่อได้ยินคำกล่าวของใบหน้าทองแดง ทั้งแบรี่และเสี่ยวเหมียวก็ถอนหายใจโล่งอก
กู่ฉิงซานพยักหน้าเล็กน้อย
ไม่อาจปฏิเสธได้เลย ว่ามาตรการคุ้มครองที่เหล่าทวยเทพเตรียมเอาไว้ให้ มันจะครอบคลุมถึงขนาดนี้
“เดี๋ยวก่อนนะ ในเมื่อโลกใบนี้จะกลายเป็นโลกมิติอนันต์ ถ้าเช่นนั้นแล้วเจ้าของโลกมิติอนันต์คือใครกัน?” แบรี่ถามอย่างกระตือรือร้น
“เจ้าของโลกมิติอนันต์ ก็คือคนที่ได้ทำการผสานรวมทั้งหกวิถีเข้าด้วยกัน” ใบหน้าทองแดงกล่าว
มันเบนสายตาไปมองกู่ฉิงซาน “และหากข้ารู้สึกไม่ผิด คนที่ทำการผสานรวมโลกก็คือเจ้า”
“เป็นผมเอง” กู่ฉิงซานยอมรับ
“เช่นนั้น เจ้าจงนำบางสิ่งบางอย่างที่จะใช้เป็นสื่อกลางในการถือครองอำนาจของโลกมิติอนันต์ออกมาเสีย”
“บางสิ่งบางเหรอ แล้วมันสมควรจะเป็นอะไร?”
กู่ฉิงซานหันไปมองแบรี่กับเสี่ยวเหมียว
สำหรับเรื่องนี้ เขาไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรมากนัก แต่ถ้าเป็นแบรี่กับเสี่ยวเหมียวที่เป็นเจ้าของโลกมิติอนันต์ คงจะต่างออกไป
แต่แบรี่กับเสี่ยวเหมียวดูเหมือนจะหัวเราะนำไปก่อนแล้ว
แบรี่กล่าว “นั่นสินะ สัญญาณและประตูของโลกมิติอนันต์จำเป็นต้องมีสิ่งที่ใช้กระตุ้นมันอยู่นี่นา”
เสี่ยวเหมียว “ นายจะต้องเลือกสิ่งที่เสียหายได้ยาก แต่ขณะเดียวกันก็มีความเกี่ยวข้องกันกับโลกใบนี้ เลือกมันให้มาเป็นอุปกรณ์ในการใช้ควบคุมการเข้าออกโลกมิติอนันต์”
“นายจะต้องเลือกมันอย่างรอบคอบ มิฉะนั้นแล้ว หากสิ่งที่ใช้แบกรับอำนาจเกิดความเสียหาย การถ่ายโอนอำนาจโลกมิติอนันต์ จะเป็นอะไรที่ยุ่งยากและลำบากมาก” แบรี่เสริม
กู่ฉิงซานคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าจับอากาศที่ว่างเปล่าอย่างแผ่วเบา
ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาปรากฏขึ้นในมือของเขา
บนดาบยาว ร่างของหญิงงามได้ปรากฏตัวออกมา
“นายน้อย ข้าเกรงว่าข้าจะไม่สามารถรับหน้าที่นี้ได้” ฉานนู่กล่าวอย่างไม่สบายใจ
กู่ฉิงซานยิ้ม “นั่นไม่จริงหรอก ตรงกันข้ามเลยต่างหาก ในความคิดของข้า หากไม่ใช่เจ้า เกรงว่าคงจะไม่มีสิ่งใดอีกแล้วที่จะสามารถแบกรับความรับผิดชอบนี้ได้”
ฉานนู่ “เหตุใดนายน้อยจึงกล่าวเช่นนั้น?”
กู่ฉิงซาน “นั่นเพราะเจ้าครอบครอง อมตะที่ส่งผลให้ไม่มีวันพังทลาย แหกกฎที่ส่งผลให้สามารถทำลายทุกกฎเกณฑ์ และทรงปัญญาที่สามารถเรียนรู้ประสบการณ์จากข้าได้ ด้วยสามพลังศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นเจ้าที่เหมาะสมที่สุด และหากวันใดที่ข้าล่วงลับไป เจ้าก็จงนำไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูตข้ามผ่านสายธารแห่งการหลงเลือน กลับไปยังปรภพ และจงหลบซ่อนตัวอยู่ในภูเขาล้อมเหล็กเสีย”
“หากทำอย่างที่ได้กล่าวมา ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถเปิดประตูโลกมิติอนันต์แห่งนี้ได้อีกต่อไป”
“แล้วโลกใบนี้ก็จะไม่มีทางถูกปองร้าย ยึดครอง หรือแม้กระทั่งทำลายลง โดยอิทธิพลใดๆ จากภายนอก”
“นี่คือวิธีการสุดท้าย ที่จะสามารถการันตีว่าจะปกป้องโลกใบนี้เอาไว้ได้”
ฉานนู่พยักหน้าอย่างเงียบๆ “ข้าเข้าใจแล้ว นายน้อย”
ว่าจบ เธอก็หายกลับเข้าไปในดาบขุนเขาเทวะหกโลกาอีกครั้ง
ใบหน้าทองแดงเฝ้ามองจนถึงฉากนี้ จึงค่อยเอ่ยถาม “เจ้าได้เลือกแล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่ ผมได้เลือกแล้ว”
กู่ฉิงซานโยนดาบขุนเขาเทวะออกไป
“ยอดเยี่ยมจริงๆ เท่านี้ภารกิจของข้าก็เสร็จสิ้น ในที่สุดข้าก็จะสามารถเข้าสู่ห้วงความฝันอันยาวนาน หลับใหลลงสู่ความสงบอันเป็นนิรันดร์เสียที”
สิ้นคำกล่าวนี้ ใบหน้าทองแดงก็เริ่มพังทลายลง
มันปริร้าว แตกระแหงเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นกรวดสีทองแดงนับไม่ถ้วน ก่อนที่ทั้งหมดจะเริ่มกวาดขึ้นไปในอากาศ
กรวดนับไม่ถ้วนสอดแสงสีทองแดงออกมา และแยกบินหายไปในสองทิศทาง
โดยกรวดทองแดงส่วนใหญ่ได้บินขึ้นไปบนท้องฟ้า และค่อยๆ สลายไป
ในขณะเดียวกัน โลกทั้งใบก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
และกรวดทองแดงอีกส่วนหนึ่งก็ลอยตรงมาหมุนวนอย่างรวดเร็วรอบตัวดาบขุนเขาเทวะ
ในท้ายที่สุด ทั้งหมดก็ผลุบลงบนใบมีดของดาบยาว
ดาบยาวที่แต่เดิมสาดแสงสว่างไสวดั่งน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง บัดนี้ค่อยๆ แผ่คลื่นความผันผวนจากโบราณกาลออกมา
กระแสกลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์กระจายออกมาจากดาบยาว
นี่คืออำนาจของเทพวิญญาณ! พวกมันกำลังมอบอำนาจให้กับโลกมิติอนันต์ที่กำลังเกิดใหม่
หลังจากนั้นหนึ่งลมหายใจ ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้ก็ได้หายไป
ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาตกลงในมือของกู่ฉิงซานอีกครั้ง
บนหน้าต่างเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ดาบของคุณได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ขึ้น”
“คุณสมบัติของดาบเกิดการเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้”
“ดาบขุนเขาเทวะหกโลก ดาบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาในโลกนี้ กล่าวได้ว่ามันเป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะแห่งปรภพ”
“ดาบเล่มนี้คือดาบที่สามารถสำแดงกฎเกณฑ์ของภูเขาล้อมเหล็กได้”
“ตัวดาบครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ดังต่อไปนี้”
“พลังศักดิ์สิทธิ์ อมตะ”
“พลังศักดิ์สิทธิ์ ทรงปัญญา”
“พลังศักดิ์สิทธิ์ แหกกฎ”
“พลังศักดิ์สิทธิ์ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักโลกา”
“พลังศักดิ์สิทธิ์ ควบคุมโลก ผู้ที่ถือครองดาบเล่มนี้ จะสามารถควบคุมโลกมิติอนันต์แห่งใหม่ได้”
ข้อมูลทั้งหมดหายไปทันที หลังจากที่กู่ฉิงซานอ่านมัน
และข้อมูลใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม
“โลกกำลังจะถูกเปลี่ยนคุณสมบัติโดยอำนาจของทวยเทพ โดยจะใช้เวลาทั้งสิ้นเก้าถึงเก้าสิบเก้าวัน”
“ในช่วงเวลานี้ โลกใหม่จะค่อยๆ ได้รับคุณสมบัติของโลกมิติอนันต์”
“สามนาทีหลังจากนี้ การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นทางการจะเริ่มต้นขึ้น และหลังจากนั้น ทุกสิ่งมีชีวิตจะไม่สามารถเข้าหรือออกจากโลกใบนี้ไปได้”
“ระบบเทพสงครามขอแนะนำให้คุณใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้ คงหาจากที่อื่นมิได้อีกแล้ว ทุ่มเต็มกำลังเร่งปีนหอคอยแห่งหมื่นโลกา”
กู่ฉิงซานอ่านข้อมูลบนหน้าต่างเทพสงคราม และไตร่ตรองอย่างเงียบๆ
“ยินดีด้วยนะกู่ฉิงซาน ถึงแม้นายจะยังไม่ได้เป็นจ้าววงการ แต่กลับสามารถมีโลกมิติอนันต์เป็นของตัวเอง!” เสี่ยวเหมียวกล่าวแสดงความยินดี
แบรี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นสิ เขาไม่ใช่แค่มีโลกมิติอนันต์ แต่ยังมีหอคอยแห่งหมื่นโลกาไว้ในครอบครองอีก! ดูเหมือนว่าหลังจากนี้ไป สมาคมของเราคงไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลเรื่องเงินอีกแล้วในอนาคต”
“ถูกเผง!” เสี่ยวเหมียวปรบมือด้วยความสุข “เพราะจากนี้ไป จะมีผู้คนนับไม่ถ้วนมาอ้อนวอนเรา เพื่อต้องการที่จะได้เข้าสู่โลกใบนี้”
ทว่าเมื่อกล่าวถึงจุดนี้ การแสดงออกทางสีหน้าของแบรี่ก็กลายเป็นจริงจังอีกครั้ง “เสี่ยวเหมียว เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ นอกจากน้อง พี่ แล้วก็กู่ฉิงซาน จะต้องไม่ให้ใครล่วงรู้ถึงมันเด็ดขาด”
“วางใจเถอะพี่ชาย น้องจะไม่แพร่งพรายข้อมูลเกี่ยวกับกู่ฉิงซานและโลกใบนี้ออกไปอย่างแน่นอน จนกว่าเขาจะพร้อม” เสี่ยวเหมียวกล่าว
แบรี่พยักหน้า “เอาไว้รอให้โลกมิติอนันต์ก่อตัวขึ้นโดยสมบูรณ์เสียก่อน ระหว่างนั้นกู่ฉิงซานก็เข้าไปสำรวจหอคอย ด้วยวิธีนี้ จะทำให้นอกจากพวกเราสามคนก็จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีกแล้ว”
“กู่ฉิงซาน นายรีบลองเข้าไปปีนหอคอยแห่งหมื่นโลกาดูเร็วเข้า พวกเราอยากรู้จะแย่อยู่แล้วว่านายจะแข็งแกร่งได้รวดเร็วขึ้นขนาดไหน”
กู่ฉิงซานพอได้ฟังคำของทั้งสอง ที่กำลังช่วยเขาตัดสินใจอย่างมีความสุข ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
ทว่าสุดท้ายเขาก็ยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อยและกล่าว “แบรี่ เสี่ยวเหมียว ผมเกรงว่าโลกใบนี้คงจะต้องปล่อยให้พวกคุณเป็นคนช่วยดูแลชั่วคราวเสียแล้วล่ะ”
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวชะงักไป
กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “แน่นอน พวกคุณสามารถปีนหอคอยแห่งหมื่นโลกาได้ถ้าต้องการ และยังสามารถออกไปเที่ยวชมโลก ลิ้มรสอาหาร เหล้าหรือไวน์ทั้งหมดที่ต้องการก็ดื่มมันได้เลยตามสบาย โดยเทพธิดากงเจิ้งจะเป็นคนช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดในนามของผมเอง”
“รับทราบแล้วใต้เท้า”
เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังออกมาจากสมองควอนตัม
“ส่วนเรื่องของวันนี้ ฉันคงต้องขอให้คุณช่วยเก็บมันไว้เป็นความลับด้วย”
“วางใจเถอะใต้เท้า ฉันจะไม่แพร่งพรายมันออกไปอย่างแน่นอน” เทพธิดารับคำ
“เฮ้ๆ เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมนายพูดเหมือนว่ากำลังจะจากไปเลย มันเกิดอะไรขึ้น?” แบรี่ถาม
กู่ฉิงซานตอบกลับอย่างสงบ “ผมเป็นห่วงทางด้านอาจารย์ของผม เพราะตอนนี้ท่านได้ขึ้นเป็นผู้นำของกลุ่มพันธมิตรแล้ว ผู้นำที่ซึ่งต้องคอยรับผิดชอบการต่อสู้กับอาณาจักรมาร”
“สงครามเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากที่สุด และท่านก็พึ่งจะได้รับตำแหน่งนี้ ผมเลยกลัวว่าจะยังมีปัญหาบางอย่าง หรือความขัดแย้งภายในยังคงเกิดขึ้น”
“ศิษย์พี่ของผมเองก็ไม่ชอบฝึกยุทธ์ ส่วนศิษย์น้องก็ยังเด็ก ในส่วนนี้ผมก็เป็นกังวลเกี่ยวกับพวกเขาเหมือนกัน”
“แต่ผมจะโล่งใจมาก ถ้ามีพวกคุณทั้งสองคอยคุ้มครองอยู่ที่นี่”
“เพราะฉะนั้น ตอนนี้ผมจะต้องกลับไปยังโลกเทวะ”
“และถ้ามีพวกคุณคอยช่วยดูแลโลกใบนี้ให้ผมสักพัก ผมจะรู้สึกขอบคุณมากๆ”
………………………………….
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวเริ่มหันไปมองรอบๆ ใบหน้าทองแดง
ขณะที่กู่ฉิงซานยังคงยืนนิ่งอยู่ในจุดเดิมอย่างว่างเปล่า
ในหัวใจของเขาฟุ้งไปด้วยความคิดมากมาย จนไม่อาจข่มมันให้สงบลงได้เลย
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อมองลงบนใบหน้าทองแดง เขาก็ย้อนนึกไปถึงร่างใหญ่
ร่างใหญ่ถูกขังอยู่ในโลกปิด ถูกตรึงเข้ากับเสาทองแดง และไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้
บางทีเสาทองแดงนั่น… ก็อาจจะเป็นสิ่งที่เหล่าทวยเทพสร้างขึ้นเช่นกันใช่หรือไม่
หากเขาได้เข้าไปหาร่างใหญ่ในครั้งต่อไป ตนจะต้องไม่ลืมเอ่ยถามถึงที่มาของมัน
แถมยังมีอะไรแปลกๆ อย่างมอนสเตอร์ประหลาดตัวนั้นอีก
มอนสเตอร์ที่คอยกัดกินเลือดเนื้อของร่างใหญ่
นอกจากนี้ มันยังเรียกชื่อของเขา และกระโจนเข้ามาสังหารตนเอง
แต่โชคยังดี ที่ตัวเขาได้สวมใส่เกราะเทพเอาไว้ ทำให้สามารถซื้อเวลาได้มากพอ และพลิกกลับสังหารมอนสเตอร์ประหลาดลงได้ในที่สุด
มันบอกว่าตัวเขาน่าสงสาร
น่าสงสาร…
ในหัวใจของกู่ฉิงซานบังเกิดความสงสัยผุดขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน
สถานการณ์ในขณะนั้น ความแข็งแกร่งของตนยังอ่อนแอเกินไป เกราะเทพจึงทำได้เพียงช่วยชะลอเวลา ขณะที่ดาบพิภพทำได้เพียงระเบิดพลังออกมาเท่านั้น
ส่งผลให้เขาจำต้องสังหารมอนสเตอร์ลง ไม่สามารถจับเป็นกลับมาเพื่อเค้นถามอย่างช้าๆ ได้
ตอนนี้ ทั้งหมดจึงได้กลายเป็นปริศนาไปแล้ว
กู่ฉิงซานไม่อาจอาศัยข้อมูลที่เขารู้อยู่ในปัจจุบัน คาดเดาอะไรได้เลย
นี่มันช่างชวนให้สิ้นหวังจริงๆ!
กู่ฉิงซานลดเปลือกตาลง และถอนหายใจอย่างเงียบๆ
ในที่สุดเสี่ยวเหมียวก็สังเกตได้ถึงการแสดงออกที่ผิดปกติของกู่ฉิงซาน
เธอกระโดดขึ้นไปบนปลายจมูกของใบหน้าทองแดง และเพ่งดูกู่ฉิงซานอย่างใกล้ชิด
“กู่ฉิงซานเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นกับนายงั้นเหรอ?”
เธอถาม
“ผมไม่เป็นอะไรหรอก” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผมก็แค่คิดว่ากุญแจสำคัญในการเปิดสุสานแห่งโลกมันอาจจะอยู่ในดวงตาของรูปปั้นเทพก็ได้”
“โอ๊ะ? ที่แท้นายยืนนิ่งก็เพราะกำลังคิดหาวิธีอยู่นี่เอง”
เสี่ยวเหมือนอุทาน
แบรี่ก็ได้ยินสิ่งที่กู่ฉิงซานกล่าวเช่นกัน
เขาไม่พบอะไรบริเวณปากของใบหน้าทองแดง เจ้าตัวผุดลุกขึ้นและเอ่ยถาม “นายคิดว่าเป็นตรงบริเวณตาใช่ไหม?”
แบรี่ขยับร่างตน ตรงไปยังดวงตาของรูปปั้นทองแดง
“ตาข้างซ้าย” กู่ฉิงซานช่วยเตือน
แบรี่พยักหน้า และย่อตัวลงบริเวณขอบดวงตาซ้ายของรูปปั้นทองแดง
เขาก้มลงและกดฝ่ามือของเขาลงบนผิวดวงตาทองแดง และทำการรับรู้ถึงมันอย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แบรี่ก็ตะโกนออกมา “มันมีบางอย่างต่างออกไปจริงๆ ด้วย”
“ต่างออกไปยังไงเหรอ?” เสี่ยวเหมียวตะโกนถามจากระยะไกล
“ดวงตานี่มันหลวม เหมือนว่าจะสามารถเคลื่อนย้ายได้”
ระหว่างกล่าว แบรี่ก็กดมือลงแรงๆ บนมัน
ดวงตาของใบหน้าทองแดงค่อยๆ จมลง จนเหลือเพียงสองหลุมดำบนใบหน้าของรูปปั้น
หนึ่งลมหายใจผ่านไป
ทันใดนั้นไฟสว่างสองดวงก็ปรากฏขึ้นภายในดวงตาของรูปปั้น
เมื่อแสงปรากฏ ทั้งร่างของรูปปั้นก็ราวกับได้รับชีวิตกลับคืนมาทันที
รูปปั้นทองแดงเปิดปากและถอนหายใจยาว
มันมองแบรี่ แล้วก็เสี่ยวเหมียว สุดท้ายกู่ฉิงซาน
“เป็นเจ้าที่ปลุกข้าให้ตื่นขึ้นงั้นหรือ?” รูปปั้นทองแดงถาม
เสียงของมันสะท้อนกังวานไปหลายชั้น เป็นน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และสง่างาม
“ใช่ เป็นพวกเราเอง” แบรี่กล่าว
“ทำได้ดีมาก” รูปปั้นทองแดงยกย่อง “ก่อนที่เหล่าทวยเทพจะจากไป สถานที่แห่งนี้คือสุสานแห่งโลกที่พิเศษกว่าที่อื่นๆ”
“หากจะเปิดมัน ก็จำต้องทำการผสานรวมหกวิถีแห่งสังสารวัฏให้เป็นหนึ่งเดียวกันเสียก่อน”
“ท่ามกลางสายธารแห่งกาลเวลาที่ไหลผ่านมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็มีคนผสานรวมโลกมนุษย์ โลกอาชูร่า โลกสวรรค์ โลกปรภพ โลกผีร้าย และโลกจ้าวอสูร เข้าด้วยกันได้เสียที”
“ถึงแม้ว่าพวกเราจะจากไปเนิ่นนานแล้ว แต่พวกเรายังสามารถรับรู้ได้ถึงเรื่องนี้ และรู้สึกโล่งใจจริงๆ”
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวมองหน้ากันและกันด้วยความประหลาดใจ
ทั้งสองคือฮีโร่ที่ผ่านพ้นประสบการณ์มามากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถตระหนักได้ถึงคำใบ้บางอย่างในประโยคของใบหน้าทองแดงได้อย่างชัดเจน
“เทพวิญญาณที่เคารพ ทำไมท่านถึงต้องการให้โลกหกวิถีผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียวด้วย?” เสี่ยวเหมียวถาม
“เพราะนี่คือความปรารถนาของเรา พวกเรากำลังเตรียมพร้อมที่จะกระทำมันให้เสร็จสมบูรณ์ แต่ในที่สุดพวกเราก็ไม่มีเวลามากพอที่จะทำมัน เนื่องจากเกิดเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างขึ้นเสียก่อน” ใบหน้าทองแดงตอบ
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวพอได้ฟัง ก็ไม่เข้าใจว่าความหมายของอีกฝ่ายคือสิ่งใด
มีเรื่องที่เหล่าทวยเทพยังทำไม่สำเร็จอยู่ด้วยอย่างงั้นหรือนี่?
กู่ฉิงซานช็อค
ทันใดนั้นในจิตใจของเขาก็ราวกับได้รับแสงสว่าง
หลังจากที่เหล่าทวยเทพได้สร้างโลกหกวิถีขึ้น และเตรียมที่จะหลอมรวมโลกหกวิถีเข้าด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ความตั้งใจของพวกเขาถูกค้นพบโดยศัตรู
จนโลกหกวิถีต้องถูกทำลายลง!
นี่เองสินะ คือเหตุผลที่เหล่าทวยเทพไม่สามารถทำมันได้!
“เพราะอะไร ทำไมท่านถึงไม่มีเวลาที่จะทำมัน?” กู่ฉิงซานลองเอ่ยถาม
ใบหน้าทองแดงนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
“คำถามนี้มิใช่สิ่งที่เจ้าควรจะรู้” ใบหน้าทองแดงกล่าว
กู่ฉิงซานสวนกลับทันที “เช่นนั้นโปรดบอกผม ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ทำการผสานรวมโลกหกวิถีเข้าด้วยกัน”
ใบหน้าทองแดงนิ่งงันไปอีกครั้ง
มันถอนหายใจอย่างลึกล้ำ และกล่าว “การผสานรวมของหกวิถี จะก่อให้เกิดความเป็นไปได้บางอย่างขึ้น แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรจะรู้”
ใบหน้าทองแดงไม่คิดตอบคำถามอีกต่อไป มันกล่าว “ตอนนี้ อีกไม่นาน สุสานแห่งโลกที่พิเศษจะถูกปลุกขึ้น”
แบรี่ถามเสียงหม่น “ที่ว่าตื่นขึ้นน่ะหมายความว่ายังไง? ฉันจำได้ว่าสุสานแห่งโลกคือพื้นที่ ที่ซ่อนอยู่ในมิติ และทำได้เพียงต้องเข้าไปนำสมบัติมาจากข้างในไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อสนทนากันมาถึงจุดนี้ แบรี่เองก็เริ่มรู้สึกแล้วถึงความผิดปกติบางอย่าง
“นี่คือสุสานแห่งโลกที่พิเศษออกไป” ใบหน้าทองแดงกล่าว
ทั้งสามคนหันมามองหน้ากันและกัน
พวกเขาย้อนนึกไปถึงคำพูดของคนจากสถาบันเทพ
กลุ่มคนจากสถาบันเทพเข้ามายังโลกใบนี้ ก็เพื่อที่จะตามหาสุสานแห่งที่พิเศษออกไป เพื่อพระเจ้าของพวกเขา
ขณะนั้นเอง ใบหน้าทองแดงก็อธิบายต่อ “เมื่อเจ้าผสานโลกหกวิถีจนครบ แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตเล็กจ้อย ก็ยังสามารถพัฒนาขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังนั้นเราจึงฝังหอคอยไว้ที่นี่ เพื่อรอให้มันถูกปลุกขึ้นมา”
พร้อมกันกับคำพูดของมัน โลกทั้งใบก็เริ่มสั่นสะเทือน
“ดูนั่นสิ!” เสี่ยวเหมียวร้องออกมา
ห่างออกไปไม่กี่สิบเมตรข้างๆ ใบหน้าทองแดง หอคอยสูงที่สาดแสงเย็นของโลหะก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
-นี่คือหอคอยที่ถูกทำขึ้นมาจากทองแดงทั้งหมด!
มันโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน และดิ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า ทะลุขึ้นไปถึงชั้นเมฆแล้วจึงค่อยชะลอตัวลง
ครืน…
ท่ามกลางการสั่นสะเทือน หอคอยสูงตั้งตระหง่านเชื่อมต่อระหว่างสวรรค์และโลกเข้าด้วยกัน
มันช่างงดงามและเปี่ยมไปด้วยบารมี หากผู้ใดจ้องมองมัน ในหัวใจย่อมรู้สึกได้ถึงความยำเกรงและเคารพบูชา
เสี่ยวเหมียวเอ่ยเสียงแหบแห้ง “อย่าบอกนะว่านี่คือหอคอยแห่งความรู้ของสมาคมผู้พิทักษ์หอคอยสูง?”
ใบหน้าทองแดงกล่าว “ไม่ใช่ นี่คือมิใช่หอคอยแห่งความรู้ แต่มันคือหอคอยสุดท้ายที่เทพวิญญาณสร้างขึ้น เรียกว่าหอคอยแห่งหมื่นโลกา”
“หอคอยแห่งหมื่นโลกา?”
“ถูกต้อง หอคอยแห่งความรู้ คือสิ่งที่ทุกสรรพชีวิตสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับความรู้ของโลกผ่านทางวิธีการและรูปแบบต่างๆ ได้ ทว่าสำหรับหอคอยแห่งหมื่นโลกานี้ ความรู้และหลักการทั้งหมดของโลกทั้งล้านล้านใบได้ถูกเตรียมเอาไว้ให้พร้อมแล้ว และเมื่อสิ่งมีชีวิตใดๆ สามารถผ่านการทดสอบ พวกเขาก็จะสามารถเรียนรู้มัน และแข็งแกร่งขึ้นได้ทันที”
“ทุกคนที่เข้ามาในหอคอยนี้ จะต้องเผชิญกับการทดสอบที่แตกต่างกันออกไป และเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาบรรลุบททดสอบ พวกเขาก็จะสามารถปีนขึ้นไปยังชั้นถัดไปได้”
“ยิ่งจำนวนชั้นสูง รางวัลก็ยิ่งเลอค่า”
“แล้วรางวัลที่ว่านั่นมีอะไรบ้าง?” แบรี่ถาม
“เทคนิคลับในการยกระดับ กุญแจสำคัญในการวิวัฒนาการ สกิล อาวุธ สมบัติ อุปกรณ์ หนทางสู่ความเชี่ยวชาญพิเศษ ฯลฯ”
“ทุกสิ่งมีชีวิตสามารถปีนหอคอย เพื่อพัฒนาตนให้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้”
“นี่คือวิธีการช่วยเหลือตนเอง ที่เหล่าทวยเทพทิ้งไว้ให้ทุกสรรพชีวิต!”
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวรับฟังอย่างเงียบๆ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปแหงนหน้ามองดูหอคอยทองแดงที่สูงตระหง่านอีกครั้ง
“ใหญ่โตเกินไป…” เสี่ยวเหมี่ยวอดพูดไม่ได้
แบรี่ถอนหายใจ “เหล่าทวยเทพช่างมีเมตตาจริงๆ พวกเขาได้สร้างสิ่งนี้ เพื่อช่วยให้ทุกชีวิตแข็งแกร่งขึ้น”
ใบหน้าทองแดงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทวยเทพทรงรักในทุกชีวิต ทวยเทพทรงเมตตาต่อชีวิตทั้งมวล ยิ่งทุกชีวิตแข็งแกร่งขึ้น ทวยเทพก็จะยิ่งรู้สึกพึงใจและมีความสุข”
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวผงกหัวเล็กน้อย
เหล่าทวยเทพได้สร้างหอคอยแห่งหมื่นโลกาทิ้งเอาไว้เพื่อทุกสิ่งมีชีวิตอย่างแท้จริง
และคงไม่มีเหตุผลอื่นใดอีก นอกไปจากความเมตตาต่อทุกสิ่งมีชีวิต เนื่องด้วยหวังว่าทุกสิ่งมีชีวิตจะสามารถอยู่รอด และมีชีวิตที่ดีขึ้น
มีเพียงกู่ฉิงซานที่รับฟังอย่างเงียบๆ และไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
‘เหตุผลที่ทำไมเทพวิญญาณถึงต้องการให้ทุกสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งขึ้นน่ะหรือ?’
‘แท้จริงแล้วหาใช่ความเมตตา แต่เป็นเพราะพวกเขาต้องการให้ทุกสรรพชีวิตเป็นกำแพงอุปสรรค คอยถ่วงเวลาให้พวกเขาหลบหนีไปต่างหาก!’
‘เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่ง ทว่าใบหน้าทองแดงกลับกล่าวออกมาอย่างภาคภูมิ สื่อเจตนาบ่งบอกว่าทวยเทพนั้นประเสริฐเพียงไร’
ความโกรธในจิตใจของกู่ฉิงซานเริ่มที่จะปะทุขึ้นทีละน้อย
ทว่าเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าพลังที่จะสามารถช่วยให้ตนแข็งแกร่งขึ้นได้ ฉะนั้นจะให้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลทำเป็นละเลยมันไปก็คงจะไม่ได้เช่นกัน
เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤต เหล่าทวยเทพแท้จริงแล้วกลับเลือกที่จะใช้สิ่งมีชีวิตตลอดทั้งหมื่นโลกาเป็นโล่กำบัง
โดยแลกเปลี่ยนกับการช่วยเหลือให้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้น บ่งบอกกลายๆ ว่าพวกเจ้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นนะจึงจะไขว่คว้าความหวังที่จะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้
แต่อันที่จริง ไอ้สิ่งที่เรียกว่าความหวังนั่นมันอาจจะไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้
พวกเขาน่ะไร้ซึ่งความหวังในการมีชีวิตรอด ขณะเดียวกันก็ต้องกลายเป็นเพียงเครื่องมือที่ต้องแข็งแกร่งขึ้น คอยช่วยต้านทานศัตรูของเหล่าทวยเทพ
ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าโดยแท้
มันจะไม่มีหนทางใดเลยหรือที่สิ่งมีชีวิตทั้งมวลจะสามารถรอดชีวิตไปได้?
ที่สิ่งมีชีวิตสามารถกระทำได้ คือการตกเป็นเครื่องมือในการปกป้องเหล่าทวยเทพเท่านั้นเองหรือ?
กู่ฉิงซานกัดฟันแน่น
ความไม่ยินยอมที่จะแข็งแกร่งขึ้นแลกกับการตกเป็นเครื่องมือ เดือดปุดๆ อยู่ในหน้าอกของเขา เขาต้องพยายามควบคุมตัวเองอย่างเต็มกำลัง เพื่อที่จะยับยั้งไม่ให้ความสิ้นหวังและความโกรธในจิตใจปะทุออกมา
ไม่!
โชคชะตาของฉัน เช่นเดียวกันกับโชคชะตาของทุกสิ่งมีชีวิต มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้!!!
แน่นอน… มันจะต้องมีหนทางสิ…
กู่ฉิงซานฝืนบังคับตัวเองให้สงบลง และมุ่งเน้นสมาธิเริ่มขบคิดอย่างจริงจัง
จู่ๆเขาก็พลันตระหนักได้ถึงฉากที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ประโยคสุดท้ายที่เงาจากยุคโบราณพูดขึ้นก่อนจะสลายไป
“เพราะเหล่าทวยเทพได้สร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ขึ้นมากมาย และบางอย่างหากวิวัฒนาการแล้วก็อาจถึงขั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าตนเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครพูดได้เต็มปากว่า จะไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆ เกิดขึ้นเลย จนกว่าตลอดทั้งหมื่นโลกาจะถูกทำลายลงจนพินาศสิ้น”
ประโยคนี้ยังอื้ออึงอยู่ในหูของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานกรองคำกล่าวของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทันใดนั้นเอง ความคิดหนึ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนก็ผุดขึ้นมาในจิตใจของเขา
ใช่แล้วล่ะ เช่นเดียวกันกับความปรารถนาของเทพบรรพกาล ทุกสิ่งมีชีวิตในตลอดทั้งหมื่นโลกาสมควรที่จะเติบโต และแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
แต่ที่จะแกร่งขึ้น ไม่ใช่เพื่อเป็นเครื่องมือที่คอยช่วยป้องกันเหล่าทวยเทพ
นั่นก็เพราะ…
แม้ทุกสรรพชีวิตจะถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพ แต่ใครจะกล้าพูดได้อย่างเต็มปากกันล่ะว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะไม่สามารถเหนือล้ำยิ่งกว่าทวยเทพได้?
มีแค่เพียงจะต้องแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเหล่าทวยเทพเท่านั้น จึงจะสามารถสร้างหนทางแห่งความหวังให้หลุดพ้นจากชีวิตและความตายได้!
นี่คือวิธีเดียวที่จะสามารถเอาชนะเทพวิญญาณ และสามารถจัดการกับการดำรงอยู่ที่แม้แต่เหล่าทวยเทพก็ยังหวาดกลัวได้!
นี่คือหนทางที่ทุกสิ่งมีชีวิตสมควรจะปฏิบัติ!!!
กู่ฉิงซานกำหมัดของเขาแน่น
ช่วงเวลานี้ ในหัวใจของเขาบังเกิดความหาญกล้าพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างเป็นประวัติการณ์!
………………………………….
เงาบุคคลยังคงนิ่งมองกู่ฉิงซาน ผ่านดวงตาของใบหน้าทองแดงอย่างเงียบๆ
อย่างไรก็ตาม แบรี่และเสี่ยวเหมียวกลับไม่สามารถตระหนักถึงมัน
แบรี่ “นายต้องระวังตัวให้ดี จะมีบางสุสานแห่งโลกที่มักจะเกิดเหตุการณ์แปลกๆ ขึ้นเหมือนกัน ในช่วงเวลาก่อนที่มันจะถูกเปิด”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ด้วยความแข็งแกร่งของฉันกับพี่ชาย พวกเราสามารถรับมือมันได้อย่างแน่นอน” เสี่ยวเหมียวพูดด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสามยังคงร่อนลงไปยังใบหน้าทองแดง
หลังจากนั้นหนึ่งลมหายใจ
พวกเขาก็ลงมาหยุดยืนบนปลายจมูกของใบหน้าทองแดงได้ในที่สุด
“ต่อไป พวกเราจะแยกกันสำรวจ และดูว่ามีอะไรพิเศษเกี่ยวกับรูปปั้นทองแดงนี้รึเปล่า” แบรี่กล่าว
“ถ้าว่ากันโดยทั่วไปแล้ว รูปปั้นที่ดูพิเศษแบบนี้ อย่างไรก็ต้องมีความเกี่ยวข้องกับวิธีการเปิดสุสานแห่งโลกอย่างแน่นอน” เสี่ยวเหมียวอธิบายกับกู่ฉิงซาน
“งั้นพวกเราก็มาเริ่มกันตอนนี้เลยไหม?” แบรี่เริ่มควงแขนของเขาที่เปี่ยมไปด้วยพลัง
เพราะท้ายที่สุดนี้ มันเป็นสิ่งที่เหล่าทวยเทพทิ้งเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้สำรวจมัน
กู่ฉิงซานเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของทั้งสองอย่างเยือกเย็น
แต่ก็พบว่าทั้งแบรี่และเสี่ยวเหมียว ไม่ได้มองเห็นเงาบุคคลคนนี้จริงๆ
พี่ชายและน้องสาวมีบุคลิกที่เปิดเผยและซื่อตรง
หากพวกเขาหลอกลวงตนเอง โดยการแสร้งทำเป็นไม่เห็นเงาบุคคล และแกล้งไม่พูดถึงมัน การแสดงออกของแบรี่กับเสี่ยวเหมียวจะต้องมีบางอย่างผิดปกติไปอย่างแน่นอน
นี่มันแปลกจริงๆ
กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึก
เขาตัดสินใจที่จะแนะนำแบรี่กับเสี่ยวเหมียวอีกครั้ง โดยการขอให้ทั้งสองใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราบางอย่าง
หากใช้เทคนิคมนตรา บางทีทั้งสองอาจจะมองเห็นถึงเงาบุคคลคนนี้ก็ได้
กู่ฉิงซานเอ่ยปาก “แบรี่ เสี่ยวเหมียว พวกคุณลองใช้เทคนิคมนตรา มองเข้าไปในดวงตาซ้ายของใบหน้าทองแดงดูสิ ผมพบว่า…”
แต่แล้วคำพูดของเขาก็ขาดห้วงไป
เมื่อเจ้าตัวกล่าวว่า ‘ดวงตาซ้ายของใบหน้าทองแดง’ ทุกอย่างรอบตัวเขาเปลี่ยนไป
สภาพแวดล้อมโดยรอบกลายเป็นพร่ามัว ฉากต่างๆ มากมายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงเส้นแสง แยกตัวออกไปจากกู่ฉิงซาน
โลกทั้งใบกลายเป็นความว่างเปล่าสีขาวบริสุทธิ์
กู่ฉิงซานค้นพบว่าตัวเองกำลังลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ แต่ขณะที่กำลังจะตั้งสติได้ เขาก็ถูกทิ้งให้ตกลงมาบนพื้นอีกครั้ง
เขาปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และหันไปมองรอบๆ
เหนือ ใต้ ออก ตก สวรรค์และโลกทั้งสี่ทิศทาง ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด
โลกทั้งใบนอกเหนือไปจากสีขาว ก็ไม่อาจมองเห็นถึงสิ่งใดได้อีกเลย
โลกทั้งใบล้วนเป็นสีขาว เว้นไว้เพียงแต่เกาะหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว
เป็นเกาะที่กู่ฉิงซานกำลังหยั่งเท้าอยู่
ในไม่ช้า เขาก็ออกจากโลกใบเดิม และมาหยุดยืนอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวแห่งนี้
เสี่ยวเหมียวกับแบรี่ได้หายไปแล้ว
หลงเหลือเขาเพียงลำพังตลอดทั้งเกาะ
ซึ่งเกาะนี้กำลังลอยอยู่เหนือหุบเหวไร้ก้นบึ้ง ลึกลงไปไม่มีที่สิ้นสุด
ฉากดังกล่าวนี้ ค่อนข้างดูคล้ายกับเกาะลอยฟ้าในโลกล่องเวหา
อย่างไรก็ตาม นี่มันแตกต่างจากโลกล่องเวหา เพราะเบื้องล่างของมันเป็นหุบเหวลึก ไร้ซึ่งวี่แววใดๆ ของมารโลกา
กู่ฉิงซานก้มหน้าลง และลองย่ำๆ ลงกับพื้น
พื้นมีความแข็งเป็นอย่างมาก แถมยังสาดแสงมันวาวของโลหะ
นี่คือสีเงาวาวของทองแดง
กลับกลายเป็นว่าเกาะแห่งนี้ ทำมาจากทองแดงทั้งเกาะ
กู่ฉิงซานขบคิดเล็กน้อย ก่อนจะแสยะยิ้มเย็น
หากต้องการที่จะเคลื่อนย้ายสองตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ โดยไม่ให้ได้รับการต่อต้านใดๆ คงจะเป็นการยากเกินไป
ดังนั้น
ในความเป็นจริง เลยมีเพียงตนเองเท่านั้นที่ถูกเคลื่อนย้ายมา
นี่คือคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุด
“เป็นเทคนิคหลอนประสาทรึเปล่านะ?”
กู่ฉิงซานพึมพำ และคว้าจับดาบขุนเขาเทวะหกโลกาออกมาจากความว่างเปล่า
ดาบขุนเขา ทำลายกฎเกณฑ์!
ภายใต้การทุ่มเต็มกำลังของตนเอง อย่างน้อยก็สมควรที่จะสามารถทำลายเทคนิคหลอนประสาทเบื้องหน้านี้ลงได้
เขาง้างดาบขึ้น และเตรียมที่จะสับออกไป
“ช้าก่อน”
เสียงที่ฟังดูคุ้นเคยดังขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ร่างของกู่ฉิงซานก็พลันแข็งค้าง จนแทบจะมิอาจกุมดาบในมือได้อีกต่อไป
หลังจากที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างยาวนาน และหลายครั้งครา เขามักจะสามารถรักษาความสงบ และควบคุมสติอารมณ์ได้เสมอมา
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ เพียงแค่ได้ยินถึงเสียงดังกล่าว กู่ฉิงซานกลับรู้สึกได้ถึงความเย็นวาบที่เสียดแทงเข้ามาตามแผ่นหลัง
“ท่านเป็นใครกัน?”
กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยเสียงหนักอึ้ง
“ข้าเป็นใคร? นั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก”
ภายใต้เกาะทองแดง เบื้องล่างหุบเหวที่ลึกจนไร้ที่สิ้นสุด เงาดำเงาหนึ่งได้พุ่งทะยานขึ้นมา
เงาดำที่ว่านั้นค่อยๆ ตกลงตรงข้ามกับกู่ฉิงซานอย่างนุ่มนวล
ไร้ซึ่งรูปลักษณ์ใบหน้าใดๆ ไร้ซึ่งเอกลักษณ์บนร่างกายที่จะสามารถมองเห็นได้ นี่เป็นเพียงเงาของบุคคลเท่านั้น
แต่มันช่างเป็นเงาที่มีรูปร่างแสนคุ้นเคย
กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก แต่เขาก็แทบจะไม่สามารถควบคุมจิตใจของตัวเองได้
“ท่านใช้เทคนิคอะไร เพื่อนำพาผมมาที่นี่” เขาเอ่ยถาม
“รายละเอียดเหล่านั้นหาได้สำคัญไม่ หากเทียบเปรียบกับสิ่งที่ข้ากำลังจะพูด” เงากล่าว
“โปรดบอกให้ผมทราบอีกเรื่องหนึ่งจะได้ไหม อย่างเช่นเรื่องที่มาของท่าน”
เงาตอบ “ข้ามาจากยุคโบราณ ครั้งหนึ่งเคยเป็นเงาของใครบางคน และเนื่องจากพลังเหนือธรรมชาติที่แนบมากับสุสานแห่งโลก ส่งผลให้แม้กาลเวลาจะผ่านไปยาวนาน แต่ข้าก็ยังมิได้สลายหายไป”
“ตัวข้าถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง เพราะบุคคลผู้นั้นรู้สึกว่า จำเป็นที่จะต้องส่งต่อความจริงบางอย่างไปสู่คนรุ่นหลัง และมอบความหวังในการเรียนรู้ให้แก่พวกเขา”
“และเพื่อให้ความลับอันทรงคุณค่านี้ถูกส่งต่อ บุคคลคนนั้นถึงขั้นวางเขตแดนอำนาจเอาไว้มากมาย ซึ่งข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าพวกมันคือสิ่งใด”
“แต่ภารกิจของข้าก็คือ การส่งต่อคำพูดของเขา ไปยังตัวตนที่สามารถผสานรวมโลกหกวิถีเข้าด้วยกัน และสามารถเปิดสุสานแห่งโลกได้”
“เชิญท่านชี้แนะ” กู่ฉิงซานกล่าว
เงา “คำพูดนี้จะถูกส่งผ่านได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และสิ่งที่พูดออกไป จะต้องมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่รับรู้ ห้ามบอกเล่ามันแก่ผู้ใด มิฉะนั้นแล้วเจ้าจะต้องเสียใจ”
น้ำเสียงของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นโทนหนักอึ้ง
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ขอจงตั้งใจฟังให้ดี”
“เหล่าทวยเทพได้สร้างโลกขึ้นมามากมาย และหกวิถีแห่งสังสารวัฏก็เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่สุด แต่สุดท้ายก็กลับถูกทำลายลงอย่างเงียบๆ”
นั่นมันเป็นเรื่องที่ฉันรู้อยู่แล้วนี่นา!
กู่ฉิงซานไม่ต้องการที่จะคิดเกี่ยวกับมัน เขาเร่งเอ่ยถามในข้อสงสัยอย่างรวดเร็ว “แล้วเป็นใครกันที่ทำลายโลกหกวิถี?”
เงากล่าว “ข้าไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่าเทพวิญญาณหวาดกลัวในการดำรงอยู่ที่ว่านั่น”
“เทพวิญญาณ? จริงสิ ว่าแต่ทำไมผมถึงไม่เห็นเทพวิญญาณในโลกเก้าร้อยล้านชั้นเลยล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“นั่นเพราะเหล่าทวยเทพได้หลบหนีไปแล้ว” เงากล่าว
เวลานี้ ร่างของมันค่อยๆ อ่อนจางลง คล้ายกับว่าเรื่องที่มันกำลังถ่ายทอดออกมานี้ เป็นการสิ้นเปลืองพลังงานเป็นอย่างมาก
“มีสิ่งสุดท้ายที่เจ้าจะต้องตั้งใจฟังให้ดี”
“ในครั้งอดีต แต่เดิมแล้วโลกเคยมีอยู่ถึงเก้าพันเก้าร้อยล้านชั้น แต่มันก็ค่อยๆ ถูกทำลายลง ล่มสลายกลายเป็นป่าช้าแห่งวันสิ้นโลก”
‘เก้าพันเก้าร้อยล้านชั้น!’
‘ถ้านี่เป็นเรื่องจริง’
กู่ฉิงซานสูดลมหายใจเย็นเยียบ เขาทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม “ผมไม่เชื่อหรอกว่าโลกเคยมีอยู่ถึงเก้าพันเก้าร้อยล้านชั้น เพราะถ้ามันมีจริง ทำไมถึงไม่เคยมีใครในโลกเก้าร้อยล้านชั้นพูดถึงมันเลยล่ะ?”
เงากล่าว “หากทุกสิ่งมีชีวิตไม่เคยได้ยินถึงป่าช้าแห่งวันสิ้นโลก นั่นแสดงว่าพวกเขาย่อมไม่เคยได้ยินถึงจำนวนดั้งเดิมของโลกลำดับชั้น และคงไม่ทราบว่ามันมาถึงจุดจบได้อย่างไรเช่นกัน”
“โลกเก้าพันเก้าร้อยล้านชั้น…มันจะถูกทำลายลงได้อย่างไร…”
กู่ฉิงซานงึมงำ เขายังไม่อยากจะเชื่อ
เงาอธิบาย “นั่นเพราะเหล่าทวยเทพสร้างโลกนับล้านล้านขึ้น โดยเริ่มต้นมาจากจุดประสงค์เดียวเท่านั้น”
“สร้างโลกขึ้นเพราะอะไร? จุดประสงค์ของเทพวิญญาณคืออะไรกันแน่?” กู่ฉิงซานเค้นถาม
“ถ่วงเวลา” เงากล่าว
กู่ฉิงซานครุ่นคิดอย่างช้าๆ และกล่าว “ถ่วงเวลา เพราะเทพวิญญาณต้องการซื้อเวลาให้มากพอที่จะทำอะไรบางอย่างใช่หรือไม่? อย่างเช่นการฟื้นฟูพลัง หรือเพื่อทำการโต้กลับศัตรู?”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
เงายังคงกล่าวต่อ “เหล่าทวยเทพเพียงต้องการที่จะหนีไปให้ไกลมากพอ ไกลพอที่จะให้ตนเองอยู่ห่างจากการดำรงอยู่ที่ว่านั่น”
“แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่ลองที่จะต่อสู้กับศัตรูกัน?”
“เพราะไม่มีทางสู้ได้”
เมื่อเขากล่าวมาถึงจุดนี้ มันก็จางลง และจางลง
“เหล่าทวยเทพหนีไปเพราะความสิ้นหวัง หวาดกลัวอย่างบ้าคลั่ง ไม่ยินดีที่จะตกตายในการต่อสู้ หลบซ่อนตัวด้วยความหวาดกลัว”
“นี่คือวันสิ้นโลกของอาณาจักรทั้งมวล มันคือจุดจบของทวยเทพ คือจุดจบของทุกสิ่งมีชีวิต”
เมื่อได้ยินเสียงที่แสนจะคุ้นเคยอธิบายมาเนิ่นนาน กู่ฉิงซานก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเขาได้อีกต่อไป เจ้าตัวตะโกนก้อง “แล้วท่านจะมาบอกผมในเรื่องนี้ทำไม! ในเมื่อผมเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่แสนเล็กจ้อยคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง!”
เงาค่อยๆ บางเบาลง และในที่สุดมันก็หายไปโดยสมบูรณ์
เหลือทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวสะท้อนอยู่ในความว่างเปล่า
“เพราะเหล่าทวยเทพได้สร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆ ขึ้นมากมาย และบางอย่างหากวิวัฒนาการแล้วก็อาจถึงขั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าตนเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครพูดได้เต็มปากว่า จะไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆ เกิดขึ้นเลย จนกว่าตลอดทั้งหมื่นโลกาจะถูกทำลายลงจนพินาศสิ้น”
เสียงจางหายไป
ทุกสิ่งอย่างเงียบงัน สภาพแวดล้อมโดยรอบเหลือเพียงความว่างเปล่าที่ทอดยาวออกไปไร้ที่สิ้นสุด
ขาของกู่ฉิงซานอ่อนยวบ เขาคุกเข่าลงกับพื้น
ปากอ้าค้าง มือที่กำลังสั่นสะท้านยกขึ้นมาปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก
จำต้องใช้เวลาอยู่สักพัก เขาจึงค่อยสงบลง
กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนพื้นที่เย็นเยียบ และไตร่ตรองอย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน
เมื่อเทียบกับความลับของหกวิถีที่ระบบเทพสงครามบอกมา เห็นได้ชัดว่าความลับของเงาน่าตกตะลึงยิ่งกว่าโดยสิ้นเชิง
แต่กู่ฉิงซานก็ไม่ใช่คนที่ได้เจอหรือได้ฟังอะไร แล้วมักจะตีตนตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวใดๆ
ไม่ว่าความลับเหล่านี้จะน่าอัศจรรย์ใจถึงขนาดไหน หรือว่าโลกเก้าร้อยล้านชั้นกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตอันน่าสะพรึงเพียงใด แต่มันก็ไม่สามารถที่จะรบกวนจิตใจของเขาได้
แม้ว่าเหล่าทวยเทพจะตกตายต่อหน้าเขา กู่ฉิงซานก็จะไม่ตกใจ
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเย็นเยียบไปทั้งสันหลัง แท้จริงแล้วนั่นคือเสียงของเงา
มันคือเสียงที่แสนจะคุ้นเคย
เสียงที่แม้ว่ากู่ฉิงซานจะต้องกลายเป็นเพียงคนโง่งม แต่เขาก็ยังสามารถที่จะแยกแยะ และจดจำได้เป็นอย่างดี ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร
ใช่แล้วล่ะ
นั่นคือเสียงของตัวเขาเอง
กู่ฉิงซานยกศีรษะขึ้น ในแววตาของเขาสะท้อนไปด้วยความสับสนและว่างเปล่า
เห็นได้ชัดว่าตนเองเป็นเด็กกำพร้าจากรัฐบาลกลาง พ่อแม่ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ตั้งแต่ช่วงที่เขายังเป็นเด็ก
และเมื่อจบการศึกษาในโรงเรียนมัธยม เป็นเพราะเขาใกล้ชิดกับซูเซี่ยเอ๋อมากเกินไป เขาจึงถูกคนของเก้าตระกูลปองร้าย
หลังจากเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์มาถึง กว่าตนเองจะดาวน์โหลดระบบ และเริ่มเดินทางไปมาระหว่างสองโลก มันก็ช้ากว่าคนอื่นไปตั้งครึ่งปีแล้ว
จากนั้น เขาก็ต่อสู้ดิ้นรนตลอดมา จนในที่สุดก็ได้กลายเป็นนักดาบนิรันดร์
ในท้ายที่สุด บนธารเมฆามาร ยามเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ชวนให้สิ้นหวัง และความทุกข์ทรมานจากการพ่ายแพ้ของมนุษยชาติ เจ้าตัวและสหายก็ระเบิดกำลังเฮือกสุดท้าย สังหารอสุรกายลง
แล้วเมื่อตื่นขึ้นมาอีกที กู่ฉิงซานก็ได้ค้นพบว่าเจ้าตัวล้มตัวลงนอนอยู่ท่ามกลางศพของคนตาย
เขาได้ย้อนกลับมาในช่วงที่โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ยังไม่ล่มสลายลง กลับมายังช่วงเวลาต้นๆ ที่เผ่ามารพึ่งเริ่มทำการรุกราน
เมื่อได้กลับมายังโลกเดิม เขาก็ค้นพบว่าตนเองได้ย้อนเวลากลับมาในวันงานฉลองสำเร็จการศึกษาอีกครั้ง
ตลอดเส้นทาง ทุกขั้น ทุกตอน ล้วนเชื่อมต่อกันอย่างชัดเจน
แต่ทำไมจู่ๆ เขาถึงพบเงาจากยุคโบราณในสุสานแห่งโลกที่นี่กัน?
ที่สำคัญก็คือ ทำไมเสียงของเงาถึงได้เหมือนกันกับเสียงของตนเองทุกประการ?
เมื่อครู่มันบอกว่าเคยเป็นเงาของใครคนหนึ่ง แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่?
แต่คงจะสายเกินไปแล้วที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
เพราะในมิติที่ว่างเปล่า แสงและเงานับไม่ถ้วนกำลังหลอมรวมกันด้วยความเร็วอันไม่อาจจินตนาการได้
โลกแห่งความจริงทั้งหมดปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซานอีกครั้ง
เขากลับมาแล้ว
“โอเค พวกเราลองแยกกันตรวจสอบดูว่ามีอะไรบนรูปปั้นนี้บ้าง”
เสี่ยวเหมียวฮัมเพลงอย่างกระตือรือร้น
แบรี่เดินไปที่ปากของใบหน้าทองแดง
เขาตะโกนเสียงดัง “ฉันพนันได้เลยว่าจะต้องเป็นตรงปากของรูปปั้นเทพแน่ๆ ที่จะนำทางไปสู่สุสานแห่งโลกของโลกหกวิถี!”
กู่ฉิงซานเฝ้ามองทุกอย่างที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าอย่างเงียบๆ
ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับตัวเองเมื่อครู่นี้
กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบงันเป็นเวลายาวนาน
………………………………….
ภายในโลกเดิม
ณ เทือกเขารกร้าง
สถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้เคียงกับทะเลทราย ภูมิอากาศแห้งแล้ง สภาพแวดล้อมเลวร้ายเกือบทั้งปี ทุกหนแห่งฟุ้งไปด้วยเศษหินและเม็ดทราย
บนภูเขาเปลือยเปล่า นอกเหนือไปจากหินที่สามารถถูกความร้อนจากแสงแดดแผดเผามาหลายปีแล้ว ก็ยังมีพืชทนความร้อนบางชนิดขึ้นอยู่ประปราย
ทว่ากลับไร้ซึ่งสิ่งสัตว์ใดๆ ภายใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรงนี้
ในอากาศเบื้องบน
แบรี่ เสี่ยวเหมียว และกู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้น
“สุสานแห่งโลกถูกซ่อนอยู่ในภูเขาลูกนี้งั้นเหรอ?” แบรี่เอ่ยถาม
ขณะรับฟัง กู่ฉิงซานก็สั่งการในความคิดของเขา
เจ้าตัวเปิดใช้งานสกิลการค้นหาแห่งปาฏิหาริย์ อย่างเงียบๆ
บนหน้าต่างเทพสงคราม แต้มพลังวิญญาณลดลงไปหลายร้อยแต้มทันที
…แต่มันก็แค่ไม่กี่ร้อยแต้ม เพียงเหลือบตามอง กู่ฉิงซานก็ไม่สนใจมันอีกต่อไป
เพราะเวลานี้ ตัวเขาเริ่มบังเกิดถึงความรู้สึกอันยอดเยี่ยม
เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนบางอย่างจากในความว่างเปล่า
ความผันผวนนี้ได้เชื่อมโยงเข้าด้วยกันกับจิตวิญญาณของกู่ฉิงซาน ส่งผลให้ในจิตใจของเขาตระหนักถึงมันได้อย่างชัดเจน
ใช่แล้วล่ะ สถานที่แห่งนี้มีการรังสรรค์ของทวยเทพอยู่อย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะยังไม่ทราบว่ามันคือสิ่งใด แต่มันอยู่ที่นี่แน่ๆ
ส่วนตำแหน่งก็คือ…
สายตาของกู่ฉิงซานเลื่อนตกลง
‘สมควรที่จะถูกฝังอยู่ใต้ภูเขาลูกนี้’
ในวินาทีต่อมา เสี่ยวเหมียวก็ชี้ไปทางภูเขาและกล่าว “ตำแหน่งโดยประมาณ น่าจะอยู่ด้านล่างของภูเขา”
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะแอบสรรเสริญสกิลลึกลับ
การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์ไม่ใช่สกิลประเภทต่อสู้
แต่ด้วยเทคนิคของมัน กลับสามารถอำนวยความสะดวกสบายในการระบุตำแหน่งสิ่งที่เหล่าทวยเทพทิ้งไว้เบื้องหลังในโลกเก้าร้อยล้านชั้น ส่งผลให้การค้นหาเป็นไปอย่างง่ายดาย
“ดูเหมือนว่าจะจะถูกซ่อนอยู่ลึกนิดหน่อย”
เสี่ยวเหมียวพิจารณาตำแหน่ง และยังคงพูดต่อ
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่พี่เอง” แบรี่เอ่ยแทรก
เขาง้างฝ่ามือขึ้น และสับเบาๆ ลงผ่านอากาศ
ตูม…!
ผืนดินสั่นสะเทือน
ตะกอนทรายปลิวว่อน
ใจกลางของภูเขาทั้งลูก ถูกแยกจากกันเป็นสองส่วนทันที
แต่ยังไม่จบแค่นั้น ภูเขาไม่สามารถทานทนต่อแรงสับขนาดใหญ่นี้ได้ มันไม่เพียงแยกเป็นสอง แต่ยังถล่ม หงายลงตามทิศทางตรงกันข้าม
และแล้ว ฉากอันดูลึกลับก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาของทั้งสาม
มันเป็นใบหน้าที่ใหญ่โตมากๆ
ทันทีที่ต้องกับแสงแดดบนท้องฟ้า ใบหน้าใหญ่ก็ราวกับกลายเป็นสดใส คล้ายมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง
ทั้งสามคนตกตะลึง แต่ขณะเดียวกันก็เริ่มสำรวจมันอย่างระมัดระวัง
เสี่ยวเหมียว “ที่แท้ก็เป็นรูปปั้นทองแดงของเทพวิญญาณนี่เอง ทำเอาฉันกลัวเสียแทบแย่”
แบรี่ขมวดคิ้ว “ในสุสานแห่งโลก เทพมักจะทิ้งรูปลักษณ์ในยามปรากฏตัวของพวกเขาเอาไว้ แต่พี่ไม่เคยเห็นเทพที่เลือกจะทิ้งรูปปั้นของตัวเองเอาไว้เลย มันเป็นเรื่องยากที่จะพบเจอจริงๆ”
“ผมเคยได้ยินมาว่าเหล่าทวยเทพได้สร้างมนุษย์ขึ้นโดยอ้างอิงตามลักษณะของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของพวกเขาไม่เคยได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ แล้วพวกคุณรู้ได้อย่างไรว่ารูปปั้นทองแดงนี้คือรูปสลักของทวยเทพ?” กู่ฉิงซานถาม
“เพราะสีหน้าของเขา”
“สีหน้างั้นเหรอ?”
“ใช่ ตามเอกสารโบราณจากทางสมาคมผู้พิทักษ์หอคอยสูง วัตถุโบราณทั้งหมดที่ถูกเหลือทิ้งไว้ ตราบใดที่มันเป็นสิ่งที่แสดงถึงการปรากฏตัวของเทพวิญญาณ ลักษณะของพวกมันจะต้องเต็มไปด้วยความเมตตา”
“ความเมตตา…”
กู่ฉิงซานสำรวจลงบนใบหน้าทองแดง
เห็นแค่เพียงใบหน้าของมนุษย์ ที่กำลังแสดงออกถึงความเมตตาอย่างลึกล้ำ จ้องมองมายังคนทั้งสามบนท้องฟ้าอย่างเงียบๆ
เมื่อถูกจ้องมองโดยใบหน้าเทพ ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็สัมผัสถึงห้วงอารมณ์ที่มิอาจต้านทานได้
“ในทุกวัตถุโบราณของทวยเทพ จะมีลักษณะการแสดงออกแบบนี้ทั้งหมด” แบรี่กล่าวต่อ
“บางคนบอกว่ามันคือการแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งนี่คือข้อพิสูจน์ถึงความเมตตาของทวยเทพผู้สร้างชีวิต แต่ฉันมักจะคิดว่าตรงส่วนนี้มันไม่สมเหตุสมผลเลย” เสี่ยวเหมียวกล่าว
“ทำไมล่ะ?” แบรี่ถามด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยได้ยินน้องตัวเองพูดเรื่องนี้มาก่อนเลย
เสี่ยวเหมียว “บอกไม่ถูกเหมือนกัน อาจเพราะน้องคิดว่าความเมตตาสมควรที่จะเปี่ยมไปด้วยพลังและส่งผลให้คนอื่นเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกัน แต่น้องเคยได้เห็นพวกมันในม้วนภาพโบราณมาก่อน และสีหน้าของพวกรูปปั้น กลับไม่ได้ทำให้น้องรู้สึกแบบนั้นเลย”
กู่ฉิงซานกล่าวขึ้นทันใด “มันแปลกจริงๆ ด้วย เพราะพอมองรูปปั้นนี้ดูดีๆ แล้ว ผมก็เกิดความรู้สึกว่าไม่อยากจะมองมันอีกต่อไป”
“ใช่ไหมล่ะ” เสี่ยวเหมียวคิดเกี่ยวกับมันและกล่าว
กู่ฉิงซาน “ผมว่าอันที่จริงแล้ว มันน่าจะเป็นส่วนผสมของ อารมณ์ด้านลบหลายอย่าง เช่น ความสิ้นหวัง ความเศร้าโศก และความกลัว ดังนั้นจิตใต้สำนึกของพวกเราเลยไม่อยากจะให้พวกเราจ้องมองมันอีก”
“อันที่จริงแล้ว ประเด็นนี้ก็เคยถูกหยิบยกขึ้นมาเหมือนกัน แต่ก็ถูกล้มล้างลงไปอย่างรวดเร็ว” เสี่ยวเหมียวกล่าว
“ทำไมมันถึงได้ถูกล้มล้างไป?”
“เพราะเทพวิญญาณเป็นผู้สร้างโลก และเป็นผู้สร้างสิ่งมีชีวิตตลอดทั้งหมื่นโลกา เทพวิญญาณมีพลังอำนาจอย่างหาที่ใดเปรียบ ยามเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตทั้งมวล พวกเขาสามารถใช้กฎเกณฑ์แห่งทวยเทพ ในการเปลี่ยนแปลง หรือจัดการสิ่งมีชีวิตทั้งหมดลงได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเทพวิญญาณจึงเปรียบดั่งผู้ที่มีความรอบรู้และอำนาจทุกอย่างในกำมือ และในเมื่อพวกเขามีอำนาจถึงเพียงนั้น ก็ไม่ควรที่จะมีความรู้สึกเชิงลบใดๆ” เสี่ยวเหมียวอธิบาย
กู่ฉิงซานพยักหน้า
ที่ฟังดูมันก็เข้าท่าอยู่เหมือนกัน
เขาหยุดคิดเกี่ยวกับคำถามนี้ และเริ่มก้มลงดูเบื้องล่างต่อ
เขาสำรวจรูปปั้นเทพอีกครั้ง
รูปปั้นเทพขนาดใหญ่ชิ้นนี้ ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาจากทองแดงทั้งหมด
ทองแดง…?
เดี๋ยวก่อนสิ วัสดุนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อนรึเปล่า?
ทันใดนั้นเอง กู่ฉิงซานก็พลันนึกได้ถึงร่างใหญ่ที่อยู่มายาวนานกว่าหนึ่งแสน ปี
และไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน กู่ฉิงซานก็พลันย้อนนึกขึ้นได้ถึงอีกเรื่องหนึ่งอย่างกะทันหัน
มันคือในตอนที่เขาสามารถบรรลุภารกิจเทพสงครามได้สำเร็จ และได้ล่วงรู้ถึงความลับ
‘สุสานแห่งโลกเกือบทั้งหมดถูกซุกซ่อนเอาไว้ในโลกหกวิถี ภายในนั้นมีวิธีการช่วยเหลือตนเองที่เทพวิญญาณเหลือทิ้งเอาไว้ให้’
ช่วยเหลือตนเอง…
วิธีการช่วยเหลือตนเอง…
กู่ฉิงซานมักจะมีความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวใจอยู่เสมอ แต่ระดมสมองคิดอย่างไร เขาก็ยังไม่อาจจับใจความของมันได้เสียที
“พวกเราค่อยๆ ลงไปกันเถอะ ระหว่างทางก็คอยใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวด้วยก็แล้วกัน” แบรี่เตือน
“ผมเข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานรับคำ
เนื่องจากแบรี่ได้เคยเปิดสุสานแห่งโลกมาแล้วถึงสามแห่ง ดังนั้นเขาจึงมีประสบการณ์มากมาย ในเวลานี้จึงย่อมสมควรฟังที่เขาพูด
ทั้งสามบินลงไปยังใบหน้าทองแดงขนาดใหญ่
เมื่อเทียบใบหน้าทองแดงแล้ว ทั้งสามคนที่กำลังตกลงมามีขนาดเล็กจริงๆ
พวกเขาราวกับใบไม้สามใบ ที่กำลังตกลงสู่ทะเลสาบอันกว้างใหญ่
เมื่อใกล้เข้าไป กู่ฉิงซานก็ได้ค้นพบถึงบางอย่างที่น่าตกใจ!
เพราะขณะที่ทั้งสามกำลังร่อนลง ดวงตาของใบหน้าทองแดงก็เริ่มเบนออกไป
ใบหน้าทองแดงทั้งหมด ได้ทำการปรับทิศทางเล็กน้อย เพื่อที่จะสามารถสังเกตเห็นได้ถึงทั้งสามที่กำลังร่อนลงมา
“มันกำลังเคลื่อนไหวอยู่” กู่ฉิงซานเริ่มตื่นตัว
“ใช่แล้ว ในเมื่อมันเป็นรูปปั้นของเทพวิญญาณ ถ้าอย่างนั้น ก็ย่อมแน่นอนว่ามันจะต้องมีภูมิปัญญาทางจิต มันจะเป็นตัวที่คอยพูดคุย และบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับสุสานแห่งโลกในที่นี้แก่พวกเราที่เป็นผู้ค้นพบ” แบรี่กล่าว
เสี่ยวเหมียวช่วยเสริม “วางใจเถอะ ทวยเทพไม่ได้อยู่ในโลกเก้าร้อยล้านชั้นอีกต่อไปแล้ว ตรงหน้านายน่ะเป็นแค่รูปปั้นเท่านั้น”
กู่ฉิงซานผ่อนคลายลง และเริ่มตรวจสอบรูปปั้นทองแดงอีกครั้ง
ทันใดนั้น เขาก็เห็นว่าภายในตาซ้ายของใบหน้าทองแดง กำลังสะท้อนให้เห็นถึงเงาของบุคคลคนหนึ่ง
“แบรี่ เสี่ยวเหมียว พวกคุณดูนั่นสิ!” กู่ฉิงซานกล่าวทันที
ทั้งสองมองไปตามทิศทางที่เขาชี้
“นายเห็นอะไรงั้นเหรอ?” แบรี่ถามด้วยความสงสัย
กู่ฉิงซาน “ลองมองไปที่ตาซ้ายดูเร็วเข้า”
ในสายตาของเขา เห็นแค่เพียงภายในตาซ้ายของใบหน้าทองแดง เงาของบุคคลที่ดูคลุมเครือ กำลังเฝ้ามองทั้งสามคนอย่างระแวดระวัง
แต่แล้วเงาของบุคคลก็เริ่มจ้วงชกตาซ้ายของรูปปั้นทองแดงอย่างบ้าคลั่ง
คล้ายกับว่าเงาของบุคคลกำลังต้องการที่จะออกมาจากตาซ้ายข้างนั้น!
เสี่ยวเหมียวเพ่งมองตาซ้ายของใบหน้าทองแดง และส่ายหัว “ฉันไม่เห็นอะไรเลย”
แบรี่ “แต่มันดูเป็นสายตาที่น่าประทับใจมากจริงๆ นี่นับว่าเป็นผลงานที่โดดเด่นที่สุดในบรรดารูปปั้นเทพที่ฉันเคยเห็นมาเลย”
กู่ฉิงซานมองดูทั้งสอง
เห็นแค่เพียงการแสดงออกของแบรี่กับเสี่ยวเหมียวที่ยังดูปกติดี ราวกับว่ามิได้โกหกใดๆ
ทั้งสองคนเป็นตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ ดังนั้นพวกเขาคงไม่คิดเล่นตลกกับตัวกูฉิงซานด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เป็นแน่
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็วาบผ่านเข้ามาในหัวใจของกู่ฉิงซาน
ไม่นะ…
มีแค่ฉันคนเดียวที่สามารถมองเห็นเงาของบุคคลได้เหรอ?
เขาจ้องมองไปยังดวงตาข้างซ้ายของใบหน้าทองแดงอีกครั้ง
ในตาซ้าย เงาบุคคล ดูเหมือนจะสงบลงแล้ว
เงาดังกล่าวหยุดยืนอยู่ภายในนั้นอย่างเงียบๆ
อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่กู่ฉิงซานรู้สึกได้ว่า แม้จะมากันสามคน ทว่าเงาบุคคลกลับจ้องมองมาที่เขาเพียงคนเดียว…
………………………………….
กู่ฉิงซานรู้สึกเป็นห่วงเหลียวฮังเล็กน้อย
เขาปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และคอยเฝ้าสังเกตสถานะของเหลียวฮัง
ไม่นานนัก กู่ฉิงซานก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณของเหลียวฮัง
นี่คือสัญญาณว่าพลังวิญญาณกำลังเข้าสู่กระบวนการปะทุ ในไม่ช้าก็จะถึงช่วงเวลาสำคัญของการตัดผ่าน
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว การโจมตีขั้นแก่นทองคำ จะว่ายากก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ยากก็ไม่เชิง อันที่จริงแล้วมันอยู่กลางๆ
เพราะการโจมตีขอบเขตแก่นทองคำ ไม่จำเป็นต้องเผชิญกับกฎแห่งฟ้าดินอย่างทัณฑ์สวรรค์
ด้วยเหตุผลนี้เพียงข้อเดียว ระดับความยากมันก็ลดลงไปกว่าเจ็ดในสิบส่วนแล้ว
มองไปยังเหลียวฮังที่กำลังหลับตา และค่อยๆ เข้าสู่สภาวะไร้จิตสำนึก
เมื่อเวลาผ่านไป ทันใดนั้นมอนสเตอร์ที่ครอบครองดวงตากว่าห้าดวงก็โผล่ออกมา
“นี่มันผู้ฝึกยุทธ์…จิตวิญญาณและเลือดเนื้อสดใหม่ น่าลิ้มลองจริงๆ”
มอนสเตอร์กล่าวด้วยน้ำลายสอ ขณะเดียวกันก็บดฟันของมันจนเกิดเสียงกึกๆๆ
กู่ฉิงซานมองมอนสเตอร์ตัวนั้น เขากำลังลังเลว่าจะเข้าไปช่วยเหลือดีหรือไม่
ใช่แล้วล่ะ ขอบเขตแก่นทองคำน่ะ ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ก็จริง แต่มอนสเตอร์ทุกตัวในความว่างเปล่าจะติดตามคลื่นกระแสวิญญาณมา
ซึ่งนี่คือการทดสอบที่ผู้ฝึกยุทธ์จะต้องเผชิญ
เขาสามารถช่วยเหลือเหลียวฮังในครั้งนี้ได้ก็จริง แต่เขาไม่สามารถช่วยเหลียวฮังได้ทุกครั้ง
เพราะเมื่อไหร่ที่เขาตัดผ่านขอบเขตแก่นทองคำ หลังจากนั้นทัณฑ์สวรรค์ก็จะมาเยือน และไม่ช้าเหลียวฮังก็จะต้องเผชิญทุกอย่างด้วยตัวเอง
ดังนั้นการตัดผ่านของผู้ฝึกยุทธ์ สุดท้ายแล้วโชคชะตาจะเป็นเช่นไร มันก็ขึ้นอยู่กับตัวของพวกเขาเอง
เอาเถอะ งั้นมาดูกันว่าเหลียวฮังจะมีวิธีการจัดการกับมันอย่างไร
กู่ฉิงซานคิดแบบนั้น และเลือกที่จะไม่ลงมือออกไป
เห็นแค่เพียงมอนสเตอร์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ ค่อยๆ ลดระดับลงตรงไปยังเหลียวฮังอย่างเงียบๆ
ขณะที่เหลียวฮังยังคงหลับตา และไม่ขยับเขยื้อนส่วนใดๆ ของร่างกายเลย เว้นเพียงแต่มือที่ทำการจีบออกอย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานเบิกตากว้างขึ้นทันใด
เห็นแค่เพียงพลังวิญญาณจากทั้งร่างของเหลียวฮังกำลังควบรวมมายังฝ่ามือ กระตุ้นบางอย่างในความว่างเปล่า
วิชาลับ ‘สุดแกร่ง!’
วิชาลับ ‘สุดแกร่ง!’
วิชาลับ ‘สุดแกร่ง!’
วิชาลับ ‘สุดแกร่ง!’
วิชาลับ ‘สุดแกร่ง!’
เหลียวฮังได้ใช้ออกด้วยห้าเทคนิคมนตราในลมหายใจเดียว!
ปรากฏถึงรังสีแสงสีทองถูกยิงขึ้นไปบนฟากฟ้าพร้อมๆ กัน พุ่งเข้าต้อนรับมอนสเตอร์ห้าตา เตรียมที่จะตัดเฉือนมัน
มอนสเตอร์ห้าตากางสองปีกออกทันใด เตรียมที่จะโฉบหนีไป
อย่างไรก็ตาม แสงสีทองกลับเร็วยิ่งกว่า หนึ่งในห้าได้วูบผ่านร่างของมันไป หยุดการเคลื่อนไหวของมัน
จากนั้นสี่เส้นแสงสีทองก็ตามมา มันโบยบินขึ้นรูปเป็นตัวอักษร ‘แกร่ง’ และจมหายเข้าไปในร่างของมอนสเตอร์ในทันที
แล้วมอนสเตอร์ก็สิ้นใจลงในพริบตา
ตามร่างกายของมัน ทั้งสองแขนและสองขา รวมไปถึงปีกต่างถูกตัดเฉือนออกอย่างประณีต ร่วงตกลงบนพื้นหิมะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
มุมปากของเหลียวฮังยกสูงขึ้น ปากเอ่ยกล่าวด้วยความเหยียดหยัน “มอนสเตอร์จากมิติที่ว่างเปล่าประเภทที่เจ็ดพันเก้าร้อยยี่สิบเอ็ด ครอบครองปีกที่สามารถสร้างคลื่นตัดอากาศ ความแข็งแกร่งอยู่แค่ในลำดับที่เก้าพันหกร้อยสามสิบห้าเท่านั้น แต่กลับกล้าที่จะมาแส่หาเรื่องตายที่นี่”
“อย่างไรก็ตาม นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะได้ตัวอย่างศพมอนสเตอร์ตัวใหม่จากในมิติที่ว่างเปล่า จงดีใจเถอะ ที่ได้กลายเป็นวัตถุดิบในการวิจัยของฉัน”
หลังจากพูดประโยคนี้ เหลียวฮังก็เข้าสู่สภาวะตัดผ่านอีกครั้ง
กู่ฉิงซานยกมือขึ้นกุมหน้าผากของเขา เจอแบบนี้เข้าไปเขาเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะตอบสนองอย่างไรดี
สมองที่ใช้ในการตั้งชื่อวิชาลับของเหลียวฮัง…ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างไม่ปกติ
อย่างไรก็ตาม เหลียวฮังเป็นคนแรกของโลกที่ได้รับของขวัญจากการผสานรวมโลกเข้าด้วยกัน
เมื่อเวลาผ่านไป อัตราเร็วของการผสานรวมระหว่างโลกหกวิถีก็จะค่อยๆ เร็วขึ้น
แล้วสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกมนุษย์ก็จะเริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการพัฒนา ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ชั่วขณะนั้นเอง ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เขาหันไปอีกทิศทางหนึ่ง
โดยไม่จำเป็นต้องให้เขารีรอจนเนิ่นนาน อีกคนหนึ่งก็ได้รับของขวัญไปอีกแล้ว
กิ้งก่าเกล็ดเขียวที่มีขนาดความสูงมากกว่าตึกสิบชั้น ปรากฏตัวขึ้นบนพื้นหิมะ
ซางหยิงฮ่าวยืนอยู่บนหัวของกิ้งก่า ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “บอส ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้เรียกนายออกมา”
กิ้งก่าเกล็ดเขียวซ่อนตัวอยู่ในหมอกพิษหนาแน่น คู่ดวงตาของมันกวาดไปมองรอบๆ
มันกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าหนูหยิงฮ่าว นี่ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ ว่าเจ้าพึ่งจะได้รับของขวัญจากโลกใบนี้ ส่งผลให้ความแข็งแกร่งสามารถสั่งสมได้มากพอที่จะตัดผ่านไปยังเทียนซวนขั้นต่อไปได้แล้ว”
“อะไรนะ? ตัดผ่านไปยังขั้นต่อไปเหรอ?” ซางหยิงฮ่าวถามด้วยความอยากรู้
“ใช่ เทคนิคเทียนซวนถูกยกระดับขึ้น ปัจจุบันนี้เจ้าได้กลายเป็นผู้ใช้ไพ่แล้ว”
คล้ายกับว่าจะสัมผัสได้ถึงความไม่ใส่ใจของซางหยิงฮ่าว กิ้งก่าเกล็ดเขียวเน้นเสียงเตือน “ตอนนี้อย่ามัวพูดหรือคิดอะไรไร้สาระอยู่เลย จงมาด้วยกันกับข้า ร่วมกันสร้างไพ่นักฆ่าใบแรกของเจ้ากันเถิด”
“แต่จงจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าเจ้าจะต้องสร้างไพ่นักฆ่าด้วยใจจริง เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดเลยว่าในภายภาคหน้าเจ้าจะประสบความสำเร็จ และสามารถกลายเป็นราชานักฆ่าที่แท้จริงได้หรือไม่”
การแสดงออกของซางหยิงฮ่าวค่อยๆ สงบลง
“ในเมื่อมันเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับอาชีพของฉัน ถ้างั้นฉันจะทำมันออกมาให้ดีที่สุด” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ดีมาก เวลานี้เจ้าได้รับสิทธิ์ที่จะไปยังรังแห่งนักล่ากับข้าแล้ว”
กิ้งก่าเกล็ดเขียวกล่าว
ร่างของมันวูบไหว สาดรังสีแสงสีดำออกมา นำพาทั้งตนทั้งซางหยิงฮ่าวเจาะหายเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่า
“ชายคนนั้นจะได้กลายเป็นผู้ใช้ไพ่ประเภทนักฆ่า เขาเป็นเพื่อนของนายใช่ไหม ไว้ใจได้จริงๆ น่ะเหรอ?”
แบรี่ที่เห็นถึงฉากนี้เช่นกัน เอ่ยถามด้วยความวิตกกังวล
“ไว้ใจได้สิ คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เขาเป็นคนดี และไม่เคยฆ่าคนบริสุทธิ์มาก่อนเลย” กู่ฉิงซานกล่าว
“งั้นก็แล้วไป” แบรี่พยักหน้า
หากกู่ฉิงซายเอ่ยปากรับประกัน ก็ย่อมแสดงว่าคนคนนั้นเชื่อถือได้
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน จู่ๆ ก็บังเกิดคลื่นความผันผวนระเบิดออกมา จากภายในกระท่อมบนยอดเขาสูงที่ตั้งอยู่เบื้องหลัง
แสงสีแดงลอดผ่านขอบประตูและหน้าต่างของกระท่อม กวาดมาจากในระยะไกล
กู่ฉิงซาน แบรี่ และเสี่ยวเหมียวเร่งเข้ามาข้างในทันที
เห็นแค่เพียงรังไหมสีเลือดที่มีเย่เฟย์หยูอยู่ภายในค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้น และเริ่มเปลี่ยนแปลงรูปร่างในอากาศอย่างต่อเนื่อง
“เขากำลังจะเสร็จสิ้นกระบวนการวิวัฒนาการใช่ไหม?”
กู่ฉิงซานยกมือขึ้นมาบังแสงสีแดงที่สาดแยงตา ปากเอ่ยถามเสียงดัง
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน คงต้องรอดูอีกครั้ง”
เสี่ยวเหมียวตอบเสียงดังกลับมา
เห็นแค่เพียงรูปร่างที่เปลี่ยนผันของรังไหมสีเลือดค่อยๆ เริ่มช้าลง
จนสุดท้ายก็คงที่ บัดนี้มันแปรสภาพกลายเป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ
เหมือนกับว่ารังไหมจะกลายเป็นโลงศพไปแล้ว
บนผิวโลงศพ เต็มไปด้วยลวดลายที่ดูซับซ้อน
พร้อมกับอักษรรูนลึกลับที่ปรากฏขึ้น สาดแสงสลัวอย่างเงียบๆ ตามตัวโลง
ระเบิดคลื่นอากาศปะทุออกมาจากโลงศพ กวาดกระจายออกไปทุกทิศทาง
“จากที่ฉันดู เหมือนว่าเขาจะยังวิวัฒน์ไม่เสร็จนะ”
เสี่ยวเหมียวสรุป
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มเป็นกังวล เขาเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “หรือว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น?”
“ไม่หรอก ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
เสี่ยวเหมียวตรวจสอบโลงศพสีเลือด และอธิบาย “รูปแบบการวิวัฒน์ของเขาได้เปลี่ยนไป ดูเหมือนว่ามันจะเป็นรูปแบบของการวิวัฒน์ที่สูงขึ้น และลึกซึ้งยิ่งขึ้น”
“เป็นเพราะพลังของโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นมันเลยส่งผลต่อการวิวัฒน์ของเขา”
“ฉันคิดว่ากระบวนการวิวัฒน์ของเขาน่าจะใช้เวลานานกว่านี้”
“แต่ยิ่งนาน นั่นก็หมายความว่าเขาจะยิ่งทรงพลัง!!”
เสี่ยวเหมียวพูดด้วยความตื่นเต้น
ยิ่งคนในสมาคมแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
กู่ฉิงซานถอนหายใจโล่งอก
ทันใดนั้น ตนเองก็เริ่มสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง
เขาตระหนักได้ว่าของขวัญจากแหล่งกำเนิดของโลก กำลังจะมาเยือนตนเองแล้วเช่นกัน!
กู่ฉิงซานหลับตาลง และเริ่มทำการรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเขาอย่างรอบคอบ
พลังวิญญาณในตันเถียนพุ่งสูงขึ้นอย่างกะทันหัน อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง
หลังจากที่เขาก้าวขึ้นสู่ขอบเขตร่างเทวะ ตนก็ไม่มีเวลาที่จะได้ทำการควบรวมพื้นฐานวรยุทธ์เลย เพราะจำต้องวางกลยุทธ์และต่อสู้แบบไม่ได้หยุดพัก
จนถึงขณะนี้ พลังวิญญาณจากทั้งร่างของเขายังคงพลุ่งพล่าน และไม่ยอมสงบลงเลย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการผสานรวมทั้งหกโลก และของขวัญจากแหล่งกำเนิดโลก ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้รับผลประโยชน์ แน่นอนว่าตัวกู่ฉิงซานเองก็เช่นกัน
เขารู้สึกว่าพลังวิญญาณมันเต็มเปี่ยมไปทั้งร่างกาย เอ่อล้นคล้ายกับสายธารหลากที่ปรากฏขึ้นยามฤดูฝน
พลังวิญญาณพลุ่งพล่าน ปั่นป่วนไปทั่วทั้งร่างกาย และในที่สุดทั้งหมดก็มาบรรจบกันในตันเถียน
กู่ฉิงซานเอื้อมมือออกไป และค่อยจีบออกเป็นรูปแบบผนึก
…นี่คือหนึ่งในวิชาลับที่ได้มาจากโลกล่องเวหา เป็นสิ่งที่มีไว้อธิบายรายละเอียดถึงวิธีการตัดผ่านของผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตร่างเทวะ
กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงเนื้อหาของวิชาลับ เขาเริ่มกระตุ้นพลังวิญญาณ และกระตุ้นผนึกบนมือตน
ปัง!
บางสิ่งบางอย่างที่ลึกลับและไร้ที่สิ้นสุด ได้เชื่อมต่อเข้ากับตัวเขา
ราวกับได้ถือกำเนิดใหม่ คลื่นความผันผวนของพลังวิญญาณค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า
กู่ฉิงซานรู้สึกว่าพลังวิญญาณในตันเถียนได้กลายเป็นกระแสน้ำวน ที่เชื่อมต่อกับส่วนลึกของความว่างเปล่า เขาได้รับพลังอันมหัศจรรย์อันมิอาจบอกบรรยายได้จากโลก
พลังวิญญาณเติบโตขึ้น แข็งแกร่งขึ้น ขยายขึ้นอีกครั้ง
เมื่อทุกอย่างสงบลง กู่ฉิงซานก็เกือบที่จะไม่สามารถระงับพลังวิญญาณของเขาได้
รูปแบบความผันผวนของพลังวิญญาณในปัจจุบันนี้ หากเทียบกับเหลียวฮังแล้ว มันรุนแรงยิ่งกว่านับหลายร้อยเท่า!
ชนิดที่ว่าตราบใดที่กู่ฉิงซานต้องการ เขาจะสามารถกระตุ้นทัณฑ์สวรรค์ลงมาได้เลยในทันที!
เขากำลังจะตัดผ่านเข้าสู่ขอบเขตพันวิบัติอย่างกะทันหัน!
กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างลึกล้ำและหันไปพูดกับแบรี่ “ในที่สุด ผมก็เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงชอบที่จะผสานรวมโลกกันนัก”
แบรี่หัวเราะ
เสี่ยวเหมียวยิ้มและกล่าว “โควตาของทางสมาคมเรามีมาก นายสามารถใช้มันได้อีกเยอะ แต่รู้อะไรไหม ว่าถ้าคนทั่วไปทำการผสานรวมโลกมากกว่าสอง บทลงโทษของพวกเขาจะเป็นอย่างไร?”
“เป็นอย่างไร?”
“จะถูกลบตัวตนออกไปทันที”
“โชคดีจริงๆ ที่ผมได้เข้าร่วมกับสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม”
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แต่แล้วในระหว่างนั้นเอง สีหน้าของเสี่ยวเหมียวก็เปลี่ยนไป
เธอรีบหยิบนาฬิกาเรือนเล็กที่ดูประณีตออกมาอย่างรวดเร็ว
นี่คือนาฬิกาของคนจากสถาบันเทพ
เห็นแค่เพียงในมือของเธอ เข็มนาทีและเข็มวินาทีบนนาฬิกากำลังหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง
“ดูนี่สิ มันเกิดปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว!” เสี่ยวเหมียวอุทานด้วยความประหลาดใจ
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ดูเหมือนว่าถ้าผสานรวมโลกหกวิถีเข้าด้วยกัน สุสานแห่งโลกก็จะปรากฏขึ้นจริงๆ”
ช่วงเวลาต่อมา ทั้งสามเข็มของนาฬิกาเทพก็เด้งออกมาจากตัวหน้าปัด และแปรสภาพเป็นตัวเลขลอยอยู่บนอากาศ
“นี่มันคืออะไรกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
เสี่ยวเหมียวจ้องมองสามตัวเลขและกล่าว “มันคือตัวเชื่อมต่อพิกัดมิติที่ซับซ้อน นี่คือการบันทึกพิกัดมิติจากระยะไกล แต่ไม่ได้มีใครใช้งานมันมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ช่วงเก้าร้อยปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม โชคดีจริงๆ ที่ฉันพอจะจดจำวิธีใช้งานมันได้”
“น้องสามารถได้รับตำแหน่งที่แน่นอนได้รึเปล่า?” แบรี่ถาม
“แน่สิ ตอนนี้น้องรู้แล้วว่ามันอยู่ที่ไหน”
“กู่ฉิงซาน นายจะเอาอย่างไร?”
“พวกเราจะไปสำรวจมันกัน เทพธิดากงเจิ้ง คุณช่วยดูแลความปลอดภัยให้เย่เฟย์หยูด้วยนะ”
“รับทราบแล้วใต้เท้า” เทพธิดาตอบรับ
“นายังมีเรื่องอะไรที่ยังไม่ได้จัดการอีกไหม?” เสี่ยวเหมียวถาม
“ไม่มีแล้ว”
“งั้นพวกเราก็ไปกัน”
เธอเอื้อมไปคว้าจับมือของแบรี่และกู่ฉิงซานตามลำดับ
ทันใดนั้นเอง ร่างของทั้งสามก็หายวับไปจากขั้วโลกเหนือ
…………………………………..
การประกาศไปทั่วทั้งโลกของกู่ฉิงซานได้จบลง
เขาปิดสมองควอนตัม และเดินกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเอง
แบรี่เทเหล้าให้เขาแก้วหนึ่ง
“ผมกำลังคิดอยู่พอดีเลย ว่าอุตส่าห์พูดมาตั้งนาน ถ้าได้เหล้าสักกรึ๊บก็คงจะดี” กู่ฉิงซานดื่มและขอบคุณเขา
แบรี่ชูแก้วตัวเองขึ้นและกล่าวชื่นชม “การผสานรวมโลกเข้าด้วยกัน มันจะทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา แต่ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น ทุกชีวิตก็ได้รับการเคารพและปกป้องในสิทธิ์ของตนเองเสียก่อนแล้ว ครั้งนี้ถือมานายจัดการปัญหาล่วงหน้าได้ดีทีเดียว”
เสี่ยวเหมียวก็ยังพูดด้วย “แต่ในเวลาแบบนี้ นายน่าจะใช้คำพูดอะไรที่มันรุนแรงออกไปบ้างนะ ไม่อย่างนั้นอาจจะมีบางคนคิดจะลองของขึ้นมาก็ได้”
“คงต้องดูว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ถ้าในกรณีที่มีคนกล้าคิดที่จะลองของ นั่นก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน พวกเราจะได้ลงโทษเขาเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู” กู่ฉิงซานกล่าว
“วางใจเถอะ ถ้ามีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้น ฉันจะช่วยนายเอง” แบรี่กล่าว
“ขอบคุณครับ” กู่ฉิงซานรับน้ำใจ
ทั้งสามคนยกแก้วขึ้นชน และดื่ม
สมองควอนตัมที่วางอยู่บนโต๊ะสว่างขึ้นอีกครั้ง
เทพธิดากงเจิ้งเริ่มรายงานสถานการณ์
“ใต้เท้า หลังจากที่คุณประกาศออกไป จ้าวอสูร อาชูร่า และผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพก็ได้ออกเดินทาง ตรงมายังขั้วโลกเหนือแล้ว”
“อีกนานแค่ไหนกว่าพวกเขาจะมาถึง?”
“อย่างเร็วก็อีกสิบนาที”
กู่ฉิงซานพยักหน้า
ทันใดนั้นเองประตูกระท่อมก็ถูกเปิดออก
หุ่นยนต์ขนาดเล็กหลายตัววิ่งเข้ามา
ในมือของหุ่นยนต์แต่ละตัวกำลังถือถาด ที่บ้างใส่จานอาหาร บ้างน้ำแข็ง บ้างสุรา และขนมขบเคี้ยวมากมาย
เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังออกมาจากหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง
“นี่คือเครื่องดื่มและของว่างที่มิสเตอร์ซางหยิงฮ่าวเตรียมเอาไว้ เขาขอร้องให้ฉันช่วยจัดการนำสิ่งเหล่านี้มาให้”
กู่ฉิงซานมองไปยังเหล้าและอาหาร ก่อนจะแอบเหลือบมองไปทางแบรี่กับเสี่ยวเหมียว
และพบว่าในแววตาของพี่ชายและน้องสาวกำลังเปล่งประกาย แต่พักหนึ่งแล้วทั้งสองก็ยังเลือกไม่ถูกว่าจะกินอะไรดี บางทีนั่นอาจเป็นเพราะพวกเขาไม่เคยได้กินอาหารของโลกใบนี้มาก่อนก็เป็นได้
กู่ฉิงซานจึงเลือกหยิบเหล้าที่มีฤทธิ์แรงที่สุดให้แก่แบรี่ จากนั้นเลือกแก้วค็อกเทลที่ฝานมะนาว และโปะเกลือเอาไว้ตรงขอบแก้ว กับจานขนมบนโต๊ะ ไปวางลงด้านหน้าของเสี่ยวเหมียว จากนั้นก็เอากล่องซิการ์ออกมา เขาตัดมันและมอบให้กับแบรี่
จากนั้นจึงค่อยเลือกเหล้าสักขวดสำหรับตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เจ้าตัวไม่ได้เลือกเหล้าที่มีฤทธิ์แรงเป็นพิเศษ นั่นเพราะยังมีงานอีกมากมายที่กำลังรอให้เขาทำ
ในสถานการณ์เช่นนี้ ตนจำเป็นที่จะต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ยังเมาไม่ได้
เสี่ยวเหมียวดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ พลางคว้าชิ้นขนมโยนเข้าใส่ปาก
ระหว่างกิน เธอก็เอ่ยชื่นชมไปในตัว “รสชาติอาหารของโลกหกวิถีนี่มันอร่อยจริงๆ ของชั้นสูงชัดๆ! เพราะแบบนี้เองใช่ไหมเหล่าทวยเทพถึงได้สร้างโลกหกวิถีขึ้น?”
แบรี่ยกเหล้าฤทธิ์แรงขึ้นดื่ม และเลียริมฝีปากตัวเอง “เทคโนโลยีการหมักเหล้าของที่นี่ก็เป็นระดับสูง ฉันหลงรักเหล้าขวดนี้เข้าให้เสียแล้ว! ถึงแม้ว่าสิ่งมีชีวิตในโลกหกวิถีจะไม่แข็งแกร่ง แต่ในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา มันกลับตรงกันข้าม ทั้งสะดวกและสุขสบายอย่างน่าเหลือเชื่อ!”
พี่ชายและน้องสาวได้ตัดสินบางอย่างในจิตใจ ทั้งสองมองหน้ากันและกัน
เพียงเท่านี้ก็น่าจะยืนยันได้แล้วว่าทำไมกู่ฉิงซานถึงได้ทำอาหารเก่งนัก
สมาคมได้รับสุดยอดเชฟที่ดีที่สุดมาในครั้งนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่โชคดีจริงๆ
ในเวลานั้นเอง เสียงของเทพธิดากงเจิ้งได้ดังขึ้นอีกครั้ง
“ใต้เท้า ผู้นำของจ้าวอสูร เทพสวรรค์ และกษัตริย์อาชูร่า ทั้งหมดได้มาถึงที่นี่แล้ว”
“ตอนนี้พวกเขาอยู่ตรงไหน?”
“ตีนเขา”
ขณะกล่าว เทพธิดากงเจิ้งก็ฉายม่านแสงออกมา
เห็นแค่เพียงร่างสามร่างกำลังยืนอยู่บนจอม่านแสง
ร่างแรก คือมอนสเตอร์ที่มีรูปกายเป็นมนุษย์ ทว่ามีหัวเป็นสิงโต นี่คือผู้นำของจ้าวอสูร
ร่างที่สอง คือ ชายที่กำลังสะพายอาวุธที่ดูประณีตและงดงาม นี่คือกษัตริย์อาชูร่า
ร่างที่สาม คือชายในชุดเกราะ การแสดงออกทางท่าทีและสีหน้าของเขาดูจริงจังและมีเกียรติ นี่คือเทพสวรรค์องค์ใหม่
โดยขณะนี้ พวกเขากำลังถูกขวางทางเอาไว้โดยเหล่าหุ่นรบที่เรียงรายเป็นขบวนทัพ ปิดล้อมทางขึ้นภูเขา
กู่ฉิงซานเหลือบมองวูบหนึ่งและกล่าว “บอกเทพสวรรค์ว่าให้ทิ้งข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าเอาไว้ แล้วจากไปได้”
เทพธิดากงเจิ้ง “ถ่ายทอดออกไปแล้ว เขาถามกลับมาว่าคุณมีอะไรจะบอกอีกไหม?”
“บอกให้พวกเขาทำให้สิ่งที่ตนเองต้องการ เพราะโดยสิ้นเชิงแล้วพวกเขามีเพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น ประชากรของพวกเขากำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นหลังจากทำการผสานโลกแล้ว ถ้ายังไม่ปฏิบัติตามกฎและวินัย การล้างเผ่าพันธุ์เขาคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
“รับทราบ”
เทพธิดากงเจิ้งรับคำ
เห็นแค่เพียงบนจอม่านแสง เทพสวรรค์กำลังแสดงท่าทีสนอกสนใจ เหมือนกับว่ากำลังรับฟังสิ่งที่หุ่นรบพูด
เขานิ่งไปสักพัก ก่อนจะรายงานข้อมูล โค้งกายคารวะ และหันหลังเดินจากไป
เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ใต้เท้า ผู้นำจ้าวอสูรกับอาชูร่ายังรออยู่บริเวณตีนเขา”
“บอกกับจ้าวอสูรไปว่า พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้ตามที่ตนเองต้องการ แต่ถ้าอยากจะล่าเหยื่อ ก็ช่วยมาขอความคิดเห็นกันก่อน เพราะจะล่าก็ได้ แต่มันต้องไม่ทำให้ห่วงโซ่นิเวศวิทยาธรรมชาติของโลกเราเกิดความเสียหาย”
“หลังจากนั้นก็ให้บอกที่ตั้งของแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้ามา แล้วไปได้”
“รับคำสั่ง”
“บอกกษัตริย์อาชูร่าด้วยว่าฉันเคารพและนับถือนิสัยรักในการต่อสู้ของพวกเขา แต่ต่อจากนี้ไปถ้าพวกเขาจะต่อสู้ พวกเขาจะไม่สามารถแหกกฎหมายของมนุษย์ได้”
เสี่ยวเหมียวทนไม่ไหว เธอหลุดหัวเราะออกมา และกล่าวแทรก “ไม่ให้อาชูร่าทำผิดกฎ? แล้วพวกเขาจะต่อสู้อย่างไรล่ะทีนี้?”
กู่ฉิงซาน “มนุษย์เรามีกีฬามากมาย เช่นพวกมวย ยูโด บาสเกตบอล ยิมนาสติกลีลา ฯลฯ พวกเขาสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับศิลปะอื่นๆ ในแขนงนี้ได้”
“เข้าใจแล้ว ฉันจะถ่ายทอดคำสั่งของคุณไป”
มองไปยังจอม่านแสง กษัตริย์อาชูร่ารับฟังการส่งผ่านข้อความจากหุ่นรบอย่างรอบคอบ ขณะเดียวกัน สีหน้าของเขาก็เริ่มค่อยๆ แสดงออกถึงความตื่นเต้น
เขาเอียงศีรษะขบคิดสักพัก ก่อนจะเอ่ยปาก หันหลัง และเดินจากไป
ภายในกระท่อมบนยอดเขา
ข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าของโลกอาชูร่า โลกสวรรค์ และโลกจ้าวอสูร ได้ปรากฏขึ้นบนจอม่านแสง
กู่ฉิงซานค่อยๆ ทำการบันทึกมันทีละอัน ทีละอันอย่างเงียบๆ
เสี่ยวเหมียวที่กำลังดื่มอยู่เอ่ยถาม “ว่าไง? พวกเราจะไปเอาแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าตอนนี้กันเลยไหม?”
กู่ฉิงซาน “ไปกันเลยดีกว่า ทุกอย่างยิ่งจบลงเร็วก็ยิ่งดี”
“ตกลง” เสี่ยวเหมียวยืนขึ้น
แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะใช้มือฉกขนมยัดเข้าปาก ก่อนจะดึงกู่ฉิงซานเข้ามาและใช้มนตรามิติ
พวกเขาหายวับไปจากกระท่อมโดยตรง
ณ โลกสวรรค์ อาณาเขตของพวกเขาช่างกว้างใหญ่ ขณะเดียวกันก็ครอบครองแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าที่ทรงอำนาจมากที่สุดในหกวิถี
อย่างไรก็ตาม ประชากรของโลกสวรรค์มีน้อยเกินไป ดังนั้นถึงแม้ว่าทิวทัศน์ของพวกเขาจะสวยงาม แต่มันก็แทบจะไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่เลย
ณ โลกอาชูร่า มันถูกแบ่งออกเป็นสี่อาณาเขต และกว้างใหญ่ยิ่งกว่าโลกสวรรค์
ณ โลกจ้าวอสูร แม้ไม่ใหญ่โตนัก แต่มันก็แบ่งออกเป็นในส่วนของพื้นโลก ส่วนของพื้นทะเล และส่วนของใต้ดิน ดังนั้นหากคิดจะค้นหาอะไรในโลกใบนี้ คงจะเป็นการยากเย็นยิ่งนัก
แต่…กู่ฉิงซานมากับเสี่ยวเหมียว
ดังนั้นทุกสถานที่ที่ต้องการจะไปรับเอาแหล่งกำเนิดธาตุมา พวกเขาจึงใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ช่างเป็นกระบวนการที่ทรงประสิทธิภาพโดยแท้!
แบรี่ดื่มเหล้าไปได้เพียงครึ่งขวด พวกเขาก็กลับมาเสียแล้ว
“ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีไหม?” แบรี่ถาม
“คุณลองดูนี่สิ”
กู่ฉิงซานกางมือของเขาออก
ปรากฏให้เห็นถึงสี่สายใยกฎเกณฑ์กำลังลอยอยู่ในมือของเขาอย่างเงียบๆ
“เอาล่ะสิ เวลาที่น่าจดจำกำลังจะมาถึงแล้ว” แบรี่ลุกขึ้นและกล่าว
“ใช่ๆ การผสานสี่โลกในครั้งเดียว ฉันอยากจะเห็นจริงๆ ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น” ดวงตาของเสี่ยวเหมียวเปล่งประกายสดใส
กู่ฉิงซานโบกมือของเขา
สี่สายใยกฎเกณฑ์สาดแสงและเงาระยับ ก่อนจะค่อยๆ จมหายไปในความว่างเปล่า
พวกมันกำลังผสานรวมเข้ากับโลกใบนี้
ท่ามกลางความเงียบ โลกค่อยๆ เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ
แบรี่กล่าวด้วยอารมณ์ “ในอดีต ช่วงที่กฎของโลกเก้าร้อยล้านชั้นยังไม่ถูกตั้งขึ้น เผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนต่างแก่งแย่งสายใยกฎเกณฑ์ของกันและกัน”
“นั่นเป็นยุคสมัยแห่งสงคราม ฟุ้งไปด้วยกลิ่นสาบโฉ่และฝนเลือด”
“อย่างนั้นเหรอ? งั้นในยุคที่ว่าก็คงจะมีตัวตนทรงอำนาจเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากเลยใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
แบรี่ “มีจ้าววงการมากมายถือกำเนิดขึ้นในยุคสมัยนั้น”
เสี่ยวเหมียวพยักหน้า “เพราะการผสานรวม เป็นการส่งผลดีต่อทุกชีวิตในโลก สามารถสร้างผลประโยชน์ได้อย่างมหาศาล”
ในอ้อมแขนของกู่ฉิงซาน สมองควอนตัมได้ส่องสว่างขึ้น
เสียงของเทพธิดาดังออกมา “ใต้เท้า คุณได้ทำการผสานรวมโลกแล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่”
“โลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอีกครั้ง ตามรูปแบบการวิเคราะห์จากการผสานรวมครั้งก่อนกับโลกปรภพ คาดว่านับจากนี้ไปจะเกิดรูปแบบและสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ปรากฏขึ้น”
กู่ฉิงซานถาม “แล้วพวกสิ่งปลูกสร้าง ภูมิอากาศ และพืชพันธุ์เดิมของโลกมนุษย์จะได้รับผลกระทบรึเปล่า?”
เทพธิดากงเจิ้ง “ได้รับผลกระทบในทางที่ดี สำหรับภูมิอากาศ มันจะสดชื่นและเหมาะสมมากขึ้นสำหรับมนุษย์ ขณะเดียวกันสิ่งปลูกสร้างอารยธรรมมนุษย์จะไม่ได้รับความเสียดายใดๆ จากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา”
“ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์แต่ละบุคคลจะได้รับผลแตกต่างกันออกไป สำหรับคนทั่วไป ร่างกายของพวกเขาจะถูกเสริมสร้างให้แกร่งขึ้นไม่มากก็น้อย ในส่วนของมืออาชีพ ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะปะทุขึ้น และสัมผัสได้ถึงขอบเขตใหม่”
“นั่นฟังดูดีมากจริงๆ” กู่ฉิงซานพยักหน้า
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่าง และอดไม่ได้ที่จะปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะของเขาออกไป สำรวจยังทิศทางหนึ่งของยานอวกาศ
เห็นแค่เพียงชายแก่ที่ดูหล่อละ…
ไม่สิ ประโยคข้างบนไม่นับ เพราะคนคนนั้นคือเหลียวฮังที่ทำการปรับโฉมรูปหน้าตัวเอง เขากำลังลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับชิ้นส่วนของเครื่องจักรนับไม่ถ้วนที่ว่ายวนอยู่รอบตัว
ชิ้นส่วนต่างๆ ประกบติดกันอย่างรวดเร็วตามท่าทางมือของเขา รวมตัวกันเป็นแขนจักรกลขนาดใหญ่ที่ติดตั้งบนหัวไหล่ และลากยาวลงมา
“เทพธิดากงเจิ้ง ทางฝั่งฉันพร้อมแล้ว ทางคุณว่าอย่างไรบ้าง?” เหลียวฮังตะโกน
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของคุณ กรุณาแทนที่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของเครื่องควบคุมกระแสไฟระยะไกลชิ้นที่สามและสี่ และเปลี่ยนรหัสลับของมัน เราจะได้เริ่มการเจาะเข้าสู่ระบบในชั้นถัดไป” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว
“เข้าใจแล้ว!” เหลียวฮังตะโกน
เขาจัดการแขนจักรกล และเริ่มเปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์ขนาดใหญ่สองชิ้น ตรงหน้ายานอวกาศ
กู่ฉิงซานเงียบไป ไม่เอ่ยคำใดออกมาสักพัก
เหลียวฮังถือได้ว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่แตกต่างออกไปหากเทียบกับคนอื่นๆ เขาสามารถเรียนรู้การฝึกยุทธ์ และประยุกต์มัน นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้
แต่แล้วในวินาทีต่อมานั้นเอง จู่ๆ เหลียวฮังก็โยนแขนจักรกลทิ้งไปอย่างกะทันหัน และเร่งบินไปยังสถานที่ห่างไกลด้วยความกระสับกระส่าย
ทิ้งไว้เพียงเสียงที่ดังลอยมาจากเบื้องหลังเขา “ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่จู่ๆ ฉันก็รับรู้ได้ว่าจะต้องทะลวงขึ้นสู่ระดับแก่นทองคำทันที เทพธิดา! ช่วยจัดการเรื่องคุ้มครองฉันเร็วเข้า!”
พอค้นพบภูมิประเทศแนวราบที่เหมาะสม เขาก็ทิ้งตัวลงไปนั่ง สองตาปิดสนิท และพร้อมเริ่มโจมตีขอบเขตแก่นทองคำ
กู่ฉิงซานเฝ้ามองไปยังฉากนี้ และกล่าวด้วยอารมณ์ “ในที่สุดมันก็เริ่มต้นขึ้น”
ใช่ ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป โลกทั้งหกจะรวมเป็นหนึ่งเดียว
โลกที่จะขยายอาณาเขตกว้างใหญ่เป็นประวัติการณ์ กำลังจะถือกำเนิดขึ้น
ในเวลาเดียวกัน พลังอันเกิดจากการหลอมรวมทั้งหกโลก ก็กำลังปะทุออกมา
…………………………………….
กู่ฉิงซานนำสายใยกฎเกณฑ์ของโลกผีร้ายกลับมายังโลกมนุษย์พร้อมกับเสี่ยวเหมียว
ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นบนยอดเขาสูงในขั้วโลกเหนืออีกครั้ง
“นั่นคือสายใยกฎเกณฑ์ใช่ไหม?” แบรี่ถามด้วยความสนใจ
“ใช่ มันคือแหล่งกำเนิดที่ใช้เชื่อมต่อกับโลกผีร้าย และสามารถนำมาใช้ผสานโลกได้ตลอดเวลา” กู่ฉิงซานกล่าว
ในสายตาของเขา เส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กลอยอยู่ตลอดเวลา
“คุณได้รับสายใยกฎเกณฑ์”
“นี่คือสายใยกฎเกณฑ์ของโลกผีร้าย หนึ่งในหกวิถีแห่งสังสารวัฏ”
“หากคุณปล่อยมันลงในโลกมนุษย์ โลกผีร้ายก็จะถูกฉุดดึงโดยสายใยกฎเกณฑ์ และค่อยผสานเข้ากับโลกมนุษย์ กลายเป็นโลกใบใหม่”
กู่ฉิงซานเดินไปที่ขอบยอดเขา ยื่นมือของเขา และเตรียมจะโยนสายใยกฎเกณฑ์ออกไป
ทว่าเขาก็ชะงักไปอย่างกะทันหัน
“มีอะไรงั้นเหรอ?” แบรี่เอ่ยถาม
“ทำไมจู่ๆ นายถึงลังเลขึ้นมาล่ะ?” เสี่ยวเหมียวเองก็ถามด้วย
กู่ฉิงซานไตร่ตรอง และกล่าวอย่างช้าๆ “ผมกำลังคิดว่า ผมควรจะต้องรีบกลับไปยังโลกเทวะให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น…”
“เพราะฉะนั้น…?” เสี่ยวเหมียวทวนซ้ำ
กู่ฉิงซานหันกลับไปมองทั้งสองและกล่าว “ฉะนั้นมันคงจะเป็นการดีกว่า ถ้าจะทำทุกอย่างให้มันจบลงไปเลยในครั้งเดียว เป็นการจัดการปัญหาทั้งหมดโดยตรง”
พี่ชายและน้องสาวตกตะลึง แต่ก็สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
“นายต้องการที่จะจัดการปัญหาทั้งหมดในครั้งเดียวอย่างงั้นเหรอ?”
“ใช่”
“มือเติบโดยแท้”
แบรี่ยิ้ม และยกนิ้วโป้งให้เขา
เสี่ยวเหมียวพูดด้วยความตื่นเต้น “ถ้านายจะทำแบบนั้นจริงๆ มันคงจะสนุกแน่ๆ!”
“รอดูวิธีการที่ผมจะใช้จัดการได้เลย”
ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็หยิบสมองควอนตัมส่วนบุคคลของตัวเองออกมา และเริ่มทำการเรียกเทพธิดากงเจิ้ง
“ใต้เท้า มีอะไรให้รับใช้?”
เทพธิดากงเจิ้งถาม
“อาชูร่า ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ และจ้าวอสูรจากไปแล้วรึยัง?”
พร้อมกันกับคำถามนี้ สามจอม่านแสงก็ผุดขึ้นมาจากในสมองควอนตัมของเขา
เห็นแค่เพียงอาชูร่าหลายตนกำลังรวมตัวกันภายใต้การนำของกษัตริย์อาชูร่า เหมือนกับว่าพวกเขากำลังร่วมกันหารืออะไรบางอย่าง
ส่วนผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ พวกเขากำลังเร่งรวบรวมสินสงครามที่ได้มา และคอยสั่งการมนุษย์ที่จับตัวมาให้เดินเข้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่
แต่จ้าวอสูรนั้นแตกต่างจากทั้งสองที่กล่าวมา พวกมันกำลังมุ่งหน้าตรงมายังขั้วโลกเหนือ
เทพธิดากงเจิ้ง “กลุ่มอาชูร่ากำลังหารือกันว่าจะมาพบกับคุณดีหรือไม่ กลุ่มผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพกำลังเตรียมที่จะเดินทางจากไป ส่วนกลุ่มจ้าวอสูร พวกมันตัดสินใจที่จะยอมแพ้”
กู่ฉิงซานกล่าว “เสี่ยวเหมี่ยว คุณพอจะล็อกมิติ ไม่ให้พวกผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพหนีไปจะได้ไหม?”
“นี่มันเรื่องง่ายๆ”
เสี่ยวเหมียวหยิบคทาออกมา และปักลงมันบนพื้นอย่างแรง
“จงกักขัง!”
เธอตะโกนเสียงต่ำ
บังเกิดระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากตัวคทา หมุนวนขึ้นไปบนท้องฟ้า แพร่กระจายไปทั่วทั้งโลกอย่างรวดเร็ว
“โอเค ทีนี้พวกเขาก็จะไม่สามารถหนีไปได้แล้ว” เสี่ยวเหมียวกล่าว
กู่ฉิงซาน “ขอบคุณมากจริงๆ ต่อไปก็ถึงตาผมคุยกับพวกเขาแล้ว”
เขาส่งสัญญาณมือเล็กๆ น้อยๆ ให้เทพธิดากงเจิ้ง
“ใต้เท้า คุณต้องการถ่ายทอดสดเหมือนกับเพชฌฆาตตัวตลกใช่หรือไม่?”
“ใช่”
“กรุณารอสักครู่ ฉันจะไปเตรียมการให้ทันที”
แล้วเทพธิดาก็เริ่มจัดการด้วยกำลังทั้งหมดที่เธอมี
อีกด้านหนึ่ง
ณ สถานที่รวมตัวกันของผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ
เทพสวรรค์ตะโกนเสียงดัง “อย่าชักช้า! ตอนนี้พวกเขากำลังไปยังเมืองผีร้าย! ราชาผีเพลิงน้ำแข็งน่าจะช่วยถ่วงเวลาให้พวกเราได้หลายนาที ระหว่างนั้นพวกเราจะต้องทำเวลาให้ดีที่สุด และรีบหนีไป!”
“นายท่าน ค่ายกลพร้อมใช้งานแล้ว”
“เปิดใช้งานค่ายกลเดี๋ยวนี้!”
“รับทราบ!”
อย่างรวดเร็ว ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ ที่มุ่งตรงสู่โลกสวรรค์ก็ส่งเสียงหึ่งๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว
ค่ายกลเข้าสู่สถานะการทำงานอย่างเต็มรูปแบบ และเริ่มส่งผ่านไปยังทิศทางที่ถูกกำหนดไว้
ม่านแสงปรากฏขึ้น เข้าห่อหุ้มทุกคนที่อยู่ในค่ายกลเอาไว้
วินาทีต่อมา คนทั้งหมดก็หายไป
แต่หลังจากนั้นหนึ่งลมหายใจ
ค่ายกลก็สว่างขึ้นอีกครั้ง
ทุกคนปรากฏตัวขึ้นอีกครา
“ดีมาก…ไม่สิ! มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเราถึงยังอยู่ที่นี่!?” เทพสวรรค์ถามด้วยความโกรธ
“นายท่าน มิติถูกจองจำ พวกเราไม่สามารถออกไปได้!”
“ว่าไงนะ!”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ โลกทั้งใบถูกห่อหุ้มด้วยชั้นความผันผวนที่ไม่อาจอธิบาย ส่งผลให้ไม่มีใครสามารถใช้การเคลื่อนย้ายระยะไกลได้”
เทพสวรรค์ตกตะลึง หัวใจของเขาราวกับร่วงหล่นลงสู่หุบเหวลึก
ในเวลานั้นเอง ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพคนหนึ่งก็ตะโกนออกมา “ดูนั่นเร็ว!”
ทุกคนต่างตอบสนอง ทั้งหมดเงยหน้าขึ้น
เห็นแค่เพียงบนท้องฟ้า โดรนขนาดเล็กจำนวนมากกำลังบินตรงเข้ามา
พวกมันถูกจัดเรียงตามลำดับ และทยอยกันเริ่มกระบวนการทำงาน
แสงและเงาถูกฉายขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า ก่อรูปเป็นภาพโฮโลแกรมขึ้น
สถานการณ์เดียวกันนี้ปรากฏขึ้นในตำแหน่งของอาชูร่าและจ้าวอสูรเช่นกัน
ณ ขั้วโลกเหนือ
กู่ฉิงซานเฝ้ารออยู่เงียบๆ เป็นเวลากว่าหลายนาที
เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้นอีกครั้ง “เรียบร้อย ใต้เท้า คุณสามารถเริ่มการถ่ายทอดสดได้ตลอดเวลา เมื่อคุณพูด โลกทั้งใบก็จะเห็น และได้ยินเสียงของคุณ”
“งั้นก็เริ่มกันเลย” กู่ฉิงซานกล่าว
ด้วยคำพูดของเขา อุปกรณ์ที่ฉายแสงและเงาก็สว่างขึ้นพร้อมกันทั่วโลก
มนุษย์ อาชูร่า จ้าวอสูร และผู้สืบสายโลหิตต่างก็เห็นภาพของกู่ฉิงซานจากในอุปกรณ์ฉายแสงที่อยู่ใกล้เคียงที่สุด
“สวัสดีทุกท่าน”
กู่ฉิงซานเริ่มพูด
“ผมคือนักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลกลาง ชื่อว่ากู่ฉิงซาน”
“ผมเชื่อว่ามีหลายคนที่รู้จักผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหายอย่างผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ อาชูร่า และจ้าวอสูร เพราะพวกเราเพิ่งพบกันเมื่อไม่นานมานี้เอง”
“และตอนนี้ ผมมีบางอย่างที่จะบอกพวกคุณ”
“นั่นคือ โลกทั้งหกวิถีจะต้องถูกผสานรวมเข้าด้วยกัน ดังนั้นขอให้ทุกท่านอยู่ในความสงบ และยินยอมน้อมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในครั้งนี้ด้วย”
“มืออาชีพทางฝั่งมนุษย์โปรดตั้งใจฟังให้ดี พวกคุณจะต้องใช้โอกาสนี้คว้าโอกาสที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของตัวเอง เร่งเพิ่มพูนมันให้เร็วที่สุด”
“สำหรับสหายอย่างผู้สืบสายโลหิต อาชูร่า และจ้าวอสูร ทุกท่านโปรดมายังขั้วโลกเหนือ และบอกตำแหน่งที่แน่นอนของแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าในโลกของพวกคุณด้วย”
“แม้ว่าแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าจะถูกนำไปใช้หลอมรวมเข้ากับอุปกรณ์บางอย่างก็ไม่เป็นไร ขอแค่บอกข้อมูลของมันแก่ผมก็พอ”
“และผมขอเตือนทุกท่านว่าการประกาศนี้เป็นเพียงการแจ้งเตือนเท่านั้น”
“ผมหมายถึงว่า ผมแค่ประกาศให้พวกคุณทราบถึงเรื่องนี้เฉยๆ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีที่ว่างให้พวกคุณคัดค้านหรือโต้แย้งใดๆ”
“อ้าจริงสิ ขออธิบายเพิ่มสักเล็กๆ น้อยๆ นะ”
“เมื่อโลกทั้งหกผสานรวมเข้าด้วยกัน แต่ละอาณาจักรก็จะยังคงสามารถใช้โครงสร้างอำนาจเดิมของตนเอง รวมไปถึงกฎปฏิบัติที่เกี่ยวข้องเหมือนเดิมได้”
“สำหรับผู้สืบสายโลหิต อาชูร่า และจ้าวอสูร พวกคุณสามารถสร้างประเทศของตัวเอง หรือจะอยู่ร่วมกันกับมนุษย์ก็ได้ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการส่วนตัวของพวกคุณเลย ผมจะไม่ปิดกั้นใดๆ และจะไม่มีใครสามารถปิดกั้นพวกคุณได้เช่นกัน”
“ผมมาเตือนด้วยความหวังดี”
กู่ฉิงซานยกนิ้วขึ้นและยิ้ม “ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ขอให้อยู่กันอย่างสงบ การกระทำใดๆ ที่เป็นการฆ่าสิ่งมีชีวิตของชาติพันธุ์อื่นๆ จะต้องถูกลงโทษอย่างร้ายแรงตามกฎหมาย”
“เอาล่ะ ตอนนี้ก็ขอเชิญตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมดมายังขั้วโลกเหนือ เพื่อแจ้งแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าของพวกคุณให้แก่ผมด้วย”
“คุณสามารถเลือกที่จะไม่ให้ความร่วมมือ หรือเลือกที่จะสู้กับผมก็ได้ แต่ผมขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่เลือกวิธีการ เพื่อที่จะได้รับข้อมูลที่ต้องการมา”
“และเชื่อผมเถอะ สิทธิ์ที่ว่านั่น ไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอก”
“มีอีกประโยคหนึ่งที่จะมอบให้กับสหายต่างโลก ที่ตอนนี้กำลังปรากฏความคิดมากมายอยู่ในจิตใจ”
“ไม่ว่าพวกคุณจะมีความอาฆาตพยาบาทอะไร มีกลอุบายอะไร หรือมีวิธีการบางอย่างที่อาจจะก่อให้เกิดการล่มสลายของโลก…”
กู่ฉิงซานยกนิ้วต่อไปของเขาขึ้น
ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ตะขอเกี่ยววิญญาณแห่งสายธารแห่งการหลงเลือน และไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูต พลันปรากฏขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า ลอยอยู่เบื้องหลังเขาอย่างเงียบๆ
นี่คือสามสิ่งประดิษฐ์เทวะจากนรก!
พวกมันกำลังส่งคลื่นความผันผวนของกฎเกณฑ์ออกมาอย่างหนาแน่น เพื่อให้เหล่าผู้คนที่กำลังเฝ้ามองอยู่สามารถตระหนักได้อย่างชัดเจน ว่าพวกมันมาจากที่ไหน
กู่ฉิงซานเริ่มพูดต่อ
“ผมขอเตือนทุกท่าน ว่าปรภพคืออาณาจักรของผม”
“และผมอยู่ที่นี่ก็เพื่อรับรองว่าทุกท่านที่ไม่ซื่อสัตย์จะต้องได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส หลังจากที่พวกเขาตายลง และจะไม่มีโอกาสได้กลับไปเกิดใหม่อีกเลย”
“โอเค ตอนนี้ก็เกือบจะหมดเรื่องคุยแล้ว”
กู่ฉิงซานมองไปที่กล้อง
เขามองไปยังทุกคนที่กำลังดูอยู่
“สิ่งสุดท้ายที่ผมต้องการจะบอกก็คือ สหายต่างชาติพันธุ์ทุกท่าน พวกคุณไม่จำเป็นต้องเกิดความแค้น หรือความไม่พอใจใดๆ ที่โลกของตัวเองจะต้องถูกผสานรวมเข้ากับโลกใบนี้หรอก”
“เพราะเมื่อไหร่ที่พวกคุณเกิดความริษยาในโลกมนุษย์ และวางแผนที่จะยึดครองมัน คุณก็เตรียมใจรับในทุกๆ ความเป็นไปได้เอาไว้ได้เลย”
เขาเอ่ยเสียงกระซิบ “มาเถอะ มาผสานรวมกัน แล้วพวกคุณจะได้รู้ถึงสิ่งดีๆ ที่จะได้รับตอบแทนกลับไป”
………………………………….
พร้อมกันกับการเลือกของกู่ฉิงซาน บนหน้าต่างก็ปรากฏบรรทัดตัวอักษรใหม่เด้งขึ้นมา
“ระบบจะทำการอธิบายดังต่อไปนี้”
“ประเภทของพลังขั้นพื้นฐานของคุณคือ พลังวิญญาณ”
“ซึ่งพลังวิญญาณสามารถกระตุ้นเทคนิคฝึกยุทธ์ของผู้ฝึกยุทธ์ได้เท่านั้น มันไม่สามารถใช้ในการกระตุ้นสกิลลึกลับได้”
“ในโลกนับล้านล้าน มีเพียง ‘แต้มพลังวิญญาณ’ หรือพลังเหนือธรรมชาติเท่านั้นที่สามารถใช้กระตุ้นเทคนิคมนตราของสกิลลึกลับได้”
“ดังนั้น เมื่อคุณได้เรียนรู้สกิลอื่นๆ นอกเหนือไปจากเทคนิคมนตราของผู้ฝึกยุทธ์ โปรดทำความเข้าใจไว้ด้วยว่าคุณต้องใช้แต้มพลังวิญญาณในการกระตุ้นสกิลเหล่านั้น”
กู่ฉิงซานครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วก็เข้าใจในที่สุด
‘พลังวิญญาณ’ เป็นพลังงานบริสุทธิ์ระหว่างสวรรค์และโลก แต่สำหรับในโลกนับล้านๆ มันไม่สามารถใช้ในการกระตุ้นสกิลทั้งหมดได้
ณ ขณะนี้ ‘แต้มพลังวิญญาณ’ จึงมีความสำคัญมากยิ่งกว่าเดิม
คำอธิบายของหน้าต่างเทพสงครามค่อยๆ หายไป
แต่แล้วบรรทัดตัวอักษรใหม่ก็ปรากฏขึ้น
“คุณได้ใช้แต้มพลังวิญญาณ หนึ่งหมื่นแต้ม”
“แต้มพลังวิญญาณส่วนเกินในปัจจุบัน 86000/600”
“คุณได้เรียนรู้สกิลลึกลับ การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์แล้ว”
“การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์ เมื่อคุณเปิดใช้งานสกิลนี้ คุณจะสัมผัสได้ถึงการรังสรรค์ของเทพบรรพกาล และสามารถรับรู้ถึงตำแหน่งที่แน่นอนของวัตถุได้”
กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างลับๆ
นี่มันเป็นสกิลสำรวจที่พิเศษอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม สายตาของเขาก็ยังคงติดตรึงอยู่บนแต้มพลังวิญญาณ ในจิตใจรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
แน่นอนว่าเรื่องที่มีแต้มพลังวิญญาณกว่า แปดหมื่นหกพันน่ะมันไม่น่าสงสัยหรอก แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ ขีดจำกัดของมันน้อยเกินไปหรือไม่?
กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงวันที่เขาต่อสู้กับฉีหยานในโลกเทวะ ตอนนั้นหลี่อันได้ขอหยิบยืมแต้มพลังวิญญาณจากเขา หกร้อยแต้ม เขาจดจำได้ว่าเธอกล่าวอย่างชัดเจนว่า ‘แต้มพลังวิญญาณหกร้อยแต้ม น่ะมีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตประทับเทพเท่านั้น ถึงจะสามารถครอบครองแต้มพลังระดับนี้ได้’
แต่ปัจจุบันเขาคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตร่างเทวะ แล้วทำไมขีดจำกัดแต้มพลังถึงยังมีอยู่แค่ หกร้อยเท่านั้น?
เป็นระบบที่นำมันไปใช้ทำอย่างอื่นหรือไม่?
กู่ฉิงซานเอ่ยถามถึงเรื่องนี้กับระบบเทพสงคราม
ติ๊ง!
หลังจากเสียงแจ้งเตือนอันคมชัดดังขึ้น ระบบเทพสงครามก็ถามกลับ “การลดขีดจำกัดแต้มพลังวิญญาณลง ก็เพื่อทำลายข้อจำกัดในการสั่งสมแต้มพลังวิญญาณที่เกินมาของคุณไป สิ่งนี้มันได้ก่อปัญหาอะไรให้คุณอย่างงั้นหรือ?”
“รู้หรือเปล่าว่าขีดจำกัดดั้งเดิมของแต้มพลังวิญญาณ มันคือกฎเกณฑ์ดั้งเดิมของโลก มิใช่สิ่งที่สามารถทำลายได้โดยง่าย”
“แต่ถ้าคุณต้องการขีดจำกัดพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นอีก หนึ่งร้อยจุดเพื่อความสบายใจ งั้นก็ต้องแลกกับว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณจะไม่สามารถกักเก็บแต้มพลังวิญญาณเกินกว่าขีดจำกัดได้อีกต่อไป”
ระบบเทพสงครามเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคารพลึก “ว่าอย่างไร? คุณต้องการเพิ่มขีดจำกัดแต้มพลังวิญญาณให้สูงขึ้นจริงๆ หรือไม่?”
กู่ฉิงซานมองไปยังแต้มพลังวิญญาณของตนที่มากกว่า แปดหมื่นแต้ม เขาก็หดตัวกลับทันที
อย่ามาล้อเล่นนะ! ถ้าไม่มีแต้มพลังวิญญาณจำนวนมากแบบนี้ แล้วในอนาคต เวลาที่เขาต้องการจะใช้สกิลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับแต้มพลังวิญญาณ เขาจะไปสามารถใช้มันได้อย่างไร?
ในกรณีนี้ การใช้ชีวิตมันจะไม่ยากยิ่งไปกว่าเดิมอีกหรือ?
เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “ฉันก็แค่ถามเรื่องขีดจำกัดแต้มพลังไปอย่างนั้นเอง คุณไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้ ฉันแค่ถาม แต่ไม่ได้บอกว่าต้องการมันเสียหน่อย”
ระบบขี้เกียจเกินไปที่จะใส่ใจเขา มันจึงไม่คิดเอ่ยคำใดอีก
อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบนหน้าต่างระบบ
กู่ฉิงซานพอเห็นว่าแต้มพลังวิญญาณตนที่มากกว่า แปดหมื่นว่ายังคงอยู่ดี เขาก็ถอนหายใจโล่งอก
ช่วงเวลานี้เอง เขาก็ตระหนักได้ว่าแต้มพลังวิญญาณสำคัญขนาดไหน ในการต่อสู้ภายภาคหน้า
เขาลองกะน้ำหนักของนาฬิกาเทพ และโยนมันกลับไปให้เสี่ยวเหมียวอีกครั้ง
“นี่คืออุปกรณ์สำรวจแน่นอน งั้นขั้นต่อไป สิ่งที่พวกเราจะทำก็คือการผสานรวมโลกของผีร้าย” เขากล่าว
“นายคิดว่าถ้าพวกเราทำการผสานรวมโลก เบาะแสที่เกี่ยวข้องกับสุสานแห่งโลกจะปรากฏออกมาไหม?” เสี่ยวเหมียวถาม
“สำหรับเรื่องนั้น อีกไม่นานเดี๋ยวพวกเราก็จะได้รู้คำตอบเอง ตอนนี้ผมคงต้องไปหาใครบางคน ให้ช่วยบอกว่าแหล่งกำเนิดของธาตุทั้งห้าของโลกผีร้ายมันอยู่ที่ไหน” กู่ฉิงซานกล่าว
“นายกำลังคิดที่จะไปหาใคร?”
“ราชาผีเพลิงน้ำแข็งที่เพิ่งตายลงเมื่อกี้”
“จะกลับไปที่ปรภพอีกแล้วเหรอ? งั้นคราวนี้ฉันขอไปด้วยสิ ฉันอยากจะสำรวจมัน” เสี่ยวเหมียวขอด้วยความตื่นเต้น
“เอ่อ ต้องขอโทษจริงๆ นอกเหนือไปจากผมแล้ว มีเพียงคนตายเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่โลกปรภพได้” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความรู้สึกผิด
เขาคว้าจับไม้เท้าแห่งการจองจำ เริ่มกระตุ้นพลังในมัน และกลับไปที่นรกโดยตรง
ผ่านพ้นไปยังไม่ถึงสิบนาที
กู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
“ทำไมเร็วจัง?” แบรี่อุทาน
“อืม พอดีว่าราชาผีเพลิงน้ำแข็งแม้จะเป็นความชั่วร้ายที่ฆ่าสังหารสิ่งมีชีวิตไปมากมาย แต่มันกลับไม่อาจทานทนต่อความเจ็บปวดทรมานในนรกเอาเสียเลย มันก็เลยยอมปริปากบอกผมอย่างง่ายดาย”
“งั้นตอนนี้ นายก็ไปที่โลกผีร้ายเถอะ” แบรี่กล่าว
เสี่ยวเหมียว “พี่ชาย พี่ไม่คิดจะไปสำรวจที่นั่นด้วยกันหน่อยเหรอ?”
แบรี่ชี้ไปยังรังไหมเลือดบนพื้นและกล่าว “ฉันต้องอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องโลก ในเมื่อมันมีสถาบันเทพเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเด็กเย่เฟย์หยูก็กำลังอยู่ในระหว่างวิวัฒ ในช่วงเวลานี้เขาไม่สมควรที่จะถูกรบกวนใดๆ”
“เอาเถอะ งั้นรอก่อนนะ ไม่นานเดี๋ยวพวกเราก็กลับมาแล้ว” เสี่ยวเหมียวกล่าว
เธอคว้าจับมือของกู่ฉิงซาน และเริ่มเปิดช่องว่างมิติ
ทั้งสองหายวับไปในทันที
ส่วนแบรี่ เขาย้ายเก้าอี้แล้วมานั่งอยู่ตรงข้ามกับเย่เฟย์หยู
บางที มันอาจจะเป็นเพราะระหว่างนี้มันเบื่อเกินไป เขาเลยหยิบเหล้าขวดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อตัวเอง
เมื่อเปิดฝาขวดออก กลิ่นของมันก็ฟุ้งขึ้นมาแทรกเข้าไปในจมูกเขา สองตาของแบรี่เปล่งประกายทันที
เขายกคอขึ้น และเริ่มซดมัน อึก อึก อึก อย่างตะกละตะกลาม
“ฮ่า! นี่มันเยี่ยมไปเลย!”
แบรี่สรรเสริญ
นี่คือสุราวิญญาณที่กู่ฉิงซานมอบมันให้แก่เขา เป็นสุราที่ถูกเก็บไว้ในนิกายร้อยบุปผา มันถูกหมักบ่มด้วยผลไม้นานาชนิดที่นำมาจากหุบเขาวิญญาณ ดังนั้นรสชาติจึงสดชื่น และส่งเสริมพลังบางอย่างในร่างกาย
ต้องบอกว่ากระทั่งในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ สุราวิญญาณชนิดนี้ก็ยังนับว่าเป็นสุราที่โดดเด่นที่สุดเช่นกัน
ขณะกำลังดื่มเหล้า แบรี่ก็ยังคอยให้ความสนใจกับเย่เฟย์หยู
“พิฆาตโลก…ความสามารถแบบไหนกันนะที่จะวิวัฒขึ้นมา? ฉันละอยากจะเห็นจริงๆ”
เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
อีกด้านหนึ่ง
ในหกวิถี โลกผีร้าย
ท้องฟ้าเบื้องบนช่างมืดครึ้ม
และบ่อยครั้งที่มักจะมีแสงมืดสลัวๆ สาดลงมาจากท้องฟ้า ร่วงตกลงกระแทกเข้ากับพื้นดิน
ภูเขาที่สูงชัน
แม่น้ำที่กระแสปั่นป่วน
ท่ามกลางทุ่งหินขรุขระ บางครั้งคุณจะสามารถมองเห็นถึงสิ่งปลูกสร้างที่คล้ายกับซากปรักหักพัง
สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้เป็นสถานที่ที่เหล่าผีร้ายใช้เก็บศพของพวกมัน
เนื่องจากหลังจากสิ้นลมหายใจไป ซากศพของผีร้ายบางชนิด มันจะปลดปล่อยพลังที่เป็นพิษออกมา ดังนั้นเมื่อถูกทิ้งไว้ในที่โล่ง จะส่งผลให้เกิดมลภาวะต่อพื้นดินได้
ดังนั้น พวกผีร้ายเลยจำต้องสร้างสถานที่บางแห่งขึ้นเพื่อทำการเก็บศพเอาไว้
วิถีชีวิตของพวกมัน มิได้อาศัยอยู่ในสิ่งปลูกสร้างใดๆ
หากต้องการที่จะพักผ่อน ผีร้ายก็จะมองหาสถานที่เหมาะๆ และทำการหยุดพักเพียงสั้นๆ ก็เท่านั้น
เพราะท้ายที่สุดนี้ ตลอดทั้งชีวิตของผีร้าย พวกมันมักจะต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากรที่ขาดแคลนและแสนหายากอยู่ตลอดเวลา
บนท้องฟ้า
ร่างของกู่ฉิงซานกับเสี่ยวเหมียวปรากฏขึ้น
เสี่ยวเหมียวกวาดสายตามองรอบๆ และกล่าวด้วยความผิดหวัง “ช่างเป็นโลกที่แห้งแล้งจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีแต่ผีร้ายเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดในโลกใบนี้ได้”
กู่ฉิงซานเห็นด้วย “ถ้าไม่ใช่เพราะจำเป็นต้องให้ทุกสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งขึ้น และเพื่อได้รับเบาะแสของสุสานแห่งโลกแล้วล่ะก็ ผมคงไม่ยินดีที่จะผสานรวมกับโลกใบนี้”
“งั้นนายบอกตำแหน่งของแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้ามา พวกเราจะมุ่งไปหามันเลยโดยตรง” เสี่ยวเหมียวกล่าว
“เข้าใจแล้ว”
ว่าจบ กู่ฉิงซานก็บอกตำแหน่งออกไป
แล้วทั้งสองก็หายวับไปในทันที
ธาตุทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน เหล่านี้คือแหล่งกำเนิดธาตุพื้นฐานของโลกใบนี้
ซึ่งในการผสานรวมระหว่างโลกกับโลก พวกเขาจะต้องค้นหาต้นกำเนิดธาตุทั้งห้า รวมมันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าสายใยกฎเกณฑ์ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างโลกเข้าด้วยกัน
กู่ฉิงซานกับเสี่ยวเหมียวเดินลึกเข้าไปในสถานที่ที่เต็มไปด้วยเผ่าพันธุ์ผี เพื่อค้นหาแหล่งกำเนิดของธาตุทั้งห้า
โดยที่ทั้งสองไม่คิดเจรจาสิ่งใดให้มันมากความ เมื่อพบผีร้ายเข้ามาขัดขวาง ทั้งสองก็แค่ตีพวกมันจนสลบไป ไม่ก็หนีออกมาก็จบแล้ว
โชคดีจริงๆ ที่เสี่ยวเหมียวอยู่ที่นี่
เพราะแม้ว่าจะถูกไล่ล่าโดยผีร้ายนับไม่ถ้วน แต่เสี่ยวเหมียวก็แค่คว้าตัวกู่ฉิงซาน และวาร์ปหนีไป เท่านี้ก็สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้แล้ว
และเนื่องด้วยการเคลื่อนย้ายอันทรงประสิทธิภาพเช่นนี้ ทั้งสองจึงสามารถรวบรวมแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้ามาได้อย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมา ประทับตัวตนของเขาไว้บนแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าด้วยจิตสัมผัสเทวะ
เขาใช้พลังวิญญาณในการควบคุมกระบวนการหลอมกลั่น ยืดขยายแต่ละแหล่งกำเนิดอย่างรวดเร็ว จนพวกมันกลายเป็นเส้น และทำการเชื่อมต่อพวกมันเข้าด้วยกัน
ปรากฏให้เห็นถึงเส้นสายที่สาดรังสีแสงห้าสีออกมา
เสี่ยวเหมียวจ้องมองสายใยกฎเกณฑ์ ใบหน้าอันงดงามของเธอสะท้อนไปกับแสงและเงาสว่างไสวของมัน
“ฉันไม่เคยผสานรวมโลกมาก่อน” เธอถอนหายใจ “นี่คือสายใยกฎเกณฑ์ใช่ไหม มันดูสวยงามมากจริงๆ”
“ใช่ นี่คือสายใยกฎเกณฑ์ ถ้าผมนำมันกลับไปยังโลกมนุษย์ โลกผีร้ายก็จะถูกฉุดดึงโดยสิ่งนี้ และค่อยๆ เข้าไปหลอมรวมเข้ากับโลกมนุษย์ กลายเป็นโลกใบใหม่” กู่ฉิงซานกล่าว
เสี่ยวเหมียวคิดอยู่พักหนึ่งจึงกล่าว “แล้วถ้าในอนาคตนายเกิดโชคไม่ดี มีคนดันมาพบว่านายว่านายทำการผสานรวมโลกเข้า นายรู้รึยังว่าจะต้องบอกพวกเขาว่าอย่างไร?”
“ผมควรจะบอกพวกเขาว่าอย่างไร?” กู่ฉิงซานถาม
“ให้นายบอกชื่อของสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมออกไปโดยตรง แล้วพวกเขาจะไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป”
“แล้วพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าผมเป็นสมาชิกของสมาคมกำปั้นเหล็ก?”
“นี่นายลืม? ลองนึกดูดีๆ สิว่าก่อนจะมาที่โลกนี้ ฉันได้ทำการลงทะเบียนข้อมูลของนายเอาไว้แล้ว”
“จากนี้ไปถ้านายเดินทางไปในโลกนับล้านล้าน แล้วนายต้องการที่จะใช้เงิน ตราบใดที่นายรายงานชื่อของสมาคมกำปั้นเหล็กออกไป ฉันการันตีเลยว่าจะไม่มีใครหน้าไหนกล้าเรียกเก็บเงินจากนาย” เสี่ยวเหมียวกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
กู่ฉิงซานพยักหน้า แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
เห็นได้ชัดว่านี่คงจะเป็นเหตุผลที่พวกเขาติดหนี้ไปในทั่วทุกสถานที่ กู่ฉิงซานบอกตามตรงเลยว่า ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น นอกจากแบรี่กับเสี่ยวเหมียว คงไม่มีใครสามารถทำแบบนี้ได้อีกแล้ว…
หรือว่า…นับจากนี้ไปในอนาคต ตนเองจะได้รับหน้าที่เพิ่มมาอีกหนึ่งนอกจากทำอาหาร นั่นคือคอยตามเช็ด ชดใช้หนี้ให้กับพวกเขาอยู่ร่ำไปใช่หรือไม่?
ในช่วงเวลาสำคัญเป็นอย่างยิ่งอย่างการผสานรวมโลก ในหัวของกู่ฉิงซานกลับอดไม่ได้ที่จะมีความคิดแบบนี้ออกมา
……………………………………
ภายในโลกเดิม
ณ ขั้วโลกเหนือ
หลี่อันกำลังบอกเล่าเรื่องราวของโลกเทวะให้แก่กู่ฉิงซานอย่างละเอียด
“เช่นนั้นก็หมายความว่า ตอนนี้อาจารย์ข้าได้กลายเป็นผู้นำแห่งพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ไปแล้วใช่หรือไม่?”
กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ถูกเผง” หลี่อันตอบ
“ฟังดูไม่เลวเลยนี่นา” กู่ฉิงซานสรรเสริญ
“ไม่ใช่แบบนั้น”
“อะไร? หรือว่าจะมีเหตุผลอะไรซ่อนเร้นอยู่อีก?”
“พวกเราได้ยินข่าวคราวของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์จากกษัตริย์ปีศาจหลากหลายตนในโลกมารดึกดำบรรพ์มาแล้ว และได้รับข้อมูลมาว่าทางฝั่งพันธมิตรกำลังประสบการณ์กับความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง มีผู้นำอยู่หลายคนทีเดียว ที่ตกตายลงในสงคราม”
รอยยิ้มแย้มบนใบหน้าของกู่ฉิงซานค่อยๆ จางหายไป
ทว่ารำพึงเพียงชั่วครู่ เขาก็เอ่ยออกมา “หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่เข้าใจอยู่สิ่งหนึ่ง อาจารย์ข้าน่ะเป็นคนที่ฉลาดมาก ดังนั้นท่านย่อมจะต้องไม่ยอมปลงใจที่จะเข้ารับตำแหน่งที่อันตรายแบบนั้นเป็นแน่”
“ไม่หรอก นางไม่มีทางเลือก”
“เพราะอะไร?”
“เพราะในความเป็นจริงแล้ว ก่อนหน้านี้ อาจารย์ของเจ้าได้ทำการผสานรวมไปกว่า ห้าโลก”
“ว่าไงนะ!” กู่ฉิงซานอุทานเสียงแหบแห้ง
หลี่อันพยักหน้าและกล่าว “หากอิงตามโลกหกวิถีของนาง และโลกหกวิถีของโลกเทวะ ซึ่งโดยสิ้นเชิงแล้วมี สิบเอ็ดโลก โดยรวมนางได้ผสานพวกมันเข้าด้วยกันทั้งสิ้น หกโลกแล้ว”
กู่ฉิงซานตกตะลึง เร่งเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “แล้วเกิดปรากฏการณ์อะไรขึ้นบ้างรึเปล่า? ปฏิกิริยาของสิ่งมีชีวิตในโลกหกวิถีตอบสนองเป็นอย่างไรบ้าง?”
สีหน้าของหลี่อันดูซับซ้อน เธอส่ายหัวและกล่าว “ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด”
เธออธิบายเพิ่มเติม “ในบรรดาหกวิถีของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ โลกสวรรค์นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย จึงเหลืออยู่เพียง ห้าโลกเท่านั้น”
“ขณะเดียวกันในบรรดาหกวิถีของโลกเทวะ โลกมนุษย์ โลกผีร้าย โลกอาชูร่า โลกสวรรค์ และโลกจ้าวอสูร ล้วนไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลย เฉพาะเพียงในปรภพเท่านั้นที่มีคนตายกว่า ล้านล้านคนกำลังทนทุกข์จากการถูกทรมานตลอดทั้งวันคืน มิอาจหลุดพ้นออกมาได้”
“และอาจารย์ของเจ้าได้ทำการเลือกผสานรวมหกวิถีของโลกเทวะ อันได้แก่ โลกผีร้าย โลกอาชูร่า โลกสวรรค์ โลกจ้าวอสูร และรวมไปถึงตัวโลกเทวะเองเข้าด้วยกัน ทั้งหมดห้าโลก ผสานรวมเข้ากับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ รวมเป็นทั้งสิ้นหกโลก”
“ส่วนเหตุผลที่นางเลือกทำการผสานรวมหกวิถีแต่ทางฝั่งของโลกเทวะ ละความคิดที่จะผสานรวมหกวิถีทางฝั่งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ไปโดยสมบูรณ์นั้น ทั้งหมดก็เพื่อมิให้เกิดสงคราม หรือความสูญเสียใดๆ ขึ้นนั่นเอง”
เสี่ยวเหมียวแทรกขึ้นมา “แต่โลกหกวิถีคือวัฏจักรปิด สิ่งมีชีวิตสมควรที่จะเกิดใหม่ กระจายไปในโลกต่างๆ สิ แล้วเพราะอะไรกัน ทำไมในโลกอื่นๆ ถึงไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย?”
แบรี่ลองตริตรอง แต่แล้วก็ส่ายหัวและกล่าว “นี่มันไม่สมเหตุสมผล ฉันไม่รู้เลยว่าจะอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างไร”
กู่ฉิงซานยังคงเงียบ
เกี่ยวกับความลับสุดยอดของโลกหกวิถี เขาไม่ยินดีที่จะพูดสิ่งใดออกไปต่อหน้าฝูงชน
บางทีเมื่อช่วงที่หกวิถีพังทลายลง มันอาจส่งผลให้เศษเสี้ยวหกวิถีของโลกเทวะได้รับผลกระทบบางอย่างก็ได้
ส่วนหกวิถีของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์เองก็เหมือนกัน ที่หลงเหลืออยู่เพียงห้าโลก โดยไร้ซึ่งวี่แววของโลกสวรรค์ในสถานที่แห่งนั้น
มันอาจกล่าวได้ว่าโลกสวรรค์คงจะถูกทำลายลงเมื่อหกวิถีที่แท้จริงเกิดการพังทลายลงใช่หรือไม่?
หลี่อันส่ายหัวให้เสี่ยวเหมียว แสดงท่าทีว่าเธอเองก็ไม่ทราบถึงคำตอบเช่นกัน
เธอกล่าวต่อ “แต่หลังจากที่ทำการผสานโลกไปหลายใบ แหล่งกำเนิดกฎเกณฑ์ของโลกก็มีอำนาจเพิ่มมากขึ้นทันที ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ก็เพิ่มพูนขึ้นในฉับพลัน”
“ยิ่งท่านอาจารย์ครอบครองพรสวรรค์อันน่าทึ่งอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นหลังจากที่ผสานรวมโลกเข้าด้วยกัน นางจะต้องแข็งแกร่งมากขึ้นจนมิอาจจินตนาการได้อย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว
หลี่อันเตือน “แต่อย่าลืมนะว่าอาจารย์เจ้าได้ทำการผสานรวมโลกไปมากมายโดยพลการ ซึ่งเป็นการละเมิดกฎของโลก เก้าร้อยล้านชั้น นั่นนับว่าเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงมาก”
“อาจารย์เจ้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเข้าร่วมพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์แห่งโลก เก้าร้อยล้านชั้น และแน่นอนว่านี่ก็เพื่อให้เธอได้รับสิทธิ์ในการผสานรวมโลก”
“ส่วนราคาที่นางจะต้องจ่าย ก็คือต้องร่วมต่อสู้เพื่อพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ รับมือกับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าสู่วิถีมารอันทรงอำนาจ”
“และปัจจุบัน อาจารย์เจ้าก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำพันธมิตรแล้ว ตำแหน่งซึ่งเป็นเป้าหมายที่ผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าสู่วิถีมารต้องการจะสังหารลงมากที่สุด และข้าไม่อยากบอกเลย ว่าพื้นฐานวรยุทธ์ของอาจารย์เจ้าน่ะ มันต่ำที่สุดเลย ในบรรดาผู้นำทั้งหมดที่ถูกเลือกขึ้นมา”
“ดังนั้น ยามนี้นางจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง”
หลี่อันมองเขา และกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าคิดว่าข้อมูลนี่มีความสำคัญต่อเจ้า เพราะก่อนหน้านี้ เจ้าเองก็เคยเรียกข้า เพื่อให้ไปช่วยเหลืออาจารย์เจ้าเหมือนกัน”
“ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงมาแจ้งให้ข้าทราบใช่หรือไม่?”
“ใช่”
กู่ฉิงซานประสานสองกำปั้นตนเข้าด้วยกัน และโค้งกายคารวะให้แก่หลี่อันอย่างช้าๆ
“ข่าวที่เจ้านำมาเป็นเรื่องสำคัญยิ่งจริงๆ และข้าขอน้อมรับน้ำใจในครั้งนี้เอาไว้ หากในภายภาคหน้าเจ้ามีปัญหาอะไร เจ้าสามารถมาพบข้าได้ตลอดเวลา ข้าจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยเหลือเจ้าเอง”
หลี่อันเหลือบมองเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะละสายตาลง “เจ้าดูจะห่วงใยในตัวอาจารย์มากเลยนะ”
“แน่นอน” กู่ฉิงซานถอนหายใจ “เพราะในความเป็นจริงแล้วโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์น่ะโหดร้ายยิ่งกว่าโลกมนุษย์ใบนี้เสียอีก หากไม่มีนิกาย ก็ไม่ต่างอะไรไปจากคนไร้บ้านเลย”
“เดิมทีข้าเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เร่ร่อน ในช่วงเวลานั้นยังอยู่แค่ขอบเขตปราณปรับแต่ง ไม่นับว่ามีสถานะใดๆ”
“หากโชคดี ข้าอาจจะได้รับการยอมรับจากบางนิกายในช่วงการทดสอบประจำปี และเข้าร่วมกับพวกเขาก็ได้”
“อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะนิกายใด สาวกทุกคนไม่ว่าใครก็ล้วนต้องการ ทรัพยากรฝึกยุทธ์ เทคนิคฝึกยุทธ์ อาวุธ เกราะ และอุปกรณ์อันยอดเยี่ยมกันทั้งนั้น”
“แต่หากหมายจะได้รับสิ่งเหล่านั้น เจ้าก็ต้องทำงานต่างๆ มากมายเพื่อที่จะให้นิกายมอบมันเป็นค่าตอบแทน”
“ผู้ฝึกยุทธ์นับไม่ถ้วนจึงต้องทนทำงานหนักไปตลอดชีวิต แต่สุดท้ายหากพวกเขาก็ล้มเหลวในการทำตามข้อตกลงรับของตอบแทนจากนิกาย ทรัพยากรที่ได้รับมันก็จะไม่เพียงพอ และผลที่ตามมาก็คือ การยกระดับขอบเขตก็จะเชื่องช้าลง ถูกชะลอออกไป”
“นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธ์มากมายที่ไม่ได้รับ เทคนิคฝึกยุทธ์ เทคนิคมนตรา อาวุธหรือเกราะดีๆ ส่งผลให้พวกเขาต้องจบชีวิตลงในสงครามอีก”
กู่ฉิงซานยิ้ม น้ำเสียงของเขาฟังดูอบอุ่นขึ้น “แต่ท่านอาจารย์ก็เลือกที่จะรับข้าเข้าสู่นิกายร้อยบุปผา”
“ท่านอาจารย์มอบดาบพิภพให้แก่ข้า ช่วยสอนสั่งทักษะดาบแก่ข้า”
“เพราะเป็นห่วง เกรงว่าข้าจะถูกลอบสังหาร ท่านถึงขั้นใช้สกิลเทวะเฝ้าติดตามข้าอย่างลับๆ”
“ยามเมื่อท่านตกอยู่ในช่วงเวลาวิกฤต ท่านก็เลือกที่จะมอบทรัพยากรทั้งหมดของนิกายให้แก่ข้า”
“แต่เจ้าทราบหรือไม่? ข้าแท้จริงแล้ว ข้ากลับแทบจะไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อนิกายเลย”
หลี่อันคอยรับฟังอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “สำหรับพวกเราแล้ว ร้อยบุปผาน่ะไม่ใช่นิกาย ตรงกันข้าม มันเป็นเสมือนครอบครัวต่างหาก”
“และท่านอาจารย์ก็คือสมาชิกครอบครัว ดังนั้นข้าจะไม่ยินยอมเสียท่านไป”
น้ำเสียงของเขากลายเป็นคมชัด
“แต่เท่าที่ข้าเห็น เหมือนว่าเจ้าจะมีอีกหลายสิ่งมากมายที่จำต้องทำในโลกใบนี้ แล้วเจ้าจะย้อนกลับไปหานางได้อย่างไร?” หลี่อันถาม
“ข้าก็แค่ต้องทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นลงในวันนี้ แล้วรีบกลับไปทันที”
“เอาล่ะ ขอบคุณสำหรับการมาเยือนอันแสนพิเศษของเจ้า” กู่ฉิงซานขอบคุณอย่างจริงใจ
หลี่อันยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่เฉิดฉายดั่งนางฟ้านางสวรรค์
แล้วเจ้าตัวก็ค่อยๆ ถอยหลังกลับ ผลุบเข้าไปในความว่างเปล่าอย่างช้าๆ และหายไปในที่สุด
กู่ฉิงซานมองเสี่ยวเหมียว “เกรงว่าจากนี้ไปผมคงต้องรบกวนคุณมากกว่านี้เสียแล้ว”
“อยากจะให้ฉันทำอะไรล่ะ?” เสี่ยวเหมี่ยวถามด้วยรอยยิ้ม
ยิ่งได้ฟังสิ่งที่กู่ฉิงซานกล่าว และได้เห็นถึงทัศนคติที่เขามีต่ออาจารย์ มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกรู้สึกประทับใจในตัวเขามากยิ่งกว่าเดิม
“พวกเราจะเร่งกระบวนการผสานรวมหกวิถีให้เร็วขึ้น เพื่อทำการค้นหาสุสานแห่งโลก”
“ไม่มีปัญหา แค่ฉันกระดิกนิ้ว ก็สามารถพานายไปยังในแต่ละโลกของหกวิถีได้แล้วในพริบตา”
“ดีล่ะ แต่ก่อนอื่นพวกเรามีบางสิ่งที่จะต้องทำ”
“อะไรงั้นเหรอ?”
“พวกสถาบันเทพ ได้ซ่อนสิ่งที่พวกเขาเรียกกันว่านาฬิกาเทพไว้ใต้ยานอวกาศ”
“ด้วยสิ่งนั้น ทำให้พวกเขาสามารถค้นพบสุสานแห่งโลกได้”
“อ้อ นั่นสินะ ฉันก็ลืมไปเลย” เสี่ยวเหมียวกล่าวขึ้นทันที
เธอก้มตัวลง และกดมือลงกับพื้น
คลื่นมิติที่บิดเบี้ยวผุดออกมาจากมือเธอ และแพร่กระจายไปตลอดทั้งขั้วโลกเหนือ
ไม่นานนัก ยานอวกาศขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในขั้วโลกเหนือก็ถูกห่อหุ้มด้วยอำนาจมิติอันไร้ที่สิ้นสุด
“ฮ่า!”
เสี่ยวเหมียวตะโกนคำหนึ่ง
เสี้ยววินาทีนั้นเอง ขั้วโลกเหนือก็หายไป
ไม่ ไม่สิ ไม่ใช่ขั้วโลกเหนือที่หายไป แต่เป็นยานอวกาศทั้งลำที่หายวับไปจากสายตาของทุกคนเลยต่างหาก!
ฉะนั้นขั้วโลกเหนือบัดนี้จึงว่างเปล่า หลงเหลือเพียงพายุหิมะอันอ้างว้าง
ยานอวกาศถูกนำออกจากใต้ชั้นน้ำแข็งลึก
ดวงตาของเสี่ยวเหมียวเหลือบไปมาตามพื้นเบื้องล่าง ตรวจสอบถึงการเคลื่อนไหวของพื้นอย่างระมัดระวัง
“ฉันว่าฉันพบมันแล้วนะ ดูจากคลื่นความผันผวนมันชัดเจนมาก รู้สึกเหมือนจะเป็นเครื่องมือตรวจจับอะไรบางอย่าง”
ขณะกล่าว เสี่ยวเหมียวก็วาดมือของเธอออกไปเบาๆ และค่อยๆ อุ้มมิติที่ว่างเปล่าเบื้องหน้า
วินาทีต่อมา สิ่งเล็กๆ ที่ดูประณีตละเอียดอ่อนก็ผลุบออกมาจากอากาศที่บางเบา ตกลงในมือของเธอ
ทุกคนก้มลงมองมัน และพบว่านี่คือนาฬิกาเรือนเล็กๆ ที่มีรูปร่างสวยงามแปลกตา
“โอเค ฉันจะย้ายยานอวกาศกลับมาแล้วนะ”
เสี่ยวเหมียวยื่นมืออีกข้างออกไป และดีดนิ้วของเธอ
ยานอวกาศปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ และจอดลงบนพื้นน้ำแข็งขั้วโลกเหนืออย่างมั่นคงอีกครั้ง
เสี่ยวเหมียวโยนนาฬิกาเทพให้แก่กู่ฉิงซาน
“นายลองดูสิ ว่าใช่นี่ไหม?” เธอกล่าว
กู่ฉิงซานรับนาฬิกาเทพมา และตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง
บนหน้าต่างเทพสงคราม บรรทัดแสงตัวอักษรได้เด้งเตือนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ชื่อไอเท็ม ผู้แสวงหาสมบัติของเหล่าทวยเทพ”
“คุณภาพ ไอเท็มประหลาดหายาก”
“คำอธิบายตามพงศาวดารวันสิ้นโลก ไอเท็มหายากชิ้นนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในครั้งอดีต มันไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน ดังนั้น ไอเท็มหายากชิ้นนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ใดๆ”
“วิชายุทธ์เทพสงคราม จะทำการแสดงสกิลของไอเท็มดังต่อไปนี้”
“สกิลลึกลับ ความสามารถในการสำรวจ การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์”
แต่แล้วหน้าต่างเทพสงครามก็หยุดลงอย่างกะทันหัน
กู่ฉิงซานตกใจ
เกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับระบบอย่างงั้นเหรอ?
แต่ไม่ต้องรีรอให้เขาคาดเดา บรรทัดตัวอักษรสีแดงขนาดเล็กก็เริ่มปรากฏขึ้นบนหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
“คุณเป็นคนที่สามที่ได้รับของขวัญจากเหล่าทวยเทพ”
“ตามความปรารถนาของคุณ เหล่าทวยเทพจึงได้ใช้อำนาจที่อยู่เหนือกฎแห่งเหตุและผล มอบกุญแจที่ช่วยให้คุณสามารถปลดเปลื้องพันธะแห่งจิตวิญญาณ”
“กฎเกณฑ์อันลึกล้ำของจิตวิญญาณคุณได้รับการยกระดับ”
“นับตั้งแต่ตอนนั้น คุณก็สามารถแหกกฎข้อจำกัด สามารถศึกษาเทคนิคมนตราประเภทใดก็ได้ตามต้องการ”
“คุณสามารถฝึกฝนสกิลลึกลับ การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์”
“เพื่อที่จะทำการเรียนรู้เกี่ยวกับสกิลลึกลับนี้ คุณจำเป็นต้องจ่าย หนึ่งหมื่นแต้มพลังวิญญาณ”
“คุณยินดีที่จะจ่ายแต้มพลังวิญญาณ หนึ่งหมื่นแต้ม เพื่อได้ฝึกฝนสกิลนี้หรือไม่?”
กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ฉันจ่าย!”
…………………………………..
“สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ เพราะท้ายที่สุดนี้ อย่างไรเสียผู้นำคนใหม่ก็จำเป็นที่จะต้องได้รับการยอมรับจากทุกคน”
จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานกล่าวจบ เขาก็หุบปากลง
บรรดาผู้นำของโลกด้านการฝึกยุทธ์ ผู้เฒ่าผู้แก่ และคนสำคัญต่างก็จมอยู่ในห้วงความคิดอันลึกล้ำ
จำต้องใช้เวลาอยู่นาน ใครบางคนจึงเอ่ยปากออกมา
“เซี่ยเต๋าหลิง อืม…ข้าคิดว่านางเพียบพร้อมในทุกๆ ด้าน เพียงแต่พื้นฐานวรยุทธ์ยังคงต่ำเกินไปก็เท่านั้นเอง” ผู้เฒ่าคนหนึ่งกล่าวพลางครุ่นคิด
และด้วยประโยคดังกล่าวนี้ ส่งผลให้เสียงของผู้คนจำนวนมากเริ่มเซ็งแซ่ขึ้น
ฝูงชนเริ่มที่จะถกเถียงกัน
“จะกล่าวเช่นนั้นก็ไม่ถูก” หนึ่งในผู้นำกล่าว “เพราะตั้งแต่ที่นางเข้าร่วมกับพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ข้าก็ได้เป็นสักขีพยานด้วยตาตนเองอยู่หลายครั้งหลายครา ว่าความไวในการยกระดับของนางช่างรวดเร็วยิ่งนัก กระทั่งเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารก็ยังไม่สามารถไล่ตามความเร็วในการฝึกยุทธ์ของนางได้”
ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนหนึ่งกล่าวบ้าง “ทุกท่านโปรดไตร่ตรองอย่างรอบคอบด้วยเถอะ เซี่ยเต๋าหลิงเพิ่งเข้าร่วมกับพันธมิตรได้ไม่นานก็จริง แต่นางก็ได้รับการคัดกรองมาอย่างเข้มงวดแล้ว”
“ในเวลานั้น เนื่องจากความว่องไวในการยกระดับของนางมันรวดเร็วเกินไป จนก่อให้เกิดความสงสัยกระจายออกไปเป็นวงกว้าง ดังนั้นผู้เฒ่าจึงสั่งให้นางยอมรับการทดสอบการคัดกรองว่าแท้จริงแล้ว นางคือผู้เข้าสู่วิถีมารหรือไม่”
“แล้วผลลัพธ์น่ะหรือ? ปรากฏว่านางก็เป็นดั่งคนอื่นๆ ที่อาศัยพรสวรรค์และความเข้าใจของตนเอง ไต่ขึ้นมาทีละขั้น ทีละขั้นนั่นเอง”
ผู้เฒ่ายังกล่าวอีกว่า “จดจำได้หรือไม่ ว่าในยามที่นางเข้าร่วมกับพันธมิตร กว่าแปดสิบแปดผู้ฝึกยุทธ์ได้อธิบายแก่นาง พยายามให้นางในฐานะหน้าใหม่เข้าใจเกี่ยวกับโลกเก้าร้อยล้านชั้น ว่าความกว้างใหญ่ของวิถีแห่งเต๋านั้นไร้ที่สิ้นสุดเพียงใด ทว่าหลังจากที่ได้สนทนาแลกเปลี่ยนในเรื่องเทคนิคมนตราจากนาง แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์กว่ายี่สิบเอ็ดคน ที่ความรู้ความเข้าใจเดิมของพวกเขาพังทลายลง ราวกับเพิ่งได้ตรัสรู้ว่าแท้จริงแล้วตนยังอ่อนด้อยนัก”
“ไม่ว่าจะเป็นในด้านความเร็วการฝึกยุทธ์ หรือในด้านเทคนิคมนตรา ทั้งหมดล้วนราวกับถูกส่งมาจากสรวงสวรรค์เพื่อมาช่วยเหลือพวกเรา”
ผู้ฝึกยุทธ์นักสู้คนอื่นๆ ยืนขึ้นและตะโกนลั่น “เซี่ยเต๋าหลิงต้องการเวลา ตราบใดที่ให้เวลานางมากพอ นางย่อมต้องแกร่งขึ้นจนเหนือล้ำกว่าเจ้าอย่างแน่นอน!”
“พูดแบบนี้ หมายความว่าเจ้ากำลังสนับสนุนนางงั้นหรือ?”
“แน่นอน นางเป็นหญิงที่เปรียบดั่งนางฟ้าที่ถูกเนรเทศไปยังสถานที่ห่างไกล แต่ในที่สุดก็ได้หวนคืนสู่บ้านเกิดที่แท้จริงเสียที ตัวข้าฝึกยุทธ์มาหลายพันปี ได้เจอหญิงงามปานนางฟ้ามานับไม่ถ้วน แต่ไม่มีหญิงใดเลยที่มีความสามารถยอดเยี่ยม เทียมเท่าได้กับนาง!”
“อืม…นั่นมันก็จริง”
“ถูกของเจ้า”
“ข้าเห็นด้วย รอยยิ้มของนางช่างมีเสน่ห์มากจริงๆ จนข้าเผลอคิดไปว่าตนเองถูกดึงดูดด้วยเทคนิคมนตราเสียแล้ว”
“ตามตรรกะนี้ ก็เพียงพอที่จะบ่งบอกได้ว่านางเป็นตัวตนที่ยากนักจักปรากฏขึ้นอย่างแท้จริง”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มคุกรุ่นขึ้น ฮั่วหลานก็กระแอมไอ เร่งเตือนอย่างรวดเร็ว
“เงียบหน่อย!”
เขาโบกมือ และตะโกนเตือนทุกผู้คนด้วยเสียงอันกังวานก้อง
“พวกเรากำลังเลือกผู้นำพันธมิตร! มิใช่เลือกเฟ้นหาสหายเต๋าที่งดงามที่สุด ฉะนั้นพวกเจ้าทุกคนจงเป็นกลางด้วย”
ฮั่วหลานกวาดสายตามองทุกคนและเอ่ยถาม
“ฉะนั้น ปัญหาหลักในตอนนี้คือ พื้นฐานวรยุทธ์ของเซี่ยเต๋าหลิงเต่าเกินไปที่จะโน้มน้าวใจผู้คนได้ใช่หรือไม่?”
ผู้เฒ่าคนก่อนเปิดปากกล่าว “แท้จริงแล้วเป็นเช่นนั้น เว้นแต่นางจะสามารถทะลวงขอบเขตวรยุทธ์ ขอบเขตใหญ่ไปได้อีกขั้นหนึ่ง เพราะท้ายที่สุดนี้ อย่างไรเสีย ขอบเขตวรยุทธ์ก็คือสิ่งสำคัญที่พวกเราชาวยุทธ์ใช้วัดกันและกัน”
เสียงนี้ดังสะท้อนออกไป
แต่ในไม่ช้า เสียงฮือฮาที่ดังยิ่งกว่าก็ดังขึ้น
เห็นได้ชัดว่ามีหลายคนไม่พอใจกับคำกล่าวอ้างนี้ของผู้เฒ่า
เห็นแค่เพียงผู้ทรงเกียรติฉิงหยุนผุดลุกขึ้น ผายสองมือออกและกดมันลง ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ
เสียงสะท้อนและโห่ร้องจึงค่อยๆ จางหายไป
ในฐานะที่เขาถูกเลือกให้รับตำแหน่งผู้นำเป็นคนแรก ส่งผลให้เขาเป็นที่เคารพ และผู้คนก็ยินยอมปฏิบัติตาม
ฉิงหยุนเริ่มกล่าว
“ท่านผู้เฒ่า ท่านมีความคิดที่ว่าพื้นฐานวรยุทธ์ของเซี่ยเต๋าหลิงต่ำเกินไป เช่นนั้นข้าจึงมีคำถามหนึ่งที่อยากจะถามท่านในตอนนี้”
“เชิญท่าน” ผู้เฒ่ากล่าว
ฉิงหยุน “ท่านกล้าที่จะสู้กับเซี่ยเต๋าหลิงหรือไม่?”
ผู้เฒ่าย้อนคิดไปถึงทุกประเภทของเทคนิคมนตรา และทุกกลอุบายของเซี่ยเต๋าหลิง และการลงมืออย่างไร้ซึ่งความปรานีในสนามรบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา “ไร้สาระ! ใครจะไปกล้าสู้กับนาง!”
ทว่าหลังจากที่เขากล่าวคำนี้ ลิ้นของเขาก็ราวกับรับได้ถึงรสฝาดขมของความอับอายทันที
อาจริงด้วยสิ
แม้ว่าพื้นฐานวรยุทธ์ของนางจะต่ำกว่า แต่เขาก็ยังไม่กล้าสู้กับนางอยู่ดี
เพราะนี่คือความหวาดกลัวที่เกิดจากการรับรู้ทางจิตวิญญาณ
มันคือสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของผู้ฝึกยุทธ์!
ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ เมื่อได้ยินถึงบทสนทนาระหว่างทั้งสอง ทั้งหมดก็เริ่มจมลงสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง
พื้นฐานวรยุทธ์ของเซี่ยเต๋าหลิงแม้จะไม่สูงส่ง ทว่ากลับสามารถทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีวรยุทธ์สูงกว่าเกิดความหวาดกลัวได้
นอกจากนี้ นางยังเป็นหนึ่งเดียวที่สามารถคว้าชัยจากในตลอดทั้งสนามรบอีกด้วย
ด้วยตัวตนเช่นนี้ หากทุกคนให้การสนับสนุนนาง และให้เวลานางได้เติบใหญ่มากพอ นางจะไม่เปรียบดั่งวิหคที่สามารถทะยานบินขึ้นไปเหนือยิ่งกว่าชั้นฟ้าได้เลยหรือ?
ผู้คนมากขึ้น มากขึ้นเริ่มพยักหน้าอย่างเงียบๆ
แต่ผู้เฒ่ายังคงยืนยันหนักแน่น “อย่างไรเสีย ปัญหาสำคัญก็คือพื้นฐานวรยุทธ์ของนางยังอยู่ในขอบเขตที่ต่ำเกินไป ส่งผลให้มันไม่มีพลังวิญญาณมากพอที่จะสำแดงเทคนิคมนตราให้มากยิ่งขึ้น”
“แม้ว่าข้าจะไม่กล้าสู้กับนาง แต่พลังวิญญาณของนางก็ยังไม่แข็งกล้าเท่ากับของข้า!”
บางคนเริ่มคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง และเริ่มสนับสนุนผู้เฒ่า “น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะหากพื้นฐานวรยุทธ์ของเซี่ยเต๋าหลิงต่ำเกินไป ท่ามกลางสงครามครั้งใหญ่ที่กินเวลามากจนเกินควร นางอาจไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้นานพอ”
อีกคนกล่าว “ใช่ หากนางขึ้นเป็นผู้นำ และต้องคอยสั่งการสงคราม แต่พลังวิญญาณของนางกลับไม่เพียงพอ แบบนั้นคงไม่ดีแน่”
“ผู้นำของพวกเราจะเป็นคนที่อ่อนแรง และต้องถอนตัวจากสงครามไปกลางคันได้อย่างไร?”
“หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น มันจะเป็นการบ่อนทำลายขวัญกำลังใจของผู้คนทั้งหมด”
ผู้นำคนหนึ่งกล่าว “เว้นแต่ว่านางจะสามารถยกระดับขอบเขตใหญ่ไปได้อีกขั้น แต่มันก็คงจะยากเกินไป เพราะขอบเขตยิ่งสูง การยกระดับขอบเขตใหญ่ก็จะยิ่งยากเย็นขึ้นเรื่อยๆ ข้าไม่เชื่อว่านางจะสามารถรักษาอัตราเร็วในการฝึกยุทธ์ที่สูงล้ำเช่นนี้ไปได้ตลอด”
ผู้ทรงเกียรติอีกคนกล่าว “ใช่ ไม่มีใครสามารถตัดผ่านได้อย่างรวดเร็ว เว้นเสียแต่จะใช้ประโยชน์จากระบบวิถีมาร แต่เซี่ยเต๋าหลิงชัดเจนว่ามิใช่ผู้เข้าสู่วิถีมาร”
คราวนี้ผู้ฝึกยุทธ์ฝั่งที่สนับสนุนเซี่ยเต๋าหลิงก็เริ่มช่วยหักล้าง โต้เถียงกลับไปบ้าง
ทั้งสองฝ่ายต่างถูกโยนลงสู่การโต้แย้ง
จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานเฝ้ามองสถานการณ์นี้อย่างเงียบๆ
เขารออยู่สักพัก แต่กลับเห็นแค่เพียงทุกคนกำลังพูดคุยถึงเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง
การโต้เถียงเริ่มจะรุนแรงมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่สิ่งสำคัญก็คือ การที่ผู้ถูกเลือกคนนี้สามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีไม่น้อยเลย
เช่นนั้นเวลานี้ ก็สมควรที่จะหยุดวิวาทะกัน และมุ่งเข้าสู่ในส่วนถัดไป
ฮั่วหลานโบกมือ ส่งสัญญาณให้หยุดพูด
ตลอดทั้งที่ประชุมเงียบลง
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ต่างหันมามองฮั่วหลานเป็นสายตาเดียว
ฮั่วหลานกลั้วคอและเริ่มกล่าว
“เวลานี้ พวกเรามีปัญหาอยู่สองประการ”
“ประการแรกคือเซี่ยเต๋าหลิงยินดีที่จะขึ้นเป็นผู้นำพันธมิตรของพวกเราหรือไม่”
“ประการที่สอง พวกเราจะทำการนับคะแนนเสียงดูว่า มีคนที่สนับสนุนนางให้นั่งตำแหน่งนี้ถึงเจ็ดในสิบส่วนหรือไม่”
“เอาล่ะ ก่อนอื่นเลย เราต้องถามเซี่ยเต๋าหลิงก่อน ว่านางคิดเห็นเช่นไร”
“สหายเต๋าเซี่ย?”
“สหายเต๋าเซี่ย เจ้าสามารถลุกขึ้น และพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้”
ฮั่วหลานกล่าวจบก็เงียบไป แต่รอสักพักแล้ว ก็ยังไม่เห็นเซี่ยเต๋าหลิงขึ้นมาบนเวที
ผู้ฝึกยุทธ์หลายร้อยคนต่างมุ่งสมาธิไปกับการโต้เถียง จนกระทั่งถึงตอนนี้ พวกเขาจึงค่อยพบว่าสถานการณ์มันผิดปกติไป
ทุกคนละความใส่ใจในเรื่องมารยาท ทั้งหมดต่างปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา กวาดมันไปรอบๆ เพื่อตามหาเซี่ยเต๋าหลิง
“นางไม่ได้อยู่ที่นี่”
“แปลกนัก ข้าเห็นกับตาว่านางก็เข้ามายังโลกใบนี้ด้วยเช่นกัน”
“จากไปกลางคันกระนั้นหรือ?”
“นางจากไปในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้เนี่ยนะ?”
เสียงฮือฮาของผู้ฝึกยุทธ์เริ่มดังขึ้น
ในเวลานั้นเองผู้ฝึกยุทธ์หญิงก็ก้าวออกมา กล่าวกับทุกคน “ทุกท่านโปรดสงบลงก่อน ขอให้ข้าได้อธิบาย”
เธอพิจารณาเกี่ยวกับมันและกล่าว “เรื่องนี้…ในตอนแรก เซี่ยเต๋าหลิงอยู่ที่นี่จริงๆ”
“แต่นางอยู่แค่เพียงไม่กี่ลมหายใจ นางก็แยกตัวกลับไปก่อนแล้ว”
ทุกคนแข็งค้างไปโดยสมบูรณ์
“นางกลับไปแล้วงั้นหรือ? เพราะเหตุใดกัน? หรือนางคิดว่าการประชุมของพันธมิตรนั้นไม่สำคัญ?”
ฮั่วหลานถามด้วยความขมขื่น
ผู้ฝึกยุทธ์หญิงเร่งอธิบายอย่างรวดเร็ว “มันมิใช่เช่นนั้น แต่เป็นเพราะนางจำต้องตัดผ่านขอบเขตทันที และหากกระตุ้นทัณฑ์สวรรค์จากในโลกใบนี้ บางคนอาจจะไม่พอใจ และการหารืออย่างเป็นทางการอาจจะล่าช้า ดังนั้นนางจึงแยกตัวกลับไปเงียบๆ”
“และนางยังเตือนข้าอีกด้วยว่า หากมีอะไรเกี่ยวข้องกับนาง ก็ขอให้ช่วยปกปิดเอาไว้”
ผู้ฝึกยุทธ์หญิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “และข้าก็สัญญาว่าจะปกปิดให้นาง แต่ข้าไม่คาดคิดเลยว่าสถานการณ์มันจะลงเอยเช่นนี้”
โลกทั้งใบพลันตกอยู่ในความเงียบงัน
ผู้คนทั้งหมดกลายเป็นโง่งม
ผ่านไปหลายลมหายใจ ฮั่วหลานจึงค่อยตอบสนอง
“เจ้าบอกว่า นางกำลังจะตัดผ่านอีกครั้งงั้นหรือ?” เขาเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นๆ
“ใช่ ข้ายืนอยู่ถัดจากนาง และความผันผวนทางพลังวิญญาณของนางกำลังกระเพื่อมไหวจริงๆ ซึ่งนั่นเป็นลางบอกเหตุของการตัดผ่าน” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงกล่าวอย่างซื่อตรง
ทุกคนจมลงสู่ความเงียบอีกครั้ง
“ฮ่าๆๆ!”
จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานเงยหน้าขึ้นมองฟ้า หัวเราะจนงอหงาย
…………………………………….
ในช่วงที่สงครามระหว่างวิหคหนามเพิ่งจะจบลง
อีกด้านหนึ่ง
ลึกลงไปในโลกเก้าร้อยล้านชั้น
โลกที่แห้งแล้งและแสนห่างไกล
โลกที่ซึ่งไม่ว่าผู้มีอิทธิพลใด ก็ไม่มีใครความสนใจในโลกใบนี้
หลังจากผ่านพ้นวันเดือนปีนับไม่ถ้วนเพื่อเฝ้าตรวจสอบ โลกใบนี้ก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นสถานที่ที่แห้งแล้งมากที่สุด
เพราะไม่ว่าจะทดลองปลูกสิ่งใดในโลกใบนี้ มันก็ไม่มีอะไรสามารถเติบโตได้เลย ทว่าในขณะเดียวกัน ความทนทานของโลกทั้งใบกลับสูงลิ่ว มันเป็นการยาก เป็นการยากมากจริงๆ ที่จะถูกทำลายลง
โลกใบนี้มีขนาดเล็กมาก มันสามารถรองรับผู้คนได้ไม่กี่ร้อยชีวิตในเวลาเดียวกันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ กลับมีผู้ฝึกยุทธ์หลายร้อยคนมารวมตัวกันที่นี่
พวกเขาล้วนมาจากโลกด้านการฝึกยุทธ์ และเพิ่งกลับมาจากสงคราม
พวกเขามารวมตัวกันที่นี่อย่างลับๆ เพื่อหารือเรื่องสำคัญบางอย่าง
“โปรดอยู่ในความสงบ! อยู่ในความสงบ!”
ชายชราที่ยืนอยู่ใจกลางผู้ร่วมหารือตะโกนลั่น
จนผู้คนต้องยกมือขึ้นปิดหู
ความโศกเศร้าของสงครามยังคงปกคลุมอยู่ในจิตใจของทุกผู้คน
ผู้ฝึกยุทธ์หลายคนบ้างกระซิบกระซาบ บ้างพูดคุยกันเสียงดัง บ้างดุด่ากัน และบางคนก็เกือบที่จะลงไม้ลงมือต่อกัน
แต่ก็ยังมีผู้ที่ตรงกันข้ามกับสถานการณ์ในตอนนี้อยู่ ยังมีผู้ฝึกยุทธ์อีกไม่น้อยที่นั่งหงอยอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
สายตาของพวกเขาตกอยู่ในความสับสน ทั้งคนทั้งร่างไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว คล้ายกับว่าจิตวิญญาณได้จากไปแล้ว หลงเหลืออยู่เพียงเปลือกนอกที่ว่างเปล่าเท่านั้น
ชายชรากวาดสายตามองรอบๆ ในแววตาของเขาเผยถึงร่องรอยของความเจ็บปวดอันลึกล้ำ
แต่ในไม่ช้า เขาก็กลับมาแลดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
นั่นเพราะเขาจะต้องหนักแน่น มิฉะนั้นพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ก็จะต้องล่มสลายลง
ชายชราสูดหายใจลึก กระตุ้นพลังวิญญาณ เปล่งเสียงอันกระจ่างชัด “จงสงบเพื่อข้า!”
เสียงคำรามนี้สั่นสะท้านโลกหล้าทั้งใบ กระทั่งมิตินอกโลกก็ยังเกิดการกระเพื่อมไหว
เสียงของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ จึงค่อยๆ แผ่วลง
ชายชราใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ตะโกนออกมา “ข้ารู้ว่าทุกคนรู้สึกผิดหวังและกำลังหวาดกลัวในขณะนี้ แต่ยามนี้ยังมิใช่ช่วงเวลาที่พวกเราควรจะหดหู่ เพราะยังมีเรื่องเร่งด่วนที่จำต้องกระทำ”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ ผู้ฝึกยุทธ์บางคนก็ไม่สามารถระงับอารมณ์ของตน และต้องการจะเปิดปากพูด
ทว่าทั้งหมดก็ถูกชายชราชิงตัดหน้าเสียก่อน เขาชี้ไปรอบที่ประชุม เร่งกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “อาการบาดเจ็บของข้าจะกำเริบในไม่ช้า พวกเจ้าคิดว่าข้าสมควรจะปล่อยวาง แล้วจากไปในตอนนี้เลยหรือไม่?”
เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา ทั้งกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ก็เงียบงันลงทันที
ตลอดทั้งฉากจมลงสู่ความเงียบโดยสมบูรณ์
ชายชราถอนหายใจอย่างอ่อนล้า แต่ขณะเดียวในหัวใจของก็รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“ตามที่ทุกคนทราบ อาณาจักรมารแห่งผู้ฝึกยุทธ์ได้ยื่นคำขาด ว่าขอให้พวกเรายอมจำนนทันที”
“และในช่วงเวลานี้ กลุ่มกองกำลังหรือผู้มีอิทธิพลจำนวนมากกำลังติดอยู่ในสงคราม ดังนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเรา”
“แต่เราเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง! หากเป็นเจ้า เจ้าจะยอมจำนนต่อขยะเหล่านั้น และกลายเป็นทาสของระบบหรือไม่?”
“ไม่!”
“ไม่มีทาง!”
“ข้ายอมตายดีกว่าต้องตกเป็นทาส!”
“เจ้าพูดถูกแล้ว!”
ผู้ฝึกยุทธ์คนแล้วคนเล่าต่างตอบโต้กลับมา
ชายชราจึงต้องเพิ่มเสียง ตะโกนให้ดังขึ้นและกล่าวอีกครั้ง “ข้าจำต้องพูดกับพวกเจ้าให้มันชัดเจน ว่าหากสงครามในครั้งนี้พ่ายแพ้ ต้นเหตุมันก็เป็นเพราะข้า เป็นข้าเองที่สั่งการและต่อสู้ได้ไม่ดีพอ ทำให้พันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ต้องตกอยู่ในอันตรายครั้งใหญ่”
ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา “จ้าวแห่งเต๋า ฮั่วหลาน นั่นไม่ใช่ความผิดของท่าน พวกเราทุกคนต่างรู้ดี”
ผู้ฝึกยุทธ์อื่นถอนหายใจ “ถูกต้อง แม้ว่าพวกเราจะสร้างพันธมิตรขึ้น แต่พวกเราก็ยังมิอาจโค่นพวกผู้ฝึกยุทธ์ที่หันไปพึ่งระบบราชามารได้อยู่ดี”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาได้ก่อตั้งอาณาจักรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ขึ้น และยังเป็นอาณาจักรที่ได้รับความช่วยเหลือจากระบบของราชามาร ขณะที่พวกเราเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาๆ มิอาจไล่ตามความเร็วในการฝึกยุทธ์ของพวกเขาได้ทัน” อีกคนหนึ่งตะโกน
นี่เป็นความจริงอันน่าเศร้า
และแล้วเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ก็ทนเงียบต่อไปไม่ได้ ในที่สุดเสียงสนทนาตลอดทั้งที่ประชุมก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง
จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานโบกมือ ใช้ออกด้วยเทคนิคเสียงมนตรา ทำการระงับเสียงโวยวายของที่ประชุมลงทันที
เขาเปล่งเสียงลั่น “ข้ากำลังจะตาย แต่พันธมิตรของพวกเรายังคงอยู่ในระหว่างการประหัตประหารกันของสงคราม”
“กลุ่มพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์จำเป็นต้องการผู้นำคนใหม่ เพื่อนำพาผู้คนดำเนินการต่อสู้ต่อไป”
“และพวกเจ้าจะต้องแสดงความคิดเห็นของตนออกมาโดยเร็วที่สุด!”
จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานกล่าวออกมาในลมหายใจเดียว แล้วจึงค่อยคลายมนตราระงับเสียงลง
เขาเฝ้ารอฝูงชนเสนอแนะอย่างเงียบๆ
ทว่าไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย
ทุกคนยังคงเงียบ
ฮั่วหลานถอนหายใจ และบ่นด้วยความโกรธ “พวกเจ้าไม่ต้องการที่จะเป็นทาสระบบของราชามาร ดังนั้นพวกเจ้าจึงมากันที่นี่มิใช่หรือ? แต่ตอนนี้ ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ยอมเลือกผู้นำคนใหม่สักทีเล่า?”
บางคนเปล่งเสียงแผ่วเบาออกมา “จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลาน ได้โปรดอย่าโกรธเคืองไปเลย พวกเราแค่ยังรู้สึกไม่ยินยอม เนื่องจากพ่ายแพ้มา และแน่นอนว่ารวมไปถึงท่านด้วย…”
ฮั่วหลานตอบกลับทันที “ใช่ข้าเองก็แพ้ เพราะพวกเขาช่างแข็งกร้าวยิ่งนัก พวกเขาแข็งแกร่งกว่าพวกเรา และยังมีระบบของราชามารคอยช่วยเหลือ… แต่โปรดวางใจเถอะ ก่อนตายข้าจะทำสิ่งหนึ่งเพื่อพวกเจ้าทุกคนอย่างแน่นอน”
ทั้งหมดเงยหัวขึ้น การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาเริ่มเผยถึงความสนใจ
ฮั่วหลานยิ้มหยันตนเองและกล่าว “ข้าผู้ชราครอบครองทักษะแห่งเต๋าและพลังศักดิ์สิทธิ์เอาไว้มากมาย แต่กลับไม่สามารถต้านทานฤทธิ์เดชของระบบราชามารได้ แต่หากข้าผู้ชราจ่ายออกด้วยชีวิตนี้ ก็จะสามารถทำลายกองทัพมารเกือบทั้งหมดลงได้เช่นกัน”
“ด้วยเหตุนี้ จะส่งผลให้ในช่วงเวลาสั้นๆ ทางอาณาจักรมารจะไม่สามารถเริ่มต้นสงครามได้ชั่วคราว!”
“ดังนั้น! พวกเจ้า! ณ เวลานี้! จึงใช้เวลาให้คุ้มค่า เลือกผู้นำคนใหม่เสีย!!”
“มิฉะนั้นแล้ว การเสียสละของข้า คงจะเป็นเพียงการตายอย่างไร้ค่า!!!”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ น้ำเสียงของจ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานก็แหบแห้ง
สีหน้าของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์แปรเปลี่ยนกลับกลาย
เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพื่อที่จะต่อการกับระบบของราชามาร ฮั่วหลานได้อุทิศตนสุดกำลัง ยินยอมเสียสละแม้กระทั่งความตาย
เห็นได้ชัดว่าตนเองรอดชีวิตมาได้ก็เพราะเขา แต่กลับยังมามัวแสดงท่าทีหดหู่อยู่อีก? ช่างเป็นอะไรที่น่าผิดหวังเสียจริง!
ในช่วงเวลานี้เอง เหล่าผู้ฝึกยุทธ์จึงได้กำจัดเงามืดแห่งความพ่ายแพ้ที่คอยกัดกินอยู่ในจิตใจของตนเองออกไปชั่วคราว กระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ และเริ่มไตร่ตรองถึงปัญหานี้อย่างจริงจัง
หลากหลายผู้นำได้สนทนาแลกเปลี่ยนกัน จนในที่สุดก็มีคนหนึ่งยืนขึ้นและกล่าวลั่นว่า “ข้าซางตั้วเหรินแห่งโลกวิญญาณจรัส หลิงหมิง…ขอเสนอ ท่านผู้ทรงเกียรติฉิงหยุน”
และข้อเสนอของพวกเขาก็ได้รับการสนับสนุนจากบรรดาเหล่าผู้ฝึกยุทธ์บางส่วนทันที
“ผู้ทรงเกียรติฉิงหยุนเป็นบุคคลอันทรงเกียรติ พื้นฐานวรยุทธ์ก็สูงส่ง นอกจากนี้ยังเป็นปฏิปักษ์กับมารเสมอมา ฉะนั้นหากได้เขาเป็นผู้นำพันธมิตร พวกเราจะรู้สึกใจชื้นขึ้นเป็นอย่างมาก”
“มิผิด! ท่านผู้ทรงเกียรติฉิงหยุน เป็นบุคคลที่เชื่อถือได้”
“ข้าเองก็คิดแบบเดียวกัน”
ฝูงชนเริ่มถกเถียงเกี่ยวกับเขา
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีผู้คนอีกมากที่มิได้เอ่ยถึงสิ่งใด
จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานมองไปยังผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนและเอ่ยถาม “ผู้ทรงเกียรติฉิงหยุน ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนยืนขึ้น และถอนหายใจยาว
เขายิ้มอย่างขมขื่น “ต้องขอบพระคุณสำหรับความรักใคร่ของพวกเจ้าทุกคนที่มีต่อข้า แต่ข้าตระหนักดีว่าภาระนี้หนักหนาเพียงใด”
“ในช่วงเวลาที่ปัญหาทั้งภายในและภายนอกกำลังรุมเร้า ข้าหาได้มีความมั่นใจที่จะขึ้นเป็นผู้นำพันธมิตรเพื่อดำเนินการต่อกรกับระบบไม่”
“ในความเป็นจริงแล้ว จนกระทั่งถึงตอนนี้ ข้าเองก็ยังไม่ทราบเช่นกัน ว่าจะสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ที่ครอบครองระบบได้อย่างไร”
คำพูดนี้ของเขาฝังลึกเข้าไปในจิตใจของทุกคน
อืม…นั่นสิ
ด้วยพื้นฐานวรยุทธ์และขอบเขตที่เท่าเทียมกัน แล้วจะไปสามารถโค่นเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระบบของราชามารลงได้อย่างไร?
นี่คือปมที่ถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา
หากไม่มีใครสามารถแก้ปมนี้ได้ พันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ก็จะยังคงพ่ายแพ้ต่อไปจนกว่าถูกทำลายลงในที่สุด
นี่คือจุดจบที่แทบจะสามารถมองเห็นได้
ห้วงอารมณ์ของผู้คนเริ่มถูกความเศร้าโศกทับถมลงอีกครั้ง
แต่อีกสักพัก
หลายฝ่ายก็ทำการเสนอชื่อผู้ทรงเกียรติขึ้นมาอีกหลายคน
แต่ผู้ทรงเกียรติทั้งหมดต่างก็ปฏิเสธ
ผู้ทรงเกียรติคนหนึ่งหันไปเผชิญหน้ากับฝูงชนและตะโกนว่า “ข้าเชื่อว่าหลายๆ คนที่มีพื้นฐานวรยุทธ์ใกล้เคียงกับข้า ต่างก็มีความคิดเห็นเดียวกันในหัวใจ”
“นั่นคือ หากแม้กระทั่งจ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานยังคงพ่ายแพ้ ตัวข้าที่มิอาจเทียบเคียงกับเขาได้ จะไปสามารถนำพาพันธมิตรต่อกรกับอาณาจักรมารได้อย่างไร?”
“โปรดอย่าเสียเวลาผลักดันคนเช่นข้าอีกเลย พวกท่านทั้งหลายจะต้องเลือกเฟ้นคนที่มีความสามารถในการต่อสู้ และเหมาะสมที่จะเป็นผู้สั่งการจริงๆ จะดีกว่า”
บังเกิดเสียงฮือฮาขึ้นในฝูงชน
หากเป็นในช่วงอดีตที่ผ่านมา ก็คงจะมีผู้คนจำนวนมากเต็มใจที่จะเป็นผู้นำพันธมิตร มากชนิดที่ว่าแก่งแย่งชิงอำนาจเพื่อที่จะได้ตำแหน่งมาครอบครองเลยทีเดียว
แต่ในตอนนี้ ในช่วงเวลาแห่งสงคราม ช่วงเวลาที่พันธมิตรกำลังล่มสลาย และทุกคนอาจจะต้องตายลงเมื่อใดก็ได้
ผู้ใดกันจะกล้าช่วงชิงตำแหน่งผู้นำพันธมิตรในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดเช่นนี้?
ผู้ใดกันจะกล้ากล่าวว่าเขาสามารถช่วยเหลือพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดได้?
ท่ามกลางตลอดทั้งโลกใบเล็ก ผู้ฝึกยุทธ์จมลงสู่ความเงียบงันเป็นเวลานาน
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“บางทีพวกเราอาจจะลองเปลี่ยนความคิดดู เอาเป็นจากในสงครามครั้งก่อน ผู้ใดที่สามารถสำแดงฤทธิ์ได้ดีเยี่ยมที่สุด คนนั้นก็รับตำแหน่งไปดีหรือไม่”
ฝูงชนต่างหันไปมองเจ้าของเสียง
เห็นแค่เพียงคนที่เอ่ยปากเป็นชายชราในชุดคลุมเต๋า ตามร่างกายของเขากว่าครึ่งชุ่มไปด้วยเลือด
คนผู้นี้คือผู้นำของหนึ่งในโลกด้านการฝึกยุทธ์ เขากล้าหาญเป็นอย่างยิ่งในสงครามครั้งก่อน บุกตะลุยชนิดที่ว่าตนเกือบจะพลาดพลั้งอยู่หลายครั้ง
นับว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่สมควรได้รับการสรรเสริญโดยแท้
บางคนเอ่ยเห็นด้วย “นั่นฟังดูเป็นความคิดที่ดี”
ผู้ทรงเกียรติฉิงหยุนกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “แต่ในการต่อสู้ครั้งก่อน พันธมิตรทั้งหมดต่างพ่ายแพ้ แล้วพวกเราจะไปมองหาผู้ที่ทรงประสิทธิภาพเช่นนั้นได้อย่างไร?”
คำกล่าวนี้ทำให้ฝูงชนเงียบไปครู่หนึ่ง
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์เริ่มที่จะหวนระลึกไปถึงสงครามครั้งก่อนโดยไม่รู้ตัว
“…ก็ไม่เสียทีเดียวนะ” บางคนกล่าวขึ้น
“ใช่ ไม่ถึงกับว่าพ่ายแพ้โดยสมบูรณ์”
“เหมือนว่าจะมีอยู่การโจมตีหนึ่งที่โดดเด่นสะดุดตา”
“ใช่ๆ พอเจ้าพูดข้าเองก็เริ่มจดจำได้แล้วเช่นกัน”
“แม้นั่นจะเป็นเพียงการโต้กลับก็ตาม”
“แต่ผลลัพธ์ของมันกลับประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง”
“นอกจากนี้การสูญเสียยังมีเพียงเล็กน้อย”
“ผู้ฝึกยุทธ์ผู้เข้าสู่วิถีมารคนหนึ่งก็ถูกสังหารลงโดยคนคนนั้นเช่นกัน”
“มีคนแบบนั้นอยู่ด้วยงั้นหรือ?”
“ใช่สิ เจ้าดูรายงานการต่อสู้แล้วใช่หรือไม่ ว่ามีอยู่โลกหนึ่งที่ไม่ได้เข้าร่วมกับพันธมิตรมานานแล้ว เข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ด้วย”
“อะไรกัน? คนคนนั้นคือใคร”
“คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”
ผู้ฝึกยุทธ์เริ่มสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
จ้าวแห่งเต๋าฮั่วหลานคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองทุกคนแล้วพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็นได้
“สหายเต๋าผู้นั้นคือเซี่ยเต๋าหลิง เป็นผู้ที่สำแดงฤทธิ์เดชได้ดีที่สุดในสงครามครั้งก่อน”
ฮั่วหลานเปล่งเสียงสดใส “เช่นนั้น ยามนี้พวกเราก็มาหารือกันดีกว่า ว่าสหายเต๋าหน้าใหม่ผู้นี้เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำพันธมิตรหรือไม่”
………………………………….
ภายในกระท่อมบนยอดเขา
แบรี่ไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกถามคำถามนี้ เล่นเอาเขาตะลึงไปเล็กน้อย
เมื่อเห็นถึงสายตาที่กำลังเฝ้ารอคอยคำตอบอย่างร้อนรนของเย่เฟย์หยู เสี่ยวเหมียวก็ยิ้มออกมา
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง” เธอกล่าว
แบรี่ได้สติกลับคืน เข้าพยักหน้า และหัวเราะ
กระทั่งในช่วงเวลาที่ตนกำลังจะได้รับความแข็งแกร่งขึ้น ชายหนุ่มยังคงคิดถึงแฟนของเขาอย่างจริงใจ แลดูน่ารักไม่ใช่น้อย
ผู้ชายแบบนี้ เหมาะสมที่จะเป็นสมาชิกของสมาคมจริงๆ
“หมายความว่าตกลงใช่ไหม?” กู่ฉิงซานถาม
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา” แบรี่ตอบ
แล้วพวกเขาก็สามารถจบประเด็นของเย่เฟย์หยูได้ในที่สุด
นับตั้งแต่นี้ไป เย่เฟย์หยูได้เข้าร่วมกับสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมอย่างเป็นทางการแล้ว!
“ถ้างั้น ผมจะสามารถทำอะไรเพื่อสมาคมได้บ้าง?” เย่เฟย์หยูถามด้วยความสงสัย
ทำอะไรเพื่อสมาคมได้บ้าง…
คำถามนี้ทำให้ทั้งสามคนต้องเงียบไป
‘นอกเหนือไปจากการต่อสู้และหาอาหารแล้ว ดูเหมือนว่าในสมาคมจะไม่มีเรื่องอื่นให้ทำอีกเลย’ นี่คือสิ่งที่กู่ฉิงซานคิด
ซึ่งเขาคงคิดไม่ถึงเหมือนกัน ว่านั่นคือสิ่งที่แบรี่กับเสี่ยวเหมียวกำลังคิดอยู่เช่นกัน
แบรี่กระแอม และเอ่ยถามอย่างจริงจัง “เอาอย่างนี้ดีกว่า ไหนลองบอกมาหน่อยสิว่านายถนัดเรื่องอะไร?”
“ถนัดเล่นเกม ในบรรดาการจัดอันดับโลก ผมเป็นหนึ่งในคนที่อยู่อันดับสูงที่สุด” เย่เฟย์หยูกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“เล่นเกม? จัดอันดับโลก?” เสี่ยวเหมียวงง
กู่ฉิงซานช่วยพูด “นั่นไม่นับนะ นายช่วยนึกอย่างอื่นแล้วบอกพวกเราอีกทีได้ไหม”
เย่เฟย์หยูขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะกล่าวในที่สุด “ผมสามารถอยู่บ้านเฉยๆ ได้เป็นเวลานาน ตราบใดที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมสามารถไม่ออกไปไหนเลยได้เป็นเวลาหลายปี”
“…” กู่ฉิงซาน
เขาหยุดความคิดที่จะช่วยเย่เฟย์หยูพูดอีกครั้งไปโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม กลับเหนือความคาดหมาย เพราะพอได้ฟัง เสี่ยวเหมียวก็ปรบมือขึ้นอย่างมีความสุข “นั่นมันยอดไปเลยนี่นา! ในที่สุดช่วงเวลาที่พวกเราไม่อยู่ ก็จะมีใครบางคนคอยจัดการกับทางเข้าสัญญาณของโลกมิติอนันต์สักที!”
“อ้าว ไม่ใช่ว่าทางเข้ามิติอนันต์ อยู่ในการควบคุมของคุณตลอดเวลาหรอกเหรอ?” กู่ฉิงซานถาม
“นี่ฟังนะ ฉันถูกขังอยู่ในสมาคมมานานเกือบจะพันปีแล้ว ฉะนั้นตอนนี้ฉันจะทิ้งสมาคมไป ไม่อยากจะสนใจมัน จะขอใช้วันหยุด! ฉันจะไปช็อปปิ้ง! ฉันจะไปเที่ยวเล่น!” เสี่ยวเหมียวตะโกน
แบรี่พยักหน้า เขาเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน
“ฉันเองก็ไม่ได้ไปเที่ยวบาร์ หรือเล่นกาสิโนแบบเต็มอิ่มมานานแล้ว” เขากล่าวด้วยอารมณ์
ทั้งสองเฝ้ามองเย่เฟย์หยู และเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับอีกฝ่าย
“น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของเขายังอ่อนแอเกินไป และความรู้เกี่ยวกับโลกเก้าร้อยล้านชั้นก็ยังน้อยนิด จำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะเติบโตขึ้น”
“ใช่ หลังจากที่พวกเราสามารถผสานรวมทั้งหกโลกเข้าด้วยกันได้แล้ว พวกเราจะพาเขาไปออกล่าทุกสารทิศ เพื่อช่วยผลักดันให้เขาวิวัฒนาการไปยังขั้นต่อไป”
ในเวลานั้นเอง สมองควอนตั้มในอ้อมแขนของกู่ฉิงซานก็ส่องสว่างขึ้น
“ใต้เท้า ฉันมีอะไรบางอย่างที่ต้องรายงาน”
“ว่ามาเลย”
“ราชาผีเพลิงน้ำแข็งจากโลกผีร้าย กำลังนำคนของเขาออกไปปล้นฆ่า และจับตัวผู้คน แปรสภาพมนุษย์ให้กลายเป็นพวกผีร้าย”
แล้วฉากดังกล่าวก็ถูกฉายขึ้นบนจอม่านแสง
ราชาผีเพลิงน้ำแข็งที่อยู่ในเมืองผี กำลังตะโกนสั่งเสียงดัง
มนุษย์ที่ถูกจับตัวมาโดยผีร้ายทุกคนก็เร่งวิ่งไปยังจัตุรัส เพื่อเข้าร่วมพิธีแปรสภาพขนาดใหญ่
กู่ฉิงซานมองไปบนจอม่านแสงและเอ่ยถาม “พวกมันเองก็เป็นตัวการทำลายโลกใช่ไหม?”
“ใช่แล้วใต้เท้า พวกผีร้ายเป็นกลุ่มที่สร้างความเสียหายแก่โลกมนุษย์มากที่สุด ใครไม่เชื่อฟังพวกมันก็จะถูกฆ่าและจับกิน มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถรอดไปจากเงื้อมมือของมันได้ นั่นคือจะต้องเลือกแปรสภาพตนเองเป็นผีร้าย” เทพธิดากงเจิ้งอธิบาย
กู่ฉิงซานค่อยๆ ขมวดคิ้ว
เจตนาฆ่าเริ่มพวยพุ่งขึ้นจากตัวเขา
“ดูเหมือนว่าตอนนี้ พวกเราจะมีที่ที่สามารถพาเย่เฟย์หยูออกไปล่าสังหารทุกสารทิศได้เสียแล้ว” เขากล่าวเสียงกระซิบ
เสี่ยวเหมียว “นี่เป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการ ขอแค่บอกพิกัดของมันให้กับฉันก็พอ”
แล้วเทพธิดากงเจิ้งก็บอกตำแหน่งพิกัดออกไป
“พวกเราไปกันเถอะ”
เสี่ยวเหมียวลูบแหวนบนนิ้วมือของเธอ
ในเสี้ยววินาที แบรี่ เสี่ยวเหมียว กู่ฉิงซาน และเย่เฟย์หยูก็หายวับไป
ณ เมืองของผีร้าย
ราชาผีเพลิงน้ำแข็งกำลังเร่งความเร็ว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับพิธีแปรสภาพขนาดใหญ่
เนื่องด้วยความแข็งแกร่งของกลุ่มคนก่อนหน้านี้ที่เขาเพิ่งเผชิญมามันน่าหวาดกลัวเกินไป แม้จะอยู่ไกลแต่ในหัวใจตนก็รู้สึกว่ายากที่จะต้านทาน
ราชาผีเพลิงน้ำแข็งตระหนักได้ว่าโลกมนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้นานกว่านี้อีกต่อไป
เมื่อพิธีแปรสภาพขนาดใหญ่นี้เสร็จสมบูรณ์ ตัวมันก็ตั้งใจที่จะกลับไปยังโลกของตนทันที และไม่คิดย้อนกลับมาที่นี่ในระยะเวลาสั้นๆ
“ดีมาก ตอนนี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้ว ข้าขอเริ่มพิธีแปรสภาพบัดเดี๋ยวนี้!” ราชาผีเพลิงน้ำแข็งสั่ง
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครเลยที่ตอบสนองต่อคำของเขา
มีเพียงความเงียบตลอดทั้งเมืองผี
ผีร้ายทั้งหมดหยุดนิ่งอยู่ในตำแหน่งเดิมของพวกมัน แม้จะใช้กำลังทั้งหมดที่มีของตน พวกมันก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
มิติโดยรอบของพวกมันแข็งตัวไปแล้วโดยสมบูรณ์ ไม่มีกระทั่งที่ช่องว่างที่จะให้พวกมันเปิดปาก
ในหัวใจของราชาผีตระหนักชัดถึงลางไม่ดี มันเร่งใช้เทคนิคมนตราเคลื่อนย้ายทันที
แต่มันกลับพบว่าตนเองไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
วินาทีต่อมา ม่านแสงก็กะพริบไหว
สมาชิกทั้งหมดของสมาคมกำปั้นเหล็กปรากฏตัวขึ้นในจัตุรัส
“เทพธิดากงเจิ้ง ช่วยส่งเกราะรบขับเคลื่อน กับเรือขนส่งมาที่นี่ เพื่อช่วยลำเลียงผู้คนกลับไปหน่อยสิ” กู่ฉิงซานกล่าว
“รับทราบใต้เท้า”
กู่ฉิงซานมองไปที่เสี่ยวเหมียวอีกครั้งและเอ่ยถาม “คุณแน่ใจใช่ไหมว่าผีร้ายพวกนี้จะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้?”
“พวกมันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างแน่นอน เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกนายก็แล้วกันนะ ส่วนฉันจะขอไปสำรวจค่ายกลนั่นก่อน มันดูน่าสนใจไม่น้อยเลย”
เธอเดินตรงไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่
ซึ่งเป็นค่ายกลมิติที่ใช้กลับไปยังโลกของผีร้าย
“เฟย์หยู ตานายแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
เย่เฟย์หยูเลียริมฝีปากของเขาด้วยความตื่นเต้น และกล่าวว่า “ความแข็งแกร่งของพวกมันไม่เลวเลย นี่เป็นวัตถุดิบสำคัญที่จะช่วยให้ฉันสามารถวิวัฒนาการขึ้นได้ ฉันสามารถฆ่าพวกมันได้จริงๆ ใช่ไหม?”
“ฆ่าให้หมดเลย” กู่ฉิงซานสนับสนุน
เย่เฟย์หยูร้องคำราม แปรเปลี่ยนตนเป็นเส้นแสงสีเลือด โฉบไปยังราชาผีเพลิงน้ำแข็ง
ตะขอเกี่ยววิญญาณที่สาดรังสีแสงสีเหลืองอ่อนๆ ผุดออกมาจากหลังมือของเขา ใบมีดอันคมกริบ ตัดผ่านต้นคอของราชาผีเพลิงน้ำแข็งอย่างแผ่วเบา
ส่วนหัวพลันถูกแยกออกจากลำตัว
ราชาผีเพลิงน้ำแข็ง ผู้ซึ่งเป็นผู้นำผีร้ายทั้งมวล และเป็นตัวตั้งตัวตีในการบุกโจมตีโลกในครั้งนี้ ตกตายลงโดยไม่ทันได้ต่อต้านใดๆ
ปัง!
เลือดสังหารพวยพุ่งออกจากร่างกายของเย่เฟย์หยู
เขาได้รับพลังทั้งหมดของราชาผีเพลิงน้ำแข็งมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
“มันสะดวกสบายจริงๆ นี่ใช่ไหมคือความสนุกของการที่ได้ฆ่ามอนสเตอร์ที่เลเวลมากกว่า” เย่เฟย์หยูเปล่งเสียงกระซิบที่ฟังดูกำลังรื่นรมย์ออกมา
ตะขอเกี่ยววิญญาณสาดประกายกะพริบไหว
อีกหัวหนึ่งของผีร้ายที่ทรงพลังถูกแยกออกจากลำตัว
เลือดสังหารที่ปะทุออกจากร่างของเย่เฟย์หยูยิ่งมากกว่าเดิม
แบรี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ กู่ฉิงซานยกสองแขนขึ้นกอดอกและกล่าว “อะไรคือการมอนสเตอร์ที่เลเวลมากกว่า?”
“มันเป็นศัพท์ในเกม คุณไม่จำเป็นต้องสนใจที่เขาพูดหรอก” กู่ฉิงซานตอบ
“งั้นนายตั้งใจที่จะทำอะไรต่อไป” แบรี่ถามอีกครั้ง
“ตอนนี้ก็รอให้พวกผีร้ายที่นี่ทั้งหมดถูกฆ่า จากนั้นก็เข้าไปในโลกผีร้าย และผสานรวมโลกของพวกมันเข้ากับโลกมนุษย์”
“จากนั้นล่ะ?”
“จากนั้นก็เป็นโลกสวรรค์ โลกจ้าวอสูร และโลกอาชูร่า จับแต่ละโลกมาผสานรวมเข้าด้วยกันทีละโลก ทีละโลก”
กู่ฉิงซานนึกขึ้นได้ถึงบางสิ่ง และกล่าว “แต่สำหรับโลกอาชูร่าคงต้องอ่อนโยนกันหน่อย เพราะพวกเขามีความสัมพันธ์กับผมอยู่”
“ที่พูดมามันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร” แบรี่พยักหน้า
เสี่ยวเหมียวเดินกลับมาและกล่าว “ฉันได้ทำการตรวจสอบค่ายกลของผีร้ายเรียบร้อยแล้ว บางจุดของค่ายกลติดตั้งกับดักที่ส่งผลให้มีเพียงผีร้ายเท่านั้นที่สามารถผ่านมันไปได้ แต่พวกเราไม่จำเป็นต้องเดินทางผ่านค่ายกลของมัน เพราะฉันได้รับพิกัดโลกของผีร้ายมาแล้ว นั่นหมายความว่าฉันสามารถส่งนายไปยังโลกของพวกมันได้เลยโดยตรง”
“งั้นรอให้เย่เฟย์หยูจัดการให้จบลงก่อน แล้วพวกเราค่อยไปกันนะครับ” กู่ฉิงซานกล่าว
ทั้งสามเบนสายตามองออกไป
หลายสิบลมหายใจผ่านพ้น
ในที่สุด เย่เฟย์หยูก็สามารถล้างบางผีร้ายทั้งเมืองจนหมดสิ้น
เขาคุกเข่าลงกับพื้น และเริ่มส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
ร่องรอยจางของเลือดสังหารเริ่มควบรวมเป็นเส้นบางๆ คล้ายดั่งผ้าไหมที่มีจิตวิญญาณ เริ่มว่ายวนรัดพันรอบตัวเย่เฟย์หยู
เสียงร่ำร้องของเย่เฟย์หยูค่อยๆ ถูกตัดขาดออกจากภายในด้ายเลือด
“การวิวัฒนาการกำลังจะเริ่มต้นขึ้น”
แบรี่เฝ้ามองดูฉากนี้และกล่าว
“จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน แต่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ พวกเราจะต้องรอดูเอง จนกว่าจะรู้ผล” แบรี่กล่าวด้วยความสนใจ
เสี่ยวเหมียวยิ้ม “ตอนนี้ ฉันไม่เพียงแต่ได้มาเห็นทิวทัศน์ของโลกหกวิถีด้วยตาตัวเอง แต่ยังสามารถได้คอยเฝ้ามองการวิวัฒนาการของพิฆาตโลกอีก การเลือกเดินทางมาในครั้งนี้มันช่างคุ้มค่าเสียจริงๆ”
แต่กู่ฉิงซานเหมือนจะไม่ได้ฟังเธอ เขาจมลงไปในห้วงความคิดอย่างเงียบๆ
หลังจากที่เย่เฟย์หยูวิวัฒนาการแล้ว เอาไว้เขาค่อยตรวจสอบด้วยตัวเองก็ได้ ตอนนี้คาดเดาไปก็เท่านั้น
ทุกอย่างจะเป็นไปตามขั้นตอน เริ่มจากการผสานรวมโลกหกวิถีเข้าด้วยกันโดยสมบูรณ์ และจากนั้นก็สำรวจความลับของสุสานแห่งโลก
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการที่ยุ่งยากและซับซ้อน
แต่โชคยังดี ที่มีแบรี่กับเสี่ยวเหมียว ทำให้กู่ฉิงซานสามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ครั้งใหญ่ไปได้
กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย
เขาอยากจะรู้จริงๆ ว่าเทพบรรพกาลได้ซ่อนสิ่งใดเอาไว้ในโลกหกวิถี
ขณะกำลังขบคิด ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็รับรู้ได้ถึงบางอย่าง
เขาตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบวัตถุบางสิ่งออกมา
เป็น ‘กระดิ่งมารสวรรค์’
บนตัวกระดิ่งกำลังสั่นไหว สาดบรรยากาศเย็นเยียบออกมาอย่างต่อเนื่อง
สายกระดิ่งยังคงสั่นไหว คอยเขย่ากระดิ่งให้เกิดเสียงดังไม่หยุด
เสียงของกระดิ่งมารสวรรค์กังวานไปยังโลกอันไร้ที่สิ้นสุด
“เธอจะมาอย่างงั้นเหรอ?”
กู่ฉิงซานพึมพำด้วยความสงสัย
แต่ในไม่ช้า เขาก็เหมือนจะนึกออกในที่สุด
เพราะตนได้เคยสัญญาณเอาไว้ว่าจะมอบโลกใบหนึ่งให้แก่อีกฝ่าย แต่นี่ก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว เขากลับยังไม่มอบมันให้เสียที
เกรงว่าเธอคงจะมาหาเขาเพื่อทวงหนี้
อย่างไรก็ตาม ตัวเขาก็เป็นหนี้มานานแล้ว ดังนั้นปัจจุบันจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการชำระ
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ
ในความว่างเปล่าก็เริ่มขยับไหว
“ไม่เป็นไรหรอก คนที่กำลังจะมาอยู่ฝ่ายเดียวกัน”
กู่ฉิงซานหันไปพูดกับแบรี่และเสี่ยวเหมียว
ระหว่างกล่าว เห็นแค่เพียงเด็กสาวชุดดำคนหนึ่งค่อยๆ ตกลง
เธอร่อนลงมาหยุดอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซานโดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวเฝ้าสังเกตเด็กสาวคนนั้น การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาค่อยๆ ผิดแปลกไป
นั่นเพราะสองพี่น้องสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของกฎเกณฑ์ของสวรรค์และโลก ที่ควบรวมกันแน่นอยู่ในตัวเด็กสาวชุดดำผู้นั้น
มันเป็นชนิดของการอนุญาต วางใจ และยินยอม
โลกใบนี้เต็มใจต้อนรับการมาเยือนของเธอ
“น้องสาว นั่นใช่มารสวรรค์แห่งโลกหกวิถีรึเปล่า?” แบรี่ถาม
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ ช่างเป็นรูปแบบชีวิตที่พบเจอได้ยากยิ่งจริงๆ” เสี่ยวเหมียวอุทาน
กู่ฉิงซานหยิบบอลคริสทัลออกมา
นี่คือโลกที่ลอร่ามอบให้กับเขา
ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของทริสเต้ แต่ตอนนี้มันตกอยู่ในมือของกู่ฉิงซาน
“นี่สำหรับเจ้า เป็นสิ่งชำระของหนี้ในคราวก่อนที่ตกลงกันไว้”
กู่ฉิงซานส่งบอลคริสทัลออกไป
หลี่อันรับบอลคริสทัล และตรวจสอบมันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
เธอพบว่ามันคือโลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพบรรพกาล
มันคือโลกที่มีค่ามากๆ และอาจจะยังมีความลับอีกมากมายให้ทำการสำรวจ
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความจริงใจ “ก่อนอื่นเลยข้าอยากจะขอบคุณเจ้าที่ให้ความช่วยเหลือ และหวังว่าในอนาคตพวกเราจะยังคงได้ร่วมมือกันอีกครั้ง”
หลี่อันพอได้ฟัง ก็เผยรอยยิ้มอันอบอุ่นออกมา
แล้วเธอก็เริ่มเผยอริมฝีปากเบาๆ “ข้าไม่ได้มาเพื่อขอให้เจ้าจ่ายหนี้”
“งั้น…”
“ข้าอยากจะมาหาเจ้าเฉยๆ มันไม่ได้รึไง?”
“แน่นอนว่าได้”
“ล้อเล่นน่ะ อันที่จริงแล้วข้ามีบางอย่างที่ต้องบอกมันแก่เจ้า”
“…” กู่ฉิงซาน
เขายังคงแสดงท่าทีจริงใจและเอ่ยถามต่อ “เป็นเรื่องอะไรกัน ที่ทำให้เจ้าถึงกับต้องมาบอกด้วยตนเอง”
หลี่อัน “ตอนนี้สถานการณ์ของโลกเทวะตึงเครียดมาก สงครามระหว่างอาณาจักรทั้งปวงได้ปะทุขึ้นแล้ว ข้าจึงคิดว่าเรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องแจ้งให้เจ้าทราบ”
ในหัวใจของกู่ฉิงซานหม่นทะมึนลง เขาถามออกไป “สงคราม? ทำไมจึงเกิดสงครามขึ้น?”
เมื่อเผชิญกับความสงสัยของกู่ฉิงซาน หลี่อันก็อดไม่ได้ที่จะย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ในช่วงสงครามครั้งก่อนหน้า กระทั่งในช่วงเวลานี้ ในหัวใจของเธอก็ยังคงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และชื่นชมในกลยุทธ์ของเขา
“เพราะอาจารย์ของเจ้าได้กระทำบางสิ่งที่ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่”
ในที่สุดหลี่อันก็เฉลยออกมา
……………………………………..
ในขั้วโลกเหนือ
ทุกสถานที่แผ่ไปด้วยเสียงของสายลมและหิมะ
ณ จุดสูงสุดของยอดเขา
แบรี่ เสี่ยวเหมียว และกู่ฉิงซานอยู่ในกระท่อม
ทั้งสามตั้งวง นั่งล้อมรอบกองไฟที่กำลังเผาไหม้
ต่างคนต่างยกเหล้าขึ้นดื่ม ขณะเดียวกันก็พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเย่เฟย์หยู
“จะเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่เขาวิวัฒนาการไปสู่ขั้นถัดไป?”
กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
เสี่ยวเหมียว “พิฆาตโลกแต่ละคนจะมีทิศทางวิวัฒนาการที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และลักษณะธรรมชาติของตัวเขาเอง แต่รูปแบบชีวิตของสิ่งที่เขาดูดซับก็มีส่วนด้วยเหมือนกัน”
“ดีล่ะ ดูเหมือนว่าพวกเราจะช่วยหาโอกาสให้เขาวิวัฒน์ให้เร็วขึ้นเสียแล้ว” กู่ฉิงซานสูดหายใจ
“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่านายกำลังกังวลอยู่กันนะ?” แบรี่ถาม
กู่ฉิงซานพยักหน้าตอบ “ผมกำลังกังวลอยู่จริงๆ เพราะโลกใบนี้จำเป็นต้องการใครสักคนที่จะปกป้องมัน อย่างไรก็ตาม ผมมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องทำ…ตอนนี้ผมเป็นห่วงเรื่องนิกายของผมมากๆ เลย”
เขาเบนสายตามองหน้าต่างเทพสงคราม อ่านไม่กี่บรรทัดแสงหิ่งห้อยที่ยังคงลอยอยู่ที่นั่น
“คุณยังไม่ได้ใช้พลังของระบบเทพสงคราม เพื่อหวนกลับไปยังโลกเดิม”
“ระบบได้สะสมพลังงานเพียงพอแล้ว”
“นับจากเวลานี้ คุณสามารถไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ได้ตลอดเวลา”
“เมื่อคุณต้องการ โปรดสื่อสารกับระบบเพื่อทำการเคลื่อนย้ายด้วย”
กู่ฉิงซานส่ายหัว สลัดอารมณ์ว้าวุ่นทิ้งไป
หลังจากที่เขาส่งฉินรั่วกับว่านเอ๋อกลับไป ก็ไม่ได้รับข่าวคราวใดๆ อีกเลย
เป็นเวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้เจอกับท่านอาจารย์ เซี่ยวโหลว ซิวซิว ตนไม่อาจรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้างในตอนนี้
แต่น่าเสียดายที่ในโลกเดิมยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องจัดการ เขาจึงยังไม่สามารถจากไปในเวลานี้ได้
“นิกายงั้นเหรอ?” เสี่ยวเหมียวถามด้วยความอยากรู้
“ใช่ ผมเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีรากฐานและที่มาของการสืบทอดวิชา”
กู่ฉิงซานบอกเล่าเกี่ยวกับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์และโลกเทวะ
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวต้องประหลาดใจอีกครั้ง
“อืม ไม่ต้องกังวลจนเกินไปหรอก เท่าที่ฟังดู เรื่องของทางฝั่งนู้นไม่น่าจะเร่งด่วนอะไรนะ” แบรี่ปลอบ
ว่าแล้วเขาก็ยกแก้วขึ้นชนกับกู่ฉิงซาน
ทั้งสองยกซดมันรวดเดียวหมด
กู่ฉิงซาน “อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ผมเองก็หวังว่าจะจบเรื่องของที่นี่โดยเร็ว ผมจะได้กลับไปดูว่าทางฝั่งนั้นเป็นอย่างไรบ้างสักที”
แบรี่ถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่คิดเลยว่านายจะเหมือนกับฉัน ที่กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของแต่ละโลก ว่าแต่นายรู้สึกอย่างไรหรือ เวลาที่ได้ช่วยโลกเอาไว้?”
กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “สำหรับผม การช่วยโลกมันไม่แตกต่างไปจากการส่งอาหารเลย”
“หมายความว่าอย่างไร?”
“ก็หมายความว่าระหว่างทางมันต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก และจะไม่สามารถหยุดงานได้ จนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย”
แบรี่พอได้ฟังก็หัวเราะ
“ประโยคนี้คุ้มค่าที่จะให้นายได้ดื่มมันอีกหนึ่งแก้ว”
เขาเติมเหล้าใส่แก้วของกู่ฉิงซาน ใส่ของตัวเอง และยื่นมันให้แก่เด็กหนุ่มเพื่อเป็นการแสดงความนับถือ
ทั้งสองดื่มรวดเดียวหมดอีกครั้ง
กู่ฉิงซานเหมือนจะนึกได้ถึงบางสิ่ง เอาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ผมได้ยินมาว่าโลกเก้าร้อยล้านชั้นไม่อนุญาตให้ทำการผสานโลกโดยพลการ นี่เป็นเรื่องจริงรึเปล่า?”
“อืม เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะการจับเอาแหล่งกำเนิดของโลกอื่นมาหลอมรวม แล้วส่งผลให้แข็งแกร่งขึ้น มันเป็นสิ่งล่อใจที่รุนแรงเกินไป”
“ซึ่งถ้าทุกคนทำแบบนั้น โลกตลอดทั้งเก้าร้อยล้านชั้นคงไม่แคล้วถูกโยนลงสู่ท่ามกลางพายุเลือด”
“ดังนั้นเหล่าตัวตนทรงอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเก้าร้อยล้านชั้น จึงได้มาประชุมกัน และก่อร่างสนธิสัญญาว่าจะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ทำการผสานโลกโดยพลการ ยกเว้นตามโควตาที่กำหนดไว้ ผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษอย่างร้ายแรง”
กู่ฉิงซาน “แต่ผมบังเอิญไปผสานรวมสองโลกเข้าด้วยกันเสียแล้ว”
“สำหรับนาย มันไม่เป็นไรหรอก”
“อ้าว ทำไมล่ะ?”
แบรี่ “เพราะนายเป็นสมาชิกของสมาคม และสมาคมของเราก็ไม่เคยใช้โควตาในการผสานโลกเลยน่ะสิ”
กู่ฉิงซานอึ้งงัน แต่แล้วเขาก็เริ่มตระหนักได้ทันที
แบรี่น่ะเป็นตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ เสี่ยวเหมียวเองก็เช่นกัน
ดังนั้นพวกเขาจะต้องมีสิทธิ์และอำนาจพิเศษบางอย่าง อย่างแน่นอน
“พวกคุณไม่เคยผสานรวมโลกเข้าด้วยกันเลยงั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานถาม
“ช่วงก่อนหน้านี้ พี่ชายของฉันได้รับบาดเจ็บ และไม่สามารถออกไปไหนได้ แถมพวกเรายังมีปัญหาในด้านอาหารการกินอีก แล้วพวกเราจะไปเอาแรงและเวลาที่ไหน ออกค้นหาโลกมาผสานเล่นกันเล่า?” เสี่ยวเหมียวยิ้มแห้งๆ ออกมา
“ไม่ใช่ว่าการผสานโลกจะช่วยให้อาการบาดเจ็บดีขึ้นหรอกเหรอ?”
“มันสามารถช่วยเพิ่มขีดกำจัดสูงสุดของความแข็งแกร่ง และทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดแข็งแกร่งขึ้นได้ก็จริง แต่มันไม่สามารถช่วยรักษาได้”
แบรี่กล่าว “แต่การผสานรวมโลกมันส่งผลดีมากจริงๆ อย่างเช่นอาจารย์ของแฟนนาย เขาได้ทำการผสานรวมโลกที่เด่นในด้านเทียนซวนเข้าด้วยกันหลายใบ ส่งผลให้ในที่สุดโลกทะเลเลือดของเขาก็กว้างใหญ่ขึ้น”
เสี่ยวเหมี่ยว พูดบ้าง “ก่อนหน้านี้ ที่คนจากสถาบันเทพยังไม่บ้า พวกเขาเองก็ได้ทำการผสานรวมโลกด้านลึกลับหลายใบเข้าด้วยกันเหมือนกัน”
“ด้านลึกลับ…” กู่ฉิงซานพึมพำ
เขาย้อนนึกไปถึงสกิลลึกลับของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแต่ละสกิลล้วนทรงพลังและพิสดารเป็นอย่างมาก
เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าโลกที่เน้นผสานรวมในด้านลึกลับจะพัฒนาไปในทิศทางใด
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ท่าทีของเสี่ยวเหมียวก็กลายเป็นจริงจังมากขึ้น
เธอเอ่ยเตือน “โลกในด้านลึกลับมันแปลกประหลาดมาก ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วทุกคนมักจะไม่เต็มใจที่จะไปยั่วยุพวกเขา นายต้องจำเอาไว้ให้ดี ว่าอย่าไปยั่วยุผู้คนในด้านลึกลับ”
แบรี่เสริม “เมื่อนายต้องสู้กับพวกในด้านลึกลับ นายจะไม่อาจมั่นใจได้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในระหว่างการต่อสู้ ซึ่งนี่นับว่าเป็นเรื่องน่าปวดหัวมากๆ”
กู่ฉิงซานพยักหน้า พอนึกไปถึงตอนที่ได้ต่อสู้กับสาวกศักดิ์สิทธิ์ พลังของอีกฝ่ายแต่ละคนมันก็ชวนให้เขาปวดหัวจริงๆ นั่นแหละ
เขาถามอีกครั้ง “ดังนั้น ก็หมายความว่าพวกคุณไม่เคยมีความตั้งใจที่จะผสานรวมโลกเลยน่ะสิใช่ไหม?”
เสี่ยวเหมียวอธิบาย “ไม่เสียทีเดียว อันที่จริงพี่ชายกับฉัน พวกเราเกิดมาในโลกมนตรา และเดิมทีฉันวางแผนที่จะรวบรวมโลกที่โดดเด่นด้านมนตราเข้ากับโลกของพวกเรา เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในระดับรายบุคคลขึ้น แต่น่าเสียดาย ที่พวกเราไม่มีเวลาและพลังงานมากพอที่จะทำเรื่องนี้”
“ถ้างั้น หากผมต้องการที่จะผสานรวมโลกหกวิถีเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง ผมจะสามารถทำมันได้ใช่ไหม” กู่ฉิงซานกล่าว
เมื่อทั้งสามพูดคุยกันมาถึงจุดนี้ ทั้งหมดก็เงียบกันไปพักหนึ่ง
เพราะทั้งหมดพลันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง
กู่ฉิงซานเป็นคนแรกที่เอ่ยถาม “มีใครในโลก เก้าร้อย ล้านชั้น เคยคิดที่จะทำแบบเดียวกับผม ทำการผสานรวมโลกหกวิถีเข้าด้วยกันบ้างรึเปล่า?”
“ไม่มี” แบรี่ตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด
“เพราะในโลก เก้าร้อย ล้านชั้นน่ะ มีโลกหกวิถีอยู่โลกสถานที่เดียวเท่านั้น และมันซ่อนตัวอยู่ในดินแดนอัศจรรย์ แค่การจะเข้าไปค้นหามันยังเป็นเรื่องยากเลย ดังนั้นการผสานรวมคงไม่ต้องกล่าวถึง”
โลกหกวิถีคือวัฏจักรปิด ดังนั้นถ้าพวกมันทั้งหมดถูกผสานรวมเข้าด้วยกัน จะก่อให้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่นะ?
กู่ฉิงซานไตร่ตรองอย่างเงียบๆ
พระเจ้าประหลาดนั่น สามารถรับรู้ถึงคลื่นความผันผวนของสุสานแห่งโลก ในตอนที่ปรภพกับโลกมนุษย์ได้ทำการผสานรวมเข้าด้วยกัน
ตั้งแต่ที่โลกถูกผสานรวม ก็เกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้น…
ถ้างั้น หากเขายังคงผสานรวมหกวิถีต่อไป ตนก็จะค้นพบเบาะแสได้มากกว่านี้ใช่หรือไม่?
บางที เขาอาจจะได้รับเบาะแสอย่างตำแหน่งที่แน่นอนของสุสานแห่งโลก หรือกระทั่งวิธีที่จะเปิดมันก็ได้
หากเป็นในกรณีนี้ การผสานรวมทั้งหกวิถีเข้าด้วยกันก็เป็นสิ่งจำเป็น
เสี่ยวเหมียวคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงถาม “ถ้าเป็นอย่างที่นายพูด โลกที่นิกายของนายตั้งอยู่ก็เป็นโลกหกวิถีเหมือนกันใช่ไหม?”
“ใช่” กู่ฉิงซานกล่าว
เสี่ยวเหมียว “พี่ชาย นี่มันชักจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ทำไมถึงได้มีโลกหกวิถีซ่อนอยู่มากมายในโลก เก้าร้อย ล้านชั้นกันแน่?”
แบรี่ “พี่เองก็กำลังสงสัยอยู่เหมือนกัน”
กู่ฉิงซานไม่ได้กล่าวสิ่งใด
โลกหกวิถี เดิมทีถูกสงวนเอาไว้สำหรับเหล่าทวยเทพ ทว่ามันกลับถูกทำลาย และแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หลุดรอดออกมาในโลกกระจัดกระจาย
นอกจากนี้ ระบบเทพสงครามยังเตือนเขาซ้ำๆ ถึงความจริงอันน่าอัศจรรย์นี้ ว่าจะต้องไม่แพร่งพรายมันออกไป มิเช่นนั้นจะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้
กู่ฉิงซานยังคงเลือกที่จะไม่พูด เขาเก็บเรื่องนี้เอาไว้อย่างเงียบๆ
เสี่ยวเหมียวเอ่ยเสริม “ฉันเองก็อยากจะเห็นเหมือนกัน เพราะฉันไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากทำการผสานรวมทั้งหกวิถีเข้าด้วยกัน”
กู่ฉิงซาน “ก็ในเมื่อคุณอยู่ที่นี่แล้ว งั้นทำไมพวกเราไม่ทำมันเสียตอนนี้เลยล่ะ?”
“นายแน่ใจเหรอว่าจะทำจริงๆ?” แบรี่ถาม
“แน่ใจ”
กู่ฉิงซานยืนขึ้น และกล่าวต่อ “เพราะตอนนี้โลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้นกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง และคุณเองก็ได้ค้นพบถึงความลับของสถาบันเทพแล้ว”
“ในเมื่อพระเจ้าแปลกๆ ของทางสถาบันเทพก็ยังสามารถรับรู้ถึงที่นี่ได้ ดังนั้นผมคิดว่าวันหนึ่ง โลกใบนี้คงจะไม่สามารถหลบซ่อนได้อีกต่อไป อีกไม่คงจะมีผู้คนมากขึ้นที่ค้นพบมัน”
“โดยสรุปแล้ว จำเป็นที่จะต้องให้สิ่งมีชีวิตในโลกนี้แข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด”
แบรี่ลุกขึ้นและกล่าว “โอเค งั้นพวกเราก็มาเริ่มทำการผสานรวมทั้งหกโลกเข้าด้วยกัน กันเลย”
เสี่ยวเหมียวยืนขึ้น และพูดบ้าง “เรื่องนี้น้องเอาด้วย มันน่าสนใจมากจริงๆ พวกเราจะเริ่มกันตอนนี้เลยดีไหม?”
“ดีล่ะ ไปกันเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว
แต่ในเวลานั้นเอง ประตูกระท่อมก็ถูกเปิดออก
เย่เฟย์หยูเดินฝ่าพายุหิมะเข้ามา
แบรี่ เสี่ยวเหมียว และกู่ฉิงซานหันไปมองหน้ากันและกัน
“กู่ฉิงซาน นายมีอะไรจะคัดค้านไหม?” เสี่ยวเหมียวถาม
“แน่นอนว่าไม่ ผมโอเค เพราะมันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา” กู่ฉิงซานกล่าวทันที
“งั้นพวกเรามาจัดการเรื่องของเขาให้มันเรียบร้อย ก่อนที่จะทำการผสานทั้งหกโลกก็แล้วกัน” แบรี่กล่าว
กู่ฉิงซาน “ตกลง”
ทั้งสามทิ้งตัวลงบนที่นั่งของตนอีกครั้ง
สายตาของพวกเขา ทั้งหมดตกลงบนร่างกายของเย่เฟย์หยู
เย่เฟย์หยูได้ฟังบทสนทนาและท่าทีของทั้งสาม เขาก็อดไม่ได้ที่จะสับสน
เขาหันไปอธิบายให้กู่ฉิงซาน “ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น เทพธิดากงเจิ้งเลยขอให้ซางหยิงฮ่าวออกไปจัดการเป็นการส่วนตัว ซางหยิงฮ่าวก็เลยรวดพาเหลียวฮังไปร่วมมือกันช่วยเทพธิดาเสียเลย”
กู่ฉิงซาน “ไม่เป็นไรหรอก ปล่อยพวกเขาไปก่อน เพราะตอนนี้ฉันมีเรื่องสำคัญมากที่จะต้องบอกนาย”
“เรื่องอะไร?” เย่เฟย์หยูถาม
“ให้ฉันพูดเอง” เสี่ยวเหมียวแทรก
เธอมองเย่เฟย์หยู และกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “นายต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วไหม?”
เย่เฟย์หยูมองกู่ฉิงซาน
“ตั้งใจตอบด้วย” กู่ฉิงซานเตือน
เย่เฟย์หยู “ผมต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น”
เสี่ยวเหมียวแนะนำ “พอดีว่าเรากับกู่ฉิงซานเป็นพันธมิตรกัน และทางเราได้จัดตั้งสมาคมขึ้น นายต้องการที่จะเข้าร่วมรึเปล่า?”
“กู่ฉิงซานก็อยู่ในสมาคมใช่ไหม?”
“ใช่”
“งั้นตกลง ผมต้องการจะเข้าร่วมด้วย” เย่เฟย์หยูตอบโดยไม่เสียเวลาคิด
“ตอบเร็วจัง นี่นายจะไม่ลองทบทวนดูหน่อยเหรอ?”
“ไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องทบทวน ผมเชื่อในการตัดสินใจและการเลือกของกู่ฉิงซาน ในเมื่อเขาเข้าร่วม ถ้าอย่างงั้นผมก็เอาด้วย”
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวยิ้ม
“โอเค งั้นตอนนี้ฉันจะอธิบายเรื่องของสมาคมและองค์ประกอบของโลกต่างๆ ให้นายฟังนะ” เสี่ยวเหมียวกล่าว
เธอบอกเล่าเกี่ยวกับสมาคมกำปั้นเหล็ก อธิบายแนวคิด และการแบ่งดินแดนของโลก เก้าร้อย ล้านชั้น
เย่เฟย์หยูถึงขั้นลืมหายใจ และไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้เป็นระยะเวลานาน
เขาไม่ใช่คนโง่ ในไม่ช้าเขาก็เข้าใจถึงสถานะของสมาคมกำปั้นเหล็กในโลก เก้าร้อย ล้านชั้น
ด้วยโอกาสดังกล่าวที่ถูกวางเอาไว้ตรงหน้า ในสมองของเย่เฟย์หยูว่างเปล่าไปชั่วขณะหนึ่ง
ยิ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับโลก เก้าร้อย ล้านชั้นคงไม่ต้องกล่าวถึง มันได้ทำลายความรู้ความเข้าใจที่มีอยู่ของเขาไปโดยสิ้นเชิง
ซึ่งในช่วงที่กู่ฉิงซานได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก เขาเองก็ตกใจมากเหมือนกัน
ทั้งสามเฝ้ารออย่างเงียบๆ ค่อยๆ ให้เย่เฟย์หยูกลั่นกรองความรู้ใหม่อย่างช้าๆ
ในที่สุดแบรี่ก็เอ่ยปาก “ว่าอย่างไร? ถ้าไม่มีคำถามอื่นอีก ฉันจะถือว่านายเป็นสมาชิกของสมาคมแล้วนะ”
เย่เฟย์หยูสงบลงและกล่าว “อันที่จริงแล้วผมมีอยู่คำถามหนึ่ง”
แบรี่ “โอ้ คำถามอะไรงั้นเหรอ?”
เย่เฟย์หยูกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เอ่ยถามด้วยความกระวนกระวาย “ผมขอพาแฟนไปด้วยจะได้ไหม?”
…………………………………..
ณ ขั้วโลกเหนือ
ภายใต้การนำทางของเทพธิดากงเจิ้ง ฝูงชนก็มาถึงกระท่อมบนยอดเขาในที่สุด
“ผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลถูกฆ่าตายลงในที่นี้ใช่ไหม” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ใช่ แล้วสถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่พักของกลุ่มคนลึกลับอีกด้วย” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว
“แล้วยานอวกาศล่ะ อยู่ที่ไหน?”
“ยานอวกาศตั้งอยู่ทั่วทั้งขั้วโลกเหนือ”
“…จะใหญ่เกินไปแล้ว”
“ใต้เท้า ตอนนี้ฉันสามารถทดสอบเจาะระบบของยานอวกาศ เพื่อให้ฉันสามารถเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ภายในได้แล้ว ทางคุณต้องการที่จะเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์หรือไม่?”
เมื่อแบรี่ได้ฟัง เขาก็หันไปมองเสี่ยวเหมียว
“พี่ชาย ไม่ต้องมองมาที่ฉันเลย ฉันสามารถพาทุกคนเข้าไปภายในนั้นได้ก็จริง” เสี่ยวเหมียวยกสองแขนขึ้นกอดอก “แต่ตัวยานอวกาศน่ะสร้างขึ้นจากเทคโนโลยี ดังนั้นเราคงไม่มีทางคว้าความลับใดๆ มาได้ จากการแค่เข้าไปภายในมัน”
“ไอ้พวกเรื่องอะไรเกี่ยวกับเทคโนโลยีก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉันสันทัดได้เสียด้วยสิ” แบรี่เอ่ยพึมพำ
กู่ฉิงซานกล่าว “เทพธิดากงเจิ้ง คุณเกิดที่นี่ใช่ไหม?”
“ใช่แล้วใต้เท้า”
“ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีที่นี่จะทันสมัยมากจริงๆ” ซางหยิงฮ่าวพูดบ้าง
เทพธิดากงเจิ้ง “ไม่เพียงแต่ทันสมัย แต่สถานที่แห่งนี้ยังมีเทคโนโลยีที่เหนือยิ่งกว่านั้นอยู่เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ท่านผู้พิทักษ์กลับเลือกที่จะปกปิดมันและเฝ้ารอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม เพราะเกรงว่านี่จะนำไปสู่การดึงดูดความสนใจจากโลกภายนอก ท่านจึงได้ปิดผนึกเทคโนโลยีเหล่านี้เอาไว้ทั้งหมด ไม่เคยนำมันออกมาใช้เลย”
แบรี่พอได้ฟัง ก็ทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์ “ในยุคนี้ ที่วันสิ้นโลกอาจมาถึงได้ตลอดเวลา ผู้คนมากมายต่างมุ่งที่จะเป็นจ้าวโลก แต่ละกองกำลังและอารยธรรมล้วนพยายามที่จะเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง จึงเกิดการแก่งแย่งทรัพยากร สมบัติ และอารยธรรมของผู้ที่ด้อยกว่า ส่งผลให้อารยธรรมส่วนใหญ่ค่อยๆ ถูกทำลายลง”
เสี่ยวเหมียวเห็นด้วย “ใช่ๆ บางทีคนที่เรียกกันว่าผู้พิทักษ์อาจจะต้องการเหลือเชื้อสายอารยธรรมตัวเองให้สืบต่อไป แต่กลยุทธ์ที่เธอใช้มันอนุรักษนิยมจนเกินไป ในความเป็นจริงแล้วที่เธอทำมันคือการปล่อยให้ความก้าวหน้าของอารยธรรมหยุดลง เริ่มล้าหลังและไม่ทันต่อคนอื่นๆ ในที่สุด”
กู่ฉิงซาน “เทพธิดากงเจิ้ง ฉันหวังว่าโลกในปัจจุบันจะได้รับเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากกว่านี้ เพราะปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันเริ่มยากเกินไป และไม่มีใครล่วงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกในอนาคต”
“รับทราบแล้วใต้เท้า คุณต้องการเทคโนโลยีทั้งหมดเลยหรือไม่?” เทพธิดากงเจิ้งถาม
กู่ฉิงซาน “ทั้งหมดเลย ยานอวกาศลำนี้ก็มอบให้เป็นหน้าที่คุณก็แล้วกัน จงนำเอาความลับทั้งหมดมาไว้ในกำมือ”
“ใต้เท้าโปรดวางใจ ฉันจะพยายามทำอย่างเต็มที่ เพื่อให้ภารกิจนี้ลุล่วง”
เบื้องบนท้องฟ้าบังเกิดเสียงคำรามอันแข็งกร้าวค่อยๆ ลอดลงมา
ป้อมปราการดวงดาวเฉินเตี้ยนเฮ่า ได้มายังขั้วโลกเหนือ ค่อยๆ ลดระดับลงมาจากท้องฟ้าอย่างช้าๆ
ป้อมปราการดวงดาวนี้มีแกนกลางหลักของเทพธิดากงเจิ้งอยู่
ดูเหมือนว่าเธอต้องการที่จะทำมันให้ดีที่สุดจริงๆ
“ฉันต้องการเวลาสักเล็กน้อย เพื่อทำการค้นหาห้องควบคุม และตำแหน่งประตูของยานอวกาศ เชิญพักผ่อนตามอัธยาศัยสักครู่” เทพธิดากล่าวประโยคหนึ่ง
พร้อมกันกับคำพูดบอกเธอ เห็นแค่เพียงเกราะรบขับเคลื่อนมากมายบินออกมาจากป้อมปราการดวงดาว
เกราะรบขับเคลื่อนบินแยกไปตามเส้นทางที่แตกต่างกันออกไป และเริ่มทำการสำรวจโครงสร้างของยานอวกาศทั่วทั้งขั้วโลกเหนือ
ในเวลานี้เอง เสี่ยวเหมียวก็ดูเหมือนว่าจะสังเกตเห็นได้ถึงบางอย่าง
เธอหันไปถามในความว่างเปล่า “มีอะไรงั้นเหรอ?”
เสียงดังตอบกลับมา “หนังสือพิมพ์ของวันนี้ได้รับการเผยแพร่แล้ว และข่าวของมิสเตอร์แบรี่ก็ครอบคลุมทั้งพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งเลย ทางเราจึงมารายงานให้แก่มิสเตอร์แบรี่ และมอบหนังสือพิมพ์ฟรีให้แก่เขาสิบฉบับ”
“เข้าใจแล้ว ฝากหนังสือพิมพ์ไว้ที่ฉันก็ได้ ว่าแต่เรื่องค่าตอบแทน…” เสี่ยวเหมียวกำลังพูด
“นั่นคือสิ่งที่ทางเรากำลังจะถามอยู่พอดี ว่าคุณต้องการให้ทางเราชำระด้วยเงินสกุลใด”
“เอาเป็นสกุลเงินที่ออกโดยทางหอสูงก็แล้วกัน เพราะอย่างไรเสีย สกุลเงินของทางหอสูงก็เป็นเงินที่สามารถใช้หมุนเวียนได้ในโลกต่างๆ เป็นจำนวนมากอยู่แล้ว”
“รับทราบ ทางเราจะจัดการให้ในทันที”
ว่าจบ เสียงนั้นก็หายไป
ขณะเดียวกัน กองหนังสือพิมพ์ก็ร่วงตกลงมาจากในความว่างเปล่า และถูกรับเอาไว้โดยเสี่ยวเหมียว
“ไหนมาดูกัน ว่าพวกเขาพูดว่าอะไรบ้าง” เสี่ยวเหมียวยิ้ม
เธอสะบัดมือไปมาแบบสุ่มๆ แล้วหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับก็ลอยไปอยู่เบื้องหน้าของทุกคน
ทุกคนก้มลงมองและอ่านมัน
“ดีล่ะ ทางหอสูงได้ทำการติดต่อกับบุคคลสำคัญๆ จำนวนมากสำหรับเรื่องนี้ และกำลังเริ่มจัดตั้งทีมออกไปสำรวจสถาบันเทพแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเตรียมการที่จะเขียนรายงานข่าวสารชุดต่อไปอยู่” แบรี่อ่านหนังสือพิมพ์ ขณะเดียวกันก็เอ่ยปากออกมา
“สามารถจัดตั้งทีมขนาดใหญ่เพื่อรับมือกับสถาบันเทพได้ในทันที ทางสมาคมหอสูงช่างน่ากลัวจริงๆ” กู่ฉิงซานกล่าว
เสี่ยวเหมียวยิ้มเล็กน้อย “ในความเป็นจริงแล้ว เนื่องจากสงครามของวิหคหนามเพิ่งจะสิ้นสุดลงพอดี และหลายคนที่ยากจะปรากฏตัวก็กำลังรวมตัวฉลองกันอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นพอได้ยินข่าวของสถาบันเทพ ทุกคนก็เลยกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วม”
“และต้องไม่ลืมนะว่า ทางหอสูงมักจะจ่ายรางวัลอย่างงามเสมอๆ ดังนั้นการจัดตั้งทีมเพื่อภารกิจนี้จึงสามารถดำเนินการไปได้อย่างรวดเร็ว”
“เดิมทีผมก็กังวลว่าสถาบันเทพจะตรงมาหาแบรี่เลยเสียอีก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาคงไม่มีแม้กระทั่งเวลาที่จะจัดการตัวเองได้เสียแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
ระหว่างสนทนา ก็ได้ยินถึงเสียงที่ดังขึ้นจากภายนอก
กู่ฉิงซานเดินออกไปดูนอกกระท่อม
ไม่ใกล้ไม่ไกลจากพื้นหิมะ ประตูขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้น
และยังมีหุ่นยนต์หลายประเภทที่กำลังวุ่นอยู่ใกล้กับประตูเหล็ก
บางครั้งบางครั้ง หุ่นยนต์บางตัวก็เผลอสัมผัสโดนโครงสร้างทางกลไกตรงประตูโดยไม่ตั้งใจ และถูกทำลายลงด้วยไฟฟ้าที่ทรงประสิทธิภาพทันที
เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังตามมา “ใต้เท้า ฉันกำลังดำเนินการทำลายมาตรการป้องกันของยานอวกาศ และทำการตรวจสอบข้อมูลของมันอยู่”
กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมันอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “ถ้าเป็นอย่างงั้น พวกเราคงไม่น่าจะได้เข้าไปสำรวจยานในเร็วๆ นี้ คุณทำงานต่อเถอะ”
“รับทราบใต้เท้า”
“แต่ถ้าเป็นกรณีที่มีเรื่องไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้น คุณสามารถเรียกพวกเราได้ตลอดเวลา”
“ไม่ขัดข้อง”
กู่ฉิงซานเดินกลับเข้ามาในกระท่อม
เขาปิดประตูเพื่อป้องกันพายุหิมะด้านนอกและเริ่มจุดไฟในเตาผิง
ห้องเริ่มอบอุ่นขึ้นมาทันที
เมื่อทุกคนได้ยินถึงสิ่งที่เขากล่าว ซางหยิงฮ่าวก็ถามขึ้นมา “แล้วตอนนี้พวกเราจะทำอะไรดี?”
“เพื่อไม่เป็นการปล่อยเวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อ พวกเราก็มาตั้งวงดื่ม พูดคุยกันสักพักก็แล้วกัน”
ว่าแล้วเขาก็ตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเหล้าหลายขวดที่เก็บเอาไว้ ผลไม้และอาหารวิญญาณบางชนิดออกมา
ทุกคนต่างลากเก้าอี้ของตัวเองมานั่งรอบเตาผิง
ซางหยิงฮ่าวมองไปที่ขวดเหล้าบนโต๊ะและกล่าว “เหล้าของนาย มาจากโลกอื่นใช่ไหม?”
“อืม มันเป็นสุราของผู้ฝึกยุทธ์” กู่ฉิงซานตอบ
ซางหยิงฮ่าวผุดลุกขึ้นยืนและกล่าวทันที “ถ้าอย่างงั้นฉันคงต้องขอตัวกลับไปเอาไวน์ที่ดีที่สุดของโลกใบนี้มาบ้างแล้ว แขกทั้งสองจะได้ลองชิมรสชาติไวน์ท้องถิ่นของที่นี่บ้าง”
“เป็นความคิดที่ดีนี่นา ถ้านายกลับไปก็จัมป์กลับมาพร้อมเหลียวฮังเลยแล้วกัน”
“จะให้เขามาจริงๆ น่ะเหรอ?” ซางหยิงฮ่าวเริ่มลังเล
ดวงตาของเขาเหลือบไปมองเสี่ยวเหมียวเล็กน้อย ก่อนจะเบนกลับมากะพริบปริบๆ ให้กู่ฉิงซาน
เสี่ยวเหมียวเป็นคนสวย ครอบครองร่างกายอันทรงเสน่ห์ แถมยังมีหูแมวน่ารักๆ บนหัวของเธอ
หากเหลียวฮังผู้บ้ากามมาเห็น แล้วเกิดทำอะไรไม่เหมาะสมให้เสี่ยวเหมียวโกรธขึ้นมา เหตุการณ์มันอาจจะดูไม่ดีเลยก็ได้
กู่ฉิงซานเข้าใจได้ทันทีว่าซางหยิงฮ่าวหมายถึงอะไร
เขาตบหน้าผากตัวเองและกล่าว “ฉันว่าไม่ต้องให้เขามาหาพวกเราหรอก เอาเป็นรบกวนนายพาเขาไปช่วยเทพธิดากงเจิ้งทำลายระบบป้องกันของยานอวกาศก็แล้วกัน”
เย่เฟย์หยูกล่าว “นั่นเป็นความคิดที่ดีนะ เพราะถ้าเหลียวฮังได้เห็นยานอวกาศที่มาจากนอกโลก ฉันว่าเขาน่าจะกระโดดด้วยความตื่นเต้น และนอนไม่หลับไปสามวันสามคืนแน่ๆ”
ว่าจบเขาก็ลุกขึ้น และตามซางหยิงฮ่าวออกไปด้านนอก
“ทำไมนายต้องไปด้วยล่ะ?” กู่ฉิงซานถาม
“ก็ฉันไม่ได้กลับบ้านนานมากแล้ว แฟนฉันบางทีคงจะกำลังเป็นห่วง ฉะนั้นฉันขอกลับไปรายงานตัวกับเธอก่อน แล้วเดี๋ยวจะกลับมา” เย่เฟย์หยูตอบ
แล้วเขาก็ผลักประตู เดินออกไป
ภายในห้องจึงเหลืออยู่แค่เพียงแบรี่ เสี่ยวเหมียว และกู่ฉิงซาน
“นายมีความสัมพันธ์อย่างไรกับเด็กขี้อายที่ชื่อเย่เฟย์หยูนั่น” เสี่ยวเหมียวจู่ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นมา
“เขาเป็นเพื่อนที่คอยติดตามผม” กู่ฉิงซานกล่าว
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวชำเลืองมองกันและกัน
แบรี่ครุ่นคิด “เขาดูเหมือนกับ ‘พิฆาตโลก’ ในช่วงแรกเกิดเลย”
“พิฆาตโลก?” กู่ฉิงซานทวนซ้ำด้วยความสงสัย
เสี่ยวเหมียวกล่าว “ใช่ ‘พิฆาตโลก’ คือสิ่งมีชีวิตที่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และในขั้นสุดท้ายเขาอาจจะสามารถเทียบเคียงกับเทพบรรพกาลเลยก็ได้ ถึงแม้ว่าพิฆาตโลกแบบนั้นจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวก็เถอะ”
“นายพอจะช่วยบอกรายละเอียดแบบเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับเขาให้ฟังหน่อยจะได้ไหม?” แบรี่ถามต่อ
หากเป็นคนอื่นถามคำถามนี้ กู่ฉิงซานคงจะต้องคิดทบทวนเกี่ยวกับมัน
แต่กับแบรี่หรือเสี่ยวเหมียว ทั้งสองเป็นคนดีมากจริงๆ กระทั่งน้ำเสียงของแบรี่ที่เปล่งออกมาก็ยังแฝงไปด้วยความห่วงใยและกังวลบางอย่าง
กู่ฉิงซานจึงไม่ลังเลเลยที่จะบอกรายละเอียดของเย่เฟย์หยูอย่างรอบคอบ
“แม้ว่าจะสูญเสียสถานะของการเป็นมนุษย์ แต่ก็ยังสามารถคิดถึงแม่ได้ ฉันถูกใจเขาจริงๆ” แบรี่ถอนหายใจชื่นชม
“แถมเขายังต้องย้อนกลับไปรายงานตัวกับแฟน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้เจอกับพิฆาตโลกที่กลัวเมียแบบเขา” เสี่ยวเหมียวกล่าว
ว่าจบเธอก็หยิบสมุดออกมา และเริ่มต้นบันทึกเรื่องราวของเย่เฟย์หยู
“พิฆาตโลกคืออะไรงั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานถาม
แบรี่ตอบ“คือสิ่งมีชีวิตที่สูญเสียตัวตนของมนุษย์ไป เป็นรูปแบบชีวิตระดับสูงในบรรดาระดับสูงที่สูญเสียเหตุและผล มีเพียงแรงผลักดันเดียวคือตนเองจะต้องวิวัฒนาการ เป็นสัตว์ประหลาดที่เรียนรู้ที่แค่การฆ่าสังหารเท่านั้น”
“แต่รูปแบบชีวิตแบบนั้นในโลกของผม ครั้งหนึ่งพวกมันเคยปรากฏขึ้นมากมาย” กู่ฉิงซานกล่าว
“ที่นายพูดถึงนั่นน่ะมันก็แค่มนุษย์ที่ติดเชื้อไวรัส เมื่อฆ่าสังหาร พวกเขาจะสามารถได้รับพลังงานชีวิตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่รูปแบบชีวิตระดับสูงแต่อย่างใด”
“แต่ในกรณีเพื่อนของนายน่ะมันแตกต่างกัน ฉันสัมผัสได้ว่าเขามาถึงระดับรากฐานที่สุดของพิฆาตโลกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณได้อีกด้วย” เสี่ยวเหมียวเอ่ยเสริม โดยไม่เงยหน้าขึ้น สายตาของเธอยังคงจดจ้องอยู่แต่กับสมุดที่กำลังขีดเขียน “รูปแบบชีวิตระดับสูงของเขามีค่ามากต่อการวิจัย องค์กรใหญ่ๆ ทุกแห่งต่างก็เคยประกาศมอบรางวัลมากมายออกไป เพื่อหวังว่าจะได้รับตัวอย่างทางชีวภาพของพิฆาตโลก”
“แต่เย่เฟย์หยูมีสติอารมณ์และเหตุผล เขาไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่รู้จักเพียงแต่การฆ่า” กู่ฉิงซานเริ่มเครียด
แบรี่พยักหน้า “ฉันสังเกตเขามาสักพักแล้ว และความจริงก็เป็นอย่างที่นายว่า นี่มันเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากจริงๆ”
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?”
เสี่ยวเหมียว “การดำรงอยู่ของเขามีค่ามากยิ่งกว่า หากเทียบกับพิฆาตโลกทั่วๆ ไป ลองจินตนาการดูสิว่าถ้าหากพิฆาตโลกไม่สูญเสียอารมณ์และเหตุผลไป ด้วยความสามารถที่จะได้รับพลังของอีกฝ่ายมาใช้ในการวิวัฒนาการร่างกายและจิตวิญญาณให้แก่ตนเอง นี่จะเป็นอะไรที่น่าหวาดกลัวขนาดไหน”
“ยิ่งไปกว่านั้น โดยไม่ต้องมีระบบของราชามาร ไม่จำเป็นต้องติดต่อกับใครๆ เขาก็สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งด้วยตัวคนเดียว นี่นับว่าเป็นวิธีการที่แม้จะหยาบ แต่ก็ง่ายดายที่สุดที่จะแข็งแกร่งขึ้น”
แบรี่กล่าวต่อ “จะมีองค์กรและอิทธิพลนับไม่ถ้วนไล่ล่าตัวเขา ทั้งหมดจะทุ่มจับตัวเย่เฟย์หยูอย่างบ้าคลั่ง เพื่อนำไปทำการศึกษาร่างกายและจิตวิญญาณของเขา”
กู่ฉิงซานมองไปยังแบรี่ จากนั้นก็มองไปที่เสี่ยวเหมียวอีกครั้ง
เห็นแค่เพียงทั้งสองที่ยังดูสงบ ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ นอกจากความกังวลเล็กน้อย
ต้องไม่ลืมนะว่าด้วยความแข็งแกร่งของสองพี่น้อง พวกเขาย่อมสามารถจับตัวเย่เฟย์หยู นำไปแลกเปลี่ยนเป็นรางวัลใหญ่ได้อย่างง่ายดาย
และสถานะยากจนของพวกเขาจะถูกทำลายไปจนหมดสิ้น
ทว่า แม้หลังจากที่สามารถยืนยันสถานะของเย่เฟย์หยูได้แล้ว ทั้งพี่ชายและน้องสาวกลับเพียงแค่กังวลเกี่ยวกับเขา ไม่มีความคิดอื่นใดแอบแฝงอยู่เลย
กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย
ในที่สุดเขาก็เริ่มเข้าใจขึ้นมานิดหน่อยแล้วว่าทำไมแบรี่กับเสี่ยวเหมียวถึงได้ยากจนนัก
“ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่ผมต้องทำเพื่อช่วยแก้ปัญหาที่เย่เฟย์หยูจะต้องเผชิญคืออะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
เสี่ยวเหมียวมองกู่ฉิงซาน ก่อนจะหันไปมองแบรี่
“พี่ชาย พี่คิดว่าอย่างไร?” เธอเอ่ยถามด้วยคำพูดที่แฝงความหมายบางอย่าง
แบรี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “เด็กคนนั้นดูเป็นคนขี้อายนิดหน่อย แต่ฉันคิดว่าเขาไม่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร”
เสี่ยวเหมียวเห็นด้วย “ใช่ นี่เป็นพิฆาตโลกที่แสนจะหายาก หากสถานที่ที่เขาอยู่คือในสมาคม พวกเราก็คงวางใจ ว่าเขาคงไม่ถูกคนอื่นๆ จับตัวไปอย่างง่ายดาย”
“และที่สำคัญที่สุดก็คือ เขา ‘เกือบ’ ที่จะวิวัฒนาการไปยังขั้นต่อไปแล้ว”
………………………………….
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเย็นเยียบไม่แตกต่างไปจากอุณหภูมิในชั้นนรกเยือกแข็ง
ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ ส่งผลให้ชั้นเหงื่อเย็นเกาะจนชุ่มเต็มหลังเขา
นับว่าโชคยังดี ที่วินาทีสุดท้าย ก่อนที่การดำรงอยู่นั่นจะปรากฏตัวขึ้น เขาสามารถสกัดกั้นมันเอาไว้ได้เสียก่อน
มิฉะนั้น จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป คงมิอาจล่วงรู้ได้
กู่ฉิงซานนิ่งงันอยู่สักพัก เมื่อเรียกสติกลับคืน เขาก็วาดไม้เท้าแห่งการจองจำและออกจากขุมนรกทันที
เขาข้ามผ่านสายธารแห่งการหลงเลือน ค้นหาตำแหน่งจัมป์ที่ใกล้ที่สุด และกลับมายังเมืองแถบชายแดนอีกครั้ง
“เป็นไงบ้าง ทุกอย่างโอเคไหม?” แบรี่ถาม
กู่ฉิงซานฝืนยิ้มและกล่าว “ตอนแรกมันก็เป็นไปด้วยดีอยู่หรอก แต่ในตอนท้ายดันเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจนได้”
แล้วเขาก็บอกเล่าถึงกระบวนการทั้งหมดของเรื่องนี้
คนที่ได้ยิน ต่างก็บังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นจับใจ
“ให้ตายเถอะ! นั่นมันบ้าอะไรกันแน่?” ซางหยิงฮ่าวสบถ
“ในโลกเก้าร้อยล้านชั้นน่ะมีการดำรงอยู่ที่ยากจะอธิบายอยู่มากมาย ไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไปหรอก” แบรี่ปลอบทุกคน
เมื่อเห็นว่ากู่ฉิงซานยังคงเงียบ เขาก็เอ่ยถาม “มีอะไรรึเปล่า นายยังรู้สึกไม่ดีอยู่อีกเหรอ?”
“เปล่า” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ “แต่เท่าที่ฟังจากที่คุณเล่ามา ผู้คนในโลกเก้าร้อยล้านชั้นต่างก็คิดว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตนั่นมันตายลงไปแล้ว แต่แท้จริงยังคงมีชีวิตอยู่ และหลบซ่อนตัวตนอยู่ในสถาบันเทพ เรื่องนี้ชัดเจนเลยว่ามันต้องมีแผนการบางอย่าง”
เสี่ยวเหมียวเห็นด้วย “เป็นอย่างที่นายว่า เดิมทีตัวตนทรงอำนาจส่วนใหญ่ต่างก็เห็นใจพวกเขาเพราะสถาบันเทพทำการทดลองล้มเหลว จนกลายเป็นบ้า เลือกที่จะปลีกตัวออกจากผู้คน ไม่ยินยอมติดต่อกับใคร แต่ถ้าเรื่องจริงคือพวกเขาไม่ได้บ้า แต่เป็นองค์กรที่คิดวางแผนทำเรื่องชั่วร้ายบางอย่างอยู่ละก็… ความรู้สึกของตัวตนทรงอำนาจย่อมจะแตกต่างออกไปแน่นอน”
แบรี่เองก็เริ่มที่จะสนใจเล็กน้อยและกล่าว “อืม ถ้าน้องคิดแบบนั้น พี่ว่ามันก็คุ้มค่าที่พวกเราจะเข้าไปลงมือตรวจสอบนะ”
เขามองไปยังกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยถาม “แล้วนายล่ะคิดว่าอย่างไร?”
กู่ฉิงซานกล่าว “ผมอยากจะรู้ว่าในโลกเก้าร้อยล้านชั้นมีหน่วยงานหรือองค์กรอะไรที่เกี่ยวข้องกับข่าวสารอยู่รึเปล่า”
“มีสิ ก็สมาคมผู้พิทักษ์หอคอยสูงไง พวกเขาคือองค์กรข่าวสารที่รวดเร็วที่สุด หนังสือพิมพ์ของทางหอสูงน่ะมีค่ามาก ดังนั้นผู้คนมากมายในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นจึงต่างยินดีจ่ายค่าสมาชิกให้แก่พวกเขา”
หนังสือพิมพ์ของสมาคมหอสูงอย่างงั้นเหรอ?
กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงช่วงเวลาที่แบรี่เริ่มฟื้นตัว และค้นพบว่าตนเองก็ยืนอยู่ในพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ในเวลานั้นมีหลายคนเลยที่รู้จักตนเอง
“ถ้าอย่างงั้นพวกเขาต้องการข้อมูลนี้รึเปล่า?” กู่ฉิงซานถาม
แบรี่ “แน่นอนว่าพวกเขาต้องสนใจ ยิ่งเป็นข่าวเจ้าแรกอีกด้วยแล้วละก็ เงินค่าตอบแทนก็จะยิ่งสูงจนน่าประทับใจเลยทีเดียว”
กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “งั้นก็ดีเลย พวกเราจะขายข้อมูลนี้ให้แก่พวกเขา ถ้าทำแบบนั้น มือหนึ่งพวกเราก็จะสามารถคว้าเงินมาไว้ได้ ขณะที่อีกมือหนึ่ง พวกเราสามารถประกาศให้โลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้นระวังตัวจากสถาบันเทพ คุณคิดว่าอย่างไร?”
“ฟังดูดีไปเลยนี่นา!” เสี่ยวเหมียวยกสองมือขึ้น และส่งเสียงเชียร์ “ยิ่งถ้าทางสมาคมหอสูงให้ค่าตอบแทนมาก พวกเราก็จะสามารถใช้วันหยุดพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องไปขึ้นบิลหรือเป็นหนี้ใครไปอีกสักพัก!”
แบรี่ยิ้ม
หากเป็นเรื่องที่สามารถทำเงินได้ ใครเล่าจะปฏิเสธ?
“เอาล่ะ ให้ฉันที่เป็นคนแจ้งกับพวกเขาเอง ด้วยชื่อแบรี่ที่มีชื่อเสียงในโลกเก้าร้อยล้านชั้น คงมีค่ามากพอที่จะให้พวกเขาเชื่อถือ” แบรี่กล่าว
“พี่ชาย พี่จะเป็นคนแจ้งข่าวกับพวกเขาก็ได้ แต่พี่ห้ามบอกว่าเป็นฝีมือของกู่ฉิงซานนะ น้องไม่อยากให้ใครมาคุกคามเขาก่อนที่เขาจะเติบโต” เสี่ยวเหมียวเตือน
“วางใจเถอะ พี่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร”
เขาหยิบหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่เนื้อหาภายในว่างเปล่าขึ้นมา กระแอมไอกลั้วลำคอและเริ่มกล่าวกับมัน “ฉันแบรี่จากสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม ต้องการเรียกใช้งานการสื่อสาร”
หลังจากนั้นหนึ่งลมหายใจ
เสียงชราก็ดังออกมาจากหนังสือพิมพ์ “นี่มันแบรี่นี่นา! ขอแสดงความยินดีด้วย ที่ราชินีหนามได้ปลดหนี้ทั้งหมดให้แก่คุณแล้ว”
“ฮ่าๆ! ถูกต้อง”
“ว่าแต่คุณกำลังต้องการบริการอะไรจากทางเราหรือ? ต้องการเดินทางไปยังสถานที่ใด? หรือต้องการจะซื้อข่าวอะไร?”
“ไม่ใช่ทั้งคู่ แต่ฉันมีข่าวที่จะมาขายให้แก่คุณ”
“โอ้?” เสียงชราดังขึ้นกว่าเดิม “มันหายากจริงๆ ที่คุณจะขายข่าวสาร โปรดรอสักครู่”
“โอเค”
ไม่นานนัก บรรทัดข้อความก็เริ่มปรากฏขึ้นบนหนังสือพิมพ์
กู่ฉิงซานแอบมองดู และพบว่าบนหนังสือพิมพ์ ปรากฏถึงเนื้อหาสัญญาของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง ที่ระบุว่าข้อมูลข่าวสารที่จะขายต้องเป็นจริงและมีความน่าเชื่อถือได้ ไม่คิดจะขายให้องค์กรอื่นๆ มีแหล่งที่มา ฯลฯ
ปากกาขนห่านผุดออกมาจากหนังสือพิมพ์และตกลงเบื้องหน้าแบรี่
แบรี่จับปากกา และเริ่มเขียนเรื่องราวของสถาบันเทพตรงกลางหน้าหนังสือพิมพ์และเซ็นชื่อของเขา
พรึบ…
เปลวไฟลุกโชนขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์
ข้อความทั้งหมดถูกเปลวไฟเผา เนื้อหาของตลอดทั้งหนังสือพิมพ์ก็กลับคืนสู่ความว่างเปล่า
ผ่านพ้นไปกว่าสิบลมหายใจ
เสียงชราก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ตามกฎสัญญา ลายเซ็นและข่าวของคุณได้รับการยืนยันแล้วโดยเครื่องจับเท็จ”
“ข้อมูลนี้น่าทึ่งจริงๆ มันสามารถนำมาใช้เป็นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งในวันพรุ่งนี้ได้เลย ไม่สิ ต้องวันนี้ต่างหาก! พวกเราจะจัดกำลังคนทันที ทำการถอดพาดหัวข่าววันนี้ออก และแทนที่ด้วยข่าวนี้แทน”
แบรี่หัวเราะ “ดูเหมือนว่าข่าวของฉันจะเป็นที่นิยมสำหรับคุณไม่น้อยเลยสินะ”
“แน่นอน! แบรี่ ทางเราไม่คิดเลยว่าคุณจะได้รับข้อมูลลับสุดยอดแบบนี้มาอย่างกะทันหัน กระทั่งท่านประธานของพวกเราก็ยังให้ความสนใจกับข้อมูลนี้”
“งั้นฉันจะได้รับเงินตอบแทนเท่าไหร่?” แบรี่เอ่ยถาม
“ข้อมูลของคุณจะได้รับการประเมินอันดับโดยท่านประธานเป็นการส่วนตัว รายละเอียดของจำนวนเงินตอบแทนจะถูกคำนวณ และส่งไปยังบัญชีส่วนบุคคลของคุณในภายหลัง”
“เข้าใจแล้ว”
“ดังนั้น ถ้าคุณมีข่าวคราวอะไรที่น่าสนใจอีก โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อเรา”
“ไม่มีปัญหา”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เสียงของหนังสือพิมพ์ก็หายไปอย่างสมบูรณ์
แบรี่เก็บหนังสือพิมพ์และหันไปมองกู่ฉิงซาน
“นายทำเงินได้มากเลยนะครั้งนี้” เขากล่าว
“แต่ที่บอกว่ามาก ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันเท่าไหร่” กู่ฉิงซานตอบ
“ถ้าเป็นข้อมูลที่ประธานของหอสูงประเมินด้วยตัวเอง นั่นย่อมหมายความว่าข้อมูลนั่นมีค่ามหาศาล” เสี่ยวเหมียวอธิบาย
กู่ฉิงซาน “งั้นก็ถือเสียว่าเป็นรายได้ของทางสมาคมก็แล้วกัน เพราะท้ายที่สุดนี้ ผมคงจะปวดหัวกับมันไม่น้อย ถ้าไม่มีพวกคุณคอยช่วยจัดการ”
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวพยักหน้าให้กันและกัน บนใบหน้าของพวกเราผุดรอยยิ้มไม่หุบ
สมาคมผู้พิทักษ์หอสูงเป็นองค์กรที่โคตรจะมั่งคั่ง และพวกเขามักจะจ่ายค่าตอบแทนอย่างใจกว้างเสมอ แบรี่กับเสี่ยวเหมียวไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากที่เขาและเธอปิดหนี้ได้แล้ว จู่ๆ ตนก็จะได้รับเงินก้อนใหญ่ที่ไม่เคยมีมานานอย่างกะทันหันแบบนี้
แบรี่คิดเกี่ยวกับมันอยู่พักหนึ่งและกล่าว “เงินของทางสมาคมจะถูกส่งผ่านไปให้นายเช่นกัน”
นี่เป็นการส่งเงินกลับคืนถึงมือของกู่ฉิงซานแบบอ้อมๆ และยังเป็นการมอบอำนาจบางส่วนของสมาคมให้แก่เขาอีกด้วย
ในตอนแรกแบรี่รู้สึกว่ากู่ฉิงซานเป็นเพียงชายที่มีความสามารถ ที่เขาควรจะเก็บเอาไว้เท่านั้น
แต่หลังจากเรื่องของวิหคหนาม และเหตุการณ์นี้ กู่ฉิงซานได้แสดงศักยภาพของตนเองออกมา ทำให้เขาได้รับการยอมรับจากแบรี่ในที่สุด
พรสวรรค์ของกู่ฉิงซานคุ้มค่าที่จะได้รับการยอมรับจากแบรี่
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือความแข็งแกร่งส่วนบุคคลของกู่ฉิงซาน ที่ยังคงต้องปรับปรุงอีกเยอะ
นอกจากนี้ แบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็ไม่ได้ดูถูกในตัวของกู่ฉิงซานเลย
เมื่อคิดถึงปริมาณเงินที่จะได้รับ เสี่ยวเหมียวก็อดไม่ได้ที่จะจิ้มๆ ไหล่ของกู่ฉิงซาน และยิ้มหวานให้เขา “ทำได้ดีมากเลยกู่ฉิงซาน คราวหน้าฉันจะพานายไปช็อปปิ้งด้วยกันนะ”
“แต่ผมไม่ชอบช็อปปิ้ง…”
“ไม่หรอก นายจะต้องชอบมัน ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นน่ะมีร้านขายอุปกรณ์ และอาวุธที่มีชื่อเสียงอยู่มากมาย มากเกินกว่าที่นายจะจินตนาการได้”
“ผมว่ามันชักจะน่าสนใจขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกันแฮะ”
“แต่นั่นคือเรื่องในภายหลัง ตอนนี้พวกเราจะเอาอย่างไรกันต่อดี?” แบรี่หันไปถามกู่ฉิงซาน
เมื่อวกกลับมาเรื่องธุรกิจ กู่ฉิงซานก็กลับมาเป็นจริงจังมากขึ้น
“อันดับแรกคงต้องตั้งคำถามกันก่อน เทพธิดากงเจิ้ง คุณอยู่ที่นี่รึเปล่า?”
“ฉันอยู่นี่ ใต้เท้า” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว
“ยานอวกาศเป็นของเก้าตระกูลใหญ่ใช่ไหม?”
“ใช่”
“แล้วคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับยานอวกาศนี้มากแค่ไหน?”
“ฉันรู้แค่ว่าฉันเกิดที่นั่น แต่ไม่รู้อะไรอื่นเลยนอกเหนือไปจากนั้น”
“ไม่รู้อะไรอีกเลยเหรอ?”
“ถูกต้อง เพราะมันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเก้าตระกูลใหญ่ นอกเหนือไปจากผู้พิทักษ์แล้ว ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าสู่มัน”
“รวมไปถึงตัวคุณเองด้วย?” กู่ฉิงซานถาม
“รวมไปถึงตัวฉัน” เทพธิดากงเจิ้งตอบ
“แต่ฉันจำได้ว่า คุณบอกว่าผู้พิทักษ์ได้มอบอิสระให้แก่คุณแล้วนี่ ก่อนที่เธอจะตาย”
“ใช่ แต่หลังจากที่คนเหล่านั้นฆ่าผู้พิทักษ์ไป พวกเขาก็ครอบครองขั้วโลกเหนือโดยสมบูรณ์ ดาวเทียมและหุ่นยนต์อัตโนมัติที่ฉันส่งไปไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ ดังนั้นจนถึงตอนนี้ ฉันเลยยังไม่สามารถเข้าสู่ยานอวกาศเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ได้”
“แต่ตอนนี้พวกคนที่ว่าก็ตายกันไปหมดแล้ว คุณสามารถส่งหุ่นยนต์ออกไปได้เลยทันที และสร้างเครื่องจัมป์ในขั้วโลกเหนือ เพื่อให้พวกเราไปหาคำตอบว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ไม่ขัดข้อง ใต้เท้า โปรดให้เวลาฉันสักสิบนาที”
เทพธิดากงเจิ้งกล่าว
…
ลึกเข้าไปบนท้องฟ้าขั้วโลกเหนือ
บนดาวเทียมที่โคจรอยู่ใกล้ๆ ช่องที่กระจุกตัวกันแน่นคล้ายกับรูรังผึ้งถูกเปิดออกโดยอัตโนมัติ
หุ่นยนต์ขนาดเล็กหลายร้อยตัวถูกปล่อยออกมาจากดาวเทียม ตัวของพวกมันเริ่มร้อนเนื่องจากข้ามผ่านชั้นบรรยากาศ และตกลงไปยังทิศทางขั้วโลกเหนืออย่างรวดเร็ว
ทันทีที่หุ่นยนต์ขนาดเล็กเหล่านี้ลงจอดสู่พื้น พวกมันก็เริ่มสร้างจุดจัมป์ตามขั้นตอนที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้
หลายร้อยหุ่นยนต์เคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน และงานก็สำเร็จลุล่วงไปอย่างรวดเร็ว
ต่อมา กู่ฉิงซานและคนอื่นๆ ก็เดินทางผ่านเครื่องจัมป์เข้ามายังขั้วโลกเหนือโดยตรง
………………………………….
สุสานแห่งโลก…ที่พิเศษออกไป?
ความคิดมากมายวาบผ่านเข้ามาในจิตใจของกู่ฉิงซาน
เพราะอะไรมันถึงได้ถูกเรียกว่าพิเศษ?
แล้วพวกเขารู้ได้อย่างไรว่าสุสานแห่งโลกใบนี้พิเศษออกไป?
หากสิ่งที่คนคนนี้กล่าวเป็นความจริงแล้วล่ะก็ สิ่งเดียวที่มั่นใจได้อย่างแท้จริงก็คือ ‘พระเจ้าของพวกเขาน่าจะเป็นคนที่รู้ว่าสุสานแห่งโลกแห่งนี่พิเศษออกไป’
แต่นี่มันแปลกๆ อยู่นะ
ทำไมพระเจ้าของพวกเขาถึงเลือกที่จะมองผ่านโลกเก้าร้อยล้านชั้น และมุ่งเป้ามายังโลกกระจัดกระจายโดยตรงกันล่ะ?
สถานการณ์ในเวลานี้แบ่งได้ออกเป็นสองกรณี
หนึ่งคือพระเจ้าของพวกเขาได้เฝ้าสังเกตโลกใบนี้มาเป็นระยะเวลานานแล้ว จนได้ล่วงรู้ถึงความลับบางอย่าง
อีกกรณีหนึ่งคือ ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้พระเจ้าของพวกเขาค้นพบสถานที่แห่งนี้
กรณีใดกันนะที่น่าจะถูกต้อง?
กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมันและเงียบไป
ท่ามกลางเมฆแสนหนาวเหน็บบนท้องฟ้า ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ ตอบรับกลับมา บรรยากาศโดยรอบช่างเศร้าโศกและเงียบงัน
เฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง จนหัวหน้าแน่ใจว่าเขาไม่น่าจะได้รับการตอบสนองใดๆ กลับมา ในหัวใจของเขาก็เริ่มตื่นตระหนก และเร่งอธิบายต่อทันที
“พวกเราทำการออกค้นหาความผันผวนที่พระเจ้าทรงสัมผัสได้ ว่ามันเป็นหนึ่งในโลกกระจัดกระจายที่ไม่ปฏิบัติตามกฎของโลกเก้าร้อยล้านชั้น โลกที่ทำการผสานรวมกับโลกอื่นจนเสร็จสิ้นโดยพลการ”
เขาเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ซึ่งเราได้ทำการตรวจสอบแล้ว และสามารถยืนยันได้ว่าเกิดความผันผวนจากการผสานโลกขึ้นจริงๆ”
“ทำได้ดีมาก ว่าต่อไปสิ” กู่ฉิงซานยกย่อง
หัวหน้าเมื่อถูกเอ่ยชม เขาก็เร่งบอกกล่าวต่อทันที “แต่สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือ โลกที่ว่านั่นดันกลายเป็นหกวิถี”
“โลกหกวิถี?”
“ขอรับ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อจริงๆ เพราะโลกหกวิถีชัดเจนว่าสมควรอยู่ในดินแดนอัศจรรย์ เป็นสถานที่ซึ่งไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ เว้นแต่จะได้รับเชิญ แต่สถานที่แห่งนี้กลับปรากฏถึงวัฏจักรแบบปิดของหกวิถี แถมสองในหกก็ยังได้ทำการผสานรวมกันไปแล้วอีกด้วย”
“ท่ามกลางโลกกระจัดกระจายจะมีโลกหกวิถีอยู่ได้อย่างไร? นี่เจ้ากล้ากล่าวเรื่องไร้สาระเช่นนี้ต่อหน้าข้างั้นรึ?” กู่ฉิงซานเค้นเสียงเย็น
หัวหน้าเร่งอธิบายอย่างรวดเร็ว “ท่านผู้ใหญ่ นี่มันเป็นเรื่องจริง ข้าได้เห็นสายธารแห่งการหลงเลือนในโลกมนุษย์ที่ผสานรวมกับปรภพ และการมาเยือนของอาชูร่า ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ ผีร้าย จ้าวอสูร มาแล้วกับตา”
เขาหันไปกระซิบกับคนรอบข้าง “ช่วยข้าพิสูจน์ด้วยสิ”
แล้วคนเหล่านั้นจึงเร่งช่วยตะโกน “ท่านผู้ใหญ่ สิ่งที่หัวหน้าพูดเป็นความจริง พวกเราได้เห็นสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมากับตาเช่นเดียวกัน”
กู่ฉิงซานไตร่ตรอง และกล่าวด้วยน้ำเสียงลังเล “เอาเถอะ ตอนนี้ข้าจะทำใจลองเชื่อพวกเจ้าไปก่อน ว่าต่อสิ”
หัวหน้าถอนหายใจโล่งอก และอธิบายถึงรายละเอียด “ท่านผู้ใหญ่ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกใบนี้ช่างเล็กจ้อยและอ่อนแอ แน่นอนว่ามันไม่สามารถเทียบเปรียบกับโลกหกวิถีที่แท้จริงได้ ข้าเองก็คิดว่ามันแปลกเหมือนกัน ไม่ทราบเลยว่าทำไมจึงมีการดำรงอยู่ของโลกดังกล่าวได้”
“ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงทำการแบ่งกำลังคน และแยกกันออกไปสำรวจโลกแต่ละใบอย่างละเอียด”
“แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“เราได้พบกับความจริงอันน่าทึ่ง นั่นคือความจริงแล้วรากฐานและกฎเกณฑ์ของโลกมันไม่สมบูรณ์”
“ไม่สมบูรณ์?”
“ใช่ เพราะรากฐานของโลกไม่สมบูรณ์ ดังนั้นความแข็งแกร่งของทุกสิ่งมีชีวิตในหกโลกแห่งนี้ จึงด้อยกว่าสิ่งมีชีวิตของโลกหกวิถีในดินแดนอัศจรรย์”
“เหตุใดโลกหกวิถีจึงไม่สมบูรณ์” กู่ฉิงซานถามต่อ
“ผู้น้อยเองก็สับสนเช่นกัน เกรงว่าบางที โลกหกวิถีแห่งนี้อาจจะเป็นผลงานชิ้นทดสอบจากการรังสรรค์ของทวยเทพก็เป็นได้”
กู่ฉิงซานเงียบ
เพราะสำหรับเรื่องนี้ ตัวเขาน่ะรู้อยู่แล้วว่าโลกหกวิถีที่ตนเองอยู่ มันเป็นส่วนหนึ่งของเศษเสี้ยวโลกหกวิถีจริงที่แตกกระจายออกมา
แต่ความจริงนี้ไม่อาจพูดมันออกมาได้ เช่นนั้นผู้ใดเล่าจะสามารถคาดเดาถึงมันได้?
ในความเป็นจริง โลกหกวิถีในดินแดนอัศจรรย์เองก็ไม่สมบูรณ์เช่นกัน
แต่คาดว่าความแข็งแกร่งของทางฝั่งนู้นสมควรจะสูงยิ่ง และคงจะเป็นการยากเกินไปสำหรับบุคคลภายนอกที่จะไปยังที่นั่น ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ความจริงนี้
ฉะนั้น คงไม่มีผู้ใดหรอกที่จะสามารถจินตนาการได้ว่าโลกหกวิถีในดินแดนอัศจรรย์ แท้จริงแล้วจะเกิดการแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
กู่ฉิงซานเก็บรวบรวมคำที่อีกฝ่ายพูดมากลั่นกรองในจิตใจอย่างระมัดระวัง
เขาทำการสรุปข้อมูลอย่างละเอียด
อันดับแรกเลย โลกตลอดทั้งเก้าร้อยล้านชั้น มีกฎเกณฑ์ที่ยอมรับกันโดยทั่วไปอยู่ว่า การผสานรวมระหว่างโลกกับโลก ไม่ใช่สิ่งที่สามารถกระทำโดยพลการได้อย่างง่ายดาย
ประการที่สองก็คือ เมื่อกู่ฉิงซานได้ทำการหลอมรวมโลกปรภพกับโลกมนุษย์เข้าด้วยกัน ส่งผลให้บังเกิดความผันผวนที่ไปดึงดูดความสนใจจากพระเจ้าของพวกเขาเข้า
ประการที่สาม หากสิ่งมีชีวิตจากทั้งหกโลกมิได้ปรากฏตัวขึ้นในโลกมนุษย์ บางทีบุคคลภายนอกเหล่านี้อาจจะไม่ทราบว่าที่นี่เป็นโลกหกวิถีก็ได้ หลังจากนั้นก็จะไม่ล่วงรู้ว่าโลกหกวิถีใบนี้ไม่สมบูรณ์ซึ่งเป็นเหตุผลให้สิ่งมีชีวิตอ่อนแอ เพราะในโลกกระจัดกระจายน่ะสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ก็อ่อนแออยู่แล้ว และสุดท้ายในโลกตลอดทั้ง เก้าร้อย ล้านชั้นก็จะไม่มีใครให้ความสนใจใดๆ กับที่นี่
ความคิดของกู่ฉิงซานค่อยๆ กลายเป็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เขาตริตรองและเอ่ยถาม “เช่นนั้น แล้วภารกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้พวกเจ้าค้นหาสุสานแห่งโลกที่พิเศษออกไป เสร็จสิ้นลงแล้วหรือยัง?”
หัวหน้ากล่าวด้วยความสลดใจ “ท่านผู้ใหญ่ พวกเรายังไม่ค้นพบมันเลย”
กู่ฉิงซาน “ข้าอุตส่าห์คิดว่าเจ้าเป็นคนมีความสามารถ เหตุใดจึงไม่ค้นพบมัน?”
หัวหน้ากล่าว “เพราะตั้งแต่ที่เดินทางมายังโลกใบนี้ นาฬิกาเทพ ก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงคลื่นความผันผวนที่พิเศษ หรือตอบสนองใดๆ อีกเลย ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถค้นหาสุสานแห่งโลกได้”
นาฬิกาเทพ?
กู่ฉิงซานได้รับรู้เรื่องใหม่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“พวกเจ้าทั้งหมดกลับมาในสภาพตาย แล้วนาฬิกาเทพเล่า? พวกเจ้าสูญเสียมันไปแล้วใช่หรือไม่?” เขาเอ่ยถามอย่างรุนแรง
หัวหน้ากับลูกน้องของเขาเร่งคุกเข่าลงกับพื้นทันที
“ท่านผู้ใหญ่ นาฬิกาเทพไม่ได้หายไปไหน พวกเราซ่อนมันเอาไว้สุดปลายของโลกในขั้วโลกเหนือ ภายใต้ยานอวกาศ”
“ยานอวกาศ?” กู่ฉิงซานทวนซ้ำ
“ขอรับ เป็นยานอวกาศที่มาจากอารยธรรมของโลก เก้าร้อย ล้านชั้น โลกของพวกเขามีสองอารยธรรมที่พัฒนาควบคู่กันไป นั่นคือในด้านเทคโนโลยีและด้านเทียนซวน (ผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์) แต่ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน พวกเขาถึงได้เลือกมายังโลกกระจัดกระจาย”
“แล้วเจ้าสามารถเก็บเกี่ยวอะไรมาได้บ้างหรือไม่?”
“ไม่เลย เพราะการตกผลึกของอารยธรรมในด้านเทคโนโลยี มีขั้นตอนการตรวจสอบมากมายที่ค่อนข้างซับซ้อน ในบรรดาพวกเราไม่มีบุคคลที่มีความสามารถดังกล่าว จึงไม่สามารถปฏิบัติการต่อได้”
“ดังนั้น พวกเราจึงทำการสังหารผู้ที่คุ้มครองยานอวกาศ ยึดครองมัน และทำการซ่อนนาฬิกาเอาไว้ภายใต้เรือ”
หัวหน้าบีบรอยยิ้ม “ท่านผู้ใหญ่โปรดมั่นใจว่าจะไม่มีใครล่วงรู้ตำแหน่งนั้นนอกจากเรา”
“เจ้ากล้าสาบานหรือไม่?”
“ข้าสาบาน”
“งั้นก็ดี เจ้าประสบความสำเร็จในการรักษาจิตวิญญาณของตนเองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจงน้อมรับการลงโทษในสถานที่แห่งนี้ไปอย่างช้าๆ”
คนเหล่านั้นเผยถึงความสุข และเร่งกล่าว “ขอบพระคุณท่านผู้ใหญ่!”
กู่ฉิงซานเริ่มขยับ เขาเตรียมที่จะออกไปจากที่นี่ทันที
แต่แล้วเจ้าตัวก็จดจำได้ถึงบางสิ่ง และกล่าว “ข้ามีคำถามสุดท้าย”
หัวหน้ากล่าวด้วยความนอบน้อม “ท่านผู้ใหญ่โปรดกล่าว”
“เป็นเพราะพวกเจ้าล้มเหลว ข้าจึงจำต้องไปยังโลกใบนั้นเพื่อเริ่มต้นการตรวจสอบด้วยตัวเอง ดังนั้นข้าต้องการจะรู้ ว่าในช่วงเวลาที่พวกเจ้ากำลังออกเดินทาง พระเจ้าได้บอกคำใดแก่พวกเจ้าบ้าง?”
หัวหน้าตอบอย่างไม่ลังเล “ประสงค์ของพระเจ้าก็คือ ขอให้ข้าระมัดระวังตัว แม้ว่าจะต้องตายก็ห้ามเปิดเผยภารกิจของสถาบันเทพต่อคนนอก เพราะในความผันผวนที่พระเจ้ารู้สึก มันบ่งบอกว่าสุสานแห่งโลกที่นี่พิเศษออกไป ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่ามันควรจะเป็น”
แต่เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เสียงของเขาก็ขาดห้วงไป
ไม่ว่าจะผู้นำ หรือลูกน้องของเขา สีหน้าก็เริ่มแปรเปลี่ยน
“ไม่นะ! พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ข้ามิได้เปิดเผยมันต่อคนนอก”
เขาตะโกนเสียงดัง
ในขณะเดียวกัน ลูกน้องหลายคนของเขาก็กรีดร้องเสียงหลง
กู่ฉิงซานตระหนักได้ถึงสถานการณ์ไม่ดี เขาเร่งลงจากก้อนเมฆเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ทันที
เห็นแค่เพียงบรรดาร่างของคนตายค่อยๆ ถูกหลอมละลาย คล้ายกับน้ำตาเทียนที่ถูกแผดเผาโดยเปลวไฟ
ขณะเดียวกัน เมื่อคนเหล่านั้นเห็นการปรากฏตัวของกู่ฉิงซาน ทั้งหมดก็กลายเป็นโง่งมโดยสมบูรณ์
และพวกเขาจึงค่อยตระหนักถึงความจริงของเรื่องนี้
“มันเป็นไปไม่ได้ ทำไมถึงเป็นเจ้า มันจบแล้ว! มันจบแล้ว!”
หัวหน้าพึมพำด้วยความสิ้นหวัง
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขได้
ร่างกายของพวกเขาค่อยๆ หายไปอย่างสมบูรณ์ เปิดเผยให้เห็นถึงดวงจิตวิญญาณในนรกเยือกแข็ง
ดวงวิญญาณเหล่านั้นค่อยๆ สูญเสียรูปลักษณ์ใบหน้า แขนขาของพวกเขาเริ่มหลุดลอกออก กลายเป็นกองภูเขาสีม่วงขนาดย่อมที่ดูประหลาดตา
กองสีม่วงเข้ามารวมตัวกัน
ไม่นานนัก ก็เริ่มค่อยๆ ก่อร่างเป็นใบหน้าที่ชัดเจนขึ้น
เป็นใบหน้าที่ครึ่งหนึ่งเป็นชาย ครึ่งหนึ่งเป็นหญิง และคล้ายกำลังแสดงออกถึงความเจ็บปวดอยู่
กู่ฉิงซานตระหนักได้ในทันทีว่านั่นคือพระเจ้าของพวกเขา!
อย่างไรก็ตาม ทรายสีม่วงมิได้รวมตัวกันแล้วก่อรูปเป็นใบหน้าเท่านั้น แต่มันก็กำลังหลอมรวมกันเป็นร่างกายอย่างรวดเร็ว
ความเย็นเยียบบาดลึกเข้ามาในจิตใจของกู่ฉิงซาน
การรับรู้ทางจิตของเขา ตระหนักได้ถึงภัยคุกคามที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าความตาย
กู่ฉิงซานวาดไม้เท้าแห่งการจองจำและเปิดใช้งาน ‘กระจายวิญญาณ’ อย่างไม่ลังเล
นี่คือวิธีการลงทัณฑ์ขั้นสุดของโลกปรภพ ที่ราชาภูตสามารถสั่งการสังหารจิตวิญญาณในขุมนรกได้เลยโดยตรง
พริบตานั้นสิ่งมีชีวิตอันแปลกประหลาดที่กำลังก่อตัวขึ้นก็ล่มสลาย กระจายตัวหายไป
และไม่ปรากฏขึ้นที่นี่อีกเลย
………………………………….
กู่ฉิงซานคว้าจับไม้เท้าแห่งการจองจำและกล่าว “ผมขอตัวไปต้อนรับพวกเด็กใหม่สักครู่ แล้วเดี๋ยวจะรีบกลับมา”
จากนั้น เขาก็เริ่มใช้ออกด้วยเทคนิคลับแห่งไม้เท้า ต้นกำเนิดแห่งความตาย
“ต้นกำเนิดแห่งความตาย ราชาภูตสามารถเดินทางไปยังนรกในแต่ละชั้นได้ และสามารถสื่อสารผ่านทางอากาศกับคนตายทั้งหมด นอกจากนี้ยังสามารถปลุกคนตายที่กำลังจมอยู่ในการหลับใหลให้ฟื้นตื่น คืนสติขึ้นมาได้ในทันทีอีกด้วย”
ในเสี้ยววินาที กู่ฉิงซานก็หายวับไปจากสถานที่เดิมที่เขาอยู่
หลายคนที่ไม่รู้เรื่องราวพอได้เห็นก็ตกใจ
“เห็นได้ชัดว่ากู่ฉิงซานไม่ได้ชำนาญในด้านเทคนิคมนตรามิติ แต่เขาสามารถหายไปจากสายตาของฉันได้เลยตรงๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะพลังของไม้เท้ามนตราเมื่อครู่ใช่ไหม? นี่มันน่าสนใจจริงๆ” เสี่ยวเหมียวแสดงท่าทีสนอกสนใจออกมา
เย่เฟย์หยู “ที่เขาทำแบบนั้นได้ เพราะเขาเป็นราชาภูตแห่งปรภพ”
ซางหยิงฮ่าว “นรกคือบ้านของเขา ดังนั้นเลยสามารถไปกลับได้ตลอดเวลา”
สิ่งที่ทั้งสองพูด ได้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของแบรี่เช่นกัน
แบรี่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ไม่ใช่ว่าในหกวิถี ปรภพมันเป็นสถานที่ของคนตายหรอกหรือ? แล้วทำไมกู่ฉิงซานถึงไปเป็นราชาภูตผีที่นั่นได้?”
ซางหยิงฮ่าว “คือเรื่องมันยาว…”
“ยาวก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ฉันว่าง กำลังเบื่อๆ อยู่ หากมีเรื่องอะไรให้ได้ยินผ่านหูบ้างก็คงจะดี” เสี่ยวเหมียวกล่าว
“เข้าใจแล้ว คือเรื่องมันเป็นแบบนี้…” ซางหยิงฮ่าวเริ่มเล่า
แล้วเขาก็เริ่มเล่ามันทั้งหมด นับจากจุดเริ่มต้นของภัยพิบัติเยือกแข็ง
แบรี่หัวเราะ “ช่างเป็นวิธีการช่วยเหลือโลกที่เป็นเอกลักษณ์จริงๆ เหมาะสมแล้วที่เขาได้เป็นคนของสมาคมเรา”
แต่เสี่ยวเหมียวกลับตรงกันข้าม เธอจับได้ถึงประเด็นอื่นที่สำคัญยิ่งกว่า “พี่ชาย พี่เคยได้ยินเกี่ยวกับเทคนิคมนตราอะไรที่สามารถไปยังโลกของคนตายได้โดยตรงมาก่อนรึเปล่า?”
แบรี่ “เรื่องนี้พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่เท่าที่นึกออก คิดว่านอกเหนือไปจากผู้ศรัทธาของเทพแห่งความตายแล้ว ก็ไม่น่าจะมีคนอื่นสามารถใช้เทคนิคพวกนี้ได้อีกแล้วนะ”
“นั่นสิ โลกหกวิถีช่างมหัศจรรย์ ด้วยวัฏจักรของพวกเขาที่เป็นแบบปิด เกรงว่าแม้กระทั่งอำนาจของเทพแห่งความตายก็ยังไม่สามารถเข้ามาควบคุมไม่ให้ใช้เทคนิคเกี่ยวกับความตายได้” เสี่ยวเหมียวกล่าว
แบรี่เอ่ยอีกเรื่อง “แล้วพี่เองก็เห็นชัดเจนเหมือนกัน ว่าเพลงดาบที่กู่ฉิงซานใช้มันไม่ใช่วิชาต้องห้าม แต่เป็นการแหกกฎเกณฑ์จากเทคนิคมนตราวิญญาณโดยตรง แล้วไหนจะตะขอที่สามารถเกี่ยวดวงวิญญาณ และไม้เท้ามนตราที่สั่งการนรกของกู่ฉิงซานอีก พลังเหล่านี้ล้วนไม่ใช่อะไรที่สิ่งประดิษฐ์เทวะทั่วๆ ไปจะสามารถบรรลุได้เลย”
เสี่ยวเหมียวพยักหน้าและกล่าว “อืม หลังจากที่ได้เห็นเรื่องราวเมื่อกี้นี้ น้องก็เกิดความรู้สึกชัดเจนเลยว่า กฎเกณฑ์แห่งหกวิถีมันทรงพลังมากเกินไป ไม่ว่าจะเทียบเปรียบกับโลกใดก็ตาม”
“ถูกอย่างที่น้องว่า พี่เองก็จินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าในตอนที่เหล่าทวยเทพสร้างโลก พวกเขาจะยังสร้างอาวุธแบบนั้นออกมาด้วย” แบรี่ถอนหายใจ
…
อีกด้านหนึ่ง
ในปรภพ
เขตนรก
กู่ฉิงซานกุมไม้เท้าแห่งการจองจำ สั่งนึกคิดในจิตใจ เพื่อทำการสัมผัสถึงทุกสายลมและหย่อมหญ้าที่เคลื่อนไหวอยู่ในนรกทั้งสิบแปดขุม
ในขุมนรก สิ่งมีชีวิตนับล้านที่กำลังทุกข์ทรมานปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา
แต่กู่ฉิงซานก็สามารถค้นหาคนจากสถาบันเทพได้อย่างรวดเร็ว
พวกเขามีกันทั้งสิ้นห้าคน ไม่มีคนใดหนีไปได้สำเร็จแม้แต่คนเดียว ทั้งหมดถูกโยนมาทิ้งไว้ในนรก
กู่ฉิงซานจึงค่อยคลายใจลง
ด้วยสกิลของแหกกฎของฉานนู่ สกิลตกวิญญาณของตะขอเกี่ยววิญญาณ และสกิลของไม้เท้า ทั้งสามสิ่งประดิษฐ์เทวะนี้ ส่งผลให้สามารถจับกลุ่มคนลึกลับทั้งหมดมาได้สำเร็จ
อันที่จริงแล้ว กู่ฉิงซานเองก็ไม่ได้อยากจะใช้ตะขอเกี่ยววิญญาณ และปล่อยให้พวกมันหนีไปอยู่เหมือนกัน เพื่อที่จะได้รู้ว่าจิตวิญญาณของพวกมันมาจากโลกหกวิถี หรือโลกใดที่อยู่ภายนอกกันแน่
อย่างไรก็ตาม ต้นกำเนิดของคนเหล่านี้มันแปลกและอันตรายเกินไป และกู่ฉิงซานเองก็ไม่เต็มใจที่เสี่ยงใดๆ เพราะหากพวกมันสามารถกลับไปแจ้งข่าวได้ คงจะมีปัญหาไม่น้อยเลยที่จะตามมา ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงเลือกใช้งานตะขอเกี่ยววิญญาณ ตกวิญญาณของพวกเขามาด้วยตัวเองเลยโดยตรง
“…อยู่ในนรกเยือกแข็งงั้นเหรอ?”
ร่างของกู่ฉิงซานวูบไหว เริ่มต้นการเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างชั้นขุมนรก
ในสายตาของเขา บนหน้าต่างเทพสงคราม ปรากฏตัวอักษรขนาดเล็กกำลังเรืองแสงอย่างต่อเนื่อง
“คุณได้ฆ่าศัตรูห้าคน”
“คุณบรรลุใช้ความอ่อนแอสยบความแข็งแกร่งห้าครั้ง”
“ได้รับแต้มพลังวิญญาณหนึ่งหมื่นแปดพัน”
“ได้รับแต้มพลังวิญญาณหนึ่งหมื่นเจ็ดพัน”
“ได้รับแต้มพลังวิญญาณหนึ่งหมื่นสี่พัน”
“ได้รับแต้มพลังวิญญาณสองหมื่น”
“ได้รับแต้มพลังวิญญาณสองหมื่นเจ็ดพัน”
“เสร็จสิ้นการคำนวณ แต้มพลังวิญญาณหกร้อย ส่วนเกินของคุณคือเก้าหมื่นห้าพันสี่ร้อย”
แต้มพลังวิญญาณคือพลังเหนือธรรมชาติ และมันมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งในช่วงเวลาวิกฤต
กู่ฉิงซานมองแต้มพลังวิญญาณของตนเอง ความมั่นใจในจิตใจของเขาก็เริ่มเอ่อล้นขึ้นมาทันที
อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะอ่อนแอยิ่งกว่า หากเทียบปีศาจจากแดนชำระล้างก่อนหน้านี้
งั้นเอาไว้หลังจากกลับไปยังโลกมิติอนันต์ เขาค่อยวานให้แบรี่กับเสี่ยวเหมียวจับหมูป่าแดนชำระล้างมาอีกครั้ง แล้วให้ตนเองเป็นคนจัดการมัน เพื่อเติมเต็มแต้มพลังวิญญาณสำรองเก็บเอาไว้ก็แล้วกัน
ขณะกำลังขบคิด โลกที่ฟุ้งไปด้วยหิมะและน้ำแข็งก็ปรากฏสู่สายตาของเขาในที่สุด
นรกเยือกแข็งไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังคงหนาวเหน็บ ทุกที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง
กู่ฉิงซานบินไปตามแรงเหนี่ยวนำที่ส่งผ่านมาจากไม้เท้าแห่งการจองจำไปอย่างเงียบๆ บินไปยังหลุมที่ใช้ฝังคนตายของนรกเยือกแข็ง
หลังจากบินไปได้สักพัก กู่ฉิงซานที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยพายุหิมะก็ก้มลงมาเบื้องล่าง
เห็นแค่เพียงคนตายหน้าใหม่ไม่กี่คนกำลังหลับตาสนิท จมอยู่ในห่วงนิทราภายในหลุมน้ำแข็ง
มองไปยังลักษณะของพวกเขาที่ปรากฏ มันเหมือนกับคนของสถาบันเทพไม่มีผิดเพี้ยน
วิญญาณของพวกเขาได้รับกายหยาบของคนตาย
เพื่อที่เหล่าอาชญากรจะได้ทนทุกข์ทรมานในนรกได้อย่างสะดวก จิตวิญญาณของพวกเขาจึงได้รับกายหยาบของคนตาย
และกายหยาบที่ว่านี้ ก็จะเป็นเหมือนเช่นเดียวกันกับร่างกายจริงๆ ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ของพวกเขา เพื่อที่จะสามารถรู้สึกเจ็บปวดจากทุกข์ชนิดของการลงทัณฑ์ได้
เอาล่ะ ตอนนี้ก็ได้เวลาเริ่มขั้นตอนต่อไปแล้ว
กู่ฉิงซานกุมไม้เท้าแห่งการจองจำ และเริ่มต้นใช้งาน ‘ต้นกำเนิดแห่งความตาย’
ท่ามกลางชั้นน้ำแข็ง หลายคนจากสถาบันเทพลืมตาตื่นขึ้นทันที
พวกเขาเบิกตากว้าง และหันไปมองรอบๆ ด้วยความสับสน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังตกใจกับสภาพแวดล้อมที่ปรากฏขึ้น
ผ่านไปสักพัก พอตั้งสติได้ ทั้งหมดก็เริ่มดิ้นรนสุดกำลัง
เปรี๊ยะ…
ชั้นน้ำแข็งที่ห่อหุ้มพวกเขาปริแตก
แล้วทั้งหมดก็เร่งกระโจนออกมาทันที
“หัวหน้า นี่มันที่ไหนกัน?” คนหนึ่งเอ่ยถาม
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่ได้กลับไปยังสถาบันเทพนะ” เสียงของหัวหน้าหม่นลง
หลายคนหันไปมองรอบๆ และเห็นว่านอกเหนือไปจากหิมะและน้ำแข็งไกลสุดลูกหูลูกตาแล้ว มันก็ไม่มีสิ่งใดอยู่อีกเลย
อีกคนกล่าว “ข้าจำได้ว่าหลังจากความตาย ยังรู้สึกได้ถึงการส่งผ่านมิติที่คุ้นเคย แต่ทำไมสุดท้ายพวกเราถึงถูกส่งมายังที่นี่?”
คนหนึ่งกล่าว “ตอนแรกพวกเรากำลังถูกส่งผ่านมิติจริงๆ แต่บางทีเจ้าอาจจะสิ้นสติไปในตอนท้าย เพราะช่วงไม่กี่พริบตาต่อจากนั้น ข้าสัมผัสได้ถึงแรงดึงอันแข็งกร้าวและมิอาจต้านทานได้”
คนต่อมากล่าว “ข้าเองก็รู้สึกถึงแรงดึงที่ว่านั่นเช่นกัน และคิดว่าคงจะเป็นแรงดึงนั่นที่ส่งพวกเรามายังสถานที่นี้”
หลายคนเงียบไป และเริ่มไตร่ตรองถึงความสำคัญของเรื่องนี้
กู่ฉิงซานเดิมกำลังจะร่อนลงไป แต่หลังจากได้รับฟังความคิดเห็นของแต่ละคน เขาก็เลือกที่จะหยุด
หลังจากขบคิดเล็กน้อย เจ้าตัวก็บินกลับขึ้นไปเหนือท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยพายุหิมะ และซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังหมอกเย็นยะเยือกอย่างเงียบๆ
ดูเหมือนว่าจิตสำนึกในช่วงที่พวกเขาตกตายลง มันจะไม่ชัดเจนนัก
ถ้างั้นก็เฝ้าดูปฏิกิริยาของพวกเขาไปก่อนก็แล้วกัน บางทีตนอาจจะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์บางอย่างจากสถานการณ์ในตอนนี้ได้ก็ได้
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบๆ
หลังจากนั้นไม่นาน
พอตรวจสอบถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบจนแน่ใจ คนจากสถาบันเทพก็เริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง
บางคนอุทานขึ้นมาอย่างกะทันหัน “หรือมันจะเป็นเพราะพวกเราทำภารกิจล้มเหลว ดังนั้นพระเจ้าเลยไม่พอใจ และส่งพวกเราตรงมายังสถานที่แห่งนี้?”
และไม่คาดคิดเลยจริงๆ ว่าคำพูดของเขาจะได้รับการยอมรับจากทุกคนอย่างง่ายดาย
หัวหน้าผงกหัว “ดูนั่นสิ มีจิตวิญญาณมากมายถูกแช่แข็งอยู่บนพื้น และทั้งหมดก็แลดูเจ็บปวด ข้าเดาว่าสถานที่นี้จะต้องเป็นสถานที่ทรมานตนแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นแน่”
“น่าจะไม่ผิดพลาดแล้ว น่ากลัวว่าจะเป็นพระเจ้าที่ลงโทษพวกเราจริงๆ”
“ถูกต้อง”
“ข้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดี?”
“อนิจจา ในเมื่อภารกิจล้มเหลว ฉะนั้นก็คงต้องน้อมรับการลงโทษด้วยความเต็มใจ”
“คงได้แต่อธิษฐานให้พระเจ้ายกโทษให้พวกเราโดยเร็วที่สุด และมอบหมายงานใหม่เพื่อไถ่ความผิดพลาดนี้ของพวกเรา”
หัวหน้ากล่าวเสียงหม่น “มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดมากไปกว่านี้ ตั้งแต่ที่พระเจ้าได้ส่งเรามาที่นี่ นั่นหมายความว่าท่านย่อมสามารถรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาของพวกเรา ดังนั้นพวกเราจะต้องน้อมรับโทษจากท่านอย่างจริงจัง”
หลายคนนิ่งงันไป แต่หลังจากขบคิดดูแล้ว ต่างก็ลงความเห็นกันว่านั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น
พวกเขาฝังตัวเองลงในชั้นน้ำแข็งอีกครั้ง ให้เหมือนเช่นเดียวกันกับคนตายคนอื่นๆ
ในหลุมน้ำแข็ง หลายคนสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ
ถึงแม้ว่านรกเยือกแข็งจะไม่มีการทรมานโดยการเปลื้องผ้าออกจากร่างกายก็ตามที แต่ความเย็นของมัน จะเสียดแทงเข้าไปในแก่นจิตวิญญาณโดยตรง ดังนั้นการทรมานของมันจึงไม่ได้เลวร้ายไปกว่านรกขุมอื่นๆ เลย
หลังจากพยายามได้ไม่กี่นาที บางคนก็อดทนต่อไปไม่ไหวอีกต่อไป
“หัวหน้า นี่มันหนาวมากเกินไปแล้ว ทำไมพระเจ้าถึงต้องการ” เขาอุทาน
หัวหน้าตวาด “หุบปากเสีย! พระเจ้ากำลังเฝ้ามองพวกเราอยู่ อยากให้ท่านลงทัณฑ์ที่มันรุนแรงยิ่งกว่านี้รึไง?”
ชายคนนั้นเงียบไป ไม่เอ่ยคำใดอีกเลย
และหลายคนก็เริ่มอดทนต่อการทรมานของนรกเยือกแข็งอย่างเงียบๆ อีกครั้ง
กู่ฉิงซาน “…”
ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะค่อนข้างโง่เล็กน้อย แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกเขาคิดแบบนี้ นั่นก็เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นนรกในโลกปรภพมาก่อน
แต่มันก็เป็นเรื่องยากจริงๆ นั่นแหละที่จะได้พบเจอกับพลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้
อาจกล่าวได้เลยว่านอกเหนือไปจากพระเจ้าของพวกเขาแล้ว คนอื่นๆ จากสถาบันทวยเทพย่อมไม่เคยพานพบกับสถานการณ์และอำนาจแบบนี้มาก่อนอย่างแน่นอน
แม้กระทั่งตัวตนทรงอำนาจอย่างแบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็คงจะไม่เคยได้รับประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนเหมือนกัน
ดังนั้นการตัดสินใจและความคิดที่คนเหล่านี้ ที่แสดงออกมาเมื่อครู่ก็ยังพอเข้าใจได้
แต่การสนทนาของพวกเขา กลับทำให้คิ้วของกู่ฉิงซานค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน
เหมือนแบรี่จะบอกว่าพระเจ้าอะไรนั่นของพวกเขาน่ะมีชีวิตอยู่แค่ครู่เดียวไม่ใช่เหรอ?
แล้วทำไมพวกเขาถึงบอกว่าพระเจ้ากำลังเฝ้าดูอยู่กัน?
หรือว่านั่นมันจะเป็นเรื่องโกหก?
นี่มันชักจะน่าสนใจเสียแล้วสิ อย่าบอกนะว่าพระเจ้าของพวกเขาจงใจแกล้งทำเป็นตาย เพื่อที่จะหลบซ่อนตัว?
ว่าแต่การที่พระเจ้าตั้งใจทำแบบนั้นมันเพราะอะไรกัน?
กู่ฉิงซานยังคงไตร่ตรองอย่างต่อเนื่อง
คนเหล่านี้เข้ามาในโลกกระจัดกระจาย เพื่อต้องการจะค้นหาสุสานแห่งโลก
แต่สุสานแห่งโลกคือสถานที่ที่ถูกปกปิดไว้โดยเหล่าทวยเทพ สิ่งของภายในมันย่อมไม่สามารถระบุได้ และจะไม่มีใครล่วงรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากทำการเปิดสุสานแห่งโลก
ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นน่ะมีสุสานแห่งโลกอยู่มากมาย แล้วทำไมพวกเขาจะต้องออกมาตามหามันในโลกกระจัดกระจายกัน?
ไหนจะวิธีการที่ทำให้พวกเขาสามารถพบเจอที่นี่ได้อีก?
…แบบนี้ชักจะไม่ดีแล้ว จะต้องเค้นข้อมูลให้มันชัดเจนให้ได้
กู่ฉิงซานชี้ปลายไม้เท้าไปยังคนจากสถาบันเทพคนหนึ่งในนรกเยือกแข็ง
และเริ่มเปิดใช้งาน ‘กระจายวิญญาณ’
‘กระจายวิญญาณ ราชาภูตสามารถใช้อำนาจของไม้เท้า สังหารคนตายคนใดก็ตามที่ไม่เชื่อฟัง และวิญญาณของคนตายที่ถูกสังหารก็จะกระจายตัวออก แปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน หนุนเสริมอำนาจให้แก่ตัวไม้เท้าได้’
วินาทีต่อมา
เห็นแค่เพียงในหลุมน้ำแข็ง คนตายคนหนึ่งจากสถาบันเทพ ตระหนักได้ถึงความหวาดกลัวบางอย่างขึ้นอย่างกะทันหัน
ในระดับจิตวิญญาณของเขา เริ่มรู้สึกได้ถึงการมาเยือนของอำนาจกฎเกณฑ์บางอย่าง
มันเป็นอำนาจทำลายล้างที่สามารถทำลายเขาได้อย่างสมบูรณ์!
เขาเริ่มตื่นตระหนก จิตใต้สำนึกตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ไม่นะ ข้ายังคงคอยเก็บรวบรวมดวงจิตเพื่อท่านอย่างซื่อตรง ดวงจิตทั้งหมดถูกจัดเก็บไว้ในห้องอธิษฐานส่วนตัวของข้า ในนั้นมีจิตวิญญาณกว่าเก้าหมื่นดวงซุกซ่อนอยู่ และข้าขออุทิศมันแด่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ฉะนั้นท่านได้โปรด”
จากนั้นเสียงพูดของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงกรีดร้องของความเจ็บปวด
อำนาจอันยิ่งใหญ่ทำลายจิตวิญญาณของเขา ลงทัณฑ์เขาด้วยการทรมานที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าการลงโทษจากนรก!
นี่คือการลงทัณฑ์ขั้นสูงสุดของนรกทั้งสิบแปดขุม ในฐานะราชาภูต เขาสามารถบงการชีวิตหรือความตายของคนตายทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย โดยแค่เพียงนึกคิดเท่านั้น!
ไม่นานนัก กายหยาบของคนคนนั้น กระทั่งจิตวิญญาณของเขาก็สลายไป หายไปจากหลุมน้ำแข็งโดยสมบูรณ์
เขากระจัดกระจาย เหือดหายไปโดยสิ้นเชิง และจะไม่มีวันปรากฏตัวขึ้นที่ใดอีกเลย
อีกหลายคนที่ที่มองเห็นถึงกระบวนการดังกล่าวผ่านรอยแตกของน้ำแข็งอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน
หัวหน้าตะโกน “เห็นหรือไม่ เขากล้าที่จะซุกซ่อนจิตวิญญาณมากกว่าเก้าหมื่นดวงจากพระเจ้า ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดพระเจ้าถึงสังหารเขา!”
“ใช่ คนแบบนั้นสมควรตายแล้ว!”
“เป็นผู้ศรัทธา แต่ทำแบบนั้นได้อย่างไร!”
“จิตวิญญาณทั้งหมดล้วนเป็นของพระเจ้า แต่เขากล้าที่จะเก็บมันเอาไว้ส่วนตัว ดังนั้นสมควรแล้วที่จะถูกลงทัณฑ์ร้ายแรง!”
หลายคนเร่งสนับสนุนคำพูดของหัวหน้า ปากอ้าตะโกนลั่น
ในช่วงเวลานั้นเอง สูงขึ้นไปเหนือท้องฟ้า ก็ปรากฏถึงเสียงที่ดังสะท้อนขึ้น
“ตามประสงค์ของพระเจ้า ข้าจะต้องสอบปากคำพวกเจ้า”
“และพวกเจ้าจำเป็นต้องตอบตามความจริง!”
เสียงอันน่าเกรงขามนี้ ได้เปิดเผยถึงความตั้งใจ และเอ่ยออกมาร้ายแรงว่าต้องการสอบสวนพวกเขา
คนที่เหลือเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า
แต่กลับเห็นแค่เพียงหมอกเย็นที่ปกคลุมไปทั่ว ทุกสิ่งอย่างพร่ามัว มิอาจรับรู้ได้เลยว่าเสียงที่ดังมาจากระยะไกลนั้นคือสิ่งใด
อย่างไรก็ตาม คนตายจากสถาบันเทพก็สัมผัสได้ถึงอำนาจที่กำลังบีบให้พวกเขายอมจำนน เป็นอำนาจที่สามารถครอบงำโลกทั้งใบได้!
หากไม่ได้รับพรจากพระเจ้าแล้ว ยังจะมีผู้ใดอีกเล่าที่สามารถครอบครองอำนาจอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้?
หัวหน้ากลืนน้ำลายอึกใหญ่ เร่งกล่าวรายงานไปอย่างร้อนรน “ผู้น้อยไม่ทราบว่าเป็นผู้ใหญ่ท่านใดที่มาเยือน แต่ผู้น้อยสามารถสาบานได้เลยว่า พวกเรากำลังปฏิบัติตามเป้าประสงค์ของพระเจ้า ทำการตรวจสอบสุสานแห่งโลกที่พิเศษออกไปอยู่จริงๆ”
………………………………….
ช่วงเวลาเดียวกันกับที่กู่ฉิงซานพูดจบ รัศมีแสงสีม่วงก็พวยพุ่งขึ้นไปบนฟากฟ้า
เหล่าผู้คนโดยรอบต่างแหงนมอง
อย่างไรก็ตาม กลับเห็นแค่เพียงเหล่ากลุ่มคนลึกลับที่ถูกรั้งไว้โดยเสี่ยวเหมียว ทำการประสานฝ่ามือเข้าหากัน เชื่อมต่อกันและกันเป็นวงกลม
แสงสีม่วงเรืองรองอาบข้ามผ่านร่างกายของพวกเขา ก่อรูปแบบเป็นรัศมีแสงสาดเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด
เสี่ยวเหมียวเฝ้ามองแสงประหลาดสีม่วงด้วยความสนใจ “พี่ชาย ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นคำสาปส่งจิตวิญญาณที่มีชื่อเสียงนะ”
ก่อนที่แบรี่จะทันได้ตอบเธอ หัวหน้าของกลุ่มคนลึกลับก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน “แบรี่ ถึงพวกเราจะไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้ แต่จงจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าอย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่สามารถต่อกรกับพระเจ้าของพวกเราได้อยู่ดี”
“พระเจ้าพวกของแก? พระเจ้าที่มีชีวิตอยู่ได้แค่ไม่กี่วินาทีนั่นน่ะหรือ?” แบรี่ดูหมิ่น
และประโยคดังกล่าว ดูเหมือนว่าจะทำให้ชายคนนั้นโกรธจริงๆ
“แบรี่ เจ้าทรงพลังก็จริง แต่เจ้าจะสามารถปกป้องโลกใบนี้ได้ตลอดเวลารึเปล่า?”
“เห็นประกายแสงสีม่วงนี่ไหม? ขอแค่มีมันพวกเราก็ไม่เกรงกลัวอะไรอีกแล้ว”
หัวหน้าเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดและกล่าวต่อ “มาฆ่าพวกเราเสียสิ! และจากนั้น เมื่อไหร่ที่พวกเราฟื้นคืนชีพ พวกเราจะนำคนจำนวนมากกลับมาแก้แค้นอย่างแน่นอน!”
ประโยคดังกล่าวทำให้ทุกคนจมลงสู่ความเงียบ
กระทั่งแบรี่ก็ยังขมวดคิ้ว
เห็นได้ชัดว่า แม้กระทั่งเจ้าตัวก็ยังรู้สึกได้ถึงปัญหา
“ผมขอถามอะไรหน่อยสิ เมื่อกี้เขาบอกว่าถ้าพวกเขาตาย พวกเขาจะสามารถฟื้นคืนชีวิตได้อีกครั้งงั้นเหรอ?” ซางหยิงฮ่าวถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เสี่ยวเหมียวอธิบาย “ใช่ เพราะจิตวิญญาณของคนเหล่านี้ถูกสาป ทำให้เมื่อพวกเขาตาย จิตวิญญาณก็จะถูกดึงกลับไปยังสถานที่หนึ่งโดยตรง เพื่อทำการเปลี่ยนกายหยาบ และฟื้นคืนชีพในที่นั่นอีกครั้ง”
“เพราะความสามารถในการฟื้นคืนชีพของพวกเขานี่แหละ ที่ทำให้ผู้คนในโลกเก้าร้อยล้านชั้นเริ่มที่จะหวาดกลัวกับพวกคนบ้ากลุ่มนี้”
เมื่อเห็นว่าท่าทีของฝูงชนโดยรอบสงบลง กลุ่มคนที่ถูกจับก็เริ่มใจชื้น แสดงออกถึงความภาคภูมิใจในตน
หัวหน้ามองไปทางกู่ฉิงซานและกล่าว “เมื่อครู่ ดูเหมือนเจ้าจะบอกว่าอยากแก้แค้นให้ใครบางคนเช่นนั้นสินะ?”
“ใช่” กู่ฉิงซานตอบ
หัวหน้าจ้องมองกู่ฉิงซานและกล่าวอย่างช้าๆ “พวกเราไม่สามารถเอาชนะแบรี่ได้ก็จริง แต่สำหรับเจ้าแล้ว มันต่างออกไปนะ ไอ้หนู”
“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันถูกคุกคามโดยคนที่กำลังจะตาย” กู่ฉิงซานยิ้ม
สีหน้าของหัวหน้าเริ่มบูดบึ้ง คล้ายมีเมฆครึ้มเคลื่อนผ่าน “อันที่จริงแล้วข้าก็ไม่ได้ต้องการจะคุกคามเจ้าหรอก แต่ดูเหมือนว่าพวกเราจะประมาทมดตัวจ้อยมากเกินไป ทำให้แผนของเรามันไม่เหมือนเดิม”
“โห? แล้วพวกแกวางแผนจะทำอะไรกันล่ะ?” กู่ฉิงซานยิ้ม
ผู้นำไม่ตอบ แต่สวนกลับไป “ข้าตระหนักได้ว่าไม่มีผู้ใดเลยในโลกใบนี้ที่จะสามารถออกไปจากที่นี่ได้ยกเว้นแต่เจ้า”
คราวนี้รอยยิ้มของกู่ฉิงซานแข็งค้างไปอย่างกะทันหัน
นั่นเพราะเขาสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงอะไร
หัวหน้ากล่าวต่อ “เจ้าต้องรู้ไว้นะว่าแบรี่น่ะไม่สามารถปกป้องโลกใบนี้ได้ตลอดไปหรอก วันหนึ่ง วันที่เขาพลั้งเผลอ พวกเราจะกลับมาสังหารทุกคนบนโลกใบนี้ และนำดวงจิตของพวกเขาไป และแน่นอนโดยเฉพาะดวงจิตของคนที่เจ้าห่วงใย!”
“เพื่อที่เจ้าจะได้รู้สึกเสียใจไปตลอดกาลที่มารบกวนสถาบันเทพของพวกเรา!”
“และเจ้า แบรี่ อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้ว่าอำนาจส่วนตนเพียงอย่างเดียวมันไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าพระเจ้าของพวกเรา พวกเราจะทำให้เจ้าต้องรู้สึกเจ็บปวด เข้าใจลึกซึ้งถึงความสิ้นหวังของการไร้ซึ่งอำนาจ!”
แบรี่แสยะยิ้ม เขาง้างกำปั้นขึ้นและกล่าว “งั้นฉันก็จะคอยเฝ้าดูโลกใบนี้ตลอดเวลา ส่วนขยะอย่างพวกแก ก็ตายมันเสียตอนนี้”
ก่อนที่จะทันได้เหวี่ยงกำปั้นออกไป เขาก็ถูกหยุดเอาไว้โดยกู่ฉิงซานเสียก่อน
“มีไม่กี่คนหรอกนะที่กล้าใช้โลกใบนี้มาข่มขู่ผม” กู่ฉิงซานเปล่งเสียงกระซิบ
“ไม่ต้องกังวลไป ฉันจะจัดการพวกมันด้วยหมัดเดียวเอง” แบรี่กล่าว
“ในเมื่อพวกเขาสามารถฟื้นคืนชีพได้ ทำแบบนั้นไปมันคงไร้ประโยชน์ ให้เวลาผมสักครู่ ผมอยากจะยืนยันอะไรบางอย่างเสียก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว
แบรี่จึงถอนกำปั้นของตัวเองกลับมา
หัวหน้าหัวเราะ “พวกเราไม่กลัวตาย! ต่อให้แบรี่จะมาคอยขัดขวางอีกกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พวกเราก็จะกลับมาจนกว่าโลกใบนี้จะถูกทำลายลง!”
กู่ฉิงซานไม่สนใจเขาอีกต่อไป
“ฉานนู่” เจ้าตัวเรียก
ดาบขุนเขาเทวะหกโลหะผลุบออกมา และเปลี่ยนเป็นหญิงในชุดคลุมฟ้า
“ข้าอยู่นี่ นายน้อย”
“ข้ามีคำถามบางอย่าง”
“นายน้อยโปรดกล่าว”
กู่ฉิงซานหันไปมองฉานนู่ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำ
ขณะเดียวกัน คนที่รอก็รู้ว่าเขากำลังใช้วิธีสื่อสารทางความคิดกับจิตแห่งดาบอยู่
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ ฉานนู่ที่กำลังมองกู่ฉิงซานก็พยักหน้า
กู่ฉิงซานหันไปทางเย่เฟย์หยูทันที “ให้ตะขอเกี่ยววิญญาณออกมา”
“ข้าอยู่นี่ กู่ฉิงซาน เจ้าต้องการอะไรงั้นหรือ?” มันเอ่ยถาม
ฉานนู่เป็นคนพูดแทน “เจ้าพอที่จะสามารถตกดวงวิญญาณของผู้คนก่อนจะตกลงสู่สายธารได้หรือไม่?”
“แม้จะมีคำกล่าวที่ว่า อะไรก็ตามที่ลงไปในสายธารแห่งการหลงเลือน แม้แต่ฝุ่นก็ไม่หลงเหลือ แต่ตัวข้า ในฐานะอาวุธแห่งสายธารแห่งการหลงเลือน เรื่องที่เจ้าเอ่ยถามมา ย่อมสามารถกระทำได้อย่างง่ายดาย”
“งั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาแล้ว”
กู่ฉิงซานพยักหน้า
ทันทีที่เสียงของเขาตกลง
ระหว่างช่วงเวลาฉุกละหุก
ฉานนู่ได้หายวับไปอย่างกะทันหัน กู่ฉิงซานคว้าจับดาบขุนเขาเทวะหกโลกา และโฉบไปยังทิศทางกลุ่มคนจากสถาบันเทพอย่างรวดเร็ว
เทคนิคลับแห่งดาบ ฝ่าวารีเชี่ยว!
ด้วยพื้นฐานวรยุทธ์ของกู่ฉิงซานในปัจจุบันนี้ ผสานไปกับการระเบิดโจมตีออกไปอย่างเต็มกำลัง ส่งผลให้อำนาจของเทคนิคลับนี้ไร้ที่เปรียบ
ขณะที่เป้าหมายของเขา เหล่าผู้คนถูกเสี่ยวเหมียวขังไว้โดยสมบูรณ์ แน่นอนว่าความสามารถในการต่อสู้ก็ถูกจำกัดเอาไว้เช่นกัน ดังนั้นตลอดทั้งร่างกายจึงไร้ซึ่งการป้องกัน ไม่สามารถแม้กระทั่งจะเคลื่อนไหว
รัศมีดาบกระแทกเข้าใส่ร่างกายของพวกเขา
กายเนื้อของพวกเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ อย่างร้ายแรง กลายเป็นฝุ่นผงไปทันที!
ในพริบตาตั้งแต่กระบวนการทั้งหมดเริ่มต้นขึ้น หัวหน้าก็พลันตระหนักได้ถึงความตายที่มาเยือน
“รอก่อนเถอะ แล้วข้าจะกลับมาใหม่”
เขากล่าวอย่างสงบ
ฟิ้ว…
สายลมที่เกิดจากคมกล้าของดาบส่งเสียงหอนกระจายออกไป
กู่ฉิงซานล้างบางกลุ่มคนจากสถาบันเทพจนสิ้นในคราวเดียว
อย่างไรก็ตาม พริบตานั้นรังสีแสงสีม่วงพลันพวยพุ่งขึ้นอย่ารวดเร็ว และกระแทกเข้าใส่มิติที่ว่างเปล่าอย่างรุนแรง
ตามด้วยร่างเงาของมนุษย์หลายคนปรากฏอยู่ในแสงสีม่วงที่ว่านั่น
“มันคือจิตวิญญาณ!” เสี่ยวเหมียวร้องตะโกนเสียงต่ำ
เธอวาดสองมือออกไป ประกบ ผสานสัญลักษณ์อย่างต่อเนื่อง ครั้งแล้วครั้งเล่า การกระทำดังกล่าวนำมาซึ่งการกระเพื่อมไหวของชั้นมิติ จนเกิดระลอกคลื่นกระจายไปทั่ว แต่ในที่สุดเธอก็ยอมแพ้
“ไม่ไหว มันเป็นเทคนิควิญญาณที่ยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจได้ ฉันหยุดมันไม่ได้เลย” เธอพึมพำ
แสงสีม่วงลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อร่างเป็นเสาแสงขนาดใหญ่
ดูเหมือนว่าในช่วงวินาทีต่อมา เสาแสงนี้ก็จะห่อหุ้มเศษซากเลือดเนื้อ รวมไปถึงจิตวิญญาณเหล่านั้นและข้ามผ่านมิติไป!
แต่นั่นก็เป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่ร่างของกู่ฉิงซานทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า
“ฉานนู่!”
“ข้าพร้อมแล้ว!” ฉานนู่รับคำ
กู่ฉิงซานใช้ออกด้วยเทคนิคลับแห่งดาบ บินตรงไปยังทิศทางเสาแสงสีม่วง
พริบตานั้นเอง
พอกู่ฉิงซานมาถึงเสาแสงสีม่วงเขาก็
ลงมือทันที!
เสี้ยวพริบตา ดาบยาวก็กระตุกไหวดั่งสายฟ้าฟาด ฟาดเหวี่ยงเข้าตัดใส่เสาแสงสีม่วง
เทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา!
เห็นแค่เพียงท่ามกลางท้องฟ้า รังสีดาบสีนวลผ่องขนาดใหญ่เฉือนตัดเข้าใส่เสาแสงสีม่วง ส่งผลให้ตลอดทั้งเสาแสงเกิดการสั่นสะเทือนอย่างไม่รู้จบ
“จงตัดมันเพื่อข้า!” กู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง
แล้วเขาก็สับอาวุธในมือตนด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
เห็นแค่เพียงเขี้ยวจันทราที่ถูกวาดเป็นเส้นโค้งวิ่งข้ามผ่านผืนฟ้า
เขี้ยวจันทรากวาดกระแทกเข้าใส่เสาแสงสีม่วง
เปรี้ยง!
เสาแสงสีม่วงที่เชื่อมต่อระหว่างสวรรค์และโลกถูกตัดขาดออกจากกันโดยตรง!
ตลอดทั้งแสงสีม่วงสลายตัวลงอย่างรวดเร็ว เทคนิคมนตราวิญญาณถูกทำลายลงในพริบตา!
เสี่ยวเหมียวจ้องมองดาบยาวในมือของกู่ฉิงซานอย่างรอบคอบ ปากเอ่ยกล่าวด้วยความประหลาดใจ “นั่นมันวิชาลับต้องห้าม? ไม่สิ เป็นการทำลายกฎเกณฑ์ต่างหาก!”
กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน ตะโกนลงจากฟากฟ้า “จงมา!”
ตะขอยาวสีเทาเหลืองโฉบขึ้นสู่เบื้องบนทันที
ตะขอเกี่ยววิญญาณแห่งสายธารแห่งการหลงเลือน!
ในอากาศที่ว่างเปล่าที่ไหนสักแห่งบนท้องฟ้า ปรากฏเสียง ‘ฉัวะ’ กังวานก้อง
ทันใดนั้น เห็นแค่เพียงหลายร่างเงามนุษย์ที่โปร่งแสงถูกเกี่ยวโดยตะขอยาว
‘สกิล ตกวิญญาณ!’
นี่คืออำนาจของสายธารแห่งการหลงเลือนที่สามารถสำแดงออกมาได้ผ่านทางตะขอเกี่ยววิญญาณโดยตรง!
ตะขอยาวลากดวงจิตเหล่านั้นมายังเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน
“ข้าจะส่งพวกเขาไปยังปรภพ เจ้าเตรียมการพร้อมแล้วจริงๆ หรือไม่?” ตะขอยาวถาม
“วางใจเถอะ พาพวกเขาไปได้เลย ที่เหลือก็ปล่อยให้ข้าเป็นคนจัดการเอง” กู่ฉิงซานพยักหน้า
“เข้าใจแล้ว”
ตะขอเกี่ยววิญญาณและเหล่าดวงจิตที่ถูกติดตรึงกับมัน พลันหายวับไปจากท้องฟ้า มิอาจมองเห็นได้อีกเลย
หลังจากที่ปรภพกับโลกมนุษย์ผสานรวมกัน สองโลกก็ถูกขวางกั้นกันและกันโดยแม่น้ำใหญ่ของสายธารแห่งการหลงเลือน
แต่ตะขอเกี่ยววิญญาณสามารถเจาะมิติ และกลับไปยังสายธารแห่งการหลงเลือนได้โดยตรง
กู่ฉิงซานร่อนลงจากฟากฟ้า
เสี่ยวเหมียวจ้องมองเขาและเอ่ยถาม “เมื่อครู่นี้คือสิ่งประดิษฐ์เทวะที่เกิดจากกฎเกณฑ์ของปรภพงั้นเหรอ? มันถึงสามารถรั้งจิตวิญญาณพวกนั้นเอาไว้ได้”
“ใช่” กู่ฉิงซานตอบ
เสี่ยวเหมียวถอนหายใจ “ฉันนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่ากฎเกณฑ์แห่งหกวิถีมันจะร้ายกาจถึงขนาดนี้ กระทั่งเทคนิควิญญาณอันแสนร้ายกาจ ก็ยังต้องยอมสยบเมื่ออยู่ต่อหน้ากฎเกณฑ์นี้โดยสมบูรณ์”
แบรี่เอ่ยถาม “ถ้าคนพวกนั้นถูกส่งไปยังปรภพ ก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องไปเกิดใหม่ในโลกใบนี้ใช่ไหม?”
“ไม่ พวกเขาจะไม่มีทางได้มาเกิดใหม่” กู่ฉิงซานกล่าว
“อ้าว ทำไมล่ะ? ฉันจำได้ว่าตามกฎเกณฑ์ของโลกหกวิถีแล้ว จิตวิญญาณของคนตาย หลังจากที่ถูกส่งไปยังปรภพ พวกเขาก็จะได้รับชีวิตใหม่ในหกวิถีไม่ใช่เหรอ?” เสี่ยวเหมียวงงเล็กน้อย
“แต่สำหรับพวกเขาน่ะไม่ เพราะพวกเขาทำให้ผมรู้สึกโกรธ” กู่ฉิงซานกล่าว
ว่าจบ เขาก็ยื่นมือออกไปในความว่างเปล่า
คว้าจับไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูตที่ปรากฏออกมาไว้ในกำมือ
………………………………….
ในขณะที่กลุ่มบุคคลลึกลับถูกรั้งตัวเอาไว้โดยเสี่ยวเหมียว
ตัวตนต่างๆ ที่อยู่ในโลก ก็ตระหนักได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน
พวกเขาจึงเร่งตรงมาจากทุกทิศทาง
เริ่มแรกจากประตูแสงบานหนึ่งที่ปรากฏขึ้นใจกลางชานเมืองอย่างกะทันหัน
แบรี่มองไปทางประตูแสงและกล่าวด้วยความสนใจ “หืม? นั่นก็เป็นเทคโนโลยีใช่ไหม?”
“ใช่ เป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมประเภทจั๊มป์มิติ” เสี่ยวเหมียวแสดงความคิดเห็น
เห็นแค่เพียงในประตูแสง ปรากฏถึงร่างของคนสองคนเดินออกมา
เป็นซางหยิงฮ่าวและเย่เฟย์หยู
“ไง กลับมาแล้วเหรอ?” ซางหยิงฮ่าวมองกู่ฉิงซานและกล่าว
“ใช่ แต่พอกลับมา ก็ดันมีเรื่องอื่นให้ต้องไปจัดการพอดี เลยไม่ทันเจียดเวลาติดต่อนายไป” กู่ฉิงซานกล่าว
เย่เฟย์หยูเหลือบมองแบรี่กับเสี่ยวเหมียว และเอ่ยปาก “ฉันได้ยินจากเทพธิดากงเจิ้งแล้วนะ ว่าคนที่นายพากลับมาสามารถกำจัดมอนสเตอร์ทั้งหมดได้ในวินาทีเดียว ถ้าเป็นเกม พวกเขาคงระดับเกมมาสเตอร์เลยใช่ไหม?”
“ใช่ โคตรเกมมาสเตอร์เลยล่ะ” กู่ฉิงซานหัวเราะ
แล้วเขาก็แนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน
“นี่คือซางหยิงฮ่าว กับเย่เฟย์หยู พวกเขาเป็นหุ้นส่วนของผม แถมยังเป็นสหายที่ดีมากๆ อีกด้วย” กู่ฉิงซานอธิบาย
แบรี่พยักหน้าให้กับทั้งสองคน “สวัสดี ฉันแบรี่ กำปั้นเหล็กแบรี่”
“ส่วนฉันเป็นน้องสาวเขาชื่อเสี่ยวเหมียว พวกเรามาเที่ยวเล่นที่นี่” เสี่ยวเหมียวเอียงคอและกล่าวทักทาย
ทัศนคติที่พวกเขาแสดงออกมาช่างอ่อนโยน ใจดี และเป็นมิตร
อันที่จริงแล้ว
ทั้งพี่ชายและน้องสาวเติบโตมาอย่างอัตคัด อาศัยอยู่แบบยากจนมาตั้งแต่เด็ก
แต่หลังจากที่ทุ่มเทพยายามอย่างหนัก และในที่สุดก็กลายเป็นตัวตนทรงอำนาจ หลังจากมีชื่อเสียงโด่งดังไปตลอดโลกเก้าร้อยล้านชั้น…ชีวิตของพวกเขาแม้จะดีขึ้น แต่ก็ยังยากจนอยู่ดี
กล่าวได้ว่าทั้งสองเป็นคนติดดิน ไม่ใช่พวกหยิ่งหรือมากพิธีรีตองใดๆ
ประจวบกับทั้งเด็กหนุ่มทั้งสองตรงหน้ามีความสัมพันธ์อันดีกับกู่ฉิงซาน ดังนั้นสองพี่น้องจึงยิ่งไม่แสดงอคติใดๆ ออกมา
เย่เฟย์หยูทักทายกลับอย่างระแวดระวัง “สวัสดีเช่นกัน”
ขณะที่ซางหยิงฮ่าวน่ะเป็นผู้ผ่านประสบการณ์ร้อนหนาวมามากมาย ดังนั้นเมื่อสบโอกาสพบเจอกับคนเก่งๆ เขาก็เร่งที่จะเอาใจอีกฝ่ายทันที เขายื่นมือออกไป และกล่าวอย่างกระตือรือร้น “ยินดีต้อนรับพวกคุณทั้งสอง นับจากนี้ไปไม่ว่ากู่ฉิงซานจะพาพวกคุณไปกินอะไร หรือเที่ยวที่ไหน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดผมจะเป็นคนจัดการให้เอง”
ใจป้ำเสียไม่มี!
ประโยคข้างต้นนี้ ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังก็รู้สึกพอใจ เป็นประโยคที่สามารถสำแดงประสิทธิภาพออกมาได้อย่างดีเยี่ยม
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ขอบคุณมากนะ”
พี่ชายและน้องสาวรับเอาความปรารถนาดีนี้ไว้ด้วยความเต็มใจ
การแสดงออกและคำพูดคำจาของซางหยิงฮ่าวช่างมีไหวพริบ ขณะเดียวกันการแสดงออกของเย่เฟย์หยูเองก็ดูซื่อสัตย์ ส่งผลให้สนทนากันต่อเพียงไม่นาน แบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็เริ่มที่จะคุ้นเคยกับทั้งสอง และเกิดความรู้สึกประทับใจในตัวพวกเขามากยิ่งกว่าเดิม
สำหรับกลุ่มคนลึกลับที่น่าสงสาร ทั้งหมดถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง ไร้ซึ่งคนสนใจหรือไยดีใดๆ
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ราชาผีเพลิงน้ำแข็ง เทพสวรรค์ กษัตริย์อาชูร่า และราชันจ้าวอสูร ก็เริ่มทยอยกันปรากฏตัวขึ้นตามลำดับ
พวกเขาตรงมาจากคนละทิศทาง และมีปฏิกิริยาแตกต่างกันออกไป
เทพสวรรค์องค์ใหม่ปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก ปากเอ่ยงึมงำ “แข็งแกร่งเกินไป มีการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้อย่างไร? ”
ราชาผีเพลิงน้ำแข็งนิ่งอึ้ง ไม่พูดอะไรออกมาอยู่นาน แต่ในที่สุดสายตาของเขาก็ตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน ปากอ้าขยับด้วยความสับสน “ชัดเจนว่าเป็นมนุษย์ แต่เหตุใดถึงได้ส่งกลิ่นอายนั่นออกมากัน…”
กษัตริย์อาชูร่ายิ้มอย่างขมขื่น “แท้จริงแล้วพวกเราล้วนเป็นเพียงกบในก้นบ่อ แต่โชคดีเสียจริง ที่ดูเหมือนว่าหนึ่งในตัวตนแข็งแกร่งเหล่านั้นจะเป็นมิตรกับพวกเราอาชูร่า”
วิสัยทัศน์ของเขาก็ตกลงบนร่างของกู่ฉิงซานเช่นกัน
ส่วนราชันจ้าวอสูร สายตาของมันติดตรึงอยู่กับแบรี่ตลอดเวลา ทั้งตนทั้งร่างสั่นสะท้าน สูดหายใจยังยากลำบาก ยิ่งจะให้เอ่ยคำใดออกมาก็คงเป็นไปไม่ได้
มันน่ะเป็นสัตว์ป่า ดังนั้นสัญชาตญาณจึงดีเป็นพิเศษ มันสามารถรับรู้ได้ถึงพลังอันน่าหวาดกลัวของคนแปลกหน้าผู้นี้ได้อย่างชัดเจน
ในช่วงเวลานี้เอง เกือบทั้งหมดก็ได้มาเผชิญหน้ากัน
ซางหยิงฮ่าวหัวเราะเสียงดัง “คุณพี่ทั้งสอง เอาไว้รอให้พวกคุณจัดการเรื่องนี้ให้จบลงเสียก่อน แล้วผมจะพาไปเที่ยวบาร์ที่ดีที่สุดในโลกใบนี้เอง ผมจะเลี้ยงต้อนรับพวกคุณทั้งคืนเลย”
“บาร์? งั้นก็คงต้องรบกวนนายแล้ว” แบรี่ยิ้ม
เสี่ยวเหมียวขอบ้าง “แต่ฉันสนใจเกี่ยวกับเทคนิคการทำอาหารของที่นี่เสียมากกว่า เพราะกู่ฉิงซานทำอาหารได้อร่อยมาก ฉะนั้นอาหารของที่นี่ก็คงจะอร่อยไม่แพ้กัน”
ซางหยิงฮ่าวตอบรับทันที “เรื่องนี้ง่ายมาก ผมมีพ่อครัวส่วนตัวกว่ายี่สิบคน ผมจะติดต่อพวกเขาให้เดี๋ยวนี้เลย”
ว่าจบ เขาก็หยิบสมองควอนตัมส่วนบุคคลออกมา และทำการเชื่อมต่อกับวิลล่าบนภูเขา
ซางหยิงฮ่าวจัดการเมนูให้ด้วยตัวเอง อาหารกว่าสามสิบจานถูกเลือกโดยเขาในลมหายใจเดียว
กระทั่งกู่ฉิงซาน เพียงได้ยินชื่อเมนูที่อีกฝ่ายพูดออกมา เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหิว
เสี่ยวเหมียวตบไหล่ของซางหยิงฮ่าวด้วยความสุข พูดกึ่งจริงกึ่งเล่น “ต้อนรับกันได้ดีจริงๆ ฉันชักจะรู้สึกชอบนายเสียแล้วสิ”
“แล้วเราจะเอาอย่างไรกับคนกลุ่มนี้ดี?”
เย่เฟย์หยูถาม พลางมองไปยังกลุ่มคนลึกลับที่อยู่เบื้องหลัง
“คนพวกนี้ดูท่าจะผิดปกติอยู่นะ” แบรี่พูดเบาๆ
เสี่ยวเหมียวตื่นตัว และเอ่ยถามทันที “ทำไมพี่ถึงพูดแบบนั้น?”
แบรี่ขมวดคิ้ว “ก็จริงอยู่ที่ว่า มันเป็นเรื่องปกติที่คนจำนวนมากในโลกเก้าร้อยล้านชั้นจะรู้จักฉัน แต่พอเห็นฉัน คนพวกนี้กลับแสดงท่าทีตื่นตระหนกมากเกินไป ฉันเลยคิดว่าพวกเขาน่าจะมีปัญหาบางอย่าง”
เสี่ยวเหมียวมองดูคนเหล่านั้น
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ทั้งหมดยังคงพยายามหนีอย่างสิ้นหวัง
“อืม…ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ แค่เห็นพี่ชายก็รีบหนีเสียแล้ว ทั้งๆ ที่พี่ไม่เคยฆ่าใครแบบไร้เหตุผลมาก่อนเลย” เสี่ยวเหมียวพึมพำ
เธอพ่นลมหายใจไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น
พรึบ!
สายลมกรรโชกพัดผ่าน
ในพริบตา เสื้อคลุม อุปกรณ์ และอาวุธของกลุ่มคนลึกลับทั้งหมดก็หายไป
กลุ่มคนที่เมื่อครู่แลดูลึกลับ บัดนี้ราวกับคนวิตถาร หลงเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียวไว้ให้สวมใส่ ทั้งหมดต่างหยุดที่จะหลบหนี และเริ่มกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวออกมาแทน
“อย่าขยับ ขอพูดตรงๆ เลยนะ ขอให้พี่สาวคนนี้สำรวจให้มันชัดๆ หน่อย” เสี่ยวเหมียวตะโกน
แต่แล้วเธอก็ชะงักไปอย่างกะทันหัน กระทั่งสีหน้าก็ยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“พี่ชาย ดูนั่นเร็ว”
ใบหน้าของแบรี่หม่นทะมึนลง เขากล่าวเสียงเย็น “เข้าใจแล้ว เพราะแบบนี้เองสินะ พวกเขาถึงตื่นตระหนกเวลาที่ได้เห็นฉัน”
ทั้งหมดหันไปมองกลุ่มคนลึกลับพร้อมกัน
เห็นแค่เพียงบนร่างกายของคนลึกลับเหล่านั้น ทุกคนจะมีรอยสักแบบเดียวกันประทับอยู่
มันเป็นรอยสักรูปใบหน้ามนุษย์สีดำ ครึ่งชายครึ่งหญิง แต่ไม่ว่าจะครึ่งไหนก็ล้วนกำลังแสดงออกถึงความเจ็บปวดอยู่ดี
ทันทีที่รอยสักถูกเปิดเผย เกือบทุกคนที่เห็นก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหนาวเหน็บขึ้นในส่วนลึกในจิตใจของพวกเขา
กษัตริย์อาชูร่าถึงขั้นต้องส่งเสียงฮึฮะด้วยความรำคาญจากความรู้สึกหวาดกลัวนี้อย่างช่วยไม่ได้
“พวกเขาเป็นใครกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“เป็นคนจากสถาบันเทพ” แบรี่กล่าวเสียงจม
“สถาบันเทพคือกลุ่มคนที่คลั่งไคล้บูชาเทพ พวกเขามักจะพยายามเก็บรวบรวมสิ่งลึกลับทั้งหมด โดยมีจุดประสงค์เพื่อฟื้นคืนชีพเทพบรรพกาล” เสี่ยวเหมียวอธิบาย
“พวกเราเองก็เคยรู้จักกับผู้นำของพวกเขามาก่อนเหมือนกัน” แบรี่กล่าว
“รู้จักกันมาก่อน?”
“ใช่ ผู้นำของพวกเขาแข็งแกร่งมาก ไม่เพียงเป็นตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ แต่ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ มากมาย เป็นคนที่สามารถตระเตรียมการต่างๆ ล่วงหน้าได้เป็นอย่างดี แต่น่าเสียดายที่พวกเขาดันทำสิ่งสำคัญที่สุดผิดไป”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานถาม
“สิ่งที่พวกเขาต้องการจะฟื้นคืนชีพ แท้จริงแล้วไม่ใช่เทพบรรพกาล”
“ไม่ใช่เทพบรรพกาล? ถ้าเช่นนั้นพวกเขาต้องการจะคืนชีพอะไร?”
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวเงียบไปครู่หนึ่ง
แต่สุดท้ายแบรี่ก็เอ่ยปากออกมา “ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร”
“แต่เดชะบุญ ที่สิ่งมีชีวิตที่ว่า ฟื้นคืนชีพกลับมาได้ไม่นานก็ตายไป”
“ที่พูดมาคงจะหมายถึงสิ่งนั้นใช่ไหม?”
กู่ฉิงซานชี้ไปยังใบหน้าครึ่งชายครึ่งหญิงที่สักอยู่บนร่างของคนเหล่านั้นและกล่าว
“ใช่ ถึงแม้ว่ามันจะตายลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แต่ในชั่วพริบตาที่ฟื้นตื่นขึ้นมา พฤติกรรมของทั้งสถาบันก็ผิดปกติไป ห้วงอารมณ์ของคนในสถาบันก็แปรเปลี่ยน แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง”
“จู่ๆ พวกเขาทำการปิดสถาบัน ไม่ให้ใครเข้าใกล้ และไม่ให้ใครออกไปข้างนอก และเริ่มทำแต่เรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้”
“ตัวอย่างเช่นคราวนี้ ที่จู่ๆ ก็เดินทางมายังโลกกระจัดกระจายเพื่อทำการค้นหาสุสานแห่งโลกใช่ไหม?”
แบรี่ “ใช่ โลกกระจัดกระจายคือสถานที่ที่ทุกคนไม่ยินดีจะมาเยือน แต่พวกเขาจู่ๆ ก็กลับให้ความสนใจเกี่ยวกับมันอย่างไม่คาดคิด”
เสี่ยวเหมียวอธิบายเพิ่มเติม “ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น มีอิทธิพลจำนวนมากเริ่มหวาดกลัวสถาบันเทพมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนพวกนี้ผิดแผกเกินไป ใครก็ตามที่ตกอยู่ในมือพวกเขาจะจบลงโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจิตวิญญาณหายไปอยู่ที่ไหน”
แบรี่ตบไหล่กู่ฉิงซานและกล่าว “แต่นายไม่ต้องกังวลไป ตัวฉัน กำปั้นเหล็กแบรี่ เป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก เก้าร้อยล้านชั้น ฉะนั้นต่อให้พวกคนบ้าจากทั้งสถาบันเทพทั้งหมดดาหน้าเข้ามาพร้อมกัน พวกมันก็ไม่สามารถกดดันฉันได้”
กู่ฉิงซานโล่งอก “ได้ยินประโยคนี้ของคุณ ผมมั่นใจขึ้นเยอะเลย”
“แต่เท่าที่ฟังจากน้ำเสียง ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยพอใจพวกเขาเลยนะ” ซางหยิงฮ่าวแทรก
แบรี่พยักหน้าและกล่าว “มีคนอยู่สองประเภทที่ฉันมักจะฆ่าอยู่บ่อยๆ หนึ่งคือประเภทที่มักจะชอบทำลายโลกตามอำเภอใจ อีกหนึ่งคือพวกที่ชอบฆ่าคนบริสุทธิ์ และเจ้าพวกคนบ้าอย่างสถาบันเทพก็เป็นหนึ่งในนั้น เอาล่ะ ในเมื่อรู้แบบนี้แล้ว นายจะเอาอย่างไรต่อไป”
“ขอผมคิดก่อนนะ” กู่ฉิงซาน ตอบกลับไป
เขาก้มหน้าลง และเริ่มไตร่ตรองอยู่สักพัก
ขณะที่แบรี่และเสี่ยวเหมียวกำลังเฝ้ารอให้กู่ฉิงซานตัดสินใจอย่างเงียบๆ
ผ่านไปพักหนึ่ง กู่ฉิงซานก็เงยหน้าขึ้นและกล่าวอย่างช้าๆ “ผู้หญิงที่พวกเขาสังหารไป ผมเคยเจอเธอมาก่อนครั้งหนึ่ง เธอคือผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลใหญ่ ”
“อืม” แบรี่รับคำ และส่งสัญญาณให้เขาพูดต่อ
“แต่เดิม ปากของเธอถูกเย็บ ทำให้โดยปกติแล้วเธอมักจะสื่อสารผ่านทางความคิดเท่านั้น”
“แต่คราวนี้ผู้พิทักษ์เก้าตระกูลกลับเลือกที่จะเปิดปากพูด จุดประสงค์นั่นคงจะเพื่อให้เทพธิดากงเจิ้งสามารถบันทึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นเอาไว้”
“เมื่อผู้พิทักษ์ตายไป เธอก็ยังไม่วายปลดปล่อยความตั้งใจสุดท้ายออกมา โดยหวังว่าจะให้เทพธิดากงเจิ้งปกป้องซูเซี่ยเอ๋อ”
“ผมคิดว่าผู้พิทักษ์ได้ทำหน้าที่ในฐานะผู้อาวุโสของซูเซี่ยเอ๋อเป็นอย่างดี”
“เพราะฉะนั้น ผมจะฆ่าคนพวกนี้ เพื่อล้างแค้นให้กับท่านผู้พิทักษ์”
เสี่ยวเหมียวพอได้ฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เดี๋ยวก่อนสิ นายจะแก้แค้นให้ผู้พิทักษ์งั้นเหรอ? เพียงเพราะแค่ว่าเธอเป็นผู้อาวุโสของซูเซี่ยเอ๋อเนี่ยนะ?”
กู่ฉิงซานเงียบลง ก่อนจะกล่าวอย่างอ่อนโยน “ถูกต้อง เพราะเรื่องของซูเซี่ยเอ๋อ ก็คือเรื่องของผม”
………………………………….
เทพธิดากงเจิ้งบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้
แต่เดิม กลับกลายเป็นว่ากลยุทธ์ของกู่ฉิงซานน่ะใช้ได้ผล
เย่เฟย์หยูเข้าใจถึงความหมายที่กู่ฉิงซานสื่อออกไปอย่างชัดเจน
เขาเริ่มทำการข่มขู่ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพและผีร้ายว่าจะทำร้ายล้างโลก บีบบังคับอีกฝ่ายให้เข้าร่วมการประลอง
และเมื่อการประลองเริ่มต้นขึ้น ทางฝั่งจ้าวอสูรและอาชูร่าก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน
ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนต้องการโลกใบนี้
อย่างไรก็ตาม เย่เฟย์หยูได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสดังกล่าว ทำตามกลยุทธ์ที่ถูกจัดวางไว้โดยเทพธิดากงเจิ้ง เขาออกไล่ล่าและสังหารศัตรูไปเป็นจำนวนมากเพื่อให้ตนเองวิวัฒนาการขึ้น
และในที่สุด เมื่อมาถึงรอบชิงชนะเลิศ ความแข็งแกร่งของเย่เฟย์หยูก็เหนือล้ำยิ่งกว่าคู่แข่งของเขาทั้งหมดจนได้
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้สวมบทบาทเพชฌฆาตตัวตลก โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเสียก่อน
มอนสเตอร์เอกภพจู่ๆ ก็เริ่มเบนความสนใจมายังโลกใบนี้
มอนสเตอร์เอกภพเริ่มปรากฏตัวขึ้น และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกมันหมายมั่นที่จะกินทุกสิ่งมีชีวิตบนโลก
มอนสเตอร์บางตัวที่มีขนาดใหญ่และความอยากอาหารมากกว่าปกติ ถึงขั้นอยากจะกลืนกินโลกทั้งใบ
ดังนั้นการประลองจากทั้งหกโลกจึงถูกหยุดลง
ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ ผีร้าย อาชูร่า และจ้าวอสูรได้ตัดสินใจที่จะร่วมมือกันเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์เอกภพ
เนื่องเพราะพวกเขาไม่ยินยอมอนุญาตให้โลกไปตกอยู่ในมือของอีกฝ่าย
“พอแค่นั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อไป ตอนนี้ฉันอยากจะรู้มากกว่าว่าปัญหาที่คุณกังวลมันคือเรื่องอะไร” กู่ฉิงซานถามตรงๆ
เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ใต้เท้า การที่โลกใบนี้สามารถผ่านพ้นวันเดือนปีมาได้เนิ่นนานโดยที่ไม่ได้ถูกค้นพบโดยมอนสเตอร์เอกภพ จริงๆ แล้วมันมีเหตุผลอยู่”
“เหตุผลที่ว่าคืออะไร?”
“เหตุผลก็เนื่องมาจากอำนาจของเก้าตระกูลใหญ่ พวกเขาครอบครองเทคโนโลยีที่เพียงพอที่จะสามารถปกป้องโลกจากจักรวาลนี้ได้”
“และด้วยวิธีนั้นเอง มอนสเตอร์เอกภพจึงไม่อาจตระหนักถึงโลกใบนี้”
“ก็ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นไปด้วยดี แล้วทำไมจู่ๆ มอนสเตอร์เอกภพถึงได้มาปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้?”
“เพราะคนสำคัญของเก้าตระกูลใหญ่ได้ตายลงกันหมดแล้ว”
บนจอม่านแสง ฉายถึงภาพของซูเซี่ยเอ๋อที่บุกเข้าไปในสถานที่ประชุมของเก้าตระกูลใหญ่
ในช่วงเวลาที่เก้าตระกูลใหญ่กำลังจัดตั้งสหพันธ์พันธมิตรที่จะมีอำนาจเหนือล้ำยิ่งกว่าประเทศขึ้น
และซูเซี่ยเอ๋อก็หยุดมัน
พ่อแม่แท้ๆ ของเธอพยายามที่จะยึดอำนาจของเธอ
ในสถานที่เกิดเหตุ ทุกคนรุมทำร้ายเธอ
และในภาพสุดท้าย ก็เป็นซูเซี่ยเอ๋อที่ล้างบางทุกตระกูลในงานจนหมดสิ้น
“นั่นไพ่ทะเลเลือด…เธอคือลูกศิษย์ของทะเลเลือดใช่ไหม? ช่างน่าสงสารจริงๆ” เสี่ยวเหมียวกล่าว
แบรี่พยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร
“เซี่ยเอ๋อนี่เธอ…เทพธิดากงเจิ้ง แล้วตอนนี้เซี่ยเอ๋อกลับมาแล้วรึยัง?” กู่ฉิงซานถาม
“เธอไม่ได้กลับมา ใต้เท้า ตอนนี้ฉันต้องการที่จะบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แก่คุณ” เทพธิดากล่าว
“ว่ามาสิ”
“ฉันได้ลองพยายามส่งหุ่นยนต์ไปยังขั้วโลกเหนือ และเปิดคลื่นความผันผวนที่ใช้ปกป้องโลกอีกครั้ง แต่ความพยายามทั้งหมดของฉันกลับล้มเหลว”
“เพราะอะไร?”
“โปรดดูสิ่งนี้”
บนจอม่านแสง ปรากฏให้เห็นถึงภาพของขั้วโลกเหนืออีกครั้ง
นี่คือฉากที่ถูกถ่ายมาได้โดยกล้องดาวเทียมสอดแนม
ศัตรูลึกลับปรากฏกายขึ้น
และผู้พิทักษ์ของเก้าตระกูลใหญ่ก็ถูกสังหารลงในจุดนั้น โดยไร้ซึ่งพลังอำนาจที่จะใช้โต้กลับ
เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ใต้เท้า นี่แหละคือสิ่งที่ฉันบอกว่าคุณไม่ควรจะกลับมา เพราะคนเหล่านี้ทรงพลังมากเกินไป พวกเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเย่เฟย์หยูในตอนนี้เสียอีก”
“พวกเขากำลังซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิด และเฝ้ารอโอกาสที่จะเคลื่อนไหว”
“ฉันเองก็ยังไม่กล้าที่จะบอกความจริงนี้แก่เย่เฟย์หยูหรือซางหยิงฮ่าว เพราะหากเกิดความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติขึ้น และบังเอิญไปดึงดูดความสนใจของคนลึกลับกลุ่มนี้เข้า สถานการณ์ต่อไปคงมิอาจแก้ไขได้”
กู่ฉิงซานมองไปยังกลุ่มคนที่สังหารผู้พิทักษ์ของเก้าตระกูล และหันไปถามกับแบรี่ “คุณคิดว่าอย่างไร?”
แบรี่เหลือบมองจอม่านและ และกล่าวยกย่อง “อืม…พวกนี้ถูกฝึกมาอย่างดี สามารถฆ่าคนได้อย่างโหดร้าย แต่สำหรับฉัน ขอแค่สองนิ้วก็จัดการพวกมันได้แล้ว”
กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็โล่งใจ… ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เขาพูดต่อ “เทพธิดากงเจิ้ง ทำไมถึงไม่มีเสียงในภาพล่ะ เท่าที่ดูฉันเห็นว่าพวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นะ”
“ใต้เท้า ที่นั่นคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเก้าตระกูลใหญ่ ฉันจะขอบอกคุณตรงๆ ว่าเดิมทีฉันก็เป็นเทคโนโลยีของเก้าตระกูลใหญ่เช่นกัน ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถจัดการเก็บเสียงของที่นั่นได้”
กู่ฉิงซานคิดอยู่พักหนึ่งจึงกล่าว “งั้นคุณช่วยดึงภาพทั้งหมดที่เกิดการสนทนาขึ้นเมื่อกี้ออกมานะ จากนั้นก็จัดการค่อยๆ แยกภาพระหว่างพูดคุยออกมาทีละภาพ”
“ไม่ขัดข้อง ใต้เท้า”
บนจอม่านแสง นำเสนอหลายภาพปรากฏขึ้นทันที
หลายร่างลึกลับทยอยกันปรากฏตัวขึ้น ล้อมรอบตัวของผู้พิทักษ์เก้าตระกูลใหญ่
กู่ฉิงซานกวาดสายตามองรอบๆ และกล่าว “ทำการเรียงลำดับภาพตามที่พวกเขากำลังพูด”
“รับทราบ”
แล้วภาพก็ค่อยๆ เริ่มถูกจัดเรียงทันที
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวเหลือบมองกันและกัน พร้อมกับเผยให้เห็นถึงสีหน้าชื่นชม
ทั้งที่รู้ว่าฝ่ายตนสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชัดเจนอยู่แล้วแท้ แต่เขาก็ยังคงใส่ใจ ไม่ปลดให้ข้อมูลใดๆ หลุดรอดไป ระแวดระวังอยู่เสมอ
นี่แหละ! คือชายที่จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างแท้จริง
กู่ฉิงซานเพ่งมองม่านแสง และเริ่มสื่อสารกับเทพธิดากงเจิ้ง
“ตั้งแต่แรก เหมือนว่าพวกเขาจะพูดคุยกับผู้พิทักษ์เก้าตระกูลใหญ่ด้วยภาษาของมนุษย์ นี่เป็นภาษากลางในโลกของพวกเรา”
“เข้าใจแล้วใต้เท้า”
“แล้วประโยคแรกที่ผู้พิทักษ์เก้าตระกูลพูดมันคืออะไร คุณช่วยลองซูมภาพของเธอ แล้วเริ่มวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของริมฝีปากหน่อยสิ”
“รับทราบ เริ่มการวิเคราะห์ อยู่ในระหว่างกระบวนการ”
หลังจากนั้นไม่นาน
กู่ฉิงซานก็มองไปที่ม่านแสงและเห็นถึงบรรทัดตัวอักษรที่ปรากฏขึ้น
“สถานที่แห่งนี้เป็นโลกกระจัดกระจายชัดๆ มันอยู่ในมุมที่แสนธรรมดา นอกสุดห้วงจักรวาล แล้วทำไมกัน”
นี่คือคำพูดดั้งเดิมของผู้พิทักษ์เก้าตระกูล
กู่ฉิงซานพยักหน้า และกล่าว “ดีมาก จากนั้นลองทำการวิเคราะห์คำพูดของแต่ละคน แล้วจัดเรียงมันตามลำดับ”
เทพธิดากงเจิ้ง “การวิเคราะห์เสร็จสิ้นแล้ว ผลลัพธ์เป็นดังต่อไปนี้”
อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “ก็เพราะว่าที่นี่มันธรรมดาน่ะซี ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่ามันเป็นที่ซ่อนของสุสานแห่งโลก”
“สุสานแห่งโลก…” ผู้พิทักษ์กล่าวด้วยความสับสน
อีกเสียงหนึ่งเอ่ยหยันออกมา “อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเจ้าเจอพวกเรา และได้ยินถึงสิ่งนี้แล้ว ดังนั้นก็ควรตายเสีย”
ผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลรู้ว่าตนจักต้องตกตายเป็นแน่ เธอจึงเร่งตะโกนออกไปในอากาศที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว “ข้าอนุมัติ! ปลดปล่อยพันธนาการทั้งหมดของเจ้า จงดูแลเธอให้ดี!”
“ประโยคสุดท้ายที่มันพูดออกมา หมายความว่าอย่างไร?”
“ไม่รู้สิ ก็แกรีบฆ่ามันเกินไปนี่”
“เหอะ คงไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นแหละ อย่ากังวลไปเลย”
“ตกลงแน่ใจนะว่าเป็นที่นี่?”
“ยังไม่มีวิธีตรวจสอบที่แน่ชัด แต่โลกแห่งนี้เพิ่งเกิดการผสานรวม ดังนั้นเลยอาจจะเกิดความผันผวนขึ้นได้”
“อืม…เราก็มาสำรวจกันอีกครั้งเถอะ ถ้าหากที่นี่เป็นสุสานแห่งโลกจริงๆ แล้วละก็…”
กู่ฉิงซานอ่านบรรทัดสนทนาจนจบ
แบรี่และเสี่ยวเหมียวก็อ่านมันจนจบแล้วเช่นกัน
“เอ๊ะ? สุสานแห่งโลกเช่นนั้นเหรอ?”
เสี่ยวเหมือนอุทาน
“กลับกลายเป็นว่ามันคือสุสานแห่งโลก” แบรี่ก็กล่าวออกมาด้วย
การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาดูมีความสุข แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงเงียบ
สองพี่น้องได้ฟันฝ่าลมฝนมาตั้งไม่รู้มากมายเท่าไหร่ พวกเขาได้ประสบพบเจอกับสถานการณ์อันตรายและได้รับสมบัติมามากมาย ดังนั้นแม้จะถูกดึงดูดด้วยเรื่องดังกล่าว แต่ก็ไม่ผลีผลามหรือแสดงท่าทีตกใจมากจนเกินไป
แบรี่มองไปยังกู่ฉิงซานและเอ่ยถาม “นายรู้ไหมว่าสุสานแห่งโลกคืออะไร?”
“ผมรู้” กู่ฉิงซานตอบ
แบรี่ยิ้มอย่างคาดไม่ถึง ปากเอ่ยงึมงำ “ฉันไม่คาดคิดเลยว่าโลกกระจัดกระจายแบบนี้ จะมีสุสานแห่งโลกอยู่จริงๆ”
“แล้วคุณคิดจะทำอย่างไรต่อไป?” กู่ฉิงซานถามกลับ
ทั้งเขาและแบรี่ต่างมองหน้า สบสายตากันและกัน
สุสานแห่งโลกเป็นสถานที่ที่เหล่าทวยเทพซุกซ่อนบางสิ่งเอาไว้
เมื่อต้องเผชิญต่อสิ่งล่อใจเช่นนี้ เวลาแห่งการทดสอบใจของกันและกันก็ได้มาถึง
เห็นแค่เพียงแบรี่ที่ยิ้มหยันออกมาและกล่าว “เหล่าทวยเทพแล้วอย่างไร? มีสมบัติถูกซุกซ่อนเอาไว้แล้วอย่างไร? ในสายตาของท่านลุงคนนี้ สันติภาพของโลกคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แล้วก็นะ นี่น่ะคือโลกของนาย ที่นายต้องทำก็แค่พูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการออกมา แล้วฉันจะช่วยจัดการที่เหลือให้เอง เพราะไม่ว่าอย่างไรนายก็คือสมาชิกคนหนึ่งของสมาคม!”
เสี่ยวเหมียวยังช่วยพูดอีกว่า “พวกเราได้ทำการสำรวจโลกเก้าร้อยล้านชั้นมามากมายแล้ว แถมยังเคยขุดสุสานแห่งโลกไปตั้งสามครั้ง สองในสามดันซวยไปเจอกับมอนสเตอร์มากมาย พวกเราต้องใช้ความพยายามตั้งนานกว่าจะจัดการพวกมันทั้งหมดลงได้”
“ใช่ บางทีนั่นอาจจะเป็นสายพันธุ์ล้มเหลวที่เหล่าทวยเทพสร้างขึ้นมาก็เป็นได้ พอนึกถึงก็อดกลัวไม่ได้จริงๆ” แบรี่เสริม
“สุสานแห่งโลกไปตั้งสามครั้ง? แล้วอีกหนึ่งล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“อีกหนึ่งคือพิกัดแผนที่ พี่ชายกับฉันไล่ตามแผนที่ไป และก็ค้นพบกับโลกใหม่ในมิติอนันต์ และเมื่อพวกเราแข็งแกร่งมากพอ พวกเราจึงสร้างสมาคมขึ้นบนมัน กลายเป็นสมาคมกำปั้นเหล็กจนถึงทุกวันนี้” เสี่ยวเหมียวกล่าว
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้” กู่ฉิงซานพยักหน้าเข้าใจ
ช่วงเวลานั้นเอง เทพธิดากงเจิ้งก็ประกาศเตือนขึ้น “ใต้เท้า หลายตัวตนลึกลับได้ตระหนักถึงพวกคุณแล้ว และพวกเขากำลังจะมาถึงในเร็วๆ นี้”
“ให้มันมาเถอะ มีหลายอย่างเลยที่ฉันอยากจะถามพวกมันอยู่พอดี” แบรี่ยิ้มและกล่าว
ไม่นาน หลายร่างเงาก็ค่อยๆ ตกลงมาจากฟากฟ้า
ตามด้วยเสียงจากร่างเงาที่ดังขึ้น
“ในเขตบ้านนอกแบบนี้ ยังมีคนที่สามารถจัดการฆ่ามอนสเตอร์เอกภพได้อย่างรวดเร็วอยู่อีกรึ ท่านปู่ผู้นี้ชักจะรู้สึกสนใจขึ้นมาเสียแล้ว”
แต่วินาทีต่อมา เสียงของเขาก็ยกระดับขึ้นแปดหลอด กลายเป็นกรีดร้องขึ้นทันที
“ฉิบหาย! นั่นกำปั้นเหล็กแบรี่! มันเป็นคนของสมาคมกำปั้นเหล็ก!”
หลายร่างเงาพลันทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า หลบหนีไปทันที
“จะหนีงั้นเหรอ?”
เสี่ยวเหมียวหัวเราะเบาๆ และดีดนิ้วของเธอ
โดยที่เจ้าตัวแทบจะไม่ได้ขยับส่วนไหนเลย
กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูผู้คนที่พยายามหนีอย่างเต็มกำลัง ใช้ออกทุกๆ เทคนิคลับ งัดทุกกลยุทธ์ชนิดเลือดตาแทบกระเด็น เพื่อหมายมั่นจะหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามแค่ไหน ทั้งหมดก็ค่อยๆ ถูกบังคับให้ลดระดับลงมาจากท้องฟ้าอยู่ดี จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ต่อหน้าทั้งสาม
กลุ่มคนลึกลับเริ่มหวาดกลัวมากขึ้น บ้างกระโดด บ้างวิ่ง บ้างทะยานตัวขึ้น แต่ทั้งหมดก็ยังถูกบังคับให้หยุดอยู่ในสถานที่เดิม มิอาจปลีกตัวออกไปได้
“หนีเสียเร็วแบบนี้ ดูเหมือนว่าพวกแกจะมีปัญหาอะไรบางอย่างกับสมาคมของเราเช่นนั้นสินะ?”
เสี่ยวเหมียวยกสองแขนขึ้นกอดอก ส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ
………………………………….
ณ โลกเดิม
ภายในจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์
บริเวณเมืองเล็กๆ ในแถบชายแดน
ม่านแสงกะพริบไหว
กู่ฉิงซาน แบรี่ และเสี่ยวเหมียวปรากฏตัวขึ้น
และสายตาของสองผู้มาใหม่ก็ถูกดึงดูดโดยโบสถ์ของคริสตจักรใจกลางเมืองทันที
“หืม? นั่นมันโบสถ์ของเทพแห่งความตายไม่ใช่เหรอ?”
สองหูเล็กๆ ของเสี่ยวเหมียวกระดิกด้วยความสนใจ
แบรี่เพ่งมองรายละเอียดของโบสถ์อย่างรอบคอบ และแสดงความคิดเห็น “ดูจากรูปแบบสถาปัตยกรรม เหมือนจะไม่มีการเบี่ยงเบนไปเลย ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ของปลอมนะ”
ทั้งสองมองหน้ากันและกัน และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ไม่คิดเลยว่าในโลกกระจัดกระจาย จะมีผู้ศรัทธาของเทพแห่งความตายอยู่ด้วย
นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ
อ้างอิงตามสามัญสำนึก โลกกระจัดกระจายน่ะเป็นโลกที่จะพินาศลงเมื่อไหร่ก็ได้ โดยไม่มีใครจะทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ
ทว่า…เทพแห่งความตายกลับให้ความสนใจกับที่นี่!
แต่แล้วในช่วงเวลานั้นเอง ขณะที่ทั้งสองกำลังสังเกตโบสถ์ จู่ๆ สายตาของเขาและเธอก็เบนออกไปอีกทิศทางหนึ่งในเวลาเดียวกัน
ซึ่งเป็นวินาทีเดียวกันกับที่กู่ฉิงซานรู้สึกตัว
ทั้งสามเงยหน้าขึ้น แหงนมองไปยังเบื้องบน
ปรากฏให้เห็นถึงหนวดขนาดใหญ่ที่วิ่งลัดเลาะไปตามผืนฟ้า
ตามติดด้วยเรือประจัญบาน และเกราะรบนับไม่ถ้วนที่กำลังไล่ล่ามัน ระดมยิงการโจมตีอันรุนแรงออกไป
อย่างไรก็ตาม หนวดขนาดใหญ่กลับสั่นไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มันไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย
“ถอยไปเสีย!” เสียงแหลมที่ฟังดูดุร้ายดังขึ้น
เห็นแค่เพียงชายคนหนึ่งทะยานตัวขึ้นไปบนฟากฟ้า แปรสภาพตนเป็นสิงโตยักษ์อย่างกะทันหัน ตะปบออกไปอย่างรุนแรง ทิ้งรอยกรงเล็บเอาไว้กลางอากาศ
รอยประทับกรงเล็บเหล่านั้นกลายเป็นประกายแสงเย็นเยียบ พุ่งเข้าหั่นหนวดใหญ่ด้วยเจตนาร้าย!
เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว
อย่างไรก็ตาม แม้สิงโตจะสามารถตัดเข้าเนื้อของศัตรูได้ แต่แผลมันตื้นเกินไปหากเทียบกับขนาดหนวดทั้งหมด
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าขนาดตัวของเจ้าของหนวดนี้มหึมาเพียงใด
“พวกจ้าวอสูร?” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
เวลานี้เขารู้สึกประหลาดใจอย่างแท้จริง
มันตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พวกจ้าวอสูรเกิดความคิดริเริ่มที่จะก้าวออกมายืนหยัดปกป้องโลกมนุษย์?
ในเวลาเดียวกัน สมองควอนตัมของเขาก็ส่องสว่างขึ้นมา
เสียงของเทพธิดากงเจิ้งที่ไม่ได้ยินมานาน ดังออกจากสมองควอนตัม
“ใต้เท้า ดีใจจริงๆ ที่ได้พบกับคุณอีกครั้ง”
“ฉันเองก็ดีใจมากเหมือนกันที่ได้กลับมา”
“แล้วสองคนนี้คือ?”
“คนฝ่ายเดียวกับพวกเรา”
“เข้าใจแล้ว แต่ว่านะใต้เท้า คุณไม่ควรที่จะกลับมาในเวลานี้เลย”
“ทำไมล่ะ?” “เพราะโลกกำลังตกอยู่ในสภาวะวิกฤติที่ไม่อาจแก้ไขได้ การที่คุณกลับมาในเวลานี้ มันจะเป็นอันตรายต่อชีวิตของคุณเอง”
“เกิดอะไรขึ้น?”
ภาพฉายปรากฏขึ้นบนจอม่านแสง
กู่ฉิงซาน แบรี่ และเสี่ยวเหมียวมองมันด้วยกัน
เห็นแค่เพียงมอนสเตอร์เอกภพนับไม่ถ้วนที่กำลังรายล้อมอยู่ภายนอกโลกใบนี้ และกำลังพยายามที่จะบุกเข้ามาในโลก
แต่มนุษย์ อาชูร่า ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ จ้าวอสูร และผีร้าย ทั้งหมดต่างรวมกำลังกัน เพื่อต้านทานการรุกรานของมอนสเตอร์เอกภพ
“สถานการณ์มันกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?”
กู่ฉิงซานงงกับฉากที่เกิดขึ้นจริงๆ
ก่อนหน้านี้ มอนสเตอร์เอกภพไม่เคยสนใจในโลกมนุษย์มาก่อนเลยนี่นา
แล้วทำไมตอนนี้ โลกของเขาถึงดึงดูดความสนใจจากมอนสเตอร์เอกภพขึ้นมาอย่างกะทันหันกัน?
กู่ฉิงซานขบคิด
แบรี่พยักหน้า “ดูเหมือนว่าโลกกระจัดกระจายใบนี้กำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่อยู่นะ”
เสี่ยวเหมียวยกสองแขนขึ้นกอดอก สายตายังคงมองขึ้นไปบนท้องฟ้า “พี่ชาย เรามาลากพวกมันลงมาสักสองสามตัว แล้วจับทำอาหารกินกันดีไหม”
“ไม่มีปัญหา แต่ก่อนจะกิน คงต้องจัดการให้มันอยู่นิ่งๆ เสียก่อน”
ขณะกล่าว แบรี่ก็จัดท่วงท่าของเขาในจุดเดิม ปากเอ่ยกล่าว “แต่มอนสเตอร์เอกภพมันเยอะเกินไป พี่เลือกไม่ถูกเลยว่าจะเอาตัวไหนดี”
“มีวัตถุดิบเท่าไหร่ พี่ก็เตรียมให้น้องเลือกเท่านั้นสิ เพราะอย่างไรหญิงสาวน่ะก็จะต้องรับประทานเนื้อที่หลากหลาย เพื่อจะได้รับสารอาหารไปบำรุงผิวพรรณให้เพียงพออยู่แล้ว” เสี่ยวเหมียวหัวเราะคิกคัก
“พี่เข้าใจแล้ว”
แบรี่รับคำ ขณะเดียวกัน แรงกดดันก็ผุดออกมาจากทั้งคนทั้งร่างของเขา ก่อนที่กำปั้นจะถูกเหวี่ยงขึ้นไปบนท้องฟ้า
ได้ยินแค่เพียงเสียงตะโกนยาวเหยียดประโยคหนึ่ง “จักรพรรดิกำปั้นหยกแห่งการทำลาย ล้างบางสามพันโลกาในคราเดียว!”
เสี่ยวเหมียว “…”
กู่ฉิงซาน “…”
เสี่ยวเหมียวอดไม่ได้ที่จะมองกู่ฉิงซาน แต่เมื่อเห็นถึงการแสดงออกที่ดูจริงจังของอีกฝ่าย เธอก็กลายเป็นละเหี่ยใจ
“นายกำลังคิดว่านั่นเป็นหมัดที่สามารถทำลายทั้งสามพันโลกได้จริงๆ ใช่ไหม?” เสี่ยวเหมียวเอ่ยถามอย่างเงียบๆ
“ใช่” กู่ฉิงซานยอมรับ
เสี่ยวเหมียวเร่งส่ายหัว “ฟังฉันนะ ไม่ต้องไปสนใจเขา เขาก็แค่พูดตะโกนชื่อท่าไปแบบส่งๆ เพราะคิดว่ามันน่าประทับใจกว่าการชกออกไปแบบเงียบๆ ก็เท่านั้น”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”
“ใช่ และชื่อท่าของเขามันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชกของเขาเลย มันมีประโยชน์ก็แค่ช่วยให้ฟังดูดีขึ้นแค่นั้น นอกจากนี้”
“…นอกจากนี้ยังเป็นวิธีที่ทำให้ศัตรูเกิดความสับสนขึ้นอีกด้วย”
ตึง!
การชกอันแผ่วเบาของแบรี่กระแทกเข้ากับอากาศที่ว่างเปล่า จนเกิดเสียงหนักทึบ
ทันใดนั้นเอง เสียงคร่ำครวญที่บาดลึกก็ดังไกลมาจากฟากฟ้า
หนวดที่แต่เดิมลัดเลาะไปตามผืนฟ้า พร้อมกันกับร่างกายที่มิอาจมองเห็นได้ของมัน จู่ๆ ก็ชักกระตุก ดิ้นพล่านอย่างบ้าคลั่ง
ช่วงวินาทีต่อมา มอนสเตอร์เอกภพขนาดใหญ่ก็ร่วงตกลงใส่ตำแหน่งที่ห่างไกลออกไปบริเวณแถบเมืองชายแดน
โครม!
ร่างใหญ่ของมอนสเตอร์เอกภพกระแทกเข้ากับพื้นดินอย่างรุนแรง
“เรียบร้อย” แบรี่สะบัดมือของเขาและกล่าว
เสี่ยวเหมียวจ้องมองมอนสเตอร์เอกภพที่ตกลงมา
“ฉันเคยกินเจ้าตัวแบบนี้แล้วครั้งหนึ่ง รสชาติมันไม่ดีเลย แถมยังทำให้ปวดท้องอีก เพราะงั้นรีบจัดการมันไปให้พ้นๆ ตาคงดีกว่า”
ว่าจบ เธอก็ยื่นมือไปยังทิศทางที่มอนสเตอร์เอกภพร่วงตกลงมา และกำมือท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่า
มิติในอากาศเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
พริบตานั้นเอง
ร่างของมอนสเตอร์เอกภพ ที่บดบังไปตลอดทั้งวิสัยทัศน์ของพวกเขา ทั้งตัวของมันก็พลันหายวับไป
เสี่ยวเหมียวเงยหน้าเล็กน้อย ดวงตาของเธอราวกับว่าได้มองทะลุผ่านชั้นบรรยากาศขึ้นไป จ้องมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวอันไร้ขอบเขต
เธอพูดกับตัวเอง “ไหนขอฉันดูหน่อยซิ ว่ามีมอนสเตอร์ตัวไหนน่าจับมากินบ้าง…”
แบรี่แสดงความกังวลออกมา “น้องช่วยเลือกดีๆ ด้วยนะ พี่ไม่อยากกินแล้วท้องเสียอีก”
“พี่ชาย คิดว่าเจ้าตัวนั้นเป็นไง?”
“ไม่เอา มันไม่อร่อยเลย พวกเราเคยกินมันไปตั้งหลายครั้งแล้ว น้องจำไม่ได้เหรอ”
“อืม พอพี่พูดก็เหมือนว่าจะนึกขึ้นได้แล้วเหมือนกัน”
“หยุดคิดเกี่ยวกับเจ้าตัวนั้นเถอะ ทำไมไม่เลือกเป็นตัวที่อยู่ท้ายสุดนั่นล่ะ พี่จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยจับมันมากินอยู่นะ รสชาติก็ไม่เลวเลย”
“ตัวเจ้าแดงๆ นั่นน่ะเหรอ? ไม่นะ ทั้งตัวมันเต็มไปด้วยลูกตา น่าขยะแขยงเกินไป”
“โอเค งั้นเอาเป็นอีกตัวหนึ่ง”
…
กลับมายังกู่ฉิงซานที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งสอง
ในสมองควอนตัมของเขา บัดนี้ปรากฏให้เห็นฉากการระเบิดของรังสีแสงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น
“ใต้เท้า มอนสเตอร์เอกภพที่ล้อมอยู่นอกโลก ทั้งหมดได้ตายลงแล้ว ปัจจุบันร่างของมันลอยกระจายอยู่เต็มอวกาศไปหมดเลย”
มุมปากของกู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะกระตุก
มองไปยังแบรี่ที่ยืนอยู่ในจุดเดิมตั้งแต่แรกเริ่ม และทำแค่เพียงเหวี่ยงหมัดออกไปอย่างสบายๆ
ความแข็งแกร่งอะไรกันนี่!
เพียงนำสองตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการมา ทุกปัญหาก็สามารถแก้ลงได้อย่างง่ายดาย
นี่นับว่าเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง!
กู่ฉิงซานคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “เอ่อ…ขอโทษที่ขัดจังหวะ”
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวหันมามองเขา
กู่ฉิงซานอธิบาย “คือว่านะ ตั้งแต่ที่พวกคุณมายังโลกของผม พวกคุณก็ไม่จำเป็นต้องทนกินมอนสเตอร์เอกภพอีกต่อไปแล้ว เพราะเดี๋ยวผมจะพาพวกคุณไปกินอาหารขึ้นชื่อมากมายของที่นี่เอง”
แบรี่นิ่งค้างไป
เสี่ยวเหมียวก็เช่นกัน แต่สักพักเธอก็ค่อยๆ ได้สติกลับคืน
แบรี่ถอนหายใจ “จริงสิ ขอโทษที ลืมไปเลยว่าพวกเราหมดหนี้แล้ว ให้ตายเถอะ เห็นมอนสเตอร์เอกภพทีไร ก็มักจะเผลอลืมไปว่ายังเป็นหนี้อยู่ทุกที”
กู่ฉิงซานมองดูทั้งสอง และเกิดความรู้สึกว่า สองพี่น้องตรงหน้า ช่างเป็นตัวตนทรงอำนาจที่น่าสงสารที่สุดที่เขาเคยเห็นมา
สมองควอนตัมในอ้อมแขนเขาส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง
เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ภายนอกจักรวาล จู่ๆ ก็มีมอนสเตอร์ยักษ์อีกมากมายกำลังมุ่งตรงมายังที่นี่”
ม่านแสงฉายภาพออกมา
เห็นแค่เพียงร่างของมอนสเตอร์ยักษ์มากมาย กระจายตัวอยู่ทั่วอวกาศ
แบรี่จึงเหวี่ยงหมัดออกไป
และมอนสเตอร์ทั้งหมดนั้นก็ถูกฆ่าตายลงในวินาทีเดียว
แต่ก็ปรากฏถึงมอนสเตอร์ตัวใหม่ตรงเข้ามา และเริ่มคว้าจับซากมอนสเตอร์ที่เพิ่งถูกฆ่าตายไป และกัดกินมัน
และฉากที่ปรากฏขึ้นนี้ไม่ใช่แค่ตัวเดียว แต่มีมอนสเตอร์อีกมากมายตรงเข้ามายังดาวโลก
แบรี่ขมวดคิ้ว “น้องพี่ ในเมื่อพวกเราไม่ต้องกินเนื้อมอนสเตอร์อีกต่อไปแล้ว น้องช่วยกำจัดซากพวกมันทั้งหมดให้หน่อยจะได้ไหม”
“ไม่มีปัญหา”
เสี่ยวเหมียวดีดนิ้วของเธอดังเป๊าะ
ในเสี้ยววินาที บนจอม่านแสง ศพมอนสเตอร์ทั้งหมดก็หายวับไป มิอาจเห็นถึงร่องรอยของพวกมันได้อีกเลย
“ต่อไปก็ตาพี่ รับหน้าที่ไล่เจ้าขยะพวกนั้นออกไป” แบรี่กล่าว
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า
พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ปะทุขึ้นบนตัวเขา
“จง…ออกไป…ให้พ้นหน้าฉัน!”
แบรี่ร้องคำราม
คำว่า ‘ออกไป’ แทรกซึมขึ้นไปในอากาศที่ว่างเปล่า ตรงขึ้นไปยังนอกชั้นบรรยากาศโลก แพร่กระจายไปทั่วจักรวาล
มอนสเตอร์ทั้งหมดแข็งค้างไปพร้อมกัน
ด้วยสัญชาตญาณ แม้จะคนละภาษา แต่พวกมันก็สามารถเข้าใจถึงความหมายที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนี้ได้อย่างชัดเจน
มันทรงพลัง โหดเหี้ยม น่าสยองเกล้า ไร้ซึ่งความเมตตา เป็นเสียงของสิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
และสิ่งมีชีวิตสูงสุดบนห่วงโซ่อาหาร ก็กำลังบอกว่าไม่อนุญาตให้พวกมันเข้ามาที่นี่!
มอนสเตอร์เอกภพสั่นสะท้านไปทั้งตัว พวกมันหันหัวกลับ และหลบหนีไปด้วยความหวาดกลัว
หลังจากนั้นเพียงลมหายใจเดียว
เสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ใต้เท้า ในอวกาศนอกโลกไม่ปรากฏถึงการดำรงอยู่ใดๆ ของมอนสเตอร์เอกภพอีกแล้ว”
ในน้ำเสียงของเทพธิดากงเจิ้ง ปรากฏถึงร่องรอยของความสุขเล็กน้อย “เพื่อนทั้งสองคนที่คุณพากลับมา ช่างทรงพลังจริงๆ ความแข็งแกร่งของพวกเขาเหนือล้ำเกินกว่าที่ฉันจะทำการคำนวณได้”
“ใช่แล้วล่ะ พวกเขาน่ะโคตรจะแข็งแกร่งเลย” กู่ฉิงซานหัวเราะ
เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ โชคดีจริงๆ ที่คุณกลับมาพร้อมกับเพื่อนใหม่ มันช่วยคลายความกังวลของฉันเกี่ยวกับปัญหาสุดท้ายของโลกใบนี้ไปได้อย่างสิ้นเชิง”
“กังวลงั้นเหรอ? ช่วยบอกฉันเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันให้ฟังหน่อยสิ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างรวดเร็ว
“ไม่ขัดข้อง ใต้เท้า”
………………………………….
กู่ฉิงซานกล่าวในทันที “แน่นอนว่าผมไม่คัดค้านอะไร ถ้าพวกคุณยินดีกลับไปกับผม ผมก็จะต้อนรับและให้ความบันเทิงแก่พวกคุณอย่างเต็มที่”
แบรี่ยิ้มและกล่าว “นายน่ะเก่งในการทำอาหาร เหล้าหรือไวน์ที่ทำออกมาก็รสชาติดีเยี่ยม และฉันเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าโลกแบบไหนกันนะ ที่ได้ถือกำเนิดสุดยอดผู้เชี่ยวชาญในสายอาหารแบบนี้ขึ้น”
“น่าตื่นเต้นจัง ฉันเองก็ไม่เคยไปยังโลกกระจัดกระจายมาก่อนเลย ในที่สุดคราวนี้ก็จะได้ไปเสียที ส่วนตัวฉันเองก็อยากจะไปเห็นที่ที่นายเรียกว่าโลกหกวิถีอยู่เหมือนกัน ว่ามันจะเป็นอย่างไร” เสี่ยวเหมียวหัวเราะ
ดูเหมือนเธอจะยังไม่เชื่อว่ามันเป็นโลกหกวิถีจริงๆ
“แต่เดี๋ยวก่อนนะ” เสี่ยวเหมียวอุทานขึ้นอย่างกะทันหัน
เธอผายสองมือออกแล้วอธิบาย “หลังจากผ่านการต่อสู้ในสงครามครั้งใหญ่มา เสื้อผ้าของฉันก็สกปรกไปหมดเลย ฉะนั้นฉันคงต้องขอตัวไปเปลี่ยนมันก่อน”
กู่ฉิงซานกับแบรี่กวาดสายตามองเธอขึ้นลงพร้อมกัน
เห็นแค่เพียงเสี่ยวเหมียวในชุดหนังสือดำ กางเกงรัดรูปยังคงเงางาม ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยของฝุ่นผงให้ได้เห็น
เอ่อ…นี่มันสกปรกตรงไหน?
ทั้งสองผุดความคิดนี้ขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ไม่ไยดีใดๆ ต่อสายตาคนอื่น เสี่ยวเหมียวหันเดินกลับเข้าไปในสมาคม ปากเอ่ยกล่าว “ถ้าใจเรารู้สึกว่าสกปรก มันก็คือสกปรก! ฉันขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน…”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องสกปรก กู่ฉิงซานก็หันไปมองแบรี่อีกครั้ง
ในฐานะกำลังรบที่อยู่แนวหน้าสุดของสงคราม เสื้อโค้ตของแบรี่ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เวลานี้ดูไม่ต่างอะไรกับเศษผ้าที่ห้อยอยู่บนร่างกาย
คู่ถุงมือเหล็กเต็มไปด้วยรอยแตกร้าวและคราบเลือด
กางเกงก็ขาดวิ่น แทบจะสวมใส่ไม่ได้อยู่แล้ว
“ถ้าเทียบกับเสี่ยวเหมียว ผมว่าน่าจะเป็นคุณมากกว่านะที่ควรจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า” กู่ฉิงซานกล่าว
“มันยังใส่ได้อยู่เลย ฉันไม่เปลี่ยนมันหรอก” แบรี่ก้มมองเสื้อผ้าของตัวเอง และกล่าวในสิ่งที่ใจคิดออกมา
กู่ฉิงซานยังไม่ยินยอม “ผมว่าคุณควรจะเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่านะ อย่างน้อยมันก็น่าจะช่วยให้คุณรู้สึกสะดวกสบายมากขึ้น”
“แหะๆ อันที่จริงแล้วฉันมักจะต่อสู้อยู่บ่อยครั้ง เลยไม่มีเวลาได้ออกไปซื้อชุดใหม่เลย อีกอย่างเสื้อนี่ก็พึ่งจะใส่ได้ไม่นานเองนะ” แบรี่สารภาพ
กู่ฉิงซานชะงักไปทันที
‘จริงสิ สมาคมเป็นหนี้อยู่นี่นา แถมก่อนหน้านี้อาการบาดเจ็บของแบรี่ก็ยังไม่หายดี เพราะแบบนี้เขาเลยไม่มีโอกาสได้ออกจากสมาคมไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ใช่รึเปล่า?’
ใครจะไปคิดว่าตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการที่มีชื่อเสียงไปตลอดโลกเก้าร้อยล้านชั้น จะตกอยู่ในสภาพแบบนี้
ดูเหมือนว่ารูปปั้นทองคำที่สวมเพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียวของแบรี่ที่ถูกตั้งไว้ตามโลกต่างๆ ใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว ต้นตอของมันอาจจะมาจากการกระทำและความคิดแบบนี้ของแบรี่ก็ได้
กู่ฉิงซานถอนหายใจและหยิบชุดสำรองของเขาออกมา
“ขนาดตัวของผมน่าจะใกล้เคียงกันกับคุณ ถ้าไม่รังเกียจละก็”
“ไม่แน่นอน ฮ่าๆ!”
แบรี่รับเอาเสื้อผ้ามาอย่างมีความสุข และเดินหายเข้าไปในสมาคม
นอกสมาคม เหลือแค่เพียงกู่ฉิงซานถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง
ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาดังกล่าว กู่ฉิงซานเบนสายตาของเขาไปมองหน้าต่างเทพสงคราม
ฟังก์ชัน ‘ภารกิจเทพสงคราม’ กะพริบไหวอยู่ตลอดเวลา มันกำลังแจ้งเตือนข้อความบางอย่าง
กู่ฉิงซานสั่งการนึกคิดเข้าไปใน ‘ระบบเทพสงคราม’
ทันใดนั้นเอง หลากเส้นแสงหิ่งห้อยก็ผุดออกมาจากภารกิจเทพสงคราม
“คุณได้กำจัดหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ ปฏิวัติ”
“คุณได้หยุดการแพร่กระจายระบบของราชามาร และบรรลุชุดภารกิจเทพสงครามจนสมบูรณ์”
“สถานะแต้มพลังวิญญาณที่ได้รับจากภารกิจเทพสงคราม สั่งสมแต้มพลัง ได้หายไปแล้ว”
“คุณได้รับรางวัลจากภารกิจเทพสงคราม”
“รางวัล ความลับ”
“คุณต้องการที่จะตรวจสอบ ‘ความลับ’ ตอนนี้เลยหรือไม่?”
กู่ฉิงซาน “ตรวจสอบเลย”
บนหน้าต่างเทพสงคราม ไม่กี่บรรทัดตัวอักษรปรากฏขึ้นมา
“เนื่องจากคุณเป็นเจ้าของอำนาจแห่งเทพสงคราม”
“เนื่องจากคุณได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับสุสานแห่งโลกอยู่ก่อนแล้ว”
“เนื่องจากคุณได้ทำการผสานรวมสอง ‘เศษเสี้ยว’ ของโลกหกวิถีเข้าด้วยกัน”
“ความลับที่คุณจะได้ล่วงรู้ได้รับการตัดสินแล้ว”
“โปรดรับฟังมันอย่างสงบ”
“กรุณาทำตามคำแนะนำของระบบ อย่าได้อ่านออกเสียงมันเด็ดอันขาด”
“ห้ามเปิดเผยสิ่งที่กำลังรับรู้ออกไปทั้งสิ้น”
“เมื่อคุณรู้สึกว่าคุณสามารถทำตามเงื่อนไขข้างต้นได้ ระบบก็พร้อมจะนำเสนอ ‘ความลับ’ ที่ว่าออกไป”
ระบบเทพสงครามไม่เคยหวาดระแวงอะไรขนาดนี้มาก่อน พอถูกย้ำหลายๆ รอบแบบนี้ กู่ฉิงซานก็ยิ่งอยากรู้มากขึ้น
“ฉันเข้าใจแล้ว วางใจเถอะ ฉันสามารถเก็บความลับที่ว่านั่นได้ ไม่แพร่งพรายมันออกไปแน่นอน” กู่ฉิงซานตอบ
ด้วยคำสัญญาของเขา เส้นแสงหิ่งห้อยบรรทัดใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม
“ความลับมีดังต่อไปนี้”
“ข้อแรก ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นมีโลกหกวิถีอยู่เพียง ‘โลกเดียว’ เท่านั้น ซึ่งมันได้ซุกซ่อนสุสานแห่งโลกส่วนใหญ่เอาไว้ เป็นสิ่งที่เหล่าทวยเทพเหลือทิ้งเอาไว้ให้ทุกสิ่งมีชีวิตใช้มันในการช่วยเหลือตนเอง”
“ข้อสอง เหล่าทวยเทพไม่คาดคิดเลยว่าโลกหกวิถีจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ”
“โปรดทราบด้วยว่า นี่คือความลับในบรรดาความลับทั้งปวง ที่จะรู้กันเฉพาะเหล่าทวยเทพและศัตรูของพวกเขาเท่านั้น คุณไม่สามารถพูดมันออกไปได้ เพราะมันจะนำพาหายนะครั้งใหญ่มาสู่คุณ”
“ฉันหวังว่าคุณจะหวงแหนความลับนี้ดั่งชีวิตของตัวเอง จงเก็บมันเอาไว้ให้มิด และระมัดระวังตัวให้ดี”
บรรทัดแสงหิ่งห้อยทั้งหมดปรากฏขึ้น และหายไปทันที
กู่ฉิงซานแข็งค้างอยู่ในสถานที่เดิม
ตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น แท้จริงแล้วมีโลกหกวิถีอยู่เพียงหนึ่งเช่นนั้นเหรอ?
นั่นมันจะเป็นไปได้อย่างไร!
เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าจำไม่ผิดในโลกล่องเวหา…
ผู้ฝึกยุทธ์ที่นั่นไม่เคยพบแม้กระทั่งมารสวรรค์ หมายความว่าโลกล่องเวหาไม่ใช่โลกหกวิถี
แถมแบรี่กับเสี่ยวเหมียวเองก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าโลกหกวิถีน่ะอยู่ในดินแดนอัศจรรย์
และตลอดทั้งดินแดนอัศจรรย์ มีเพียงเผ่าพันธุ์หนามเท่านั้นที่ยินดีสื่อสารกับภายนอก
หลังจากที่ตัวกู่ฉิงซานเองได้ก้าวเข้าสู่โลกเก้าร้อยล้านชั้น แท้จริงแล้วหลังจากนั้นมา เขาก็ไม่เคยได้รับข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับโลกหกวิถีอีกเลย
แต่!
แต่ว่านะ!
ทำไมกัน? ทำไมโลกในโลกกระจัดกระจายที่แยกตัวออกไปอยู่นอกสุดของชั้นโลก ที่อาจพินาศลงเมื่อไหร่ก็ได้ ถึงมีโลกหกวิถีอยู่?
โลกเดิมของเขา โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ และโลกเทวะ โลกที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นโลกหกวิถีทั้งสิ้น
หรือว่าบางทีอาจเป็นเพราะมันต้องการซ่อนตัวจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น และโลกกระจัดกระจายก็แทบจะไม่เป็นที่ล่วงรู้พิกัดของพวกตัวตนทรงอำนาจพอดี จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมใช่หรือไม่?
ดังนั้น นี่สินะคือเหตุผลที่ทำให้กระทั่งตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการอย่างแบรี่กับเสี่ยวเหมียว ยังเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา
“แท้จริงแล้วโลกหกวิถีมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”
“โลกหกวิถีแตกออกเป็นเสี่ยงๆ…”
“ฉันได้ผสานรวมสองเศษเสี้ยวของโลกหกวิถี…”
กู่ฉิงซานย้อนทวนในสิ่งที่ได้รับรู้มา และเริ่มเค้นสมองของเขา
ตามที่ระบบเทพสงครามบอก ดูเหมือนว่าในสมัยโบราณ เหล่าทวยเทพจะทิ้งวิธีการช่วยเหลือตนเองไว้ให้แก่เหล่าสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรทั้งมวลและสิ่งที่ว่ามานี้ก็ถูกซุกซ่อนไว้ในสุสานแห่งโลก
ขณะที่สุสานแห่งโลกส่วนใหญ่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ในโลกหกวิถีหรือว่าบางที…
ทันใดนั้นเอง ประกายบางอย่างก็วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของกู่ฉิงซาน
เขาฉุกคิดถึงความคิดหนึ่งขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน
ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน
หรือว่าความจริงก็คือ…
โลกใบเดิมของเขา โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ และโลกเทวะ แท้จริงแล้วล้วนเป็น ‘เศษเสี้ยว’ของโลกหกวิถี!
ทั้งหมดเป็นเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น!
มันคือเศษเสี้ยวของโลกหกวิถี ที่หนีออกมาจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น หลังจากที่โลกหกวิถีเพียงหนึ่งเดียวเกิดการแตกเป็นเสี่ยงๆ ขึ้น!! กู่ฉิงซานแทบลืมหายใจ ทั้งคนทั้งร่างจมอยู่ในอาการตกตะลึง
การดำรงอยู่แบบใดกันที่สามารถทำลายโลกหกวิถีให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้?
ระบบเทพสงครามบอกว่า ตัวเขาเองได้ทำการผสานสองเศษเสี้ยวเข้าด้วยกัน ที่ว่ามานี้ย่อมหมายถึงโลกเดิมของเขากับโลกปรภพอย่างแน่นอน
หากสุสานแห่งโลกจำนวนมากซุกซ่อนอยู่ในโลกหกวิถีแล้วละก็
เช่นนั้นบางที โลกเดิมของเขา โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ และโลกเทวะ ก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่จะเป็นที่ซุกซ่อนสุสานแห่งโลก!
ก่อนที่เขาจะแยกตัวออกมา นางเซียนไป่ฮั่วเองก็เหมือนว่าจะได้ล่วงรู้ความลับที่จะทำให้ตนเองสามารถแข็งแกร่งขึ้นแล้วเช่นกัน นั่นก็คือการผสานรวมโลกเข้าด้วยกัน
ดังนั้น ท่านอาจารย์จะต้องทำการผสานรวมโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์กับโลกเทวะเข้าด้วยกันแล้วอย่างแน่นอน
เช่นนั้นแล้วอีกห้าโลกที่เชื่อมต่อกันอย่างโลกปรภพ โลกสวรรค์ โลกอาชูร่า โลกจ้าวอสูร และโลกผีร้ายเล่า? จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกับโลกเหล่านั้น?
มันจะเป็นเหมือนกับโลกเดิมของเขา ที่จะต้องตกลงสู่ห้วงสงครามใช่หรือไม่?
ความคิดนับไม่ถ้วนไหลผ่านเข้ามาในจิตใจ กู่ฉิงซานรู้สึกว่าหัวของเขากำลังจะระเบิด
แต่ในตอนนั้นเอง อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นกับนายงั้นเหรอ? ทำไมถึงดูเครียดๆ”
แบรี่กลับมาในชุดใหม่เอี่ยม
เมื่อเขาเห็นว่ากู่ฉิงซานผิดปกติไป จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่กังวลเกี่ยวกับโลกของผมก็เท่านั้นเอง” กู่ฉิงซานยิ้ม และไม่ยินดีที่จะกล่าวอธิบายออกไป
เขาถอนหายใจ และหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ โยนมันทิ้งไปก่อน
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า ฉันกับเสี่ยวเหมี่ยวจะไปด้วยกันกับนาย พวกเราจะช่วยนายอย่างแน่นอน” แบรี่กล่าวปลอบ
ไม่กี่นาทีต่อมา เสี่ยวเหมียวก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทั้งสอง
เธอสวมใส่ชุดกระโปรงสั้นที่ดูน่ารัก ขาเรียวยาวสวมทับด้วยถุงน่อง รองเท้าที่ใส่เป็นส้นสูง ขณะที่ผมของเธอถูกรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย
“กู่ฉิงซาน นายมีพิกัดโลกของตัวเองรึเปล่า?” เสี่ยวเหมียวเอ่ยถาม
“ซวยแล้ว! ดูเหมือนว่าผมจะไม่ได้บันทึกมันเอาไว้”
เสี่ยวเหมียวถามอีกครั้ง “แต่ฉันจำได้ว่าได้ให้เข็มทิศกับนายไปนี่นา ถึงภายหลังจะสูญเสียพิกัดของมันไปเพราะนายเข้าไปยังโลกที่ถูกผนึกอยู่ก็เถอะ แต่ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่านายได้กลับไปที่โลกของตัวเองก่อนแล้วหรอกเหรอ?”
กู่ฉิงซานนิ่งคิดไปพักหนึ่ง และตอบ “จริงด้วย ผมกลับไปที่โลกเดิมครั้งหนึ่งจริงๆ”
ใช่แล้วล่ะ เพื่อที่จะหลุดพ้นจากกับดักสามชั้นซ้อนของซูเซี่ยเอ๋อ เขาเลยจำต้องกลับไปยังโลกเดิมของตัวเอง
เขาหยิบเอาเข็มทิศออกมา และยื่นมันให้แก่เสี่ยวเหมียว
เสี่ยวเหมียวรับเข็มทิศมา สองตาก้มลงมอง ปากเอ่ยพึมพำ “ดีล่ะ ดูเหมือนว่าเข็มทิศของฉันจะบันทึกพิกัดเอาไว้ได้นะ แต่มันอยู่ไกลมากจริงๆ”
ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความตื่นเต้น
จากนี้ไป เธอไม่จำเป็นต้องปั่นนิยายทุกวันอีกแล้ว ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความหิวโหย สามารถโยนเรื่องนี้ทิ้งไว้เบื้องหลัง และออกไปเล่นภายนอกสมาคมได้อย่างอิสรเสรี
…ชีวิตที่เป็นแบบนี้ช่างมีความสุขเสียจริงๆ
“มาเถอะสุภาพบุรุษทั้งสอง ช่วยมายืนข้างๆ กับฉันด้วย” เสี่ยวเหมียวกล่าว
แบรี่กับกู่ฉิงซานเดินไปยืนประกบซ้ายขวาเธอ
เสี่ยวเหมียวร่ายคาถางึมงำ
ในพริบตา ทั้งสามก็หายวับไปจากสมาคมกำปั้นเหล็ก
มุ่งหน้าสู่บ้านเกิดของกู่ฉิงซาน
สถานที่ซึ่งกู่ฉิงซานได้ทำการผสานเศษเสี้ยวของโลกหกวิถีเข้าด้วยกัน
สถานที่ที่เรื่องราวทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น
…………………………………..
ลอร่าจากไปด้วยความพึงพอใจ
ในเมื่อรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์มาเป็นพยานด้วยตัวมันเองแล้ว นั่นย่อมหมายความว่าไม่ช้าก็เร็ว กู่ฉิงซานจะกลายเป็นคนของอาณาจักรหนาม ทุกเรื่องเป็นไปตามที่เธอต้องการโดยสมบูรณ์
ส่วนเวลานี้ เธอก็จะปล่อยให้เขาทำภารกิจของตัวเองไปก่อน
เรือเหาะลำใหญ่ของอาณาจักรหนามถอนสมอจากสมาคมกำปั้นเหล็ก เบนหัวเรือออกไป และบินหายเข้าสู่โลกอันกว้างใหญ่หลายร้อยล้านชั้น
กู่ฉิงซานยกมือขึ้นลูบไล้ตำแหน่งใต้หน้าอกของเขาเบาๆ
ตรงจุดที่สัญลักษณ์สีมรกตที่มองไม่เห็นกำลังซ่อนตัวอยู่เบื้องล่างนั้นอย่างเงียบๆ
เมื่อกู่ฉิงซานนึกคิดถึงมัน ตัวสัญลักษณ์ก็จะปรากฏขึ้น และพร้อมที่จะรับฟังเขาตลอดเวลา
เมื่อเขาเรียกใช้ตราสัญลักษณ์นี้ เขาก็จะกลายเป็นเอิร์ลแห่งอาณาจักรหนามโดยอัตโนมัติ
สำหรับสิ่งที่เอิร์ลสามารถทำได้ มีอำนาจหรือข้อจำกัดใดๆบ้างนั้น กู่ฉิงซานไม่ได้ถามออกไป และลอร่าเองก็มีเวลาไม่มากนักที่จะพูดคุยกับเขา ดังนั้นเรื่องเล็กน้อย แบบนี้เจ้าตัวจึงเลือกที่จะไม่ถามใดๆ และโยนมันไว้เบื้องหลัง
แบรี่เดินเข้ามา และตบลงบนไหล่ของกู่ฉิงซาน “ฉันล่ะจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่านายจะยืนหยัด เผชิญหน้ากับระบบของราชามาร แถมยังพบหนทางที่กำจัดมันลงได้อีกด้วย ”
“พอดีว่าผมไม่ค่อยจะชอบเจ้าระบบนั่นสักเท่าไหร่น่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว
แบรี่ผงกหัวว่าเข้าใจ บนใบหน้าของเขาเผยถึงความตระหนักรู้บางอย่าง
เขากล่าว “นั่นสินะ ระบบนั่นก็เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดสำหรับฉันเหมือนกัน มันพยายามขยายอำนาจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สังหารทุกสิ่งมีชีวิตเพียงเพราะความปรารถนาส่วนตน…”
แม้จะพึงพอใจในตัวของกู่ฉิงซานอยู่ก่อนแล้ว แต่ตอนนี้บอกตรงๆ ว่ามันเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเยอะทีเดียว
แม้ความแข็งแกร่งจะต่ำต้อย แต่กลับกล้าที่จะเผชิญหน้ากับระบบของราชามาร แถมยังคว้าชัยชนะจากมันมาได้อีก บุคคลเช่นนี้เหมาะสมแล้วจริงๆ ที่จะเป็นสมาชิกใหม่ของสมาคม
เมื่อคิดถึงจุดนี้ แบรี่ก็อ้าปากและกล่าว “คือว่านะ ถ้าพูดแบบทั่วๆ ไปแล้ว…”
เสี่ยวเหมียวกล่าวแทรกทันที “ถ้าพูดกันแบบทั่วๆ ไปแล้วล่ะก็ ในสายตาของฉันนายมันวีรบุรุษชัดๆ!”
แบรี่ยื่นคอ จ้องมองเสี่ยวเหมียวที่กล่าวต่อ “ฉันคิดว่า ไอ้คำพูดที่ฉันเคยเตือนพี่ชายไปก่อนหน้านี้ ดูเหมือนเขาจะลืมเกี่ยวกับมันไปจนหมดสิ้นแล้ว”
“ดังนั้นฉันขอแนะนำด้วยความหวังดีเลยนะ นายทิ้งเขาไว้แล้วไปจากที่นี่เถอะ!” “ฉันเองก็ไม่อยากจะพูดแบบนี้หรอกนะ แต่ฉันอยากให้นายจากไปในสภาพครบสามสิบสอง รีบหนีไปก่อนที่พี่ชายของฉันจะ…”
“ผายลมเถอะน้องพี่ แค่บอกดีๆ ว่าไม่ต้องทำพิธีรับน้องใหม่ของสมาคมก็พอแล้ว อีกอย่างจะให้เขาไปได้อย่างไร ในเมื่ออาหารเย็นยังไม่ได้กินกันเลย…”
แม้ว่าพี่ชายน้องสาวจะปะทะฝีปากกัน แต่ทั้งสองก็ยังอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ดีมากๆ
ความสามารถของกู่ฉิงซานที่เข้าร่วมกับสมาคม ได้รับการยอมรับจากทั้งสองคนแล้ว
ตอนนี้สิ่งที่กู่ฉิงซานได้ทำลงไปทั้งหมด ได้ช่วยยืนยันความสามารถของเขายิ่งกว่าเดิม“เฮ้กู่ฉิงซาน เรื่องของนายเมื่อครู่ฉันได้ฟังแค่คร่าวๆ เท่านั้นเอง ตอนนี้นายพอจะบอกรายละเอียดยิบย่อยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฉันหน่อยจะได้ไหม นั่นมันวัตถุดิบชั้นยอดในการเขียนนิยายชัดๆ”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก แต่หนี้ของสมาคมเราจ่ายไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าเช่นนั้นทำไมคุณถึงยังเขียนนิยายอยู่อีก?” กู่ฉิงซานถาม
“หืม?” เสี่ยวเหมียวอึ้งไปเล็กน้อย
กู่ฉิงซาน “ก็คุณไม่ได้ทุ่มเทเขียนนิยายอย่างหนักเพราะต้องการจะหาเงินเก็บไว้ใช้ซื้อของกินไม่ใช่เหรอ แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีหนี้อีกต่อไปแล้ว ขาของแบรี่เองก็ดีขึ้น คุณเองก็เป็นตัวตนทรงอำนาจ ดังนั้นคงไม่จำเป็นต้องทนอึดอัดอยู่แต่ภายในนี้อีกแล้วสิ”
เสี่ยวเหมียวค่อยๆ ตอบสนองอย่างช้าๆ
“จริงสิ…พวกเราไม่มีหนี้อีกต่อไปแล้วนี่นา และฉันเองก็ไม่ได้เป็นกังวลว่าพี่ชายของฉันจะถูกลอบฆ่าอีกต่อไป ขอบใจนายมากนะที่เตือนฉัน!”
เสี่ยวเหมียวมองแบรี่ด้วยความตื่นเต้น “พี่ชายช่วยดูประวัติเครดิตของพวกเราหน่อยสิ ว่ามันกลับมาเป็นปกติแล้วรึยัง?”
แบรี่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “พี่เพิ่งจะตรวจสอบมันเมื่อครู่นี้เอง ไม่ว่าจะเป็นของทางสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง โรงแรมใหญ่ กาสิโน ร้านอาหาร รีสอร์ต ฯลฯ สถานะเครดิตของพวกเราทั้งหมดกลับมาเป็นดี ปกติอีกครั้งแล้ว!”
“หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ…” เสี่ยวเหมียวพูดอย่างตื่นเต้น
“ใช่แล้วน้องพี่ อีกความหมายหนึ่งก็คือ” แบรี่ยิ้ม
แล้วทั้งสองพี่น้องก็ตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน
“พวกเราสามารถติดเงินคนอื่นได้อีกครั้งแล้ว!”
กู่ฉิงซานมองไปยังพี่น้องที่กำลังตื่นเต้น ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“นี่ๆ พวกคุณเป็นตัวตนทรงอำนาจนะ ทำไมถึงจะกลับไปทำอะไรที่ไร้จุดหมายแบบนั้นอีกล่ะ ไม่ลองพยายามหาวิธีสร้างรายได้กันบ้างเลยเหรอ?” เขาเอ่ยถาม
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ หลังจากที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมาเป็นเวลานาน ตอนนี้ฉันอยากจะออกไปช้อปปิ้งเสียก่อน เพื่อระบายความตึงเครียดเล็กน้อย” เสี่ยวเหมียวหรี่ตาแคบลง คล้ายกับเพิ่งนึกออกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้
“กู่ฉิงซาน หาเงินน่ะมันก็แค่เรื่องเล็กน้อย” แบรี่ตบไหล่เขาและกล่าว “วันพรุ่งนี้ฉันจะพานายไปบ่อนกาสิโนเรือสมุทรธงดำ ที่นั่นอาหารอร่อย ไม่ว่าอะไรก็สนุกไปหมด ทุกคนมักจะพูดถึงเรื่องราวที่มันน่าสนใจ ฉันชอบที่นั่น และถ้านายคันไม้คันมือ ก็สามารถไปลองเสี่ยงโชคดูได้ วางเดิมพันสักครั้งสองครั้ง บางทีนายอาจจะได้เงินก้อนโตติดไม้ติดมือกลับมาก็ได้นา”
“แต่ตอนนี้พวกเรายังไม่มีเงินนะ” กู่ฉิงซานงง
“ฉันลืมบอกนายไปเลย ว่ามันมีกฎเกณฑ์ในโลกเก้าร้อยล้านชั้นที่คนทั้งหมดจะต้องปฏิบัติตามอยู่”
“ยื่นหูมาตั้งใจฟังให้ดี”
“ในฐานะที่เป็นเจ้าของโลกมิติอนันต์ และเช่นเดียวกันกับที่ฉันมีสถานะเป็นตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ ด้วยสองสิ่งนี้ จะช่วยให้สมาชิกของสมาคมกำปั้นเหล็กมีเครดิตหรือความน่าเชื่อถือที่สูงมาก ดังนั้นเงินที่สามารถหยิบยืมมาใส่บัญชีได้ก็ย่อมสูงมากขึ้นตามเป็นธรรมดาเช่นกัน” แบรี่กล่าว
“ใช่แล้วล่ะ นายสามารถติดบิลของนายไว้ก่อนในฐานะสมาคมได้ แล้วค่อยนำมันไปจ่ายในภายหลัง” เสี่ยวเหมียวตะโกนก้อง
“ฉันเกือบจะลืมลงทะเบียนให้กู่ฉิงซานไปเสียสนิทเลย” แบรี่ตบหัวของเขาและกล่าว “เสี่ยวเหมียว น้องช่วยไปผูกข้อมูลส่วนตัวของกู่ฉิงซานหน่อยสิ แล้วลงทะเบียนภายใต้ชื่อของสมาคม และประกาศออกไปให้ทั่วทั้งหมื่นโลกาเลย ถ้าเรียบร้อยแล้ว นับจากนี้ไปถ้าเขาเดินทางไปที่ไหนก็ตามในหมื่นโลกา เขาก็จะสามารถใช้บัญชีของเราได้ในทุกสถานที่ โดยไม่ต้องควักเงินสดออกมาจ่ายตรงๆ”
“รับทราบ” เสี่ยวเหมียวรับคำ
เธอคว้าจับเอากลิ่นอายของกู่ฉิงซานมาไว้ในกำมือ ก่อนจะเริ่มดำเนินการบางอย่างในอากาศที่ว่างเปล่า
ในขณะที่ขั้นตอนยืนยันตัวตนอันแสนซับซ้อนกำลังดำเนินการ เสี่ยวเหมียวก็หันมาพูดด้วยความภูมิใจ “เอาล่ะ จากนี้ไป ถ้านายบอกว่าตัวเองมาจากสมาคมกำปั้นเหล็ก นายก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินอีกต่อไป”
“แต่แบบนั้น พวกเราจะไม่ถูกไล่เก็บหนี้เหมือนเดิมอีกหรอกเหรอ?” กู่ฉิงซานถามด้วยความกังวล
“แน่นอนว่าไม่ เพราะคราวนี้เป็นทางอาณาจักรหนามที่ได้จ่ายหนี้ทั้งหมดให้กับเรา ทำให้สถานะเครดิตในปัจจุบันของเราสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”
“ฟังดูสะดวกสบายดีจัง”
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยอารมณ์
เขาได้ร่วมลงทะเบียนกับเสี่ยวเหมียวจนเสร็จสิ้น
จากนั้น
เขาก็โยนคำถามของตนเองเมื่อครู่นี้ไว้เบื้องหลังทันที
เพราะนับตั้งแต่ช่วงเวลานี้ไป ทางสมาคมกำปั้นเหล็ก ได้เพิ่มนักก่อหนี้ชั้นเซียนเข้าสู่ตลอดทั้งหมื่นโลกาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งหน่อแล้ว! “เอาล่ะ ตอนนี้ผมคงต้องขอตัวกลับโลกของผมก่อนแล้วนะ เพราะที่นั่นกำลังเกิดสงครามอยู่” กู่ฉิงซานกล่าว
“สงครามงั้นเหรอ?” แบรี่ยกคิ้วสูงขึ้น
“ใช่แล้ว โลกของผมได้ทำการผสานรวมเข้ากับโลกปรภพ เหมือนกับที่ได้บอกพวกคุณในช่วงก่อนหน้า ดังนั้นเวลานี้ ในโลกหกวิถีอื่นๆจึงเกิดความโลภ และต้องการที่จะยึดโลกของผมไปทำการผสานรวมกับโลกของพวกเขา” กู่ฉิงซานกล่าว
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวมองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างเริ่มสนใจ
“ถึงนายจะเคยพูดให้ฟังแล้วก็เถอะ แต่ไม่ใช่ว่าโลกหกวิถีแต่เดิมมันมีอยู่แค่ในดินแดนอัศจรรย์หรอกเหรอ? จะไปมีที่แบบนั้นในโลกกระจัดกระจายได้อย่างไร?”
เสี่ยวเหมียวกล่าว “กู่ฉิงซาน เรื่องที่นายเพิ่งพูดไปฉันค่อนข้างสนใจมากทีเดียว ฉันรู้สึกว่าพวกเราคงไม่ไปแวะดู มันไม่ได้เสียแล้วล่ะ”
แบรี่คิดเกี่ยวกับมันและกล่าว “นั่นสินะ คงจะเป็นการดีกว่าถ้าพวกเรากลับไปที่นั่นพร้อมกับนาย และถ้ามันมีเรื่องอะไรที่ยากเกินไป ตัวฉันแบรี่ ในฐานะเจ้าของสมาคมก็จะช่วยแบ่งเบามันให้เอง!” แบรี่ตอบอย่างซื่อตรง
“ใช่ๆ นายเป็นสมาชิกของสมาคมของเรา แถมนายยังสามารถทำลายระบบของราชามารลงได้ ดังนั้นนายย่อมต้องมีอนาคตที่สดใสรออยู่ ฉะนั้นพวกเราจะไปกับนาย ไปจัดการปัญหาในโลกของนายให้เอง!” เสี่ยวเหมียวสนับสนุน
“พูดได้ดีนี่นาน้องพี่ เอาล่ะตกลงตามนี้นะ นี่คือการตัดสินใจของพวกเราสมาคมกำปั้นเหล็ก!” แบรี่ปรบมือ
กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ตะลึงงัน แต่ขณะเดียวกันเขาก็มีความสุขมากทีเดียวต้องไม่ลืมนะว่าทั้งแบรี่และเสี่ยวเหมียวน่ะเป็นตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการของโลกเก้าร้อยล้านชั้น
แบรี่ได้ออกเดินทางไปทั่วทุกสถานที่เพื่อทำการช่วยเหลือโลกต่างๆ ต่อต้านอิทธิพลชั่วร้ายอย่างเต็มกำลัง จนเป็นที่เลื่องลือไปตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น
มิฉะนั้นเสี่ยวถายที่แม้จะได้กลายเป็นมารไปแล้ว คงไม่มีทางพยายามที่จะตอบแทนแบรี่ถึงขนาดนี้หรอก กระทั่งลอร่าที่ไม่ไว้ใจในตัวกู่ฉิงซาน ทันทีที่ได้ยินว่าเจ้าตัวมาจากสมาคมกำปั้นเหล็ก เธอก็ยังเลือกที่จะปรากฏตัวออกมา
กระทั่งนักธุรกิจและสมาคมต่างๆ ในตลอดทั้งหมื่นโลกา ยังอนุญาตให้พวกเขาติดหนี้ได้อย่างมหาศาล
เสี่ยวเหมียวได้ลงมืออย่างเต็มกำลังในสงครามครั้งนี้ เปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตัวเองออกมาต่อหน้าพวกเขา
ส่งผลให้แม้แต่ผู้อาวุโสของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงเอง ในช่วงเวลาวิกฤติของสงคราม ก็ยังต้องบินมาถามความคิดเห็นของเสี่ยวเหมียว เพื่อที่จะตัดสินสถานการณ์โดยรวมของสนามรบ
หลังจากสงครามครั้งนี้จบลง ผู้คนจึงต่างตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของทั้งสองพี่น้องคู่นี้ ว่าช่างโดดเด่นเพียงใด
คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมแล้วนะว่าสองคนนี้แข็งแกร่งถึงขนาดไหน?
แต่เวลานี้ พวกเขากลับเสนอตัวที่จะติดตามไปกับกู่ฉิงซาน! ในหัวใจของเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเกิดประโยคหนึ่งผุดขึ้นมา
‘ก็เอาสิ อยากจะรู้จริงๆ ว่าคราวนี้จะมีใครหน้าไหนกล้ามาแส่หาเรื่องกับฉันอีก!?’
“นี่คืออะไรกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
แบรี่กล่าว “ทหารพิทักษ์บอกว่ามันคือของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากราชินีหนามที่มอบให้แก่สมาชิกของสมาคม โดยให้ฉันเปิดมันหลังจากที่กลับมายังสมาคมอีกครั้ง”
“แล้วคุณก็เชื่อทหารพิทักษ์คนนั้นหรือ? คุณรู้จักกับเขาหรือเปล่า?”
“ไม่รู้จักหรอก แต่อีกฝ่ายเป็นคนของอาณาจักรหนามนี่นา พวกเขาคงไม่เล่นตุกติกอะไรมั้ง ยิ่งเป็นเสี่ยวเหมียวกับฉันแล้วด้วย พวกเขาคงไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก”
เสี่ยวเหมียวแทบจะทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอเร่งเร้าแบรี่ “รีบเปิดมันสักทีสิ น้องอยากจะรู้แล้วนะว่าข้างในมันคืออะไร”
“ก็ได้ๆ”
แบรี่เปิดกล่อง
ทันทีที่กล่องถูกเปิดออก แสงจรัสพร่างพราวก็พวยพุ่งออกมา ตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า
แสงบนท้องฟ้า ขยุกขยิกเป็นรูปสัญลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
สัญลักษณ์เหล่านี้คล้ายกับว่าจะเป็นตัวกำหนดถึงอะไรบางอย่าง
สัญลักษณ์เปลี่ยนไปมาอยู่หลายลมหายใจ จนสุดท้ายก็หยุดลง
“นี่มันอะไรกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
สีหน้าของเสี่ยวเหมียวหม่นลง “นี่คือตัวระบุพิกัดมิติและเวลาของสมาคมกำปั้นเหล็ก หากได้รับพิกัดนี้ไป อีกฝ่ายจะสามารถเชื่อมต่อกับเราได้ แม้ว่าจะไม่รู้จักกับเราก็ตามที”
“แต่การควบคุมทางเข้ามิติอนันต์ของโลกใบนี้น่ะอยู่ในมือของคุณไม่ใช่หรือ ตราบใดที่คุณไม่ให้พวกเขามา พวกนั้นก็ทำได้เพียงเฝ้ารอเราจากมิติรอบนอกเท่านั้น” กู่ฉิงซานกล่าว
“นั่นก็จริงอยู่ แต่วิธีการไม่ชอบมาพากลแบบนี้ มันค่อนข้างทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดน่ะ”
หูของเสี่ยวเหมียวกระดิกไปมา คล้ายกับกำลังไม่พอใจ
สีหน้าของแบรี่เองก็ดูไม่ดีเช่นกัน
ในตอนที่สนทนากับทหารพิทักษ์ ชัดเจนว่าเจ้าสิ่งนี้คือของขวัญ แต่สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นสิ่งที่ใช้ระบุพิกัดแทน แบบนี้ไม่ใช่ว่าเขาถูกหลอกหรอกหรือ?
แบรี่งง “ถึงแม้ว่าจะได้พิกัดโลกของพวกเราไป แต่หากไม่ได้รับความยินยอมจากฉันหรือเสี่ยวเหมียว พวกเขาก็ไม่สามารถเข้ามาได้…เพราะงั้นฉันคิดไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมเผ่าพันธุ์หนามถึงเล่นตุกติกกับฉันแบบนี้”
กู่ฉิงซานเริ่มเค้นสมอง หลังจากคิดไปสักพักเขาก็เอ่ยปาก “หรือว่าบางที…อาจจะมีผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นกับทริสเต้หลงเหลืออยู่ก็เป็นได้”
ทั้งสามคนมองหน้ากันและกัน และรู้สึกว่าสถานการณ์ค่อนข้างจะร้ายแรง
ในเวลานั้นเอง เสี่ยวเหมียวก็เบนสายตาออกไปและกล่าว “มีคนกำลังใกล้เข้ามาในโลกมิติอนันต์ของพวกเรา และกำลังขอให้ฉันอนุญาตให้เข้ามา”
เธอหลับตาลง ปากเอ่ยพึมพำ “ไหนมาดูกันหน่อย ว่าใครกันที่มันกล้าทำแบบนี้?”
แบรี่เองก็หลับตาลงเช่นกัน เพื่อเริ่มทำการรับรู้ถึงการเหนี่ยวนำมิติ
“ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกัน ว่าเจ้าพวกบ้านั่นกำลังพยายามจะทำอะไร” เสียงของเขาเริ่มรุนแรงขึ้น
แม้ว่าแบรี่จะไม่รู้จักวิธีใช้เทคนิคมนตรามิติ แต่อย่างไรเสียเขาก็คือเจ้าของโลกมิติอนันต์ ดังนั้นเขาย่อมสามารถรับรู้ได้ถึงการเชื่อมต่อและเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างโลกภายนอกกับโลกมิติอนันต์ของตนเองได้เลยโดยตรง
พี่ชายและน้องสาวหลับตาลง ใช้เวลาเพียงลมหายใจเดียว ทั้งสองก็มองเห็นถึงฉากด้านนอก
แบรี่น่ะเป็นผู้ที่มากประสบการณ์ ฝ่าลมฝนมามากมาย ขณะที่เสี่ยวเหมี่ยวเองก็ผ่านเรื่องราวอะไรมาเยอะเช่นกัน แต่ในช่วงเวลานี้ สีหน้าของทั้งสองคนกลับแสดงออกถึงความประหลาดใจและตกใจอย่างกะทันหัน
ทั้งสองลืมตาขึ้นพร้อมกัน
“พี่ชาย ฉันควรจะทำอย่างไรดี?” เสี่ยวเหมียวถาม
“มันดูไม่เหมือนว่าจะเล่นตุกติกอะไรนะ พวกเราปล่อยให้ผ่านเข้ามาเถอะ” แบรี่ขมวดคิ้ว
“เข้าใจแล้ว” เสี่ยวเหมียวรับคำ
เธอเริ่มท่องคาถา เปิดทางเข้ามิติอนันต์ และอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามา
กู่ฉิงซานเฝ้ามองปฏิกิริยาของทั้งสอง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสน
เขาเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
แต่แบรี่ไม่ได้ตอบตรงๆ เจ้าตัวเพียงผงกหัวให้มองขึ้นไปและกล่าว “ลองดูด้วยตาตัวเองสิ”
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมอง
เห็นแค่เพียงเรือขนาดใหญ่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
เอ๊ะ…ทำไมเรือเหาะลำนี้มันถึงได้ดูคุ้นตาจังเลยนะ
จริงสิ นี่มันเรือเหาะส่วนพระองค์ของราชินีหนามนี่นา!
ช่วงเวลาต่อมา กู่ฉิงซานก็เห็นหัวของอีเลียกับลอร่ายื่นออกมาจากระเบียงเรือ
ลอร่ายิ้มให้แก่เขา
เสี่ยวเหมียวอธิบายกับกู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว “กองเรือแห่งอาณาจักรหนามกำลังเฝ้ารออยู่ด้านนอกทางเข้ามิติ แต่มีเพียงเรือของราชินีเท่านั้นที่ร้องขอที่จะเข้ามา ดังนั้นฉันเลยคิดว่ามันไม่น่าจะมีอันตรายอะไร”
“ใช่แล้วล่ะ เผ่าพันธุ์หนามไม่ได้คิดจะจัดการกับพวกเราหรอก เพราะพวกเขาเองไม่เคยมีปัญหาอะไรกับโลกมิติอนันต์มาก่อน” คิ้วของแบรี่ค่อยๆ คลายลง
เนื่องจากเป็นราชินีหนามที่มาเยี่ยมเยือนเป็นการส่วนตัว ดังนั้นอีกฝ่ายย่อมต้องมีเรื่องสำคัญยิ่งอย่างแน่นอน
พอมาถึงตอนนี้ แล้วย้อนนึกไปถึงเรื่องกล่องระบุพิกัดนั่น เกรงว่าแท้จริงมันคงจะมีไว้เพื่อช่วยให้ประหยัดเวลาเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเล่นแง่ใดๆ
เมื่อคิดแบบนี้ สีหน้าของแบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็ดีขึ้นมาก
“แล้วพวกเราสมควรจะต้อนรับพวกเขาอย่างไรดี?” แบรี่ถาม
“คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ก็พวกเขามาอย่างกะทันหัน ทางเราเองก็ไม่ได้เตรียมอะไรไว้รับแขกเสียด้วย แค่เดินออกไปทักทายก็น่าจะพอแล้วนะ” เสี่ยวเหมียวกล่าว
ระหว่างสนทนา เรือใหญ่ก็ได้เทียบท่าลง
ราชินีแห่งหนามลอร่าในรูปลักษณ์สวมมงกุฎ และชุดคลุมประจำชาติที่งดงาม พร้อมคทาในมือ บินลงมาจากเรือใหญ่
เบื้องหลังเธอ คือเหมันต์ยามค่ำอีเลียและทหารพิทักษ์อีกกว่าสิบคนที่ติดตามมาอย่างใกล้ชิด
พวกเขาบินเข้ามาหาทั้งสมาชิกของสมาคมทั้งสาม
“อีเลีย เจ้าจงไปอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้แก่กำปั้นเหล็กแบรี่และเสี่ยวเหมียวฟังเสีย” ลอร่าสั่ง
“พ่ะย่ะค่ะ”
อีเลียก้าวออกมาข้างหน้า และเชิญแบรี่กับเสี่ยวเหมียวแยกตัวออกไป เพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างคร่าวๆ
ลอร่าเดินมาหยุดอยู่ต่อหน้ากู่ฉิงซาน และเงยหน้าขึ้นมองเขา
ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็ก้มลงมองเธอ และหัวเราะออกมา
“ไหนสัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไง” เขากระซิบเบาๆ
“แน่นอนว่ามันจะถูกเก็บเป็นความลับ ทหารพิทักษ์ที่เราพามาในโลกใบนี้ ทั้งหมดคือทหารที่ถูกเรียกตัวไปยังโลกสมบัติทั้งสิ้น” ลอร่าชี้ไปยังเบื้องหลังเธอ
ทหารพิทักษ์นับสิบมองมายังกู่ฉิงซาน ทุกคนยิ้มให้แก่เขาด้วยไมตรีจิต
กู่ฉิงซานเองก็ทักทายพวกเขากลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
หลังจากที่ได้ร่วมรบกัน ทำให้ต่างฝ่ายต่างก็เริ่มรู้จักคุ้นเคยกันเล็กน้อย
ลอร่าเอ่ยปากอีกครั้ง “แล้วอีกอย่าง แบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็เป็นคนที่ไว้วางใจได้ ดังนั้นการจะบอกถึงความจริงนี้แก่พวกเขา ก็คงจะไม่เป็นไรไม่ใช่หรือ?”
กู่ฉิงซานหันไปมองแบรี่กับเสี่ยวเหมียว
เห็นแค่เพียงเมื่อได้รับฟังเรื่องราวจากอีเลีย ทั้งสองก็ดูประหลาดใจมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ และบางช่วงจังหวะก็หันมามองดูกู่ฉิงซานเป็นครั้งคราว
“เอาล่ะ บอกพวกเขาไปก็คงไม่เป็นไรหรอก” กู่ฉิงซานเห็นด้วย
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ จู่ๆ บรรยากาศก็พลันเงียบลง
ทั้งสองต่างไม่มีใครพูดอะไรออกมา
“เรา…ได้ลองคิดเกี่ยวกับมันอย่างจริงจังดูแล้ว” ลอร่าได้กล่าวทำลายความเงียบ
“หืม?”
“อันที่จริง เราได้ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่สองล่ะ เส้นทางที่ยากลำบาก และต้องท้าทายตัวเองอยู่เสมอ ค่อยๆเติบโตขึ้นและเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้แก่ตนเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้…แบบนี้ถูกต้องแล้วใช่ไหม” ลอร่าเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ใช่ กระหม่อมก็คิดว่าแบบนั้น” กู่ฉิงซานพยักหน้ากล่าว
“ตอนนี้ เราได้เลือกหนทางของตัวเองแล้ว ดังนั้น…”
ลอร่าสูดหายใจลึกและกล่าวเสียงดัง “ดังนั้นโชคชะตาของเรา จากนี้ไปก็จะถูกกำหนดด้วยตัวเราเอง และเมื่อเราตั้งใจจะทำอะไรก็จะไม่มีใครมาหยุดเราได้”
“ในฐานะที่เราเป็นกษัตริย์แห่งหนาม หากเราปรารถนาสิ่งใด เราก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะไขว่คว้ามันมา แม้จักยากลำบาก แต่เราก็จะไม่สิ้นความพยายาม”
เธอรวบรวมความกล้า และกล่าวคำพูดในจิตใจทั้งหมดออกมาในลมหายใจเดียว
กู่ฉิงซานเฝ้ามองเธอ โดยไม่เอ่ยคำใดออกมาสักคำ
ลอร่าเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นถึงท่าทีตอบสนองใดๆ ของกู่ฉิงซาน เด็กสาวอดไม่ได้ที่จะเสียศูนย์ไปเล็กน้อย
“กู่ฉิงซาน ที่เราพูดไปมันไม่ดีงั้นหรือ? เจ้าสามารถให้คำตอบที่ดีกว่านี้แก่เราได้นะ”
“จริงๆ แล้ว ประโยคเมื่อครู่นี้เราคิดทบทวนอยู่นานเชียวนะ กระทั่งก่อนที่จะมาถึง เราก็ทำการเปลี่ยนแปลงมันในใจ ให้ฟังดูดีขึ้นตั้งรอบสองรอบ…”
เด็กสาวตัวน้อยพึมพำด้วยความหงุดหงิด
กู่ฉิงซานที่รับฟังอย่างเงียบๆ ผุดรองยิ้มตรงมุมปากขึ้นมา
“ไม่หรอก พูดได้ดีมากเลย ดูสมกับที่เป็นราชินีขึ้นเยอะ” เขาหัวเราะ
“เจ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ?”
“ใช่ กระหม่อมไม่โกหกหรอก”
ลอร่ามีกำลังใจขึ้นทันที เธอกล่าวด้วยความสุข “ฮ่าๆ! เราว่าแล้วเชียว ว่าความคิดของเราต้องถูกต้อง!”
สิ้นประโยค เธอก็มอบลูกบอลคริสตัลให้แก่กู่ฉิงซาน
และเขาก็จดจำมันได้ทันที ว่านี่คือโลกสมบัติของทริสเต้
ในขณะนี้ โลกได้ถูกผนึกเอาไว้อีกครั้ง
แต่มันแตกต่างไปจากคราวก่อน ที่ตอนนี้ ภายในน่ะไม่มีผู้เข้าสู่วิถีมาร และไม่มีระบบของราชามารอยู่อีกต่อไป
โลกที่ประกอบไปด้วยสามชั้น
ชั้นเปลือกน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยพายุหิมะ
ชั้นมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยสีน้ำเงินเข้ม
และชั้นใต้ดินที่เหลือทิ้งไว้โดยทวยเทพ
นี่เป็นโลกอันแปลกประหลาด แต่ขณะเดียวกันก็ล้ำค่า เพราะมันเป็นโลกที่ครั้งหนึ่งเหล่าทวยเทพเคยอาศัย ซึ่งบางทีอาจจะมีความลับอื่นๆ ที่ยังมิได้ถูกขุดค้นหลงเหลืออยู่ก็เป็นได้
“เราจดจำได้ว่าเจ้าเคยให้สัญญากับมารสวรรค์เอาไว้ ว่าจะมอบโลกใบนี้ให้แก่เธอ” ลอร่ากล่าว
“เอ๊ะ…เคยมีเรื่องแบบนั้นด้วยรึเปล่านะ?”
“…เจ้าคนฉ้อฉล เจ้านักต้มตุ๋นตัวยง อย่าแกล้งพูดแบบนั้นสิ ถ้าเธอมาได้ฟังเดี๋ยวจะรู้สึกเศร้านะ”
กู่ฉิงซานอธิบาย “อันที่จริงแล้วกระหม่อมกำลังมองหาวิธีอื่นที่จะตอบแทนเธออยู่พอดี แต่ถ้าฝ่าบาทต้องการมอบโลกใบนี้ให้จริงๆ มันก็เหมือนกันการช่วยกระหม่อมแก้ปัญหาไปได้อีกเปลาะหนึ่ง”
“แน่นอนว่าเราต้องการมอบมันให้เจ้า ก็เจ้าได้ช่วยเราเอาไว้ตั้งหลายครั้ง กับแค่โลกใบเดียวน่ะ มันเทียบไม่ได้กับชีวิตของราชินีแห่งหนามหรอกใช่ไหม?”
บอลคริสตัลถูกยัดใส่มือของกู่ฉิงซาน
แล้วในเวลานั้นเอง การแสดงออกของลอร่าก็กลายเป็นจริงจังมากขึ้น
“จำได้หรือไม่ ว่าเราเคยสัญญา ว่าหากเจ้าสามารถช่วยเราเอาชนะระบบของราชามาร ช่วยเราโค่นทริสเต้ ล้างแค้นให้กับเราได้ เราจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นเอิร์ลแห่งอาณาจักรหนาม”
พูดจบ เธอก็หยิบตราสีมรกตออกมา และกำมันไว้ในฝ่ามือตัวเองอย่างอ่อนโยน
“เรารู้ดีว่าหากประกาศออกไป ประกาศว่าจะมอบตำแหน่งเอิร์ลแห่งอาณาจักรหนามให้แก่บุคคลภายนอก มันจะเป็นเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนไปตลอดทั้งหมื่นโลกา”
“แต่เราก็รู้ด้วยเช่นกันว่าเจ้าไม่อยากจะแบกรับชื่อเสียงที่มันมากจนเกินไป”
“ตอนนี้ เราเลยอยากจะทำข้อตกลงกับเจ้า -”
“กู่ฉิงซาน เมื่อวันหนึ่งเจ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากสิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าเต็มใจที่จะรับตำแหน่งเอิร์ลแห่งอาณาจักรหนามหรือไม่”
คล้ายกับกลัวที่จะถูกปฏิเสธจากกู่ฉิงซาน ลอร่าจึงเร่งเอ่ยเสริม “วางใจเถอะ ก่อนที่เจ้าจะยอมรับมัน ทุกคนวงในที่รู้เรื่องนี้จะเก็บมันไว้เป็นความลับ”
กู่ฉิงซานหัวเราะ “กว่าจะพิจารณาได้ถึงขั้นนี้ ท่านคงจะคิดมาหนักไม่น้อยเลยล่ะสิใช่ไหม”
“เจ้าพูดแบบนี้ก็หมายความว่า…” ลอร่ามองเขาด้วยความลังเล
กู่ฉิงซานเดินมาหยุดที่ตรงหน้าลอร่า และคุกเข่าข้างหนึ่งลงอย่างช้าๆ
ใบหน้าของลอร่าเผยถึงรอยยิ้มแย้มทันที
ฉากนี้ มันคล้ายกันกับในพื้นที่ราบลุ่ม ที่เขาได้ปฏิญาณกับเธอ ว่าจะนำพาเธอสู่สนามรบ
ช่วงเวลานั้น หลังจากคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้ว กู่ฉิงซานก็ผุดลุกขึ้น หันไปเผชิญหน้ากับศัตรู
ภายใต้สถานการณ์แห่งความสิ้นหวัง เขาได้นำพาเด็กสาวคว้าจับแสงสว่าง ฉุดรั้งตนเองขึ้นจากหุบเหวแห่งความมืดมิด
นับจากช่วงเวลานั้นมา เด็กสาวก็เฝ้าคิดอยู่ตลอดเวลา ว่าจะต้องตอบแทนเขาเป็นอย่างดี
ลอร่าติดตราสัญลักษณ์บนหน้าอกของกู่ฉิงซานด้วยตัวเธอเอง
เธอกดมือน้อยลงบนตราสัญลักษณ์ และเริ่มท่องคาถาอย่างเงียบๆ
เมื่อคาถาเริ่มดังขึ้น ณ ภายในสถานที่ห่างไกลไปกว่าพันล้านโลก รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามก็ค่อยๆ เริ่มประทับเป้าหมายลงบนตัวของกู่ฉิงซาน
เจตจำนงของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามตกลงมายังที่นี่
มันมาคอยเป็นพยานถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวลานี้
ลอร่าสูดหายใจลึก และเอ่ยออกมาดังๆ “ภายใต้สายตาแห่งประจักษ์พยานของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม พวกเราจะทำการบรรลุข้อตกลงกัน ดังต่อไปนี้”
“หากวันใดวันหนึ่งในอนาคต เมื่อกู่ฉิงซานพร้อมและต้องการ เขาจะสามารถกลายเป็นเอิร์ลของอาณาจักรหนามได้เลยในทันที”
“ข้อตกลงดังกล่าวถูกร่างขึ้นด้วยกันโดยราชินีแห่งหนามลอร่ากับกู่ฉิงซาน”
“กู่ฉิงซาน เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
เธอมองไปยังกู่ฉิงซาน
ขณะเดียวกัน เจตจำนงอันเข้มข้นของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ก็ตกลงมาหลอมรวมกันอยู่ที่กู่ฉิงซาน
แบรี่ เสี่ยวเหมียว อีเลีย และแม้กระทั่งทหารพิทักษ์ยังถึงขั้นลืมหายใจ เฝ้ามองเป็นประจักษ์พยานในช่วงเวลาอันมีค่านี้
กู่ฉิงซานยังคงคุกเข่าข้างหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองลอร่า ปากเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา
“ตามที่ท่านปรารถนา องค์กษัตริย์”
………………………………………….
ในอัลเบอัส
เมื่อทริสเต้ถูกจับ อีเลียก็ทำการเรียกกองทัพของอาณาจักรมาสมทบทันที
กำลังพลทั้งหมดยกทัพออกจากอาณาจักรหนาม และกระจายตัวปิดล้อมตลอดทั้งโรงแรมอันมีชื่อเสียงแห่งนี้โดยสมบูรณ์
ตอนนี้ อัลเบอัสจึงอยู่ในการป้องกันเฉกเช่นเดียวกับป้อมปราการเหล็กกล้า!
และการมอบของรางวัลจากราชินีหนามก็กำลังเริ่มขึ้น
กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ ติดตามแบรี่กับเสี่ยวเหมียวเข้าสู่ห้องโถง
เนื่องจากข้อจำกัดของสถานที่แห่งนี้ ทำให้ในโถง จะมีเฉพาะเพียงตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการและผู้นำองค์ใหญ่ๆ เท่านั้นที่สามารถเข้ามาได้
อย่างไรก็ตาม ทางเผ่าพันธุ์หนามก็มิได้กีดกัน หรือป้องกันวิธีการต่างๆ ที่สามารถใช้เฝ้าดูสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในแต่อย่างใด
แม้แต่โลกตลอดทั้งเก้าร้อยล้านชั้น ก็ยังมีโลกอีกมากมายที่กำลังรับชมพิธีมอบรางวัลของราชินีอยู่เช่นกัน
เพราะดินแดนอัศจรรย์นั้น เพียงได้ยินชื่อก็สัมผัสได้ถึงมนต์ขลังแล้ว!
แน่นอน ว่าผู้คนไม่เพียงอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับดินแดนนี้ แต่ยังต้องการที่จะเห็นรางวัลที่ราชินีหนามจะประทานให้ในครั้งนี้เช่นกัน!
ราชินีลอร่ากุมคทาในมือ นั่งอยู่บนราชบัลลังก์ ด้วยท่วงท่าที่ดูสง่างามและทรงเกียรติ
ส่วนเหล่าตัวตนทรงอำนาจ เมื่อถูกขานชื่อแล้ว พวกเขาก็จะเดินเข้ามายังเบื้องหน้าของลอร่า เพื่อรับรางวัลและคำสรรเสริญจากเธอ
หากเป็นกองกำลังที่ทั้งสองฝ่ายมิเคยได้ติดต่อกัน หรือเคยติดต่อกันแค่นิดหน่อย ผู้มารับรางวัลจะทำแค่เพียงน้อมกายโค้งคารวะลงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่หากผู้ที่เข้ามารับรางวัลเป็นคนที่ติดต่อกับทางวิคหนามอยู่บ่อยครั้ง และรู้จักกับลอร่า เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ ตัวตนทรงอำนาจเหล่านั้นก็จะคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อแสดงไมตรีที่มีต่อกัน
ตลอดทั้งพิธีดำเนินการไปอย่างรวดเร็วและเป็นระเบียบ การแสดงของลอร่าช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
เมื่ออยู่ต่อหน้าตัวตนทรงอำนาจทุกคน ลอร่าสามารถสนทนาได้อย่างลื่นไหล สุภาพและเหมาะสม…แม้ว่าจะมีอีเลียคอยกล่าวย้ำเตือนอยู่เบื้องหลังก็ตาม แต่ในฐานะกษัตริย์ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ การที่สามารถสนทนาทางการทูตได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ ก็นับว่าสุดยอดไปเลยมิใช่หรือ?
เมื่อรางวัลทั้งหมดถูกมอบจนสิ้น อีเลียก็ก้าวออกมา
เธอบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าทุกคน
ว่าทริสเต้ทรยศราชวงศ์อย่างไร และสังหารกษัตริย์องค์ก่อนลงด้วยวิธีใด
และลอร่าซ่อนตัวอย่างไร
รวมไปถึงวิธีการที่เธอเข้าสู่โลกของทริสเต้ และค้นพบว่าเชื้อไฟกำลังแพร่กระจาย
ในที่สุดเธอก็งัดสมบัติบางอย่างออกมา จัดตั้งมัน เฝ้ารอซุ่มโจมตี และสามารถสังหารสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมารได้ในคราเดียว
เมื่อไร้ซึ่งผู้ดาวน์โหลด เชื้อไฟก็ถูกทำลายลง
ใช่ ฟังไม่ผิดหรอก อีเลียสังหารหมู่ผู้เข้าสู่วิถีมารไปกว่าสองร้อยล้านคน แต่กลับแทบจะไม่มีใครตำหนิเธอเกี่ยวกับมันเลย
เพราะไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่เลือกจะไปซบอกระบบของราชามาร คนผู้นั้นก็จักถูกกำหนดให้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโลกเก้าร้อยล้านชั้น!
ตามบทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ผู้เข้าสู่วิถีมารจะสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็วโดยการสังหารสิ่งมีชีวิตในโลกอื่นๆ พวกมันไม่รับฟังหรือทำตามกฎเกณฑ์ใดๆ ของตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นเลย ซึ่งนั่นเป็นปัญหาที่น่าปวดหัวไม่น้อย
ส่งผลให้พวกมันนี่แหละ ที่เป็นตัวการล้มล้างทุกกฎเกณฑ์ที่ทุกคนอุตส่าห์ร่วมกันสร้างมันขึ้นมา!
ดังนั้นสำหรับผู้ที่เลือกเข้าสู่วิถีมาร ไม่ว่าจะเป็นคนไร้อำนาจหรือตัวตนทรงอำนาจ ก็ไม่มีใครเห็นใจพวกมัน!
แต่ในขณะเดียวกัน สำหรับผู้ที่มิได้เลือกเข้าสู่วิถีมาร สามารถต่อต้านต่อการล่อลวงขอเชื้อไฟได้ แม้สุดท้ายจะถูกสังหารโดยผู้เข้าสู่วิถีมารก็ตาม หนุ่มสาวผู้กล้าหาญทั้งหมดเหล่านั้นก็ได้ถูกนับจำนวนโดยเทคนิคมนตราของอีเลีย
สำหรับบุคคลเหล่านี้ ทางอาณาจักรหนามจะทำการมอบเงินช่วยเหลือจำนวนมากให้ เมื่อให้แน่ใจว่าครอบครัวของผู้เสียชีวิตจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยไร้ซึ่งความยากลำบากใดๆ
เท่านี้ ทุกอย่างก็เป็นอันจบเรียบร้อย
ทริสเต้ และบรรดาผู้สมรู้ร่วมคิดของเธอถูกนำตัวมา
อีเลียเดินไปยังบัลลังก์กษัตริย์ คุกเข่าลงกับพื้นและกล่าว “ฝ่าบาทโปรดบัญชา”
ลอร่าพยักหน้า
ก่อนหน้านี้เมื่อเธอต้องพบปะกับเหล่าตัวตนทรงอำนาจ เด็กสาวมักจะแขวนรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรและไม่แสดงกิริยาหยาบคายใดๆ ออกมา
แต่เวลานี้ สีหน้าของเจ้าตัวกลับเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง
“ผู้สมรู้ร่วมคิดกับทริสเต้ทั้งหมดจะต้องถูกประหารชีวิตลง”
“รับทราบ”
ด้วยคำสั่งของราชินี องครักษ์ที่ร่วมมือกับทริสเต้ คอยช่วยเหลือเธอไล่จับตัวลอร่า ทั้งหมดก็ได้ถูกตัดหัวลงในสถานที่แห่งนั้นทันที
ศพแล้วศพเล่าร่วงกระแทกลงกับพื้น
“ฝ่าบาท ตอนนี้เหลือแค่ทริสเต้แล้ว” อีเลียรายงาน
“ลงทัณฑ์เสีย” ลอร่าเอ่ยเสียงเย็นออกมาเพียงสามคำสั้นๆ
“รับบัญชา” อีเลียตอบรับ
ในความว่างเปล่า กิ่งก้านและใบของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น
ภายใต้เสียงกรีดร้องหวาดกลัวด้วยความสิ้นหวังของทริสเต้ เถาวัลย์นับไม่ถ้วนได้ทิ่มแทงเข้าไปในหัวของเธอทันที
เถาวัลย์เหล่านี้ค่อยๆ แพร่กระจายไปตามร่างกายส่วนต่างๆ ของหญิงสาว ก่อนจะเริ่มปรากฏหมู่มวลดอกไม้นานาชนิดผุดขึ้นตามร่างกายของเธอ
นี่คือความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เป็นการลงทัณฑ์อย่างไร้ซึ่งมนุษยธรรม
โดยผู้ที่ได้รับการลงทัณฑ์ดังกล่าว จะต้องถูกทรมานทั้งร่างกายและจิตในอยู่ตลอดทุกนาที และในทุกๆ วินาทีก็จะจมอยู่ในความเจ็บปวดอันไร้ที่สิ้นสุด ชนิดที่ว่าแม้กระทั่งอยากจะนึกคิดสิ่งใดในสมอง ก็มิอาจทำได้
ผู้รับชมตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นบังเกิดความหนาวเหน็บกัดกินเข้ามาในจิตใจของพวกเขา
เพราะฉากการลงทัณฑ์โดยรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามที่ปรากฏอยู่นี้
เพียงแค่มองก็รู้ว่าในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น ย่อมไม่มีใครสามารถต้านทานมันได้เลย!
ไม่ว่าใครก็มิอาจหลุดพ้นไปจากการลงทัณฑ์ดังกล่าวนี้ไปได้!
ในขณะที่ผู้คนกำลังเฝ้าดูฉากถูกทรมานของทริสเต้ ราชินีแห่งหนามก็ได้เปล่งวาจาบางอย่างที่ทำให้จิตใจของทุกคนต้องสั่นสะท้านออกมา
“อีเลีย จงจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าห้ามยกเลิกการลงทัณฑ์นี้โดยเด็ดขาด จนกว่าจะครบหนึ่งพันปี”
“พ่ะย่ะค่ะ!” อีเลียตอบ “หากในกรณีที่ครบหนึ่งพันปีแล้วล่ะเจ้าคะ?”
“หลังจากพันปีต่อมา ก็ค่อยเปลี่ยนเป็นการลงทัณฑ์ชนิดอื่นแทน”
“รับด้วยเกล้า ฝ่าบาท”
สำหรับในช่วงเวลานี้ ตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นราวกับจมสู่ความเงียบงัน
กระทั่งบรรดาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน สูญเสีย และบอบช้ำเนื่องจากแผนการของทริสเต้ เมื่อได้เห็นโศกนาฏกรรมที่เจ้าตัวต้องเผชิญ ต่างก็ไร้ซึ่งคำใดจะกล่าว
อย่างแรกเลย พวกเขาราวกับได้รับการปลดเปลื้องซึ่งความแค้น
อย่างที่สอง พวกเขากลับบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นในจิตใจ
นี่คือความหวาดกลัวอย่างแท้จริง…จักต้องถูกทัณฑ์ทรมานไม่หยุดนับพันปี โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ตกตาย หลังจากนั้นก็ยังคงถูกทรมานอีกรอบ เมื่อได้ยินแบบนี้ แล้วใครเล่าจะไม่หวาดกลัว?
ตั้งแต่ช่วงเวลานี้เป็นต้นไป
ชื่อของราชินีหนามรุ่นปัจจุบัน จะถูกกล่าวขวัญไปตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นในฐานะผู้เอื้อเฟื้อ ประทานรางวัลอันแสนเลอค่าให้เหล่าวีรบุรุษ แต่ขณะเดียวกัน ก็จะถูกเล่าลือในฐานะผู้เลือดเย็นที่สั่งลงทัณฑ์อย่างโหดเหี้ยมเช่นกัน!
หลังจากจบเรื่องของทริสเต้ พิธีของราชินีแห่งหนามก็ได้สิ้นสุดลง
ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน ราชินีลอร่าได้ถูกโอบล้อมโดยเหล่ารัฐมนตรีของอาณาจักรหนาม ขุนนาง และทหารพิทักษ์ คอยคุ้มกันเดินออกจากห้องโถงไป
สำหรับเผ่าพันธุ์หนาม เรื่องราวทั้งหมดได้จบลงแล้ว
พวกเขาคุ้มกันราชินีของตนเอง ขึ้นไปยังเรือใหญ่ของอาณาจักรหนาม และเดินทางกลับไปยังดินแดนอัศจรรย์
ส่วนสำหรับผู้คนทั้งหมดที่เข้าร่วมสงคราม ทุกอย่างจบลงด้วยชัยชนะ
ตลอดทั้งอัลเบอัสถูกโยนลงสู่งานรื่นเริงครั้งใหญ่
ท่ามกลางเสียงอึกทึก ตลอดทั้งจัตุรัสเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
กู่ฉิงซานเฝ้ามองขบวนเรือบินลอยตัวขึ้นเหนือท้องฟ้าของอัลเบอัส เรือที่ค่อยๆ ลอยหายเข้าไปสู่ท้องฟ้าอันห่างไกลที่เต็มไปด้วยแสงดาว
เรือของกองทัพอาณาจักรหนามได้จากไปแล้ว
เรือที่มีลอร่าอยู่ที่นั่น
เฝ้ารอจนกระทั่งกองเรือลับหายลับไป กู่ฉิงซานจึงค่อยถอนสายตากลับคืน
เขาถอนหายใจ
นับจากนี้ไปเด็กสาวจะต้องก้าวเดินเพียงลำพัง
แต่ก่อนที่ตนเองจะแข็งแกร่งขึ้น มันคงจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถช่วยเหลือเรื่องใดๆ แก่เธอได้อีก
“เฮ้กู่ฉิงซาน”
มีคนเรียกเขาจากเบื้องหลัง
กู่ฉิงซานหันกลับไปมอง และพบว่าเป็นเสี่ยวเหมียว
เธอกับแบรี่เดินออกจากห้องโถง และตรงมายังเขา
“นายไม่ไปดื่มกับคนอื่นๆ หรือ ฉันนึกว่านายเป็นนักดื่มตัวยงเสียอีก” เสี่ยวเหมียวถาม
“อืม พอดีว่าผมยังไม่มีอารมณ์แบบนั้นในตอนนี้ ว่าแต่ที่พวกคุณแยกตัวออกมานี่เพราะจะกลับแล้วงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานถามกลับ
“พอดีว่ามีเรื่องเร่งด่วน ทำให้พวกเราจะต้องรีบกลับไปในสมาคมทันที” แบรี่ตอบ
“เรื่องเร่งด่วน?” กู่ฉิงซานทวนซ้ำด้วยความประหลาดใจ
ตอนนี้ สงครามก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว เรื่องราวทุกอย่างสมควรจะจบลง แล้วยังจะมีอะไรเร่งด่วนอีก?
“ใช่ มันเป็นเรื่องเร่งด่วนมากเสียด้วย”
ขณะกล่าว แบรี่ก็เหลือบไปมองเสี่ยวเหมียววูบหนึ่ง พร้อมกันเผยถึงรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า
“กลับกันเถอะ” เสี่ยวเหมียวเดินมาตรงหน้ากู่ฉิงซาน และส่ายมือข้างที่สวมแหวนวงใหม่ให้เขาเห็น “ตอนนี้ ฉันสามารถพานายกลับไปได้เลยในทันที”
หนึ่งมือคว้าจับแบรี่ อีกหนึ่งคว้าจับกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยร่ายมนตรางึมงำ
เปรี้ยง!
และทั้งสามก็หายไปจากอัลเบอัสโดยตรง
ณ โลกมิติอนันต์
ภายในสมาคมกำปั้นเหล็ก
ร่างทั้งสามปรากฏตัวขึ้น และค่อยๆ ลดระดับลงจากกลางอากาศ
เมื่อหยั่งเท้า กู่ฉิงซานก็ยืนนิ่งและหันไปมองรอบๆ
โลกทั้งใบเงียบสงบ
ในสมาคมว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดอยู่เลย
เขาปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะเข้าไปในสมาคม และกวาดไปรอบนอกอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่พบสิ่งใด
“ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติเลย พวกเราจะรีบกลับมากันทำไมหรือ?” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม
แบรี่ไม่ตอบทันที เขาค่อยๆหยิบกล่องใบเล็กอันประณีตออกมาอย่างระมัดระวัง
“หลังจากที่จบพิธีของราชินี ในตอนที่ฉันกำลังจะออกมา ทหารพิทักษ์ก็แอบนำเจ้าสิ่งนี้มามอบให้แก่ฉันอย่างเงียบๆ” เขากล่าว
……………………………………………
จอมมารทะเลเลือดนั่งอยู่ริมขอบสระน้ำพุของโรงแรมอัลเบอัส
เขาโยนเศษอาหารลงไปให้ปลาในสระแหวกว่ายขึ้นมากิน
“งั้นข้าขอตัวก่อนล่ะ”
เขายกสองมือขึ้นมาปัดเศษอาหาร และกล่าวกับฝูงชน
เสี่ยวเหมียวเตือน “นายจะไปตอนนี้เลยหรือ? ราชินีแห่งหนามกำลังจะกล่าวยกย่องและมอบรางวัลให้กับทุกคนนะ นายไม่อยากได้มันหรือ?”
“นั่นมันก็แค่วิธีการซื้อใจผู้คนไม่ใช่หรือไง” จอมมารทะเลเลือดส่ายหัว “ได้ยินมาว่าราชินีหนารุ่นนี้เป็นแค่เด็กตัวจ้อยเท่านั้นเอง แล้วจะให้คนอย่างข้า ไปก้มหัวคารวะให้เด็กน้อยอย่างงั้นหรือ?”
แต่แล้วจู่ๆ ทะเลเลือดก็ราวกับตระหนักได้ถึงบางสิ่ง และหันไปมองกำปั้นเหล็กแบรี่
“มีอะไร?”
แบรี่ที่ถูกมองเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกทันที
ทะเลเลือดกล่าวเสียดสี “นั่นสินะ ข้าก็ลืมไปเลยว่าแบรี่ผู้น่าสงสารติดหนี้อยู่เป็นจำนวนมหาศาล กระทั่งโลกมิติอนันต์ของตัวเองก็เกือบต้องเอาไปจำนอง จุๆๆ แบรี่ผู้ยากไร้เอ๋ย ในเมื่อเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ดังนั้นการก้มหัวคารวะให้แก่เด็กตัวน้อยๆ คงไม่นับว่าเป็นสิ่งใดสินะ ”
แบรี่กำหมัดแน่นทันที
ขณะเดียวกัน ในหูของเขาก็เกิดเสียงกระซิบกระซาบดังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง…เหล่าตัวตนทรงอำนาจรอบตัวเขาส่งเสียงมาในเวลาเดียวกัน
“อัดมันเลยไหม?”
“ใช้โอกาสที่พวกเราอยู่ด้วยกันนี่แหละ รุมตีมันเลย”
“แบรี่ ถ้าแกเปิด ฉันตามแน่ๆ”
“เจ้าหมอนั่นสมควรที่จะถูกต่อยให้สมองกลับมาปกติเสียบ้าง”
“ส่งสัญญาณมา แล้วพวกเราจะกระโจนเข้าใส่มันพร้อมกัน”
“ไอ้ทะเลเลือดมันต้องได้รับบทเรียน!”
“ถ้าคุณไม่ตีเขาตอนนี้ โอกาสต่อไปที่จะลงมือคงไม่มีอีกแล้วนะมิสเตอร์แบรี่”
…
แบรี่พอได้ยินเสียงมากมาย เขาก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง
แต่สุดท้ายก็ฝืนยิ้มออกมาและกล่าว “นี่ทะเลเลือด นายไม่ลองพยายามทำอะไรดึงดูดให้คนอื่นๆ ชอบในตัวนายขึ้นมาบ้างซักเล็กๆ น้อยหน่อยหรือ?”
เมื่อเขากล่าวประโยคนี้ออกมา เหล่าตัวตนทรงอำนาจโดยรอบก็ถอนหายใจพร้อมกันทันที
ดูเหมือนว่าการรุมกระทืบในครั้งนี้จะไม่เกิดขึ้นเสียแล้ว
ตัวตนทรงอำนาจอีกคนส่ายหัวและกล่าว “แบรี่ อย่าไร้เดียงสาไปหน่อยเลย ต่อให้วันสิ้นโลกมาถึง สันดานของเจ้าทะเลเลือดก็ยังเหมือนเดิม ดัดไม่ได้อยู่ดี”
“โทษทีนะ เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า” จอมมารทะเลเลือดกล่าวอย่างจริงจัง “ทำไมข้าต้องไปทำให้คนอื่นพอใจด้วย ในเมื่อหลักการของข้า…”
ขณะกำลังกล่าว เห็นแค่เพียงทหารพิทักษ์แห่งหนามวิ่งเข้ามา และยื่นกระดาษขึ้นต่อหน้าเขา
“นี่อะไร?” จอมมารทะเลเลือดสงสัย
“ใบรายการในหน้าที่เก้าสิบเอ็ดคือรางวัลที่องค์กษัตริย์จะมอบให้แก่ท่าน ได้โปรดลองตรวจสอบดูก่อนว่า ท่านมีข้อเสนอใดๆ จะเพิ่มเติมเกี่ยวกับมันหรือไม่” ทหารพิทักษ์กล่าวด้วยความเคารพนับถือ
หน้าที่เก้าสิบเอ็ด…
จอมมารทะเลเลือดอดไม่ได้ที่จะเปิดดูมัน และกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว
เห็นแค่เพียงแสงและเงาสว่างขึ้นมาจากบนกระดาษ ฉายถึงไพ่ใบหนึ่ง
มันคือไพ่ที่แปลกประหลาด
ตรงบริเวณขอบไพ่ เป็นธารเลือดที่กำลังเดือดพล่าน ขณะเดียวกันด้านหลังของมันก็เป็นสีแดงเข้ม
ส่วนหน้าไพ่ ปรากฏถึงรูปของหญิงงามที่ถูกวาดอยู่
เป็นหญิงงามอันน่าทึ่ง งดงามอย่างถึงที่สุด
เธอกำลังหลับตาลงราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ มันไม่คุ้มค่าที่จะให้สายตาของเธอต้องแปดเปื้อน
อย่างไรก็ตาม เสน่ห์อันงดงามไร้ที่สิ้นสุดก็ยังคงถูกปลดปล่อยออกมาจากทั่วร่างกายเธอตลอดเวลา
หากคุณไม่ได้เห็นไพ่ใบนี้ด้วยตาตนเอง เกรงว่าอธิบายไปก็คงจะไม่เชื่อว่าเวลานี้ทะเลเลือดกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ตื่นเต้นเพียงใด
จอมมารทะเลเลือดมองดูไพ่ในแสงและเงา ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงัน
“ใช่ ข้ารู้จักเธอ”
เขาบ่นพึมพำกับตนเอง แม้จะแผ่วเบาและแหบแห้ง แต่ก็สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นที่แผ่ออกมา
นี่คือหนึ่งในสามไพ่ที่ลึกลับที่สุดในสำรับไพ่ทะเลเลือด
เมื่อไหร่ก็ตามที่ไพ่ใบนี้ถูกเปิดใช้งาน ไพ่ทั้งหมดที่เพิ่งใช้ไปในการต่อสู้ก็จะถูกสร้างขึ้นอีกครั้งจากทะเลเลือด และกลับคืนสู่มือเจ้าของผู้ใช้ไพ่ทันที
หากครอบครองไพ่ใบนี้ จะเทียบเท่าได้กับผู้ใช้ไพ่มีสำรับไพ่ของตนเองเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง!
จอมมารทะเลเลือดถอนหายใจและส่งใบรายการคืนให้แก่ทหารพิทักษ์
“เข้าใจแล้ว ข้าตรวจสอบมันเรียบร้อยแล้ว”
“ท่านมีข้อเสนอแนะใดๆ หรือไม่?” ทหารพิทักษ์เอ่ยถาม
“ไม่มี…” ทะเลเลือดเอ่ยหนักแน่น
“รับทราบแล้ว เช่นนั้นกระผมขอตัวก่อน”
ทหารพิทักษ์โค้งคำนับเขา หันหลังและจากไป
ทหารพิทักษ์ก้มลงมองใบรายการเพื่อค้นหาตัวตนทรงอำนาจอันดับต่อไป
จอมมารทะเลเลือดนิ่งงันอยู่ในจุดเดิมไปพักหนึ่ง
“แบรี่ ข้ามีคำถาม” เขากล่าว
“ว่าไง?” แบรี่ตอบ
“เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับสกิลของราชินีหนามที่ปรากฏขึ้นเมื่อครู่ สกิลที่สามารถแจกจ่ายยุทโธปกรณ์ให้แก่ทุกคนในสนามรบได้”
แบรี่ไม่คาดคิดว่าทะเลเลือดจะถามคำถามนี้ เขาครุ่นคิดและกล่าว “อืม…เป็นสกิลที่ทรงประสิทธิภาพมากจริงๆ ถ้าใช้มันในระหว่างสงครามล่ะก็ คงจะเป็นสกิลที่มีบทบาทสำคัญมากทีเดียว”
จอมมารทะเลเลือดพยักหน้า “ข้าเองก็ไม่เคยเห็นสกิลแบบนั้นมาก่อนเลย ดูเหมือนว่าราชินีตัวน้อยก็จะมีดีอยู่บ้างเหมือนกัน ดังนั้น ข้าเลยคิดว่ารอเข้าพบสักหน่อยคงจะไม่เป็นไร”
เขากล่าวกระซิบ “นอกจากนี้ยังมีเหมันต์ยามค่ำอีเลียที่สามารถทำลายระบบของราชามารลงได้อีก เธอจะเป็นตัวตนเช่นไรกันนะ นี่ก็คุ้มค่าที่จะให้ข้าเสียเวลาพบเจอเช่นกัน…”
ขณะกล่าว ทะเลเลือดก็เดินแหวกตัวผ่านฝูงชน ตรงเข้าไปยังทิศทางของห้องโถง
ซึ่งตรงส่วนนั้นคือล็อบบี้ของโรงแรมอัลเบอัส ที่บัดนี้ถูกจัดไว้เป็นที่รองรับชั่วคราวสำหรับเหล่าฮีโร่อันทรงเกียรติที่เข้าร่วมสงครามครั้งนี้
แบรี่และคนรอบตัวเขาหันมามองหน้ากันและกันด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ทำไมจู่ๆ เขาถึงเปลี่ยนใจไม่ไปแล้ว” แบรี่เปิดประเด็น
เสี่ยวเหมียวเองก็ประหลาดใจเช่นกัน “เขาเดินเข้าไปในห้องโถง เหมือนกับว่าเตรียมพร้อมที่จะก้มหัวรับรางวัลจากราชินีหนามแล้ว”
ตัวตนทรงอำนาจรอบๆ ต่างก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ทันใดนั้นเอง คนหนึ่งก็กระซิบออกมา “ฉันว่ารางวัลของราชินีจะต้องดีมากแน่ๆ เลย”
เหล่าตัวตนทรงอำนาจนิ่งงันไป
คงไม่ผิดแล้ว มันจะต้องเป็นของดีมากอย่างแน่นอน
ย้อนนึกไปถึงทัศนคติก่อนหน้านี้ของทะเลเลือด แล้วกลับมาดูท่าทีของเขาในปัจจุบัน ข้อข้องใจในหัวใจของทุกคนก็กระจ่างชัด
“ไอ้คนกลับกลอกโลภมาก…”
พวกเขาสบถด่าในความคิดอย่างเงียบๆ
เวลานั้นเอง เสี่ยวเหมี่ยวก็รู้สึกถึงบางอย่าง และหันไปยังทิศทางหนึ่ง
เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่กำลังเดินมาอย่างช้าๆ
“กู่ฉิงซาน ฉันได้ฟังเรื่องของนายจากเลดี้เทสส์แล้วนะ โชคดีจริงๆ ที่นายออกมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร” เสี่ยวเหมียวกล่าวด้วยความสุข
กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ที่ผมทำก็แค่ซ่อนตัวอยู่ในอัลเบอัสเท่านั้นเอง แต่เป็นฝั่งคุณต่างหากที่น่าเป็นห่วง ได้ยินมาว่าได้เข้าร่วมสงครามอันตรายมากๆ ด้วยนี่”
แบรี่กวาดสายตามองกู่ฉิงซานขึ้นลงๆ เพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายยังปลอดภัยดี ก่อนจะหัวเราะออกมา “เอาเหอะ โชคดีจริงๆ ที่นายปลอดภัย ฉันก็กลัวว่าจะต้องสูญเสียคนที่เพิ่งเข้าร่วมสมาคมไปเสียแล้ว”
เขาเดินไปตบไหล่ของกู่ฉิงซาน และลากตัวกู่ฉิงซานไปแนะนำให้เพื่อนๆ ของเขารู้จักทีละคน ทีละคนด้วยตัวเอง
แม้พื้นฐานวรยุทธ์ของกู่ฉิงซานจะไม่สูงอะไรมากมายนัก แต่อายุของเขาก็ยังน้อยอยู่มาก
ผู้ฝึกยุทธ์ที่สามารถก้าวขึ้นเป็นขอบเขตร่างเทวะด้วยอายุเพียงเท่านี้ ไม่ว่าจะมองมุมไหน เจ้าตัวก็นับว่าไร้ที่ติ
นอกจากนี้ กู่ฉิงซานยังได้รับการยอมรับจากแบรี่และเสี่ยวเหมียว ทำให้ตัวเขาดูมีค่ามากยิ่งขึ้น
เหล่าตัวตนทรงอำนาจต่างยิ้ม และกล่าวทักทายเขา
ทั้งหมดเคยข้ามผ่านทุกประสบการณ์อันหลากหลายในต่างโลกมามากมาย ได้พบเจอกับผู้คนมานับไม่ถ้วน ดังนั้นยิ่งได้สนทนากันมากขึ้นเท่าใด ทุกคนต่างก็เริ่มชื่นชมในตัวชายหนุ่มคนนี้มากขึ้นเท่านั้น
“อาจริงสิ แบรี่ ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ ดูเหมือนว่าการเรียกขานของวิหคหนามในคราวนี้ ผมจะไม่ได้รับอะไรที่สามารถใช้หนี้ของสมาคมได้เลย” กู่ฉิงซานกล่าว
“ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันเองก็รักษาตัวจนหายดีแล้ว ดังนั้นถ้าอยากจะออกไปหาอะไรกินข้างนอก ก็คงไม่ต้องมามัวพะวงอีกต่อไป” แบรี่ตบหน้าอกตนเอง
“มันไม่ใช่ความผิดนายหรอก ก็ใครจะไปคิดกันล่ะว่า เรื่องราวต่างๆ มันจะกลายมาเป็นแบบนี้” เสี่ยวเหมียวพูดเบาๆ
“แต่หนี้ของสมาคม…” กู่ฉิงซานลังเล
แบรี่ชี้ไปทางห้องโถงและยิ้ม “ลองเดาสิ ว่าราชินีหนามจะตอบแทนฉันด้วยอะไร?”
กู่ฉิงซานกล่าวทันที “ผมจำได้ว่าคุณได้เห็นใบรายการรางวัลแล้วใช่ไหม บนนั้นเขียนว่าพวกคุณได้สมบัติอะไรหรือ?”
“ไม่มีสมบัติอะไรเขียนเอาไว้หรอก แต่มีประโยคหนึ่งถูกเขียนเอาไว้แทน ‘หนี้ทั้งหมดของสมาคมกำปั้นเหล็ก ทางอาณาจักรหนามจะเป็นผู้รับผิดชอบชดใช้ให้เอง’”
“ใช่!! พวกเราไม่เป็นหนี้อีกต่อไปแล้ว!” เสี่ยวเหมียวปรบมือด้วยความสุข
“เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ”
กู่ฉิงซานโล่งอก และแอบคิดว่าเขานี่รอบคอบดีจริงๆ ที่เคยบอกอีเลียเกี่ยวกับเรื่องนี้
มองไปยังเสี่ยวเหมียว เขาก็เอ่ยถามออกมาอีกครั้งด้วยความสงสัย “ว่าแต่ราชินีหนามมอบรางวัลอะไรให้แก่คุณงั้นหรือ?”
“เป็นแหวน แหวนที่จะช่วยให้ฉันสามารถใช้พลังมิติได้อย่างแม่นยำ”
“หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ…”
“ใช่ ต่อจากนี้ไปหากนายต้องการจะไปที่ไหน ก็ขอให้บอกฉันได้เลย” เสี่ยวเหมียวกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
…
และแล้วในไม่ช้า เวลากล่าวยกย่องและมอบรางวัลของราชินีหนามก็มาถึงในที่สุด
ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าสู้ห้องโถง
ทหารพิทักษ์แห่งหนามเริ่มทยอยอ่านรายชื่อ
มีเพียงตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ และผู้นำกองกำลังสำคัญๆ เท่านั้นที่สามารถเข้ามาในห้องโถง และได้รับรางวัลจากราชินีหนาม…ทีละคน
เผ่าพันธุ์หนาม เป็นเผ่าพันธุ์เดียวในดินแดนอัศจรรย์ที่ยินดีจะติดต่อกับโลกภายนอก พวกเขาครอบครองสมบัตินับไม่ถ้วน แถมยังมีรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์คอยปกปัก ดังนั้นทุกคนจึงให้เกียรติแก่พวกเขามาก
ตัวตนทรงอำนาจตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นต่างมารวมตัวกันด้านนอกห้องโถง เพื่อเฝ้ารอการเรียกเข้าไปรับรางวัล
แต่ก็จะมีบ้างเป็นบางคน ดั่งเช่นบรรดาคนที่ยังอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาว ที่รู้สึกสับสนและงงงวยเกี่ยวกับมัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้อ่านรายชื่อของรางวัลของตน คนหนุ่มสาวก็ตระหนักได้ทันที ว่าที่เรียกกันว่าอาณาจักรวิหคหนาม และราชินีหนามนั้นคือสิ่งใด
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พวกเขาได้พบเจอกับอาณาจักรหนาม และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะถูกประทับลงอย่างลึกซึ้งในความทรงจำของพวกเขาและเธอ
เขาและเธอจะจดจำไปตลอดชั่วชีวิต ว่าอาณาจักรหนามในดินแดนอัศจรรย์ มิใช่สิ่งที่จะสามารถยั่วยุได้
ส่งผลให้ราชินีแห่งหนาม…ลอร่าในช่วงเวลานี้ ได้กลายเป็นหนึ่งในตัวตนอันเลื่องชื่อที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกตลอดทั้งเก้าร้อยล้านชั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
เมื่อเวลาผ่านไป ตัวตนทรงอำนาจมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มก้าวเข้ามาในห้องโถง
“สมาคมกำปั้นเหล็ก แบรี่ และเสี่ยวเหมียว” ทหารพิทักษ์ประกาศ
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวหันมายิ้มให้แก่กัน และเดินเข้าห้องโถงไป
………………………………………….
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตลอดทั้งอัลเบอัสตกอยู่ท่ามกลางงานรื่นเริงที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวา
เหล่าตัวตนทรงอำนาจจากโลกต่างๆเดินทางกลับมาด้วยชัยชนะ เกือบทั้งหมดต่างชูแขนสูง และเปล่งเสียงโห่ร้องไชโยอึกทึก
แน่นอน ว่ายังมีตัวตนทรงอำนาจบางคนที่เลือกจะปิดปากเงียบ และเผยแค่เพียงรอยยิ้มจางๆออกมาอยู่เช่นกัน
แต่ไม่ว่าทุกคนจะแสดงออกแตกต่างกันอย่างไร สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ในจิตใจของทุกคนต่างฟุ้งไปด้วยความยินดี
นี่คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบหลายพันปี!
สงครามครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจและความเชื่อมั่นที่เพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งคนกลางที่ยังลังเล ก็เริ่มกระซิบกระซาบถึงการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของระบบราชามาร
ตลอดทั้งอัลเบอัสจึงเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ฟุ้งไปด้วยความปีติยินดี
ทุกสถานที่จะได้ยินถึงเสียงของความสุขแห่งชัยชนะ
ในวันนี้
สถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นที่จดจำ
แม้ว่าจะผ่านพ้นไปอีกสิบปี หนึ่งร้อยปี หรือ หลายหนึ่งพันปีก็ตาม
อัลเบอัสจะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการเผชิญหน้าระหว่างตัวตนทรงอำนาจจากอาณาจักรทั้งปวงและระบบของราชามาร…เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะครั้งสำคัญของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล เหตุการณ์นี้จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำของทุกคนไปชั่วกาล!
ณ ส่วนลึกที่สุดของโรงแรมอัลเบอัส
ภายในโซนที่นั่งพิเศษ
ทุกชนิดของเสียงแห่งความตื่นเต้นและวุ่นวายจากภายนอก ทั้งหมดถูกตัดขาด
มีเพียงความเงียบอยู่ในสถานที่แห่งนี้
อีเลียผลักประตูเข้ามา
“ฝ่าบาท ตอนนี้เรากำลังทำการเลือกรางวัลที่จะมอบให้แก่ตัวตนทรงอำนาจจากอาณาจักรทั้งปวงอยู่ ท่านต้องการมาเลือกด้วยหรือไม่?” เธอเอ่ยถาม
“ไม่ดีกว่า เรื่องนี้เป็นเจ้าที่ทำการเลือกสรรย่อมดีอยู่แล้ว เพราะเจ้าย่อมรู้จักพวกเขาดีกว่าเรา” ลอร่าตอบกลับไป
อีเลียพยักหน้า ก้าวถอยหลัง และปิดประตู
โซนที่นั่งพิเศษเงียบลงอีกครั้ง
กู่ฉิงซานดื่มแชมเปญในแก้วจนหมด และลุกขึ้น
“กระหม่อมต้องไปแล้ว” เขากล่าว
“ไป? ตอนนี้เลยหรือ?” ลอร่าถาม
“ใช่ เพราะหากในกรณีที่มีคนเห็นกระหม่อมอยู่ที่นี่ พวกเขาจะเกิดความสงสัย และมันจะนำปัญหามากมายตามมาได้”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดจะทำอะไรต่อไป?”
“กลับไปยังโลกของตัวเอง ที่นั่นกำลังเกิดสงคราม แล้วยังมีปัญหาอีกมากมายที่จะต้องจัดการ…ไหนจะเรื่องฝึกยุทธ์ เรื่องไปพบหน้าสหายเก่า เรื่องแฟนอีก…ตอนนี้ยังมีเรื่องอีกมากมายที่กำลังเฝ้ารอให้กระหม่อมไปลงมือทำ”
ลอร่าตั้งใจฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่เมื่อได้ยินถึงสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องทำ ในหัวใจของเธอก็บังเกิดความรู้สึกเจ็บจี๊ดน้อยๆขึ้นมา
“แต่เจ้าเป็นคนกำจัดระบบของราชามารลงได้นะ เจ้า…ไม่ต้องการชื่อเสียงจริงๆ หรือ?” เธอถาม
“ย่อมไม่ เพราะด้วยอายุในปัจจุบันของกระหม่อม ชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่มันจะส่งผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม”
ไม่ทราบว่ากู่ฉิงซานกำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่ เขาถอนหายใจ “ความแข็งแกร่งของกระหม่อมยังอ่อนแอเกินไป หากกลับไปแล้วหมดเรื่องที่จะต้องจัดการ กระหม่อมอาจจะเก็บตัวสักพักหนึ่ง เพื่อทำการฝึกยุทธ์ให้แกร่งขึ้น”
ลอร่าเฝ้ามองเขา และกล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน “กู่ฉิงซาน”
“มีอะไรหรือฝ่าบาท”
“เจ้าไม่คิดว่าชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ มันช่างหนักหนาสาหัสเกินไปเลยหรือ?”
ลอร่าถามเบาๆ ด้วยความสับสนเล็กน้อย
กู่ฉิงซานตกใจ แต่เขาก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ในโลกใบนี้ไม่มีใครที่ไม่ลำบากหรอก ทุกคนเองก็ย่อมมีช่วงเวลาที่หนักหนากันทั้งนั้น”
ลอร่าไม่เข้าใจ “แต่หญิงสูงศักดิ์จากหลากหลายอาณาจักรและพันธมิตรรอบตัวเรา หลังจากที่พวกเธอก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว พวกเธอก็ล้วนแต่ใช้ชีวิตให้ผ่านพ้นไปอย่างเรียบง่าย สนุกสนานไปกับมันในทุกๆวัน”
กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ท่าทีของเขาก็เริ่มกลายเป็นจริงจังขึ้นมา
เขาตระหนักได้ว่าเวลานี้ ลอร่ากำลังอยู่ในทางแยกแห่งการเลือกเดิน
และคำตอบต่อไปนี้ของเขา จะเป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ
กู่ฉิงซานกล่าว “สำหรับเรื่องนี้ ฝ่าบาทต้องถามตัวเองก่อนว่า ท่านจะตัดสินใจเลือกเส้นทางใด”
เขากล่าวต่อ “หากฝ่าบาทเต็มใจที่จะใช้ชีวิตเหมือนกันกับพวกหญิงสูงศักดิ์ เพลิดเพลินไปกับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งของโลก ก็ไม่มีใครสามารถห้ามปรามท่านได้”
“แต่ถ้าหากฝ่าบาทไม่ยินดีที่จะเลือกหนทางนั้น แต่เต็มใจที่จะใช้ชีวิตเหมือนดั่งเช่นกระหม่อม เผชิญกับความท้าทายมากมาย และทุ่มเททำงานอย่างหนัก ฝ่าบาทก็จะสามารถไขว่คว้าข้อได้เปรียบเพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง”
“ข้อได้เปรียบอะไร?” ลอร่าเอ่ยถาม
“จะไม่มีใครสามารถควบคุมฝ่าบาทได้”
“ฝ่าบาทสามารถตัดสินใจทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง แม้กระทั่งในยามวิกฤต”
“ฝ่าบาทจะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ได้เรียนรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความลึกลับของโลกและชีวิต มีพลังอำนาจในการปกป้องผู้คนที่ท่านรัก ปกป้องทุกสิ่งที่ท่านหวงแหน”
“ฝ่าบาทจะกลายเป็นเทพสงครามแห่งโชคชะตาของตนเอง”
กู่ฉิงซานยื่นมือออกไป และสัมผัสกับหัวของลอร่าอย่างอ่อนโยน
ลอร่าเอ่ยถาม “แล้วเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเทพหรือไม่?”
“หากสิ่งที่กระหม่อมต้องเผชิญหน้าคือโชคชะตาและความใฝ่ฝันแล้วละก็…ใช่ กระหม่อมเป็นเทพสำหรับพวกมัน”
“กู่ฉิงซาน เจ้าต้องการให้เราเลือกเส้นทางสายนี้อย่างงั้นหรือ?”
“ไม่หรอก ฟังนะลอร่า ความคิดเห็นของกระหม่อมไม่สำคัญ สุดท้ายแล้วท่านต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางด้วยตัวเอง – และเมื่อตัดสินใจแล้วห้ามมาเสียใจทีหลังเป็นอันขาด เพราะนั่นคือสิ่งที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน”
ลอร่าตกลงสู่ความเงียบ
ผ่านไปนาน
เธอก็ถอนหายใจและกล่าว “ปรากฏว่าหลังจากที่ได้เป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงสถานการณ์ยากลำบากไปได้เลยสินะ”
กู่ฉิงซานหัวเราะเบาๆ
เพราะบทสนทนาดังกล่าวนี้ ระหว่างทั้งสอง มันเคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว
ในเวลานั้น พวกเขาเพิ่งจะขึ้นไปถึงยอดภูเขาน้ำแข็งของทวยเทพ ห่างจากพื้นน้ำแข็ง และพบเจอกับศพของสายพันธุ์เทพ
แม้ว่าจะหวนกลับมาคิดถึงฉากดังกล่าวในตอนนี้ มันก็ยังรู้สึกน่าหวาดกลัวอยู่ดี
ด้วยลอร่าที่เป็นเด็กสาวในวัยเจ็ดขวบ แต่แล้วกลับต้องเอาชนะเรื่องกลัวความสูง เอาชนะเรื่องมอนสเตอร์ และปีนขึ้นไปเผชิญหน้ากับเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารมากมายพร้อมกันกับเขา
ในเวลานั้น ครั้งหนึ่งลอร่าก็เคยเอ่ยถามประโยคที่คล้ายกับคำถามนี้ออกมาเช่นกัน
อย่างไรก็ตามในวันนี้ น้ำเสียงที่เธอใช้ถามออกมา มันหนักแน่น แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เด็กสาวได้ตัดสินใจเลือกแล้ว
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะย้อนนึกไปถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้
แน่นอน ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ในที่สุด
เขาถอนหายใจเล็กน้อย บรรเทาความตึงเครียดในจิตใจของตน
ลอร่าก็เหมือนจะย้อนนึกไปถึงช่วงเวลาที่ทั้งสองอยู่ร่วมกันเหมือนกัน
ครั้งแรกที่พบกัน เป็นกู่ฉิงซานที่พ่นไวน์ใส่หน้าเธอ
จากนั้นก็ทำความรู้จักกัน
เข้าสู่โลกของทริสเต้ ข้ามผ่านทุกประเภทของปัญหา อุปสรรค…ความสิ้นหวังและยากลำบากต่างๆ สำรวจความลับของโลกไปทีละขั้นๆ สังหารหนึ่งแสนกองทัพผี และสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมาร สุดท้ายก็จบลงด้วยการทำลายระบบของราชามาร
ดวงตาของลอร่าเริ่มแดงเรื่อ
ภาพความทรงจำที่ผ่านร้อนหนาวมาด้วยกัน นั้นอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ ราวกับว่าหากจะกลับไปยังจุดจุดนั้น เพียงแค่หันมองกลับไปก็ได้แล้ว
แต่เวลานี้…กู่ฉิงซานกำลังจะจากไป
เธอไม่สามารถรั้งตัวเขาไว้ที่นี่ได้อีกต่อไป
เพราะเขามีเรื่องมากมายที่จะต้องไปทำ เขามีความคิดและความตั้งใจเป็นของตัวเอง
“เรามีคำเป็นร้อยพันอยู่ในใจ แต่ไม่รู้ว่าจะเอ่ยมันออกมาบอกลาเจ้าอย่างไรดี”
ลอร่าก้มหน้าลง และกล่าวเบาๆ
กู่ฉิงซานหัวเราะ “กระหม่อมไม่ได้ออกจากโลกเก้าร้อยล้านชั้นไปเสียหน่อย เดี๋ยวในงานมอบรางวัลกระหม่อมก็จะไปอยู่ด้วยกันกับแบรี่และเสี่ยวเหมียวนั่นแหละ”
ในเวลานั้นเอง อีเลียก็ผลักประตูเข้ามา
“ฝ่าบาท พวกเราพร้อมแล้ว งานจะเริ่มต้นขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมง” เธอกล่าว
ทหารพิทักษ์หญิงหลายคนเดินตามอีเลียเข้ามา โดยแต่ละคนถือเสื้อคลุม มงกุฎ คทา รองเท้าส้นสูง และเครื่องประดับมากมาย
กู่ฉิงซานไม่พูดอะไรอีกต่อไป
เขามองลอร่าและเตรียมที่จะจากไป
“อืม…”
ลอร่าเผยอปาก กระซิบเสียงต่ำโดยไม่รู้ตัว แต่สุดท้ายก็ปิดปากแน่น
ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน กู่ฉิงซานจู่ๆก็เผยท่าทีลังเลเล็กน้อยออกมา –
วันคืนที่ได้ต่อสู้เคียงข้างกัน ย่อมไม่มีทางลืมเลือน และเขาจะจดจำมันไว้ตลอดไป
มองไปยังเด็กสาวตัวน้อย กู่ฉิงซานคล้ายกับว่ากำลังเห็นถึงตัวเองในครั้งอดีต
ตามสามัญสำนึกแล้ว ด้วยอายุของลอร่า เธอควรที่จะอยู่ภายใต้อ้อมอกของพ่อแม่ และเพลิดเพลินไปกับความสุขในการใช้ชีวิต
แต่ตอนนี้ เธอเป็นกำพร้าที่ไร้ซึ่งครอบครัว
เธอกลายเป็นราชินีและกำลังจะปกครองทุกสิ่งในประเทศ
วันเดือนปีนับจากนี้ เธอจะต้องพบเจอกับเรื่องยากลำบากอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
และเธอจะต้องรับมือกับมันทั้งหมดด้วยตัวเอง
ในเรื่องนี้ไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้
เพราะตำแหน่งกษัตริย์ มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นจึงจะได้ครอบครอง
ดังนั้นทุกสิ่งอย่าง เธอจะต้องเป็นคนตัดสินใจมันด้วยตัวเอง
นี่เป็นวิธีเดียวที่จะเติบโตขึ้นได้
กู่ฉิงซานยิ้ม กล่าวเสียงกระซิบ “ลอร่า กระหม่อมคงต้องขอตัวก่อน แล้วไว้พบกันใหม่ในห้องโถงนะ”
เขาโบกมือลา และเดินออกจากห้องโซนพิเศษไป
ขณะที่ลอร่าไม่ได้ตอบอะไรเขา
ทหารพิทักษ์ค่อยก้าวเข้ามา และเริ่มแต่งตัวให้แก่ลอร่าอย่างเบามือ
เหลือเวลาอีกเพียงแค่ชั่วโมงเดียว ดังนั้นพวกเธอคงจะต้องเร่งมือหน่อยแล้ว
ผ่านไปพักหนึ่ง
ทหารพิทักษ์หญิงก็เอ่ยเสียงกระซิบ
“ฝ่าบาท โปรดเงยหน้าขึ้นเถอะ มิเช่นนั้นมงกุฎที่สวมอยู่อาจจะร่วงตกลงมาได้นะเพคะ”
………………………………………………
ในพริบตา ทิศทางของสงครามขั้นแตกหักระหว่างโลกเก้าร้อยล้านชั้นก็ได้หักเหไปอย่างรวดเร็ว
จอมมารที่แท้จริงได้จากไปอย่างกะทันหัน พร้อมกันกับกองทัพของเขา
ตัวตนทรงอำนาจ พันธมิตร อาณาจักรและองค์กรต่างๆ ของโลกเก้าร้อยล้านชั้น ทั้งหมดแข็งค้าง นิ่งงันอยู่ในสถานที่เดิม
“พวกมันหนีไปอย่างงั้นหรือ?” บางคนเอ่ยถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“น่าจะเป็นแบบนั้นนะ…แต่บางทีมันอาจจะเป็นกับดักก็ได้” อีกคนพูดอย่างไม่มั่นใจ
ฝูงชนอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเสี่ยวเหมียว
เพราะท้ายที่สุดนี้ ทุกคนต่างรู้ดีว่าพลังมิติของเสี่ยวเหมียวร้ายกาจเพียงใด ดังนั้นหากเป็นเธอ ย่อมต้องรู้แน่ๆ ว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันคืออะไร
เสี่ยวเหมียวทำการรับรู้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า “การส่งผ่านจากรอยแยกมิติได้หายไป ดูเหมือนว่ามารที่แท้จริงจะถอยทัพกลับไปยังดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูแล้ว!”
เมื่อได้ยินถึงคำประกาศนี้ ความปั่นป่วนก็ระเบิดขึ้นท่ามกลางฝูงชน
เพราะมันน่าแปลกเกินไป ชัดเจนว่าสงครามกำลังดำเนินมาถึงจุดสูงสุด
เห็นได้ชัดว่าจอมมารที่แท้จริงกำลังจะปรากฏตัวออกมา
แต่ทำไม…มารที่แท้จริงถึงเลือกที่จะถอยทัพกลับไปอย่างกะทันหันล่ะ?
ผู้นำพันธมิตรและองค์กรต่างๆ เริ่มใช้สมาธิไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง
ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งของผู้หญิงก็ดังขึ้น
จิตวิญญาณพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ เลดี้เทสส์ เอ่ยปากออกมา “เราทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“เนื่องจากเดิมทีแล้วเป้าหมายของพวกมันคืออัลเบอัส พวกมันต้องการที่จะปลดปล่อยโลกของทริสเต้ เพื่อช่วยให้ระบบของราชามารแพร่กระจายออกมาสู่ชั้นโลกโดยรอบ”
“อย่างไรก็ตาม ระบบของราชามารตอนนี้ได้ถูกทำลายลงไปแล้ว!”
“มารที่แท้จริงมิอาจบรรลุเป้าหมายของตนเองได้อีกต่อไป ดังนั้นพวกมันจึงถอนกองทัพกลับไป!”
รับฟังจนจบ หัวใจของผู้คนก็ราวกับถูกสั่นสะท้าน ทั้งหมดหมดต่างระเบิดเสียงฮือฮาออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“แล้วเป็นใครกัน ที่ทำลายระบบของราชามาร และจบทุกอย่างลง” บางคนทนไม่ไหว ต้องเอ่ยถามออกมา
“เหมันต์ยามค่ำอีเลีย”
เธอนั่นเอง!
คนแล้วคนเล่าเริ่มเข้าใจในทันใด
“งั้นหมายความว่าสมบัติเหล่านี้ ก็เป็นเธอที่ส่งมาช่วยเหลือพวกเราเหมือนกันใช่ไหม?” อีกคนหนึ่งถาม
“แน่นอนว่าไม่ เพราะไม่มีใครสามารถสั่งรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามได้ยกเว้นเชื้อพระวงศ์แห่งหนาม ดังนั้นสมบัติเหล่านี้สมควรเป็นฝีมือของราชินีองค์ใหม่แห่งอาณาจักรหนาม” เทสส์ตอบ
เมื่อเธออธิบายจบ ก็บังเกิดฉากอันน่าตื่นตาตื่นใจขึ้น
ไอเท็มทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ เกราะรบ หรือสมบัติ ต่างก็หลุดจากการควบคุมของผู้คน ลอยกลับไปยังรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว
“อืม…”
ตลอดทั้งสนามรบ มันช่วยไม่ได้เลยที่ผู้คนจะพากันถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย
แต่ทุกคนก็รู้ดี ว่าพวกเขาไม่สมควรหวงแหนในสมบัติเหล่านั้น
เพราะถึงแม้รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามจะไม่เคยมีความคิดริเริ่มที่จะต่อกรกับสิ่งมีชีวิต แต่หากมีใครกล้าที่จะไปกระตุ้นมันแล้วล่ะก็…
เอาเถอะ อย่างน้อยแค่ได้ลองใช้สมบัติของอาณาจักรหนามครั้งหนึ่งในชีวิต แค่นี้ก็รู้สึกว่าเป็นบุญมากแล้ว
เหล่าตัวตนทรงอำนาจค่อยๆ สลายความเสียดายเล็กน้อยนี้ออกจากจิตใจ
แล้วแต่ละคนก็เริ่มทยอยกันโห่ร้องออกมา
“พวกเราชนะแล้ว!”
“ระบบของราชามารม้วนหางกลับไปยังดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูแล้ว!”
“นี่เจ้าเห็นหรือเปล่า ว่าพวกมารที่แท้จริงนั้นขี้ขลาดเพียงใด?”
“ฮะฮ่าฮ่า! ชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่!”
…
ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อย
ภายในโรงแรมอัลเบอัส
ระหว่างที่รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นในสนามรบ และสงครามใกล้จะถึงจุดสิ้นสุด
ลอร่าก็เสร็จสิ้นการร่ายมนตราของเธอ ทุกชนิดของไอเท็มได้ถูกส่งออกไป
กู่ฉิงซานถอนหายใจ “กระหม่อมว่าสกิลนี้ไม่ควรจะถูกเรียกว่าเจตจำนงแห่งกษัตริย์ แต่มันน่าจะมีชื่อว่า คำอวยพรแห่งกษัตริย์เสียมากกว่า”
เพราะสกิลดังกล่าว เป็นการสนับสนุนจากระยะไกลที่ฉีกกฎของมิติและเวลา สามารถช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ , มอบอุปกรณ์ และเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ให้แก่เป้าหมายได้
ถึงแม้ในความเป็นจริงแล้ว กระบวนการทั้งหมดนี้ ผู้ที่มีส่วนร่วมจริงๆ จะเป็นรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามก็ตาม
แต่ในเวลานี้ ตลอดทั้งหมื่นโลกา นอกเหนือไปจากลอร่า ยังจะมีผู้ใดอีกที่ได้รับความโปรดปรานจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์อยู่อีกหรือ?
ในสงครามครั้งใหญ่เช่นนี้ พรสวรรค์ของเธอนับว่ามีประโยชน์มากจริงๆ
ลอร่ากล่าว “หากเป็นเจ้า เราจะไม่เรียกสมบัติกลับคืน แต่คนเหล่านั้นไม่ได้สนิทสนมอันใดกับเรา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถมอบสมบัติของอาณาจักรให้แก่พวกเขาได้”
พอได้ยินประโยคดังกล่าว หัวใจของกู่ฉิงซานก็กระตุกไหว เขานึกได้ทันทีถึงเรื่องสำคัญบางอย่าง
“ลอร่า”
“ว่าไง?”
“หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ท่านจะต้องประกาศเตรียมงานยกย่องและมอบรางวัลให้แก่เหล่าตัวตนทรงอำนาจด้วยนะ”
“แต่พวกเขาจะมาเข้าร่วมงานหรือ?” ลอร่าถาม
“พวกเขาจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
กู่ฉิงซานหัวเราะ “และหากท่านทำเช่นนั้น มันจะเป็นการเพิ่มชื่อเสียงให้แก่ตัวท่านเองเป็นอย่างมาก”
อีเลียคิดและกล่าว “แต่ปัญหาเดียวก็คือ ทางอาณาจักรสมควรจะมอบอะไรให้แก่พวกเขาดี?”
ลอร่าตบลงบนโต๊ะ “ไว้ค่อยคิดก็ได้ แต่เราตัดสินใจแล้ว ว่าจะประกาศออกไปตามนี้”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
อีเลียและทหารพิทักษ์แห่งหนามตนอื่นๆ ตอบเป็นเสียงเดียวกัน
อีเลียเดินออกจากโซนที่นั่งพิเศษทันทีและกล่าว “เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมสถานที่มอบรางวัลทันที”
หนึ่งในทหารพิทักษ์เอ่ยปาก “ส่วนทางเรา จะไปหาสถานที่กักขังทริสเต้ก่อนเป็นอันดับแรก”
“จริงสิ ข้าลืมไปเลย งั้นไปเถอะ ข้าจะไปกับพวกเจ้าก่อน” อีเลียกล่าว
ว่าจบ ทั้งหมดก็พาทริสเต้ออกจากที่นั่งโซนพิเศษ
เวลานี้ ภายในโซนพิเศษจึงเหลือแค่กู่ฉิงซานกับลอร่าเท่านั้น
ลอร่านั่งลงบนโซฟากว้าง ทิ้งตัวลงบนเบาะนุ่มนิ่มแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
กู่ฉิงซานก็เช่นกัน
เขารออยู่ไม่กี่ลมหายใจ เมื่อไม่ตกอยู่ในสายตาของผู้ใด ตนก็หยิบแชมเปญออกจากถังน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยเครื่องดื่มหลากชนิดขึ้นมา
เป๊าะ!
จุกก๊อกถูกเปิดออก พร้อมกับฟองแชมเปญที่ฟูฟ่องออกมา
“ขวดที่สามแล้วนะนั่น ว่าแต่ทำไมคราวนี้ถึงเลือกแชมเปญล่ะ?” ลอร่ามองเขา
“เพราะแชมเปญเหมาะที่จะใช้เปิดงานเฉลิมฉลอง และตอนนี้ก็ได้เวลาที่ พวกเราจะต้องฉลองกันจริงๆ แล้ว!” กู่ฉิงซานหัวเราะ
“ฉลองงั้นหรือ?”
“ใช่ เพราะตอนความทรงจำของทริสเต้ เมื่อเวลานี้มาถึง จอมมารที่แท้จริงก็จะทำการเชื่อมต่อกับโลกของทริสเต้ได้อีกครั้ง”
“และเมื่อเขาพบว่าปฏิวัติได้ถูกทำลายลงแล้ว เขาจะต้องเลือกหนทางที่มันชาญฉลาด ลดการสูญเสียลงให้น้อยที่สุดอย่างแน่นอน”
ลอร่าตะลึง “หมายความว่ามารที่แท้จริงจะล่าถอยออกไปงั้นหรือ?”
“อืม และสงครามก็สมควรจะจบลงเช่นกัน”
กู่ฉิงซานเทแชมเปญลงในแก้วของตัวเอง และยกมันขึ้นดื่มอย่างช้าๆ
“เรานึกไม่ถึงเลยว่าสงครามขั้นแตกหักของโลกเก้าร้อยล้านชั้นจะสิ้นสุดลงอย่างกะทันหันแบบนี้” ลอร่าถอนหายใจ
“แล้วมันไม่ดีหรือไง?” กู่ฉิงซานหัวเราะ “พวกเราสามารถโค่นระบบของราชามารลงได้ นั่นหมายถึงสามารถป้องกันอุบัติเหตุและความสูญเสียมากมายที่จะเกิดขึ้นจากสงครามได้นะ”
“มันก็ดีจริงๆ นั่นแหละ”
“โอ้ใช่สิ กระหม่อมมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะถามฝ่าบาท” กู่ฉิงซานกล่าว
“ว่ามาสิ” ลอร่าอนุมัติ
“ในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู ระบบของราชามารวิวัฒนาการไปถึงขั้นไหนแล้ว?”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นขั้นที่สูงกว่าปฏิวัตินะ แต่เราลืมชื่อของมันไปแล้ว”
“มันแข็งแกร่งมากหรือไม่?”
“แน่นอนว่ามาก มารที่แท้จริงทุกตนล้วนทำการดาวน์โหลดระบบหลักที่ว่านั่น ส่งผลให้ความแข็งแกร่งของมารที่แท้จริงทิ้งห่างจากอสุรกายประเภทอาวุธอยู่มากโข”
กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ
ดูเหมือนว่าเวลานี้ยังไม่ใช่โอกาสที่ดี ที่เขาจะต่อกรกับระบบหลักของราชามาร
เพราะฝ่ายตรงข้ามทรงพลังเกินไป
ดังนั้นตัวเองจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้มากยิ่งกว่านี้โดยเร็วที่สุด
เขาหันไปมองหน้าต่างเทพสงคราม และกำลังจะเลือกดูในส่วนของภารกิจเทพสงคราม
แต่ลอร่ากลับเอ่ยปากออกมาเสียก่อน “กู่ฉิงซาน เรามีความลับจะบอกเจ้า”
กู่ฉิงซานจึงไม่มีทางเลือกนอกจากปัดหน้าต่างทิ้งไปก่อนและเอ่ยถาม “ความลับอะไรงั้นหรือ?”
ลอร่าหันไปมองรอบๆ และเมื่อเห็นว่าโซนที่นั่งพิเศษไม่มีใครอยู่อีก กระทั่งประตูห้องก็ยังปิด เธอจึงยอมเฉลยออกมา “พรสวรรค์ที่สามของเราตื่นขึ้นมาแล้ว”
“ถ้าเรื่องนั้นกระหม่อมได้ยินที่ฝ่าบาทพูดตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว”
“พรสวรรค์แรกคือที่ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกา สองคือเจตจำนงแห่งกษัตริย์ แต่พรสวรรค์ที่สามล่ะคืออะไร? เจ้าลองเดาดูสิ”
“กระหม่อมไม่ขอเดาหรอก แต่ในเมื่อยังไม่มีใครได้เห็น ก็จงเก็บมันไว้เป็นไพ่ตายที่กว่า ขอแนะนำว่าท่านอย่าเปิดเผยมันออกมา และเก็บมันไว้ให้มิดชิดจะดีที่สุด” กู่ฉิงซานแนะนำอย่างจริงจัง
ลอร่าพอได้ฟังก็รู้สึกผิดหวัง “พรสวรรค์นี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องปิดบังอะไรถึงขนาดนั้นหรอก”
“อย่าคิดแบบนั้นจะดีกว่า ท่านก็รู้ดีนี่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันเป็นยังไง”
“…เอาเถอะ สรุปสั้นๆ ว่าเราอยากจะบอกเจ้าก็แล้วกัน”
ลอร่ากล่าว และยื่นมือของเธอออกไปคว้าในอากาศที่ว่างเปล่า
ด้วยการเคลื่อนไหวของเธอ มือเล็กก็ผลุบหายเข้าไปในมิติ คว้านลึกลงไปเกือบทั้งแขนของเธอ ราวกับว่าเธอได้ฉีกมิติไปยังพื้นที่อื่น
“เกิดอะไรขึ้นกับมือของท่าน?” กู่ฉิงซานผงะตกใจ
“ไม่มีอะไรหรอก เราแค่กำลังพยายามจะสัมผัสอะไรสักอย่าง” ลอร่ากล่าว
สัมผัสอะไรสักอย่างงั้นหรือ?
กู่ฉิงซานเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด
จากการเคลื่อนไหวของลอร่า เหมือนว่ากับมือของเธอที่ยื่นออกไปจะกำลังควานหาอะไรบางอย่างอยู่จริงๆ
เท่าที่ดู ท่าทีมันก็คล้ายกับการควานหาสมบัติอยู่เหมือนกัน
สักพักหนึ่ง ดวงตาของลอร่าก็เปล่งประกายสดใส
“เราจับมันได้แล้ว!” ลอร่าอุทานด้วยความดีใจ
เห็นแค่เพียงมือของเธอก็ถอนออกจากในอากาศที่ว่างเปล่า
พร้อมกับโล่สีม่วงเล็กๆ ที่ติดมือเธอกลับมา
ลอร่ามอบมันให้แก่กู่ฉิงซานและกล่าว “ดูนี่สิ นี่คือพรสวรรค์ใหม่ของเราล่ะ!”
กู่ฉิงซานรับเอาโล่กลมสีม่วงมา และสำรวจมันอย่างไม่แน่ใจ
ตลอดทั้งโล่ดูละเอียดอ่อนและประณีตเป็นอย่างมาก มันไม่หนักมากจนเกินไป
บนผิวโล่ ปรากฏถึงอำนาจบางอย่างที่กู่ฉิงซานไม่สามารถเข้าใจได้แผ่ออกมา
ขณะเดียวกัน บรรทัดเส้นแสงบนหน้าต่างเทพสงครามก็ผุดเตือนขึ้น
“ชื่อไอเท็ม โล่ของนายพลปีศาจแห่งกองทัพพันธมิตร”
“คุณภาพ มหากาพย์”
“พลังเฉพาะตัว หยิบยืมอำนาจจากอากาศธาตุ โล่ใบนี้สามารถทานทนต่อการโจมตีทางมนตราส่วนใหญ่ได้”
“วิชายุทธเทพสงคราม โล่ใบนี้ถูกสร้างขึ้นสำหรับนายพลปีศาจ ไม่มีสกิลใดที่สามารถเรียนรู้ได้”
“คำอธิบายพงศาวดารวันสิ้นโลก นี่คือโล่รุ่นใหม่ล่าสุดของนายพลปีศาจแห่งกองทัพพันธมิตร”
กู่ฉิงซานที่กำลังถือโล่ในมือนิ่งค้าง ตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง
ถึงจะไม่ใช่อุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่โล่นี่ก็นับว่าเป็นของดีทีเดียว
“เอ่อ…นำโล่ออกมา นั่นคือพรสวรรค์ที่สามของฝ่าบาทอย่างงั้นหรือ?” เขาถาม
“คนโง่ ไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย” ลอร่าบ่น
คล้ายกับว่าเธอจะโกรธเล็กน้อย เลยยื่นมือเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่า และทำการควานหาอีกครั้ง
ไม่นานนัก
ลอร่าก็จับได้ถึงอีกสิ่งหนึ่ง และรีบกระชากมือของเธอกลับมาอย่างรวดเร็ว
คราวนี้ในมือของเธอเป็นกระบี่ยาว
กระบี่ยาวถูกโยนให้กับกู่ฉิงซาน ลอร่าบ่นฮึดฮัด “เอ้า คราวนี้เจ้าลองตรวจดูอีกครั้งสิ”
กู่ฉิงซานมองลงบนกระบี่ยาว และตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง
นี่เป็นกระบี่ยาวที่อยู่ในระดับตำนาน คืออาวุธเย็นที่ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นที่สามารถได้มาครอบครองด้วยโชค มิใช่การค้นหา
“นี่มันของดีนี่นา!” กู่ฉิงซานอุทาน “กระหม่อมพอจะเข้าใจพรสวรรค์ที่สามของฝ่าบาทแล้ว มันคือสกิลที่ช่วยให้ฝ่าบาทสามารถนำสมบัติจากอาณาจักรออกมาได้ตลอดเวลาใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่” ลอร่าปฏิเสธ
‘คราวนี้ก็ยังเดาไม่ถูกหรือ?’ กู่ฉิงซานงุนงงเล็กน้อย
ก็ถ้าไม่ใช่อย่างที่ว่า แล้วโล่กับกระบี่นี่มันมาจากที่ไหนกัน?
“พรสวรรค์ที่สามของเรามีชื่อว่า ‘นักสะสมขุมทรัพย์พเนจร’” ลอร่าอธิบาย
นักสะสม…
ขุมทรัพย์พเนจร?
กู่ฉิงซานนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตะโกนด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “อย่าบอกนะว่า…”
ลอร่าพอเห็นว่าเขาเข้าใจ ก็ยืดอกกล่าวอย่างภาคภูมิ “ใช่แล้ว! ในตลอดโลกเก้าร้อยล้านชั้น สมบัติใดที่สาบสูญ กระจัดกระจาย และไร้ซึ่งเจ้าของ จะไม่สามารถหลีกลี้จากพรสวรรค์นี้ของเราไปได้”
“ทุกครั้งที่เราใช้ออกด้วยสกิลนี้ เราจะสามารถควานหาสมบัติเหล่านั้นจากในอากาศที่ว่างเปล่าได้เลยโดยตรง”
กู่ฉิงซานคิดอย่างรอบคอบและเอ่ยถาม “แต่พรสวรรค์ที่ร้ายกาจเช่นนี้ ราคาที่ต้องจ่ายออกในการใช้มันคงจะสาหัสไม่น้อย”
“อืม มันก็เป็นอย่างที่เจ้าว่ามานั่นแหละ”
“แล้วราคาใดกันที่จะต้องจ่ายออก?” กู่ฉิงซานเริ่มกังวล
“ใช้มันทีไร เรามักจะรู้สึกหิวทุกทีเลย…”
………………………………………………..
ในมิติที่ว่างเปล่า
สงครามตกอยู่ในสภาวะเลวร้ายสุดขีด
ชั่วขณะหนึ่ง จู่ๆมารที่แท้จริงก็ถอยทัพกลับไปในเวลาเดียวกัน
การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติอย่างกะทันหันนี้ ส่งผลให้เหล่าตัวตนทรงอำนาจต่างเพิ่มความระมัดระวังขึ้นทันที
“พวกมันเตรียมจะปลดปล่อยเทคนิคอะไรหรือเปล่า?” แบรี่ถุยฟองเลือดและเอ่ยถาม
“อ้าว นี่เจ้ายังไม่ตายอีกหรือ?” จอมมารทะเลเลือดกล่าวพลางอ้าปากหอบหายใจ
แล้วเขาก็พาตัวแบรี่ถอยกลับมาข้างกายเสี่ยวเหมียว
“นี่แกคิดจะทำอะไร?” แบรี่สงสัย
“เจ้าหลุดจากสภาวะต่อสู้แล้ว ข้าจึงพาเจ้ากลับมายังกำแพงทะเลเลือดของข้า เพื่อให้มันใช้ปกป้องเจ้า” จอมมารทะเลเลือดกล่าวอย่างจริงจัง
แบรี่มึนงงทันใด
จริงสิ ช่วงเวลาใดก็ตามที่เขาอยู่ในสภาวะต่อสู้ ไม่ว่ายังไงตัวเองก็จะไม่ตาย แต่ตอนนี้ทั้งศัตรูและตนเองได้ถูกแยกออกจากกันแล้ว ดังนั้นสภาวะต่อสู้ของเขาจึงยุติลง
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ดูเหมือนว่าจริงๆแล้วทะเลเลือดเองก็ดูจะใส่ใจเขาอยู่เหมือนกัน
แบรี่ก้มลงมองไปยังถุงมือเหล็กของเขา
และพบว่าตลอดทั้งถุงมือ บัดนี้แตกร้าว เสียหายไปแล้วโดยสมบูรณ์
การต่อสู้ในครั้งนี้มันดุเดือดมากเกินไป เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองได้สังหารศัตรูไปมากเท่าไหร่แล้ว
จากนี้ไป การต่อสู้คงจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น และตนเองคงจะไม่สามารถปกป้องบางคนที่อยู่เบื้องหลังได้อีกต่อไป
ให้ตายเถอะ!
ทำไมมารที่แท้จริงมันถึงได้บ้าคลั่งขนาดนี้นะ!
แบรี่ลอบสบถในจิตใจ
เสี่ยวเหมียวเอ่ยปากขึ้นทันใด “ทุกคนระวังตัวให้ดี! ฉันสัมผัสได้ว่ารอยแยกมิติกำลังขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และที่พวกมารที่แท้จริงมันถอยกลับไป ก็เป็นเพราะต้องการปกป้องรอยแยกมิติที่ว่านั่น!”
ข้ามูลนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งสนามรบอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเหล่าผู้คนมองไปยังมารที่แท้จริง…พวกเขาก็พบว่าพวกมันกำลังตั้งแนวป้องกันอย่างเต็มที่ ชนิดที่ว่าต่อให้ตายก็จะไม่ยอมละทิ้งตำแหน่งของตนเองไป
ชายแก่คนหนึ่งบินเข้ามา และเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา “แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันต่อดี?”
เสี่ยวเหมียวถอนหายใจ “ในส่วนนี้ฉันไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย อีกฝ่ายที่กำลังผ่ารอยแยกมิติมาแข็งแกร่งเกินไป ฉันไม่สามารถปิดกั้นการมาถึงของเขาได้”
“นั่นเจ้ากำลังจะบอกว่า…”
“ใช่ จอมมารที่แท้จริงกำลังจะมาแล้ว”
ทุกคนจมลงสู่ความเงียบ
จอมมารที่แท้จริง…ตัวตนทรงอำนาจมากที่สุดในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น กำลังจะก้าวเข้าสู่สนามรบ!
แต่ในจังหวะนั้นเอง ทั้งหมดก็ราวกับตระหนักได้ถึงบางสิ่งพร้อมๆกัน
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับหลังไป
เห็นแค่เพียงต้นไม้ใหญ่ปรากฏขึ้นตรงตำแหน่งเบื้องหลังของพวกเขา
มันคือต้นไม้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจอันไร้ที่สิ้นสุด เป็นการดำรงอยู่อันแข็งกร้าวในโลกตลอดทั้งเก้าร้อยล้านชั้น
“นั่นรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม!”
“มันมาที่นี่ได้อย่างไร?”
“แปลกจัง ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ารุกขชาติศักดิ์สิทธิ์จะเข้ามามีส่วนร่วมในสงครามด้วย แต่จู่ๆ มันกลับปรากฏขึ้นที่นี่”
“ฉันรู้แล้ว! นี่จะต้องเป็นกำลังเสริมจากอาณาจักรหนามแน่ๆเลย!”
ผู้คนเริ่มร้องตะโกนออกมา
ยังไงก็ตาม ถึงจะบอกว่าเป็นกำลังเสริมก็เถอะ แต่ทำไมถึงไม่เห็นคนของทางฝั่งอาณาจักรหนามเลยล่ะ?
ขณะที่ทุกคนกำลังสงสัย บนรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม ใบสีมรกตทั้งหมดบนต้นของมันพลันสาดแสงขึ้นพร้อมกัน
บนใบไม้ ปรากฏถึงรอยแยกมิติเล็กๆที่ถูกเปิดออก
ตามต่อด้วยสมบัตินับไม่ถ้วน สาดประกายแสงพร่างพราวบินออกมาจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์
ส่งผลให้ฉากนี้ราวกับพายุแสงกระหน่ำ
และคล้ายกับว่าสมบัติเหล่านี้มีจิตนึกคิดเป็นของตนเอง มันกระจายไปยังตัวตนทรงอำนาจในสายอาชีพต่างๆ
นักดาบจะไม่ได้รับกระบี่
นักสู้จะไม่ได้รับไม้เท้ามนตรา
มืออาชีพชายจะไม่ได้รับเกราะรบหญิง
แต่ทุกคนจะได้รับไอเท็มที่เหมาะสมกันกับตนเอง
เห็นแค่เพียงหินสีแดงเข้มก้อนหนึ่งที่ส่องแสงระยิบระยับ ลอยตกลงมาเบื้องหน้าจอมมารทะเลเลือดอย่างเงียบๆ
จอมมารทะเลเลือดลองชี้นิ้วสัมผัสลงบนหิน
วินาทีต่อมา สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนกลับกลาย และคว้าจับมันอย่างไม่ลังเล
ทันใดนั้นหินสีแดงเข้มก็ผลุบหายเข้าไปในร่างกายของเขาทันที
พริบตานั้น ทั้งคนทั้งร่างของจอมมารทะเลเลือดก็สั่นสะท้านไปถึงจิตวิญญาณ
“เฮ้ เป็นอะไรไป?” แบรี่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
จอมมารทะเลเลือดกล่าว “นี่คือหินแห่งปัญญานิรันดร์ มันจะปรากฏขึ้นเฉพาะแค่ในส่วนลึกของดินแดนอัศจรรย์ เป็นสิ่งที่ยากนักจะพบเจอ”
“ยังไงก็ตาม หากได้พบกับมันแล้วล่ะก็ อำนาจมนตราที่สูญเสียไปของคนผู้นั้นจะถูกฟื้นฟูกลับคืนทันที นอกจากนี้ปริมาณของอำนาจมนตรายังเพิ่มสูงขึ้นถึงหนึ่งในสิบส่วนอย่างถาวรอีกด้วย!”
“แต่นี่มัน…”
“อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ นี่คือสมบัติของอาณาจักรหนาม” จอมมารทะเลเลือดกล่าวด้วยอารมณ์ “ดูเหมือนว่าพวกเขาเองก็เข้าร่วมสนับสนุนในสงครามครั้งนี้ด้วย”
เสี่ยวเหมียวกล่าว “แต่ตามข้อมูลที่ฉันได้รับมา ราชาและราชินีแห่งอาณาจักรหนามได้ตายไปแล้วตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของสงคราม บางทีที่สมบัติมากมายของพวกเขาถูกส่งออกมานี้ มันอาจจะเป็นเพียงเพื่อการแก้แค้นก็ได้นะ”
ว่าจบ เธอก็ยกกระบองสั้นที่เพิ่งได้รับขึ้นมา
รอบๆกระบองสั้น ฟุ้งไปด้วยมิติที่ฉีกขาด สั่นสะเทือน บิดเบี้ยว และแตกร้าว
‘กระบองกายสิทธิ์ มิติสิ้นโลกของสรรพชีวิต’ เสี่ยวเหมียวถอนหายใจ “ฉันเคยคิดว่าเจ้าสิ่งนี้มันมีอยู่แค่ในตำนานเสียอีก ไม่นึกเลยว่ามันจะถูกเก็บเอาไว้ในรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมตลอดเวลาที่ผ่านมา ถึงไม่มีใครสามารถค้นพบมันได้”
“ถ้าแม้กระทั่งกระบองกายสิทธิ์ในตำนานก็ยังถูกนำออกมา…ดูเหมือนว่าวิหคนามจะโกรธแค้นมากจริงๆ” จอมมารทะเลเลือดครุ่นคิด
แบรี่ไม่เอ่ยคำใด
เพราะเวลานี้ เขากำลังจ้องมองไปยังอากาศที่ว่างเปล่าเบื้องหน้าตนเองด้วยความประหลาดใจ
ปรากฏให้เห็นถึงถุงมือหนังคู่หนึ่งที่สาดแสงทะมึน ลอยอยู่บริเวณหน้าอกของเขา
แบรี่เพ่งสำรวจถุงมือหนังนี้ ก่อนจะก้มลงมองถุงมือเหล็กที่แตกร้าวไปทั่วของตน -เขารีบเปลี่ยนมันทันทีอย่างไม่ลังเล
เพียงสวมใส่ถุงมือคู่ใหม่ ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ระเบิดพลังออกมาจนสั่นสะท้าน
ขณะเดียวกัน ก็บังเกิดสะเก็ดไฟปะทุขึ้นมาเป็นระยะๆ จากรอบตัวของถุงมือหนังสีดำ
แบรี่เหวี่ยงกำปั้นของเขาออกไปเบาๆ
เปรี้ยง!
เปลวไฟลุกไหม้ขึ้นในมือของเขา!
“‘สิ่งประดิษฐ์เทวะที่สามแห่งเปลวเพลิง เถ้าแห่งมังกรมนตรา’ นี่มันสิ่งที่ฉันใฝ่ฝันถึงเสมอมา…” แบรี่กล่าวเสียงกระซิบ
แล้วเจ้าตัวก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง เขายกศีรษะขึ้น
เห็นแค่เพียงชุดเกราะสีเข้มตกลงมาจากฟากฟ้า กำลังแยกตัวออกเป็นหลายสิบชิ้น และประกบเข้าตามร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว
แบรี่ในสภาพสวมเกราะรบทั้งตัวชูกำปั้นของเขาขึ้น และพยายามรับรู้ถึงมันอย่างเงียบๆ
“ตอนนี้ ขอบอกเลยว่าหากใครคิดจะหยุดฉัน ก็คงฉุดไม่อยู่แล้ว”
เสียงแหบห้าวของเขาดังออกมาจากเบื้องหลังเกราะหมวก
ในเวลานี้ ทุกคนต่างก็เงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า
ชุดเกราะรบนับไม่ถ้วน อาวุธ และสมบัติมากมายร่วงลงจากฟากฟ้า ไอเท็มชิ้นแล้วชิ้นเล่าลอยไปหาผู้ที่เหมาะสมจะใช้งานพวกมัน
ท่ามกลางสนามรบ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นแบรี่ เสี่ยวเหมียว หรือจอมมารทะเลเลือด ต่างก็ได้รับสมบัติอันแสนเหลือเชื่อ
“นี่มันจะน่าทึ่งเกินไปแล้ว!”
“จะต้องเป็นราชวงศ์หนามแน่ๆ! นอกเหนือไปจากพวกเขาแล้ว คงไม่มีใครสามารถสั่งการให้รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือได้อีก!”
“ขอบคุณนะวิหคหนาม!”
หลายคนตะโกนสรรเสริญออกมา
ในแนวหน้า ตัวตนทรงอำนาจเกือบทั้งหมด ความแข็งแกร่งของพวกเขาทวีสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ผู้หญิงคนที่ตลอดทั้งร่างของเธอกำลังสาดแสงขาวบริสุทธิ์ออกมา ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า
เธอเปล่งเสียงด้วยความยินดี “ขอบคุณสำหรับน้ำใจของอาณาจักรหนาม ที่ทำให้ตอนนี้พลังทั้งหมดของข้าสามารถฟื้นฟูกลับมาได้แล้ว ช่างมาได้ถูกจังหวะดีจริงๆ”
ว่าจบ เธอก็เริ่มขับขานบทเพลงออกมาเบาๆ
เสียงอันไพเราะและอ่อนโยนของเธอ ก้องกังวานไปตลอดทั้งโลกหลายสิบชั้นจากรอบตัว
ท่ามกลางการขับขาน ม่านแสงเจ็ดสีก็เริ่มผุดออกมาจากในมิติที่ว่างเปล่า
ภายใต้การกวาดผ่านของม่านแสงนี้ ปรากฏถึงกลุ่มฟองอากาศเล็กๆ ลอยขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทั้งชั้นอากาศแลดูคล้ายกำลังตกอยู่ในห้วงทะเล
ขณะเดียวกัน เหล่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ก็ถูกม่านแสงเหล่านั้นปกคลุมอย่างรวดเร็ว
ต่อมา บาดแผลตามร่างกายของพวกเขาก็เริ่มที่จะถูกฟื้นฟู คำสาปชั่วร้าย และเทคนิคมนตราอันแข็งกร้าวถูกปัดเป่าไปในทันที
เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เหล่าผู้ที่ได้รับจากเจ็บสาหัสตลอดทั้งสนามรบ ก็ได้รับการรักษาจนเรียกคืนความสามารถในการเคลื่อนไหวกลับมาได้อีกครั้ง
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่หายดี แต่เงาแห่งความตายก็ได้สลายไปจากตัวพวกเขาแล้ว
พวกเขาได้ถูกช่วยชีวิตเอาไว้!
และทันใดนั้นบนรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม สมบัติอีกระลอกก็ลอยออกไปทันที
สมบัติเหล่านั้นเลือกเจ้านายที่เหมาะสมกับตนเองอย่างรวดเร็ว
ฝูงชนระเบิดเสียงไชโยออกมาเป็นครั้งคราว
ไม่ช้า ทุกคนก็หันไปมองเหล่ามารที่แท้จริง
ตอนนี้ ความแข็งแกร่งของทุกคนพุ่งสูงขึ้น แถมอาการบาดเจ็บก็ยังได้รับการรักษาระดับหนึ่งแล้ว
ดังนั้น มันถึงเวลาที่จะโต้กลับสักที!
“มาลุยกันต่อเถอะ” แบรี่กระแทกสองกำปั้นของตนเอง จนเกิดประกายสะเก็ดไฟลุกไหม้
“ลุยก็ลุยสิ!” เสี่ยวเหมียวตะโกน กระบองสั้นหมุนควงไปตามนิ้วมือของเธอ
“ไปกันเลย!” จอมมารทะเลเลือดเริ่มจั่วไพ่ออกมา และประสานพวกมันเข้าด้วยกันอย่างว่องไว
“ไป!! ฆ่าพวกมันซะ!!!”
ทุกคนต่างตะโกนพร้อมกัน
จ้าววงการจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น ตัวตนทรงอำนาจจากในแต่ละอาณาจักร และเหล่าพันธมิตร ต่างพร้อมใจกันเปิดฉากโจมตี
พวกเขาสับฝีเท้าด้วยกำลังทั้งหมดที่มี พุ่งเข้าไปในช่องว่างมิติที่กำลังเปิดออก เปิดฉากสงครามเต็มกำลัง!
พวกเขาจะต้องโค่นระบบของราชามารลงให้จงได้!
อีกด้านหนึ่ง มารที่แท้จริงกำลังเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ
พวกมันกำลังเฝ้ารอคอยคนที่กำลังจะมาถึง
“ไม่สำคัญหรอกว่าศัตรูจะได้รับอาวุธอะไรมา เพราะเจ้านายกำลังจะมาถึงแล้ว” มารที่แท้จริง ผู้เพาะพันธุ์อสูรกล่าวเสียงกระซิบ
“ใช่แล้วล่ะ ปล่อยให้เจ้าพวกมนุษย์มันตื่นเต้นกันไปก่อน เดี๋ยวอีกไม่นานพวกมันก็จะตกอยู่ในความสิ้นหวัง และเจ็บปวดทรมานอย่างไม่รู้จบเอง” มารที่แท้จริงอีกตนแสยะยิ้มหัวเราะ
มารที่แท้จริงตนอื่นกล่าว “รอก่อนเถอะเจ้าพวกมนุษย์ อีกเดี๋ยวความไร้เดียงสานั่นของพวกเขาก็จักถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ!”
‘จอมมารที่แท้จริง’ คือการดำรงอยู่ที่ใกล้เคียงที่สุดกับราชามาร ตราบใดที่เขาย่างกรายเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ ทิศทางแนวโน้มของสงครามทั้งหมดก็จะเปลี่ยนแปลงไปทันที
และแล้วในวินาทีถัดมา สีหน้าของมารที่แท้จริงก็แปรเปลี่ยนพร้อมกัน
เบื้องหลังพวกมัน รอยแยกมิติยักษ์ใหญ่เริ่มแหวกออก และคืบคลานอย่างบ้าคลั่ง
คล้ายกับว่ามีบางอย่างกำลังดิ้นรนอยู่เบื้องหลังรอยแยกนี้ และพยายามที่จะเจาะมิติทั้งหมดเพื่อปรากฏกายออกมา
อำนาจอันยิ่งใหญ่กวาดกระจายไปตลอดทั้งสนามรบ
เหล่าตัวตนทรงอำนาจ กระทั่งแบรี่ก็ยังชะงักไป
พวกเขาสัมผัสได้ถึงอำนาจอันยากจะหาผู้ใดเปรียบ
มันกำลังมาแล้ว!
จอมมารที่แท้จริงกำลังจะปรากฏตัว!
สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนไป
ขณะที่เหล่ามารที่แท้จริงต่างเริ่มยิ้มหยันด้วยความสุข
อย่างไรก็ตาม
การเคลื่อนไหวของรอยแยกมิติที่คลุ้มคลั่งกลับค่อยๆชะลอลง
อำนาจอันยากจะพบเจอปรากฏขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆจากนั้นก็เหือดหาย ถูกเก็บกลับคืนไป
เหล่ามารที่แท้จริงหยุดยิ้ม
หืม? หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้น?
นี่มันไม่ถูกต้อง ด้วยอำนาจของเจ้านาย ไม่น่าจะมีใครสามารถบังคับให้เขาถอนตัวกลับไปได้สิ?
ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถกระทำเรื่องดังกล่าวได้!
ขณะที่มารแต่ละคนกำลังสงสัยอยู่นั้นเอง เสียงถอนหายใจก็ดังสะท้อนออกมาจากรอยแยกมิติ
“คราวนี้พวกเราพ่ายแพ้แล้ว”
“สู้ต่อไป…ก็ไร้ความหมาย”
“จงกลับมา”
พร้อมกันกับเสียงนี้ รอยแยกมิติก็ขยายกว้างขึ้นทันที
รอยแยกมิติทอดยาวไปหลายสิบกิโลเมตร ครอบคลุมกองทัพมาร รวมไปถึงเหล่านายพลมารที่แท้จริง
ทันใดนั้นรอยแยกที่ขยายตัวก็หดกลับอย่างรวดเร็ว มันกลายเป็นเพียงเส้นบางๆ และวิ่งข้ามผ่านมิติอันโกลาหลไป
เส้นแสงบางๆ เริ่มจางหายไป
รอยแยกมิติทั้งหมดถูกลบหาย
มารที่แท้จริงทั้งหมด ถอนทัพออกจากสนามรบ!
………………………………………
กู่ฉิงซานนั่งกินเค้กกับลอร่า
แต่กินไปได้แค่คำเล็กๆ เท่านั้น ลอร่าก็ต้องหยุดมือลง
เธอกวาดสายตาอ่านสิ่งที่อยู่บนโต๊ะสักพัก ก่อนจะยื่นสำเนาข้อมูลให้แก่กู่ฉิงซาน
“สำเนาข้อมูล? มันทำไมหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ลองอ่านดูสิ ตรงข้างบนมีบอกเอาไว้ด้วยว่าสมาคมกำปั้นเหล็กของเจ้าก็มาเข้าร่วมสงครามด้วยเช่นกัน” ลอร่ากล่าว
“สมาคมกำปั้นเหล็กก็มาด้วย?” กู่ฉิงซานถามย้ำ
“ใช่ อันที่จริงแล้วกำปั้นเหล็กแบรี่กับเสี่ยวเหมียวเดินทางมาที่นี่เพื่อค้นหาร่องรอยของเจ้า ทว่าผลลัพธ์คือไม่พบกับเจ้า แต่ดันบังเอิญไปพบกับกองทัพมารที่กำลังรวมตัวกันอยู่พอดี”
“ดังนั้นจึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น”
กู่ฉิงซานพอฟังมาถึงจุดนี้ เขาก็วางเค้กลง
“พวกเขามาตามหากระหม่อมอย่างงั้นหรือ?” เขาถามซ้ำ
“ใช่ พวกเขาเรียกระดมผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากมาเพื่อช่วยเจ้า แต่พวกเขาดันไปพบกับกองทัพมารเข้าเสียก่อน สงครามที่เกิดจากเหตุบังเอิญจึงปะทุขึ้นอย่างไม่คาดคิด” ลอร่ากล่าว
กู่ฉิงซานตกใจ
เขาค่อยๆ ลดขวดไวน์ในมือลง
ในเวลานั้นเอง ทริสเต้ที่ได้ยินเกี่ยวกับข่าวนี้ จู่ๆ ประกายแห่งความชัยชนะในหัวใจของเธอก็ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง
“ใช่! ต่อให้พวกเจ้าเอาชนะเชื้อไฟได้แล้วมันอย่างไร?” เธอตะโกนออกมา
ฝูงชนต่างหันไปมองทริสเต้
เห็นแค่เพียงทริสเต้ที่กำลังเผยสีหน้ายิ้มเยาะ “หากกระทั่งจอมมารที่แท้จริงก็ยังเข้าร่วมสงคราม ฉะนั้นอีกไม่นานที่นี่ก็คงจะถูกโจมตีและโดนยึดครองไป กลุ่มของแบรี่ไม่สามารถต้านทานมารที่แท้จริงได้หรอก!”
เธอหันไปพูดกับกู่ฉิงซาน “เจ้าเป็นคนของสมาคมกำปั้นเหล็กสินะ? ข้าต้องขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย”
“แสดงความยินดีกับผม?” กู่ฉิงซานสงสัย
“ถูกต้อง” ทริสเต้หัวเราะคิกคัก “เพราะหลังจากวันนี้ไป ในสมาคมจะเหลือเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ และนั่นจะทำให้เจ้าได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าของโลกในมิติอนันต์ไปโดยปริยาย!”
“ขณะที่ระบบของราชามารจะครอบคลุมไปตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น ฮ่าๆๆ!”
ทริสเต้หัวเราะคลั่ง
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
อีเลียกับลอร่าหันมามองกันและกัน
ก่อนที่ทั้งสองจะเบนสายตาไปยังกู่ฉิงซานในเวลาเดียวกัน
ดูเหมือนว่านี่จะกลายเป็นปฏิกิริยาจากจิตใต้สำนึกของพวกเธอที่ต้องการคำตอบจากเขาไปโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว
กู่ฉิงซานค่อยๆ ลุกขึ้น
การแสดงออกที่ดูผ่อนคลายบนสีหน้าของเขาหายไปอย่างสมบูรณ์
หลังจากขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง กู่ฉิงซานก็เอ่ยปากออกมา “อีเลีย ผมขอถามหน่อยจะได้ไหม ว่าจอมมารที่แท้จริงปกติแล้วเข้าร่วมในการต่อสู้บ่อยหรือไม่?”
อีเลียตอบ “แทบจะไม่เลย มันเคยปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาที่สามารถยึดครองดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูได้ครั้งหนึ่งเท่านั้น”
“แล้วในช่วงอดีตที่ผ่านมา เป็นเรื่องปกติหรือเปล่า ที่มารที่แท้จริงจะมาเข้าร่วมสงครามขนาดใหญ่แบบนี้?”
“ไม่เลย มันน้อยมากๆ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตัวตนทรงอำนาจในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นจะคอยสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของพวกมันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการจะลงมือทำอะไรก็เป็นการยากนัก”
“แล้วถ้าอธิบายเป็นในแง่ของความแข็งแกร่งล่ะ ผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ก็ถ้าในสนามรบมีเพียงมารที่แท้จริง และจอมมารมิได้ปรากฏกาย สมดุลของทั้งสองฝ่ายคงจะเท่าเทียมกัน แต่หากจอมมารที่แท้จริงก้าวเข้าสู่สนามรบ การต่อสู้จะทวีความรุนแรงขึ้นถึงขีดสุด และผลลัพธ์ก็ยากที่จะคาดเดา”
กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ ปากเอ่ยพึมพำ “แสดงว่าสิ่งที่ต้องสูญเสียไปในสงครามขนาดใหญ่คงสาหัสนัก หากไม่ได้รับประโยชน์มากกว่าโทษ พวกมันคงไม่คิดออกหน้าอย่างง่ายดาย”
“ถ้าอย่างนั้น คุณคิดว่าเป้าหมายของจอมมารที่แท้จริงคืออะไร?”
เขามองไปยังฝูงชนและเอ่ยถาม
ทหารพิทักษ์ต่างจมลงสู่ห้วงความคิด ความรู้สึกอันยากจะอธิบายปรากฏขึ้นในจิตใจของพวกเขา…นี่กู่ฉิงซานที่เป็นนักกลยุทธ์กำลังเอ่ยถามพวกเขาอยู่อย่างงั้นหรือ? แต่พวกเขาเป็นเพียงแค่ทหารพิทักษ์เองนะ คงไม่อาจตอบคำถามนี้ได้หรอก
ดวงตาของลอร่าเปล่งประกายขึ้นอย่างกะทันหัน “ไม่ใช่ว่าเป้าหมายของมันคือตัวระบบหรอกหรือ?”
อีเลียคิดและกล่าว “เป็นอย่างที่ลอร่าบอก ระบบเป็นคำตอบเดียวเท่านั้นสำหรับคำถามนี้”
แต่แล้วทั้งสองก็หันมามองหน้ากัน และบังเกิดความเข้าใจบางอย่างที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดๆ ออกมา
จริงสิ! คำตอบมันเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก ‘เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ปฏิวัติ’ เท่านั้น!
บางทีมารที่แท้จริงอาจจะมีวิธีที่สามารถรับรู้ได้ว่าระบบของราชามารกำลังวิวัฒนาการขึ้นเป็นปฏิวัติอยู่ก็ได้
และพวกมันต้องการระบบ!
กู่ฉิงซานเดินไปทางทริสเต้ และสำรวจอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
เชื้อไฟถูกนำมายังอัลเบอัสโดยเธอ ดังนั้นทริสเต้จึงสมควรที่จะเป็นคนที่รู้เรื่องราวภายในมากที่สุด!
กู่ฉิงซานหันไปถามลอร่า “ทริสเต้ถูกผนึกโดยสมบูรณ์เลยใช่หรือไม่?”
“วางใจเถอะ เถาวัลย์ของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์เป็นดาวข่มของวิหคหนาม ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณหรือความแข็งแกร่งทั้งหมดของเธอ ล้วนถูกรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ผนึกเอาไว้แล้ว” ลอร่ากล่าว
“งั้นก็ดี”
กู่ฉิงซานโล่งใจ และค่อยๆ ยื่นมือไปทางทริสเต้อย่างช้าๆ
“นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร!” ทริสเต้แม้ภายนอกจะแสดงท่าทีแข็งกร้าว ทว่าภายในใจของเธอกลับรู้สึกหวาดหวั่น
คนอื่นต่างก็พากันมองมายังฉากนี้ด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
นั่นสินะ ทริสเต้นับว่าเป็นหญิงงามอย่างแท้จริง เธอเปรียบดั่งสัญลักษณ์ที่แสนสง่างามของวิหคหนาม ทว่าสุดท้ายเธอก็หันไปพึ่งพามาร มิใช่คนดี
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหญิงงามร้ายกาจแต่ไร้ซึ่งพลัง กู่ฉิงซานตั้งใจจะทำอะไรกันแน่นะ?
ภายใต้การจ้องมองของทุกคน เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ยื่นมือออกไปคว้าจับเสื้อของทริสเต้ และใช้มือปาดๆ ขยี้มันอย่างรวดเร็ว
ครีมเค้กที่เลอะอยู่บนมือของเขาถูกเช็ดออกไป
“…” ทุกคน
“ช่างไร้ยางอาย! หยาบคายที่สุด! หากข้าไม่ตาย อย่าหวังเลยว่าข้าจะปล่อยเจ้าไป!” ทริสเต้ราวกับถูกดูหมิ่นครั้งใหญ่ เธอกัดฟันสบถออกมา
“จะว่าแบบนั้นมันก็ไม่ถูกนะ อันที่จริงแล้ว ผมทำแบบนี้เพราะกำลังให้เกียรติคุณต่างหาก” กู่ฉิงซานกล่าว
แล้วเขาก็วางมือที่สะอาดลงบนหน้าผากของทริสเต้
“อย่ากังวลไปเลย ผมจะรีบทำให้มันจบลงเร็วๆ” เขาปลอบ
พลังวิญญาณเริ่มถูกกระตุ้น ขับเคลื่อนวิชาลับ
เปิดใช้งาน เทคนิคค้นวิญญาณ!
เนื่องจากพลังทั้งหมดของทริสเต้ถูกผนึกโดยรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ ส่งผลให้ขณะนี้เธอเป็นเพียงคนสามัญธรรมดาทั่วไป มิอาจต้านทานเทคนิคค้นวิญญาณของกู่ฉิงซานลงได้
ไม่กี่นาทีต่อมา กู่ฉิงซานก็ได้รับคำตอบที่เขาต้องการ
‘จอมมารที่แท้จริง’
เป็นมารที่ทรงอำนาจมากที่สุด มันได้แยกส่วนหนึ่งของระบบหลักที่อยู่ในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู ประกอบกันเป็นเชื้อไฟ และมอบให้แก่ทริสเต้
อันที่จริงแล้วความตั้งใจดั้งเดิมของจอมมารที่แท้จริงก็คือ การใช้งานเชื้อไฟเพื่อยึดอัลเบอัส แล้วจากนั้นก็วิวัฒนาการมันไปเป็นต้นกำเนิด เพื่อรวบรวมโลกหลายสิบชั้นไว้ในครอบครอง
นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทุกอย่าง
กู่ฉิงซานถอนหายใจเบาๆ
แต่น่าเสียดาย ที่ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่จอมมารที่แท้จริง กลับไม่มีใครคาดคิดเลยว่าเชื้อไฟจะวิวัฒนาการไปได้ไกลกว่านั้น
ไม่มีใครรู้ว่าโลกที่พระราชินีมอบให้แก่ทริสเต้ แท้จริงแล้วจะมีวัตถุที่เหล่าทวยเทพทิ้งเอาไว้ข้างหลังหลงเหลืออยู่
เกรงว่าตรงจุดนี้ พระราชินีหนามเองก็คงจะไม่ทราบเช่นกัน
เชื้อไฟได้วิวัฒนาการเป็นต้นกำเนิด
และต้นกำเนิดก็ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของวัตถุของเหล่าทวยเทพอย่างรวดเร็ว
มันจึงพยายามที่จะได้รับวัตถุที่ถูกทิ้งไว้โดยทวยเทพ เพื่อวิวัฒนาการไปสู่ปฏิวัติ
ตรงจุดนี้เองที่ทำให้สถานการณ์มันแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง
เพราะแม้กระทั่งระบบหลักในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู ก็ยังสูงกว่า ปฏิวัติเพียงหนึ่งขั้นเท่านั้น
ดังนั้น หากสามารถนำเอาปฏิวัติกลับคืนไปยังดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูได้ ระบบหลักก็มีโอกาสที่จะวิวัฒนาการไปอีกขั้นในทันที!
ด้วยเหตุนี้เอง มารที่แท้จริงจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะกระโจนเข้าสู่สนามรบ!
สงครามขั้นแตกหักของโลกเก้าร้อยล้านชั้นจึงเริ่มต้นขึ้น
กู่ฉิงซานผละมือของเขา และมองไปทางลอร่า
“ลอร่า”
“ทำไมหรือกู่ฉิงซาน?”
“ในฐานะกษัตริย์แห่งหนาม ท่านสมควรที่จะส่งทหารไปยังแนวหน้า”
“หืม?”
ลอร่าช็อก เธอคิดตามไม่ทันถึงประโยคที่เกิดขึ้น
กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ระบบของราชามารได้ถูกทำลายลงไปแล้วโดยสมบูรณ์ ดังนั้นหากท่านในฐานะกษัตริย์แห่งหนามสั่งทหารหนามและนำทัพลงต่อกรกับมารที่แท้จริงด้วยตนเอง อิทธิพลของท่านจะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว”
“เข้าใจแล้ว ข้าจะทำตามที่เจ้าว่า” ลอร่ารับคำ
อย่างไรก็ตาม อีเลียแทรกตัวเข้ามาเถียงทันที “ฝ่าบาทยังเยาว์วัยอยู่เลย และความสามารถในด้านการต่อสู้ก็ยังไม่พัฒนาเต็มที่ ปล่อยให้ข้าเป็นคนนำทัพออกไปสู้เองจะดีกว่า”
“ไม่ได้ ปล่อยให้ลอร่าไปนั่นแหละถึงจะดี”
ถึงจะดีงั้นหรือ?
อีเลียจ้องกู่ฉิงซานด้วยความสงสัย
กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าวต่อ “เพราะสงครามใกล้จะจบลงแล้ว ดังนั้นการปรากฏตัวของกษัตริย์ย่อมเป็นการสร้างความประทับใจเล็กๆ น้อยได้เป็นอย่างดี”
“เอ๊ะ? สงครามใกล้จะจบลงแล้ว?”
คราวนี้ทั้งลอร่าทั้งอีเลียต่างอุทานออกมาพร้อมกัน
“ใช่ เพราะในทุกๆ สองชั่วโมง จอมมารที่แท้จริงจะสามารถเข้าสู่สถานะรับรู้ถึงตัวของระบบได้ และตอนนี้จากในครั้งล่าสุด เวลาก็ได้ผ่านพ้นไปกว่าหนึ่งชั่วโมง สี่สิบนาทีแล้ว”
“อีกยี่สิบนาที เขาจะค้นพบว่าปฏิวัติได้ถูกทำลายลงไปแล้ว”
“แบบนั้นมันจะไม่โกรธหรือ?”
“ต้องโกรธแน่นอน”
“ถ้าโกรธ สงครามก็ยิ่งต้องทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นสิ”
“ไม่หรอก จะไม่เกิดการบุกโจมตีอีกต่อไป เพราะสงครามมีเพียงการสูญเสีย หากไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ ตอบแทนกลับมา ใครเล่าจะยอมโยนตนเองลงในโคลนตมเช่นนี้?”
“เราพอจะนึกภาพที่เจ้าอธิบายออกมาแล้ว”
ลอร่าตัดสินใจอย่างรวดเร็วและกล่าว
“ถ้าอย่างงั้น จริงๆ แล้วเรามีความคิดดีๆ อยู่อย่างหนึ่ง”
“ความคิดอะไร?”
“อย่างที่เจ้ารู้ ว่าเราสามารถปลุกพรสวรรค์ขึ้นมาได้ถึงสามชนิด หนึ่งในนั้นคือที่ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกา และอีกหนึ่งที่เจ้ายังไม่รู้ มันถูกเรียกว่า เจตจำนงแห่งกษัตริย์ ซึ่งมันเป็นพลังที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันพอดิบพอดี”
“เจตจำนงแห่งกษัตริย์? ถ้าอย่างนั้นท่านตั้งใจจะใช้มันทำอะไร?”
“เราต้องการที่จะใช้มันร่วมมือกับรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม”
…………………………………………..
ณ โรงแรมอัลเบอัส
ภายในโซนที่นั่งพิเศษ
บรรยากาศเริ่มที่จะเย็นลง
แต่เมื่อเวลาเริ่มผ่านไป ผู้คนก็ค่อยๆ เริ่มตระหนักถึงบางอย่าง
สีหน้าของทริสเต้ยิ่งนานก็ยิ่งซีดเซียวลง
“ไม่นะ นี่มันไม่ถูกต้อง ทำไมถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยล่ะ…” เธอพึมพำด้วยความสับสน
อีเลียมองเธอและกล่าว “หลังจากที่บดขยี้ระบบของราชามารลงแล้ว ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้พวกเราออกมาเพื่อจับตัวฆาตกร”
“บดขยี้? เจ้าสามารถต่อกรกับระบบได้อย่างไร!” ทริสเต้อุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ
อีเลียกล่าว “นั่นเพราะขั้นเชื้อไฟของระบบเป็นขั้นที่อ่อนแอที่สุด ดังนั้นข้าจึงได้ตระเตรียมอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพเอาไว้จำนวนหนึ่ง และเฝ้ารอให้พวกมันเข้ามาติดกับ จากนั้นก็สังหารทั้งหมดลงเสีย”
ทริสเต้จิกสายตามองเธอและกล่าว “โกหก เจ้าไม่มีอะไรแบบนั้นไว้ในครอบครองหรอก”
อีเลีย “ข้าไม่มี แต่ราชวงศ์มี”
ทริสเต้หันขวับไปทางลอร่าอย่างกะทันหัน
มองไปยังสายเลือดราชวงศ์ที่เกือบจะสูญสิ้นลง ต้นกล้าของราชวงศ์เพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่
สายตาของทริสเต้เลื่อนตกลง ชำเลืองมองไปยังกระเป๋าของลอร่า
มันเป็นกระเป๋าสีเขียวมรกตใบเล็กๆ ที่ถูกถักทอจากกิ่งและใบไม้ มิได้ดูโดดเด่นอะไร
ทว่ากระเป๋าใบนี้ แท้จริงแล้วกลับครอบครองพลังอันน่าตื่นตะลึง มันสามารถเชื่อมต่อกับรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามได้!
นั่นสินะ ลอร่าเป็นสายเลือดราชวงศ์หนามคนเดียวที่เหลืออยู่ และสายเลือดราชวงศ์ทุกคน ล้วนมีความสามารถสื่อสารกับรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ได้ และเธอคงจะสื่อสารผ่านทางกระเป๋าที่ถูกถักทอโดยกิ่งก้านและใบไม้ของมันใบนี้
มีเพียงลอร่าเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ อนุญาตให้สามารถเรียกอาวุธของอาณาจักรหนามที่ถูกเก็บรวบรวมเอาไว้มายาวนานนับหมื่นปี ข้ามผ่านมิติและเวลาออกมาใช้งานได้โดยตรง
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ทริสเต้ก็เริ่มจะเชื่อขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ
สมบัติสะสมของราชวงศ์หนามยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะจินตนาการได้
แม้ว่าเธอจะถูกมอบหมายให้รับใช้ราชวงศ์มายาวนานหลายปี แต่เธอก็ยังไม่สามารถเข้าใจเกี่ยวกับราชวงศ์ได้อย่างลึกซึ้งอยู่ดี
บางทีเกรงว่า แม้กระทั่งกษัตริย์แห่งหนามเอง เขาก็ยังไม่อาจทราบได้ว่าสมบัติที่เขาครอบครองนั้นมีมากมายเพียงใด
บางที บางทีนะ มันอาจจะมีอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพมากพอที่จะสามารถสังหารหมู่ผู้เข้าสู่วิถีมารกว่าสองร้อยล้านคนลงในคราวเดียวอยู่ก็เป็นได้?
‘ขั้นเชื้อไฟ…’
หัวใจของทริสเต้ค่อยๆ หม่นทะมึนลง
ในหูของเธอ เสียงอีเลียดังขึ้นอีกครั้ง
“ถึงเรื่องนี้จะเป็นความลับ แต่ข้าคิดว่าเจ้าเองก็น่าจะรู้ ว่าหากไร้ซึ่งผู้ดาวน์โหลด ระบบก็จะถูกทำลายลง”
เธอมองไปยังทริสเต้ และเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เพื่อระบบขยะแบบนี้ มันคุ้มค่าถึงขั้นต้องทรยศอาณาจักรเชียวหรือ?”
ทริสเต้ราวถูกทุบตีอย่างรุนแรง เธอมิอาจโต้เถียงคำใดออกไปได้เป็นเวลานาน
ปืนกลทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเอ่ยถามเสียงดังออกมา “ถ้าเป็นอย่างที่ว่ามา หมายความว่าพวกเราไม่ต้องสนใจเชื้อไฟแล้วใช่ไหม?”
“ใช่”
“สรุปว่า เจ้าได้ทำลายระบบของราชามารไปแล้วใช่หรือไม่?” เลดี้เทสส์ถามย้ำ
“ใช่” อีเลียยืนยันหนักแน่น
“ให้ตายสิ…กี่ปีมาแล้วนะที่เราไม่ได้รู้สึกกังวลมากมายถึงขนาดนี้”
เธอลูบอกของตัวเอง และผ่อนลมหายใจยาว
ณ เวลานี้ กู่ฉิงซานจึงได้มีจังหวะเอ่ยถามออกมา “เลดี้เทสส์ คุณพอจะสามารถอธิบายสถานการณ์ในปัจจุบันให้กับฝ่าบาทลอร่า และนายพลอีเลียหน่อยจะได้ไหม?”
“ได้สิ”
“สงครามขั้นแตกหักได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และสนามรบก็อยู่ห่างจากอัลเบอัสไปเพียงสามชั้นโลกเท่านั้น”
“ตัวตนทรงอำนาจของโลกเก้าร้อยล้านชั้น กองทัพขององค์กรและพันธมิตรจากที่ต่างๆ ทั้งหมดได้เข้าสู่สนามรบแล้ว”
“เวลานี้มารที่แท้จริงได้มาถึง ส่งผลให้สภาพการณ์ของสนามรบอยู่ในจุดที่ก้ำกึ่ง”
“แต่จากข้อมูลที่พวกเราเพิ่งได้รับมา ดูเหมือนว่าจอมมารที่แท้จริงก็กำลังมาเดินทางมาสมทบด้วยเช่นกัน”
“ดังนั้น นี่จึงเป็นสงครามขั้นแตกหักที่จะตัดสินชะตาของโลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้น!”
เลดี้เทสส์วางสำเนาข้อมูลลงบนโต๊ะ และหันไปกล่าวกับเหล่าวิหคหนาม “นี่คือข่าวทั้งหมดที่ได้รับมา พวกเจ้าสามารถค่อยๆ อ่านมันได้”
“ในเมื่อเรื่องตรงส่วนนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว คงได้เวลาที่พวกเราจะไปยังสนามรบเสียที”
เธอเริ่มท่องคาถา และกำลังจะจากไป
ปืนกลเร่งกล่าว “ฉันขอไปด้วย!”
“มาเถิด” เลดี้เทสส์ตอบรับ
ปืนกลหันไปเรียกพรรคพวกของเขา มาหยุดยืนข้างเลดี้เทสส์อย่างรวดเร็ว
รังสีแสงกะพริบไหว
แล้วทั้งหมดก็จมเข้าไปในความว่างเปล่า และหายตัวไป
โซนที่นั่งพิเศษจมลงสู่ความเงียบ
อีเลียก้าวไปข้างหน้า และเริ่มร่ายคาถาผนึกลงบนตัวทริสเต้ ทับเพิ่มลงไปอีกกว่าสองถึงสามชั้น
ขณะที่ท่าทีของลอร่าแลดูสงบจนน่าประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดสิ่งใดอยู่
กู่ฉิงซานค่อยๆ วางลอร่าลงบนโซฟา และปลีกตัวออกไปด้านข้าง
“กู่ฉิงซาน นั่นเจ้าจะไปไหน?” ลอร่าเอ่ยถามทันที
“ไม่ได้ไปไหนหรอก” กู่ฉิงซานตอบ
เขาเดินไปที่ถังน้ำแข็ง และหยิบขวดไวน์สีดำบริสุทธิ์ขึ้นมา
มันเป็นขวดที่เขาเพิ่งจะดื่มไปก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่โลกสมบัติของทริสเต้
เวลานี้ ในที่สุดเขาก็จะได้พักผ่อนเสียที
กู่ฉิงซานเอนตัวลงพิงบนโซฟานุ่มอย่างสบายๆ ขวดไวน์ถูกยกขึ้น และก้อนเค้กชิ้นใหญ่จากเค้กยี่สิบชั้นตรงหน้าถูกตัดออก
เขาได้ทำสิ่งต่างๆ ไปมากมายก่อนหน้านี้ ดังนั้น ปัจจุบันจึงเหนื่อยล้าเกินไป
ในเมื่อทริสเต้เองก็ถูกจับตัวได้
และระบบของราชามารก็ถูกทำลายลงแล้ว
มันจึงถึงเวลาที่กู่ฉิงซานจะได้หยุดพักเสียที
เขาทั้งกินและดื่ม เติมเต็มพลังงานให้แก่ร่างกาย และบรรเทาความตึงเครียดทางจิตวิญญาณของตนเองลง
ส่วนผสมของสิ่งที่เขากำลังกินดื่มอยู่นี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ดี มันเป็นของชั้นยอดจากในโลกตลอดทั้งเก้าร้อยล้านชั้น ดังนั้นการรับประทานมันย่อมมีผลดีต่อร่างกายเป็นธรรมดา
เพราะผู้ฝึกยุทธ์ไม่ใช่เทพเทวดาที่ไม่จำเป็นต้องกินต้องดื่มแต่อย่างใด หากเหน็ดเหนื่อยก็ต้องเติมเต็มพลังงาน ยิ่งเพิ่งตัดผ่านขอบเขตใหญ่มาแล้วก็ยิ่งต้องกินให้มากกว่าปกติ
ดังนั้น ในบรรดาหกศิลป์จึงมีสิ่งที่เรียกกันว่า กลั่นเม็ดยาและปรุงอาหารวิญญาณรวมอยู่ด้วยนั่นเอง
“เฮ้ กู่ฉิงซาน ทำไมเจ้าถึงได้ดูขี้เกียจจัง ไม่เห็นจะมีแรงจูงใจเลย?”
ลอร่าเอียงศีรษะ มองไปที่เขา
“ก็มันไม่มีงานอะไรให้ทำแล้วนี่นา” กู่ฉิงซานเทไวน์ลงแก้ว และกระดกเข้าปาก “ฝ่าบาทก็รู้นี่ว่ากระหม่อมเพิ่งจะผ่านพ้นประสบการณ์อะไรมาบ้าง ฉะนั้นการมอบเวลาพักผ่อนเล็กน้อยให้แก่ตนเอง คงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกกระมัง?”
“แต่สงครามขั้นแตกหักกำลังเกิดขึ้นข้างนอกนะ” ลอร่ากล่าว
“นั่นก็จริงอยู่” กู่ฉิงซานเค้กชิ้นหนึ่งโยนเข้าไปในปากของเขา “แต่มันเป็นสงครามที่มีแต่เหล่าตัวตนทรงอำนาจของตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นใช่ไหมล่ะ เพราะแข็งแกร่งพวกเขาจึงมีสิทธิ์เข้าสู่สนามรบ ขณะที่ความแข็งแกร่งของกระหม่อมช่างน้อยนิด…ฝ่าบาทคงไม่คิดจะให้กระหม่อมไปเข้าร่วม แส่หาเรื่องตายหรอกนะใช่ไหม?”
ลอร่าพอได้ฟังก็คิดว่า ‘เอ่อ ก็จริงของเขานะ’
เป็นเพราะกู่ฉิงซานมักจะเฟ้นหาหนทางคว้าชัยชนะในการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา ทำให้จิตสำนึกของเธอคิดไปเองโดยอัตโนมัติว่าในครั้งนี้เขาก็คงจะคิดหาวิธีรับมือเช่นกัน วิธีรับมือที่จะช่วยให้สามารถคว้าชัยชนะในสงครามครั้งนี้มาได้
ลอร่าถอนหายใจ เธอจ้องมองกู่ฉิงซานอย่างไม่พอใจ
“มีอะไรอีกล่ะ?” หลังจากจิบไวน์ไปอึกใหญ่ กู่ฉิงซานก็เอ่ยถาม
“เจ้าไม่คิดว่าการกินเค้กต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ มันไม่เป็นการหยาบคายหรือ?” ลอร่ากล่าวถึงปัญหาในที่สุด
“กินเค้กต่อหน้าทุกคน…มันเป็นเรื่องหยาบคาย?” กู่ฉิงซานงง
“ใช่” ลอร่าพยักหน้า
กู่ฉิงซานหันไปมองอีเลีย
อีเลียพยักหน้าและกล่าว “มารยาทเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง และฝ่าบาทลอร่าก็ทรงบอกเรื่องนี้กับเจ้าด้วยความหวังดี”
กู่ฉิงซานมองไปยังทหารพิทักษ์
ทหารพิทักษ์พยักหน้าด้วยความสุภาพ
ทหารพิทักษ์หญิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มันเป็นเรื่องน่าอับอายที่จะกินต่อหน้าผู้อื่น”
ตอนนี้กู่ฉิงซานก็เข้าใจในที่สุด
เขาจดจำได้ว่าวิหคหนามนั้นไม่เคยรับประทานอาหารต่อหน้าผู้อื่นเลย
ลูกพี่ไก่เองก็บอกว่าเกลียดพฤติกรรมนี้ของวิหคนามมากที่สุด
ห้ามกินต่อหน้าคนอื่นอย่างงั้นหรือ…ก็ได้จัดให้
กู่ฉิงซานถือเค้กขึ้นมา หันหลังให้แก่ทุกคนและเริ่มกินมันต่อไปอย่างเงียบๆ
“…” ทุกคน
“นี่ ต่อให้เจ้าหันหลัง แต่พวกเราก็ยังเห็นว่าเจ้ากำลังกินอยู่นะ!” อีเลียกล่าวอย่างไร้หนทาง
“แต่ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ เมื่อเสียพลังงานมากเกินไป พวกเขาก็ต้องกินเพื่อเสริมสร้างพลัง!”
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างขอไปที และเริ่มกินอย่างตะกละตะกลาม
เขาเอื้อมไปคว้าไวน์อีกขวดขึ้นมา และคราวนี้ยกซดมันจนหมดขวดเลยในลมหายใจเดียว
…สดชื่น!
ต้องกินและดื่มแบบนี้นี่แหละ มันถึงจะช่วยขจัดความเหนื่อยล้าของร่างกายให้หมดไป
“เจ้าไม่กังวลเกี่ยวกับสงครามขั้นแตกหักเลยหรือ?” ลอร่าเอ่ยถามอย่างช่วยไม่ได้
“มีผู้คนเข้าร่วมมากมาย มีตัวตนทรงอำนาจอยู่มากมาย แล้วยังมีอะไรให้กระหม่อมต้องกังวลอีกหรือ? พวกเขาไม่จำเป็นต้องให้กระหม่อมช่วยเหลือหรอก ” กู่ฉิงซานส่ายหัว
เขากระดกนิ้ว และทันใดนั้นขวดไวน์ฤทธิ์แรงอีกขวดก็ลอยจากถังน้ำแข็งมาตกลงในมือของเขา
“เราทนไม่ไหวแล้ว” ลอร่าพ่นลมหายใจฟึดฟัด
เธอลุกขึ้น เดินไปยังเค้กยี่สิบชั้น ตัดมัน และค่อยๆ เริ่มกินบ้าง
“ไม่ใช่ฝ่าบาทบอกว่าหากอยู่ต่อหน้า…” กู่ฉิงซานกำลังเอ่ยปากถาม
“ฝ่าบาทกำลังเสวย!” ทหารพิทักษ์ตะโกน
ทันใดนั้นทหารพิทักษ์ทั้งหมด อีเลีย แม้กระทั่งทริสเต้ก็หันศีรษะของพวกเธอออกไปอีกทาง พร้อมกับหลับตาลง ไม่มองลอร่า
“เอะ? อะไร? เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ลอร่าถามกู่ฉิงซาน
“เอ่อ…ไม่มีอะไรหรอก กินต่อเถอะ”
………………………………………
“ก่อนที่จะออกไป มีอยู่สองเรื่องที่พวกเราจะต้องรู้เอาไว้” กู่ฉิงซานกล่าว
เมื่อได้ยินเขาพูด ทุกคนก็แสดงออกถึงท่าทีฟังอย่างตั้งใจ
เพราะท้ายที่สุดนี้ เขาเป็นถึงชายที่สามารถโค่นหนึ่งแสนกองทัพผี สังหารสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมาร และทำลายระบบของราชามารลงได้ด้วยตนเอง
และแน่นอน ว่ามันเป็นเพราะฝ่าบาทที่ทรงประทับอยู่บนบ่าของชายผู้นี้ด้วยเช่นกัน
กู่ฉิงซาน “เรื่องแรกก็คือ ลอร่าจะต้องสวมใส่เกราะกษัตริย์เสียก่อน จะได้ไม่มีปัญหาในด้านความปลอดภัยตามมา หลังจากที่เราออกไปข้างนอก”
“ข้าเห็นด้วย” อีเลียตกลงทันที
ลอร่ากล่าวอย่างไม่เต็มใจ “กู่ฉิงซาน เป็นเจ้าที่ใส่เกราะรบเอาไว้ไม่ดีกว่าหรือ ตัวเราถูกปลุกให้ตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว แถมยังได้รับพรมาถึงสามประการ แค่เพียงที่ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกาก็ไม่มีใครสามารถตรวจพบถึงตัวเราได้แล้ว”
“แบบนั้นไม่ได้ ท่านจะต้องฟังคำของกระหม่อม” กู่ฉิงซานดุ
มองไปยังเด็กสาวตัวน้อยที่ดูเศร้าๆ กู่ฉิงซานก็ลดเสียงตัวเองลง กล่าวอย่างช้าๆ “ในเรื่องของการต่อสู้ ทุกสิ่งอย่างมักจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วอยู่เสมอๆ ดังนั้นท่านไม่ควรที่จะพึ่งพาเพียงสกิลเดียว เพราะมันไม่สามารถใช้ในการตัดสินทุกอย่างได้ เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจก็ได้…”
ลอร่าพอเห็นเขายืนยันหนักแน่น ตนเองจึงตอบรับไปคำหนึ่ง
เมื่อเห็นถึงฉากนี้ ทหารพิทักษ์ก็ลอบพยักหน้ากันอย่างลับๆ
ใช่แล้วล่ะ ลอร่าเป็นสายเลือดคนสุดท้ายของราชวงศ์ แม้ว่าทุกอย่างในตอนนี้จะจบลงด้วยดีแล้วก็จริง แต่หากเธอออกไปข้างนอกก็ยังไม่แน่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
ดังนั้น ความปลอดภัยของกษัตริย์ย่อมต้องมาก่อน ห้ามประมาทเลินเล่อใดๆ ทั้งสิ้น!
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกให้มากความ เกราะเทพบินเข้าหาลอร่า และกลายเป็นประกายแสงเล็กๆ โอบล้อมรอบกายเธอทันที
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าอยู่ที่นี่แล้ว” เกราะเทพกล่าว
กู่ฉิงซานพยักหน้า “โอเค งั้นพวกเรามาพูดกันถึงเรื่องที่สองกันต่อเลย ซึ่งเรื่องนี้จะขึ้นอยู่กับอีเลีย”
“ข้าหรือ?” อีเลียถาม
“ใช่ และนี่ยังเป็นคำขอร้องส่วนตัวจากผมอีกด้วย”
“เรื่องอะไร? ลองว่ามาสิ”
“เป็นเพราะความแข็งแกร่งของผมที่ต่ำเกินไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ หากได้ถูกเปิดเผยออกไป มันย่อมสามารถสั่นสะเทือนทุกฝ่ายได้อย่างแน่นอน และถ้าเป็นแบบนั้น มันจะสร้างปัญหาให้กับผม ดังนั้น ผมเลยอยากจะขอร้องว่า เป็นคุณจะได้ไหมที่ออกหน้ายอมรับว่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นฝีมือของตัวเองแทนผม”
ฝูงชนพอได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะจมลงสู่ห้วงความคิด
แน่นอนว่าจากทั้งหมดที่ตอบรับการเรียกขานของทริสเต้ ในบรรดาผู้ที่อายุต่ำกว่าสามสิบปี กู่ฉิงซานย่อมเป็นตัวตนที่โดดเด่น
อย่างไรก็ตาม หากเป็นในโลกเก้าร้อยล้านชั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตัวตนทรงอำนาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอย่างเทียบไม่ติด เขาก็ยังเป็นแค่เพียงมือใหม่เท่านั้น
เป็นมือใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก แต่กลับสามารถกำจัดระบบของราชามาร สั่นสะเทือนตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นได้
แน่นอน ว่าหากเรื่องนี้หลุดรอดออกไป ตัวเขาย่อมดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนมากมาย ถึงจะมีผู้คนอยู่ไม่น้อยที่เข้ามาหาเขาด้วยเจตนาดี แต่ก็ย่อมต้องมีผู้คนที่มีเจตนาร้ายอยู่เช่นกัน
จากนั้นคงมีผู้คนนับไม่ถ้วนต้องการที่จะตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเขา และพยายามที่จะลอบตรวจสอบสมบัติและสกิลที่เขามี
เพราะย่อมไม่มีใครเต็มใจเชื่อว่าเขาสามารถบรรลุเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้ด้วยมันสมองของตัวเอง
สถานการณ์ดังกล่าวจะสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่ออนาคตและการพัฒนาของกู่ฉิงซาน
อย่างไรก็ตาม หากทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยฝีมือของ ‘เหมันต์ยามค่ำอีเลีย’ แล้วล่ะก็ มันจะไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร
เพราะยังไงเสีย วิหคหนามเป็นเผ่าพันธุ์ที่ครอบครองสมบัติมากมาย ดังนั้นพวกเขาก็ย่อมต้องมีวิธีที่สามารถใช้รับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันได้
ยิ่งไปกว่านั้น อีเลียก็ยังเป็นหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่ง ที่มีชื่อเสียงไปตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น
ผู้คนมากมายจะยอมรับผลลัพธ์ในครั้งนี้ได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีแนวโน้มที่จะยกย่องในความสำเร็จของอีเลียอีกด้วย
ดังนั้น การให้อีเลียออกมารับหน้าทุกอย่าง จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
หากอีเลียออกมารับหน้าแทน ก็จะเทียบเท่าได้กับเป็นการช่วยปิดบัง และเป็นเกราะป้องกันให้แก่กู่ฉิงซาน
ในวันต่อๆ มา เขาก็จะได้สามารถมีสมาธิในการฝึกฝน โดยไม่มีเรื่องราวใดๆ จากโลกภายนอกเข้ามาแทรกแซง
ลอร่าเปิดบทสนทนากับอีเลีย “อีเลีย เจ้าสามารถเป็นผู้รับหน้าในเรื่องนี้จะได้หรือไม่?”
อีเลียไตร่ตรองอย่างจริงจัง ก่อนจะเอ่ยถามกู่ฉิงซานด้วยรอยยิ้ม “แล้วผลประโยชน์ที่พวกเราเผ่าพันธุ์หนามจะได้รับหลังจากการรับหน้าในครั้งนี้เล่า คืออะไร?”
กู่ฉิงซานกล่าวทันที “เนื่องจากจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทุกอย่างมันมาจากวิหคหนามทริสเต้ แต่คุณในฐานะนายพลอันทรงเกียรติ กลับสามารถแก้สถานการณ์ ช่วยเหลือองค์กษัตริย์ให้รอดพ้นจากอันตราย สังหาร สองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมาร และทำลายระบบของราชามารลงได้ เรื่องราวเหล่านี้จะส่งเสริมให้คุณกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลานุภาพมากที่สุด”
เขากล่าวต่อ “ในกรณีนี้ มันจะส่งผลให้ความคิดของผู้คนที่มีต่ออาณาจักรหนามเปลี่ยนไป หากพวกเขาคิดจะลงมือใดๆ กับอาณาจักรหนาม อย่างน้อยพวกเขาต้องย้อนไปทบทวนดูดีๆ ไม่น้อยกว่าสองครั้งอย่างแน่นอน และนั่นจะนับว่าเป็นผลประโยชน์อย่างมหาศาล สำหรับลอร่าในอนาคต”
อีเลียถอนหายใจ “ฝีปากในการโน้มน้าวของเจ้านี่ช่างยอดเยี่ยมเสียจริงๆ แต่การที่เจ้าสามารถกำจัดระบบของราชามารลงได้มันจะทำให้เจ้าได้รับชื่อเสียงครั้งใหญ่ในโลกเก้าร้อยล้านชั้นเชียวนะ เจ้าจะทิ้งมันไปดื้อๆ เลยหรือ?”
กู่ฉิงซานส่ายหัวของเขา “การได้รับชื่อเสียงมันยังเร็วเกินไปสำหรับผม ตอนนี้ผมแค่อยากจะทุ่มสมาธิไปกับการฝึกฝน เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นมากกว่า”
อีเลียไม่ลังเลอีกต่อไป เธอพยักหน้า และกล่าว “อันที่จริง แค่เรื่องที่เจ้าช่วยลอร่าเอาไว้ ข้าก็เต็มใจจะรับฟังคำขอของเจ้าอยู่แล้ว”
“ยอดไปเลย ถ้าอย่างงั้นพวกเรามาปรึกษากันก่อน จะได้แน่ใจว่าพอออกไปจะพูดตรงกัน” กู่ฉิงซานกล่าว
“งั้นพวกเจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อมเสีย หลังจากเสร็จเรื่องนี้พวกเราจะออกไปทันที” อีเลียสั่ง
ทหารพิทักษ์แห่งอาณาจักรเริ่มที่จะทำการตรวจสอบอุปกรณ์ของพวกเขา และเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ทันที
ส่วนอีเลีย เธอแยกตัวออกไปหารือรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับกู่ฉิงซานอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเวลาทั้งสองเอ่ยปาก เรื่องราวมันจะไม่เบี่ยงเบนออกไป
ไม่กี่นาทีต่อมา
อีเลียก็หยิบบอลสีเงินขึ้น และบีบมันอย่างแรง
บอลสีเงินแตกกระจาย พวกมันกลายเป็นเส้นโลหะขนาดใหญ่นับไม่ถ้วน ไหลย้อนทวนขึ้นไปในอากาศ
สองมือของอีเลียประกบกัน ประทับตราและเริ่มร่ายคาถา
พร้อมกันกับการร่ายคาถาของเธอ เส้นโลหะเหล่านั้นก็ถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน ก่อร่างเป็นม่านเหล็กขนาดใหญ่ ห่อหุ้มฝูงชนเอาไว้ทันที
ต่อมา แสงจรัสก็พวยพุ่งออกจากม่านเหล็ก ทะลวงสู่ฟากฟ้า
ชั่วพริบตานั้นเอง ม่านเหล็กก็ทะลุผ่านชั้นอากาศ และหายออกไปจากโลกใบนี้
ภายในโรงแรมอัลเบอัส
โซนที่นั่งพิเศษ
ทริสเต้ยังคงถูกจี้โดยเหล่าปากกระบอกปืน
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ กลับไม่มีใครกล้าที่จะลงมือกับเธอ
เพราะหากตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ทริสเต้จะฉวยจังหวะนั้นปลดตราประทับในโลกที่ถูกผนึกของเธอ ปลดปล่อยระบบของราชามารออกไปปกคลุมตลอดทั้งอัลเบอัสและโลกนับล้านๆ ใบ
และนั่นเป็นฝันร้าย
สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนจะถูกบังคับให้ดาวน์โหลดระบบ และกลายเป็นทาสของระบบราชามาร
ยิ่งเวลาผ่านไป สถานการณ์ก็จะยิ่งแย่ลง
จิตวิญญาณพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ เลดี้เทสส์ถอนหายใจ “ทริสเต้ เจ้าเป็นถึงยอดทหารผู้ที่เลื่องชื่อในอาณาจักรหนาม เหตุใดจึงเลือกเส้นทางเช่นนี้ ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อจริงๆ”
“ยอดทหาร?”
สีหน้าของทริสเต้เผยถึงความเยาะหยัน ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ทาสที่ต้องคอยรับหน้าที่เป็นวัวเป็นควายให้กับราชวงศ์ มันสมควรที่จะถูกเรียกว่ายอดทหารจริงๆ หรือ?”
ทว่าในตอนนั้นเอง รังสีแสงพลันสว่างวาบ และผุดออกมาจากบอลคริสทัลอย่างกะทันหัน
ลอร่า กู่ฉิงซาน อีเลีย และทหารพิทักษ์ปรากฏกายขึ้นในโซนพิเศษขึ้นพร้อมกัน
“ลอร่า!” ทริสเต้ตะโกน
“ลอร่า! อีเลีย! นี่มันเรื่อง-” เทสส์อุทานด้วยความประหลาดใจ
“อย่าขยับ!”
ทุกชนิดของปืนระเบิดเสียงเตือนขึ้นทันที
พวกเขาต่อต้านทริสเต้ชนิดหัวชนฝา บีบบังคับมิให้เธอลงมือกับลอร่า
เกิดเหตุการณ์สับสนวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย
“ถอยออกไปก่อน” กู่ฉิงซานเร่งกล่าวเสียงกระซิบ
ฝูงชนที่คอยปกป้องลอร่า รีบถอยกลับมาเบื้องหลังเลดี้เทสส์อย่างรวดเร็ว
ในสายตาของทริสเต้ กระบวนของทหารพิทักษ์ที่กำลังปกป้องลอร่าช่างเข้มงวดยิ่งนัก
ลอร่ามองไปยังทริสเต้
เฝ้ารอจนกระทั่งทุกคนหยุดฝีเท้าลง เธอจึงเริ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เจ้าคิดว่าการรับใช้ราชวงศ์นั้นเปรียบดั่งการตกเป็นทาสอย่างงั้นหรือ?”
แม้ว่าจะประหลาดใจกับคำถาม แต่ทริสเต้ก็ยังตอบกลับไป “ถูกต้อง! เพราะสิ่งที่ข้าต้องทำทุกวันนี้ล้วนไม่พ้นเกี่ยวข้องกับอาหาร เสื้อผ้า และการเดินทางของเจ้าทั้งสิ้น ทั้งหมดไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการจะทำเลย!”
ลอร่า “แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ย่อมไม่มีใครสามารถบีบบังคับให้เจ้ารับใช้ราชวงศ์ได้ หากเจ้าต้องการ เจ้าก็สามารถจากไปได้เลยโดยไม่มีใครห้ามปรามมิใช่หรือ?”
“แต่ว่านะทริสเต้ ทำไมล่ะ? ทำไมกัน ทำไมเจ้าถึงสังหารพ่อแม่ และน้องชายของข้า?”
“พวกเขาทุกคนล้วนดีกับเจ้าเสมอมา กระทั่งรางวัลอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่เจ้าครอบครองอยู่ในมือขณะนี้ ก็เป็นราชวงศ์ที่พระราชทานให้ แต่ทำไมสุดท้ายเจ้าถึงสังหารพวกเขา?”
ทริสเต้ไร้คำจะกล่าวไปชั่วจังหวะหนึ่ง
แต่ในไม่ช้า บนใบหน้าของเธอก็เริ่มผุดรอยยิ้มอันแสนคลุ้มคลั่ง
“นั่นเพราะข้ามีความฝัน ความฝันที่ไม่ว่าตัวเองจะต้องเสียสละสิ่งใดก็จักต้องบรรลุมันให้จงได้อยู่!”
“เสียสละ? ด้วยชีวิตคนอื่นเนี่ยนะ? มันยุติธรรมงั้นหรือ?”
“ยุติธรรม?” ทริสเต้ประชดประชัน “ลอร่าเอ๋ย เจ้ามันยังเด็กนัก ในโลกเก้าร้อยล้านชั้นมันไม่มีคำว่ายุติธรรมหรอก!”
ดวงตาของลอร่าเริ่มแดงเรื่อ เธอเอ่ยบัญชา “ไป! จงไปจับตัวเธอ เราต้องการที่จะจัดการกับกบฏของอาณาจักรต่อหน้าทุกคน!”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” อีเลียขานรับ
เธอเริ่มก้าวตรงไปยังทริสเต้
ทริสเต้เริ่มเกร็งบอลคริสทัลในมือทันที
“อย่าเข้ามานะ!” เธอร้องตะโกน
“ทริสเต้ มันจบแล้ว และเจ้าจะต้องชดใช้ในการกระทำของเจ้า” อีเลียส่ายหัว
และยังคงก้าวต่อไปไม่หยุด
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ในตอนนี้สินะ?” ทริสเต้ชูบอลคริสทัลสูงขึ้น ปากเอ่ยข่มขู่ “อีเลีย ตราบใดที่เจ้ากล้าตรงเข้ามาอีกแม้เพียงก้าว ข้าจะปลดผนึกโลกใบนี้ และปลดปล่อยระบบของราชามารออกมาทันที”
“เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้ข้าต้องตาย แต่ทุกอย่างที่นี่ก็จะจบลง ทุกคนจะต้องกลายเป็นทาสของระบบ ไม่เว้นกระทั่งเจ้า!”
“ฮี่ๆ ฮ่าๆๆ”
ทริสเต้หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“…” อีเลีย
“…” ลอร่า
“…” กู่ฉิงซาน
“…” ทหารพิทักษ์
อีเลียหยิบเถาวัลย์หนามออกมา และโยนมันไปในอากาศ
“จิตวิญญาณของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์เอ๋ย ในนามของเจ้า ขอจงสำแดงพันธนาการที่ไม่มีวันหลุดพ้นออกมาด้วยเถิด” เธอร่ายมนตร์คาถาพึมพำ
เถาวัลย์หนาม บินไปทางทริสเต้ทันที
เมื่อเห็นถึงเถาวัลย์นี้ สีหน้าของทริสเต้ก็แปรเปลี่ยนกลับกลาย เธอร้องตะโกนอย่างสิ้นหวัง “เป็นเจ้าเองนะที่บังคับให้ข้าทำแบบนี้!”
เธอกดมือของตนลงแนบกับบอลคริสทัล ปากอ้าตะโกน “จงถูกปลดปล่อย!”
“ไม่นะทริสเต้ เจ้าจะทำแบบนั้นไม่ได้…” เลดี้เทสส์อุทานออกมา
“พวกเราลงมือ!” ปืนกลตะโกนอย่างเร่งร้อน
อย่างไรก็ตาม มันสายเกินไปแล้ว
บนบอลคริสทัล รอบตัวมันเกิดกระแสไอเย็นระเบิดออก อุณหภูมิทั้งหมดภายในห้องลดต่ำลง
ในขณะเดียวกัน เถาวัลย์หนามก็มาถึงตัวทริสเต้ พันธนาการเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา
บังเกิดความเงียบงันขึ้นในโซนพิเศษ
บอลคริสทัลตกกระทบลงกับพื้น กระเด้งกระดอนไม่กี่ครั้งก็หยุดลง
ขณะที่ไอเย็นเยียบยังคงถูกปลดปล่อยออกมาจากบอลคริสทัลอย่างต่อเนื่อง จนพื้นบริเวณรอบๆ มันกลายเป็นน้ำแข็ง
จากนั้น
ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอีกเลย
………………………………………………
กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความเงียบ
ช่วงเวลานี้ เขามักจะรู้สึกว่าในกายของตนมีบางอย่างที่ผิดแผกไปอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าเขาได้รับพลังที่มากกว่าที่เป็น พลังที่แต่เดิมเป็นของตัวเองอยู่ก่อนแล้ว
โซ่ตรวนบางอย่างในจิตวิญญาณ ในที่สุดแล้วก็ได้รับการปลดปล่อย
กู่ฉิงซานไม่คาดคิดเลยว่า ทั้งคนทั้งร่างของเขาจะจมลงสู่ห้วงแห่งความสงบอันลึกล้ำ
เขารู้สึกว่าจิตใจของเขาไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในทะเลแห่งห้วงสติอีกต่อไป บัดนี้มันกระจายไปสู่ความว่างเปล่าอันไม่รู้จบ
ซึ่งความว่างเปล่าข้างบนที่ว่ามานี้ มันมิใช่ความว่างเปล่าในแง่ของมิติ แต่มันให้ความรู้สึกราวกับจิตวิญญาณได้ถูกปลดปล่อยไปยังปรากฏการณ์ในอีกระดับหนึ่ง
เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า
แสงและเงายักษ์เริ่มเอ่ยปากอีกครั้ง “หวังว่าของขวัญชิ้นนี้จะช่วยให้ได้เป็นนายเหนือของเทพสงครามอย่างแท้จริง”
“ข้าหวังว่าเจ้าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าปัจจุบัน เพราะในอนาคตภายภาคหน้า อย่างไรเสียจุดสิ้นสุดของโลกเก้าร้อยล้านชั้นย่อมจะมาถึงในสักวันหนึ่ง”
กู่ฉิงซานประสานกำปั้นและกล่าว “ฉันสัญญา”
แสงและเงาร่างยักษ์มิได้เอ่ยตอบสิ่งใด แต่กู่ฉิงซานรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มอยู่
ร่างยักษ์ใหญ่เริ่มที่จะพร่ามัว กลายเป็นเหมือนกับเพียงภาพลวงตา สุดท้ายก็กระจัดกระจาย กลืนหายเข้าไปกับท้องฟ้า
หลงเหลือกู่ฉิงซานเพียงลำพังที่ยังยืนอยู่เหนือทะเลเมฆ ที่เกิดความรู้สึกสับสนอยู่ชั่วขณะ
สำหรับมืออาชีพทุกๆ คนแล้ว พวกเขาจะได้รับการสอนสั่งเกี่ยวกับความจริงตั้งแต่แรกเริ่มของการฝึกฝน
นั่นก็คือ พวกเขาจะสามารถเชี่ยวชาญได้เพียงทักษะเดียวเท่านั้น ทักษะเดียวที่จะสามารถบรรลุความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ ในขณะที่ความสามารถในการฝึกฝนทักษะอื่นๆ จะลดหลั่นลง จนอยู่ในระดับธรรมดา
นี่คือข้อจำกัดของมืออาชีพอย่างแท้จริง แม้กระทั่งคนที่หลักแหลมอย่างนางเซียนไป่ฮั่ว และได้ทำการศึกษาเรียนรู้ศาสตร์หลายแขนง แต่แท้จริงแล้วเธอก็ไม่สามารถศึกษาพวกมันไปถึงในเชิงลึกได้
แม้ว่าเซี่ยเต๋าหลิงจะครอบครองสกิลเทวะมากมาย แต่สุดท้ายเธอก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ใช้เทคนิคมนตรา
ที่เธอฉกาจฉกรรจ์ที่สุด คือเทคนิคมนตรา
และตอนนี้ โอกาสที่ไม่เคยมีผู้ใดได้รับมาก่อน ก็ได้มาวางอยู่ต่อหน้ากู่ฉิงซานแล้ว!
แสงและเงาของทวยเทพบอกเขาว่า ตนสามารถฝึกฝนในทุกศาสตร์ ทุกแขนงไปได้ถึงในขั้นลึกซึ้ง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อวิถีในด้านอื่นๆ ของตน
บอกตามตรงว่าตอนนี้ กู่ฉิงซานก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ในเวลานั้นเอง บนหน้าต่างเทพสงคราม สามเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กก็กะพริบไหวอย่างไม่รู้จบ
“ทวยเทพได้มอบอิสระให้แก่จิตวิญญาณของคุณ”
“คุณหลุดพ้นจากกฎเกณฑ์ขั้นพื้นฐานของโลก มันมิอาจผูกมัดคุณได้อีกต่อไป”
“คุณสามารถตะลุยไปในหลากหลายศาสตร์ หลากหลายแขนง สามารถบรรลุทุกวิถีจนถึงขั้นสูงสุดได้ดั่งใจปรารถนา”
ไม่นานนัก สามบรรทัดตัวอักษรก็หายไป
และอีกไม่กี่บรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่อย่างรวดเร็ว
“นับจากนี้ไป คุณสามารถฝึกฝนทักษะทุกชนิด ทุกประเภทได้โดยไร้ซึ่งข้อจำกัดใดๆ”
“ระบบค้นพบว่าในอดีต คุณเคยเชี่ยวชาญในทักษะลูกศรและธนู”
“อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่คุณเลือกวิถีแห่งดาบ ก้าวขึ้นสู่นักดาบนิรันดร์ คุณก็ได้ละทิ้งทักษะลูกศรและธนูไปแล้วตามกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์และโลก ดังนั้น ทักษะที่เกี่ยวข้องกับลูกศรและธนูส่วนใหญ่ของคุณจึงหายไป”
“ทักษะลูกศรและธนูหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่คือ ระบำผันผวน(ขั้นกลาง)”
“ระบำผันผวน ‘ขั้นกลาง’ สกิลวิวัฒน์ สามารถยิงลูกศรนับสิบออกไปได้อย่างต่อเนื่องในระยะเวลาสั้นๆ โจมตีคู่ต่อสู้ด้วยลูกศรที่คดเคี้ยวไปในอากาศ มิอาจคาดเดาทิศทางได้”
กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านหน้าต่างระบบเทพสงคราม
ตนที่เดินอยู่บนวิถีแห่งดาบ จะสามารถฝึกฝนทักษะลูกศรและธนูได้จริงๆ หรือ?
มันเป็นไปได้จริงๆ ใช่ไหม?
เขาตบลงในถุงสัมภาระและหยิบคันธนูออกมา
นี่คือธนูยาวที่มีรูปลักษณ์อันแสนเรียบง่าย ยามเมื่อมันอยู่ในมือของกู่ฉิงซาน หากไม่มองจะไม่มีทางรู้สึกถึงตัวตนของมัน
ไม่มีใครสามารถรับรู้ถึงคันธนูนี้ได้ ขณะเดียวกันพวกเขาก็จะไม่สามารถตระหนักได้ถึงเจตนาฆ่าใดๆ ที่คันธนูนี้ส่งออกมา
นี่คือธนูเย่หยู
ในครั้งอดีต ช่วงเวลาที่เขาตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต นักบุญหนิงเยว่ฉานได้มอบมันให้แก่เขา
กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก หลับตาลง และทำสมาธิเล็กน้อย
ดูเหมือนว่า…ตนเองจะยังพอจดจำการใช้งานเกี่ยวกับมันได้ …
แทนที่จะมามัวเสียเวลาคิด กู่ฉิงซานไร้ซึ่งความลังเลอีกต่อไป เขาเหวี่ยงถุงเก็บลูกศรไปสะพายไว้เบื้องหลัง
ผ่อนลมหายใจจนสงบ
สายธนูถูกขึงจนตึงในทันใด
แล้วมันก็ถูกผละออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับบางสิ่งบางอย่างที่พุ่งออกราวกับสายฟ้าฟาด!
ฟิ้ว!
ได้ยินเพียงหนึ่งเสียงที่ดังขึ้น
แต่กลับปรากฏถึงภาพติดตานับสิบในชั้นอากาศ พวกมันฉวัดเฉวียนคดเคี้ยว ก่อนจะจมหายลงไปในทะเลเมฆอย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานดึงสายธนูของเขา และผละมันออกอย่างต่อเนื่อง
ระบำผันผวน!
ระบำผันผวน!!
ระบำผันผวน!!!
กลุ่มของลูกศรปรากฏขึ้นราวกับฝนดาวตก เวียนว่ายไปทั่วท้องฟ้า กรีดผ่านสายลม ร่วงตกลงสู่พื้นดิน!
แต่กู่ฉิงซานยังคงไม่หยุด เขาเอื้อมมือไปคว้าจับลูกศร และยิงศรทั้งหมดที่อยู่ในเป้สะพายหลังจนเกลี้ยงในลมหายใจเดียว
เขาหลับตาลง และเริ่มทำการรับรู้อย่างระมัดระวัง
ตนค้นพบว่าจิตแห่งดาบยังคงกระจ่างชัด ไร้ซึ่งผลกระทบใดๆ
เขาคว้าจับดาบขุนเขาเทวะหกโลกา และโบกสะบัดรังสีดาบสีนวลผ่องดั่งจันทร์เพ็ญออกไป
ผลปรากฏว่ามันไร้ซึ่งความล่าช้า หรือเบี่ยงเบนใดๆ
อันที่จริง พลังของรังสีดาบกลับดูจะเพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ กระทั่งความเร็วก็ยังไวขึ้นเล็กน้อย
ซึ่งนี่คงจะเป็นผลมาจากการต่อสู้อย่างยาวนานของกู่ฉิงซาน ที่ทำให้ทักษะดาบของตนเองพัฒนาขึ้น
ดาบก็ยังเป็นดาบ ขณะเดียวกันลูกศรก็ยังเป็นลูกศร
ไร้ซึ่งอุปสรรคหรือสิ่งกีดขวางใดๆ ระหว่างสองทักษะนี้ ทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกันอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่กระทบ กระทั่งใดๆ ต่อกัน
“ความรู้สึกแบบนี้…ฉันไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย”
กู่ฉิงซานพึมพำ
แม้ว่าสกิลลูกศรและธนูจะหายไปมากแล้ว แต่ตราบใดที่เขาต้องการ เขาก็สามารถเรียนรู้มันได้อยู่แล้วมิใช่หรือ?
ปัจจุบันนี้ เขาสามารถฝึกฝนลูกศรและธนู ฝึกฝนดาบ ฝึกฝนกระบี่ ฝึกฝนธาตุทั้งห้า หรือแม้กระทั่งหวูเต๋ากุ่ยชั่งก็ยังได้
ตราบใดที่มันไม่ส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าของทักษะดาบของตนเอง เขายังต้องกลัวอะไรอีก?
กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมันอย่างรอบคอบอยู่พักหนึ่ง จึงตบลงในถุงสัมภาระ
เขาหยิบใบหยกขึ้นมา
‘นิกายร้อยบุปผา สกิลเทวะนักสู้ สวรรค์ล่มสลาย’
นี่คือสกิลเทวะนักสู้ที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ในการฝึกฝน แต่น่าเสียดายที่กู่ฉิงซานเกรงว่ามันจะกระทบต่อความก้าวหน้าในทักษะดาบของตนเอง ดังนั้นเขาจึงไม่ไม่คิดที่จะเรียนรู้มัน
เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างเทพสงคราม ในส่วนของ ‘วิชายุทธ์เทพสงคราม’ ส่องสว่างขึ้นอย่างรวดเร็ว
บรรทัดแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้น
“หวนคืนไร้ลักษณ์ สกิลเทวะ สวรรค์ล่มสลาย”
“สวรรค์ล่มสลาย ระเบิดพลังที่รุนแรงกว่าเดิมถึงสามสิบเท่า ยามที่ทุบลง พื้นดินจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ล่มสลายลงในที่สุด”
“ไม่มีเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการฝึกฝนเพลงหมัดนี้”
“คำอธิบาย ยิ่งการฝึกยุทธ์ในฐานะนักสู้ของคุณสูงส่งมากเท่าใด เพลงหมัดนี้ก็ยิ่งทรงประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น”
“เนื่องจากคุณไม่เคยฝึกฝนเกี่ยวกับนักสู้มาก่อนเลย ดังนั้นการที่จะเรียนรู้ทักษะนี้ จำเป็นต้องจ่ายหนึ่งพันห้าร้อยแต้มพลังวิญญาณ”
“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือศูนย์”
กู่ฉิงซานอ่านคำอธิบายบนหน้าต่างเทพสงคราม ในหัวใจรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
เวลานี้ เขาไร้ซึ่งแต้มพลังวิญญาณ
นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นปัญหาอยู่นิดหน่อยแฮะ
จู่ๆ กู่ฉิงซานก็ตระหนักได้ว่าวิถีแห่งตนเองนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงไป
เพราะนับตั้งแต่วันนี้ ทุกสิ่งอย่างจะต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ในชั่วพริบตาเดียว เขาได้ค้นพบว่าตนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาทักษะในการต่อสู้ศาสตร์ ทุกแขนงได้อย่างไร้ขีดจำกัด
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายสิ่งที่เขาต้องทำ เขาไม่สามารถมาหยุดยืนที่นี่ และคิดเกี่ยวกับมันอยู่เฉยๆ ได้
“มาจัดการธุระที่ต้องทำก่อนดีกว่า แล้วเรื่องนี้ไว้ค่อยคิดเกี่ยวกับมันในภายหลัง”
กู่ฉิงซานถอนหายใจและเรียกสติของเขากลับมา
เขาเก็บธนูเย่หยู และเรียกดาบเช่าหยิน
“เจ้าจงไปบอกลอร่าว่าพวกเธอไม่ต้องหลบซ่อนตัวอีกต่อไปแล้ว”
ดาบเข่าหยินส่งเสียงหึ่งเบาๆ เจาะทะลวงผ่านทะเลเมฆ และจมหายลงสู่มหาสมุทรโดยตรง
ไม่นานนัก
ลอร่า อีเลีย และทหารพิทักษ์คนอื่นๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นบนพื้นน้ำแข็ง
ส่วนกู่ฉิงซานก็บินลงมา
ทุกคนต่างหันซ้ายหันขวา ด้วยลักษณะท่าทีที่ดูประหม่าและตึงเครียด
“แล้วระบบของราชามารเล่า ไปอยู่ที่ไหนแล้ว?” อีเลียเอ่ยถาม
“มันถูกทำลายลงแล้ว” กู่ฉิงซานตอบ
“มันจะถูกทำลายได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่ามันวิวัฒนาการแล้วหรอกหรือ?” อีเลียจี้ถามต่อ
“ผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดถูกฆ่าตายโดยกษัตริย์ปีศาจและราชาภูตผี เป็นอย่างที่ว่ามาจริงๆ หากระบบไม่มีใครให้ดูแล โชคชะตาสุดท้ายของมันก็มีเพียงถูกทำลายลงเท่านั้น”
กู่ฉิงซานว่าจบ ทุกคนก็หันมองไปทุกทิศทาง
เห็นแค่เพียงพายุหิมะ และพื้นน้ำแข็งอันรกร้าง ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ
“ตายหมดแล้วจริงๆ หรือ?” ทหารพิทักษ์คนหนึ่งกล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่ พวกเขาทั้งหมดตายลงแล้ว เจ้าก็ช่วยยืนยันกันหน่อยซิ”
กู่ฉิงซานก้มลงบนตัวเองและกล่าว
แสงจรัสที่ปกคลุมร่างกายของเขาเงียบงัน ไม่ตอบสนองไปครู่หนึ่ง
มันคือสิ่งประดิษฐ์เทวะโบราณ เกราะของเหล่าทวยเทพ
เกราะเทพอยู่กับเขามาโดยตลอด มันเป็นประจักษ์พยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด และยังใช้ออกด้วยสกิลตัดขาดเวลา ช่วยเหลือเขาในช่วงข้ามผ่านโทษทัณฑ์อีกด้วย
กู่ฉิงซานส่งผ่านเสียงไปในความคิด “ความลับต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องของทวยเทพ เรื่องของโลกเสาทองแดง เจ้าไม่อาจเปิดเผยได้ หากเจ้าบอกกับลอร่าออกไปแม้เพียงครั้ง อันตรายมากมายก็จักเพ่งเล็งไปที่เธอ ซึ่งนี่ไม่เป็นประโยชน์ใดๆ กับเธอเลย ดังนั้นได้โปรดเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วย”
เวลานี้ เกราะเทพตอบกลับ “เข้าใจแล้ว เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นมันน่าอัศจรรย์ใจมากจนเกินไป และหากแพร่งพรายออกไปก็จะเป็นการนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ของเผ่าพันธุ์หนาม”
มันแปรเปลี่ยนเป็นแสงไสว แยกตัวออกจากกู่ฉิงซาน หดตัวเป็นรังสีแสงขนาดเล็ก
“เป็นอย่างที่เขากล่าว ปฏิวัติของราชามารได้ถูกทำลายลงจริงๆ ทุกอย่างจบแล้ว”
เกราะเทพประกาศต่อหน้าฝูงชน
ในช่วงเวลานี้ ไม่มีใครเปล่งเสียงใดออกมาเลย ราวกับว่าพวกเขายังไม่อาจน้อมรับความจริงตรงหน้าได้
ทุกคนมองมายังกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว
ชายผู้นี้ได้ใช้ประโยชน์จากการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ของตัวเอง ติดสินบนปีศาจทุกตนที่คิดจะมาฆ่าเขา และใช้งานพวกมันไปสังหารผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งสองร้อยล้านคนแทน
สองร้อยล้านคนเชียวนะ!?
แม้ว่าเรื่องที่ว่ามานี้จะเกิดขึ้นจริง แต่ทุกคนก็ยังแทบจะไม่อาจทำใจเชื่อได้อยู่ดี
ลอร่าก้าวออกมา คว้าจับมือของกู่ฉิงซานและค่อยๆ กระตุกมัน
แม้จะไร้ซึ่งน้ำตา แต่ดวงตาของเธอก็มีสีแดงเรื่อ ริมฝีปากเม้ม ลังเลไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อยู่สักพัก
กู่ฉิงซานยิ้ม แตะสัมผัสลงบนหัวเธอเบาๆ
“ว่ายังไง?” เขาเอ่ยถาม
“ศัตรูของพ่อ แม่ แล้วก็น้องชายของเรา ยังไม่ได้รับการแก้แค้น…” ลอร่างึมงำเสียงกระซิบ
กู่ฉิงซานจึงอุ้มเธอขึ้น และวางลงบนไหล่เขา
“งั้นตอนนี้ คงได้เวลาแล้วที่พวกเราจะกลับไปหาทริสเต้”
กู่ฉิงซานปลอบประโลมลอร่าอย่างอ่อนโยน
“วางใจเถอะ หนี้เลือดที่ก่อขึ้น ทริสเต้จะต้องชดใช้มันในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน”
…………………………………………….
หนังสือปกดำลอยนิ่งอยู่บนฝ่ามือของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
แต่กู่ฉิงซานก็ไม่ได้เร่งรีบที่จะเปิดมัน
เพราะยามเมื่อต้องเผชิญกับบางสิ่งที่ไม่รู้จัก ตัวเขามักจะมีความระแวดระวัง รู้จักอดทนอยู่เสมอ
เขามองไปยังเส้นแสงหิ่งห้อยบนหน้าต่างเทพสงครามและเริ่มเอ่ยถามระบบ
“ระบบเทพสงคราม คุณช่วยอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับทั้งหกเงื่อนไขที่ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นร่างเงาเทพให้ฉันฟังหน่อยจะได้ไหม?”
ติ๊ง!
ระบบเทพสงครามตอบ
“หนึ่ง โลกเก้าร้อยล้านชั้นเป็นสิ่งที่ทวยเทพสร้างขึ้น และในเวลานี้ เหล่าทวยเทพก็ได้จากไปแล้ว ขณะที่วันสิ้นโลกกลับปรากฏขึ้น ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ ที่ระบบวันสิ้นโลกกำลังจะมาเยือนอาณาจักรทั้งมวล จึงตรงตามเงื่อนไขแรกของเหล่าทวยเทพไปโดยปริยาย”
“สอง โลกสมบัติของทริสเต้ใบนี้เป็นสถานที่พำนักของเหล่าทวยเทพในยุคโบราณอันไกลโพ้น”
“สาม เช่าหยินคือดาบที่ถูกหลอมกลั่นโดยเทพบรรพกาล ซึ่งคุณสามารถเป็นเจ้าของดาบเล่มนี้ได้ ดังนั้นเทพวิญญาณจึงยอมรับคุณเป็นราชาแห่งท้องทะเล”
“สี่ ตั้งแต่ที่คุณเข้าสู่โลกใบนี้ คุณก็ได้ทำการต่อต้านเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ต้นกำเนิด มาโดยตลอดและยอดภูเขาน้ำแข็งของเหล่าทวยเทพก็ได้เป็นประจักษ์พยานต่อเหตุการณ์ทั้งหมด”
“ห้า คุณสามารถทำลายสองระบบในเวลาเดียวกัน”
“หก คุณได้รับการยอมรับจากระบบเทพสงคราม เป็นเจ้าของอำนาจเทพสงคราม นอกจากนี้ยังครอบครองกฎเกณฑ์เกี่ยวกับมิติและเวลาของวันสิ้นโลกในอดีตอีกด้วย ซึ่งตรงส่วนนี้คุณก็น่าจะเข้าใจดี”
เมื่ออ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้าย ลมหายใจของกู่ฉิงซานก็ขาดห้วงไปเล็กน้อย
นั่นสินะ ฉันลอบกลับมาจากมิติและเวลาในอนาคตจริงๆ กลับมาสู่อดีตแล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
หากอ้างอิงตามตรรกะทางด้านวิทยาศาสตร์ อนาคตไม่ว่าอย่างไรก็ย่อมมีอิทธิพลต่ออดีต
แต่ในกรณีของฉัน แท้จริงแล้วจะเป็นอนาคตที่มีอิทธิพลต่ออดีต หรือเป็นอดีตที่มีอิทธิพลต่ออนาคตกันแน่นะ?
ไม่ อันที่จริงแล้วมันควรจะเป็นแบบนี้ต่างหาก
ตนเองและระบบเทพสงครามเริ่มต้นจากการแอบย่องข้ามมิติและเวลาจากอนาคต ดังนั้นช่วงเวลาในอดีตจึงได้รับผลกระทบทั้งหมด ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ในอดีตรูปแบบใหม่ขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม เรื่องแบบนี้มันสามารถพิจารณาด้วยตรรกะทางวิทยาศาสตร์จริงๆ หรือ?
กู่ฉิงซานส่ายหัว
เขาย้อนนึกไปถึงมอนสเตอร์ตัวนั้นอีกครั้ง
“ช่างน่าสงสาร…” นี่คือสิ่งที่มอนสเตอร์พูดกับเขาก่อนมันจะตาย
กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างเงียบๆ
เรื่องราวมันลึกลับมากเกินไป และด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา ย่อมไม่มีทางที่จะยืนยันเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้
ขณะนั้นเอง บรรทัดแสงตัวอักษรใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม
“ปัจจุบัน คุณสามารถรับของขวัญจากเหล่าทวยเทพได้แล้ว”
พอกวาดสายตาอ่านบรรทัดแสงนี้ กู่ฉิงซานก็สัมผัสได้ถึงความปีติยินดีของระบบเทพสงคราม
“นี่คงไม่ใช่กับดักหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ…ใช่ไหม?”
เขาเอ่ยถาม
“ไม่ใช่แน่นอน เพราะเหล่าทวยเทพไม่ได้เกลียดชังอะไรในตัวระบบ และคุณก็ได้พิสูจน์ถึงจุดยืนของตัวเองด้วยการกระทำภายในโลกที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยพำนักอยู่นี่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
“ดังนั้น สิ่งที่เหล่าทวยเทพเหลือทิ้งไว้เบื้องหลัง จะไม่ถูกนำมาใช้จัดการกับคุณ” ระบบเทพสงครามตอบ
กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็รู้สึกโล่งใจและกล่าว “ดีล่ะ ถ้าอย่างงั้นมาดูกันว่าหนังสือปกดำเล่มนี้คืออะไร”
ว่าจบ เขาก็เอื้อมมือไปหยิบหนังสือปกดำขึ้นมา
ทันใดนั้นเส้นแสงตัวอักษรใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“คุณได้รับหนังสือของขวัญจากเทพผู้รังสรรค์”
“กรุณาเปิดหนังสือเล่มนี้”
กู่ฉิงซานเปิดปกหนังสือที่ปิดอยู่อย่างช้าๆ
ชั่วพริบตาที่มันถูกเปิดออก ตลอดทั้งเล่มของหนังสือปกดำก็สาดประกายรังสีแสงสดใส พวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า
ภายใต้แสงสว่างอันงดงามนี้ มันเปล่งประกายไปด้วยความหมายของชีวิต และการยกย่องบูชา เวียนว่ายไปมาไม่หยุดเหนือหัวของกู่ฉิงซาน
ในเวลาเดียวกันแสงและเงาระหว่างสวรรค์และโลกก็เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นร่างยักษ์ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
รูปร่างของอีกฝ่ายใหญ่โตราวกับขุนเขา กู่ฉิงซานที่อยู่เบื้องหน้ามีความสูงเพียงแค่ระดับเดียวกันกับเท้าของมันเท่านั้น
ร่างยักษ์มองลงมายังกู่ฉิงซาน เริ่มอ้าปากพูดคุย
“เจ้าเป็นคนที่สามของโลกเก้าร้อยล้านชั้น ที่ได้รับของขวัญจากเหล่าทวยเทพ เวลานี้ เจ้าสามารถพูดถึงสิ่งที่ปรารถนามากที่สุดจากในจิตใจออกมาได้”
กู่ฉิงซานนิ่งค้างไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อตระหนักได้ถึงปฏิกิริยาของเขา ระบบเทพสงครามก็เร่งผุดบรรทัดแสง เตือนขึ้นบนหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
“คุณต้องบอกความจริงออกไป”
ราวกับกลัวว่ากู่ฉิงซานจะเสียโอกาสนี้ไป บนหน้าต่างเทพสงครามจึงปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยขึ้นมาอีกครั้ง และอธิบายถึงรายละเอียดอย่างรวดเร็ว
“กฎแห่งเหตุและผลของเทพวิญญาณมีกฎเกณฑ์ในตัวของพวกมันเองอยู่ ดังนั้นสิ่งที่คุณกำลังจะพูดออกไป มันต้องเป็นความปรารถนาจากส่วนลึกที่สุดในจิตใจของตัวเองจริงๆ คำขอนั้นจึงจะประสบความสำเร็จได้อย่างราบรื่น”
“ดังนั้น คุณจะต้องเอ่ยความปรารถนาที่จริงแท้ที่สุดในจิตใจของตัวเองออกมา!”
กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านหน้าต่างเทพสงคราม และพยักหน้าเล็กน้อย แสดงท่าทีว่าเขาเข้าใจ
เขามองขึ้นไปยังแสงและเงาของร่างยักษ์บนท้องฟ้า และสูดหายใจเข้าลึกๆ
“ในความเป็นจริงแล้ว หลายครั้งหลายครา ตัวฉันมักจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เนื่องมาจากการที่ตนเองอ่อนแอ ดังนั้นฉันจึงเกลียดความอ่อนแอของตัวเอง”
เขาเริ่มอธิบาย
“ถ้าหากท่านต้องการจะช่วยฉันจริงๆ ได้โปรดมอบความแข็งแกร่งที่เหนือล้ำยิ่งกว่าในวันนี้ เพื่อที่ฉันจะได้สามารถใช้มันต่อต้านระบบ สามารถได้รับอิสรภาพ สามารถปกป้องทุกคนที่ฉันต้องการจะปกป้องได้ด้วยเถอะ!”
“ฉันปรารถนาในพลังอันยิ่งใหญ่!”
“อำนาจที่มากพอจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่าง!”
“ฉันต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น และได้รับพลังอำนาจที่มากขึ้น นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันปรารถนามากที่สุดล่ะ!”
กู่ฉิงซานตะโกนเสียงดัง
เขาสิ้นหวังมากเกินไป เกือบทุกครั้งเลยตนจะต้องถูกบีบบังคับให้เผชิญกับสถานการณ์ไร้หนทาง ส่งผลให้ตลอดเวลา เขามักจะรู้สึกราวกับว่าตนกำลังย่ำอยู่ตรงขอบหน้าผาอยู่เสมอๆ ต้องเค้นสมองเฟ้นหาวิธีทุกหนทางในการต่อสู้ เพื่อไขว่คว้าโอกาสอันน้อยนิดให้สามารถรอดชีวิตอยู่ต่อไปได้
เขาต้องงัดทุกอย่างที่เขาสามารถทำได้ และใช้ออกด้วยทุกสิ่งที่เขามี
แต่!
หากเขาแข็งแกร่งมากพอ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆ เขาก็ไม่จำเป็นต้องคิดหนัก ไม่ต้องเลือกที่จะหลบหนีไปมา หรือใช้ออกด้วยทุกกลยุทธ์ใดๆ เลย
ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็เพียงแค่หยิบดาบขึ้นมา และใช้มันฟาดฟันแก้ไขทุกๆ ปัญหาก็เท่านั้น!
เหมือนกันกับที่ร่างใหญ่ที่อยู่มากกว่าหนึ่งแสนปีได้กล่าวเอาไว้ ว่าสำหรับช่วงเวลาแห่งวันสิ้นโลก ความอ่อนแอนับว่าเป็นบาปมหันต์!
ฉะนั้น เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้น!
ในช่วงเวลานี้
ระหว่างเผชิญหน้ากับแสงและเงาของร่างยักษ์เทพบรรพกาล
กู่ฉิงซานได้ระบายความปรารถนาจากส่วนลึกในจิตใจของเขา เปล่งมันออกไปด้วยความจริงใจและทะเยอทะยานอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
เหนือทะเลเมฆ ใต้ผืนฟ้า
แสงและเงาของยักษ์ใหญ่เทพบรรพกาลรับฟังคำขอของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
“แข็งแกร่งขึ้น? นั่นหรือคือสิ่งที่เจ้าปรารถนามากที่สุด?” เขาถาม
“ใช่” กู่ฉิงซานตอบ
แสงและเงาร่างยักษ์กล่าว “ทว่าตามกฎเกณฑ์ของอาณาจักรทั้งมวล พวกมันย่อมไม่ยอมรับถึงการดำรงอยู่ที่จู่ๆ ก็ทวีความแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างกะทันหันได้ เหตุและผลย่อมมีกฎของตัวมันเอง ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถก้าวหน้าในระยะเวลาเพียงชั่วข้ามคืนไปได้”
“และที่สำคัญ ข้าไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถมอบอำนาจที่แข็งแกร่งในทันทีให้แก่เจ้าได้”
“อย่างไรก็ตาม ในบรรดาของขวัญที่ข้าเตรียมเอาไว้ มันมีอยู่สิ่งหนึ่งที่จะสำแดงผลลัพธ์ช่วยให้เจ้าสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ดั่งที่ใจเจ้าปรารถนา”
“หากได้รับมัน เจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่มันต้องใช้เวลาและความเพียรพยายามอย่างหนัก เจ้าเองจำต้องจ่ายเลือดและเนื้อออกไปมากกว่าคนอื่นๆ จักต้องฝึกฝนให้มากยิ่งขึ้น มีวินัยให้มากยิ่งขึ้น ปฏิบัติตนให้เหมาะสมที่จะได้เป็นราชาเหนือราชาทั้งปวง”
“กล่าวกันว่ายิ่งทำงานหนักเท่าใด ผลตอบแทนที่ได้รับก็จะยิ่งมากเท่านั้น ซึ่งหากเจ้าทำแบบที่ว่า มันก็จะเกิดการสอดคล้องกับกฎแห่งเหตุและผล และทุกกฎเกณฑ์ของอาณาจักรทั้งปวง”
“ของขวัญที่ข้ากำลังจะมอบให้นี้ หากเจ้าไม่มุ่งมั่นทำงานให้หนักยิ่งกว่าผู้อื่นนับสิบเท่า มันก็แทบจะไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย”
“คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ว่าเจ้ายินดีจะยอมรับมันเอาไว้หรือไม่?”
“ฉันยอมรับ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ลังเล
แสงและเงาร่างยักษ์พอได้ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อย
แสงและเงายักษ์โบกมือออกไป
เห็นแค่เพียงในความว่างเปล่าเหนือหัวของกู่ฉิงซาน ทั้งหมดขยับไหวราวกับกระแสธารหลาก ไหลมาท่วมรวมกันบนฝ่ามือของเงายักษ์
รังสีแสงอันเข้มข้นแปรเปลี่ยนรูปร่างอย่างรวดเร็วกลายเป็นรูปปั้นที่เปล่งเสียงบางเบานับไม่ถ้วนออกมา
กู่ฉิงซานเฝ้ามองอย่างตั้งใจ และเห็นว่ารูปปั้นที่ว่านั้นมีร่างกายเหมือนคนปกติ ทว่าเหนือขึ้นไปตรงส่วนหัวกลับปรากฏถึงสี่หน้า หันออกไปสี่ทิศ
และเหนือสี่หัวขึ้นไป ก็ยังคงมีอีกสี่หัว หันออกไปในอีกสี่ทิศทางเช่นกัน
และหัวสี่ทิศที่ว่าก็ยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลากยาวไปจนถึงเจ็ดชั้น ทว่าชั้นสุดท้ายกลับปรากฏให้เห็นเพียงแค่หัวเดียวเท่านั้น
เมื่อมองไปยังรูปปั้นดังกล่าวนี้ในคราวแรก จะรู้สึกราวกับถูกดึงดูดเข้าไป แต่หากได้ลองเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด มันจะก่อให้เกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้บางอย่างขึ้นมา
แสงและเงายักษ์ถือรูปปั้นนี้และกล่าว
“ในตลอดทั้งหมื่นโลกา ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีกฎเกณฑ์พื้นฐานของมัน”
“และเพื่อที่จะรักษาสมดุลของอาณาจักรทั้งปวงเอาไว้ เพื่อที่จะยับยั้งความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตไม่ให้มากจนเกินไป ‘กฎเกณฑ์แห่งจิตวิญญาณ’ อันลึกล้ำจึงถือกำเนิดขึ้น”
“อำนาจของกฎที่ว่านั่นก็คือ จิตวิญญาณจะไม่สามารถเบี่ยงเบนไปในวิถีอันหลากหลายได้…หากจิตใจของเจ้าเบี่ยงเบนเป้าหมายไปยังอีกสิ่งหนึ่ง ความเชี่ยวชาญในวิถีนั้นๆ ก็จะลดต่ำลง”
กู่ฉิงซานพอได้ฟังคำของแสงและเงาร่างยักษ์ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า
เขาย้อนนึกไปถึงในโลกล่องเวหา ย้อนนึกไปถึง ‘ดาบคู่เอกลักษณ์’ เฉียนซานเย่
เพื่อที่จะฝึกฝนทั้งทักษะดาบและกระบี่ให้เชี่ยวชาญ เฉียนซานเย่จำได้ใช้ออกด้วยเทคนิคแยกวิญญาณออกเป็นสองส่วน จึงจะสามารถเชี่ยวชาญทั้งสองทักษะนี้ได้
แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาก็ไม่แตกต่างไปจากหลานซิ่งแห่งจักรวรรดิเทียนหลาน ที่จำต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากดวงวิญญาณที่แยกออกอยู่ตลอดเวลา
ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานเช่นนี้ จริงอยู่ที่ว่ามันจะสามารถทำให้ผู้คนฝึกฝนวิถีที่หมายปองจนเชี่ยวชาญได้มากกว่าหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันความแข็งแกร่งทางจิตก็จะถดถอยลง และสามารถถูกโจมตีโดยผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกล่องเวหา แม้ว่าเขาจะได้ล่วงรู้ถึงเทคนิคแยกวิญญาณนี้ แต่ตนก็ไม่เคยคิดที่จะใยดีมันเลย
แสงและเงายักษ์กล่าวต่อ
“ตอนนี้ ข้าจะใช้อำนาจของทวยเทพ สร้างผลกระทบต่อกฎเกณฑ์ของเหตุและผล เพื่อเป็นกุญแจสู่การปลดปล่อยจิตวิญญาณของเจ้า”
“สมบัติชิ้นนี้จะช่วยปลดปล่อยขีดจำกัดจิตวิญญาณไปโดยสมบูรณ์”
“ความหมายก็คือ นับแต่นี้ไป เจ้าจะสามารถฝึกฝนทักษะทั้งหมด สามารถมุ่งเดินไปในทุกๆ วิถีที่หมายปอง โดยไร้ซึ่งข้อจำกัดใดๆ สามารถเชี่ยวชาญในศาสตร์ทุกแขนงได้โดยไม่มีกฎเกณฑ์ของตลอดทั้งหมื่นโลกามาผูกมัด กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าทุกสรรพชีวิตทั้งมวล”
“หากเจ้าจ่ายออกด้วยหยาดเหงื่อและความเพียรพยายามที่มากพอ ตัวเจ้าจะกลายเป็นเทพสงครามที่ทรงอำนาจ เป็นผู้เชี่ยวชาญในทุกศาสตร์ ทุกแขนง”
แสงและเงายักษ์กล่าวจบ ก็โยนรูปปั้นไปทางกู่ฉิงซาน
รูปปั้นตกลงเหนือหัวของกู่ฉิงซาน และทันใดนั้นมันก็แปรสภาพกลายเป็นแสงจรัสอันไร้ที่สิ้นสุด จมหายเข้าสู่หว่างคิ้วของเขา
ปัง!
กู่ฉิงซานที่ยืนอยู่กลางอากาศ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตนกำลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ คล้ายกับว่ามีบางอย่างได้รับการปลดปล่อย
พริบตาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้น ตัวเขาก็ถูกตรวจพบโดยฟ้าดินทันที
บังเกิดคลื่นความผันผวนอย่างรุนแรงไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก
ท่ามกลางตลอดทั้งโลกนับล้านๆ ความผันผวนอันไร้ที่สิ้นสุดนี้เริ่มทยอยกันปรากฏขึ้น
พวกมันข้ามผ่านขอบเขตมิติและเวลา มาปรากฏกายขึ้นในโลกสมบัติของทริสเต้โดยตรง หลอมรวมตัวเข้าด้วยกัน เกิดเป็นความผันผวนที่สร้างแรงกระแทกอันยิ่งใหญ่
พลังที่มองไม่เห็นนี้แม้จะไร้ซึ่งมวลน้ำหนักใดๆ ทว่าขณะเดียวกัน ไม่ว่าสิ่งใดก็มิอาจหยุดยั้งมันได้
ชนิดที่ว่าตราบใดที่มันต้องการ โลกทั้งใบที่มาขวางหน้าก็จะกลายเป็นฝุ่นผงทันที!
อำนาจที่มองไม่เห็นกระแทกเข้าใส่ร่างของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานตระหนักได้ว่าตนกำลังถูกห้อมล้อมไปด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่
อำนาจอันยิ่งใหญ่นี้ค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่จิตวิญญาณของเขา ทั้งคนทั้งร่างเขาราวกับถูกแช่แข็ง ไม่แม้กระทั่งจะสามารถขยับนิ้วมือได้
ในเวลานั้นเอง แสงและเงายักษ์ก็เอ่ยปากออกมา
“ไม่จำเป็นต้องกังวลไป กฎเกณฑ์อันลึกล้ำกำลังสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของเจ้า”
“กฎเกณฑ์ของโลกเก้าร้อยล้านชั้นกำลังรวมตัวเข้าด้วยกัน และพยายามที่จะยับยั้งการปลดปล่อยจิตวิญญาณของเจ้า ทว่าการปลดปล่อยจิตวิญญาณของเจ้าได้รับการอนุญาตจากทวยเทพซึ่งเป็นผู้สร้างโลกเหล่านั้นขึ้นมา ดังนั้นในสถานการณ์นี้ เจ้าย่อมสามารถผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย”
พร้อมกันกับคำพูดของแสงและเงายักษ์ กุญแจแห่งการปลดปล่อยจิตวิญญาณก็ปรากฏขึ้น และปกคลุมรอบกายกู่ฉิงซาน
ร่างเงาของรูปปั้นที่มีหัวนับไม่ถ้วนค่อยๆ แตกสลายลง
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง อำนาจอันยิ่งใหญ่ที่คิดหมายจะยับยั้งกู่ฉิงซานก็กระจายหายไปเช่นกัน
……………………………………………..
เสียงประกาศของ ‘ปฏิวัติ’ เพิ่งจะจบลง อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นตามมาติดๆ ทันที
ซึ่งเสียงนี้แตกต่างจากเสียงของปฏิวัติที่เต็มไปด้วยความเย็นชา มันเป็นเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และเมตตา
“วิถีแห่งการกดขี่สิ่งมีชีวิตทั้งมวล เจ้าสิ่งที่ถูกชุบเลี้ยงโดยราชามารเอ๋ย ตามคำไหว้วานที่พระผู้เป็นเจ้าเคยฝากฝังเอาไว้ ข้าจะลบล้างการดำรงอยู่ของเจ้า เพื่อพิสูจน์ถึงความเมตตาของเทพสวรรค์ที่หมายมั่นจะปกป้องอาณาจักรทั้งมวล!”
“เริ่มทำการค้นหาสิ่งมีชีวิตเพื่อทำการดาวน์โหลดวิถีศักดิ์สิทธิ์”
“…”
แล้วเสียงก็เงียบลง
กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก เฝ้ารออย่างเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง
เนื่องจากผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดถูกสังหารลงแล้ว ดังนั้นเขาล่ะอยากจะรู้จริงๆ ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
หากไม่มีผู้ดาวน์โหลด แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวระบบกันแน่นะ?
…
ไม่สิ
จู่ๆ กู่ฉิงซานก็พลันตระหนักได้ถึงสิ่งหนึ่ง
ว่านอกเหนือไปจากสถานที่เบื้องล่างที่ถูกแยกตัวออกไปโดยกำแพงอุปสรรคของทวยเทพแล้ว ในตลอดทั้งชั้นมหาสมุทรและชั้นเปลือกน้ำแข็ง ก็ยังเหลืออยู่อีกคนหนึ่งนี่นา
ซึ่งคนที่ว่า ก็คือเขานั่นเอง
ทันทีที่เขาตระหนักถึงมัน บนหน้าต่างเทพสงครามก็ส่องสว่างขึ้นทันใด
บรรทัดแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้น
“เนื่องจากไม่มีผู้ดาวน์โหลดคนอื่นๆ หลงเหลืออยู่อีกต่อไป ระบบของราชามาร เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ปฏิวัติ จึงได้บังคับการดาวน์โหลดลงบนร่างกายของคุณ”
“เนื่องจากไม่มีผู้ดาวน์โหลดคนอื่นๆ หลงเหลืออยู่อีกต่อไป ระบบของเทพสวรรค์ เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ วิถีศักดิ์สิทธิ์ จึงได้บังคับการดาวน์โหลดลงบนร่างกายของคุณ”
พร้อมกันกับคำแจ้งเตือนของหน้าต่างเทพสงคราม สองหน้าต่างใหม่ก็ปรากฏขึ้นในสายตาของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
หน้าต่างสีแดงที่แสนคุ้นเคย บัดนี้เปลี่ยนจากสีแดงเข้มเป็นสีแดงสดใสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นี่คือ ‘ปฏิวัติ’ ที่ถูกอัปเกรดขึ้นมาจากต้นกำเนิด
ส่วนหน้าต่างใหม่ที่สาดแสงสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน นี่คือระบบของเทพสวรรค์ เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ วิถีศักดิ์สิทธิ์
ณ เวลานี้ ในสายตาของกู่ฉิงซาน สามหน้าต่างลอยอยู่เคียงข้างกัน
โดยหน้าต่างเทพสงครามจะเป็นสีฟ้าอ่อน , หน้าต่างปฏิวัติเป็นสีแดงสด และหน้าต่างวิถีศักดิ์สิทธิ์ที่สาดแสงสีขาว
หนึ่งคน แต่ครอบครองถึงสามหน้าต่างระบบ นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
และผู้ที่บงการให้เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น คือร่างใหญ่ที่อายุกว่าหนึ่งแสนปี โดยที่มันเองก็คงไม่ทราบมาก่อนเหมือนกันว่ากู่ฉิงซานเองก็มีระบบเทพสงครามอยู่ก่อนแล้ว
ดังนั้น สถานการณ์ในขณะนี้จึงเกินความคาดหมายของร่างใหญ่ และมันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
กู่ฉิงซานเบนสายตามองหน้าต่างวิถีศักดิ์สิทธิ์ สลับกลับไปมองหน้าต่างปฏิวัติ
“แล้วฉันจะทำยังไงต่อไปล่ะทีนี้?”
เขากระซิบถามระบบเทพสงคราม
ติ๊ง!
ระบบเทพสงครามตอบกลับด้วยเสียงอันฟังชัด
“เนื่องจากพวกเขาคือระบบซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อกันและกัน ดังนั้นหากอ้างอิงตามการพิจารณาของฉัน พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย แค่เฝ้าดูอยู่เฉยๆ ก็พอ”
กู่ฉิงซานพยักหน้า
นี่มันแทบจะไม่ต่างไปจากที่ร่างใหญ่ได้บอกกับเขาเลย
กู่ฉิงซานยังคงนิ่ง
หลังจากนั้นหนึ่งลมหายใจ
เห็นแค่เพียงในสายตาของเขา หนึ่งแดงหนึ่งขาวเริ่มเกิดการเคลื่อนไหวขึ้น
โดยแสงที่ทั้งสองหน้าต่างเปล่งออก สาดประกายเจิดจ้าเป็นอย่างยิ่ง
ระหว่างแสงกับแสงกำลังห้ำหั่นกัน แต่ละฝ่ายต่างพยายามแทรกซึมและเจาะเข้าไปครอบคลุมกันและกัน
เมื่อเวลาผ่านไป แสงทั้งสองก็เริ่มซวนเซ และปกคลุมซึ่งกันและกัน
ภายใต้แสงที่ปกคลุมนี้ ทั้งสองหน้าต่างก็เริ่มบังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
อันดับแรกเลยคือแสงจากทั้งสองเริ่มที่จะทับซ้อนกัน จากนั้นตัวหน้าต่างก็เริ่มเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ตามต่อด้วยฟังก์ชันต่างๆ บนหน้าต่างเริ่มจะสลายลงไปตามลำดับ
ทันใดนั้นสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร จู่ๆ ก็ปรากฏถึงอักษรรูนสีทองผุดขึ้นทุกหย่อมหญ้า บนยอดภูเขาน้ำแข็งของทวยเทพ
นี่คือลายลักษณ์โบราณ ที่เหล่าทวยเทพได้เขียนทิ้งเอาไว้
ตลอดทั้งยอดภูเขาน้ำแข็ง บัดนี้ฟุ้งไปด้วยแสงจรัสสีทอง ซ้อนทับกันเป็นชั้น เป็นชั้น
ยอดภูเขาหิมะ บัดนี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นยอดภูเขาทองคำอันตระการตา
ดูเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับกู่ฉิงซาน จะไปกระตุ้นให้ยอดเขาของทวยเทพเกิดปฏิกิริยานี้ขึ้น?
ช่วงเวลาฉุกละหุก แสงจรัสจากลายลักษณ์ของทวยเทพก็ไหลไปควบรวมกันบนยอดสุด ก่อตัวขึ้นเป็นเสาแสงสีแดง พวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า มุ่งหน้ามายังทิศทางของกู่ฉิงซานโดยตรง
แสงสีทองเข้าห่อหุ้มกู่ฉิงซานในฉับพลัน!
ในเสี้ยววินาที โลกทั้งใบก็จมลงสู่ความมืดมิด
ทุกสิ่งอย่างในสายตาของกู่ฉิงซานจางหายไปจนสิ้น
เขารู้สึกว่าโลกทั้งใบกำลังปั่นป่วน ขณะที่ตนเองถูกยกสูงขึ้นไปเบื้องบนท้องฟ้าด้วยความเร็วที่ไม่อาจบอกบรรยายได้
ไม่สิ มันไม่ใช่บนท้องฟ้าแล้ว แต่มันพุ่งสูงขึ้นทะลุผ่านชั้นโลกนับไม่ถ้วน และลอยไปยังสถานที่ซึ่งเขาไม่เคยรู้จักเลยต่างหาก!
เหตุการณ์ในเวลานี้ บางทีอาจใช้ระยะเวลาเป็นหมื่นปี หรือเพียงแค่เสี้ยวพริบตาเท่านั้น กู่ฉิงซานได้ค้นพบว่าตนเองได้สูญเสียการรับรู้เกี่ยวกับมิติและเวลาไปแล้ว
ทันใดนั้นเขาก็ปรากฏตัวขึ้นในสถานที่ที่ ดูเลือนรางและพร่ามัว
เห็นแค่เพียงชายคนหนึ่งที่มีรูปร่างใหญ่มหึมาราวกับภูเขาในสายตา
เนื่องจากชายผู้นี้ได้ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดโดยสมบูรณ์ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นถึงรูปร่างหน้าตาของเขาได้ ทว่าด้วยแสงที่ส่องผ่านร่างกายของเขา กู่ฉิงซานจึงพอจะคาดเดาได้ว่าชายผู้นี้มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับมนุษย์
ด้วยแสงสว่างอันคลุมเครือในวิสัยทัศน์ของเขา ผสานไปกับสภาพแวดล้อมโดยรอบที่พร่ามัว ประจวบกับบุคคลที่ไม่รู้จัก ส่งผลให้กู่ฉิงซานไม่อาจเค้นสมองนึกคิด คาดการณ์ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ได้เลย
“ระบบเทพสงคราม นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” กู่ฉิงซานลอบถามในจิตใจของเขาอย่างลับๆ
แต่คราวนี้ระบบเทพสงครามกลับไม่ตอบสนอง มันเลือกที่จะเงียบ
ในเวลานั้นเอง ร่างเงามหึมาก็เอ่ยปากขึ้น
“ถึงแม้ว่าเราจะจากไปแล้ว แต่เมื่อได้ลองขบคิด พิจารณาถึงสถานการณ์พิเศษที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากที่สร้างโลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้น เราจึงเลือกที่จะทิ้งร่างเงานี้เอาไว้”
เสียงของเขาฟังดูเชื่องช้า ช้าเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันมันก็ได้บ่งบอกถึงข้อมูลอันน่าตกตะลึง
‘สร้างโลก’ อย่างงั้นหรือ?
มีเพียงทวยเทพเท่านั้นที่จะสามารถสร้างโลกได้
ถ้าฟังจากที่พูดมา หมายความว่าตรงหน้าฉัน คือหนึ่งในเหล่าทวยเทพใช่ไหม?
ขณะกู่ฉิงซานกำลังคิด อีกฝ่ายก็ยังคงพูดต่อ
“หลังจากที่เราได้จากไปแล้ว ผู้คนในโลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้นคงไม่แคล้วจมลงสู่หายนะอันไร้ที่สิ้นสุด”
“อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่โลกเก้าร้อยล้านชั้นมีแนวโน้มว่าจะถึงจุดจบ เจ้ากลับสามารถถือครองอาวุธที่เราสร้างขึ้นไว้ในมือ และใช้มันทำลายอำนาจของทั้งสองระบบด้วยตนเองลงได้”
“แถมตัวเจ้าเองก็ยังครอบครอง ‘อำนาจ’ ที่ว่านั่นอยู่ด้วยเช่นกัน”
“ดังนั้น ร่างเงาที่ถูกทิ้งไว้โดยทวยเทพจึงจะขอมอบของขวัญให้แก่เจ้า”
“จงนำสิ่งนี้กลับไป และหวังว่าเจ้าจะสร้างมันให้ดียิ่งกว่านี้ในอนาคต”
กล่าวจบ ร่างเงามหึมาก็หายวับไปจากเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน
เมื่อร่างเงามหึมาหายไป แสงและเงาตลอดทั่วบริเวณก็กลายเป็นพร่ามัวยิ่งกว่าเดิม
กู่ฉิงซานทำได้เพียงรับฟังอีกฝ่ายหนึ่งกล่าวจนจบ แล้วตนเองก็จมลงสู่ห้วงหลับลึกอย่างมิอาจต้านทานได้ทันที
ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหนแล้ว
แต่จู่ๆ ก็ราวกับมีสัญญาณเตือนบางอย่าง ปลุกเขาให้ตื่นขึ้น
กู่ฉิงซานสะดุ้งเฮือก สองตาเบิกกว้าง เร่งหันไปมองรอบกายอย่างรวดเร็ว
แต่กลับพบว่าตนเองยังคงยืนอยู่เหนือทะเลเมฆอันกว้างใหญ่
ในมุมสูง สายลมและหิมะไม่สามารถขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ ส่งผลให้ความอบอุ่นจากแสงแดดค่อยๆ แผ่เข้ามายังทั่วร่างของกู่ฉิงซาน
โลกทั้งใบอันแสนกว้างใหญ่ บัดนี้เปล่าเปลี่ยว ไร้ซึ่งผู้ใดอีกต่อไป
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น…และพบว่าทิศทางของแสงแดดยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
กล่าวในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เวลามิได้ผ่านพ้นไปนานเท่าใดนัก
ที่ฉันเห็นเมื่อครู่นี้ คือเทพบรรพกาลจริงๆ หรือ?
กู่ฉิงซานจมลงสู่ห้วงความคิด
แต่แล้วเมื่อย้อนนึกถึงประโยคสุดท้ายของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ราวกับมีอะไรดลใจ จู่ๆ กู่ฉิงซานก็ค่อยๆ ยื่นมือซ้ายของตัวเองออกไป
เขาจ้องมองไปที่มือของตน
ชั่วพริบตานั้นเอง เห็นแค่เพียงหนังสือปกหนาปรากฏขึ้นมาจากอากาศที่บางเบา ลอยอยู่บนมือของเขาอย่างเงียบๆ
มันคือหนังสือที่ตรงส่วนปกทำมาจากหนังสีดำ
บังเกิดสายลมที่มองไม่เห็นคดเคี้ยวไปมาขึ้นรอบตัวมัน
กู่ฉิงซานตระหนักถึงความรู้สึกนี้ดี…มันคือแต้มพลังวิญญาณ คือพลังเหนือธรรมชาติ
ในเวลาเดียวกัน เขาก็ค้นพบว่าหน้าต่างสีแดงสดและหน้าต่างที่เปล่งประกายแสงสีขาวได้หายไปแล้ว
หากอ้างอิงตามสิ่งที่ร่างเงาเทพบรรพกาลกล่าว เหมือนกับว่า ‘ปฏิวัติ’ และ ‘วิถีศักดิ์สิทธิ์’ ทั้งสองระบบนี้จะถูกทำลายลงไปแล้ว
หน้าต่างเทพสงครามส่องสว่างขึ้นทันใด
ตัวอักษรขนาดเล็กกะพริบไหวอย่างบ้าคลั่ง
“ระบบทั้งสองในร่างกายคุณ ได้เกิดการทำลายล้างซึ่งกันและกัน”
“และสิ่งที่คุณเรียกว่าเป็นร่างเงาของเทพบรรพกาล ที่ได้บอกเล่าเรื่องราวของโลกเก้าร้อยล้านชั้นนั้น…”
“หลังจากการวิเคราะห์สถานการณ์ ระบบได้ทำการพิจารณาแล้วว่า การที่ร่างเงาดังกล่าวได้ปรากฏขึ้นนั้น แท้จริงแล้วมีเงื่อนไขแบบเฉพาะเจาะจงดังต่อไปนี้”
“เงื่อนไขที่หนึ่ง โลกเก้าร้อยล้านชั้นกำลังจมลงสู่ช่วงเวลาแห่งหายนะ”
“เงื่อนไขที่สอง จะต้องอยู่ในดินแดนที่ในครั้งอดีต เหล่าทวยเทพเคยอาศัยอยู่”
“เงื่อนไขที่สาม จะต้องถือครองอาวุธที่ถูกหลอมกลั่นโดยเทพบรรพกาล”
“เงื่อนไขที่สี่ ก้าวตามรอยเท้าของเหล่าทวยเทพ ต่อสู้กับระบบที่หมายปองจะข่มเหงสรรพชีวิตทั้งมวล”
“เงื่อนไขที่ห้า ระบบทั้งสองถูกทำลายในเวลาเดียวกัน”
“เงื่อนไขที่หก คุณจะต้องเป็นเจ้าของ ‘อำนาจ’บางอย่าง”
“ซึ่งเงื่อนไขข้างต้นที่กล่าวมา คุณได้บรรลุมันจนสิ้นแล้ว”
“ดังนั้น คุณจึงได้รับของขวัญจากเทพบรรพกาล”
………………………………..
ภายในโลกสมบัติของทริสเต้
ตรงส่วนของชั้นเปลือกน้ำแข็ง
กู่ฉิงซานทิ้งตัว นั่งลงบนฟูกอีกครั้ง
ตนเองได้เอ่ยถามออกไปว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด และร่างใหญ่ก็ตอบกลับมาว่าให้ไปยังดินแดนชิงอำนาจ
แต่น่าเสียดายที่เขาได้ยินแค่ครึ่งประโยคเท่านั้น…
เขาถอนหายใจ มองไปยังหน้าต่างเทพสงคราม และเปิดตัวเลือก ‘ภารกิจเทพสงคราม’
ทันใดนั้นเส้นแสงหิ่งห้อยก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอทันที
“วิถีดาบแห่งคุณคือเป้าหมายภารกิจของระบบ”
“ภารกิจปัจจุบัน สวรรค์ลงทัณฑ์ ‘ยังไม่เสร็จสมบูรณ์’”
“เนื้อหาภารกิจ เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ต้นกำเนิด กำลังอยู่ในระหว่างช่วงเวลาสำคัญในการอัปเกรด อีกไม่นานมันจะกลายเป็นการปฏิวัติ และออกจากโลกใบนี้ ไปครอบคลุมตลอดทั้งโลกสามร้อยล้านชั้น”
“เป้าหมายภารกิจ กำจัดมันเสีย”
“รางวัลภารกิจ ความลับ”
กู่ฉิงซานอ่านเนื้อหาภารกิจ และพิจารณาไปถึงทุกสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้
เหตุผลที่เขาตั้งชื่อภารกิจเป็น ‘สวรรค์ลงทัณฑ์’ นั่นก็เพราะเดิมทีตนเองตั้งใจจะใช้ทัณฑ์สวรรค์ในการกำจัดกองทัพผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ดูเหมือนว่าแม้จะสังหารผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดลงได้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่อาจกำจัดระบบของราชามาร หรือเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ไปได้อยู่ดี
กู่ฉิงซานตบลงเบาๆ ในถุงสัมภาระ และปล่อยจิตสัมผัสเทวะเข้าไป
และพบว่ากล่องเงินที่ร่างใหญ่มอบให้แก่เขา ยังคงนอนนิ่งอยู่ภายในนั้นอย่างสงบ
ภายในกล่องเป็นสัญญาณจริงๆ หรือ?
กู่ฉิงซานนึกใคร่ครวญ
เขาไม่ใช่คนที่จะเชื่อใจใครง่ายๆ
แต่ร่างใหญ่ก็ได้ช่วยเหลือตนเอาไว้หลายครั้ง แถมตัวกู่ฉิงซานก็เองก็ยังเป็นกุญแจสำคัญในการปลดปล่อยร่างใหญ่ให้เป็นอิสระ
ฉะนั้น ร่างใหญ่ก็ไม่น่าจะหลอกลวงเขา
เพราะหากอีกฝ่ายคิดจะโป้ปด ร่างใหญ่ก็แค่แสร้งทำเป็นไม่รู้ และไม่บอกความจริงเกี่ยวกับระบบให้แก่เขา แบบนั้นมันไม่ง่ายกว่าหรือ?
อย่างไรก็ตาม ร่างใหญ่ถึงขั้นยอมบอกความลับของมันให้แก่ตนเอง และยังย้ำเตือนซ้ำๆ อีกด้วยว่าอย่าเอาไปบอกคนอื่น
หากมองย้อนกลับไปในอดีต การที่ตนสามารถช่วยเหลืออาจารย์ที่เคารพได้ ก็เป็นเพราะร่างใหญ่เช่นกัน
ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิตก็เป็นร่างใหญ่ที่สอนเขา
กู่ฉิงซานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะลองเชื่อใจอีกฝ่ายดู
“เอาเถอะ ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าสัญญาณที่อยู่ในกล่องใบนี้มันจะดึงดูดอะไรมา…”
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าและคิดเกี่ยวกับมัน
ช่วงเวลานี้คือยามค่ำคืน แต่คิดว่าอีกไม่นานท้องฟ้าก็คงจะสางในไม่ช้า
ขณะที่ต้นกำเนิดจำเป็นต้องใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนเพื่อวิวัฒนาการสู่ปฏิวัติ
จากที่ลองคำนวณดู น่าจะเหลือเวลาอีกราวๆ ครึ่งวัน
‘ถ้างั้นตอนนี้ก็รอก่อนก็แล้วกัน’
กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระและหยิบเอายันต์สื่อสารออกมา
เขาใส่คำพูดลงไปในยันต์สื่อสารอยู่หลายคำ จากนั้นก็มัดยันต์เข้ากับเช่าหยิน
“จงข้ามผ่านชั้นสมุทร ลงไปยังเมืองไห่เช่า และนำข่าวนี้ไปมอบให้แก่ลอร่า พวกเธอจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลมากเกินไป” กู่ฉิงซานกล่าว
เช่าหยินส่งเสียงเบาๆ แปรเปลี่ยนเป็นกระแสแสง แทงลงสู่พื้นน้ำแข็ง
กู่ฉิงซานปัด ‘ภารกิจเทพสงคราม’ ออกจากหน้าจอระบบ
เขานั่งอยู่ตรงจุดเดิม และเริ่มไตร่ตรองเกี่ยวกับมอนสเตอร์ที่ตนเองพบในโลกของร่างใหญ่
ยังมีข้อสงสัยอยู่มากเกินไป
เรื่องราวมันไร้ซึ่งต้นตอ ในเมื่อไร้ซึ่งทั้งหัวและหาง ต่อให้พยายามนึกไปก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ กู่ฉิงซานก็พลันนึกได้ถึงบางสิ่ง
จริงสิ เขาเพิ่งจะสังหารอีกฝ่ายไป ถ้างั้นอย่างน้อยตนเองก็น่าจะได้แต้มพลังวิญญาณมาใช่หรือไม่?
เขาเบนสายตาไปมองหน้าต่างเทพสงครามอีกครั้ง
เห็นแค่เพียงจำนวนแต้มพลังวิญญาณที่เขียนเอาไว้อย่างชัดเจน ศูนย์เต็มหกร้อย
ไม่ได้มีแต้มพลังวิญญาณถูกเติมเข้ามา!
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว และกำลังจะเอ่ยถามระบบ แต่เขากลับเห็นถึงตัวอักษรเล็กๆ อธิบายไว้ใต้จำนวนแต้มพลังวิญญาณ
“คุณได้สังหารการดำรงอยู่ที่ไม่อาจอธิบายได้”
“เนื่องจากการดำรงอยู่ที่ไม่รู้จักนี้ ระบบได้ทำการพิจารณาแล้วว่ามันอันตรายเกินไป ดังนั้นเพื่อรับประกันว่าจะไม่มีอุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้น ระบบจึงเลือกที่จะไม่ดูดซับแต้มพลังวิญญาณของมัน”
เมื่ออ่านสองบรรทัดแสงหิ่งห้อยนี้ กู่ฉิงซานก็หายไปในห้วงความคิด
ระบบเทพสงครามจู่ๆ ก็กลายเป็นระมัดระวังอย่างกะทันหัน แสดงว่านี่มันเป็นเรื่องร้ายแรงจริงๆ
แต่ทำไมกันล่ะ?
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ระบบ เจ้าสิ่งที่ฉันฆ่าไป จริงๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่?”
ติ๊ง!
ระบบเทพสงครามตอบ “ฉันไม่มีข้อมูลใดๆ ที่สามารถเปิดเผยได้ ดังนั้น โปรดอย่าถามเกี่ยวกับสถานะของมันอีก”
“แค่บอกฉันมาผ่านความคิดอย่างเงียบๆ แบบนี้ก็ไม่ได้หรือ?” กู่ฉิงซานสงสัย
“โปรดนึกย้อนไปถึงคำพูดของร่างใหญ่ ‘หากไร้ซึ่งอำนาจ จงอย่าแส่หาความลับที่เจ้าไม่อาจควบคุม’” ระบบเทพสงครามตอบ
“ก็ได้ๆ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างหมดหนทาง
ณ เวลานั้นเอง ข้อมูลใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม
เห็นแค่เพียงภายในฟังก์ชันของหน้าต่าง ‘วิชายุทธ์เทพสงคราม’ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ ‘สมญาเทพสงคราม’ ‘พงศาวดารวันสิ้นโลก’ และ ‘ภารกิจเทพสงคราม’ ปรากฏขึ้น
โดยในบรรดาทั้งหมด ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ ได้สาดแสงขึ้น
บรรทัดแสงตัวอักษรค่อยๆ ทยอยกันปรากฏขึ้นเหนือ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’
“คุณได้ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตร่างเทวะ”
“คุณได้รับคุณสมบัติที่จะปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ใหม่แล้ว”
“เนื่องจากภารกิจแห่งโชคชะตาได้หายไปแล้ว ฉะนั้นเมื่อคุณสามารถบรรลุภารกิจเทพสงครามในปัจจุบันลงได้ ช่วยกรุณาปลดปล่อยภารกิจเทพสงครามภารกิจใหม่ ที่จะใช้ในการปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้นด้วย”
กู่ฉิงซานถามกลับด้วยความประหลาดใจ “รู้สึกไม่ชินเลยจริงๆ ที่ฉันจะต้องเป็นคนปล่อยภารกิจเทพสงครามด้วยตัวเอง แทนที่จะเป็นฝ่ายได้รับภารกิจแห่งโชคชะตา แต่โดยรวมๆ แล้วมันก็ไม่ต่างกันนี่ ใช่หรือเปล่า?”
ระบบเทพสงครามตอบ “ย่อมแตกต่าง เพราะหากภารกิจแห่งโชคชะตาล้มเหลว คุณจะได้รับบทลงโทษ แต่ขณะที่หากคุณเป็นผู้ปล่อยภารกิจเทพสงครามด้วยตัวเอง ต่อให้ล้มเหลวก็จะไม่ได้รับการลงโทษใดๆ”
“และจุดที่สำคัญก็คือ หากเป็นภารกิจเทพสงคราม ระบบจะกำหนดสถานะในการใช้แต้มพลังวิญญาณที่แตกต่างกันออกไปตามแต่สถานการณ์ที่พบเผชิญให้แก่คุณ เพื่อช่วยเหลือคุณอย่างเต็มกำลัง”
“ตัวอย่างเช่นภารกิจต่อเนื่องของระบบเทพสงครามในเวลานี้ ที่ช่วยให้คุณอยู่ในสถานะ ‘สั่งสมแต้มพลัง’”
กู่ฉิงซานพยักหน้า เจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘สั่งสมแต้มพลัง’ นี้เป็นสกิลที่ดีอย่างแท้จริง มันช่วยเขาได้มากเลยทีเดียว
เขายังคงถาม “แล้วฉันจะยังคงได้รับสถานะ ‘สั่งสมแต้มพลัง’ ในภารกิจเทพสงครามต่อไปหรือเปล่า?”
ระบบตอบ “นั่นก็ไม่แน่เหมือนกัน แต่เรื่องที่มั่นใจได้ก็คือ คุณจะได้รับสถานะบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับแต้มพลังวิญญาณ เพื่อช่วยให้คุณต่อสู้ได้ดีกว่าเดิมอย่างแน่นอน”
กู่ฉิงซานกล่าวทันที “ถ้าเป็นอย่างที่พูดมา ภารกิจเทพสงครามกับภารกิจแห่งโชคชะตาก็คงจะแตกต่างกันจริงๆ”
เขาเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในหัวใจ
ในเวลาเดียวกัน ดาบเช่าหยินก็ลอยขึ้นมาจากทะเล
มันว่ายวนรอบกู่ฉิงซาน เปล่งเสียงฮึมฮัมไม่หยุด
“ทำได้ดีมาก” กู่ฉิงซานกล่าว
ดาบเช่าหยินจมหายเข้าไปในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขา แต่ก่อนที่มันจะหายตัวไป มันก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหึ่งๆออกมา
กู่ฉิงซานรับฟังอย่างตั้งใจและกล่าว “จริงอยู่ที่ข้าสามารถซ่อมแซมเจ้าได้ แต่สำหรับดาบพิภพแล้วคงไม่ เพราะความเสียหายของมันร้ายแรงเกินไป นี่มันเกินกว่าความสามารถในการหลอมกลั่นขั้นพื้นฐานของข้าจะทำได้”
“ฮึมฮัม…”
เสียงของเช่าหยินเบาลง ฟังคล้ายกับกำลังเศร้า
กู่ฉิงซานพอคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ถอนหายใจออกมา
ดาบพิภพเป็นคู่หูเก่าแก่ของเขา แต่ตอนนี้มันกลับต้องถูกบังคับเข้าสู่สภาวะหลับลึก
สำหรับผู้ฝึกดาบแล้ว นี่ช่างเป็นเรื่องที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง
แต่อย่างไรเสีย เขาก็ทำได้เพียงปลอบใจดาบเช่าหยินเท่านั้น “เจ้าวางใจเถอะ รอให้พวกเรากลับไปยังนิกายเสียก่อน แล้วข้าจะเอ่ยถามท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์จะต้องมีวิธีซ่อมมันให้กลับคืนมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างแน่นอน!”
เช่าหยินผงกด้ามดาบ และไม่ส่งเสียงใดๆ อีกต่อไป
กู่ฉิงซานหลับตาลง และเริ่มต้นทำการตระหนักรู้ถึงการเปลี่ยนของตนเอง
วิวัฒนาการของต้นกำเนิดจะใช้เวลาอีกครึ่งวัน
ส่วนกู่ฉิงซานก็จะเตรียมพร้อมอยู่ที่นี่ เฝ้ารอจนกระทั่งอีกฝ่ายตื่นขึ้นมา
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ค่ำคืนได้ผ่านพ้นไป
แสงแดดสดใสยามรุ่งอรุณส่องสว่างขึ้น
เมื่อถึงเวลาช่วงเที่ยง กู่ฉิงซานก็เปิดตาของเขา
หนึ่งลมหายใจได้ผ่านพ้นไป
สองลมหายใจ
สามลมหายใจ
ทันใดนั้นเอง เสียงที่เย็นชาและน่าเกรงขามก็ดังก้องขึ้นไปตลอดทั้งชั้นเปลือกน้ำแข็ง
“การอัปเกรดเสร็จสิ้นแล้ว”
“เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ปฏิวัติ ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ!”
“ฟังก์ชันใหม่ถูกปลดล็อก”
“เริ่มทำการค้นหาสิ่งมีชีวิตเพื่อทำการดาวน์โหลด”
“…”
กู่ฉิงซานพอได้ยิน มุมปากของเขาก็ยกสูงขึ้นเล็กน้อย
ทันใดนั้นเอง เขาก็ผุดลุกขึ้น ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ทะลวงฝ่าพายุหิมะ
ข้ามผ่านชั้นเมฆ
ขึ้นมาพบเจอกับท้องฟ้าสีคราม
ที่ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างจากทั่วทุกสารทิศ
“สถานที่ซึ่งมีแสงสว่าง…” กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ
เขายืนอยู่เหนือชั้นเมฆ มือตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบกล่องเงินใบเล็กๆ ออกมา
ยามเมื่อแสงสว่างไสวกระทบกับตัวกล่องเงิน สิ่งมหัศจรรย์ก็พลันบังเกิดขึ้น
กล่องเงินจู่ๆ ก็ละลายหายไป
พร้อมกันกับอักษรรูนโบราณอันแสนลึกลับที่กู่ฉิงซานไม่เคยพบเห็นผุดขึ้นมาจากในความว่างเปล่า
บนตัวอักษรรูน สาดแสงอันแสนศักดิ์สิทธิ์อย่างไร้ที่เปรียบออกมา
“นี่คือสัญญาณอย่างงั้นหรือ?”
กู่ฉิงซานพึมพำด้วยความสงสัย
วินาทีถัดมา อักษรรูนก็แตกสลายไป
แสงทั้งหมดก็มอดดับลง และจางหายไปด้วยเช่นกัน
ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ บัดนี้ว่างเปล่า ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“จบแค่นี้หรือ?” กู่ฉิงซานเกิดความรู้สึกสับสน
ทว่าแท้จริงแล้วกลับเห็นแค่เพียงบนหน้าต่างระบบเทพสงครามกำลังกะพริบไหวอย่างรุนแรง
บรรทัดแจ้งเตือนพิเศษปรากฏขึ้นบนหน้าต่าง
“เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ วิถีศักดิ์สิทธิ์ กำลังมาเยือนแล้ว”
ในเวลาเดียวกัน เสียงที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่และแสนเย็นชา ก็ดังกึกก้องขึ้นดั่งเสียงสายฟ้าฟาด
“ค้นพบระบบของเทพสวรรค์”
“การต่อสู้เป็นตายกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ขอให้ผู้ดาวน์โหลดทั้งหมดจงเตรียมตัวให้พร้อม!”
……………………………………………………..
ภายในโลกสมบัติของทริสเต้
ตรงส่วนของชั้นเปลือกน้ำแข็ง
หิมะยังคงโปรยปรายลงมาจากทั่วผืนฟ้า
ขณะที่โลกทั้งใบที่เคยครึกครื้น บัดนี้อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
หลงเหลือเพียงเด็กสาวชุดดำที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับกู่ฉิงซาน คอยเฝ้าระวังภัยปกป้องเขาอย่างใกล้ชิด
ผ่านไปพักหนึ่ง ดวงตาของเธอก็กระตุกไหว
“ข้าสัมผัสได้ ว่าวิญญาณของเขากำลังกลับมาแล้ว”
หลี่อันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เธอผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ สองมือประสานกัน เหยียดออกบิดขี้เกียจเบาๆ
“งั้นข้าขอตัวก่อนนะ พอดีว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น” เธอหันไปบอกกับในอากาศที่ว่างเปล่า
ร่างของดาบเช่าหยินปรากฏออกมาอย่างรวดเร็ว
“ฮึมฮัม?” มันถาม
“อืม เขากำลังจะกลับมาในเร็วๆ นี้ ซึ่งหมายความว่าคงจะไม่มีเรื่องร้ายแรงใดๆ เกิดขึ้น เท่านี้ข้าก็วางใจ สามารถแยกตัวไปจัดการอย่างอื่นได้เสียที” หลี่อันตอบ
“ฉวัดเฉวียน?” เช่าหยินถามอีกครั้ง
“หากเขาต้องการ เขาย่อมรู้วิธีที่สามารถใช้พบเจอกับข้าได้ แต่ตอนนี้ ข้ามีเรื่องสำคัญบางอย่างที่ต้องกระทำจริงๆ และเวลาก็ล่าช้าไปมากแล้ว”
หลี่อันโบกมือให้เช่าหยิน และทั้งคนทั้งร่างของเธอก็ผลุบหายไปในความว่างเปล่า มิอาจมองเห็นได้อีกเลย
ดาบเช่าหยินจมลงสู่ความเงียบ
มันค่อนข้างที่จะสับสนเล็กน้อย
‘ก็เห็นอยู่ว่านางกำลังเฝ้ารอเขาอยู่ชัดๆ แล้วเหตุใดเมื่อเขากำลังจะตื่นขึ้น นางจึงจากไปเล่า?’
อย่างน้อยก็สมควรที่จะสนทนา บอกลากันสักประโยคสองประโยคแล้วค่อยจากไปมิดีกว่าหรือ?
วินาทีต่อมา กู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น
เขาลุกขึ้นจากฟูก
“เช่าหยิน ใครมาที่นี่หรือ?”
กู่ฉิงซานมองเก้าอี้ไม้ไผ่ที่อยู่ตรงข้ามตัวเองและเอ่ยถาม
เช่าหยินส่งเสียงหึ่งๆ เบาๆ
พอได้ฟัง สีหน้าของกู่ฉิงซานจึงค่อยผ่อนคลายลง
“ที่แท้ก็เป็นนาง ที่คอยเฝ้าปกป้องข้าอย่างงั้นสินะ”
“ซูม!”
เช่าหยินผงกด้ามดาบ
แต่แล้วมันก็มองไปยังเบื้องหลังกู่ฉิงซานด้วยความฉงน
เพราะบัดนี้ เบื้องหลังเขา เหลือแค่เพียงดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ ของดาบพิภพ
กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “พอดีว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น ข้ากับดาบพิภพจึงทุ่มสุดกำลัง สังหารศัตรูจนผลลัพธ์มันออกมาเป็นเช่นนี้”
…
อีกโลกหนึ่ง
จักรพรรดินีหลี่อันหายเข้าไปในความว่างเปล่า และตรงเข้าสู่อีกโลกหนึ่งอย่างรวดเร็ว
มันคือโลกที่ฟุ้งไปด้วยทะเลดอกไม้หลากชนิด
ท่ามกลางทะเลดอกไม้ มารสวรรค์นับไม่ถ้วนต่างกำลังร้องขับขาน บ้างก็กำลังละเล่นกันอย่างอิสรเสรี
หลี่อันตรงเข้าไปในส่วนลึกของทะเลดอกไม้
บรรดาน้องๆของเธอกำลังเฝ้ารออยู่ที่นั่นมาตั้งนานแล้ว
แม่มารดึกดำบรรพ์เองก็กำลังเฝ้ารออยู่เช่นกัน เวลานี้เธอนั่งอยู่บนแท่นสูง โดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาสักคำ “ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว” หลี่อันโน้มกายคารวะ
“เวลานี้ในโลกเทวะได้เกิดการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ขึ้น และมารสวรรค์ที่ได้รับตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ก็คือเจ้าใช่หรือไม่?” แม่มารถาม
“เจ้าค่ะ เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตร่างเทวะ ที่กำลังพยายามก้าวขึ้นสู่ขอบเขตพันวิบัติ”
“ถ้ารู้ถึงขนาดนั้นแล้วทำไมเจ้าถึงยังมัวชักช้าอยู่อีก เจ้าควรทราบนี่ว่าทัณฑ์สายลมได้เริ่มขึ้นแล้ว”
“ข้า…”
“เจ้าคงจะกลับไปหาเขาอีกครั้งล่ะสิ?” แม่มารถาม
“เจ้าค่ะ” หลี่อัน ตอบด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด
“หลี่อัน…” แม่มารถอนหายใจ
“ท่านแม่โปรดยกโทษด้วย” หลี่อันลดศีรษะลง
“ไม่หรอก ข้ามิได้คิดจะตำหนิเจ้า”
หลี่อันเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ และมองไปยังแม่ของเธอ
แม่มารพิจารณา ชั่งน้ำหนักถึงเหตุและผล จึงค่อยกล่าวอย่างช้าๆ “ยามนี้ หกวิถีของโลกเทวะได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น กระทั่งกฎแห่งฟ้าดินเองก็เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ”
“ข้ารู้สึกได้ว่าไม่เพียงแต่โลกหกวิถีเท่านั้น แต่กระทั่งบรรดาโลกที่อยู่ชั้นนอกทั้งมวล ทั้งหมดก็กำลังถูกฉุดดึงเข้าสู่หายนะครั้งใหญ่เช่นกัน”
“ดังนั้น ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ การที่มารสวรรค์อย่างพวกเราจะมีสหายที่แข็งแกร่งและไว้ใจได้ ก็เป็นการช่วยรับประกันความปลอดภัยของพวกเราได้ระดับหนึ่งเช่นกัน”
“ที่ข้าต้องการจะสื่อก็คือ เจ้าจงทำตามที่ใจตนเองต้องการเถอะ ข้าจะคอยสนับสนุนเจ้าเอง”
จักรพรรดินีหลี่อันตกใจไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปาก “เจ้าค่ะท่านแม่”
ว่าจบ เธอก็น้อมกายคารวะอีกครั้ง แล้วจึงค่อยขยับถอยหลังไปสองสามก้าว และหายไปในความว่างเปล่าอีกที
ณ โลกเทวะ
ทัณฑ์สายฟ้าครั้งใหญ่เพิ่งจะจบลง
เมื่อขอบเขตประทับเทพต้องการจะยกระดับขึ้นเป็นร่างเทวะ และเมื่อขอบเขตร่างเทวะต้องการจะยกระดับขึ้นเป็นพันวิบัติ พวกเขาจำต้องเผชิญหน้ากับโทษทัณฑ์สายฟ้าและสายลม
แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ หากผู้ฝึกยุทธ์คิดจะก้าวขึ้นสู่ขอบเขตร่างเทวะ ปีศาจในตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์จะปรากฏขึ้นเพียงแปดตำแหน่งเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อไหร่ที่ผู้ฝึกยุทธ์คิดหมายจะก้าวขึ้นสู่ขอบเขตพันวิบัติ ปีศาจในตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์จักปรากฏขึ้นถึง สิบหกตำแหน่ง!
ซึ่ง ณ เวลานี้ ทัณฑ์สายฟ้าได้จบลงแล้ว
ทัณฑ์สายลมได้มาเยือน
ท่ามกลางลมกรรโชก ปรากฏถึงผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งยืนอยู่ใจกลางพายุอย่างสงบ
หลี่อันบินออกมาจากในความว่างเปล่า และตกลงกลางอากาศ
“ขอโทษที่มาสาย”
เธอหันไปพยักหน้าให้กับมารสวรรค์ที่อยู่รอบๆ
เหล่ามารสวรรค์หญิงตนแล้วตนเล่าโค้งคำนับลง ทั้งหมดเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเธอ
หลี่อันกวาดสายตามองไปรอบๆ แต่กลับพบว่าในทัณฑ์สายลม มีกลิ่นอายของผีปีศาจตนอื่นๆเพียงหนึ่งถึงห้าชนิดเท่านั้น และบัดนี้ทั้งหมดก็กำลังยืนนิ่งอยู่เฉยๆอย่างน่าฉงน
เธอเอ่ยด้วยความสับสน “นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทัณฑ์สายลมได้เริ่มต้นขึ้นมาสักพักแล้วมิใช่หรือ เหตุใดกษัตริย์ปีศาจจึงยังไม่ปรากฏตัวขึ้นกัน?”
หนึ่งในมารสวรรค์หญิงตอบ “เมื่อครู่ เจ็ดกษัตริย์ปีศาจปรากฏตัวขึ้น และได้นำพากองทัพของพวกเขาเข้าโจมตีไปแล้ว แต่ทั้งหมดกลับถูกสังหารลงจนสิ้นโดยคนผู้นี้”
“ผู้ที่ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในครั้งนี้ แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?” หลี่อันประหลาดใจ
“ยามเมื่อคนผู้นี้เริ่มลงมือ พลังและอำนาจที่สำแดงออกมาช่างร้ายกาจยิ่งนัก เพียงหนึ่งกระบี่วาดออก ก็สามารถตัดสินชีวิตและความตายของพวกเราได้ในพริบตา ดังนั้นหลังจากรอบแรก ทุกคนจึงเริ่มรู้สึกหวาดกลัว และไม่กล้าบุกต่อ” หนึ่งในมารสวรรค์ตอบ
“แล้วคนของเราล่ะ ได้ลงมือไปบ้างแล้วหรือยัง?” หลี่อันถาม
“ได้ลองไปหลายครั้งแล้ว แต่จิตแห่งเต๋าของคนผู้นี้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง กระทั่งจิตเทวะก็ยังไม่มีช่องโหว่ใดๆ พวกเราเลยไม่สามารถทำอะไรได้” อีกมารสวรรค์หญิงกล่าว
หลี่อันอดไม่ได้ที่จะมองไปยังผู้ฝึกยุทธ์ที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์
เห็นแค่เพียงผู้ฝึกยุทธ์ที่สวมหมวกเกราะบดบังใบหน้า ขณะที่ตามร่างกายถูกสวมทับไปด้วยเกราะเรียวบางที่ดูงดงามและประณีตเอาไว้อย่างแน่นหนา
โดยในมือของผู้ฝึกยุทธ์ กำลังกุมจับกระบี่ยาวที่สาดประกายสดใสดั่งหิมะ ยืนเฝ้ารออยู่ท่ามกลางสายลมอย่างเงียบๆ นิ่งงันไม่ไหวติง
ทันใดนั้นเอง ทหารปีศาจของกษัตริย์ผู้กุมตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์เมื่อครู่ก็ปรากฏตัวขึ้นจากในสายลม กระโจนเข้าหาผู้ฝึกยุทธ์จากกลางอากาศ
ร่างของผู้ฝึกยุทธ์วูบไหว
คมกระบี่อันดุร้ายเสียบแทงขึ้นไปบนฟากฟ้า
ทหารปีศาจนับพันไร้ซึ่งหนทางต่อต้าน ทั้งหมดถูกสับหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยคมกระบี่ที่สาดแสงเย็นเยียบ
ติ๊งๆๆ!
ปัง! อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ฝึกยุทธ์จะถูกรุมล้อมโจมตีโดยปีศาจมากมาย แต่ชุดเกราะของเธอกลับไร้ซึ่งการสัมผัสต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถอาจเอื้อมเข้ามาถึง ไร้ซึ่งเสียงกระทบกระทั่งใดๆ
ทว่าช่วงจังหวะนั้นเอง กษัตริย์ปีศาจตนสุดท้าย ก็ได้ฉวยโอกาสผุดออกมาจากในความว่างเปล่า เหวี่ยงกำปั้นหนักหน่วงทุบเข้าใส่ผู้ฝึกยุทธ์อย่างกะทันหัน ซัดเปรี้ยง! ส่งคนผู้นั้นกระแทกลงกับพื้นดินจนเกิดหลุมลึก
กษัตริย์ปีศาจที่ฉวยโอกาสคำรามอย่างภาคภูมิ “ฮี่ฮี่ เจ้าโง่ที่เอาแต่โจมตีเป็นอย่างเดียว สมควรแล้วที่จะชิมรสกำปั้นนี้ของข้า…”
แต่แล้วเสียงของมันก็หยุดลง
เพราะจู่ๆก็ปรากฏถึงรอยเส้นเลือดนับสิบเส้น ผุดออกมาตามตัวของมัน ตัดแยกร่างกายของมันออกเป็นชิ้นๆ!
กษัตริย์ปีศาจตัวสุดท้าย ตายลงแล้ว!
ท่ามกลางเศษฝุ่นฟุ้งกระจาย ร่างของผู้ฝึกยุทธ์ผุดลุกขึ้นอีกครั้ง ทะยานตัวขึ้นมาเบื้องบนเป็นเส้นตรงดั่งหอกแหลม
ผู้ฝึกยุทธ์โบกกระบี่ยาว สะบัดเลือดออกจากใบมีดอันคมกล้าของมัน
นั่นคือเลือดของกษัตริย์ปีศาจตัวเมื่อครู่
เมื่อเห็นถึงฉากนี้ ผีปีศาจที่มาจากทั่วทุกสารทิศต่างก็ตกอยู่ในความหวาดกลัว และไม่กล้าที่จะก้าวบุกไปข้างหน้าอีกต่อไป
“อาจารย์ พวกเราสมควรจะทำอย่างไรดี?”
มารสวรรค์หญิงเอ่ยถาม
หลี่อันมิได้ตอบกลับไป เธอขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเผยตัวออกจากทัณฑ์สายลม
ผู้ฝึกยุทธ์เองก็ตระหนักถึงเธอทันที
อีกฝ่ายยกกระบี่ยาวของตนขึ้น แต่หลังจากที่เห็นถึงรูปลักษ์ของหลี่อัน เจ้าตัวก็ลดมันลงอย่างช้าๆ
มองไปยังปฏิกิริยาของอีกฝ่าย หลี่อันก็ค่อยๆ ลดระดับลงจากเบื้องบน
เธอลงมาหยุดยืนอยู่ตรงข้ามกับผู้ฝึกยุทธ์ โค้งกายลงอย่างนุ่มนวลและกล่าว “ในเมื่อเจ้าเห็นข้าแล้วแสดงท่าทีแบบนั้นออกมา แสดงว่าเจ้าเองก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมสงครามโลกเทวะอย่างงั้นสินะ?”
บังเกิดความเงียบไปชั่วขณะ
แต่ไม่นานนัก เสียงที่คมชัดและน่ารื่นรมย์ก็ดังออกมาจากเบื้องหลังเกราะหมวก “ในวันที่ต้องรับมือกับผู้ฝึกยุทธ์ขีดสุดความว่างเปล่าจากโลกอื่น ข้าเห็นเจ้าปรากฏกายขึ้นในอากาศ ร่วมมือกับกู่ฉิงซานกำราบศัตรู”
“ถูกต้อง” หลี่อันพยักหน้ากล่าว
เจ้าตัวดูเหมือนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “แล้วเขา…เป็นอย่างไรบ้าง?”
“เขายังสบายดี และเพิ่งประสบความสำเร็จในขอบเขตร่างเทวะ ข้าคาดว่าเขาน่าจะกลับมาในเร็วๆนี้” หลี่อันตอบ
ผู้ฝึกยุทธ์หญิงแม้จะไม่ตอบและยังคงนิ่ง แต่หลี่อันสามารถสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของเธอผ่อนคลายลง
แต่หลี่อันดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตระหนักถึงเบื้องลึกของท่าทีที่ผ่อนคลายลงของอีกฝ่าย
เพราะท้ายที่สุดนี้ ต้องไม่ลืมนะว่ากู่ฉิงซานมียศเป็นถึงนายพล และได้ทำการช่วยเหลือโลกทั้งใบเอาไว้ ดังนั้นเมื่อรู้ว่าสถานการณ์ของกู่ฉิงซานยังอยู่ดี อีกฝ่ายจะรู้สึกยินดีก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดา
“เจ้ามาที่นี่เพื่อขัดขวางข้ามิให้ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ใช่หรือไม่?” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงถามต่อ
หลี่อันส่ายหัวและกล่าว “ข้ากับกู่ฉิงซานมีสถานะเป็นพันธมิตรกัน ดังนั้นพวกเรามารสวรรค์จะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจ”
“เจ้าสามารถปล่อยข้าไปได้อย่างงั้นหรือ?” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงอุทาน
“เป็นเช่นนั้น ทว่าด้วยฐานะที่ข้าได้รับให้เป็นหนึ่งในตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ ดังนั้นข้าจำต้องจู่โจมเจ้าครั้งหนึ่งเสียก่อน จงยกกระบี่ของเจ้าขึ้นมาซะ” หลี่นอันเตือน
ผู้ฝึกยุทธ์หญิงยกกระบี่ขึ้นตามคำขอ
ด้ามจับของกระบี่เล่มนี้ ยาวกว่ากระบี่ทั่วๆ ไปกว่าสองชุ่น บริเวณใบกระบี่เล็กแคบ ตั้งแต่ต้นจรดปลดเหยียดยาวเป็นเส้นตรง
นี่คือกระบี่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์หญิง เมื่อเทียบเปรียบกับดาบยาวโค้งงอที่ผู้ฝึกยุทธ์ชายทั่วๆไปใช้กันแล้ว มันคล่องแคล่วยิ่งกว่ากันมากนัก
อย่างไรก็ตาม ยามเมื่อกระบี่ยาวที่เที่ยงตรง ไร้ซึ่งส่วนโค้งงอนี้ตกอยู่ในมือของเธอ มันกลับเปล่งประกายถึงความเที่ยงธรรมอย่างหาที่ใดเปรียบออกมาอย่างน่าฉงน หลี่อันก้าวออกมา เหยียดมือไปสะบัดลงบนใบกระบี่อย่างแผ่วเบา
“เรียบร้อยแล้ว” เธอกล่าว
“มัน…แค่นี้เองงั้นหรือ?” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงตะลึง
“อืม ในตอนที่กู่ฉิงซานข้ามผ่านทัณฑ์สายลม ก็เป็นแบบนี้นี่แหละ” หลี่อันกล่าว
ผู้ฝึกยุทธ์หญิงอึ้งจนเงียบไปพักหนึ่ง ในหัวของตนเองคล้ายกับโดนกระแทกด้วยอะไรบางอย่างอย่างแรง
“ช่างยากนักที่จะพบเจอ” หลี่อันถอนหายใจ “ข้าสามารถสัมผัสได้ว่าเจ้ามีอายุเพียงแค่ยี่สิบปีเท่านั้น ทว่ากลับสามารถบรรลุทักษะกระบี่ได้ถึงเพียงนี้ ช่างเป็นพรที่สวรรค์ประทานมอบให้โดยแท้”
เมื่อถูกยกย่องแบบนี้ ผู้ฝึกยุทธ์หญิงที่อยู่ตรงข้ามก็เขินอายเล็กน้อย
ผู้ฝึกยุทธ์หญิงชักกระบี่ยาวกลับคืน โค้งกายลงเล็กน้อย “จะยกย่องเกินไปแล้ว ข้าเพียงปฏิบัติตามความคิดของตัวเองก็เท่านั้น”
“ความคิดอันใด?” หลี่อันเอ่ยถาม
“ความคิดที่ว่า ‘กระบี่นั้นเที่ยงแท้ ซื่อตรงไม่มีวันทรยศ หากกุมมันก็จะเป็นดั่งเช่นมัน ที่เพียงมุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง’ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น”
ผู้ฝึกยุทธ์หญิงกล่าวอย่างนุ่มนวล
……………………………………………………
ณ ภายในโลกที่ไม่รู้จัก
พื้นดินทุกหย่อมหญ้าถูกปกคลุมไปด้วยร่างโครงกระดูกดำ
มีแค่เพียงกู่ฉิงซานกับเกล็ดสีดำเท่านั้น ที่ยังคงลอยอยู่เงียบๆ เบื้องหน้าเสาทองแดง
“คงไม่ผิดแล้วล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างมั่นใจ “จากในสายตาของมัน ข้ารู้สึกได้ว่ามันรู้จักข้าจริงๆ”
ร่างใหญ่นิ่งไปชั่วคราว
“แต่มอนสเตอร์ตนนี้อย่างไรเสียก็ตายไปแล้ว ตอนนี้เจ้าคาดเดาไปก็คงไม่มีทางรู้ได้หรอก แต่ข้าอยากจะแนะนำอะไรบางอย่างแก่เจ้า” เขากล่าว
“เชิญชี้แนะ”
“หากไร้ซึ่งอำนาจ จงอย่าแส่หาความลับที่เจ้าไม่อาจควบคุมได้”
กู่ฉิงซานเงียบไป
นั่นสินะ สถานการณ์เมื่อครู่นี้มันไกลเกินกว่าที่ขีดจำกัดของเขาจะรับมือไหวจริงๆ
หากไม่ใช่เพราะสกิลของเกราะเทพ หากไม่ใช่เพราะการทุ่มชีวิตโจมตีของดาบพิภพ หากไม่ใช่เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์แหกกฎอันเป็นเอกลักษณ์ของดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ตราบใดที่ขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง ตัวเองก็คงจะตายไปแล้ว
และไม่เพียงแค่เขาที่จะต้องตายลง แต่จิตวิญญาณของร่างใหญ่เองก็คงจะหนีไม่พ้นเช่นกัน
กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก และกล่าวอย่างช้าๆ “ความจริงแล้ว หลังจากย้อนคิดถึงประสบการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นมาทั้งหมด ข้าจำต้องเพียรพยายามอย่างสุดความสามารถตลอดเวลา ใช้ทุกหนทางที่เป็นไปได้ เพื่อคว้าโอกาสเพียงน้อยนิดในการเอาชีวิตรอด แต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้น สาเหตุมันล้วนมาจากการที่ตัวข้านั้นอ่อนแอเกินไปอย่างที่ท่านว่าจริงๆ”
ร่างใหญ่เอ่ยในทำนองเดียวกัน “ไม่ว่าจะเป็นในโลกใดๆ ความอ่อนแอนั้นคือบาปอันหนักหนา เป็นอาชญากรรมอันร้ายแรงที่มิอาจให้อภัยได้ มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถมีชีวิตที่ดี และอยู่รอดต่อไปได้”
กู่ฉิงซาน “ดังนั้นนับจากนี้ต่อไป ข้าจะคิดค้น เฟ้นหาทุกวิถีทางที่จะทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น จะทุ่มเต็มกำลัง เพียรพยายามอย่างเต็มที่ให้ตัวเองแข็งแกร่ง!”
ร่างใหญ่เอ่ยถาม “ฟังจากคำเมื่อครู่ของเจ้า? แท้จริงแล้วภายนอกมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
“อันที่จริงแล้ว มันมีหลายเรื่องทีเดียว เริ่มจาก…”
กู่ฉิงซานบอกเล่าทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ออกไป
“ระบบของราชามารได้ปรากฏขึ้นอย่างงั้นหรือ…” ร่างใหญ่ถอนหายใจเบาๆ
“ใช่ แต่ข้าได้สังหารผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดลงไปแล้ว และจะไม่ยอมปล่อยให้ระบบของราชามารเล็ดลอดออกไปจากโลกใบนั้นเด็ดขาด” กู่ฉิงซานกล่าว
“เจ้าทำได้ไม่เลวเลย เพราะในกรณีที่หากมันหลุดออกมา และรวมเข้าด้วยกันกับระบบของดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูแล้วล่ะก็ มันจะสามารถยกระดับไปอีกขั้นได้อย่างรวดเร็ว” ร่างใหญ่กล่าว
“ข้าจะปล่อยให้มันถูกทำลายลงในโลกปิดใบนั้น” กู่ฉิงซานกล่าว
“ระบบถูกทำลาย? เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น?”
“ก็อย่างที่บอกไปเมื่อครู่ ว่าข้าได้สังหารผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดลงแล้ว”
“เช่นนั้นระบบของราชามารตอนนี้ได้ไปถึงในขั้นใด?”
“กำลังอยู่ในระหว่างการวิวัฒนาการขึ้นสู่ปฏิวัติ”
“หากเป็นดั่งที่ว่ามา เจ้าคงไม่สามารถสังหารมันได้หรอก”
“หืม? นั่นหมายความว่ายังไงกัน!?” กู่ฉิงซานอุทานเสียงหลง
ร่างใหญ่อธิบายอย่างอดทน “ใช่ เจ้าฟังไม่ผิดหรอก บางทีบางคนอาจจะทราบว่าในขั้นเชื้อไฟและต้นกำเนิด หากกำจัดผู้ที่ใช้งานระบบทั้งหมดลงได้แล้ว ระบบก็จะหายไป”
“อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่ระบบยกระดับขึ้นไปสู่ปฏิวัติ มันย่อมไม่มีทางถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย”
“หากไม่มีผู้ใช้งาน มันก็แค่ตกไปอยู่ในสถานะจำศีล เพื่อรับประกันว่าตนเองจะดำรงอยู่ต่อไปจนกว่าผู้ใช้งานรายใหม่จะปรากฏตัวขึ้น”
“เรื่องนี้เป็นความลับอย่างยิ่ง ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นมีน้อยคนนักที่จะทราบ แต่ในเมื่อข้าบอกเจ้าแล้ว เจ้าก็จงปิดปากเงียบเสีย อย่าได้แพร่งพรายออกไป มิฉะนั้นแล้ว…”
ร่างใหญ่ปิดปาก และหยุดพูดไป
“…โชคดีจริงๆ ที่ข้ามาพบกับท่านเสียก่อน” กู่ฉิงซานถอนหายใจ “เช่นนั้นพอจะมีวิธีใดที่จะสามารถเอาชนะมันได้หรือไม่?”
“ทำไมจะต้องโค่นมันลงด้วย มันได้ถือว่าเจ้าเป็นศัตรูที่จักต้องฆ่าให้ตายแล้วอย่างงั้นหรือ?” ร่างใหญ่เอ่ยถาม
“ใช่” กู่ฉิงซานตอบสั้นๆ
“…”
ร่างใหญ่เงียบงันไปเป็นเวลานาน
คล้ายกับว่ามันกำลังขบคิดถึงบางสิ่งที่สำคัญยิ่ง
หลังจากนั้นสักพัก
ชิ้นส่วนของเกล็ดสีดำก็หลุดลอกออกจากเกราะรบ และลอยมายังกู่ฉิงซาน
ชั้นโลหะสีดำแตกออก
เผยให้เห็นถึงกล่องเงินใบเล็กๆ ปรากฏขึ้น
จ้องมองลงมายังกล่องแปลกๆ ใบนี้ ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มบังเกิดความรู้สึกเคารพและศรัทธาขึ้นมาอย่างน่าฉงน
“สิ่งที่เจ้าเรียกมันว่าโลกสมบัติของทริสเต้นั่น มีการดำรงอยู่ของแสงในโลกหรือไม่?” ร่างใหญ่เอ่ยถาม
“แสงงั้นหรือ?”
“ใช่ แสงที่สวรรค์และโลกผลิตขึ้นมาเองตามธรรมชาติ”
“ถ้าหมายถึงแสงแบบนั้นก็มีสิ อยู่เหนือขึ้นไปบนชั้นเมฆ”
“นั่นแหละคือทั้งหมดที่ต้องการ ที่เจ้าต้องทำก็มีแค่เพียงรับกล่องใบนี้ไป และเมื่อไหร่ที่ปฏิวัติวิวัฒนาการเสร็จสมบูรณ์และปรากฏขึ้น เจ้าก็โยนกล่องใบนี้ขึ้นไปเหนือชั้นเมฆ” ร่างใหญ่กล่าว
พร้อมกันกับคำพูดของมัน กล่องเงินก็ตกลงในมือของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
“เจ้าพอจะมีอะไรที่สามารถใช้เก็บมันไว้หรือไม่? บางอย่างที่จะช่วยให้มันไม่ถูกเปิดเผยระหว่างทางกลับของเจ้า” ร่างใหญ่เอ่ยถามด้วยความกังวล
“ข้ามีถุงสัมภาระที่ผูกไว้กับจิตวิญญาณอยู่ สิ่งนั้นพอจะได้ไหม?” กู่ฉิงซานกล่าว
“ดีมาก เจ้าจงใส่มันเข้าไป และอย่านำไปปะปนกับสิ่งอื่น ที่สำคัญก็คือจงอย่าเปิดมัน จนกว่าจะถึงเวลาใช้งานจริงๆ” ร่างใหญ่เตือน
กู่ฉิงซานเก็บกล่องเงินไปตามคำสั่งของอีกฝ่าย
“ว่าแต่เป็นสิ่งใดกัน ที่อยู่ในกล่องใบนี้?” เขาเอ่ยถาม
“เป็นสัญญาณ”
“สัญญาณงั้นหรือ?”
“ถูกต้อง มันเป็นสัญญาณที่ใช้เรียกศัตรูที่สามารถเอาชนะระบบของราชามารในขั้นสามมาได้ ครั้งหนึ่งทั้งสองสิ่งนี้เคยพบเผชิญในโลกเดียวกัน จากนั้นก็ทำลายกันและกันจนพินาศลงไปด้วยกันทั้งคู่”
“เรื่องเหล่านี้ เจ้าไม่สามารถบอกผู้ใดได้ หากจะบอก จงกล่าวแค่ว่าเจ้าสังหารผู้เข้าสู่วิถีมารจนสิ้นเท่านั้น…จดจำเอาไว้ให้ดี”
“ข้าจะจดจำไว้”
ร่างใหญ่ได้กระตุ้นเตือนซ้ำๆ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่หาได้ยากยิ่งของมัน “แน่นอน แน่นอน ว่าเจ้าจะต้องไม่กล่าวถึงเรื่องนี้ มิฉะนั้นต่อให้เจ้าสามารถกำจัดระบบของราชามารลงได้ แต่จะมีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าไปเยี่ยมเยือนเจ้าแทน”
“เข้าใจแล้ว ท่านวางใจเถอะ ตัวข้าเองก็พอจะมีดุลพินิจในเรื่องอยู่บ้างเหมือนกัน” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความยำเกรง
เมื่อมาถึงเวลานี้
กู่ฉิงซานก็เริ่มสัมผัสได้ถึงสายลมแห่งการปฏิเสธขึ้นมาจางๆ
โลกใบนี้กำลังเริ่มขับไล่เขา
แต่ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่ และเขาก็มีคำพูดอีกมากที่ต้องการจะถามจากร่างใหญ่
“ข้าจะต้องไปแล้ว” เขากล่าว
“ไปเถอะ หลังจากที่เจ้าจากไป ข้าจะต้องเร่งฟื้นฟูร่างกายของข้า และพยายามคิดว่าวิธีการซ่อนโลกใบนี้เอาไว้ อาจจะยุ่งไปพักหนึ่ง” ร่างใหญ่กล่าว
“แต่ข้าก็ยังสามารถมาหาท่านได้ในยามที่ข้าตัดผ่านขอบเขตใหญ่ใช่หรือไม่?” เขาถาม
“ใช่”
“แต่ครั้งล่าสุดที่ข้าถอดวิญญาณไปปรภพ ข้าเองก็สามารถมา”
ร่างใหญ่ขัดจังหวะเขา “ครั้งล่าสุดที่เจ้ามามันเป็นการตายปลอมๆ ในกรณีนั้นมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง และข้าจะไม่พูดถึงมันอีก”
“ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ในตอนนี้มันแตกต่างออกไป ดังนั้นจงอย่าพยายามที่จะมาในโลกใบนี้อย่างไม่ยั้งคิด”
“เอาไว้เมื่อไหร่ที่เจ้าตัดผ่านขอบเขต ข้าจะดึงจิตเทวะของเจ้ามาเอง นั่นคือวิธีที่ปลอดภัยที่สุด”
กู่ฉิงซานพยักหน้า
แรงฉุดดึงเริ่มรุนแรงขึ้น มันกระชากร่างจิตของเขา
ตนเองกำลังจะต้องออกไปจากที่นี่ในเร็วๆ นี้
ทันใดนั้นเอง กู่ฉิงซานก็พลันนึกได้ถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง
เขาถามทันที “ข้ามีคำถาม อะไรคือสิ่งที่เรียกว่า ‘สุสานแห่งโลก’”
“สุสานแห่งโลก? เจ้าไปทราบถึงชื่อนี้มาได้อย่างไร?” ร่างใหญ่อุทานด้วยความประหลาดใจ
“บอกมาเร็วเข้าเถอะ เวลาของข้าใกล้จะหมดลงแล้ว!”
“เอาล่ะๆ ข้าจะบอกเจ้าเอง”
“ในช่วงเวลาที่เหล่าทวยเทพได้สร้างโลกขึ้น ก็จะมีอยู่บ้างเป็นบางครั้งที่เทพที่แท้จริงสร้างบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ออกมา”
“และเพราะสิ่งเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นโดยทวยเทพ บางครั้งพวกมันจึงทรงอำนาจมากเกินไป เป็นการดำรงอยู่ที่ผิดแผกและไร้ซึ่งเหตุผล จนบางคราว แม้กระทั่งทวยเทพที่เป็นผู้สร้างมันขึ้นมาก็ยังหวาดกลัว”
“แน่นอนว่าผลงานที่ล้มเหลวมากมายได้ถูกทำลายลงแล้วโดยเหล่าทวยเทพ”
“แต่ในทำนองเดียวกัน ก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เหล่าทวยเทพไม่สามารถทำลายมันลงได้”
“ดังนั้นเหล่าทวยเทพจึงคิดหาวิธีปิดผนึกสิ่งเหล่านั้นที่ทรงพลานุภาพมากเกินไปแทน โดยการซ่อนมันเอาไว้ในสถานที่ที่ยากจะค้นพบ เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความเสียหายร้ายแรงจนเกินไปจากระบบของโลก”
กู่ฉิงซาน “แล้วสิ่งที่ว่านั่นมันคืออะไร?”
“ไม่มีใครรู้ มีเพียงการที่เจ้าจะต้องไปเปิดสุสานแห่งโลกดูด้วยตาตนเองเท่านั้นจึงจะสามารถตระหนักถึงสิ่งที่อยู่ภายในได้ มันอาจจะเป็นหนังสือ อาวุธ สิ่งมีชีวิต หรือแม้กระทั่งโลกที่ไม่สมบูรณ์ แต่โดยสังเขปแล้ว จะไม่มีใครล่วงรู้ว่าจะพบเจอกับสิ่งใดเมื่อเปิดสุสานแห่งโลก เพราะในช่วงเวลาที่เหล่าทวยเทพได้ผนึกสิ่งเหล่านี้เอาไว้ พวกเขาไม่ได้ทิ้งคำอธิบายใดๆเอาไว้เลย”
“สรุปสั้นๆ ก็คือ สิ่งเหล่านั้นถูกทอดทิ้งและปิดผนึกโดยทวยเทพ บ่อยครั้งมักจะถูกนำไปซ่อนไว้ในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จัก และสถานที่เหล่านั้นมักจะเรียกกันว่า ‘สุสานแห่งโลก’”
กู่ฉิงซานตกตะลึง
เขาย้อนนึกไปถึงบทสนทนาระหว่างตนกับระบบเทพสงคราม
“คุณเริ่มออกห่างจาก ‘สุสานของโลก’”
“ว่าแต่อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าสุสานแห่งโลก?”
“มันคือสิ่งที่คุณมักจะเอ่ยปากออกมาว่าโลกจริง”
“แล้วทำไมมันถึงถูกเรียกว่าแบบนั้น?”
แต่คราวนี้ระบบกลับเงียบ และไม่พูดตอบกับเขา
ความหมายของคำพูดในตอนนั้น แท้จริงแล้วเป็นแบบนี้เองอย่างงั้นหรือ?
ในเวลานี้ แรงฉุดดึงร่างจิตของกู่ฉิงซานเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
เขากำลังจะถูกส่งออกจากโลกใบนี้!
“คำถามสุดท้าย!” กู่ฉิงซานตะโกนกะทันหัน
“จงถามมาโดยเร็ว เจ้าจะไม่มีเวลาแล้วนะ” ร่างใหญ่เตือน
“ข้าจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุดได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานตะโกนสุดเสียง
ร่างใหญ่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “จงไปยังดินแดนชิงอำนาจ ในสถานที่แห่งนั้นมีเกมหมื่นสวรรค์”
ตู้ม!
ยังไม่ทันจะได้ฟังจนจบ กู่ฉิงซานก็ถูกกระชากอย่างรุนแรง ปลิวออกจากโลกใบนี้ไปทันที
เขาแปรเปลี่ยนเป็นกระแสแสง ลอยกลับไปยังโลกที่จากมา
“…สิ้นโลกาออนไลน์ แต่ไม่ใช่ระบบของราชามารอยู่…”
ร่างใหญ่เอ่ยประโยคครึ่งหลังจนจบ
แต่น่าเสียดาย ที่กู่ฉิงซานได้จากโลกนี้ไปเสียก่อน ไม่ทันได้ยินถึงคำสำคัญยิ่งที่อยู่ในประโยคหลัง…
……………………………………………
ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!
หัวใจของกู่ฉิงซานเต้นระรัว
เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เกราะเทพเปิดใช้งาน ‘คำบัญชาเทพ’ นั่นหมายความว่าเขากำลังจะตาย!
เวลาหยุดลงอย่างกะทันหัน
ร่างของมอนสเตอร์ปรากฏขึ้นกลางอากาศ และหยุดนิ่งไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว
นี่คือมอนสเตอร์ที่มีรูปร่างคล้ายกันกับมนุษย์
นอกเหนือไปจากแขนขาและกรงเล็บที่แข็งแกร่งและหางยาวเฟื้อยแล้ว ในส่วนที่เหลือล้วนคล้ายคลึงกันกับมนุษย์เป็นอย่างมาก
แต่ที่สำคัญก็คือไม่ทราบเลยว่ามันสามารถทำได้อย่างไร โดยที่กู่ฉิงซานไม่ทันตระหนักรู้ตัวใดๆ จู่ๆ มันก็ได้มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเขาเสียแล้ว
กรงเล็บอันแหลมคมของมัน อยู่ห่างจากดวงตาของกู่ฉิงซานไม่ถึงหนึ่งมิลลิเมตร
กู่ฉิงซานไม่มีเวลาเพียงพอแม้แต่จะสูดหายใจ
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย
เขาแทบจะลืมหายใจ และกระแทกดาบพิภพสวนกลับเข้าใส่อย่างรวดเร็ว!
โจมตีสิบสองเท่าของเทคนิคลับกลืนกินหวนกลับ ผสมผสานไปกับน้ำหนักแปดสิบหกจุดสามสิบเจ็ดล้านจินของดาบพิภพ และรังสีดาบของกู่ฉิงซานที่สำแดงออกมาอย่างเต็มกำลัง สะบั้นลงตรงคออ่อนนุ่มของมอนสเตอร์
ด้วยดาบนี้ เขาจะต้องแยกหัวออกจากตัวของมันให้จงได้!
ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียง ‘เคร้ง’ เท่านั้น
ดาบพิภพถูกขัดขวางไว้โดยผิวหนังของมอนสเตอร์
ปรากฏให้เห็นแค่เพียงรอยสีขาวจางๆ ขึ้นบนลำคอของมอนสเตอร์ประหลาด
‘เคร้ง!’
และเสียงหนักทึบอีกหนึ่งดังขึ้น
นั่นคือเสียงของเทคนิคลับกลืนกินหวนกลับ ร่างเงาดาบได้ปรากฏขึ้นเบื้องหลังมอนสเตอร์ และฟาดโจมตีด้วยอำนาจเดียวกันออกมา
แต่กลับยังคงไร้ประโยชน์!
เห็นแค่เพียงร่องรอยจางๆ สีขาวถูกทิ้งไว้บนหลังคอของมอนสเตอร์เท่านั้น
สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลาย
แม้กระทั่งสกิลดาบที่ถูกเสริมแกร่งจนอำนาจทำลายเพิ่มพูนขึ้นถึงขีดสุด แถมยังฟาดลงตรงตำแหน่งสำคัญของอีกฝ่าย แต่สุดท้ายกลับไม่แม้แต่จะสามารถเจาะเข้าไปในตัวของมันได้!
พลังป้องกันระดับนี้มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
ในขณะเดียวกันแรงกดดันของมอนสเตอร์ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่าด้วยการโจมตีของเขา จะไปกระตุ้นให้พลังป้องกันที่ทรงประสิทธิภาพบางอย่างจากในร่างของมอนสเตอร์จนมันตื่นขึ้น
ณ เวลานี้ สองลมหายใจได้ผ่านพ้นไปแล้วอย่างเงียบๆ
เหลืออีกหนึ่งลมหายใจ ทุกสิ่งอย่างจะกลับคืนสู่สภาวะปกติ
และด้วยความสามารถในการโจมตีของมอนสเตอร์ตนนี้ ที่เพียงการโจมตีเดียว ก็สามารถบีบบังคับให้กู่ฉิงซานตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังได้
ฉะนั้น หากสกิลตัดขาดเวลาหายไปแล้วล่ะก็…
ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ดาบพิภพก็เปล่งเสียงดังขึ้นทันใด “กู่ฉิงซาน เจ้าช่วยมอบพลังเหนือธรรมชาติทั้งหมดให้แก่ข้าหน่อยสิ”
“ไม่ขัดข้อง!”
กู่ฉิงซานตอบรับอย่างไม่ลังเล
แต่เดิม เขามีแต้มพลังวิญญาณอยู่กว่าครึ่งล้าน แต่หลังจากที่ใช้ออกด้วยข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความขมขื่นออกไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในตอนนี้มันเหลืออยู่แค่สามแสนเท่านั้น
ทว่าเวลานี้ เขาเลือกที่จะอัดฉีดแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดสามแสนลงไปในดาบพิภพอย่างไม่ลังเล!
เปรี้ยง!
ดาบพิภพสั่นไหวอย่างรุนแรง
อักษรรูนลึกลับผุดขึ้นมาตามใบดาบ
กลิ่นอายที่ฟุ้งไปด้วยอำนาจโบราณอันยิ่งใหญ่ ท่วมท้นออกมาจากตัวดาบอย่างต่อเนื่อง
ดาบพิภพส่งเสียงหอนออกมาไม่หยุดยั้ง ฟังแลคล้ายเสียงร่ำไห้ของภูตผีนับไม่ถ้วน
บัดนี้ มันได้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นดาบอีกเล่มหนึ่งโดยสมบูรณ์!
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นรูปร่างที่แท้จริงของดาบพิภพ!
“มาลองกันอีกครั้ง!”
เสียงหนักแน่นของดาบพิภพดังขึ้น
“ว๊าก!”
กู่ฉิงซานตะคอกสุดเสียง กระตุ้นเทคนิคลับ ตัดสะบั้นลงบนลำคอของมอนสเตอร์อีกครั้ง
และคราวนี้เงาดาบมิได้ถูกหยุดลง มันถูกเหวี่ยงตัดผ่าน กระแทกเข้ากับอากาศอีกฟากฝั่งหนึ่งโดยสมบูรณ์
ฉัวะ!
หัวกระเด็นขึ้นสู่ท้องฟ้า
คราวนี้ … เขาสามารถแยกหัวของมันออกจากลำตัวได้สำเร็จ!
ในเวลาเดียวกัน สามลมหายใจก็สิ้นสุดลง และตัดขาดเวลาได้สลายไป
ร่างของมอนสเตอร์ร่วงแหมะลงกับพื้น
ฝนเลือดสาดกระเซ็นออกมา แต่ก็ถูกแรงลมจากดาบที่ฟาดออกพัดปลิวหายไป
โลกทั้งใบกลับคืนสู่สภาวะปกติ
ปรากฏการณ์ทั้งหมดบนดาบพิภพได้สลายไป
กู่ฉิงซานอ้าปากหอบหายใจหนักหน่วง ทั้งคนทั้งร่างของเขาสั่นสะท้าน
เขาได้เคยข้ามผ่านสถานการณ์ที่อันตรายร้ายแรงมามากมาย
แต่สถานการณ์เกือบตายในครั้งนี้ แม้ตามโชคชะตาดั้งเดิมเขาจะได้ตายไปแล้วก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาพบเจออะไรแบบนี้
“ครั้งนี้ต้องขอบใจเจ้าจริงๆ นะดาบพิภพ” กู่ฉิงซานกล่าว
ทว่าดาบพิภพกลับไม่ตอบสนอง
กู่ฉิงซานก้มลงมองดาบในมือตน
เห็นแค่เพียงปรากฏการณ์ทั้งหลาย หายไปแล้วจากดาบพิภพ แต่กลับปรากฏถึงรอยแตกร้าวที่กำลังคดเคี้ยว ยืดยาวขึ้นตามตัวดาบแทน
ไม่นานนัก รอยร้าวก็ลากยาวไปทั่วดาบ และตลอดทั้งดาบก็กลายเป็นสีเทาแห่งความตาย
เสียงแผ่วเบาของดาบพิภพดังขึ้น
“ข้าได้รับบาดเจ็บร้ายแรงนักจากการใช้ออกอย่างเต็มกำลัง มิอาจคงสติอยู่ได้อีกต่อไป จำต้องจมลงสู่การหลับลึก”
“จดจำคำของข้าให้ดี จงไปตามหาตัวหลิงเอ๋อ นางรู้ว่าสมควรจะต้องทำอย่างไร”
ดาบพิภพกล่าวประโยคนี้จบ มันก็ไม่เปล่งเสียงใดๆ ออกมาอีกเลย
กู่ฉิงซานค่อยๆ ถือดาบยาวด้วยสองมืออย่างนุ่มนวล
แต่กลับเห็นถึงเศษซากบนตัวดาบจำนวนมากที่หลุดลอกออก ทั้งๆ ที่ตนเองเคลื่อนไหวแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ส่งผลให้ตนตนเองมิกล้าเคลื่อนกายอีกต่อไป เพราะเกรงว่าตลอดทั้งตัวดาบพิภพจะแตกสลายลง
และหากเป็นในกรณีที่ตัวดาบถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ เขาก็คงจะไม่สามารถช่วยดาบพิภพได้อีกเลย
“ดาบพิภพ…”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
เขาหยิบเอากล่องหยกวิญญาณยาวออกมาอย่างระมัดระวัง และค่อยๆ วางดาบพิภพเก็บใส่ลงในมัน
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ของดาบพิภพแล้ว เขาคงทำได้เพียงแค่ต้องกลับไปหาอาจารย์เท่านั้น
ในช่วงเวลานั้นเอง เสียงตื่นตระหนกก็ดังออกมาจากเกล็ดเกราะรบที่ลอยอยู่
“เร็วเข้า! ดาบของเจ้าน่ะไม่ช้าก็เร็วย่อมสามารถซ่อมแซมมันได้ แต่ตอนนี้พวกเราจะต้องเร่งจัดการกับร่างศพนี้กันก่อน!”
ร่างใหญ่กล่าวอย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซาน “มันตายไปแล้ว ยังจะต้องจัดการอะไรกับมันอีกล่ะ?”
เขามองดูร่างศพของมอนสเตอร์ด้วยความงงงวย
หากไม่ใช่สถานการณ์อันตรายจนเกินไป กู่ฉิงซานเองก็ไม่ต้องการที่จะไปยุ่งอะไรกับมันอีก
เดิมที เขาต้องการจะถามอีกฝ่ายว่าทำไมถึงได้รู้จักชื่อของตนเองด้วยซ้ำ
กู่ฉิงซานมั่นใจอย่างแน่นอนว่าเขาไม่เคยพบเจอกับมอนสเตอร์ตัวนี้มาก่อนไม่ว่าจะในชีวิตก่อนหน้าหรือว่าในชีวิตนี้
แต่อีกฝ่ายกลับรู้จักเขา
นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?
ร่างใหญ่ได้กล่าวเอาไว้ว่า ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดมีลักษณะตรงกันกับมอนสเตอร์ตนนี้เลย
ซึ่งนั่นแสดงว่ามันไม่ได้มาจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น
แต่…มันกลับรู้จักเขา
กู่ฉิงซานตอนนี้คิดอะไรไม่ออกแล้ว
มอนสเตอร์ตัวนี้ช่างเต็มไปด้วยความลึกลับที่ไม่รู้จัก และไม่สามารถที่จะคาดเดาได้
เสียงของร่างใหญ่ดังขึ้น “หากศพของมันไม่ถูกกำจัดทิ้ง ข้าเกรงว่ามันอาจจะเป็นการดึงดูดสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักมาอีกก็ได้”
“ท่านแน่ใจหรือ?”
“มีหลายวิธีที่จะสามารถหาสถานที่ตั้งของศพได้ ดังนั้นสิ่งที่สมควรทำก็คือ กำจัดมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่าให้มีร่องรอยอะไรหลงเหลือ!”
ระหว่างกล่าว เห็นแค่เพียงหัวของมอนสเตอร์ที่เริ่มขยับไหว
ตามด้วยแสงสีขาวน้ำนมที่บินออกมาจากช่วงคอที่ถูกตัดขาดของมัน กลับเข้าไปสู่ร่างกาย
หลังจากนั้น หัวของมันก็ค่อยๆ ลอยขึ้น ลอยไปตามทิศทางของเส้นแสงสีขาวน้ำนมที่เชื่อมกับร่างกายเมื่อครู่
“ช่างดื้อด้านนัก แต่คิดหรือว่าข้าจะยอมเจ้า?” ร่างใหญ่กล่าว
มองไปยังเกล็ดเกราะรบหลายชิ้นที่หลุดออกมาเกราะรบสีดำ และเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นการโจมตีต่างๆ นานา ระเบิดเข้าใส่หัวมอนสเตอร์
ทว่ามันไร้ประโยชน์
หัวมอนสเตอร์ยังคงไร้ซึ่งความเสียหายใดๆ มันยังคงลอยตรงไปยังร่างกายของตนอย่างต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
ร่างใหญ่เริ่มตื่นตระหนก เขาตะโกน “เจ้าไม่มีวิธีที่จะหยุดเทคนิคฟื้นคืนชีพนี้ได้เลยหรือ!”
กู่ฉิงซาน “ก็หากท่านยังทำไม่ได้ แล้วข้าจะไปทำได้ได้อย่างไร!?”
ในยามวิกฤต จู่ๆ ประกายความคิดหนึ่งก็วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา
กู่ฉิงซานเรียกดาบขุนเขาเทวะหกโลกาออกมา
ดาบยาวโบกสะบัด ตัดสะบั้นเส้นแสงสีน้ำนมขาวที่เชื่อมต่อระหว่างร่างกายกับหัวของมอนสเตอร์ออกทันที
พลังศักดิ์สิทธิ์ แหกกฎ!
หัวของมอนสเตอร์ร่วงตกลง กลิ้งไปกับพื้นอีกครั้ง
มันเบิกตากว้าง และมองไปยังกู่ฉิงซาน สื่อความหมายอันลึกลับออกมา
กู่ฉิงซานก็จ้องสบตากับมันเช่นกัน
“ช่างน่าสงสาร…” มอนสเตอร์กล่าว
สิ้นประโยคสั้นๆ นี้ มันก็หลับตาลง และไร้ซึ่งชีวิตอีกต่อไป
น่าสงสาร?
ฉันหรือ?
กู่ฉิงซานนิ่งค้างไป
ร่างใหญ่โวยวายราวกับคนบ้า “ทำได้ดีมาก! โชคยังดีที่บัดนี้มันมิได้อยู่ในเสาทองแดงอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงพอที่จะสามารถลงมือจัดการกับศพได้”
พร้อมกันกับคำพูดของเขา เห็นแค่เพียงตรงเกราะรบสีดำบนร่างใหญ่ หลายร้อยเกล็ดสีดำหลุดลอกออก และบินออกมา
เกล็ดสีดำบินออกมา และประกบลงบนซากศพของมอนสเตอร์
พริบตานั้นเกล็ดดำก็กลายสภาพเป็นหมอกเขียวน่าหวาดผวา ห่อหุ้มร่างศพโดยสมบูรณ์
เฝ้ารอสักพักหมอกเขียวก็กระจายหายไป แต่ตัวศพกลับยังปลอดภัยดีอยู่ในสภาพเดิม
เกล็ดสีดำรอบสองจึงหลุดลอกออกมาอีกครั้ง พวกมันแปรสภาพเป็นลาวาเหลว ทั้งหมดผลุบเข้าไปร่างศพของมอนสเตอร์
ทว่าไร้ประโยชน์ ร่างศพของมอนสเตอร์ก็ยังไม่ถูกเผาไหม้
เกล็ดสีดำรอบสามจึงหลุดลอกออกมาอีกครั้ง และคราวนี้มันกลายสภาพเป็นหลากชนิดของสัตว์ป่าดุร้าย ร่วมมือกันช่วยกัดกินลงบนร่างศพซ้ำๆ
เกล็ดสีดำรอบสี่หลุดลอกออกมา และกลายเป็นค้อนยักษ์ ทุบตอกศพด้วยเจตนาร้าย
เกล็ดสีดำรอบที่ห้าหลุดลอกออกมา แยกออกเป็นร่างคนตัวเล็กๆ หลายคน แต่ละคนถือเครื่องมือที่แตกต่างกัน และเริ่มทำการผ่าแยกศพ
เกล็ดสีดำรอบที่หก
รอบที่เจ็ด…
เทคนิคมนตราอันไร้ที่สิ้นสุด มนตร์แล้วมนตร์เล่าถูกสำแดงออกมาจากเกล็ดสีดำอย่างต่อเนื่อง
ทว่าร่างศพของมอนสเตอร์กลับยังไม่มีทีท่าว่าจะถูกทำลายลงเลย
“บ้าจริง! บัดซบเอ๊ย! พวกเราต้องเร่งมือแล้ว”
เสียงของร่างใหญ่เริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
พร้อมกันกับเสียงของมัน เกล็ดเกราะรบสีดำก็ผุดออกมาจากเกราะรบมากขึ้น
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สุดท้าย เกล็ดดำรอบที่สามร้อยเก้าสิบแปดก็หลุดออกมา และกลายสภาพเป็นมดเงินหลายพันตัว
มดเงินเริ่มที่จะทำการกัดแทะร่างศพของมอนสเตอร์
ในขณะที่พวกมันกำลังกัดแทะศพ ร่างของมอนสเตอร์ก็ค่อยๆ หายไปอย่างรวดเร็ว
“แบบนั้นแหละ ดีมาก!” ร่างใหญ่อุทาน
หลังจากผ่านไปหลายสิบลมหายใจ ร่างศพของมอนสเตอร์ก็หายไป
มดเงินคืบคลานไปมาบนตำแหน่งที่ร่างศพเคยนอนอยู่ ไม่ยอมเคลื่อนย้ายไกลออกไปไหน
“เอาล่ะ แค่นี้ก็น่าจะพอใจท่านแล้วนะ” กู่ฉิงซานกล่าว
“ยังก่อน รอดูซักนาทีจึงจะเห็นผลลัพธ์” ร่างใหญ่กล่าว
ทั้งสองจึงเฝ้ารออยู่พักหนึ่ง
ทันใดนั้นเอง มดทุกตัวก็เปิดทางออก
ปรากฏถึงร่างโครงกระดูกสีดำผุดขึ้นมาจากพื้นดิน และเดินกะเผลกๆ ไกลออกไปอย่างไร้สตินึกคิด
“จบเสียที!”
ร่างใหญ่ถอนหายใจ
ฟังจากน้ำเสียงดูก็รู้ว่าโล่งอก
กู่ฉิงซานมองตามร่างโครงกระดูกสีดำไป
เห็นแค่เพียงตัวมันเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับโครงกระดูกสีดำตนอื่นๆ อีกหลายพันหลายหมื่นที่กำลังเดินอยู่ ทั้งหมดเหมือนกัน ไม่มีสิ่งใดแตกต่างไปเลย
“เดี๋ยวก่อนนะ หรือว่าแท้จริงแล้วทะเลร่างโครงกระดูกเหล่านี้…”
“ใช่ อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ พวกมันเหล่านี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นพวกที่ต้องการจะกัดกินร่างของข้า ข้าจึงปล่อยให้พวกมันตายโดยไม่คิดโจมตี แต่คราวนี้ที่เจอกับมอนสเตอร์ตัวนั้น ไม่ลงมือไม่ได้จริงๆ”
“สรุปแล้วมอนสเตอร์นั่นเป็นตัวอะไรกันแน่?”
“ข้าเองก็ไม่รู้”
“แต่ท่านบอกว่ามันไม่ได้อยู่ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น”
“ไม่ได้อยู่อย่างแน่นอน”
“ว่าแต่ทำไมมันถึงได้รู้ชื่อของข้า?”
“ตรงจุดนี้เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก เพราะมันมีเทคนิคมนตราหรือความสามารถอื่นๆ อีกมากมายที่จะช่วยให้ทราบถึงชื่อจริงของบุคคลตรงหน้าได้ ตัวอย่างเช่นสกิล สอดแนมมิติ ทำนายฝัน พยากรณ์ความตาย ทิ่มนามธรรม ฯลฯ เทคนิคมนตราเหล่านี้มันมีอยู่มากมายเกินไป เจ้าไม่จำเป็นต้องมาสงสัยในปัญหานี้หรอก”
กู่ฉิงซานเงียบงันไปเป็นเวลานาน
“ไม่เกี่ยวกันกับพวกเทคนิคมนตราหรอก เพราะข้ากลับรู้สึกว่ามันรู้จักกับข้าจริงๆ…” เขากล่าวอย่าง
………………………………………..
สายลมปฐมบทแห่งความโกลาหลพัดกระหน่ำไม่หยุดยั้ง
ท่ามกลางกระแสมิติ ทุกสิ่งอย่างดูวุ่นวายและสับสน
บางครั้งก็มีบางสิ่งบางอย่างที่แสนพิสดารปรากฏขึ้น และไม่นานก็หายไป
กู่ฉิงซานถูกฉุดดึงโดยอำนาจที่มองไม่เห็น ลอยไปอย่างต่อเนื่องในทิศทางที่ถูกกำหนดเอาไว้
แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะร่างจิต แต่บนตัวของกู่ฉิงซานก็ยังเปล่งแสงจรัสเล็กน้อย ส่งผลให้เขาบรรยากาศรอบตัวเขาแผ่กลิ่นอายสง่างาม ชวนให้น่าเคารพนับถือออกมา
“เอะ? เจ้าตามมาด้วยทำไม?” กู่ฉิงซานถามด้วยความสงสัย
ภายในรังสีแสง เกราะรบเทพบรรพกาลตอบ “ร่างมนุษย์เป็นเพียงที่อยู่อาศัย จิตวิญญาณต่างหากคือสิ่งที่ควรค่าแก่การปกป้อง ดังนั้นข้าจึงตามมาคุ้มครองเจ้า จนกว่าเรื่องราวทั้งหมดจะสิ้นสุดลง”
“ช่างน่านับถือจริงๆ เมื่อเทียบกันแล้ว คำพูดของเจ้าฟังดูซื่อสัตย์ยิ่งกว่าพวกเรามนุษย์เสียอีก” กู่ฉิงซานยกย่อง
“นั่นย่อมแน่นอน เพราะพวกมนุษย์น่ะมักจะไม่ค่อยรักษาสัญญาของพวกเขา” เกราะเทพกล่าว
กู่ฉิงซานถึงกับพูดไม่ออก
ในเวลานั้นเอง เสียงของฉานนู่ก็ดังออกมาจากดาบขุนเขาเทวะหกโลกา
“นายน้อย พวกเรากำลังจะไปที่ไหนกัน?” เธอถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ไปหาสหาย” กู่ฉิงซานตอบ
ดาบพิภพเอ่ยถามบ้าง “เป็นสหายอย่างแท้จริง หรือว่าแค่สหายในนามเท่านั้น?”
“เป็นเพื่อนแท้ และเขายังเคยช่วยเหลือข้าเอาไว้หลายครั้ง” กู่ฉิงซานกล่าว
ระหว่างสนทนา ตัวเขาก็เริ่มที่จะบินเร็วขึ้น บ่งบอกได้ถึงแรงฉุดดึงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อร่างจิตสัมผัสได้ถึงแรงฉุดดึงที่รุนแรงเกินกว่าในครั้งที่ผ่านๆ มา กู่ฉิงซานก็พยายามรับรู้ และตระหนักได้ถึงความวิตกกังวลเล็กน้อยจากมัน
“ฉานนู่ ดาบพิภพ บางทีอาจจะเกิดการต่อสู้ขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็ได้ จงเตรียมตัวให้พร้อมไว้เสีย” กู่ฉิงซานกล่าว
สองดาบตอบรับพร้อมกันคำหนึ่ง ยืนยันว่าพวกมันรับรู้แล้ว
กู่ฉิงซานค่อยๆ จมลงสู่ห้วงความคิด
ทันใดนั้น เขาก็นึกได้ถึงคำพูดของร่างใหญ่ในครั้งล่าสุดที่ได้พบกัน
“เจ้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว ข้าสัมผัสได้ถึงการมาเยือนของมอนสเตอร์ที่น่าขนลุก มอนสเตอร์ตนนี้น่าขวัญผวายิ่งกว่ามอนสเตอร์ทั้งหมดทั้งมวลที่เคยพบเจอมา และมันกำลังเข้าใกล้โลกที่ข้าถูกจองจำใบนี้”
ประโยคดังกล่าว คือสิ่งที่ร่างใหญ่ได้บอกแก่เขาในเวลานั้น
กู่ฉิงซานรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังที่เล็ดลอดออกมาจากน้ำเสียงของมัน
แม้จักถูกขังมายาวนานกว่าหนึ่งแสนปี แต่ร่างใหญ่ก็เคยช่วยเหลือตัวกู่ฉิงซานเอาไว้มากมาย
แม้กระทั่ง ‘ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต’ ก็ยังถูกสอนโดยมัน
ดังนั้น ตราบใดที่เป็นอะไรที่สามารถทำได้ เขาก็เต็มใจที่จะช่วยเหลืออีกฝ่าย!
กู่ฉิงซานแม้จะมุ่งสมาธิขบคิดอย่างเงียบๆ แต่ก็ยังตื่นตัว เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา
ผ่านในช่วงเวลาหนึ่ง
กู่ฉิงซานก็ตระหนักได้ว่ากระแสมิติได้หายไปอย่างสมบูรณ์ และภาพที่แสนคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น
เป็นอีกครั้งที่เขาได้เข้าสู่โลกที่ไม่รู้จัก
ร่างโครงกระดูกดำจำนวนนับไม่ถ้วนกระจุกตัวกันหนาแน่น เดินไปมาบนพื้นที่โล่งแสนกว้างใหญ่
พวกมันดูเหมือนว่าจะไม่เคยหยุดนิ่งเลย
ขณะเดียวกัน ในใจกลางของโลกใบนี้ ปรากฏให้เห็นถึงเสาทองแดงที่ถูกปักตั้งไว้ มันยาวจนเชื่อมต่อสวรรค์และโลกเข้าด้วยกัน
โดยมีร่างใหญ่ในชุดเกราะดำ ถูกตอกตรึงอยู่บนเสาทองแดงที่ว่า
“ข้ามาแล้ว ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
กู่ฉิงซานที่ลอยอยู่กลางอากาศ ตะโกนถามเสียงดัง
แต่ร่างใหญ่กลับไม่ตอบสนอง
กู่ฉิงซานจึงลองเพ่งสังเกตดู และพบว่ามือข้างหนึ่งของร่างใหญ่ บัดนี้หลงเหลือทิ้งไว้เพียงโครงกระดูกเท่านั้น
ตามห้านิ้วของโครงกระดูก ถูกปกคลุมไปด้วยร่องรอยการกัดแทะที่ดูยุ่งเหยิง
คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างกินเนื้อหนังด้านบนจนหมดสิ้นแล้ว และพยายามที่จะกัดแทะกระดูกต่อ
“เงียบเสียงไว้”
เสียงลึกลับดังขึ้น
กู่ฉิงซานหุบปากลงทันที
เพราะนี่คือเสียงของร่างใหญ่
ภายในสายตาของเขา
เกราะรบสีดำบนร่างใหญ่ จู่ๆ ก็มีเกล็ดส่วนเล็กหลุดออกมา
เกล็ดที่ว่านี้ลอยเข้ามาหากู่ฉิงซาน ก่อนจะเวียนวนรอบตัวเขาอยู่ครู่หนึ่ง
คล้ายกับว่าต้องการที่จะยืนยันตัวตนของเขา
ต่อมา เสียงของร่างใหญ่ก็สะท้อนออกมาจากเกล็ดเกราะอย่างแผ่วเบา
“สถานการณ์ในเวลานี้อันตรายเป็นอย่างยิ่ง”
เสียงของมันเผยถึงความตึงเครียดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
“เกิดอะไรขึ้นอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“มีตัวอะไรบางอย่างอยู่ในร่างกายของข้า และมันกำลังกัดกินเนื้อของข้า”
ร่างใหญ่เล่าต่อ “ฉะนั้น เพื่อที่จะไม่ให้มันค้นพบถึงจิตวิญญาณของข้า ข้าจึงย้ายจิตมาซ่อนอยู่ในเกราะรบแทน”
กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็เพ่งตรวจสอบไปยังร่างอันใหญ่โตอย่างระแวดระวัง
ไม่นาน เขาก็ค้นพบว่าตรงตำแหน่งหน้าอกของร่างใหญ่ บ่อยครั้งที่เกล็ดเกราะจะเกิดการสั่นไหวขึ้นเล็กน้อย
บ่งบอกชัดเจนว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในชุดเกราะ
“มันอยู่ตรงตำแหน่งที่ว่านั่นใช่หรือไม่?”
กู่ฉิงซานชี้ปลายดาบไปตรงบริเวณหน้าอกของร่างใหญ่
เขาลองกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไป แต่ก็ถูกขัดขวางเอาไว้โดยบางสิ่ง มิอาจเข้าไปในร่างใหญ่ได้
แต่ชัดเจนว่ามีตัวอะไรอยู่ตรงบริเวณหน้าอกอย่างแน่นอน
“ถูกต้อง ตอนนี้มันอยู่ในตำแหน่งหัวใจของข้า และกำลังฉีกกัดผนังหัวใจภายนอกอยู่ ข้าสงสัยว่ามันอาจจะสนใจในหัวใจของข้าก็เป็นได้”
“แล้วเหตุใดท่านถึงไม่ตอบโต้มันกลับเล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“เจ้าก็รู้นี่ว่าเป็นเพราะร่างของข้าถูกตอกตรึงติดกับเสาทองแดง ข้าจึงไม่สามารถลงมือโจมตีมายังเสาได้ และอีกอย่างหากข้าลงมือ การดำรงอยู่ที่ว่านั่นก็จะรู้สึกตัวได้ในทันที ว่าดวงจิตของข้ายังไม่จากไป”
“เมื่อข้าถูกค้นพบ เรื่องราวหลังจากที่ว่านั่นก็คงจะไม่มีหนทางให้แก้ไขใดๆ อีกต่อไปแล้ว”
กู่ฉิงซานถาม “ด้วยเหตุนี้ ท่านเลยทำได้แค่ยอมให้ร่างกายตัวเองถูกกินโดยสิ่งนั้น?”
“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น”
กู่ฉิงซาน “พอจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่าสิ่งที่กำลังกัดกินร่างท่านอยู่คือตัวอะไร?”
“มันเป็นสิ่งที่มิอาจทำความเข้าใจได้ ข้าเดาว่ามันไม่ได้อยู่ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น” ร่างใหญ่กล่าว
“ทำไมถึงคิดเช่นนั้น?” กู่ฉิงซานสงสัย
“เพราะตัวมันไม่สอดคล้องกับลักษณะชีวิตใดๆ เลยในโลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้นเลย” ร่างใหญ่อธิบาย
กู่ฉิงซานตกตะลึง
แต่ในขณะนั้นเอง เสียงเคี้ยวก็ดังขึ้นมาจากภายในร่างใหญ่
“มันแข็งแกร่งรึเปล่า?” กู่ฉิงซานถาม
“ในความรู้สึกของข้า เมื่อเทียบกับตัวเจ้าในปัจจุบัน มันอาจจะแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย แต่ตรงจุดนี้ ข้ายังไม่สามารถรับประกันได้ เพราะมันเป็นการดำรงอยู่อันแปลกประหลาดที่ข้าไม่เคยพบเจอมาก่อนเช่นกัน” ร่างใหญ่กล่าว
กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก “เข้าใจแล้ว ข้าจะลองดู”
ร่างใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง จึงกล่าว “แบบนั้นไม่ดีหรอก ข้าว่าเจ้าช่วยนำจิตวิญญาณของข้า หนีไปด้วยกันจะเป็นการดีกว่า”
กู่ฉิงซาน “นั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีหรอก อ้างอิงตามความรู้ความเข้าใจของข้า หากท่านหลงเหลือเพียงจิตวิญญาณ หลังจากนั้นมา ทุกสิ่งอย่างที่ท่านมีคงจำต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง”
ร่างใหญ่ถอนหายใจ “แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เพราะข้าไม่เพียงไม่อาจทราบว่ามันมาจากที่ใด แต่กระทั่งจิตวิญญาณของข้าก็ยังรู้สึกหวาดกลัวในมัน”
“ท่านน่ะหรือหวาดกลัว? เมื่อครู่ไม่ใช่ท่านบอกว่ามันแข็งแกร่งกว่าข้าไม่มากนักหรอกหรือ?”
“ปัญหาไม่ใช่เรื่องความแข็งแกร่ง ปัญหามิได้อยู่ที่มัน แต่ปัญหาน่ะอยู่ที่ตัวข้าเอง – ข้าน่ะรู้มากเกินไป ดังนั้นข้าจึงพอที่จะสามารถคาดเดาถึงเจ้าสิ่งนั้นออกไปได้ในหลากหลายรูปแบบ และไม่ว่าจะเป็นการคาดเดาชนิดใดที่ผุดเข้ามา มันก็ล้วนทำให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดซึ้ง” หลังจากที่ร่างใหญ่กล่าวจบ มันก็หุบปากเงียบ
“ตราบใดที่ในเรื่องความแข็งแกร่งไม่ใช่ปัญหา ข้าก็ไม่สนใจแล้ว ท่านแค่คอยเฝ้าดูข้าสังหารมันก็พอ”
ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็เปิดหน้าต่างเทพสงคราม และดึงตัวเลือกบางอย่างออกมา
“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”
“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”
“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”
“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”
“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”
“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”
“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”
“โปรดทำการเลือกสกิลที่เหมาะสมสำหรับการเสริมพลังด้วย”
เจ้าพวกนี้คือสิ่งที่เขาได้รับมาในตอนที่อยู่บนโลกชั้นใต้ดิน เป็นความสามารถสั่งสมแต้มพลังที่ได้มาจากการกำจัดกองทัพสัตว์ประหลาดผี
ในแต่ละภารกิจต่อเนื่องของเทพสงคราม กู่ฉิงซานจะได้รับสถานะสั่งสมแต้มพลังวิญญาณ
ซึ่งนี่คือความแตกต่างระหว่างภารกิจเทพสงครามและภารกิจแห่งโชคชะตา
“ศัตรูมีเพียงหนึ่งเท่านั้น”
กู่ฉิงซานพึมพำ
เขาปัดตัวเลือกทั้งหมด ให้มันไปเสริมแกร่งให้แก่กลืนกินหวนกลับ
เพราะกลืนกินหวนกลับ คือเทคนิคดาบลอบสังหารที่ทรงพลังที่สุดของเขา
บนหน้าต่างเทพสงคราม หนึ่งบรรทัดแสงปรากฏขึ้นมา
“สกิลของคุณ: กลืนกินหวนกลับ ได้รับการเสริมแกร่งขึ้นเป็นสิบสองเท่าแล้ว”
“อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณใช้สกิลนี้ และปลดปล่อยมันอีกครั้ง พลังโจมตีของมันจะกลับคืนสู่ระดับปกติ”
“เมื่อคุณต้องการจะใช้สกิลนี้ คุณจะต้องจ่ายหนึ่งพันแต้มพลังวิญญาณ คุณตกลงหรือไม่?”
“ฉันตกลง ถ้าจะใช้เมื่อไหร่เดี๋ยวจะจ่ายเอง แต่ตอนนี้ขอหยั่งเชิงกับมันดูก่อน”
ว่าจบ พอเตรียมตัวพร้อม กู่ฉิงซานก็สั่งการในความคิดทันที
ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาลอยออกไป และเคาะลงบนตำแหน่งหน้าอกของร่างใหญ่
“เคร้ง!”
บังเกิดเสียงอันคมชัดของดาบยาวเคาะลงบนเกราะรบ
เห็นแค่เพียงการสั่นไหวภายใต้เกราะรบหยุดลงไปครู่หนึ่ง
แต่จากนั้น มันก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าการดำรงอยู่ที่ว่านั่น สำหรับมันแล้วหัวใจของร่างใหญ่ดูจะน่าดึงดูดยิ่งกว่าการคุกคามจากภายนอก
ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาสับลงอีกครั้ง
แต่อีกฝ่ายก็ไม่สนใจเลย
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว
ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาบินกลับมา
และเปลี่ยนเป็นดาบพิภพ
“ไม่ต้องยั้งมือ” กู่ฉิงซานกล่าว
“เข้าใจแล้ว” ดาบพิภพตอบรับ
มันกวาดไปตามแนวนอน หมุนควงสั่งสมแรงเหวี่ยงสองสามรอบ และเมื่อพรั่งพร้อม มันก็ปล่อยตัวกระแทกเข้าใส่เกราะรบสีดำอย่างแรง
ระเบิดออกด้วยการโจมตีที่หนักกว่า 86.37 ล้านจิน!
ปัง!
บังเกิดเสียงหนักทึบ
เกราะรบไร้ซึ่งความเสียหายใดๆ
ทว่าภายในเกราะกลับเกิดเสียงดังฟู่ๆ ขึ้น
ดาบพิภพบินกลับมา
“ข้าได้ขัดจังหวะการกินของมัน และมันสมควรจะโกรธมาก ข้าคาดว่ามันกำลังจะตอบโต้” ดาบพิภพอธิบายอย่างรวดเร็ว
“ข้ารู้” กู่ฉิงซานกล่าว
เขามองไปยังเกราะรบสีดำบนร่างใหญ่
เห็นแค่เพียงบนเกราะรบ ไร้ซึ่งการสั่นไหวใดๆ อีกแล้ว
หลังจากนั้นสักพัก เปลือกตาของร่างใหญ่ก็ค่อยยกขึ้น เผยให้เห็นถึงม่านตาสีแดงก่ำ
“นั่นท่านรึเปล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ไม่ใช่ข้า” ร่างใหญ่ตอบกลับ
“นั่นเป็นเจ้ามอนสเตอร์ตัวที่ว่า”
พอได้รับคำตอบ กู่ฉิงซานก็กุมดาบด้วยสองมือเขาเตรียมพร้อมที่จะรับมือทันที
ทันใดนั้นเสียงคำรามก็ดังกึกก้องขึ้น
มันเป็นเสียงของการดำรงอยู่ ที่เหมือนกับว่าจะประหลาดใจ
“เอ…?”
“แปลกนัก” เสียงยังคงพูดต่อ “กู่…ฉิง…ซาน ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”
กู่ฉิงซานแข็งค้าง
ทำไมฉันถึงมาที่นี่อย่างงั้นหรือ?
ถูกถามในที่แบบนี้เนี่ยนะ?
มันเป็นไปไม่ได้! ไม่น่าจะมีใครที่รู้จักฉัน ปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างแน่นอน!
คำถามที่ไม่สามารถอธิบายได้ ผุดเข้ามาในหัวใจของกู่ฉิงซาน
“เมื่อครู่ท่านบอกว่ามันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตของโลกเก้าร้อยล้านชั้นใช่ไหม?”
“ไม่ใช่อย่างแน่นอน” ร่างใหญ่ยืนยันหนักแน่น
“ถ้าอย่างนั้น แล้วเพราะเหตุใดมันถึงรู้ชื่อของข้า?”
“ข้าเองก็ไม่ทราบในส่วนนั้นเหมือนกัน” เสียงของร่างใหญ่ฟังดูตึงเครียด
แต่ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันนั้นเอง กลับปรากฏถึงมอนสเตอร์ประหลาดตนหนึ่ง คืบคลานออกมาจากดวงตาของร่างใหญ่
“มันมาแล้ว” ร่างใหญ่เตือน
กู่ฉิงซานกุมดาบแน่น และมองออกไป
เห็นแค่เพียงมอนสเตอร์ประหลาด
ทว่ายังไม่มีเวลาที่จะทันได้สำรวจมันอย่างถี่ถ้วน จู่ๆ ความหวาดกลัวก็พลันบาดลึกเข้ามาในหัวใจของเขา
นี่คือปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาตญาณของร่างกาย เมื่อทุกคนกำลังย่างกรายเข้าสู่ความตาย!
ในระหว่างนั้นเอง เขาก็อ้าปากกว้าง แต่แท้จริงแล้วกลับไม่สามารถหายใจได้
เงาแห่งความตายที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนโอบเข้าปกคลุมตัวเขาเอาไว้
มันเป็นความรู้สึกสิ้นหวัง คล้ายกับจมลงสู่เบื้องลึกของความมืดที่มองไม่เห็น
พริบตานั้นเอง แสงจรัสบนเกราะของทวยเทพก็เปล่งประกายสดใสขึ้นทันใด
ได้ยินแค่เพียงเสียงเตือนของเกราะเทพที่เร่งร้อน “ข้าสัมผัสได้ถึงความตายของเจ้า! ข้าจะช่วยเหลือเจ้าเอง แต่จงอย่าลืมว่าตัดขาดเวลา สามารถใช้งานได้แค่สามลมหายใจเท่านั้น!”
ในชั่วพริบตา เกราะเทพก็พลันใช้ออกด้วย ‘คำบัญชาเทพ!’
‘คำบัญชาเทพ: เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณถูกโจมตีอย่างร้ายแรง เกราะรบจะตระหนักได้ถึงโชคชะตาแห่งความตายของคุณ และมันจะใช้ออกด้วย ‘ตัดขาดเวลา’ ทันที’
รังสีแสงอันไร้ขอบเขตระเบิดออกจากตัวกู่ฉิงซาน ปัดเป่าความมืดมิดที่ปกคลุมล้อมรอบตัวเขา
ตลอดทั้งโลกที่ไม่รู้จัก ทุกสิ่งอย่างพลันหยุดนิ่ง
เวลาได้ถูกหยุดลง
ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็มองเห็นถึงคมกล้าของกรงเล็บแหลมที่หยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา
และกรงเล็บแหลมที่ว่า…มันอยู่ห่างจากดวงตาของเขาไปเพียงไม่ถึงหนึ่งมิลลิเมตรเท่านั้น!
……………………………………………
โดยที่ไม่ทันจะได้เตรียมตัวหรือเตรียมใจใดๆ สถานการณ์สงครามของผู้เข้าสู่วิถีมารก็พุ่งทะยานสู่ระดับสูงสุด
ท่ามกลางการต่อสู้ที่แสนเข้มข้น ทุกชนิดของการโจมตีจากภูตผีและปีศาจสอดประสานกันไปมา ส่งผลให้แนวป้องกันของผู้เข้าสู่วิถีมารเริ่มที่จะแตกพ่าย
กำลังพลที่ถูกนำพามาจากโลกอื่นโดยกษัตริย์ปีศาจและราชาภูต เป็นกองทัพทรงพลังที่มากไปด้วยประสบการณ์ และเคยข้ามผ่านคมเหล็กและการนองเลือดมาแล้วมากมาย
ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามพวกเขา เป็นเพียงรุ่นเยาว์ที่พยายามจะใช้ประโยชน์จากระบบของราชามารเป็นทางลัดในการเพิ่มพูนความแข็งแกร่ง และยังอายุไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ
ทว่าในเวลานี้ ระบบของราชามารกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการยกระดับ ดังนั้นมันจึงไม่สามารถเข้ามาช่วยเหลือผู้เข้าสู่วิถีมารได้
สถานการณ์เริ่มที่จะเอนเอียง
และชัยชนะก็ตกเป็นของโลกทั้งเจ็ดอย่างรวดเร็ว
พวกเขาเก็บเกี่ยวชีวิตของผู้เข้าสู่วิถีมารมากขึ้น มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่ผู้เข้าสู่วิถีมารบางคนที่พอจะฉลาดอยู่บ้าง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์มันชักจะไม่ท่า ตนก็เร่งซ่อนอยู่เบื้องหลังคนอื่นๆ และเริ่มหาหนทางรักษาชีวิต
ไม่นานนัก ผู้หลบหนีคนแรกก็ปรากฏขึ้น
เห็นแค่เพียงตัวเขาที่ฉีกม้วนคัมภีร์ ก่อนที่ทั้งคนทั้งร่างจะถูกอาบไปด้วยอักษรรูนโบราณ และถูกส่งออกไป
หลังจากแสงกะพริบไหว เขาก็หายตัวไปจากโลกใบนี้
แต่แน่นอน ว่ากู่ฉิงซานย่อมสังเกตเห็นถึงฉากนี้ตั้งนานแล้ว ทว่าตัวเขาก็ไม่คิดเข้าไปก้าวก่ายใดๆ
“ช่างไร้เดียงสา” เขาส่ายหัว
หลังจากนั้นไม่ถึง สองลมหายใจ
ร่างของผู้หลบหนีก็ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ตกกระแทกเข้ากับพื้น
ตามด้วยร่างเงาที่งดงามผุดขึ้นมาจากตัวเขาอย่างช้าๆ
“หนุ่มน้อยที่แสนจะไร้เดียงสา ไม่รู้หรือว่าตั้งแต่ที่เจ้าอยู่ในพิสัยของทัณฑ์สวรรค์แล้ว กฎเกณฑ์ฟ้าดินย่อมไม่อนุญาตให้เจ้าหลบหนี และส่งพวกเรามารสวรรค์ไปขัดขวาง”
มารสวรรค์กล่าว ขณะเดียวกันก็หันไปมองรอบๆ
วินาทีต่อมา ดวงตาของเธอก็สว่างวาบขึ้นทันใด
ไม่ไกลจากเธอ ผู้เข้าสู่วิถีมารบางคนที่ในจิตใจฟุ้งไปด้วยความหวาดกลัว กำลังที่จะหยิบอุปกรณ์ที่ใช้หลบหนีออกมา
มารสวรรค์หญิงเช็ดมุมปากของเธอ ร่างกายวูบไหว หายเข้าไปในความว่างเปล่าทันที
…
เมื่อมีจุดเริ่มต้นก็ต้องมีจุดจบ
ช่วงเวลานี้ ในที่สุดสงครามก็มาถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว
ฝนเพลิงบนท้องฟ้าค่อยๆ มอดดับลง
กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบนำกำลังรบของตนเดินกลับมายังหากู่ฉิงซาน
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจในครั้งนี้ แต่ตัวข้ากลับไม่ได้พกอะไรที่พอจะใช้ตอบแทนเจ้าได้เลย จะมีก็แค่สิ่งนี้ที่พอจะมอบให้ได้” กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบกล่าว
มันหยิบตราสัญลักษณ์เปลวไฟที่กำลังเผาไหม้ออกมา และโยนไปทางกู่ฉิงซาน
“เจ้าสามารถขยี้ตราสัญลักษณ์นั่น และเข้ามายังโลกของข้าได้เลยโดยตรง เมื่อถึงเวลานั้น ขอให้ข้าได้ต้อนรับเจ้าในฐานะแขกด้วยเถิด!”
แม้สิ่งนี้จะไม่ใช่ตราสัญญาณที่สามารถใช้สื่อสารกันได้ แต่มันก็นับว่าเป็นสิ่งล้ำค่าชิ้นหนึ่ง
“อืม ขอบคุณเจ้ามาก” กู่ฉิงซานประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่าย
กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบพยักหน้าให้เขา ก่อนจะก้าวเข้าไปในความว่างเปล่า หายไปจากโลกใบนี้
อีกด้านหนึ่งของสนามรบ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ศพในบริเวณตำแหน่งนี้ได้หายไป
ชั้นเงาที่ทับซ้อนพื้นน้ำแข็งก็หายไปแล้วเช่นกัน บัดนี้บนพื้นน้ำแข็งว่างเปล่า เหลือทิ้งไว้เพียงสีแดงของเลือด
กษัตริย์อสูรเงาหยุดยืนอยู่ที่นั่น มันนิ่งอย่างเงียบอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงกลับมายังค่ายสัตว์ประหลาดผี
มันผุดขึ้นมาจากพื้นน้ำแข็งเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
“นี่สินะคำที่กล่าวว่า ‘อัธยาศัยดีเป็นต้นเหตุของความร่ำรวย’ แม้ว่าข้าจะโกรธเจ้าที่ทำลายร่างเงาของข้า แต่เจ้าก็ยังแลกเปลี่ยนกับข้าอย่างซื่อตรง ฉะนั้นตัวข้าเองก็สมควรที่จะปฏิบัติตามบ้างเช่นกัน”
กษัตริย์อสูรเงาเดินมาด้านข้างของกู่ฉิงซาน และขยับปากร่ายคาถาเบาๆ ลงบนแขนเขา
เปลวไฟสีทมิฬผุดออกมาจากแขนของกู่ฉิงซาน
นี่คือคำสาปที่จ้าวแห่งแดนชำระล้างสาปแช่งทิ้งไว้บนแขนของกู่ฉิงซาน ในตอนที่เขาอยู่ในโลกเบื้องล่างของสายพันธุ์เทพ
คำสาปแช่งนี้จะมีผลเมื่อกู่ฉิงซานตาย เมื่อเขาตาย จ้าวแห่งแดนชำระล้างจะตามรอยคำสาปนี้ เพื่อมารับเอาจิตวิญญาณของกู่ฉิงซานไป
กษัตริย์อสูรเงาเอื้อมมือของมันไปยังเปลวไฟสีดำ
“หากเจ้าไม่รังเกียจ ก็ถือเสียว่าสิ่งนี้เป็นรางวัลแด่ข้า ที่ช่วยถอนคำสาปให้แก่เจ้าจะได้หรือไม่?”
มันชี้ที่เปลวไฟสีดำและกล่าว
“ด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง เจ้าเอามันไปเถอะ รีบเอาไปเลย” กู่ฉิงซานหัวเราะ
ก่อนหน้านี้ ตัวเขาได้ทดลองมาหลากหลายวิธีการแล้ว แต่ก็ไม่สามารถกำจัดคำสาปนี้ออกไปได้
แต่ไม่คาดคิดเลย ว่ากษัตริย์อสูรเงาจะมีวิธีกำจัดคำสาปนี้ลงได้ ดังนั้นในเมื่อเจ้าตัวเอ่ยปากขอ กู่ฉิงซานก็ไม่คิดปฏิเสธ
หลังจากที่เปลวไฟสีดำไม่ได้อยู่กับตัวกู่ฉิงซาน จ้าวแห่งแดนชำระล้างก็จะไม่สามารถตามหาตัวเขาได้อีกต่อไป
กษัตริย์อสูรเงากุมเปลวไฟสีดำไว้ในมือ และพยักหน้าให้แก่กู่ฉิงซาน
“ลาก่อน”
“ลาก่อน”
กษัตริย์อสูรเงาจมลงไปในพื้นน้ำแข็งอย่างเงียบๆ และสุดท้ายก็หายตัวไป
อีกด้านหนึ่ง กษัตริย์อาชูร่าที่กำลังขี่ช้างเผือกตะโกนร่ำลากับกู่ฉิงซานจากระยะไกล
“ข้ายังมีธุระอื่นที่จะต้องไปจัดการ! เอาไว้หากมีเวลาว่างเว้นพวกเราค่อยกลับมาสนทนากันอีกครั้ง!”
เขาตะโกนเสียงดัง
หลังจากนั้นกษัตริย์อาชูร่าก็นำพากองทัพอันเกรียงไกรของเขาหายกลับเข้าไปในความว่างเปล่า
พวกเขายังมีสงครามกับโลกอื่นที่จะต้องไปจัดการ ดังนั้นเมื่อจบธุระที่นี่ พวกเขาจึงเร่งร้อนจากไปทันที
กษัตริย์ปีศาจทั้งสามได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์เป็นจำนวนมาก หลังจากที่ร่ำลากู่ฉิงซาน และบรรลุภารกิจตามกฎเกณฑ์ของทัณฑ์สวรรค์แล้ว ก็กลับไปยังโลกภูตผีของตน
แม่มารสวรรค์ร่อนลงมาจากฟากฟ้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แสดงออกชัดเจนถึงความสุข
“ช่างเป็นงานเลี้ยงฉลองที่ยิ่งใหญ่นัก ตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกสิ่งที่เจ้าตระเตรียมการเอาไว้ มันไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย”
เธอลดเสียงลงและกล่าวกระซิบ “ดังนั้น ข้าจะยอมปล่อยให้เจ้าอยู่กับบุตรสาวแห่งข้า หลี่อัน อยู่กันตามลำพัง เพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนกันอย่างใกล้ชิด”
โดยแม่มารเน้นย้ำหนักแน่นตรงคำว่า ‘ใกล้ชิด’
จากนั้น แม่มารก็ถอยกลับเข้าไปในความว่างเปล่า และจากไปอย่างเงียบๆ
มารสวรรค์ทั้งหมดก็จากไปกับเธอเช่นกัน
ภูตผี และปีศาจได้จากโลกใบนี้ไป
สักพักหนึ่ง
สายลมก็หยุดลง
โลกกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
มีเฉพาะเพียงเกล็ดหิมะเท่านั้นที่ยังคงร่วงโรยลงมา
กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของค่ายสัตว์ประหลาดผี และหันไปมองรอบๆ
เมฆแหล่งกำเนิดทัณฑ์ได้กระจายไปแล้ว
ภายใต้ท้องฟ้า ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่อีกเลย
จิตวิญญาณของสองร้อนล้านผู้เข้าสู่วิถีมาร ได้ถูกแบ่งๆ กันออกไปโดยเหล่าภูตผีและปีศาจโดยสมบูรณ์
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของฉากนี้ ก็คงจะเป็นพื้นน้ำแข็งทั้งหมดที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน
สายตาของกู่ฉิงซานกะพริบไหวอย่างกะทันหัน
เห็นแค่เพียงเส้นแสงหิ่งห้อยบนหน้าต่างเทพสงคราม
“การข้ามผ่านโทษทัณฑ์สู่ร่างเทวะ ได้จบลงแล้ว”
ราวกับบางจุดในร่างกายถูกชำระล้าง แม้กระทั่งกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินก็ยังยอมรับมัน พลังวิญญาณในตันเถียนของกู่ฉิงซานพุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในความรู้ความเข้าใจของกฎเกณฑ์ฟ้าดิน ทุกๆ ครั้งที่ผู้ฝึกยุทธ์สามารถยกระดับขอบเขตได้ อายุขัยของพวกเขาจะเพิ่มมากขึ้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่เพียงแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่ขีดจำกัดอายุยังเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมากอีกด้วย
แน่นอนว่าอาชีพอื่นๆ ก็มีวิธีการเพิ่มอายุขัยของพวกเขาขึ้นเช่นกัน แต่นั่นก็แค่เฉพาะเพียงอายุขัยเท่านั้น
แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว แท้จริงมันคือการวิวัฒนาการของรูปแบบชีวิตทั้งหมด
นั่นคือการได้รับพลังอำนาจที่เพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก จนอยู่เหนือกว่ากฎเกณฑ์
ดังนั้นฟ้าดินจึงจำต้องส่งโทษทัณฑ์ลงมา เพื่อเป็นการทดสอบผู้ฝึกยุทธ์
กู่ฉิงซานหลับตาลง และเริ่มพยายามรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเขาอย่างรอบคอบ
ขีดจำกัดแต้มพลังวิญญาณสูงสุดขยายขึ้นเป็นหกร้อยแต้ม
ขณะที่พลังวิญญาณของเขาเพิ่มมากกว่าเดิมถึงสามเท่า
อายุขัยเพิ่มขึ้นเป็นสองพันปี
อำนาจของจิตเทวะแข็งแกร่งขึ้น พิสัยของมันครอบคลุมไกลกว่าเดิมเป็นสองเท่า เวลานี้แม้กระทั่งเกล็ดหิมะบางเบามากมายที่ร่วงโรยลงมา เขาก็ยังสามารถตรวจจับถึงมันได้
“ขอบเขตร่างเทวะ…”
กู่ฉิงซานพึมพำด้วยอารมณ์
ในที่สุด…ในที่สุดเขาก็สามารถเดินตามรอยเท้าอาจารย์จนมาถึงตำแหน่งเดียวกันแล้ว!
ตอนนี้เขาคือผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตร่างเทวะ
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็บังเกิดแรงฉุดดึงขึ้น
สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนไป
เขาพลันนึกขึ้นได้ถึงบางสิ่ง
“เช่าหยิน เจ้าจงรับหน้าที่คอยปกป้องข้า หากมีสถานการณ์ผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น ข้าอนุญาตให้เจ้าใช้พลังเหนือธรรมชาติที่ข้ามี ช่วยปกป้องข้าได้เลยไม่ต้องลังเล” เขากล่าวอย่างรวดเร็ว
เช่าหยินผุดออกมาจากในความว่างเปล่า เปล่งเสียงฉวัดเฉวียนคำหนึ่ง
ถัดมา กู่ฉิงซานก็ตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบดิสก์ค่ายกลป้องกันขึ้นมา อันแล้วอันเล่า เริ่มจัดวางมัน
แสงสวรรค์สาดประกายออกมา
ในช่วงเวลาสั้นๆ ดิกส์ค่ายกลทั้งหมดก็ถูกเปิดใช้งานโดยสมบูรณ์!
กู่ฉิงซานโยนฟูกลงวาง แล้วนั่งลง
“ฉานนู่ ดาบพิภพ จงไปพร้อมกันกับดวงจิตของข้า!”
“เข้าใจแล้ว” ดาบพิภพกล่าว
“เจ้าค่ะ นายน้อย” ฉานนู่ตอบรับ
กู่ฉิงซานปิดตาลง
ทันใดนั้นเอง แรงฉุดดึงอันทรงพลังก็ผุดออกมาจากในความว่างเปล่า
ดวงจิตของเขาผละออกจากกายเนื้อ และบินขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งเข้าสู่กระแสมิติอันโกลาหลโดยตรง
สองดาบบินไปตามจิตวิญญาณของเขาไปอย่างใกล้ชิด
ท่ามกลางพื้นน้ำแข็งและมหาสมุทร ความเงียบงันกลับคืนมาอีกครั้ง
กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนฟูก ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงัน ดวงตาปิดสนิท
ขณะที่เช่าหยินแขวนเด่นอยู่กลางอากาศ คอยปกปักอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบๆ
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างช้าๆ
ช่วงเวลาหนึ่ง ก็ปรากฏถึงรังสีแสงดั่งดวงอาทิตย์แทรกเข้ามาในท้องฟ้าอันมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด
ตามด้วยเสียงขับขานท่วงทำนองอันไพเราะของหญิงสาว
เห็นแค่เพียงเด็กสาวที่แสนงดงามในชุดดำบินออกมาจากในอากาศที่ว่างเปล่า
เธอลอยมาตกลงหน้าค่ายสัตว์ประหลาดผี
“เอ๊ะ? ค่ายกลงั้นหรือ?”
เด็กสาวในชุดดำยื่นมือของเธอออกไปสัมผัสกับในอากาศที่ว่างเปล่าด้วยความประหลาดใจ
ทันใดนั้นแสงสวรรค์สีสดใสก็สว่างวาบออกจากมันทันที
“ถึงจะได้ผลกับตนอื่นๆ แต่สำหรับมารสวรรค์แล้ว…”
เด็กสาวในชุดดำยิ้ม และร่างก็เธอก็กะพริบไหว
เธอปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในค่ายกองทัพ
เมื่อเข้ามา เธอก็เห็นถึงกู่ฉิงซานที่อยู่ตรงกันข้าม เด็กสาวชุดดำจึงเอ่ยถามเขาอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าเพิ่งจะตัดผ่านมาได้ พักผ่อนสักเล็กน้อยแล้วค่อยรวบรวมขอบเขตมันจะไม่ดีกว่าหรือ?”
อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานมิได้ตอบกลับไป
“ซูม…”
ดาบเช่าหยินจู่ๆ ก็เริ่มส่งเสียงกระหึ่มอย่างรวดเร็ว
มันลอยมาหยุดอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
เด็กสาวชุดดำเลื่อนสายตาลงมามองมัน
“เจ้าดูให้ดีสิ นี่ข้าเอง ข้าหลี่อันไง” เด็กสาวชุดดำกล่าว
เธอลองขบคิด และเอ่ยต่อว่า “วางใจเถอะ ข้าจะไม่ทำอะไรกับเขาหรอก”
“อืม…”
เช่าหยินแม้จะส่งเสียงที่ดูลังเลออกมา แต่แท้จริงแล้วมันก็ยังไม่ยินยอมเปิดทางอยู่ดี
จักรพรรดินีหลี่อันตระหนักได้ถึงความผิดปกติในที่สุด
เธอจ้องมองกู่ฉิงซาน และตรวจสอบเขาอย่างระมัดระวัง
“หืม? จิตวิญญาณของเขาหายไป…ในสถานที่แบบนี้เนี่ยนะ? ทำแบบนี้มันไม่ปลอดภัยเลย เขามีเรื่องเร่งด่วนอะไรกัน?” หลี่อันอุทาน
“ฉวัดเฉวียน!”
เช่าหยินผงกด้ามดาบลง
หลี่อันจึงค่อยเข้าใจ
ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ
เธอเอ่ยกับเช่าหยิน “ข้าเข้าใจ นี่คือช่วงเวลาที่กายมนุษย์ของเขาอ่อนแอที่สุด ดังนั้นเจ้าเลยกำลังปกป้องเขาอยู่ใช่หรือไม่?”
ดาบเช่าหยินผงกด้ามของมันลงอีกครั้ง
หลี่อัน “งั้นก็วางใจเถอะ ข้าจะไม่ไปเข้าใกล้เขาแล้ว”
เธอโบกมือเรียกเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมา และนั่งลง
“ฉวัดเฉวียน?” เช่าหยินเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าแค่เกรงว่าเจ้าเพียงลำพังจะปกป้องเขาได้ไม่ดีพอ ดังนั้นข้าจึงจะอยู่ที่นี่ คอยปกป้องเขาด้วยเช่นกัน” หลี่อันอธิบาย
เช่าหยินกลับคืนสู่ความเงียบ และไม่ได้ส่งเสียงอีกต่อไป
มันเริ่มที่จะยอมรับการกระทำของอีกฝ่าย
แต่มันก็ยังไม่ยินยอมออกจากไปข้างกายของกู่ฉิงซาน
ห่างออกไป หลี่อันนั่งลงตรงกันข้ามกับกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
เธอพยายามรับรู้ทุกสิ่งรอบตัวอย่างระแวดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้อุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน
เธอก็มั่นใจว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่รอบๆ แล้ว
หลี่อันจึงค่อยผ่อนคลายลง
เธอยิ้มกับตัวเองและพึมพำเบาๆ “มารสวรรค์กำลังปกป้องมนุษย์…เกรงว่าหากข้าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟัง คงจะไม่มีใครเชื่อ”
แล้วเธอก็เบนสายตาไปมองกู่ฉิงซานโดยไม่รู้ตัว
พร้อมกับแววตาที่ค่อยๆ อ่อนโยนลง
แต่ในไม่ช้า เธอก็ตระหนักได้ถึงมันและเร่งส่ายหัวทันที
ดาบเช่าหยินเมื่อเห็นถึงฉากนี้
มันก็ย้อนนึกไปถึงคำสอนของดาบพิภพ
ในเวลาต่อมา ดาบเช่าหยินก็ผงกด้ามดาบเบาๆ ตัดสินใจได้ในที่สุด
แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะป้องกันภัย มันหายเข้าไปหลบอยู่ในความว่างเปล่าอย่างเงียบๆ ไม่คิดเผยรูปอีกต่อไป
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า
เกล็ดหิมะมากมาย ยังคงตกลงมาเบาๆ จากท้องฟ้า
ในพื้นน้ำแข็งและมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เลือดที่เอ่อนองสีแดงฉานค่อยๆ ถูกหิมะสีขาวกลบกลืนลงไป
ท่ามกลางหิมะและน้ำแข็ง ทุกอย่างได้จบสิ้นลงแล้ว
โลกนี้ช่างเงียบเหงาและเปล่าเปลี่ยว
มีแค่เพียงเด็กสาวชุดดำที่อยู่ในซากค่ายกองทัพ คอยเฝ้าระวังสถานการณ์โดยรอบอย่างจริงจัง
ในบางช่วงเวลา เธอก็มักจะเหลียวมองชายที่อยู่ตรงกันข้ามบ้างเป็นครั้งคราว
เธอยังคงอยู่ที่นี่
คอยปกป้องเขา
………………………………………………..
บนท้องฟ้า
ชั้นเมฆยกตัวสูงขึ้น ขณะที่พายุสายลมยังคงพัดกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง
ปรากฏจุดเปลวเพลิง ที่มองจากเบื้องล่างจะคล้ายกับดวงดารานับไม่ถ้วนผุดออกมาจากในความว่างเปล่า
นอกจากนี้ ยังได้ยินถึงเสียงสะท้อนของบทเพลง ที่ฟังดูอ่อนโยนและแผ่วเบา ลอยมาตามสายลม พร้อมกับบุปผาดำที่ผุดขึ้นมารอบทิศทาง
บางครั้งบางคราว ใบหน้าอันทรงเสน่ห์ก็ผุดออกมาจากบุปผาเหล่านั้น จ้องมองไปรอบๆ ด้วยรอยยิ้มหวาน และหายกลับเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในมัน
ผู้เข้าสู่วิถีมารมากมายที่เห็นถึงฉากนี้ ในหัวใจของพวกเขาก็เต้นตึกตัก รู้สึกได้ว่ามันกำลังคันยิบๆ
ขณะเดียวกัน บนพื้นน้ำแข็งก็เริ่มผุดเงาขึ้นในบริเวณโดยรอบอย่างต่อเนื่อง พวกมันคล้ายกับว่าอยู่ในโลกอื่น แต่สามารถเข้ามายังโลกใบนี้ได้ตลอดเวลา
และยังได้ยินถึงเสียงของเกือกม้าที่ดังกึกก้อง คล้ายกันกับในเวลาที่เสียงของห่าฝนกระทบกับพื้นดิน กังวานไปทั่วโลกชั้นน้ำแข็ง
“เฮ! สงคราม! การต่อสู้!”
เสียงแห่งสงครามนับไม่ถ้วนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าผู้ใดได้รับฟังก็ชวนให้รู้สึกฮึกเหิม
อย่างไรก็ตาม เมื่อเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารจะมองไปรอบๆ พวกเขากลับไม่พบเห็นถึงสิ่งใดเลย
นอกเสียจากสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาด ที่เผยรูปร่างของมันออกมาบนท้องฟ้า
แต่ไม่นาน ทั้งหมดที่ว่ามาก็กลับไปซ่อนตัวอยู่ในสายลมอีกครั้ง
ที่กล่าวมานี้คือทหารของเผ่าพันธุ์ภูตผี ทั้งหมดกำลังเฝ้ารอรับฟังคำสั่งจากราชาภูตของพวกมันอย่างอดทน
ผู้นำของผู้เข้าสู่วิถีมารเพ่งสำรวจสถานการณ์ปัจจุบันอย่างหวาดระแวง ความรู้สึกหวาดกลัวและวิตกกังวลเริ่มเพิ่มพูนมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
จนในเวลานี้ กระทั่งกองทัพของผู้เข้าสู่วิถีมารก็เริ่มที่จะกระสับกระส่ายเล็กๆ น้อยๆกันบ้างแล้ว
ผู้นำคว้าคอเสื้อผู้ฝึกยุทธ์ เร่งเอ่ยถาม “เจ้ามั่นใจใช่ไหมว่านี่คือทัณฑ์สายลม?”
“มั่นใจสิ พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของฟ้าดินเช่นนี้ ตัวท่านเองก็คงจะรู้สึกเหมือนกันมิใช่หรือ?” ผู้ฝึกยุทธ์กล่าว
“ข้ารู้สึกถึงอำนาจกฎแห่งฟ้าดินก็จริง แต่เจ้าไม่เห็นหรือ! ว่าจำนวนผีปีศาจเหล่านี้มันโผล่ออกมามากเกินไป!” ผู้นำตวาด
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าเองก็ยังไม่เคยเห็นทัณฑ์สายลมที่ส่งแรงกดดันยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย” ผู้ฝึกยุทธ์เองกล่าวด้วยความสงสัย
“ดูนั่นเร็ว! พวกเขากำลังจะเริ่มโจมตีเจ้าหมอนั่นแล้ว!” ผู้เข้าสู่วิถีมารอีกคนอุทานขึ้นมา
“โอ้? อย่างงั้นหรือ?”
ผู้นำเร่งหันกลับไปดู
เห็นแค่เพียงภายในค่ายสัตว์ประหลาดผี สี่กษัตริย์ปีศาจและสามราชาภูตกำลังล้อมหน้าล้อมหนังกู่ฉิงซาน
พวกเขาทยอยกันหยิบอาวุธประจำกายขึ้นมา และเพ่งเล็งมาทางกู่ฉิงซาน
ชัดเจนแล้ว ว่าการต่อสู้กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ปรากฏว่าเหตุการณ์น่าฉงนนี้เป็นทัณฑ์สายลมของเจ้าหมอนั่นคนเดียวจริงๆ!
ผู้นำมองไปที่ฉากนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อบนหน้าผาก และรู้สึกโล่งใจในเวลาเดียวกัน
เขาสั่งเสียงดัง “ส่งคำสั่งของข้าออกไป ภูตผีปีศาจเหล่านั้นกำลังจะสังหารเขา ขอให้ทุกคนวางใจ แต่ก็อย่าไปลงมือใดๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นทัณฑ์สายลม”
คำสั่งถูกส่งผ่านไป ผู้เข้าสู่วิถีมารต่างพยักหน้าตอบรับ และคิดในใจว่า ‘นี่สิคือสิ่งที่สมควรจะเป็น’
อีกด้านหนึ่ง
แม่มารกำลังกุมกริชสีทมิฬที่แลดูประณีตอยู่ในมือ และชี้ปลายแหลมของมันไปทางกู่ฉิงซาน
เธอกล่าว “ตามกฎเกณฑ์ของทัณฑ์สวรรค์แล้ว พวกเราจะต้องสังหารเจ้า”
“ดังนั้นแล้ว…?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ดังนั้น พวกเราซึ่งเป็นผู้รับตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์จักต้องโจมตีใส่เจ้าอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เพื่อให้ทัณฑ์สวรรค์คิดว่าพวกเราปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และกระทำในสิ่งที่ตนสมควรทำ” แม่มารอธิบาย
“ดังนั้น ราชาภูตผีปรภพเอ๋ย เจ้าช่วยยกดาบของเจ้าขึ้นมาหน่อยสิ” ราชาภูตผีกระหายเลือดกล่าว
กู่ฉิงซานคว้าดาบพิภพขึ้นมา ตั้งขนานมันไว้เบื้องหน้า อยู่ในท่วงท่าป้องกัน
“ในเมื่อทุกคนมาแล้ว ก็ลงมือกันทีละคนเถอะ อย่าเพิ่งแย่งกันเลย”
จู่ๆ กษัตริย์อสูรเงาก็กระแอมเบาๆ และเอ่ยปากออกมาอย่างกะทันหัน
มันก้าวฉับๆ ไปตามพื้นน้ำแข็งและสะบัดเบาๆ ลงบนดาบพิภพ
“เสร็จข้าล่ะ”
สิ้นเสียง กษัตริย์อสูรเงาก็หายวับไปจากสายตาของทุกคนทันที
“พวกเจ้าพูดเองนะ ว่าใครคร่าชีวิตได้มากเท่าไหร่ ก็สามารถรับเอาดวงวิญญาณไปได้มากเท่านั้น งั้นข้าขอเปิดก่อนล่ะ!”
เสียงของมันสะท้อนมาจากในจุดที่ไกลออกไป
ในเวลาเดียวกัน ทางฝั่งตะวันตกของค่ายสัตว์ประหลาดผี ตรงตำแหน่งที่ผู้เข้าสู่วิถีมารยืนอยู่นับไม่ถ้วน –
เงามืดได้ผุดออกมาจากใต้น้ำแข็ง และเริ่มลงมือจู่โจมอย่างไม่มีผู้ใดทันได้ตั้งตัว!
ตำแหน่งของผู้เข้าสู่วิถีมารพลันตกอยู่ในความวุ่นวาย
สำหรับอสูรเงาแล้ว มันเป็นมอนสเตอร์ชั่วร้ายที่เก่งกาจในด้านการหลบซ่อนตัวและลอบสังหาร และในเวลานี้ กองทัพของมันตลอดทั้งอาณาจักรปีศาจก็ได้มาถึงแล้ว!
ฝนเลือดสาดกระเซ็นว่อน ตามด้วยเสียงกรีดร้องน่าสมเพชที่สั่นสะเทือนผืนดินดังขึ้น
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า จงไปนำเอาจิตวิญญาณมา! นำมันมาให้ข้ามากยิ่งกว่านี้” กษัตริย์อสูรเงาหัวเราะร่าอย่างโหดร้าย
“น้อมรับบัญชา!” เสียงนับไม่ถ้วนตอบรับเขา
ขณะเดียวกัน ทหารเงาก็เริ่มผุดออกมาจากพื้นดินอย่างต่อเนื่อง และสับการโจมตีร้ายแรงถึงตายออกไป
และเมื่อผู้เข้าสู่วิถีมารกำลังจะโต้กลับ อสูรเงาก็จะผุดตัว หายเข้าไปซ่อนในเงามืดอีกครั้ง
เพียงพริบตา ผู้เข้าสู่วิถีมารหลายหมื่นคนก็ตกตายลง!
เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนที่ตกตายก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เหล่ากษัตริย์ปีศาจและราชาภูตที่มองไปยังฉากนี้ ได้ถอนสายตาของพวกเขากลับมา
“ไอ้เจ้าเล่ห์นั่น ข้าเองก็ต้องรีบบ้างแล้ว!” กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
เขาชักกระบี่หนักออกมา และแตะเบาๆ ลงบนดาบพิภพ
เคร้ง!
เสียงเหล็กกระทบกันอย่างนุ่มนวลดังขึ้น
แล้วกษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบก็หายตัวไปจากสายตาของฝูงชนในทันที
“ในเมื่อเจ้าอสูรเงามันยึดฝั่งตะวันตกไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นตัวข้าก็ขอฝั่งตะวันออกไปล่ะ!”
เสียงของมันสะท้อนมาจากในระยะไกล
วินาทีต่อมา
ห่าฝนเพลิงก็พลันร่วงตกลงมาจากฟากฟ้า
พวกมันแลคล้ายกับดาวตกที่พุ่งหลาว พรั่งพรูกันลงไปทางทิศตะวันออกของค่ายสัตว์ประหลาดผี
ท่ามกลางฝนเพลิงบนท้องฟ้า ปีศาจเพลิงเขมือบนับไม่ถ้วนเริ่มปรากฏกาย หยดย้อยลงมาจากม่านเมฆ!
ตนแล้วตนเล่าเหวี่ยงฟาดระเบิดเปลวเพลิงเข้าใส่ผู้เข้าสู่วิถีมาร
ด้วยห่าฝนเพลิงที่กินอาณาเขตขนาดยักษ์ ส่งผลให้ผู้เข้าสู่วิถีมารบริเวณนั้นตกตายลงทั้งๆ ที่ยังมิทันได้ถอยหนีทันที!
แม้จะมีบ้างที่ระเบิดเพลิงของปีศาจเพลิงเขมือบมิโดนตัวผู้เข้าสู่วิถีมาร แต่มันก็ยังตกลงบนพื้นน้ำแข็ง ส่งผลให้พื้นน้ำแข็งสั่นสะเทือน ละลายจนยากจะหยั่งเท้า จนผู้เข้าสู่วิถีมารต่างเสียสมดุลที่จะใช้ป้องกันและโจมตี!
ปีศาจเพลิงเขมือบเริ่มทำการเก็บเกี่ยวชีวิตศัตรูอย่างบ้างคลั่ง!
“อืม…นี่สิถึงจะเรียกกันว่าสงคราม แล้วพวกเราเผ่าอาชูร่าจะน้อยหน้าได้อย่างไร?”
กษัตริย์อาชูร่ากล่าวพร้อมกับสัมผัสปลายหอกลงเบาๆ บนดาบพิภพ
เคร้ง!
สิ้นเสียงเหล็กกระทบ กษัตริย์อาชูร่าก็หายวับไปทันที
“กลุ่มผู้คนที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งที่สุด และข้าเองก็เห็นว่าผู้นำของพวกมันอยู่ในทิศทางนั้นเช่นกัน ดังนั้นพวกเราอาชูร่าจึงขอเป็นผู้ยึดตำแหน่งบุกโจมตีทิศทางที่ว่าก็แล้วกัน!”
เสียงของเขาดังมาจากสถานที่ห่างไกล
ขณะที่เบื้องบนท้องฟ้า เสียงแตรเขาสัตว์กังวานกึกก้อง
พร้อมกับรอยแยกมิติขนาดใหญ่ที่เปิดออก
นำหน้าด้วยช้างเผือกที่ผุดออกมาก่อนเป็นตัวแรก ตามต่อด้วยม้าศึกที่ทหารอาชูร่ากำลังขี่อยู่ไล่ตามออกมาติดๆ
ท่ามกลางเสียงแตรแห่งสงคราม พวกเขาวิ่งทะยานจากบนท้องฟ้า พุ่งปะทะเข้าห้ำหั่นกับศัตรูบนพื้นดินโดยตรง!
กษัตริย์อาชูร่ายืนอยู่บนช้างเผือก หอกในมือชี้ปลายแหลมไปยังทิศทางของผู้นำผู้เข้าสู่วิถีมาร
“มาเถิด จงออกมาต่อสู้กับข้า และข้าจะมอบเกียรติยศที่เรียกกันว่าความตายให้แก่เจ้า!”
กษัตริย์อาชูร่าคำรามก้อง
ผู้นำผู้เข้าสู่วิถีมารถูกบังคับให้ชักอาวุธออกมา ปากอ้าตะโกนด้วยความโกรธ “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว บิดาไม่ใช่ผู้ที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์!!!”
ทว่าคำแก้ตัวของเขาก็ถูกกลบด้วยเสียงแตรสงครามอย่างรวดเร็ว
เบื้องหลังกษัตริย์อาชูร่า กองทัพอาชูร่าทั้งหมดโถมบุกเข้าใส่ตำแหน่งของผู้เข้าสู่วิถีมาร!
นี่เพียงเพิ่งจะเริ่มต้น แต่สงครามก็พุ่งขึ้นสู่จุดเดือดเสียแล้ว!
ภายในค่ายสัตว์ประหลาดผี สามราชาภูตเริ่มร้อนรน
“แย่แล้ว! แบบนี้แย่แน่ๆ! พริบตาเดียวพวกเขาก็ช่วงชิงจิตวิญญาณไปมากโข พวกเราต้องรีบกันบ้างแล้ว!” ราชาภูตผีโหยสบถด้วยความกระวนกระวาย
สามราชาภูตมองกันและกัน ก่อนจะพยักหน้า
พวกเขาชักอาวุธออกมา และแตะลงบนดาบยาวของกู่ฉิงซานเบาๆ
เคร้ง!
หลังจากที่สามเสียงคมเหล็กปะทะกังวาน ร่างของทั้งสามก็สั่นไหว และหายวับไป
ในเวลาเดียวกัน
ภายในท้องฟ้า ภูตผีที่ซ่อนตัวอยู่ในสายลม เหมือนจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง
กองทัพภูตผีอันไร้ที่สิ้นสุดเริ่มแผดเสียง และกรีดร้องสะท้านสะเทือนโลกหล้า
ผีโหย ผีกระหายเลือด และผีศพโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
โดยที่พวกมันไม่คิดสนใจเกี่ยวกับการแบ่งกำลังไว้ในทิศทางต่างๆ เลย ทั้งหมดโผล่ตรงไหน ก็ลงตรงนั้น กระโจนเข้าไปป่วนทั้งกองทัพของกษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบและกษัตริย์อสูรเงาจนสับสนวุ่นวายไปหมด
เมื่อพวกมันเข้ามาร่วมวง สมดุลสงครามก็พลิกตลบทันที ทางฝั่งผีเพลิงเขมือบ ผู้เข้าสู่วิถีมารตกตายกันจนสิ้น!
“อ้าวเฮ้ย! ไอ้กองทัพผีพวกนี้ เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ปฏิบัติตามกฎ!” ผีเพลิงเขมือบสบถด้วยความไม่พอใจ
ไม่ใกล้ไม่ไกลจากมัน ราชาภูตผีโหยสวนกลับดังลั่น “เจ้าถูกกษัตริย์อสูรเงาหลอกเอาเสียแล้วล่ะ กฎเดียวที่มีของพวกเราก็คือใครฆ่าได้มากเท่าไหร่ ก็ได้รับผลประโยชน์ไปมากเท่านั้นต่างหาก!”
กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบชะงักไป ก่อนที่มันจะตบศีรษะตัวเองดังเพียะ แล้วอ้าปากตะโกนสั่ง “ปีศาจเพลิงเขมือบทั้งหมด จงเคลื่อนทัพตามข้าไปสังหารตรงจุดนั้น!”
มันชี้ไปยังทิศทางของอสูรเงา
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีผู้เข้าสู่วิถีมารอยู่มากที่สุด
กองทัพปีศาจเพลิงเขมือบสาดเปลวไฟกระพือว่อน เริ่มเคลื่อนทัพไปทันที
อีกด้านหนึ่ง ภายในค่ายสัตว์ประหลาดผี
เป้ง!
ดาบยาวของกู่ฉิงซานถูกกระทบจนเกิดเสียงดังฟังชัดอีกครั้ง
แม่มารดึกดำบรรพ์ชักกริชกลับคืน ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มหวาน “เอาล่ะ พวกเราแต่ละตนก็ได้ทำการโจมตีเจ้าตนละหนึ่งครั้งแล้ว เพียงเท่านี้ก็นับได้ว่าภารกิจที่ทัณฑ์สวรรค์มอบให้เสร็จสมบูรณ์ ข้าเองก็จะได้ไปสนุกกับอาหารอันโอชะเสียที”
“เชิญท่านตามสบาย” กู่ฉิงซานกล่าว
แม่มารแปรเปลี่ยนเป็นควันสีดำ และหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เบื้องบนท้องฟ้า หมู่มวลบุปผาสีดำเริ่มผุดออกมามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
บุปผาดำเหล่านี้ลอยล่องอยู่อากาศ ปกคลุมไปตลอดทั้งผืนฟ้า
ผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าสู่วิถีมารเงยหน้าขึ้นมองทันใด
“ไม่! นี่มันเป็นไม่ได้ เหตุใดจึงมีมารสวรรค์มากมายขนาดนี้!” เขาอุทานเสียงหลง
ใช่แล้วล่ะ ตลอดทั้งผืนฟ้า บัดนี้เต็มไปด้วยดอกไม้สีทมิฬ
ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามารสวรรค์กำลังจะปรากฏกาย
หมู่มวลบุปผาเริ่มบานสะพรั่ง
พร้อมด้วยหญิงงามทรงเสน่ห์ ชวนให้หลงใหลผุดลุกขึ้นจากดอกไม้
พวกเธอก้มลงมองไปยังสงครามที่แสนดุเดือดเบื้องล่าง และสัมผัสได้ถึงการต่อสู้อันโหดร้าย
ดวงตาของพวกเธอก็เปล่งประกายสว่างวาบขึ้นทันใด ปากอ้าหัวเราะคิกคัก ฟังคล้ายกันกับเสียงกระดิ่งเงิน
“ช่างเป็นฉากที่งดงาม ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง”
“ชีวิตและความตายสับสนวุ่นวายไปหมด ฉากเช่นนี้ช่างเหมาะสมกับพวกเราเหล่ามารสวรรค์เสียจริงๆ”
“ใช่ นี่เป็นฉากที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพวกเราแล้วที่จะลิ้มชิมรสมื้ออาหาร”
“พอเจ้าพูด ข้าก็ชักจะเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาซะแล้วสิ…”
อย่างรวดเร็ว
หมู่มวลบุปผาทมิฬทั้งหมดก็หายวับไป
ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ ของมารสวรรค์หญิง
อย่างไรก็ตาม ในบางตำแหน่งของสนามรบ กลับบังเกิดเหตุการณ์แปลกๆ ขึ้น
ผู้เข้าสู่วิถีมารบางคนจู่ๆ ก็ร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น
ผู้เข้าสู่วิถีมารบางคนยืนนิ่งอยู่ในจุดเดิม แต่บนใบหน้าของเขากลับปรากฏถึงรอยยิ้มที่ดูคลุมเครือผุดขึ้นมา
ผู้เข้าสู่วิถีมารบางคนทิ้งอาวุธในมือ และคุกเข่าลงร่ำร้องกับพื้น
ผู้เข้าสู่วิถีมารบางคนจู่ๆ ก็วาดอาวุธกลับหลัง โจมตีพวกเดียวกันที่อยู่ข้างกายตนเอง
ทุกประเภทของความผิดปกติ และวิปลาส ปรากฏขึ้นในแต่ละตำแหน่งของสนามรบ
ภายในค่ายสัตว์ประหลาดผี
ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงจุดนี้ ที่กู่ฉิงซานทำก็มีแค่เพียงถือดาบพิภพ นิ่งงันเป็นไม้ตายซากอยู่ในจุดเดิม
สายลมกระหน่ำซัด ทัณฑ์สายลมได้มาถึงแล้ว
เดิมที นี่คือทัณฑ์สวรรค์ที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝึกฝนมานานปี จนกระทั่งได้พบเผชิญกับภูตผีและปีศาจเป็นครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม เวลานี้กู่ฉิงซานกลับรู้สึกเบื่อหน่ายเหลือเกิน เพราะรอบตัวเขา ไม่มีแม้กระทั่งเห็นผีสักตัวกล้าเข้ามาก่อกวน
ปีศาจและภูตผีทั้งหมดที่เกิดออกมาจากทัณฑ์สายลม บัดนี้ต่างพุ่งทะยานเข้าต่อสู้กันอย่างดุเดือดในตำแหน่งของผู้เข้าสู่วิถีมาร
กู่ฉิงซานยกดาบพิภพขึ้น วางมันลง ยกดาบพิภพขึ้นอีกที และวางมันลงอีกรอบ
“อืม…น่าเบื่อจริงๆ เลย กลับกลายเป็นว่าความรู้สึกในการข้ามผ่านโทษทัณฑ์มันเป็นแบบนี้นี่เอง”
กู่ฉิงซานพึมพำเบาๆ
เขาปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และพบว่าผู้เข้าสู่วิถีมารตลอดทุกทิศทางต่างกำลังตกตายขณะต่อสู้อย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าในช่วงเวลาพิเศษนี้ เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารจะไม่สามารถใช้ระบบของราชามารได้ก็ตามที แต่ต้องไม่ลืมนะว่าจำนวนของพวกเขาน่ะมีมากกว่าสองร้อยล้านคน! มันมากพอที่จะล้างบางโลกทั้งใบได้เลย!
อย่างไรก็ตาม ศัตรูของพวกเขา แท้จริงแล้วมาจากสี่โลกปีศาจ และสามโลกราชาภูต และยังมาเป็นกองทัพ!
ช่างน่าละอายจริงๆ ภูตผีปีศาจเหล่านี้ไม่เพียงทรงอำนาจ แต่พวกมันยังเป็นฝ่ายลอบเปิดการโจมตีก่อนอีกด้วย!
เจ็ดกองทัพภูตผีปีศาจ ได้ทำการแบ่งปันสองร้อยผู้เข้าสู่วิถีมารกัน และก็มีบางครั้งที่ฉกชิงกันเอง
กู่ฉิงซานส่ายหัว และเรียกคืนจิตสัมผัสเทวะของเขากลับมา
เขายกไม้เท้าแห่งการจองจำขึ้น และแตะมันลงบนดาบพิภพเบาๆ
เคร้ง!
บังเกิดเสียงอันคมชัดขึ้น
ในฐานะราชาภูตผีปรภพ กู่ฉิงซานจำเป็นที่จะต้องโจมตีตัวเองหนึ่งครั้ง
“โอเค แค่นี้ภารกิจของฉันก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว”
เขาวางไม้เท้าแห่งการจองจำลง
และหลังจากที่เฝ้าดูสงครามในครั้งนี้อย่างเงียบๆ อีกสักพัก กู่ฉิงซานก็เก็บดาบพิภพกลับคืนสู่ความว่างเปล่า
…………………………………………………..
ณ ภายในโลกที่อุดมไปด้วยภูเขาไฟและลาวาเหลว
ปีศาจที่ทั้งเนื้อตัวของมันไหม้เกรียม ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง กำลังยืนอยู่บนยอดภูเขาไฟ ปากเอ่ยพึมพำเบาๆ “มาแล้ว ในที่สุดมันก็เรียกหาข้า”
ว่าจบ มันก็ดึงกระบี่หนักที่กำลังลุกไหม้ขึ้นมาจากปากปล่องภูเขาไฟ แล้วก้มมองลงไปยังธารลาวาเบื้องล่าง
ที่นั่น อุดมไปด้วยทะเลลาวาอันไร้ที่สิ้นสุด
กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบควงกระบี่เพลิง ปากอ้าตะโกนลั่นลงไปยังธารลาวา “จงมากับข้า! สองร้อยล้านจิตวิญญาณกำลังรอให้พวกเราไปเก็บเกี่ยวอยู่!”
สิ้นเสียงตะโกน กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบก็สับกระบี่เพลิงไปในอากาศที่ว่างเปล่า เปิดรอยแยกมิติออก แล้วผลุบหายเข้าไป
ขณะเดียวกัน ภายในธารลาวา กลุ่มก้อนเปลวเพลิงนับไม่ถ้วนก็เริ่มทะยานตัวขึ้นสู่ฟากฟ้า และไล่ติดตามกษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบ บุกเข้าไปในรอยแยกมิติอย่างใกล้ชิด
อีกด้านหนึ่ง ภายในโลกที่อุดมไปด้วยหมอกสีเทาและขาว
กษัตริย์อสูรเงารับรู้ได้ถึงการเรียกขานของทัณฑ์สวรรค์
มันก้มลงมองจอกศักดิ์สิทธิ์ในมือ เพ่งสำรวจด้วยความรักใคร่ ก่อนจะนำจอกไปเก็บอย่างระมัดระวัง
“ข้าชักจะขี้เกียจไปเสียแล้วสิ สำหรับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ พวกเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?” มันเอ่ยถาม
อสูรเงาตนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาหันไปมองหน้ากัน และเอ่ยปากตอบออกมา “ฝ่าบาท แม้ว่าสำหรับพวกเราแล้วจิตวิญญาณจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมายนัก แต่มันก็ยังนับว่าเป็นทรัพย์สินที่มีค่า เพราะมันสามารถใช้เป็นสกุลเงินสากลในโลกปีศาจร้ายที่มีอยู่มากมายได้”
กษัตริย์อสูรเงานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “เอาเถิด ไปก็ไป เพราะอย่างไรเสียตัวข้าเองก็ได้ลงนามสัญญาเอาไว้แล้ว และดูเหมือนว่าอำนาจของสัญญานั่นจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยด้วย”
กลุ่มอสูรเงาพอได้ฟัง ตนแล้วตนเล่าก็เริ่มพากันพยักหน้าและคิดในใจ ‘นี่สิ คือสิ่งที่ควรจะเป็น’
กษัตริย์อสูรเงาผุดลุกขึ้น ปากเอ่ยบัญชา “ไปบอกกองทัพเตรียมการให้พร้อม และประกาศออกไปด้วยว่าตัวข้า…กษัตริย์ปีศาจจะนำพาเจ้าไปพบเผชิญกับโชคลาภครั้งใหญ่!”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
อีกโลกหนึ่ง
กษัตริย์อาชูร่านั่งอยู่บนหลังช้างเผือก
เขากำลังเอนกายพิงชูร่าหญิง และดื่มไวน์ชั้นดีที่อีกฝ่ายกำลังป้อนให้
ระหว่างนั้นเอง กษัตริย์อาชูร่าก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง
หลังจากจิบไวน์ไปอึกหนึ่ง เขาก็ลุกขึ้น ยืนหยัดอยู่บนหลังช้างเผือกและตะโกนลั่น
“ยามนี้ทัณฑ์สายลมได้เรียกขานแล้ว เรากษัตริย์อนุญาตให้พวกเจ้าสามารถต่อสู้ได้อย่างเต็มที่โดยไร้ซึ่งข้อจำกัดใดๆ แต่ขณะเดียวกันก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสงครามที่กำลังจะมาถึงนี้ จะเป็นตัวช่วยชั้นดีที่จะปรับปรุงและพัฒนาทักษะของพวกเจ้า จงเรียนรู้จากมัน เพื่อที่ตนเองจะได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น!”
เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงที่เปล่งออกมา ราวกับกำลังจะนำพาฝูงชนไปเข้าร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง
ตรงกันข้ามกับช้างเผือก คือลานเบื้องล่างพระราชวัง
เป็นจัตุรัสสงครามแสนกว้างใหญ่
กองทัพอาชูร่า ที่ซึ่งได้เตรียมพร้อมอยู่นานแล้วได้มารวมตัวกันที่จัตุรัสแห่งนี้ ทั้งหมดส่งเสียงเฮสั่นสะเทือนแผ่นดิน
“เฮ! สงคราม! สงคราม!”
“สงคราม! การต่อสู้! สงคราม!”
กษัตริย์อาชูร่าพอสัมผัสได้ถึงขวัญกำลังใจของทุกคนที่อยู่เบื้องล่าง เขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
เขาคว้ากุมหอกไว้ในมือ ชูมันขึ้นเหนือท้องฟ้า และก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่าทันที
ณ ภายในโลกผีโหย ราชาภูตผีโหยได้ทำการระดมกองทัพของตนเองเรียบร้อยแล้ว
ณ ภายในโลกผีกระหายเลือด ราชาภูตผีกระหายเลือดได้สวมใส่เกราะรบราชาภูต ตะโกนบัญชากองทัพเสียงดังลั่น
ณ ภายในโลกผีศพ ราชาภูตผีศพกับเผ่าพันธุ์ผีของมัน ทั้งหมดเริ่มก้าวเข้าไปในช่องว่างมิติที่ถูกเปิดออก
ณ โลกที่ถูกเหลือทิ้งไว้โดยทวยเทพ
แม่มารดึกดำบรรพ์ก็ตระหนักได้ถึงการเรียกขานของทัณฑ์สวรรค์แล้วเช่นกัน
“ได้เวลาแล้ว พวกเจ้ารออยู่นี่นะ ข้าจะนำพาอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาไปเดินเล่นเสียหน่อย” เธอบอกลูกๆ
แต่ขณะที่แม่มารกำลังจะออกไปนั้นเอง จักรพรรดินีหลี่อันก็ก้าวเข้ามา และโน้มกายคารวะลง
“มีเรื่องอะไรเช่นนั้นหรือ?” แม่มารถาม
“ท่านแม่ เดิมทีแล้วท่านเรียกพวกเรามาที่นี่เพราะต้องการแสดงวิสัยทัศน์ให้พวกเราเติบโตขึ้นมิใช่หรือ และในครั้งนี้ ทัณฑ์สวรรค์ที่ปรากฏขึ้น เป็นสิ่งที่ลูกมิเคยได้พบเห็นมาก่อนเลยในชีวิตที่ผ่านมา ดังนั้น ลูกจึงอยากจะขออนุญาตท่านแม่ให้ลูกและกำลังพลของลูกติดตามไปด้วยเช่นกัน” หลี่อันกล่าว
แม่มารคิดสักพัก ก็หัวเราะออกมา “เข้าใจแล้ว เจ้าจะไปด้วยก็ได้ และสามารถนำกำลังพลของเจ้าเข้าร่วมได้ด้วยเช่นกัน”
“ขอบพระคุณท่านแม่!” หลี่อันดีใจเป็นอย่างยิ่ง
ขณะที่มารสวรรค์หญิงตนอื่นๆ เมื่อได้ยินแบบนั้น ตนแล้ว ตนเล่าก็เร่งไปร้องอ้อนวอนแม่มารบ้าง
แม่มารโบกมือและกล่าว “อยากจะมากันก็มา ทุกคนนั่นแหละ การที่ได้พบเจอกับฉากอันยิ่งใหญ่ด้วยตาของตัวเอง มันก็เป็นเรื่องราวที่ดีสำหรับพวกเจ้าเช่นกัน”
ขณะกล่าว ร่างของเธอก็ค่อยๆหายเข้าไปในความว่างเปล่า
มารสวรรค์หญิงตนอื่นๆ เริ่มทำการเรียกขานกำลังพลของพวกเธอ และเตรียมพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบตลอดเวลา
ณ จุดนี้ ตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ทั้งแปดได้เตรียมพร้อมประจัญบานแล้ว!
ณ บนโลกชั้นเปลือกน้ำแข็ง
สายลมเริ่มกระโชกแรง
โดยมีกู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ใจกลางของพายุสายลม
ผู้เข้าสู่วิถีมารเริ่มตระหนักถึงบางสิ่งที่ไม่เหมาะสม
“เกิดอะไรขึ้น?” ผู้นำผู้เข้าสู่วิถีมารเอ่ยถาม
ข้างกายเขา ผู้ฝึกยุทธ์ได้อธิบายออกมา “นี่คือทัณฑ์สายลม”
“ทัณฑ์สายลมงั้นหรือ?”
“ใช่ เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตประทับเทพทำการตัดผ่าน เตรียมจะยกระดับขึ้นสู่ร่างเทวะ สายฟ้าสวรรค์จะฟาดผ่าลงใส่เขา และเมื่อพวกมันหมดลง ปีศาจนับพันหมื่นก็จักปรากฏตัวขึ้น และในตอนนี้ ทัณฑ์สายลมก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพวกผีและปีศาจกำลังจะมาสังหารเขา”
“แล้วมันจะส่งผลกระทบใดต่อพวกเราหรือไม่?”
“ตราบใดที่พวกเราไม่ก้าวล้ำเส้นเข้าไปในอาณาเขตของทัณฑ์สายลมก็ไม่เป็นไร”
“เพราะเหตุใดพวกเราถึงเข้าไปไม่ได้?”
“เพราะทันทีที่พวกเราเข้าสู่อาณาเขตของทัณฑ์สายลม ทัณฑ์สวรรค์ก็จะรับรู้ไปโดยปริยายว่ามีคนที่คิดจะข้ามผ่านโทษทัณฑ์เพิ่มขึ้น มันจะตอบสนองทันที และทำการเรียกผีปีศาจให้ออกมามากยิ่งมากกว่าเดิม และพวกมันก็จะมองเราเป็นเป้าโจมตีด้วยเช่นกัน”
ผู้นำเผยสีหน้าผ่อนคลายลง และกล่าว “สรุปง่ายๆ ว่าต่อให้พวกเราไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง เขาก็ยังจะต้องตายอยู่ดีใช่หรือไม่?”
“ใช่ ต่อให้เขาโชคดีสามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์มาได้ แต่พละกำลังย่อมต้องสูญเสียไปจนสิ้นอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น แค่ส่งคนของพวกเราไม่กี่คนออกไปจัดการ ก็สามารถคร่าชีวิตเขาได้แล้ว”
ผู้นำหัวเราะ “ดี! ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องสวดอธิษฐานอ้อนวอนไม่ให้เขารีบตายลงในทัณฑ์สายลมเสียแล้วสิ เพราะอย่างไรเสีย ชีวิตของเขาก็สามารถนำไปแลกกับรางวัลมหาศาลได้”
พอได้ยินแบบนั้น เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารที่อยู่ข้างกายผู้นำก็พากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ส่งคำสั่งของข้าออกไป ให้ทุกคนคอยเฝ้าดูการละเล่นตรงหน้าให้ดี แต่อย่าคิดก้าวเข้าไป มิฉะนั้นจะต้องตาย”
“หลังจากที่ทัณฑ์สายลมจบลง ถ้าหากเจ้าหมอนั่นยังมีชีวิตอยู่ ข้าจะเป็นคนไปรับรางวัลด้วยตนเอง” ผู้นำกล่าว
“รับทราบ!” ทุกคนตอบรับคำสั่ง
และคำสั่งที่ว่าก็ได้ถูกส่งต่อๆ กันออกไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนได้รับทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับทัณฑ์สายลม
ซึ่งพอได้ฟัง เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารก็คลายใจลงเล็กน้อย เพราะคำสั่งก็คือ
ปล่อยให้เจ้ามนุษย์ที่น่าหวาดกลัวผู้นี้ทำการข้ามผ่านทัณฑ์สายลมไป ไม่ต้องเข้าไปยุ่มย่ามกับมัน
สำหรับปรากฏการณ์ของผู้ฝึกยุทธ์ที่คิดข้ามผ่านโทษทัณฑ์ มันเป็นอะไรที่แปลกประหลาดยิ่ง
เพราะท้ายที่สุดนี้ สำหรับเส้นทางในการยกระดับของหลากหลายอาชีพอื่นๆ แล้ว ทั้งหมดล้วนสามารถผ่านมันไปได้โดยราบรื่น
อย่างไรก็ตาม อาชีพผู้ฝึกยุทธ์ช่างโชคร้ายนัก เพราะในทุกๆ ขอบเขตใหม่ พวกเขาจะต้องต่อสู้กับฟ้าดินอยู่เสมอ และจะต้องรอดชีวิตออกไปให้ได้ จึงจะสามารถยกระดับขึ้น
ทัณฑ์สายฟ้าคือภัยพิบัติอันแสนน่าหวาดกลัว
ขณะที่ท่ามกลางทัณฑ์สายลม ผีปีศาจนับพันหมื่นจะปรากฏกายขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นจะต้องรับมือกับศัตรูนับหมื่น และรอดชีวิตต่อไปให้ได้ในท้ายที่สุด
เพียงแค่ได้ลองคิดเกี่ยวกับมัน ก็สามารถรับรู้ได้ทันทีเลยว่านี่เป็นสถานการณ์ที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง
และไม่มีใครยินดีที่จะลองดี รับประสบการณ์ตรงๆ กับมัน
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารคนแล้วคนเล่าก็เริ่มเขยิบถอยห่างออกมา เพราะเกรงว่าตนจะเข้าไปพัวพัน หยั่งเท้าอยู่ในอาณาเขตของทัณฑ์สายลม
เวลานี้ ทำได้เพียงแค่รอคอยเท่านั้น
รอคอยให้เจ้าหมอนั่นตาย หรือไม่ก็เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า
กู่ฉิงซานยืนอยู่ใจกลางค่ายสัตว์ประหลาดผี และสังเกตเห็นถึงการเคลื่อนไหวของผู้เข้าสู่วิถีมารได้อย่างรวดเร็ว
“…ให้ความร่วมมือกันดีจริงๆ”
ปากเอ่ยเสียงกระซิบ
ชั่วเวลานั้นเอง ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง กู่ฉิงซานหยิบไม้เท้าแห่งการจองจำออกมา และวางปักมันลงบนพื้นน้ำแข็ง
บนหัวไม้เท้ากำลังสาดแสงสีแดงออกมา
นี่คือการเรียกขานของทัณฑ์สวรรค์
มันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!
กู่ฉิงซานแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เบื้องบนเขา
สายลมกระหน่ำซัดอย่างไม่รู้จบ
พร้อมกับค่อยๆ ปรากฏถึงสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดนับไม่ถ้วนผุดออกมาจากท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ก้มหน้ามองลงไปยังโลกเบื้องล่าง
ใบหน้าของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟโดยสมบูรณ์ เห็นแค่เพียงในอากาศที่ว่างเปล่าภายใต้เปลวไฟ ใบหน้าที่ไหม้เกรียมแลดูดุร้ายกำลังแสยะยิ้มออกมา
พร้อมด้วยเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นดังก้องขึ้น
“โอ้ เป็นสองร้อยล้านจิตวิญญาณจริงๆ นี่มันสถานการณ์ที่ชีวิตนี้พวกเราคงมิอาจพบเจอได้อีกแล้ว พวกเจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม!”
ปีศาจไหม้เกรียมร่วงตกลงมาจากท้องฟ้า ร่อนลงมาข้างกายกู่ฉิงซาน
กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบ…ประจำตำแหน่งแล้ว!
หลังจากนั้น แทบจะในทันที พื้นน้ำแข็งก็พลันถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด คล้ายกับว่ามีเงานับไม่ถ้วนอยู่บนพื้นน้ำแข็ง และในอากาศเบื้องล่าง
ตามด้วยเสียงที่เย็นชาดังขึ้น
“โอ้…จิตวิญญาณกว่าสองร้อยล้านคนมารอคอยต้อนรับตัวเรากษัตริย์ถึงที่นี่เลยหรือ? เจ้าหนู ในเมื่อเจ้าเตรียมพวกมันมาพร้อมให้ข้าถึงที่นี่ เรื่องที่เจ้าสังหารร่างเงาของข้าไป ข้าจะไม่เก็บมาใส่ใจก็แล้วกัน”
เงาใหญ่ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน มันสูงกว่าแปดเมตร ยามที่ได้จ้องมองไปบนร่างของมันจะให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังจ้องมองหุบเหวอันมืดมิดที่ไม่รู้จัก
กษัตริย์อสูรเงา…ประจำตำแหน่งแล้ว!
ทันใดนั้นเองท้องฟ้าสีเทาก็พลันสว่างวาบขึ้นทันใด แสงอาทิตย์อันงดงามเฉิดฉายลงมาจนทุกคนอดไม่ได้ที่จะแหงนหน้ามอง
ท่ามกลางแสงของดวงอาทิตย์ สะท้อนถึงเสียงอันไพเราะของผู้หญิงนับไม่ถ้วนที่กังวานขึ้น
พวกเธอขับขานท่วงทำนองอย่างพร้อมเพรียง “โอ บทกวีแห่งรั่วหมิง แอปเปิลในป่าใหญ่ แขกเหรื่อรื่นเริง ท่วงทำนองขลุ่ยเวียนวน ยิ่งฟังยิ่งกระจ่างชัดกว่าจันทรา ยามใดหนอจักลืมเลือน ความปวดร้าวอันมิอาจตัดให้ขาดนี้ลงได้”
ในท่วงทำนอง บุปผานับไม่ถ้วนเริ่มผุดออกมาจากในความว่างเปล่า
ปรากฏให้เห็นถึงหญิงงามในวัยผู้ใหญ่เหยียบย่ำลงบนหมู่มวลบุปผา และค่อยๆ ร่อนลงมาจากฟากฟ้า
เธอร่อนลงอย่างนุ่มนวล ถัดจากกู่ฉิงซาน
“แล้วพวกสัตว์ประหลาดผีเล่า?” เธอถามกู่ฉิงซาน
“ฆ่าไปหมดแล้ว” กู่ฉิงซานตอบกลับไปอย่างเฉยเมย
“เจ้านี่มันไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”
ระหว่างกล่าว แม่มารก็กวาดสายตามองไปยังเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารมากมายที่รายล้อมอยู่โดยรอบ
“…ทั้งหมดคือรุ่นเยาว์ที่มีอายุวิญญาณต่ำกว่าสามสิบปีทั้งนั้นเลย แถมบังเอิญว่าข้ามีรสนิยมชมชอบในการกินเด็กเสียด้วยสิ…”
แม่มารสวรรค์ ประจำตำแหน่งแล้ว!
วินาทีต่อมา ชายชาตรีที่ช่วงบนเปลือยเปล่า เปิดเผยให้เห็นถึงกล้ามเนื้อก็ทิ้งตัวลงมาจากฟากฟ้า
ปัง!
สองเท้าของเข้าย่ำลงกับพื้น ในมือวางพาดหอกไว้บนไหล่ กวาดสายตามองไปยังฝ่ายตรงข้าม
“คนของข้าพร้อมแล้ว สามารถบุกทะลวงทั้งสี่ทิศได้ตลอดเวลา” เขาเอ่ยอย่างเป็นกันเอง
กษัตริย์อาชูร่า…ประจำตำแหน่ง!
เห็นแค่เพียงสามภูตผีที่รอบกายมันฟุ้งไปด้วยปราณสีดำผุดขึ้นมาจากพื้นดิน
ราชาภูตทั้งสามปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน
“สองร้อยล้าน…ก็รู้นะว่าเยอะ แต่พอได้มาเห็นด้วยตาตัวเองแล้วมัน…” ราชาภูตผีโหยอุทานด้วยความตื่นเต้น
“ช่างเป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมเสียจริงๆ เลยนะ ราชาภูตผีประภพ” ราชาภูตผีกระหายเลือดชื่นชม
“สิ่งมีชีวิตสดใหม่มากมายขนาดนี้ ข้าแทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว พวกเราจะเริ่มกันได้หรือยัง?” ราชาภูตผีศพถามด้วยความตื่นเต้น
ขณะกล่าว ทั้งหมดก็เดินมาหยุดอยู่ข้างกายกู่ฉิงซาน
ณ เวลานี้ สี่กษัตริย์ และสี่ราชาภูตได้ประจำตำแหน่งตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
กู่ฉิงซานวางมือตนลงบนไม้เท้าแห่งการจองจำ ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “งั้นก็มาเริ่มกันได้เลย!”
……………………………………………..
กู่ฉิงซานทุ่มเต็มกำลังก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์
โดยที่ในเวลานี้ เขามิได้คิดหนี หรือหลบเลี่ยงมันอีกต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นในอากาศ หรือในน้ำ จะหน้าหรือหลัง ก็รายล้อมไปด้วยทัณฑ์สายฟ้าเหลืออนันต์จากทุกทิศทาง
สัตว์ประหลาดผีไม่มีเวลามากพอที่จะหลบเลี่ยง พวกมันถูกสายฟ้าระเบิดเข้าใส่โดยตรง กลายสภาพเป็นขี้เถ้าลอยฟุ้งทันที
สัตว์ประหลาดผีบางตนที่พอจะแข็งแกร่งอยู่บ้าง พยายามที่จะต่อกรกับสายฟ้าสวรรค์
อย่างไรก็ตาม นี่คือสายฟ้าที่ได้รับพรแห่งการลงทัณฑ์จากทวยเทพ! เมื่อสัตว์ประหลาดผีสัมผัสต้องกับทัณฑ์สายฟ้า ตัวมันก็ถูกลบออกไป เหลืองเพียงเศษทรายขาวๆ ลอยฟุ้งทันที
ตลอดทั้งค่ายกองทัพสัตว์ประหลาดผีถูกพัดขึ้นสู่ท้องฟ้า
กู่ฉิงซานยืนอยู่ใจกลางค่าย พร้อมกับสามดาบบินที่ว่ายวนรอบตัวเขา คอยสับสะบั้นสายฟ้าที่โถมเข้าใส่อย่างไม่หยุดยั้ง
ขณะที่ตัวเขามิได้เคลื่อนกายหลีกหนีไปไหน
นั่นเพราะทันทีที่เขาออกจากค่ายกองทัพ ทัณฑ์สายฟ้าทั้งหมดก็จะจากไปด้วยเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงงัดสกิลทั้งหมดที่มีออกมา ทุ่มเต็มกำลังทานรับทัณฑ์สวรรค์ที่กำลังโถมเข้าใส่นี้
บอลสายฟ้าสีน้ำเงินขาว โถมลงมาราวกับพายุกระหน่ำซัด
แต่กู่ฉิงซานก็ยังยืนนิ่งงันอยู่ในจุดเดิม มิคิดถอยหนี
ในเวลานั้นเอง สามดาบก็ใช้ออกด้วยสกิลในเวลาเดียวกัน
ร่างเงาดาบสีดำนับไม่ถ้วนผลิบานในอากาศที่ว่างเปล่ารอบตัวเขา ทั้งสับทั้งหั่นบอลสายฟ้าที่กรูกันเข้ามาจากทุกทิศทาง
ทันทีที่บอลสายฟ้าสีน้ำเงินขาวแตกพ่ายไป สายฟ้าดับจิตเทวะสีแดงเข้มก็ไล่ติดตามมาถึงค่ายกองทัพสัตว์ประหลาดผีได้ในที่สุด
กู่ฉิงซานยังมิคิดหลบซ่อน เขาควงสามดาบ เสยเข้าปะทะกับมันโดยตรง
เทคนิคลับแห่งดาบ สามผสานตัดจันทรา!
สายฟ้าสีแดงถูกกระแทกเข้าใส่โดยรังสีดาบเสี้ยวจันทร์ขนาดยักษ์ มันถูกสับจนแตกตัวออกคล้ายเลือดที่สาดกระเซ็น กระจายไปทุกทิศทางก่อนจะสลายไป
ทว่าสายฟ้าดับจิตเทวะเส้นนี้เป็นเพียงแค่ตัวกำหนดเส้นทางเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วในสายตาของเขาบัดนี้ปรากฏให้เห็นถึงสิบสองแขนสีแดงเข้มที่กำลังถือแส้สายฟ้าที่แดงเข้มไม่ต่างกัน ทะยานไล่ประชิดเข้ามา
นี่คือทัณฑ์สายฟ้าเกิดการแปรสภาพ เป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นมากที่สุด!
และคราวนี้กู่ฉิงซาน…
ก็หันหลังกลับ แล้ววิ่งหนีทันที!
ให้ปู่เจ้ารอเถอะ! นั่นมันหายนะชัดๆ! สายฟ้าดับจิตเทวะที่แปรเปลี่ยนเป็นแส้น่ะ พลังอำนาจของมันจะเพิ่มพูนขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก
แม้ว่าจะยังมีเกราะเทพคอยคุ้มกัน แต่หากถูกฟาดตบด้วยเจ้าสิ่งนั้น กระทั่งตัวกู่ฉิงซานเองก็ยังไม่กล้าการันตีว่าตัวเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ
สิบสองแขนสายฟ้าไล่ตามติดเขามาจากเบื้องหลัง มันเหวี่ยงแส้ตรงเข้าใส่เขาอย่างไร้ความปรานี
กู่ฉิงซานยิ่งเห็น สองเท้าที่สับหนีกับพื้นก็ยิ่งเร่งความเร็วมากขึ้น!
พริบตานั้นเอง สองหูของเขาก็ได้ยินถึงเสียงคร่ำครวญนับไม่ถ้วนแว่วเข้ามา
นั่นคือเสียงร้องน่าสมเพชครั้งสุดท้ายของสัตว์ประหลาดผีที่ถูกฟาดใส่โดยแส้สายฟ้า ก่อนที่พวกมันจะตายลง
สามดาบบินลอยตามติดกู่ฉิงซานมาอย่างใกล้ชิด
“นายน้อย เวลานี้ยังเหลือสัตว์ประหลาดผีอีกประมาณสามในสิบส่วนที่ยังไม่ตาย และพวกมันกำลังจะหนีไป!” ฉานนู่กล่าวอย่างเร่งร้อน
“อย่างงั้นหรือ?”
กู่ฉิงซานที่กำลังวิ่งวนรอบค่ายกองทัพ เบนความสนใจไปยังสถานการณ์ของสัตว์ประหลาดผี
ในตอนแรก ทัณฑ์สวรรค์ที่จู่ๆ ก็ผุดออกมาจากทะเล ได้ผ่าเข้าใส่สัตว์ประหลาดผีอย่างไม่ทันตั้งตัว ดับชีวิตพวกมันไปกว่าหนึ่งหมื่นตนในพริบตา
และหลังจากการต่อสู้เมื่อครู่นี้ ทัณฑ์สายฟ้านับไม่ถ้วนก็ได้ดับชีวิตพวกมันลงเพิ่มไปอีกกว่าห้าหมื่นตนแล้ว
อย่างไรก็ตาม สัตว์ประหลาดผีที่ยังเหลือรอดในปัจจุบัน บัดนี้เริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง พวกมันเริ่มที่จะพากันหลบหนีออกจากค่ายกองทัพแล้ว
นั่นเพราะทัณฑ์สายฟ้าน่ะ จะฟาดผ่าลงแค่เฉพาะในบริเวณค่ายกองทัพ
ดังนั้น จึงเหลือเพียงหนทางเดียวที่จะรอดชีวิตไปได้ นั่นก็คือหลบหนีออกจากค่ายกองทัพสัตว์ประหลาดผี!
สัตว์ประหลาดผีที่เหลือรอด แน่นอนว่าย่อมมิใช่พวกลูกสมุนธรรมดาๆ ความว่องไวของมันจึงย่อมรวดเร็วยิ่งกว่า หากเทียบกับกู่ฉิงซาน
เห็นแค่เพียงสัตว์ประหลาดผีที่วิ่งหนีอย่างเต็มกำลัง
ในชั่วเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ พวกมันก็สามารถมาถึงขอบของค่ายกองทัพได้ในที่สุด และตราบใดที่ให้เวลาพวกมันอีกแค่ลมหายใจเดียว เหล่าสัตว์ประหลาดผีก็จะสามารถหนีรอดออกไปได้ทันที
กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก และกล่าวกับฉานนู่ “วางใจเถอะ พวกมันหนีไม่พ้นหรอก”
เขาวิ่งกลับมายังใจกลางค่าย และทำการล็อกสมญาเทพสงครามเป็น ‘ดาราจรัสเทพสงคราม’
วินาทีต่อมา เขาก็เปิดใช้งานสกิล ‘พิชิต!’
ฝูงสัตว์ประหลาดผีชะงักงันพร้อมๆ กัน
ผู้บัญชาการสัตว์ประหลาดผีก้าวออกมา และประกาศสั่งดังลั่น “จงไปเสีย! ไปสังหารผู้ฝึกยุทธ์ที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์เสีย ตราบใดที่เขาตาย ทัณฑ์สวรรค์ก็จะหยุดลงทันที!”
“เพื่อที่จะมีชีวิตรอด ทุกคนจงสังหารเขาเสีย!”
โฮก!
สัตว์ประหลาดผีเหลียวหลังกลับ ทั้งหมดคว้ากุมอาวุธและพุ่งเข้าหากู่ฉิงซาน!
อีกด้านหนึ่ง
ณ ค่ายของผู้เข้าสู่วิถีมาร
“นั่นมันสายฟ้าใช่รึเปล่านะ? ไม่สิ หากเทียบกับสายฟ้าธรรมดาๆ แล้ว มันดูเหมือนกับว่าจะเป็นทัณฑ์สวรรค์ของผู้ฝึกยุทธ์เสียมากกว่า”
ผู้เข้าสู่วิถีมารสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายธาตุจากในสถานที่ห่างไกล
“นี่มันไม่ถูกต้อง…พวกสัตว์ประหลาดผีมันมีอัตลักษณ์ที่หวาดกลัวในสายฟ้าแต่โดยกำเนิดนี่นา ฉะนั้นนี่ไม่น่าจะใช่ฝีมือของพวกมัน…”
เขาพึมพำด้วยความสงสัย
แต่อีกผู้เข้าสู่วิถีมารกลับแสยะยิ้ม และเอ่ยหยันออกมา “ช่างหัวพวกมันสิ กล้ามาด่าพวกเราว่าทาส ถ้าพวกมันจะตายก็สมควรแล้ว”
ผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าสู่วิถีมารยืนขึ้น และกล่าวออกมา “ข้าทราบว่านี่คือสิ่งใด มันคือทัณฑ์สวรรค์ของผู้ฝึกยุทธ์ นั่นหมายความว่ากำลังมีใครบางคนกำลังใช้อำนาจของโทษทัณฑ์สังหารพวกสัตว์ประหลาดผีอยู่”
ผู้ฝึกยุทธ์เอ่ยต่อเนื่อง “ข้าว่าพวกเราควรจะไปช่วยพวกสัตว์ประหลาดผี และดูว่าเป็นใครกันที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์ -เพราะอ้างอิงจากแรงกดดันของทัณฑ์สายฟ้านี้ หากเขาสามารถผ่านมันไปได้ ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นจักต้องพุ่งทะยานสูงขึ้น จนบางทีพวกเราอาจจะรับมือกับเขาไม่ไหวก็ได้”
“ไม่สามารถรับมือกับเขาได้? ทั้งที่พวกเรามีกันกว่าสองร้อยล้านคนเนี่ยนะ?” ผู้เข้าสู่วิถีมารคนอื่นๆ พากันหัวเราะออกมา
ผู้ฝึกยุทธ์ที่เสนอหน้าพูดสูญสิ้นคำโต้เถียง เงียบไปพักหนึ่ง
สักพัก อีกคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา “ถ้าต้นกำเนิดมอบภารกิจช่วยชีวิตพวกมัน ฉันก็จะไป เพื่อรับรางวัลภารกิจ แต่ตอนนี้ ในเมื่อไม่มีรางวัล ถ้าอย่างนั้นใครมันจะเต็มใจที่จะไป?”
เขากล่าวประโยคแทนความในใจของเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารส่วนใหญ่ออกมา
นั่นสิ ถ้าไม่มีรางวัลจากภารกิจ ก็เท่ากับว่าพวกเขาไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ แล้วทำไมพวกเขาถึงจะต้องไปช่วยเหลือคนที่เรียกตัวเองว่าทาสด้วย?
แต่ในตอนนั้นเอง ผู้นำของผู้เข้าสู่วิถีมารก็ผุดลุกขึ้น
“อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ข้าได้ส่งคนไปดูลาดเลาแล้ว ตอนนี้คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของต้นกำเนิด ดังนั้นที่เจ้าผู้ฝึกยุทธ์พูดน่ะถูกต้องแล้ว ทุกคนจะต้องตื่นตัวกันเข้าไว้ อย่าคิดประมาทใดๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น” เขากล่าว
เมื่อได้ยินว่าผู้นำกล่าวเช่นนั้น เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารต่างก็พยักหน้าตอบรับ
“รายงาน”
ผู้เข้าสู่วิถีมารวิ่งหอบกลับมายังค่ายใหญ่ และคุกเข่าลงเบื้องหน้าผู้นำ
“ว่ามา มันเกิดสถานการณ์อะไรขึ้นกันแน่?” ผู้นำถาม
“ไม่ ไม่รู้ พวกเราเองก็ไม่สามารถมองเห็นถึงสถานการณ์ได้ชัดเจนนัก” คนรายงานที่หอบหายใจกล่าว
“ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนงั้นหรือ?” ผู้นำทวนซ้ำด้วยความสับสน
“ใช่ เพราะค่ายสัตว์ประหลาดผีทั้งค่ายมันได้ถูกพัดพาไปโดยคลื่นจากทะเล ลอยออกไปยังจุดที่ห่างไกลอย่างรวดเร็ว แถมยังเกิดสายฟ้าผ่านับไม่ถ้วนสาดแสง และระเบิดเข้าใส่ไม่หยุดอีก พวกเราเลยไม่สามารถตรวจสอบสถานการณ์อย่างชัดเจนได้” ผู้เข้าสู่วิถีมารที่เพิ่งกลับมากล่าว
ผู้นำไตร่ตรองสักพัก ก่อนจะเอ่ยถาม “แล้วทัณฑ์สายฟ้าล่ะ? สุดท้ายแล้วทัณฑ์สายฟ้าได้หายไปหรือไม่?”
ผู้เข้าสู่วิถีมารที่เพิ่งกลับมา “ไม่ ทัณฑ์สายฟ้าได้ไล่ติดตามค่ายสัตว์ประหลาดผีไป ฟาดผ่าลงมาไม่ขาดสายเลย บางทีกองทัพของพวกมันอาจจะเสียหายร้ายแรงแล้วก็ได้”
ผู้นำจมหายเข้าไปในห้วงความคิด
“ทัณฑ์สายฟ้างั้นหรือ…”
ทันใดนั้นเอง เขาก็พลันย้อนนึกไปถึงสัตว์ประหลาดผีตัวหนึ่งที่จู่ๆ ก็เข้ามาก่อกวน และก็ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างน่าสงสัย เอ่ยปากเป็นนัยๆ ว่าพวกตนจะเป็นฝ่ายออกไปเอง ไม่ต้องตามมา
สีหน้าของเขาคล้ายตระหนักรู้ถึงบางสิ่ง มันแปรเปลี่ยนกลับกลาย
“แบบนี้ไม่ดีแล้ว!”
“ส่งคำสั่งของข้าออกไป ให้ทุกคนเตรียมพร้อมออกเดินทางในทันที พวกเราจะไปช่วยสัตว์ประหลาดผี ใครขัดคำสั่งก็ฆ่ามันเสีย!”
“รับทราบ!”
ผู้เข้าสู่วิถีมารโดยรอบรับคำ และกระจายตัวกันออกไปอย่างรวดเร็ว
ไม่กี่สิบลมหายใจ สัมภาระทั้งหมดก็ถูกเก็บรวบรวมจนสิ้น กองทัพพร้อมเข้าสู่สภาวะต่อสู้
ทั้งหมดเร่งรีบไล่ตามกระแสสมุทรไป
หลังจากที่วิ่งด้วยแรงกายทั้งหมดที่มี ภายในระยะเวลาสั้นๆ ผู้เข้าสู่วิถีมารก็สามารถไล่ตามค่ายสัตว์ประหลาดผีจนทันได้ในที่สุด
เห็นแค่เพียงพื้นน้ำแข็งที่อยู่เบื้องล่างค่ายสัตว์ประหลาดผีกำลังลอยอยู่เหนือกระแสน้ำ
พร้อมกับแสงสายฟ้าสีน้ำเงินและแดง ผ่าลงตรงใจกลางค่าย
อย่างไรก็ตาม
ไม่มีสัตว์ประหลาดผีอีกต่อไปแล้ว
ตลอดทั้งค่ายสัตว์ประหลาดผี บัดนี้มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ที่ถือดาบยาว หนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ และชายผู้นั้นก็กำลังใช้ดาบทานรับสายฟ้า
เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่โดยทั่วไปแล้วก็ไม่นับว่ามีอันตรายร้ายแรงใดๆ
แสงสีขาวเปล่งประกายอยู่บนตัวเขา เวียนว่ายรอบทิศคอยปกป้องเขาจากตาข่ายทัณฑ์สายฟ้า
เมื่อเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารเข้ามาใกล้ค่าย ทัณฑ์สายฟ้าก็ค่อยๆ หยุดลง
ขณะที่กระแสน้ำไม่พัดพาค่ายอีกต่อไป
เวลาช่างประจวบเหมาะจริงๆ!
ผู้ฝึกยุทธ์ที่ยืนอยู่ใจกลางค่ายอ้าปากหอบหายใจ ทิ้งก้นลงนั่งกับพื้น
ชายคนนั้นหยิบเม็ดยาวิญญาณออกมา โยนเข้าปาก และเคี้ยวพลางกวาดสายตามองโดยรอบด้วยความสงสัย
บัดนี้รอบค่ายสัตว์ประหลาดผี ได้ถูกสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมารปิดล้อมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นี่คือสถานการณ์ที่ต่อให้ติดปีก ก็ยังยากนักที่จะหลบหนี
แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้คิดลงมือทันที นั่นเพราะฝ่ายตรงข้ามน่ะมีแค่คนเดียว
และอีกอย่าง พวกเขารู้ดีว่าคนคนนั้นคือใคร!
คนผู้นี้ คือคนที่หลบหนีจากการไล่ล่าของต้นกำเนิดตรงยอดภูเขาน้ำแข็งของทวยเทพ
แต่ตอนนี้ เขากลับใช้ทัณฑ์สวรรค์ สังหารสัตว์ประหลาดผีจนหมดสิ้น!
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ความรู้สึกหนาวสั่นอย่างไม่อาจอธิบายได้ก็เสียดแทงเข้ามาตามร่างกายของผู้เข้าสู่วิถีมาร
ผู้นำของผู้เข้าสู่วิถีมารก้าวออกมา
“จริงๆ แล้วต้องขอชมว่ามันเป็นความสำเร็จที่งดงามจริงๆ เพียงหนึ่งคนแต่กลับสามารถล้างบางหนึ่งแสนสัตว์ประหลาดผีได้อย่างสิ้นเชิง” เขามองมายังกู่ฉิงซานพลางปรบมือ
“ไม่จำเป็นต้องสุภาพไป เพราะฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันง่ายเลย ถ้าจะต้องทำแบบนี้อีกครั้งในอนาคต ฉันคงจะไม่รอดแน่ๆ” กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น
ขณะที่สามดาบยาวลอยอยู่ในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขาอย่างเงียบๆ
ผู้นำผู้เข้าสู่วิถีมารมองไปยังสามดาบ ปากเอ่ยกล่าวด้วยความสนใจ “ถ้าจะต้องทำแบบนี้อีกครั้งในอนาคตอย่างงั้นหรือ? ตอนนี้ เจ้าไม่ได้ยืนอยู่บนยอดเขาสูงสุดของทวยเทพแล้วนะ ไหนลองบอกมาซิว่าเจ้าจะสามารถหนีรอดไปทำมันอีกครั้งในอนาคตได้อย่างไร?”
“หืม? แล้วทำไมต้องหนีด้วยล่ะ พวกแกจะฆ่าฉันเหรอ?” กู่ฉิงซานสวนกลับ
“แน่นอน เพราะต้นกำเนิดได้ตั้งค่าหัวเจ้าเอาไว้แล้ว แถมยังเป็นรางวัลที่เรียกได้ว่าเป็น ‘สมบัติมั่งคั่งอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน’ อีกด้วย” ผู้นำผู้เข้าสู่วิถีมารกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“กู่ฉิงซาน ข้าทราบชื่อของเจ้าดี เจ้าเป็นศัตรูที่ยอดเยี่ยมจริงๆ แต่ข้าหวังว่าพวกเราจะไม่ต้องต่อสู้กัน จงยอมให้จับแต่โดยดีเถอะ”
“แล้วจากนั้นเล่า?”
“จากนั้นพวกเราจะช่วยกันตัดสินใจเองว่าใครจะเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นคนสังหารเจ้า”
“ช่างเป็นตัวเลือกที่น่าขยะแขยงเสียจริง ทำไมแกถึงคิดว่าฉันจะยอมแพ้ล่ะ?”
“ก็เพราะถ้ายอมแพ้ อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ต้องถูกทารุณทรมาน และยังสามารถรักษาสภาพศพไว้ในสภาพครบสามสิบสองได้…ในเรื่องนี้ข้าสามารถให้คำมั่นแก่เจ้าได้”
กู่ฉิงซานเผยถึงสีหน้าสงสัย ปากเอ่ยถามกลับไป “ดูเหมือนว่าแกจะมั่นใจมากเลยสินะ ว่าอย่างไรเสียฉันก็จะต้องเลือกยอมจำนน”
“แน่นอน ส่วนเหตุผลน่ะหรือ…”
ผู้นำผู้เข้าสู่วิถีมารเอ่ยปากอย่างช้าๆ
เขาหันไปมองรอบๆ ด้วยรอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
กว่าสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมาร โอบล้อมอยู่ทั่วทุกสถานที่ ทุกหนแห่งที่พอจะสามารถยืนได้
โดยทั้งสองร้อยล้านคน อยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมที่จะสังหารคนเพียงคนเดียว
ผลลัพธ์มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
กู่ฉิงซานเงียบไปครู่หนึ่ง
“แสดงว่ามากันทั้งหมดเลยใช่ไหม งั้นก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องมัวไปวิ่งเก็บซากที่เหลือ…” เขาเอ่ยพึมพำเบาๆ
“หืม? นั่นเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ?” ผู้นำย้อนถาม
แต่กู่ฉิงซานไม่ตอบ เขาเพียงยกมือขึ้นชี้เส้นผมบนหัวของตนที่กำลังปลิวไสว
ปรากฏถึงสายลมโชยขึ้นมาอย่างเงียบๆ ภายในค่ายกองทัพ
แต่สิ่งที่น่าฉงนก็คือ สายลมนี้มีได้ตกลงมาจากฟากฟ้า ตรงกันข้าม มันกลับพัดกระพือขึ้นมาจากพื้นดิน และกรรโชกชั้นอากาศโดยรอบอย่างรุนแรง
-ทัณฑ์สายลมได้มาถึงแล้ว!
ก่อนหน้านี้ในโลกเทวะ นางเซียนไปฮั่วได้ลงไปยังเจี้ยนไห่ เพื่อทำการตัดผ่านขอบเขตประทับเทพ ยกระดับขึ้นสู่ร่างเทวะ ภายใต้สถานการณ์วิกฤตยิ่ง
แต่ในท้ายที่สุด เธอก็สามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์คนแรกในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ที่สามารถทะลวงผ่านสองโทษทัณฑ์ – ทัณฑ์สายฟ้าและทัณฑ์สายลมไปได้
และในวันนี้ กู่ฉิงซานก็กำลังจะทานรับทัณฑ์สายลมของเขา
แต่นี่มันแตกต่างไปจากในตอนของนางเซียนไป่ฮั่ว เพราะทัณฑ์สายลมของเขาในครานี้ มันได้ถูกจัดเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
เพื่อที่จะล้างบางสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมาร
เขาได้ทำการติดสินบนกษัตริย์ปีศาจและราชาภูตผู้ครอบครองตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ในทัณฑ์สวรรค์ของตนเอง
ในเวลานี้ สายลมเริ่มจะปลิวไสวแล้ว
และนั่นคือสัญญาณที่บ่งบอกว่ากองทัพปีศาจและภูตกำลังจะกรีธาทัพเข้ามายังโลกใบนี้!
………………………………………….
ในโลกสมบัติของทริสเต้
ชั้นเปลือกน้ำแข็ง
ภายในค่ายของสัตว์ประหลาดผีช่างแสนสงบ
พวกมันกำลังพักผ่อนกันอย่างเงียบๆ
เนื่องจากพวกมันเป็นทหาร เป็นเครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นโดยระบบ
ดังนั้นสำหรับสัตว์ประหลาดผีแล้ว การที่ระบบสามารถยกระดับขึ้นได้จึงไม่นับว่ามีความหมายใดๆ
ผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวที่พวกสัตว์ประหลาดผีจะได้รับก็คือ สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น
เวลานี้ สัตว์ประหลาดผีกำลังเฝ้ารอคอยให้ระบบตื่นขึ้นมาอย่างเงียบๆ
และพวกมันจะยังคงเชื่อฟัง คอยทำตามคำสั่งของระบบต่อไป
แต่ตรงกันข้ามกับค่ายของสัตว์ประหลาดผี ห่างออกไปกว่าหนึ่งกิโลเมตร กลับครึกครื้นไปด้วยเสียงโห่ร้องสนั่นหวั่นไหว
ต้นตอของเสียง คือค่ายใหญ่ของเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมาร
สองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมารตั้งรกรากอยู่บนพื้นน้ำแข็งขนาดมโหฬาร
พวกเขารวมตัวกันเพื่อฉลองชัยชนะในสงครามครั้งนี้ และเฝ้ารอให้ต้นกำเนิดอัปเกรดจนลุล่วง
หลายชั่วโมงก่อนหน้า ต้นกำเนิดได้เข้าสู่สภาวะจำศีล
สำหรับตอนนี้ มันกำลังอยู่ระหว่างการอัปเกรดในขั้นสุดท้าย
ระบบของราชามารได้รับสิ่งที่ตัวมันเองปรารถนามาไว้ในครอบครองแล้ว ดังนั้นสงครามจึงยุติลง
เมื่อต้นกำเนิดกลายเป็นปฏิวัติ ความแข็งแกร่งของผู้เข้าสู่วิถีมารแต่ละคนก็จะถูกยกระดับครั้งใหญ่!
พวกเขาจะได้รับฟังก์ชันเสริม
อุปกรณ์ที่ดียิ่งกว่าเดิม
ความสามารถและสกิลที่ดียิ่งขึ้น
และแน่นอน ว่านั่นคือผลตอบแทนแสนคุ้มค่าที่จะได้รับจากภารกิจ
ทั้งหมดกำลังจะปรากฏขึ้นในเร็วๆ นี้!
พวกเขาจึงเริ่มต้นฉลองชัยชนะอย่างบ้าคลั่ง
อย่างไรก็ตาม มืออาชีพบางคนก็ยังคงหวาดระแวง และไม่ลดความผ่อนคลายของตนเองลง
ดังนั้นผู้เข้าสู่วิถีมารบางคนจึงต้องพบเจอกับความโชคร้าย ถูกเลือกให้ไปคอยเฝ้าระวังอยู่นอกค่าย อดเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลอง
งานเฝ้าระวังความปลอดภัย เป็นงานที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายอย่างแท้จริง
จุดที่เหล่าผู้เฝ้าระวังกำลังยืนอยู่นี้ คือท่ามกลางพายุน้ำแข็ง วิสัยทัศน์ช่างย่ำแย่ จำต้องใช้หูเพ่งตรวจสอบเสียงที่อยู่รอบๆ เท่านั้น
ให้มาเฝ้ายามแบบนี้มันบ้าชัดๆ
บริเวณนี้มันเป็นพื้นน้ำแข็งโล่งๆ แล้วจะไปมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นได้อย่างไร?
แม้ว่าทุกคนจะบ่นอุบอิบ แต่พวกเขาก็ยังเชื่อฟังคำสั่ง และคอยปกป้องอยู่รอบๆ ค่าย
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ บนพื้นน้ำแข็งก็เริ่มเกิดการสั่นสะเทือน
ผู้เข้าสู่วิถีมารสะดุ้งตกใจ และเริ่มตื่นตัวทันที
โครม!
จู่ๆ พื้นน้ำแข็งก็แตกออก ปรากฏหลุมน้ำแข็งกว้างหลายเมตรขึ้นอย่างกะทันหัน
พร้อมกันกับใบหน้าดุร้ายที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมา ตามด้วยร่างขนาดมหึมาของมัน
เป็นสัตว์ประหลาดผี
สัตว์ประหลาดผีได้ปรากฏตัวขึ้นหน้าค่ายของผู้เข้าสู่วิถีมาร!
สองผู้เข้าสู่วิถีมารเคลื่อนกายออกมาขวางมันไว้ทันที
“จงหยุด! ที่นี่คืออาณาเขตของเรา”
“แกมาทำอะไรที่นี่?”
ทั้งสองเอ่ยปากตามลำดับ
ทว่าสัตว์ประหลาดผียักษ์ไม่ตอบกลับ มันเพียงเงยหน้าขึ้นฟ้า แล้วคำรามก้องด้วยความโกรธ
เสียงคำรามของมันได้ดึงดูดความสนใจของผู้เข้าสู่วิถีมารจำนวนมากทันที
คนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้นำของผู้เข้าสู่วิถีมารได้ปรากฏตัวขึ้น
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เขาเอ่ยถาม
“ไม่รู้สิ พวกเราพูดด้วยแต่มันก็ไม่สนใจเลย” คนเฝ้ายามกล่าวรายงาน
ชายที่ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้นำก้าวแยกออกมาข้างหน้า และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “งั้นข้าจะเป็นคนถามเอง”
“สัตว์ประหลาดผี เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
สัตว์ประหลาดผียักษ์คำรามลั่น “ก็กลุ่มทาสเช่นพวกเจ้าทำเสียงเอะอะมากเกินไป จนมันกระทบต่อการพักผ่อนของพวกเรา”
รอยยิ้มบนใบหน้าของคนที่เหมือนจะเป็นผู้นำค่อยๆ จางหายไป
ทาสงั้นหรือ?
นี่คือคำที่อ่อนไหวที่สุดสำหรับผู้เข้าสู่วิถีมาร
“สัตว์ประหลาดผี เจ้าต้องการอะไร?” ผู้นำพยายามถามต่อด้วยสีหน้าสงบ
สัตว์ประหลาดผียักษ์ อ้าปากกว้าง ตะโกนลั่น “นับตั้งแต่นี้ไป กลุ่มทาสอย่างพวกเจ้า จะต้องหุบปากลงเสีย ให้พวกข้าได้พักผ่อนอย่างสงบ!”
จะให้พวกเราอยู่แบบเงียบๆ งั้นหรือ?
‘เรื่องที่เสียงดังมันส่งผลกระทบต่อเจ้าข้าจะไม่พูดถึง แต่ไอ้วิธีการพูดจาเหมือนสั่งหมูสั่งหมาแบบนั้น กล้ามาทำต่อหน้าข้าได้อย่างไร?’
ผู้นำเริ่มโกรธ ปากเอ่ยหยัน “ต้องขออภัยจริงๆ พอดีว่าทางฝั่งเรามีคนที่ยังไม่ตายอยู่มากเกินไปน่ะ แตกต่างจากฝั่งของเจ้า เสียงมันก็เลยดังเป็นธรรมดา แต่ถ้าเจ้ารู้สึกว่าเสียงมันดังมากเกินไป ก็จงเป็นฝ่ายม้วนหางแล้วออกไปไกลๆ เสียเองสิ!”
ขณะเดียวกัน ผู้เข้าสู่วิถีมารโดยรอบพอได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา ช่วยกันก่นด่าสัตว์ประหลาดผี
“เป็นแค่เครื่องมือของระบบแท้ๆ แต่ยังกล้าที่จะมาเสนอหน้ากับพวกเรา”
“พวกแกมันไม่สามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณ ไม่สามารถแลกเปลี่ยนอาวุธใดๆ จากระบบได้ด้วยซ้ำ ทำได้แค่เพียงเชื่อฟังคำสั่งแท้ๆ”
“ฉันว่าพวกแกต่างหาก ที่เหมาะสมจะถูกเรียกว่าทาส!”
“ไปให้พ้น! อย่ามาเสนอหน้ากับพวกเราอีก ยิ่งไกลยิ่งดี!”
สัตว์ประหลาดผีกวาดสายตามองผู้คนโดยรอบ และกล่าว “พวกเราจะไปก็ได้ แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา พวกเจ้าอย่ามาขอให้พวกเราปกป้องก็แล้วกัน!”
เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา ผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดก็พลันระเบิดเสียงหัวเราะ
“สัตว์ประหลาดผีสมองใช่พิการไปแล้วหรือไร พวกเรามีกันกว่าสองร้อยล้านคนนะ”
“ใครมันจะไปต้องการให้แกมาคอยปกป้อง!”
“ไสหัวออกไปจากที่นี่เสีย!”
สัตว์ประหลาดผีไม่สนใจพวกเขาอีกต่อไป มันหันหลังและเดินกลับสู่ค่ายของตนเอง
เมื่อการเจรจาระหว่างสัตว์ประหลาดผีกับผู้เข้าสู่วิถีมารจบลง
ณ บริเวณพื้นที่ด้านหลังค่ายของสัตว์ประหลาดผี
ดาบยาวที่ดูมีรูปลักษณ์ธรรมดาๆ ได้ผุดออกมาจากใต้น้ำแข็งอย่างเงียบๆ
มันเจาะเข้าไปในชั้นน้ำแข็ง ค่อยๆ ม้วนเบาๆ และเหวี่ยงตนออกไป
เมื่ออยู่ต่อหน้าน้ำหนักว่าราวแปดสิบหกล้านจินและรังสีดาบที่แข็งกร้าว ชั้นน้ำแข็งหนาก็เปราะ ถูกเฉือนหั่นอย่างง่ายดายราวกับเป็นเพียงแผ่นกระดาษบางๆ
ดาบยาวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มันลากคมกล้าของตนมุ่งไปยังทิศทางฝั่งตรงข้ามกับค่ายของผู้เข้าสู่วิถีมาร ลากทำลายพื้นน้ำแข็งไปตลอดทาง เปิดเส้นทางให้แก่เช่าหยิน
หลังจากที่มันตัดชั้นน้ำลงไปในน้ำแล้ว อาณาเขตมหาสมุทรก็เริ่มก่อตัวขึ้น
แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่ผิดปกตินี้ ย่อมดึงดูดความสนใจจากสัตว์ประหลาดผี
แต่พวกมันไม่มีเวลามากพอที่จะทันได้ทำอะไรเลย ก็บังเกิดการเปลี่ยนแปลงฉับพลันขึ้นเสียก่อนเสียแล้ว
เบื้องล่างพื้นน้ำแข็ง มวลน้ำมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ค่อยๆ ยกตัวสูงขึ้น
พร้อมกันกับกระแสน้ำที่พรั่งพรูออกมาอย่างไม่รู้จบ ทั้งค่ายทั้งพื้นน้ำแข็ง ก็เริ่มถูกยกลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
ค่ายสัตว์ประหลาดผีถูกรายล้อมไปด้วยกระแสน้ำตลอดทุกทิศทาง!
ด้วยฉากอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ประจวบกับการที่พวกมันถูกยกตัวให้ลอยสูงขึ้น จึงย่อมเป็นธรรมดาที่สัตว์ประหลาดผีสามารถมองเห็นไปถึงฝั่งของผู้เข้าสู่วิถีมาร
แต่ในระยะหนึ่งกิโลเมตรที่ห่างออกไป ตนแล้วตนเล่ากลับได้ยินเพียงเสียงเย้ยหยันก่นด่า และไม่คิดจะมาตรวจสอบสถานการณ์ผิดปกติที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
สัตว์ประหลาดผีต่างงงงวย และไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
มีเพียงสัตว์ประหลาดผีที่พอจะมีสมองบ้างเท่านั้น ที่เมื่อได้เห็นกระแสน้ำที่ยกตัวสูงขึ้น และเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารที่กำลังก่นด่าจากระยะไกล ก็สามารถสรุปสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
กลับกลายเป็นว่านี่มันเป็นการเล่นตลกของพวกผู้เข้าสู่วิถีมาร
ไอ้เจ้าพวกระยำเอ๊ย!
อีกด้านหนึ่ง
ลึกลงไปในท้องสมุทรเบื้องล่าง
เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ
หนึ่งลมหายใจ
สองลมหายใจ
ห้าลมหายใจ
สิบลมหายใจ
‘ถึงขีดจำกัดแล้ว!’
แม้จะได้รับการปกป้องโดยเกราะรบเทพบรรพกาล แต่เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางทัณฑ์สายฟ้าที่อัดกันแน่น กู่ฉิงซานก็เริ่มที่จะได้รับบาดเจ็บบ้างแล้วเหมือนกัน
ทัณฑ์สายฟ้าเหลือคณาได้มาถึงเขา มันมากมายเกินกว่าที่ตนจะหลบเลี่ยงได้
รออีกต่อไปไม่ไหวแล้ว!
ร่างของกู่ฉิงซานวูบไหว เขาพุ่งออกจากทะเลลึก ตรงไปยังทิศทางค่ายสัตว์ประหลาดผี
เพียงไม่นาน เขาก็มาถึงค่ายสัตว์ประหลาดผีได้ในที่สุด
ในเวลานี้
ดาบพิภพยังคงอยู่เบื้องหน้าค่ายสัตว์ประหลาดผี สับพื้นน้ำแข็งให้แตกออก เปิดทางให้น้ำทะเลไหลขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง
ขณะที่ดาบเช่าหยินยังคงใช้ข้ามผ่านมหาสมุทรอย่างต่อเนื่อง ยกพื้นน้ำแข็งตลอดทั้งค่ายให้ลอยสูงขึ้น
มีเพียงดาบขุนเขาเทวะหกโลกาเท่านั้นที่กลับมา
“เป็นอย่างไรบ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ข้าได้แปลงกายเป็นสัตว์ประหลาดผี และยั่วยุผู้นำของพวกมันแล้ว ทว่าหากทัณฑ์สายฟ้าปรากฏขึ้น ข้าเกรงว่าบางทีทางฝั่งผู้เข้าสู่วิถีมารอาจจะตระหนักถึงสิ่งผิดปกติ และตอบโต้กลับมาอย่างรวดเร็วก็เป็นได้”
เสียงที่ฟังดูกังวลของฉานนู่ ดังออกมาจากดาบยาว
“เจ้าหวาดกลัวอะไรหรือ?” กู่ฉิงซานถาม
“นายน้อย อีกฝ่ายมีถึงสองร้อยล้านคนนะ”
กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “นั่นไม่สำคัญหรอก เมื่อครู่เจ้าถ่วงเวลาได้มากพอแล้ว นับตั้งแต่ที่กระแสน้ำได้ก่อตัวขึ้น ต่อให้ผู้เข้าสู่วิถีมารค้นพบถึงความจริง พวกมันก็ไม่อาจไล่ตามมาแทรกแซงพวกเราได้อีกต่อไป”
เขาคว้าจับดาบขุนเขาเทวะ
ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเบื้องล่าง ทัณฑ์สายฟ้าเหลืออนันต์กำลังไล่ติดตามเขา
กู่ฉิงซานสะบัดดาบยาวออกไป ทำลายพื้นน้ำแข็ง และโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
บอลสายฟ้านับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นจากหลุมพื้นน้ำแข็งที่เปิดออก
กู่ฉิงซานระบุเป้าหมายต่อไปในกลางอากาศ และใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วทันที
เขาหายตัวไป และปรากฏกายขึ้นอีกครั้งใจกลางค่ายสัตว์ประหลาดผีโดยตรง
“นี่มันมนุษย์ แต่ไม่ใช่ผู้เข้าสู่วิถีมาร!”
สัตว์ประหลาดผีอุทานลั่น
พวกมันเตรียมที่จะจู่โจมทันที เพื่อสังหารมนุษย์ตรงหน้าผู้นี้
แต่กู่ฉิงซานกลับไม่คิดปัดป้อง เขาเพียงยิ้มแหยๆ แสดงท่ารู้สึกผิดน้อยๆ
“ขอโทษด้วยนะ แต่ตอนนี้น่ากลัวว่าพวกแกจะมีสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าที่จะต้องทำ คงไม่มีเวลามาฆ่าฉันหรอก”
ว่าจบ เขาก็ชี้ไปรอบๆ
แต่สัตว์ประหลาดผีไม่คิดฟังคำพล่ามไร้สาระของเขา
อย่างไรก็ตาม พวกมันก็ยังไม่ทันจะได้ลงมือ
จู่ๆ กลิ่นอายอันน่าหวาดกลัวบางอย่างก็ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน กลิ่นอายนี้โชยเข้ามาปะทะกับร่างกายของพวกมันจนสั่นสะท้าน
นี่คือความหวาดกลัวโดยธรรมชาติของพวกมัน คือสิ่งที่พวกมันมิอาจต่อต้าน เป็นอำนาจฟ้าดินที่ยิ่งใหญ่มิอาจยับยั้งโดยสมบูรณ์
สัตว์ประหลาดผีกวาดสายตามองดูรอบๆ
สายฟ้าสวรรค์งั้นหรือ?
ไม่! สังหรณ์ของกลิ่นอายนี้มันร้ายแรงยิ่งกว่าสายฟ้าสวรรค์ มันทรงอำนาจยิ่งกว่าหลายเท่า!
สายฟ้าเริ่มครอบคลุมไปตลอดทั้งกระแสน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว ในวิสัยทัศน์ของพวกมันก็ท่วมไปด้วยประกายแสงเปรี๊ยะๆ เสียแล้ว
ไม่เพียงบอลสายฟ้าเท่านั้น แต่ยังมีแขนที่เกิดจากสายฟ้าสีแดงเข้มหลายสิบข้าง ที่ในมือถือแส้สายฟ้าปรากฏออกมาเช่นกัน
เมื่อเวลาผ่านไป สายฟ้าทั้งหมดก็เปลี่ยนรูปแบบ และผุดออกมาจากเมฆแหล่งกำเนิดโทษทัณฑ์
ตลอดทั้งค่ายถูกรายล้อมไปด้วยทัณฑ์สายฟ้า!
วินาทีต่อมา
สายฟ้าทั้งหมดที่ผุดออกมาก็ผ่าลง ฟาดเข้าใส่ตรงใจกลางค่ายสัตว์ประหลาดผี!
………………………………………………………
ณ ภายในโลกของสายพันธุ์เทพ
พื้นที่นอกเหนือไปจากจัตุรัสหน้าวิหารในเมืองไห่เช่า ตลอดทั้งโลกใต้ดินทั้งหมดล้วนจมอยู่ใต้มหาสมุทรโดยสมบูรณ์
กู่ฉิงซานคว้าจับดาบเช่าหยิน ทั้งคนทั้งร่างสาดประกายแสงระยับออกมา
ในหัวใจของเขานึกคิดสั่งการ
มหาสมุทรทั้งมวลไล่ติดตามเขา และพยายามซัดสาดขึ้นไปบนท้องฟ้า
ขณะที่เมฆแหล่งกำเนิดทัณฑ์ ยังคงทำหน้าที่ของมันไปอย่างต่อเนื่อง มันพยายามรวบรวมเป็นก้อนเดียวกัน และระเบิดสายฟ้าฟาด ส่งเสียงอึกทึกเสียดแทงเข้ามาในรูหูของกู่ฉิงซานอย่างไม่รู้จบ
ทว่ากู่ฉิงซานกลับมิได้ต่อสู้กลับ แต่เลือกที่จะหลบเลี่ยงพวกมันไป
แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่เขาหลบเลี่ยงมันไม่ได้ทั้งหมด ทว่าก็เป็นแสงที่ครอบคลุมบนร่างกายเขาที่คอยช่วยปกป้องเขาจากการกัดกร่อนของสายฟ้า
บรรดาสายฟ้าที่ถูกเขาหลบเลี่ยงในช่วงก่อนหน้า ทั้งหมดค่อยๆ ชะลอตัวลง
พวกมันปรับทิศทางอย่างช้าๆ และเริ่มไล่ติดตามกู่ฉิงซานขึ้นไปยังเบื้องบน
นี่ช่างเป็นฉากที่งดงามโดยแท้
น้ำทะเลอันไร้ที่สิ้นสุดกำลังพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า
ขณะที่ภายในทะเล ตรงช่องว่างที่มวลน้ำเข้าไม่ถึง
ในสถานที่ดังกล่าว ปรากฏถึงร่างของชายคนหนึ่งที่ลุกท่วมไปด้วยแสงสว่างไสวบนกายเขา ในมือถือดาบยาว และกำลังถูกไล่ล่าโดยบอลสายฟ้านับไม่ถ้วน
อย่างไรก็ตาม ที่เขาทำก็แค่หลบเลี่ยง มิใช่โจมตี ดังนั้นสายฟ้าสวรรค์จึงมิได้ถูกทำลายลง
ส่งผลให้บนท้องฟ้า ปริมาณของทัณฑ์สายฟ้าเริ่มผุดขึ้นมามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
ทัณฑ์สายฟ้าสีน้ำเงินขาว คล้ายกับดวงดาราที่สาดประกายเย็นเยียบ ระหว่างที่กำลังลอยล่อง ก็คอยส่งเสียงเปรี๊ยะๆของกระแสไฟฟ้า ปะทุออกมาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนสายฟ้าดับจิตเทวะสีแดงเข้มยังคงเงียบ นอกเหนือไปจากเพิ่มความเร็วไล่ตามติดกู่ฉิงซานไปอย่างใกล้ชิดแล้ว มันก็ยังไม่มีความคิดที่จะแปรเปลี่ยนรูปแบบใดๆ
บอลสายฟ้ามากมายเหลือคณาพอๆ กับดวงดาวบนท้องฟ้า
และดวงดาวนับไม่ถ้วนเหล่านั้นก็กำลังรวมกลุ่มกัน ไล่ตามติดกู่ฉิงซาน พยายามม้วนโถมเข้าใส่เขาดั่งคลื่นสึนามิ
กู่ฉิงซานถูกไล่ล่าโดยสายฟ้าจากทุกหนแห่ง โฉบไปมา หลบเลี่ยงอยู่ท่ามกลางท้องทะเล
เขายังคงอาศัยพลังอันยอดเยี่ยมของสกิลเทวะ ‘ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว’ และ ‘ร่างเงาแทนที่’ อย่างต่อเนื่อง แต่แค่เคลื่อนย้ายเท่านั้น มิได้ทำการโจมตีใดๆ
เมื่อเรื่องราวดั่งที่ได้บอกเล่าไปดำเนินมาถึงชั่วขณะหนึ่ง
หลี่อันที่กำลังมองมายังฉากนี้จากในระยะไกล ก็เริ่มปริปากเอ่ยออกมาด้วยความกังวล “ท่านแม่ ท่านเคยเห็นทัณฑ์สวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อนหรือไม่ แล้วเขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”
แม่มารแหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้า เงียบอยู่นานก่อนจะเฉลย “ดูเหมือนนั่นจะเป็นการสะสมสายฟ้าสวรรค์”
“สะสมสายฟ้าสวรรค์? ทำแบบนั้นเขาจะไม่ตายหรือ?” หลี่อันอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
แม่มารส่ายหัว เธอหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน “พื้นฐานวรยุทธ์มิได้สูงส่ง แต่ความกล้าหาญกลับตรงกันข้าม เหนือล้ำยิ่งกว่ามันไปมากโข”
“ท่านแม่กำลังจะบอกว่า…”
“จงดูนั่นเร็ว ทัณฑ์สายฟ้ากำลังจะเปลี่ยนรูปแบบแล้ว!” แม่มารเตือนสติเธอ
หลี่อันเงยหน้ามองขึ้นไป และเห็นแค่เพียงทัณฑ์สวรรค์ที่กำลังเปลี่ยนรูป
สายฟ้าสีแดงเข้มอัดแน่น รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน แปรสภาพเป็นมือสายฟ้าขนาดใหญ่
นี่คือมือใหญ่ที่เกิดขึ้นจากสายฟ้าดับจิตเทวะ และมันมีภูมิปัญญาทางจิต! เป้าประสงค์เดียวของมันก็คือสังหารมนุษย์ที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์!
มือสายฟ้าดับจิตเทวะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น กลายสภาพเป็นแขนสีแดงขนาดมหึมาที่ดูแข็งกร้าว
บนท้องฟ้า อีกกลุ่มก้อนสายฟ้าสีแดงเข้มได้รวมตัวกันอีกรอบ และเริ่มก่อรูปเป็นแส้ยาว
แขนมหึมาคว้าจับแส้ยาว และฟาดลงไปยังทิศทางของกู่ฉิงซานโดยตรง!
สถานการณ์ในขณะนี้ของกู่ฉิงซานนับว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
เขาหันไปมองรอบๆ
บนท้องฟ้า บัดนี้ทุกหนแห่งล้วนพร่างพราวไปด้วยบอลสายฟ้า
เนื่องด้วยจำนวนบอลสายฟ้าที่ไม่ได้ถูกทำลายลงเลย จนเพิ่มจำนวนขึ้นมามากมายถึงขนาดนี้ ก็อาจกล่าวได้ว่า ทัณฑ์สายฟ้าใกล้ที่จะเข้าสู่สภาวะเต็มรูปแบบของมันแล้ว
“ได้เวลาสักที” กู่ฉิงซานกล่าว
“ตอนนี้ พวกเราจะมุ่งเข้าหากองทัพสัตว์ประหลาดผี และยืมอำนาจของทัณฑ์สายฟ้าสังหารพวกมันทันทีเลยใช่ไหมนายน้อย?” ฉานนู่เอ่ยถาม
“ไม่ใช่ อันดับแรกที่ต้องทำคือวางแผนไม่ให้เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารเข้ามาวุ่นวายเสียก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว
ฉานนู่พยักหน้า “เป็นอย่างที่กล่าวมาจริงๆ ทัณฑ์สายฟ้าน่ะสามารถตรึงพวกภูตผีไว้ได้ก็จริง แต่มันไม่สามารถหยุดยั้งผู้เข้าสู่วิถีมารได้ ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนของผู้เข้าสู่วิถีมารยังมีมากกว่าสองร้อยล้านคน หากพวกมันเข้ามายุ่มย่าม ทางเราก็คงยากที่จะจัดการ”
“ดังนั้นพวกเราจะไม่อนุญาตให้ผู้เข้าสู่วิถีมารเข้ามาก้าวก่าย”
“แล้วข้าสมควรทำอย่างไรดี?”
“เรื่องนี้คงต้องฝากเจ้าแล้วนะ ฉานนู่”
“หืม?!” ฉานนู่อุทานตกใจ
กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “เวลามีไม่มากแล้ว ตอนนี้ข้าจะมอบหมายงานให้พวกเจ้า”
“เช่าหยิน เจ้าคอยควบคุมน้ำสมุทร”
ดาบเช่าหยินฉวัดเฉวียนคำหนึ่ง ขานรับแสดงความเข้าใจ
“ดาบพิภพ เจ้าจงไปทำลายพื้นน้ำแข็ง เปิดทางให้แก่เช่าหยิน”
“ไม่มีปัญหา” เสียงหนักทึบของดาบพิภพดังขึ้น
“ฉานนู่ ส่วนเจ้าท่องบทตามที่ข้ากำลังจะบอก”
“…เดี๋ยวก่อนนายน้อย ท่องบทที่ว่านั่นหมายความว่าอย่างไร?”
“เป็นทักษะทางด้านการแสดงขั้นสูงสุดของข้าเอง รับรองเลยว่าถ้าเจ้าใช้มันจะต้องได้ผลอย่างแน่นอน”
“นายน้อย ท่านช่วยอธิบายให้มันดีๆ หน่อยจะได้ไหม ข้าเริ่มที่จะสับสนแล้ว…”
กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอากระดูกของสัตว์ประหลาดผีออกมา
นี่คือสิ่งที่ได้มาจากศพสัตว์ประหลาดผีที่ถูกสังหารโดยดาบพิภพ จากในสงครามบนพื้นราบลุ่ม
“รับมันไว้”
กู่ฉิงซานโยนกระดูกสัตว์ประหลาดผีให้แก่ฉานนู่ และอธิบายออกไปไม่กี่ประโยค
ในช่วงเวลาถัดไป แส้สายฟ้าก็ฟาดสะบัดมาถึงตำแหน่งที่พวกเขาสนทนากันอยู่!
ฟุบ!
กู่ฉิงซานหายวับไปจากสถานที่เดิม
เขาอาศัยสกิลเทวะ หลบเลี่ยงการโจมตีของแขนสายฟ้าดับจิตเทวะ
“ฉานนู่!”
กู่ฉิงซานตะโกนด้วยความวิตก
ท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่าเบื้องหลังเขา ดาบยาวที่สาดแสงดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงได้บินออกมา
ดาบยาวตอบสนองต่อเสียงเรียกของเขา มันทุ่มเต็มกำลังโฉบออกจากโทษทัณฑ์ที่กำลังพยายามกดดันตัวมันอย่างหนาแน่น
เนื่องจากพลัง ‘แหกกฎ’ อันเป็นเอกลักษณ์ ส่งผลให้ทัณฑ์สายฟ้าเหลือคณามิอาจสร้างความเสียหายใดๆ หรือขัดขวางชะลอความเร็วของดาบขุนเขาเทวะหกโลกาได้
ดาบยาวเจาะทะลุเมฆแหล่งกำเนิดทัณฑ์ ผลุบขึ้นไปเหนือเบื้องบนชั้นฟ้า แล้วจึงค่อยแปรสภาพเป็นหญิงในชุดคลุมฟ้าอีกครั้ง
ฉานนู่เอนกายลงมองไปยังกู่ฉิงซาน
“นายน้อย ข้าจะส่งท่านเอง!”
“เข้าใจแล้ว!”
ระหว่างกล่าว ฉานนู่ก็เริ่มวูบไหว
ร่างเงาแทนที่!
เธอแลกเปลี่ยนตำแหน่งกับกู่ฉิงซาน
วินาทีต่อมา กู่ฉิงซานก็สามารถหลุดพ้นจากดงโทษทัณฑ์ได้เลยโดยตรง และทะยานขึ้นมาถึงโดมบนฟากฟ้า
เขายื่นดาบเช่าหยิน จี้ปลายดาบออกไป
ข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม!
ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ม้วนตัวกลับ แหวกออกเป็นสองฟากฝั่งเปิดทางให้แก่เขา
ท่ามกลางทะเลสีน้ำเงินเข้ม พื้นที่ว่างเปล่าปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
ในเวลาเดียวกัน ดาบขุนเขาเทวะก็ทะลวงผ่านดงโทษทัณฑ์ได้อีกครั้ง และกลับเข้าสู่ในความว่างเปล่าเบื้องหลังกู่ฉิงซาน
“ไปกันเถอะ!”
กู่ฉิงซานตะโกน
เขาวาดสะบัดดาบเช่าหยิน
น้ำทะเลทั้งหมดม้วนตลบ และเริ่มกวาดขึ้นไปยังพื้นผิวทะเลเบื้องบน
ร่างของกู่ฉิงซานฟุ้งไปด้วยความฮึกเหิม หนึ่งคนสามดาบทะลุผ่านช่องแคบที่เปิดออก และหายวับไป
เขามุ่งหน้าเข้าสู่โลกชั้นมหาสมุทร
เบื้องล่างท้องฟ้า ทัณฑ์สายฟ้าทั้งมวลพลันตอบสนองทันที
ทัณฑ์สายฟ้าสีน้ำเงินขาวเหลืออนันต์ และสายฟ้าดับจิตเทวะขนาดใหญ่ เร่งเคลื่อนตัวพุ่งเข้าสู่เมฆแหล่งกำเนิดทัณฑ์ ไล่ตามกู่ฉิงซานไปอย่างไม่ลดละ
ขณะที่เมฆแหล่งกำเนิดทัณฑ์เองก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน
มวลเมฆสีทะมึนเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน บินขึ้นไปเข้าสู่ชั้นมหาสมุทร
กระทั่งมันก็ยังไล่ล่าตามกู่ฉิงซานไป!
ยามเมื่อเมฆแหล่งกำเนิดทัณฑ์ที่เกิดจากกฎเกณฑ์ของฟ้าดินบินใกล้เข้ามา ท้องทะเลก็แหวกออก เปิดเส้นทางให้แก่มันอย่างง่ายดาย
แสงสายฟ้านับไม่ถ้วนสาดประกายจากมวลเมฆ โฉบขึ้นเบื้องบน ไล่ตามติดกู่ฉิงซานไป
วินาทีต่อมา โลกเบื้องล่างก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
กู่ฉิงซาน ทัณฑ์สายฟ้า และเมฆแหล่งกำเนิดทัณฑ์ได้หายไปจากโลกใต้ดิน
ชายผู้คิดข้ามผ่านโทษทัณฑ์ ได้จากไปพร้อมกันกับทัณฑ์แห่งสวรรค์
นี่เป็นฉากที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน เกรงว่าบางทีตลอดทั้งประวัติศาสตร์การฝึกยุทธ์ คงไม่มีผู้ใดคิดกระทำการเช่นนี้
แม่มารกล่าวอย่างเหม่อลอย “เจ้าหนุ่มนั่น…”
“ท่านแม่ แล้วสิ่งที่พวกเราจะต้องทำต่อไปเล่า?” จักรพรรดินีหลี่อันถาม
แม่มารหลับตาลงและกล่าว “เฝ้ารอเวลาให้ทัณฑ์สวรรค์เรียกข้าไป”
เธอขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้งและอีกครั้ง สุดท้ายก็ถอนหายใจ “หลี่อัน เจ้าไปรู้จักกับชายผู้นี้ได้อย่างไร ไหนลองเล่าให้แม่ฟังซิ”
“มีอะไรหรือเจ้าคะ เหตุใดท่านแม่จึงอยากรู้เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้?”
หลี่อันเริ่มรู้สึกระแวง
“ข้าก็แค่ต้องการที่จะทบทวนถึงความสามารถของบุคคลผู้นั้นอีกครั้งก็เท่านั้นเอง” แม่มารถอนหายใจ
อีกด้านหนึ่ง
ชั้นมหาสมุทร
กู่ฉิงซานควบคุมกระแสมหาสมุทร ไล่เฟ้นหาตำแหน่งที่ได้มาสำรวจก่อนหน้านี้อย่างบ้าคลั่ง จนในที่สุดก็สามารถระบุพิกัดค่ายของสัตว์ประหลาดผีได้อย่างรวดเร็ว
ค่ายของสัตว์ประหลาดผีน่ะ อยู่ในทิศตะวันออก ขณะที่ค่ายของผู้เข้าสู่วิถีมารจะอยู่ในทิศตะวันตก ทั้งสองกลุ่มไม่ระรานซึ่งกันและกัน ไม่คิดติดต่อใดๆ แก่กัน แต่ก็คอยให้ความสนใจอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา
กู่ฉิงซานปล่อยดาบบินออกมา และเริ่มขับเคลื่อนเทคนิคดาบ
“ทัณฑ์สวรรค์กำลังไล่ตามมาจากเบื้องหลัง ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องทำตามแผนโดยเร็วที่สุด!” กู่ฉิงซานสั่ง
สามดาบบินสาดรังสีดาบคมกล้าออกมา
พวกมันขานรับฉวัดเฉวียนคำหนึ่ง เริ่มเจาะชั้นทะเล มุ่งหน้าไปจนถึงค่ายของสัตว์ประหลาดผีในพริบตา
สามดาบวนเป็นวง ค่อยตัดเฉือนพื้นที่ขอบรอบๆ ค่ายสัตว์ประหลาดผีอย่างรวดเร็ว
และกว่าที่สัตว์ประหลาดผีจะทันได้รู้ตัว สามดาบก็สามารถหั่นพื้นน้ำแข็งรอบค่ายเสร็จไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่การกระทำนี่คล้ายกับว่ามันไม่มีความหมายเลย
เนื่องเพราะมันเป็นค่ายที่มีสัตว์ประหลาดผีอยู่กว่าหนึ่งแสนตน ดังนั้นมันจึงมีขนาดเทียบเท่าได้กับเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ฉะนั้นแม้จะถูกหั่นพื้นที่รอบค่าย แต่บนพื้นน้ำแข็งก็ยังสามารถลอยลำอย่างนิ่งสงบอยู่เหนือน้ำทะเลได้อยู่ดี
ขณะที่โลกเบื้องบนน่ะเต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง อุณหภูมิของมันลดต่ำเป็นอย่างมาก ดังนั้นขอเวลาแค่เพียงไม่กี่สิบลมหายใจ เดี๋ยวรอยแตกที่ดาบบินทำไว้ทั้งหมดก็จะเชื่อมต่อกันเอง
แต่กู่ฉิงซานย่อมไม่พลาดโอกาสนี้
ขณะที่กำลังบินขึ้นไป เขาก็วาดมือออก
สามดาบบินกลับมาอีกครั้ง โคจรรอบตัวเขา
“ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดได้มาถึงแล้ว ดาบพิภพ ตอนนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
“วางใจเถอะ เจ้าจงส่งเทคนิคดาบมา แล้วข้าจะเป็นคนทุ่มออกด้วยกำลังทั้งหมดที่มีเอง”
“ฉานนู่ เจ้าไปได้ ผ่อนคลายเข้าไว้ล่ะ ไม่ต้องกังวลจนเกินไป”
“เจ้าค่ะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
ว่าจบ ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็หายไปจากข้างกายกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานคว้าจับดาบเช่าหยิน ก้มลงมองเบื้องล่าง
ท่ามกลางก้นบึ้งของมหาสมุทร เสียงฟ้าร้องและสายฟ้าฟาดกำลังสาดแสงสว่างจนสายฟ้าของมันลอดผ่านขึ้นมาอย่างช้าๆ
ทัณฑ์สายฟ้าเหลืออนันต์ กำลังไล่ติดตามมาสังหารเขา
………………………………………….
แสงสายฟ้าสีแดงหยดย้อยลงจากมวลเมฆ ร่วงตกลงมายังตำแหน่งที่กู่ฉิงซานยืนอยู่
ขณะที่กู่ฉิงซานยังคงหยุดนิ่ง เคียงข้างไปกับดาบคู่ใจ มิคิดเคลื่อนกายไปไหน
เฝ้ารอจนกระทั่งสายฟ้าดับจิตเทวะใกล้เข้ามา จนเกือบที่จะแตะเข้ากับปลายดาบยาว พริบตานั้นเขาร่างของเขาก็เริ่มวูบไหว จากไปในลมหายใจเดียว
และนั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ลอร่าบรรลุในสิ่งที่เธอต้องทำ
กู่ฉิงซานมองไปยังสายฟ้าดับจิตเทวะขนาดยักษ์
‘ไม่จำเป็นต้องทนอีกต่อไปแล้ว!’
ชั่วพริบตาถัดมา
คล้ายกับว่าใครบางคนได้ทำการสับเปลี่ยนภาพอย่างกะทันหัน ทั้งกู่ฉิงซานและสายฟ้าดับจิตเทวะหายวับไปในเวลาเดียวกัน สลับตำแหน่งกันอย่างรวดเร็ว
สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!
สายฟ้าดับจิตเทวะสัมผัสลงกับพื้นโดยตรง
เปรี้ยง!
พื้นดินถูกพลิกตลบ แรงระเบิดก่อให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ เจาะลึกลงไปเบื้องล่างจัตุรัส
“เสียใจด้วย…ที่ดูเหมือนว่าพลังสายฟ้าในครั้งนี้จะสูญเปล่าเสียแล้ว”
กู่ฉิงซานมองย้อนกลับลงไป และอดไม่ได้ที่จะเสียทัณฑ์สวรรค์
เขาทะยานตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า ทั้งคนทั้งร่างม้วนโฉบตัดสายลมดั่งนกนางนวล ผุดหายเข้าไปในม่านเมฆ
ท่ามกลางพายุสายฟ้าคะนอง เขาหลบเลี่ยงมันอย่างไม่รู้จบ
ก็ในเมื่อพิธีกรรมของลอร่าได้จบลงแล้ว ตัวกู่ฉิงซานเองก็ไม่คิดที่จะข้องแวะกับสายฟ้าสวรรค์อีกต่อไป
บังเกิดเสียงสายลมหวนทิ่มแทงเข้ามาในหู
ภายในม่านเมฆ ทัณฑ์สายฟ้าคำรามด้วยความโกรธ และกำลังสั่งสมอำนาจโจมตีในระลอกต่อไป
บรรดาสายฟ้าที่ถูกหลบเลี่ยงโดยเขาก่อนหน้านี้หยุดฟาดผ่าลง และเริ่มพากันบินหวนกลับขึ้นไปไล่ล่าเขาอย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานคว้าดาบเช่าหยินออกมา ชี้ปลายคมกล้าของมันขึ้นไปยังท้องฟ้าที่มืดมิด พลังศักดิ์สิทธิ์ข้ามผ่านมหาสมุทรถูกใช้ออกทันที
ถึงเวลาแล้วที่จะสังหารระบบของราชามาร!
อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนั้นเอง
ทุกสิ่งอย่างกลับหยุดนิ่ง
ทั้งหมดนิ่งงันอยู่ในสถานที่เดิม
กู่ฉิงซานพบว่าแม้ตัวเขาจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่สมองก็ยังสั่งการความคิดได้อยู่
ซึ่งความคิดน่ะมันเชื่อมโยงกับจิตใจของเขาโดยตรง ส่งผลให้สามารถได้ยินถึงเสียงที่เต็มไปด้วยความผันผวนจากภายในนั้นดังก้องขึ้น
“เจ้าหนู ข้าได้จับตาดูเจ้ามานานแล้ว คอยเฝ้ามองเจ้ากับลอร่ามานาน และในที่สุดข้าก็ถูกเรียกตัว ปลุกให้ตื่นขึ้นต่อหน้าเจ้าเสียที” เสียงนั้นส่งผ่านความคิดผ่านเข้ามา
“เจ้าเป็นใครกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
เสียงนั้นถอนหายใจและกล่าว “ข้าน่ะหรือ? ข้าก็คือสิ่งที่อยู่บนกายเจ้าไง ถึงเดิมทีแล้วกำลังรักษาความเสียหายอยู่ก็เถอะ แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะมีงานให้ต้องทำอีกแล้ว”
กู่ฉิงซานตอบกลับพร้อมทั้งเอ่ยถาม “ที่แท้เจ้าก็คือเกราะรบที่ลอร่ามอบให้ข้านั่นเอง ว่าแต่เมื่อครู่เจ้าบอกว่าได้รับความเสียหายอย่างงั้นหรือ?”
“ถูกต้อง ในช่วงเวลานั้นพวกเราได้เดินทางเข้ามาในอัลเบอัส แต่แล้วก็ถูกทริสเต้ฉวยจังหวะทีเผลอ ใช้สี่เหล็กในที่ได้รับมาจากจอมมารที่แท้จริง ทำการลอบสังหารราชวงศ์หนาม”
“สี่เหล็กใน?”
“ใช่ ในเวลานั้น ราชาหนาม ราชินีหนาม ลอร่า และน้องชายของเธอ ทั้งสี่คนกำลังร่วมกันถ่ายภาพครอบครัวอยู่ แต่แล้วทริสเต้ก็ฉวยโอกาสนั้นลงมือจากด้านหลังพวกเขา”
“แล้วลอร่ารอดชีวิตมาได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ในชั่วพริบตาสุดท้าย องค์ราชาได้เหวี่ยงข้าออกไปคลุมบนตัวของลอร่า”
“เนื่องจากลอร่ามีพรสวรรค์แสนวิเศษอย่าง ‘ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกา’ ฉะนั้นตราบใดที่เธอไม่ถูกฆ่าตายทันที เธอย่อมสามารถใช้มันแล้วหลบหนีไปจากการลอบสังหารของทริสเต้ได้”
“…พ่อของลอร่าช่างมีไหวพริบและจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่จริงๆ”
“แต่ขอบอกตรงๆ ว่าเหล็กในของจอมมารค่อนข้างจะทรงพลังมากทีเดียว แม้กระทั่งสกิลตัดขาดเวลาของข้า ก็ยังไม่สามารถปัดป้องมันได้ นี่ขนาดข้าทุ่มสุดตัวแล้วนะ แต่ก็ยังได้รับความเสียหายนี้มา”
“แล้วลอร่าล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง?”
“เดชะบุญที่เธอไม่เป็นอะไร”
ความคิดของเกราะรบกลายเป็นจริงจัง มันเอ่ยถาม “ตอนนี้ ข้ามีสิ่งหนึ่งที่ต้องการจะถามเจ้า”
“โปรดบอกมา”
“โชคชะตาน่ะมักจะให้ตัวเลือกแก่ผู้คนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นทางเลือกของเจ้า หรือทางเลือกของข้า ล้วนแตกต่างกันและไม่อาจคาดเดาได้ ดังนั้นข้าเลยต้องการที่จะทราบว่าเจ้าอยากจะสวมใส่ข้าต่อไปในภายภาคหน้า หรือว่าหลังจากจบเรื่องนี้แล้ว เจ้าจะคืนข้าให้แก่ลอร่า”
“ก็ต้องคืนเจ้ากลับให้เธอสิ” กู่ฉิงซานกล่าวทันที
ความคิดของเกราะรบกล่าว “เจ้าพอจะตัดสินใจอีกสักครั้งได้หรือไม่ นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่จะได้ครอบครองข้าเชียวนะ เพราะท้ายที่สุดนี้ ในตลอดทั้งหมื่นโลกา เกราะรบแบบข้าน่ะมีไม่มากนักหรอกนะ”
มันยังคงเอ่ยต่อ “ข้าไม่ชอบที่จะถูกเก็บไว้อยู่ในรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม ไม่ชอบที่จะต้องคอยมาเป็นสัญลักษณ์ของราชา แท้จริงแล้วข้าชมชอบในการต่อสู้ นี่ต่างหากจึงจะเหมาะสมกับสัญลักษณ์ของเกราะรบ…ข้าปรารถนาที่จะกระโจนลงสู่สมรภูมิอย่างแท้จริง”
“อ๋อ แต่นั่นมันทางเลือกของเจ้านี่ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้าเสียหน่อย”
กู่ฉิงซานส่ายหัวและกล่าว “เจ้าน่ะเป็นของลอร่า และเธอก็ให้ข้ายืมมาใช้ หลังจากจบเรื่องนี้ ข้าจะต้องคืนเจ้าให้แก่เธอ”
“แต่…” เกราะรบต้องการจะเถียงต่อ
กู่ฉิงซานขัดจังหวะมัน “ด้วยความหวังของพ่อที่จะปกป้องลูกสาวของตัวเองในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ความรู้สึกนี้ของเขา ข้าสามารถตระหนักถึงมันได้ดี”
“ในเมื่อเจ้าสามารถต้านทานเหล็กในของจอมมารที่แท้จริงได้ เช่นนั้นข้าก็หวังว่าเจ้าจะอยู่เคียงคู่กับลอร่า และคอยปกป้องเธอนับจากนี้ไปในอนาคต”
“ซึ่งนี่แหละคือความปรารถนาสุดท้ายของคนเป็นพ่อ และขณะเดียวกันมันก็เป็นคำขอของคนแปลกหน้าอย่างข้าด้วย”
“ฉะนั้น ข้าจะไม่พาเจ้าออกไป”
เกราะรบพอได้ฟังก็เงียบงันไป
ขณะเดียวกันสถานะตัดขาดเวลาก็ยังคงไม่จางหาย ทุกสรรพสิ่งโดยรอบยังคงนิ่งงันอยู่กับที่
แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เกราะรบก็หัวเราะออกมา
น้ำเสียงของเกราะรบกลายเป็นสงบ และฟังดูพึงพอใจ “อันที่จริงแล้ว ตัวข้ากับรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามมีคำมั่นสาบานร่วมกันอยู่”
“คำมั่นสาบานอะไร?”
“ข้าสาบานว่าจะปกป้องเผ่าพันธุ์วิหคหนามที่นำพาข้าออกจากหุบเหวแห่งความสับสนวุ่นวาย -ข้าจักรับหน้าที่ปกป้องกษัตริย์ของพวกเขาตลอดไป”
เกราะรบยังคงเล่าต่อด้วยความสุข “เมื่อครู่นี้ หากในหัวใจของเจ้าบังเกิดซึ่งความละโมบ ต้องการที่จะช่วงชิงข้า ข้าก็จะจากเจ้าไป กลับคืนหาลอร่าโดยตรง”
“แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าสายตาของลอร่าจะหลักแหลมไม่เบาเลย ผู้พิทักษ์ที่เธอเป็นคนเลือกช่างมีคุณสมบัติเหมาะสมจริงๆ”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าก็จะปฏิบัติตามคำขอของเธอ คอยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเจ้า”
ทันทีที่เสียงนี้ตกลง โลกทั้งใบก็กลับคืนสู่สภาวะปกติในพริบตา
เสียงสายลมเสียดแทงเข้ามาในหูของเขา
กู่ฉิงซานพบว่าตนเองยังคงบินขึ้นไปยังเบื้องบนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันมวลเมฆก็กำลังรวบรวมอำนาจลงทัณฑ์ในครั้งต่อไป
ลอร่ายืนอยู่บนยอดต้นไม้ และกำลังส่งเสียงเชียร์เขา
ส่วนมารสวรรค์ ตนแล้วตนเล่าก็เริ่มเตรียมตัว พร้อมรับมือกับโดมบนท้องฟ้าที่กำลังจะเปิดออก
‘ตัดขาดเวลา’ ได้สลายไปแล้ว!
ในเวลาเดียวกัน รอบกายของกู่ฉิงซานก็ปรากฏชั้นแสงบางเบาส่องไสวออกมา แม้มองในบางมุมมันจะดูคล้ายกับหมอก แต่ก็ยังสีแสงสว่างลอดออกมาเล็กน้อย
“แสงนี้คือ”
“เป็นข้าเอง ข้าคือสิ่งที่เหล่าทวยเทพได้รังสรรค์ขึ้น ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถมองเห็นได้”
“แล้วทำไมเจ้าถึงปรากฏออกมาในรูปแบบนี้?”
“เพราะรัศมีแสงเช่นนี้ มันบ่งบอกถึงเกียรติยศ มันบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของวัตถุที่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยทวยเทพอย่างไรล่ะ!”
ขณะที่เกราะรบกล่าว กู่ฉิงซานก็ค้นพบว่าบนหน้าต่างเทพสงคราม มีสองบรรทัดแสงตัวอักษรขนาดเล็กเด้งขึ้นมา
“ชุดเกราะรบของคุณได้เข้าสู่สถานะต่อสู้”
“ตอนนี้คุณสามารถตรวจสอบรายละเอียดของเกราะรบได้แล้ว ต้องการที่จะตรวจสอบมันหรือไม่?”
“ตรวจสอบทันที”
กู่ฉิงซานกล่าว
ทันใดนั้นฝูงหิ่งห้อยก็โบยบินออกมาจากในอากาศที่ว่างเปล่า ร้อยเรียงเป็นตัวอักษรอย่างต่อเนื่อง
“ชื่อไอเท็ม: วัตถุจากสมัยโบราณ เกราะของเหล่าทวยเทพ”
“คุณภาพ สิ่งประดิษฐ์เทวะโบราณ”
“นี่คือเกราะรบที่เหล่าทวยเทพในสมัยโบราณรังสรรค์มันขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน เดิมทีแล้วพวกเขาตั้งใจจะมอบมันเพื่อเป็นรางวัลให้แก่วีรบุรุษท่ามกลางหมู่มวลสิ่งมีชีวิตทั้งหมด แต่ภายหลังกลับพบว่าพลังป้องกันของเกราะนี้มันทรงประสิทธิภาพมากเกินไป ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่เทพบรรพกาลมิได้มอบเกราะรบนี้ให้แก่สิ่งมีชีวิตทั้งมวล”
“ชุดเกราะรบ มีความสามารถดังต่อไปนี้”
“กำจัดธาตุ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณได้รับความเสียหายจากธาตุ ‘กำจัดธาตุ’ ในเกราะรบจะถูกเปิดใช้งานทันที เพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดจากการโจมตีธาตุที่จะทำร้ายคุณ”
“ไร้ซึ่งบาดแผล เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณได้รับความเสียหายทางกายภาพ ‘ไร้ซึ่งบาดแผล’ ในเกราะรบจะถูกเปิดใช้งานทันที เพื่องป้องกันความเสียหายที่เกิดจากการโจมตีทางกายภาพที่จะทำร้ายคุณ”
“คำบัญชาเทพ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณถูกโจมตีอย่างร้ายแรง เกราะรบจะตระหนักได้ถึงโชคชะตาแห่งความตายของคุณ และมันจะใช้ออกด้วย ‘ตัดขาดเวลา’ ทันที”
“ในส่วนล่างนับจากนี้ไป คือคำอธิบายของหน้าต่างเทพสงคราม”
“วิชายุทธ์เทพสงคราม ชุดเกราะนี้คือเกราะรบของเทพบรรพกาล และมีอำนาจเทวะอยู่ในมัน อย่างไรก็ตาม คุณไม่สามารถเรียนรู้สกิลเหล่านั้นได้”
“พงศาวดารวันสิ้นโลก ชุดเกราะนี้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถันโดยเหล่าทวยเทพ ในชีวิตก่อนหน้าของคุณ หลังจากที่ราชวงศ์หนามทุกคนได้เสียชีวิตลงแล้ว เกราะรบนี้ก็ถูกครองครอบโดยแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ และเธอได้นำมันไปมอบให้แก่จอมมารที่แท้จริง จนท้ายที่สุดมันก็กลายเป็นเกราะรบของจอมมาร”
“หมายเหตุ คุณสามารถจ่ายหนึ่งพันแต้มพลังวิญญาณ เพื่อทำการตรวจสอบเหตุการณ์อันมีชื่อเสียงทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเกราะรบนี้ได้”
“ฉันจ่าย”
“เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องได้ถูกปลดล็อกแล้ว”
“เหตุการณ์อันมีชื่อเสียง หายนะความพ่ายแพ้ของจอมมารที่แท้จริง”
“หายนะความพ่ายแพ้ของจอมมารที่แท้จริง ในช่วงเวลาวิกฤติท่ามกลางการต่อสู้ขั้นแตกหัก ระหว่างที่กำลังทานรับการโจมตีอันร้ายกาจเป็นประวัติการณ์จากศัตรูรอบทิศทาง เกราะรบจอมมารได้ละทิ้งจอมมารที่แท้จริงอย่างกะทันหัน ส่งผลให้จอมมารได้รับบาดเจ็บร้ายแรงจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น”
“ภายหลัง จอมมารที่แท้จริงจึงได้ใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะทำลายล้างเกราะรบที่ทรยศมันเกราะนี้!”
กู่ฉิงซานที่พอได้อ่านคำอธิบายทั้งหมด เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
แต่เดิม เกราะรบนี้มันมีจิตนึกคิดและความรู้สึก
บางทีเหตุการณ์ ‘หายนะความพ่ายแพ้ของจอมมารที่แท้จริง’ มันอาจเกิดจากการล้างแค้นของเกราะรบสำหรับราชวงศ์หนามก็เป็นได้
“ตกลง งั้นก็จงร่วมมือกับข้าเสีย!”
ตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องกำจัดศัตรูทั้งหมด!
ตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องทำให้ทุกอย่างมันจบลง!
ภายใต้ความมุ่งมั่นแรงกล้าของกู่ฉิงซาน ประกายแสงระยับจางๆ ที่อยู่รอบกายเขาก็เริ่มสาดแสงเดือดพล่านออกมา
กลิ่นอายอันแสนลึกลับและสง่างามเล็ดลอดออกมาจากตัวเขา
ในขณะเดียวกัน ภายใต้แสงสว่าง เสียงเสียงหนึ่งดังกึกก้อง
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ ข้าจะลุยไปด้วยกันกับเจ้าเอง!”
………………………………………………
กู่ฉิงซานถือดาบไว้ในมือ นิ่งงันไม่คิดขยับกายเคลื่อนไหว
เมฆที่ฟุ้งไปด้วยโทษทัณฑ์ปกคลุมหนาแน่น นำพาท้องฟ้าจมลงสู่ความมืดมิด
แสงและเงาเริ่มที่จะกะพริบไหว
พวกมันลอยอยู่ในอากาศ และเริ่มแปรสภาพเป็นบอลแสงสีน้ำเงินขาว ร่วงหล่นลงมายังเบื้องล่างอย่างช้าๆ
อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกันสองดาบบินก็แปรเปลี่ยนเป็นกระแสแสง พุ่งทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า กวัดแกว่งทำลายมัน มิให้ร่วงลงมาถึงตัวเขาอย่างไม่หยุดยั้ง
กู่ฉิงซานใช้ออกด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี ดังนั้นรังสีดาบที่ปลดปล่อยจึงทั้งรุนแรง และรวดเร็วถึงขีดสุด!
หากมองจากระยะไกล จะเห็นแค่เพียงเส้นแสงคมกริบที่เกิดจากคมดาบ ตัดสะบั้นบอลสายฟ้าอย่างไม่รู้จบ
เสียงสายฟ้าระเบิดดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ พวกมันเริ่มแตกตัวเป็นจุดดาวไสว กระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้า
เมื่อใดก็ตามที่สายฟ้าสัมผัสถูกกันและกัน พวกมันจะเริ่มเกาะกลุ่ม และเปลี่ยนร่างเป็นงูสายฟ้า แหวกว่ายผ่านอากาศ ตัดแบ่งผืนฟ้ายามค่ำคืนด้วยสีน้ำเงินขาว
ท้องฟ้าอันมืดมิดสาดไสวไปด้วยแสงและเงา
ส่งผลให้ฉากนี้ดูงดงามเป็นพิเศษ
ทว่าสีหน้าของกู่ฉิงซานกลับเริ่มดูหนักเคร่งขรึมมากขึ้น
เขาสูดหายใจลึก และปรับรูปแบบกระบวนของดาบ
จากสองดาบเน้นโจมตี เป็นหนึ่งโจมตีหนึ่งป้องกัน
เพราะหลังจากทั้งหมดนี้ ทัณฑ์สวรรค์น่ะยิ่งนาน สายฟ้าสวรรค์ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นสถานการณ์ที่เขากำลังจะต้องเผชิญคงจะหนักหนาไม่น้อย
หลังจากผ่านพ้นไปห้าลมหายใจ
บนท้องฟ้า ก็เริ่มพร่างพราวไปด้วยจุดแสงดาว
ทัณฑ์สายฟ้าปกคลุมหนาแน่น รังสีแสงอันไพศาลกวาดกระจายว่อนไปทั่ว
ทัณฑ์สายฟ้าได้ครอบคลุมตลอดทั้งผืนฟ้าแล้ว!
กู่ฉิงซานเฝ้ามองทัณฑ์สายฟ้า และพยักหน้าอย่างลับๆ
“เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว”
เขาคว้าจับดาบเช่าหยิน และเริ่มต้นกระตุ้นพลังเหนือธรรมชาติทันที เพื่อเตรียมลากทัณฑ์สวรรค์ข้ามผ่านผืนสมุทร มุ่งตรงไปยังชั้นน้ำแข็งเบื้องบน!
มุ่งไปยังสถานที่ซึ่งมีหนึ่งแสนกองทัพสัตว์ประหลาดผี และกว่าสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมารอาศัยอยู่!
ในตอนที่กู่ฉิงซานเตรียมจะออกเดินทางไปนั้นเอง เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นทันใด
“กู่ฉิงซาน เจ้ารอก่อน!”
ร่างของกู่ฉิงซานชะงักไป เขาเหลียวมองย้อนกลับหลัง แล้วก็พบกับฉากที่ทำให้ตนต้องประหลาดใจ
ท่ามกลางความว่างเปล่าเบื้องหลังเขา ปรากฏถึงต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่งขึ้น ซึ่งนี่มิใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นมัน
รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม
ทว่าคราวนี้ นี่มิใช่ภาพฉายหรือร่างเงาของมัน แต่เป็นต้นไม้ยักษ์โบราณของจริง!
มันได้ข้ามผ่านมิติและเวลา มาปรากฏตัวขึ้นบนโลกนี้โดยตรง!
ลอร่ายืนอยู่ใต้ต้นไม้และโบกมือให้แก่เขา
“นั่นฝ่าบาทคิดจะทำอะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“เราขอโทษจริงๆ ที่มอบชุดเกราะที่ไม่สามารถใช้งานได้ให้แก่เจ้า โปรดรอสักครู่ เรากำลังจะไปทำให้มันใช้งานได้เดี๋ยวนี้แหละ” ลอร่าตะโกนออกมา
กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ชะงักไป
ชุดเกราะงั้นหรือ?
“ฝ่าบาทได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำพิธีก้าวขึ้นสู่วัยผู้ใหญ่ ขอเจ้าจงโปรดรอสักครู่” อีเลียส่งความคิดไปหาเขา
“พิธีก้าวขึ้นสู่ผู้ใหญ่ มันจะเป็นอันตรายหรือไม่?” กู่ฉิงซานส่งความคิดถามกลับ
“มันไม่อันตรายหรอก แต่เธอแค่จะต้องทนทุกข์ทรมานเล็กน้อย แล้วก็ต้องหักห้ามใจในเรื่องที่ตนหวาดกลัวความสูงก็เท่านั้นเอง นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เธอเอ่ยปากออกมาด้วยตัวเองว่าต้องการเข้าพิธีขึ้นสู่วัยผู้ใหญ่”
“เข้าใจแล้ว”
กู่ฉิงซานยิ้มให้กับลอร่าและกล่าว “เช่นนั้นท่านก็สู้เขาล่ะ เพราะ…”
ปัง!
ระหว่างกล่าว ทัณฑ์สายฟ้าจู่ๆ ก็ผ่าลงมา ฟาดเข้าใส่กู่ฉิงซานที่ไม่มีเวลาแม้จะยกดาบขึ้นมาปัดป้อง
เขาถูกฟาดกระแทกลงกับพื้น
ลอร่าที่เห็นถึงฉากนี้ ร่ำร้องด้วยความกระวนกระวาย “กู่ฉิงซาน อย่าตายนะ เราจะรีบทำให้มันจบๆ ไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
ว่าแล้วเธอก็เริ่มปีนขึ้นไปบนรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ เอื้อมมือไปคว้าจับหนามบนลำต้นของมัน
ปรากฏเลือดไหลซึมออกมาจากฝ่ามือทันที
เจ็บจัง!
ลอร่าขมวดคิ้วมุ่น
นี่คือหนามแหลมที่ผุดออกมาจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์
ตลอดทั้งลำต้นของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ นอกเหนือไปจากสถานที่อื่นที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้แล้ว ตำแหน่งอื่นๆ ล้วนเต็มไปด้วยหนามแหลมทั้งสิ้น
นี่คือหนึ่งในรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ที่ถือกำเนิดขึ้นในสมัยโบราณอันไกลโพ้น ผ่านพ้นวันเดือนปีแห่งการทดสอบมาอย่างโชกโชน ดังนั้นสิ่งมีชีวิตใดที่คิดเล่นตุกติกกับมัน จะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นขี้เถ้าทันที
ท่ามกลางโลกเก้าร้อยล้านชั้น รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์จากโบราณกาลนี้แทบจะเรียกได้ว่าคงกระพัน มิอาจทำลายได้
แต่ก็นับว่าโชคยังดี ที่แม้มันจะมีอำนาจเหลืออนันต์ แต่แท้จริงแล้วมันก็รับรู้ได้ถึงกฎแห่งความจริงของชีวิตและความตาย ดังนั้นมันจึงมิเคยใช้ประโยชน์จากอำนาจของตนเองในการทำลายล้าง หรือใช้พลังมนตราที่ทรงพลานุภาพของตนเข้าไปปั่นป่วนวัฏจักรของโลกเลย
แต่หากจะกล่าวถามว่ารุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้มันมีจุดอ่อนใด แน่นอนว่าคงย่อมเป็นไปตามกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ หนอนแมลงนั่นเอง
หนอนแมลงเป็นศัตรูตามธรรมชาติของต้นไม้
ด้วยอำนาจของกฎเกณฑ์ ส่งผลให้รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์มิอาจจัดการกับหนอนแมลงเหล่านั้นได้
อย่างไรก็ตาม กลับเป็นตัววิหคที่สามารถเกื้อกูลมัน ช่วยรับมือกับหนอนแมลงเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น ณ ขณะนี้ ยามเมื่อได้ยินถึงเสียงเรียกขานของลอร่า รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์จึงตอบรับ และปรากฏตัวขึ้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
อันที่จริงแล้วมันเองก็รู้สึกได้ถึงการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของราชวงศ์หนาม
ปัจจุบันนี้ สายเลือดแห่งราชวงศ์หนามหลงเหลือเพียงคนสุดท้ายแล้ว
ลอร่ากัดริมฝีปากของเธอ อดทนต่อความเจ็บปวด และยื่นอีกมือหนึ่งไปจับพวงหนามต่อไป
จากนั้นก็เริ่มใช้เท้าหยั่งบนมัน
เธอเริ่มที่จะคว้าจับหนาม และค่อยๆ ปีนขึ้นไปทีละขั้น ทีละขั้น
ตลอดทั้งตัวต้นไม้ สูงกว่าหนึ่งหมื่นเมตร ยอดสุดของมันแทงทะลุขึ้นไปถึงฟากฟ้า
ขณะที่ลอร่าต้องปีนขึ้นไปบนยอดต้นไม้ด้วยมือเปล่า พิธีก้าวขึ้นสู่วัยผู้ใหญ่จึงจะบรรลุโดยสมบูรณ์
เธอใช้มือและเท้าปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน หนามแหลมก็คอยแทงทั้งมือและเท้าของเธอ ทิ้งคราบเลือดเอาไว้บนรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์
ไม่นาน เด็กสาวก็สามารถปีนขึ้นไปได้กว่าหลายร้อยเมตร
แน่นอน ว่าในครั้งที่เธอยังเด็กกว่านี้ ช่วงเวลานั้นเธอก็เคยได้รับการฝึกปีนมาก่อนเช่นกัน แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกกลางคันเสมอมา
“ความเจ็บปวดนี้ สำหรับเราแล้วไม่นับว่าเป็นสิ่งใด”
เธอยังคงปีนป่ายต่อไป
“เราเสียครอบครัว สูญเสียมามากเกินไป แล้วตอนนี้กับอีแค่ความสูงเราจะเอาชนะมันไม่ได้เชียวหรือ?”
เธอก้มลงมองเบื้องล่าง
ทว่าพริบตาที่ก้มมอง จิตสำนึกของตนพลันกลายเป็นว่างเปล่าโดยไม่รู้ตัว ความหวาดกลัวเริ่มแทรกแซงเข้ามาในจิตใจอีกครั้ง
ในขณะนั้นเอง กู่ฉิงซานก็บินขึ้นมาและให้กำลังใจเธอด้วยรอยยิ้ม “สู้เขาสิ ยิ่งปีนช้ามันก็ยิ่งเจ็บนะ จะเป็นการดีกว่าหากท่านปีนขึ้นไปโดยเร็ว”
ว่าจบเขาก็พุ่งข้ามผ่านขึ้นไปยังเบื้องบน เผชิญหน้ากับทัณฑ์สายฟ้าอีกครา
วินาทีต่อมา
ก็ปรากฏถึงแสงจรัสจากสายฟ้าอีกครั้ง ฟาดเขาร่วงตกลงสู่พื้นดิน
โครม!
บังเกิดเสียงหนักทึบ
“กู่ฉิงซาน!” ลอร่ากรีดร้อง
เธอก้มลงมองลงไปในหลุมลึกที่เพิ่งปรากฏขึ้น ความวิตกกังวลพรวดเข้ามาในจิตใจของเธอ
“อย่าตายนะ เจ้าสามารถช่วยชีวิตเราได้ เราก็สามารถช่วยชีวิตเจ้าได้เช่นกัน รอเราไปถึงยอดต้นไม้ก่อนนะ” เธอตะโกนลงไป และเริ่มเอื้อมมือ คว้าจับหนามแหลมอันต่อไปอีกครั้ง
เหมือนกับว่าความวิตกที่แทรกแซงเข้ามา จะทำให้เธอลืมเลือนความหวาดกลัวไปแล้ว
ปีนขึ้น
ปีนขึ้นไป
ปีนขึ้นไปอย่างไม่ยอมแพ้!
ท่ามกลางลำต้นที่เต็มไปด้วยหนามแหลม เธอเริ่มปีนเร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ!
ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานที่จมลงอยู่ในหลุมลึก ก็กำลังคอยปล่อยจิตสัมผัสเทวะ เฝ้ารอร่างน้อยๆ ที่กำลังพยายามของลอร่าอย่างเงียบๆ
โอ๊ย
เมื่อกี้นี้มันเจ็บจริงๆ นะ
เขาลูบไล้ลงบนไหล่ซ้ายที่ไหม้เกรียม ในหัวใจของตนเต็มไปด้วยห้วงอารมณ์
แท้จริงแล้วสายฟ้าเมื่อครู่นี้เขาสามารถหลบได้…
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลานั้น การแสดงออกทางสีหน้าของลอร่าไม่สู้ดีนัก มันเหมือนกับในทุกๆ ครั้งที่เขาพาเธอลอยไปในอากาศ
ดังนั้น เขาจึงต้องใช้แผนแปลงตนเป็นน้ำมัน แล้วราดลงบนไฟสู้ของลอร่าให้กลับมาลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
ถึงจะเจ็บปวด แต่มันก็ได้ผล เด็กสาวตัวน้อยถูกหลอกจริงๆ เธอลืมเลือนความหวาดกลัว และปีนป่ายขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
อืม…กลายเป็นเด็กที่กล้าหาญไปเสียแล้ว
กู่ฉิงซานคิดว่าหากเขามีลูกสาวที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ในอนาคตเขาคงจะมีความสุขมาก …
ทว่าเพียงคิดเกี่ยวกับมัน ทัณฑ์สายฟ้าก็ฟาดมาลงมาอีกแล้ว
ไอ้สายฟ้าบ้านี่…
กู่ฉิงซานสบถงึมงำ ปากอ้าถอนหายใจ และสูดมันเข้าลึกๆ จากนั้นทั้งร่างของเขาก็สั่นไหว และทะยานตัวขึ้นไปทานรับสายฟ้าสวรรค์อีกครั้ง
และคราวนี้ เขาระมัดระวังตัวอย่างแท้จริง มิคิดเล่นละครใดๆ อีกต่อไป
สามดาบบินออกมาพร้อมกัน สับสะบั้นสายฟ้าสวรรค์ใกล้ตัวเขา สับๆๆ มันจะกลายเป็นจุดละอองเล็กๆ
แสงสายฟ้าหยดย้อยลงจากก้อนเมฆอย่างไม่รู้จบ ไล่ตามติดร่างของเขา หวังที่จะระเบิดใส่ให้จงได้
ขณะที่กู่ฉิงซานก็ทุ่มออกทุกวิถีทาง ใช้ความพยายามทั้งหมดที่ตนมี ควบคุมสามดาบยาว ร่ายรำในอากาศตัดสะบั้นสายฟ้าสวรรค์อย่างต่อเนื่อง
แต่แล้วเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง พายุทัณฑ์สายฟ้าก็หยุดลงในที่สุด
พร้อมกับร่างของกู่ฉิงซานที่ปรากฏขึ้น ปากอ้าหอบหายใจหนักหน่วงอยู่ครู่หนึ่ง
การต่อสู้ดุเดือดเช่นนี้ เกือบทุกวินาทีล้วนกัดกินพลังชีวิตเขา แต่เจ้าตัวก็ยังพยายามอย่างดีที่สุด
“เอาล่ะ แกเองก็เหนื่อยมากเหมือนกันใช่ไหม? ถ้าอย่างงั้นแล้วทำไมพวกเราไม่ค่อยมาสู้กันต่อทีหลังล่ะ?”
เขาเปล่งเสียงกระซิบไปยังก้อนเมฆ
ในมือตนตบเข้ากับเม็ดยาวิญญาณ โยนเข้าใส่ปาก เคี้ยวสองสามครั้งและกลืนลงไป
ทันใดนั้นกู่ฉิงซานเหมือนจะรู้สึกตัวถึงอะไรบางอย่าง
เขาเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ
เห็นแค่เพียงบนก้อนเมฆ
สีทะมึนของมันกำลังค่อยๆ สาดประกายแสงสีแดงเข้มออกมาอย่างช้าๆ
นี่คือสายฟ้าสวรรค์ที่มีขนาดอย่างน้อยก็เทียบเท่ากับหนึ่งสนามฟุตบอล
และเนื่องจากสีแดงเข้มที่สาดไสวของมัน ส่งผลให้เขาสามารถยืนยันถึงสถานะของมันได้อย่างชัดเจน
สายฟ้าดับสูญจิตเทวะ
ในบรรดาทัณฑ์สายฟ้าทั้งหมด สายฟ้าดับสูญนี้ นับว่าเป็นหนึ่งในสายฟ้าที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด
ยามที่สิ่งมีชีวิตใดถูกโจมตีด้วยสายฟ้านี้ จิตเทวะในร่างของเขาจะดับสูญลงอย่างสิ้นเชิง ไม่มีแม้กระทั่งโอกาสได้กลับไปเกิดใหม่
สายฟ้าดับจิตเทวะกำลังร่วงตกลงมา
กู่ฉิงซานแหงนหน้ามองผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ที่ปกคลุมอยู่เหนือศีรษะของเขา อดไม่ได้ที่จะเอ่ยพึมพำ “เร็วเข้าลอร่า ดูเหมือนฉันจะยื้อได้อีกไม่นานแล้วนะ…”
ลอร่ายังคงปีนป่ายขึ้นไป
อย่างรวดเร็ว อีกไม่นานเธอก็จะขึ้นไปจนถึงยอดของต้นไม้แล้ว!
ระยะทางหนึ่งหมื่นเมตร สำหรับมืออาชีพน่ะ มันไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย!
สำหรับวิหคหนามแล้ว แค่นี้นับว่าเล็กน้อย!
เด็กสาวมองไปยังสายฟ้าสีแดงเข้ม
แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าสายฟ้านั่นคืออะไร แต่เธอสามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายที่อยู่เบื้องหลังมันได้อย่างชัดเจน
ลอร่าเร่งความเร็วของเธอมากขึ้นอีกครั้ง
สายฟ้าสีแดงเข้มค่อยร่วงตกลงใส่กู่ฉิงซาน
และลอร่าจะไม่มีทางยอมให้มันเกิดขึ้น แม้จะเหลืออีกสามขั้นสุดท้าย แต่เธอก็เลือกที่จะกระโดดข้ามผ่านมันโดยตรง ขึ้นไปทิ้งตัวลงบนยอดต้นไม้
เธอเร่งผุดลุกขึ้น บนยอด ปากอ้าตะโกนเสียงดัง “พระแม่แห่งรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ เราปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับจากท่าน!”
รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์เปล่งรังสีแสงมรกตออกมา
รังสีแสงเหล่านี้ ผสานรวมกันบนยอดต้นไม้ โถมเข้าไปห่อหุ้มตลอดทั้งร่างกายของลอร่าโดยสมบูรณ์
คู่ปีกสีเขียวเข้มเล็กเบื้องหลังเธอผุดออกมา ก่อนจะค่อยๆ ยืดขยายออกจนมีความยาวเท่ากันกับความสูงของเด็กสาว
รังสีแสงมรกตค่อยๆ จางหายไป ขณะเดียวกันคู่ปีกก็เริ่มเปล่งประกายกระจ่างใสดั่งคริสทัล
พร้อมกันกับใบไม้เรืองแสงสามใบที่โผล่ออกมาจากปีกอย่างเงียบๆ
สามใบไม้เรืองแสงปรากฏขึ้น และผลุบหายเข้าไปอีกครั้งในปีกของเธอ
ลอร่าจ้องมองฉากที่เกิดขึ้นนี้ด้วยความประหลาดใจ
โดยไม่คาดคิด หลังจากที่ตนสามารถบรรลุพิธีก้าวขึ้นสู่วัยผู้ใหญ่ได้ รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์กลับมอบของขวัญครั้งใหญ่ให้เธออย่างกะทันหัน!
โดยปกติแล้ว วิหคนามจะได้รับพรจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์เพียงใบเดียวเมื่อพวกเขาสามารถปลุกตนให้ตื่นขึ้น
แม้กระทั่งสมาชิกของราชวงศ์ก็เช่นกัน
มีเพียงกษัตริย์แห่งหนามเท่านั้นจึงจะได้รับพรถึงสองใบ
อย่างไรก็ตาม เหนือยิ่งกว่ากษัตริย์แห่งหนามที่พระแม่ชมชอบ ท่ามกลางสายธารแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนาน เธอกลับได้รับพรถึงสามใบ!
ทั้งสามใบที่อยู่กับลอร่านี้ เป็นตัวแทนของพรสามประการที่แตกต่างกันออกไป
เธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของที่ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกา
เวลานี้ เธอสามารถใช้พรสวรรค์ของตนได้อย่างเต็มที่แล้ว!
ในขณะเดียวกัน มงกุฎหนามที่ถูกถักทอ ร้อยเรียงมาจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามก็ลอยออกมา และค่อยๆ ตกลงเหนือศีรษะของลอร่า
“องค์กษัตริย์ทรงพระเจริญ!”
“องค์กษัตริย์ทรงพระเจริญ!”
ทหารพิทักษ์ต่างเริ่มโห่ร้อง
“แท้จริงแล้วท่าน…เป็นอัจฉริยะสินะ…” อีเลียพอได้เห็นฉากนี้ ก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีกต่อไป เธอพึมพำด้วยความตื่นเต้น
แต่แล้วลอร่าก็ตระหนักได้ถึงสิ่งที่ตัวเธอเองต้องทำ
เธอก้มลงมองไปยังเบื้องล่าง
สายฟ้าข้ามผ่านระยะยอดต้นไม้หนึ่งหมื่นเมตรไปแล้ว และกำลังจะร่วงตกลงบนกู่ฉิงซานและดาบยาวของเขาบนพื้นดิน
ลอร่าเร่งร้องตะโกนออกไป “ในนามของกษัตริย์แห่ง
จักรพรรดินีหลี่อันจ้องมองมาไปยังกู่ฉิงซาน
เธอต้องการจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของอีกฝ่าย เธอก็กลืนมันลง แต่ก็ไม่คิดถอนตัวจากไป
แม่มารถอนหายใจ ก่อนจะลากตัวเธอออกมาไปหยุดในจุดที่ห่างออกไป
“ลืมมันเถอะ หากเป็นผู้ที่ไม่คำนึงถึงชีวิตและความตายของตัวเองแล้ว ต่อให้เป็นพวกเรามารสวรรค์ ก็คงจะไม่มีวิธีใดช่วยเหลือเขาได้” แม่มารกล่าว
สายตาของหลี่อันยังคงตรึงอยู่บนร่างของกู่ฉิงซาน ขณะเดียวกันก็ยังคงถูกฉุดดึงออกไปข้างนอก
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีผู้ใดอยู่ในระยะพิสัยของทัณฑ์สวรรค์อีกต่อไป
กู่ฉิงซานจึงเริ่มทำการโจมตีขอบเขตทันที
เขากระตุ้นพลังวิญญาณในตันเถียน ขับเคลื่อนมันกระแทกเข้าใส่จุดลมปราณแรก
ด้วยการกระแทกนี้ ส่งผลให้พลังวิญญาณจากทั่วทั้งร่างกายถูกกระตุ้น และร่วมกันไหลไปโจมตีจุดต่อไป
กฎแห่งฟ้าดินตระหนักถึงสัญญาณการตัดผ่านของเขาทันที
ท่ามกลางเมฆหมอก สายฟ้าปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระเบิดสาดแสงและเงาออกมาอย่างไม่รู้จบ
เห็นแค่เพียงมังกรสายฟ้าที่เจาะมวลเมฆและน้ำที่ขวางกั้นออกมา คู่ดวงตาสายฟ้าสีม่วงของมันจ้องเขม็งมายังกู่ฉิงซานชนิดหัวชนฝา
โฮก!
มังกรสายฟ้าอ้าปากกว้าง ว่ายตัดสายลมลงมายังเบื้องล่าง
กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงมัน เขาลืมตาขึ้น และกระโจนออกจากฟูกทันที
เขากวาดมือไปคว้าดาบพิภพจากในความว่างเปล่า ทั้งคนทั้งร่างแปรเปลี่ยนเป็นรังสีดาบสีนวลผ่องพุ่งเข้าหามังกรสายฟ้า
เทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา!
รังสีดาบและมังกรสายฟ้าปะทะกันกลางอากาศในทันใด
ปัง!
รังสีดาบสามารถกระแทกมังกรสายฟ้าให้กระเด็นออกไป จนตัวมันเองสูญเสียการควบคุม ถูกเบนทิศทางไปฟาดเข้าใส่ตึกนอกจัตุรัส
ขณะเดียวกัน ทันทีที่ตัวตึกสัมผัสกับมังกรสายฟ้า ตัวตึกก็สลาย หายวับไปทันทีมิอาจมองหาร่องรอยได้อีกเลย
มังกรสายฟ้ายักษ์ส่ายหัวไปมา และเริ่มโผบินอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้า รังสีดาบสีนวลผ่องกระจัดกระจายออก เผยให้เห็นถึงร่างของกู่ฉิงซาน
บนร่างกายเขา บัดนี้ไหม้เกรียม ปรากฏถึงสีดำอยู่หลายจุด
รังสีดาบน่ะเป็นที่รู้จักกันดีว่ามันสามารถต้านทานได้ตลอดทั้งหมื่นกฎเกณฑ์ แต่แท้จริงแล้วบัดนี้กลับมิอาจต่อต้านผลกระทบจากมังกรสายฟ้าได้!
กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเม็ดยารักษาออกมากิน
เขาดูจะประหลาดใจ ปากบ่นพึมพำ “มันร้ายกาจขนาดนี้ได้อย่างไร?”
ระหว่างนั้นเอง ในอากาศที่ว่างเปล่า เสียงของผู้หญิงได้ดังขึ้น “นายน้อย ใช้ข้าสิ”
“หืม?” เจ้ามีวิธีรับมือกับมันหรือ?
“ข้าสามารถทำลายสายฟ้าได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อสายฟ้าระเบิด ช่วงระยะโจมตีของมันจะกว้างเกินไป ท่านต้องระวังให้ดี”
“เข้าใจแล้ว”
กู่ฉิงซานพยักหน้า เขาเก็บดาบพิภพเข้าไปในความว่างเปล่า และดึงดาบขุนเขาเทวะหกโลกามาแทน
ใต้ท้องฟ้าเบื้องล่าง มังกรสายฟ้าทะยานตัวกลับมาหาเขาอีกครั้ง
กู่ฉิงซานจี้ปลายดาบลง
เทคนิคลับแห่งดาบ ฝ่าวารีเชี่ยวแปดครั้งซ้อน!
เสียงกระหึ่มของรังสีดาบพวยพุ่งออกมาจากปลายดาบขุนเขาเทวะ ร่วงตกลงมาราวกับสายธารหลากจากฟากฟ้า
มังกรสายฟ้ามิคิดหลีกเลี่ยง มันเลือกปะทะกับรังสีดาบโดยตรง เกิดเสียงระเบิดดังต่อเนื่อง ทั้งตัวมันยังทะยานขึ้นมาเหนือท้องฟ้าที่กู่ฉิงซานยืนอยู่อย่างบ้าคลั่ง
จนกระทั่งในที่สุดเมื่อมันอยู่ห่างจากกู่ฉิงซานไม่ถึงสองร้อยเมตร มังกรสายฟ้าก็ส่งเสียงครวญน่าอนาถ ทั้งร่างของมันแตกกระจาย ปรากฏถึงเส้นสายฟ้า คล้ายงูเล็กแหวกว่ายไปทั่ว ก่อนที่ทั้งหมดจะทยอยกันกลับไปยังเมฆที่เป็นแหล่งกำเนิดโทษทัณฑ์
กู่ฉิงซานจึงค่อยคลายใจลง
ด้วยรังสีดาบที่แฝงไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ‘แหกกฎ’ ของฉานนู่ มังกรสายฟ้าก็พ่ายแพ้ลงในที่สุด
ในช่วงเวลาว่างเว้นให้พักหายใจ เขาก็เร่งหยิบเม็ดยาอื่นออกมา และโยนมันเข้าปากทันที
เบื้องบนท้องฟ้ายังคงเงียบ
เมฆแหล่งกำเนิดโทษทัณฑ์เงียบงัน ไม่ตอบสนองสิ่งใดในเวลานี้
“ยอดไปเลย! ไปได้สวยนี่นา ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องทำได้กู่ฉิงซาน!” ลอร่าถอนหายใจโล่งอก เธอตะโกนด้วยรอยยิ้ม
“ไม่หรอกลอร่า สถานการณ์จริงๆ แล้วไม่ได้ดีอย่างที่ท่านคิด” อีเลียกล่าวด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
“อ้าว? ทำไมถึงไม่ล่ะ ก็เห็นได้ชัดว่าเขาล้มมังกรสายฟ้าลงได้แล้วนี่” ลอร่าเอ่ยถาม
“มังกรสายนั่นเป็นเพียงกึ่งสิ่งมีชีวิตที่มีจิตนึกคิด มันถูกสร้างขึ้นโดยการตอบสนองต่อฟ้าดิน แต่แท้จริงแล้วนี่คือจุดเริ่มต้นของทัณฑ์สวรรค์” อีเลียอธิบาย
จักรพรรดินีหลี่อันที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งพยักหน้าและกล่าว “เป็นดังนั้น แท้จริงแล้วอำนาจของสายฟ้าสวรรค์มิได้ถดถอยลงเลย”
“มันกำลังรวบรวมพลัง และอย่างน้อยก็คงจะแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่า! ยิ่งนาน อำนาจทัณฑ์สวรรค์ก็ยิ่งทะยานสูงขึ้น” หลี่อันกล่าว
แม่มารช่วยเสริม “มังกรสายฟ้านั่นเป็นเพียงอารัมภบทของทัณฑ์สวรรค์ จากนี้ไปต่างหากจึงจะเป็นของจริง”
เธอถอนหายใจและส่ายหัว “สถานการณ์นี้ ด้วยการตัดสินใจของเขา ข้าเกรงว่าเขาจะไม่สามารถผ่านมันไปได้”
“เหตุใดท่านแม่ถึงแน่ใจนัก?” หลี่อันเร่งถาม
“เพราะแม้กระทั่งในตอนจัดการกับมังกรสายฟ้า เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บเลย ฉะนั้นมิต้องกล่าวถึงทัณฑ์สายฟ้าที่กำลังจะรุนแรงมากขึ้นยิ่งกว่านี้ เจ้าคงจะรู้แล้ว ว่าหากถูกโจมตีเต็มๆ แม้เพียงหนึ่งครั้งโดยสายฟ้าดับจิตเทวะ จิตวิญญาณของคนผู้นั้นจะดับสูญ และโอกาสที่จะไปเกิดใหม่อีกครั้งจะไม่มีอีกต่อไป”
แม่มารกล่าวต่อ “หลังจากที่จิตวิญญาณดับสูญโดยสายฟ้าดับจิตเทวะแล้ว สายฟ้าก็จะเปลี่ยนรูปไปอีกแบบ และพลังของมันที่อยู่ในโลกใบนี้ก็จะรุนแรงกว่าปกติถึงหลายเท่า”
“กระทั่งข้าเองก็ยังมิอาจจินตนาการได้เลย ว่าทัณฑ์สายฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปจะกลายเป็นอะไร”
หลี่อันเมื่อได้ยินมาถึงจุดนี้ เธอก็ค้นพบว่าอีกฝ่ายแทบจะไม่มีโชคเลย
เธอกัดฟัน และเหวี่ยงบางสิ่งจากแขนเสื้อขึ้นสู่ท้องฟ้า
มันเป็นกล่องเล็กๆ สีดำที่ดูประณีต เมื่อมันถูกโยนออกไป ก็ดึงดูดความสนใจจากมารสวรรค์ทั้งปวง
“นั่นเจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ! ต้องการจะถูกสังหารลงโดยทัณฑ์สายฟ้าหรือไร?”
แม่มารตวาดเสียงแหลม
“มิใช่ นั่นเป็นเพียงชุดเกราะรบเท่านั้น การกระทำนี้ของข้า ทัณฑ์สวรรค์ย่อมไม่คิดใส่ใจ” หลี่อันตอบ
“เป็นเพียงเกราะรบ?” แม่มารถอนหายใจ น้ำเสียงของเธออ่อนลง “หากเป็นสิ่งที่ทัณฑ์สวรรค์อนุญาตก็แล้วไป แต่เรื่องนี้มันก็น่าแปลก เจ้าหนูนั่นเป็นผู้ฝึกดาบแท้ๆ ต่อให้ห้าวหาญเพียงใด แต่การที่ไม่มีเกราะรบอยู่บนร่างกายมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”
“ใช่ หากเขามีเกราะรบ เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้ ดังนั้นข้าเลยมอบชุดเกราะรบมารสวรรค์ให้แก่เขา อย่างน้อยก็น่าจะช่วยเขาต้านทานสายฟ้าสวรรค์ได้” หลี่อันกล่าว
ขณะที่หลายคนกำลังสนทนา กลับได้ยินเพียงเสียง ‘พลั่ก’ จากด้านหลังของพวกเขา
เป็นลอร่าที่ล้มลงกับพื้น
อีเลียเพียงก้มลงมองอีกฝ่ายที่กำลังสั่นสะท้าน เธอก็ตระหนักได้ทันทีว่ามีสถานการณ์บางอย่างผิดปกติ
“ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นกับท่าน?” เธอเร่งถาม
“เกราะรบ…” ลอร่างึมงำ
อีเลียพอได้ฟังก็นึกออกทันที
เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “ฝ่าบาท การข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในครั้งนี้มิใช่เรื่องตลก เวลานี้ไม่สนุกแล้ว ท่านจงเรียกเกราะรบล่องหนของท่านกลับคืนเสีย เขาจะได้สวมใส่เกราะรบของจักรพรรดินีมารสวรรค์ไปใช้ต้านทานสายฟ้าสวรรค์”
“…ไม่ เราไม่สามารถเรียกมันกลับมาได้” ลอร่าก้มหน้าและกล่าว
ไม่สามารถเรียกกลับมาได้?
อีเลียช็อก
เดิมทีแล้วทุกสิ่งของราชวงศ์หนามจะมีตราของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ประทับอยู่ และยามใดที่ราชวงศ์ต้องการที่จะได้รับสิ่งนั้นกลับคืน พวกเขาสามารถสื่อสารกับรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม และเรียกมันกลับคืนมาได้เลยโดยตรง
นี่เป็นความลับที่รู้กันเฉพาะคนในราชวงศ์และสองนายพล
อย่างไรก็ตาม ลอร่ากลับบอกว่าเธอไม่สามารถเรียกมันกลับคืนมาได้
แต่เธอยังไม่ทันที่จะได้คิดเกี่ยวกับมัน จู่ๆ ในหูของเธอก็ได้ยินเสียงตะโกนดังแว่วเข้ามา “ทำไมจึงเป็นเช่นนี้!”
อีเลียหันขวับไปมอง
เห็นแค่เพียงชุดเกราะของมารสวรรค์ที่ลอยขึ้นไป แยกออกเป็นสัดส่วน ว่ายวนรอบตัวกู่ฉิงซาน แต่มันกลับไม่ประกบร่างให้เขาสวมใส่
สถานการณ์ในตอนนี้ เป็นเช่นเดียวกันกับในตอนที่อีเลียมอบชุดเกราะรบนายพลหนามให้แก่กู่ฉิงซาน
ชุดเกราะรบมารสวรรค์บินกลับมาอีกครั้ง กลับคืนสู่กล่องใบเล็ก และตกลงบนเท้าของจักรพรรดินีหลี่อัน
เมื่อเห็นแบบนั้น อีเลียก็ยิ่งสับสนมากขึ้น
ปากเอ่ยพึมพำกับตัวเอง “บางที…ชุดเกราะรบนั่นมันอาจจะมีจิตสำนึกหรือเปล่า? บางทีมันอาจจะยอมรับเขาเป็นเจ้าของแล้ว? ไม่น่าจะใช่ เพราะหากเป็นในกรณีนั้นเกราะรบสมควรถูกเปิดใช้งานแล้ว”
“ชุดเกราะรบอื่นๆ ไม่สามารถสวมทับบนร่างกายเขาได้…นี่มันเรื่องอะไรกัน…”
แต่ในตอนนั้นเอง ประกายแสงก็ได้วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของเธอ
อีเลียตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่างที่ทำให้เธอสั่นสะท้าน
คงไม่หรอกมั้ง
ช่วงเวลานั้นเอง ใครบางคนก็ได้กระตุกมือเธอ
อีเลียก้มลงมอง และพบว่าเป็นลอร่า
“อีเลีย เจ้าจำได้ไหมว่าในครั้งอดีต เคยมีกษัตริย์หนามที่สามารถปลุกลี้ภัยแห่งหมื่นโลกาได้เช่นเดียวกันกับข้า และครั้งหนึ่ง เขาเคยได้ย่างกรายเข้าไปในโลกที่ล่มสลาย และได้นำเกราะรบชุดหนึ่งกลับมา”
“กระหม่อมจำได้” หัวใจของอีเลียเต้นถี่ขึ้น รัวขึ้น
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
ไม่ มันเป็นไปไม่ได้!
ทว่าแม้จะคิดแบบนั้น แต่ลอร่ากลับพยักหน้าให้แก่เธอ
“ใช่ เป็นเราเอง ที่มอบชุดเกราะนั่นให้แก่เขา”
ลอร่าสารภาพเสียงแผ่วเบา คล้ายกับเด็กที่กำลังทำผิด ด้วยน้ำเสียงที่เธอไม่เคยใช้มาก่อน
“ฝ่าบาท…แบบนี้มัน…”
อีเลียช็อกไปแล้วโดยสิ้นเชิง
ลอร่าส่ายหัว “ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว เราเข้าใจดี ว่านี่มันเป็นความผิดของเราเอง”
“ท่านรู้ใช่ไหมว่าไม่ควรให้เขายืมชุดเกราะนั่น?”
“ใช่ เราไม่ควรมอบมันให้กับเขา…ไม่ควรมอบให้ทั้งๆ ที่ยังไม่สามารถปลุกมันให้ตื่นขึ้นมา ดังนั้นเราจะปลุกมัน แล้วมอบมันให้แก่กู่ฉิงซาน!”
“เวลานี้ ไม่ใช่สถานการณ์ที่เราจะมามัวซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเขาแล้ว!”
“ตอนนี้ คือช่วงเวลาที่เราจะต้องเอาชนะความหวาดกลัวในจิตใจ!”
ลอร่ากล่าว และลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ
ทุกคำพูดของเธอ ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
“อีเลีย”
“กระหม่อมอยู่นี่”
“บอกทุกคนให้มาเฝ้าดูพิธี”
“น้อมรับคำสั่ง”
อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นที่จะต้องให้อีเลียเอ่ยสั่ง ทหารพิทักษ์ทั้งหมดที่ล้อมรอบตัวลอร่าพลันคุกเข่าลงข้างหนึ่งทันที
พวกเขามิเอ่ยคำใด เพียงเฝ้ารออย่างเงียบๆ สำหรับช่วงเวลาที่กำลังจะมาถึง
ช่วงเวลาที่ลอร่าหลบเลี่ยงมันตลอดมา
ลอร่าดึงกริชเล็กๆ ขึ้น และเฉือนลงบนปลายนิ้วของเธอ และยกนิ้วที่เปื้อนเลือดขึ้นมาแปะบนหน้าผาก
“พระแม่แห่งรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ เราพร้อมแล้ว…ที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้ใหญ่!” ลอร่าพึมพำ
ทันทีที่เสียงของเธอตกลง รัศมีแสงสดใสพลันสาดออกมาจากระหว่างคิ้วของเธอ พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
นี่คือแสงสดใสอย่างหาที่ใดเปรียบ มันเหนือล้ำยิ่งกว่าอำนาจของโลก กระทั่งทัณฑ์สวรรค์ก็ยังถูกบดบังด้วยรังสีของแสงนี้
แสงที่ราวกับไม่ว่าสิ่งใดก็สามารถทะลวงผ่านได้
อำนาจอันยิ่งใหญ่ถ่ายเทออกมาจากแสงสว่าง
ทหารพิทักษ์ต่างเผยถึงสีหน้าตื่นเต้น ทั้งตนทั้งร่างสั่นไหว ปากสรรเสริญเป็นเสียงเดียวกัน “องค์กษัตริย์ทรงพระเจริญ!”
อีเลียที่กำลังมองลอร่า ยิ้มด้วยความสุข “ฝ่าบาท ท่านต้องเข้มแข็งเข้าไว้นะ พระแม่แห่งรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์สัมผัสได้ถึงท่านแล้ว และมันกำลังจะมายังโลกใบนี้!”
ลอร่าพยักหน้ารับเบาๆ
เธอแหงนหน้าขึ้นไปมองแสงที่สาดทอลงมาจากสถานที่ไกลแสนไกล ปากเปล่งเสียงกระซิบ “พระแม่แห่งรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ เราขอให้คำมั่นสาบานว่าเราจะไม่หวาดกลัวพิธีกรรมนี้อีกต่อไป”
“เพราะท้ายที่สุดนี้ มีเพียงวิหคหนามที่ก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เท่านั้น จึงจะสามารถถือครองราชบัลลังก์ที่แท้จริงได้”
“และมีเฉพาะเพียงกษัตริย์แห่งหนามเท่านั้น…ถึงจะสามารถปลุกเกราะรบแห่งกษัตริย์ให้ตื่นขึ้นมาได้!”
……………………………………….
เดิมทีจักรพรรดินีหลี่อันได้ตระเตรียมวิธีการรับมือกับบรรดาราชาภูตเอาไว้มากมาย
ตัวกู่ฉิงซานเองก็ยังคิดไปไกลว่าจะต้องมอบรางวัลใด จึงจะสามารถสร้างความประทับใจแก่ราชาภูตได้
ทว่าผลลัพธ์กลับไม่เป็นดั่งที่คาด เพราะเพียงแค่พวกมันได้เห็นถึงฉากสงครามในโลกปรภพ เหล่าราชาภูตก็ตอบรับโดยไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขใดๆ ทันที
“เช่นนั้น พวกเรามาลงนามสัญญากัน” จักรพรรรดินีหลี่อันกล่าว
“มัวรออะไรอยู่ เอาสัญญามา!” ราชาภูตผีศพเร่งเร้า
เมื่อเห็นใบไม้ของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามที่หลี่อันนำออกมา เหล่าราชาภูตรีบคว้ามัน และทยอยกันลงนามด้วยความปีติ
กระบวนการทั้งหมดนั้นช่างง่ายดายและรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าสิ่งต่างๆ เสร็จสิ้นลงแล้ว กู่ฉิงซานก็ประสานฝ่ามือ โค้งกายไปทางอีกฝ่าย “ขอบพระคุณทุกท่าน ไว้พวกเราค่อยมาเจอกันอีกคราในเร็วๆ นี้”
“ฮ่าๆๆ แล้วข้าจะตั้งตารอ!” ราชาภูตผีโหยกล่าว
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก พวกเราทุกคนน่ะต่างก็เป็นราชาภูต นับจากนี้ไปอย่างไรเสียก็คงจะได้พบเจอกันอีกในอนาคต” ราชาภูตผีศพกล่าว
“ฉะนั้นมาสร้างไมตรีกันไว้ย่อมดีกว่า จะได้มีมิตรสหายไว้คอยช่วยเหลือ ใช่ไหมราชาภูตผีปรภพ?” ราชาภูตผีศพเอ่ยถาม
“แน่นอน หากได้สหายเพิ่มขึ้นอีกสักสองสามคน ข้าเองก็ยินดี” กู่ฉิงซานหัวเราะ
เมื่อเห็นทัศนคติของอีกฝ่าย ผีศพก็หยิบช้อนหยกออกมา และโยนมันให้แก่กู่ฉิงซาน
“นั่นคือตราสัญญาณของข้า เจ้าสามารถใช้มันเพื่อติดต่อกับข้าได้ตลอดเวลา” ผีศพกล่าว
เมื่อผีกระหายเลือดกับผีโหยเห็นแบบนั้น พวกมันก็เริ่มหยิบตราสัญญาณของตนเองออกมา และมอบให้กับกู่ฉิงซาน
ตราสัญญาณของผีโหยเป็นก้อนข้าว ขณะที่ตราสัญญาณของผีกระหายเลือดเป็นขวดน้ำเต้า
กู่ฉิงซานที่กำลังถือตราสัญญาณทั้งสามชนิดนี้ เมื่อมองลงไป เขาก็รู้สึกคล้ายว่าตนกำลังเตรียมที่จะตั้งโต๊ะรับประทานอาหารอย่างไรอย่างนั้นเลย
เขาพลิกมือและเก็บตราสัญญาณก่อนเป็นอันดับแรก
ในเวลานี้ ราชาภูตทั้งสามต่างก็มองเขา และเฝ้ารอรับตราสัญญาณจากเขาอยู่
กู่ฉิงซานเริ่มเกิดอาการปวดหัว
เขาไม่มีตราสัญญาณ ที่ตนมีติดตัวและสามารถใช้สื่อสารได้ ก็คงจะมีเพียงยันต์สื่อสาร แต่นั่นมันสามารถใช้งานได้ครั้งเดียวและมีระยะจำกัด
หากเป็นในตลอดทั้งหมื่นโลกา เขาไม่มีสิ่งใดที่สามารถใช้สื่อสารแบบทะลวงมิติได้เลย
แต่แล้วเขาก็นึกอะไรบางอย่างออก ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “ข้าไม่มีตราสัญญาณที่จะให้พวกเจ้า แต่ทุกคนสามารถมาเยี่ยมเยือนข้าได้ที่สมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม”
ผีศพอดไม่ได้ที่จะกล่าว “ข้าเหมือนจะจดจำได้ว่า ที่นั่นคือชื่อสถานที่ในโลกมิติอนันต์ใช่หรือไม่?”
“โอ้ ใช่แล้วล่ะ” กู่ฉิงซานยืนยัน
สามราชาภูตมองหน้ากัน ในหัวใจของพวกมันต่างสั่นสะท้าน
ราชาภูตผีปรภพผู้นี้ สามารถอาศัยอยู่ในโลกมิติอนันต์ได้ นั่นหมายความว่าเขาจะต้องมีสัมพันธ์ที่ดีกับอย่างน้อยหนึ่งตัวตนทรงอำนาจ!
ต้องรู้นะว่าตลอดทั้งโลกมิติอนันต์ เป็นศูนย์กลางของตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ
และในโลก เก้าร้อยล้านชั้น ตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการคือสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด!
สามราชาภูตถอนหายใจอย่างลับๆ ความระแวงสงสัยที่ยังอยู่ลึกเข้าไปในหัวใจ บัดนี้สลายไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่แท้จริงแล้วพวกเขาไม่ทราบหรอก ว่าจริงๆ แล้วที่กู่ฉิงซานได้ไปเจอแบรี่กับเสี่ยวเหมียว จนได้เข้าร่วมกับสมาคมน่ะ มันเป็นเพราะเสี่ยวถายไหว้วานเขาไปส่งของ เสี่ยวถายเป็นจุดเริ่มต้นให้เขากับสมาคมกำปั้นเหล็กได้รู้จักกัน และพัฒนาความสัมพันธ์จนเป็นดั่งเช่นในปัจจุบันนี้
แต่ไม่ว่าระหว่างกระบวนการมันจะผิดเพี้ยน หรือแปลกประหลาดมากเพียงใด อย่างไรเสียการได้รู้จักกับตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการก็นับว่าน่าอัศจรรย์ใจอยู่ดี
หมอกค่อยๆ จางหายไป
ราชาภูตทั้งสามกลับไปยังโลกผีของตน และเฝ้ารอคอยให้ทัณฑ์สวรรค์เรียกตัวอย่างอดทน
ในที่สุด ขั้นตอนที่ยากที่สุดก็จบลงเสียที
กู่ฉิงซานพยักหน้าให้กับทุกคน เดินกลับไปที่ฟูก และนั่งลงอย่างช้าๆ
“ข้าจะปรับสภาวะตน และเตรียมข้ามผ่านโทษทัณฑ์แล้วนะ”
พอได้ยิน มารสวรรค์ตนแล้วตนเล่า ก็ค่อยๆ ถอยห่างออกไป
พวกเธอทั้งหมดต่างรู้ดี ว่าอำนาจของโทษทัณฑ์น่ะใหญ่หลวงนัก ยิ่งเป็นในโลกใบนี้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง
“ช้าก่อน!” แม่มารตะโกนขัด
กู่ฉิงซานหันไปมองเธอ
“การที่เจ้าคิดหมายว่าจะใช้ทัณฑ์สายฟ้ากำราบกองทัพสัตว์ประหลาดผี นับว่าเป็นความคิดที่วิเศษยิ่งก็จริง” แม่มารเริ่มเอ่ยปาก
“แต่ในโลกใบนี้ เทพบรรพกาลได้รังสรรค์กฎเกณฑ์ ส่งผลให้อำนาจของสายฟ้าสูงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัวนัก ข้าว่าไม่ต้องกล่าวถึงสัตว์ประหลาดผี เกรงว่าจะเป็นตัวเจ้าเองเสียมากกว่า ที่ถูกกลบฝังภายใต้ทัณฑ์สายฟ้านี้ก่อนพวกมัน เรื่องนี้เจ้าเองก็น่าจะกระจ่างใจดีมิใช่หรือ?”
กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ข้ามีลางสังหรณ์จริงๆ ว่าทัณฑ์สวรรค์นี้ อาจจะเป็นทัณฑ์ที่ยากเย็นที่สุดในชีวิตของข้า ทว่าในเมื่อลูกธนูถูกขึงลงบนเชือกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรมันก็จักต้องถูกยิงออกไป”
ลอร่าที่กำลังรับฟังอยู่ สีหน้ากลายเป็นไม่สู้ดีทันที
เธอดึงแขนเสื้ออีเลียอย่างเงียบๆ
“ฝ่าบาท มีอะไรงั้นหรือ?” อีเลียถาม
“เขาจะเป็นอันตรายรึเปล่า?” ลอร่าถาม
อีเลียอธิบาย “เนื่องจากสายฟ้าในโลกใบนี้ได้รับการอวยพรจากเหล่าทวยเทพ ดังนั้นสถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญ ย่อมอันตรายเป็นอย่างมาก”
“ถ้าเช่นนั้นแล้วทำไมเขาจะต้องฝืนทำมันต่อไปด้วย? ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็น่าจะเข้าใจดีที่ที่สุดแล้ว” ลอร่ากล่าว
อีเลียยิ้มอย่างขมขื่น “สำหรับเรื่องทัณฑ์สวรรค์ ปกติก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูดยืนยันถึงเรื่องสำเร็จหรือล้มเหลวออกมาอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับทัณฑ์สวรรค์ที่ถูกเสริมอำนาจหลายเท่า ท่านลองดูพวกมารสวรรค์สิ ”
ลอร่าเบนสายตาออกไป
เห็นแค่เพียงสีหน้าของมารสวรรค์ที่เคร่งเครียด และถอยห่างไกลออกไป
พวกมันค่อยๆ เว้นระยะห่างจากตำแหน่งของกู่ฉิงซาน
“พวกเราก็ถอยกันเถิด หากอยู่ในระยะพิสัยทัณฑ์สวรรค์ จะยิ่งเป็นการเพิ่มความยากลำบากให้แก่เขา” อีเลียกล่าว
ว่าจบ เธอก็สั่งการทหารพิทักษ์ เคลื่อนกระบวนทัพนำพาลอร่าไปยังอีกด้านหนึ่ง
ในหัวใจของลอร่าเริ่มรู้สึกกังวลมากขึ้น เธอเอ่ยถามเสียงกระซิบ “พวกเราไม่มีวิธีที่พอจะช่วยเขาได้เลยหรือ?”
อีเลียส่ายหัว และกล่าว “เมื่อผู้ฝึกยุทธ์คิดจะตัดผ่านขอบเขต พวกเขาจะตระเตรียมเม็ดยา ค่ายกล อาวุธ เกราะรบ ยันต์ ฯลฯ ไว้เพื่อป้องกันตนเองอยู่แล้ว ซึ่งสิ่งเหล่านั้นได้รับอนุญาตจากกฎเกณฑ์แห่งทัณฑ์สวรรค์ว่าให้สามารถใช้ได้”
“หากทั้งหมดที่กล่าวมาได้รับอนุญาต ข้าเชื่อว่าเขาก็ย่อมต้องเตรียมมันไว้พร้อมแล้วเช่นกัน ต่อจากนี้ไปก็พวกเราก็ทำได้แค่ดูว่าเขาจะสามารถต้านทานทัณฑ์สายฟ้าในครั้งนี้ได้หรือไม่”
อีเลียสังเกตเห็นถึงความกังวลของลอร่า เธอเลยเตือนออกไป “ลอร่า ท่านจงจำเอาไว้ให้ดี ว่านี่คือหนทางที่เขาเป็นคนเลือกเดินเอง ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือเขาได้ หากเข้าไป เกรงว่ามันจะเป็นการกระตุ้นให้ทัณฑ์สวรรค์แข็งกร้าวขึ้นยิ่งกว่าเดิม”
ลอร่าแทบหยุดหายใจ เธอเงียบไปนานก่อนจะอุทานอย่างแผ่วเบา “แต่…เกราะรบของเขา…”
อีเลียพอได้ยิน ก็ตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ทันที
“จริงสิ” เธอหันไปมองลอร่าด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ก่อนหน้านี้ข้าต้องการที่จะมอบชุดเกราะรบนายพลหนามให้แก่เขา แต่เขากลับไม่สามารถสวมใส่มันได้ ฟังจากที่เขาบอกมา ดูเหมือนว่าท่านจะมอบชุดเกราะรบให้แก่เขาไปก่อนหน้านี้แล้ว”
“ลอร่า ท่านให้เกราะรบล่องหนแก่เขาใช่หรือเปล่า? มันเป็นเกราะรบชนิดใดกัน?”
“เรา…”
สีหน้าของลอร่าเริ่มจะซีดเซียว
ในพิสัยเวลานี้ มีเพียงแม่มารกับหลี่อันเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ข้างๆ กับกู่ฉิงซาน
“กำลังจะเริ่มแล้วนะ พวกท่านก็ช่วยถอยออกก่อนเถอะ”
กู่ฉิงซานที่นั่งอยู่บนฟูก กล่าวทั้งที่ยังคงหลับตา
“เจ้าไม่ต้องมาใส่ใจข้าหรอก ข้าจะช่วยตรวจสอบดูให้ก่อน ว่าประสิทธิภาพของทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้สูงเพียงใด” แม่มารกล่าว
กู่ฉิงซาน“คงต้องรบกวนท่านแล้ว”
จิตใจของเขากวาดไปทั่วทั้งร่างกายอย่างอ่อนโยน เหนี่ยวนำพลังวิญญาณไปบรรจบกันที่ตันเถียน จัดเตรียมการเริ่มกระบวนการตัดผ่านในขั้นสุดท้าย
พลังวิญญาณในตันเถียนของเขาค่อยถูกรวบรวม มันพุ่งสูงขึ้น สูงขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงจุดที่กำหนด
ช่วงเวลาสำหรับการตัดผ่านกำลังใกล้เข้ามาแล้ว!
กฎแห่งฟ้าดินตระหนักได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาทันที
ในเสี้ยววินาที สายลมแรงกรรโชกมาจากทุกทิศทาง ก้อนเมฆหนาที่เป็นจุดเริ่มต้นของโทษทัณฑ์เริ่มม้วนเป็นเกลียว
ทันใดนั้นเอง กลุ่มก้อนสายฟ้าสีม่วงก็ผุดออกมาจากเมฆ และตกลงบนหัวมังกรสายฟ้าอย่างช้าๆ
สายฟ้าสวรรค์ไหลเข้าไปในดวงตาของมังกรสายฟ้า
โฮก!
เบื้องบนท้องฟ้า สายฟ้าจากเมฆฟาดผ่าลงมายังมังกร ถ่ายเทพลังอำนาจให้มันจนเกิดเสียงคำรามก้องอย่างต่อเนื่อง
ดวงตาที่เปล่งประกายพลันเปิดออก จ้องมองไปยังกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
สีหน้าของแม่มารแปรเปลี่ยนรุนแรง เธอตะโกนลั่น “มังกรสายฟ้าตนนี้มีจิตนึกคิด! นี่มันทัณฑ์สวรรค์ระดับขีดสุดความว่างเปล่า! กู่ฉิงซาน เจ้าจะตัดผ่านมันไม่ได้ จงเร่งสลายพลังวิญญาณในตันเถียนเดี๋ยวนี้!”
กู่ฉิงซานส่ายหัวและกล่าว “ข้าต้องทนพยายามอย่างหนักจนกระทั่งมาถึงช่วงเวลานี้ และตอนนี้มันเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ข้ามิอาจถอยหนีได้!”
แม่มารจ้องมองเขา และตระหนักได้ถึงความประสงค์ของอีกฝ่าย หลังจากที่ตนได้ขบคิดอย่างระมัดระวัง เธอก็หันไปขยิบตา ส่งสัญญาณให้แก่หลี่อัน
“มนุษย์ผู้นี้มีประโยชน์ต่อเราอย่างใหญ่หลวง หากเขาจะต้องจบชีวิตลงมันคงน่าเสียดายเกินไป เจ้าจงคิดหาวิธีหยุดเขาเสีย” เธอส่งเสียงผ่านความคิดอย่างเงียบๆ
หลี่อันพอได้ฟัง ก็ตอบกลับไป “ท่านแม่ เขาจะไม่สามารถข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในครั้งนี้ไปได้จริงหรือ?”
“โอกาสน้อยเกินไป ตอนนี้ตัวเขากำลังทะลวงโทษทัณฑ์ประทับเทพ แต่อำนาจของทัณฑ์สวรรค์กลับพุ่งสูงขึ้นถึงไปถึง 3 ขอบเขต ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มากพรสวรรค์เพียงใด อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องยากที่จะจัดการ” แม่มารกล่าว
ในหัวใจของหลี่อันเริ่มหนักอึ้ง เธอเร่งเค้นสมองอย่างรวดเร็ว จนบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นทันที
“กู่ฉิงซาน เจ้ายังจำอาจารย์ของเจ้าได้หรือไม่?” เธอเอ่ยปากออกมา
กู่ฉิงซานหยุดการตัดผ่านขอบเขตทันที เขาลืมตาขึ้นมองเธอ
หลี่อันไปรู้จักอาจารย์ของเขาได้อย่างไรกัน?
จริงสิ ในเวลานั้นท่านอาจารย์ได้ต่อสู้กับฉีหยานนี่นา ระหว่างนั้นหลี่อันก็กำลังเตรียมเทคนิคมนตรามารสวรรค์อยู่บนท้องฟ้า
ดังนั้นหลี่อันก็น่าจะได้เห็นนางเซียนไป่ฮั่ว และรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคืออาจารย์ของตัวเอง
กู่ฉิงซานถาม “เกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์ของข้างั้นหรือ?”
“ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นหรอก แต่โลกมารสวรรค์น่ะเชื่อมโยงกับโลกเทวะของเจ้า ดังนั้นข้าอาจจะส่งเจ้ากลับไปได้ หากเจ้ายินดีที่จะกลับไปตัดผ่านในโลกเทวะ ไม่เพียงแต่อานุภาพของทัณฑ์สวรรค์จะลดทอนลง แต่เจ้ายังสามารถได้รับการแนะแนวทางจากอาจารย์ของเจ้า ซึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์คนแรกที่สามารถตัดผ่านขอบเขตประทับเทพได้อีกด้วยนะ” จักรพรรดินีหลี่อันกล่าว
กู่ฉิงซานขบคิดและกล่าว “ฟังจากที่เจ้าพูดมา นั่นหมายความว่าโลกเทวะก็เชื่อมต่อกับหกวิถีแห่งสังสารวัฏด้วยอย่างงั้นสินะ?”
“จริงๆ แล้วก็ใช่” หลี่อันพยักหน้าตอบ
กู่ฉิงซาน “หากเป็นเช่นนั้น ได้โปรดส่งคำกล่าวของข้าไปมอบให้แด่ท่านอาจารย์ด้วย”
หลี่อันตกใจ “นี่เจ้ายังคิดที่จะตัดผ่านขอบเขตที่นี่อยู่อย่างงั้นหรือ?”
“ทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้ เป็นเส้นทางที่ข้าเลือกเดิน ฉะนั้นข้าจึงจำต้องก้าวออกไปเผชิญกับมัน”
กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “หากข้ามิอาจรอดพ้นจากทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้ไปได้ ขอเจ้าจงไปแจ้งให้อาจารย์ข้าทราบว่า การที่ข้าได้เข้าร่วมกับนิกายร้อยบุปผา ได้เป็นลูกศิษย์ของท่าน และได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ทุกสิ่งอย่างข้าขอบคุณมากจริงๆ แม้จะยังไม่ได้ตอบแทน แต่หากชาติหน้ามีจริง ข้าจะข้ามน้ำข้ามทะเลไปหาท่าน และสาบานว่าจะอุทิศทั้งชีวิตตอบแทนพระคุณ…”
…………………………………………………
ท่ามกลางหมู่ดาวอันไร้ที่สิ้นสุด
เรือเสากระโดงขนาดยักษ์ปรากฏขึ้น
“พวกเราได้ออกจากโลกลำดับชั้นที่สี่มาเรียบร้อยแล้ว”
“ทำการยืนยันทิศทาง”
“กำลังจะเข้าสู่สนามรบในไม่ช้า”
“ส่งสัญญาณร้องขอเข้าร่วมสงครามออกไป”
“ช้าก่อน!”
สิ้นเสียง ไม่กี่ลมหายใจต่อมาก็ปรากฏเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากบนดาดฟ้าเรือ
เสียงฝีเท้านี้ยังคงวิ่งอย่างต่อเนื่อง ตรงเข้ามาในห้องของกัปตัน
“รายงานท่านประธานสมาคม! แนวหน้าได้ทำการยืนยันตัวตนของพวกเราแล้ว พวกเขาขอให้พวกเราเข้าร่วมสงครามในทันที!”
ชายชราที่มีเครายาวสีเงินหันหลังกลับมาหาผู้รายงาน ปากเอ่ยพึมพำ “เร่งด่วนขนาดนั้นเชียวหรือ? ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะเลวร้ายกว่าที่คิดนะ”
ช้างๆ ชายชราเคราเงิน เป็นชายแก่หลายคนที่สวมชุดคลุมยาว ทั้งหมดต่างหันมามองหน้ากันและกัน และเห็นถึงความกังวลในแววตาของอีกฝ่าย
บางคนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “หลายร้อยกองกำลัง และหลายพันจักรวรรดิได้ผนึกกำลังกัน เข้าร่วมต่อสู้แล้ว แต่สถานการณ์สงครามยังวิกฤติอยู่อีกหรือ?”
“ยังไม่หมดเท่านี้ เหล่าตัวตนทรงอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดคนแล้วคนเล่าต่างก็ก้าวเข้าร่วมสงคราม ฉะนั้น มันไม่สมควรที่จะมีปัญหาใดๆ สิ” ชายแก่อีกคนหนึ่งกล่าว
แต่ในเวลานั้นเอง อีกคนหนึ่งก็ได้เดินเข้ามาในห้องกัปตัน และเปล่งเสียงด้วยความกระวนกระวาย “รายงาน! อัลเบอัสได้ถูกกองทัพพันธมิตรของพวกเราล้อมเอาไว้หมดแล้ว แต่ทริสเต้ดันได้รับโลกของเธอไปเสียก่อน ส่งผลให้สถานการณ์ในที่แห่งนั้นหยุดชะงักไป!”
หลังจากนั้นก็มีอีกคนส่งข่าว วิ่งเข้ามาในห้องกัปตัน และบอกสถานการณ์ออกไป “รายงานท่านประธานสมาคม ระบบของราชามารได้ยกทัพมาแล้ว ตามข้อมูลที่ได้รับมา แม้กระทั่งนายพลมารที่แท้จริงหลายพันตนก็ยังเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ด้วย!”
“นายพลมารที่แท้จริงหลายพันตน?” บางคนอุทานด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ครับ และในสงครามเต็มรูปแบบครั้งก่อน ก็เป็นพวกมันนี่แหละที่ออกหน้า จนสามารถคว้าชัยยึดเอาตลอดทั้งดินแดน จนกลายมาเป็นดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูได้”
“นี่มันช่างเลวร้าย”
“ดูเหมือนว่าครั้งนี้พวกมันจะเอาจริง”
ภายในห้องกัปตัน บังเกิดเสียงถกเถียงดังอื้ออึงขึ้น
บางคนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา “ ตลอดหลายพันปีมานี้ พวกเราก็เคยสู้กับพวกมันมาตั้งหลายครั้ง แต่พวกเรากลับไม่เคยเห็นพวกมันบ้าคลั่งขนาดนี้มาก่อนเลย”
ภายในห้องกัปตันจู่ๆ ก็บังเกิดความเงียบขึ้น
ทุกคนต่างจมลงสู่ในห้วงความคิด
ระหว่างนั้นเอง ปรากฏถึงนกพิราบที่ไม่รู้ว่าบินมาจากที่ไหน โฉบลงมากลางวงสนทนา ก่อนจะเกาะลงบนไหล่ของชายชราเคราเงิน
ชายชราแกะกระดาษที่พันอยู่บนขานกพิราบออก เขาคลี่มันและกวาดสายตาอ่านเนื้อหาภายในอย่างจริงจัง
“ทุกคนลองดูนี่สิ นี่คือข่าวล่าสุดจากมือมืดที่ข้ามอบหมายให้ไปอยู่ในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู เขาได้ส่งข่าวมาให้แก่ข้า”
ชายชราส่งกระดาษให้กับคนข้างๆ
“จอมมารที่แท้จริงได้ออกเดินทางแล้ว และจะนำกองทัพบุกมายังแนวหน้าในไม่ช้า” บางคนที่รับกระดาษขึ้นมา อ่านด้วยน้ำเสียงเหม่อเลย
คนแล้วคนเล่าที่รับกระดาษมาอ่านต่อ ใบหน้าของพวกเขาเริ่มกลายเป็นซีดเซียว
แม้กระทั่งมารที่แท้จริงที่อยู่ใกล้เคียงกับอาณาจักรของราชามารก็ยังถูกส่งออกมา
หากเป็นเช่นนี้ สมดุลของสงครามคงจะเอนเอียงในไม่ช้า
ชายชราเคราเงินถอนหายใจและกล่าว “ดูเหมือนว่าโลกสมบัติของทริสเต้ จะมีสิ่งที่เผ่ามารต้องการเป็นอย่างมากอยู่ภายในนั้นเป็นแน่”
“และข้าเองก็พอจะคาดเดาได้ว่ามันคือสิ่งใด ดังนั้นพวกเราจะต้องหยุดมันให้จงได้!”
สีหน้าของเขากลับกลายเป็นเคร่งขรึม
“ส่งคำสั่งของข้าออกไป”
“ให้สมาชิกทุกคนในสมาคมผู้พิทักษ์หอคอยสูงมุ่งสู่แนวหน้า เข้าร่วมสงครามทันที!”
เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา คนทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะยืดหลังตรงและขานรับลั่น “รับทราบ!”
ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาว เรือเสากระโดงยักษ์เริ่มปรับองศา หันหัวไปยังทิศทางหนึ่ง
ขณะเดียวกัน เรือใบนับพันที่แสนยิ่งใหญ่และมหึมา ก็เริ่มทยอยกันเร่งความเร็วขึ้น และไล่ติดตามเรือเสากระโดงยักษ์ไป
เบื้องหน้า…คือทิศทางมุ่งสู่สนามรบ!
อีกด้านหนึ่ง
ในโลกสมบัติของทริสเต้
ณ ภายในเมืองไห่เช่า
จักรพรรดินีหลี่อันเร่งท่องคาถายาวเหยียดอีกครั้ง เพื่อหมายจะเรียก ราชาภูตผีปรภพอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ภายในหมอกกลับไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ
คราวนี้เธอไม่เพียงแค่เธอที่ประหลาดใจ แต่แม้กระทั่งอีกสามราชาภูตก็ประหลาดใจเช่นกัน
“ท่านแม่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลี่อันหันหลังกลับไปถามแม่มารด้วยความสับสน
ทว่ากลับเห็นแค่เพียงแม่มารที่กำลังจ้องมองตรงมาที่กู่ฉิงซานด้วยสีหน้าแปลกๆ
เธอกล่าว “สามราชาภูต โปรดใช้ตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ของพวกเจ้า ทำการตามหาราชาภูตผีปรภพให้ข้าด้วย”
ราชาภูตผีโหย ราชาภูตผีกระหายเลือด และราชาภูตผีศพ ได้ใช้ตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ของตน ตรวจจับตำแหน่งของราชาภูตแห่งปรภพอย่างระมัดระวัง
ในช่วงเวลาสั้นๆ สายตาของพวกเขาก็เบนมาตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน
“เจ้าเป็นราชาภูต…เป็นผีปรภพอย่างงั้นหรือ?” ราชาภูตผีกระหายเลือดพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“มนุษย์ผู้นี้เป็นคนกระตุ้นทัณฑ์สวรรค์มิใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงมีตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์อยู่กับตนเองได้?” ราชาภูตผีกระหายเลือด เอ่ยด้วยความสับสน
“น่าสนใจดีนี่ เจ้ามนุษย์ผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็นผู้ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ แต่ยังเป็นผู้ลงทัณฑ์ไปด้วยในขณะเดียวกัน นี่มันไม่ใช่เรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย” ราชาภูตผีศพกล่าว
แม่มารสวรรค์พึมพำ “ไม่ นี่มันไม่ถูกต้อง ปรภพคือสถานที่ของคนตาย แต่เขาคือ ‘คนเป็น’ จะกลายเป็นราชาภูตแห่งปรภพไปได้อย่างไร?”
เมื่อสถานการณ์มันดำเนินมาถึงจุดนี้ ผู้ชมต่างก็เริ่มรับรู้ได้ด้วยตนเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ว่ากู่ฉิงซานนั่นแหละ ที่แท้จริงเป็นราชาภูตผีปรภพ!
ลอร่ากรีดร้อง “กู่ฉิงซาน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่เจ้าตายไปแล้วหรือ?”
หลี่อันก็หันมากล่าวกับเขาเช่นกัน “เจ้าไม่คิดจะอธิบายหน่อยหรือ?”
กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบไม้เท้าออกมา
ตามด้ามจับของมันเป็นสีดำหมึก ส่วนหัวถูกประดับไว้ด้วยหัวกะโหลกเขาแหลม ไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูต!
ซึ่งตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว ที่บนตัวไม้เท้าบังเกิดเสียงเรียกที่ฟังดูคลุมเครือออกมา
และเสียงเรียกที่ว่า นั่นก็คือการเรียกขานผู้ลงทัณฑ์ของราชาภูตแห่งปรภพ!
เนื่องจากกู่ฉิงซานยังมีชีวิตอยู่ ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ที่ต้องการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ ดังนั้นทัณฑ์สวรรค์จึงไม่สามารถมอบตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ให้แก่เขาโดยตรงได้ จึงมอบหมายมันให้แก่ไม้เท้าแห่งการจองจำ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของราชาภูตแทน
กู่ฉิงซานลูบไล้ไม้เท้าแห่งการจองจำ ก่อนจะย้อนนึกไปถึงช่วงเวลาที่ตนต่อสู้ในนรก และอดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์ “ใช่ เป็นข้าเอง ข้าคือราชาภูตผีปรภพ”
“นั่นเป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่สามารถอยู่เหนือกฎเกณฑ์แห่งชีวิตและความตาย! เจ้าจะตายไปแล้วฟื้นคืนกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้อย่างไร?” แม่มารตั้งคำถาม
“ไม่ใช่แบบนั้น ข้าเพียงแต่ใช้เทคนิคลับบางอย่าง ถอดจิตตนเองเข้าไปในปรภพ เพราะช่วงเวลาดังกล่าว ข้ามีปัญหาบางอย่างที่ต้องไปจัดการที่นั่นก็เท่านั้นเอง”
แม้เขาจะเฉลยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ทุกคนที่ฟังกลับแทบลืมหายใจ
มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินไป หากมีคนมาบอกกับคุณว่าตนเองจำเป็นต้องลงไปยังปรภพเพื่อแก้ไขปัญหาบางอย่าง ทั้งที่ยังอยู่ในฐานะคนเป็นอยู่ แบบนี้ใครมันจะเชื่อ?
อย่างไรก็ตามตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์แห่งทัณฑ์สวรรค์ กลับปรากฏขึ้นบนตัวเขาจริงๆ
จักรพรรดินีหลี่อันสูดหายใจลึก และพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองลง
“เอาล่ะๆ งั้นตอนนี้พวกเราจะมาอธิบายถึงสถานการณ์ของทัณฑ์สวรรค์กันก่อน”
แล้วเธอก็บอกเล่าถึงประโยคก่อนหน้านี้แก่ราชาภูตตนอื่นๆ
“ราชาภูต พวกเจ้ามีความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับการจัดการทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้หรือไม่?” เธอเอ่ยถาม
ราชาภูตผีศพเปิดปากกล่าว “ข้าไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับมันหรอก อันที่จริงแล้วข้ากลับอยากรู้อยากเห็นในเรื่องอื่นเสียมากกว่า”
“อยากรู้อยากเห็นในเรื่องอื่นงั้นรึ?”
“ใช่ ก็เจ้ายังเป็น ‘คนเป็น’อยู่ แต่กลับสามารถไปยังปรภพได้ แต่เพียงเท่านั้นมันจะไปได้รับการยอมรับจากคนตายนับล้านๆ คนได้อย่างไร? กลวิธีใดกันที่ทำให้เจ้าได้รับคุณสมบัติเป็นราชาภูตผีปรภพ?”
“บางที อาจจะเป็นเพราะข้าสังหารคนตายมากมายที่คิดต่อต้านจนสิ้นซากล่ะมั้ง” กู่ฉิงซานอธิบาย
“โห?”
สามราชาภูตพอได้ฟังคำเขา แต่ละตนต่างก็หันมาสบตากัน และเผยถึงท่าทีสนใจ
นี่มันเรื่องแปลกเกินไป แท้จริงแล้วเป็นประสบการณ์สังหารล้างบางแบบใดกัน จึงจะสามารถกำราบคนตาย แล้วกลายเป็นจ้าวแห่งขุมนรกได้?
สามราชาภูตอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เหลือเกิน ทั้งสามมองหน้ากัน ก่อนจะบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้น
ราชาภูตผีกระหายเลือดพ่นไข่มุกออกจากปากของมันและกล่าว “ในเมื่อกล่าวถึงการสังหาร ข้าเองชักจะอยากเห็นภาพของเจ้าในช่วงเวลานั้นเสียแล้วสิ”
ว่าแล้วมันก็จี้ไข่มุกไปทางไม้เท้าแห่งการจองจำ
ไข่มุกสาดแสงจรัส และเข้าครอบคลุมรอบตัวไม้เท้า
“นี่มันหมายความว่าอย่างไร?” กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว
“ใจเย็นน่า มันก็แค่เทคนิคมนตราตรวจสอบเล็กๆ น้อยๆ ที่มักจะถูกนำมาใช้ในการลอบมองเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธที่ต้องการก็เท่านั้นเอง” ราชาภูตผีกระหายเลือดอธิบาย
เห็นแค่เพียงในไข่มุก ม่านแสงสีเลือดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ฉายภาพเคลื่อนไหวอันคมชัดขึ้น
มองไปยังกู่ฉิงซานที่กำลังถือไม้เท้าแห่งการจองจำ ยืนอยู่ท่ามกลางขุมนรก ปากอ้าถอนหายใจ “พวกเจ้าคิดว่าหลังจากที่ข้าได้ขึ้นเป็นราชาภูตแล้ว ข้าจะบัญชาเหล่าคนตายด้วยจิตเมตตากระนั้นหรือ?”
พร้อมกันกับคำพูดของเขา หลายสิบล้านล้านเสียงก็พลันกรีดร้อง โหยหวนด้วยความเจ็บปวด สะท้านไปทั่วทั้งขุมนรก
คนตายนับล้านล้านคนถูกสังหารในบัดดล
แล้วภาพก็เปลี่ยนไป
เผ่ามารนับไม่ถ้วนกำลังร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า เตรียมพร้อมที่จะทำการล้างโลก
กู่ฉิงซานยืนหยัดอยู่บนยอดเขาสูง และชูไม้เท้าขึ้นเหนือหัวเขา
บังเกิดพลังที่มองไม่เห็นแผ่ขยายออกจากไม้เท้า กวาดกระจายไปทั่วพื้นโลก
และเสียงของเขาก็ดังขึ้น “พวกเจ้าเป็นอมตะ ดังนั้นจงไปกัดกินพวกมันเสีย!”
จากนั้น เสียงสะท้านสะเทือนนับไม่ถ้วนก็ดังกึกก้องขึ้น
“แด่ราชาภูต!”
“ใช่แล้ว พวกเราจะสู้เพื่อท่านราชาภูต!”
“ราชาภูตทรงพระเจริญ!”
“ไปกัน!”
“ไปกินพวกมัน!”
เสียงคำรามสั่นสะเทือนโลกหล้าของคนตายนับร้อยล้านล้านคนสนั่นหวั่นไหว ทั้งหมดต่างกรูกันปืนขึ้นไปบนร่างของเผ่ามารตัวใหญ่ และใช้ปากกัดแทะเนื้อหนังของมันอย่างบ้าคลั่ง
เผ่ามารค่อยๆ ถูกกลืนกิน จนหลงเหลือเพียงกระดูก
แล้วภาพก็สลายหายไป
แต่ฝูงชนกลับยังคงนิ่งงัน ไม่ไหวติงไปพักหนึ่ง
เมื่อครู่…เขาสังหารคนตายนับล้านล้านคนอย่างเย็นชาและไร้ความปรานี
และเขายังสั่งกองทัพคนตายจากขุมนรก โถมเข้ากัดกินเผ่ามาร หรือกระทั่งอสุรกายทั้งเป็นจนไม่เหลือซาก
แม้ว่าจะมีเพียงสองภาพเท่านั้น แต่นี่มันช่างน่าตกตะลึงอย่างแท้จริง!
“โคตรเท่เลย…นี่ใช่ไหมที่เรียกกันว่าการลงมือของราชา” ดวงตาของลอร่าเปล่งประกายสดใส
ขณะที่คนอื่นๆ ไม่มีใครกล้ากล่าวอะไรออกมา
เห็นเมื่อว่าฉากโดยรอบตกลงสู่ความเงียบ กู่ฉิงซานก็เงยหน้าขึ้น และหันไปพูดกับหลี่อัน
แต่หลี่อันยังคงตะลึงงัน สายตาจ้องค้างอยู่แต่ในความว่างเปล่า
กู่ฉิงซานกระแอมไอเบาๆ และกล่าว “นั่นมันแค่เรื่องในอดีต ตอนนี้พวกเราควรที่จะมาให้ความสนใจกับปัจจุบันจะดีกว่านะ”
“ในเรื่องกระบวนการระหว่างทัณฑ์สวรรค์ สหายราชาภูตทั้งสามมีอะไรจะคัดค้านหรือไม่?” เขาเอ่ยถาม
บังเกิดความเงียบงันไปหลายลมหายใจ
ก่อนที่ราชาภูตจะตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน “ไม่คัดค้าน! เอาตามใจเจ้าเลย!!”
……………………………………………..
ลอร่าที่คอยเฝ้ามองกู่ฉิงซานแลกเปลี่ยนกับกษัตริย์อสูรเงา พอได้ยินสิ่งที่แม่มารกล่าว เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะร่าออกมา
“กู่ฉิงซาน อันที่จริงแล้วเจ้าไม่ต้องต่อรองอย่างจริงจังถึงเพียงนั้นก็ได้ สิ่งที่เรามอบมันให้แก่พวกเขาไปมิได้เลอค่ามากมายอะไร เรื่องจำนวนน่ะไม่สำคัญหรอกนะ เราสามารถให้ได้มากกว่านั้นเยอะ” เธอส่งคลื่นความคิดมาอย่างเงียบๆ
“กระหม่อมทราบดี แต่หากฝ่าบาทแสดงความมั่งคั่งจนเกินงามออกมา การแลกเปลี่ยนกับพวกปีศาจอาจจะล้มเหลว และเป็นการทำลายกลยุทธ์ทั้งหมดของเราลงได้” กู่ฉิงซานส่งความคิดกลับไป
ลอร่าพอได้ฟังก็สะดุ้ง เธอก้มหน้าลงและขบคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับคำพูดของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานหันไปพูดกับจักรพรรดินีหลี่อันอีกครั้ง “พวกเรามาเริ่มกันต่อเถอะ”
“เข้าใจแล้ว ในเมื่อสามกษัตริย์ปีศาจได้ตัดสินใจร่วมมือกับพวกเรา เช่นนั้นก็คงต้องเรียกกษัตริย์อาชูร่าซึ่งเป็นตนสุดท้ายออกมา” หลี่อันกล่าว
“ตัวตนของกษัตริย์อาชูร่าเป็นแบบใดกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
เขาย้อนนึกไปในจิตใจ ถึงช่วงเวลาที่ตนได้พบกับกษัตริย์อาชูร่า
ในความเป็นจริงแล้ว กู่ฉิงซานค่อนข้างที่จะชื่นชมกษัตริย์อาชูร่ากับนายพลภูตไม่น้อยเลย
เพราะทั้งสองยินดีที่จะเฝ้ารอนานนับหมื่นปี เพื่อช่วยเหลือชิงหยิน
จักรพรรดินีหลี่อันกล่าว “กษัตริย์อาชูร่ามิใช่พวกละโมบ แต่เป็นตัวตนที่นิยมการต่อสู้และสงครามเป็นอย่างยิ่ง หากเขาว่างเว้น การทำสัญญาด้วยกันคงง่าย แต่หากเขากำลังก่อสงครามกับโลกอื่นอยู่ การชักชวนเขาคงจะเป็นเรื่องยาก”
เห็นแค่เพียงท่าร่างในมือที่แปรผันของหลี่อัน ปากเอ่ยงึมงำร่ายคาถา ทำการอัญเชิญครั้งต่อไป
ไม่นานนัก เปลวไฟสีเขียวก็ปะทุขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า
เปลวไฟสีเขียวแพร่กระจายไปอย่างช้าๆ จนกลายเป็นม่านเปลวไฟ
พร้อมกันกับเสียงของผู้ชายที่ดังออกมาจากม่านไฟสีเขียวและเอ่ยถามว่า “จักรพรรดินีหลี่อัน เหตุใดเจ้าถึงเรียกหาข้า?”
แล้วหลี่อันก็กล่าวอธิบายคำเดิมออกไป รวมไปถึงเรื่องของทัณฑ์สวรรค์ด้วย
ภายในม่านไฟ เสียงของผู้ชายเงียบไปพักหนึ่ง “ข้ากำลังเตรียมการที่จะเปิดสงครามกับอีกโลกหนึ่งในไม่ช้า การจะให้ปลีกตัวออกไปเกรงว่าคงจะทำไม่…”
หลี่อันแทรก “ข้าทราบดี แต่หากข้าต้องทำการอัญเชิญไปยังโลกอาชูร่า และควานหากษัตริย์อาชูร่าองค์อื่นอีกครั้ง เกรงว่ามันจะยุ่งยากมากเกินไป ครั้งนี้ข้าขอให้ท่านช่วยโปรดช่วยพวกเราด้วยเถิด”
“ทัณฑ์สวรรค์ เช่นนั้นที่คิดจะข้ามผ่านมันก็สมควรจะเป็นมนุษย์…เอ๊ะ?”
กษัตริย์อาชูร่ากวาดสายตามองรอบๆ ทันใดนั้นเขาก็อุทานด้วยความประหลาดใจออกมา
จู่ๆ เขาก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน เห็นแค่เพียงเปลวไฟสีเขียวที่ทะยานตัวออกไป แปรเปลี่ยนตนเป็นกระแสแสง มาหยุดอยู่ข้างกายกู่ฉิงซาน และเริ่มเวียนวนรอบตัวเขาอย่างไม่รู้จบ
กู่ฉิงซานกุมดาบในมือแน่น แม้ใบหน้าของเขาจะยังคงสงบ แต่สายตากวาดกลับคอยสาดส่องเปลวไฟอยู่ตลอดเวลา โดยมิได้เอ่ยคำใดออกมา
เปลวไฟสีเขียวสาดแสงลงบนร่างกายของเขา ไม่นานนัก มันก็ลอยกลับไป
เปลวไฟสีเขียวเปลี่ยนรูปเป็นกษัตริย์อาชูร่า และกำลังแสดงท่าทีคล้ายกำลังพยายามรับรู้ถึงบางสิ่ง เงียบงันไปหลายสิบลมหายใจ
“มนุษย์ผู้นี้ คือคนที่คิดจะข้ามผ่านโทษทัณฑ์ใช่หรือไม่?” เขาเอ่ยถามขึ้นทันใด
“ถูกต้อง” หลี่อันกล่าว
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าตกลง เมื่อถึงเวลา ข้าจะเร่งมาทันที” กษัตริย์อาชูร่ากล่าว
จักรพรรดินีหลี่อันที่ยืนอยู่ข้างเปลวไฟอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอีกฝ่ายตกลงแล้ว เธอก็ไม่คิดจะไถ่ถามอะไรเพื่อเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายคิดเปลี่ยนใจอีก!
หลี่อันเร่งส่งใบไม้จากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามออกไป ให้กษัตริย์อาชูร่าลงนามสัญญาร่วมมือ
กษัตริย์อาชูร่าลงนามสัญญาอย่างรวดเร็ว
พอสัญญาถูกลงนามเรียบร้อยแล้ว หลี่อันก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ท่านผู้ทรงเกียรติ นี่ไม่ใช่วิสัยปกติของท่านเลย เหตุใดจึงตอบตกลง?”
“ก็คงเป็นเพราะเรื่อง สองร้อยล้านจิตวิญญาณ และเป็นอีกสองสิ่งที่อยู่ในตัวมนุษย์ผู้นั้น ซึ่งเป็นสัมพันธ์อันดีกับเผ่าอาชูร่าของข้า ดังนั้นข้าเลยอยากจะช่วยเขาสักครั้ง” กษัตริย์อาชูร่ากล่าว
ด้วยคำกล่าวของกษัตริย์อาชูร่า หลายคนอดไม่ได้ที่จะมองมายังกู่ฉิงซานด้วยความประหลาดใจ
เขากับอาชูร่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างงั้นหรือ?
กษัตริย์อาชูร่า “เอาล่ะ ข้าคงต้องขอตัวก่อน ยามเมื่อทัณฑ์สวรรค์เริ่มปรากฏ จะตอบรับมันในฐานะผู้ลงทัณฑ์เอง”
“โปรดรอสักครู่”
เมื่อเห็นว่ากษัตริย์อาชูร่ากำลังจะจากไป กู่ฉิงซานก็เร่งตะโกนขึ้น
“เจ้ามีอะไรงั้นหรือ?” กษัตริย์อาชูร่าเอ่ยปากอย่างช้าๆ
“ขออภัยที่ขัดจังหวะท่าน แต่ข้าอยากจะรู้ว่าสองสิ่งในกายข้าคืออะไร เหตุใดข้าจึงไม่เคยทราบถึงมันมาก่อนเลย?” กู่ฉิงซานถาม
“เจ้าย่อมไม่ทราบถึงมันอย่างแน่นอน เพราะนั่นเป็นเทคนิคลับจิตเทวะของพวกเราเผ่าอาชูร่า และมีเพียงคนของเราเท่านั้นจึงจะสามารถมองเห็นมันได้” กษัตริย์อาชูร่ากล่าว
กู่ฉิงซานตกตะลึง
ในโลกเดิม ครั้งหนึ่งเขาเคยได้เข้าไปในปรภพ และพบกับกษัตริย์อาชูร่าเมื่อ หนึ่งหมื่นปีก่อน กษัตริย์อาชูร่าได้ยอมรับในตัวเขา จึงมอบความสามารถและประสบการณ์ในการต่อสู้ของตนให้ แต่อีกฝ่ายไม่เคยพูดถึงเรื่องเทคนิคลับจิตเทวะมาก่อนเลย
บางที กษัตริย์อาชูร่าอาจจะคิดว่าเทคนิคลับนี้มีเพียงอาชูร่าเท่านั้นที่เข้าใจ มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับกู่ฉิงซาน จึงไม่ได้มอบมันให้แก่เขาใช่หรือไม่?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็แสดงความเคารพอย่างเป็นจริงเป็นจัง “เรียนถามท่านผู้ทรงเกียรติ โปรดช่วยปัดเป่าข้อสงสัยแก่ข้าจะได้หรือไม่ หากได้ ข้าจะรู้สึกขอบคุณท่านอย่างสุดซึ้ง”
“ก็ได้ ข้าจะบอกเจ้าสักนิดสักหน่อยก็แล้วกัน” กษัตริย์อาชูร่า พึมพำ
“เจ้าได้รับพรจากกษัตริย์อาชูร่า ซึ่งการที่กษัตริย์อาชูร่าจะมอบพรนี้ให้แก่ผู้ใด นั่นหมายความว่าคนผู้นั้นได้ช่วยเหลือกษัตริย์อาชูร่าแก้ปัญหาที่สำคัญยิ่งจนลุล่วง”
“หากเจ้าเดินทางไปตลอดทั้งหมื่นโลกา ตลอดทั้งอาณาจักรอาชูร่าในโลกหกวิถีจะสามารถรับรู้ได้ถึงเทคนิคลับนี้ และพวกเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าเฉกเช่นคนของตัวเอง”
กู่ฉิงซานลองมองย้อนนึกดู เขาจดจำได้ว่า เมื่อหนึ่งพันปีก่อนหน้านี้ ก่อนที่สงครามจะเข้าสู่จุดแตกหัก
แผนการของเทพสวรรค์ที่ต้องการถ่วงเวลาประสบผลสำเร็จ ส่งผลให้ทั้งกษัตริย์อาชูร่าและนายพลภูต จมลงสู่ห้วงความแค้น แต่เขาก็สามารถปลดเปลื้องให้ทั้งสองได้ในที่สุด
เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นแบบนี้
บางทีในช่วงเวลานั้น กษัตริย์อาชูร่าคงคิดจะขอบคุณตน จึงได้มอบพรแก่เขา
แต่น่าเสียดาย
ที่ตนเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ากษัตริย์อาชูร่ากับนายพลภูตจะสลายไป เวียนว่ายสู่สังสารวัฏหรือกลับไปยังจักรวรรดิเทียนหลานพร้อมกับชิงหยินกันแน่
มันจะเกิดอะไรขึ้นกับจิตวิญญาณที่เฝ้ารอมากว่าหมื่นปี จนในที่สุดก็บรรลุความปรารถนากันนะ?
นั่นคือขอบเขตที่กู่ฉิงซานไม่อาจทำความเข้าใจได้โดยสมบูรณ์
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
เขาถามอีกครั้ง “เมื่อครู่ท่านผู้ทรงเกียรติบอกว่าในร่างกายข้ามีอยู่สองสิ่ง สิ่งแรกข้าทราบแล้วว่ามันคือพรที่จะช่วยให้ได้รับสัมพันธ์อันดีกับเผ่าอาชูร่า แต่อีกสิ่งข้ายังไม่ทราบเลยว่ามันคืออะไร”
กษัตริย์อาชูร่าพิจารณามองเขา และหัวเราะขึ้นทันที “อีกหนึ่งมันเป็นเรื่องส่วนตัว และมันก็หาใช่สิ่งเลวร้ายไม่ ในอนาคตเจ้าจะเข้าใจเอง แต่ข้าจะยังไม่บอกเจ้าในตอนนี้”
เขาวาดมือออก และม่านเปลวไฟสีก็ลุกโชนขึ้น ห่อหุ้มรอบตัวเขา
และค่อยๆ สลายไปโดยสมบูรณ์
กษัตริย์อาชูร่าได้หายไปจากจัตุรัส ออกไปจากโลกที่เหลือทิ้งไว้โดยเหล่าทวยเทพใบนี้
เขายกเลิกกฎเกณฑ์ของทัณฑ์สวรรค์ และกลับไปยังโลกของตัวเองอย่างรวดเร็ว
มันคือโลกแห่งสงคราม
กองทัพกำลังรวมตัวกัน
อาชูร่าทุกตนเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ ทั้งหมดกำลังตรวจสอบอาวุธของตนเอง
พวกเขากำลังจะเริ่มสงครามกับอีกโลกหนึ่งในไม่ช้า
กษัตริย์อาชูร่าทิ้งตัวลงบนบัลลังก์หลังช้างเผือกของเขา
และจมลงสู่ห้วงคะนึงคิด
“องค์กษัตริย์ เกิดอะไรขึ้นกับท่านอย่างนั้นหรือ?” อาชูร่าหญิงที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร ส่งคำสั่งของข้าออกไป ว่าพวกเราอย่าเพิ่งบุกโลกใบนั้น”
“แต่ทุกคนเตรียมพร้อมแล้ว…”
“ข้ารู้ แต่เมื่อเกิดทัณฑ์สวรรค์ขึ้นในครั้งต่อไป ข้าจะนำพาพวกเจ้าเข้าร่วมงานเลี้ยงสังหารที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน หลังจากสิ้นสงครามในครั้งนั้น พวกเราค่อยกลับมาบุกมันอีกครั้งก็ยังไม่สาย”
“เจ้าค่ะ!”
ชูร่าหญิงกระโจนลงจากหลังช้างเผือก และเร่งประกาศคำบัญชาของกษัตริย์อาชูร่าออกไปทันที
กษัตริย์อาชูร่านั่งอยู่ลำพังบนหลังช้างเผือก นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน
ในตอนนั้นเอง เขาก็พึมพำในสิ่งที่คิดออกมา
“ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง”
“ทั้งชีวิตของอาชูร่าน่ะคือการต่อสู้และสงคราม เผ่าพันธุ์ข้ามิเคยหลั่งน้ำตามาก่อน แต่เจ้ากลับสามารถทำได้นางหลั่งน้ำตาออกมาได้…”
อีกด้านหนึ่ง
กู่ฉิงซานยังคงสับสนอยู่
ชั่วขณะนั้นเขาสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าน้อยๆ ในหัวใจตน
แต่ตอนนี้ สถานการณ์ตรงหน้าสำคัญกว่า และเขายังมีเรื่องอื่นที่จำเป็นต้องทำอยู่!
“เอาล่ะๆ” เขาพยายามระงับจิตใจที่สับสนวุ่นวาย และสูดหายใจลึกๆ “หลังจากนี้พวกเราต้องทำการอัญเชิญสี่ราชาภูตผีมาสินะ?”
หลี่อันกล่าว “ใช่ แต่มันจะแตกต่างจากการอัญเชิญกษัตริย์ปีศาจนะ มารสวรรค์อย่างพวกเรามิได้ข้องเกี่ยวกับพวกราชาภูตผี ดังนั้น คาถาของข้าแน่นอนว่าจะเป็นการเรียกราชาภูตมาแบบสุ่ม มิอาจระบุถึงตัวตนที่กำหนดอย่างชัดเจนได้ และพวกเราจะต้องโน้มน้าวพวกมันที่ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน ให้ยินยอมลงนามสัญญาให้จงได้”
“มันฟังดูอันตรายจัง” กู่ฉิงซานกล่าว
“ใช่ เพราะราชาภูตทั้งสี่จะมาในเวลาเดียวกัน มันเลยจะเป็นเรื่องอันตรายมาก” หลี่อันกล่าว
ณ ขณะนั้นเอง แม่มารก็ก้าวออกมาและกล่าวว่า “วางใจเถอะ หากข้ายังอยู่ที่นี่ย่อมไม่มีอันตรายใดๆ อย่างน้อยพวกมันย่อมไม่กล้าสร้างปัญหาให้กับพวกเจ้า โจมตีออกมาอย่างไม่ยั้งคิดอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ ว่าแต่พอจะบอกข้าหน่อยจะได้หรือไม่ ว่าลักษณะของราชาภูตทั้งสี่เป็นอย่างไร?” กู่ฉิงซานกล่าว
“เรื่องนี้ง่ายดายนัก” แม่มารหันไปทางหลี่อัน
หลี่อันอธิบาย “สำหรับผีโหย แม้พวกมันจะไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับสกิลทางจิตวิญญาณเท่าใดนัก แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็มีความต้านทานต่อสกิลจำพวกที่คล้ายคลึงกับสกิลจิตวิญญาณ และชมชอบที่จะดูดกลืนสมองของทุกสิ่งมีชีวิตขณะยังเป็นๆ”
“ส่วนผีปรภพ คือสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ตายลง เจ้าไม่สามารถสังหารมันได้ เจ้าทำได้เพียงปล่อยให้มันกลับคืนสู่การหลับใหลในปรภพเท่านั้น ดังนั้นจงอย่าล่วงเกินมัน หากมันคิดแค้นในตัวเจ้า หลังจากนี้ไปเจ้าคงมิแคล้วเผชิญกับปัญหามากมายที่จะตามมา”
“ขณะที่ผีกระหายเลือดจะครอบครองกำลังรบอันน่าอัศจรรย์ใจ เมื่อไหร่ก็ตามที่มันได้สูบเลือด ความแข็งแกร่งของมันจะพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด”
“สุดท้ายผีศพ พวกมันค่อนข้างเหมือนกับเรามารสวรรค์ แต่ก็ยังแตกต่างจากเราตรงที่ผีพวกนี้ต้องล่าสังหารทุกวัน หลังจากสิ่งมีชีวิตที่มันฆ่าตายลงแล้ว พวกมันก็หาได้ต้องการแต้มพลังวิญญาณจากสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นไม่ แต่พวกมันเพียงเฝ้าคอยที่จะดูดซับปราณแห่งความตายที่กระจายออกมา เพื่อเติมเต็มความหิวโหยเท่านั้น”
“เอาล่ะ ข้าพอจะเข้าใจเกี่ยวกับพวกมันขึ้นมาบ้างแล้ว มาเริ่มกันเลยเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว
“แต่เจ้าต้องจดจำจุดที่สำคัญที่สุดเอาไว้ให้ดี”
“มันคือ…”
“เจ้าต้องจดจำไว้ว่า กษัตริย์ปีศาจน่ะมักจะมีความคิดและเป้าหมายเป็นของตัวเอง แต่ราชาภูตกับกษัตริย์ปีศาจน่ะจะแตกต่างกัน ราชาภูตน่ะชมชอบในการสังหาร และจะเคารพผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด กระหายเลือดที่สุด สังหารได้มากที่สุดเท่านั้น”
“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานตอบรับ
หลี่อันพยักหน้า ก่อนจะยื่นมือของเธอออกไป ประกบกันเป็นรูปแบบตราประทับแปลกๆ และเริ่มท่องคาถา
ซึ่งคราวนี้ราชาภูตทั้งสี่ จะปรากฏตัวขึ้นพร้อมๆ กัน!
นอกเหนือไปจากแม่มารแล้ว ทุกคนในสถานที่แห่งนี้ต่างก็เริ่มวิตกกังวล บรรยากาศเริ่มตึงเครียด
อีเลียกับทหารพิทักษ์ขยับเข้ามาใกล้ลอร่า ล้อมเธอเป็นวงกลม สายตาสาดส่องไปมาอย่างหวาดระแวง
ขณะที่ทางฝั่งมารสวรรค์เองก็ได้รวมกลุ่มกัน และสนทนากันอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานเฝ้ารอคอยอย่างสงบ
ในครั้งนี้ ระยะเวลาการร่ายคาถามันยาวกว่าช่วงก่อนหน้า
ด้วยเสียงร่ายมนตราของหลี่อัน บนพื้นจัตุรัสเริ่มปรากฏชั้นหมอกหนา แพร่กระจายลอยขึ้นมาสูงจนถึงเอวคน
หมอกเริ่มพรั่งพรูออกมาอย่างไม่รู้จบ
ในช่วงจังหวะนั้นเอง หลี่อันก็เปล่งเสียงตะโกนขึ้นทันใด “ตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ได้ถูกระบุแล้ว! ขอราชาภูตทั้งหลายจงปรากฏ!”
เพล้ง!
เพล้ง!
เพล้ง!
สิ้นสามเสียงสนั่น ราชาภูตก็ผุดออกมาจากหมอกหนา
ตนแรกที่ปรากฏคือมอนสเตอร์ที่มีผิวสีเทา ครอบครองความสูงกว่าสิบเมตร
มือและเท้าของมันเรียวยาวแลดูคล่องแคล่ว ร่างกายผ่ายผอมราวกับฟืนแห้งๆ มีเพียงแต่บริเวณท้องของมันที่โป่งพอง กลมกลึงเป็นก้อน ขณะที่บนใบหน้าของมันไร้ซึ่งดวงตา
นี่คือราชาภูตผีโหย
ตนที่สองที่ปรากฏขึ้น ดูเหมือนจะไม่ใช่ผี แต่แท้จริงแล้วคล้ายกับสัตว์อสูรเสียมากกว่า มันครอบครองคู่กีบเท้าที่แลดูแข็งแกร่ง แขนทั้งสองปกคลุมไปด้วยใบมีดที่ผุดขึ้นเรียงรายราวกับเครื่องหั่นเนื้อ เขี้ยวของมันโค้งงอ ยาวออกมาจากปาก
นี่คือราชาภูตผีกระหายเลือด
ตนที่สาม เป็นมอนสเตอร์นกที่มีเค้าโครงหน้าของมนุษย์ ครอบครองคู่ปีกสี่ข้าง ตามร่างกายปลดปล่อยกลิ่นอายหยินออกมาตลอดเวลา บนใบหน้าของมันดุร้าย เพียงจ้องมองก็สัมผัสได้ถึงลางไม่ดี
นี่คือราชาภูตผีศพ
ราชาภูตผีโหย ราชาภูตผีกระหายเลือด และราชาภูตผีศพ ได้ปรากฏตัวขึ้นกลางจัตุรัส!
หลี่อันหันซ้ายแลขวา แต่กลับกลายเป็นว่าเธอไม่เห็นถึงการตอบรับของราชาภูตผีปรภพ
“แปลก…ทำไมราชาภูตผีปรภพถึงไม่ตอบสนองต่อตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์กันนะ? นี่มันเป็นไปไม่ได้…”
เธอขมวดคิ้ว และเริ่มที่จะสับสน
………………………………………….
กู่ฉิงซานกับลอร่าเพิ่งจะสนทนากันจบ จักรพรรดินีหลี่อันก็ตะโกนเรียกเขา
“มีอะไรงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ข้าจะเริ่มจากการเรียกพวกปีศาจมายังที่นี่ แต่ก่อนหน้านั้นข้าต้องการจะบอกถึงข้อควรระวังแก่เจ้าเสียก่อน”
“ว่ามาสิ”
กู่ฉิงซานตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย
เพราะแผนการของเขา กระบวนการนี้นี่แหละที่สำคัญและไม่ควรจะมีอะไรผิดพลาดมากที่สุด
จักรพรรดินีหลี่อัน “เจ้ากำลังจะตัดผ่านขอบเขตประทับเทพ ดังนั้นทัณฑ์สวรรค์ในครานี้ จึงจักมีสี่ปีศาจและสี่ภูตผีที่สามารถตอบสนองต่อกฎเกณฑ์แห่งการลงทัณฑ์ได้ รวมกันเป็นแปดตำแหน่ง ‘ผู้ลงทัณฑ์’
“หมายความว่าพวกเขาคือคนที่ข้าจะต้องโน้มน้าวใจใช่หรือไม่?”
“ใช่”
“ช่วยบอกรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับพวกเขาให้ข้าด้วย”
“สีปีศาจ จะถูกแบ่งออกเป็น ปีศาจเพลิงเขมือบ อสูรเงา อาชูร่า และมารสวรรค์”
“สี่ภูตผี จะถูกแบ่งออกเป็น ภูตผีโหย ภูตผีปรภพ ภูตผีกระหายเลือด และภูตผีศพ”
“กษัตริย์ปีศาจและราชาภูตผีทั้งแปดนี้ เป็นผู้ครอบครองตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ร่วมกัน มีหน้าที่หยุดยั้งไม่ให้เจ้าตัดผ่านขอบเขต และลากเจ้าเข้าสู่ความตาย”
“‘ผู้ลงทัณฑ์’ ที่เจ้ากล่าวมันหมายความว่าอะไร?”
“ผู้ลงทัณฑ์ก็คือ ผู้ที่ครอบครองสิทธิ์อำนาจในการสั่งการปีศาจหรือภูตผีเผ่าพันธุ์เดียวกัน ให้ปรากฏตัวขึ้นในระหว่างปรากฏการณ์ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์”
“ในโลกนับล้านๆ มีภูตผีและปีศาจอยู่นับไม่ถ้วน ดังนั้นจึงจำเป็นมีราชาหรือกษัตริย์ที่ได้รับสิทธิ์เป็นผู้ลงทัณฑ์ ปรากฏตัวขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อมิให้เกิดความวุ่นวายขึ้น”
“ประมาณว่า มีสิทธิ์มาก่อนเพื่อที่จะได้กินก่อนใช่ไหม?”
“ใช่ แต่ผู้ที่จะมาปรากฏตัวได้ จะต้องเป็นผู้ปกครองโลกของปีศาจและผีร้ายเท่านั้น จึงสามารถมาปรากฏตัวในฐานะผู้ลงทัณฑ์ได้”
หลี่อันกล่าวต่อ “ซึ่งแปดผู้ลงทัณฑ์ จะประกอบไปด้วยสี่กษัตริย์ปีศาจและสี่ราชาภูตผี พวกเขาจะมีหน้าที่เหมือนกันนั่นคือคอยควบคุมเผ่าของตนเอง เพื่อสังหารเจ้าที่คิดข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ใช้โอกาสจากทัณฑ์สวรรค์เข่นฆ่าผู้คนอย่างงั้นสินะ ไอ้เจ้าพวกนี้รสนิยมดีไม่เลวเลย”
“แต่ก็ยังมีเรื่องที่โชคดีอยู่” หลี่อันยิ้ม “เพราะครานี้ ท่านแม่ข้ามาถึงก่อนเป็นคนแรก และนางมียศเป็นถึงผู้ทรงเกียรติจากโลกมารดึกดำบรรพ์ ดังนั้นไม่ว่ามารสวรรค์ตนใด พวกมันจักต้องทำปฏิบัติตามคำสั่งของแม่ข้าอย่างแน่นอน นี่คือกำของธรรมชาติ”
กู่ฉิงซานหันไปมองแม่มารสวรรค์
แม่มารพยักหน้าและกล่าว “เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องมารสวรรค์ เจ้าเพียงต้องโน้มน้าวใจอีกทั้งเจ็ดตนให้ได้ก็พอ”
“ขอบพระคุณท่านผู้ทรงเกียรติ!” กู่ฉิงซานประสานกำปั้น คารวะให้แก่อีกฝ่าย
“เอาล่ะ พวกเราจะมาเริ่มต้นจากกษัตริย์ที่พูดกันได้ง่ายที่สุด ปีศาจเพลิงเขมือบเป็นตนแรกก็แล้วกัน มันน่ะแข็งแกร่งและเป็นพวกชอบทำลายล้าง ดังนั้นหากได้ยินเกี่ยวกับสองร้อยล้านจิตวิญญาณ มันจะต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน” หลี่อันกล่าว
สองมือของเธอผนึกตราประทับ ปากงึมงำร่ายคาถา
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง สะเก็ดไฟก็เริ่มปะทุขึ้นในอากาศ ก่อนที่มันจะลุกโชติช่วงออกมา
พร้อมกับเสียงหยาบกระด้างที่ดังก้อง
“เป็นผู้ใดกันที่อัญเชิญข้า?”
เห็นแค่เพียงปีศาจที่ทั้งร่างของมันเกรียมไปด้วยสีทะมึน ขณะเดียวกันก็ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง ก้าวออกมาจากความว่างเปล่า
“นี่คือกษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบ ผู้มีสัมพันธ์อันดีกับเรา”
หลี่อันส่งความคิดไปยังกู่ฉิงซาน
กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบกวาดสายตามองไปรอบทิศ เมื่อเขาเห็นกู่ฉิงซาน ตนเองก็เข้าใจทันที
“อา ที่แท้ก็เรียกข้ามาเพื่อร่วมกันสังหารผู้ฝึกยุทธ์ที่ต้องการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ด้วยกันนี่เอง…”
อย่างไรก็ตาม เมื่อมันรำพึงมาถึงจุดนี้ มันก็มิอาจเอ่ยคำใดได้อีก
เพราะมองไปยังมารสวรรค์แต่ละตน ทุกคนล้วนเป็นปีศาจที่ตัวเองรู้จักกันดีทั้งสิ้น
ส่วนเจ้าผู้ฝึกยุทธ์นั่น กลับถูกรายล้อมไปด้วยมารสวรรค์หญิง แม้กระทั่งจักรพรรดินีมารสวรรค์ก็ยังยืนอยู่เคียงข้างมัน แถมยังมีแม่มารดึกดำบรรพ์ที่ยากนักจะพบเจออยู่ด้วยกันอีก
ตัวตนที่ทรงอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนั้น แต่กลับยืนอยู่ทางฝั่งผู้ฝึกยุทธ์ที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์อย่างสงบ โดยที่ไม่มีความคิดจะลงมือแม่แต่น้อย…
เพลิงเขมือบที่กำลังเฝ้ามองนิ่งงันไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังไม่ชัดเจนในสถานการณ์ ปากขยับพึมพำ “หรือว่าจะมีการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ที่อื่นอีก แต่ข้าดันมาผิดที่กันแน่นะ?”
ขณะนั้นเอง จักรพรรดินีหลี่อันก็ก้าวเข้าไปหามัน และเริ่มอธิบาย
“คือว่ามันเป็นแบบนี้…”
ด้วยคำอธิบายของเธอ กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบก็เข้าใจในทันที
“ว่าไงนะ! สองร้อยล้านจิตวิญญาณ!”
“ถูกต้อง หากเจ้าเห็นด้วยก็จงทำสัญญาแล้วมาเข้าร่วมกับเรา แต่ห้ามทำอะไรผู้ฝึกยุทธ์ที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์ เพราะเขาคือพวกเดียวกัน”
“ไม่มีปัญหา แต่เจ้าวางแผนจะแบ่งสองร้อยล้านจิตวิญญาณกันอย่างไร?”
“แน่นอนว่าผู้ใดสังหารได้มากที่สุด ผู้นั้นก็ได้ไปเท่านั้น” หลี่อันตอบ
กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบพอได้ฟังก็รู้สึกโล่งใจ มันเปล่งเสียงดัง “ดี! ถ้าอย่างนั้นข้าตกลง!”
หลี่อันหันไปมองกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานจึงมอบใบไม้จากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามให้แก่เธอ
หลี่อันยื่นมันให้อีกฝ่ายและอธิบาย
กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบมัวแต่คิดถึงสองร้อยล้านจิตวิญญาณด้วยความสุข มันเร่งให้ลงนามสาบานต่อใบไม้จากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ แล้วในส่วนของผู้ลงทัณฑ์จากมารสวรรค์ของพวกเราเล่าท่านแม่?” จักรพรรดินีหลี่อันเอ่ยถาม
“ข้าได้รับตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์มาแล้ว” แม่มารเอ่ยขึ้นมา
“นี่ท่านแม่มารรับตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ในส่วนของมารสวรรค์กระนั้นหรือ?” กษัตริย์ปีศาจเพลิงเขมือบเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“เป็นข้า แต่เจ้าวางใจได้ ว่าข้าจะไปแก่งแย่งอาหารอันโอชะทางฝั่งเดียวกับเจ้าอย่างแน่นอน” แม่มารกล่าว
“ฮ่าๆๆ ขอบพระคุณท่านแม่มาร”
ว่าจบ เพลิงเขมือบก็หายกลับคืนสู่ความว่างเปล่า
ตามแผนการที่วางเอาไว้ มันจะกลับไปจัดเตรียมผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเอง เมื่อไหร่ที่การข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ มันในฐานะผู้ลงทัณฑ์ก็จะปรากฏตัวอีกครั้ง
“คราวนี้ก็เหลืออีกหก…ว่าแต่ตนต่อไปที่พวกเราจะอัญเชิญเป็นใครกัน?” กู่ฉิงซานถาม
หลี่อันดูเหมือนจะพบเจอกับปัญหาที่ยากลำบาก เธอขมวดคิ้วและเอ่ยออกไปว่า “เอาเป็นกษัตริย์อสูรเงาก็แล้วกัน แต่จงระวังเอาไว้ให้ดี มันเป็นปีศาจเจ้าเล่ห์ แถมยังโลภในวัตถุของมนุษย์เป็นอย่างมากอีกด้วย”
“โลภงั้นหรือ?”
“ใช่ ในบรรดาสี่ปีศาจ สี่ภูตผี มันเป็นเผ่าพันธุ์ที่โลภมากที่สุด”
“งั้นก็เรียกมันมาได้เลย ข้าชอบนักที่จะหารือแลกเปลี่ยนกับคนโลภ คราวนี้เจ้าไม่ต้องออกหน้าเพียงลำพัง ข้าเองก็จะเข้าร่วมการสนทนาด้วยเช่นกัน” กู่ฉิงซานกล่าว
“เข้าใจแล้ว”
หลี่อันเริ่มเปลี่ยนท่าร่างไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ขณะเดียวกันปากก็เริ่มงึมงำ อัญเชิญปีศาจตนต่อไปออกมาอีกครั้ง
เพียงไม่กี่ลมหายใจ เงาทะมึนก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากเบื้องล่างของจุตรัส
เงาที่ว่านี้ผุดขึ้นตรงหน้าหลี่อัน และค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างช้าๆ
ร่างของมันมีขนาดความสูงกว่าแปดเมตร ทั้งหมดทั้งมวลถูกสร้างขึ้นจากเงา แลคล้ายกับหุบเหวอันมืดมิดที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก
แต่ในความเป็นจริงแล้วมันคืออสูรเงา เป็นกษัตริย์ของอสูรเงาทั้งมวล
“ทัณฑ์สายฟ้า? แต่ช่างน่าแปลกนัก เหตุใดบรรยากาศจึงดูไม่เหมือนกำลังฆ่าฟันกันเลย จักรพรรดินีหลี่อัน เจ้าเรียกข้ามาด้วยเหตุอันใด?” กษัตริย์อสูรเงาเอ่ยถาม
หลี่อันจึงเล่าเรื่องราวแผนการออกไปอีกครั้ง
“สองร้อยล้านจิตวิญญาณ…ขอเวลาข้าสักประเดี๋ยว…” อสูรเงากล่าว
บังเกิดสายลมแห่งความมืดมิดเล็ดลอดออกจากมัน และผลุบหายเข้าไปในความว่างเปล่า
ดูเหมือนว่ามันกำลังจะติดต่อกับโลกอื่นๆ เพื่อค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องอยู่
หลายลมหายใจผ่านไป มันก็ยกหัวขึ้นอย่างรวดเร็วและกล่าว “แต่เดิม กลับกลายเป็นว่านี่คือสงครามครั้งสำคัญยิ่ง ข้าสามารถยอมรับคำร้องขอของเจ้าได้ แต่เงื่อนไขย่อมไม่ง่ายนัก”
“เงื่อนไขใดที่เจ้าต้องการ?” หลี่อันถาม
“ตัวเจ้าเองก็ทราบดี ว่าสิ่งใดที่พวกเราอสูรเงาชมชอบมากที่สุด มันหาใช่จิตวิญญาณไม่! แต่เป็นเงิน!” กษัตริย์อสูรเงาขึ้นเสียง
หลี่อันหันไปมองกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานหันไปมองลอร่า
ลอร่าโยนถ้วยใบหนึ่งออกไป
กู่ฉิงซานคว้ารับมัน และพบว่าถ้วยใบนี้แท้จริงแล้วคือ ‘จอกศักดิ์สิทธิ์ทรายทองคำ’
กู่ฉิงซานยื่นจอกศักดิ์สิทธิ์ให้หลี่อัน และกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับเธอ
หลี่อันพยักหน้า และเริ่มเอียงปากจอกศักดิ์สิทธิ์คว่ำลง
แสงระยิบระยับของทรายสีทองร่วงโรยลงมาจากจอกศักดิ์สิทธิ์ กระทบกับพื้น
“อืม ช่างเป็นเสียงที่น่ารื่นรมย์ใจยิ่ง” อสูรเงาครวญเสียงกระเส่า
ทรายสีทองยังคงไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง ไม่นานนัก มันก็เริ่มก่อเป็นกองทรายเล็กๆ ขึ้น แต่เมื่อผ่านไปเรื่อยๆ กองทรายก็ยังขยายใหญ่ขึ้น ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง
“ทองคำไม่มีทีท่าว่าจะหมดลงเลย…นี่ใช่จอกศักดิ์สิทธิ์ทรายทองคำในตำนานหรือไม่?” กษัตริย์อสูรเงาถาม
“ใช่” หลี่อันตอบรับ
“หากเจ้ายินดีที่จะยอมแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งนี้ อืม…เห็นแก่ความจริงใจของเจ้า ข้าจะยอมร่วมมือด้วยก็ได้ แต่เจ้าจะต้องตอบรับคำขอจากข้าอีกสักเล็กน้อย” อสูรเงากล่าวด้วยรอยยิ้ม
สีหน้าของหลี่อันเริ่มเขียวคล้ำ เธอกำลังจะเอ่ยปากพูด
แต่สุดท้ายเธอก็หุบปากลง
เพราะกู่ฉิงซานได้ลงมือไปก่อนเธอเสียแล้ว
ไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ตัดภาพมาอีกที กู่ฉิงซานก็กำลังเอาดาบพิภพจี้อยู่บนคอหอยของกษัตริย์อสูรเงาแล้ว
บังเกิดสายลมที่มองไม่เห็นขึ้นโดยรอบดาบพิภพ
ขณะนี้ บนตัวดาบพิภพได้คุกรุ่นไปด้วยแต้มพลังวิญญาณ!
กษัตริย์อสูรเงายิ้ม “เจ้าคิดขู่ข้า? แต่เสียใจด้วยนะเจ้าไม่สามารถสังหารข้าได้หรอก เพราะข้าน่ะมีร่างเงาไว้ในครอบครองกว่าเก้าพันร่าง”
“เอาเลยสิเจ้าเด็กตัวเหม็น ข้าจะยอมยืนอยู่เฉยๆ ไม่ป้องกัน อยากฆ่าก็ฆ่าเลย”
“เจ้าจะไม่ป้องกัน แล้วยอมให้ข้าสังหารงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานทวนซ้ำ
เสียงของอสูรเงากลายเป็นทุ้มลึก “แต่ข้าจะขอเตือนเจ้าไว้ก่อน ว่าตราบใดที่เจ้ากล้าลงมือ ในภายภาคหน้านับจากนี้ไป ยามใดที่เจ้าข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ ตัวข้าจะทุ่มสุดกำลังไล่ติดตามไปสังหารเจ้า!”
กู่ฉิงซานพยักหน้า และปาดคมของดาบพิภพออกไปทันที
อสูรเงากรีดร้อง ตะโกนด้วยความโกรธ “นี่เจ้ากล้า…”
แต่ก่อนที่มันจะกล่าวจบ ร่างของมันก็อ่อนเปลี้ย ตกลงกับพื้น และสลายไป
กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน
เขาหันไปกล่าวกับหลี่อัน “ทำต่อไป จงเรียกมันมาอีกครั้ง”
หลี่อันตกใจ ขณะเดียวกันเธอก็ถามด้วยความสงสัย “แต่เจ้าลงมือไปแล้ว ข้าเกรงว่าเรียกอีกครั้งมันจะไม่มา … ”
“หากมันโลภดังที่เจ้าว่าจริงๆ มันย่อมต้องปรากฏตัวอีกครั้งเป็นแน่”
“เพราะเหตุใด?”
“เพราะมันยังไม่ได้รับสิ่งที่ตนต้องการ แถมยังสูญเสียกายสำรองไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้ว่ามันจะบาดหมางกับข้าเพียงใด แต่มันก็คงไม่มีทางยอมตัดใจจากไปเสียเฉยๆ อย่างแน่นอน”
“…เข้าใจแล้ว”
หลี่อันประทับฝ่ามืออีกครั้ง และเริ่มทำการเรียกขานกษัตริย์อสูรเงาอีกครั้ง
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ลมหายใจ
เงาดำก็ผุดขึ้นมาอีกคราบนพื้นจัตุรัส
“ไอ้หนู เจ้ากล้าลงมือจริงๆ! ดี! ดีมาก!!” อสูรเงาคำรามลั่น
แรงกดดันของมันพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คล้ายน้ำที่กำลังร้อนจนใกล้ถึงจุดเดือด
กู่ฉิงซานแสร้งเล่นละคร กล่าวอย่างสงบ “ก่อนที่เจ้าคิดจะทำอะไร ข้าขอบอกก่อนนะว่ากษัตริย์ปีศาจและราชาภูตผีตนอื่นๆ ที่ครอบครองตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ได้ลงนาม ทำสัญญากับข้าแล้ว ตรงจุดนี้เจ้าสามารถถามไถ่จากแม่มารได้”
อสูรเงาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองแม่มาร
แม่มารพยักหน้า เอออออย่างไม่ใส่ใจ
กษัตริย์อสูรเงาเมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องจริง มันก็ตกตะลึง คล้ายกับถูกอะไรบางอย่างกระแทกเข้าใส่อย่างแรง
หากอีกเจ็ดกษัตริย์ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับฝ่ายตรงข้ามจริงๆ เช่นนั้นหากทัณฑ์สวรรค์เริ่มต้นขึ้น ตนจะไม่ถูกตกเป็นเป้าหรอกหรือ?
เนื่องจากตนได้ปรากฏตัวขึ้น ได้รับตำแหน่งเป็นผู้ลงทัณฑ์แล้ว ส่งผลให้ตามกฎเกณฑ์ของทัณฑ์สวรรค์ หากเกิดการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ขึ้น ตนเองก็จำเป็นต้องถูกบังคับให้ออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แล้วเมื่อถึงเวลานั้น ตนและผู้ใต้บังคับบัญชาจะต้องเผชิญหน้ากับการถูกรุมล้อมของอีกเจ็ดกษัตริย์อย่างงั้นหรือ?
สถานการณ์นั่น…มันหายนะชัดๆ!
ประเดี๋ยวก่อน!
ว่าแต่ไอ้เจ้าคนที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์ผู้นี้มันเป็นใครกันแน่?
“ข้าสามารถซื้อเจ็ดกษัตริย์มาได้ และแม้แต่จอกศักดิ์สิทธิ์ข้าก็มีไว้ในครอบครอง ฉะนั้น คิดหรือว่าข้าจะกลัวเจ้า? หากเจ้าคิดจะโผล่มากำจัดข้าในช่วงเวลาข้ามผ่านโทษทัณฑ์?”
กู่ฉิงซานยิ้มและพูดต่อ “ตราบใดที่เจ้ากล้าจะมา กล้าที่จะลงมือกับข้า ขอให้มั่นใจได้เลยว่าข้านี่แหละจะสังหารเจ้าก่อน ไม่สำคัญว่าเจ้าจะมีร่างกายมากเพียงใดก็ตาม”
“ขณะเดียวกัน สำหรับสองร้อยล้านจิตวิญญาณ หรือจอกศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับอะไรไปทั้งนั้น!”
“ถ้าเจ้าไม่อยากแลกเปลี่ยนก็ไปเถอะ ยามเมื่อทัณฑ์สวรรค์เริ่มต้นอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นก็มาดูกัน ว่าใครจะตายก่อนกัน”
กู่ฉิงซานกล่าวรวบรวมในลมหายใจเดียว
ฝูงชนบังเกิดความเงียบ
กษัตริย์อสูรเงาเองก็หุบปากเงียบ
ช่วงเวลานี้เองที่กู่ฉิงซานเปิดปากพูดอีกครั้ง “แต่หากเจ้าต้องการที่จะหารือแลกเปลี่ยนจริงๆ เงื่อนไขของพวกเราก็ยังคงเดิมอย่างที่ได้กล่าวไปเมื่อครู่ เจ้าเอาวิญญาณของผู้เข้าสู่วิถีมารไป สังหารได้มากเท่าไหร่ เจ้าก็ได้มันไปมากเท่านั้น”
“ตอนนี้ เจ้าก็เลือกเอาเองก็แล้วกัน ว่าจะต้องการก่อสงครามกับกษัตริย์ปีศาจตนอื่นๆ หรือร่วมมือกับเรา และได้รับไปทั้งจิตวิญญาณและสมบัติ!”
ฝูงชนที่กำลังรับชมอยู่ยังคงเงียบ
หลังจากนั้นหลายลมหายใจ
กู่ฉิงซานก็กล่าวต่อ “โอกาสสุดท้าย หากเจ้าไม่เข้าร่วม พวกเราก็จะไปเริ่มสงครามในทันที”
“ยังเงียบอยู่อีก คงไม่อยากเข้าร่วมสินะ? งั้นเจ้าก็ไปได้เลย พวกเราจะได้เตรียมรับมือ…”
“ช้าก่อน!” กษัตริย์อสูรเงาเปลี่ยนน้ำเสียงของตน กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเอาด้วย เมื่อครู่ข้าแค่เสียเวลาคิดว่ามันจักคุ้มค่าหรือเปล่าเท่านั้นเอง”
“นี่สิถึงจะเป็นสิ่งที่ควร อย่างที่ข้ามักจะชอบกล่าว ‘อัธยาศัยดีมักจะเป็นต้นเหตุของความมั่งคั่ง’อย่างแท้จริง” กู่ฉิงซานกล่าว ขณะเดียวกันก็โยนใบไม้จากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามไป
“เอาล่ะ นี่คือสัญญา เจ้าจงลงนามเสีย”
“ไม่มีปัญหา แล้วเมื่อไหร่ข้าจะได้รับจอกศักดิ์สิทธิ์?”
“จงลงนาม แล้วเจ้าก็เอาไปได้เลย”
“งั้นเอาสัญญามา!”
…
กษัตริย์อสูรเงากอดจอกศักดิ์สิทธิ์ด้วยความรักใคร่ ก่อนจะจากไปด้วยความปีติเหลือแสน
“เจ้าทราบได้อย่างไรว่ามันจะยอมลงนาม?” หลี่อันถาม
“ก็เจ้าเป็นคนบอกเองนี่ว่ามันโลภ ฉะนั้นตราบใดที่มันมา นั่นก็จะพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่ามันไม่ยินยอมที่จะเสียผลประโยชน์ และเป็นฝ่ายที่จะถูกสังหารลงซ้ำๆ”
“ตัวเลือกหนึ่งคือสองร้อยล้านจิตวิญญาณ และจอกที่สามารถผลิตทองคำได้ไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่อีกตัวเลือกคือถูกล้อมหน้าล้อมหลังและไม่ได้รับสิ่งใดเลย ดังนั้นตัวมันจึงย่อมพิจารณาถึงผลได้ผลเสียได้อย่างง่ายดาย”
กู่ฉิงซานยังคงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นข้าถึงได้บอกไงว่าชอบนัก ที่จะแลกเปลี่ยนกับคนโลภ เพราะการแลกเปลี่ยนกับพวกเขา โดยทั่วไปแล้วมันมิได้ซับซ้อนอะไรเลย”
หลี่อันถอนหายใจ และส่ายหัว “ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นมนุษย์”
“หมายความว่าอย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
แม่มารที่จ้องเขาอยู่นาน เอ่ยปากออกมา “เป็นเพราะว่าเจ้าเหมือนปีศาจ ยิ่งกว่าปีศาจด้วยกันเสียอีกน่ะสิ”
……………………………………………………….
แม่มารจากโลกมารดึกดำบรรพ์รับสิ่งประดิษฐ์วิญญาณสีทองแดงไป และในที่สุดอารมณ์ของเธอก็ดีขึ้น
สายตาของเธอกวาดข้ามผ่านฝูงชน และตกลงบนลอร่า
“ขออนุญาตเอ่ยถาม เจ้าเป็นคนของราชวงศ์หนามใช่หรือไม่?” แม่มารเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
อีเลียก้าวมายืนขวางลอร่าและกล่าว “ใช่ พวกเราเป็นคนที่ทางอาณาจักรหนามส่งมา เป็นทีมพิเศษไว้คอยช่วยเหลือมิสเตอร์กู่ฉิงซาน”
แม่มารพอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทรงอำนาจจากฝ่ายตรงข้าม เธอก็ย้อนนึกไปถึงตำนานที่เล่าลือกันของสายพันธุ์หนาม และเริ่มเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้น
วิหคหนาม คือสายพันธุ์ที่สามารถอยู่รอดได้ในดินแดนอัศจรรย์ และยังเป็นสายพันธุ์เดียวที่ยินดีติดต่อกับโลกภายนอกอีกด้วย
วิหคหนามมีสมบัติจากในดินแดนอัศจรรย์ไว้ในครอบครองนับไม่ถ้วน เป็นเผ่าพันธุ์ที่ร่ำรวยที่สุดในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ความมั่งคั่งที่ว่านั่นมิอาจเข้าไปฉกชิงได้
นั่นก็เพราะ…
รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนอัศจรรย์ ไม่เว้นกระทั่งโลกเก้าร้อยล้านชั้น และมันคอยพิทักษ์สมบัติของวิหคหนามเรื่อยมา
นอกเหนือไปจากเหล่าสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงในดินแดนอัศจรรย์แล้ว ในโลกอื่นๆ ของดินแดน ก็ไม่มีใครต้องการที่จะรุกรานวิหคหนาม
กระทั่งดินแดนชิงอำนาจ ดินแดนมิติอนันต์ และดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู
ท่ามกลางโลกนับล้านๆ ไม่เว้นกระทั่งมาร ล้วนไม่มีผู้ใดยินดีที่จะรุกรานพวกเขา
นี่เป็นเพราะในอดีต ได้เกิดเหตุการณ์โด่งดังขึ้นในประวัติศาสตร์
สามหมื่นปีก่อน ทหารพิทักษ์แห่งอาณาจักรหนามได้หายตัวไปอย่างน่าฉงน
ใช่แล้วล่ะ ถึงแม้ว่าสมบัติของวิหคหนามจะไม่ได้สามารถขโมยได้ แต่หากเป็นวิหคหนามตัวเป็นๆ ล่ะก็ สามารถทำได้
เมื่อทหารพิทักษ์หายตัวจนล่วงเลยไปสามวัน ตลอดทั้งอาณาจักรหนามก็ยังไม่ค้นพบตัวเขา
ในตอนนั้นเอง กษัตริย์หนามก็ได้ประกาศรางวัลออกมา
กษัตริย์ได้ประกาศว่าหากใครสามารถค้นพบทหารพิทักษ์ และตามจัดการเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับมัน สามารถทำให้เขาพึงพอใจได้ กษัตริย์ก็จะมอบรางวัลของอาณาจักรหนามให้
และรางวัลที่ว่า คือกองภูเขาสมบัติ ที่ถูกทับถมรวมกันโดยสมบัติจากดินแดนอัศจรรย์
บนสุดของภูเขาสมบัติ ถูกวางเอาไว้ด้วยอาวุธสามชิ้น ซึ่งแต่ละชิ้นแยกกันเป็น ระดับชั้นมหากาพย์ ระดับชั้นตำนาน และระดับชั้นสิ่งประดิษฐ์เทวะ วัตถุศักดิ์สิทธิ์
กษัตริย์หนามได้กล่าวว่า รางวัลทั้งสามชิ้นนี้ จะพิจารณามอบให้กับกลุ่มที่สามารถทำงานเพื่อเขาได้ดีที่สุด
ทันทีที่รางวัลนี้ถูกประกาศออกไป โลกตลอดทั้งเก้าร้อยล้านชั้นก็ตกอยู่ในความคลุ้มคลั่ง!
สงครามทั้งหมดหยุดลง
เหล่าตัวตนทรงอำนาจละทิ้งการเผชิญหน้ากัน
แม้กระทั่งพันธมิตร และองค์กรระหว่างดวงดาวขนาดใหญ่มากมาย ก็ยังล้มเลิกแผนการเดิม และเริ่มทำการออกค้นหาทหารพิทักษ์แห่งหนาม
ทุกตัวตนอันยอดเยี่ยมทั้งหมดต่างออกหน้า
ภายใต้อำนาจและอิทธิพลมากมาย ที่คุมขังทหารพิทักษ์ก็ถูกค้นพบได้อย่างรวดเร็ว
มันคือจักรวรรดิดวงดาวขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่ง
จักรวรรดิที่ว่านั่นครอบครองพื้นที่กว่าเจ็ดชั้นโลก และยังครอบครองกองกำลังที่ไม่เป็นสองรองใคร
ไม่ว่าจะเป็นความเจริญก้าวหน้าของอารยธรรม หรืออิทธิพลความแข็งแกร่ง จักรวรรดิดวงดาวแห่งนี้ก็ล้วนยืนอยู่บนจุดสูงสุด
จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิได้สั่งการให้ลอบจับตัวทหารพิทักษ์ออกมา
ด้วยความคาดหวังว่าทหารพิทักษ์จะยอมจำนนต่อเขาด้วยสารพัดวิธีการทนทุกข์ทรมาน และคิดมอบสมบัติของมันให้แก่เขาด้วยตนเอง
อย่างไรก็ตาม หลังจากข้อมูลนี้ถูกเปิดเผย ในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง จักรวรรดิดวงดาวแห่งนี้กลับถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆ โดยบรรดาเหล่าตัวตนทรงอำนาจจากตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น!
และนับตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่เคยมีใครกล้าหือกับวิหคหนามอีกเลย
แม่มารเบนสายตา มองย้อนกลับมาลงบนร่างของกู่ฉิงซาน
แต่คนผู้นี้กลับสามารถมีสัมพันธ์กับวิหคหนามได้…
…
นี่มันช่างน่าประหลาดใจอย่างแท้จริง
แล้วหลี่อันไปตกเหยื่อตัวนี้ได้อย่างไรกัน?
“เจ้าเด็กกู่ เจ้าต้องการร่วมมือกับหลี่อันเพื่อกำจัดหนึ่งแสนกองทัพสัตว์ประหลาดผี และสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมารใช่หรือไม่ แล้วเจ้ามีแผนการอย่างไรบ้าง?”
แม่มารมองมายังกู่ฉิงซาน เอ่ยถามอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
และนี่เป็นครั้งแรกเลย ที่เธอกำลังเพ่งตรวจสอบกู่ฉิงซานอย่างจริงจัง
“แน่นอนว่ามี” กู่ฉิงซานกล่าว
“ลองกล่าวมาข้าจะฟัง ขณะเดียวกันข้าก็จะประเมินตัวเจ้าไปด้วย ต้องรู้นะว่าพวกเรามารสวรรค์ไม่อาจสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาได้ในโลกใบนี้ และข้าเองก็กังวลไม่น้อยเกี่ยวกับความปลอดภัยของหลี่อัน”
“เข้าใจแล้ว แผนการของข้าคือ ‘สู้ด้วยน้อยแต่ได้มาก’” กู่ฉิงซานกล่าว
“อืม ว่าต่อสิ”
“จบแล้ว”
สองตาของแม่มารหรี่แคบลง เธอเอ่ยปากอย่างช้าๆ “เพื่อที่จะจัดการกับศัตรูจำนวนมากมายขนาดนั้น แต่แผนของเจ้า กลับมีน้อยนิดเพียงแค่หกคำเองหรือ? นี่เจ้าเห็นเป็นเรื่องล้อเล่น?”
“เปล่า เปล่าเลย นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”
กู่ฉิงซานอธิบาย “ผู้คนน่ะมักจะประทับใจกับการที่ได้เห็นการซุ่มโจมตีด้วยกำลังที่น้อยกว่า แต่สามารถโค่นล้มกำลังที่มากกว่าได้ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วนั่นน่ะคือการดิ้นรนเฮือกสุดท้าย แต่ดันโชคดีชนะมาได้เท่านั้น”
เขายังคงพูดต่อ “ จากในศาสตร์แห่งสงคราม กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือ แข็งแกร่งชนะอ่อนแอ และมากชนะน้อย”
“แข็งแกร่งแต่มิใช่อ่อนแอจึงจะชนะ ขณะเดียวกันมากแต่มิใช่น้อยจึงจะชนะเช่นกัน นี่คือความจริงที่ไม่มีทางลบล้างได้ และยังเป็นกลยุทธ์ในการใช้ทหารที่ดีที่สุดที่จะช่วยเพิ่มโอกาสคว้าชัยชนะอีกด้วย”
สีหน้าของแม่มารในที่สุดก็ดีขึ้น เธอพยักหน้าอย่างลับๆ
เธอลองขบคิดสักพัก จึงเอ่ยถาม “มันก็ฟังดูไม่เลว แล้วในกระบวนการยิบย่อยของมันเล่า เจ้าตั้งใจจะทำอะไร?”
กู่ฉิงซานกล่าว “เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้ฝึกยุทธ์ตัดผ่านขอบเขต สวรรค์และโลกจะส่งสายฟ้ามาลงทัณฑ์เขา ขณะเดียวกันปีศาจร้ายมากมายก็จะปรากฏตัวขึ้น และข้าอยากให้หลี่อันใช้ช่วงเวลานั้น ติดต่อกับพวกมัน ทำการอัญเชิญกำลังรบจำนวนมากให้ออกมา”
“กำลังรบที่เจ้าว่า ใช่หมายถึงทุกชนิดของปีศาจร้ายที่มักจะปรากฏตัวขึ้นเมื่อผู้ฝึกยุทธ์ตัดผ่านขอบเขตใช่หรือไม่”
“ใช่”
กู่ฉิงซานมองหลี่อันและเอ่ยถาม “เจ้าเป็นมารสวรรค์ ดังนั้นก็น่าจะมีความสัมพันธ์กับปีศาจร้ายตนอื่นๆ อยู่บ้าง เจ้าสามารถเรียกพวกมันมาหารือกันสักหน่อยจะได้หรือไม่?”
หลี่อันลังเล “เรื่องเรียกปีศาจร้ายมาน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่พวกมันดันไม่สันทัดในเรื่องพูดคุยนี่สิ”
กู่ฉิงซานกล่าว “เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ขอแค่ได้บอกถึงสิ่งที่จะใช้แลกเปลี่ยนออกไป เดี๋ยวต่อจากนั้นพวกมันก็จะกลายมาเป็นสหายที่ดีได้เอง”
หลี่อันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เจ้านี่มันน่าสนใจจริงๆ ปีศาจร้ายน่ะชอบกินคน แต่เจ้าดันอยากจะเป็นสหายกับพวกมัน”
“ตัวข้ามีเพียงจิตวิญญาณเดียวเท่านั้น ซึ่งไม่มีทางเพียงพอให้พวกมันแบ่งปันกันได้ ทว่าหากพวกมันร่วมมือกับข้า พวกมันก็จะได้รับสมบัติ และ แบ่งปันสองร้อยล้านจิตวิญญาณร่วมกัน ข้าเชื่อมั่นสุดหัวใจว่าพวกมันย่อมรู้ดีว่าจะต้องเลือกหนทางใด” กู่ฉิงซานกล่าว
หลี่อันเบนสายตาจากเขา กล่าวน้ำเสียงเรียบเฉย “เช่นนั้นข้าคงต้องขอเตรียมตัวก่อน”
สองมือของเธอจีบเข้าด้วยวิชาลับ และเริ่มท่องคาถายาวเหยียด อัญเชิญปีศาจร้ายตนอื่นๆ ออกมา
แม่มารจ้องมองมาที่ฉากนี้ และต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่สุดท้ายเธอก็หุบปากลง และไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
มารสวรรค์ตนอื่นๆ เหลือบมองซึ่งกันและกัน ลอบกระซิบกระซาบ
“เจ้าดูนั่นสิ เหมือนพวกเขากำลังจีบกันอยู่เลยมิใช่หรือ”
“ท่านแม่ไม่ใส่ใจ หรือว่านางแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นมันกันแน่?”
“เจ้าคิดว่าท่านแม่จะมองไม่เห็นจริงๆ น่ะหรือ?”
“ใจเย็นๆ ก่อน อย่าลืมสิว่าเขามีสิ่งประดิษฐ์วิญญาณอยู่นะ”
ใช่แล้ว เขาน่ะครอบครองสิ่งประดิษฐ์วิญญาณ!
บังเกิดความเงียบงันขึ้น
ทุกคนเริ่มรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
ทันใดนั้นจิตสัมผัสเทวะจากมารสวรรค์ตนหนึ่งก็ส่งผ่านไปยังทุกๆตน
“พี่น้องทั้งหลาย ข้ามีบางอย่างอยากจะเอ่ยถาม พวกเจ้าคิดว่าหากเทียบเปรียบระหว่างข้ากับหลี่อันแล้ว เป็นข้าหรือนางที่งดงามมากกว่ากัน?”
มารสวรรค์หญิงสบตากันและกัน นิ่งค้างไป
ไม่มีใครตอบคำถามที่ฟังดูน่าเบื่อหน่ายนี้
อย่างไรก็ตาม ดวงตาของพวกนางทุกคนกลับตกลงบนร่างของกู่ฉิงซานเป็นเป้าเดียว
ประโยคนี้ คล้ายกับว่าได้เบิกเนตรให้แก่เหล่าหญิงสาว
ดูเหมือนว่า…ความหวังที่พวกตนจะได้ครอบครองสิ่งประดิษฐ์วิญญาณเช่นเดียวกับหลี่อัน กำลังค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นอย่างช้าๆ
กู่ฉิงซานก้าวออกมา รวมตัวกันกับลอร่า อีเลีย และทหารพิทักษ์คนอื่นๆ
“ตอนที่พวกเรามีอีกหนึ่งปัญหา” กู่ฉิงซานกล่าว
“ปัญหาอะไร?” ลอร่าเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานกล่าว “กระหม่อมจะต้องร่วมมือกับปีศาจ ช่วยกันสังหารผู้เข้าสู่วิถีมาร ดังนั้นกระหม่อมเลยต้องการสัญญาที่มีผลผูกมัดไว้เป็นหลักประกัน มิฉะนั้นแล้วในกรณีที่ปีศาจคิดบิดพลิ้ว ทรยศพวกเรา มันจะมีปัญหาตามมา”
ลอร่าหยิบหนังสือสัญญาใหม่เอี่ยมจากกระเป๋าของเธอออกมาและกล่าว “ใช้เจ้าสิ่งนี้สิ มันใช้งานง่ายมากๆ มีผลผูกมัดกับพฤติกรรมของทั้งสองฝ่าย และจะไม่ยินยอมให้เกิดการทรยศกันขึ้นในระหว่างข้อตกลง”
“แล้วถ้าทรยศล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“คนที่ทรยศจะถูกฆ่าโดยกฎเกณฑ์แห่งคำมั่นสัญญาโดยตรง” ลอร่าตอบ
กู่ฉิงซานขบคิด “แค่ฆ่าหรือ? แต่บทลงโทษนี้ ดูเหมือนว่าสำหรับปีศาจแล้ว…”
อีเลียส่ายหัว และพูดบ้าง “ลอร่า แม้ว่านี่จะเป็นหนังสือสัญญาของหอคอยสูงที่ใช้กันทั่วไปในตลอดทั้งหมื่นโลกา แต่สำหรับการดำรงอยู่ของพวกปีศาจน่ะมันใช้ไม่ได้ แม้ในสัญญาจะเป็นการปลิดชีพพวกมันก็ตาม แต่บางทีพวกมันอาจจะมีวิธีฟื้นคืนชีพอยู่ก็ได้”
“ถ้าแบบนั้น เราควรทำอย่างไรดี?” ลอร่าเอ่ยถาม
อีเลียยิ้มและกล่าว “ท่านลืมใบไม้จากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามของพวกเราไปแล้วหรือ?”
ลอร่าเข้าใจทันที แต่แล้วเธอก็เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ “แต่เราไม่ได้นำเจ้าสิ่งนั้นมา…”
“แต่กระหม่อมเอามา” อีเลียกล่าว
ว่าจบ เธอก็หยิบใบไม้สีเขียวออกจากถุง และมอบให้กับกู่ฉิงซาน
“นี่คือใบไม้จากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม แต่ละใบจะมีสัญญาที่มิอาจต่อต้านได้” อีเลียกล่าว
“สัญญาอะไร?” กู่ฉิงซานถาม
“สัญญาที่มิอาจฝ่าฝืน มิฉะนั้นแล้วจักถูกลงโทษ”
“แล้วบทลงโทษจากการผิดคำสัญญามันคืออะไร?”
“อำนาจทั้งหมดของคนผู้นั้นจักถูกดูดกลืนโดยรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ และจิตวิญญาณจะถูกสูบไปเป็นอาหารหล่อเลี้ยงรุกขชาติ”
“ร้ายกาจจริงๆ แต่ผมกลัวว่าอาจจะมีปีศาจบางตนที่ยังไม่เชื่อ”
“ไม่ต้องกังวลไป เพราะตราบใดที่ปีศาจเหล่านั้นเห็นพวกเราวิหคหนาม พวกมันจะเข้าใจเอง”
แต่กู่ฉิงซานก็ยังไม่รู้สึกวางใจ “แล้วถ้าหากเกิดกรณีที่มีการดำรงอยู่บางชนิด ที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพวกคุณเหมือนอย่างผมล่ะ?”
“…เอาล่ะๆ เจ้าลองหยิบใบไม้ออกมา แล้ววางมันลงบนฝ่ามือ ก็จะเข้าใจเอง”
กู่ฉิงซานหยิบใบไม้มา และวางมันลงบนฝ่ามือเขา
ทันใดนั้น กู่ฉิงซานก็รู้สึกว่าจิตสัมผัสเทวะของตนกำลังลอยล่องออกไปจากโลกใบนี้
อำนาจอันไร้ที่สิ้นสุดของกฎเกณฑ์แผ่ออกมาจากใบไม้ มันได้นำพาจิตของกู่ฉิงซานตัดผ่านมิติและเวลา ไปปรากฏขึ้นเบื้องหน้าการดำรงอยู่ของบางสิ่งที่แสนจะยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์
มันเป็นต้นไม้
ต้นไม้โบราณที่มีขนาดความสูงมากกว่าหนึ่งหมื่นเมตร
กู่ฉิงซานแม้เพียงมองผ่านจากในจิตใจของเขา แต่กลับสามารถสัมผัสได้ว่าเบื้องหลังรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์สูงตระหง่านที่คอยให้ร่มเงานี้ มีพลังชีวิตเหลือล้นที่ตัวเขาทำได้เพียงแหงนหน้ามองขึ้นไป
อำนาจของมันยิ่งใหญ่เกินไป จนผู้คนที่เห็นทำได้เพียงชื่นชม แต่ไม่คิดอยากเป็นปฏิปักษ์
ในหัวใจของกู่ฉิงซาน รู้สึกได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามที่ส่งออกมา จิตใจของเขาเต้นครึกโครมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ในขณะเดียวกัน คลื่นความคิดก็ถูกส่งผ่านมาจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์
คลื่นความคิดนี้ไหลเข้าสู่หัวใจของกู่ฉิงซานโดยตรง บอกเล่าให้เขาตระหนักรู้ถึงสิ่งหนึ่งทันที
ใช่แล้วล่ะ หากตนเองได้เอ่ยคำมั่นสาบานกับใบไม้ รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ก็จะรับรู้
ขณะที่เมื่อใครก็ตามละเมิดคำสาบาน รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์จะดูดกลืนอำนาจทั้งหมดของคนผู้นั้น แม้กระทั่งจิตวิญญาณก็ยังถูกดูดซับไปเป็นอาหาร
นี่คือกฎของมัน
เป็นกฎที่โลกตลอดทั้งเก้าร้อยล้านชั้น ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจละเมิดได้
กู่ฉิงซานถอนจิตสัมผัสเทวะกลับคืนอย่างรวดเร็ว
“ทรงอำนาจจริงๆ!” เขาถอนหายใจ
ลอร่าตบลงในกระเป๋าของเธอและกล่าวว่า “ถูกต้อง กระเป๋าของเราเองก็ถูกถักทอขึ้นจากใบและกิ่งก้านของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน เท่ากับว่าสิ่งต่างๆ ที่ใส่ไว้ในกระเป๋าของเราก็จะถูกเก็บรักษาไว้โดนรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์โดยตรง นอกเหนือไปจากเรา ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเปิดกระเป๋าใบนี้ได้”
อีเลียเอ่ยเสริมในเวลาเดียวกัน “ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ปฏิญาณว่าจะปกป้องลอร่า ในกรณีที่ข้าไม่อาจบรรลุคำมั่นได้ รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ก็จะพรากอำนาจทั้งหมดของข้าไป และจิตวิญญาณของข้าก็จะถูกรับไปโดยมัน”
กู่ฉิงซานใส่ใบไม้กลับเข้าไปในถุง ปากเอ่ยกล่าวด้วยความพึงพอใจ “ด้วยอำนาจที่ทรงประสิทธิภาพเช่นนี้ ย่อมสามารถนำมาใช้แทนสัญญาได้อย่างแน่นอน ขอบคุณมากจริงๆ”
อีเลียส่ายมือและกล่าว “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว”
ลอร่าดึงชายเสื้อของกู่ฉิงซานด้วยดวงตาแดงเรื่อ “กู่ฉิงซาน เรายินดีจ่ายสมบัติทุกอย่าง ตราบใดที่เจ้าสามารถแก้แค้นให้ครอบครัวของเราได้!”
“อืม ท่านวางใจเถอะ พวกเราจะสามารถแก้แค้นแทนพวกเขาได้อย่างแน่นอน”
กู่ฉิงซานแตะลงบนหัวของเธอ ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
………………………………………
แม่มารจากโลกมารดึกดำบรรพ์กวาดสายตามองทะเลสีน้ำเงินโดยรอบ ก่อนที่สายตาของเธอจะตกลงบนมังกรสายฟ้าที่แหวกว่าย และร่ายรำอยู่ในผืนสมุทร
“เข้าใจแล้ว เพราะสายฟ้าคือตัวแทนแห่งการลงทัณฑ์ของโลกใบนี้ ดังนั้นเจ้าจึงคิดจะอาศัยประโยชน์จากทัณฑ์สายฟ้าที่ถูกเสริมอำนาจ สังหารกองทัพสัตว์ประหลาดผีสินะ” เธอเอ่ยพึมพำ
“ถูกต้อง ในเมื่อรู้แบบนี้ ท่านก็น่าจะ…” กู่ฉิงซานกล่าว
“ไม่” แม่มารขัดจังหวะเขา “ด้านนอกบนชั้นเปลือกน้ำแข็ง ยังคงเหลือผู้เข้าสู่วิถีมารอีกกว่าสองร้อยล้านคน และเกือบทั้งหมดล้วนมีความแข็งแกร่งเท่าเทียมกันกับเจ้า แล้วเจ้าจะใช้วิธีการใดเพื่อรับมือกับพวกเขา?”
แม่มารกล่าวต่อ “ถึงแม้ว่าสายฟ้าสวรรค์จะใช้กำจัดกองทัพสัตว์ประหลาดผีได้ก็ตามที แต่สำหรับสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมารซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นของโลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้น จะต้องมีบางคนที่มาจากโลกอารยธรรมผู้ฝึกวรยุทธ์อยู่บ้างเป็นแน่ ดังนั้นพวกเขาย่อมสามารถหาวิธีรับมือกับสายฟ้าสวรรค์ได้”
“นั่นหมายความว่าเจ้ามิอาจสร้างความเสียหายให้แก่พวกเขาได้มากเท่าที่ควร เพราะพวกเขามิได้หวาดเกรงสายฟ้าสวรรค์เหมือนกับเหล่าภูตผี”
กู่ฉิงซาน “เป็นอย่างที่ท่านว่า สำหรับในเรื่องของผู้เข้าสู่วิถีมารกว่าสองร้อยล้านคน พวกเราจะทำการแลกเปลี่ยนกัน”
“แลกเปลี่ยนอะไร?”
“ข้าจะร้องขอให้หลี่อันอัญเชิญกองกำลังของนางมา ร่วมมือกันกับข้าสังหารผู้เข้าสู่วิถีมารเหล่านั้น”
แม่มารส่งเสียงฮึฮะ “สุดท้ายเจ้าก็ต้องอาศัยหลี่อัน หากหลี่อันไม่ออกหน้า ตัวเจ้าเพียงลำพังย่อมไม่อาจรับมือกับพวกเขาได้”
“เจ้าพลาดแล้ว”
“ถ้าความจริงมันเป็นแบบนี้ ตัวข้าก็กระจ่างแก่ใจแล้ว”
“อันที่จริง ข้าไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากหลี่อัน”
กู่ฉิงซานกลั้วลำคอของเขา ปากเอ่ยกล่าวเฉียบขาด “เนื่องจากก่อนหน้านี้พวกเราร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี ดังนั้น หลังจากที่ข้าจ่ายหนี้ก้อนแรกแล้ว ข้าก็จะเชิญหลี่อันมาอีกครั้ง เพื่อร่วมทำการแลกเปลี่ยนในครั้งต่อไป”
เขามองไปยังจักรพรรดินีหลี่อัน และเอ่ยถาม “ตอนนี้ ข้าต้องการจะทราบ ว่าสมบัติที่พวกเจ้ามารสวรรค์หวงแหนมากที่สุดคือสิ่งใด”
“สมบัติ? พวกเรามารสวรรค์…”
จักรพรรดินีหลี่อันเพียงเปิดปากพูด เธอก็ถูกขัดจังหวะโดยแม่มาร
“เจ้าหนู คิดอะไรอยู่ถึงได้ถามเรื่องนี้” แม่มารกล่าวเบี่ยงประเด็น
“แน่นอนว่าเป็นการถามเพื่อเชื้อเชิญให้นางออกหน้า มาร่วมมือกับข้าสังหารผู้เข้าสู่วิถีมาร” กู่ฉิงซานตอบ
“เจ้าคิดจะซื้อนางอย่างนั้นหรือ?”
กู่ฉิงซานยิ้ม พยายามอธิบายอย่างอดทน “ก่อนอื่น ข้าต้องการจะทราบว่าสิ่งที่มารสวรรค์เห็นว่าเป็นสมบัติน่ะคือสิ่งใด หลังจากที่ได้รับคำตอบแล้ว พวกเราจะมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มันชัดเจนอีกครั้ง แบบนี้ได้หรือไม่?”
แม่มารจ้องมาที่เขา แม้ในสมองจะขบคิด แต่ก็มิได้เอ่ยขัดอะไรอีกต่อไป
เมื่อหลี่อันเห็นแบบนั้น เธอก็กล่าวทันที “มารสวรรค์อย่างพวกเรามองว่า ‘สิ่งประดิษฐ์วิญญาณ’ เป็นสมบัติ สิ่งประดิษฐ์วิญญาณคือกฎเกณฑ์ที่ผสมผสาน อัดแน่นไปด้วยจิตวิญญาณ มันเป็นสิ่งที่มารสวรรค์สามารถใช้แต้มพลังวิญญาณขับเคลื่อนได้ตลอดเวลา เพื่อระเบิดอำนาจของกฎเกณฑ์ที่ตนเองมีออกมา”
“แต่สิ่งประดิษฐ์วิญญาณน่ะแสนหายาก โดยทั่วไปแล้วน้อยครั้งนักที่จะปรากฏขึ้นในแต่ละโลก ในความเป็นจริง ทุกสิ่งมีชีวิตก็สามารถใช้มันได้เช่นกัน หากเข้าใจเกี่ยวกับการใช้แต้มพลังวิญญาณมากพอ”
“ดังนั้น สิ่งประดิษฐ์วิญญาณจึงเปรียบดั่งเป็นสมบัติของโลกเก้าร้อยล้านชั้น”
“ทุกครั้งที่สิ่งประดิษฐ์วิญญาณถือกำเนิดขึ้น ก็มักจะเป็นต้นเหตุของพายุเลือด มารสวรรค์จากกลุ่มต่างๆ จะส่งกองทัพของตนออกไป เพื่อเข้าร่วมแย่งชิงสิ่งประดิษฐ์วิญญาณ”
กู่ฉิงซาน “ดีล่ะ อย่างนั้นต่อไป ข้าอยากจะรู้ว่าเจ้ามีสิ่งประดิษฐ์วิญญาณอยู่กี่ชิ้น?”
“กี่ชิ้น? เจ้าบ้าไปแล้ว ข้ามีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น” หลี่อันกล่าว
“แล้วได้รับมันมาได้อย่างไร?”
“ในตอนที่สืบทอดบัลลังก์จักรพรรดินี ท่านแม่ได้มอบมันให้แก่ข้า”
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่คิดต่อสู้เพื่อช่วงชิงสิ่งประดิษฐ์วิญญาณใหม่ๆ?”
หลี่อันยิ้มอย่างขมขื่น และหันไปมองแม่มาร
แม่มารยิ้มเยาะ “สิ่งประดิษฐ์วิญญาณสามารถถูกกระตุ้น ขับเคลื่อนได้โดยแต้มพลังวิญญาณเท่านั้น อานุภาพของมันแสนจะน่าเกรงขาม ครอบครองเพียงหนึ่งแต่จักได้ขึ้นเป็นถึงราชันแห่งโลก มิฉะนั้นแล้วบรรดาโลกมากมายจะออกเดินทางมาเพื่อทำสงครามแย่งชิงมันไปทำไม?”
“หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ สิ่งประดิษฐ์วิญญาณเป็นของหายากอย่างแท้จริงสินะ” กู่ฉิงซานครุ่นคิด
เขาเงียบลง
“เจ้าหนู แท้จริงแล้วเจ้ากำลังพยายามจะเล่นกลอุบายอันใดกันแน่?” แม่มารซักไซ้
“กลอุบายอย่างนั้นหรือ…ไม่ใช่หรอก เพราะที่จริงแล้ว…”
กู่ฉิงซานพึมพำและหันไปมองลอร่า
เมื่อลอร่าประสานสายตากับเขา เธอก็นิ่งงันไป
ทันใดนั้นเธอก็ย้อนนึกไปถึงคำที่กู่ฉิงซานเคยพูดกับตนเองก่อนหน้านี้
‘กระหม่อมอยากจะถามฝ่าบาท ว่าท่านยินดีจะทุ่มเททุกสิ่งอย่างให้กับการล้างแค้นหรือไม่?’
‘เรายินดีจะทุ่มเททุกสิ่งอย่าง’
‘ท่านยินดีจะทำทุกทางที่มันสามารถทำลายโลกที่ถูกจองจำโดยเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ใบนี้ลงหรือไม่?’
‘ต่อให้กระดูกของเราจะถูกทุบเป็นผุยผง หรือแม้ว่าจะต้องจ่ายด้วยทุกสิ่งที่มี เราก็ยินดี เราจะไม่มีวันให้ทริสเต้ได้รับชัยชนะเด็ดขาด!’
….
ลอร่าค่อยๆ ฟื้นคืนสติอีกครั้ง
ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง
เธอเอื้อมไปคว้าในความว่างเปล่า
กระเป๋าใบเล็กๆ ผุดออกมาจากกลางอากาศ
ลอร่าก้มหน้าลง ใช้มือน้อยๆ ของเธอล้วงลงไปควานของในกระเป๋า ปากเอ่ยพึมพำ “เราก็คิดว่าจะต้องจ่ายราคาที่หนักหนาอะไรออกไปซะอีก ที่แท้มันก็เป็นสิ่งประดิษฐ์วิญญาณนี่เอง…”
ขณะกล่าว เธอก็เดินตรงไปยังกู่ฉิงซาน
อีเลียกับทหารพิทักษ์ปิดล้อมรอบตัวเธอ ขยับกระบวนทัพตามไปอย่างใกล้ชิด
ลอร่ามองไปรอบๆ ก่อนจะส่งมอบของชิ้นหนึ่งให้กับกู่ฉิงซาน
“นี่คือสิ่งประดิษฐ์วิญญาณ” เธอกล่าว
กู่ฉิงซานก้มลงมองดูมัน และพบว่าแท้จริงแล้วมันคือปลายหอก
นี่คือปลายหอกทองเหลือง ไม่เพียงหนัก แต่ยังสาดประกายเย็นฉ่ำ ขณะเดียวกันก็แผ่ร่องรอยจางๆ ของคมกล้าออกมา
กู่ฉิงซานโยนหอกนี้ส่งให้หลี่อันโดยตรง
“เจ้าลองดูสิ ว่าสิ่งนี้คืออะไร” กู่ฉิงซานกล่าว
จักรพรรดินีหลี่อันเบิกตากว้าง คว้าจับปลายหอกทองเหลืองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“นี่เจ้ามี…” เธอเอ่ยถามอย่างลังเล
“ลองใช้มันดูสิ” กู่ฉิงซานกล่าว
หลี่อันกุมหอก และเริ่มกระตุ้มแต้มพลังวิญญาณ
บนปลายหอก จู่ๆ ก็เกิดรังสีแสงสีขาวน้ำนมกระชากขึ้นทันใด มันผลุบเข้าไปในร่างกายของหลี่อัน
หลี่อันหลับตาลง และทำความเข้าใจถึงช่วงเวลานี้อยู่ครู่หนึ่ง
“อา…ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”เธอเอ่ยพึมพำ
ในวินาทีต่อมา เธอก็เปิดตาขึ้นทันใด ขยับไหวร่างกายในฉับพลัน
เห็นแค่เพียงทั้งตัวเธอกลายเป็นกระแสแสงเย็นเยียบ ตัดผ่านอากาศในพริบตา
วินาทีต่อมา เธอก็กลับมายืนอยู่ที่เดิมอีกครั้ง
ช่างว่องไว!
มันจะว่องไวเกินไปแล้ว!
หากไม่ได้ให้ความสนใจกับเธออย่างจริงจัง เกรงว่าการหายตัวไปเมื่อครู่ของเธอคงไม่มีทางสังเกตได้
‘โครม!’
จนกระทั่งเวลานี้ จึงค่อยบังเกิดเสียงดังขึ้นตามมาอย่างช้าๆ
เห็นแค่เพียงวิหารที่มิได้อยู่ในห้วงทะเลลึก บัดนี้พังทลาย ถูกระเบิดทิ้งเป็นชิ้นๆ คล้ายกับเพิ่งถูกอุกกาบาตตกใส่
เหล่ามารสวรรค์หญิงเมื่อมองเห็นถึงฉากนี้ พวกเธอตกใจจนเกือบจะกัดลิ้นตัวเอง
ต้องไม่ลืมนะว่า วิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพ แม้ว่ามันจะไม่ได้รับการปกปักจากอำนาจเทวะ แต่อย่างน้อยก็ยังได้รับพรจากเหล่าทวยเทพ ซึ่งการจะสร้างความเสียหายแก่มัน ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
อย่างไรก็ตาม หลี่อันกลับใช้เวลาเพียงเสี้ยวเดียว ก็สามารถถล่มมันลงมาได้อย่างสิ้นเชิง
“ช่างเป็นสิ่งประดิษฐ์วิญญาณที่ยอดเยี่ยมเสียจริง” หลี่อันแสดงความคิดเห็น
เธอสัมผัสปลายหอกด้วยความฝืนใจ และโยนมันกลับไปให้กู่ฉิงซาน แต่กู่ฉิงซานไม่ได้รับมัน เขาเพียงวาดมือ และส่งหอกกลับไป
ปลายหอกทองแดงลอยกลับมาอยู่ในมือของจักรพรรดินีหลี่อันอีกครั้ง
“นี่เจ้า…” เธอสับสน
“ข้าให้เจ้า” กู่ฉิงซานกล่าว
หลี่อันตะลึงงัน
มารสวรรค์หญิงตนอื่นกรีดร้อง “พี่สาว รีบรับมันไว้เร็วเข้า นั่นมันสิ่งประดิษฐ์วิญญาณชั้นยอดเชียวนะ!”
แม่มารจิกริมฝีปากของตัวเองแน่น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ทำไมถึงมอบมันให้ข้า?” หลี่อันจ้องมองกู่ฉิงซาน เอ่ยถามอย่างแผ่วเบา
“เป็นของมัดจำ”
“…มัดจำอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ เพื่อให้เจ้ากับข้าร่วมมือกันอีกครั้ง ช่วยกันสังหารผู้เข้าสู่วิถีมารสองร้อยล้านคน และสิ่งประดิษฐ์วิญญาณชิ้นนี้คือของมัดจำ”
กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “แน่นอน ว่าทุกอย่างนอกเหนือไปจากสิ่งประดิษฐ์วิญญาณแล้ว ดวงจิตของสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมารก็จะเป็นของเจ้าด้วยเช่นกัน”
ฝูงชนจมลงสู่ความเงียบทันที
จิตวิญญาณของผู้เข้าสู่วิถีมารกว่าสองร้อยล้าน!
ลมหายใจของเหล่ามารสวรรค์เริ่มถี่ระรัวและหนักอึ้ง
สวรรค์เถอะ!
โลกทั้งใบ!
สิ่งประดิษฐ์วิญญาณแสนร้ายกาจ!
และยังมีสองร้อยดวงจิตของผู้เข้าสู่วิถีมาร!
หากนี่เป็นเรื่องจริง
หากมันเป็นเรื่องจริงแล้วละก็
ช่วงเวลาระหว่างที่ภายในจิตใจของเหล่ามารสวรรค์คล้ายดั่งถูกพายุกระหน่ำซัด
ลอร่าที่ยืนอยู่ด้านข้างและเฝ้ามองกระบวนการทั้งหมดมาจนถึงตอนนี้
จู่ๆ เธอก็แอบดึงชายเสื้อของกู่ฉิงซาน และส่งคลื่นความคิด
“แบบนี้มันจะไม่เป็นไรหรือ?” เธอถาม
“แน่นอน หากต้องการใช้คนอื่นทำงานให้ท่าน ท่านก็จะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้พวกเขา…หรือว่าฝ่าบาทยังแคลงใจ ไม่ยินดีที่จะมอบสิ่งประดิษฐ์วิญญาณออกไป?” กู่ฉิงซานตอบและถามกลับ
“ไม่ ไม่หรอก เราก็แค่เพิ่งรู้ตัวว่า…รู้ว่า…”
“บอกมาเถิด ยังมีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถบอกกับกระหม่อมได้อีกหรือ?”
“เราแค่เพิ่งรู้ตัวว่า ไอ้ที่เราหยิบขึ้นมา ในบรรดาสิ่งประดิษฐ์วิญญาณทั้งหมดที่เราครอบครอง มันเป็นของกระจอกที่สุด เราเลยกลัว กลัวว่าการกระทำเช่นนั้นมันจะถือว่าเป็นการไม่แสดงความจริงใจหรือไม่?”
กู่ฉิงซาน “…”
ตรงข้ามกับพวกเขา หลี่อันก้มหน้าลงจ้องมองปลายหอกทองเหลืองที่อยู่ในมือ นิ่งงันไปครู่หนึ่ง
แล้วจู่ๆ เธอก็เดินตรงไปยังแม่มารสวรรค์ และคุกเข่าลง
“ท่านแม่ สิ่งประดิษฐ์วิญญาณชิ้นนี้ ข้าขอมอบมันให้แด่ท่าน”
หลี่อันกล่าวด้วยความนอบน้อม และเคารพนับถือ
แม่มารกวาดสายตามองปลายหอกทองเหลืองที่อยู่ในมือเธอ
นี่คือสิ่งประดิษฐ์วิญญาณที่แสนแข็งกร้าว เป็นอาวุธที่ยากนักจะพบเจอ
ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวของมัน กลับถึงขั้นสามารถระเบิดวิหารของทวยเทพได้
ขณะที่เมื่อครู่เป็นเพียงการปลดปล่อยพลังแบบปกติของหลี่อันเท่านั้น
ด้วยสมบัติชิ้นนี้ หากตกอยู่ในมือของตนเอง และถูกปลดปล่อยอำนาจออกมาอย่างเต็มกำลังโดยตนแล้วละก็…
แม่มารสวรรค์ถอนหายใจ
“หลี่อัน ข้าไม่ได้มองเจ้าผิดไปจริงๆ บัลลังก์จักรพรรดินีมารสวรรค์สมควรแล้วที่จะตกเป็นของเจ้า”
ขณะกล่าว เธอก็รับเอาสิ่งประดิษฐ์วิญญาณไป
……………………………………………..
กู่ฉิงซานยิ้ม
“จักรพรรดินีหลี่อัน ก่อนที่พวกเราจะทำตามข้อตกลงกัน เจ้าจะต้องนำใครบางคนมาช่วยข้าสู้เสียก่อน แล้วข้าจะมอบโลกเป็นรางวัลแก่เจ้า”
เขาย่ำลงบนพื้นใต้ฝ่าเท้าตน และกล่าว “และนับจากนั้นไป โลกใบนี้จะเป็นของเจ้า”
หลี่อันมองเขา แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เธอก็ถูกแม่มารสวรรค์ดึงไปไว้ข้างหลังเสียก่อน
เจ้าบอกว่าจะมอบโลกใบนี้ให้กับบุตรสาวแห่งข้าสินะ?“ แม่มารเอ่ยถาม
“ใช่ โลกใบนี้มีไว้เพื่อนาง”
“เจ้าพูดจริงหรือ? เจ้าจะสามารถรับผิดชอบในคำพูดของเจ้าได้หรือไม่?”
“สิ่งใดที่เอ่ยปากออกไปแล้ว ข้าย่อมสามารถรับผิดชอบ ไม่บิดพลิ้วมันอย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว
แม่มารสวรรค์พยักหน้าอย่างเงียบงัน ขณะเดียวกันบนใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน
“บุตรสาวข้า วันนี้ข้าจะมอบบทเรียนให้แก่เจ้า เพื่อแสดงให้เจ้าได้เห็นว่าเจ้าพวกมนุษย์น่ะฉ้อฉลมากเพียงใด” แม่มารหันไปกล่าวกับหลี่อัน
เธอก้าวออกมาข้างหน้า และชี้ไปยังวิหารที่อยู่เบื้องหลังกู่ฉิงซาน หันหน้ากลับมามองเหล่ามารสวรรค์หญิง “จงฟังให้ดี ข้าได้ทำการตรวจสอบโลกเบื้องล่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งปลูกสร้างนั่นเป็นวิหารของเหล่าทวยเทพโบราณ ดังนั้นที่นี่จึงไม่ใช่โลกของมนุษย์ผู้นี้ แต่เป็นโลกที่เทพวิญญาณได้เหลือทิ้งเอาไว้”
แม่มารชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าและกล่าว “และเหนือขึ้นไปก็มีกฎเกณฑ์ของเทพบรรพกาลที่เรียกกันว่าอำนาจเทวะ…นั่นคือกำแพงอุปสรรคที่ช่วยปกป้องโลกใบนี้ เป็นกฎเกณฑ์ที่เหล่าทวยเทพได้บัญญัติขึ้น”
“ใครก็ได้ ลองบินขึ้นไปบนท้องฟ้า และแสดงให้ทุกคนได้เห็นสักหน่อยซิ” เธอสั่ง
ทันใดนั้นมารสวรรค์หญิงหลายตนก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกัน
อย่างรวดเร็ว บนท้องฟ้าก็เริ่มกะพริบไหวด้วยรังสีแสงสีทอง
มารสวรรค์หญิงบินกลับมาและกล่าวด้วยความตื่นเต้น “รายงานท่านแม่ เมื่อครู่เหล่าพี่น้องได้บินขึ้นไป ข้างบนมีกำแพงอุปสรรคของเทพบรรพกาลอยู่จริงๆ พวกเราไม่สามารถผ่านมันไปได้เลย”
“และเหนือขึ้นไปบนมันคือทะเล จากนั้นจะเป็นก็เป็นชั้นน้ำแข็ง”
แม่มารยิ้ม เธอหันไปมองหลี่อันและกล่าว “บุตรสาวข้า เจ้าพอจะคาดเดาได้หรือไม่ว่ามีสิ่งใดอยู่เบื้องบนนั่น”
“ข้าไม่ทราบ” หลี่อันตอบกลับไปอย่างไร้หนทาง
แม่มารประกาศลั่น “เหนือขึ้นไปเบื้องบน มันถูกครอบครองโดย หนึ่งแสนสัตว์ประหลาดผี และสองร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมาร!”
“พวกเขาได้ยึดครองโลกใบนี้เอาไว้แล้ว!”
ปรากฏเสียงฮือฮาขึ้นในหมู่มารสวรรค์หญิง
ชายผู้นี้ เมื่อครู่เพิ่งกล่าวว่าจะมอบโลกใบนี้เพื่อชำระหนี้ แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังกลับเป็นเช่นนี้ นี่มันเหนือความคาดหมายไปมาก
แม่มารมองหลี่อัน ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ โลกใบนี้เป็นของเทพบรรพกาลหรือไม่ก็ของราชามาร มิใช่ชายที่อยู่ตรงกันข้ามผู้นี้เป็นคนครอบครองมัน”
“เขาได้ให้คำมั่นว่าจะมอบโลกให้แก่เจ้าเป็นการตอบแทน แต่ดูสิ…ตอนนี้เขาไม่มีแม้กระทั่งโลกไว้ในครอบครองด้วยซ้ำ”
“เขาโกหก”
“หลี่อัน ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง?”
หลี่อันก้าวออกมาจากกลุ่มมารสวรรค์หญิง คุกเข่าของเธอลงบนพื้น กล่าวเสียงต่ำ “ลูกเข้าใจแล้ว”
แม่มารมองเธอ ถอนหายใจและส่ายหัว “ช่างไร้เดียงสา…”
แต่ในเวลานั้นเอง อีกเสียงหนึ่งก็ดังมาจากจุดที่ไกลออกไป
“นั่น…ข้าเกรงว่าคงจำเป็นต้องขัดจังหวะพวกท่านเสียแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
มารสวรรค์หันกลับมามองเขาอีกครั้ง
แต่คราวนี้ นอกเหนือไปจากหลี่อัน สีหน้าของมารสวรรค์แต่ละตน ได้แสดงชัดถึงความโหดร้ายและกระหายเลือด
“คนฉ้อฉล”
“กล้าดีอย่างไรมาปั่นหัวพวกเรามารสวรรค์”
ตนแล้วตนเล่าเริ่มสาดคำก่นด่า ตามร่างกายของพวกเธอเริ่มบังเกิดคลื่นพลังกระเพื่อมไหว
กู่ฉิงซานยิ้ม เขาเริ่มขับเคลื่อนพลังวิญญาณจากภายในร่างกายเล็กน้อย
ด้วยพลังวิญญาณที่เต็มเปี่ยมผสานไปกับกระบวนการตัดผ่าน ทันใดนั้นการกระทำของเขาก็ถูกตรวจพบโดยกฎเกณฑ์ของสวรรค์และโลกทันที
บนท้องฟ้า เสียงคำรามอึกทึกระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มังกรสายฟ้าที่มีขนาดตัวยาวกว่าร้อยหลายลี้โผล่หัวออกมาจากเมฆทะมึน จับจ้องลงมายังฝูงชนเบื้องล่าง
ด้วยมังกรแห่งทัณฑ์สายฟ้าอันทรงพลานุภาพที่ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้เหล่ามารสวรรค์หุบปากลง พูดสิ่งใดไม่ออก
กู่ฉิงซานกุมดาบพิภพไว้ในมือของเขาอีกครั้ง และเริ่มถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป
ดาบพิภพส่งเสียงหึ่งๆ ทันที มันระเบิดพลังเหนือธรรมชาติที่มองไม่เห็นออกมา
กู่ฉิงซานวาดดาบพิภพ ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พวกเจ้าไม่คิดจะรอให้คนอื่นพูดจนจบสักหน่อยหรือ? คิดว่าตัวเองตายไม่เป็นหรืออย่างไร?”
มารสวรรค์เลื่อนสายตามองลงมาที่ดาบ และสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวในจิตใจตน
“นั่น…”
“ไม่ผิดแน่ เขาสามารถสังหารเราด้วยดาบเล่มนั้นได้”
“แล้วพวกเราสมควรทำอย่างไรดี”
“รอก่อน รอฟังคำสั่งจากท่านแม่”
พวกเธอชักฝีเท้าถอยกลับมา
แม่มารก้าวออกมาเบื้องหน้ามารสวรรค์ทั้งหมด เอ่ยปากด้วยรอยยิ้มหยัน “ทำไม? หลังจากที่ถูกเปิดโปงโดยข้า เจ้าก็รู้สึกอับอายจนระงับความโกรธไว้ไม่อยู่หรือ? มนุษย์เช่นเจ้าน่ะ ข้าเคยพบพานมานักต่อนักแล้ว”
กู่ฉิงซาน “ข้าบอกว่าข้าจะจ่ายหนี้ ส่วนพวกเจ้า ถ้าอยากคิดว่านี่เป็นโลกของคนอื่นก็คิดไป มันไม่เกี่ยวข้องกับข้า เพราะข้าแค่ต้องการให้หลี่อันคนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจ ว่าแท้จริงแล้วโลกใบนี้เป็นของนาง”
หลี่อันเงยหน้าขึ้นมองเขาทันใด
เขาจะสามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ไหมนะ? เธอลอบอธิษฐาน
มารสวรรค์หญิงทั้งหมดมองไปที่เขา
แม่มารส่ายหัวและกล่าวว่า “อำนาจเทวะของเทพบรรพกาลยังคงอยู่ บนชั้นน้ำแข็งก็เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดผีและผู้เข้าสู่วิถีมาร แล้วเจ้าจะมีวิธีอะไรมาพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าโลกใบนี้เป็นของเจ้า?”
กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ดูเหมือนว่าท่านจะทราบเกี่ยวกับโลกใบนี้มากทีเดียว แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าเมืองที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของท่านนี้มีชื่อว่าอะไร?”
“เรื่องน่าเบื่อแบบนั้นข้าจะไปรู้ได้อย่างไร…เจ้าคิดจะย้อนข้าอย่างนั้นหรือ?” แม่มารกล่าว
“ไม่ใช่ ข้าเพียงจะพิสูจน์ให้ท่านเห็น ว่าข้าน่ะรู้จักโลกใบนี้มากยิ่งกว่าท่าน”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ “เมืองนี้ถูกสร้างขึ้นบนภูเขาสูง อยู่ใกล้กับทะเล ดังนั้นมันจึงถูกเรียกว่าเมืองไห่เช่า”
แม่มารกล่าว “ก็แล้วมันทำไม? เมืองแห่งนี้มันถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพ แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า?”
กู่ฉิงซานส่ายหัวและกล่าว “โลกใบนี้จะพิสูจน์ให้ท่านได้เห็นเอง ว่ามันเป็นของข้า”
หลังจากพูดจบ เบื้องหลังเขาในความว่างเปล่า ดาบบินเล่มหนึ่งก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที
เช่าหยิน…
ดาบจากสมัยโบราณ นามว่าเช่าหยิน!
ดาบบินกลายเป็นกระแสแสงทะยานขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดบนท้องฟ้าแล้วจึงค่อยหยุดลง
มันแขวนเด่นอยู่ตรงนั้น ราวกับกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่
“จงเปิดออก!”
กู่ฉิงซานเอ่ยปากอย่างแผ่วเบา
เมื่อเช่าหยินได้ยินคำสั่งนี้ มันก็ยื่นปลายดาบออกไป เพื่อเจาะลงบนกำแพงอุปสรรคของทวยเทพ
เช่าหยินน่ะถูกสร้างขึ้นมาโดยเหล่าทวยเทพ มันได้นำพากู่ฉิงซานข้ามผ่านกำแพงอุปสรรคที่เกิดจากอำนาจเทวะอยู่หลายครั้ง และตอนนี้ ก็เป็นอีกครั้งที่มันจักสำแดงพลังที่ว่าออกมา!
เห็นแค่เพียงแสงสีทองเรืองรองบนท้องฟ้าที่ค่อยๆ ขยายตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า
และฉากนี้ยังมิได้หยุดลง
ทันใดนั้นแสงสีทองเรืองรองเริ่มขยายจนเป็นโดมทรงกลม แพร่กระจายออกไปตลอดทั้งน่านฟ้า
มันแพร่กระจาย ขยับขยายตัวอีกครั้ง และอีกครั้ง เผยให้เห็นถึงฉากหลังของมหาสมุทรที่เป็นสีน้ำเงินเข้ม
ณ ตอนนี้ อำนาจเทวะทั้งหมดที่เคยครอบคลุมทั่วผืนฟ้า ได้ถูกเปิดออกแล้วโดยดาบเช่าหยิน!
กู่ฉิงซานเพิกเฉยต่อแต้มพลังวิญญาณที่กำลังลดอย่างรวดเร็วบนหน้าต่างเทพสงคราม และตะคอกออกมาคำหนึ่ง
“จงร่วงหล่น!”
ด้วยคำสั่งของเขา เช่าหยินก็ส่งเสียงร้องฉวัดเฉวียนอย่างรวดเร็ว!
มันกำลังเรียกขานมหาสมุทร!
ในสมัยโบราณ เทพบรรพกาลได้สร้างดาบเล่มนี้ขึ้น และโยนมันลงสู่ท้องทะเลเพื่อให้ปกปักสี่ห้วงสมุทร
และผู้ใดก็ตามที่ถือครองดาบเล่มนี้ ก็จะกลายเป็นราชาแห่งท้องทะเล!
ปรากฏให้เห็นถึงภาพที่ไม่อาจจะเชื่อสายตา
เหนือท้องฟ้า มหาสมุทรทั้งมวลได้พังทลายลงมา
มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ไร้ที่สิ้นสุดร่วงตกลงมา ฉากนี้คล้ายกับน้ำท่วมใหญ่ในครั้งก่อนประวัติศาสตร์ ที่ทำให้โลกทั้งใบจมอยู่ใต้ท้องทะเลโดยสมบูรณ์
แม้กระทั่งเมืองไห่เช่าที่อยู่บนยอดเขาสูง ก็ยังถูกท่วมทับ จมอยู่ใต้น้ำทะเลอย่างสิ้นเชิง
โลกทั้งใบถูกเปลี่ยนเป็นห้วงทะเลลึก
หลงเหลือเฉพาะเพียงจัตุรัสเบื้องหน้าวิหารเท่านั้นที่ยังมีพื้นให้เหยียบย่าง
มารสวรรค์ รวมไปถึงผู้คนแห่งอาณาจักรหนามต่างมองมายังกู่ฉิงซาน
พวกเขายังคงยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม
ปัจจุบันนี้ กระแสน้ำได้โถมเข้าปกคลุมทุกสิ่งอย่าง ไม่นาน หลากหลายสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลก็เริ่มแหวกว่ายผ่านลานจัตุรัสไป
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ทัณฑ์สวรรค์ยังมิได้กระจายตัวหรือเหือดหายไป มังกรสายฟ้าที่มีความยาวกว่าหลายร้อยลี้ยังคงแหวกว่ายอยู่ในเมฆและน้ำ ส่งผลให้กระแสไฟฟ้าเริ่มแพร่กระจาย มหาสมุทรในปัจจุบันสาดชั้นแสงสายฟ้าเรืองรองอย่างต่อเนื่อง
นี่คือฉากที่นับว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง!
ทุกคนที่เห็นภาพนี้ ต่างอึ้งทึ่งจนไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
กู่ฉิงซานยื่นมือออกไป
‘ฮู้ม!’
ดาบบินร่อนลงมาจากฟากฟ้า และตกลงในมือของเขา
“กำแพงอุปสรรคมิใช่ปัญหา”
เขากล่าว
“มหาสมุทรก็เป็นของข้า”
เขายังคงกล่าวต่อ
“ส่วนเรื่องกองทัพสัตว์ประหลาดผี…”
พลังวิญญาณจากภายในร่างกายเขาขับเคลื่อนเล็กน้อย
มังกรสายฟ้าพลันตระหนักถึงกลิ่นอายของเขาทันที
‘โฮก!’
มันระเบิดเสียงคำรามสั่นสะเทือนสวรรค์และโลก
ร่างสายฟ้าขนาดมหึมาร่วงตกลงจากท้องฟ้า โฉบลงมาเวียนว่ายรอบลานจัตุรัส
ตลอดทั้งจัตุรัสพลันถูกปกคลุมไปด้วยสีน้ำเงินขาวโดยสมบูรณ์
กู่ฉิงซานมองไปยังแม่มารสวรรค์ ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ ท่านยังมีคำถามอะไรอีกหรือไม่?”
……………………………………………………….
Ep.587 – แม่มารสวรรค์
“ข้าไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะรับฟังเรื่องยาวๆ”
หญิงใหญ่ชุดดำยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้กู่ฉิงซานหยุดพูด
“ปัญหาเดียวที่ข้ากังวลก็คือ มารสวรรค์มิเคยมอบทรัพย์สินใดๆของพวกนางให้แก่สิ่งมีชีวิตเผ่าอื่นมาก่อนเลย แล้วเหตุใดนางจึงมอบมันให้เจ้า?”
เธอจิกสายตามองกู่ฉิงซานและกล่าว
“พวกเราเป็นหุ้นส่วน และกำลังร่วมมือกันอยู่” กู่ฉิงซานพยายามอธิบาย
“นั่นเป็นไปไม่ได้ ข้าเฝ้ารอการสั่นไหวของกระดิ่งอยู่นาน เพราะข้าต้องการจะสำรวจดูว่าผู้ใดกัน ที่จะสามารถรับสิ่งของจากนางได้”
เมื่อตระหนักถึงทัศนคติที่แท้จริงของหญิงใหญ่ในชุดดำ กู่ฉิงซานก็ตอบสนองทันที
เขาเร่งอธิบาย “ท่านผู้ทร .. ไม่สิท่านป้า! ท่านเข้าใจผิดแล้ว อันที่จริงที่ข้าเรียกนางมาในครั้ง ส่วนใหญ่แล้วเป็นในเรื่องของการจ่ายหนี้”
“จ่ายหนี้? งั้นก็ดี ไหนลองบอกมาซิว่าเจ้าจะมอบอะไรให้กับนาง” หญิงใหญ่ชุดดำเอ่ยถาม
“ข้าจะมอบโลกใบนี้ให้แก่นาง” กู่ฉิงซานกล่าว
“โลกใบนี้ ….. ” หญิงใหญ่ชุดดำยิ้มอย่างเงียบๆ สุดท้ายก็ส่ายหัว “กลับกลายเป็นว่าแท้จริงแล้ว เจ้ามันก็แค่คนหลอกลวง”
“เจ้าไม่เพียงลวงบุตรสาวข้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเอง แต่ยังคิดจะหลอกข้าด้วยกระนั้นหรือ ขอบอกเลยว่าในรอบหมื่นปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครหน้าด้านหรือหาญกล้าเช่นเดียวกับเจ้าปรากฏขึ้นมาก่อนเลย”
เสียงของเธอค่อยๆเริ่มกลายเป็นเย็นชา “เจ้าเคยจินตนาการหรือไม่ว่า พวกที่เล่นตลกกับมารสวรรค์ มันจะพบจุดจบเช่นไร?”
ร่างเงาดำอันคลุมผุดออกมาจากกายเธอ ค่อยๆกระจายไปทั่วจตุรัส
อำนาจในกายเพิ่มเริ่มทะยานสูงขึ้นทีละขั้น ทีละขั้นอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดมันก็กลายเป็นดุร้ายและน่าหวาดกลัว
กู่ฉิงซานถอนหายใจ พยายามอธิบายอย่างใจเย็น “ข้าจะจ่ายหนี้จริงๆ ตราบใดที่ท่านให้โอกาสข้า ข้าจะจ่ายหนี้ทันที”
“โอ้? เจ้าคิดว่าตัวข้าไม่ทราบจริงๆหรือว่าโลกใบนี้มันคืออะไร?”
หญิงใหญ่ชุดดำราวกับพึ่งได้ยินเรื่องขบขัน ทันใดนั้นแรงกดดันบนร่างกายของเธอก็ถูกเก็บกลับคืน
น้ำเสียงของเธอยกสูงขึ้น “ดี! ข้าจะแสดงให้พวกนางทั้งหมดได้เห็นเอง ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันจะเป็นอย่างไรหากถูกผู้ฝึกยุทธหลอกลวง!”
“ด้วยวิธีนี้ ในภายภาคหน้าจะได้ไม่มีผู้ใดถูกพ่นวาจาโฉ้ฉลให้สับสนอีก!”
หญิงใหญ่ในชุดดำกล่าว และเหยียดชุดแขนยาวของเธอไปในอากาศที่ว่างเปล่า
ทันใดนั้นแขนเสื้อสีดำก็กลายเป็นถ้ำลึก ที่มีขนาดความสูงเท่ากับคนสองคนต่อติดกัน
พร้อมด้วยแสงอันมืดมิด ที่แผ่เล็ดลอดออกมาจากภายในถ้ำ
เสียงคำรามนับไม่ถ้วน ผสมผสานไปกับเสียงกรีดร้อง ครวญคราง โหยหวน ร่ำไห้ และสบถไปด้วยคำสาปแช่งดังออกมาจากถ้ำ
หญิงใหญ่ในชุดดำเหยียดมือออกไปและสะบัดมันเบาๆในอากาศ พริบตานั้น นอกเหนือไปจากท่วงทำนองเพลง ทุกสรรพเสียงภายในถ้ำก็เงียบสงบลงทันที
กู่ฉิงซานที่เฝ้ามองฉากนี้เลิกคิ้วสูง
หากมองเพียงผิวเผิน นั่นใช่เป็นการเชื่อมต่อระหว่างโลกต่อโลกโดยตรงใช่หรือไม่? จำต้องครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่เพียงใดกันจึงจะสามารถกระทำเช่นนั้นได้
หญิงใหญ่ชุดดำตะโกนเข้าไปภายใน “บุตรสาวทั้งหลายของข้า จงออกมา แสดงตัวให้ข้าเห็น ณ ที่นี่”
เสียงเพลงที่ดังขับขานจากภายในถ้ำหยุดลงทันที
ก่อนจะปรากฏหลายร่างโบยบินออกจากถ้ำ ด้วยท่วงท่าที่งดงาม ใบหน้าของพวกนางสามารถดึงดูดได้ทุกๆสิ่งมีชีวิต
ตามตัวของพวกเธอสวมใส่ชุดคลุมขนนกหลากสีสัน มันงดงามไร้ซึ่งเศษฝุ่นใดๆมาเกาะอิง เพียงจ้องมองก็สามารถลวงล่อผู้ฝึกยุทธได้อย่างง่ายดาย แตกต่างจากมารสวรรค์โดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
การเคลื่อนไหวของหญิงทรงเสน่ห์เหล่านี้ ช่างแสนนุ่มนวลและอ่อนโยน ทั้งมือเท้าที่จีบออกของแต่ละคน ร่ายรำด้วยท่วงท่าแตกต่างกันออกไป ยากที่จะอธิบายได้
กู่ฉิงซานเลื่อนสายตามอง และพบกับเด็กหญิงชุดดำอย่างรวดเร็ว
เด็กสาวชุดดำชำเลืองมองมาที่เขาวูบหนึ่งอย่างไร้อารมณ์ และหันหัวของเธอไปอีกทาง
“ระวังตัวด้วย ท่านแม่ข้าคิดว่าเจ้ากำลังลวงหลอกข้า คิดใช้ประโยชน์จากข้าทำงานให้แก่เจ้า”
เธอส่งเสียงผ่านความคิดมาอย่างเงียบๆ
“แต่พวกเรามีหลักฐานนี่ เจ้าน่าจะนำจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าไปแล้วมิใช่หรือ นางจะต้องเข้าใจสิ” กู่ฉิงซานส่งความคิดกลับไปถาม
“ผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า … อ่า ตามกฏแล้วจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธที่มีค่าและแสนหายากจักต้องรอให้ท่านแม้ของข้าสูบกินก่อนเป็นคนแรก แน่นอนว่าข้าเองก็มีคุณสมบัติได้สูบกินมันเช่นกัน – แต่ข้าดันอดใจไม่ไหว แอบไปสูบกินวิญญาณของเขาอยู่คนเดียวลับหลังนาง” เด็กสาวชุดดำรู้สึกอายเล็กน้อย ตอบเสียงกระซิบกลับมา
กู่ฉิงซานถอนหายใจ เขาไม่มีอะไรจะพูดอีก
–นี่มันหายนะชัดๆ ช่างน่าสิ้นหวังโดยแท้
“แล้วข้าควรจะทำอย่างไรดี?” เขาถาม
“ไม่รู้สิ แต่เจ้าต้องจัดการเรื่องนี้ให้ดี มิฉะนั้นเจ้าคงจะต้องตายที่นี่”
“เจ้าไม่มีคำแนะนำอะไรดีๆเลยหรือ?”
“ท่านแม่ของข้าเป็นมารกลุ่มแรกๆในโลกมารดึกดำบรรพ์ และยังเป็นมารสวรรค์ที่ก่อกำเนิดขึ้นมาเมื่อสวรรค์และโลกถูกเปิดออกอีกด้วย”
“แล้วอะไรอีก?”
“ที่จะสื่อก็คือ เจ้าจะต้องอธิบายให้ดีที่สุด ทำให้ได้แบบเดียวกันกับตอนที่โน้มน้าวใจข้า มิฉะนั้นจุดจบของทั้งข้าและเจ้าคงไม่สวยแน่” เด็กสาวชุดดำกล่าว
“ … ” กู่ฉิงซาน
เขาไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว
ณ ขณะนี้ เหล่ามารสวรรค์หญิงได้มาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าแม่มารของพวกนาง
“ท่านแม่กล่าวว่าจะแสดงสิ่งดีๆให้พวกเราได้รับชมหรือเจ้าคะ?” ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ใช่ ข้าได้ค้นพบมนุษย์ที่พยายามจะหลอกใช้มารสวรรค์ เดิมทีนี่เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ แต่มารสวรรค์บางตนกลับโง่เง่า หลงกลมันจริงๆซะได้” แม่มารสวรรค์กล่าว
มารสวรรค์หญิงคนอื่นๆตกใจ
“ในบรรดาพวกเรา มีคนรับฟังวาจาของมนุษย์อยู่ด้วยกระนั้นหรือ?”
“นี่มันน่าสนใจจริงๆ โดยปกติแล้วจะเป็นพวกเราที่หว่านเสน่ห์มนุษย์ ล่อลวงพวกเขาอยู่เสมอๆ แต่วันนี้กลับเป็นพวกเขาที่ลวงหลอกมารสวรรค์อย่างพวกเรา?”
“มนุษย์เป็นเผ่าพันธ์ที่ไร้ยางอายมากที่สุดในตลอดทั้งหมื่นโลกา ผู้ใดเล่าจะไปทันคาดคิด ว่าแท้จริงแล้วจักถูกกลยุทธ์ลวงหลอก”
“ท่านแม่ น้องสาวผู้ไร้เดียงสาคนใดกันที่โง่งมถึงเพียงนั้น?”
แต่ละคนต่างพ่นคำที่แสนเจ็บแสบออกมา
เด็กสาวชุดดำก้มหน้าลง
แม่มารสวรรค์ กล่าว “หลี่อัน เงยหน้าขึ้นมาซะ”
เด็กสาวชุดดำที่ชื่อหลี่อันยกศีรษะขึ้น ขานรับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เจ้าค่ะท่านแม่”
“เอาล่ะ ไหนเจ้าลองอธิบายมาซิ ว่าเขาโน้มน้าวใจเจ้าได้อย่างไร?”
“เขากล่าวว่าจะมอบโลกให้แก่ข้าเป็นสิ่งตอบแทน”
มารสวรรค์หญิงคนอื่นๆระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที
“ที่แท้ก็เป็นพี่สาวที่ทรงอำนาจมากที่สุดของพวกเรานี่เอง ที่ดันไปหลงเชื่อวาจามนุษย์!”
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าพี่สาวของข้า จะทำอะไรอย่างอื่นกับอาหารด้วย นอกจากสูบกินมัน”
“ฮะ ฮี่ฮี่ฮี่ นี่มันเรื่องจริงงั้นหรือ ไม่คาดฝันเลยจริงๆ ว่าพี่สาวจะมีความปรารถนาในโลก เหมือนกับพวกมนุษย์”
แม้จะถูกบรรดาน้องๆลอบก่นด่า แต่เด็กสาวชุดดำกลับยังคงสงบ และไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาเลย
แม่มารสวรรค์ถอนหายใจ เธอดูเหมือนจะผิดหวังมาก
เธอกล่าว “หลี่อัน เจ้าเป็นถึงจักรพรรดินีที่คอยควบคุมมารสวรรค์จากในเงามืด แต่กลับถูกลวงหลอกโดยมนุษย์ ดันไปใช้อำนาจในมือช่วยเหลือพวกเขา เกรงว่าเรื่องตำแหน่งจักรพรรดินีของเจ้า ข้าคงจะต้องนำมันเก็บไปคิดทบทวนอีกครั้งเสียแล้ว”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของเด็กสาวชุดดำก็ซีดลงทันที
ทว่าบรรดาน้องสาวของเธอ กลับปรากฏแววตาที่เปล่งประกาย
หากมีใครคนหนึ่งร่วงหล่นลง ก็ย่อมต้องมีคนหนึ่งขึ้นไปแทนที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านแม่จะจัดสรรตำแหน่งที่ว่างนั่นให้กับใคร
“นั่น – ข้าคงต้องขอขัดเสียแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวขึ้นในทันใด
เหล่ามารสวรรค์เงียบลงทันที
พวกเธอหันหน้ามามองเขา … มองเขาด้วยสีหน้าอันคลุมเครือที่ยากจะอธิบาย
แม่มารสวรรค์กล่าว “ขัดจังหวะการสนทนาของผู้อื่นตามอำเภอใจ เจ้านี่มันช่างหยาบคายเสียจริง แม้กระทั่งมารยาทง่ายๆเช่นนี้ก็ยังไม่เข้าใจหรือ?”
“เพราะข้าเป็นต้นตอในการเรียกขานในครั้งนี้ ดังนั้นโปรดอนุญาตให้ข้าได้ทำเรื่องราวให้มันจบลงก่อนเถอะ แล้วหลังจากนั้นท่านต้องการจะทำอะไร ข้าจะไม่ขัดอีกแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างต่อเนื่อง
แม่มารสวรรค์ “แล้วเจ้าต้องการจะทำสิ่งใด?”
กู่ฉิงซาน “พอดีว่าข้ายังมีหนี้เล็กๆน้อยที่ยังมิได้ชำระกับจักรพรรดินีหลี่อัน ฉะนั้นโปรดให้ข้าได้ชำระกับนางก่อนจะได้หรือไม่ จากนั้นพวกท่านจะเอ่ยสิ่งใดก็แล้วแต่เลย”
แม่มารสวรรค์แสยะรอยยิ้มเย็น “ก็ได้ เช่นนั้นไหนเจ้าลองพูดมาสิ พวกเราจะตั้งใจฟังวาจาของเจ้าเอง แม้ว่ามันจะยาวก็ตาม”
Ep.586 – สถานการณ์ที่อันตรายยิ่งกว่า
บนท้องฟ้า สายลมเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อสัมผัสได้ถึงการกระทำที่คิดตัดผ่านขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ กฏเกณฑ์ของโลกก็เริ่มตอบสนองทันที
ซึ่งนี่มันแตกต่างจากในโลกอื่นๆ สถานที่แห่งนี้คือโลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเหล่าทวยเทพ ดังนั้นอำนาจของสายฟ้าจึงเป็นสิ่งที่ทรงพลังมากที่สุด!
มันเป็นตัวแทนของเทพบรรพกาล ที่จักสามารถสำแดงอำนาจทำลายทุกสิ่งอย่างได้
เป็นการลงทัณฑ์จากเหล่าทวยเทพ!
ดังนั้น –
ถึงแม้ว่ากู่ฉิงซานจะยังมิได้ริเริ่มเข้าสู่กระบวนการตัดผ่าน แต่เมฆทะมึนก็ได้ปรากฏขึ้นจนปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าแล้ว
โลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเหล่าทวยเทพ บัดนี้ถูกเมฆหนาปกคลุม ตกอยู่ในความมืดมิดโดยสมบูรณ์
ฉากตรงนี้ บอกตรงๆว่าแม้แต่กู่ฉิงซานเองก็ยังแปลกใจเล็กน้อยเช่นกัน
เพราะในระหว่างการตัดผ่านของผู้ฝึกยุทธ เมฆหมอกแห่งการลงทัณฑ์จะปกคลุมอยู่แค่เพียงในอาณาเขตที่แน่นอน เพื่อระเบิดสายฟ้า ฟาดผ่าลงแค่เฉพาะบริเวณที่ผู้ฝึกยุทธอยู่เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยเห็นฉากที่เมฆทะมึนปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า ไกลไปสุดลูกหูลูกตาอย่างนี้มาก่อนเลย
ทันทีเมฆแห่งการลงทัณฑ์เริ่มปกคลุมหนาแน่น ตามตัวเมฆก็ปรากฏถึงแสงสายฟ้าปะทุขึ้น แลคล้ายกับสัตว์ประหลาดยักษ์กำลังว่ายวน ผุดออกมาและหายไปท่ามกลางเมฆทะมึนเป็นครั้งคราว
พลานุภาพแห่งสายฟ้าสวรรค์ กำลังค่อยๆสำแดงอำนาจต่อหน้าฝูงชนอย่างช้าๆ
“โอ้สวรรค์เถอะ ทัณฑ์สายฟ้าเช่นนี้ คงไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานมันได้” ทหารพิทักษ์พ่นลมหายออกมา
ลอร่าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “อีเลีย ก่อนหน้านี้เจ้าเคยแลกเปลี่ยนวรยุทธกับเขามาก่อนใช่หรือไม่ ตอนนี้เราต้องการที่จะให้เจ้าประเมินสถานการณ์ดู ว่าด้วยความแข็งแกร่งของเขา จักสามารถรอดชีวิตการจากลงทัณฑ์ของทวยเทพนี้ไปได้หรือไม่?”
อีเลียพยายามสัมผัสถึงพลานุภาพของเหล่าทวยเทพบนท้องฟ้า เธอใคร่ครวญและกล่าว “หากเป็นสายฟ้าในปัจจุบัน ข้าคิดว่าเขายังสามารถอดทนได้ ยังไงก็ตาม ข้าได้ยินมาว่าทัณฑ์สายฟ้าของผู้ฝึกยุทธ ยิ่งนานก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น .. ”
“ทำไมกันนะ ทำไมเขาถึงเลือกที่จะตัดผ่านขอบเขตในโลกของเหล่าทวยเทพแบบนี้? ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ” อีเลียกล่าวในสิ่งที่คิด
ลอร่ากัดริมฝีปากของเธอ และไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้สักพัก
กระแสลมเริ่มพัดรุนแรงขึ้น แรงขึ้นเรื่อยๆ
แต่มองไปยังเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน กลับได้ยินเพียงเสียงของกระดิ่งลมที่ยิ่งแรง เสียงกังวานของมันก็ยิ่งคมชัด
สายตาของอีเลียหยุดนิ่งลงบนกระดิ่ง ก่อนที่ทั้งคนทั้งร่างของเธอจะสั่นสะท้าน
“ข้าเข้าใจแล้ว!” เธอพึมพำ
“ว่าอย่างไร?” ลอร่าถามทันที
อีเลียกล่าว “วิธีที่ผู้ฝึกยุทธจะแข็งแกร่งขึ้นได้ คือการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของสวรรค์และโลกมาเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงจำต้องฝ่าด่านสายฟ้าสวรรค์ และมวลมารมากมายที่บุกเข้ามา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธจากในโลกใด นี่ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องเผชิญ”
เธออ้าปากค้างสูดลมหายใจและกล่าวต่อ “ดังนั้น เขาจึงใช้ประโยชน์จากในช่วงเวลาตัดผ่าน ให้มันสอดคล้องกับกฏเกณฑ์ของโลก สั่นกระดิ่งเพื่อเรียกขา่นมารสวรรค์ให้มาปรากฏกาย”
“ซึ่งในกรณีนี้ เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายราคาใดๆออกไปเลย เพราะกฏเกณฑ์ของโลกจะยินยอมปลดปล่อยมารสวรรค์ให้เข้ามาและสังหารเขาอยู่แล้ว!”
“แท้จริงแล้วยังมีวิธีแบบนี้อยู่ … เขาสามารถคิดกลยุทธ์เช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไรกัน?” เธอถอนหายใจ
ลอร่ากล่าวยด้วยความวิตก “แต่สายฟ้าสวรรค์เป็นตัวแทนแห่งการลงทัณฑ์ของทวยเทพนะ และตอนนี้อำนาจของมันก็ทวียิ่งกว่าปกติถึงหลายเท่า แถมมารสวรรค์ยังเป็นตัวตนที่เกิดมาเพื่อกัดกินจิตวิญญาณเป็นอาหารอีก ถ้าปรากฏตัวขึ้น มันคงพร้อมที่จะโฉบเข้ากินเขาได้ทุกเมื่อ”
“ใช่ไหมล่ะ เขาไม่สมควรที่จะทำแบบนี้เลย มันอันตรายเกินไปสำหรับตนเอง” อีเลียกล่าว
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกนะ” ลอร่ากล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เพราะตั้งแต่ที่เรารู้จักชายผู้นี้มา เขามักจะทำสิ่งที่อันตรายที่สุดอยู่เสมอๆ”
ระหว่างกล่าว จู่ๆก็เริ่มเกิดปรากฏการณ์ใหม่ขึ้น
ในอากาศที่ว่างเปล่าบริเวณจตุรัส เริ่มมีเงาของปีศาจที่ทั้งร่างของมันท่วมไปด้วยแสงสีม่วงผุดออกมา
ทว่านี่มิใช่มารสวรรค์ มันเป็นเพียงวิญญาณชั่วร้ายที่สัมผัสได้ว่าผู้ฝึกยุทธกำลังจะยกระดับเท่านั้น
ภายในถ้ำของโลกเทวะ ครั้งหนึ่งกู่ฉิงซานเคยทะลวงขอบเขต และก็ได้พบมันมอนสเตอร์ชนิดเดียวกับแบบนี้เช่นกัน
ในบางแง่มุม มอนสเตอร์เหล่านี้ก็คล้ายคลึงกับมารสวรรค์ มันมีหน้าที่หยุดผู้ฝึกยุทธมิให้ตัดผ่านไปยังขอบเขตต่อไป
เป็นสิ่งชั่วร้ายที่เรียกกันว่า ‘ศัตรูโดยธรรมชาติของผู้ฝึกยุทธ’
“โอ้ ผู้ฝึกยุทธอย่างงั้นหรือนี่ ฮี่ฮี่ อาหารที่ยอดเยี่ยมและเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ … ”
วิญญาณชั่วร้ายกำลังจะอ้าปากออก
แต่ดาบพิภพพลันกระพริบไหว และหายไปในความว่างเปล่า
พริบตาต่อมา ศีรษะของวิญญาณร้ายตนนี้ก็ถูกสะบั้นลงทันที
กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น เขาเอ่ยเตือน “จงอย่าทำร้ายพวกมันถึงชีวิต มิฉะนั้นแล้วพวกเราจะไม่สามารถพูดคุยธุระกับพวกมันได้”
“ต้องการเช่นนั้นหรือ? งั้นก็ตามใจเจ้า” ดาบพิภพรับคำขอ
มันลอยกลับมาอย่างช้าๆ และแขวนอยู่ในอากาศที่ว่างเปล่าข้างกายกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
ในตอนนั้นเอง วิญญาณร้ายอีกตัวหนึ่งก็ผุดออกมาจากความว่างเปล่า
บนตัวมัน ผุดงอกไปด้วยกระดูกเดือยแหลมนับไม่ถ้วน ขณะที่เดือยแหลมเหล่านั้นส่ายไปตามสายลม คล้ายกับว่าสามารถขยับไหวได้อย่างอิสระเสรี
เทียบเปรียบกับมอนสเตอร์ตัวก่อนหน้านี้แล้ว วิญญาณร้ายตนนี้มีพลังมากยิ่งกว่าหลายเท่านัก
“อ่า เจ้าหนูตัวน้อยที่กำลังคิดตัดผ่านประทับเทพ จงกลายมาเป็นอาหารวันนี้ขอ-”
วิญญาณร้ายเอ่ยพึมพำ และผุดแยกออกมาจากในความว่างเปล่า
คราวนี้ดาบพิภพก็ยังลอยออกไป แต่ลดความเร็วลง
มันลอยไปอย่างเงียบๆ และเคาะเบาๆลงบนวิญญาณร้ายอย่างอ่อนโยน
ในเสี้ยวลมหายใจ วิญญาณร้ายพลันแปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา ผลุบหายเข้าไปในความว่างเปล่า มิอาจหาร่องรอยได้อีกเลย
ถัดมา ก็ยังมีอีกหลายสิบวิญญาณร้ายปรากฏขึ้น แต่ทั้งหมดก็ถูก ‘ส่ง’ กลับไปโดยดาบพิภพ
แต่ก็น่าแปลก เพราะแม้เวลาจะล่วงเลยไปกว่าหนึ่งก้านธูปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีมารสวรรค์ตนใดปรากฏขึ้นมาเลย
จักรพรรดินีมารสวรรค์ยังไม่ยอมออกมา
หลายต่อหลายครั้ง ที่กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางเบาของมารสวรรค์ที่มาเยือน แต่มารสวรรค์เหล่านั้นคล้ายกับหวาดกลัวในบางสิ่ง และเร่งจากไปก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
พวกมันหวาดกลัวอะไรกันแน่นะ?
กู่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจอย่างลับๆ
ตามปกติแล้วมันไม่สมควรเป็นเช่นนี้เลย เพราะท้ายที่สุดนี้ มารสวรรค์น่ะได้เคยปรากฏตัวขึ้นแล้วในโลกใบนี้ นอกจากนั้น วิญญาณร้ายมากมายก็รับรู้ได้ถึงการตัดผ่านของเขา ข่าวนี้น่าจะแพร่กระจายไปทั่วจนถึงหูของอีกฝ่ายแล้ว แถมกฏเกณฑ์แห่งโลกก็เตรียมพร้อมที่จะปลดปล่อยทัณฑ์สวรรค์ที่ทรงพลานุภาพแล้วเช่นกัน
ด้วยสิ่งนี้ ก็พอจะบ่งบอกได้ชัดเจน ว่าทัณฑ์สวรรค์ของกู่ฉิงซาน ได้รับการยอมรับจากโลกใบนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วจริงๆ
แต่ทำไม … ทำไมมารสวรรค์ถึงไม่ปรากฏตัวขึ้นมาซักทีล่ะ?
กู่ฉิงซานคิดอยู่สักพัก แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงรักษาสภาวะเตรียมตัดผ่านต่อไป ขณะเดียวกันก็ใช้จิตสัมผัสเทวะรับรู้ถึงสร้อยกระดิ่งอย่างใกล้ชิด
ท่ามกลางสายลม เสียงกระดิ่งกริ๊งกรั๊งดังไพเราะ
เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ
สักพักหนึ่ง
ในที่สุดบนความว่างเปล่าก็เริ่มผุดรอยแยกออก
ทันใดนั้นเอง แสงสีเหลืองอ่อนอันงดงามดั่งแสงตะวันก็ส่องสว่างขึ้น สาดประกายระยับปกคลุมไปตลอดทั้งจตุรัส
ภายใต้แสงของดวงตะวัน เสียงของผู้หญิงแสนอ่อนหวานนับไม่ถ้วนกังวานขึ้น
พวกเธอร้องเพลงขับขานเป็นเสียงเดียวกัน “โอ บทกวีแห่งรั่วหมิง แอปเปิลในป่าใหญ่ แขกเหรื่อรื่นเริง ท่วงทำนองขลุ่ยเวียนวน ยิ่งฟังยิ่งกระจ่างชัดกว่าจันทรา ยามใดหนอจักลืมเลือน ความปวดร้าวอันมิอาจตัดให้ขาดนี้ลงได้”
ในหัวใจของกู่ฉิงซานสั่นสะท้าน
เขาเคยได้เห็นถึงการปรากฏตัวของมารสวรรค์ด้วยตาตนเองมาอยู่หลายครั้ง แต่ตนมิเคยพบเจอกับพลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อนเลย
เป็นใครกันที่มาเยือน?
ขณะขบคิดเกี่ยวกับมัน รอยแยกในความว่างเปล่าเบื้องหน้าเขาก็เริ่มแยกออก
ตลอดทั้งท้องฟ้า บุปผาร่วงโรยลงมาดั่งห่าฝน กระทบกับพื้นส่งเสียงสะท้อนกังวานก้อง
แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นหญิงงามวัยผู้ใหญ่ ที่บินออกมาจากรอยแยกในอากาศ
เธอสวมใส่ชุดคลุมสีดำ ดวงตาและซี่ฟันขาวสดใส เจ้าตัวครอบครองทรวดทรงที่สมส่วนและอ่อนหวาน ใบหน้าเลิศเลองดงามล่มเมือง
อย่างไรก็ตาม เธอไม่เหมือนดั่งเช่นมารสวรรค์ทั่วๆไป เธอไม่เผยท่าทียั่วยวนใดๆให้ปรากฏ แต่ละการเคลื่อนไหวช่างดูทรงเกียรติ บรรยากาศรอบกายเธอช่างสง่างามและมากไปด้วยขนบพิธี
หญิงใหญ่ชุดคลุมดำเหยียบย่างลงตรงจุดใด ดอกไม้งามก็จะผุดขึ้นความว่างเปล่า รองรับฝ่าเท้าของเธอ เจ้าตัวค่อยๆก้าวเข้าหากู่ฉิงซานอย่างช้าๆ
สายตาของเธอกำลังจับจ้องเขาอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น และเฝ้ามองอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
มีใครบางคนมาก็จริง แต่คนๆนี้ไม่ใช่จักรพรรดินีมารสวรรค์
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างนอบน้อม “ต้องขออภัยจริงๆ แต่ผู้น้อยมิได้เรียกขานท่านผู้ทรงเกียรติ อันที่จริงแล้ว ผู้น้อยกำลังรออีกคนหนึ่งอยู่”
“เจ้ากำลังรออีกคนหนึ่งอยู่อย่างงั้นหรือ?” หญิงชุดดำเอ่ยถาม
“ใช่ ข้ากำลังเฝ้ารอมารสวรรค์อีกตนหนึ่งอยู่” กู่ฉิงซานกล่าว
“โห? แล้วเจ้ามีความสัมพันธ์แบบใดกับมารสวรรค์ตนนั้นเล่า?” หญิงใหญ่ชุดดำกล่าว
กู่ฉิงซานนิ่งงันไป
มีความสัมพันธ์แบบใดอย่างงั้นหรอ …
ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่เขากลับรู้สึกว่าตนสมควรที่จะตอบคำถามนี้ให้ดี
นี่มันเป็นสัญชาตญาณ! เป็นสัญชาตญาณที่อยู่เหนือเหตุและผล
“อา .. ข้ากับนางกำลังร่วมมือกัน” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงจัง
“ร่วมมือกัน? … แต่จะมีสิ่งใดกันที่มนุษย์กับมารสวรรค์สามารถร่วมมือกันได้” หญิงใหญ่ชุดดำส่ายหัวและกล่าว
“เป็นการร่วมมือที่แต่ละฝ่ายจะได้สิ่งที่ตนปรารถนา ข้าจะจ่ายสิ่งตอบแทนให้แก่นาง ขณะที่นางจะต้องร่วมกันเอาชนะศัตรูของข้า” กู่ฉิงซานตอบ
หญิงใหญ่พอได้ฟัง ก็จ้องมองเขาเป็นเวลานาน
กู่ฉิงซานนิ่งค้างไปด้วยความสับสน
อย่างไรก็ตาม มารสวรรค์หญิงตนนี้ให้ความรู้สึกที่พิเศษ แตกต่างออกไป ดาบพิภพยังถึงขั้นลอบเอ่ยถามเขาอยู่หลายครั้งว่าจะโจมตีออกไปเลยดีไหม
กู่ฉิงซานกล่าว “เอาล่ะ หากท่านผู้ทรงเกียรติไม่มีธุระอะไรแล้ว โปรดจากไปเถิด ผู้น้อยจะได้เฝ้ารอหุ้นส่วนต่อ”
“หุ้นส่วน … ”หญิงใหญ่ชุดดำพึมพำ
เธอขบคิดเกี่ยวกับประโยคทั้งหลายอย่างลึกซึ้ง แล้วจู่ๆก็ยื่นมือออกมา
เห็นแค่เพียงกระดิ่งมารสวรรค์ที่โดยปกติแล้วสาดกลิ่นอายหนาวเหน็บ จู่ๆก็เปล่งท่วงทำนองแห่งความสุขออกมา มันลอยออกไป และตกลงในมือของหญิงใหญ่ชุดดำ
กู่ฉิงซานเลิกคิ้ว และผุดลุกขึ้นทันที
แม้ว่าสัญชาตญาณของตัวเองจะบอกว่าเขาไม่ควรทำเช่นนั้น แต่กระดิ่งนี้เป็นสัญญาณยืนยันตัวของจักรพรรดินีมารสวรรค์ เขาไม่สามารถมอบให้ใครโดยไม่มีเหตุผลได้
กู่ฉิงซานคว้าจับดาบพิภพ ปากเอ่ยน้ำเสียงเฉียบขาด “ท่านผู้ทรงเกียรติ ขออภัยด้วย กระดิ่งนั่นข้าให้ท่านไม่ได้”
“เพราะเหตุใด?” หญิงใหญ่ชุดดำเอ่ยถาม
เธอยังคงจับจ้องเขา คล้ายกับกำลังมองตัวประหลาดที่ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน
“เพราะกระดิ่งนั่นมีเจ้าของ” กู่ฉิงซานกล่าว
หญิงใหญ่ชุดดำ “ใช่ข้ารู้ กระดิ่งนี่มีเจ้าของจริงๆ แต่ที่ข้ายังไม่รู้ก็คือ –”
ในที่สุดเธอก็ตรงเข้าประเด็นหลัก และเอ่ยถามออกไป “ผู้ฝึกยุทธเช่นเจ้า เหตุใดจึงใช้สัญญาณของบุตรสาวข้า ลอบแอบเรียกขานนางอย่างลับๆ พฤติกรรมเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร?”
“บุตรสาว … ข้า?”
กระดิ่งนั่น .. คือของลูกสาวนางอย่างงั้นหรือ
กู่ฉิงซานกลายเป็นโง่งม
เดิมที เขาได้ตระเตรียมวาจาคมคายไว้สำหรับการตอบโต้มากมาย แม้กระทั่งเทคนิคดาบก็เตรียมจะถูกใช้ออกแล้ว แต่ ณ เวลานี้ ทุกสิ่งพร่ามัว ขาดสติไปโดยสมบูรณ์
ฝูงชนที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ก็ได้ยินเสียงของหญิงใหญ่ในชุดดำนางนี้เช่นกัน
ลอร่าตกตะลึง
อีเลียตะลึงงัน
เหล่าทหารพิทักษ์อ้าปากค้าง
ทุกคนต่างมองมายังกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว
นี่มันอะไรกัน หรือว่าไอ้เรื่องติดหนี้กันเล็กๆน้อยๆนั่น … ชัดเจนว่ามันอาจจะเป็น ‘หนี้’ อีกประเภทหนึ่งก็ได้กระมัง?
เดี๋ยวก่อนนะ –
หรือว่าบุรุษผู้นี้ … บุรุษผู้นี้กับมารสวรรค์จะ …
นี่เขาบ้าไปแล้วหรือเปล่า สมงสมองใช่ถูกลาเตะจนพิการไปแล้วหรือไม่?
ดูนั่นสิ แม่อีกฝ่ายถึงขั้นมาเยือนถึงหน้าประตูแล้วนะ!
ฝูงชนเบนสายตาไปมองหญิงใหญ่ชุดดำอีกครั้ง
หญิงใหญ่ชุดดำยังคงยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ แต่แรงกดดันปลดปล่อยออกมา มันกลับตรงกันข้าม
เธอทำแค่เพียงเก็บกระดิ่งไว้เบื้องหลัง ยกสองมือขึ้นกอดอก และเฝ้ามองมายังกู่ฉิงซานอย่างตั้งใจ
เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ค่อยๆเก็บดาบกลับคืนอย่างเงียบๆ
เวลานี้ เขาไม่สามารถทำอะไรให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
เพื่อที่จะยืนยันสถานการณ์ เขาจึงเอ่ยถามอีกครั้ง “ท่านกำลังจะบอกว่า สิ่งนั้นคือของๆบุตรสาวท่านอย่างงั้นหรือ?”
“ใช่” หญิงชุดดำกล่าวด้วยน้ำเสียงปราศจากซึ่งอารมณ์ความรู้สึก “นี่คือกระดิ่งมารสวรรค์ของบุตรสาวข้า และตั้งแต่ที่นางได้ถือกำเนิดขึ้นมา นางมิเคยทำมันหาย หรือมอบมันให้แก่ผู้ใดมาก่อนเลย ดังนั้นข้าจึงอยากจะรู้เรื่องราวเป็นอย่างมาก”
กู่ฉิงซานบอกตรงๆว่าเป็นคนที่ไม่เคยตื่นตระหนกมาก่อน
แต่บัดนี้ ความสงบทั้งกายใจของเขามลายหายไปโดยสมบูรณ์
“คือว่าเรื่องมันยาว .. ขอให้ข้าได้อธิบายอย่างช้าๆ ..”
เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ นิ่งคิดอยู่นานว่าจะเรียบเรียงคำพูดอย่างไรดี
สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ ดูท่าว่าจะอันตรายยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับระบบของราชามารเสียอีก!!
Ep.585 – ภารกิจสงครามขั้นแตกหัก : สวรรค์ลงทัณฑ์
อีเลียตรวจสอบกระดิ่งมารสวรรค์อย่างระมัดระวัง ก่อนจะส่งมันคืนให้แก่กู่ฉิงซาน
“มันเป็นเพียงสัญญาณที่ใช้ยืนยัน แต่ไม่ใช่การอัญเชิญ”
เธออธิบายอย่างจริงจัง “ในโลกใบนี้มีกำแพงอุปสรรคที่เป็นอำนาจเทวะของเหล่าทวยเทพอยู่ ดังนั้นกระดิ่งของเจ้าจึงถูกขัดขวางด้วยกำแพงอุปสรรคนี้ แม้จะเป็นตัวต้นกำเนิดเอง หากต้องการนำพามารสวรรค์เข้ามา เกรงว่ามันคงต้องออกไปด้วยราคาที่มหาศาลยิ่ง”
กู่ฉิงซานคิดสักพักจึงเอ่ยถาม “แล้วถ้าผมขึ้นไปยังชั้นน้ำแข็งของโลกใบนี้ ผมจะสามารถใช้มันได้ไหม?”
อีเลียฝืนยิ้มออกมา “หากเป็นในกรณีที่เจ้าว่า ต้นกำเนิดจะต้องสามารถตระหนักถึงได้อย่างแน่นอน เพราะตัวมันเองคือระบบ และได้แผ่อำนาจปกคลุมไปตลอดทั้งชั้นน้ำแข็งแล้ว”
ใช่แล้วล่ะ เมื่อต้นกำเนิดตระหนักถึงตัวกู่ฉิงซาน มันก็จะสั่งการกองทัพผู้เข้าสู่วิถีมารกว่า 200 ล้านคนและกองทัพผียกทัพเข้าหาเขาทันที
อธิบายแค่นี้ก็น่าจะพอ คงไม่ต้องบอกนะว่ามันจะอันตรายขนาดไหน
กู่ฉิงซานเลยลองไตร่ตรองดูอีกสักพัก ก่อนจะเอ่ยปาก “งั้นคำถามสุดท้าย แล้วพวกเราจะทำลายระบบได้อย่างไร?”
“ตรงส่วนนี้เราขอพูดนะ” ลอร่าขัดจังหวะ
“1000 ปีก่อน ในครั้งที่ระบบของราชามารโจมตีและเข้าครอบงำดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู และกำลังจะแพร่กระจายไปตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น เหล่าตัวตนทรงอำนาจได้คิดค้นถึงวิธีรับมือวิธีหนึ่งขึ้นมา”
“นั่นคือ เมื่อไหร่ก็ตามที่ระบบของราชามารจะทำการยึคดครองโลกใบนั้นๆ ตัวตนทรงอำนาจของตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้นก็จะสังหารผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดของโลกใบที่ว่าลงทันที”
“เมื่อปราศจากซึ่งชีวิตที่ต้องคอยดูแล และรับฟังคำสั่งจากระบบ ตัวระบบเองสุดท้ายก็มีแต่ต้องถูกทำลายลงเท่านั้น”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ … ”
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น มองไปบนท้องฟ้า
เหนือท้องฟ้าขึ้นไป คือชั้นมหาสมุทร
ข้ามผ่านมหาสมุทรขึ้นไป คือโลกชั้นน้ำแข็ง
โลกที่มีผู้เข้าสู่วิถีมารกว่า 200 ล้านคนอาศัยอยู่
นี่นับว่าเป็นขุมกำลังอันยิ่งใหญ่ และไร้ผู้ใดเปรียบ
แต่ขณะเดียวกัน หากสังหารพวกเขาทั้งหมดลงได้ ระบบของราชามารก็จะพินาศสิ้น
— ศัตรูกว่า 200 ล้าน ที่มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับตนเอง
แล้วนี่ฉันจะกำจัดพวกมันทั้งหมดได้อย่างไร?
กู่ฉิงซานนิ่งคิดอย่างเงียบๆ
อีเลียเมื่อเห็นถึงสีหน้าของเขา เธอก็ถอนหายใจ “100000 กองทัพผี และ 200 ล้านผู้เข้าสู่วิถีมาร ต่อให้เป็นตัวข้าเอง ก็ยังคิดวิธีรับมือกับศัตรูมากมายนาดนั้นไม่ได้ นอกจากนี้ แต่ละคนยังมีระบบคอยสนับสนุนอีก เจ้าอย่าลืมนะว่าพวกมันสามารถขอรับอุปกรณ์หรือเทคนิคมนตราที่ทรงประสิทธิภาพจากระบบได้ ไม่เว้นกระทั่งอัญเชิญอสูรกาย!”
กู่ฉิงซานพยักหน้า “ใช่ … มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะฆ่าพวกเขาทั้งหมด”
เขาย้อนนึกไปถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา พิจารณาทุกรายละเอียดอย่างรอบคอบ
ผ่านไปเป็นเวลานาน สุดท้ายเขาก็เบนสายตาไปมองลอร่า
“องค์กษัตรีย์ กระหม่อมมีคำถามสำคัญที่ต้องการจะไถ่ถามท่าน” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“กู่ฉิงซาน หากมีสิ่งใดก็พูดมา ไม่จำเป็นต้องจริงจังกับเราก็ได้” ลอร่าตอบเขา
“ไม่ได้ มันต้องจริงจัง เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับชะตากรรมของโลก 900 ล้านชั้น มันจะกลายเป็นตัวกำหนดทิศทางสงครามทั้งหมด และมันยังเป็นตัวตัดสินอีกด้วยว่าท่านจะสามารถล้างแค้นให้พระบิดา มารดา ของท่านได้หรือไม่”
ลอร่าพอได้ฟังก็เปลี่ยนทัศนคติทันที น้ำเสียงของเธอกลายเป็นเคร่งขรึม “เจ้าลองว่ามา เราฟังอยู่”
“กระหม่อมอยากจะถามฝ่าบาท ว่าท่านยินดีจะทุ่มเททุกสิ่งอย่างให้กับการล้างแค้นหรือไม่?”
“เรายินดีจะทุ่มเททุกสิ่งอย่าง”
“ท่านยินดีจะทำทุกทางที่มันสามารถทำลายโลกที่ถูกจองจำโดยเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ใบนี้ลงหรือไม่?”
ลอร่ากล่าวเฉียบขาด “ต่อให้กระดูกของเราจะถูกทุบเป็นผุยผง หรือแม้ว่าจะต้องจ่ายด้วยทุกสิ่งที่มี เราก็ยินดี เราจะไม่มีวันให้ทริสเต้ได้รับชัยชนะเด็ดขาด!”
กู่ฉิงซานหันไปมองวิหคหนามตนอื่นๆที่อยู่รอบๆเขา และมองไปยังเหมันต์ยามค่ำอีเลียเป็นคนสุดท้าย
เขาเอ่ยถามอีกครั้ง “คุณมีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่มากมาย และคุณเต็มใจที่จะให้พวกเขาร่วมมือกับผมสักพักจะได้หรือไม่”
“ร่วมมือกับเจ้า?” ลอร่าเกิดความสงสัย
“ใช่ หากทุกคน แน่นอนว่ารวมถึงฝ่าบาทด้วย ร่วมมือกับกระหม่อม พวกเราก็คงพอจะเห็นประกายแห่งความหวังที่จะใช้เอาชนะระบบของราชามารที่กำลังจะวิวัฒนาการเป็นปฏิวัตรได้อยู่”
ลอร่าสูดหายใจลึก กล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “กู่ฉิงซาน ตราบใดที่เจ้าสามารถโค่นเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ได้ ตัวเรา ราชินีแห่งวิหคหนามรุ่นนี้ ยินดีที่จะให้เจ้าได้เป็น –”
“เป็นเอิร์ล! เป็นเอิร์ลแห่งราชอาณาจักรหนาม!” อีเลียพุ่งเข้าแทรกทันที
ขณะที่ลอร่าตะลึงงัน
อีเลียรีบเสริมอย่างรวดเร็ว “เจ้าจะเป็นคนนอก คนแรกที่จะได้เป็นเอิร์ลแห่งราชอาณาจักรหนาม และเป็นมนุษย์คนแรกที่จะสามารถเข้าออกดินแดนอัศจรรย์ได้อย่างอิสระ พวกเราจะทำการอธิษฐานต่อรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้มันมอบพรแห่งชีวิตแก่เจ้าในดินแดนอัศจรรย์”
ดวงตาของลอร่าเบิกกว้าง เธอเร่งพยักหน้าสนับสนุนและกล่าว “ใช่ เป็นดังนั้น”
‘-ฟู่ว … เกือบไปแล้วไหมล่ะ’
กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็ค่อนข้างประหลาดใจ แต่เขาก็เอ่ยออกมาว่า “ตกลงตามนั้น แต่ตอนนี้ ฝ่าบาทต้องลองฟังคำขอของกระหม่อมก่อน ว่าท่านพอจะสามารถทำได้ไหม?”
ลอร่ามองไปมายังกู่ฉิงซาน
บุรุษผู้นี้ เขาจะมีวิธีจัดการกับปฏิวัตรจริงๆใช่ไหม?
หากเป็นผู้อื่น แต่มากล่าวเช่นนี้ต่อหน้าตนเอง ลอร่าจะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานน่ะแตกต่างจากคนทั่วๆไป ทุกครั้งที่เขาลงมือ มันล้วนเป็นสิ่งที่ลอร่าไม่แม้แต่จะกล้าคิด
ซึ่งนั่นหมายความว่า เขาจะต้องสามารถทำมันได้อย่างแน่นอน!
ลอร่าพอคิดได้ เธอก็เดินไปหาเขา แล้วคว้าจับมือกู่ฉิงซาน หันหน้ากลับมามองทหารพิทักษ์ทั้งหมด “ข้าจะเชื่อฟังเจ้าตามข้อตกลง และผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าเองก็เช่นกัน”
ทหารพิทักษ์กล่าวทันที “เพื่อองค์กษัตรีย์ พวกเรายินดีให้ความร่วมมือ”
กู่ฉิงซานมองไปทางอีเลีย
อีเลียพยักหน้า “ตราบใดที่เจ้าไม่ปล่อยให้ลอร่าทำในสิ่งที่อันตราย ข้าเต็มใจร่วมมือ”
“แน่นอนว่าไม่ยอมหรอก คุณมั่นใจได้เลย”
ว่าจบ คิ้วของกู่ฉิงซานก็ขมวดเข้าหากัน
เขาแตะลงบนหัวลอร่าเบาๆแล้วกล่าวว่า “ดีล่ะ งั้นต่อจากนี้ไปกระหม่อมจะเป็นคนเตรียมการทุกอย่างเอง”
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” ลอร่าเอ่ยถาม
“รอสักครู่-”
“ฉานนู่” กู่ฉิงซานโบกมือทันใด “มาเถอะ พวกเราเตรียมพร้อมแล้ว”
“เจ้าค่ะ นายน้อย”
ฉานนู่เปลี่ยนเป็นดาบบิน แล้วกลับเข้าสู่อากาศที่ว่างเปล่าเบื้องหลังเขา
ดาบพิภพก็หายไปด้วยเช่นกัน
กู่ฉิงซานหันไปพูดกับทุกคน “ผมต้องการจะทำบางอย่าง ระหว่างนั้น พวกคุณไม่ต้องตื่นตระหนกหรือเข้ามาแทรกแซงอะไร เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอุบัติเหตุใดๆขึ้น”
“เช่นนั้นแล้วเจ้าจะให้พวกเราทำอย่างไร?” อีเลียเอ่ยถาม
“คุณเป็นคนฉลาดกว่าทุกคนในที่นี้ ดังนั้นแค่คุณได้ดูว่าผมกำลังเตรียมจะทำอะไร ที่เหลือคุณก็น่าจะรู้ได้เอง”
“แล้วตกลงว่าเจ้าจะทำอะไร?” ลอร่าถามด้วยความอยากรู้
“เตรียมการสำหรับสงครามขั้นแตกหัก”
ขณะกล่าวกู่ฉิงซานก็หันไปอีกทาง
ระหว่างเดิน เขาก็เหลือบมองดูบนหน้าต่างเทพสงคราม
บนหน้าต่าง ปรากฏหลายบรรทัดกำลังสาดแสงอยู่
“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”
“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”
“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”
“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”
“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”
“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”
“คุณได้รับสิทธิ์ในการเสริมพลังหนึ่งเท่า”
“โปรดทำการเลือกสกิลที่เหมาะสมสำหรับการเสริมพลังด้วย”
พวกนี้คือการแจ้งเตือนของสกิลสั่งสมแต้มพลัง ที่เขาได้รับมาจากการจัดการกองทัพผีบนที่ราบลุ่ม
ในแต่ละภารกิจต่อเนื่องของเทพสงคราม กู่ฉิงซานจะได้รับสภาวะเตรียมพร้อมสำหรับการ ‘สั่งสมแต้มพลัง’
ซึ่งนี่คือความแตกต่างระหว่างภารกิจเทพสงคราม กับภารกิจแห่งโชคชะตา
อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานมิได้ใส่ใจกับตัวแจ้งเตือนเหล่านั้น เขาหันไปกล่าวกับหน้าต่างเทพสงคราม “ปล่อยภารกิจสุดท้าย”
ติ๊ง!
ตัวแจ้งเตือนบนหน้าต่างหายไปชั่วคราว ระบบเทพสงครามตอบกลับ “โปรดอธิบายวัตถุประสงค์ของภารกิจ”
“การต่อสู้ครั้งสุดท้ายได้มาถึงแล้ว และพวกเราจะต้องกำจัดระบบของราชามาร” กู่ฉิงซานกล่าว
“โปรดทำการยืนยันว่านี่คือวัตถุประสงค์ภารกิจของคุณ”
“ฉันยืนยัน”
“วิถีดาบแห่งคุณคือเป้าหมายภารกิจของระบบ และระบบได้ยอมรับการร้องขอภารกิจของคุณแล้ว”
บนหน้าต่างเทพสงคราม ในส่วนของฟังก์ชั่น ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ , ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ , ‘สมญาเทพสงคราม’ , ‘พงศาวดารวันสิ้นโลก’ และสุดท้าย ’ภารกิจเทพสงคราม’ ได้ส่องสว่างขึ้น
บรรทัดแสงหิ่งห้อยร้อยเรียงกัน ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
“นี่คือภารกิจต่อเนื่องของระบบเทพสงคราม”
“ภารกิจต่อเนื่องพร้อมเริ่มดำเนินการแล้ว คุณจะต้องบรรลุภารกิจทั้งหมดให้สมบูรณ์ และกำจัดระบบของราชามาร ก่อนที่จะได้รับรางวัลในขั้นสุดท้าย”
“ภารกิจสุดท้ายถูกเปิดตัวแล้ว”
“เนื้อหาภารกิจ : เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด กำลังอยู่ในระหว่างช่วงเวลาสำคัญในการอัพเกรด อีกไม่นานมันจะกลายเป็นปฏิวัตร และออกจากโลกใบนี้ ไปครอบคลุมตลอดทั้งโลก 300 ล้านชั้น”
“เป้าหมายภารกิจ : กำจัดมันซะ”
“รางวัลภารกิจ : ความลับ”
“กรุณาตั้งชื่อภารกิจสุดท้ายของคุณด้วย”
“ตั้งชื่ออีกแล้วหรอ?”
“นี่คือข้อปฏิบัตรของเทพสงคราม”
กู่ฉิงซานหัวเราะและกล่าว “ในโลกของฉัน มีคำที่พูดต่อๆกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณว่า ‘ไม่ว่าพวกเราจะกระทำสิ่งใด สวรรค์ก็มักจะเฝ้าจับมองดูอยู่เสมอ’”
“หากสวรรค์และโลกมีจิตนึกคิด มันย่อมไม่ยินยอมให้เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online แพร่กระจายออกไปอย่างแน่นอน”
“ … ดังนั้น ในฐานะที่ครั้งนี้คือสงครามขั้นแตกหัก ฉันขอตั้งชื่อมันว่า ‘สวรรค์ลงทัณฑ์’ ก็แล้วกัน”
ระบบเทพสงครามตอบกลับทันที “ภารกิจสงครามขั้นแตกหัก : สวรรค์ลงทัณฑ์ ถือกำเนิดขึ้นแล้ว!”
เส้นแสงปรากฏขึ้นเหนือภารกิจ ในเวลาเดียวกัน ทั้งภารกิจก็เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่าง และกลายเป็นหน้าจอภารกิจที่สมบูรณ์ และกลับไปถูกเก็บอยู่ในหมวดหมู่ของ ภารกิจเทพสงคราม
หลังจากภารกิจถูกเปิดตัว กู่ฉิงซานก็ตรงไปยืนอยู่ใจกลางจตุรัส
ตรงจุดนี้เว้นระยะห่างระหว่างลอร่าและคนอื่นๆระดับหนึ่งแล้ว แม้ว่าจะมีอุบัติเหตุใดเกิดขึ้น พวกเธอก็จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก
เขาตบลงในถุงสัมภาระ เอาเบาะรองนั่งมาวางบนพื้น จากนั้นก็โยนกระดิ่งมารสวรรค์ขึ้นไปกลางอากาศ ในมือจีบออกด้วยวิชาลับ ทำการควบคุมมันให้ลอยล่องไปกับสายลมเบาๆ
จากนั้น กู่ฉิงซานก็นั่งลงบนฟูก
เขาโยนเม็ดยาวิญญาณเข้าปาก สองตาหุบต่ำลง แรงกดดันจากทั้งคนทั้งร่างค่อยๆบรรจบกัน
เวลานี้ เขาเหมือนกับเป็นเพียงแค่คนธรรมดา แม้กระทั่งกลิ่นอายของเขาก็ค่อยๆแผ่วเบาลง
ในที่สุด กลิ่นอายของเขาก็หายไป
เห็นได้ชัดว่าเขายังนั่งอยู่ที่นี่ แต่ฝูงชนที่กำลังรับชมกลับรู้สึกว่าเขาได้เลือนหายไปแล้ว
ลอร่าที่ยืนอยู่ไปไกล เมื่อมองมายังฉากนี้ เธอก็ทนไม่ไหวต้องถามออกมา “นั่นเขาคิดจะทำอะไร?”
“นั่นเรียกว่าภาวะสมาธิ เป็นวิถีฝึกฝนของผู้ฝึกยุทธ” อีเลียตอบ
ลอร่าขบคิดและกล่าว “ในเมื่อเขาบอกว่าพวกเราอย่าทำอะไร งั้นก็คอยดูเงียบๆกันเถอะ”
“พะยะค่ะ ฝ่าบาท”
อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ขานรับ ทั้งหมดกลับนิ่งค้างไปพร้อมกัน
พวกเขาน่ะเป็นทหาร ดังนั้นจึงสามารถตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว
เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่
แต่กลับปรากฏความผันผวนทางพลังวิญญาณแพร่กระจายออกจากตัวเขา เข้าไปผสานเชื่อมต่อกับสวรรค์และโลก
นี่คือสัญญาณของการตัดผ่านขอบเขตใหญ่
กู่ฉิงซานอยู่ในขอบเขตประทับเทพขั้นปลาย และตัวเขาเองก็พร้อมที่จะทะลวงตั้งนานแล้ว และในที่สุดเขาก็เริ่มกระบวนการตัดผ่านมัน
สวรรค์และโลกตระหนักได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทันที
เมฆดำขนาดใหญ่ผุดขึ้นบนท้องฟ้า พร้อมด้วยเสียงฟ้าร้อง และสายฟ้าที่วิ่งผ่านระหว่างชั้นเมฆ
สีหน้าของลอร่าเปลี่ยนไป “นั่นเขาคิดอะไรอยู่ ในโลกใบนี้ พลังของสายฟ้าจะทรงอานุภาพมากกว่าปกติ ถ้าทำแบบนั้น เขาจะถูกสายฟ้าฆ่าเอาได้นะ!”
ฝูงชนแหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้าอยู่สักพักหนึ่ง
เห็นแค่เพียงบนท้องฟ้าที่ครึ้มไปด้วยเมฆ แต่ยังไม่มีสายฟ้าสวรรค์ฟาดผ่าลงมา
“เอ๋? เกิดอะไรขึ้น?” ลอร่าไม่เข้าใจ
“เขาเพียงอยู่ในสถานะเตรียมการตัดผ่าน ดังนั้นสวรรค์จึงยังไม่ลงทัณฑ์ มันเพียงรวบรวมพลังอำนาจเอาไว้เท่านั้น” อีเลียไขข้อสงสัย
ทุกคนมองไปยังกู่ฉิงซานพร้อมกัน
บุรุษผู้นี้เห็นได้ชัดว่าต้องการที่จะตัดผ่าน แต่เขากลับยังไม่ยินยอมเข้าสู่สภาวะตัดผ่านเสียที
แท้จริงแล้ว … เขากำลังคิดเรื่องบ้าอะไรอยู่กันแน่เนี่ย?
Ep.584 – แลกเปลี่ยน
“เมื่อปฏิวัตรถือกำเนิดขึ้น เจ้าก็จะถูกสังหารลงโดยมัน เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะไปรับจิตวิญญาณของเจ้าเป็นการส่วนตัว … ”
เสียงของนายเหนือแห่งแดนชำระล้างยังไม่ทันจะตกลง ดาบพิภพก็โฉบออกไป สับอักษรรูนสีเลือดทั้งหมดเป็นผุยผง
เทคนิคมนตราพังทลาย ม่านเปลวไฟกลายเป็นพร่ามัว
กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูไฟที่ลุกโชติช่วงค่อยๆมอดดับลงอย่างเงียบๆ
ดวงตาของเขาสาดประกายเย็นเยียบและมืดมน
ดาบพิภพลอยมาอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดลงข้างกายของกู่ฉิงซาน
“เจ้าคิดว่าที่มันพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่?” ดาบพิภพเอ่ยฮึมฮัม
“มันเป็นความจริงแน่ๆ” กู่ฉิงซานพยักหน้า “แต่ … ”
“แต่อะไร?” ดาบพิภพซักไซ้
“ขณะที่อีกฝ่ายยังมีไพ่อยู่เต็มกำมือ แต่ตัวมันเองกลับตีตนไปว่าได้กลายเป็นผู้ชนะเสียแล้ว นั่นนับว่าเป็นพฤติกรรมที่โง่เง่านัก” กู่ฉิงซานกล่าว
“ถึงคำพูดเจ้ามันจะฟังดูดี แต่ข้าไม่เห็นว่าในมือเจ้าจะมีไพ่ใบใดอยู่เลย” ดาบพิภพกล่าว
“นั่นเพราะข้าซ่อนมันเอาไว้อย่างไรเล่า นี่เป็นหนึ่งในเทคนิคเล่นไพ่ง่ายๆ และมันจะเผยโฉมออกมาให้เจ้าได้เห็นเองในช่วงเวลาวิกฤติ” กู่ฉิงซานอธิบาย
“แล้วแต่เจ้าเถอะ ว่าแต่เจ้าคิดจะทำอะไรต่อไป?” ดาบพิภพเอ่ยเสียงหึ่งๆ
กู่ฉิงซานพึมพำ “จู่ๆภาพฉายจากแดนชำระล้างก็โผล่ออกมาสาดคำก่นด่า แต่มันกลับไม่คิดจะลงมือโจมตีข้า … มันคงคิดว่าลูกไม้เก่าๆจะเบนความสนใจข้าได้เหมือนครั้งก่อนๆอย่างงั้นสินะ?”
เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ก้าวฉับๆตรงไปยังใจกลางวิหาร ชูดาบพิภพขึ้นเหนือหัว ก่อนจะหมุนมัน และเหวี่ยงสับลงมาด้วยเจตนาร้าย!
“จงเปิดทาง ให้-แก่-ข้า!!”
เขาคำรามด้วยความโกรธ
สายฟ้าสาดประกายรุนแรง พร้อมกับลมที่มองไม่เห็นกระจายตัวกวาดออกมาจากดาบพิภพ
ในอากาศที่ว่างเปล่า เหมือนกับว่าจะได้ยินเสียงมากมายฮึมฮัมออกมาด้วยความประหลาดใจ
แน่นอน ว่านี่มิใช่แค่เพียงเสียงของสายฟ้า
สายฟ้ายังคงสาดประกายเปรี๊ยะปร๊ะอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้ความโกรธเกรี้ยวของกู่ฉิงซาน ทั้งคนทั้งร่างของเขาถ่ายเทแต้มพลังวิญญาณลงไปยังดาบพิภพ
ดาบพิภพคือสิ่งประดิษฐ์เทวะที่อุทิศตนให้แก่สวรรค์และโลก นับตั้งแต่ช่วงโบราณอันไกลโพ้น มันมีความสามารถ ‘สื่อสาร’ กับเทพวิญญาณได้
เมื่อไหร่ที่มันครอบครองแต้มพลังวิญญาณ มันจักสามารถสำแดงอำนาจที่สามารถสังหารเทพมารลงได้ออกมา!
ภายใต้กระแสแต้มพลังวิญญาณอันท่วมท้น ดาบพิภพเปล่งเสียงกระซิบฮึมฮัมแผ่วเบา
เห็นแค่เพียงทั้งตัวดาบพิภพที่สั่นสะท้านขึ้นทันใด
คลื่นที่มองไม่เห็นกวาดกระจายออกไปตลอดทั้งวิหาร พลังเหนือธรรมชาติเกิดการระเบิดขึ้น!
เสียงหนักทึบของดาบพิภพก้องกังวานไปทั้งภายในและภายนอกวิหาร
“ไม่ว่าจักเทพหรือมาร ทุกสรรพสิ่งที่แฝงกายอยู่ในที่นี้ จงปรากฏร่างของพวกเจ้าออกมา!”
เปรี้ยง!
ทุกสถานที่พลันเงียบสงัด แต่แท้จริงแล้วในอากาศที่ว่างเปล่ากลับบังเกิดการสั่นสะเทือนอย่างเงียบๆ สะท้านอยู่ในจิตใจของผู้คน
ท่ามกลางความว่างเปล่า บุปผาดำที่ดูละเอียดงดงามเริ่มผลิดอกออกมา
บนหมู่มวลบุปผาเหล่านั้น ปรากฏให้เห็นถึงผ้าแพรที่ปิดทับลงบนร่างกายของหญิงสาวแสนทรงเสน่ห์ ตนแล้วตนเล่าเริ่มผุดออกมา
พวกเธอมองมายังกู่ฉิงซานด้วยความประหลาดใจ
มารสวรรค์
เป็นมารสวรรค์จริงๆด้วย!
“ฮี่ฮี่ฮี่ เขาดูเกรี้ยวกราดมากทีเดียว”
เสียงของผู้หญิงดังกังวานขึ้น สะท้อนไปตลอดทั้งรอบตัววิหาร
“ผู้ฝึกดาบรึ? น่าจะมาจากอารยธรรมโลกของบรรดาผู้ฝึกวรยุทธ แต่การที่เขาสามารถตระหนักถึงการมีอยู่ของพวกเราได้ นี่ใช่ว่าโลกของเขาเป็นโลกหกวิถีหรือไม่?” เสียงของผู้หญิงอีกคนหนึ่งดังขึ้น
“โง่น่า ก็มีคนตายมากเสียขนาดนี้ จึงย่อมเป็นธรรมดาที่เขาจะตระหนักถึงความผิดปกติ คงไม่ถึงขั้นรู้หรอกว่าพวกเราคืออะไร”
“ถูกอย่างที่เจ้ากล่าว โลกหกวิถีน่ะพบเจอได้ยากเย็นยิ่ง จึงมีมนุษย์น้อยคนนักที่จะรับรู้ถึงสถานะของพวกเรา”
“ว่าก็ว่าเถอะ จิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธน่ะมักจะอร่อยเป็นพิเศษเลยนะ”
“ฮี่ฮี่ฮี่ ใช่แล้ว”
เสียงของผู้หญิงที่ฟังดูไร้ยางอายกังวานขึ้น
วินาทีต่อมา สาวงามบนหมู่มวลบุปผาก็หายวับไปอย่างสิ้นเชิง
ในอากาศที่ว่างเปล่า เรือนร่างอันงดงามและทรงเสน่ห์ปรากฏขึ้น
พวกเธอลอยมาข้างกายกู่ฉิงซาน เผยท่าทียั่วยวนทรงเสน่ห์ เล้าโลมเขา
“หนุ่มน้อย เจ้าต้องการที่จะมาละเล่นกับพี่สาวหรือไม่?”
“พี่สาวเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน เจ้าช่วยมาบีบนวดให้พี่สาวหน่อยจะได้หรือไม่ แล้วจากนั้นพวกเราค่อยไปหาสถานที่เงียบๆพูดคุยกัน”
“พอลองมองดูดีๆแล้วหนุ่มน้อยก็หล่อเหลาเหมือนกันนะ ข้าเองชักจะรู้สึกตื่นเต้นซะแล้วสิ”
มารสวรรค์กล่าวด้วยรอยยิ้มคิกคัก
พวกเธอเริ่มเอนกายลงอย่างแผ่วเบา พิงเข้าหากู่ฉิงซาน ทว่ากลับทะลุผ่าน คล้ายกำลังจะหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขา
กู่ฉิงซานมิได้ขยับกายเคลื่อนไหว แต่ดาบพิภพในมือของเขาพลันหายวับไปอย่างกระทันหัน
ดาบพิภพฉวัดเฉวียนไปมา ตัดไปในอากาศจนเกิดเสียงสนั่นดังหึ่งๆ
กลิ่นอายที่มองไม่เห็นปะทุขึ้นมาจากดาบพิภพ แปรสภาพเป็นดาบสายลม หวีดหวิวไปทั่วตัววิหาร
ค่ายกลดาบไท่หยี รูปแบบย่อส่วน!
กู่ฉิงซานได้ใช้เพียงดาบเดียว ปลดปล่อยอำนาจส่วนหนึ่งของค่ายกลดาบไท่หยีออกมา
วู้มมมมม!
ท่ามกลางเสียงลมกรรโชก บังเกิดเสียงร่ำไห้นับไม่ถ้วนโหยหวนขึ้น
หมู่มวลบุปผาพลันเหี่ยวเฉา และหายวับไปไม่เหลือแม้ร่องรอยในอากาศที่ว่างเปล่า
หลังจากผ่านพ้นไปหนึ่งลมหายใจ
ลมกรรโชกก็แยกย้าย เสียงทั้งหมดจมลงสู่ความเงียบ
ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆในอากาศที่ว่างเปล่าอีกต่อไป
หลงเหลือเพียงคมกล้าของดาบพิภพ ที่กวาดเป็นแนวนอนอยู่บนลำคอของมารสวรรค์หญิงตนสุดท้าย
“เก็บตัวสอบปากคำไว้หนึ่งชีวิตเรียบร้อย” ดาบพิภพกล่าวกับกู่ฉิงซาน
“ทำได้ดีมาก” กู่ฉิงซานชมเชย
เวลานี้ บนใบหน้าของมารสวรรค์หญิงมิได้แสดงออกถึงความภาคภูมิอีกต่อไป เธอตะโกนร่ำร้องด้วยความหวาดกลัว “อย่านะ! อย่าฆ่าข้า! เจ้าเป็นใครกัน!?”
กู่ฉิงซาน “ไม่ต้องสนใจหรอกว่าข้าเป็นใคร แต่ข้าจะถามเจ้า ว่าจริงๆแล้วพวกเจ้ามีความสัมพันธ์ยังไงกับต้นกำเนิดกันแน่?”
พอได้ยินถึงต้นกำเนิด สีหน้าของมารสวรรค์หญิงก็ผ่อนคลายลงทันที ปากเอ่ยกล่าว “ฮี่ฮี่ หากเจ้าต้องการที่จะทราบถึงเรื่องนี้ เจ้าก็ต้องมีบางสิ่งบางอย่างมา–”
ดาบพิภพกระพริบไหว
“อ๊า!!”
เธอกรีดร้องตะโกนน่าสมเพช ทั้งตนทั้งร่างร่วงตกจากในความว่างเปล่า กระแทกลงกับพื้น
-กู่ฉิงซานได้ทำการตัดทั้งสองแขน สองขาของเธอลงโดยตรง!
“ข้ารู้ดี ว่าเจ้าสามารถเชื่อมต่อมือกับเท้าให้กลับมาเหมือนเดิมได้อย่างง่ายดาย แต่ข้ารับประกันเลย ว่าถ้าเจ้าไม่สารภาพออกมา ข้าจะให้เจ้าได้เพลิดเพลินไปกับสิ่งที่เรียกว่าความเจ็บปวดเอง!” กู่ฉิงซานกล่าวโดยไร้ซึ่งการแสดงออกใดๆบนใบหน้าเขา
“เจ้าสารเลวรังแกผู้หญิง!”
“จงบอกมา ว่าพวกเจ้ากับต้นกำเนิดเกี่ยวข้องกันอย่างไร?”
“อา ..”
มารสวรรค์หญิงเพียงเผยท่าทีลังเลเล็กน้อย ดาบพิภพก็แทงทะลุอก เข้าสู่หัวใจของเธอทันที
“อ๊าาาาา ให้ตายเถอะ! เจ้ามันปีศาจร้าย!”
เสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังฟังชัด มารสวรรค์หญิงคร่ำครวญน่าสมเพช
“หากข้าเป็นปีศาจร้าย แล้วเจ้าที่สูบกินจิตวิญญาณของผู้คนไปมากมายเล่า จะนับว่าเป็นสิ่งใด?” น้ำเสียงของกู่ฉิงซานช่างไร้เยื่อใย
ดาบของเขาเริ่มจะบิดคว้านเบาๆลงบนหน้าอกของมารสวรรค์หญิง
มารสวรรค์หญิงมิอาจฝืนทนได้อีกต่อไป เธอตะโกนลั่น “ข้าจะบอก! ข้าจะบอกแล้ว! ต้นกำเนิดได้ไปพบกับท่านอาจารย์สูงสุดของพวกเรา และขอความร่วมมือ”
“ขอความร่วมมือ? เช่นนั้นอาจารย์สูงสุดของเจ้าก็มาด้วยใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ในบรรดามารสวรรค์ , มารสวรรค์ระดับสูงจะมองมารสวรรค์ระดับต่ำเป็นเพียงของใช้ส่วนตัวเท่านั้น พวกมันมักจะถูกใช้งานโดยไร้ซึ่งอิสระใดๆ
ขณะเดียวกัน มารสวรรค์ระดับต่ำ จะต้องเรียกขานมารสวรรค์ที่ระดับสูงกว่าว่าอาจารย์
ดังนั้น ดูเหมือนว่าประโยคเมื่อครู่ของมารสวรรค์ตนนี้จะเป็นเรื่องจริง
“มันได้ยื่นเงื่อนไขอันยอดเยี่ยมให้แก่อาจารย์แห่งข้า ดังนั้นท่านอาจารย์จึงส่งพวกเรามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือพวกมัน” มารสวรรค์กล่าว
“ไม่ อย่ามาโกหก งานใหญ่เช่นนี้ อาจารย์สูงสุดของพวกเจ้าย่อมจักต้องลงมาด้วยตนเองอย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานส่ายหัว
ดาบพิภพเริ่มคว้านเร็วขึ้น
มารสวรรค์หญิงตะโกน ร่ำไห้อย่างขมขื่น “ขออภัย! โปรดยกโทษให้ข้าด้วย! ข้าผิดพลั้งไปแล้ว!”
จนกระทั่งกู่ฉิงซานหยุดการหมุนคว้านลง เธอจึงค่อยได้พักหายใจเล็กน้อย
“จงไตร่ตรองให้ดี ถึงสิ่งที่จะเอ่ยต่อจากนี้ไป” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่แยแส
มารสวรรค์อ้าปากค้าง “ข้าไม่ได้ต้องการจะหลอกลวงเจ้า แต่อาจารย์สูงสุดของพวกเรานั้นทรงอำนาจเหลือแสน การจักมายังที่นี่เป็นเรื่องยากเย็นยิ่ง ท่านจึงไม่สามารถที่จะมาด้วยตัวเองได้”
“เจ้ากำลังโกหก”
กู่ฉิงซานส่ายหัว “อาจารย์เจ้าแม้จะทรงอำนาจ และการมาเยือนโลกใบนี้ย่อมเป็นเรื่องยากเย็นอย่างที่ว่าก็จริง – แต่ขณะเดียวกันนางก็ยังสามารถเข้ามายังโลกใบนี้ได้เช่นกัน โดยการลดความแข็งแกร่งของตนเองลง และระงับมันมิให้สำแดงออกมา”
กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “นางอาจจะปลอมแปลงเป็นมารสวรรค์ธรรมดาๆ แต่ขณะเดียวกันก็คอยบงการอยู่เบื้องหลัง จนกระทั่งทุกอย่างจบลง”
“การที่สามารถชักชวนมารสวรรค์ระดับสูงมาได้ ต้นกำเนิดคงจ่ายราคาออกไปมหาศาลยิ่ง ดังนั้นอาจารย์เจ้าจะต้องเดินทางมาด้วยตนเองอย่างแน่นอน เพื่อควบคุมให้กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างถูกต้อง”
มารสวรรค์หญิงพอได้ยิน ก็แทบจะลืมเลือนความเจ็บปวดของตัวเอง เธออดไม่ไหวต้องฝืนพูดออกมา “เจ้า … เจ้าทราบเกี่ยวกับเรื่องราวของพวกเรามารสวรรค์มากถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?”
“บอกมา อาจารย์ของเจ้า ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน?”
มารสวรรค์เมื่อเห็นว่าไม่สามารถปกปิดความจริงได้อีกต่อไป เธอก็สารภาพอย่างสูญสิ้นน้ำเสียง “นางบรรลุสัญญาแล้ว ดังนั้นจึงเตรียมการที่จะกลับไปก่อนล่วงหน้า”
“คำถามสุดท้าย ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ถูกบังคับให้โหลดต้นกำเนิด?”
“นั่นเพราะโลกมารสวรรค์ของพวกเราเป็นโลกปิด ระบบทั้งมวลมิอาจย่างกรายเข้ามาหาเราได้” มารสวรรค์หญิงกล่าว
กู่ฉิงซานพยักหน้า เขาเก็บดาบกลับคืน และหันหลังเดินแยกออกมา
สมบัตล้ำค่าของเหล่าทวยเทพภูกฉกฉวยไป ขณะเดียวกัน ‘ปฏิวัตร’ ก็กำลังจะถือกำเนิดขึ้น ดังนั้นอยู่ที่นี่ต่อไปมันคงไม่มีความหมาย
อีกอย่าง เขาเองก็ได้รับข้อมูลมาแล้ว
เบื้องหลังเขา บนตัวของมารสวรรค์หญิงปรากฏรังสีดาบสาดประกายเย็นเยียบขึ้นอย่างกระทันหัน
เธอส่งเสียงกรี๊ดสั้นๆ แล้วเงียบลงโดยสมบูรณ์
กู่ฉิงซานเดินออกจากวิหาร
เขาเดินมาจนกระทั่งถึงจตุรัสหน้าวิหารจึงค่อยหยุดฝีเท้าลง
ในเวลานี้ อีเลียได้พาลอร่าและคนอื่นๆมาสมทบที่นี่แล้ว
“พวกคุณมาอยู่ที่นี่กันได้ยังไง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ข้าพบว่าตลอดทั้งเมืองไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆหลงเหลืออยู่อีกต่อไปยกเว้นพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงมารวมตัวกับเจ้าก่อน แล้วค่อยหารือกันว่าจะเอาอย่างไรต่อไป” อีเลียตอบ
เธอถอนหายใจ “ต้นกำเนิดได้รับวัตถุของเหล่าทวยเทพแล้ว เกรงว่ามันคงกำลังจะยกระดับไปอีกขั้น และเมื่อกระบวนการของมันเสร็จสมบูรณ์ มันย่อมไม่มีทางให้พวกเราที่เป็นตัวขัดขวางมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปอย่างแน่นอน”
“จริงสิ คุณเป็นนายพลแห่งอาณาจักรหนามนี่นา ดังนั้นย่อมต้องมีทั้งประสบการณ์และความรอบรู้มากมายใช่ไหม พอดีว่าผมมีเรื่องต้องการที่จะปรึกษาคุณน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาถอดสร้อยห้ากระดิ่งในมือออกมา และมอบมันให้แก่อีกฝ่าย
“นี่คือสิ่งที่ใช้เป็นหลักฐานยืนยันของมารสวรรค์ ในโลกอื่น หากผมเพียงแกว่งกระดิ่งนี้ มารสวรรค์ก็จะรับรู้และมาเยือนทันที แต่ทำไมกัน ทั้งๆที่ผมสั่นมันตั้งนานแล้ว แต่มารสวรรค์กลับยังไม่ปรากฏตัวออกมาเสียที”
“นี่เจ้ามีความสัมพันธ์กับมารสวรรค์งั้นหรือ?”
อีเลียสงสัยว่าเธอจะได้ยินผิดไป จึงถามย้ำด้วยความประหลาดใจ
เพราะนับตั้งแต่สมัยโบราณ เธอไม่เคยได้ยินว่าเคยมีใครมีความเกี่ยวข้องกับมารสวรรค์มาก่อนเลย
เพราะท้ายที่สุดนี้ ในสายตาของมารสวรรค์ ทุกสิ่งมีชีวิตน่ะเป็นเพียงอาหารเท่านั้น
กู่ฉิงซานกล่าว “พอดีว่าระหว่างผมกับพวกเธอยังมีหนี้ติดค้างกันอยู่อีกเล็กๆน้อยๆ และตอนนี้ ผมก็พร้อมที่จะจ่ายมันให้กับเธอแล้ว!”
Ep.583 – เมื่อเจ้าตาย
ท่ามกลางแสงสลัวในค่ำคืนอันมืดมิด
เบื้องบนท้องฟ้า ปรากฏกระแสแสงโฉบดิ่งลงมา
กระแสแสงทะลุผ่านท้องฟ้าด้วยความเร็วสูงสุด พุ่งตรงมายังเมืองไห่เช่า
ปัง!
พื้นดินถูกกระแทกเป็นหลุมขนาดใหญ่โดยตรง ส่งคลื่นอัดอากาศแพร่กระจายไปทั่วทุกทิศทาง
แต่เมื่อก้มมองลงไปอีกครั้ง กลับไม่มีอะไรอยู่ในหลุมที่ว่านี่เลย
กู่ฉิงซานคว้าจับอีเลีย และใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วโดยตรง
เพียงพริบตา ทั้งสองคนก็มาถึงที่พักชั่วคราวของลอร่า
ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัว อาวุธมากกว่าโหลก็จี้ตรงเข้ามายังทั้งสอง
“เป็นพวกเราเอง” กู่ฉิงซานกล่าว
“ท่านนายพล!”
“นายน้อย!”
ทหารพิทักษ์กับฉานนู่ เมื่อระบุสถานะของอีกฝ่ายได้ ทั้งหมดก็ชักอาวุธกลับคืน
กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปตรวจสอบ แล้วในหัวใจเขาก็รับรู้ได้ว่าผู้คนทั้งหมดที่นี่ยังมิได้รับบาดเจ็บใดๆ
“มีอะไรเกิดขึ้นบ้างไหม?” เขาเอ่ยถาม
“ไม่มีเลย แต่เพราะเหล่าสายพันธุ์เทพกำลังทำพิธีกรรมอยู่ในวิหาร และพวกเขาไม่อนุญาตให้เข้าใกล้ ดังนั้นข้าจึงมาอยู่ด้วยกันกับลอร่า” ฉานนู่กล่าว
“ลอร่า!”
อีเลียก้าวออกมา และตรวจสอบลอร่าอย่างใกล้ชิด
แต่ลอร่ายังคงปลอดภัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มีอะไรงั้นหรอ อีเลีย?” ลอร่ากล่าวด้วยความสับสน
อีเลียมองไปยังกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานไม่มีเวลามากพอที่จะมามัวอธิบาย เขาโยนดิสก์ค่ายกลออกไปให้ฉานนู่
“ฉานนู่ เจ้ามารับหน้าที่จัดวางค่ายกล หน้าไหนกล้าเข้าใกล้ที่นี่ ฆ่ามันให้หมด” เขาสั่ง
“เจ้าค่ะ” ฉานนู่รับคำ
กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง และเขาก็ค้นพบถึงที่หมายของตนเองอย่างรวดเร็ว
“ส่วนคุณ คอยปกป้องลอร่า ผมจะไปตรวจสอบสถานการณ์ก่อน” เขาหันไปบอกกับทางอีเลีย
“เข้าใจแล้ว”
อีเลียเขยิบเข้ามาใกล้กับลอร่า คอยพิทักษ์กายเธออย่างใกล้ชิด
หลังจากที่เธอกลับมา และได้ยินข้อสรุปของอีกฝ่าย เธอก็ไม่กล้าห่างจากตัวลอร่าไปแม้ครึ่งก้าว
กู่ฉิงซานย่อตัวลง ใช้ออกด้วยย่นระยะ และหายวับไป
ช่วงเวลาเดียวกัน ฉานนู่ก็เริ่มควบคุมดิสก์ค่ายกล และเริ่มทำการจัดวางมันทันที
“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเราจึงรู้สึกราวกับว่าเจ้ากำลังทำท่าทีราวกับภัยพิบัติใหญ่กำลังใกล้เข้ามา”
จนกระทั่งเวลานี้ ลอร่าจึงค่อยมีเวลาให้เอ่ยถาม
อีเลียถอนหายใจและกล่าว “มนุษย์ผู้นั้น เขาสงสัยว่าต้นกำเนิดจะประสบความสำเร็จแล้ว”
“มันจะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร สัตว์ประหลาดผียังไม่ได้เข้ามาล้อมเมืองอีกรอบเลยนะท่าน” ทหารพิทักษ์คนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา
“ไม่ทราบว่าเจ้าเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับโลกหกวิถีหรือไม่?”
“ขอรับ มันเป็นโลกวัฏจักรปิดที่หาได้ยากยิ่ง โดยทั่วไปแล้วมักจะเห็นได้เฉพาะในดินแดนอัศจรรย์เป็นครั้งคราว” ทหารพิทักษ์อีกคนกล่าว
“อ้างอิงตามการพิจารณาของเขา ดูเหมือนว่ามารสวรรค์แห่งโลกหกวิถีก็จะมาที่นี่ด้วยเช่นกัน” อีเลียกล่าว
“มารสวรรค์!”
สีหน้าของลอร่าแปรเปลี่ยนกลับกลาย
ขณะที่ทหารพิทักษ์มากมายต่างงุนงง
ลอร่ามองไปยังทุกคนและอธิบายว่า “มารสวรรค์ เป็นการดำรงอยู่ที่แสนพิเศษในโลกหกวิถี”
“ด้วยเหตุผลพิเศษบางประกาย เหล่าทวยเทพได้ใช้เวลามากมายในการรังสรรค์โลกหกวิถีขึ้น ทว่าระหว่างกระบวนการก็ได้ถือกำเนิดมารสวรรค์ที่มีร่างกายอันแสนพิเศษขึ้นเช่นกัน ซึ่งพวกมันมักจะกัดกินจิตเทวะของสิ่งมีชีวิตในโลกหกวิถีเป็นอาหาร”
อีเลียช่วยเสริม “การปรากฏตัวขึ้นของมารสวรรค์มิได้อยู่ในการคาดการณ์ของเหล่าทวยเทพโบราณ ดังนั้นเหล่าทวยเทพโบราณจึงต้องการที่จะลบมารสวรรค์ให้หายไปโดยสิ้นเชิง แต่แล้วพวกเขากลับพบว่ามารสวรรค์น่ะไม่สามารถสังหารได้”
“เพราะมารสวรรค์คือส่วนหนึ่งของกฏเกณฑ์แห่งโลกหกวิถี พวกมันมีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาสมดุลของตลอดทั้งหกโลก”
“เช่นนั้น หมายความว่ามันคือมอนสเตอร์ที่สามารถควบคุมได้ทั้งโลกหกวิถีในเวลาเดียวกันอย่างนั้นหรือ?” บางคนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ไม่ พวกมันทำได้เพียงพิพากษาสิ่งมีชีวิตที่มีความปรารถนามากเกินไปหรือสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังมากเกินไปเท่านั้น โดยพวกมันจะเฟ้นหาวิธีเข้าไปกัดกินจิตวิญญาณของตัวตนเหล่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้โลกหกวิถีถูกทำลายโดยการดำรงอยู่ที่กล่าวมา”
“งั้นมารสวรรค์ก็ทรงพลังมากเลยสิ?”
“จะว่าทรงพลังก็ใช่ แต่ที่น่าหวาดกลัวจริงๆก็คือรูปแบบการโจมตีของพวกมันต่างหาก – พวกมันมักจะปรากฏกายขึ้นในจิตใจของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นในยามที่เจ้ากิน เดิน พูดคุย หรือแม้กระทั่งหลับไหล มันจะย่องเข้าไปในจิตใจของเจ้าอย่างเงียบๆ สำหรับคนที่ไม่มีประสบการณ์ หรือไม่สามารถป้องกันตัวได้ ก็จะมิอาจตระหนักถึงมันได้ล่วงหน้า แล้วสุดท้ายจิตเทวะก็จะถูกกลืนกินไปโดยมารสวรรค์”
ทหารพิทักษ์เมื่อได้ลองขบคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน
ขณะที่ฉานนู่มัวแต่คิดตริตรองอย่างลึกซึ้ง
เธอได้รับความทรงจำมากมายมาจากกู่ฉิงซาน และได้ตระหนักถึงบางสิ่งที่มันน่าประหลาดมาตั้งนานแล้ว นั่นคือ
—ไม่มีมารสวรรค์ในโลกล่องเวหา แต่ในโลกเทวะกับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธกลับมีการดำรงอยู่ของมารสวรรค์
ทันใดนั้น เธอก็ตระหนักได้ถึงปัญหาบางอย่างที่มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสถานการณ์ปัจจุบันเลย
“หรือว่า … แท้จริงแล้วโลกแห่งผู้ฝึกยุทธกับโลกเทวะจะเป็นโลกหกวิถี?” ฉานนู่พึมพำด้วยความสงสัย
อีกด้านหนึ่ง
กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าทางเข้าวิหาร
จิตสัมผัสเทวะของเขาขยายเข้าไป แต่กลับถูกขัดขวางไว้ตรงหน้าประตู
-ไม่คาดคิดเลยว่าตัววิหารแห่งนี้จะสามารถป้องกันการตรวจสอบของจิตสัมผัสเทวะได้
กู่ฉิงซานเปิดประตูวิหารด้วยดาบ และเดินตรงเข้าไป
ภายในวิหารเต็มไปด้วยผู้คน
ผู้รอดชีวิตเกือบทั้งหมดมาอยู่ที่นี่
กู่ฉิงซานมองไปยังผู้คนที่นิ่งงัน ไม่ขยับเขยื้อน ในหัวใจของเขาก็อดเศร้าน้อยๆไม่ได้
เห็นแค่เพียงทุกคนที่คุกเข่าลงกับพื้น คล้ายกับกำลังร่วมพิธีกรรมลึกลับบางอย่าง
ขณะที่บนใบหน้าของพวกเขามีรอยยิ้มแปลกๆ บนร่างกายยังคงอบอุ่น แต่ … ทั้งหมดได้ตายไปแล้ว
ฉากนี้ มันเหมือนกันกับสิ่งที่เขาเคยเห็นในเมืองก่อนหน้านี้เลย
เหลาเจียวยืนอยู่ปลายสุดของวิหาร ในมือกำลังถือกุมอะไรบางอย่าง บรรยากาศบนตัวเขาแลดูศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่สีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพลึก
แต่แท้จริงแล้วในมือของเขา มันกลับไม่มีสิ่งใดอยู่เลย
–หรือมันอาจจะเคยมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ แต่ถูกพรากจากไปแล้วโดยมารสวรรค์
และแน่นอน ว่าเหลาเจียวเองก็ตายไปแล้วเช่นกัน
เขาคงถูกสิงสู่โดยมารสวรรค์ และยามเมื่อเขาได้รับสมบัติที่เหล่าทวยเทพทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง ขณะที่ยังไม่ทันจะได้รับการทดสอบ มารสวรรค์ก็ได้ผุดออกมาจากในจิตใจของเขา กัดกินดวงจิตจนสิ้น และรับเอาสมบัติไป
“เหลาเจียว … ” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ
ในช่วงเวลาเดียวกัน หน้าต่างเทพสงครามก็กลายเป็นสีแดงเข้มโดยสมบูรณ์
กระแสแสงน่าหวาดกลัวเด้งอยู่กลางหน้าต่าง และกลายเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่
“คำเตือน”
“ตรวจพบแรงผันผวนจากการสั่นสะเทือนจากรากฐานบางประการของโลก”
“หลังจากการวิเคราะห์เปรียบเทียบ ระบบได้ตรวจพบสถานการณ์ดังต่อไปนี้”
“เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด ได้เข้าสู่สภาวะจำศีลแล้ว”
“พิจารณา : ระบบต้นกำเนิด กำลังเริ่มกระบวนการอัพเกรด!”
“หนึ่งวันต่อจากนี้ เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ปฏิวัตร จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ”
“ ‘ปฏิวัตร’ จะแพร่กระจายออกไปในโลก 300 ล้านชั้น และไปบรรจบเข้ากับระบบของราชามารในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู ร่วมกันพัฒนาระบบให้ลึกไปอีกระดับ”
“และนั่นหมายความว่าโลก 900 ล้านชั้นจะต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ครั้งแตกหักเป็นครั้งสุดท้าย”
กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังคำเตือนเหล่านั้น
จู่ๆเขาก็ตวัดดาบพิภพอย่างรุนแรง และคำรามก้อง “จงออกมา!”
บนตัวดาบพิภพ ปรากฏชั้นแสงสายฟ้าชั้นแล้วชั้นเล่าผุดออกมา ปกคลุมไปตลอดทั้งวิหาร
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เสียงสายฟ้าดังสนั่น จนตลอดทั้งวิหารกลายเป็นทะเลสายฟ้า
ในจุดหนึ่ง ทันใดนั้นดูเหมือนว่าสายฟ้าจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
พร้อมด้วยเสียงที่ฟังดูขบขันดังขึ้น
“ดูสิ ที่แท้ก็เจ้าสารเลวน้อยขี้แพ้นี่เอง เจ้านี่มันมักจะใจร้อนอยากจะสู้อยู่เสมอๆเลยนะ มีชีวิตอยู่ดีๆมันน่าเบื่อมากนักหรือไง?”
กู่ฉิงซานเก็บดาบยาว และสายฟ้าก็หายไปทันที
“แกเป็นใครกัน?”
“พวกเราเคยพบกันมาครั้งหนึ่งแล้ว” เสียงนั้นตอบ
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนา เห็นแค่เพียงทุกร่างของสายพันธุ์โบราณล่มสลายลง แตกตัวกลายเป็นสระเลือด
ขณะที่เลือดเหล่านั้นราวกับมีชีวิตชีวา มันขีดเขียนพื้นวิหารจนเกิดอักษรรูนขนาดใหญ่ขึ้น
พร้อมด้วยเปลวไฟที่พวยพุ่งขึ้นมาจากอักษรรูน
เปลวไฟนับไม่ถ้วนลากยาวเป็นหาง ทอเข้าด้วยกัน ก่อร่างม่านเปลวไฟขึ้น
ปัง!
เปลวไฟลุกไหม้ขึ้นสู่ท้องฟ้า
ปรากฏถึงเงาดำขนาดใหญ่ที่ดูดุร้ายและน่าหวาดกลัวขึ้นท่ามกลางเปลวไฟ มันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสนภาคภูมิอย่างช้าๆ
“ก่อนจะได้ลิ้มชิมรสผลไม้อันหอมหวานที่เรียกกันว่าผลไม้แห่งชัยชนะ เวลานี้ หากยิ่งได้ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าของผู้แพ้ คอยเฝ้ามองไปยังใบหน้าขลาดกลัวและสิ้นหวังของพวกมัน แล้วประทับภาพความทรงจำนี้ไว้ในส่วนลึกของจิตใจ — ต้องบอกว่าข้าชมชอบในความรู้สึกนี้เสมอมา”
นายเหนือแห่งแดนชำระล้าง – การดำรงอยู่ที่สามารถรอดชีวิตมาได้จวบจนปัจจุบันจากโบราณอันไกลโพ้น!
มันปรากฏตัวขึ้นต่อหน้ากู่ฉิงซานอีกครั้ง
“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะบอกเจ้าว่า ทุกอย่างกำลังเป็นอย่างราบรื่น แม้กระทั่งตอนจบของสงครามก็ยังถูกขีดเขียนเอาไว้แล้วโดยพวกเรา” นายเหนือแดนชำระล้างกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
กู่ฉิงซานโบกสะบัดดาบยาวของเขาออกไป
รังสีดาบทะลวงผ่าเปลวไฟโดยตรง ตัดเข้าใส่เพดานเหนือวิหาร
–ไม่โดน นี่เป็นเพียงร่างเงาที่ฉายออกมาเท่านั้น
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว “ทำได้แค่พูดข่มไร้สาระกับคนอื่นเป็นอย่างเดียวรึไง? ไอ้แมลงสาบโบราณเอ๊ย”
รอยยิ้มของนายเหนือแดนชำระล้างหุบลง
“เจ้าควรจะรู้นะว่า เมื่อเจ้าตาย ข้าจะเป็นคนไปนำดวงวิญญาณของเจ้ามาด้วยตนเอง” มันกล่าว
“ก็แล้วยังไง ตอนนี้ฉันยังมีชีวิตอยู่ดี” กู่ฉิงซานสวนกลับ
“ผู้ถูกเลือกโดยดาบโบราณเอ๋ย เจ้าเหยื่อตัวจ้อย ข้าผู้เป็นนายเหนือแห่งแดนชำระล้าง มาเยือนถึงที่นี่เพื่อต้องการจะบอกแก่เจ้าว่า เจ้ากำลังจะตายในไม่ช้า”
เสียงของมันกลับกลายเป็นมีชีวิตชีวาขึ้น “ ‘ปฏิวัตร’ กำลังจะถือกำเนิดขึ้น! มดเช่นเจ้า หรือแม้กระทั่งการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตอื่นใด ที่อยู่ในช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่นี้ ล้วนไม่สามารหลบเร้นกระแสธารแห่งประวัติศาสตร์ได้!”
“อีกไม่นาน โลกตลอดทั้ง 300 ล้านชั้นก็จะกลายเป็นดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูอีกครั้ง!”
“เมื่อไหร่ที่เปลวเพลิงแห่งสงครามแผดเผาไปตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น พวกเราเหล่าผู้สนับสนุนระบบของราชามารก็จะเข้าร่วมการต่อสู้ ได้รับเกียรติยศอย่างหาที่ใดเปรียบ เป็นผู้ครอบครองตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น!”
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสบายๆ “ฉันไม่คิดเลยว่าสุนัขก็ยังฝันกลางวันเป็นกับเขาด้วย”
เงาดุร้ายชะงักงัน
เสียงของมันกลับกลายเป็นหม่นทะมึนและโหดร้าย “เด็กน้อย วาจาเจ้าช่างคมคายนัก คอยดูเถิด ได้รับวิญญาณของเจ้ามาเมื่อไหร่ ข้าจะใช้ลิ่มตอกปากเจ้า แล้วนำดวงจิตเจ้าไปมัดแขวนไม้บนศีรษะของอาชาเพลิง ปล่อยให้เจ้าทุกข์ทรมาณจากการแผดเผา คอยเฝ้าดูชะตากรรมของโลก 900 ล้านชั้นด้วยตาตนเอง”
“วันนั้น มันจะไม่มีทางมาถึงหรอก” กู่ฉิงซานส่ายหัว
“โง่เง่า!” เงาดุร้ายหัวเราะกึกก้อง “สถานการณ์โดยรวมได้ถูกตัดสินแล้ว มดที่น่าสงสารเช่นเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ? หาก ‘ปฏิวัตร’ ถือกำเนิดขึ้น นั่นแหละคือจุดจบของเจ้า! จุดจบของทุกสิ่ง!!”
“แต่ตอนนี้สงครามมันยังไม่จบลงซักหน่อย!”
กู่ฉิงซานสะบัดดาบในมือเขา
คราวนี้ เป้าหมายของตนคือรูนเลือดที่กำลังควบแน่น
ปัง!
ภายใต้รังสีดาบสายฟ้า อักษรรูนถูกบดขยี้โดยสมบูรณ์
ม่านเปลวไฟขนาดใหญ่พังทลายลง
“เมื่อปฏิวัตรถือกำเนิดขึ้น เจ้าก็จะถูกสังหารลงโดยมัน เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะไปรับจิตวิญญาณของเจ้าเป็นการส่วนตัว … ”
พร้อมกันกับถ้อยคำเหล่านี้ ร่างเงาดุร้ายก็สลายไปพร้อมกับเปลวไฟที่มอดดับลงในที่สุด
Ep.582 – เสียงของผู้หญิง
นอกเหนือไปจากผีร้ายกลืนวิญญาณที่ตายลงไปแล้ว
กู่ฉิงซานกับอีเลียก็ไม่ได้ค้นพบอะไรอีกเลย
หุบเขาทั้งลูกได้แปรสภายกลายเป็นเทือกเขาสูงตระหง่าน ขณะเดียวกันสัตว์ประหลาดผีทั้งหมดก็หายตัวไป
เบาะแสเดียวก็คือนเสียงแปลกๆของผู้หญิง
อย่างไรก็ตาม จะตัดสินได้ยังไงว่านี่เป็นเสียงผู้หญิงของใคร?
“เจ้าเชื่อคำกล่าวของสัตว์ประหลาดผีตนนี้หรือไม่?” อีเลียเอ่ยถาม
“มันไม่คุ้มค่าที่จะเชื่อ แต่ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกภาคภูมิใจในเฮือกสุดท้ายของมัน” กู่ฉิงซานกล่าว
“แล้วกองทัพผีล่ะ? เมื่อครู่นี้พวกเราได้ยินว่ามีบางสิ่งสั่งให้มันล่าถอย อย่าบอกนะว่าพวกมันล้มเลิกความคิดที่จะโจมตีแล้วจริงๆ?” อีเลียเอ่ยถาม
“ผมไม่คิดแบบนั้น สำหรับต้นกำเนิดน่ะ มันไม่ใส่ใจกับความล้มเหลวใดๆ ตรงกันข้าม มันกลับทุ่มเทอย่างบ้าคลั่งเพื่อที่จะได้สิ่งที่มันต้องการมาครอบครอง” กู่ฉิงซานกล่าว
“แต่กองทัพของพวกมันทั้งหมดได้หายไป”
“หรือบางทีที่พวกเราไม่เจอพวกมันจะเป็นเพราะ … ”
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ปากเอ่ยกล่าวต่อ “พวกมันอาจจะออกจากโลกใบนี้ แล้วกลับไปยังชั้นน้ำแข็งก็เป็นได้”
ในโลกสมบัติของทริสเต้ โดยสิ้นเชิงแล้วจะแบ่งออกเป็น 3 ชั้น โดยแต่ละชั้นแยกจากกัน คือ ชั้นน้ำแข็ง , ชั้นทะเล และสุดท้ายชั้นของสายพันธุ์เทพ
หากสัตว์ประหลาดผีออกจากชั้นสายพันธุ์เทพ ที่ๆพวกมันจะไปได้ ก็คงมีเพียงชั้นน้ำแข็งที่อยู่นอกสุดเท่านั้น
และผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดก็อยู่ในชั้นที่ว่านั่นเช่นกัน
อีเลีย “แต่ข้าได้ใช้สมบัตที่สามารถแทรกซึมผ่านกำแพงอุปสรรคได้เพียงครั้งเดียวไปแล้ว เกรงว่าหากออกไป ข้าจะไม่สามารถกลับมาที่นี่ได้อีก”
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องกังวล ผมสามารถรับประกันว่าพวกเราจะเดินทางกลับมาได้”
“งั้นก็ดี พวกเราไปตรวจสอบต่อกันเถิด”
ร่างของทั้งสองทะยานตัวขึ้น ปะทะกับสายลมอย่างรุนแรง เตรียมมุ่งหน้าออกจากโลกชั้นในสุด
เมื่อมาถึงกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพ กู่ฉิงซานก็วาดดาบเช่าหยินออกไป
กำแพงอุปสรรคเปิดออกทันที เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่ทั้งสอง
เมื่อออกมา เขาก็เหวี่ยงดาบยาวไปอีกครั้ง และทะเลก็วิ่งผ่านเจ้ามาในกำแพงอุปสรรค กลบทางเข้าที่เคยเปิดออก ให้หุบลงดังเดิม
“ที่แท้ดาบยาวของเจ้าก็ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพ และมีพลังที่สามารถใช้ในการควบคุมจิตวิญญาณแห่งน้ำนี่เอง” อีเลียถอนหายใจ “ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดลอร่าจึงเอาแต่คิดถึงดาบของเจ้าอยู่เสมอๆ”
“มาเถอะ ไปดูกันว่าข้างนอกมันเกิดอะไรขึ้นกันบ้าง” กู่ฉิงซานกล่าว
ทั้งสองบินขึ้นไป
เมื่อใกล้จะไปถึงชั้นเปลือกน้ำแข็ง กู่ฉิงซานก็หยุด
“มีอะไรงั้นหรือ?” อีเลียเอ่ยถาม
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องทำการสำรวจขึ้นไปจากทะเลเบื้องล่าง ไม่ขึ้นไปใกล้บนบกมากเกินไป เพราะเดี๋ยวจะถูกจับสังเกตได้” กู่ฉิงซานกล่าว
อีเลียเงยหน้าขึ้น
เห็นแค่เพียงเหนือน้ำทะเลสีฟ้า เป็นชั้นบางๆของเปลือกน้ำแข็งสีขาว
ด้วยความแข็งแกร่งของเธอ ต่อให้อยู่ในทะเล เธอก็ยังสามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวบนเปลือกน้ำแข็งได้ โดยไม่จำเป็นต้องขึ้นไป
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะแฝงตัวโดยการไหลไปตามทิศทางของกระแสน้ำ และเฝ้าตรวจสอบอย่างรอบคอบ เพื่อดูว่าจะพบเบาะแสอะไรบ้าง”
ว่าจบ ทั้งสองก็ปล่อยตัวไปตามกระแสน้ำ ลอยขึ้นไปอีกไม่กี่นาทีจึงหยุดลง
เหนือพวกเขาขึ้นไป เป็นเปลือกน้ำแข็งที่แต่เดิมสมควรมีสีขาวบริสุทธิ์ แต่บัดนี้กลับดำทะมึนไปด้วยกลิ่นอายอันมืดมิด ของสัตว์ประหลาดผีที่กระจุกรวมตัวกันอย่างหนาแน่น
กองทัพผีมารวมตัวกันที่นี่น่ะเอง!
ทั้งสองมองหน้ากันและกัน และเห็นถึงความประหลาดใจบนสีหน้าของอีกฝ่าย
ระบบของราชามารได้สั่งให้ทหารถอนทัพจริงๆน่ะหรือ?
อย่างไรก็ตาม แม้อีเลียจะยังคงสับสน แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะผ่อนคลายใจลงเล็กน้อย
แต่กู่ฉิงซานน่ะตรงกันข้าม คิ้วของเขาขมวดมุ่น
นี่มันไม่ถูกต้อง
ถึงแม้ว่าตนจะได้มาเห็นว่ากองทัพผีล่าถอยแล้วจริงๆด้วยตาตัวเอง แต่กู่ฉิงซานก็ไม่มีความคิดว่าต้นกำเนิดมันจะยอมรับความพ่ายแพ้จริงๆ
ซึ่งเขารู้เรื่องนี้ดี … ดีกว่าใครๆ
มันไม่เลือกวิธีการ ใจดำอำมหิต ไร้ซึ่งความปราณีและแสนโหดร้าย
แล้วด้วยการดำรงอยู่เช่นนั้น จู่ๆมันจะมาใจดี ยอมให้กองทัพผีถอยทัพไปซะเฉยๆได้อย่างไรกัน?
ไม่เพียงกองทัพผี แต่กระทั่งผีแห่งความอลหม่าน ทั้งหมดก็ยังถอนตัวออกจากโลกของสายพันธุ์เทพ
กุญแจสำคัญของเรื่องนี้มันอยู่ที่ไหนกันแน่นะ?
กู่ฉิงซานจมลงสู่ห้วงการตริตรอง
“มาเถอะ ไปดูกันว่าทางฝั่งเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารกำลังทำอะไรกันอยู่” อีเลียกล่าว
“รับทราบ” กู่ฉิงซานขานรับ
ทั้งสองดิ่งลงไปในทะเลลึก และว่ายไปอีกทิศทางจนถึงบริเวณใต้ค่ายที่ผู้เข้าสู่วิถีมารประจำการอยู่
อีเลียเฝ้ามองอย่างระมัดระวัง
กู่ฉิงซานจีบออกด้วยวิชาลับยับยั้งลมหายใจ และเพ่งตรวจสอบการเคลื่อนไหวเหนือเปลือกน้ำแข็งอย่างรอบคอบ
เห็นแค่เพียงเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารกำลังจัดเก็บกระเป๋าเดินทาง เตรียมตัวที่จะจากไป
ใช่แล้วล่ะ กระทั่งกระโจมพักแรมที่ใช้ค้างคืนก็ยังถูกพับเก็บ
เป็นเรื่องจริงแน่นอนที่ผู้เข้าสู่วิถีมารกำลังจะออกเดินทาง
“ถ้ากระทั่งพวกเขาก็ยังถอนตัว ต่อจากนี้ไปพวกเราก็คงจะปลอดภัยแล้ว” อีเลียกล่าว
กู่ฉิงซานไม่ตอบ เขายังคงไม่อยากจะเชื่อ
“ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถ้าฉันเป็นต้นกำเนิด ฉันจะบอกให้สมุนทั้งหมดถอนทัพจริงๆน่ะหรือ .. ”
เขาอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง
“นี่สมควรจะเป็นคำสั่งของระบบราชามาร ที่สั่งการให้ยกเลิกการโจมตีทั้งหมด” อีเลียกล่าว
“ยกเลิกการโจมตี ในสถานการณ์แบบนี้เนี่ยนะ?” กู่ฉิงซานกล่าว
อีเลียลองคิดเกี่ยวกับมันจึงเอ่ยถาม “ก็แล้วจักต้องเป็นภายใต้สถานการณ์ใดเล่า เจ้าจึงจะเลิกโจมตี ยอมแพ้ในการต่อสู้?”
“ผมน่ะเหรอ? ไม่หรอก ถ้าเป็นผมผมจะไม่ยอมแพ้แน่ๆ และต้นกำเนิดเองก็น่าจะเหมือนกัน”
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม จู่ๆเขาก็ย้อนนึกไปถึงเสียงถอนหายใจของผู้หญิงอีกครั้ง
“ฝ่าฟันหนทางแสนยาวไกลจนมาถึงที่นี่ ตัวข้าคล้ายดั่งตกอยู่ในห้วงฝัน ไม่ทันจะคาดคิดเลย ว่าจักต้องจากบ้านมาเยือนต่างแดนอย่างกระทันหัน .. ”
แน่นอน ว่ามันไม่ได้มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับเนื้อเพลงหรอก แต่เป็นทำนองในการร้องเพลง ที่มันเหมือนกับว่าจะปลุกความทรงจำบางอย่างในหัวของเขาขึ้นมาต่างหาก
กู่ฉิงซานที่ลอยล่องอยู่ในทะเลลึก เค้นสมองไตร่ตรอง
สถานการณ์ในปัจจุบัน มันเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันจริงๆ
มันจะต้องมีบางอย่างที่เขาไม่ทันจะได้รู้ตัว และเกิดขึ้นไปแล้วแน่ๆ
กู่ฉิงซานหลับตาลง แล้วลองเค้นสมองอย่างรอบคอบ
เขาย้อนนึกไปตั้งแต่ที่ตนได้เข้ามาสู่โลกที่ถูกทอดทิ้งโดยเหล่าทวยเทพใบนี้ สะท้อนภาพมันให้ปรากฏขึ้นในความทรงจำอีกครั้ง
ตั้งแต่แรกที่เขาได้เข้ามายังโลกใบนี้ เขาไม่มีความคิดอื่นใดอีกเลย นอกจากพิจารณาว่าสมควรจะร่อนลงหาที่ซ่อนตัวตรงจุดไหนดี สุดท้ายตนจึงเลือกทิศทางที่ห่างไกลจากตัวเมือง และร่อนลงบริเวณชานเมืองที่ห่างออกไป
‘ตัวฉันมองเห็นอะไรบ้างนะ ในเวลานั้น?’
ใช่แล้ว
เป็นเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงที่กำลังกอดกันแน่น
บนใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและหวาดกลัว ตายลงทั้งๆอย่างนั้น
ต่อมา ผีแห่งความอลหม่านก็ปรากฏตัวขึ้น
จากนั้น ตลอดเส้นทางที่กำมุ่งเดินก็เต็มไปด้วยตึกประการังอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
ผู้คนที่อยู่ภายในปะการัง ยังคงอยู่ในกริยาเคลื่อนไหวเดิม ดื่ม กิน เดิน วิ่ง หรือกระทั่งพูดคุยกับคนอื่นๆ
การแสดงออกของพวกเขาเหมือนกับมีชีวิต ราวกับไม่รู้ตัวเลยว่าตนได้ตายไปแล้ว
ภายหลัง ม้าทมิฬยังเคยกล่าวกับตัวกู่ฉิงซาน ว่ามันคลับคล้ายคลับคลาว่าจะตาฝาด เห็นใบหน้าของศพผุดรอยยิ้มขึ้นมา
จากนั้น เขาก็ทิ้งลอร่าไว้กับดาบขุนเขาเทวะหกโลกา เพื่อให้มันคอยปกป้องเธอ ส่วนตนก็แยกตัวออกไปสำรวจเมืองคนเดียว
ในช่วงเวลานั้น ฉันเห็นอะไรอีกบ้างนะ?
ผู้คนนับพันหมื่นที่เสียชีวิต บนใบหน้าแขวนไว้ด้วยรอยยิ้มแปลกๆ เดินเรียงรายกันเป็นแถวอย่างเรียบร้อย ก้าวช้าๆตรงไปยังจตุรัสอย่างเงียบๆ
ขณะที่บนจตุรัส มีมอนสเตอร์ยอดเขาทะมึนกำลังกลืนกินศพเหล่านั้นอยู่
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะพูดในสิ่งที่คิดออกมาดังๆ
“มันออกจะแปลกๆไปสักหน่อยนะ … ”
“ตัวอะไรกัน ที่จะสามารถขโมยชีวิตของสิ่งมีชีวิตอื่นๆทั้งหมดไปอย่างเงียบๆได้?”
“การดำรงอยู่ชนิดใดกันที่สามารถจัดการกับร่างศพ และควบคุมมันให้เคลื่อนไหวต่อไปได้?”
กู่ฉิงซานคิดตริตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะย้อนนึกไปถึงผีร้ายกลืนวิญญาณที่พึ่งเสียชีวิตไป
ฉันรู้สึกว่า … มันมีบางอย่างผิดปกติ
เจ้าผีร้ายกลืนวิญญาณตนนั้น มีห้วงอารมณ์ ความนึกคิด และจิตสำนึกเป็นของตัวเอง ระหว่างที่สนทนากัน น้ำเสียงของมันกระจ่างชัดมาก
อย่างไรก็ตาม ผีร้ายกลืนวิญญาณที่ตัวเขาได้เจอกันในตอนแรก กลับไม่เป็นเช่นนั้น
ช่วงเวลาดังกล่าว เขาได้ถามฉานนู่ และเธอก็ได้พิจารณาตัวมันว่าอย่างไรนะ?
‘แล้วเราพอจะสามารถสื่อสารกับพวกมันได้ไหม?’
‘ไม่ได้ พวกมันได้สูญเสียจิตนึกคิดไปแล้ว พวกมันรู้จักเพียงแต่การฆ่าเท่านั้น’
นี่คือคำพูดในตอนนั้นของฉานนู่
แปลกจริง
ทำไมผีร้ายกลืนวิญญาณที่พบในตอนนั้นถึงสูญเสียจิตนึกคิด แต่ผีร้ายกลืนวิญญาณที่พวกเขาพึ่งจะเจอล่าสุด กระทั่งใกล้ตาย มันก็ยังมีสติปัญญา รู้สึกตัวเป็นอย่างดี?
เป็นไปได้ไหมว่า …
ผีร้ายกลืนวิญญาณที่เขาพบเจอกับมันในตอนแรกนั้น เป็นสิ่งที่ถูกวางเอาไว้ที่นั่นอย่างจงใจ?
แต่หากเป็นแบบนั้น ประโยชน์เดียวของผีร้ายกลืนวิญญาณที่ว่า ก็คือการดักรอให้ถูกตนค้นพบและกำจัดทิ้งอย่างงั้นหรือ?
-การพบเจอเจ้านั่น มันเป็นเรื่องบังเอิญรึเปล่านะ?
ไม่ ไม่ใช่
มันไม่สมควรที่จะมีเรื่องบังเอิญมากขนาดนั้น
หลังจากช่วงเวลาดังกล่าว ดูเหมือนว่าตลอดเส้นทาง เขาจะไม่ได้พบเจอกับผีร้ายกลืนวิญญาณตนอื่นอีกเลย
ยิ่งคิด คิ้วของกู่ฉิงซานก็ยิ่งย่นเข้าหากัน
เขาเอ่ยถามดาบพิภพในทันใด “ในตอนที่พวกเรามายังโลกใบนี้ครั้งแรก พวกเราได้พบกับผีร้ายกลืนวิญญาณที่ดูจะแปลกๆไป ช่วงเวลานั้นมันแฝงตัวอยู่ในศพ เจ้าจดจำมันได้หรือไม่? ”
“ข้าจดจำมันได้” ดาบพิภพกล่าว
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าพอจะรู้ไหมว่าเจ้าวิญญาณร้ายที่ว่ามันคร่าชีวิตผู้คนอย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“คร่าชีวิตอย่างไรน่ะหรือ?” ดาบพิภพเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ผีจากปรภพน่ะจะทำได้เพียงกลืนกินวิญญาณที่ตายแล้วจากปรภพเท่านั้น เพื่อที่จะสร้างความทุกข์ทรมาณบาดลึกแก่จิตวิญญาณ”
“หมายความว่าถ้าเป็นวิญญาณของสิ่งมีชีวิต มันจะไม่สามารถกินได้?”
“ไม่ได้ แต่หากพบเจอสิ่งมีชีวิต มันก็สมควรที่จะสังหารสิ่งมีชีวิตเหมือนกับมอนสเตอร์ทั่วๆไป”
พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น
ความจริงเรื่องนี้มันง่ายดายยิ่ง แต่ตนกลับตามืดบอด
เขาเอ่ยถามอีเลียอีกครั้ง “ผมมีคำถามที่สำคัญมาก และคุณจะต้องตั้งใจตอบผมให้ดี”
อีเลียเมื่อเห็นท่าทีจริงจังของเขา เธอก็ขานรับ “ว่ามาสิ ข้ากำลังฟังอยู่”
“ผีแห่งความอลหม่าน อสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหล มันฆ่าสังหารศัตรูอย่างไร?”
“ข้าเองได้เคยเห็นมันอยู่หลายครั้ง พวกมันจะทำการเจาะทะลวงเกราะป้องกันของศัตรู และกัดกินพวกเขาโดยตรง”
“กัดกินอย่างงั้นหรือ?”
“ใช่ ผีแห่งความอลหม่านคือการผสมผสานกันระหว่างภูติผีจากปรภพนับไม่ถ้วน มันจึงมีความสุขสมในยามที่ได้กินเลือดและเนื้อ” อีเลียเผยให้เห็นถึงสีหน้ารังเกียจ
“คุณแน่ใจใช่ไหม?”
“เต็มร้อยเลยล่ะ”
กู่ฉิงซานถอนหายใจลึก
นี่มันผิด ผิดทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง
ในช่วงเวลานั้น เขาได้ทำการตรวจสอบสภาพศพด้วยตัวเอง
และพบว่าอวัยวะภายในของศพยังไม่บุบสลาย และไม่มีอาการบาดเจ็บภายในเลย
บางซากศพก็ยังคงอุ่นๆอยู่ด้วยซ้ำ
ในช่วงเวลานั้น เขาได้ตัดสินด้วยตัวเองว่ามันคงจะเป็นการโจมตีเข้าสู่จิตเทวะโดยตรง
ทำให้ตนเข้าใจผิดไปโดยปริยายว่านี่คือฝีมือของผีแห่งความอลหม่าน หรือผีร้ายกลืนวิญญาณ
แต่อีเลียกลับบอกเขาว่าผีแห่งความอลหม่านน่ะชอบกินเลือดเนื้อ
นอกจากนี้ ครั้งแรกที่ผีแห่งความอลหม่านค้นพบตนเอง มันก็พุ่งฝ่าวงล้อมค่ายกลมา และพยายามที่จะฉีกทึ้งตนเองโดยตรง
งั้นสิ่งที่อีเลียบอกก็ไม่น่าจะใช่เรื่องโกหก
ดังนั้น —
การสังหารหมู่ผู้คนทั้งหมดในเมืองจึงย่อมไม่ใช่ฝีมือของผีแห่งความอลหม่าน และไม่ใช่ผีร้ายกลืนวิญญาณที่ไม่มีจิตสำนึกตนนั้น!
ส่วนมอนสเตอร์จากแดนชำระล้าง วิธีการของมันคือกลืนกินศพทั้งตัว ดังนั้นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ที่มันจะสังหารผู้คนให้ตกตายโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้น เสียงถอนหายใจของหญิงสาวก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งในจิตใจของกู่ฉิงซาน
ส่งผลให้ความทรงจำจากส่วนลึกวาบไหวผ่านเข้ามาในหัวใจของเขา
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นอีกครั้ง
ดูเหมือน่วา … ตัวฉันเองจะประมาทไป
ตนเองไม่คาดคิดเลย ว่าเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด แท้จริงแล้วจะมีแผนการอันล้ำลึกถึงเพียงนี้
บางที คงจะเป็นตั้งแต่การต่อสู้ในคราวก่อนๆแล้ว ที่มันเพิ่มความระมัดระวังในตัวเขา
ตรงกันข้ามกับกู่ฉิงซาน เพราะหลังจากที่ตนสามารถเข้าสู่โลกสายพันธุ์เทพที่มีกำแพงอุปสรรคของทวยเทพคอยขวางกั้นได้ เขาก็ดันผ่อนคลายความหวาดระแวงลง
อย่างไรก็ตาม ตนไม่อาจคาดคิดได้เลยว่า นับตั้งแต่ที่ตนเองก้าวเข้ามาเหยียบลงบนโลกใบนี้ ต้นกำเนิดจะวางแผนการรับมือกับเขาเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างแรกเลยคือการโจมตีของผีแห่งความอลหม่าน แล้วก็ผีร้ายกลืนวิญญาณที่สิงอยู่ในศพ มันจงใจให้เขาค้นพบและสังหารเสีย
แม้กระทั่งมอนสเตอร์จากแดนชำระล้างก็ถูกส่งออกมา
เมื่อเขาทำลายสัตว์ประหลาดทั้งหมด คนกลางที่คอยโน้มน้าวใจจากแดนชำระล้างก็ปรากฏตัวขึ้น
ในทุกๆขั้นตอนการเผชิญหน้า ในทุกๆมอนสเตอร์ที่ปรากฏขึ้น ล้วนถูกจัดวางเป็นอย่างดีโดยต้นกำเนิด
เมื่ออยู่ต่อหน้ามอนสเตอร์ที่โผล่ออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ต่อให้เป็นตัวเขาเองที่แม้จะเห็นถึงเงื่อนงำบางอย่าง แต่ก็ยังถูกจิตวิทยาเบี่ยงเบนทิศทางความคิดออกไป
“ต้นกำเนิด … มันช่างร้ายกาจจริงๆ”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ เกิดความคิดเงียบๆขึ้นในสมอง
มันดูเหมือนว่า เหตุผลที่ทั้งโลกนั้นล่มสลายลงภายใต้อำนาจระบบของราชามารในชีวิตก่อนหน้าของเขา มันจะไม่ใช่เพียงเพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นตามืดบอด และอ่อนแอเพียงอย่างเดียวเสียแล้ว
ต้นกำเนิดนี่มันแสบเกินไปจริงๆ
ในขณะนั้นเอง เสียงของผู้หญิงที่อ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งในจิตใจอของกู่ฉิงซาน
“ฝ่าฟันหนทางแสนยาวไกลจนมาถึงที่นี่ ตัวข้าคล้ายดั่งตกอยู่ในห้วงฝัน ไม่ทันจะคาดคิดเลย ว่าจักต้องจากบ้านมาเยือนต่างแดนอย่างกระทันหัน .. ”
มันขับขานเป็นท่วงทำนองเบาๆ
กู่ฉิงซานนิ่งงันไป
“ไปเถอะ พวกเราต้องรีบกลับเดี๋ยวนี้!”
เมื่อคิดทุกอย่างได้ กู่ฉิงซานก็ไม่สนใจอะไรแล้ว เขาคว้าจับมือของอีเลีย และบินลงไปยังส่วนลึกของทะเลทันที
“เจ้าค้นพบปัญหาอะไรแล้วงั้นหรือ?” อีเลียเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ผมคิดว่าพวกเราไม่ควรที่จะออกจากเมืองไห่เช่า! โถ่เอ๊ย ประมาทไปจริงๆ!”
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?”
“ผมเองก็ยังไม่รู้ แต่จากการอนุมานของผม สถานการณ์ที่จะทำให้ต้นกำเนิดถอนทัพไปได้น่ะมีเพียงแค่หนึ่งเดียว”
“สถานการณ์อะไร?”
“ก็สถานการณ์ที่มันได้รับสิ่งที่ตนเองปรารถนาแล้วยังไงล่ะ!”
“นั่นเป็นไปไม่ได้!” อีเลียอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ
กู่ฉิงซานเผยสีหน้าแปลกๆและกล่าวออกมา “ใช่ จริงๆแล้วมันไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่ถ้าหากว่ามันสามารถอัญเชิญการดำรงอยู่ที่พิเศษของ ‘ตัวตน’ นั้นมาได้ล่ะก็ จะมีความเป็นไปได้มากทีเดียว … ”
“การดำรงอยู่ที่พิเศษ? มันคืออะไร หรือเจ้าจะหมายถึงเจ้าของเสียงผู้หญิงคนนั้น?” อีเลียตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ใช่ นั่นแหละคือกุญแจสำคัญของความจริงทั้งหมด” กู่ฉิงซานถอนหายใจ
น้ำทะเลตลอดเส้นทางแหวกเปิดทางให้พวกเขา ดำดิ่งลึกลงสู่เบื้องล่าง
เมื่อลองย้อนนึกถึงเสียงของผู้หญิง ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็ยิ่งกระสับกระส่ายมากขึ้น
“แบบนี้ไม่ดีแล้ว พวกเราจะต้องเร่งความเร็วให้มากกว่านี้!”
กู่ฉิงซานระเบิดพลังวิญญาณเต็มพิกัด ในมือจีบออกด้วยวิชาลับ ทั้งคนทั้งร่างของเขาดั่งสายฟ้าฟาด ผ่าดิ่งลงไปยังโลกสายพันธุ์เทพอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงจุดหนึ่ง เขาก็ตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบสิ่งหนึ่งออกมาทันใด
มันคือสร้อยข้อมือ ที่ร้อยเรียงไปด้วยกระดิ่งห้าลูก
สร้อยข้อมือกระดิ่งนี้หนักอย่างไม่คาดคิด มันสาดกลิ่นอายหนาวเหน็บ ที่แม้กระทั่งพลังวิญญาณก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ออกมา
กู่ฉิงซานผูกมันไว้กับข้อมือเขา แล้วกำมันไว้แน่น
ชั่วขณะที่ตนกำลังมุ่งหน้าลึกลงไปในท้องทะเล สายลมก็พัดผ่านตัวกระดิ่ง ส่งเสียงกริ๊งกรั๊งอันฟังชัดออกมา
เสียงของกระดิ่งทะลุผ่านชั้นมิติและเวลา ข้ามผ่านไปสู่โลกที่ไม่มีผู้ใดได้รู้จัก
Ep.581 – เบาะแส
กลางดึก
ภายในหุบเขาฟุ้งไปด้วยหมอกหนา และความเงียบ
กู่ฉิงซานกับอีเลียยืนอยู่ภายในหุบเขาที่ว่างเปล่า ทั้งสองกวาดสายตามองไปรอบๆด้วยความสับสน
พวกเขาได้ไล่ตามร่องรอยการถอยทัพของสัตว์ประหลาดผี จนในที่สุดก็มาถึงหุบเขาแห่งนี้
แต่พอมาถึง มันกลับไม่มีสัตว์ประหลาดผีอยู่ที่นี่เลย
“กองทัพ 100000 จู่ๆก็หายตัวไปในอากาศซะเฉยๆ นี่มันเป็นไปไม่ได้” กู่ฉิงซานกล่าว
“ข้าเองก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เช่นกัน เพราะอย่างไรเสีย สถานที่แห่งนี้ก็ยังเป็นโลกที่เหล่าทวยเทพหลงเหลือเอาไว้ แม้แต่สัตว์ประหลาดผีก็จักต้องปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของอำนาจเทวะ ถึงแม้พวกผีแห่งความอลหม่านจะสามารถแทรกซึมอำนาจเทวะมาได้ก็ตาม แต่พวกมันก็ยังต้องปฏิบัติตามบรรทัดฐานของโลก ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปรากฏ หรือหายไปในอากาศบางเบาซะเฉยๆ” อีเลียกล่าว
ทั้งสองเกือบจะพลิกทั้งใต้หุบเขา ทำการค้นหาอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ค้นพบเบาะแสเพิ่มเติมอยู่ดี
อีเลียเริ่มขมวดคิ้ว “ข้าชักจะรู้สึกไม่ดีแล้ว”
“ผมก็เหมือนกัน”
กู่ฉิงซานกล่าว
เขาปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ และทำการค้นหาทุกตารางนิ้วอย่างพิพีพิถันในหุบเขา
หลังจากที่ ตรวจสอบไม่เว้นกระทั่งก้อนหินหรือดินโคลนแล้ว กู่ฉิงซานก็ยังไม่พบสิ่งใดเลย
อีเลีย “ดูเหมือนว่าคงจำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษบางอย่างแล้ว”
ว่าจบ เธอก็หยิบกระจกแกะสลักสีบอร์นที่มีขนาดความสูงเท่ากับตัวเธอออกมา
เธอวางกระจกลงบนพื้นแล้วกล่าวด้วยด้วยสีหน้าจริงจัง “กระจกมนตราเอ๋ย โปรดบอกข้าเถิด ในระหว่าง 200 ลมหายใจที่ผ่านมานี้ มีเสียงใดเกิดขึ้นที่นี่บ้าง?”
แต่บนตัวกระจก กลับยังคงเงียบ
คิ้วของอีเลียย่นเข้าหากัน ปากเอ่ยสิ่งที่คิดในใจออกมาดังๆ “หรือว่าจะยังไม่พอนะ … ”
เธอลองคิดเกี่ยวกับมันและเอ่ยถามอีกครั้งว่า “กระจกมนตราเอ๋ย โปรดบอกข้าเถิด ในระหว่าง 1000 ลมหายใจที่ผ่านมานี้ มีเสียงใดเกิดขึ้นที่นี่บ้าง?”
ในตัวกระจก ปรากฏเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น “การตรวจสอบเสียงที่พึ่งผ่านพ้นไปในระหว่างช่วง 1000 ลมหายใจ คุณจำเป็นต้องจ่ายพลังเหนือธรรมชาติเป็นจำนวน 1735 หน่วย”
พลังเหนือธรรมชาติ?
ในหัวใจของกู่ฉิงซานขยับไหว เขาหันไปมองอีเลีย
และพบว่าอีเลียดูค่อนข้างจะอึดอัดใจเล็กน้อย
บาดแผลของเธอยังไม่หายดี ดังนั้นจึงจำต้องประหยัดพลังเหนือธรรมชาติที่ตนมีเอาไว้ ซึ่งกับอีแค่การค้นหาข่าวสารเพียงอย่างเดียว เธอเกรงว่ามันจะไม่คุ้มค่า
แน่นอน หากสามารถค้นพบข้อมูลที่สำคัญได้ มันก็นับว่าโชคดีไป
แต่ในกรณีที่ไม่ได้รับข้อมูลสำคัญใดๆเลย นี่จะนับว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่
ขณะที่เธอกำลังลังเล เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่เดินเข้ามาและเอ่ยถามว่า “คุณต้องการพลังเหนือธรรมชาติ 1735 หน่วยใช่ไหม”
“ใช่ มันจำเป็นต้องใช้พลังหเนือธรรมชาติ 1735 หน่วย จึงจะสามารถเริ่มต้นค้นหาเสียงในอดีตได้” กระจกมนตรากล่าว
“งั้นเอาของฉันไป”
กู่ฉิงซานวางมือลงบนกระจกมนตรา
แต่อีเลียกลับปัดมือของเขาออกทันที เธอเร่งเตือน “ไม่ได้นะ พลังเหนือธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตทุกตนน่ะมีจำกัด ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ ขีดจำกัดของมันย่อมไม่มีทางถึง 1735 หน่วยอย่างแน่นอน หากเจ้าดึงดันจะทำ เจ้าจะต้องตาย”
“ไม่ต้องกังวลหรอก ถ้าเป็นเรื่องพลังเหนือธรรมชาติแล้วล่ะก็ ผมค่อนข้างที่จะมีมีพรสวรรค์ในการจัดการกับมันน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ
อีเลียช็อคไป
มีพรสวรรค์ในการจัดการกับมัน?
มีคนแบบนี้อยู่จริงๆงั้นหรือ?
เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่วางมือของเขาลงบนกระจกมนตราอีกครั้ง
กระจกมนตราเอ่ยถาม “คุณแน่ใจจริงๆหรือที่จะจ่าย 1735 พลังเหนือธรรมชาติ? ถ้าคุณตาย อย่ามาตำหนิฉันก็แล้วกัน”
“ฉันแน่ใจ”
พร้อมกันกับเสียงของกู่ฉิงซาน บนหน้าต่างเทพสงคราม แต้มพลังวิญญาณของเขาก็เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงทันที
“คุณถูกหักแต้มพลังวิญญาณ 1735 แต้ม”
“แต้มพลังวิญญาณส่วนเกินในปัจจุบันของคุณคือ : 510000/400”
กู่ฉิงซานเหลือบมองมันและพยักหน้าเล็กน้อย
หลังจากที่หักเศษเล็กเศษน้อยของแต้มพลังวิญญาณแล้ว ที่เหลืออยู่ก็ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก
ไม่เสียแรงเลย ที่เขาทุ่มเทไปมากมายในการกำจัดกองทัพสัตว์ประหลาดผี
เมื่อกระจกมนตราได้รับแต้มพลังวิญญาณเพียงพอ มันก็เริ่มส่งเสียงดังขึ้นมาทันที
กู่ฉิงซานกับอีเลียที่ยืนอยู่หน้ากระจก ตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นกระจกเงา แต่แท้จริงแล้วดันสามารถได้ยินแค่เสียงเท่านั้น …
กู่ฉิงซานสงสัย “มันเป็นกระจกแท้ๆ แต่ทำไมถึงมีแค่เสียง แต่ไม่มีภาพล่ะ?”
“กระจกมนตราที่สามารถตรวจสอบเสียงย้อนหลังได้ นี่นับว่าเป็นไอเท็มที่ดีมากแล้ว หากเจ้าต้องการที่จะย้อนดูภาพในอดีต กระบวนการของมันจะยากเย็นยิ่งกว่านี้หลายเท่า โดยทั่วไปแล้ว สมบัติที่สามารถทำเช่นนั้นได้ มันไม่ค่อยปรากฏขึ้นมาสักเท่าไหร่หรอกนะ ในโลกปัจจุบัน” อีเลียอธิบาย
กู่ฉิงซานพยักหน้าเข้าใจ
อย่างไรก็ตาม คำพูดของอีเลีย มันกลับทำให้เขาย้อนนึกไปถึงช่วงเวลาที่ตนได้พบกับนางเซียนไป่ฮั่วเป็นครั้งแรก
‘ค้นวิญญาณจากความว่างเปล่า’
โดยอาศัยแค่เพียงบัตรประจำตัวทหารของกู่ฉิงซานเป็นสื่อกลาง นางเซียนไป่ฮั่วก็สามารถย้อนมองกระบวนการต่อสู้ทั้งหมดของกู่ฉิงซานในครั้งอดีตได้เลยโดยตรง
แม้กระทั่งรอบกายทุกคนในภาพที่ฉายออกมา ก็ยังสามารถเห็นได้ถึงหมอกจางๆลอยเวียนวน บ่งบอกชัดเจนว่ายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
… กู่ฉิงซานจมลงสู่ห้วงความคิด
กระทั่งสมบัติในโลกนับ 900 ล้านชั้น หรือสมบัติจากในดินแดนอัศจรรย์ ก็ยังไม่โดดเด่นเท่ากับสกิลเทวะของท่านอาจารย์อย่างงั้นหรือ?
พอได้ลองมองย้อนกลับไป ดูเหมือนว่าสกิลเทวะแต่ละอย่างของท่านอาจารย์ จะไม่มีสกิลใดที่ไม่ร้ายกาจเลย
กู่ฉิงซานเพียงแค่คิด ก็ดันได้ยินถึงเสียงจากกระจกมนตราดังขึ้นเสียก่อน
เขาเร่งสงบใจอย่างรวดเร็ว และตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง
ในตอนแรก บนกระจกเต็มไปด้วยเสียงฝีเท้านับไม่ถ้วน ผสมปนเปไปกับเสียงกระแทกของพื้นดิน และเสียงกรีดร้องโหยหวนที่แลดูกระสับกระส่าย
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงจำนวนมากก็สงบลง แต่ก็ยังมีเสียงของสัตว์ประหลาดผีตะโกนขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว
ในช่วงท้ายๆ เสียงที่ฟังดูยิ่งใหญ่ก็ดังลอดผ่านกระจกออกมา
“ทหารทั้งหมด เริ่มถอนตัวได้”
หลังจากเสียงนี้ดังขึ้นแล้ว ก็แทบจะไม่มีเสียงใดๆดังเพิ่มเติมออกมาอีกเลย
ทั้งสองมองหน้ากันและกันอย่างไม่อยากจะเชื่อ และยังคงเฝ้ารอต่อไป
อย่างไรก็ตาม บนกระจกกลับไม่มีเสียงอะไรอีกแล้ว
เฝ้ารออยู่เนิ่นนานจนกระทั่งกู่ฉิงซานกับอีเลียกำลังจะยอมแพ้ จู่ๆก็ปรากฏถึงเสียงที่ไม่เคยได้ยินขึ้นมาก่อนจากในกระจกมนตรา
มันเป็นเสียงของมนุษย์ผู้หญิงที่ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
ท่ามกลางหุบเขาอันเงียบเชียบ เสียงดังกล่าวนี้ทำให้กู่ฉิงซานกับอีเลียอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
เห็นได้ชัดว่าตรงจุดนี้เป็นสถานที่ๆสัตว์ประหลาดผีได้มารวมตัวกัน แล้วมันจะไปมีเสียงของผู้หญิงได้อย่างไร?
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงพูดที่คล้ายกับการร้องบรรเลงเพลงก็ดังกังวานขึ้นท่ามกลางหุบเขาอันมืดมิด
“ฝ่าฟันหนทางแสนยาวไกลจนมาถึงที่นี่ ตัวข้าคล้ายดั่งตกอยู่ในห้วงฝัน ไม่ทันจะคาดคิดเลย ว่าจักต้องจากบ้านมาเยือนต่างแดนอย่างกระทันหัน .. ”
แล้วเสียงบรรเลงก็ค่อยๆหายไป
เมื่อถึงจุดนี้ ทุกเสียงจากในกระจกก็เงียบลง
“นี่มันภาษาของมนุษย์” อีเลียสรุป
“ไม่น่าจะเป็นมนุษย์ เพราะผู้เข้าสู่วิถีมารน่ะไม่สามารถเข้ามายังโลกใบนี้ได้” กู่ฉิงซานคัดค้าน
“เช่นนั้น แล้วเสียงของผู้หญิงที่ดังออกมาจากกระจกมนตราเล่า เจ้าจะอธิบายอย่างไร?” อีเลียเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานสูญสิ้นคำจะเถียง
อาศัยแค่บทบรรเลงเพียงไม่กี่ประโยคสั้นๆ แล้วเขาจะไปตัดสินถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้อย่างไร?
“แบบนี้ไม่ดีแน่ ข้อมูลมันยังมีไม่เพียงพอ” เขาพึมพำ
อีเลียย่อตัววางมือลงบนพื้นดินและเริ่มร่ายคาถา “พระแม่ธรณีเอ๋ย ภายใต้การปกปักษ์จากท่าน โปรดให้ข้าได้เป็นสักขีพยานของสายลมแห่งขุนเขา และสายฝนแห่งท้องฟ้าด้วยเถิด!”
เมื่อคาถามนตราจบลง หุบเขาทั้งลูกก็เริ่มสั่นสะเทือน
ในช่วงเวลาสั้นๆ ยอดเขาสีเขียวก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ยอดเขาตระหง่านถูกสร้างขึ้นกลางอากาศ เชื่อมต่อระหว่างชั้นฟ้าและผืนดิน
ขณะนี้ สถานที่ๆกู่ฉิงซานกับอีเลียยืนอยู่ คือจุดสูงสุดของยอดเขาแสนอันตราย
“ไม่มีกับดักอื่นๆอยู่ภายในระยะ 3 กิโลเมตรจากพื้นดิน สิ่งปลูกสร้างใดๆก็ไม่มี มันโล่งไปหมดเลย”
อีเลียถอนหายใจ
กู่ฉิงซานหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา แล้วพรมสองมือลงบนมันอย่างรวดเร็ว
จัดวางค่ายกลขับไล่วิญญาณร้าย!
ปรากฏถึงแสงสวรรค์สีเหลืองสดใส แพร่กระจากทอดยาวลงจากยอดเขา
ฉับพลันนั้นเอง เสียงครางด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้น
กู่ฉิงซานกับลอร่าเคลื่อนกายในพริบตา และไปปรากฏตัวในสถานที่ๆเสียงครางดังขึ้นทันที
เห็นแค่เพียงก้อนหินใหญ่
“หินก้อนนี้ เดิมทีมันถูกฝังอยู่ใต้ดิน แต่เพราะด้วยเทคนิคมนตราของข้า ที่เรียกยอดเขาให้ปรากฏขึ้น มันจึงผุดออกมา” อีเลียกล่าวอย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานใช้สันดาบเคาะ
ทันใดนั้นหินก็แตกออก ปรากฏถึงเงาดำร่วงตกลงจากหิน ล้มตัวลงดิ้นพล่าน คราญครางอยู่กับพื้น
นี่คือมอนสเตอร์ผี ทั้งกายมันสาดกลิ่นอายมืดมิดออกมา ศีรษะใหญ่โตแลดูน่าเกลียดและอำมหิตขณะเดียวกัน
เจ้าตัวนี้มัน – ผีร้ายกลืนวิญญาณจากโลกปรภพ!
“ดูเหมือนว่ามันจะซ่อนตัวอยู่ใต้หินใหญ่ หากไม่ใช่เพราะค่ายกลของเจ้าที่สร้างความเจ็บปวดให้แก่มัน มันคงไม่มีทางเปล่งเสียงออกมา”
กู่ฉิงซานพยักหน้า
ในตอนที่เขาเข้ามายังโลกใบนี้ มันคือผีตนแรกๆที่เขาพบ
ในเวลานั้น ผีตนนี้สิงอยู่ในตัวศพ และกู่ฉิงซานได้ใช้พลังสายฟ้าของเขาล้อมรอบตัวมันไว้
“มันเป็นผีจากปรภพ อยากให้ข้าใช้คมกล้าในการสื่อสารกับมันหรือไม่?” ดาบพิภพอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างเงียบๆ
“รอก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาก้าวออกไป และนั่งลงเบื้องหน้าผีร้าย เพ่งตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง
เห็นแค่เพียงตามแขนขาของสัตว์ประหลาผีที่บาดเจ็บสาหัส มันใกล้จะตายอยู่รอมร่อแล้ว
เมื่อมองไปยังบาดแผลเหล่านั้นดีๆ จะพบว่ามันเกิดขึ้นจากดาบสายลม
ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีตัวที่โชคดีถูกดาบสายลมไปถึงขนาดนี้ แล้วยังสามารถรอดชีวิตมาได้อยู่อีก
“แสงของเจ้า เจ็บปวดเหลือเกิน … ได้โปรดเก็บแสงไปด้วย ..” ผีร้ายกลืนวิญญาณคร่ำครวญ
กู่ฉิงซานรู้สึกว่ามันกำลังจะตาย เขาจึงเก็บปิดค่ายกลเสีย
ผีร้ายกลืนวิญญาณจึงค่อยหยุดส่งเสียงครวญคราง มีช่วงเวลาให้อ้าปากสูดลมหายใจ
แต่ดาบยาวก็จี้ลงบนหน้าผากมันทันที
แสงสายฟ้าสาดเสียงเปรี๊ยะๆเบาๆ เจตนาฆ่าเด่นจัดออกมาจากคมดาบ
“จงบอกพวกเรามา ทำไมแกถึงมานั่งอยู่ที่นี่ตนเดียว?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม เขาจี้ดาบพิภพใส่ผีร้ายกลืนวิญญาณ
ด้วยพลังของสายฟ้า ส่งผลให้ผีร้ายกลืนวิญญาณรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง แต่มันก็ยังเผยรอยยิ้มที่น่าหวาดหวั่นออกมา
“ข้าก็แค่ไม่ต้องการที่จะถูกกัดกินโดยสัตว์ประหลาดผีตนอื่นๆ ดังนั้นข้าจึงเลือกที่จะซ่อนตัวที่นี่ แต่ไม่คาดเลยว่าจะถูกค้นพบเช่นนี้”
“บอกฉันมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วฉันสัญญาว่าจะหาวิธีรักษาอาการบาดเจ็บให้” กู่ฉิงซานกล่าว
“หึ หึ หึ .. มันสายเกินไปแล้ว” ผีร้ายกลืนวิญญาณส่ายหัว “ทุกอย่างมันจบแล้ว และเจ้าก็จะต้องตาย”
ว่าจบ ผีร้ายกลืนวิญญาณก็แปรสภาพเป็นหมอกสีดำ และจางหายไปอย่างช้าๆ
มันได้ตกตายลงเสียแล้ว
Ep.580 – เกราะรบ
เมื่อการแลกเปลี่ยนวรยุทธเสร็จสิ้น ทั้งสองก็ได้รู้จักกันมากขึ้น
อีเลียใช้การแลกเปลี่ยนวรยุทธเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับกู่ฉิงซาน
แล้วกู่ฉิงซานล่ะ เขาไม่ได้อะไรเลยหรือ?
ไม่หรอก กู่ฉิงซานเองก็ได้รับผลประโยชน์เช่นกัน เพราะหลังจากที่ทั้งสองเก็บอาวุธ อีเลียก็ได้ให้คำชี้แนะแก่กู่ฉิงซาน
ในขณะเดียวกัน ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็ยังสามารถตัดสินเกี่ยวกับอีเลียได้กระจ่างยิ่งขึ้น
—ดูเหมือนว่าอีเลียจะเป็นคนที่เชื่อถือได้
ประการแรก ในครั้งอดีต อีเลียสาบานต่อหน้ารุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ว่าเธอจะปกป้องลอร่า
ซึ่งว่ากันว่าหากละเมิดคำมั่นสาบานนี้ วิหคหนามจะสูญสิ้นอำนาจทั้งหมดไป
ประการที่สอง เมื่อครู่นี้ที่ได้ทำการแลกเปลี่ยนวรยุทธกัน กู่ฉิงซานสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามเพียงต้องการที่จะยืนยันความแข็งแกร่งของเขา มิได้มีความคิดชั่วร้ายอื่นใดแอบแฝงอยู่เลยแม้แต่น้อย
มิฉะนั้นแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง อีเลียย่อมสามารถระเบิดมันออกมากำจัดเขาได้ในทันใด
ซึ่งตรงจุดนี้กู่ฉิงซานระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ระหว่างต่อสู้เขาก็ลอบให้ความสนใจไปกับส่วนนี้อย่างลับๆ
จนกระทั่งในที่สุด เมื่ออีเลียได้เผยทิศทางการฝึกยุทธให้แก่เขา ในหัวใจของตนจึงค่อยรู้สึกโล่งอกเล็กน้อย
ณ เวลานี้ กู่ฉิงซานจึงบังเกิดคำถามหนึ่งขึ้นในจิตใจของเขา
“ผมอยากจะสอบถามสักเล็กน้อย ว่าทำไมคุณถึงไม่ได้ตกเป็นเป้าของเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ?”
“อะไรทำให้เจ้าคิดถึงคำถามนี้?”
“เพราะภายนอก มีผู้เข้าสู่วิถีมารกว่า 200 ล้านคน ที่ทำการดาวโหลดหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา แต่ไม่มีใครสามารถต้านทานมันได้เลย”
“ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่หากผู้ใดต่อต้าน คนๆนั้นจะกลายเป็นแต้มพลังวิญญาณให้แก่มันต่างหาก”
อีเลียถอนหายใจและกล่าวต่อว่า “มันค้นพบตัวข้าจริงๆ แต่ข้าก็ได้ปฏิเสธมันไป จากนั้นมันก็ส่งอสูรกายหลายตนมาล้อมสังหารข้า ขณะที่ข้าทำได้เพียงเลือกที่จะซ่อนอยู่ภายใต้ชั้นน้ำแข็งเพราะไม่สามารถลงมือโดยตรงได้ มิฉะนั้นทริสเต้ย่อมตระหนักข้าอย่างแน่นอน”
กู่ฉิงซานพยักหน้า “เชิญกล่าวต่อ”
“ข้าดำน้ำลงไปใต้พื้นน้ำแข็ง และต่อมาก็ค้นพบกับโลกใบนี้ โลกที่แยกตัวจากน้ำทะเลและมีกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพกีดขวางอยู่ ข้าจึงใช้ออกด้วยสมบัติล้ำค่า ที่สามารถแทรกแซงอำนาจเทวะได้ เมื่อเข้ามา จึงหลุดพ้นจากการไล่ล่าของมันได้ในที่สุด”
“กล่าวอีกนัยนึงก็คือ ภายในโลกที่เหล่าทวยเทพทอดทิ้งใบนี้ ไม่มีใครได้โหลดเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online มาสินะ” กู่ฉิงซานคิดตริตรองและกล่าว
อีเลีย “เพราะสถานที่แห่งนี้คือโลกของเหล่าทวยเทพ มีอำนาจเทวะคอยปกป้องอยู่ ดังนั้นเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ย่อมไม่สามารถแทรกซึมเข้ามาได้ มันจึงทำได้เพียงส่งผีแห่งความอลหม่านเข้ามา แล้วให้ผีแห่งความอลหม่านแตกตัว เพื่ออัญเชิญสัตว์ประหลาดผีเข้ามาในโลก”
“สัตว์ประหลาดผีมากมายเริ่มตรวจสอบโลกใบนี้ และไม่ช้า พวกมันก็สัมผัสถึงวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าผู้ที่ยังรอดชีวิตได้อย่างรวดเร็ว และทำการแจ้งข่าวให้แก่ระบบของราชามารทันที”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ อีเลียก็หยุดคิด ก่อนจะเริ่มเอ่ยปากอีกครั้ง “วัตถุศักดิ์สิทธิ์ของผู้ที่ยังรอดชีวิต กล่าวกันว่าเป็นสมบัติที่เหล่าทวยเทพในยุคโบราณอันไกลโพ้นทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง และข้าคิดว่าระบบราชามารต้องการมัน”
“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น?”
“เพราะสัตว์ประหลาดผีได้เสนอผลประโยชน์อันน่าตื่นตาตื่นใจมากมาย เพื่อที่จะได้แลกเปลี่ยนกับวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของผู้ที่ยังรอดชีวิต”
“แต่หลังจากที่ผู้รอดชีวิตของเหล่าทวยเทพปฏิเสธที่จะแลกเปลี่ยนวัตถุศักดิ์สิทธิ์กับพวกมัน ระบบของราชามารก็เริ่มเปิดฉากสงครามทำลายล้างทันที”
“โลกทั้งใบค่อยๆถูกทำลายลงโดยสัตว์ประหลาดผี เหลือเพียงเมืองไห่เช่าที่ข้าอยู่เท่านั้น ที่ยังสามารถต้านทานพวกมันได้ เพราะข้าได้นำสมบัติออกมามากมายเพื่อช่วยเหลือสายพันธุ์เทพในการต่อสู้ สุดท้ายจึงรอดมาถึงตอนนี้”
“แล้วระหว่างสายพันธุ์เทพกับเหล่าผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ(เฉาฟ่าน)แตกต่างกันอย่างไร?”
“ย่อมแน่นอนว่าต่าง ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพคือลูกหลานของเทพ พวกเขาสามารถศึกษาสกิลเทวะได้ ขณะที่สายพันธุ์เทพถูกรังสรรค์ขึ้นโดยเทพ เป็นสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง”
“เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นแบบนี้” กู่ฉิงซานกล่าวทันที
ถ้าเป็นอย่างที่พูดมา หลายๆอย่างก็จะสมเหตุสมผล
คำถามเดียวในตอนนี้ก็คือ ต้องสืบหาข้อมูลว่าต้นกำเนิดจะมอบหมายให้เหล่าสัตว์ประหลาดผีทำอะไรต่อไป
กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่กลับเห็นแค่เพียงอีเลียยกชุดเกราะขึ้นมาวาง โดยที่ไม่ทันเห็นว่าเธอหยิบมันมาจากที่ไหน
มันคือเกราะรบสีเขียว ประกอบไปด้วยเกราะอก เกราะไหล่ เกราะแขน เกราะมือ เข็มขัด เกราะเข่า เกราะเท้า และเกราะหมวก ซึ่งเป็นของใหม่เอี่ยม แต่ละส่วนประกอบกันอย่างเรียบร้อยอยู่ในรูปทรงของมนุษย์
แม้ตัวเกราะเปล่งประกายสีเขียวจางๆ แต่ก็ยังดูสะดุดตา
อีเลียค่อยๆวางเกราะรบทั้งชุดลงเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน
“เจ้าจงเอามันไปสวมใส่เสีย เพราะต่อจากนี้ไป การต่อสู้คงจะรุนแรงยิ่งขึ้น และอันตรายมากขึ้น แต่ข้ากลับไม่เห็นว่าบนตัวเจ้าสวมใส่เกราะใดอยู่เลย แม้เจ้าจะเป็นผู้ฝึกดาบที่ห้าวหาญ แต่สะเพร่าแบบนี้มันไม่สมควรเลยนะ”
กู่ฉิงซานมองไปที่เกราะรบเบื้องหน้า ในหัวใจเริ่มเกิดความนึกคิด
วิหคหนามอาศัยอยู่ในดินแดนอัศจรรย์ เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด และในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้นต่างก็รู้ถึงเรื่องนี้ดี
หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็คงจะไม่มีคนจำนวนมากรีบร้อนที่จะมาเข้าร่วมการเรียกขานของวิหคหนาม ของแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้กันขนาดนี้หรอก
นอกจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นเหมันต์ยามค่ำหรือแสงเแห่งรุ่งอรุณก็ล้วนเป็นตัวตนอันทรงเกียรติในบรรดาวิหคหนาม ดังนั้นสิ่งของที่นายพลอีเลียให้เขามา ย่อมแน่นอนว่าต้องเป็นของดี
เพียงตั้งวางไว้อยู่เฉยๆ ก็สัมผัสได้ถึงความองอาจ สง่างามอย่างมิอาจหาเกราะใดเทียมเทียบได้
และอย่าลืมนะว่าเกราะรบนายพลชั้นโหยวจีของกู่ฉิงซานได้ถูกทำลายลงไปแล้วด้วยอำนาจเทวะของภูเขาน้ำแข็ง
แต่ชุดเกราะรบในปัจจุบันนี้ หากเทียบเปรียบกับชุดเกราะนายพลชั้นโหยวจีอันเดิมของกู่ฉิงซานแล้ว บอกได้เลยว่ามันทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าอย่างเทียบไม่ติด
ในทุกๆสงคราม ผู้ฝึกดาบจะเป็นกำลังรบหลักในการเผชิญกับศัตรูในแนวหน้าอยู่เสมอ หากต้องสู้โดยไม่มีชุดเกราะป้องกัน ผู้ฝึกดาบต้องเกิดความกังวลใจอย่างแน่นอน และย่อมไม่สามารถปลดเปลื้อง สำแดงอำนาจการทำลายล้างที่ตนมีให้ออกมาถึงขีดสุดได้
กู่ฉิงซานเองก็เป็นผู้ฝึกดาบ ที่ ณ ตอนนี้แม้แต่ชุดเกราะที่ใช้ในการปกป้องร่างกายก็ไม่มี บอกตามตรงว่ามันค่อนข้างรู้สึกน่าอายเล็กน้อย
“ขอบคุณ ผมจะรับเอาไว้”
ในที่สุด กู่ฉิงซานก็ประสานกำปั้น รับน้ำใจของอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรหรอก เอาล่ะ ที่เจ้าต้องทำก็แค่แตะลงบนเกราะนี้ แล้วรับรู้ถึงมันด้วยหัวใจของเจ้า จากนั้นเจ้าก็จะสามารถสวมใส่มันได้” อีเลียกล่าว
กู่ฉิงซานสูดลมหายใจลึก และยื่นมือออกไปสัมผัสกับเกราะรบ
เมื่อมือของเขาสัมผัสกับเกราะมรกต บนหน้าต่างเทพสงครามก็ผุดตัวอักษรขนาดเล็กเด้งเตือนขึ้นมาทันที
“ชื่อไอเท็ม : เกราะรบนายพลหนาม”
“คุณภาพ : มหากาพย์”
“วิชายุทธเทพสงคราม : นี่คือเกราะรบแบบใหม่ของนายพลหนาม ไม่มีสกิลใดที่สามารถใช้เรียนรู้ได้”
“พงศาวดารวันสิ้นโลก : เกราะรบแบบใหม่ของนายพลหนาม ไม่มีเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ใดๆที่สอดคล้องกับมัน”
กู่ฉิงซานสัมผัสลงบนชุดเกราะ เขารู้สึกได้ถึงความเย็นและความแข็งของโลหะจากผิวของมัน
ใช่แล้วล่ะ! หากผู้ฝึกดาบได้สวมใส่ชุดเกราะลงบนร่างกาย ยามเมื่อก้าวลงสู่สนามรบ เขาจะเปรียบดั่งเสือติดปีก!
เขาเปิดจิตใจ และเริ่มทำการสื่อสารกับเกราะรบ
เพล้ง!
ด้วยการร้องขอจากในจิตใจของเขา เกราะรบทั้งชุดก็แตกเป็นส่วนโดยตรง แต่ละชิ้นเริ่มว่ายวนรอบตัวเขา
เมื่อเห็นว่าชิ้นส่วนของเกราะรบพอดีกับตัวเขา-
โดยไม่ทันได้คาดคิด ชิ้นส่วนเกราะรบเหล่านี้กลับส่งหึ่งๆเสียงสั้นๆออกมา และบินเข้ามาประกอบรวมเข้าด้วยกันอีกครั้งทันที
แต่ละชิ้นส่วนประกบติดเป็นชุดเกราะรบดังเดิมอีกครา และร่วงหล่นลงกับพื้น
-ชุดเกราะรบนายพลหนามได้ปฏิเสธกู่ฉิงซาน!
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
อีเลียเองเมื่อพบเจอกับเหตุการณ์ตรงหน้า สีหน้าของเธอก็เผยให้เห็นถึงความประหลาดใจเช่นกัน
“แปลกจริง เกราะรบนายพลของข้าเป็นเกราะชั้นมหากาพย์ ที่สามารถปรับขนาดให้เหมาะสมกับเผ่าพันธ์ที่สวมใส่ได้ แต่เหตุใดมันจึงปฏิเสธเจ้า? เดี๋ยวก่อนนะ … บนตัวเจ้าใช่มีเกราะรบที่มองไม่เห็นอยู่แล้วใช่หรือไม่?”
กู่ฉิงซานตบหน้าผากตัวเองและกล่าว “จริงด้วยสิ ผมต้องขอโทษจริงๆ ลืมไปซะสนิทเลย อันที่จริง ลอร่าได้มอบชุดเกราะรบให้ผมมาแล้วน่ะ”
อีเลียกวาดสายตามองเขาขึ้นๆลงๆและเอ่ยถาม “ไหนเล่าเกราะรบ?”
“มันอยู่บนตัวผมนี่แหละ เพียงแต่มันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนก็เท่านั้นเอง”
“นี่มันแปลกมาก หรือว่ามันจะเป็นเกราะที่มีชีวิต? – ว่าแต่ลอร่าได้บอกเจ้าไหมว่ามันคือเกราะชนิดใด?”
“เธอบอกว่ามันคือเกราะที่ตัวเธอเองได้นำมาจากก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายของโลกที่แตกสลาย”
“นั่นมันเป็นไปไม่ได้!” อีเลียสูญเสียเสียงของเธอ
“ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้?”
“เพราะสถานที่แห่งนั้น มีเพียงราชวงศ์วิหคหนามที่สามารถปลุก ‘ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกา’ ให้ตื่นขึ้นมาได้เท่านั้นจึงจะสามารถไปได้ และในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรหนาม ในครั้งอดีตมีกษัตริย์เพียงองค์เดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้”
“อ่า ลอร่าเองก็ดูเหมือนว่าจะสามารถปลุกพลังที่ว่านั่นให้ตื่นขึ้นมาได้ด้วยเหมือนกันนะ”
อีเลียกล่าวเฉียบขาด “ไม่ใช่ ถึงเธอจะมีความสามารถนี้ แต่ก็จำเป็นที่จะต้องปลุกมันให้ตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์เสียก่อนในพิธีฉลองตนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่กับรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ แต่เธอยังไม่ได้เข้าร่วมพิธีที่ว่านั่นเลย”
หากอ้างอิงตามที่กล่าวมา นั่นหมายความว่าลอร่ายังไม่เคยได้เข้าไปในโลกที่แตกสลาย
ถ้าอย่างนั้น แล้วชุดเกราะที่อยู่บนร่างกายเขาเล่า มันมาจากที่ใดกัน?
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?
กู่ฉิงซานมองไปยังหน้าต่างเทพสงคราม
“ระบบ ช่วยแสดงรายละเอียดของชุดเกราะให้ฉันหน่อยสิ” เขากล่าว
บรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นบนจอทันที
“?????”
“????? เตรียมการพร้อมแล้ว และกำลังรอที่จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา”
“นี่คือของโบราณที่หายสาบสูญไปยังก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายของโลกที่แตกสลาย ทุกสิ่งมีชีวิตแทบจะไม่สามารถเข้าไปถึงที่นั่นได้ – เว้นไว้แต่เพียงวิหคหนามไม่กี่ตนเท่านั้น”
“สำหรับ ‘?????’ ระบบไม่สามารถทราบข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจงของมันได้ ฉะนั้นโปรดเฝ้ารออย่างอดทนให้มันเผยโฉมขึ้นมาเอง”
น่าแปลกจัง ระบบเทพสงครามไม่ควรที่จะผิดพลาดสิ
เจ้าสิ่งนี้น่ะเป็นเกราะรบที่มาจากก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายของโลกที่แตกสลายอย่างแน่นอน
แต่ลอร่ากลับไม่สามารถไปที่นั่นได้อย่างชัดเจน
ตกลงแล้วมันหมายความว่ายังไงกันแน่เนี่ย?
กู่ฉิงซานสับสน
เขาลองถามระบบอย่างลับๆ “ระบบ ไอ้พวกเครื่องหมายคำถามเยอะๆนี่มันคืออะไรกัน?”
“ก็เกราะรบไง” ระบบตอบกลับ
“แต่ฉันไม่รู้สึก .. แบบว่าสัมผัสอะไรถึงมันไม่ได้เลยนะ คุณมั่นใจหรอ?”
“ก็มันยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ตอนนี้เลยยังไม่ทำงาน”
“งั้นพอจะบอกวิธีปลุกมันให้หน่อยจะได้ไหม?”
“จำเป็นต้องตอบสนองต่อเงื่อนไขบางประการของมัน และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขที่ว่านั่น ระบบเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
กู่ฉิงซานยอมแพ้
ขณะเดียวกัน อีเลียก็ได้ลองคิดเกี่ยวกับมัน แต่ก็ไม่อาจหาเบาะแสเจอได้
เพราะในราชวงศ์หนามมีสมบัติดีๆอยู่มากมาย เก็บไว้จนล้นเป็นทะเลภูเขา ดังนั้นเธอเลยไม่รู้เหมือนกันว่าที่ลอร่านำออกมามันคือสิ่งใด
แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่ยืนยันได้ในปัจจุบันนี้ก็คือ กู่ฉิงซานไม่สามารถสวมใส่เกราะป้องกันใดๆได้
อีเลียกล่าวขออภัย “ลอร่ายังเด็กนัก บางทีเธออาจจะนำชุดเกราะแปลกๆออกมา แล้วจงใจกล่าวเล่นๆว่ามันมาจากก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายของโลกที่แตกสลายก็ได้ เธอไม่ได้ต้องการที่จะหลอกลวงเจ้าหรอก หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสาเธอนะ”
กู่ฉิงซานกล่าวทันที “ผมไม่เก็บมาใส่ใจหรอก แล้วอีกอย่าง ไม่ว่ามันจะเป็นชุดเกราะอะไร แต่เธอก็มอบมันให้ด้วยหัวใจ”
-แต่เรื่องนี้มันก็น่าสงสัยจริงๆ เอาไว้กลับไปค่อยถามจากปากลอร่าก็แล้วกัน
เมื่ออีเลียเห็นทัศนคติเช่นนี้ของเขา เธอก็รู้สึกพึงพอใจ
ด้วยอุปนิสัยของคนผู้นี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดลอร่าจึงสนิทสนมกับเขา
อีเลียกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เริ่มตรวจสอบกันได้แล้วดีกว่า ว่าพวกสัตว์ประหลาดผีมันกำลังทำอะไรกันอยู่”
“รับทราบ”
ว่าจบ ทั้งสองก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
ในส่วนท้ายของพื้นที่ราบลุ่ม เป็นป่าทึบขนาดใหญ่
ในช่วงเช้า กู่ฉิงซานได้นำลอร่ากับเหลาเจียวออกมาจากผืนป่าแห่งนี้ ตรงเข้ามายังที่ราบลุ่ม
แต่ตอนนี้ กองทัพผีกลับหนีเข้าไปในป่าที่พวกเขาเคยออกมา
กองทัพผีล่าถอยไปอย่างอลหม่าน จึงปกปิดร่อยการเดินทางได้ไม่ดีนัก นอกจากนี้ อีเลียกับกู่ฉิงซานยังเป็นทหารผ่านศึกที่ฝ่าสงครามานับไม่ถ้วน ดังนั้นการค้นหาร่องรอยย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
ทั้งสองคนร่วมแรงกัน และไม่นานก็ค้นพบถึงร่องรอยของของกองทัพผีอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองวิ่งไปตามทาง และในที่สุดก็มาถึงหุบเขา
เบาะแสทั้งหมด ชี้มายังหุบเขาอันมืดมิดแห่งนี้
ทั้งสองมองหน้ากันและกัน ก่อนจะเริ่มร่อนลงไปยังใต้หุบเขาอย่างเงียบๆ
ยิ่งระยะทางลึกลงไปเท่าใด ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น
เพราะมันไม่มียามคุ้มกันอยู่ใกล้กับหุบเขา และไม่มีเศษเสี้ยวความผันผวนของเทคนิคมนตราอยู่เลย
หรือว่าพวกสัตว์ประหลาดผี มันสะเพร่างั้นหรือ?
กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะของเขาออกมา และกวาดลงเบื้องล่างหุบเขาอย่างระมัดระวัง
“อะไรกัน นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?” เขาบ่นพึมพำ
“ใช่ มันมีบางอย่างผิดปกติ … ” อีเลียกล่าว
ขณะนี้ ทั้งสองได้ค้นพบว่าหุบเขาแท้จริงแล้วว่างเปล่า
แม้ตามหุบเขา จะพบกับร่องรอยจำนวนมากที่ถูกทิ้งไว้โดยเหล่าสัตว์ประหลาดผีก็ตามที
แต่สัตว์ประหลาดผีทั้งหมดกลับหายไป
จู่ๆร่องรอยของกองทัพผีหลายร้อยหลายพันก็หายไปในอากาศที่ว่างเปล่า ไม่หลงเหลือสิ่งใดอยู่เลย ..
Ep.579 – ทำความรู้จัก(ปลาย)
อีเลียกระเด็นกลับหลัง แต่สุดท้ายเธอก็พลิกตัวในอากาศ และร่อนลงบนพื้นได้อย่างปลอดภัย
“เป็นทักษะดาบที่ดี! บ่งบอกชัดเจนว่ากว่าจะได้ครอบครองมัน เจ้าคงผ่านการฝึกปรือมาไม่น้อยเลยทีเดียว” อีเลียกล่าว
สองกริชเริ่มร่ายระบำ พลิกผันไปตามแต่ละนิ้ว ฉากนี้แลคล้ายกับปรากฏผีเสื้อกำลังโบยบินอยู่บนฝ่ามือของเธอ
“คุณยกย่องผมเกินไปแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
“เอาเถอะ จากนี้ไปข้าจะจริงจังมากขึ้นแล้วนะ บางทีข้าอาจจะยั้งมือไม่ทัน เจ้าจะต้องระมัดระวังตัวให้ดี”
ขณะกล่าว อีเลียก็ก้าวตรงมายังกู่ฉิงซานอย่างช้าๆ
กริชคู่ที่ว่ายวนไปตามนิ้วมือพลันดีดออก และถูกคว้ากุมโดยฝ่ามือของเธออย่างแผ่วเบา
ตามต่อด้วยภาพติดตานับสิบที่ปรากฏขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่าใกล้กันกับกริช ลวงหลอกว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ ส่งผลให้มิอาจแยกแยะทิศทางการโจมตีได้
มองไปยังฉากนี้ ในหัวใจของกู่ฉิงซานรู้สึกคันยิบๆ
ตัวตนทรงอำนาจในด้านการใช้กริชคู่ลอบสังหาร ได้ระงับขอบเขตลงมาจนใกล้เคียงกับตนเอง เพื่อทำการแลกเปลี่ยนวรยุทธ นี่นับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง
กู่ฉิงซานก้าวออกมาข้างหน้าและกล่าว
“โปรดชี้แนะด้วย”
อีเลียพอได้ฟัง ก็เผยสีหน้ายิ้มแย้ม
ร่างของเธอบิดผันดั่งสิ่งลวงตา วูบไหวไปข้างหน้าพร้อมกับแสงและเงาอันคมกริบของกริชคู่
กู่ฉิงซานสับดาบสวนออกไป
ฟุบ-
สองกริชโถมเข้าตรึงดาบยาว ระเบิดเสียงเสียดสีจากแรงเสียดทานชวนให้ฟันของผู้ฟังรู้สึกเสียวซ่าน
อีเลียใช้กริชคู่ของเธอตรึงดาบยาวในมือกู่ฉิงซาน ล็อคมันมิให้ขยับเอาไว้อย่างกระทันหัน !
ระหว่างช่วงเวลาเดือดพล่าน ปากของเธอก็อ้าออก และพ่นกริชเล็กๆพุ่งตรงเข้าใส่ตำแหน่งคอหอยของกู่ฉิงซาน
ติ๊ง!
ดาบพิภพปรากฏออกมาจากในอากาศที่ว่างเปล่า และสับกริชเล็กกระเด็นออกไป
เมื่อเห็นว่าดาบยาวอีกเล่มหยุดกริชบินของตนเองได้ อีเลียก็อยกลับทันที
กู่ฉิงซานใช้นิ้วเกี่ยวดาบพิภพเอาไว้บนหลังมือของเขา
ดาบคู่ในหนึ่งมือ!
“เชิญชี้แนะอีกสักครั้งจะได้หรือไม่?” เขาเชื้อเชิญ
“ดาบคู่งั้นหรือ? มันไม่ง่ายหรอกนะที่จะใช้สองดาบในเวลาเดียวกันน่ะ”
อีเลียมองดาบพิภพและกล่าว
กู่ฉิงซาน “แม้ว่าการใช้สองดาบแบบนี้มันจะกินพลังงานมหาศาล แต่ด้วยจิตที่สื่อถึงกันระหว่างผมกับมัน ทำให้ในเรื่องการใช้งานย่อมไม่มีปัญหาใดๆ”
“งั้นมาดูกัน”
อีเลียสะบัดศีรษะเรียกสมาธิ และเริ่มกระตุ้นความแข็งแกร่งของเธออีกครั้ง
ด้วยความแข็งแกร่งที่เพิ่มพูนขึ้น ส่งผลให้ทั้งความเร็ว และพลังโจมตีด้วยกริชของเธอพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
เธอโฉบกายไปเบื้องหน้าพร้อมกับกริชคู่ใจ ปากมิได้เปล่งคำใดอีกต่อไป
คราวนี้ ทั้งสองได้ฟาดฟันเข้าใส่กันและกัน จนเกิดประกายแสงเจิดจ้า แลกเปลี่ยนกระบวนท่าแก่กันและกันไปมากกว่า 100 ครั้ง
จนสุดท้าย เมื่อกู่ฉิงซานสบโอกาสเห็นช่องว่าง เขาก็จ้วงแทงดาบเข้าไปทันที
ดาบที่จ้วงออกมานี้อีเลียจำต้องปัดป้อง เธอจำเป็นที่จะต้องหยุดกระบวนท่าต่อเนื่องของตน เคลื่อนกริชลงไปป้องกันมัน
ตูม!
ดาบยาวสั่นสะเทือน ขณะที่อีเลียถูกส่งปลิวออกไป
“ไม่เลวเลยนี่”
อีเลียพยักหน้า
ด้วยทักษะดาบระดับนี้ คาดว่าสิ่งที่ลอร่ากล่าวว่าเขาปกป้องเธอมาตลอดเส้นทางคงจะเป็นเรื่องจริง
สิ่งสำคัญก็คือ สมควรจะต้องรู้ว่าฝีมือดาบระดับนี้ การจะฝึกจนสำเร็จได้ย่อมมิใช่เรื่องง่ายดาย
การจะสามารถใช้ทักษะดาบระดับสูงเช่นนี้ได้ แน่นอนว่าจะต้องมีสมองอันชาญฉลาด สามารถคิดอ่าน เรียนรู้ได้อย่างว่องไว
เพราะเดิมทีดาบก็เป็นอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพอยู่แล้ว ดังนั้นหากสามารถระเบิดพลังที่มีอยู่ในตัวดาบออกมาได้ นั่นย่อมหมายความว่าเขามีพรสวรรค์
อย่างไรก็ตาม กลับเห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่เก็บดาบของเขากลับคืนและกล่าวว่า “พวกเราควรจะหยุดกันเพียงเท่านี้”
“เจ้าจะไม่สู้ต่อแล้วหรือ?”
กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น “หากคุณเพิ่มระดับความแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขอบเขตหนึ่ง เกรงว่าด้วยทักษะดาบเพียงอย่างเดียวของผมคงไม่อาจจะต่อกรได้ และถ้าการต่อสู้ของพวกเราส่งเสียงดังจนเกินไป เหล่าสัตว์ประหลาดผีจะต้องสังเกตถึงมันได้อย่างแน่นอน”
อีเลียพยักหน้า และเก็บกริชของเธอ
“ในอารยธรรมของโลกผู้ฝึกวรยุทธ ผู้ฝึกยุทธที่เชี่ยวชาญในการใช้ทักษะดาบ จะถูกเรียกกันว่าผู้ฝึกดาบ – เจ้าคือผู้ฝึกดาบใช่หรือไม่?” เธอถาม
กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ
“ได้ยินมาจากลอร่าว่า เจ้ามาจากโลกกระจัดกระจาย แต่พอข้าได้เห็นทักษะดาบอันยอดเยี่ยมของเจ้า และได้เชยชมกระบวนท่าของมันอย่างลึกซึ้งแล้ว ข้าคิดว่าตัวเองไม่เคยพบเคยเห็นคนที่ใช้มันแบบเจ้ามาก่อนเลย”
เธอย้อนนึก ขณะเดียวกันก็แสดงความคิดเห็น
“ข้ารู้สึกได้ว่าทักษะดาบของเจ้า กำลังถูกกดดันด้วยขอบเขตที่มี มันจึงไม่สามารถสำแดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมาได้อย่างเต็มที่”
“ดูจากสถานการณ์ที่เจ้าต่อสู้กับสัตว์ประหลาดผี เจ้าสามารถควบคุมดาบบินได้ ดังนั้นข้าจึงสันนิษฐานว่าเจ้าคงจะเป็นผู้ฝึกดาบที่สามารถก้าวมาถึงขอบเขตนักดาบนิรันดร์”
“เมื่อครู่ ข้าเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองจนเกือบจะแกร่งกว่าเจ้าถึงสองเท่า แต่เจ้าก็ยังสามารถโค่นข้าลงได้ แม้ว่าจะใช้เพียงทักษะดาบก็ตาม นี่นับว่าน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง”
“ด้วยพรสวรรค์และสมองอันชาญฉลาดของเจ้า หากยังมิหยุดก้าวเดิน มุ่งไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ บางทีในอีกหลายร้อยปีต่อจากนี้ เจ้าอาจจะตัดผ่านขอบเขตนักดาบนิรันดร์ ก้าวสู่ขั้นต่อไปก็เป็นได้”
“ดังนั้นมันย่อมไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หากลอร่าจะมีสัมพันธ์อันดีกับเจ้า”
ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงการยอมรับ และในที่สุดก็กล่าวออกมา
แต่เดิม ปรากฏว่าที่เธอขอแลกเปลี่ยนวรยุทธ ก็เพราะเจ้าตัวมีความคิดที่จะทดสอบความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซานนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เธอไม่อาจทราบได้เลยว่า การที่ฝีมือดาบของกู่ฉิงซานยอดเยี่ยมได้ถึงขนาดนี้ มันเป็นเพราะเขากลับมาจุติใหม่ แถมยังได้รับการสอนสั่งทักษะดาบจากนางเซียนไป่ฮั่วอีกด้วย
ซึ่งในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ นางเซียนไป่ฮั่วน่ะคือหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด หากเธอไม่ถูกจำกัดด้วยกฏเกณฑ์ของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธแล้วล่ะก็ คงไม่อาจทราบได้เลยว่าเธอจะทะยานขึ้นไปถึงขอบเขตใด
ในอดีต ครั้งหนึ่งนางเซียนไป่ฮั่วได้พิจารณาด้วยเธอเองว่า กู่ฉิงซานจะต้องสามารถก้าวขึ้นสู่นักดาบนิรันดร์ได้
หลังจากที่ออกจากโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ กู่ฉิงซานก็ได้เผชิญกับทุกประเภทของการต่อสู้ที่แสนสาหัส และในปรภพ เขาก็ถูกยอมรับจากกษัตริย์อาชูร่า จนได้รับเทคนิคต่อสู้ของอีกฝ่ายมาครอบครอง
ดังนั้น มุมมอง ทักษะ และประสบการณ์ของกู่ฉิงซานจึงเพิ่มพูนขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
หากไม่ถูกจำกัดโดยกฏเกณฑ์ของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ เกรงว่าทักษะดาบของเขาคงจะเหนือล้ำยิ่งกว่านี้ไปมากโขแล้ว
กู่ฉิงซานพอได้ยินคำพิจารณาจากอีเลีย เจ้าตัวก็ตื่นเต้นจนไม่มีเวลาที่จะตอบกลับไปอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
นั่นเพราะเขาสามารถจับใจความสำคัญบางอย่างได้จากคำพูดของอีกฝ่าย
สีหน้าของกู่ฉิงซานกลายเป็นเคร่งขรึม เขาประสานหนึ่งกำปั้นหนึ่งฝ่ามือแก่อีกฝ่าย ขอคำปรึกษาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “เมื่อครู่นี้ คุณบอกว่านอกเหนือไปจากนักดาบนิรันดร์แล้ว มันยังมีขอบเขตต่อไปอีกใช่หรือไม่?”
อีเลียพยักหน้า
“เช่นนั้นใคร่ขอรบกวนถาม ว่าขอบเขตที่อยู่เหนือยิ่งกว่านักดาบนิรันดร์คืออะไร?”
“มันยังเร็วเกินไปสำหรับเจ้า ที่จะเอ่ยถามถึงเรื่องนี้” อีเลียส่ายหัวและกล่าว
“แต่สิ่งที่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ก็คือ ทักษะดาบของเจ้ากำลังถูกจำกัดด้วยขอบเขตของตนเอง ทำให้มิอาจสำแดงพลังของดาบบินออกมาโดยสมบูรณ์ได้”
“เฝ้ารอให้สักวันหนึ่ง เมื่อเจ้าสามารถสำแดงพลังของดาบบินได้ถึง2เท่าเมื่อไหร่ ตัวเจ้าก็จะปลดเปลื้องจากพันธะ เมื่อถึงเวลานั้นทักษะดาบของเจ้าก็จะก้าวไปอีกระดับหนึ่งเอง”
“ก้าวไปอีกระดับหนึ่ง … ”
“ถูกต้อง ขอให้เข้าใจว่ามันเป็นการปลดเปลื้องพันธะไปก่อนก็แล้วกัน อ้ออีกอย่าง เพื่อที่เจ้าจะได้สามารถสำแดงพลังของดาบบินได้อย่างเต็มที่ เจ้าสมควรเริ่มคิดได้แล้วนะว่าจะบรรจบพลังของมันได้อย่างไร”
“บรรจบพลัง? ทำไมถึงต้องบรรจบด้วย?” กู่ฉิงซานถามด้วยความสงสัย
อีเลียกล่าวอย่างช้าๆ “เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าจะขอถามเจ้า และเจ้าก็คิดตามนะ ค่ายกลดาบที่เจ้าใช้สังหารกองทัพสัตว์ประหลาดผี มันแข็งแกร่งหรือไม่?”
“แน่นอน อันที่จริงแล้วค่ายกลดาบนั่นคือสกิลดาบที่แข็งแกร่งที่สุดของผม” กู่ฉิงซานสารภาพ
“ลองคิดเกี่ยวกับมันด้วยตัวเจ้าเองให้ดี ว่าถ้าหากเจ้าสามารถรวบรวมค่ายกลดาบที่กระจัดกระจาย นำอำนาจของมันมาบรรจบกัน แล้วระเบิดโจมตีออกไปในดาบเดียวมันจะส่งผลอย่างไร?”
กู่ฉิงซานตกตะลึง
เขาไม่เคยได้ยิน หรือไม่คิดถึงสิ่งที่ว่ามานี้มาก่อนเลย
หลังจากที่ตนประสบความสำเร็จในฐานะนักดาบนิรันดร์ ก็ไม่เคยมีใครสามารถสอนสั่งอะไรเข้าได้อีกเลย
ทั้งหมด เขาต้องเป็นคนคลำหาหนทางด้วยตนเอง
แต่ตอนนี้ ใครบางคนที่อยู่ข้างๆ กลับสามารถปูแนวคิดใหม่เกี่ยวกับทักษะดาบแก่เขาได้
หากค่ายกลดาบไท่หยีที่รุนแรงกว่า 36 เท่า กลายเป็นดาบเดียว …
หลังจากที่ได้ลองคิดตริตรอง สีหน้าของกู่ฉิงซานก็ค่อยๆเปลี่ยนไป
“ถ้าเป็นในกรณีที่ว่านั่น … ดาบของผมคงไร้ผู้ต้าน และไม่มีสิ่งใดที่มิอาจฟาดฟันได้ …”
กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ
“ถูกต้อง แต่การจะบรรจบพลังน่ะเป็นเรื่องยากเย็นยิ่ง เอาไว้เจ้าสามารถปลดพันธะและใช้มันได้อย่างอิสระเมื่อไหร่ ทักษะดาบอันยอดเยี่ยมของเจ้าก็จะสมบูรณ์ และหลุดพ้นออกจากขอบเขตนักดาบนิรันดร์ได้เอง!” อีเลียกล่าว
กู่ฉิงซานพอได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ทั้งคนทั้งร่างของเขาราวกับได้ตรัสรู้ถึงสิ่งใหม่
เขาประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่าย กล่าวด้วยความจริงใจ “ขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำ ผมจะจดจำความเมตตาของคุณในครั้งนี้เอาไว้”
“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก เพราะท้ายที่สุดนี้ เจ้าเป็นคนช่วยชีวิตลอร่าเอาไว้ นั่นเท่ากับเป็นการช่วยพวกเราอาณาจักรหนาม ข้าเพียงใช้คำพูดเป็นของขวัญตอบแทนเล็กๆน้อยๆก็เท่านั้นเอง”
“อีกอย่าง ถ้อยคำเหล่านี้ก็มิได้มาจากตัวข้า หากแต่เป็นคำจากเมื่อ 1000 ปีก่อน ที่สหายผู้ใช้ดาบของข้าเคยกล่าวมันออกมา”
“ผมขอถามจะได้ไหมว่าสหายของคุณคื-”
“เขาอยู่ในดินแดนชิงอำนาจ ที่นั่นคือเขตสงครามของเหล่าผู้แข็งแกร่งตลอดทั้งหมื่นโลกา ที่มุ่งหมายจะเป็นจ้าวโลก เป็นศูนย์รวมมืออาชีพอันหลากหลาย แวะเวียนเปลี่ยนผัน และในครั้งอดีต แบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็จากมาจากดินแดนแห่งนั้นเช่นนั้น จนในที่สุดก็กลายเป็นตัวตนทรงอำนาจที่แสนโดดเด่นอย่างในปัจจุบันนี้”
“หลังจากนี้หากเจ้ามีเวลาว่างเว้น เจ้าสามารถไปต่อสู้และฝึกปรือที่นั่นได้ ขอรับประกันว่าความแข็งแกร่งของเจ้าจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างแน่นอน”
อีเลียอธิบายจนจบ
ตอนนี้เธอได้ยอมรับอีกฝ่ายแล้ว และกำลังเฝ้ารอให้กู่ฉิงซานลองคิดทบทวน กลั่นกรองข้อมูลใหม่ให้มันชัดเจน
“ฟังดูมีเหตุผล ..”
กู่ฉิงซานพยักหน้าเห็นด้วย
Ep.578 – ทำความรู้จัก(ต้น)
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกกระวนกระวาย
อีเลียเป็นถึงนายพลหนามที่มีชื่อเสียงมานานนม ดังนั้นความแข็งแกร่งของเธอย่อมไม่เพียงอยู่ในขั้นธรรมดา แต่ยังโดดเด่นเป็นพิเศษ
แม้จะได้รับบาดเจ็บ และถูกผีแห่งความอลหม่านกับกองทัพสัตว์ประหลาดผีนับล้านปิดล้อม แต่เธอก็ยังสามารถต้านทาน ปกปักษ์เมืองเอาไว้จนกระทั่งตัวเขามาถึง
ดังนั้น ถ้าหากเธอต้องการจะทุบตีฉันจริงๆแล้วล่ะก็ …
คงมีแต่จะต้องใช้สกิลเทวะ หลบหนีไปเท่านั้น
หลังจากขบคิดคาดเดาถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา สุดท้ายกู่ฉิงซานก็ตัดสินใจยืนรออยู่ที่เดิม
ไม่นานนัก อีเลียก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
“เม็ดยารักษาของเจ้าไม่เลวเลย อาการบาดเจ็บของข้าดีขึ้นมากทีเดียว” เธอกล่าวยกย่อง
กู่ฉิงซานพยักหน้า น้อมรับคำชื่นชม
ใช่แล้วล่ะ สำหรับอารยธรรมของโลกผู้ใช้วรยุทธน่ะ ความแข็งแกร่งรายบุคคลของพวกเขามิได้มากมายเท่าไหร่ก็จริง
—โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่กู่ฉิงซานได้พบเจอกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญในโลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้น ประเด็นในเรื่องนี้ก็ยิ่งเด่นชัด
อย่างไรก็ตาม แม้เหล่าผู้ฝึกยุทธจะอ่อนแอ แต่เหตุผลที่ในโลกของพวกเขาสามารถทานรับการบุกโจมตีของเผ่ามารมาได้นานนับสิบปี นั่นก็เพราะพวกเขาเชี่ยวชาญในอารยธรรมที่เรียกกันว่าหกศิลป์
เทคนิคทำนายชะตา , จัดวางค่ายกล , กลั่นเม็ดยารักษา , หลอมอาวุธ , สร้างยันต์ และสุดท้ายปรุงอาหารวิญญาณ
ซึ่งความแข็งแกร่งของอารยธรรมได้มาบรรจบกันที่หกศิลป์นี้ พวกมันถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยผู้ฝึกยุทธ และกลายมาเป็นรากฐานสำหรับความก้าวหน้าของมนุษยชาติ
“ตอนนี้ พวกเราคงสามารถเริ่มดำเนินการ ไปตรวจสอบดูว่าพวกสัตว์ประหลาดผีคิดจะทำอะไรต่อไปได้แล้วใช่ไหม?” อีเลียเอ่ยถาม
“ใช่ ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” กู่ฉิงซานกล่าว
แต่แทนที่จะเริ่มออกเดินทาง เขากลับเรียกดาบยาวเล่มหนึ่งออกมา
-ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา
ดาบยาวสาดประกาย โฉบไปมาในอากาศอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลายร่างเป็นฉานนู่
“นายน้อย ท่านเรียกหาข้า ต้องการให้รับใช้อันใด?” ฉานนู่เอ่ยถาม
“หากผีแห่งความอลหม่านบุกโจมตี คนอื่นๆจะไม่สามารถรับมือกับมันได้ ดังนั้นเจ้าจึงจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ เพื่อปกป้องและดูแลลอร่า”
“เจ้าค่ะ”
“ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เจ้าจะต้องใช้จิตสัมผัสเทวะแจ้งให้ข้าทราบทันที อ้อ และข้าอนุญาตให้เจ้าสามารถใช้ทักษะทั้งหมดของข้าในการรับมือกับศัตรู”
“เข้าใจแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” ฉานนู่รับคำ
พอได้ฝากฝังกับคนที่เชื่อถือ กู่ฉิงซานก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย
ดาบบินกับเจ้าของจะมีความรู้สึกที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ด้วยจิตสัมผัสเทวะ ดังนั้นหากเกิดอะไรขึ้น ฉานนู่ก็จะสามารถเรียกตัวเขาได้ตลอดเวลา ขณะที่เธอคอยถ่วงเวลาไปพลางๆ
ด้วยกู่ฉิงซานที่มีสกิลเทวะอันยอดเยี่ยมอย่าง ‘ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว’ ดังนั้นหากจะล่าถอยกลับมาจากสถานที่อื่น ก็คงจะใช้เวลาไม่นานนัก
เมื่อเห็นถึงความรอบคอบของเขา อีเลียก็ลอบพยักหน้าอย่างลับๆ
“พร้อมแล้ว พวกเราไปกันเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว
อีเลีย “เข้าใจแล้ว”
ทั้งสองบินข้ามผ่านกำแพงเมือง และร่อนมาตามทิศทางที่สัตว์ประหลาดผีล่าถอย
กู่ฉิงซานเดิมคิดจะใช้เรือเหาะเป็นเครื่องทุ่นแรงในการเดินทาง แต่สุดท้ายเขาก็มิได้นำมันออกมา
เพราะอย่างไรเสีย นี่ก็เป็นการสืบสถานการณ์ ดังนั้นจึงสมควรใส่ใจกับการหลบซ่อนตลอดเวลา แน่นอนว่าอีเลียก็รู้ถึงเรื่องนี้ดีเช่นกัน เธอเลยไม่คิดเรียกสัตว์ขี่ของตนเองออกมา
ท่ามกลางแสงสลัวยามค่ำคืน ทั้งสองบินลงมายังที่ราบลุ่มอย่างรวดเร็ว
และเมื่อใกล้ถึงสุดขอบที่ราบลุ่ม จึงค่อยชะลอตัวลง
บริเวณนี้ คือตำแหน่งที่ภูติผีได้มารวมตัวกัน และถูกข่มจนแตกพ่ายไปโดยกู่ฉิงซาน
ปรากฏถึงร่องรอยเท้าของ สัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างแตกต่างกันออกไปบนพื้นดิน
“เจ้าคิดว่าพวกมันจะทำอะไรต่อไป?” อีเลียถาม
“ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ผมพึ่งได้เจอกับพวกมันแค่ไม่กี่ครั้งเอง เลยยังไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับอุปนิสัยของพวกมันสักเท่าไหร่”
กู่ฉิงซานกล่าวไปตามความจริง
ผีแห่งความอลหม่านน่ะเป็นอสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลที่พิเศษออกไป มันครอบครองพลังที่สามารถเจาะทะลวงทุกสิ่งได้
หลังจากที่มันเข้าสู่โลกใบนี้ กู่ฉิงซานก็เผลอสังหารมันลงโดยไม่รู้ตัวเลยว่านั่นจะเป็นการปลดปล่อยสัตว์ประหลาดผีจากในปรภพเป็นจำนวนมากออกมา แถมพวกมันยังมีความสามารถในการอัญเชิญสัตว์ประหลาดผีตนอื่นๆจากภายนอกเข้ามาได้อีกด้วย
มอนสเตอร์ที่พิเศษเช่นนี้ กระทั่งตัวกู่ฉิงซานเองก็ยังพึ่งจะเคยพบเจอเป็นครั้งแรก
อีเลียถอนหายใจและกล่าว “ตัวข้าเองก็พึ่งเคยพานพบกับเหล่าภูติผีจากหกวิถีมากมายขนาดนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน ดูเหมือนว่าเราคงจำเป็นต้องหาพวกมันให้เจอเสียแล้ว จึงจะรู้ว่าพวกมันคิดจะทำอะไรต่อไป“
ว่าจบ เธอก็คว้าสองกริชยาวที่แผ่ไอหมอกเย็นเยียบออกมาจากเบื้องหลัง
ขณะที่กู่ฉิงซานคว้าไปในอากาศที่ว่างเปล่า เรียกเช่าหยินออกมาไว้ในมือ
อีเลียจ้องไปยังดาบเช่าหยิน
“ลอร่ากล่าวว่าเจ้าครอบครองดาบยาวชั้นตำนานถึงสามเล่ม เธอรู้สึกอิจฉาไม่น้อยเลย“
โดยทั่วไปแล้ว วัตถุในดินแดนอัศจรรย์ จะถูกแบ่งออกเป็นสี่ระดับชั้น ได้แก่ : ประหลาด , มหากาพย์ , ตำนาน และสุดท้าย สิ่งประดิษฐ์เทวะ
ไอเท็มระดับชั้นประหลาด ในสายตาของวิหคหนามจะมองว่ามันเป็นของธรรมดาชิ้นหนึ่งเท่านั้น ขณะที่ในโลกอื่นมันจะถูกเรียกว่าเป็นไอเท็มชั้นหนึ่ง
ส่วนไอเท็มระดับชั้นมหากาพย์ ไม่ว่ามันจะปรากฏขึ้นที่ใดในโลก ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติที่ทุกคนปรารถนา
ดาบพิภพ เช่าหยิน และหกขุนเขาเทวะ ทั้งสามดาบนี้ ได้ถูกตัดสินโดยลอร่าว่าเป็นอาวุธระดับชั้นตำนาน
ดังนั้น ยามใดก็ตามที่กู่ฉิงซานกุมดาบขึ้นมา ลอร่าจึงมักจ้องมองดาบของเขาด้วยน้ำลายสออยู่เสมอ
“โอ้ใช่ เธอต้องการที่จะแลกเปลี่ยนมันกับผมอยู่เสมอ แต่สามดาบนี้เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่มีไว้ใช้หากินสำหรับผม ดังนั้นคงจะมอบมันให้แก่เธอไม่ได้” กู่ฉิงซานหัวเราะ
“แต่จากนี้ไป ขอเจ้าจงระมัดระวังตัวให้ดี อาวุธดาบเลอค่าเช่นนี้ ย่อมสามารถดึงดูดผู้คนที่ปรารถนาในมันได้อย่างง่ายดาย” อีเลียเตือน
“ผมเข้าใจแล้ว”
อีเลียเปลี่ยนหัวข้อสนทนากระทันหัน “ต่อจากนี้ไปพวกเราจะแทรกซึมเข้าไปในค่ายศัตรู แต่เนื่องจากทั้งเจ้าและข้ายังไม่กระจ่างในความแข็งแกร่งของกันและกัน ดังนั้นหากจะร่วมมือกันทั้งๆแบบนี้มันคงไม่ดี”
“คุณต้องการจะสื่ออะไร?”
“ก็ทำไมพวกเราถึงไม่ทำสิ่งที่โลกของเจ้าเรียกกันว่า ‘แลกเปลี่ยนวรยุทธ’ กันเล่า จะได้เข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้นไง?” อีเลียกล่าว
กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ ความคิดของเขาโบยบินออกไป
อีเลียเป็นถึงนายพลสงครามแห่งอาณาจักรหนาม และถูกเรียกว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเคียงคู่ไปกับทริสเต้
กล่าวได้ว่าด้วยความแข็งแกร่งของเธอ ไม่ว่าจะไปที่โลกใดก็ย่อมเป็นตัวตนที่โดดเด่น
แต่จู่ๆเธอก็มาท้าเข้าสู้อย่างกระทัน …
ชิบหายแล้วไง สงสัยว่าจะยังคงเคืองเรื่องขี้แตกอยู่จริงๆด้วย …
“แล้วผมจะไปเอาชนะคุณได้ยังไง” กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวต่อ “ตอนนี้พวกเราสมควรที่จะตรวจสอบศัตรูกันไม่ใช่หรือ เรื่องแลกเปลี่ยนวรยุทธอะไรนั่นเอาไว้ค่อยว่ากันทีหลังก็แล้วกัน”
“ก็แค่แลกเปลี่ยนกันเล็กๆน้อยๆน่า วางใจเถอะ พวกเราจะสู้กันแค่สิบกระบวนท่าเท่านั้น หลังจากจบกระบวนที่สิบ เราจะหยุดทันที”
อีเลียมองกู่ฉิงซานและกล่าว “มาเถอะ ข้าจะระงับความแข็งแกร่งของตนลง ให้มันอยู่ในขอบเขตเดียวกันกับเจ้าเป็นอย่างไร?”
ขณะกล่าว แรงกดดันในร่างกายเธอก็ค่อยๆถดถอยลง ความผันผวนของพลังจากทั้งคนทั้งร่างลดต่ำลงจนเท่าเทียมกับกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
ดูเหมือนว่างานคงจะไม่เริ่ม ถ้าการต่อสู้ยังไม่เกิดขึ้นสินะ?
เขาขบคิดอยู่สักพักจึงกล่าว “ถ้าคุณระงับความแข็งแกร่งลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับผม มันอาจจะเป็นปัญหาเอาได้นะ”
“ปัญหาที่ว่านั่นมันอะไร? หรือเจ้าอยากจะให้ข้าลดระดับความแข็งแกร่งลงยิ่งกว่านี้อีก?” อีเลียจ้องมองเขา
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก จริงๆแล้วผมคิดว่าคุณอาจจะพ่ายแพ้น่ะ” กู่ฉิงซานเฉลย
อีเลียที่กำลังมองเขา หัวเราะออกมา
“อ้อ งั้นเอาอย่างนี้เป็นไร เจ้าจับสิบกระบวนท่าของข้าให้ได้ แล้วค่อยเอ่ยประโยคเมื่อครู่อีกครั้ง”
ทันทีที่เสียงของเธอตกลง มือของเธอก็กระพริบไหว สองกริชเริ่มถูกกวัดแกว่งออกไป
ใบมีดกริชสาดแสงพร่างพราว คล้ายกับผีเสื้อกำลังร่ายรำ บ้างปรากฏคมแหลมขึ้นในสายตา บางเวลาหายไปอย่างลึกลับ ดูเหมือนว่าหากคิดโจมตีจริงๆ เธอก็สามารถสร้างหลุมเลือดบนตัวของกู่ฉิงซานได้ตลอดเวลา
แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าก็คือ ในทุกๆครั้งเมื่ออีเลียวาดสะบัดกริชทั้งสอง ทั้งคนทั้งกริชราวกับผสานกันเป็นหนึ่งเดียว ร่ายระบำไปด้วยท่วงทำนองที่ยอดเยี่ยม
การเคลื่อนไหวของเธอยิ่งนานก็ยิ่งลำบากที่จะแยกแยะทิศทาง ยากนักที่จะระบุถึงความว่องไวของมันได้
กู่ฉิงซานชื่นชมเธอ ขณะเดียวกันก็เพ่งสมาธิทั้งหมดมายังดวงตาของเขา
เพื่อจะปกปิดไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นถึงการโจมตี การเคลื่อนไหวร่างกายตามปกติของเธอ จึงสอดคล้องกับท่วงท่าในการโจมตีของกริช ผสมผสานไปกับความเชี่ยวชาญในการลอบสังหาร
แม้ว่าอีเลียจะจำกัดความแข็งแกร่งของเธอเอาไว้แล้วก็ตาม
แต่ทักษะและประสบการณ์ต่อสู้ของเธอก็มิได้ลดน้อยลงเลย
กู่ฉิงซานถอยห่างไปไม่กี่ก้าว เพื่อเพิ่มระยะวิสัยทัศน์ เพ่งมองมันอย่างรอบคอบ
เห็นแค่เพียงอีเลียที่มิได้ใช้ออกด้วยสกิลหรือเทคนิคมนตราใดๆ เธอเพียงอาศัยกริชในการโจมตีเท่านั้น
… แถมยังไม่ปรากฏถึงเจตนาฆ่าแม้แต่น้อย
เหมือนกับว่าเธอกำลังประเมินสถานการณ์อยู่
ขณะที่ตัวกู่ฉิงซานไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเทคนิคลับของกริช และกลยุทธ์การโจมตีต่างๆของมันเลย
อีเลียที่เห็นเขาเดินถอยหลังไป เธอก็อดไม่ได้ที่จะหยุดและกล่าวอย่างไม่พอใจ “เจ้าจะหนีไปทำไม? ขนาดข้าระงับความแข็งแกร่งเอาไว้แล้ว เจ้าก็ยังไม่กล้าอีกหรือ?”
กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ยิ้ม และยกดาบยาวขึ้น
ในเสี้ยววินาที เห็นแค่เพียงคมกล้าของดาบและกริชปะทะเข้าหากัน กดดันกันไปมา ไม่มีฝ่ายใดยินยอมล่าถอย หลังจากนั้น ทุกสิ่งที่เห็นก็เหลือเพียงภาพติดตาที่ไม่อาจบอกบรรยายได้
เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
ในพริบตา สิบกระบวนท่าก็ผ่านพ้นไป
เห็นแค่เพียงกริชคู่ที่ไขว้เข้าหากัน ทานรับดาบยาวที่โถมกดทับลงมา และหากสังเกตดีๆจะพบว่าด้ามกริชกำลังสั่นสะท้านอยู่
สุดท้าย อีเลียกับกริชคู่ถูกผลักออก เธอจำต้องชักฝีเท้าถอยหลังไปกว่า7-8ก้าว จึงจะสามารถรักษาสมดุลร่างกายได้
เธอมองไปยังกดู่ฉิงซานด้วยความเหลือเชื่อ “ดูเหมือนความสามารถของเจ้าจะเป็นของจริง”
-นี่เขาสามารถค้นพบจุดอ่อนในกระบวนท่าของข้าได้อย่างงั้นหรือ?
จะให้มันจบลงแค่สิบกระบวนท่าจริงๆน่ะหรือ?
ไม่ ข้าต้องการที่จะยืนยันอีกครั้ง
ในจิตใจของอีเลียได้ทำการตัดสิน พลังจากทั้งคนทั้งร่างของเธอเริ่มลุกโชนเป็นฟืนเป็นไฟ
และกู่ฉิงซานก็สัมผัสได้ถึงมัน
ปัจจุบันนี้ ความผันผวนของฝ่ายตรงข้าม มันทะลุไปไกลเกินกว่าขอบเขตประทับเทพแล้ว
มองไปยังอีเลียอีกครั้ง ปรากฏถึงการแสดงออกที่ดูกระตือรือร้น หมายมั่นตั้งใจจะทดสอบเขา
‘เฮ้อ … เอาเถอะ ลองตั้งใจสู้ดูก็แล้วกัน’ เพราะในเมื่อการต่อสู้ตามปกติ มันมักจะมีความเป็นความตายเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ จึงไม่มีศัตรูเก่งๆหน้าไหนเลยที่ยอมลดขอบเขตวรยุทธของตนเพื่อมาประมือกับเขา
นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้จากอีกฝ่ายอีกด้วย
กู่ฉิงซานเมื่อคิดถึงจุดนี้ เขาก็วาดดาบยาวชี้ไปทางเธอ “ต้องการแลกเปลี่ยนกันอีกสักครั้งหรือไม่?”
“แน่นอน มาลองกันอีกครั้ง!”
อีเลียหายวับไปจากสถานที่เดิม และปรากฏกายขึ้นเบื้องหลังกู่ฉิงซาน
ในมือเธอวาดกริชที่สาดประกายเย็นเยียบออกไป
เคร้ง!
กู่ฉิงซานเหวี่ยงดาบกลับไปเบื้องหลังโดยไม่คิดหันมอง พอปัดป้องได้เขาก็ปลีกตัวไปอีกทาง
“คิดจะหนีหรือ?” อีเลียยิ้ม และเริ่มโฉบตามไล่ล่า
เห็นแค่เพียงร่างสองร่างที่วูบไหวไปๆมาๆในพื้นที่แคบ และบ่อยครั้งที่มักจะปรากฏเสียงปะทะหนักทึบของคมอาวุธขึ้นเป็นครั้งคราว
ทั้งสองต่อสู้กันไปกว่าสามสิบกระบวนท่า จนท้ายที่สุดกู่ฉิงซานก็สามารถโถมกดดันกริชคู่ได้อีกครั้ง และระเบิดกำลังเหวี่ยงอีกฝ่ายออกไป
พร้อมกับอีเลียที่กระเด็นถอยหลังตามแรงปะทะ
Ep.577 – มรดกของเหล่าทวยเทพ
ลอร่านั่งสบายๆลงบนไหล่ของกู่ฉิงซาน
บังเกิดความเงียบงันขึ้นโดยรอบ
ทหารพิทักษ์แต่ละคนมองหน้ากันด้วยความตกใจ
เหมันต์ยามค่ำอีเลียเบิกตากว้าง จ้องมองดูฉากนี้ด้วยความเหลือเชื่อ
หากคุณติดตามอ่านทุกประโยค ไทม์ไลน์ของเหตุการที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะเป็นเช่นนี้ –
กู่ฉิงซานควบตะบึงม้าทมิฬออกไป
ลอร่าให้คำมั่นสาบานตนว่าจะขึ้นเป็นกษัตรีย์อย่างเหมาะสม
กู่ฉิงซานกลับมาอีกครั้ง
และอุ้มลอร่าที่พึ่งสาบานตนไป นั่งลงบนไหล่เขา
ทหารพิทักษ์มองหน้ากันและกัน ในแววตาสื่อความหมายว่าต้องการคำอธิบายจากอีกฝ่าย
นี่ใช่เป็นการล่วงเกินหรือไม่?
เหมือนกับว่าจะมีบางอย่างไม่ถูกต้องนะ
ไอ้บ้าเอ๊ย!
แบบนี้มันไม่ถูกแน่นอนอยู่แล้ว!
กษัตรีย์แห่งวิหคหนามผู้ยิ่งใหญ่ จะไปนั่งลงบนไหล่ของมนุษย์ได้อย่างไรกัน!?
ลอร่าสังเกตได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากเดิมได้อย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากในร่างกายของอีเลีย ที่แทบจะควบคุมแรงกดดันเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
ลอร่าเร่งสงบใจ และเอ่ยปากออกมา “กู่ฉิงซาน นี่คือนายพลหนามของเรา เหมันต์ยามค่ำอีเลีย”
“อีเลีย นี่คือกู่ฉิงซาน เขาช่วยเราหลบหนีจากการไล่ล่าของทริสเต้ และตลอดทาง เขาได้ช่วยชีวิตเราเอาไว้อยู่หลายครั้ง”
นี่คือคำอธิบายที่รวดเร็ว และเหมาะสมที่จะใช้แก้สถานการณ์
อีเลียจึงจำใจทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น
“ขอบคุณเจ้ามาก ที่ช่วยชีวิตกษัตรีย์ของข้าเอาไว้” เธอโค้งกายให้แก่เขา
“โอ้ ไม่จำเป็นต้องสุภาพถึงขนาดนั้น ผมยินดีที่จะช่วยอยู่แล้ว” กู่ฉิงซานตอบกลับอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนทักทายกัน
บรรยากาศจึงค่อยผ่อนคลายลง
อีเลียสูดลมหายใจ เหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อมองไปยังท่าทีกระวนกระวายและแววตาอ้อนวอนของลอร่า เธอก็ถอนหายใจออกมาในที่สุด
ลืมมันเถอะ ลอร่าถึงยังเป็นเด็ก แต่หากคิดลงมือทำสิ่งใด เธอย่อมมีเหตุผลเป็นของตัวเองอยู่เสมอ
นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ลอร่าก็นั่งบนไหล่ของอีกฝ่ายอยู่ก่อนแล้ว
ดูเหมือนว่าลอร่าจะยอมรับในตัวอีกฝ่ายไม่น้อยเลย
หลังจากที่สูญเสียสมาชิกในครอบครัว หากมีคนที่สามารถให้ความอบอุ่นเด็กสาวเหมือนกับพ่อของเธอได้ มันก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น ในสงครามครั้งนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงเพียงลอร่า แต่กระทั่งตัวเธอเองก็ยังเหมือนกับว่าจะได้รับการช่วยชีวิตโดยอีกฝ่าย
ในช่วงที่กำแพงเมืองถูกตีแตก และกองทัพสัตว์ประหลาดผีที่ปิดล้อมกรูกันเข้ามาในเมือง เขาก็ได้ล่อพวกมันออกไป
‘แต่ว่านะ -’
‘พลังของเขามันไม่ได้แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นซักหน่อย?’
‘แล้วมนุษย์ผู้นี้สามารถกระทำการดังที่กล่าวมาได้อย่างไรกัน …’
‘ไม่ มันต้องมีอะไรแปลกๆเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน’
‘แต่รอก่อนดีกว่า เอาไว้หาโอกาสเหมาะๆ แล้วค่อยไปถามลอร่าเป็นการส่วนตัวในภายหลัง’
ฝูงชนได้มารวมตัวกันอีกครั้ง และออกเดินทางกลับไปยังเมืองไห่เช่า
ณ กลางดึก
เบื้องบนท้องฟ้า แสงสีทองที่กระเพื่อมไหวอยู่อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ค่อยๆแผ่วจาวลง
ผีแห่งความอลหม่านทั้งหมดได้เข้ามาสู่โลกใบนี้แล้ว ดังนั้นกำแพงอุปสรรคของทวยเทพจึงไม่ถูกกระตุ้นอีกต่อไป พวกมันจึงค่อยๆสงบลง
ตกดึก
ไร้ซึ่งเสียงใดๆภายในตัวเมือง
มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเอาชีวิตรอดจากการโจมตีอย่างรุนแรงของกองทัพผีมาได้
แม้แต่เหล่าสายพันธุ์เทพ ก็ยังรอดมาได้เพียง 20 กว่าชีวิตเท่านั้น
สายพันธุ์เทพได้ทำการแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งนำโดยเหลาเจียวมุ่งหน้าเข้าสู่วิหารใจกลางเมือง ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งออกไปนอกเมืองไห่เช่า เพื่อทำการซ่อมแซมกำแพงที่เสียหาย
ทุกคนต่างถูกระดมกันไปเพื่อปรับปรุงมาตรการป้องกันเมือง
ส่วนเหมันต์ยามค่ำอีเลีย ได้นำตัวลอร่าไปหาสถานที่พักผ่อน
เธอต้องการที่จะพูดคุยกับลอร่าเป็นการส่วนตัว
ดังนั้นจึงหลงเหลือกู่ฉิงซานเพียงลำพังภายในเมือง
ด้วยอำนาจของมนุษย์ผู้นี้เพียงลำพัง แต่กลับสามารถพลิกสถานการณ์รบทั้งหมดได้ ดังนั้นเวลานี้จึงไม่มีใครกล้าที่จะเรียกตัวเขาไปใช้งาน หรือกระทำสิ่งใด
เดินเล่นไปสักพัก กู่ฉิงซานก็สะกิดๆสายพันธุ์เทพที่เดินผ่านมาเพื่อถามบางสิ่ง
“เกิดอะไรขึ้นกับเหลาเจียว เขาหายไปไหนแล้ว?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“เขาไปเข้ารับการทดสอบจากมรดกตระกูลของพวกเรา” สายพันธุ์เทพตอบ
อีกฝ่ายดูจะโล่งใจไม่น้อยที่สามารถรอดพ้นจากภัยพิบัติที่กองทัพผีปิดล้อมเมืองเอาไว้ได้ สายพันธุ์เทพจึงตอบคำถามทั้งหมดโดยไม่คิดปิดบังใดๆ
“การทดสอบอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานทวนซ้ำด้วยความสงสัย
“ถูกต้อง เพราะเหล่าสัตว์ประหลาดผีและผู้เข้าสู่วิถีมาร พวกมันทั้งหมดกำลังหมายปองสมบัติของตระกูลเรา มรดกที่เหล่าทวยเทพทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง”
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่านั่นคือสิ่งที่พวกมันต้องการ?”
“เพราะพวกมันได้ส่งทูตมาอยู่หลายครั้ง แต่เราไม่เคยตกลงที่จะแลกเปลี่ยนวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลชิ้นนั้นกับพวกมันเลย ดังนั้น สุดท้ายสงครามจึงเกิดขึ้น”
กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็สามารถตระหนักได้ถึงใจความสำคัญของเรื่องนี้ทันที
ต้นกำเนิดทุ่มโจมตีโลกใบนี้อย่างบ้าคลั่ง ก็เพื่อต้องการค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่สามารถช่วยให้มันอัพเกรดตัวเองได้
มันคือวัตถุพิเศษที่เทพวิญญาณจากโบราณอันไกลโพ้นทิ้งเอาไว้เบื้องหลังในโลก 900 ล้านชั้น เป็นสิ่งที่มีอำนาจบังคับไม่ให้ทุกชีวิตไม่อาจวิวัฒนาการได้
สายพันธุ์เทพถอนหายใจ และกล่าว “อันที่จริงมันก็เป็นเวลานานนับหลายปีแล้ว ที่คนในตระกูลเราเฝ้าบูชามรดกของทวยเทพชิ้นนั้น แต่ไม่เคยคิดเป็นเจ้าของมันเลย ทว่ายามนี้สถานการณ์น่าหวาดวิตกยิ่ง พวกเราจึงต้องเข้ารับการทดสอบจากมัน และดูว่าใครกันจะกระตุ้นอำนาจของเหล่าทวยเทพเพื่อช่วยปกป้องบ้านเกิดของพวกเราได้”
“เดี๋ยวก่อนะ – คุณปล่อยให้เหลาเจียวไปเข้ารับการทดสอบมรดก ถ้าอ้างอิงตามคำพูดที่ว่ามานี้ หมายความว่าตัวคุณเองไม่ได้ไปรับการทดสอบหรือ?”
“น่าเสียดายที่การทดสอบของเหล่าทวยเทพน่ะยากเย็นเกินไป ยิ่งกว่านั้น ทุกคนยังได้รับการทดสอบที่แตกต่างกันออกไปอีก ดังนั้นจนถึงตอนนี้ ทางเราจึงไม่มีใครผ่านการทดสอบเลยแม้แต่คนเดียว”
“แต่ฉันคิดว่าพวกคุณก็ยังมีกันอีกหลายคนนี่นา ไม่ใช่หรอ?”
“ในหมู่พวกเรา มีเพียงสายพันธุ์เทพเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติพอ ที่จะเข้ารับการทดสอบเพื่อสืบทอดมรดกได้ ผู้ที่ไม่ใช่สายพันธุ์เทพ ย่อมไม่มีทางทานรับทดสอบได้ไหว และไม่อาจใช้วิชาที่เทพทิ้งไว้เพื่อผสานรวมกับมรดก”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเหลาเจียวถึงได้รีบร้อนนัก
เพราะหากเขาสามารถได้รับมรดกของเหล่าทวยเทพได้ ความแข็งแกร่งของเขาก็จะเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกัน เป้าหมายของต้นกำเนิดก็จะสูญสิ้นไป
เหลาเจียวจึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับเรื่องนี้
แต่ … แล้วถ้าหากเขาล้มเหลวล่ะ?
“ถ้าเหลาเจียวล้มเหลว พวกคุณจะทำอย่างไรกับวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า?” กู่ฉิงซานถามอย่างรวดเร็ว
“สายพันธุ์เทพที่เหลืออยู่จะไม่มีทางหักหันหลังให้แก่วัตถุศักดิ์สิทธิ์ของเทพวิญญาณ พวกเราจะสู้จนถึงวินาทีสุดท้ายและทำลายมันทิ้งเสีย!”
“ช่างเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก!” กู่ฉิงซานยกย่อง
ในกรณีที่ทุกอย่างจบลง พวกเขาก็ไม่ยินยอมมอบวัตถุศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ศัตรู แม้จักต้องทำลายมันลงก็ตาม
เหล่าผู้ที่ยังรอดชีวิต มีความกล้าหาญเสียจริงๆ
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ มันก็ไม่มีอะไรที่น่าห่วงแล้ว
กู่ฉิงซานค่อยๆผ่อนคลายความตึงเครียดในจิตใจลง
ในตอนนั้นเอง เสียงของผู้หญิงก็ดังมาจากเบื้องหลังเขา
“มิสเตอร์กู่ฉิงซาน”
เมื่อกู่ฉิงซานหันกลับไปมอง เขาพบว่าต้นตอของเสียงคืออีเลีย
“แล้วลอร่าล่ะ ไปอยู่ที่ไหน?” เขาเอ่ยถาม
“องค์กษัตรีย์กำลังมอบอุปกรณ์รบให้แก่ทุกคน” อีเลียกล่าว
“อ้อ -”
“มิสเตอร์กู่ฉิงซาน แม้ว่าสัตว์ประหลาดผีจะล่าถอยกลับไปแล้วก็ตามที แต่ลางสังหรณ์ร้ายในจิตใจของข้ายังคงเด่นชัดมิจางลงเลย ดังนั้นข้าจึงตั้งใจว่าจะไปตรวจสอบดูพวกมันเสียหน่อยว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ เจ้าสนใจจะไปด้วยกันหรือไม่?”
“ไม่มีปัญหา!”
กู่ฉิงซานตอบตกลงทันที
กล่าวตามตรง ลางสังหรณ์ในหัวใจของเขาเองก็ไม่สู้ดีนักเช่นกัน
“ยังไงก็ตาม ดูเหมือนว่าสภาพคุณคงไม่เหมาะที่จะไปตรวจสอบสถานการณ์ทางทหารนะ ผมว่าคุณควรไปพักผ่อนก่อนจะดีกว่า”
กู่ฉิงซานมองไปยังอีกฝ่าย
มีบาดแผลฉกรรจ์ไม่น้อยเลยบนตัวของอีเลีย
แม้ว่าเลือดจะหยุดไหลแล้ว แต่บาดแผลค่อนข้างลึก หากในกรณีที่เกิดการต่อสู้ขั้นรุนแรงขึ้น เกรงว่าเธอคงมิอาจสำแดงพลังที่แท้จริงของตัวเองออกมาได้
“มันไม่สำคัญหรอก อาการบาดเจ็บเท่านี้ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด” อีเลียยิ้มกว้างและกล่าว
กู่ฉิงซานเงียบไป
เขาตบลงในถุงสัมภาระทันใด คว้าเม็ดยารักษา แล้วโยนมันออกไป
“นี่คืออะไร?” อีเลียคว้าเม็ดยาเอาไว้และเอ่ยถาม
“มันคือเม็ดยาที่ปรุงด้วยเทคนิคพิเศษ ใช้ในการรักษาบาดแผล” กู่ฉิงซานกล่าว
อีเลียอังมันใต้จมูก สูดดมกลิ่นบางเบาของมัน ใบหน้าของเธอค่อยๆเริ่มเผยถึงความปิติ
“หกศิลในโลกแห่งผู้ใช้วรยุทธ นับว่าค่อนข้างที่จะมีชื่อเสียงในโลกนับล้านล้านใบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องค่ายกลและเม็ดยารักษา ข้าชื่นใจนักที่มีโอกาสได้เชยชมมัน”
ขณะกล่าว อีเลียก็โยนเม็ดยาเข้าไปในปากเธอ และเคี้ยวมันสองสามครั้ง
กู่ฉิงซานเฝ้ามองอีกฝ่ายกัดกินเม็ดยาครอบจักรวาลของตน และเริ่มตระหนักได้ว่าฉากนี้มันช่างดูคุ้นเคย …
เขาตบเพี๊ยะ! ลงบนหัวของตัวเอง
“อ่า ขอโทษที ผมลืมบอกไปว่าเม็ดยานี้มันช่วยรักษาอาการบาดเจ็บได้ผลทันทีก็จริง แต่มันยังมีผลในการชำระล้างภายในร่างกายอีกด้วย”
ชำระล้างภายใน?
สีหน้าของอีเลียเริ่มเขียวคล้ำ
วินาทีต่อมา คิ้วของเธอก็เริ่มขมวดเข้าหากัน ตามด้วยสองมือที่กุมลงบนท้องน้อยตนเอง
ไม่ผิดแล้ว ความรู้สึกนี้มัน –
“ขอตัวสักครู่!”
เธอสาดเสียงเย็นออกมา และหายตัวไปทันที
กู่ฉิงซานตกใจ นิ่งงันอยู่ในสถานที่เดิมไปพักหนึ่ง
ตามตัวของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ เกรงว่าในระหว่างที่กำลังจัดการกับปัญหาของตน เธอสมควรรู้สึกปวดร้าว ด้านชาไปทั้งแข้งขาเหมือนกันกับเหลาเจียวแน่ๆ
ซู้ด.. ..
กู่ฉิงซานสูดลมหายใจ และไม่กล้าที่จะคิดเกี่ยวกับมันอีกต่อไป
… ขี้เสร็จแล้ว เธอจะมาทุบตีฉันไหมนะ?
ลืมมันเถอะ ตอนนี้เขาคงต้องวางแผนแก้ปัญหานี้ล่วงหน้าไปก่อน
เพราะแม้ว่าจะมีเจตนาดี แต่จะต้องใส่ใจกับวิธีการด้วย
ถ้างั้นแล้วตอนนี้ฉันควรจะทำอย่างไรดี?
กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ
สายพันธุ์เทพที่เคยอยู่ตรงจุดนี้ได้จากไปนานแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะไปช่วยซ่อมแซมกำแพงเมือง
ดังนั้นจึงไม่มีใครอยู่รอบๆนี่เลย
งั้น ฉันควรจะรอสินะ อื้ม ไม่หนีหายไปดื้อๆคงจะดีกว่า
ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ทำอะไรให้อีกฝ่ายผิดใจไปมากกว่านี้ จะเป็นการดีที่สุด
Ep.576 – นกแตกรัง
ม้าทมิฬควบวิ่งสุดฝีเท้า
กู่ฉิงซานที่อยู่บนหลังม้า มองไปยังกองทัพสัตว์ประหลาดผีที่อยู่อีกฟากด้านหนึ่งของพื้นที่ราบ
ผียักษ์สองตัวที่มีความสูงกว่า 7-8 เมตร กำลังวิ่งไปมา ปากอ้าตะโกนลั่น พยายามจะรวบรวมกองทัพที่แตกพ่ายให้กลับมามั่นคงอีกครั้ง
พวกมันกวัดแกว่งดาบใหญ่ของตน หากมีภูติผีตัวใดไม่เชื่อฟัง ผีตวนั้นก็จะถูกสะบั้นศีรษะทันที
ด้วยวิธีการควบคุมอันเฉียบขาดและทรงประสิทธิภาพเช่นนี้ ส่งผลให้ภูติผีที่วิ่งแตกกระเจิงไปคนละทิศทาง เริ่มหยุดฝีเท้าลง และกลับมาก้มหน้ารับฟังคำสั่งของผู้บัญชาการผีดังเดิม
หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ตราบใดที่ให้เวลาพวกมันมากพอ กองทัพผีก็จะกลับมารวมตัวกันเป็นกลุ่มได้อีกครั้ง
แม้ว่าหากเทียบกับก่อนหน้านี้ กำลังรบจะลดลงเป็นอย่างมาก แต่จำนวนที่รวบรวมมาได้ก็ยังมีมากถึง 100000 ตน!
ด้วยปริมาณดังกล่าวนี้ ตัวกู่ฉิงซานย่อมไม่มีทางที่จะต่อกรกับพวกมันได้อย่างแน่นอน
หากเขากล้าที่จะวิ่งฝ่าเข้าไปกลางดงกองทัพผีนับแสนโดยลำพัง ก็คงมิแคล้วพานพบกับความตายในที่สุด
—เว้นเสียแต่ว่าเจ้าตัวจะใช้ค่ายกลดาบไท่หยีที่เสริมแกร่งขึ้นกว่า 36 เท่า อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นั่นมันเป็นไปไม่ได้
ขณะขบคิด กู่ฉิงซานก็พึมพำเสียงต่ำ “ไม่ได้การล่ะ ถ้าปล่อยให้พวกมันรวมกลุ่มกันได้โดยสมบูรณ์ ปัญหาใหญ่ก็จะตามมา … ”
เขาสั่งการนึกคิดในจิตใจ
ฟุบบบ!
ดาบพิภพปรากฏออกมาจากในความว่างเปล่า
“จงไปจัดการมันซะ” กู่ฉิงซานกล่าว
ได้ยินเพียงเสียง ‘ฟิ้ว’ ดาบพิภพทะยานตัวสูงขึ้นไปเบื้องบนท้องฟ้า และหายไป
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ
เห็นแค่เพียงกระแสแสงและเงา ตัดผ่านผืนฟ้า พุ่งฉีกอากาศลงไปยังตำแหน่งของกองทัพผีอีกด้านหนึ่งที่อยู่บนทุ่งราบ
และต้องไม่ลืมนะว่า นี่คือดาบพิภพที่หนักกว่า 86.37 ล้านจิน ผสานไปกับการร่วงตกลงจากที่สูงนับหมื่นไมล์!
ด้วยความสูง , ความเร็ว , แรงกระแทก สามสิ่งนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะสังหารอีกฝ่ายโดยที่ตัวกู่ฉิงซานไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคดาบใดๆ!
เขาเพียงควบคุมดาบพิภพ เล็งเข้าใส่ผู้บัญชาการผีด้วยจิตสัมผัสเทวะก็เท่านั้น
ตูม!!!
แรงกระแทกได้ก่อให้เกิดฝุ่นควันขโมง
ตลอดทั้งที่ราบลุ่มสั่นสะเทือนไปครู่หนึ่ง
ขณะที่ตำแหน่งของกองทัพผีเริ่มตกอยู่ในความวุ่นวาย
บังเกิดรูลึกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น
ผู้บัญชาการผีถูกสังหารตกตายลงโดยดาบพิภพทันที
กู่ฉิงซานเบนความสนใจไปยังผู้บังคับบัญชาผีอีกตนหนึ่ง
วูบบบ!
ดาบพิภพบินขึ้นมาจากหลุมลึก เหวี่ยงคมกล้าของตนตัดผ่านอากาศที่ว่างเปล่า ฟาดเข้าใส่ผียักษ์โดยตรง
“อา .. อา อ๊าาา ไปลงนรกซะ!”
ผู้บัญชาการผีเหวี่ยงดาบใหญ่ในมือเข้าต่อต้าน
เคร้ง!
ภายใต้เสียงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ดาบพิภพสุดท้ายก็ถูกหยุดไว้โดยผู้บัญชาการผีได้ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการผีกลับค่อยๆชักฝีเท้ากลับ สองเข่ากลายเป็นอ่อนเปลี้ย ทิ้งลงกระแทกกับพื้น
หัวของมันถูกตัดแยกออกจากลำตัว กระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า สาดหยดเลือดโปรยปรายลงมา
ในขณะที่มันกำลังรับมือกับคมดาบตรงหน้า .. จู่ๆก็ปรากฏดาบอีกเล่มสับสังหารมันจากเบื้องหลังอย่างกระทันหัน!
เทคนิคลับแห่งดาบ กลืนกินหวนกลับ!
สองผู้บัญชาการกองทัพผีได้สิ้นชีพลงแล้ว
ฝูงภูติผีที่ใกล้จะกลับมาเป็นระบบระเบียบ เริ่มแตกแถว สัญญาณแห่งความวุ่นวายกำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ผีแห่งความอลหม่านบางตนก็ได้ร่อนลงมาจากท้องฟ้า และคำรามเข้าใส่กองทัพผีทั้งหมด
เนื่องจากมันเป็นอสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลอันทรงภูมิปัญญา ผีแห่งความอลหม่านจึงตระหนักถึงจุดระส่ำนี้ แล้วก้าวเข้ามาควบคุมกองทัพภูติผีอย่างรวดเร็ว
ภายใต้การสั่งการของมัน ความวุ่นวายจึงค่อยๆสงบลง
“อ๋า? ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาใหม่มาอีกแล้วสิ คราวนี้ตาเจ้าแล้วนะ”
กู่ฉิงซานหันไปพูดกับความว่างเปล่าเบื้องหลังเขา
ทันใดนั้น ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็ผุดออกมา มันส่งเสียงฮึมฮัม พุ่งข้ามผ่านม้าทมิฬตรงไปยังกองทัพสัตว์ประหลาดผี
ดาบบินกระพริบไหวเพียงไม่กี่ครั้ง ในไม่กี่วินาทีต่อมามันก็มาถึงตำแหน่งของศัตรู
ดาบยาวที่คล้ายดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงเริ่มระเบิดชั้นแสงสายฟ้าออกมา และฟาดสับผีแห่งความอลหม่านโดยตรง
ผีแห่งความอลหม่านก็ว่องไวไม่แพ้กัน มันปลีกตัวออก หลบเลี่ยงทันที!
และเร่งบินหนีกลับขึ้นไปบนฟากฟ้า
ดาบบินเปลี่ยนร่างกลายเป็นฉานนู่
หญิงสาวในชุดคลุมฟ้ากุมดาบยาวในมือของเธอ และหายวับไป
สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!
ฉานนู่เคลื่อนกายมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนท้องฟ้า ดักอยู่เบื้องหน้าผีแห่งความอลหม่านพอดิบพอดี
เทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา!
รังสีดาบสีนวลผ่องดั่งจันทร์เสี้ยว ที่ตลอดทั้งตัวของมันปกคลุมไปด้วยชั้นแสงสายฟ้าฟาดสับลงมาแสกหน้าศัตรูจากเบื้องบน
ผีแห่งความอลหม่านไม่มีเวลามากพอกระทั่งจะเปล่งเสียงร้อง มันสลายเป็นขี้เถ้า ฟุ้งหายไปกับสายลมในจุดนั้นทันที
เมื่อเห็นถึงฉากนี้ ผีแห่งความอลหม่านที่อยู่ไกลออกไปก็เร่งหันหลัง และถอยออกไป
‘อย่ามาล้อเล่นนะ! พวกข้าสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่สามารถฉีกกฏเกณฑ์จากดาบเล่มนั้น’
‘ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มันสามารถปลดปล่อยสายฟ้าออกมาได้อีก!’
‘นั่นมันคือสิ่งที่พวกตนแพ้ทางโดยกำเนิด ไม่มีทางที่จะต่อกรได้ หนีก่อนจึงสมควรกว่า!’
กู่ฉิงซานที่เห็นถึงฉากนี้ ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจเล็กน้อย
ในช่วงเวลาไม่กี่ลมหายใจ สองผู้บัญชาการผีตกตาย ไม่เว้นกระทั่งผีแห่งความอลหม่านที่คิดเสนอหน้า ส่งผลให้ผีแห่งความอลหม่านตนอื่นๆหวาดกลัว และเลือกที่จะหลบหนีไป
เวลานี้ กองทัพสัตว์ประหลาดผีนับแสนตนก็ไม่มีผู้ใดสั่งการอีกต่อไป
“ครานี้ถึงตาของเจ้าแล้ว”
เขาหันหลังไปกล่าวเสียงกระซิบ
“ฉวัดเฉวียน!” เช่าหยินโห่ร้องออกมาอย่างร่าเริง โฉบกายตนออกไปอย่างกระตือรือร้น
มันบินไปยังตำแหน่งของกองทัพผี
ไม่นาน ทั้งสามดาบก็มารวมตัวกันในที่สุด
กู่ฉิงซานกระตุ้นเทคนิคดาบ
เปิดใช้งานค่ายกลดาบไท่หยี!
สามดาบบินเข้าโอบล้อมกองทัพสัตว์ประหลาดผีนับหมื่นแสน และเริ่มที่จะจัดวางร่างเงาดาบ
ร่างเงาดาบชั้นแล้ว ชั้นเล่าถูกจัดวางลงท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่า
เหล่าภูติผีพยายามที่จะโจมตีเงาดาบเหล่านี้ แต่ทว่าการจู่โจมของพวกมันกลับทะลุเงาดาบไปเลยโดยตรง มิอาจทำลายลงได้
ร่างเงาดาบเริ่มครอบคลุมหนาแน่น
กระแสลมเริ่มพัดหวน
ขณะเดียวกันก็เริ่มปรากฏร่องรอยจางๆของดาบสายลม
กองทัพผีตระหนักได้ถึงการปรากฏตัวของดาบสายลมนี้
บนพื้นดิน สัตว์ประหลาดผีนับแสนเริ่มระเบิดเสียงกรีดร้องคร่ำครวญออกมา
–ไม่นะ เจ้ากระบวนท่านี้อีกแล้ว!
สายลมที่เกิดจากปราณดาบ ได้ฝังความหวาดกลัวประทับลึกลงไปในจิตใจของพวกมันเป็นที่เรียบร้อย
สหายของพวกมันเกือบทั้งหมดถูกสังหารลงภายใต้ค่ายกลดาบไท่หยี ที่เสริมแกร่ง 36 เท่า!
แล้วในช่วงเวลานี้ ฝ่ายตรงข้ามก็ดูเหมือนว่าจะใช้ออกด้วยสกิลดาบที่ว่านั่นอีกครั้ง
พวกภูติผีตัดสินใจพร้อมกันทันที
—จะไม่มีทางรอให้ดาบสายลมก่อร่างขึ้นโดยสมบูรณ์หรอก!
เพราะความรู้สึกเดียวที่ฝังลึกในใจของพวกมันที่ได้รับจากดาบสายลมก็คือ
‘หากตอบสนองอย่างเชื่องช้า โชคชะตาเดียวที่รออยู่ก็จะมีเพียงความตาย!’
กองทัพผีโยนอาวุธในมือตนทิ้งอย่างไม่ลังเล และหลบหนีไป
พวกมันไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
ชีวิตน้อยๆของตน ย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!
ในเวลาสั้นๆ กลุ่มกองทัพผีที่พึ่งจะรวมตัวกัน ก็แตกกระเจิงอย่างรวดเร็ว
คราวนี้ ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งการแตกพ่ายของกองทัพได้อีกต่อไปแล้ว
สัตว์ประหลาดผีนับหมื่นแสนสับฝีเท้าหนีอย่างบ้าคลั่ง กระจัดกระจายวิ่งหายเข้าไปในป่านอกพื้นที่ราบลุ่ม
กู่ฉิงซานดึงบังเหียนม้า และหยุดมองชั่วขณะหนึ่ง
เฝ้ารอจนกระทั่งกองทัพผีหนีหายไป จนไม่หลงเหลือตนใดอยู่บนพื้นที่ราบลุ่ม เขาจึงค่อยสลายค่ายกลดาบไท่หยีลง
เพราะการใช้ค่ายกลดาบไท่หยีแบบธรรมดา มิได้เสริมแกร่งใดๆ มันก็จำเป็นที่จะต้องใช้พลังวิญญาณเช่นกัน
ในเมื่อเป้าหมายของตนได้บรรลุแล้ว กู่ฉิงซานก็ไม่เต็มใจที่จะจ่ายพลังวิญญาณใดๆออกไปอีก
ท้ายที่สุดนี้ ด้วยความแข็งแกร่งของเขา แม้ว่าจะทุ่มออกด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี มันก็ไม่สามารถสังหารกองทัพผีที่เหลือรอดทั้งหมดลงได้อยู่ดี
“ดั่งสำนวนที่ว่าแค่ทำให้หวาดกลัว จนนกแตกรังก็พอแล้ว …”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
เขาหันหัวม้าไปอีกทาง และควบมันตรงกลับไปยังเมืองไห่เช่า
หลังจากที่ถูกตนข่มขู่ไปซะขนาดนั้น คาดว่าหากสัตว์ประหลาดผีจะรวมตัวกันได้อีกครั้ง มันคงไม่ใช่เรื่องง่าย
และแน่นอน ว่าต่อให้พวกมันรวมตัวกันเป็นกองทัพขนาดใหญ่ได้อีก แต่การโจมตีเมืองไห่เช่าอีกคราย่อมยากเย็นยิ่งกว่าเดิมมากนัก
กู่ฉิงซานสะบัดบังเหียน และไม่นานก็กลับมาถึงที่ๆลอร่ากำลังรออยู่
“อ่าว? เหตุใดฝ่าบาทถึงไม่เข้าไปรอในเมืองกันล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยวความประหลาดใจ
“เจ้ามันคนขี้หลอกลวง เห็นได้ชัดว่าเจ้ามิได้คิดจะใช้ค่ายกลดาบจริงๆ แค่ขู่ให้พวกมันตื่นกลัวก็เท่านั้น” ลอร่ากล่าว
แต่ก็ต้องยอมรับว่ามนุษย์ผู้นี้ชาญฉลาดอย่างแท้จริง ที่สามารถใช้วิธีการดังกล่าวขับไล่ศัตรูไปได้
“หากบางสิ่งสามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องต่อสู้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี” กู่ฉิงซานตอบ
“หากสัตว์ประหลาดผีเหล่านั้นไม่เลือกที่จะหลบหนี แต่กลับพุ่งเข้ามาปะทะแทนเล่า ตัวเจ้าจะทำอย่างไร?” ลอร่าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“หากพวกมันไม่หนี กระหม่อมนี่แหละจะเป็นคนหนีเอง แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยมาคิดหาวิธีอื่นรับมือกับพวกมันอีกที” กู่ฉิงซานรวบรวด
“คนอย่างเจ้านี่มันบ้าบิ่นสิ้นดี … ”
“ฝ่าบาท การต่อสู้น่ะ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวได้ก่อนกัน เพราะต่อให้ศัตรูมีจำนวนมากกว่าก็ตาม แต่ถ้าใจไม่สู้แล้ว พวกมันก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด” กู่ฉิงซานลูบหัวเด็กสาว ก่อนจะอุ้มเธอมาวางพาดบนไหล่เข่า
ลอร่าอนุญาตให้เขาอุ้มโดยไม่รู้ตัว และปรับท่านั่งตนเองให้สะดวกสบาย
Ep.575 – ไม่ร้องไห้อีกต่อไป
ระบบเทพสงครามอธิบาย “สกิลที่เรียกกันว่ากฏแห่งการกระทำ(กรรม)น่ะ เป็นสกิลที่อยู่เหนือพื้นเพของทุกสิ่ง กุมอำนาจเกินกว่าขีดกำจัดของมิติและเวลา ผลของมันสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากต้นตอของทุกสิ่ง เป็นกฏที่ช่วยเสริมความเป็นไปได้บางประการ เพื่อให้บรรลุถึงผลลัพธ์ที่ตนเองปรารถนา”
“ … สกิลกฏแห่งการกระทำ … ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
กู่ฉิงซานพึมพำ
“เอาล่ะ ตอนนี้คุณก็เข้าใจความหมายของสกิลนี้แล้วใช่หรือไม่?” ระบบเทพสงครามถามต่อ
“ยังไม่ค่อยเข้าใจซะทีเดียว” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
มันเป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้ยินเกี่ยวกับสกิลกฏแห่งการกระทำ จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ที่ตนได้รับสมญา ‘ดาราจรัสเทพสงคราม’
“ค่อยๆไตร่ตรองอย่างช้าๆก็แล้วกัน”
เมื่อกล่าวจบ ระบบเทพสงครามก็ไม่สนใจเขาอีกต่อไป
ขณะนั้นเอง ทหารพิทักษ์ในกลุ่มได้ตะโกนขึ้น
“ดูนั่นสิ! ผีแห่งความอลหม่านกำลังจะมาแล้ว!”
กู่ฉิงซานวางคำถามของระบบเทพสงครามเอาไว้ก่อนชั่วคราว และเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า
เห็นแค่เพียงกระแสผีแห่งความอลหม่านที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ มุ่งตรงมายังทิศทางของพวกเขา
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”
กู่ฉิงซานกล่าวเสียงทุ้มลึก
เขาขับเคลื่อนธาตุสายฟ้าจากทั่วทั้งร่างกาย ถ่ายเทเข้าไปในค่ายกลดาบไท่หยี
ทันใดนั้นเอง ดาบขุนเขาเทวะหกโลกที่อยู่ลึกขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็เริ่มสาดแสงสายฟ้าไม่สม่ำเสมออกมา
ดาบสายลมที่กลับไปรวมตัวกันบนท้องฟ้า ค่อยๆเริ่มผุดแสงสีน้ำเงินจางๆ
สายฟ้าสวรรค์ปรากฏขึ้นแล้ว!
สายฟ้าซึ่งเป็นการลงทัณฑ์ขั้นสูงสุดในโลกของเหล่าทวยเทพ!
ควบคู่ไปกับพลังศักดิ์สิทธิ์อันเป็นเอกลักษณ์ : ‘แหกกฏ’ ของดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ส่งผลให้อานุภาพสายฟ้าพุ่งทะยานขึ้นถึงขีดสุด!
ผีแห่งความอลหม่านน่ะครอบครองสัมผัสอันเฉียบแหลม ทันทีที่พวกมันตระหนักได้ถึงกลิ่นอายของสายฟ้า ทั้งหมดก็เหลียวหลังกลับ และบินหลบหนีไปจากบริเวณสนามรบทันที
‘อย่ามาล้อเล่นนะ! พวกข้าไม่เกรงกลัวอะไรก็จริง แต่เจ้าสิ่งนี้เป็นข้อยกเว้น!’
ท้องฟ้าที่ครั้งหนึ่งคราคร่ำไปด้วยกองทัพผี เพียงไม่นานก็กลายเป็นโปร่งใส
กู่ฉิงซานเร่งฟื้นพลังสายฟ้า เขาตบลงในถุงสัมภาระ แล้วหยิบเม็ดยาฟื้นฟูพลังวิญญาณโยนเข้าไปกัดในปากโดยตรง
เบื้องหน้า
กองทัพสัตว์ประหลาดผีได้ละทิ้งการบุกเมือง จัดกระบวนทัพมุ่งลงมายังกลุ่มทหารม้าศึก
กู่ฉิงซานชำเลืองขึ้นไปมองค่ายกลดาบบนท้องฟ้า
ณ ขณะนี้ คือช่วงเวลาที่อำนาจของค่ายกลดาบกำลังพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด!
และยังพอเหลือเวลาอีกกว่า 12 ลมหายใจ ก่อนที่ค่ายกลดาบไท่หยีจะสลายไปโดยสมบูรณ์
หรืออีกความหมายนึงก็คือ สงครามจะต้องจบลงภายใน 12 ลมหายใจนี้!
กู่ฉิงซานตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
เขาวางลอร่าลงบนม้าทมิฬและตะโกนออกมา “ทุกคน ช่วยปกป้องเจ้าหญิงด้วย!”
“คุ้มครองฝ่าบาท!” ทหารพิทักษ์คำรามลั่น
พวกเขาเร่งควบม้าศึกมาล้อมรอบม้าทมิฬ ป้องกันลอร่าอย่างหนาแน่น
ส่วนกู่ฉิงซาน เขากระโดดลงจากหลังม้า ย่อตัวย่ำบนพื้นดินอย่างรุนแรง ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า
เมื่อมาถึงเบื้องบน สองเท้าก็หยั่งลงบนดาบสายลมเหลือคณา ในสมองนึกคิดสั่งการ เตรียมปลดปล่อยสกิลเทวะออกมา!
“สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว (ระดับสูง) : คุณสามารถระบุตำแหน่งที่ตนเองต้องการ หรือทำการล็อคกลิ่นอายของศัตรู ทำลายมิติที่ว่างเปล่า แล้วไปปรากฏตัวขึ้นในตำแหน่งที่ตนปรารถนาได้โดยตรง
“ระยะแสดงผล : ตามพิสัยจิตสัมผัสเทวะ”
ในครั้งอดีต บนธารเมฆามาร นางเซียนไป่ฮั่วมิเพียงใช้สกิลเทวะนี้ ฉกหม้อดินเผาจากมารสวรรค์ แต่เธอยังสามารถฉวยโอกาสทุบกำปั้นเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามได้อีกด้วย
และในเวลานี้ กู่ฉิงซานได้เลือกทะยานตัวขึ้นไป ดูดซับปราณดาบสวรรค์จนท่วมท้นไปทั้งกายตน อัดแน่นดั่งพายุเฮอริเคน จากนั้นก็ใช้ออกด้วยสกิลเทวะนี้
ทั้งคนทั้งร่างของเขาหายวับไปจากท้องฟ้า
และปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งกลางดงกองทัพผีอย่างกระทันหัน
“สงคราม … มันยังไม่จบลงเพียงแค่นี้หรอกนะ!”
กู่ฉิงซานที่ยืนอยู่ใจกลางพายุเฮอริเคน กวาดสายตาลงลงบนทหารภูติผีนับพัน ปากเปล่งเสียงกระซิบ
พร้อมกับเทคนิคของดาราจรัสเทพสงคราม ที่ถูกใช้งานอีกครั้ง
สัตว์ประหลาดผีหวีดคำรามคลั่ง นับร้อยนับพันพุ่งกระโจนเข้าหาเขา
ทันใดนั้นเอง พายุเฮอริเคนที่ว่ายวนอยู่รอบกายกู่ฉิงซาน ก็ค่อยๆแยกตัว คว้านออกไปทุกทิศทาง
ฟุบ
ฟุบบ
ฟุบบบ
กู่ฉิงซานก้าวไปที่ใด สายลมจะกวาดนำเขาออกไปยังเบื้องหน้า ล้างบางภูติผีนับไม่ถ้วนหาย ลบพวกมันออกไปพร้อมๆกันกับสายลม
โดยการใช้วิธีนี้ตัวเขาจึงสามารถเผชิญหน้า ต่อกรกับศัตรูนับหมื่นแสนโดยลำพังได้
พวกภูติผีทยอยกันถูกสังหารลง
ในขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็ปล่อยดาบสายลมขนาดเล็ก พุ่งเข้าสู่เมืองไห่เช่า
แล้วดาบสายลมก็หายไป
แต่เมืองไห่เช่าก็สามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของสายลม
วินาทีนั้นเอง ร่างมรกตพลันปรากฏขึ้นบนกำแพงเมือง
—อีกฝ่ายเฝ้ารอสัญญาณจากสายลมมาเป็นเวลาเนิ่นนาน และในตอนนี้สายลมก็ได้มาเยือนแล้ว!
ร่างมรกตจ้องมองสถานการณ์รบบนทุ่งราบอย่างใกล้ชิด
ตั้งแต่สิ้นสุดสกิลการเรียกขานของวิหคหนาม เธอก็เฝ้ารอสัญญาณสายลมนี้มาโดยตลอด!
ทุกสิ่งที่อยู่บนทุ่งราบลุ่ม ปรากฏสู่สายตาเธอ
กองทัพภูติที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่ และฟุ้งไปด้วยความน่าหวาดกลัว บัดนี้ถูกพัดกระเจิงโดยพายุสลาตัน หลงเหลือเพียงไม่กี่หน่วยทัพเล็กๆ กระจัดกระจายกันออกไปเท่านั้น
แม้แต่กองทัพขนาดเล็กที่หลงเหลืออยู่ ก็ยังวิ่งหลบหนีด้วยความตื่นตระหนก
“ได้เวลาแล้ว พวกเราบุกโจมตีได้”
“ทุกคนขยี้พวกมันซะ!”
ร่างมรกตตะโกนสั่ง
ช่วงเวลานั้นเอง สายพันธุ์โบราณนับสิบที่มีขนาดใหญ่โต มิแตกต่างไปจากขุนเขาก็กระโดดลงจากเมือง ทิ้งตัวลงบนพื้นที่ราบลุ่ม ยามเมื่อเท้าของพวกมันหยั่งพื้น เสียงสั่นสะเทือนไปทั้งสวรรค์และโลก
“สู้เพื่อโลกของเหล่าทวยเทพ!”
เหล่ามอนสเตอร์โบราณแผดสุดเสียง
พวกเขาบุกทะลวงเข้าใส่กองทัพสัตว์ประหลาดผีที่แตกกระจัดกระจายหลบหนี โถมกายเข้าฟาดฟันด้วยกำลังทั้งหมดที่พวกตนมี
ร่างมรกตเริ่มเคลื่อนไหว เธอลอยข้ามผ่านสนามรบ บินไปยังส่วนปลายของพื้นที่ราบลุ่มอย่างอ่อนโยน
ในส่วนปลายของพื้นที่ราบลุ่ม ทหารพิทักษ์ที่รายล้อมม้าทมิฬ ควบม้าศึกตรงเข้ามาหาเธอ
ส่วนกู่ฉิงซานในเวลานี้ จู่ๆเขาก็หยุดฝีเท้าลง
นั่นเพราะสายลม … ได้หยุดลงแล้ว
ค่ายกลดาบไท่หยีสิ้นสุดลง และสงครามก็ใกล้ที่จะมาถึงจุดจบ
สามดาบร่อนลงมาจากฟากฟ้า ว่ายวนรอบตัวกู่ฉิงซาน ก่อนจะทยอยกันหายเข้าไปในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขาตามลำดับ
ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
กู่ฉิงซานหันกลับไปมองเบื้องหลังเขา
เขาพบว่าเหมันต์ยามค่ำอีเลียได้รับตัวลอร่าเรียบร้อยแล้ว และพวกเธอกำลังตรงมาทางนี้
ทั้งสองรวมกลุ่มกันได้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่สายพันธุ์โบราณยังคงทะลวงฝ่ากองทัพภูติที่แตกกระเจิง วิ่งตรงไปข้างหน้า
จนในที่สุด ทุกคนก็ได้มารวมตัวกัน
มองไปยังอีเลีย เธอเป็นทหารหญิงที่มีความสูงชะลูด ตลอดทั้งกายสวมใส่เกราะรบสีมรกต ไม่เว้นกระทั่งเกราะหมวกที่ปิดมิดชิด จนไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเธอได้
“เพื่อความปลอดภัย พวกเราสมควรที่จะกลับไปยังเมืองไห่เช่าก่อนเป็นอันดับแรก!” เธอตะโกนไปทางกู่ฉิงซาน
“เข้าใจแล้ว พวกคุณไปกันก่อนเลย เดี๋ยวผมจะตามไป” กู่ฉิงซานตอบกลับ
วิสัยทัศน์ของเขาเบนออก ตกลงไปยังส่วนหลังของพื้นที่ราบลุ่ม
เห็นแค่เพียงร่างของผู้บัญชาการผียักษ์อยู่อีกฝากหนึ่ง และกำลังพยายามตะโกนเรียกกองทัพสัตว์ประหลาดผีที่แตกพ่ายให้กลับมารวมกลุ่มกัน
เกรงว่าหากพวกมันสามารถรวบรวมกองทัพได้อีกครั้ง และประสานกำลังกับผีแห่งความอลหม่านนับไม่ถ้วนที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า พวกมันคงจะย้อนกลับมาตีเมืองไห่เช่าอีกครั้งแน่ๆ
“ลอร่า”
“อ๋า ว่าไง?”
“ขอยืมม้าสักครู่สิ”
“ก็นึกว่าเรื่องอะไรซะอีก เอ้า เอาไปได้เลย”
ลอร่ากระโดดลงจากหลังม้าทมิฬ และจูงบังเหียนมันไปมอบให้แก่กู่ฉิงซาน
“กู่ฉิงซาน เจ้ากำลังคิดจะทำสิ่งใด?” ลอร่าเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ก็แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ท่านกลับไปที่เมืองก่อนเถอะ จบเรื่องแล้วกระหม่อมจะรีบตามไปที่นั่นทันที” กู่ฉิงซานยิ้ม และลูบลงบนหัวของเธอ
ก่อนจะกระโจนขึ้นบนหลังม้า
ม้าทมิฬเอ่ยถาม “เวลานี้ท่านต้องการจะหลบหนี หรือว่าจะสู้?”
กู่ฉิงซานชี้ไปยังเบื้องหลังที่ราบลุ่ม ตรงจุดที่กองทัพผีกำลังรวมกลุ่มกัน และกล่าวอย่างช้าๆ “จงเร่งสุดฝีเท้า มุ่งไปยังจุดนั้น”
ตูม!
ม้าทมิฬทะยานออกตัว ทิ้งไว้เพียงฝุ่นผง
“นั่นเขาคิดจะทำอะไรกัน?” อีเลียอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน” ลอร่าตอบ
อีลียกล่าวด้วยความสงสัย “กระบวนท่าเมื่อครู่ของเขา มันทรงอำนาจอย่างไร้เหตุผล ไม่สอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์กับความแข็งแกร่งของเขา กระหม่อมคาดเดาว่าเขาคงต้องจ่ายราคาที่หนักหนาเอาการทีเดียว จึงจะเปิดใช้งานมันได้ แต่ตอนนี้ ยังมิทันได้พักเลย เขาก็คิดจะลงมืออีกแล้ว?”
ตรงจุดนี้ ในหัวใจของทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยเช่นกัน
ลอร่า “เราเองก็ไม่รู้เรื่องอะไรมากนักหรอก แต่เราจะรอเขาที่นี่”
พอได้ฟัง อีเลียก็กวาดมือออกไป
เหล่าสายพันธุ์โบราณกระจายตัวอย่างรวดเร็ว จัดกระบวนปกป้องสถานที่แห่งนี้
“องค์กษัตรีย์ กระหม่อมรับบัญชาตามเป้าประสงค์ของท่านแล้ว” อีเลียกล่าว
ลอร่าพอได้ยินคำกล่าวของอีกฝ่าย เจ้าตัวก็ช็อคไป
อีเลียยิ้ม และตอบกลับไปอย่างสงบ
“ประเทศไม่สามารถอยู่ได้โดยไร้ซึ่งเจ้าของนะ ลอร่า”
“อา … ”
ลอร่าค่อยๆเริ่มที่จะตระหนักถึงบางสิ่ง
นั่นสินะ ท่านพ่อของเธอถูกลอบสังหารลงอย่างกระทันหันโดยทริสเต้ไปแล้วนี่นา
ท่านแม่กับพี่ชายของเธอเองก็ได้ล่วงลับไปแล้วเช่นกัน
ช่วงเวลานี้ เชื้อพระวงศ์ทั้งหมด หลงเหลือเพียงตนเองเท่านั้น
ตนเอง
โดดเดี่ยว ลำพัง
ความโศกเศร้าที่ไม่อาจบอกบรรยายเป็นคำพูดได้ เริ่มเอ่อทะลักเข้ามาในจิตใจของเด็กสาว
ลอร่าส่ายหัว แต่ก็ไม่สามารถระงับอารมณ์ของเธอได้
น้ำตาไหลรินออกมา
“ลอร่า เข้มแข็งเข้าไว้สิ” อีเลียถอนหายใจ กล่าวปลอบประโลม
ท้ายที่สุดนี้ กษัตรีย์ของเธอยังเด็กเกินไป ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กสาวจะสามารถแบกรับภาระของอาณาจักรได้หรือไม่
แต่ตอนนี้ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
“เรารู้ตัวนะ แต่เราก็แค่ … ”
น้ำตาของลอร่าไหลไม่หยุด เธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
แต่ทันใดนั้นเอง ดวงตาของเธอก็กวาดข้ามผ่านไปยังเบื้องหลังพื้นที่ราบลุ่ม
ปรากฏถึงม้าทมิฬที่กำลังควบวิ่ง
ผู้ชายที่อยู่บนหลังมันสะบัดบังเหียน เร่งความเร็วไม่หยุด คล้ายยังคงไม่พึงพอใจกับความเร็วขณะนี้ ปากอ้าตะโกนเสียงดัง “ทะลวงเข้าไปเลย!”
ในมือของเขา คว้าจับดาบยาวที่พึ่งปรากฏออกมาจากในอากาศ
เขาพุ่งหากองทัพภูติผีนับพันหมื่น ใกล้จะปะทะกับพวกมันโดยตรง
ลอร่ามองไปยังฉากนี้ นิ่งงันไปพักหนึ่ง
ทันใดนั้นเอง บทสนทนาระหว่างเขาและเธอเริ่มไหลผ่านเข้ามาในจิตใจ
‘หืม? นี่เจ้าเป็นเด็กกำพร้างั้นหรอ?’
‘ใช่ แต่กระหม่อมชินแล้ว … จะบอกอะไรให้นะ ว่าเด็กกำพร้าน่ะก็มีข้อได้เปรียบยิ่งกว่าคนอื่นเขาอยู่เหมือนกัน’
‘ข้อได้เปรียบอะไร?’
‘อย่างเช่นถ้าเราตาย ก็ไม่จำเป็นต้องมากังวลว่าจะมีคนในครอบครัวมาร่ำไห้ยังไงล่ะ’
‘นั่นมันข้อได้เปรียบบ้าบออะไรกัน .. ‘
‘ทำไม? มันไม่ดีหรือ ลองคิดดูนะ ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ฝ่าบาทเห็นคนอื่นๆกำลังเศร้าโศกเพราะตนเอง ฝ่าบาทก็จะเศร้าโศกไปด้วย แต่ความได้เปรียบของเราก็คือ พวกเราจะสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนั้นที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้’
‘ … แล้วแบบนี้ สิ่งที่ตัวเรากำลังเผชิญอยู่ มันพอจะเรียกว่าเป็นข้อได้เปรียบเช่นเดียวกันหรือเปล่านะ?’
‘แน่นอนอยู่แล้วฝ่าบาท’
ลอร่าอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
ที่บอกว่าได้เปรียบ
ดูเหมือนว่าเขาจะพูดจริงสินะ …
ไม่อย่างนั้นแล้ว บุรุษผู้นี้ คงมิกล้ากระโจนเข้าหากองทัพภูตินับพันหมื่นเช่นนี้หรอก
ค่ายกลดาบของเขาก็ได้ถูกใช้ไปแล้ว เรียกได้ว่าตอนนี้เขาไม่สามารถกดดันฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสมบูรณ์!
เมื่อคิดเกี่ยวกับมัน ลอร่าก็ค่อยๆลืมเลือนความโศกเศร้าของตัวเองไป
เธอจิกริมฝีปาก เบนสายตากลับมาสบกับอีเลีย ผงกหัวให้อีกฝ่ายเล็กน้อย
“เราพร้อมแล้ว”
แม้จะยังมีน้ำตา แต่เธอก็เปล่งเสียงออกมาด้วยความหนักแน่น
อีเลียโน้มกายลงทันที คุกเข่าข้างหนึ่งต่อหน้าลอร่า
แล้วทันใดนั้น ทหารพิทักษ์ทั้งหมดก็ลงจากหลังม้า และคุกเข่าลงรอบๆลอร่าเช่นกัน
“ลอร่า นับจากนี้ไป ท่านคือกษัตรีย์แห่งวิหคหนามที่แท้จริง” อีเลียกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ทรงพระเจริญ!”
ทหารพิทักษ์ทั้งหมดโค้งหัวลง และตะโกนพร้อมกัน
ลอร่ามองทหารที่อยู่รอบกาย ก่อนจะกลับมามองที่อีเลีย
อีเลียถอดเกราะหัวของเธอ เผยรอยยิ้มแย้มบนใบหน้าให้กับลอร่า
ลอร่าสูดลมหายใจลึก และพยายามควบคุมอารมณ์ของเธอ
ในที่สุด ดวงตาของเด็กสาวก็เลื่อนตกลงตรงร่างบนม้าทมิฬ
เธอปาดน้ำตาที่ไหลรินอยู่บนใบหน้าของตัวเอง
ท่ามกลางการคุ้มครองของสายพันธุ์โบราณนับหลายสิบ ต่อหน้าทหารพิทักษ์แห่งอาณาจักรหนาม ลอร่าได้กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
เธอกล่าวอย่างเฉียบขาด “นับตั้งแต่วันนี้ เราจะไม่ร้องไห้อีกต่อไป”
“เราจะนำพาผู้คน เอาชนะศัตรูทั้งหมดทั้งมวลที่ขวางทางอยู่เบื้องหน้า”
“เราจะปกป้องประเทศของเรา ดินแดนของเรา ปกป้องผู้คนและทุกๆสิ่งทุกอย่าง!”
“ในฐานะ กษัตรีย์แห่งวิหคหนาม!”
Ep.574 – เทคนิคของเทพสงคราม
“กู่ฉิงซาน!”
“กู่ฉิงซาน!!”
“กู่ฉิงซาน!!!”
ลอร่าตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“มีอะไร?” กู่ฉิงซานตอบเธอในที่สุด
“แล้วจะให้พวกเราคนอื่นๆรับมือกับสงครามในครั้งนี้กันอย่างไร?”
เธอมองไปยังทหารพิทักษ์โดยรอบ และมองไปยังกองทัพภูติที่ตรงเข้ามา
“ก็แค่มุ่งไปข้างหน้า แล้วฆ่าพวกมันซะ” กู่ฉิงซานตอบ
เขาพลิกฝ่ามือตน หยิบเอาดิสก์ค่ายกลออกมา และทำการจัดวางหลายสิบค่ายกลต่อสู้ขนาดใหญ่ในลมหายใจเดียว
จิตวิญญาณชั้นแล้วชั้นเล่าเริ่มก่อตัวจากดิสก์ค่ายกล และครอบคลุมทั้งกลุ่มคนที่กำลังควบม้า
“ขอให้ทุกคนใส่ใจกับการป้องกันด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว
“แล้วในเรื่องการโจมตีล่ะ?” บางคนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
แต่กู่ฉิงซานไม่ตอบ
และเมื่อกองทัพภูติเริ่มประชิดเข้ามา-
กู่ฉิงซานก็ตะโกนขึ้นในฉับพลัน “จงตื่นขึ้น!”
ยามเมื่อเสียงของเขาดังขึ้น
จากเบื้องหลังของเหล่าผู้ควบม้า เหนือพื้นที่ราบลุ่มอันกว้างใหญ่ เบื้องบนท้องฟ้าสูง ท่ามกลางหมู่มวลเมฆอันไร้ที่สิ้นสุด เริ่มบังเกิดสายลมพัดหวน
ดาบพิภพ
ดาบเช่าหยิน
และดาบขุนเขาเทวะหกโลกา
ไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่สามดาบได้ไปปรากฏขึ้นท่ามกลางทะเลเมฆ
พวกมันวูบตัดผ่านเมฆหนาทึบอย่างรวดเร็ว ว่องไวเกินกว่าความเร็วทั่วๆไป
ขณะที่พวกมันกำลังเคลื่อนไหว ตามเส้นทางที่ตัดผ่าน กลับเหลือทิ้งร่างเงาของดาบแช่ไว้ในอากาศที่บางเบา เริ่มก่อตัวเป็นรูปแบบค่ายกลพิเศษขึ้น
หนึ่งดาบ
สิบดาบ
ร้อยดาบ
พันดาบ
หนึ่งหมื่นดาบ
หนึ่งล้านดาบ!
ร่างเงาของดาบกำลังก่อรูปขึ้น!
เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ร่างเงาดาบทั้งหมดก็หยุดลงโดยพร้อมเพียง และเริ่มส่งเสียงหึ่งๆออกมา
ค่ายกลดาบไท่หยี
ถูกจัดวางเสร็จสิ้นแล้ว!
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว-
พายุเฮอริเคนพัดเป่ามวลเมฆบนท้องฟ้า ส่งผลให้ชั้นเมฆโดยรอบถูกทำลาย สลายหายไปมิอาจมองเห็นได้อีกเลย
ขณะเดียวกัน เจตนาฆ่าจากร่างเงาดาบก็ได้เข้ามาแทนที่มวลเมฆ และกระจายไปทั่วฟ้า
พริบตานั้นเอง ร่างเงาดาบก็กระพริบไหวพร้อมกัน
แล้วจู่ๆดาบสายลมที่มองไม่เห็นก็ร่วงตกลงมาจากฟากฟ้า และกวาดลงสู่พื้นที่ราบลุ่มเบื้องล่าง
สายลมอ่อนๆพัดลงบนผืนดิน และประกบติดกับม้าทมิฬอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน กระแสลมดั่งคลื่นใหญ่ ก็ได้พัดผ่านวิหคสิบกว่าคนที่กำลังควบม้าไปอย่างแผ่วเบา และกวาดต่อตรงไปยังกองทัพสัตว์ประหลาดผีที่อยู่ตรงกันข้าม
ท่ามกลางความเงียบ สายลมพัดผ่านเข้าไปยังกองทัพผีนับพัน และ
ปัง!
จู่ๆก็เกิดพายุระเบิดออกมา!!!
บนที่ราบลุ่ม กองทัพขนาดใหญ่ของภูติผีหายวับไป ราวกับถูกลบออกไปในอากาศที่บางเบา
ทุกสถานที่ เมื่อใดก็ตามที่ดาบสายลมพัดผ่านไป จะไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องใดๆเลย นอกจากเห็นแค่เพียงทุกอย่างถูกทำลายลง
กองทัพผีขนาดใหญ่ถูกสายลมกวาดออกไปด้วยแรงลม ก่อให้เกิดเส้นทางราวกับทะเลแหวก เปิดทางที่พวกมันขวางกั้นให้แก่กลุ่มของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานควบม้าไปยังทิศทางใด สายลมก็จะพัดผ่านเขา กวาดตรงไปยังเบื้องหน้าตลอดเส้นทาง
ภูติผีบางตนต้องการที่จะก้าวเข้ามาหยุดเขา แต่ก็ถูกเป่าเป็นผง ปลิวหายไปด้วยฝีมือของดาบสายลมโดยตรง
“จงหลบเลี่ยง – เปิดทางให้สายลมซะ!”
ผู้บัญชาการผียักษ์ สังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว จึงตะโกนออกมา
กองทัพผีเร่งกระจายตัวเป็นสองฟากฝั่งทันที
ใช่แล้วล่ะ ระยะโจมตีของดาบสายลมนั้นกว้างมากก็จริง
แต่ท้ายที่สุดนี้ ทุ่งราบลุ่มน่ะมีขนาดกว้างใหญ่ยิ่งกว่า ตราบใดที่พวกภูติผีกระจายตัวออกไป หลบเลี่ยงพื้นที่พายุสังหาร และเฝ้ารอให้ดาบสายลมหายไป พวกมันก็ยังคงสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้
และเมื่อเวลานั้นมาถึง ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะไล่ตามศัตรูแค่ไม่กี่สิบคน
ปรากฏถึงฉากอันน่าตื่นตะลึงขึ้น
กองทัพภูติผีแตกกระเจิง หลบหนีไปทุกทิศทาง ปล่อยให้ศัตรูไม่ถึงยี่สิบคนควบม้าฝ่ากระแสกองทัพไป
ม้าทมิฬวิ่งตรงไปยังเบื้องหน้าตลอดเส้นทาง นำพาอีกสิบหกคนมุ่งสู่เมืองไห่เช่า!
กู่ฉิงซานที่นั่งอยู่บนหลังม้า คอยเฝ้ามองแต้มพลังวิญญาณที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างใกล้ชิดบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่จู่ๆอัตราการเพิ่มพูนของแต้มพลังวิญญาณค่อยๆชะลอลง
กู่ฉิงซานหันมองรอบๆ และพบว่าภูติผีเริ่มแยกย้ายกระจัดกระจายตัวออกไป
“ไปเร็ว! พวกเราจะวิ่งฝ่าพวกมัน มุ่งหน้าสู่เมืองไห่เช่า!” ลอร่ากรีดร้องด้วยความตื่นเต้น
“พะยะค่ะ องค์หญิง!”
ทหารพิทักษ์ตอบรับเสียงดังด้วยความสุข
เดิมที พวกตนคิดว่าคงตายในสงครามแน่ๆแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกคนจะไม่มีความคิดเช่นนั้นอีกต่อไป
สภาวะจิตใจของทุกคนกลับมามั่นคง กำลังใจพุ่งขึ้นสูงถึงขีดสุด
ทว่ากลับมีเฉพาะเพียงกู่ฉิงซานเท่านั้นที่ดูจะไม่เต็มใจให้พวกสัตว์ประหลาดผีเปิดทางให้และหนีไป
-เพราะพวกมันล้วนแล้วแต่เป็นแต้มพลังวิญญาณ!
แต่เดี๋ยวก่อน
เดี๋ยวนะ
จู่ๆกู่ฉิงซานก็นึกได้ถึงอะไรบางอย่าง
‘ฉันพึ่งจะได้รับสมญาใหม่ : ดาราจรัสเทพสงคราม มานี่นา’
“เมื่อสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ : พิชิต”
“พิชิต : เมื่อคุณใช้สกิลนี้กับศัตรูที่เป็นเป้าหมาย พวกมันทั้งหมดจะโจมตีคุณด้วยเหตุผลบางประการ”
“คำอธิบาย : สกิลนี้เป็นวิชาลี้ลับ เป็นสกิลกฏแห่งการกระทำ(กรรม) และมันไม่สามารถหลบเลี่ยงได้”
“คำอธิบาย : จะพิชิตหรือเป็นฝ่ายถูกพิชิต นั่นแหละปัญหา”
หรือว่า … จะลองใช้มันดีไหมนะ?
มองไปยังเส้นทางเบื้องหน้าที่ว่างเปล่า กู่ฉิงซานก็เลิกลังเล เปลี่ยนสมญา ‘ผู้บัญชาการรบ’ เป็น ‘ดาราจรัสเทพสงคราม’ ทันที
เมื่อทำการเปลี่ยนสมญา เขาก็เริ่มต้นเปิดใช้งานเทคนิค ‘พิชิต’ กับกองทัพภูติผีทั้งหมด
ทันใดนั้นเอง สถานการณ์ในสนามรบก็แปรเปลี่ยนไป
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จู่ๆ ผู้บัญชาการรบผีก็ค้นพบถึงตัวตนของกู่ฉิงซาน
มันจ้องมองดูกู่ฉิงซาน ก่อนจะแหงนหน้ามองร่างเงาดาบที่กระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า
ไม่ช้า มันก็จับสังเกตได้ว่ามีเจตดาบแบบเดียวกันบนตัวของกู่ฉิงซาน
แล้วมันก็เข้าใจถึงความจริงบางอย่าง!
ผู้บัญชาการผีวาดดาบใหญ่ชี้ไปทางกู่ฉิงซานและตะโกนก้อง “สังหารคนผู้นั้นซะ มิฉะนั้นกระแสลมจะไม่มีวันหยุด!”
เหล่าภูติผีที่กำลังวิ่งหนี หยุดฝีเท้าลงทันที
สหายของพวกมันตกตายลงเป็นจำนวนมากด้วยน้ำมือของกู่ฉิงซาน
ขณะที่พวกมันได้แต่วิ่งหนีด้วยความอับอาย
ทั้งๆที่ศัตรูมีแค่ไม่กี่สิบคน แต่ฝ่ายตนกลับต้องวิ่งหางจุกตูด!
ความโกรธเกรี้ยวนี้ คุกรุ่นอยู่ในจิตใจของเหล่าสัตว์ประหลาดผีมานานแล้ว
และตอนนี้ เมื่อพวกมันได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการ ความโกรธในจิตใจก็มิอาจระงับได้อีกต่อไป!
ก๊าซซซซ!
ภูติผีกรีดร้องคลุ้มคลั่ง ทั้งหมดเริ่มหันกลับมาวิ่งเข้าหากู่ฉิงซาน
ต้องฆ่ามัน ต้องฆ่าเจ้ามนุษย์คนนั้นให้จงได้!
เพียงเสี้ยววินาทีเดียว กองทัพภูติผีก็เปลี่ยนทิศทาง วิ่งกลับเข้ามาชาร์ตใส่ดาบสายลมอีกครั้ง!
แม้ว่าพวกมันจะสูญเสียกำลังพลไปบ้าง แต่อย่างไรก็จักต้องฝ่าอุปสรรคดาบสายลม และเข้าไปฆ่าเจ้ามนุษย์ให้จงได้!
อย่างไรก็ตาม
ด้วยค่ายกลดาบไท่หยีที่สั่งสมแต้มพลังซ้อนทับกันกว่า 36 เท่า เป็นไปได้จริงๆหรือที่พวกมันจะต่อต้าน?
ดาบสายลมบัดนี้ราวกับเครื่องบดเนื้อ ไม่ว่าสายลมจะหวนไปทิศทางใด เบื้องบน : หมู่มวลเมฆก็จะถูกกวาดออกไป ขณะที่เบื้องล่าง : สัตว์ประหลาดผีที่อยู่ในอาณาเขตก็ถูกล้างบางจนสิ้น
ลอร่ากับทหารพิทักษ์เฝ้ามองฉากนี้อย่างตกตะลึง
“ข้าว่า เจ้าภูติผีพวกนี้มันสมองพิการไปแล้วใช่หรือไม่?” ทหารคนหนึ่งกระซิบ
“ไม่น่าจะใช่ ข้าว่าพวกมันหมายจะสังหารเขาซะมากกว่า” ทหารอีกคนกล่าวอย่างไม่มั่นใจ
เหล่าทหารพิทักษ์มองมายังกู่ฉิงซาน
แต่กลับเห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่มัวแต่ให้ความสนใจกับแต้มพลังวิญญาณของตัวเอง
เฝ้ามองกองทัพผีถูกทำลายโดยค่ายกลดาบครั้งแล้วครั้งเล่า แต้มพลังวิญญาณเริ่มพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ต้องแบบนี้สิ!
กู่ฉิงซานยกคิ้วด้วยความสุข
แต่แล้วพวกผีก็ได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว
พวกมันหันหลังกลับ และเริ่มวิ่งหนีไปทุกทิศทางอีกครั้ง
‘ล้อเล่นรึไง!? ดาบสายลมนี้มันทรงพลังเกินไป ไม่อาจต่อกรได้ ไม่ไหวแล้ว ปล่อยให้ภูติผีตนอื่นๆบุกเข้าไปเองก็แล้วกัน!’
ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป อัตราการเพิ่มพูนของแต้มพลังวิญญาณจึงค่อยๆเชื่องช้าลง
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว
–แค่นี้มันยังไม่พอกับความสูญเสียที่ต้องแลกมาด้วยการเปิดใช้งานค่ายกลดาบ เขาใช้ไปตั้ง 100000 แต้มพลังวิญญาณ อย่างน้อยถ้าไม่ได้รับกลับคืนมาเท่าเดิม จะไม่เท่ากับว่าเขาขาดทุนหรอกหรือ?
มองไปยังสมญา ‘ดาราจรัสเทพสงคาม’ บนหน้าต่างเทพสงครามอีกครั้ง ตนกัดฟันแน่น และเริ่มใช้ออกด้วยเทคนิค ‘พิชิต’ อีกที
ในขณะที่สกิลนี้ถูกเปิดใช้งาน เหล่าสัตว์ประหลาดผีก็ตระหนักถึงมันได้ในฉับพลัน
-พวกเราสัมผัสได้ว่าดาบสายลมกำลังจะสลายตัวลงแล้ว
ในที่สุดกระบวนท่านี้ก็จะจบลงเสียที!!!
พวกภูติผีต่างร่ำไห้ออกมา
ต้องถูกขับไล่โดยดาบสายลมที่แสนร้ายกาจ ช้าเพียงหนึ่งก้าวก็จะถูกลบหายออกไป นี่ทำให้พวกมันรู้สึกหวาดกลัวจริงๆ
แต่ดี ดีมาก ที่ตอนนี้กระบวนท่าดังกล่าวจะจบลงเสียที
มันถึงเวลาที่พวกเราจะเอาคืนแล้ว!
กี๊ซซซซซ!
สัตว์ประหลาดผีพลิกตัวกลับหลังอย่างแรง และมุ่งเข้าหากลุ่มของกู่ฉิงซานอีกครา
ไม่สิ – ต้องบอกว่าทั้งหมดมุ่งเป้ามาที่กู่ฉิงซานคนเดียวเลยต่างหาก!
พวกมันสาบานว่าจะฉีกทึ้งมนุษย์ผู้นี้ทั้งเป็น!
ทันใดนั้นทหารพิทักษ์ทั้งสิบหกคนก็เริ่มตื่นตัว และเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้
เพราะทุกคนเอง ก็สังเกตเห็ตว่าดาบสายลมกำลังจะหยุดลงเช่นกัน
จากนี้ไป มีเพียงการต่อสู้ด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะสามารถคว้าหนทางเอาชีวิตรอดเอาไว้ได้!
“เตรียมพร้อมรับศึก!” ลอร่าตะโกน
เธอโน้มศีรษะลง และถามกู่ฉิงซานอย่างร้อนรน “กู่ฉิงซานกระบวนท่าดาบของเจ้าจะหมดลงแล้วใช่หรือไม่?”
กู่ฉิงซานมองไปยังกองทัพภูติผีที่ตรงเข้ามา ไม่เอ่ยคำใดไปชั่วขณะ
ได้ยินเพียงเสียงของเขาที่เอ่ยพึมพำ “อา มันกำลังจะเริ่มขึ้นต่างหาก ดูเหมือนว่าค่ายกลดาบจะทำการปิดล้อมโดยสมบูรณ์แล้ว ..”
ตอนนี้ .. เดี๋ยวก่อนนะ มันกำลังจะเริ่มขึ้นงั้นหรอ?
ลอร่าชะงักไป
เธออดไม่ได้ที่จะแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เห็นแค่เพียงเบื้องบน ไร้ซึ่งหมู่มวลเมฆใดๆ
ทว่ากลับปรากฏถึงเสียงหอนที่บาดลึกอยู่บนฟากฟ้า
และจากนั้น
ปังงงงงงง—–
กระแสลมราวกับธารน้ำตก ที่ร่วงหล่นลงมาจากสรวงสวรรค์
ดาบสายลมปะทะเข้ากับกองทัพผีอันยิ่งใหญ่อย่างแรง!
แล้วดาบสายลมจึงค่อยหายไป
ท่ามกลางสนามรบ พื้นที่จตุรัสส่วนหนึ่งได้ปรากฏขึ้น
ซึ่งสำหรับกองทัพผีแล้ว นับจากนี้ไป นับว่าเป็นโศกนาถกรรมอย่างสิ้นเชิง
เสียงกรีดร้องโวยวายเริ่มดังขึ้น เหล่าภูติผีในพื้นที่จตุรัสเริ่มแตกตื่น วิ่งหนีออกไปด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
อย่างไรก็ตาม ดาบสายลมได้ปิดล้อมเอาไว้แล้ว และพวกมันจะหลบหนีไปได้อย่างไร?
ดาบสายลมกวาด แล้วสังหาร!
ดาบสายลมกวาด แล้วสังหาร!!
ดาบสายลมกวาด แล้วสังหาร!!!
แต้มพลังวิญญาณบนหน้าต่างเทพสงครามพุ่งพรวดๆอย่างก้าวกระโดด
กู่ฉิงซานเฝ้ามองมันอย่างใจเย็น
“ไม่นะ กู่ฉิงซาน ดูนั่นสิ!”
ลอร่าตบเรียกสติกู่ฉิงซานด้วยความกระวนกระวาย
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น
เบื้องหน้าเขา ในที่สุด ตนก็มาถึงสุดปลายของพื้นที่ราบลุ่มแล้ว
โดยไม่รู้ตัว กลุ่มของเขาก็สามารถควบม้าฝ่าดงกองทัพภูติผี แล้วมาถึงเมืองไห่เช่าได้ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในเมืองไห่เช่ากลับย่ำแย่กว่าที่คิด
เมื่อต้องเผชิญกับการต่อสู้อย่างยาวนาน กำแพงเมืองก็ไม่อาจทานรับไหว มันพังทลายลงมาในที่สุด
ทันใดนั้นกองทัพภูติผีก็คำรามอึกทึก
พวกมันเร่งวิ่งเข้าไปในเมืองไห่เช่าทันที!
ลอร่ากรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก “กู่ฉิงซาน! อีเลียได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ เธอคงไม่สามารถต่อต้านพวกมันได้”
“เข้าใจแล้ว กระหม่อมจะเร่งให้เร็วขึ้น”
กู่ฉิงซานสะบัดบังเหียนกระตุ้นม้า
ใช่แล้วล่ะ หากไม่มีกำแพงเมือง กองทัพภูติก็จะสามารถกดดัน บุกเข้าไปได้โดยตรง และอีเลียคงไม่สามารถต้านทานมันได้
สถานการณ์เริ่มแย่ลง
งั้นวิธีที่พอจะสามารถช่วยเหลืออีเลียได้อย่างรวดเร็วก็คือ …
กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆเมืองอย่างเงียบๆ ความคิดในหัวใจของเขาเริ่มกระจ่างชัด
ช่วงวินาทีต่อมา เขาก็ได้เปิดใช้งานเทคนิคสมญา ‘พิชิต’ กับภูติผีทั้งหมดที่กำลังโจมตีเมืองโดยตรง
ขณะเดียวกัน บนยอดสุดของกำแพงผียักษ์ตนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น
มันเปล่งเสียงสะท้านสะเทือนสวรรค์ “มีเจ้าตัวยุ่งยากอยู่บนพื้นราบ! เขาคือกุญแจสำคัญของสงครามในครั้งนี้ จงไปดับลมหายใจเขาซะ!”
ภูติทั้งหมดคำรามพร้อมกัน
โฮกกกกกก!
กองทัพสัตว์ประหลาดผีล้มเลิกที่จะบุกเมือง รวมตัวกันจัดตั้งขบวนทัพหนาแน่น ทยอยกันลงจากภูเขา
พวกมันวิ่งตรงมายังทิศทางของกู่ฉิงซาน
ภายในเมือง สายพันธุ์โบราณมากมาย ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวถูกปกคลุมไปด้วยเลือด และกำลังเตรียมสู้ตายแลกชีวิตกับศัตรู
แต่ในวินาทีสุดท้าย ศัตรูทั้งหมดกลับหันหลัง และจากไป
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?
เหล่าสายพันธุ์โบราณตะลึงงันอยู่ในสถานที่เดียวกัน พวกเขาไม่อาจทำความเข้าใจได้โดยสมบูรณ์
ขณะที่สิบหกทหารพิทักษ์บนพื้นราบกลับกลายเป็นหวาดกลัว
“นั่นพวกมันละทิ้งเมือง แล้วหันมาฆ่าพวกเราแทนงั้นหรอ?” ทหารคนหนึ่งกล่าว
“มันอาจเป็นกลยุทธ์ก็ได้ แบ่งกำลังกระจายกันโจมตีอะไรแบบนี้” ทหารอีกคนกล่าว
“ไม่ พวกเจ้าทั้งหมดผิดแล้ว เกรงว่าพวกภูติผีมันอาจจะต้องการเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งจริงๆต่างหาก” ทหารพิทักษ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพลึก
กู่ฉิงซานจ้องไปยังกระแสศัตรู เงียบงันไปครู่หนึ่ง
ตัวเขาเอง ก็ไม่เคยคาดคิดเหมือนกัน ว่าตนจะใช้เทคนิคพิชิตของดาราจรัสเทพสงครามในสถานการณ์แบบนี้
เพียงแค่ใช้มัน ก็สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของสงครามทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
“ระบบ ฉันว่าสมญา ดาราจรัสเทพสงครามนี่มันชักจะเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของฉันไปหน่อยนะ” เขาเอ่ยอย่างเงียบๆ
ติ๊ง!
ระบบเทพสงครามตอบกลับ
“โปรดใส่ใจเป็นพิเศษด้วย ว่านี่คือสมญาเฉพาะของเทพสงคราม ดังนั้นมันจึงมีความพิเศษเป็นธรรมดา
“นอกจากนี้ ฉันว่าคุณสมควรที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่ากฏแห่งการกระทำ(กรรม) ให้มากกว่าที่เป็นอยู่เสียที”
Ep.573 – รอสัญญาณจากสายลม
เทสส์หันไปมองรอบๆ ก่อนจะเหลือบสายตาลงบนเค้ก 20 ชั้น
ตรงขอบมุมหนึ่งของเค้ก มีร่องรอยเล็กๆที่ถูกตัดออกไปอยู่
หืม? ในโซนสำหรับเชื้อพระวงศ์ มีคนตัดเค้กกินด้วยอย่างงั้นหรือ?
เธอประหลาดใจเล็กน้อย
เค้ก …
แล้วเธอก็ย้อนนึกไปถึงคำพูดของมัน “เพราะทั้งสองคนนั้นดูเหมือนจะสนใจฉัน และฉันอุส่าห์ปลดปล่อยกลิ่นอันหอมหวานของครีมและผลไม้ แต่สุดท้ายพวกเขากลับไม่ได้ลิ้มรสฉัน”
ไม่ได้ลิ้มรส แต่กลับสนใจในตัวเค้ก …
ทันใดนั้น เทสส์ก็ฉุกคิดถึงบางสิ่งขึ้นมา
เธอกำลังจะเอื้อมมือไปแตะเค้ก 20 ชั้น โดยหารู้ไม่ว่าทริสเต้กำลังจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา
ทริสเต้ฟาดมือตบโต๊ะทันที และเค้กทั้งก้อนก็เละเป็นชิ้นๆ
ปรากฏให้เห็นถึงลูกบอลคริสตัลสีโปร่งใส ที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ
“แย่ล่ะสิ! จงมา!” สีหน้าของเทสส์แปรเปลี่ยนกลับกลาย เธอเร่งง้างมือเพื่อหมายจะดึงดูดมัน และตะคอกสั่งออกไปทันที
“ฮะฮ่าฮ่า! นี่คือโลกของข้านะเทสส์ เจ้าต้องการที่จะขโมยมันอย่างงั้นหรือ?” ทริสเต้หัวเราะ
เธอร่ายคาถาเสียงกระซิบ
และบอลคริสตัลก็ลอยมาตกลงในมือของเธอ
จากนั้น ทริสเต้ก็เร่งสวดมนตราอย่างรวดเร็ว เพื่อปลดตราประทับที่ผนึกโลกเอาไว้ทันที
เทสส์กรีดร้อง “เฮ้นายไก่! ฝากหยุดเธอด้วย เร็วเข้า!!”
พอเอ่ยสั่ง เทสส์ก็เริ่มร่ายคาถากำแพงอุปสรรคป้องกันอันลึกล้ำด้วยความเร่งร้อน
เพราะตราบใดที่ตราประทับโลกถูกปลดผนึก จักต้องมีกำแพงอุปสรรคที่ทรงพลานุภาพคอยขวางกั้น เพื่อชะลอการแพร่กระจายของเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา!
อย่างไรก็ตาม มันสายเกินไป
ผู้ชายที่มีหงอนสีแดงสดที่อยู่ข้างกายเธอยังไม่ทันจะได้ทำอะไร จู่ๆเขาก็หายตัวไป
นั่นเพราะทริสเต้ได้คาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้ว เธอจึงหยุดร่ายมนตราชั่วคราว และอ้าปากตนเอง คายเส้นผมสีดำออกมา
มันคือสัญลักษณ์แห่งความมืด ที่ส่งกลิ่นอายลางไม่ดีอย่างรุนแรงออกมา
“คำอำนวยพรจากมารที่แท้จริง!” เธอตะโกนกล่าวอย่างรวดเร็ว
สัญลักษณ์แห่งความมืดสาดแสง และหายวับไป
ปัง!
ทั้งคนทั้งร่างของไก่ใหญ่พลันถูกห่อหุ้มไปด้วยสัญลักษณ์แห่งความมืดมิด และถูกกระแทกเข้าใส่ตัวผนังห้อง ทะลุออกไปด้านนอก หลุดออกไปจากอัลเบอัส และหายไปจากโลกนี้
เมื่อตัวขัดขวางหมดไป ทริสเต้ที่ถือบอลคริสตัลก็เริ่มร่ายมนตราต่อ “โลกเอ๋ย จงเปิ-”
“หุบปากซะ”
ปรากฏถึงปากกระบอกปืนเย็นฉ่ำจ่อลงบนหัวเธอ พร้อมกันกับเสียงแปลกๆที่ดังขึ้นข้างหู
ทริสเต้หุบปากลงทันที
เพราะเธอตระหนักได้ว่า หากตนร่ายมนตราออกไปอีกแม้เพียงครึ่งคำ ตนก็จะถูกระเบิดกระสุนสังหารเข้าใส่ทันที
ตามด้วยเสียงของเหล็กที่ดังขึ้น
อีก7-8ปากกระบอกปืนจี้ลงบนตัวของเธอ
ทริสเต้ไม่กล้าเคลื่อนไหว
เธอเข้าใจดีว่าใครมา
ตรงกันข้ามกับเธอ เมื่อเทสส์เห็นเหล่าปืนพกกำลังจ่อตัวทริสเต้อยู่ เธอก็ผ่อนลมหายใจยาว
กำลังเสริม ในที่สุดก็มาถึงซักที!
“มีแค่พวกเจ้างั้นหรือ? แล้วเขามาที่นี่ด้วยหรือเปล่า?” เธอเอ่ยถาม
“บอสก็มาที่นี่ด้วย” เหล่าปืนพกกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน
แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออก
พร้อมกับปืนกลที่กระโจนเข้ามา
“เทสส์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ พอได้รับข่าวจากคุณ ฉันก็รีบพาคนของฉันออกจากเทือกเขาช้างเผือกมาเลย”
“อ่าว แล้วเจ้าไก่ไม่ได้อยูที่นี่ด้วยงั้นหรอ? คนๆนั้นหายไปไหนกัน?” ปืนกลเอ่ยถาม
“เขาถูกขับไล่ออกไปโดยสัญลักษณ์ของราชามาร เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาถูกส่งไปที่ไหน” เทสส์กล่าว
“เลดี้โปรดมั่นใจ กองกำลังพันธมิตรโลก 900 ล้านชั้นกำลังรวมตัวกันแล้ว และบางส่วนก็ได้แยกตัวออกไปสนับสนุนแบรี่กับทะเลเลือด”
“แบรี่กับ … ทะเลเลือดงั้นหรอ? พวกเขาไม่ถูกกันนี่ แล้วจะไปต่อสู้ด้วยกันได้อย่างไร?”
“เพราะผู้รับใช้ราชามารได้ปรากฏตัวขึ้นมา นอกจากนี้ยังมีมารที่แท้จริงอันน่าสะพรึงเข้าร่วมการต่อสู้อีกด้วย นี่เป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่จำต้องละทิ้งเรื่องแคลงใจกันเอาไว้ก่อน ฉันเกรงว่าการต่อสู้ขั้นแตกหักระหว่างโลก 900 ล้านชั้นกำลังจะเริ่มต้นขึ้น”
“สถานการณ์ในตอนนี้เลวร้ายมาก ส่วนตัวฉันกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเลดี้ ดังนั้นฉันจึงรีบมาที่อัลเบอัสก่อนเป็นอันดับแรก” ปืนกลกล่าว
“และขอขอบคุณที่เจ้ามา มันทันเวลาพอดีเลย” เทสส์ถอนหายใจ
“นี่ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด ถ้าต้องเทียบกับการที่ออกไปเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าหวาดกลัว”
ขณะกล่าว ปืนกลก็ชี้ปลายกระบอกไปทางทริสเต้
“สหายตัวน้อยทริสเต้ ฉันขอแนะนำให้คุณไปนั่งลงบนโซฟาดีๆ และอย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น ไม่อย่างนั้นฉันอาจจะพลั้งมือยิงออกไป จนร่างของคุณกระจุยจนไม่เหลือแม้กระทั่งเส้นผม”
ในเวลานี้ ทริสเต้ก็เข้าใจได้ในที่สุด
แต่เดิม กลับกลายเป็นว่าแผนการทั้งหมดของตนเอง ได้ถูกล่วงรู้แล้วโดยฝ่ายตรงข้าม
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตัวตนทรงอำนาจที่มีชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น เธอก็ไม่มีความคิดที่จะต่อต้าน
ทริสเต้ก้าวช้าๆไปที่โซฟา แล้วนั่งลง
ทว่าแม้จะเผชิญหน้ากับปากกระบอกปืนนับสิบ แต่เธอก็ยังยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย
“ส่งมอบโลกสมบัติของเจ้ามา” เทสส์กล่าวทันที
“เลดี้เทสส์ ไม่รู้หรือไงว่าตอนนี้โลกอยู่ในมือของข้า” ทริสเต้ที่กำลังกุมบอลคริสตัลกล่าว
“ถ้าแกกล้าเล่นตุกติกล่ะก็ ฉันจะฆ่าแกซะ” ปืนกลสาดเสียงเย็น
“ข่มขู่ชีวิตข้าแล้วมันอย่างไร? หากเจ้าคิดลงมือ ข้าก็ยินดีมอบชีวิตของข้า เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่โลกนับล้านล้านใบตกอยู่ภายใต้ระบบของราชามาร”
“เราจะไม่ฆ่าเจ้า ตราบใดที่เจ้ายอมมอบโลกที่แสนอันตรายใบนั้นมา” เทสส์พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง
แต่ทริสเต้กลับยิ้มออกมาด้วยความสุข มันเป็นรอยยิ้มที่แฝงความบ้าคลั่งเอาไว้เล็กน้อย
“เจ้ายังไม่ชัดเจนอีกหรือ? ตอนนี้โลกสมบัติอยู่ในมือของข้า มันคือระเบิดเวลาที่จะใช้ตัดสินชะตาของโลกนับล้านๆใบ หากเจ้ากล้าที่จะลงมือ ข้าเองก็พร้อมที่จะจุดระเบิด และตายไปพร้อมกับมัน!”
เทสส์กับปืนกลหันมามองหน้ากัน และสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัว
…
อีกด้านหนึ่ง
ในโลกสมบัติของทริสเต้
บนพื้นที่ราบลุ่ม
ลอร่ากำลังเร่งตรวจสอบอาวุธของเหล่าทหาร
“ฮ็อดจ์ กระบี่ของเจ้าไม่ดีเลย”
“แต่นี่คือกระบี่รุ่นมาตรฐานที่ดีที่สุดของกองทัพนะฝ่าบาท”
“ไม่ จงเอานี่ไป นี่คือกระบี่ชั้นมหากาพย์ เรียกว่ามังกรแดงยมทูต แล้วก็เอานี่ไปอีก … ”
“ … ขอบพระทัยฝ่าบาท”
“โนเวีย ทำไมเจ้าถึงยังใช้ไม้เท้านี้อยู่อีก?”
“กระหม่อมพกมันติดตัวเสมอมา – อีกอย่างไม้เท้ามนตรานี่ก็เป็นเอกลักษณ์ของกระหม่อนะฝ่าบาท”
“แต่สงครามขั้นแตกหักกำลังจะเกิดขึ้น เจ้าไม่ควรใช้มัน เอ้านี้ นี่คือไม้เท้ามนตราชั้นมหากาพย์ เรียกว่าบทบรรเลงชีวิตแห่งป่ามรกต รับไปซะ”
“แต่ฝ่าบาท เจ้าสิ่งนี้มันหนักเกินไป”
“งั้นก็เปลี่ยน – เอาไม้เท้าอันนี้ไป มันเรียกว่านิพพานแห่งหงสา ทั้งเรียวและเบากว่า น่าจะเหมาะกับการใช้งานของเจ้า”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
กู่ฉิงซานก้าวเข้ามาและเอ่ยถาม “พวกคุณติดต่อกับอีเลียได้ไหม?”
หญิงในชุดคลุมยาวกล่าว “ข้าพึ่งได้รับข้อความจากนายพลอีเลีย นายพลกล่าวว่าแม้ท่านจะเศร้าใจกับการตัดสินใจขององค์หญิง แต่ก็รู้สึกปลื้มปิติในขณะเดียวกัน”
“บอกเธอว่าไม่ต้องเศร้าใจไป ขอให้เร่งจัดขบวนทัพให้ดี เมื่อไหร่ที่พวกเราส่งสัญญาณ ก็ขอให้ออกจากเมืองมาเข้าร่วมกับพวกเราทันที”
หญิงในชุดคลุมยาวพยักหน้า เธอหยิบใบไม้สีขจีออกมา และเริ่มพึมพำอย่างแผ่วเบา
ในความเป็นจริงแล้ว เธอคิดว่านี่มันบ้ามากๆ
กองทัพภูติผีครอบคลุมตลอดทั้งที่ราบลุ่มและภูเขา คาดคำนวณก็คงมีราวๆนับสิบล้าน
ด้วยตนเองและจำนวนคนเท่านี้ ต่อให้จัดขบวนทัพอย่างดี ไม่ต้องกล่าวถึงทะลวงฝ่ากองทัพศัตรูไป แต่พวกเธอคงจะถูกฆ่าตายทันทีที่เกิดการปะทะ
—อย่างไรก็ตาม ชายคนนี้กล่าวว่าเขาต้องการจะฝ่าเข้าไปสมทบกับเมืองไห่เช่า?
ลอร่าเอ่ยถาม “กู่ฉิงซาน ทำไมต้องส่งข้อความแบบนั้นหาอีเลียด้วย? ทำไมพวกเราไม่ฆ่าพวกมาร ไปสมทบกับคนในเมือง แล้วค่อยมาร่วมกันวางกลยุทธ์รับมืออีกครั้งล่ะ?”
กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังกองทัพสัตว์ประหลาดผีที่ค่อยๆใกล้เข้ามา ก่อนจะเบนมองออกไปยังตัวเมืองที่อยู่ไกลออกไป
“เพราะเมืองกำลังจะแตก” เขากล่าว
ฝูงชนโดยรอบ พอได้ยินก็หันไปอีกทางทันที
แท้จริงแล้วตนเองและคนอื่นๆมัวแต่มุ่งความสนใจไปกับกองทัพที่กำลังมุ่งเข้ามา โดยไม่ทันสังเกตเลยว่าป้อมปราการบนภูเขา ตรงกำแพงเมืองได้ถูกยึดครองโดยสัตว์ประหลาดผีไปแล้ว
พวกมันสามารถปีนขึ้นไปยึดตำแหน่งสูงสุดของกำแพงเมืองได้แล้ว และกำลังจะโถมกระแสทัพเข้าสู่ตัวเมืองไห่เช่า!
ในขณะนี้ ใบไม้สีขจีในมือของหญิงในชุดคลุมยาวก็ส่องสว่างขึ้น
หญิงในชุดคลุมยาวหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ถามกู่ฉิงซานอย่างเร่งรีบ “นายพลกล่าวว่าท่านได้จัดขบวนทัพชุดสุดท้ายเอาไว้แล้ว และเตรียมพร้อมที่จะออกมานอกเมืองเพื่อเข้าร่วมกับเรา และท่านถามว่าสัญญาณของพวกเราคืออะไร”
ทุกคนมองมายังกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว
มนุษย์ผู้นี้ต้องการที่จะพลิกสถานการณ์
และต้องการที่จะไปช่วยเมืองๆนั้น
เขาบอกว่าตนจะพาองค์หญิงลอร่าเข้าร่วมต่อสู้ และคิดหาหนทางคว้าชัยชนะ
นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว
ข้อเท็จจริงกำลังจะถูกพิสูจน์ว่าคนๆนี้กำลังหลอกลวงองค์หญิงให้ตามืดบอด หรือจะมีวิธีการอื่นเตรียมไว้จริงๆกันแน่
เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่วางลอร่าลงบนไหล่เขา และกระโจนเบาๆขึ้นไปบนหลังม้า
เขาตะโกนสั่งทุกคนเสียงดัง “เตรียมตัวให้พร้อม พวกเราจะมุ่งไปยังเมืองไห่เช่าในลมหายใจเดียว”
เหล่าทหารเร่งตรวจสอบอุปกรณ์ของพวกตนอย่างรวดเร็ว และทำการเรียกม้าศึก
เมื่อทุกคนขึ้นไปบนหลังม้า กองทัพภูติผีฝ่ายตรงข้ามก็มาถึง
พวกมันอยู่ห่างจากกู่ฉิงซานและคนอื่นๆราวหนึ่งกิโลเมตร หลังจากชะงักไปเพื่อทำการตรวจสอบเล็กน้อย พวกมันก็เร่งมุ่งหน้าต่อทันที
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูแค่สิบกว่าคน พวกผีคิดว่าเพียงแค่กองทัพตนช่วยกันวิ่งเหยียบศัตรูคนละก้าว คนละก้าว ก็เพียงพอที่จะบดขยี้อีกฝ่ายได้โดยสมบูรณ์
ในเวลานั้นเอง กู่ฉิงซานก็หันไปพูดกับหญิงในชุดคลุมยาว “บอกนายพลอีเลีย ให้เธอคอยสัญญาณจากสายลม”
“ … สายลมงั้นหรือ?”
หญิงในชุดคลุมยาวที่นั่งอยู่บนหลังม้า หยิบใบไม้ขจีขึ้นมาและพูดไม่กี่คำลงไปทันที
“ถูกต้องแล้วล่ะ เมื่อสายลมปรากฏขึ้นถึงเมืองไห่เช่า เธอก็สามารถเริ่มการโจมตีแล้วมาเข้าร่วมกับพวกเราได้เลย” ว่าจบ กู่ฉิงซานก็ดึงดาบพิภพออกมา
“ทุกคน บุกได้!” เขาตะโกนลั่น
“ไปเลย!” ลอร่าตะโกนพร้อมกับชูกำปั้นน้อยๆของเธอ
ม้าทมิฬทะยานตัวออกไปทิ้งไว้เพียงฝุ่นผง พุ่งเข้าเผชิญหน้ากับกระแสภูติอันไร้ที่สิ้นสุดอย่างรวดเร็ว
“พิทักษ์องค์หญิง!”
ทหารพิทักษ์หลายคนกัดฟันของตนเอง และสะบัดบังเหียนไล่ตามม้าทมิฬไป
แม้ว่าแทบจะไร้ซึ่งความหวัง แต่องค์หญิงก็อยู่บนม้าทมิฬ
ในเมื่อพวกเขาได้รับการอัญเชิญออกมาเพื่อรับภารกิจช่วยเหลือในครั้งนี้ด้วยความจงรักภักดี ทั้งหมดจึงไม่มีสิ่งใดจะพูดอีก
ทุกคนพร้อมที่จะตายในสนามรบ
บนพื้นราบฟุ้งไปด้วยฝุ่งผง ทหารม้าสิบกว่าคนพุ่งเข้าหากองทัพสัตว์ประหลาดผีอย่างไม่คิดจะหยุดยั้ง
ใบหน้าอันแสนสะพรึงของเหล่าภูติผีค่อยๆเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
ลอร่ามองไปยังกระแสคลื่นภูติผีที่ราวกับไม่มีสิ้นสุด ความหวาดกลัวก็เริ่มแทรกเข้ามาในจิตใจ
เธอกระซิบถามกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ “ตอนนี้ เอาจริงๆพวกเราอาจจะต้องตายในสนามรบก็ได้นะ”
“ไม่หรอกน่า” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาสั่งการในจิตใจ และสองดาบที่เหลือก็ผุดออกมาจากความว่างเปล่า
ในขณะเดียวกัน บนหน้าต่างเทพสงคราม ปรากฏบรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“การสั่งสมแต้มพลังของคุณมีทั้งสิ้น 36 เท่า”
“คุณสามารถปลดปล่อยค่ายกลไท่หยีที่สั่งสมแต้มพลังกว่า 36 เท่าได้”
“เพื่อที่จะปลดปล่อยอำนาจอันทรงพลังนี้ คุณจำเป็นต้องจ่าย 100000 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนค่ายกลดาบดังกล่าว”
“ฉันจ่าย!” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างราบเรียบ
“แต้มพลังวิญญาณของคุณได้เตรียมการเสร็จสิ้นแล้ว หากต้องการใช้งาน คุณสามารถถ่ายเทแต้มพลังวิญญาณลงในดาบบินได้เลยในทันที” ระบบเทพสงครามกล่าว
กู่ฉิงซานยิ้ม และปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงในดาบบินทั้งสาม
ในความว่างเปล่า สามดาบบินพลันสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง
พวกมันส่งเสียงกระหึ่มขึ้นพร้อมกัน คล้ายกับกำลังกระตือรือร้นที่จะต่อสู้
“มาเถอะ เริ่มกันเลย” กู่ฉิงซานกระซิบแผ่วเบา
ท่ามกลางความเงียบ สามดาบวูบไหวในทันใด
“นี่คือ .. สายลมที่ว่าอย่างงั้นหรือ?”
ลอร่ารู้สึกได้ถึงมัน เธอสับสนเล็กน้อยในตอนแรก แต่แล้วดวงตาของเธอเปล่งประกายขึ้นทันใด
เพราะเด็กสาวจดจำได้ว่านี่คือสกิลดาบที่ครั้งหนึ่งกู่ฉิงซานเคยใช้มันถล่มเมืองทั้งเมืองให้หายไป!
—และตอนนี้ กู่ฉิงซานก็ได้ขอให้อีเลียเฝ้ารอสัญญาณจากสายลม
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
ปรากฏว่ายังไม่สิ้นหวังซะทีเดียว!
ลอร่ากลับมามีชีวิตชีวา เธอเริ่มตื่นเต้นอย่างไม่อาจระงับได้
เด็กสาวหันไปมองรอบๆ
เห็นแค่เพียงทหารวิหคคนแล้วคนเล่าที่แสดงออกถึงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
นั่นเพราะพวกเราก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างเช่นกัน
ในความว่างเปล่า เริ่มบังเกิดกระแสของสายลมขนาดใหญ่ขึ้น
นี่คือดาบสายลมอันน่าทึ่งและมิอาจต้านทานได้!
ลอร่ากุมไม้เท้ามนตราในมือ ลุกขึ้นยืนบนไหล่ของกู่ฉิงซาน ตะโกนลั่นไปยังทหารพิทักษ์โดยรอบ
“สายลมได้ปรากฏขึ้นแล้ว! ทุกคนจงตามเรากับกู่ฉิงซานมา และร่วมกันปะทะ บุกไปข้างหน้า!”
“เพื่อองค์หญิง!!” ทหารพิทักษ์ตะโกนลั่น
แล้วม้าศึกของพวกเขาก็เริ่มเร่งความเร็วมากขึ้น
ทุกคนทุ่มกำลังทั้งหมดที่มี ทะยานเข้าหากองทัพภูติผีอันยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า!
Ep.572 – จิตวิญญาณของทุกสิ่ง
ภายในโรงแรมอัลเบอัส
ตรงส่วนของโซนที่นั่งพิเศษ
จิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ เลดี้เทสส์ กำลังใช้สมองตริตรองอยู่
เมื่อครู่นี้บนระเบียงสูง เธอได้ล่วงรู้ถึงความจริงอันน่าตกใจ
แต่น่าเสียดาย ที่เวลามันกระชั้นชิดเกินไป ทำให้เธอมีเวลาคุยกับลอร่าเพียงไม่กี่สิบวินาทีเท่านั้น
จริงอยู่ที่ลอร่าได้บอกเล่าเรื่องราวตื้นลึกหนาบางจนกระจ่างชัดให้แก่ตนเอง แต่-
เด็กสาวตัวน้อยกลับไม่ได้บอกเธอ ว่าซ่อนโลกเอาไว้ที่ไหน
เลดี้เทสส์ขมวดคิ้วมุ่น
ในฐานะที่เป็นตัวตนทรงอำนาจ เธอจึงย่อมตระหนักถึงกุญแจสำคัญในครั้งนี้ได้อย่างรวดเร็ว
‘จะต้องไม่ปล่อยให้ทริสเต้ค้นพบโลกสมบัติก่อนตัวเอง!’
มิฉะนั้น หากทริสเต้ได้มันกลับคืน และเปิดโลกในมือออกมาโดยตรง เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ก็มาแพร่กระจายขึ้นในอัลเบอัส
แต่ .. ลอร่าไปซ่อนโลกใบที่ว่าไว้ที่ไหนกันแน่นะ?
ปัญหานี้มันน่าปวดหัวเสียจริงๆ
หากไม่อาศัยเทคนิคมนตราที่ใช้ตอบโต้เทคนิคแทนที่โชคชะตา ตัวเธอเองก็ไม่สามารถกลับไปยังโลกสมบัติได้อีกครั้ง หรือก็คือไม่สามารถเข้าไปถามไถ่ลอร่าได้นั่นเอง
แบบนี้ชักจะไม่ดีแล้ว เราจะต้องค้นหาโลกใบนั้นให้เจอให้จงได้!
เลดี้เทสส์เหลือบมองไปยังไก่ใหญ่ ในใจคิดจะขอความช่วยเหลือ
เห็นแค่เพียงไอ้ขี้เมาที่กำลังกอดขวดไวน์ด้วยสีหน้าเศร้าๆ จะมีบ้างที่ยกไวน์มาจิบขึ้นเป็นครั้งคราว
-ลืมมันเถอะ นอกจากสภาพจะดูไม่ได้แล้ว เขายังเป็นพวกปากสว่าง คิดอะไรก็แสดงออกทางสีหน้า แบบนี้ถ้าทริสเต้มาเห็นแล้วจับสังเกตได้ คงโป๊ะแตกกันพอดี
เรื่องนี้ เธอคงต้องพึ่งตัวเอง
เทสส์ลุกขึ้น และเดินวนไปมารอบๆห้องที่นั่งโซนพิเศษ
มาทบทวนกันซักหน่อย ก่อนอื่นเลย
ลอร่าอยู่กับกู่ฉิงซาน
แต่กู่ฉิงซานมาที่นี่ ก็เพื่อตามหาแฟนสาวของเขา
เรื่องราวทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้น จากการที่กู่ฉิงซานปรากฏมาขอความช่วยเหลือ
ในเมื่อเขามาทำธุระสำคัญที่นี่ เขาก็ไม่สมควรที่จะเอ้อระเหยไปมา
ถ้าอย่างนั้น …
สรุปได้ว่า กู่ฉิงซานสมควรที่จะนั่งอยู่ภายในโซนพิเศษของพวกเชื้อพระวงศ์นี่แหละ
แต่เดี๋ยวก่อนนะ
ถ้ากู่ฉิงซานอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก แล้วเขาจะเข้าไปในโลกของทริสเต้ด้วยกันกับลอร่าได้ยังไง?
เลดี้เทสส์หยุดฝีเท้า สายตาสาดส่องไปรอบๆโซนที่นั่งอย่างเงียบๆ
ปากร่ายมนต์เสียงกระซิบ “ด้วยอำนาจแห่งทวยเทพ ขอจงประทานจิตวิญญาณให้แก่ทุกสรรพสิ่งด้วยเถิด”
บังเกิดลวดลายน้ำที่มองไม่เห็นผุดออกมาจากร่างกายของเธอ แพร่กระจายไปตลอดทั้งโซนที่นั่ง
แต่ทุกสิ่งยังคงเงียบในวินาทีแรก
วินาทีที่สอง
วินาทีที่สาม
“เอาล่ะ มีใครสามารถบอกเราได้บ้างว่าทั้งสองคนนี้เคยอยู่ที่นี่หรือไม่?”
เลดี้เทสส์ผายมือออกไป
รังสีมรกตควบรวมกันเป็นภาพของลอร่าและกู่ฉิงซาน ยืนนิ่งอยู่บนฝ่ามือของเธอ
“อ่า ถ้าสองคนนี้ล่ะก็ฉันเห็นพวกเขานะ”
เสียงที่ฟังดูทื่อๆดังขึ้น
มันเป็นเสียงที่ดังออกมาจากขวดไวน์ในมือของไก่ใหญ่
เจ้าไก่สะดุ้ง เร่งโยนขวดลงบนโต๊ะด้วยความตกใจ
ขวดไวน์หมุนไปบนโต๊ะอยู่หลายตลบ ก่อนที่สุดท้ายมันจะผุดลุกขึ้นยืนอย่างไม่มั่นคง
ขวดไวน์เปล่งเสียงออกมา “ฉันเคยเห็นเด็กผู้ชายในภาพ และต้องบอกว่าเขาคือผู้เชี่ยวชาญในการดื่มอย่างแท้จริง เพียงกวาดสายตามองมาที่ฉันกับไวน์ขวดอื่นๆ เขาก็สามารถระบุถึงรสชาติของพวกเราได้อย่างง่ายดาย”
“ใช่ เป็นอย่างที่พูด”
“ถูกเผงเลย”
“ฉันเห็นด้วยกับมันนะ”
ภายในถังน้ำแข็ง จิตวิญญาณขวดไวน์เปล่งเสียงตอบโต้กันไปมา
“แล้วเด็กผู้หญิงคนนี้ล่ะ มีใครเห็นเธอบ้าง?” เลดี้เทสส์เอ่ยถาม
ขวดไวน์ตอบ “สำหรับเรื่องของเธอฉันไม่ค่อยแน่ใจ เพราะเธอมักจะปรากฏตัวขึ้นและหายไปเป็นพักๆ จนฉันคิดว่าตาฝาดไป”
“หมายความว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นี่งั้นหรือ?” เลดี้เทสส์ถามต่อ
“เปล่า เธออยู่ที่นี่แน่ๆ นั่งอยู่บนร่างของฉันนี่แหละ” โซฟาเดี่ยวขัดจังหวะ
เทสส์หันไปมองโซฟา
ภายในโซนที่นั่งพิเศษ เต็มไปด้วยโซฟาขนาดใหญ่ไว้คอยอำนวยความสะดวกสบายอยู่ทุกที่ แต่โซฟาเดี่ยวที่เปล่งเสียงออกมา มันตั้งอยู่ในตำแหน่งมุมซึ่งไม่เป็นที่สนใจมากที่สุดภายในห้องนี้
ถ้าอย่างงั้นลอร่าก็อยู่ในโซนพิเศษมาโดยตลอดเลยสิ?
เลดี้เทสส์ “แล้วเธอออกไปจากห้องรึเปล่า? ไปกับเด็กผู้ชายอีกคนใช่ไหม?”
“ทั้งหมดที่ฉันรู้มีแค่ว่าเธออยู่ที่นี่ และสุดท้ายเธอจะออกไปหรือไม่ คุณคงต้องไปถามบานประตูเอง” โซฟาเดี่ยวพูด
ประตูห้องเข้าร่วมวงสนทนาทันที “ไม่ พวกเขาไม่ได้ออกจากห้องนี้ เพราะถ้าพวกเขาออกไป ฉันจะต้องรู้”
เลดี้เทสส์ยิ้ม “ดีล่ะ พวกเราใกล้คำตอบเข้าไปอีกก้าวแล้ว – ตอนนี้มีใครสามารถบอกเราได้ไหมว่าพวกเขาไปที่ไหน?”
แต่เสียงในห้องกลับหายไป
เลดี้เทสส์เฝ้ารออยู่สักพักหนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครตอบเธอ
เธออดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจอย่างลับๆ
เฟอร์นิเจอร์เหล่านี้เป็นวัตถุทั่วๆไป ดังนั้นพวกมันจึงมิได้มีพลังอะไรมากมาย ไม่ต้องกล่าวถึงจิตวิญญาณของการดำรงอยู่ แม้ว่าตัวเทสส์จะสำแดงเทคนิคมนตราด้วยตนเอง แต่การตอบสนองของพวกเขาก็ยังเฉื่อยชามาก หากไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับตนเอง ก็ยากนักที่จะนึกคิดได้
นี่ไม่มีใครรู้เรื่องของทั้งสองมากไปกว่านี้แล้วเลยหรอ?
ขณะกำลังขบคิด จู่ๆเทสส์ก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ
เธอหันขวับไปอย่างแรง แล้วดวงตาของเธอก็ตกลงบนเค้ก 20 ชั้นขนาดใหญ่ที่อยู่บนโต๊ะ
“เกิดอะไรขึ้น? เจ้าเป็นอะไรไป?”
เทสส์เอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
เค้กชิ้นนี้ เดิมทีมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีจิตวิญญาณ แต่ตอนนี้มันกลับส่งเสียงสะอื้นไห้
“ฉัน .. ฉันรู้สึกเสียใจ” เค้กกล่าว
“ทำไมเจ้าถึงเสียใจ?”
“เพราะทั้งสองคนนั้นดูเหมือนจะสนใจฉัน และฉันอุส่าห์ปลดปล่อยกลิ่นอันหอมหวานของครีมและผลไม้ แต่สุดท้ายพวกเขากลับไม่ได้ลิ้มรสฉัน”
“แล้วทำไมพวกเขาถึงทำเช่นนั้น?”
“เพราะพวกเขาซ่อน-”
ขณะกำลังรับฟัง สีหน้าของเทสส์ก็แปรเปลี่ยนไป
ทริสเต้กำลังมา!
เทสส์วาดมือออก ยกเลิกมนตรานี้ ปากเร่งเอ่ยคาถาอย่างรวดเร็ว “กระแสวิญญาณของทุกสรรพสิ่งจงหายไป กลับคืนสู่ดินแดนแห่งความเงียบดังเดิม!”
นี่คือเทคนิคป้องกันที่ใช้ซ่อนลมหายใจ มันจะช่วยปิดซ่อนกลิ่นอายและความผันผวนทั้งหมดเอาไว้ชั่วคราว
แม้กระทั่งเทสส์เองก็ไม่สามารถทะลวงเทคนิคมนตรานี้ เพื่อตรวจสอบถึงความลับที่ซ่อนอยู่ภายในของมันได้
นั่นหมายความว่า หากทริสเต้มา เธอเองก็ไม่มีทางตรวจสอบมันได้เช่นกัน
ท่ามกลางช่วงเวลาฉุกละหุก ทริสเต้ก็ปรากฏตัวขึ้นในห้อง
สีหน้าของเธอเปี่ยมไปด้วยความปิติยินดี ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “แท้จริงแล้วมันก็ถูกซ่อนเอาไว้ที่นี่ … ”
เธอเดินมาที่โต๊ะ และหยิบขวดไวน์ ผลไม้ แจกัน ฯลฯ ขึ้นมาจับดู
-ไม่ใช่งั้นหรือ?
น่าแปลก เมื่อครู่ข้าสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึง ‘การเรียกขานของวิหคหนาม : อัญเชิญทหารพิทักษ์’ ขององค์กษัตริย์ ปรากฏขึ้นในโลกของตนเอง และยังมาจากภายในห้องนี้
อย่างไรก็ตาม จู่ๆความผันผวนของเทคนิคมนตราที่ว่ากลับหายไปอย่างกระทันหัน?
ทริสเต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เธอตรวจสอบสิ่งต่างๆบนโต๊ะอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เจอมัน
ขณะที่เทสส์แม้จะนั่งอยู่อย่างเงียบๆ แต่สายตาของเธอก็เลื่อนตามอีกฝ่ายไปตลอด พร้อมกับภายในหัวใจที่กำลังขบคิดอย่างรวดเร็ว
พวกเขาไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกัน?
แล้วเพราะอะไร ทำไมจิตวิญญาณของเค้กถึงได้ร้องไห้?
น่าเสียดายจริงๆ เกือบที่จะรู้ความจริงอยู่แล้วเชียว
ถัดมา ภายใต้การจ้องมองของเทสส์ ทริสเต้ราวกับคนบ้า เธอตรวจสอบของทุกอย่างในห้องอย่างอย่างคลุ้มคลั่ง
-แต่ก็ยังไม่ค้นพบโลกของตัวเอง
ไม่นะ ก็ชัดเจนแล้วว่ามันอยู่ที่นี่!
ตั้งแต่ที่เทคนิคมนตราการเรียกขานของวิหคหนามปรากฏขึ้นในโลกของตัวเอง เทคนิคปกปิดที่ผนึกมันไว้ก็สมควรที่จะพังทลายลงแล้วนี่นา
แล้วทำไมกัน? ทำไมข้าถึงรู้สึกถึงมันได้เพียงชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็สูญเสียการรับรู้ตำแหน่งของโลกไป?
ทริสเต้พอคิดถึงจุดนี้ก็หันขวับอย่างดุร้าย จ้องมองไปยังจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์เลดี้เทสส์
หรือว่าจะเป็นเธอ …
“นั่นเจ้ากำลังมองหาอะไรอยู่?” เลดี้เทสส์เอ่ยถามเป็นคนแรก
ทริสเต้นเปิดปากกล่าว “บางทีเจ้าอาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้นะ ว่าข้ากำลังหาสิ่งใด”
เทสส์เผยถึงรอยยิ้มแย้มบนใบหน้า “แน่นอน ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังตามหาลอร่า และยังขอให้ข้าช่วยอีกด้วย”
“เมื่อครู่ ข้าสัมผัสได้ว่าเธออยู่ที่นี่”
“เช่นนั้นสัมผัสของเจ้าคงผิดแล้วล่ะ พวกเราอยู่ที่นี่ตลอดเวลา แต่ไม่พบอะไรเลย”
“อย่างนั้นหรือ? แต่ภายในห้องนี้มันให้ความรู้สึกแปลกๆนะ ไม่รู้ว่าเจ้ารู้สึกถึงมันได้หรือไม่?”
“ขออภัยจริงๆ เราไม่รู้สึกอะไรเลย”
ทั้งสองจ้องตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่ต่างฝ่ายจะเบนมันออกไปมองรอบๆห้อง
‘ลอร่ากับกู่ฉิงซานไม่ได้ออกไปจากห้องนี้’ –นี่คือสิ่งที่เทสส์คิด
‘เห็นได้ชัดว่าเกิดความผันผวนทางเทคนิคมนตราของวิหคหนามจากในโลกของข้า และต้นตอมันมาจากโซนที่นั่งพิเศษในห้องนี้’ —นี่คือสิ่งที่ทริสเต้คิด
แล้วดวงตาของทั้งสองก็กลับมาสบกันอีกครั้ง
“เลดี้เทสส์ที่เคารพ ต้องการที่จะมองหาสถานที่พักผ่อนแห่งอื่นหรือไม่?”
“ก็ไม่นะ เราว่าที่นี่ก็สะดวกสบายดีอยู่แล้ว เจ้าเล่า? ไม่ใช่ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างต้องทำหรอกหรือ ไม่จำเป็นต้องมาใส่ใจกับทางนี้หรอก”
“อ้อ ข้าอยากจะพักอยู่ที่นี่สักครู่ และปล่อยพวกปัญหาน่ารำคาญทิ้งไว้ข้างหลังไปก่อนน่ะ”
ระหว่างสนทนา ทั้งสองก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน และบังเกิดความคิดบางอย่างวาบผ่านเข้ามาในจิตใจของแต่ละฝ่าย
แท้จริงแล้ว .. โลกสมบัติถูกซ่อนอยู่ตรงไหนกันแน่นะ?
Ep.571 – การเรียกขานของวิหคหนาม
แสงทองเรืองรองบนท้องฟ้า ส่องสว่างลงมาครอบคลุมทั่วผืนดิน
ภายใต้แสงสว่างสุกสกาวของกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพ ผีแห่งความอลหม่านนับอนันต์กำลังร่วงตกลง
เมื่อหลุดเข้ามาได้ พริบตาเดียวพวกมันก็แพร่กระจายไปตลอดทั้งผืนฟ้า
ในขณะเดียวกัน ม้าทมิฬก็กำลังวิ่งตัดผ่านผืนป่า
แต่ด้วยความว่องไวของมัน ทำให้เพียงไม่กี่นาทีก็สามารถออกมาจากป่าและเข้าสู่พื้นที่ราบลุ่มได้
ไกลออกไปสุดสายตา ปรากฏให้เห็นถึงภูเขาสูงตระหง่านตั้งอยู่ปลายสุดของพื้นราบลุ่ม
ทว่าบริเวณตีนเขา เวลานี้ดันถูกปิดล้อมโดยสัตว์ประหลาดผีนับไม่ถ้วน พวกมันเริ่มก่อขบวนโอบล้อมกันอย่างช้าๆ
เมืองไห่เช่าน่ะอยู่บนภูเขา ดังนั้นการกรีฑาทัพของกองทัพผีจึงเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า
“พวกกองทัพผีมีมากเกินไป ข้าไม่อาจวิ่งฝ่าไปได้ สมควรจะทำเช่นไรต่อไปดี?”
ม้าทมิฬเอ่ยถามขณะวิ่ง
“วิ่งต่อไป ขอข้าทดลองอะไรบางอย่างดูก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว
เขากวักมือเรียกดาบพิภพ และมันก็ควงอากาศกลับมาตกลงในมือของเขา
กู่ฉิงซานชูดาบขึ้น ชี้ปลายแหลมของมันไปบนท้องฟ้า
สายฟ้าเริ่มส่องประกายเปรี๊ยะๆบนดาบของเขา
นอกเหนือไปจากแสงสีทองที่สาดลงมาจากท้องฟ้าแล้ว ก็ยังมีแสงสีน้ำเงินขาวสว่างไสวปรากฏขึ้นอีกหนึ่งบนผืนดิน
ซึ่งหากมองจากระยะไกล สายฟ้ากลุ่มนี้เป็นสัญญาณไฟที่เด่นสะดุดตาอย่างชัดเจน
“ไม่มีการตอบสนอง! เมืองไห่เช่าไม่ตอบสนองพวกเราเลย!” เหลาเจียวตะโกน
‘นี่พวกเขาไม่เห็นมันอย่างงั้นหรือ?’
กู่ฉิงซานพึมพำ และเริ่มกระตุ้นธาตุสายฟ้า ปลดปล่อยมันออกมาอย่างรุนแรง
ซี่ ซี่ ซี่ ซี่ ซี่ ซี่ ซี่ ซี่
กลุ่มก้อนสายฟ้าระเบิดเสียงแสบแก้วหู พวยพุ่งขึ้นเป็นเสาแสงสีน้ำเงินขาวทะลวงขึ้นสู่เมฆเบื้องบนโดยตรง
คราวนี้ แม้แต่คนตาบอดก็ยังสามารถสัมผัสได้พลังของสายฟ้าในชั้นอากาศ
และแล้วเมืองไห่เช่าที่ตั้งอยู่บนภูเขา ในที่สุดก็เริ่มเคลื่อนไหว
กู่ฉิงซานเห็นร่างๆหนึ่งที่สวมชุดเกราะสีมรกต ทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า
“นั่นอีเลียนี่! เป็นเธอ!” ลอร่าลอร่าอุทานด้วยความสุข
“ในที่สุดเธอก็เห็นพวกเรา” กู่ฉิงซานเองก็โล่งใจเช่นกัน
ร่างที่เปล่งประกายชั้นแสงมรกตจางๆ อ้าปากเปล่งคาถา สั่นสะเทือนไปทั้งสี่ทิศ
“ตัวข้า เหมันต์ยามค่ำอีเลีย ขอทำการเรียกขานพวกเจ้า ด้วยเทคนิคมนตราแห่งสายเลือดของกษัตริย์แห่งหนาม”
“รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย จงสดับฟังเสียงเรียกขาน และนำพาคนของข้ามายังที่แห่งนี้!”
“เป้าหมายก็คือ – อั๊ก!”
ร่างมรกตชะงักไปอย่างกระทันหัน และกระอักเลือดออกมา
กายเธอสั่นสะท้าน โซเซไปในอากาศ
ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บสาหัส
“อีเลีย!!”
ลอร่ากรีดร้อง
ในหัวใจของกู่ฉิงซานค่อยๆหม่นทะมึนลง
แต่ในท้ายที่สุด ร่างมรกตก็ชี้ไปยังตำแหน่งของม้าทมิฬ และพยายามตะโกนต่อว่า
“จงไปซะ ไปปกป้องสายเลือดกษัตริย์คนสุดท้ายของพวกเรา!”
สิ้นคำร่ายมนต์คาถา ร่างมรกตก็บินกลับเข้าไปในเมืองไห่เช่า
ขณะเดียวกัน เบื้องบนท้องฟ้าก็พลันเกิดปรากฏการณ์บางอย่างขึ้น
ท่ามกลางมวลหมอกหนาภายใต้ร่มเงาของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ บังเกิด 7-8 จุดแสงไสวบรรจบเข้าด้วยกัน
จุดแสงเหล่านี้รวมตัวกันกลายเป็นดาวตก พุ่งตัดผ่านมิติและเวลา ร่วงลงมายังทิศทางของพื้นที่ราบลุ่ม
เมื่อถึงจุดหนึ่ง ดาวตกก็สาดแสงสดใส บังเกิดเสียง ‘ปัง!’ และความเร็วของมันก็เร่งขึ้นอย่างกระทันหัน
พร้อมกันกับเสียง ‘ปัง!’ ดาวตกที่ร่วงหล่นก็เริ่มปริแตก
กระทั่งกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพก็ยังแยกออก และปล่อยให้ดาวตกลูกนี้หล่นลงมาในโลก
“กำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพไม่ได้ขวางกั้นมัน … เหตุผลก็คงจะเป็นเพราะ นี่คือการอัญเชิญจากในโลกใบนี้ใช่ไหม?” กู่ฉิงซานพึมพำ
“ใช่ นี่แหละคือการเรียกขานของวิหคหนามล่ะ” ลอร่ากล่าวด้วยสีหน้ากังวล
ป้อมปราการที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ถูกปิดล้อมไปด้วยสัตว์ประหลาดผี เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ช่างล่อแหลมยิ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าอีเลียจะทนต่อไปได้หรือไม่
“ว่าไงนะ? นี่คือการเรียกขานของวิหคหนามอย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างคาดไม่ถึง
“ก็อย่างที่เจ้าทราบ วิหคหนามสามารถเรียกผู้คนจากทั่วทุกชั้นโลก เพื่อให้มาจัดการปัญหาบางอย่างของตัวเองได้ ซึ่งนั่นก็เป็นการเรียกขานผู้คนจากภายนอกเช่นกัน”
ลอร่ายังคงอธิบายต่อว่า “การเรียกขานของวิหคหนาม แท้จริงแล้วเป็นเทคนิคมนตราอัญเชิญนั่นเอง”
“เทคนิคมนตรางั้นหรือ?”
“ใช่ การเรียกขานของวิหคหนาม แท้จริงแล้วเป็นเทคนิคมนตราของสายเลือดราชวงศ์หนาม ที่จะถูกปลุกขึ้น เมื่อก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่”
“และเทคนิคมนตราของสมาชิกราชวงศ์แต่ละคน ที่ถูกปลุกขึ้นมาจะแตกต่างกันออกไป แต่โดยรวมแล้วจะถูกเรียกกันว่า ‘การเรียกขานของวิหคหนาม’ ”
“ส่วนอีเลีย เธอได้รับสิทธิ์จากท่านพ่อของเรา ให้สามารถใช้งานเทคนิคมนตราเรียกขานของท่านพ่อได้”
“ราชวงศ์หนาม … ถ้าพูดแบบนี้ แสดงว่าฝ่าบาทก็สามารถสำแดงเทคนิคมนตราสายเลือดที่คล้ายกันได้เช่นกัน ใช่หรือไม่?”
“ไม่ เราทำไม่ได่”
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”
“เพราะรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์มันสูงเกินไป เราเลยไม่กล้าที่จะทำพิธีเข้าสู่วัยผู้ใหญ่กับมัน” ลอร่ายกมือขึ้นกุมใบหน้าของเธอ “และมีเพียงการเสร็จสิ้นพิธีกรรมจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ถึงจะสามารถปลุกเทคนิคสายเลือด การเรียกขานของวิหคหนาม ได้”
กู่ฉิงซานลูบหัวเธอ และไม่เอ่ยถามอีกต่อไป
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า
ดาวตกตัดผ่านมวลเมฆ และหล่นลงบนเส้นทางเบื้องหน้าม้าทมิฬ
“หยุด!” กู่ฉิงซานดึงสายบังเหียน
ม้าทมิฬเร่งยั้งฝีเท้า เบรคอย่างรุนแรง
– ตูม!
ฝุ่นผงกระพือว่อน
พร้อมด้วยสิบทหารติดอาวุธ และหญิงหกคนที่สวมใส่ชุดสีเขียวพร้อมกุมไม้เท้ามนตราในมือปรากฏตัวขึ้น
ในหัวใจของกู่ฉิงซานบังเกิดความตระหนักชัด
สามารถอัญเชิญพันธมิตรจากมิติและเวลาอันห่างไกลมายังมิติพิเศษของตนเองได้ นี่สินะที่เรียกกันว่า การเรียกขานของวิหคหนาม
เทคนิคอัญเชิญดังกล่าวนี้ จริงๆแล้วเป็นเทคนิคสายเลือดของกษัตริย์แห่งหนาม
ซึ่งแม้อีเลียจะได้รับสิทธิ์ให้ใช้มัน แต่เธอก็สามารถเรียกทหารมาได้แค่ 16 คนเท่านั้น
ทว่าหากเป็นกษัตริย์แห่งหนามที่ใช้ ‘การเรียกขานของวิหคหนาม’ ด้วยตนเอง เขาจะสามารถอัญเชิญกองทัพของตลอดทั้งอาณาจักรมาได้เลยในคราวเดียว!
แต่น่าเสียดาย ที่กษัตริย์ถูกลอบสังหารไปแล้ว
และตัวลอร่าเอง ก็ยังไม่ได้ปลุกสายเลือดราชวงศ์ให้ตื่นขึ้น
—แต่ต่อให้เธอปลุกสายเลือดขึ้นมาได้ มันก็ไม่แน่ซะหน่อย ว่าจะบังเอิญไปปลุกเทคนิคสายเลือดเดียวกันกับของพ่อเธอ จริงไหม?
เทคนิคมนตราที่เธอปลุกขึ้นมา มันอาจจะแตกต่างกันออกไปก็ได้
“มีแค่นี้เองงั้นหรอ พอจะเรียกกำลังเสริมมาอีกจะได้ไหม?” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ไม่ได้หรอก เพราะอีเลียไม่ใช่ราชวงศ์ และด้วยอำนาจที่ท่านพ่อของเรามอบให้ เธอสามารถทำได้เพียงเท่านี้” ลอร่ากล่าว
กู่ฉิงซานมองไปยังเหล่าวิหคที่พึ่งปรากฏกายขึ้น
ในกลุ่มนั้น มีทหารชายหญิงสิบนาย เขาและเธอสวมเครื่องแบบเป็นเกราะรบสีเงินและอาวุธ ในมือถืออาวุธชั้นยอด และทันทีที่ปรากฏตัว ทั้งหมดก็กระจายไปรอบๆ ตีวงล้อม หันหลังให้แก่พวกกู่ฉิงซาน รับหน้าที่คอยปกป้อง
เหล่าทหารจัดกระบวนทัพ เข้าสู่สภาวะพร้อมต่อสู้
—ขณะเดียวกัน กองทัพผีที่กำลังบุกขึ้นไปในเมืองก็สังเกตเห็นถึงเหตุการณ์ที่ว่านี้เช่นกัน
วิหคหญิงอีกหกคนในชุดคลุมยาวเดินมาหยุดเบื้องหน้าลอร่า โค้งกายลงคารวะพร้อมเพรียง
“องค์หญิงลอร่า เราได้ทำการสื่อสารกับรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แล้ว และมันก็ตกลงที่จะตระเตรียมการเคลื่อนย้ายมิติและเวลาจากระยะไกล เพื่อท่านโดยเฉพาะ” วิหคหญิงคนหนึ่งกล่าว
อีกห้าคนพยักหน้าให้กัน และเริ่มร่ายมนคาถา
พร้อมกันกับการเปล่งมนตราของพวกเธอ ม่านรังสีแสงก็ค่อยๆปรากฏขึ้น
มองลอดผ่านม่านแสงไป คุณจะสามารถเห็นได้ถึงกิ่งก้านไม้ที่ปกคลุมไปด้วยใบเขียวขจีจากอีกฝั่ง
จากม่านแสงนี้ สามารถมองเห็นได้เพียงกิ่งก้านขนาดใหญ่เท่านั้น ซึ่งนี่เป็นเพียงหนึ่งในร้อยของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ มิใช่ทั้งลำต้นของมัน
ลอร่ามองไปยังต้นไม้ใหญ่ ปากเอ่ยพึมพำ “กลับบ้านงั้นหรอ .. ”
วิหคหญิงชุดคลุมยาวกระตุ้นเตือน “ฝ่าบาท ได้โปรดกลับไปเถิด สถานที่แห่งนี้กำลังจะเข้าสู่สภาวะสงครามแล้ว”
ลอร่ามองไปยังบ้านเกิดของตนเองในม่านแสง และหันไปมองรอบๆอีกครั้ง
เห็นแค่เพียงกองทัพผีที่กำลังเคลื่อนพล เร่งตรงมายังทิศทางที่เธอยืนอยู่ด้วยความเกรี้ยวกราด
กองทัพผีเบียดเสียดกันดั่งคลื่นสึนามิ ที่โถมทับลงบนจุดใด พื้นที่ราบตรงจุดนั้นก็จะถูกทำลายล้าง คละคลุ้งไปด้วยฝุ่นผง
พวกมันเคลื่อนตัวใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
ลอร่าก้าวมาหยุดอยู่หน้าม่านแสง ก่อนจะหันกลับมาทันทีและกล่าว “กู่ฉิงซาน เจ้ามากับเราสิ”
วิสัยทัศน์ของหกผู้ใช้มนตราหันมามองกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว
“กระหม่อมไปไม่ได้” กู่ฉิงซานกล่าว
“เพราะเหตุใด?”
“เพราะกระหม่อมจะต้องสู้”
ลอร่าพอได้ฟังก็แข็งค้าง
กระทั่งในสถานการณ์แบบนี้ -ทั้งๆที่สามารถเอาตัวรอดได้ แต่ชายคนนี้กลับ ..
เลือกที่จะสู้ …
นั่นสินะ ขนาดมันไม่ใช่เรื่องของเขา เขายังสู้เลย แล้วทำไมเธอถึงไม่สู้บ้างล่ะ?
ลอร่าพยักหน้าอย่างช้าๆ และค่อยๆชักฝีเท้ากลับ “งั้นเราก็ไม่กลับแล้ว”
วิหคหญิงชุดคลุมยาวกล่าว “องค์หญิง ที่นี่มันอันตรายเกินไป ท่านไม่อาจเสี่ยงได้ เพราะในราชวงศ์วิหคหนาม ท่านน่ะเป็น -”
“สายเลือดคนสุดท้าย”
ลอร่าชิงพูดตัดหน้าอีกฝ่าย “ใช่ เรารู้เรื่องนั้นดี ดังนั้นเราจึงไม่สามารถจากไปได้อย่างไรล่ะ”
วิหคหญิงชุดคลุมยาวสูญสิ้นเสียงของเธอ “เพราะ … เหตุใด?”
“เพราะคนที่สังหารท่านพ่อท่านแม่ของเรา ปัจจุบันเธอต้องการยึดครองโลกโบราณใบนี้ และหากทำได้ แผนทุกอย่างของเธอก็จะประสบผลสำเร็จ”
“หากเราหนีห่างจากอันตรายกลับไป เลือกที่จะหดหัวอยู่ในดินแดนอัศจรรย์ แล้วเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของการเป็นเจ้าหญิงจะไปทิ้งไว้ที่ไหน แล้วเราจะเป็นผู้เหมาะสมที่ครอบครองสายเลือดราชวงศ์หนามได้อย่างไร!”
ลอร่ากำมือน้อยๆของเธอแน่นแล้วพูดว่า “เราก็ต้องการที่จะสู้เหมือนกัน”
วิหคหญิงชุดคลุมยาวหลายคนเผยถึงความกังวล ทั้งหมดคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกัน “แต่มันอันตรายเกินไปนะฝ่าบาท และทางตระกูลวิหคหนามก็ไม่อาจสูญเสียไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว”
ลอร่าพยักหน้า และกล่าวอย่างสงบ “ราชวงศ์ถูกสังหาร , ชีวิตและความตายของนายพลอีเลียก็ยังไม่แน่ไม่นอน ขณะที่ฆาตกรกำลังจะได้ทุกอย่างไปในครอบครองในไม่ช้า ช่วงเวลานี้เราจึงถอยไม่ได้ เพราะเราเป็นตัวแทนของราชวงศ์หนาม”
แม้น้ำเสียงจะเริ่มสั่น แต่เจ้าตัวก็ยังยืนยันหนักแน่น “ท่านแม่เคยกล่าวว่าจ้าวนครที่ดี ควรจะตระหนักได้ว่ายามใดสมควรถอย และยามใดสมควรสู้ตายอย่างไม่ยินยอมอ่อนข้อ!”
“เราในฐานะบุตรีของกษัตริย์ จะไม่มีทางถอยแก่ศัตรู”
“เราจะต้องให้ทริสเต้ ชำระหนี้เลือดในครั้งนี้ด้วยเลือดจากตัวเธอเอง!”
วิหคหญิงทั้งหลายลดศีรษะลง ไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมาสักพักหนึ่ง
แต่สุดท้ายวิหคหญิงชุดคลุมยาวก็ร้อนรนทนไม่ไหว จำต้องเปล่งเสียงออกมา “แต่กองทัพอสูรกายกำลังมารวมตัวกันที่นี่ และสิ่งเดียวที่พวกเราสามารถทำได้คือการพาฝ่าบาทกลับไป แม้กระทั่งนายพลอีเลียก็ยังไม่สามารถช่วยท่านได้”
ลอร่าหันไปมองกู่ฉิงซาน และเห็นแค่เพียงรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนของอีกฝ่ายสวนกลับมา
“กู่ฉิงซาน … ”
ในแววตาของลอร่าเผยให้เห็นร่องรอยของการวิงวอน
“เอาล่ะๆ กระหม่อมขอกล่าวอะไรสักเล็กน้อยก็แล้วกัน ว่าตอนนี้ ภายนอกน่ะมีบางสิ่งบางอย่างกำลังเกิดขึ้น” เขาพูดออกมา
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“มนุษย์ พูดเรื่องอะไรของเจ้า?”
ลอร่ากับวิหคหญิงชุดคลุมยาวเอ่ยถามพร้อมกัน
“จำได้ไหม ฝ่าบาทเคยบอกกับกระหม่อมว่า หากวิหคหนามแปลกหน้าเข้ามาเยือนโลกของวิหคหนามตนอื่นๆ แล้วเผลอพลั้งมือออกไป เจ้าของโลกก็จะตระหนักถึงอีกฝ่ายได้ในทันที”
กู่ฉิงซานมองไปยังกองทัพผีที่กำลังใกล้เข้ามาและกล่าว “แต่เวลานี้ ซึ่งกระหม่อมคิดว่าอีเลียคงไม่ต้องการปกปิดตัวตนอีกต่อไปแล้ว เธอต้องการที่จะช่วยท่านให้หลบหนีออกไปจากที่นี่ในทันที จึงใช้ออกด้วยมนตราอัญเชิญ ‘การเรียกขานของวิหคหนาม’ ”
“ซึ่งทริสเต้ย่อมต้องตระหนักถึงเทคนิคมนตราของอีเลียอย่างแน่นอน และด้วยความแข็งแกร่งของเธอ ทริสเต้ก็สมควรที่จะกลับเข้ามาในโลกใบนี้ และทำการเปิดมัน เพื่อเริ่มแพร่กระจายต้นกำเนิดไปแล้วโดยสมบูรณ์”
“อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ แม้เวลาจะล่วงเลยไปสักพักหนึ่ง ชนิดที่ว่ากองทัพผีวิ่งข้ามผ่านมาครึ่งทุ่งราบลุ่มนี้แล้วก็ตาม แต่ทริสเต้กลับยังไม่ลงมือเสียที”
“ดังนั้น นี่พอจะสรุปได้ว่า นอกโลกใบนี้จะต้องเกิดเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้น หรือไม่ก็มีบางคนกำลังขัดขวางทริสเต้ จนเธอไม่กล้าลงมือเป็นแน่”
“อ้างอิงตามสถานการณ์นี้ กระหม่อมคาดว่าสิ่งแวดล้อมจากภายนอกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางของฝั่งเรา”
เขาขบคิดและกล่าว “ทำให้โอกาสที่พวกเราจะสู้ .. ไม่สิ้นหวังซะทีเดียว”
วิหคหญิงชุดคลุมยาวทั้งหก และทหารเกราะเงินทั้งสิบมองมายังเขาด้วยความโง่งม
ก่อนจะเบนสายตาไปมองกองทัพผีที่ทรงพลังและยิ่งใหญ่บนพื้นดิน และแหงนมองผีแห่งความอลหม่านเหลือคณาที่กำลังร่วงตกลงมาจากท้องฟ้า สุดท้ายก็สลับมามองกู่ฉิงซานอีกครั้ง
สถานการณ์แบบนี้ … ยังมีหวังที่จะสู้ได้จริงๆน่ะหรือ?
แค่พวกเราไม่กี่คน แต่ต้องรับมือกับกองทัพมอนสเตอร์นับล้านเนี่ยนะ?
ลอร่าเดินเข้ามาหากู่ฉิงซานและบีบมือเขาเบาๆ
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา
“กู่ฉิงซาน ตอนนี้เราคือเชื้อพระวงศ์แห่งตระกูลหนาม เป็นสายเลือดราชวงศ์คนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ และในอนาคตจะได้ขึ้นเป็นกษัตรีย์ เราอยากจะขอร้องเจ้า ให้ช่วยพาเรา ร่วมต่อสู้ไปด้วยกันจะได้หรือไม่”
กู่ฉิงซานก้มลงมองเธอ แต่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ
ลอร่ากัดริมฝีปาก และพยายามที่จะระงับน้ำเสียงของเธอให้สั่นไหวน้อยลง
“กู่ฉิงซาน พวกเราเดินทางร่วมกันมานาน และเจ้าก็ดูแลเราดีไม่ต่างไปจากท่านแม่ของเราเลย ฉะนั้นเราจึงเข้าใจในตัวเจ้าดี”
“เรารู้ว่าไหล่ของเจ้าต้องแบกรับสิ่งต่างๆมากมาย ไม่สนใจกระทั่งชีวิตและความตายของตนเอง กระทั่งในช่วงเวลาที่โลกกำลังจะพินาศ เจ้าก็ยังเลือกที่จะต่อสู้กับศัตรู”
“กู่ฉิงซาน เจ้ากับเราน่ะอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน นั่นคือมีศัตรูที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องเอาชนะให้จงได้ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความโศกเศร้าและเจ็บปวดก็ตามที”
“กู่ฉิงซาน .. เจ้าจะสามารถพาเรา เอาชนะพวกมันไปด้วยกันจะได้ไหม?”
“หากตราบใดที่เจ้านำพาเราไปต่อสู้ร่วมกัน แม้ว่าในท้ายที่สุดจะต้องตาย เราก็จะไม่บ่นอะไรแม้เพียงครึ่งคำ”
ลอร่าพูดจบ เธอก็เฝ้ารอสักพัก แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ
หัวใจของเธอค่อยๆร่วงหล่นลงสู่หุบเหวลึก
ลอร่าก้มหน้าลงด้วยความหดหู่ น้ำเสียงของเธอสะอื้นไห้ “ช่วยพาเรา ไปต่อสู้ด้วยกันกับเจ้า ไม่ได้หรื-”
จู่ๆชายตรงข้ามเธอก็เคลื่อนไหวอย่างกระทันหัน
ลอร่าเงยหน้าขึ้นทันที
เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่เอนตัวลง คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นดิน
เขายิ้มให้เธอ ปากเปล่งเสียงกระซิบเบาๆ “น้อมรับบัญชา องค์กษัตรีย์”
Ep.570 – ต้นไม้พรายกระซิบ
ท่ามกลางผืนป่า
ม้าทมิฬวิ่งตัดผ่านต้นไม้หนาทึบ จนในที่สุดก็มาถึงส่วนลึกของผืนป่าอย่างรวดเร็ว
หลังจากกระแสคลื่นสัตว์ประหลาดผีที่โถมเข้าโอบล้อมพวกเขา ตลอดเส้นทางก็ไม่พบอันตรายใดๆอีกเลย
พวกผีไม่ได้เข้ามาโจมตีอีก ซึ่งนี่มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่กู่ฉิงซานคาดคิดเอาไว้จริงๆ
ในที่สุด ม้าทมิฬก็หยุดลงใต้ต้นไม้โบราณเขียวขจี
“นี่น่ะหรือคือต้นไม้พรายกระซิบ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว” เหลาเจียวตอบกลับ
กู่ฉิงซานลงจากหลังม้า และอุ้มลอร่าลง
เมื่อเท้าของลอร่าสัมผัสกับพื้น เธอก็เงยหน้ามองดูกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานพอเห็นแบบนั้น จึงยกเธอขึ้นมาวางบนไหล่ของเขา
ลอร่ายิ้มออกมา
เหลาเจียวถอดเกราะกระดองเต่า และตรงมายังต้นไม้พรายกระซิบ
เขาลูบไล้ต้นไม้โบราณด้วยสองมือ รับรู้ถึงมันอย่างเงียบๆ แต่แล้วจู่ๆเขาก็ร้องไห้ขึ้นอย่างกระทันหัน
“เพราะเหตุใด? เพราะเหตุใดกันพวกเจ้าถึงตายกันหมด …”
เหลาเจียวคุกเข่าลงเบื้องหน้าต้นไม้ใหญ่ ทั้งคนทั้งร่างสั่นเทา ส่ายหัวไม่หยุดคล้ายกับไม่อยากยอมรับถึงความจริงนี้
ลอร่าพอเห็นแบบนั้น เธอก็ต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกกู่ฉิงซานปรามเอาไว้
“ปล่อยให้เขาระบายความรู้สึกไปก่อน แบบนี้มันดีสำหรับเขามากกว่า” กู่ฉิงซานกล่าว
ลอร่าหุบปากของเธอลง
ทั้งสองยืนนิ่ง เฝ้ารออย่างเงียบๆจนกระทั่งเสียงร่ำไห้ของเหลาเจียวค่อยๆจางหายไป
“ขออภัย ข้าเผลอควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ .. ” เหลาเจียวอธิบาย
“ไม่เป็นไร ผมพอจะเข้าใจได้”
“มันสิ้นหวังเกินไปจริงๆ” เหลาเจียวส่ายหัว “นอกเหนือไปจากเมืองไห่เช่า เมืองอื่นๆทั้งหมดได้ถูกตัดขาดการเชื่อมต่อไปจนหมดสิ้นแล้ว”
“ตัดขาดการเชื่อมต่องั้นหรือ? แล้วมันหมายความว่าอย่างไร?”
“ในทุกๆเมือง ตราบใดที่ยังมีคนๆหนึ่งมีชีวิตอยู่ การเชื่อมต่อบนต้นไม้พรายกระซิบก็จะไม่ถูกทำลายลง”
“ … เสียใจด้วยนะ” กู่ฉิงซานถอนหายใจ กล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล
ดูเหมือนว่าต้นกำเนิดจะทุ่มเทบุกรุกเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง จนโลกที่เหล่าทวยเทพทอดทิ้งใบนี้ แทบจะสิ้นสลายลงแล้ว
“เอาล่ะ ข้าจะเริ่มติดต่อกับเมืองไห่เช่าแล้วนะ” เหลาเจียวพยายามรักษาน้ำเสียงให้สงบ
เขาหลับตาลง และวางมือตนลงบนต้นไม้พรายกระซิบ
บริเวณโดยรอบเงียบงัน
สักพักหนึ่ง เหลาเจียวก็ลืมตาขึ้น และเป็นเจ้าตัวเองที่อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
“เหลาเจียว เจ้ายังมีชีวิตอยู่งั้นหรอ โชคดีจริงๆ!”
“ใช่” ท่าทีและน้ำเสียงของเหลาเจียวแลดูหม่นหมอง “แต่มีแค่ข้าคนเดียวที่รอดมาได้”
“ไอ้วันสิ้นโลกเฮงซวย ไอ้พวกผีบัดซบ!” เหลาเจียวสบถหยาบคายออกมาด้วยอีกน้ำเสียงหนึ่ง
แต่ทันใดนั้นท่าทีของเหลาเจียวก็สงบลง
“พวกเจ้าเงียบก่อน ตอนนี้พวกเรามาฟังเหลาเจียวกันก่อนดีกว่า ว่าเขามีข้อมูลอะไรบ้าง” ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ เหลาเจียวยังคงพูดกับตัวเอง และแสดงท่าทางหันไปมองรอบๆ ส่งสัญญาณให้คนอื่นๆเงียบ
น้ำเสียงและการแสดงออกของเหลาเจียวกลับมาหม่นหมอง “มีสองคนจากภายนอกมากับข้า พวกเขาบอกว่ารู้จักกับท่านหญิงเหมันต์”
เขาหันไปมองกู่ฉิงซานกับลอร่า สายตากวาดสำรวจ ตรวจสอบทั้งสองอย่างรอบคอบ
“คนนอกที่เจ้าหมายถึง คือพวกเขารึ?”
“ใช่” เหลาเจียวตอบกับตัวเอง “พวกเขาไม่เพียงช่วยชีวิตข้าไว้ แต่ยังช่วยให้ข้าสามารถเดินทางมาถึงที่นี่ได้อีกด้วย”
เหลาเจียวจ้องมาที่กู่ฉิงซานกับลอร่า เขาพยักหน้าและกล่าว “ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ผู้เข้าสู่วิถีมารนะ แต่ยังไงซะ เราก็ต้องตรวจสอบสถานะของพวกเขาก่อนอยู่ดี”
“แน่นอน ว่าต้องยืนยัน”
“รอประเดี๋ยว พวกเราจะเชิญท่านหญิงเหมันต์มา”
สิ้นประโยคนี้ เหลาเจียวก็เงียบไป
กู่ฉิงซานกับลอร่ามองหน้ากันและกัน
“ดูเหมือนว่าต้นไม้ต้นนี้ จะเป็นสื่อกลางที่สามารถให้คนอื่นๆแบ่งปันร่างกายกับผู้ที่เชื่อมต่อมันนะ” กู่ฉิงซานคิดและสรุปออกมา
“ช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เราเห็นต้นไม้ที่มีคุณสมบัติแบบนี้”
ลอร่ามองไปยังเหลาเจียวด้วยความอยากรู้อยากเห็น กระซิบคุยกับเขา
ไม่นานนัก เหลาเจียวก็เงยหน้ากลับมามองพวกเขาอีกครั้ง
“ท่านหญิงเหมันต์ถามว่าเจ้าเป็นใคร” เหลาเจียวกล่าว
“เราคือวิหคหนามที่พึ่งก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แต่ยังไม่ได้รับพิธีจุ่มศีลจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม เจ้าจงไปบอกเธอแบบนี้” ลอร่ากล่าว
เหลาเจียวพยักหน้า และนิ่งไปอีกครั้ง
กู่ฉิงซานหันไปมองลอร่า
ลอร่ายื่นหน้าไปใกล้หูกู่ฉิงซานและกระซิบว่า “พอวิหคหนามเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาจะต้องรับการชำระล้างจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม แต่เพราะมันสูงเกินไป เราเลยยังไม่กล้าขึ้นไป”
“ถ้าอย่างนั้น หมายความว่าหากเหมันต์ยามค่ำได้ฟังประโยคเมื่อครู่ เธอก็จะรู้ทันทีว่าเป็นท่าน?”
“ใช่แล้วล่ะ ตลอดทั้งมวลหมู่วิหคหนาม มีเพียงเราคนเดียวเท่านั้นที่ไม่กล้าเข้าพิธีจุ่มศีล” ลอร่าพูดพลางก้มหน้าลงด้วยความอดสู
กู่ฉิงซานจึงลูบหัวน้อยๆของเธอและกล่าวว่า “มันไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก”
เหลาเจียวเริ่มพูดอีกครั้ง “ท่านหญิงเหมันต์ขอให้เจ้าพิสูจน์ตัวตน นางขอให้เจ้ากล่าวคำสาบานของนาง”
“เธอจะต้องปกป้องเรา” ลอร่ากล่าว
เหลาเจียวนิ่งไป ก่อนจะพยักหน้า “ท่านหญิงกำลังรับผิดชอบในการต่อกรกับผีแห่งความอลหม่านนับร้อยตนอยู่ เลยไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ แต่นางล่วงรู้เส้นทางที่ปลอดภัย ที่จะสามารถนำพาพวกเจ้าเข้ามายังเมืองไห่เช่าได้”
“และนางต้องการให้เจ้ามาหานางโดยเร็ว!”
“เข้าใจแล้ว บอกนางว่าเราจะไปที่นั่นทันที”
“ขอจงเกาะกลุ่มกันไว้ เมื่อพวกเจ้ามาถึง ทางเราจะส่งคนไปรับเอง”
“นอกจากนี้ พวกเราได้บอกเส้นทางกับเหลาเจียวแล้ว และเขาจะพาเจ้าไปในทิศทางที่ปลอดภัย”
“รับทราบ”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็รู้สึกได้ว่าจิตสัมผัสเทวะจำนวนมากได้แยกตัวออกจากร่างของเหลาเจียวไป
มีวิธีการที่สามารถทำให้จิตสัมผัสเทวะเข้าสู่ร่างกายผู้อื่นจากระยะไกลได้อยู่ด้วยหรือนี่?
ช่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์โดยแท้
“ไปกันเถอะ เมื่อครู่ข้าพึ่งจะได้รับเส้นทางลับที่จะนำไปสู่เมืองไห่เช่าได้โดยตรงมา และแน่นอนว่ามันเป็นทิศทางที่สามารถเลี่ยงการโจมตีของสัตว์ประหลาดผีได้” เหลาเจียวกล่าว
“ดีล่ะ งั้นพวกเราคงต้องรีบกันหน่อยแล้ว”
ขณะกล่าว จู่ๆกู่ฉิงซานก็หันขวับ! มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เหลาเจียวกับลอร่าก็เช่นกัน
เห็นแค่เพียงบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ระลอกคลื่นสีทองยังคงกระเพื่อมไหว
ทันใดนั้นเอง-
แสงจรัสพลันระเบิดออก แผ่ขยายไปทั่วท้องฟ้า กระจายออกไปในทุกทิศทาง
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเปลี่ยนเป็นสีทองด้วยอัตราเร็วที่เชื่องช้า แต่ทว่ามั่นคง
นี่เป็นฉากที่งดงามดั่งแสงแดดสีทองยามรุ่งสาง
อย่างไรก็ตาม เริ่มที่จะมีสิ่งแปลกปลอมบางอย่างปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
พวกมันผุดเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“อา … อา ไม่จริงน่า”
เหลาเจียวมองขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับคนสูญสิ้นจิตวิญญาณ
เขาล้มลงกับพื้นอย่างแรง ทั้งคนทั้งร่างจมลงสู่ความสิ้นหวังโดยสมบูรณ์
นี่คือฉากที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นว่ากำแพงอุปสรรคของทวยเทพกำลังถูกกดดันจนต้องเปิดใช้งานอย่างเต็มที่
หัวของผีแห่งความอลหม่านเริ่มปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
พวกมันกำลังแทรกตัวเข้ามา
กู่ฉิงซานทดลองนับดูอย่างลวกๆ แต่เขาก็พบว่าตนไม่สามารถคาดคำนวณถึงจำนวนศัตรูที่แม่นยำได้เลย
ปริมาณของผีแห่งความอลหม่าน คล้ายดั่งฝูงปลาคาร์ฟที่กำลังพยายามแหวกว่ายทวนกระแสธารน้ำตก
พวกมันเจาะผ่านกำแพงอุปสรรค สะบัดตัวดิ้นพล่าน หมายมั่นจะบุกเข้ามาในโลกที่ถูกเหล่าทวยเทพทอดทิ้งให้จงได้
“ไม่ใช่เจ้าบอกว่าผีแห่งความอลหม่านมันยากนักที่จะพบเจอหรอกหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“มันยากจะพบเจอจริงๆนะ เกือบหนึ่งพันปีที่ผ่านมา มันปรากฏตัวขึ้นเพียง 2 ครั้งเท่านั้น” ดาบพิภพิยืนยัน
“ถ้าอย่างงั้น หมายความว่าเจ้า ‘ต้นกำเนิด’ คงจะทุ่มเต็มกำลัง ระดมกำลังรบทั้งหมดที่มีมาเลยสินะเนี่ย” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา
ทันใดนั้นเขาก็จดจำได้ถึงบางสิ่ง
ต้นกำเนิดหมายจะรุกรานเข้ามาในโลกใบนี้อย่างบ้าคลั่ง มันแม้กระทั่งเคยบอกว่าจะปล่อยเขาไป หากเขาทำบางสิ่งบางอย่างให้กับมัน
“ที่เจ้าได้รับโอกาสรอดชีวิต นั่นก็เพราะเจ้าจะต้องช่วยข้าค้นหาวิธียึดครองสถานที่แห่งหนึ่ง”
เสียงเย็นชาของต้นกำเนิดยังคงสะท้อนอยู่ในหูของเขา
และหลังจากคำพูดนี้ เขาก็ย้อนนึกถึงคำตอบบนหน้าต่างเทพสงคราม
“มันจำเป็นต้องใช้วัตถุวิเศษบางอย่างที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยเทพวิญญาณจากโบราณอันไกลโพ้น ซึ่งวัตถุชิ้นนี้จะช่วยให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดไม่สามารถวิวัฒนาการได้”
“เมื่อไหร่ที่ต้นกำเนิดได้ครอบครองวัตถุดังกล่าว มันก็จะอัพเกรดขั้นต่อไป และถูกเรียกว่า ‘หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ปฏิวัตร’ ”
ช่วงเวลานี้ ในหัวในของกู่ฉิงซานกำลังปั่นความคิดด่วนจี๋
แต่เดิม กลับกลายเป็นว่าการพิจารณาของตนไม่ได้ผิดพลาด
ต้นกำเนิดต้องการที่จะทะลวงเข้าสู่โลกใบนี้ เพื่อที่จะได้ครอบครองวัตถุพิเศษที่เทพวิญญาณจากโบราณอันไกลโพ้นทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง
มันต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น!
“สถานการณ์ย่ำแย่จริงๆ พวกเราต้องเร่งกันแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
เขากระโดดขึ้นไปบนหลังม้า และกวักมืออีกครั้ง เรียกเหลาเจียวให้กลับมาบนกระดองเต่า
“ท่านต้องการชมทิวทัศน์ ..” ม้าทมิฬกำลังจะถาม
“วิ่งไปเลย เต็มกำลัง!”
ตูม-
ม้าทมิฬกลายเป็นภาพติดตา ควบทะยานไปตามทิศทางของเมืองไห่เช่า
เวลาค่อยๆไหลผ่านไปเรื่อยๆ
บนท้องฟ้า แสงเรืองรองสีทองเริ่มที่จะสว่างขึ้น สว่างขึ้นเรื่อยๆ
ผีแห่งความอลหม่านนับไม่ถ้วนเจาะทะลุกำแพงอุปสรรคได้ในที่สุุด พวกมันร่วงหล่นลงมาดั่งสายฝน!
ลอร่าที่นั่งอยู่ในอ้อมอกของกู่ฉิงซาน เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า
ผีแห่งความอลหม่านบุกเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว
คาดว่าในอีกไม่เกินหนึ่งนาที พวกมันก็จะข้ามผ่านผืนฟ้าที่สูงหลายหมื่นเมตร ลงถึงพื้นดิน
และเมื่อเวลานั้นมาถึง โลกทั้งใบก็จะเต็มไปด้วยผีแห่งความอลหม่าน!
คราวนี้ ไม่ว่ากู่ฉิงซานจะแข็งแกร่งเพียงไร แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะกองทัพอสูรกายขนาดใหญ่เช่นนี้ได้
ลอร่ากัดฟันของเธอ
“กู่ฉิงซาน!”
ม้าทมิฬควบเต็มกำลัง เสียงลมหอนแสบแก้วหู จนเธอต้องตะโกนออกมา
“ว่าไง?” กู่ฉิงซานตอบเสียงดังกลับไป
“พวกเรากำลังจะตายใช่ไหม?”
“อย่าพึ่งคิดว่าจะตาย ทั้งๆที่ก่อนตายยังไม่ได้พยายามอะไรเลย!”
ลอร่าเริ่มสะอื้นไห้ “เราขอโทษนะ ถ้าก่อนหน้านี้เราเลือกที่จะบินไป มันก็คงจะไม่ต้องเสียเวลาต่อสู้กับศัตรูที่ขวางทาง และบางทีตอนนี้อาจจะถึงเมืองแล้วก็ได้”
“เด็กโง่ ทุกคนก็มีสิ่งที่ตัวเองกลัวกันทั้งนั้น นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน”
“แต่ข้ามันเป็นคนขี้ขลาด – ”
“ไม่ใช่ ท่านก็แค่กลัวความสูงนิดหน่อยเท่านั้นเอง มันไม่มีอะไรหรอก และมีอีกเรื่องหนึ่งที่ท่านมั่นใจได้”
“อะไรหรอ?”
กู่ฉิงซานชี้ไปยังเบื้องหน้า “พวกเราจะไม่ตายที่นี่!”
ลอร่าหันหน้าตาม และมองออกไป
เมือง!
ปรากฏเมืองๆหนึ่งขึ้นในสายตาของเธอ
ซึ่งนี่มันแตกต่างไปจากเมืองที่เห็นกันก่อนหน้านี้ เมืองข้างหน้าตั้งอยู่บนภูเขาสูง คล้ายกับป้อมปราการสงครามขนาดใหญ่
-เมืองไห่เช่า!
ในที่สุด พวกเธอก็มองเห็นตัวเมืองแล้ว!
“เหลาเจียว!” กู่ฉิงซานตะโกนเสียงดัง
“ข้าอยู่นี่ มีอะไรงั้นหรือ?” เหลาเจียวตะโกนตอบรับ
“ต่อจากนี้ไป บางทีคุณอาจจะต้องเข้าร่วมต่อสู้ด้วยนะ” กู่ฉิงซานกล่าว
เหลาเจียวมองไปยังเมืองไห่เช่า
เห็นแค่เพียงบนภูเขาสูงตระหง่าน เมืองปราการตั้งเด่นเป็นสง่าอย่างมั่นคง
ทว่าขณะเดียวกัน กองทัพสัตว์ประหลาดผีกลับครอบครองสถานที่ทุกหนแห่งเบื้องนอกตัวเมือง
พวกมันกระจุกตัวกันหนาแน่น โอบล้อมตลอดทั้งภูเขาสูง ปิดล้อมเมืองอย่างเต็มกำลัง
สงครามได้มาถึงจุดที่รุนแรงที่สุดแล้ว!
“ไม่มีปัญหา เพื่ออาณาจักรของเหล่าทวยเทพ ข้าเต็มใจที่จะตายลงท่ามกลางการต่อสู้แห่งนี่” เหลาเจียวคำรามด้วยความโกรธ
“พูดได้ดี! งั้นพวกเราจะพุ่งเข้าปะทะมันตรงๆไปเลย!”
กู่ฉิงซานกุมบังเหียน
สามดาบปรากฏขึ้นรอบกายม้าทมิฬอย่างเงียบๆ
พวกมันสั่นไหวสื่อสารกัน ก่อนจะวูบบบบ! บินไปยังเบื้องหน้า
ส่วนลอร่า เธอมุดตัว ฝังหน้าเข้าไปในอ้อมแขนอย่างกู่ฉิงซาน
Ep.569 – คุยส่วนตัว
ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด
เสียงกุบกับของเกือกม้าสะท้อนอยู่ไปมาในผืนป่า
พร้อมกับแสงสวรรค์เรืองรองอันงดงาม ห่อหุ้มรอบกายของม้าทมิฬ
นอกเหนือไปจากแสงสวรรค์แล้ว ยังปรากฏถึงทุกชนิดของเสียงแปลกๆกังวานไปมา บ่งบอกถึงศัตรูนับอนันต์ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
สามดาบบินวนรอบไปทั่วทั้งค่ายกลจากภายในอย่างรวดเร็ว
พวกมันคอยปลดปล่อยรังสีดาบ ตัดสะบั้นศีรษะของมอนสเตอร์ที่ผุดเข้ามาขวางหน้าอย่างต่อเนื่อง
ความคล่องแคล่วของสามดาบนั้นรวดเร็วเกินไป พวกมันราวกับเป็นเครื่องบดเนื้อ คอยเก็บเกี่ยวชีวิตของผีร้ายของไม่หยุดยั้ง
ไม่มีผีตนใดสามารถหลบเลี่ยง หนีไปจากคมสังหารของดาบบินได้
ส่วนกู่ฉิงซาน สองตาของเขากำลังมองไปยังหน้าต่างเทพสงครามอย่างสบายอารมณ์
การสังหารผีแห่งความอลหม่าน ส่งผลให้แต้มพลังวิญญาณในบัญชีสะสมของเขาพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกัน แต้มพลังวิญญาณที่ได้จากการสังหารผีที่แตกตัวออกจากผีแห่งความอลหม่าน มันก็ไม่ได้เลวร้ายเลย
กู่ฉิงซานค่อยๆเกิดความผ่อนคลายในหัวใจ จนในที่สุด เขาก็ละความสนใจจากจำนวนแต้มพลังวิญญาณที่ได้รับมาอีกต่อไป
แม้ว่าตนพึ่งจะมอบ 100000 แต้มพลังวิญญาณให้แก่ดาบพิภพไปก็ตาม แต่การสังหารผีแห่งความอลหม่านที่พึ่งปรากฏตัวออกมา ก็ช่วยเติมเต็มในส่วนที่เสียไปนี้กลับคืน
ปัจจุบัน แต้มพลังวิญญาณยังคงเติบโต เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้นเอง จู่ๆตลอดทั้งค่ายกลก็เปล่งแสงสวรรค์ขึ้นพร้อมกัน
ปฏิกิริยานี้บ่งบอกว่า ปริมาณของศัตรูที่มันจำต้องทานรับน่ะเกินกว่าขีดจำกัดแล้ว และค่ายกลที่เชื่อมโยงกันจะอยู่ในสถานะเกินพิกัด ไม่อาจทำงานได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง
หากเป็นในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ หรือแม้กระทั่งในโลกล่องเวหา ยามเมื่อค่ายกลขนาดใหญ่เกิดอาการเข้าสู่สภาวะเกินพิกัด ทำงานหนักมากเกินไป จะเป็นช่วงเวลาที่บ่งบอกว่าสงครามได้มาถึงจุดสำคัญที่สุดแล้ว!
อย่างไรก็ตาม ในโลกที่เทพบรรพกาลทอดทิ้งใบนี้ ค่ายกลต่อสู้ขนาดใหญ่ที่พึ่งอธิบายไป กลับถูกจัดวางไว้ใช้ในการโจมตีระยะไกลเท่านั้น
ผีร้ายนับไม่ถ้วนอยู่ภายนอก เริ่มทยอยกันมาปิดล้อมรอบค่ายกลอย่างต่อเนื่อง
เหมือนกับว่าพวกมันกำลังตระเตรียมบางสิ่งบางอย่าง
“ระวัง! พวกมันกำลังจะมาแล้ว” เหลาเจียวตะโกนเตือน
กู่ฉิงซานมองไปยังเหล่าแสงสวรรค์โดยรอบ เท่าที่สุดสายตาจะมองเห็นได้
ท่ามกลางผืนป่า เต็มไปด้วยเหล่าผีร้ายเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่น
จำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ในจุดที่ไกลออกไป มองดูคล้ายกับระลอกคลื่นใหญ่ที่กระเพื่อมไหวแล้ว
ไม่กี่วินาทีต่อมา ไม่ว่าจะเป็นตลอดทั้งผืนฟ้า ครอบคลุมทั้งผืนดิน ล้วนปรากฏถึงกระแสคลื่นสัตว์ประหลาดผีร้าย โถมกดดันลงมายังม้าทมิฬ
สามดาบบินตอบสนองต่อสิ่งนี้อย่างรวดเร็ว
พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นกระแสแสง เร่งความเร็ว ฟาดฟันคมดาบจากภายในรัศมีค่ายกลอย่างไม่รู้จบ
ฝูงกองทัพวิญญาณถูกซัดด้วยกระบวนท่าดาบ บ้างตัวระเบิดแตก บ้างกระดอนออกไป
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว สมดุลของการต่อสู้ในครั้งนี้ก็ค่อยๆเอนเอียงไปทางฝ่ายศัตรูอยู่ดี
มอนสเตอร์น่ะ .. มันมีจำนวนมากเกินไป
พวกมันโอบล้อม และกดดันแสงสวรรค์จากค่ายกลโดยสมบูรณ์ แม้จะถูกสังหารลงด้วยดาบบินอย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งหมดก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้
ภายใต้การกัดกินของผีร้ายนับพันหมื่น ค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าค่อยๆถูกทำลายลง
“จำนวนของพวกมันมีมากเกินไป!” ลอร่ากรีดร้อง
แต่กู่ฉิงซานเพียงกล่าวเสียงกระซิบ “อย่าตื่นตระหนกไป”
สมญาเทพสงครามเกิดการสับเปลี่ยน ‘นายพลชั้นโหยวจี’ ถูกแทนที่ด้วย ‘ผู้บัญชาการรบ’
“เมื่อสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ : ปราณดาบสุดขอบฟ้า”
“ปราณดาบสุดขอบฟ้า : เมื่อใดก็ตามที่ดาบของท่านถูกปกคลุมไปด้วยปราณดาบ และท่านได้เปิดใช้งานสกิลนี้ ปราณดาบและสกิลดาบจะหลอมรวมกันพร่ามัวเป็นเงา ยามฟาดฟันจะปรากฏการโจมตีเดียวกันขึ้นอีกระลอก (หมายเหตุ : เมื่อใช้สมญานี้ ท่านจะถูกจำกัดให้ใช้เฉพาะอาวุธดาบเท่านั้น)”
เพียงสั่งการในความคิด เทคนิคดาบก็เริ่มถูกกระตุ้นอีกครั้ง
สามดาบบินหยุดมือของพวกมันลงอย่างกระทันหัน
พวกมันมิได้ฟาดฟันมั่วซั่วอย่างคลุ้มคลั่งอีกต่อไป แต่มุ่งเข้าหาสัตว์ประหลาดผีที่ทรงพลังแทน
พร้อมกับทั้งสามดาบที่ฟาดฟันออกไปเล่มละ –
เจ็ดครั้ง!
เจ็ดครั้ง!!
เจ็ดครั้ง!!!
อย่างพร้อมเพรียง
ในเสี้ยววินาทีที่เพลงดาบสุดท้ายสับลง บนใบดาบก็สาดแสงสายฟ้าออกมาทันที
“มังกรสายฟ้า!”
กู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง ขับเคลื่อนธาตุสายฟ้าเต็มกำลัง เทคนิคดาบถูกใช้ออกไป
เจ็ดดารา มังกรแหวกธารา!
ตามมือและแขนของเขาเริ่มผุดแสงสีน้ำเงินขาวออกมา พุ่งตัดอากาศไปยังเหล่าดาบบิน
เบื้องหลังหัวมังกร ร่างอันคดเคี้ยวของมันที่ผสมผสานไปด้วยรังสีดาบและเล่ยเดี๋ยนผุดออกมาจากดาบบิน
แต่มันยังไม่จบลงเพียงเท่านี้!
เพราะยามเมื่อมังกรสายฟ้าตัวแรกถูกปลดปล่อยออกมา มังกรสายฟ้าอีกตัวก็ผุดตามติดจากดาบบินอีกครั้งทันที
สามดาบบิน สามเจ็ดดารามังกรแหวกธารา ผสานไปกับสมญาเทพสงคราม ส่งผลให้กระบวนท่าในครั้งนี้ ก่อกำเนิดมังกรสายฟ้าถึงหกตัวขึ้นอย่างกระทันหัน!
ตูม!
หกมังกรสายฟ้าว่ายวนไปรอบรังสีค่ายกล กวาดคมเขี้ยวอันดุร้ายของมันไปทั่วผืนป่า
แล้วสิ่งที่กระแสคลื่นกองทัพผีร้ายต้องเผชิญน่ะหรือ? พวกมันก็ถูกกลืนกินโดยสายฟ้าแล้วสลายกลายเป็นควันไปเลยทันทีน่ะสิ!
ส่วนสัตว์ประหลาดผีที่สัมผัสได้ถึงสายฟ้าสวรรค์ แต่ยังไม่ถูกโจมตี ก็หันหลังกลับ และหลบหนีไปทันที
อย่างไรก็ตาม ภายใต้การไล่ล่าสังหารของหกมังกรสายฟ้า มีหรือที่เหยื่อของมันจะหนีรอด!
มังกรสายฟ้าว่ายวน ฉวัดเฉวียนไปมา แล้วค่อยๆไล่ล่า ล้างบางตลอดทั้งผืนป่า
หลังจากผ่านพ้นไปกว่าสิบลมหายใจ แสงสีน้ำเงินขาวจากสายฟ้าที่ส่อประกายเปรี๊ยะๆ ก็ค่อยๆสลายไป
คราวนี้ สภาพแวดล้อมโดยรอบกลับมาเงียบสงบโดยสมบูรณ์
และไม่มีเสียงของผีร้าย โผล่ออกมาให้กวนใจอีกต่อไป
ลอร่าขยี้ตาของเธอ และกวาดสำรวจมันอย่างระมัดระวัง
เมื่อครู่ สมดุลการต่อสู้เอนเอียงไปทางศัตรูอย่างชัดเจน แต่เพียงสิบลมหายใจต่อมา พวกผีร้ายทั้งหมดกลับหายไปจนสิ้นแล้ว
-สัตว์ประหลาดผีมันหายหัวไปไหนกันหมด?
กระแสคลื่นสัตว์ประหลาดผีเมื่อครู่ … บัดนี้ราวกับเป็นเพียงภาพมายา เป็นเพียงสิ่งลวงตาที่พึ่งลวงหลอกเธอไป
ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด ปัจจุบันเงียบสงัดราวกับอากาศได้ตายลงไปแล้ว
“ที่เจ้าใช้ มันเป็นทักษะดาบอันใดกัน” เหลาเจียวถามเสียงแหบแห้ง
“ทักษะดาบสำหรับใช้สังหารสิ่งชั่วร้าย”
ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็รู้สึกว่าลำคอของเขาแห้งผาก ตามร่างกายรู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อย
เจ็ดดารามังกรแหวกธารา คือเทคนิคลับแห่งดาบที่ทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างมากก็จริง แต่พลังที่มันสูบกลืนไปก็มากเช่นกัน
ถึงแม้ว่าด้วยขอบเขตความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ จะสามารถควบคุมได้ทั้งสามดาบบิน และปลดปล่อยเจ็ดดารา มังกรแหวกธาราได้ถึงสามครั้งติดต่อกันแล้วก็ตาม แต่ตนก็ยังรู้สึกว่ามันเกินกำลังไปสักเล็กน้อยอยู่ดี
สามดาบบินกลับจากผืนป่า ลอยมาหากู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานโบกมือของเขา และดาบบินทั้งหมดก็หายไปอย่างเงียบๆในความว่างเปล่าเบื้องหลัง
เขาตบลงในถุงสัมภาระอีกครั้ง และหยิบเอาเหยือกสุราออกมา
มันคือเหยือกสุราที่ทำมาจากหยกวิญญาณไฟพันปี กล่าวกันว่าหากสุราใดถูกหมักบ่มเอาไว้ในเหยือกหยกใบนี้ ฤทธิ์ของมันจะรุนแรงยิ่งขึ้น
พื้นผิวที่เรียบลื่นของเหยือกหยกวิญญาณ ถูกแกะสลักเป็นลวดลายร้อยบุปผา
ดอกไม้เหล่านี้ แม้ลวดลายสลักของมันจะค่อนข้างหยาบ แต่ก็เผยให้เห็นถึงเสน่ห์และความมีชีวิตชีวาออกมา
นั่นก็เพราะลวดลายสลักช่อดอกไม้เหล่านี้ มันแฝงไว้ด้วยพลังอันอุดมสมบูรณ์และน่าประทับใจไม่น้อยน่ะเอง
มันคือลวดลายสลักฝีมือของฉินเซี่ยวโหลว
และสุราที่อยู่ภายในก็ยังถูกหมักบ่มโดยฉินเซี่ยวโหลว ส่วนผสมของมันล้วนมาจากดอกไม้วิญญาณนานาชนิดที่แสนหายาก และไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วๆไปในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธจะสามารถดื่มได้
ในตอนที่กู่ฉิงซานอยู่ในนิกายร้อยบุปผา เขาได้อาศัยความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างตนกับฉินเซี่ยวโหลว ร้องขอให้อีกฝ่ายสร้างเหยือกนี้ให้ตนกว่าหลายสิบใบ
และครั้งเมื่อเขากลับไปยังโลกเดิม ตนก็ได้ดื่มด่ำมอมเมาไปกับมัน จนตอนนี้เหลือเพียงเหยือกสุดท้ายแล้ว
‘ … รอให้เรื่องในครั้งนี้สิ้นสุดลงก่อนเถอะ แล้วฉันจะกลับไปขอมันมาดื่มอีกให้จงได้’
เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องของนิกายร้อยบุปผา กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น กระดกสุราทั้งเหยือกทั้งหมดลงไปในคราวเดียว
ฤทธิ์ร้อนแรงไหลเข้ามาในลำคอ แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย พลังวิญญาณราวกับถูกกระตุ้น ค่อยๆฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง
จิตสำนึกเทวะของกู่ฉิงซานกลับกลายเป็นคมชัด จิตวิญญาณของเขากลับมาเดือดพล่านอีกครั้ง
เขานั่งอยู่บนหลังม้า ปากอ้าหัวเราะด้วยความสุขทันใด “เชียร์!”
…
แอนนานอนอยู่บนเตียงพร้อมกับเหยือกสุราในมืออ้อมกอดของเธอ
มันคือเหยือกสุราแบบเดียวกันกับของกู่ฉิงซาน
เธอแหงนมองลายสลักดอกไม้นานาพันธ์บนตัวเหยือก นิ่งงันไปพักหนึ่ง มิได้เอ่ยสิ่งใด
ครั้งที่ยังอยู่ในโลกเดิม เธอเคยไปเจอกู่ฉิงซานในระหว่างที่เขากำลังดื่มเหยือกสุราอยู่พอดี เลยอ้อนเขาจนได้มันมาเหยือกหนึ่ง
ตอนนี้ แอนนากลับมาถึงตัวโบสถ์แล้ว และขังตัวเองอยู่ในห้องนอนของเธอ เตรียมที่จะพักผ่อน
แต่เธอไม่ได้หลับเลย
เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น ตนจึงได้เดินทางมายังโลก 900 ล้านชั้น ในดินแดนชิงอำนาจ
เพื่อที่จะก้าวให้ทันตามรอยเท้าของกู่ฉิงซาน เธอจึงขยันฝึกฝนเทคนิคอย่างหนักในทุกๆวัน เพื่อปรับปรุงความแข็งแกร่งของตัวเอง
ซึ่งการฝึกฝนในแต่ละวันของดินแดนชิงอำนาจ ช่างเป็นอะไรที่ยากลำบากยิ่ง
ท่ามกลางการต่อสู้อันเข้มข้น ตนเองมักจะเป็นคนแรกที่ก้าวออกไปเบื้องหน้าเสมอๆ
และพวกที่ฝึกฝนร่วมกันกับเธอ ก็มีแต่พวกหนังหนาทั้งนั้น
แต่ไม่มีใครฝึกหนักไปกว่าตัวเธอเอง
ทุกคนต่างคิดว่าตัวเธอ คือผู้ศรัทธาที่เคร่งครัดในคริสตจักรมากที่สุด
แต่กลับไม่มีใครรู้เลยว่า ที่เธอทนลำบากทั้งหมดนี้ มันเพื่ออะไร
เฝ้าอดทน แม้จะล้มลง แต่ก็ลุกขึ้นมายืนหยัดครั้งแล้วครั้งเล่า
จนในที่สุด ทุกสิ่งอย่างที่ตนเองจ่ายไปก็ได้รับกลับคืนมา
แอนนาเก็บเหยือกร้อยบุปผาอย่างระมัดระวัง และหันไปหยิบเอาบางสิ่งบางอย่างออกมา
มันคือขวดสีดำขนาดเล็กที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ เมื่อลองเขย่ามันเบาๆ จะสามารถได้ยินถึงเสียงอะไรบางอย่างที่อยู่ภายใน
มันคือ ‘น้ำตาของเทพแห่งความตาย’
นี่คือวัตถุโบราณที่เธอปลุกมันขึ้นมาในระหว่างพิธีกรรมของคริสตจักร เป็นสมบัติที่ตนเองได้รับมา
ในพิธีเมื่อวานนี้ สมาชิกที่โดดเด่นที่สุดของคริสตจักรทั้งแปดคน ได้รับโอกาสในการปลุกวัตถุโบราณของพวกเขา
ก่อนหน้าเธอ บางคนสามารถปลุกเทคนิคเทียนซวนขึ้นมาได้ เขาสามารถใช้มันเพื่อแปลงตนเป็นค้างคาวแดง ซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกผู้คนยิ่งนัก
ต่อมา อีกคนหนึ่งก็สามารถทำพิธีปลุกปืนลูกโม่โบราณที่บรรจุกระสุนได้เจ็ดนัดออกมา หลังจากที่ปืนลูกโม่ได้รับการตรวจสอบโดยเทพสุนัข สุดท้ายมันจึงถูกตัดสินว่าเป็นลูกโม่ในตำนานที่เรียกกันว่า ‘ดอกไม้แห่งความตาย’
คนต่อมาก็ได้รับ สกิลลับของคริสตจักรที่ชื่อว่า ‘สามร่างเงาแห่งความว่างเปล่า’
อาจกล่าวได้ว่า ทุกคนต่างก็ได้รับรางวัลที่เรียกได้เลยว่าเป็นประวัติการณ์
แต่สุดท้าย เมื่อมาถึงตาเธอ เธอกลับได้รับแค่เพียงขวดสีดำใบเล็กๆที่ถูกปิดผนึกไว้เท่านั้น
และทั้งสองเทพรับใช้ก็ไม่ได้กล่าวอะไรเกี่ยวมันเลยในจุดนี้ พวกเขาเพียงอธิบายสั้นๆว่ามันเป็นหนึ่งในยาลับที่ช่วยเร่งปฏิกริยาตอบสนองของร่างกายได้
ขณะเดียวกัน พอเหล่าสหายที่เข้าร่วมพิธีกรรมได้ฟัง พวกเขาก็ละความสนใจเกี่ยวกับมันไปทันที
แต่คนที่ดูจะผิดหวังที่สุดก็คงจะไม่พ้นเธอ
เมื่อพิธีจบลง ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไป เทพอีกาดำและเทพสุนัขก็มาหาเธอพร้อมกัน
พวกเขามาย้ำเตือนกับเธออย่างจริงจังว่า เธอจะต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งที่อยู่ในขวดสีดำใบนี้ให้ดีๆ
ทั้งสองกล่าวว่านี่คือไอเท็มของเทพแห่งความตายจากยุคโบราณอันไกลโพ้น
ในช่วงอดีตหลายหมื่นปีที่ผ่านพ้น เจ้าสิ่งนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าทำไมสมบัติชิ้นนี้ถึงปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน แต่สุดท้ายมันก็เลือกแอนนา
เมื่อย้อนคิดไปถึงสีหน้าการแสดงออกของสองผู้รับใช้เทพ แอนนาก็แอบรู้สึกภูมิใจน้อยๆในหัวใจของเธอ
ดูเหมือนว่าตัวเธอเองก็ยังพอจะมีโชคอยู่บ้างเหมือนกัน
ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา แอนนาได้ทดลองใช้จิตวิญญาณธาตุไฟของเธอทำการสื่อสารกับขวดสีดำเล็กๆใบนี้
จนถึงปัจจุบัน เธอก็สามารถเปิดผนึกขวดสีดำใบเล็กๆได้ในที่สุด
เธอลองเขย่าๆ และเปิดขวดสีดำใบเล็กๆดู
หยดน้ำสีดำลอยออกมาจากขวดเล็กๆ และแขวนนิ่งอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ
แอนนาย้อนนึกถึงสิ่งที่สองผู้รับใช้เทพบอก แล้วยื่นมือออกไป
“เอาล่ะ มาลองดูกัน” เธอพึมพำแผ่วเบา
เห็นแค่เพียงเคียวยาวที่ด้ามจับของมันมีขนาดสูงเท่ากับตัวของแอนนา ปรากฏขึ้นในมือของเธอ
ตามด้ามจับของเคียวเป็นสีดำ ขณะที่สุดปลายด้ามของมันถูกแกะสลักเป็นรูปหัวกะโหลกสีดำ
ส่วนบริเวณคมมีดของเคียวที่มีรูปทรงคล้ายจันทร์เสี้ย มีลวดลายเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้
ตลอดช่วงอดีตที่ผ่านมา เธอมักจะต่อสู้ด้วยอาวุธชิ้นนี้
ราวกับตระหนักได้ถึงเคียวยาวในมือของเธอ หยดน้ำตาสีดำเริ่มที่จะขยับไหว
มันหยดลงไปบนตัวเคียวและหายไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้น-
ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลย
แอนนากุมเคียวในมืออย่างเงียบๆ เฝ้ารออยู่สักพักหนึ่ง
“อะไรกันเนี่ย คงไม่ใช่ของปลอมหรอกนะ ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกถึงอะไรเลยล่ะ?” เธอบ่นเบาๆ
เปรี้ยง!!
ทันใดนั้นเอง เคียวยาวก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
หมอกดำทะมึนเล็ดลอยออกมาจากตัวเคียว และเริ่มเข้าห่อหุ้มเคียวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
ลวดลายเปลวไฟสีแดงบนใบมีดหายไป
แต่กลับปรากฏถึงเปลวไฟสีดำที่ลุกไหม้ขึ้นมาแทนที่อย่างเงียบๆ
อำนาจอันน่าตื่นตาพรั่งพรูออกมาจากเปลวไฟสีดำ คล้ายกับว่าตราบใดที่แอนนาเริ่มโจมตีออกไป อำนาจเหล่านั้นก็จะถูกปลดปล่อยออกมาทันที
บนด้ามยาวตลอดทั้งตัวเคียว ปรากฏถึงชั้นอักษรรูนสีดำลึกลับสลักทับถมกันอย่างหนาแน่น หัวกะโหลกตรงสุดปลายเคียวบัดนี้ได้หายไป แต่ถูกแทนที่ด้วยอัญมณีสีดำขึ้นมาแทน
ในช่วงเวลานี้ ตลอดทั้งอาวุธเคียวได้ปลดปล่อยกลิ่นอายที่ให้ความรู้สึกถึงความน่าครั่นคร้ามและหนาวเหน็บออกมา
หมอกสีดำไม่ได้กระจายตัวหายไป มันกลายเป็นลมทะมึนที่คอยโคจรอยู่รอบด้ามจับเคียว และจะเกิดการกระชากกันขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว
แอนนากลายเป็นโง่งม
เพราะเคียวนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากความสามารถพิเศษของตัวเธอเอง แล้วมันจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาไปได้อย่างไร?
เธอกุมเคียวยาว และลองโบกสะบัดมันเบาๆ
ขอบใบมีดที่ลุกไหม้ด้วยไฟสีดำตัดผ่านอากาศไป
ท่ามกลางความโกลาหล หมอกสีเหลืองอ่อนพลันปะทุออกมาจากในความว่างเปล่าที่ถูกเปิดออกเบื้องหน้าแอนนา
‘นั่นมันกระแสมิติอันเชี่ยวกราด … ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วจู่ๆตัวเองสามารถฉีกมิติได้อย่างไร?“‘
แอนนากล่าวด้วยความสับสน
อีกด้านหนึ่ง
ลึกเข้าไปในโบสถ์ของคริสตจักร
เทพสุนัขได้มายังที่นี่
มันจ้องมองไปยังรูปปั้นเทพขนาดใหญ่
ในมือของรูปปั้นเทพ มีอีกาที่ตลอดทั้งตัวเป็นสีดำเกาะอยู่
อีกาดำและเทพสุนัข
ทั้งสองเป็นผู้รับใช้ของเทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหล
พวกเขากำลังลอยคุยกันเรื่องของแอนนา
“เจ้ามอมแอนนาน้อยจนเมาแล้วใช่ไหม?” อีกาดำเอ่ยถาม
“ใช่ มันไม่ง่ายเลยที่จะมอมเธอ แต่หากเทียบกับวิธีการอื่นๆ กลยุทธ์นี้นับว่าง่ายและได้ผลดีที่สุดแล้ว” เทพสุนัขตอบกลับด้วยความกระสับกระส่าย “ว่าแต่ผลการทำนายเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าพึ่งไปถามเจ้าเก้าชีวิตมา มันบอกว่าผลการทำนายได้เปลี่ยนแปลงไปในที่สุด แอนนาน้อยจะไม่ไปอัลเบอัส และจะไม่ถูกควบคุมชีวิตโดยระบบของราชามาร”
“งั้นก็ดี เพราะข้าเองก็ไม่ต้องการที่จะให้เธอกลายเป็นวิญญาณชั่วร้าย – เพราะวิญญาณชั่วร้ายในโบสถ์น่ะมีจำนวนมากเกินพอแล้ว” เทพสุนัขโล่งใจ
“นั่นสินะ แอนนาน้อยเป็นคนของเรา และเธอไม่ควรที่จะถูกพรากจากไปโดยระบบของราชามาร” อีกาดำเห็นด้วย
“ระบบของราชามาร … ทางมันเองก็เร่งลงมือแล้ว เช่นนั้นทางฝั่งเราสมควรทำอย่างไรดี?”
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา ระบบทั้งหมดยังคงซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิด พวกเราเฝ้ารอควรดูอย่างเงียบๆจึงจะสมควรกว่า”
“เข้าใจแล้ว … ”
….
Ep.568 – เร่งความเร็ว
“อุ๊ … ปวดหัวจัง”
“นี่ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย?”
เธอลืมตาขึ้นปากอ้าขยับด้วยความงัวเงีย
ในสายตาของเธอ ทุกอย่างที่พร่ามัวค่อยๆเริ่มจะชัดเจน
ท่ามกลางความมืดมิด ถูกแต่งแต้มไปด้วยแสงสลัวสีเหลืองอ่อน
‘จริงสิ นั่นมันโคมไฟในบาร์นี่นา’
มองไปยังขวดเหล้ากองใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าของเธอ เจ้าตัวก็เริ่มจะสร่างเล็กน้อย
ตรงกันข้ามกับเธอ สุนัขดำตัวหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะ
มันจ้องมองเธอด้วยความเย็นชา
“ในคริสตจักร์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่เคยมีใครเลยที่ทำผิดกฏแบบนี้ สงสัยข้าคงต้องย้ำเตือนเจ้าด้วยวิธีรุนแรงดูบ้างแล้ว” สุนัขดำเอ่ยเสียงเย็น
“ฉันทำผิดกฏอะไร?” เธอถามด้วยสมองที่ว่างเปล่า
“ก็เจ้าดื่มตลอดทั้งคืน!” สุนัขดำอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา
หญิงสาวที่ถูกด่าจึงเอียงคอ และลองย้อนนึกเกี่ยวกับมันอีกครั้ง
… ดูเหมือนว่าเมื่อวานเธอจะดื่มมากเกินไปจริงๆ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการดื่มหนักแบบนี้ พอเจ้าเมาจนสลบแล้ว มันจะเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งที่จะถูกเอารัดเอาเปรียบ!” สุนัขดำยังคงวิจารย์เธอต่อไป
“แต่นี่ไม่ใช่บาร์ของคริสตจักรของพวกเราหรอ?” เธอสวนกลับด้วยความงุนงง
“นั่มไม่เหมือนกัน! เจ้าสลบไปตั้งสี่ชั่วโมง หากไม่มีข้าคอยปกป้อง ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น!” สุนัขดำโกรธสุดๆ มันกระโดดลงจากโต๊ะ และเดินออกจากประตูบาร์ไป
แอนนาตะลึงงัน
ทำไมฉากนี้มันดูเหมือนกับว่า … จะมีบางอย่างผิดปกติกันนะ?
หลังบาร์ หญิงมีเสน่ห์คนหนึ่งเดินมาหาเธอพร้อมกับบุหรี่ในปาก
ขณะที่กำลังเช็ดแก้วในมือ เธอก็เอ่ยปลอบประโลม “แอนนา อย่าโกรธไปเลยนะ”
“ฉันไม่ได้โกรธ ฉันก็แค่-”
“อื้ม ตัวมันก็พึ่งจะตื่นขึ้นมาก่อนหน้าคุณหนึ่งนาทีเท่านั้นเอง”
“ว่าไงน-”
“อื้ม และมันก็ดื่มมากกว่าคุณตั้งสามเท่า”
“ถ้างั้น-”
“และที่สำคัญที่สุด มันยังไม่ได้จ่ายเงิน ดังนั้นคุณจะต้องจ่ายในส่วนของมันด้วย และฉันขอแนะนำว่าครั้งต่อไปถ้าคุณจะมาดื่ม อย่าชวนสุนัขขี้เมามาเป็นเพื่อนจะดีกว่า”
“ไอ้หมาสารเลวนั่น!!!”
“มันหนีไปไกลแล้ว คุณคงไล่ไม่ทันหรอก”
“ … โธ่ เข้าใจแล้ว เช็คบิลด้วย”
แอนนาหยิบเอาเพชรูปกะโหลกออกมา และวางมันลงบนโต๊ะ
หญิงมีเสน่ห์กวักมือเข้าหาตน แล้วเพชรรูปกะโหลกก็ลอยมาตกลงบนปลายนิ้วเธอ
“ช่างน่าอิจฉาจริงๆ ที่คุณสามารถได้รับเจ้าสิ่งดีๆแบบนี้เอาไว้ในครอบครอง” เธอเอ่ยสรรเสริญอย่างราบเรียบ
เมื่อได้รับเพชรกะโหลกมา หญิงมีเสน่ห์ก็ขบคิดก่อนจะกล่าวว่า “อันที่จริงแล้ว คุณสามารถวางใจได้นะ เพราะที่นี่เองก็อยู่ไม่ไกลจากตัวโบสถ์สักเท่าไหร่ คงไม่มีใครกล้าที่จะมาอุ้มคุณไปหรอก แต่ถ้าเป็นในสถานที่อื่น คุณก็ไม่สมควรที่จะดื่มจนเมาสลบไปแบบนี้”
“อีกอย่าง อย่าลืมนะว่าถ้าเมาเกินไป มันจะส่งผลกระทบต่อพลังในการต่อสู้ของคุณ”
“รู้หรอกน่า ฉันไม่ได้โง่ถึงขนาดนั้น” แอนนาพูดด้วยความโกรธเคือง
“ว่าแต่เมื่อคืนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ ถึงได้ดื่มหนักขนาดนี้?”
“ก็แค่มาฉลองเล็กๆน้อยๆน่ะ”
“หืม? ฉลองเรื่องอะไรหรอ?”
“พิธีกรรมปลุกวัตถุโบราณของโบสถ์น่ะ”
“เอ๊ะ” ดวงตาของหญิงมีเสน่ห์เปล่งประกาย น้ำเสียงของเธอยกสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ตามกฏแล้วฉันไม่ควรจะถามอะไรไปมากกว่านี้ แต่ดูจากท่าทีมีความสุขของเธอ ดูเหมือนว่าสิ่งประดิษฐ์เทวะแห่งความตายชิ้นนั้นคงจะเป็นของดีไม่น้อยเลยใช่ไหม?”
“ก็คงประมาณนั้นแหละ ขอบคุณนะ ฉันคงต้องขอตัวก่อน”
“ด้วยความยินดี”
แอนนาโบกมือบ๊ายบายและเดินออกจากบาร์ไป
ข้างนอก เป็นเวลากลางวัน
บนถนนในเขตสงคราม คึกคักไปด้วยผู้คนมากมาย
ม่านตาของแอนนาถูกทิ่มแทงด้วยแสงสว่างอันร้อนแรงจากบนท้องฟ้า ประจวบกับอาการมึนเมา ส่งผลให้เธอเซไปมา จนเกือบจะสะดุดล้มลงอยู่หลายครั้ง
หลังจากส่ายศีรษะอย่างแรง ในที่สุดแอนนาก็สามารถหยั่งเท้า รักษาสมดุลตัวเองจนได้
“หนังสือพิมพ์จ้า หนังสือพิมพ์หมดแล้วหมดเลย! ข่าวล่าสุดของวันนี้ อาการบาดเจ็บของแบรี่หายดีแล้ว ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ในโลกมิติอนันต์พุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!”
คนขายหนังสือพิมพ์ โบกพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งผ่านหน้าเธอไป
อืม …
แบรี่งั้นหรอ ..
เขาเป็นใครกัน?
แต่ด้วยสมองที่วิงเวียน และดวงตาที่พร่ามัว ส่งผลให้เธอไม่อาจเห็นภาพในพาดหัวข่าวได้อย่างชัดเจน แอนนาจึงโยนความสงสัยนี้ทิ้งไป และสิ่งแรกที่อยู่ในหัวของเธอคือกลับไปนอน
เมื่อคิดได้แบบนี้ แอนนาก็พยายามมองหาทิศทางของโบสถ์ ลากตัวเองไปตามท้องถนน
สภาพที่ดูไม่ได้ของเธอ แน่นอนว่าย่อมดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายในทันที
สายตาชั่วร้ายมากมายกวาดมองเธอ แต่เมื่อพวกเขาพบว่าหญิงงามคนนี้คือแอนนา-
สายตาเหล่านั้นก็เบนหนีออกไปทันที
ผู้คนบนถนนจู่ๆก็กลายเป็นรีบร้อน หลายคนเร่งฝีเท้าของตัวเองให้เร็วขึ้น ไม่มีใครอยากเข้าไปใกล้หรือขวางทางเธอ
ในตอนนั้นเอง มนุษย์คนหนึ่งที่ไม่รู้จักเธอได้ก้าวออกไปข้างหน้า แต่เขาก็ถูกเพื่อนร่วมงานดึงกลับมา และลากตัวออกจากถนนซะก่อน
ในตรอกที่อยู่ห่างไกลออกไป
“แล้วแกจะลากฉันมาทำบ้าอะไร? นั่นมันหญิงงามชั้นยอดเลยนะ! ดูจากอายุแล้วก็ยังสาวอยู่เลย นี่มันสินค้าคุณภาพดีที่แสนจะหายากนะเว้ย” คนที่ถูกดึงตัวบ่นออกมาอย่างไม่พอใจ
ขณะที่คนอื่นๆได้แต่มองหน้ากัน และยิ้มออกมาอย่างขมขื่นโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
“ลืมเรื่องนี้ไปเถอะพี่น้อง นี่ก็เพื่อชีวิตของตัวนายเองนะ” หัวหน้าของพวกเขากล่าว
“พี่ใหญ่ ทำไม-”
“เพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นสมาชิกของคริสตจักรแห่งความตาย”
พอได้ยิน ชายคนนั้นก็หดคอกลับทันที
แต่สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว เถียงออกไปอย่างดื้อรั้น “คงไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง ทางคริสตจักรแห่งความตายคงไม่ยอมให้เหล่าผู้ศรัทธามาคร่าชีวิตของผู้อื่นตามใจชอบ ..”
คราวนี้ แม้แต่หัวหน้าก็ยังยิ้มด้วยความขมขื่น
“ครั้งสุดท้าย กลุ่มคนที่พยายามจะเข้าไปลักพาตัวเธอขณะเมา นายรู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ทุกคนในกลุ่มจู่ๆก็ร่วงลงกับพื้น พร้อมกับหัวที่ถูกแยกออกจากลำตัวกลิ้งไปมาบนท้องถนน ตายลงทั้งๆอย่างนั้นเลย!”
“เป็นไปไม่ได้หรอก ผู้คนที่สามารถมาถึงดินแดนชิงอำนาจได้ ล้วนเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งในบรรดาตัวตนทรงอำนาจ แล้วพวกเขาจะไปตายโง่ๆแบบนั้นได้ยังไง” เขาสวนกลับด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
แต่ไม่มีใครตอบ แม้กระทั่งหัวหน้าของเขาก็ปิดปากเงียบ
เวลานี้ ชายคนนั้นจึงตระหนักได้ว่านี่มันเป็นเรื่องจริง
ดูเหมือนว่าเขาจะจดจำได้ถึงบางสิ่ง ใบหน้าของเขาเริ่มจะซีดเซียว พร้อมกับเหงื่อเย็นที่ผุดออกมาจากหน้าผาก
“กฏแห่งการกระทำ(กรรม)สินะ … มีเทพวิญญาณแห่งความตายอยู่ข้างๆเธอ … ”
“ถูกต้อง ดังนั้นถ้านายไม่ต้องการที่จะโยนตัวเองลงสู่ความตาย ก็ขอให้อยู่ห่างจากเธอซะ”
หัวหน้าตบลงบนไหล่เขา และกล่าวอย่างแผ่วเบา
…
ม้าทมิฬวิ่งผ่านเข้าไปในป่า
ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ไกลออกไป บางครั้งก็ปรากฏลวดลายเป็นวงสีทองแผ่ขยายออกมา
ซึ่งนั่นคือปฏิกิริยาจากกำแพงอุปสรรคของทวยเทพ เมื่อผีแห่งความอลหม่านบุกเข้ามา
ตามข้อมูลของเหลาเจียว ผู้เข้าสู่วิถีมารเบื้องบน ยังคงทำการอัญเชิญผีแห่งความอลหม่านผ่านพิธีกรรมอันซับซ้อนอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ทางฝั่งเบื้องล่าง มีผู้คนไม่มากพอที่จะหยุดผู้เข้าสู่วิถีมารจากพิธีอัญเชิญนี้
กู่ฉิงซานถอนสายตาของเขาออก และสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ลอยมาตามสายลม
“อีกนานแค่ไหนจะถึงสถานที่ๆคุณกล่าว” เขาถาม
“ถ้าด้วยความเร็วระดับนี้ น่าจะอีกสักราวๆ 10 นาทีได้” เหลาเจียวตอบเสียงดัง
สิบนาทีสินะ –
แต่หนทางข้างหน้ามันไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดเนี่ยสิ
กู่ฉิงซานถอนจิตสัมผัสเทวะกลับคืน และตบลงบนตัวม้าทมิฬ “ต่อให้อะไรจะเกิดขึ้น ไม่ต้องสนใจนะ ขอแค่วิ่งต่อไปก็พอ”
“เข้าใจแล้ว” ม้าทมิฬรับคำ
มันเพิ่มความเร็วมากยิ่งขึ้น
เห็นแค่เพียงภาพติดตาสีดำวิ่งเป็นสาย ราวกับลูกศรที่หลุดจากคันธนู พุ่งข้ามผ่านผืนป่า
กู่ฉิงซานที่นั่งอยู่บนหลังม้า ตบลงในถุงสัมภาระและหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา
เขาใช้สองมือพรม คลิ๊กๆๆ ลงบนดิสก์ค่ายกลอย่างรวดเร็ว
เห็นแค่เพียงแสงสวรรค์เรืองรองปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า ครอบคลุมไปทั้งตัวม้าทมิฬและกระดองเต๋าเบื้องหลัง
ทันทีที่แสงสวรรค์หายไป ก็ปรากฏพลังวิญญาณที่อัดกันแน่น แต่มันก็ถูกปกปิดไว้ในทันที
ค่ายกลต่อสู้ถูกจัดวางแล้ว
แต่สองมือของกู่ฉิงซานยังไม่หยุดลงเพียงแค่นี้
ไม่นานนัก แสงสวรรค์ก็ได้สาดสว่างข้ามผืนป่าอีกครา
กู่ฉิงซานได้จัดตั้งค่ายกลลงอีกชุดหนึ่ง
“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรน่ะ?” เหลาเจียวถาม
“จัดตั้งค่ายกลต่อสู้”
ช่วงเวลาระหว่างความเป็นความตาย ค่ายกลขนาดใหญ่ก็ถูกจัดวางลงในที่สุด
“มีศัตรูงั้นรึ?” เหลาเจียวเริ่มกังวล
“วางใจเถอะ ตอนนี้คุณจะปล่อยมือจากเชือกไม่ได้ – แถมอาการบาดเจ็บก็ยังไม่หายดีอีก ดังนั้นมันจะเป็นการดีที่สุดถ้าอยู่เฉยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แผลเดิมปริซ้ำออกมา”
“แต่พวกเขาจะไม่เพ่งเล็งมาที่ข้าหรือ?” เหลาเจียวถาม
ลอร่าพอได้ฟังก็เอ่ยออกมา “เรื่องนี้ขอให้เป็นหน้าที่เราเอง”
เห็นแค่เพียงมือของเธอที่ถูกวาดออกไป
และบนกระดองเต๋าเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย ในไม่ช้า กระดองเต่าขนาดเล็กก็แตกตัวออกอย่างรวดเร็ว
เปลือกเต่าเล็กๆเหล่านี้ ราวกับเป็นเกราะชิ้นน้อยๆ พวกมันเริ่มประกบและยึดติดตามบนตัวของเหลาเจียวโดยอัตโนมัติ
จนสุดท้าย
กระดองเต่าขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งบนศีรษะของเหลาเจียว เป็นหมวกเกราะให้แก่เขา
“นี่มัน – ” เหลาเจียวก้มๆเงยๆ มองดูชุดเกราะทั้งหมดของเขาด้วยความประหลาดใจ
“ไม่ต้องกังวลไป กระดองเต่านี้แข็งมาก ต่อให้เจ้าถูกโจมตีโดยศัตรู การโจมตีนั้นก็ไม่อาจเข้าถึงตัวเจ้าได้” ลอร่ากล่าว
ระหว่างอธิบาย จู่ๆก็เกิดเสียงดังขึ้น
โครม!
มอนสเตอร์ตัวใหญ่ที่สูงพอๆกับตึก 5 ชั้นปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน และพุ่งเข้ามา ปะทะกับค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายโดยตรง!
เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะเป็นม้าทมิฬหรือศัตรูต่างก็เร่งความเร็วเต็มที่ ส่งผลให้มอนสเตอร์ตัวนั้นปะทะเข้ากับค่ายกลที่กำลังเคลื่อนที่อย่างแรง ทั้งตนทั้งร่างของมันปลิวกระดอนออกไป
—เมื่อครู่นี้ มันคงไม่ทันจะได้คาดคิดโดยสมบูรณ์ ว่าจะมีค่ายกลที่ถูกกลบร่องรอยไว้โดยสมบูรณ์ซ่อนไว้ในอากาศที่ว่างเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นค่ายกลที่สามารถป้องกันตัวมันเองได้อีกด้วย!
“นั่นผีแห่งความอลหม่าน!” เหลาเจียวสูญสิ้นเสียงของตนเอง
เบื้องหลังกู่ฉิงซาน ในอากาศที่ว่างเปล่า ดาบที่สาดแสงดั่งน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงปรากฏขึ้น มันระเบิดสายฟ้าออกมา และวูบบบบ หายไป
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงโหยหวนน่าอนาถก็ดังขึ้นสั้นๆ และสงบลงในที่สุด
ดาบบินลอยกลับมาอย่างช้าๆ และหายเข้าไปในความว่างเปล่าเบืองหลังเขาอีกครา
“เจ้าไล่ผีแห่งความอลหม่านไปได้แล้วงั้นหรือ?” เหลาเจียวทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม
“เปล่า ไม่ได้ไล่ แต่ฆ่ามันไปแล้ว” กู่ฉิงซานตอบกลับสั้นๆ
Ep.567 – ออกเดินทาง
ไฟแห่งการจองจำมอดดับลง
ทั้งผี มอนสเตอร์ และร่างเงาดุร้ายจากแดนชำระล้างได้หายไป
เมืองทั้งเมืองกลับคืนสู่ความเงียบ
กู่ฉิงซานถอนหายใจและยืนไตร่ตรองอยู่ในจุดเดิม
แดนชำระล้างเรียกตนเองว่าเป็นคนกลางอย่างภาคภูมิใจ ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วพวกเขากลับเอนเอียงไปทางฝั่งระบบของราชามารอย่างชัดเจน
หากกระทั่งพวกเขายังเป็นแบบนี้ กู่ฉิงซานเกรงว่าในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น คงจะมีโลกในตำนานอีกมากมายแน่นอน ที่กำลังยืนอยู่ตรงทางแยก และกำลังพิจารณาว่าพวกตน สมควรจะเลือกฝั่งไหนดี
ชายร่างสูงเมื่อครู่บอกว่า ตัวกู่ฉิงซานไม่ใช่ตัวแทนของระบบ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับระบบของราชามาร
แบบนี้ก็แสดงว่า … ยังมีความลับอื่นๆที่ลึกยิ่งกว่า ซ่อนอยู่เบื้องหลังแดนชำระล้างใช่หรือไม่?
“โอย ขาข้าเจ็บอยู่นะเนี่ย นั่งยองๆนานๆมันก็ยิ่งเจ็บ!”
เสียงบ่นอุบดังมาจากจุดที่ห่างออกไป ขัดจังหวะความคิดของเขา
กู่ฉิงซานหันไปตามเสียง
ไม่ไกลจากเขา ชายชราเดินออกมาจากตึกปะการัง
ดูเหมือนว่าขาของเขาจะชาไปเล็กน้อย ทำให้เวลาเดินค่อนข้างกะเผลกๆ
“อาการบาดเจ็บของคุณดูจะดีขึ้นมากแล้วนะ แต่ยังไงคุณก็จะต้องทานยาอีกสักหน่อย ถึงจะสามารถฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่”
กู่ฉิงซานกวาดตามองชายชรา และสรุป
เขาเอื้อมมือไปหยิบเม็ดยาออกมาจากถุงสัมภาระ
“แต่วิธีการรักษาแบบนี้มันทรมานเกินไป ถ้าในมือของเจ้ามีเม็ดยาแบบอื่นที่ไม่ผสมยาระบาย-” ชายชราอ้าปากหอบหายใจ
“คุณจะไม่กินมันงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“กินสิ ขอข้าอีกสักเม็ดหนึ่งนะ”
“ … ไม่มีปัญหาหรอก แต่การต่อสู้มันจบลงไปแล้วนะ ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้นเลยก็ได้มั้ง?”
“ไม่ใช่! นี่แหละคือช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ หากข้าสามารถฟื้นฟูตนเองได้อย่างรวดเร็ว ก็จะสามารถกระโจนเข้าสู่สงครามครั้งต่อไปได้”
“แต่ทุกคนตายกันเกือบหมดแล้ว ยังจะมีสนามรบอยู่ที่ไหนอีกงั้นหรือ?”
“แน่นอนว่าย่อมมี เจ้าหนู ไปกันได้แล้ว พวกเราจะต้องเร่งออกจากที่นี่ทันที” ชายชราตะโกน
“แล้วจะไปที่ไหน?”
“ไปยังเมืองไห่เช่า เวลานี้มีเพียงสถานที่แห่งนั้น ที่ผู้คนยังรอดชีวิตอยู่ และเป็นเพียงจุดเดียวเท่านั้นที่สามารถต้านทานการรุกรานของมอนสเตอร์พวกนี้ได้!”
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นโปรดรอสักครู่ ผมต้องไปเรียกเพื่อนของผมก่อน”
“สหายงั้นหรือ? ช้าก่อน นี่เจ้ามีกำลังคนอยู่อีกงั้นอย่างหรือ?”
“เปล่า ไม่ใช่กำลังรบ แค่เพื่อนคนเดียว”
ชายชราพอได้ยินก็รู้สึกผิดหวัง แต่ก็ยังเอ่ยถามด้วยความสนใจว่า “แล้วสหายที่ว่า แข็งแกร่งพอๆกับเจ้าหรือเปล่า?”
“หากเทียบกันในบางแง่มุม ควรจะบอกว่า เธอเป็นคนที่มีวิธีการที่จะทำให้ผู้คนมากมายเต็มใจที่จะทำสิ่งต่างๆเพื่อเธอซะมากกว่า”
“คล้ายๆกับเทคนิคมนตราควบคุมอันทรงพลังอะไรแบบนั้นรึเปล่า?” ชายชราถามด้วยความสงสัย
“ก็.. จะเรียกว่าประมาณนั้นก็ได้ มันเป็นเทคนิคมนตราที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจต้านทานล่ะนะ”
“เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย! งั้นพวกเราจะไปรับตัวสหายของเจ้าก่อน แล้วเริ่มทำการค้นหาทั้งเมืองอีกครั้งด้วยกัน – เพราะบางทีมันอาจจะยังมีผู้รอดชีวิตคนอื่นๆอยู่อีกก็ได้”
“ค้นหาผู้รอดชีวิตงั้นหรอ? ถ้าเป็นแบบนี้ผมว่าเรามาจัดการเรื่องของคุณกันก่อนดีกว่า”
“เพราะเหตุใด? ทำไมถึงไม่พาสหายของเจ้ามาด้วย หรือว่าคนๆนั้นกำลังทำบางสิ่งที่สำคัญอยู่ใช่หรือไม่?”
“ใช่ เธอกำลังทำบางสิ่งที่สำคัญมากๆอยู่”
…
ด้วยจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน การค้นหาจึงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
หลายสิบนาทีต่อมา
บริเวณมุมถนนมุมหนึ่งในตัวเมือง จู่ๆก็ปรากฏรังสีแสงสีน้ำเงินยิงขึ้นไปบนท้องฟ้า
ท่ามกลางช่วงเวลาอันมืดมิด การที่ปรากฏแสงสว่างสดใส ระเบิดขึ้นเช่นนี้ เป็นสัญญาณที่ดึงดูดความสนใจได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม แม้กู่ฉิงซานกับชายชราเฝ้ารอคอยมาสักพักแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครมา
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะตายกันหมดแล้ว” ชายชรากล่าวด้วยความเศร้า
เขาส่ายมือตนเอง
แล้วรังสีแสงบนท้องฟ้าก็กลับมาบรรจบกัน
สัญญาณจางหาย ท้องฟ้าคืนสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
“เหลาเจียว มีซักกี่คนกันที่สามารถแปลงกายเป็นสายพันธุ์โบราณแบบคุณได้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
คนโบราณที่ชื่อว่าเหลาเจียว ในแววตาของเขาดูมืดมัวยิ่งนัก
“หากเป็นตอนนี้ ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหลืออยู่มากเพียงใด แต่มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในเมืองนี้”
“ถ้าอย่างงั้นแล้วเมืองอื่นๆล่ะ?”
“การสื่อสารจากแต่ละเมืองได้ถูกตัดขาดไปแล้ว ดังนั้นข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเทพคนอื่นๆเป็นอย่างไรบ้าง”
“สงครามมันรุนแรงมากเลยหรือ? กำแพงอุปสรรคของทวยเทพไม่มีผลเลยหรือไร?”
“มีผลอยู่ แต่พวกเราจำเป็นที่จะต้องออกจากกำแพงอุปสรรคไป เพื่อขัดขวางผู้เข้าสู่วิถีมารภายนอกที่อยู่บนเปลือกโลก เพราะพวกเขาเป็นคนรับหน้าที่อัญเชิญผีแห่งความอลหม่านมาบุกโลกของพวกเรา”
เหลาเจียวถอนหายใจ “ซึ่งพวกเราไม่สามารถรับมือกับผีแห่งความอลหม่านได้”
“หากเป็นแบบนั้น หมายความว่า คุณก็เลยจำเป็นต้องออกไปสู้เพื่อทำลายพิธีกรรมอัญเชิญของพวกเขาใช่ไหม?”
“ใช่ พวกเราสายพันธุ์โบราณออกจากกำแพงอุปสรรคไปต่อสู้อยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ตกตายลงทั้งหมด และในทันทีที่พวกเราปรากฏตัวขึ้นบนผืนน้ำแข็ง ก็จะถูกรุมโจมตีจากบรรดาผู้เข้าสู่วิถีมารนับไม่ถ้วนทันที แม้พวกเราจะสามารถหยุดยั้งพิธีอัญเชิญได้ แต่หลายคนก็ต้องตายลง”
กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบ
ภายนอก มีผู้เข้าสู่วิถีมารเกินกว่า 200 ล้านคน
แม้ว่ากู่ฉิงซานจะออกไปข้างนอกด้วยตนเอง แต่ด้วยจำนวนศัตรูที่มากมายเกินไป ตัวเขาก็คงได้พบจุดจบอันน่าเศร้าสลดไม่ต่างจากชายชราอยู่ดี
“งั้นแล้วทำไมเมืองไห่เช่าถึงยังคงยืนหยัดอยู่ได้?” เขาถามอีกครั้ง
“เพราะเมืองไห่เช่าเป็นเมืองที่ได้รับการเลือกสรรค์จากทวยเทพให้เป็นเมืองนมัสการ และอีกอย่าง ตอนนี้ก็มีบุคคลที่ทรงพลังจากภายนอกคอยช่วยเหลืออยู่อีกด้วย ”
“คนจากภายนอกงั้นหรือ?”
กู่ฉิงซานเหมือนจะตระหนักได้ถึงบางสิ่ง
“ใช่ นางมีมนตราพิเศษที่สามารถวบคุมผีแห่งความอลหม่านได้ในระดับหนึ่ง และเพราะมนตราของนางนี่เอง ที่ช่วยให้ผู้คนที่ยังรอดชีวิต เดินทางไปหลบภัยยังเมืองไห่เช่าได้”
“คนนอกที่ว่า ใช่ชื่อเหมันต์ยามค่ำ – เหมันต์ยามค่ำอีเลียรึเปล่า?”
“หือ? นี่เจ้าไปรู้จักชื่อของนางได้อย่างไร?” เหลาเจียวอุทานด้วยความประหลาดใจ
“เพราะผมก็กำลังตามหาตัวเธออยู่เหมือนกัน”
ในหัวใจของกู่ฉิงซานสามารถสรุปข้อข้องใจได้แล้ว
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมตัวเขาถึงไม่สามารถค้นหาคนๆนี้ได้ในโลกเปลือกน้ำแข็งชั้นนอก
กลับกลายเป็นว่าตัวเหมันต์ยามค่ำอีเลีย ก็ได้เข้ามาสู่โลกใบนี้ตั้งนานแล้วนั่นเอง
ความมั่นใจของกู่ฉิงซานเพิ่มขึ้นหลายส่วน
เหมันต์ยามค่ำอีเลีย เป็นตัวตนทรงอำนาจเช่นเดียวกันกับแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ เป็นผู้บัญชาการรบสงครามภายนอกแห่งอาณาจักรหนาม
และเธอให้คำมั่นสาบานว่าจะปกป้องลอร่า
เพียงเท่านี้ หมากสำคัญทางฝั่งตนเองก็พร้อมแล้ว!
เขาจะต้องพาลอร่าไปหาเธอที่นั่นทันที!
“เช่นนั้นก็เร่งฝีเท้ากันเถอะ หลังจากปลุกเพื่อนของผมแล้ว พวกเราจะไปทันที” กู่ฉิงซานตัดสินใจ
“ช้าก่อน ปลุกงั้นหรือ?” เหล่าเจียวตะโกน “ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่าสหายเจ้ากำลังทำบางสิ่งที่สำคัญมากอยู่หรือ?”
“เป็นธรรมดาที่คุณอาจจะไม่รู้ว่าโลกแห่งความฝันน่ะมันน่าหวาดกลัวขนาดไหน จริงๆแล้วก็มีเทคนิคมนตราของบางเผ่าพันธ์เหมือนกันนะ ที่จะสามารถเริ่มใช้งานได้เฉพาะในโลกแห่งความฝันเท่านั้นน่ะ”
“เป็นแบบนั้นเองหรอกหรือ?” น้ำเสียงของเหลาเจียวเริ่มจะคล้อยตาม
“นั่นคือสิ่งที่เป็น” กู่ฉิงซานกล่าวเฉียบขาด
“ … ขออภัยจริงๆ เป็นข้าผู้ชราเองที่ขลาดเขลา พวกเราไปกันเถอะ”
ว่าจบ ทั้งสองก็ออกเดินทางไปด้วยกัน
ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงสถานที่ๆลอร่าพักอยู่
หลังจากเปิดค่ายกลเกือบร้อย กู่ฉิงซานก็นำเหลาเขียวเข้ามาภายใน
“นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว” ฉานนู่ยืนขึ้นและกล่าว
“อืม ว่าแต่เธอเป็นอย่างไรบ้าง?”
“นอนหลับสบายดี”
กู่ฉิงซานเดินไปที่เตียง และเริ่มสำรวจลอร่า
เด็กสาวตัวน้อยอยู่ในอาการหลับลึก
มันอาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาทั้งวันที่ผ่านมานี้ เธออ่อนเพลียมากเกินไป แต่ละลมหายใจของเธอช่างหนักหน่วง และมีเสียงกรนเล็กน้อย
กู่ฉิงซานยื่นมือของเขาออกไป แต่สุดท้ายก็ลังเล ก่อนจะถอนมันกลับคืน
“รออีกสักหน่อยแล้วกัน ระหว่างนี้พวกเราก็เก็บของ เตรียมออกเดินทางกันก่อนเถอะ” เขาบอก
ฉานนู่พยักหน้า เธอกลายร่างเป็นดาบยาว แล้วหายเข้าไปในความว่างเปล่า
เหลาเจียวเฝ้ามองดูฉากนี้ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ตอนแรก นักดาบที่เหมือนกันกับเขาทุกประการเปล่งเสียงของหญิงสาวออกมา
แต่จากนั้นจู่ๆคนที่ว่าก็กลายเป็นผู้หญิง ต่อมาก็กลายเป็นดาบ แล้วหายไป!
หากไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง แล้วมีใครมาเล่าให้ฟัง เหลาเจียวคงไม่มีทางเชื่อเรื่องนี้เด็ดขาด
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันน่ะเป็นความจริง มันอยู่ใกล้แค่เอื้อมในสายตา
เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ขบคิดอย่างลับๆ ‘แท้จริงแล้วโลกช่างกว้างใหญ่กว่าที่ข้าคาดคิดนัก’
แต่พอมาลองคิดดูอีกที เมื่อครู่นี้นักดาบก็ยังกล่าวอีกว่าสหายของเขาสามารถต่อสู้ในโลกแห่งความฝันได้
ดังนั้นหากจะพบเจอกับอะไรที่น่าเหลือเชื่ออีก เหลาเจียวคิดว่าตนคงไม่แปลกใจแล้ว
“สหายของเจ้า ยังคงวุ่นอยู่กับการต่อสู้ในความฝันใช่หรือไม่?” เหลาเจียวกล่าวสรรเสริญ
“เอ๊ะ? อ่า ก็น่าจะเป็นแบบนั้น” กู่ฉิงซานตอบตะกุกตะกัก
เขามองไปที่ลอร่า
ลอร่านอนหลับสนิทมาก และเขาไม่อยากที่จะปลุกเธอ
“ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง แต่ข้าเกรงว่าพวกเราคงต้องรีบกันหน่อยแล้ว” เหลาเจียวกล่าว
“ทำไมหรือ?”
“เพราะการป้องกันของเมืองไห่เช่าน่ะเข้มงวดนัก พวกเราจะต้องไปแจ้งให้พวกเขารู้ก่อนล่วงหน้า ว่าเราอยู่ที่นี่ พวกเขาถึงจะให้พวกเราเข้าไปได้”
เขาเอ่ยต่อ “เวลากระชั้นชิดนัก หากสงครามครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้น เกรงว่าพวกเราคงไม่อาจเข้าไปได้อีกแล้ว”
“แล้วคุณสามารถติดต่อกับพวกเขาได้หรือไม่?”
“ได้สิ”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
ในที่สุดเขาก็เอื้อมมือออกไป และลูบหน้าผากของลอร่าเบาๆ
พลังวิญญาณอันอุดมสมบูรณ์ตกลงไปในร่างของลอร่า
เจ้าหญิงค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา
“มีเรื่องอะไรงั้นหรือกู่ฉิงซาน?” ลอร่าลุกขึ้นนั่งบนเตียง ปากงุบงิบๆด้วยความหงุดหงิด
แล้วสายตาของเธอก็ตกลงบนเหลาเจียว
“มีข่าวดีฝ่าบาท พวกเราจะได้พบกับอีเลียแล้ว อ้อจริงสิ ชายคนนี้ชื่อว่าเหลาเจียว เขาเป็นคนท้องถิ่นของที่นี่ และจะเป็นคนพาพวกเราไปหาอีเลีย” กู่ฉิงซานอธิบาย
“เจ้าค้นพบที่อยู่ของอีเลียแล้ว? นี่เรื่องจริงงั้นหรือ?” ลอร่าขยี้ตาของเธอ ถามด้วยความเหลือเชื่อ
กู่ฉิงซานพยักหน้า
“ยอดไปเลย!” ลอร่าชูสองมือขึ้นด้วยความตื่นเต้น
แล้วทั้งสามคนก็เร่งเก็บของ เตรียมตัวที่จะออกเดินทาง
ทว่าก่อนจะไป สุดท้ายก็เกิดปัญหาขึ้นจนได้
เพราะม้าทมิฬสามารถนั่งได้แค่สองคนเท่านั้น
“หรือว่าพวกเราจะบินกันดี ถึงจะช้ากว่า แต่อย่างน้อยก็เกาะกลุ่มไปด้วยกันได้” กู่ฉิงซานกล่าว
“ไม่ เราจะไม่บิน เมื่อครู่เราก็พึ่งฝันว่าร่วงตกจากที่สูงมา”ลอร่าคัดค้าน
“แต่นั่น-”
ลอร่า “ปล่อยให้เป็นหน้าที่เราเอง หากต้องเดินทางสามคนทางบก เราพอจะมีวิธีอยู่”
ลอร่าขบคิดปัญหานี้ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบเปลือกเต่าออกมาจากกระเป๋าใบเล็กของตัวเอง แล้วมอบมันให้แก่เหลาเจียว
“ขอบพระคุณ นี่เป็นกระดองเต่าโบราณที่ดีจริงๆ ว่าแต่ข้าจะขี่เจ้าสิ่งนี้ได้อย่างไร?” เหลาเขียวถามด้วยความตื่นเต้น
“การใช้งานมันในการเดินทางก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรหรอก – แถมเจ้ายังสามารถใช้มันหลบภัยในยามที่พบเผชิญกับอันตรายได้อีกด้วย”
ด้วยประการฉะนี้ ทั้งสามคนจึงเริ่มออกเดินทางทันที
“พวกเราจะไปที่ไหนกัน? เมืองไห่เช่าเลยไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ไม่ พวกเราจะต้องติดต่อกับพวกเขาก่อน” เหลาเจียวย้ำอีกครั้ง
“แล้วสถานที่ติดต่อมันอยู่ตรงไหนกัน? นอกเมืองงั้นหรือ?”
“ใช่ เป็นต้นไม้พรายกระซิบที่สามารถเติบโตได้ในป่าใหญ่เท่านั้น”
“ … ฟังดูเป็นวิธีการติดต่อที่แปลกเอาเรื่องอยู่นะ แต่ก็ไปกันเถอะ”
ม้าทมิฬเริ่มควบสี่กีบของมัน ทะยานด้วยแรงทั้งหมดที่มี มุ่งหน้าออกนอกเมืองไป
ความรวดเร็วของมันราวกับสายฟ้าฟาด
กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนหลังม้าทมิฬกับลอร่า
ขณะเดียวกัน ตามตัวของม้าทมิฬก็มีเชือกเส้นยาวๆมัดเอาไว้ ปลายของมันลากยาวออกไปทางกระดองเต๋าที่อยู่เบื้องหลัง
เหลาเจียวที่ยืนอยู่บนกระดองเต่า ใช้สองมือกุมเชือกไว้แน่น ปากเอ่ยตะโกนเสียงดัง “สี่แยกข้างหน้า อย่าลืมเลี้ยวไปทางซ้าย!”
“รับทราบแล้ว” ม้าทมิฬขานรับ
หนึ่งคน หนึ่งวิหค หนึ่งม้า หนึ่งสายพันธุ์โบราณมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าใหญ่
Ep.566 – โอบกอดแห่งแดนชำระล้าง
ชายในชุดดำที่ดูเป็นทางการ ยืนนิ่งอย่างสง่างาม เฝ้ารอคำตอบของอีกฝ่าย
เขายิ้มแล้วมองมายังกู่ฉิงซาน รอคอยด้วยความคาดหวัง
แต่คำตอบที่ฝ่ายตรงข้ามกล่าวออกมา กลับทำให้สติของเขาหลุดลอย จำต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเลยทีเดียวจึงจะเรียกมันกลับคืนมาได้
รอยยิ้มบนใบหน้าของชายร่างสูงในชุดทางการค่อยๆแข็งค้างไป
“มิสเตอร์กู่ฉิงซาน” น้ำเสียงของเขาเริ่มที่จะเย็นชา “คุณมักจะโง่เขลาและหยิ่งยะโสแบบนี้เสมอเลยหรือ?”
“งั้นจะบอกว่าที่แกพล่ามจุดประสงค์ของตัวเองในเชิงบังคับคนอื่นออกมา มันไม่หยิ่งยะโสเลยงั้นสิ?” กู่ฉิงซานสวนกลับ
ชายร่างสูงเหยียดมือออกไป และชี้ไปยังไฟเหลืออนันต์ของแดนชำระล้างใต้ฝ่าเท้าเขา
ลึกลงไปเบื้องล่างที่ไม่เห็นถึงก้นหลุม คือไฟแห่งการจองจำที่กำลังลุกไหม้
และถ้าหากคุณตั้งใจสังเกตมันอย่างรอบคอบ คุณก็จะพบว่ามีมอนสเตอร์นับไม่ถ้วนกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในเปลวไฟที่ว่านั่น
มอนสเตอร์เหล่านี้ กำลังใช้เปลวไฟที่ลุกโชนเป็นดั่งเกราะคุ้มภัยของตนเอง และเป็นดั่งผืนดินที่ใช้เหยียบย่าง วิ่งเล่นไปมา หยอกล้อกันและกัน
เมื่อชายคนนั้นเหยียดมือ ไม่ว่าจะเป็นเปลวไฟที่กำลังร่ายระบำหรือมอนสเตอร์ ทั้งหมดพลันหยุดกึกลงทันที และต่างจ้องมองไปยังกู่ฉิงซาน
พวกมันโน้มตัวลง และเริ่มแสดงท่าทีคุกคาม
“คุณอาจจะไม่รู้ ว่ากระผมต้องจ่ายไปมากเพียงใดเพื่อให้ส่วนหนึ่งของแดนชำระล้างมาฉายบนโลกโบราณใบนี้” ชายร่างสูงกล่าว
กู่ฉิงซานพูดด้วยรอยยิ้ม “นั่นสินะ แต่น่าเสียดายจริงๆที่มอนสเตอร์ที่แกเตรียมเอาไว้ มันฆ่าฉันไม่ได้ ดังนั้นแกก็เลยทำได้แค่ต้องเลือกแสดงตัวออกมาคุยกับฉัน”
ว่าแล้วสองดาบก็ปรากฏขึ้นข้างกายกู่ฉิงซานจากในความว่างเปล่า
เขาพูดต่อ “ตอนนี้ฉันนึกออกแล้ว ว่าภาพมายาที่ไอ้เจ้ามอนสเตอร์เนินเขาทะมึนตัวเมื่อกี้เรียกออกมาและสถานที่ๆฉันเกือบจะถูกส่งไป – แท้จริงแล้วคงจะเป็นโลกแดนชำระล้างของแกงั้นสินะ ถูกไหม?”
ชายร่างสูงเงียบงันไปครู่หนึ่ง
“คุณหลักแหลมมาก มิสเตอร์กู่ฉิงซาน”
เขากล่าว ขณะเดียวกันก็ม้วนแขนเสื้อขึ้น และเปิดเผยถึงแขนซ้ายของตนเอง
บนแขนซ้ายของเขา ปรากฏถึงลวดลายวงกลมที่กำลังลุกไหม้ควบคู่ไปกับมอนสเตอร์ที่มีสองเขาบนหัว
อย่างไรก็ตาม ไม่รีรอให้ใช้ออกด้วยเทคนิคใดๆ ดาบข้างกู่ฉิงซานหายวับไป และฉัวะ! จ้วงทะลุเข้าหน้าอกของอีกฝ่ายทันที!
และในช่วงเดียวกัน เบื้องหลังของเขาก็ปรากฏอีกคมดาบ จ้วงแทงทะลุเข้าไปในร่างจากในมุมเดียวกัน
ทว่ากลับได้ยินเพียงแค่เสียง ‘เคร้ง!’
สองดาบหนึ่งหน้า หนึ่งหลังปะทะกันเอง หนึ่งหลังแปรสภาพเป็นร่างเงาและหายวับไป ขณะที่อีกหนึ่งหน้าเป็นเช่าหยินที่ถูกสะท้อน หมุนกระเด็นกลับมา
กู่ฉิงซานเลิกคิ้วอย่างไม่คาดคิด และเอื้อมมือไปรับดาบเช่าหยิน
กลืนกินหวนกลับไม่สามารถโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้ – นี่นับเป็นเหตุการณ์ที่ยากจะพบเจอจริงๆ
“ไร้ประโยชน์! กระผมคือภาพฉายจากแดนชำระล้างที่อยู่ห่างจากที่นี่นับล้านๆโลก คุณไม่สามารถโจมตีกระผมได้” ชายร่างสูงหัวเราะ
เขาจ้องมองไปยังดาบเช่าหยินในมือของกู่ฉิงซาน แววตาฉายชัดถึงความโลภ “หากไม่ใช่เพราะดาบของเทพบรรพกาลในมือคุณ อย่างคุณน่ะหรือจะมีคุณสมบัติให้กระผมต้องมาเยือนด้วยตนเอง และจำต้องจ่ายราคาออกไปมากถึงเพียงนี้”
“แต่แกก็สู้ไม่ได้เหมือนกันไม่ใช่หรอ? สรุปแล้วพวกคนจากแดนชำระล้างมันใช้ฝีปากในการแก้ปัญหากันรึยังไง?” กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความเสียดาย
“ไม่ คุณดูถูกพวกเรามากเกินไปแล้ว มิสเตอร์กู่ฉิงซาน” เสียงของชายคนนั้นหม่นทะมึนลง
เขายกแขนขึ้น และทันใดนั้นเอง ลวดลายที่ลุกไหม้บนแขนของเขาก็เริ่มส่งกลิ่นกำมะถันรุนแรงออกมา
“ต้องขอบคุณผีแห่งความอลหม่านที่อัญเชิญกระผมมาในโลกใบนี้จริงๆ เพราะมันช่วยให้กระผมสามารถลากตัวคุณมายังแดนชำระล้าง เพื่อสำนึกผิดบาปถึงสิ่งที่ตนกระทำลงไปได้”
เปลวไฟไหลมารวมตัวกัน และก่อรูปขึ้นจากแขนของเขา
เปลวไฟอันไร้ที่สิ้นสุด ที่อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายกำมะถันพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า และค่อยๆก่อร่างเค้าโครงของมอนสเตอร์ประหลาดที่มีสองเขาขึ้น
“นายเหนือแห่งมารโลกัณฑ์ จ้าวแห่งอสูรกายผู้ควบคุมมิติและเวลาเอ๋ย-” เขาเริ่มกล่าวสรรเสริญ
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว
เขาไม่สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้ แต่อีกฝ่ายกลับสามารถใช้เทคนิคมนตราเพื่อโจมตีเขาได้อย่างงั้นหรือ?
ไม่ นี่มันไม่ถูกต้อง
หากอ้างอิงตามกฏเกณฑ์ของมิติแล้ว ทั้งสองฝ่ายควรจะมีสมดุลซึ่งกันและกัน
หาก ‘เวลานี้’ อีกฝ่ายสามารถโจมตีเขาได้แล้วล่ะก็ ถ้าอย่างงั้น-
‘เข้าใจแล้ว ตอนแรกอีกฝ่ายเลือกที่จะปล่อยให้ฉันโจมตีไปก่อน ก็เพื่อพิสูจน์ให้ฉันตระหนักว่าตนเองไม่สามารถทำร้ายมันได้ จากนั้นก็ฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จิตวิทยาที่ว่า ทำให้คิดว่าในช่วงเวลาที่มันกำลังร่ายมนตราอยู่นี้ ฉันก็ยังไม่อาจโจมตีได้เหมือนกันอย่างงั้นสินะ?’
ดาบพิภพกระตุ้นเตือนทันใด “เร็วเข้า! จงเร่งลงมือซะ! ช่วงเวลาที่มันเริ่มร่ายมนตรา เป็นช่วงเวลาเดียวเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถทำให้มันได้รับบาดเจ็บได้!”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
กู่ฉิงซานนึกคิดในจิตใจ และเริ่มใช้ออกด้วยเทคนิคดาบในทันใด
“ฆ่ามันซะ!”
ดาบพิภพตอบสนองต่อคำสั่งของเขา มันวูบบบบ! เป็นภาพติดตา พรวดทะยานเข้าหาชายร่างสูงทันที
“หือ ใช้ดาบขยะเช่นนี้ คิดหรือว่าจะทำได้อย่างที่ต้องกา-”
ชายร่างสูงดูถูกเยาะหยัน
เขายื่นมืออีกข้างออกไป และวาดกำแพงอุปสรรคเปลวไฟขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ดาบบินเข้าถึงตัว
อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ทันจะได้เย้ยศัตรูจนจบประโยค
ดาบพิภพกลับสามารถเจาะทะลวงผ่านชั้นกำแพงเปลวไฟมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ขณะเดียวกันมันก็ระเบิดรังสีดาบสีขาวนวล ตัดฉับ! เป็นเขี้ยวจันทราโค้งมนลงใส่เป้าหมายทันที
เทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา!
พริบตานั้นชายร่างสูงถูกตัดครึ่งตั้งแต่หัว จรดลงมาถึงเท้าด้วยคมดาบเดียว
ทั้งคนทั้งร่างของเขาแข็งทื่ออยู่ในตำแหน่งเดิม
เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า เสียงคำรามของมารที่ฟุ้งไปด้วยความไม่ยินยอมเปล่งออกมาจากเปลวไฟที่กำลังมอดดับลง
โครงร่างของมันยังมิถูกรังสรรค์จนสมบูรณ์ แต่ก็จำต้องสลายหายไปเสียก่อน
ดาบพิภพเงยขึ้น ขอบดาบของมันเกรอะกรังไปด้วยเลือดเย็นเยียบ ก่อนจะลอยขึ้นมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของชายร่างสูง
“เจ้าเป็นแค่ผีสวะจากแดนชำระล้าง แต่กลับกล้าที่จะอัญเชิญพวกมารมาต่อหน้าข้าอย่างงั้นหรือ?” ดาบพิภพเปล่งเสียงเย็นเยียบ
“แก … นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน … ”
เสียงของชายร่างสูงยังไม่ทันได้จบลง ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็แยกออกเป็นสอง ทั้งซีกซ้ายและขวาต่างร่วงหล่นลงไปยังหลุมลึก
ไฟแห่งแดนชำระล้างอันไร้ที่สิ้นสุดเข้าโอบล้อมศพ และแผดเผาร่างเขาจนสิ้น
ปัง!
เปลวเพลิงพลันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ตามด้วยร่างเงาดำยักษ์ใหญ่ที่น่าขวัญผวาปรากฏขึ้นภายในกองไฟที่ลุกไหม้
“ดูเหมือนว่าการไกล่เกลี่ยจะล้มเหลวสินะ”
ร่างเงาดุร้ายถอนหายใจ
มันหันไปมองรอบๆ และในที่สุดเป้าสายตาก็ตกลงบนกู่ฉิงซาน
“แกสินะคือเจ้านายของมัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ใช่ ส่วนเจ้าก็คงจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานตัวปัญหาใช่หรือไม่?” ร่างเงาดุร้ายคำราม “ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเยี่ยงนี้ แต่กลับกล้าที่จะเข้ามาขวางกั้นกระแสธารอันยิ่งใหญ่ของหน้าประวัติศาสตร์ ข้าควรจะพูดว่าเจ้ามีความกล้าหาญหรือว่าโง่เง่าดี?”
กู่ฉิงซานคว้าจับดาบพิภพและกล่าว “สิ่งที่เรียกกันว่าหน้าประวัติศาสตร์น่ะ มันคือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ระหว่างผู้คนนับไม่ถ้วนต่างหาก! ส่วนตัวแกที่เอาแต่หดหัวอยู่ในเงามืดไม่มีสิทธิ์ที่จะเอ่ยถึงมัน แต่ถ้าแน่จริง ก็ออกมาจากกระดอง แล้วมาวัดกันไปเลยสิ ว่าประวัติศาสตร์มันจะเอนเอียงมาทางฝั่งไหนกันแน่”
“หดหัวอยู่ในเงามืดอย่างงั้นหรือ? เสียใจด้วยนะ เพราะข้าได้ลงมือไปแล้ว”
ร่างเงาดุร้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “เทคนิคมนตราของข้า จำต้องมีผู้ใต้บังคับบัญชาเสียสละชีวิต ตกตายลงก่อนจึงจะสำแดงผล และตอนนี้ … ข้าก็ได้บรรลุถึงสิ่งที่ตนเองต้องการแล้ว”
จู่ๆกู่ฉิงซานก็รู้สึกแสบร้อนบนแขนของเขา
เขาเร่งยกแขนขึ้น และเห็นถึงสัญลักษณ์เปลวไฟทมิฬลุกลามขึ้นตามแขนของตัวเอง
ในเวลาเดียวกัน บนหน้าต่างเทพสงครามก็ปรากฏบรรทัดแสงหิ่งห้อยผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“นายเหนือแห่งแดนชำระล้างได้ประทับสัญลักษณ์วิญญาณ : ‘โอบกอดแห่งแดนชำระล้าง’ ลงบนตัวของคุณ”
“โอบกอดแห่งแดนชำระล้าง : เมื่อคุณตายลง นายเหนือแห่งแดนชำระล้างจะไล่ติดตามสัญลักษณ์นี้ข้ามผ่านพื้นที่และมิติเวลา มาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าคุณโดยตรง”
“นายเหนือแห่งแดนชำระล้างจะนำจิตวิญญาณของคุณกลับไปยังดินแดนของเขา”
ร่างเงาดุร้ายกล่าว “ในเมื่อจบเรื่องแล้วก็คงต้องขอลาก่อน เอาไว้เจ้าตายลงเมื่อไหร่ ข้าจะไปนำพาเจ้าจมลงสู่การลงทัณฑ์แห่งแดนชำระล้างด้วยตนเอง”
กู่ฉิงซานพอได้ยินก็ยิ้ม ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายอีกฝ่าย “งั้นก็ลาก่อน”
“นี่เจ้า – ทัศนคติที่แสดงออกมานั่นมันอะไรกัน?” เงาดำดุร้ายสับสน
“ก็ในเมื่อคนแบบแก ที่เอาแต่หดหัวอยู่ในเงามืด กล้าจะเชื้อเชิญฉันไปยังแดนชำระล้าง งั้นก็เตรียมตกลงจากเก้าอี้ของตัวเองได้เลย!”
ดาบพิภพและเช่าหยินวูบไหวพร้อมกัน
เทคนิคดาบถูกกระตุ้นใช้งานอีกครั้ง
ฟิ้วววว!
สองรังสีดาบนวลผ่องขนาดใหญ่ฟาดเข้าใส่เงาดำยักษ์ ทว่าสุดท้ายก็ทะลุผ่านไป
พลาดงั้นหรอเนี่ย!
ในหัวใจของกู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบ
เดิมทีกู่ฉิงซานคิดจะใช้กลยุทธ์เดียวกันกับที่ลงมือสังหารชายร่างสูง แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้ อีกฝ่ายที่อยู่ในเงามืดจะใช้เทคนิคมนตราเสร็จสิ้นแล้ว ปัจจุบันมันจึงเป็นเพียงภาพฉายจากแดนชำระล้างเท่านั้น ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงไม่สามารถโจมตีอีกฝ่ายได้
“ก็แค่คำคุยโวที่พวกมนุษย์สามัญมักจะโอ้ปวดออกมา รอให้ความตายมาเยือนเจ้าเสียก่อนเถอะ เมื่อนั้นเจ้าจึงจะเข้าใจว่าอะไรคือความหวาดกลัวที่แท้จริง” เงาดุร้ายกล่าว
“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน ว่าใครกันแน่คือคนสุดท้ายที่ต้องหวาดกลัว” กู่ฉิงซานกล่าว
“เหอะ! หากในเวลานี้ มิใช่เพราะดาบของเจ้าแล้วล่ะก็ –”
ร่างเงาดุร้ายจ้องมองไปยังดาบเช่าหยิน ก่อนจะส่ายหัวด้วยความเสียดาย
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ร่างเงามืดทั้งหมดก็หายวับไป พร้อมกันกับเปลวไฟแห่งแดนชำระล้างทั้งมวลที่มอดดับลง
ภายในหลุม หลงเหลือเพียงอากาศอบอ้าวที่ว่างเปล่า
“มันหนีเร็วเกินไป ไม่ปล่อยโอกาสให้ข้าได้โจมตีอีกเป็นครั้งที่สองเลย” ดาบพิภพพึมพำ
แล้วมันก็บินกลับมาข้างกายกู่ฉิงซาน
“เจ้าสิ่งนั้นคือภูติผีสินะ? แล้วเจ้าพอจะรู้ไหมว่ามันอยู่ในระดับใดกัน?”
“ใช่ มันเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆจากแดนชำระล้างในยุคโบราณ ที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ก็เลยกลายเป็นใหญ่เท่านั้น” ดาบพิภพกล่าว
“ว่าแต่เหตุใดกัน ข้าจึงรู้สึกได้ว่า สภาวะของเจ้าดูจะไม่ค่อยสู้ดีนัก?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
การฟาดฟันเมื่อครู่นี้ แม้ว่ากู่ฉิงซานจะได้ทำการกระตุ้นเทคนิคดาบไปแล้วก็ตาม แต่ในความรู้สึกของเขา การโจมตีของดาบพิภพดูเชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
ระหว่างผู้ฝึกดาบกับจิตแห่งดาบ จะสามารถรับรู้ได้ซึ่งกันและกัน ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“เมื่อเร็วๆนี้ ตัวข้าไม่มีแต้มพลังวิญญาณมากพอที่จะคอยมาบำรุง หล่อเลี้ยงร่างกายและจิตวิญญาณ ดังนั้นปัญหาเดิมๆจึงเกิดขึ้น” ดาบพิภพกล่าว
ในหัวใจของกู่ฉิงซานหม่นหมองลง
ดาบพิภพ เป็นดาบที่อยู่ร่วมกันกับเขามายาวนานที่สุด มันคือมรดกจากอาจารย์แห่งนิกายเขา แต่ตอนนี้ มันกลับดูเหมือนจะมีความผิดปกติบางอย่างขึ้น
“มานี่ ข้าจะมอบแต้มพลังวิญญาณแก่เจ้าเอง”
กู่ฉิงซานถ่ายโอนผ่านระบบเทพสงคราม ส่งผ่านแต้มพลังวิญญาณลงในดาบพิภพทันที
เนื่องจากตัวเขาเวลานี้ครอบครองแต้มพลังวิญญาณอยู่กว่าเกือบล้าน ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะมอบหนึ่งแสนแต้มพลังวิญญาณให้แก่ดาบพิภพโดยตรง
“อ่า รู้สึกดีขึ้นเยอะ ขอบใจเจ้ามาก” ดาบพิภพกล่าว
กู่ฉิงซานทดลองใช้ออกด้วยเทคนิคดาบ
ดาบพิภพวูบไหว ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในทันใด ร่ายระบำด้วยเทคนิคดาบตัดสายลมชุดหนึ่งอย่างคล่องแคล่วและเสรี
เมื่อสภาวะของดาบพิภพกลับคืนมาดีดังเดิมอีกครั้ง กู่ฉิงซานก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย
Ep.565 – คนกลาง
ความจริงแล้ว กู่ฉิงซานก็ยังคงพอจะมีวิธีจัดการกับมันอยู่ในใจเหมือนกัน
ในระหว่างการต่อสู้ เขาเองก็ได้เหลือบมองไปดูหน้าต่างเทพสงครามเล็กน้อยบ้างเหมือนกัน
ก่อนหน้านี้ที่สังหารผีแห่งความอลหม่านไป 11 ตน ส่งผลให้แต้มพลังวิญญาณของเขาพุ่งสูงขึ้นไปจนเกือบจะถึง 1 ล้าน!
ไม่ต้องกล่าวถึงแต้มพลังวิญญาณ เพราะผลพลอยได้จากการสังหารผีแห่งความอลหม่าน ยังช่วยให้เขาสามารถเสริมแกร่งให้ค่ายกลดาบไท่หยีได้อีกกว่า 3 ครั้ง -ปัจจุบันนี้อานุภาพของมันจึงซ้อนทับกันกว่า 16 ครั้ง!
ว่าแต่เขาสมควรที่จะใช้ค่ายกลไท่หยีที่แรงกว่าเดิม 16 เท่าหรือไม่?
แน่นอนว่าไม่ เพราะศัตรูตรงหน้ามิได้คู่ควรถึงขนาดนั้น มันก็แค่ไก่ตัวเล็กๆ แล้วจะไปคู่ควรกับสกิลที่ใช้สังหารวัวใหญ่ได้อย่างไร?
ค่ายกลดาบไท่หยีที่รุนแรงกว่าปกติถึง 16 เท่า นี่คือไพ่ตายที่แท้จริง และจำต้องใช้มันในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด!
กู่ฉิงซานตัดสินใจได้ในทันที ว่าเวลานี้เขายังไม่สมควรที่จะทุ่มสุดตัว
“คุณแน่ใจใช่ไหมว่าธาตุสายฟ้าใช้ได้ผลกับมันจริงๆ?” เขาเอ่ยถาม
สายพันธุ์โบราณตอบเสียงสนั่น “ทัณฑ์สายฟ้าคือมาตรการลงโทษในโลกของเรา มันคือกฏเกณฑ์ที่เหล่าทวยเทพสร้างขึ้น ดังนั้นอำนาจของมันย่อมทรงพลังอย่างหาที่ใดเปรียบหากเทียบกับธาตุอื่นๆ”
ถึงแม้ว่าสายพันธุ์โบราณจะมีรูปลักษณ์น่าเกลียด แต่น้ำเสียงของมันกลับฟังดูบริสุทธิ์ และยังคงรักษาสำเนียงของชาวโบราณเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
นี่คือหนึ่งในภาษาที่มักจะใช้กันทั่วไปของบรรดาผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ และแน่นอน ว่าทางสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงก็มีการเก็บภาษานี้ไว้ในพจนานุกรมเช่นกัน
“งั้นผมจะลองดูก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานกล่าว
ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร มอนสเตอร์ทะมึนผุดลุกขึ้นอีกครั้ง
กู่ฉิงซานสั่งการในจิตใจ ดาบพิภพและเช่าหยิน วูบบบบ!ตัดอากาศ ตรงเข้าหามอนสเตอร์ตนนั้นพร้อมกัน
และถึงแม้ว่ามอนสเตอร์จะยกสองแขนสีหมึกของมันขึ้นมาปัดป้อง แต่สุดท้ายมันก็ถูกบดขยี้ลงโดยดาบพิภพอยู่ดี!
โครม!
พื้นดินโดยรอบแตกระแหงและจมลึก มอนสเตอร์ทะมึนถูกกดดันโดยดาบพิภพที่สับลงมาด้วยน้ำหนักกว่า86.37ล้านจินอย่างกระทันหัน!
ใบหน้านับไม่ถ้วนบนร่างกายมัน กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
เห็นได้ชัดว่าการปัดป้องการโจมตีดังกล่าวนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย
ช่วงจังหวะนี้เอง เช่าหยินก็ฉวยโอกาสฉัวะ! เสียบปลายแหลมของตนเข้ากลางอกของมอนสเตอร์ทะมึนโดยตรง
พลังศักดิ์สิทธิ์เล่ยเดี๋ยน : ตัดขาดการเชื่อมต่อ!
เนินเขาทะมึนพลันแข็งค้าง นิ่งงันอยู่ในกริยาและตำแหน่งเดิม มิอาจเคลื่อนกายได้แม้เพียงน้อย
ภายในสามวินาทีนี้ จิตเทวะของมันจะถูกบังคับให้ออกจากร่าง ตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่างกันและกันไปโดยสมบูรณ์
แล้วสิ่งที่จะสามารถทำได้ในสามวินาทีนี้มีอะไรบ้างน่ะหรือ?
กู่ฉิงซานวูบบบบ!ขึ้นอีกครั้งเบื้องหน้ามัน พร้อมกับดาบพิภพในมือ
กระบวนท่าที่หนึ่ง สูญญากาศ!
กระบวนท่าที่สอง จ้วงชีวิต!
กระบวนท่าที่สาม ลมวน!
กระบวนท่าที่สี่ สะบั้นต่อเนื่อง!
ดาบยาวในมือ โบกสะบัดครบทั้ง 7 เพลงโดยสมบูรณ์
บังเกิดประกายสีน้ำเงินขาวพรั่งพราวขึ้นตามสองแขนของกู่ฉิงซาน ก่อนที่ทั้งหมดจะถ่ายเทลงไปรวมกันกับดาบพิภพ สาดแสงสะท้อนไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก
“มังกรสายฟ้า!”
กู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง
ปรากฏหัวมังกรขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยสายฟ้าสีน้ำเงินขาว ผุดออกมาจากปลายดาบ
ตามต่อจากหัวมังกร คือตลอดทั้งร่างของมันที่คดเคี้ยวผสมผสานควบแน่นไปกับทั้งรังสีดาบและสายฟ้าเล่ยเดี๋ยน ผงาดออกมาจากดาบพิภพ
ปัง!
มังกรสายฟ้างับ! เข้าใส่มอนสเตอร์ทะมึน หนึ่งมังกร หนึ่งเนินเขาทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า
“อั๊ก! ไม่จริง! ทำไมในโลกใบนี้ถึงมีสายฟ้าไปไ–” มอนสเตอร์กรีดร้องโหยหวน
มังกรสายฟ้าบินไปได้เพียงครึ่งทาง มันก็แปลงสภาพตน เป็นวงแหวนสีน้ำเงินขาวที่ว่ายวนไปด้วยสายฟ้าเรืองรอง โอบเข้าห่อหุ้มมอนสเตอร์ตนนั้น
ฉากนี้ดูคล้ายกับดวงอาทิตย์สีน้ำเงินกำลังปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้นเลย
ทิวทัศน์ช่วงกลางคืนกลับกลายเป็นกลางวัน
พร้อมกับร่างของมอนสเตอร์ทะมึนที่ค่อยๆสลายไปท่ามกลางสายฟ้าอย่างช้าๆ
แสงจรัสค่อยๆจางหายไป
บังเกิดประกายเล็กๆแตกกระจายไปทั่วนภา คล้ายกับกลุ่มงูสายฟ้าที่แยกตัวออกจากรัง
มิอาจค้นพบได้ถึงร่องรอยของมอนสเตอร์ทะมึนอีกต่อไป
มันถูกล้างบางไปโดยสมบูรณ์
กู่ฉิงซานเฝ้ามองฉากนี้ ในหัวใจค่อยๆกลับมาอิ่มเอม
แต่เดิม ที่แท้เหล่าทวยเทพก็ตั้งกฏเกณฑ์ขึ้น และใช้สายฟ้าเป็นบทลงทัณฑ์ของโลกใบนี้
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมด้วยเล่ยเดี๋ยนและดาบขุนเขาเทวะหกโลกา จึงสามารถสังหารบรรดาผีแห่งความอลหม่านทั้ง 11 ตนในก่อนหน้านี้ได้
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ย้ำอีกครั้ง ว่าผีแห่งความอลหม่านน่ะเป็นถึงอสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลเชียวนะ!
กู่ฉิงซานเบนสายตาออกไปอีกทิศทางหนึ่ง
แล้วเขาก็พบว่า สายพันธุ์โบราณ ได้กลับคืนสภาพเป็นชายชราอีกครั้งดังเดิมแล้ว
ชายชราอ้าปากค้าง เขาเอาแต่แหงนหน้ามองบนท้องฟ้า จนแม้มังกรจะหายไปแล้ว แต่ชายชราก็ยังนิ่งค้างอยู่ในกริยาเดิม
แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของกู่ฉิงซาน เขาจึงได้สติกลับคืน
“ต้องขออภัยจริงๆ อันที่จริงแล้วข้าไม่เคยเห็นสายฟ้าที่ร้ายกาจเช่นนี้มาก่อน เลยอึ้งไปน่ะ … ” ชายชรากล่าว
กู่ฉิงซานกวาดสายตามองทั้งร่างของเขาที่ท่วมไปด้วยเลือด จึงโยนเม็ดยารักษาออกไป
ชายชราคว้าหมับ! รับเม็ดยาเอาไว้ ก่อนจะอังมันใต้จมูก เมื่อรับรู้ได้ถึงกลิ่นจางๆของมัน คิ้วของเขาก็ยกสูงขึ้น
ชายชราโยนเม็ดยารักษาลงไปในปากโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาเคี้ยวหงับๆๆ ไม่กี่ครั้งและกลืนมันลงไปทันที
“ผมยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเลยคุณก็กินมันซะแล้ว? ไม่กลัวว่าผมจะวางยาพิษเลยหรอ?” กู่ฉิงซานถามด้วยความประหลาดใจ
“ไม่มีผู้ใดสามารถวางยาพิษข้าผู้ชราได้ ขอย้ำอีกครั้ง ข้าผู้ชรามีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว ดังนั้นด้วยประสบการณ์ชีวิตมากมาย จึงย่อมเข้าใจว่าเม็ดยาเมื่อครู่เป็นสิ่งที่ดี ไม่มีพิษใดๆ” ชายชรายืดอกและกล่าวอย่างมั่นใจ
“งั้นก็ช่างมันเถอะ ผมแค่จะบอกว่าเม็ดยารักษาที่ให้ไป นอกจากช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บแล้ว มันยังมีผลช่วยในการชำระล้างร่างกายจากภายในอีกด้วยก็เท่านั้นเอง”
“เอ่า … แล้วทำไมเจ้าถึงไม่รีบบอกก่อนหน้านี้ล่ะ?”
กู่ฉิงซานยกมือขึ้นเกาหัวแบบทำอะไรไม่ถูก เอ่ยตอบกลับไป “ก็ผมยังไม่ทันจะมีเวลาได้พูดเลย คุณก็กินมันเข้าไปแล้ว”
ชายชราเริ่มมวนท้อง กระเพาะของเขาเริ่มส่งเสียงครืดคราดๆ บางสิ่งบางอย่างวิ่งปรู๊ดๆไปตามลำไส้ใหญ่
ชายชราหันซ้ายหันขวา ก่อนจะเจอเป้าหมายที่เหมาะสม และเดินกะเผลกๆพลางปิดตูดเข้าไปในห้องน้ำทันที
“ช้าก่อน! ในเมืองนี้ยังมีคนอื่นๆอยู่อีกไหม?” กู่ฉิงซานตะโกนถามเสียงดังไล่หลังเขา
“ข้าเป็นผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย!”
ชายชราตอบ และวิ่งหายเข้าไปในตึกปะการังหลังหนึ่งทันที
กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็นิ่งงันไป
“ดูเหมือนว่าหากเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งก็ยังพอที่จะมีโอกาสชีวิตรอดอยู่เหมือนกันสินะ” เขาบ่นงึมงำ
ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่อีกฝ่ายกำลังปลดทุกข์ กู่ฉิงซานจึงเดินกลับไปสำรวจบริเวณจตุรัส
เมื่อครู่นี้ไม่รู้เหมือนกันว่ามอนสเตอร์ทะมึนมันทำอะไรลง แต่ตลอดทั้งจตุรัสได้หายไปอย่างน่าฉงน
และถูกแทนที่ด้วยหลุมดำอันมืดมิด
-เป็นหลุมที่ลึกชนิดมองลงไปไม่เห็นเบื้องล่าง
กู่ฉิงซานทดลองปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงไปค้นหา แต่กลับไม่พบถึงก้นหลุม
กู่ฉิงซานเดินมาหยุดอยู่ตรงขอบจตุรัสและหันไปมองรอบๆ
ใต้ฝ่าเท้าของเขา ตามขอบพื้นจตุรัสที่เดิมเคยเป็นน้ำเงินฟ้า บัดนี้หายไปแล้วโดยสิ้นเชิง
ตรงขอบหลุม ถูกปกคลุมด้วยเปลวไฟสีน้ำตาลแดงแทน
เปลวไฟเหล่านี้ผุดออกมาจากพื้นดิน ยามเมื่อถูกสายลมพัด มันจะลุกโชยไปตามสายลมคล้ายหางของเปลวไฟที่ยืดยาวออกไป
ราวกับว่าเปลวไฟเหล่านี้มีชีวิต พวกมันสาดแสงใส่กันและกัน หลอมรวมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างพื้นที่เอกเทศ แบ่งแยกตนเองออกจากโลกใบนี้
ดาบพิภพเปล่งเสียงออกมาอย่างกระทันหัน “นี่คือไฟจากแดนชำระล้างบาป”
“แดนชำระล้าง? ถ้าอย่างนั้นมันยังเป็นปกติอยู่หรือเปล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ไอ้ที่พูดว่าปกติ เจ้าหมายถึงอะไร?”
“ความหมายของข้าก็คือ มันยังไม่ได้ถูกครองงำโดยระบบของราชามารใช่หรือไม่?”
“หากแต่ก่อนก็คงปกติอย่างที่เจ้าว่า แต่ตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ดาบพิภพกล่าว
“ถ้างั้นแล้วไฟพวกนี้ล่ะ?”
“มันก็เป็นไฟจากแดนชำระล้างบาปนั่นแหละท่าน” อีกเสียงหนึ่งตอบขึ้น
กู่ฉิงซานหันไปมอง
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ จู่ๆก็มีคนปรากฏตัวขึ้นใจกลางหลุมลึก
เขาเป็นชายที่แต่งกายด้วยชุดสีดำทางการ มีส่วนสูงพอสมควรและดูสุภาพเป็นอย่างยิ่ง
“ยินดีที่ได้พบกัน มิสเตอร์กู่ฉิงซาน กระผมเป็นตัวแทนจากแดนชำระล้าง เจ้านายของกระผมบอกว่าเมื่อไหร่ที่คุณโค่นมอนสเตอร์ตัวนี้ลงได้ คุณก็จะได้รับคุณสมบัติในการเจรจราไก่ลเกลี่ยกับพวกเรา”
“เจรจราไกล่เกลี่ยอย่างงั้นหรอ?”
“ถูกต้อง เป็นการไกล่เกลี่ยระหว่างคุณกับระบบของราชามาร โดยเจ้านายได้ให้กระผมรับหน้าที่เป็นคนกลาง”
“แล้วทำไมฉันต้องทำด้วย?”
“มิสเตอร์กู่ฉิงซาน คุณรู้จักโลกที่เจริญแล้วหรือโลกที่มีอารยธรรมนับไม่ถ้วนที่เรี–”
“ฉันไม่ชอบที่จะตอบคำถาม ถ้าคุณมีอะไรจะบอกฉัน โปรดพูดมาเลยตรงๆ”
ชายชุดดำยื่นนิ้วชี้ออกมา และกล่าว “มีเพียงระบบเท่านั้นที่เป็นสัญลักษณ์ที่จะทำให้อารยธรรมยังคงมีอยู่ได้”
เมื่อกี้มันพูดว่าระบบงั้นหรอ?
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มตื่นตัว
“ฉันได้ยินมาว่าแดนชำระล้างเป็นสถานที่ๆสับสนวุ่นวายที่สุดนี่นา แล้วคนจากที่นั่นสมควรที่จะมาสอนเรื่องอารยธรรมให้แก่คนจากโลกอื่นจริงๆน่ะหรือ?” กู่ฉิงซานสวนกลับไป
“สถานที่แห่งนั้นสับสนวุ่นวายจริงๆ แต่ตัวระบบก็เป็นส่วนหนึ่งของความวุ่นวายที่ว่านั่น และอีกอย่างเจ้านายแห่งแดนชำระล้างของกระผมเอง ก็ชื่นชอบในความวุ่นวายเช่นกัน” คนๆนั้นกล่าว
“แล้วคุณต้องการอะไรจากฉัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“มิสเตอร์กู่ฉิงซาน อันที่จริงแล้วพวกเราไม่ควรปรากฏตัวขึ้นในสถานที่แห่งนี้เลย ไม่ว่าจะคุณหรือกระผม”
“พูดแบบนั้นหมายความว่ายังไง?”
“เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online คือระบบของราชามาร แต่คุณ! ในฐานะที่คุณไม่ได้เป็น ‘ตัวแทน’ ของระบบใดๆ ดังนั้นพวกเราจึงคาดหวังว่าคุณจะหยุดแต่เพียงเท่านี้ ซึ่งหากคุณตกลง คุณจะได้เป็นมิตรที่ดีกับแดนชำระล้าง”
“พูดแบบนี้ หมายความว่าคุณเป็นคนของเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ใช่รึเปล่า?”
“ไม่ใช่ ย้ำอีกครั้งว่าเราเป็นคนกลาง”
ชายที่สวมชุดดำดูเป็นทางการยังคงกล่าวต่อ “ถ้าคุณตกลงที่จะหยุดแต่เพียงเท่านี้ และยินดีที่จะจากไปทันที ทางแดนชำระล้างของพวกเราจะช่วยพาคุณหลบลี้ หนีห่างไปจากสถานที่อันแสนไกลของสนามรบ และรับประกันว่าระบบราชามารจะไม่สามารถคุกคามหรือส่งผลกระทบต่อคุณได้อีกต่อไป”
“ทำไมถึงต้องมาไกล่เกลี่ยด้วย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
อีกฝ่ายส่งรอยยิ้มในเชิงขออภัยกลับมา “หากกระผมตอบคำถามนี้ของคุณ ความลับของพวกเราก็คงจะถูกเปิดเผยอย่างสมบูรณ์ เรื่องนี้คงต้องขอโทษด้วย”
“มิสเตอร์กู่ฉิงซาน ยอมรับการไกล่เกลี่ยครั้งนี้โดยดีเถอะ หากยอมรับ ไม่เพียงระบบราชามารจะไม่เข้ามายุ่งย่ามกับคุณ แต่ทางแดนชำระล้างของพวกเรายังยินดีต้อนรับคุณในฐานะแขกอีกด้วย”
“เห? ดูเหมือนคุณจะมั่นใจไม่น้อยเลยนะว่าจะสามารถโน้มน้าวใจฉันได้?”
“นั่นก็เพราะท้ายที่สุดนี้ คุณมันก็เป็นแค่มดตัวเล็กๆ แถมยังไม่ได้เป็นตัวแทนของระบบใดๆ ดังนั้นคุณย่อมไม่ต้องการเลือกหนทางที่มันเป็นการฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน”
“ดูเหมือนว่าการออกหน้าของคุณในครั้งนี้ มันจะเป็นเพราะต้องการที่จะทำให้ใครบางคนรู้สึกพึงพอใจสินะ?”
“เฉียบแหลมมาก เฉียบแหลมเกินไปจริงๆ มิสเตอร์กู่ฉิงซาน แต่คุณควรรู้เท่านี้ก็พอแล้ว กระผมจะไม่พูดอะไรกับคุณอีก เอาล่ะ ตอนนี้ก็ขอให้เลือกทางซะ-”
“ฉันขอปฏิเสธ”
“ … คุณแน่ใจหรือ? อ๋า ต้องขออภัยจริงๆ กระผมลืมบอกไปว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณเลือกที่จะปฏิเสธ”
“ว่ามาสิ ฉันกำลังตั้งใจฟังอยู่”
“ถ้าคุณปฏิเสธการไกล่เกลี่ยของเรา” บนใบหน้าของชายในชุดทางการปรากฏรอยยิ้มที่แฝงถึงความหมายที่ดูลึกลับ “เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณตายลง เจ้านายจากแดนชำระล้างของกระผม จะเป็นคนเดินทางไปรับเอาดวงวิญญาณของคุณเป็นการส่วนตัว หลังจากนั้นคุณจะถูกโยนลงไปในเตาเผานรก และจะต้องทุกข์ คร่ำครวญด้วยความขมขื่น น้ำตาไหลเป็นสายเลือด ทรมานโดยไม่มีโอกาสที่จะได้หลุดพ้นอีกต่อไป”
กู่ฉิงซานเงียบ ก่อนจะพยักหน้าและกล่าวว่า “งั้นดูเหมือนว่าเจ้านายของคุณกับฉันจะมีความเห็นที่ตรงกันนะ”
ชายคนนั้นเผยสีหน้ายิ้มแย้ม “ความคิดเห็นตรงกันงั้นหรือ? ฟังดูน่าสนในดีนี่ มิสเตอร์กู่ฉิงซาน เชิญกล่าวต่อ”
กู่ฉิงซานก็ยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน “ถูกต้อง เพราะนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันกับเจ้านายของแก จะมีศัตรูที่ต้องตายกันไปข้าง เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งยังไงล่ะ!”
Ep.564 – สายพันธุ์โบราณ
มอนสเตอร์ทะมึนคล้ายกับเนินเขาสูง ลอยขึ้นมากลางอากาศ ไล่ตามกู่ฉิงซานไปอย่างคล่องแคล่ว
ห่างออกไปจากกู่ฉิงซานไม่กี่ร้อยเมตร จู่ๆมอนสเตอร์ก็หายวับไป
นี่มัน-
ในหัวใจของกู่ฉิงซานตอบสนองฉับพลัน ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วถูกใช้ออกอย่างทันท่วงที
หนึ่งคน หนึ่งมอนสเตอร์ วูบหายไปในเวลาเดียวกัน
เมื่อมอนสเตอร์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันก็มาถึงในจุดที่กู่ฉิงซานเคยอยู่
-ทว่าแน่นอน มันยังคงมิอาจโจมตีกู่ฉิงซานได้
“ไอ้แมลงตัวจ้อยจากต่างโลก! เจ้าหนีเป็นอย่างเดียวรึไง?”
ใบหน้านับไม่ถ้วนที่ติดตามตัวของมอนสเตอร์หวีดคำรามเสียงดัง
แต่แล้ววจู่ๆมวลมหาใบหน้าก็แสดงออกถึงความเจ็บปวดขึ้นทันใด
เพราะยังไม่ทันที่เสียงของพวกมันจะตกลง กู่ฉิงซานก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหลัง และจ้วง! แทงสองดาบทะลวงเข้าไปในกายทะมึนของมัน
“หนีซะที่ไหน ฉันแค่รอจังหวะเสียบตูดแกอยู่ต่างหาก”
ขณะกล่าว กู่ฉิงซานขับเคลื่อนพลังวิญญาณ กระตุ้นเทคนิคลับแห่งดาบในทันใด
ปัง-
ภายใต้การทุ่มลงมือเต็มกำลังของเขา สองฝ่าวารีเชี่ยวพลันปะทุขึ้นในสถานที่เดียวกัน รังสีดาบหลอมรวมเป็นหนึ่ง ไหลบ่าภายในร่างกายของมอนสเตอร์
รังสีดาบอันไพศาลจับตัวกันเป็นกลุ่มหนาแน่น ก่อนจะระเบิดตูม! จากในกายทะมึนของเจ้ามอนสเตอร์
ร่างใหญ่เสียสมดุลอย่างกระทันหัน มอนสเตอร์ยักษ์ร่วงตกลงจากกลางอากาศ
มอนสเตอร์กรีดร้อง โหยหวนอย่างน่าสังเวช
อย่างไรก็ตาม มันไม่อาจตระหนักได้เลย ว่านี่เป็นเพี่ยงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น!
ร่างของกู่ฉิงซานวูบไหวต่อเนื่อง สองดาบแปรผันเป็นภาพติดตา ทั้งสับทั้งหั่นลงตามตัวของมอนสเตอร์อย่างไม่หยุดยั้ง!
ดาบของเขาว่องไวเกินไป ยิ่งฟันก็ยิ่งรวดเร็ว!
ในตอนที่มอนสเตอร์หวีดโหยหวนน่าสังเวชออกมา กู่ฉิงซานก็สับลงตามตัวมันไปกว่า 36 ดาบแล้ว
ระเบิดเทคนิคลับแห่งดาบ ตามต่อด้วยการฟันต่อเนื่องกว่า 36 ครั้ง ทุกสิ่งอย่างเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ส่งผลให้มอนสเตอร์ไม่ทันกระทั่งจะตอบสนอง
ช่วงเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจ ตามตัวของมอนสเตอร์ก็ถูกสับๆๆๆไปหลายสิบแผลโดยสองดาบของกู่ฉิงซาน
หลังจากบรรลุกระบวนการทั้งหมดนี้ กู่ฉิงซานก็ล่าถอยออกมาพร้อมกับดาบของเขา
สองดาบบินหนึ่งคุ้มกันหน้า หนึ่งคุ้มกันหลัง คอยปกป้องตัวเขาอย่างระแวดระวัง
“ฮูมม?” ดาบเช่าหยินเปล่งเสียงถามด้วยความงุนงน
“อย่าพึ่งได้ใจไป แรงกดดันของมันไม่ได้ลดลงเลย ตรงกันข้าม มันพุ่งสูงกว่าเดิมซะอีก เราถอยออกมาก่อนนับว่าถูกต้องแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
ขณะกล่าว เห็นแค่เพียงตามร่างกายของมอนสเตอร์ที่อยู่ในสภาพไม่สมประกอบ เริ่มขยุกขยิก บ้างยืดออก บ้างหดตัวเข้าอย่างบ้าคลั่ง
หนึ่งวินาทีต่อมา ตามตัวของมอนสเตอร์ก็เริ่มฟื้นฟูสภาพกลับเป็นดังเดิม
“ที่แท้ก็เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่ใช้อาวุธเย็นระยะประชิดเป็นเครื่องมือนี่เอง”
ใบหน้าทั้งหมดที่อยู่บนตัวของมอนสเตอร์ สาดมองมาทางกู่ฉิงซานด้วยความโกรธแค้น
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มตื่นตัว ทั้งคนทั้งร่างเพิ่มความระมัดระวังขึ้นเล็กน้อย
ทั้งสกิลวาร์ป กลืนกิน แยกมิติ และฟื้นฟู แต่ละความสามารถที่มันครอบครองล้วนทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับอาวุธเย็น มอนสเตอร์ที่สามารถฟื้นฟูร่างกายตัวเองได้อย่างรวดเร็วนั้น นับว่าเป็นตัวปัญหาที่ค่อนข้างจะสังหารได้ยาก น่ารำคาญพอสมควรเลย
นอกจากนี้ มันยังมีสมอง สามารถตัดสินเอกลักษณ์ในการต่อสู้ของตัวเขาได้อีก
ไอ้มอนสเตอร์ตัวนี้ …
ขณะกู่ฉิงซานกำลังตริตรองเตรียมแผนรับมือ มอนสเตอร์ก็เป็นฝ่ายชิงเคลื่อนไหวก่อนอีกครั้ง
คราวนี้มันไม่ได้ใช้การเคลื่อนย้ายพริบตาหรือวาร์ป เพื่อเข้ามาใกล้เขาในทันที แต่กลับเลือกที่จะเป็นฝ่ายถอยห่างจากกู่ฉิงซานด้วยตนเองอย่างน่าฉงน
“ดาบของเจ้ามันว่องไวเกินไป ผู้คนมากมายคงตกตายด้วยคมดาบนี้ทั้งๆที่ยังมิทันได้ตอบสนอง แต่ข้านี่แหละ จะเป็นตนที่ทำให้เจ้าจมลงสู่ห้วงความสิ้นหวังเอง!” ใบหน้านับไม่ถ้วนบนร่างมอนสเตอร์เปล่งเสียงพร้อมกัน
ว่าจบ ทั้งตนทั้งร่างทะมึนก็เริ่มขยุกขยิกไปมาอย่างบ้าคลั่ง
ทุกสีหน้าตามตัวของมันเผยถึงร่องรอยของความเจ็บปวด
ใบหน้าที่ถูกเก็บสะสมเอาไว้ เริ่มผุด … แยกออกจากตามตัวของมัน
ห้าหน้า สิบหน้า ร้อยหน้า พันหน้าผุดออกมา …
ใบหน้านับร้อยนับพันผุดออกมาจากตัวของมอนสเตอร์ และโคจรไปรอบร่างทะมึนของมัน ฉากนี้ไม่แตกต่างไปจากดาบบินที่เวียนว่ายอยู่รอบตัวของกู่ฉิงซานเลย
แต่แล้วท่ามกลางใบหน้านับไม่ถ้วน หนึ่งในนั้นซึ่งเป็นใบหน้าของชายวัยกลางคนก็เริ่มแยกตัวออกมาจากกลุ่มอย่างช้าๆ
มันฉวัดเฉวียนไปในอากาศเล็กน้อย ก่อนจะวูบหัวหายไป และปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงอีกจุดหนึ่งในมุมสูงบนท้องฟ้า
จากนั้นมันก็หายวับไปอีกครั้ง
นี่มันวาร์ปต่อเนื่องงั้นหรอ?
คิ้วของกู่ฉิงซานขมวดเข้าหากัน ดาบที่กุมอยู่ในมือพลันจ้วงแทงออกไปเบื้องหน้า
และทันใดนั้นเอง ใบหน้าที่จู่ๆก็หายวับไป ก็ได้ปรากฏออกมาอีกครั้ง และมันก็ถูกแทงเข้าใส่โดยดาบพิภพพอดิบพอดี
ใบหน้าของชายวัยกลางคนกรีดร้อง
ขณะเดียวกันรังสีดาบก็เปล่งประกาย
และตลอดทั้งใบหน้านั่นก็แตกโผล๊ะ! กระจายเป็นผงลอยไปตามสายลมทันที
กู่ฉิงซานแม้สามารถระเบิดหัวฝ่ายตรงข้ามด้วยดาบเดียว แต่ในหัวใจของเขากลับไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย
‘ไอ้ใบหน้านี่ … มันมีความคล่องแคล่วยิ่งกว่าเจ้ามอนสเตอร์คล้ายเนินเขาซะอีก’
เพราะขณะที่มอนสเตอร์ทะมึนสามารถวาร์ปได้ทีละครั้ง แต่ใบหน้าเมื่อครู่นี้มันกลับสามารถวาร์ปได้ถึงสองครั้งติดต่อกัน!
แล้วถ้าหากใบหน้าทั้งหมดที่ผุดออกมาสามารถทำแบบเดียวกันได้ล่ะก็ …
สายตาของกู่ฉิงซานเบนมองไปทางมอนสเตอร์ทะมึน
แล้วเขาก็พบว่า ใบหน้าที่เมื่อครู่โคจรอยู่รอบตัวมัน บัดนี้ทั้งหมดได้หายไปแล้วโดยสมบูรณ์
พวกมันสาดแสงกระพริบไหวครั้งหนึ่ง และผุดขึ้นอีกทีกลางอากาศ ย่นระยะใกล้เข้ามาหากู่ฉิงซาน
และในการกระพริบไหวครั้งที่สอง ใบหน้านับร้อยก็มาถึงตัวเขาได้ในที่สุด
ทั้งหมดบินโฉบไปมาจากทุกทิศทาง ปากอ้าเผยอเตรียมจะงับ! หมายจะฉีกกัดเนื้อสดๆของกู่ฉิงซาน
ในช่วงเวลาเดือดพล่าน สองดาบของกู่ฉิงซานก็ถูกใช้ออกด้วยเทคนิคลับพร้อมๆกัน
เทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา!
เทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา!
สองวาดเงาเริ่มผลิบาน ร่างเงาดาบสีดำถูกเติมเต็มไปในอากาศ ทั้งฟาด ฟัน สับ จ้วง แทง ไปทั่วบริเวณโดยรอบอย่างไม่หยุดยั้ง
โผล๊ะ โผล๊ะ โผล๊ะ โผล๊ะ โผล๊ะ โผล๊ะ โผล๊ะ!
ใบหน้าทั้งหมดถูกหั่นเป็นชิ้นๆ เสียงหวีดร้องของพวกมันดังระงม แต่สุดท้ายก็หายไปในความว่างเปล่า
ร่างเงาดาบสีดำค่อยๆกระจัดกระจายหายไป
ร่างของกู่ฉิงซานปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เขายังคงกุมสองดาบในมือ จ้องมองไปยังมอนสเตอร์ทะมึนเบื้องล่าง
เห็นแค่เพียงตามตัวของมอนสเตอร์ ใบหน้าที่พึ่งถูกทำลายไป ค่อยๆผุดขึ้นมาอีกครั้ง
ดวงตาของพวกมันจิกมองกู่ฉิงซาน ขณะเดียวกันปากก็เปล่งเสียงกระซิบ
“ปฏิกริยาตอบสนองของเขารวดเร็วเกินไป”
“เพลงดาบก็ร้ายกาจมากเช่นกัน”
“พวกเราจะต้องเปลี่ยนวิธีการ ไม่อย่างงั้นคงไม่สามารถกัดกินเลือดเนื้อสดๆของเขาได้”
“งั้นครั้งต่อไป ก็โจมตีด้วย ‘วิธีนั้น’ ก็แล้วกัน”
ระหว่างที่เหล่าใบหน้ากำลังสนทนาหารือกัน ใบหน้าอื่นๆก็เริ่มผุดออกมา ปกคลุมไปทั่วทั้งตัวของมอนสเตอร์อีกครั้ง
ใบหน้าทั้งหมดที่พึ่งถูกตัดเป็นชิ้นๆ กลับมามีชีวิตอยู่บนร่างของมอนสเตอร์อีกครา
“สกิลฟื้นคืนชีพ? กระทั่งความสามารถนี้ก็ยังมีไว้ในครอบครองงั้นหรอ”
กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ
เขาเพ่งสำรวจไปทางศัตรู พยายามที่จะหาจุดอ่อนของอีกฝ่าย
ดูเหมือนว่าเขาคงจะโจมตีได้เฉพาะร่างหลักของมันเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หวังว่าร่างหลักของมันจะไม่มีสกิลฟื้นคืนชีพเหมือนกับพวกใบหน้าเล็กๆนั่นนะ
กู่ฉิงซานเพียงแค่คิด แต่กลับเห็นใบหน้าทั้งหมดทั้งมวลของมอนสเตอร์อ้าปากกว้างขึ้นพร้อมๆกัน
“อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาา—–”
ทั้งหมดระเบิดเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ
ภายใต้เสียงนี้ ทุกชนิดของสิ่งลวงตา ภาพมายาภาพแล้วภาพเล่าค่อยๆปรากฏขึ้น
ตลอดทั้งผืนฟ้าถูกเผาไหม้ หมื่นพันเผ่ามารผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ทั้งหมดทั้งมวลสาดสายตามายังกู่ฉิงซาน คล้ายกับว่ากำลังเฝ้ารอให้เขาร่วงตกลงมาอยู่
ขณะเดียวกันนั้นเอง ตามร่างของกู่ฉิงซานก็สาดแสงเจ็ดสีออกมาทันที
ท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่า บังเกิดทิวทัศน์ของฝนที่ตกชุก และหมู่มวลสรรพสัตว์นานาชนิดปรากฏขึ้น
นี่คือเทคนิคลับ ‘การปกปักษ์ของทวยเทพ’ ที่นักพรตเป่ยหยวนมอบให้แก่เขา เป็นรางวัลหลังจากที่ตนสามารถวางกลยุทธ์คว้าชัยชนะในสงครามครั้งแตกหักมาได้
ยามใดก็ตามที่จิตเทวะของกู่ฉิงซานถูกแทรกแซง เทคนิคลับนี้จะถูกกระตุ้นและเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติเพื่อขัดขวางการแทรกแซงทันที
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าคราวนี้พลังอำนาจของอีกฝ่ายดูจะแข็งแกร่งมากเกินไป
เพราะทันทีที่ร่างเงาของหกธรรมพิทักษ์ที่ในมือถือครองอาวุธต่างๆปรากฏกายขึ้น พวกเขาทั้งหมดก็สลายกลายเป็นฟองอากาศในพริบตา
หกธรรมพิทักษ์ไม่มีแม้กระทั่งเวลาจะได้ปกป้องกู่ฉิงซาน ทั้งหมดถูกทำลายลงโดยตรง!
กู่ฉิงซานรู้สึกเจ็บหัวแทบจะระเบิด แต่เขาก็ใช้พละกำลังที่มี ดึงสติตัวเองกลับมา
“แบบนี้ไม่ดีแล้ว!”
สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนกลับกลาย มือโฉบไปหยิบดิสก์ค่ายกลออกมาอย่างเร่งร้อน และเริ่มพรมลงจัดวางค่ายกลลงครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างรวดเร็ว
ในเสี้ยววินาที เสียงและภาพมายาเริ่มพร่ามัวกลายเป็นหมอกควัน และฉากอันน่าหวาดกลัวต่างๆก็ค่อยๆจางหายไป
มวลมารที่เฝ้ามองกู่ฉิงซานจากพื้นดินทั้งหมดก็หายไปเช่นกัน
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มตระหนักชัด
เมื่อครู่นี้ … มันไม่ใช่แค่การโจมตีจิตเทวะ!
แต่มันเป็นสกิลผสาน ที่ยังมีความสามารถในการบังคับส่งเขาไปยังโลกอื่นได้อีกด้วย!
เมื่อครู่นี้ กู่ฉิงซานสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงการดำรงอยู่ของโลกใบนั้น .. โลกที่เต็มไปด้วยเผ่ามารกำลังเฝ้ารอคอยเขาอยู่!
ครอบครองสกิลมากมายถึงเพียงนี้ ความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ทะมึนช่างน่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง!
ขณะที่กำลังขบคิด เห็นแค่เพียงตามตัวของมอนสเตอร์เริ่มกระสับกระส่ายอีกครั้ง คล้ายกับว่ากำลังเตรียมการที่จะระเบิดการโจมตีใหม่ในรอบต่อไป
ช่วงเวลานี้ บนตัวของมันจู่ๆก็มีสองแขนสีหมึกผุดออกมา
มอนสเตอร์เริ่มร่ายระบำทั้งแขนทั้งมือของมัน ปลดปล่อยกลิ่นอายอันมืดมิด
ความมืดฟุ้งกระจายไปทั่ว
ดูเหมือนว่ามอนสเตอร์ทะมึน กำลังจะเตรียมปลดปล่อยเทคนิคมนตราบางอย่าง
ดวงตาของกู่ฉิงซานกระตุกไหว
เขาจะไม่มีทางปล่อยให้มันโจมตีอีกครั้ง!
ทว่าเพียงแค่ยกดาบขึ้น แต่กลับเห็นถึงร่างๆหนึ่งวูบผ่านกายตน พุ่งเข้าหามอนสเตอร์ทะมึนเสียก่อน
มันเป็นร่างของชายชราที่ทั้งตัวชุ่มไปด้วยเลือด
“หืม? ในเมืองนี้ยังมีคนที่รอดชีวิตหลงเหลืออยู่อีกงั้นหรือนี่?” มอนสเตอร์อุทานด้วยความประหลาดใจ
เห็นแค่เพียงชายชราที่ย่ำไปเบื้องหน้าเพียงไม่กี่ก้าว จู่ๆทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ขยายใหญ่โตขึ้น
ตูม!
ชายชรากระแทกเข้าใส่มอนสเตอร์ทะมึน ส่งมันปลิวเคว้งไปในอากาศโดยตรง กวาดตึกปะการังมากมายที่ตั้งอยู่ของมันดีๆพังทลายลงไปตลอดเส้นทาง
ความมืดมิดโดยรอบจางหายไป – เทคนิคมนตราของมอนสเตอร์ถูกขัดจังหวะ
กู่ฉิงซานแข็งค้างไปโดยสมบูรณ์
เรพาะร่างของชายชราที่ขยายใหญ่ขึ้น … แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นร่างของสายพันธุ์โบราณ! มันเหมือนกับร่างศพที่ของสัตว์โบราณที่เขาเห็นอยู่บนวิหารเบื้องบนไม่มีผิดเพี้ยนเลย!
สายพันธุ์โบราณนี้มีรูปลักษณ์ค่อนข้างคล้ายคลึงกับมนุษย์ แต่มันดูน่าเกลียดและน่ากลัวกว่ามนุษย์อยู่มาก
อย่างไรก็ตาม ด้วยการผสานรวมกันระหว่างความน่าเกลียดและน่ากลัวของมันนี้เอง ที่กลับส่งผลให้เกิดความรู้สึกเคร่งขรึมและน่าเทิดทูนแผ่ออกมาอย่างน่าฉงน
นี่หมายความว่า ผู้คนบนโลกใบนี้สามารถเปลี่ยนร่างเป็นสายพันธุ์โบราณได้ใช่หรือไม่?
ถ้าอย่างงั้น แล้วศพของสายพันธุ์โบราณที่เขาเคยเห็นมาก่อน ก็คือศพของผู้คนบนโลกใบนี้อย่างงั้นสิ?
ไม่นะ
มันไม่ถูกต้อง
คงไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเปลี่ยนเป็นสายพันธุ์โบราณได้
เพราะไม่อย่างงั้นแล้ว มนุษย์มากมายในเมืองนี้ คงจะไม่มีทางถูกกวาดล้างโดยมอนสเตอร์ทะมึนตรงหน้าได้อย่างง่ายดายเป็นแน่
โอกาสเป็นไปได้ที่สุดก็คือ ‘คงจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีความสามารถในการกลายร่างเช่นนี้ได้’
ในระหว่างนั้นเอง สายพันธุ์โบราณก็เงยหน้าขึ้น และมองมายังกู่ฉิงซาน
“การโจมตีเหล่านั้นของเจ้ามันไร้ประโยชน์ และการโจมตีของข้าก็เช่นกัน!”
สายพันธุ์โบราณตะโกนลั่น “แต่ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายธาตุสายฟ้าจากในตัวเจ้า มีเพียงสายฟ้าเท่านั้นจึงจะสามารถต่อกรกับมันไดั!”
Ep.563 – มอนสเตอร์
ภายในเกาะหมอก
จอมมารทะเลเลือดได้ใช้เทคนิคมนตราแกะรอย และหายตัวไป
แต่ซูเซี่ยเอ๋อเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาจารย์ของตัวเองจะไปที่ไหน
เธอได้แต่เฝ้ามองดูม่านแสงที่กำลังจะเลือนหายไปอย่างไม่ยินยอม
จวบจนถึงตอนนี้ เธอก็ยังนั่งดูประสบการณ์ที่กู่ฉิงซานพบเจอ
หลอกลวง 800 ผู้เข้าสู่วิถีมาร และถูกบีบให้ต้องเผชิญหน้ากับราชามารวิญญาณมรณะระหว่างทางขึ้นเขา ขณะเดียวกันก็ถูกรายล้อมไปด้วยผู้เข้าสู่วิถีมารมากกว่า 200 ล้าน
เธอเฝ้ามองดูเขาแหกวงล้อม เฝ้าดูเขาวิ่งขึ้นเข้าไปในถ้ำน้ำแข็ง และดูราชามารวิญญาณมรณะถูกภูเขาของทวยเทพสังหารไป
จนมาถึงช่วงที่ม่านแสงเริ่มจะจางหาย ซึ่งเป็นฉากที่กู่ฉิงซานกำลังทำอาหารให้กับลอร่า
ซูเซี่ยเอ๋อมองไปยังอาหารร้อนๆในจาน และเริ่มรู้สึกหิวเล็กน้อย
ถ้าเธอได้อยู่ด้วยกันกับเขาเหมือนลอร่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตัวเอง ซูเซี่ยเอ๋อรู้สึกว่าเธอก็คงจะไม่เสียใจ
แต่น่าเสียดาย … ที่เธอทำผิดพลาดไป
“เจ้าสามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา … ”
“เจ้าจะยังสามารถอยู่ในโลกของทริสเต้ได้ต่อไป … ”
“ในระหว่างการต่อสู้ นี่แหละคือช่วงเวลาที่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของกันและกัน … ”
ย้อนนึกไปถึงคำสอนของจอมมารทะเลเลือด ซูเซี่ยเอ๋อก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“ฉันนี่มันช่างงโง่เง่าเสียจริง … ”
ซูเซี่ยเอ๋อส่ายของเธอ ปากเอ่ยกระซิบเบาๆ
เธอนั่งเฉยๆอยู่สักพัก พยายามวิเคราะห์ลักษณะการต่อสู้ของกู่ฉิงซาน
อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่หรอก
หากตัดสินจากความแข็งแกร่งปกติของเขา ตราบใดที่ตนเองมีเวลามากพอที่จะเตรียมใช้ออกด้วยเทคนิคมนตรา ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงทีเดียวที่เธอจะโค่นเขาลงได้
แต่เขาก็แข็งแกร่งอยู่นะ เพราะเขาสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามที่ทรงพลังนับสิบได้ในไม่กี่ลมหายใจ
และคนเหล่านั้นก็ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้โจมตีเลยด้วยซ้ำ
แถมภายในวิหาร มากกว่า 800 ผู้เข้าสู่วิถีมารยังถึงขั้นกล่าวขอบคุณ เมื่อเขาจากไป
ราชามาร ปญมบทแห่งความโกลาหลก็ยังไม่สามารถจับตัวเขาได้
กระทั่ง 200 ล้านผู้เข้าสู่วิถีมารก็ไม่อาจหยุดเขา
เขาสามารถทำลายทุกเหตุและผล แตกต่างกับความแข็งแกร่งที่ตนมีโดยสิ้นเชิง
ซูเซี่ยเอ๋อเมื่อคิดไปถึงตอนที่กู่ฉิงซานแสดงละครหลอกลวงผู้คนอย่างจริงจัง เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
เธอเงียบไปสักพักหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้น และเดินออกจากห้อง
เดินไปตามถนนที่ยาวจนสุดสายของกรมบังคับกฏ จะพบกับประตูสีดำเล็กๆบานหนึ่ง
ซูเซี่ยเอ๋อยืนอยู่หน้าประตูบานสีดำ เธอลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็หยิบกุญแจออกมา
มองไปยังกุญแจในมือ เธอก็ย้อนนึกไปถึงคำพูดของจอมมารทะเลเลือด
“เซี่ยเอ๋อ ห้องนี้คือห้องที่ข้าสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเอง เพื่อใช้ทดสอบผู้ใช้ไพ่ระดับที่ปรึกษา”
“แต่ทางสถาบันก็มีการประเมินทดสอบในส่วนนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
“การประเมินของพวกมันเป็นแบบดั้งเดิมที่ถูกใช้มาซ้ำๆอย่างยาวนานตั้งแต่เมื่อ 10000 ปีมาแล้ว มันได้ล้าสมัยไปแล้ว”
“เซี่ยเอ๋อ ยามใดที่เจ้ารู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งมากพอ ก็ขอให้ใช้กุญแจดอกนี้ แล้วเปิดประตูเข้าไปข้างในซะ”
“เมื่อเจ้าสามารถบรรลุการทดสอบระดับที่ปรึกษาได้ ข้าจะอนุญาตให้เจ้าลงไปในทะเลเลือด และทำสัญญากับเหล่าตัวตนที่อยู่ภายในนั้น”
“อ๊า! จริงๆหรอท่านอาจารย์? หนูสามารถทำสัญญากับพวกเขาได้จริงน่ะหรอ?”
“แน่นอน ตราบใดที่เจ้าสามารถผ่านการทดสอบไปได้”
…
ซูเซี่ยเอ๋อไม่ลังเลอีกต่อไป เธอไขกุญแจบานประตูสีดำที่ถูกล็อคอยู่ตลอดมา
หลังจากที่พานพบประสบการณ์เฉียดตายในระหว่างการต่อสู้ และถูกเทคนิคมนตราของจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างจุดอ่อนของตนเอง ความแข็งแกร่งของซูเซี่ยเอ๋อก็เพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ เธอสามารถรับมือกับการทดสอบระดับที่ปรึกษาได้แล้ว
“ฉิงซาน รอฉันก่อนนะ”
ซูเซี่ยเอ๋อกระซิบเบาๆ ก่อนจะผลักบานประตูเข้าไป
อีกด้านหนึ่ง
กู่ฉิงซานยืนอยู่บนยอดตึกปะการังทรงสูง และมองออกไปข้างหน้า
ปะการังหนาแน่นบดบังวิสัยทัศน์ของเขาก็จริง แต่มันไม่สามารถหยุดจิตสัมผัสเทวะของเขาได้
ด้วยขอบเขตประทับเทพขั้นปลายของตน ส่งผลให้กู่ฉิงซานสามารถมองเห็นถึงปลายทางที่ไกลออกไปตามเส้นถนนได้อย่างชัดเจน
มันเป็นจตุรัสขนาดใหญ่ ที่ปกติแล้วดูเหมือนว่าจะถูกใช้ในการชุมนุมและกิจกรรมขนาดใหญ่ เพียงพอที่จะรองรับผู้คนนับหมื่น
แต่ตอนนี้ กลับปรากฏร่างศพคนตายกำลังเดินตรงไปยังที่นั่นจากทุกทิศทาง
ร่างศพนับพันต่างพากันเดินเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ตรงไปยังจตุรัสด้วยรอยยิ้มแปลกๆที่แขวนอยู่บนใบหน้า
ภายในจตุรัส มีมอนสเตอร์ที่เพียงแค่มองก็ทำให้รู้สึกหวาดกลัวเข้าไปในจิตใจกำลังยืนรอพวกเขาอยู่
ร่างของมันคล้ายกับยอดเขาสีดำทะมึน ที่คอยแผ่กลิ่นอายกำกวมยากจะอธิบายออกมา
แม้ว่ามอนสเตอร์ตนนี้จะดูเงอะงะ ทว่าสัญญาณเตือนในหัวใจของกู่ฉิงซานมันกลับร้องดังขึ้นทุกทีๆ
เห็นแค่เพียงศพทั้งหมดพากันเดินเข้าไปในร่างของมอนสเตอร์ตัวนั้น ก่อนจะถูกหลอมละลายเข้ากับกายสีดำของมัน
และเมื่อใดก็ตามที่ศพเข้าสู่ร่างของมอนสเตอร์ กายสีดำของมันก็จะมีใบหน้าของศพๆนั้นผุดขึ้นมา
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ใบหน้าก็เริ่มผุดขึ้นตามตัวมันมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ละใบหน้าล้วนแสดงออกถึงความสุข
นี่มันไม่ใช่เป็นแค่มอนสเตอร์ธรรมดาๆแล้ว แต่กระทั่งรสนิยมในการสะสมของมันก็ยังน่าขยะแขยงเป็นอย่างยิ่ง!
ก่อนที่เขาจะมาถึง กู่ฉิงซานแน่นอนว่าย่อมค้นพบถึงตัวตนของมอนสเตอร์ตัวนี้ด้วยจิตสัมผัสเทวะของเขา นอกจากนี้ยังมีศพมากมายที่เดินเข้าไปหามันอีก ด้วยเหตุนี้เอง เขาถึงเลือกที่จะไม่นำลอร่ามา
“ทำไมฉันถึงรู้สึกไม่ดีมากขนาดนี้กันแน่นะ … ”กู่ฉิงซานกระซิบแผ่วเบา
ทันทีที่เสียงของเขาตกลง เห็นแค่เพียงมอนสเตอร์ที่คล้ายกับยอดเขาสีดำหยุดกึกลงอย่างกระทันหัน
ก่อนที่มันจะหันขวับมาทางกู่ฉิงซาน
หากคิดตามสามัญสำนึกทั่วๆไปแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะมองเห็นกู่ฉิงซาน เนื่องจากมีตึกปะการังมากมาย คอยบดบังตัวเขาอยู่
ทว่ามอนสเตอร์สีดำก็ยังคงมองมายังทิศทางของกู่ฉิงซาน
มันหยุดนิ่งอยู่อย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นเอง เหล่าใบหน้าที่แขวนไว้ตามตัวของมอนสเตอร์ก็อ้าปาก และเปล่งเสียงพร้อมกันว่า “เจ้ามาสายไปนะ”
ในสายตาของกู่ฉิงซาน เขายังคงถูกบดบังโดยตึกปะการังนับไม่ถ้วน
อย่างไรก็ตาม ตัวเองกลับสัมผัสว่ามีกลิ่นอายแปลกๆ เข้ามาล็อคตัวเขาเอาไว้
กู่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าเขายังไม่ได้ใช้ออกด้วยวิชาลับยับยั้งลมหายใจ ทว่าตนก็รวบรวมกลิ่นอายเอาไว้จนเกือบจะหมดสิ้น แต่ใครจะไปรู้กัน ว่ามันดันสามารถได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาของเขาได้
“โห? แต่ฉันยังไม่รู้เลยนะ ว่าไอ้ที่บอกว่าสายน่ะ ฉันพลาดอะไรไป?” กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้นและกล่าว
“พิธีกรรมได้สิ้นสุดลงแล้ว และผีแห่งความอลหม่านได้กลายเป็นวิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนจากปรภพ นำพาทุกสิ่งมีชีวิตในสถานที่แห่งนี้มาให้ข้า ” ทุกใบหน้าบนตัวของมันเปิดปากพูดพร้อมกัน
“งั้นแกก็ไม่ใช่ผีแห่งความอลหม่านน่ะสิ – แกเป็นตัวอะไรกันแน่?”
“รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก นั่นเพราะเดี๋ยวเจ้าก็จะกลายเป็นปุ๋ยอยู่แล้วอย่างไรล่ะ!” มอนสเตอร์สวนกลับ
เพียงแค่เสียงของมันตกลง ตลอดทั้งจตุรัสก็หายวับไป และถูกแทนที่ด้วยหลุมลึก!
มันเป็นหลุมลึกที่ไม่สามารถมองเห็นเบื้องล่างได้
กู่ฉิงซานพยายามปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงไปเบื้องล่าง แต่เขากลับไม่สามารถค้นพบถึงก้นหลุมได้เลย
ไม่เพียงหลุมลึกที่ปรากฏขึ้น ขณะเดียวกัน มอนสเตอร์ก็หายไปเช่นกัน
ในหัวใจของกู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงลางไม่ดี เขาจึงเร่งระเบิดพลังวิญญาณจากทั่วทั้งร่างกายทันที
เทคนิคดาบเอ๋ย จงตื่นขึ้น!
เทคนิคลับแห่งดาบ กระแสธารอันยิ่งใหญ่!
บนดาบบินทั้งสอง ปรากฏรังสีดาบอันไพศาล เปล่งประกายคล้ายกับดวงดาราขนาดยักษ์ พรั่งพรูออกมาราวกับเขื่อนแตก
ในเวลาเดียวกัน กู่ฉิงซานก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เล่ยเดี๋ยน
“-กระจายตัวออกไป!”
สองน้ำท่วมหลากบรรจบรวมเข้าด้วยกัน ทะลวงขึ้นไปบนฟากฟ้า และร่วงตกลงมาราวกับทุ่งน้ำแข็งอันกว้างใหญ่
เมื่อสกิลดาบถูกปลดปล่อยออกมา กู่ฉิงซานก็หายวับไปจากตำแหน่งเดิมทันที
“อ๊ากกกกกกกกกก!”
บังเกิดเสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนดังขึ้นในเวลาเดียวกัน
ในชั่วพริบตา มอนสเตอร์ทะมึนก็ข้ามผ่านตึกปะการังที่กีดขวาง โผล่เข้ามาในตำแหน่งเดิมที่กู่ฉิงซานเคยหยุดยืนอยู่โดยตรง
มันถูกรังสีดาบดั่งเขื่อนแตก ร่วงตกกระแทกเข้าใส่ และนิ่งงันเป็นเวลาสามวินาที
“เจ้าไม่อาจพ้นเงื้อมมือข้าไปได้!”
ใบหน้านับไม่ถ้วนบนตัวมอนสเตอร์ตะโกนขึ้นพร้อมกันด้วยความโกรธแค้น
มันค่อยๆลอยขึ้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเร่งบินข้ามผ่านผืนดิน ไล่ตามติดกู่ฉิงซานไป
ตึกใต้ร่างของมอนสเตอร์ ซึ่งเป็นตึกปะการังเดิมที่กู่ฉิงซานเคยแอบอยู่ บัดนี้แตกละเอียดจะสิ้น ทิ้งไว้เพียงเศษเปลือกหอยเล็กๆที่ยังหลงเหลืออยู่เท่านั้น
พอสัมผัสได้ถึงฉากดังกล่าว สีหน้าของกู่ฉิงซานเริ่มจะหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
มอนสเตอร์ตนนี้ สามารถทะลวงผ่านตึกปะการังนับไม่ถ้วน และพยายามที่จะโถมเข้าห่อหุ้มตัวเขาในคราเดียว
ขณะที่สิ่งที่ถูกมันจับได้ จะถูกกัดกร่อนและกลืนกินไปเลยโดยตรง!
ไม่ใช่แค่เคลื่อนย้ายได้ในพริบตา แต่ยังสามารถกลืนกินทุกอย่างที่สัมผัส มันสามารถครอบครองสกิลเหล่านี้ได้พร้อมๆกันเลยอย่างงั้นหรือ?
หากมีสกิลใดสกิลหนึ่งมันก็คงจะธรรมดา ทว่าหากใช้รวมกันแล้วมันทรงพลังไม่น้อยเลยจริงๆ
หากเขาเลือกที่จะป้องกันมิใช่หลบเลี่ยงแบบในตอนนี้แล้วล่ะก็ .. ทุกอย่างคงจบลงตั้งแต่การโจมตีครั้งแรกไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องบอกบรรยายใดๆถึงครั้งที่สองอีก
กู่ฉิงซานหยุดอยู่เหนือผืนฟ้า
ในระยะไกลออกไปเบื้องล่างเขา มอนสเตอร์ทะมึนยังคงไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ
ดูเหมือนว่าการเคลื่อนย้ายพริบตาหรือที่เรียกสั้นๆว่าวาร์ปของมัน จะต้องมีช่วงระยะที่แน่นอนเสียก่อน จึงจะสามารถใช้ออกได้
“ดาบพิภพ เจ้าสิ่งนั้นเป็นผีรึเปล่า?”
“ไม่ใช่ แต่ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือสิ่งใด เพราะข้าไม่เคยพบเห็นมันมาก่อนเลย”
“ขนาดเจ้าเองก็ยังไม่เคยพบเห็นมันมาก่อนงั้นหรือ … น่าสนใจดีนี่”
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้วววว!
กู่ฉิงซานกุมดาบพิภพในมือ และสับคมกล้าของมันลงไปยังผืนดินเบื้องล่างอย่างไม่รู้จบ
เห็นแค่เพียงรังสีดาบสีนวลผ่องดั่งแสงจันทร์ ตัดข้ามผ่านผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ โถมเข้าใส่มอนสเตอร์ยอดเขาทะมึน
ตัดจันทรา —ฟันต่อเนื่องเก้าครั้ง!
มอนสเตอร์ทะมึนสาดสายตามองรังสีดาบอันร้ายแรงนี้ และหายวับไปในทันที
เฝ้ารอจนกระทั่งรังสีดาบพุ่งผ่านไป มันจึงค่อยปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
คิ้วของกู่ฉิงซานขมวดเข้าหากัน
เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่มันเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่า และเมื่อรังสีดาบทั้งหมดบินผ่านไป มันก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งทันที
นี่มันเป็นความสามารถ ‘ มิติหลบเลี่ยง’ อันหาได้ยากยิ่ง!
ครอบครองทั้งพลังวาร์ป พลังกลืนกิน และมิติหลบเลี่ยง สามสกิลที่แสนจะทรงพลังนี้จู่ๆก็ปรากฏขึ้นในตัวมอนสเตอร์ตัวเดียวอย่างกระทันหัน!
“ระวังไว้หน่อยก็ดีนะ มันไม่ธรรมดาเลย” ดาบพิภพเตือน
“ข้าพอจะรู้อยู่หรอกว่ามันครอบครองความสามารถมากมาย แต่ข้าเองก็ไม่ต้องการที่จะจบลงเช่นนี้เหมือนกัน!” กู่ฉิงซานงึมงำ
มืออีกข้างวาดออกไปในอากาศที่ว่างเปล่า คว้ากุมจับดาบเช่าหยินอย่างแม่นมั่น
ยามมือดาบทั้งสองถูกกุมไว้ในมือ นั่นบ่งบอกได้ว่า กู่ฉิงซานได้เอาจริงแล้ว!
Ep.562 – ผล็อยหลับไป
ม้าทมิฬไล่ตามกู่ฉิงซานกับลอร่าจนทัน
กู่ฉิงซานเบนสายตาไปมองมัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ด้วยเหตุนี้ สองคน หนึ่งม้าจึงกลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง ร่วมกันตรวจสอบสถานการณ์ไปตามท้องถนน
“เจ้าเองก็กลัวเหมือนกันล่ะสิ?” ลอร่าเอ่ยถาม
“กลัวงั้นหรือ?” ม้าทมิฬเงยหน้าขึ้นและกล่าวอย่างสงบ “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ด้วยจรรยาบรรณวิชาชีพของข้า ข้าเลยจำต้องอยู่กับลูกค้า เพื่อเตรียมพร้อมบริการพวกเขาได้ตลอดเวลาต่างหาก”
“เอาล่ะๆ ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว เราเข้าใจเจ้า”
ลอร่ากลั้นหัวเราะ และตบลงบนตัวม้า
“แล้วท่านล่ะ ไม่กลัวพวกกองทัพผีร้ายหรือ?” กู่ฉิงซานถามอย่างลวกๆ
“แน่นอนว่ากลัว เรากลัวเจ้าสิ่งที่เกี่ยวกับอะไรพวกนี้มากที่สุดเลย” ลอร่ายืดอกยอมรับ
เธอนั่งอยู่บนหลังม้าทมิฬ ขณะที่กู่ฉิงซานคอยจูงมันมุ่งไปข้างหน้า
“ดูเหมือนพวกเราจะเจอปัญหาซะแล้วสิ” กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้าลง
เบื้องหน้าพวกเขา เส้นทางถนนถูกตัดขาด
ปรากฏหลุมบ่อขนาดใหญ่ขึ้นอยู่ตรงกลางถนน
บนผนังรอบบ่อนั้นเต็มไปด้วยหลุมเล็กตื้นๆ ขุรขระไม่สม่ำเสมอ แถมยังเปื้อนไปด้วยคราบเลือดสีดำแดง กระจายเป็นวงกว้าง
กู่ฉิงซานเดินไปที่บ่อ และมองข้ามมันไปทางอีกฝ่าย
บ่อนี้ไม่รู้ว่าถูกขุดโดยตัวอะไร แต่มันกว้างเกือบ 100 เมตร ส่วนในเรื่องความลึก –
กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงไป และค้นพบว่าก้นบ่อลึกกว่า 200 เมตร ล่างสุดของมัน เจิ่งนองไปน้ำเลือด
ไม่มีอะไรอยู่ในน้ำเลือดเหนียวหนืดเหล่านั้น แต่กลับมีร่องรอยของรอยเท้าเปื้อนเลือดขนาดใหญ่ บนผนังบ่อ
รอยเท้าสีเลือดแปลกๆนี้ย่ำไปตามผนังอีกฝั่งของบ่อ และค่อยๆหายไปตามท้องถนน
—เหมือนกับว่าจะมีบางสิ่งปีนขึ้นมาจากเบื้องล่างของบ่อ ไล่ไปตามกำแพงหิน ในที่สุดก็ขึ้นมาได้ และตรงไปยังใจกลางเมือง
“เจ้าสามารถกระโดดข้ามได้ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าได้ หากเป็นเรื่องวิ่งหรือกระโดด ย่อมไม่มีปัญหาใดๆ” ม้าทมิฬกล่าว
วี๊ดดดด –
ใจกลางเมือง บังเกิดเสียงกรีดร้องน่าความหวาดกลัวลอยมาตามสายลม
เสียงนี้ไม่เหมือนกับเสียงของสัตว์ป่า แต่ดูเหมือนจะเป็นเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของผู้คนนับไม่ถ้วนที่หวีดออกมาพร้อมๆกัน
ลอร่าหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมา เพื่อเตรียมที่จะใช้มัน
แต่กู่ฉิงซานคว้ากล่องส่องทางไกลเอาไว้เสียก่อน และกล่าวว่า “อย่าทำแบบนั้น ผีบางตัวมันสามารถรับรู้ถึงสายตาของผู้คนที่จ้องมองมาได้”
เมื่อลอร่าได้ยินเขาเตือน เธอก็จำใจต้องหยุดมือลง
เธอลอบมองกู่ฉิงซานอย่างลับๆ และพบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูจะแปลกๆไปเล็กน้อย
“คงไม่ได้มีแค่ที่เจ้าบอกใช่ไหม มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเจ้าเจออะไรแล้ว?” ลอร่าเอ่ยถาม
“อ๊ะ ไม่ๆ กระหม่อมแค่กำลังคิดถึงปัญหาอย่างอื่นอยู่น่ะ”
กู่ฉิงซานตอบกลับ ขณะเดียวกันก็ยืนตริตรองอยู่หน้าบ่อเลือดสักพัก
แล้วเขาก็กลับมา จูงม้าทมิฬออกไปยังอีกมุมหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปของถนน
ดิสก์ค่ายกลถูกหยิบออกมา และกู่ฉิงซานก็เริ่มทำการจัดตั้งค่ายกลอีกครั้ง
ค่ายกลแล้ว ค่ายกลเล่าได้ถูกจัดวางลง
โดยไม่คิดคำนึงถึงศิลาวิญญาณที่ต้องเสียไป เพียงลมหายใจเดียว กู่ฉิงซานก็ได้จัดวางค่ายกลป้องกันระดับสูงทั้งหมดจนเสร็จสิ้น จากนั้นก็ต่อด้วยค่ายกลโจมตีอีกหลายสิบชนิด
ด้วยอำนาจของค่ายกลที่ถูกจัดวาง และปริมาณของพวกมัน นับว่าเพียงพอแล้วที่จะใช้เปิดศึกสงครามครั้งใหญ่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ!
“นั่นเจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ?” ลอร่าถามด้วยความสงสัย
“จัดตั้งค่ายกลป้องกัน”
กู่ฉิงซานอยากจะไตร่ตรองเสียก่อน เขาจึงวางค่ายกลป้องกันเสียงอย่างเงียบๆ
ลอร่า “เรารู้ว่าเจ้ากำลังจัดวางค่ายกล แต่ทำไมเจ้าถึงต้องจัดวางค่ายกลป้องกันที่นี่ ตอนนี้ด้วย?”
“พวกเราจะพักผ่อนกันก่อน”
ลอร่าพอได้ฟังก็ชะงักไป
“พวกเราได้ทำสิ่งต่างๆมามากมาย เดินทางไปตั้งหลายสถานที่โดยไม่มีหยุดพัก ขณะที่ข้างหน้าต่อจากนี้ไปกำลังมีอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าเดิมเฝ้ารออยู่ แต่ความเหนื่อยของพวกเรากลับสะสมมากขึ้น แบบนี้คงจะไม่ดี เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจและความสามารถในการตอบสนองจนอาจคุกคามถึงแก่ชีวิตเลยก็ได้” กู่ฉิงซานอธิบาย
“หากเจ้าไม่บอก เราคงไม่สังเกตถึงจุดนี้เลย อันที่จริงแล้วเราง่วงมาก แต่อาจจะเป็นเพราะตลอดมาล้วนเผชิญกับอันตรายที่มากเกินไป เลยไม่ทันได้ตระหนักถึงสภาพร่างกายของตัวเอง” ลอร่าหาว
กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และวางโต๊ะขนาดใหญ่ลงกลางค่ายกล
เครื่องปรุง หัวหอม ขิง กระเทียม ซอสถั่วเหลือง น้ำส้มสายชู พริกไทย พริกขี้หนู ฯลฯ ถูกจัดวางเอาไว้อย่างประณีต ตามด้วยอาหารสดที่ถูกนำออกมา ใส่ลงในหม้อไฟ
“ฝ่าบาทคุ้นเคยกับอาหารมนุษย์หรือไม่?”
“กินได้ ไม่มีปัญหาอะไร”
“เข้าใจแล้ว”
แล้วเก้าอี้สองตัวก็โผล่ออกมาจากอากาศที่บางเบา
“เชิญฝ่าบาทนั่งรอสักครู่ ไม่นานกระหม่อมก็เตรียมอาหารเสร็จแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่หันกลับมามอง
ว่าจบ เขาก็เริ่มที่จะต้มซุป
ลอร่านั่งลง และเฝ้ามองเขาที่กำลังวุ่นอย่างเงียบๆ
“ไม่คิดเลยว่าจู่ๆจะได้ชิมอาหารฝีมือเจ้า”
“นั่นเพราะกระหม่อมต้องการให้ฝ่าบาทเพลิดเพลินไปกับอาหารร้อนๆแสนอร่อย จากนั้นก็หลับพักผ่อน พอถึงรุ่งสางในวันพรุ่ง ฝ่าบาทก็จะได้สดชื่นและมีพลังงานเต็มเปี่ยม จากนั้นพวกเราค่อยไปสำรวจเมืองกัน”
“นั่นฟังดูเยี่ยมไปเลย!” ลอร่าชูสองมือขึ้นไชโย ตะโกนด้วยความดีใจ
เพียงไม่นาน มื้ออาหารแสนอร่อยก็ถูกเสิร์ฟลงในที่สุด
7 จานเนื้อ 4 จานผัก และซุปถ้วยใหญ่อีก 1 ถ้วย
ลอร่าค่อยๆกินอย่างช้าๆ ขณะที่กู่ฉิงซานกวาดไปสองสามชามในลมหายใจเดียว
ม้าทมิฬมองมายังโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารด้วยแววตาน่าสงสาร
กู่ฉิงซานจึงหยิบหญ้าวิญญาณออกมา ยื่นให้มันกิน พอกัดไปได้ไม่กี่คำ ในหัวใจของม้าทมิฬก็รู้สึกเปรมปรีด์เป็นอย่างมาก
มันโค้งหัวลงด้วยความนอบน้อม แสดงท่าทีขอบคุณ
สองคน หนึ่งม้าจึงเริ่มรับประทานมื้ออาหารเลิศรสกัน
หลังจากมื้ออาหารจบลง กู่ฉิงซานก็ล้างอุปกรณ์ทุกอย่าง เขาเก็บมัน และหยิบเตียงออกมา
“ตอนนี้ก็ได้เวลาพักผ่อนแล้วนะ”
เขายกผ้าห่มขนสัตว์ขึ้นคลุมตัวให้ลอร่า และคอยยืนปกป้องเธอ
ภายใต้ค่ายกลทรงประสิทธิภาพกว่า 100 ค่าย และอุณหภูมิที่เหมาะสม เปี่ยมไปด้วยพลังงานวิญญาณ และความสงบ
ลอร่าที่กำลังนอนอยู่บนเตียง แม้ทั้งกายใจของเธอจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่ก็ยังมีท่าทีไม่เต็มใจที่จะหลับลง
“แล้วเจ้าเล่า ไม่นอนหลับบ้างหรือ?” เธอเอ่ยถาม
“สำหรับผู้ฝึกยุทธ การนั่งสมาธิ จะช่วยให้ได้รับการพักผ่อนที่ดียิ่งกว่า”
“แต่กู่ฉิงซาน เรารู้สึกหวดากลัวนิดหน่อย เลยยังนอนไม่หลับ”
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ?”
“เพราะกระทั่งตอนนี้ เราก็ยังรู้สึกหวาดวิตกอยู่เสมอ”
“นั่นมันก็แค่จินตนาการไปเอง ทางฝั่งกระหม่อมไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย”
“เจ้าไม่รู้สึกถึงมันอย่างงั้นหรือ?”
“ถูกต้องแล้ว กระหม่อมเป็นผู้ฝึกยุทธนะ ฝ่าบาทน่าจะทรงทราบดีว่าผู้ฝึกยุทธมีการรับรู้ทางจิตวิญญาณ ซึ่งสามาระตระหนักถึงลางร้ายได้”
“แต่ผีแห่งความอลหม่านก่อนหน้านี้ -”
“กระหม่อมย่อมตระหนักถึงมัน ฝ่าบาทจำไม่ได้หรือ? ว่าเป็นกระหม่อมที่จัดวางค่ายกลก่อน จึงสกัดมันเอาไว้ได้”
“ฉะนั้นหากตอนนี้กระหม่อมมิได้สัมผัสถึงลางร้ายใดๆ นั่นหมายความว่าฝ่าบาทเองตื่นตระหนกไปเอง”
“เราเข้าใจแล้ว .. ”
หลังจากได้ยินคำตอบของกู่ฉิงซาน ลอร่าก็โล่งใจ
“ดูเหมือนว่าเมื่อเร็วๆนี้เราจะตึงเครียดมากเกินไป เลยหลอนไปเอง” ลอร่าใช้นิ้ววนๆรอบคิ้วของเธอ ปากเอ่ยพึมพำ
“สมควรจะเป็นแบบนั้น” กู่ฉิงซานลูบหัวเธอเบาๆ “หลับให้สบายเถอะ ท่านต้องการพักผ่อนนะ”
“อืม”
ลอร่าหลับตาลง
ส่วนกู่ฉิงซานก็หยิบฟูกออกมา และวางมันนั่งลงข้างเตียง
หลังจากนั้นไม่นาน
“กู่ฉิงซาน”
“หืม?”
“เรานอนไม่หลับ มาเล่นเกมก่อนนานกันเถอะ”
“เกมอะไร?”
“เจ้าต้องบอกความลับเล็กๆน้อยๆของตัวเองออกมา ขณะที่เราเองก็ต้องเล่าเหมือนกัน ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันไง”
“ … ”
“ปกติแล้ว จะเป็นท่านแม่ที่มักจะเล่นเกมๆนี้กับเราทุกคืน … ”
“เอาล่ะๆ หยุดดราม่าเถอะ ลอร่า ท่านรู้ไหมว่าทำไมแบรี่กับเสี่ยวเหมียวถึงได้ยอมให้กระหม่อมอยู่กับสมาคมกำปั้นเหล็ก?”
ลอร่าถูกดึงดูดโดยคำถามนี้ เธอพยายามนึกและตอบกลับไปว่า “เพราะเจ้าเป็นคนดี … รึเปล่า?”
“ไม่ใช่ แต่เป็นเพราะระดับฝีมือในการทำอาหารของกระหม่อมสามารถชนะใจพวกเขาได้”
“แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนี้ เอาเถอะ แต่เจ้าก็ทำอาหารได้อร่อยจริงๆนั่นแหละ”
“งั้นคราวนี้ ก็ถึงเวลาที่ฝ่าบาทจะต้องพูดเกี่ยวกับเรื่องของตัวเองบ้างแล้ว”
“กู่ฉิงซาน เจ้ารู้ไหมว่าทำไมเราถึงได้กลัวความสูง”
“จะว่าไปแล้วเรื่องนี้กระหม่อมก็สงสัยอยู่เหมือนกัน เพราะเหตุใดหรือฝ่าบาท?”
“วิหคหนามน่ะ เวลาถือกำเนิดขึ้นมาจะมีความทรงจำในวันนั้นอยู่ และวันที่เราเกิด พ่อของเราตื่นเต้นมากเกินไป เขาที่กำลังอุ้มเรา โยนเราด้วยความปิติยินดี จนเราร่วงตกจากรุกขชาตศักดิ์สิทธิ์”
“รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์?”
“ใช่ รุกขชาตศักดิ์สิทธิ์แห่งหนาม มันเป็นสิ่งที่คอยมอบอำนาจอันลึกลับให้กับพวกเราเสมอมา และมีความสูงกว่า 10000 เมตร”
“ … ทันทีที่เกิดมา ก็ต้องตกลงจากความสูงเช่นนั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่ามันรู้สึกอย่างไร?”
“ใช่แล้วล่ะ ความประทับใจแรกเมื่อยามลืมตาดูโลกของเรา คือร่วงหล่น เรารู้สึกว่าตัวเองกำลังตกลง”
“แต่บิดาของท่านก็น่าจะช่วยท่านได้โดยเร็วนะ”
“ไม่เป็นเช่นนั้น ท่านพ่อคิดว่าท่านแม่ของข้าจะเป็นคนลงมือช่วย ขณะที่ท่านแม่ก็คิดว่าท่านพ่อคงจะเป็นคนทำ ส่วนพวกรัฐมนตรีก็คิดว่าราชากับราชินีคงจะเป็นคนช่วยเอง พวกองครักษ์ก็ดันคิดว่ารัฐมนตรีน่าจะเป็นคนช่วยเหลือ เพื่อที่จะได้รับคำชมเชย ขณะที่แขกเหรื่อก็ต่างพากันคิดว่าองครักษ์นั่นแหละที่จะเข้าไปช่วย”
“ถ้างั้น ก็ไม่มีใครออกหน้าช่วยเลยหรือ?”
“ใช่ เราร่วงตกลงมาตั้งหลายพันเมตร กว่าที่จะได้รับการช่วยเหลือจากทุกคน”
“อ่า ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ”
“ถึงตาเจ้าแล้ว ไหนลองบอกความลับของเจ้ามาสิ”
“ความลับงั้นหรอ … ก็คงจะเป็น ตัวกระหม่อมฝันว่าได้ข้ามผ่านประสบการณ์ต่อสู้มายาวนานหลายปี จนสุดท้ายก็ตายลง เมื่อตื่นขึ้นมา ก็ค้นพบว่าตัวเองได้กลับมาอายุ 18 ปี อีกครั้ง น่าจะประมาณนี้ล่ะมั้ง”
“นี่มันเป็นเรื่องแปลกจริงๆ เราขอเดาว่าเสี่ยวเหมียวจะต้องสนใจพล็อตเรื่องแบบนี้แน่ๆ”
“นั่นสินะ ก็เธอเป็นนักเขียนนี่นา”
“ … ”
สองตาของลอร่าค่อยๆหุบลง และผล็อยหลับไป
กู่ฉิงซานเฝ้ารออย่างเงียบๆ
เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ
สักพักก็เห็นแค่เพียงลอร่าที่เริ่มร้องไห้ขึ้นมา ส่งเสียงสะอื้นในความฝัน
“ท่านแม่ .. หนูคิดถึงท่าน .. ”
แล้วเธอก็เริ่มพลิกตัวไปมาด้วยความกระสับกระส่าย
กู่ฉิงซานมองฉากนี้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบธูปหอมขึ้นมาแล้วจุดมัน
นี่คือสิ่งที่ฉินเซี่ยวโหลวบรรจงสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน มันไม่เพียงทำให้ผู้คนหลับไหลลงอย่างรวดเร็ว แต่ยังช่วยปลอบประโลมจิตเทวะไปในตัวอีกด้วย
ควันสีฟ้าจากธูปลอยฟุ้งไปทั่ว แทรกกลิ่นหอมจางๆไปในชั้นอากาศ
ไม่นานนัก ลมหายใจของลอร่าก็กลับมาสงบและสม่ำเสมอ การแสดงออกทางสีหน้าของเธอผ่อนคลายลง
กู่ฉิงซานเฝ้ามองเธอ แล้วค่อยๆคลายใจลง
“น่าจะโอเคแล้ว” เขากล่าวเสียงกระซิบ
ทันใดนั้นดาบยาวที่สาดแสงคล้ายหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงก็ปรากฏขึ้นจากในความว่างเปล่า
ดาบยาวหมุวนอย่างเงียบๆ และเปลี่ยนร่างตนกลายเป็นผู้หญิงในชุดคลุมฟ้า
“นายน้อย ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
“อืม คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
กู่ฉิงซานลุกขึ้นจากฟูก และมอบตำแหน่งเดิมของเขาให้แก่ฉานนู่
“นายน้อย ถ้าท่านจะสู้ .. ” ฉานนู่กล่าวด้วยความกังวลเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรหรอก ข้ายังมีดาบพิภพกับเช่าหยินอยู่ เอาไว้ถ้าสถานการณ์ไม่สู้ดี ข้าจะเรียกเจ้าก็แล้วกัน”
“แต่นั่น-”
“วางใจเถอะ เจ้าก็ตระหนักดีนี่ ว่าท่าร่างของข้ายอดเยี่ยมเพียงใด หากคิดหนี ย่อมสามารถทำได้อย่างง่ายดาย”
“เจ้าค่ะ”
ฉานนู่พอได้ฟัง จึงค่อยคลายใจลงเล็กน้อย
เธอเริ่มใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต และเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ตนให้กลายเป็นกู่ฉิงซาน
ฉานนู่กลายเป็นกู่ฉิงซาน นั่งลงบนฟูกและคอยเฝ้ามองลอร่า
ขณะที่กู่ฉิงซานตัวจริงพร้อมที่จะจากไปแล้ว
ม้าทมิฬจ้องมองฉากที่เกิดขึ้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
กู่ฉิงซานลูบหัวของมันและกล่าว “สถานการณ์นี้ค่อนข้างพิเศษ เจ้าเองพักอยู่ที่นี่เถอะ”
ม้าทมิฬพยักหน้า “ท่านจะไปสู้งั้นหรือ? ระมัดระวังตัวด้วยก็แล้วกัน”
กู่ฉิงซานยิ้ม และพุ่งออกจากค่ายกลไป
สายลมยามค่ำคืนปะทะกายต้อนรับเขา กู่ฉิงซานกระโจนข้ามบ่อเลือด วิ่งไปตามท้องถนนที่เต็มไปด้วยร่างศพ มุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าตลอดเส้นทาง
ซึ่งนี่แตกต่างจากตอนที่เขามากับลอร่า กู่ฉิงซานในเวลานี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่ต้องมาคอยกังวล เมื่อเขาเดินทางเพียงลำพัง
ทั้งคนทั้งร่างของเขาราวกับสายฟ้าฟาด วูบวาบผ่านเมืองที่นิ่งงันไปด้วยความตายด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
ดาบพิภพและเช่าหยินตามติดเขาอย่างใกล้ชิด และบินไปข้างหน้าด้วยกัน
วี้ดดดด!
วู้วววว!
ฮี่ฮี่!
วู้มมมมมม!
เบื้องหน้า บังเกิดเสียงร้องแปลกๆนับไม่ถ้วนดังขึ้น ทั้งเสียงโกรธ เสียงหัวเราะ เสียงตื่นตระหนก หรือเสียงที่ฟังดูบ้าคลั่ง ดังขึ้นมาพร้อมกันในคราเดียว
กู่ฉิงซานหยุด และทิ้งตัวลงมาจากฟากฟ้า
ตำแหน่งนี้ อยู่ใกล้กับใจกลางเมืองมาก
โซนข้างหน้า คงจะเป็นจุดที่เข้าสู่พื้นที่ต่อสู้!
ภายในจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน พื้นที่แห่งนั้นคือนรก มันคือทุ่งสังหาร เป็นสถานที่อันน่าขนหัวลุก
หากคนทั่วไปได้ย่างกรายเข้าสู่สถานที่ดังกล่าว เกรงว่าต่อจากนี้ไป ก็คงจะมีภาพความทรงจำสยองเกล้าที่มิอาจลบเลือนได้ติดตัวไปชั่วชีวิตของเขา
กู่ฉิงซานถอนหายใจ ปากเอ่ยพึมพำ “ผล็อยหลับไปก็ดีแล้ว เพราะภาพต่อจากนี้ไป มันไม่ใช่สิ่งที่เด็กๆสมควรจะดู”
ว่าจบ หนึ่งมือก็คว้าจับดาบพิภพ ขณะที่สองเท้าก้าวเดินตรงไปยังเบื้องหน้าอย่างช้าๆ ..
Ep.561 – การแตกตัวของผีแห่งความอลหม่าน
“คนเหล่านี้ .. ตายกันหมดเลยหรือ?”
ลอร่าเอ่ยถามด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
กู่ฉิงซานมองไปยังเหล่าศพที่ยังคงอยู่ในกริยานิ่งงันราวกับตายไปโดยไม่รู้ตัว ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัย
เขาสัมผัสได้ว่าร่างน้อยๆบนไหล่กำลังสั่นไหว ตนจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “รูปลักษณ์พวกเขาเกือบจะเหมือนกับกระหม่อมเลย ต่างกันก็ตรงที่สีผิวเท่านั้นเอง”
“แน่นอนอยู่แล้ว ก็เทพบรรพกาลน่ะมักจะสร้างอารยธรรมขึ้นมาโดยอ้างอิงจากลักษณะของตนเอง ดังนั้นในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น รูปลักษณ์ของมนุษย์จึงเป็นที่เคารพและมักจะนิยมแปลงกายกันเป็นอย่างมากนั่นเอง” ลอร่าอธิบาย เธอถูกดึงดูดโดยหัวข้อใหม่จริงๆ
“เช่นนั้นแล้ว รูปลักษณ์ดั้งเดิมของฝ่าบาทเป็นเช่นไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ก็แบบนี้ไง –”
ขณะกล่าว จู่ๆก็ปรากฏคู่ปีกสีเขียวเข้มออกมาจากหลังของเธอ
“สีเขียวเข้มนี้เป็นที่นิยมกันมาก ในปีที่วิหคหนามแต่ละตนได้รับการฉลองขึ้นเป็นผู้ใหญ่ พอเราอายุสิบสองปี เราก็เลยย้อมมัน — ซึ่งอันที่จริงแล้ว สีปีกเดิมของเราคือสีเขียวโปร่งใส” เธอตอบ
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยปากถาม “แต่ทั้งสองมันก็มีสีเขียวเหมือนกันมิใช่หรือ แล้วมันแตกต่างกันอย่างไร?”
“ … ไม่ละเอียดอ่อนเอาเสียเลย เราไม่อยากจะคุยเรื่องนี้กับเจ้าแล้ว”
ลอร่าหุบปีกของเธอ และเก็บมันกลับคืน
ถึงจะถูกด่าแต่ก็นับว่าได้ผล เพราะความหวาดกลัวของเธอ ดูเหมือนจะลดน้อยลงไปมากแล้ว
“ข้าคิดว่า — ” ม้าทมิฬสูดหายใจลึก ฝีเท้าของมันหยุดลงอย่างกระทันหัน
ความสนใจของกู่ฉิงซานกับลอร่าก็ถูกดึงดูดไปในเวลาเดียวกัน
“เหตุใดนับตั้งแต่ที่พวกท่านเรียกข้ามา จึงพานพบแต่สถานการณ์อันตรายเต็มไปหมด ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ข้ายังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศร้ายแรง อย่างไรก็ตาม บรรยากาศร้ายแรงกลับหายไปแล้ว … ”ม้าเอ่ยถาม
“ในความเป็นจริง ระหว่างการเดินทางมายังที่นี่ ตัวเราเองก็เฉียดตายอยู่หลายครั้ง แต่ในที่สุดก็สามารถเอาชีวิตรอดมาได้”
ลอร่าวางมือของเธอลงบนไหล่ของกู่ฉิงซานและกล่าวต่อ
“—เราเองก็เหมือนกับเจ้า สับสนอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อร่วมเดินทางไปกับเขา รู้สึกตัวอีกที ก็มาถึงที่นี่แล้ว”
“หากเขาไม่สามารถช่วยท่านได้ล่ะ?” ม้าทมิฬเอ่ยถาม
“เช่นนั้นเราคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากความตาย” ลอร่ากล่าว
กู่ฉิงซานเมื่อเห็นว่าลอร่าถูกดึงดูดโดยเรื่องอื่นจนหายหวาดกลัวแล้ว เขาก็เบนความสนใจไปยังศพเหล่านั้น
และคิดว่าตนเองสมควรที่จะตรวจสอบมัน
กู่ฉิงซานเอี้ยวตัวจากหลังม้า แล้วตบฝ่ามือตนลงบนหน้าผากของศพร่างสูงที่อยู่ใกล้ๆอย่างแผ่วเบา
พลังวิญญาณจากทั้งร่างกายถูกกระตุ้น มันกวาดเข้าไปสำรวจในศพของอีกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม เขากลับพบว่าอวัยวะของศพยังอยู่ในสภาพดี และไม่มีอาการบาดเจ็บภายในใดๆเลย
ศพนี้ยังคงอบอุ่นอยู่ด้วยซ้ำ
ดูเหมือนว่าพึ่งจะตายลงเมื่อไม่นานมานี้เอง
ถ้าเป็นอย่างงั้นล่ะก็ …
หมายความว่านี่เป็นการโจมตีเข้าใส่จิตเทวะโดยตรงใช่หรือไม่?
หากเป็นในกรณีนี้ มันอาจจะเกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ของพวกภูติผีก็เป็นได้
“ว่าแต่พวกผีแห่งความอลหม่านมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ท่านพ่อของเรารู้ ครั้งหนึ่งเราเคยถามท่าน แต่หลังจากถามแล้วท่านก็กินอะไรไม่ลงไปทั้งวันเลย เราจึงไม่คิดจะถามอีก” ลอร่ากล่าว
กู่ฉิงซานมองไปยังดาบพิภพ
ดาบพิภพตอบเขา “มันคือการผสมกันระหว่างผีหลากหลายชนิด เจ้าก็ลองจินตนาการเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูเองก็แล้วกัน ข้าไม่ต้องการจะพูดถึงกระบวนการของมันอีกต่อไป”
“ก็ได้ๆ ถ้าอย่างงั้นขอเปลี่ยนคำถาม ว่าหลังจากที่ผีแห่งความอลหม่านตายลง พวกมันจะหายไปโดยสมบูรณ์เลยไหม? เจ้าน่าจะรู้นะ เพราะอย่างในเรื่องที่ว่ามันถูกสังเคราะห์มาจากผีหลากหลายชนิดผสมกันเจ้ายังรู้เลย” กู่ฉิงซานถามอีกครั้ง
“สำหรับเรื่องนี้ข้าเองก็ไม่กระจ่างนัก เพราะมันแทบจะไม่มีใครเคยสังหารผีแห่งความอลหม่านได้มาก่อนเลย” ดาบพิภพกล่าว
“ใช่ เพราะฉะนั้นคงไม่มีใครรู้คำตอบที่ว่านั่นหรอก” ลอร่าเสริม
กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงฉากที่เขาสังหารผีแห่งความอลหม่านลง
มันถูกรังสีดาบตัดออกเป็นชิ้นๆ และหายไปอย่างสมบูรณ์ ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ
ทว่าทุกคนที่นี่ ทั้งหมดกลับเสียชีวิตโดยการถูกโจมตีจิตเทวะ
และพวกภูติผีน่ะ มักจะเชี่ยวชาญในการโจมตีจิตเทวะมากเป็นพิเศษ-
ดังนั้นสถานการณ์ตรงหน้านี้ มันอาจจะหมายความว่า …
มีผีตนใหม่เกิดขึ้นมาจากร่างที่แตกสลายของผีแห่งความอลหม่านใช่รึเปล่านะ?
หรือว่ายังมีผีตนอื่นๆที่สามารถบุกโจมตีโลกใบนี้ได้อีกกันแน่?
ไม่น่าใช่ เพราะโลกใบนี้มีกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพคอยขัดขวางอยู่ มันสมควรที่จะหนาแน่นและทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่ต้นกำเนิดจะสามารถคิดหาวิธีจัดการกับกำแพงอุปสรรคนี้ลงได้
ภูติผีอย่างงั้นหรือ ….
พอคิดมาถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็กระตุ้นพลังวิญญาณปกคลุมทั้งร่างกาย และระเบิดกำลังรบออกมาเต็มทั้งสิบส่วนในทันใด
เขาเป็นผู้ที่สามารถปลดผนึกธาตุสายฟ้าซึ่งอยู่ในห้าธาตุจำเพาะได้ ดังนั้นเมื่ออยู่ในสภาวะพร้อมรบ ตลอดทั้งร่างของตนจึงถูกห่อหุ้มไปด้วยชั้นแสงสีน้ำเงินขาวทันที
นี่คือแก่นแท้พลังวิญญาณของธาตุ หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกกันว่า ‘ทัณฑ์ปีศาจ’ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อเหล่าสิ่งชั่วร้าย!
“นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร?” ลอร่าตกใจ
“พวกภูติผีน่ะ โดยเนื้อแท้แล้วมันกลัวสายฟ้า และกระหม่อมต้องการที่จะตรวจสอบสถานการณ์ดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
มองไปยังกู่ฉิงซานที่ตะคอกคำหนึ่ง “จงกระจายตัวออกไป!”
ดาบเช่าหยิน ดาบพิภพ และดาบขุนเขาเทวะหกโลกา กระจายตัวออกเป็นสามทิศทาง และหายไปในทันที
สามดาบบินไปอย่างรวดเร็วในความว่างเปล่า
พวกมันตีวงไปบริเวณโดยรอบ ขณะเดียวกันก็ทยอยกันปลดปล่อยเทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา ออกมาอย่างต่อเนื่อง
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง จู่ๆเสียงระเบิดดังสนั่นของปราณดาบก็ปะทุออกมา
ร่างเงาดาบสีดำอันไร้ที่สิ้นสุดกำลังผลิดอกดั่งบัวบานสะพรั่งในอากาศ
สถานที่ใดก็ตามที่ดาบบินพุ่งผ่านไป พื้นที่โดยรอบของมันจะถูกเติมเต็มไปด้วยรังสีดาบทันที
กู่ฉิงซานเริ่มขับเคลื่อนสายฟ้าอย่างเงียบๆ ปลดปล่อยเทคนิคดาบออกไปอีกครั้ง!
คราวนี้ร่างเงาดาบสีดำที่ผลิบาน พลันถูกห่อหุ้มปกคลุมไปด้วยสีน้ำเงินขาวอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้า พื้นที่ทั้งหมดที่ดาบบินพุ่งผ่านก็ถูกปกคลุมไปด้วยรังสีดาบสายฟ้าโดยสมบูรณ์!
สายฟ้าแผ่ขยายตัว สาดแสงระยับ ขับไล่ความมืดมิดออกจากผืนดิน
ช่วงเวลาหนึ่ง ตลอดทั้งใจกลางเมืองก็สว่างไสวไม่แตกต่างจากกลางวัน
ผ่านไปสักพัก จู่ๆร่างศพตนหนึ่งที่นิ่งงันอยู่บนพื้นดินก็เริ่มกระติกไหว
และกู่ฉิงซานก็สามารถสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยนั้นได้อย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาสาดประกายคมกล้าขึ้นทันที
พร้อมกันกับเสียงสายฟ้าฟาด! ดาบพิภพจะโฉบเข้ามา และสะบั้นสับดาบสายฟ้าลงไปทันที
ขณะที่ดาบเช่าหยินโคจรรอบร่างศพ เวียนวนตัดอากาศโดยรอบจนกลายเป็นเส้นแสงสายฟ้าอันงดงาม
ส่วนดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็คอยสนับสนุนทั้งสอง
สามดาบร่วมมือกัน ก่อร่างกับดักกรงสายฟ้าขึ้นมา และปกคลุมรอบตัวศพโดยสมบูรณ์
ภายในกับดักกรงสายฟ้า ร่างศพเริ่มเคลื่อนไหวฉับพลัน
เงามืดขนาดใหญ่บินออกจากศพ และปะทะเข้ากับดาบสายฟ้า
เปรี๊ยะ! ซี่ ซี่ ซี่!
รังสีดาบที่เวียนวน ตัดเฉือนลงบนตัวของเงามืดจนเกิดควันสีขาวคลุ้งลอยออกมา
เงามืดกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
–มันเป็นผีจริงๆด้วย!
มีเพียงผีเท่านั้ที่จะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงหากสัมผัสโดนกับพลังธาตุสายฟ้า!
กู่ฉิงซานเริ่มมั่นใจในการคาดเดาของเขามากขึ้น
เห็นแค่เพียงเงามืดที่ดีดตัวกลับ และเดินวนไปมาด้วยความกระวนกระวายภายใต้กับดักกรงสายฟ้า
กู่ฉิงซานเพ่งสำรวจมันอย่างระมัดระวัง และพบว่าเงามืดตนนี้ ประกอบไปด้วยเงามืดหลากหลายตัวที่มีรูปร่างแตกต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดกลับซ้อนทับๆลงในร่างเดียวกันอย่างน่าฉงน
ฉานนู่ปรากฏกายขึ้น แล้วหันไปพูดกับกู่ฉิงซาน “นายน้อย นี่คือมอนสเตอร์จากในปรภพ มันคือร่างที่ควบรวม ผีร้ายกลืนวิญญาณทั้ง 13 ชนิดเข้าด้วยกัน พวกมันมักจะกัดกินจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตเป็นอาหาร”
“ทำไมในปรภพถึงมีสิ่งที่น่ากลัวแบบนี้อยู่? ครั้งก่อนที่ข้าไปไม่เห็นจะเจอมันเลย” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“คราก่อนที่ท่านไป หอกหลากสีได้สังหารทุกสิ่งในปรภพไปจนสิ้นแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่ท่านจะไม่ได้เห็นมัน”
“แล้วเราพอจะสามารถสื่อสารกับพวกมันได้ไหม?” กู่ฉิงซานถาม
“ไม่ได้ พวกมันได้สูญเสียจิตนึกคิดไปแล้ว พวกมันรู้จักเพียงแต่การฆ่าเท่านั้น” ฉานนู่ส่ายหัว
“พวกมันเป็นผลที่เกิดมาจากการแตกตัวของผีแห่งความอลหม่านใช่รึเปล่า?”
“มีความเป็นไปได้ แต่หากเป็นในกรณีนั้นแล้วล่ะก็ … ”
ใบหน้าของฉานนู่เริ่มเปลี่ยนเป็นซีดขาว
กู่ฉิงซานตระหนักได้อย่างรวดเร็ว เขาเร่งเอ่ยถามดาบพิภพ “ผีแห่งความอลหม่านเกิดจากการผสานรวมของภูติผีหลากหลายชนิดใช่หรือไม่ แล้วภายในตัวมันมีภูติผีอยู่กี่ชนิดกัน?”
ดาบพิภพกล่าว “ในนรกมี 808 ผีนักรบ และอีก 1600 สัตว์ประหลาดผีร้าย มีหลากชนิดมากที่ผสมกันในตัวของผีแห่งความอลหม่าน ไม่อาจคาดคำนวณอย่างแม่นยำได้ ทว่าที่แน่ๆคือไม่น้อยกว่าครึ่งของที่กล่าวมา มิฉะนั้นกระบนการสังเคราะห์ผีแห่งความอลหม่านคงไม่มีทางสำเร็จ”
หัวในของกู่ฉิงซานหม่นทะมึนลง
หากสันนิษฐานตามที่กล่าวอ้างอิงมา นั่นหมายความว่าภายในร่างของผีแห่งความอลหม่าน … อย่างน้อยก็ต้องมีผีร้ายกว่า 1204 ตนอยู่ในตัว!
“เมื่อกี้นี้ฉันสังหารผีแห่งความอลหม่านไปทั้งหมด 11 ตัว … ”
เขาบ่นพึมพำ
หากผีแห่งความอลหม่านทั้งหมดที่ถูกสังหารไป แตกตัวกองทัพผีร้ายในร่างมันได้แล้วล่ะก็ ในสถานการณ์แบบนี้ …
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ลอร่าก็ลองโน้มตัวลง ลองเงี่ยหูฟัง และร่างกายของเธอก็สั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมได้
เพราะดูเหมือนว่าจะมีเสียงแปลกๆดังอยู่บริเวณมุมถนนตรงหน้า
“พวกเราคงต้องพักการสนทนากันเอาไว้ก่อนชั่วคราว”
กู่ฉิงซานวางลอร่าบนหลังม้า และพลิกตัวลงไป
เขาโบกมือในทันใด สามดาบพลันระเบิดกระโจมตีอย่างรุนแรง สังหารผีร้ายกลืนวิญญาณทั้ง 13 ชนิดที่ซ้อนทับกันลงทันที
สามดาบบินกลับมา และแขวนอยู่ในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขาอย่างเงียบๆ
“กระหม่อมจะออกไปสำรวจดู ขอฝ่าบาทเฝ้ารออยู่ที่นี่” เขาพูดกับลอร่า และหันไปส่งสัญญาณให้ม้าทมิฬ
ลอร่าหันไปมองรอบๆ
นอกเหนือไปจากกู่ฉิงซานและเธอ ก็ไม่มีใครที่ยังมีชีวิตอยู่อีกเลย แถมไม่ใกล้ไม่ไกลก็ยังเต็มไปด้วยซากศพมากมาย
และศพเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ในกริยาเคลื่อนไหวก่อนตาย อยู่ในท่วงท่ากิจวัตรช่วงที่พวกเขายังคงมีชีวิตอยู่
การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาแม้จะดูเรียบเฉย แต่หากสังเกตดีๆจะพบว่ามันดูเจ็บปวดยิ่ง คล้ายกับจู่ๆก็พบเจอกับอาการหวาดกลัวสุดขีด
เป็นความเงียบงันแห่งความตาย
ท่ามกลางความมืดมิด มันเงียบชนิดตลอดทั้งเมืองได้ตายไปแล้ว
สายลมเย็นพัดหวิว
ถ้าหากผีแห่งความอลหม่านแตกตัวผีร้ายนับไม่ถ้วนออกไปจริงๆ …
ลอร่าเพียงแค่คิด ตัวของเธอก็สั่นกลัว ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป
“กู่ฉิงซาน เรากลัว” ลอร่าเริ่มจะร้องไห้
“ไม่ต้องวิตกไป กระหม่อมแค่แวะออกไปดู และจะรีบกลับมาทันที” กู่ฉิงซานกล่าว
แต่ลอร่ากลับน้ำตาเริ่มไหล ซู้ดน้ำมูกที่ไหลออกมาจากจมูกของเธอ “เรากลัวจริงๆนะ”
กู่ฉิงซานจึงต้องเดินกลับมา และวางเธอลงบนไหล่ของเขาอีกครั้ง
“สบายใจรึยัง?” เขาถาม
ลอร่าพยักหน้าอย่างแรง
“ฉันจะไปตรวจสอบกับเธอ ส่วนเจ้าก็รออยู่ที่นี่นะ เข้าใจไหม” กู่ฉิงซานหันไปพูดกับม้าทมิฬ
แล้วเขาก็พาลอร่าตรงไปข้างหน้า
ม้าทมิฬจ้องมองแผ่นหลังของทั้งสอง ก่อนจะหันไปมองสำรวจรอบๆ
ทางด้านขวาของมัน อยู่ห่างออกไปราวๆสามสิบเมตร เป็นร่างศพที่กำลังจ้องมองมาพอดิบพอดี ภายในดวงตาของศพเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่ามุมปากของศพจะยกสูงขึ้นเล็กน้อย
หือ? เจ้าศพนั่นมันกำลังยิ้มอยู่งั้นรึ?
ม้าทมิฬเบิกตากว้าง เพ่งมองไปอย่างรอบคอบ แต่ก็พบว่าสีหน้าของร่างศพมีเพียงความหวาดกลัว และสิ้นหวัง มิได้เผยออกมาถึงรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย
ม้าทมิฬเงียบไปและถอนหายใจ “พวกเจ้าคิดว่าม้ากลัวไม่เป็นกันรึไง?”
ว่าจบ มันก็เร่งร้อนตามกู่ฉิงซานกับลอร่าไปอย่างรวดเร็ว
Ep.560 – ดาราจรัสเทพสงคราม
กู่ฉิงซานกวาดสายตาลงบนหน้าต่างเทพสงคราม
หากระบบเทพสงครามมิได้กล่าวถึงมัน เขาก็คงจะลืมเลือนไปแล้ว
มองไปยังบรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กที่ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องบนหน้าต่าง
“ภารกิจสมญาพิเศษของคุณ เสร็จสมบูรณ์!”
“คุณได้รับสมญาใหม่”
“โปรดทราบ ว่าคุณสามารถสวมใส่สมญาได้เพียงแค่ครั้งละหนึ่งสมญาเท่านั้น”
“สมญาพิเศษ : ‘ดาราจรัสเทพสงคราม’ ”
“คำอธิบาย : คุณได้ทำการสังหารอสูรกายที่แข็งแกร่งด้วยพลังที่อ่อนแอ นี่เป็นความสำเร็จอันน่าเหลือเชื่อ! คุณโดดเด่นยิ่งกว่าดวงดาราบนฟากฟ้า ขณะที่ศัตรูปรารถนาที่จะสังหารคุณ พวกเขาปรารถนาที่จะใช้หัวคุณเป็นหินรองเท้า เหยียบย่ำเพื่อก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จอันรุ่งโรจน์ของพวกเขา”
‘ไอ้คำอธิบายนี่ … มันอยากมีปัญหากับฉันอย่างงั้นหรอ?’
กู่ฉิงซานอ่านมัน เกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นในจิตใจของเขา
ตามมาด้วยตัวอักษรอื่นที่เด้งขึ้นมา และเขาก็มองลงไป
“เมื่อสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ : พิชิต”
“พิชิต : เมื่อคุณใช้สกิลนี้กับศัตรูที่เป็นเป้าหมาย พวกมันทั้งหมดจะโจมตีคุณด้วยเหตุผลบางประการ”
“คำอธิบาย : สกิลนี้เป็นวิชาลี้ลับ เป็นสกิลกฏแห่งการกระทำ(กรรม) และมันไม่สามารถหลบเลี่ยงได้”
“คำอธิบาย : จะพิชิตหรือเป็นฝ่ายถูกพิชิต นั่นแหละปัญหา”
กู่ฉิงซานอ่านมันอย่างละเอียด และจมลงสู่ห้วงความคิด
จากคำอธิบาย ตรงส่วนที่ว่าสกิลนี้มันไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ นับว่าเป็นอะไรที่ทรงพลังมากทีเดียว
แต่ความสามารถของไอ้สกิลนี้มันอะไรกัน?
ถ้าฉันใช้มัน นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะกลายเป็นคนเสนอตัวเองให้ศัตรูเข้ามาโจมตีหรอกหรือ?
กู่ฉิงซานลองนึกภาพว่าตนใช้สกิลนี้ในการต่อสู้อย่างเงียบๆ
อ่า มอนสเตอร์กำลังโจมตีฉัน แล้วฉันก็ใช้ความสามารถของสกิลนี้ จากนั้นมอนสเตอร์ตัวอื่นๆก็มาร่วมรุมทึ้งฉันพร้อมๆกัน สู้ลำบากยิ่งกว่าเดิมงี้หรอ?
ไม่สิ อาจจะเป็นอีกในรูปแบบนึงก็ได้
อ่า อย่างเช่นว่า มอนสเตอร์กำลังโจมตีฉัน แล้วฉันก็ใช้ความสามารถของสกิลนี้ จากนั้นมอนสเตอร์ก็จะไม่ไปโจมตีคนอื่นๆ แล้วมุ่งเป้ามาที่ฉันแทน
คล้ายกับพวกสกิลยั่วยุที่เรียกมอนมารวมกันเยอะๆในเกมรึเปล่านะ?
… แล้วมันจะได้ผลรึเปล่า?
กู่ฉิงซานมองไปยังลอร่า
มองมายังกู่ฉิงซานที่หยุดฝีเท้าลง ลอร่าก็เริ่มเกิดความสงสัย
เธอเอ่ยถาม “หืม? พวกเราจะมาหยุดยืนอยู่ที่นี่ทำไมกัน หรือเจ้าสัมผัสได้ว่ามีอะไรอยู่ใกล้บริเวณนี้อย่างงั้นหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ แล้วพวกเรากำลังจะไปที่นั่นเพื่อรวบรวมข้อมูลบางอย่าง”
ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ล็อคสมญาตนเองเป็น ‘ดาราจรัสเทพสงคราม’
–จะมัวคิดเกี่ยวกับมันให้เสียเวลาไปทำไม? ทดลองใช้สมญานี้กับลอร่าดูเลยก็แล้วกัน
เพี๊ยะ!
ลอร่าตบฉาดลงบนใบหน้าของกู่ฉิงซานโดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ
กู่ฉิงซานตัวแข็งค้าง
ขณะเดียวกันลอร่าก็ตะลึงงัน
ทั้งสองมองหน้ากันและกัน
กู่ฉิงซานจ้องลอร่า “ท่านไม่คิดจะอธิบายถึงเหตุผลหน่อยหรอ?”
ลอร่ายกสองไม้สองมือขึ้นโบกไปมาอย่างร้อนรน เร่งกล่าวอธิบาย “เมื่อครู่เราเหมือนกับว่าจะเห็นแมลงตัวเล็กๆติดอยู่บนใบหน้าของเจ้าน่ะ เราเลยอดไม่ได้ที่จะช่วยปัดมันออกให้”
แมลงงั้นหรอ?
มันจะไปมีแมลงอยู่บนหน้าฉัน โดยที่ฉันไม่รู้ตัวได้อย่างไร?
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างหมดหนทาง “งั้น ฝ่าบาทก็ตบแมลงตัวนั้นพลาดแล้วมาโดนกระหม่อมใช่หรือไม่?”
“แหะ แหะ แหะ … เราต้องขอโทษจริงๆ ดูเหมือนว่าดวงตาของเราจะฝ้าฟางไปน่ะ จริงๆแล้วมันไม่มีแมลงหรอก”
ลอร่ารู้สึกเขินอาย และรีบขอโทษด้วยรอยยิ้มทันที
เมื่อถูกสาวน้อยขอโทษแล้ว กู่ฉิงซานจะไปเอาผิดอะไรได้อีกล่ะ?
อีกอย่าง นี่มันเป็นสกิลที่เขาเป็นคนใช้งานเองนะ
เขาเลยโกรธไม่ลง และตอบรับไป “ไม่เป็นไรหรอก แต่คราวหน้าก็ดูให้ชัดๆก่อน แล้วค่อยลงมือนะ”
… ชื่อก็ออกจะเท่ แต่ช่างเป็นสกิลที่น่าเศร้าโดยแท้
ใช่ มันย่อมเป็นสกิลแห่งการกระทำ(กรรม)อย่างแน่นอน และยังเป็นประเภทลี้ลับอีกด้วย
ตามที่เขียนเอาไว้ในคำอธิบาย ไม่ว่าอย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็จะมุ่งมาโจมตีเขาด้วยเหตุผลบางประการ
แต่ผลลัพธ์ของสกิลนี้ ดูจะไม่เหมือนกับสิ่งที่กู่ฉิงซานคาดหวังเอาไว้
กู่ฉิงซานปลดสมญา ‘ดาราจรัสเทพสงคราม’ ออกไปอย่างเงียบๆ และตัดสินใจปิดผนึกมันเอาไว้ชั่วคราว
ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนสมญาเป็น ‘นายพลชั้นโหยวจี’ ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการโจมตี
อ่า … ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
“เราขอโทษนะ ปกติเราไม่เคยหุนหันพลันแล่นเช่นนี้มาก่อนเลย นี่มันน่าแปลกจริงๆ” เมื่อคิดถึงการกระทำเมื่อครู่ของตน ลอร่าก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย
“ไม่เป็นไรหรอก”
กู่ฉิงซานตอบปัดไป เพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีก
ลอร่าจึงเร่งแก้สถานการณ์ “ถ้าเดินไปตลอดทางเจ้าคงเหนื่อย งั้นพวกเรามาขี่ม้ากันดีกว่า”
“เรียกมันมาจะไม่เป็นอะไรหรือ?”
ไม่รีรอตอบคำถาม ลอร่าก็หยิบนกหวีดจากแดนชำระล้างขึ้นมาและเป่ามัน
ม้าทมิฬปรากฏตัวขึ้นในความว่างเปล่าเบื้องหน้าทั้งสองทันที
“ท่านทั้งสองกำลังเร่งรีบ หรือว่าอยากชมทิวทัศน์?” ม้าทมิฬเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา “ในโลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพบรรพกาลใบนี้ยังมีกำแพงอุปสรรคอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วเจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
“ตามกฏการอัญเชิญมาตราที่ 5 ข้อที่ 3 ” ม้าทมิฬตอบ
มันมองไปยังกู่ฉิงซานราวกับกำลังมองคนบ้านนอกอยู่
ลอร่าอธิบาย “คือมันเป็นอย่างนี้นะ เพราะไอเท็มเรียกขานหรืออัญเชิญอยู่ในโลกใบนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการยอมรับจากกฏเกณฑ์ของโลกใบนี้ไปโดยปริยาย แตกต่างจากผู้มาเยือนที่ต้องเข้ามาจากภายนอกโดยตรงน่ะ”
“หรือในอีกความหมายนึงก็คือ หากเราอยู่ในโลกใบนี้อยู่ก่อนแล้ว และปล่อยให้เจ้ามา เจ้าก็สามารถมาได้ แต่หากเราไม่ยินดีปล่อยให้เจ้าเข้ามา กำแพงอุปสรรคก็จะทำงานโดยอัตโนมัติ มันจะรับรู้ว่าเจ้าผู้บุกรุกของโลก และโจมตีทันที แบบนี้งงไหม?”
“ไม่นะ กระหม่อมเข้าใจแล้ว”
กู่ฉิงซานขึ้นไปบนหลังม้า ก่อนจะยกลอร่าขึ้นมาบนไหล่เขา และหันไปมองรอบๆ
ข้างหน้าเป็นที่ราบลุ่ม ไม่มีอะไรอยู่เลย
ส่วนเบื้องหลังของพวกเขา เป็นเมือง
ที่นี่มันค่อนข้างห่างไกล แต่ที่กู่ฉิงซานเลือกตรงจุดนี้ ก็เพื่อให้แน่ใจมันจะใช้หลบซ่อนตัวได้ดี
แต่ตอนนี้การต่อสู้ดันเริ่มขึ้นแล้ว ดังนั้นเขาเลยไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีกต่อไป
“ท่านทั้งสองกำลังเร่งรีบ หรือว่าอยากชมทิวทัศน์?” ม้าทมิฬเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง
กู่ฉิงซานจึงจำต้องอธิบายมันด้วยเหตุผล “มันไม่ใช่การเดินชมทิวทัศน์หรือว่าเร่งรีบนะเข้าใจไหม ความจริงแล้วพวกเราต้องการสำรวจโลกที่ไม่รู้จักใบนี้น่ะ และมันอาจเกิดอันตรายบางอย่างขึ้นได้ตลอดเวลาอีกด้วย”
ม้าทมิฬพยักหน้าและกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อตอบรับ มันก็วิ่งเหยาะๆ มุ่งสู่เมืองไปตามถนนสีฟ้าอย่างเงียบๆ
ท่ามกลางความมืดมิดตลอดเส้นทาง ม้าทมิฬเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ
กู่ฉิงซานที่รู้สึกได้ถึงความเงียบจึงเกิดความสงสัย เลยก้มลงมองจากบนหลังม้า
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่สี่กีบของม้าทมิฬถูกผูกติดกับเบาะรองเท้าแผ่นหนา
–นี่เองสินะ คือเหตุผลที่มันไม่มีเสียงอะไรออกมาเลยขณะกำลังวิ่ง
“เป้าหมายของข้าคือใจกลางเมือง ท่านทั้งสองมีความคิดเห็นเช่นไร?” ม้าทมิฬเอ่ยถาม
“ไม่ขัดข้อง คงต้องรบกวนแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
ม้าทมิฬควบกีบเท้าของตน และเร่งความเร็วขึ้นบนถนนใหญ่
ระหว่างเส้นทาง ฉากแปลกๆก็เริ่มปรากฏขึ้นต่อหน้าทั้งสอง
เวลานี้ กู่ฉิงซานกับลอร่าได้ตระหนักถึงเอกลักษณ์ของโลกใบนี้ได้ในที่สุด
ผืนดินของโลกใบนี้น่ะเป็นสีเขียว ขณะที่สีฟ้าจะมีเพียงตัวสิ่งปลูกสร้างและท้องถนนเท่านั้น
สิ่งปลูกสร้างเปรียบเสมือนตัวแทนของอารยธรรม มันคล้ายกับกลุ่มปะการังขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ข้างๆถนน
ทว่าภายในสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลย
กู่ฉิงซานลองปลดลป่อยจิตสัมผัสเทวะของเขาแทรกซึมเข้าไปในบ้าน แล้วเขาก็ค้นพบว่ามันเป็นสถานการณ์ที่แปลกประหลาดยิ่ง
ภายในบ้าน มีสามคนกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกันอยู่ ขณะเดียวกันก็มีอีกคน กำลังเดินถือถาดที่วางแก้วน้ำหลายใบเอาไว้ ตรงไปยังทั้งสาม
ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของพวกเขาดูปกติ กระทั่งสีหน้าก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต
แต่พวกเขากลับไม่เคลื่อนไหวเลย
กู่ฉิงซานตรวจสอบอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะเข้าใจในที่สุด
คนในบ้าน … ได้ตายลงไปแล้วเช่นเดียวกันกับเด็กสองคนที่เขาพบก่อนหน้านี้
ตายไปอย่างเงียบๆโดยไม่รู้ตัว
กู่ฉิงซานลองขยายจิตสัมผัสเทวะของเขา และแทรกซึมเข้าไปในสิ่งปลูกสร้างปะการังทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียง
เห็นแค่เพียงภายในปะการังแต่ละหลังเต็มไปด้วยผู้คน
คนเหล่านั้นยังคงดื่มกิน เดิน วิ่ง และพูดคุยกันอยู่
การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาเหมือนจริงมาก ราวกับว่าพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองได้ตายลงไปแล้ว
“กู่ฉิงซาน ทำไมพวกเราถึงไม่พบอะไรเลยล่ะ?” ลอร่าเอ่ยถาม
“อืม .. กระหม่อมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน สงสัยว่าพวกเราคงจะต้องเดินไปใกล้ใจกลางเมืองอีกสักหน่อย” กู่ฉิงซานเลี่ยงตอบตรงๆ
เขาไม่คิดจะพูดความจริงนี้ออกมา เพราะเกรงว่าจะทำให้เด็กสาวตัวน้อยๆคนนี้หวาดกลัว
แต่การปกปิดนี้ก็ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว
ม้าทมิฬยังคงควบวิ่งต่อไปด้วยความเร็วอย่างต่อเนื่องบนท้องถนน
ขณะที่สองข้างทาง เริ่มปรากฏผู้คนที่มีสีผิวฟ้าอ่อนขึ้นประปราย
และคนเหล่านี้เริ่มมีจำนวนมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขาทั้งหมดยังคงอยู่ในกริยาเดิม ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือท่วงท่า ทว่าแท้จริงกลับไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว
Ep.559 – การบุกรุกของต้นกำเนิด
ภายใต้ความมืดมิดยามค่ำคืน
ตลอดทั้งเมืองเงียงสงบ
สองศพกอดกันแน่น
แต่กู่ฉิงซานไม่คิดตรวจสอบศพอีกต่อไป
เขากันลอร่าไว้เบื้องหลัง หยิบดิสก์ค่ายกลออกมา และเริ่มพรมสองมือลงบนมันอย่างรวดเร็ว
ชั้นแสงสวรรค์เรืองรองกระจายเข้าไปในความว่างเปล่า ขณะเดียวกันธาตุสายฟ้าของกู่ฉิงซานก็ถูกบีบเข้าไปในตัวค่ายกล
เมื่อแสงสวรรค์รอบตัวกู่ฉิงซานกับลอร่าปรากฏขึ้นและจางหายไป มอนสเตอร์ที่น่าสะพรึงก็บุกเข้ามา
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น เพ่งสำรวจศีรษะใหญ่โตของมอนสเตอร์อย่างระมัดระวัง ในหัวใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ
“ค่ายกลของผู้ฝึกยุทธที่ผสานไปกับธาตุสายฟ้าของฉัน ไม่สามารถขัดขวางมันได้ … ”
เขาบ่นพึมพำ
ค่ายกลขนาดใหญ่นี้ ประกอบไปด้วย 36 ค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้าย และ 36 ศิลาวิญญาณในการขับเคลื่อน ซึ่งอานุภาพของมัน มากพอแล้วที่จะสังหารวิญญาณร้ายระดับสูงสุดในโลกล่องเวหา
แต่ขณะเดียวกัน แม้ค่ายกลนี้จะร้ายกาจมาก แต่มันก็จำเป็นต้องใช้ศิลาวิญญาณปริมาณมากเกินไป ดังนั้นโดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกยุทธในโลกล่องเวหาจึงไม่เต็มใจที่จะใช้มัน
แต่หากมันถูกเปิดใช้งานแล้วล่ะก็ ไม่ว่าสัตว์ประหลาดผีตนใดคิดย่างกรายเข้ามา มันก็จะถูกทำลาย สลายเป็นควันไปในทันที
ยิ่งไปกว่านั้นค่ายกลดังกล่าวนี้ยังถูกเสริมด้วยสายฟ้าสวรรค์จากทัณฑ์สายฟ้าซึ่งมีเอกลักษณ์ในการกำจัดสิ่งชั่วร้ายโดยเฉพาะ ฉะนั้นแล้วค่ายกลนี้จึงสมควรที่จะรุนแรงขึ้นกว่าเดิมถึงสามเท่า!
กู่ฉิงซานใช้ธาตุสายฟ้าของผู้ฝึกยุทธ ใช้ทัณฑ์ปีศาจของตนเอง ส่งผลให้ค่ายกลที่ว่านี้กลายเป็นค่ายกลที่มีอานุภาพรุนแรงที่สุดในโลกล่องเวหา!
สรุปแล้วค่ายกลที่เขาสร้างขึ้นในครั้งนี้ – นับว่าเป็นค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายที่ร้ายกาจที่สุดในประวัติศาสตร์!
อย่างไรก็ตาม ค่ายกลที่ว่ามานี้ มันกลับไม่สามารถต้านทานสัตว์ประหลาดผีตรงหน้าได้เลย
มองไปยังท่าทีที่ปรากฏของมัน เจ้าผีร้ายดูจะเกลียดชัง 36 ค่ายกลนี้เป็นอย่างมาก เมื่อถูกขัดขวางชั้นแล้วชั้นเล่า มันก็เริ่มคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิม
ในแต่ละการฉีกกัดของมัน ค่ายกลย่อยค่อยๆถูกทำลายลงเรื่อยๆ
คาดว่าอีกไม่นาน 36 ค่ายกลคงจะสิ้นฤทธิ์ลงในที่สุด
“พวกเจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าสัตว์ประหลาดผีตนนี้มันคืออะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
สามดาบปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา
“ฮึมฮัม?” ดายเช่าหยินตอบกลับมาว่าไม่รู้
“มันดูเหมือนบรรดา 808 ผีนักรบ แต่พอได้ลองเพ่งมองอย่างใกล้ชิดดูแล้ว พวกผีนักรบไม่มีตนใดเติบใหญ่ขึ้นมาในลักษณะนี้เลย” ฉานนู่จ้องมองสัตว์ประหลาดผี ส่ายหัวและกล่าว
แต่ดูเหมือนว่าดาบพิภพจะสามารถให้คำตอบแก่เขาได้ “มันคือผีแห่งความอลหม่าน”
“ผีแห่งความอลหม่านคืออะไรกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที
“เรารู้นะ ..” ลอร่ากล่าวด้วยสีหน้าซีดเซียว “มันคืออสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลที่หาได้ยากยิ่ง ความแข็งแกร่งของมันไม่มากเท่าไหร่ แต่มันกลับครอบครองอำนาจที่สามารถเจาะทะลวงได้ทุกสิ่งตั้งแต่ถือกำเนิด ชนิดที่ว่ากระทั่งกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพในสมัยโบราณก็มิอาจขัดขวางมันได้”
“ผีแห่งความอลหม่านก็ดั่งชื่อของมัน มันคือความสับสนวุ่นวาย เป็นตัวตนที่สิ่งมีชีวิตอื่นไม่อาจรับรู้ถึงมันได้ ในกรณีที่มันปรากฏตัวขึ้น ก็ตัดสินได้เลยว่าผลลัพธ์ของสงครามจะจบลงเช่นไร”
“พวกเราไม่สามารถกำจัดมันได้เลยหรือ?” กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว
“จัดการมันไม่ได้ เพราะไม่ว่าสรรพวุธหรือการโจมตีใดๆ มันล้วนสามารถทะลุผ่านได้ ดังนั้นแม้ว่าตัวมันจะไม่แข็งแกร่งอะไรหากเทียบกับปฐมบทแห่งความโกลาหลตนอื่นๆ แต่มันคือสิ่งที่แทบจะไม่สามารถเอาชนะได้ เป็นตัวตนที่เกือบจะอยู่ยงคงกระพัน!”
ถ้ามันสามารถทะลุผ่านการโจมตีทั้งหมดได้ ..
งั้นถ้าหากราชามารวิญญาณมรณะกับผีแห่งความอลหม่านต่อสู้กัน ผีแห่งความอลหม่านก็จะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดน่ะสิใช่ไหม?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็รู้สึกด้านชา ราวกับถูกถังน้ำแข็งเย็นๆราดใส่
มีอสูรกายที่พิเศษแบบนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน!
ลอร่ากล่าวโล่งอก “แต่โชคยังดีที่เจ้ามีค่ายกลจากอารยธรรมของผู้ฝึกยุทธอยู่ ทำให้อย่างน้อยก็ยังสามารถขัดขวางมันเอาไว้ได้ชั่วคราว”
ขณะกล่าว เธอก็คว้าจับกระเป๋าใบเล็กๆของตัวเอง และล้วงมือเข้าไปค้นข้างใน
ระหว่างนั้นกู่ฉิงซานก็คอยสำรวจค่ายกลไปพลางๆ
และพบว่ามันไม่สามารถต้านทานได้เลย!
ค่ายกลกำลังถูกฉีกทำลายอย่างรุนแรง
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มตระหนักชัด
หากไม่ใช่เพราะว่าค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายได้ผสานธาตุสายฟ้าของเขา – ทัณฑ์ปีศาจเข้าไปด้วยแล้วล่ะก็ ผีแห่งความอลหม่านคงจะสามารถเจาะทะลุค่ายกลทั้งหมดเข้ามาได้โดยตรงตั้งนานแล้ว!
ลอร่าที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเขา ปากเปล่งเสียงกระซิบ “รอก่อนนะ เรากำลังเร่งหาสิ่งที่สามารถเคลื่อนย้ายไปอีกสถานที่หนึ่งอยู่ จะได้ใช้มันหลบหนีไปจากสถานที่นี้ในทันที”
ทว่าเสียงหนักทึบของดาบพิภพก็ดังขึ้นเสียก่อน “ไม่จำเป็นต้องหนี กู่ฉิงซาน เจ้าสามารถสังหารมันได้โดยใช้ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา”
“แล้วเจ้าทราบถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานถาม
“ข้าน่ะหรือ? จะสามารถสังหารมันได้?” ฉานนู่อุทาน
ในน้ำเสียงของดาบพิภพแสดงออกถึงความสุข “ฉานนู่ เจ้าสามารถทำลายตลอดทั้งหมื่นกฏเกณฑ์ได้ ซึ่งนั่นเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภททะลวงที่หาได้ยากยิ่งกว่าผีแห่งความอลหม่านซะอีก ดังนั้นหากอาศัยเจ้า ก็จะสามารถทำลายพลังอันอยู่ยงคงกระพันของมันได้”
“มันเองก็คงจะคาดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าท่ามกลางโลกนับล้านล้าน จะดันได้มาเผชิญหน้ากับเจ้าอย่างกระทันหัน”
“ชีวิตอันคงกระพันของสัตว์ประหลาดผีตนนี้ ดูท่าว่าวันนี้จะเป็นวันตายของมันเสียแล้ว”
“งั้นข้าลงมือล่ะนะ” ฉานนู่กล่าว
ว่าจบ ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็วาดตนเป็นเส้นโค้งขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะร่วงตกลงมาในมือของกู่ฉิงซานพอดิบพอดี
กู่ฉิงซานกุมดาบยาว แล้วชี้ปลายคมกล้าของมันไปทางปากของผีแห่งความอลหม่าน
ขณะเดียวกัน ผีแห่งความอลหม่านก็กัดทำลายค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายจนหมดสิ้นพอดี มันกระโจนเข้าหาทั้งสองคนที่ยืนอยู่โดยตรง
รังสีดาบกระพริบไหว
-เทคนิคลับแห่งดาบ ฝ่าวารีเชี่ยว!
ซุ่ม ซุ่ม ซุ่มมม!
บังเกิดเสียงสะท้านหนักเป็นชุด
รังสีดาบสาดแสงจ้า โถมเข้าใส่ปากที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวแหลมของผีแห่งความอลหม่าน ไหลบ่าเข้าไปในร่างกาย และบดขยี้มันจากภายในจนแหลกเป็นชิ้นๆ!
กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน
เขาถอนหายใจและรำพึงออกมา “อสูรกายประเภทนี้ สามารถข้ามผ่านชั้นเปลือกน้ำแข็งของโลกมาได้ หากกองทัพของพวกมันบุกเข้ามา สถานที่แห่งนี้มิแคล้วต้องเผชิญกับหายนะเป็นแน่”
“เรื่องนั้นเจ้าวางใจเถอะ ผีแห่งความอลหม่านน่ะไม่ได้มีจำนวนมากมายขนาดนั้นหรอกนะ” ลอร่ากล่าว
ดาบพิภพเอ่ยเสริม “สมควรจะมีอยู่เพียงน้อยนิด เพราะอย่างที่กล่าวไป มันเป็นอสูรกายที่พบเจอได้ยากเย็นยิ่ง เว้นไว้แต่เพียงในสงครามใหญ่ครั้งสำคัญๆเท่านั้น มันถึงจะปรากฏตัวออกมา”
“มอนสเตอร์เช่นนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน?” กู่ฉิงซานพึมพำ
“มันคืออสูรกายที่เกิดจากการผสมผสานกันของผีนับไม่ถ้วนในปรภพ และการจะสังเคราะห์มันขึ้นมา มีโอกาสล้มเหลวสูงมากๆ น้อยครั้งนักที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างมันแต่ละตัว” ดาบพิภพกล่าว
“ดังนั้น ขณะนี้ เราก็สมควรที่จะปลอดภัยชั่วคราว”
“ไม่นะ กระหม่อมไม่คิดเช่นนั้น” กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว
“เพราะมอนสเตอร์ตัวนี้คือกุญแจสำคัญในการทะลวงกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพ …”
“ขณะที่ต้นกำเนิดไม่มีวิธีอื่นใดที่จะสามารถเข้ามาที่นี่ได้นอกจากพึ่งพาอสูรกายชนิดพิเศษตนนี้เท่านั้น”
กู่ฉิงซานพึมพำ และพิจารณาต่อไป “แถมตอนนี้เจ้าต้นกำเนิดมันกำลังกระหายบางสิ่งอย่างบ้าคลั่ง และหากเจ้าสิ่งที่ว่านั่นมันอยู่ในโลกนี้แล้วล่ะก็ … บางทีต้นกำเนิดมันอาจจะ – ”
ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ชะงักไปอย่างกระทันหัน
เขากับลอร่าแหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าพร้อมกัน
เห็นแค่เพียงเหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า จุดแสงสีทองเรืองรองกำลังเกิดการระเบิดขึ้น
แสงเรืองรองสีทองขยายตัวอย่างรวดเร็ว ปรากฏภาษาเขียนที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน สร้างรูปแบบการป้องกัน แต่ละวง แต่ละวงขึ้นมา
ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างไปกระตุ้นกำแพงอุปสรรคของเทพบรรพกาลเข้า
ภายในรูปแบบป้องกันที่ใหญ่ที่สุด หัวของสัตว์ประหลาดผีค่อยๆผุดเข้ามาภายใน
มันกำลังพยายามที่จะทะลวงผ่านกำแพงอุปสรรคของเทพบรรพกาล!
มันต้องการที่จะลงมาสู่โลกเบื้องล่างนี้!
ในแต่ละวงป้องกัน หัวของสัตว์ประหลาดผีค่อยๆทยอยกันผุดออกมา
“พวกนั้นมันผีแห่งความอลหม่าน! นี่ไม่ถูกต้อง เหตุใดถึงได้มีผีแห่งความอลหม่านมากมายขนาดนี้!” ลอร่าสูญเสียเสียงของเธอ
“ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างที่คิดจริงๆ”
ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็สั่งการนึกคิดในจิตใจ
ฟิ้ว!
ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาที่มีรูปลักษ์ดั่งหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงได้บินออกไป
ในพริบตา ดาบยาวก็เจาะขึ้นไปบนชั้นฟ้า ทะยานตนสูงขึ้น
กู่ฉิงซานที่อยู่เบื้องล่างเหยียดมือของเขา และจีบออกด้วยเทคนิคดาบอย่างแผ่วเบา
เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!
เห็นแค่เพียงเส้นไหมห้าแฉกปรากฏขึ้นท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน
นี่คือเส้นไหมที่เกิดจากการควบแน่นกันของรังสีดาบ มันพุ่งผ่านชั้นอากาศ เฉกเช่นเดียวกันกับดาวตกที่ตัดผ่านผืนฟ้า
กู่ฉิงซานจ้องมองไปที่ประทับดาราเหล่านั้น มือของเขาเริ่มวูบไหวอีกครั้ง
เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!
เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!!
เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!!!
เขายังคงจีบออกด้วยเทคนิคลับแห่งดาบอย่างต่อเนื่อง ต่อเนื่องไปไม่รู้จบ
ด้วยสภาพกายที่พรั่งพร้อมที่สุดในขอบเขตประทับเทพขั้นปลาย ที่สามารถยกระดับขึ้นไปสู่พื้นฐานวรยุทธในขอบเขตร่างเทวะเมื่อใดก็ได้ ฉะนั้นแน่นอนว่าเขาจึงสามารถใช้เทคนิคลับแห่งดาบนี้ได้อย่างไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มากความ
ไม่ว่าดาบบินจะโฉบไปในทิศทางใด ทิศทางนั้นก็จะปรากฏเส้นไหมสาดแสงเรืองรอง ทิ้งร่องรอยเอาไว้เป็นทางยาว
และเส้นไหมที่ควบแน่นไปด้วยรังสีดาบเหล่านี้ก็ตัดผ่านท้องฟ้า โฉบข้าไปตัดสะบั้นหัวของเหล่าผีแห่งความอลหม่านที่มุดหัวเข้ามาทีละตน ทีละตน
ก๊าซซซซซ!!
เสียงกรีดร้องด้วยความโกรธดังสะท้านไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก
ผีแห่งความอลหม่านเหล่านั้นช่างโชคร้ายยิ่งนัก ชัดเจนว่ามันคืออสูรกายที่แสนหายาก กว่าจะสังเคราะห์ขึ้นมาสักตัวช่างยากสุดแสน เป็นอสูรกายที่กระทั่งกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพก็มิอาจขวางกั้นมันได้
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว ช่วงที่กำลังฝ่ากำแพงอุปสรรคน่ะนับว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เพราะมันจะไม่สามารถหยุดการเจาะทะลวงของตนเองได้
ดังนั้นพวกมันจึงมิอาจหลบเลี่ยง ต้องทานรับประทับดาราอย่างเดียวเท่านั้น
ขณะที่ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาน่ะสามารถแหกได้ทุกกฏเกณฑ์ กระทั่งความสามารถพิเศษที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของพวกมันก็ไม่มีละเว้น!
เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงสีทองบนกำแพงอุปสรรคค่อยๆจางหายไป
ผีแห่งความอลหม่านทั้งหมดจบชีวิตลงแล้ว
ดาบบินที่อยู่เหนือท้องฟ้าเบื้องบน ตัดผ่านชั้นเมฆลงมาอย่างรวดเร็ว และมาหยุดอยู่ข้างกายของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
แววตาของลอร่าเปล่งประกายระยับ เธอมองไปยังดาบขุนเขาเทวะและอดไม่ได้ที่จะเอ่ย “ดาบเล่มนี้ พอจะแลกเปลี่ยนกับเร-”
กู่ฉิงซานจิกตามองเธอ
ลอร่าจึงจำต้องเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอีกเรื่องอย่างเชื่อฟัง
“นี่คงจะเป็นการบุกโจมตีที่มันได้จัดเตรียมเอาไว้อย่างพิถีพิถันเป็นแน่ แต่สุดท้ายแล้วที่เตรียมการมาทั้งหมดกลับถูกทำลายลงโดยเจ้า เกรงว่าระบบของราชามารคงจะคลั่งไปแล้วในตอนนี้”
“กระหม่อมคิดว่ามันคงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เอาล่ะ ตอนนี้ก็น่าจะได้เวลาแล้วที่พวกเราต้องเริ่มทำการสำรวจโลกใบนี้กันซักที” กู่ฉิงซานกล่าว
ว่าจบ ค่ายกลก็ถูกเปิดใช้งาน ดาบบินทั้งสามโอบล้อมทั้งสองตลอดเวลา ก่อให้เกิดแรงกดดันอันน่าทึ่ง
ซึ่งฉากนี้มันช่างดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เพราะหากระมัดระวังตัวถึงขนาดนี้ แล้วมันจะออกไปสำรวจโลกใบนี้อย่างละเอียดได้อย่างไรกัน?
กู่ฉิงซานวางลอร่าลงบนไหลเขา แล้วเริ่มเดินหน้า ตรงไปยังทิศทางของเมือง
อย่างไรก็ตาม เขาก็จำต้องหยุดลงซะก่อน
เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กกำลังสาดแสงจี้ตาเขาอยู่ตลอดเวลา
“โปรดทราบ”
“คุณได้สังหารอสูรกายพิเศษประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลไปหลายตน ซึ่งเหตุการณ์นี้นับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลกหกวิถี”
“นอกจากนี้ คุณยังได้สังหารอสูรกายไปสองตนในสายธารแห่งการหลงเลือน”
“ส่งผลให้ภารกิจสมญาพิเศษของคุณ เสร็จสมบูรณ์”
“สมญาพิเศษเทพสงคราม ..ได้ถูกปลดล็อคแล้ว!”
Ep.558 – เผชิญหน้ากระทันหัน
ชั้นเปลือกน้ำแข็งบางๆ สาดแสงสีน้ำเงินจางๆออกมา
ความเย็นของมัน กัดกินจากฝ่าเท้าของกู่ฉิงซาน เสียดแทงลึกเข้าไปในกระดูก
พลังวิญญาณแน่นอนว่าย่อมไม่สามารถที่จะต้านทานความหนาวเย็นนี้ได้ ไม่แตกต่างไปกับตอนที่เขาอยู่บนยอดภูเขาน้ำแข็ง
กู่ฉิงซานนั่งยองๆลง แล้วสังเกตมันอย่างระมัดระวัง
สีน้ำเงินกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด
มันไพศาลไม่ต่างกับทุ่งน้ำแข็งที่เขาควบม้าทมิฬวิ่งผ่านมาในก่อนหน้านี้เลย
‘แล้วฉันจะทะลุผ่านชั้นน้ำแข็ง เข้าสู่โลกเบื้องล่างนี้ได้อย่างไร?’
กู่ฉิงซานเคาะลงบนชั้นเปลือกน้ำแข็ง
แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กู่ฉิงซานลองคิดเกี่ยวกับมันอีกสักพักหนึ่ง แล้วลองกระทุ้งกำปั้นลงบนชั้นเปลือกน้ำแข็งอย่างแรง
คราวนี้ชั้นเปลือกน้ำแข็งเริ่มที่จะปลดปล่อยแสงสีทองเล็กๆน้อยๆออกมา
ตามด้วยภาษาเขียนสีทองอันลึกลับที่ปรากฏขึ้นบนพื้น แพร่กระจายออกไปรอบทิศทางอย่างไม่รู้จบ
พร้อมกับกลิ่นอายอันตรายที่เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่ว
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม สองบรรทัดแสงหิ่งห้อยผุดเตือนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“อำนาจเทวะ : กฏเกณฑ์ต้องห้ามแห่งโลกทวยเทพกำลังพยายามที่จะเปิดใช้งาน”
“โปรดหยุดการโจมตีคุกคามของคุณเดี๋ยวนี้! มิฉะนั้นแล้ว อำนาจที่ว่านี้จะโถมเข้าทำลายคุณจนถึงแก่ความตาย!”
ขนของกู่ฉิงซานลุกซู่
พอย้อนนึกไปถึงประสบการณ์อันน่าขมขื่นของราชามารวิญญาณมรณะ กู่ฉิงซานก็เร่งชักมือของเขากลับ และใช้ออกด้วยวิชาลับยับยั้งลมหายใจทันที
เมื่อภัยคุกคามหายสาปสูญไป แสงสีทองก็หยุดแพร่กระจายลงในที่สุด
หลังจากนั้นไม่นาน แสงสีทองทั้งหมดก็สลายหายไป
ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ
กู่ฉิงซานถอนหายใจโล่งอก
“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นมาตรการป้องกันที่ถูกติดตั้งไว้โดยเทพบรรพกาล เพื่อหลีกเลี่ยงการรุกรานจากภายนอก” ลอร่ากล่าว
“กระหม่อมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” กู่ฉิงซานเห็นด้วย
ในสายตาของเขา บรรทัดแสงหิ่งห้อยยังคงปรากฏอยู่บนหน้าต่างเทพสงคราม
“คุณได้ค้นพบโลกใหม่แล้ว และหากคุณต้องการที่จะรู้ความลับของโลกใบนี้ โปรดจงทุ่มเทอย่างหนักต่อไป”
“โปรดทราบด้วยว่า : นี่คือโลกใหม่ที่ไม่เคยถูกค้นพบหรือมีข้อมูลบันทึกมาก่อน ดังนั้นตัวระบบเทพสงครามเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสถานการณ์ของมันเป็นเช่นไร”
“คุณจะต้องค้นหาวิธีที่จะเข้าไปที่นั่น และได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมัน”
อ่านจบ กู่ฉิงซานก็ส่ายศีรษะของเขาอย่างหมดหนทาง
แต่พอลองคิดดูดีๆแล้ว .. เนื่องจากนี่เป็นอารยธรรมที่หลงเหลืออยู่ของเทพบรรพกาล ถ้าอย่างนั้นดาบเช่าหยินที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาลก็น่าจะ …
เขากระชับดาบเช่าหยิน และพยายามที่จะใช้ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกระทมกับชั้นเปลือกน้ำแข็ง
ทันใดนั้นชั้นเปลือกน้ำแข็งก็เริ่มแยกออกจากกัน ฉากนี้มันเหมือนกับตอนทางปากทางเข้าถ้ำในวิหารบนยอดเขาอย่างไรอย่างนั้นเลย!
และรอยแยกที่ว่า ก็เพียงพอสำหรับให้กู่ฉิงซานกับลอร่าผ่านเข้าไป
ลอร่าจ้องมองดูฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ
จากจุดที่พวกเขาทั้งสองยืนอยู่ เหนือหัวเป็นมหาสมุทรอันไร้ที่สิ้นสุด ขณะที่ชั้นเปลือกน้ำแข็งที่พวกเขายืนอยู่ถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจเทวะของทวยเทพ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสิ่งใดที่กล่าวมา เมื่ออยู่ต่อหน้าดาบยาวของกู่ฉิงซาน พวกมันก็หลีกลี้ เปิดทางให้กับพวกเขาโดยไม่คิดลังเลแม้แต่น้อย
ลอร่ามองดาบยาวในมือของกู่ฉิงซาน จ้องเขม็งไปที่มันด้วยดวงตาสาดประกายสดใส ไม่อาจละสายตาไปจากมันได้เลย
อาวุธที่สามารถควบคุมกำแพงอุปสรรคของเทพบรรพกาลได้ แน่นอนว่ามันย่อมต้องถูกสร้างขึ้่นอย่างพิถีพิถันโดยเทพบรรพกาลอย่างแน่นอน
ดาบยาวเล่มนี้ … มันชักจะต้องตาเกินไปแล้ว!
หากตัวเธอเองได้ครอบครอง และโบกสะบัดมัน ก็คงจะดูเท่ไม่น้อยเลย
“ดาบยาวของเจ้ามันยอดเยี่ยมไปเลย! เจ้าพอจะแลกเปลี่ยนมันกับเราได้หรือไม่?”
ลอร่าถามด้วยน้ำเสียงเจรจา
“สิ่งนี้ไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้ สำหรับกระหม่อมแล้ว ดาบก็เหมือนอุปกรณ์ไว้ใช้หากิน” กู่ฉิงซานอธิบาย
“งั้นเราจะแสดงสิ่งประดิษ์ฐ์เทวะบางอย่างให้เจ้ารับชมดูดีไหม? เผื่อว่าเจ้าจะได้ลองคิดเกี่ยวกับมันอย่างรอบคอบอีกครั้ง”
“ไม่แลกพะยะค่ะ หากเป็นคนอื่นไล่บี้ถามกระหม่อมแบบนี้ กระหม่อมคงใช้ดาบเล่มนั้นแทงมันไปแล้ว” กู่ฉิงซานยื่นมือไปดีดหน้าผากของล่อร่าเบาๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แต่เมื่อครู่นี้เขาพูดจริงๆนะ ถ้ามีใครอยากได้ดาบของเขา เขาก็จะมอบดาบเล่มนั้นให้โดยการแทงเข้าใส่มันแทน!
อย่างไรก็ตาม ลอร่าเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เธอมิได้มีความปรารถนาในมันเช่นนั้น เธอเพียงแค่รู้สึกนึกสนุกก็เท่านั้นเอง
นอกจากนี้ เธอก็ยังเด็กเกินกว่าที่จะทราบความหมายเกี่ยวกับแก่นแแท้ของผู้ฝึกดาบ ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับสิ่งที่เด็กอย่างเธอกล่าวมา
“ก็ได้ๆ เจ้าคนตระหนี่เอ๊ย”
ลอร่ากุมหน้าผากของเธอ บ่นด้วยความหงุดหงิด
แล้วทั้งสองก็ทะลุผ่านช่องว่างไป
พวกเขาเข้าสู่โลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพบรรพกาล
บนท้องฟ้าสูง
ไร้ซึ่งแรงลมใดๆ
มีเพียงความเงียบงันที่อยู่โดยรอบ
ภายใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่จะสามารถมองเห็นเมืองหลายเมืองที่อยู่ห่างไกลกันออกไป
เมืองเหล่านี้เปล่งแสงสีฟ้าอ่อน คล้ายกับว่ามันทำมาจากผลึกน้ำแข็งโดยสมบูรณ์ แต่ในชั้นอากาศกลับไม่มีร่องรอยของความเย็นเลย
กู่ฉิงซานโบกดาบยาวของเขา และยกเลิกพลังศักดิ์สิทธิ์ ข้ามผ่านมหาสมุทร
แล้วชั้นเปลือกน้ำแข็งที่อยู่เบื้องหลังก็ปิดลงทันที
ลอร่าหดตัวเข้าไปในอ้อมอกของกู่ฉิงซาน ขณะเดียวกันก็เอาชั้นผ้าสีดำขึ้นมามัดปิดดวงตาของเธอ
“พวกเราจะสามารถลงไปเร็วกว่านี้หน่อยจะได้ไหม มันสูงเกินไป เรากลัวนะ”
“แต่อย่างน้อยฝ่าบาทก็รู้จักหาวิธีรับมือกับมัน ต่างจากเมื่อก่อน”
“ผู้ใหญ่มักจะต้องถูกบีบบังคับให้เผชิญกับสิ่งที่ตนหวาดกลัวอยู่เสมอ ฉะนั้นการที่เรามีวิธีจัดการกับมันบ้าง จะไปแปลกอะไร?”
“ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดีนะฝ่าบาท” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ กระหม่อมจะเร่งลงไปโดยเร็วที่สุด”
ว่าจบ เขาก็เลือกเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด และวูบบบบ! มุ่งลงไปเต็มกำลัง
ความว่องไวของเขาน่ะรวดเร็วเป็นอย่างมาก เมื่อประจวบกับการใช้ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วเป็นครั้งคราว ระยะทางที่ไกลก็เลยดูแคบลงไปทันตา
เกือบจะในทันที เท้าของกู่ฉิงซานก็สามารถแตะลงบนพื้นดินได้อย่างอ่อนโยน
“เรียบร้อย” กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆและกล่าว
“อ๋า? ทำไมถึงได้เร็วจังเลย?” ลอร่าอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ลอร่าถอดผ้าปิดตาสีดำออก และถอนหายใจเบาๆ “รู้สึกดีจริงๆที่ได้เห็นพื้นดินอีกครั้ง”
เธอกระโดดลงจากอ้อมแขนของกู่ฉิงซาน และเหยียบลงบนพื้น
พื้นดินช่างแข็งกระด้างและหนาแน่น แต่มันกลับเป็นสีฟ้า
เมื่อมองไกลออกไปสุดสายตา จะเห็นว่าเมืองทั้งเมืองไม่ได้ทำมาจากน้ำแข็ง
แสงสีฟ้าจางๆที่เห็นจากบนท้องฟ้า แท้จริงแล้วเป็นวัสดุที่เหมือนกันกับแก้วเคลือบสี ส่งผลให้ตัวเมืองทั้งหมด เปล่งแสงสีน้ำเงินน้อยๆออกมา
ตำแหน่งที่กู่ฉิงซานเลือก เป็นจุดที่ห่างไกล อยู่เกือบสุดขอบของตัวเมืองทั้งหมด นอกจากนี้ ช่วงเวลานี้ยังเป็นกลางคืน ดังนั้นจึงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆอยู่โดยรอบ
แต่เนื่องด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย บวกกับที่เคยได้สัมผัสกับมาตรการป้องกันของเทพบรรพกาล ส่งผลให้กู่ฉิงซานยังคงไม่ลดความระแวงลง เขาระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง ตนจึงไม่คิดปล่อยจิตสัมผัสเทวะครอบคลุมทั้งเมืองไปเลยตรงๆ
ลอร่าหันไปมองรอบๆ
อืม …
ไม่ใกล้ไม่ไกลเธอ มีชายและหญิงสองคนกำลังกอดกันอยู่
พวกเขาทั้งสองคนดูเด็กมาก และมีรูปร่างไม่แตกต่างไปจากมนุษย์ปกติธรรมดาเลย ยกเว้นก็แต่สีผิวของทั้งสองที่เป็นสีฟ้าอ่อน
ลอร่าจึงรีบหันกลับไปอีกทางทันที และตะโกนอย่างเร่งรีบ “ขออภัยด้วย! เราไม่ทันสังเกต เลยวิสาสะขัดจังหวะพวกท่านโดยไม่รู้ตัว นี่ถือว่าเสียมารยาทจริงๆ ”
แต่กู่ฉิงซานกลับยังคงจ้องมองทั้งสองที่กอดกันอย่างเงียบๆ มิคิดเบนสายตาหลบใดๆ
แต่เดิม เขาสังเกตเห็นทั้งสองคนตั้งนานแล้ว และตั้งใจที่จะเข้าไปพูดคุยกับอีกฝ่าย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่จำเป็นแล้ว
กู่ฉิงซานค่อยๆอุ้มลอร่าขึ้นมาอย่างเงียบๆ
ในขณะเดียวกัน ดาบบินทั้งสามก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขาในความว่างเปล่า เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”
ลอร่าที่เห็นท่าทีของเขา เธอก็เริ่มรู้สึกประหม่า
“พวกเขาตายไปแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
“ตายหรอ?”
ลอร่าชะงักไป แล้วจึงค่อยเพ่งสายตามองทั้งสองอย่างรอบคอบ
เห็นแค่เพียงทั้งสองกำลังกอดกันด้วยความสิ้นหวัง บนใบหน้าเด่นชัดถึงความหวาดกลัว
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคงรู้แล้วว่าโชคชะตาใดจะที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปกับพวกเขา
“รู้สึกว่า … จะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง”
เพียงแค่เอ่ยปาก กู่ฉิงซานก็ต้องขมวดคิ้ว
เพราะในการรับรู้ทางจิตวิญญาณ(ลางสังหรณ์)ของเขา จู่ๆก็มีเงาทะมึนปรากฏขึ้น
ในอดีต หากภายในการรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขาปรากฏถึงสิ่งใดที่คล้ายคลึงกับประเภทนี้เกิดขึ้นมา -ไม่เป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ มันก็เป็นวิกกฤตร้ายแรงถึงชีวิตและความตาย!
มองไปยังสองศพที่กอดกันเกลียว ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็เริ่มระแวดระวังมากขึ้น มากขึ้น
แบบนี้ชักจะไม่ดีแล้ว-
เขาตบลงในถุงสัมภาระโดยไม่ลังเล และหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา
นี่คือดิสก์ค่ายกลจากโลกล่องเวหา มันเป็นดิสก์ค่ายกลระดับสูงที่อยู่ในห้องลับของนิกายกวงหยาง ที่ถูกเก็บรักษาไว้โดยหวังหงษ์เต๋า
ซึ่งในโลกล่องเวหา นับว่าเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของกู่ฉิงซาน เพราะเขาได้ฉกของดีจากในห้องลับนิกายมาจนหมดเกลี้ยง!
แน่นอน ว่ารวมไปถึงระดับการจัดวางค่ายกลของเขาด้วย
เพื่อที่จะสร้างดิสก์ค่ายกลรับส่งระหว่างสองโลก แล้วหลบหนีออกมา กู่ฉิงซานจึงทำการเรียนรู้เทคนิคค่ายกลจากในใบหยกจนเขาสามารถทะยานขึ้นมาสู่จุดสูงสุดของโลกใบนั้นได้เลยโดยตรง
ดังนั้นด้วยระดับการจัดวางค่ายกลในปัจจุบันของกู่ฉิงซาน ส่งผลให้ดิสก์ค่ายกลที่หยิบมานี้ การจะเปิดใช้งานมันจึงง่ายดายราวกับของเด็กเล่น
ด้วยมือของเขาที่พรมลงอย่างรวดเร็วบนตัวดิสก์ ในไม่ช้า เขาก็สามารถจัดวางค่ายกลป้องกันในระยะหลายสิบเมตรได้อย่างรวดเร็ว
ทันทีหลังจากนั้น เขาก็จัดวางค่ายกลป้องกันสัตว์อสูร , ค่ายกลป้องกันเผ่ามาร , ค่ายกลป้องกันดาบบิน , ค่ายกลป้องกันเทคนิคมนตรา ค่ายกลต่อต้านพลังศักดิ์สิทธิ์ และค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้าย
ในโลกล่องเวหา ทุกชนนิดของค่ายกลป้องกันระดับสูง ถูกจัดวางลงทั้งหมดโดยเขา
ยกเว้นไว้แต่เพียงเฉพาะค่ายกลอำพราง
ภายใต้การจัดการของกู่ฉิงซาน แสงสวรรค์เรืองรองก็ส่องสว่างบนดิสก์ค่ายกล คล้ายเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ สาดชั้นแสงงดงามปกคลุมรอบทิศทาง
“มันสะดุดตาเกินไปนะ แบบนี้มันง่ายต่อการดึงดูดความสนใจ” ลอร่าเร่งเตือนด้วยความกังวล
“เดิมทีกระหม่อมตั้งใจที่จะสำรวจโลกใบนี้อย่างช้าๆ” กู่ฉิงซานยังคงจัดตั้งค่ายกล ปากฝืนยิ้มอธิบายออกมา “แต่อันดับแรก ตอนนี้คงต้องให้ความสำคัญกับชีวิตก่อน เรื่องอื่นๆเอาไว้ทีหลัง”
ลอร่าพอได้ฟังก็ตกใจ
เพราะเธอไม่เพียงจ้องมองการเคลื่อนไหวของกู่ฉิงซาน แต่ยังสังเกตเห็นถึงลางไม่ดีในน้ำเสียงของเขาอีกด้วย!
ในที่สุด ชั้นค่ายกลทั้งหมดก็ถูกจัดตั้ง
กู่ฉิงซานยืนอยู่ใจกลางค่ายกล เริ่มใช้สัมผัสรับรู้อย่างเงียบๆ
เพียงไม่นาน เขาก็หันมองไปยังทิศทางหนึ่ง เป็นความว่างเปล่าที่อยู่ห่างออกไป 20 เมตรในทันใด
นั่นคือหนึ่งในชั้นค่ายกลที่ดีที่สุด ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อยับยั้งวิญญาณชั่วร้าย!
“เป็นผู้ใดที่มาเยือน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
บังเกิดลมกรรโชก
ทว่าไม่มีใครตอบคำถามของเขา
แล้วจู่ๆค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายก็ระเบิดกลุ่มก้อนแสงสดใสออกมา
ซึ่งนั่นหมายความว่าค่ายกลป้องกันกำลังเริ่มบีบอัดอย่างรุนแรง!
-มีบางอย่างต้องการที่จะทะลุผ่านค่ายกล ตรงเข้ามายังใจกลาง!
“นั่นมันบ้าอะไรกัน!?” ลอร่าสูญเสียเสียงของเธอ
เห็นแค่เพียงในความว่างเปล่าที่โปร่งใส สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ค่อยๆปรากฏตัวออกมา
กะโหลกของมันมีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับบ้านห้าชั้น และกำลังถูกบีบอัดอย่างหนักหน่วงอยู่ภายในค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้าย แต่มันก็ยังคงพยายามที่จะฝ่าเข้ามา
ห่างออกไปจากค่ายกล กู่ฉิงซานสามารถมองเห็นถึงขนสีเขียวยาวเหยียด เขี้ยวแหลมคม และใบหน้ากระดูกที่สลักไปด้วยอักษรรูนอันประหลาดตา
สัตว์ประหลาดผีจ้องมองมายังกู่ฉิงซานด้วยคู่ดวงตาสีดำลึก
“เปรี๊ยะ!”
ทันใดนั้นค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายก็ระเบิดออกทันที
คิ้วของกู่ฉิงซานยกสูงขึ้น สองมือของเขาพรมลงบนดิสก์ค่ายกลอย่างต่อเนื่อง
ฝุบ ฟิ้ว ฟิ้ว!
ระหว่างช่วงเวลาเดือดพล่าน เขาก็ได้จัดตั้งค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายซ้อนทับกันลงไปถึงสามครั้ง!
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสิ่งนี้แล้ว แต่กู่ฉิงซานก็ยังคงไม่หยุดมือ สร้างค่ายกลต่อไป
นี่มันน่าแปลกจริงๆ
ค่ายกลอื่นๆที่ถูกจัดวาง ไม่มีการตอบสนองอะไรเลย ยกเว้นไว้เพียงค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายที่สามารถขัดขวางมันได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น!
เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าว กู่ฉิงซานเร่งจัดวาง36 ค่ายกลยับยั้งวิญญาณร้ายลงในพื้นที่นี้ภายในลมหายใจเดียวทันที!
สัตว์ประหลาดผีพึ่งจะทะลวงค่ายกลมาได้ และกำลังจะวิ่งเข้าหากู่ฉิงซาน แต่ก็ถูกขัดขวางไว้ด้วยค่ายกลเดิมอีกรอบในฉับพลัน
เจ้าผีร้ายพอถูกขัดขวางซ้ำๆ มันก็แสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวป็นอย่างมาก
และแล้วสิ่งที่ไม่น่าคาดคิดก็เกิดขึ้น มันเริ่มที่จะอ้าปากกว้าง และทำการงับ! ฉีดกัดค่ายกลทิ้งไปทั้งๆอย่างงั้น!
Ep.557 – ความจริงของโลก
ราชามารวิญญาณมรณะไม่สามารถไล่ติดตามมาได้อีกต่อไป
กู่ฉิงซานที่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังจึงตัดสินใจหยุดดู
ก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะสังหารต้นตระกูลจักรพรรดิฟูซีที่เรียกกันว่าโครงกระดูกในชุดคลุมดำ กู่ฉิงซานก็เคยใช้ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทมมาก่อนแล้วเหมือนกัน
และตอนนี้ ดูเหมือนว่าพลังของข้ามผ่ามหาสมุทรจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิมมากทีเดียว
หรือว่ามันอาจเป็นเพราะนี่คือโลกที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาลที่มีความเกี่ยวข้องกันกับมันรึเปล่านะ?
หรือจะเป็นเพราะนี่คือยอดภูเขาหิมะสูงสุดของเทพบรรกาล ดังนั้นวิหารที่พวกเขาสร้างขึ้นมันจึงพิเศษและมีคุณสมบัติเช่นกันกับภูเขา?
แต่ไม่ว่าจะเป็นในกรณีใดๆก็ตาม ยามเมื่อมีดาบเช่าหยินอยู่ในมือ กู่ฉิงซานจะรู้สึกราวกับว่า–
โลกใบนี้ทั้งใบกำลังศิโรราบ เขาคิดหมายสิ่งใด มันก็จะทำตามที่เขาต้องการ
ความรู้สึกนี้ไม่เหมือนกับเป็นเพียงจินตนาการภาพลวงตา แต่มันเป็นเพราะดาบเช่าหยินกำลังเผชิญหน้ากับโลกทั้งใบอยู่
หรือว่า … เบื้องล่างนี้จะเป็นทะเลกันนะ?
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มบังเกิดความสงสัยมากขึ้น
เขาจับลอร่า และบินลึกลงไปในน้ำ
ภายนอกถ้ำน้ำแข็ง
ราชามารวิญญาณมรณะยกสองมือขึ้นกุมศีรษะตน ความเจ็บปวดอันสาหัสนี้ส่งผลให้ความโกรธในจิตใจของมันมิอาจข่มระงับได้!
ทำไมข้าถึงลงไปในน้ำไม่ได้กัน?
แต่มันก็ไม่เต็มใจที่จะเสียเวลาขบคิดเกี่ยวกับปัญหานี้อีกต่อไป
เพราะทุกปัญหา เมื่อเผชิญกับพลังอำนาจของมัน ทั้งหมดย่อมมิแคล้วถูกทำลายล้าง!
ก๊าซซซ!
ราชามารวิญญาณมรณะลุกขึ้นยืน สองแขนของมันลุกไหม้ไปด้วยเพลิงทมิฬ ขู่คำรามระเบิดโจมตีไปยังผิวน้ำตรงหน้าอย่างรุนแรง
ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ของอสูรกายปฐมบทแห่งความโกลาหล ผิวน้ำทั้งมวลถูกระเบิดเป็นแอ่งลึกทันที
แสงเรืองรองสีดำเข้ามาแทนที่ โถมเข้าปกคลุมไปตลอดทั้งผิวน้ำ เปลี่ยนสภาพน้ำให้กลายเป็นพื้นแข็งๆสีดำ ลุกลามไปด้วยรอยแตกร้าว
ทว่าพื้นหลุมลึกก็อยู่ได้เพียงชั่วขณะเท่านั้น
เพราะกระแสน้ำระลอกใหม่ได้ผุดขึ้นมาจากเบื้องล่าง เข้าเติมเต็มหลุมบ่อพื้นแข็งๆ ให้กลับคืนเป็นน้ำดังเดิมอีกคราอยู่ดี
ราชามารวิญญาณมรณะไม่คิดละความพยายาม มันยังคงระเบิดโจมตีอย่างต่อเนื่อง
แต่กระแสน้ำก็เข้ามาเติมเต็มการโจมตีของมันอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าราชามารวิญญาณมรณะจะโจมตีออกด้วยอำนาจอันแข็งกร้าวเพียงใด กระแสน้ำก็เพียงแค่เข้าเติมเต็มอย่างเงียบๆเท่านั้น
กระบวนการเหล่านี้ เดิมเหมือนจะดำเนินต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีบางอย่างเกิดขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ยังจำกันได้ไหมว่า วิหารที่ตั้งอยู่บนยอดภูเขาน้ำแข็งนี้เป็นสิ่งที่เทพบรรพกาลสร้างขึ้น
ด้วยการโจมตีอย่างต่อเนื่องของราชามารวิญญาณมรณะ ส่งผลให้ยอดภูเขาน้ำแข็งคล้ายกับถูกกระตุ้น
บังเกิดรูนสีทองอันแสนลึกลับนับไม่ถ้วนผุดขึ้นบนชั้นพื้นผิวของภูเขาน้ำแข็ง แม้กระทั่งตัววิหารเองก็ยังแผ่กลิ่นอายอันน่าเกรงขามออกมา
กู่ฉิงซานที่กำลังบินลึกลงไปในน้ำชะงักงัน เขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลง แหงนหน้ามองดูบนยอดเขาด้วยความประหลาดใจ
“ดูนั่นสิ นั่นมันอักษรโบราณของเทพ”
ลอร่าร้องด้วยความประหลาดใจ และชี้ไปยังสัญลักษณ์บนน้ำแข็ง
“เห็นแล้วล่ะ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมบนยอดภูเขานี้ อำนาจเทวะ : เคารพและศรัทธา ถึงยังคงอยู่” กู่ฉิงซานกล่าวขึ้นทันใด
เขาได้ศึกษาพจนานุกรมหมื่นโลกาของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงมาก่อนแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่จะล่วงรู้ว่า อักษรเหล่านี้คือหนึ่งในภาษาที่เก่าแก่ที่สุดของโลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้น
มันเป็นภาษาเขียนที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาล
แม้ภาษานี้ยากนักที่จะพบเจอ แต่หากมีใครที่รู้วิธีใช้พลังเหนือธรรมชาติกับการเขียนอักษรเหล่านี้ได้ คนๆนั้นก็จะสามารถเลียนแบบอำนาจเทวะได้อย่างง่ายดาย
แต่น่าเสียดาย ที่มีผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่สามารถล่วงรู้ได้ว่าต้องทำอย่างไร
ลึกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง
กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่
พลังนี้เหมือนกันกับอำนาจเทวะ : เคารพและศรัทธา ที่ปกคลุมตลอดทั้งยอดภูเขาน้ำแข็ง แต่มันอาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าอย่างน้อยก็สิบเท่า
“มันคือพลังเหนือธรรมชาติ พลังเหนือธรรมชาติที่ถูกระตุ้นโดยภาษาของเทพบรรพกาล และกำลังสั่งสมพลังอยู่” ลอร่าอธิบาย
กู่ฉิงซานพยักหน้าเล็กน้อย
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นวิธีการที่เทพบรรพกาลเหลือทิ้งเอาไว้เพื่อมิให้โลกใบนี้สลายไป
ตลอดทั้งยอดเขาน้ำแข็ง อักษรแล้วอักษรเล่าเริ่มสาดประกายแสงสีทอง ทั้งหมดเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว
วิหารบนยอดภูเขาหิมะ แปรเปลี่ยนเป็นยอดภูเขาทองคำสูงตระหง่านในพริบตา
ระหว่างช่วงเวลาเดือดพล่าน ยอดภูเขาน้ำแข็งก็พลันระเบิดเสาแสงสีทอง พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ราชามารวิญญาณมรณะถูกห่อมหุ้มด้วยแสงดังกล่าวนี้ มันถูกผลักดันจนทะลุผ่านเพดานวิหาร ปลิวขึ้นไปบนฟากฟ้า
เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ แข้งขาของผู้เข้าสู่วิถีมารมากกว่า 200 ล้านก็พลันกลายเป็นอัมพาต มิกล้าขยับเขยื้อนกายต่อไปแม้เพียงน้อย
เสาแสงสีสองคงอยู่เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น ก่อนที่มันจะกระจายหายไปโดยสมบูรณ์
และไร้ซึ่งร่องรอยใดๆของราชามารวิญญาณมรณะที่อยู่บนท้องฟ้า
ทั้งราชามารวิญญาณมรณะ และเทพนักรบที่ติดสอยห้อยตามไปด้วยกัน ถูกเป่ากลายเป็นผงกระดูกสีขาว ฟุ้งกระจายบนท้องฟ้า ก่อนจะปลิวไปตามแรงลม ผสมกลืนหายเข้าไปกับเกล็ดหิมะ
เมื่อแสงสีทองจางหายไป พายุหิมะก็กลับคืนมาสู่โลกทั้งใบอีกครั้ง
บนยอดเขาของเหล่าทวยเทพ ก็กลับคืนสู่น้ำแข็งสีฟ้าอีกครา
จำเป็นต้องใช้เวลาอยู่สักพักหนึ่งเลยทีเดียว กว่าที่พวกผู้เข้าสู่วิถีมารจะกล้าขยับตัวอย่างช้าๆ
พวกเขายืนยิ่งอยู่ในสถานที่เดียวกัน และไม่มีใครกล้าปีนป่ายขึ้นไปบนยอดภูเขาหิมะอีกต่อไป
“เมื่อครู่มันคืออสูรกายปฐมบทแห่งความโกลาหลมิใช่หรือ นี่มันตายไปแล้ว??” ลอร่าถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“กระหม่อมเริ่มจะเข้าใจขึ้นมานิดหน่อยซะแล้วสิ ว่าทำไมต้นกำเนิดถึงไม่สามารถทำตามที่มันต้องการได้” กู่ฉิงซานกล่าว
ใช่แล้วล่ะ แม้กายจะจากไป แต่เจตนารมของเทพบรรพกาลก็ยังคงอยู่ที่นี่
ขณะที่ต้นกำเนิดเพียงอย่างเดียว หรือกระทั่งผู้เข้าสู่วิถีมารกกว่า 200 ล้านคน ย่อมไม่อาจเอาชนะสิ่งที่เทพบรรพกาลทิ้งเอาไว้ได้
ดูเหมือนว่าจะต้องมีความลับอันน่าตื่นตะลึงถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกของโลกใบนี้เป็นแน่!
—ไม่น่าเชื่อเลยว่าทริสเต้จะสามารถครอบครองโลกใบนี้ได้
แถมยังมีเรื่องที่น่าสงสัยอยู่อีก ว่าทำไมเธอถึงเลือกที่จะนำโลกใบนี้ออกมา
นี่เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ?
กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปถามลอร่า “ทริสเต้ได้ครอบครองโลกใบนี้มานานแค่ไหนแล้ว?”
“นานแค่ไหนงั้นหรอ?” ลอร่าหยุดนึกชั่วคราว “นี่คือโลกที่เธอได้รับมาจากท่านแม่ของเรา น่าจะซักประมาณ 6 วันได้แล้วล่ะมั้ง”
“ทำไมท่านแม่ของฝ่าบาทถึงได้ตัดสินใจมอบโลกใบนี้ให้กับเธอ?” กู่ฉิงซานถามทันที
“เพราะทริสเต้เป็นหัวหน้าองครักษ์แห่งราชวัง เธออุทิศทั้งกายใจเพื่อปกป้องราชวงศ์ แล้วอีกอย่างเราก็กำลังจะได้ขึ้นฉลองตนเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นท่านแม่จึงมอบมันเป็นรางวัลเพื่อคาดหวังว่าทริสเต้จะรับหน้าที่พิทักษ์เราเป็นอย่างดีในครั้งนี้ และพิทักษ์อาณาจักรวิหคนับจากนี้ไป”
กู่ฉิงซานไตร่ตรองและกล่าว “หกวันเท่านั้นเองหรือ เวลามันสั้นมากเลย … ”
“ใช่ และวันนี้ก็เป็นวันที่หก”
“แล้วปฏิกริยาของทริสเต้ตอนที่เธอได้รับโลกใบนี้ล่ะ มันเป็นยังไง?”
“เธอแสดงออกว่าตื่นเต้นมาก และน้อมกายขอบคุณท่านแม่ของเราครั้งแล้วครั้งเล่า”
“ถ้าไม่นับวันนี้ ก็เท่ากับว่าทริสเต้ได้รับโลกมาเพียงแค่ห้าเวลาสั้นๆสินะ กระหม่อมคิดว่าบางทีเธออาจจะยังไม่คุ้นเคยกับโลกใบนี้ก็ได้” กู่ฉิงซานพิจารณา
ลอร่าย้อนนึกกลับไปและกล่าวว่า “เราจำได้ว่า เมื่อสองวันก่อน เธอได้ค้นพบว่าโลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตโบราณอยู่ ในช่วงเวลานั้นเธอดูจะมีความสุขมาก”
“มันก็น่าจะยินดีอยู่หรอก เพราะเจ้าสิ่งมีชีวิตโบราณคงจะเป็นตัวเพิ่มแต้มพลังวิญญาณให้กับเชื้อไฟเป็นอย่างดีไง” กู่ฉิงซานถอนหายใจ
ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็อุ้มลอร่า และเริ่มพุ่งลึกลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว
และแน่นอน ไม่ว่าเขาจะเร็วแค่ไหน แต่กระแสน้ำที่ขวางกั้นเบื้องหน้าก็จะแยกออกก่อนเสมอ เปิดเป็นอุโมงค์ให้เขาผ่านไป
ด้วยความเร็วสูงสุดของกู่ฉิงซาน ทำให้ใช้เวลาเพียงไม่นาน จากส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง ในที่สุดก็มาถึงส่วนล่าง
กู่ฉิงซานข้ามผ่านภูเขาน้ำแข็งจากภายในโดยตรง
มองผ่านชั้นผิวน้ำแข็งโปร่งใสออกไป จะเห็นถึงผู้เข้าสู่วิถีมารที่กระจุกตัวกันอยู่อย่างหนาแน่น แม้กระทั่งการแสดงออกทางสีหน้าของพวกมัน ทั้งสองก็ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
หากกู่ฉิงซานชะลอความเร็วลงเขาก็คงจะได้พบกับฉากอันน่าสาสมใจยิ่ง
ด้านนอกภูเขา เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารกำลังเฝ้ามองกู่ฉิงซานกับลอร่า ในแววตาของมันมันคุกรุ่นไปปด้วยความโกรธและไม่ยินยอม
—แต่พวกมันได้รับบทเรียนจากราชามารวิญญาณมรณะมาก่อนแล้ว ทั้งหมดจึงไม่กล้าขึ้นไปบนภูเขา และไม่กล้าที่จะไล่ตามกู่ฉิงซานไป
ภายในภูเขาน้ำแข็ง กู่ฉิงซานโอบลอร่า พุ่งลงไปในน้ำลึกอย่างเงียบๆราวกับดาวตกที่ร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า
ทั้งสองฝ่ายได้แต่มองหน้ากันด้วยความขบขัน
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในที่สุด กู่ฉิงซานก็มาถึงส่วนล่างของภูเขาน้ำแข็งแล้ว
ตรงส่วนกลางของยอดเขา จะมีก้อนน้ำแข็งผสมปนเปไปกับน้ำ ลอยเคลื่อนไหวไปตามกระแสอย่างช้าๆ แต่เมื่อมาถึงส่วนล่าง น้ำแข็งทั้งหมดกลับหายไป ไม่อาจมองเห็นได้อีกเลย
ที่นี่มีเพียงกระแสน้ำวนอันรุนแรง หากผู้มาเยือนไม่ใช้เทคนิคมนตราป้องกันใดๆ ก็คงจะถูกมันกวาดล้างหายไปทันที
ท่ามกลางแสงสีน้ำเงินจากส่วนลึก มันไม่มีสิ่งใดอยู่เลย
กู่ฉิงซานมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม
ดูเหมือนว่าที่นี่คือโลกที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาล ดังนั้นการลดลงของแต้มพลังวิญญาณจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก และกว่าจะกินแต้มพลังวิญญาณแต่ละครั้ง มันก็ใช้เวลากว่าครั้งละราวๆ 3 วินาที
ซึ่งในกรณีนี้ จะส่งผลให้กู่ฉิงซานไม่จำเป็นต้องกังวลว่าแต้มพลังวิญญาณของเขาจะถูกสูบกลืนมากจนเกินไป
กู่ฉิงซานเหวี่ยงดาบเช่าหยิน เพื่อเปิดทาง และหลีกเลี่ยงกระแสน้ำวนที่ไหลเชี่ยว และตรงเข้าไปในส่วนลึกของมัน
สิบเมตร
หลายร้อยเมตร
หลายพันเมตร
หนึ่งหมื่นเมตร!
ในที่สุด ดาบเช่าหยินก็ได้ส่งข้อความบางอย่างมา
ขณะที่กำลังดำลงไปในน้ำ กู่ฉิงซานก็สัมผัสได้ถึงเสียงของเช่าหยิน
ครู่หนึ่งเขาก็เข้าใจในทันที
เขาถือดาบเช่าหยินในมือและเอ่ยถาม “โลกใบนี้มันเหมือนกับยุคโบราณของโลกเทวะอย่างงั้นหรอ? ตรงส่วนที่เป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่อะนะ?”
ดาบเช่าหยินผงกหัวรับ
“นี่มันไม่ถูกต้อง หากนี่เป็นมหาสมุทรจริงๆ แล้วเหตุใดข้าจึงไม่สามารถพบเจอกับสิ่งมีชีวิตโบราณตนอื่นๆได้เลยกันล่ะ?” กู่ฉิงซานถามอีกครั้ง
คราวนี้ดาบเช่าหยินชี้ไปยังส่วนล่างของก้นทะเลลึก และส่งเสียงฮึมฮัมอย่างต่อเนื่อง
กู่ฉิงซานรับฟังอย่างตั้งใจ
เขาสามารถสื่อสารกับเช่าหยินผ่านทางจิตได้ และตอนนี้เช่าหยินก็กำลังเล่าถึงเรื่องราวอันค่อนข้างที่จะน่าเหลือเชื่อให้แก่ตน
“โลกใบนี้ … แท้จริงแล้วซ่อนอยู่ใต้มหาสมุทร … ”
กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ
ณ ขณะนี้ เขาได้มาถึงส่วนล่างของก้นสมุทรแล้ว
เบื้องล่างเขา เป็นเปลือกน้ำแข็งสีฟ้าคราม
ผ่านชั้นน้ำแข็งเล็กๆนี้ไป กู่ฉิงซานสามารถมองเห็นฉากเบื้องล่างได้อย่างชัดเจน
มันคือภูเขา
แม่น้ำ
ผืนดิน
และที่สำคัญที่สุดก็คือ …
เมือง!
เมืองที่อยู่ภายใต้แสงสลัวๆ กำลังสาดแสงน้อยๆคล้ายกับดวงดาราท่ามกลางฟากฟ้า ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา
กู่ฉิงซานเพ่งสังเกตทุกอย่างเบื้องล่าง ในหัวใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกช็อก
ทันใดนั้นในเขาก็ตระหนักได้ถึงสิ่งหนึ่ง
ชั้นผิวโลกใบนี้ มันถูกปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง จึงส่งผลให้ทุกคนเข้าใจผิด คิดว่านั่นคือโลกสมบัติจริงๆของทริสเต้
แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น!
หิมะและน้ำแข็งที่ปกคลุมเป็นเพียงผิวชั้นนอกของโลกใบนี้ต่างหาก!
ภายใต้หิมะและน้ำแข็ง ยังมีมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
และภายใต้มหาสมุทร ก็ยังมีอารยธรรมโลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพบรรพกาล!
นี่นั่นเองคือความจริงของโลกใบนี้!
Ep.556 – แสงสว่างของโลก
“ให้เวลาฉันหนึ่งนาทีได้จริงๆหรอ? โอ้ว ขอบคุณมากนะ” กู่ฉิงซานกล่าว
ต้นกำเนิดเตือนอีกครั้ง “ข้าสามารถให้เจ้าพิจารณาเกี่ยวกับมันได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากหนึ่งนาทีผ่านไป เจ้าจะต้องส่งมอบแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดมาทันที และจงให้คำมั่นสาบานแก่ระบบ มิฉะนั้นเจ้าจะต้องตายลงที่นี่”
กู่ฉิงซานขมวดคิ้วและคิดอย่างรอบคอบ
ต้นกำเนิดพูดต่อ “กู่ฉิงซาน เจ้าจะต้องทำตามคำสั่งของข้า จงไปสำรวจสถานการณ์และทำการค้นหามั-”
“หยุด!” กู่ฉิงซานขัดจังหวะมันด้วยความไม่พอใจ “ทำไมยังพูดอยู่? เมื่อกี้บอกจะให้เวลาคิดหนึ่งนาทีไม่ใช่หรอ ทำไมยังมากวนอยู่อีก? ใช่แล้ว! ในเมื่อไม่ยอมเงียบ ถ้างั้นก็เริ่มนับเวลาใหม่!”
“ … ” ต้นกำเนิด
และมันก็หุบปากลง
อย่างไรก็ตาม เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารที่อยู่ล่างตีนเขากลับเร่งความเร็วมากขึ้น
พวกเขากำลังปีนขึ้นตรงมายังยอดภูเขาหิมะ
มองไปรอบกาย ไกลออกไปสุดสายตา โลกทั้งใบช่างดูมืดมิด
ภูเขาทุกลูกถูกปกคลุมไปด้วยจุดเงาดำๆผู้เข้าสู่วิถีมาร และทั้งหมดกำลังมุ่งตรงมายังทิศทางนี้
กล่าวได้ว่าการปิดล้อมเสร็จสมบูรณ์แล้ว
แต่แท้จริงกู่ฉิงซานกลับไม่สนใจจะดูสิ่งเหล่านี้เลย ที่เขาทำก็เพียงก้มหน้าเค้นสมองคิดไตร่ตรองเท่านั้น
“ระบบเทพสงคราม”
“ฉันอยู่นี่” หน้าต่างสถานะสีฟ้าสว่างขึ้น
“ได้เวลาที่พวกเราจะปล่อยภารกิจกันแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น วัตถุประสงค์ภารกิจคืออะไร?”
“ค้นหาความจริงของโลก”
พร้อมกันกับคำพูดของกู่ฉิงซาน เส้นแสงหิ่งห้อยก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม
“ภารกิจเทพสงครามนี้เป็นภารกิจต่อเนื่อง”
“ภารกิจต่อเนื่องเตรียมพร้อมแล้ว และคุณจะต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อให้ภารกิจทั้งหมดเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ และเมื่อสังหารต้นกำเนิดได้ คุณก็จะได้รับรางวัลในท้ายที่สุด
“วัตถุประสงค์ภารกิจ : ต้นกำเนิดได้ปลดปล่อยภารกิจระดับสูงสุดเพื่อสังหารคุณ ดังนั้นเงื่อนไขภารกิจต่อเนื่องของระบบเทพสงครามก็คือ คุณจะต้องรอดชีวิตไปให้จงได้ และทำการค้นหาความจริงของโลกใบนี้”
“เอาล่ะ โปรดตั้งชื่อภารกิจด้วย”
กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่เสียเวลาคิด “แสงสว่างของโลก”
“รับทราบแล้ว”
แต่กู่ฉิงซานก็เอ่ยถามอีกครั้ง “ฉันจำได้ว่าคุณบอกว่าสามารถดาวโหลดเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ได้เลยโดยไม่ต้องหวาดกลัวมัน”
“ใช่” ระบบเทพสงครามตอบรับ
“แต่ตอนนี้ฉันไม่ต้องการที่จะพูดคุยกับมันอีกต่อไปแล้ว รบกวนช่วยถอนการติดตั้งมันออกให้หน่อยจะได้ไหม”
ระบบเทพสงครามกล่าวทันที “โปรดไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างรอบคอบด้วย เพราะการถอนการติดตั้งต้นกำเนิดจะต้องจ่าย 100000 แต้มพลังวิญญาณ และทำไปแล้วมันจะไม่มีทางย้อนกลับ คุณจะต้องพิจารณาอย่างจริงจังว่าการกระทำนี้จะทำให้มันโกรธโดยสมบูรณ์”
“มันจะโกรธงั้นหรอ? เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก แต่ที่น่าคิดคือเรื่องต้องเสียตั้ง 100000 แต้มต่างหาก … ”
ระหว่างกล่าว กู่ฉิงซานก็มองไปยังปริมาณแต้มพลังวิญญาณของตน
“แต้มพลังวิญญาณส่วนเกิน : 399600/400”
หือ?
เห็นได้ชัดว่าตนใช้แต้มพลังไปมากแล้วนี่นา แล้วทำไมมันถึงได้เพิ่มขึ้นกันล่ะ?
เพียงขบคิดเล็กน้อย กู่ฉิงซานก็เข้าใจในที่สุด
เพราะไม่ว่าจะเป็นมอนสเตอร์ในเมือง , ตึก 600 ชั้น หรือปีศาจหิมะในหุบเหวที่ถูกเขายิงปืนใส่จนกลายเป็นขี้เถ้า ที่กล่าวมา ระบบเทพสงครามล้วนเก็บแต้มพลังวิญญาณพวกมันมาทั้งหมด เช่นเดียวกันกับการต่อสู้ระหว่างกลุ่มผู้เข้าสู่วิถีมารในทุ่งน้ำแข็ง
ดังนั้นแต้มพลังวิญญาณของกู่ฉิงซานจึงไม่ลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้น
กู่ฉิงซานจึงตัดสินใจทันที
“ถอนการติดตั้งมันซะ นับจากนี้ ฉันไม่ต้องการที่จะให้ต้นกำเนิดรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหนอีกต่อไป”
ระบบเทพสงครามกล่าว “ได้รับ 100000 แต้มพลังวิญญาณมาเรียบร้อยแล้ว เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์เลวร้ายที่แน่นอนว่าย่อมจะเกิดขึ้นในฉับพลัน ระบบจึงจะขอถอนการติดตั้งเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด ทันทีหลังจากครบหนึ่งนาที”
“รบกวนคุณแล้ว”
กู่ฉิงซานอุ้มลอร่าไปวางเบื้องหลังเขา
“จับกระหม่อมไว้ให้แน่น”
เขาพูดเตือนอย่างจริงจัง
ลอร่ารีบโอบกู่ฉิงซาน ปากกล่าวเสียงกระซิบ “เราจับแล้ว — นี่พวกเราจะต้องตายด้วยกันใช่ไหม?”
“เปล่า พวกเราจะไม่ตาย”
“ถ้าอย่างงั้น หมายความว่าเจ้าจะยอมแพ้หรือ? กู่ฉิงซาน ขอบอกไว้เลยนะว่าเรายอมตายดีกว่ายอมจำนน”
“ทำไมท่านถึงยอมตายดีกว่ายอมจำนนล่ะ?” กู่ฉิงซานสงสัย
“เพราะเราคือเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรหนาม แม้ว่าจักต้องเผชิญกับความตาย แต่มันก็มิอาจบีบบังคับให้เราก้มหัวแก่ศัตรูได้”
“ยอดเยี่ยม คำพูดนี้ทำให้ฝ่าบาทเริ่มจะดูเหมือนผู้สืบทอดราชบัลลังก์ที่แท้จริงขึ้นมาบ้างแล้ว” กู่ฉิงซานสรรเสริญ
ลอร่าพลิกมือของเธอ และหยิบเอากริชที่มีลวดลายงดงามออกมา
เธอกดคมแหลมของกริชลงรอบคอตน พูดทั้งน้ำตา “กู่ฉิงซาน โปรดบอกคำตอบของเจ้ามา หากเจ้ายอมจำนน เราจะฆ่าตัวตายที่นี่ทันที”
ทุกสารทิศรายล้อมไปด้วยผู้เข้าสู่วิถีมารกว่า 200 ล้านคน
ขณะที่เบื้องหน้า คือราชามารวิญญาณมรณะ มันคืออสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหล ในหัวใจของลอร่าจึงไร้ซึ่งความหาญกล้าที่จะต่อต้าน
“เก็บกริชไปเถอะ กระหม่อมจะไปยอมจำนนได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานหัวเราะ
“ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกเรา – ”
“พวกเราได้ข้อมูลสำคัญของต้นกำเนิดกับผู้เข้าสู่วิถีมารมามากพอแล้ว จากนี้ไป พวกเราจะเริ่มค้นหาเกี่ยวกับความลับของโลกใบนี้กัน”
ลอร่าชะงักงัน
เธอมองไปยังท่าทีที่ยังคงสงบของกู่ฉิงซาน และสัมผัสได้ถึงความไม่แยแสใดๆต่อสถานการณ์ตรงหน้าในน้ำเสียงของเขา
เธออดไม่ได้ที่จะหันไปมองราชามารวิญญาณมรณะฝั่งตรงข้าม และผู้เข้าสู่วิถีมารที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“แต่ … พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังแบบนี้ ถ้าไม่ยอมแพ้ก็คงต้องตายเท่านั้น”
“ตอนนี้พวกเรายังคงอยู่ในระหว่างขั้นตอนการล้วงข้อมูลศัตรูอยู่ การต่อสู้ยังไม่เริ่มต้นขึ้นเลย ฉะนั้นอย่าพึ่งพูดอะไรที่มันไม่เป็นมงคลจะดีกว่านะฝ่าบาท”
“นี่–”
“แค่จับกระหม่อมไว้ให้แน่นก็พอ”
ลอร่าไม่รู้ว่าจะเถียงอะไรอีกต่อไป
เธอช่วยไม่ได้ต้องจำใจเก็บกริชลง และโอบกอดกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานตบลงบนม้าทมิฬและกล่าว “กลับไปยังยอดภูเขา”
“ท่านทั้งสอง อยากจะชมทิวทัศน์หรือกำลังเร่งรีบ?” ม้าทมิฬเอ่ยถาม
“รีบสุดๆไปเลย”
“ … แต่มีเจ้าตัวใหญ่ขวางอยู่ข้างหน้า”
“เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”
“แต่ข้าจะไม่รับผิดชอบต่อการตายของท่านนะ”
“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า แค่ทำหน้าที่ของตัวเองไปก็พอ”
ตูม-
ม้าทมิฬทิ้งไว้เพียงภาพติดตา ควบทะยานเข้าหาราชามารวิญญาณมรณะโดยตรง
ในขณะเดียวกัน เวลาหนึ่งนาทีก็หมดลง
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง หน้าต่างสีแดงก็หายไปจากสายตาของกู่ฉิงซานโดยสมบูรณ์
ได้ยินเพียงเสียงคำรามทิ้งท้ายเล็ดลอดออกมา
“เป็นแค่ทาส แต่เจ้ากล้าที่จะทำแบบนี-”
แต่เสียงของต้นกำเนิดก็หายไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้น เสียงของระบบเทพสงครามก็ดังขึ้น
“ถอนการติดตั้งเสร็จสิ้นแล้ว แต่ตอนนี้ต้นกำเนิดโคตรจะโกรธคุณเลย มันจะต้องสั่งการให้ฆ่าคุณในทันทีอย่างแน่นอน โปรดมั่นใจด้วยว่าตนเองจะสามารถรอดชีวิต หนีออกไปจากสถานการณ์นี้ให้ได้”
กู่ฉิงซานยิ้ม
ตรงข้ามกับเขา ราชามารวิญญาณมรณะก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน
มันแสดงออกถึงสีหน้าที่แปลกประหลาดใจ
“ในเมื่อเจ้าสองตัวโง่งมนี่ดันเลือกที่จะตาย ถ้างั้นก็จงถูกทรมานสามวันสามคืน จนกว่าลมหายใจจะดับลงเถอะ!”
ราชามารวิญญาณมรณะพึมพำกับตนเอง ร่างของมันขยับวูบบบบ! ด้วยแรงกดดันอันมหาศาล โฉบลงภูเขา
บังเกิดสายลมรุนแรงกวาดพรึบ! รอบตัวมัน ในอากาศที่ว่างเปล่าเกิดเสียงกระซิบหวิวนับไม่ถ้วนดังขึ้น
ราชามารวิญญาณมรณะคืออสูรกายปฐมบทแห่งความโกลาหล ดังนั้นมันจึงครอบครองพลังอำนาจอันแปลกประหลาดมากมาย
ท่ามกลางช่วงเวลาเดือดพล่าน กู่ฉิงซานกับราชามารวิญญาณมรณะถูกสลับที่กันอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองฝ่ายหายวับไป และแทนที่ตำแหน่งของอีกฝ่ายในเวลาเดียวกัน!
สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!
วินาทีนี้ เบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน ไม่มีอุปสรรคใดๆกีดขวางอีกต่อไป
ม้าทมิฬเร่งสุดฝีเท้า ทั้งตนทั้งร่างของมันสาดแสงสายฟ้าเรืองรอง ควบทะยานมุ่งขึ้นสู่เบื้องบน
“กล้าเล่นตลกกับข้างั้นหรือ? เป็นความสามารถที่น่าสนใจดีนี่ แต่ยังไงซะเจ้าก็ไม่มีทางหนีพ้น!” ราชามารวิญญาณมรณะมองย้อนกลับมาและคำรามลั่น
การพลาดท่าในครั้งนี้ ทำให้มันรู้สึกโกรธขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน
อีกฝ่ายหนึ่งกำลังเร่งความเร็วขึ้นไปบนภูเขา ราชามารวิญญาณมรณะจึงจำต้องทุ่มเต็มกำลังเพื่อที่จะไล่ตามติดประชิด
“ฮะฮ่าฮ่า!” นักรบเทพที่อยู่บนหัวของราชามารวิญญาณมรณะหัวเราะขบขัน
เขาตะโกนราวกับคนบ้า “หนี! จงหนีเข้าไป ภูเขาโดยรอบน่ะถูกล้อมเอาไว้หมดแล้ว ข้าละอยากจะรู้จริงๆว่าเจ้าจะสามารถหนีไปได้ถึงไหนกัน!”
ม้าทมิฬราวกับไม่รับรู้ ไม่ได้ยินสิ่งใด มันเพียงพุ่งเข้าไปข้างอีกครั้ง และอีกครั้ง
มันระเบิดความเร็วเต็มพิกัด มุ่งขึ้นสู่ยอดภูเขาน้ำแข็ง
ระหว่างทาง กู่ฉิงซานได้ปล่อยสามดาบออกมา และสั่งให้พวกมันเหวี่ยงเทคนิคลับแห่งดาบ กระบวนท่าแล้วท่าเล่าใส่ราชามารวิญญาณมรณะที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อชะลอความเร็วของมันให้ลดลงเล็กน้อย
ตูม ตูม ตูมมม!
รังสีดาบอันทรงประสิทธิภาพปกคลุมตลอดทุกพื้นที่ และผลักดันมันให้ถอยกลับไปเบื้องหลัง
หลังจากที่ใช้สมองขบคิดเสี้ยวหนึ่ง ราชามารวิญญาณมรณะก็เลือกที่จะเอี้ยวตัวหลบรังสีดาบเล็กน้อย
แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะไม่ว่ามันจะเลือกหลบหรือต้านทานรังสีดาบ สุดท้ายผลลัพธ์ก็คือมันเชื่องช้าลงอยู่ดี
ราชามารวิญญาณมรณะคำรามด้วยความโกรธแค้น “บัดซบ! บัดซบ! ข้าจะต้องฉีกทึ้งเจ้าเป็นชิ้นๆให้จงได้!”
กู่ฉิงซานไม่คิดเสียเวลาเถียงหรือมองย้อนกลับไป เขาควบม้าทมิฬเข้าสู่วิหาร
“ไปต่อ!” กู่ฉิงซานตะโกนสั่งม้า
“เข้าใจแล้ว”
เพียงหนึ่งลมหายใจ พวกเขาก็สามารถตรงมาถึงใจกลางวิหาร
“ลอร่า เก็บสัตว์ขี่ซะ” กู่ฉิงซานเร่งตะโกน
“อ๊า เข้าใจแล้ว”
ลอร่าเป่านกหวีดทันที และม้าทมิฬก็หายวับไป
กู่ฉิงซานอุ้มลอร่าไว้ในอ้อมแขนออกเขา และพุ่งผ่านศพของมอนสเตอร์โบราณไป
ทั้งสองหยุดยืนอยู่หน้าถ้ำน้ำแข็ง
–นี่คือถ้ำน้ำแข็งขนาดใหญ่ซึ่งจะนำลงไปสู่ภายในตัวของภูเขาน้ำแข็งโดยตรง
ซึ่งภายในภูเขาน้ำแข็ง มีกระแสน้ำไหลเวียนวนอยู่อย่างช้าๆ
เลือดสีแดงสดได้ไหลไปตามทิศทางของกระแสน้ำ และหายไปแล้ว
ชั้นน้ำสีฟ้าเข้มของสระลึก ตรงส่วนผิวชั้นบนปรากฏถึงประกายอันเย็นฉ่ำ แม้มันจะโปร่งใสและสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ทว่าลึกลงไปกลับไม่สามารถมองเห็นได้ว่ามีสิ่งใดอยู่เบื้องล่าง
จ้องมองไปลงยังสีฟ้าส่วนลึกเบื้องล่าง ราวกับปรากฏจินตนาการ ภาพลวงตาว่าพวกเขากำลังยืนอยู่บนขอบหน้าผาผุดขึ้นมา
“มันสูงจัง แค่ก้มมองลงไปเราก็เริ่มที่จะรู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยแล้ว – ประเดี๋ยวก่อน นั่นเจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ?” ลอร่าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ก็ลงไปดูมันไง” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาเอื้อมมือไปคว้าอากาศที่ว่างเปล่า และจับดาบเช่าหยินเอาไว้ในมือ
—นี่คือวิหารของเทพบรรพกาล
และในมือของกู่ฉิงซานก็กำลังถือสิ่งประดิษฐ์เทวะที่ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพอยู่
“ดาบจากโบราณอันไกลโพ้น ดาบเช่าหยิน”
“ในสมัยโบราณ โลกเทวะเต็มไปด้วยมหาสมุทรไพศาลไร้ที่สิ้นสุด ยามเมื่อทวยเทพได้จากไป พวกเขาได้ทิ้งมันลงในสี่ห้วงสมุทร”
“ผู้ที่ถือดาบเล่มนี้จะกลายเป็นราชาแห่งท้องทะเล”
กู่ฉิงซานชี้ปลายดาบเช่าหยินลงไปในน้ำ
ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม!
ยามเมื่อคมแหลมของดาบจี้ลงไป กระแสน้ำแข็งทั้งหมดพลันแยกออกจากกัน เพื่อเปิดเส้นทางให้กู่ฉิงซานกับลอร่า
พวกมันยอมรับคำสั่งจากเขาโดยไม่มีเงื่อนไข
กู่ฉิงซานกอดลอร่าเอาไว้ และกระโดดลงไปจากที่มุมสูง โฉบลงคล้ายกับวิหคที่ทิ้งตัวลง และลอยล่องอยู่ในอากาศท่ามกลางหมู่มวลน้ำ
โฮกกกก-
ในเสี้ยววินาที ราชามารวิญญาณมรณะก็สามารถประชิดตัวพวกเขาได้ในที่สุด
มันเข้ามาในวิหาร และพุ่งตรงไปยังพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“อย่าได้คิดพยายามที่จะหลบหนี-” ราชามารวิญญาณมรณะคำราม
กู่ฉิงซานวางลอร่าลงบนไหล่เขา และเหวี่ยงดาบยาวไปเบื้องหลัง
ทันใดนั้นกระแสน้ำที่เปิดทาง พลันหุบตัวเข้าหากันในทันที
ขณะเดียวกัน วินาทีต่อมา เงามืดขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเหนือผิวน้ำ
ราชามารวิญญาณมรณะ พุ่งเข้ามาในถ้ำน้ำแข็ง
ปงงงง!
บังเกิดเสียงอู้อี้หนักทึบ
มันถูกมวลน้ำกระแทก ทั้งตนทั้งร่างเด้งกระดอนกลับขึ้นไปทันที
—น้ำในภูเขาน้ำแข็ง … ได้ปฏิเสธการเข้าถึงของมัน!
Ep.555 – ปฏิวัติ
ราชามารวิญญาณมรณะ ยืนอยู่ท่ามกลางสายลมและหิมะ เปลวเพลิงทมิฬค่อยๆแผ่ขยายออกมาจากร่างกายของเขา สาดแสงขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน ภายใต้การสาธยายของนักรบเทพ มันเพียงแค่ยืนฟังอย่างเงียบๆ ยืดหลังตรง มิได้ปลดปล่อยแรงกดดันหรือโน้มกายลงอยู่ในท่วงท่าต่อสู้
บางทีอาจเป็นเพราะมันสัมผัสได้ว่า ในขณะที่ฝั่งตนเองนั้นพร้อมรบเต็มที่ แต่อีกฝั่งหนึ่ง กลับสิ้นหวังและพร้อมที่จะตายแล้วก็ได้
นักรบเทพได้เริ่มคำสั่งโจมตี
ทว่าวินาทีนั้นเอง
ก่อนที่จะทันได้ลงมือ ราชามารวิญญาณมรณะ ก็นิ่งงันไป
“ใจเย็นๆก่อน ระบบของราชามารต้องการที่จะสนทนากับเขาสักเล็กน้อย” ราชามารวิญญาณมรณะกล่าว
“ว่าไงนะ!” นักรบเทพอุทานเสียงหลง
เขาชักอาวุธตนเองออกมาอย่างไม่ยินยอม และต้องการที่จะลงมือด้วยตนเอง
ท่ามกลางความเงียบ จู่ๆกลับปรากฏถึงคมแหลมสีดำเปื้อนเลือดขึ้นต่อหน้านักรบเทพอย่างกระทันหัน
นี่คือนิ้วของราชามารวิญญาณมรณะ ไม่สิ .. สมควรจะกล่าวว่ามันเป็นเพียงเล็บนิ้วมือของมันซะมากกว่า
เล็บคมกริบดั่งหอกแหลมถูกทาบวางลงเบาๆเหนือหัวของนักรบเทพ
ตามด้วยเสียงของราชามารวิญญาณมรณะที่ดังขึ้น
“หยุดซะ อย่าได้คิดท้าทายคำสั่งของระบบ มิฉะนั้นแล้วล่ะก็ … ”
นักรบเทพชะงักงัน มิกล้าเคลื่อนไหวใดๆ
แล้วเขาก็มองไปยังภูเขาที่ห่างไกล
บนเนินเขา คราคร่ำไปด้วยผู้เข้าสู่วิถีมาร
และความเร็วของพวกเขาไม่ลดลงเลย ตรงกันข้าม มันกลับยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆซะอีก
กว่า 200 ล้านผู้เข้าสู่วิถีมารกำลังมุ่งหน้ามาอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้ใกล้จะถึงตีนเขาของภูเขาที่พวกเขายืนอยู่แล้ว
การปิดล้อม จะเสร็จสมบูรณ์ในเร็วๆนี้
ซึ่งไม่ว่าใครก็ตาม หากตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ยากที่จะหลบหนี
นักรบเทพจึงวางอาวุธของตนลง แม้จะไม่พอใจก็ตามที
เขาถลึงตามองกู่ฉิงซานชนิดหัวชนฝา ตนไม่เข้าใจจริงๆว่าระบบยังมีเรื่องอะไรที่ต้องการจะคุยกับคนๆนี้อยู่อีก
ตรงข้ามกับเขา กู่ฉิงซานจ้องมองเข้าไปในความว่างเปล่า
หน้าต่างต้นกำเนิดสาดแสงสีแดงเรืองรอง พร้อมกับค่อยๆเริ่มปรากฏภาพเคลื่อนไหวขึ้น
ภาพตั้งแต่ที่กู่ฉิงซานได้เข้ามายังโลกใบนี้ และฉากการต่อสู้ที่ผ่านมาได้ปรากฏขึ้นบนหน้าต่าง
การต่อสู้ปิดล้อมในครั้งแรก กู่ฉิงซานสามารถใช้ดาบกวาดล้างทั้งเมืองออกไปได้
ในการต่อสู้ครั้งที่สอง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปีศาจหิมะในหุบเหวน้ำแข็ง เขาก็ใช้กระสุนเพียงนัดเดียว ยิงเปรี้ยง! แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นเถ้าถ่าน
ในการต่อสู้ครั้งที่สาม เขาเลือกที่จะกระโจนลงจากยอดตึก 600 ชั้น ระหว่างทางก็ทุบทำลายกำแพง และกระโดดเข้าไปฆ่าสังหารบ้างเป็นครั้งคราว
ในการต่อสู้ครั้งที่สี่ เขาได้ต่อกรกับศัตรูหลายคนอย่างต่อเนื่อง โดยการใช้ร่างเงาแทนที่ ทั้งหมดทั้งสิ้น 3 ลมหายใจเพื่อดับชีวิตนับสิบของอีกฝ่าย
หนึ่งในคำอธิบายโดดเด่นที่ปรากฏขึ้น ระบุเกี่ยวกับคนเหล่านั้นว่า “ทีมเลือดสังหาร , การจัดอันดับทีม : ที่สอง”
ในการต่อสู้ครั้งที่ห้า ยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้น มันจึงเพียงแสดงให้เห็นภาพของเขาที่ยืนอยู่ในวิหาร พร้อมด้วยคำอธิบายว่า ผู้เข้าสู่วิถีมารกว่า 800 คนได้ถอนการติดตั้งต้นกำเนิด
เมื่อภาพที่ห้าสิ้นสุดลง เสียงของต้นกำเนิดก็ดังขึ้น
“อ้างอิงตามระดับความสามารถในการต่อสู้ ในบรรดาผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมด ระดับของกู่ฉิงซาน : 9”
“อ้างอิงตามความสามารถในการตัดสินใจ ความสามารถในการตอบสนองต่อกลยุทธ์ ในบรรดาผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมด ระดับของกู่ฉิงซาน : 1”
“ผู้ทรยศกู่ฉิงซานเอ๋ย เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นนักรบโดยแท้ ร่างกายของเจ้าครอบครองมาตรฐานการต่อสู้ที่ดี ขณะเดียวกัน กลยุทธ์การตอบสนองต่อสถานการณ์ก็ยอดเยี่ยม ดังนั้นข้าจึงจะมอบโอกาสสุดท้ายให้แก่เจ้า”
“โปรดยอมแพ้ที่จะต่อต้านซะ แล้วให้คำมั่นสาบานว่าจะจงรักถักดีต่อต้นกำเนิดของราชามาร แล้วเจ้าจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม
นี่มันต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่ๆ
นั่นเพราะเขารู้จักเจ้าต้นกำเนิดนี่ดี
ไม่ว่าจะในชีวิตก่อนหน้าหรือชีวิตนี้ ต้นกำเนิดมันโหดเหี้ยมและไม่เคยแยแสเสมอมา มันกระทำต่อสิ่งมีชีวิตดั่งมดไร้ค่า และย่อมไม่มีทางที่จะปล่อยใครไปง่ายๆ
แล้วเพราะอะไรกัน? ทำไมจู่ๆมันถึงมาพูดดีๆกับเขา?
“ฉันไม่ต้องการที่จะต่อกรกับราชามารวิญญาณมรณะ เพราะฉันสู้มันไม่ได้จริงๆ”
กู่ฉิงซานคิดแล้วพูดต่อ “ฉะนั้นก่อนที่ฉันจะพิจารณาเรื่องยอมจำนน ได้โปรดบอกฉันมาก่อนว่าทำไมแกถึงเปิดช่องโหว่ มอบโอกาสที่จะให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปกัน?”
ต้นกำเนิด “ที่เจ้าได้รับโอกาสรอดชีวิต นั่นก็เพราะเจ้าจะต้องช่วยข้าค้นหาวิธียึดครองสถานที่แห่งหนึ่ง”
กู่ฉิงซานตั้งใจฟังอย่างรอบครอบ และจมอยู่ในห้วงความคิดอย่างลึกซึ้ง
ฟังจากที่พูดมา ดูเหมือนว่าต้นกำเนิดจะมีปัญหาบางอย่าง
ทันใดนั้นร่างของสิ่งมีชีวิตโบราณก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน
จริงสิ ในโลกใบนี้น่ะ นอกจากมีเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารกว่า 200 ล้านคนของต้นกำเนิด และสิ่งมีชีวิตโบราณที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพบรรพกาลแล้ว บางทีอาจจะยังมีสิ่งอื่นที่สามารถต่อกรกับมันได้อยู่อีกก็ได้
แต่ดูจากท่าทีของต้นกำเนิดที่กำลังร้อนใจ เหมือนกับว่ามันไม่ลังเลเลยที่จะทุ่มหมดตัว หรือยอมแม้กระทั่งปล่อยให้กู่ฉิงซานรอดชีวิตต่อไป
เพื่อที่จะยึดสถานที่ดังกล่าว มันถึงขั้นยอมใช้เฉือนเนื้อตัวเอง ประโยชน์จากศัตรู
นี่บ่งบอกได้ว่ามันทุ่มทุกอย่างแล้วจริงๆ
-ทำไมกันล่ะ?
สิ่งใดกันที่จะสามารถทำให้ต้นกำเนิดร้อนรนได้ถึงขนาดนี้?
กู่ฉิงซานเค้นสมองขบคิด
“ระบบเทพสงคราม” เขาเรียกอย่างเงียบๆ
ติ๊ง!
บังเกิดเสียงอันคมชัด หน้าต่างสีฟ้าอ่อนสว่างขึ้นทันที เบียดเข้ามาข้างๆกับหน้าต่างสีแดง
“ฉันอยู่ที่นี่แล้ว” ระบบเทพสงครามตอบกลับ
“พอดีว่าฉันมีคำถามที่ต้องการถามคุณ”
“โปรดอธิบายถึงคำถามของคุณ”
“ในเมื่อเชื้อไฟสามารถอัพเกรดขึ้นเป็นต้นกำเนิดได้ ถ้าอย่างงั้นแล้วต้นกำเนิดล่ะ? ต้นกำเนิดมันปรารถนาสิ่งใดกัน? มันจะยังอัพเกรดตัวเองได้อีกหรอ?”
ระบบเทพสงครามตอบกลับ “สามระดับของหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online มีรายละเอียดดังนี้”
“ระดับแรก คือเชื้อไฟ และมันจะต้องได้รับแต้มพลังวิญญาณมากพอจึงจะสามารถอัพเกรดได้”
“ระดับที่สอง คือต้นกำเนิด นอกเหนือไปจากแต้มพลังวิญญาณ มันยังจำเป็นต้องการบางสิ่งบางอย่างที่วิเศษเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะอัพเกรดไปสู่ระดับถัดไป”
“ต้นกำเนิดสามารถแพร่กระจายได้เพียง 10 ล้าน – 90 โลกลำดับชั้นเท่านั้น และฟังก์ชั่นต่างๆของมันยังขาดความละเอียดอ่อนอยู่มาก”
“ระดับที่สาม เมื่อต้นกำเนิดสามารถอัพเกรดตนเองได้สำเร็จ มันจะสามารถแพร่กระจายไปได้ตลอดทั้ง 300 ล้านโลกลำดับชั้น และแทบจะไม่มีใครสามารถต่อกรกับมันได้เลย”
“ซึ่งในระดับนี้ มันจะถูกเรียกว่า ‘หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ปฏิวัตร’ ”
ในหัวใจของกู่ฉิงซานตกตะลึง
สามารถแพร่กระจายไปได้มากกว่า 300 ล้านโลกลำดับชั้น!
หากนับดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูเพิ่มเข้าไปด้วยแล้วล่ะก็ นั่นหมายความว่า เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา จะสามารถแพร่กระจายไปได้เกินครึ่งของโลก 900 ล้านชั้น!
และเหตุการณ์นี้จะเปลี่ยนแปลงโลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้นไปอย่างแน่นอน
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมชื่อของมันถึงถูกเปลี่ยนเป็น ‘ปฏิวัตร’
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมตัวมันเองถึงร้อนรนมากมายขนาดนี้!
กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที “แล้วนอกเหนือไปจากแต้มพลังวิญญาณนี่ … ต้นกำเนิดยังต้องการอะไรอีกเพื่ออัพเกรดไปสู้ขั้นถัดไป”
ระบบ “มันจำเป็นต้องใช้วัตถุวิเศษบางอย่างที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยเทพวิญญาณจากโบราณอันไกลโพ้น ซึ่งวัตถุชิ้นนี้จะช่วยให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดไม่สามารถวิวัฒนาการได้”
กู่ฉิงซานผงกหัวเล็กน้อยและกล่าวอย่างเงียบๆ “ฉันสงสัยว่าต้นกำเนิดคงจะพบสถานที่ตั้งของวัตถุวิเศษที่ว่าแล้ว แต่มันยังไม่สามารถเข้าไปยึดเอาวัตถุที่ว่ามาได้ ดังนั้นมันจึงหยิบยื่นชีวิตให้แก่ฉัน”
ในเวลานั้นเอง เสียงของต้นกำเนิดก็ดังขึ้นอีกครั้ง “กู่ฉิงซาน เจ้าจงบอกคำตอบมา จะรับคำของข้า หรือจะทุกข์ทรมานจนตาย”
“นี่คือคำถามสุดท้ายที่ข้าจะถามเจ้า! และเจ้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว จงให้คำมั่นแก่ข้าซะ!”
พร้อมกันกับเสียงของต้นกำเนิด ราชามารวิญญาณมรณะก็กลับมาอยู่ในท่วงท่าเตรียมโจมตีอีกครั้ง
ตลอดทุกทิศทาง คลื่นสีดำกำลังกระเพื่อมไหว เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารกำลังเข้ามาปิดล้อมเขา มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ ครอบคลุมออกไปจนสุดสายตา
ตอนนี้ พวกเขาเริ่มที่จะปีนป่ายขึ้นภูเขาแล้ว และคงจะมาถึงที่นี่ในไม่ช้า
กู่ฉิงซาน สังเกตุสถานการณ์โดยรอบวูบหนึ่งและกล่าว “ระบบของราชามารที่ยิ่งใหญ่ ฉันขอเวลาคิดสักหนึ่งนาทีจะได้ไหม?”
“หนึ่งนาทีรึ? ตกลง” ต้นกำเนิดกล่าว
Ep.554 – ความในใจของผู้เข้าสู่วิถีมาร
ราชามารวิญญาณมรณะ ไม่คิดปกปิดกลิ่นอายตนเอง ระเบิดฝีเท้าพุ่งเข้าสู่สภาวะเดือดดาลในทันใด
เพราะด้วยความแข็งแกร่งของมัน แน่นอนว่าย่อมไม่มีเรื่องใดที่จำเป็นจะต้องมาคิดกังวล
การสังหารสองสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงทางขึ้นเขา เพียงใช้ออกด้วยความพยายามเล็กน้อย … ก็จบแล้ว
มันวิ่งข้ามผ่านสายลมและหิมะ โฉบตัวลงมาจากยอดเขา
กู่ฉิงซานกับลอร่าสามารถตระหนักได้ถึงกลิ่นอายของราชามารวิญญาณมรณะได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งสองเงยหน้าขึ้น มองไปยังจุดสีดำบนท้องฟ้า
แม้ว่าภูเขาหิมะลูกนี้จะเป็นลูกที่สูงที่สุด แต่ความเร็วในการลดระดับลงมาของร่างเงาดังกล่าว กลับว่องไวอย่างน่าเหลือเชื่อ
“ฝ่าบาทรู้สึกถึงมันไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ลอร่าตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “กลิ่นอายอันน่าพรั่นพรึ่งเช่นนี้ … ศัตรูสามารถปลดปล่อยมันออกมาได้อย่างไรกัน!?”
“เจ้าพยายามคิดหาหนทางเร็วเข้า!” เธอกล่าวด้วยความวิตก “สำหรับตัวเรา ถึงแม้ว่าจะพอมีสิ่งประดิษฐ์เทวะอยู่หลายชิ้นที่สามารถใช้ต่อกรกับมันได้ ทว่าการกระตุ้นสิ่งประดิษฐ์เทวะเหล่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้ากับเรา มันยังไม่เพียงพอ”
กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป กวาดเข้าใส่ร่างของราชามารวิญญาณมรณะ
“ความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ตนนี้ มันเหนือล้ำยิ่งกว่ากระหม่อมกับพระองค์เป็นสิบเท่า พวกเราคงไม่มีทางที่จะต้านทานมันได้หรอก .. ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา
เขานั่งอยู่บนหลังม้า และมองออกไปยังทุ่งสีดำทะมึน
เป็นเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารที่รายล้อมภูเขาน้ำแข็งจากทุกทิศทาง
และทั้งหมดก็กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
ผู้เข้าสู่วิถีมารเหล่านี้ มิใช่ตัวตนธรรมดา แต่เป็นอัจฉริยะชั้นยอดจากหลากหลายโลกลำดับชั้น
ภายใต้ระดับเดียวกัน ด้วยความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซาน การจะเอาชนะศัตรูแบบ 1 : 100 มันยังพอเป็นไปได้
แต่หากมีศัตรูมากยิ่งกว่านั้น กระทั่งตัวเขาก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้
โดยลำพัง แต่ต้องต่อกรกับศัตรูนับไม่ถ้วนในระดับเดียวกัน ไม่ช้าก็เร็วคงจะต้องเกิดอาการบาดเจ็บ และอาการบาดเจ็บก็จะสั่งสมมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายสมดุลลของการต่อสู้ก็จะค่อยๆเอนเอียง และจบลงด้วยความตายในที่สุด
หากลองย้อนถอยกลับมาสักหนึ่งก้าว มาพูดกันถึงในตอนที่เขายังไม่ได้รับบาดเจ็บ ต่อให้ตนครอบครองสมญาเทพสงคราม หรือสกิลเทวะอย่าง ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว และร่างเงาแทนที่ก็ตามที แต่พละกำลังกายตนย่อมมีจำกัด และไม่เพียงพอที่จะสังหาร 200 ล้านผู้เข้าสู่วิถีมารได้
นี่แหละความเป็นจริงของสถานการณ์ในตอนนี้
ไม่ต้องกล่าวถึง 200 ล้านคน เพียงแค่เผชิญหน้ากับ 800 ผู้เข้าสู่วิถีมาร กู่ฉิงซานก็ยังต้องนำเอาค่ายกลดาบไท่หยี ออกมาขู่อีกฝ่ายเลย
ตูม!
พื้นน้ำแข็งสั่นสะเทือนเล็กน้อย
มอนสเตอร์หัวหมาป่าสูงหลายเมตรปรากฏตัวขึ้น
มันยืนอยู่ตรงข้ามกู่ฉิงซานกับลอร่า จ้องมองพวกเขาอย่างเงียบๆ
ดวงตาของมันเย็นชาและไร้ซึ่งความปราณี เฉกเช่นเดียวกันกับกำลังดูแมลงวันสองตัวบินอยู่ และจะตบตายด้วยฝ่ามือเมื่อไหร่ ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย
ในที่สุดราชามารวิญญาณมรณะก็มาถึง
ลอร่าหดตัวเข้าไปในอ้อมแขนของกู่ฉิงซาน ปากพึมพำเสียงกระซิบ “พวกเรากำลังจะตายสินะ?”
กู่ฉิงซานลูบหลังเธอ และหันไปถามนักรบเทพที่อยู่บนหัวมัน “นายมาทำอะไรที่นี่?”
“ข้ามาทำอะไรงั้นหรอ? คำถามของเจ้านี่มันช่างโง่เง่าเสียจริง มันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วมาข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับน้องชายทั้งสองของข้า!!” นักรบเทพกล่าว
“ไม่ใช่ต้นกำเนิดหรอกหรือที่เป็นคนฆ่าน้องชายของนาย” กู่ฉิงซานถามอย่างสงสัย
“พวกเราต้องการที่จะเข้าร่วมกับระบบของราชามาร!” นักรบเทพตะคอกด้วยความโกรธ “แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าดันมาหลอกลวงพวกเรา โป้ปดว่าสิ่งนั้นคือของปลอม แล้วทุกคนก็เชื่อคำเจ้า!”
“เจ้านั่นแหละคือตัวการหลักที่ทำให้พวกเขาต้องตาย!”
ว่าจบ นักรบเทพก็หันมามองลอร่า
“เจ้าหญิงหนาม! กระทั่งข้าก็ยังเชื่อในคำของท่าน แต่เพราะเหตุใดท่านถึงได้ลวงหลอกพวกเรา!?”
“หากท่านไม่ช่วยยืนยันว่าชายผู้นี้เป็นตัวแทนของราชวงศ์หนาม ข้าย่อมไม่มีทางเชื่อคำผายลมของมันเด็ดขาด!”
ลอร่าเงยหน้าขึ้น ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เป็นเพราะข้าเกลียดไอ้ระบบนั่น มันเป็นต้นเหตุให้ครอบครัวของข้าต้องถูกสังหาร!”
“งั้นหรือ … ข้าเข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าข้าจะต้องทรมาณ-ท่าน-ทั้ง-เป็น จนกว่าจะสาแก่ใจสินะ”
นักรบเทพเอ่ยคำต่อคำ
กู่ฉิงซ่อนผลักลอร่าไปซ่อนไว้ข้างหลังและกล่าว “อันที่จริงฉันล่ะคิดไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมนายถึงยินดีที่จะก้าวเข้าสู่วิถีมาร”
นักรบเทพจ้องมองกู่ฉิงซาน “อยากจะรู้? แล้วเจ้ามาจากโลกไหนกัน?”
“ฉันมาจากโลกกระจัดกระจาย”
นักรบเทพเบิกตามองเขาอย่างไม่คาดคิดและกล่าว “งั้นเจ้าก็คงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าเองก็เป็นผู้ที่มีสถานะสูงส่งเช่นเดียวกันกับเจ้าหญิงหนาม”
สถานะ … กู่ฉิงซานสูดหายใจคิด และแสดงสีหน้าจริงจังออกมา
“เจ้าก็เห็นอยู่ ว่าพวกเราไม่สามารถเอาชนะอสูรกายตนนี้ได้อย่างแน่นอน ไม่นาน พวกเราคงจะต้องตายด้วยเงื้อมมือของมัน” กู่ฉิงซานกล่าว
นักรบเทพกัดฟัน “ถ้าหากเป็นเรื่องนั้นล่ะก็วางใจเถอะ มั่นใจได้เลยว่าข้าจะทรมานพวกเจ้าจนสาสม ไม่ยินยอมปล่อยให้ตายลงง่ายๆอย่างแน่นอน”
กู่ฉิงซานมองอีกฝ่ายด้วยแววตานิ่งเฉย และเริ่มเอ่ยต่อ “ในเมื่อโชคชะตาของฉันไม่ถูกฆ่าตายก็ต้องกลายเป็นมารอยู่แล้ว ถ้างั้นก่อนอื่น อย่างน้อยช่วยบอกเหตุผลที่นายยินดีเปลี่ยนเป็นมารให้ฉันรู้จะได้ไหม ไม่อย่างนั้นแล้วฉันคงจะเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปจวบจนตัวตาย”
นักรบเทพกพอได้ฟังก็ตะลึงงัน
นี่มันยอมรับว่าตัวเองกำลังจะตายได้หน้าตาเฉยเลยหรือ? มันไม่หวาดกลัวความตายเลยหรือไร?
โง่เง่า แถมยังปากกล้าบอกว่าตนเองไม่กลัวความตายอีก!
ไอ้ขยะนี่ …
ไอ้ขยะนี่มันไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย!
แต่มันกลับถึงขั้นสามารถหลอกลวงทุกคนได้ …
ความไม่ยินยอมอย่างรุนแรง คุกรุ่นอยู่ในทรวงอกของนักรบเทพ
นักรบเทพพยายามข่มอารมณ์ของเขา และเงียบไปครู่หนึ่ง
“เจ้ามันโง่เง่า!”
เขาตะโกนไปทางกู่ฉิงซาน
“ในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้นมีเพียงการเข้าสู่วิถีมารเท่านั้น ที่จักสามารถชักนำความยุติธรรมมาสู่พวกเราที่อยู่ในระดับล่างสุดได้”
“ความยุติธรรม?” คราวนี้สีหน้าของกู่ฉิงซานเผยถึงความประหลาดใจ
“ใช่ สำหรับหลายพันล้านปีมาแล้ว ที่โลกระดับบนได้ถูกแบ่งปันกันโดยตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ และพวกเขาก็มีชีวิตมาอย่างยาวนาน ร่วมตัวกันเป็นกลุ่มอำนาจ จนไม่มีใครสามารถไปสั่นคลอนพวกเขาได้อย่างง่ายดาย”
“และตัวอย่างที่จริงที่สุด ก็คือสถานที่ๆทุกคนรู้จักกันดี -โลกมิติอนันต์ที่ถูกยึดครองไปแล้วโดยตัวตนทรงอำนาจ”
“นอกเหนือจากโลกมิติอนันต์ โลกอื่นๆก็ยังมีตัวตนทรงอำนาจเป็นศูนย์กลางอยู่ดี และเบื้องหลังตัวตนทรงอำนาจเหล่านั้น ก็คือเจ้าพวกระดับจ้าววงการ!”
กู่ฉิงซานแสดงออกถึงความคาดไม่ถึงมากขึ้น และส่งสัญญาณให้อีกฝ่าย “ว่าต่อสิ”
“รู้ไหมนี่มันหมายความว่ายังไง? มันหมายความว่าทรัพยากรทั้งหมดตกอยู่ในมือของผู้ที่แข็งแกร่งอย่างพวกจ้าววงการ และหากพวกเราเหล่าหน้าใหม่ต้องการได้มันมาครอบครอง ก็เป็นการยากลำบากยิ่ง! พวกเราจะต้องทำสิ่งต่างๆมากมายเพื่อโลกของพวกเขา ถึงจะมีสิทธิ์ได้รับทรัพยากรที่ปรารถนามา”
“ถ้าเจ้าต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น เจ้าก็จะถูกเอาเปรียบจากผู้อื่นที่แข็งแกร่งกว่า และจำต้องทุ่มเททั้งเวลาและแรงงานอย่างหนัก”
“นี่คือความเจ็บปวดของพวกหน้าใหม่ทุกคน เจ้าเข้าใจรึเปล่า?”
“ไร้ซึ่งหนทางที่จะต่อต้าน ต้องจำใจยอมรับเงื่อนไขของอีกฝ่ายอย่างอดกลั้น ทนทำงานหนักให้แก่พวกเขา หากเป็นเจ้า เจ้าจะยินดีหรือไม่? จงตอบข้ามา!!”
“หากเป็นเงื่อนไขที่ยุติธรรม มันก็เป็นเรื่องปกตินี่ที่จะได้รับค่าตอบแทน” กู่ฉิงซานกล่าวจริงจัง
“โง่เง่า! นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าไม่รู้ต่างหากว่าการได้เข้าสู่วิถีมารมันเป็นอย่างไร!”
“ฉันอยากจะรู้รายละเอียดเพิ่มเติม”
ใบหน้าของนักรบเทพแสดงออกถึงความสุข เขากล่าวทันที “หากต้องทนอยู่แบบนั้น เมื่อเทียบกันกับการต้องเข้าสู่วิถีมารแล้ว มันไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย”
“เพราะตราบใดเจ้าอยู่ในวิถีมาร เจ้าก็จะสามารถอาศัยเพียงแต้มพลังวิญญาณ เพื่อแลกเปลี่ยนกับทุกชนิดของอุปกรณ์ที่ต้องการได้เลยโดยตรง แม้กระทั่ง ‘แปะๆ’ — เพียงแค่ใช้แต้มพลังวิญญาณเท่านั้น”
ระหว่างกล่าวนักรบเทพก็ตบลงบนหัวของราชามารวิญญาณมรณะ ปากอ้าตะโกนคลั่ง “ตราบใดที่มีแต้มพลังวิญญาณมากพอ เจ้าก็จะสามารถแลกเปลี่ยนกับพลังอำนาจที่ล้างโลกทั้งใบได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องทำประโยชน์ต่างๆให้แก่ตัวตนทรงอำนาจ นี่ต่างหากที่เป็นความยุติธรรมขั้นพื้นฐานที่สุด!”
กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “แต่แต้มพลังวิญญาณที่นายว่ามา มันได้รับมาจากชีวิตของคนอื่นนะ”
“ก็แล้วยังไง? เจ้ารู้ไหมว่าข้าต้องรับใช้ตัวตนทรงอำนาจนานเพียงใดกัน กว่าที่จะได้รับอุปกรณ์ที่เหมาะสมกันกับตนเองมา? 10ปี! ข้าจำต้องใช้เวลายาวนานกว่า 10 ปี ถึงจะได้รับมันมา!”
“แล้วดูระบบของราชามารสิ – เจ้าก็แค่ต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณของเจ้าออกไปเท่านั้น เพียงเท่านั้นทุกอย่างก็จบแล้ว”
“ตราบใดที่แต้มพลังวิญญาณของเจ้ามากพอ เจ้าก็จะสามารถแลกเปลี่ยนอุปกรณ์อันทรงพลังที่เหนือล้ำที่สุดในเวลาใดก็ได้!”
นักรบเทพกำหมัดแน่น “นี่ต่างหากคือความยุติธรรม! วิธีที่จะสามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของพวกตัวตนทรงอำนาจได้!”
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างครุ่นคิด “แต่ฉันได้ยินมาว่า ที่ดินแดนชิงอำนาจการปฏิบัติต่อกันนั้นค่อนข้างจะดีมาก ตราบใดที่นายสามารถต่อสู้ได้-”
“ผายลมเถอะ!” นักรบเทพขัดจังหวะเขา “แบบนั้นมันอันตราย! อันตรายมากเกินไป!! แต่กลับกัน ถ้าเจ้าเลือกที่จะใช้แต้มพลังวิญญาณเจ้าก็จะปลอดภัย ที่ต้องทำก็เพียงแค่ฆ่าสังหารสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่ง แล้วเตรียมการณ์ให้พร้อม เฝ้ารออยู่ในที่ปลอดภัยเท่านั้น”
กู่ฉิงซานพยายามอธิบาย “แต่การเข้าร่วมกับต้นกำเนิด ต้นกำเนิดมันจะถือว่านายเป็นทาสของมันนะ”
คราวนี้เทพนักรบสวนกลับทันควัน “มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วหากเราไม่ทรยศมัน เจ้าก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างสุขสบาย”
“รอให้ระดับของนายสูงยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆดูเถอะ แล้วนายจะต้องเผชิญกับค่าประสบการณ์ที่มากมายจนไม่อาจคาดคำนวณได้ แล้วนายจะจัดการเรื่องนี้ยังไง” กู่ฉิงซานถามอีกครั้ง
“ก็เป็นเจ้ามิใช่หรือ ที่อาศัยเหตุผลนั้น ลวงหลอกผู้คนจำนวนมากจนหลายคนคิดว่าต้นกำเนิดเป็นของปลอม” นักรบเทพเยาะหยัน
เขาพูดต่อ “ข้าได้ลองขบคิดเกี่ยวกับปัญหานี้อย่างจริงจังแล้ว และพบว่าคำตอบของมันมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือการฆ่า!”
“ภายในโลกนับล้านๆ ย่อมที่จะต้องมีโลกที่อ่อนแออยู่บ้างล่ะน่า ข้าก็เพียงโยนตนเองไปยังโลกใบนั้น และเริ่มฆ่าสังหาร แลกเปลี่ยนความแข็งแกร่งให้ยิ่งสูงขึ้น เพียงเท่านี้โชคชะตาของข้าก็จะถูกควบคุมโดยตนเอง และไม่จำเป็นต้องไปไว้หน้าพวกจ้าววงการอีกต่อไป!”
กู่ฉิงซานรับฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แล้วตกลงสู่ความเงียบ
หลังจากที่เข้าสู่วิถีมาร ผู้คนเหล่านั้นก็ย่อมสามารถที่จะหลบเลี่ยงความพยายามทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย และตราบใดที่ฆ่าสังหาร พวกเขาก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ต่อไป
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมบางคนถึงเลือกที่จะเข้าสู่วิถีมาร
สิ่งนี้มันแตกต่างไปจากในชีวิตก่อนหน้าของเขาจริงๆ
ในช่วงเวลานั้น ผู้คนไม่มีใครคาดคิดเกี่ยวกับการฆ่ากันเองเลย ที่พวกเขาทำก็เพียงรวมกลุ่มกันต่อสู้เท่านั้น
ในช่วงเวลานั้นผู้คนต่างอุทิศตนเพื่อสะบั้นศีรษะมารล้างบางมอนสเตอร์ – ปรารถนาที่จะต่อต้านวันสิ้นโลก
ในช่วงเวลานั้น ทุกๆคนร่วมมือกับขบคิดอย่างหนักเพื่อแก้ปัญหาค่าประสบการณ์ที่มากเกินไป แต่ไม่มีใครหันมาคิดจะทำร้ายพันธมิตรเลย
เพราะฆาตกรที่สังหารพันธมิตร จะต้องชดใช้ด้วยชีวิตตนเอง
นี่คือข้อตกลงร่วมกันของทุกคน และเป็นหลักการพื้นฐานที่สุดในสังคมมนุษย์ที่ได้ปฏิบัติตามมานานหลายปี
ทว่ากับโลก 900 ล้านชั้น สถานการณ์ดูจะแตกต่างกันออกไป
ระหว่างอารยธรรมมีความแตกต่างกัน ความคิดก็แตกต่างกัน แนวคิดในการคร่าชีวิตจึงย่อมต่างกันเป็นธรรมดา
แม้แต่ในอาณาจักรอาชูร่าแห่งโลกหกวิถี อาชูร่าก็ยังเชื่อกันว่าความตายในสนามรบนับว่าเป็นสิ่งที่มีเกียรติ
ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ถูกฆ่าตายในสนามรบ หรือว่าผู้ที่เป็นคนฆ่า ทุกคนล้วนเป็นนักรบอันทรงเกียรติ
หากกระทั่งในโลกหกวิถียังเป็นเช่นนั้น แล้วจะนับประสาอะไรกับโลกนับล้านๆ!
กู่ฉิงซานมองไปยังอีกฝ่าย
คนเหล่านี้คือผู้เข้าสู่วิถีมาร
พวกเขายังไม่เคยได้เผชิญหน้ากับวันสิ้นโลก ดังนั้นพวกเขาเลยคิดและตัดสินใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย
เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาจำเป็นที่จะต้องเลือกใช้เวลาไปกับการฝึกฝนอย่างหนัก
หรือไม่ก็
ใช้ชีวิตของผู้อื่น เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ตนเองต้องการอย่างรวดเร็ว
ตัวเลือกนี้จะเป็นการทดสอบกิเลศของมนุษย์มากเกินไป และบังเอิญว่าพวกเขาก็ดันถูกโยนเข้าไปในอ้อมแขนระบบของราชามารพอดิบพอดี
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม กระทั่งแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ก็ยังหันไปพึ่งพิงเผ่ามาร
นักรบเทพกล่าว “เจ้าเข้าใจแล้วรึยัง? ไอ้คนโง่เง่า กระทั่งเรื่องแบบนี้ก็ยังไม่ล่วงรู้ จงถูกทรมานจนตายซะที่นี่เถอะ น่าเสียดายจริงๆที่เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นข้าเติบใหญ่ขึ้นเป็นตัวตนทรงอำนาจในภายภาคหน้า …”
ว่าจบ เขาก็ตบลงบนหัวราชามารวิญญาณมรณะและกล่าว “จงไปหักแขนขาของพวกมัน แล้วจากนั้นค่อยปล่อยให้ข้าได้ทรมานพวกมันอย่างช้าๆ”
ทว่าราชามารวิญญาณมรณะกลับยังคงนิ่ง
“เกิดอะไรขึ้น? ไปจัดการพวกมันสิ!” นักรบเทพตะโกน
“ใจเย็นๆก่อน ระบบของราชามารต้องการที่จะสนทนากับเขาสักเล็กน้อย” ราชามารวิญญาณมรณะตอบกลับไป
Ep.553 – ราชามารวิญญาณมรณะ
ท่ามกลางพายุหิมะ การสนทนาระหว่างกู่ฉิงซานกับต้นกำเนิดยังคงดำเนินต่อไป
“กล้าประกาศสงครามกับข้า? เจ้าน่าจะกระจ่างใจดี ว่าตนเป็นเพียงมนุษย์ ขณะที่ข้า ‘ต้นกำเนิด’ เป็นถึงระบบที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกทั้ง 900 ล้านชั้นได้” ต้นกำเนิดกล่าว
“ก็แล้วยังไง? ถ้าไม่สู้จะรู้หรือว่าใครจะแพ้ ใครจะชนะ” กู่ฉิงซานเถียง
เขามองเข้าไปในภูเขาน้ำแข็ง
ลอดผ่านชั้นผิวโปร่งใสของมัน จะสามารถเห็นถึงภายในของตัวภูเขาใหญ่ ที่ค่อยๆปรากฏธารเลือดหลั่งรินเป็นสายลงมาจากยอดเบื้องบน
หมอกเลือดสีแดงสดลอยไปตามกระแสน้ำอย่างเงียบๆ
มันค่อยๆไหลลงไปภายในตัวภูเขาน้ำแข็ง และแปรเปลี่ยนสีของน้ำทั้งหมดให้กลายเป็นสีแดง
ยอดหิมะน้ำแข็งที่เดิมเป็นสีฟ้า บัดนี้ถูกเปลี่ยนเป็นยอดภูเขาเลือด!
หลังจากได้ยินคำพูดของกู่ฉิงซาน ต้นกำเนิดดูเหมือนจะติดอยู่ในความสับสนบางอย่าง
มันเอ่ยถาม “ตั้งแต่ที่ข้าถือกำเนิดมาในโลกใบนี้ และได้วิวัฒนาการจากเชื้อไฟมาเป็นต้นกำเนิด กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่ง มีเพียงไม่มีคนที่สงสัยและต่อต้านข้า แต่ก็ไม่เคยมีใครต่อต้านข้าถึงขั้นเจ้ามาก่อนเลย ข้าอยากจะรู้จริงๆว่าเจ้าจะทำแบบนี้ไปทำไมกัน?”
กู่ฉิงซานเงยหน้ามองหมอกเลือดที่กำลังแพร่กระจายอยู่ในภูเขาน้ำแข็งและเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “แกลองฟังสิ”
ท่ามกลางพายุหิมะ เสียงกรีดร้องเจ็บปวดและร่ำไห้ครวญคร่ำสะท้อนไปมาระหว่างภูเขา ยิ่งนานก็ยิ่งดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ
บนยอดน้ำแข็ง การฆ่าสังหารหมู่เริ่มจะรุนแรงขึ้น
เลือดสีแดงสดในชั้นผิวน้ำแข็งค่อยๆแผ่ขยายและเข้มข้นขึ้น
“เจ้าไม่พอใจเกี่ยวกับพวกเขาหรือ?” ต้นกำเนิดถาม
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองดูเกล็ดหิมะที่ร่วงตกลงจากท้องฟ้าและกล่าว “มันไม่ใช่เพราะพวกเขา”
ต้นกำเนิดงงงวย เอ่ยในสิ่งที่คิดออกมา “ข้าไม่เข้าใจ เจ้าไม่เหมือนกับทาสคนอื่นๆเลย ทำไมข้าถึงไม่สามารถควบคุมเจ้าได้? นี่มันช่างแปลกประหลาดจริงๆ เพราะเหตุใดข้าจึงไม่อาจเริ่มต้นกระบวนตัดสินระบบทาสกับเจ้า? เหตุใดข้าถึงไม่สามารถเปลี่ยนเจ้าเป็นมารได้?”
“แบบนี้ไม่ดีแน่ เจ้ามันเป็นการดำรงอยู่ที่ผิดแผกเกินไป และจำต้องตายทันที”
ว่าจบ เสียงของต้นกำเนิดก็หายไป
กู่ฉิงซานก็มิได้เอ่ยสิ่งใดต่อ
เขายังคงนั่งอยู่บนหลังม้า กอดลอร่าเอาไว้อย่างเงียบๆ และคอยฟังเสียงที่ดังลงมาจากยอดเขาต่อไป
เบื้องบนภูเขา เสียงกรีดร้องน่าสยดสยองค่อยๆแผ่วลง ทว่าทุกชนิดของเสียงขู่คำรามแปลกๆ กลับค่อยๆดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ
ช่วงจังหวะนั้นเอง สายตาของกู่ฉิงซานก็เบนมองไปยังระยะที่ไกลออกไป
—ในระยะห่างไกลออกไปจากภูเขาสูงตระหง่าน คือภูเขาที่บ้างสูงบ้างต่ำปะปนกันไป พวกมันทั้งหมดกระจายตัวอยู่โดยรอบ คล้ายกำลังคอยปกป้องภูเขาวิหารทวยเทพนี้
กู่ฉิงซานเร่งควบม้าทมิฬไปตลอดเส้นทาง
ในเวลานี้ เริ่มปรากฏให้เห็นถึงจุดดำๆ ผุดขึ้นมาจากยอดเขาอื่นๆที่อยู่ไกลออกไป
นั่นคือผู้เข้าสู่วิถีมาร
พวกเขาทยอยกันปรากฏตัวขึ้นทีละคน ทีละคน และในไม่ช้าก็ปกคลุมไปตลอดทั้งภูเขาน้ำแข็งน้อยใหญ่ทุกลูก
ทั้งหมดถูกขับเคลื่อนโดยต้นกำเนิด -หลายร้อยล้านผู้เข้าสู่วิถีมารได้ปรากฏกายขึ้นแล้ว!
พวกเขาอยู่ตามภูเขาลูกต่างๆ รายล้อมรอบภูเขาหิมะของทวยเทพ และกำลังวิ่งตรงเข้ามา ฉากนี้แลดูคล้ายกับกระแสคลื่นสึนามิ ที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาโถมท่วมทับหอไอเฟลสูงตระหง่าน
จุดสีดำกระเพื่อมไหวเป็นระลอกคลื่นอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารกำลังค่อยๆเร่งความเร็วมากขึ้น
“กู่ฉิงซาน .. ”
ลอร่าชี้ไปยังภูเขาน้ำแข็งในระยะไกลออกไป ส่งสัญญาณให้เขาดู
“ใจเย็นไว้ กว่าจะวิ่งมาถึงที่นี่ได้ พวกมันคงจำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักพักหนึ่ง” กู่ฉิงซานปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน
ลอร่ายืดคอของเธอ และหันไปมองรอบๆ
ตลอดทั้งภูเขาน้ำแข็ง ในทุกๆลูกบัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยคลื่นทะมึน
นอกจากนั้น ยังมีจุดดำเล็กๆมากมาย ที่กำลังบินว่อนอยู่บนท้องฟ้าอีกด้วย
แม้ว่าจุดดำๆเหล่านั้นจะอยู่ห่างไกลออกไป ทว่าเพียงมองไปยังคลื่นพลังงานที่ผันผวนอยู่ในอากาศ ก็สามารถบ่งบอกได้ว่าคนเหล่านี้มิใช่ตัวตนธรรมดาๆ
คนเหล่านี้เลือกที่จะบินมาโดยตรง เห็นได้ชัดว่าในหัวใจกำลังเร่งร้อน!
พวกเขากระตือรือร้นที่จะสังหารกู่ฉิงซานกับล่อร่า หมายมั่นจะได้รับรางวัลอันเลอค่าจากต้นกำเนิด
จากพื้นดินไปจนถึงท้องฟ้า ศัตรูปิดล้อมพวกเขาอย่างหนาแน่นตลอดทุกทิศทาง
ลอร่าอดไม่ได้ที่จะหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมา และมองไกลออกไป
“เป็นยังไงบ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“มีคนมากมายเหลือเกิน แม้กระทั่งทุ่งน้ำแข็งที่ห่างไกลออกไป ตอนนี้ก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยจุดดำๆของฝูงชน พวกเขาทั้งหมดกำลังมุ่งตรงมาทางนี้” ลอร่ากล่าว
“แล้วมีทั้งหมดประมาณกี่คนกัน?” กู่ฉิงซานถาม
ลอร่าหยิบจออิเล็กทรอนิกส์ ทรงสี่เหลี่ยมเล็กๆออกมา และแนบมันกับกล้องส่องทางไกล
“แสดงตัวเลข” เธอสั่ง
แล้วตัวเลขบนหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ก็เริ่มกระโดดอย่างดุเดือด ต้องใช้เวลาสักพักเลยทีเดียวกว่าพวกมันจะหยุดลง
“275846921”
“มีผู้เข้าสู่วิถีมารมากกว่า 200 ล้านคน” ลอร่ากล่าวด้วยความสิ้นหวัง
แม้ว่าเธอจะครอบครองสิ่งประดิษฐ์เทวะมากมาย ทว่าด้วยความแข็งแกร่งของเธอและกู่ฉิงซานเพียงสองคน มันย่อมไม่สามารถขับเคลื่อนสิ่งประดิษฐ์เทวะจำนวนมากในคราเดียวได้!
และมันย่อมไม่สามารถใช้สังหารผู้เข้าสู่วิถีมารทั้งหมดกว่า 200 ล้านคนที่ถูกชักนำมาโดยต้นกำเนิด!
กล่าวได้เลยว่าด้วยจำนวนผู้เข้าสู่วิถีมารที่มากมายขนาดนี้ ก็นับว่ามากพอแล้วที่จะกวาดล้างโลกใบหนึ่งทั้งใบ!
…
ในเวลาเดียวกัน
เสียงโหยหวนจากภายในวิหารบนยอดภูเขาน้ำแข็งก็ดับลง
นักรบเทพเดินตรงไปยังทางเข้าวิหาร
เบื้องหลังเขา คือเผ่ามารที่เดินเรียงกันเป็นแถว และตามเขาออกจากวิหาร
นักรบเทพหยุดยืนหน้าประตู ก้มลงมองดูภูเขาน้ำแข็งลูกอื่นๆที่ระดับเตี้ยกว่าในระยะไกลออกไป
เขาเห็นถึงการปรากฏกายของผู้เข้าสู่วิถีมารนับไม่ถ้วน
“พวกเจ้าคิดจะมาแย่งชิงมันไปจากข้าอย่างงั้นหรือ?” นักรบเทพงึมงำกับตัวเอง
แล้วจู่ๆเขาก็หันกลับมา
พร้อมด้วยเลือดสีดำที่สาดกระเซ็น!
บังเกิดเสียงกรีดร้องของมารเบื้องหลังเขา ตนแล้วตนเล่าร่วงตกลงกับพื้น ร่างกายแยกกระจายเป็นหลายส่วน
อย่างไรก็ตามเผ่ามารเหล่านี้ไม่ได้ตายลงเพราะการทดลองเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตเป็นมาร แต่พวกมันถูกสังหารโดยนักรบเทพอย่างโหดร้ายต่างหาก!
จนตอนนี้ เหลือเพียงนักรบเทพคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่บริเวณประตูวิหาร
แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เลือดที่ไหลรินออกมาตามทวารทั้งเจ็ด -สองตา สองหู สองรูจมูก และหนึ่งปากของเขา ส่งผลให้สภาพเขาดูราวกับภูติผี
“เจ้าถามว่าทำไมข้าถึงสังหารพวกมันอย่างงั้นหรอ? แน่นอน ก็เป็นเพราะแต้มพลังวิญญาณไง หรือว่าเจ้าไม่ต้องการแต้มพลังวิญญาณกัน?”
นักรบเทพตอบกลับไปในอากาศที่ว่างเปล่า
คล้ายกับว่าประโยคเหล่านี้มันไม่มีพลังที่จะโน้มน้าวใจได้มากพอ จู่ๆสีหน้าของนักรบเทพก็เผยถึงความเจ็บปวดยิ่ง ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังทรมานเขา
นักรบเทพฝืนอดทนอย่างไม่ยินยอม พยายามอธิบายต่อว่า “แน่นอนว่าข้าย่อมรู้ดี ว่าการสังหารฝ่ายเดียวกันมันไม่ถูกต้อง แต่ปัจจุบันพวกเรามีเรื่องที่สำคัญยิงกว่าต้องทำ นั่นก็คือฆ่าเจ้าคนๆนั้นซะ-”
เนื่องด้วยความเจ็บรุนแรงที่ถาโถมลงมาอย่างต่อเนื่อง นักรบเทพทนไม่ไหวจำต้องคุกเข่าลงและกระอักเลือดออกมา
ความเจ็บปวดยิ่งนานยิ่งสาหัส จนเขาต้องลงไปนอนกลิ้งบนพื้นหิมะ คร่ำครวญอย่างกับคนบ้า
แต่ก่อนที่เขาจะถูกทรมานจนตายลง ด้วยความโกรธแค้นที่มี นักรบเทพจึงเปล่งเสียงคำรามลั่น “ข้าคือผู้นำของ 800 ผู้เข้าสู่วิถีมาร! ข้าได้สังหารสิ่งมีชีวิตโบราณไปมากมาย! และสังหารพวกฝ่ายเดียวกันไปเช่นกัน ฉะนั้นตอนนี้ มันก็น่าจะได้แต้มพลังวิญญาณมามากพอแล้ว”
“ข้าอยากจะขอแลกแต้มพลังวิญญาณเหล่านี้ทั้งหมดกับเจ้า! ช่วยแลกเปลี่ยนกับอะไรก็ได้ที่จะสามารถสังหารเจ้าคนจากสมาคมกำปั้นเหล็กให้ได้อย่างแน่นอนด้วยเถอะ -ข้าต้องการสังหารพวกมัน!”
ไม่ทราบว่าตรงประโยคไหนของส่วนนี้ที่ไปสะกิดใจของต้นกำเนิด
ทันใดนั้นเอง เลือดตามทวารทั้งเจ็ดของนักรบเทพก็หยุดไหล ความเจ็บปวดทั่วร่างกายหายไปในพริบตา
เขานอนแผ่อยู่บนพื้นน้ำแข็ง ปากอ้าค้างสูดลมหายใจถี่รัว ก่อนจะพยายามลุกขึ้น
เห็นแค่เพียงมือของนักรบเทพที่กดลงไปในความว่างเปล่า ปากข้าขยับด้วยความเหนื่อยล้า “แลกเปลี่ยนอสูรกาย : ราชามารวิญญาณมรณะ”
นี่คือหน้าต่างแลกเปลี่ยนรางวัลที่กู่ฉิงซานเคยเห็นในตอนแรก และเจ้าอสูรกายตนนี้ คืออสูรกายที่ร้ายกาจที่สุดจากในบรรดารายชื่ออสูรกายทั้งหมด!
ความแข็งแกร่งของมันเหนือล้ำยิ่งกว่าอสูรกายประเภทดัดแปลง เป็นอสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลที่ครอบครองทุกชนิดของความสามารถอันน่าตื่นตะลึง!
แต้มพลังวิญญาณของนักรบเทพถูกสูบกินจนสิ้น
ในสายตาของเขา บรรทัดตัวอักษรเรืองรอง ปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ
นักรบเทพกวาดสายตามองคำเหล่านี้ ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “ต้นกำเนิด ข้าขอเสนอแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดแด่เจ้า เพื่อทำการแลกเปลี่ยน ‘ราชามารวิญญาณมรณะ’ ให้ออกมารับใช้”
วินาทีต่อมา ดูเหมือนว่าจะปรากฏอะไรบางอย่างขึ้นในความว่างเปล่า
แม้นี่ไม่ใช่ยักษ์ใหญ่อย่างเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตโบราณ และอยู่ในอีกโลกหนึ่ง แต่กลิ่นอายน่าเกรงขามที่หลุดลอดออกมา ไม่ว่าผู้ใดได้สูดดมก็อดไม่ได้ที่จะขนหัวลุก -เมื่อถูกเรียกออกมา ดวงตาของมันก็เปิดออกและมองมายังอีกฟากมิติ
นักรบเทพร้องร่ายคาถาสรรเสริญ “มารวิญญาณมรณะ! ราชาผู้คอยกลืนกินจิตวิญญาณ จงคืบคลานออกมาจากโลงในหุบเหวลึกเสีย ระบบหมื่นสวรรค์ต้นกำเนิดกำลังเรียกขานเจ้า!”
ปัง!
บังเกิดเสียงกระหน่ำ! อากาศที่ว่างเปล่าแยกออก
ตามด้วยรูปลักษณ์ที่ดูเปี่ยมบารมีเดินออกมา
มันเอื้อมมือกลับไปยังความว่างเปล่า แล้วดึงมงกุฏออกมาสวมบนหัว จากนั้นจึงหันมองไปยังนักรบเทพ
“เพื่อระบบหมื่นสวรรค์ต้นกำเนิด ข้าจักสังหารหมู่ศัตรูของเจ้า”
สิ้นเสียง ราชามารวิญญาณมรณะในรูปลักษณ์หมาป่า ทั้งตนทั้งร่างของมันก็พลันลุกไหม้ ปะทุไปด้วยเปลวเพลิงอันมืดมิด
มันมองออกไปยังกลุ่มภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ห่างไกลออกไป
“อ่า … ศัตรูคงจะเป็นหลายร้อยล้านคนตรงนี้สินะ แม้พวกมันจะอ่อนแอ แต่ก็คงจะใช้เวลาไม่มากเท่าไหร่ … ไม่สิ พวกมันไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นทาสของระบบ”
ราชามารวิญญาณมรณะลองเพ่งสำรวจโดยรอบอย่างต่อเนื่อง
“เห็นแล้ว ตรงระหว่างครึ่งทางขึ้นเขา มีหนึ่งผู้ฝึกยุทธกับอีกหนึ่งวิหคหนาม ศัตรูมีแค่สองคนเท่านั้นเองหรือ?”
ราชามารวิญญาณมรณะดูจะประหลาดใจเล็กน้อย มันหันกลับมามองนักรบเทพ
“ชะ .. ใช่แล้วล่ะ” นักรบเทพตอบรับอย่างตะกุกตะกัก
เพียงแค่ได้จ้องมองราชามารวิญญาณมรณะ จิตใจของนักรบเทพก็สั่นสะท้านอย่างไม่อาจข่มกลั้นได้
เขาเป็นถึงผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ และข้ามผ่านประสบการณ์ต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ในขณะนี้กลับถูกกดดันอย่างหนัก กระทั่งน้ำเสียงก็ยังมิอาจควบคุมได้
ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ของฝ่ายตรงข้าม มันได้ฉีกกระชากความมั่นใจของเขาออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ท่ามกลางอาการเหม่อลอย สติของนักรบเทพก็เริ่มฟื้นคืนอีกครั้ง
การที่เขาสามารถสั่งการพลังอำนาจเช่นนี้ได้ นั่นย่อมหมายความว่าตนสามารถฉีกทึ้ง ทรมานอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
เมื่อได้ยินคำยืนยันจากนักรบเทพ ราชามารวิญญาณมรณะก็ดูจะถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
มันเหยียดกรงเล็บอันแหลมคมออกไป และสะบัดเบาๆ “ข้าสัมผัสได้ถึงพลังของพวกมัน … มันอ่อนแอเกินไปสำหรับข้า ข้าเพียงดีดนิ้วเดียวก็สังหารพวกมันได้แล้ว”
“ฮะฮ่าฮ่า!”
นักรบเทพเหยียดแขนอออกไปและหัวเราะคลุ้มคลั่ง “น้องชายของข้าเอ๋ย ข้ากำลังจะล้างแค้นศัตรูอันน่าเกลียดชังให้กับพวกเจ้าแล้ว!”
“แน่นอนว่าทั้งสองคนนั้นคือเป้าหมาย แต่ขอเจ้าจงอย่าพึ่งสังหารพวกมันให้ตกตายลงในทันทีนะ เข้าใจไหม?” นักรบเทพเอ่ยสั่ง
“อยากจะทรมาณพวกมันสินะ? ตกลง ตามที่เจ้าปรารถนา”
ราชามารวิญญาณมรณะหยิบนักรบเทพมาวางไว้เหนือหัวของมัน ก่อนที่ทั้งตนทั้งร่างจะโน้มกายลง และตู้ม! โฉบลงจากยอดเขา
Ep.552 – ประกาศสงคราม
บนยอดภูเขาน้ำแข็ง
ภายในวิหารของเหล่าทวยเทพ
มากกว่า 800 ผู้เข้าสู่วิถีมารผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์
บางคนฉวยไปหยิบอาวุธขึ้นมาในมือ และเดินตรงไปยังมอนสเตอร์ที่สูงใหญ่ราวกับภูเขา
“นั่นนายคิดจะทำอะไรน่ะ?” เพื่อนของเขาเอ่ยถาม
“ก็ในเมื่อจะได้ออกไปจากที่นี่ในเร็วๆนี้แล้ว ฉันเลยกะจะเอาชิ้นส่วนของเจ้าสิ่งมีชีวิตโบราณนี้ไปด้วยน่ะสิ เผื่อว่าจะขายได้เงินมาใช้เล็กๆน้อยๆบ้าง”
ชายคนนั้นเดินไปยังร่างของมอนสเตอร์และยกอาวุธของเขาขึ้น
แต่แล้วทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ตัวแข็งค้างไปอย่างกระทันหัน
เพราะในสายตาของเขา หน้าต่างต้นกำเนิดที่ถอนการติดตั้งไปแล้ว ดันปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง
“อ่าว? นี่มันไม่ได้ถูกลบออกไปแล้วหรอกหรอ?” ชายคนนั้นกล่าวด้วยความประหลาดใจ
เห็นแค่เพียงหนึ่งบรรทัดตัวอักษรที่เด้งเตือนขึ้นบนหน้าต่างต้นกำเนิดอย่างรวดเร็ว
“การถอนการติดตั้งโปรแกรมได้ถูกยกเลิก”
“ระบบได้ดำเนินการตรวจเช็คสถานะของคุณแล้ว และสุดท้ายก็ได้รับการตัดสินใจว่าสมควรเป็น : ทาส”
“ในฐานะทาส คุณไม่มีสิทธิ์ถอนการติดตั้งต้นกำเนิด!”
“คุณได้เพิกเฉยต่อคำเตือนหลายสิบประการ และเลือกที่จะทรยศต่อต้นกำเนิด”
“จากการทรยศนี้ ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะทำการเพิกถอนสิทธิ์ทั้งหมดของคุณ”
“จะเริ่มการกำจัด ในอีกสามวินาทีต่อจากนี้”
“สาม”
“สอง”
“หนึ่ง”
“การทดลองเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตเป็นมาร .. เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้!”
สิ้นบรรทัดดังกล่าว ข้อความทั้งหมดก็หายไป
ขณะเดียวกัน ก็เริ่มบังเกิดพลังอำนาจบางอย่างค่อยๆผลุบออกมาจากร่างกายของเขา
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
ชายคนนั้นอุทานด้วยความประหลาดใจ
เขาพบว่าร่างกายของตนเริ่มที่จะร้อนขึ้น ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าพลังบางอย่างกำลังเดือดพล่านและใกล้จะระเบิดออกจากร่างกาย
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดแล้วมันก็มิได้ระเบิด เพราะดันเกิดสถานการณ์อันน่าสิ้นหวังขึ้นมาซะก่อน
โผล๊ะ!
อุ้งเท้ายาวแหลมคม จู่ๆก็ทิ่มออกมาจากด้านหลังของชายคนนั้น แทงทะลุเข้าหน้าอก เสียบกระชากเอาหัวใจออกมาอยู่เบื้องหน้าในสายตาของเขา
ชายคนนั้นอาเจียนออกมาเป็นเลือดทันที และไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะเอ่ยปากพูด ทำได้แต่จ้องมองหัวใจที่กำลังเต้นอยู่บนอุ้งเท้าที่ว่านี้
แล้วหัวของเขาก็ค่อยๆตกลงอย่างช้าๆ
เขาตายไปแล้ว …
เบื้องหลังเขา คือเพื่อนอีกคนที่พึ่งเสร็จสิ้นการแปลงเป็นมาร และกลายสภาพเป็นมอนสเตอร์ห้ากรงเล็บสูงสามเมตรกำลังยืนอยู่
“ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ ..”
มอนสเตอร์พยายามที่จะเปล่งเสียงพูดอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับว่ากำลังพยายามที่จะอธิบายบางด้วยความร้อนรน
แต่ในไม่ช้า มันก็ถูกดึงดูดโดยหัวใจที่กำลังค่อยๆหยุดเต้นบนอุ้งเท้าตัวเอง
พริบตานั้นมันพลันลืมเลือนทุกสิ่งอย่าง ปากที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวแหลมอ้ากว้าง และงับ! กลืนหัวใจดวงนั้นไป
หัวใจวิ่งลงผ่านลำคอของมัน เข้าสู่ร่างกาย วินาทีนั้นเอง มันสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
ดูเหมือนว่าเลือดและเนื้อสดๆ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ใช้ในการวิวัฒนาการ!
โฮกกกก-
มอนสเตอร์หอนลั่น
มันต้องการเลือดเนื้อมากกว่านี้!
เสียงคำรามของมันคล้ายกับเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้น
เพราะสิ้นจังหวะนี้ การทดลองเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตเป็นมารก็เริ่มปรากฏขึ้นท่ามกลางผู้เข้าสู่วิถีมารจำนวนมาก
มากกว่า 800 ผู้เข้าสู่วิถีมาร เคยข้ามผ่านร้อนหนาวมามากมาย หากไม่พบเผชิญกับเรื่องราวอะไรที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆ พวกเขาย่อมไม่มีทางหวีดร้องออกมาอย่างแน่นอน
ทว่าเดิมทีในวิหารที่เงียบสงบ บัดนี้กลับฟุ้งไปด้วยเสียงกรีดร้องขึ้นทันใด
เลือดและเนื้อสาดบินว่อนไปทั่ว
เหล่ามอนสเตอร์อาละวาดคลั่ง!
ทันใดนั้นเอง วิหารบนยอดเขาของทวยเทพก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นนรกทุ่งสังหาร!
นักพรตเทพ ตาเทพ และนักรบเทพ ถอยฉากออกมา
พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในมุมที่มิดชิด ยืนหันหลังเข้าด้วยกัน ถืออาวุธในมือ จัดกระบวนทัพอยู่ในการป้องกันอย่างเต็มรูปแบบ
ทางด้านซ้ายมือของพวกเขา ร่างของชายคนหนึ่งถูกแหวกออก แตกกระจายกลายเป็นกองเนื้อสับ
“สถานการณ์นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?” นักรบเทพเอ่ยถามเสียงต่ำ
“ข้ากำลังสังเกตอยู่” ดวงตาของตาเทพสาดแสงสีม่วงออกมา และกวาดมองไปยังฝูงชนทั้งหมด
เบื้องหน้าของทั้งสาม อีกหนึ่งผู้เข้าสู่วิถีมารโหยหวนอย่างคลุ้มคลั่ง
เห็นแค่เพียงร่างของชายคนนั้นบวมปูดขึ้นอย่างรวดเร็ว 7-8กระดูกยาวแหลมงอกออกมาจากลำคอของตน ส่งผลให้หัวมีขนาดยาวและใหญ่โตยิ่ง ทั้งๆที่ในส่วนร่างกายกลับเล็กจ้อย
เขาได้กลายเป็นมอนสเตอร์ไปแล้ว!
มองข้ามผ่านมอนสเตอร์ตัวนี้ไป คุณจะพบว่าตลอดทั้งวิหารได้จมลงสู่ความวุ่นวายโดยสมบูรณ์
ผู้เข้าสู่วิถีมารจำนวนมากได้สูญสิ้นเลือดและเนื้อหนังทั้งหมดของตนไปโดยสิ้นเชิง บ้างก็ตัวแตกระเบิดออก บ้างก็กลิ้งไปมาบนพื้นดิน ร่ำไห้ครวญครางด้วยความขมขื่นและค่อยตายลง
อย่างไรก็ตาม ก็มีผู้เข้าสู่วิถีมารบางส่วนเหมือนกันที่สามารถกลายร่างได้สำเร็จ เปลี่ยนโฉมเป็นมอนสเตอร์ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป
มอนสเตอร์เหล่านี้ได้สูญสิ้นสติปัญญา และเริ่มเข่นฆ่าผู้เข้าสู่วิถีมารคนอื่นๆที่ยังไม่กลายร่างอย่างบ้าคลั่ง
“เผ่ามารล่ะ! พวกเขากลายเป็นเผ่ามารไปแล้ว!” ตาเทพตะโกนเสียงดัง
“จริงๆหรือ? เรื่องนี้แน่ใจว่าไม่ผิดพลาดใช่ไหม?” นักพรตเทพใจสั่นสะท้าน เร่งเอ่ยถาม
“นี่คือเผ่ามารระดับต่ำ ข้าเคยได้เห็นมันมาก่อนอยู่หลายครั้ง มีหลายตนที่เคยปรากฏขึ้นในหนังสือภาพ” คู่แสงสีม่วงของตาเทพกล่าวยืนยัน
“ถ้าอย่างงั้น นี่คงจะเป็นฝีมือของเจ้าคนจากสมาคมกำปั้นเมื่อครู่ใช่ไหม?” นักรบเทพเอ่ยถามทันควัน
น้ำเสียงของเขาสั่นเครือเล็กน้อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทว่าภายใต้สภาพการณ์ที่แสนจะวุ่นวายในปัจจุบัน อีกสองคนไม่มีใครมามัวสนใจกับน้ำเสียงที่กำลังสั่นเครือนี้
“ไม่ใช่ ข้าคอยเฝ้าดูเขาอยู่ตลอดเวลา และเขาไม่ได้ทำสิ่งใดเลยนอกจากบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ”
ตาเทพกล่าวต่อ “การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากภายในร่างกายของทุกคนเอง มีพลังงานบางอย่างเป็นตัวกระตุ้นมัน เหมือนกับว่าจู่ๆพลังที่ว่าก็ออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าอย่างกระทันหัน”
“นี่คงจะเป็นฝีมือของ ‘ต้นกำเนิด’ ชักช้าไม่ได้แล้ว พวกเราจะต้องรีบหนีทันที!” นักพรตเทพเตือนทั้งสองด้วยความตื่นตระหนก
ทว่าก็มิอาจกล่าวอะไรไปได้มากกว่านั้นอีกแล้ว
เพราะหัวของนักพรตเทพได้หายวับไป
เห็นแค่เพียงมอนสเตอร์ที่สูงใหญ่กว่า 5 เมตร ตัดศีรษะของเขาด้วยแขนที่มิแตกต่างไปจากเคียวแหลม และโยนมันลงไปเคี้ยวๆๆๆในปากใหญ่
“พี่ชาย ข้า .. ข้าไม่ได้อยากจะกินท่านเลยนะ”
มอนสเตอร์สูงใหญ่ 5 เมตรพูดกับเขาขณะที่ยังคงเคี้ยวอยู่
และบนใบหน้าของมัน … ปรากฏถึงคู่ดวงตาสีม่วงที่กำลังเฉิดฉายอยู่
ถ้าหากก่อนหน้านี้คุณได้อ่านถึงการบอกเล่าอย่างพิถีพิถัน คุณจะทราบได้ในทันทีว่ามอนสเตอร์ตรงหน้า … ก็คืออดีตตาเทพ!
มอนสเตอร์ที่กำลังเคี้ยวกินอาหาร จู่ๆทั้งตนทั้งร่างของมันก็เริ่มสั่นสะท้าน
“ไม่นะ! ข้าไม่อยากกลายเป็นมาร!” มอนสเตอร์คำราม
มันยกเคียวแหลมของตนขึ้น และฉับ! ตัดเข้าใส่ศีรษะของตนเอง
ปัง!
ร่างของมอนสเตอร์ร่วงตกลงกับพื้น
แขนขาทั้งหมดของมันแหลกสลาย กลายเป็นแอ่งเลือดที่ชุ่มไปด้วยเนื้อนุ่ม
ในชั่วพริบตาเดียว สองในสามตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มก็ตกตายลง
หลงเหลือแค่เพียงนักรบเทพที่ยังคงอยู่นิ่งอยู่อย่างเงียบๆ
–เขาเป็นเทพที่ทรงพลัง และเป็นผู้นำของเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารกลุ่มนี้
เขามักจะสงสัยในคำพูดของกู่ฉิงซานตลอดมา และเลือกที่จะเฝ้าดูฝูงชนอย่างเงียบๆ
จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เคยคิดที่จะถอนการติดตั้งต้นกำเนิดเลย
ท้ายที่สุดแล้ว ตลอดทั้ง 800 คนในวิหาร มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ได้ถอนการติดตั้งต้นกำเนิด
มอนสเตอร์ทั้งหมดหลีกเลี่ยงเขา
นั่นเพราะเขายังคงเป็นผู้เข้าสู่วิถีมาร ยังอยู่ภายใต้การคุ้มครองจากต้นกำเนิด
นักรบเทพคุกเข่าลง ยื่นที่ไปตบเบาๆบนศพไร้หัวของนักพรตเทพ และศพของมอนสเตอร์ที่มีคู่ดวงตาสีม่วง
“น้องทั้งสองของข้า … ”
สองธารเลือด ไหลลงมาเป็นสายจากในดวงตาของเขา
“กลับกลายเป็นว่าพวกเราถูกหกลอกโดยเจ้าผู้ชายคนนั้น”
“นี่คือ ‘ต้นกำเนิด’ ของจริง มันคือระบบราชามาร แต่คนๆนั้นกลับหลอกลวงพวกเรา!”
“พวกเจ้าวางใจเถอะ ข้าจะสังหารเขาให้จงได้”
“ข้าขอให้คำมั่นสาบาน ว่าจะเอาหัวของมันมาเซ่นไหว้แก่พวกเจ้า!”
เขาปาดน้ำตาเลือด ผุดลุกขึ้น และเดินตรงออกไปยังนอกวิหาร
ขณะที่เบื้องหลังเขา มอนสเตอร์ที่รอดชีวิตมาได้ต่างพากันหยุดต่อสู้ลง
และทั้งหมดก็ติดตามนักรบเทพ เดินออกจากตัววิหารไป
…
ย้อนเวลากลับมาสักเล็กน้อย
ภายในวิหาร การทดลองเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตเป็นมารพึ่งจะเริ่มต้นขึ้น
บังเกิดเสียงร้องตะโกนอนาถา น่าสยดสยองดังขึ้นจากบนยอดเขา ตัดผ่านสายลมและหิมะ ก้องกังวานไปตลอดทั้งสารทิศ
มันสะท้อนไปตลอดทั้งเนินเขา
ในทุกทิศทาง จะเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้สาปแช่ง ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุก
ณ ครึ่งทางของตัวภูเขาหิมะ
“พวกเราจะรออยู่ที่นี่” กู่ฉิงซานกล่าว
ม้าทมิฬหยุดฝีเท้าลง
ลอร่าลงมาจากไหล่เขา และหดตัวกลับเข้าไปในอ้อมแขนของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนหลังม้า และลูบหลังเธอเบาๆ
ในสายตาของเขา หน้าต่างสีแดงเข้มของต้นกำเนิดสาดแสงสว่างขึ้นอีกครั้ง
ในที่สุด มันก็เปลี่ยนกลับคืนจากสีเทาเสียที
“ว่าไง ไม่ได้แกล้งทำเป็นตายแล้วหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างช้าๆ
เชื้อไ- ไม่สิ สมควรที่จะเรียกว่า ‘ต้นกำเนิด’ แล้ว มันตอบกลับมาด้วยความโกรธ กระทั่งน้ำเสียงและการเรียกขานต่างๆก็พลันเปลี่ยนไป “ไอ้เจ้าคนขี้ขลาด โป้ปดหลอกลวง จอมทำลายแผนการ นี่เจ้าต่อต้านข้าอีกแล้วนะ! ทำไมกัน ทำไมถึงต้องทำแบบนี้?”
กู่ฉิงซานเงียบไปครู่หนึ่ง มิได้เอ่ยสิ่งใด
“ไอ้เจ้าคนบาป เจ้าหลอกลวงพวกเขา ทำให้พวกเขาทรยศระบบ! เจ้าสังหารสหายพันธมิตรที่อยู่ฝ่ายเดียวกันไปกว่า 800 คน!”
“ไม่นะ พวกมันไม่ใช่เพื่อนหรือพันธมิตรของฉันซักหน่อย” กู่ฉิงซานค้าน
“แต่พวกเขาก็เหมือนกับเจ้า ที่มีระบบคอยช่วยเหลือ เดิมทีเจ้าสามารถคอยสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขาก็ได้ และจะกลายเป็นกองกำลังที่ทรงพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ แต่เจ้ากลับหันหลังให้กับระบบ และวางแผนฆ่าพวกเขา!”
“ขอแก้ตัวนะ ก่อนอื่นเลยแกต่างหากที่ฆ่าพวกเขา” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างสงบ “อีกอย่าง คนเหล่านี้ฆ่าคนบริสุทธิ์ด้วยความโหดร้ายไปมากมายเพื่อไขว่คว้าความมั่งคั่งและแข็งแกร่ง ฉะนั้นฉันคิดว่าโชคชะตานี้ ที่พวกมันได้รับ คือสิ่งที่สมควรแล้ว”
ต้นกำเนิดพอได้ฟังก็ตกลงสู่ความเงียบ
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “และการตายของพวกมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น สงครามระหว่างแกกับฉันมันจะยังคงดำเนินต่อไป”
“ไอ้ขี้ขลาด เจ้ามันก็แค่เผ่ามนุษย์ตัวจ้อย เป็นการดำรงอยู่ที่ต่ำตมที่สุดในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น เจ้าคิดจะประกาศสงครามกับข้าอย่างงั้นเหรอ” ต้นกำเนิดสบถด้วยความโกรธ
“ก็เออสิวะ”
Ep.551 – ความโศกเศร้า
กู่ฉิงซานหันไปขยิบตาให้ลอร่า ส่งสัญญาณว่าให้เธอรอก่อน
เขาตะโกนไปทางฝูงชนที่กำลังวุ่นวายว่า “ทุกคนเงียบก่อน”
“ฉันได้รับความไว้วางใจจากทางราชวงศ์หนาม ให้มาจัดการเรื่องนี้”
“ดังนั้นอันดับแรก ทุกคนรู้ไหมว่า ทำไมระบบที่ดาวโหลดมา มันถึงสั่งให้ฆ่าฉัน?”
“ไม่รู้เหมือนกัน” หลายคนตอบเสียงดังฟังชัดกลับมา
“นั่นก็เพราะตัวฉันเองก็เคยใช้เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด ที่เป็นของปลอมนี้มาก่อนนั่นเอง ฉันเลยรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมันไง”
“และเนื่องจากประสบการณ์ที่ฉันมี ดังนั้นหลังจากที่ชั่งน้ำหนักในจิตใจดูแล้ว บุคคลภายนอกจึงตัดสินใจส่งฉันมา ให้เป็นผู้รับผิดชอบและอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้”
กู่ฉิงซานกล่าว
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ
เมื่อกี้ … เขาบอกว่าตัวเองเคยใช้ต้นกำเนิดของปลอมมาก่อนงั้นหรอ?
ในหัวใจของทุกคนอดไม่ได้ที่จะเกิดข้อสงสัยใหม่ขึ้น
แต่เดิม ตั้งแต่ที่เจ้าเด็กจากสมาคมคนนี้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเจ้าหญิงหนาม ทุกคนก็เกิดความสงสัยมากพออยู่แล้ว
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดมา มันมีเหตุผลและข้อรองรับมากเหลือเกิน
แถมตอนนี้ เขายังเอ่ยปากออกมาว่าตนเคยได้ใช้ระบบปลอมนี้มาก่อนอีก
“ใช่แล้วล่ะ ถ้าพวกนายสงสัยอะไรเกี่ยวกับเจ้าสิ่งหลอกลวงนี้ล่ะก็ สามารถลองถามฉันได้เลยโดยตรง”
เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ยกนิ้วโป้งชี้มาที่ตัวเองและกล่าวต่อ “อันที่จริงทุกคนกก็น่าจะคิดได้กันแล้วนะ ว่าเหตุผลที่ฉันต้องตกเป็นเป้าหมายในการกำจัดของมัน นั่นเป็นเพราะว่าฉันสามารถถอนการติดตั้ง
… หลุดพ้นจากมันได้สำเร็จแล้วนั่นเอง”
ถอนการติดตั้งงั้นหรอ!
ทุกคนตะลึงงันอีกครั้ง
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ ภายในจิตใจของทุกคนก็ยิ่งเกิดความสับสนมากขึ้น
“นี่เจ้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมันจริงๆน่ะหรอ” นักรบศักดิ์สิทธิ์ถามเสียงทุ้มลึก
“ใช่แล้วล่ะ ตัวอย่างก็เช่น – มันจะสัญญากับพวกนายว่า ตราบใดที่ฆ่าฉันได้ พวกนายจะได้รับรางวัลมากมาย , สามารถหลบเลี่ยงการไล่ล่า และสามารถกลับไปยังสถานที่ปลอดภัยได้”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังหน้าต่างต้นกำเนิดของพวกเขา
“อีกตัวอย่างหนึ่งก็คงจะเป็น ตอนนี้มันคงจะแก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเอง โดยการซ่อนจำนวนค่าประสบการณ์ไปแล้ว โดยบอกมาว่าหน้าต่างข้อมูลในส่วนนั้นกำลังปรับปรุง และอัพเดตอยู่” กู่ฉิงซานกล่าวต่อ
สายตาของฝูงชนยังคงจดจ่ออยู่กับหน้าต่างระบบ กวาดอ่านไปยังบรรทัดตัวอักษรที่พึ่งโผล่ขึ้นมาด้านบน
มันเป็นไปได้ยังไง!?
เขารู้จริงๆงั้นหรือนี่!
แท้จริงแล้ว นับตั้งแต่ที่เรื่องนี้ถูกแฉออกมา พวกเขาจะไม่สามารถตรวจสอบถึงค่าประสบการณ์ที่จำเป็นสำหรับการยกระดับในแต่ละครั้งได้อีกต่อไป
กู่ฉิงซานเห็นสีหน้าของผู้คน ในหัวใจของเขาก็บรรเทาความตึงเครียดลงไปได้อีกเล็กน้อย
อันที่จริงแล้ว ระบบราชามารที่เรียกกันว่าเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online นี้ มันเต็มไปด้วยภูมิปัญญา และหลักแหลมไม่เบาเลย
ในความเป็นจริง ช่วงชีวิตก่อนหน้าของเขา เมื่อเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online มาเยือน ข้อมูลทั้งหมดของมันก็เปิดกว้างให้ทุกผู้คนได้รับชมเช่นกัน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็จะค่อยๆเริ่มปกปิดข้อมูลบางส่วนทีละน้อย ทีละน้อย
ซึ่งนี่หมายความว่ามันสามารถเรียนรู้ , พัฒนา และกลบจุดอ่อนของตนเองได้!
ซึ่งความคิดอ่านนี้ สำหรับอารยธรรมทั้งหลายแล้ว นับว่าเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่ง!
เมื่อวันเวลาผ่านไป มันก็จะกลายเป็นเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online – รู้จักเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองเพื่อที่จะติดต่อกับมนุษย์ และแฝงตัวเข้าไปอยู่ด้วยกันกับเป้าหมาย
นอกจากนี้ มันยังรู้จักการใช้ประโยชน์จากอารมณ์ความรู้สึกอยากได้อยากมีตามธรรมชาติของมนุษย์ ในการหลอกล่อให้ดาวโหลดและทำตามที่มันต้องการได้อีก
แม้กระทั่งในชีวิตนี้ มันก็ยังแสร้งปลอมตัวเองเป็นเชื้อไฟที่จำต้องใช้แต้มพลังวิญญาณในการแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ เพื่อพยายามที่จะหลอกลวงกู่ฉิงซานอีกด้วย
กู่ฉิงซานกล่าวต่อว่า “และมันจะต้องบอกพวกนายอย่างแน่นอนว่า ไม่ต้องกังวลอะไรเกี่ยวกับค่าประสบการณ์”
“ซึ่งฉันคิดว่าคำเดิมที่มันบอกก็คงจะเป็น–”
กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามย้อนนึกไปถึงทุกเรื่องราวในชีวิตก่อนหน้า
แล้วก็พบกับสองประโยคสั้นๆ ที่ตราตรึงอยู่ในท่ามกลางวันเวลาเหล่านั้น
“เมื่อคุณสามารถไปถึงระดับที่สูงขึ้น คุณจะสามารถเดินทางไปยังโลกนับล้านๆ ที่ซึ่งมีเป้าหมายให้เฟ้นหาอย่างไร้ที่สิ้นสุด”
“คุณจะได้เริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่กับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าเดิม และจะได้รับค่าประสบการณ์มากมาย ดังนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องการยกระดับไป”
ฝูงชนถึงขั้นกลั้นหายใจ
เพราะบนหน้าต่างของต้นกำเนิด ในทุกๆบรรทัดตัวอักษร มันขีดเขียนไว้ไม่แตกต่างไปจากคำพูดของกู่ฉิงซานเลย!
กู่ฉิงซานเริ่มพูดอย่างรวดเร็ว และทุกๆคำที่เขาพูด มันก็ได้นำหน้าตัวอักษรของหน้าต่างต้นกำเนิดไปราวๆ หนึ่งหรือสองวินาที ที่กำลังปล่อยข้อมูลดังกล่าวออกมา
และผลที่ตามมาก็คือ 800 คนที่กำลังมองหน้าต่างต้นกำเนิดอยู่ ได้ค้นพบว่าบรรทัดตัวอักษรเหล่านั้นตรงตามกับคำอธิบายของกู่ฉิงซานที่เอ่ยขึ้นก่อนหน้า
ไม่มีคำผิดเลย! แถมยังไม่ตกหล่นสักนิด!
เขาจะสามารถรู้ถึงมันได้อย่างไร หากเขาไม่เคยได้เผชิญกับเนื้อหาทั้งหมดนี้มาก่อนแล้ว?
ในความเป็นจริง กู่ฉิงซานก็ไม่ได้โกหกพวกเขานะ
เพราะในสิบปีที่ผ่านมา
เขาอยู่ร่วมกันกับต้นกำเนิดมาโดยตลอด และเข้าใจเกี่ยวกับมันอย่างแท้จริง
ภายในวิหารบรรพกาลที่ถูกหล่อหลอมขึ้นด้วยผลึกน้ำแข็ง บรรยากาศที่แต่เดิมเย็นสบาย บัดนี้ฟุ้งไปด้วยความหนักอึ้ง
800 ผู้เข้าสู่วิถีมารตกลงสู่ความเงียบ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
โครม เคร้ง …
ภายใต้เสียงถอนหายใจของทุกผู้คน ฝูงชนต่างพากันโยนสิ่งประดิษฐ์เทวะที่แลกเปลี่ยนมา ทิ้งลงบนพื้นผลึกน้ำแข็งอย่างไม่ใยดี
คงไม่ผิดแล้วล่ะ ดูเหมือนว่าที่อีกฝ่ายพูดจะเป็นความจริง
ตอนนี้ พวกตนคงตกหลุมพรางแน่นอนแล้ว
แต่ในเมื่อมีบุคคลคนนี้มาอยู่ที่นี่เพื่อรับมือกับต้นกำเนิดโดยเฉพาะ ถ้าอย่างงั้นเรื่องเลวร้ายคงจะจบลงในเร็วๆนี้นี่แหละ
หากลองคิดตามเหตุผลที่เขาถูกส่งมา ก็ย่อมสันนิษฐานได้ว่า เขาเคยใช้เจ้าสิ่งนี้มาก่อนจริงๆ และรู้ถึงวิธีถอนการติดตั้งมันอย่างแน่นอน
—ท้ายที่สุดนี้ ต้องไม่ลืมนะ ว่าเขาสามารถบอกได้ว่าต้นกำเนิดจะพูดอะไรก่อนที่ข้อมูลของมันจะปรากฏขึ้นมาซะอีก
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางหมู่คนจำนวนมากก็ยังสัมผัสได้ถึงความไม่ยินยอม
นั่นเพราะพวกเขายังไม่ยอมแพ้ ยังไม่อยากที่จะยอมรับเกี่ยวกับเรื่องนี้!
“ถ้าอย่างงั้น – ฉันมีคำถามเกี่ยวกับระบบ” ผู้หญิงคนหนึ่งมองมาทางกู่ฉิงซานและกล่าว
“เชิญถามมาได้เลย” กู่ฉิงซานกล่าว
“ฉันไม่สามารถควบคุมหน้าต่างระบบได้ดั่งใจนึกเลย จะต้องทำยังไงถึงจะใช้งานมันได้ง่ายขึ้น?”
“เรื่องนี้ง่ายมาก คุณก็แค่ต้องบอกมันว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในสถานะอะไร”
“สถานะงั้นหรอ? นั่นมันหมายความว่ายังไง”
“มันยังไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไหร่ คุณจำเป็นต้องบอกมันว่าตัวเองอยู่ในสถานะกำลังตรวจสอบข้อมูลหรือว่าต่อสู้ เพื่อที่จะเปิดปิดโหมดการแสดงผลตามที่ตัวเองต้องการ”
ผู้หญิงคนนั้นรับฟัง และทดลองทำตามอย่างเงียบๆ
ไม่เพียงแต่เธอ คนอื่นๆอีกมากมายก็เริ่มทำตามที่เขาบอกบนหน้าต่างของตัวเองเช่นกัน
สำหรับคำเตือนที่เด้งขึ้นมารัวๆบนหน้าต่างต้นกำเนิด ทุกคนได้ละความสนใจจากมันไปโดยสมบูรณ์
“ใช่แล้วล่ะ มันเป็นอย่างที่ว่ามาจริงๆ” หลังจากที่ทดลอง เธอก็พยักหน้า
ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียใจนิดหน่อย
หากเธอสามารถเข้าสู่วิถีมารได้จริง และได้รับความแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นก็ยังนับว่าเป็นสิ่งที่เธอยอมรับได้
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง
ทุกอย่างที่เธอทุ่มเทมา มันกลายเป็นเพียงฟองอากาศไปแล้ว!
ผู้หญิงคนนั้นปัดแจ้งเตือนบนหน้าต่างต้นกำเนิดด้วยความรำคาญ
บ้าจริง!
เธอสาปแช่งมันอย่างลับๆ
ถัดมา ก็มีอีกหลายคนยกมือขึ้นเพื่อถามเขา
ทั้งหมดถามกู่ฉิงซานเกี่ยวกับปัญหาเบื้องลึก ที่ตนเองคิดว่ามันยุ่งยาก
ขณะที่ฝูงชนคนอื่นๆคอยรับชมอย่างเงียบๆ
แต่พวกเขาจะรู้ได้อย่างไร ว่ากู่ฉิงซานน่ะเคยใช้งานเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online มายาวนานกว่าสิบปีแล้ว!
ดังนั้นทุกๆปัญหาในมุมมองของพวกเขา สำหรับกู่ฉิงซานแล้วมันไม่ต่างอะไรกับคำถามเด็กน้อยเลย
กู่ฉิงซานคอยตอบคำถามทีละคนอย่างอดทน
7-8 นาทีต่อมา เขาก็ตอบไปหลายสิบคำถาม และคำตอบเหล่านั้นก็ถูกต้องทุกอย่าง โดยไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ
ในขณะนี้ กระทั่งเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารที่ยังคงไม่ยินยอมและสงสัยในตัวเขา ก็ได้เชื่อในคำกล่าวของกู่ฉิงซานอย่างสนิทใจแล้ว
มากกว่า 800 วิถีมาร ยอมแพ้ที่จะต่อสู้
“แล้วตอนนี้พวกเราจะทำยังไงกันดี?” นักรบเทพถามกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานกล่าว “รอถอนการติดตั้งอยู่ที่นี่ ส่วนทางฉันจะส่งสัญญาณไปให้แสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ ให้พาพวกนายออกไปเอง”
“แต่ — ข้าสังหารคนไปมากมายจากการถูกหลอกใช้โดยเจ้าสิ่งนี้ แล้วปัญหานี้พอจะแก้ไขได้หรือไม่?”
นักรบเทพถามอีกครั้ง
ด้วยคำถามนี้ของเขา เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารต่างก็จ้องกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว
เพราะเกือบทุกๆผู้เข้าสู่วิถีมาร ล้วนลงมือฆ่าคนไปแล้วทั้งสิ้น
มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาคงไม่สามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณมาใช้แลกเปลี่ยนกับพลังหรืออาวุธต่อสู้ได้หรอก
เมื่อต้องออกไปจากโลกใบนี้ นี่คือปัญหาใหญ่ที่สุดที่จะตามมา
กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น “ปัญหาในส่วนนี้ เกิดจากความรับผิดชอบของราชวงศ์หนาม ส่งผลให้เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ขึ้น”
“ฉะนั้น หลังจากที่พวกนายออกไปข้างนอก ทางราชวงศ์วิหคหนามจะเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดนี้เอง”
ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็หันไปมองลอร่า
ลอร่ายืนขึ้นบนไหล่เขา ย่อเข่าโค้งกายกล่าวขออภัย “ในนามของราชอาณาจักรหนาม เราต้องขอโทษพวกเจ้าทุกคนจริงๆ และขอแสดงความรับผิดชอบโดยการมอบค่าชดเชยแก่ผู้คนทั้งหมดที่ถูกหลอกลวงและตายไป”
ทุกคนมองลอร่า และฟังเธอพูดอย่างเงียบๆ
ขณะเดียวกันก็ลอบถอนหายใจอย่างลับๆ
ในเมื่อเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรหนามออกหน้ายืนยัน แสดงถึงทัศนคติที่มีออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว …
ก็พอจะสันนิษฐานได้ว่านี่คือผลลัพธ์จากการหารือในการแก้ปัญหานี้ระหว่างทุกฝ่าย
มิฉะนั้นแล้ว จะให้ผู้คนหลายร้อยล้านคนเป็นผู้รับผิดชอบแทนความผิดพลาดของวิหคหนามซะเองงั้นหรอ?
ต้องรู้นะว่าวิหคหนามน่ะอุดมไปด้วยความมั่งคั่ง แม้ว่าพวกเขาจะจ่ายออกไปมากกว่าเดิมหลายเท่า แต่ก็คงจะไม่น่ากังวลใดๆ
สีหน้าของนักรบเทพผ่อนคลายลง
เขาเหลือบมองไปทางตาเทพกับนักพรตเทพและพยักหน้าให้กัน
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่มีปัญหา” เทพนักรบกล่าว
ฝูงชนก็ตอบรับในทำนองเดียวกัน
หากทั้งสามเทพที่ทรงพลังที่สุดยอมรับแล้ว ทุกคนก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก
หนึ่งในปัญหาที่ยากเย็นที่สุดได้รับการแก้ไขแล้ว!
“งั้นพวกเราจะถอนการติดตั้งเจ้าสิ่งนี้ได้ยังไง?” บางคนเอ่ยถาม
“เป็นคำถามที่ดีนี่ แต่มันคงจะลำบากเกินไปหากจะต้องมาคอยสอนมันทีละคน ทีละคน ในเมื่อทางฝั่งพวกนายมีตั้งราวๆ 800 คน”
กู่ฉิงซานกลั้วลำคอและอธิบายให้ทุกคนฟัง “พวกนายทำตามที่ฉันบอกก็พอ จากนั้นก็จะสามารถถอนการติดตั้งได้ แล้วรออยู่ที่นี่นะ”
เขาฝืนยิ้มและกล่าวว่า “งานของฉันมันหนักหนามาก ฉันยังต้องรีบไปช่วยเหลือเหยื่ออีกหลายร้อยล้านคน เพื่อแก้ปัญหานี้”
“เข้าใจแล้ว ไหนว่ามาสิว่าจะให้ทำอะไร”
“เห็นด้านล่างซ้ายของหน้าต่างต้นกำเนิดไหม? มันจะมีปุ่มตัวอักษรคำว่า ‘ลบ’ ที่เป็นสีแดงอยู่”
“เมื่อพวกนายพยายามที่จะสัมผัสมัน นายจะได้รับคำเตือนว่าถ้ากดลบไปแล้ว ระบบจะทำการรีเซ็ทตัวเองทันที”
“แน่นอน ว่าไม่ต้องไปสนใจมัน และกดลบไปเลยโดยตรง มีอะไรเด้งแจ้งเตือนขึ้นมา ก็กดปฏิเสธไปซะ”
ฝูงชนพยักหน้า
มันฟังดูง่ายจริงๆ
ท่ามกลางฝูงชน บางคนที่ใจร้อนทนไม่ไหว รีบทำตามที่เขาบอก
“เป็นไงบ้าง? มีใครได้ทดลองดูแล้วรึยัง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม
ชายร่างโตคนหนึ่งยกมือขึ้นทันใดและกล่าวว่า “ฉันลองทำแล้ว และตอนนี้ในสายตาของฉันปลอดโปร่ง ไม่มีอะไรน่ารำคาญมาบดบังอีกแล้ว”
เมื่อมีคนเริ่ม ก็ย่อมต้องมีคนตามเช่นกัน
กู่ฉิงซานตะโกน “เอาล่ะ งั้นก็จัดการกันเองแล้วกัน ส่วนฉันคงต้องรีบขอตัวไปก่อน”
ลอร่ากล่าวเสริม “หลังจากที่ออกไป ทางอาณาจักรวิหคหนามจะจ่ายค่าชดเชยสำหรับผู้ที่ถูกหลอกลวงและเหยื่อเพื่อแสดงถึงความเสียใจอย่างแน่นอน”
หลายคนขานรับคำของเธอ
กู่ฉิงซานพยักหน้าให้ทุกคน และนำลอร่าออกไปนอกตัววิหาร
คราวนี้ ไม่มีใครมากีดขวางทางพวกเขาอีกแล้ว
ผู้เข้าสู่วิถีมารได้แยกตัวออกเป็นสองฝั่ง ถอยหลีกให้พวกเขา
“ขอบคุณมาก”
“ขอบคุณที่นายมาช่วยพวกเรา”
“หลังจากออกไปข้างนอกได้ ไว้ฉันจะไปเยี่ยมเยือนที่สมาคมกำปั้นเหล็กนะ”
หลายคนแสดงทัศนคติที่ดีต่อเขา
กู่ฉิงซานตอบรับด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นเขาก็พาลอร่า และหายตัวไปจากทางเข้าวิหาร
พวกเขาได้จากไปแล้วจริงๆ
ภายในวิหาร คนแล้วคนเล่าได้ถูกปลดปล่อยออกจากต้นกำเนิด
เหลืออยู่น้อยคนนักที่ยังคงสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าคนส่วนใหญ่สามารถประสบความสำเร็จในการถอนการติดตั้ง และมองกลับมายังคำแจ้งเตือนที่เด้งอย่างบ้าคลั่งบนหน้าต่างของตน ในหัวใจของพวกเขาก็เริ่มที่จะรู้สึกรำคาญ
หลังจากเฝ้ารอดูอยู่ครู่หนึ่ง ว่าคนอื่นๆที่ถอนการติดตั้งน่ะปลอดภัยจริงๆ ที่เหลืออีกไม่กี่คนสุดท้ายจึงค่อยทำตาม
และในที่สุด ทุกคนก็หลุดพ้นจากพันธนารการของต้นกำเนิด
“เอาล่ะ พวกเราจะรออยู่ที่นี่” นักรบเทพกล่าว
ทุกคนพยักหน้ารับคำ
ภายนอกตัววิหาร ท่ามกลางหิมะที่ปกคลุมหนาแน่น
กู่ฉิงซานยกตัวลอร่าขึ้นบนหลังม้า
“ท่านทั้งสองกำลังเร่งรีบ หรืออยากชมทิวทัศน์?” ม้าทมิฬเอ่ยถาม
“วิ่งไปเลย ลงไปทางตีนเขา” กู่ฉิงซานกล่าว
แล้วม้าทมิฬก็ควบสี่กีบ ทะยานลงจากภูเขาท่ามกลางสายลมหนาว
ระหว่างทาง ลอร่าก็ทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม “งั้นตอนนี้ -”
“ชู่ววว!” กู่ฉิงซานส่งสัญญาณให้เธอเงียบก่อนชั่วคราว
หลังจาก7-8 นาทีต่อมา
เมื่อพวกเขาลงมาได้ครึ่งทางภูเขาแล้ว ก็บังเกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนขึ้นจากตรงส่วนยอด
เสียงกรีดร้องคำรามนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง คล้ายกับว่าบางคนกำลังทุกข์ทรมานจากบทลงโทษจนมิอาจบอกบรรยายได้
สรรพเสียงนับไม่ถ้วนที่น่าพรั่งพรึง ร่ำไห้หมดหวัง ฟังจากมัน ราวกับว่าบนยอดภูเขาน้ำแข็งได้กลายเป็นนรกไปเสียแล้ว!
เสียงกรีดร้องครวญครางเริ่มดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ จนสั่นสะท้านกังวานไปตลอดทั้งภูเขา
กู่ฉิงซานลดศีรษะลงและตั้งใจฟังมันอย่างระมัดระวังสักพัก
ท่ามกลางสายลมและหิมะ เขาได้เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่ดูโศกเศร้าเล็กน้อย
Ep.550 – สถานการณ์ใหม่
ภายในวิหารบรรพกาล
กว่า 800 ผู้เข้าสู่วิถีมารปิดล้อมกู่ฉิงซานและลอร่าจากทุกทิศทาง ไม่ยินยอมให้หลบหนี
แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะยกอาวุธตนและพุ่งเข้าสังหารนั้นเอง
กู่ฉิงซานก็ตะโกนขึ้นมาอย่างกระทันหัน
“ช้าก่อน!”
เขาไม่สนใจปฏิกริยาของฝ่ายตรงข้าม ปากอ้าตะโกน “ฉันคือคนจากสมาคมกำปั้นเหล็ก และตัวตนทรงอำนาจอย่างกำปั้นเหล็กแบรี่ก็เป็นเพื่อนกันกับฉัน ตอนนี้เขากำลังต่อสู้เพื่อปกป้องโลกจากภายนอก — ถ้าพวกนายคิดว่าฉันโกหกล่ะก็ ลองย้อนกลับไปดูพาดหัวข่าวหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อวานได้เลย!”
กว่า 800 ร่างหยุดชะงักไปทันที
แน่นอน ว่ามันไม่ใช่เพราะคำกล่าวของกู่ฉิงซาน แต่ที่พวกเขาต้องหยุดมันก็เป็นเพราะ
ในระหว่างที่กู่ฉิงซานขู่ ขณะเดียวกันก็บังเกิดกระแสลมรุนแรงพัดกระพือขึ้น
ค่ายกลดาบไท่หยี!
สามดาบเผยโฉมออกมาพร้อมกันในความว่างเปล่า
ร่างเงาอันไร้ที่สิ้นสุดกระจายตัวออกจากดาบบิน และล่อยล่องไปตามสายลม แผ่ขยายไปตลอดทั้งวิหาร
ในเสี้ยววินาที กระแสลมและร่างเงาดาบก็ท่วมทับไปทั่วตัววิหาร
ไม่มีใครสามารถต้านทานสายลมนี้ได้ ไม่มีใครสามารถรอดพ้นจากการถูกปกคลุมไปด้วยแสงและเงาดังกล่าวได้เลย
หลังจากทั้งหมดนี้ ต้องไม่ลืมนะว่านี่คือค่ายกลดาบที่ถูกเสริมแกร่งขึ้นเป็นสองเท่า แถมยังซ้อนทับกันถึงสองครั้ง!
ฝูงชนที่เดิมฟุ้งไปด้วยเจตนาร้ายช่วยไม่ได้จำต้องถอยหลังไป และเตรียมรับมืออยู่ในท่วงท่าป้องกัน
นั่นเพราะทุกคนตระหนักดี
ว่าค่ายกลดาบนี้ทรงประสิทธิภาพเพียงใด พวกตนจำต้องเตรียมตัวป้องกัน มิฉะนั้นแล้วร่างกายคงแหลกสลาย มิแตกต่างจากอุกกาบาตร่วงตกทับ!
ภายใต้พลังของค่ายกลดาบที่ปะทุออกมา ทว่ายังมิถูกเปิดใช้งานโดยสมบูรณ์ กู่ฉิงซานเร่งกล่าวต่ออย่างรวดเร็ว
“จงสังเกตสาวน้อยบนไหล่ของฉันให้ดีๆ หากมีใครในที่นี้ ที่มีสถานะสูงส่ง คนๆนั้นก็จะรู้ได้ทันทีว่าเธอคือเจ้าหญิงหนาม ลอร่า!”
“พวกเรามาที่นี่ในฐานะตัวแทนของราชวงศ์วิหคหนามเพื่อช่วยเหลือพวกนาย! ”
“สิ่งที่พวกเราต้องการจะบอกทุกคนก็คือ พวกนายอาจจะคิดว่าตนเองได้เข้าสู่วิถีมารแล้ว ทว่าแท้จริงนั่นมันเป็นเรื่องหลอกลวง!”
ประโยคเหล่านี้ ข้อมูลและความน่าสงสัยมันเยอะมากเกินไป
แต่เหล่า 800 ผู้เข้าสู่วิถีมารภายในวิหาร ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะจากในบรรดานับพันล้านคนที่ถูกคัดเลือกมา ดังนั้นพวกเขาย่อมมิใช่คนโง่
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับค่ายกลดาบอันยิ่งใหญ่ พวกเขาก็จำต้องหยุด และลองคิดทบทวนเกี่ยวกับความหมายของประโยคทั้งสามนี้
“จริงสิ ฉันก็ว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นๆหน้าเขา พอถูกเตือนก็เลยจำได้แล้ว ตอนที่ฉันอ่านหนังสือพิมพ์ เขาคือคนๆเดียวกันกับที่ยืนอยู่ข้างๆแบรี่จริงๆ” บางคนร้องตะโกนขึ้น
“แน่ใจนะว่าเป็นเขา?”
“แน่ใจสิ เรื่องนี้ไม่ผิดพลาดแน่ๆ ฉันยืนยันได้”
“งั้นก็ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมเขาถึงสามารถครอบครองสิ่งประดิษฐ์เทวะได้ถึงสามชิ้น”
“คนจากสมาคมกำปั้นเหล็ก … ช่างร้ายกาจจริงๆ … ”
ในระหว่างที่คนเหล่านี้พูดคุยกันถึงเรื่องดังกล่าว ช่วงเวลานั้นเอง บางคนก็อุทานขึ้น “เจ้าหญิงล่อร่า เป็นท่านจริงๆงั้นหรือ?”
ลอร่าหันมองไปตามทิศทางของเสียง
“เพียสแห่งดาราจิต? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” เธอเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
ทันใดนั้นเพียสก็เปลี่ยนภาษาพูดของตนเองอย่างกระทันหันและเล่าว่า “แน่นอนว่ากระหม่อมมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการเรียกขานของวิหคหนาม แต่เป็นฝ่าบาทต่างหาก เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
“เรามาที่นี่กับกู่ฉิงซาน เพื่อช่วยเหลือพวกเจ้า”
ลอร่าอธิบาย ภายใต้เสียงตะโกนของกู่ฉิงซาน
และเธอก็ตอบกลับไปด้วยภาษาสากลของดาราจิต
ดาราจิตนั้นเป็นอาณาจักรที่แตกฉานในหลากหลายภาษา โดดเด่นในด้านการสรรสร้างเทคนิคมนตรา และมักจะใช้เทคนิคมนตราแปลงเป็นภาษาของชนเผ่าเพื่อใช้ในการสื่อสาร
ภาษานี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คุณจะไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาชนเผ่าของพวกเขาได้ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะได้รับการอนุญาตจากชาวดาราจิต
และสำหรับเจ้าหญิงหนาม แน่นอนว่าเธอย่อมเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของพวกเขา ดังนั้นเธอจึงได้รับอนุญาตให้สื่อสารด้วยภาษาของพวกเขาได้
พอได้ยินถึงสำเนียงภาษาตน เพียสแห่งดาราจิตก็ตกใจ
เขากระโจนออกมาอย่างกระทันหัน และตะโกนต่อหน้าทุกคน “นี่คือเจ้าหญิงหนามตัวจริง! ถ้าพวกนายไม่อยากตาย ก็ขอให้มายืนฝั่งฉัน และหยุดมือซะ!”
บังเกิดความวุ่นวายขึ้นในฝูงชน
หลังจากนั้นอีกไม่กี่คนก็เดินออกมา
ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งน้อมกายคารวะไปทางเจ้าหญิงลอร่าและกล่าว “ปีที่แล้ว กระหม่อมเคยได้เห็นท่านในงานเลี้ยงอาหารค่ำของอาณาจักรดาราจิต และรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่เกือบทำร้ายฝ่าบาทให้ได้รับบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจ”
แม้ว่าจะเข้าสู่วิถีมาร แต่พวกเขาก็เลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งวิหคหนาม
คนพวกนี้นับว่ามีสมองจริงๆ
แต่พวกเขาก็ยังไม่รู้อยู่ดี ว่ามันเกิดอะไรขึ้นภายนอกกันแน่
ทันใดนั้นเอง ชายร่างสูงผิวแทนก็กระโดดออกมาและถามว่า “รอก่อน! เมื่อกี้นายบอกว่าจะช่วยพวกเรา แล้วไอ้ที่ว่าพวกเราถูกหลอกน่ะ มันเรื่องอะไรกัน?”
“ใช่ๆ วิหคหนามน่ะไม่เคยสนับสนุนให้มีภารกิจในการสังหารมาก่อนเลย แล้วทำไมเวลานี้ระบบราชามาร .. เชื้อไฟถึงได้ปรากฏขึ้น?” อีกคนถามต่อ
บางคนถามออกมาอย่างไม่มั่นใจ “ฉันได้รับพลังอันยิ่งใหญ่และสมบัติที่ทรงอำนาจมากมายผ่านการบรรลุภารกิจเก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณ นี่มันไม่ใช่เพราะเกมหมื่นสวรรรค์สิ้นโลกา Online หรอกหรอ? แล้วที่บอกว่าการเข้าสู่วิถีมารมันเป็นเรื่องหลอกลวงนั่นมันอะไรกัน – เข้าใจอะไรผิดรึรึเปล่า?
ภายในฝูงชนเริ่มเกิดการถกเถียง เสียงสนทนาดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ
“เอาล่ะๆ ทุกคนฟังฉันนะ ความจริงแล้วพวกนายยังไม่ได้เข้าสู่วิถีมาร” กู่ฉิงซานร้องเสียงดัง
ฝูงชนต่างหันมามองเขาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
เพราะทุกคำกล่าวของมนุษย์ผู้นี้ มันอยู่เหนือล้ำกว่าจินตนาการของทุกๆคนไปมากเหลือเกิน
ไม่ว่าจะเป็น
-กำปั้นเหล็กแบรี่เป็นเพื่อนกับเขา และกำลังปกป้องโลกจากภายนอกเอย
-เจ้าหญิงหนาม ลอร่ามาเยือนที่นี่ในฐานะตัวแทนของอาณาจักรหนามเอย
-แล้วยังมาบอกว่าพวกเขาถูกหลอกอีก
แต่ทั้งสามเรื่องนี้ ทำให้แต่ละคนจำต้องหยุดมือ และเค้นสมองขบคิด
ตัวตนทรงอำนาจอย่างกำปั้นเหล็กแบรี่เป็นเพื่อนกับเขา ซึ่งในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น มันจะมีซักกี่คนเชียวที่ไม่กล้าไว้หน้าอีกฝ่าย?
นอกจากนี้ ที่นี่คือโลกของทริสเต้ และลอร่าก็เป็นเจ้าหญิงหนาม ซึ่งเป็นผู้ปกครองคนต่อไปของอาณาจักร
ยามเมื่อเธอปรากฏตัวขึ้น นั่นย่อมหมายความว่าโอกาสที่เธอจะเป็นตัวแทนของราชวงศ์หนามนั้นมีสูงมากจริงๆ
ขณะที่ตนเองและคนอื่นๆอยู่ในโลกวิหคหนามทริสเต้ ดังนั้นหากมีใครกล้าลงมือกับเจ้าหญิง แล้วทางตระกูลหนามเกิดโกรธแค้นขึ้นมา นั่นไม่เท่ากับว่าตนได้บีบโลกที่ตัวเองใช้อาศัยอยู่ให้ถูกทำลายลงโดยวิหคหนามหรอกหรือ?
ยังไม่หมดอีก! เพราะชายคนนี้ยังบอกอีกว่าพวกตนถูกหลอก!
พวกเรายังไม่ได้เข้าสู่วิถีมารงั้นหรอ?
ไม่นะ นี่มันไม่ถูกต้อง เห็นได้ชัดว่าพวกเราตกอยู่ในวิถีมารแล้ว
—ช้าก่อน! พอลองมาคิดดูดีๆแล้ว เชื้อไฟมันมาจากที่ไหนกัน และมันเชื่อถือได้จริงๆน่ะหรือ?
หรือว่าบางที คนๆนี้จะแค่พูดคาดเดาออกมาเรื่อยเปื่อยกันแน่นะ?
ภายในฝูงชน ฉันมองนาย นายมองฉัน ความสงสัยภายในจิตใจ ยิ่งนานยิ่งเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นอย่างไม่อาจระงับได้
หลายร้อยคนสลับกันมองไปมาๆแบบนี้สักพัก แล้วในที่สุดก็มองไปยังสามผู้เข้าสู่วิถีมารที่ยืนอยู่เบื้องหลังสุด
ในบรรดาทั้ง 800 คน ทั้งสามคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด
และหนึ่งในสามก็คือคนที่ได้ทำการประเมินกำลังรบของกู่ฉิงซาน -ตาเทพก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน
“ตาเทพ เจ้าช่วยยืนยันสถานะของเจ้าหญิงลอร่าจะได้ไหม?” หนึ่งในสามพูดขึ้น
“นักพรตเทพเอ๋ย ดวงตาของข้าได้เห็นมันจนสิ้นแล้ว และขอยืนยันว่าสถานะของสาวน้อยคนนั้นเป็นเรื่องจริง” ตาเทพที่ภายในแววตาท่วมไปด้วยแสงเรืองรองสีม่วงเอ่ยปากออกมา
“ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเจ้าหญิงหนามจริงๆ ข้่าคิดว่าพวกเราควรจะหยุดมือ แล้วเจ้าล่ะ … คิดว่ายังไง?” นักพรตเทพถาม
“ตรงส่วนนี้ข้าเห็นด้วย คิดว่าพวกเราคงต้องเข้าใจสถานการณ์ให้มันชัดเจนซะก่อน” ตาเทพกล่าว
แล้วทั้งสองก็หันไปมองคนสุดท้าย
“นักรบเทพ เจ้าเล่ามีความเห็นเช่นไร?” ทั้งสองคนเอ่ยถาม
นักรบเทพถอนหายใจ “ ‘ต้นกำเนิด’ พึ่งจะส่งภารกิจใหม่มาให้ข้าอย่างบ้าคลั่ง และบอกตรงๆเลยว่าแม้กระทั่งตัวข้าเอง พอได้เห็นรางวัลแล้ว ก็ยังแทบจะไม่สามารถระงับความปรารถนาในจิตใจเอาไว้ได้”
เมื่อกี้เขาพูดว่า ต้นกำเนิด ใช่ไหม!?
กู่ฉิงซานสามารถจับคำๆนี้ได้อย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่าเชื้อไฟจะอัพเกรดแล้วจริงๆ!
สามารถยืนยันได้เรื่องหนึ่งแล้ว!
ว่าเชื้อไฟกำลังหลอกลวงตนเอง
ช่วงเวลานั้นเอง สายตาของทุกคนก็เบนออกไปพร้อมกัน
ใครบางคนตะโกนขึ้น “ดูรางวัลสำหรับภารกิจใหม่นี่สิ!”
กว่า 800 คนเงียบชนิดลืมหายใจ ทุกสายตาจ้องมองไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าตัวเองอย่างเงียบๆ
ก่อนที่บางคนจะค่อยๆเบนมันออกไปมองกู่ฉิงซานกับลอร่าด้วยประกาศวูบไหว
กู่ฉิงซานรู้ว่าสถานการณ์กำลังจะถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ จึงเร่งส่งเสียงทางความคิดไปบอกกับลอร่าอย่างรวดเร็ว
ลอร่าลุกขึ้นยืนบนไหล่ของเขา และประกาศก้องทันที “ในนามของราชวงศ์วิหคหนาม เราขอประกาศว่า ไม่ว่าพวกเจ้าจะได้รับสิ่งใดเป็นรางวัล ทางวิหคหนามของเราจะมอบมันให้มากกว่าเป็นสองเท่า!”
“เราไม่เชื่อหรอกว่าในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้นนี้ จะมีผู้ที่ครอบครองสมบัติมากกว่าวิหคหนามเช่นเรา!”
ฮือฮา-
บังเกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้นในฝูงชน
บางคนอดไม่ได้ที่จะตะโกนถาม “แต่ฝ่าบาท ภารกิจที่ต้นกำเนิดมอบให้กระหม่อมสังหารท่าน รางวัลของมันคือสิ่งประดิษฐ์เทวะ … ”
“สิ่งประดิษฐ์เทวะ ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด เจ้าลองดูนี่! นี่คือสิ่งประดิษฐ์เทวะโบราณที่เราเอาไว้ใช้บ้วนปาก!” ลอร่าเอ่ยหยัน
ว่าจบ เธอก็หยิบถ้วยโลหะขึ้นมา และโยนมันทิ้งไป
เคร้ง!
ถ้วยโลหะกระทบกับพื้นน้ำแข็ง กลิ้งไถลยาวออกไป จนหยุดอยู่หน้าฝูงชน
กราว กราว!
แล้วทรายสีทองนับไม่ถ้วนก็หลั่งไหลออกมาจากถ้วยอย่างไม่หยุดยั้ง
“ดูนั่น! มีทรายสีทองไหลออกมาจากจอกศักดิ์สิทธิ์ไม่หยุดเลย!” บางคนร้องด้วยความตื่นเต้น
แม้ว่าทองคำจะไม่ใช่สกุลเงินระดับสูง แต่มันก็เป็นสิ่งสากลที่สามารถใช้จ่ายได้ในตลอดทั้งหมื่นโลกา
และจอกศักดิ์สิทธิ์ .. กลับสามารถสร้างทรายทองคำออกมาได้อย่างต่อเนื่อง!
แม้ว่ามูลค่าของทองคำจะไม่สูงเท่าใดนัก ทว่าตราบใดที่ใช้งานจอกศักดิ์สิทธิ์นี้ตลอดเวลา จะร่ำรวยค้ำฟ้าก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น!
ฝูงชนจมลงสู่ความเงียบ
ทุกคนมองไปยังจอกศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเจ้าของๆมันเรียกว่าถ้วยบ้วนปากเท่านั้น ก่อนจะสลับไปมองหน้าต่างระบบของตัวเอง
ใช่แล้วล่ะ วิหคหนามน่ะร่ำรวยที่สุด เมื่อเทียบกับโลกที่ตนเองอยู่ในปัจจุบันแล้ว ต่อให้ได้รับรางวัลล้ำค่าเพียงใด มันก็ไม่คุ้มที่จะล่วงเกินพวกเขา
นอกจากนี้ แม้ว่าตนจะเข้าสู่วิถีมารแล้ว แต่ก็คงจะไม่กล้าต่อกรกับตัวตนจากดินแดนอัศจรรย์อยู่ดี
เกือบทุกๆสิ่งมีชีวิต ไม่เว้นกระทั่งเผ่ามาร ก็ยังไม่กล้าที่จะเข้าสู่ดินแดนอัศจรรย์ได้อย่างง่ายดาย
เพราะหากไปที่นั่น ผลลัพธ์ก็คือความตาย!
หลายคนเมื่อคิดอย่างนั้น ก็เริ่มเกิดความลังเล
สถานการณ์คุกรุ่นเริ่มจะเย็นลงครู่หนึ่ง
แต่ทันใดนั้นเอง นักรบเทพก็เปิดปากของเขา และถามออกมา “แล้วเมื่อกี้ที่บอกว่าพวกเราถูกหลอก มันหมายความว่ายังไง?”
ซึ่งกู่ฉิงซานกำลังเฝ้ารอช่วงเวลานี้มานานแล้ว!
นี่แหละคือเหตุผลที่เขายอมโยนตนเองมาเสี่ยงอันตราย มันก็เพื่อเวลานี้!
“พวกนายได้ดาวโหลด เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ‘ต้นกำเนิด’ มาแล้ว ถูกต้องไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
คนจำนวนมากพยักหน้า
“ใช่” นักรบเทพยอมรับ
“ฉันกับลอร่าในฐานะตัวแทนของตระกูลวิหคหนาม ต้องขอโทษทุกคนในที่นี้ด้วยใจจริง” กู่ฉิงซานกล่าว
“หืม? นี่เจ้าหมายความว่ายังไงกันแน่?”
เมื่อฝูงชนได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น พวกเขาก็เริ่มที่จะรู้สึกไม่สบายใจ
“บางทีทุกคนอาจจะคิดว่าตัวเองได้ดาวโหลดระบบราชามารจากดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูมา แต่ฉันอยากจะบอกทุกคนว่า นั่นมันคือของปลอม”
“เนื่องจากความผิดพลาดของเรา เป็นพวกเราเองที่ไม่ตรวจสอบมันให้ดี และในช่วงเวลานั้นเอง มันก็ดันหลุดออกมาหลอกลวงผู้คน จนสุดท้ายก็เกิดผลกระทบร้ายแรงตามมาอย่างที่เห็น” กู่ฉิงซานกล่าวต่อ
800 ผู้เข้าสู่วิถีมาร พอได้ยินก็ไม่เข้าใจ
“ของปลอมงั้นหรอ? ไม่น่าจะใช่นะ เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online นี่เป็นของจริง มันช่วยให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ” นักรบเทพอดไม่ได้ที่จะตะโกนขัด
แล้วเขาก็เหวี่ยงกำปั้นของตนออกไป
บังเกิดอำนาจของสามธาตุ ลม ไฟ และสายฟ้า ควบรวมกันอยู่ในกำปั้นของเขา
ฝูงชนพอได้ยินและได้เห็นเช่นนั้น ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
กู่ฉิงซานกล่าวทันที “ถ้างั้นฉันขอถามกลับหน่อยสิ ว่านายได้รับพลังที่ว่านั่น ผ่านแต้มพลังวิญญาณหรือค่าประสบการณ์(Exp)ล่ะ?”
นักรบเทพกล่าว “ตอนแรกที่ยังเป็นเชื้อไฟ ข้าได้ใช้แต้มพลังวิญญาณในการแลกเปลี่ยนพลังธาตุเหล่านี้มา”
“แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาใช้ค่าประสบการณ์แล้ว แต่ค่าประสบการณ์ก็ยังสามารถถูกหักไปเพื่อใช้ในการยกระดับได้อีกด้วย มันนับว่าเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ” ระหว่างกล่าว เขาก็เบนสายตาไปมองค่าประสบการณ์ของตัวเองในอากาศที่ว่างเปล่า
ค่าประสบการณ์!
ในหัวใจของกู่ฉิงซานบีบตัวแน่นขึ้น
เพราะนั่นคือคำที่แสนจะคุ้นเคยสำหรับเขา
มันเป็นความรู้สึกคุ้นเคย .. ที่ฝันลึกลงไปถึงกระดูก
กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าวว่า “งั้นนายลองไปเปิดข้อมูลส่วนบุคคลดูนะ ว่าหลังจากที่ตัดผ่านไปในแต่ละขอบเขตแล้ว ค่าประสบการณ์ที่จำเป็นน่ะมันสูงมากมายขนาดไหน”
“ก็ได้ จะลองดู”
นักรบเทพเริ่มเลื่อนหน้าต่างในอากาศที่ว่างเปล่าตามคำขอของอีกฝ่าย
แต่แล้วเพียงไม่นาน ใบหน้าถมึงทึงของเขาก็ค่อยๆกลายเป็นซีดขาวในทันใด
เหงื่อเย็นขนาดเท่าเม็ดถั่ว ผุดขึ้นมาตามหน้าผากเขาอย่างรวดเร็ว
“ค่าประสบการณ์มากมายขนาดนี้ … มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหามาใช้ตัดผ่านได้ … ”
“หลอกลวงล่ะ เจ้าสิ่งนี้มันหลอกลวงพวกเราจริงๆด้วย .. ”
เขาเอ่ยราวกับคนที่สูญสิ้นจิตวิญญาณไป
มองไปยังท่าทีของนักรบ กว่า 800 ผู้เข้าสู่วิถีมารในสถานที่เดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มเปิดหน้าต่างส่วนบุคคลของตน
“ค่าประสบการณ์นี่มัน-”
“ไมน่ะ! นี่มันเป็นไปได้ยังไง!”
“ถ้าเป็นแบบนี้ฉันคงไม่สามารถบรรลุมันได้ตลอดทั้งชีวิตของตัวเอง!”
“พวกเราถูกหลอกแล้ว … ”
“กลับกลายเป็นว่าจริงๆแล้วฉันไม่ใช่ผู้เข้าสู่วิถีมาร แต่แค่ถูกหลอกโดยระบบขยะ!”
คนแล้วคนเล่าเริ่มตะโกนออกมา
กู่ฉิงซานยังคงเงียบ และไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้เพียงครึ่งคำ
เขาคอยเฝ้าสังเกตดูปริกิริยาของฝูงชน
อาาาา ใช่! นี่ช่างเป็นฉากที่แสนจะคุ้นเคย เป็นสถานการณ์เดียวกันกับที่เขาเคยพบเผชิญมาเหมือนกันในชีวิตก่อนหน้า
มันคือความสิ้นหวัง เป็นประสบการณ์ที่หากได้รับมาแล้วจะไม่มีวันลืมเลือน
กู่ฉิงซานใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้ ตะโกนขึ้นมาอย่างกระทันหัน
เขาเปล่งกระแสเสียงด้วยพลังทั้งหมดที่มี จนมันกลบเสียงโวยวายของทุกคน
“นอกเหนือไปจากเรื่องค่าประสบการณ์แล้ว ยังมีเรื่องโชคร้ายอีกอย่างหนึ่งที่ฉันจะต้องบอกกับพวกนาย”
“รางวัลทุกอย่างที่พวกนายได้รับมาจากระบบนี้ คือทรัพย์สินส่วนบุคคลของผู้อื่น และมันจะหายไปทันทีหรือไม่พวกนายก็จะไม่สามารถนำมันไปได้ หลังจากที่ออกจากที่นี่”
“แค่พูดน่ะมันไม่พอหรอก เจ้าพอจะพิสูจน์เรื่องนี้ได้รึเปล่า?” นักรบเทพกล่าวอย่างไม่ยินยอม
“แน่นอน! ในเมื่อฉันชอบดาบ งั้นฉันก็จะยกตัวอย่างดาบก็แล้วกัน พวกนายลองเปิดไปในหน้าต่างรางวัลดาบนะ แล้วนายจะพบว่าพวกมันทั้งหมดมาจากร้านค้าอาวุธในเมืองเล็กๆของอัลเบอัส”
“ต่อให้พวกนายจะใช้แต้มพลังวิญญาณหรือว่าค่าประสบการณ์การในการแลกเปลี่ยนมันก็ตามที แต่หากในตอนที่ต้องออกจากระบบ แล้วคิดจะนำติดตัวไปด้วย พวกนายก็จะถูกไล่ล่าโดยผู้ปกครองของอัลเบอัสอย่างแน่นอน!”
“สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับดาบ ใครที่เคยไปยังรีสอร์ทในเมืองเล็กๆ หรือทดลองลองเปิดอ่านสมุดรายการสะสมที่เกี่ยวกับดาบก็จะรู้เอง ถ้าไม่เชื่อก็ลองพิสูจน์คำพูดของฉันดูสิ!”
กู่ฉิงซานกล่าวจบ ก็หุบปากลงทันที
ทุกคนเองก็เช่นกัน
ทั้งหมดกำลังเฝ้ารอใครบอกคนบอกผลลัพธ์ของคำกล่าวนี้
ตลอดทั้งวิหารจมลงสู่ความเงียบไปครู่หนึ่ง
กู่ฉิงซานยังคงเลือกที่จะเฝ้ารอ
ทันใดนั้นเอง เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นจากในฝูงชน
“ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดาบหรอกนะ แต่ค้อนระดับมหากาพย์ของฉัน เป็นมรดกที่ถูกเทพวิญญาณทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง และฉันก็เคยเห็นมันมาก่อน เมื่อนานมาแล้วในตัวเมืองรีสอร์ทของอัลเบอัส”
ชายร่างใหญ่ที่ดูกำยำก้าวออกมาข้างหน้า และยื่นค้อนที่อยู่ในมือของเขาให้ฝูงชนโดยรอบดู
“ฉันเองก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณแลกเปลี่ยนกับไอเท็มในเมืองรีสอร์ทได้ แต่พอได้ยินคำพูดของนาย ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้ว”
ว่าจบ ชายร่างสูงใหญ่กำยำ ก็เกรี้ยวโกรธด้วยความอัปยศอดสู เขาเขวี้ยงค้อนลงบนพื้นด้วยเจตนาร้าย!
ไม่ผิดแล้ว! นี่คือไอเท็มจากในเมืองรีสอร์ทจริงๆ!
หากออกจากที่นี่และนำค้อนนี้ติดตัวไป เขาจะต้องถูกไล่ล่าอย่างแน่นอน
ที่ทุ่มเททำภารกิจมามากมาย มันกลับไม่มีค่าอะไรเลย!
น่าสมเพศตนเองยิ่งนัก!
แถมเมื่อมองไปยังค่าประสบการณ์ที่มหาศาลเหล่านั้น-
มันคงจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ ว่านี่มันเป็นเรื่องหลอกลวง!
ระบบของราชามารที่แท้จริง มันต้องไม่ใช่แบบนี้!
เมื่อยิ่งคิดลึกเข้าไปเกี่ยวกับมัน
หากระบบของตนยังคงเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ สถานการณ์ยิ่งนานคงยิ่งเลวร้าย ต่อไปเขาคงจะถูกควบคุมโดยระบบ และจะต้องใช้ชีวิตไปเรื่อยๆโดยการแลกเปลี่ยนค่าประสบการณ์ ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันไม่มีค่าอะไรเลย!
ค่าประสบการณ์ที่ราวกับหลุมลึกอันไร้ที่สิ้นสุด ไม่ว่าผู้ใดตกลงไป ย่อมไม่อาจปีนป่ายขึ้นมาได้อีก
ดังนั้นแต่ละคนจึงได้แต่เฝ้าอธิษฐาน ว่าสิ่งที่คนๆนี้พูดจะเป็นความจริง ไอ้เจ้าเกมที่เรียกว่า หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด นี่จะต้องเป็นของปลอม!
“ไอ้สารเลวเอ๊ย น่าเจ็บใจชะมัดเลย”
“บัดซบ นี่ฉันถูกหลอกงั้นหรอ!?”
“วิหคหนามทำแบบนี้ได้อย่างไร! ทำไมถึงได้มอบสิ่งหลอกลวงที่จะส่งผลอันตรายถึงเพียงนี้แก่พวกเรา!”
“แบบนี้ไม่เข้าท่าแล้ว นี่เป็นความผิดพลาดของวิหคนาม และทางวิหคหนามจะต้องรับผิดชอบทั้งหมด!”
“ฉันต้องการค่าชดใช้!”
ฝูงชนเริ่มตะโกนเสียงดัง
อย่างไรก็ตาม แม้ทุกคนจะข่มขู่ ด่าทออย่างรุนแรง แต่บนร่างกายของพวกเขากลับไม่มีใครปลดปล่อยเจตนาฆ่าออกมาอีกเลย
เพราะท้ายที่สุดนี้ หากต้องการจะให้เรื่องราวต่างๆคลี่คลายลง มันจำเป็นต้องพึ่งพาอีกฝ่ายหนึ่ง
กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างใจเย็น
ริมฝีปากของเขายกสูง คางเชิดขึ้นเล็กน้อย ทั้งคนทั้งร่างเริ่มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“โอเค ไม่มีปัญหา ก็เป็นพวกเรานี่แหละที่ได้รับความไว้วางใจจากทางราชวงศ์หนาม ให้มาจบเรื่องนี้ลงโดยสมบูรณ์”
เขายิ้มให้กับฝูงชน และกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ขณะนี้ ลอร่าแทบจะทนไม่ไหวที่จะระงับหัวใจของเธอไม่ให้สั่นเทา
มองไปยังสถานการณ์ปัจจุบันเบื้องหน้านี้ ทุกสิ่งอย่างราวกับเป็นเพียงภาพฝัน
เห็นได้ชัดว่าศัตรูมีอยู่ถึง 800 คน
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นกับดักอันตราย ร้ายแรงที่สุด หากก้าวผิดเพียงครั้ง ย่อมจมลงสู่สถานการณ์ที่มิอาจย้อนคืนได้
แต่ทำไมกัน? ผลลัพธ์ของสถานการณ์มันพลิกผันมาในรูปแบบนี้ได้อย่างไร?
ลอร่าลองย้อนนึกถึงสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหลือเชื่อ
เธอทนไม่ไหว ต้องลอบถามกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
“กู่ฉิงซาน … แท้จริงแล้วก่อนหน้านี้เจ้าเคยเผชิญกับสิ่งใดมากันแน่?”
Ep.549 – ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกา
กู่ฉิงซานก้มลงมองดูจี้บนหน้าอกตัวเอง
แต่กลับพบว่าที่เขาห้อยคออยู่ตอนนี้ มีเพียงตราสัญลักษณ์เทพแห่งความตายของแอนนาเท่านั้น
เครื่องประดับชิ้นนี้ หลังจากที่เขาก้าวเข้าสู่อาณาเขตที่แท้จริงของภูเขาหิมะและน้ำแข็ง มันก็ยังมิได้ถูกทำลายใดๆ
ทว่านอกเหนือไปจี้เส้นนั้น บนคอของเขาก็ไม่มีเครื่องประดับชิ้นอื่นอยู่อีกเลย
‘ห้ามใช้ไอเท็มที่ไม่เกี่ยวข้อง …’
กู่ฉิงซานก้มลงมองดูตัวเอง
อืม .. เสื้อผ้าคงไม่ถูกนับว่าเป็นไอเท็มสินะ
หากอ้างอิงตามสถานการณ์ที่พบเจอ อำนาจเทวะคงจะมีเอาไว้ใช้ปกป้องสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาสร้างขึ้นจากอาวุธของศัตรูเป็นแน่
โชคยังดีที่ไม่ว่ากู่ฉิงซานจะไปยังแห่งโลกปรภพ หรือแห่งหนใด เขาก็มักจะเก็บสัมภาระต่างๆ รวมไปถึงถุงหอมหลากสีของนิกายร้อยบุปผาไว้ในทะเลแห่งห้วงสติ ไม่ค่อยจะนำมันออกมาภายนอกสักเท่าไหร่
มิฉะนั้นแล้ว สัมภาระเหล่านั้น คงจะถูกลบหาย กลายเป็นขี้เถ้าไปในทันที
ตอนนี้ ดูเหมือนว่าสิ่งที่ลอร่าได้นำออกมา มันจะถูกทำลายลงโดยอำนาจเทวะไปเสียแล้ว
กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น กล่าวด้วยความเสียใจ “กระหม่อมเตือนแล้วนะ ว่าอย่าเอามันออกมา”
แต่บนใบหน้าของลอร่าดันปรากฏถึงรอยยิ้ม และไม่ตอบอะไรกลับมา
ขณะนั้นเอง บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม จู่ๆก็ปรากฏบรรทัดตัวอักษรเรืองแสงขนาดเล็กขึ้น
“?????”
“????? กำลังสัมผัสและพิจารณาถึงทุกสิ่งทุกอย่างในตัวคุณ เพื่อทำการตัดสินใจว่ามันจะสำแดงชุดเกราะนี้ออกมาในรูปแบบใด”
“นี่คือของโบราณที่หายสาบสูญไปยังก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายของโลกที่แตกสลาย ทุกสิ่งมีชีวิตแทบจะไม่สามารถเข้าไปถึงที่นั่นได้ – เว้นไว้แต่เพียงวิหคหนามไม่กี่ตนเท่านั้น”
“สำหรับ ‘?????’ ระบบไม่สามารถทราบข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจงของมันได้ ฉะนั้นโปรดเฝ้ารออย่างอดทนให้มันเผยโฉมขึ้นมาเอง”
กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านระบบเทพสงคราม ในหัวใจอดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัย
“อะไรคือก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายของโลกที่แตกสลาย?” เขาถาม
ติ๊ง!
ระบบเทพสงครามตอบ “ก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายเป็นสถานที่ที่อยู่ลึกเข้าไปในดินแดนอัศจรรย์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นชั้นในสุดของโลก 900 ล้านชั้น”
กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วนอกเหนือไปจากวิหคหนาม สิ่งมีชีวิตอื่นๆจะไม่สามารถเข้าไปได้จริงๆน่ะหรือ?”
“ในความเป็นจริงแล้ว กระทั่งวิหคหนามส่วนใหญ่ เมื่อเข้าสู่ที่นั่นก็มิแคล้วตกตายลงทันที มีเพียงสายเลือดไม่กี่คนของราชวงศ์เท่านั้น จึงจะสามารถเข้าไปยังก้นบึ้งแห่งความสับสนได้”
ดินแดนอัศจรรย์ … อันตรายถึงขนาดนั้นเชียว?
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมทุกคนถึงกระตือรือร้น ปรารถนาที่จะได้รับบางสิ่งบางอย่าง จากการเรียกขานของวิหคหนามในครั้งนี้กันนัก
ไม้เว้นแม้แต่แบรี่กับเสี่ยวเหมียว ที่คาดหวังว่าจะใช้สิ่งของจากดินแดนอัศจรรย์ ช่วยปลดหนี้ให้แก่ตนเอง
หากอ้างอิงตามตรรกะนี้ ก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายของโลกที่แตกสลาย มันคงจะไม่สามารถเข้าไปได้
“ลอร่า แล้วท่านไปเอาสิ่งนี้มาได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามโดยตรง
“เห? เจ้าสังเกตเห็นถึงมันแล้วงั้นหรอ เร็วกว่าที่เราคิดไว้เยอะเลยนะเนี่ย”
ลอร่าเอ่ยต่อ “ชุดนี้คือสิ่งที่มาจากสถานที่ๆน่าสะพรึงกลัวมากเป็นพิเศษ และไม่เคยมีใครกล้าเข้าไปที่นั่น ส่วนตัวเรา เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าตนพร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆซักที เราจึงทดสอบตนเองโดยการเข้าไปสำรวจมันมาครั้งหนึ่ง”
“เช่นนั้นในภายภาคหน้าก็จงอย่าได้ไปเยือนมันอีก สถานที่นั้นมันอันตรายมาเกินไป” กู่ฉิงซานเอ่ยสั่งเด็ดขาด
ในสถานที่ๆไม่มีใครสามารถเข้าถึงได้ กระทั่งวิหคหนามส่วนใหญ่ในดินแดนอัศจรรย์ก็ยังตกตายลง เรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนั้น มันควรจะเป็นการดีกว่าหากลอร่าจะไม่ไปเหยียบมันอีก
ลอร่าพอเห็นท่าทีเป็นกังวลของเขา ริมฝีปากของเธอก็ม้วนสูงขึ้น
“มันไม่เป็นไรหรอก เพราะสถานที่แห่งนั้น หากเราไปไม่ได้ คนอื่นๆก็คงจะไม่มีใครสามารถไปได้”
“เพราะอะไร?”
“เพราะว่านี่ไง”
ขณะกล่าว ลอร่าก็หายวับไปจากไหล่ของกู่ฉิงซานในทันใด
กู่ฉิงซานลองเพ่งการรับรู้บนไหล่เขา แต่ก็ไม่สามารถตรวจจับลอร่าได้อีกต่อไป
เขาจึงปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ เพื่อค้นหาอีกรอบ แต่ก็ไม่พบอะไรเลย
หากจิตสัมผัสเทวะไม่อาจตรวจจับได้ – นี่นับว่าเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งสำหรับผู้ฝึกยุทธ
เพราะสำหรับผู้ฝึกยุทธแล้ว พวกเขามักจะคุ้นเคยกับการใช้จิตสัมผัสเทวะในการตรวจสอบศัตรู ทว่าหากสูญเสียความสามารถที่ว่านี้ไป มันก็จะเปรียบดั่งดวงตาของพวกเขามืดบอด และจะตกเป็นเป้าหมายในการถูกสังหารได้
กู่ฉิงซานย้อนคิดไปถึงฉากภายในที่นั่งโซนพิเศษก่อนหน้านี้
ที่จู่ๆลอร่าก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน จนตนเองตกใจถึงขั้นสำลักเหล้าออกมา
และเมื่อลองคิดย้อนต่อไปเรื่อยๆ
ดูเหมือนว่าตัวตนทรงอำนาจอย่างลูกพี่ไก่ , จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หรือกระทั่งทริสเต้ ก็ยังไม่อาจค้นพบตัวลอร่าได้
นี่มันน่าสนใจจริงๆ
“ลอร่า ท่านยังอยู่ที่เดิมใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ
“ใช่ เรายังคงนั่งอยู่บนไหล่เจ้า”
ลอร่าตอบกลับ
กู่ฉิงซานเอื้อมมือออกไป แล้วตบๆลงบนอากาศที่ว่างเปล่าตรงไหล่เขาโดยตรง
“แปลกจริง แต่ฝ่าบาทดูไม่เหมือนกับว่ากำลังอยู่บนไหล่ของกระหม่อมเลย”
“เรายังอยู่ที่เดิม แต่เราสามารถหลบเลี่ยงทุกสิ่งอย่างได้ ดังนั้นเจ้าจึงไม่อาจค้นพบถึงเรา”
ลอร่ากล่าว และปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
แล้วกู่ฉิงซานก็รับรู้ได้ถึงน้ำหนักบนไหล่ของเขาอีกครา
เขาเริ่มครุ่นคิด
ในตอนที่ลอร่าหายตัวไป กระทั่งน้ำหนักตัวของเธอก็ยังหายไปด้วย ส่วนตนเองก็ได้ลองยื่นมือออกไปสัมผัสตรงที่เธออยู่ แต่กลับทะลุผ่านไปในความว่างเปล่าโดยตรง
ดูเหมือนว่าในยามเมื่อเธออยู่ในสภาวะนี้ เธอจะไม่มีทางได้รับบาดเจ็บหรืออันตรายใดๆ
หากลองคิดเกี่ยวกับสภาวะนี้อย่างถี่ถ้วน จะพบว่านี่คือความสามารถในการปกปิดร่องร่อย และป้องกันตนเองจากในทุกๆการโจมตี
นี่มันร้ายกาจเกินไปแล้ว!
“เมื่อครู่นี้ฝ่าบาทได้ใช้งานเทคนิคมนตราอะไรไปกัน?” กู่ฉิงซานถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“เมื่อก่อนเราชอบเรียกมันว่า ‘จ๊ะเอ๋’ แต่หากอิงตามบันทึกในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์แล้ว พรสวรรค์เช่นเดียวกับเรานี้ เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในครั้งเมื่อหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมา และมันถูกเรียกว่า ‘ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกา’ ”
ลอร่ายืดอกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ และเล่าต่อว่า “นี่คือพรสวรรค์แห่งราชวงศ์หนามของเรา ว่ากันว่าเป็นเรื่องยากเย็นนักที่จะสามารถปลุกมันขึ้นมาได้ ในระหว่างหลายหมื่นปี มันปรากฏขึ้นเพียงสองครั้งเท่านั้น และเราคือคนที่สองที่สามารถปลุกมันได้”
“มันวิเศษมากจริงๆ” กู่ฉิงซานเอ่ยสรรเสริญ
ลอร่าหยิบเอาชิ้นเค้กออกมา และเริ่มกินมันทันที
เธอเอ่ยปากกล่าวทั้งๆที่ยังเคี้ยวอาหารอยู่ “แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราใช้ความสามารถนี้ มันจะหิวมากๆ และจำเป็นต้องเติมเต็มพลังงานเข้าไป”
“ความสามารถนี้ไม่สามารถใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตใดๆนอกจากเรา และถ้าพลังงานของเราหมดลง เราก็จะไม่สามารถใช้มันได้”
“มีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียบ้างเป็นธรรมดา แต่เท่านี้ก็ร้ายกาจมากพอแล้วนะ” กู่ฉิงซานยิ้ม
เขายืนรอลอร่ากินเค้กของเธอจนเสร็จ
“เราอิ่มแล้ว ไปกันเถอะ”
“รับทราบแล้ว .. ”
แม้ปากจะตอบรับ แต่กู่ฉิงซานกลับยังคงยืนนิ่ง ไม่ขยับไปไหน
“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?” ลอร่าเอ่ยถามด้วยความกังวล
กู่ฉิงซานมองไปที่เธอ จากนั้นก็มองดูภูเขาน้ำแข็ง และสูดลมหายใจเงียบๆ
ไม่ว่ามันจะมีกับดักอะไร แต่วิหารบนภูเขาน้ำแข็งนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาลอย่างแน่นอน
และมันจะต้องเก็บงำความลับของโลกใบนี้เอาไว้
ถ้าเขาต้องการที่จะเอาชนะเชื้อไฟ ยังไงก็ต้องลองไปดู!
ในที่สุดกู่ฉิงซานก็ตัดสินใจแม่นมั่นแล้ว
“ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ”
“ป่ะ” ลอร่าพยักหน้า
แล้วพวกเขาก็ขึ้นไปบนหลังม้า
ม้าทมิฬเริ่มก้าวขึ้นบนบันไดที่ทำจากน้ำแข็ง
และมันว่องไวมาก ในไม่ช้า มันก็นำพาพวกเขามาถึงจุดสูงสุดของภูเขา
กู่ฉิงซานลงจากหลังม้า และยกลอร่าขึ้นมาวางบนไหล่ของเขา
ทั้งสองเดินเข้าไปในวิหาร
และค้นพบว่าตลอดทั้งตัววิหารไม่แตกต่างไปจากภูเขาน้ำแข็งเลย ทั้งหมดทั้งมวลมันถูกประกอบขึ้นจากผลึกน้ำแข็งสีฟ้าใส เมื่อเดินเข้าไปภายใน ก็จะสามารถเห็นถึงแสงจากท้องฟ้า และเงาจากก้อนเมฆที่ทะลวงผ่านหลังคาเข้ามาได้อย่างชัดเจน ราวกับว่าเพดานของวิหารนั้นไม่มีอยู่จริง
ภายในวิหาร ไม่มีรูปปั้นเทพวิญญาณ หรืออะไรทำนองนั้นอยู่เลย
กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ
นอกเหนือไปจากขั้นบันไดขนาดใหญ่ แท่นสูงที่ว่างเปล่า และจตุรัสกว้างขวางแล้ว มันก็ไม่มีสิ่งใดอยู่อีกเลย
แม้ว่าที่นี่จะถูกทิ้งร้างมาแล้วนานปี แต่พื้นที่ของมันก็ยังกว้างขวาง ดังนั้นการรองรับผู้คนหลายพันย่อมมิใช่ปัญหา
บนใจกลางจตุรัส มีถ้ำน้ำแข็งขนาดใหญ่วางตั้งอยู่
ภายในถ้ำน้ำแข็งเป็นสีน้ำเงินทึบ ผสมปนเปไปกับหมอกเลือดจางๆที่ลอยล่องไปมา ยามเมื่อมันถูกแสงสะท้อน จะให้ความรู้สึกคล้ายโดมกลมๆ ที่ลอยวนอยู่เบื้องบนของตัววิหาร
ถ้ำน้ำแข็งแห่งนี้เป็นเส้นทางนำไปสู่ภายในของภูเขาน้ำแข็งโดยตรง
ดูเหมือนว่าในสมัยโบราณ สถานที่นี้จะเป็นจุดที่เหล่าเทพบรรพกาลใช้เรียกสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาสร้างขึ้นมาจากสระน้ำลึกที่อยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง
มองไปยังถ้ำน้ำแข็ง ปรากฏให้เห็นถึงมอนสเตอร์ขนาดสูงใหญ่เท่าภูเขา กำลังนอนนิ่งอยู่บนพื้นนอกถ้ำ
ไม่จำเป็นต้องสังเกตดีๆ ก็จะเห็นถึงหลุมเลือดน่าหวาดกลัวหลายแห่งบนตัวมัน ขณะเดียวกันก็มีเลือดสดๆกำลังไหลออกมา
มอนสเตอร์นอนนิ่งอยู่บนพื้น เห็นได้ชัดว่ามันได้ตายไปแล้ว
ขณะที่รอบตัวมอนสเตอร์ มีหลายร้อยคนที่นั่งแยกตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ กำลังพักผ่อนอยู่
กู่ฉิงซานลองนับดูคร่าวๆ พบว่ามันมีราวๆ 800 คน
และทุกคนในสถานที่แห่งนี้ ดูจะไม่ด้อยไปกล่าว ผู้เข้าสู่วิถีมารสิบกว่าคนที่เข้าพึ่งสังหารลงไปเลย
เห็นได้ชัดว่ามอนสเตอร์ตัวนี้ถูกรุมสังหารโดยกลุ่ม 800 กว่าคนที่ว่านี้
นี่แหละคือคำตอบ!
การคาดเดาของตนนับว่าถูกต้องจริงๆ เชื้อไฟคงมอบภารกิจสั่งการให้เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมาร ออกล่าสิ่งมีชีวิตโบราณเหล่านี้ เพื่อเพิ่มแต้มพลังวิญญาณให้แก่ตนเอง
แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เชื้อไฟมันหายไปไหนแล้ว
หรือว่ามันได้อัพเกรดเป็นต้นกำเนิดเรียบร้อยแล้วกันนะ?
ความรู้สึกวิกฤตในจิตใจของกู่ฉิงซาน เข้มข้นขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
เขามองไปยังฝูงชน
ดูเหมือนว่าคนเหล่านั้นก็กำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่เหมือนกัน
หมายความว่ายังจะมีสิ่งมีชีวิตโบราณออกมาจากถ้ำเพิ่มขึ้นอีกใช่หรือไม่?
กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้า และจ้องมองไปยังหน้าต่างเชื้อไฟ
“ฉันมาถึงที่นี่แล้ว จะต้องทำอะไรต่อ?” กู่ฉิงซานถาม
ทว่าบนหน้าต่างสีแดงเข้ม กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
เชื้อไฟไม่ตอบสนองเขา
อย่างรวดเร็ว! ตลอดทั้งหน้าต่างเชื้อไฟกลับกลายเป็นสีเทา
กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?
ในตอนนั้นเอง เหล่าผู้ที่กำลังพักผ่อนอยู่ต่างหันมามองเขาเป็นสายตาเดียว
บางคนเริ่มผุดลุกขึ้น
“นั่นน่ะหรอคือเป้าหมายของภารกิจ ทำไมมันถึงได้ดูอ่อนแอจัง?” นักรบที่ถือค้อนหนักในมือจ้องมองกู่ฉิงซาน
“อย่ามองแค่ภายนอกสิ ฉันสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของชายคนนี้ กระทั่งในหมู่พวกเราก็ยังนับว่าโดดเด่นอยู่ในอันดับต้นๆเลยนะ” ชายที่ครอบครองคู่ดวงตาสีม่วงเรืองรอง เพ่งมองมาทางกู่ฉิงซานและกล่าว
ดูจากรูปลักษณ์ที่ปรากฏขึ้นของเขา เหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังเปิดใช้งานเทคนิคตรวจสอบบางอย่างอยู่
“โอ้ อย่างงั้นหรอ-”
ฝูงชนพยักหน้าและเริ่มพูดคุยกัน
“ในเมื่อ ‘ตาเทพ’ ตัดสินว่าเป็นแบบนั้น ถ้างั้นมันคงจะไม่ผิดพลาด”
“แต่โดดเด่นแล้วยังไง? ทางฝั่งเรามีคนอยู่มากมาย แค่ช่วยกันกระโดดทับๆมันก็คงตายแล้วมั้ง”
“ใช่ ไม่คาดคิดเลยว่าฆ่าคนเพียงสองคน จะได้รับรางวัลมากมายขนาดนี้”
“ตามสัญญาที่เคยได้คุยกันไว้นะ ว่าพวกเราจะลงมือพร้อมกัน ไม่ชิงฆ่ามันคนเดียว”
“แน่นอน ก็ตกลงกันมาตั้งแต่แรกแล้วนี่นา”
….
มากกว่า 800 ผู้เข้าสู่วิถีมารที่ทรงพลัง คนแล้วคนเล่าทยอยกันผุดลุกขึ้น
พวกเขาจัดแจงอุปกรณ์และอาวุธของตัวเอง สาดสายตามองมายังกู่ฉิงซานด้วยเจตนาร้าย
ทั้งหมดเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ – และทั้งหมดไม่ใช่พวกมือใหม่ แต่เป็นผู้ที่ถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดีโดยเชื้อไฟเพื่อช่วยออกล่าสังหารสิ่งมีชีวิตโบราณ!
กู่ฉิงซานหันหลังกลับไป
และพบว่าทางเข้าวิหาร … ได้ถูกปิดกั้นโดยมนตราของผู้เข้าสู่วิถีมารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เปลวไฟแห่งสงครามของโลก 900 ล้านชั้นปะทุขึ้น
กำปั้นเหล็กแบรี่ , จอมมารทะเลเลือด และเกือบร้อยตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ พุ่งทะยานเข้าสู่รอยแยกมิติที่เปิดออก เผชิญหน้ากับมารที่แท้จริง
ขณะเดียวกัน ทางด้านจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์เทสส์และไก่ใหญ่ที่อยู่ในที่นั่งโซนพิเศษ ก็ได้ทำการลอบส่งข่าวไปยังโลกต่างๆ
เมื่อทริสเต้ปรากฏกายมาถามไถ่ แต่ดันพบเจอกับฉากไม่น่าอภิรมย์เข้า จึงเร่งจากไปทันที
ส่วนกู่ฉิงซานกับลอร่า ก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ในโลกสมบัติของทริสเต้ที่ถูกแอบไว้ภายในเค้ก 20 ชั้น
ณ ตอนนี้ ภายในโลกของทริสเต้
บริเวณตีนภูเขาน้ำแข็ง
กู่ฉิงซานจ้องชั้นผิวน้ำแข็งอย่างเงียบๆ
มองลอดเข้าไปในชั้นน้ำแข็งหนา คุณจะสามารถมองเห็นเลือดสีดำและแดง ค่อยๆแพร่กระจายอย่างช้าๆ
นี่คือร่องรอยของความตาย
ที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างโดยเทพบรรพกาล
ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่ว่าน่ะ มีอารมณ์ความรู้สึก
และถ้ามีอารมณ์ความรู้สึก -นั่นย่อมหมายความว่ามันต้องมีแต้มพลังวิญญาณอย่างแน่นอน!
ตามที่บันทึกไว้ในพงศาวดารวันสิ้นโลก ช่วงชีวิตก่อนหน้าในวันนี้ มันระบุเอาไว้ว่าทริสเต้ได้ทรยศราชวงศ์หนาม หันไปพึ่งพิงเผ่ามาร และปลดปล่อยเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Onlime : เชื้อไฟ ในอัลเบอัส
แต่ทว่า!
เรื่องราวจากในข่าว แท้จริงแล้วมันจะถูกต้องทั้งหมดเลยหรือ?
หลังจากที่ได้ย้อนเวลากลับมาในชีวิตนี้อีกครั้ง พอกู่ฉิงซานได้มาพิสูจน์เรื่องราวดังกล่าวด้วยตนเอง เขาก็พบว่าทุกอย่างมันคงจะไม่ง่ายดายเช่นนั้น
ระบบเคยระบุเอาไว้ด้วยว่า พงศาวดารวันสิ้นโลกน่ะทำได้เพียงรายงานถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากเหตุการณ์อันมีชื่อเสียงที่เกิดขึ้น แต่มันจะไม่สามารถเข้าใจถึงเนื้อหาข้อมูลและความจริงของเหตุการณ์นั้นๆได้อย่างชัดเจน
หลายร้อย หรืออาจจะถึงพันล้านคนได้เข้ามายังโลกของทริสเต้
และเชื้อไฟก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
มันเข้าแทรกแซงและแทนที่ภารกิจวิหคหนามของทริสเต้
ขณะเดียวกันก็มีผู้ทดสอบหลายล้านคนถูกหลอกให้ดาวโหลดมัน
และต้องไม่ลืมนะว่า เงื่อนไขของเชื้อไฟน่ะพิเศษกว่าใคร มันสามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณจากชีวิตที่ถูกสังหารลงได้ และมอนสเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาล ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นกัน …
และหากเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารหลายร้อยพันล้านคนได้รับภารกิจให้ออกล่าสังหารเจ้าสิ่งมีชีวิตพวกนี้แล้วล่ะก็ .. มันจะส่งผลให้เชื้อไฟสามารถเก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณได้อย่างมหาศาล พุ่งทะยานขึ้นอย่างมิอาจคาดคำนวณได้
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
ช่วงเวลาที่ตนเข้าสู่โลกใบนี้ หากเทียบเปรียบกับคนอื่นๆแล้ว นับว่าเชื่องช้าเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ น่ากลัวว่าผู้คนมากมายคงกำลังดำเนินภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการเฟ้นหาแต้มพลังวิญญาณอยู่ และเชื้อไฟก็มีแนวโน้มที่จะอัพเกรดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว
นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถแก้ไขได้
ไม่มีใครสามารถไปได้ไกลเกินกว่าขอบเขตของมิติและเวลา วิ่งทะยานไปดักหน้าพวกเขาทั้งหมด เพื่อหยุดยั้งการเฟ้นหาแต้มพลังวิญญาณสำหรับเชื้อไฟได้
แต่ต่อให้กู่ฉิงซานรีบไป แล้วเขาจะสามารถทำอะไรได้?
แน่นอน ว่าด้วยความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซาน มันไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินไปที่จะสังหารหลายสิบผู้เข้าสู่วิถีมาร
แต่หากต้องเผชิญหน้ากกับผู้เข้าสู่วิถีมารนับร้อยล้านพันล้าน ตัวเขาคนเดียวจะไปสู้มันได้อย่างไร?
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะคว้าชัยชนะ
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าหากเชื้อไฟได้อัพเกรดขึ้นมาเป็นต้นกำเนิดแล้ว
เมื่อย้อนนึกไปถึงทุกประเภทของความสิ้นหวังในชีวิตก่อนหน้า และมองมายังสถานการณ์ในปัจจุบัน กู่ฉิงซานก็จมลงสู่ความเงียบงันไปนาน
เขาเงยหน้า มองขึ้นไปบนยอดเขา
ที่นั่นจะเป็นกับดักของเชื้อไฟ หรือว่าเป็นสถานที่รับภารกิจจริงๆกันแน่นะ?
กู่ฉิงซานหลับตาคง คิดตริตรองอย่างเงียบๆ
ถ้าหากเป็นกับดัก นั่นหมายความว่าเชื้อไฟกำลังพยายามที่จะลบตนเองซึ่งเป็นผู้ที่ต่อต้านมันให้หายไป
เพราะอย่างไรเสีย เชื้อไฟก็มีผู้เข้าสู่วิถีมารมากมายเป็นหมากให้ใช้มาลอบโจมตีเขา
ไม่ว่ากู่ฉิงซานจะทรงพลังเพียงใด แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะรุ่นเยาว์นับร้อยพันล้านที่โดดเด่นจากตลอดทั้งโลก 900 ร้อยชั้นได้โดยลำพังอย่างแน่นอน
ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือไม่ปีนเขา และหลบหนีออกไปจากที่นี่ในทันที
กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย
แต่หากทำแบบนั้น มันก็จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะค้นพบว่าเชื้อไฟกำลังคิดหมายจะกระทำสิ่งใด และยังไม่อาจล่วงรู้ถึงความลับของโลกใบนี้อีก
เขาพึ่งจะได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยทวยเทพในสมัยโบราณอันไกลโพ้น ขณะที่บนยอดเขา ก็มีวิหารของเหล่าทวยเทพตั้งอยู่
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนั้นมันเก็บงำความลับที่ตนจำเป็นต้องรู้เอาไว้
หลายหมื่นแสนปีที่แล้ว เทพบรรพกาลได้หายไปจากโลก 900 ล้านชั้น โดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้เลย
ทว่าสิ่งมีชีวิตโบราณยังถูกเก็บงำเอาไว้ในโลกใบนี้ และยังคงสามารถมีชีวิตรอดได้เรื่อยมา
หากกู่ฉิงซานไม่อาจค้นพบถึงความลับอันลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในโลกใบนี้ ผลพวงของมันก็คือ เขาจะไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าเชื้อไฟกำลังวางแผนกระทำสิ่งใด
ภายใต้สถานการณ์นี้ สองตาของกู่ฉิงซานมืดบอด ไม่อาจมองเห็นหนทางใดๆได้เลย ด้วยความแข็งแกร่งของตน เขาไม่สามารถต่อกรกับผู้เข้าสู่วิถีมารนับร้อยพันล้านที่ถูกควบคุมโดยเชื้อไฟได้อย่างแน่นอน
ถ้าอย่างงั้นในกรณีนี้ ..
สองเท้ายังคงยืนหยัดอยู่บนพื้นน้ำแข็ง
โดยปกติแล้วกู่ฉิงซานมักจะทำการตัดสินใจอย่างรวดเร็วมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้เขากลับลังเล
–หากตนหันหลังและจากไป ก็เท่ากับเป็นการตัดสิทธิ์ในการต่อกรกับเชื้อไฟโดยสมบูรณ์
–หากปีนป่ายขึ้นไปบนยอดเขา ก็มีแนวโน้มว่าจะตกลงสู่กับดักของเชื้อไฟ
พอคิดถึงสองข้อนี้ กู่ฉิงซานก็ทอดถอนหายใจ และอดไม่ได้ที่จะก้าวขึ้นไปบนบันได วางมือพิงตนเองลงบนผนังน้ำแข็ง
แล้วความเย็นเยียบก็กัดกินเขา แทรกผ่านเข้ามาตามนิ้วและฝ่ามือ
ซึ่งเหตุการณ์นี้ ส่งผลให้กู่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เพราะพลังวิญญาณของเขา มันกลับไม่สามารถหยุดไอเย็นจากน้ำแข็งได้เลย
เห็นแค่เพียงบรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“ยอดภูเขาน้ำแข็งของทวยเทพ”
“ในสมัยโบราณอันไกลโพ้น เหล่าทวยเทพได้สร้างวิหารขึ้นบนภูเขาเพื่อเฝ้ามองสิ่งมีชีวิตที่ตนเองได้สร้างขึ้น”
“บนภูเขาแห่งนี้มี ‘อำนาจเทวะ’ บางส่วนของเทพบรรกาลสถิตอยู่”
“อำนาจเทวะ : เคารพและศรัทธา”
เคารพและศรัทธา : สิ่งมีชีวิตที่คิดปีนป่ายขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ จะไม่สามารถสวมใส่ไอเท็มใดๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับเทพบรรพกาลได้ มิฉะนั้นแล้วไอเท็มดังกล่าวจะถูกทำลายลงทันทีโดยตรง
“วิชายุทธเทพสงคราม : คุณไม่สามารถศึกษาและเรียนรู้เทคนิคอำนาจเทวะของเทพบรรพกาลได้”
“พงศาวดารวันสิ้นโลก : ย้อนค้นหาข้อมูลไปตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น เงื่อนงำเกี่ยวกับภูเขาน้ำแข็งลูกนี้ไม่เคยปรากฏต่อสาธารณะ”
กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านมัน ทั้งคนทั้งร่างตะลึงงันไปครู่หนึ่ง
อำนาจเทวะ?
พลังของมันก็คือ สามารถสร้างความเสียหาย ทำลายไอเท็มได้เลยโดยตรง .. พลังนี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
แม้เทพบรรพกาลจะจากไปนับหมื่นแสนปีมาแล้ว แต่อำนาจเทวะของพวกเขาก็ยังคงทำงานอยู่อย่างงั้นหรอ?
… อย่าบอกนะว่า
กู่ฉิงซานก้มลงมองใต้ฝ่าเท้าตน
เขาพบว่าตนกำลังเหยียบอยู่บนขั้นบันไดแรก
หรือกล่าวอีกความหมายนึงก็คือ ถือได้ว่าตนได้ปีนป่ายขึ้นมาบนภูเขาลูกนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กู่ฉิงซานเกิดความหวาดกลัวขึ้นในจิตใจ เขาเร่งตะโกนทันที “ดาบพิภพ! เช่าหยิน! ฉานนู่!”
“ข้าอยู่นี่”
“ฮู้ม!”
“นายน้อย?”
สามดาบโผล่ออกมาจากในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขา เปล่งเสียงขานรับพร้อมกัน
กู่ฉิงซานพอได้ยินจึงค่อยถอนหายใจโล่งอก
ดูเหมือนว่าอำนาจเทวะจะไม่ได้ทำงาน
เขาเลยยกเท้าอีกข้างขึ้น และกำลังจะก้าวขึ้นไปบนบันไดขั้นที่สอง
แต่จู่ๆก็ปรากฏถึงสายลมหนาวพัดโชยมา
พริบตานั้นเกราะรบนายพลชั้นโหยวจีพลันสลายกลายเป็นผง ปลิดปลิวหายไปกับสายลม
กู่ฉิงซานตะลึงงัน
เขาเอี้ยวตัวกลับทันควัน มองไปยังดาบยาวทั้งสามเบื้องหลัง
แต่พบว่าพวกมันก็ยังคงลอยล่องอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่าดังเดิม
มันยังไงกันแน่เนี่ย!
สายตาของกู่ฉิงซานกวาดมองผ่านทั้งสาม ก่อนจะค่อยๆเบนตกลงมาสังเกตพวกมันทีละเล่ม ทีละเล่ม
ดาบพิภพ
เมื่อมองไปยังดาบเล่มนี้ กู่ฉิงซานก็ย้อนนึกไปถึงคำบอกเล่าของนางเซียนไป่ฮั่วในยามที่มอบมันเป็นของรับขวัญให้แก่ตน “ดาบพิภพเป็นมรดกตกทอดมาจากนิกายเก่าของข้ามานานนับ 100000 ปี เนื่องจากมันล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้ จึงไม่เคยถูกนำมาใช้ต่อกรกับศัตรูเลย และมันมีความสามารถในการสื่อสารกับเทพวิญญาณ เป็นดาบที่เสียสละตนเพื่อสวรรค์และโลก”
ดูเหมือนว่าในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ จะเรียกเทพบรรพกาลว่าเทพวิญญาณ
ประโยคที่บอกว่า ดาบพิภพสามารถสื่อสารกับเทพบรรพกาลได้ มันสอดคล้องกับอำนาจเทวะ : เคารพและศรัทธา ซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเหล่าทวยเทพ ดังนั้นมันจึงไม่ถูกทำลายลง
-ถึงแม้ว่ามันจะชมชอบในการเข่นฆ่าลูกหลานของเทพบรรพกาลก็ตามที
มองไปยังดาบเช่าหยินอีกครั้ง
เช่าหยินเป็นดาบที่ถูกหล่อหลอมขึ้นโดยเหล่าทวยเทพในสมัยโบราณ ดังนั้นมันจึงสอดคล้องกันเงื่อนไขนี้โดยตรง
ถัดไปคือดาบขุนเขาเทวะหกโลกา
ดาบนี้เป็นที่เคาพรพบูชา เป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะจากโลกปรภพ มันครอบครองถึงสี่พลังศักดิ์สิทธิ์ ‘อมตะ’ ‘แหกกฏ’ ‘ทรงปัญญา’ และ‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกา’ เป็นดาบที่ใช้ควบคุมภูเขาศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจน
ดาบเล่มนี้ตกทอดมาตั้งแต่ครั้งในสมัยโบราณ และถูกนำมาใช้ในการควบคุมปรภพโดยลูกหลานของทวยเทพ ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับเทพบรรพกาล
ดูเหมือนว่าสามดาบนี้จะผ่านการคัดการองจากอำนาจเทวะ : เคารพและศรัทธา
แต่นี่มันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ?
ไม่รีรอให้เสียเวลาคาดเดา กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอาดิสก์ค่ายกลแผ่นหนึ่งออกมาทันที
ทันใดนั้นดิสก์ค่ายกลก็สลายเป็นเถ้าถ่าน ปลิดปลิวไปตามสายลมหนาวในพริบตา
คงไม่ผิดพลาดแล้ว …
อำนาจเทวะของเหล่าทวยเทพยังคงทำงานอยู่
“เอ๊ะ? ชุดเกราะโทรมๆกับไอเท็มของเจ้าถูกทำลายลงอย่างงั้นหรอ?” ลอร่าอุทานด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ มันมีอำนาจอันคงกระพันบางอย่างถูกติดตั้งเอาไว้ที่นี่” กู่ฉิงซานตอบ
เขาอดไม่ได้ที่จะลอบประหลาดใจอย่างลับๆ ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าอำนาจเทวะของเหล่าทวยเทพจะยังคงอยู่ แม้พวกเขาจะจากไปแล้วนับหมื่นแสนปีก็ตามที
จักต้องเป็นพลังชนิดใดกัน จึงจะทรงพลานุภาพถึงเพียงนี้?
“เราสัมผัสได้ถึงพลังของเทพบรรพกาล” ลอร่าที่นั่งสบายๆอยู่บนไหล่เขากล่าว “สิ่งที่เจ้าครอบครองอยู่มันด้อยค่ามากเกินไป ดังนั้นพวกมันจึงถูกทำลายลงด้วยอำนาจบางอย่าง อย่างง่ายดาย แต่-”
“แต่อะไร?”
“การที่มันถูกทำลายคงจะดีกว่า เพราะชุดเกราะแบบนั้นสวมใส่มันไปก็ไร้ประโยชน์”
กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น “สำหรับกระหม่อมมันมีประโยชน์มากเลยนะ ท่ามกลางการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วน เกราะรบนั่นมีบทบาทอยู่มากทีเดียว”
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น เพราะเจ้าเป็นนักดาบ และนักดาบก็มักจะต่อสู้ในระยะประชิด … ”
ลอร่ามองไปยังกู่ฉิงซาน นิ่งคิดอยู่นาน
จนในที่สุด เธอก็ดูเหมือนจะตัดสินใจได้ ปากเอ่ยกล่าวว่า “พอดีว่าเรามีชุดเกราะเก็บสะสมเอาไว้เช่นกัน เจ้าสามารถนำมันไปใช้ได้นะ”
ขณะกล่าว ลอร่าก็เอื้อมไปค้นกระเป๋าใบเล็กๆของเธอ
กู่ฉิงซานรีบส่ายมือห้ามปรามอย่างรวดเร็ว “อย่าหยิบมันออกมาเชียวนะ! พลังบนภูเขาลูกนี้รุนแรงมาก เดี๋ยวเกราะรบของฝ่าบาทก็ถูกทำลายลงโดยตรงหรอก”
ทว่าเพียงแค่เสียงพูดตกลง ลอร่าก็ดึงจี้เส้นหนึ่งออกมาเสียแล้ว จากนั้นเธอก็แขวนมันลงบนคอของกู่ฉิงซาน
พอจอมมารทะเลเลือดเล่าจบ
สองแขนของเขาก็อ้าออก สาดสายตามองไปยังฝูงชนด้วยรอยยิ้ม
“เป็นไง? ทีนี้ทุกคนก็จะยอมกลับมาเป็นสหายกับข้าอีกครั้งแล้วใช่ไหม” เขากล่าวอย่างจริงใจ
อย่างไรก็ตาม
บรรยากาศในที่เกิดเหตุราวกับถูกแช่แข็งไปโดยสมบูรณ์
แบรี่มองไปยังสุนัขเพลิงที่กำลังแผ่พุงอยู่บนพื้น และหันกลับไปมองฝูงชนที่อยู่เบื้องหลัง “ถ้าฉันอัดมัน คงจะไม่มีใครว่าอะไรหรอกนะใช่ไหม?”
“ซัดมันเลย!”
ทุกคนคำรามเป็นเสียงเดียวกัน
“เอ้า เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้?” จอมมารทะเลเลือดกล่าวด้วยความสับสน
เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว
แต่ในช่วงเวลานั้นเอง สีหน้าของเสี่ยวเหมียวก็ค่อยๆเปลี่ยนไปโดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น — เธอสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง!
“ระวัง!” เธอกรีดร้องออกมา
“อะไร-”
จอมมารทะเลเลือดหันกลับไปอีกด้าน
เห็นแค่เพียงรอยแยกมิติที่ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว กว้างกว่าเดิมนับสิบเท่า
ท่ามกลางช่วงเวลาเดือดพล่าน แขนสีดำขนาดใหญ่ก็ผลุบออกมาจากรอยแยกและคว้าจับตัวจอมมารทะเลเลือดเอาไว้
“ฮี่ฮี่ฮี่ .. ตายซะ!”
เสียงหัวเราะแปร่งๆดังขึ้น
และมือสีดำขนาดใหญ่ก็กำแน่นทันที
“โผล๊ะ!”
ร่างของจอมมารทะเลเลือดแตกออกเป็นไพ่ในพริบตา ก่อนที่พวกมันทั้งหมดจะบินไปรวมตัวกันอีกครั้งข้างกายแบรี่
เขาเช็ดเลือดตรงมุมปากและกล่าวด้วยความประหลาดใจ “จู่ๆก็เล่นทีเผลอเรอะ … ”
“เสี่ยวเหมียว สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง!” แบรี่กระชับถุงมือเหล็กของเขา และตะโกนถามลั่น
“นั่นมันผู้เพาะพันธุ์อสูร! เป็นผู้สั่งการอสูรกาย! มันกำลังคิดจะพากองทัพอสูรกายหลายสิบล้านตนที่อยู่เบื้องหลังเคลื่อนย้ายผ่านรอยแยกมิติ!
ในหัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน
ไม่คาดคิดเลย ว่าจู่ๆการต่อสู้ขั้นแตกหักจะมาเยือนอย่างกระทันหัน!
ความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัวใจของเหล่าตัวตนทรงอำนาจ
ด้วยการที่ก่อนหน้านี้ทะเลเลือดเพียงคนเดียวก็สามารถเอาชนะเผ่ามารนับล้านได้ ทุกคนจึงคิดว่ามันคงจะเป็นเพียงการต่อสู้ทั่วๆไป
แต่ใครจะรู้ ว่าจู่ๆผู้เพาะพันธุ์อสูรจะปรากฏตัวขึ้นมา!
ไอ้เจ้าตัวนี้มันไม่ใช่เผ่ามารธรรมดาๆ แต่เป็นมารที่แท้จริง!
ภายในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู เผ่ามารน่ะเป็นเพียงลูกสมุน และมีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นจึงจะเป็นทหารระดับสูงยิ่งกว่า
ขณะที่เหนือเผ่ามารสามัญขึ้นไป คืออาวุธสงครามอย่างอสูรกาย
และผู้ที่คอยสร้างอสูรกาย หรือกระทั่งรับหน้าที่ในการเป็นผู้นำการรุกราน วางกลยุทธ์สงคราม และการฆ่าล้างทั้งหมดก็คือ ‘มาร’
มารคือสิ่งชั่วร้ายที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง ผลักดันให้โลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้นจมลงสู่วิถีแห่งการทำลาย
และเพื่อแยกมารกับเผ่ามารสามัญให้แตกต่างกัน ผู้คนจึงเรียกขานมันว่า ‘มารที่แท้จริง’!
ขณะที่ผู้เพาะพันธุ์อสูร – กระทั่งในหมู่มารที่แท้จริงด้วยกัน ก็ยังจัดว่าเป็นชื่อที่ใช้เรียกขานมารทรงอำนาจ
ไม่ว่าจะเป็น อสูรกายประเภทดัดแปลง , อสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหล หรือกระทั่งอสูรกายที่แท้จริง ทั้งสามประเภทที่กล่าวมานี้ ล้วนถูกผลิตและสรรสร้างขึ้นโดยมันทั้งสิ้น
ผู้เพาะพันธุ์อสูร คือมันสมองของอสูรกาย และตราบใดที่มันปรากฏตัวและยังมีชีวิตอยู่ในสถานที่ใด อสูรกายทุกตนจักต้องเชื่อฟังคำสั่งของมันอย่างไม่มีบิดพริ้ว
อาจกล่าวได้ว่า หากผู้เพาะพันธุ์อสูรปรากฏตัวขึ้น นั่นย่อมหมายความว่าระดับของสงครามในครั้งนี้จะถูกยกขึ้นสู่จุดสูงสุดทันที!
การปรากฏตัวของมัน คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเผ่ามารคิดจะเริ่มสงครามอย่างเต็มรูปแบบ!
ภายในรอยแยกมิติที่เปิดออก เสียงแปร่งๆดังก้องขึ้นอีกครั้ง
“แต่เดิม พวกเราคิดจะใช้เชื้อไฟในการรุกรานศัตรู แต่ใครจะรู้ว่าสถานการณ์มันกลับเป็นใจถึงเพียงนี้ ฮี่ฮี่ฮี่”
“เอาล่ะ พวกแกทั้งหมดพร้อมที่จะตาย ท่ามกลางพยุหะของอสูรกายแล้วรึยัง-”
ด้วยเสียงของมัน รอยแยกมิติพลันขยายตัวกว้างออกอย่างรวดเร็ว
รอยแยกมิติขยายกว้าง ลากยาวขึ้นไปถึงผืนฟ้า แลคล้ายกับเทือกเขาตระหง่านที่ปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน
บังเกิดกลิ่นอายของความสิ้นหวัง การสังหาร เลือดเนื้อ และความบ้าคลั่ง โชยออกมาจากรอยแยกที่ว่านี้
นี่คือสายลมที่โชยมาจากดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู ผสมผสานไปกับกลิ่นอายสับสนวุ่นวายของอสูรกายนับล้านๆตน
ในอีกไม่กี่วินาทีถัดไป พวกมันก็จะข้ามผ่านมิติและเวลา ก้าวลงมายังที่นี่!
“อย่าแม้แต่จะคิด!”
เสี่ยวเหมียวไม่คิดเก็บงำพลังของตนเองเอาไว้ได้อีกต่อไป เธอขบฟัน และทุ่มออกเต็มกำลัง
สองมือของเธอค่อยๆยื่นออกไปยังเบื้องหน้า -ในมิติที่ว่างเปล่าบังเกิดเสียงแตกร้าวอันคลุมเครือดังขึ้น คล้ายกับว่ากระจกแก้วขนาดใหญ่กำลังปริออก
สกิลเทวะ : จองจำมิติเวลา!
ตูม ตูมมมม!
พลังมิติที่มองไม่เห็นคล้ายดั่งลูกกระสุนปืนใหญ่ ถูกยิงออกไปอย่างรุนแรง ตรงเข้าสู่รอยแยกมิติด้วยเจตนาร้าย!
ในเสี้ยววินาทีต่อมา รอยแยกมิติก็เริ่มบิดเบี้ยว และผิดรูปไปทันที
“ไม่จริง!”
ผู้เพาะพันธุ์อสูรกรีดร้องด้วยความโกรธ
เห็นแค่เพียงในรอยแยกมิติที่ถูกเปิดออก ชั้นแล้วชั้นเล่าถูกย่อขนาดจนเล็กลงอย่างรวดเร็ว หุบเข้าหากันตรงกึ่งกลาง กลายเป็นเพียงรูขนาดเล็ก
พริบตานั้นกลิ่นอายของอสูรกายทั้งมวลก็หายไปโดยสมบูรณ์
“แท้จริงแล้วกลับมีผู้ใช้เทคนิคมนตรามิติอยู่ที่นี่ด้วยหรือนี่” ผู้เพาะพันธุ์อสูรบ่นงึมงำ
“ปล่อยทิ้งไว้จะเป็นปัญหา คงต้องฆ่ามันก่อน-”
บังเกิดเงามืดผลุบออกจากรูเล็กๆของรอยแยกมิติ และพุ่งตรงไปยังเสี่ยวเหมียว
และมันว่องไว! ว่องไวจนเกินไป ส่งผลให้เสี่ยวเหมียวที่ยังคงมุ่งสมาธิอยู่กับเทคนิคของตน ไม่มีเวลามากพอที่จะขยับตนต่อต้าน!
อย่างไรก็ตาม เงามืดที่ว่าดันถูกขัดขวางไว้ด้วยไพ่ใบใหญ่เสียก่อน ยามเมื่อทั้งสองปะทะกัน ทั้งเงาทั้งไพ่ก็สลายหายไปในความว่างเปล่า
“ขอบใจนะ” เสี่ยวเหมียวหันไปพูดกับจอมมารทะเลเลือด
ทะเลเลือดพยักหน้ารับ
เสี่ยวเหมียวหันไปตะโกนลั่นบอกทุกคนว่า “ฉันสามารถยืดระยะเวลาของมันออกไปได้แค่สามนาทีเท่านั้น! ต่อจากนั้นกองทัพอสูรกายก็จะถูกส่งผ่านมา!”
และมันไม่ใช่กองทัพอสูรธรรมดาๆ แต่เป็นกองทัพอสูรกายที่ถูกควบคุมสั่งการโดยผู้เพาะพันธุ์!
แบรี่กระชับถุงมือเหล็กของเขา และกล่าวกับฝูงชน “งั้นก่อนอื่น พวกเราจะต้องฆ่าเจ้าผู้เพาะพันธุ์อสูรให้ได้เป็นอันดับแรก! ฉันขอเปิดก่อนเลยแล้วกัน!”
ขณะที่จอมมารทะเลเลือดยกไพ่ที่สาดรังสีแสงสีเลือดขึ้นและกล่าว “ส่วนข้าจะปกป้องเสี่ยวเหมียวเอง และขณะเดียวกันจะคอยช่วยสนับสนุนเจ้าด้วย”
“ตะ .. ตกลงตามนั้น” แบรี่เหลือบกลับมามองเขาด้วยความประหลาดใจ
แล้วไพ่ก็หายไปจากมือของจอมมารทะเลเลือด
โครม!
แสงสีเลือดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
แบรี่กลายเป็นลมกรรโชก ระเบิดพุ่งตัวเข้าหารอยแยกมิติด้วยการเสริมพลังจากจอมมารทะเลเลือด
เบื้องหลังเขา จอมมารทะเลเลือดได้จั่วไพ่สองใบออกมาจากความว่างเปล่า
“เสี่ยวเหมียว เจ้าสามารถมั่นใจได้ ต่อให้ทุกคนและข้าจะตกตายลง แต่เจ้าจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้อย่างแน่นอน เพราะมีทะเลเลือดของข้าคอยปกปักษ์อยู่ที่นี่”
ว่าแล้วเขาก็ประกบไพ่เข้าหากันด้วยสองมืออย่างรวดเร็ว
ปรากฏถึงทะเลสีเลือดอันไพศาล ค่อยๆซัดสาดไปทั่วบริเวณอย่างช้าๆ
ขณะที่เสี่ยวเหมียวแม้จะได้ยิน แต่เธอก็มิได้เอ่ยตอบกลับไป
นั่นเพราะเธอกำลังเค้นสมองคาดคำนวณการเคลื่อนย้ายของรอยแยกมิติอย่างหนักหน่วง และเธอจำต้องยืดกระบวนการนี้เอาไว้ เฝ้ารอเวลาจนกว่าทุกคนจะชนะ!
“ไปเลยยยย!”
“ไปฆ่าไอ้มารที่แท้จริงกัน!”
เกือบร้อยตัวตนทรงอำนาจคำรามก้อง
ทั้งหมดถีบตนเอง ทะยานออกไป
สงครามได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
…
ณ อัลเบอัส
ภายในโซนที่นั่งพิเศษ
ชายคนหนึ่งที่สวมกางเกงหนังรัดรูปสีดำ ท่อนบนเปลือยเปล่า บนหัวมีหงอนสีแดงสด ยื่นมือออกไปรับแก้วน้ำแข็งที่ใส่เหล้าเอาไว้ภายใน
“ขอบคุณสำหรับความยากลำบาก เจ้าดื่มนี่สิ” เทสส์กล่าว
ผู้ชายคนนั้นถอนหายใจ ยกหัวขึ้น และเทเหล้าทั้งหมดในแก้วลงคอไป
“ฉันกลายเป็นมนุษย์ไปซะแล้วในตอนนี้ – แน่นอนว่าฉันรู้ดีว่ามีหลากหลายเผ่าพันธุ์ที่ชื่นชอบในการแปลงกายเป็นมนุษย์ เพราะมันง่ายต่อการสื่อสารกับเผ่าพันธุ์อื่นๆในตลอดทั้งหมื่นโลกา โดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยเผ่าพันธุ์ของตนเอง”
“แต่ฉันไม่ชอบเลยที่จะกลายเป็นมนุษย์ เพราะมันจะไม่สามารถแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงขนไก่อันงดงามของฉันได้”
เทสส์ให้กำลังใจ “แต่ก็ด้วยขนไก่อันงดงามของเจ้านะ ที่กลายเป็นตัวแปรสำคัญในการช่วยเหลือโลกทั้ง 900 ล้านชั้นในครั้งนี้”
เธอมองไปยังอีกฝ่ายที่กำลังโศกเศร้า ตนจึงอดไม่ได้ที่จะสัมผัสลงบนใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลม
เทสส์กล่าวอีกครั้ง “และนั่นคือเหตุผลที่เราต้องการทั้งตัวของเจ้า -”
“เปรี๊ยะ!”
ในความว่างเปล่า บังเกิดเสียงแตกร้าวดังขึ้น
แสงแห่งรุ่งอรุณปรากฏกายจากความว่างเปล่าทันใด ปากอ้าขยับอย่างร้อนรน “เทสส์ ข้าได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้จะไม่มีใครคัดค้านการค้นหาในพื้นที่ VIP … ”
กล่าวจบ เธอก็พบกับฉากภายในโซนพิเศษ
เห็นแค่เพียงชายคนหนึ่งที่ดูกำยำ ช่วงบนเปลือยเปล่า กำลังนอนจมอยู่บนโซฟา
ขณะที่เทสส์เอื้อมมือออกไป และลูบไล้ใบหน้าของชายคนนั้นอย่างเบามือ
ทริสเต้นิ่งงันไป
เธอย้อนนึกไปถึงช่วงเวลาที่ปรากฏตัวขึ้น และได้ยินอะไรราวๆว่า ‘เราต้องการทั้งตัวของเจ้า … ’
ใช่แล้ว เธอไม่มีทางได้ยินผิดไปได้
ในสถานการณ์แบบนี้ พวกเขาคงจะ …
มัน …
ควรจะ …
ทริสเต้น้อมกายลง ปากเอ่ยกล่าวขออภัย “ขอโทษที่รบกวน ข้าไม่ทรา – เอ่อ เอาไว้ข้าจะกลับมาในภายหลังก็แล้วกัน”
เทสส์ยกมือขึ้น และพยายามที่จะหยุดอีกฝ่ายไม่ให้จากไป
“เดี๋ยวก่อน มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด!”
ฟิ้วววว
ทริสเต้หายวับไปโดยตรง
ภายในโซนพิเศษ กลับลงสู่ความเงียบ และหลงเหลืออยู่เพียง 2 คนอีกครั้ง
เทสส์หันไปมองชายวัยกลางคน
“เฮ้อ เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็ช่วยให้พวกเรายืดเวลาออกไปได้อีกนิดล่ะนะ”
เทสส์ถอนหายใจ
ขณะที่ชายวัยกลางคนดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินสิ่งใดเลย ปากของเขาเพียงขยับงึมงำ เปล่งเสียงกระซิบคร่ำครวญตลอดเวลา “ขนฉัน .. ขนสุดที่รักของฉัน … ”
ณ ‘เรือสมุทรธงดำ’
มันคือชื่อเรียกของบ่อนคาสิโนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกมิติอนันต์
และบรรดาผู้ร่วมหุ้นคาสิโนแห่งนี้ คือ 99 ตัวตนทรงอำนาจ ระดับจ้าววงการ
ตัวตนทรงอำนาจที่ถูกเรียกว่าจ้าววงการนั้น หมายถึงคนที่เพียงใช้ความแข็งแกร่งที่ตนมี ก็สามารถมีโลกมิติอนันต์เป็นของตนเองได้
อย่าลืมนะว่าโลกมิติอนันต์น่ะมีเอกลักษณ์ – ไม่เหมือนกับโลกใดๆ มันสามารถอยู่เหนือมิติและเวลา เชื่อมโยงเข้าหากันได้โดยตรง
ขณะเดียวกัน ในแง่ของความรู้สึก โลกมิติอนันต์คือเซฟเฮ้าส์ที่ปลอดภัย
เพราะตราบใดที่ปิดช่องสัญญาณมิติ ไม่ว่าใครก็จะไม่สามารถเข้าสู่โลกมิติอนันต์นั้นๆได้
แถมมันยังมีพลังพิเศษที่สามารถใช้ขับไล่ใครก็ได้ออกจากโลกมิติอนันต์อีก ซึ่งนี่ไม่แตกต่างไปจากพลังของเสี่ยวเหมียวเลย
ส่งผลให้โลกมิติอนันต์ มีชื่อเสียงโดดเด่นเป็นที่สุดในด้านของความปลอดภัย
เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น แบรี่ที่บาดเจ็บมานานกว่า 1000 ปี คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่มาได้ถึงตอนนี้
ท่ามกลางวันสิ้นโลกของอาณาจักรทั้งมวล โลกแล้วโลกเล่าต่างทยอยกันถูกทำลายลง ชีวิตและความตายของผู้คนไม่แน่ไม่นอน ทว่าโลกมิติอนันต์กลับเป็นสถานที่เพียงแห่งเดียว ที่สามารถรับประกันชีวิตของผู้คนได้
อาจกล่าวได้ว่าในแต่ละโลกมิติอนันต์ มูลค่าของพวกมันได้อยู่เหนือยิ่งกว่าความมั่งคั่งทั้งปวง และเป็นขุมทรัพย์ที่เหล่าตัวตนทรงอำนาจระดับสูงต่างก็เฝ้าใฝ่ฝัน
ทว่าเรือสมุทรธงดำ กลับเป็นโลกมิติอนันต์ที่พิเศษยิ่งกว่าแตกต่างออกไป
ทุกคนที่เข้าสู่โลกมิติอนันต์ใบนี้ จะต้องปฏิบัติตามกฏของคาสิโน
ไม่มีใครสามารถโกงที่นี่ได้ ไม่มีใครสามารถจ่ายหนี้เป็นบิลค้างไว้ได้ และไม่มีใครสามารถต่อต้านกฏที่นี่โดยคิดใช้กำลังเด็ดขาด
เพราะคาสิโนแห่งนี้มี 99 ตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการครอบครองอยู่ และพวกเขาสามารถเดินทางจากโลกของตนเองมายังโลกแห่งนี้ได้ตลอดเวลา!
แบรี่ที่กำลังถือขวดเบียร์แช่เย็น ยกมันขึ้นซดอีกครั้ง
“เปิดไพ่”
เขาเหวี่ยงชิปตัวสุดท้ายในมือออกไป
“คุณแพ้แล้ว” คนฝั่งตรงข้ามพลิกไพ่และกล่าว
แบรี่ปาไพ่ทิ้งด้วยความฉุนเฉียว แต่ทันใดนนั้นเอง
คนที่อยู่ด้านหลังก็ตบลงบนไหล่เขา
“มากันครบแล้วนะ” เสี่ยวเหมียวกล่าว
“ทุกคนเลยใช่ไหม?”
“ใช่”
แบรี่ผุดลุก และกระแทกขวดลงบนโต๊ะอย่างแรง
เสียงของขวดเบียที่แตกจนป่นปี้ สะท้อนไปไกลในคาสิโน
ตลอดทั้งคาสิโนเงียบงันลงในทันใด
ผู้คนมองมาที่เขา
แบรี่ส่งสัญญาณมือ และเดินออกไปยังประตูของคาสิโน
ขณะที่จู่ๆนักพนันหลายคนผุดลุกตามจากที่นั่ง และเดินตามเขาออกจากคาสิโนไป
ผู้คนที่เฝ้ามองฉากนี้ด้วยความสับสน เริ่มตระหนักได้ถึงเงื่อนงำบางอย่างอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ยดูนั่นสิ นั่นมันซางรั่วหลง มังกรซ่อนนภา นี่!” ผู้สังเกตการ์คนหนึ่งตะโกนออกมา
“โอ้สวรรค์เถอะ! นายเห็นผู้หญิงสวยๆคนนั้นไหม? นั่นเหยาซินเหมิง จอมพิฆาตดวงดาว!”
“ทำไมจู่ๆถึงมีตัวตนทรงอำนาจมากมายปรากฏตัวขึ้นกัน?”
“วันนี้ … มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?”
ตัวตนทรงอำนาจ เหล่าตัวตนทรงอำนาจเต็มไปหมดเลย!
นักพนันต่างจ้องมองเหล่าบุคคลในตำนานที่กำลังทยอยกันเดินออกจากคาสิโนด้วยความสงสัย
พวกเขาตระหนักได้ในทันทีว่ามันจะต้องมีเรื่องที่สั่นสะเทือนสวรรค์กำลังจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“รู้สถานที่รึเปล่า?”
บางคนเอ่ยถามเสียงกระซิบ
“รู้สิ เสี่ยวเหมียวบอกว่าพบรอยแยกมิติซ่อนอยู่ในตำแหน่งทางด้านซ้ายของอัลเบอัสไปสองชั้นโลก” แบรี่กล่าว
อีกคนหนึ่งอุทานขึ้น “นี่มันก็นานแล้วนา ที่ฉันไม่ได้ขยับแข้งขยับขา ในสงครามคราวนี้ล่ะ ฉันจะฆ่าพวกเผ่ามารให้เหี้ยนจนอิ่มไปเลย”
“อย่าลืมแบ่งกันบ้างล่ะ ฮ่าฮ่า”
เสียงของเหล่าตัวตนทรงอำนาจสะท้อนไปมา
เสี่ยวเหมียวกับแบรี่สบตากันวูบหนึ่ง และพยักหน้าให้อีกฝ่าย
แล้วเสี่ยวเหมียวก็เริ่มเปิดช่องว่างมิติเคลื่อนย้ายระยะใกล้ทันที
แม้ว่าการการเคลื่อนย้ายของเธอจะไม่อาจกำหนดอย่างแม่นยำได้ แต่มันก็คงห่างจากอัลเบอัสไปเพียงแค่ราวๆไม่เกิน 5 ชั้นโลกเท่านั้น อย่างไรก็ยังใกล้เคียงกับรอยแยกมิติที่ว่า และโอกาสที่จะเบี่ยงเบนออกไปก็มีไม่มากนัก
ม่านแสงพลันกระพริบไหว และทุกคนก็หายวับไป
พวกเขาปรากฏตัวขึ้นในกระแสมิติอันเชี่ยวกราด
ไม่ใกล้ไม่ไกลเบื้องหน้า คือรอยแยกมิติที่เชื่อมต่อกับดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู
บรรดาตัวตนสุดแกร่งคนแล้วคนเล่า บ้างยกอาวุธขึ้นมา บ้างสวมใส่เกราะรบ และบินตรงไปยังรอยแยกดังกล่าว
ที่ซึ่งมีเผ่ามารซุ่มซ่อนอยู่ที่นั่น
พวกเขาหมายจะเปิดศึกโจมตี ชิงตัดหน้ากำจัดเผ่ามารที่กำลังเตรียมการบุกซะก่อน
นับจากนี้ไป –สงครามขั้นแตกหักก็จักปะทุขึ้น!
ตัวตนทรงอำนาจบางคนอดไม่ได้ที่จะเริ่มตึงเครียด
เพียงสิบลมหายใจ พวกเขาก็ได้มาถึงรอยแยกมิติ
ทว่ามันกลับแตกต่างไปจากสิ่งที่พวกตนคิด เพราะภายในมันไม่มีเผ่ามารอยู่เลย
เห็นแค่เพียงคนๆหนึ่งยืนอยู่ภายในรอยแยกมิติ พร้อมกับถือแก้วไวน์ในมือวนมันเบาๆ แสดงท่าทีคล้ายกำลังเฝ้ารอพวกเขาอยู่อย่างเงียบๆ
“บัดซบ! นั่นมันทะเลเลือด ไอ้ทะเลเลือดอีกแล้ว!”
บางคนร้องตะโกนออกมา
ทันใดนั้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ก็ฝูงชนก็กระเจิงออกทันที
แบรี่พอได้ยินชื่อนี้ก็เริ่มรู้สึกโกรธแค้น
เขาแทรกตัวออกมาจากฝูงชน และตรงไปหาจอมมารทะเลเลือด
“นี่แกลงมือตัดหน้าก่อนคนอื่นๆอีกแล้วหรอ?” เขาเอ่ยถาม
จอมมารทะเลเลือดยกไวน์ขึ้นจิบและกล่าว “เปล่าซะหน่อย”
อ่าว ไม่ใช่หรอกหรือ?
แบรี่นิ่งงันไป
เกือบร้อยตัวตนทรงอำนาจก็แข็งค้างไปเช่นกัน
ทะเลเลือดกลั้วลำคอและกล่าว “นานมาแล้ว ในครั้งที่พวกเรายังเป็นเพื่อนกัน เป็นเพราะข้ามักจะบุกตะลุยไปเบื้องหน้า และจัดการเรื่องราวให้มันจบลงก่อนเสมอๆ ทุกคนเลยค่อยๆละเลยข้า”
“หลังจากวันเดือนปีที่ผ่านพ้น ข้าก็ได้ลองขบคิดดู และพบว่าตนได้ทำผิดพลาดไป”
“ตอนนี้ข้าเลยกลับใจ เปลี่ยนตนเป็นคนใหม่แล้ว”
แบรี่หันกลับมามองฝูงชน
ฝูงชนทุกคนต่างพากันส่ายหัว
“พวกเราไม่เชื่อแกหรอก!” แบรี่พูดพลางยกสองแขนขึ้นกอดอก
“สาบานต่อสรวงสวรรค์ว่าข้าตระหนักแล้วจริงๆ” จอมมารทะเลเลือดกล่าวอย่างจริงใจ “ข้าจะไม่เห็นแก่ตัวอีกต่อไป จะไม่ละทิ้งทุกคน จะใส่ใจถึงความรู้สึกของทุกคน ร่วมต่อสู้ไปด้วยกัน และนั่นจะทำให้พวกเราดูแลซึ่งกันและกันได้ ข้าเข้าใจว่าหลายคนเป็นห่วงข้า เกรงว่าหากข้าไปพานพบกับศัตรูเพียงลำพังมันจะอันตราย”
แบรี่จ้องมองจอมมารทะเลเลือด
“นี่แกคิดได้อย่างนั้นจริงๆน่ะหรอ?” เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ใช่ ด้วยความสัตย์จริง ข้าควรจะพิจารณาเกี่ยวกับเจ้าให้มากกว่านี้” จอมมารทะเลเลือดกล่าว
ความโกรธของแบรี่จึงลดต่ำลง
เขาพยักหน้าอย่างเงียบๆ และหันไปตะโกนถามคนข้างหลัง “แล้วพวกนายคิดว่าไง?”
ฝูงชนจับกลุ่มคุยกันสักพักหนึ่ง
ในที่สุดก็มีคนตะโกนว่า “ทะเลเลือด ในเมื่อนายไม่อาละวาดอีกต่อไป พวกเราก็ยินดียอมรับในตัวนายอีกครั้ง”
ตัวตนทรงอำนาจคนแล้วคนเล่าพยักหน้า
ความจริงแล้วทะเลเลือดก็เป็นคนที่ดีคนหนึ่ง เพียงแต่เขามักจะหยิ่งทะนงเกินไปเล็กๆน้อยๆก็เท่านั้นเอง
เขาจะกลายเป็นสหายที่ดี หากเขาเปลี่ยนความคิดตัวเอง และใส่ใจคนอื่นๆให้มากขึ้น
ในที่สุด จอมมารทะเลเลือดก็เดินเข้าไปในฝูงชน และจับมือกับอีกหลายๆคน
มีแม้กระทั่งบางคนที่ตบลงบนไหล่เขาอย่างสนิทสนม
เขาได้รับการยอมรับจากตัวตนสุดแกร่งระดับหัวแถวอีกครั้ง
โอเค จบเรื่องมิตรภาพละ
งั้นก็เรื่องต่อไป-
“ทะเลเลือด ในเมื่อนายมาเร็วที่สุด ถ้าอย่างงั้นนายเห็นพวกมารบ้างไหม?” แบรี่เอ่ยถาม
“ข้าเห็น และจับมันได้ตัวหนึ่ง”
“ … นี่นายไม่ได้ฆ่ามันทันทีเลยงั้นหรอ?” แบรี่อุทานออกมาอย่างไม่คาดคิด
คงจะเป็นเรื่องจริงแล้ว ที่ว่าจอมมารทะเลเลือดแตกต่างไปจากเมื่อก่อน
“ใช่ ลองดูนี่สิ”
จอมมารทะเลเลือดดีดนิ้ว
และไพ่ใบหนึ่งก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน
ทันใดนั้นมารสุนัขเพลิงที่สูงขนาดครึ่งตัวคนก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าตัวตนทรงอำนาจทั้งหมด
มารสุนัขเพลิง มีความสามารถในการสัมผัสถึงการดำรงอยู่ของทุกสิ่งมีชีวิตหลากหลายรูปแบบโดยกำเนิด และยังสามารถค้นหาเทคนิคมนตราที่คอยปกคลุมมิติซ่อนเร้นได้อีกด้วย
ดังนั้นท่ามกลางบรรดาเผ่ามารประเภทสอดแนมทั้งหมดทั้งมวล มันจึงถูกนับว่าเป็นการดำรงอยู่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
เมื่อใดก็ตามที่มันปรากฏตัวขึ้น ไม่ใกล้ไม่ไกลมันย่อมต้องมีกองทัพเผ่ามารอยู่อย่างแน่นอน
กำลังรบของมารสุนัขเพลิงมิได้แข็งแกร่งเท่าใด มันโดดเด่นในด้านการตรวจสอบสถานการณ์รบซะมากกว่า
ภายใต้สายตาของเหล่าผู้ไร้เทียมทานในแต่ละชั้นโลกที่จ้องมองมา สุนัขเพลิงพลันสะอื้นไห้ คุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัวทันที
“ดีล่ะ ในเมื่อทะเลเลือดจับพลสอดแนมของเผ่ามารได้ ดูเหมือนว่าพวกเรากำลังจะได้ขยับแข้งขยับขากันแล้ว” แบรี่กำหมัดแน่น
“เพื่อโลก 900 ล้านชั้น พวกเราจะทุ่มสุดกำลัง ต่อสู้โดยไม่คิดคำนึงถึงชีวิตและความตาย!” บางคนร้องตะโกนออกมา
และฝูงชนต่างก็เฮลั่น กระตือรือร้น พร้อมที่จะต่อสู้
กลิ่นอายสังหารฟุ้งไปทั่วบริเวณ
บรรยากาศแห่งการต่อสู้พุ่งสูงขึ้นอย่างกระทันหัน
“นี่ – ใจเย็นๆกันก่อนสิ” จอมมารทะเลเลือดขัดขึ้น
“ทำไม?” แบรี่ถาม
“ขาเจ้าหายดีแล้วหรือ?”
“มันไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง” แบรี่ตอบกลับไปอย่างคาดไม่ถึง
หืม … นี่เจ้าทะเลเลือดหันมาใส่ใจกับคนอื่นบ้างแล้วงั้นหรอ?
ฝูงชนต่างก็พากันประหลาดใจ
ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียงของจอมมารทะเลเลือดหันไปกล่าวกับผู้คนว่า “เพื่อความยุติธรรม ข้าคิดว่าทุกคนสมควรจะต่อสู้กันเองซะก่อน เหมือนกับการยืดเส้นยืดสายที่มักจะทำกันในสมาคมกำปั้นเหล็ก”
“แล้วทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย? สงครามกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วนะ” บางคนถามอย่างงงๆ
“เพราะพวกเจ้าจะต้องต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งผู้ชนะเลิศคนสุดท้าย และคนๆนั้นก็จะคุณสมบัติ ได้รับสิทธิ์ที่จะสังหารสุนัขเพลิงตนนี้อย่างไรเล่า” จอมมารทะเลเลือดกล่าว
อ๋า? ก็แล้วนั่นมันหมายความว่ายังไงกัน
ไอ้ทะเลเลือดนี่ ใช่ว่าสมองพิการไปแล้วหรือไม่?
เวลานี้ สงครามกำลังจะปะทุขึ้นอยู่แล้ว และมันไม่ใช่การต่อสู้ธรรมดาๆด้วย ใครมันจะมีเวลาว่างไปแย่งกันฆ่าสุนัขเพลิงกัน?
ฝูงชนตกอยู่ในความสับสน
เสี่ยวเหมียวตอบสนองอย่างรวดเร็ว เธอคิดและเอ่ยถาม “ความหมายของคุณก็คือ พวกเราไม่จำเป็นต้องจัดการกับเผ่ามารตนอื่นๆแล้วใช่ไหม?”
“ใช่แล้วล่ะ”
“อ่าว งั้นแกก็ชิงฆ่ามารทั้งหมดด้วยตัวเองอีกแล้วน่ะสิ” บางคนแทรกขึ้นด้วยความตกใจ
ความโกรธในหัวใจของทุกผู้คนเริ่มจะสูบฉีดขึ้น
“ชิงฆ่าพวกมารทั้งหมดงั้นหรอ? ไม่ ไม่ ไม่ ข้าไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น ข้าก็แค่-”
“แค่อะไร?”
“แค่พวกเผ่ามารมันยังไม่ได้ส่งตัวตนที่ดุร้ายออกมา ระหว่างนั้นข้าที่กำลังเฝ้ารอทุกคนด้วยความเบื่อหน่าย จึงพยายามคิดหาวิธีคลายเครียดขึ้น”
จอมมารทะเลเลือดชี้ไปยังสุนัขที่กำลังสะอื้นไห้อยู่บนพื้น
“หลังจากที่ล้างบางกองทัพลูกกระจ๊อกนับล้านที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ข้าก็ได้ทำการเฟ้นเลือกอย่างพิถีพิถัน เก็บชีวิตของเจ้าสุนับตนนี้เอาไว้”
ด้วยคำกล่าวของเขา สุนัขที่หมอบครวญอยู่บนพื้นก็เริ่มสั่นสะท้าน
และทันใดนั้นมันก็พลิกตัว นอนแผ่พุงให้เกาๆเบื้องหน้าฝูงชน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตัวตนทรงอำนาจอย่างหาที่ใดเปรียบนับไม่ถ้วน ในที่สุดมันก็ยอมจำนนโดยตรง
จอมมารทะเลเลือดยกแก้วไวน์ขึ้น และจิบมันอย่างสบายอารมณ์ “นับจากนี้ ข้าจะคำนึงถึงความกระหายในการต่อสู้ของทุกๆคน ฉะนั้นในครั้งต่อๆไป ข้าจะเหลือเผ่ามารเก็บไว้หนึ่งตนให้พวกเจ้าฆ่าเล่น”
“เอ้า มัวรออะไรกันอยู่ รีบจัดประลองต่อสู้ แล้วเฟ้นหาผู้ชนะที่แข็งแกร่งที่สุดซะสิ จะได้ฆ่าไอ้หมาบ้านี่ๆให้จบๆกันไปซักที”
“ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะไม่ได้ต่อสู้กับกองทัพมารนับล้าน แต่ด้วยวิธีนี้ พวกเจ้าก็จะสามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้าได้ โดยการฆ่าหมาถึงหนึ่งตัวเชียวนา”
“นี่ไง ด้วยวิธีการนี้ของข้า พวกเจ้าทุกคนก็จะไม่ต้องรู้สึกหงุดหงิด และเสียดายที่ไม่ได้ต่อสู้กับเผ่ามารอีกต่อไปแล้วไง”
สีหน้าของทะเลเลือดกรุ้มกริ่ม รอยยิ้มยกสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และกล่าวต่อ
“แม้ว่าความแข็งแกร่งของทุกคนจะค่อนข้างอ่อนแอ จนเชื่องช้า ไม่สามารถมาทันการต่อสู้ได้ แต่ข้าก็ใส่ใจถึงสิ่งนั้น และพิจารณาอย่างเต็มที่ เลยเตรียมการนี้เอาไว้ให้แก่ทุกๆคน”
“เป็นอย่างไร? ข้าเปลี่ยนไป แตกต่างเป็นคนละคนจากเมื่อครั้งอดีตแล้วใช่ไหม?”
“ … ” แบรี่
“ … ” เสี่ยวเหมียว
“ … ” เหล่าตัวตนทรงอำนาจ
อีกด้านหนึ่ง
ภายในโลกสมบัติของทริสเต้
กู่ฉิงซานโอบลอร่า ควบม้าทมิฬวิ่งไปตลอดเส้นทาง
ด้วยพละกำลังขาของปีกแห่งแดนชำระล้าง พวกเขาจึงสามารถข้ามผ่านภูเขาหิมะแต่ละลูกมาได้อย่างง่ายดาย และมาถึงเป้าหมายในที่สุด
เบื้องหน้าของทั้งสอง คือภูเขาสูงตระหง่านที่สุดท่ามกลางภูเขาทั้งมวล
เนื่องจากตลอดทั้งลูกของมันโปร่งใส เลยส่งผลให้สามารถมองเห็นถึงสถานการณ์ภายในภูเขาน้ำแข็ง ผ่านชั้นผิวของมันได้อย่างชัดเจน
ผิวน้ำแข็งมีสีฟ้าจางๆ สามารถมองทะลุเข้าไป , มีน้ำใสๆไหลวนอยู่ภายใน ขณะเดียวกันก็มีฟองอากาศเป็นลูกๆ ลอยไปมาอยู่ในภูเขาน้ำแข็ง และเนื่องจากมันโปร่งใส่ ผิวน้ำแข็งลูกนี้จึงสามารถสะท้อนให้เห็นถึงก้อนเมฆบนท้องฟ้า ผสานไปกับวิวทิวทัศน์โดยรอบ ยามเมื่อสองฉากนี้ผสมรวมกัน ช่างให้ความรู้สึกคล้ายกับตกอยู่ในห้วงฝัน
ลอร่าปีนกลับขึ้นมาบนไหล่เพื่อชมทิวทัศน์ แล้วปรบมือของเธอ “มันสวยจัง เราชอบภูเขาลูกนี้มากเลย”
“ไปกันเถอะ”
“ไปสิ”
พวกเขากำลังจะมุ่งหน้าต่อ ทว่าม้าทมิฬกลับหยุดฝีเท้าลงอย่างกระทันหัน
ดวงตาของมันจ้องเขม็งเข้าไปภายในภูเขาน้ำแข็งชนิดหัวชนฝา
อย่างไรก็ตาม การกระทำนี้ของมันก็มิได้ถูกตำหนิหรือถามไถ่ถึงเหตุผลใดๆจากทั้งกู่ฉิงซานหรือลอร่า
เพราะกระทั่งพวกเขาเอง ก็ยังตกอยู่ในสถานการณ์ที่มิอาจเอ่ยปากออกมาได้
เห็นแค่เพียงเงาขนาดยักษ์ที่ปรากฏขึ้นภายในภูเขาน้ำแข็ง
เงาดำนี้มีความกว้างหลายสิบเมตร และยาวกว่า 100 เมตร มันผลุบขึ้นมาจากเบื้องล่างของภูเขาน้ำแข็ง และแหวกว่ายขึ้นไปยังส่วนบนของตัวภูเขา
แม้ว่าชั้นผิวน้ำแข็งเกือบจะโปร่งใส แต่กระแสน้ำในก็ยังคงเชี่ยวกราด ผสมผสานไปกับแสงและเงาของฟองน้ำที่ผุดขึ้นมา ส่งผลให้หากมองจากภายนอก จะไม่สามารถสังเกตถึงลักษณะของร่างเงาใหญ่ได้ชัดเจนนัก
อย่างไรก็ตาม แม้พวกเขาจะอยู่ห่างจากชั้นน้ำแข็ง และเฝ้ามองดูร่างที่ใหญ่โตและเลือนรางนี้จากภายนอก มันก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดเกรง
เพราะนี่คือสัญชาตของสิ่งมีชีวิต ตราบใดที่คุณพบเผชิญกับตัวตนที่มีขนาดใหญ่โตยิ่งกว่าชนิดเทียบไม่ติด ภายในจิตใจก็จะบังเกิดความรู้สึกวิตก ก้มหัวให้แก่อีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
เพราะความแตกต่างระหว่างทั้งสองมันมีมากจนเกินไป เปรียบดั่งช้างกับมด ดังนั้นจึงย่อมเป็นธรรมดาที่จะเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นในจิตใจ
แต่กู่ฉิงซานก็ได้สติกลับคืนอย่างรวดเร็ว เขาทดลองจุ่มมือเข้าไปในชั้นน้ำแข็ง เพื่อดูว่าร่างเลือนรางนี้เป็นมอนสเตอร์ชนิดอะไร
แต่ทันทีที่เขาสัมผัสมัน … เพี๊ยะ! มือของเขาก็ดีดกลับทันควัน -ถูกปฏิเสธโดยตรงจากผิวชั้นนอกสุดของมัน
ดูเหมือนว่าจะมีพลังแปลกๆคอยปกคลุมตลอดทั้งภูเขาน้ำแข็งที่สูงตระหง่านนี้
กู่ฉิงซานมองไปยังส่วนยอดของภูเขา
สิ่งปลูกสร้างที่งดงามตระการตา เพียงเฝ้ามองก็รู้สึกเคารพศรัทธาตั้งอยู่ที่นั่น
นี่คงจะเป็นวิหารที่ว่าสินะ?
เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคำอธิบายของเชื้อไฟ
‘ภายนอกทุ่งน้ำแข็งนี้ มีวิหารอันวิจิตรงดงามอยู่’
‘ในสมัยโบราณอันไกลโพ้น เทพบรรพกาลยังคงสถิตอยู่ในโลกใบนี้ และพวกเขาก็ได้สร้างวิหารดังกล่าวขึ้น เพื่อเฝ้ามองสิ่งมีชีวิตทั้งมวลที่เกิดจากน้ำมือของพวกเขา’
‘คุณจะต้องไปที่นั่น และทำพิธีของเทพบรรพกาลให้สำเร็จลุล่วง’
กู่ฉิงซานหายเข้าไปในความคิด
ฉะนั้นร่างที่เลือนรางเมื่อครู่นี้ ก็สมควรที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพในยุคโบราณอันไกลโพ้นสินะ?
และการที่มันสามารถมีชีวิตรอดอยู่ท่ามกลางวันเดือนปีที่ผ่านพ้น เนิ่นนานมาจนถึงปัจจุบันได้ เกรงว่าหากต้องรับมือกับมัน คงไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย
หนึ่งคน หนึ่งวิหค หนึ่งม้า นิ่งงัน ต่างจมลงสู่ความเงียบ
เฝ้ารอจนกระทั่งมอนสเตอร์ยักษ์ว่ายผ่านไปไกล พวกตนจึงค่อยผ่อนคลายลง
“นั่นมันคืออะไรหรอ?” ลอร่าถามขึ้นเบาๆ
“ไม่รู้สิ คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตบางอย่างในโลกใบนี้ล่ะมั้ง” กู่ฉิงซานกล่าว
ทว่าจู่ๆความคิดน่ากลัว ก็พลันแวบผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา
อะไร?
เมื่อกี้ทำไมจู่ๆถึงรู้สึกแบบนั้นออกมากัน?
กู่ฉิงซานพยายามที่จะเค้นสมองคิดถึงมันอีกครั้ง แต่เขากลับพบว่าตนมิอาจนึกถึงความคิดที่ว่านั่นได้
เหมือนกับว่าความคิดนั้นปรากฏขึ้น และหายไปทันทีโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้เลย
ร่างของกู่ฉิงซานเริ่มสั่นสะท้าน ราวกับว่าตนกำลังถูกกัดกร่อนด้วยความเย็นยะเยือกบางอย่าง
ลอร่าเงยหน้าขึ้น มองไปยังยอดสุดของภูเขาสูงตระหง่าน ปากเอ่ยไม่เห็นด้วย “มันสูงเกินไป เราไม่อยากจะขึ้นไปข้างบนเลย”
หลังจากที่เห็นมอนสเตอร์และตระหนักถึงความสูงเบื้องบน เธอก็ไม่มีความคิดว่าภูเขาน้ำแข็งเบื้องหน้ามันงดงามอีกต่อไป
“กระหม่อมก็ไม่ต้องการที่จะขึ้นไปเช่นกัน” กู่ฉิงซานถอนหายใจ “แต่ยังไงพวกเราก็ต้องไป”
ลอร่าพอได้ฟังก็นิ่งไป ไม่เอ่ยปากตอบโต้อยู่สักพักหนึ่ง
นั่นสิ พวกเราอุตส่าห์มากันจนถึงจุดนี้แล้ว ดังนั้นมันไม่สำคัญหรอกว่าจะต้องเผชิญกับอะไร แต่จะมาหยุดเอากลางทางได้อย่างไร?
แค่เพราะกลัวความสูงกับมอนสเตอร์ตัวเมื่อครู่ เลยยอมแพ้เรื่องที่จะต่อสู้กับทริสเต้แล้วอย่างงั้นหรือ?
ระหว่างที่ตนมายังอัลเบอัส สมาชิกครอบครัวทั้งหมดถูกสังหารลงด้วยน้ำมือของทริสเต้ นี่คือความเจ็บปวดและเกลียดชังที่มิอาจลบล้างได้ตลอดไป
อย่างไรก็ตาม แม้เธอจะเจ็บปวด และทุกข์ทรมานอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่หากเทียบเปรียบกับความตายแล้ว มันก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด!
ดวงตาของลอร่าค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ
“กู่ฉิงซาน”
“หืม?”
“ในช่วงเวลาที่เจ้าข้ามผ่านเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ มันยากลำบากหรือไม่?”
“ถ้าเรื่องนี้ มันก็เหมือนกันทุกคนนั่นแหละ”
“อัลเบอัสจะจัดงานเลี้ยงเป็นเวลากว่าสามวันสามคืน เพื่อฉลองการเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ของเรา แต่เราไม่คาดคิดเลยว่าวัยผู้ใหญ่จะเป็นเช่นนี้”
กู่ฉิงซานเงียบไป
หากอ้างอิงในแง่การนับปีของมนุษย์ ลอร่าจะมีอายุเพียงแค่ 7 ขวดเท่านั้น
อายุ 7 ขวบ นี่ยังจะเรียกว่าเป็นผู้ใหญ่ได้หรือ?
กู่ฉิงซานจมลงสู่ห้วงความทรงจำที่ยาวนาน
ในตอนที่เขาอายุได้ 7 ขวบ เขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ด้วยเงินจากกองทุนสงเคราะห์เพียงอย่างเดียว ตนจึงไปรับจ้างช่วยล้างจานและทำความสะอาดร้านอาหารที่อยู่ในสลัม
แต่แน่นอน ว่าสิ่งตอบแทนจากการช่วยเหลือที่ว่าน่ะไม่ใช่เงิน
ผลตอบแทนเพียงอย่างเดียวก็คือ เขาสามารถกินอาหารได้สองมื้อต่อวันแบบฟรีๆ
และโชคยังดีที่การศึกษาภาครัฐนั้นอนุญาติให้เขาสามารถทำงานได้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ดังนั้นในขณะเรียนไปในแต่ละวัน เขาก็ทำงานไปด้วย ในที่สุดก็ค่อยๆเติบโตขึ้น
กล่าวได้หากผู้อื่นมิเคยพบเจอเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันมาก่อน ก็คงจะไม่สามารถจินตนาการถึงความยากลำบากที่เขาต้องเผชิญได้
จนกระทั่งเมื่ออายุ 13 ปี กู่ฉิงซานก็สามารถปรุงอาหารได้อร่อย จนเจ้าของร้านเอ่ยปากชมในที่สุด
และนับตั้งแต่นั้นมา ชีวิตของเขาจึงค่อยๆดีขึ้นอย่างช้าๆ
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
เขาวางลอร่าลงจากไหล่ และโอบเธอไว้ในอ้อมแขน
อายุ 7 ขวบ ..
แต่เด็กสาวตัวน้อยๆคนนี้ ต้องกลายเป็นกำพร้าเสียแล้ว
แถมเธอยังเป็นสายเลือดสุดท้ายของราชวงศ์วิหคหนามอีก
หนทางอนาคตเบื้องหน้าของเธอ คงมิแคล้วยากลำบากยิ่งกว่าตัวเขาอย่างแน่นอน
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “ฝ่าบาท ชีวิตของผู้ใหญ่มักจะเป็นไปด้วยความเหนื่อยล้าและยากลำบากแบบนี้แหละ กระหม่อมหวังว่าพระองค์จะสามารถมีกำลังใจมากขึ้นนะ”
“มีกำลังใจมากขึ้น?”
“ใช่ เพราะถ้าไม่มีใจสู้เลย โชคชะตาก็จะเข้าครอบงำ และมันจะกลายเป็นผู้ลิขิตชีวิตของท่านไปในที่สุด”
“ … เราไม่ต้องการแบบนั้น”
ลอร่าฝังหัวของเธอลงในอ้อมแขนของเขา ปากเอ่ยกระซิบเบาๆ
“พวกเราจะต้องปีนภูเขาลูกนี้ขึ้นไป” กู่ฉิงซานกล่าว “เราจะต้องไม่หลบสายตาจากมัน และจากนั้นพวกเราสองคนก็จะสามารถต่อกรกับทริสเต้ได้อย่างแน่นอน”
ลอร่าจิกริมฝีปากตัวเอง และสูดหายใจเข้าลึกๆ
เธอเปล่งเสียงหนักแน่น “พวกเราจะต้องโค่นเธอลงให้จงได้!”
“ยอดเยี่ยม นับว่าเป็นแรงใจที่ดี เอาล่ะ พวกเราก็ไปกันเถอะ”
“ไปกัน!”
ทั้งสองกำลังจะเริ่มไปต่อ แต่จู่ๆ กู่ฉิงซานกลับหยุดลงอย่างกระทันหัน
เพราะภายในชั้นภูเขาน้ำแข็ง ที่เดิมทีฟุ้งไปด้วยน้ำสีฟ้าใส บัดนี้พลันกลับกลายเป็นสีแดงเลือด
วู้มมม !
เสียงคำรามสะท้านสะเทือนไปทั้งสวรรค์และโลกกังวานขึ้นมาจากส่วนลึกเบื้องล่าง ราวกับว่ามันเป็นเสียงคำรามของผืนโลก
ลอร่าหดตัวลงในอ้อมแขนของกู่ฉิงซานด้วยความหวาดกลัว
กู่ฉิงซานหรี่ตาลง เพ่งสมาธิเงี่ยหูคอยรับฟังเสียงคำรามอย่างเงียบๆ
ฟังจากเสียงคำราม เขาสัมผัสได้ถึงห้วงอารมณ์บางอย่าง
มันคล้ายกับความโศกเศร้า แต่ขณะเดียวกันก็เจ็บปวด
ยิ่งไปกว่านั้น คือสิ้นหวัง
เสียงคำรามค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นเอง เงาดำขนาดใหญ่ก็ผลุบออกมาจากใต้ภูเขาน้ำแข็ง
มันปรากฏขึ้นจากภายใน และลอยไปตามกระแสน้ำ ขึ้นสู่วิหารบนยอดเขา
ทว่าตลอดทั้งกระบวนการ เงาอันมหึมานี้มิได้ขยับกายเคลื่อนไหวและไม่ได้ส่งเสียงใดๆออกมาอีกเลย
เหมือนกับว่ามันจะตายไปแล้ว
เมื่อเงาดำมหึมานี้ผ่านหน้ากู่ฉิงซานไป เขาก็เห็นถึงดวงตาคู่หนึ่ง
มันเป็นดวงตาที่มีขนาดใหญ่โต แต่กลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและรวดร้าว
“สิ่งมีชีวิตที่มีห้วงอารมณ์อย่างงั้นหรอ … ” กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ
รอบๆเงาดำ น้ำสีฟ้าอ่อนถูกปกคลุมไปด้วยหมอกเลือด
เลือดที่ว่านั่น เกิดจากบาดแผลบนตัวของมอนสเตอร์
มันกระจายตัวออกไป จนเมฆเบื้องบนที่สะท้อนแสงและเงาลงมากลายเป็นสีแดงเลือด กระทั่งกระแสน้ำภายใน และร่างของกู่ฉิงซานที่สะท้อนจากภายนอกก็ไม่แตกต่างกัน
กู่ฉิงซานไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ เขาเฝ้ามองเงามืดจนกระทั่งมันหายไปจากสายตา
มอนสเตอร์ตัวเมื่อครู่นี้ ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นกัน
และนั่นคือตัวที่สอง
“มีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อยู่ในโลกใบนี้ … ดูเหมือนว่าพวกมันจะถูกสร้างขึ้นโดยทวยเทพ ในยุคโบราณ … ” ลอร่างึมงำ
ในฐานะที่เป็นเจ้าหญิงหนาม เธอจึงมีความรอบรู้มากเป็นธรรมดา
กู่ฉิงซานรับฟังอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้นเอง ความคิดที่ปะปนไปกับความหนาวเย็นในอากาศก็เสียดแทงเข้ามาในหัวใจของเขา
และครั้งนี้ กู่ฉิงซานสามารถคว้ามันเอาไว้ได้ มิปล่อยให้หลุดรอดไปดั่งคราวก่อน
สิ่งมีชีวิต …
สิ่งมีชีวิต!!!
แผ่นหลังของกู่ฉิงซานเริ่มผุดเหงื่อเย็นออกมา ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงันไม่ไหวติง
“เป็นอะไรไปหรอ?” ลอร่ามองเขา เอ่ยถามด้วยความกังวล
“พอดีว่ากระหม่อมพึ่งจะเข้าใจถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาน่ะ”
กู่ฉิงซานปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก และพยายามบีบบังคับตนให้สงบลง
ในสายตาของเขา บนหน้าต่างระบบเทพสงครามกำลังกระพริบไหวอย่างบ้าคลั่ง
บรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วบนหน้าต่างระบบ
“คุณได้ตระหนักถึงสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว”
“คุณได้พบเจอกับสิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้”
“คุณได้ตระหนักถึงความเป็นไปได้บางอย่าง”
ในเวลาเดียวกัน หน้าต่างระบบเทพสงครามก็ได้ค้นพบถึงเงื่อนงำบางอย่างเช่นกัน
“โปรดช่วยบอกระบบเทพสงครามด้วย ว่าสิ่งที่คุณค้นพบคืออะไร?”
กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านบรรทัดแสงตัวอักษรบนหน้าต่างระบบเทพสงครามอย่างรวดเร็ว
เขาถอนหายใจลึก และตอบกลับผ่านทางความคิด “เชื้อไฟกำลังหลอกพวกเรา ฉันสงสัยว่ามันน่าจะยกระดับเสร็จสิ้นลงแล้ว และตอนนี้ ในที่สุดมันก็ได้กลายเป็น ‘เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด’ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว!”
ณ กลางดึก
ภายในอัลเบอัส
งานเลี้ยงฉลองยังคงดำเนินต่อไป
เสียงเพลงขับขาน ผู้คนร่ายระบำกันอย่างมัวเมา
และจะเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลาสามวันสามคืน ขณะที่รายจ่ายทั้งหมด จะถูกจัดการโดยราชวงศ์วิหคหนาม
แต่สำหรับอาณาจักรหนาม งานเลี้ยงฉลองเช่นนี้ ต่อให้มันดำเนินต่อเนื่องไปยาวนานกว่า 100 ปี ค่าใช้จ่ายของมันก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด
เพราะพวกเขาอาศัยอยู่ในดินแดนอัศจรรย์มาอย่างยาวนาน จนไม่อาจนับเดือนปีได้ ดังนั้นภายในคลังของอาณาจักร จึงย่อมเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติมากมายที่ซ้อนทับๆกัน จนมิอาจคาดคำนวณถึงมูลค่าของมันได้
ดังนั้น โดยทั่วไปแล้ว จึงไม่มีใครกล้าคิดที่จะมีปัญหากับพวกเขา
เนื่องจากดินแดนอัศจรรย์ มันตั้งอยู่ในส่วนลึกสุดของโลก 900 ล้านชั้น และมันช่างยากเย็นแสนเข็นจริงๆ สำหรับคนทั่วๆไป หากคิดจะเดินทางไปที่นั่น
ไม่ต้องกล่าวถึงทุกชนิดของสถานการณ์อันตราย ที่อยู่ในดินแดนอัศจรรย์ แม้กระทั่งตัวตนทรงอำนาจจำนวนมากเพียงได้ยินได้ฟังก็ยังรู้สึกขนลุก
ดังนั้น อาณาจักรหนามจึงเป็นหนึ่งในรัฐที่ร่ำรวยที่สุดในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้นอย่างแท้จริง
ชายที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งอยู่เบื้องหลังอัลเบอัส ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับวิหคหนาม ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติได้รับสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพของงานเลี้ยงฉลองเจ้าหญิงหนามในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ตัวตนทรงอำนาจที่กล่าวมา กลับปรากฏตัวขึ้นต้อนรับการมาเยือนของราชวงศ์วิหคหนามในวันแรกเท่านั้น
แต่หลังจากนั้น เขาก็หายตัวไป
-ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปที่ไหน
ทว่าก็หาได้มีใครใส่ใจกับเรื่องนี้ไม่
เพราะท้ายที่สุดนี้ ตัวละครหลักในช่วงวันเวลาสามวันสามคืนในปัจจุบัน ก็คือราชวงศ์วิหคหนาม
นับว่าทริสเต้ประสบความสำเร็จในการปิดบังทุกอย่างได้โดยสมบูรณ์
จนกระทั่งถึงตอนนี้ โชคชะตาเลวร้ายของตัวตนทรงอำนาจดังกล่าว คงจะมีเพียงเสี่ยวเหมียวและแบรี่เท่านั้นที่ตระหนักถึงมัน
ภายในห้องจัดเลี้ยง
คู่ดวงตาสีมรกตอันงดงามของแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ กวาดมองผ่านทุกคน เธอเอ่ยคำขอโทษไม่กี่คำแก่แขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย ก่อนจะขอแยกตัวออกมา
แล้วเธอก็มาถึงชั้นบนสุดของโรงแรม มองไปยังยอดหลังคาที่สามารถมองเห็นวิวของตลอดทั่วทั้งอัลเบอัส
กลุ่มก้อนเปลวเพลิงสีเขียวสว่างไสวขึ้นบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
“เป็นอย่างไรบ้าง?” เธอเอ่ยถามเสียงต่ำ
องครักษ์ที่อยู่ที่นี่กล่าว “ท่านหญิง พอดีว่าพฤษาศักดิ์สิทธิ์กำลังจัดการเรื่องส่วนตัวอยู่ ดังนั้นผู้น้อยเลยยังไม่ทันจะได้ไถ่ถาม”
“เรื่องส่วนตัวงั้นหรอ?” ทริสเต้กล่าวอย่างคาดไม่ถึง
องครักษ์พยักหน้ายืนยัน
ทริสเต้ครุ่นคิดสักพัก แต่สุดท้ายก็เลือกก้าวเดินไปข้างหน้า
แล้วเธอก็หายวับไปจากชั้นบนสุด และปรากฏกายขึ้นอีกครั้งบนระเบียงโดยตรง กล่าวกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “จิตวิญญาณพฤษานิรันดร์ พฤษาศักดิ์สิทธิ์ สหายที่ดีที่สุดของข้า เทสส์ผู้ทรงเกียรติ ข้าต้องขออภัยจริงๆที่รบกวนเจ้าให้ช่วยตามหาเจ้าหญิงที่หนีไป ปัญหาในครั้งนี้ ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก”
แต่เฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง จิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ -เลดี้เทสส์ก็ยังมิได้ตอบเธอกลับมา
เหมือนกับว่าเธอจะกำลังอยู่ในระหว่างกระบวนการใช้เทคนิคมนตราบางอย่าง
อย่างไรก็ตาม โชคยังดีที่ไม่จำเป็นต้องรอนานนัก เพราะในเวลานี้ เปลวเพลิงสีเขียวที่ห่อหุ้มจิตวิญญาณพฤษา จู่ๆก็หดแคบลงอย่างรวดเร็ว และกลับคืนสู่มือของเธอ
ตามต่อด้วยร่างเงาสองตนที่ผุดออกมาจากเปลวเพลิงสีเขียว ผลุบเข้าสู่หว่างคิ้วของเลดี้เทสส์
“เอ๊ะ? … แท้จริงแล้วเรื่องราวมันกลับเป็นเช่นนี้ … ”
ระหว่างกระบวนการ เรื่องราวที่สองร่างเงาได้พบเจอทั้งหมด ได้ปรากฏขึ้นในจิตใจของเทสส์
ความเป็นจริงอันน่าตื่นตะลึงนี้ ส่งผลให้เปลวเพลิงในมือของเธอสั่นไหวเล็กน้อย
ซึ่งการที่ท่าทีแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเธอ มันนับว่าเป็นเรื่องยากเย็นที่จะพบเห็นได้จริงๆ
เห็นแค่เพียงเทสส์สะบัดมือที่กำลังสั่นไหว แสร้งแสดงว่าทีว่าจะดับเพลิงสีเขียวที่ลุกไหม้
ระเบียงชมวิว กลับคืนสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
เทสส์หันหลังกลับมามองฝ่ายตรงข้าม
เห็นแค่เพียงคู่มรกตของทริสเต้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด จ้องตรงมาที่เธอ
เธอสบตากับอีกฝ่าย
และอีกฝ่ายก็สบตาเธอ
จู่ๆเทสส์ก็ยิ้มออกมาทันใด “อย่าคิดมากไปเลย ลอร่าคือเด็กที่เราคอยเฝ้าดูเธอจนเติบใหญ่ ทุกครั้งที่เธอซุกซน มันก็จะสร้างอาการปวดหัวให้แก่ทุกคนเช่นนี้เป็นประจำนั่นแหละ”
“เช่นนั้นเจ้าหาเธอพบแล้วหรือยัง?” ทริสเต้ถาม
“ถ้าตอนนี้ล่ะก็ยัง แต่เรายังไม่ได้ไปค้นหาในพื้นที่ VIP เลย เพราะติดปัญหาตรงที่ว่า หากเราลงไปยังพื้นที่ดังกล่าวแล้ว มันอาจจะเป็นการรบกวนแขกผู้มีเกียรติคนอื่นๆได้”
เทสส์ดูเหมือนจะลำบากใจเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ “พวกตัวตนทรงอำนาจบางส่วนน่ะมักจะอารมณ์ร้อนซะด้วยสิ และนั่นคือเหตุผลที่เราไม่ต้องการที่จะเข้าไปค้นหาในพื้นที่ VIP ได้อย่างสะดวกใจ”
ทริสเต้พอได้ฟัง ก็จมลงสู่ความเงียบ
เธอจำต้องละความคิดในหัวไว้ข้างๆ แล้วนำปัญหานี้มาขบคิดอย่างจริงจัง
เพราะสำหรับวิหคหนาม การบุกเข้าไปในพื้นที่จัดเลี้ยง VIP นั่นนับว่าเป็นการหมิ่นเกียรติอีกฝ่าย ไร้ซึ่งมารยาทเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าเทคนิคมนตราตรวจจับของพฤษาศักดิ์สิทธิ์ ก็นับว่าแข็งแกร่งที่สุดแล้วในตลอดทั้งอัลเบอัสเช่นกัน
ดังนั้นเพื่อที่จะทำการค้นหาเจ้าหญิงลอร่า เธอจำเป็นต้องพึ่งพาเทสส์ ให้อีกฝ่ายเข้าไปค้นหาในพื้นที่ VIP
ซึ่งนั่นคือเรื่องที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันนี้
ทริสเต้คิดแล้วคิดอีก จนในที่สุดก็ถอนหายใจและกล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอก ตราบใดที่เจ้าแก้ไขปัญหานี้ให้แก่ข้าได้ ข้าจะเป็นคนรับหน้าไม่ให้ทุกคนรู้สึกว่าถูกดูหมิ่นเอง”
“ลำบากเจ้าแล้ว” เทสส์กล่าว
ทริสเต้พยักหน้า โค้งกายขอบคุณลงอย่างสง่างามและเดินจากไป
บนระเบียงสูง หลงเหลือแค่เทสส์อยู่เพียงลำพังท่ามกลางความมืดมิด
หลังจากเฝ้ารอชั่วเวลาหนึ่ง จนมั่นใจว่าทริสเต้จากไปไกลแล้ว เทสส์ก็หันไปกล่าวสองสามคำในความว่างเปล่า
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ
ในที่สุด ในความว่างเปล่าก็เริ่มวูบไหว และปรากฏร่างของไก่ใหญ่บนระเบียงสูง
“ฉันพยายามแล้วนะ -”
แต่ทันทีที่มันเปิดปาก จะงอยของมันก็ถูกหุบลงโดยเทสส์ทันที
“ไปหาสถานที่อื่นคุยกันเถอะ”
เทสส์วางมือของเธอลงบนปีกไก่ และทั้งสองก็หายวับไป
ภายในโซนที่นั่งพิเศษ
ที่นี่ว่างเปล่า ทุกคนได้ออกไปกันหมดแล้ว
ขณะนั้นเอง ไก่ใหญ่กับเทสส์ก็ปรากฏตัวขึ้นทันใด
“เอ๋? แล้วเจ้าเด็กกู่ไปอยู่ที่ไหนแล้ว?” ไก่อุทานด้วยความสงสัย
“เราขอให้เขาไปจัดการเรื่องบางอย่างให้น่ะ ตอนนี้อย่าพึ่งพูดถึงเขาเลย ทางฝั่งเจ้าได้เรื่องว่าอย่างไรบ้าง?”
ไก่ใหญ่กล่าว “ฉันพยายามแล้วนะ แต่ตลอดทั้งอัลเบอัสมันตกอยู่ในการปิดล้อมอันน่าแปลกประหลาดอย่างคาดไม่ถึง ข่าวสารใดก็ตามที่ถูกส่งออกไปภายนอกจะสลายไปในความว่างเปล่า แต่คนที่ส่งข่าวสารออกไป กลับไม่สามารถทราบถึงเรื่องนี้ได้เลย”
เทสส์เอ่ยถาม “หรือในอีกความหมายนึงก็คือ ที่นี่ไม่มีใครสามารถส่งข้อความออกไปได้สินะ?”
“ใช่”
ไก่ใหย่ยกสองปีกขึ้นกอดอก อ้าขยับจะงอยด้วยด้วยความฉงน “ตั้งแต่ที่อาณาจักรหนามทำแบบนี้ อย่าบอกนะว่า … ”
“ไม่มีทางที่จะส่งข่าวได้เลยหรือ? ไม่มีวิธีแล้วจริงๆ? เราอยากจะทราบถึงข้อเท็จจริงนี้จากปากผู้เชี่ยวชาญในด้านการส่งข่าวเช่นเจ้า” เทสส์มองไก่และถามต่อ
ไก่ใหญ่พอถูกเธอชมก็อดไม่ได้ที่จะยืดอกขึ้น ปากเอ่ยกล่าวอย่างภาคภูมิ “ใช่ ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการส่งข่าว หากต้องการจะส่งข่าวใดๆ ตัวฉันยินดีที่จะให้บริการ … แต่เฉพาะคุณเท่านั้นนะ! ”
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แล้วจะทำได้อย่างไร?” เทสส์เอ่ยถาม
“ดูนี่นะ–”
ไก่ใหญ่ขบจะงอย ฝืนทนความเจ็บปวด และดึง! ขนยาวสีขาวออกมาจากบนร่างเขา
“ขนไก่ของฉันมีคุณสมบัติทะลวงผ่านอุปสรรคทั้งหมด หากคุณมีข้อความเร่งด่วนจริงๆแล้วล่ะก็ สามารถใช้ขนไก่ของฉันได้”
มันถือขนไก่ยาวสีขาว คุกเข่าลง และยื่นให้แด่เทสส์
“ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็แค่ใส่ความคิดลงไปในขนไก่ และทำสมาธิเรียกชื่อของบุคคลคนนั้น” ไก่อธิบาย
“เจ้าสิ่งนี้จะไม่ถูกสกัดกั้นใช่ไหม?”
“ขอรับประกันเลยว่าไม่” ไก่ตบหน้าอกของตัวเอง
เทสส์หยิบขนไก่มา และถ่ายเทข่าวสารบางอย่างเข้าไปในขนนกอย่างรวดเร็ว
และเธอก็เปล่งชื่อของชายคนหนึ่ง
ขนนกหายวับไปทันที
เทสส์หลับตาลง และเฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ
ในการรับรู้ของเธอ ตลอดทั้งอัลเบอัสไม่พบเจอสิ่งผิดปกติใดๆ และไม่มีใครสังเกตเห็นว่าขนไก่ได้บินออกจากโลกใบนี้ไปแล้ว
“มันจะสามารถตามหาเป้าหมายได้จริงๆใช่ไหม?” เทสส์ลืมตาขึ้นและเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว โปรดมั่นใจได้เลยว่ามันจะไปถึงมือของคนๆนั้นด้วยตัวมันเอง” ไก่ใหญ่กล่าวอย่างภาคภูมิ
“วางใจได้ใช่ไหมว่าระหว่างทาง มันจะไม่ถูกสกัดกั้นโดยสิ่งใด”
“ขอรับประกันเลยว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นถึงมัน”
เทสส์นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากชม “นี่มันช่างเป็นพลังที่ยอดเยี่ยมโดยแท้”
“แน่อยู่แล้ว การส่งข่าวสารด้วยขนไก่ของฉัน ไม่เพียงรวดเร็ว แต่มันยังสามารถรักษาความลับได้ในระดับสูงสุดอีกด้วย คุณมั่นใจได้เลย”
ไก่ใหญ่กำลังจะโม้ต่อ แต่จู่ๆเขาก็ตระหนักได้ว่าบรรยากาศมันไม่ถูกต้อง
เขาค่อยๆหันหัวไป และพบกับเทสส์ที่กำลังจ้องมองมาบนตัวเขาอย่างเงียบๆ
ดวงตาของอีกฝ่ายแปลกไปเล็กน้อย ส่งผลให้ในหัวใจของเขาเริ่มรู้สึกเย็นยะเยือก
“เอ่อคุณหญิง … มีอะไรรึเปล่า?” ไก่เอ่ยถาม
ความรู้สึกไม่ดีนี้ .. อย่าบอกนะว่าเธอต้องการจะกินไก่อีกแล้ว!?
ไก่อดไม่ได้ที่จะสรุปแบบนี้ออกมา
เห็นแค่เพียงเทสส์ที่ยื่นมือของเธอออกมา สัมผัสลูบไล้ลงบนใบหน้าของมัน ปากเอ่ยกล่าวอย่างนุ่มนวล “เรามีเรื่องสำคัญ สำคัญมากๆ และมันจำเป็นที่จะต้องให้เจ้าแสดงถึงความกล้าหาญนั้นออกมา”
ภายใต้การลูบไล้ออกเธอ ไก่ใหญ่คล้ายกับถูกยาโด๊ป มันกระพือปีกพับๆ และตะโกนก้อง “คุณหญิง ไม่ว่าจะบุกน้ำหรือลุยไฟ ตัวกระผมย่อมยินดีและไม่คิดปฏิเสธคำขอของคุณ!”
“จริงหรือเปล่า?”
“ไม่มีทางโกหกอย่างแน่นอน”
“ดีเลย พอดีว่าตอนนี้ตัวเรามีเรื่องเร่งด่วนที่สุด ที่จำต้องแจ้งแก่ 100000 ตัวตนทรงอำนาจตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น”
“โอ้ แล้วยังไงต่อ?”
“เจ้าพอจะ … สามารถถอนขนไก่ทั้งตัวเพื่อเราจะได้หรือไม่?”
ราชามารวิญญาณมรณะลอยล่องอยู่บนหน้าต่าง ดวงตาของมันหุบต่ำลง ทั้งตนทั้งร่างนิ่งงันไม่ไหวติง
“ทำไมคุณถึงต้องการสิ่งนี้?” เชื้อไฟเอ่ยถาม
“ก็มันดูน่ากลัวดี เลยคิดว่าคงจะสามารถใช้มันช่วยต่อสู้ได้ดีน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว
เชื้อไฟจมลงสู่ความเงียบ
กู่ฉิงซานชี้ไปยังราชามารวิญญาณมรณะและพูดต่อ “แต้มพลังวิญญาณของฉันพอรึเปล่า? ถ้าพอแล้วก็ช่วยแลกเปลี่ยนมันให้กับฉันด้วย*”
*(เผื่อจะลืม ตอนนี้กู่ฉิงซานกำลังแสดงละครว่าไม่รู้หนังสืออยู่)
—ด้วยแต้มพลังวิญญาณที่กู่ฉิงซานได้รับมา มันย่อมไม่เพียงพอที่จะแลกเปลี่ยนกับอสูรกายตนนี้อย่างแน่นอน
มันเป็นไปไม่ได้สำหรับแต้มพลังวิญญาณของเขาในตอนนี้
“มันไม่เพียงพอ” เชื้อไฟตอบกลับ
“งั้นหรอ เอาเถอะ แน่ล่ะว่ามันคงไม่พอ ก็เจ้าสิ่งนี้มันดูน่ากลัวมากๆเลยนี่นา”
กู่ฉิงซานมองไปยังอสูรกาย มือที่กุมดาบอดรนทนไม่ไหวที่จะเกร็งแน่นขึ้น
อสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลเป็นอาวุธสงครามที่ทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าอสูรกายประเภทดัดแปลงมากมายนัก
พวกมันทุกตนมีทุกชนิดของความสามารถอันน่าขนพองสยองเกล้า อยู่ยงคงกระพัน และมิอาจต้านทานได้
อสูรกายประเภทปฐมบทเพียงตนเดียว ยามเมื่อย่างกรายเข้าสู่สมรภูมิ ส่งครามก็จะมาถึงจุดสิ้นสุดทันที
ในชีวิตก่อนหน้า จำเป็นต้องใช้ตัวตนทรงอำนาจในระดับประทับเทพถึงสองคนร่วมมือกัน จึงจะสามารถรับมือกับอสูรกายดัดแปลงได้อย่างฉิวเฉียด
แต่ตอนนี้ กู่ฉิงซานที่อยู่ในโลก 900 ล้านชั้น -อสูรกายที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างความหวาดผวาให้แก่มวลมนุษย์ กลับกลายเป็นสิ่งที่สามารถใช้แลกเปลี่ยนได้
ย้อนระลึกถึงความทรงจำในช่วงชีวิตที่ผ่านมา แล้วมองมายังชีวิตนี้อีกครั้ง ทุกสิ่งราวกับฝันไป
รายการแลกเปลี่ยนทั้งหมดได้หายไปจากหน้าต่างเชื้อไฟ
เสียงของเชื้อไฟดังขึ้น “ถ้าคิดจะแลกเปลี่ยนกับอสูรกาย คุณจะต้องใช้ความพยายามมากยิ่งกว่านี้เป็นเท่าทวี”
กู่ฉิงซานกำหมัดแน่น “ฉันจะพยายาม”
เชื้อไฟเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะประกาศออกมา “งั้นก็ได้เวลาเริ่มบอกรายละเอียดเกี่ยวกับภารกิจถัดไปแล้ว”
“ภายนอกทุ่งน้ำแข็งนี้ มีวิหารอันวิจิตรงดงามอยู่”
“ในสมัยโบราณอันไกลโพ้น เทพบรรพกาลยังคงสถิตอยู่ในโลกใบนี้ และพวกเขาก็ได้สร้างวิหารดังกล่าวขึ้น เพื่อเฝ้ามองสิ่งมีชีวิตทั้งมวลที่เกิดจากน้ำมือของพวกเขา”
“คุณจะต้องไปที่นั่น และทำพิธีของเทพบรรพกาลให้สำเร็จลุล่วง”
“แล้วรายละเอียดของพิธีล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ไปถึงแล้วก็จะรู้เอง”
“เอาล่ะ ตอนนี้คุณก็เริ่มเดินทางได้แล้ว”
พร้อมกันกับคำอธิบายนี้ของเชื้อไฟ บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก็ปรากฏเครื่องหมายภารกิจขึ้นมาทันที
“โปรดกำหนดภารกิจด้วย”
เมื่อต้องเผชิญกับคำถามของระบบเทพสงคราม กู่ฉิงซานก็ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ “เราจะยังไม่ปล่อยภารกิจ ทันที จำเป็นที่จะต้องทำการสำรวจก่อนเป็นอันดับแรก”
เขาเบนสายตามองไกลออกไป
ณ ปลายสุดของทุ่งน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ ปรากฏภูเขาน้ำแข็งสูงตระหง่านลูกแล้วลูกเล่าเชื่อมต่อๆกันไป มิอาจหาจุดสิ้นสุดได้
และหนึ่งในบรรดายอดภูเขาน้ำแข็งทั้งหลาย ก็มีสิ่งปลูกสร้างอันงดงามตั้งอยู่
สิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนยอดเขา ทั้งหมดทั้งมวลคล้ายกับว่าถูกสร้างขึ้นมาจากหิมะและน้ำแข็งโดยสิ้นเชิง มองจากระยะไกล ช่างดูวิจิตรและงดงามเหลือเกิน
กู่ฉิงซานจมลงสู่ห้วงความคิด
ตอนนี้ ซูเซี่ยเอ๋อได้รับการช่วยเหลือไปแล้ว ดังนั้นความต้องการเดียวที่ยังเหลืออยู่ของเขาก็คือการกำจัดเชื้อไฟ
แต่เมื่อครู่ … ยังไม่ลืมใช่ไหมว่าเชื้อไฟได้แสดงให้เห็นถึงราชามารวิญญาณมรณะขึ้นมา
ตรงจุดนี้สามารถบ่งบอกได้อย่างหนึ่ง
ว่าถึงแม้ผู้เข้าสู่วิถีมารจะไม่อาจสะสมแต้มพลังวิญญาณเพื่อทำการอัญเชิญราชามารวิญญาณมรณะออกมาได้ก็ตามที แต่สำหรับเชื้อไฟแล้ว มันสามารถเรียกเจ้าตัวที่ว่าออกมาได้ตลอดเวลา!
นี่แหละคือปัญหา
เพราะถึงแม้หลังจากที่มีพื้นฐานวรยุทธในขอบเขตประทับเทพขั้นปลาย กู่ฉิงซานจะมิได้หวาดเกรงอสูรกายดัดแปลงเหมือนดั่งเช่นในก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้วก็ตามที
ทว่าหากเป็นราชามารวิญญาณมรณะ ที่เป็นอสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลแล้วล่ะก็ … มันย่อมต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าอสูรกายประเภทดัดแปลงอย่างเทียบไม่ติด! มันมิใช่สิ่งที่เขาสามารถรับมือได้ไหวอย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็หลับตาลงเล็กน้อย
เขาเริ่มทำการสัมผัสถึงพลังของตนเอง
ภายในตันเถียน อุดมไปด้วยพลังวิญญาณ คอยแผ่ขยายไปตามเส้นลมปราณตลอดทั้งร่างกาย เจตจำนงแห่งดาบก็คมชัด ยามเมื่อมันผสานเข้ากับพลังวิญญาณ ก็ย่อมขับเคลื่อนได้ดั่งใจปรารถนา ขณะที่ภายในจิตสัมผัสเทวะเต็มไปด้วยอำนาจ ตราบใดที่เขายื่นมือจีบออกด้วยประทับมนตรา ก็จะสามารถปลดปล่อยเทคนิคมนตราออกมาได้ในทันที
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองออกไปอีกครั้ง
ท่ามกลางความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ เขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง บางสิ่งที่สามารถไขว่คว้ามาเมื่อใดก็ได้หากตนต้องการ
นี่คือกฏแห่งฟ้าดินที่กำลังสะท้อน ตอบรับกับตัวเขา
ใช่! มันคือสัญญาณบ่งบอกว่าเขากำลังจะทะลวงผ่านขอบเขตประทับเทพได้ในไม่ช้า
ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกยุทธ เมื่อใดก็ตามที่สามารถตัดผ่านไปอีกระดับหนึ่งได้ คุณก็จะรับรู้ได้ถึงแรงเหนี่ยวนำ คล้ายกับการดลใจจากกฏของฟ้าดิน
และฟ้าดินก็จะส่งมอบงานนี้ให้แด่ทัณฑ์สายฟ้า เมื่อทัณฑ์สายฟ้าปรากฏขึ้น มันก็จะชำระล้างผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งเพียงพอจะข้ามผ่านมันไปได้ แต่ขณะเดียวกันก็จะกำจัดผู้อ่อนแอที่พ่ายแพ้ต่อมันเช่นกัน
มีเพียงการเอาชนะ หรือถูกกำจัดเท่านั้น
ไม่ว่าจะในโลกไหน หากเป็นผู้ฝึกยุทธแล้วล่ะก็ จะเป็นใครก็ล้วนต้องเผชิญกับโทษทัณฑ์จากสวรรค์กันทั้งนั้น
ในใบหยกของโลกล่องเวหา ก็มีบันทึกถึงเรื่องนี้เอาไว้อย่างชัดเจน
กฏแห่งฟ้าดินนั้นคือสิ่งที่โหดร้ายเสมอมา
แต่พอลองมาคิดดูอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าต่อจากขอบเขตร่างเทวะ พันวิบัติ ขีดสุดความว่างเปล่า และลมปราณจิต สำหรับผู้ฝึกยุทธแล้วมันจะมีขั้นต่อไปอีกไหมนะ?
แล้วผู้ฝึกยุทธ จะก้าวไปสู่ระดับต่อไปได้อย่างไร?
ถึงแม้ว่าอาการบาดเจ็บของแบรี่จะยังไม่ฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ แต่กู่ฉิงซานก็สามารถตัดสินด้วยสัญชาติญาณได้ว่า ความแข็งแกร่งของแบรี่นั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าหวังหงษ์เต๋าเป็นหมื่นเท่า!
ถ้าหากเป็นแบบนั้นแล้วล่ะก็ … มันจะมีผู้ฝึกยุทธที่จะสามารถทรงพลังเทียบเท่ากับแบรี่ได้อยู่ไหมนะ?
กู่ฉิงซานค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมา
เขาหยุดคิด และถอนตัวออกจากห้วงภวังค์
ช่างมันเถอะ ดื่มด่ำไปกับจินตนาการอย่างมีสติก็พอ ตอนนี้ก็เริ่มจากก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวก็แล้วกัน
ถึงแม้ว่าตนจะสามารถทะลวงขอบเขตประทับเทพมาได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ยังมีความรู้สึกบางอย่างอัดแน่นอยู่ในจิตใจไม่เสื่อมคลาย
และความรู้สึกเหล่านั้น มันกำลังย้ำเตือนแก่เขาว่า ตอนนี้ยังไม่สมควรแก่เวลาที่จะตัดผ่านไปยังขั้นต่อไป
เพราะท้ายที่สุดนี้ หากเทียบเปรียบกับแบรี่ ตัวเขาเองจะอยู่ในขอบเขตประทับเทพ หรือว่าขอบเขตร่างเทวะ ก็แล้วมันจะแตกต่างกันตรงไหน?
กู่ฉิงซานกัดฟัน ในที่สุดเขาก็เชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตนเอง และล้มเลิกความคิดที่จะตัดผ่านในตอนนี้ไปทันที
“ไปกันเถอะ”
ฉานนู่พยักหน้า ผลุบกลับเข้าไปในดาบขุนเขาเทวะหกโลกา แล้วซ่อนเข้าไปในความว่างเปล่าเบื้องหลังกู่ฉิงซาน
ดาบพิภพและเช่าหยินก็หายไปเช่นกัน
กู่ฉิงซานกลับเข้าไปท่ามกลางหมอกเย็น
แล้วเขาก็หยิบดิสก์ค่ายกลออกมา ปลดค่ายกลอำพรางทีละชิ้น ทีละชิ้น
แล้วร่างของลอร่าก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
เธอยังคงนั่งอยู่บนม้าทมิฬ แต่ขณะเดียวกันก็กำลังตักเค้กกินอย่างช้าๆ
“อ้าว จบแล้วหรอ?” เธอถาม
“อ่า”
“แต่เรายังกินไม่เสร็จเลย” ลอร่างึมงำ
“ … ไปกันซักทีเถอะ”
กู่ฉิงซานพลิกตัวขึ้นไปบนหลังม้า
ลอร่าเลยจำใจต้องเก็บเค้ก แล้วเช็ดมุมปากของเธอ
“เจ้าจัดการเร็วเกินไปแล้ว เราอุตส่าห์คิดว่าจะได้พักสักหน่อยแท้ๆ” เธอบ่น
“ก็ถ้าไม่เร่งลงมือให้มันจบๆลงโดยเร็ว เดี๋ยวจะมีปัญหาใหญ่ตามมาน่ะสิ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างหมดหนทาง
“ปัญหาใหญ่หรอ?”
“อ่า ก็อย่างเช่น พวกเขาจะอัญเชิญบางสิ่งที่มันน่ารำคาญออกมาน่ะ”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนา ม้าทมิฬก็เอ่ยถามขึ้น
“ท่านทั้งสองกำลังเร่งรีบหรืออยากชมทิวทัศน์?”
“คงต้องรีบแล้วล่ะ – ไม่อย่างนั้นมันจะสายเกินไป” กู่ฉิงซานกล่าว ขณะที่หิมะและลมหนาวพัดขนทั้งคนทั้งร่างเขาลุกชัน
“เข้าใจแล้ว”
ว่าจบ ม้าทมิฬควบสี่กีบ พุ่งทะยานหายเข้าไปในพายุหิมะ
อีกด้านหนึ่ง
บนเกาะหมอก
ภายใน กรมบังคับกฏ
แสงและเงาค่อยๆเลือนลาง
กู่ฉิงซานได้หายไปแล้ว
จอมมารทะเลเลือดเฝ้ามองซูเซี่ยเอ๋ออย่างลึกซึ้ง โดยมิได้เอ่ยคำใด
ทันใดนั้นเอง ซูเซี่ยเอ๋อก็ง้างหัวตัวเอง และเหวี่ยงมันลงกระแทกกับโต๊ะ
“นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร?” จอมมารทะเลเลือดถาม
แล้วเขาก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ
พริบตานั้นบนโต๊ะก็ถูกปกคลุมไปด้วยหมอนนุ่มๆทันที
ซูเซี่ยเอ๋อฝังหน้าตนเองอยู่ในหมอน ร่ำร้องออกมา “น่าอับอายเหลือเกิน”
จอมมารทะเลเลือดหัวเราะ และปลอบใจเธอ “ดาบของเขามันแพรวพราว เจ้าเล่ห์ไม่เบาก็จริง แต่ยังไงซะ เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าอยู่ดี
“จริงๆหรือ?” ซูเซี่ยเอ๋อเงยหน้าขึ้นเอ่ยถาม
“ใช่สิ ตราบใดที่เจ้ามีเวลามากพอในการร่ายเทคนิคมนตรา เจ้าก็จะสามารถมอบความพ่ายแพ่ให้แก่เขาได้โดยสมบูรณ์” จอมมารทะเลเลือดวนแก้วไวน์ในมือ ปากเอ่ยอย่างภาคภูมิ
‘จะบ้าหรือท่านอาจารย์!? ถ้าถึงเวลาสู่จริงๆ ใครมันจะไปรอให้อีกฝ่ายร่ายคาถายาวเหยียดจนจบกัน?’
ซูเซี่ยเอ๋อฝังหัวของเธอลงในหมอนอีกครั้งและกล่าว “ท่านอาจารย์ .. อย่ามาให้ความหวังผิดๆกับหนูแบบนี้เลย”
จอมมารทะเลเลือดยิ้ม กล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าทราบหรือไม่ว่ามีคนที่ใช้อาวุธเย็นมากมายเพียงใดกัน ที่ไม่สามารถเรียนรู้วิธีการต่อสู้เช่นเดียวกับเขาได้?”
“ในด้านพละกำลัง เทคนิค และการเคลื่อนไหว เขาอาจจะไม่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้คนอีกมากมายก็จริง ทว่าข้ากลับไม่เคยพบเจอกับคนที่ยังเยาว์วัยเท่าเขา แต่กลับสามารถเติบใหญ่ได้อย่างไร้เหตุผลถึงเพียงนี้มาก่อนเลย”
“นั่นมันก็ฟังดูไม่มีเหตุผลจริงๆ” ซูเซี่ยเอ๋อเงยหน้าขึ้น เอ่ยถามซอกแซก “ว่าแต่อาจารย์ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่?”
“ข้ากำลังจะสื่อว่า ต่อให้เจ้ามีสกิลดาบนับหมื่นพัน ทว่าหากเขาใช้เพียงดาบเดียวปลิดชีวิตเจ้าได้ แล้วเจ้าจะมีสกิลดาบนับหมื่นพันไปไว้เพื่ออะไรกัน?”
“ทั้งหมดก็ประมาณนี้” จอมมารทะเลือดยกไวน์ขึ้นจิบ แล้วเอ่ยต่อ “คนแบบเขา ไม่รู้ว่าได้พบเจอกับประสบการณ์หรือเรื่องราวแบบใดมา จึงสามารถทำได้ถึงเพียงนี้ทั้งๆที่ยังเยาว์วัยอยู่”
“และอีกอย่าง อันที่จริงแล้วเจ้าไม่ควรที่จะวางกับดักเขาเลย”
“เอ๋? เพราะอะไรคะ?” ซูเซี่ยเอ๋อค่อนข้างสับสน
“เพราะเจ้าสามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้ ปล่อยให้เขาพุ่งไปข้างหน้า ขณะที่เจ้าคอยสนับสนุนเขาในฐานะผู้ใช้ไพ่จากเบื้องหลัง – หากเป็นในกรณีนี้ จะนับว่าเป็นการจับคู่ที่ลงตัวทีเดียว” จอมมารทะเลเลือดกล่าว
“การต่อสู้แบบนี้ จะช่วยให้เจ้ากับเขาสามารถเข้าใจกันและกันได้มากขึ้น พัฒนาอารมณ์ ความรู้สึกที่มีต่อกันให้ยิ่งลึกซึ้งขึ้นไปได้อีกระดับ”
“เจ้าจะยังคงสามารถอยู่ในโลกของทริสเต้ได้ต่อไป แถมวันเวลาเหล่านั้นย่อมจะกลายมาเป็นความทรงจำอันแสนล้ำค่าอย่างแน่นอน”
“ท้ายที่สุดนี้ ต้องรู้นะว่าในระหว่างการต่อสู้นี่แหละ คือช่วงเวลาที่จะสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของกันและกันได้ง่ายที่สุดล่ะ”
ซูเซี่ยเอ๋อนิ่งงันไป
“อ้ากกกกกกกกกก เสีย – ดาย – จริงๆ!”
เธอฝังหัวลงในหมอน กรีดร้องตะโกนสุดเสียง
หลังจากที่ได้เห็นปฏิกริยาของซูเซี่ยเอ๋อ จอมมารทะเลเลือดก็แสดงออกถึงความพึงพอใจ
“แล้วเจ้าวางแผนจะทำอะไรต่อไป?”
เขาเฝ้ารอสักพักจึงเอ่ยถาม
“ถ้าเรื่องนี้จบลง หนูจะไปขอโทษเขา” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว
น้ำเสียงของเธอฟังดูอดสูยิ่ง
จอมมารทะเลเลือดนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยว่า “เอาเถอะ การต่อสู้นี้ก็ได้จบลงแล้ว ถ้าเจ้าไม่อยากดู ข้าจะหยุดเทคนิคนี้ทันที – ว่าแต่เจ้าศิษย์รักเอ๋ย ยังอยากจะดูเขาต่อสู้ต่อไปอีกหรือไม่?”
ซูเซี่ยเอ๋อยกศีรษะขึ้นทันใด ดวงตาของเธอกระจ่างใส ผงกหัวรัวๆราวไก่จิกเมล็ดข้าว
จอมมารทะเลเลือดหัวเราะ และเริ่มร่ายคาถา
ม่านแสงและเงาที่พร่ามัว กลับกลายเป็นคมชัดขึ้นอีกครั้ง
กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นอีกครา
เขากำลังควบม้าทมิฬ มุ่งหน้าไปยังภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ไกลออกไป
ซูเซี่ยเอ่อจดจ้องไปยังกู่ฉิงซานตาไม่กระพริบ
เธอดูมีสมาธิและจริงจังมาก
จอมมารทะเลเลือดมองเห็นสีหน้าของซูเซี่ยเอ๋อ เขาก็ผ่อนคลายลง
“เจ้าดูไปก่อนนะ อาจารย์ขอออกไปทำธุระข้างนอกสักครู่”
“เจ้าค่ะ”
จอมมารทะเลเลือดเดินออกจากห้องไป
แล้วเขาก็วางเทคนิคมนตราป้องกันรอบๆกรมบังคับกฏอีกที
“เจ้าพวกฝูงไก่อ่อนแอ ที่มัวเมาอยู่แต่กับพลังอำนาจจอมปลอม กล้าที่จะมาทำร้ายศิษย์ของข้าอย่างงั้นเรอะ?” เขาบ่นพึมพำ
เฝ้ารอจนกระทั่งเทคนิคมนตรานี้เสร็จสมบูรณ์ จอมมารทะเลเลือดก็ปรบมือด้วยความพอใจ
แล้วจู่ๆเขาก็หายวับไปทันที
วินาทีต่อมา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราด ซึ่งอยู่ห่างจากอัลเบอัสราวๆ 12 ชั้นโลก
พอสัมผัสได้ถึงการเหนี่ยวนำเล็กน้อย จอมมารทะเลเลือดก็พึมพำด้วยความพอใจ “ดีล่ะ ไม่มีใครค้นพบถึงตัวของข้าได้”
“ถ้าอย่างงั้นล่ะก็ ก่อนที่สงครามเต็มรูปแบบจะปะทุขึ้น คงต้องลองค้นหาที่ซ่อนตัวของพวกมันให้เจอก่อนเป็นอันดับแรก …”
จอมมารทะเลเลือดเพียงเอ่ย ไพ่ที่สาดแสงสีเลือดหลายสิบใบก็ผลุบออกมาทันที
และพวกมัน ก็ลอยหายไปตามกระแสลมในมิติที่ว่างเปล่า
บนพื้นน้ำแข็ง
สายลมหนาวพัดกระพืออย่างรุนแรง
หิมะเริ่มที่จะปกคลุมหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ผู้เข้าสู่วิถีมารนับสิบ อยู่ในสภาวะก่อกระบวนทัพป้องกัน เฝ้ารอทานรับการโจมตีที่กำลังจะปะทุขึ้น
ตรงข้ามกับพวกเขา จู่ๆหมอกหนาอันคลุ้มคลั่งก็พลันสงบลงอย่างกระทันหัน สูญเสียพลังอำนาจและแรงกดดันไปอย่างน่าฉงน
ส่งผลให้หมอกหนาที่เกิดจากการสลายของน้ำแข็งยักษ์แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง
“เกิดอะไรขึ้น?” บางคนเอ่ยถามเสียงกระซิบ
“ชู่ว! เงียบก่อน!” นักรบเกราะเหล็กดุเขา
ชายคนที่เปล่งเสียงออกมาหุบปากลงอย่างรวดเร็ว
ทุกคนจ้องมองไปยังละอองหมอกเย็นฉ่ำชนิดแทบลืมหายใจ
เห็นแค่เพียงร่างหนึ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในหมอกหนา
ร่างที่ว่ายิ่งมองยิ่งๆค่อยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นชายที่บนตัวสวมเกราะสีทองซีด ขณะที่บนใบหน้าสวมใส่หน้ากากเงิน เดินออกมาจากหมอกหนา
ชายคนนั้นถือดาบในมือของเขา และก้าวตรงเขามายังฝูงชนทีละก้าว ทีละก้าว
“อ้าว … ทำไมจู่ๆถึงกลายเป็นผู้ชายไปได้กัน?” คนหนึ่งสงสัย
“น่ากลัวว่ามันอาจจะเป็นการอัญเชิญก็ได้” อีกคนพูดในสิ่งที่ตนได้พิจารณามาแล้ว
เทคนิคอัญเชิญ – คือการจ่ายบางสิ่งบางอย่างออกไป ทำสัญญากับการดำรงอยู่อันลึกลับ แล้วเรียกอีกฝ่ายออกมาเพื่อช่วยในการต่อสู้
ใช่แล้วล่ะ มีเพียงแค่เทคนิคอัญเชิญเท่านั้นที่พอจะสามารถอธิบายถึงสถานการณ์ในปัจจุบันได้
ทุกคนคิดเกี่ยวกับมันและพยักหน้าเห็นด้วย
นักรบเกราะเหล็กกล่าวว่า “เจ้าพวกโง่ นี่ไม่ใช่เทคนิคอัญเชิญ พวกแกไม่เห็นรึไงว่าผู้หญิงอีกคนได้หายไปแล้ว”
เขากล่าวและมองไปทางอีกฝ่าย
น่าแปลกจริงๆ เมื่อครู่นี้พลังอำนาจอันน่าตื่นตะลึงฟุ้งไปทั่วบริเวณอย่างชัดเจน แต่ตอนนี้กลิ่นอายนั้นกลับหายไปแล้ว หายไปหมดเลยอย่างกระทันหัน?
แถมเจ้าคนที่ใส่เกราะทองและหน้ากากเงินตรงหน้า ตามร่างกายของมันก็ยังไม่ส่งกลิ่นอายใดๆออกมาเลยอีกต่างหาก
หรือว่ามันจะมีวิชาลับบางอย่าง คอยปิดซ่อนกลิ่นอายอยู่ใช่ไหม?
เหล่าลูกน้องอาวุธครบมือ ต่างหันไปมองนักรบเกราะเหล็กด้วยความตกใจ
พวกเขาต่างลองสัมผัสเข้าไปในหมอกหนาอย่างระแวดระวัง แล้วก็ตระหนักได้ว่าไม่อาจพบร่องรอยของผู้หญิงอีกคนได้แล้วจริงๆ
คงจะเป็นอย่างที่บอสว่าจริงๆ เพราะไม่เคยมีเทคนิคอัญเชิญใดๆ ที่จะทำให้ผู้อัญเชิญหายไปซะเฉยๆได้หรอก
ดังนั้น หรือว่านักดาบเกราะทองคนนี้ แท้จริงแล้วจะคือหญิงงามคนเมื่อครู่กันแน่?
ไม่น่าจะใช่นา .. เพราะแค่ขนาดรูปร่างมันก็ไม่ตรงกันแล้ว
ทุกคนต่างหันไปมองหน้ากันและกัน ในหัวใจขบคิดว่าสถานการณ์นี้มันค่อนข้างจะแปลกประหลาดเล็กน้อย
“บอส แล้วพวกเราจะเอายังไงกันต่อดี?” บางคนเอ่ยถามอย่างลังเล
“วางใจเถอะ ไม่ว่าเขาจะเป็นตัวอะไร สุดท้ายก็จะกลายเป็นแต้มพลังวิญญาณให้กับพวกเราอยู่ดี” นักรบเกราะเหล็กกล่าว
ว่าจบ เขาก็คว้าโล่ที่ใหญ่โตชนิดบดบังทั้งร่างกายขึ้นมาในมือ และก้าวออกมาจากท่ามกลางฝูงชน
“ผู้หญิงอีกคนล่ะ หายไปไหนแล้ว?” นักรบเอ่ยถามนักดาบเกราะทอง
นักดาบเกราะทองที่กำลังก้าวเดิน เอ่ยสวนกลับไป “แกไม่ควรถามคำถามนี้”
“ทำไม?”
“เพราะเธอเป็นของฉัน”
“เป็นของแกงั้นหรอ ก็แล้วแกมันเป็นใครกัน? จะตอบดีๆ หรือว่าจะให้ฉันฆ่าแกซะเดี๋ยวนี้เลย” นักรบเกราะทองกล่าว
ว่าจบเขาก็กระชับโล่ขึ้น ตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้
ส่วนกู่ฉิงซานก็หยุดฝีเท้าลง
เขามองหน้าอีกฝ่าย และเบนสายตาไปยังฝูงชน
นอกเหนือไปจากนักรบเกราะเหล็กที่มีความสูงกว่าสองเมตรแล้ว คนอื่นๆก็กำลังตั้งกระบวนทัพอยู่ในรูปแบบป้องกันด้วยเช่นกัน
สังเกตจากท่าทางและรูปแบบการป้องกันของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นนักรบที่เชี่ยวชาญ และคงผ่านประสบการณ์ต่อสู้ในโลกใบนี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง -แต้มพลังวิญญาณสะสมคงได้มามากพอสมควร
… นั่นหมายความว่า สิ่งที่กู่ฉิงซานจะต้องรับมือ ไม่เพียงเป็นอีกฝ่ายที่แข็งกร้าวเท่านั้น แต่ยังต้องคอยระวังไม่ให่ศัตรูทำการแลกเปลี่ยนกับเชื้อไฟ ที่สามารถลงมือได้ตลอดเวลาอีกด้วย
ดังนั้นหากจะใช้คำพูดล่อลวงหรือเสียเวลาเล่นแง่กับพวกเขา มันคงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ การต่อสู้ในครั้งนี้ .. จำเป็นที่จะต้องจบมันลงโดยเร็วที่สุด!
กู่ฉิงซานถอนหายใจ และขยับคอจนเกิดเสียงแกร๊กๆเล็กน้อย
“ถ้าอยากรู้ว่าฉันเป็นใคร อย่างแรกเลย แกคงต้องเอาชีวิตรอดไปให้ได้ซะก่อน!”
ทันทีที่เสียงตกลง ร่างของเขาก็หายวับไป
ในเวลาเดียวกัน โล่เหล็กหนาก็ปรากฏขึ้นแทนที่ในตำแหน่งเดิมของเขา
มันคือโล่ขนาดใหญ่โตที่ถูกวางตั้งไว้เบื้องหน้านักรบเกราะเหล็ก!
ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็สามารถเข้าประชิดนักรบเกราะเหล็กได้ในพริบตา และจ้วง! เสียบทะลุเข้าหน้าอกอีกฝ่ายด้วยคมดาบของตน
นี่คือการจู่โจมที่ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าใดๆ
ทว่านักรบเกราะเหล็ก พอถูกแทงด้วยดาบ เขาก็กลับยิ้มเยาะออกมาอย่างน่าฉงน “ต้องการจะฆ่าฉันงั้นหรอ!? งั้นเจอนี่หน่อยเป็นไง-”
กล้ามเนื้อของนักรบหดเกร็งเข้าหากัน หนีบตรึงใบดาบเอาไว้
เอาล่ะ คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่สามารถขยับดาบได้อีกต่อไปแล้ว ถ้ามันไม่เลือกที่จะทิ้งดาบและหลบหนีไปให้ทัน ก็จะถูกตนระเบิดกำปั้นหนักเข้าใส่อย่างแน่นอน
นักรบเกราะเหล็กกำลังจะลงมือ แต่ใครจะรู้ จู่ๆอีกฝ่ายก็กลับชิงเคลื่อนไหวเสียก่อนแล้ว
กู่ฉิงซานยกดาบยาวของเขาขึ้นมา
พร้อมกันกับร่างของนักรบเกราะเหล็กที่ยึดติดอยู่กับใบดาบ ถูกยกสูงขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
แล้วดาบยาวก็ถูกสะบัดอย่างแรงไปยังเบื้องหน้า
นักรบเกราะเหล็กถูกเหวี่ยงอย่างแรง มัดกล้ามฉีกขาดหลุดออกจากดาบ ลอยคว้างไปในอากาศราวกับลูกวอลเลย์ ตกลงยังกระบวนทัพลูกน้องนับสิบที่อยู่เบื้องหลังเขา
“ช่วยกันรับตัวบอสเอาไว้เร็วเข้า!”
คนเหล่านั้นพากันตะกายมาข้างหน้า โดยไม่คำนึงถึงรูปแบบกระบวนทัพป้องกัน
แล้วนักรบเกราะเหล็กก็ตกลง
โชคยังดี ที่ทั้งหมดแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของบอสเอาไว้ได้
ทว่าจู่ๆนักรบเกราะเหล็กกลับหายวับไปอย่างกระทันหัน
แต่ดันปรากฏหญิงสาวในชุดคลุมฟ้าที่ถือดาบยาวเข้ามาแทนที่เขา โผล่เข้ามากลางดงผู้เข้าสู่วิถีมาร
พร้อมด้วยดาบที่ถูกวาดออกไป
เทคนิคลับแห่งดาบ : วาดเงา!
ในเสี้ยววินาที ร่างเงาดาบก็เริ่มเบ่งบาน กระจัดกระจายไปในสายลม
ร่างเงาดาบนับไม่ถ้วนซ้อนทับกันไปมา ทั้งตัดแขน หั่นคอ เสียบขา เฉือนเนื้อหนัง ขึ้นกลางวงคนนับสิบ
“ไม่จริง! เทคนิคมนตราของฉันไม่สามารถต้านทานการโจมตีนี้ได้!” บางคนร้องออกมา
ปัง!
หมอกเลือดพัดกระพือขึ้นโดยรอบในทันใด ขณะเดียวกันเสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อีกด้านหนึ่ง นักรบเกระเหล็กได้สลับตำแหน่งกับฉานนู่ และเป็นอีกครั้งที่เขาปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน
ซึ่งนักรบเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่ เพราะจู่ๆดวงตาของเขาก็พร่ามัวไปครู่หนึ่ง แล้วพออาการพร่ามัวหายไป เขาก็กลับมาหาศัตรูอีกครั้งแล้ว
นักรบเกราะเหล็กดึงหอกออกมา ปากอ้าคำรามลั่น “แกเจ้ามารร้าย! ฉันจะฆ่า-”
แต่มันจะไปทันกู่ฉิงซานที่เตรียมพร้อม เฝ้ารอคอยเวลานี้อยู่ก่อนแล้วได้อย่างไร?
ดาบของเขาวูบไหว
ฟุ่บบบ!
ดาบพิภพแปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา กรีดตัดอากาศจนเกิดเสียงหวีดหวิว ตัดฉับ! ลงบนต้นคอของนักรบเกราะเหล็ก
หัวมนุษย์กระเด็นลอยขึ้นไปบนฟากฟ้า
ทั้งคนทั้งร่างของนักรบเกราะเหล็กแข็งค้าง ทั้งๆที่หอกในมือเขาพึ่งจะถูกยกขึ้นเท่านั้น
ร่างไร้หัวยังคงยืนนิ่งงันโดยสมบูรณ์ ราวกับว่ามันไม่เต็มใจที่จะพร้อมยอมรับชะตากรรมของตนเอง
“เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ? พอดีฉันฟังไม่ทัน” กู่ฉิงซานหยุดดาบและเอ่ยถาม
เคร้ง ..
หัวที่สวมหมวกเหล็กร่วงตกลงมาจากฟากฟ้า หล่นโครม! ลงบนพื้นน้ำแข็งจนปริร้าว เกิดการยุบตัวขนาดเล็กขึ้น
กู่ฉิงซานส่ายหัว “น่าเสียดายจัง ดูเหมือนว่าฉันจะถามช้าไปหน่อย”
ว่าแล้วเขาก็ยื่นนิ้วชี้ออกไป และแตะลงบนร่างเกราะเหล็กไร้หัวอย่างแผ่วเบา
ตึ้งงงง!
ร่างนั้นล้มฟาดลงกับพื้นทันที
และ ‘ตึ้งงงง’ ก็เปรียบดั่งเสียงสัญญาณ เพราะกู่ฉิงซานได้หายวับไปอีกครั้ง
เขาปรากฏตัวขึ้นข้างกายของฉานนู่
ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่วาดเงาพึ่งจะจบลงพอดิบพอดี
บรรดาผู้เข้าสู่วิถีมารผู้ใช้งานเทคนิคมนตราป้องกัน ถูกคมดาบที่สามารถทำลายทุกกฏเกณฑ์ของฉานนู่สับสังหารตกตายลงโดยตรง
ทว่าผู้ที่สวมใส่เกราะที่ครอบครองอำนาจป้องกันอันทรงประสิทธิภาพก็ยังคงมีอยู่บ้าง ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะตกอยู่ในสภาพน่าอนาจ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นตกตายลง
กู่ฉิงซานชูดาบพิภพขึ้น
เทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา!
วาดเงาอีกระลอก!
ร่างเงาดาบสีดำระเบิดเบ่งบาน
หนุนเสริมด้วยดาบพิภพ 86.37 ล้านจิน ที่ทั้งหนักทั้งรุนแรง สามารถทำลายล้างได้ทุกสรรพสิ่ง
บรรดาผู้เข้าสู่วิถีมารรอบตัวเขา ที่ครอบครองเกราะป้องกันทรงอำนาจ ต่างถูกบดขยี้เป็นชิ้นๆด้วยรังสีดาบนี้
ทว่าก็ยังหลงเหลือผู้เข้าสู่วิถีมารที่สามารถรอดชีวิตมาได้อีกคนอยู่ดี – ท่ามกลางช่วงเวลาเดือดพล่าน เขาได้ตระหนักว่าความตายกำลังจะมาเยือนเป็นที่แน่นอนแล้ว
ปากจึงเร่งอ้าตะโกน “เชื้อไฟ! ฉันขอใช้แต้มพลังวิญญาณทั้งหมดแลกเปลี่ยนกับ-”
น่าเสียดายจริงๆ ที่คำว่า ‘อสูรกาย’ ยังไม่ทันได้ผุดออกมา ในสายตาของเขา รังสีดาบขาวนวลผ่องก็พลันเจิดจรัสขึ้นซะก่อน
คมเสี้ยวจันทร์ขนาดใหญ่กวาดทั้งคนทั้งร่างของเขา หายวับไปจากพื้นน้ำแข็งโดยตรง
ซึ่งคราวนี้ไม่หลงเหลือกระทั่งเศษเนื้อหนังหรือเลือดสักหยด
“นายน้อย ท่านมาได้ถูกจังหวะจริงๆ อีกนิดเดียวเขาก็เกือบที่จะทำสำเร็จแล้วเชียว”
ฉานนู่เก็บดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ปากเอ่ยกล่าวด้วยความยินดี
“ข้าตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นย่อมไม่มีวันปล่อยให้พวกเขาทันใช้แต้มพลังวิญญาณแลกเปลี่ยนกับเชื้อไฟอย่างแน่นอน”
กู่ฉิงซานกล่าว
เขาเก็บดาบพิภพกลับคืน และหันไปมองรอบๆ
ชั้นน้ำแข็งหนาบนพื้นผิวของทุ่งน้ำแข็งถูกทำลายลง เศษซากของผู้เข้าสู่วิถีมารร่วงตกไป ลอยล่องกระจัดกระจายบนผิวน้ำ
พวกเขาตายกันหมดแล้ว
กระบวนการต่อสู้ทั้งมวลนี้ ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงในปัจจุบัน นับเวลาโดยรวมแค่ 3 ลมหายใจเท่านั้น!
ในช่วงเวลาสั้นๆ เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารส่วนใหญ่ ไม่ทันได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ รู้สึกตัวอีกทีพวกเขาก็ตายลงไปแล้ว
และแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดของพวกเขาก็ถูกดูดกลืนมายังกู่ฉิงซานโดยสมบูรณ์
ฉานนู่ยืนอยู่บนพื้นน้ำแข็ง และมองลงไปยังน้ำเบื้องล่างด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“นายน้อย ธารน้ำแข็งนี่มันลึกจนข้ามองไม่เห็นก้นเลย นี่มันช่างคล้ายคลึงกับสายธารในโลกปรภพเสียจริงๆ” เธอกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“งั้นหรือ แต่เรื่องนั้นค่อยเอาไว้คุยกันทีหลังนะ ตอนนี้ขอข้าจัดการบางอย่างก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว
ขณะพูด เขาก็มองไปยังสองระบบ
บนหน้าต่างสถานะ หนึ่งน้ำเงินหนึ่งแดง ได้เด้งเตือนบรรทัดตัวอักษรขึ้นมา
“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณ 3165 แต้ม”
ขณะเดียวกัน บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก็ปรากฏบรรทัดตัวอักษรขึ้นมาอีกหลายช่อง
“คุณสามารถรวบรวมแต้มพลังวิญญาณถึง 3000 แต้มได้สำเร็จ ส่งผลให้การสั่งสมแต้มพลังรอบสองของคุณสมบูรณ์ในที่สุด”
“โปรดเลือกสกิลที่คุณต้องการจะเพิ่มความสามารถให้แก่มันด้วย”
“ฉันเลือกเพิ่มความสามารถให้กับค่ายกลดาบไท่หยี”
“คุณแน่ใจหรือไม่?”
“แน่ใจ”
“ระบบได้ทำการล็อคสกิลนี้แล้ว และครั้งถัดไปที่คุณใช้มันโจมตี พลังอำนาจของมันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า”
ว่าจบ ตัวอักษรบนหน้าต่างสีน้ำเงินของระบบเทพสงครามก็ค่อยๆหายไป
ตามด้วยหน้าต่างเชื้อไฟที่เปล่งเสียงออกมา
“คุณสามารถรวบรวมแต้มพลังวิญญาณได้มากถึงระดับหนึ่งแล้ว ฉะนั้นเวลานี้ คุณสามารถใช้มันแลกเปลี่ยนไอเท็มต่างๆจากระบบได้”
ขณะกล่าว บนหน้าต่างเชื้อไฟ ก็ปรากฏถึงแถบไอเท็มเด้งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
ของรางวัลหน้าแรก คือทุกชนิดอันหลากหลายของดาบยาว
“ดาบพวกนี้ ดูท่าว่าจะไม่ได้มีไว้แค่โชว์เฉยๆสินะ … ”
กู่ฉิงซานเปล่งเสียงกระซิบ
เขาได้ใช้พลังงานไปอย่างมากในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ เมื่อเห็นถึงรางวัลดาบ เขาก็พยายามยับยั้งชั่งใจตนเองที่จะไม่มองมัน
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจนะ แต่ฉันต้องการสะสมแต้มพลังวิญญาณมากกว่านี้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว
“แต่แต้มพลังวิญญาณที่คุณมี มันสามารถนำมาใช้แลกเปลี่ยนกับดาบทรงพลังอันมีชื่อเสียงเกือบทุกชนิดในรายการรางวัลของฉันได้แล้วนะ ถ้าคุณไม่ใช่มัน แล้วจะเอาไปแลกเปลี่ยนกับอะไร?” เชื้อไฟอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานเยาะหยัน
-ต้องการแต้มพลังวิญญาณจากฉันนักใช่ไหม?
ฮี่ฮี่ จัดให้
“พอดีว่าฉันอยากจะสะสมแต้มพลังเพื่อใช้แลกเปลี่ยนกับสิ่งนี้ ..” เขาชี้ไปยังอีกด้านหนึ่งของหน้าต่างระบบเทพสงคราม
ฝั่งดังกล่าว คือรายการของบรรดาอสูรกายประเภทต่างๆ
ส่วนที่กู่ฉิงซานชี้ไป คืออสูรกายที่แข็งแกร่งที่สุด “นี่ไง ฉันต้องการเจ้านี่”
เป็นคือมอนสเตอร์หัวหมาป่าที่สวมมงกุฏ
และกำลังหลับตา ลอยล่องอยู่บนหน้าต่างอย่างเงียบๆ
เบื้องล่างของมัน มีหนึ่งบรรทัดคำอธิบายติดเอาไว้
ราชามารวิญญาณมรณะ อสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหล การแลกเปลี่ยนจำเป็นต้องใช้แต้มพลังวิญญาณ : 100000 แต้ม!
ณ กรมบังคับกฏ
การสนทนาระหว่างศิษย์อาจารย์ยังคงดำเนินต่อไป
“อาจารย์ ผู้หญิงที่เป็นคนช่วยหนูไว้เมื่อครู่ ได้มอบใบไม้ให้กับหนู แล้วจู่ๆมันก็เกิดการทำงานขึ้น ผลักดันให้หนูสามารถตัดผ่านขอบเขตเดิมของตัวเองได้”
“งั้นหรอ แต่มันก็เป็นเรื่องปกตินะ ที่เธอจะทำแบบนั้นกับเจ้า”
“แท้จริงแล้วเธอเป็นใครกันแน่คะอาจารย์”
“ ครั้งหนึ่ง .. เอ่ออออ ถ้าจะให้เรียกก็คงจะเป็นสหายล่ะมั้ง”
ซูเซี่ยเอ๋อแสดงท่าทีไม่อยากจะเชื่อ
“ก็ได้ๆ ข้ายอมรับว่าเธอกับข้าเคยเกินเลย ไปไกลกว่าคำว่าสหาย ” จอมมารทะเลเลือดกล่าวด้วยรอยยิ้มราวกับว่าได้ตกลงสู่ห้วงความทรงจำในครั้งอดีต
“ในตอนที่ข้ายังเยาว์ ข้าได้เดินทางออกจากเกาะหมอก พเนจรไปยังดินแดนชิงอำนาจ หมายจะเห็นโลกกว้าง”
“จากนั้น ข้าก็ได้พบกับเธอ”
“ผู้หญิงคนเมื่อครู่นี้น่ะหรอคะ?”
“ใช่ พวกเราสนิทกันมาก วันคืนเหล่านั้นช่างแสนสุข แต่ละคนต่างก็รู้สึกดีต่อกันและกัน”
“แต่ตอนนี้เธอดูเหมือนว่าจะโกรธมาก”
“ตอนแรกข้าไม่รู้ถึงสถานะที่แท้จริงของเธอ ไม่ชัดเจนว่าเธอมีอำนาจอันน่าอัศจรรย์ใจเพียงใด ดังนั้นครั้งหนึ่งข้าจึงเคยพลั้งเผลอไปคาดการณ์โชคชะตาของเธอโดยพลการ และสัมผัสได้ว่าเธอกำลังตกอยู่ในอันตราย” จอมมารทะเลเลือดฝืนยิ้มอย่างขมขื่น
เขาเยาะหยันตนเองและกล่าว “ในช่วงเวลานั้น ข้าก็ได้ทำแบบเดียวกันกับเจ้า”
ซูเซี่ยเอ๋อ “แล้วเธอก็โกรธมากกับการตัดสินใจของอาจารย์งั้นหรอ?”
“ใช่ เมื่อเธอค้นพบความจริง เธอก็ทิ้งข้าไปทันที โดยไม่ให้โอกาสข้าได้อธิบายอีกเลย”
“ผ่านพ้นมานานกว่า 10000 ปี เธอก็ยังไม่เคยที่จะให้อภัยข้า สำหรับการกระทำที่ข้าคิดว่ามันถูกต้องในตอนนั้นเลย”
ซูเซี่ยเอ๋อเงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าว “แต่หนูทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นฉิงซานตาย หนูค่อนข้างคิดว่าตัวเอง … ”
ทันใดนั้นเธอก็เริ่มวิตกกังวลทันที “อาจารย์ หนูร้องขอให้ท่านช่วยเหลือเขาจะได้ไหม?”
จอมมารทะเลเลือดเฝ้ามองซูเซี่ยเอ๋อ แล้วถอนหายใจออกมา “เด็กโง่ .. ”
เขาครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง สุดท้ายจึงเอ่ยปาก “จงนำไพ่สามใบนั้นออกมา”
ซูเซี่ยเอ๋อลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็จั่วไปในความว่างเปล่าสามครั้ง
และทันใดนั้นไพ่ทั้งสามใบก็ปรากฏออกมา
ของขวัญจุมพิตจากแม่มด คำสาบานของพันธนาการ และจอมมารคุ้มภัย
เนื่องจากพวกมันได้ถูกทำลายลง ดังนั้นแสงที่ปรากฏออกมาบนไพ่ทั้งสามใบจึงดูริบหรี่มาก
จอมมารทะเลเลือดรับไพ่ทั้งสามใบมา ปากอ้าขยับร่ายคาถาอย่างเงียบๆ
เอ่ยพึมพำอยู่กว่า 20 ลมหายใจ ก่อนที่จะปล่อยไพ่ทั้งสามลอยไปในอากาศ
แล้วไพ่ใบใหม่ก็ปรากฏขึ้นในมือของจอมมารทะเลเลือด
บนไพ่ใบนี้ ไม่มีสิ่งใดอยู่เลยนอกจากห่วงโซ่เส้นใหญ่
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าเคยมีสหายมากมาย แต่สุดท้าย ภายหลังพวกเขาก็ไม่มีใครยอมติดต่อกับข้าอีกเลย” จอมมารทะเลเลือดกล่าว
“ทำไมกัน?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถาม
“เพราะในทุกๆครั้งที่เราออกไปสู้รบ ข้ามักจะจัดการทุกอย่างได้อย่างถูกต้องไว้ล่วงหน้าเสมอๆ”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ทุกคนก็สมควรที่จะชอบท่านอาจารย์สิ”
“ไม่ใช่หรอก ส่วนเหตุผลน่ะหรือ นั่นเป็นเพราะข้าได้กำจัดศัตรูทั้งหมดล่วงหน้าจนสิ้น และคอยเฝ้ารอสหายที่กำลังไล่ตามมาด้วยความกระตือรือร้นจนทัน เมื่อพวกเขามาถึง ก็จะเห็นข้าที่กำลังยืนถือแก้วไวน์ ดื่มกินท่ามกลางกองซากศพ – พอมองย้อนนึกไปถึงสีหน้าของพวกเขาในตอนนั้นแล้ว อ่าาา มันช่างน่ารื่นรมย์เสียจริงๆ ”
“อาจารย์ ท่านทำแบบนั้น … ก็คงจะแน่อยู่แล้วที่ไม่มีใครจะมาติดต่อกับท่านอีก”
“ฉะนั้นก็จงเรียนรู้จากความผิดของผู้อื่นซะ แม้ตัวเจ้าจะโดดเด่น แต่ในยามที่ไม่ว่าจะเพื่อนหรือแฟนกำลังต่อสู้ เจ้าก็ต้องรู้นิสัยพวกเขา เข้าใจถึงทัศนคติของพวกเขาในฐานะมิตรแท้ เจ้าไม่สามารถกระทำแบบ-เดียว-กัน กับข้าได้ … อืมม แบบนี้มันเรียกว่าอะไรนะ?”
“จิตวิปริต?”
“ไม่ๆ ฟังดูร้ายแรงจัง ขอเป็นสำนวนจะได้หรือไม่?”
“ทำตนคล้ายกับกระเรียนในฝูงไก่”
“ใช่ คำนี้แหละสมบูรณ์แบบไปเลย”
จอมมารทะเลเลือดดีดนิ้วจนเกิดเสียง ‘เป๊าะ’
แล้วไพ่ใบที่มีห่วงโซ่เส้นใหญ่ก็สาดกลุ่มแสงออกมา เข้าปกคลุมไพ่ของขวัญจุมพิตจากแม่มด , คำสาบานของพันธนาการ และจอมมารคุ้มภัย
“นี่คือภาพลวงตาติดตาม เป็นทริคเล็กๆน้อยๆ แต่มันต้องใช้พลังระดับข้าในปัจจุบันเท่านั้น ถึงจะสามารถใช้เทคนิคนี้ได้ มันสามารถช่วยแสดงภาพลวงตาติดตามของผู้ที่เคยเอาชนะไพ่ของของเจ้า และแสดงสถานการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ว่าคนๆนั้นกำลังทำอะไรอยู่กันแน่” จอมมารทะเลเลือดอธิบาย
เห็นแค่เพียงในแสงและเงา ร่างของกู่ฉิงซานปรากฏขึ้น
เขาอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ
ซึ่งเป็นโลกสมบัติของทริสเต้
ในโลกที่มีผู้เข้าสู่วิถีมารกว่าร้อยล้านคน
—เชื้อไฟกำลังส่งยอดฝีมือออกมา เพื่อต้องการที่จะฆ่ากู่ฉิงซาน
ในหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อหนักอึ้งขึ้นทันใด
“ท่านอาจารย์ ตอนนี้เขาตกอยู่ในอันตรายมากไหม”
“อย่าถามข้า เทคนิคมนตรานี้ของข้าทำได้เพียงลอบสอดแนมเขาเท่านั้น มิอาจทำอื่นใดได้อีก”
“งั้นพวกเราจะไปอัลเบอัสกันในตอนนี้ … ”
“ไม่ แบบนั้นไม่ดีหรอก เพราะเทสส์คงกำลังวุ่นเกี่ยวกับการตระเตรียมการต่อสู้เป็นแน่ พวกเราไม่สามารถไปได้ เพราะมันจะเป็นการทำให้ศัตรูไหวตัวทัน”
“ถ้าอย่างงั้นพวกเรา – ”
“เราจะอยู่ที่นี่ และไม่ไปไหนทั้งนั้น”
จอมมารทะเลเลือดกล่าวอย่างจริงจัง “เซี่ยเอ๋อ เจ้ายังไม่ทราบเลยมิใช่หรือ ว่าเขาสามารถทำลายทั้งสามเทคนิคไพ่ของเจ้าได้ยังไง?”
“ถ้าอย่างงั้นเจ้าก็คอยเฝ้าดู แล้วทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเขาให้มากขึ้นซะก่อนเถอะ ไม่อย่างนั้นแล้วเจ้าจะร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้อย่างไร?”
ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ฟังก็ชะงักไป
ปากที่กำลังโต้เถียงค่อยๆหุบลง คู่ดวงตางดงามค่อยๆเบนมองไปยังแสงและเงา ตกลงบนร่างของกู่ฉิงซานและไม่ละจากไปอีกเลย
….
อีกด้านหนึ่ง
กู่ฉิงซานกำลังกำลังขี่ปีกแห่งดินแดนชำระล้าง ควบไปตามผืนน้ำแข็ง
ทว่าทันใดนั้นเอง จู่ๆก็ปรากฏร่างเงาขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า และมันก็เอื้อมมือไปกดลงเบาๆเบื้องหลังปีกแห่งแดนชำระล้าง
และทั้งคน วิหค และม้า ก็หายวับไปพร้อมกัน
พวกเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางจักรวาลอันมืดมิด ทว่าเต็มไปด้วยดวงดาราบนฟากฟ้า
“เพื่อหลีกเลี่ยงการค้นพบ พวกเราเลยต้องเว้นระยะจากมันไปชั่วคราว แต่ขอบอกก่อนนะว่าสถานที่แห่งนี้สามารถอยู่ได้ 1 นาทีเท่านั้น ดังนั้นพวกเรามาทำให้เรื่องยาวๆมันสั้นๆกระชับกันจะดีกว่า” เลดี้เทสส์กล่าวอย่างรวดเร็ว
“เจ้าหนูสมาคมกำปั้นเหล็ก” เธอหันไปกล่าวกับกู่ฉิงซาน “แฟนของเจ้าได้ทำสิ่งที่โง่เง่านัก หากไม่ใช่เพราะเราออกหน้าลงมือปกป้องแล้วล่ะก็ เธอคงตายลงเพื่อเจ้าไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้โชคชะตาจึงหวนกลับคืน … เจ้าจะกล้ากลับไปรับโชคชะตาอันตรายแทนที่เธอหรือไม่?”
“ขอน้อมรับด้วยความยินดี” กู่ฉิงซานประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่ายและกล่าว “โชคดีจริงๆที่ท่านลงมือ ตอนนี้ผมติดหนี้ท่านแล้ว”
“นี่เจ้าไม่หวาดเกรงว่าจะพบเผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้ายหรือ?”
“หากว่ากันตามปกติแล้ว มันต่างหากที่สมควรจะกลัวผม”
“ยอดเยี่ยม ประโยคนี้ช่างเหมาะสมกับชายชาตรีโดยแท้”
เทสส์พยักหน้า และมองดูกู่ฉิงซานด้วยความพึงพอใจมากขึ้น
“ว่าแต่แฟนของผมไปอยู่ที่ไหนแล้ว?”
“เราได้พาเธอไปมอบให้แก่อาจารย์ของเธอแล้ว จงวางใจเถอะ แม้ว่าอาจารย์ของเธอจะโง่ แต่ความแข็งแกร่งของเขาไม่เลวร้ายเลย”
ภายนอกแสงและเงา จอมมารทะเลเลือดเผลอบีบแก้วไวน์ในมือจนแตก เขาสะบัดๆมือ แล้วเปลี่ยนแก้วใหม่
ในหัวใจของกู่ฉิงซานจึงค่อยผ่อนคลายลงชั่วคราว
แล้วสายตาของเทสส์ก็หันไปมองลอร่า
“เรายังสามารถอยู่ต่อได้อีกเพียงไม่กี่สิบวินาทีสุดท้าย ลอร่า เจ้าไม่มีอะไรจะบอกเราเลยงั้นหรือ?”
“ป้าเทสส์!—”
ลอร่าวิ่งเข้าไปจับมือของเทสส์ น้ำใสๆไหลรินจากสองตา ขณะที่ปากอ้าขยับบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างอย่างรวดเร็ว
เลดี้เทสส์รับฟังอย่างตั้งใจ และพยักหน้าเล็กน้อยเป็นครั้งคราว
ในที่สุดเธอก็ถอนหายใจและกล่าว “สงครามคงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วสินะ”
เทสส์มองไปยังกู่ฉิงซานและกล่าวต่อ “นี่เป็นเพียงร่างเงาที่แทรกแซงเข้ามา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถพาลอร่ากลับไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากอยู่ที่อัลเบอัส ทริสเต้คงจะสามารถค้นพบตำแหน่งของเธอได้ง่ายดายกว่าที่นี่อย่างแน่นอน”
“ในกรณีนั้น ทริสเต้ก็จะสามารถถอดรหัสผนึกประทับเทคนิคมนตราจากตัวลอร่าได้ในทันที”
“เมื่อทริสเต้สามารถเชื่อมต่อกับโลกของตัวเองได้แล้ว เธอก็จะเปิดมัน และเริ่มแพร่เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออกไปตลอดทั่วทั้งอัลเบอัส”
“ผมเข้าใจแล้ว ตอนนี้กุญแจสำคัญทั้งหมด อยู่ที่ตัวลอร่า” กู่ฉิงซานกล่าว
“ใช่” เลดี้เทสส์กล่าว “ลอร่าจะต้องไม่ปรากฏตัวขึ้นชั่วคราว มิฉะนั้นแล้วเผ่ามารนับล้านๆที่ซุ่มซ่อนอยู่ในมุมมืด ก็จะลงมือปฏิวัติ เข้ายึดครองอัลเบอัสโดยตรง แล้วสงครามของตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้นก็จะเริ่มต้นขึ้นทันที”
“ดังนั้นพวกเราก็จะไม่ออกไปภายนอกชั่วคราว เพื่อให้แน่ใจว่าทริสเต้จะไม่สามารถค้นพบโลกใบนี้ได้” กู่ฉิงซานกล่าว
เทสส์พยักหน้าเล็กน้อย และเอ่ยถามอีกครั้ง “ลอร่าบอกว่าเจ้าสาบานว่าจะช่วยชีวิตเธอให้ได้ใช่ไหม?”
“ใช่”
“ดีมาก สมกับที่เป็นสมาชิกของสมาคมกำปั้นเหล็กจริงๆ ” เทสส์กล่าวด้วยความพึงพอใจ
“เอาล่ะ ถึงเวลาที่ข้าจะต้องรีบกลับไปเพื่อเตรียมตัวรับมือกับสงครามแล้ว แล้วเจ้าเล่า? พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับโชคชะตาดั้งเดิมของตนเองแล้วหรือยัง?”
กล่าวจบ เธอก็หายไปจากสถานที่เดิม
บังเกิดอาการพร่ามัวขึ้นเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน
รู้สึกตัวอีกที เขาก็ค้นพบว่าตนเองได้กลับมายังโลกของทริสเต้อีกครั้งแล้ว
อย่างไรก็ตาม สถานที่ๆถูกส่งกลับมา มันดันเป็นอีกจุดหนึ่ง
บริเวณโดยรอบรายล้อมไปด้วยหมอกน้ำแข็งเย็นฉ่ำ
เมื่อจิตสัมผัสเทวะถูกปลดปล่อยออกไป แทบจะในทันทีก็พบว่าไม่ใกล้ไม่ไกล หลายสิบคนกำลังจัดกระบวนทัพป้องกันอย่างแน่นหนา คล้ายกำลังรอรับมือกับอะไรบางอย่างอยู่
บริเวณโดยรอบฟุ้งไปด้วยไอน้ำจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็มีสามแท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่กำลังลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า
มันคงจะเกิดจากกระแสธารอันเชี่ยวกราดใต้ผืนน้ำแข็ง ซึ่งถูกดึงดูดขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยพลังอำนาจบางอย่าง
โลกถูกปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ขณะที่ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว คล้ายกับทุกสิ่งอย่างถูกแช่แข็งเป็นเวลาหลายปี
กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ และสามารถเข้าใจทุกสิ่งได้อย่างรวดเร็ว
สถานที่แห่งนี้คงเป็นที่ๆซูเซี่ยเอ๋อเคยยืนอยู่
ขณะที่เธอกำลังจะตาย เธอก็ได้รับการช่วยเหลือจากเลดี้เทสส์อย่างกระทันหัน
ผู้หญิงคนนั้นได้ทำลายเทคนิคเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของซูเซี่ยเอ๋อ
ดังนั้นตอนนี้ เขาจึงถูกส่งกลับมายังโชคชะตาเดิมของตนอีกครั้ง
กู่ฉิงซานส่ายหัว
ลอร่ามองผ่านหมอกหนาด้วยกล้องส่องทางไกล และเอ่ยว่า “ข้างหน้ามีคนอยู่เยอะเลย”
“ใช่ เชื้อไฟคงส่งพวกเขามาจับกระหม่อม แท้จริงแล้วที่คือสถานการณ์ที่หม่อมฉันจะต้องเผชิญ”
“งั้นตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี?” ลอร่าเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานกระโดดลงจากหลังม้า หนึ่งมือหยิบหน้ากากเงินขึ้นมาสวมใส่บนใบหน้า
เอ่ยสั่งด้วยความนึกคิด พริบตานั้นสามดาบพลันปรากฏขึ้นจากในความว่างเปล่า เวียนวนโคจรรอบตัวเขา ลอยล่องท่ามกลางหมอกหนา
“จุดจบของพวกเขา … จะเป็นเช่นเดียวกันกับเชื้อไฟ!”
หนึ่งมือดาบค้ากุมดาบพิภพที่ลอยล่อง สองเท้าย่างกรายข้ามฝ่าหมอกหนาเย็นฉ่ำ มุ่งหาศัตรูเบื้องหน้าไปอย่างเชื่องช้าทีละก้าว ทีละก้าว …
“โชคชะตาเอ๋ย! มีเพียงการร่วงโรยก่อนเท่านั้นจึงจะทำให้พวกเจ้าเบ่งบานครั้งใหม่ได้!”
ซูเซี่ยเอ๋อร่ายมนคาถาของเกาะหมอกดังลั่น
ไพ่กว่า 77 ใบที่ลอยอยู่กลางอากาศ สาดประกายแสงพร่างพราว
พวกมันเริ่มดูดกลืนแต้มพลังวิญญาณอันงดงามและไร้ที่สิ้นสุดอย่างต่อเนื่อง และพร้อมที่จะระเบิดอำนาจอันยิ่งใหญ่ออกมาได้ทุกที่ทุกเวลา
และทั้งคนทั้งร่างของซูเซี่ยเอ๋อก็เริ่มเลือนรางลง
-นี่คือสัญญาณของการเผาผลาญชีวิตที่มากเกินไป
ตรงกันข้ามกับเธอ นักรบเกราะเหล็กสูงสองเมตรได้ยื่นมือของตนอออกมา ล้วงเข้าไปในความว่างเปล่าเบื้องหน้า
เพี๊ยะ!
แต่มือของเขากลับถูกตีกลับโดยความว่างเปล่า และแม้กระทั่งเกราะมือของเขาก็ร้อนราวกับถูกลวก
แล้วนักรบเกราะเหล็กก็เข้าใจในที่สุด
เขาโบกมือออกไป “ทั้งหมดถอยกลับมาซะ มาอยู่ใกล้ๆฉัน เตรียมจัดทัพป้องกัน”
“แต่บอส — ” หลายคนสับสน
“เร็วเข้า! เธอกำลังจะตายอยู่แล้ว แต่พวกเราไม่สามารถตายตกตามกันไปกับเธอได้!” นักรบตะโกนเฉียบขาด
เขาก้าวถอยหลังและจัดโล่ขนาดใหญ่มาวางไว้เบื้องหน้าตนเอง
ฝูงชนราวกับได้สติตื่นจากห้วงฝัน เร่งรุดไปใกล้กับเขา แล้วเริ่มจัดวางรูปแบบการป้องกันอย่างเข้มงวด
เวลานี้ มันสายเกินไปแล้วที่จะวิ่งหนี
77 ไพ่เริ่มเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และร่างของซูเซี่ยเอ่อก็สาดแสงพิสุทธิ์พรั่งพรูออกมา
สามพายุทอร์นาโดเริ่มก่อตัว เวียนวนโคจรรอบซูเซี่ยเอ๋อ และในที่สุด มันก็เริ่มพัดทะลวงจนเกิดรูบนพื้นน้ำแข็ง ชักนำเอาธารน้ำมหาศาลที่อยู่เบื้องล่างพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
นักรบเกราะเหล็กเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างใจจดใจจ่อ ในความคิดลอบถอนหายใจอย่างลับๆ
พลังอำนาจนี้ ช่างอัศจรรย์ น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเลย
แต่เกรงว่าก่อนที่พลังอำนาจดังกล่าวจะถูกยิงออกมา สาวน้อยคนนี้ก็คงจะทนไม่ไหว สิ้นใจไปเสียก่อน
ว่าแต่ทำไมกัน? ทำไมเธอถึง-
เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนของเขากำลังจะจากไปอยู่แล้ว
เห็นได้ชัดว่าเขาได้สั่งห้าม ไม่อนุญาตให้มีเรื่องราวใดๆภายนอกเข้ามาขัดขวางภารกิจ และไม่อนุญาตให้มีใครไปยั่วยุเธอด้วยซ้ำ
แต่แล้วทำไมเธอถึงต้องทุ่มเทพยายามจะสังหารพวกเขาถึงเพียงนี้?
นักรบเกราะเหล็กยิ่งคิดก็ยิ่งงง ไม่อาจหาเหตุผลมารองรับได้
บนท้องฟ้า เมื่อสูบน้ำจนอิ่ม พายุทอร์นาโดสามวงได้กระจายตัวออกไป
เนื่องจากการพวยพุ่งของกระแสธารเบื้องล่างพื้นน้ำแข็ง ส่งผลให้เกิดการควบแน่นขึ้นในอากาศ ก่อตัวเป็นแท่งหอกน้ำแข็งที่วาววับและโปร่งใส อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
พายุหิมะไม่ร่วงโรยอีกต่อไป
ท้องฟ้ามืดครึ้ม และเมฆหมอกไอเย็นปกคลุมเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงกันข้าม
รอบตัวเธอจมลงสู่ความเงียบงัน เริ่มบังเกิดชั้นอากาศที่บิดเบี้ยว
ความรู้สึกนี้ มันคล้ายกับการตกอยู่ในฝันร้าย จิตสำนึกของทุกคนจมลงสู่ห้วงอารมณ์อันแปรปรวน
และถึงแม้ว่าทุกคนในกลุ่มนักรบจะมีอายุน้อยกว่า 30 ปี แต่ทั้งหมดก็ได้ผ่านพ้นและเรียนรู้ประสบการณ์มามากมาย บางคนที่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ร่างกายของเขาเริ่มสั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมได้
“เธอเป็นคนจากเกาะหมอก! พวกเราทุกคนจะต้องป้องกันการโจมตีนี้ให้ได้!” บางคนร้องตะโกนคลั่งออกมา
“ใช่ ทุกคนจงใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดที่ตนมีเพื่อ-” นักรบเกราะเหล็กคำราม ทิ้งช่วงไป
และทุกคนก็ตะโกนต่อจากเขา “ป้องกัน!”
ในช่วงเวลานั้นเอง พลังอำนาจที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนก็พลันปะทุออกมา พวกมันถูกรวบรวมเข้าด้วยกันรอบตัวนักรบเกราะเหล็ก
ตรงกันข้ามกับพวกเขา หมอกไอเย็นฟุ้งกระชากขึ้นอย่างรวดเร็ว
หมอกนี้ราวกับสัตว์ร้ายอันน่าหวาดกลัว ที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งมีชีวิตได้ตลอดเวลา
ฝูงชนต่างพากันกลืนน้ำลายอึกอัก ทั้งหมดทุ่มพยายามอย่างเต็มที่เข้าสู่สภาวะพร้อมป้องกัน
การระเบิดโจมตีร้ายแรงกำลังจะมาแล้ว!!!
ท่ามกลางหิมะและน้ำแข็ง
ซูเซี่ยเอ๋อเปล่งคาถาเสียงกระซิบ มุ่งเน้นควบรวมอำนาจทั้งหมดของไพ่
ณ เวลานี้ ร่างของเธอยิ่งมายิ่งกลายเป็นพร่ามัวมากขึ้น
ในจิตใจของซูเซี่ยเอ๋อ มีเพียงความคิดเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่
เวลากำลังจะหมดลงแล้ว ต้องยึดโอกาสสุดท้ายนี้เอาไว้ให้จงได้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี-
ทว่าทันใดนั้นเอง ร่างของเธอก็สั่นไหวเล็กน้อย
ใบไม้สีเขียวผุดออกมาจากหน้าผากตรงกลางหว่างคิ้วของเธอโดยไม่รู้ตัว
ใบไม้นี้ราวกับครอบครองพลังชีวิตอันไร้ที่สิ้นสุด พริบตานั้นทั้งคนทั้งร่างของซูเซี่ยเอ๋อที่พร่ามัวก็กลับมาเด่นชัดขึ้นทันใด
รังสีเขียวมรกตอาบไปทั่วตัวเธอราวกับน้ำพุร้อนในฤดูใบไม้ผลิ
นี่คือพลังชีวิตที่เหนือกว่าทุกสิ่งอย่าง มันเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตอื่นใดก็ไม่สามารถเข้าถึงได้!
ซูเซี่ยเอ๋อตกตะลึง
เธอสังเกตเห็นว่าพลังชีวิตของเธอยังคงถูกเผาผลาญอยู่ แต่อีกอำนาจหนึ่งก็กำลังถ่ายเทพลังชีวิตใหม่เข้ามาให้แด่เธออย่างต่อเนื่องเช่นกัน
อำนาจที่ห่างไกลเกินกว่าความรู้ความเข้าใจไปโดยสมบูรณ์
ด้วยอำนาจดังกล่าวนี้ ส่งผลให้จุดอ่อนจากทั้งคนทั้งร่างของเธอถูกลบ กลบหายไปจนสิ้น
กายของเธอกลับกลายเป็นบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งกว่าเดิม มันสามารถเชื่อมต่อกับสวรรค์และปฐพี , กฏเกณฑ์ , โลก และต้นกำเนิดมากยิ่งขึ้น
เวลานี้เธอยังกระทั่งสามารถสัมผัสได้เล็กๆน้อยๆถึงคลื่นความผันผวนอันยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้ทั้งใบได้อีกด้วย!
“ไม่จริงน่า เห็นได้ชัดว่าฉันกำลังจะตาย … แล้วทำไมจู่ๆฉันถึงได้ยกระดับขึ้นไปไกลกว่าเหล่าอาจารย์ที่ปรึกษาระดับทั่วไปกัน?” ซูเซี่ยเอ๋ออุทานด้วยความประหลาดใจ
เธอลองสัมผัสกับมันอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็สังเกตถึงมันได้เล็กน้อย
มือถูกยื่นออกไปในความว่างเปล่า -ซูเซี่ยเอ๋อเรียกกระจกสีเงินออกมา
เห็นแค่เพียงบนหน้าผากตน ปรากฏถึงใบไม้สีเขียวมรกตที่กระเพื่อมไหวไปตามแรงลม
พอได้เห็นซูเซี่ยเอ๋อก็สามารถจดจำมันได้ในทันที
ตนกับกู่ฉิงซานเคยได้พบกับหญิงงามไม้สลักในเมืองเล็กๆ
ขณะที่อีกฝ่ายกล่าวว่าเธอเป็นเพื่อนของอาจารย์ และหลังจากรับประทานอาหารร่วมกันแล้ว เธอก็ได้วางใบไม้ใบนี้ลงบนหน้าผากของตนเอง
“ที่แท้ก็เป็นเธอ … ” ซูเซี่ยเอ๋อบ่นพึมพำ
วินาทีต่อมา ไพ่สีม่วงก็บินออกจากตัวซูเซี่ยเอ๋ออย่างกระทันหัน และแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลางอากาศ
“ไม่นะ! นั่นมันไพ่แทนที่โชคชะตาของฉัน!”
ซูเซี่ยเอ๋อร้องอุทาน
อย่างไรก็ตาม เธอไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว
ร่างเงาปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า และนำพาเธอออกไปจากสถานที่นั้นโดยตรง
….
อัลเบอัส
ณ ขณะนี้คือเวลากลางคืน แต่งานรื่นเริงของอัลเบอัสก็ยังไม่จบลง
พิธีเฉลิมฉลองเจ้าหญิงหนามอายุครบ 12 ปี จะจัดขึ้นเป็นเวลาสามวันสามคืน
ผู้คนจึงเพลิดเพลิน ดื่มด่ำตลอดทั้งวันคืนไปกับการแสดงน้ำใจของราชวงศ์วิหคหนาม
บนดาดฟ้าชมวิว ในชั้นบนสุดของโรงแรม
หญิงงามไม้สลักยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่นั่น
เหมือนว่าเธอเลือกที่จะออกมาข้างนอก ปลีกวิเวกจากความคึกครื้นและทุกสรรพเสียง เฝ้ามองดูโลกจากเบื้องบนอย่างเงียบๆ คล้ายกับพระเจ้าที่ทอดสายตามองลงมา
องครักษ์ราชวงศ์วิหคหนามก้าวเข้ามายังระเบียง คุกเข่าลง และกล่าวด้วยความเคารพ “หัวใจพฤษานิรันดร์ จิตวิญญาณแห่งพฤษาศักดิ์สิทธิ์ ผู้ประจักษ์แห่งเทพบรรกาลตลอดทั้งหมื่นโลกา สหายที่ดีที่สุดแห่งตระกูลหนาม เลดี้เทสส์ที่เคารพ ผู้น้อยมีไม่กี่คำที่จะมารายงานแก่ท่าน”
หญิงงามไม้สลักมิได้หันหัวกลับมา แต่ก็ยังขานรับ “ว่ามาสิ”
“ท่านหญิงทริสเต้ให้มาถามไถ่ว่าการค้นหาของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
หญิงงามไม้สลักเทสส์หัวเราะออกมา “เราคงต้องบอกว่า แม้เจ้าหญิงของพวกเจ้าจะซุกซน แต่ความสามารถของเธอนับว่าน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“ก็เราได้ค้นพบมั-”
แต่แล้วเธอก็หุบปากลงทันใด
“เลดี้ … ?”องครักษ์ราชวงศ์เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย
“รอประเดี๋ยว เราขอจัดการธุระส่วนตัวก่อน เสร็จแล้วจะมาคุยกับเจ้าในภายหลัง”
ว่าจบ เทสส์ก็ยกมือขึ้น
เห็นแค่เพียงเปลวเพลิงสีเขียวที่แผ่ออกจากฝ่ามือเธออย่างรวดเร็ว และจากนั้นก็ห่อหุ้มกายเธอเอาไว้
ผู้พิทักษ์ราชวงศ์จึงเร่งถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
เขาลอบมองไปยังเปลวไฟสีเขียวที่ปรากฏ และบังเกิดความคิดว่า ‘การที่ตนเองยืนจ้องมองอีกฝ่ายจัดการเรื่องส่วนตัวอยู่ที่นี่ มันช่างไม่เหมาะสมกับมารยาทของตระกูลวิหคหนามเลยเสียจริงๆ’ ดังนั้นเขาจึงถอยออกจากระเบียง และเฝ้ารอให้อีกฝ่ายจัดการธุระให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
จิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ เลดี้เทสส์ยืนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีเขียว
“นี่มันเทคนิคแทนที่โชคชะตาของทะเลเลือด? ช่างเป็นเทคนิคมนตราที่น่ารำคาญเสียจริงๆ”
เมื่อมองย้อนไปถึงช่วงเวลาในครั้งอดีต เธอก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
ในช่วงเวลานั้น ครั้งหนึ่งจอมมารทะเลเองก็ได้ใช้เทคนิคมนตรานี้กับเธอ และสุดท้ายมันก็ทำให้เธอโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก นับจากนั้นมา ทั้งสองก็มิอาจพัฒนาความสันพันธ์ที่มีต่อกันได้อีกต่อไป
“อาจารย์ว่าโง่แล้ว แต่กระทั่งลูกศิษย์ก็ดันมาโง่เหมือนกันอีก”
ท่าทีของเลดี้เทสส์ดูจะค่อนข้างโกรธเล็กน้อย “ไม่ยินยอมไถ่ถามจากใคร และคิดว่าทางที่ตัวเองตัดสินใจเลือกให้คนอื่นนั้นถูกต้องแล้ว … คิดว่าตนวิเศษวิโสมากรึไงกัน?”
เธอเอ่ยเสียงกระซิบ ขณะเดียวกัน สองมือก็ขยับไหวไม่หยุด เตรียมใช้ออกด้วยเทคนิคลับ
หลังจากเหตุการณ์นั้น เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้คนอื่นต้องประสบพบเจอกับปัญหาเดียวกันกับเธอ เทสส์จึงได้คิดค้นและศึกษาเทคนิคหวนคืนโชคชะตาขึ้นมาเป็นพิเศษ
“คราวนี้ล่ะ ในที่สุดเราก็ได้มีโอกาสบดขยี้ไพ่แทนที่โชคชะตาของเจ้าเสียที”
เทคนิคมนตราเริ่มขับเคลื่อน
ใบหน้าของจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าภาคภูมิ ในสายตาของเธอ ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนอันไพศาล ราวกับว่าเธอสามารถมองเห็นโชคชะตาของทั้งสองกลับคืนสู่ปกติดังเดิม
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง เธอก็ตระหนักได้ถึงความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป
หากเธอไม่ได้อาศัยการเชื่อมต่อระหว่างไพ่โชคชะตาและเทคนิคที่ปลดปล่อยออกมา เธอคงจะไม่ทันได้ใส่ใจหรือสังเกตเห็นถึงมันเลย
“พิกลนัก เขาสามารถเข้าไปอยู่ในโลกใบนั้นได้อย่างไร?”
“กระทั่งลอร่าเองก็ยังอยู่ที่นั่นด้วย … นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?”
การแสดงออกทางสีหน้าของจิตวิญญาณพฤษากลายเป็นร้ายแรงมากขึ้น
ชั่วขณะนี้ เธอบังเกิดความตื่นตัว ระมัดระวังถึงขีดสุด
“แต่ที่นั่นคือโลกของทริสเต้ ดูเหมือนว่าเราจะไม่สามารถทำอะไรได้มากจนเกินไป มิฉะนั้นเธอคงจะรู้ตัว”
จิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์พึมพำ และเริ่มร่ายเทคนิคมนตราในมือ
“ข้าคงต้องสร้างร่างจำลองขึ้นมาชั่วคราว … ”
ขณะกล่าว ในมือของจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ ก็พลันปะทุชั้นเปลวเพลิงสีเขียว พริบตาเดียว พวกมันก็แปรสภาพเป็นร่างเงาของเธอทันที และผลุบหายเข้าไปในความว่างเปล่าอย่างไร้ร่องรอย
ร่างเงาของเธอข้ามผ่านช่องว่างโดยตรง แบ่งแยกออกเป็นสอง หนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าซูเซี่ยเอ๋อ ขณะอีกหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
ร่างเงานำพาซูเซี่ยเอ่อหายออกไปจากโลกสมบัติของทริสเต้เลยโดยตรง
ณ เกาะหมอก
จอมมารทะเลเลือดนั่งถือไพ่อยู่ในห้องสมุดของเขาอย่างเงียบๆ
เห็นแค่เพียงบนหน้าไพ่เป็นรูปของซูเซี่ยเอ๋อ
ทว่าภาพของเธอบนหน้าไพ่กลับกำลังค่อยๆซีดจางลง และกำลังจะหายไปจากตัวไพ่ในไม่ช้า
จอมมารทะเลเลือดเผยให้เห็นถึงสีหน้าประหลาดใจ ปากเอ่ยพึมพำ “นี่มันก็แค่การเรียกขานของวิหคหนามมิใช่หรือ? มันจะยากเย็นถึงขั้นต้องลงมือทำขนาดนี้ได้อย่างไร?”
เขาเอื้อมมือออกมา และขยับเบาๆ ทันใดนั้นไพ่ที่สาดรังสีเลือดนับหลายร้อยใบก็ปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า
“ทะเลเลือด คำสาปแห่งความตาย จงเตรียมพร้อม”
เขาเอ่ยสั่ง
แล้วไพ่นับร้อยใบก็สาดแสงสีเลือดอันไร้ที่สิ้นสุดออกมาทันที โฉบเข้ารายล้อมรอบไพ่ที่มีรูปของซูเซี่ยเอ๋ออยู่
ทันใดนั้นเอง จอมมารทะเลเลือดพลันสัมผัสได้ถึงการมาเยือนบางอย่าง นิ้วของเขาชี้ไปในอากาศที่ว่างเปล่า ปากเอ่ยกล่าวทันที “อนุญาตให้เปิดมิติ”
พริบตานั้นความว่างเปล่าก็แยกออก ร่างเงาของเทสส์และซูเซี่ยเอ๋อได้ปรากฏขึ้น
“เทสส์ พวกเราไม่ได้เจอกันนานมากแล้วนะ” จอมมารทะเลเลือดยิ้ม
“นี่ลูกศิษย์เจ้ามิใช่หรือ ถ้าใช่ เจ้าก็สมควรที่จะดูแลเธอให้ดีสิ” เทสส์กล่าวอย่างเฉยเมย
“เกิดอะไรขึ้น? เธอสร้างปัญหาให้เจ้างั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ แต่เธอกับเจ้ามันก็โง่ไม่แตกต่างกัน เด็กสาวผู้นี้วางกับดักแฟนตัวเอง และคิดจะแบกรับโชคชะตาแทนเขา”
เทสส์มองอีกฝ่ายด้วยความเย็นชา หันหลังกลับ และบินเข้าไปในรอยแยกมิติ ก่อนจะหายไป
“รอเดี๋ยวก่อน – เทสส์!” จอมมารทะเลเลือดตะโกนออกมา
แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็ได้หายไปแล้ว
จอมมารทะเลเลือดถอนหายใจ ก่อนจะหันไปมองซูเซี่ยเอ๋อแล้วเอ่ยถาม “ศิษย์ที่รักของข้า มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?”
ซูเซี่ยเอ๋อที่ถูกจับลากมาถอนหายใจ
“อาจารย์ ในตอนนั้นหนูหวาดกลัวมากเกินไป จริงๆแล้วหนูสมควรที่จะบอกกับอาจารย์ก่อน … ”
“แท้จริงแล้ว เรื่องราวมันก็เป็นแบบนี้ … ”
ภายในกรมบังคับกฏที่ว่างเปล่า อาจารย์และศิษย์ค่อยๆพูดคุย บอกเล่าเรื่องราวต่างๆให้มันกระจ่างแก่ใจ
“ดูเหมือนว่าสงครามเต็มรูปแบบของโลกทั้ง 900 ล้านชั้นกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วสินะ” จอมมารทะเลเลือดถอนหายใจ
“อาจารย์ ท่านจะออกไปสู้รึเปล่า?”
“แน่นอน สงครามในครั้งนี้ ไม่มีผู้ใดหลีกเลี่ยงมันได้หรอก”
จอมมารทะเลเลือดค่อยๆเดินกลับไปยังที่นั่งของเขา และหยิบไวน์ขวดหนึ่งจากบนโต๊ะขึ้นมา รินมันใส่แก้วให้ตนเองและซูเซี่ยเอ๋อ
“มาเถอะ ศิษย์ข้า ดื่มสักแก้วเพื่อบรรเทาความตกใจ”
โดยปกติทั่วไปแล้ว การกระทำเช่นนี้คือจุดเริ่มต้นที่อาจารย์มักจะทำก่อนจะสอนสั่งเธอ
ซูเซี่ยเอ๋อรับแก้วไวน์มาและกล่าว “ค่ะ”
ทั้งสองดื่มไวน์อึกหนึ่ง
แล้วจอมมารทะเลเลือดก็เริ่มกล่าวว่า “เซี่ยเอ๋อ เจ้าทราบหรือไม่ว่าได้ทำอะไรผิดพลั้งไป?”
“พบเผชิญกับอันตราย แต่กลับปิดซ่อนความจริงจากท่านอาจารย์ใช่หรือไม่?”
“นั่นก็เป็นข้อหนึ่ง แต่ข้อที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เจ้าไม่ควรเก็บซ่อนความจริงของคนที่เจ้ารัก และทนแบกรับมันแด่เพียงผู้เดียว”
ซูเซี่ยเอ๋อนิ่งงันไป
จอมมารทะเลเลือดยิ้ม แต่ก็สอนสั่งอย่างระมัดระวัง “เจ้าคู่ควรแก่การเป็นศิษย์ข้า และอันที่จริงข้าเองก็ชื่นชมเจ้ามากเช่นกัน แต่ข้าอยากจะบอกว่าผลลัพธ์ของการกระทำนี้ สุดท้ายมีเพียงทำให้คนรักของเจ้าต้องเจ็บปวดเท่านั้น”
“เจ็บปวดอย่างงั้นหรอ?”
“ใช่” จอมมารทะเลเลือดถอนหายใจ
ช่วงเวลานี้ เขาดูไม่เหมือนกับตัวตนทรงอำนาจอันดับต้นๆของตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้นเลย แต่กลับดูเหมือนชายวัยกลางคนทั่วไปที่กำลังผิดหวังในความรักซะมากกว่า
“ข้าเคยทำผิดพลั้งเช่นเดียวกันกับเจ้า และต้องใช้เวลายาวนานหลายปี กว่าที่ข้าจะตระหนักว่า การกระทำเช่นนั้นมันช่างเป็นสิ่งที่โง่เง่าจริงๆ”
“แต่หนูไม่ทนไม่ได้จริงๆ การที่จะช่วยให้เขาไม่ต้องเผชิญหน้ากับความตาย มันไม่มีวิธีอื่นเลย”
ซูเซี่ยเอ๋อส่ายหัว
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาจะไม่สามารถแบกรับโชคชะตาของตนเองได้?” จอมมารทะเลเลือดเอ่ยถาม
“ก็ไพ่พยากรณ์โชคชะตาสะท้อนให้เห็นถึงชะตากรรมของเขาออกมาอย่างชัดเจน ว่าไม่พบเจอกับความตาย ก็เข้าสู่วิถีมาร” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว
เธอเอ่ยด้วยความวิตกกังวล “แต่ตอนนี้เขาได้กลับคืนสู่เส้นทางแห่งโชคชะตาของตัวเองแล้ว หนูกลัวว่าเขาจะต้องตายจากโลกใบนี้ไป”
จอมมารทะเลเลือดยิ้ม ปากเอ่ยถาม “บอกข้ามาสิ ว่าเจ้าสามารถขังเขาไว้ในโรงแรมได้ยังไง?”
“หนูใช้ไพ่ ‘ของขวัญจุมพิตจากแม่มด’ , ‘คำสาบานของพันธนาการ’ และ ‘จอมมารคุ้มภัย’ ” ซูเซี่ยเอ๋อสารภาพ
“งั้นถ้าฟังจากสิ่งที่เทสส์พูดเมื่อครู่นี้ แสดงว่าแฟนเจ้าสามารถหลุดออกมาจากการจองจำเหล่านี้ได้น่ะสิ พอจะบอกข้าได้ไหม ว่าเขาทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”
ซูเซี่ยเอ๋อกลายเป็นว่างเปล่า
จริงสิ … แล้วเขาทำได้ยังไงกัน?
“หากเป็นเจ้า เจ้าจะสามารถทำลายการจองจำทั้งสามนี้ และปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระได้หรือไม่?” จอมมารเอ่ยถามอีกครั้ง
ซูเซี่ยเอ๋อแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย
การคุ้มภัยของจอมมาร ด้วยความแข็งแกร่งของตนเองแล้ว เธอย่อมไม่มีทางหลบหนีจากมันไปได้โดยสมบูรณ์
ส่วนคำสาบานของพันธนาการ ถ้าเธอทุ่มสุดตัว ก็คงพอจะแก้มันได้
สำหรับของขวัญจุมพิตจากแม่มด เงื่อนไขของมันพิเศษมากเกินไป ตนเองคงไม่มีทางรับมือเกี่ยวกับมัน
“ไม่ได้ หนูคงไม่สามารถหลุดพ้นจากกับดักแรกได้ด้วยซ้ำ” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว
ประเดี๋ยวก่อนสิ!
แล้วถ้าอย่างงั้นกู่ฉิงซานสามารถหลุดพ้นจากจุมพิตแม่มดได้อย่างไร?
ซูเซี่ยเอ๋อเริ่มจมลงสู่ห้วงความคิดแปลกๆ
“ดูเถิด เห็นไหมว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่เจ้ายังไม่รู้ แต่เจ้ากลับหลงผิดไปคิดแทนเขา หมายจะแบกรับทุกสิ่งอย่างแทน แบบนี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลยมิใช่หรือ?”
กู่ฉิงซานวางลอร่ากลับลงบนไหล่ของเขา
ลอร่าเงยหน้า มองขึ้นไปยังตึกสูง 600 ชั้นและอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน
เธอไม่คาดคิดเลยว่า จู่ๆตนจะดิ่งลงมาจากสถานที่ๆสูงถึงขนาดนั้น
แถมยังถูกลากเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้อันแสนจะดุเดือดกว่าอีกตั้งสองสามรอบ
เกรงว่าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่คอยเฝ้าดู มิใช่เธอแล้วล่ะก็ ไม่ว่าใครก็คงจะรู้สึกว่ากู่ฉิงซานสามารถเอาชนะในแต่ละการต่อสู้มาได้อย่างง่ายดาย
ทว่าสำหรับลอร่านั้นไม่ เธอเติบโตมากับการได้รับการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการต่อสู้ที่ดีที่สุดตั้งแต่อายุยังน้อย เด็กสาวจึงครอบครองวิสัยทัศน์อันยอดเยี่ยม
ส่งผลให้เธอสามารถเข้าใจถึงอันตรายได้ดี
บางครั้ง กู่ฉิงซานก็เอาชีวิตตัวเอง โยนไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายอย่างชัดเจน
แต่ในขณะนั้น ก็เป็นช่วงที่เขาระเบิดศักยภาพร่างกายออกมาได้ถึงขีดสุดเช่นกัน
ช่วงเวลาที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย กู่ฉิงซานก็จะระเบิดพลังออกมา ทุ่มสุดฝีมือให้ศัตรูตกตายลงก่อนตน
พอคิดถึงจุดนี้ ลอร่าก็ถอนหายใจ และลูบไล้เกราะไหล่ของกู่ฉิงซานอย่างแผ่วเบา
ชุดเกราะนี้เต็มไปด้วยร่องรอยเสียหาย และหลังจากการต่อสู้ที่รุนแรงเมื่อครู่ ทั้งหลุมทั้งร่องรอยในบางตำแหน่งก็ลึกจนเกือบจะทะลุเนื้อเกราะลงไปถึงเนื้อหนังแล้ว
ชุดเกราะนี่มัน …
‘เลวร้ายอย่างที่คิดจริงๆ’
กู่ฉิงซานไม่ได้รับรู้ว่าลอร่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
เขาจ้องมองไปยังหน้าต่างเชื้อไฟ
“ในเมื่อภารกิจนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว ถ้าอย่างงั้นก็ขอภารกิจต่อไปด้วย”
เขากล่าว
เฝ้ารอเพียงไม่กี่ลมหายใจ เสียงของเชื้อไฟก็ดังขึ้น
“ภารกิจถูกจัดเตรียมให้พร้อมแล้ว”
“จากนี้คือการเดินทางที่แสนยาวนานและยากลำบาก คุณจะต้องข้ามผ่านทุ่งน้ำแข็งเพื่อมุ่งหน้าไปรับภารกิจต่อไป”
“ข้ามผ่านทุ่งน้ำแข็งงั้นหรอ?”
กู่ฉิงซานงึมงำ
ในระหว่างที่เขายืนอยู่บนยอดหลังคาตึก 600 ชั้น ตนก็ได้มองลงมาเบื้องล่างเหมือนกัน
—และตนก็สังเกตเห็นถึงพื้นน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ ยาวไกลออกไปไม่เห็นจุดสิ้นสุดปลายของมัน
การเดินทางในครั้งนี้ คงไม่พ้นเป็นการเดินทางอันยาวนานและยากลำบากอย่างที่เชื้อไฟพูดเป็นแน่
‘ … ’
ไม่รู้ว่าซูเซี่ยเอ๋อจะยังเดินทางอยู่บนทุ่งน้ำแข็งรึเปล่า
เด็กสาวไร้เดียงสาคนนั้น คงยังไม่ทราบว่ากำลังเกิดสิ่งใดขึ้นในตอนนี้
กู่ฉิงซานกำดาบในมือตนแน่นขึ้น
“ไปกันเถอะ” เขาพูดกับลอร่า
“อื้อ” ลอร่าได้สติกลับคืน และหันมาตอบเขา
ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานจึงโค้งลงเล็กน้อย ช่วงล่างเขม็งเกร็งเตรียมที่จะพุ่งออกไป
ลอร่าร้องเสียงหลงทันที “เดี๋ยวๆๆ นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ก็บินไง มันจะได้ไปเร็วๆ” กู่ฉิงซานกล่าว
“โอ๊ยจะบินอีกแล้ว? นี่เท้าเราพึ่งจะได้แตะถึงพื้นเองนะ” ลอร่าบ่นอุบ
กู่ฉิงซานพอเห็นถึงท่าทีของอีกฝ่าย เขาก็ถึงกับต้องยกมือขึ้นมานวดหน้าผาก ก่อนจะใช้มืออีกข้างตบลงในถุงสัมภาระและเรียกเรือเหาะออกมา
บนเรือเหาะ ปรากฏตัวอักษรที่ฉวัดเฉวียนคล้ายหงส์ร่อนมังกรรำเป็นคำว่า ‘ซาน’ สลักอยู่
นี่คือผลงานอันแสนภาคภูมิใจที่ปรับแต่งอย่างประณีตและพิถีพิถันโดยฉินเซี่ยวโหลว กล่าวได้ว่าตราบใดที่ยัดศิลาวิญญาณให้แก่มัน ความไวของเรือเหาะย่อมรวดเร็วกว่าเรือทั่วๆไปอย่างเทียบไม่ติด
เรือเหาะมีขนาดเล็ก ขณะเดียวกันก็มีห้องโดยสารเล็กๆตั้งอยู่
ลอร่ากระโดดขึ้นไปสำรวจมัน
เธอเปิดห้องโดยสารเข้าไป -เมื่อสัมผัสได้ถึงการเปิดใช้งาน ตัวเรือเหาะก็เริ่มขับเคลื่อนทันที
ภายในห้องโดยสาร ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายพลังงานวิญญาณคอยหล่อเลี้ยง พร้อมของว่างเล็กๆน้อยๆและกาที่ใส่ชาวิญญาณถูกวางรอเอาไว้อยู่บนเตา
–หากได้นั่งในห้องโดยสารนี้ มันคงสะดวกสบายไม่น้อย แถมยังมองไม่เห็นวิวความสูงจากภายนอกอีกด้วย
ร่องรอยของพลังงานวิญญาณจางๆ ค่อยๆซึมซาบไปตามผิวหนังของลอร่า
ลอร่ามองสำรวจอยู่เงียบๆไปครู่หนึ่ง และยิ้มออกมา
ลอร่าเปิดประตูห้องโดยสารและกระโดดลงมาจากเรือเหาะ “ใช้ได้เลยนี่นา”
“งั้นตอนนี้พวกเราจะไปกันได้รึยัง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ลอร่าครุ่นคิดและกล่าว “แต่ถ้าทำแบบนี้ มันจะไม่นับว่าเป็นการโกงหรือ?”
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้น”
“แล้วมันจะดีหรอ?”
“ช่างมันเถอะ ยังไงพวกเราก็โกงมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่”
“ถ้าเจ้าพูดแบบนั้น … ”
ลอร่าหันไปเปิดกระเป๋าใบเล็กๆของเธอ และเอื้อมมือเข้าไปรื้อค้นของภายใน
กู่ฉิงซานพอเห็นจึงเฝ้ารอ
“เจอแล้ว! พวกเราจะใช้สิ่งนี้กันแทน” ลอร่าดึงนกหวีดออกมา และมอบมันให้แก่กู่ฉิงซาน
“นี่คืออะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“มันคือนกหวีดเรียกที่ใช้เรียกสัตว์ขี่จากแดนชำระล้าง ท่านพ่อของเราได้รับมันมาโดยการแลกเปลี่ยนกับต้นกำเนิดของโลก”
ลอร่าเริ่มอธิบายถึงคุณสมบัติอย่างมันอย่างรวดเร็ว “ความว่องไวของมันย่อมเร็วกว่าเรือเหาะของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นมันยังวิ่งบนพื้น หากขี่มัน ข้าคงรู้สึกสบายใจกว่ามาก”
“แล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงไม่ใช้มันในการหลบหนีล่ะ?”
“เพราะมันตัวใหญ่เกินไป ไม่เหมาะสมกับร่างกายของเรา ดังนั้นเลยจะต้องมีใครสักคนขี่มันเพื่อที่จะพาเราไป” ลอร่ามองเขา
กู่ฉิงซานสูดลมหายใจลึก ยกนกหวีดเข้าปาก แล้วเป่ามันอย่างแรง
ทันทีที่เสียงนกหวีดดังขึ้น ม้าทมิฬก็ปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสอง
“ปีกแห่งแดนชำระล้างพร้อมที่จะรับใช้พวกท่านแล้ว – หวังว่าข้าคงจะไม่ทำให้ท่านทั้งสองหวาดกลัวนะ” มันกล่าวเสียงต่ำ
กู่ฉิงซานอุ้มลอร่าไว้ในอ้อมแขน และกระโดดลงบนหลังม้า
“เจ้าขี่มันเป็นหรือเปล่า?” ลอร่ามองเขาด้วยความกังวลเล็กน้อยและเอ่ยถาม
“กระหม่อมพึ่งจะได้เรียนรู้วิธีการขี่มาเมื่อวานนี้เอง” กู่ฉิงซานตอบ
พริบตานั้นบนพื้นน้ำแข็งพลันจมลงสู่ความเงียบสงัด
ลอร่าจ้องมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่เจ้าไม่แม้แต่จะสามารถขี่ม้าได้อย่างงั้นหรอ? เรื่องง่ายๆเช่นนี้ยังทำไม่ได้ แล้วแฟนสาวจะไม่รังเกียจเจ้าหรือ?”
“เธอเป็นคนสอนกระหม่อมเอง” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างหมดหนทาง
ใช่แล้วล่ะ เขาพึ่งจะได้เรียนรู้มันในตอนที่ก้าวเข้าสู่ประตูรีสอร์ทของอัลเบอัส ดังนั้นเวลานี้กระทั่งตนเองก็ยังรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
“ท่านทั้งสองโปรดวางใจ ข้าสามารถวิ่งด้วยตนเองได้” ม้าทมิฬกล่าว
กู่ฉิงซานพอได้ฟังจึงค่อยถอนหายใจโล่งอก และชี้ไปยังส่วนลึกที่ไกลออกไปบนพื้นน้ำแข็ง “เราจะมุ่งตรงไปในทิศทางนั้น แต่มันอาจจะมีศัตรูคอยดักอยู่ระหว่างทาง และปรากฏตัวขึ้นมาได้ตลอดเวลา ฉะนั้นโปรดระมัดระวังด้วย”
“ข้ามีเพียงคำถามเดียว นั่นคือท่านทั้งสองกำลังรีบหรือไม่? รึว่าต้องการที่จะเดินทางแบบชมทิวทัศน์?” ม้าทมิฬเอ่ยถาม
กู่ฉิงซาน “พวกเรากำลังรีบ ดังนั้นได้โปร-”
ปัง!
บังเกิดสายลมกรรโชก ทั้งคนทั้งม้าหายวับไปจากสถานที่เดียวกัน
พริบตาเดียว ก็เห็นแค่เพียงจุดไข่ปลาสีดำพุ่งไกลออกไปสุดสายตาแล้ว
….
อีกด้านหนึ่ง
ลึกเข้าไปท่ามกลางพื้นน้ำแข็ง
สายลมและหิมะคำรามหวิว -ซูเซี่ยเอ๋อเดินอยู่เพียงลำพัง
ครู่หนึ่ง เธอก็ตระหนักได้ว่าตนเองกำลังจะไปถึงจุดสิ้นสุดของทุ่งน้ำแข็ง
ไกลออกไปสุดขอบฟ้า พื้นน้ำแข็งได้หายไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้างอันงดงาม
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ซูเซี่ยเอ๋อก็รีบเร่งฝีเท้ามุ่งไป
เพราะความหนาวระดับนี้ สำหรับร่างกายของเธอแล้วมันก็ยังนับว่าเย็นเกินไป
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ แต้มพลังวิญญาณของเธอเหลือเพียง 11 แต้มเท่านั้น และมันกำลังจะไม่สามารถต้านทานการรุกล้ำของเชื้อไฟได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ย่ำไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เธอก็จำต้องหยุดฝีเท้าลง
คทาในมือถูกยกขึ้น สายตาสาดส่องไปยังเบื้องหน้าอย่างระแวดระวัง
-ท่ามกลางสายลมที่ฟุ้งไปด้วยหิมะ ปรากฏให้เห็นถึงรถม้าเจ็ดคันที่ถูกลากจูงด้วยม้าห้าตัวจากระยะไกล
พวกมันมุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ใช้เวลาไม่นาน รถม้าก็มาหยุดจอดลงเบื้องหน้าซูเซี่ยเอ๋อ
พร้อมกับหลายสิบคนที่มีอาวุธครบมือจ้องมองเธอ
“ก็แค่นังลูกเจี๊ยบคนหนึ่ง” บางคนเอ่ยเสียงต่ำขึ้นมา
อีกคนพูดบ้าง “แต่ก็ดูจะร้ายกาจไม่เบาเลย เพราะเธอสามารถข้ามผ่านทุ่งน้ำแข็งได้โดยลำพัง ความแข็งแกร่งก็ไม่สมควรที่จะเลวร้ายจนเกินไป ถ้าพวกเรา-”
แต่แล้วเสียงๆหนึ่งก็ดังเตือนขึ้น “อย่าไปหาเหาเพิ่มเข้ามาใส่หัว ตอนนี้เชื้อไฟกำลังมอบภารกิจพิเศษให้พวกเราทำอยู่ จำไม่ได้แล้วหรือไง?”
“แต่พวกเราจับตัวเธอไประหว่างทำภารกิจด้วยก็ได้นี่นา” บางคนที่กวาดสายตามองซูเซี่ยเอ๋อขึ้นๆลงๆเริ่มเอ่ยประท้วง
ในหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อเริ่มหนักอึ้งขึ้น
ด้วยสัญชาตญาณการต่อสู้ของเธอ เซี่ยเอ๋อสัมผัสได้ว่าคนเหล่านี้ไม่ง่ายเลย
แถมเธอยังไม่มีแต้มพลังวิญญาณเหลืออีกต่อไปแล้ว
ถ้าหากต้องต่อสู้กับพวกเขา เกรงว่าคงยากนักที่จะคาดเดาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
พอรับฟังมาถึงจุดนี้ อีกคนหนึ่งก็กล่าว “มันก็เป็นความคิดที่ไม่เลวหรอกนะ ผู้หญิงคนนี้ก็ดูน่ารักมากจริงๆ แต่ถ้าพวกแกนำเธอไปด้วย และภารกิจที่ทำอยู่ดันเกิดปัญหาขึ้น บอสคนจะหั่นแกเป็นชิ้นๆแน่นอน”
เมื่อกล่าวถึง ‘บอส’ ทุกคนก็นิ่งไป
ทั้งหมดมองไปยังทิศทางเดียวกันอย่างมิได้นัดหมาย
เห็นแค่เพียงนักรบที่สูงกว่าสองเมตรก้าวลงมาจากรถม้า
เขาสวมชุดเกราะหนัก และวางพาดค้อนที่ทำจากโลหะบริสุทธิ์บนไหล่ของเขา
พื้นน้ำแข็งถึงกับปริร้าว ในทุกๆการย่างเท้าที่เขาเหยียบย่ำมัน
ทันทีที่เขาปรากฏตัว เสียงเซ็งแซ่ทั้งหมดก็หายไป
ดูเหมือนว่าผู้คนจะหวาดกลัวเขา
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนๆนี้ก็คือ ‘บอส’ ที่ว่า
“สาวน้อย เธอเคยเห็นผู้ชายที่สวมชุดเกราะสีทอง ใช้ดาบเป็นอาวุธ และดูเหมือนว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์บ้างไหม?”
เสียงหยาบกระด้างดังลอดผ่านออกมาจากช่องว่างของหมวกเกราะ
เขาเอ่ยถามซูเซี่ยเอ๋อ
ซูเซี่ยเอ๋อขบคิดเล็กน้อย แล้วส่ายหัว “ตลอดทางที่ฉันมุ่งตรงมา ไม่เคยเห็นคนที่มีลักษณะแบบนั้นเลย”
นักรบสูงสองเมตรเอียงคอไปมองเบื้องหลังเขา
“บอส เธอพูดความจริง” คนๆหนึ่งตะโกนออกมา
นักรบดูค่อนข้างจะผิดหวังเล็กน้อย
“ลืมมันเถอะ ดูเหมือนว่าสุดท้ายพวกเราก็ไม่ได้รับข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว ตอนนี้ก็มุ่งหน้ากันต่อไปดีกว่า” เขาหันหลังและกลับเข้าไปยังรถม้า
“แต่บอส เด็กผู้หญิงคนนี้ … ” บางคนต้องการจะแย้ง
“เรื่องงานต้องมาก่อนเป็นอันดับแรกเข้าใจไหม? จะไม่มีใครสามารถขัดขวางไม่ให้ฉันทำภารกิจพิเศษของเชื้อไฟได้ หรือจะให้ฉันควักสมองของพวกแกออกมาดื่มกินทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ดี? … จะไปกันได้รึยัง?”
“ครับ!” ทุกคนตะโกนรับเสียงดัง
พวกเขากรูกันกลับเข้าไปในรถม้า และเตรียมที่จะออกเดินทางต่อไป
ซูเซี่ยเอ๋อถอยไปก้าวหนึ่ง
เธอกำลังเฝ้าสังเกตทุกท่าทีของฝูงชน
แม้ว่าบางคนจะอดไม่ได้ที่จะมองเธอด้วยแววตาที่ลุกโชนไปด้วยความปรารถนา แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะเอ่ยขัดอะไรออกมาอีก
ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะจากไปแล้วจริงๆ
—ไปจับตัวผู้ชายคนหนึ่งที่บอสได้อธิบายเอาไว้เมื่อครู่
ซูเซี่ยเอ๋อถอนหายใจบรรเทาความตึงเครียดเล็กน้อย แต่ก็ยังคงยึดคทาไว้เบื้องหน้า รักษาท่วงท่าป้องกันเอาไว้อยู่ดี
คนเหล่านั้นเริ่มจากไป
แต่แล้วเสียงของบางคนจากบนรถม้าก็ดังขึ้น
“แกรู้รึเปล่าว่าเป้าหมายเป็นใคร?”
“จะใครก็ช่าง สุดท้ายมันก็แค่ขยะ ถ้าพวกเราร่วมมือกันก็คงจะเก็บกวาดมันได้อย่างง่ายดาย”
“แล้วแกจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันเป็นแค่ขยะ”
“ก็เชื้อไฟบอกว่ามันพึ่งจะผ่านด่านตึก 600 ชั้นออกมาได้เมื่อกี้นี้เอง”
“ฮะฮ่าฮ่า! เวลาก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว แต่กลับพึ่งผ่านตึก 600 ชั้นมาได้ มันเป็นขยะจริงๆด้วย – ฉันละสงสัยจริงๆว่าทำไมเชื้อไฟถึงให้ความสำคัญกับมันขนาดนี้ ถึงขนาดที่ต้องเรียกพวกเราเป็นคนไปลงมือด้วยตัวเอง”
“เออ เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ซูเซี่ยเอ๋อรับฟังอย่างเงียบๆ และหวังว่าอีกฝ่ายจะเร่งจากไปอย่างรวดเร็ว
แต้มพลังวิญญาณของเธอมีน้อยนิดจริงๆ เธอจึงต้องเร่งไปยังสถานที่ถัดไปทันที เพื่อดูว่าจะมีวิธีที่สามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกครั้งหรือไม่
แต่ตอนนี้เธอไม่สามารถจากไปได้ในทันที เพราะการกระทำเช่นนั้นมันง่ายต่อการเปิดเผยจุดอ่อนของตัวเอง
และเธอจะต้องป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น
แต่นับว่าโชคดีจริงๆที่รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวออกไปแล้ว
ดูเหมือนว่าการต่อสู้จะไม่เกิดขึ้น
ซูเซี่ยเอ๋อคลายใจลง
ทว่าทันใดนั้นเอง ประโยคสุดท้ายที่ลอยมาตามสายลมก็ทะลุเข้าหูเธอ
“เป้าหมายมีชื่อว่ากู่ฉิงซาน? โอเค ฉันจะเด็ดหัวมันเอง”
….
ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ยินชื่อนี้
เธอก็ถึงขั้นลืมหายใจ
กู่ฉิงซาน?
‘จริงสิ ฉันจำได้แล้ว’
‘ว่าฉิงซานก็ใช้ดาบเหมือนกัน’
แถมเขายังมีชุดเกราะรบสีทองไว้อยู่ชุดหนึ่ง ตามที่คนพวกนั้นได้คุยกันจริงๆ
ในที่สุดเขาก็เข้ามาจนได้!
คนพวกนี้กำลังจะไปฆ่าฉิงซาน ….
ใบหน้าของซูเซี่ยเอ๋อซีดขาว เธอมองไปยังแต้มพลังวิญญาณของตนเองอย่างรวดเร็ว
‘11’ ได้หายไป ‘10’ เข้ามาแทนที่
ยังคงเหลือแต้มพลังวิญญาณ 10 แต้ม
ขณะที่ฝ่ายตรงข้าม เป็นหลายสิบตัวตนอันแข็งแกร่งจากทั่วทุกชั้นโลก
คนเหล่านี้ล้วนสามารถผ่านการทดสอบมากมายมาได้ และไปถึงพื้นที่ภารกิจหลักแล้ว
ฉะนั้นพวกเขาย่อมต้องครอบครองอาวุธที่ยอดเยี่ยม และเชื้อไฟอยู่ในร่างกาย .. ผ่านมานานขนาดนี้เกรงว่าอย่างน้อยก็คงจะได้ทำการแลกเปลี่ยนอาวุธต่อสู้อันน่าหวาดกลัวมาได้แล้ว
พวกเขาล้วนเป็นผู้เข้าสู่วิถีมารที่ทรงพลังทั้งหมด
คนเหล่านี้ แม้กระทั่งตัวเธอเองก็ยังพบว่ายากที่จะต่อกรกับพวกเขา
ขณะที่ทางฝั่งกู่ฉิงซานมีเพียงลำพังเท่านั้น
ซูเซี่ยเอ๋อทั้งคนทั้งร่างนิ่งงันไป
กระทั่งนิ้วของเธอที่กุมจับคทา ก็เริ่มที่จะกลายเป็นสีขาวซีด
เวลาค่อยๆไหลผ่านไป
ซูเซี่ยเอ๋อมองไปยังรถม้าที่กำลังจะจากไป ในที่สุดก็กัดฟันของตัวเอง
เธอยกมือขึ้นมาวางแนบหัวใจตน ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “ชีวิตเอ๋ยจงลุกไหม้”
ไพ่ที่เปล่งประกายเรืองรองปรากฏขึ้นในหัวใจของเธอ และหายไป
บังเกิดสายลมที่มองไม่เห็นโคจรรอบตัวเธอ ขณะที่แต้มพลังวิญญาณเริ่มเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
วู้มมมม!
แต้มพลังวิญญาณอันทรงอำนาจเริ่มขับเคลื่อนกระแสอากาศ ปัดเป่าพายุหิมะให้แหวก แยกตัวออกไป
และเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ก็ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนเหล่านั้นทันที
“บอส ดูนั่นสิ!” คนหนึ่งตะโกนขึ้น
นักรบสูงสองเมตรชะโงกหน้าออกมาจากรถม้าอีกครั้ง
เขาจ้องซูเซี่ยเอ๋ออย่างจริงจัง
“แต้มพลังวิญญาณจำนวนมาก … แต้มพลังวิญญาณขนาดนี้ มันนับว่าคุ้มค่าแล้วที่จะชะลอภารกิจหลักของพวกเราไปสักเล็กน้อย” เขาพึมพำ
นักรบกวักมือ
แล้วคนนับสิบก็กระโจนลงจากรถม้าด้วยความตื่นเต้นทันที ทั้งหมดตั้งท่าเตรียมพร้อมจู่โจมอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญ
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าซูเซี่ยเอ๋อจะไม่ตระหนักถึงมัน
เธอทิ่มปลายคทาลงบนพื้นน้ำแข็งอย่างแรง ปากขยับงึมงำ “จุดจบแห่งทะเลเลือด!”
ปัง!
คทาในมือ ระเบิดแตกออกหลงเหลือเพียงฝุ่นผงสีขาว พร่างพราวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ผงเหล่านี้บินข้ามผ่านอากาศ ควบรวมกันเป็นไพ่ 77 ใบ ลอยล่องอยู่เหนือหัวของซูเซี่ยเอ๋ออย่างเงียบๆ
มองไปยังศัตรูที่กำลังใกล้เข้ามา หัวใจของซูเซี่ยเอ๋อเริ่มกระเพื่อมไหวเล็กน้อย
ฉิงซาน …
น้ำใสๆถูกปาดออกจากมุมหางตา ตลอดทั้งใบหน้าอันงดงามของเธอขณะนี้หลงเหลืออยู่เพียงความเย็นชา
ปากอ้าขยับ ร่ายคาถาเปล่งกระแสเสียงที่ฟังดูผิดปกติ ดังก้อง
“โชคชะตาเอ๋ย! มีเพียงการร่วงโรยก่อนเท่านั้นจึงจะทำให้พวกเจ้าเบ่งบานครั้งใหม่ได้!”
สายลมหนาวพัดกรรโชก เย็นลึกเข้าไปถึงกระดูก
กู่ฉิงซานมัดลอร่าไว้กับตัว แล้วทิ่งดิ่งลงจากยอดตึกสูง ร่วงตกลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง
อันที่จริงแล้วตามสถานการณ์ปกติ กู่ฉิงซานสมควรที่จะข้ามผ่านทุกชั้นไปเลยในคราวเดียว
ซึ่งนี่มันจะช่วยเขาประหยัดเวลาได้เป็นอย่างยิ่ง
แต่ตอนนี้เขากลับจำต้องระเบิดการโจมตีออกไปบ้างเป็นครั้งคราว
เพราะหลังจากที่ใช้กล้องส่องทางไกล เขาก็สามารถประเมินการต่อสู้ของตลอดทั้ง 600 ชั้นได้อย่างละเอียดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หากในชั้นใดปรากฏมอนสเตอร์อำมหิตดุร้าย กู่ฉิงซานก็จะลงมือ ทำลายกำแพงของชั้นนั้นๆและเข้าไปสังหารมันด้วยตัวของเขาเองทันที
โดยกระบวนการก็เริ่มจากดาบบินเล่มหนึ่งทำลายกำแพงชั้นนอก แล้วมันก็ปลีกตัวออกมาด้านข้างอย่างรวดเร็ว
เพื่อเปิดทางให้กับผู้ที่สวมใส่เกราะรบนายพลชั้นโหยวจี ที่กุมดาบพิภพหนักกว่า86.37ล้านจินไว้ในมือ –กระโจนเข้าไปอย่างเต็มกำลัง ทำการจบการต่อสู้ลงอย่างรวดเร็ว และช่วยเหลือมิให้ผู้คนตกตายลงได้อย่างง่ายดาย
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทั้งหมดในสถานที่แห่งนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นรุ่นเยาว์อายุไม่เกิน 30 ปีที่มาตามการเรียกขานเท่านั้น
และในบรรดาคนเหล่านั้น กู่ฉิงซานก็นับว่าเป็นหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด! ฉะนั้นศัตรูที่เหล่ารุ่นเยาว์มิอาจรับมือไหว ย่อมไม่คณามือเขาอย่างแน่นอน!
ไม่กี่นาทีต่อมา
กู่ฉิงซานมาก็ได้มาถึงชั้นที่239ในที่สุด
–สถานที่ซึ่งมีผู้เข้าสู่วิถีมารหลบซ่อนตัวอยู่ในชั้นนี้!
กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก และโบกสะบัดดาบขุนเขาเทวะหกโลกาออกไปด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
ฝ่าวารีเชี่ยว!
ตูม!
ชั้นกำแพงพังทลายลง
“ลุยกันเลย”
กู่ฉิงซานกล่าว
แล้วดาบเช่าหยินก็พุ่งออกไป ผลุบหายเข้าไปในทะเลทราย
ตามด้วยกู่ฉิงซานขับเคลื่อนเทคนิคดาบ
กระแสธารอันยิ่งใหญ่!
รังสีดาบที่ราวกับใบมีดเล็กๆ ถูกควบรวมเข้าด้วยกัน ก่อกำเนิดกระแสธารเชี่ยวอันมิอาจต้านทาน โถมทับลงสู่พื้นทะเลทราย
เม็ดทรายนับไม่ถ้วนถูกรังสีดาบห่อหุ้ม พัดกระพือ ไหลย้อนพุ่งสู่เพดานสูง
ผู้เข้าสู่วิถีมารมิอาจหลบซ่อนตัวได้อีกต่อไป เขาจำต้องใช้กวัดแกว่งอาวุธตนเพื่อตัดรังสีดาบ เปิดทางหนีออกไป
เขาทะยานตัวลอยขึ้นมากลางอากาศ และใช้สายตาเย็นชาจ้องมองมายังกู่ฉิงซาน
และแล้วร่างของอีกฝ่ายก็ปรากฏสู่สายตาของกู่ฉิงซานจริงๆเสียที เขาดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธที่มาจากโลกวรยุทธใดวรยุทธหนึ่ง ที่สำคัญยังเป็นมือสังหารที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
เขาจ้องมองดาบเช่าหยินที่กำลังบินกลับไป ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ที่แท้ก็เป็นฝีมือของผู้ฝึกดาบนี่เอง”
“ถูกต้อง ฉันเป็นผู้ฝึกดาบ แต่แกไม่ใช่” กู่ฉิงซานกล่าว
อีกฝ่ายเคาะหลังมือลงบนดาบยาวของตน กล่าวเย้ยหยัน “นี่เจ้าตาบอดหรือ?”
“ไม่บอดนะ แต่ฉันเห็นอยู่ชัดๆว่าแกมันก็แค่ลูกเต่าที่หดหัวซ่อนตัวอยู่ในทะเลทราย — ไม่มีผู้ฝึกดาบคนไหนเขาทำแบบแกหรอก!” กู่ฉิงซานสวน
“เจ้า — ปากหาที่ตาย!”
มือสังหารสบถด้วยความโกรธ
เขาชักดาบยาวออกมา ถีบตัวตรงไปยังเบื้องหน้า หมายมั่นจะฆ่าสังหารศัตรูที่ดูถูกตน
ทว่าทันใดนั้นจู่ๆกลับปรากฏดาบยาวขึ้นในสายตาของเขา
ใช่แล้วล่ะ มันคือดาบ
ในยามที่เขาถูกยั่วยุ และร่างกายของเขาเริ่มเคลื่อนไหว กู่ฉิงซานก็ได้คาดคำนวณเอาไว้ก่อนแล้ว และวางตำแหน่งดาบยาว ฟาดสับ ดักทางเอาไว้ก่อนล่วงหน้า!
ทว่ากว่าจะรู้ตัว มันก็ปาไปวินาทีต่อมาซะแล้ว ร่างของมือสังหารเคลื่อนที่ไปแล้ว เขาจึงมิอาจหลบเลี่ยงได้ จำต้องเข้าทานรับดาบโดยตรง
ในหัวใจของมือสังหารตระหนักชัด
“วางแผนแยบยลได้ถึงเพียงนี้ เจ้าคงเป็นผู้ฝึกดาบประเภทดาบอ่านใจสินะ?” เขาแสยะยิ้มเย็น
ตอนนี้ เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังจงใจยั่วยุให้ตนเองโกรธ โดนลอบซ้อนกับดักดาบเอาไว้ วางแผนให้ตนพุ่งเข้าไปติดมัน
เมื่อคิดได้ มือสังหารก็ค่อยๆสงบใจลง
เขาเป็นถึงนักฆ่าชั้นหนึ่ง ดังนั้นการเรียกคืนความสงบจึงนับว่าเป็นทักษะที่ตนเชี่ยวชาญ
‘หนทางที่ดีที่สุดในการกำจัดผู้ฝึกดาบประเภทอ่านใจ ก็คือการโถมโจมตีอย่างรวดเร็วจนมันมิอาจใช้สมองคาดคำนวณได้’
‘หากฝ่ายตรงข้ามที่เป็นผู้ฝึกดาบประเภทอ่านใจถูกกดดันจนมิอาจโต้ตอบได้ทัน ชัยชนะก็จะตกลงสู่มือข้าอย่างง่ายดาย’
นี่คือสิ่งที่มือสังหารคิด
ระหว่างช่วงเวลาเดือดพล่าน ด้วยประสบการณ์นักฆ่าที่มี ทำให้เขาสามารถตัดสินกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว
ดาบยาวในมือถูกกุมแน่น และจ้วงแทงลมออกไป
พริบตานั้น 49 รังสีดาบพลันระเบิดออกมา มันวิบวับวาบข้ามผ่านชั้นอากาศ ทั้งหมดโฉบพุ่งเข้าตัดหัวกู่ฉิงซานโดยตรง
รูม่านตาของกู่ฉิงซานหดวูบลงทันที เขาเร่งชักดาบกลับขึ้นมาปัดป้องอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้านี้จะมิถึงขั้นที่เรียกได้ว่าค่ายกลดาบ ทว่าตั้ง 49 รังสีดาบ อย่างไรก็ย่อมทรงอำนาจยิ่งกว่าการโจมตีจากดาบเล่มเดียว ดังนั้นด้วยพลังอำนาจของมัน นี่คงมิแคล้วเป็นเทคนิคลับอันแสนร้ายกาจเป็นแน่!
ฝ่ายตรงข้ามเห็นได้ชัดว่าเป็นมือสังหาร ซึ่งถึงแม้จะเป็นพวกที่ระวังตัวแจ แต่เมื่อสามารถขบคิดถึงแผนการสังหารได้ ก็ไม่ยินยอมพ่นคำใดๆให้เสียเวลา ลงมือใช้ออกด้วยเทคนิคเฉพาะตัวของตนอย่างรวดเร็ว
พอทั้งได้เจอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็ลอบประหลาดใจเล็กน้อย
‘ผู้ฝึกดาบประเภทดาบอ่านใจงั้นหรอ?’
นั่นเป็นชื่อที่ใช้เรียกประเภทของนักดาบหรือไงกันนะ?
กู่ฉิงซานลอบคิดอย่างลับๆ
ดาบเช่าหยินแปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา โฉบเข้าทานรับ 49 รังสีดาบ
แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง จู่ๆมือสังหารก็กลับสามารถมาปรากฏตัวข้างกายกู่ฉิงซานได้อย่างกระทันหัน
มือสังหารใช้ประโยชน์จากจังหวะที่กู่ฉิงซานเบนสมาธิไปทานรับรังสีดาบทั้ง 49 -เมื่อช่องว่างปรากฏ มือสังหารจึงฉวยโอกาสเคลื่อนกายเข้ามา และจ้วงฟันเข้าใส่เขาทันที!
“ตายซะ!” เขาตะคอกอย่างแรง
กู่ฉิงซานไม่มีเวลามากพอที่จะเรียกเช่าหยินกลับมา เขาจึงใช้มืออีกข้างคว้าดาบพิภพ แล้วฟาดแนวขนานออกไปปัดป้องเบื้องหน้าตน
เคร้ง!
สองคมดาบปะทะกัน บังเกิดเสียงอึกทึกกึกก้อง
แม้จะถูกอีกฝ่ายทานรับเอาไว้ได้ แต่บนใบหน้าของมือสังหาร กลับปรากฏรอยยิ้มตรงมุมปากขึ้นมาอย่างมิอาจอดกลั้น
ยังคงรับไว้ได้สินะ ถ้างั้นไหนลองดูซิว่าจะรับไอ้นี่ด้วยได้ไหม!?
เห็นแค่เพียงหกวิถีรังสีดาบฟาดซ้อนๆทับกันลงมายังสองดาบที่กำลังปะทะกัน โถมเข้ากดดันกู่ฉิงซาน
หนึ่งดาบของกู่ฉิงซานทานรับ 49 รังสีดาบอยู่บนท้องฟ้า อีกหนึ่งคอยทานรับศัตรูตรงหน้า —เมื่อต้องพบเผชิญกับการลอบจู่โจมระลอกสาม ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาจึงถูกเรียกออกมาจากในความว่างเปล่า และแปรสภาพเป็นร่างเงาดาบซ้อนๆทับกันสวนกลับไป!
เทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา!
ร่างเงาดาบเริ่มเบ่งบาน โฉบเข้าปะทะกับหกวิถีรังสีดาบกลางอากาศ
“จังหวะนี้แหละ!”
นักฆ่าฉวยโอกาสอีกครั้ง ปากพลันอ้าเผยอออก พร้อมด้วยบางสิ่งบางอย่างที่สาดประกายแสงสีเขียวเรืองรองถูกพ่นออกมาในพริบตา
นี่ต่างหากคือกระบวนท่าสังหารที่แท้จริงของเขา!
ฟุ่บบบ! เข็มบินถูกพ่นออกมา ขณะที่ก่อนหน้านั้นนักฆ่าจงใจเบนความสนใจของกู่ฉิงซาน ป่วนการอ่านใจของเขาให้มุ่งสมาธิไปยังเทคนิคลับแห่งดาบทั้งสาม –ทั้งหมดทั้งมวลนี่ก็เพื่อชักจูงให้เขาไม่ทันคาดคิดถึงกระบวนท่าสังหารที่เตรียมเอาไว้!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘เข็มบิน’ ที่มีความสามารถทำลายชั้นป้องกัน และสามารถพุ่งเข้าสังหารศัตรูได้โดยตรง!
นี่คือกระบวนท่าควบรวมรังสีดาบไว้ในอาวุธลับ ที่มือสังหารได้ฝึกฝนมาเป็นเวลายาวนานหลายปี มันคือเทคนิคลับในการลอบสังหารที่ทรงพลังที่สุด!
และแน่นอน ว่ารังสีดาบของวาดเงาที่กระจัดกระจายไปตลอดทั้งสี่ทิศทาง ย่อมมิอาจหยุดยั้งการลอบโจมตีนี้ได้!
จ้องมองไปยังแสงสีเขียวตรงหน้า ในหัวใจของกู่ฉิงซานกระจ่างชัดถึงภัยร้าย
เขาไม่คาดคิดเลยว่าศัตรูที่เป็นมือสังหารเบื้องหน้า จะครอบครองสกิลดาบสูงส่งถึงเพียงนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคนิคลับแห่งดาบของมือสังหาร ที่ปลดปล่อยออกมาดาบแล้วดาบเล่า ซึ่งไม่ว่าจะเป็นจังหวะหรือการสอดประสาน ก็ล้วนถูกใช้ออกมาได้อย่างอิสระและไหลลื่น
กล่าวได้ว่าเทคนิคดาบของมือสังหารผู้นี้ … ควรค่าแก่การชื่นชมจริงๆ
ดังนั้น กู่ฉิงซานคงจำเป็นต้องจริงจังให้มากขึ้นกว่านี้สักเล็กน้อยบ้างแล้ว!
—สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!
แสงสีเขียวเรืองรองสลับเปลี่ยนตำแหน่งกับเขาในพริบตา และพุ่งตัดผ่านท้องฟ้าอันกว้างใหญ่เบื้องหลังไป
กู่ฉิงซานโน้มตัวลงเบื้องหน้า และโบกสะบัดดาบที่มีรูปลักษณ์ธรรมดา ฟาดเข้าใส่มือสังหาร
มือสังหารตกตะลึงจนผงะไป
นี่อีกฝ่ายสามารถรอดพ้นไปจากกระบวนท่าสังหารที่ตนวางแผนและกะจังหวะใช้ออกมาอย่างพิถีพิถันได้อย่างไร?
ทว่าขณะขบคิด คมดาบของกู่ฉิงซานก็มาถึงตัวเขาเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม สกิลดาบระดับนี้ มือสังหารคิดว่ามันยังคงเพียงพอที่จะต้านทานได้
แต่แน่นอนว่ามือสังหารก็ไม่ประมาทเขาสับ! ดาบสวนกลับไปตอบโต้ศัตรูทันที
เคร้ง!
สองคมดาบปะทะกันอีกครั้ง
และมือสังหารก็เตรียมที่จะระเบิดเทคนิคลับแห่งดาบออกมาอีกที
-ประเดี๋ยวก่อน!?
ในสายตาของมือสังหาร ผู้ฝึกดาบเกราะรบสีทองซีดจู่ๆก็หยุดเพลงดาบไปอย่างน่าฉงน สายตาของอีกฝ่ายเบนออก ไม่เหลือบแลเขาอีกต่อไป แถมยังเคลื่อนกายไปอีกทาง โฉบลงไปเบื้องล่างคล้ายกับการต่อสู้ได้จบลงไปแล้ว
—การต่อสู้ดำเนินไปได้เพียงครึ่งทางเท่านั้นเอง เจ้าหมอนี่มันถอดใจไปแล้วงั้นหรือ?
นี่เขาเริ่มรู้สึกหวาดกลัวแล้วใช่ไหม?
ขณะที่ในหัวใจของมือสังหารรู้สึกไม่อยากจะเชื่อนั้นเอง ก็บังเกิดรังสีดาบบางเบาแผ่ขยายออกมาจากเบื้องหลัง และพุ่งเข้าตัดศีรษะของเขาโดยตรง!
-เทคนิคลับแห่งดาบ กลืนกินหวนกลับ!
ลอร่าที่ซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนของกู่ฉิงซาน สัมผัสได้ถึงฉากนี้ สองแขนน้อยๆของเธอจึงกอดเขาเอาไว้แน่น
หลังจากที่บินอยู่หลายนาที เธอก็ค่อยๆเริ่มหายหวาดกลัว และเอ่ยถามด้วยเสียงน้อยๆ
“นี่เจ้าเป็นผู้ฝึกดาบประเภทดาบอ่านใจจริงๆน่ะหรอ” เธอเอ่ยถามเสียงดัง
“จะประเภทไหนก็ไม่รู้ล่ะ เพราะถ้าสำนักดาบหรือผู้ฝึกดาบคนไหนมัวแต่คิดเรื่องแบบนี้กับคู่ต่อสู้ พวกเขาคงไม่แคล้วพลาดพลั้ง ตกตายลงได้ง่ายๆ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่แยแส
ในสายตาของเขา ปรากฏบรรทัดแสงหนึ่งฟ้า หนึ่งแดง ขึ้นบนหน้าต่างสถานะพร้อมๆกัน
“ได้รับแต้มพลังวิญญาณ : 1700”
กู่ฉิงซานค่อนข้างประหลาดใจ
ชายคนเมื่อครู่นี้มีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปมากก็จริง แต่เขาสามารถครอบครองแต้มพลังวิญญาณมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?
กู่ฉิงซานแอบถามระบบเทพสงคราม “เท่าที่ฉันลองประเมินความแข็งแกร่งของเขาดู มันน่าจะมีแค่ 700 แต้มพลังวิญญาณเท่านั้นไม่ใช่หรอ แล้วทำไมฉันถึงได้รับแต้มมามากมายขนาดนี้?”
“นั่นเป็นเพราะเขาได้รับแต้มพลังวิญญาณสะสมมาจากการฆ่าคน แต่ทั้งหมดนั่นได้ถูกรวมเข้าด้วยกันแล้ว และส่งมอบให้แด่คุณ” หน้าต่างระบบเทพสงครามตอบ
กู่ฉิงซานก็ถึงบางอ้อในทันที
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มทิ้งดิ่งลงต่อ
เจ็ดนาทีผ่านไป
ฝ่าเท้าของกู่ฉิงซานก็สามารถย่ำลงบนพื้นราบได้ในที่สุด
นอกเหนือไปจากผู้เข้าสู่วิถีมารแล้ว ก็ไม่มีใครตายอีกเลย
ขณะที่เหล่าผู้คนจำนวนมากที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ร้ายแรง ต่างก็ได้รับการช่วยเหลือโดยกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานคลายเชือกออก
ลอร่าที่ถูกมัดก็ตกลง เธอหันมาจ้องมองกู่ฉิงซานด้วยความไม่พอใจ
“เจ้าน่ะ มักจะทำร้ายหญิงสาวแบบนี้อยู่เสมอเลยงั้นหรือ?” เธอถามด้วยความโกรธ
“นี่คือเชือกที่ทำจากผ้าไหมวิญญาณพันปีนะฝ่าบาท มันอ่อนนุ่มที่สุดแล้ว ดังนั้นมันก็ไม่น่าจะทำร้ายท่าน …” กู่ฉิงซานพยายามอธิบาย
“เราหมายถึงว่าเจ้าพึ่งจะทำร้ายจิตใจของเราไป!” ลอร่าตะโกน
“หากเป็นเช่นนั้น กระหม่อมว่านับจากวันนี้ไป เหตุการณ์นี้คงจะทำให้จิตใจของฝ่าบาทถูกหล่อหลอมจนแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานตอบกลับ
ลอร่าพอได้ฟังก็ฮึฮะ หันหน้าไปอีกด้านหนึ่ง
แต่เธอก็ยังเกาะกู่ฉิงซานแน่นไม่ยอมปล่อย
ส่วนกู่ฉิงซาน สายตาของเขากำลังกวาดอ่านไปบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
บรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้น
“คุณสามารถรวบรวมแต้มพลังวิญญาณถึง 1000 แต้มได้สำเร็จ ส่งผลให้การสั่งสมแต้มพลังรอบแรกของคุณสมบูรณ์ในที่สุด”
“โปรดเลือกสกิลที่คุณต้องการจะเพิ่มความสามารถให้แก่มันด้วย”
“หมายเหตุ : หลังจากที่เติมสั่งสมแต้มพลังลงในสกิลแล้ว อำนาจโจมตีของมันจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และจะมีผลเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
กู่ฉิงซานจึงเริ่มตัดสินใจว่าจะใส่ความสามารถนี้ลงในสกิลใดดี
—น่าเสียดายจริงๆที่ ‘การสั่งสม’ นี้ใช้งานได้กับเฉพาะสกิลเท่านั้น
ถ้าหากเขาสามารถใช้ ‘สั่งสมแต้มพลัง’ กับพวกพลังศักดิ์สิทธิ์อย่าง ‘ตัดขาดการเชื่อมต่อ’ ได้แล้วล่ะก็ ..
เอาเถอะ ดูเหมือนว่าตอนนี้คิดไปก็คงเท่านั้น
“ฉันเลือกเพิ่มความสามารถให้กับค่ายกลดาบไท่หยี”
“คุณแน่ใจหรือไม่?”
“แน่ใจ”
“ระบบได้ทำการล็อคสกิลนี้แล้ว และครั้งถัดไปที่คุณใช้มันโจมตี พลังอำนาจของมันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า”
มองไปยังบรรทัดแสงหิ่งห้อยนี้ กู่ฉิงซานก็เริ่มเกิดความมั่นใจขึ้นเล็กๆน้อยๆในจิตใจของเขา
ค่ายกลดาบไท่หยีคือเทคนิคดาบที่ทรงอำนาจที่สุดที่ตนครอบครอง หากสามารถเสริมอำนาจให้มันอย่างต่อเนื่องได้ บางทีพลังโจมตีที่มันระเบิดออกมา … อาจจะน่าทึ่งจนต้องอ้าปากค้างไปเลยก็ได้
ในเวลานี้ ยิ่งลึกเข้าไปในโลกของทริสเต้ การต่อสู้ก็ยิ่งจะรุนแรงขึ้น แถมยังมีเชื้อไฟการชักใยอยู่เบื้องหลังอีก ยิ่งมายิ่งอันตราย ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงจำเป็นที่จะต้องเตรียมไพ่ตายแบบนี้เอาไว้ให้พร้อม
“แล้วเรื่องภารกิจล่ะจะว่ายังไง?”
กู่ฉิงซานเอ่ยถามต่อ
ระบบ “ภารกิจต่อเนื่องของระบบเทพสงคราม : วิหค เสร็จสมบูรณ์แล้ว”
“เราจะยังคงเฝ้ารอปฏิกริยาของเชื้อไฟ ทำการวิเคราะห์ภารกิจต่อไปที่มันปล่อยออกมา จากนั้นจึงค่อยกำหนดภารกิจต่อเนื่องของระบบเทพสงครามเพื่อใช้รับมือกับมันโดยเฉพาะ”
กู่ฉิงซานเมื่ออ่านถึงประโยคนี้ เขาก็เบนสายตาไปตกลงบนหน้าต่างของเชื้อไฟ
สองหน้าต่างสถานะลอยเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ดังนั้นเขาจึงสามารถมองดูมันได้อย่างสะดวกสบาย
เสียงปรากฏขึ้น
“คุณได้ลงมาถึงพื้นราบแล้ว”
“คุณบรรลุภารกิจเสร็จสิ้น แต่จะไม่ได้รับรางวัลใดๆ”
กู่ฉิงซานกล่าว “ช่างมันเถอะ ฉันไม่สนใจรางวัลของทริสเต้แล้ว เพราะฉันต้องการแต้มพลังวิญญาณมาแลกเปลี่ยนของดีๆกับคุณมากกว่า”
เชื้อไฟเงียบไปสักพัก
ประโยคที่กู่ฉิงซานกล่าวออกไป แน่นอนว่าย่อมสามารถดึงดูดความสนใจจากมันได้ไม่น้อยเลย
เพราะมันจำเป็นต้องใช้แต้มพลังวิญญาณ
มือสังหารที่กู่ฉิงซานฆ่าไปเมื่อครู่ ส่งผลให้กู่ฉิงซานได้รับแต้มพลังวิญญาณสะสมของมือสังหารมาไว้ในครอบครอง
และยังรวมไปถึงแต้มพลังวิญญาณจากชีวิตของมือสังหารอีกด้วย ส่งผลให้แต้มพลังวิญญาณสะสมของเขาเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก
สำหรับชีวิตหากมือสังหารแล้ว เชื้อไฟมิได้ให้ความสนใจแก่มันเลยแม้แต่น้อย
เพราะตราบใดที่แต้มพลังวิญญาณเพิ่มพูนขึ้น มันก็เป็นสิ่งที่เชื้อไฟยอมรับได้
-แต่สิ่งที่สำคัญคืออีกปัญหาหนึ่งต่างหาก
มันคือปัญหาที่กู่ฉิงซานได้ช่วยชีวิตของผู้คนเอาไว้มากมายเกินไป
ในตลอดทั้งสิ่งปลูกสร้าง 600 ชั้น เดิมทีมันสมควรที่จะสูบกลืนแต้มพลังวิญญาณได้เป็นจำนวนมาก ตราบใดที่ร่างกายเหล่านั้นสิ้นชีวิตลง เชื้อไฟก็จะสามารถรับเอาแต้มพลังวิญญาณของพวกเขามาได้เลยโดยตรง
อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยการออกหน้าลงมือของกู่ฉิงซาน ทำให้มันพลาดแต้มพลังวิญญาณเหล่านั้นไป
เชื้อไฟพอขบคิดถึงจุดนี้ มันก็จมลงสู่ความเงียบ …
เมื่อหรี่ตามองผ่านกล้องส่องทางไกล กู่ฉิงซานก็สามารถมองเห็นสถานการณ์ภายในประตูเบื้องหน้าได้
งู
มันเป็นรังงูล่ะ!
ภายใต้สายตาของกู่ฉิงซาน ทั้งหมดที่เขาเห็นคืองูที่เลื้อยลด เกาะกลุ่มพัวพันกันอย่างหนาแน่น
ตลอดทั้งห้องเต็มไปด้วยงูกองพะเนินที่ซ้อนทับๆกัน เพียงแค่ได้มอง หนังศีรษะก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกด้านชา
แต่น่าฉงนนัก ที่งูเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะมีภูมิปัญญา
พวกมันขดตัวเข้าด้วยกัน ทั้งหมดกำลังยืดชูคอสูง สาดสายตามองมาที่ประตูด้วยความเย็นชา
คล้ายกับว่ากำลังเฝ้ารอให้ประตูถูกเปิดออก และเมื่อจังหวะนั้นมาถึง พวกมันก็จะกรูกันออกไป และโถมท่วมทับผู้ที่กล้าบุกรุกเข้ามา!
และงูเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เพราะบนกายของพวกมัน ได้ปรากฏให้เห็นถึงพลังของธาตุต่างๆสลับๆกันไป
ไม่ว่าจะเป็น น้ำแข็ง , ไฟ , สายฟ้า , ลม , ความมืด และพิษ
พลังธาตุต่างๆถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดกระแสวังวนพลังงานที่ดูสับสนวุ่นวาย
เมื่อประตูถูกเปิดออก ผู้บุกรุกคงมิแคล้วถูกดูดกลืนเข้าสู่กระแสวังวนดังกล่าว
หากผู้บุกรุกไม่มีความสามารถมากพอ เขาก็คงมิอาจหลบหนีไปจากมัน โชคชะตาคงไม่พ้นต้องตกเป็นอาหารของงู
สิ่งที่ต้องเผชิญเบื้องหน้านี้ คงจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากมากทีเดียว
กู่ฉิงซานลองปรับเลนส์กล้องให้ยืดไกลออกไปอีกเล็กน้อย
แล้วฉากในห้องถัดไป ก็ปรากฏสู่สายตาของเขาผ่านกล้องส่องทางไกล
มันคือฝูงของวิญญาณชั่วร้ายที่กำลังต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงศพ แต่ละตนไม่มีตัวใดยินยอมแสดงความอ่อนแอออกมา
มองไปยังศพที่ถูกกัดแทะจนเหลือเพียงครึ่งร่าง ชัดเจนว่าคงจะเป็นรุ่นเยาว์บางคนที่เข้าร่วมการเรียกขานของวิหคหนามในครั้งนี้
มองลอดผ่านห้องที่สองไป กู่ฉิงซานก็เห็นอีกห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยวัวที่ลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟ มันกำลังวิ่งวนไปรอบๆ ขณะเดียวกันสายตาก็คอยเหลือบมองมาทางบานประตูอยู่ตลอดเวลา
จากชั้นที่ 600 เขาคอยมองสำรวจมันผ่านกล้องไปเรื่อยๆจนถึงขั้นที่ 550
ที่นี่มีเผ่ามารตัวจริงบางตนอาศัยอยู่ ขณะนี้พวกมันกำลังไล่ตามสองชายกับหนึ่งหญิงอย่างไม่หยุดยั้ง
มองไปมองมา อาจแลคล้ายว่าทั้งสองกลุ่มนี้กำลังละเล่นวิ่งไล่จับกันอยู่
-แต่ที่เป็นแบบนั้น นั่นก็เพราะความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองฝ่ายมันห่างไกลกันมากเกินไปต่างหาก
ถ้ามิใช่เพราะสองชายหนึ่งหญิงที่ว่า มีไม้กางเขนเงินคอยสาดแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาปกป้องแล้วล่ะก็ พวกเขาคงจะถูกสังหารโดยเผ่ามารไปแล้ว!
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปในลักษณะนี้ พลังของไม้กางเขนก็คงจะถดถอยลง และสลายลงไปในที่สุด
หลังจากนั้น พวกเขาก็คงจะถูกเผ่ามารจับกิน และแต้มพลังวิญญาณก็จะถูกดูดกลืนสู่เชื้อไฟ
“นี่มันดูจะไม่ใช่ปัญหาเล็กๆน้อยๆของทริสเต้ซะแล้ว แต่มันเป็นปัญหาใหญ่ของฉันต่างหาก”
กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ
เมื่อตระหนักได้ถึงภารกิจของระบบเทพสงคราม กู่ฉิงซานก็ปรับเลนส์เจาะทะลุไปหลายร้อยชั้น มองลอดสังเกตไปในชั้นที่ 239
—ภายในชั้นนี้ มีผู้ที่เข้าสู่วิถีมารอยู่
เห็นแค่เพียงทรายดูดที่กระเพื่อมไหว บ้างสูงบ้างต่ำ ขยับเป็นคลื่นไปตลอดทั้งชั้น
มองไปยังเม็ดสายสีแดงไหม้ และชั้นอากาศที่ดูบิดเบี้ยว ก็พอจะคาดเดาได้ว่าอุณหภูมิในสถานที่นี้ นั้นสูงเพียงไร
ดูเหมือนว่าภายในชั้นนี้จะไม่มีอะไรเลยนอกจากทะเลทรายร้อนระอุ
อย่างไรก็ตาม ด้วยกล้องส่องทางไกล กู่ฉิงซานจึงสามารถมองเห็นเข้าไปจนถึงส่วนลึกที่สุดของทรายดูด ที่ซึ่งมีชายคนหนึ่งซุ่มซ่อนตัวอยู่ภายใน
ชายผู้นั้นถือดาบยาวสีกระจ่างใสดั่งหิมะ ยืนนิ่งอยู่เบื้องล่างของทรายดูด
แล้วจังหวะนั้นเอง ก็บังเอิญมีประตูถูกเปิดขึ้นเหนือทะเลทราย
พร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถือเคียวในมือกระโดดลงมาจากประตู
“ฮะฮ่า! ในที่สุดฉันก็ก้าวลงมาได้อีกระดับหนึ่งแล้ว!”
เขาหัวเราะเสียงดัง
แต่ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางความเงียบ จู่ๆก็บังเกิดเส้นแสงบางเบาราวกับผ้าไหม กระพริบวาบ! ผ่านร่างของเขาไปอย่างกระทันหัน
ชายหนุ่มคนดังกล่าวแข็งค้างไปตลอดทั้งร่าง
วินาทีต่อมา หัวของเขาก็ร่วงตกลงไปในทะเลทราย ขณะที่ร่างของเขาถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนทั้งๆที่ยังอยู่กลางอากาศ
ชิ้งงงง ..
ดาบบินมุดกลับไปเข้าไปทรายดูด และตกลงในมือของคนที่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นทรายที่ได้อธิบายไปในตอนแรก
เขาคว้าจับดาบบิน สองตาค่อยๆปิดลง และกลับคืนสู่สภาะตัดขาดกลิ่นอายอีกครั้ง
แล้วกู่ฉิงซานก็สังเกตเห็นว่า ใต้ฝ่าเท้าของผู้ฝึกดาบคนนั้น มีบานประตูไม้ตั้งอยู่
บนบานประตูไม้ มีแถบตัวเลขเขียนอยู่ว่า : 238
แท้จริงแล้ว กลับกลายเป็นว่าเดิมทีตำแหน่งที่คนๆนั้นยืนอยู่คือประตูสู่ชั้นถัดไปนั่นเอง
ทว่าเขากลับเลือกแฝงตัวอยู่ที่นี่อย่างเงียบๆ ไม่ยินยอมลงไป ขณะเดียวกันก็ไม่ปล่อยให้ใครผ่านสถานที่แห่งนี้ไปเช่นกัน
‘หืม? เป็นนักฆ่าที่อำมหิตไม่เบาเลยนี่’ กู่ฉิงซานลอบประเมินอีกฝ่าย
“ระบบ คนที่ถูกฆ่าโดยชายผู้เข้าสู่วิถีมารคนนั้น เขาได้ทำการโหลดเชื้อไฟมาไหม?”
ระบบเทพสงครามตอบ “หากเป็นคนธรรมดาเกินไป เชื้อไฟจะเก็บพวกเขาไว้ใช้เป็นอาหารเท่านั้น”
“เข้าใจแล้ว”
สายตาของกู่ฉิงซานไม่ได้หยุดลงเพียงแค่นี้
เขายังคงหมุนเลนส์ยาวต่อไป กวาดสายตามองสำรวจตลอดทั้ง 600 ชั้น
แล้วฉากต่างๆก็ปรากฏสู่สายตา ไม่ว่าจะเป็น บึงที่เต็มไปด้วยโคลนและกระดูก , ป่าลึกลับ , สระลาวาเดือด และเมืองเผ่ามาร …
ในบางชั้น กู่ฉิงซานก็ยังเห็นว่ามีผู้คนมากมายยังคงดิ้นรนต่อสู้อยู่
ท้ายที่สุดนี้ ต้องไม่ลืมนะว่ามีผู้คนมากมายจากโลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้นที่ตอบรับการเรียกขานของวิหคหนาม
กู่ฉิงซานเห็นคนหนึ่งที่พึ่งถูกกินโดยมอนสเตอร์ไป ทั้งๆที่คนๆนั้นยังมีชีวิตอยู่
แต่น่าเสียดาย ที่นั่นมันเป็นชั้นที่ 97 และอยู่ไกลเกินกว่าที่กู่ฉิงซานจะไปช่วยชีวิตได้
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ถ้าคนพวกนี้ตายลงในตัวตึก แต้มพลังวิญญาณจะถูกดูดซับไปโดยเชื้อไฟไหม?”
“แน่นอนว่าใช่ เชื้อไฟสามารถซึมซับแต้มพลังวิญญาณของคนที่ตกตายลงทั้งหมดในโลกแห่งนี้ได้” ระบบเทพสงครามตอบ
“แต่ฉันกำลังรีบอยู่ ถ้าฉันไม่เลือกที่จะไม่ช่วยพวกเขาเลย มันจะเป็นอะไรไหม?”
“คุณไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือคนเหล่านี้ก็ได้ แต่หากสิ่งมีชีวิตในตลอดทั้งสิ่งปลูกสร้าง 600 ชั้นนี้ตายลง ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงทีเดียวที่เชื้อไฟจะได้รับพลังมากพอจนเกิดการวิวัฒนาการ”
กู่ฉิงซานไม่พูดอีกต่อไป
เขาหมุนเลนส์ยาวกลับ ถอนสายตาคืนมาสำรวจชั้นที่ 550 อีกครั้ง
สองชายหนึ่งหญิงที่กำลังหลบหนี เริ่มตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแล้ว
เผ่ามารใกล้จะทำลายการป้องกันของกางเขนเงินสำเร็จในไม่ช้า
กู่ฉิงซานถอนสายตาออก ปากอ้าผ่อนลมหายใจยาว
ถ้าอย่างงั้นในกรณีนี้ เขาคงจำเป็นต้องช่วยเหลือทุกคน – แต่ขณะเดียวกันตนก็ไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น …
“ทำไมเจ้าถึงได้ดูผิดหวังนัก? ไอเท็มของเรามันใช้งานได้ไม่ดีหรือ?” ลอร่าเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานส่ายหน้าและยื่นกล้องส่องทางไกลคืนให้แก่ลอร่า
“เปล่าหรอก กระหม่อมแค่ยังหาแฟนสาวไม่พบน่ะ”
“นั่นเป็นข่าวร้ายจริงๆ” ลอร่าแสดงท่าทีเห็นใจ
กู่ฉิงซานลองขบคิดดูเล็กน้อย
ว่าถ้าหากตนลงมือช่วยเหลือผู้คนในตัวตึก ตนเองก็จะล่าช้า และกินเวลานานเกินไป
ทว่าหากละทิ้งพวกเขาไว้เฉยๆ ตนก็ไม่สามารถทำได้
เพราะเชื้อไฟจะได้รับแต้มพลังวิญญาณของพวกเขา และความน่าจะเป็นในการวิวัฒนาการของมันก็จะพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
ในระหว่างที่กำลังลังเล กู่ฉิงซานก็หันไปเห็นข้อมูลบนหน้าต่างระบบเทพสงครามอย่างไม่ตั้งใจ
“ภารกิจแรก : วิหค ได้ถูกปล่อยออกมาแล้ว!”
กู่ฉิงซานชะงักไป
ขณะเดียวกันก็เกิดประกายบางอย่าง วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา
จริงสิ แต่เดิม เป็นเพราะตนรู้สึกว่า ตึก 600 ชั้นนี้มีความซับซ้อนและยุ่งยากเป็นอย่างยิ่ง และคงมีเพียงวิหคเท่านั้นที่จะสามารถละเลยทุกสิ่ง และโผบินจากตึกไปได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใด ดังนั้นมันจึงได้ถูกตั้งเป็นชื่อของภารกิจ
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องขอบคุณสมองของตน ที่ได้ตั้ง ‘วิหค’ เป็นชื่อภารกิจซะแล้ว
เขาชักดาบขุนเขาเทวะหกโลกาออกมา และค่อยๆตัดมันเป็นรูปสี่เหลี่ยมอย่างช้าๆบนพื้นดิน
แล้วปากทางเข้าในชั้นที่ 600 ก็เปิดออก
“เปิดช่องว่างทิ้งไว้แบบนั้นทำไมกัน? นั่นเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?”
ลอร่าเอ่ยถาม
“มันก็เป็นแค่การทดลองเล็กๆน้อยๆน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ ขณะเดียวกันก็มองลึกเข้าไปในหลุมบนพื้น
“ดาบของเจ้าไม่เลวเลย การที่อาวุธเย็นสามารถเจาะทำลายกำแพงของโลกได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ นับว่าเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากจริงๆ” ลอร่ากล่าวด้วยความสนใจ
กู่ฉิงซานไม่ตอบเธอ เขาแค่เพียงลอบผ่อนคลายในหัวใจ
ช่วงก่อนหน้านี้ เขาเคยถูกขัง ติดอยู่ในกับดักการคุ้มภัยของจอมมารทะเลเลือดมาแล้ว และกว่าจะออกมาได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น กู่ฉิงซานต้องแสร้งทำเป็นหลับ ไร้ซึ่งการป้องกัน แต่ด้วยการแสดงที่สมบูรณ์แบบนั้น ทำให้เขาต้องติดแหง่กไปโดยสมบูรณ์
แต่มาคราวนี้ เขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นแล้ว ตอนนี้แหละ! คือช่วงเวลาที่สามารถทำลายข้าวของได้อย่างสบายใจล่ะ!
โชคยังดีที่คราวนี้ พลังศักดิ์สิทธิ์ในการแหกกฏเกณฑ์ของดาบขุนเขาเทวะหกโลกามีผลโดยสมบูรณ์ มันสามารถตัดกำแพงของตึก 600 ชั้นนี้ได้โดยตรง และคงสภาพที่ตัดผ่านไว้ดังเดิม (ไม่เหมือนกับการแสดงผลของไพ่จอมมารคุ้มภัย ที่ตัดแล้วคงสภาพไว้ไม่ได้)
หากเป็นแบบนี้ กู่ฉิงซานคิดว่า เขาก็น่าจะสามารถลงมือตามแผนในหัวของตนได้
ซี่ ซี่ ซี่ ซี่ ~
เสียงขู่ฟ่อดังขึ้นออกมาจากช่องว่างที่กู่ฉิงซานพึ่งเปิดมัน
ภายในรังงู คลื่นความผันผวนของพลังธาตุเริ่มที่จะเกิดความโกลาหล
“นั่นมันเสียงอะไรกันน่ะ? มีอะไรอยู่ภายในนั้นหรอ?” ลอร่าถามเสียงดัง
เธอนี่ช่างเป็นเด็กสาวขี้กังวล รู้สึกตื่นตระหนกอยู่เสมอๆจริงๆ
“มันไม่เหมาะสมที่จะให้เด็กๆดูหรอกนะ” กู่ฉิงซานกล่าว
แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ลอร่ารีบยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาทันที เพื่อต้องการที่จะเห็นว่ามันคือสิ่งใด
แต่กู่ฉิงซานใช้มือหยุดมันเอาไว้ซะก่อน
“ไม่มองจะดีกว่านะ”
“ทำไมกัน?”
“เอาเถอะหน่า ไม่ต้องมองหรอก เพราะพวกมันไม่ใช่สิ่งที่สาวน้อยน่ารักควรจะให้ความสนใจเลย”
กล่าวจบ กู่ฉิงซานก็ทำการเปลี่ยนสมญาเทพสงครามของเขาเป็น ‘ไพ่ตายนักฆ่า’
“สมญา : ไพ่ตายนักฆ่า”
“เมื่อสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ : เก็บเกี่ยว(ขั้นสูง)”
“เก็บเกี่ยว(ขั้นสูง) : เมื่อใดก็ตามที่คุณสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้ในกระบวนท่าเดียว พลังวิญญาณที่สูญเสียไปในการโจมตีครั้งนั้นจะถูกฟื้นฟูกลับมาจนเต็มดังเดิม”
-ด้วยวิธีนี้ มันจะช่วยรับประกันได้ว่าพลังวิญญาณของเขาจะไม่สูญเสียไป
กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระอีกครั้ง
เห็นแค่เพียงชุดเกราะที่เต็มไปด้วยร่องรอยเสียหายบินออกมา
มันคือเกราะรบต่อสู้ของนายพลชั้นโหยวจี
ครั้งหนึ่ง เคยมีผู้คนมากมายเอ่ยถาม
—ว่าเพราะเหตุใดสีของเกราะรบนายพลจึงโดดเด่นนัก โดดเด่นถึงเพียงนี้แล้วในยามที่อยู่ในสนามรบ ในด้านความปลอดภัยของนายพลมันจะไม่เป็นปัญหาเอาหรือ?
ในเวลานั้น นางเซียนไป่ฮั่วได้ตอบกลับไปเพียงประโยคเดียว ก็สามารถหุบปากของเหล่าผู้คนทั้งหมดที่ตั้งคำถามลงได้ในทันที
“ย่อมแน่นอนว่านั่นเป็นการจงใจ เพราะมีเพียงผู้ฝึกยุทธที่แกร่งพอจะแบกรับการโจมตีจากศัตรูได้เท่านั้น จึงจะเหมาะสมที่จะสวมใส่เกราะรบชั้นนายพล”
เกราะรบพลันกระจายตัวออกทันใด แต่ละชิ้น แต่ละส่วนราวกับมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง ดูคล้ายกับปลาที่แหวกว่ายในสายธาร ชิ้นแล้วชิ้นเล่าเริ่มโคจรเข้ามาประกบติดกับส่วนต่างๆของร่างกายกู่ฉิงซาน
ชุดเกราะรบนายพลโหยวจีนี้ โดยรวมแล้วประกอบไปด้วย เกราะอก เกราะไหล่ เกราะแขน เกราะมือ เข็มขัด เกราะเข่า เกราะขา ฯลฯ แต่ละชิ้นส่วนล้วนดูเรียบง่าย มิได้รับการตกแต่งใดๆเป็นพิเศษ ทว่าภายในกลับสลักไปด้วยอักษรรูนโบราณที่ดูลึกลับซับซ้อน
แม้เกราะรบจะมีสีทองแลดูองอาจอยู่แล้ว แต่เมื่อมันถูกสวมใส่ลงโดยกู่ฉิงซาน มันกลับส่งคลื่นความผันผวนอันคงกระพันออกมาอย่างมิอาจอธิบายได้
ลอร่าประเมินชุดเกราะของเขา และเอ่ยแสดงความคิดเห็น “เป็นชุดของเล่นที่งดงามไม่เลวเลยนี่”
“ของเล่นงั้นหรือ?”
“ใช่ เกราะนี่มันเลวร้ายเกินไป มันแย่กว่าดาบของเจ้าอย่างเทียบไม่ติดเลย” ลอร่าวิจารย์จุกจิก
“แต่อย่างน้อยมันก็ยังใช้งานได้นะ”
ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ยกลอร่าลงจากไหล่ และวางเธอลงบนอกเขา
ก่อนจะหยิบเชือกยาวออกมา และเริ่มมัดลอร่าเข้ากับตนเอง
“นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?” ลอร่าเริ่มหวาดระแวง
“ที่ต้องทำแบบนี้ก็เพื่อที่ฝ่าบาทจะได้ไม่แยกจากกระหม่อมในระหว่างการต่อสู้ขั้นรุนแรงไง โปรดวางใจเถิด กระหม่อมได้ให้คำมั่นสาบานไปแล้ว ว่าจะนำพระองค์ออกไปจากที่แห่งนี้ให้จงได้” กู่ฉิงซานกล่าว
มือของเขาวูบไหวอย่างรวดเร็ว แล้วเชือกก็ผูกติดทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์
โอเคมันแน่นแล้ว ดีมาก
-ทีนี้ก็ไม่ต้องมากังวลว่าลอร่าจะตกลงกลางทางแล้ว
เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“เหตุใดเราจึงรู้สึกคล้ายว่าเจ้ากำลังมีบางสิ่งปิดซ่อนจากเราอยู่กันนะ?” ลอร่าบ่นด้วยความสงสัย
“มีซะที่ไหนกันเล่า”
กู่ฉิงซานยิ้มแหะๆ และเร่งเดินตรงไปยังขอบระเบียงของสิ่งปลูกสร้าง 600 ชั้นอย่างรวดเร็ว
“ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้น่ะ ก็เป็นแค่ฉากของวิหคที่จะโผบินก็เท่านั้นเอง”
ว่าจบ หน้ากากเงินก็ถูกสวมทับลงบนใบหน้า … เพียงเท่านี้เกราะรบชิ้นสุดท้ายก็ถูกสวมใส่โดยสมบูรณ์แล้ว
ลอร่าเหมือนจะตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เธอเริ่มตะโกนโวยวาย “ช้าก่อน เจ้าก็รู้ว่าเรากลัวความสูง ทำไมพวกเราไม่คิดหาวิธีอ — อ๊าาาาา กู่ฉิงซาน เราเกลียดเจ้า!”
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของลอร่า กู่ฉิงซานกระโดดลงจากตัวตึก
ทั้งสองร่วงตกลงมาอย่างรวดเร็ว ภายในหูอื้ออึงไปด้วยเสียงหอนของสายลมและหิมะ
พริบตาเดียวกู่ฉิงซานก็สามารถข้ามผ่านหลายสิบชั้นของตัวตึกมาได้อย่างรวดเร็ว
—ด้วยวิธีนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับมันไปทีละชั้น ทีละชั้น แถมยังประหยัดเวลาได้เป็นอย่างมากอีกด้วย
และแทบจะในทันที บนหน้าต่างเชื้อไฟ ปรากฏบรรทัดตัวอักษรกระพริบไหวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
และบรรทัดอักษรเหล่านั้นก็แปลงเป็นคำพูดในทันที
“โปรดกลับไปยังยอดบนสุดของสิ่งปลูกสร้างทันที!”
“โปรดกลับไปยังยอดบนสุดของสิ่งปลูกสร้างทันที!”
“คุณไม่สามารถกระโดดลงจากตัวสิ่งปลูกสร้างโดยตรงได้ มิฉะนั้นแล้วคุณจะไม่ได้รับรางวัลจากทริสเต้!”
“รางวัลงั้นหรอ? ฉันไม่ต้องการรางวัลหรอก” กู่ฉิงซานกล่าว
“แต่ถ้าคุณกระโดดลงมาแบบนี้ คุณก็จะไม่ได้รับแต้มพลังวิญญาณใดๆเลยนะ”
เชื้อไฟกล่าวต่อว่า “โปรดไตร่ตรองถึงปัญหานี้อย่างจริงจังด้วย เพราะหากไม่มีแต้มพลังวิญญาณ คุณก็จะไม่ได้รับอะไรเลย!!”
หากไม่มีแต้มพลังวิญญาณ …
กู่ฉิงซานนิ่งงันไม่ตอบสนองไปครู่
แล้วจู่ๆทันใดนั้นก็มีดาบปรากฏขึ้นในมือของเขา
-ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา
“ชั้นที่ 550 … อยู่ตรงนี้สินะ!” กู่ฉิงซานตะโกนเสียงต่ำ
พร้อมกับดาบที่วูบไหว
—เทคนิคลับแห่งดาบ : ฝ่าวารีเชี่ยว!
บังเกิดรังสีดาบอันไพศาล ควบแน่นจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อน พุ่งเข้าเจาะกำแพงส่วนนอกของตัวตึกอย่างรวดเร็ว
ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง!
พร้อมด้วยเสียงระเบิดปะทะที่กึกก้องราวกับฟ้าร้อง กำแพงขนาดใหญ่ด้านนอกของชั้นที่ 550 เกิดการระเบิด เปิดช่องว่างแยกออกทันใด
สายลมและหิมะหวีดหวิวเข้าไปภายใน
กู่ฉิงซานผละดาบขุนเขาเทวะหกโลกา แล้วคว้าจับดาบพิภพออกมาแทนที่
ทันใดนั้น ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็หายวับไปอย่างกระทันหัน
และเกือบจะในเวลาเดียวกัน ก็บังเกิดเสียงกรีดร้องร้ายแรงดังออกมาจากช่องกำแพงที่พึ่งถูกเปิดออก
ตามมาด้วยเสียงล้มตึงหนักทึบ ต่อด้วยเสียงโห่ร้องร่ำไห้ด้วยความปิติยินดี
หนึ่งลมหายใจต่อมา กู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งภายนอกตัวตึก
เชายังคงร่วงตกลงไป
ขณะที่เลือดบนใบดาบถูกกระแสลมเป่า พัดกระจายไปกับสายลมและหิมะ
กู่ฉิงซานกุมดาบไว้ในมือข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างโอบกอดลอร่าที่กำลังสั่นเทา
เขาหันไปกล่าวกับเชื้อไฟ “เป็นไง แค่นี้ฉันก็ได้รับแต้มพลังวิญญาณแล้วเห็นไหม”
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หนึ่งบรรทัดตัวอักษรปรากฏขึ้น
“มันมาแล้ว แต่มันไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ ดังนั้นคุณต้องแสดงให้มันเห็นว่ามีมันอยู่แค่ระบบเดียว”
หลังจากอ่านมัน กู่ฉิงซานก็ตอบกลับอย่างเงียบๆในจิตใจ “วางใจเถอะ ถ้าเป็นเรื่องการแสดงล่ะก็ เชื่อมือฉันได้เลย”
เขามองไปยังความว่างเปล่า
เห็นแค่เพียงหน้าต่างระบบเทพสงครามที่เป็นสีฟ้าอ่อนๆ ขณะที่หน้าต่างระบบเชื้อไฟเป็นสีแดงเลือดนก
ทั้งสองระบบปรากฏขึ้นพร้อมกันเบื้องหน้าเขา
นี่คือสิ่งที่ตนไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนในตลอดทั้งสองช่วงชีวิต
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีระบบหนึ่ง ที่ไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของอีกระบบหนึ่งอีกด้วย
เมื่อเวลาค่อยๆไหลผ่าน ทุกๆถ้อยตัวอักษรบนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ค่อยๆจางหายไป
แล้วบนหน้าต่างของเชื้อไฟ ก็ปรากฏตัวอักษรเด้งขึ้นมา
“เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ ได้รับการดาวโหลดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้กลายเป็นผู้เบิกทาง หรือกล่าวอีกความหมายหนึ่งว่าเป็นผู้บุกเบิกเกมๆนี้ อย่างเป็นทางการแล้วนั่นเอง”
กู่ฉิงซานแกล้งทำเป็นอ่านไม่ออก แต่กลับแสดงแววตาเปล่งประกายที่ดูตื่นเต้น “ตัวอักษรมากมายพวกนี้ มันหมายความว่ายังไงกัน?”
หน้าต่างเชื้อไฟ “ … ”
แล้วเชื้อไฟก็ค้นพบว่าตัวมันเองทำพลาดไปอีกแล้ว
ขณะเดียวกัน บนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ผุดบรรทัดตัวอักษรเด้งขึ้น “แสดงออกทางสีหน้าเวอร์เกินไปแล้ว”
กู่ฉิงซานพอโดนดุ ก็กระแอมไอแก้เขินเบาๆ แต่นั่นก็เพราะอารมณ์ความรู้สึกในจิตใจของเขามันกำลังคุกรุ่นเกินไป เลยทำให้การแสดงดูจะผิดปกติไปบ้างนั่นเอง
เขาพยายามค่อยๆผ่อนคลายสีหน้าของตัวเองลงทีละน้อย
ใช่แล้วล่ะ ก็ไม่เพียงมีสองระบบอยูในตัว แต่เขายังต้องกำจัดระบบหนึ่งออกไปด้วย นี่จึงไม่แปลกอะไรที่กู่ฉิงซานจะตึงเครียดเล็กน้อย
กู่ฉิงซานลดเสียงลง และหันไปพูดกับหน้าต่างเชื้อไฟว่า “เมื่อกี้คุณบอกว่าฉันคือผู้เบิกทาง แล้วฉันจะได้รับอะไรจากมัน?”
บนหน้าต่างเชื้อไฟ ปรากฏตัวอักษรต่างๆขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
แต่มันก็หยุดลงอย่างกระทันหัน ก่อนที่ข้อความทั้งหมดจะถูกดึงกลับไป
-นั่นเพราะเชื้อไฟตระหนักได้ว่าไอ้โง่นี่มันไม่รู้หนังสือ
ไม่นานนัก ข้อความทั้งหมดจึงถูกแทนที่ด้วยเสียง
“เริ่มจากช่วงเวลานี้ไป เชื้อไฟจะเข้ามาแทนที่ทริสเต้ และค่อยปล่อยภารกิจให้แก่คุณ”
“ถ้าอย่างงั้นแล้วฉันจะยังคงได้รับรางวัลอยู่ไหม?” กู่ฉิงซานเริ่มเผยถึงท่าทีกังวล
“แน่นอน เพราะมีเพียงผู้เข้าร่วมที่โดดเด่นที่สุดเท่านั้น ที่จะได้รับการยินยอมให้ดาวโหลดระบบ เพื่อทำการบรรลุภารกิจ ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้รับรางวัลมากยิ่งกว่าผู้เข้าร่วมคนอื่นๆนั่นเอง”
ผายลมเถอะ คนส่วนใหญ่ก็ดาวโหลดแกมาทั้งนั้นแหละ -กู่ฉิงซานแอบด่าอย่างลับๆ
เขาเอ่ยถาม “แล้วฉันควรจะทำอย่างไรต่อไป? ที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะต้องการรางวัลนะ”
“ต่อจากนี้ไป คุณจะต้องคอยเก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณในระหว่างภารกิจ เพื่อใช้แต้มพลังวิญญาณเหล่านั้นในการแลกเปลี่ยนรางวัลที่มีมูลค่าเหมาะสมกับมันจากระบบ” เชื้อไฟกล่าว
“งั้นหรอ? แล้วรางวัลที่ว่ามันมีอะไรบ้างล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
หน้าต่างเชื้อไฟสว่างขึ้น
พร้อมกับหลากหลายรางวัลอันน่าตื่นตาตื่นใจมากมาย ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างของมัน
และเนื่องจากเขาเป็นนักดาบ ดังนั้นแรกสุดในหน้าต่าง จึงเผยให้เห็นถึงรูปดาบจำนวนมากปรากฏออกมา
บอกตรงๆเลยว่าถึงแม้ตัวกู่ฉิงซานจะเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แต่หัวใจของเขาก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว
ทว่าเมื่อสายตาของเขาตกลงบนดาบไม่กี่เล่ม มันก็นิ่งค้างไป
เนื่องเพราะเขาจดจำได้ว่า ดาบพวกนี้มันคือดาบที่อยู่ในตัวเมืองเล็กๆภายในรีสอร์ทของอัลเบอัสนั่นเอง
ดาบเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วมาจากร้านขายอาวุธในเมืองนั่นแหละ
อ้างอิงจากในกรณีนี้ … เกรงว่าอัลเบอัสคงจะตกอยู่ในมือของทริสเต้ไปแล้ว
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
แต่เขายังคงเลื่อนหน้าต่างระบบ แสดงละครว่ายังคงเลือกดูของรางวัลภาพต่อๆไป
รางวัลภายในหน้าต่างระบบ มันมีทุกอย่าง ครอบคลุมไปหมดจริงๆนะ
กู่ฉิงซานไม่เพียงเห็นดอกไม้คริสตัลภูติ แต่เขายังเห็นแม้กระทั่งว่าแต้มพลังวิญญาณสามารถใช้แลกเปลี่ยนกับการเรียกใช้งานอสูรกายได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีแม้กระทั่งเทคนิคลับที่ใช้ฝึกยุทธ ซึ่งร้ายกาจชนิดที่ว่ากระทั่งตัวกู่ฉิงซานเองก็อดใจไม่ไหวที่จะครอบครองมัน
ทว่า … เจ้าสิ่งทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้ ล้วนมีราคาแพงมากเกินไป
การที่จะแลกเปลี่ยนกับรางวัลเหล่านี้ จำเป็นต้องจ่ายออกด้วยแต้มพลังวิญญาณมหาศาล
แต่ก็นั่นแหละนะ นี่แหละถึงจะเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น
ก็ขนาดตัวตนที่แข็งแกร่งอย่างกำปั้นเหล็กแบรี่หรือเสี่ยวเหมียว ทั้งสองคนก็ยังไม่สามารถหาดอกไม้คริสตัลภูติเจอได้เลย
มันหายากชนิดที่ว่าชายแก่จากสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง ถึงขั้นกระโจนเข้าโอบขาของแบรี่ เพื่อสูดดมให้แน่ใจว่านี่คือกลิ่นของดอกไม้ภูติจริงๆรึเปล่า
คนทั้งหลายที่กล่าวมา ล้วนเป็นตัวตนสุดแกร่ง แต่แท้จริงแล้วกลับยังไม่สามารถได้รับสิ่งดังกล่าวมาครอบครองได้เลย
ดังนั้นไอเท็มจำนวนมากที่อยู่บนหน้าต่างเชื้อไฟ ตราบใดมันปรากฏออกมาให้แลกเปลี่ยน และให้เวลามันมากพอสมควร ก็ย่อมต้องก่อให้เกิดการนองเลือดและสายลมที่สาบโฉ่ไปด้วยกลิ่นคาวโดยมันอย่างแน่นอน
เพราะทุกสิ่งที่แสดงอยู่ในนี้ ล้วนเป็นไอเท็มชั้นเลิศที่ทุกผู้คนเฝ้าฝันถึง
หากเป็นหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แต่ได้มาเห็นไอเท็มเหล่านี้แล้วล่ะก็ พวกเขาคงจะพยายามรวบรวมแต้มพลังวิญญาณอย่างสุดกำลังแน่ๆ
แม้จะมีบางคนเกิดความลังเลขึ้นในจิตใจ แต่คนส่วนมากก็คงจะเริ่มออกล่าสังหารอย่างไร้สติ เพื่อเก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณ นำมาแลกเปลี่ยนสมบัติกับเชื้อไฟ
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มหนักอึ้งขึ้น
เชื้อไฟครอบครองสมบัติหายากมากมาย ผู้คนที่ได้เห็นมัน ย่อมต้องตกอยู่ในความโลภ และมุ่งเป้าออกล่าสังหารผู้อื่นอย่างบ้าคลั่งเป็นแน่
และนั่นหมายความว่าแต้มพลังวิญญาณที่เชื้อไฟต้องการ ก็จะยิ่งพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
“แล้วฉันจะต้องทำยังไง ถึงจะได้รับแต้มพลังวิญญาณมา?” กู่ฉิงซานเร่งเอ่ยถาม
เชื้อไฟกล่าว “เมื่อสิ่งมีชีวิตตายลง แต้มพลังวิญญาณก็จะถูกดูดกลืนแก่คุณโดยอัตโนมัติ”
“ตายอย่างงั้นหรอ?”
“ใช่ ผู้เบิกทางเช่นคุณ จะได้รับรางวัลมากมายจากการสังหาร”
‘มาแผนนี้นี่เอง’
เชื้อไฟกล่าวต่อ “ฉันเชื่อว่านี่คงจะเป็นเรื่องคุ้นเคยสำหรับคุณ”
“หืม? นี่คุณรู้ได้อย่างไร?”
“เพราะฉันสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตมากมายที่ตายด้วยน้ำมือของคุณ มันมากเสียยิ่งกว่ามารที่แท้จริงเคยสังหารมาเสียอีก”
“คุณเป็นผู้เล่นในฐานะต้นกล้าที่โดดเด่นมาก ศักยภาพของคุณไม่เลวร้ายเลย”
“ดังนั้น ขอได้โปรดจงร่วมเดินทางไปกับฉันในตลอดทั้งหมื่นโลกา – บุกทำลายโลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้นไปด้วยกันเถอะ!”
กู่ฉิงซานตกตะลึงทันใด
มันก็จริง ที่ตนเองได้เดินอยู่ในเส้นทางแห่งการต่อสู้มาอย่างยาวนานแล้ว เขาสามารถสังหารคนได้โดยไร้ซึ่งความลังเล ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ โลกเทวะ หรือกระทั่งโลกปรภพ ตราบใดที่ตนเองลงมือ เขาไม่เคยปราณีใดๆ
อย่างในปรภพ คนตายนับ100ล้านคนก็ก็ถูกเขากวาดล้างออกไปโดยตรง
ดูเหมือนว่าเชื้อไฟจะสัมผัสได้ว่าตัวเขาถูกปกคลุมไปด้วยคาวเลือดของหลายร้อยล้านชีวิต มันจึงเลือกที่จะชักชวนเขาออกมาตรงๆแบบนี้
มันคงกำลังคิดว่าตัวเขาเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม เหมาะสมที่จะให้เข้าสู่วิถีมาร
เชื้อไฟเอ่ยต่อ “ภารกิจใหม่ถูกปล่อยออกมาแล้ว”
“ภายในสิ่งปลูกสร้างขนาด 600 ชั้นใต้ฝ่าเท้าของคุณนี้ มีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่มีสถานะต่ำต้อย ล้าหลัง ไร้ซึ่งความสามารถ พวกเขามัวเมาแต่คิดที่จะได้รับรางวัลของวิหคหนาม แต่แท้จริงแล้วพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้น ”
“ไป! จงไปฆ่าพวกเขาซะ แล้วนำแต้มพลังวิญญาณกลับมา”
“หากมีแต้มพลังวิญญาณเอาไว้ในครอบครอง คุณก็จะสามารถใช้มันแลกเปลี่ยนรางวัลกับฉันได้ตลอดเวลา!”
เมื่อกล่าวจบ เชื้อไฟก็หายไป
ในขณะเดียวกัน หน้าต่างระบบเทพสงครามก็สว่างขึ้น
นี่มันน่าสนใจจริงๆ หนึ่งฟ้าหนึ่งแดง สองหน้าต่างระบบ กำลังสลับกันสื่อสารกับกู่ฉิงซาน
“แล้วคุณจะเตรียมการรับมืออย่างไร?” ระบบเทพสงครามเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ลังเล “ถ้าเราไม่มอบแต้มพลังวิญญาณให้กับมัน มันจะสามารถฉกฉวยไปจากฉันได้หรือไม่?”
“ตราบใดที่มันอยู่กับฉัน ไอ้ระบบทารกนั่นย่อมไม่สามารถทำได้”
“งั้นก็ไม่มีปัญหา นับจากนี้ไป พวกเราก็จะฆ่าคนที่สมควรจะฆ่า และช่วยเหลือคนที่สมควรจะช่วย ไม่เก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณให้เชื้อไฟมากจนเกินไป”
และทันทีที่เขากล่าวจบ บรรทัดแสงหิ่งห้อยบนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ปรากฏขึ้นทันที
“นี่คือภารกิจต่อเนื่องของระบบเทพสงคราม”
“ภารกิจต่อเนื่องถูกเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว และคุณจำเป็นต้องทำภารกิจทั้งหมดนี้ให้สำเร็จ ป้องกันไม่ให้เชื้อไฟสามารถยกระดับ แล้วคุณจะได้รับรางวัลในท้ายที่สุด”
“เนื้อหาภารกิจแรก : ระบบได้ทำการระบุตัวเป้าหมายผู้เข้าสู่วิถีมารกให้แก่คุณแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในชั้นที่ 239”
“แล้วคนที่ว่ามันกำลังทำอะไรอยู่”
“กำลังทำตามคำร้องขอที่เชื้อไฟต้องการ”
กู่ฉิงซานพยักหน้า
ไอ้ต้องการที่ว่า คงไม่แคล้วเป็นการไล่ฆ่าคนอื่นแน่ๆ
“ฆ่าเขาซะ แล้วมุ่งหน้าลงสู่พื้นราบเบื้องล่าง และภารกิจแรกของคุณก็จะเสร็จสมบูรณ์”
“เอาล่ะ กรุณาช่วยตั้งชื่อภารกิจนี้ด้วย”
กู่ฉิงซานประหลาดใจกับคำขอนี้เล็กน้อย แต่เขาคิดไม่นานก็ตอบกลับไป “เอาเป็น ‘วิหค’ ก็แล้วกัน”
หน้าต่างระบบเทพสงครามตอบกลับทันที “ภารกิจแรก : วิหค ได้ถูกปล่อยออกมาแล้ว”
เมื่อภารกิจถูกรับมอบหมาย
บรรทัดแสงตัวอักษรบนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็หายไป
ในความว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งใด
ทั้งสองระบบตกลงสู่ความเงียบ
กู่ฉิงซานดึงดาบยาวออกมา และมองลงไปที่ประตูไม้
นับจากนี้ไป จะเป็นช่วงเวลาแห่งการต่อสู้จริงๆแล้ว!
กู่ฉิงซานกระตุ้นเทคนิคดาบ และเตรียมที่จะเปิดประตู แต่ลอร่าก็หยุดเขาเอาไว้ซะก่อน
“มีอะไรงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“นี่สำหรับเจ้า” ลอร่ากล่าว
เธอยื่นกล้องส่องทางไกลทองเหลืองให้แก่กู่ฉิงซาน
มันคือกล้องส่องทางไกลที่เธอเคยใช้มาเมื่อก่อนหน้านี้
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
กู่ฉิงซานรับกล้องมา
และบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก็ปรากฏบรรทัดตัวอักษรผุดขึ้นทันที
“กล้องเลนส์ยาว”
“ไอเท็มประหลาด”
“ฟังก์ชั่น : ปรับมุมมองที่แตกต่างกันตามระดับที่คุณต้องการ”
“หมายเหตุ : สมบัติใดๆที่มาจากดินแดนอัศจรรย์ จะได้รับฉายาเป็นของตัวมันเองโดยอัตโนมัติ”
“ส่วนฉายาที่เหนือยิ่งกว่าไอเท็มประหลาด ก็คือฉายาไอเท็มหากาพย์ และสมบัติที่หาได้ยากยิ่งกว่านั้น จะถูกเรียกว่าเป็นฉายาระดับตำนาน”
แม้ว่าคำอธิบายของกล้องส่องทางไกลนี้จะสั้นมาก แต่กู่ฉิงซานก็ราวกับถูกสั่นสะเทือนอย่างล้ำลึก
เขาเหลือบสายตาลงมองกล้องส่องทางไกลในมือของเขา
สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบและหนักอึ้ง
ตนจึงยกเลนส์ขึ้น และหรี่ตาแนบกับมันมองลงไปยังประตู
ปรากฏว่าไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆขวางกั้น กู่ฉิงซานสามารถมองเห็นถึงฉากหลังที่อยู่ภายในบานประตูได้เลยโดยตรง!
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.535 – ภารกิจระบบเทพสงคราม
ภารกิจแห่งโชคชะตาถูกยกเลิกลงอย่างกระทันหัน และกลับกลายเป็นภารกิจเทพสงครามเข้ามาแทนที่
กู่ฉิงซานจ้องมองดูหน้าต่างระบบเทพสงครามด้วยความสับสน
-ก็แล้วเจ้าสองระบบภารกิจที่ว่ามานี้ มันมีอะไรที่แตกต่างกันงั้นหรอ?
เห็นแค่เพียงในส่วนล่างของหน้าต่างระบบเทพสงคราม ไอค่อนใหม่สาดแสงสว่างขึ้นมา
ไอค่อนนี้เป็นไอค่อนที่ห้าที่สว่างขึ้นหลังจาก ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ , ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ , ‘สมญาเทพสงคราม’ และ ‘พงศาวดารวันสิ้นโลก’
แต่ที่น่าสนใจจริงๆก็คือ ไอค่อนใหม่นี้ ดูจะแตกต่างไปจากไอค่อนอื่นๆ มันเป็นไอค่อนที่มีรูปทรงคล้ายกับว่ากู่ฉิงซานกำลังถือดาบแสดงท่าทีต่อสู้อยู่
ด้วยสายตาที่มองไปของกู่ฉิงซาน บรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นบนไอค่อนทันที
“ทางเลือกใหม่ถูกสร้างขึ้น และคุณได้ทำการเลือกมัน”
“ทางเลือกใหม่ของคุณ ได้รับการยอมรับจากระบบ”
“การอัปเดต เพื่อปรับปรุงระบบให้สอดคล้องกันกับทางเลือกได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว”
“นับตั้งแต่ช่วงเวลานี้ไป วิถีดาบแห่งคุณจะกลายเป็นเหมือนกับเป้าหมายของระบบ”
“ระบบจะทำการติดตั้งความสามารถในการใช้แต้มพลังวิญญาณ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของภารกิจ คอยสนับสนุนช่วยเหลือคุณอย่างเต็มที่”
“ซึ่งในภารกิจเทพสงครามครั้งนี้ คุณจะได้รับความสามารถในการใช้แต้มพลังวิญญาณ : สั่งสมแต้มพลัง”
“สั่งสมแต้มพลัง : เมื่อใดก็ตามที่คุณสามารถเก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณได้จำนวนหนึ่ง คุณจะสามารถเลือกมาหนึ่งสกิล เพื่อเพิ่มพลังโจมตีของมันให้สูงขึ้นเป็นสองเท่าในการโจมตีครั้งถัดไป”
“และเมื่อคุณโจมตีโดยใช้ความสามารถของสั่งสมแต้มพลังไปครั้งหนึ่งแล้ว อำนาจโจมตีของสกิลดังกล่าวจะกลับคืนสู่ระดับเดิมของมันทันที”
“คำอธิบาย : การจะทำเช่นนั้น แน่นอนว่าย่อมจำเป็นต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณออกไปจำนวนหนึ่ง สกิลยิ่งทรงพลังเพียงใด ก็จะยิ่งต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณมากขึ้นเท่านั้น”
“คำอธิบายพิเศษ : ความสามารถ ‘สั่งสมแต้มพลัง’ นี้สามารถใช้ซ้อนทับกันได้”
กู่ฉิงซานมองไปยัง ‘สั่งสมแต้มพลัง’ และคำอธิบายของมัน เพียงแค่ลองขบคิดดูเล็กน้อย ก็เข้าใจได้ในที่สุด
เขาอดไม่ได้ที่จะลอบชื่นชมมันอย่างลับๆ
ต้องแบบนี้สิ ถึงจะเรียกว่าไพ่ตายที่แท้จริง!
เพราะหากเมื่อใดก็ตามที่ความสามารถ ‘สั่งสมแต้มพลัง’ อยู่ในสภาวะเตรียมพร้อม นั่นก็จะหมายความว่าคุณจะสามารถเพิ่มพลังโจมตีของสกิลที่ตนจะใช้ ให้รุนแรงยิ่งกว่าเดิมเป็น 2 เท่าได้!
จุดสำคัญที่สุดก็คือสองเท่าที่ว่านี้ ก็ยังสามารถซ้อนทับกันได้อีก! ตราบใดที่คุณสามารถสั่งสมแต้มพลังวิญญาณได้มากพอ
ในกรณีนี้ แต้มพลังที่คุณมอบมันให้กับสกิลของตนเอง จะยิ่งช่วยหนุนเสริมให้อำนาจของมันค่อยๆทวีขึ้น ทวีขึ้นจนน่าขวัญผวาอย่างหกาที่ใดเปรียบ!
แต่อย่างเดียวที่น่าเสียดายก็คงจะเป็นในการโจมตีดังกล่าว มันสามารถใช้งานได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ใช้เสร็จ สกิลก็จะกลับมามีอำนาจโจมตีปกติดังเดิม
กู่ฉิงซานเพียงคิดเกี่ยวกับมัน ก็พลันเห็นว่าเบื้องล่างหน้าต่างตรง ‘ภารกิจเทพสงคราม’ บังเกิดแสงสาดออกมา
ภารกิจแรกของเทพสงครามได้ปรากฏขึ้นแล้ว!
—นี่คือภารกิจที่ถูกสร้างขึ้นจากความปรารถนาโดยตรงของกู่ฉิงซาน!
เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดตัวอักษรสีเลือดปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“กำหนดเป้าหมายของภารกิจระบบเทพสงคราม : กำจัดเชื้อไฟ”
“สำหรับภารกิจดังกล่าว ระบบจะดำเนินคำอธิบายดังต่อไปนี้”
“นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การจุติใหม่ ที่คุณได้เผชิญหน้ากับระบบของราชามาร และถือว่าโชคดีจริงๆที่มันยังไม่กำเนิดขึ้นโดยสมบูรณ์”
“เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ยังคงอยู่แค่ในสถานะ ‘เชื้อไฟ’ (เปรียบเปรยดั่งไฟแรกแย้มที่พึ่งปะทุ ยังมิได้ลุกโชติช่วง) ซึ่งนับเป็นสถานะดั้งเดิมที่อ่อนแอที่สุดนับจากถือกำเนิด และยังไม่ได้เริ่มเปิดตัว Online ดั่งชื่อของมันอย่างเป็นทางการ”
“ยามนี้ มันต้องการที่จะรวบรวมแต้มพลังวิญญาณให้มากพอเพื่อที่จะลุกโชนขึ้น และอัพเกรดตัวเองไปยังขั้นต่อไป”
“นี่แหละคือ ‘เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ’ ล่ะ!”
“เนื่องจากประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมของคุณที่เผยออกมาในการต่อสู้ครั้งก่อนหน้านี้ เชื้อไฟจึงสามารถตรวจจับถึงคุณได้อย่างรวดเร็ว”
“มันต้องการให้คุณเก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณให้แก่ตัวมันเอง”
“แล้วคุณพอจะมีกลยุทธ์อะไรที่พอจะใช้รับมือกับเชื้อไฟบ้างไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“วิธีรับมือคือ ‘ไหลตามน้ำ’ -ระบบคิดว่าคุณควรตามคำร้องขอของเชื้อไฟ คอยรับภารกิจจากมัน ในขณะเดียวกันก็ลอบดำเนินภารกิจหลักของเราต่อไปอย่างลับๆจนกระทั่งมันเสร็จสิ้นสมบูรณ์”
“แต่โปรดจำเอาไว้ให้ดี ว่าเป้าหมายของเชื้อไฟก็คือการเก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณ และเราจะต้องไม่อนุญาตให้มันสะสมแต้มพลังวิญญาณจนมากพอได้!”
กู่ฉิงซานทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม “แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่าเชื้อไฟสามารถเก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณได้มากพอกัน?”
“เชื้อไฟก็จะอัพเกรดขึ้นเป็น ‘เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด’ และจะเปิดตัว Online อย่างเป็นทางการ”
“เมื่อนั้น โลกตลอดทั้ง 30 ล้านชั้นที่อยู่โดยรอบอัลเบอัสก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของ ‘เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด’ และถูกบังคับให้ตกเป็นทาสของมัน แม้เจ้าตัวจะไม่ยินยอมก็ตาม”
“เปลี่ยนเป็น ‘ต้นกำเนิด’ งั้นหรอ? แล้วนั่นมันจะหมายความว่ายังไงกัน?”
“ก็หมายความว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันกับในชีวิตก่อนหน้าของคุณนั่นเอง”
สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง
เขาเค้นสมองตริตรองและกล่าว “ ‘ต้นกำเนิด’ … แต่ในขณะเดียวกันมันก็ช่วยให้ทุกสิ่งมีชีวิตสามารถยกระดับ และแข็งแกร่งขึ้นได้โดยการสังหารเผ่ามารเหมือนเดิมใช่ไหม อย่างไรก็ตาม ที่ต้องแลกมาก็คือการที่สิ่งมีชีวิตทั้งมวลไม่อาจก้าวขึ้นไปถึงความแข็งแกร่งระดับสูงสุดได้ตลอดกาล”
“ไม่ถูกซะทีเดียว แม้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลจะสามารถยกระดับ แข็งแกร่งขึ้นได้โดยการล่าและสังหารเผ่ามารก็ตามที แต่ในเวลาเดียวกัน แท้จริงแล้วนั่นหมายความว่าสิ่งมีชีวิตทั้งมวลกำลังตกเป็นทาสของระบบราชามารอยู่ พลังของพวกเขาแม้จะยกระดับขึ้นได้ แต่ท้ายที่สุด มันก็จะไปไม่ถึงขั้นที่จะสามารถต่อกรกับเผ่ามารได้อยู่ดี”
-ซึ่งหากเป็นในกรณีนี้ ช่วงสุดท้ายมันก็จะกลายเป็นการสังหารหมู่ฝ่ายเดียว
เผ่ามารแม้จะล้มตายลงในตอนแรก แต่ผู้ชนะคนสุดท้าย อย่างไรก็ย่อมจะเป็นพวกมัน
กู่ฉิงซานหลับตาลง และไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “ฉันเข้าใจแล้ว”
ระบบเทพสงครามกล่าว “ดังนั้นภารกิจของพวกเราก็คือ การต่อสู้กับเชื้อไฟอย่างต่อเนื่อง สู้! สู้! สู้ต่อไปจนกระทั่งสังหารมันลงได้ในที่สุด!”
“และเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจเทพสงคราม คุณก็จะได้รับของขวัญจากระบบ”
“ของขวัญอะไร?”
“ความลับ”
กู่ฉิงซานหัวเราะ
เขาเอ่ยถามทันใด “ระบบเทพสงคราม คุณนี่มันรู้เรื่องราวอะไรมากมายจริงๆเลยนะ แถมยังเก็บงำความลับนับไม่ถ้วนเอาไว้อีกต่างหาก ตกลงแล้วคุณมาจากที่ใดกันแน่?”
ระบบกล่าว “สำหรับทุกสิ่งมีชีวิตแล้ว หากพวกเขายังเยาว์วัยและอ่อนแอเกินไป การรู้เรื่องราวเกินควร มันย่อมไม่ใช่เรื่องดีและอาจจะส่งผลให้เกิดอันตรายขึ้นได้”
กู่ฉิงซานพอได้ฟังประโยคนี้ เขาก็เห็นด้วยว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
เจ้าตัวจึงไม่คิดเอ่ยถามอะไรอีกต่อไป
ในที่สุดกู่ฉิงซานก็ถอนสายตาออกจากหน้าต่าง และมองกลับไปยังแถบที่ลอยอยู่เบื้องหน้าเขา
“ขอแสดงความยินดีด้วย คุณคือผู้โชคดีได้ถูกรับเลือกให้เป็นผู้เบิกทาง – นี่คือของขวัญจากวิหคหนาม โปรดยืนยันทำการดาวโหลดระบบด้วย”
“ยืนยัน / ปฏิเสธ”
เนื่องจากมันก็ผ่านมาสักพักแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆจากกู่ฉิงซานซักที แถบตอบโต้ก็เลยยังคงลอยอยู่ทั้งๆอย่างนั้น
และบางที เกรงว่ามันคงจะคิดว่านี่มันก็นานเกินไปแล้วนา -บรรทัดตัวอักษรเรืองแสงใหม่จึงปรากฏขึ้น
“หลังจากนี้อีก 15 วินาที ระบบเชื้อไฟจะทำการปล่อยตัวดาวโหลดให้คุณโดยอัตโนมัติ”
กู่ฉิงซานอ่านตัวอักษรเรืองแสงเหล่านั้น ในหัวใจก็เริ่มกระจ่างชัดมากขึ้น
ในชีวิตก่อนหน้านี้ โลกที่เขาอยู่ แท้จริงแล้วระบบที่เคยติดต่อสัมผัสด้วยนั่นคือ เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด
ขณะที่ ‘เชื้อไฟ’เป็นโปรแกรมรุ่นเบต้าของ ‘ต้นกำเนิด’ นั่นเอง
เพื่อที่จะอัพเกรดขึ้นเป็น ‘ต้นกำเนิด’ มันจึงได้มาเยือนเขา
กู่ฉิงซานกำดาบยาวในมือแน่นขึ้น
และเอ่ยปากอย่างไม่ลังเล “ฉันขอปฏิเสธ”
ทันใดนั้น หนึ่งเส้นแสงตัวอักษรสีขาวก็ปรากฏขึ้นทันที
“กรุณาบอกเหตุผลในการปฏิเสธด้วย”
พอเห็นแบบนี้กู่ฉิงซานก็ชะงักไป
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบโต้ อีกหนึ่งบรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นเสียก่อน
“นับจากนี้ไป หากคุณปฏิเสธการดาวโหลดระบบเชื้อไฟอย่างไม่มีเหตุผล คุณจะไม่ได้รับรางวัลใดๆของวิหคหนามอีกเลย”
“ดังนั้น โปรดอธิบายถึงเหตุผลที่คุณเลือกทำการปฏิเสธเชื้อไฟให้ดี”
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว
เดิมที ตอนแรกเขาต้องการที่จะพูดว่า ‘ไม่มีเหตุผล’ นั่นแหละ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะทำไม่ได้แล้ว
‘ทำไมอารมณ์ของเชื้อไฟมันดูเดือดๆจัง? ’
‘หรือมีคนเคยตอบแบบนี้กับมันไปแล้วกันนะ?’
—แน่นอน ว่ากู่ฉิงซานคงไม่ทราบ ว่าเป็นซูเซี่ยเอ๋อนั่นแหละที่ทำให้มันเดือดดาล เลือกตอบปฏิเสธ โดยไร้ซึ่งเหตุผลใดๆ
ดังนั้นมาคราวนี้ เชื้อมันมันเลยเกิดฉลาด คิดกลยุทธ์ออกมาเพื่อใช้รับมือกับสถานการณ์ที่ว่านี้
ส่งผลให้กู่ฉิงซานจำเป็นต้องมีเหตุผลอธิบายที่เขาปฏิเสธมัน มิฉะนั้นแล้ว เขาจะไม่สามารถดำเนินภารกิจของวิหคหนามต่อไปได้
อ่าาาา แล้วนี่ฉันควรจะบอกเหตุผลออกไปว่าอย่างไรดี?
…
สักพักหนึ่ง ในที่สุดกู่ฉิงซานก็สามารถคิดหาเหตุผลอย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้
มองไปยังบรรทัดตัวอักษรเล็กๆที่เปล่งประกายสีสันอยู่เบื้องหน้า เขาก็กล่าวออกมาว่า “พอดีว่าฉันไม่รู้หนังสือน่ะ เลยไม่ทราบว่าไอ้ที่คุณเขียนอยู่มันกำลังหมายถึงเรื่องอะไร”
แถบตัวอักษรสีขาวบังเกิดการสั่นไหวอย่างแรง
เหตุผลนี้ .. ดูเหมือนว่าจะทำให้มันอารมณ์เสียยิ่งกว่าคำที่บอกว่า ‘ไม่มีเหตุผล’ ซะอีก!
ณ จุดๆนี้ หน้าต่างระบบเทพสงครามก็ส่องสว่างขึ้นทันใด
บรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้น
“คุณสามารถทำการดาวโหลดเชื้อไฟได้”
กู่ฉิงซานขัดด้วยความกังวลทันที “แต่มันจะใช้ปร-”
“นั่นไม่สำคัญหรอก ตราบใดที่คุณไม่มอบแต้มพลังวิญญาณให้แก่มันก็พอแล้ว”
ระบบเทพสงครามอธิบายต่อ “ถ้าคุณไม่ดาวโหลดเชื้อไฟ มันจะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดคุณ”
“แสดงว่าถ้าฉันดาวโหลดมัน มันจะไม่กำจัดฉันงั้นหรอ?”
“มีผู้เข้าทดสอบกว่าหลายร้อยล้านคนทำการดาวโหลดมัน ดังนั้นเมื่อคุณยอมรับมัน มันก็จะละความสนใจ ไม่มุ่งเป้ามาที่คุณมากมายนัก”
กู่ฉิงซานย่้ำถาม “แล้วถ้าโหลด นี่จะส่งผลกระทบอะไรต่อคุณรึเปล่า?”
“มันก็แค่ทารกแรกเกิด ฉันไม่กลัวมันหรอก”
แม้ระบบเทพสงครามจะกล่าวเพียงไม่กี่คำ แต่กลิ่นอายและความหนักแน่นของประโยคดังกล่าวถึงขั้นทำให้แผ่นหลังของกู่ฉิงซานดีดตั้งตรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เขาเร่งตะโกนบอกแถบบรรทัดตัวอักษรสีขาวเล็กๆในอากาศทันที “โปรดรอก่อน!”
แถบตัวอักษรสีขาวเดิมทีกำลังล่าถอยออกไป ได้ถูกดึงกลับมาด้วยเสียงเรียกของเขาทันที
ทว่าตัวอักษรสีขาวทั้งหมดกลับหายไป และเหลือทิ้งไว้เพียงเครื่องหมาย ‘?’ ตัวโตๆปรากฏขึ้นในอากาศเท่านั้น
กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ทำไมทัศนคติของคุณถึงได้แย่แบบนี้ ฉันก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้หนังสือ ทำไมถึงรีบจากไปทั้งๆที่ยังคุยกันไม่จบกัน?”
เครื่องหมาย ‘?’ เริ่มสั่นไหวอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่ามันเองก็ไม่เคยพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน
เชื้อไฟกลายเป็นโง่งม มิอาจตอบสนองได้ชั่วครู่
กู่ฉิงซานจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “ทำไมคุณถึงไม่ใช้เสียงของคุณพูดล่ะ?”
เครื่องหมาย ‘?’ ได้หายไปทันที
พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น “ขอแสดงความยินดีด้วย คุณคือผู้โชคดีได้ถูกรับเลือกให้เป็นผู้เบิกทาง – นี่คือของขวัญจากวิหคหนาม โปรดยืนยันทำการดาวโหลดระบบด้วย”
“ยืนยัน!”
ด้วยตัวเลือกของกู่ฉิงซาน คล้ายกับเหมือนจะมีบางสิ่งเกิดขึ้น
เขาจ้องมองไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าเขา
ในส่วนของหน้าต่างระบบเทพสงครามได้สาดแสงสีน้ำเงินโปร่งใสขึ้น เพื้อลดพื้นที่ของตัวหน้าต่างลง
ขณะที่มีหน้าต่างสีแดงปรากฏขึ้นอยู่เคียงข้างกับมัน
ซึ่งหน้าต่างใหม่ที่ปรากฏนี้บอกตรงๆว่าดูง่อยมาก กล่าวได้ว่ามันช่างเป็นหน้าต่างสถานะที่หยาบกระด้างโดยแท้
หน้าตาของมัน ห่างไกลจาก เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ต้นกำเนิด ในชีวิตก่อนหน้าอย่างเทียบไม่ติด
แต่อย่างน้อยนี่ก็พอพิสูจน์ได้เหมือนกัน ว่าเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ยังคงไม่ได้เริ่มเปิดตัวขึ้น
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏหนึ่งบรรทัดตัวอักษร
“มันถูกดาวโหลดเรียบร้อยแล้ว แต่มันยังไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ ดังนั้นคุณจะต้องรับหน้าที่แสดงให้มันรู้สึกว่ามีตัวมันเองอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นนะ เข้าใจไหม?”
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.534 – เพื่อความยุติธรรม
กู่ฉิงซานกกวาดสายตาอ่านบรรทัดแสงตัวอักษรบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงัน ลืมหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง
เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online!
ถ้าแม้ว่ามันจะมีสถานะเป็นแค่ ‘เชื้อไฟ’ แต่ในชีวิตนี้ ที่สุดแล้วตนเองก็พบเจอกับมันอีกครั้งจนได้!
ดูเหมือนว่าเพื่อเป็นการแจ้งเตือนให้รอบคอบและระมัดระวัง บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดแสงตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้มันถูกย้อมไปด้วยสีเลือด
“คำเตือนพิเศษ : ระบบเทพสงครามเริ่มสัมผัสได้ถึง ‘เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ’ !”
ทันทีหลังจากนั้น เส้นแสงสีเลือดบรรทัดต่อไปก็เด้งออกมา
“เชื้อไฟได้ตรวจพบถึงตัวตนของคุณที่พึ่งเข้าร่วมภารกิจของทริสเต้ ที่มาทีหลังคนอื่นๆแล้ว”
“คุณได้เข้ามาในเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online -ระบบของเชื้อไฟกำลังเริ่มทำการประมวลผล”
“มันสายเกินไปแล้วที่จะถอนตัวออกจากโลกใบนี้ ดังนั้นช่วยแกล้งทำเป็นไม่ตระหนักถึงมันสักครู่หนึ่งด้วย เพื่อระบบเทพสงครามจะได้ทำการวิเคราะห์สถานการณ์ว่าสมควรทำอย่างไรต่อไป”
กู่ฉิงซานที่พึ่งอ่านบรรทัดนี้จบ และก่อนที่เขาจะทันได้ลงมือทำอะไร เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของเขา
-เป็นเสียงการเรียกขานของวิหคหนาม
นี่คือเสียงที่คอยรับหน้าที่อธิบายถึงภารกิจของวิหคหนาม นับตั้งแต่ที่เขาเข้ามายังโลกใบนี้
“อ้างอิงจากตำแหน่งของคุณ ทิศทางในภารกิจต่อไปได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว”
มันยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงโทนเดิม ที่ไม่แตกต่างไปจากในภารกิจแรกเลย
“โปรดมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นระยะทาง 63 กิโลเมตร แล้วคุณจะได้รับภารกิจต่อไป”
กู่ฉิงซานเริ่มกังวลเล็กน้อย
เนื่องเพราะเวลานี้ ไม่เพียงมีระบบเทพสงครามผุดแจ้งเตือนขึ้นมา แต่ภารกิจของทริสเต้ก็ปรากฏขึ้นมาอีกแล้วเช่นกัน
สถานการณ์ได้พัฒนาขึ้นไปเกินกว่าความคาดหวังเดิมของเขา
ทุกอย่างเต็มไปด้วยตัวแปรที่ไม่รู้จัก
แม้เบื้องหลังเวลานี้จะดูเหมือนกำลังสงบ ทว่ามันกลับซ่อนสถานการณ์ที่อันตรายสุดหยั่งถึง ร้ายแรงที่สุดเลยนับตั้งแต่ที่เขาได้กลับมาจุติใหม่
และภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มันก็สายเกินไปแล้วที่จะถอนตัว
กู่ฉิงซานส่ายหัว
—เพราะแม้ว่าเขาจะสามารถถอนตัวได้ทัน แต่ตนคงไม่คิดจะทำแบบนั้นอย่างแน่นอน
เพื่อที่จะค้นหาร่องรอยของซูเซี่ยเอ๋อ เขาจะต้องมุ่งหน้า ปฏิบัติตามเส้นทางภารกิจของทริสเต้ต่อไป!
“ไปกันเถอะ”
กู่ฉิงซานกล่าว
“ก็ไปสิ ว่าแต่ทำไมท่าทีของเจ้าถึงได้ดูกังวลจัง?” ลอร่าถาม
“พอดีว่ามันมีบางสิ่งบางอย่างที่เกินความคาดหมายของกระหม่อมไปนิดๆหน่อยๆเกิดขึ้นน่ะ”
ว่าแล้วร่างของทั้งสองก็เห็นแค่เพียงเงา กระโจนข้ามผ่านผาชัน และมุ่งตรงไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่มีเพียงทุ่งน้ำแข็งไกลออกไปสุดสายตารอคอยอยู่เบื้องหน้า
แม้จะเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกล แต่นั่นมันสำหรับมนุษย์ธรรมดาๆเท่านั้น เพราะเพียงไม่นาน กู่ฉิงซานก็ได้มาถึงสถานที่เป้าหมายในที่สุด
เบื้องหน้าเขากับลอร่า มันเป็นดินแดนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันหนา
ไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือจิตสัมผัสเทวะ ก็มิอาจเจาะเข้าไปภายในนั้นได้
กู่ฉิงซานยืนอยู่ตรงขอบที่ขวางกั้นไปด้วยหมอกหนา ปากเอ่ยถามลอร่า “ฝ่าบาทเคยเห็นสถานที่เช่นนี้มาก่อนหรือไม่?”
“อื้ม นี่มันเป็นโลกที่ถูกสร้างขึ้นในมิติอื่นๆน่ะ”
ลอร่าลองสัมผัสถึงมัน และบอกเขา
มองไปยังท่าทีงงงวยที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกู่ฉิงซาน เธอจึงอธิบายต่อว่า “ในบางช่องว่างมิติอื่นๆ มันยังคงมีโลกอีกมากมายที่ยังคงไม่เคยถูกค้นพบ ซึ่งโลกเหล่านี้เดิมทีอยู่ในดินแดนอัศจรรย์ นอกเหนือไปจากสิ่งมีชีวิตในดินแดนอัศจรรย์แล้ว สิ่งมีชีวิตจากดินแดนอื่นๆนับว่ามีโอกาสน้อยนักที่จะได้เห็นโลกแบบนี้”
“ถ้าอย่างนั้น โลกเหล่านั้นก็อยู่ในสถานะของหมอกสีเทางั้นหรือ?”
“เปล่า หมอกสีเทาเป็นเทคนิคมนตราของทริสเต้ มีไว้เพื่อคุ้มครองให้โลกใบนี้ปลอดภัย และหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับโลกภายนอก”
“ความขัดแย้ง?”
“ใช่ หากโลกหนึ่งซ้อนทับกันอยู่ในอีกโลกหนึ่ง มันจะเกิดการปฏิเสธซึ่งกันและกัน และเกิดการขัดแย้งบางอย่างขึ้น”
ลอร่าถอนหายใจและกล่าวต่อ “แต่ไม่คาดคิดเลยว่าในโลกของเอสเต้ จะยังมีโลกอื่นในดินแดนอัศจรรย์ถูกเก็บซ่อนเอาไว้อยู่อีก”
ขณะที่ทั้งสองกำลังกล่าว การเรียกขานของวิหคหนามก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ภารกิจใหม่ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว”
“ตอนนี้ คุณได้รับการยอมรับว่ามีคุณสมบัติมากพอที่จะช่วยแก้ไขปัญหาของทริสเต้”
“ภายในหมอกสีเทานี้ มีสิ่งปลูกสร้างที่สูงกว่า 600 ชั้นตั้งอยู่”
ฟู่วววว!
พร้อมกันกับเสียงนี้ ร่างของกู่ฉิงซานก็ถูกยกสูงขึ้น
สายลมหวิวพัดพาเขา ยกทั้งคนทั้งร่างและพื้นหิมะและน้ำแข็งรอบตัว ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นหลายสิบลมหายใจ การลอยตัวในแนวตั้งก็หยุดลง และเริ่มโฉบไปในแนวขนาน มุ่งตรงไปยังทิศทางหนึ่งบนท้องฟ้า
ตัวเขาพุ่งผ่านชั้นหมอกเมฆหนา และในที่สุดก็ร่างของตนก็เริ่มต้องกับแสงอาทิตย์อีกครั้ง
กู่ฉิงซานก้มลงดู
และพบว่าชั้นน้ำแข็งใต้ฝ่าเท้าของเขาเริ่มละลาย มันจึงค่อนข้างลื่น ทำให้การที่เขาจะเคลื่อนไหวไปในแต่ละก้าว มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย
แต่โชคยังดีที่พื้นน้ำแข็งยังคงบินไปอย่างต่อเนื่อง มันรองรับกู่ฉิงซาน พาบินเข้าไปท่ามกลางหมอกสีเทา
หมอกปิดกั้นสายตาอยู่เพียงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ช้าทิวทัศน์อันคับแคบก็เริ่มเปิดกว้างขึ้น
กู่ฉิงซานเห็นแค่เพียงตึกสูง 600 ชั้น
มันเป็นอาคารสูงตระหง่านที่ดูแปลกตา เกินกว่าจะจินตนาการได้ หากมองจากภายนอก
อย่างเช่น มีอยู่ชั้นหนึ่งที่ตลอดทั้งชั้นประกอบขึ้นมาจากไม้ คล้ายกับสิ่งปลูกสร้างสมัยโบราณ เพียงเพ่งมอง ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายลึกลับและทรงเสน่ห์ของมัน
ขณะที่สิ่งปลูกสร้างอื่นๆอีกหลายสิบชั้น บ้างก็ประกอบขึ้นมาจากเหล็ก บ้างก็มาจากโลหะผสมแต่ขณะเดียวกันมันกลับมีภาพโฮโลแกรมแสดงผลข้อมูลต่างๆออกมาอย่างน่าฉงน
ส่วนบางชั้นก็ดูมีลักษณะคล้ายกันกับปราสาท
นอกจากนี้ยังมีที่ทั่วทั้งชั้นก่อขึ้นมาจากอิฐและกระเบื้อง บ้างบนพื้นปูไปด้วยน้ำแข็ง , อัญมณี และทองคำสลับๆกันไป
และมันเป็นแบบนี้เรียงยาวๆกันไปกว่า 600 ชั้น ดังนั้น เพียงแค่รูปลักษณ์ที่ปรากฏออกมา ก็ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกตื่นตา ประทับใจตั้งแต่แรกพบ
“ทำไมเจ้าตึกนี่มันถึงได้ดูประหลาดนัก?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ไม่ใช่แค่ตึก แต่มันคือโลก” ลอร่ากล่าว
เธอกำไหล่ของกู่ฉิงซานแน่น
กู่ฉิงซาน “ทำไมหรือ เกิดอะไรขึ้น?”
ลอร่า “เปล่าหรอก เราแค่รู้สึกกลัวความสูงนิดหน่อยน่ะ”
กู่ฉิงซานจึงโอมเธอไว้ในอ้อมแขน ทะยานตัวออกจากพื้นน้ำแข็ง และไปร่อนตกลงบนตึก 600 ชั้น
เขายืนอยู่บนขอบของยอดตึกสูง และหันไปสำรวจรอบๆ
มองไกลออกไป เป็นท้องฟ้าอันไร้ที่สิ้นสุด
อาาา แสงแดดแบบนี้กำลังดีเลย
แต่น่าเสียดาย ที่มันดันเป็นโลกเพชฌฆาต มีแต่การฆ่าล้างกันไปซะได้
ระบบราชามาร ซุกซ่อนอยู่ที่นี่
แต่น่ากลัวว่าเพียงเพราะมันระบบเดียว คงมิแคล้วก่อให้เกิดเลือดสดๆของสิ่งมีชีวิตนับสิบล้าน ร้อยล้านเอ่อนองเป็นสายธารเป็นแน่
“เข้าไปข้างในอีกหน่อยเถอะ เราไม่อยากอยู่ตรงขอบๆแบบนี้เลย มันน่ากลัว”
ลอร่ากล่าว
กู่ฉิงซานเลยตามใจเธอ เดินกลับเข้าไปที่ใจกลางของยอดหลังคาตึก
ลอร่าจึงค่อยกระโดดออกจากอ้อมแขนเขา กลับมานั่งลงบนไหล่ดังเดิม
ในขณะนั้นเอง เสียงประกาศเดิมก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เริ่มอธิบายภารกิจ”
“ภารกิจนี้ง่ายดายมาก ขอแค่คุณสามารถข้ามผ่านตลอดทั้ง 600 ชั้น ลงไปจนถึงภาคพื้นดินได้ แค่นี้ก็นับว่าเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว”
“คำเตือน คุณไม่สามารถเลือกที่จะบินลงมาจากภายนอกอาคารเลยโดยตรงได้ หากกระทำการอันดูเกียจคร้าน หย่อนหยานเช่นนั้น -คุณก็จะถูกปฏิเสธ ให้ไม่ได้รับของรางวัลจากทริสเต้”
“ภารกิจได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว”
ว่าจบ เสียงนั้นก็หายไป
ขณะเดียวกัน ใต้ฝ่าเท้าของกู่ฉิงซาน ก็ผุดบานประตูไม้ปรากฏขึ้น
บนบานประตูไม้ มีเลขเขียนเอาไว้ว่า : 600
นี่ดูเหมือนว่าเขาจะต้องผ่านประตูลงไป ทีละชั้นๆ
–สงสัยจังว่าถ้ามีลิฟต์ติดตั้งเอาไว้ด้วย ภารกิจในครั้งนี้คงจะรวดเร็วกว่านี้ไม่น้อยเลย
กู่ฉิงซานลองคิดขำๆ เขากำดาบพิภพในมือแล้วกำลังเตรียมที่จะเปิดประตูลงไป
ติ๊งต่อง!
ทว่าทันนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงอันคมชัดขึ้น
หลายตัวอักษรขนาดเล็กสีขาวปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
“ขอแสดงความยินดีด้วย คุณคือผู้โชคดีได้ถูกรับเลือกให้เป็นผู้เบิกทาง – นี่คือของขวัญจากวิหคหนาม โปรดยืนยันทำการดาวโหลดระบบด้วย”
ทันใดนั้นแถบตัวเลือกก็ปรากฏขึ้นมา
“ยืนยัน / ปฏิเสธ”
-นี่เป็นตัวเลือกเดียวกันกับที่ซูเซี่ยเอ๋อพบเจอมาก่อนหน้านี้
แม้ระบบเทพสงครามจะบอกแล้วว่า‘เชื้อไฟ’ได้ตรวจพบเขา แต่นี่มันกลับถึงขั้นสามารถเชื่อมต่อกู่ฉิงซานเลยตรงๆ โดยไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนใดๆล่วงหน้าเลย
กู่ฉิงซานมองไปยังแถบตัวเลือกนี้ ในจิตใจลอบหัวเราะออกมาทันที
ไอ้นี่น่ะหรอคือเชื้อไฟที่ว่า?
หรืออีกชื่อนึงมันก็คือเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online สินะ?
แต่กระบวนการของมันดูจะไม่เหมือนกับในช่วงชีวิตก่อนหน้า …
“แต่ส่งคำล่อลวงใจง่อยๆแบบนี้มา .. มันจะไม่เป็นการดูถูกฉันเกินไปหน่อยหรอ?”
กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ
ในขณะนั้นเอง บนหน้าต่างระบบเทพสงครามที่เงียบไปครู่หนึ่ง ก็เด้งตัวอักษรขนาดเล็กสีเลือดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“จงระวัง!”
“เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ ได้มาเยือนแล้ว!”
“แต่ระบบเทพสงครามก็ได้ทำการตัดสินใจวางกลยุทธ์ที่ครอบคลุมไว้แล้วเช่นกัน”
“โปรดทำการเลือกมัน และจดจำเอาไว้ด้วยว่า การตัดสินใจนี้ จะเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์ของคุณไปตลอดกาล”
“ทางเลือกแรก : ละทิ้งภารกิจ เลือกที่จะหาที่หลบซ่อนตัว ยามเมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้นในอีกสองวัน ระบบจะส่งคุณกลับไป และโชคชะตาของคุณก็จะเป็นดั่งที่ซูเซี่ยเอ๋อเคยทำนายเอาไว้ -ว่าในอีกไม่กี่ปี คุณจะกลายเป็นตัวตนทรงพลานุภาพ สามารถระเบิดอำนาจระบือไกลไปตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น”
“ทางเลือกที่สอง : ตามหาซูเซี่ยเอ๋อ พยายามช่วยชีวิตเธอแล้วค่อยจากไป ซึ่งในกรณีนี้ โชคชะตาอันข่มขื่นที่ซูเซี่ยเอ๋อแบกรับจะกลับคืนมาสู่คุณอีกครั้ง และนับตั้งแต่นั้นไป ในอนาคต เป็นไปได้มากทีเดียว ที่ชะตากรรมของคุณก็จะพบเผชิญกับความเสี่ยงและอันตรายนานับไม่ถ้วน”
“คำเตือนพิเศษ!”
“นี่คือทางเลือกที่หากเลือกแล้ว จะไม่สามารถย้อนกลับได้”
“เนื่องจากสงครามเต็มรูปแบบกำลังจะปะทุขึ้นในเร็วๆนี้ ดังนั้นเมื่อคุณได้ตัดสินใจเลือกแล้ว ระบบเทพสงครามก็จะมุ่งมั่นทำการปรับสมดุลและกลยุทธ์ของตนเองให้เหมาะสม สอดคล้องกับทางเลือกนั้นๆ”
“ได้โปรดช่วยพิจารณาเกี่ยวกับมันอย่างจริงจังและตัดสินใจอย่างรอบคอบด้วย”
กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านตัวเลือกทั้งสองและจมลงสู่ความเงียบ
แล้วฉันจะเลือกข้อไหนดี?
ดูเหมือนว่าสมควรที่จะเลือกข้อที่สองนะ
แต่ตัวเลือกนี้ ยามเมื่อมองมัน กลับส่งผลให้กู่ฉิงซานรู้สึกไม่สบายใจอย่างที่มิอาจอธิบายได้
เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
“ระบบเทพสงคราม คุณพอจะช่วยสร้างทางเลือกใหม่ให้ฉันอีกสักครั้งได้รึเปล่า?” เขาเอ่ยถามอย่างเงียบๆในจิตใจ
ติ๊ง!
บังเกิดเสียงอันคมชัด ระบบเทพสงครามตอบกลับ “มีเพียงสองทางเลือกนี้ ที่ระบบสามารถรับประกันได้ว่ามันเป็นตัวเลือกที่ดี และเหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์ในปัจจุบัน”
“อ้อ ฟังจากที่บอกมา นั่นหมายความว่ายังพอที่จะสามารถสร้างทางเลือกอื่นขึ้นมาได้อีกสินะ งั้นฉันขอเพิ่มเข้าไปอีกสักทางก็แล้วกัน”
“ทางเลือกอื่นที่คุณต้องการคืออะไร?” ระบบถาม
“ฉันต้องการที่จะกำจัดเชื้อไฟ”
กู่ฉิงซานลองไตร่ตรองดูเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ “ใช่แล้วล่ะ นี่ต่างหากคือทางเลือกที่ดีที่สุด มันเหมือนกับเป็นการขว้างหินก้อนเดียว ฆ่านกได้สองตัว ตราบใดที่ฉันกำจัดเชื้อไฟได้ ซูเซี่ยเอ๋อก็จะปลอดภัย อย่าลืมสิ ว่าในชีวิตก่อนหน้า เจ้าเกมๆนี้มันยังมีหนี้แค้นกับฉันอยู่อีกนะ”
ระบบเทพสงครามอธิบาย “ในการประเมินเชิงกลยุทธ์ของระบบ ทางเลือกดังกล่าวนับว่ายากเย็นที่สุดที่จะบรรลุ และคุณจะตายโดยไม่ทันได้ระวัง ไม่อย่างนั้นก็จะเข้าสู่วิถีมารอย่างง่ายดาย”
“แล้วจากการประเมินของคุณ มีความหวังที่ฉันจะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้รึเปล่า?”
“ย่อมมี … แต่มันน้อยนิดเหลือเกิน”
“แต่นั่นก็ยังนับว่าเป็นความหวัง” กู่ฉิงซานกล่าว “และหากยังคงมีความหวัง ฉันก็จะคว้าโอกาสนั่น แล้วกำจัดมันซะ!”
ระบบถึงกับเงียบไปครู่หนึ่ง จึงค่อยเอ่ยถาม “จริงๆแล้วคุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย เพราะอะไรถึงยืนกรานที่จะเลือกทางดังกล่าว?”
“เพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องทำน่ะสิ”
“ต้องทำอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่”
กู่ฉิงซานพูดจบก็สูดหายใจลึก
เขาเหม่อมองไปในความว่างเปล่า คล้ายกับกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์บางอย่าง
ในช่วงเวลานั้นเอง ดวงตาของเขาก็ข้ามผ่านห้วงกาลเวลา มองย้อนกลับไปยังช่วงอดีต
ผู้คนที่คอยติดตามและยืนหยัดร่วมต่อสู้เคียงข้างกันกับเขา …
ผู้ที่มองไม่เห็นซึ่งความหวัง และร่ำไห้อยู่ท่ามกลางความมืดมิด …
ผู้ที่ก้าวเดินไปด้วยกันกับเขาตลอดทั้งเส้นทาง และในท้ายที่สุดก็ต้องแยกจากกันไป …
“ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นเด็กกำพร้า แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวเลยในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตก่อนหน้า”
น้ำเสียงของกู่ฉิงซานต่ำลง แต่ขณะเดียวกันมันก็ฟังดูเด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
“ตั้งแต่จุติใหม่อีกครั้ง ฉันก็ตระหนักอยู่เสมอมา ว่าชีวิตนี้ของฉันไม่ได้มีไว้เพื่อตัวเองอีกต่อไป”
“หากเรื่องเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง และคุณก็รู้ดีว่าอย่างไรก็ต้องเผชิญกับมัน ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ สู้เอาเวลาไปคิดหาวิธีการและลงมือเอาชนะมันให้จงได้ซะไม่ดีกว่าเหรอ!”
“ใช่แล้วล่ะ ฉันต้องการที่จะไขว่คว้าความยุติธรรม แล้วนำมันมามอบให้แก่เหล่าสหายทุกๆคนที่เคยได้ร่วมเป็นร่วมตายกันมา กลับคืนดังเดิม”
หลังจากที่เอ่ยกับตัวเอง เขาก็ถอนหายใจยาวและกล่าวต่อ “ดังนั้น คุณช่วยเพิ่มตัวเลือกอื่นให้ฉันเถอะ นั่นแหละคือวิธีที่ฉันจะสามารถต่อสู้ได้เด็ดขาด ไร้ความกังวลใดๆ”
“แต่ถ้าคุณไม่สามารถเพิ่มทางเลือกอื่นได้แล้วล่ะก็ …”
“ฉันคงต้องละทิ้งมันทั้งสองทางเลือก และออกไปเผชิญหน้ากับเชื้อไฟด้วยตนเองโดยลำพัง!”
“และแน่นอนว่าจะทุ่มสุดกำลัง!”
ระบบพอได้ฟังก็เงียบไป
มันเงียบไปนานกว่าปกติเลยทีเดียว
แต่ทันใดนั้นเอง บรรทัดเส้นแสง ที่ร้อยเรียงไปด้วยตัวอักษรสีเลือดก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงครามอีกครั้ง
“คุณเป็นบุรุษที่เลือดในตัว ลุกโชนไปด้วยประกายแห่งการต่อสู้อย่างแท้จริง การตัดสินใจของคุณได้ทำลายห่วงโซ่แห่งโชคชะตา ไม่ว่าผลลัพธ์ของมันจะนำไปสู่ความตายหรือไม่ก็ตามที –แต่เวลานี้ อย่างไรเสียก็นับได้ว่าคุณคือคนที่คู่ควรกับสมญาเทพสงครามอย่างแท้จริง!”
“ทางเลือกของคุณได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าคุณเหมาะสมกับสมญาเทพสงคราม”
“เมื่อครู่ ระบบได้ทำการปรับปรุงกลยุทธ์ที่สอดคล้องจนเสร็จสิ้นแล้ว”
“นับตั้งแต่วันนี้ไป ‘ภารกิจแห่งโชคชะตา’ จะถูกยกเลิก”
“อีกสามวินาทีต่อจากนี้ ระบบจะเริ่มทำการอัปเดตใหม่”
3
2
1
“ ‘ภารกิจระบบเทพสงคราม’ ได้เปิด Online ขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว!!!”
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.533 – เหมันต์ยามค่ำ
บนพื้นน้ำแข็ง
ท่ามกลางพายุหิมะร้องหวีดหวิว
ทว่ากลับเกิดปรากฏการณ์น่าฉงน ที่จู่ๆก็มีแสงสว่างจ้าส่วนหนึ่ง ลุกโชนขึ้น ทะยานไปเชื่อมต่อกับท้องฟ้า
กู่ฉิงซานกับลอร่ายืนอยู่ตรงขอบหน้าผา เฝ้ารอการประกาศภารกิจเสร็จสิ้น
“ทำไมพวกเราถึงยังไม่ได้รับการตัดสินว่าบรรลุภารกิจแล้วซักที?” กู่ฉิงซานบ่น
“อย่าพึ่งกังวลไป ปกติแล้วก็มักจะใช้เวลาสักครู่หนึ่งแบบนี้แหละ” ลอร่ากล่าว
ขณะที่กำลังสนทนากัน ทั้งสองก็เหมือนกับจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จึงหุบปากลงพร้อมกัน
มองไปยังละรอกคลื่นของลาวาที่กำลังกระเพื่อมอยู่เบื้องล่าง
ปรากฏสิ่งแปลกปลอมบางอย่างลอยอยู่บนผิวธารกระแสลาวา
มันแลคล้ายกับโคนต้นสนขนาดใหญ่ มองลงไปจากมุมสูงจะดูเหมือนกับเรือขนาดเล็กที่สามารถนั่งลงได้ราวๆ 3-5คน
ท่ามกลางการหลอมละลายของลาวา ผิวของโคนต้นสนค่อยๆถูกกระเทาะออก และเผยให้เห็นถึงเนื้อในซึ่งเป็นชั้นผิวที่ดูแสนจะลึกลับ
เหมือนว่าเดิมที ชั้นผิวขนาดใหญ่นี้จะถูกซุกซ่อนตัวอยู่ในก้นบึ้งเบื้องล่างของหุบเหวลึก และถูกเก็บไว้โดยปีศาจหิมะนับไม่ถ้วน
หากมิใช่เพราะปืนในตำนานอย่างหงสาคำรนฟีเนียส ที่พึ่งสำแดงอำนาจ ระเบิดเปลวเพลิงหลอมละลายไปตลอดทั้งหุบเหวที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ลึกลงจนสุดก้นบึ้ง เกรงว่าทั้งสองก็คงจะไม่ได้ค้นพบกับผลไม้ชิ้นนี้
“นั่นมันบ้าอะไรกันน่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยปากออกมา
“มันคือผลไม้แช่แข็ง” ลอร่าตอบด้วยสีหน้าแปลกๆ “เป็นผลไม้ของต้นไม้สมบัติในดินแดนอัศจรรย์ มันมักจะชอบซ่อนตัวอยู่ในสถานที่เย็นฉ่ำ มีความสามารถในการแยกกลิ่นอายของตัวเอง เพื่อป้องกันการถูกค้นหา และจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของมันก็คือ กลัวอุณหภูมิสูง”
“งั้นก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันลอยขึ้นมา” กู่ฉิงซานพยักหน้า
นี่คงจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ หากมิใช่เพราะปืนพกกระบอกนั้น ผลไม้นี้คงจะสามารถซ่อนตัวเองอยู่ได้ตลอดไป
ขณะพูดคุยกัน เขาและเธอก็เห็นว่าผลไม้ค่อยๆปริออกท่ามกลางลาวา
ผิวของมันปรากฏรอยร้าวเป็นชั้นๆ
เป๊าะ!
บังเกิดเสียงกระเทาะดังขึ้น
ผลไม้ก็แตกออกเป็นชิ้นๆโดยสมบูรณ์
แล้วขนนกที่ดูคล้ายกับผลึกน้ำแข็งใส คอยส่งกลิ่นอายเย็นเยียบ ซุกซ่อนตนอยู่ภายในผลไม้ ก็ปรากฏออกมาสู่สายตาของทั้งสอง
มันถูกรองรับเอาไว้ด้วยชิ้นส่วนของเปลือกผลไม้ที่แตกออก ส่งผลให้ขนนกยังมิได้สัมผัสเข้ากับลาวาเดือดตรงๆ
แต่ทันทีที่ขนนกนี้ปรากฏขึ้น ธารลาวาโดยรอบก็มอดดับลงทันที
กระแสลาวาโดยรอบแปรสภาพเป็นแผ่นหินสีดำขนาดใหญ่ ทอดยาวออกไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ขนนกผลึกน้ำแข็งนี้ต้องเผชิญ มันคือตลอดทั้งทะเลสาบลาวา ดังนั้นแม้มันจะทรงพลัง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เพียงพอที่จะต่อกร
ขนนกเริ่มสั่นสะท้าน
ทันใดนั้นชั้นผิวของขนนกผลึกน้ำแข็งก็สาดชั้นรังสีแสงออกมา
ใบหน้าของลอร่าแปรเปลี่ยนกลับกลาย
นั่นเป็นเพราะเธอรู้จักเจ้าของขนนกนี้!
“รีบไปนำมันมาเร็วเข้า!” ลอร่ากรีดร้องเสียงดัง
“เข้าใจแล้ว”
กู่ฉิงซานจีบออกด้วยวิชาลับ ก้าวตรงไปสุดขอบหน้าผา แล้วเอื้อมมือออกไป
ขนนกผลึกน้ำแข็งบินเข้ามาในมือของเขาทันที
เย็นจัง!
ทันทีที่สัมผัสโดนมือ ชั้นน้ำแข็งบางๆก็เริ่มกัดกิน ลามไปตามนิ้ว ลากยาวแผ่ขยายไปทั่วแขนของกู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว
เขาจึงเร่งกระตุ้นพลังวิญญาณเพื่อระงับการรุกล้ำของพลังเยือกแข็งนี้เอาไว้ชั่วคราว
ปกติแล้วพลังธาตุน้ำแข็งระดับนี้ มันไม่สมควรที่จะสามารถคุกคามใดๆแก่เขาได้
แต่นี่มันเป็นเพียงแค่ขนนก ทว่ากลับครอบครองพลังอำนาจถึงขนาดนี้ได้นี่มัน … ภายใต้การตริตรองอย่างรอบครอบ ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะบังเกิดความสงสัย
กู่ฉิงซานหรี่ตาลง เพ่งมองขนนกผลึกน้ำแข็งอย่างระมัดระวัง
เห็นแค่เพียงรอยเลือดจางๆ ที่หากไม่สังเกตก็คงแทบจะมองไม่เห็นบนขนนกนี้
ก่อนหน้านี้ขนนกได้ต่อสู้กับทะเลสาบลาวา ส่งผลให้ชั้นแสงหลากสีรอบตัวมันอ่อนโทรมลงเล็กน้อย
พอเห็นว่ามันปลอดภัย ลอร่าก็โล่งใจในที่สุด
โชคยังดีที่กู่ฉิงซานสามารถลงมือได้ทันเวลา มิฉะนั้นแล้วหากมันถูกกระตุ้นจนหลอมละลาย กลิ่นอายของขนนกนี้ก็คงจะถูกเปิดเผย แพร่กระจายออกไปโดยสิ้นเชิงเป็นแน่
แต่ดูเจ้าตัวก็ยังคงไม่รู้สึกวางใจ จึงเปล่งคาถา ร่ายลงบนขนนกผลึกน้ำแข็งทับเอาไว้อีกชั้น
แสงไสวจากผลึกน้ำแข็งมอดดับลง กลับคืนสู่ขนนกในที่สุด
ขนนกกลับคืนสู่ความสงบดังเดิมอีกครั้ง
“ฟู่ว… เราได้ปิดซ่อนคลื่นความผันผวนของมันเอาไว้แล้ว ทริสเต้จะไม่มีทางค้นพบถึงการดำรงอยู่ของมันได้อย่างแน่นอน” ลอร่าผ่อนลมหายใจ กล่าวออกมาด้วยความสุข
กู่ฉิงซานที่กำลังเฝ้ารอเงียบๆ จนกระทั่งเธอเสร็จสิ้นกระบวนการนี้ ได้เอ่ยปากถามออกมา “แล้วเจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรกัน?”
ใบหน้าของลอร่าดูเศร้าหมอง แต่ขณะเดียวกันมันก็ผสมปนเปไปกับความสงสัย
“นี่คือขนนกของเหมันต์ยามค่ำ – อีเลีย , ดูเหมือนว่าเธอจะเคยมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่” ลอร่าบ่นงึมงำ
“เธอเป็นคนรู้จักของฝ่าบาทอย่างงั้นหรอ?”
“ใช่ เหมันต์ยามค่ำอีเลีย , แสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ ทั้งสองคนเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาวิหคหนาม”
“แสงแห่งรุ่งอรุณจะเป็นผู้รับผิดชอบในการคุ้มภัย – องครักษ์แห่งราชวงศ์ทุกคนจะตกอยู่ในความดูแลของเธอ ซึ่งรับหน้าที่ในการรับผิดชอบความปลอดภัยทั้งหมด”
“แต่ทริสเต้กลับสังหารทุกคนในครอบครัวของเรา ปิดกั้นไม่ให้ข่าวนี้รั่วไหล ในขณะที่เราออกมาจากอาณาจักร และมุ่งหน้ามายังอัลเบอัส”
“ถ้าแสงแห่งรุ่งอรุณรับผิดชอบในด้านคุ้มภัย แล้วเหมันต์ยามค่ำล่ะ มีหน้าที่อะไร?”
“เธอเป็นผู้รับผิดชอบในด้านงานสงครามภายนอก ตลอดทั้งอาณาจักรวิหคหนาม”
กู่ฉิงซานพอได้รับฟัง ก็ตระหนักถึงใจความสำคัญของเรื่องนี้ทันที คิ้วของเขายกสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิด
“นั่นหมายความว่า … กองทัพทั้งหมดย่อมตกอยู่ภายใต้คำสั่งของเธอใช่หรือไม่?” เขาถาม
“ใช่”
“แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
ลอร่าส่ายหัวและกล่าว “ไม่รู้สิ เดิมทีทริสเต้เป็นคนรับผิดชอบในด้านความปลอดภัยทั้งหมด ขณะที่อีเลียรับผิดชอบในการปกป้องอาณาจักร แล้วเพราะเหตุใดเธอจึงได้มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่กันแน่นะ?”
ลอร่ายังคงตกอยู่ในความสับสนอันล้ำลึก
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?
กู่ฉิงซานเริ่มปั่นสมอง ใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว
“กระหม่อมจะลองกล่าวในสิ่งที่คิดดู และฝ่าบาทก็คอยตอบนะว่าสิ่งที่กระหม่อมกล่าวมันถูกต้องหรือไม่”
“เข้าใจแล้ว” ลอร่าตอบรับ
“มีเลือดติดอยู่บนขนนก ดังนั้นดูเหมือนว่าอีเลียจะได้รับบาดเจ็บ”
“ใช่”
“ในเมื่อเธอเลือกที่จะซ่อนขนนกนี้ นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอกลัวว่าทริสเต้จะค้นพบถึงร่องรอยของเธอใช่หรือไม่”
ลอร่าพยักหน้า “หลังจากที่ขนของวิหคหนามร่วงตกลง มันก็ยังคงแฝงไว้ซึ่งอำนาจอันยิ่งใหญ่ของเจ้าของ”
“ในกรณีนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บจากภายนอก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังสามารถที่จะเข้ามาสู่โลกใบนี้ได้”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเธอได้รับบาดเจ็บจากภายนอก?” ลอร่าถาม
“เพราะหากเธอได้รับบาดเจ็บในโลกนี้ มันก็จะพิสูจน์ได้ว่าเธอเคยต่อสู้ที่นี่ แต่กระหม่อมจดจำได้ว่า พระองค์เคยกล่าวว่าในโลกของวิหคหนาม วิหคหนามตนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของ มิสมควรกระทำการใดๆที่จะเป็นการปลดปล่อยกลิ่นอายออกมา เพราะมันจะทำให้พวกเขาถูกตรวจพบได้อย่างง่ายดาย”
“จึงสรุปได้ว่าเธอไม่ได้ต่อสู้ที่นี่ ดังนั้นอาการบาดเจ็บของเธอก็สมควรที่จะได้รับมันมาจากภายนอก”
“แท้จริงแล้วก็เป็นแบบนี้” ลอร่าอุทาน
กู่ฉิงซานยังคงคิด และพูดต่ออย่างรวดเร็ว “เห็นได้ชัดว่าเธอสามารถตระหนักได้ถึงปัญหา และบางทีอาจจะได้ล่วงรู้ถึงข้อมูลลับบางอย่าง ทำให้บังเกิดข้อสงสัยในตัวของทริสเต้”
“และนั่นคงจะเป็นเหตุผลที่เธอออกมา – แต่ก็สายเกินไป เพราะแผนของทริสเต้สำเร็จไปแล้ว”
“ตลอดทั้งราชวงศ์ หลงเหลือเพียงฝ่าบาทคนเดียวเท่านั้นที่หลบหนีมาได้”
“กระหม่อมเชื่อว่า เบาะแสแม้เพียงนิด ก็คงจะทำให้เธอตระหนักได้ว่าฝ่าบาทได้หายตัวไป”
กู่ฉิงซานมองลอร่า และกล่าวอย่างรวดเร็ว “ท่านพ่อท่านแม่ของฝ่าบาทถูกแทนที่ด้วยตัวปลอม แถมเจ้าหญิงก็ยังหายตัวไป ดังนั้นเหมันต์ยามค่ำอีเลีย จะต้องเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
“ทว่าหากแม้กระทั่งจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ยังไม่สามารถตรวจจับถึงฝ่าบาทได้”
“ฉะนั้นเกรงว่าเหมันต์ยามค่ำอีเลีย ก็คงจะไม่อาจตามหาตัวพระองค์ได้เช่นกัน สรุปแล้วการที่เธอเลือกมายังโลกของทริสเต้ก็เพื่อตามหาตัวท่าน และขณะเดียวกันก็รวดตรวจสอบถึงเหตุผลที่ทริสเต้ทรยศราชวงศ์ไปด้วยเลยในคราวเดียว”
กู่ฉิงซานเอ่ยในสิ่งที่คิดตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้า “ทั้งหมดทั้งมวลก็สมควรที่จะเป็นประมาณนี้”
ลอร่าพอได้ฟังชุดประโยคพวกนี้ เธอก็ตกใจและนิ่งงันไปอยู่นาน
แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะ เธอเริ่มที่จะค้นพบว่าบุรุษตรงหน้าเธอ ก็ค่อนข้างที่จะน่ากลัวขึ้นมานิดหน่อยแล้วเหมือนกัน
‘โชคดีจริงๆที่เขาเป็นสมาชิกของสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม’
“ไม่น่าแปลกใจเลย … ” ลอร่าบ่นงึมงำ “ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดตัวเราจึงสามารถผนึกโลกใบนี้ได้ง่ายดายนัก มันกลับกลายเป็นว่า แต่เดิม เทคนิคมนตราชั้นนอกที่ทริสเต้ร่ายป้องกันโลกใบนี้เอาไว้ มันได้ถูกทำลายลงโดยฝีมือของอีเลียมาก่อนแล้วนั่นเอง เราก็หลงคิดว่าตนโชคดี สามารถผนึกโลกนี้ได้ด้วยตัวเองซะอีก”
“แต่ฝ่าบาทก็ยังสามารถปั่นหัวทริสเต้ไม่ให้หาโลกใบนี้ได้พบ แถมยังทำให้ทริสเต้ไม่อาจตรวจจับได้ถึงสิ่งผิดปกติใดๆได้อีก แค่นี้พระองค์ก็ร้ายกาจมากพอแล้วนะ” กู่ฉิงซานกล่าวสรรเสริญ
ขณะกล่าว เขาก็เริ่มจมลงสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง
แล้วจู่ๆเขาก็เอ่ยถามออกมาว่า “เหมันต์ยามค่ำอีเลีย – เป็นผู้ที่ภักดีต่อราชวงศ์หรือไม่?”
“เธอเป็นแม่ทูนหัวของเรา และครั้งหนึ่งเธอเคยสาบานว่าจะปกป้องเราต่อหน้ารุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคหนาม”
“แล้วทริสเต้ล่ะ?”
“เธอสาบานว่าจะแข็งแกร่งขึ้น และคุ้มครองทุกสิ่งที่ควรค่าแก่การปกป้อง”
“เจ้าเล่ห์ไม่เลวเลย พูดแบบนั้นเพื่อไม่ให้การกระทำนี้ของตนเป็นการผิดคำสาบานสินะ แล้วถ้าหากละเมิดคำมั่นของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ล่ะ คนๆนั้นจะเป็นยังไง?”
“รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์จะกำจัดอำนาจวิเศษทั้งหมดของวิหคนามตนนั้นๆไป”
กู่ฉิงซานปรบมือดังฉาดและกล่าว “แบบนั้นก็เยี่ยมไปเลย! ดูเหมือนว่าเหมันต์ยามค่ำอีเลียจะอยู่ข้างเรา ดังนั้นถ้าเราสามารถหาตัวเธอได้ โอกาสที่จะสามารถเอาชนะทริสเต้ก็จะเพิ่มมากขึ้น!”
เอาชนะ?
ลอร่ากลายเป็นบื้อใบ้
นับตั้งแต่ช่วงเวลาแห่งภัยพิบัติมาเยือนตัวเธอ จวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เจ้าหญิงมีความคิดเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นในใจตน
นั่นก็คือสายเลือดของราชวงศ์วิหคหนามไม่อาจถูกสะบั้น ตนจะต้องหลบหนีและเอาชีวิตรอดไปให้ได้!
ทว่าบุรุษผู้นี้ เพียงแค่ได้เห็นได้ฟังถึงเรื่องราวของขนนกผลึกน้ำแข็ง เขาก็เริ่มวางแผนการ และพลิกตลบทุกสิ่งอย่าง คิดหมายวางแผนการที่จะเอาชนะขึ้นมาได้ซะอย่างงั้น?
นี่มันเรื่องจริงหรือนี่ …
ลอร่ารู้สึกว่า หากเป็นตัวเอง เธอคงไม่มีทางคิดอะไรแบบนี้ได้แน่ๆ
ในเวลานั้นเอง เสียงๆประกาศก่อนหน้านี้ก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง
“ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว”
“คุณทุ่มเททำผลงานได้ดีมาก สามารถบรรลุภารกิจแรกได้อย่างสมบูรณ์ แล้วไหนจะภารกิจนี้อีก ขอจงมุ่งมั่นทำดีต่อไป แล้วในยามที่สามารถจบภารกิจทั้งหมดลงได้โดยสมบูรณ์ คุณก็จะได้รับรางวัลตามความดีความชอบที่ได้ทำมา”
“ฉันก็หลงคิดไปว่าจะได้รับรางวัลเลยทันทีซะอีก” กู่ฉิงซานพึมพำ
ได้ยินเพียงแค่เสียงประกาศกล่าวต่อว่า “สงครามครั้งที่สอง : การต่อสู้ลดระดับกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า โปรดเฝ้ารอสักหนึ่งนาที”
กู่ฉิงซานกับลอร่าจึงเฝ้ารออยู่ด้วยกัน
ขณะนั้นเอง บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก็เกิดการเคลื่อนไหวเล็กน้อย
แล้วกู่ฉิงซานก็ว่างพอดี เขาจึงเบนสายตามายังหน้าต่าง มองไปยังเส้นบรรทัดแสงตัวอักษรขนาดเล็กที่ปรากฏขึ้น
“คำเตือนสูงสุด : ระบบเทพสงครามเริ่มสัมผัสได้ถึง ‘เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ’ แล้ว!”
กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงหันหัวมองย้อนกลับไป แล้วก็บังเอิญพบว่าสามดาบกำลังสั่นไหวอยู่
เมื่อถูกสายตาของเขาจ้องมอง ดาบพิภพกับดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็หยุดทันที
แต่ดูท่าว่าเช่าหยินจะไม่ทันสังเกตเห็นเขา มันเลยยังคงหัวเราะต่อไป สั่นไหวทั้งใบทั้งดาบอยู่อย่างนั้น
ดาบพิภพจึงใช้ด้ามดาบเขกหัวมัน
“นั่นพวกเจ้ากำลังสนทนาอะไรกันอยู่?” กู่ฉิงซานสงสัย
“ถกกันเรื่องชั้นเชิงวรยุทธน่ะ” เสียงของฉานนู่ดังออกมาจากดาบขุนเขาเทวะหกโลกา
แต่น้ำเสียงตอบสนองของเธอ ดูจะประหม่าเล็กน้อย
ดาบพิภพช่วยเสริม “เป็นเช่นนั้น วิชาดาบเมื่อครู่รุนแรงยิ่ง พวกเราเลยกำลังหารือเกี่ยวกับมัน ว่าจะประสานงานกันเพื่อสำแดงเดชออกมาให้ดีที่สุดได้อย่างไร”
กู่ฉิงซานจึงหันหัวกลับไป
สามดาบพากันถอนหายใจโล่งอกพร้อมๆกัน
ลอร่าที่ยืนอยู่บนไหล่ของกู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ
ท่ามกลางพายุหิมะ วิสัยทัศน์ถูกจำกัดเป็นอย่างมาก
ข้อจำกัดนี้ ดูเหมือนว่าจะมาจากกฏเกณฑ์บางอย่างของต้นกำเนิดโลก ดังนั้นไม่ว่าคุณจะครอบครองความสามารถในการมองเห็นที่ดีเพียงใด ดวงตาของคุณก็จะถูกขัดขวาง ส่งผลให้ไม่สามารถมองเห็นได้ไกลเกินไปนัก
ลอร่าพอคิดเกี่ยวกับมัน เธอเลยคว้าเอากระเป๋าใบเล็กออกมาจากด้านหลัง
เธอล้วงมือเข้าไปข้างในและหยิบเอากล้องกล้องส่องทางไกลแบบเลนส์เดียวที่ยืดหดได้ออกมา
“ทุกที่รอบๆเหมือนกันไปหมดเลย มีแต่หน้าผากับมอนสเตอร์” เธอเอ่ยเสียงดัง “ถ้าเป็นแบบนี้ ขอบอกตรงๆว่า ต่อให้เป็นตัวเราเอง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางไหนดี”
“งั้นตอนนี้พวกเราคงทำได้แค่รอประกาศเท่านั้นสินะ” กู่ฉิงซานกล่าว
ขณะกำลังสนทนา จู่ๆบนพื้นหิมะและน้ำแข็งในจุดที่ไกลออกไป ก็พลันเปล่งแสงกระพริบไหวอันไม่รู้จบ วาบขึ้นมา
รังสีแสงส่ายไปมา และในที่สุดก็ควบรวมกันเป็นเสาแสง สาดขึ้นไปบนท้องฟ้า
นั่นมันคงจะเป็นเครื่องหมายบอกทิศทางต่อไปแน่ๆ
“นั่งลงก่อน แล้วไปดูกันเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว
ลอร่านั่งลงบนไหล่เขา
พอหย่อนก้นลง ร่างของกู่ฉิงซานก็วูบไหว มุ่งหน้าไปยังทิศทางของแสงทันที
หนึ่งนั่งหนึ่งวิ่ง ข้ามผ่านผืนหิมะและน้ำแข็ง
บางครั้งบางคราว มอนสเตอร์ยักษ์บางตนก็ผุดออกมาจากพื้นหิมะ
แต่กู่ฉิงซานกำลังรีบ เขาผละดาบออกจากมือ และปล่อยให้มันรับหน้าที่นำพามอนสเตอร์เหล่านั้นไปสู่ความตายด้วยตนเองเลยโดยตรง
พลังวิญญาณอันไร้ที่สิ้นสุดระเบิดขึ้นรอบกาย กู่ฉิงซานทะยานเหินบินขึ้นจากพื้นอย่างเต็มกำลัง
เขากำลังรีบมุ่งไปยังสถานที่ๆรังสีแสงสาดไสวโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
แล้วก็พบกับหน้าผา
กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา กวาดลงหน้าผาเบื้องล่าง แต่กวาดลึกลงไปเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะพบถึงจุดสิ้นสุดของมัน
ณ ขณะนั้นเอง เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้น
“ผลงานของคุณเมื่อครู่ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ดังนั้นคุณจึงได้รับคุณสมบัติให้ข้ามผ่านการทดสอบอื่นๆไปเลยโดยตรง และเตรียมได้รับรางวัลภารกิจจากทริสเต้อย่างเป็นทางการ”
เสียงยังคงพูดต่อไป
“อย่างไรก็ตาม ฝูงมอนสเตอร์อันน่าหวาดกลัวกำลังจะปรากฏขึ้นในไม่ช้า พวกมันคอยหลบซ่อนตัวอยู่ในหุบเหวลึกที่เต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ยามใดก็ตามที่ทริสเต้มิได้ให้ความสนใจ พวกมันก็มักจะฉวยโอกาสออกมาก่อความวุ่นวาย แน่นอน ถึงแม้ว่านี่จะเป็นปัญหาเล็กๆน้อยก็ตามที แต่มันก็ค่อนข้างที่จะน่ารำคาญ”
“ภายใต้การเรียกขานของวิหคหนาม ได้โปรดช่วยวิหคหนามทริสเต้จัดการปัญหาเล็กๆน้อยๆนี้ด้วยเถอะ”
“ฉันเชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจว่า สำหรับรุ่นเยาว์ที่อายุต่ำกว่า 30 ปีอย่างพวกคุณ มันอาจจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากไปบ้าง แต่ขอจงร่วมมือกัน เพื่อพิชิตศัตรูกลุ่มนี้ลงให้จงได้!”
ว่าจบ เสียงก็หายไป
“นี่น่ะหรอคือสิ่งที่เรียกว่า ‘การเรียกขานของวิหคหนาม?’ มันจะเป็นคนคอยกำหนดภารกิจให้เราเองงั้นสินะ” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ถูกต้อง อันที่จริงนี่คือกระบวนการตามปกติของการเรียกขานของวิหคหนาม” ลอร่าตอบกลับ
กู่ฉิงซานยื่นหน้า ก้มมองลงไปในเหวลึกที่เต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง
เห็นแค่เพียงร่างของมอนสเตอร์มากมายที่ซุ่มซ่อน และเกาะติดอยู่ตามมุมต่างๆของเหวลึก
ร่างกายของพวกมันใหญ่โต ทว่าขณะเดียวกันก็โปร่งใส โปร่งใสชนิดที่ว่าสามารถมองทะลุเห็นถึงอวัยวะภายในได้เลยโดยตรง
มองทะลุเข้าไป จะเห็นว่าอวัยวะเหล่านั้นมีลักษณะคล้ายทำมาจากผลึกน้ำแข็งผสานเข้ากับก้อนหิน มีขนาดใหญ่โตและหยาบด้าน
มอนสเตอร์เหล่านั้นเริ่มปีนป่ายขึ้นมาบนหน้าผาชันอย่างว่องไว ความเร็วของพวกมันช่างไม่สอดคล้องกับขนาดตัวเอาเสียเลย
“มันคือปีศาจหิมะ” ลอร่ากล่าว
“อะไรคือปีศาจหิมะ?” กู่ฉิงซานถาม
“มันคือมอนสเตอร์กึ่งธาตุที่ยากต่อการสังหาร” ลอร่าอธิบาย “หินและน้ำแข็งจะสามารถช่วยรักษาบาดแผลของมันได้อย่างรวดเร็ว นั่นเพราะพวกมันถูกสรรค์สร้างขึ้นมาจากธาตุเหล่านั้น”
มองลงไปยังก้นบึ้งของหุบเหวลึก ร่างของมอนสเตอร์ค่อยๆเด่นชัดขึ้นในสายตา บ่งบอกว่ามันกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คิ้วของกู่ฉิงซานก็เริ่มขมวดเข้าหากัน
อ้างอิงตามที่เสียงประกาศ มอนสเตอร์เหล่านี้สมควรที่จะแข็งแกร่ง และจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อเอาชนะมัน
ประจวบไปกับการที่ลอร่าอธิบายว่ามันสามารถรักษาตนเองได้ -ไม่ใช่พวกที่ยอมตายกันง่ายๆ ดังนั้นหากเขาต้องการที่จะเก็บกวาดปัญหาทั้งหมดในคราเดียว วิธีที่ดีที่สุดคงจะเป็นการใช้ค่ายกลดาบไท่หยีอีกครั้ง!
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็โพล่งออกมาทันที “ไม่สำคัญหรอกว่าพวกมันจะเป็นตัวอะไร เพราะสุดท้ายเดี๋ยวก็ต้องตายลงด้วยน้ำมือหม่อมกระหม่อมอยู่ดี”
ว่าแล้วกู่ฉิงซานก็เริ่มขับเคลื่อนเทคนิคดาบ
ฮู้มมมม!
ปลายแหลมของทั้งสามดาบ จี้ลงไปยังทิศทางของเหวลึกโดยพร้อมเพรียง ขณะเดียวกันก็สาดกลิ่นอายสังหารอันน่าขวัญผวาออกมา
พวกมันดูเหมือนจะเตรียมตัวพร้อมแล้ว
“โปรดรอสักครู่” ลอร่าขัด
“หือ? มีอะไรงั้นหรอ?”
“เมื่อครู่เจ้าพึ่งทุ่มลงมือเต็มกำลังไปมิใช่หรือ น่าจะสูญเสียพลังงานไปเยอะเลยใช่ไหม ดังนั้น คราวนี้เราจะช่วยเจ้าเอง”
“อ้าว ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทบอกเองว่าท่านไม่อาจลงมือได้หรอกหรือ?”
“แต่เราสามารถมอบบางสิ่งบางอย่าง แล้วให้เจ้าเป็นคนใช้งานมันได้”
ลอร่าหันไปหยิบกระเป๋าใบเล็กด้านหลังเธออีกครั้ง
เธอเปิดมัน และเริ่มควานหา
“เอ .. มันอยู่ตรงไหนกันนะ ..”
กู่ฉิงซานมองลอร่า ก่อนจะสลับกลับไปดูมอนสเตอร์ใต้หุบเหว
หลังจากเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกมา “เวลาของพวกเราไม่ได้ม-”
“เราเจอแล้ว!” ลอร่าอุทานด้วยความสุข
แล้วเธอก็ยัดอะไรบางอย่างลงในมือของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานก้มลงมองดู และพบว่ามันเป็นปืนพก
นี่คือปืนพกสีเงินอันประณีต มันดูกระทัดรัดน่ารัก มีขนาดรวมๆแล้วเล็กกว่าฝ่ามือของกู่ฉิงซานซะด้วยซ้ำ
กู่ฉิงซานทดลองกระชับมัน แต่ก็พบว่าตรงส่วนไกปืนเขาแทบจะเอานิ้วสอดเข้าไปไม่ได้เลย
“ปืนงั้นหรอ?”
“นี่คือสิ่งที่เราใช้ป้องกันตัวเอง แต่น่าเสียดายที่กระสุนของมันเหลือแค่นัดสุดท้ายเท่านั้น”
“เจ้าสิ่งนี้จะช่วยได้จริงๆน่ะหรือ?”
“ไม่ต้องมัวคิดให้เสียเวลา ขอแค่ลองเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง”
กู่ฉิงซานลอบส่ายหัวอย่างลับๆ
‘มันใช่เรื่องที่จะมาล้อเล่นไหม? เหลือกระสุนนัดสุดท้าย … นัดเดียวมันจะไปฆ่ามอนสเตอร์ทั้งฝูงลงได้ยังไง?’
‘เฮ้อ เจ้าหญิงน้อยแม้จะหลักแหลม แต่ก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ’
กู่ฉิงซานกำลังจะส่งปืนพกคืนให้แก่ลอร่า แต่แล้วเขาก็พลันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง
เสี่ยวเหมียวเคยบอกกับเขา ‘ไม่ว่าของชิ้นใดก็ตามในดินแดนอัศจรรย์ หากถูกนำออกมา พวกมันล้วนมีมูลค่ามหาศาลเสมอ’
และวิหคหนามก็อาศัยอยู่ในดินแดนอัศจรรย์ แถมยังเป็นพวกที่มักจะชอบสะสมแต่สิ่งที่มีคุณค่าชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นสมบัติเอาไว้
ซึ่งสิ่งนี้พิสูจน์ได้ เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น แล้วรุ่นเยาว์มากมายในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้นจะเดินทางมาเพื่อตอบรับการเรียกขานของแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ไปทำไมกัน?
-ต้องไม่ลืมนะว่า เด็กสาวตัวน้อยบนไหล่เขา เธอคนนี้เป็นถึงเจ้าหญิงผู้สืบทอดราชบัลลังก์คนต่อไปของราชวงศ์วิหคหนาม
แล้วตัวตนเช่นนั้น … จะเก็บของไร้ประโยชน์เอาไว้ได้อย่างไร?
กู่ฉิงซานพอคิดได้ ก็เริ่มมั่นใจมากยิ่งขึ้น
ในเวลาเดียวกัน บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก็ปรากฏบรรทัดแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กเด้งขึ้นมา
“อาวุธปืนในตำนาน : หงสาคำรนฟีเนียส”
“วิชายุทธเทพสงคราม : อุปกรณ์นี้ไม่มีสกิลที่จะสามารถใช้เรียนรู้ได้”
“คำอธิบายตามพงศาวดาร : ปรากฏถึงการลอบสังหารที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างมากมายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ แต่มันก็ได้ห่างหาย ว่างเว้นไปแล้วในช่วงตลอด 10000 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าว โปรดจ่าย 100 แต้มพลังวิญญาณ หรือไม่ก็ไปหาหนังสือประวัติศาสตร์มานั่งอ่านซะ!”
กู่ฉิงซานเข้าใจได้ในทันที
เจ้าปืนนี้ … มันคงเก็บซ่อนพลังอำนาจอันมหาศาลเอาไว้ แตกต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกของมันเป็นแน่
ดังนั้นขนาดของมันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ต้องมากังวลใดๆ ขอแค่ยิงออกไปเดี๋ยวก็รู้เอง
เขายกปืนพกสีเงินขึ้น และเล็งลงไปยังเหวลึกเบื้องล่าง
“จะยิงแล้วนะ”
“อื้ม”
ลอร่ายกสองมือขึ้นมาปิดหู สีหน้าแสดงออกถึงความตื่นเต้น
ท่าทีของเธอดูไม่แตกต่างไปจากกำลังเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกในการรับชมการแสดงในโรงละครเลย
กู่ฉิงซานเล็งไปยังปีศาจหิมะตนแรกที่อยู่ใกลล้สุดแล้วเหนี่ยวไกออกไป
‘ปัง!’
ปืนพกสีเงินสั่นไหวเล็กน้อย
กู่ฉิงซานก้มมองลงไปใต้หุบเหวด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แต่กลับพบว่ากระสุนดันทะลุผ่านร่างของปีศาจหิมะ และพริบตาเดียวมันก็หายวับไปจากพิสัยจิตสัมผัสเทวะของเขา จมลึกลงไปในเหวอันไร้ก้นบึ้งเสียแล้ว
เร็วจริงๆ!
กู่ฉิงซานลองคิดว่า หากเป็นตนเองที่ถูกผู้อื่นยิงด้วยปืนกระบอกนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้ซึ่งการป้องกัน เกรงว่ามันจะอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
ในส่วนลึกของผาชัน ปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง เห็นแค่เพียงปีศาจหิมะตัวที่ถูกยิง กลิ้งม้วนลงตกหน้าผาไป
ร่างของมันจมหายลงไปในเหวลึก
“ในเรื่องความเร็วนับว่าสุดยอดไปเลย แถมอานุภาพมันก็ร้ายไม่เบา” กู่ฉิงซานเอ่ยชมคำหนึ่งแล้วคืนปืนพกให้แก่ลอร่า
“จะรีบไปไหน มันยังไม่ได้เริ่มขึ้นเลย ฟังเรานะ ตอนนี้รีบถอยออกจากตรงนี้กันก่อนเถอะ” ลอร่ากล่าว
กู่ฉิงซานชะงักไปเล็กน้อย
“บอกให้รีบถอยไง เดี๋ยวมันจะเริ่มร้อนแล้ว อุณหภูมิที่กำลังจะปรากฏมันสูงเกินกว่าที่เรากับเจ้าจะรับไหวนะ!” ลอร่าเร่งเร้า
กู่ฉิงซานจึงรีบพาเธอออกมาจากบริเวณขอบหน้าผาทันที
สักพักหนึ่ง เพียงแค่หยุดฝีเท้าลง ก็บังเกิดแสงเรืองรองของเปลวเพลิงอันกระจ่างชัด ลุกโชนขึ้นมาจากตลอดทั้งเหวลึกอันไร้ก้นบึ้งที่พึ่งถูกกระสุนยิงลงไปเมื่อครู่นี้
อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ หิมะและน้ำแข็งที่ปกคลุมเริ่มถูกหลอมละลาย ผสมปนเปกับกับเสาหินที่กลิ้งลงไป ทั่วบริเวณฟุ้งไปด้วยเขม่า
ท่ามกลางเขม่าหนา จู่ๆก็ปรากฏเสียงหวีดร้องน่าสมเพชนับไม่ถ้วนดังขึ้น
วู้มมมม!
วิหคเพลิงขนาดยักษ์ที่ทั้งตนทั้งร่างลุกโชน หนืดเหนียวไปด้วยลาวาเหลวที่กำลังหลอมละลาย โผบินขึ้นมาจากเหวลึก
เพียงมันสยายปีกออก ทั้งร่างทั้งปีกของมันก็ครอบคลุมไปตลอดทั้งเหวลึก
วิหคยักษ์จ้องมองกู่ฉิงซาน “โปรดให้คะแนนสำหรับการให้บริการในครั้งนี้ด้วย”
กู่ฉิงซานหันไปมองลอร่า
ลอร่าก็มองเขาและกล่าว “เจ้าเป็นคนยิง ฉะนั้นก็ต้องเป็นคนให้”
กู่ฉิงซานหันไปถามวิหคที่ท่วมไปด้วยเปลวเพลิง “ฆ่าพวกมัน .. ทุกตัวตายจนหมดแล้วใช่ไหม?”
“เหลือแต่ขี้เถ้า”
“งั้นเอาคะแนนเต็มไปเลย!” กู่ฉิงซานอุทานออกมา
วิหคเพลิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และแตกสลายหายไปในความว่างเปล่า
กู่ฉิงซานหยุดอยู่สักครู่ ก่อนจะลองเดินตรงไปยังขอบผา ก้มมองลงไป
แล้วก็พบกับลาวาเดือดที่กำลังหลอมละลายอย่างช้าๆ
หินในผาถูกเผาไหม้จนกลายเป็นสีแดง ขณะที่หิมะและน้ำแข็งถูกละลาย ระเหยกลายเป็นไอพวยพุ่งขึ้นมาทันที
ปีศาจหิมะ หรือจะตัวอะไรก็ไม่รู้ล่ะ ถูกหลอมละลายไปจนสิ้น
ตลอดทั้งหุบเหวหิมะและน้ำแข็ง บัดนี้แปรสภาพกลายเป็นทะเลสาบลาวาไปแล้ว!
เฝ้ามองไปยังฉากอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “นี่เหลือกระสุดแค่นัดสุดท้ายจริงๆน่ะหรอ?”
“ใช่”
“น่าเสียดายจัง”
“นี่ไม่นับว่าน่าเสียดายอะไร ก็แค่ปืนกระบอกเดียว สมบัติของเรามีมากกว่านี้อีกเยอะ” ลอร่าหัวเราะคิกคัก
ลอร่าตบไหล่ของกู่ฉิงซานและกล่าว “ฝากด้วยล่ะ เพราะเราไม่สามารถลงมือได้”
พร้อมกันกับเสียงของเธอ เหล่ามอนสเตอร์ก็ค้นพบถึงตัวตนของทั้งสองคนแล้ว!
พวกมันวิ่งเข้ามา และเริ่มโอบล้อม
ขณะเดียวกัน กองศพขนาดใหญ่ภายในเมืองก็ค่อยๆเริ่มคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ
มันจำต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเลยทีเดียว กว่าที่มอนสเตอร์จะสามารถมีขนาดใหญ่ได้ถึงเพียงนี้
ไม่จริงน่า นี่หมายความว่าแค่ในการทดสอบแรก เชื้อไฟก็ปลดปล่อยมอนสเตอร์เหล่านี้ออกมา แล้วสังหารหมู่คนไปเป็นจำนวนมากเลยน่ะสิ
และผู้คนที่เข้ามาที่นี่ ก็คงไม่ได้คาดหวังเลย ว่าการเรียกขานของวิหคหนาม จะเป็นการต่อสู้ที่ร้ายแรงถึงชีวิตและความตายเช่นนี้
แต่พวกคนที่ยังสามารถเอาชีวิตรอดไปได้ก็คงจะไม่คิดอะไรมากมายนักหรอก
เพราะตามกฏแล้ว ยังไงคนที่ตายก็จะถูกส่งกลับไปยังอัลเบอัส
โฮกกกก!!
บรรดามอนสเตอร์ร่างมนุษย์ที่มุดขึ้นมาจากพื้นดิน เริ่มที่จะพุ่งเข้ากระหนาบพวกเขาจากทุกทิศทาง
ตามแต่ละข้อต่อของพวกมัน ต่างมีใบมีดยาวผุดออกมา บ้างก็ชุ่มไปด้วยเลือด ขณะที่บ้างก็มีเศษเนื้อของบรรดาเหล่าผู้ทดสอบกลุ่มก้อนหน้าติดอยู่
ห่างออกไปไม่กี่สิบเมตร มอนสเตอร์บางตัวเริ่มทะยานตัวสูงขึ้น และโฉบลงมาทางกู่ฉิงซานกับลอร่าที่อยู่เบื้องล่าง
ทว่ากู่ฉิงซานกลับยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม พร้อมด้วยร่างเงาจากดาบพิภพที่กำลังเบ่งบาน เริ่มร่ายรำไปในอากาศ
รังสีดาบนับไม่ถ้วนบินออกมาจากดาบยาว และม้วนเข้าทั้งตัดทั้งสับมอนสเตอร์ที่อยู่กลางอากาศ
เลือดฝนพร่างพราวลงมา
“แบบนี้ไม่ดีแล้วนะ นี่มันมากเกินไป”
ลอร่าที่กำลังสังเกตสภาพโดยรอบ เริ่มร้องด้วยความกระวนกระวายออกมา
ใช่แล้วล่ะ มอนสเตอร์มันมุดออกมาจากพื้นดิน เพิ่มจำนวนมากขึ้น มากขึ้นจนแทบจะล้นเมืองอยู่แล้ว!
ขณะที่ซากศพกองพะเนินซ้อนทับๆกัน ก็ค่อยๆเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
ซากศพแกว่งไกว โงนเงนไปมา เข้าผสมโรงกลุ่มมอนสเตอร์ เบียดเสียดกันมุ่งเข้ามากดดันกู่ฉิงซานกับลอร่าตลอดทั้งสี่ทิศ
เมืองรกร้างที่แต่เดิมถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวนวล บัดนี้ค่อยๆกลายเป็นสีดำ เนื่องจากถูกกลืนไปด้วยกระแสของมอนสเตอร์
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมไอ้การทดสอบนี้ถึงได้ถูกเรียกว่าการต่อสู้ที่ถูกปิดล้อม” กู่ฉิงซานบ่น
เขาได้ลองลอบคิดดูว่า หากการต่อสู้นี่คือการทดสอบความแข็งแกร่งจริงๆแล้วล่ะก็ นั่นหมายความว่าเขาคงจะไม่สามารถบินหนีมันไปตรงๆได้
“มัวแต่คิดอยู่นั่นแหละ เร่งมือเร็วเขา ถ้าพวกเราถูกล้อมจริงๆ ทุกอย่างก็เป็นอันจบนะ” ลอร่ากระตุ้นเตือน
กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็ผละดาบพิภพออกจากมือ
“ฆ่าพวกมันซะ”
เขาเอ่ยสั้นๆ
ว่าแล้ว ดาบพิภพก็เริ่มว่ายมาเวียนวนรอบกู่ฉิงซาน หมุนควงเป็นเส้นโค้งมนงดงามรอบทั้งคนทั้งร่างของเขา
บังเกิดรังสีดาบสีนวลผ่อง วาดวูบไหวคล้ายกับจันทร์เต็มดวง ก่อนจะเริ่มแผ่ขยายออกอย่างรวดเร็ว และสับสะบั้นทุกสิ่งที่ขวางทางออกเป็นสองท่อน มิแตกต่างจากหั่นขอนไม้
เทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา!
กู่ฉิงซานคือผู้ฝึกดาบขอบเขตประทับเทพ ดังนั้นเทคนิคลับแห่งดาบนี้ จึงสามารถระเบิดพลังเหลือคณาออกมาได้อย่างที่มันไม่เคยปรากฏมาก่อน
“สวยจังเลย นี่น่ะหรอคือเทคนิคดาบบิน?” ลอร่าที่กำลังเฝ้ามอง ปรบมือด้วยความตื่นเต้น
กู่ฉิงซานพอได้ยินได้เห็นท่าทีแบบนั้นของเด็กสาว เขาก็ถึงกับไร้คำจะกล่าว
เพราะที่เธอแสดงออก มันดูไม่แตกต่างจากการที่เด็กตัวน้อยกำลังดูโชว์ดอกไม้ไฟอยู่เลย
เมื่อพบเจอกับสถานการณ์ไม่คาดคิด บรรดามอนสเตอร์ที่อยู่หลังๆก็พยายามหลบเลี่ยงรังสีดาบ พวกมันทิ้งตัวลงนอนแนบกับพื้นโดยสิ้นเชิง และเริ่มหยิบฉวยซากแขนขา ที่ปลิวว่อนจากคมดาบขึ้นมากัดกิน
มอนสเตอร์ยังคงหลั่งไหลออกมาจากใต้ดินอย่างต่อเนื่อง
พวกมันเหล่านี้ แลคล้ายกับซากศพมนุษย์ที่กำลังแก่งแย่งอาหารกัน
จำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่กี่ลมหายใจ บรรดามอนสเตอร์ที่แออัดก็เริ่มกลืนกินพวกซากศพทั้งหมดจนสิ้น
ได้ยินเพียงเสียงเคี้ยวกรุบกรับอันน่าขนลุกสะท้อนสะท้านไปทั้งเมือง
มอนสเตอร์ที่ได้กินศพ ขนาดตัวของมันก็เริ่มใหญ่โตขึ้น แน่นอน พละกำลังและความไวของมันก็เช่นกัน
พวกมันคำรามคลั่ง และเริ่มกระโจนเข้าหากู่ฉิงซานกับลอร่าอีกรอบ
มองลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบน จะเห็นแค่เพียงกระแสสีดำอันเชี่ยวกราด คล้ายคลื่นมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ โถมกระหน่ำลงมาบรรจบกัน เข้าโอบล้อมกู่ฉิงซานกับลอร่าโดยสมบูรณ์
พื้นที่ของทั้งสองมีขนาดเล็กลง เล็กลงเรื่อยๆ และไม่นาน เขาและเธอก็คงจะถูกกลืนลงลงโดยกระแสมอนสเตอร์
“ฝ่าวงล้อมออกไปซะกู่ฉิงซาน! การต่อสู้นี้คือการทดสอบว่าพวกเราจะสามารถฝ่ามันไปได้รึเปล่า!” ลอร่าเตือนเขาด้วยความกระวนกระวาย
แต่กู่ฉิงซานไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
เขาเพียงจีบออกด้วยเทคนิคดาบอย่างคล่องแคล่ว
ขณะที่พลังวิญญาณในตันเถียนพลุ่งพล่านออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง
หลังจากที่ก้าวเข้าสู่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพขั้นปลาย กู่ฉิงซานก็ยังไม่เคยได้ทุ่มลงมือเต็มกำลังมาก่อนเลย
ฮู้มมมม!
สามดาบยาวปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าตามลำดับ
ดาบเล่มแรก แลดูสามัญ แต่กลับส่งคลื่นความผันผวนคุกรุ่นออกมา
ดาบเล่มที่สองมีรูปร่างแปลกตา แต่มันก็ดูเรียวยาวประณีต
ดาบเล่มที่สามเปล่งประกายสดใส คล้ายหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง
“จัดการซะ” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างนุ่มนวล
แล้วสามดาบก็วูบหายไป
พวกมันฉวัดเฉวียนไปทั่วแผ่นฟ้าและผืนดิน ด้วยความว่องไวอันยอดเยี่ยม ทิ้งภาพติดตาของดาบไว้เป็นชั้นๆ
และในทุกๆภาพติดตาดาบที่ทิ้งไว้ ก็ยังคงลอยล่องอยู่ในอากาศที่ว่างเปล่า นิ่งงันมิได้ขยับย้ายไปไหน
ความเร็วของสามดาบเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดพวกมันก็ทิ้งไว้เพียงประกายเงาดำ แล้วก็วูบหายไป
เมืองอันรกร้างทั้งหมด บัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเงาดาบหนาทึบ
ทุกสิ่งอย่างนี้เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป บรรดามอนสเตอร์พึ่งย่ำเท้าเข้ามาได้เพียงไม่มีก้าว เงาดาบทั้งหมดก็โฉบลงมายังตำแหน่งของพวกมันแล้ว
ทว่าน่าแปลกนัก ทั้งๆที่เงาดาบมันปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองแท้ๆ แต่พวกมอนสเตอร์ที่วิ่งผ่านเงาดาบเหล่านั้นไป กลับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆเลย
“เจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรกัน?” ลอร่าเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานถอนหายใจ และเริ่มทำการกระตุ้นเทคนิคดาบ
ค่ายกลดาบไท่หยี จงตื่นขึ้น!
บังเกิดความผันผวนของสายลม
สายลมที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด พัดกระพือเข้าใส่ตลอดทั้งเมืองรกร้างในทันใด และควบรวมกันเป็นกระแสพายุอันรุนแรงอย่างรวดเร็ว
และแน่นอน ว่ามันไม่มีสิ่งใดสามารถต้านทานสายลมนี้เอาไว้ได้!
มอนสเตอร์ทั้งหมดถูกกลืนเข้าไปในพายุ ศพกองพะเนินก็ค่อยๆถูกลบออกไปอย่างเงียบๆ จนสุดท้ายก็ไม่เห็นกระทั่งร่องรอย และเกรงว่าพวกมันคงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน ก่อนที่จะตาย
กระแสลมหอนลั่นไปทั่วทั้งผืนดิน มันโถมเข้าโอบทุกสิ่งอย่าง และหมุนควงเป็นงวงช้างทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า
เมฆหมอกหนาทึบที่ปกคลุมตลอดทั้งเมือง เริ่มกระจัดกระจายตัวออก สลายไปตามแรงลม
ขณะที่กระทั่งหิมะก็ยังหยุดตก
ท้องฟ้าสีสว่างสดใสปรากฏขึ้นเหนือเมืองรกร้าง
ดวงอาทิตย์สามารถสาดแสงลงมาได้ในที่สุด แผ่ขยายความรู้สึกอบอุ่น เปล่งประกายไปตลอดทั้งเมือง
จากนั้นก็บังเกิดฉากอันน่าอัศจรรย์ใจยิ่งขึ้น
ภายในตลอดทั้งเมืองกลับเต็มไปด้วยแสงแดดอันอบอุ่น
ขณะเดียวกันพายุหิมะก็ยังคงตกลงอยู่ แต่เป็นภายนอกกำแพงเมือง
สิ่งมหัศจรรย์ดังกล่าวนี้กินเวลาต่อเนื่องไปกว่าสิบลมหายใจ ก่อนที่มันจะค่อยๆจางหายไป
ในที่สุด ไม่เว้นกระทั่งกำแพงสี่มุมเมือง มันก็ได้ถูกทำลายลงไปกับสายลม
ด้วยสายลมนี้ ซากเมืองทั้งเมืองพลันกระจัดกระจาย เหลือทิ้งไว้เพียงพื้นโล่งกว้างที่บริเวณโดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
สายลมหยุดลงในที่สุด
เมฆดำบนผืนฟ้าค่อยๆกลับมารวมตัวกันอีกครา
ตลอดทั้งสวรรค์และโลกคล้ายกลับกลายจากกลางวันสู่กลางค่ำ เหี่ยวเฉามืดมนดังเดิม
เกล็ดหิมะเริ่มทยอยกลับมาร่วงโรยลงจากท้องฟ้า
บัดนี้ กู่ฉิงซานได้สลายเทคนิคดาบของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ลอร่ายันตัวลุกขึ้นบนไหล่ของกู่ฉิงซาน และหันไปมองรอบๆ
—ภายในสายตาของเธอ ทุกสิ่งอย่างยกเว้นผืนดินและหิมะ ล้วนถูกปัดเป่าจนหายไปสิ้นด้วยกระแสลมอันรุนแรงจากเทคนิคดาบ
ตลอดทั้งสวรรค์และโลกกลายเป็นสีเทา และหิมะก็ค่อยๆโปรยปรายลงมาอย่างอ่อนโยน
ทั้งเมืองทั้งมาร บัดนี้ไร้ซึ่งสิ่งใด
“เล่นกวาดซะเกลี้ยงเลยจริงๆ” ลอร่าถอนหายใจและกล่าว “เราไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะหนักมือถึงเพียงนี้”
เธอลอบรู้สึกประหลาดใจอย่างลับๆ และเริ่มวิเคราะห์ถึงสกิลดาบนี้ของกู่ฉิงซานในจิตใจ
ตลอดทั้งเมืองถูกกวาดไปจนสิ้นด้วยคมดาบ
กล่าวได้เลยว่าด้วยสกิลดาบอันสมบูรณ์แบบเช่นนี้ มันจักสามารถทำให้เขาได้กลายเป็นหนึ่งในรุ่นเยาว์อายุไม่เกิน 30 ปี ที่ร้ายกาจที่สุดในอันดับต้นๆท่ามกลางโลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้นอย่างแน่นอน
ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมกำปั้นเหล็กแบรี่ถึงยอมรับในตัวเขา
“พวกเรามีเวลาไม่มากนัก กระหม่อมเลยต้องเร่งจบการต่อสู้โดยเร็วที่สุด” กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว
แล้วเขาก็สั่งการภายในจิตใจ
สามดาบบินมาทันที และลอยล่องอยู่ในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขาอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานบ่นอย่างหงุดหงิด “แบบนี้ถือว่าผ่านแล้วรึยัง ทำไมถึงไม่มีอะไรออกมาตรวจสอบมันสักทีนะ?”
ลอร่ามองเขาอย่างสงบ แล้วก็เห็นได้ถึงเงื่อนงำบางอย่าง
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นกังวลเกี่ยวกับเธอมากเลยนะ?” ลอร่าถาม
“ก็กระหม่อมไม่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ แถมยังไม่มั่นใจว่าพวกเราจะไล่ตามเธอได้ทันรึเปล่าอีก” กู่ฉิงซานถอนหายใจ
ลอร่าเข้าใจในที่สุด
มันกลับกลายเป็นว่า แท้จริงแล้วเขาเพียงต้องการประหยัดเวลา
ผู้หญิงแบบใดกันที่มีค่าถึงขั้นให้ชายคนหนึ่งต้องทำถึงขนาดนี้?
ในหัวใจของลอร่าบังเกิดความอยากรู้อยากเห็น
เธอหันไปมองดูกู่ฉิงซาน และเอ่ยถามขึ้นทันใด “เจ้าเคยนอนกับเธอหรือยัง?”
กู่ฉิงซานตกใจ เขารีบกล่าว “ไม่”
“นี่เจ้ายังบริสุทธิ์อยู่หรือ อดทนมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร?”
“สาวน้อย รู้ตัวมั้ยว่ากำลังพูดอะไรอยู่?”
กู่ฉิงซานหันหน้าหนีไปอีกทาง แต่แท้จริงแล้วเขากำลังแอบลอบคิดถึงรสจูบของซูเซี่ยเอ๋ออย่างลับๆ
ในเวลานั้น ตนต้องแกล้งทำเป็นหลับ ไม่แม้กระทั่งจะสามารถเคลื่อนไหวได้
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เขาก็เสียดาย และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
ขณะที่เบื้องหลังเขา ดาบพิภพไม่ทราบว่าได้กล่าวสิ่งใดกับอีกสองดาบ แต่มิแคล้วเป็นเรื่องของกู่ฉิงซาน เพราะพอกล่าวจบ พวกมันทั้งสามก็เริ่มสั่นสะท้านแสดงอาการหัวเราะอย่างรุนแรงออกมาพร้อมกัน
ท่ามกลางพายุหิมะ
ทั้งคนทั้งร่างของแปดผู้เข้าสู่วิถีมารยังคงนิ่งงัน สีหน้าของผู้คนทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
“นรกเถอะ! นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย!” คนหนึ่งตะโกนออกมา
ชายหัวล้าน เอ่ยปาก “ฉันได้ทำการจ่ายแต้มพลังวิญญาณเพื่อถามเรื่องนี้กับเชื้อไฟไปแล้ว และมันบอกว่านี่คือคำสาปแช่งที่ร้ายแรงนัก!”
เชื้อไฟรู้อย่างงั้นหรอว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร!
พอได้ยิน บางคนก็ค่อยสงบใจลงเล็กน้อย
“งั้นก็แล้วไป เพราะตราบใดที่เชื้อไฟสามารถล่วงรู้เกี่ยวกับมันได้ นั่นหมายความว่าพวกเราสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณแก้ปัญหานี้-”
ชายหัวล้านพูดเสียงดัง แต่แล้วน้ำเสียงของเขาก็ค่อยๆเบาลง
พร้อมด้วยสีหน้าที่กลายเป็นขาวซีด
เนื่องเพราะในวิสัยทัศน์ เชื้อไฟได้ทิ้งไว้เพียงหนึ่งเส้นบรรทัดตัวอักษรแก่เขา
“จำเป็นต้องจ่าย 100000 แต้มพลังวิญญาณเพื่อแก้คำสาปนี้”
100000 แต้มพลังวิญญาณ!
นี่มันเป็นจำนวนที่ไม่มีทางจะหามาได้!
ขนาดชายหัวล้านที่ฆ่าคนมามากที่สุด แต่แท้จริงแล้วเขาได้รับแต้มพลังวิญญาณมาเพียงแค่ 110 แต้มเท่านั้น!
และฉากเดียวกันนี้ก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของทุกคน
“ไม่นะ! มันไม่มีหวังที่จะแก้คำสาปเลย! พวกเราจบสิ้นแล้ว!” ชายคนหนึ่งคร่ำครวญอย่างสิ้นหวัง
ส่วนซูเซี่ยเอ๋อ เธอกำลังถือคทา และเดินย่ำผ่านพื้นน้ำแข็งที่ปกคลุมไปด้วยหิมะตรงเข้ามาอย่างช้าๆ
เธอมาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าคนทั้งหลาย กวาดสายตาไปทั่วก่อนจะหยุดลงตรงชายหัวล้าน
ใบหน้าของชายหัวล้านแปรเปลี่ยนกลับกลายอยู่หลายครั้งครา จนในที่สุดเขาก็ฝืนปั้นรอยยิ้มแข็งกระด้างขึ้นมา
“เอ่อ .. ฉันขอโทษนะ คุณผู้หญิง จริงๆแล้วทั้งหมดมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด พวกเรายอมรับผิดแล้ว”
พอคนอื่นๆเห็นเขาพูดแบบนั้น ทั้งหมดก็รีบพยักหน้าตามอย่างรวดเร็ว “ใช่ ใช่ พวกเราผิดไปแล้ว ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
“พวกเราไม่ควรรีบลงมือเลย หวังว่าเธอจะยกโทษให้พวกเรานะ”
“คุณผู้หญิงทรงพลังมากจริงๆ ปล่อยพวกเราไปเถอะ แล้วพวกเราจะคอยเป็นคนช่วยเก็บกวาดพวกที่ขวางทางเบื้องหน้าให้เอง”
ตอนแรกพวกเขาก็ขอความเห็นใจ แต่ตอนหลังๆนี่ชักจะเริ่มประจบประแจงแล้ว
แต่ซูเซี่ยเอ๋อทำราวกับเป็นคนหูหนวก
เธอเบนสายตาออกจากชายหัวล้าน และกวาดไปหยุดอยู่ที่อีกคนหนึ่ง
“เมื่อกี้แกสินะที่บอกว่าต้องการจะเล่นสนุกกับฉัน?”
ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถามเบาๆ
ชายคนนั้นสะดุ้งเฮือก ปากสั่นระริกอยู่นาน แต่ก็คิดไม่ออกซักทีว่าตนสมควรที่จะตอบกลับไปอย่างไร
ซูเซี่ยเอ๋อลูบไล้คทา และจั่วไพ่ออกมาจากมัน
นี่คือไพ่สีเทา ซึ่งสีเทาหมายถึงไพ่ระดับต่ำสุด
บนหน้าไพ่ มีเพียงกริชอันคมกริบอยู่เท่านั้น
ซูเซี่ยเอ๋อสะบัดๆไพ่ แล้วกริชก็ปรากฏขึ้นในมือของเธอ
แน่นอน ว่าชายคนนั้นย่อมรู้ดีว่ามันคืออะไร และสิ่งใดกำลังจะเกิดขึ้น ปากอ้าตะโกน ร่ำร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่นะ ฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่ควรที่จะคุกคามเธอ ได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วยเถอะ ฉันยังมีอีกหลายชีวิตในครอบครัวต้องคอยเลี้ยงดู ..”
ซูเซี่ยเอ๋อ “ที่พูดมามันควรค่าแก่การเห็นใจจริงๆน่ะหรอ แล้วถ้าสลับกัน เป็นฉันที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ล่ะ แกจะ-”
แต่ไม่ทันจะจบประโยค เธอก็ส่ายหัว
ตามด้วยกริชที่ถูกปักลงบนหน้าอกชายคนนั้น และค่อยๆแทรกคมแหลมของมัน เชือดฝ่าเนื้อหนังเข้าไปอย่างช้าๆ
“อ๊าาา-” ชายคนนั้นเริ่มกรีดร้อง
ซูเซี่ยเอ๋อกำด้ามกริชจนแน่น จากนั้นก็ค่อยๆลากมันเฉือนลงมา
ทว่าแม้คมกริชจะตัดเนื้อได้ แต่มันก็ติดกับกระดูก มิอาจเฉือนลงไปได้อีก
ซูเซี่ยเอ๋อลองพยายามอย่างหนัก แต่ก็พบว่าตนเองมิได้แกร่งพอที่จะตัดกระดูกซี่โครงอกของอีกฝ่ายได้
เธอเลยถอนหายใจ และผละมือออก
และทาสรับใช้กายโลหิตก็ก้าวขึ้นมาแทนเธอ
“ตัดมันซะ ลากลงมาจนกว่าจะถึงเป้าของมัน”
ซูเซี่ยเอ๋อสั่ง
ทาสรับใช้กายโลหิตกำด้ามกริช และวูบ! กระชากลากคมแหลม ดิ่งยาวจากอก ตัดมันลงมาถึงตรงกลางหว่างขาอีกฝ่าย
“อ๊ากกกก อ๊าาาา!! นังปีศาจ แกมันนังมารร้าย! ”
ชายคนนั้นคร่ำครวญน่าสมเพช
ขณะเดียวกัน อีกหลายคนที่เฝ้ามองก็บังเกิดเหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นมา และเริ่มพากันร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
“ทำต่อไป ยังเหลืออีก 7 คน ช่วยทำให้มันเท่าเทียม เอาให้เหมือนกันเป๊ะๆแบบคนแรกด้วย”
แล้วเธอก็ยื่นหัวคทาไปทางชายคนแรกที่พึ่งถูกตัดหว่างขาไป
ในขณะที่เขาคนนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ เธอก็เริ่มทำการดูดซับจิตวิญญาณของอีกฝ่าย
นี่นับว่าเป็นการทรมาณที่เจ็บปวดแสนสาหัสที่สุด
ทาสรับใช้กายโลหิตกำกริชในมือ และเปิดผ่าแหวกท้องของทุกๆคนที่สังหารเขา
บนแผ่นน้ำแข็ง บังเกิดเสียงร้องระงมดังขึ้นและเงียบลงไปตามลำดับ
เมื่อทาสรับใช้กายโลหิตเสร็จสิ้นภารกิจตน เขาก็เดินกลับมาหาซูเซี่ยเอ๋อ
เขาคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะชูสองฝ่ามือที่มีกริชชุ่มเลือดวางอยู่ขึ้นเหนือหัว
กริชที่คาวไปด้วยเลือดแปรสภาพเป็นไพ่ทันที ก่อนมาบินขึ้นมาลอยอยู่ในระดับสายตาของซูเซี่ยเอ๋อ
“นี่คือมีดปลอกผลไม้ของฉัน แต่น่าเสียดาย … ที่ตอนนี้ไม่ว่าจะล้างยังไง มันก็คงจะไม่มีทางกลับมาสะอาดได้อีกแล้ว” ซูเซี่ยเอ๋อพูดในสิ่งที่คิดออกมา
ว่าจบ เธอก็ใช้นิ้วเคาะลงกับไพ่
ไพ่สีเทาบินไปตามพายุหิมะ และหายไปจากสายตาของเธออย่างรวดเร็ว
เธอเลือกที่จะทิ้งไพ่ใบนั้นไป
“เอาล่ะ คุณผู้หญิง ในเมื่อได้ระบายความโกรธจนสาแก่ใจแล้ว ทีนี้คุณจะปล่อยพวกเราไปได้หรือยัง” ชายหัวล้านรวบรวมความกล้า ฝืนพูดออกมาอย่างเจ็บปวด
ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ยินก็มองเขา แล้วยิ้มออกมาทันที
เธอกล่าวสรุป “พวกแกไม่ได้มีแต้มพลังวิญญาณเป็นของตัวเอง แต่กลับสามารถอัญเชิญมอนสเตอร์แบบนั้นขึ้นมาได้ ในกรณีนี้ คิดว่าทางเดียวที่พวกแกจะได้แต้มพลังวิญญาณมาครอบครอง คงมีเพียงการฆ่าคนอื่นๆเท่านั้นล่ะสิใช่ไหม?”
ซูเซี่ยเอ๋อชี้ไปยังยักษ์ตาเดียวที่ผุดออกมาจากใต้พื้นน้ำแข็งและเอ่ยถามว่า “อัญเชิญมอนสเตอร์แบบนั้น น่ากลัวว่ามันคงจำเป็นต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณไปไม่น้อยเลยสินะ?”
หลายคนหันไปมองหน้ากันและกัน แต่ก็หวาดเกรงที่จะตอบ
“ถ้าในบรรดาคนที่ถูกฆ่าไป มีผู้หญิงอยู่ด้วยแล้วล่ะก็ พวกแกคง … ”
ซูเซี่ยเอ๋อพึมพำแต่ไม่ได้กล่าวต่อ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงเหล่านั้น ทั้งหมดก็น่าจะพอจินตนาการได้
เพราะแม้แต่ตนเองก็ยังต้องพยายามอย่างเต็มกำลังจึงจะสามารถโค่นพวกมันลง
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ใบหน้าที่ดูซีดเซียวของซูเซี่ยเอ๋อก็ฟุ้งไปด้วยความโกรธ
“จำได้รึเปล่า ว่าคนไหนที่ฆ่านาย?” ซูเซี่ยเอ๋อหันไปถามทาสรับใช้กายโลหิต
ทาสรับใช้เผยสีหน้าครุ่นคิด “เรื่องก่อนตาย กระผมจำมันไม่ได้เลย แต่ในตอนนี้ที่ผมกำลังยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา ร่างกายของผมกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก”
“งั้นก็กินพวกมันซะ กินเป็นๆก่อนที่พวกมันจะเน่าตายไปเองซะก่อน”
“ขอรับ ขอบคุณสำหรับอาหารนะเจ้านาย”
…
หลังจากนั้นไม่นาน
ซูเซี่ยเอ๋อก็จ้องมองบนหน้าต่างระบบด้วยความกังวล
เห็นแค่เพียงบนหน้าต่าง ปรากฏสองบรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กขึ้นมาอย่างช้าๆ
“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณบางส่วนมาเสริม ส่งผลให้ระบบยังคงสามารถดำเนินการต้านทานการบุกรุกของเชื้อไฟได้ต่อไป”
“เวลาคงเหลือ : 22 นาที”
ซูเซี่ยเอ๋อมองสองบรรทัดเหล่านี้
เธอยังคงสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้อีก 22 นาที
หนึ่งมือยกขึ้นปาดน้ำใสๆจากสองตา ปากเอ่ยกล่าวกับทาสโลหิต “พวกเรารีบไปกันเถอะ”
…
อีกด้านหนึ่ง
กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นจากในความมืดมิด
มันเย็น
เย็นยะเยือก
นี่มันหนาวเกินกว่าปกติทั่วไป มากเกินกว่าที่ร่างกายจะสามารถต้านทานได้
แถมยังไม่สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบได้เลย
แต่ทันใดนั้นเสียงก็ดังขึ้นในหูของเขาอย่างกระทันหัน
“ยินดีต้อนรับสู่โลกสมบัติของแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้”
“คุณจะต้องช่วยจัดการแก้ปัญหาเล็กๆน้อยๆแก่เธอ แล้วทริสเต้ก็จะมอบรางวัลให้ตามระดับผลงานของคุณ”
“เมื่อคุณสามารถแก้ปัญหาได้เสร็จสิ้นแล้ว โลกก็จะส่งคุณไปจัดการอีกปัญหาหนึ่งในสถานที่ต่อไป”
“ยิ่งคุณสามารถจัดการกับปัญหาได้มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งได้รับรางวัลมากขึ้นเท่านั้น”
“เอาล่ะ ถ้าอย่างงั้นพวกเราก็มาเริ่มปัญหาแรกกันเถอะ”
“สงครามครั้งแรก : การต่อสู้ที่ถูกปิดล้อม”
“คุณจะต้องร่วมมือกับทุกคน เพื่อเอาชนะศัตรู และยืนหยัดอยู่ในวงล้อมนี้ให้จงได้”
“นี่คือช่วงเวลาแห่งการทดสอบความสามารถของคุณ ถ้าคุณสามารถฟันฝ่าอุปสรรค และประสบความสำเร็จได้ นี่จะเป็นตัวบ่งบอกว่าคุณมีคุณสมบัติอย่างเป็นทางการ เหมาะสมแก่การช่วยแก้ปัญหาให้แก่โลกสมบัติของทริสเต้”
“การทดสอบได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!”
ว่าจบ เสียงนั้นก็หายไป
ท่ามกลางความเงียบอันมืดมิด มือน้อยๆยื่นออกมาจับมือของกู่ฉิงซานเอาไว้แน่น
“มีอะไรงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“เรากลัวน่ะ” ลอร่าพูดสั้นๆ
ทั้งสองยืนเคียงข้างกัน
นอกเหนือไปจากเสียงหวีดหวิวของสายลมและหิมะ ภายนอกก็สะท้อนไปด้วยเสียงที่ฟังแลคล้ายกับเสียงโหยหวนของภูติผี
“ฝ่าบาทได้ยินเสียงประกาศเมื่อครู่หรือไม่?”
“ได้ยินนะ แต่เราได้ทำการตัดขาดตนเอง และไม่คิดลงมือใดๆ ดังนั้นทริสเต้จึงไม่สามารถค้นพบเราได้ แต่โลกใบนี้ทำให้เรารู้สึกอึดอัดใจจริงๆ”
“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นกระหม่อมจะนำหน้า ส่วนฝ่าบาทก็คอยอยู่เบื้องหลังแล้วกัน”
“เราขอนั่งลงบนไหล่เจ้าจะได้ไหม?”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะทุกครั้งคราว ในยามที่เราหวาดกลัว นี่คือสิ่งที่ท่านพ่อของเรามักจะท-”
แล้วเสียงของลอร่าก็หายไป
ห้วงอารมณ์ของเธอเหมือนจะดิ่งลง
เพราะท่านพ่อของเธอ ได้ล่วงลับไปแล้ว
ไม่เพียงแต่ท่านพ่อ ท่านแม่ กระทั่งน้องชาย ตลอดทั้งราชวงศ์ทั้งหมดก็ได้ล่วงลับไปจนสิ้น
ตอนนี้ ในโลกนับ 900 ล้านชั้น หลงเหลือเธออยู่เพียงลำพังผู้เดียว
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
เพราะเขาพึ่งค้นพบเมื่อครู่นี้เอง ว่าการนับจำนวนปีของวิหคหนามกับเผ่ามนุษย์น่ะมันแตกต่างกัน
หนึ่งปีของดินแดนอัศจรรย์จะสั้นกว่ามาก
ดังนั้นเจ้าหญิงลอร่าที่อายุ 12 ปี หากคำนวณตามปีของเผ่ามนุษย์ เธอจะมีอายุเพียงแค่ 7 ขวบเท่านั้นเอง
กู่ฉิงซานนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกตัวเธอขึ้นวางลงบนไหล่ขวา
“ไม่เอา เราชอบนั่งบนไหล่ซ้าย” ลอร่ากล่าว
แล้วกู่ฉิงซานก็วางเธอลงบนไหล่ซ้ายอีกที
พอได้นั่ง ลอร่าก็คล้ายจะจดจำได้ถึงบางสิ่ง ขอบตาของเธอเริ่มที่จะแดงเรื่อ
พอกู่ฉิงซานเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็เอ่ยขัด “นี่ — กระหม่อมจะเล่าอะไรให้ฟังก็แล้วกัน อันที่จริงแล้วกระหม่อมน่ะเป็นเด็กกำพร้า”
“หืม? นี่เจ้าเป็นเด็กกำพร้างั้นหรอ?” ลอร่าเริ่มถูกเบี่ยงเบนความสนใจ
“ใช่ แต่กระหม่อมชินแล้ว … จะบอกอะไรให้นะ ว่าเด็กกำพร้าน่ะก็มีข้อได้เปรียบยิ่งกว่าคนอื่นเขาอยู่เหมือนกัน” กู่ฉิงซานกล่าว
“ข้อได้เปรียบอะไร?” ลอร่าถูกดึงดูดโดยหัวข้อนี้
“อย่างเช่นถ้าเราตาย ก็ไม่จำเป็นต้องมากังวลว่าจะมีคนในครอบครัวมาร่ำไห้ยังไงล่ะ”
“นั่นมันข้อได้เปรียบบ้าบออะไรกัน .. ”
“ทำไม? มันไม่ดีหรือ ลองคิดดูนะ ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ฝ่าบาทเห็นคนอื่นๆกำลังเศร้าโศกเพราะตนเอง ฝ่าบาทก็จะเศร้าโศกไปด้วย แต่ความได้เปรียบของเราก็คือ พวกเราจะสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนั้นที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้”
“ … แล้วแบบนี้ สิ่งที่ตัวเรากำลังเผชิญอยู่ มันพอจะเรียกว่าเป็นข้อได้เปรียบเช่นเดียวกันหรือเปล่านะ?”
“แน่นอนอยู่แล้วฝ่าบาท”
ระหว่างสนทนา ทั้งสองก็ผลักประตูแล้วเดินออกไป
เสียงหวิวของสายลม หวีดเข้าเต็มบ้องหู
มันคือพายุหิมะ
กู่ฉิงซานค้นพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในใจกลางเมือง
เขาปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และเริ่มสำรวจรอบๆ
ปรากฏว่ามันเป็นเมืองร้างที่ทรุดโทรมมานานแล้ว และเต็มไปด้วยซากศพ
นอกตัวเมืองไป เป็นทุ่งน้ำแข็งอันไร้ที่สิ้นสุด
เสียงเมื่อครู่บอกว่า เขาจะต้องร่วมมือกันกับทุกคน –
แต่มันกลับดันไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย
ดูเหมือนว่าเขาจะมาสายเกินไป ขณะที่คนอื่นๆได้มุ่งหน้าต่อไปกันหมดแล้ว ดังนั้น กู่ฉิงซานจึงไม่สามารถแม้กระทั่งจะหาเพื่อนร่วมทีม
“แค่เริ่มต้นก็ลางไม่ดีแล้ว”
กู่ฉิงซานบ่นพึมพำเสียงต่ำ
ขณะที่ลอร่านั่งอยู่อย่างสบายๆบนไหล่ของเขา และกล่าว “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก”
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ หรือว่าเป็นเพราะมีฝ่าบาทอยู่ที่นี่ด้-”
ตูม ตูม ตูม!
ผืนดินเริ่มสั่นสะเดือน อีกทึกครึกโครม
ร่างศพค่อยๆถูกช้อนขึ้น ขณะที่เมืองอันรกร้างเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย
ในขณะเดียวกัน มอนสเตอร์บางชนิดที่มีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์ก็ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน
พวกมันหันขวับ ใช้สายตาที่มีเพียงหลุมดำกลวงๆว่างเปล่ามองมายังกู่ฉิงซานกับลอร่า
ดูเหมือนว่าพวกมันจะเป็นมนุษย์ ก่อนที่จะตายลง
ทว่าพวกมันทุกตน ได้สูญเสียดวงตาไป
ร่างศพเหล่านั้นกลับมาขยับไหวอีกครั้ง
ลอร่า “อันที่จริงแล้ว เราจะบอกว่าสถานการณ์มันเลวร้ายยิ่งกว่าที่เจ้าคิดต่างหาก”
สิ้นเสียงของเธอ เหล่ามอนสเตอร์ก็พรวดตรงมายังทั้งสองทันที
“แต่พวกเราไม่มีเวลามากพอที่จะมาเสียกับที่นี่แล้ว”
กู่ฉิงซานคว้าดาบพิภพจากในความว่างเปล่ามาไว้ในมือ
การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
ท่ามกลางพายุหิมะ คนกลุ่มนั้นเว้นระยะห่างจากซูเซี่ยเอ๋อและทะเลสาบเลือด
อย่างไรก็ตาม แม้จะล่าถอย แต่พวกเขาก็มิได้คิดหลบหนีใดๆ
เห็นแค่เพียง7-8ผู้จมลงสู่วิถีมาร ทั้งหมดกำลังวางมือลงบนศีรษะของชายหัวล้าน
พวกเขากำลังถ่ายโอนพลังวิญญาณทั้งหมดที่ตนเองเก็บรวบรวมมาได้มอบให้อีกฝ่าย
ชายหัวล้านยิ้มเยาะหยัน ขณะมองไปยังทะเลสาบเลือด
เวลานี้ เขาไม่หวาดเกรงยักษ์แดงเลือดที่อยู่ตรงกันข้ามอีกต่อไป
เพราะเมื่อแต้มพลังวิญญาณของทั้ง 8 คนถูกควบรวมเข้าด้วยกัน เขาก็สามารถทำการร้องขอเชื้อไฟได้ในที่สุด
“สาวน้อยเอ๋ย มันน่าเสียดายจริงๆนะ ที่คนทั้งสวยและทรงเสน่ห์แบบเธอ จะต้องมาถูกทำร้ายจนต้องตกตายลง”
ชายหัวล้านกล่าวกับซูเซี่ยเอ๋อ
สีหน้าของเขาแลดูมึนเมา คล้ายกับกำลังจินตนาการถึงบางอย่าง
“แอสทารอส ไม่ต้องเสียเวลารั้งรออีกแล้ว ฆ่าพวกมันซะ” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวด้วยความรังเกียจ
ยักษ์แดงเลือดโน้มกายลง เกร็งมัดกล้ามช่วงล่าง และบรึ้ม! ถีบตัวพุ่งถลาออกไป
ทุกย่ำก้าวของมันจะทิ้งรอยเท้าจมลึกไว้บนผืนน้ำแข็ง
สีหน้าของชายหัวล้านแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาเงื้อมแขนข้างหนึ่งชูขึ้นไปบนท้องฟ้า ปากเปล่งวาจาอย่างรวดเร็ว “เชื้อไฟ! ฉันขอเสนอแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดให้แก่คุณ เพื่อแลกกับการคุ้มครองจากอสูรกาย!”
วินาทีต่อมา คล้ายกับมีบางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้นจากในอากาศที่ว่างเปล่า
ชายหัวล้านจ้องมองสิ่งนั้น และร่ายคาถาตาม “คีธคล็อป! จิตวิญญาณที่ร่วงหล่นเอ๋ย จงปืนป่ายขึ้นมาจากหุบเหวลึก จงสำแดงพลังของเจ้าแด่ระบบราชามาร!”
ปัง!
บังเกิดมือยักษ์สีเทาพุ่งทะลวงขึ้นมาจากพื้นน้ำแข็ง
ตามต่อด้วยศีรษะที่ใหญ่โตกว่า 25 เมตร
หัวที่ว่าหมุนหันไปมาๆ สังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบ
เห็นแค่เพียงตลอดทั้งหัวมีเพียงตาดวงเดียวกับปากใหญ่
“แด่ระบบราชามาร”
ศีรษะยักษ์คำรนเสียงต่ำ
แล้วผืนทุ่งน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็พลันปริร้าว แยกแตกออกจากพื้นของมัน
จากนั้นร่างกายอันใหญ่โตก็ผุดขึ้นมา
ผิวตามร่างกายของมันหมองคล้ำ กลิ่นที่โชยออกมาสาบโฉ่มิแตกต่างจากกลิ่นศพ
ยักษ์ตาเดียวผุดลุก ก่อนจะโค้งตัวลง แล้วยื่นมือกลับลงไปใต้ดิน และหยิบตะบองหนามขนาดใหญ่ขึ้นมา
มันกวัดแกว่งตะบองหนาม วางพาดลงบนบ่า เฝ้ารอคอยคำสั่งอย่างเงียบๆ
นี่คืออสูรกายดัดแปลง ที่ค่อนข้างจะเหมือนกันกับที่กู่ฉิงซานพบเจอในถ้ำมืด
แต่ยักษ์ที่กู่ฉิงซานพบเจอ มันมีร่างเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ขณะที่ร่างของอสูรกายตนนี้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ แถมยังถืออาวุธอยู่ในมือ
“ฆ่าเจ้ายักษ์เลือดนั่นซะ!”
ชายหัวล้านคำรามคลั่ง
“น้อมรับบัญชา”
อสูรกายขานรับคำหนึ่ง
หลายคนจ้องมองไปยังอสูรกาย บนใบหน้าของพวกเขาค่อยๆแสดงออกถึงความคลั่งไคล้
เจ้าสิ่งนี้มันช่างเป็นความสามารถที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!
กระทั่งมารที่แลดูน่าขวัญผวา ก็ยังเชื่อฟังในคำสั่งของพวกตน
อาาา ความรู้สึกนี้มันเหมือนกับได้พิชิตโลกทั้งใบเลย
พวกเขารู้สึกว่า หากตนทะยานขึ้นเป็นคนแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ในอนาคต และสามารถอัญเชิญมอนสเตอร์มาช่วยต่อสู้ในเวลาใดๆก็ได้แล้วล่ะก็ … ตำแหน่งตัวตนสุดแกร่งของตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น หนึ่งในนั้นจะต้องมีที่ว่างให้พวกเขานั่งอย่างแน่นอน
อสูรกายยักษ์พอได้รับคำสั่ง มันก็กระโจนลงไปในทะเลสาบเลือดโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาอีกแม้เพียงครึ่งคำ
แอสทารอสก็ไม่รอช้า ขยับกายเคลื่อนไหว เร่งความเร็วพุ่งเข้าชาร์จใส่ยักษ์ใหญ่ทันที
ไม่นาน ทั้งสองก็ปะทะกัน
ทั้งสอง เริ่มรัวโจมตี ทั้งฟาด ทั้งทุบ ฉีกทึ้งอีกฝ่าย ก่อให้เกิดเสียงหวีดหอนกังวานไปทั่ว
กล่าวได้ว่าในทุกๆหนึ่งจังหวะโจมตี เสียงหวีดหอนเหล่านี้จะสะท้อนสะท้าน จนชั้นอากาศสั่นสะท้านสะเทือน
นี่มันดูมิแตกต่างไปจากสงครามของยักษ์ใหญ่ในตำนานโบราณเลย
และดูจากผลการต่อสู่ที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็ยังมิอาจบอกได้ว่าฝ่ายใดกำลังมีเปรียบหรือเสียเปรียบในระยะเวลาอันสั้น
“พวกเราก็ลงมือกันบ้างเถอะ ไปจับตัวนังลูกเจี๊ยบคนนั้นกัน เพราะการที่เธอสามารถเรียกมอนสเตอร์ตัวใหญ่ขนาดนี้ออกมาได้ นั่นหมายความว่าในร่างกายของเธอ คงจะมีแต้มพลังวิญญาณอยู่ไม่น้อยอย่างแน่นอน!” ชายหัวล้านตะโกนเตือนสติคนอื่นๆ
ทันใดนั้นอีกหลายคนก็ได้สติกลับคืนทันใด
นั่นสินะ เพราะมีเพียงแต้มพลังวิญญาณเท่านั้น ที่จะสามารถใช้มันแลกเปลี่ยนกับเชื้อไฟได้!
ทั้งหมดจับจ้องมายังซูเซี่ยเอ๋อด้วยความตะกละตะกลาม
ชายคนหนึ่งอดกลืนน้ำลายดังเอื๊อกขึ้นมาไม่ได้ ปากอ้าตะโกน “แต้มพลังวิญญาณฉันยกให้แกหมดเลย แต่ผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นของฉัน!”
“ไม่ขัดข้อง”
เพียงไม่กี่พริบตา ทั้งหมดก็มาเริ่มมุ่งหน้ามายังซูเซี่ยเอ๋อ และเริ่มแยกย้ายกระจายตัว เตรียมที่จะปิดล้อมอีกครั้ง
ได้ยินที่พวกมันกล่าว ซูเซี่ยเอ๋อโกรธมากจริงๆ
เธอกัดฟัน สองมือง้างคทาและทิ่มปลายมันลงกระแทกกับพื้นเบื้องล่างอย่างแรง
หัวคทาสาดแสงสีแดงเข้ม และระเบิดเปลวไฟ 13 ลูกออกมา
เปลวไฟเหล่านั้นลอยล่อง ก่อนจะค่อยๆมอดดับลง จางหายไปท่ามกลางพายุหิมะ
เห็นแค่เพียงไพ่ทั้งหมด 13 ใบปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า
ซูเซี่ยเอ๋อจ้องมองดูไพ่ด้วยความลังเลเล็กน้อย
เนื่องเพราะหากใช้มันก็จำเป็นต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณ ซึ่งนั่นหมายความว่าระยะเวลาที่ระบบช่วยปกป้องเธอก็จะลดน้อย ถดถอยลงเช่นกัน
ตอนนี้ เธอมีเวลาเหลืออีกเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น
หากตนต้องกระตุ้นไพ่ทั้ง 13 ใบนี้ ซูเซี่ยเอ๋อเองก็ไม่รู้ว่าเธอจะสามารถยื้อเวลาต่อไปได้อีกนานแค่ไหน
กลุ่มคนที่เข้าสู่วิถีมารบินใกล้เข้ามา
พวกเขาเริ่มเข้าใกล้ซูเซี่ยเอ๋อมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
“ฮะฮ่าฮ่า! นังลูกเจี๊ยบนี่ ยิ่งมองก็ยิ่งสวย พวกแกอย่ามาแย่งเธอไปจากฉันก็แล้วกัน!”
บางคนตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“แบบนั้นไม่เอาหรอก ต้องให้พวกเราสนุกกับเธอกันก่อนสิ แล้วแกถึงค่อยเอาตัวเธอไปได้”
อีกเสียงที่แยกตัวออกไปตะโกนขึ้น
ประโยคสนทนาของทั้งสอง ส่งผลให้ซูเซี่ยเอ๋อเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เธอตัดสินใจเด็ดขาด สะบั้นความลังเลเมื่อครู่ทิ้งไปทันที
-ถึงแม้ว่าต้องจ่ายออกด้วยราคามากเพียงใดก็ตาม แต่เธอจะไม่ยอมตกอยู่ในกำมือของคนเหล่านี้!
“ทะเลเลือดเอ๋ย! คงได้ยินได้ฟังถึงเสียงเหล่านี้ผ่านทางทะเลสาบเลือดแล้วใช่หรือไม่?”
ซูเซี่ยเอ๋อชูหัวคทาขึ้น ปากอ้าร่ายคาถา “ทะเลเลือดเอ๋ย! เช่นนั้นแล้วก็ขอจงโปรดให้เกียรติลงมายังโลกใบนี้ด้วยเถิด”
ฮู้มมมมม!
บังเกิดคลื่นแต้มพลังวิญญาณอันผันผวนแพร่กระจายออกไปทุกทิศทาง
“ฮี่ฮี่! … ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีอะไรน่าสนุกรออยู่ด้วยแฮะ”
จู่ๆเสียงหัวเราะคิกคักของผู้หญิงดังขึ้น โดยไม่รู้ว่ามาจากตำแหน่งใด
ขณะเดียวกัน ไพ่ทั้ง 13 ใบก็พลิกตลบโดยพร้อมเพรียง ประกบต่อเรียงกันเป็นภาพเสมือนของหญิงอันงดงามขึ้น
เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมาร คนแล้วคนเล่าต่างทยอยหยุดฝีเท้าลง
“อ่า … ”
“นี่มัน … ”
“งดงาม .. ช่างงดงามเหลือเกิน … ”
“ความงามนี้ ไม่อาจบอกบรรยายออกมาได้เลย .. ”
พวกเขาต่างบ่นงึมงำกับตนเอง
แต่นั่นก็เป็นเพราะหญิงสาวในรูปเบื้องหน้าน่ะ สวยมากจริงๆ
ถึงแม้ว่าเธอจะกำลังหลับตาอยู่ แต่ทั้งหมดก็ไม่วายถูกดึงดูดด้วยเสน่ห์เหลืออนันต์ที่เล็ดรอดออกมา
ทั้งแปดผู้เข้าสู่วิถีมารรู้สึกเพียงแค่ว่าพวกเขาไม่สามารถละสายตาได้ ขณะเดียวกันก็ค่อยๆสูญสิ้นวิสัยทัศน์ในการมองเห็นไป
“สาวน้อย เหมือนว่าสถานการณ์ของเจ้าจะไม่สู้ดีนักนะ”
หญิงงามในรูปเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาทั้งๆที่ยังคงหลับตาอยู่
ทว่าช่างน่าฉงนนัก เพราะยามเมื่อเธอเอ่ยปากพูด มันราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆโดยรอบให้ความสนใจกับเธอเลย
ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ต่อปากต่อคำกับเธอ
ทั้งแปดผู้เข้าสู่วิถีมารยังคงยืนโง่งมอยู่ในตำแหน่งเดิม สายตาจับจ้องมองเธอ แต่มิเอ่ยวาจาร้ายกาจใดๆเหมือนที่ทำกับซูเซี่ยเอ๋อในก่อนหน้านี้
ตลอดทั่วทั้งบริเวณ หลงเหลือเพียงเสียงสะท้านสะเทือนโลกหล้าจากฝีมือของสองยักษ์ใหญ่ที่กำลังนัวกันอยู่เท่านั้น
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ขอบคุณที่ยอมมาปรากฏตัวนะ เอาไว้ข้าจะเตรียมของบูชาไปมอบให้ในภายหลัง” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวอย่างนอบน้อม
“ของบูชางั้นหรอ … คราวนี้ไม่จำเป็นหรอก ตราบใดที่เจ้าสามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ และบอกเล่าเรื่องราวต่อจากนี้ให้ข้าฟัง แค่นั้นข้าก็พอใจมากแล้ว”
ขณะกล่าว หญิงงามก็วาดมือของเธอออกไปเบาๆ
บังเกิดสายลมหนาวพัดโชย
พร้อมด้วยกลิ่นหอมจางๆลอยออกไป
เส้นผมสลวยของเธอปลิวไสวไปตามสายลม ชุดกระโปรงยาวบางเบาที่สวมใส่เองก็เช่นกัน มันพริ้วไปในทิศทางเดียวกันกับสายลม เผยให้เห็นถึงสัดส่วนเย้ายวน และผิวสีขาวราวหิมะที่มิอาจปกปิดได้ออกมา
แต่เจ้าตัวก็ยังหลับตาอยู่
—ราวกับว่ามันไม่มีสิ่งใดในโลกใบนี้ที่ควรค่าเกินกว่าจะให้ตนลืมตาดู
ด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ทำให้ความงดงามเบื้องหน้านี้ ได้แผ่กลิ่นอายของเสน่ห์อันแปลกประหลาดออกมา
“เจ้าต้องการรับฟังเรื่องราวของข้าอย่างงั้นหรอ? ” ซูเซี่ยเอ๋อถามอย่างไม่คาดคิด
“ใช่สิ ก็เรื่องแบบนี้น่ะมันหายากจะตาย” ใบหน้าของหญิงงามเผยถึงร่องรอยความสงสาร “เห็นได้ชัดว่านี่มันเป็นโชคชะตาร้ายแรงของผู้อื่น แต่เจ้าก็ยังเลือกเผชิญหน้ากับมัน แบกรับมันเพื่อเขา”
“ข้าอยู่ในสระเลือดมาเป็นเวลานับล้านปี พบพานกับประสบการณ์แปลกประหลาดมามากมาย แต่ตลอดทั้งวันปีที่ผ่านพ้นมาเหล่านี้ กลับไม่เคยพบเจอกับหญิงสาวเช่นเจ้ามาก่อนเลย”
“จงจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าคนที่มีคุณสมบัติเช่นเจ้า ไม่สมควรที่จะแบกรับโชคชะตาของผู้อื่นให้มันมากจนเกินไปนัก”
“ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปให้ได้นะ”
กล่าวจบ หญิงงามที่ยังคงหลับตาก็หายไปจากภาพ
แล้วไพ่ทั้ง 13 ใบก็กระจายตัวออก แล้วลอยกลับเข้าไปในคทา
ซูเซี่ยเอ๋อแม้จะกำลังตกใจ แต่ก็ตอบสนองทันที
เธอมองไปยังหน้าต่างระบบ
เวลาที่เหลือ : 4 นาที 36 วินาที!
ไม่นะ! แต้มพลังวิญญาณมันจะหมดลงเร็วเกินไปแล้ว!
เธอหันไปมองแปดผู้เข้าสู่วิถีมารอีกครั้ง
เห็นแค่เพียงวิสัยทัศน์ในสายตาของทั้งหมดกลับคืนมา
“เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น?”
“ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนกับว่าจะหมดสติไป”
“เดี๋ยวก่อนนะ แล้วทำไมฉันถึงขยับตัวไม่ได้กันล่ะ!”
“ว่าไงนะ? เอ๋? ฉันเองก็ขยับเท้าไม่ได้เหมือนกัน”
“ส่วนฉันขยับนิ้วตัวเองยังไม่ได้เลย!”
ทั้งแปด คนแล้วคนเล่าเริ่มโวยวายออกมา
เพราะพวกเขาพึ่งได้เผชิญกับสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุด – นั่นคือค้นพบว่าได้สูญเสียการควบคุมร่างกายของตนไป!
พายุหิมะส่งเสียงหวีดหวิว
บนผืนน้ำแข็ง ฝูงชนยังคงหลั่งไหลไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
แม้อากาศโดยรอบจะหนาวเหน็บ แต่ขณะเดียวกันก็ปรากฏการต่อสู้ขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว
ทุกคนต้องการจะผ่านที่นี่ไปให้ได้ แม้จะเร็วขึ้นแม้เพียงน้อยก็ตาม
ขณะนี้ ซูเซี่ยเอ๋ออยู่ด้านหลังสุด
เธอยืนอยู่เบื้องหน้าร่างศพและเฝ้าสังเกตมันอย่างเงียบๆ
โดยในเวลานี้ มากกว่าครึ่งของร่างศพได้จมลงไปในผืนน้ำแข็งแล้ว
ซูเซี่ยเอ๋อมองดูศพที่ค่อยๆจม ในจิตใจบังเกิดความสงสัยขึ้นอย่างเงียบๆ
เธอเหยียบลงบนผืนน้ำแข็ง
น่าแปลกจัง พื้นน้ำแข็งนี่ มันก็แข็งมาก แล้วร่างกายจะจมลงไปได้ยังไง?
ซูเซี่ยเอ๋อวาดมือ พร้อมกับคทาที่ปรากฏออกมา
เธอจี้คทาไปยังทิศทางของศพ ปากเอ่ยกล่าว “จำกัดแต้มพลังวิญญาณ”
แต่คทายังคงนิ่งเงียบ
ร่างกายมิได้ตอบสนอง
ซูเซี่ยเอ๋อลอบถอนหายใจบรรเทาความตึงเครียดลง
เพราะไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใด ก็ล้วนมีแต้มพลังวิญญาณอยู่ในกาย แต่ร่างศพนี้กลับไม่มี
หากอ้างอิงตามตรรกกะดังกล่าว ก็พอที่จะสรุปได้ว่าชายคนนี้ยังไม่ตายลงจริงๆ แต่ถูกส่งกลับไปยังอัลเบอัส
ท่ามกลางผืนน้ำแข็ง พายุหิมะดูจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
เอาล่ะ นี่ก็ได้เวลาที่เธอจะติดตามกลุ่มฝูงคนขนาดใหญ่ก่อนหน้านี้ไปได้แล้ว ในเมื่อคนที่ถูกฆ่าไม่ได้ตายลงจริงๆ เรื่องการต่อสู้คงไม่จำเป็นต้องยั้งมือ จะทำอะไรๆคงง่ายดายขึ้น
แต่หลังจากที่เริ่มมุ่งหน้าต่อไปเพียงไม่กี่ก้าว ซูเซี่ยเอ๋อก็เริ่มลังเลอีกครั้ง
ความรู้สึกอันลึกลับและไร้ที่สิ้นสุดสะท้อนไปมาอยู่ในจิตใจของเธอ
เธอคือผู้สืบทอดของทะเลเลือด ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างพิถีพิถันจากจอมมารทะเลเลือด ตนจึงสามารถมีความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตอย่างเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร
… มันดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติจริงๆนะ
ซูเซี่ยเอ๋อหยุดและเดินกลับไปที่ร่างศพ
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่ลมหายใจ ร่างศพเกือบทั้งหมดก็แทบจะจมลงไปใต้แผ่นน้ำแข็งแล้ว
เฝ้ามองไปยังฉากแปลกๆนี้ ซูเซี่ยเอ๋อก็กัดฟันของเธอ
ไหนๆก็สงสัยและลงมือตรวจสอบไปนิดๆหน่อยๆแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ขอตรวจแบบละเอียดๆไปเลยก็แล้วกัน
เธอยกคทาขึ้น และชี้ไปยังร่างศพ “ทาสรับใช้กายโลหิตเอ๋ย จงน้อมรับคำสั่งของนายเหนือแห่งทะเลเลือด!”
นี่เป็นเทคนิคมนตราทะเลเลือดระดับสูง มันสามารถใช้เลือดควบคุมร่างกาย และบังคับให้ลุกขึ้นกลับมาต่อสู้อีกครั้งได้!
อย่างไรก็ตาม เนื่องเพราะภายในร่างกายมิได้มีจิตวิญญาณหลงเหลืออยู่อีกต่อไป ความทรงจำของทาสรับใช้กายโลหิตจึงขาดหายไปมาก ดังนั้นเขาจึงใช้ได้เพียงหนึ่งในสกิลที่มีติดตัวมาตลอดทั้งชีวิตก่อนตายได้เท่านั้น
คทาสั่นเล็กน้อย
เทคนิคมนตราเริ่มขับเคลื่อน
ร่างศพที่ถูกแช่อยู่ในผืนน้ำแข็งค่อยๆขยับไหว
มันพยายามดิ้นรนอย่างเดือดดาลในน้ำแข็ง ไม่ช้าก็สามารถทำลายน้ำแข็งโดยรอบ และทะลุตัวออกมาได้ในที่สุด
ร่างศพค่อยๆผุดลุกขึ้นอย่างช้าๆ และเดินมาคุกเข่าลงเบื้องหน้าซูเซี่ยเอ๋อ
นับจากช่วงเวลานี้ไป มันจักจงรักภักดี และซื่อสัตย์ต่อเธอเพียงผู้เดียว
“โจมตีออกไปด้านหลังซะ”
ซูเซี่ยเอ๋อจ้องมองร่างศพ เอ่ยสั่งการจากในจิตใจอย่างเงียบๆ
ร่างศพหวีดร้องออกมา ขณะเดียวกันก็เหวี่ยงกำปั้นวูบกลับไป พร้อมระเบิดเปลวไฟสลัวๆปะทะออกไปยังทิศทางเบื้องหลังเขา
ประกายไฟกระพริบไหวท่ามกลางพายุหิมะ
ซูเซี่ยเอ๋อเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ ทั้งคนทั้งร่างรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบวิ่งผ่านแทรกเข้ามาในหัวใจ
ใช่แล้วล่ะ คนๆนี้เดินทางมากับทุกคนด้วยกันตลอด หลังจากที่ผ่านพ้นปัญหาแล้วปัญหาเล่า จนกระทั่งในที่สุดก็มาถึงทุ่งผืนน้ำแข็งแห่งนี้
แท้จริงแล้วตัวเขาเป็นผู้ฝึกเพลงหมัดธาตุไฟ
ตามกฏของเทคนิคมนตราทะเลเลือด ‘ร่างศพปลอมๆ’จะไม่สามารถถูกควบคุมได้
มีเพียงศพของสิ่งมีชีวิตจริงๆเท่านั้น ที่จะถูกทำให้กลายเป็นทาสของทะเลเลือดได้!
-หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ … นี่คือศพคนจริงๆ!
เขาได้ตกตายลงที่นี่ และไม่ได้กลับไปยังอัลเบอัส!
ว่าแต่แล้วเรื่องแต้มพลังวิญญาณล่ะ สมควรที่จะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าอย่างไร?
แต่ทันใดนั้นซูเซี่ยเอ๋อก็พลันนึกไปถึงเรื่องที่เมฆหมอกไฟสีแดงลอยออกมาจากร่างศพ และผลุบเข้าไปในร่างของอีกหลายๆคนที่สังหารเขาก่อนหน้านี้
‘มันอบอุ่นมาก’ — เจ้าสิ่งนี้ที่คนกลุ่มนั้นพูดถึงคงจะเป้นแต้มพลังวิญญาณแน่ๆ
พวกเขาทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ และเริ่มมุ่งหน้าลึกเข้าไปในทุ่งผืนน้ำแข็ง
ซูเซี่ยเอ๋อเงียบไปสักพักหนึ่ง
นี่มันไม่ถูกต้อง
ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ชายคนนี้แข็งแกร่งมาก ดังนั้นเขาจึงสมควรที่จะครอบครองแต้มพลังวิญญาณพอสมควร
แต่หลังจากที่เขาได้เผชิญกับการต่อสู้หลายครั้งหลายคราเข้า อาการบาดเจ็บก็เริ่มสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายก็ล้มลงในพื้นที่ทุ่งน้ำแข็งในที่สุด
แต่พวกที่สังหารเขา กลับได้รับแต้มพลังวิญญาณไปเพียงแค่เศษเสี้ยวเท่านั้น
ถ้าอย่างงั้นแล้วแต้มพลังวิญญาณส่วนใหญ่ที่เขามีมันหายไปที่ไหนกัน?
ใครที่เป็นคนเอาแต้มพลังวิญญาณส่วนใหญ่ของเขาไป?
ซูเซี่ยเอ๋อจมลงสู่ความคิดอย่างเงียบๆ
“สาวน้อย ดูเหมือนว่าเธอจะสังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่างสินะ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางพายุหิมะ
ซูเซี่ยเอ๋อหันขวับกลับไปทันที
เห็นแค่เพียงกลุ่มคนที่พึ่งจะจากไป ได้กลับมายังที่นี่อีกครั้ง
พวกมันคือกลุ่มคนกลุ่มเดียวกันกับที่สังหารชายคนนี้
พวกเขาประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยม เคลื่อนไหวกันได้อย่างรวดเร็ว จนเหยื่อทุกคนไม่มีเวลาตอบโต้ และถูกสังหารลงในที่สุด
ซูเซี่ยเอ๋อเฝ้ามองดูพวกเขาอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็ชี้หัวคทาไปยังเบื้องหน้า และค่อยๆขยับก้าวถอยหลังไปอย่างเงียบๆ
“คุ๊ๆๆ ดูท่าทีระมัดระวังนั่นสิ ฉันคงต้องบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งฉลาดจริงๆ บอกตามตรงเลยนะว่าฉันชอบเธอ” อีกเสียงหนึ่งกล่าว
ว่าแล้วทั้งหมดก็กระจายตัวออกไป และล้อมกรอบซูเซี่ยเอ๋อ
ชายหัวหน้าที่ดูบึกบึนแข็งแกร่งคนหนึ่ง ก้าวจากในวงล้อม เข้ามาเผชิญหน้ากับซูเซี่ยเอ๋อ
“อันที่จริงแล้ว … ฉันล่ะสงสัยจริงๆว่าทำไมคนที่โดดเด่นอย่างเธอ ถึงยังไม่ได้ดาวโหลดระบบลงในร่างซักที” เขากล่าว
ซูเซี่ยเอ๋อจิกริมฝีปาก ทว่ามิได้ตอบสิ่งใด
วิสัยทัศน์ของเธอตกอยู่บนจอม่านแสง
ที่ปรากฏบรรทัดตัวอักษรขนาดเล็กขึ้น
“คำเตือน!”
“คำเตือน!”
“เนื่องจากคุณยังคงปฏิเสธที่จะดาวโหลดเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเชื้อไฟจึงได้ทำการยืนยันว่าคุณเป็นศัตรู”
“และคุณกำลังถูกล้อมกรอบโดยพวกที่ดาวโหลดเชื้อไฟ”
“นอกจากนี้ เชื้อไฟก็ยังกำลังเพ่งเล็งมาที่คุณ และเพิ่มกำลังรุนแรงมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
“ทั้งนี้ทั้งนั้น ระบบกำลังทำการต่อต้านการบุกรุกของเชื้อไฟ โดยระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับแต้มพลังวิญญาณที่คุณได้สั่งสมเอาไว้”
“เวลาที่เหลือ : 19 นาที 57 วินาที”
นั่มไม่ใช่เวลานานเลยนะ!
ซูเซี่ยเอ๋อลองหยั่งเชิงเอ่ยถาม “ระบบ แล้วถ้าแต้มพลังวิญญาณของฉันหมดลง มันจะเกิดอะไรขึ้น”
“ระบบจะไม่สามารถช่วยปกป้องคุณได้อีกต่อไป และเชื้อไฟก็จะเข้ามาบุกรุกแทรกแทรงระบบ และคุณจะต้องถูกบังคับให้เข้าสู่วิถีมาร” ระบบตอบกลับ
ซูเซี่ยเอ๋อชะงักงัน
นั่นหมายความว่า หากแต้มพลังวิญญาณหมด ตัวเองก็จะกลายเป็นมารอย่างงั้นหรอ?
“แล้วสถานะของคนพวกนี้ล่ะ เขาได้เข้าสู่วิถีมารรึยัง?”
“ไม่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาอยู่ในสถานะเตรียมพร้อมที่จะตายแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพราะเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นเสียที ดังนั้นเชื้อไฟจึงยังคงอนุญาตให้พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ชั่วคราว แต่ขณะเดียวกันก็ต้องช่วยเชื้อไฟค้นหาแหล่งพลังงานเพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่านี้ไปด้วยในตัว”
“เมื่อไหร่ก็ตามที่ระบบของราชามารตื่นขึ้นมา จิตวิญญาณเหล่านี้ก็จะกลายเป็นอาหารของระบบ”
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”
“เนื้องเพราะเชื้อไฟดูเหมือนว่าจะไม่มีมีความชมชอบใดๆสำหรับพวกเขา พวกเขาไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะกลายเป็นมาร และได้รับความไว้วางใจมากพอจากเชื้อไฟ”
“โปรดจดจำเอาไว้ให้ดี ว่าพวกเขากำลังไล่ตามหาแต้มพลังวิญญาณสำหรับเชื้อไฟอยู่ ดังนั้นความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาจึงเพิ่มพูนขึ้นโดยฝีมือของเชื้อไฟ”
ซูเซี่ยเอ๋อมองไปที่คนเหล่านั้น
ท่าทีของพวกเขาดูจะกำลังตื่นเต้นกันมาก แม้กระทั่งบนใบหน้าก็ฟุ้งไปด้วยเจตนาฆ่าและความปรารถนาที่พลุ่งพล่านออกมาจากในจิตใจ
ในความเป็นจริงแล้ว พฤติกรรมของพวกเขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงสิ่งหนึ่ง
นั่นก็คือ พวกเขาน่ะมันมีความชั่วร้าย(มาร)อยู่ในตนเองอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเข้าสู่วิถีมารอีกต่อไป
ซูเซี่ยเอ๋อสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังของคนเหล่านั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
นี่มันก็เป็นเวลานานมากแล้ว ที่เธอไม่ได้พบเจอกับสถานการณ์อันตรายแบบนี้
ชายหัวล้านคำราม “ทุกคน! ฆ่านังลูกเจี๊ยบนี่ซะ!”
“เฮ้ๆ ฆ่าทันทีเลยหรอ ช่วยอ่อนโยนกับเธอก่อนจะได้ไหม เก็บเธอไว้เล่นกันก่อนไม่ดีกว่าหรือ?”
บางคนอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา
“ไอ้ลามกนี่ พวกเรารู้นะว่าแกคิดอะไรอยู่”
แล้วเสียงหัวเราะก็ระเบิดขึ้นโดยรอบ
แต่ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน หลายๆคนก็กำลังลอบมองดูปฏิกิริยาตอบสนองของซูเซี่ยเอ๋ออยู่
เพราะบางครั้ง การที่ผู้หญิงตัวคนเดียวถูกกลุ่มคนจำนวนมากรายล้อม มันอาจสร้างความหวาดกลัวในทางจิตวิทยา จนไม่สามารถลงมือต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ได้
ทว่าพวกเขาก็ต้องผิดหวัง
เพราะซูเซี่ยเอ๋อกลับยังคงยืนนิ่ง คล้ายกับว่าเธอไม่ได้ยินสิ่งใดเลย
ไร้ซึ่งแรงกระเพื่อมไหวของความรู้สึกใดๆ ภายในดวงตาที่เย็นชาของเธอ
ซูเซี่ยเอ๋อยกคทาขึ้น ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “กำบังทะเลเลือด”
สิ้นเสียง ก็บังเกิดชั้นคลื่นทะเลสีเลือดที่กระเพื่อมไหวอย่างต่อเนื่องผุดขึ้นมากลางอากาศ พวกมันควบรวมกันเป็นผ้าไหมเส้นยาวที่มีสีแดงสด
ไหมโลหิตว่ายวนไปมารอบๆร่างของซูเซี่ยเอ๋อ สร้างกำบังป้องกันขึ้น
ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังเล่นจิตวิทยาน่ารังเกียจ แต่ซูเซี่ยเอ๋อกลับฉวยโอกาสนั้น เลือกที่จะใช้เทคนิคป้องกันตนเองก่อนเป็นอันดับแรก
เธอยังคงร่ายคาถามนตรา และพยายามเปิดใช้งานชุดคาถาเทคนิคมนตราต่อไป
รอยยิ้มของกลุ่มคนที่รายล้อมค่อยๆหุบลง
เพราะพวกเขาพบว่าหญิงสาวยังคงสงบ แถมยังเตรียมพร้อมที่จะเริ่มต่อสู้กันอย่างจริงจังอีกด้วย
“ทุกคน! ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นผู้ใช้เทคนิคมนตราล่ะ! จงอย่าให้เธอมีเวลาเพียงพอในการร่ายคาถา! ” ชายหัวล้านเร่งตะโกน
“รีบไป! กำจัดเธอซะ!”
ภายใต้การนำของชายหัวล้าน 7-8คนที่ถูกเสริมแกร่งก็พรวดเข้าหาซูเซี่ยเอ๋อ
ทว่าซูเซี่ยเอ๋อกลับยังคงไม่มีทีท่าว่าจะตระหนักถึงมัน ที่เธอทำก็เพียงแค่สวดคาถาต่อไป และเตรียมการขั้นต่อไป
พร้อมกันกับคาถาของเธอ แสงระยิบระยับก็สาดออกมาจากตัวคทา และจมลงไปในแผ่นน้ำแข็งใต้ฝ่าเท้าของซูเซี่ยเอ๋อ
ไม่รีรอให้พวกวิถีมารได้เข้ามาใกล้ ซูเซี่ยเอ๋อก็วาดคทาออกไป
ท่ามกลางพายุหิมะ ได้ยินเพียงเสียงกระซิบ
“คลื่นโลหิตเอ๋ย ข้าขออัญเชิญเจ้า!”
ว่าแล้ว เธอก็แทงปลายคทาลงกับพื้นน้ำแข็งอย่างแรง
ปัง!!
บังเกิดคลื่นของทะเลเลือดพุ่งทะยานขึ้นไปสู่ฟากฟ้า
หลายคนที่เสริมแกร่งตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว พริบตาที่คลื่นทะเลเลือดปรากฏ พวกเขาก็ถอยฉากกลับไปในทันที
ทั้งหมดยืนอยู่บนหินยักษ์ในสถานที่ห่างไกล เฝ้ามองไปยังซูเซี่ยเอ๋ออย่างรอบคอบ
เห็นแค่เพียงรอบตัวของซูเซี่ยเอ๋อในรัศมี 10 เมตร ทุ่งน้ำแข็งอันเย็นเยียบเมื่อครู่ ได้แปรสภาพกลายเป็นแอ่งเลือดที่กำลังเดือดพล่าน
ขณะที่ซูเซี่ยเอ๋อยืนอยู่เงียบๆใจกลางแอ่งเลือด สาดสายตาเย็นชามองมายังพวกเขา
“พวกเราน่ะเป็นมืออาชีพจากแต่ละมุมโลก มีประสบการณ์ต่อสู้มามากมาย แล้วผู้หญิงอย่างเธอคิดว่า กับดักที่เห็นอยู่โต้งๆนั่น จะทำให้พวกเราเข้าไปติดกับเหรอ?” ชายตัวใหญ่ที่มีรอยแผลเป็นบนหัวหัวเราะออกมา
แต่ซูเซี่ยเอ๋อก็ไม่สนใจคำของเขาเลย
เธอประกบสองมือกุมคทา ขณะเดียวกันก็เริ่มบรรเลงบทสวดอ้อนวอนคลื่นโลหิต “สถานที่ใดมีข้า ที่แห่งนั้นย่อมแปรสภาพเป็นทะเลเลือดอันไร้ที่สิ้นสุด”
เทคนิคมนตราทั้งหมดที่จำเป็นก็ถูกจัดวางได้สำเร็จแล้ว และคาถานี้คือเป้าหมายสูงสุดของเธอ!
ด้วยคาถานี้ของซูเซี่ยเอ๋อ ก็บังเกิดศีรษะยักษ์ผุดขึ้นมาจากแอ่งเลือด
มันคือยักษ์ที่ทั้งตนทั้งร่างเป็นสีแดงฉ่ำ
แต่ดูเหมือนว่าจะยากเย็นไม่น้อย กว่าที่มันจะผุดขึ้นมาได้
นั่นเป็นเพราะแอ่งทะเลเลือดที่มีรัศมีเพียง 10 กว้างเพียง 20 เมตร มันเล็กเกินไป เล็กเกินกว่าขนาดหัวของมันจะผุดออกมาได้!
โฮกกกก!
ยักษ์สีเลือดคำรามคลั่ง
มันผลุบหายเข้าไปในทะเลเลือดอีกครั้ง ก่อนที่คราวนี้จะยื่นสองมือของตนออกมา และพยายามแหวกแอ่งเลือดให้แยกออกจากกัน!
ช่องว่างของแอ่งเลือดพลันขยายตัวกว้างขึ้น
ไม่นานนัก ตลอดทั้งทุ่งน้ำแข็งทั่วบริเวณจากแอ่งเลือด ก็แปรสภาพขยายกว้างออกเป็นทะเลสาบเลือด!
ดูราวกับมอนสเตอร์ในตำนานจากยุคก่อนประวัติศาสตร์
“แอสทารอส ทำไมเจ้าถึงเป็นคนเลือกมาในคราวนี้?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถาม
ยักษ์ใหญ่ยืนขึ้นบดบังซูเซี่ยเอ๋อเอาไว้เบื้องหลัง ปากอ้าขยับเปล่งเสียงสะท้านสะเทือนโลก “นั่นเพราะความตายและความคลุ้มคลั่งกำลังจะมาเยือน ซูเซี่ยเอ๋อ จงระวังตัวเอาไว้ให้ดี เวลานี้พวกเขากำลังเฝ้ามองเจ้าอยู่ในความว่างเปล่า”
พอได้ฟัง หัวใจของซูเซี่ยเอ๋อก็หม่นทะมึนลงทันที
แอสทารอสเป็นหนึ่งในไพ่หลักของสำรับทะเลเลือด และมันครอบครองลางสังหรณ์อันน่าตื่นตะลึงยิ่ง ดังนั้นคำเตือนของมันย่อมมิใช่สิ่งไร้เหตุผล
ลางสังหรณ์ของมันสัมผัสได้ถึงอันตรายอะไรบางอย่าง
นี่หมายความว่าฉันจะตาย? หรือไม่ก็กลายเป็นมารอย่างงั้นหรอ?
หัวใจของซูเซี่ยเอ๋อค่อยๆหนักอึ้ง
เธออดไม่ได้ที่จะมองไกลออกไป
เห็นแค่เพียง7-8คนที่ซ่อนตัวอยู่ไกลลิบ
พวกเขารวมตัวกัน และกำลังทำบางสิ่งที่น่าฉงน
เพราะตอนนี้ ทั้งหมดต่างก็กำลังเอามือวางลงบนศีรษะของชายหัวล้าน
“เร่งมือเร็วกว่านี้อีกสิ อย่ามากั๊กมันไว้ในเวลาแบบนี้จะได้ไหม!!”
ชายหัวล้านที่เฝ้ามองยักษ์เลือดแอสทารอส สีหน้าของเขาฟุ้งไปด้วยความตึงเครียด
ราวกับตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ชายแกร่งหัวล้านอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา “เฮ้ย มันยังไม่พอเว้ย! ฉันต้องการแต้มพลังวิญญาณที่พวกแกเก็บเอาไว้ให้มากกว่านี้! ฉันถึงจะสามารถร้องขอให้เชื้อไฟส่ง ‘อสูรกาย’ ลงมาได้!”
กู่ฉิงซานมองไปยังลอร่าและบอลคริสตัลในมือของเธอ
“นี่มันน่าทึ่งจริงๆ”
เขาบ่นงึมงำ
เด็กสาวอายุแค่ 12 ปี แต่กลับมีความสามารถถึงขั้นผนึกโลกทั้งใบได้!
เจ้าหญิงลอร่าใช้มืออีกข้างลูบไล้บอลคริสตัล ขณะเดียวกันปากเธอก็ร่ายคาถาเสียงกระซิบ
เส้นด้ายอันอ่อนนุ่มผุดออกมาจากบอลคริสตัล และตกลงสู่เบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิวานคว้าจับเส้นด้ายเอาไว้
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดแสงตัวอักษรปรากฏขึ้นทันที
“ด้ายมิติแห่งโลกสมบัติของทริสเต้”
“คุณได้ผูกสัญญาณกับโลกมิติอนันต์อื่นๆแล้ว ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถผูกสัญญาณกับโลกใบนี้ได้”
“วิชายุทธเทพสงคราม : ด้ายมิตินี้ไม่มีความสามารถใดๆ”
“คำอธิบายตามพงศาวดาร : คุณได้ล่วงรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับมันมาก่อนแล้ว”
“คำอธิบายไอเท็ม : ด้ายมิตินี้จะนำไปสู่โลกมิติอนันต์แห่งหนึ่งที่แฝงความคาดหวังของเผ่ามารนับล้านๆ , โลกใบนี้ถูกปกคลุมด้วยชั้นผนึกบางเบาแต่ขณะเดียวกันก็มีความสมดุลคอยคานรับกับพลังงานของโลกเอาไว้ -ขอโปรดจงอย่าได้ไปกระตุ้นมัน มิฉะนั้นแล้วมีโอกาสเป็นไปได้สูงทีเดียวที่สมดุลนี้จะถูกทำลายลง”
กู่ฉิงซานเบนสายตาไปมองลอร่า
เห็นแค่เพียงท่าทีการแสดงออกของอีกฝ่ายที่ดูตึงเครียด
เธอพยายามเอ่ยออกมาอย่างใจเย็น “ในความเป็นจริงแล้ว ตัวเราโชคดีที่สามารถผนึกโลกใบนี้เอาไว้ได้ ดังนั้นเจ้าห้ามขยับบอลคริสตัลนี้เด็ดขาด ขอจงเฝ้ารอให้เราสะกดมันสักครู่ มิฉะนั้นหากผนึกมีปัญหา ทริสเต้ก็จะสัมผัสถึงมันได้ทันที ”
“เข้าใจแล้ว”
กู่ฉิงซานแสดงท่าทีขึงขังจริงจังบ้างแล้วเหมือนกัน
เทียบเปรียบกับลอร่า เกรงว่าในทางตรงกันข้ามเขาอาจจะล่วงรู้ถึงความอันตรายมากกว่าอีกฝ่ายเสียอีก
-เผ่ามารนับล้านๆกำลังเฝ้ารอให้โลกใบนี้ปรากฏขึ้น เพราะมันมีระบบของราชามารอยู่!
ในขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็ต้องการที่จะช่วยโลกมิติอนันต์
ซึ่งหากเผ่ามารนับล้านๆได้รับด้ายมิติของโลกใบนี้ไปแล้วล่ะก็ ..
เพียงคิด ขนจากทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ชูชันแล้ว
ไม่ว่าโลกมิติอนันต์นี้จะอยู่ที่ใดก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วมันย่อมต้องเป็นจุดเริ่มต้นของการนองเลือดและสายลมที่สาบโฉ่ไปด้วยกลิ่นเลือดเป็นแน่!
อย่างไรก็ตาม ลอร่าดันโชคดีสามารถปิดผนึกมันได้สำเร็จ!
น่ากลัวว่าเวลานี้ ทริสเต้คงแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว
เอ … ถ้าอย่างงั้นเขาจะสามารถโยนเจ้าบอลคริสตัลนี่ไปทิ้งที่ไหนได้บ้างกันนะ?
กู่ฉิงซานลอบคิดอย่างลับๆ
แต่เขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็ว
เพราะไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตาม ก็ยังมิอาจรับประกันได้ว่าใครบางคนที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้นจะสามารถเอาชนะระบบของราชามารหรือแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ที่มาพร้อมกับเผ่ามารนับล้านๆได้
กู่ฉิงซานหยุดคิดอย่างไม่เต็มใจ และเอ่ยถาม “หลังจากที่ช่วยแฟนของกระหม่อม พวกเราพอจะสามารถนำโลกใบนี้ไปทิ้งได้ไหม?”
“แบบนั้นไม่ใช่เรื่องดีหรอก เจ้าสามารถทำได้เพียงนำโลกใบนี้ติดตัวกลับไปยังสมาคมกำปั้นเหล็กเท่านั้น ซึ่งหากทำได้สำเร็จแล้วล่ะก็ ผู้คนในโลกจลอดทั้ง 900 ล้านชั้นก็คงไม่มีใครจักต้องมาหวาดเกรงเผ่ามารอีกต่อไป” ล่อร่าพูดอย่างหมดหนทาง
“แล้วผนึกของฝ่าบาทจะสามารถอยู่ได้ยาวนานแค่ไหน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้ง
“พวกเราจะต้องตามหาแฟนสาวของเจ้าให้เจอภายในหนึ่งวัน”
กู่ฉิงซานมองบอลคริสตัล และเห็นว่าท้องฟ้าภายในท่วมไปด้วยสายลมและหิมะ นอกเหนือไปจากนั้นก็ไม่เห็นอะไรอีกเลย
พายุหิมะมันรุนแรงเกินไป แม้ว่าทัศนียภาพใดๆก็ไม่มีเวลามากพอที่จะเหลือบมองมัน -กล่าวได้ว่าเผยโฉมออกมาให้เห็นเพียงเสี้ยวพริบตามันก็ถูกกลีบหิมะวูบเข้าไปบดบังทันที
“งั้นจากนี้กระหม่อมจะเข้าไปข้างในเอง ฝ่าบาทก็รออยู่ข้างนอกนี่ หลังจากที่กระหม่อมพาแฟนสาวออกมา ก็จะพาท่านจากไปเอง” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาคว้าจับดาบพิภพจากในความว่างเปล่า กระชับมันเอาไว้ในมือ ตั้งท่วงท่าเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้!
“ไม่ เราจะไปกับเจ้าด้วย” เด็กสาวตัวน้อยกล่าว
“เพราะอะไร?” กู่ฉิงซานย้อนถามอย่างสงสัย
“เพราะเรารู้สึกไม่ดีหากจะต้องอยู่ที่นี่เพียงลำพัง และหากตัวเราต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เราก็จะต้องช่วยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยเช่นกัน”
“นี่ฝ่าบาทคิดจะสู้ด้วยงั้นหรือ?”
“ไม่หรอก ในโลกของวิหคหนามตนอื่นๆ วิหคหนามที่ไม่ใช่เจ้าของไม่สมควรที่จะเปิดเผยกลิ่นอายเป็นอย่างยิ่ง มิฉะนั้นแล้วตัวเราย่อมที่จะถูกค้นพบได้อย่างแน่นอน”
“เอ่า ก็ถ้าอย่างงั้นฝ่าบาทก็รออยู่ข้างนอกเถอะ เพราะยังไงซะ ท่านก็มีอายุแค่ 12 ปีเท่านั้นเอง”
“กล่าวเช่นนั้นหมายความว่ากระไร เจ้าก็อายุมากกว่าตัวเราแค่6-7ปีเท่านั้นเอง!” ลอร่าบ่นอุบออกมา
เธอเกลียดจริงๆที่คนส่วนใหญ่มองว่าเธอยังเด็ก!
กู่ฉิงซาน “แต่กระหม่อมเกรงว่า-”
ลอร่าขัดจังหวะเขา “กู่ฉิงซาน ตัวเราทั้งได้เห็น และมีประสบการณ์มากกว่าเจ้าที่มาจากโลกกระจัดกระจายมากมากยนัก ฉะนั้นย่อมมีบางเรื่องที่เราสามารถใช้ภูมิปัญญาแนะนำเจ้าได้อย่างแน่นอน”
“แต่ท่านก็ยังเด็กเกินไป กระหม่อมเป็นห่วง-”
“เจ้าที่แม้กระทั่งไม่สามารถห้ามปรามแฟน แถมยังถูกเธอวางกับดักเข้าใส่ โดนถึงขนาดนี้ยังไปเอาความมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จด้วยตัวคนเดียวมาจากที่ไหนอีก?”
เจอดอกนี้เข้าไป เขาก็ไม่มีคำที่จะโต้แย้งกลับ
กู่ฉิงซานผายสองมือออก ไร้คำใดๆจะกล่าว
แต่แล้วจู่ๆเขาก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง
ในหนังสือพิมพ์ของชีวิตก่อนหน้า ทริสเต้ได้เริ่มก่อสงครามขึ้น
ระบบของราชามารได้แพร่กระจายไปทั่วอัลเบอัส
ซึ่งนั่นหมายความว่า เจ้าหญิงหนามในที่สุดก็ถูกทริสเต้จับตัวได้
กู่ฉิงซานมองไปยังเจ้าหญิงตัวน้อยที่กำลังแผ่บรรยากาศโกรธขึง
นั่นสินะ
เธอเองก็เป็นกุญแจสำคัญที่จะใช้ในการหยุดทริสเต้เหมือนกัน
เขาไม่สามารถทิ้งเธอเอาไว้ให้อยู่ที่นี่เพียงลำพังได้ มิฉะนั้นแล้วหากเธอถูกจับ จุดจบคงมิแคล้วพานพบกับเรื่องน่าเศร้า
“เอาล่ะๆ งั้นก็ไปด้วยกันเถอะ แต่พวกเราสมควรที่จะเริ่มไปกันทันที เพราะตอนนี้มันไม่อาจล่าช้าได้แล้ว”
กู่ฉิงซานนำดาบพิภพเก็บกลับคืนเข้าไปในความว่างเปล่า
เขาคว้าจับด้ายมิติ ขณะที่อีกมือหนึ่งยื่นไปทางลอร่า
“ต้องอย่างนี้สิถึงจะค่อยสมกับเป็นสุภาพบุรุษหน่อย” ลอร่ากล่าว
แล้วเธอก็คว้าจับมือของกู่ฉิงซานและร่ายคาถามนตรา
บังเกิดม่านรังสีแสงกระพริบไหว
ทั้งสองหายไปจากห้อง
หลังจากที่พวกเขาได้จากไป บอลคริสตัลที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ค่อยๆมุดกลับเข้าไปในเค้ก 20 ชั้นอย่างเงียบๆ
และชั้นเค้กที่แยกออกก็กลับมาประกบปิดกันดังเดิมอย่างรวดเร็ว ครีมที่อยู่ชั้นนอกละลายและรวมตัวกันอีกครั้ง ไม่เหลือทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้เลย
เค้ก 20 ชั้นยังคงถูกประดับประดาไปด้วยผลไม้แปลกชนิดที่มีกลิ่นหอมเย้ายวนใจจางๆแผ่ออกมา
โดยที่ทั้งสองมั่นใจว่า ต่อให้มีผู้มีสถานะถูกศักดิ์เข้ามาภายในห้องนี้ เขาและเธอก็คงจะยับยั้งชั่งใจ และทำตัวเฉกเช่นเดียวกันกับวิหคหนาม
นั่นก็คือเขาและเธอย่อมปฏิบัติตามมารยาทเป็นอย่างดี และปฏิเสธที่จะสัมผัสลงบนตัวเค้กอย่างแน่นอน
….
เย็นเยียบ
ความเย็นกัดกินลึกเข้าไปถึงในกระดูกสันหลัง
มองไปยังแผ่นน้ำแข็งที่กว้างใหญ่ ยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา ก็จะสังเกตเห็นได้ถึงจุดสีดำหลายจุดที่กำลังเคลื่อนไหว มุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
ซูเซี่ยเอ๋อเคลื่อนกายอย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงตำแหน่งที่มีกระแสฝูงชน และมุ่งตรงไปยังทิศทางเบื้องหน้าเพียงลำพัง
สักพักหนึ่ง
เธอก็ถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด และจ้องมองบรรทัดแสงตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นในสายตา
“ขอแสดงความยินดีด้วย คุณคือผู้ใช้เทคนิคเทียนซวนที่ถูกรับเลือกให้เป็น ‘ผู้เบิกทาง’ -นี่คือของขวัญจากวิหคหนาม โปรดยืนยันการดาวโหลดระบบด้วย”
จากนั้นแถบตัวเลือกก็ปรากฏขึ้นมา
“ยืนยัน / ปฏิเสธ”
ซูเซี่ยเอ๋อใช้ความคิดสั่งการเลือก ‘ปฏิเสธ’ โดยตรง
ทันใดนั้นอีกบรรทัดแสงก็ปรากฏขึ้นทันที
“กรุณาบอกเหตุผลในการปฏิเสธ”
“ไม่มีเหตุผล”
“หากคุณไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธคำเชื้อเชิญของ ‘เชื้อไฟ’ แต้มคะแนนของคุณจะถูกลดลงอีกหนึ่งระดับ”
ด้วยประโยคสุดท้ายนี้ บรรทัดแสงตัวอักษรน้อยๆก็จางหายไป
เมื่อทั้งหมดหายไปจากสายตา ซูเซี่ยเอ๋อก็บ่นออกมาด้วยความโกรธ “นี่คุณไม่สามารถปิดกั้นแจ้งเตือนอะไรพวกนี้ได้เลยหรอ?”
เพราะตั้งแต่ที่เธอเข้าสู่โลกใบนี้ ข้อมูลแจ้งเตือนดังกล่าวก็ปรากฏขึ้นมาอยู่หลายครั้ง
ทันทีที่ซูเซี่ยเอ๋อบ่นจบ หน้าต่างสถานะก็ปรากฏขึ้นในสายตาเธอ และเริ่มขีดเขียนตัวอักษรขนาดเล็กขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ขออภัยจริงๆ มันคือ ‘เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ’ หากไม่ได้รับพลังงานใดๆ ฉันก็ไม่สามารถปิดกั้นมันได้” ระบบตอบกลับ
—นี่คือระบบของซูเซี่ยเอ๋อ
“ทำไมเจ้าเชื้อไฟนี่ถึงตามตื๊อฉันจัง?” ซูเซี่ยเอ๋อเค้นถาม
“หากคุณจ่ายแต้มพลังวิญญาณ ฉันก็ยินดีที่จะช่วยปิดกั้นข้อมูลของมันโดยตรง”
“ปิดกั้นมันซะ” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวอย่างเรียบง่าย
“ฉลาดเลือกไม่เลว ดั่งเช่นเดียวกันกับที่ระบบได้เตือนคุณไว้ล่วงหน้า ว่าเมื่อครู่นี้คือระบบวิถีมาร และคุณก็ไม่สมควรที่จะดาวโหลด และเปื้อนมลทินโดยมัน”
“จะระบบวิถีมารหรือระบบแบบคุณ ฉันก็ไม่ต้องการ -ถ้าหากไม่ได้เจอกับฉิงซานแล้วล่ะก็ ไม่ว่าระบบไหนฉันก็ไม่ต้องการทั้งนั้น!”
น้ำเสียงของซูเซี่ยเอ๋อเริ่มกลายเป็นเย็นชา
ระบบกล่าว “โปรดเข้าใจถึงปัญหานี้อย่างมีเหตุผลด้วย หากไม่ใช่เพราะการดำรงอยู่ของฉัน ก็มีโอกาสมากทีเดียวที่เชื้อไฟจะสามารถหลอกลวงคุณ และหาวิธีที่จะให้คุณดาวโหลดมันได้”
“เอาเถอะๆ ฝากจัดการด้วยก็แล้วกันนะ”
ซูเซี่ยเอ๋อพูดตัดจบ
แต่ขณะนั้นเอง เธอก็ได้ยินเสียง ‘โผล๊ะ!’ ดังมาจากไม่ใกล้ไม่ไกล
ซูเซี่ยเอ๋อมองย้อนกลับไป
เห็นแค่เพียงชายคนหนึ่งที่ล้มลงกับพื้น
เธออดไม่ได้ที่จะเข้าไปช่วยเหลือเขา แต่เพียงย่ำตรงไปหนึ่งก้าว เธอก็จำต้องหยุดฝีเท้าลง
เพราะมีอีกหลายร่างถลาเข้ามา พวกเขาทั้งทิ่มทั้งแทง จ้วงสังหารชายที่พึ่งล้มลงกับพื้นไป
แล้วกลุ่มเมฆหมอกแสงสีแดงก็ผุดออกมาจากศพ ก่อนจะผลุบเข้าไปภายในร่างกายของอีกหลายคนที่พึ่งลงมือสังหารเขา
“อ่า มันช่างอบอุ่นจริงๆ” หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยอารมณ์
“ใช่ แต่อันที่จริงแล้วพวกเราไม่ได้ฆ่าเขานี่นะ พวกเราก็แค่ส่งเขาออกไปจากโลกใบนี้ และกลับไปยังอัลเบอัสก็เท่านั้นเอง” อีกคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
คนอื่นๆหันไปมองรอบๆ และเร่งฝีเท้าก้าวต่อไปทันที
เวลามันกระชั้นชิดเกินไป ดังนั้นเพื่อที่จะให้ได้รับรางวัลที่ดี พวกเขาจะต้องเร่งข้ามผ่านผืนน้ำแข็งกว้างอย่างรวดเร็วโดยไม่สนเรื่องหยุมหยิมใดๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่ถัดไปให้เร็วที่สุด
เพราะยังไงก็ตาม พวกเขาจะไม่มีทางตายจริงๆอยู่แล้ว อย่างมากที่สุดก็แค่ถูกไล่ออกจากจากโลกใบนี้เร็วเกินไป และรางวัลที่จะได้รับก็แย่ลงเท่านั้นเอง
มันไม่มีเวลามากพอที่จะให้ทุกคนมัวมาสนใจกับเรื่องหยุมหยิมดังกล่าว
—ใช่แล้วล่ะ เพราะตามกฏเกณฑ์ของทริสเต้ มันจะไม่มีใครตกตายลงที่นี่
การต่อสู้กับคนอื่นๆจะนำมาซึ่งผลประโยชน์และรางวัลตอบแทน
หากมีคนกำลังเผชิญหน้ากับความตาย คนๆนั้นก็จะทิ้งไว้เพียงร่างลวงตาในสถานที่นั้นๆ
ขณะที่ตัวตนจริงๆจะถูกส่งกลับไปยังอัลเบอัสทันที
ซูเซี่ยเอ๋อชายตาที่เปล่งประกายงดงาม เฝ้ามองไปที่ร่างศพอย่างเงียบๆ
คนๆนี้ ได้เคยช่วยเหลือตนเองมาก่อนในการต่อสู้ก่อนหน้านี้
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงการช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆ และซูเซี่ยเอ๋อก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือดังกล่าว แต่เธอก็ยังจดจำน้ำใจนั้นเอาไว้อยู่ดี
ท่ามกลางพายุหิมะ ร่างดังกล่าวค่อยๆจมลงใต้พื้นน้ำแข็ง
-เขาจะถูกส่งกลับไปที่อัลเบอัสจริงๆน่ะหรอ?
ซูเซี่ยเอ๋อรู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
เธอจงใจชะลอความเร็วลง เมื่อคนอื่นๆมุ่งหน้าไปไกลแล้ว เจ้าตัวจึงค่อยๆถอยกลับไปและเอื้อมมือลงสัมผัสกับศพอย่างเงียบๆ
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.526 – ร่วมมือกัน
ณ โซนที่นั่งพิเศษ
เวลาไหลผ่านไปอย่างเงียบๆ
ขวดไวน์ยังคงถูกแช่อยู่ในถังน้ำแข็ง
ขณะที่เค้ก20ชั้นคอยส่งกลิ่นหอมละมุนออกมาเล็กน้อย
แสงไฟภายในห้องไม่สว่างหรือซีดจางจนเกินไป ส่งผลให้รู้สึกสบายและไม่ระคายสายตา
กู่ฉิงซานกับเด็กสาวตัวน้อยมองหน้ากันและกัน
มีเพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่ในห้อง และช่วงเวลานี้คงจะปลอดภัยชั่วคราว
“นี่คุณ?” เด็กสาวเริ่มถามซักไซ้
แต่กู่ฉิงซานก็ยังไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอยู่ดี
เพราะท้ายที่สุดนี้ ซูเซี่ยเอ๋อได้ถูกส่งเข้าไปอยู่ในโลกใบนั้นมาระยะหนึ่งแล้ว
ในหัวใจของเขาเริ่มปั่นความคิดอย่างรวดเร็วและพยายามที่จะค้นหาช่องโหว่ในแผนการของทริสเต้
ทริสเต้กำลังตามหาตัวเจ้าหญิง
-ว่าแต่ทำไมเธอถึงต้องไปตามหาตัวเจ้าหญิงหนามด้วยล่ะ?
ตั้งแต่ที่ตัวเธอหันไปพึ่งพิงเผ่ามาร เดิมก็สมควรที่จะปลดปล่อยเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ทันที และเริ่มที่จะเปิดฉากจู่โจมอัลเบอัสไปเลยแท้ๆ
แต่ทริสเต้ก็ยังไม่ทำ
สงครามยังมิได้เริ่มต้นขึ้น ตลอดทั้งอัลเบอัสยังคงเงียบและสงบสุขดี
ทว่าเบื้องล่างผิวน้ำที่นิ่งงัน กลับบังเกิดวังวนของความปั่นป่วนอันยากจะอธิบายกระเพื่อมไหวขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทุกสิ่งอย่างคล้ายกับลูกศรคมกริบบนคันธนู ที่ถูกรั้งจนตึงแล้วแต่ก็ยังไม่ยิงออกไปเสียที
ทริสเต้ … ร้อนรนถึงขั้นระดมองครักษ์ทั้งหมด
เพื่อไล่หาตัวเจ้าหญิง
ไม่เว้นกระทั่งภายในห้องโซนพิเศษนี้ ที่ห้องเดียวก็ถึงกับถูกค้นหาถึงสองครั้ง
แม้แต่แขกผู้ทรงเกียรติอย่างจิตวิญญาณพฤษาศักดิสิทธิ์ ก็ยังถูกทริสเต้ร้องขอให้ช่วยเธอออกค้นหา
-วิธีการและแผนของทริสเต้นับว่ายอดเยี่ยมจริงๆ
แต่เวลามันก็ผ่านไปนานแล้ว ถึงแม้จะไม่พบกับตัวเจ้าหญิงก็ตาม แต่ทริสเต้ก็น่าจะสมควรเริ่มสงครามได้แล้วสิ?
งั้นทำไมถึงยังไม่เริ่มสักทีกัน?
กู่ฉิงซานจ้องมองเด็กสาวตัวน้อย และจมเข้าสู่ห้วงความคิด
เจ้าหญิงหนามเองนับว่าหลักแหลมไม่เลวเหมือนกัน เพราะเธอเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในสถานที่เดียวกันกับที่ทริสเต้อยู่
เขาเกรงว่าบางที กระทั่งตัวทริสเต้เองก็คงจะคาดไม่ถึงเหมือนกัน
สงคราม …
เจ้าหญิง …
กุญแจสำคัญเหล่านี้ จะต้องมีอะไรซักอย่างเกี่ยวกับมันที่เขายังไม่เข้าใจสิ!
ถ้าคุณต้องการที่จะหยุดเกม คุณก็จะต้องค้นกุญแจสำคัญจากเจ้าหญิงหนาม!
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็เปิดปากของเขา
“เมื่อครู่ … ดูเหมือนว่าเธอมีอะไรที่อยากจะบอกกับฉันสินะ?”
เขาเอ่ยถามเด็กสาวตัวน้อย
“อ๊า ใช่แล้ว พอดีว่าฉันต้องการให้คุณช่วยพาฉันออกไปจากที่นี่ ไปยังสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมที่อยู่ในดินแดนมิติอนันต์น่ะ” เด็กสาวเร่งตอบ
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ไม่มีปัญหา ฉันสามารถพาเธอไปด้วยกันได้อย่างแน่นอน”
แต่ไม่รีรอให้เด็กสาวตัวน้อยแสดงท่าทีดีใจ กู่ฉิงซานก็กล่าวออกมาทันทีว่า “แต่คงต้องรอคนของฉันก่อน พอสามารถรับตัวเธอกลับมาแล้ว ฉันถึงจะพาเธอกับคนของฉันกลับไปด้วยกันทีเดียวเลย”
“ว่าไงนะ? นี่คุณต้องการรอคนอื่นก่อนงั้นหรอ?”
ท่าทีของเด็กสาวกลายเป็นว่างเปล่า
สถานการณ์ในตอนนี้ นับว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนยิ่ง
ทริสเต้สามารถค้นพบตัวเด็กสาวได้ตลอดเวลา
แต่เขากลับบอกว่ายังต้องการที่จะรอคนอื่น
เด็กสาวตัวน้อยเริ่มนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้และกล่าวว่า “คุณกำลังรอแฟนอยู่ ถูกต้องใช่ไหม?”
“ใช่?”
กู่ฉิงซานเล่าคร่าวๆอย่างสงบ “พอดีว่าเธอเข้าร่วมการเรียกขานของวิหคหนามน่ะ และทริสเต้เองก็เอ่ยปากออกมาด้วยตัวเองแล้วว่าคนด้วยกฏเกณฑ์ของเธอ แฟนของฉันย่อมสมควรที่จะกลับออกมาได้อย่างปลอดภัยในอีกไม่นาน”
เด็กสาวตัวน้อยจมอยู่ในความกังวลทันที
หากไร้ซึ่งความหวังในการรอดชีวิต ตนก็พร้อมที่จะยอมรับชะตากรรมของตัวเอง
แต่ตอนนี้ ในเมื่อได้เห็นถึงแสงสว่างในการเอาชีวิตรอดขึ้นมาแล้ว เธอก็ไม่เต็มใจที่จะละทิ้งโอกาสที่ว่านั่นไป
เด็กสาวตัวน้อยเฝ้ามองชายที่อยู่ตรงกันข้าม
เขาเป็นคนจากโลกกระจัดกระจาย
และเขาก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจเรื่องราวอะไรเลย
นี่เธอจะสามารถโน้มนาวใจเขา ให้ไม่เลือกที่จะรอแฟนได้รึเปล่านะ?
เด็กสาวตัวน้อยรำพึงเบาๆ สุดท้ายก็ส่ายหัว
ไม่ล่ะ เกรงว่ามันคงจะเป็นไปไม่ได้
ในเมื่อเขายอมจ่ายออกไปมากมาย เพียงเพื่อให้จิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์เอ่ยปากช่วยเหลือออกมา คาดว่าในหัวใจของเขา ไม่ว่ายังไงก็คงไม่มีทางละทิ้งการช่วยเหลือแฟนตัวเองแน่ๆ
ดังนั้นวิธีเดียวที่จะให้เขาเลือกที่จะจากไปได้ก็คือ –
-ตราบใดที่ช่วยเขาแก้ไขปัญหาทั้งหมด ตนเองก็สามารถไปกับเขาได้ ออกจากที่นี่ด้วยด้ายมิติที่เป็นสัญญาณเชื่อมต่อกับสมาคมกำปั้นเหล็ก
อนิจจา … คงไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆ
เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม หากเธอเลือกที่จะไม่พึ่งเขาแล้วออกไปจากที่นี่ ไม่ว่าเธอจะพบใครจากภายนอก คนๆนั้นก็จะต้องเรียกพวกองครักษ์มาจับกุมตัวเธอแน่ๆ
เนื่องเพราะรางวัลนำจับของตนเองั้นสูงค่ายิ่ง และคงไม่มีใครสามารถปฏิเสธมันได้
แถมทุกคนก็ยังต้องการที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับราชวงศ์วิหคหนามอีก
โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าราชวงศ์ได้สูญสิ้นไปแล้ว
ผู้คนในราชวงศ์เวลานี้ ทั้งหมดล้วนเป็นตัวปลอม!
เด็กสาวเฝ้ามองกู่ฉิงซานด้วยสีหน้าซับซ้อน
มีเพียงเขาเท่านั้น ที่ไม่เลือกที่จะเรียกองครักษ์ตั้งแต่แรก
เขาคือแสงสว่างสุดท้ายของเธอ!
เมื่อเทียบเปรียบกับการเฝ้ารอความตายอยู่ที่นี่ มันคงจะดีกว่าที่จะไล่ติดตามแสงแห่งความหวังไป!
ตัวเธอเองเป็นสายเลือดคนสุดท้ายของราชวงศ์หนาม และจะต้องไม่มาตายลงที่นี่เด็ดขาด!
เด็กสาวตัวน้อยตัดสินใจอย่างรวดเร็ว และกล่าวทันทีว่า “ฉันสามารถช่วยคุณให้เข้าสู่โลกของทริสเต้ เพื่อไปรับตัวแฟนสาวของคุณได้ แต่คุณต้องสาบานก่อน ว่าจะต้องไม่ทิ้งฉัน”
“นี่เธอมีวิธีการที่จะเข้าสู่โลกใบนั้นอย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานแสดงอาการประหลาดใจ
“ใช่ อันที่จริงแล้ว สิ่งที่ฉันขโมยมามันคือโลกของทริสเต้นั่นเอง ดังนั้นอีกฝ่ายเลยเป็นกังวล และไม่ละความพยายามที่จะไล่ตามตัวฉันซักที” เด็กสาวตัวน้อยกล่าว
กู่ฉิงซานแทบลืมหายใจ เขาถามเสียงกระซิบ “ว่าแต่เธอไปขโมยโลกของทริสเต้มาทำไมกัน?”
เด็กสาวตัวน้อยตอบ “เพราะนี่คือการแก้แค้น! เป็นการแก้แค้นของฉัน ฉันมีความสามารถที่จะทำให้ทริสเต้ไม่อาจค้นพบโลกของตัวเองได้อีกเลยตลอดไปได้ โดยมีเงื่อนไขว่าฉันจะต้องไม่ถูกเธอจับตัว”
กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น
นี่แหละ!
เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ ถูกซ่อนอยู่ในโลกของทริสเต้!
แต่โลกที่ว่านั่นดันมาถูกขโมยไปโดยเจ้าหญิงหนาม! ส่งผลให้ระบบของราชามารไม่อาจปะทุขึ้นได้! ดังนั้น เวลาในการเปิดฉากโจมตีอัลเบอัสจึงต้องเกิดความล่าช้าออกไป!!
นี่แหละคือกุญแจสำคัญของเรื่องราวทั้งหมด!!!
“ยอดเยี่ยม! เธอทำได้ดีมากๆเลย!” เขาอุทานออกมา
เด็กสาวตัวน้อยตกใจในทีแรก แต่แล้วเธอก็ยิ้มออกมา ก่อนที่สีหน้าจะกลับคืนสู่ความสงบที่แฝงไปด้วยความเศร้าเสียใจจางๆออกมาดังเดิม
ได้ยินแค่เพียงเสียงของเด็กสาวอธิบายต่อว่า “แต่ฉันมีเรื่องต้องบอกคุณก่อน ว่าจริงๆแล้วเรื่องนี้มันอาจแตกต่างไปจากที่คุณเคยได้รู้ได้ฟัง เดิมทีโลกใบนี้ที่คุณคิดว่ามันไม่อันตราย แท้จริงแล้วมันน่ะอันตรายยิ่งกว่าโลกใดๆที่คุณได้เคยพบเจอมาอย่างเทียบกันไม่ติดเลย”
“หืม? นี่เธอรู้ด้วยหรอว่าฉันเคยได้เผชิญหน้ากับโลกไหนมาบ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ไม่รู้หรอก แต่โลกของทริสเต้น่ะมันอันตรายมากจริงๆ หากคุณไม่ระวังก็อาจเอาชีวิตไปทิ้ง ดังนั้นควรรอบคอบให้มากเข้าไว้ … เพราะฉันไม่ต้องการที่จะตายไปพร้อมกับคุณ”
“ข้าพเจ้าทราบแล้ว เจ้าหญิงหนามที่เคารพ”
บังเกิดความเงียบขึ้นในห้อง
เด็กสาวตัวน้อยเผลอก้าวถอยหลังกลับไป
และเธอก็อดไม่ได้ที่จะถอยไปอีกก้าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอค้นพบว่ากู่ฉิงซานไม่คิดลงมือทำอะไร เธอก็ไม่ได้ถอยอีก
เด็กสาวตัวน้อยจ้องมองกู่ฉิงซาน พยายามที่จะควบคุมสีหน้าท่าทีของตนมิให้แสดงออกถึงความตื่นตระหนก
เธอพยายามสงบความคิดและจิตใจอยู่สักครู่
ขณะที่ชายตรงข้าม ยังคงเฝ้ามองเธออย่างเงียบๆและมิได้ทำสิ่งใดเลย
เด็กสาวตัวน้อยจึงค่อยๆเข้าใจในที่สุด
ว่าจริงๆแล้วเขาไม่ได้คิดจะทำอะไรกับเธอเลย
… ชายผู้นี้ ช่างเป็นคนที่แปลกจริงๆ
หากเป็นผู้อื่น ไม่ว่าใครก็ตาม หากพบตัวเธอ ทั้งหมดก็คงจะเรียกองครักษ์ และรายงานไปทันทีว่าได้เจอกับสาวใช้แล้ว
-แต่ผู้ชายคนนี้ถึงขนาดมองออกถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ แต่เขาก็ยังเลือกไม่ทำอะไรอยู่ดี!
ทุกการกระทำของเขาดูเหมือนจะได้รับการตัดสินใจ และพิจารณามาเป็นอย่างดี แน่นอน ว่านี่มันรวมไปถึงวิธีคิดที่ดูจะไม่ซ้ำใครอีกด้วย
เด็กสาวตัวน้อยอดใจไม่ไหว จำเป็นต้องเอ่ยถาม “คุณรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เมื่อไหร่ก็ได้ที่ฉันต้องการจะรู้ตัว”
“การแปลงโฉมของฉันมันล้มเหลวถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?” เด็กสาวตัวน้อยรู้สึกท้อแท้
“ไม่หรอก แต่เป็นเพราะฝ่าบาทโดดเด่นเกินไปต่างหาก บทบาทแม่บ้านน่ะไม่เหมาะสำหรับพระองค์หรอก เอ … ถ้าอธิบายไปแบบนี้ กระหม่อมหวังว่ามันคงจะช่วยให้ท่านอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างนะ”
“ขอบคุณที่ปลอบใจ แต่ก็เอาเถิด ในเมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้แล้ว พวกเราก็ควรจะซื่อสัตย์ต่อกัน ดังนั้นฉันจะเผยโฉมที่แท้จริงของตัวเองเลยคงจะเป็นการดีกว่า”
“ได้ยลรูปโฉมอันงดงามที่แท้จริงของฝ่าบาท นับว่าเป็นเกียรติของกระหม่อมยิ่ง”
เด็กสาวตัวน้อยพยักหน้า และหันกลับไปอย่าเงียบๆ
สีผิวหมองคล้ำกลับกลายเป็นสีขาวเนียนดั่งหยก ชุดสาวใช้หายไป และถูกชุดกระโปรงยาวสีขาวเข้ามาแทนที่
เธออยู่ในรูปโฉมที่สง่างาม ห้วงอารมณ์และพฤติกรรมแลดูเคร่งขรึม แสดงออกถึงบรรทัดฐานอันเข้มงวดตามหลักมารยาทผู้ดี
แต่เธอมีอายุเพียงแค่ 12 ปี เท่านั้น
กู่ฉิงซานสบกับดวงตาของเด็กสาว
ซึ่งนี่ดูจะแตกต่างไปจากแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ เจ้าหญิงจะมีคู่ดวงตาสีฟ้าดั่งท้องนภา ยามเมื่อได้สบตากับเธอ จะรู้สึกคล้ายกับห้วงสติถูกดึงดูดเข้าไป บังเกิดความพึงใจและความสุขสม ราวกับกำลังเฝ้ามองดาราพร่างพราวอันงดงาม
“ขอแนะนำตัวอีกครั้ง เรามีนามว่าลอร่า เป็นเจ้าหญิงหนามแห่งยุคนี้”
“ลอร่า?”
“ใช่”
“ส่วนกระหม่อมชื่อกู่ฉิงซาน”
“ขอสารภาพตามตรงว่าตัวเราไม่มีความหวังอื่นใดหลงเหลือแล้วจริงๆ มิสเตอร์กู่ฉิงซาน เจ้าช่วยนำตัวเราไปยังสมาคมกำปั้นเหล็กจะได้หรือไม่?”
พอแปลงกลับเป็นสถานะเดิม วิธีการพูดและคำเรียกขานอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไป เธอไม่ได้เรียกกู่ฉิงซานว่า ‘คุณ’ อีกต่อไป
“แน่นอน ตราบใดที่ฝ่าบาทส่งกระหม่อมเข้าสู่โลกของทริสเต้ และไปรับตัวแฟนของกระหม่อมกลับมาได้น่ะนะ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างง่ายๆ
เจ้าหญิงลอร่าลองครุ่นคิดดูเล็กน้อยจึงเอ่ยถาม “แล้วเหตุใดแฟนของเจ้าถึงเข้าสู่โลกใบนั้น แต่เจ้ากลับไม่กันล่ะ?”
กู่ฉิงซานบอกเล่าถึงเหตุผลและความจริงที่เกิดขึ้น
เจ้าหญิงตัวน้อยดูจะกระตือรือร้น ตั้งใจฟังเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการที่จะหลอกหลวงเธอ
เจ้าหญิงลอร่าพอได้ฟัง ก็เอ่ยปากออกมา “ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมเจ้าถึงอยากช่วยแฟนของตัวเองนัก”
“คำถามสุดท้าย” ลอร่าเอ่ยต่อ “ตัวเราสามารถนำพาเจ้าไปในโลกใบนั้นได้ก็จริง แต่ก่อนหน้านั้น เราจะเชื่อถือคำของเจ้าได้อย่างไร?”
“กู่ฉิงซานแห่งนิกายร้อยบุปผา ขอให้คำมั่นสาบานในที่นี้ ว่าตราบใดที่ฝ่าบาทช่วยกระหม่อมเข้าสู่โลก กระหม่อมจะพาพระองค์หลบหนี และเอาชีวิตรอดไปให้จงได้”
“หากกระหม่อมผิดพลั้งในคำมั่น ก็ขอให้วิถีเต๋าแหลกสลาย กลายเป็นคนพิการไปตลอดทั้งชีวิต”
บังเกิดสายลมที่มองไม่เห็นขึ้นรอบตัวกู่ฉิงซาน ก่อนที่พวกมันจะค่อยๆซึมหายเข้าไปในร่างเขา
“นี่คือคำมั่นสาบานของผู้ฝึกยุทธอย่างนั้นหรือ? มันดูไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เอาเถิด เท่าที่เห็นมันก็เชื่อถือได้ไม่เลว – ในเมื่อทำถึงขนาดนี้ ตัวเราก็จะเชื่อใจเจ้าสักครั้งก็แล้วกัน”
ว่าจบ เธอก็เหยียดนิ้วออกไป และแตะลงบนเค้ก 20 ชั้น
ก้อนเค้กขนาดใหญ่แหวกออกเป็นสองฟากฝั่ง เผยถึงลูกบอลคริสตัลสีสันสดใสที่สว่างไสวอยู่ภายใน
ลูกบอลคริสตัลลอยล่องอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ ขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยหมอกสีเทาออกมาบดบังแสงของมัน
ลอร่าวาดมือ
และบอลคริสตัลก็ตกลงบนฝ่ามือของเธอ
“นี่คือโลกของทริสเต้ที่ถูกผนึกเอาไว้โดยตัวเรา ดังนั้นหล่อนจึงไม่สามารถตรวจจับตำแหน่งของมันได้” ลอร่าอธิบาย
กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ตกตะลึง!
แต่เดิม แท้จริงแล้วกลับปรากฏว่าลอร่าได้ใช้เทคนิคมนตรา ทำการผนึกกลิ่นอายของโลกใบนี้ และซ่อนมันเอาไว้ในเค้ก!
ต้องไม่ลืมนะว่าพวกขุนนางวิหคหนามที่มาจากดินแดนอัศจรรย์น่ะ เป็นพวกจุกจิกในเรื่องของมารยาท พวกมันล้วนไม่คิดจะยินยอมแตะอาหารต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาด
นอกเหนือไปจากวิหคหนามแล้ว คนอื่นๆที่เข้ามาในโซนที่นั่งพิเศษนี้ ก็ย่อมต้องมิใช่คนสามัญ และเป็นธรรมดาที่ล่วงรู้ถึงมารยาทดังกล่าวเช่นกัน
ฉะนั้นแล้ว จะให้พวกเธอตัดเค้ก แล้วหยิบฉวยมันขึ้นมารับประทานต่อหน้าผู้อื่นได้อย่างไร?
ดังนั้น มันจึงเป็นความคิดที่หลักแหลมไม่เลวเลย ที่เลือกซ่อนบอลคริสตัลเอาไว้ในส่วนลึกของก้อนเค้กชิ้นนี้!
เจ้าหญิงหนามผู้นี้ เป็นสาวน้อยที่ฉลาดจริงๆ
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.525 – ระบบของราชามาร
มองไปยังพาดหัวข่าวนี้ เลือดในกายกู่ฉิงซานพลันเย็นเยียบ
ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่ที่ได้จุติใหม่ เขามักจะครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตก่อนหน้าอยู่เสมอ
เนื่องเพราะมันมีประเด็นที่น่าสงสัยอยู่มากเกินไป
หลังจากที่ได้รับประสบการณ์จากหลายโลก ตอนนี้ตัวกู่ฉิงซานจึงได้ตระหนักถึงความจริงบางอย่าง
-เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online เจ้าสิ่งนี้ได้แหกกฏความแข็งแกร่งดั้งเดิมของมนุษย์ มันได้ทำลายหนทางที่จะทำให้มนุษย์สามารถต่อกรกับเผ่ามารได้
ในชีวิตก่อนหน้า การที่มนุษย์ได้จมลงสู่หายนะ ทั้งหมดก็เพราะเกมๆนี้
ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของการต่อสู้ ไม่มีใครเลยที่จะสามารถยืนหยัด ต้านทานอสูรกายได้
นั่นก็เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่สามารถตัดผ่านขึ้นสู่ขอบเขตประทับเทพ
สาเหตุหลักๆก็เป็นเพราะค่าประสบการณ์ที่จำเป็นในการยกระดับมันมากเกินไป สำหรับมนุษย์ มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถหามาได้เลย
และเมื่อต้องเผชิญกับวันสิ้นโลกที่อยู่เบื้องหน้า ความรู้สึกไร้กำลังก็ทำให้ทุกคนสิ้นหวัง
อย่างไรก็ตาม ทำไมเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ถึงถูกเรียกว่าระบบของราชามารล่ะ?
แล้วไอ้ ‘เชื้อไฟ’ ที่เป็นคำต่อท้ายนั่นมันคืออะไรกัน?
กู่ฉิงซานกลั้นหายใจ และยังคงอ่านมันต่อไป
หนังสือพิมพ์ดูเหมือนจะถูกเร่งกระบวนการผลิตพอสมควร ดังนั้นเนื้อหาของข่าวจึงมีอยู่ไม่มากนัก
“ทริสเต้หันไปพึ่งพิงเผ่ามาร”
“ไฟแห่งสงครามได้ปะทุขึ้น , โลกทั้ง 900 ล้านชั้นเริ่มรวบรวมกองทัพพันธมิตร เพื่อเตรียมรับมือกับสงครามที่กำลังจะอุบัติในไม่ช้า”
“แล้วยังได้รับการยืนยันอีกว่า แสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ ได้นำเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ‘เชื้อไฟ’ มาจากดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู ซุกซ่อนไว้ในโลกส่วนตัวของเธอ เพื่อนำมันมาผสานรวมกับอัลเบอัส โดยใช้ข้ออ้างในการเข้ามาที่นี่ว่า ‘เป็นการเรียกขานของวิหคหนาม’ ”
“ระบบของราชามารกำลังแพร่กระจายไปทั่วอัลเบอัส”
“ครั้งหนึ่งเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online ก็เคยแพร่กระจายเข้าไปในชั้นโลกใหญ่ และสุดท้ายชั้นโลกเหล่านั้นก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของเผ่ามาร”
“เราจะต้องไม่อนุญาตให้ ‘เชื้อไฟ’ ที่ว่านั่นได้รับพลังงาน! เราจะต้องไม่ปล่อยให้ระบบของราชามารยกระดับขึ้น!”
“เหล่าตัวตนทรงอำนาจทั้งหลายเอ๋ย ขอจงโปรดเข้าร่วมการต่อสู้ เพื่อจัดการกับมันให้เร็วที่สุด!”
“ย้ำอีกครั้ง ขอทุกคนจงหยิบอาวุธขึ้นสู้ เพื่อต้านทานเชื้อไฟของวันสิ้นโลก!”
ข่าวจบลงในที่สุด
กู่ฉิงซานมองดูหนังสือพิมพ์บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม มิอาจเอ่ยคำใดอยู่เนิ่นนาน
เขามองไปยังตัวข่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ปรากฏว่าการเรียกขานของวิหคหนาม แท้จริงแล้วเป็นแผนสมคบคิดของทริสเต้
โดยมีเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ‘เชื้อไฟ’ ซุกซ่อนอยู่ในโลกส่วนตัวของเธอ
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
ไพ่พยากรณ์โชคชะตาบอกได้ไม่ผิดจริงๆ ตนเองเกือบที่จะได้เข้าสู่โลกใบนั้นไปแล้ว!
เกรงว่าหลังจากที่เข้าไปในโลกใบนั้น ไม่ว่าจะคนอื่นๆ รวมไปถึงตนเอง ชะตากรรมของทุกคนคงจบลงด้วยการเข้าสู่วิถีมาร
นี่คือลางร้ายที่ซูเซี่ยเอ๋อมองเห็น
เธอจึงเป็นคนหยุดตัวเขาตั้งแต่แรกเริ่ม และไม่อนุญาตให้เขาเข้าไป
แต่เธอดันเลือกที่จะโยนตัวเองเข้าสู่โลกใบนั้นแทน!
กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้น และเดินวนกลับไปกลับมารอบๆห้อง
คิดสิคิด มันจะต้องมีวิธีแก้ปัญหาสิ
แล้วถ้าฉันเปิดโปงทริสเต้ตอนนี้เลยจะได้ไหม?
ไม่ .. เกรงว่าแบบนั้นคงไม่ดี
แสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้น่ะมีชื่อเสียงก้องไปตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น ตัวตนทรงพลานุภาพนับไม่ถ้วนล้วนมีสัมพันธ์อันดีกับเธอ
ขณะที่กู่ฉิงซานเป็นคนที่มาจากโลกกระจัดกระจาย
คงไม่มีใครเชื่อในตัวเขา
และทริสเต้อาจจะสังหารกู่ฉิงซานเลยก็ได้ โดยอ้างเหตุผลว่าเขาใส่ร้ายเธอ
กำปั้นเหล็กแบรี่ก็ยังไม่หายดี บางทีตอนนี้เขาอาจจะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ
ซูเซี่ยเอ๋อก็อยู่ในโลกใบนั้นมาระยะหนึ่งแล้ว
ให้ตายสิ! ฉันจะต้องรีบหาทางช่วยเธอออกมาทันที
แต่จะต้องทำยังไงกัน!? เพราะไม่ว่าจะคิดยังไง ฉันก็ไม่มีทางที่จะสู้กับทริสเต้ได้เลย!
ความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองฝ่ายมันแตกต่างกันราวเมฆกับโคลนตม
หัวใจของกู่ฉิงซานค่อยๆหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
ณ ขณะนั้นเอง เสียงที่ฟังดูหวาดระแวงก็ดังขึ้น “ขอโทษนะ … เกิดอะไรขึ้นกับคุณงั้นหรอ?”
กู่ฉิงซานหยุดกึก! ลงอย่างกระทันหัน
เขาหันไปมองที่มาของเสียง
เด็กสาวตัวน้อยกำลังจ้องมองเขาตาแป๋ว
“ฉันพูดกับคุณตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ แต่ดูเหมือนว่าคุณจะไม่สนใจเลย” เธอตอบ
“อะไร พูดอะไรกับฉันงั้นหรอ?”
“ฉันต้องการที่จะให้คุณพาฉันไปยังสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมเพื่อหลบภัย คุณคงทราบดี ว่าความผิดของสาวใช้อย่างฉัน ย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสังหารของราชวงศ์วิหคหนามไปได้”
ขณะกล่าว จู่ๆสีหน้าของเด็กสาวตัวน้อยก็แปรเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน
เธอหายวับไปจากที่เดิมในฉับพลัน
ขณะเดียวกัน บานประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง
ตามด้วยสององครักษ์ติดอาวุธหนักสองกลุ่มที่เดินเข้ามา
บนใบหน้าของพวกเขาฟุ้งไปด้วยเจตนาฆ่า
“แกเป็นใคร?”
เสียงที่ฟังดูเฉียบขาดดังขึ้น
กู่ฉิงซานตอบกลับอย่างสงบ “ผมเป็นแขกของแสงแห่งรุ่งอรุณ และจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์บอกให้ผมเฝ้ารอเธออยู่ที่นี่”
องครักษ์ทั้งหมดพอได้ฟังก็ตกใจ
ในเวลานั้นเอง องครักษ์อีกกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง
พวกเขาคือกลุ่มคนก่อนหน้า ที่เคยได้เข้ามาตรวจสอบภายในห้อง
พวกเขาจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับกู่ฉิงซานดี
“เข้าใจผิด! เข้าใจผิดแล้ว! นี่คือแขกอันทรงเกียรติที่มาด้วยกันกับจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์!” องครักษ์ที่พึ่งเข้ามาเร่งอธิบาย
“แน่ใจรึเปล่า?”
“แน่ใจ! กระทั่งท่านทริสเต้เองก็ยังมอบเหรียญตราให้แก่เขา แถมยังบอกอีกว่าเขาสามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดเวลา”
หัวหน้าองครักษ์มองไปยังกู่ฉิงซาน
แน่นอน ว่าเขาย่อมเห็นถึงเหรียญของทริสเต้ที่ถูกกุมอยู่ในมือของกู่ฉิงซาน
เรื่องนี้คงไม่ผิดพลาดแล้วล่ะ
เพราะไม่มีใครสามารถรับเหรียญของเธอได้ หากท่านทริสเต้มิได้มอบมันให้เป็นการส่วนตัว
องครักษ์ทั้งหมดรู้สึกผ่อนคลายลงทันที
การที่สามารถเข้าสู่ที่นี่ได้แน่นอนว่าเขาย่อมต้องเป็นแขก คงต้องตำหนิตัวเองที่กังวลมากเกินไป เพียงแค่เห็นใบหน้าไม่คุ้นเคย ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเริ่มเค้นสอบทันที
“ก่อนอื่นพวกเราต้องขออภัยสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ แต่นั่นก็เพราะสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นเรื่องเร่งด่วนมาก ขอให้โปรดเข้าใจด้วย” หัวหน้าองครักษ์กล่าว
“ไม่เป็นไรหรอก” กู่ฉิงซานตอบ
แต่แล้วในหัวใจของเขาก็นึกได้ถึงสิ่งหนึ่ง สีหน้าเผยถึงความอยากรู้อยากเห็น “ว่าแต่พวกคุณกำลังตามหาอะไรกัน? พอจะบอกผมได้ไหม บางทีถ้าผมเจอ ผมจะได้ไปรายงานพวกคุณเลยโดยตรงไง”
องครักษ์หันมามองหน้ากันและกัน
ในเมื่อคนๆนี้เป็นแขกของท่านทริสเต้ …
“พวกเรากำลังตามหาสาวใช้คนหนึ่ง เธอได้ขโมยสมบัติของราชวงศ์วิหคหนามไป และตอนนี้กำลังหลบหนีอยู่” หัวหน้าผู้พิทักษ์กล่าว
“เธออายุประมาณสิบขวบปี ใช่แล้ว! จริงๆแล้วเธอเป็นสาวใช้ขององค์หญิง”
“หากคุณพบตัวเด็กสาวที่ท่าทางมีพิรุธ โปรดบอกพวกเราทันที”
“แน่นอน” กู่ฉิงซานให้สัญญา
องครักษ์พยักหน้า พวกเขาน้อมกายคำนับพร้อมกัน และค่อยๆถอยออกจากโซนที่นั่งพิเศษอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานเร่งเอ่ยปากขัด “ช้าก่อน”
“ยังมีเรื่องอะไรอีกงั้นหรือ?” หัวหน้าองครักษ์หยุดฝีเท้า หันหน้ากลับมาถาม
“นี่ … อันที่จริงแล้ว ผมก็ไม่ต้องการที่จะอยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่สองผู้สูงศักดิ์อย่างแสงแห่งรุ่งอรุณกับพฤษาศักดิ์สิทธิ์ดันบอกให้รออยู่ที่นี่ ดังนั้นผมเลยไม่สามารถออกไปไหนได้”
กู่ฉิงซานผายสองมือออก แสดงท่าทีหมดหนทาง
“และผมก็กลัวว่าจะมีคนอื่นบุกเข้ามาค้นหาในห้องนี้ แล้วเห็นว่าผมเป็นคนแปลกหน้า ซึ่งมันอาจจะเกิดความเข้าใจผิดกันอีกก็ได้”
เหล่าองครักษ์พอได้ฟัง ก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ
—พวกเขาไม่สามารถทำตัวหยาบคายกับแขกได้ ยิ่งในกรณีที่พวกตนเป็นตัวแทนของวิหคหนาม ซึ่งเปี่ยมไปด้วยมารยาทและพิธีการแล้ว ยิ่งปล่อยให้ทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด
คนๆนี้คือใคร? เขาคือแขกของท่านทริสเต้ คือคนที่จิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์พามาเป็นการส่วนตัว หากองครักษ์เข้ามาวุ่นวายในห้องนี้อีกครั้ง เกรงว่าอาจจะเป็นการทำให้สองหญิงสูงศักดิ์โกรธเคืองเอาได้
หัวหน้าองครักษ์เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเขาก็จริงจังขึ้นมาทันที
เขาหันไปกล่าวกับองครักษ์ใต้บังคับบัญชา “ส่งคำสั่งของข้าออกไป โซนที่นั่งพิเศษได้ถูกตรวจค้นกว่าสองรอบแล้ว และไม่มีอะไรผิดปกติ มีแขกผู้ทรงเกียรติของพวกเราอยู่ที่นี่ จงอย่าให้ใครมารบกวนอีก”
“รับทราบ!” องครักษ์ขานรับเป็นเสียงเดียวกัน
“ขอบคุณคุณมาก” กู่ฉิงซานประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่าย
“ไม่จำเป็นต้องสุภาพไป เป็นพวกเราต่างหากที่เสียมารยาท” หัวหน้าองครักษ์ค่อยๆน้อมศีรษะลงเบาๆ
และคราวนี้ พวกเขาก็ออกไปจริงๆแล้ว
ประตูถูกปิดลงอีกครั้ง
ฟุ่บ!
เด็กสาวตัวน้อยปรากฏกายขึ้นอีกครา
ใบหน้าของเธอถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อเม็ดเท่าลูกปัด ขณะที่ปากอ้ากว้างถอนหายใจหนักหน่วง
-ดูเหมือนว่าการหลีกเลี่ยงการค้นหามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ขอบคุณสำหรับการปกป้อง คุณนี่เป็นสุภาพบุรุษที่มีความเห็นอกเห็นใจกันจริงๆ ฉันจะขอจดจำความเมตตานี้เอาไว้” เธอกล่าว
เห็นได้ชัดว่าเธออ่อนล้าจนถึงขีดจำกัดแล้ว แต่เธอก็ยังเลือกที่จะโค้งกายขอบคุณกู่ฉิงซาน
ทัศนคติและมารยาทของเธอช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
กู่ฉิงซานมองไปยังเด็กสาวตัวน้อย
เขาไม่ต้องการที่จะเกี่ยวข้องใดๆ แต่ตอนนี้คงไม่มีทางเลือกแล้วนอกจากทำมัน
เขาต้องการใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ เพื่อที่จะช่วยชีวิตซูเซี่ยเอ๋อ!
กู่ฉิงซานเค้นสมองอย่างรวดเร็ว ภายในจิตใจของเขาบังเกิดความคิดมากมายนับไม่ถ้วน
เขาพยายามทบทวนดูทุกวิถีทาง กระทั่งรายละเอียดเล็กๆน้อยๆตั้งแต่ที่ตนมาที่นี่
เขาพยาพยามอย่างสุดกำลังเพื่อค้นหาแสงแห่งความหวัง
เด็กสาวตัวน้อยเปิดปาก “เอาล่ะตอนนี้-”
“รอสักครู่ ขอให้ฉันได้จัดการกับกระบวนการคิดเล็กๆน้อยๆนี่ก่อน” กู่ฉิงซานขัดจังหวะเธอ
เขาเดินวนไปวนมารอบห้องด้วยความกระวนกระวาย
เด็กสาวตัวน้อยหุบปากลง เฝ้ามองเขาอย่างเงียบๆ
นั่นเขากำลังกังวลอะไรอยู่?
จริงสิ ในระหว่างที่ฉันซ่อนตัวอยู่ ฉันบังเอิญได้ยินบทสนทนาของใครหลายๆคนอยู่เหมือนกันนี่นา
จิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ได้นำเขาเข้ามาที่นี่
โดยเป้าหมายของเขาก็คือ การเข้าสู่โลกของทริสเต้ และค้นหาแฟนสาวของเขา
ไม่ผิดแล้ว ดูเหมือนว่าเขาคงกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องแฟนสาวของตัวเอง
เด็กสาวตัวน้อยเริ่มที่จะทำความเข้าใจด้วยตัวเอง
เมื่อครู่เธอกำลังจะขอร้องเขา แต่ก็ถูกขัดจังหวะอย่างกระทันหันโดยเหล่าองครักษ์
ในเมื่อองครักษ์จะไม่มาค้นหาที่นี่ไปอย่างน้อยก็อีกสักพัก ถ้าอย่างงั้นก็รอจนกว่าคนๆนี้จะสงบลง แล้วจากนั้นก็ค่อยร้องขอหลบหนีไปกับเขาก็แล้วกัน
เพราะท้ายที่สุดนี้ หลังจากที่ตัวเธอเองวิ่งหนีมาเป็นเวลานาน แต่กลับมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ไม่คิดจะเปิดเผยถึงตัวตนของเธอ
เพราะเขาเป็นคนดีที่มาจากสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม!
เมื่อคิดถึงจุดนี้ สาวน้อยก็สงบลง
กู่ฉิงซานก้าววนไปวนมาในห้อง ขณะที่ในสมองหมุนเร็วจี๋
ก่อนอื่นเลย-
แสงแห่งรุ่งอรุณ , จิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งลูกพี่ไก่ ทั้งหมดล้วนเป็นตัวตนทรงพลานุภาพ
แต่เด็กสาวใช้คนนี้ กลับสามารถหลบเลี่ยงการรับรู้ของพวกเขาได้
แม้สาวใช้จะถูกเขาพ่นไวน์ใส่หน้า แต่เธอก็ยังคงรักษามารยาท และคงเอกลักษณ์ในการพูดจาเอาไว้ได้ แถมยังเอ่ยถามอีกว่าตนเองสมควรจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร
ในแขนเสื้อของเธอ เป็นผิวที่ขาวผ่อง บริสุทธิ์ราวกับน้ำนม
นอกจากนี้ เธอยังมีวิชาพิเศษที่ทำให้หายตัวไป – มันอาจจะเป็นเทคนิคลัยสุดยอดก็ได้ มิฉะนั้นเธอคงจะถูกจับตัวได้ตั้งนานแล้ว
ทุกครั้งที่เธอปรากฏกาย เขาจะไม่สามารถตระหนักได้ถึงเธอ แน่นอน รวมไปถึงจิตสัมผัสเทวะของเขาเองก็เช่นกัน
ในฐานะผู้ฝึกยุทธ กู่ฉิงซานไม่เคยพบเจอกับวิชาที่มีกฏเกณฑ์อันทรงประสิทธิภาพเช่นนี้มาก่อนเลย
วิชาดังกล่าว ย่อมจะต้องมีค่ามากมหาศาลเป็นแน่
หากมีกองกำลังอื่นใดได้รังสรรค์วิชาเช่นนี้ขึ้นมา พวกเขาย่อมจะต้องป้องกันไม่ให้วิชานี้รั่วไหลออกไปอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น วิชาระดับสูงแบบนี้ กว่าจะเชี่ยวชาญ คงมิแคล้วจำเป็นต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการฝึกฝนและทำความเข้าใจ
แล้วกะอีแค่สาวใช้ มันจะไปสามารถบรรลุเรื่องราวดั่งที่กล่าวมานี้ได้อย่างไร?
ดังนั้น นี่ย่อมหมายความว่าเธอคือคนอื่น
และตามเหตุการณ์อันหลากหลายที่เกิดขึ้นนี้ ภายในงานเลี้ยง หลงเหลืออยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ปรากฏตัว
คนที่สามารถทำให้ทริสเต้เป็นกังวลได้ ย่อมไม่มีทางเป็นสาวใช้อย่างแน่นอน
-มีเพียงเจ้าหญิงหนามเท่านั้น
กู่ฉิงซานบังเกิดสมมติฐานนี้ขึ้นในจิตใจ เขาพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบไม่อาจจับสังเกตเห็นได้
จากนั้น สมองของเขาก็เริ่มปั่นความคิดอีกครั้ง
—สมมติว่าเด็กสาวตัวน้อยคนนี้เป็นเจ้าหญิงหนามจริงๆ แล้วทำไมเธอถึงต้องหลบหนีด้วย?
ในฐานะที่เป็นทายาทคนต่อไปของราชวงศ์หนาม เจ้าหญิงหนามก็ไม่สมควรที่จะหวาดกลัวทริสเต้สิ
เพราะหากเพียงแค่เธอเอ่ยปาก วิหคหนามนับไม่ถ้วนก็กระโจนลงมาหมอบกราบ พร้อมรับใช้เธอแล้ว
แต่เธอกลับเลือกที่จะหนี หนีแบบจริงจังเสียด้วย
ตามข้อสรุปนี้ …
เกรงว่าราชวงศ์วิหคหนาม คงจะสิ้นสุดลงแล้ว
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ทริสเต้ได้เข้าควบคุมตระกูลวิหคหนามโดยสมบูรณ์
ขณะที่ทริสเต้หันไปพึ่งพิงเผ่ามารตั้งเนิ่นนานแล้ว…
ด้วยข้อสรุปนี้ เกรงว่าหายนะคงมาเยือนอัลเบอัสเป็นที่เรียบร้อย
ทริสเต้จะต้องลอบใช้วิธีบางอย่างจัดการกับการป้องกันของอัลเบอัสอย่างลับๆเป็นแน่ เพราะหากเป็นกู่ฉิงซานเอง เขาก็จะทำเช่นเดียวกัน
กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
ระหว่างทางเดินเมื่อครู่นี้ ตลอดทั้งโรงแรมอัลเบอัสยังเต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะอยู่เลย ผู้คนต่างกำลังเพลิดเพลินไปกับงานเลี้ยงฉลองขึ้นเป็นผู้ใหญ่ของเจ้าหญิงแห่งวิหคหนาม
แถมงานเลี้ยงยังจัดยาวนานกว่าสามวันสามคืน
-แต่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์หรือว่าไก่ใหญ่ ก็ไม่มีใครรู้เลยว่ามีเผ่ามารกำลังซุ่มซ่อนอยู่ในที่มืด และเตรียมการที่จะล่าสังหารอยู่
ใครกันที่จะสามารถล่วงรู้ได้ว่าเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ‘เชื้อไฟ’ กำลังจะปุทะขึ้นในไม่ช้า?
ในหัวใจของกู่ฉิงซานจมลงสู่หุบเหวลึก
เขารู้สึกเหมือนกับว่า ตนกำลังยืนอยู่บนเรือที่กำลังจะจม ขณะที่ผู้คนบนเรือทั้งหมดก็ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่ตระหนักถึงมัน
หลังจากถอนหายใจ กู่ฉิงซานก็ขบคิดต่อไป
แผนการของทริสเต้ … พอจะมีช่องโหว่อะไรบ้างไหมนะ?
ตนเองกับทริสเต้มิได้อยู่ในระดับเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ทราบว่าทริสเต้จะสามารถทำถึงสิ่งใดได้บ้าง ยิ่งการหนีคงไม่ต้องกล่าวถึง
ไม่มีหนทางออกเลย
“เซี่ยเอ๋อ … ” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ
ในขณะนั้นเอง เขาก็ไม่สามารถที่จะระงับอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป
ทริสเต้ทรงพลังเกินไป แถมยังมีเรื่องของเชื้อไฟวันสิ้นโลก และเผ่ามารนับล้านๆตนที่คอยสนับสนุนอย่างลับๆอีก
และทุกอย่างถูกจัดการโดยทริสเต้ ในขณะที่ตัวเขาเองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอเลย
ส่วนเซี่ยเอ๋อก็ดันเข้าไปในโลกของอีกฝ่าย และคงจะตายในไม่ช้า หรือไม่ก็เข้าสู่วิถีมาร กลายเป็นมารในที่สุด
แล้วฉันควรจะทำอย่างไรดี?
กู่ฉิงซานหยิบขวดไวน์ในถังน้ำแข็งขึ้นมา แล้วเอามันแนบลงบนแก้มของตัวเอง
ความเย็นฉ่ำจนแสบชา ทำให้จิตใจของเขาสงบลงอย่างไม่เต็มใจ
ใจเย็นๆสิ
สงบใจเข้าไว้!
ลองคิดดูดีๆอีกครั้งสิ
มันจะไม่มีหนทางเลยจริงๆน่ะหรือ?
กู่ฉิงซานพยายามให้กำลังใจตัวเอง
เขาสูดหายใจลึก หลับตาลง และเริ่มปั่นสมองอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
เมื่อลองมองย้อนกลับไป ตั้งแต่ต้นจนจบ มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาล่วงรู้
นั่นคือทริสเต้ได้เดินออกไปกับจิตวิญญาณพฤษาศักดิ์สิทธิ์ โดยมีลูกพี่ไก่ตามไปด้วย
แล้วข้อมูลเรียบง่ายเช่นนี้ ต่อให้เขารู้ มันจะไปสามารถสร้างผลกระทบอะไรได้กัน?
…
เดี๋ยวก่อนนะ
กู่ฉิงซานหันหน้ากลับไป
สายตาของเขาตกลงบนร่างของเด็กสาวตัวน้อย
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.524 – หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : เชื้อไฟ
ณ โลก 900 ล้านชั้น
ภายในดินแดนมิติอนันต์
บังเกิดม่านรังสีแสงกระพริบไหว
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวปรากฏตัวขึ้นบนถนนที่แออัดไปด้วยผู้คน
ที่นี่คือซันซิตี้ โลกมิติอนันต์ที่อยู่ใกล้เคียงกับสมาคมกำปั้นเหล็กมากที่สุด
ทั้งสองคนกำลังเร่งเดินทาง
“พวกเราจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน?” แบรี่เอ่ยถาม
เสี่ยวเหมียวเตือน “พี่ชายอย่าพึ่งร้อนรนไป แค่พวกเราสองคนน่ะ มันไม่สามารถที่จะต่อกรกับกองทัพมารที่แท้จริงได้หรอกนะ”
“แต่พี่กลัวว่าเจ้าเด็กกู่จะทนไม่ไหวไปซะก่อน พวกเราคงต้องรีบมากกว่านี้ ว่าแต่มันจะใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกัน?” แบรี่ถามย้ำอีกครั้ง
“เราจะต้องติดต่อกับเพื่อนที่เชื่อถือได้ซะก่อน แล้วถึงจะไปยังอัลเบอัสได้ กระบวนการทั้งหมดนี้คิดว่าน่าจะใช้เวลาราวๆหนึ่งวันครึ่ง” เสี่ยวเหมียวกล่าว
“บ้าจริง ไอ้ขานี่-”
“ขาของพี่ถือว่าฟื้นฟูได้เร็วมากแล้ว พวกเราถึงสามารถออกจากโลกมิติอนันต์ได้ไง พี่หยุดคิดเกี่ยวกับมันได้แล้ว”
เสี่ยวเหมียวกล่าวอย่างเด็ดขาด
เมื่อเทียบกับโลกอื่น โลกมิติอนันต์นับว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว
นอกจากนี้ ด้วยความสามารถมิติของเสี่ยวเหมียว มันยังสามารถส่งเขากลับไปยังสมาคมจากโลกมิติอนันต์อื่นๆได้เลยโดยตรง
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของแบรี่ มันคงจะเป็นการดีกว่าที่ทั้งสองจะเดินทางภายในโลกมิติอนันต์
ขณะกล่าว เสี่ยวเหมียวก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งอย่างกระทันหัน
จู่ๆเธอก็ล้วงไปคว้าจับชิ้นส่วนกระดาษขึ้นมาทันใด
วู้มมม!
เห็นแค่เพียงเปลวไฟที่พวยพุ่งออกมาจากชิ้นกระดาษ
และแผ่นกระดาษทั้งหมดก็ค่อยๆถูกเผาลง
เสี่ยวเหมียวลดหูน้อยๆของเธอ ใบหน้าแสดงออกถึงความเสียใจ
แบรี่ลดเสียงลงและเอ่ยถาม “นี่ใช่สัญลักษณ์ของผู้พิทักษ์แห่งอัลเบอัสรึเปล่า?”
“ใช่ เขามักจะชอบเขียนเหมือนกับฉันเป็นงานอดิเรก แต่ถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งมากก็ตามที แต่นิยายของเขาบอกได้เลยว่าค่อนข้างจะเละทีเดียว น้องเลยมักจะหยอกล้อเขาอยู่เป็นประจำ”
ขณะกล่าว เสี่ยวเหมียวก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
การที่สัญลักษณ์ถูกทำลาย นั่นเป็นตัวแทนที่สื่อความหมายว่าคนๆนั้นมิได้อยู่ในโลกอีกต่อไปแล้ว
แบรี่มองไปยังกระดาษที่ค่อยๆถูกเผาไหม้ แล้วถอนหายใจออกมา
ผู้พิทักษ์แห่งอัลเบอัสถูกสังหารลงโดยตรง นี่คล้ายเป็นการบอกกลายๆว่าเผ่ามารเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
“เธอได้แจ้งข่าวให้เขารู้รึเปล่า?” แบรี่ถาม
“อันที่จริง น้องส่งข่าวไปบอกเขาแล้ว แต่น่ากลัวว่าเขาจะไม่ได้รับมัน” เสี่ยวเหมียวกล่าว
“พี่เองก็พอจะรู้จักชายคนนี้ … น่าแปลกจริงๆ ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่เลวร้ายเลย แต่ทำไมเขาถึงถูกฆ่าลงเงียบๆแบบนี้?”
แบรี่เพิ่มความระมัดระวังขึ้น
เขาบ่นพึมพำ “ถ้าเป็นกองทัพมารบุกโจมตีจริงๆ เขาก็น่าจะทุ่มเต็มกำลังเพื่อรับมือกับมัน จนเกิดการต่อสู้ขนาดใหญ่ขึ้นสิ”
เสี่ยวเหมียวเสริม “และโลกที่อยู่รายล้อมจะต้องตื่นตัว แล้วส่งตัวตนทรงอำนาจจำนวนมากออกไปช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน”
“ใช่ ส่วนทางผู้พิทักษ์หอสูงก็คงจะออกคำเตือนก่อนเป็นคนแรกๆเลย”
ทั้งสองปิดปากลง และหันไปมองรอบๆ
ฝูงชนยังคงมีชีวิตชีวา และไม่มีใครแสดงออกถึงความหวาดกลัวบนใบหน้าของพวกเขาเลย
ในจังหวะนั้นเอง มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา คนๆนั้นกำหนังสือพิมพ์ของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงไว้ในมือ
สองพี่น้องเบนสายตาตามหนังสือพิมพ์ทันที
ทั้งสองกวาดสายตาบนหน้าหนังสือพิมพ์ทั้งหมดในคราวเดียวและหยุดฝีเท้าลง
“ถ้ามีข่าวของอัลเบอัส แน่นอนว่ามันจะต้องลงพาดหัว แต่นี่มันดันไม่มีข่าวอะไรที่เกี่ยวข้องกับอัลเบอัสในวันนี้เลย” เสี่ยวเหมียวกล่าว
แบรี่จมลงสู่ความเงียบ
เขาค่อยๆเริ่มกระชับถุงมือเหล็กของตน
“พี่ชาย?” เสี่ยวเหมียวเริ่มกังวล
“ไม่เป็นไรหรอก พี่สบายดี แต่ดูเหมือนว่าจะมีทางฝั่งเรา คงจะมีบางคนเลือกที่จะหันไปพึ่งพิงเผ่ามารอยู่จริงๆ” แบรี่กล่าว
เสี่ยวเหมียวถอนหายใจ ไม่รู้จะกล่าวคำใด
—เพราะหากเป็นในกรณีที่ผู้พิทักษ์แห่งอัลเบอัสอยู่ในสถานะไม่ระวังตัว อีกฝ่ายก็ย่อมสามารถลงมือกับเขาได้โดยไร้เสียงใดๆอย่างไม่มีปัญหา
ว่าแต่ใครกัน? ที่จะสามารถลงมือได้โดยที่เขาลดการป้องกันลงได้?
คงจะมีเพียงเฉพาะคนที่เจ้าตัวไว้ใจเท่านั้น
แบรี่ “พวกเราคงต้องรีบทำเวลาให้ดีที่สุดแล้วล่ะ”
“อื้อ”
แล้วทั้งสองก็เร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งกว่าเดิม
….
ณ โรงแรมอัลเบอัส
ในโซนที่นั่งชั้นพิเศษของราชวงศ์
กู่ฉิงซานกำจดหมายในมือของเขา
เสียงของเสี่ยวเหมียวดังออกมาจากจดหมายโดยอัตโนมัติ
“มีบางอย่างที่น่ากลัวและอันตรายมากๆกำลังจะเกิดขึ้นที่อัลเบอัส และด้วยความแข็งแกร่งของนาย ย่อมไม่อาจต่อกรกับมันได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นตลอดทั้งอัลเบอัส หรือกระทั่งผู้คนจากโลกที่อยู่โดยรอบนับพันใบ ก็ไม่อาจต่อกรกับมันได้”
“ฉันขอเดาว่ามันน่าจะเป็นแผนของเผ่ามาร อัลเบอัสกำลังจะถูกศัตรูล้างบางลงอย่างแน่นอน!”
เสียงของเสี่ยวเหมียวฟังดูร้อนรนเป็นอย่างมาก
“ฉิงซาน พอนายรับแฟนแล้ว ก็ขอให้รีบใช้ด้ายมิติเพื่อกลับมายังสมาคมทันทีเลยนะ! มีแค่ในโลกมิติอนันต์เท่านั้นที่นายจะปลอดภัย”
“ฉันได้ชาร์จพลังของด้ายมิติเป็นสองเท่าเอาไว้แล้ว ดังนั้นถ้านายจะนำคนซัก3-5 คนกลับมาก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร”
“แต่จำไว้ให้ดี อย่าอยู่ที่นั่นให้มันนานจนเกินไป”
ดูเหมือนว่าเสี่ยวเหมียวจะลังเลเล็กน้อย ที่จะกล่าวประโยคต่อไป
“แต่ถ้านายไม่กลับมาในเวลาที่กำหนด ก็ขอให้รีบหาสถานที่ปลอดภัยซ่อนตัวซะ และรอพวกเราไปรับ”
“อาการบาดเจ็บของพี่ชายฉันจะใช้เวลาอีกสองวันถึงจะหายดีโดยสมบูรณ์ สองวันต่อจากนี้ พวกเราจะต้องไปช่วยนายกับแฟนของนายอย่างแน่นอน!”
หลังจากที่ได้ยินประโยคเหล่านี้ ภายในหัวใจของกู่ฉิงซานก็ค่อยๆหม่นทะมึนลงอย่างช้าๆ
มันเป็นความจริงที่ว่า ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ แบรี่กับเสี่ยวเหมียวเป็นคนที่เชื่อถือได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม พวกเขาคงสายเกินไปกว่าจะมาถึง
อัลเบอัสจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่รุนแรงอย่างไม่ต้องสงสัย
‘เผ่ามารกำลังจะบุกเข้ามา’
กู่ฉิงซานไม่รู้หรอกนะว่าเสี่ยวเหมียวสามารถค้นพบถึงข้อมูลดังกล่าวนี้ได้อย่างไร แต่เขาเชื่อว่าเสี่ยวเหมียวย่อมไม่ใช่คนที่จะมาพูดหยอกล้อกับเรื่องอะไรแบบนี้อย่างแน่นอน
เสี่ยวเหมียวจะไม่มีทางเขียนจดหมายนี้เพียงเพราะอยากจะล้อเล่นไร้สาระ!
มีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นจริงๆ
ห้วงอารมณ์ของกู่ฉิงซานเริ่มว้าวุ่น
อีกนานแค่ไหนกัน? ที่ซูเซี่ยเอ๋อจะสามารถออกมาจากโลกของทริสเต้ได้?
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ ปัจจุบัน ตัวเขาไม่สามารถจากไปในตอนนี้ได้
ก็คนประเภทใดกัน ที่จะทิ้งซูเซี่ยเอ๋อและจากไปโดยลำพัง?
แต่ไม่ว่าจะพบเจอกับสถานการณ์ใดก็ตาม โดยปกติแล้วเขาก็มักจะคิดหาหนทางรับมือกับมันอย่างใจเย็นอยู่เสมอ -กู่ฉิงซานกำจดหมายของเสี่ยวเหมียว จมลงสู่ห้วงสมาธิไปสักพักหนึ่ง แต่ในสมองก็ยังไม่สามารถขบคิดถึงวิธีแก้ปัญหาได้
แต่ขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้นเอง เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้น
“เฮ้”
กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน
เขาเงยหน้าขึ้น แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ที่สาวใช้ตัวน้อยมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา
เธอมาอย่างเงียบๆ เงียบจริงๆ จิตสัมผัสเทวะของเขาไม่สามารถตรวจจับได้เลย
การปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหันนี้ ทำให้ร่างกายในฐานะผู้ฝึกยุทธของกู่ฉิงซานตื่นตัวขึ้นมาทันที
ถึงแม้ว่าเขาจะมีสกิลร่างเงาแทนที่หรือย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วก็ตาม แต่พอถูกคนอื่นมาปรากฏกายเบื้องหน้าโดยวิธีการคล้ายคลึงกันกับสกิลของตนแบบนี้ มันก็ทำให้เขาอดรู้สึกกดดันไม่ได้
“เมื่อครู่คือเสียงของเสี่ยวเหมียวหรอ? ฉันขอรบกวนถามคุณหน่อยสิ คุณไม่รู้มาก่อนเลยหรอว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับอัลเบอัส?”
“ใช่ ฉันเองก็พึ่งจะได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน” กู่ฉิงซานกล่าว
เห็นเขายอมรับอย่างจริงใจ ดวงตาของสาวใช้ก็ฉายประกายอันผิดแปลกไปออกมา
เธอพึมพำเสียงกระซิบ “เสี่ยวเหมียวสินะ? ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ทุกคนต่างก็รู้และเข้าใจนิสัยของแบรี่กับเสี่ยวเหมียวเป็นอย่างดี และท่านแม่ก็ยังเอ่ยปากด้วยตัวเองอีกว่า ทั้งสองคนนี้เป็นหนึ่งในผู้คนจำนวนน้อยนิดที่เชื่อถือได้ …”
กู่ฉิงซานรับฟัง แต่มิได้ตอบสิ่งใด
ตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความกังวล และมัวแต่คิดว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะรับตัวซูเซี่ยเอ๋อกลับมาได้โดยเร็ว จึงไม่มีเวลาที่จะมามัวสนใจคำพูดของสาวใช้
ณ ขณะนั้นเอง เสียงของหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ดังขึ้น
กู่ฉิงซานเพียงกวาดสายตาไปมอง และชัดเจนว่าระบบกำลังเขียนอธิบายถึงสิ่งที่อยู่ในมือของเขา
เห็นแค่เพียงบรรทัดแสงหิ่งห้อยที่ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“ชื่อไอเท็ม : จดหมายจากสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม”
“วิชายุทธเทพสงคราม : นี่เป็นจดหมายฉุกเฉินทั่วๆไป มันไม่มีสกิลที่จะสามารถศึกษาและเรียนรู้ได้”
“คำอธิบายตามพงศาวดาร : คนที่เขียนจดหมายนี้ ได้ตระหนักถึงความจริงอันน่าทึ่งบางอย่าง และเธอก็ได้ล่วงรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อันมีชื่อเสียง”
“คุณสามารถใช้จดหมายนี้กับเหรียญตราของทริสเต้ เพื่อลดปริมาณแต้มพลังวิญญาณที่จะใช้ตรวจสอบเหตุการณ์ได้”
“คุณต้องการจ่าย 10000 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อดูเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในอนาคตหรือไม่?”
กู่ฉิงซานตกตะลึง
ก่อนหน้านี้เพื่อที่จะตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกี่ยวของทางประวัติศาสตร์ของเหรียญตราทริสเต้ เขาจำเป็นต้องจ่ายถึง 100000 แต้มพลังวิญญาณ
แต่ตอนนี้ พอได้เพิ่มจดหมายของเสี่ยวเหมี่ยวเข้าไปแล้ว มันกลับสามารถลดการจ่ายแต้มพลังวิญญาณลงอย่างมหาศาล จนเหลือเพียง 10000เท่านั้น!
ดูเหมือนว่าเสี่ยวเหมียวจะคิดไม่ผิดจริงๆ เรื่องที่ว่าเผ่ามารกำลังจะปรากฏตัวขึ้นในเร็วๆนี้
กู่ฉิงซานจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะจ่าย 10000 แต้มพลังวิญญาณ
ตอนนี้วิกฤตได้เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือข้อมูลข่าวสาร
เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม อีกสองบรรทัดแสงตัวอักษรเด้งเตือนขึ้นมา
“คุณได้แลกเปลี่ยนแต้มพลังวิญญาณกับพงศาวดารวันสิ้นโลกเพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว”
“รายละเอียดข้อมูลเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จะถูกนำมาจากพาดหัวข่าวในชีวิตก่อนหน้า”
โปรดรอสักครู่-
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ทำไมมันถึงเป็นพาดหัวข่าวด้วย? ในเมื่อมันเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้น ถ้าอย่างงั้นคุณก็น่าจะสามารถบอกฉันตรงๆเลยก็ได้นี่”
ติ๊ง!
ระบบตอบกลับ “เนื่องจากไม่มีประสบการณ์เป็นการส่วนตัว ระบบจึงไม่สามารถรู้ต้นตอของเหตุการณ์และผลกระทบที่จะตามมาได้ ระบบทำได้เพียงนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ให้กับคุณเท่านั้น”
พร้อมด้วยคำอธิบายนี้ ระบบก็ได้นำเสนอภาพหนังสือพิมพ์ของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูงขึ้นบนหน้าต่าง
มองไปยังวันที่ มันคือหน้าหนังสือพิมพ์ของวันพรุ่งนี้ …
อ้างอิงตามตรรกะแล้ว เหตุการณ์ก็น่าจะสมควรเกิดขึ้นในระหว่างวันนี้ถึงพรุ่งนี้
พงศาวดารวันสิ้นโลก สามารถแยกเฉพาะเหตุการณ์โด่งดังที่มีชื่อเสียง โดยไม่มีข้อมูลลับใดๆปิดซ่อน
พอได้มองไปยังพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ กู่ฉิงซานก็ต้องส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
มีเพียงประกาศสองบรรทัดของหอสูงปรากฏอยู่ในสายตา
“ระบบของราชามาร ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้ว”
“เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online : ‘เชื้อไฟ’ กำลังจะปะทุขึ้นในอัลเบอัส!”
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.523 – พงศาวดารวันสิ้นโลก
เด็กสาวตัวน้อยยืนอยู่ตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน เจ้าตัวเผยท่าทีกังวลและประหม่าเล็กน้อย
กู่ฉิงซานที่เห็นท่าทีแบบนั้น เขาก็เอ่ยถามเจ้าตัวออกไปเลยโดยตรง
“ทำไมเธอถึงซ่อนตัวจากทุกคน แล้วปรากฏตัวแค่เฉพาะต่อหน้าฉันคนเพียงคนเดียวล่ะ?”
เด็กสาวตัวน้อยได้ยินคำถามจากเขา เธอก็ยกหนังสือพิมพ์ขึ้น
เห็นแค่เพียงพาดหัวข่าวใหญ่พร้อมกับรูปภาพประกอบ
มันเป็นภาพของชายแก่คนหนึ่งที่กำลังโอบขาของแบรี่ ขณะเดียวกันก็มีกู่ฉิงซานคอยมองอยู่ข้างๆ
ใช่แล้วล่ะ นั่นคือหนังสือพิมพ์เล่มเดียวกันกับที่ซูเซี่ยเอ๋อเห็น
มันคือเหตุผลที่ซูเซี่ยเอ๋อมาดักรอเขาอยู่ที่อัลเบอัส
เด็กสาวตัวน้อยชูหนังสือพิมพ์ให้กู่ฉิงซานดู ขณะเดียวกันก็เอ่ยตอบเขา “ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม คุณเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากกำปั้นเหล็กแบรี่ ดังนั้นอย่างน้อยก็ไม่น่าจะใช่คนไม่ดี”
เธอลองคิดเกี่ยวกับมัน และเริ่มเอ่ยเสริมว่า “ถึงแม้ว่าแบรี่จะเป๋มานานเป็นพันปี แถมยังมีหนี้สินมากมาย แต่ทัศนคติและความเชื่อมั่นของเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย”
“เพราะงั้นเธอก็เลยเชื่อใจเขา?”
“ท่านแม่บอกว่าคนที่สามารถเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่ดีที่สุด และทนแบกรับต่อสิ่งที่เลวร้ายที่สุดได้ โดยที่พฤติกรรมและความเชื่อมั่นดั้งเดิมไม่แปรเปลี่ยนและสั่นคลอนจากสิ่งเร้าภายนอก เขาคนนั้นแหละคือพระเอกตัวจริงล่ะ!”
“เธอมีแม่ที่ฉลาดทีเดียว”
แต่พอถูกชมด้วยประโยคข้างต้น สีหน้าของเด็กสาวตัวน้อยกลับเผยถึงร่องรอยของความเสียใจ
แต่เธอก็รีบยับยั้งอารมณ์ตนเองอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “ในตลอด 1000 ปีมานี้ สมาคมกำปั้นเหล็กไม่เคยรับสมาชิกใหม่เลย แต่คุณกลับเป็นคนเดียวที่เข้าตาของแบรี่กับเสี่ยวเหมียว ดังนั้นฉันเลยสันนิษฐานว่าคุณคงไม่มีทางที่จะทำเรื่องสกปรกน่ารังเกียจ”
“เรื่องสกปรกน่ารังเกียจงั้นหรอ? เธอหมายถึงอะไรกัน?”
“ก็เรื่องอย่างการที่ ‘เปิดเผยตัวตนของเด็กสาวใช้ผู้น่าสงสาร และปล่อยให้เธอจมลงสู่เส้นทางแห่งความตาย’ ไง”
“ขอบคุณสำหรับความไว้วางใจของเธอนะ แต่อันที่จริงแล้วมันเป็นเพราะว่าฉันไม่ต้องการจะหาเรื่องใส่ตัวต่างหาก”
กู่ฉิงซานค่อยๆผ่อนคลายหัวใจของตน
เขากวาดสายตามองเด็กสาวตัวน้อยขึ้นๆลง
เห็นแค่เพียงหน้าตาบ้านๆธรรมดาๆ หนังบนสองมือเล็กๆค่อนข้างหยาบกร้าน ขณะเดียวกันสีหน้าก็เผยถึงร่องรอยของความเหนื่อยล้า ชุดสาวใช้ที่สวมใส่ก็ดูค่อนข้างจะสกปรกเล็กน้อย
แต่ดูเหมือนว่าเธอจะอายุราวๆ 10 กว่าปีเท่านั้นเอง
สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง เขาสำรวจสายตามองอีกครั้งอย่างระมัดระวัง
มือของเด็กสาวหยาบด้านจริงๆ ผิวไม่เพียงแต่คล้ำ แต่บางจุดยังมีร่องรอยของบาดแผลแลดูน่าเกลียดอีก แต่ยังไงก็ตาม
—ลึกเข้าไปใต้แขนเสื้อของเด็กสาว มันกลับเผยให้เห็นถึงผิวที่ขาวผ่องดุจน้ำนม
กู่ฉิงซานเข้าใจในทันที
เด็กสาวคนนี้คงจะพอรู้เกี่ยวกับการปลอมตัว เพื่อปกปิดสถานะของตัวเอง
“ทำไมเธอถึงเป็นสาวใช้ตั้งแต่อายุยังน้อยล่ะ?”
กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างจริงจัง
“องค์หญิงจำเป็นต้องมีคู่หูที่สมวัย ตัวติดกันตลอดเวลา เพื่อที่จะได้ตอบรับกับความต้องการของเธอ ดังนั้น ฉันที่มีคุณสมบัติตรงตามที่ว่า จึงถูกเลือกให้มาเป็นสาวใช้ของเธอ” เด็กสาวตัวน้อยกล่าวออกมาด้วยท่าทีน่าสงสาร
กู่ฉิงซานพยักหน้าเล็กน้อย
อื้มๆ สร้างเรื่องราวได้ดี ถือว่าผ่าน
เจ้าหญิงหนามมีอายุเพียงแค่ 12 ปี ดังนั้นเธอจึงต้องการเพื่อนหรือคู่หูที่พร้อมรับฟังตลอดเวลาไว้ข้างตัว
และด้วยอายุของสาวใช้คนนี้ ก็เหมาะสมที่จะเป็นคู่หูกับเจ้าหญิงพอดิบพอดีจริงๆ
ดูเหมือนว่าสาวน้อยคนนี้จะหลักแหลมไม่เบา แต่น่าเสียดาย ที่ ‘ประสบการณ์ชีวิตของเธอน้อยเกินไป’
เด็กสาวตัวน้อยจ้องมองไปยังกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงยกสูง “ในเมื่อคุณไม่ได้เปิดเผยว่าฉันซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้อภัยต่อการกระทำที่ไม่สุภาพเมื่อครู่ของคุณก็แล้วกัน”
กู่ฉิงซานถึงกับไร้คำจะกล่าว
เขาไม่ได้เตรียมตัวที่จะมาฟาดฝีปากกับสาวน้อยที่กำลังหลบหนีผู้นี้
ในจิตใจของเขา กำลังคาดคำนวณถึงผลได้ผลเสียอย่างคร่าวๆ
ตราบใดที่เขาสามารถคาดเดาความจริงบางส่วนของเรื่องนี้ได้ มันก็คงจะเป็นเรื่องง่ายดายที่จะได้ข้อสรุปที่มันชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ได้ข้อสรุปชัดเจนแล้วมันอย่างไร? อย่าลืมนะว่ากู่ฉิงซานไม่ได้ต้องการที่จะเข้าไปมีส่วนพัวพันธ์กับสิ่งใด
เขาหลับตาลง และตัดสินถึงน้ำหนักผลได้เสียของเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว
ที่เขาต้องทำ ก็เพียงแค่เฝ้ารอซูเซี่ยเอ๋ออยู่ที่นี่
—เมื่อซูเซี่ยเอ๋อกลับมา เขาก็จะพาเธอออกไปทันที
ถึงแม้ว่าสมาคมกำปั้นเหล็กจะไม่ใหญ่มาก แต่แบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็เป็นคนดี ดังนั้นคงน่าจะพร้อมรับเอาซูเซี่ยเอ๋อมาอยู่ด้วย
สมาคมกำปั้นเหล็กของตนเองก็อยู่ภายในโลกมิติอนันต์ นั่นหมายความว่ามันเป็นสถานที่ๆปลอดภัย
แถมเสี่ยวเหมียวมีความสามารถเกี่ยวกับมิติที่ค่อนข้างจะทรงพลัง
ประจวบไปกับอาการบาดเจ็บที่ขาของแบรี่ที่กำลังฟื้นตัวจนใกล้จะหายดีในไม่ช้า ในอนาคต สมาคมกำปั้นเหล็กก็จะกลับมาแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง
นอกจากนี้ กู่ฉิงซานก็ยังได้รับรางวัลอันเลอค่าจากทริสเต้มาแล้วอีกด้วย ฉะนั้น รางวัลนี้ก็น่าจะเพียงพอต่อการชำระหนี้ของสมาคมแล้ว
ด้วยหนทางดังที่กล่าวมา ชีวิตต่อจากนี้ไปก็จะมั่นคงและปลอดภัย
เขากับซูเซี่ยเอ๋อจะได้สามารถใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานๆได้ซะที
และกู่ฉิงซานก็ยังได้รับผลประโยชน์อีกอย่างหนึ่งจากการที่ตนได้อยู่ในสมาคมกำปั้นเหล็กอีกด้วย นั่นก็คือ ในช่วงเวลายามว่าง กู่ฉิงซานยังสามารถขอคำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาการฝึกยุทธบางประการ – โดยการใช้อาหารอร่อยๆเป็นการแลกเปลี่ยนหรือตัวล่อกับแบรี่
ได้ยินจากเสี่ยวเหมียวมาว่า ลำธารเล็กๆที่อยู่หลังสมาคมสามารถออกไปตกปลาได้ในช่วงสภาพอากาศแจ่มใส
แต่ปลาเหล่านั้นมันเจ้าเล่ห์และมีไหวพริบไม่น้อยเหมือนกัน เพราะหากพวกมันสังเกตว่ามีใครเข้ามาใกล้แล้วล่ะก็ เจ้าปลาจะรีบหนีออกไปยังโลกอื่นทันที
แบรี่จึงเกลียดการจับปลาเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันเสี่ยวเหมียวก็ทอดปลาไม่เป็น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยได้มีโอกาสกินปลาเหล่านั้นสักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม เนื้อของปลาพวกนั้นก็มีคุณภาพที่ค่อนข้างดี และร้านอาหารติดดาวดังๆก็ยินดีที่จะซื้อมันต่อจากพวกเขา
เมื่อกู่ฉิงซานคิดถึงจุดนี้ แววตาของเขาก็อ่อนโยนลง
ใช่แล้วล่ะ ในเมื่ออนาคตกำลังจะกลายเป็นแบบนี้ แล้วทำไมตนจะต้องโยนตัวเองเข้าไปพัวพันธ์กับเรื่องอันตรายด้วยเล่า?
สิ่งเดียวที่ต้องทำในตอนนี้คือการเฝ้ารอซูเซี่ยเอ๋อกลับมา
กู่ฉิงซานได้ตัดสินใจเป็นที่เรียบร้อย เขาหันไปมองเด็กสาวตัวน้อยและกล่าว “นับจากนี้ไป เมื่อไหร่ที่ฉันไม่เห็นเธอ ฉันจะไม่บอกกับคนอื่นๆเกี่ยวกับเรื่องของเธออย่างแน่นอน ฉะนั้นเชิญทำตัวตามสบายได้เลย”
เด็กสาวพอได้ยิน ก็เผยใบหน้ายิ้มแย้มออกมา เธอโค้งกายลงแสดงการขอบคุณ “ถึงแม้จะเป็นผู้ชายไร้มารยาท แต่คุณก็ไม่ได้เลวร้ายซะทีเดียว”
เด็กสาวตัวน้อยมองดูกู่ฉิงซาน และสังเกตเห็นว่าเขาไม่ได้สนใจตัวเองอีกต่อไป เธอจึงค่อยโล่งใจลงเล็กน้อย
จากนั้น เธอก็รู้สึกได้ว่าท้องยังร้องอยู่ จึงถือจานเค้กในมือขึ้นมา แล้วเริ่มบรรจงกินมันอย่างสง่างามอีกที
กู่ฉิงซานไม่คิดจะให้ความสนใจกับสาวน้อยคนนี้อีกต่อไป
แต่นั่นก็เพราะ เหรียญในมือของเขาเริ่มรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะเดียวกัน บนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ได้บังเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ขึ้นแล้ว
กู่ฉิงซานรีบเบนสายตามามองหน้าต่างระบบเทพสงคราม
เห็นแค่เพียงบนหน้าต่าง ในส่วนล่างที่อยู่หลังจาก ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ , ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ และ ‘สมญาเทพสงคราม’ ในที่สุดก็มีไอค่อนใหม่สว่างขึ้นมาเสียที
ไอค่อนนี้ค่อนข้างเรียบง่าย แลดูคล้ายกับตัวหนังสือหนาๆ
“โหนดเวลา ได้รับการยืนยันแล้ว”
“ได้รับข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้อง”
“เปิดฟังก์ชั่นคุณสมบัติใหม่ของระบบ”
“คุณได้รับฟังก์ชั่นใหม่ : ‘พงศาวดารวันสิ้นโลก’ ”
“พงศาวดารวันสิ้นโลก : ตอนนี้ คุณจะสามารถตรวจสอบเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหรือเรื่องราวพิเศษบางอย่างที่เกี่ยวข้องจากไอเท็มที่อยู่ในมือตนเองได้”
“สืบเนื่องมาจากในชีวิตก่อนหน้า คุณสามารถเอาชีวิตรอดต่อไปได้อีกสิบปีหากนับจากปัจจุบันนี้ ดังนั้น เหตุการณ์ข้อมูลที่คุณจะสามารถรับรู้ได้ จึงจะเริ่มจากอดีตอันไร้ที่สิ้นสุดไปจนถึงในอีกสิบปีข้างหน้าตามที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้น”
“หมายเหตุพิเศษ : ระบบจะบันทึกแค่เพียงเหตุการทางประวัติศาสตร์ที่โด่งดัง มีชื่อเสียงมากที่สุดเท่านั้น แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องราวและความเป็นจริงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ระบบไม่อาจตระหนักถึงมันได้”
กู่ฉิงซานตั้งใจอ่านมันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างไม่คาดคิด
นี่มันเป็นฟังก์ชั่นที่น่าสนใจไม่น้อยเลย
ในขณะนั้นเอง บนมือของเขา เหรียญตราของทริสเต้ก็แสดงถึงหลายบรรทัดเล็กๆบนหน้าต่างของเขา
“เหรียญของทริสเต้”
“วิชายุทธเทพสงคราม : ไอเท็มชิ้นนี้ไม่มีสกิลใดๆ จึงไม่สามารถศึกษาและเรียนรู้มันได้”
“คำอธิบายตามพงศาวดาร : มันคือสิ่งที่พิสูจน์ว่าคุณได้มีส่วนร่วมในการเรียกขานของวิหคหนาม”
“หากต้องการจะตรวจสอบเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเหรียญนี้ โปรดทำการจ่าย 100000 แต้มพลังวิญญาณด้วย”
-ต้องการแต้มพลังวิญญาณมากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
กู่ฉิงซานก้มลงมองเหรียญตราด้วยความประหลาดใจ
มีความลับอันน่าอัศจรรย์ใจเพียงใดกันที่ซ่อนอยู่ในเหรียญตรานี้?
กู่ฉิงซานครุ่นคิด และทันใดนั้นเขาก็โบกมือไปคว้าดาบเช่าหยินออกมาจากความว่างเปล่า
ก่อนที่จะทำอะไร เขาขอยืนยันโดยการตรวจสอบความสงสามารถของฟังก์ชั่นใหม่ให้ดีซะก่อนดีกว่า
เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม สองสามเส้นแสงบรรทัดตัวอักษารปรากฏขึ้นมา
“ดาบจากยุคโบราณอันไกลโพล้น , มีชื่อเรียกว่าเช่าหยิน”
“ในสมัยโบราณ โลกเทวะประกอบไปด้วยท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด เมื่อทวยเทพได้จากไป พวกเขาก็ได้ทิ้งดาบเล่มนี้ไว้ในห้วงสมุทร”
“ผู้ที่ถือครองดาบเล่มนี้จะกลายเป็นราชาแห่งท้องทะเล”
“ดาบเล่มนี้มีจิตอาร์ติแฟคพลังศักดิ์สิทธิ์ : ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม”
“วิชายุทธเทพสงคราม : ดาบเล่มนี้ไม่มีสกิลใดๆ จึงไม่สามารถศึกษาและเรียนรู้มันได้”
“คำอธิบายตามพงศาวดาร : ระบบยังไม่ได้สืบค้นเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อันมีชื่อเสียงที่เกี่ยวข้องกับดาบเล่มนี้”
กู่ฉิงซานพยักหน้าเล็กน้อย
แน่นอน ถ้าชีวิตนี้เขาไม่ได้เข้าสู่โลกเทวะ เกรงว่าดาบเล่มนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
นี่มันเป็นคุณสมบัติใหม่ที่น่าสนใจจริงๆ
ฟังก์ชั่นนี้ จะช่วยให้คุณสามารถขยายมุมมอง และล่วงรู้เกี่ยวกับความลับเพิ่มมากขึ้นได้
กู่ฉิงซานเพียงคิด เขาก็ตบลงในถุงสัมภาระ และเตรียมนำสิ่งต่างๆมากมายออกมาเพื่อทดลองใช้กับฟังก์ชั่นใหม่ของระบบเทพสงคราม
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ถุงสัมภาระของเขาถูกเปิดออก จดหมายใบหนึ่งก็พรวดออกมาทันที และโคจรไปมารอบๆตัวเขา
กู่ฉิงซานรีบคว้าจดหมายไว้ในมืออย่างรวดเร็ว
จดหมายฉบับนี้ ช่วงก่อนหน้ามันก็เด้งออกมาเหมือนกัน แต่ตอนนั้นเขากำลังขอความช่วยเหลือจากหญิงงามไม้สลัก ตนจึงไม่มีเวลาเพียงพอที่จะใส่ใจมัน
ตอนนี้ คงถึงเวลาแล้วว่าจะตรวจดูว่ามันคืออะไรกันแน่
กู่ฉิงซานกางจดหมายออก
แต่กลับพบว่ามันเป็นเพียงแผ่นกระดาษสีขาว
บนจดหมาย … ไม่มีอะไรถูกเขียนเอาไว้เลย!?
ทว่าไม่นาน เสียงอันเร่งร้อนของหญิงสาวก็ดังขึ้นมาจากภายในกระดาษอย่างกระทันหัน
“กู่ฉิงซาน นี่ฉันเองนะ เสี่ยวเหมียว”
“ฉันมีเรื่องน่าสะพรึงกลัว ที่จะต้องรีบบอกนายทันที!”
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.522 – ทำใจให้สบาย
ภายในห้อง เหลือแค่เพียงกู่ฉิงซานกับเหล่าขุนนางหญิง ที่ผู้คนมักจะเรียกพวกเธอว่าสตรีสูงศักดิ์
สตรีสูงศักดิ์ต่างพากันลอบมองกู่ฉิงซาน
‘ชายหนุ่มคนนี้ดูดีใช่ย่อยทีเดียว’
นี่คือสิ่งที่พวกเธอคิดอย่างลับๆ
ใช่แล้วล่ะ กู่ฉิงซานเองก็เป็นคนหนึ่งที่รูปลักษ์ภายนอกดูดีไม่เลว เขาผ่านวันเดือนปีแห่งการฝึกฝนมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังนั้นคลื่นความผันผวนและวุฒิภาวะจึงดูมีความเป็นผู้ใหญ่ ขัดกับใบหน้าที่ยังเยาว์วัยของเขา
ส่งผลให้กู่ฉิงซานดูมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เขาถูกนำมาโดยหญิงที่มีเกียรติเป็นการส่วนตัว!
หญิงที่ยากนัก ที่จะปรากกฏกายออกมาพบปะสังสรรค์กับผู้อื่น
สตรีสูงศักดิ์หันไปสบตากันและกัน
หนึ่งในสตรีสูงศักดิ์ที่ยังเยาว์วัยอยู่ค่อยๆหันข้อมือของเธอไปทางกู่ฉิงซาน และหมุนแหวนมรกตบนนิ้วของเธออย่างเงียบๆ
แหวนมรกตสั่นไหวเล็กน้อย จนหากไม่สังเกตก็มิอาจสัมผัสได้
แล้วข้อความที่บังเกิดขึ้นจากในแหวนมรกต ก็ถูกส่งผ่านไปในหัวใจของเด็กสาวอย่างรวดเร็ว
“ร่างกายมีชีวิตอยู่มาน้อยกว่า 20 ปี , มีความแข็งแกร่งประมาณระดับ 35 ,เชี่ยวชาญในการใช้ดาบ”
เด็กสาวเผยอปากเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
ระดับ 35 มันคือมาตรฐานที่ใช้แบ่งแยกความแข็งแกร่งในโลกที่เด็กสาวอาศัยอยู่
มันคือเส้นแบ่ง
ในระดับนี้ นักดาบจะสามารถเรียกวิญญาณธาตุ และฝึกฝนเทคนิคดาบขั้นสูงได้
เด็กสาวมองไปทางกู่ฉิงซาน ในจิตใจค่อยๆบังเกิดความคิดต่างๆนาๆขึ้นมากมาย
ยังเยาว์วัย แต่กลับสามารถมีความแข็งแกร่งถึงระดับ 35
ตัวตนดังกล่าว แม้แต่ในโลกของเธอเอง ก็ยังนับว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์อันดับต้นๆ
และเธอก็มาจากบรรดาโลกในดินแดนชิงอำนาจ
ซึ่งเป็นโลกที่ทรงพลังอย่างเหลือล้น
—ในความเป็นจริง จากมุมมองอื่นๆ หากตัดสินวรยุทธจากมาตรฐานของโลกทั้งหมดในระดับสากล นับว่ายากเย็นนัก ที่จะพบเจอกับคนหนุ่มสาวที่แข็งแกร่งเช่นนี้
ต้องรู้นะว่า แม้กู่ฉิงซานจะมาจากโลกกระจัดกระจาย แต่เขาก็ไม่เคยหยุดฝึกยุทธเลยแม้เพียงครู่
พรสวรรค์โดยกำเนิดของเขาก็ค่อนข้างดี
อย่างในชีวิตก่อนหน้า เขาเข้าสู่โลกแห่งผู้ฝึกยุทธช้ากว่าคนอื่นๆตั้งครึ่งปี ดังนั้นจุดเริ่มต้นของเขาจึงต่ำกว่าคนอื่นๆมาก
เขาต้องก้าวข้ามผ่านเส้นทางที่ยากลำบากยิ่งกว่าทุกๆคน แต่สุดท้ายก็ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดได้ในที่สุด
ดังนั้น เมื่อได้ย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง ความแข็งแกร่งของเขา จึงนับได้ว่าสูสีหรือเหนือยิ่งกว่าคนวัยเดียวกันหากเทียบกับโลกอื่นๆ
แม้ว่าเด็กสาวจะไม่รู้ถึงเรื่องเหล่านี้ แต่เฉพาะแค่เรื่องนักดาบระดับ35 ที่อายุต่ำกว่า 20 ก็ควรค่าแก่การเป็นสหายแล้ว
คนๆนี้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะกระชับความสัมพันธ์กับเธอ
อีกอย่าง เขาก็ดูดีไม่เลวเลยด้วย
เมื่อคิดจุดจุดนี้สตรีสูงศักดิ์ก็เผยใบหน้ายิ้มแย้ม เดินไปพูดคุยกับกู่ฉิงซาน “สวัสดี ฉันขอรบกวนถามหน่อยจะได้ไหม ว่าคุณมาจากที่ใดกัน?”
“สวัสดี ผมมาจากโลกอันห่างไกลที่เรียกกันว่าโลกกระจัดกระจาย” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเป็นมิตร
พอได้ฟัง รอยยิ้มบนใบหน้าของสตรีสูงศักดิ์ก็แข็งค้างไปทันที
ในสมองของเธอไม่อาจขบคิดคำกล่าวต่อไปได้
‘โลกกระจัดกระจาย’
มันเป็นตัวแทนที่บ่งบอกถึงความล้าสมัยและป่าเถื่อน
สถานที่เหล่านั้นมักจะแบกรับโชคชะตาแห่งการทำลายล้างอยู่เสมอ เป็นโลกที่ไม่ทันจะเคยสร้างอารยธรรมอันสูงส่ง ก็ถูกทำลายลงเสียแล้ว
สตรีสูงศักดิ์ถอนหายใจและรู้สึกผิดหวังมาก
–ในความเป็นจริง หากเป็นเรื่องราวระหว่างชายยากจนกับขุนนางหญิง มันก็ยังพอจะเป็นเรื่องราวโรแมนติกที่ยอมรับได้
แต่ชายที่อยู่ตรงหน้านี้มาจากโลกกระจัดกระจาย เขาไม่ใกล้เคียงแม้แต่กับคำว่าชายยากจน
มันยากลำบากเกินไปหากคิดจะกระชับสัมพันธ์กับคนที่มาจากโลกเหล่านี้ เพราะต่อให้คุณกล่าวสิ่งใดออกไป เขาก็คงจะไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูดอยู่ดี
ทั้งสองฝ่ายมิได้อยู่ในระดับเดียวกัน
แต่พอลองมาคิดๆดู …
ความจริงแล้ว คนๆนี้คงจะต้องจ่ายบางสิ่งที่มีราคาสูงยิ่งให้แก่หญิงที่มีเกียรติคนนั้นเป็นแน่ มิฉะนั้นเธอคงไม่คิดยื่นมือช่วยเขา
นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งๆใดๆกับอีกฝ่าย
นั่นเพราะเขาเป็นคนที่มาจากโลกกระจัดกระจาย!
ดังนั้น แม้ว่าเขาจะมีระดับ 35 แต่สุดท้ายก็เป็นแค่คนเถื่อน!
วิสัยทัศน์แคบ ด้อยซึ่งความรู้ แถมอนาคตก็ไม่แน่ไม่นอน ถูกจำกัดเป็นอย่างมาก
เมื่อคิดถึงจุดนี้ สตรีสูงศักดิ์ก็เลือกที่จะถอยกลับไป
สตรีสูงศักดิ์คนอื่นๆ หลังจากได้ยินบทสนทนานี้ ทั้งหมดต่างก็ขยิบตาให้กันและกัน
พวกเธอบรรลุข้อตกลงกันอย่างรวดเร็ว
“ขออภัยด้วย พอดีว่าพวกเรามีบางสิ่งที่ต้องไปจัดการ” พวกเธอกล่าว
“เชิญ” กู่ฉิงซานตอบ
สตรีสูงศักดิ์ลุกขึ้นยืน โค้งตัวน้อยๆ น้อยจริงๆไปทางกู่ฉิงซาน และเดินออกจากโซนที่นั่งพิเศษไป
ตามด้วยเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นในระหว่างทางเดิน
“เธอหัวเราะอะไร?” เด็กสาวที่พูดกับกู่ฉิงซานในตอนแรกกล่าวอย่างเคืองๆ
“ฮี่ฮี่ฮี่ โลกกระจัดกระจายล่ะ เธอก็ดันไปคุยกับเขา … ”
สตรีสูงศักดิ์คนอื่นๆหัวเราะดังกว่าเดิม
แล้วประตูก็ปิดลง
เสียงหัวเราะค่อยๆจางหายไป
ไม่มีใครอยู่โดยรอบ
หลงเหลือกู่ฉิงซานเพียงลำพังอยู่ในห้อง
กู่ฉิงซานสังเกตเห็นถึงความตั้งใจ และปฏิกิรยาของคนอื่นๆมาตั้งนานแล้ว
แต่เขาก็ไม่คิดจะใยดีใดๆ ตรงกันข้าม ตนกลับค่อยๆผ่อนคลายลง
เรื่องทุกอย่าง ทั้งหมดเกือบจะเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ จึงเป็นเวลาพักผ่อนที่หาได้ยากยิ่ง
เขาไม่รีบร้อนที่จะไปดูภารกิจระบบเทพสงคราม แต่กลับมองไปยังเค้กสูงกว่า 20 ชั้นบนโต๊ะ
เค้กนี้ถูกตกแต่งด้วยทุกชนิดของผลไม้ที่แปลกใหม่ เพียงแค่เฉพาะผลไม้ก็รู้สึกน่ารับประทานแล้ว แถมยังส่งกลิ่นหอมจางๆ ที่ไม่ได้ทำให้คนสูดดมรู้สึกหวานเลี่ยนจนเกินไปออกมาอีกต่างหาก
กู่ฉิงซานมองไปที่มุมโต๊ะ
ภายในถังน้ำแข็งขนาดใหญ่ มีทุกชนิดของเครื่องดื่มที่ถูกแช่เย็นเอาไว้อยู่
กู่ฉิงซานจึงเอื้อมมือไปคว้าแบบสุ่มๆ แล้วเขาก็ได้ขวดไวน์สีดำบริสุทธิ์ขึ้นมา ขณะเดียวกันก็นั่งลง และเริ่มตัดชิ้นเค้กอย่างสบายๆ
เขาไม่รู้หรอกนะว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไงหลังจากที่พึ่งผ่านการเดินทางอันยาวนาน
แต่กู่ฉิงซานข้ามผ่านโลกหลายร้อยชั้น และต้องมาจัดการเรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่าง จนตอนนี้เขารู้สึกว่ามันเหนื่อยมากจริงๆ
ในเมื่อได้รับข้อมูลมาว่าเรื่องของซูเซี่ยเอ๋อคงจะไม่มีปัญหาอะไร แถมภารกิจของระบบก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว …
งั้นก็ขอพักหน่อยเถอะ
จุกไวน์สีดำถูกเปิดออก
กลิ่นหมักอันยอดเยี่ยมฟุ้งออกมา
กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก
ไวน์ชั้นสูงเช่นนี้ มันเกือบจะเทียบได้กับผลงานชิ้นเอกของเขาเลยทีเดียว
กู่ฉิงซานไม่คิดมองหาแก้ว แต่เขาเลือกที่จะยกขวดไวน์ขึ้นซดเข้าปากเลยโดยตรง
“คุณไม่คิดจะใช้แม้กระทั่งแก้ว ช่างเป็นคนที่มารยาททรามเสียจริงๆ”
ทันใดนั้นเอง เสียงของผู้หญิงก็ดังขึ้น
กู่ฉิงซานตกใจ จนเผลอสำลักไวน์ที่กำลังกลืนออกมา
“พรวด!”
แค่ก แค่ก แค่ก
เขาไอไม่หยุด ขณะเดียวกันก็มองไปยังฝั่งตรงข้าม
เห็นแค่เพียงเด็กสาวตัวเล็กๆในชุดคนใช้ยืนอยู่ตรงกันข้ามเขา ทั้งหน้าทั้งตัวเปียกชุ่มไปด้วยไวน์ที่พึ่งถูกพ่นใส่
กู่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
–แปลกจัง ตนเองก็ได้ปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไปแล้วนี่นา และก็พบว่าไม่มีใครอยู่รอบๆแล้วชัดๆ
แล้วเด็กสาวตัวน้อยคนนี้โผล่ออกมาจากที่ไหนกัน?
“อ๋า ขอโทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
กู่ฉิงซานรีบขอโทษอย่างรวดเร็ว
สาวน้อยไม่เคยพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าเธอจะกำลังอึ้งทึ่งเป็นอย่างมาก
แต่เธอก็พยายามอย่างหนักที่จะไม่กรีดร้องออกมา
เห็นแค่เพียงเด็กสาวที่กำลั่งสั่นเทา ราวกับกำลังจะเป็นลมได้ในวินาทีต่อไป
แต่เธอก็กัดฟันสู้ และไม่ยอมล้มลง
เด็กสาวพยายามพูดด้วยน้ำเสียงสงบและยับยั้งชั่งใจ “น้ำลายของคุณ แถมยังมีเศษอาหาร แล้วก็ไวน์ที่เลอะอยู่บนหน้า บอกตรงๆว่าฉันไม่เคยพบเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อนเลย … ฉันขอรบกวนถามหน่อยจะได้ไหม ว่าจะผ่านเหตุการณ์อันน่าอึดอัดนี้ไปได้อย่างไร?”
กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน มือเขาจีบออกด้วยวิชาลับ กระตุ้นพลังวิญญาณทันที
ทันใดนั้น สิ่งแปลกปลอมทั้งหมดบนใบหน้าของเด็กสาวก็หายไป ใบหน้าของเธอกลับมาเกลี้ยงเกลา
กู่ฉิงซานได้ใช้น้ำวิญญาณอีกครั้ง เพื่อชำระล้างเด็กสาวให้อีกครา
“ตอนนี้น่าจะโอเคแล้ว ฉันขอโทษจริงๆนะสำหรับเรื่องเมื่อครู่”
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความรู้สึกผิด
เด็กสาวจับลงบนใบหน้าของเธอ แตะๆมันไปมาอย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้นสักพัก ร่างกายของเธอก็หยุดสั่น
เธอสูดหายใจลึก และหันมาโค้งกายทักทายกู่ฉิงซานอย่างอ่อนโยน “ฉันเกลียดพฤติกรรมของคุณก่อนหน้านี้ ดังนั้น อย่าคาดหวังว่าฉันจะพูดอะไรกับคุณอีกต่อ”
เธอเดินไปนั่งข้างๆเขาด้วยความโกรธ หยิบมืดและส้อมขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มตัดชิ้นเค้กเล็กๆ จากทั้ง 20 ชั้น มาค่อยๆบรรจงรับประทานอย่างสง่างาม
เธอดูจะหิวมาก เพราะชิ้นเค้กที่ตักมา 2-3คำมันก็หมดแล้ว
หลังจากกินเสร็จ เด็กสาวก็ลังเลไปครู่ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะตัดเค้กชิ้นต่อไปและยังคงกินมัน
กู่ฉิงซานเมื่อเห็นว่าเธอไม่สนใจตัวเขา เขาก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มหันมาขบคิด
เขาไม่เคยพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อนเลยเหมือนกัน
—ในโลก 900 ล้านชั้น ที่มีทุกชนิดของสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ดังนั้นมันคงไม่น่าแปลกใจหรอกที่จะมีบางสิ่งที่สามารถเล็ดรอดจิตสัมผัสเทวะของเขาไปได้
ยิ่งไปกว่านั้น โซนที่นั่งพิเศษแห่งนี้คือที่ของราชวงศ์วิหคหนาม แสดงว่าเด็กสาวคนนี้ย่อมที่จะมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวิหคหนาม ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่นี่ได้
กู่ฉิงซานมาขอความช่วยเหลือกับวิหคหนาม -เขาจึงไม่สมควรทำอะไรผลีผลามหรือไม่ดีใดๆภายในอาณาเขตของอีกฝ่าย
ดังนั้น ตั้งแต่ที่ตนได้ขอโทษอีกฝ่าย และอีกฝ่ายก็ตัดสินใจไม่พูดคุยกับตนเอง เขาก็อย่าไปยั่วยุอะไรเพิ่มเติมอีกคงจะดีกว่า
เมื่อเกิดความคิดนี้ กู่ฉิงซานก็พยักหน้าอย่างลับๆ
แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่ไป ตัวเขาก็ไม่มีอารมณ์ที่จะดื่มกินอีก
เขาเบนสายตาไปมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม
เห็นแค่เพียงบรรทัดแสงหิ่งห้อยที่แขวนเด่นอยู่บนหน้าต่างอย่างเงียบๆ
“ภารกิจของคุณเสร็จสิ้นลงแล้ว”
“โปรดหยิบเหรียญของทริสเต้ออกมา และกำมันเอาไว้ในมือของคุณ”
กู่ฉิงซานหยิบเหรียญออกมา และกำไว้ในมือของเขา
บนเหรียญ จู่ๆก็เกิดเสียงกรีดร้องของทริสเต้ดังขึ้นมาอย่างน่าฉงน
แล้วเธอก็หายตัวไป
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้น
“ช่องทางข้อมูลเริ่มทำการเชื่อมต่อ และกำลังพยายามที่จะเปิดใช้งานฟังก์ชั่นใหม่ของระบบเทพสงคราม”
“กระบวนการเชื่อมต่อนี้จะกินเวลาอยู่หลายนาที ดังนั้นโปรดอย่าปล่อยเหรียญออกจากมือของคุณเด็ดขาด”
กู่ฉิงซานกำมือแน่นขึ้น และเฝ้ารอคอยอย่างเงียบๆ
ปัง!
แต่แล้วประตูโซนพิเศษก็ถูกกระแทกเปิดออกทันใด
“ขออภัยที่ขัดจังหวะ แต่พวกเรากำลังตามหาสมบัติของราชวงศ์อยู่”
องครักษ์ติดอาวุธหลายคนเดินเข้ามา และกล่าวคำขอโทษแก่เขา
ทั้งหมดมองไปยังกู่ฉิงซาน ก่อนจะเห็นถึงเหรียญในมือของเขา แล้วทัศนคติที่แสดงออกมาก็ดูสุภาพกว่าเดิมมากนัก
“ทำตามที่พวกคุณต้องการเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว
องครักษ์หลายคนเริ่มทำการค้นห้อง
กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูการกระทำของพวกเขา ขณะที่ความสงสัยเล็กๆน้อยค่อยๆบังเกิดขึ้นในจิตใจ
องครักษ์พวกนี้บอกว่ากำลังค้นหาสมบัติ แต่แทนที่จะพลิกตู้หรือเปิดลิ้นชัก พวกเขากลับเดินถือไม้เท้ามนตราวนไปรอบๆห้อง
คล้ายกับว่ากำลังตรวจจับถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่เสียมากกว่า
เดี๋ยวก่อนนะ!
นอกไปจากองครักษ์ ทำไมภายในห้อง ถึงมีเพียงแค่ตัวเขาเองล่ะ?
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มเต้นครึกโครม
เขาหันไปมองรอบๆห้อง พร้อมกับกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปในขณะเดียวกัน
แล้วสาวน้อยคนนั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว?
ทำไมจู่ๆถึงหายไปอย่างเงียบๆได้?
กล่าวกันอย่างจริงจัง ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผี ก็ไม่มีทางที่จะหลบเร้นการค้นหาของจิตสัมผัสเทวะไปได้
แต่สาวน้อยคนนั้นกลับสามารถหายตัวไปได้อย่างสมบูรณ์
พอลองนึกๆดู ในตอนที่เธอปรากฏตัวขึ้น กู่ฉิงซานก็ไม่รู้สึกตัวเลยเหมือนกัน
ดูจากลักษณะที่แสดงออกของพวกองครักษ์แล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ทราบถึงเรื่องนี้เหมือนกัน
นี่มันเป็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดจริงๆ
ความคิดของกู่ฉิงซานหมุนเร็วจี๋ แต่สีหน้าของเขากลับยังคงเรียบเฉย
ไม่นานนัก องครักษ์หลายคนก็เสร็จสิ้นการค้นหา และพากันเดินมายังกู่ฉิงซาน
“ขออภัยสำหรับความหยาบคายในครั้งนี้ แต่นี่เป็นกิจวัตรประจำวันของพวกเรา” หัวหน้าองครักษ์กล่าว
กู่ฉิงซานมองอีกฝ่าย และดูการแสดงออกทางสีหน้าขององครักษ์คนอื่นๆ
พวกเขาดูสงบมาก
เหมือนกับว่าพวกเขาจะรู้อยู่แล้วว่าการค้นหาในครั้งนี้ อย่างไรก็คงจะคว้าน้ำเหลว
“ไม่เป็นไรหรอก พวกคุณไม่ได้ทำอะไรผมสักหน่อย” กู่ฉิงซานหัวเราะ
แล้วองครักษ์ก็พยักหน้าให้เขา ก่อนจะค่อยๆทยอยกันออกจากประตูไป
ภายในห้อง เหลือกู่ฉิงซานอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง
กู่ฉิงซานหลับตาลง
นี่มันไม่ถูกต้อง
ถ้าเด็กสาวตัวเล็กนั่นเป็นแขกเช่นกัน พวกองครักษ์ก็จะต้องเห็นเธอ และไม่มีทางขอโทษแค่เขาคนเดียวเป็นแน่
เพราะพวกเขาปฏิบัติตามพิธีมารยาทเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงย่อมต้องขออภัยต่อแขกทุกคนอย่างแน่นอน
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกองครักษ์วิหคหนามไม่ทราบถึงการดำรงอยู่ของสาวน้อยคนนี้!
กู่ฉิงซานเปิดตา
แล้วเขาก็เห็นเด็กสาวอีกครั้ง
เธอปรากฏตัวขึ้นทันทีหลังจากที่องครักษ์จากไป
เด็กสาวถอนหายใจยาว แสดงท่าทีเหนื่อยล้าเล็กน้อย
ดูเหมือนกับว่าเธอคงจะไปทำเรื่องอะไรบางอย่างที่มันน่าหนักใจมา
ทั้งสองมองตากันอย่างเงียบๆ
“ฉันเสียใจจริงๆ แต่ฉันจำเป็นต้องซ่อนตัวสักพัก ได้โปรดอย่าบอกพวกองครักษ์เลยนะว่าฉันอยู่ที่นี่” เด็กสาวตัวเล็กๆอ้อนวอน
“ให้ตายเถอะ เธอเป็นใครกันแน่?” กู่ฉิงซานถาม
“ฉันเป็นคนรับใช้ขององค์หญิง หลังจากที่องค์หญิงหายตัวไป ฉันก็เลยต้องหลบหนีมา”
“องค์หญิงหายตัวไป?” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างคาดไม่ถึง
วันนี้ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นวันพิธีฉลองวันเกิดครบ 12 ปีขององค์หญิง แล้วทำไมจู่ๆเธอถึงได้หายตัวไปกัน?
เด็กสาวใช้กล่าว “ใช่ ทางราชวงศ์คิดว่าฉันในฐานะสาวใช้ดูแลองค์หญิงไม่ดี จนทำให้เธอหายตัวไป พวกเขาเลยตัดสินใจที่จะฆ่าฉัน”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”
กู่ฉิงซานเผยสีหน้าหายสงสัย แต่ในหัวใจของเขากลับบังเกิดความสงสัยอันลึกล้ำยิ่งกว่าเดิม
กู่ฉิงซานเค้นสมองตนอย่างรวดเร็ว
ลองมองย้อนกลับไปในตอนที่เขาเดินเข้ามา เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ในโซนที่นั่งพิเศษ มีองครักษ์คอยตรวจตราอย่างเข้มงวด มีตัวตนอันแข็งแกร่งมากมายคอยปกป้องที่นี่อยู่อย่างหนาแน่น
อย่างไรก็ตาม ตัวตนที่แข็งแกร่งเหล่านั้นกลับไม่สามารถค้นพบถึงตัวตนของเด็กสาวใช้ได้
แล้วถ้าหากเด็กสาวใช้อยู่ที่นี่ตั้งแต่เริ่มต้น ถ้าอย่างงั้นกระทั่งแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ก็ยังไม่ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของเธอ
หญิงผู้มีเกียรติอย่างหยิงงามไม้สลัก , ไก่ใหญ่ และ 7-8 สตรีสูงศักดิ์จากในแต่ละโลกก็เหมือนกัน ทั้งหมดดูจะไม่ได้ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของเธอเลย
หรืออีกความหมายนึงก็คือ เธอสามารถปิดซ่อนตัวตนจากคนอื่นๆได้
… แต่เธอเปิดเผยรูปลักษณ์ตัวเองต่อหน้ากู่ฉิงซานเท่านั้น
โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ถึงเรื่องนี้เลย
เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบที่กัดกินเข้าในจิตใจของเขา
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.521 – แสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้
พอได้ยินคำของพวกมัน หญิงงามไม้สลักก็เอ่ยด้วยความยินดีออกมา “ในเมื่อพวกเจ้าไม่เคยผ่านมือคนอื่นมาก่อน ถ้าอย่างนั้นนับจากนี้ไป พวกเจ้าจะกลายเป็นหนึ่งในชุดของเรา โดยไม่เป็นเพียงแค่ของสะสมที่ถูกเก็บทิ้งเอาไว้ในห้อง”
“และพวกเรา พร้อมที่จะรับใช้คุณหญิงทุกเมื่อ” บิกินี่กับปีกกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน
แม้ใบหน้าของกู่ฉิงซานจะยังคงสงบ แต่ภายในหัวใจกลับลอบถอนหายใจโล่งอกอย่างลับๆ
“เจ้าหนู เป็นอย่างไรบ้าง พวกเรารับมือได้ดีไปเลยใช่ไหม?” บิกินี่ส่งเสียงถามมาอย่างเงียบๆ
“ดีมากเลยล่ะ” กู่าฉิงซานส่งเสียงผ่านความคิดไป
ปีกสีชมพูส่งเสียงมา “บางทีเจ้าอาจจะไม่รู้จักหญิงที่มีเกียรติคนนี้ แต่การที่พวกเราสามารถเป็นชุดส่วนตัวของเธอได้ ตลอดทั้งชีวิตไม่นับว่าเสียใจแล้ว ดังนั้นพวกเราเลยต้องการตอบแทนเจ้า ไม่อยากให้เจ้าต้องพบพานกับเรื่องร้ายใดๆ”
“ขอบคุณมากเลยนะ” กู่ฉิงซานกล่าว
ในเวลานั้นเอง หญิงงามไม้สลักก็หันไปยิ้มให้กับกู่ฉิงซาน และเอ่ยปากว่า “ในความเป็นจริงแล้ว โดยทั่วไปตัวเราจะไม่ยอมรับสิ่งของจากคนอื่น แต่ของขวัญสองชิ้นนี้มันถูกใจเรามากจริงๆ ดังนั้น .. ”
“โปรดรับมันไว้ และดูแลพวกมันให้ดีด้วย” กู่ฉิงซานตัดจบ
หญิงงามไม้สลักพยักหน้า วาดมือออกไป และสองชุดแฟชั่นสีชมพูก็หายไป
—เธอไม่ลังเลเลยที่จะรับของขวัญจากกู่ฉิงซาน
“สหายตัวน้อยจากสมาคมกำปั้นเหล็ก เจ้าช่างมีน้ำใจมากจริงๆ ของขวัญเหล่านี้มีค่าไม่น้อยเลย มันทำให้อารมณ์ของเราดีขึ้นมากทีเดียว”
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
“จงบอกคำขอของเจ้ามา ถ้าตัวเราสามารถทำมันได้ เราจะพิจารณาเกี่ยวกับมันอย่างจริงจัง”
“ผมพลาดการเรียกขานของวิหคหนามไป แต่ผมจำเป็นต้องเข้าร่วมให้ได้”
“ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้ … แสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ค่อนข้างมีสัมพันธ์ที่ดีกับเรา และบางทีทริสเต้ก็อาจจะเข้าร่วมพิธีฉลองตนก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ของเจ้าหญิงหนามตัวน้อย – ที่จะจัดขึ้นเป็นเวลาสามวันสามคืน”
หญิงงามไม้สลักผุดลุกขึ้น
“ไปกันเถิด” เธอกล่าว “ไปร่วมงานสังสรรค์กับเรา แล้วเราจะขอให้เธออนุญาตให้เจ้าเข้าร่วมการเรียกขานเอง”
กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็มีความสุขยิ่ง เขาประสานหนึ่งฝ่ามือหนึ่งกำปั้นไปทางอีกฝ่าย “ขอบพระคุณท่าน!”
“แล้วฉันล่ะ?” ไก่ใหญ่เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
“ต้องการจะอยู่ที่นี่ หรือว่าจะไปงานสังสรรค์ด้วยกันกับเราล่ะ?” หญิงงามไม้สลักมองไปที่มัน
“แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องไป! กระพ้มรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!” ไก่ตีปีกพับๆด้วยความตื่นเต้น
มันหันไปยกนิ้วโป้งให้แก่กู่ฉิงซานอย่างลับๆ
ไก่ไม่คาดคิดเลยว่าการช่วยเหลือผู้อื่น แท้จริงแล้วจะช่วยให้ตนสามารถย่นระยะห่างระหว่างหญิงงามไม้สลักได้ นี่มันเป็นกำไรที่คาดไม่ถึงจริงๆ
ณ โรงแรมอัลเบอัส
ตลอดทั้งโรงแรมดื่มด่ำไปกับบทเพลงบรรเลงอันไพเราะและสูงส่ง
ผู้คนสวมใส่เครื่องแต่งกายที่ดูวิจิตงดงาม ทักทายซึ่งกันและกัน พูดคุยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล และเดินจากกันไปอย่างเงียบๆ
วิหคหนามแห่งดินแดนอัศจรรย์เป็นขุนนางที่ค่อนข้างเรื่องมากในพิธีและมารยาท ดังนั้นทั้งหมดที่กล่าวมาจึงเป็นเรื่องเข้มงวดนัก
ทุกชนิดของอาหารอันหลากหลาย ถูกจัดวางอยู่ในถาดอย่างละเอียดละออ แช่อยู่ในหมอกหลากสีสัน
นี่คือหมอกแห่งเวลา มันมาจากดินแดนอัศจรรย์ เป็นสิ่งที่จะช่วยรักษาอาหารให้สดใหม่อยู่ตลอดเวลา
เพียงแค่คุณนำอาหารเข้าปาก หมอกแห่งเวลาจะแพร่กระจายออกมา และรสแสนอร่อยของอาหารก็จะระเบิดลงตรงปลายลิ้นคุณ
นี่เป็นสิ่งรับประกันเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารจะคงอยู่ในรสชาติที่ดีที่สุดอยู่เสมอตลอดทั้งเวลางานเลี้ยงที่ยาวนาน
ขณะก้าวเดิน ไก่ตัวใหญ่ก็ก้มหน้าลงมาพูดกับกู่ฉิงซาน “ฉันไม่สามารถทนกับการกระทำของพวกวิหคหนามได้”
“การกระทำอะไรหรือ?” กู่ฉิงซานสงสัย
“ลองมองดูสิ เห็นเค้กที่ตกแต่ง12ชั้นไหม แล้วก็นั่นอีก กระเป๋าสีเทาใบใหญ่ที่เรียกกันว่ากระเป๋าขนมอันไร้ที่สิ้นสุด -ทุกตารางนิ้วของงานเลี้ยงน่ะเต็มไปด้วยอาหารอันโชะมากมาย แต่จริงๆแล้วพวกวิหคหนามกลับไม่เคยคิดจะกินมันเลยแม้เพียงครึ่งคำ”
“แต่เท่าที่ฟังมา พวกเขาเป็นเจ้าภาพไม่ใช่หรอ บางทีพวกเขาอาจจะเคยทานมันมาแล้วหรือเปล่า เลยไม่มีความสนใจใดๆกับของพวกนี้”
“ไม่หรอก แต่เป็นเพราะพวกเขาคิดว่าการกินระหว่างเนื่องในโอกาสงานฉลองอันเคร่งครัดนี้น่ะ มันจะดูไม่มีมารยาทต่างหาก”
“อาหารทั้งหมดที่วางไว้ … ”
“เป็นของที่บริการไว้สำหรับแขกเท่านั้น”
“อ่า แต่เท่าที่ฟังดูมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกตินะ”
ไก่ใหญ่จ้องมาที่กู่ฉิงซานและกล่าว “ผิดปกติสิ! เพราะเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นว่าอาหารของตนถูกหยิบขึ้นมารับประทาน พวกเขาจะแสดงรอยยิ้มภาคภูมิใจน้อยๆออกมา ราวกับว่าคนที่กินไปทำผิดพลาดครั้งใหญ่ต่อหน้าสาธารณชน แต่สำหรับวิหคหนามน่ะตรงกันข้าม เพราะพวกเขากลับสามารถรักษามารยาทอันสุภาพ ไม่ยินยอมกระทำเหมือนกับบรรดาแขกเหรื่อได้ – แบบนี้ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็ดูน่ารังเกียจไม่ใช่หรอ?”
“ลดเสียงลงหน่อย” หญิงงามไม้สลักหันมองจิกตาใส่ไก่
ไก่ใหญ่หุบปากลงทันที
หญิงงามไม้สลักนำกู่ฉิงซานกับไก่ใหญ่เดินข้ามผ่านตลอดทั้งห้องจัดเลี้ยงอาหารค่ำ , ห้องจัดเลี้ยงขนาดเล็ก , โถงเต้นรำ และในที่สุดก็มาถึงโซนที่นั่งชั้นพิเศษ
สององครักษ์ราชวงศ์วิหคหนามที่มีใบหน้าถมึงทึงยืนอยู่หน้าประตู
เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนเดินตรงเข้ามา สององครักษ์ก็ก้าวออกมาข้างหน้าและกล่าวทันที “ต้องขออภัยด้วย ที่นี่คือสถานที่พักผ่อนสำหรับผู้สูงศักดิ์เท่านั้น ช่วยกรุณา-”
หญิงงามไม้สลักคีบบัตรเชิญด้วยปลายนิ้วของเธอขึ้นมา
เมื่อองครักษ์ทั้งสองเห็นบัตรเชิญนี้ พวกเขาก็ก้าวถอยหลัง และโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ที่แท้ก็เป็นท่านหัวใจพฤษานิรันดร์ จิตวิญญาณแห่งพฤษาศักดิ์สิทธิ์นี่เอง พวกเราขอน้อมรับการมาเยือนของท่านด้วยความยินดี”
“ตอนนี้มีใครอยู่ข้างในนั้น?”
“ทริสเต้”
“แค่เธอคนเดียว?”
“ยังมีแขกผู้มีเกียรติอีกหลายคนอยู่ในห้อง”
หญิงงามไม้สลักประหลาดใจ เธอกล่าวออกมา “หืม? ที่พักของราชวงศ์หนามไม่ได้อยู่ที่นี่มิใช่หรือ? แล้วคนพวกนั้นเป็นใครกัน?”
สีหน้าของสององครักษ์แสดงออกถึงความอึดอัด
พวกเขาหันมามองหน้ากันและกัน
“ช่างมันเถอะ ตัวเราเหนื่อยเกินไปที่จะต้องมาถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราแค่มีธุระเล็กๆน้อยที่จะคุยกับทริสเต้เท่านั้น” หญิงงามไม้สลักโบกมือไปมา
สีหน้าขององครักษ์จึงผ่อนคลายลง แล้วหลีกทางให้อีกฝ่าย
หญิงงามเดินนำกู่ฉิงซานกับไก่ใหญ่เข้าไป
บนทางเดินยาว คุณจะสามารถได้ยินถึงเสียงสนทนาที่เล็ดลอดออกมาจากด้านหน้าของห้องอยู่เป็นพักๆ
หลังจากทั้งหมดนี้ นี่เป็นสถานที่ๆมีการป้องกันอันเข้มงวด บุคคลที่สามารถเข้ามาที่นี่ได้ล้วนเป็นคนคุ้นเคยกัน ดังนั้นเหล่าคนที่สนทนากันอยู่ภายในห้องจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมีเรื่องใดๆหลุดรอดออกไป
“ว่าไงนะ? หาไม่พบงั้นหรือ?”
“ส่งออกไปตั้งหลายคน แล้วทำไมถึงยังหาไม่เจออีก?”
“ไม่คิดเลย ว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
“ใช่ แต่จริงๆแล้วมันไปอยู่ที่ไหนกันแน่”
กู่ฉิงซานได้ยินถึงเสียงสนทนาเบาๆ
ความตื่นตระหนกดูจะฟุ้งไปทั่วชั้นอากาศ
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาผลักประดูเข้าไป และยืนอยู่ต่อหน้าทริสเต้ บทสนทนาทั้งหมดก็หายไป
คนอื่นๆล้วนหุบปากลง เพราะนี่เป็นมารยาทขั้นพื้นฐานที่สุดในเวลาที่มีคนมาเยี่ยมเยือน
เห็นแค่เพียงขุนนางหลายคนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่
แน่นอน ที่โดดเด่นและดูอ่อนโยนที่สุดคงไม่พ้นทริสเต้ เธอเป็นหญิงที่มีรูปร่างสูง ดวงตาสีมรกต ครอบครองผมสีน้ำตาล ห้อยยาวลงมาคล้ายกับธารน้ำตก
“ทริสเต้ เรามาแล้ว” หญิงงามไม้สลักกล่าว
“อ้าว? ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ชอบงานเลี้ยงมิใช่หรอกหรือ? ลมอะไรหอบมากันล่ะเนี่ย?”
ทริสเต้ยืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม เธอทักทายหญิงงามไม้สลัก ต่อด้วยไก่ใหญ่และกู่ฉิงซาน
“พอดีว่าเรามีเรื่องเล็กน้อยที่จะรบกวนน่ะ”
“นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ ที่เจ้ามาขอให้คนอื่นช่วย”
“นั่นเพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้า”
หลังจากทักทายกันสั้นๆ พวกเธอก็นั่งลง
หญิงงามไม้สลักบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด
ทริสเต้มองไปยังกู่ฉิงซานและถามว่า “งั้นหรอ? เจ้าติดอยู่ในกับดัก? เลยพลาดการเรียกขานของข้า?”
“ใช่ มันเป็นอุบัติเหตุ อันที่จริงแล้วผมตั้งตารอเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ช่วยงานคุณ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงใจ
“ในเมื่อเจ้าถึงขั้นมาพูดเรื่องนี้กับข้าเป็นการส่วนตัว ข้าก็ยินดีที่จะช่วยเหลือเจ้า”
ขณะกล่าว ทริสเต้ก็โยนเหรียญทรงกลมออกไปทางกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานคว้าจับเหรียญ
เห็นแค่เพียงเหรียญเงินในมือ ที่มีตัวของทริสเต้ยืนอยู่ภายใน เธอกำลังเฝ้ามองกู่ฉิงซาน และพยักหน้าให้เขาด้วยรอยยิ้ม
“เหรียญนี่เป็นสัญลักษ์ของการแสดงว่าเจ้าได้ตอบรับคำเรียกขานของข้าแล้ว” เอสเต้กล่าวอย่างอ่อนโยน “และภายในเหรียญ ก็มีของรางวัลอันดับสองอยู่ ..”
กู่ฉิงซานกำเหรียญและกล่าว “ขอบพระคุณสำหรับความใจกว้างนี้ แต่จริงๆแล้วผมต้องการที่จะเข้าสู่โลกของคุณต่างหาก”
“เหตุผลล่ะ?” ทริสเต้ถาม
“เพราะเพื่อนของผมได้เข้าไปในนั้น และผมก็กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเธอ”
“ถ้าเป็นเรื่องนี้เจ้าสามารถวางใจได้” ทริสเต้หัวเราะเบาๆ “เพราะในครั้งนี้ข้าตั้งกฏเกณฑ์เอาไว้ว่าจะไม่อนุญาตให้ใครตาย ไม่แม้กระทั่งได้รับบาดเจ็บ”
เธอมองกู่ฉิงซาน ดวงตามรกตช่างกระช่างใส ชวนให้เคลิบเคลิ้มตกอยู่ในภวังค์
กู่ฉิงซานพอได้ฟังคำพูดของทริสเต้ก็เริ่มลังเล
หญิงงามไม้สลักกล่าว “เจ้าหนูหากมีกฏเกณฑ์อันเข้มงวดนี้อยู่ ก็น่าจะวางใจได้แล้วนะ”
กู่ฉิงซานอึดอัด พยายามจะพูดบางสิ่งอีกครั้ง
แต่ทริสเต้ก็พูดตัดหน้าเขาซะก่อน “โลกของข้ามันอยู่ในสภาวะถูกปิดกั้น แม้ว่าข้าจะต้องการเปิดมัน แต่ ก็ยังจำเป็นต้องใช้พลังงานค่อนข้างมาก ดังนั้นมันจะเป็นการดีกว่าหากเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าประมาณการคร่าวๆว่าน่าจะอีกสักครึ่งวัน ทุกอย่างคงจะจบลง แล้วสหายของเจ้าก็จะออกมาจากภายใน”
“เมื่อถึงเวลานั้น ขอให้เจ้ากล่าวนามของสหายออกมา แล้วข้าจะส่งเธอมาปรากฏตรงหน้าเจ้าเลยโดยตรง”
ทริสเต้พูดถึงขนาดนี้ กู่ฉิงซานก็ไม่มีอะไรจะเถียงอีก
ทริสเต้ให้เหรียญมา แถมยังบอกว่ามีรางวัลที่เป็นรองเพียงอันดับหนึ่งเท่านั้นอยู่ภายในอีก ทริสเต้ไม่เพียงการันตีความปลอดภัยของซูเซี่ยเอ๋อ แต่ยังบอกอีกว่าหากสิ้นภารกิจแล้ว จะส่งเธอกลับมาหาเขาเลยโดยตรง
เขาไม่ได้สนิทกับอีกฝ่ายมากมายขนาดนั้น จะดีจะร้าย ก็ไม่สมควรที่จะร้องขออะไรเพิ่มเติมอีก
นอกจากนี้ ในโลกเก็บสมบัติของทริสเต้ แม้กระทั่งอาการบาดเจ็บเล็กน้อยก็ยังไม่อนุญาต ฉะนั้น ซูเซี่ยเอ๋อคงจะสามารถกลับมาอย่างปลอดภัย
แถมในสายตาเขา ยังมีบรรทัดเส้นแสงตัวอักษรปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงครามแล้วด้วยในตอนนี้
แม้ว่ากู่ฉิงซานจะไม่มีเวลามองมัน แต่เขาก็รับรู้ได้ว่ามันคือการแจ้งเตือนว่าภารกิจเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ระบบได้ใช้เหรียญเป็นสัญลักษณ์ของการสำเร็จภารกิจ
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาได้ตอบรับการเรียกขานของวิหคหนามแล้ว และกำลังจะได้รับฟังก์ชั่นใหม่ของระบบเทพสงครามนั่นเอง
กู่ฉิงซานผ่อนลมหายใจ คิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับมัน
ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี
เขาลุกขึ้น และประสานกำปั้นไปทางทริสเต้ “ขอบพระคุณท่านมาก”
“ไม่จำเป็นต้องสุภาพไป ผู้หญิงคนนี้ถึงขั้นออกหน้าขอร้องแทนเจ้าเป็นการส่วนตัว จึงย่อมเป็นธรรมดาที่ข้าจะช่วยเหลือ” ทริสเต้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
แล้วเธอก็เอื้อมไปจับกับมือของหญิงงามไม้สลักและกล่าว “มากับข้าหน่อยสิ ข้ามีเรื่องที่อยากจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าอยู่เหมือนกัน”
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?” หญิงงามไม้สลักเอ่ยถาม
“เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง แต่ขอบอกเลยว่ามันเป็นสิ่งที่น่ารำคาญยิ่ง”
หญิงงามไม้สลักลุกขึ้น และเดินไปที่ประตูพร้อมกับทริสเต้
ดูเหมือนว่าเธอจะตระหนักได้ถึงบางสิ่ง จึงหันกลับมาและโบกมือให้กับไก่ใหญ่ “คุณก็มาด้วย มันอาจจะมีบางสิ่งที่คุณสามารถช่วยได้ก็ได้”
“รับทราบ”
ไก่ใหญ่ลุกขึ้นตามไป
หญิงงามไม้สลักหันมามองกู่ฉิงซาน “ส่วนเจ้าก็รออยู่ที่นี่ เอาไว้จบเรื่องแล้วพวกเราค่อยกลับไปด้วยกัน”
“ครับ”
กู่ฉิงซานขานรับ
แล้วหญิงงามไม้สลักกับทริสเต้ก็เดินเคียงข้างกันไป
ก่อนที่ไก่จะเดินตามทั้งสอง มันก็หันหน้ากลับมาขยิบตาให้กู่ฉิงซาน ส่งสัญญาณว่าเรื่องความสัมพันธ์กับสาวที่ตามจีบ มันดีขึ้นเพราะเขาเป็นพ่อสื่อจริงๆ
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา และยกนิ้วโป้งให้แก่ไก่ใหญ่
“ขอบคุณลูกพี่ไก่ที่ช่วยเหลือ ถ้าจบเรื่องนี้ผมจะเชิญคุณไปกินอาหารด้วยกันอย่างแน่นอน”
พอได้ยิน ไก่ก็เชิดหัวขึ้น เผยท่าทีพึงพอใจออกมา
“ฉันก็อยากจะเลี้ยงนายสักมื้อใหญ่เหมือนกัน เอาไว้เดี๋ยวเจอกันใหม่นะ” ไก่ส่งเสียงผ่านความคิดมา
แล้วไก่ใหญ่ก็ผลักประตูตามหญิงทั้งสองคนไป
ในตอนนี้ ภายในห้องจึงหลงเหลือเพียงกู่ฉิงซานกับบรรดาขุนนางสาวๆเท่านั้น
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.520 – เวลาที่พลาดไป
ด้วยการบอกเล่าของฉานนู่ ไก่ใหญ่ก็ค่อยๆเข้าใจถึงเหตุผลในที่สุด
“กุ๊ก กุ๊ก กุก เจ้าทะเลเลือดถึงจะดูเป็นคนธรรมดา แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะได้รับลูกศิษย์ที่ดีแบบนี้” ไก่ใหญ่หัวเราะ
“ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย”
“แน่นอน นี่มันก็แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้น นอกจากนี้ฉันเองก็ยังเป็นหนี้กำปั้นเหล็กแบรี่อยู่พอดีเหมือนกัน”
“แต่ฉันจะไม่ช่วยเจ้าเด็กกู่มากเกินควรนะขอบอกเอาไว้ก่อน เพราะในอนาคต – เขาจะต้องเป็นคนกวดขันภรรยาให้อยู่ในโอวาทด้วยตนเอง นี่ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะเข้าไปวุ่นวายได้”
ไก่ใหญ่เอ่ยหยันกู่ฉิงซาน ขณะเดียวกันมันก็ยื่นคมแหลมของจงอยปากออกไป แล้วเจาะเข้าใส่อุปสรรค
ปัง-
การโจมตีของมันสัมผัสเข้ากับอุปสรรค รังสีแสงสีเลือดไหลย้อนกลับราวกับน้ำตาที่หวนคืนสู่ฟากฟ้า
ไก่ใหญ่กรีดร้องออกมา ทั้งตนทั้งร่างของมันถูกผลักกระเด็นออกไปไกลกว่าหลายสิบเมตร
ขณะที่อุปสรรคขวางกั้นสีเลือดดูจะยังคงไร้ซึ่งร่องรอยขีดข่วนใดๆ
“ … ” ฉานนู่
“ … ” ไก่ใหญ่
“บ๊ะ! ฉันไม่เชื่อหรอก!” ไก่ผุดลุกขึ้นด้วยความโกรธ และเริ่มรวบรวมกำลัง
มันสงบใจลง สองขาจิกแน่นลงบนพื้น พยายามควบคุมสมดุลให้ดีที่สุด และพรวด!เข้าหาอุปสรรคสีเลือด โฉบเข้าจิกกัดด้วยเจตนาร้าย!
มันทั้งจิกทั้งใช้ปีกตบเข้าใส่อุปสรรคเลือด ขณะเดียวกันก็ตะโกนโวยวายไปด้วย
เสียงดุเดือดก้องกังวานไปตลอดทั้งเมือง
“กุ๊กๆ!”
ปัง!
“ป๊อกๆ”
ปัง!
“กะต๊าก!”
ปัง!
ฉานนู่ที่คอยเฝ้ามองอยู่จำต้องอุดหูตัวเอง และถอยกลับเข้าไปภายในอุปสรรค
“นายน้อย ชายคนนั้นคือใครกันแน่?” ฉานนู่เอ่ยถามอย่างเงียบๆ
“เจ้าไม่อยากรู้หรอก” กู่ฉิงซานตอบ
หลังจากนั้นหลายลมหายใจ ไก่ใหญ่ก็ประสบความสำเร็จในที่สุด!
อุปสรรคกีดขวางสีเลือดระเบิดออกเป็นชิ้นๆ เศษของมันฟุ้งกระจายราวกับเม็ดทับทิม ก่อนจะทยอยกันร่วงตกลงสู่พื้น
เศษอันงดงามเหล่านี้แปรสภาพเป็นอักษรรูนลึกลับ และหายไปอย่างเงียบๆในความว่างเปล่า
กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้นจากเตียง ก้าวเดินออกจากห้อง
“ขอบคุณคุณมากจริงๆ” เขากล่าวด้วยความจริงใจ “ถ้ามันไม่จำเป็นจริงๆ ผมคงไม่เลือกที่จะไปรบกวน ปลุกคุณขึ้นมาในเวลาแบบนี้”
“ไม่เป็นไรหรอก มันก็แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ – นายก็รู้นี่ คนอ่อนแออย่างเจ้าทะเลเลือดน่ะ สำหรับฉันแล้วไม่นับว่าเป็นสิ่งใดหรอก!” ไก่พูดพลางหอบหายใจ
มันซ่อนปีกครึ่งหนึ่งที่ไหม้เกรียมเอาไว้ด้านหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้กู่ฉิงซานกับฉานนู่เห็น
กู่ฉิงซานได้กลิ่นเนื้อไก่ย่างหอมตลบอบอวล เขาอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นแตะท้อง และหันไปพูดกับไก่ใหญ่ว่า “ถ้ากลับมาผมจะขอเลี้ยงข้าวคุณ แต่ตอนนี้ผมคงต้องขอตัวก่อน เพราะต้องรีบไปตอบรับคำเรียกขานของวิหคหนามทันที”
ขณะกล่าว เขาก็หยิบแผ่นป้ายทองคำออกมา และเตรียมที่จะออกจากรีสอร์ทของอัลเบอัส
“หือ? เมื่อกี้พูดว่าการเรียกขานของวิหคหนามใช่รึเปล่า?”
ไก่ใหญ่คว้าจับตัวเขา
“ใช่แล้วครับ มันทำไมงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามแปลกๆ
“ นายพลาดเวลาไปซะแล้วล่ะ แสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้น่ะ พึ่งจะทำการเรียกขานเสร็จ และตอบรับทุกคนเข้าสู่ปีกของเธอ นำพาพวกเขาไปช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
กู่ฉิงซานแข็งค้าง
อะไรนะ?
เรียบร้อยแล้ว?
“เสียใจด้วยนะ แต่ดูเหมือนนายจะมาไม่ทันการเรียกขานของวิหคหนามในครั้งนี้ซะแล้วล่ะ” ไก่ใหญ่กล่าว
กู่ฉิงซานพยายามพูดอย่างสงบสติอารมณ์ “นี่มันไม่ถูกต้อง ผมจำได้ว่าการเรียกจานจะดำเนินต่อไปกว่า 7 วัน 7 คืน แต่ทำไมจู่ๆถึงมาหยุดเอาดื้อๆแบบนี้?”
“นั่นก็เพราะมีคนตอบรับคำเรียกขานของเธอมากเกินไป ทริสเต้จึงหยุดเรียกเพราะคิดว่าจำนวนคนน่าจะเพียงพอแล้ว หากมากไปกว่านี้ เกรงว่ามันจะกลายเป็นการสร้างปัญหาใหม่ให้กับเธอเสียเปล่าๆ”
“ … ” กู่ฉิงซาน
นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ
ถ้าหากเขาไม่สามารถตอบสนองต่อเสียงเรียกของวิหคหนามได้ เขาก็จะไม่ได้รับฟังก์ชั่นใหม่ของหน้าต่างระบบเทพสงคราม!
ถ้าหากเขาไม่สามารถตอบสนองต่อเสียงเรียกของวิหคนาม เขาก็จะไม่ได้ไปช่วยซูเซี่ยเอ๋อ!
แล้วซูเซี่ยเอ๋อก็จะต้องแบกรับอันตรายเอาไว้บนสองไหล่น้อยๆของตนเพียงลำพัง ขณะที่เขาทำได้แค่เฝ้าดูอย่างนั้นหรือ?
ต้องไม่เป็นแบบนั้นเด็ดขาด!
กู่ฉิงซานใคร่ครวญอยู่ครู่จึงเอ่ยถาม “นี่ พี่ชายไก่-”
“ได้โปรดเรียกฉันว่าลูกพี่ไก่”
“ลูกพี่ไก่ พอจะมีวิธีอะไรที่จะให้ผมได้ติดต่อกับแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้บ้างไหม? ผมจะไปขอร้องเธอเป็นการส่วนตัว หวังว่าเธอจะปล่อยให้ผมเข้าสู่โลกของเธอได้”
ไก่ใหญ่เผยท่าทีอึดอัดเล็กน้อย
“เอ่อ .. พอดีว่าถ้าเป็นตัวฉันล่ะก็คงไม่ได้ เพราะฉันไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเขา”
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”
“เพราะพวกมารยาทหรือพิธีกรรมเกี่ยวกับวิหคหนามน่ะมันยุ่งยากและซับซ้อนเกินไป ฉันมันพวกใจร้อน ไม่สามารถอดทนกับทัศนคติของพวกเขาได้หรอก”
“ไม่มีวิธีอื่นๆอีกแล้วเลยหรอ?”
“ … นายเป็นสมาชิกของสมาคมกำปั้นเหล็ก และบังเอิญว่าฉันก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับแบรี่ แถมนายยังเป็นเด็กฉลาด ดังนั้นฉันจะขอลองคิดดูอีกครั้งนะ”
ไก่ใหญ่จมลงสู่ห้วงความคิด
มันเดินวนกลับไปกลับมา
กู่ฉิงซานยืนอยู่ข้างๆโดยไม่คิดรบกวนใดๆ
หลังจากผ่านไปสักพัก ไก่ใหญ่ก็หยุดฝีเท้าลงอย่างกระทันหัน
มันหมุนตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว จ้องมองกู่ฉิงซานและกล่าว “ฉันพอจะรู้จักคนที่ทำแบบนั้นได้อยู่ แต่นายจะสามารถทำให้คนๆประทับใจจนเลือกที่จะช่วยเหลือได้รึเปล่า นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของนายเอง”
“คนๆนั้นคือใครกันครับ?”
“นายเคยเจอมาก่อนแล้วไง”
“ผมน่ะหรอเคยเจอกันแล้ว?”
“ใช่ พวกเราทานอาหารเย็นด้วยกันเมื่อวาน – ฉันคิดว่านายควรจะนำของขวัญดีๆที่เหมาะสมไปมอบให้เธอด้วยนะ เพราะท้ายที่สุดนี้ ยังไงเธอก็เป็นถึงหญิงที่มีเกียรติ”
…
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ภายในป่านอกตัวเมืองเล็กๆ
กู่ฉิงซานกับไก่ใหญ่ยืนอยู่หน้าต้นไม้สูงตระหง่าน
ไก่ใหญ่ดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อย มันเอ่ยปากออกมา “เจ้าเด็กกู่ นายรู้ไหมว่าการเคาะประตูห้องของผู้หญิงที่อยู่คนเดียวในช่วงเวลาเที่ยงคืนมันไม่สุภาพ เว้นเสียแต่ว่านายจะมีเหตุผลที่ดีมากพอที่จะทำมัน”
กู่ฉิงซานตอบรับ “คุณมั่นใจได้เลย ผมเตรียมมาพร้อมแล้ว”
“แน่ใจนะเออ?”
ไก่ใหญ่ผ่อนลมหายใจยาว และเริ่มเคาะลงบนต้นไม้
เสียงของผู้หญิงที่ฟังดูร้อนใจดังขึ้น “มีเรื่องอะไรกัน? ฉันกำลังยุ่งอยู่นะ”
“พอดีว่า – เจ้าเด็กกู่บอกว่ามีของขวัญจะมอบให้แด่คุณน่ะ” ขณะกล่าว ไก่ใหญ่ก็เผลอถอยไปหลบหลังกู่ฉิงซานโดยไม่รู้ตัว
มันพยักหน้าให้กู่ฉิงซานจากด้านหลัง ส่งสัญญาณให้เขาอธิบายอย่างรวดเร็ว
“ของขวัญงั้นหรอ?” เสียงของผู้หญิงสูงขึ้นเล็กน้อย
กู่ฉิงซานกลั้วลำคอตนและกล่าว “ใช่แล้วครับ หลังจากที่ได้พบกับผู้หญิงที่มีเกียรติและน่าเคารพเช่นคุณเมื่อวันก่อน ผมก็เลยเกิดความคิดนี้ขึ้นมา”
“ความคิดอะไรกัน?”
“ผมรู้สึกว่าผมมีสมบัติบางสิ่งบางอย่างที่เก็บไว้มาเป็นเวลานาน และถึงแม้มันแทบจะไม่ตรงกับลักษณะของคุณเลยก็ตามที แต่หลังจากที่ได้ลองขบคิดมาหลายชั่วโมง ผมก็ตัดสินใจได้ในที่สุดว่าจะมอบมันให้กับคุณเป็นของขวัญ”
“ของขวัญ … ”
เสียงของผู้หญิงเหมือนกำลังใคร่ครวญ น้ำเสียงที่แฝงมาดูจะไม่ร้อนใจเหมือนก่อนหน้านี้ ตรงกันข้าม มันกลับค่อนข้างฟังดูอยากรู้อยากเห็น
“ก็ได้ เข้ามาสิ”
ด้วยประโยคนี้ ประตูก็ปรากฏขึ้นกลางลำต้นไม้สูงตระหง่าน
ประตูเปิดออกโดยอัตโนมัติ และบันไดไม้ที่คดเคี้ยวก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน
“ไปกันเถอะ จะเป็นการดีที่สุดถ้าของขวัญที่นายเตรียมมามันถูกใจเธอ ไม่งั้นฉันนี่แหละจะเผ่นออกไปก่อนเลยเป็นคนแรก” ไก่ใหญ่ลดเสียงของเขาลง
“เข้าใจแล้ว เรื่องนี้คุณวางใจได้เลย”
กู่ฉิงซานพูดเสียงแข็ง
ตอนนี้ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ถึง ‘รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง’
พวกเขาเดินขึ้นบันไดยาวไปจนถึงส่วนของของต้นไม้
แล้วก็ได้พบกับหญิงงามไม้สลักที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก เธอกำลังเพลิดเพลินไปกับแสงดาวยามค่ำคืน
“น่าแปลกจริงๆ ที่แสงดาวนิรันดร์หลายดวงกำลังมืดดับลง นี่มันเป็นปรากฏการณ์ยากจะพบเห็นจริงๆ”
หญิงงามไม้สลักรำพึง
การแสดงออกทางสีหน้าของเธอแลดูแปรปรวนและสับสน
เมื่อกู่ฉิงซานกับไก่ใหญ่ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ เธอก็หันมาให้ความสนใจกับทั้งสอง
“เด็กชายจากสมาคมกำปั้นเหล็ก ถ้านับตั้งแต่ที่พวกเราพบเจอกัน ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินไปนะสำหรับการให้ของขวัญ มีเรื่องด่วนอะไรถึงได้รีบมาปรึกษาเรากลางค่ำกลางคืนเช่นนี้หรือ?” หญิงงามไม้สลักถามจี้ตรงจุด
“คุณผู้หญิง พวกเราจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นกันตั้งแต่ทีแรก แต่สิ่งที่ผมต้องการจะพูดก็คือ – ถ้าของขวัญของผมไม่อาจทำให้คุณพอใจได้ ก็ขอให้คุณโปรดยกโทษให้กับการเข้ามารบกวนเวลาส่วนตัวในยามวิกาลในคราวนี้ด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว
หญิงงามไม้สลักรับฟังคำพูดของเขาอย่างเงียบๆ และพยักหน้าเล็กน้อย “อื้ม ดูเหมือนว่าเจ้าหนูเช่นเจ้าก็จะยังพอมีมารยาทอยู่บ้างเหมือนกันนี่”
กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอากล่องที่ทั้งหมดทำจากหยกวิญญาณออกมา
แต่ขณะเดียวกัน จดหมายฉบับหนึ่งก็ติดออกมากับตัวกล่องหยกวิญญาณเช่นกัน
‘เอ๋? จดหมายนี่มันอะไรกัน?’
กู่ฉิงซานลอบประหลาดใจ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในปัจจุบันนับว่าไม่ใช่เรื่องเล่นๆ กู่ฉิงซานจึงไม่อยากให้จดหมายนี้มารบกวนสมาธิเขา ดังนั้นจึงยัดมันเก็บกลับคืนไปก่อนชั่วคราว
เขาค่อยๆวางกล่องหยกวิญญาณลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา
นี่คือกล่องสมบัติที่แกะสลักจากหยกวิญญาณที่มีคุณภาพสูงสุด ภายนอกของมันสลักไปด้วยลวดลายของดอกไม้อันประณีต ดูไม่แตกต่างไปจากของจริง
หยกวิญญาณเช่นนี้ ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ มันคือสมบัติที่มีราคาสูงจนมิอาจประเมินได้
-แต่กู่ฉิงซานกลับใช้มันเป็นเพียงแค่กล่องเก็บของ
หญิงงามไม้สลักเลิกคิ้วสูงขึ้นด้วยความประหลาดใจ
กล่องเก็บของชิ้นนี้ แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็งดงามและมีรสนิยมไม่น้อยเลยทีเดียว
มองไปยังกล่องหยกวิญญาณ หญิงงามไม้สลักก็เผยท่าทีสนใจเล็กๆน้อยๆออกมา
“แล้วสิ่งที่อยู่ภายในคืออะไร?”
เธอไม่รีบร้อนที่จะเปิดมัน แต่กลับเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มแทน
ดูเหมือนว่า เธอจะสนุกกับการคาดเดาว่าของขวัญน่ะคือสิ่งใดซะมากกว่า
กู่ฉิงซานไม่มีเวลาที่จะมามัวเล่นไปกับเธอ ดังนั้นเขาจึงกล่าวบอกไปตรงๆ “มันคือปีกภูติสีชมพูรุ่นลิมิเต็ดของอาณาจักรภูติที่เป็นที่นิยมเมื่อ 1000 ปีก่อน และเช่นเดียวกัน อีกชิ้นคือบิกินี่สีชมพูที่มีการจำกัดขายเพียง 10 ตัวเท่านั้นในปีเดียวกัน”
พอได้รับคำตอบมาง่ายๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงงามไม้สลักก็หุบลง
เธอเปิดกล่องหยก
แล้วก็พบกับสองวัตถุสีชมพูสองชิ้นถูกวางเอาไว้อย่างประณีตในกล่องหยก
ปีกสีชมพูเปล่งแสงอันนุ่มนวลออกมา หนุนเสริมให้ปีกที่บางเบาราวกับผ้าคลุมหน้าดูเด่นชัดขึ้น
ขณะที่บิกินี่สีชมพูลอยตัวขึ้น แขวนเด่นอยู่บนอากาศ
มันเลื่อนสายตามองหญิงงามไม้สลักทันที
“เป็นเกียรติยิ่งนัก ที่ได้พบกับท่านหญิงที่มีเกียรติ สง่างาม และทรงเสน่ห์ ตัวฉันคือบิกินี่ระดับเพชรรุ่นลิมิเต็ด ยินดีที่ได้รู้จัก” บิกินี่กล่าวด้วยความสุภาพ
หญิงงามไม้สลักจ้องมองไปยังบิกินี่และปีกอีกครั้ง
นี่มันเป็นสไตล์ของเมื่อ 1000 ปีก่อนจริงๆ
สิ่งของเมื่อ 1000 ปีที่ผ่านมา ในตลอดทั้งโลก 900 ลำดับชั้น นับว่าเป็นเรื่องยากนักที่จะยังถูกเก็บไว้ในสภาพสมบูรณ์
อย่าพึ่งเคลิ้มไปสิ!
มันไม่ควรจะง่ายดายเช่นนั้น!
เมื่อเร็วๆนี้ โลกแฟชั่นก็เริ่มกลับมานิยมแฟชั่นสไตล์ย้อนยุคอยู่เหมือนกัน ดังนั้นของขวัญพวกนี้อาจจะเป็นของเลียนแบบก็ได้
หญิงงามไม้สลักค่อยๆยกมือขึ้นทาบหน้าอก และกล่าวออกมาอย่างไม่มั่นใจ “เราเคยได้ยินมาว่า สิ่งของทุกชิ้นมักจะมีเลขประจำตัว”
“ใช่แล้วล่ะ มันคือสัญลักษณ์ขนาดเล็กที่ได้ระบุตัวตนของพวกเรานั่นเอง”
บิกินี่แสดงบรรทัดอักขระพิเศษบนตัวของมัน
ขณะที่ปีกสีชมพูก็เช่นกัน
หญิงงามไม้สลักสามารถระบุถึงตัวอักษรเหล่านี้ได้ในทันที ใบหน้าของเธอเริ่มผุดรอยยิ้มแย้มขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่มีใครสามารถเลียนแบบโลโก้พิเศษของภูติได้ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นสิ่งที่พวกเขาผลิตขึ้นมาเองจริงๆ”
หญิงงามไม้สลักตระหนักได้ถึงบางสิ่ง จึงเอ่ยถาม “แต่สิ่งทอของภูติน่ะมีความละเอียดอ่อนนัก เมื่อมันได้รับการตรวจสอบ มันจะถูกทำลายลงทันที ดังนั้นตัวเราจึงไม่คิดจะทำมัน แต่จะเอ่ยถามแทน”
“คุณหญิง เชิญถามมาได้เลย” บิกินี่ชมพูกล่าว
หญิงงามไม้สลัก “ในความเป็นจริงแล้วตัวเราเพียงแค่กังวลเล็กน้อยเรื่องที่ว่าพวกเจ้าเคยผ่านมือคนอื่นมาก่อน แม้ว่าจะเป็นคอลเลกชั่นแฟชั่นที่มีค่าก็ตามที – ดังนั้นเราเลยอยากจะถามว่า พวกเจ้าไม่เคยให้ผู้ใดสวมใส่ใช่หรือไม่?”
“เรื่องนี้-”
ปีกสีชมพูกำลังจะกล่าว แต่มันก็ถูกแตะเบาๆโดยบิกินี่เสียก่อน
บิกินี่ “ในเมื่อถามมาเช่นนี้ ฉันก็ต้องขอถามกลับไปก่อนว่า หากท่านได้พบเจอกับสิ่งที่ไร้ราคา สกปรกมือสอง แล้วท่านจะทำอย่างไรกับมัน?”
“ไม่หรอก พวกเจ้าเป็นสิ่งล้ำค่าที่ควรแก่การถือครอง ดังนั้นตัวเราจะไม่ทำอะไรแบบนั้นกับพวกเจ้า แต่ก็เฉพาะกับชุดสะสมเท่านั้น ส่วนคนที่เคยสวมใส่พวกเจ้ามาก่อน –ตัวเราจะไปฆ่ามันซะ!”
เวลานิ่งค้างไปชั่วขณะ
กู่ฉิงซานเกือบจะเช็ดเหงื่อเย็นที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากเขา
ก็เจ้าสองสิ่งนี้ … เป็นตัวเขานี่แหละที่เคยใช้มันมาก่อน
“ดังนั้น โปรดให้คำตอบแก่เราด้วย” หญิงงามไม้สลักกล่าว
“ท่านสามารถมั่นใจได้ ว่าไม่มีใครเคยใช้พวกเรามาก่อน”
“ใช่ ตอนนี้พวกเราอยากจะสัมผัสกายเนื้อจะแย่อยู่แล้ว! เพราะพวกเราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันจะรู้สึกยังไง!”
บิกินี่กับปีกช่วยกันโกหกอย่างรวดเร็ว
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.519 – ไพ่ใบที่สาม
กู่ฉิงซานยกสองแขนขึ้นกอดอก ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้ตนเองลอยเคว้งข้ามผ่านมิติอันไร้ที่สิ้นสุดไป
เขาถอนหายใจยาว ตนรู้สึกทั้งขมขื่นและไม่มั่นใจเล็กน้อย
ทำไมเขาถึงถูกบอกทิศทางที่มันแตกต่างกันล่ะ?
แล้วอะไรคือสิ่งที่เสี่ยวเหมียวตัดสินใจให้ตนเองบินมายังทิศทางนี้?
กู่ฉิงซานรู้สึกสับสนขึ้นในจิตใจของเขา
แบรี่กับเสี่ยวเหมียว ทั้งสองพี่น้องดูเหมือนจะปิดซ่อนอะไรบางอย่างจากตัวเขา
แต่ตอนนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางการบินได้อีกแล้ว
เมื่อเวลาผ่านไป กู่ฉิงซานก็รู้สึกได้ว่าอัตราเร่งของเขาค่อยๆเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม อัตราเร่งดังกล่าวนี้ ดูเหมือนจะเป็นแค่ในความรู้สึกเท่านั้น
ในบางช่วงเวลา เขาสามารถมองเห็นท้องฟ้าที่จรัสไปด้วยแสงดาว
ดวงดาวมากมายท่ามกลางหมู่เมฆกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง มีทั้งการดับลงของดวงดาว และซุปเปอร์โนวา ที่กำลังก่อสร้างดาวดวงใหม่ขึ้น พวกมันล้วนสาดแสงและเงาพร่างพราว งดงามราวกับภาพลวงตาออกมา
ขณะเดียวกัน เงามืดของมอนสเตอร์เอกภพที่ใหญ่โต และทั้งตนทั้งร่างของมันโปร่งแสง ก็ซ้อนทับกันไปมา ผสมผสานรวมกันกับแสงและเงา
-คล้ายกับเงาของดวงดาวที่คาบเกี่ยวกัน
ฉากต่างๆค่อยๆซ้อนทับกันมากขึ้น และมากขึ้น มันค่อยๆหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
กู่ฉิงซานยังเห็นแม้กระทั่งมอนสเตอร์เอกภพหลายตัวที่กำลังมองไปยังทิศทางเดียวกัน ร่างโปร่งใสของพวกมันซ้อนทับกันไปมา ชวนให้แลดูสับสน
มีแม้กระทั่งบางสิ่งที่แปลกประหลาดในกระแสมิติอันเชี่ยวกราด ซึ่งปรากฏตัวขึ้นเป็นพักๆ แต่สุดท้ายก็หายไป
“มิติ … ทับซ้อนงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยงึมงำกับตัวเอง
ถ้าหากเป็นในกรณีนี้ นั่นหมายความว่าเขากำลังข้ามผ่านหลายชั้นโลกในคราวเดียวกัน
วิธีการดังกล่าวนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ พลังของเสี่ยวเหมี่ยวยอดเยี่ยมไม่เลวเลย
–แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่กู่ฉิงซานเป็นห่วงก็คือ เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกส่งไปที่ไหน ใกล้เคียงกันกับอัลเบอัสหรือเปล่า?
ในช่วงเวลานั้นเอง หน้าต่างระบบเทพสงครามก็บังเกิดการเคลื่อนไหว
กู่ฉิงซานรีบกวาดสายตาดูมัน
เห็นแค่เพียงบรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยที่ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เริ่มคำนวณการโคจรข้ามมิติ”
“เส้นทางข้ามผ่านได้รับการยืนยันแล้ว”
“ตำแหน่งที่อยู่ใกล้เคียงที่สุดกับอัลเบอัส จะปรากฏขึ้นใน 31 วินาที ซึ่งอยู่ห่างจากอัลเบอัสราวๆ 671 โลก”
“สรุป : หลังจากนี้ไป 31 วินาที ระบบจะดำเนินการข้ามผ่านมิติใหม่”
“คุณจะได้กลับไปยังจุดเดิมที่ตนเคยอยู่”
กู่ฉิงซานพอกวาดสายตาอ่านจบ ความว้าวุ่นในหัวใจของเขาก็สงบลงทันที
รอดตัวไป .. ดูเหมือนว่าทิศทางที่แบรี่ชี้จะเป็นทางที่ถูกต้องนะ
กู่ฉิงซานพร้อมแล้ว
ต้องมั่นใจว่าตนจะทำเวลากลับไปได้ดีที่สุด!
ต้องมั่นใจว่าจะได้พบกับซูเซี่ยเอ๋อที่ไร้เดียงสาอีกครั้ง!
กู่ฉิงซานค่อยๆทำสมาธิในหัวใจของเขา
สามสิบวินาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แล้วม่านรังสีแสงก็โอบเข้าปกคลุมตลอดทั้งร่างของเขา
กู่ฉิงซานได้หายวับไปจากมิติที่ว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุด
ณ อัลเบอัส
เมืองเล็กๆ
ภายในโรงแรม
ม่านรังสีแสงกระพริบไหว ร่างของกู่ฉิงซานจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เขาทดลองเดินออกไปหลายก้าว
แต่ก็พบว่ากำแพงโปร่งใสได้หายไปแล้ว
ไพ่ ‘คำสาบานของพันธนาการ’ หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อมันไม่อาจตรวจพบได้ถึงจิตวิญญาณของกู่ฉิงซานภายในระยะ 500 ล้านกิโลเมตร มันก็หยุดทำงาน และสลายหายไปโดยอัตโนมัติ
ดีล่ะ!
กู่ฉิงซานก้าวฉับๆไปทางประตู
ทีนี้ฉันก็จะได้ออก-
โป๊ก!
แต่แล้วเขาก็ชนเข้ากับกำแพงอุปสรรคสีแดงอีกครา
“บ้าจริง! ทำไมที่หน้าประตูถึงมีอะไรมากั้นอยู่อีกชั้นกันเนี่ย!”
กู่ฉิงซานหมอบลงกับพื้น ยกสองมีขึ้นกุมศีรษะที่เจ็บปวด ปากบ่นสบถ แสดงอารมณ์ที่พบเห็นได้ยากยิ่งออกมา
ฉานนู่ปรากฏกาย และเฝ้ามองไปยังท่าทีเจ็บปวดของกู่ฉิงซาน เอ่ยปากอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “นายน้อย ซูเซี่ยเอ๋อตั้งอุปสรรคป้องกันเอาไว้ถึงสามรูปแบบ หนึ่งคือจูบของเธอ สองคือกำแพงใสที่พึ่งถูกทำลายไป และสามคืออุปสรรคป้องกันชั้นสุดท้ายนี้”
“ผู้หญิงคนนั้น -”
กู่ฉิงซานกัดฟัน และลองยื่นมือออกไปสัมผัสกับอุปสรรคสีเลือด
ด้วยการสัมผัสของเขา เส้นแสงหิ่งห้อยเล็กๆไม่กี่บรรทัดก็ผุดออกมาจากระบบเทพสงคราม
“สำรับไพ่ทะเลเลือด : จอมมารคุ้มภัย”
“หลังจากที่เปิดใช้งานไพ่ใบนี้ อักษรรูนจะถูกจัดวางลงในตำแหน่งที่กำหนด และไม่ว่าใครหรือการโจมตีใดๆก็ไม่สามารถทะลุการคุ้มภัยนี้ไปได้”
“คำอธิบาย : นี่คือการมาตรการป้องกันอย่างลึกล้ำ ของจอมมารทะเลเลือดที่มีต่อลูกศิษย์ของเขา”
กู่ฉิงซานเงียบไป ไม่อาจกล่าวคำใดออกมาได้สักพักหนึ่ง
อ้างอิงตามคำอธิบายความสามารถของไพ่ใบนี้ ดูเหมือนมันจะแข็งแกร่งยิ่งกว่า ‘คำสาบานของพันธนาการ’ ก่อนหน้าซะอีก
แล้วทีนี้จะเอายังไงต่อดี?
พอเห็นเขาเหมือนจะเหม่อลอยไป ฉานนู่ก็กล่าวออกมาด้วยความกังวล “นายน้อย ตอนนี้พวกเราสมควรจะทำอย่างไรกันดี? แม่นางซูอาจจะกำลังต่อสู้อยู่ก็ได้”
กู่ฉิงซานที่เงียบไป แต่จู่ๆก็ยิ้มออกมาทันใด
“เซี่ยเอ๋อนะเซี่ยเอ๋อ เธออุส่าห์ลงมือมากมายขนาดนี้ แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกโล่งในทางตรงกันข้าม” เขาบ่นพึมพำ
“เอ๋? นายน้อยกำลังหมายถึงอะไร?” ฉานนู่ตกใจและเอ่ยถาม
“เอาล่ะ พวกเราไม่มีเวลามามัวเล่นกับเธออีกแล้ว เราจะต้องทะลุมันออกไปโดยตรง” กู่ฉิงซานกล่าว
“ออกไปโดยตรง?” ฉานนู่ไม่เข้าใจ
“ใช่ ออกไปขอความช่วยเหลือจากภายนอก ขอร้องให้ใครก็ได้ช่วยพาข้าออกไป”
แต่ฉานนู่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
เวลานี้ ตลอดทั้งหมู่บ้านเล็กๆแทบจะไม่มีใครอยู่ โรงแรมก็เป็นแบบบริการตัวเอง ไม่มีกระทั่งคนที่ทำหน้าที่เก็บเงิน
และในอุปสรรคสีเลือดนี้ นายน้อยย่อมไม่สามารถที่จะออกไปได้ แล้วเขาจะไปขอความช่วยเหลือได้อย่างไร?
ใครกันจะออกไปขอความช่วยเหลือได้?
ใครกันที่จะสามารถทำลายการคุ้มภัยของจอมมารทะเลเลือดสุดแกร่งลงได้?
“นายน้อย แล้วพวกเราควรทำอย่างไร?”
“เจ้าก็ทำตามคำสั่งข้าไง … ”
กู่ฉิงซานอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปหลายคำ
ฉานนู่พอได้ฟังก็ลงมือทันที เธอแปลงตนเป็นดาบขุนเขาเทวะหกโลกา
แล้วดาบยาว ก็ค่อยๆเจาะผ่านอุปสรรคสีเลือด แทรกซึมออกไปอย่างช้าๆ
ใช่แล้วล่ะ ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาน่ะสามารถทำลายได้ทุกกฏเกณฑ์ ดังนั้นฉานนู่ย่อมสามารถออกไปได้
ดาบยาวหมุนตัวอยู่ในอากาศ ก่อนจะบินไปบนหลังคาโรงแรม
ฉานนู่ยืนบนหลังคา กวาดสายตาเฝ้าดูหมู่บ้านเล็กๆยามค่ำคืน และสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ก่อนจะเริ่มร้องตะโกนสุดเสียงด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี “มีใครอยู่ที่นี่ไหมมมมม พวกเราจะเชือดไก่ทำอาหาร มากินด้วยกันสิ สิ สิ สิ สิ!”
เสียงของเธอกระจายไกลออกไปในท้องฟ้ายามค่ำคืนอันเงียบสงบ สะท้อนกังวาลไปตลอดทั้งภูเขา
ทุกๆอย่างค่อยๆเงียบลง
ฉานนู่เฝ้ารออยู่พักหนึ่ง
ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ทันใดนั้นเอง
จู่ๆก็บังเกิดคลื่นความผันผวนของพลังอันยิ่งใหญ่ที่ก่อร่างเป็นกระแสเวียนวน ควบรวมไปยังจุดๆหนึ่งของเมืองเล็กๆ
ตามต่อด้วยเสียงคำรามแห่งความโกรธที่สะท้านไปตลอดทั้งฟ้ายามค่ำคืน
“แม่มันเถอะ! ใครกันที่กล้ามากินไก่ต่อหน้าฉัน!!!”
พร้อมกับเสียงๆนี้ ร่างเงาดำๆก็บินออกมาจากอีกฟากหนึ่งของตัวเมืองอย่างรวดเร็ว
เงาดำพุ่งพรวดมาอย่างฉับไวและดุร้าย คล้ายกับกำลังโกรธอย่างถึงที่สุด
เมื่อมันเข้ามาใกล้ ฉานนู่ก็สามารถจดจำอีกฝ่ายได้ทันที
—เป็นไก่ตัวใหญ่นั่นเอง
ฉานนู่จึงค่อยคลายใจของเธอลง
เธอแปลงกลายเป็นดาบยาวและบินกลับเข้าไปในโรงแรม
ไก่ตัวใหญ่ไล่ติดตามไป
มันทุบทำลายผนังนอกโรงแรมและร่อนตกลงตรงหน้าห้องของกู่ฉิงซาน
“ไอ้คนที่อยู่ข้างในฟังฉันให้ด-” ไก่คำราม
แต่แล้วจู่ๆมันก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง
“แปลกนัก นั่นมันสำรับไพ่ทะเลเลือดนี่นา”
ความโกรธของไก่ใหญ่จางหายไป ในสมองเริ่มขบคิด “ฉันจำได้ว่าเพื่อนหญิงของเจ้าเด็กกู่ รู้สึกว่าจะเป็นศิษย์ของทะเลเลือด ..”
“ … ”
เมื่อคิดถึงจุดนี้ มันก็สยายปีกออก เตรียมที่จะเคาะลงบนประตู
“เปรี๊ยะ!”
ประกายแสงสีเลือดกระพริบไหวทันที
ปีกของไก่ถูกสะท้อนเด้งกลับมา
นี่มันไพ่ทะเลเลือดแน่นอน — เป็นพวกเขาทั้งสองคนจริงๆ
แปลกจริง แล้วทำไมพวกเขาถึงนำทางฉันมาที่นี่กัน?
ไก่เริ่มคิดด้วยความฉงน
และในตอนนั้นเอง ฉานนู่ก็ลอยออกมาจากห้อง และตกลงเบื้องหน้าของของไก่ใหญ่
“สวัสดีท่านผู้ทรงเกียรติ กู่ฉิงซานต้องการความช่วยเหลือจากท่านสักเล็กน้อย” ฉานนู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.518 – การตัดสินใจที่แท้จริงของเสี่ยวเหมี่ยว
ณ สมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม
สายลมเย็นพัดโชยหวิว
พี่ชายและน้องสาวชี้ไม้ชี้มือไปคนละทิศละทาง ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยินยอมรับว่าตนเองผิด
“พี่ชาย เชื่อน้องสิ ทิศทางที่น้องชี้ไปให้กู่ฉิงซาน เป็นตำแหน่งที่ถูกต้อง!” เสี่ยวเหมียวเถียงจริงจัง
“ไม่นะน้องพี่ ครั้งนี้เธอต้องเชื่อฟังฉัน”
แบรี่มองเข้าไปในแววตาของเสี่ยวเหมียว
“ทำไมล่ะ? ไหนลองบอกเหตุผลน้องมาสิ” เสี่ยวเหมียวเผยท่าทีไม่เชื่อถือเล็กน้อย
แบรี่ส่ายหัวและกล่าว “เพราะพี่เป็นเจ้าของสมาคม ดังนั้นการตัดสินของพี่ย่อมถือเป็นที่สุด”
“แต่พี่ไม่สามารถตัดสินทิศทางให้คนอื่นๆได้!” เสี่ยวเหมียวเถียง
ทั้งสองคนถลึงตาใส่กันและกัน ไม่เอ่ยคำใดอยู่นาน
“กู่ฉิงซาน” จู่ๆแบรี่หันหน้ามามองหน้าเขา “เพื่อนที่เป็นศิษย์ของจอมมารทะเลเลือด จริงๆแล้วมีความสัมพันธ์ยังไงกับนาย”
เมื่อถูกถามอย่างกระทันหันภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว กู่ฉิงซานก็ตกใจ
เขามองพี่ชาย สลับกับไปมองน้องสาว
แบรี่จ้องมองเขาเขม็ง ขณะที่เสี่ยวเหมียวเองก็เช่นเดียวกัน
ทั้งคู่คล้ายกำลังแสดงท่าทีคาดหวังกับคำตอบของคำอยู่
“แฟนน่ะ … ” กู่ฉิงซานสารภาพ
แบรี่หันไปมองเสี่ยวเหมียว แต่ไม่เอ่ยสิ่งใด
เสี่ยวเหมียวถอนหายใจยาว ก่อนจะก้มหน้าลง “คงไม่มีทางเลือกสินะ”
เธอยื่นมือออกไปตบลงบนร่างของกู่ฉิงซานเบาๆ
ฟิ้ววว
เสี้ยววินาทีนั้นเอง กู่ฉิงซานก็ถูกผลักลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
เขาถูกผลักหมุนคว้านไปกลางอากาศ แลคล้ายกับลูกบอลที่ถูกตีออกไปโดยเสี่ยวเหมี่ยว
และมองจากทิศทางที่เขาลอยไป แท้จริงแล้วเป็นตำแหน่งที่แบรี่ชี้ในตอนแรก
“คุณใช้วิธีอะไรกันถึงตัดสินว่าทิศทางนี้ถูกต้องงงงง–”
ห่างไกลออกไป เสียงของกู่ฉิงซานลอยลงมาจากท้องฟ้า
แต่ทั้งแบรี่กับเสี่ยวเหมียวไม่ตอบกลับไป
ทั้งสองยังคงยืนอยู่ในสถานที่เดียวกัน เฝ้ารออยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“เขาไปไกลแล้ว” แบรี่กล่าวเสียงกระซิบ
“ใช่ มันช่วยไม่ได้จริงๆ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นแฟนของเขา ก็สมควรที่จะยอมให้เขากลับไปยังอัลเบอัสอีกครั้ง” เสี่ยวเหมียวเอ่ยอย่างเฉื่อยชา
แบรี่ “ทีนี้ก็บอกพี่มาได้รึยัง ว่าทำไมเธอถึงจะผลักเขาออกไปในทิศทางของเมืองอาซากับท่าเรือนางฟ้า”
เสี่ยวเหมียวจิกริมฝีปากตัวเอง แต่พักหนึ่งก็ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมา
“ทำไมล่ะ นี่เธอยังมีเรื่องที่ไม่สามารถพูดกับพี่ชายได้อยู่อีกหรอ?”
แบรี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม หัวเราะออกมาเบาๆ
“พี่ชาย น้องกำลังจะผลักเขาไปยังสองสถานที่ๆปลอดภัยที่สุดจริงๆ เดิมทีน้องคิดจะขอโทษเขาหลังจากที่เขารู้ตัว แต่ก็ดันมีเรื่องผิดพลาดเข้ามาเกี่ยวข้อง น้องคิดไม่ถึงเลยว่าแฟนของเขาจะอยู่ในอัลเบอัสด้วยเหมือนกัน”
เสี่ยวเหมียวสารภาพ เธอก้มหน้าหลับตาลง แล้วเงียบไปนาน
“พี่ชาย พี่ยังจำคำเตือนของหอสูงเมื่อ 1800 ปีก่อนได้ไหม?”
จู่ๆเธอก็กล่าวคำที่มันไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยออกมา
คำเตือนของหอคอยสูง ….
รอยยิ้มบนใบหน้าของแบรี่จางหายไป
ดวงตาของเขาเย็นชา ทั้งคนทั้งร่างส่งกลิ่นอายเย็นยะเยียบกว่าที่เคยปรากฏให้เห็นมา
แบรี่กล่าว “นั่นมันเป็นครั้งแรกที่เผ่ามารปรากฏตัวขึ้นในโลกทั้ง 900 ลำดับชั้น ต่อมา ‘ดินแดนรุ่งโรจน์’ก็ถูกยึดครองโดยเผ่ามารไปอย่างสมบูรณ์ บรรดาตัวตนทรงอำนาจทั้งหมดของโลกเหล่านั้นต่างทุ่มต่อต้านเต็มกำลัง แต่พวกเขาก็พ่ายแพ้ 100ปีต่อมา โลก 900 ล้านชั้นก็ต้องเปลี่ยนชื่อจากดินแดนรุ่งโรจน์ ไปเป็นดินแดนที่ถูกยึคดครองโดยศัตรู”
“ในภายหลัง สมาคมผู้พิทักษ์หอสูงก็ส่งคำเตือนประกาศออกมา ในวันนั้น โลกตลอดทั้ง 900 ลำดับชั้นก็ได้รู้เรื่องของเผ่ามารอย่างเป็นทางการ”
แบรี่ลูบหัวน้องสาวของเขาแล้วกล่าว “แต่ไม่มีใครนอกจากพี่ที่รู้ว่า ก่อนหน้าพวกเขาสามวัน น้องได้ค้นพบสัญญาณของพื้นที่มิติทับซ้อนที่คาบเกี่ยวกัน”
“ใช่ น้องได้ค้นพบว่าในเวลานั้นดินแดนรุ่งโรจน์กับช่องว่างมิติอันแปลกประหลาดคาบเกี่ยวกัน แต่กลับไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเป็นพวกเผ่ามารที่บุกรุกเข้ามา” เสี่ยวเหมียวกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
เธอจ้องมองออกไปในอากาศที่ว่างเปล่าอันห่างไกล ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ที่นั่น
1800 ปีก่อน โลกลำดับชั้นจะประกอบไปด้วยสี่ดินแดน : ดินแดนรุ่งโรจน์ , ดินแดนมิติอนันต์ , ดินแดนชิงอำนาจ และดินแดนอัศจรรย์
เมื่อการคาบเกี่ยวของมิติปรากฏขึ้น เผ่ามารก็มาเยือน และได้บุกเข้ายึดดินแดนรุ่งโรจน์ไป
ดินแดนรุ่งโรจน์จึงถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็นดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู
ตอนนี้โลก 200 ล้านชั้นในในดินแดนที่ถูกยึดครอง ได้กลายเป็นสวรรค์สำหรับเผ่ามารไปแล้ว
“นี่มันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้วนะ ว่าแต่มันเกี่ยวข้องอะไรกับกู่ฉิงซานกัน?” แบรี่เอ่ยถาม
เสี่ยวเหมียวตอบ “เพราะเขาเป็นคนที่เดินทางมาไกลเพื่อนำดอกไม้คริสตัลภูติมาให้พี่ ส่งผลให้อาการบาดเจ็บของพี่ถูกรักษาได้ในที่สุด เพราะเขาเป็นคนดี ดังนั้นน้องเลยไม่ต้องการให้เขาไปที่อัลเบอัส”
“เธอหมายความว่ายังไง … ”
“ถึงแม้จะห่างหายไปนานกว่า 1800 ปีมาแล้ว แต่ตอนนี้ น้องกลับสัมผัสได้ถึงคลื่นความผันผวนแปลกๆนั่นอีกครั้ง”
แบรี่จ้องน้องสาวของเขา นิ่งงันอยู่นานก่อจะเอ่ยถาม “นี่แน่ใจแล้วใช่ไหม?”
เพราะมันคือเรื่องสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นี่จะเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อโลกทั้ง 900 ล้านชั้น ดังนั้นมันจะต้องไม่ผิดพลาด!
“น้องค่อนข้างแน่ใจว่าคลื่นความผันผวนแปลกๆนั่นได้กลับมาอีกครั้งแล้ว”
“น้องพึ่งจะรู้สึกถึงมันไปเมื่อวันสองวันนี่เอง และคราวนี้ดูเหมือนว่าคลื่นความผันผวนจะไปปรากฏขึ้นในอัลเบอัส”
“ปรากฏขึ้นในอัลเบอัส … ”
แบรี่ถอนหายใจ และยอมรับความจริงในที่สุด
เขาบ่น “ถ้ามันเป็นความจริง พี่กลัวว่าสงครามเต็มรูปแบบระหว่างโลก 900 ล้านชั้นกับเผ่ามารคงกำลังจะใกล้เข้ามาแล้วล่ะ … ”
เสี่ยวเหมียว “ยังไม่ถึงขนาดนั้นซะทีเดียว เพราะนี่มันยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ใหม่ ช่องว่างมิตินั่นเพียงเคลื่อนไหวอยู่ใกล้เคียงกับโลก 900 ล้านชั้น แต่มันก็ถูกปกปิดตัวตนเป็นอย่างดี มีเพียงน้องเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงมัน”
“ฉะนั้น น้องเลยไม่ต้องการให้กู่ฉิงซานไปสินะ?”
“ใช่ เพราะเขาคือคนของเรา และน้องก็ต้องพิจารณาถึงความสำคัญของชีวิตเขาเป็นอันดับแรก”
“แต่แฟนสาวของเขาดันไปติดอยู่ที่นั่น น้องเลยไม่สามารถหยุดเขาเอาไว้ได้ และจำเป็นต้องส่งเขาไปถึงที่นั่นโดยเร็วที่สุด”
“ใช่ ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้หรอก พวกเราก็ไม่ควรจะหยุดเขาเหมือนกัน”
เสี่ยวเหมียวถอนหายใจ สายตาตนมองไปยังพี่ชาย และเผยให้เห็นถึงสีหน้าของความสุข “ภัยพิบัติจะมาเยือนในอีกไม่กี่วัน แต่ถ้าเวลานั้นมาถึง ขาของพี่ก็คงจะหายดีโดยสมบูรณ์แล้ว”
“อืม แต่ก็น่าเสียดายจริงๆที่พวกเราไม่ได้บอกความจริงนี้กับกู่ฉิงซาน” แบรี่กล่าวด้วยความหงุดหงิด
“ไม่หรอก น้องบอกเขาแล้ว น้องบอกผ่านทางจดหมายที่ใส่ลงไปในถุงสัมภาระของเขา ตราบใดที่เขาเปิดถุงสัมภาระ เขาก็จะเห็นมันทันที”
“เราจะต้องรีบไปแจ้งเรื่องนี้ให้กับโลก 900 ล้านชั้น”
“ไม่นะพี่ชาย”
แบรี่ชะงักไป ปากเอ่ยถาม “ทำไมล่ะ?”
เสี่ยวเหมียวกล่าวด้วยความลังเล “พี่ชาย อันที่จริงแล้วน้องรู้สึกว่า – ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พี่มักจะถูกมารที่แท้จริงรุมล้อมอยู่เสมอ น้องคิดว่าจริงๆแล้วเรื่องทั้งหมดมันอาจจะเป็นกับดักก็ได้”
เสี่ยวเหมียวจิกกำปั้นของเธอและกล่าว “ทำไมน้องถึงถูกกักตัวไว้ในที่มืด? ทำไมพี่ถึงหลงกลและถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับกองทัพมารกว่า 600 ล้านตนโดยลำพัง? ทั้งหมดมันไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องบังเอิญแน่ๆ”
“น้องกำลังจะบอกว่า–”
“ใช่แล้ว เรามีไส้ศึก”
แบรี่ปิดปากเงียบ สีหน้าของเขาดูเย็นชา ขณะเดียวกันก็หนักอึ้ง
เสี่ยวเหมียวเอ่ยต่อ “พี่ลองคิดดูดีๆสิ เห็นไหมว่าการเรียกขานของวิหคหนามน่ะเกิดขึ้นในอัลเบอัส แต่พวกเรากลับไม่ได้รับข่าวคราวใดๆเลย ซึ่งมันไม่มีทางหรอกที่สหายเก่าของพวกเราจะปิดปากเงียบ ไม่ยอมบอกอะไรเราเลย”
“การติดต่อถูกขัดขวางหรือเปล่านะ … ” แบรี่บ่นงึมงำ
“ใช่ เป็นเพราะความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซานยังอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นพวกที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเลยไม่สนใจเขา แต่พี่กับฉันดันถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด หากไม่ใช่เพราะพวกเราอยู่ในโลกมิติอนันต์ และพลังของฉันควบคู่ไปกับสัญญาณที่มี ศัตรูเลยไม่สามารถทำร้ายพวกเราได้ ไม่อย่างงั้นพวกเราทั้งสองคนคงโดนพวกมันจัดการจนเหลือแต่กระดูกไปแล้ว”
แบรี่พยักหน้าอย่างเงียบๆ
“ถ้าเป็นแบบนี้ จนกว่าขาของพี่จะหายจากอาการบาดเจ็บโดยสิ้นเชิง ก็คงจะไม่มีข่าวคราวใดๆถูกส่งมาหาเรา”
“ใช่ ถึงแม้ว่าพวกเราจะบอกออกไป แต่ก็ไม่มีใครเชื่อพวกเราอยู่ดี เพราะอีกฝ่ายแน่นอนว่าจะต้องมีมาตรการเตรียมรับมือป้องกันเอาไว้รอพวกเราอยู่แน่ๆ และอีกอย่างก็ไม่มีใครล่วงรู้ถึงพลังที่แท้จริงของน้อง ดังนั้นต่อให้บอกอะไรไป ก็คงไม่มีใครเชื่อ”
แบรี่ถอนหายใจลึก และบ่นพึมพำกับตัวเอง “กู่ฉิงซาน … ”
ในวิสัยทัศน์ของเขา บังเกิดความลังเลใจที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
เสี่ยวเหมียวเริ่มรู้สึกกังวลน้อยๆ
เธอกอดแขนแบรี่ ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่ชาย พี่ต้องฟังน้องนะ รอให้อาการบาดเจ็บที่ขาของพี่หายดีซะก่อน ไม่อย่างนั้นพี่คงไม่สามารถช่วยเขาได้ กระทั่งตัวเองก็คงจะถูกฆ่าโดยศัตรู”
“แต่ขาของฉันอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลากว่าสองวันถึงจะหายดี .. ” แบรี่กัดฟันกล่าว
“เรื่องนี้ไม่สมควรจะเร่งรีบ ขอเวลาอีกแค่สองวัน แล้วน้องก็จะไปรับตัวกู่ฉิงซานกับพี่ด้วย”
“นี่เธอจะไปด้วยหรอ?”
“แน่นอน เพราะคราวนี้ น้องจะไม่ยอมให้พี่ต้องต่อสู้โดยลำพังอีกแล้ว” เสี่ยวเหมียวกล่าว
แบรี่พยักหน้ารับ
ความแข็งแกร่งของตนจะต้องได้รับการรักษาให้หายดีเสียก่อน เพื่อที่จะใช้พลังได้อย่างเต็มที่ หากเขาไปตอนนี้ นอกจากจะไม่สามารถช่วยเหลือกู่ฉิงซานได้แล้ว ตนคงจะเอาชีวิตไปทิ้งอีกด้วย
“ตอนนี้ ระหว่างช่วงเวลาสองวัน เราคงทำได้เพียงอธิฐานให้กู่ฉิงซานสามารถยื้อชีวิตให้รอดต่อไปให้ได้ ..”
แบรี่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา