บทที่ 529 ลูเซียนผู้งานยุ่ง
ลูเซียนเคารพผู้วิเศษอันทรงเกียรติผู้อุทิศตนให้กับอาร์คานาศาสตร์อย่างราเวนติมาก เขาแย้มยิ้มแล้วตอบไปว่า “ข้าเพิ่งได้อาร์คานาฉบับนี้มาแต่ยังไม่ได้อ่านเลยขอรับ แต่ว่า หากว่ามีบทความที่ท่านอยากจะหารือกับข้า เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาขอรับ เพราะข้าได้พูดคุยกับท่านมหาจอมเวทโอลิเวอร์เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ห้องทำงานของอาจารย์ข้าขอรับ”
“เจ้าหารือกับเขางั้นรึ” ราเวนติประหลาดเล็กน้อย โอลิเวอร์กับลูเซียนดูไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยในความรู้สึกของเขา และลูเซียนก็ควรจะเป็นคนสุดท้ายที่โอลิเวอร์จะหันหน้าไปหา แต่ว่า ไม่นานราเวนติก็ค้นพบสาเหตุ หัตถ์ทำลายล้างคงจะไปหาเจ้าแห่งพายุเพื่อปรึกษาหารือ และลูเซียนก็บังเอิญอยู่ที่นั่นด้วยในเวลานั้น ดังนั้น เขาจึงได้รับเชิญให้เข้าร่วมการสนทนา
หลังจากคิดได้ เขาก็ถามอย่างร้อนใจ “เจ้าคิดว่าความยาวของวัตถุจะหดสั้นลงเวลาพวกมันเคลื่อนไหวไปทางตรงข้ามกับ ‘อีเธอร์’ มันจำเป็นหรือไม่ที่จะอธิบายการทดลองของท่านมหาจอมเวทดักล่าด้วยมุมมองของ ‘อีเธอร์’ น่ะ”
ราเวนติคือหนึ่งในนักเวทแห่งธาตุผู้ที่ค่อนข้างเปิดใจกว้างแต่ก็มีความดื้อดึงอยู่ เขายอมรับว่าอะตอมสามารถแบ่งแยกย่อยลงไปได้อีก แต่เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าวัตถุต่างๆ จะหดสั้นลงได้ด้วยตัวมันเองในระหว่างการเคลื่อนไหวโดยไร้ซึ่งพลังจิตเข้าไปผสมผสาน
“อันดับแรกเลยนะขอรับ นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน เหมือนกับข้อสันนิษฐานต่างๆ ที่เหล่าผู้ให้การสนับสนุนทฤษฎีคลื่นคิดค้นขึ้นก่อนหน้านี้ มันไม่ควรจะได้รับการปฏิบัติด้วยอคติเพราะมันถูกนำเสนอโดยมหาจอมเวทขอรับ” ลูเซียนพูดทวนในสิ่งที่เขาเพิ่งบอกกับลูกศิษย์เมื่อครู่ก่อน จากนั้นจึงพูดต่อ “อีกอย่าง ข้าไม่คิดว่ามันคือการหดสั้นลงของวัตถุ หากว่าการหดสั้นเกิดขึ้นจริง ข้าคิดว่ามันอาจจะเป็นการหดตัวของอวกาศมากกว่า…”
ไฮดี้กับแอนนิคต่างตระหนักได้แล้วว่าเหตุใดอาจารย์ของพวกเขาจึงสงบนิ่งอย่างมากหลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างลูเซียนกับราเวนติ นั่นก็เพราะว่าเขาได้อ่านมันล่วงหน้านั่นเอง
‘อาจารย์ช่างเจ้าเล่ห์นัก!’ ไฮดี้ลอบบ่นในใจ แล้วความคิดแบบเดียวกันนั้นก็ผุดขึ้นในใจแคทรีนาและคนที่เหลือ พวกเขาเฝ้าฟังบทสนทนาระหว่างอาจารย์ตนกับราเวนติอย่างตั้งใจ และคอยเทียบกับเนื้อหาจากวารสารในมือเป็นครั้งคราว
หลังจากเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ราเวนติก็ตัดการติดต่อไปด้วยความพอใจอย่างยิ่งยวด ลูเซียนเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นสายตาหกคู่มองมาด้วยความกระตือรือร้น พวกเขาดูค่อนข้างผ่อนคลาย ราวกับว่าความวิตกกังวลก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้วหลังจากที่เขาแสดงความเห็น
“อาจารย์ ข้ายังไม่เข้าใจเรื่องนี้เจ้าคะ” แคทรีนารีบถาม สุดท้ายาอาจารย์ก็อยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเขา!
หลังจากที่ลูเซียนอธิบายไขความกระจ่างให้ทุกคำถาม แอนนิคกลับขมวดคิ้วแล้วถามด้วยความมึนงง “แต่อาจารย์ขอรับ เมื่อครู่ก่อนท่านบอกว่าท่านไม่ได้โน้มเอียงไปทางทฤษฎีไหนนี่ขอรับ เช่นนั้นแล้วแสงคืออะไรกันแน่ขอรับ”
เมื่อเขาพูดถึงเรื่องนี้ ไฮดี้และคนอื่นๆ ก็นึกถึงหัวข้อที่ทำให้พวกเขาตกใจเมื่อครู่ก่อน ทุกคนจึงมองลูเซียนด้วยความสับสนและเป็นกังวล
ลูเซียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยโดยยังคงรักษาสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “หากพวกเจ้าทิ้งความคิดอคติเกี่ยวกับทฤษฎีอนุภาคและทฤษฎีคลื่นไปเสีย และหากเจ้าพิจารณาเพียงปรากฎการณ์จากการทดลองและผลลัพธ์เท่านั้น เจ้าจะค้นพบว่าแสงแสดงคุณสมบัติของทั้งอนุภาค ตามที่เห็นได้จากปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกและการทดลองการกระเจิงของท่านบรูค และแสดงคุณสมบัติของคลื่น ตามที่เห็นได้จากการทดลองช่องเปิดคู่ การทดลองการเลี้ยวเบน และการทดลองการกระจายตำแหน่งของบรูค ดังนั้น ทั้งทฤษฎีอนุภาคและทฤษฎีคลื่นต่างมีจุดด้อยที่ไม่อาจเอาชนะได้ และพวกมันก็ใช้บรรยายแสงไม่ได้เสียทั้งหมด ข้าเชื่อว่าคลื่นกับอนุภาคจะรวมเป็นหนึ่งในระดับสูงขึ้นไป เว้นแต่ว่าพวกมันจะมีภาพมายาสะท้อนที่แตกต่างออกไปในโลกแห่งความจริง”
เป็นครั้งแรกที่ลูเซียนตอบคำถามอย่างละเอียดต่อหน้าทุกคน มันเป็นกับการเตรียมสภาพจิตใจให้กับลูกศิษย์ของเขา
แอนนิคและคนอื่นๆ ต่างครุ่นคิดหนักหลังจากได้ยินคำอธิบายของลูเซียน แต่พวกเขาดูเหมือนจะมึนงงยิ่งกว่าเดิม
ลูเซียนหาได้คิดจะทำให้สงครามระหว่างคลื่นและอนุภาคยืดเยื้อ ดังนั้นเขาจึงหุบปากเงียบในตอนนั้น วางแผนว่าจะกลับไปที่ห้องทำงานของตนและอ่านอาร์คานาฉบับนี้อย่างละเอียด ยามราตรีเมื่อไม่กี่คืนก่อน โลกแห่งปัญญาของเขาจู่ๆ ก็ปรากฏเส้นสายทรงลูกบาศก์ดูพร่ามัวขึ้นมา ซึ่งคล้ายคลึงกับโครงสร้างของชั้นตำนานแบบใหม่ที่เฟอร์นันโดเคยพูดถึงบ่อยๆ มันทำให้ลูเซียนสงสัยว่าใครบางคนได้พิสูจน์ว่าคำทำนายบางประการใน ‘การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’ เป็นจริง แต่มันมิใช่เรื่องเกี่ยวกับนิวตรอน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุด
ลูเซียนไม่อาจหานิวตรอนได้ด้วยตนเองหลังจากทำการทดลองซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ แต่ระดับเวทมนตร์ยังไม่ปรับขึ้นเทียบเท่าโลกแห่งปัญญา และเขาก็ยังไม่ได้เรียนเวทมนตร์ธรรมดาอีกมากมาย เพราะพื้นฐานที่ไม่มั่นคงของเขา จึงอาจเกิดปัญหาที่ซ่อนเร้นขึ้นได้หากเขายอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในโลกแห่งปัญญาของเขา อย่างไรเสีย แต่ถึงชั้นตำนานแบบใหม่ถูกสร้างขึ้น เขาก็ไม่อาจนำมาใช้อะไรได้ในตอนนี้
ลูเซียนเชื่อว่าในอีกหนึ่งหรือสองปี เมื่อองค์ความรู้ของเขาเกี่ยวกับเวทมนตร์ระดับเจ็ดและแปดมีอยู่มากพอ และระดับเวทมนตร์ของเขาก็เสถียรดีแล้ว มันอาจเป็นโอกาสดีที่สุดที่เขาจะ ‘ค้นพบนิวตรอน’
ในตอนที่เขากำลังจะก้าวเดิน ลูเซียนก็รู้สึกได้ว่าแว่นตาข้างเดียวของเขาร้อนขึ้นมาอีกครา
“ลูเซียน? เจ้าได้อ่านอาร์คานาฉบับล่าสุดหรือยัง” ครั้งนี้เป็นเสียงของแกสตัน
ลูเซียนถอนหายใจยิ้มๆ “ข้าเพิ่งจะหารือเรื่องนี้กับท่านผู้วิเศษราเวนติเลยขอรับ…”
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง แกสตันแสดงความเห็นของเขาและรับฟังข้อคิดเห็นของลูเซียน ในท้ายที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าแทบไม่เคยพูดคุยเรื่องปัญหาทางอาร์คานากับเจ้ามาก่อนเลย เจ้าน่าทึ่งกว่าที่ข้าคาดคิดไว้นัก แล้วเจ้ามีข้อเสนอแนะอื่นๆ หรือไม่ในเรื่องงานเขียนของท่านมหาจอมเวทโอลิเวอร์น่ะ”
“ข้ารู้สึกว่าเมตริกซ์[1] การแปลงของท่านสามารถนำไปปรับใช้ได้กับสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย มันอาจคุ้มค่าแก่การศึกษานะขอรับ” ลูเซียนชี้นำอย่างไม่โจ่งแจ้ง
เป็นที่แน่นอนว่าแกสตันไม่อาจเข้าใจความนัยที่ลูเซียนต้องการจะสื่อได้ เขาเอ่ยยิ้มๆ “ข้าเองก็รู้สึกว่าเมตริกซ์สามารถนำไปใช้กับขอบเขตความรู้สำหรับการวิจัยอื่นๆ อีกมากมาย อ้อใช่ ลูเซียน ข้าคิดว่าเจ้าคงจะยังไม่ได้ยินเรื่องนี้นะ คณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานาได้ตัดสินใจเรื่องศาสตร์ที่เจ้าชำนาญการณ์แล้วล่ะ เจ้าไม่ควรจะรับผิดชอบเพียงงานเขียนที่มีแนวคิดปฏิรูปล้ำสมัยเท่านั้น เจ้ามีอิทธิพลต่อศาสตร์หลายแขนง และเจ้าก็ควรจะรับผิดชอบในการพิจารณาผลงานในศาสตร์นั้นๆ”
“ศาสตร์ไหนบ้างหรือขอรับ” ลูเซียนเบ้หน้า นับแต่ที่จอมเวทผู้ไร้การฝึกฝนค้นพบว่าพวกเขาไม่อาจเลื่อนระดับขั้นได้ผ่านทางเขา เขาก็ไม่ได้พิจารณางานเขียนใดอีกเลยตลอดทั้งปีและแทบจะลืมเลือนไปแล้วว่าเขาคือคณะกรรมการตรวจสอบท่านหนึ่ง อย่างไรก็ไม่มีงานเขียนที่จะปฏิรูปวงการมากมายขนาดนั้นอยู่ดี
แต่ลูเซียนก็ไม่คิดจะปฏิเสธการตัดสินใจของทางคณะกรรมการ เพราะการพิจารณางานเขียนเพิ่มขึ้นยังเป็นการฝึกฝนอีกทางและเป็นวิธีการได้รับแรงบันดาลใจอีกด้วย แม้แต่งานเขียนที่ไม่สามารถผ่านการพิจารณาได้ก็อาจทำให้เขาได้แนวคิดใหม่ๆ
แกสตันแย้มยิ้ม “คณะกรรมการทุกคนเห็นชอบให้เจ้าเป็นผู้มีอิทธิพลทางด้านเวทธาตุ การเล่นแร่แปรธาตุ อุณหพลศาสตร์ และคณิตศาสตร์ งานเขียนทั้งหมดในสี่สำนักนี้อาจถูกส่งไปหาเจ้า แล้วก็ เจ้ายังต้องรับผิดชอบงานเขียนเกี่ยวกับควอนตัมของโฟตอน[2] จากสำนักแสง-ความมืดกับงานเขียนที่เกี่ยวกับเอ็กซ์เรย์และอิเล็กตรอนจากสำนักแม่เหล็กไฟฟ้าด้วย มีปัญหาอะไรหรือไม่”
จนถึงตอนนี้ แม้ว่าลูเซียนจะชนะรางวัล ‘บัลลังก์นิรันดร’ และ ‘เหรียญจันทราสีเงิน’ แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดมองว่าเขาคือผู้มีอิทธิพลทางด้านศาสตร์มืดและแม่เหล็กไฟฟ้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโหราศาสตร์ มายาศาสตร์ ศาสตร์การแปลงกายหรือการอัญเชิญที่เขาไม่เคยสร้างความสำเร็จใดๆ มาก่อนเลย
“ไม่เลยขอรับ” ลูเซียนตอบ
แกสตันเอ่ยชม “ลูเซียน เจ้าคือจอมเวทที่เป็นมิตรที่สุดจากบรรดาจอมเวทมากสามารถทั้งหมดที่ข้าเคยพบเจอมา ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้ามีแผนจะก่อตั้งสถาบันที่เป็นของข้าเหมือนกับเจ้า แต่ว่า หากเป็นด้านโลกแห่งอนุภาค ทรัพยากรทั้งหมดของสภาคงจะเอาไปลงทุนในสถาบันอะตอมอย่างแน่นอน ข้าเลยคิดจะศึกษาอย่างอื่นนอกเหนือจากการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย เจ้าพอจะแนะนำอะไรได้บ้างไหม มันพอจะมีเรื่องไหนที่ควรค่าแก่การสนใจในศาสตร์แห่งเวทธาตุหรือไม่”
ลูเซียนนึกภาพออกเลยว่าสถาบันกับศูนย์การวิจัยทั้งหลายที่คล้ายคลึงกันจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เหล่านักเวทหาใช่คนโง่ หลังจากที่การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัยถูกนำเสนอออกไป นอกเหนือจากมันจะเป็นการยืนยันความสามารถของเขาแล้ว พวกเขาคงจะต้องตระหนักถึงความก้าวหน้าของวิธีการทำวิจัยในรูปแบบนี้แล้วเป็นแน่ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของผลลัพธ์และทุน
หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลูเซียนก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าเชื่อว่าการศึกษาเรื่องสิ่งมีชีวิตสังเคราะห์ยังล้าหลังอยู่มากท่ามกลางกระแสการพัฒนาอาร์คานาศาสตร์ในยามนี้ มันเป็นขอบเขตการศึกษาที่ควรค่าแก่การเจาะลึกมากขอรับ”
“ขอบใจนะ” แกสตันขอบคุณเขาอย่างจริงใจ
เมื่อบทสนทนาจบลง ลูเซียนก็มองไปทางบรรดาลูกศิษย์ที่ยังไม่จากไปเพราะความอยากรู้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจนพวกเขาแทบจะขนลุกซู่
“ท่านอาจารย์ ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหมเจ้าคะ” ไฮดี้ผู้ใจกล้าที่สุดถามออกไปด้วยเสียงอันสั่นเทา ยังจะมีการทดสอบความรู้กับข้อสอบอีกหรือ พวกเขาเป็นนักเวทระดับกลางกันแล้วนะ!
ลูเซียนส่ายศีรษะ “ไม่ต้องกังวลไป ข้ามีอะไรบางอย่างจะให้เจ้าทำแล้วล่ะ”
นั่นแหละคือสิ่งที่พวกเขากังวล! เลย์เรียกับสปรินต์ยกมุมปากยิ้มอย่างหน้าชื่นอกตรม
“อย่างที่พวกเจ้าได้ยินเมื่อครู่นี้ ข้าจะต้องแบกรับภาระหน้าที่อย่างเต็มตัวในฐานะสมาชิกคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานา ดังนั้น ในฐานะลูกศิษย์ของข้า พวกเจ้าต้องช่วยข้าพิจารณางานเขียนที่ส่งมาให้ข้า” ลูเซียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม
เสียงถอนหายใจดังขึ้น สปรินต์กับแคทรีนาประหลาดใจในทีแรก เพราะมันเป็นเรื่องยอดเยี่ยมอย่างแน่นอนที่ได้พิจารณางานเขียนของผู้อื่น แต่ไม่นานหลังจากนั้น ทุกคนต่างก็รู้สึกทดท้อ
เชลีย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงขลาดกลัว “อาจารย์เจ้าคะ แม้ว่าระดับอาร์คานาของเราจะอยู่ที่สามหรือสี่ในตอนนี้ และเราต่างก็เป็นนักเวทระดับกลางกันแล้ว แต่นั่นก็เพราะสิ่งที่เราได้เข้าถึงคือสิ่งที่ล้ำสมัยที่สุดในวงการเวทธาตุ และมันก็เป็นเรื่องง่ายที่เราจะได้รับค่าชื่อเสียงอาร์คานา”
“แต่ความจริงแล้ว เราเพิ่งจะจบการศึกษามาเพียงสี่ปีเท่านั้น เราหาได้มีองค์ความรู้มากพอหรือทำการวิจัยเจาะลึกในหลายๆ ศาสตร์ ข้าเกรงว่าอาจเกิดปัญหาขึ้นมากมายหากเราพิจารณางานเขียนของผู้อื่นนะเจ้าคะ แม้แต่ตัวอาจารย์เองก็อาจถูกครหาได้”
ทุกคนพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม รวมถึงสปรินต์ผู้มีความมั่นใจในตัวเองมากที่สุด คนเราอาจสะดุดล้มได้หากก้าวเท้ายาวเกินไป
“นี่คือหนทางสู่การที่พวกเจ้าจะเสริมสร้างองค์ความรู้ ข้าจะอ่านผลการพิจารณาทุกฉบับจากพวกเจ้า เมื่อใดก็ตามที่ข้าพบข้อผิดพลาด คนที่พิจารณางานชิ้นนั้นจะต้องเขียนรายงานว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงทำผิดพลาดและพวกเจ้าสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้างเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงมัน ขอเตือนไว้ก่อนว่า การตรวจทานซ้ำของข้าจะกวดขันเข้มงวดมากในช่วงสองสามปีแรก จนกว่าพวกเจ้าจะรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่” ลูเซียนบอกด้วยท่าทางจริงจัง
“รับทราบ” บางคนตอบรับในทันที
ไฮดี้ลูบสองข้างแก้มด้วยความโล่งใจแล้วแย้มยิ้ม “จริงๆ แล้ว การพิจารณางานเขียนก็ไม่แย่สักเท่าไหร่ มันจะช่วยให้เราเสริมความแกร่งให้กับระบบองค์ความรู้ของเราเองได้อย่างรวดเร็วที่สุด เมื่อครู่ข้าตื่นตระหนกก็เพราะข้าคิดว่าอาจารย์จะมอบบททดสอบและข้อสอบสิบชุดให้เราเหมือนเมื่อก่อนน่ะเจ้าค่ะ”
“เป็นความคิดที่ดี ข้าจะเตรียมบททดสอบให้เจ้าเมื่อข้ามีเวลานะ ไม่ต้องห่วง เจ้าจะไม่เหงาเลยจนกว่าจะได้เป็นผู้วิเศษ” ลูเซียนคิดจะปรับแบบเรียนฟิสิกส์ทฤษฎีเล่มหนึ่งโดยตรง แต่ในหนังสือเล่มนั้นมีองค์ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีสัมพัธภาพและกลศาสตร์ควอนตัมอยู่มากเกินไป หลังจากที่มีการยอมรับทั้งสองทฤษฎีโดยทั่วไปเพิ่มมากขึ้น ลูกศิษย์ของเขาและจอมเวทอีกมากมายย่อม ‘สนุก’ กับมันแน่ๆ
“อะไรนะเจ้าคะ” ใบหน้าของไฮดี้พลันซีดเผือด เมื่อนางสัมผัสได้ถึงสายตาจากคนอื่นๆ ที่กำลังจะฉีกกระชากนางเป็นชิ้นๆ
หากว่านางจะไม่เหงาจนกว่าจะได้เป็นผู้วิเศษ เช่นนั้นนางคงจะต้องเหงาไปตลอดชีวิตแน่ๆ…
ในชั่วขณะนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าลูเซียนช่างดูเหมือนรอยยิ้มของปีศาจร้าย
…
หลังจากไล่ลูกศิษย์ผู้กำลังหวาดกลัวออกไป ลูเซียนก็เริ่มอ่านวารสาร เขาสังเกตเห็นบทความที่มีชื่อว่า ‘บทวิเคราะห์เส้นสเปกตรัมของไฮโดรเจนโดยยึดหลักจากการเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’ อย่างรวดเร็ว
‘…เพราะแบบนี้ พวกเขาจึงค้นพบสูตรบาลเมอร์[3] โดยยึดหลักจากทฤษฎีเหล่านี้ ซึ่งเหมาะเจาะกับผลการทดลองพอดี’ ลูเซียนพลันตระหนักถึงแหล่งที่มาของความรู้ในหัวเขา มันแตกต่างจากโลกเดิมยามที่สูตรนี้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกโดยยึดจากประสบการณ์
เมื่อเขากำลังจะอ่านบทความให้ละเอียด แว่นตาข้างเดียวของลูเซียนก็ร้อนขึ้นมาอีกครั้ง
“ใครติดต่อมาอีกนะคราวนี้ ช่างเป็นวันที่ยุ่งวุ่นวายจริงๆ…” ลูเซียนบ่นพึมพำ เพราะตลอดเช้าวันนี้เขาไม่ได้หยุดพักอย่างเงียบสงบเลย
…………………………………….
[1] ในทางคณิตศาสตร์ เมตริกซ์คือตารางสี่เหลี่ยมที่แต่ละช่องบรรจุจำนวนหรือโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ที่สามารถนำมาบวกและคูณกับตัวเลขได้ เราสามารถใช้เมทริกซ์แทนระบบสมการเชิงเส้น การแปลงเชิงเส้น และใช้เก็บข้อมูลที่ขึ้นกับตัวแปรต้นสองตัว
[2] โฟตอน หรืออนุภาคของแสง คือการพิจารณาแสงในลักษณะของอนุภาค
[3] โจฮานน์ บาลเมอร์ นักคณิตศาสตร์ชาวสวิตเซอร์แลนด์ ได้ค้นพบในปี 1885 ว่าคลื่นความยาวของเส้นที่มองเห็นได้ของไฮโดรเจนสามารถแสดงด้วยสูตรง่ายๆ