ตอนที่ 130 เฉินถิงเซียวเป็นอะไร
จุดมุ่งหมายของเฉินถิงเซียวคือผลักดันมู่ซื่อไปให้สุดทางจนกว่าจะทำให้มู่ลี่เหยียนรับมือไม่ไหว จากนั้นให้คุณปู่กลับมา
ตอนนั้นคุณปู่มู่ไปใช้ชีวิตวัยชราที่ต่างประเทศอย่างกะทันหัน จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลากว่าสิบเอ็ดปีแล้ว
สิบเอ็ดปีที่ผ่านมา คุณปู่มู่ไม่เคยกลับมาเลย
แม้แต่งานรวมตัวของครอบครัว มู่ลี่เหยียนก็เป็นคนพาทุกคนในครอบครัวไปหาคุณปู่มู่ที่ต่างประเทศ แต่มู่น่อนน่อนกลับไม่เคยถูกเขาพาไปต่างประเทศด้วยเลย
เรื่องซือเฉิงหยู้ในครั้งนี้ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกสงสัยว่าเกี่ยวโยงกับเฉินถิงเซียวด้วย
เพราะเสิ้งติ่งไม่มีทางให้ซือเฉิงหยู้รับงานพรีเซนเตอร์ของมู่ซื่อแน่นอน และกู้จือหยั่นยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเฉินถิงเซียวอีกด้วย
แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับเฉินถิงเซียว ทำไมเขาถึงต้องใจจดใจจ่อให้คุณปู่มู่กลับมาขนาดนั้นล่ะ?
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองเสิ่นเหลียง: “ถ้างานแต่งงานของมู่หวั่นขีกับเฉินถิงเซียวเกี่ยวข้องกับเรื่องลักพาตัวตอนนั้น งั้นแสดงว่า เราสามารถตั้งสมมติฐานได้ว่า ที่เฉินถิงเซียวคิดจะบีบบังคับให้คุณปู่กลับบ้าน เป็นเพราะคุณปู่ของฉันเกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวในปีนั้น!”
เสิ่นเหลียงส่ายหน้า: “แต่ถ้าคุณปู่ของเธอเกี่ยวข้องกับเรื่องการลักพาตัวของเฉินถิงเซียวกลับมาของเขา แล้วทำไมตระกูลเฉินยังปล่อยให้เขาออกนอกประเทศล่ะ และยังให้ทั้งสองตระกูลแต่งงานกันอีกด้วย?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเสิ่นเหลียงพูดมีเหตุผล
ตระกูลเฉินทำเรื่องอะไรมากมาย ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังประจบประแจงตระกูลมู่…
มู่น่อนน่อนสายตาส่องเป็นประกายขึ้นมาทันที จากนั้นขมวดคิ้วและพูดขึ้น: “คุณปู่ของฉันสุขภาพแข็งแรง เขาไม่จำเป็นต้องไปรักษาตัวที่ต่างประเทศเป็นสิบปีขนาดนั้น ต้องมีเหตุผลอะไรบีบบังคับให้เขาออกนอกประเทศไปแน่นอน และงานแต่งของมู่หวั่นขีกับเฉินถิงเซียวก็มีขึ้นอย่างประหลาด ถ้านำสองเรื่องนี้มารวมกัน…”
นิ่งไปสักพัก มู่น่อนน่อนก็พูดต่อ: “ฉันไม่เชื่อว่าบนโลกนี้จะมีเรื่องที่น่าบังเอิญขนาดนี้ ฉันสงสัยว่าคุณปู่ของฉันต้องรู้ความลับของตระกูลเฉินที่ไม่สามารถบอกใครได้แน่นอน ดังนั้นจึงจัดทำสัญญาแต่งงานกับตระกูลเฉิน แต่คนของตระกูลเฉินคิดรอบคอบ จึงทำให้คุณปู่ต้องออกไปจากประเทศ และห้ามไม่ให้เขากลับมา”
เมื่อหล่อนพูดจบ ก็เห็นสีหน้าของเสิ่นเหลียงที่มองหล่อนด้วยความมึนงง
มู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าตัวเองคิดเพ้อเจ้อมากเกินไป: “เธอคิดว่าฉันทายถูกไหม?”
เสิ่นเหลียงส่ายหน้า: “ไม่ ฉันคิดว่าเธอพูดฟังดูมีเหตุผลเกินไป อีกทั้ง ตอนนั้นพ่อของฉันก็เข้าไปพัวพันกับคดีนั้นเล็กน้อย จริงๆแล้วคุณปู่ของเธอก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้เล็กน้อยด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับคดีนี้….”
……
ตอนกลางคืน
มู่น่อนน่อนเปิดก๊อกน้ำพลาง หยิบมือถือขึ้นมาดูความคิดเห็นบนWeiboเกี่ยวกับเรื่องที่กับซือเฉิงหยู้ถูกข่มขู่
“พี่น่อนน่อน!”
เสียงของเฉินเจียฉินดังขึ้นมาจากด้านนอก
เสียงของเขาดังมาจากที่ห่างออกไปไกล: “พี่น่อนน่อน พี่ทำอาหารอยู่ใช่ไหม”
มู่น่อนน่อนวางมือถือลง เดินออกไปดูนอกห้องครัว เห็นเฉินเจียฉินกำลังวิ่งมาทางนี้พอดี
เมื่อเฉินเจียฉินวิ่งเข้ามา ก็ทำท่าทีจะไปเปิดฝาหม้อ: “พี่กำลังทำเมนูอะไรอยู่ หอมจังเลย!”
“หมูสามชั้นน้ำแดง” มู่น่อนน่อนตีมือเขาเบาๆ: “ยังทำไม่เสร็จ ออกไปรอข้างนอกก่อน”
“โอเคครับ” เฉินเจียฉินดึงมือกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และวิ่งออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
ตอนกินข้าว เฉินถิงเซียวยังไม่กลับมา
มู่น่อนน่อนมองดูที่นั่งประจำของเฉินถิงเซียว และเหม่อลอยเล็กน้อย
เฉินเจียฉินคีบหมูสามชั้นชิ้นหนึ่งเข้าไปในปาก กินจนปากมันวาว พูดไม่ชัดเพราะอาหารที่อยู่เต็มปาก: “พี่คิดถึงพี่ชายผมก็โทรหาเขาสิ”
“ใครคิดถึงเขา” มู่น่อนน่อนคีบหมูให้เขาอีกหนึ่งชิ้น: “กินของตัวเองไป”
“อื้ม” เห็นได้ชัดว่าเฉินเจียฉินไม่เชื่อคำพูดของหล่อน
ทั้งสองทานข้าวเสร็จ เฉินถิงเซียวก็ยังไม่กลับมา
มู่น่อนน่อนกลับห้องไปอาบน้ำเสร็จก็นั่งลงบนเตียงในห้องอันแสนวางเปล่า รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติอยู่ตลอด
หรือเป็นเพราะเฉินถิงเซียวไม่อยู่?
“ครืดๆ!”
ทันใดนั้น มือถือที่หล่อนวางอยู่บนหัวเตียงก็สั่นขึ้น
เมื่อมู่น่อนน่อนหยิบมาดู ก็พบว่าเป็นสายเรียกเข้าจากเฉินถิงเซียว
หล่อนลังเลอยู่สามวินาที ก็เอื้อมมือกดรับสาย
“ฮัลโหล?”
เสียงปลายสายดังขึ้น แต่กลับไม่ใช่เสียงของเฉินถิงเซียว: “น่อนน่อน ฉันคือกู้จือหยั่น เกิดเรื่องกับถิงเซียวนิดหน่อย ตอนนี้เธอมาที่จีนติ่งหน่อยได้ไหม ฉันให้สือเย่ไปรับเธอแล้ว”
น้ำเสียงของกู้จือหยั่นดูร้อนใจมาก ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
หล่อนนึกถึงรอยกระสุนปืนบนตัวเฉินถิงเซียวเมื่อครั้งที่แล้วขึ้นมา…
ภายในใจรู้สึกหวาดกลัว หล่อนรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและวิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
สือเย่มาถึงพอดี เมื่อเห็นท่าทางกระสับกระส่ายร้อนใจของมู่น่อนน่อน สายตาของเขาจึงสั่นเล็กน้อย: “คุณหญิงน้อย ผมมารับคุณไปจีนติ่งครับ”
……
สือเย่ขับรถอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็ถึงจีนติ่ง
ตอนที่ลงจากรถ มู่น่อนน่อนเพิ่งนึกขึ้นได้และถามเข้าว่า: “เกิดอะไรขึ้นกับเฉินถิงเซียว?”
“คุณหญิงน้อยเข้าไปดูแล้วจะทราบเองครับ” สือเย่ก้มหน้าลง ท่าทางเคารพนอบน้อมมาก
มู่น่อนน่อนรู้สึกลังเลมาก เพราะสือเย่ก็ไม่ได้มีท่าทีร้อนใจตื่นตัวขนาดนั้น
หลังจากเข้าไปในจีนติ่ง หล่อนก็เห็นกู้จือหยั่น
เมื่อกู้จือหยั่นเห็นหล่อน จึงเดินเข้าไปรับหล่อนขึ้นไปด้านบน: “น่อนน่อน เธอมาแล้วเหรอ”
“เฉินถิงเซียวล่ะ?” มู่น่อนน่อนเอ่ยปากถามเขา
กู้จือหยั่นกระแอมเสียงเล็กน้อย: “ฉันจะพาเธอไปหาเขา”
ทั้งสองเข้าไปในลิฟต์ กู้จือหยั่นยังคงพูดอธิบายกับหล่อน: “เกิดเรื่องกับถิงเซียวนิดหน่อย เขาไม่สนิทกับคนอื่นเท่าไหร่นัก นอกจากเธอแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปหาใครอีก”
“อ๋อ” พูดเหมือนหล่อนสนิทกับเฉินถิงเซียวมาก
เมื่อถึงหน้าประตู กู้จือหยั่นก็เปิดประตูออก: “ถิงเซียวอยู่ด้านใน เธอเข้าไปสิ”
ภายในห้องมืดสนิท ไม่ได้เปิดไฟ
มู่น่อนน่อนรู้สึกผิดปกติ: “เฉินถิงเซียวเขาเป็นอะไรกันแน่?”
กู้จือหยั่นถอนหายใจ: “เดี๋ยวเธอเข้าไปแล้วก็รู้เอง”
มู่น่อนน่อนมองกู้จือหยั่นอยู่สักพัก จากนั้นก็ก้าวเท้าเข้าไปด้านใน
เมื่อหล่อนก้าวเท้าเข้าไปหนึ่งก้าว เสียง “ปั้ง” ดังขึ้น ประตูห้องถูกปิดลง
มู่น่อนน่อนยื่นมือคลำหาปุ่มสวิตช์ไฟ หันมองไปที่หน้าประตูห้อง พลางเรียกชื่อเฉินถิงเซียวและเดินเข้าไปด้านในต่อ
“เฉินถิงเซียว?”
หล่อนเรียกติดกันหลายครั้ง แต่กลับไม่มีการตอบรับอะไรเลย
เฉินถิงเซียวพักอยู่ในห้องชุด จึงไม่เห็นเงาของเขาในห้องโถง มู่น่อนน่อนจึงเดินไปที่ห้องนอน
มู่น่อนน่อนเปิดไฟในห้องนอน พบว่าในห้องนอนก็ไม่มีแม้แต่เงาของเฉินถิงเซียว ขณะที่หล่อนกำลังเดินออกไป ก็ได้ยินเสียงน้ำไหลในห้องน้ำ
หล่อนจึงเดินไปที่หน้าประตูห้องน้ำ จากนั้นเคาะประตู: “เฉินถิงเซียว? นายอยู่ด้านในรึเปล่า?”
ในห้องน้ำไม่ได้เปิดไฟ มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากใคร หล่อนจึงไม่มั่นใจว่าด้านในมีคนอยู่รึเปล่า
และตอนที่หล่อนกำลังเตรียมหันหลังออกไปนั้น ภายในห้องน้ำก็มีเสียงที่เต็มไปด้วยความนิ่งขรึมและดุดันดังขึ้น: “ออกไปเดี๋ยวนี้!”
เป็นเสียงของเฉินถิงเซียว!
เสียงของเขาฟังดูผิดปกติ
“เฉินถิงเซียวนายเป็นอะไรไป?” มู่น่อนน่อนเคาะประตู: “ฉันคือมู่น่อนน่อน”
ผ่านไปไม่นาน ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออก
ใบหน้าอันซีดขาวของเฉินถิงเซียวปรากฏอยู่ในสายตาของหล่อน ทั้งตัวของเขาเปียกปอนไปด้วยน้ำ และมีถูกคลุมไว้เพียงผ้าขนหนูหนึ่งผืน มู่น่อนน่อนยืนห่างจากเขาประมาณก้าวเดียว รู้สึกได้ถึงความเย็นชาที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกไปจับแขนเขา กลับพบว่าตัวเขาเย็นมากจนน่าตกใจ!
เฉินถิงเซียวสะบัดมือหล่อนออกอย่างรวดเร็ว: “ใครให้เธอมาที่นี่? กลับไปเดี๋ยวนี้!”
ตอนที่ 129 มันเป็นเกมส์ตั้งแต่เริ่มต้น
มู่น่อนน่อนจึงโบกรถแท็กซี่ไปที่หมู่บ้านของซือเฉิงหยู้
เมื่อถึงประตูบ้าน หล่อนก็โทรหาซือเฉิงหยู้
ซือเฉิงหยู้รับสายอย่างรวดเร็ว คงเป็นเพราะกำลังออกกำลังกายอยู่ น้ำเสียงจึงมีความหอบอยู่ด้วย: “รอผมห้านาที”
ผ่านไปห้านาทีซือเฉิงหยู้ก็ออกมาจริงๆ
เขาสวมชุดออกกำลังกายสีดำ ผมเปียกเล็กน้อย รอยยิ้มอ่อนหวานเหมือนพี่ชายข้างบ้าน
ตอนที่กวาดสายตามองไปที่มู่น่อนน่อน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขายิ้มอย่างลึกซึ้งมากขึ้น
เขาโบกมือให้มู่น่อนน่อน: “น่อนน่อน ตามผมมาสิ”
เมื่อพูดจบ เขาก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ผิดแปลก จึงถามหล่อนด้วยท่าทีรู้สึกผิด: “คุณเรียกผมว่าพี่ชายเหมือนที่เรียกเฉินถิงเซียว งั้นผมขอเรียกคุณว่าน่อนน่อนได้ไหม?”
มู่น่อนน่อนถึงกับสะอึกกับคำพูดของเขา จากนั้นพยักหน้าด้วยความมึนงง: “…ได้ค่ะ”
ซือเฉิงหยู้พาน่อนน่อนไปที่บ้านของเขา เมื่อไปถึงหน้าประตูก็หยิบรองเท้าแบบใช้ครั้งเดียวออกมาจากตู้รองเท้าให้หล่อน
“รกนิดหน่อยนะ อาทิตย์นี้ป้าแม่บ้านมีธุระที่บ้านจึงไม่ได้มา ผมก็ยุ่งมากจนไม่มีเวลาทำความสะอาด” ซือเฉิงหยู้เดินเข้าไปในบ้านพลางอธิบายให้เธอฟัง
มู่น่อนน่อนยิ้ม ไม่พูดอะไร
ซือเฉิงหยู้พาเธอไปนั่งที่โซฟา จากนั้นรินน้ำให้หนึ่งแก้ว: “ก่อนหน้านี้ผมใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศช่วงหนึ่ง ในบ้านก็ไม่มีของอะไรมากมาย มีแค่น้ำ ลำบากคุณหน่อยนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ”
แม้ว่ามู่น่อนน่อนกับซือเฉิงหยู้จะไม่ได้สนิทคุ้นเคยกันมาก แต่เมื่อมานั่งอยู่ในบ้านเขาเช่นนี้ หล่อนจึงรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย
หล่อนจิบน้ำหนึ่งอึก จากนั้นพูดถึงจุดประสงค์ที่มาในวันนี้อย่างตรงไปตรงมา: “คุณรับงานพรีเซนเตอร์สินค้าของมู่ซื่อแล้วเหรอคะ?”
“อื้ม รับแล้ว แต่ยังไม่ได้เซ็นสัญญาครับ” ซือเฉิงหยู้นั่งลงตรงข้ามหล่อน ยิ้มอย่างอ่อนหวาน: “มู่ซื่อส่งคุณมาคุยกับผมเรื่องสัญญา?”
“ใช่ค่ะ” มู่น่อนน่อนหุบยิ้ม จากนั้นวางแก้วน้ำที่อยู่ในมือลง: “คุณแน่ใจว่าจะเป็นพรีเซนเตอร์ให้มู่ซื่อแล้วเหรอคะ?”
“ไม่แน่ใจ ดังนั้นผมจึงให้พวกเขาส่งคุณมาคุยกับผมไงล่ะ” ซือเฉิงหยู้พูดขึ้นด้วยท่าทางไม่สนใจ คล้ายกับเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนตกตะลึงไปสักพัก ลูกพี่ลูกน้องมีนิสัยคล้ายกันขนาดนี้ได้เชียวเหรอ?
“แต่ทว่า ดูเหมือนคุณไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่ผมรับงานพรีเซนเตอร์ให้กับมู่ซื่อ” ดวงตาของซือเฉิงหยู้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และความชาญฉลาด
เมื่อมู่น่อนน่อนเห็นว่าเขาพูดตรงขนาดนี้ จึงไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป: “ก็ไม่ใช่ว่าไม่เห็นด้วย ถึงแม้ว่าฉันเป็นคนของตระกูลมู่ แต่ฉันก็ต้องยอมรับว่า ถ้าคุณรับงานพรีเซนเตอร์ให้กับมู่ซื่อจะส่งผลกระทบในด้านลบต่องานแสดงของคุณได้นะคะ”
ซือเฉิงหยู้ถอยพิงไปด้านหลังเบาๆ หรี่สายตาลงมอง ดูเหมือนเฉินถิงเซียวมากจริงๆ
แต่ทว่า น้ำเสียงของเขากลับไม่นิ่งขรึมเหมือนเฉินถิงเซียว ยังคงอ่อนหวานเช่นเดิม: “คุณจริงใจกับทุกคนขนาดนี้เลยเหรอ?”
“…” มู่น่อนน่อนพูดต่อไม่ถูก
ทันใดนั้นเขาก็หุบยิ้มและพูดอย่างจริงจัง: “อย่าใจดีเกินไป จะถูกถิงเซียวรังแกได้นะ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าวันนี้ซือเฉิงหยู้พูดเยอะเป็นพิเศษ
เมื่อได้ยินซือเฉิงหยู้พูดถึงเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนตกตะลึงไปสักพักจึงจะตั้งสติกลับมาได้
“เสี่ยวฉินก็กลัวเขามากนะ เขาชอบรังแกคนอื่นใช่ไหม?” มู่น่อนน่อนรู้สึกแปลกใจมากจริงๆ
ซือเฉิงหยู้นิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง: “ก็คงไม่ใช่ อย่างน้อยก่อนเขาอายุสิบสองปี เขาเป็นเด็กดีเชื่อฟังมากเลยนะ”
เด็กดีมากและเชื่อฟังมาก
ใช้คำพวกนี้มาบรรยายลักษณะนิสัยของเฉินถิงเซียว ช่างดูไม่เป็นธรรมชาติเหลือเกิน
……
จนกระทั่งตอนที่มู่น่อนน่อนกำลังจะกลับ เพิ่งจะนึกเรื่องจุดมุ่งหมายที่ตัวเองมาหาซือเฉิงหยู้ในวันนี้ขึ้นมาได้ คือการมาคุยเจรจาเรื่องพรีเซนเตอร์ สุดท้ายทั้งสองพูดคุยนอกเรื่องกันไปไกล จนลืมเรื่องพรีเซนเตอร์ไปทันที
มู่น่อนน่อนหมดหนทาง แต่ก็ไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา
หล่อนรู้สึกว่าเรื่องที่ซือเฉิงหยู้รับงานพรีเซนเตอร์ของมู่ซื่อคงไม่ง่ายขนาดนั้น
ค่อยๆดูไปแล้วกัน ถึงตอนนั้นมีอะไรก็ค่อยว่ากัน
ตอนบ่ายมู่น่อนน่อนก็ไม่ได้กลับไปที่บริษัท เพราะกลับไปก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ
หล่อนจึงโทรนัดเสิ่นเหลียงออกมาดื่มกาแฟ
หล่อนเล่าเรื่องที่ซือเฉิงหยู้รับงานพรีเซนเตอร์ของมู่ซื่อให้เสิ่นเหลียงฟัง ความตกใจของเสิ่นเหลียงไม่ได้น้อยไปกว่าหล่อนเลย
ปฏิกิริยาแรกของหล่อนคือไม่เชื่อ: “เป็นไปได้ยังไง? โกหกรึเปล่า?”
“วันนี้ฉันยังไปหาซือเฉิงหยู้มาแล้วด้วย เขาไม่ได้ปฏิเสธ” มู่น่อนน่อนเติมน้ำตาลลงไปในกาแฟตรงหน้าอีกหนึ่งก้อน จากนั้นพูดอย่างติดๆขัดๆ: “แต่ยังไม่ได้เซ็นสัญญา”
เสิ่นเหลียงที่กำลังนั่งดูWeibo เมื่อได้ฟังหล่อนพูดเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา จากนั้นก้มลงไปดูหน้าจอมือถือต่อ ทันใดนั้นก็มีข่าวประเด็นร้อนเด้งขึ้นมาในตาของหล่อน
หล่อนอ่านพลางพูดออกมา: “บริษัทใจดำแห่งหนึ่ง ใช้วิธีสกปรกบีบบังคับข่มขู่ดาราชายดังให้เป็นพรีเซนเตอร์สินค้า…”
มู่น่อนน่อนยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่า บริษัทใจดำที่ในWeiboกล่าวถึง เหมือนบริษัทมู่ซื่อมาก
หล่อนยื่นมือออกไปหยิบมือถือของเสิ่นเหลียง: “ขอฉันดูหน่อย”
มู่น่อนน่อนยิ่งอ่านยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น เมื่อลองเลื่อนลงมาดูความเห็นด้านล่าง เนื้อหาของความเห็นยอดนิยมสูงสุดมีการพูดถึงซือเฉิงหยู้และมู่ซื่อ
“ทุกคนยังจำเรื่องราวใหญ่โตของโรงงานมู่ซื่อได้หรือไม่? ฉันสงสัยว่ากระทู้นี้ในWeiboกำลังพูดถึงบริษัทมู่ซื่อ”
ด้านหลังยังมีความเห็นตามมาอีกมากมาย
“แต่ ดาราที่ถูกข่มขู่คือใครล่ะ?”
“ธุรกิจของใช้ในชีวิตประจำวันแบบนั้นสามารถปิดข่าวในโลกอินเตอร์เน็ตได้ภายในระยะเวลาอันสั้นขนาดนั้น แสดงว่าเขาต้องมีอำนาจมากแน่นอน ถ้าคนที่อยู่เบื้องหลังมีอำนาจเยอะ และต้องการข่มขู่ดาราเพื่อให้เป็นพรีเซนเตอร์ของพวกเขา ต้องหาดาราที่กำลังเป็นที่นิยมและมีแฟนคลับเยอะที่สุด อีกทั้งยังสามารถสร้างผลกระทบได้มากอีกด้วย! ตะโกนบอกฉันหน่อย ว่าดาราคนนี้คือ..”
“ซือเฉิงหยู้!”
“ความเห็นด้านบน+1”
“ต้องเป็นซือเฉิงหยู้แน่นอน!”
“……”
เป็นเพราะการนำของความเห็นอันเป็นกระแสนี้ ทำให้ความเห็นที่ตามมาต่างพากันด่ามู่ซื่อ
มู่น่อนน่อนคืนมือถือให้เสิ่นเหลียง จากนั้นเปิดWeiboในมือถือตัวเองขึ้นมา และเข้าไปดูความเห็นในWeiboหลักของมู่ซื่อ
เมื่อเธอกดเข้าไปดู เห็นโพสต์ข้อความของมู่ซื่อที่เพิ่งโพสต์ลงไปเมื่อหนึ่งนาทีก่อน: [โปรดติดตามชมการร่วมงานกับราชาภาพยนตร์ซือ]
จากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่แล้ว บัญชีWeiboหลักของมู่ซื่อถูกชาวเน็ตวิพากษ์วิจารณ์กันเยอะมาก จึงปิดการแสดงความเห็นไป
แต่เมื่อข้อความนี้ถูกส่งออกมา ไม่ถึงสองนาที มีการส่งต่อข้อความกันเป็นหลักแล้ว และยังมากขึ้นเรื่อยๆ
คนที่ส่งต่อข้อความในWeiboนี้ส่วนมากต่างพากันด่าว่ามู่ซื่อ
“หึ ดาราของพวกเราจะไปรับงานพรีเซนเตอร์กระจอกแบบนี้เหรอ? ตลกสิ้นดี”
“ครั้งที่แล้วแม้แต่งานพรีเซนเตอร์แบรนด์XXของต่างประเทศ ซือเฉิงหยู้ยังปฏิเสธเลย นับประสาอะไรกับการรับงานพรีเซนเตอร์ให้บริษัทกระจอกเช่นนี้? พวกเธอทำอะไรกับซือเฉิงหยู้ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไง?”
“รีบล้มละลายเสียเถอะ!”
“……”
เสิ่นเหลียงก็เข้ามาดูข้อความที่มู่ซื่อส่งในWeiboเช่นกัน
หล่อนถามมู่น่อนน่อน: “เธอเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นบังเอิญขนาดนี้ไหม?”
“ไม่เชื่อ” มู่น่อนน่อนส่ายหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
ซือเฉิงหยู้เป็นฝ่ายบอกว่ารับงานเป็นพรีเซนเตอร์ให้มู่ซื่อ งั้นก็แสดงว่าเรื่องนี้ก็เป็นเกมส์ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
มู่น่อนน่อนเริ่มเข้าใจว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร
นี่จะใช้โอกาสจากผลกระทบของคนมีชื่อเสียง ทำให้มู่ซื่อต้องถูกผลักไปอีกข้างหนึ่งอีกหรือไง
ยังมีคุณปู่มู่อยู่ไม่ใช่เหรอ?
จู่ๆคำพูดที่เฉินถิงเซียวเคยบอกก็แวบเข้ามาในหัวของมู่น่อนน่อน
ตอนที่ 128 อยากเดาก็เดาไม่ถูก
มู่น่อนน่อนใจเต้นแรง รีบปฏิเสธทันที: “ฉันรู้สึกขอบคุณความหวังดีของพี่ชายมาก แต่ไม่เป็นไรจริงๆ ตอนนี้ฉันต้องไปทำงานแล้ว เดี๋ยวสายค่ะ”
เมื่อเธอพูดจบ ก็หันไปบอกลาสวี่จูน จากนั้นก็เปิดประตูรถออก และวิ่งลงจากรถไปทันที
ซือเฉิงหยู้มองผ่านกระจกรถออกไป เห็นเงาของมู่น่อนน่อนจากไปอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มของเขาก็ค่อยๆจางหายไป
เขารู้ว่าช่วงนี้มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวกำลังมีปัญหากัน เพราะเรื่องที่เฉินถิงเซียวโกหกหล่อน
แต่ เมื่อครู่หล่อนทำไปเพราะจะรักษาระยะห่างกับเขา จึงเรียกเขาว่า ‘พี่ชาย’ ตามเฉินถิงเซียว
……
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปในมู่ซื่อ ในใจยังรู้สึกสงสัยอยู่
ทำไมซือเฉิงหยู้ถึงพูดจาแปลกๆกับหล่อนเช่นนั้น?
สายตาที่เขามองมาที่หล่อน เหมือนกำลังมองทะลุไปดูอีกคน
มู่น่อนน่อนคิดจนเหม่อลอย จนไม่ทันสังเกตว่าเพิ่งเดินผ่านมู่หวั่นขี
จนกระทั่งหล่อนพูดขึ้น จึงทำให้มู่น่อนน่อนดึงสติกลับมาได้
“มู่น่อนน่อน ภารกิจที่พ่อให้เธอทำ เป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”
มู่หวั่นขีอยู่ตรงหน้าหล่อน ทำตัวสูงส่งหยิ่งผยองอยู่เสมอ เชิดคางขึ้นสูง คอยกดขี่ข่มเหงหล่อนตลอดเวลา
มู่น่อนน่อนคิดถึงคำพูดที่ซือเฉิงหยู้พูดเมื่อสักครู่ จึงหรี่ตาลงและมองไปอย่างลึกซึ้ง: “ไม่มีอะไร ถ้าเธอยอม เธอก็ไปขอร้องพ่อให้มอบภารกิจนี้ให้เธอเป็นคนทำแทนสิ”
เดิมทีนี่ถือเป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำได้สำเร็จอยู่แล้ว แต่ยังถูกมู่ลี่เหยียนยัดเยียดให้มู่น่อนน่อนทำอีก
มู่หวั่นขีไม่โกรธเคืองเหมือนทุกครั้ง กลับลูบผมเล่น พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจ: “เหอะๆ อย่าคิดว่าเรื่องที่เธอทำไม่ได้ คนอื่นก็ทำไม่ได้”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าคำพูดนี้ช่างเหมาะสมกับมู่หวั่นขีเหลือเกิน
“อ๋อ งั้นขอให้เธอโชคดีนะ” มู่น่อนน่อนพูดด้วยน้ำเสียงไม่ตั้งใจ จากนั้นมู่หวั่นขีจึงโกรธขึ้นมาทันที
แต่ทว่า มู่น่อนน่อนไม่เปิดโอกาสให้มู่หวั่นขีได้โมโห ก้าวเท้าและเดินออกไปทันที
……
หลังจากที่มู่หวั่นขีรับหน้าที่พูดโน้มน้าวให้ซือเฉิงหยู้มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้มู่ซื่อ หล่อนก็ไม่มาปรากฏตัวที่บริษัทอีกเลย
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้สนใจอะไร
แต่เรื่องที่ซือเฉิงหยู้พูดกับหล่อนวันนั้น หล่อนยังคงรู้สึกสงสัยอยู่เหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้สนใจหรือคิดมากอะไร
หล่อนข้าใจดี และก็ไม่ได้รู้สึกว่าจากการที่ได้เจอและพูดคุยกับซือเฉิงหยู้เพียงไม่กี่ครั้ง จะทำให้เขารู้สึกชอบหรือเกิดความรู้สึกอะไรกับหล่อน
ในวงการบันเทิงมีดาราผู้หญิงสวยๆมากมาย คนที่ชื่นชอบซือเฉิงหยู้ก็มีมากมายจนนับไม่ถ้วน
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าหากจะเปรียบตัวเองกับผู้หญิงพวกนั้น หล่อนคงเป็นผู้หญิงธรรมดามากที่สุดแล้ว
วันนี้ เมื่อมู่น่อนน่อนมาถึงบริษัท ก็ถูกมู่ลี่เหยียนเรียกไปที่ห้องทำงาน
สีหน้าของมู่ลี่เหยียนดูมีความสุขมาก: “น่อนน่อน ลูกมานี่สิ พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย”
“พ่อมีเรื่องอะไรเหรอคะ?” มู่น่อนน่อนคาดเดาไม่ถูกว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้มู่ลี่เหยียนมีความสุขได้มากขนาดนี้
“เรื่องที่จะให้ซือเฉิงหยู้มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับบริษัทของพวกเรา พี่สาวของลูกไปพูดคุยมาแล้ว ช่วงนี้พี่สาวคงเหนื่อยแย่ ดังนั้นพ่อจึงตัดสินใจให้ลูกทำงานหลังจากนี้ต่อ”
สีหน้าของมู่ลี่เหยียน ดีใจจนเก็บไว้ไม่อยู่: “ลูกเป็นคนจัดการเรื่อง พ่อก็สบายใจ!”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้: “ซือเฉิงหยู้ยอมตกลงเป็นพรีเซนเตอร์ให้สินค้าบริษัทของเราแล้วเหรอคะ?”
นอกจากเรื่องที่ซือเฉิงหยู้เป็นฝ่ายมาถามหล่อนว่าต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ จากฐานะชื่อเสียงของซือเฉิงหยู้แล้ว ถ้าเขาจะช่วยเป็นพรีเซนเตอร์ให้มู่ซื่อจริงๆ ผู้จัดการกับบริษัทของเขาคงไม่มีทางยอมแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทที่เขาเซ็นสัญญาด้วยก็คือบริษัทสื่อบันเทิงของเสิ้งติ่ง
ซึ่งกู้จือหยั่นเป็นเจ้าของบริษัทสื่อบันเทิงเสิ้งติ่ง เขาไม่มีทางให้คนในช่วยซือเฉิงหยู้รับงานที่พรีเซนเตอร์ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาเสียเช่นนี้แน่นอน
“ใช่ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลงานของพี่สาวลูก ลูกต้องคุยเจรจากับซือเฉิงหยู้ดีๆนะ”
“ทราบแล้วค่ะ” มู่น่อนน่อนเพียงแต่พยักหน้า ไม่พูดอะไรต่ออีก
……
เมื่อกลับถึงบ้าน มู่น่อนน่อนก็ไปหาเฉินถิงเซียวที่ห้องทำงานทันที
เขาต้องรู้เรื่องของซือเฉิงหยู้บ้าง
เฉินถิงเซียวก็เพิ่งกลับมาที่บ้าน ตอนที่มู่น่อนน่อนเปิดประตูเข้าไป เขาเพิ่งรับสายโทรศัพท์เสร็จพอดี
เมื่อหันมาเจอมู่น่อนน่อน เขาก็พูดขึ้นว่า: “กลับมาแล้วเหรอ”
“ฉันมีเรื่องอยากถามนาย” มู่น่อนน่อนเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
เฉินถิงเซียวได้ยินเช่นนั้น จึงพยักหน้าลงเบาๆ บอกเป็นนัยให้มู่น่อนน่อนถามได้เลย
“นายรู้เรื่องที่ซือเฉิงหยู้รับงานเป็นพรีเซนเตอร์ให้สินค้าของมู่ซื่อไหม?” มู่น่อนน่อนไม่พูดอ้อมค้อม จึงถามไปตรงๆทันที
เฉินถิงเซียวตกตะลึงเล็กน้อย สีหน้าไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่: “ไม่รู้”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมกู้จือหยั่นถึงให้ซือเฉิงหยู้ไปเป็นพรีเซนเตอร์ของมู่ซื่อได้? ถ้าเขารับงานพรีเซนเตอร์นี้จริงๆ ต้องกระทบกับโอกาสงานแสดงและกระแสสังคมแน่นอน!”
มู่น่อนน่อนรู้สึกสงสารและเสียดายคุณค่าของซือเฉิงหยู้ น้ำเสียงจึงเปลี่ยนเป็นร้อนใจขึ้นมาทันที
เฉินถิงเซียวมองหล่อนสักพัก จากนั้นหรี่ตาลงมอง: “นี่เธอเป็นแฟนคลับตัวยงของเขามากกว่าถึงได้เป็นห่วงเขามากขนาดนี้”
มู่น่อนน่อนขี้เกียจสนใจน้ำเสียงอันแปลกประหลาดของเขาอีกแล้ว จึงพูดขึ้น: “ใช่ ฉันเป็นแฟนคลับของเขา แต่เขาก็พี่ชายของนายนะ เรื่องนี้นายจะไม่สนใจเลยหรือไง?”
“เธอก็พูดเองว่าเขาเป็นพี่ชาย ฉันเป็นน้องชายจะไปยุ่งทำไม?” เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็หันหลังไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ทำท่าทางไม่สนใจอะไรหล่อนอีก
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวช่างเป็นคนแปลกประหลาดจริงๆ
ดูเหมือนเขาสนิทกับซือเฉิงหยู้มาก แต่เมื่อซือเฉิงหยู้เจอเรื่องเช่นนี้ เขากลับไม่สนใจอะไร
เฉินถิงเซียวก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายกับหล่อนเช่นกัน
ช่างเถอะ ความคิดอ่านของคุณชายเฉิน หล่อนไม่อยากไปคาดเดาอะไรอีกแล้ว แม้ว่าหล่อนจะอยากเดาแต่ก็เดาไม่ถูก
…
มู่น่อนน่อนรับผิดชอบงานพรีเซนเตอร์ของซือเฉิงหยู้ต่อ มู่ลี่เหยียนให้อำนาจหล่อนแล้ว ก่อนจัดการเรื่องพรีเซนเตอร์ให้สำเร็จ หล่อนจึงไม่จำเป็นต้องดูแลงานอื่นของบริษัท แค่คอยติดตามก็พอแล้ว
ตอนเช้า เมื่อมู่น่อนน่อนมาถึงบริษัท ทันทีที่ได้รับช่องทางการติดต่อของผู้จัดการซือเฉิงหยู้ ก็ออกไปทันที
มู่น่อนน่อนเคยเจอสวี่จูนหนึ่งครั้ง รู้สึกว่าหล่อนเป็นคนที่เคร่งขรึมมาก
หล่อนลองโทรหาสวี่จูน เสียงรอสายดังขึ้นไม่นานก็มีคนรับสาย
“สวัสดีค่ะฉันเป็นผู้จัดการส่วนตัวของซือเฉิงหยู้สวี่จูน”
มู่น่อนน่อนค่อยๆพูดขึ้น: “ฉันคือมู่น่อนน่อน”
“คุณมู่” เห็นได้ชัดว่าสวี่จูนยังจำหล่อนได้
มู่น่อนน่อนจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา: “ฉันได้ยินมาว่า พวกคุณรับงานเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าให้มู่ซื่อแล้ว?”
“ถ้าเป็นเรื่องนี้ คุณมู่สามารถคุยกับซือเฉิงหยู้โดยตรงได้เลยค่ะ ตอนนี้ฉันอยู่ด้านนอก เดี๋ยวฉันส่งที่อยู่เขาให้คุณนะคะ คุณไปที่นั่นได้เลยค่ะ”
สวี่จูนไม่เปิดโอกาสให้มู่น่อนน่อนได้พูดอะไร เมื่อหล่อนพูดจบก็ตัดสายไปทันที
ไม่ถึงหนึ่งนาที หล่อนก็ส่งที่อยู่ของซือเฉิงหยู้มาให้มู่น่อนน่อน
ที่อยู่ที่หล่อนส่งให้มู่น่อนน่อนเป็นหมู่บ้านที่ร่ำรวยมากในเมืองหู้หยาง ที่นั่นมีดาราและคนชั้นสูงอาศัยอยู่มากมาย
ด้านหลังที่อยู่ยังแนบเบอร์โทรของซือเฉิงหยู้ไว้อีกด้วย เพื่อให้หล่อนไปถึงแล้วจะได้โทรหาซือเฉิงหยู้ได้ทันที
เพราะหมู่บ้านชั้นสูงเช่นนั้น คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางเข้าไปได้
ตอนที่ 127 วันนี้ฉันมาเพราะเธอ
มู่น่อนน่อนเพิ่งสังเกตเห็นว่า มืออีกข้างหนึ่งที่ว่างอยู่ของเฉินถิงเซียวถือขวดยาทาไว้
ที่แท้ก็จะทายาให้เธอ
มู่น่อนน่อนนั่งตัวตรง และขยับไปด้านหลังเล็กน้อย พูดขึ้น: “ฉันทำเองก็ได้”
เมื่อครู่ที่เฉินถิงเซียวใช้มือกดลงไปบนหน้าผากของหล่อนอย่างจังเช่นนั้น แต่กลับไม่แสดงท่าทีห่วงใยอะไรเลย หล่อนจึงกลัวว่าเขาจะทำแรงอีก
“นั่งให้ดี!”
เฉินถิงเซียวทำเหมือนไม่ได้ยินหล่อนพูดอะไร เพียงแต่เหลือบมองหล่อนด้วยความเย็นชา หล่อนจึงไม่พูดอะไรต่ออีก
เขาบีบยาลงที่นิ้วมือ จากนั้นค่อยๆนวดลงบนรอยปูดบวมใหญ่บนหน้าผาก ค่อยๆนวดด้วยเบาๆด้วยความอ่อนโยน รู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับทนไม่ได้
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่มู่น่อนน่อนยังรู้สึกไม่สบายใจ จนต้องกระพริบตาไม่หยุด ขนตางอนยาวสั่นจนดูน่าสงสาร
สีหน้าของเฉินถิงเซียวจึงเย็นลง น้ำเสียงนิ่งขรึมแต่ไม่เย็นชา
“ต่อไปไม่อนุญาตให้ไปผับกับเสิ่นเหลียงอีกแล้วนะ”
เฉินถิงเซียวไม่รู้เรื่องที่คนพวกนั้นมาก่อเรื่องวันนี้ แต่เขารู้ว่าวงการบันเทิงนั้นลึกซึ้งเพียงใด หลายคนยอมเอาชีวิตตัวเองเข้าเสี่ยงเพื่อที่จะได้เลื่อนขั้น ถ้ารีบร้อนเกินไปจนเกิดเรื่องขึ้น ก็ไม่มีใครสามารถคาดเดาอะไรได้
โชคดีที่สาวโง่คนนี้ยังรู้จักโทรหาเขา
เรื่องที่กู้จือหยั่นซื้อสัญญาของเสิ่นเหลียงมา เฉินถิงเซียวเองก็รู้ ก่อนที่จะถูกมู่น่อนน่อนตัดสาย เขาได้ยินคำพูดของหลัวหยิง
ตอนนั้นเขาลองครุ่นคิดดูดีๆ จึงเดาได้ว่ามู่น่อนน่อนอาจจะอยู่กับเสิ่นเหลียง และกู้จือหยั่นเป็นคนที่เข้าใจเสิ่นเหลียงที่สุด เขาจึงโทรหากู้จือหยั่นทันที
ดังนั้น กู้จือหยั่นจึงไปถึงที่ผับก่อนเขา
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว หล่อนไม่ค่อยชอบน้ำเสียงเช่นนี้ของเฉินถิงเซียวเท่าไหร่นัก: “เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นอุบัติเหตุ”
เฉินถิงเซียวทายาให้หล่อนเสร็จแล้ว จึงค่อยๆเก็บมือกลับ เขาใช่ทิชชูเช็ดมือพลางพูดลอยๆขึ้น: “รถชน ปล้นทรัพย์ เรื่องพวกนี้ เรื่องไหนไม่ใช่อุบัติเหตุ?”
“…” เรื่องแบบนี้เอามารวมกับปล้นทรัพย์หรือรถชนได้อย่างไรล่ะ?
มู่น่อนน่อนหมดคำพูดทันที
เฉินถิงเซียวไม่รอให้หล่อนได้เอ่ยปากพูดอะไร ดมกลิ่นแอลกอฮอล์บนตัวหล่อน จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ไปอาบน้ำ”
….
วันต่อมา
มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมาส่องกระจกดูรอยปูดบวมบนหน้าผากของตัวเอง ยาที่เฉินถิงเซียวทาให้หล่อนได้ผล หายบวมไปค่อนข้างเยอะแล้ว แต่ยังคงเห็นเป็นรอยช้ำ ดูค่อนข้างน่าเกลียด
เห็นทีวันนี้ไม่ต้องแต่งหน้าแล้ว
ตอนที่ลงไปห้องอาหารด้านล่าง ก็พบว่าบนโต๊ะมีอาหารเช้าที่ทำไว้เรียบร้อยแล้ววางอยู่
เฉินถิงเซียวกับเฉินเจียฉินนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะอาหารเพื่อรอหล่อน
เฉินเจียฉินลากเก้าอี้ด้านข้างออกมาด้วยความกระตือรือร้น: “พี่น่อนน่อน อรุณสวัสดิ์ครับ”
อยู่กับเฉินเจียฉินนานๆ มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเขาเป็นเด็กน้อยที่นิสัยดีมาก แค่ดื้อบ้างในบางครั้ง
หล่อนกำลังจะเดินไปนั่งข้างเฉินเจียฉิน ก็ได้ยินเสียงเรียกของเฉินถิงเซียวดังขึ้นเบาๆ
เมื่อหันไปมอง ก็เห็นว่าเฉินถิงเซียวก็ลากเก้าอี้ด้านข้างออกมาให้แล้วเช่นกัน
ความหมายของเฉินถิงเซียวชัดเจนอย่างเห็นได้ชัด คือให้มู่น่อนน่อนไปนั่งด้านข้าง
มู่น่อนน่อนเบ้ปาก เช้าขนาดนี้ก็เริ่มหาเรื่องกับเด็กน้อยแล้ว นี่กินยาผิดรึเปล่า?
เมื่อเห็นใบหน้าอันยิ้มแย้มของเฉินเจียฉิน และดูใบหน้าเพิกเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนจูงไปนั่งด้านข้างเฉินเจียฉินอย่างไม่ลังเล
เมื่อมู่น่อนน่อนนั่งลงก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจนอึดอัดขึ้นมาทันที
หล่อนหันมาสบตากับเฉินเจียฉินพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นจึงแยกย้ายกันก้มหน้าลงกินอาหารเช้า
อารมณ์ของเฉินถิงเซียวช่าง…แปลกประหลาดเหลือเกิน
……
หลังทานอาหารเช้าเสร็จ เฉินถิงเซียวก็นั่งรถออกไปก่อน มู่น่อนน่อนกับเฉินเจียฉินมีคนขับรถอีกหนึ่งคนไปส่ง
เมื่อถึงหน้าประตูบริษัทมู่ซื่อ มู่น่อนน่อนลงจากรถ จากนั้นคนขับก็ขับรถออกไป ตอนที่หล่อนกำลังหันหลังจะเดินเข้าไปในตึกสำนักงานบริษัทมู่ซื่อ ได้ยินเสียงผู้หญิงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง: “คุณมู่”
มู่น่อนน่อนหันหลังกลับไป เห็นผู้หญิงสวมชุดสูทดูสง่างามยืนอยู่ด้านหลังหล่อน
“สวัสดีค่ะ คุณคือ…” มู่น่อนน่อนแน่ใจว่าตัวเองไม่รู้จักคนตรงหน้า
ผมของผู้หญิงตรงหน้าตรงเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้ดูแล้วเป็นคนเคร่งขรึม: “ฉันเป็นผู้จัดการส่วนตัวของซือเฉิงหยู้สวี่จูน”
แม้ว่ามู่น่อนน่อนไม่เคยเจอหล่อน แต่ “สวี่จูน” ชื่อนี้เธอรู้จักดี
หล่อนเป็นแฟนละครของซือเฉิงหยู้ เมื่อมีข่าวหรือกระทู้ที่เกี่ยวกับซือเฉิงหยู้ หล่อนมักจะกดเข้าไปดู
สวี่จูนเป็นผู้จัดการส่วนตัวเบอร์หนึ่งในวงการบันเทิง ซือเฉิงหยู้เป็นคนที่หล่อนปลุกปั้นออกมาดอง ฉลาดและมีความสามารถ ทุกคนให้การชื่นชมหล่อนเป็นอย่างมาก
เมื่อสวี่จูนเห็นสีหน้าของหล่อนที่เข้าใจขึ้นมาจึงรู้ว่ามู่น่อนน่อนน่าจะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร เธอจึงไม่พูดอ้อมค้อม: “ซือเฉิงหยู้มีธุระจะคุยกับคุณนิดหน่อย”
“ซือเฉิงหยู้?”
สวี่จูนพยักหน้าลง: “ค่ะ ตามฉันมาค่ะ”
สวี่จูนเดินนำมู่น่อนน่อนไปที่รถคันหนึ่ง
เมื่อประตูรถถูกเปิดออก เธอก็พบกับซือเฉิงหยู้
ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มอันสดใสและอ่อนโยน: “มีเรื่องจะถามคุณนิดหน่อย รบกวนเวลาคุณไม่มาก”
“อ๋อ มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
ซือเฉิงหยู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ถ้าเปิดประตูรถคุยตรงนี้คงไม่สะดวกเท่าไหร่ มู่น่อนน่อนจึงขึ้นไปบนรถ
เมื่อหล่อนนั่งลง ซือเฉิงหยู้ก็ถามขึ้น: “มู่หวั่นขีคือพี่สาวของคุณ?”
“ใช่ค่ะ” มู่น่อนน่อนตกใจตะลึง “เกิดอะไรขึ้นกับหล่อน?”
ซือเฉิงหยู้ไม่ได้ตอบคำถามหล่อนตรงๆ แต่กลับถามต่อ: “บริษัทของตระกูลพวกคุณเกิดปัญหาขึ้น จึงอยากให้ผมไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้สินค้าของพวกคุณ?”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วขึ้น: “คุณทราบได้อย่างไร?”
น้ำเสียงของเขาอ่อนหวานมาก พูดด้วยท่าทีอันแสนดี: “คุณแค่พูดว่าใช่หรือไม่แค่นั้น?”
“…ใช่ค่ะ” มู่น่อนน่อนแอบคิดในใจว่ามู่หวั่นขีต้องไปก่อเรื่องอะไรโง่ๆแน่นอน ซือเฉิงหยู้จึงรู้เรื่องนี้
เธอเม้มปาก และพูดอธิบายขึ้น: “เรื่องนี้เป็นแค่ข้อเสนอในที่ประชุมของบริษัท ฉันรู้ว่าคุณคงไม่…”
ซือเฉิงหยู้ที่ตั้งใจฟังเธอมาตลอดกับพูดแทรกขึ้นในตอนนี้: “ถ้าคุณอยากให้ผมเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าของบริษัทมู่ซื่อ ผมสามารถลองดูได้”
ลองดู?
ใบหน้าของมู่น่อนน่อนเต็มไปด้วยความตกตะลึง ซือเฉิงหยู้หมายความว่ายังไงกัน?
อะไรคือถ้าหล่อนอยากให้เขามาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับบริษัทมู่ซื่อ เขาสามารถลองดูได้?
หมายถึงถ้าหล่อนเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากเขาให้ช่วยมู่ซื่อ เขาก็จะยอมช่วย?
ไม่นานนัก มู่น่อนน่อนก็เข้าใจขึ้นมาทันที ซือเฉิงหยู้พูดแบบนี้ สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คงเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับเฉินถิงเซียว
“คุณไม่ต้องทำแบบนี้ ที่มู่ซื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบทุกวันนี้ เป็นเพราะผลจากการกระทำของตัวบริษัทเอง มากไปกว่านั้นเรื่องนี้คงส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของคุณในทางที่ไม่ดีอีกด้วย” หล่อนขอบคุณสำหรับน้ำใจของซือเฉิงหยู้มาก แต่ก็ไม่สามารถดึงชื่อเสียงของเขาให้ถดถอยไปด้วยได้
ทันใดนั้นซือเฉิงหยู้ยิ้มขึ้น ยิ้มอย่างอ่อนหวานสดใสราวกับหยก ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น
เขาจ้องมองมู่น่อนน่อน: “ไม่ได้เป็นเพราะถิงเซียว วันนี้ผมมาที่นี่เพราะคุณ ถ้าคุณต้องการ ผมช่วยคุณได้ สำหรับผมแล้วชื่อเสียงไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”
รอยยิ้มในดวงตาของเขายังไม่จางหายไป กลับมองมาอย่างตั้งใจ ราวกับกำลังมองมู่น่อนน่อน และเหมือนกับกำลังมองใครบางคนผ่านมู่น่อนน่อน
ไม่ว่าเขากำลังมองใครอยู่ แต่คำพูดนี้ของเขา ทำให้คิดฝันไปไกลได้จริงๆ
ตอนที่ 126 ใครสอนเธอ
เพื่อการเอาตัวรอด มู่น่อนน่อนจึงหันหลังจะเดินกลับไป
“หยุดเดี๋ยวนี้”
เสียงอันแหบแห้งและนิ่งขรึมของเฉินถิงเซียวดังขึ้นมาจากด้านหลัง สีหน้าของมู่น่อนน่อนเกร็งทื่อไปทันที
หล่อนหันไปมองเฉินถิงเซียวด้วยสีหน้าตึงเกร็ง พูดอย่างหนักแน่น: “ฉันแค่จะไปห้องน้ำ”
เฉินถิงเซียวตัวสูง ขายาว จึงก้าวเท้าได้ยาว ตอนนี้เดินตามมาถึงหน้าหล่อนแล้ว เขาก้มหน้ามองหล่อน ตอนที่สายตาหยุดมองอยู่ที่รอยปูดบวมใหญ่บนหน้าผากของหล่อน เขาชำเลืองมองเข้าไปอย่างเห็นได้ชัด
แต่เขากลับเลิกคิ้วขึ้น: “ไปเถอะ ฉันรอเธอเอง”
มู่น่อนน่อน: “…”
หล่อนจึงจำต้องฝืนไปห้องน้ำ
มู่น่อนน่อนกลับไปในห้องน้ำ รู้สึกรำคาญใจจนยกมือขึ้นมาทุบหน้าผากของตัวเอง แต่กลับไม่ทันระวังไปทุบรอยปูดบวมบนหน้าผาก
“ซื้ด….” เจ็บชะมัดเลย
สุดท้าย มู่น่อนน่อนลูบแผลนิดหน่อย จากนั้นก็เดินออกมา
ไม่รู้ว่าเสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นไปไหนแล้ว เหลือเพียงแค่เฉินถิงเซียวที่ยืนรอหล่อนอยู่ด้านนอก
เขาสวมชุดสูทเรียบร้อยเหมือนปกติ รูปร่างสูงและบึกบึน ขนาดท่าทางที่ยืนรอเธออยู่หน้าประตูห้องน้ำ ยังดูดีจนทำให้คนต้องหันมอง
“ยี่สิบนาที” จู่ๆเฉินถิงเซียวก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
ขณะที่มู่น่อนน่อนยังทำสีหน้าไม่เข้าใจ เขาก็พูดขึ้น: “เธอท้องผูก?”
มู่น่อนน่อนตกใจตะลึง จนน้ำลายติดคอ: “แค่กๆ…”
เฉินถิงเซียวยังคงคิดไม่ตก จากนั้นพูดด้วยท่าทางจริงจัง: “เดี๋ยวกลับไปให้สือเย่พาเธอไปหาหมอที่โรงพยาบาล”
“เหอะๆ” มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตอนนี้นอกจากจะหัวเราะแล้วยังจะพูดอะไรได้อีก?
……
ทั้งสองออกมาจากผับ
รถของกู้จือหยั่นจอดอยู่หน้าประตู เขานั่งอยู่ที่คนขับ ส่วนเสิ่นเหลียงนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับด้านหน้า
เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนเดินออกมา กู้จือหยั่นจึงโผล่หัวออกไปทางหน้าต่าง: “ถิงเซียว ฉันจะพาเสิ่นเหลียงไปโรงพยาบาล นายจะไปด้วยไหม?”
เฉินถิงเซียวชี้ไปที่รถของตัวเองที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
กู้จือหยั่นเข้าใจเจตนาของเขา จึงหันไปทำมือ “OK” และขับรถออกไป
“ฉันไม่เป็นอะไร ไม่ต้องไปโรงพยาบาล” มู่น่อนน่อนดึงแขนของเฉินถิงเซียว
หล่อนแค่โดนต่อยที่หน้าผากจนบวมแค่นั้น ไม่มีเลือดออก ไปโรงพยาบาลทำไมกัน?
ยังต้องไปลงทะเบียนต่อคิว เสียเวลาเปล่า ตอนนี้หล่อนแค่รู้สึกหิว อยากกินข้าว
ตอนนี้เป็นเวลามืดค่ำแล้ว แม้ว่าจะมีแสงไฟส่องสว่าง แต่ดวงตาคู่นั้นของเฉินถิงเซียวกลับนิ่งขรึมมากขึ้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งทุ้มต่ำ: “ไม่เป็นอะไร?”
“อื้ม” มู่น่อนน่อนพยักหน้าลง
จากนั้น หล่อนทนไม่ไหวจนกรีดร้องออกมา: “โอ๊ย!”
เพราะเฉินถิงเซียวยื่นมือมาจับรอยปูดบนหน้าผาก และกดเข้าไปเต็มแรง
แม้ว่ารอยปูดบวมนั้น ผ่านไปสักสองสามวันก็จะค่อยๆหายไปเองได้ แต่ตอนนี้ถูกเขาใช้แรงกดเข้าไปขนาดนี้ และยังปวดมากอีกด้วย
เฉินถิงเซียวดึงมือกลับ ทำสีหน้านิ่งไร้ซึ่งอารมณ์: “ไม่เป็นไรแล้วร้องทำไม?”
“ฉัน…” ถ้าเขาไม่กดหน้าผากของหล่อน ก็คงไม่เป็นอะไรแล้ว
…
ในโรงพยาบาล
เฉินถิงเซียวยังคงบังคับให้มู่น่อนน่อนไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล
เสิ่นเหลียงก็ไม่ต่างจากหล่อนเท่าไหร่ หล่อนเองก็ถูกกู้จือหยั่นลากไปตรวจร่างกายด้วยเหมือนกัน
หลังจากทั้งสองตรวจร่างกายเสร็จแล้วจึงนั่งอยู่ที่เก้าอี้บนทางเดินแถวเดียวกัน ฉันมองเธอ เธอมองฉัน
สุดท้าย เสิ่นเหลียงจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน: “ฉันรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวดูเป็นห่วงร้อนใจกับเธอมากเลยนะ”
“เหอะๆ” มู่น่อนน่อนยกมือขึ้นมาจับหัวที่ปูดของตัวเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ ถึงตอนนี้หล่อนยังคงรู้สึกเหมือนมีนิ้วกดที่แผลไว้อยู่
จากนั้น มู่น่อนน่อนจึงพูดขึ้นด้วยท่าทีที่แสนเย็นชา: “ฉันรู้สึกว่ากู้จือหยั่นต่างหากที่เป็นห่วงเธอ เขาพูดว่าอะไรนะ?”
มู่น่อนน่อนชะงักไป กระแอมเล็กน้อย ทำเสียงพูดเลียนแบบกู้จือหยั่น: “เธอเป็นเจ้าตัวยุ่งของฉัน”
“มู่น่อนน่อน!”
เสิ่นเหลียงที่เป็นคนโผงผางมาโดยตลอด นานๆครั้งจะเห็นสีหน้าไม่เป็นตัวเองเช่นนี้
ทันใดนั้น กู้จือหยั่นกับเฉินถิงเซียวเดินออกมาจากห้องทำงานของหมดพอดี
มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงนั่งลงพร้อมกัน ไม่พูดอะไรขึ้นมาทันที
……
เพราะมู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงยังไม่ได้กินข้าว ดังนั้นพวกเขาจึงไปที่เสิ้งติ่งพร้อมกัน
ระหว่างทาง มู่น่อนน่อนนึกถึงเฉินเจียฉินขึ้นมาได้ จึงเอ่ยปากถามเฉินถิงเซียว: “เสี่ยวฉินล่ะ?”
เฉินถิงเซียวหันหน้ามามองหล่อน ด้วยใบหน้าอันทรงเสน่ห์และนิ่งขรึม: “เธอเป็นห่วงตัวเองก่อนดีไหม”
เมื่อถึงเสิ้งติ่ง พวกเขาจึงสั่งอาหารชุดใหญ่ให้ทั้งสองสาวที่เพิ่งมีเรื่องทะเลาะกันเสร็จ
แม้ว่ามู่น่อนน่อนจะรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ยังไงตอนนี้ก็หิวมาก
รอให้หล่อนกินอิ่มก่อน เฉินถิงเซียวค่อยเริ่มจัดการมู่น่อนน่อน
“นี่ฉันไม่รู้เลยนะว่าฝีมือการตบตีของภรรยาฉันจะเก่งขนาดนี้ ใครเป็นคนสอนเธอ?”
สายตาดำสนิทของเฉินถิงเซียวมองไปที่หล่อนอย่างเคร่งขรึม ราวกับว่าถ้าหล่อนให้คำตอบที่ทำให้เขาพอใจไม่ได้ เขาก็จะจัดการหล่อน
เขาจะจัดการด้วยวิธีไหนนั้น มู่น่อนน่อนไม่ทราบเลย
หล่อนเพียงแค่รู้ว่า ตราบใดที่อยู่ต่อหน้าเฉินถิงเซียว หล่อนจะไม่มีทางจะทำอะไรตามใจตัวเองได้เลย
มู่น่อนน่อนชี้ไปที่เสิ่นเหลียงที่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างไม่เกรงใจ
เสิ่นเหลียงก็กลัวเฉินถิงเซียว
หล่อนหดคอลง กลืนน้ำลายและชี้ไปที่กู้จือหยั่นที่นั่งอยู่ทางด้านข้าง: “ที่ฉันทะเลาะตบตีเป็น ก็เพราะเขาเป็นคนสอน”
“แค่กๆ…”
กู้จือหยั่นเพิ่งดื่มไวน์เข้าไป ถึงกับสำลักออกมา
“ไม่ใช่สิ เสิ่นเหลียง ปีนั้นที่ฉันไป ฉันให้คนมาช่วยดูแลเธอนะ แต่ฉันไม่ได้ให้เธอมาเลียนแบบการทะเลาะของฉันไปเป็นนักเลงที่โรงเรียนสักหน่อย…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเสิ่นเหลียงจ้องมองตาเขม็งด้วยสายตาอันเย็นชาจนเขาต้องหยุดพูดไปทันที
“หึ”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร เพียงแค่หัวเราะเยาะขึ้นมา จากนั้นลุกขึ้นและเดินไปด้านนอก
มู่น่อนน่อนเข้าใจคำพูดของเขาอย่างรวดเร็วขึ้นมาทันทีว่า “กลับบ้านไปแล้วค่อยจัดการเธอ”
หล่อนไม่อยากกลับบ้านแล้ว
แต่ หล่อนก็ไม่กล้าที่จะไม่กลับบ้าน
…
เฉินถิงเซียวขับรถด้วยความเร็วสูงตลอดทาง
เมื่อถึงหน้าประตูบ้าน มู่น่อนน่อนจับประตูรถและลงไปนั่งข้างถนน อาเจียนออกมาจนเวียนหัว
เฉินเจียฉินได้ยินเสียงรถก็รีบวิ่งออกมา เมื่อเห็นมู่น่อนน่อนเขาก็ทำท่าทางโล่งอก: “พี่น่อนน่อน ในที่สุดก็กลับมา พี่รู้บ้างไหม ก่อนหน้านี้ที่พี่ชายกลับบ้านมาแล้วไม่เจอพี่ ทำหน้าบึ้งตึงจนทำให้ฉันตกใจมาก…”
มู่น่อนน่อนค่อยๆลุกขึ้น พูดด้วยความโมโหอย่างอ่อนแรง: “ไม่ทำหน้าบึ้งตึง เขาก็ทำให้คนอื่นกลัวได้”
เมื่อพูดจบ หล่อนก็เงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียวที่ยืนอยู่ด้านหลังเฉินเจียฉิน
พูดอะไรลับหลังไม่ได้เลยจริงๆ
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ายืดหัวออกมาก็อันตราย จะหดหัวก็อันตราย ตัดหัวหล่อนไปก่อนเลยดีกว่า
จากนั้น หล่อนก็เดินตามเฉินถิงเซียวกลับไปที่ห้องนอน
อันที่จริงหล่อนยังรู้สึกสงสัยว่าตัวเองไปมีเรื่องทะเลาะด้านนอก ทำไมเฉินถิงเซียวถึงต้องโกรธมากขนาดนี้ด้วย?
เพราะเฉินถิงเซียวรู้สึกว่าหล่อนทำให้เขาต้องขายหน้า?
เฉินถิงเซียวเข้าไปในห้องนอน ถอดเสื้อคลุมออก จากนั้นหันหลังมาเห็นว่ามู่น่อนน่อนยังคงยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู จึงพูดเรียกด้วยเสียงแหบแห้ง: “มานี่”
มู่น่อนน่อนค่อยๆเดินไปช้าๆ เฉินถิงเซียวยื่นมือออกไปกดตัวหล่อนนั่งลงบนเตียง จากนั้นก็ยกมือขึ้นมา
มู่น่อนน่อนตั้งตัวได้กำลังจะหลบ แต่สุดท้ายกลับถูกเฉินถิงเซียวพูดขัดไว้ก่อน: “ทายา จะหลบทำไม!”
ตอนที่ 125 เธอเป็นเจ้าตัวยุ่งของฉัน
เมื่อครู่หลัวหยิงไม่เห็นว่ามู่น่อนน่อนใช้ขวดเบียร์นั้นฟาดไปที่หัวของผู้ชายคนนั้น จึงมองหน้ามู่น่อนน่อนด้วยความไม่เกรงกลัว: “เข้ามาสิ แทงหน้าฉันเลยสิ!”
มู่น่อนน่อนเผยอปากขึ้น ยื่นมือที่ถือขวดเบียร์ออกไป กำลังจะแทงไปที่หน้าของหลัวหยิง หล่อนตกตะลึงจนเบิกตากว้าง ยกมือขึ้นมาป้องหน้าของตัวเองไว้ ปากก็ยังกรีดร้องไม่หยุด
“ว๊าย!!”
เสียงกรีดร้องของหล่อนดังก้องไปทั่วทั้งห้อง แต่ขวดเบียร์ที่มู่น่อนน่อนถือไว้ก็ไม่ได้แทงโดนหล่อน
มู่น่อนน่อนยิ้มเย้ย พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย: “ก็แค่นั้นเอง!”
หลัวหยิงรู้สึกขายหน้ามาก สีหน้าแย่ลงทันที หล่อนไม่ได้ลุกขึ้นยืน แต่กลับส่งสายตาจิกกัดใส่ด้านหลังมู่น่อนน่อน
เมื่อมู่น่อนน่อนได้สติขึ้นมา หล่อนก็ถูกคนเข้ามาล้อมจากด้านหลังไว้ก่อน
ผ่านเรื่องเลวร้ายมามากขนาดนี้แล้ว เสิ่นเหลียงก็ได้สติขึ้นมาเยอะพอสมควรแล้ว
หล่อนลุกขึ้นมาจากนั้นก็จิกผมของหลัวหยิงเต็มแรง: “ให้ตายเถอะ! เรื่องระหว่างเธอกับฉันก็มาจัดการที่ฉันสิ ไปหาเรื่องเพื่อนฉันทำไม! เมื่อก่อนเธอชอบใส่ร้ายฉัน ฉันยังถือว่าโดนหมากัดไม่สนใจอะไร แต่วันนี้เธอมาหาเรื่องฉันเอง ถ้าฉันไม่ลงมือจัดการให้เด็ดขาดก็อย่ามาเรียกฉันเสิ่นเหลียง…”
พวกคนที่หลัวหยิงพามาด้วย จับตัวมู่น่อนน่อนไว้ และยังมีบางคนไปช่วยหลัวหยิง
แต่พวกเขาไม่สามารถดึงตัวเสิ่นเหลียงมาได้
มู่น่อนน่อนไม่ได้ใส่ซื่อ แน่นอนว่าหากโดนโจมตีต้องสู้คืนแน่นอน
ทันใดนั้นภายในห้องประชุมก็วุ่นวายขึ้นมาทันที มีบางคนที่ไม่อยากยุ่งอะไร จึงไปหลบอยู่ที่มุมหนึ่ง แต่กลับหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอไว้
คนที่สามารถเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงได้ ต้องชอบใจแน่นอน
แม้ว่าหลัวหยิงจะมีข่าวทางลบเยอะ แต่หล่อนก็ถือว่าสิ่งนี้สามารถสร้างชื่อเสียงให้หล่อนได้ ชื่อเสียงของเสิ่นเหลียงมีมากกว่าหลัวหยิงนิดหน่อย และเป็นไปในทางที่ดีอีกด้วย เมื่อทั้งสองทะเลาะตบตีกัน เรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ต้องตกเป็นข่าวใหญ่แน่นอน
ทันใดนั้นมีเสียงดัง “ปั้ง” ประตูห้องวีไอพีถูกคนเปิดออกจากด้านนอก
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงของคนที่พูดเป็นเสียงของผู้ชาย
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองเขา หล่อนรู้สึกคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้ เหมือนว่าจะเป็นผู้จัดการของผับแห่งนี้
เสียงตะโกนของผู้จัดการดังขึ้น คนในห้องจึงเงียบสงบลงทันที
เสิ่นเหลียงกำลังจิกหัวตบตีอยู่กับหลัวหยิงพอดี และเห็นได้ชัดว่าหลัวหยิงรู้จักผู้จัดการเป็นอย่างดี จึงร้องตะโกนขึ้น: “นายรีบเข้ามาสิ เอาผู้หญิงคนนี้ออกไป”
ผู้จัดการไม่มีท่าทีขยับ แต่หันกลับไปดูคนที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นพูดอย่างเคารพนอบน้อม: “ไม่ทราบว่าคนที่ประธานกู้ต้องการพบคือท่านไหนครับ?”
มู่น่อนน่อนหันหลังไปมอง บังเอิญเห็นกู้จือหยั่นเดินเข้ามาจากหน้าประตูพอดี
และในตอนนั้นเองมือของมู่น่อนน่อนยังถือขวดไวน์ที่ยังไม่เปิดไว้อีกด้วย ผมของหล่อนถูกชายคนหนึ่งจิกไว้ มืออีกข้างหนึ่งของหล่อนจับเสื้อของผู้หญิงอีกคนหนึ่งไว้…
พูดได้ว่าน่าอายมากๆ
ดูเหมือนว่ากู้จือหยั่นตกตะลึงไปทันที จากนั้นพูดตะโกนขึ้น: “ปล่อยเดี๋ยวนี้!”
เขาเพียงแค่รู้ว่ามู่น่อนน่อนทำอาหารอร่อย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหล่อนจะมีความสามารถจัดการเรื่องได้มากขนาดนี้
แน่นอนว่าคนพวกนั้นรู้จักกู้จือหยั่น จึงต่างพากันปล่อยมู่น่อนน่อนออก
มู่น่อนน่อนหันหลังไปถีบผู้ชายที่จิกผมเธอไว้อย่างเต็มแรง: “ไม่รู้หรือไงว่าห้ามจับผมผู้หญิงเล่นแบบนี้?”
ผู้ชายคนนั้นเจ็บจนกระโดดไปมา แต่กล้าทำได้เพียงจ้องหน้ามู่น่อนน่อน ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ
ทันใดนั้น หลัวหยิงที่กำลังทะเลาะตบตีอยู่กับเสิ่นเหลียงร้องขึ้นด้วยความออดอ้อน: “ประธานกู้…”
เพราะมู่น่อนน่อนยืนอยู่ เมื่อกู้จือหยั่นเดินเข้ามาจึงเห็นมู่น่อนน่อนก่อน
จากเสียงของหลัวหยิงที่พูดว่า “ประธานกู้…” เขาจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าเสิ่นเหลียงขึ้นคร่อมอยู่บนตัวของหลัวหยิง…
เขาขมวดคิ้วเข้าหากันเพิ่มมากขึ้น เดินเข้าไปดึงเสิ่นเหลียงขึ้นมา
เมื่อเสิ่นเหลียงยืนขึ้นก็สะบัดมือเขาออกอย่างเต็มแรง
หลัวหยิงเป็นนักแสดงที่เซ็นสัญญาในสังกัดของเสิ้งติ่ง หล่อนรู้ดีว่าบริษัทนายหน้าของเสิ่นเหลียงกับเสิ้งติ่งเป็นคู่แข่งที่มีข้อบาดหมางกันมาก หล่อนจึงรู้สึกว่ากู้จือหยั่นต้องมาช่วยตัวเองแน่นอน
หล่อนลุกขึ้นนั่งเอามือปิดหน้าและร้องไห้ด้วยความทุกข์ใจ: “ประธานกู้ ฉันเพียงแค่อยากมาดื่มกับครูเสิ่นเหลียงเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าครูเสิ่นเหลียงจะดื่มหนักมากจนลงไม้ลงมือแบบนี้…”
หล่อนร้องไห้ด้วยท่าทีจริงใจมาก พูดเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องจริง
กู้จือหยั่นเหลือบมองดูเสิ่นเหลียง สภาพของเสิ่นเหลียงก็ไม่ดีเท่าไหร่ ผมกระเซิง เครื่องสำอางบนใบหน้าก็จางหายไปหมด บนคอและใบหน้ายังมีรอยแดงจากการโดนเล็บข่วนอย่างชัดเจน
สีหน้าของเขานิ่งไปทันที
ตั้งแต่มู่น่อนน่อนรู้จักกับกู้จือหยั่นมา เคยเห็นเขาใส่แว่นตาทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่น่าไว้ใจ เคยเห็นเขาทำตัวเป็นสุนัขรับใช้ต่อหน้าเฉินถิงเซียว นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เห็นเขาทำสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนเฉินถิงเซียว
เขาก้มลงมองหลัวหยิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “หลัวหยิง เธอรู้ไหมว่าเสิ่นเหลียงเป็นใคร?”
“เธอคือ…คือใครเหรอ…” ตอนนี้หลัวหยิงเริ่มรู้สึกผิดปกติ จึงเงยหน้ามองกู้จือหยั่น
มู่น่อนน่อนเพิ่งสังเกตเห็นว่าหน้าของหล่อนบวมขึ้นมา บนหน้ายังมีรอยจ้ำเลือดอีกไม่น้อย คงเป็นเพราะเกิดจากตอนที่เสิ่นเหลียงใช้เล็บจิก ซึ่งดูหนักกว่าเสิ่นเหลียงมาก
กู้จือหยั่นขยับปากขึ้น แต่กลับไม่มีรอยยิ้มปรากฏให้เห็น: “เธอเป็นเจ้าตัวยุ่งของฉัน”
น้ำเสียงแหบแห้งของเขาเบามาก แต่หลัวหยิงที่ได้ยิน กลับรู้สึกกึกก้องไปทั้งหู
เมื่อพูดจบ เขาเงยหน้ากวาดสายตามองผู้คนรอบห้อง จากนั้นสายตาหันไปหยุดอยู่ที่ผู้หญิงสองคนที่หลบอยู่ในมุมด้านข้าง
สีหน้าท่าทางของผู้หญิงทั้งสองดูเหมือนทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัว กู้จือหยั่นเลิกคิ้วขึ้น: “ส่งมือถือมา”
สีหน้าของผู้หญิงทั้งสองเปลี่ยนไปทันที เพราะรู้ว่ากู้จือหยั่นเป็นใคร จึงไม่กล้าพูดอะไรมาก และยอมส่งมือถือให้เขาทันที
“คนที่เหลือ ไปแจ้งตำรวจได้ พวกเราคนของเสิ้งติ่ง มีเรื่องที่ผับของพวกนาย พวกนายต้องชดใช้ให้ฉัน” กู้จือหยั่นหันไปมองผู้จัดการ
ผู้จัดการพยักหน้าลง: “ครับ ผมจะให้เถ้าแก่ของพวกเราชดใช้ให้ประธานกู้อย่างพึงพอใจที่สุด”
กู้จือหยั่นหันไปมองเสิ่นเหลียง น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น: “พวกเราไปกันเถอะ”
เสิ่นเหลียงกระแอมขึ้น จ้องหน้าเขา กำลังก้าวขาเดินออกไปด้านนอก
มู่น่อนน่อนก็รีบเดินตามมา
หล่อนกับเสิ่นเหลียงไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ จากนั้นจัดเสื้อให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
หลังจากที่เสิ่นเหลียงล้างหน้าเสร็จ ยังมีรอยแดงอยู่บนใบหน้าหลงเหลืออยู่เล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับเลือดออก ดูเหมือนคนไม่เป็นอะไร
แต่หน้าผากของมู่น่อนน่อนกลับบวมเป่งเป็นก้อนใหญ่ ดูแล้วน่ากลัวมาก
“เป็นอะไรรึเปล่า? ทำไมบวมเป็นก้อนใหญ่ขนาดนี้ล่ะ?” เสิ่นเหลียงใช้มือจับเบาๆ ไม่กล้าออกแรงมาก: “ใครหน้าไหนทำเธอแบบนี้ ฉันจะไปเอาคืนให้สาสม”
“พอแล้ว ใจเย็นหน่อย เธอเก่งกว่าคนอื่นอยู่แล้ว” มู่น่อนน่อนส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ
เสิ่นเหลียงลูบจมูกไปมา เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นเพราะหล่อนทั้งนั้น
ตอนที่ทั้งสองออกมาจากห้องน้ำ ก็เห็นกู้จือหยั่นรออยู่ด้านนอก
กู้จือหยั่นเดินเข้ามา กำลังจะจับไปที่ใบหน้าของเสิ่นเหลียง: “ขอฉันดูแผลบนหน้าเธอหน่อย”
“แผลอะไรกัน ไม่มี” เสิ่นเหลียงสะบัดมือเขาออกเต็มแรง สีหน้าไม่พอใจอย่างมาก
มู่น่อนน่อนยิ้มเยาะ กำลังจะก้าวขาเดินไปข้างหน้า ไม่รบกวนพื้นที่ส่วนตัวของพวกเขา
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงของฝีเท้าที่ก้าวมาอย่างหนักแน่น
หล่อนเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเงาร่างสูงใหญ่ของเฉินถิงเซียวปรากฏอยู่ที่ทางเลี้ยว
แต่ทว่า สีหน้าของเขา…ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
ตอนที่ 124 ถ้าไม่อยากเสียโฉมก็ออกไปเดี๋ยวนี้
เสิ่นเหลียงทำงานคลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิงมาหลายปี ไม่ได้เข้าหาหรือจัดการกับหล่อนได้ง่ายดายมากนัก
เพียงแค่ เสิ่นเหลียงในตอนนี้ดื่มจนเริ่มเมาแล้ว
แอลกอฮอล์เริ่มออกฤทธิ์ เส้นประสาทเริ่มชา จนทำให้ขาดสติไปอย่างสิ้นเชิง
เสิ่นเหลียงจับมือของมู่น่อนน่อนไว้และลุกขึ้น ยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ทำท่าทางเป็นสาวอำนาจใหญ่: “ผองเพื่อนทั้งหลายในที่แห่งนี้…วันนี้พวกเธอ…ถ้าใครไม่เมาไม่ต้องคิดจะออกไป…”
มู่น่อนน่อนเม้มปากแน่น เสิ่นเหลียงสูญเสียความเป็นตัวเองไปหมดแล้ว ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น หล่อนคงไม่รู้ด้วยซ้ำ
เมื่อหลัวหยิงเห็นท่าทางเช่นนี้ของเสิ่นเหลียงจึงยิ้มเยาะออกมา
วันนี้เสิ่นเหลียงไม่ต้องคิดจะออกจากที่นี่ไปอย่างปลอดภัยได้อีกแล้ว
แม้ว่าเสิ่นเหลียงจะเป็นเพียงแค่นักแสดงประกอบตัวรอง หน้าตาและฝีมือการแสดงของหล่อนล้วนแล้วแต่เป็นที่ยอมรับของผู้ชมที่ได้เห็น ดังนั้นจึงมีแฟนคลับกลุ่มประจำที่คอยติดตามเสมอ
และด้วยเหตุนี้ หล่อนจึงไม่ต้องไปคอยดื่ม พูดคุย หรือขึ้นเตียง ก็สามารถได้เล่นละครชั้นดีได้
ต้องเข้าใจว่า บทละครชั้นดี แม้ว่าจะเป็นแค่ตัวประกอบก็มีความโดดเด่นได้มากเช่นกัน ทำให้ผู้ชมจดจำง่าย อาจจะทำให้โด่งดังอย่างทันทีทันใดก็เป็นได้
ขอบเขตละครของเสิ่นเหลียงเรียบง่ายและเปิดกว้าง
และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้หลัวหยิงไม่ชอบเสิ่นเหลียง
สามารถพูดได้ว่าหล่อนกับเสิ่นเหลียงแจ้งเกิดในวงการพร้อมกัน แต่เสิ่นเหลียงเข้ามาด้วยเส้นทางใสสะอาดมาโดยตลอด แต่หล่อนกลับพึ่งการประจบประแจงผู้กำกับและมากับการได้เล่นละคร
หลัวหยิงหันไปมองด้านหลัง จากนั้นส่งสายตาบอกคนพวกนั้น: “โอเค เสิ่นเหลียงพูดมาขนาดนี้แล้ว พวกเธอมัวทำอะไรกันอยู่ล่ะ?”
เมื่อหล่อนพูดจบ คนกลุ่มนั้นต่างพากันเดินเข้ามาทันที
ทั้งชายหญิงรวมกันประมาณเจ็ดถึงแปดคน
มู่น่อนน่อนลังเลอยู่สักพัก จากนั้นหยิบมือถือออกมาส่งข้อความทางวีแชทหาเฉินเจียฉิน: “พี่ชายนายกลับบ้านแล้วยัง?”
เฉินเจียฉินตอบกลับอย่างรวดเร็ว: “ยังไม่กลับ”
หลัวหยิงแสดงเจตนาชัดเจนว่ามาหาเรื่องเสิ่นเหลียง เดี๋ยวต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแน่นอน
มู่น่อนน่อนเดินไปทางด้านข้าง จากนั้นโทรหาเฉินถิงเซียว
ระหว่างรอให้สายติด มู่น่อนน่อนคิดเหม่อลอยขึ้นมา ตอนนี้ระหว่างหล่อนกับเฉินถิงเซียวเป็นอะไรกันแน่?
ตอนแรกที่หล่อนคิดว่าเฉินถิงเซียวเป็น ‘คนไร้ประโยชน์’ ในใจกลับยอมรับให้ตัวเองเป็นภรรยาของเขาได้อย่างเปิดกว้าง
แต่ตอนนี้ หลังจากที่เฉินถิงเซียว “กลายเป็นคนปกติ” ใจของมู่น่อนน่อนกลับเกิดความรู้สึกไม่ชอบตัวเองในฐานะ “ภรรยาของเฉินถิงเซียว”
หรือเป็นเพราะการหลอกลวงของเฉินถิงเซียว ที่ลึกซึ้งจนไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลย
เขาเก็บความลับไว้เยอะมาก โหดเหี้ยมดุร้ายจนทำให้คนหวาดกลัว สัญชาตญาณในการหลบหลีกอันตรายทำให้มู่น่อนน่อนตัดสินใจห่างกับเขา
แต่เมื่อถึงเวลาเช่นนี้ คนที่เธอคิดถึงเป็นคนแรก กลับมีเพียงเฉินถิงเซียว
เสียงรอสายดังขึ้นสองสามครั้งจึงถูกรับสาย
“มู่น่อนน่อน”
เสียงของเฉินถิงเซียวนิ่งขรึมเล็กน้อย ฟังแล้วทำให้คนฟังรู้สึกสบายใจ
มู่น่อนน่อนกำลังจะพูด ทันใดนั้นมือถือก็ถูกใครบางคนแย่งไป
เมื่อหล่อนหันกลับมามอง พบว่าคนที่แย่งมือถือของตัวเองไปก็คือหลัวหยิง
“เอามือถือคืนมาให้ฉัน” มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว ไม่พอใจที่คนอื่นเอาของตัวเองไปอย่างไร้มารยาทมาก
“ยังไงก็ออกมาเที่ยวสนุกกันอยู่แล้ว ไม่ต้องเล่นมือถือแล้วแหละ น่าเบื่อจะตายไป” หลัวหยิงยิ้มและปิดมือของหล่อนไปทันที จากนั้นเงยหน้าขึ้น โยนมือถือของหล่อนไปให้ผู้ชายด้านข้าง และพูดขึ้นต่อ: “คุณผู้หญิงท่านนี้เป็นถึงเพื่อนของเสิ่นเหลียง ต้องดูแลเธอดีๆล่ะ อย่าเพิกเฉยกับเธอ”
ผู้หญิงที่หลงตัวเองเหมือนมู่หวั่นขีอีกคน
มู่น่อนน่อนทำสีหน้าเย็นชา พูดติดๆขัดๆ: “เอามือถือคืนมาให้ฉัน”
แน่นอนว่าหลัวหยิงรู้ดีว่าหล่อนต้องโทรไปขอความช่วยเหลือ จึงไม่มีทางคืนมือถือให้หล่อน
หลัวหยิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน หันหลังไปพูดกับผู้ชายที่อยู่ด้านหลัง: “พวกนายไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันพูดเหรอ?”
“ได้ยินแล้วครับ” ผู้ชายที่อยู่ด้านหลังหลัวหยิงรีบเดินขึ้นมา ยื่นมือออกไปจะดึงแขนมู่น่อนน่อน: “คนสวย มาสนุกด้วยกันสิ”
มู่น่อนน่อนหันข้าง หลบแขนผู้ชายคนนั้น รู้ว่าพวกเขาไม่มีทางคืนมือถือให้แน่นอน จึงไม่พูดอะไรมา เดินปรี่ตรงไปหาเสิ่นเหลียงทันที
ด้านซ้ายของเสิ่นเหลียงมีผู้หญิงนั่งอยู่หนึ่งคน และด้านขวามีผู้ชายนั่งอยู่อีกหนึ่งคน
ฝ่ายชายยังมีหน้าตาเหมือนหนุ่มน้อยวัยละอ่อน ดูใสซื่อ แต่สายตากลับดูเหมือนนักเลง เห็นแล้วทำให้รู้สึกไม่ชอบ
มือข้างหนึ่งของเขายังพาดมาทางด้านหลังโซฟาที่เสิ่นเหลียงนั่งอยู่ ทำท่าทีราวกับจะมาโอบเสิ่นเหลียง
มู่น่อนน่อนยิ้มเยาะ แม้ว่าหล่อนจะรู้ดีว่ากู้จือหยั่นไม่ใช่คนดีอะไร แต่อย่างน้อยตอนที่เขาให้พวกยามมาขัดขวางเสิ่นเหลียงไว้ ยังกำชับพวกเขาว่าห้ามทำให้หล่อนได้รับบาดเจ็บ
ยังดูดีกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเยอะเลย
เด็กหนุ่มคนนั้นรู้สึกได้ว่ามู่น่อนน่อนกำลังจ้องมองเขาอยู่ จึงหันหน้ามายิ้มด้วยท่าทีหลงตัวเอง จากนั้นยกแก้วไวน์ในมือขึ้น
มู่น่อนน่อนทำสีหน้าเย็นชา เดินตรงไปผลักเขาทันที: “นั่งออกไปไกลๆหน่อย”
เด็กหนุ่มละอ่อนไม่ทันตั้งตัว ถูกหล่อนผลักจนเซ และล้มลงไปบนพื้น
มู่น่อนน่อนพูดอย่างไม่พอใจ: “ขอโทษนะ นายดูหุ่นดีมากเลยนะ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะอ่อนแอขนาดนี้”
เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น สบถด้วยความไม่พอใจ ลุกขึ้นมาจากพื้น จากนั้นเขวี้ยงแก้วในมือลงไปบนพื้นอย่างเต็มแรง ชี้หน้าด่ามู่น่อนน่อน: “เธอเป็นใคร อย่ามาทำให้ฉันขายหน้า!”
ตอนนี้มู่น่อนน่อนไม่ได้คลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิง จึงไม่รู้จักเขา แค่คิดว่าเขาเป็นแค่คนนอกทั่วไป
“แกมันเป็นใครกัน!” ทันใดนั้นเสิ่นเหลียงก็กระโดดขึ้นมาจากโซฟา
รีบกระโดดมากเกินไปจึงทำให้ล้มลง มู่น่อนน่อนรีบยื่นมือเข้าไปประคองหล่อนขึ้นมาทันที
ทันใดนั้นเอง หนุ่มน้อยก็ยกแก้วไวน์ขึ้นมาทำท่าทางเหมือนจะสาดไปบนตัวของเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงนั่งอยู่บนโซฟา ไม่มีท่าทีจะหลบออกแต่อย่างใด มู่น่อนน่อนจึงหันไปขวางหน้าเสิ่นเหลียง
โชคดีที่เสื้อที่ใส่ในฤดูหนาวค่อนข้างหนา เบียร์อันแสนเย็นยะเยือกสาดโดนหลังของหล่อน แต่ไม่กระเด็นเข้าหลังของหล่อนแม้แต่น้อย
เมื่อหลัวหยิงเห็นเช่นนี้ จึงปรบมือด้วยท่าทีเยาะเย้ย: “สองสาวคู่นี้รักกันมากจริงๆเลยนะ”
เสิ่นเหลียงที่ถูกมู่น่อนน่อนขวางอยู่ด้านหน้า เริ่มมีสติมากขึ้น
หล่อนลุกขึ้นมาจากโซฟา มองไปที่หลัวหยิง: “เธอคิดว่าที่ผ่านมาฉันแย่งบทละครของเธองั้นเหรอ? ฉันจะบอกความจริงให้นะ ผู้กำกับไม่คิดจะเอาบทนี้ให้เธอเล่นด้วยซ้ำ ผู้จัดการส่วนตัวของฉันคุยกับพวกเขามาก่อนหน้าตั้งนานแล้ว”
“เธอพูดเพ้อเจ้อ!”
หลัวหยิงถือว่าสิ่งที่เสิ่นเหลียงพูดเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น จึงเดินเข้าไปยกมือจะตบหน้าเสิ่นเหลียง
แต่ระหว่างนั้นกลับถูกมู่น่อนน่อนจับมือไว้ได้เสียก่อน
“เธอออกไป! นี่เป็นเรื่องระหว่างฉันกับเสิ่นเหลียง!”
“นี่เป็นห้องที่ฉันจองไว้ เธอนั่นแหละออกไป!” เสิ่นเหลียงง้างมือขึ้นตบไปที่หน้าของหลัวหยิง
มู่น่อนน่อนเริ่มปวดหัว
หลัวหยิงจับหน้าของตัวเอง กรีดน้องเสียงดังเดินปรี่ตรงเข้าไปหาเสิ่นเหลียง: “เสิ่นเหลียง!”
มู่น่อนน่อนเห็นท่าไม่ดี จึงเข้าไปช่วยเสิ่นเหลียง แต่กลับถูกใครบางคนจับตัวไว้
มือของผู้ชายฉุดรั้งแขนของหล่อนไว้: “เรื่องระหว่างพี่หยิงกับเสิ่นเหลียง เธอไม่ต้องไปยุ่ง มาเล่นสนุกกับพวกพี่ดีกว่า”
มู่น่อนน่อนขยับปากและยิ้มขึ้น
ตาของหล่อนสวยมาก เมื่อยิ้มขึ้นมาช่างมีเสน่ห์ดึงดูดน่าหลงใหลเหลือเกิน พวกผู้ชายเห็นแล้วต้องใจสั่นกันไปตามๆกัน
มู่น่อนน่อนฉวยโอกาสหนีออกมา หยิบขวดเบียร์บนโต๊ะขึ้นมา จากนั้นก็ทุบลงบนหัวของพวกผู้ชาย
ขวดเบียร์แตกกระจายไปทันที
หัวของผู้ชายที่ถูกขวดเบียร์ฟาด มีเลือดไหลลงมาจากหน้าผาก
มู่น่อนน่อนไม่สนใจเขาสักนิด รีบเดินเข้าไป จากนั้นผลักหลัวหยิงที่คร่อมอยู่บนตัวของเสิ่นเหลียงออก และใช้เศษขวดแก้วชี้หน้าหล่อนไว้: “ถ้าไม่อยากเสียโฉมก็ออกไปเดี๋ยวนี้!”
ตอนที่ 123 ก่อเรื่อง
สาเหตุที่เสิ่นเหลียงยอมเซ็นสัญญากับบริษัทนายหน้าแห่งนี้ เป็นเพราะที่นี่ผูกขาดกับบริษัทสื่อของเสิ้งติ่ง
แต่หล่อนกลับคิดไม่ถึงเลยว่า บริษัทของพวกเขาจะไร้ยางอายขนาดนี้ เก็บเงินบริษัทสื่อของเสิ้งติ่งไปอย่างไร้เยื่อใย และขายหล่อนให้บริษัทสื่อของเสิ้งติ่งดื้อๆ
มู่น่อนน่อนก็รู้สึกประหลาดใจ: “มีเรื่องแบบนี้ด้วย?”
“ฉันจะไปฆ่ากู้จือหยั่นเดี๋ยวนี้ เธอช่วยเอามีดมาให้ฉันหน่อย” สีหน้าของเสิ่นเหลียงโมโหมาก พลางเหยียบคันเร่ง และพูดโวยวายขึ้น
มู่น่อนน่อน: “…”
เวลาเสิ่นเหลียงโมโหมากมักจะพูดอะไรเพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อย แน่นอนว่ามู่น่อนน่อนก็ฟังไปผ่านๆไม่ได้คิดอะไรมาก
แต่ทว่า หล่อนกลับสังเกตเห็นว่าเส้นทางที่รถขับไปอยู่ในตอนนี้ เป็นเส้นทางที่ไปบริษัทสื่อของเสิ้งติ่งจริงๆ
มู่น่อนน่อนหันไปมองหล่อน เห็นว่าหล่อนยังคงมีท่าทางใจร้อนอยู่: “เธอจะไปบริษัทเสิ้งติ่งจริงเหรอ?”
“ไปจริงสิ!” เสิ่นเหลียงขยับปากขึ้น ยิ้มอย่างนางร้ายในละคร
“พวกเธอมีเรื่องอะไรกัน คุยกันดีๆไม่ได้เหรอ?”
“ฉันจะไปคุยกับเขาเดี๋ยวนี้!”
ท่าทางของเสิ่นเหลียงในตอนนี้เหมือนคนจะไปคุยดีๆกับกู้จือหยั่นที่ไหนกันล่ะ นี่จะไปหาเรื่องเขาชัดๆ
สุดท้ายมู่น่อนน่อนก็ห้ามเสิ่นเหลียงไว้ไม่ได้
หลังจากที่เสิ่นเหลียงจอดรถเรียบร้อยแล้ว จึงลงจากรถและปิดประตูอย่างเต็มแรง จากนั้นก็วิ่งเข้าไปในบริษัทสื่อเสิ้งติ่ง
เพียงแต่ หล่อนยังไม่ทันได้เข้าไปก็ถูกยามขวางไว้เสียก่อน: “คุณผู้หญิงครับ ไม่ทราบว่ามาหาใครครับ?”
“นายไม่ต้องมายุ่งว่าฉันมาหาใคร” เสิ่นเหลียงกำลังโมโหมาก จึงผลักยามออกไปและวิ่งเข้าไปด้านใน
ทันใดนั้น ยามก็วิ่งเข้ามาทันที มองดูเสิ่นเหลียง และดูมือถือของตัวเอง: “ขอโทษครับคุณผู้หญิง คุณเข้าไปไม่ได้นะครับ”
เสิ่นเหลียงยักคิ้วขึ้น: “ไม่ให้ฉันเข้าไป?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก เมื่อก่อนเสิ่นเหลียงเป็นนักเลงชื่อดังของโรงเรียน เป็นนักสู้ฝีมือดี นี่หล่อนกำลังจะมีเรื่องทะเลาะจริงๆ
หล่อนจึงรีบเข้าไปดึงเสิ่นเหลียงไว้: “นี่เราอยู่ที่บริษัทนะ อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามสิ”
เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเหลียงโมโหจนขาดสติ ถกแขนเสื้อขึ้นมาโดยไม่ห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองแม้แต่น้อย: “ยังไงตอนนี้ฉันก็เป็นนักแสดงเซ็นสัญญาในสังกัดบริษัทเสิ้งติ่งแล้ว ถ้าฉันมีเรื่องทะเลาะที่นี่ เสิ้งติ่งก็ต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบให้ฉันอยู่ดี”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเหตุผล
อีกอย่าง กู้จือหยั่นทำแบบนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง
ดังนั้น หล่อนจึงไม่ห้ามเสิ่นเหลียงอีกต่อไปแล้ว
เสิ่นเหลียงมีฝีมือเก่งฉกาจ ไม่นานนักก็ปราบยามที่เข้ามาล้อมไว้ได้สำเร็จ
แต่มู่น่อนน่อนที่ยืนอยู่ด้านข้างมองออกว่า พวกยามเหล่านี้กำลังอ่อนข้อให้หล่อน เพราะกลัวจะทำให้หล่อนได้รับบาดเจ็บ
เสิ่นเหลียงปรบมือ ท่าทางเหมือนนักเลงขาดสติ: “ตอนนี้จะให้ฉันไปหากู้จือหยั่นได้แล้วยัง?”
“วันนี้พวกเขาไม่มีทางให้เธอได้พบกู้จือหยั่นแน่นอน” มู่น่อนน่อนหยิบมือถือขึ้นมาจากพื้น ยื่นให้เสิ่นเหลียง
บนหน้าจอมือถือมีข้อความในที่คุยกันในกลุ่มวีแชทปรากฏขึ้น
บนนั้นมีรูปของเสิ่นเหลียง พร้อมข้อความที่เขียนว่า: “เบื้องบนรับสั่ง วันนี้ผู้หญิงคนนี้จะมาหาประธานกู้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามห้ามให้เธอขึ้นมา และห้ามให้เธอได้รับบาดเจ็บ”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คำสั่งนี้ต้องมาจากกู้จือหยั่นแน่นอน
กู้จือหยั่นซื้อตัวเสิ่นเหลียงมาจากบริษัทนายหน้าก่อนหน้านี้ของหล่อน แน่นอนว่าต้องคาดเดาได้ว่าเสิ่นเหลียงจะต้องมาหาเขา ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งไว้ก่อนล่วงหน้า
มู่น่อนน่อนรู้ดี ในฐานะที่เป็นเพื่อนสนิท ตอนนี้เธอต้องช่วยเสิ่นเหลียงต่อว่ากู้จือหยั่นจึงจะถูก
แต่ทว่า ตอนนี้หล่อนอยากจะยิ้มออกมาอย่างอธิบายไม่ถูก
เสิ่นเหลียงพูดด่าออกมาด้วยความโกรธเคือง: “เวรเอ้ย!”
จากนั้นก็ดึงมู่น่อนน่อนออกไป
ภายในรถ มู่น่อนน่อนพูดขึ้น: “กู้จือหยั่นเข้าใจเธอมากจริงๆ”
เสิ่นเหลียงพูดด้วยความโกรธ: “ตอนเด็กๆเขายังเป็นคนเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ฉัน จะไม่เข้าใจฉันได้ยังล่ะ?”
“…งั้นก็ต้องเข้าใจเธอมากสิ” มู่น่อนน่อนพูดพลางฝืนยิ้มไว้
โชคดีที่เวลาตอนที่เสิ่นเหลียงพูดคุยกับหล่อนแล้วจะพูดอะไรโดยไม่ถือสาเช่นนี้
“ตอนเด็กๆพวกเราอยู่พักอยู่ในตึกใหญ่หลังเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลดีมาก เพียงแค่ต่อมาเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย…” สีหน้าของเสิ่นเหลียงนิ่งไปทันที ไม่พูดอะไรต่อ
มู่น่อนน่อนก็ไม่ถามอะไรเพิ่มเติมอีก หล่อนไม่ค่อยชอบฟังเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเท่าไหร่นัก
เสิ่นเหลียงดูภายนอกเป็นคนโวยวายโผงผาง มีเรื่องอะไรไม่เก็บเรื่องอะไรไว้ในใจ แต่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยพูดเรื่องกู้จือหยั่นให้มู่น่อนน่อนฟังเลย คงเป็นเพราะทุกข์ใจมาก จึงลำบากที่จะพูดออกมา
….
เสิ่นเหลียงขับรถพามู่น่อนน่อนไปที่บาร์แห่งหนึ่ง
ผับแห่งนี้เป็นผับของคนในวงการบันเทิง ลูกค้าที่มาใช้บริการส่วนใหญ่เป็นพวกดาราศิลปิน จึงมีการเก็บความลับที่ดีมาก
เสิ่นเหลียงเปิดห้องวีไอพี นั่งดื่มกับมู่น่อนน่อนพลางด่ากู้จือหยั่น
มู่น่อนน่อนหัดดื่มมาจากเสิ่นเหลียง ทั้งสองดื่มด้วยกันอย่างไม่มีกฎเกณฑ์อะไรทั้งนั้น
แต่หล่อนรู้ดีว่าถ้าเสิ่นเหลียงอารมณ์ไม่ดีจะต้องดื่มไม่ยั้งแน่นอน หล่อนจึงต้องดื่มให้น้อย เพื่อที่จะไปส่งเสิ่นเหลียงได้อย่างมีสติ
ตอนที่ทั้งสองดื่มมาได้ถึงครึ่งทาง ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก
ผู้หญิงยืนสวมชุดหลายดอกตระการตายืนอยู่หน้าประตูห้อง สายตามองตรงไปที่เสิ่นเหลียง จากนั้นยักคิ้วให้และยิ้ม: “เสิ่นเหลียงจริงด้วย เมื่อครู่ได้ยินคนบอกว่าเจอเธอที่นี่ ฉันยังไม่เชื่อ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเธอจริงๆ”
ผู้หญิงคนนั้นพูดพลาง เดินตรงเข้ามาหาพวกมู่น่อนน่อน
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ มู่น่อนน่อนจึงเริ่มรู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้
เธอคิดว่าเสิ่นเหลียงรู้จัก จึงผลักไหล่เสิ่นเหลียง
ตอนนี้เสิ่นเหลียงเริ่มเมาจนสะลึมสะลือ หรี่สายตามองดูผู้หญิงคนนั้น ผ่านไปสักพักจึงพูดขึ้น: “เธอคือใคร?”
ผู้หญิงคนนั้นทำสีหน้าเหมือนคิดไม่ถึงว่าเสิ่นเหลียงจะไม่รู้จักเธอ หน้าจึงถอดสีไปทันที จากนั้นก็ยืดคอขึ้นและพูด: “ฉันคือหลัวหยิง”
หลัวหยิง?
มู่น่อนน่อนนึกขึ้นมาได้ มักจะเห็นชื่อนี้บนกระทู้ที่ได้รับความนิยมสูงบ่อยๆ และยังมีข่าวบันเทิงขึ้นตามหน้าเว็บต่างๆอีกด้วย จึงทำให้เห็นชื่อหลัวหยิงอยู่บ่อยๆ
เป็นดาราที่มีกระแสดังมากคนหนึ่งในตอนนี้
แต่ทว่า ตัวจริงกับรูปภาพต่างกันมากพอสมควร
เสิ่นเหลียงครุ่นคิดสักพัก เหมือนคิดขึ้นได้ว่ามีคนนี้จริงๆ จึงพยักหน้าลง: “อ๋อ ขอโทษนะ วันนี้เธอแต่งหน้าค่อนข้างเยอะ ฉันก็เลยจำไม่ได้ เธอ…”
สีหน้าของหลัวหยิงจึงดูดีขึ้น
แต่ต่อมา เสิ่นเหลียงกลับพูดขึ้นต่อ: “เธอไม่ค่อยเหมือนตอนที่เจอกับฉันเมื่อครั้งที่แล้ว เธอไปเหลาขากรรไกรมาเหรอ?”
เมื่อหลัวหยิงได้ยินเช่นนั้น จึงตกใจจนรีบจับหน้าของตัวเอง สายตามองเสิ่นเหลียงด้วยความโกรธราวกับจะกัดกินหล่อน
มู่น่อนน่อนเห็นชัดเจนว่าหลัวหยิงไม่ได้มาดี หล่อนจึงเดินเข้าไปขวางหน้าเสิ่นเหลียงไว้: “ขอโทษนะคะ เธอดื่มมากไป”
หลัวหยิงหรี่ตามองเธอ: “เธอคือใคร?”
มู่น่อนน่อนกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่จู่ๆก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
“พี่หลัวหยิง อยู่ที่นี่เหรอ พวกเราหาพี่ไปทั่วแล้วเนี่ย!”
หลัวหยิงหันหลังไป หัวเราะเยาะ: “พวกเธอทายซิว่าฉันเจอใคร?”
คนกลุ่มนั้นเดินเข้ามา ผู้ชายที่เดินนำหน้ามาพูดด้วยท่าทีประหลาด: “ว้าว นี่เสิ่นเหลียงนี่นา”
มู่น่อนน่อนเลิกคิ้วขึ้น หลัวหยิงตั้งใจมาหาเรื่องเสิ่นเหลียงชัดๆ
“พวกเราเป็นเพื่อนกันทั้งนั้น นั่งดื่มกันสักแก้วเธอคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม? เสิ่นเหลียง?” หลัวหยิงยิ้มเริงร่าหันไปมองเสิ่นเหลียง และไม่ปกปิดความคิดที่จ้องจะเอาคืน
เสิ่นเหลียงเคยแย่งบทแสดงของหล่อนมาก่อน
หล่อนพยายามมาอย่างยากเย็นแสนเข็ญกว่าจะได้มีบทบาท แต่จู่ๆกลับถูกเสิ่นเหลียงแย่งไปซึ่งหน้า!
ตอนที่ 122 ฉันเชื่อในความสามารถของเธอ
หลังจากการประชุมจบลง มู่ลี่เหยียนก็หันหน้าไปคุยกับมู่น่อนน่อน: “น่อนน่อน เดี๋ยวเธอไปที่ห้องทำงานฉันหน่อย”
“โอเคค่ะ”
มู่น่อนน่อนรู้ดีแก่ใจว่ามู่ลี่เหยียนให้หล่อนไปทำอะไร
ตอนประชุมเมื่อครู่ ผู้บริหารที่เสนอให้ซือเฉิงหยู้เป็นพรีเซนเตอร์สินค้า สายตาของมู่ลี่เหยียนก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที
เห็นได้ชัดว่า มู่ลี่เหยียนหวั่นไหวกับข้อเสนอนี้มาก
มู่น่อนน่อนเดินออกไปนอกห้องประชุมก็ถูกมู่หวั่นขีที่รออยู่ที่หน้าประตูอยู่ก่อนแล้วขวางทางไว้
“พี่มีธุระอะไรรึเปล่าคะ?” น้ำหอมบนตัวมู่หวั่นขีกลิ่นฉุนอบอวลไปทั่ว จนทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไหร่ จากนั้นจึงเดินถอยหลังกลับไป
ถึงแม้ว่าสีหน้าของหล่อนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่มู่หวั่นขียังรู้สึกได้ถึงว่ามู่น่อนน่อนไม่ค่อยชอบใจเธอเท่าไหร่
สีหน้าของหล่อนนิ่งขรึมขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงดุดัน: “มู่น่อนน่อน อย่าคิดว่าเธอพูดโน้มน้าวให้เฉินถิงเซียวช่วยบริษัทมู่ซื่อผ่านวิกฤตนี้ไปได้สำเร็จ แล้วจะได้จะกลายเป็นที่รักของพ่อ แล้วเธอก็จะรู้สึกภูมิใจมาก อย่าลืมล่ะว่าทั้งหมดนี้ใครเป็นคนให้เธอ!”
ช่วงนี้ ความรู้สึกที่มีตัวตนอยู่ในบริษัทของหล่อนลดลงจนแทบจะไม่มีเหลืออีกแล้ว
พนักงานพวกนั้นไปประจบมู่น่อนน่อนกันหมด และมู่ลี่เหยียนก็มีเจตนาช่วยหล่อนด้วย แต่กลับให้เธอที่เป็นถึงผู้จัดการโครงการกลายเป็นคนว่างงานไปโดยปริยาย
เรื่องพวกนี้ทำให้หล่อนรู้สึกแย่จนถึงขั้นวิกฤตมาก
“เธอให้งั้นเหรอ?”
มู่น่อนน่อนยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงประนีประนอม: “เรื่องสัญญาแต่งงานกับตระกูลเฉินในตอนนั้น คุณปู่เป็นคนกำหนดและจัดการเรื่อง แต่ชีวิตของฉันเป็นสิ่งที่พ่อกับแม่ให้ และที่ฉันมีวันนี้ได้ ก็ต้องขอบคุณพวกเขา ดังนั้น ฉันไม่มีทางลืมว่าสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ใครเป็นคนให้ฉันมา”
“มู่น่อนน่อน!” มู่หวั่นขีโมโหกับคำพูดของหล่อนจนหน้าถอดสีบูดเบี้ยว
ตั้งแต่เด็กจนโต มู่น่อนน่อนเป็นแค่สิ่งประดับในชีวิตเท่านั้น
ตอนแรก หล่อนให้เซียวชู่เหอพามู่น่อนน่อนแต่งงานออกไป เพราะคิดว่ามู่น่อนน่อนจะถูกเฉินถิงเซียวคนประหลาดนั่นทำให้ตายได้
หล่อนไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่มู่น่อนน่อนได้เหยียบหัวตัวเองขึ้นไป
เรื่องนี้ทำให้หล่อนรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเป็นอย่างมาก
ผู้หญิงที่ทั้งแสนน่าเกลียดและเชย ตอนนี้กลับปีนขึ้นหัวหล่อนและเฉิดฉายมาก
หล่อนทนไม่ได้อีกต่อไป มู่น่อนน่อนสมควรตาย!
“ช่วงนี้พี่โมโหง่ายจัง กลับไปให้แม่ต้มซุปบำรุงให้พี่ใจเย็นลงหน่อย ดับร้อนในร่างกาย” เมื่อมู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ผลักหล่อนออกไปด้านข้างเบาๆ “พ่อยังรอฉันอยู่ที่ห้องทำงาน ฉันไปก่อนนะ”
มู่หวั่นขีมองดูเงาที่เดินออกไปของมู่น่อนน่อนด้วยสายตาอาฆาตแค้น สองมือกำหมัดแน่น ริมฝีปากถูกกัดจนเลือดซึมออกมาแต่ไม่ทำให้หล่อนรู้สึกแม้แต่น้อย
……
ในห้องทำงานของมู่ลี่เหยียน
“พ่อหาหนูมีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ?” แม้ว่าในใจมู่น่อนน่อนพอคาดเดาถึงความคิดของมู่ลี่เหยียนได้แล้ว แต่หล่อนแสร้งทำเป็นไม่รู้
มู่ลี่เหยียนเงียบไปสักพัก จากนั้นค่อยๆพูดขึ้น: “น่อนน่อน บริษัทสามารถผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ต้องความช่วยเหลือจากลูกมาก พ่อขอบคุณลูกมากนะ”
“พ่อ หนูเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอคะ? หนูก็นามสกุลมู่นะ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่หนูต้องทำอยู่แล้ว มาพูดขอบคุณอะไรกัน?” มู่น่อนน่อนก้มตาลง ปกปิดความเย็นชาในสายตาเอาไว้
มู่ลี่เหยียนก็ไม่ใช่คนโง่อะไร เขาเองก็รู้ตัวดีว่าเมื่อก่อนทำไม่ดีกับมู่น่อนน่อนไว้ จึงกลัวว่ามู่น่อนน่อนจะคิดแค้นเคืองโกรธไว้ในใจ
แต่นิสัยของคนหนึ่งที่ถูกเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าเขาจะดูแลมู่น่อนน่อนน้อยมาก แต่จากทัศนคติและท่าทางที่หล่อนปฏิบัติต่อเซียวชู่เหอก็สามารถดูออกว่าหล่อนเป็นคนที่ใจอ่อนได้ง่ายมาก
แต่เขาลืมไปว่าหัวใจของคนนั้นก็คือเลือดเนื้อ ต่อให้ใจอ่อนมากเท่าไหร่ ตอนที่ถูกบีบบังคับจนไม่เหลือช่องว่างให้ถอยหลังกลับ เธอก็ต้องเดินไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจอะไร
คำพูดนี้ของมู่น่อนน่อนพูดอย่างจริงใจมาก เมื่อมู่ลี่เหยียนได้รับฟังก็รู้สึกปลื้มใจขึ้นมาทันที “น่อนน่อนแต่งงานแล้วรู้เรื่องอะไรขึ้นเยอะเลยนะ ข้อเสนอที่พวกเขาเสนอขึ้นมาในประชุมก่อนหน้านี้ ลูกเห็นว่าอย่างไรบ้าง?”
ในที่สุดก็เข้าเรื่องแล้ว?
“หนูคิดว่าข้อเสนอนี้ฟังดูไม่เลวเลย แต่ความเป็นไปได้น้อยมาก ซือเฉิงหยู้เป็นถึงดาราชั้นนำในวงการบันเทิง คิวงานของเขาคงแน่นมาก ไม่ต้องพูดถึงธุรกิจอย่างพวกเรา แค่เป็นพรีเซนเตอร์และโฆษณาให้กับแบรนด์ชั้นนำของต่างประเทศก็คงรับงานกันไม่ไหวแล้ว”
อีกอย่างดารานักแสดงทั่วไป ก็คงไม่มารับงานพรีเซนเตอร์ให้กับธุรกิจที่มีชื่อเสียงด้านลบเช่นนี้ เพราะแบบนี้จะทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่ชอบไปด้วย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซือเฉิงหยู้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่ลี่เหยียนเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
เพียงแต่ ในมุมมองของเขา แม้ว่าบริษัทมู่ซื่อไม่สามารถลดระดับฐานะของซือเฉิงหยู้ให้มาเป็นพรีเซนเตอร์ได้ แต่ตระกูลเฉินสามารถทำได้
ถ้ามู่น่อนน่อนไปขอร้องตระกูลเฉิน ให้คนของตระกูลเฉินไปกดดันซือเฉิงหยู้ ซือเฉิงหยู้ซึ่งเป็นคนที่ต้องพึ่งพารายได้จากงานแสดงเป็นหลัก จะกล้าขัดตระกูลเฉินเหรอ?
ความคิดอันปราดเปรื่องของเขากึกก้องอยู่ภายในใจ ใบหน้าของเขาอดไม่ได้ที่จะแสดงให้เห็นถึงพลังของอำนาจ
มู่ลี่เหยียนเดินไปหยุดอยู่ด้านข้างมู่น่อนน่อน ยื่นมือออกมาตบไปที่ไหล่ของหล่อน: “เป็นเพราะภารกิจนี้คนทั่วไปทำสำเร็จได้ยาก ดังนั้นพ่อจึงมอบภารกิจนี้ให้ลูกเป็นคนทำ พ่อเชื่อในความสามารถของลูก!”
“เอ่อ…” สีหน้าของมู่น่อนน่อนแย่ลงทันที: “หนูอาจจะทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ เพราะ…”
“เฮ้อ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องไม่ดีสิ หากว่าลูกทำไม่ได้ ก็ยังมีเฉินถิงเซียวไม่ใช่หรือไง…” คำพูดประโยคหลัง มู่ลี่เหยียนไม่อธิบายอะไรมาก
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองเขา สายตาเต็มไปด้วยความเข้าใจ: “หนูจะพยายาม…”
ไม่มีทางพยายามแน่นอน!
มู่ลี่เหยียนเห็นถึงคุณค่าที่มีประโยชน์ในตัวหล่อนขึ้นมาทันที ไม่หลงเหลือความคิดที่จะกดขี่อะไรหล่อนอีก
เขาไม่คิดเลยว่า หล่อนเพิ่งจะไป “ขอร้อง” เฉินถิงเซียวให้ช่วยตระกูลมู่ซื่อพ้นวิกฤตนี้ไปได้ ตอนนี้จะไปหาเฉินถิงเซียวให้ช่วยอีก เขาคงทนไม่ไหวแน่นอน สุดท้ายก็ทำให้ความรักระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวขัดแย้งกันไปด้วย
ในสายตาของเขา มีแค่ผลประโยชน์ของตัวเอง
เมื่อออกมาจากห้องทำงานของมู่ลี่เหยียน มู่น่อนน่อนก็เจอกับมู่หวั่นขี
มู่หวั่นขีกระแอมขึ้นและเดินเบียดเธอเข้าไป
ก่อนที่มู่น่อนน่อนจะเดินออกไป เธอได้ยินเสียงอันไม่พอใจของมู่หวั่นขีดังขึ้น: “เรื่องนี้หนูก็ทำได้ แค่ให้ซือเฉิงหยู้มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้พวกเราไม่ใช่เหรอคะ? ก็แค่หาคนไปจับตัวเขามา…”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า มู่หวั่นขีโง่มากจริงๆ
สมมติว่าซือเฉิงหยู้ไม่ใช่พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเฉินถิงเซียว แต่จากฐานะในวงการบันเทิงของเขา ใครจะไปจับเขาได้ตามอำเภอใจเช่นนี้ล่ะ?
ค่าตัวของเฉินถิงเซียว เกือบจะเทียบเท่ากับธุรกิจของมู่ซื่อแล้ว
……
ช่วงนี้เสิ่นเหลียงไม่ได้รับประกาศอะไรใหม่ จึงอยู่พักผ่อนที่บ้าน
เมื่อมู่น่อนน่อนเลิกงาน ออกจากบริษัทมู่ซื่อก็เห็นรถของเสิ่นเหลียง
รถสีแดงแจดจ้า เหมือนนิสัยของเสี่นเหลียง เร่าร้อนดุจเปลวไฟ
มู่น่อนน่อนมองไปรอบๆ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีพวกปาปารัสซี่ จึงเดินตรงไปที่รถของเสิ่นเหลียง
หล่อนเปิดประตูรถและเข้าไปนั่ง: “ทำไมเธอไม่โทรหาฉันล่ะ? ถ้าโดนพวกปาปารัสซี่ถ่ายภาพได้ที่หน้าประตูบริษัทจะทำอย่างไร?”
ต้องขอบคุณบุญคุณของคนตระกูลมู่ ตอนนี้มู่น่อนน่อนถือเป็นคนมีชื่อเสียงระดับหนึ่งแล้ว มีทั้งข่าวด้านลบและด้านบวก ภาพลักษณ์ด้านดีก็ไม่ได้มีเยอะเท่าไหร่นัก ถ้าถูกคนถ่ายรูปหล่อนกับมู่หวั่นขีอยู่ด้วยกันได้ ต้องมีพวกนักข่าวเอาไปทำข่าวใหญ่แน่นอน
เสิ่นเหลียงทำงานอยู่ในวงการบันเทิง และกำลังอยู่ในช่วงเติบโตได้ดี เกรงว่าจะส่งผลที่ไม่ดีต่อหล่อน
เสิ่นเหลียงถอดแว่นกันแดดออกมา ตาแดงก่ำของหล่อนทำให้มู่น่อนน่อนถึงกับตกใจตะลึง
“มีอะไรเหรอ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“บริษัทของพวกเรา ขายฉันให้บริษัทเสิ้งติ่งแล้ว!” เสิ่นเหลียงพูดกัดฟัน: “ให้เงินนิดหน่อยแล้วคุกเข่าขอร้อง บริษัทสารเลว!
ตอนที่ 121 ทบทวนสักหน่อย
หลังจากทานข้าวเสร็จ มู่น่อนน่อนก็พาเฉินเจียฉินไปที่ห้องของเขา
เมื่อเข้าไปในห้อง มู่น่อนน่อนก็ปิดประตูห้องด้วยท่าทางลับๆล่อๆ
เฉินเจียฉินทำสีหน้ามึนงง: “นี่เธอทำอะไรของเธอ? เมื่อครู่ตอนที่เธอลากฉันขึ้นมา สายตาของพี่ชายแทบจะฆ่าฉันแล้ว ตอนนี้เธอยังปิดประตูอีก เดี๋ยวเขาก็โยนฉันออกไปนอกบ้านหรอก”
“ไม่มีทาง” แม้ว่าดูจากภายนอกเฉินถิงเซียวจะดุและโหดร้ายกับเฉินเจียฉินเป็นอย่างมาก แต่ที่เขายอมให้เฉินเจียฉินอยู่กับเขาที่นี่ แสดงว่าเขาก็ชอบกับเฉินเจียฉินเช่นกัน
“ถ้าเขาโยนฉันออกไปจริง เธอต้องช่วยฉันด้วยนะ” เฉินเจียฉินยกไหล่ขึ้น กระโดดไปนั่งที่โต๊ะหนังสือ “ว่ามา มีเรื่องอะไรต้องทำตัวลึกลับขนาดนี้ เธอคิดดีแล้วว่าจะหย่ากับเขา?”
“นายเป็นเด็กตัวแค่นี้ทำไมพอเอ่ยปากพูดอะไรก็มีแต่เรื่องหย่าร้าง!” มู่น่อนน่อนยื่นมือออกไปเขกหัวเขาหนึ่งครั้ง
เฉินเจียฉินจับหัวของตัวเอง ตะโกนโวยวายเสียงดัง: “โอ๊ย เจ็บมากเลยนะ!”
มู่น่อนน่อนไม่มีอารมณ์จะเล่นหยอกล้อกับเขา: “นิสัยของพี่ชายนายเป็นแบบนี้มาตลอดเลยเหรอ?”
ตอนที่เฉินถิงเซียวยังเป็น “เฉินเจียฉิน” แม้ว่าสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ฉุนเฉียวของเขาได้เช่นกัน แต่ก็ไม่โหดเหี้ยเหมือนในตอนนี้
และหลังจากที่เขาฟื้นกลับมาเป็นเฉินถิงเซียวอีกครั้ง มักจะทำตัวให้อีกฝ่ายคาดเดายาก และยังมีพลังในการควบคุมมากอีกด้วย
เขารู้เรื่องที่หล่อนทำทั้งหมด แต่กลับไม่เคยพูดหรือมีท่าทีอะไรเลย ตอนนี้เมื่อเขากลับมาเป็นเฉินถิงเซียวอีกครั้ง กลับทำตัวเหมือนไม่มีอะไรต้องสนใจ กลายเป็นคนป่าเถื่อนไม่มีกฎเกณฑ์มากขึ้น
“ถ้าเขาเป็นแบบนี้ตลอด มันอันตรายมากนะ” เหมือนเฉินเจียฉินนึกถึงเรื่องบางอย่างที่น่ากลัวขึ้นมาได้ จึงหดคอลง: “พูดจากใจจริงนะ ฉันว่าเธอหย่ากับเขาไปเลยดีกว่า เธอว่าพี่ชายฉันเป็นอย่างไรบ้าง?”
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าต้องรู้สึกอย่างไร: “เมื่อก่อนนายให้ฉันเป็นแฟนนายไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันรู้สึกว่าเธอไม่มีทางชอบฉัน พี่ชายฉันเป็นคนอบอุ่นขนาดนั้นเหมาะสมกับเธอมากกว่า ต้องดูแลเธอดีกว่าที่เฉินถิงเซียวดูแลเธอแน่นอน เขาโหดเหี้ยมเกินไป!”
เฉินเจียฉินพูดพลางยังทำหน้าหยอกล้อเป็นผีใส่
มู่น่อนน่อนทนขำไม่ไหว จึงพูดแกล้งเขา: “นายรู้ไหมว่าทั้งประเทศนี้มีผู้หญิงกี่คนที่อยากแต่งงานกับพี่ชายนาย? ถึงแม้ว่าพี่ชายนายจะยอมแต่งงานกับฉัน งั้นฉันก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานสองรอบ ไม่เหมาะสมกับเขาหรอก”
“เธอดีขนาดนี้ ไม่เหมาะกับเขาตรงไหนกันล่ะ?” เฉินเจียฉินพูดลอยๆ แต่น้ำเสียงกลับดูจริงใจมาก
มู่น่อนน่อนตกตะลึงเล็กน้อย หล่อนดีขนาดนั้นเลยเหรอ?
เมื่อเห็นว่ามู่น่อนน่อนไม่พูดอะไร เฉินเจียฉินรู้สึกลำบากใจเช่นกัน เขาเกาหัวและพูดอธิบายขึ้น “เมื่อก่อนฉันไปอาศัยอยู่ที่บ้านเธอไม่ใช่เหรอ? วันนั้นที่เธอไป ฉันคิดว่าเธอจะเรียกคนมาจัดการฉันเสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่าเธอยังทำอาหารอร่อยๆให้ฉันอีกด้วย…”
“……”
มู่น่อนน่อนตัดสินใจขัดจังหวะจินตนาการของเขา: “เพราะนายบอกว่าตัวเองชื่อเฉินเจียฉิน ฉันก็เลยให้คนมาจัดการนาย”
“แม้ว่าฉันไม่ได้ชื่อเฉินเจียฉิน เธอก็ไม่มีทางให้คนมาจัดการฉัน”
“นายรู้ได้ยังไง?”
“ไม่ต้องสนใจว่าฉันรู้ได้ยังไง” เฉินเจียฉินผลักหล่อนออกไปนอกประตู “รีบออกไปเถอะ ฉันจะทำการบ้าน ผู้หญิงอย่างพวกเธอนี่ปัญหาเยอะจริงๆเลย”
ปั้ง!
ประตูที่อยู่ด้านหลังถูกปิดลงทันที
มู่น่อนน่อนหันหลังไป อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
เป็นเด็กที่ช่างไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆเลย!
เมื่อกลับไปที่ในห้อง เฉินถิงเซียวกำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่หัวเตียง เมื่อได้ยินเสียงหล่อนเปิดประตูเข้ามา ก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
คืนนี้เขานอนเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขา กลับเดินตรงไปที่ห้องน้ำทันที
ตอนที่ออกมา เฉินถิงเซียวไม่ได้นั่งดูเอกสารแล้ว เขาพิงอยู่ที่หัวเตียง สายตาคู่นั้นจ้องมองมาที่มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนก้มลงมองชุดนอนที่ปกคลุมตัวของเองมิดชิดไว้อย่างดี จากนั้นค่อยๆเดินไปที่ข้างเตียง ดึงผ้าห่มออกแล้วนอนลงไป
หล่อนเพิ่งจะหลับตาลง ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอันคละคลุ้งของเฉินถิงเซียวที่เข้ามาประชิดตัว
หล่อนตกใจจนรีบลืมตาขึ้นมา เห็นเฉินถิงเซียวที่เอนตัวเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ท่าทางเหมือนกำลังจะจูบหล่อน
ตอนที่มู่น่อนน่อนกำลังตกใจชะงักอยู่ ริมฝีปากของเฉินถิงเซียวก็กดทับมาพอดี จากนั้นก็คร่อมตัวหล่อนไว้
ลมหายใจอันเย็นยะเยือกจากตัวเขาห่อหุ้มตัวของมู่น่อนน่อนไว้อย่างแนบแน่น จนทำให้หล่อนแทบจะทนไม่ไหว ทุกอย่างภายในหัวว่างเปล่าไปในทันที
เฉินถิงเซียวเลื่อนมาจูบที่คอของหล่อน พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง: “วันนั้นไปเรียนที่ร้านอาหารจีนติ่งอย่างตั้งใจขนาดนั้น วันนี้มาทบทวนกันสักหน่อยสิ”
มู่น่อนน่อนนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นที่ร้านอาหารจีนติ่งขึ้นมา เลือดสูบฉีดไปทั่วทั้งใบหน้า จนหน้าแดงก่ำ คิดอยากจะขัดขืน แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรง
หล่อนโมโหมาก จึงตะโกนออกมาเสียงดัง: “ทบทวนบ้าอะไรกัน!”
“อย่าพูดจาไม่ดีบนเตียงสิ” เฉินถิงเซียวหายใจหอบ จากนั้นจูบลงบนริมฝีปากของหล่อนเบาๆ: “แต่เดี๋ยวเธอร้องให้ดังหน่อยนะ”
มู่น่อนน่อนรู้ดีว่าสักวันต้องมีวันนี้
แต่ทว่า ในใจของหล่อนยังคงขัดขืนไม่ยินยอมอยู่
หลังจากที่ได้ยินเขาพูดออกมาเช่นนี้ ตัวของเธอก็แข็งทื่อเหมือนก้อนหินไปทันที
เฉินถิงเซียวรู้สึกได้ถึงท่าทีตอบรับของหล่อน จึงหายใจแรงขึ้น เหมือนกำลังโมโห
แต่เขาเพียงแค่พูดขึ้นเบาๆ: “ไม่ทำก็ได้ แต่เธอต้องช่วยฉัน”
ชีวิตของฉันตกอยู่ในกำมือของคนอื่น
เฉินถิงเซียวพูดออกมาแบบนี้แสดงว่าเขาก็ยอมต่อรองให้ มู่น่อนน่อนจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก
…
เช้าวันต่อมา
ขณะที่มู่น่อนน่อนกำลังเดินลงมา ที่ห้องโถงมีเพียงแค่เฉินเจียฉินนั่งหลับอยู่บนโซฟา แต่กลับไม่เห็นเงาของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนจึงเดินเข้าไปตบไหล่ของเฉินเจียฉิน: “เมื่อคืนนายไม่ได้นอนเหรอ?”
“เพิ่งนอนตอนตีสาม รับงานมากเกินไปน่ะ” เฉินเจียฉินลืมตาขึ้นมาพูดจบ ก็หลับตาต่อ จากนั้นก็ล้มตัวลงไปนอนบนโซฟา
“พี่ชายของนายล่ะ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน ออกไปแล้วมั้ง…”
มู่น่อนน่อนได้ยินเช่นนั้น จึงถอนหายใจโล่งอกไปทันที
เฉินถิงเซียวไม่อยู่ก็ดี
ทานข้าวเสร็จ หล่อนก็จะไปที่บริษัทมู่ซื่อ
เมื่อถึงบริษัท ก็ถูกรับคำสั่งให้ไปประชุม
เดิมทีเป็นการประชุมคณะกรรมการระดับสูงของบริษัท แต่มู่ลี่เหยียนบังคับให้หล่อนไปร่วมด้วย หล่อนจึงจำต้องตามไป
เหมือนกับที่มู่น่อนน่อนคาดเดาไว้ สินค้าของมู่ซื่อถูกผู้บริโภคต่อต้าน ยอดขายลดลงไปอย่างมาก และยังมีผู้ร่วมหุ้นคิดจะถอนทุนไปอีกด้วย
ทันใดนั้น มีคนเสนอขึ้น: “ช่วงนี้ผู้คนมักจะทำอะไรตามกระแส ถ้าพวกเราเชิญดารามาเป็นพรีเซนเตอร์ให้สินค้า ต้องสามารถช่วยให้รอดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้แน่นอน”
“ไปหาใครล่ะ?”
“อย่างเช่นซือเฉิงหยู้ เขาเป็นนักแสดงแนวหน้าที่อายุน้อยที่สุดในแวดวงภาพยนตร์และโทรทัศน์ มีแฟนคลับมหาศาล ถ้าเขาสามารถเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับพวกเราได้ พวกเราจะต้องรอดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้แน่นอน!”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นหันไปดูคนที่เสนอความเห็นนี้ จากนั้นยิ้มเย้ยขึ้น
ให้ซือเฉิงหยู้เป็นพรีเซนเตอร์สินค้า นั่นเป็นได้แค่ความฝันลมๆแล้งๆ!
ตอนที่ 120 ผมรักและเอ็นดูคุณเสียด้วยซ้ำไป
โบราณกล่าวไว้ว่า เขื่อนยาวนับพันลี้ มักจะถูกกองทัพมดเจาะจนพังทลาย(ไม่ระวังเรื่องเล็กก่อตัวเป็นหายนะ)
ยิ่งไปกว่านั้น คือธุรกิจที่ถูกเปิดเผยด้านมืดอย่างบริษัทมู่ซื่อ
มู่น่อนน่อนมีลางสังหรณ์ บริษัทมู่ซื่อไม่ใช่ก้าวข้ามผ่านความยากลำบาก แต่เป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ
ถึงได้การลงทุนและการร่วมงานที่มากกว่า แต่สุดท้ายพอสินค้าวางขายในตลาด ไม่มีผู้บริโภคยอมซื้อ ทั้งหมดล้วนไร้ประโยชน์
อยู่ในสมัยที่ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตพัฒนาอย่างว่องไว ดูถูกอิทธิพลการแพร่กระจายข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตไม่ได้
พอบริษัทมู่ซื่ออยากมีท่าทีที่ใหญ่โตหน่อย ก็จะมีคนขุดคุ้ยด้านมืดในอดีตของบริษัทมู่ซื่อออกมา จากนั้นผู้คนก็จะต่อต้านพร้อมกัน
ตลาดใหญ่ขนาดนี้ คู่แข่งเยอะขนาดนั้น ขอบเขตที่ผู้บริโภคสามารถเลือกมีวงกว้างขนาดนั้น บริษัทมู่ซื่อไม่นับว่าอะไรเลย
หลังจากรู้วัตถุประสงค์ของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนยิ่งคิดยิ่งรู้สึกหนาวเย็นไปทั้งตัว
เฉินถิงเซียวภายนอกคือช่วยบริษัทมู่ซื่อ แต่แท้จริงแล้ววัตถุประสงค์ของเขากลับจะเอาบริษัทมู่ซื่อให้ตาย
………………
รถยนต์ได้จอดลงที่หน้าวิลล่า มู่น่อนน่อนก็เปิดประตูรถและโดดลงไปอย่างไว
ตอนนี้คือช่วงฤดูที่เหน็บหนาวที่สุด อากาศนับวันยิ่งเหน็บหนาว
สายลมหนาวพัดพามา มู่น่อนน่อนตัวสั่นเล็กน้อย สีหน้าซีดเซียวขึ้นเยอะ
เธอเดินเข้าห้องโถงไม่เห็นร่างเงาของเฉินถิงเซียว
บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆก้าวมาพูดข้างหน้าอย่างดูสถานการณ์เป็น:“คุณหญิงน้อยครับ คุณผู้ชายอยู่ห้องอ่านหนังสือครับ”
มู่น่อนน่อนได้ยินคำพูดนี้แล้ว ได้ไปที่ห้องอ่านหนังสือของเฉินถิงเซียวโดยตรง
เขาดูแล้วก็เพิ่งกลับมาเหมือนกัน เสื้อคลุมบนตัวยังไม่ทันได้ถอดลงมา กำลังยื่นมือหาหนังสือทีละช่องๆอยู่ที่ชั้นวางหนังสือ
ได้ยินเสียงเปิดประตู เขาหันหน้ามาเห็นว่าเป็นมู่น่อนน่อน เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เหมือนกำลังยิ้มแต่ก็ไม่เหมือน“คุณกลับมาแล้วเหรอ”
เขาพูดจบ ก็ได้หันหน้าไปหาหนังสือที่ชั้นวางต่อ มู่น่อนน่อนเดินมาที่ตรงหน้าของเขา กุมแขนของเขาไว้ ดึงเขาหันมามองหน้าตัวเอง
เธอจ้องตาของเฉินถิงเซียวไว้ และพูดทีละถ้อยคำ:“คุณอยากทำอะไรกันแน่?บริษัทมู่ซื่อไปขัดใจคุณตรงไหนเข้า?”
เฉินถิงเซียวดึงแขนกลับ ยื่นมือกุมมือของเธอไว้:“ทำไมมือเย็นจังเลย?”
เขาจับมือทั้งสองข้างของมู่น่อนน่อนไว้ กุมไว้ในมือตัวเอง
ฝ่ามือของเขาใหญ่และอบอุ่น อบอุ่นจนทำให้มู่น่อนน่อนไม่มีความคิดที่จะดึงมือกลับ
ผู้ชายอย่างเฉินถิงเซียวถ้าลดตัวลดการวางมาดลง อยากพูดจาอ่อนโยนนุ่มนวลทำให้ผู้หญิงหวั่นไหว มันช่างง่ายเหลือเกิน
มู่น่อนน่อนเหม่อลอยเล็กน้อย ก็ได้สติกลับมาแล้ว เธอดึงมือของตัวเองกลับ ทวนคำถามของก่อนหน้านี้ซ้ำอีกครั้ง:“บริษัทมู่ซื่อไปขัดใจตรงไหนคุณเข้า?”
“นี่คุณกำลังถามเอาความผิดเหรอ?”เฉินถิงเซียวจ้องมือที่ว่างเปล่าของตัวเองสองวิ สีหน้าได้ค่อยๆเปลี่ยนมาเย็นชา
“คุณรู้ว่าที่ฉันถามมันหมายความว่ายังไง”
เฉินถิงเซียวหันไปนั่งลงที่เก้าอี้ เปิดปากพูดอย่างไม่สนใจไยดี:“ให้ปาปารัสซี่ไปถ่ายด้านมืดของบริษัทมู่ซื่อ ผมนึกว่าคุณไม่มีความผูกพันกับบริษัทมู่ซื่อเสียอีก”
มู่น่อนน่อนมองเขาอย่างตะลึงงัน ไม่นึกเลยว่าแม้แต่เรื่องนี้เขาก็รู้ด้วย?
ดูเหมือนเฉินถิงเซียวจะพึงพอใจกับสีหน้าของเธอมาก แววตาที่ดำเข้มเหมือนหมึกจ้องมองเธอไว้ ในนั้นคือระลอกคลื่นที่อยู่ลึกลงไปในใจลอยตัวอยู่ ทำให้คนยากที่จะดูอารมณ์ข้างในออก
สักพัก เธอได้ยินเสียงที่มืดมนน่ากลัวเล็กน้อยของเขา:“เรื่องของคุณ ขอแค่ผมอยากรู้ ก็ไม่มีเรื่องไหนที่ผมไม่รู้”
ความหมายของเขาคือ เธออยู่ตรงหน้าเขาคือโปร่งใส่หมด
เธอทำอะไรเขาก็สามารถรู้ได้อย่างง่ายดาย
เขาขู่เธออีกแล้ว
“มีความหมายเหรอ?จ้องทุกความเคลื่อนไหวของฉันทำให้คุณมีความรู้สึกของความสำเร็จมากเหรอ?”เสียงของมู่น่อนน่อนแหลมคม
เธอรู้สึกเฉินถิงเซียวอาจจะเป็นผีบ้าจริงๆก็ได้!สังเกตทุกความเคลื่อนไหวของเธออยู่ทุกเมื่อ ทำให้เธอรู้สึกตัวเองเหมือนสัตว์เลี้ยงที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดี
“ผมเป็นห่วงคุณนะ”สำหรับอารมณ์วู่วามของมู่น่อนน่อน เฉินถิงเซียวเหมือนไม่ได้สังเกตเห็นยังไงอย่างงั้น เขาได้พูดต่อ:“ไม่งั้น ตอนที่คุณถูกมู่ลี่เหยียนและมู่หวั่นขีหลอกไปช่วยแม่คุณถูกลักพาตัว ผมจะสามารถไปช่วยคุณทันได้ยังไง?”
ถึงแม้มีการเตรียมใจไว้แล้ว แต่มู่น่อนน่อนก็ยังเบิกตากว้างด้วยความช็อค
เขารู้ทุกอย่างจริงๆซะด้วย!
เธออยู่ตรงหน้าเขาไม่มีความลับเลยทั้งสิ้น
บางทีเขาอาจจะไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเธอ แต่ความต้องการควบคุมของเขารุนแรงเกินไป
“อย่าเผยแววตาแบบนี้ออกมา ผมไม่ชอบ”
จู่ๆเฉินถิงเซียวลุกขึ้น ยื่นมือบังตาของเธอไว้ เขาก้มหัวจูบที่ริมฝีปากเธอเบาๆ เสียงที่ทุ้มต่ำแฝงด้วยความรู้สึกกลมกล่อมเหมือนเหล้าที่บ่มด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน:“ขอแค่คุณเชื่อฟังดีๆ ก็พอแล้ว”
ริมฝีปากของเขาอุ่นเหมือนมือของเขา แต่มู่น่อนน่อนกลับตัวสั่นอย่างแรง
เฉินถิงเซียวกอดเธอไว้ในอ้อมกอด ฝ่ามือทะลุผ่านผมยาวดั่งน้ำตกของเธอ เสียงแหบแห้งสนิทสนมมาก:“ไม่ต้องกลัวนะ ผมไม่จัดการคุณเหมือนจัดการพวกเขาหรอก คุณเป็นคนที่จะใช้ชีวิตกับผมทั้งชีวิตเชียวนะ ผมรักและเอ็นดูคุณเสียด้วยซ้ำไป……”
ร่างกายของมู่น่อนน่อนแข็งทื่อไว้ไม่กล้าขยับ เฉินถิงเซียวที่เป็นแบบนี้ทำให้ทุกเซลล์บนร่างกายเธอต่างก็ร้องโหยหวนว่าจะหนีไป
ผ่านไปสักพัก มู่น่อนน่อนถึงหาเสียงของตัวเองเจอ:“บริษัทมู่ซื่อ…….”
“บริษัทมู่ซื่อไม่เป็นไรหรอก ยังมีคุณปู่มู่อยู่ไม่ใช่เหรอ?”เฉินถิงเซียวคลายเธอออก ช่วยเธอปัดผมหน้าม้าที่ยุ่งเหยิงไปครู่นึง:“ไปทานข้าวกันเถอะ”
คุณปู่มู่?
มู่น่อนน่อนถูกเฉินถิงเซียวจูงมือลงมาชั้นล่าง เดินตามเขาอย่างผู้ถูกกระทำ ความคิดกลับล่องลอยไปไกลแสนไกล
ดูจากการเชื่อมโยงข้อมูลที่เสิ่นเหลียงเผยก่อนหน้านี้ สาเหตุเกี่ยวกับการหมั้นหมายของตระกูลมู่กับตระกูลเฉิน คุณปู่มู่เป็นบุคคลที่เป็นกุญแจสำคัญ
หลังจากคุณปู่มู่ไปพักผ่อนที่ต่างประเทศ ก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
มู่น่อนน่อนไม่ได้เจอคุณปู่มู่มาสิบกว่าปี ถ้าไม่ใช่มีคนเอ่ยขึ้นมา เธอแทบจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองยังมีคุณปู่อยู่
เฉินถิงเซียวเพิ่งเอ่ยถึงคุณปู่มู่ งั้นวัตถุประสงค์ของเขาก็คือ………
มู่น่อนน่อนคิดจุดนี้ได้ หยุดฝีเท้ากะทันหัน เธอมองเฉินถิงเซียวและพูด:“คุณอยากอาศัยเรื่องของบริษัทมู่ซื่อ บีบให้คุณปู่ฉันกลับประเทศ?”
เฉินถิงเซียวหันมามองเขา แววตามีความชื่นชมโผล่ขึ้นมา:“ฉลาดจริงๆ”
“คุณบีบให้คุณปู่ฉันกลับมาคืออยากทำอะไรคะ?คุณมีวัตถุประสงค์อะไร?”หรือว่าเพราะเบื้องหลังงานแต่งของทั้งสองตระกูล ยังมีเรื่องที่ให้คนอื่นไม่รู้?
แต่สำหรับเฉินถิงเซียว เรื่องนี้สำคัญมาก?
เฉินถิงเซียวตั้งแต่คดีลักพาตัวในตอนนั้น แล้วสาเหตุที่ปิดบังสถานภาพไม่โผล่หน้าต่อสาธารณชนเพราะอะไรอีก? เรื่องที่คิดไม่ออกเยอะจริงๆ ในหัวของมู่น่อนน่อนยิ่งวุ่นเข้าไปใหญ่
ในห้องทานข้าว
เฉินเจียฉินได้นั่งลงที่นั่นแล้ว แต่เพราะเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนต่างก็ยังไม่มา ดังนั้นเขาก็ยังไม่ได้เริ่มทานข้าวก่อน
เห็นทั้งคู่จูงมือกันเข้ามา เขาแบะปากและบ่นพึมพำ:“ดอกไม้งามปักอยู่บนขี้วัว”
เฉินถิงเซียวช่วยมู่น่อนน่อนลากเก้าอี้ออก และพูดโดยที่ไม่เงยหน้า:“เจียฉิน ครูของนายบอกว่าการเรียนของนายตามไม่ทัน ฉันสมัครคลาสเรียนพิเศษให้นายหน่อยดีกว่ามั้ง”
“ไม่ต้องแล้วครับ!”เฉินเจียฉินสีหน้าเปลี่ยน
พูดอย่างไม่มีความห้าวหาญเลยสักนิด:“พวกพี่นี่ช่างชายหล่อหญิงงาม เกิดมาเพื่อเป็นคู่กันชัดๆครับ”
คนถ่อยที่ร้ายกาจ!
ให้เขาไปเรียนพิเศษ สู้ให้เขาไปตายดีกว่า!
เฉินเจียฉินแอบจ้องเขาทีนึง จากนั้นก็ยิ้มแก้มปริหันหน้ามาคีบผักให้มู่น่อนน่อน:“พี่น่อนน่อน พี่กินอันนี้ครับ”
“ขอบใจจ้า”มู่น่อนน่อนถือจานรับผักที่เขาคีบให้ รู้สึกเธอกับเฉินเจียฉินต่างก็คนเป็นหัวอกเดียวกัน
ตอนที่ 119 ลองคิดดูว่าจะจับผมให้อยู่หมัดยังไง
เฉินเจียฉินค่อนข้างประหลาดใจ:“พวกพี่รู้จักพี่ชายผมด้วยเหรอครับ?”
เขารู้ว่าซือเฉิงหยู้เป็นนักแสดง แต่เขาไม่รู้ว่าอยู่ในประเทศชื่อเสียงของซือเฉิงหยู้จะโด่งดังขนาดนี้
“รู้จักกันสิจ๊ะ อาจารย์ซือเฉิงหยู้เป็นผู้อาวุโสในวงการ การแสดงดีคนก็ดี มีแฟนคลับเยอะ!”เสิ่นเหลียงพูดจบก็ได้ล้วงมือถือออกมา:“อาจารย์ซือเฉิงหยู้คะ ขอร่วมเฟรมด้วยกันได้มั้ยคะ?”
“ได้สิครับ”ซือเฉิงหยู้ยิ้มอย่างละมุนละม่อม :“แต่เรื่องของวันนี้คุณต้องช่วยผมปิดเป็นความลับนะครับ”
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ!”หลังจากเสิ่นเหลียงเปิดกล้องมือถือเสร็จ ก็ได้ดึงมู่น่อนน่อนมา:“มาถ่ายด้วยกันเร็ว”
“ไม่ต้องแล้ว พวกเธอถ่ายเถอะ……”มู่น่อนน่อนไม่ได้ตามดารา แค่ชอบหนังที่ซือเฉิงหยู้แสดงมากเฉยๆ
เรื่องร่วมเฟรมแบบนี้ เธอก็ไม่ค่อยมีความสนใจเท่าไหร่
ซือเฉิงหยู้มองเธอด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงละไม:“คุณมู่ ก็ถือซะว่าสละชีพเพื่อสุภาพบุรุษหน่อยแล้วกันนะครับ”
ท่าทีของซือเฉิงหยู้ละมุนละม่อมเกิน มู่น่อนน่อนปฏิเสธไม่ได้อีก จึงได้แต่ยืนร่วมเฟรมด้วยกัน
ทั้งสามคนยืนอยู่ด้วยกัน เฉินเจียฉินเป็นคนถ่ายรูปให้กับพวกเขา
ซือเฉิงหยู้ยืนอยู่ตรงกลาง เสิ่นเหลียงกับมู่น่อนน่อนต่างก็ยืนอยู่ที่ข้างกายเขา
ถ่ายรูปเสร็จเสิ่นเหลียงรับมือถือมา ก็มีสายเรียกเข้าจากผู้จัดการ เธอไม่ได้ตัดสายทิ้งโดยตรง แต่ได้หันไปคุยกับมู่น่อนน่อน:“ผู้จัดการโทรหาฉันแล้ว ฉันต้องไปก่อนแล้ว”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า:“เธอรีบไปเถอะ”
“งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ ลาก่อนค่ะผู้อาวุโส”เสิ่นเหลียงผายมือให้ซือเฉิงหยู้ หันหลังก็พุ่งออกไปจากร้านอาหารเลย
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองเฉินเจียฉินกับซือเฉิงหยู้ นี่ถึงพบว่าหน้าตาของทั้งสองเหมือนกันจริงๆ
อาจจะเพราะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน มู่น่อนน่อนรู้สึกซือเฉิงหยู้ก็หน้าตาคล้ายเฉินถิงเซียวมาก
เธอนึกถึงคราวก่อนตอนที่ทานข้าวที่จีนติ่ง ซือเฉิงหยู้ไปทักทายกู้จือหยั่น เห็นเฉินถิงเซียวอยู่ที่นั่นก็ไม่ได้พูดคุยกับเขา ดูท่าก็คงรู้เรื่องระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียว
แต่เขาเป็นพี่ชาย(ลูกพี่ลูกน้องของ)ของเฉินถิงเซียว ช่วยเฉินถิงเซียวปิดบังก็เป็นเรื่องปกติ
เพื่อหลอกลวงเธอ เฉินถิงเซียวนี่ทุ่มสุดแรงใจจริงๆ
มู่น่อนน่อนยกมุมปากขึ้นอย่างห้ามใจไม่ได้ ในรอยยิ้มเต็มไปด้วยการเหน็บแนม
เหมือนซือเฉิงหยู้จะดูความคิดเธออก เก็บอารมณ์ของสีหน้าเล็กน้อย เปิดปากพูดอย่างจริงใจมาก:“ช่วยถิงเซียวหลอกคุณ ผมต้องขอโทษจริงๆครับ”
มู่น่อนน่อนเม้มปากและพูด:“คุณชายซืออย่าพูดแบบนี้เลยค่ะ ทุกคนมีจุดยืนที่แตกต่างกันเฉยๆค่ะ”
คุณชายซือ?
ซือเฉิงหยู้ยิ้มอย่างจนปัญญาและพูด:“ตอนนี้พวกคุณคือเตรียมตัวกลับบ้านเหรอครับ?ผมขับรถไปส่งพวกคุณครับ”
มู่น่อนน่อนมองเฉินเจียฉินด้วยความข้องใจทีนึง เฉินถิงเซียวอบรมสั่งสอนเขาเข้มงวดซะขนาดนั้น ถ้าพูดตามหลักแล้ว เขาเห็นพี่ชายแท้ๆของตัวเอง น่าจะไปกับพี่ชายแท้ๆตัวเองโดยตรงมั้ง
แต่ว่า ฟังน้ำเสียงของซือเฉิงหยู้ เขาก็จะกลับไปที่เฉินถิงเซียวอยู่ดี
ดูความข้องใจของมู่น่อนน่อนออก ซือเฉิงหยู้อธิบาย:“ผมงานยุ่งเกิน ไม่มีเวลาดูแลเสี่ยวฉิน เขาพักอยู่ที่ถิงเซียวกลับดีกว่าเสียอีกครับ”
……………
ซือเฉิงหยู้ขับรถส่งมู่น่อนน่อนและเฉินเจียฉินกลับมาที่วิลล่า
มู่น่อนน่อนกับเฉินเจียฉินเดินอยู่ด้านหน้า ซือเฉิงหยู้เดินตามอยู่ด้านหลังของพวกเขา เดินช้ากว่าครึ่งก้าว
มู่น่อนน่อนเข้าบ้านปุ๊บ ก็เห็นเฉินถิงเซียวลงมาจากชั้นบนพอดี
เขาเงยหน้าชายตามองมู่น่อนน่อนทีนึง สีหน้าท่าทางถือว่าเป็นธรรมชาติดี เพียงแต่ตอนที่เห็นซือเฉิงหยู้ที่เดินตามอยู่ข้างหลังเธอ เขาหรี่ตาขึ้นมา สีหน้าท่าทางไม่อาจคาดเดา
“ถิงเซียว”ซือเฉิงหยู้เปิดปากอธิบายก่อน:“พี่ทานข้าวที่ข้างนอก เจอเสี่ยวฉินพวกเขาพอดี ก็เลยแวะมาส่งพวกเขาน่ะ”
“อืม”เฉินถิงเซียวตอบคำนึง แล้วนั่งลงที่โซฟา พร้อมสั่งการให้บอดี้การ์ด:“รินน้ำชา”
มู่น่อนน่อนเห็นทั้งสองนั่งลงที่โซฟา หน้าตาเหมือนมีเรื่องจะคุยกัน เธอจึงดึงเฉินเจียฉินขึ้นไปชั้นบน
เฉินเจียฉินกลับถึงห้องนอนปุ๊บ ก็เริ่มเขียนการบ้าน แต่ไม่ได้เขียนการบ้านของเขาเอง แต่เขียนการบ้านของเพื่อนนักเรียนคนอื่น
เด็กคนนี้เพื่อหาเงินแล้วก็ฮึดสู้จริงๆ
มู่น่อนน่อนกลับห้องนอน อาบน้ำอาบท่าเสร็จออกมา ก็ได้รับข้อความที่เสิ่นเหลียงส่งให้เธอ
[คุณกับเฉินถิงเซียวมีอะไรกันหรือยัง?เขาไหวมั้ย?]
[ฉันรู้สึกในเมื่อเขาไม่เหมือนที่ล่ำลือกัน ด้านนั้นน่าจะโอเคอยู่มั้ง?]
มู่น่อนน่อนยิ้มอย่างจนปัญญา และตอบข้อความเธอ:[นอนเช้าๆหน่อย อย่าพูดเรื่องรกรุงรังพวกนี้]
เสิ่นเหลียงไม่เพียงไม่ฟังคำพูดเธอไปนอน กลับกันยังได้ส่งข้อความให้เธออีก
มู่น่อนน่อนกดมาฟัง
“ที่ฉันพูดไม่ใช่เรื่องรกรุงรัง ที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงจังเชียวนะ ถึงแม้การกระทำของเฉินถิงเซียวจะเกินไปหน่อย แต่คุณก็ต้องเอาเขาให้อยู่หมัดก่อน ไม่งั้นถ้าถูกมู่หวั่นขีนังแพศยานั่นรู้ว่า‘เฉินเจียฉิน’ก็คือเฉินถิงเซียว คุณว่าหล่อนจะกระโจนเข้ามาหามั้ย…….”
คำพูดของเสิ่นเหลียงได้ย้ำเตือนมู่น่อนน่อน
ก่อนหน้านี้มู่หวั่นขีก็จ้องจะจับ“เฉินเจียฉิน”อยู่แล้ว ถ้าให้เธอรู้ว่า“เฉินเจียฉิน”ก็คือเฉินถิงเซียว เธอจะต้องไม่ยอมวางมือยุติเรื่องราวแน่นอน
“ถึงเธอกระโจนมาแล้วจะทำไม เฉินถิงเซียวไม่ชายตามองเธอแม้แต่หางตาแน่นอน”
“เฉินเจียฉิน”ในเมื่อก่อนเธอไม่กล้าพูดแบบนี้ แต่ตอนนี้เขาคือเฉินถิงเซียว ยิ่งไม่มีทางชอบมู่หวั่นขีแล้ว
เธอเพิ่งส่งข้อความเสียงนี้ออกไป ก็ได้ยินทางประตูมีเสียงของเฉินถิงเซียวก้องมา:“ใช่เหรอ?คุณรู้จักผมดีขนาดนี้เลย”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมาอย่างแข็งกระด้างแล้วมองไปที่ทิศทางของเฉินถิงเซียว ในหัววุ่นวายไปหมด
เขาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เขาได้ยินเนื้อหาที่เธอคุยกับเสิ่นเหลียงแล้วงั้นเหรอ?
ดิ๊งด่อง——
เสิ่นเหลียงที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามตอบกลับอย่างไว มู่น่อนน่อนกดปุ่มปลดล็อคไว้ไม่ได้รีบร้อนดูข้อความใหม่ที่เธอส่งมา
“คุณขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”
“ที่ควรได้ยินก็ได้ยินหมดแล้ว”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบคำถามเธอตรงๆ แต่คำตอบของเขาก็เพียงพอแสดงที่จะให้เห็นว่าเขาได้ยินหมดแล้ว
ความอึดอัดบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนบังยังไงก็บังไม่อยู่ เฉินถิงเซียวยกมุมปาก น้ำเสียงแฝงด้วยความรื่นรมย์เล็กน้อย:“ผมไปอาบน้ำก่อน คุณลองคิดดูดีๆ”
“คิดอะไรคะ?”
“ลองคิดดู ว่าจะเอาผมอยู่หมัดยังไง”
“……”เหอะๆ
…………..
เพราะการแอบช่วยเหลือลับๆของเฉินถิงเซียว บริษัทมู่ซื่อจัดการด้านมืดที่เป็นปัญหากวนใจของก่อนหน้านี้ ก็เริ่มขับเคลื่อนอย่างปกติ ไฟแนนซ์และผู้ร่วมงานที่หามาถึงที่ เยอะจนนับไม่ถ้วน
มู่ลี่เหยียนรู้สึกบริษัทมู่ซื่อจะเข้าสู่ความก้าวหน้าที่ก้าวกระโดดแล้ว ทุกวันมัวแต่ยุ่งกับการเข้าสังคม ดีใจมีความสุขจะแย่ ถึงขั้นอยากพามู่น่อนน่อนออกไปรู้จักพันธมิตรทางธุรกิจพวกนั้นด้วย
มู่น่อนน่อนได้ปฏิเสธโดยตรง:“ไม่ต้องแล้วค่ะ คุณพ่อพาพี่สาวไปเถอะค่ะ เฉินถิงเซียวไม่ชอบให้หนูไปร่วมงานทานข้าวค่ะ”
ตอนนี้พอมีเรื่องปุ๊บ เธอก็เอาเฉินถิงเซียวมาอ้าง ก็เป็นข้ออ้างที่ใช้ดีอยู่แฮะ
ความคิดของเธอกับมู่ลี่เหยียนไม่เหมือนกัน เธอเข้าใจเฉินถิงเซียว ถึงแม้เขาได้ช่วยบริษัทมู่ซื่อ แต่เธอมักจะรู้สึกว่าเรื่องมันแปลกประหลาดไม่ได้เรียบง่ายขนาดนี้
“ก็ได้”มู่ลี่เหยียนพยักหน้า และถามเธอ“ถิงเซียวว่างเมื่อไหร่ ลูกพาเขามาทานข้าวที่ตระกูลมู่หน่อยสิ”
ถึงขั้นเรียก“ถิงเซียว”แล้ว นี่คือจะประจบสอพลอลูกเขยคนนี้แล้วงั้นเหรอ?
ถึงแม้เธอไม่พาเฉินถิงเซียวกับตระกูลมู่ แต่ปากก็ยังได้ตอบว่า:“ได้สิคะ”
ระหว่างทางกลับบ้าน มู่น่อนน่อนให้คนขับจอดรถ เธอลงรถไปซื้อของ
โซนของใช้ประจำวันในซุปเปอร์มาร์เก็ต ส่วนใหญ่ล้วนติดโลโก้ของบริษัทมู่ซื่อไว้
มู่น่อนน่อนเดินไป ก็ได้ยินคนรอบข้างพูด:“ทำไมบริษัทมู่ซื่อยังไม่ล้มละลายอีกนะ ยังมีหน้าเอาสินค้าวางขายอยู่บนชั้นวางสินค้าอีก?”
“ก็นั่นน่ะสิ ผู้อยู่เบื้องหลังแข็งแกร่งหนิ สินค้ามีปัญหาก็พึ่งพาความสัมพันธ์กลบข่าวไว้ น่าขยะแขยงที่สุด!”
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ที่หน้าชั้นวางสินค้าไปพักนึง ซื้อของอะไรนิดหน่อยก็ออกไปเลย
เธอรู้แผนของเฉินถิงเซียวแล้ว
บริษัทมู่ซื่ออยู่ในเรื่องที่“โรงงานถูกเปิดเผย”นี้ นอกจากทางวาจาไม่ได้มีการขอโทษที่จริงใจเท่าไหร่ และไม่ได้เจอการลงโทษที่ควรจะมีใดๆเลย
ไม่เพียงเท่านี้ บริษัทมู่ซื่อได้กลบข่าวด้านลบทุกอย่างไว้ พอเป็นแบบนี้ก็จะทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ยิ่งเกิดความรู้สึกเกลียดชัง
ตอนที่ 118 ราชาภาพยนตร์ซือเป็นพี่ชายนาย
มู่น่อนน่อนหยิบกระดาษทิชชู่สองใบอย่างเงียบๆแล้วยื่นให้กับเสิ่นเหลียง
เธอยังไม่ได้เล่าเรื่องของเฉินถิงเซียวให้เสิ่นเหลียงฟัง ดังนั้นเสิ่นเหลียงได้ยินคำพูดของเฉินเจียฉินถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้
เฉินเจียฉินไม่รู้เรื่องที่วกไปวนมาพวกนี้เลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าเขาก็ถูกปฏิกิริยาของเสิ่นเหลียงทำเอาตกใจ หลังจากเขานั่งลง ก็ถามมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้ามึนงง:“ชื่อของผมมีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ไม่มีอะไรจ้า ชื่อของนายเพราะดี”มู่น่อนน่อนลูบศีรษะเขาเบาๆ
เฉินเจียฉิน“อ๋อ”คำนึง จากนั้นก็นั่งอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆและเป็นเด็กดี ไม่ป่วนเหมือนปกติตอนที่อยู่กับเธอเลยสักนิด
คนแซ่เฉินนี่ คนนึงแสดงเก่งกว่าคนนึงจริงๆ
“เฉินเจียฉิน ลูกพี่ลูกน้องของเฉินถิงเซียว”มู่น่อนน่อนเรียบเรียงคำพูดไปครู่นึง พูดต่อในขณะที่แววตาของเสิ่นเหลียงเบิกตาโตอย่างตื่นตะลึง:“เฉินเจียฉินที่เธอเจอก่อนหน้านั้น ก็คือเฉินถิงเซียวตัวจริง”
“ห๊า?”เสิ่นเหลียงฟังจนสีหน้ามึนตึ๊บ
สักพัก เธอขมวดคิ้วและพูด:“เธอหมายความว่า ‘เฉินเจียฉิน’ก่อนหน้านั้นคือเฉินถิงเซียว ส่วนเจ้าน่ารักคนนี้ถึงเป็นเฉินเจียฉินที่แท้จริงงั้นเหรอ?”
“ใช่ แบบนี้แหละ”มู่น่อนน่อนพยักหน้า
หันสายตาไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ มู่น่อนน่อนก็เห็นเฉินเจียฉินหน้าแดงแล้ว
“นายหน้าแดงอะไร?”มู่น่อนน่อนตกใจ
“ก็อายไง”ตอนนี้เสิ่นเหลียงก็ยังมีสีหน้ามึนงงสับสน:“ไม่ใช่ ทำไมเฉินถิงเซียวต้องแกล้งแสดงว่าตัวเองคือเฉินเจียฉินด้วย? เขาเป็นโรคจิตเภท?แยกหลายบุคลิกภาพ? ไม่ถูก พวกนี้ล้วนไม่ใช่จุดสำคัญที่สุด จุดสำคัญที่สุดคือเขาไม่เพียงแต่ไม่ได้เสียโฉมแถมยังหล่อโคตรๆด้วย!”
เฉินเจียฉินที่แยกแยะสถานการณ์ไม่ออกมาโดยตลอด ในที่สุดนาทีนี้ก็เข้าใจแล้ว
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองไปที่มู่น่อนน่อน มู่น่อนน่อนรินน้ำให้เขาแก้วนึง:“เด็กดี ดื่มน้ำนะ”
พอพูดจบ เธอก็เงยหน้ามองไปที่เสิ่นเหลียงอีก:“เธอเบาเสียงหน่อย”
เสิ่นเหลียงรีบยื่นมือกุมปากตัวเองไว้ แถมยังทำท่าทางรูดซิปปากอย่างโอเวอร์
ไม่นึกเลยว่า“เฉินเจียฉิน”ก็คือเฉินถิงเซียว เขาไม่เพียงไม่ขี้เหร่ อีกทั้งยังโคตรหล่อด้วย ด้านนั้นก็คงไม่มีปัญหามั้ง!
เธอคำนึงถึงว่ายังมีเฉินเจียฉินเด็กคนนี้อยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้พูดออกมา แต่ได้ใช้มือถือส่งวีแชทให้มู่น่อนน่อน:“งั้นสมรรถภาพทางเพศของเขาคงไม่ได้เสื่อมมั้ง? เธอเคยลองมั้ย?”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบคำถามลามกของเธอ
เสิ่นเหลียงหยอกเฉินเจียฉินอย่างยิ้มแฉ่ง:“พ่อหนุ่มน่ารัก นายอายุเท่าไหร่แล้ว?”
ใบหน้าของเฉินเจียฉินแดงก่ำอีกแล้ว:“สิบสี่ครับ”
“อ๋อ อายุสิบสี่ก็สูงขนาดนี้แล้ว ต่อไปโตขึ้นต้องเป็นหนุ่มหล่อแน่นอน”
เฉินเจียฉินก็ไม่ถ่อมจนเลย:“น่าจะมั้งครับ”
มู่น่อนน่อนที่เคยรู้ระดับการหลงตัวเองของเฉินเจียฉิน ได้เกิดภูมิคุ้มกันแล้ว
เสิ่นเหลียงประหลาดใจก่อน จากนั้นก็กุมท้องหัวเราะขึ้นมา
มู่น่อนน่อนเอียงศีรษะ เรียกเฉินเจียฉินคำนึง:“พ่อหนุ่มน่ารัก?”
เฉินเจียฉินหน้าแดง:“ไม่ต้องเรียกแล้ว……”
“อายจริงๆเหรอเนี่ย?” มู่น่อนน่อนสีหน้าประหลาดใจ ที่แท้เฉินเจียฉินถูกชมแล้วอาย
ไม่อยากจะเชื่อเลย……จริงๆ
นิสัยของเสิ่นเหลียงร่าเริง เฉินเจียฉินก็เป็นเด็กที่พูดมาก ทั้งสามทานข้าวได้อย่างมีความสุขมาก
ตอนที่ทานข้าวอิ่มพอสมควรแล้ว เฉินเจียฉินลุกไปเข้าห้องน้ำ มู่น่อนน่อนถึงมีโอกาสพูดเรื่องของเฉินถิงเซียวให้เสิ่นเหลียงฟัง
“มีเรื่องนึงที่ผ่านมาฉันไม่เคยเล่าให้เธอฟังเลย เฉินถิงเซียวเคยถูกปืนยิง ฉันผ่าเอากระสุนออกให้เขา ทั้งกระบวนการเขาไม่ร้องเลยสักแอะและไม่สลบด้วย”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็เห็นสีหน้าของเสิ่นเหลียงเปลี่ยนเล็กน้อย
ตระกูลเฉินคือตระกูลไฮโซ สืบทอดมาเป็นร้อยปี ในตระกูลสลับซับซ้อนยากแก่การแก้ไขมาก
ปืนไม่ใช่ของที่คนธรรมดาทั่วไปสามารถครอบครองได้
เสิ่นเหลียงขมวดคิ้ว:“เฉินถิงเซียวเป็นคนทำอาชีพอะไรกันแน่?ทำไมเขาถึงถูกปืนยิง?”
ก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนถูกความอุตสาหะของเฉินถิงเซียวทำเอาตกใจ กลับลืมสังเกตปัญหานี้
ทำไมเฉินถิงเซียวถึงถูกปืนยิง?
เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่?
“ถ้าพูดแบบนี้แล้ว เรื่องมันก็ซับซ้อนแล้ว ตระกูลเฉินที่เป็นตระกูลไฮโซแบบนี้เหมือนแคร์หน้าตาทางสังคมมาก แต่หลายปีมานี้พวกเขากลับปล่อยให้ข่าวด้านลบของเฉินถิงเซียวแพร่สะพัด อีกทั้งยังให้เขาหมั้นกับมู่หวั่นขี ถึงแม้สุดท้ายได้แต่งงานกับเธอ แต่ถ้าพูดตามหลักแล้ว ถึงเฉินถิงเซียวเป็นคนพิการจริงๆ ก็ไม่ถึงขั้นต้องแต่งงานกับลูกสาวของตระกูลมู่นี่นา”
ทั้งสองมีมิตรภาพที่ดี อีกอย่างคำพูดที่เสิ่นเหลียงพูดก็เป็นความจริง มู่น่อนน่อนย่อมไม่ถือสาอยู่แล้ว
เธอพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเห็นด้วย:“เรื่องนี้ฉันก็เคยคิดอยู่ แต่ก็คิดไม่ได้ว่าเพราะอะไร งานแต่งนี้ยังเป็นตอนที่คุณปู่ฉันอยู่ประเทศหมั้นหมายไว้ ว่ากันว่าหมั้นหมายงานแต่งไปไม่กี่ปี ท่านก็ไปต่างประเทศแล้ว ฉันยังพอจำเรื่องนี้ได้อยู่นิดหน่อย”
“เรื่องนี้ฉันก็เคยได้ยินคนพูดเหมือนกัน ตอนนั้นเฉินถิงเซียวกับแม่ของเขาถูกคนลักพาตัว ตอนที่ตระกูลเฉินไปช่วย แม่ของเฉินถิงเซียวก็เสียชีวิตแล้ว ถึงแม้เขามีชีวิตอยู่ แต่ก็เสียโฉมมีเซ็กส์ไม่ได้แล้ว จากนั้นไม่นาน ก็มีข่าวที่ว่าจะแต่งงานกับลูกสาวของตระกูลมู่แพร่ออกมา”
ครอบครัวของเสิ่นเหลียงมีคนเล่นการเมือง สำหรับเรื่องนี้รู้เยอะกว่าคนอื่นนิดหน่อย ตอนนั้นเสิ่นเหลียงแก่กว่ามู่น่อนน่อนนิดหน่อย เคยได้ยินคนในครอบครัวพูดบ้างนิดหน่อย
แต่ก็ได้ยินแค่เรื่องผิวเผินพวกนี้
มู่น่อนน่อนวิเคราะห์:“นั่นก็แสดงว่า ที่ตระกูลเฉินให้เฉินถิงเซียวหมั้นหมายกับมู่หวั่นขี ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวของตอนนั้น?”
“มีความเป็นไปได้”เสิ่นเหลียงก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
มู่น่อนน่อนจมเข้าไปในการครุ่นคิด
การหมั้นหมายของเฉินถิงเซียวและมู่หวั่นขี ไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาแน่นอน และการที่คุณปู่มู่ไปต่างประเทศอย่างกะทันหัน ต้องมีความเชื่อมโยงกับเรื่องนี้แน่นอน
“งั้นเธอตัดสินใจจะเอายังไงต่อ?”เดิมทีเสิ่นเหลียงได้ยินว่า“เฉินเจียฉิน”ก็คือเฉินถิงเซียว ยังดีใจแทนมู่น่อนน่อนอยู่เลย
แต่ว่า หลังจากมู่น่อนน่อนเล่าเรื่องพวกนี้ให้เธอฟัง เธอกลับยิ่งกังวลขึ้นมาแล้ว
ตระกูลไฮโซพวกนั้น ภายนอกดูดีไร้ที่ติ ในที่ลับต้องมีเรื่องมากมายที่เจอผู้เจอคนไม่ได้แน่นอน
ส่วนเฉินถิงเซียวในฐานะที่เป็นผู้รับช่วงต่อ ทางสายเลือดโดยตรง สามารถปิดบังสถานการณ์ของตัวเองนานหลายปีขนาดนี้ ก็ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
“ไม่รู้ ดูกันไปทีละก้าวเถอะ”มู่น่อนน่อนหัวเราะเยาะตัวเองขึ้นมา
ตั้งแต่ตอนที่เธอแต่งงานเข้ามาในตระกูลเฉิน เธอก็ใช้ชีวิตตามใจตัวเองไม่ได้แล้ว
บางครั้ง ชีวิตของคนเราคือถูกโชคชะตาบีบบังคับ
คุณหยุดลงมาไม่ได้ และถอยหลังกลับไปไม่ได้ คุณได้เพียงถูกบีบบังคับให้เดินไปข้างหน้า บางทีข้างหน้าอาจจะมีทางออก บางทีข้างหน้าอาจจะเป็นเหวลึก ไม่อาจทำตามใจตัวเองได้
เสิ่นเหลียงไม่รู้พูดอะไรดี ทั้งสองเงียบลงมาในชั่วขณะ
ในขณะนี้ เฉินเจียฉินกลับมาแล้ว
ข้างหลังเขายังมีคนตามมาด้วยคนนึง
หลังจากเฉินเจียฉินเดินเข้ามาใกล้ หลีกทางไปข้างๆ ก็ได้เผยคนที่อยู่ด้านหลังออกมา:“พี่น่อนน่อน นี่คือพี่ชายของผมครับ”
มู่น่อนน่อนเงยหน้า ที่เห็นคือใบหน้าอ่อนโยนที่คุ้นเคย
“ราชาภาพยนตร์ซือ!”
“ซือเฉิงหยู้!”
เสิ่นเหลียงกับมู่น่อนน่อนส่งเสียงตกใจออกมาพร้อมเพรียงกัน
เสิ่นเหลียงถามก่อน:“ราชาภาพยนตร์ซือเป็นพี่ชายนาย?”
เฉินเจียฉินเกาหัว:“ก็ใช่น่ะสิครับ พี่ชายผมเอง”
“ทำไมเขาแซ่ซือ แล้วนายแซ่เฉินล่ะ?”มู่น่อนน่อนเคยเจอซือเฉิงหยู้หลายครั้ง แต่ยังไงก็คิดไม่ถึงว่าเขาก็มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเฉินด้วย
เฉินเจียฉินอธิบาย:“พี่ชายผมใช้นามสกุลตามพ่อ ส่วนผมใช้นามสกุลตามแม่ครับ”
ซือเฉิงหยู้ยิ้มให้มู่น่อนน่อน:“เสี่ยวฉินซุกซน สร้างความวุ่นวายให้คุณแล้วครับ”
“……ไม่หรอกค่ะ”สมองของมู่น่อนน่อนวุ่นไปหมดแล้ว
ตอนที่ 117 ถ้าคุณไม่อยากให้ผมแทรกแซง ผมก็จะไม่ยุ่ง
เฉินถิงเซียวไม่สนการทำตัวบ้าๆบอๆของกู้จือหยั่น เขามองไปยังทิศทางของมู่น่อนน่อนเหมือนมีลาง ก็จับมู่น่อนน่อนที่กำลังจะวิ่งหนีได้อย่างคาหนังคาเขา
มู่น่อนน่อนกัดฟันหันหลังจะไป ก็ถูกเขาเรียกตัวเอาไว้
“มู่น่อนน่อน”
น่อนน่อนหันไปมองเขา ฉีกรอยยิ้มที่แข็งกระด้างออกมา:“พวกคุณคุยต่อเลยค่ะ ฉันแค่เดินผ่าน”
เธอพูดจบ ก็เดินผ่านข้างกายของพวกเขา และไปรินน้ำในห้องครัว
ตอนที่ออกมา เฉินถิงเซียวกับกู้จือหยั่นไม่ได้พูดคุยกันต่ออีก
กลับเป็นกู้จือหยั่นที่พอเจอเธอปุ๊บก็ยิ้มแก้มปริเหมือนเอาใจ:“น่อนน่อน เสิ่นเสี่ยวเหลียงได้โทรหาคุณมั้ยครับ?”
“โทรซิคะ”มู่น่อนน่อนถือแก้วน้ำเดินมานั่งลงบนโซฟาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพวกเขา
กู้จือหยั่นฟังเธอพูดแบบนี้ พริบตาเดียวตาก็เปล่งประกายขึ้นมา
แต่ว่า คำต่อไปของมู่น่อนน่อน ก็ได้ทำให้แสงในดวงตาเขาดับสนิท
“เธอบอกกับฉันว่า คุณคือผู้ชายเฮงซวย”ตอนที่มู่น่อนน่อนพูด ใบหน้าได้ยิ้มแฉ่ง ดูหน้าตาแล้วไม่มีการโจมตีเลย
แต่กู้จือหยั่นกลับฟังจนไม่รู้สึกไม่ดีไปทั้งคน
“ผมถูกปรักปรำนะครับ ผมไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงสองคนนั้นสักหน่อย วันนั้นผม……”จู่ๆกู้จือหยั่นหยุดชะงักไว้ เขาเงยหน้ามองเฉินถิงเซียวทีนึง แล้วปิดปากเงียบ
เฉินถิงเซียวดันจะทำตัวลึกลับขนาดนี้ เอาโรงแรมจีนติ่งกับบริษัทเสิ้งติ่งไว้ในนามของเขา ทำให้เขาไม่กล้าพูดอะไรซี้ซั้ว
“วันนั้นผมดื่มเยอะไปหน่อย ก็เลยพักที่จีนติ่งโดยตรง ผมไม่ได้นอนกับผู้หญิงสองคนนั้นนะครับ”
“คุณไปอธิบายให้เสี่ยวเหลียงฟังเองดีกว่าค่ะ”มู่น่อนน่อนมองกู้จือหยั่นด้วยสายตาเย็นชา
กู้จือหยั่นก่ายหน้าผาก:“แต่เธอไม่รับโทรศัพท์ผม”
“คุณไปหาเธอได้นี่คะ คุณน่าจะรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน ถ้าแค่ความเข้าใจผิดเล็กๆนี้คุณยังอธิบายไม่ได้ งั้นก็อย่าราวีเธออีกเลยค่ะ”มู่น่อนน่อนไม่คิดจะพูดมากต่อ ดื่มน้ำไปกรึ๊บนึง ก็จะลุกขึ้นจากไป
เฉินถิงเซียวที่ปิดปากเงียบมาโดยตลอด จู่ๆกลับยื่นมือเอาแก้วน้ำในมือเธอมา และดื่มกรึ๊บนึงโดยตรง
“นั่นเป็นของที่ฉัน……”เคยดื่มแล้ว
มู่น่อนน่อนเห็นเขาได้ดื่มไปแล้ว คำพูดข้างหลังก็กลืนลงไปอย่างรู้ตัว แต่ใบหูกลับเริ่มแดงก่ำ
หน้าของเธอไม่ได้ด้านเหมือนเฉินถิงเซียว อีกอย่างตรงนี้ยังมีคนนอกอยู่
แม้แต่แก้วมู่น่อนน่อนก็ไม่เอาแล้ว เธอหันหลังวิ่งขึ้นไปชั้นบนโดยตรง
กู้จือหยั่นมองดูเธอขึ้นชั้นบน จากนั้นก็พูดกับเฉินถิงเซียวเหมือนครุ่นคิดอย่างหนัก:“ทำไมเมื่อก่อนฉันไม่รู้สึกว่ามู่น่อนน่อนพูดจาประชดประชันขนาดนี้เลยวะ?”
ไม่รอให้เฉินถิงเซียวพูด เขาก็พูดเองเออเองอีกคำ:“น้ำเสียงการพูดการจาแบบนี้ จะตามนายทันอยู่แล้ว”
“อย่าพูดไร้สาระอีกเลย รีบไปหาดาราน้องใหม่คนนั้นของนายเถอะ”เฉินถิงเซียวพูดจบ เฉินถิงเซียวก็ลุกขึ้นเดินไปชั้นบน
กู้จือหยั่นค่อนข้างหมดคำพูด:“ไม่รั้งฉันไว้กินข้าวสักหน่อยเลยเหรอ?”
เฉินถิงเซียวหันมามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย:“ไสหัวไป”
บะหมี่ชามเค็มจนขมปี๋ที่เขากินในตอนเช้านี้ ยังต้องพึ่งใบบุญของเฉินเจียฉินเลย
ตั้งแต่มู่น่อนน่อนรู้ว่าเขาคือเฉินถิงเซียว ก็ไม่เคยมีสีหน้าดีๆให้เขาเลย ยิ่งอย่าบอกว่าทำกับข้าวให้เขาทานเลย
เขาเองยังไม่ได้กินเลน กู้จือหยั่นยังอยากมาขอแจมอีก?
กู้จือหยั่นไม่รู้ว่าตัวเองไปขัดใจคุณชายเฉินตรงไหนเข้า แต่ตอนนี้เขามีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ ก็ไม่มีเวลามาถือสาเรื่องพวกนี้
………………
เฉินถิงเซียวกลับมาถึงที่ห้องนอน ก็เห็นมู่น่อนน่อนหอบโน๊ตบุ๊คไว้ซุกอยู่ที่โซฟา
เธอใส่ที่อุดหูไว้ มองดูหน้าจออย่างไม่กระพริบตาเลย เหมือนกำลังดูหนังอยู่
เฉินถิงเซียวเดินไป โน้มตัวไปดูทีนึง พบว่าเป็นหนังที่ซือเฉิงหยู้แสดง
เขาพับโน๊ตบุ๊คเธอลงมาด้วยสีหน้าเย็นชา
มู่น่อนน่อนเอาที่อุดหูออก ถามเขาอย่างไม่สบอารมณ์:“นี่คุณทำอะไรน่ะ?”
ดูเหมือนเธออยากระเบิดอารมณ์ แต่ก็มีความกังวล ถึงแม้สีหน้าเปลี่ยนแปลงไม่มาก แต่ในดวงตายังมีความโกรธอยู่เสี้ยวนึง
ดูแล้วค่อนข้างน่ารัก
เฉินถิงเซียวยกมุมปากขึ้น มองเธอเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม:“คุณได้ยินหมดแล้ว?”
มู่น่อนน่อนแกล้งโง่:“ได้ยินอะไรคะ?”
“ข่าวของจือหยั่น คนของตระกูลมู่จงใจซื้อตัวผู้สื่อข่าวสร้างข่าวขึ้นมา จือหยั่นอยู่ในวงการบันเทิงมีอิทธิพลไม่น้อย วัตถุประสงค์ของพวกเขาก็คือเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คน เพื่อให้บริษัทมู่ซื่อหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเอื่อยเฉื่อย พูดจาอย่างสงบ แต่สายตาของเขากลับจ้องมองมู่น่อนน่อนไว้อย่างไม่คลาดสายตา สังเกตปฏิกิริยาตอบโต้ของเธอ
“ใครเป็นคนทำคะ?”มู่น่อนน่อนคิดๆแล้วพูด“มู่หวั่นขี?”
ตระกูลมู่นอกจากมู่หวั่นขีที่สมองเลอะเลือนขนาดนี้ เธอก็นึกไม่ออกว่ายังจะมีใครแล้ว
ถึงแม้กู้จือหยั่นเป็นคนในวงการบันเทิง แต่บริษัทเสิ้งติ่งคือผู้นำใหญ่สุดของวงการบันเทิง ใหญ่กว่าบริษัทมู่ซื่อไม่รู้ตั้งกี่เท่า
คนอย่างเขา ถูกคนอื่นลากมาบังกระสุน จะปล่อยบริษัทมู่ซื่อไปง่ายๆได้ยังไง?
คำพูดที่กู้จือหยั่นพูดก่อนหน้านี้ เธอก็ได้ยินแล้ว
เฉินถิงเซียวไม่ปริปากพูดว่าถูกหรือไม่ถูก น้ำเสียงแฝงด้วยความจริงจัง:“คุณอยากให้ผมช่วยบริษัทมู่ซื่อก้าวข้ามผ่านความยากลำบากมั้ย?”
“คุณหมายความว่ายังไงคะ?”มู่น่อนน่อนรู้สึกคำพูดของเฉินถิงเซียวมีความหมายแอบแฝง
“ถ้าคุณอยากให้ผมช่วย ผมก็จะช่วย คุณไม่อยากให้ผมแทรกแซง ผมก็จะไม่ยุ่ง”เฉินถิงเซียวเผยรอยยิ้มอ่อนๆออกมา ในแววตามีการตามใจที่เห็นได้ชัดเจน
มู่น่อนน่อนรู้สึกมาโดยตลอดว่าหน้าตาของเฉินถิงเซียวโดดเด่นเกินไป ในวงการบันเทิงน้อยมากที่จะหน้าตาดีกว่าเขา ถึงจะมี บุคลิกภาพก็ไม่อาจสู้ของเขาได้
ถูกเขาใช้สายตาที่ตามใจจ้องมอง มีเสี้ยววินาทีนึงที่มู่น่อนน่อนเหม่อลอย
นี่เขาเริ่มแซวเธออีกแล้วเหรอเนี่ย?
ขอแค่เธอพูดคำเดียว เขาก็จะทำตามจริงๆเหรอ?
ทั้งคู่สบตากันอย่างนี้ ใครก็ไม่เปิดปากพูดก่อน และไม่ได้เคลื่อนย้ายสายตา
จนกว่าข้างนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น:“คุณผู้ชาย คุณหญิงน้อย ทานข้าวได้แล้วครับ”
ทีนี้มู่น่อนน่อนถึงดึงสติกลับมาทันที เธอกัดริมฝีปากและพูด:“ฉันอยากให้คุณช่วยบริษัทมู่ซื่อค่ะ”
“โอเค”
ไม่มีการลังเลใดๆ เฉินถิงเซียวก็ให้คำตอบที่แน่ชัดกับเธอเลย
เธอไม่ได้อยากช่วยบริษัทมู่ซื่อจริงๆหรอก เธอแค่ไม่เชื่อคำพูดของเฉินเจียฉิน
ช่วยบริษัทมู่ซื่อสำหรับเขาแล้วไม่มีผลประโยชน์อะไร กลับกันยังเป็นเรื่องยุ่งยากและเปลืองแรงด้วยซ้ำ
คนฉลาดมักจะไม่ยอมทำเรื่องแบบนี้
…………….
หลังจากเฉินถิงเซียวรับปากจะช่วยบริษัทมู่ซื่อ ไม่นานก็ลงมือทำจริงๆแล้ว
ก่อนอื่นคือข่าวด้านลบของบริษัทมู่ซื่อพริบตาเดียวก็ไม่เห็นแล้ว ต่อมาก็คือบริษัทที่อยากยกเลิกการร่วมงานกับบริษัทมู่ซื่อต่างก็พากันเปลี่ยนใจอีก
ไม่นาน บริษัทมู่ซื่อก็กลับคืนสู่ความถูกต้อง
แม้กระทั่งยังมีคนเป็นฝ่ายหามาถึงที่ว่าจะเป็นฝ่ายจัดหาเงินทุนให้กับบริษัทมู่ซื่อ
มู่น่อนน่อนมองทุกอย่างนี้ไว้ในสายตา อารมณ์ซับซ้อนมาก
เธอนึกว่าเฉินถิงเซียวแค่พูดเฉยๆ คิดไม่ถึงว่าเขาจะลงมือช่วยจริงๆ แถมยังช่วยอย่างสิ้นเชิงขนาดนี้
ในเน็ตมีโพสต์ด้านมืดของบริษัทมู่ซื่อโผล่เป็นบางครั้ง แต่ไม่นานก็จะถูกลบโพสต์ทิ้ง
ผู้สื่อข่าวกับกลุ่มคนผู้มีอิทธิพลบนWeiboเหมือนพากันสูญเสียความทรงจำ ลืมเรื่องนี้ไป และไม่มีใครเอ่ยถึงอีกเลย
ส่วนเสิ่นเหลียงที่ทำการโปรโมทหนังอยู่ข้างนอกก็ได้กลับมาที่เมืองหู้หยางแล้ว มู่น่อนน่อนเพิ่งได้รับเงินเดือนพอดี จึงได้นัดเธอทานข้าวด้วยกัน
ตอนเลิกงาน คนที่มารับมู่น่อนน่อนไม่ใช่สือเย่ แต่เป็นคนขับคนอื่น
มู่น่อนน่อนขึ้นรถปั๊บก็แจ้งชื่อร้านอาหาร:“ส่งฉันไปที่ร้านอาหารร้านนี้ก็พอแล้ว แล้วไม่ต้องมารับฉันนะ ฉันกลับไปเอง”
ปีนี้เฉินเจียฉินมีรายได้อู้ฟู่ นับสมุดการบ้านของเพื่อนนักเรียนครู่นึง ก็ได้หันมาถามเธอ“พี่จะไปไหนครับ?”
“ไปทานข้าวกับเพื่อนจ้า”
“ผมก็จะไปด้วย”
มู่น่อนน่อนไม่อยากพาเขาไป แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้ จึงได้พาเฉินเจียฉินไปด้วย
เสิ่นเหลียงเห็นเฉินเจียฉินปุ๊บ ก็ถามมู่น่อนน่อน:“นี่เป็นเด็กบ้านใคร?ฉันไม่รู้ว่าตระกูลมู่เธอ มีจะลูกของญาติคนไหนสามารถมีDNAที่ดีขนาดนี้”
เฉินเจียฉินเป็นเด็กที่หน้าตาดี ผมหยิก ผิวพรรณขาวผ่อง ยังมีความเป็นเด็กๆไร้เดียงสาอยู่ ตอนยิ้มขึ้นมาน่ารักมาก
เฉินเจียฉินแนะนำตัวอย่างสนิทสนม:“ผมชื่อเฉินเจียฉินครับ”
“พู่”น้ำชาที่เสิ่นเหลียงเพิ่งดื่มเข้าไปในปากได้พ่นออกมา
ตอนที่ 116 เมียฉันก็แซ่มู่เหมือนกัน
มู่น่อนน่อนไม่ค่อยใกล้ชิดสนิทสนมกับกู้จือหยั่นเท่าไหร่ ไม่ค่อยรู้นิสัยใจคอของกู้จือหยั่น
แต่ในเน็ตลือสะพัด กู้จือหยั่นคือต้นฉบับของคนเจ้าชู้ เปลี่ยนผู้หญิงเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า แฟนที่เป็นข่าวมีเยอะแยะมากมาย แต่ส่วนมากล้วนเป็นรูปถ่ายที่ไม่มีหลักฐานแท้จริง ไม่มีแรงโน้มน้าวเลยสักนิด
ดังนั้น จนถึงตอนนี้ กู้จือหยั่นก็แค่มีข่าวซุบซิบเยอะ แต่กลับไม่เคยยอมรับมาก่อนว่าผู้หญิงคนไหนเป็นแฟนตัวจริงของเขา
แต่เพราะกู้จือหยั่นรวมหัวกับเฉินถิงเซียวหลอกมู่น่อนน่อน และเพราะความสัมพันธ์ของเขากับเสิ่นเหลียงซับซ้อน มู่น่อนน่อนก็ไม่ค่อยมีความรู้สึกดีกับกู้จือหยั่นเท่าไหร่
แต่ถึงจะอย่างนี้ก็เถอะ มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ด่ากู้จือหยั่นตามเสิ่นเหลียง
เธอดูรูปถ่ายไปอีกครู่นึง แล้ววิเคราะห์ให้เสิ่นเหลียงฟังอย่างละเอียด:“รูปถ่ายนี้ถ่ายที่หน้าโรงแรมจีนติ่ง
แถมยังตอนกลางคืน อีก กู้จือหยั่นเป็นคนใหญ่คนโตของวงการบันเทิง ปกติผู้สื่อข่าวไม่กล้าเขียนข่าวของเขาไปมั่วและขัดใจเขาไม่มั่ว”
“ถึงจะเป็นแบบนี้ก็สามารถอธิบายอะไรได้?”น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงสงบลงมาแล้ว:“เขาได้พาผู้หญิงสองคนไปเที่ยวที่คลับเฮ้าส์ทั้งคืนไม่กลับมาจริงๆ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกที่เสิ่นเหลียงพูดมีเหตุผล
เธอไม่รู้ว่าระหว่างเสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นเคยเกิดอะไรขึ้น แต่เธอรู้เสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่น ต่างก็ปล่อยวางไม่ลงซึ่งกันและกัน
ไม่งั้น ทุกครั้งที่กู้จือหยั่นเจอเธอก็ไม่ถามข่าวคราวของเสิ่นเหลียงอ้อมๆหรอก เสิ่นเหลียงเองก็จะไม่เพราะข่าวนี้แล้วโทรมาด่ากู้จือหยั่นให้เธอฟังหรอก
……………
ข่าวของกู้จือหยั่นออกมาปุ๊บ กลุ่มคนที่ชอบซุบซิบในเน็ตก็กระโดดโลดเต้นขึ้นมาอีกแล้ว
คอมเม้นท์และผลงานใต้Weiboของกู้จือหยั่นแปลกประหลาดมาก
“ประธานกู้ของเราตอนนี้เล่นสวิงกิ้งแล้วเหรอ?”
“คุณมีปัญญาเล่นก็ยอมรับแฟนตัวจริงสักคนสิ?”
“ไม่กลัวป่วยเหรอ?”
“ลูกพี่กู้ ต้องทำยังไงถึงจะเข้าบริษัทเสิ้งติ่ง?”
“แปลกแฮะ ครั้งนี้ไม่ใช่ดาราสาว?”
“ทุกคนต่างก็มาดูความเฮฮาที่นี่แล้วเหรอ? พวกคุณลืมเรื่องโรงงานของบริษัทมู่ซื่อไปหรือเปล่า? แวะจุดประเด็นหน่อย:#ด้านมืดของโรงงานบริษัทมู่ซื่อ#”
ด้านล่างของความคิดเห็นนี้มีคนตอบตามเยอะมาก
“ฉันรู้สึกมีเหตุผล”
“เพราะฉะนั้น ประธานกู้สุดหล่อของพวกเราคือแพะรับบาป?”
“ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ บริษัทมู่ซื่อก็ต่ำช้าเกินไปแล้ว!”
“ประธานกู้ผู้น่าสงสาร”
“……”
มู่น่อนน่อนดูคอมเม้นท์พวกนี้เสร็จ แล้วไปดูที่หัวข้อยอดนิยม ไม่นึกเลยว่าประเด็นที่เกี่ยวกับด้านมืดของโรงงานบริษัทมู่ซื่อจะไม่อยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนแคปคอมเม้นท์ส่งให้เสิ่นเหลียง และส่งข้อความเกลี้ยกล่อมเธอ:“ถ้าเธอแคร์มากจริงๆ สู้ฟังกู้จือหยั่นอธิบายหน่อยจะดีกว่า”
ถึงแม้เธอไม่ค่อยรู้จักกู้จือหยั่นดีพอ แต่เธอรู้จักเสิ่นเหลียงดีมาก
เสิ่นเหลียงแก่กว่าเธอสองปี ตอนที่เธอเรียนมัธยมปลายรู้จักกับเสิ่นเหลียงจนถึงตอนนี้ก็หกปีแล้ว
ในหกปีนี้ ผู้ชายที่เข้ามาจีบเสิ่นเหลียงเยอะดั่งปลาคาร์ฟที่แหวกว่ายอยู่ในแม่น้ำ เยอะจนนับไม่ถ้วน ในนั้นก็ไม่ขาดผู้ชายดีๆที่ฐานะทางบ้านร่ำรวยและเป็นสุภาพบุรุษ
แต่เสิ่นเหลียงกลับมั่นคงเหมือนภูเขาไท่ ไม่เคยหวั่นไหวเพราะผู้ชายคนไหนมาก่อน
เมื่อก่อนมู่น่อนน่อนไม่ค่อยเข้าใจ ต่อมาหลังจากเห็นแววตาที่เธอมองกู้จือหยั่น ก็ค่อยๆเข้าใจแล้ว
ถ้าในใจของคนๆนึงซ่อนคนไว้ ถึงคนอื่นจะดีแค่ไหนก็ไม่เข้าตาหรอก
“ฟังคำอธิบายบ้าบอคอแตกอะไรล่ะ ไอ้ผู้ชายเฮงซวย”ถึงแม้เสิ่นเหลียงก็ยังด่ากู้จือหยั่นอยู่ แต่ย้ำเสียงซอฟลงเยอะแล้ว
…………..
ตอนที่เลิกงาน สือเย่มารับมู่น่อนน่อนอีก
เฉินเจียฉินก็อยู่บนรถ เขาคงจะไปรับเฉินเจียฉินก่อน แล้วแวะมารับเธอต่อ
“พี่น่อนน่อน”เฉินเจียฉินเห็นเธอ แค่เรียกคำนึง จากนั้นก็ก้มหน้าคุ้ยหาของในกระเป๋าตัวเองต่อ
เอาสมุดออกมาจากกระเป๋าด้วย และเปิดแอปเครื่องคิดเลขในมือถือไปด้วย กำลังคิดคำนวณอะไรอยู่
“นายทำอะไรอยู่?”มู่น่อนน่อนเอียงศีรษะไปดูด้วยความแปลกใจ ก็พบว่าสมุดที่เขาหยิบคือสมุดการบ้านของเพื่อนนักเรียน
เฉินเจียฉินรีบยัดสมุดเข้าไปในกระเป๋า และใกล้เข้ามาพูดที่ข้างหูเธออย่างลับๆล่อๆ:“พี่อย่าบอกพี่ชายผมนะ”
“ไม่ต้องบอกพี่ชายนายเรื่องอะไร?”มู่น่อนน่อนถาม:“นายเอาสมุดการบ้านของเพื่อนนักเรียนไว้ทำไม?”
“ผมก็กำลังหาเงินน่ะสิครับ ผมช่วยพวกเขาเขียนการบ้าน เล่มละหนึ่งร้อยหยวน”
“……”ยังมีช่องทางหาเงินแบบนี้ด้วย?
มู่น่อนน่อนใช้เวลาสามวินาทีถึงรับข้อความนี้:“นายขัดสนเงินมากเหรอ?”
“พี่ถิงเซียวหักค่าขนมของผม ผมไม่มีเงินไปเล่นเกมส์แล้ว”เฉินเจียฉินพูดขึ้นมาแล้วสีหน้าปวดใจอีก
จากนั้นเขาก็ถามมู่น่อนน่อนด้วยความข้องใจ:“พี่กับพี่ชายผมเป็นอะไรกันแน่ครับ?ถึงแม้ผมรู้ว่าพวกพี่สองคนกำลังงอนกันอยู่ แต่จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าพวกพี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น อีกอย่างผมรู้สึกพี่ถิงเซียวก็แค้นผมมากด้วยเหมือนกัน ถึงแม้ก่อนหน้านั้นเขาเข้มงวดกับผมมาก แต่ก็ไม่หักค่าขนมของผมไปหมด”
เหอะๆ นั่นไม่ใช่เพราะการโผล่มาของเฉินเจียฉินหรอกหรือ ที่ทำลายแผนของเฉินถิงเซียว เปิดโปงกลโกงของเขา?
ว่าไปแล้ว เธอยังต้องขอบคุณเฉินเจียฉินเสียด้วยซ้ำไป ไม่งั้นตอนนี้เธออาจจะยังถูกเฉินถิงเซียวหลอกอยู่ก็ได้
แต่ว่า เรื่องของผู้ใหญ่แบบนี้ ก็ไม่ต้องบอกเฉินเจียฉินแล้ว
เธอตบไหล่ของเฉินเจียฉินเบาๆ:“ถ้าขัดสนเรื่องเงินมากก็มาเอากับพี่ได้……”
เฉินเจียฉินผายมือ สีหน้ารังเกียจ:“เงินที่พี่หายังเยอะสู้ผมไม่ได้เลย”
“……”
มู่น่อนน่อนดูสมุดการบ้านหนาตึ๊บที่อยู่ในกระเป๋าของเฉินเจียฉิน มีประมาณสิบเล่ม งั้นก็เท่ากับว่าเขาสามารถหาเงินได้วันละหนึ่งพันหยวน?
พอเทียบแบบนี้แล้ว เธอหาเงินเยอะสู้เฉินเจียฉินไม่ได้จริงๆ
“เด็กนักเรียนสมัยนี้มีเงินเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”ช่วยเขียนการบ้านครั้งนึงก็สามารถให้หนึ่งร้อยหยวน
เฉินเจียฉินพยักหน้า:“ด้านหลังของโรงเรียนผมคือโรงเรียนของลูกคนรวยครับ”
มู่น่อนน่อน:“……”ความจนได้จำกัดจินตนาการของเธอ
…………..
พอกลับไปปุ๊บ เฉินเจียฉินก็เข้าไปในห้องนอนตัวเอง เริ่มหาเงินทำแผนการใหญ่ของเขา
มู่น่อนน่อนกลับไปเขียนตอนที่ห้องนอน เด็กตัวแค่นี้อย่างเฉินเจียฉินยังสามารถคิดหาวิธีหาเงินได้มากขนาดนั้น เธอก็ทิ้งอาชีพเดิมของตัวเองไม่ได้
ช่วงนี้เธอกำลังเขียนบทสืบสวนสอบสวนเล่มนึงอยู่ เสิ่นเหลียงรอเธอเขียนเสร็จ ก็จะช่วยเธอติดต่อผู้กำกับและบริษัทว่ามีใครจะซื้อบทของเธอมั้ย
อยู่บริษัทมู่ซื่อไม่ใช่แผนที่ยาวไกล
เขียนได้สักพัก เธอก็ไม่มีแรงบันดาลใจอะไรแล้ว ก็เลยลุกขึ้นออกไปเดินเล่น
เฉินถิงเซียวไม่รู้กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังคุยธุระกับกู้จือหยั่นที่ห้องโถงอยู่
มู่น่อนน่อนไม่มีความชอบด้านแอบฟังคนอื่นพูดคุยกัน เธอหันหลังอยากกลับห้องนอน กลับได้ยิน“บริษัทมู่ซื่อ”โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
เธอถอยกลับมา แอบใกล้เข้าไปนิดหน่อย ก็ได้ยินกู้จือหยั่นพูดด้วยความโกรธ:“คนของตระกูลมู่นี่เป็นโรคประสาทหมดเลยเหรอ?เวลาแบบนี้ไม่ไปแก้ไขปัญหา กลับซื้อตัวผู้สื่อข่าวลากฉันเข้าไปเกี่ยวข้อง อยากเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คน ให้ฉันช่วยพวกเขารับกระสุนแทน!สมองมีปัญหา!นายไม่ต้องมาห้ามฉัน ฉันจะเอาพวกมันตาย!”
“อ้อเหรอ”เฉินถิงเซียวตอบอย่างเรียบเฉยคำนึง และพูดอย่างเบาๆ:“เมียของฉันก็แซ่มู่เหมือนกัน”
“……”ไม่นานอารมณ์ที่วู่วามของกู้จือหยั่นก็ได้ลดฮวบลงมา เขากระแอมเสียงใส:“คนของตระกูลมู่นอกจากมู่น่อนน่อนแล้ว ล้วนสมองมีปัญหาทั้งนั้น”
ตอนที่ 115 เขาไม่ใช่คนดี
“เอาล่ะ รีบไปโรงเรียนเถอะ วันนี้เข้าเรียนวันแรก ไปรายงานตัวสายเกินไปก็ไม่ดี”มู่น่อนน่อนพูดจบ นึกอะไรได้ก็กำชับเขาอีก:“อย่าก่อเรื่องล่ะ”
“ผมก่อเรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”เฉินเจียฉินสีหน้าไม่พอใจ
เรื่องที่เขาก่อขึ้นมายังน้อยอีกเหรอ?
แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้พูดมากกับเขา แค่เกลี้ยกล่อมให้เขารีบไป
เฉินเจียฉินเอาเงินยัดเข้าไปในกระเป๋าตัวเอง จากนั้นก็สีหน้าจริงจัง แล้วเปิดปากพูดอย่างลังเล:“ผมมีคำพูดนึงจะบอกกับพี่”
“คำพูดอะไร?”มู่น่อนน่อนยากที่จะได้เห็นเฉินเจียฉินเผยสีหน้าจริงจังขนาดนี้ เธอค่อนข้างประหลาดใจ
“ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ พี่พยายามเท่าที่จะทำได้หย่ากับพี่ชายผมเถอะ เขาไม่ใช่คนดี”เฉินเจียฉินพูดจบ แล้วพูดเสริมอีก:“ผมพูดจากใจจริงนะ ไม่ใช่เพื่อให้พี่มาเป็นแฟนผมถึงพูดแบบนี้”
ถ้าเฉินเจียฉินไม่พูดคำพูดข้างหลัง มู่น่อนน่อนเกือบจะเชื่อแล้ว
เธอจ้องเฉินเจียฉินทีนึง:“เป็นเด็กอย่าพูดเหลวไหล ถ้านายไม่ไปอีกพี่จะโทรหาพี่ชายนาย”
“เอาล่ะ ผมไปก่อนแล้วครับ”เขาเดินไปไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาพูดกับเธออย่างจริงจัง:“ผมพูดจริงจังนะครับ”
มู่น่อนน่อนทำท่าโทรศัพท์ เขายักไหล่ ไม่นานก็วิ่งหายไปอย่างไร้เงา
เฉินเจียฉินยังนิสัยเด็กอยู่ มีเรื่องมากมายที่เขาไม่เข้าใจ แต่มีอยู่อย่างนึงที่เขาพูดไม่ผิด เฉินถิงเซียวไม่ใช่คนดีอะไรจริงๆ
……………
ตอนที่มู่น่อนน่อนกลับไปได้เจอมู่หวั่นขีอีก
มู่หวั่นขีเห็นมู่น่อนน่อนก็มีสีหน้าไม่ดีเลย
แต่ว่า ตอนที่เธอเห็นเสื้อผ้าบนตัวของมู่น่อนน่อน แววตามีความประหลาดใจแว๊บผ่าน
ช่วงเวลาที่ผ่านนี้ มู่น่อนน่อนทำงานที่บริษัทมู่ซื่อ แต่แต่งตัวได้เรียบง่ายมาก ไม่เหมือนคุณหญิงคุณนายของตระกูลไฮโซเลยสักนิด
แต่ชุดที่เธอใส่วันนี้ ถึงแม้ดูเรียบง่ายไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่กลับเป็นแบรนด์ดัง การตัดเย็บและแบบล้วนเป็นชั้นเลิศ
ใครเป็นคนซื้อให้เธอ?
เฉินเจียฉิน?
มู่หวั่นขีมือกอดอก เชิดหน้าใช้หางตามองเธอ:“ได้ยินพ่อฉันบอกว่า แกเกลี้ยกล่อมให้เฉินถิงเซียวช่วยบริษัทมู่ซื่อไม่สำเร็จ?”
“ใช่ ฉันจะเกลี้ยกล่อมคนอย่างเขาสำเร็จได้ยังไง หรือไม่เธอไปเกลี้ยกล่อมมั้ยล่ะ?”สุดสัปดาห์มานี้ มู่น่อนน่อนเพราะเรื่องของเฉินถิงเซียว อารมณ์ไม่ค่อยดีมาตลอด ไม่มีอารมณ์แสดงละครกับมู่หวั่นขี
“ฉันไปก็ฉันไปสิ แกนึกว่าฉันไม่กล้าไปงั้นเหรอ?”มู่หวั่นขีทำเสียงฮึเย็นชาทีนึง แล้วจากไปอย่างได้ใจ
มู่น่อนน่อนรู้สึกที่เสิ่นเหลียงพูดไม่ผิดเลยสักนิด มู่หวั่นขีเป็นผู้ป่วยโรคเจ้าหญิงระยะสุดท้ายชัดๆ ไม่มีทางรักษาแล้ว
ตอนแรกมู่หวั่นขีอยากไปยั่วสวาท“เฉินเจียฉิน”ก่อน หลังจากล้มเหลว ตอนนี้ก็อยากไปยั่วสวาท“เฉินถิงเซียว”อีก ถึงแม้มู่น่อนน่อนรู้ว่าสองคนนี้คือคนเดียวกัน แต่สำหรับมู่หวั่นขีแล้วกลับเป็นคนละคนกัน
เธอนี่นึกว่าผู้ชายทั้งโลกล้วนหมุนรอบตัวเธอหมดจริงๆเหรอ?
มั่นหน้ามั่นตาจนนึกว่าผู้ชายทุกคนจะถูกเสน่ห์ของเธอปราบจนราบคาบ?
หมดหนทางรักษาแล้ว
มู่น่อนน่อนหัวเราะเยาะทีนึง อยากยั่วสวาทเฉินถิงเซียว? เกรงว่ามู่หวั่นขีแม้แต่อยากเจอหน้าเขาก็ยังไม่ได้เจอหรอก
…………..
บริษัทเสิ้งติ่ง
เฉินถิงเซียวมาถึงบริษัท เพิ่งก้าวเท้าเข้าไปที่ออฟฟิศของตัวเอง กู้จือหยั่นก็เดินตามเข้ามาทันที
“ได้ยินมาว่าคืนวันเสาร์ นายให้สือเย่ส่งเสื้อผ้าไปที่โรงแรมจีนติ่งเหรอ?”กู้จือหยั่นยิ้มอย่างร้ายๆ สีหน้าเหมือนมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง
เขาไม่พูดถึงเรื่องวันเสาร์ยังดี พอเอ่ยขึ้นมาปุ๊บ สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็ห้อยลงมาเลย
“นายว่างมากใช่มั้ย?”เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร
กู้จือหยั่นมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี:“ก็โอเคอยู่ๆ……..”
ช่วงนี้หลังจากที่เฉินถิงเซียวเริ่มจัดการงานของบริษัท เขาที่เป็นประธานในนามก็ชิวลงไม่น้อยเลย
เฉินถิงเซียวกะจะไม่สนใจเขาอีก เขาเปิดคอมพิวเตอร์ ด้านล่างก็มีข่าวเด้งออกมาข่าวนึง
หัวข้อสะดุดตามาก:【คนใหญ่คนโตในวงการบันเทิงพาสองสาวเข้าพักที่คลับเฮ้าส์หรูกลางดึก…….】
เฉินถิงเซียวขยับเมาส์ กดเข้าไปดูเนื้อหาของข่าวนี้
หลังจากเขาอ่านดูอย่างรวดเร็วเสร็จ ยกมุมปากขึ้นแล้วพูด:“ไม่นานนายก็จะไม่โอเคแล้ว”
“ของอะไร?”กู้จือหยั่นใกล้เข้าไปด้วยสีหน้าแปลกประหลาด พอใกล้เข้าไปก็เห็นหัวข้อใหญ่มหึมานี้ รูปถ่ายประกอบของด้านล่าง ก็คือรูปถ่ายที่เขาพาผู้หญิงสองคนเข้าโรงแรมจีนติ่ง
ทั้งๆที่เป็นยามดึก แต่ปาปารัสซี่ที่แอบถ่ายดันยังถ่ายรูปได้ชัดเจนมาก ผู้หญิงสองคนนั้นคนนึงซ้ายคนนึงขวา เดินตามอยู่ข้างกายเขา ดูจากมุมที่ถ่ายภาพแล้ว ท่าทางสามารถบอกได้ว่าสนิทชิดเชื้อกันมาก
“เขียนมั่วว่ะควย นี่ก็คือคืนวันเสาร์ ฉันพาพนักงานสองคนของจีนติ่งออกไปช่วยฉันเอาของ ตอนนั้นมีพนักงานคนนึงถือไม่นิ่ง ฉันเลยช่วยเธอประคองหน่อยเอง!”
กู้จือหยั่นโมโหจนจะระเบิดอยู่แล้ว
“อ๋อ”เฉินถิงเซียวก็ไม่เตือนเขาว่าข่าวนี้อาจจะถูกเสิ่นเหลียงเห็น
หลังจากกู้จือหยั่นด่าเสร็จ จู่ๆนึกถึงเรื่องนี้ ด่าคำหยาบออกมาคำนึง ก็ได้หยิบมือถือออกมาโทรหาเสิ่นเหลียง
ทางฝั่งของเสิ่นเหลียงรับสายไวมาก ในใจของกู้จือหยั่นยังค่อนข้างตื่นเต้น เสิ่นเหลียงไม่เคยรับสายของเขาไวขนาดนี้มาก่อน
เพียงแต่ พอรับสายปุ๊บ เสิ่นเหลียงก็ด่าฉอดๆๆ:“คนห่วยแตกที่ไร้ยางอาย โทรมาหาฉันทำไม? จะเมาโอ้อวดว่าร่างกายของคุณดีจนสามารถสวิงกิ้งได้งั้นเหรอ? ขออวยพรให้คุณเหนื่อยล้าจนตายเร็วๆ!ไสหัวไปไกลๆหน่อย!อย่าโทรมาให้ฉันสะอิดสะเอียนอีก!”พอพูดจบ เธอก็“ตู๊ดๆๆ”วางสายเลย
“เสิ่นเสี่ยวเหลียง คุณด่าต่อสิ?คุณวางสายผมถือว่าเป็นความสามารถอะไร?”กู้จือหยั่นค่อนข้างร้อนใจ ปกติเสิ่นเหลียงไม่รับโทรศัพท์เขา ถึงรับโทรศัพท์ก็ไม่มีกิริยาที่ดี ครั้งนี้ฟังแล้วเหมือนจะโมโหไม่เบาเลย
แต่ว่า พอเขาโทรไปอีกครั้ง เสิ่นเสี่ยวเหลียงก็ไม่ได้รับสายแล้ว
“ขออภัยค่ะ สายที่คุณเรียกในขณะนี้ไม่ว่าง”
“ขออภัยค่ะ สายที่คุณโทรในขณะนี้ได้ปิดเครื่อง”
“ขออภัยค่ะ ไม่มีหมายเลขที่ท่านเรียก”
กู้จือหยั่น: “…….”
บล็อกเขาอีกแล้ว?
เขาทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ถึงทำให้เสิ่นเหลียงเลิกบล็อกเขา ตอนนี้เพราะข่าวมั่วๆข่าวนึง เขาก็ถูกบล็อคอีกแล้ว?
“เย็ดแม่ง!”
กู้จือหยั่นไม่กวนโมโหเฉินถิงเซียวอีก เขาออกไปก็สั่งการเลขา:“ให้แผนกประชาสัมพันธ์รวมตัวประชุม”
ถ้าให้เขารู้ว่าใครเป็นคนทำข่าวนี้ เขาจะเอาคนๆนั้นตายให้ได้
…………..
จู่ๆมู่น่อนน่อนได้รับสายของเสิ่นเหลียง
ช่วงนี้เสิ่นเหลียงโปรโมทหนังอยู่ที่ข้างนอก ทุกวันล้วนเหนื่อยมาก ทั้งสองก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน
จู่ๆเสิ่นเหลียงโทรหาเธอ เธอยังนึกว่าเสิ่นเหลียงจะกลับมาแล้วเสียอีก
ปรากฏ เธอรับสายปุ๊บ ก็ได้ยินเสียงบ้าคลั่งของเสิ่นเหลียง:“กู้จือหยั่นนี่มันเศษสวะชัดๆ ไอ้ผู้ชายเหี้ย ไอ้เดียรัจฉาน ไอ้ม้าพ่อพันธุ์!”
มู่น่อนน่อนจับหูที่ถูกสะเทือนจนชาของตัวเอง สีหน้ามึนงง:“กู้จือหยั่นทำอะไรเหรอ?”
“เธอไม่เห็นข่าวเหรอ?เขาพาผู้หญิงสองคนไปเที่ยวที่คลับเฮาส์ ไม่กลับมาทั้งคืน สันดานอย่างเขา พาผู้หญิงสองคนไปยังจะทำอะไรได้อีก?”
มู่น่อนน่อนฟังไปด้วย และเลื่อนเมาส์เปิดเข้าไปในหน้าเว็บและดูข่าวบันเทิงที่นิยมไปด้วย ก็เห็นรูปที่กู้จือหยั่นพาผู้หญิงสองคนเข้าคลับเฮาส์แขวนเฉียงอยู่ด้านบน การค้นหาที่ฮอตฮิตยังสูงขึ้นอย่างไม่หยุด
มู่น่อนน่อนก็ดูออก รูปถ่ายนี้ถ่ายที่หน้าร้านของจีนติ่ง ในรูปท่าทางของเขาสนิทชิดเชื้อกับผู้หญิงสองคน
ตอนที่ 114 พี่อย่าถูกเฉินถิงเซียวหลอก
มู่น่อนน่อนยื่นน้ำให้กับเฉินถิงเซียว ก็หันกลับไปที่ห้องครัว ดังนั้นก็เลยไม่เห็นรอยยิ้มที่เผยออกมาจากใบหน้าเขา
กลับเป็นเฉินเจียฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ เก็บทุกอย่างนี้ไว้ในสายตา
เขาหยิบตะเกียบมาข้างนึง เอียงตัวจิ้มน้ำซุปที่ชามของเฉินถิงเซียวแล้วเอามาชิมดู พริบตาเดียวสีหน้าก็เปลี่ยนเลย
เฉินเจียฉินทิ้งตะเกียบ ดื่มน้ำจนความเค็มในปากจางลง ถึงแบะปากพูดพึมพำ:“ร้ายกาจ!”
ทั้งๆที่เค็มจะตายอยู่แล้ว เขากลับแกล้งกินจนหมด มู่น่อนน่อนใจอ่อนขนาดนั้น ไม่นานก็ต้องค่อยๆให้อภัยเขาแน่นอน
ฮื้อ!ผู้ชายร้ายกาจที่ใช้เป็นแค่แผนทำร้ายตัวเอง เพื่อให้คนอื่นใจอ่อน!
เฉินถิงเซียวจ้องเขาอย่างเย็นชาทีนึง:“เสียงดังหน่อย”
เฉินเจียฉิน: “……” เขาไม่กล้า
เขาหดคอเล็กน้อย ลุกขึ้นก็วิ่งเข้าไปในห้องครัว
มู่น่อนน่อนกำลังพิงอยู่ที่บนเคาน์เตอร์ครัวกำลังดื่มนมเปรี้ยวอยู่ บะหมี่ชามของเธออืดจนทานไม่ได้แล้ว พอดีเลยเธอก็ไม่อยากอาหาร ดื่มนมเปรี้ยวแก้วนึงรองท้องก็แล้วกัน
เห็นเฉินเจียฉินเดินเข้ามา มู่น่อนน่อนหยิบจากตู้เย็นกล่องนึงแล้วยื่นให้กับเขา
เฉินเจียฉินยืนอยู่ที่ข้างกายเธอ ดูดนมเปรี้ยวไปกรึ๊บนึง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อาบน้ำมาก่อน:“มู่น่อนน่อน เธออย่าถูกเฉินถิงเซียวหลอกนะ คนอย่างเขาร้ายกาจมาก”
“อืม”มู่น่อนน่อนตอบอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวคำนึง แล้วหันไปมองเฉินเจียฉิน:“ฉันแก่กว่านายหกปี ถึงนายไม่เรียกฉันพี่สะใภ้ ก็ควรจะเรียกฉันว่าพี่นะ”
เด็กวัยรุ่นที่อายุสิบสี่ยืนอยู่ข้างกายของมู่น่อนน่อนที่สูง167เซนติเมตร ยังสูงกว่าเธอนิดหน่อย
แต่เป็นเพราะยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นอยู่ ดังนั้นเฉินเจียฉินดูแล้วผอมมาก ถึงสูงกว่าเธอนิดหน่อย แต่ก็เป็นแค่เด็กคนนึงเท่านั้น
เฉินเจียฉินแบะปาก:“งั้นก็เรียกพี่สาวก็แล้วกัน……”
ไม่อยากเรียกมู่น่อนน่อนว่าพี่สะใภ้เลยสักนิด พอนึกถึงพี่ชายร้ายกาจของเขาได้เปรียบขนาดนี้ เขาก็รู้สึกเสียดายเลย แถมยังถอนหายใจด้วย
มู่น่อนน่อนสีหน้าแปลกประหลาด เด็กคนนี้ดื่มนมเปรี้ยวยังสามารถดื่มความเศร้าออกมาได้เหรอ?
…………..
ทั้งสามคนออกจากบ้านพร้อมกัน สือเย่ขับรถมารับ
มู่น่อนน่อนไม่อยากนั่งกับเฉินถิงเซียว จึงได้ดึงเฉินเจียฉินขึ้นรถก่อน
เฉินเจียฉินแอบมองเฉินถิงเซียวแว๊บนึง ถึงตามมู่น่อนน่อนขึ้นรถไป
จากนั้นในรถก็เกิดภาพเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา เฉินเจียฉินนั่งอยู่ตรงกลาง มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวนั่งอยู่คนละฝั่ง
เฉินเจียฉินรู้สึกตลอดถึงความกดดันที่ฟุ้งกระจายออกมาจากบนตัวของเฉินถิงเซียว เขารู้สึกตัวเองอาจจะได้ทำเรื่องที่ไม่ฉลาดไปเรื่องนึง
สือเย่ส่งมู่น่อนน่อนไปที่บริษัทมู่ซื่อก่อน ต่อมาเดิมทีควรจะไปส่งเฉินถิงเซียวไปที่โรงเรียน
แต่หลังจากมู่น่อนน่อนลงจากรถ สือเย่เพิ่งขับรถไปได้ไม่ไกล เฉินถิงเซียวก็สั่งสือเย่:“จอดรถ”
พอรถจอดสนิทปุ๊บ เฉินถิงเซียวก็ชายตามองไปที่เฉินเจียฉิน:“ลงรถ”
“นี่ยังไม่ถึงโรงเรียนเลยนะ!”เมื่อวานเฉินถิงเซียวเคยพาเขาไปที่โรงเรียน จากที่นี่ไปโรงเรียนอย่างน้อยต้องขับรถอีกประมาณสิบกว่านาที
“ไม่ใช่ทางผ่าน”
“ห๊ะ?”
ในขณะที่เฉินเจียฉินยังไม่ได้ดึงสติกลับมา เฉินถิงเซียวก็ได้เปิดประตูรถและไล่เขาลงจากรถโดยตรงแล้ว
“……”เฉินเจียฉินโมโหจนจมูกบิดเบี้ยวแล้ว:“พี่นี่อาศัยอำนาจส่วนรวม แก้แค้นส่วนตัวชัดๆ ก็แค่เพราะผมนั่งอยู่ที่ตรงกลางของพี่กับพี่น่อนน่อนเอง แน่จริงพี่ก็ถีบผมลงจากรถต่อหน้าพี่น่อนน่อนสิ!”
เฉินถิงเซียวไม่แยแส ปิดประตูรถโดยตรง และบอกกับสือเย่:“ไปเถอะ”
สือเย่มองเฉินเจียฉินด้วยความเห็นใจทีนึง ถึงแม้รู้ดีว่าโรงเรียนของเฉินเจียฉินกับบริษัทเสิ้งติ่งเป็นทางผ่าน แต่ก็ได้แต่แกล้งใบ้และแกล้งหูหนวก
เฉินเจียฉินมองดูรถที่ขับจากไป โมโหจนถีบต้นไม้ที่อยู่ข้างๆทีนึง
ปรากฏว่าใช้แรงโหดเกิน เขาเจ็บจนดิ้นขึ้นมา
ที่นี่ถ้านั่งรถยังห่างจากโรงเรียนเขาประมาณสิบกว่านาที ตอนนี้ถึงเขาวิ่งไปอย่างบ้าคลั่ง ก็ต้องใช้เวลานานมาก อีกอย่าง…….
เขาไม่มีเงินติดตัวเลย
เฉินเจียฉินพูดเองเออเอง:“ฮื้อ ไล่ฉันลงจากรถใช่มั้ย? งั้นฉันไปเอาเงินกับภรรยาพี่ก็ได้”
ที่นี่ไกลจากบริษัทมู่ซื่อไม่เยอะ เขาวิ่งไปที่บริษัทมู่ซื่อโดยตรง
…………….
มู่น่อนน่อนถึงบริษัท ก็ถูกมู่ลี่เหยียนเรียกตัวไปที่ออฟฟิศ
หลังจากแถลงข่าว คอมเม้นท์ที่ในเน็ตมีต่อบริษัทมู่ซื่อก็ไม่ได้เปลี่ยนมาดีขึ้นเลย ชาวเน็ตไม่ให้การสนับสนุน ผู้คนก็ไม่ให้การสนับสนุน
มู่ลี่เหยียนที่ตอนนี้จนปัญญาแล้ว ได้เอาความหวังทั้งหมดทับ-ไว้ที่บนตัวมู่น่อนน่อนหมด
มู่น่อนน่อนเข้าไปปุ๊บ เขาก็รีบลุกขึ้นมา:“น่อนน่อน ลูกคุยกับเฉินถิงเซียวเป็นไงบ้างแล้ว?”
พูดถึงเฉินถิงเซียว ในใจของมู่น่อนน่อนยังมีไฟลุกอยู่
“คุยล้มเหลวค่ะ เขาบอกว่าจะไม่ช่วยบริษัทมู่ซื่อค่ะ”ถึงแม้เดิมเธอก็ไม่คิดจะไปขอร้องเฉินถิงเซียวจริงๆ แต่หลังจากที่รู้ว่า“เฉินเจียฉิน”ก็คือเฉินถิงเซียว ถึงเธอไม่ไปลอง ก็สามารถเดาออกว่าเฉินถิงเซียวไม่มีทางช่วยบริษัทมู่ซื่อแน่นอน
มู่ลี่เหยียนได้ยินว่าเฉินถิงเซียวไม่ช่วยบริษัทมู่ซื่อปุ๊บ ก็ร้อนรนใจขึ้นมาแล้ว:“แล้วตอนนี้จะทำยังไง? การ์ดดำใบนั้นพ่อก็ช่วยลูกหาเจอแล้ว ลูกก็รับปากพ่อแล้ว……”
“เดิมทีการ์ดดำใบนั้นก็เป็นของเฉินถิงเซียวอยู่แล้ว ถึงพ่อไม่ช่วยหนูตามหากลับมา เวลานานเข้า ตัวเขาก็จะพบว่าหนูทำการ์ดดำใบนั้นหายเหมือนกันค่ะ ถึงเวลา เขาเองก็สามารถตามหากลับมาเหมือนกัน ไม่แน่อาจจะตามเงินที่ถูกใช้ไปแล้วกลับมาด้วยก็ได้…….”
หลังจากมู่ลี่เหยียนและมู่หวั่นขีโกหกเรื่องการ์ดดำ ใช้เงินไปไม่น้อยเลย โชคดีที่การ์ดดำไม่ได้อยู่ในมือของพวกเขานาน พวกเขายังไม่ทันเอามาใช้ที่บริษัท ถึงจะอย่างนี้ก็เถอะ พวกเขาก็ใช้ไปเกือบสิบล้านหยวนแล้ว
เงินที่เข้าไปในกระเป๋าของพวกเขาแล้ว ถ้าอยากตามหากลับมาอีก มีความเป็นไปได้ต่ำมาก
มู่น่อนน่อนรู้สึก เธอต้องขายหุ้นของบริษัทมู่ซื่อที่มีอยู่ในมือทิ้ง ถึงจะสามารถเอาเงินพวกนี้ไปคืนให้กับเฉินถิงเซียวแล้ว
เพราะยังไงซะหุ้นบริษัทมู่ซื่อที่อยู่ในมือของเธอก็มู่ลี่เหยียนเป็นคนให้เธอ เธอสามารถขายต่อให้มู่ลี่เหยียนอีก ถ้าเขาไม่เอาเงิน งั้นเธอก็ขายหุ้นให้คนอื่นโดยตรงเลย
บริษัทมู่ซื่อคือธุรกิจเก่าแก่ที่มีรากฐาน ถึงชื่อเสียงได้รับความเสียหายไม่รุ่งโรจน์แล้ว แต่ก็ยังมีคนอยากซื้ออยู่
จริงๆซะด้วย มู่ลี่เหยียนได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อนแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนเลย
“คุณพ่ออย่าเพิ่งร้อนรนใจไปค่ะ หนูจะช่วยพ่อคิดหาวิธีอื่นเองค่ะ” มู่น่อนน่อนพูดอย่างไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่น้อย มู่ลี่เหยียนก็ไม่มีกะจิตกะใจไปสืบสาวราวเรื่อง
หลังจากมู่น่อนน่อนออกมา มีเพื่อนร่วมงานเดินมา:“น่อนน่อน มีคนมาหาเธอจ้า”
เธอเดินไปดู ก็พบว่าคือเฉินเจียฉิน
“นายมาอยู่นี่ได้ยังไง นายไปโรงเรียนแล้วไม่ใช่เหรอ?”มู่น่อนน่อนดูนาฬิกา ตอนนี้ก็เก้าโมงกว่าแล้ว
เฉินเจียฉินสะพายกระเป๋าไว้ยืนพิงอยู่ที่ผนังอย่างชิวๆ ถอนหายใจทีนึงและพูด:“พี่ไม่รู้ หลังจากพี่ลงจากรถ พี่ถิงเซียวก็ไล่ผมลงจากรถเลย จากที่นี่ไปโรงเรียนไกลขนาดนั้น ผมก็ไม่มีเงินนั่งรถ ก็เลยต้องมาหาพี่ครับ……”
“เขาไล่นายลงจากรถทำไม?”มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็เอาเงินหนึ่งร้อยหยวนออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้เขา:“ต่อไปไม่มีเงินก็มาหาพี่กับพี่ชายนาย อย่าหลอกลวงที่ข้างนอกไปเรื่อย”
ถึงแม้สามารถหลอกลวงคนก็เป็นความสามารถอย่างนึง แต่เฉินเจียฉินยังเด็กเกินไป ความคิดแบบนี้ไม่ถูกต้อง ถ้าไม่ดัดความคิดดีๆง่ายมากที่จะเดินทางผิด
“ขอบคุณครับ พี่น่อนน่อน”เฉินเจียฉินรับเงินมา ยิ้มแก้มปริให้เธอพร้อมกล่าวขอบคุณ
มู่น่อนน่อนก็ได้ยิ้มตาม นิสัยที่แท้จริงของเด็กคนนี้ดีอยู่
ตอนที่ 113 นอนก็นอนแล้ว คุณหลบก็ไม่มีประโยชน์หรอก
เฉินเจียฉินพูดจบ ก็ได้ลูบท้องตัวเอง:“พี่สะใภ้จะไปทำกับข้าวเมื่อไหร่ครับ?”
“ไม่ว่าเวลาไหนก็ไม่ทำกับข้าว” มู่น่อนน่อนพูดจบก็หันหลังกลับไปที่ห้องนอน
เธอถูกเฉินถิงเซียวทำเอาตกใจจนอิ่มแล้ว ยังทานข้าวอะไรอีก?เมื่อคืนเธอกับเฉินเจียฉินอยู่ที่อินเตอร์เน็ตคาเฟ่อดหลับอดนอนมาทั้งคืน ตอนนี้เธอไม่หิวเลยสักนิด แค่ง่วงนอนมากๆ
เฉินถิงเซียวไม่ให้เธอไป แถมยังยกเตียงของห้องเธอออกไปทิ้ง ห้องนอนอื่นๆก็แทบจะไม่มีคนพัก ตอนนี้เธอได้แต่นอนที่ห้องนอนใหญ่
เธอไม่เชื่อว่าเฉินถิงเซียวจะทำอะไรเธอได้!
ตอนที่เธอกลับมาห้องนอนใหญ่ เฉินถิงเซียวไม่อยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนถอดเสื้อคลุมเสร็จ ก็คลานไปที่เตียงโดยตรงเลย
…………..
เธอนอนครั้งนี้ค่อนข้างนาน ตอนที่ตื่นมาอีกทีก็พลบค่ำแล้ว
ท้องว่างและหิวจัด
เธอลงมาชั้นล่าง พบว่าที่ห้องโถงไม่มีคน
มู่น่อนน่อนก็ไปหาของกินที่ห้องครัวเอง เธอยำสปาเก็ตตี้ให้ตัวเอง ยกมาถึงห้องอาหารกำลังเตรียมตัวทาน ก็ได้ยินเสียงร้องเห่าหอนของเฉินเจียฉิน:“มู่น่อนน่อน ผมไม่ไปโรงเรียน!”
“…….”
มู่น่อนน่อนทานไปสองคำ หยิบทิชชู่เช็ดปากไปครู่นึง ก็ลุกไปที่ห้องโถง
ในห้องโถง เฉินเจียฉินกอดขาของเฉินถิงเซียวไว้นั่งร้องไห้ที่พื้น แต่ว่าบนใบหน้าเขาไม่มีน้ำตาเลย
หลังจากเห็นมู่น่อนน่อนออกมา เขาก็วิ่งมากอดมู่น่อนน่อนไว้และร้องไห้:“ผมไม่ไปโรงเรียน…….”
เฉินถิงเซียวเดินมาด้วยสีหน้าเย็นชา ยื่นมือก็หิ้วเฉินเจียฉินโยนไปข้างๆ และพูดอย่างเย็นชา:“นายหาเธอก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อคุณป้าฝากฝังนายไว้กับฉัน ฉันก็ย่อมต้องอบรมสั่งสอนนายดีๆอยู่แล้ว”
“อบรมสั่งสอน”คำนี้เขากัดฟันพูดได้เสียงหนักมาก เฉินเจียฉินฟังจนตื่นเต้น
“นายยังเด็กขนาดนี้เดิมทีก็ควรจะไปเรียนอยู่แล้ว จะร้องไห้ทำไม?”มู่น่อนน่อนรู้สึกคำพูดของเฉินถิงเซียวไม่มีปัญหา เพราะยังไงซะเธอก็เคยเปิดหูเปิดตาอยู่ว่าเฉินเจียฉิน เด็กคนนี้เป็นเด็กเปรตแค่ไหน
แต่ว่า การแสดงออกของเฉินเจียฉินที่อยู่ตรงหน้าของเฉินถิงเซียว ทำให้เธอค่อนข้างประหลาดใจ
เหมือนหนูที่เห็นแมวชัดๆ กลัวจนไม่มีความห้าวหาญเลยสักนิด
เฉินเจียฉินส่ายหัว มองมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าเศร้าโศกเสียใจ:“พี่ไม่เข้าใจหรอกครับ”
การอบรมสั่งสอนของเฉินถิงเซียว ก็คือไม่ให้เขาเล่นเกมส์ ไม่ให้ค่าขนมเขา……
สรุปก็คือทุกอย่างที่เขาอยากทำ เฉินถิงเซียวก็จะไม่ให้เขาทำทั้งนั้น เขาอยากทำอะไรก็หนีไม่พ้นสายตาของเฉินถิงเซียว ยิ่งกว่านรกเสียอีก
ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าเขาแอบกลับประเทศ จะตกอยู่ในสภาพที่ถูกเฉินถิงเซียวอบรมสั่งสอน เขาจะไม่กลับมาแน่นอน!
เฉินเจียฉินรู้ว่าเปลี่ยนแปลงความจริงที่ต่อไปต้องถูกเฉินเจียฉิน“อบรมสั่งสอน” จึงได้ขึ้นชั้นบนไปโดยตรงเลย
พอเขาไปปุ๊บ มู่น่อนน่อนก็หันหลังกลับไปที่ห้องครัว และทานสปาเก็ตตี้ที่ตัวเองทำต่อ
เฉินถิงเซียวเดินตามหลังเธอเข้าไป:“ต่อไปไม่ว่าเฉินเจียฉินจะแกล้งทำตัวน่าสงสารต่อหน้าคุณยังไง คุณก็อย่าช่วยเขา”
มู่น่อนน่อนหัวเราะเยาะ:“อ๋อ ไม่หรอกค่ะ เพราะยังไงซะก็คือการเสแสร้ง”
เพราะยังไงซะ ก่อนหน้านั้นเธอก็สงสารเฉินถิงเซียวอยู่
เฉินถิงเซียวย่อมฟังน้ำเสียงที่ประชดประชันของเธอออก เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจอย่างมาก มู่น่อนน่อนเอะอะๆก็พูดด้วยน้ำเสียงประชด
เขารู้สึกถึงแม้ตัวเองได้หลอกลวงมู่น่อนน่อน แต่เรื่องที่เขาทำในตอนนี้ล้วนชดเชยให้กับการหลอกลวงของก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้รู้สึกตัวเองมีจุดไหนที่ให้อภัยไม่ได้เลย
มู่น่อนน่อนถือส้อมเขี่ยสปาเก็ตตี้ไว้ และทานอย่างช้าๆ ไม่สนใจเฉินถิงเซียวอีก
เฉินถิงเซียวมองเธออย่างลึกซึ้งทีนึง จากนั้นก็ได้หันหลังจากไป
…………….
ยามดึก
มู่น่อนน่อนอาบน้ำเสร็จออกมา ในห้องก็ยังว่างเปล่า ไม่มีร่างเงาของเฉินถิงเซียว
เธอสวมใส่ชุดนอนที่มิดชิดมาก และนอนลงไปที่เตียง ในหัวกำลังคิดอยู่ว่าเดี๋ยวเฉินถิงเซียวมา ถ้าเขาอยากทำอะไรเธอ เธอจะจัดการกับเขายังไง……
ปรากฏ รอจนเธอหลับไป ก็ไม่เห็นเฉินถิงเซียวกลับมา
ตอนที่ตื่นมาอักที ก็เช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว
มู่น่อนน่อนลืมตาขึ้น อยากพลิกตัว กลับพบว่าร่างกายของตัวเองถูกคนกอดเอาไว้แน่น ขยับไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
กลิ่นไอคุ้นเคยของข้างกายบอกกับเธอว่านี่คือเฉินถิงเซียว
เธอกัดฟันเอาแขนของเฉินถิงเซียวออกจากบนตัวเธอ ไม่นานก็กลิ้งไปที่อีกฝั่งของเตียง อยู่ห่างจากเฉินถิงเซียวไกลๆ
นาทีนี้เฉินถิงเซียวตื่นแล้ว เขานอนตะแคงเผชิญหน้ากับมู่น่อนน่อน ผมค่อนข้างยุ่งเหยิง คอเสื้อได้ลื่นลงมาครึ่งนิ้ว หน้าตาที่เพิ่งตื่นไม่นึกเลยว่าจะดูแล้วอ่อนโยนมาก
ถ้าไม่ใช่เคยเห็นธาตุแท้ของเฉินถิงเซียวตั้งนั้นแล้ว มู่น่อนน่อนรู้สึกตัวเองจะต้องถูกหน้าตาแบบนี้ของเขาหลอกเอาแน่นอน
เธอมองเฉินถิงเซียวด้วยการตักเตือน เธอไม่รู้เลยว่าเขากลับมาที่ห้องนอนตั้งแต่เมื่อไหร่ ยิ่งไม่รู้ว่าเขาขึ้นเตียงมาได้ยังไง กอดเธอไว้ในอ้อมอกได้ยังไง
เฉินถิงเซียวพลิกตัวลงจากเตียง หันมาเหลือบมองเธอทีนึง เสียงแหบแห้งเล็กน้อย คำพูดที่พูดออกมาชวนคิดลึก:“นอนก็นอนแล้ว คุณหลบก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
มู่น่อนน่อนทนไม่ไหว ได้คว้าเอาหมอนใบนึงโยนไปที่เขา
เฉินถิงเซียวรับหมอนไว้ได้อย่างชิวๆ เขาก็ไม่ได้โกรธ จากนั้นได้ตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำเลย
…………..
มื้อเช้าทานบะหมี่ นี่เป็นข้อเรียกร้องของเฉินเจียฉิน
เดิมทีมู่น่อนน่อนไม่คิดจะทำอาหาร แต่เฉินเจียฉินข้อร้องเธออย่างน่าสงสาร:“เห็นแก่ที่พวกเราล้วนถูกเฉินถิงเซียวรังแก พี่ก็ทำอาหารเช้าสักมื้อเถอะนะครับ…..”
“……”ถึงแม้เธออยากตอบโต้มาก แต่ไม่ยอมรับก็ไม่ได้ว่าที่เฉินเจียฉินพูดถูกมาก
เธอได้ทำบะหมี่สามชาม
เฉินเจียฉินยกออกไปถ้วยนึงก่อน จากนั้น มู่น่อนน่อนก็ตักอีกถ้วย เธอหยิบขวดเกลือมา เติมเข้าไปในบะหมี่ครึ่งขวด จากนั้นก็ค่อยๆโคนให้เข้ากัน
มู่น่อนน่อนยกมุมปากขึ้นด้วยความพอใจ ยกไปที่ห้องอาหาร แล้ววางที่ตรงหน้าของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวคิดไม่ถึงว่ามู่น่อนน่อนจะทำเผื่อเขาด้วย แววตาค่อนข้างประหลาดใจ
มู่น่อนน่อนฝึกให้ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ คีบบะหมี่ป้อนมาที่ตรงหน้าเขา และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน:“คุณลองชิมดูซิคะ บะหมี่ที่ฉันทำอร่อยมั้ย?”
เฉินถิงเซียวเงยหน้า เห็นแสงของความคึกคะนองจากแววตาคู่งามของเธออย่างชัดเจน
บะหมี่ชามนี้ ต้องมีเงื่อนงำอะไรแน่ๆ
อยู่ภายใต้แววตาที่รู้ดีอย่างแจ่มแจ้งของเฉินถิงเซียว ทำเอามู่น่อนน่อนตกใจจนอยากเปลี่ยนบะหมี่ชามใหม่ให้เขา
แต่ว่า นาทีต่อมา เฉินถิงเซียวกลับกินบะหมี่ที่เธอป้อนมาให้ จากนั้นก็พูดอย่างสีหน้าไม่เปลี่ยน:“รสชาติไม่เลว”
ถึงจะเค็มจนขม ก็มีส่วนคล้ายกับรสชาติอาหารที่แม่ทำอยู่เช่นเคย
สีหน้าเปลี่ยนแปลงที่มู่น่อนน่อนคาดคิดเอาไว้ ไม่ได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเฉินถิงเซียวเลย เขารับตะเกียบจากมือของมู่น่อนน่อน จากนั้นก็ก้มหน้าเริ่มทานบะหมี่อย่างเอื่อยเฉื่อย
มู่น่อนน่อนมองดูเขาทานบะหมี่ทั้งชามจนหมดเกลี้ยง สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย
เฉินถิงเซียวที่“อดทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจ”แบบนี้ ต่างจากเฉินถิงเซียวที่เมื่อวานข่มขู่เธออย่างสิ้นเชิง
มู่น่อนน่อนมองเขาด้วยสีหน้าซับซ้อนแว๊บนึง จากนั้นก็หันหลังไปรินน้ำเปล่าให้เขาแก้วนึง
เฉินถิงเซียวรับน้ำมา จู่ๆก็ยิ้มขึ้นมา แววตามีความได้ใจที่ยากจะสังเกตเห็นแว๊บผ่าน
ไม่ว่าจะเล่นลูกไม้หรือว่าแกล้งทำตัวน่าสงสาร มู่น่อนน่อนล้วนไม่มีทางเป็นคู่แข่งของเขา
เธอเล่นลูกไม้ตื้นๆแก้แค้นเขา เขาก็ทำตามใจเธอ ให้เธอแก้แค้นสำเร็จก็แล้วกัน
แต่ว่าเธอเป็นคนใจอ่อนมาก
ดูจากท่าทีที่เธอมีต่อตระกูลมู่ก็สามารถดูออกแล้ว
ตอนที่ 112 คุณเชื่อฟังหน่อย ผมจะดีกับคุณมาก
เฉินเจียฉินส่ายหัว:“เขาไม่รู้ครับ”
เฉินถิงเซียวหัวเราะเยาะ ถ้าไม่ใช่เฉินเจียฉินคลุกคลีอยู่กับมู่น่อนน่อน เขาอาจจะชมว่าเฉินเจียฉินมีความกล้าหาญและมีประสบการณ์
“นายกับมู่น่อนน่อนนี่มันยังไงกันแน่?”
ถึงว่าล่ะช่วงนี้พฤติกรรมของมู่น่อนน่อนดูผิดปกติ ที่แท้คือรู้สถานภาพของเขาแล้วนี่เอง
ถึงแม้เขาก็เคยคิดในทางด้านนี้มาก่อน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเพราะเธอมาเจอกับเฉินเจียฉิน
เฉินเจียฉินถามอย่างอ้ำๆอึ้งๆ:“เธอเป็นภรรยาของพี่จริงเหรอ?”
“ไม่งั้นล่ะ?”เฉินถิงเซียวยักคิ้วเล็กน้อย มองไปที่เขาเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
เฉินเจียฉินพูดด้วยความโกรธ:“ภรรยาของพี่เป็นคนขี้เหร่ไม่ใช่เหรอครับ?”
“นายพูดอีกรอบซิ”น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวไม่เปลี่ยน แต่กลับน่าเกรงขามมาก
เฉินเจียฉินย่อมไม่กล้าพูดอีกรอบอยู่แล้ว แค่เล่ารายละเอียดเรื่องราวของหลายวันนี้ให้เฉินถิงเซียวฟังอย่างตามความเป็นจริง
พอพูดจบ เขายังได้ชมฝีมือการทำอาหารของมู่น่อนน่อนอย่างหนัก:“กับข้าวที่มู่น่อนน่อนทำอร่อยดีนะ”
เฉินถิงเซียวจ้องเขาด้วยสายตาแหลมคม:“นายเรียกเธอว่าอะไรนะ?”
ภายใต้การข่มเหงของเขา เฉินเจียฉินเปิดปากพูดเบาๆ“……พี่สะใภ้ครับ”
มู่น่อนน่อนหลบอยู่ที่ราวจับบันไดตรงชั้นสอง มองหน้าตาขี้ขลาดของเฉินเจียฉินแล้วรู้สึกคุ้นๆอย่างแปลกประหลาด
เหมือนบางครั้งตอนที่เธออยู่ตรงหน้าของเฉินถิงเซียว……ก็หน้าตาแบบนี้เลย
…………..
เฉินถิงเซียวสั่งให้สือเย่จัดเตรียมห้องนอนให้เฉินเจียฉิน พอเงยหน้า ก็เห็นมู่น่อนน่อนถือกระเป๋าเดินทางเดินลงมาจากชั้นบน
สายตาของเฉินถิงเซียวได้หยุดอยู่ที่กระเป๋าเดินทางของเธอหลายวินาที จากนั้นถึงพูดเสียงเย็นชา:“คุณทำอะไร?”
“คุณว่าล่ะ?”ตอนนี้เธอทำไม่ได้ที่จะอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับเฉินถิงเซียวอย่างจิตใจสงบเยือกเย็น
“ช่วยคุณหญิงน้อยยกกระเป๋าเดินทางไปที่ห้องนอนใหญ่”เฉินถิงเซียวมองมู่น่อนน่อนไว้ แต่คำพูดที่เขาพูดออกมากลับกำลังสั่งบอดี้การ์ดอยู่
บอดี้การ์ดรีบเดินหน้ามาหิ้วกระเป๋าเดินทางของมู่น่อนน่อน แล้วขึ้นไปห้องนอนใหญ่ที่เฉินถิงเซียวพักโดยตรง
มู่น่อนน่อนไม่ทันห้ามปรามพวกเขาเลยด้วยซ้ำ
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปาก หันหน้ามาพูดกับเขาอย่างเสียงดัง:“เฉินถิงเซียว คุณอย่าเกินไปนะ!”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวราบเรียบ:“สามีภรรยานอนห้องเดียวกัน มีปัญหาอะไรเหรอครับ?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกระดับความไร้ยางอายของเฉินถิงเซียวนี่ไม่ต่ำกว่าคนของตระกูลมู่เลยสักนิด
เธอเถียงเฉินถิงเซียวไม่ไหว ขี้เกียจพูดทฤษฎีกับเขาอีก ยกฝีเท้าจะเดินออกไปข้างนอก แต่ยังเดินไม่ถึงประตู ก็ถูกบอดี้การ์ดห้ามปรามเอาไว้
เธอเงยหน้ามองเฉินถิงเซียว:“คุณหมายความว่ายังไง?”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบเธอในทันที เขาลุกขึ้นมา จัดแขนเสื้อของตัวเองอย่างเอื่อยเฉื่อย สีหน้าเย็นชาจนผิดปกติ:“คุณนึกว่าประตูของตระกูลเฉิน คุณอยากเข้าก็เข้า อยากออกก็ออกงั้นเหรอ?”
มู่น่อนน่อนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
ข้างนอกต่างก็ลือกันหนาหูว่าเฉินถิงเซียวเป็นผู้ชายที่หน้าตาเสียโฉมไม่สามารถมีเซ็กซ์ได้ แต่แท้จริงแล้วเขาแข็งแรงมาก คนที่รู้ความจริงต้องเป็นคนที่สนิทชิดเชื้อกับเขามากแน่นอน
ส่วนตอนนี้มู่น่อนน่อนก็รู้ความจริงนี้ เพราะฉะนั้นเขาไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆหรอก
เฉินถิงเซียวเห็นมู่น่อนน่อนสีหน้าเปลี่ยน ก็รู้ว่าเธอเข้าใจความหมายของคำพูดเขาแล้ว
เขาเดินมาที่ตรงหน้าของมู่น่อนน่อนอย่างช้าๆ ยกมุมปากขึ้น แต่รอยยิ้มนั้นกลับเยือกเย็น:“คนที่เข้ามาพัวพันกับผม ไม่สามารถหลุดพ้นไปง่ายขนาดนั้นหรอก ยิ่งไปกว่านั้นคุณเป็นภรรยาของผม อย่ามีความคิดที่เกินเลย และอย่าไปทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์ ถึงคุณตาย ก็ต้องฝังอยู่แค่ข้างกายผม”
มู่น่อนน่อนแต่งเข้ามาที่ตระกูลเฉินใกล้สามเดือน ที่เห็นคือ“เฉินเจียฉิน”ที่ยโสโอหัง นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเฉินถิงเซียวเผยแววตาเหมือนสัตว์ดุร้ายที่เต็มไปด้วยความรู้สึกรุกรานและอันตราย
แววตานี้ไม่ใช่ลูกคนร่ำรวยธรรมดาที่จะมี กลับกันเหมือนมารปีศาจที่คลานออกมาจากความมืดชัดๆ
เธอนึกถึงการประเมินค่าที่เฉินเจียฉินมีต่อเฉินถิงเซียว:ปีศาจใหญ่
เฉินถิงเซียวมองสีหน้าของมู่น่อนน่อนด้วยความพึงพอใจ เสียงที่ทุ้มต่ำแฝงด้วยความอ่อนโยนที่ทำให้คนหวาดกลัว:“อย่าเผยแววตาที่กลัวขนาดนี้ออกมา คุณเชื่อฟังหน่อย ผมจะดีกับคุณมากๆ”
เธอกำลังกลัวอยู่เหรอ?
มู่น่อนน่อนกำฝ่ามือแน่น ถึงพบว่าฝ่ามือของตัวเองเปียกชุ่มด้วยเหงื่อแล้ว
เธอนึกถึงตอนที่อยู่ห้องเช่าอีก เธอผ่าเอากระสุนออกให้เฉินถิงเซียวที่ไม่ได้ฉีดยาชา ตลอดระยะเวลาที่ผ่าเอากระสุนออกเขาไม่ร้องสักแอะ และไม่ได้สลบไป
เธอควรจะคิดได้ตั้งนานแล้ว ผู้ชายที่มีความอุตสาหะที่เกินไปแบบนั้น เป็นไปได้ยังไงที่จะเป็นแค่คุณผู้ชายของตระกูลร่ำรวยที่จองหองและเผด็จการ เขาต้องมีความคิดลึกซึ้งกว่าคนไหนๆแน่นอน เขาต้องเป็นมารปีศาจที่คลานออกมาจากเหวลึกแน่นอน
มู่น่อนน่อนอ้าปาก กลับพบว่าตัวเองแม้แต่เปิดปากพูดก็ยังทำไม่ได้
เฉินถิงเซียวยื่นมือออกมาลูบหัวเธอ ท่าทางนุ่มนวลจนใกล้เข้าขั้นแปลกประหลาด:“คุณยังไม่ได้ดูห้องนอนเราดีๆเลย ผมพาคุณไปดู”
มู่น่อนน่อนขัดขืนไปครู่นึง แต่เฉินถิงเซียวไม่ได้เอามาใส่ใจ แต่ได้แข็งกร้าวดึงเธอขึ้นไปห้องนอนใหญ่ที่ชั้นบน
เขาพามู่น่อนน่อนไปที่ห้องเสื้อผ้า
มู่น่อนน่อนเข้าไปปุ๊บ ก็อึ้งค้างเลย
ในห้องเสื้อผ้า มีพื้นที่กว่าครึ่งที่แขวนเสื้อผ้าของสุภาพสตรีไว้ ทั้งหมดล้วนเป็นคอลเลคชั่นใหม่ในฤดูกาล มีทั้งกระเป๋าและรองเท้าด้วย
เสื้อผ้าเยอะขนาดนี้ เธอผลักเปลี่ยนกันใส่ทุกวันก็ยังต้องใส่หลายเดือนถึงจะใส่จนครบเลย
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ข้างๆ สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงของเธอ
กู้จือหยั่นเคยบอก ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่ชอบของพวกนี้
เห็นสีหน้าของมู่น่อนน่อนเผยความตื่นตะลึงออกมา เฉินถิงเซียวพูด:“นี่ต่างก็เป็นเสื้อที่ผมให้คนเตรียมตามไซส์ของคุณ”
มู่น่อนน่อนหันมามองเขา ในดวงตาที่สวยงามมีความเยือกเย็น:“ดูท่าแล้วคุณเฉินนี่ถนัดทักษะ“ตบหัวแล้วลูบหลัง”มากเลยนะคะ!”
ในพจนานุกรมของคนอย่างเฉินถิงเซียวคงไม่มีคำว่ายอมรับผิดคำนี้หรอก ที่เขาอยากได้คือควบคุม กุมอำนาจทั้งหมดไว้ในมือ
เดิมทีฐานะแท้จริงของเขาคือมู่น่อนน่อนรู้ก่อน ในมือเธอกุมอำนาจไว้ยังไม่ได้ใช้ดีๆ ก็ถูกเฉินถิงเซียวดูออก หาเธอกับเฉินเจียฉินเจอ
เฉินถิงเซียวหัวเราะขึ้นมา:“คุณสามารถถือซะว่าอันนี้เป็นรสนิยมระหว่างสามีภรรยากัน จะเหมาะสมกว่า”
รสนิยมกับผีสิ!
มู่น่อนน่อนหน้าบึ้งเดินออกไป ไม่อยากพูดคุยกับเขา
ขืนเธอมองเฉินถิงเซียวอีกทีนึง ก็อดไม่ได้ที่อยากจะไปฉีกหน้าเขา แต่เธอก็ไม่กล้า วิธีที่ดีที่สุดก็คือไม่มองเขา
หลังจากออกไป เธอกลับไปห้องนอนที่ตัวเองพักก่อนหน้านี้ กลับพบว่าเตียงของห้องหายไปแล้ว
เธอหันหลังเดินไปที่ระเบียง หมอบอยู่ที่ราวกั้นดูปุ๊บ ก็เห็นบอดี้การ์ดกำลังยกเตียงเดินออกจากห้องโถง
“……”เฉินถิงเซียวนี่สมองมีปัญหาแน่ๆเลย!
เพื่อให้เธอกลับไปพักห้องนอนใหญ่ ถึงกับย้ายเตียงของเธอไปเลย
เฉินเจียฉินไม่รู้เดินออกมาจากตรงไหน เขาเดินมาที่ข้างกายเธอ เลียนแบบท่าทางเธอหมอบอยู่ที่ราวกั้นระเบียง มองไปตามสายตาของเธอ:“พี่ถิงเซียวก็ดีกับพี่อยู่นะ”
มู่น่อนน่อน:“เหอะๆ”
เฉินเจียฉินสีหน้าจริงจัง:“ถ้าเป็นผม พี่ถิงเซียวไม่ให้คนยกเตียงไปทิ้งหรอก แต่เขาจะโยนผมออกไปโดยตรงเลย”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ถูกปลอบโยนเลย เธอมองเขาด้วยสีหน้าเย็นชา:“นายเป็นลูกพี่ลูกน้องแท้ๆของเขาหรือเปล่า?”
“ใช่สิครับ แม่ของผมกับพ่อของเขาเป็นพี่น้องกันแท้ๆ”เฉินเจียฉินแบมือ แสดงออกมาว่าตัวเองก็จนปัญญามาก
ตอนที่ 111 จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
เฉินถิงเซียวเหมือนปกติ สวมใส่ชุดสูทที่สั่งตัดพิเศษ สีหน้าเคร่งขรึม กลิ่นไอเยือกเย็น
แววตาดำเข้มเหมือนหมึกคู่นั้นจ้องมองมู่น่อนน่อนไว้ ถึงแม้เขาไม่ได้พูดอะไรเลย แต่มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ถึงออร่าที่มีแรงกดดันมากฟุ้งกระจายออกมาจากตัวเขาอย่างชัดเจน
มู่น่อนน่อนนึกถึงเรื่องที่ตัวเองทำกับเขาในเมื่อคืนที่โรงแรมจีนติ่ง ถอยหลังหลายก้าวอย่างห้ามใจไม่ได้ เธอดึงชายเสื้อของเฉินเจียฉิน และถามเขาด้วยเสียงเบา:“นายรู้มั้ยว่าอินเตอร์เน็ตคาเฟ่มีประตูหลังหรือเปล่า?”
เฉินเจียฉินนึกว่าเธอเจอเฉินถิงเซียวเลยกลัว ที่จริงเขาก็กลัวอยู่ แต่เขาเป็นผู้ชาย จะขายหน้าต่อหน้าผู้หญิงไม่ได้
เขาแกล้งทำเป็นสงบและคอยปลอบโยนเธอ:“เธอไม่ต้องกลัวหรอก เขามาหาฉัน ไม่ทำอะไรเธอหรอก”
มู่น่อนน่อนแทบอยากร้องไห้ เธอรู้สึกคำพูดนี้น่าจะเธอเป็นคนพูดมากกว่า
เฉินเจียฉินพูดจบ ก็เดินไปบังอยู่ที่ด้านหน้าของมู่น่อนน่อน เชิดหน้าตะโกนให้เฉินถิงเซียว:“ผมกลับไปกับพี่ก็ได้ แต่พี่ห้ามหาเรื่องเธอนะ!”
พอพูดจบ เขาก็เผชิญกับสายตาเย็นชาของเฉินถิงเซียว
เฉินเจียฉินหดคอ แต่สุดท้ายก็ได้รวบรวมความกล้าหาญ บังอยู่ที่ตรงหน้าของมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าไม่เกรงกลัว
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้เฉินเจียฉินยังไม่รู้สถานการณ์ที่ชัดเจน มู่น่อนน่อนยังรู้สึกซึ้งอยู่
แต่หลังจากเฉินเจียฉินพูดจบ เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของเฉินถิงเซียวก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มแล้ว ถ้าขืนให้เฉินเจียฉินพูดต่อไป ผลลัพธ์ของเธอมีแต่จะยิ่งแย่
มู่น่อนน่อนดึงเฉินเจียฉินไว้ และหันหลังวิ่งเข้าไปในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ทันที
เฉินเจียฉินวิ่งตามเธอด้วยจิตใต้สำนึก แต่วิ่งไปไม่กี่ก้าว เขาก็ถามเธอด้วยน้ำเสียงข้องใจ:“เธอวิ่งทำไม? ถึงแม้พี่ของฉันจะเป็นมารปีศาจ แต่เขาไม่รังแกผู้หญิงหรอก”
มารปีศาจ?
มู่น่อนน่อนก็รู้สึกนามเรียกนี้มีชีวิตชีวามาก
แต่ว่า เฉินถิงเซียวไม่รังแกผู้หญิงงั้นเหรอ?
เหอะๆ ไม่จริงหรอก เธอไม่เชื่อ
“อย่าพูดไร้สาระเลย รู้ประตูหลังของอินเตอร์เน็ตคาเฟ่มั้ย?”มู่น่อนน่อนไม่มีเวลาอธิบายอะไรกับเขา
เฉินเจียฉินพยักหน้า:“รู้สิ”
เมื่อคืนเขาออกมาเข้าห้องน้ำ เห็นมีประตูหลังอยู่
เพียงแต่ ตอนที่ทั้งสองวิ่งมาถึงประตูหลัง ก็ถูกบอดี้การ์ดของเฉินถิงเซียวขวางเอาไว้แล้ว
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว:“พวกนายทำอะไร?”
เธอคิดไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวจะเตรียมคนไว้ที่ประตูหลังด้วย!
เฉินเจียฉินก็พูดด้วยความโกรธ:“พวกนายปล่อยพวกเราไปนะ!”
บอดี้การ์ดไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย“คุณชายเจีย คุณหญิงน้อย อย่าทำให้พวกผมลำบากใจเลยครับ”
“คุณหญิงน้อยอะไร?”เฉินเจียฉินสีหน้ามึนงงสับสน
บอดี้การ์ดมองมู่น่อนน่อนทีนึง แต่ไม่ได้พูดอะไร
มู่น่อนน่อนก็รู้ว่ายังไงวันนี้ก็หนีไม่พ้นอุ้งมือของเฉินถิงเซียวแล้ว เธอตบไหล่ของเฉินเจียฉิน:“ฉันก็คือ“ภรรยาขี้เหร่”ของเฉินถิงเซียวที่นายพูดถึง”
เฉินเจียฉิน: (⊙o⊙)…
………….
เฉินเจียฉินกับมู่น่อนน่อนทั้งสองกำลังน้อย สุดท้ายก็ได้ไปกับบอดี้การ์ด
มู่น่อนน่อนเห็นเบนท์ลี่รุ่นลิมิเต็ดคันนั้นอีกแล้ว เฉินถิงเซียวเอามือทั้งสองเสียบไว้ที่กระเป๋ากางเกง มองมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงเย็นชา“ไม่วิ่งแล้ว?”
ที่จริงมู่น่อนน่อนกลัวนิดหน่อย แต่ว่าให้ความกำลังใจตัวเองว่าถึงจะแย่แค่ไหนก็ต้องพยายามสุดความสามารถ จะถูกคนดูถูกไม่ได้ เธอเชิดหน้ามองเขาด้วยสีหน้าไม่เกรงกลัว:“ไม่ได้กินข้าว วิ่งไม่ไหว”
เฉินเจียฉินยังจมอยู่กับข้อมูลช็อคระเบิดที่ว่า“มู่น่อนน่อนเป็นภรรยาของเฉินถิงเซียว” ยังดึงสติกลับมาไม่ได้
เฉินถิงเซียวไม่พูดมาก เขาเปิดประตูรถและยัดมู่น่อนน่อนเข้าไปโดยตรง
จากนั้น เขาหันมามองเฉินเจียฉินที่ยังอยู่ในสภาพสับสนมึนงง:“เดี๋ยวค่อยคิดบัญชีกับนาย”
เฉินเจียฉินสั่นเล็กน้อย จากนั้นก็รีบมุดเข้าไปในรถอย่างเร็ว
……………
ในรถ มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ที่มุมสุด กำลังเล่นโทรศัพท์อย่างเบื่อหน่าย
ถึงแม้เธอค่อนข้างร้อนตัว แต่ก็ยังแกล้งทำเหมือนไม่เป็นไร
เพราะยังไงซะเมื่อเทียบกับเรื่องที่เฉินถิงเซียวทำแล้ว เรื่องที่เธอทำพวกนั้นไม่ถือว่าอะไรเลยด้วยซ้ำ
จู่ๆเฉินถิงเซียวได้ส่งเสียงทำลายความเงียบในรถ
เสียงของเขาทั้งหนักแน่นทั้งเย็นชา:“มีอะไรอยากพูดมั้ย?”
“ไม่มีอะไรจะพูด”มู่น่อนน่อนวางมือถือลง จากนั้นก็เงยหน้ามองเขา:“แล้วคุณล่ะ?”
“คุณก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ?”น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเรียบเฉยมาก
ราวกับเขาไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย กับเรื่องที่โกหกมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนโกรธจนหัวเราะ:“ใช่สิ คุณทุ่มเงินสามร้อยล้านซื้อของเล่นกลับมาชิ้นนึง อยากทำอะไรกับเธอ ก็เป็นอิสระของคุณ”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงด้วยความไม่พอใจ:“มู่น่อนน่อน”
เขาไม่ชอบน้ำเสียงที่เยาะเย้ยตัวเองแบบนี้ของมู่น่อนน่อน
“ทำไมคะ? คุณยังสามารถทำได้เลย แต่ไม่ให้ฉันพูดงั้นเหรอ?”มู่น่อนน่อนจ้องกลับไปอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ หางตาเชิดขึ้น มีความเย่อหยิ่งเล็กน้อย
เยาะเย้ยถากถาง ปากจัด!
เฉินถิงเซียวมองดูเธอ หรี่ตาเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงด้วยการข่มขู่:“คุณพูดอีกรอบซิ”
“ฉันบอกว่าคุณยังกล้าทำเลย……อืมมม……”
คำพูดของมู่น่อนน่อนยังพูดไม่จบ ก็ถูกเฉินถิงเซียวอุดปากเอาไว้
ผู้ชายสารเลว!
มู่น่อนน่อนใช้ทั้งมือและขาขัดขืนก็ยังไม่มีประโยชน์ เฉินถิงเซียวล็อคตัวเธอไว้ในอ้อมอกอย่างแน่น ให้เธอขยับเขยื้อนไม่ได้
มีการรังแกคนอย่างนี้เสียที่ไหนกัน?
หลอกเธอเสียแย่ขนาดนั้น ตอนนี้ก็มาทำเรื่องใกล้ชิดสนิทสนมกับเธออย่างมีเหตุผลเพียงพอก็สามารถพูดได้อย่างเต็มที่อีก
เรื่องดีๆอะไรก็ถูกเฉินถิงเซียวครอบครองไปหมดแล้ว มีเรื่องดีขนาดนี้ที่ไหนกัน!
มู่น่อนน่อนกัดที่ริมฝีปากเขาแรงๆคำนึง เฉินถิงเซียวเจ็บจนร้อง“ซี๊ด”คำนึง แรงที่มือก็ได้คลายลงมา
รถกำลังจอดลงพอดี มู่น่อนน่อนผลักเขาออกก็เปิดประตูโดดลงจากรถเลย แล้ววิ่งเข้าไปในวิลล่าอย่างเร็ว
เฉินถิงเซียวลงมาจากด้านหลัง ยื่นมือจับริมฝีปาก แล้วก้มหน้าดู พบว่าบนนิ้วมือมีคราบเลือดเปื้อนอยู่
สือเย่ที่อยู่ข้างๆยื่นผ้าเช็ดมือให้เฉินถิงเซียวอย่างเงียบๆ
เฉินถิงเซียวรับผ้าเช็ดมือมาและเช็ดคราบเลือดบนริมฝีปากออก ถึงเข้าไปในวิลล่าอย่างช้าๆ
เฉินเจียฉินเดินตามหลังเขา เข้าไปวิลล่าอย่างไม่สมัครใจ
เขาเห็นเฉินถิงเซียวนั่งลงที่โซฟา ก็จะนั่งตามด้วย ก็ได้ยินเสียงที่ไม่มีอารมณ์อะไรดังขึ้น:“ฉันให้นายนั่งแล้วเหรอ?”
เฉินเจียฉินตัวสั่น และรีบลุกขึ้นมาทันที เป็นเด็กดีเชื่อฟังอย่างกับนกกระทาตัวนึง
เขาไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน กลัวที่สุดก็คือเฉินถิงเซียวพี่ชาย(ลูกพี่ลูกน้อง)คนนี้แหละ
มู่น่อนน่อนไม่ได้กลับห้องนอน แต่ได้หลบอยู่ที่ราวจับบันไดบนชั้นสองและแอบจ้องมองที่ห้องโถง
มองเฉินเจียฉินที่ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบสงบเหมือนไก่ที่ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย มู่น่อนน่อนถอนหายใจอย่างห้ามใจไม่ได้ ถ้าเฉินถิงเซียวใช้ชีวิตอยู่ในโลกของสัตว์ งั้นเขาต้องเป็นราชาที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารแน่นอน
“พี่ชายนายรู้ว่านายกลับมามั้ย?”
คุณป้าของเฉินถิงเซียวอายุสิบแปดก็คลอดซือเฉิงหยู้แล้ว พออายุสามสิบสี่ถึงคลอดเฉินเจียฉิน
แตกต่างกับคนวัยกลางคนที่ได้ลูกกับคนอื่นๆ ทั้งครอบครัวของคุณป้าต่างก็เลี้ยงดูเฉินเจียฉินแบบปล่อยอิสระ
เฉินเจียฉินมีนิสัยซุกซนไม่ชอบอยู่กับที่ ชอบหนีออกจากบ้านอยู่เป็นประจำ ครอบครัวของคุณป้าชินตั้งนานแล้ว
แต่ถ้าคุณป้ารู้ว่าครั้งนี้เฉินเจียฉินกลับมาที่เมืองหู้หยาง ต้องโทรหาเขาแน่นอน เด็กอายุสิบสี่ ข้ามน้ำข้ามทะเลกลับประเทศคนเดียว พวกท่านต้องวางใจไม่ลงแน่นอน
จนถึงตอนนี้คุณป้ายังไม่ได้โทรหาเขา ต้องยังไม่รู้แน่นอนว่าเฉินเจียฉินกลับมาแล้ว
ส่วนพี่ชายของเฉินเจียฉิน ซือเฉิงหยู้ ตอนนี้ก็อยู่เมืองหู้หยางเหมือนกัน
ตอนที่ 110 สิ่งที่เธออยากได้
มู่น่อนน่อนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเฉินถิงเซียวแข็งทื่อไป ขนาดลมหายใจของเขาเองก็รุนแรงขึ้นด้วย
ก่อนหน้านี้ตอนทีเขาจูบเธอ……ก็รู้สึกว่าเขาจะตอบสนองแบบนี้ด้วยเหมือนกัน
เขามีความเริ่มรู้สึกตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหรือ ?
……
โชคยังดีที่มุมนี้แสงไฟสลัวมาก เฉินถิงเซียวเลยมองไม่เห็นใบหน้าที่แดงระเรื่อของเธอ ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องหัวเราะเยาะเธอแน่
ทันใดนั้น มือใหญ่มือหนึ่งก็เข้ามาประกบมือของเธอไว้ น้ำเสียงแหบพร่าของเฉินถิงเซียวดังขึ้นที่ข้างหูเธอ “อย่ายั่ว”
เมื่อครู่ตอนที่เธอเป็นฝ่ายรุก ก็คิดแค่เพียงอยากจะเอาชนะเฉินถิงเซียว แต่ตอนนี้พอถูกเฉินถิงเซียวพูดแบบนี้ ก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาทันที จนเธออยากจะชักมือกลับ
แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่ให้โอกาสนั้นกับเธอ เขากดมือของเธอไว้ มือที่ว่างอีกข้างก็โอบรอบเอวบางของเธอไว้ ทั้งสองคนกอดกันอย่างแนบชิดราวกับคู่รัก
ดูเหมือนเขาจะไม่รู้สึกถึงความต้องการที่จะล่าถอยของเธอ และพูดอย่างยกย่องว่า “เธอมีความสามารถในการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยมมาก”
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปาก ดึงมือกลับมาไม่ได้ ด้วยความร้อนรนเลยหยิกเขาไปอย่างแรงทีหนึ่ง
เฉินถิงเซียวครางออกมาทีหนึ่ง จากนั้นก็เอียงแล้วเริ่มจูบที่ซอกคอเธออย่างดูดดื่ม
“มู่น่อนน่อน” เฉินถิงเซียวเรียกชื่อเธอทีหนึ่ง น้ำเสียงแฝงไปด้วยคำเตือน แต่กลับซ่อนความต้องการที่แฝงอยู่ไว้ในนั้นไว้ไม่มิด
รู้จักความกลัวแล้วหรือยัง ?
ตอนนี้ความชั่วร้ายของมู่น่อนน่อนเอาชนะความกลัวได้แล้ว เลยพูดออกมาอย่างไร้ความหวั่นเกรงใดๆ
“คุณเฉิน ทำเรื่องแบบนี้กับพี่สะใภ้ในห้องส่วนตัว ตื่นเต้นดีไหม” มู่น่อนน่อนไม่ได้ปกปิดการยั่วยุที่มุ่งร้ายในน้ำเสียงอีกต่อไปแล้ว
ตั้งแต่รับรู้ถึงการมีอยู่ของเฉินเจียฉินน้อยแล้ว ตอนที่เธอเผชิญหน้ากับเฉินถิงเซียว เธอก็เรียกชื่อของ”เฉินเจียฉิน”ออกมาไม่ได้อีก โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้
ก่อนที่เฉินถิงเซียวจะแต่งงานกับมู่น่อนน่อน ก็ไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงมาก่อน เรื่องแบบนี้นี่ก็คือครั้งแรก……
เขารู้ตัวว่าตัวเองนั้นใกล้จะระเบิดออกมาแล้ว เลยส่งเสียงเยือกเย็นเพื่อเป็นการเตือนมู่น่อนน่อน “อย่าขยับ”
น้ำเสียงของเขาสงบจนดูเหมือนไม่ใช่ผู้ชายที่จมอยู่กับความปรารถนา
ไม่ใช่ว่าเมื่อผู้ชายได้รับอิทธิพลจากความปรารถนา พวกเขาจะไม่คิดถึงเรื่องอื่นเลยไม่ใช่หรือ
แต่เขากลับสามารถควบคุมตัวเองได้!
“อืม” มู่น่อนน่อนตอบรับทีหนึ่ง
พอสิ้นเสียง มู่น่อนน่อนก็รีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และหลบเลี่ยงมือของเฉินถิงเซียวที่ยื่นมาคว้ามือเธอ
เธอส่งยิ้มได้ใจไปให้เฉินถิงเซียว แล้วเผยมือที่ซ่อนไว้หลังตัวออกมา พร้อมกับโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง
โทรศัพท์เครื่องนั้นเธอล้วงมาจากกระเป๋าของเฉินถิงเซียวเมื่อครู่นี้
“เมื่อกี้คุณเฉินชมฉันว่ามีความสามารถในการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยมสินะ คิดว่าจะเอาโทรศัพท์เครื่องหนึ่งมาเป็นของรางวัลคุณคงจะไม่ถือสาใช่ไหม” มู่น่อนน่อนยิ้มเหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง
พอไม่มีโทรศัพท์ เฉินถิงเซียวก็ไม่มีโอกาสขอความช่วยเหลือจากคนอื่นอีก ดูสิว่าเขาในสภาพแบบนี้จะออกไปข้างนอกได้อย่างไร !
เฉินถิงเซียวสีหน้ามืดมน มองดูมู่น่อนน่อนที่เดินออกไปอย่างมีชัย
แล้วก้มลงมองดูสภาพเสื้อผ้าของตัวเอง จากนั้นสีหน้าก็ยิ่งมืดมนเข้าไปอีก
เขาไม่เคยตกอยู่ในสภาพน่าอดสูขนาดนี้มาก่อน ไม่คาดคิดมาก่อนว่าตัวเองจะตกอยู่ในกำมือของผู้หญิงคนหนึ่ง
เขาหยิบโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วโทรไปหาสือเย่ “ส่งเสื้อโค้ตตัวใหญ่มาให้ที”
คนอย่างเฉินถิงเซียว ไม่มีทางพกโทรศัพท์ไว้แค่เครื่องเดียวอยู่แล้ว มือถือที่มู่น่อนน่อนเอาไปเป็นแค่มือถือส่วนตัวเท่านั้น
……
มู่น่อนน่อนออกมาจากห้องส่วนตัว แต่ไม่กล้ากลับไปที่บ้านพัก แต่ก็ไม่มีที่อื่นให้ไปแล้ว
บ้านเช่าถูกเฉินเจียฉินน้อยยึดไปแล้ว เธอเลยต้องมาอยู่ข้างนอก
มู่น่อนน่อนเดินอย่างไร้จุดหมายอยู่ข้างนอก ตอนที่เดินผ่านร้านอินเทอร์เน็ตค่าเฟ่ร้านหนึ่ง ก็เจอกับเฉินเจียฉินน้อยเข้าที่หน้าประตู
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วก็พบว่าเป็นเขาจริงๆ “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่”
“ฉันก็มาเล่นเกมไง” พอเฉินเจียฉินน้อยเห็นเธอเข้าก็ท่าทางดีใจมาก “เธอจะไปไหน พวกเราไปเล่นเกมด้วยกันไหม”
มู่น่อนน่อนส่ายหัวทันที “……ไม่ไป”
“ไปเถอะ ยังไงเธอก็ถูกสามีไล่ออกจากบ้านมาแล้ว”
“หา ?” เธอดูเหมือนคนที่ถูกสามีไล่ออกจากบ้านตรงไหนกัน
“ไม่อย่างนั้นเธอจะออกมาเดินกลางถนนตอนดึกดื่นแบบนี้ทำไม ไปไปรีบเข้าไปกันเถอะ”
เด็กคนนี้มีความสามารถในการมโนขั้นสูงมาก
สุดท้ายมู่น่อนน่อนก็ยอมตามเฉินเจียฉินน้อยเข้าไปในอินเทอร์เน็ตค่าเฟ่ แถมยังยืนดูเขาหลอกล่อให้เจ้าของร้านเปิดห้องคู่ให้แบบตาปริบๆ
คนหนึ่งดูภาพยนตร์ อีกคนหนึ่งเล่นเกม ทั้งสองใช้เวลาแบบนี้ทั้งคืน
เช้าวันที่สอง ทั้งสองคนก็เดินออกมาข้างนอกพร้อมกับรอยคล้ำใต้ขอบตา
เฉินเจียฉินน้อยเป็นเด็กวัยรุ่น เป็นช่วงวัยที่มีกำลังวังชาที่สุด เลยยังสามารถพูดคุยกับมู่น่อนน่อนได้อย่างสดชื่นสดใส
แต่มู่น่อนน่อนกลับไม่ไหว หาวยาวๆติดกันแถมยังดูไร้พลังงาน
เพียงแต่ ตอนที่เธอออกมาจากอินเทอร์เน็ตค่าเฟ่ แล้วเจอเฉินถิงเซียวกับสือเย่ยืนอยู่ด้านนอกพร้อมกับเหล่าผู้คุ้มกันแล้ว เธอก็ตาสว่างขึ้นมาในพริบต
ตอนที่ 109 ฉันรู้หมดแล้ว
พอมู่น่อนน่อนทานข้าวกับเฉินเจียฉินน้อยเสร็จก็ออกมาทันที
แต่ก่อนออกมาเธอก็ทำสัญญากับเฉินเจียฉินน้อยสามข้อก่อน ห้ามทำห้องรก ห้ามไปติดบัญชีอีก ห้ามเถลไถล
ตอนแรกเฉินเจียฉินน้อยก็ไม่เห็นด้วย แต่มู่น่อนน่อนก็หัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง “ถ้าไม่เชื่อฟังฉันจะบอกเฉินถิงเซียวว่านายอยู่ที่นี่”
“คนทั่วไปไม่มีทางได้เจอเขาหรอก”
รอยยิ้มของมู่น่อนน่อนกว้างขึ้นกว่าเดิม “ฉันถ่ายรูปเขามาได้นะ”
เฉินเจียฉินน้อยพยักหน้าอย่างยอมจำนน จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย “เธอเป็นใครกันแน่”
“ไม่บอกนายหรอก”
เฉินเจียฉินน้อย “……”
……
ตกกลางคืน มู่น่อนน่อนก็ได้รับสายจาก”เฉินเจียฉิน”
พอเริ่มเปิดปากเขาก็พูดเลยว่า “ไม่กล้ามาเหรอ ?”
ตอนนี้เองมู่น่อนน่อนถึงได้นึกถึงเรื่องที่เขาพูดเมื่อตอนเช้าขึ้นมาได้
มู่น่อนน่อนกัดฟันแล้วพูดออกมาว่า “จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เธอกลับห้องนอนไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ออกเดินทางไปร้านอาหารจีนติ่ง
พอมู่น่อนน่อนไปถึงหน้าประตู ก็เจอเข้ากับกู้จือหยั่น
พอกู้จือหยั่นเห็นมู่น่อนน่อน ก็ทำสีหน้าดีอกดีใจ สายตาน้อยๆของเขาเหลือบมองไปทางด้านหลังของเธอ “น่อนน่อน เธอมาได้ยังไง เธอมาคนเดียวเหรอ”
“ไม่ต้องมองแล้วค่ะ ฉันมาคนเดียว” มู่น่อนน่อนรู้อยู่แล้วว่า กู้จือหยั่นกำลังมองว่าเสิ่นเหลียงมากับเธอด้วยหรือเปล่า
รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้จือหยั่นเริ่มเจื่อนไป
เขารู้อยู่แล้วว่าเสิ่นเหลียงกำลังทำโปรโมตภาพยนตร์เรื่องใหม่แล้ว เสิ่นเหลียงกับมู่น่อนน่อนสนิทกัน ดังนั้นพอเขาเจอมู่น่อนน่อน ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเสิ่นเหลียง
กู้จือหยั่นเดินเคียงบ่าเข้าไปด้านในพร้อมกับเธอ “เธอมาที่นี่เพื่อมาทานข้าวหรือมาหาคน”
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างเป็นธรรมชาติว่า “ฉันมาหาเฉินถิงเซียว เขาเรียกฉันมา”
“ถิงเซียวเหรอ ฉันรู้ว่าเขาอยู่ห้องไหน เดี๋ยวฉันพาเธอไป……” พอกู้จือหยั่นพูดถึงตรงนี้ถึงได้สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ
สีหน้าเขาอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มอธิบายกับมู่น่อนน่อนอย่างไม่เป็นธรรมชาติว่า “ฉันหมายความว่า……”
“ฉันรู้หมดแล้ว ‘เฉินเจียฉิน’ก็คือเฉินถิงเซียว ฉันรู้หมดทุกอย่างแล้ว แล้วเขาก็บอกทุกอย่างให้ฉันฟังหมดแล้ว ต่อไปคุณก็ไม่ต้องช่วยเขาปิดบังแล้วนะ”
เพราะสีหน้าท่าทางของมู่น่อนน่อนเป็นธรรมชาติมาก ทำให้กู้จือหยั่นไม่ได้สงสัยอะไรมากแล้วเชื่อคำพูดของเธอทันที
อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้สึกได้ว่าเฉินถิงเซียวนั้นค่อนข้างใส่ใจมู่น่อนน่อน หากทั้งสองคนจะสารภาพต่อกันมันก็เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น
พอคิดแบบนี้ กู้จือหยั่นก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย “งั้นก็ดีแล้วล่ะ……”
ร่องรอยสุดท้ายของความสงสัยในใจมู่น่อนน่อนถูกลบออกไปจนหมด “เฉินเจียฉิน” ก็คือเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวไม่ได้เสียโฉม ไม่ได้ไร้มนุษยธรรม และไม่ได้โหดร้ายอย่างที่ข่าวลือ
ข่าวลือเป็นแค่เรื่องโกหก
เฉินถิงเซียวที่เธอคิดว่าเหยื่อผู้บริสุทธิ์และมักจะถูกหัวเราะเยาะและโดนดูถูกอยู่เสมอนั้น ไม่มีอยู่จริง
บนโลกนี้มีเฉินถิงเซียวแค่คนเดียว เขาร่างกายแข็งแรง รูปร่างหล่อเหลา เป็นทายาทเศรษฐีผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเจดีย์ทองคำ
เขาไม่จำเป็นต้องได้รับความสงสารจากเธอเลย แล้วเขาก็สามารถทำให้เธอเป็นลูกไก่ในกำมือได้ด้วย
“ใช่แล้ว ค่อนข้างดีเลย”
น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ภายในใจของเธอกลับหนาวเหน็บ
เฉินถิงเซียวแสร้งแสดงเป็นสองบทบาท หลอกให้เธอหลงเชื่อ พอนึกสนุกขึ้นมาก็แอบฉวยโอกาสเธอ จากนั้นก็ถอยกลับอย่างรวดเร็ว แล้วคอยมองดูจากด้านบน
แล้วเขายังเอา “เฉินถิงเซียว” มาใช้ข่มขู่เธอครั้งแล้วครั้งเล่า
ถ้าหากเธอไม่ใช่ฝ่ายที่ถูกหลอก เธอก็คงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมวิธีการของเขาเหมือนกัน
“ถิงเซียวอยู่ข้างในนี้แหละ” กู้จือหยั่นพาเธอมาส่งถึงหน้าห้องส่วนตัว แล้วขณะพูดก็ดันประตูเปิดเข้าไป
แต่มู่น่อนน่อนกลับรีบเรียกเขาเอาไว้ก่อน “กู้จือหยั่น เรื่องของฉันกับเฉินถิงเซียวยังไม่มีใครรู้ คุณก็อย่าเพิ่งพูดออกไปนะ……”
ตอนแรกกู้จือหยั่นก็ไม่เข้าใจ แต่เพียงไม่นานก็เผยสีหน้าเข้าใจแล้วออกมาอย่างรวดเร็ว “ฉันเข้าใจ ถิงเซียวคนนี้นิสัยแย่แถมยังเย็นชา แต่จริงๆแล้วในใจเขาค่อนข้างอบอุ่นเลย เขาเป็นพวกแสดงออกไม่เก่ง”
มู่น่อนน่อนไม่พูดอะไร ทำได้เพียงแค่ใช้รอยยิ้มเพื่อปกปิดคลื่นลมพายุที่อยู่ในใจ
เธอหันกลับไปดันประตูแล้วเข้าไปในห้องส่วนตัว
ห้องส่วนตัวค่อนข้างกว้างเป็นพิเศษ แล้วก็มีคนอยู่ด้านในไม่น้อยเลย แสงไฟสลัว มู่น่อนน่อนยืนกวาดสายตาอยู่หน้าประตูรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นเงาของเฉินถิงเซียว
จนถึงตอนที่มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก “สาวสวย เธอมาหาคนหรือมาเที่ยวล่ะ”
มู่น่อนน่อนไม่ได้พูดอะไร แต่เดินตรงเข้าไปด้านใน
คนที่อยู่ด้านในมีแต่พวกคุณชายที่ร่ำรวย พอถูกมู่น่อนน่อนเมินใส่แบบนี้ ในใจก็ต้องรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นเรื่องธรรมดา เลยยื่นมือออกไปหมายจะคว้าตัวเธอ แต่กลับถูกมือหนึ่งที่ลอยมาในอากาศหยุดเอาไว้ก่อน
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ สีหน้าเคร่งขรึม คิ้วคมเหมือนดาบไร้ฝัก ราวกับพอถูกเขาจ้องทีหนึ่ง ก็จะถูกสับเป็นชิ้นๆ
เฉินถิงเซียวมองดูผู้ชายตรงหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ น้ำเสียงมืดมน “ผู้หญิงคนนี้มีเจ้าของแล้ว”
แค่ดูก็รู้ว่าเฉินถิงเซียวไม่ใช่คนที่น่าเล่นด้วย คนๆนั้นรีบพูดว่า”ขออภัย”อย่างตื่นตระหนกแล้ววิ่งหนีไปอีกทางทันที
“ปกติเวลาคุณไม่อยู่บ้าน ก็มาสนุกในที่แบบนี้เองเหรอ” เมื่อครู่มู่น่อนน่อนกวาดตามองคร่าวๆ ก็เห็นว่ามีชายหญิงหลายคู่ทั้งจูบกอดลูบคลำกันแถวมุมต่างๆ
“จะเป็นไปได้ยังไง” เฉินถิงเซียวกระซิบแผ่วเบา “ในใจของฉันมีแค่พี่สะใภ้คนเดียวนะ”
พี่สะใภ้กับมารดามันสิ!
มู่น่อนน่อนกัดฟันเพื่ออดกลั้นความรู้สึกอยากก่นด่า พยายามทำเสียงนุ่มนวล “ช่างน่าประทับใจจริงๆ”
“ถ้ารู้สึกประทับใจ อีกเดี๋ยวก็จดจำและเรียนรู้ให้ดีก็แล้วกัน”
เพิ่งสิ้นเสียง มู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าที่บริเวณเอวมีแขนอันแข็งแกร่งโอบเข้ามา
เฉินถิงเซียวดึงเธอเข้ามาในอ้อมอก แล้วโอบเธอไปนั่งที่มุมสลัวด้านในสุดของห้องส่วนตัว
มุมนี้บดบังสายตาของผู้คนได้พอดี ถ้าคนอื่นไม่สังเกต ก็แทบจะไม่มีใครรู้ว่ามีคนนั่งอยู่ที่นี่
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวจะเล่นไม้ไหน แต่ว่าเพียงไม่นานเธอก็ได้รู้
ทั้งสองคนเพิ่งเข้ามานั่งไม่นาน ก็มีอีกคนเข้ามาในห้องส่วนตัว แถมยังเป็นคนที่คุ้นเคยดี เสิ่นชูหาน
พอเสิ่นชูหานเข้ามา ก็ถูกคนลากให้ไปนั่งตรงที่นั่ง
จากนั้นก็มีคนพาผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาส่ง
พอผู้หญิงคนนั้นเข้ามาก็ไปนั่งข้างเสิ่นชูหานทันที ยิ่งนั่งก็ยิ่งใกล้ชิด สุดท้ายเลยเข้าไปนั่งในบนตักของเสิ่นชูหาน เสิ่นชูหานกึ่งดันกึ่งผลัก แต่ก็ไม่สามารถผลักผู้หญิงคนนั้นออกไปได้……
มู่น่อนน่อนเบือนหน้าไปอีกทาง ถ้ามองครั้งเดียวเธอก็รู้สึกตาร้อนแล้ว
แต่จู่ๆเฉินถิงเซียวที่อยู่อีกด้านกลับพูดขึ้นว่า “ทำไม ? เห็นคนที่ตัวเองชอบไปกอดผู้หญิงคนอื่น เสียใจเหรอ”
เดิมทีอารมณ์ของมู่น่อนน่อนก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว พอถูกเฉินถิงเซียวถามแบบนี้ ก็เลยตอบสวนกลับไปทันที “ใช่สิ เสียใจมากเลย”
ในที่สุดเธอก็เข้าใจเป้าหมายที่เฉินถิงเซียวเรียกเธอมาแล้ว เขาคิดว่าเธอกับเสิ่นชูหานเกี่ยวข้องกันอย่างนั้นหรือ ดังนั้นเลยเรียกให้เธอมาดูเสิ่นชูหานทำเรื่องแบบนี้กับผู้หญิงคนอื่นสินะ
น่าคลื่นไส้ !
เสิ่นชูหานทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้ เฉินถิงเซียวเองก็เหมือนกัน!
พอเธอพูดจบ ก็รู้สึกถึงความหนาวเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวของผู้ชายที่อยู่ข้างๆ
เธอคลี่ยิ้ม แล้วโน้มตัวไปกอดเขา น้ำเสียงนุ่มนวล “ฉันแค่ล้อเล่น ก็คนที่ฉันชอบตอนนี้คือคุณนี่นา”
ขณะที่มู่น่อนน่อนพูด ก็ยืนมือไปลูบแผ่นอกเขาไปด้วย……
เธอกระซิบเสียงแผ่วเบาว่า “ดูท่าว่าคุณเองก็จะชอบฉันมากเหมือนกันนะ
ตอนที่ 108 ของจริงส่งถึงหน้าประตู
พอมู่น่อนน่อนออกมาจากห้องอาหาร ก็รีบวิ่งไปชั้นบนราวกับมีผีไล่หลังมา กลับเข้าไปในห้องนอน
ปิดประตูลง เธอยืนพิงประตูแล้วเอามือตบอกตัวเอง
ถึงว่า”เฉินเจียฉิน”ชอบเอาแต่หยอกเย้าเธออยู่เรื่อย หยอกแล้ววิ่งหนีนี่มันตื่นเต้นอย่างนี้นี่เอง!
หลังจากสงบลงแล้ว มู่น่อนน่อนก็กดล็อกประตูอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ
เธอไม่ได้คิดที่จะทำอะไรกับ”เฉินเจียฉิน”เลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเฉินถิงเซียวแล้วอย่างไร
……
คืนนั้น”เฉินเจียฉิน”ไม่ได้ไปหามู่น่อนน่อนแต่อย่างใด
วันที่สองเป็นวันเสาร์ ในใจของมู่น่อนน่อนยังกังวลเรื่องของเฉินเจียฉินอยู่ ตอนเช้าเธอไปส่งอาหารให้เขาไม่ได้ เลยสั่งอาหารจากข้างนอกไปให้เขา
ของเมื่อคืนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจัดการได้อย่างไร
เด็กคนนั้นเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่มากเกินไป ถ้าเป็นลูกของเธอเอง เธอคงตีขาเขาให้หักไปแล้ว
แต่ว่า ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง เด็กคนนี้ค่อนข้างกล้าหาญเลย
พอมู่น่อนน่อนสั่งอาหารให้เขาเสร็จ ก็แอบย่องเปิดประตูออกไปเหมือนขโมย
เธอเดินไปที่ราวกั้นของทางเดินบนชั้นสอง หันซ้ายแลขวา เพื่อมองหาเงาของ”เฉินเจียฉิน”ในห้องรับแขก
พอยืนยันแล้วว่า”เฉินเจียฉิน”ไม่ได้อยู่ที่ห้องรับแขก เธอก็รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ตอนที่กำลังจะหันกลับ ก็ได้ยินเสียงเยือกเย็นของ”เฉินเจียฉิน”ดังมาจากทางด้านหลัง “กำลังมองอะไรลับๆล่อๆ”
มู่น่อนน่อนตกใจจนสะดุ้ง และเผลอถอยหลังไปสองก้าว แต่ว่าด้านหลังเป็นราวกั้น เธอเลยไม่เหลือที่ให้ถอยอีก
“เฉินเจียฉิน”เองก็เพิ่งตื่นเหมือนกัน และดูเหมือนวันนี้คงไม่มีความคิดที่จะออกไปข้างนอก ดังนั้นเขาก็เลยสวมชุดอยู่บ้าน เสื้อผ้าอยู่บ้านที่เนื้อผ้านิ่มและตัวหลวม ลดความดุดันบนตัวเขาลงไปได้ไม่น้อย ทำให้เขาดูสง่าและมีระดับมากขึ้น
แน่นอนว่า นั่นเป็นก่อนที่เขาจะเปิดปากพูดเท่านั้น
“เฉินเจียฉิน”เดินมาด้านหน้าอีกก้าวหนึ่ง ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนไม่ถึงห้าเซนติเมตร “ทำเรื่องน่าละอายใจ เลยกลัวว่าใครจะรู้เข้าเหรอ”
มู่น่อนน่อนแทบจะสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิบนผิวหนังของเขา
มู่น่อนน่อนเม้มปาก เผลอจับราวกั้นที่อยู่ด้านหลังไว้อย่างไม่รู้ตัว ราวกับกำลังแสวงหาความปลอดภัย
ตอนที่เงยหน้าขึ้นมา ก็ไม่เหลือร่องรอยของความตื่นตระหนกบนใบหน้าของเธอแล้ว ดวงตางดงามที่คล้ายตาแมวนั้นแฝงด้วยความชุ่มชื้น บวกกับรอยยิ้มมีเสน่ห์ และน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ฉันทำเรื่องน่าละอายใจอะไร แล้วกลัวว่าใครจะรู้เข้า ในใจคุณก็รู้ดีที่สุดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
ขณะที่มู่น่อนน่อนพูด มืออีกข้างก็ลูบบนแผ่นอกเขา นิ้วเรียวยาวนุ่มนิ่มนั้นเสียดสีแผ่วเบาผ่านบนเนื้อผ้าของชุดอยู่บ้าน ราวกับแมวน้อยที่ยังไม่มีเล็บงอก ข่วนทีหนึ่ง ก็รู้สึกคันยุบยิบไปถึงหัวใจ
สีของดวงตาเฉินถิงเซียวเข้มขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือของมู่น่อนน่อนที่กำลังลูบไล้แผ่นอกเขาเอาไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่นว่า “ก่อนหน้านี้ยังมั่นคงกับเฉินถิงเซียวอยู่ แต่ตอนนี้กลับมายั่วยวนฉันแบบนี้ ผู้หญิงอย่างพวกเธอนี่ช่างเอาแน่เอานอนไม่ได้เลยจริงๆ”
ถึงแม้ว่ามู่น่อนน่อนจะไม่ชินกับการถูกผู้ชายจับมือไว้แบบนี้ แต่ว่าตอนนี้ตัวตนของเธอก็คือผู้หญิงที่หลงรัก”เฉินเจียฉิน” และอยากจะยั่วยวนเขา เลยจะถอนมือกลับมาไม่ได้
เธอมองเขาด้วยแววตาเปื้อนยิ้ม “จะเอาแน่เอานอนไม่ได้ได้ยังไงล่ะ ขอแค่เป็นผู้หญิงที่ยังสมองดีอยู่ ก็คงเลือกแบบเดียวกับที่ฉันเลือกทั้งนั้นแหละ”
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มู่น่อนน่อนก็เขย่งปลายเท้า แล้วขยับเข้าไปพูดข้างหูเขาว่า “ฉันรู้สึกว่าผู้ชายอย่างพวกคุณต่างหากที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ก่อนหน้านี้คุณเอามาคอยยั่วยุฉัน แต่ตอนนี้พอฉันไปหาคุณถึงหน้าประตู คุณกลับบอกว่าฉันเอาแน่เอานอนไม่ได้ ผู้ชายอย่างพวกคุณเลวแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่า ส่งถึงหน้าประตูก็ไม่เอา แต่พอเอามาไม่ได้ก็ยิ่งอยากจะไปยั่วยุ”
มู่น่อนน่อนอยากจะด่าเขามาตั้งนานแล้ว เธอไม่เคยรู้สึกสะใจขนาดนี้มาก่อน
เฉินถิงเซียวจะฟังไม่ออกได้อย่างไรว่ามู่น่อนน่อนกำลังเปลี่ยนวิธีการในการด่าเขาอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่ค่อยเข้าใจก็คือ วันสองวันนี้ผู้หญิงคนนี้ไม่ค่อยปกติ
เธอคงจงใจเข้ามายั่วยุเขา แต่พอเขาเข้าไปใกล้ ก็เห็นได้ชัดว่าเธอตื่นเต้นจนตัวแข็งทื่อ
หรือว่าเธออยากจะอ้อนวอนให้เขาช่วยบริษัทมู่ซื่อ
แต่ทันทีที่มีความคิดนี้ออกมา เขาก็ปฏิเสธมันทันที
เรื่องครั้งก่อนที่เซียวชู่เหอถูกลักพาตัว เธอก็ยอมแพ้ต่อตระกูลมู่โดยสิ้นเชิงไปแล้ว
พอเห็น”เฉินเจียฉิน”เอาแต่ไม่พูดไม่จา เอาแต่จ้องเธอด้วยสีหน้าครุ่นคิด มู่น่อนน่อนก็เริ่มคิดล่าถอย ตอนที่คิดจะดึงมือกลับ ก็ได้ยิน”เฉินเจียฉิน”พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ดูท่าว่าเธอจะเข้าใจคำว่า “ส่งถึงหน้าประตู” ผิดไปอย่างมหันต์เลยนะ คืนนี้ไปที่ร้านอาหารจีนติ่งสิ ฉันจะทำให้เธอรู้จักคำว่า”ส่งถึงหน้าประตู”อย่างแท้จริงเอง”
พอเขาพูดจบ ก็กุมมือเธอไปใกล้ริมฝีปากแล้วประทับจูบเบาๆ ค่อยๆคลี่ยิ้ม เผยให้เห็นรอยยิ้มที่มีความนัยลึกซึ้ง
ในเมื่อผู้หญิงคนนี้อยากจะเล่น ก็ให้เธอเล่นอะไรที่ใหญ่โตไปเลย
มู่น่อนน่อนนิ่งอึ้งอยู่กับที่
นี่ไม่เหมือนกับที่เธอนึกภาพไว้นี่นา เมื่อครู่เขายังดูโมโหอยู่เลย แล้วทำไมจู่ๆถึงได้เปลี่ยนไปได้
“เฉินเจียฉิน”ผู้ชายคนนี้ จิตใจลึกซึ้งเกินไป คนธรรมดาไม่มีทางเข้าใจได้แน่
มู่น่อนน่อนเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมา เธอรู้สึกเสมอว่าตัวเองน่าจะขโมยไก่ไม่ได้แถมยังทำข้าวหายอีกต่างหาก
……
“เฉินเจียฉิน”อยู่บ้านได้ไม่นานก็ออกไปข้างนอกแล้ว
เธออยู่บ้านคนเดียวก็เลยขี้เกียจทำกับข้าว เลยซื้อวัตถุดิบแล้วไปที่บ้านเช่า
เฉินเจียฉินน้อยกำลังนั่งเล่นเกมอีกแล้ว เขานอนพิงโซฟา โต๊ะตรงหน้าเต็มไปด้วยขยะ เขาเป็นวัยรุ่นที่ติดอินเทอร์เน็ตโดยสิ้นเชิง
มู่น่อนน่อนถือถังขยะไปเก็บขยะทั้งหมดด้วยความอดทน จากนั้นก็เท้าสะเอวยืนอยู่ตรงหน้าเขา “นายไม่มีเงินไม่ใช่เหรอ แล้วเอาเงินจากไหนไปซื้อขนมมากมายกินทุกวัน”
“ซื้อตอนขามา เอาเงินทั้งหมดที่มีไปซื้อขนมหมดแล้ว” พูดไปสักพัก เขาก็ถอนหายใจออกมา “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่กับคุณแม่ แม่ไม่เคยให้ฉันกินขนมเลย ไม่ยอมให้เล่นเกมด้วย ตอนนี้ฉันก็เลยต้องกินให้คุ้ม !”
เป็นเด็กที่ซุกซนมากจริงๆ
มู่น่อนน่อนเอาวัตถุดิบที่ตัวเองเอามาด้วยออกมาวางบนเคาน์เตอร์ครัว แล้วเริ่มหั่นผักพลางถามเขาไปด้วย “เมื่อคืนนายกินอะไร ?”
“ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ” พอดูจบเขาก็พูดเสริมว่า “ร้านก๋วยเตี๋ยวที่เธอฉันไปเมื่อวาน”
“นายไม่มีเงินแล้วกินได้ยังไง”
เขาพูดอย่างหน้าตาเฉยว่า “ก็จดบัญชีไว้ไง ขากลับเธออย่าลืมไปจ่ายให้ด้วยนะ”
“นายสนิทกับเจ้าของร้านเหรอ เขายอมให้นายติดบัญชีไว้ด้วยเหรอ” มู่น่อนน่อนรู้สึกเหมือนตัวเองได้เปิดหูเปิดตา
“ก็ไม่มีอะไรนี่ เขายังบอกฉันว่าเที่ยงนี้ก็ไปกินอีกได้ด้วย”
“……” มู่น่อนน่อนไม่รู้จะพูดอะไรต่ออีกแล้ว
ยีนของตระกูลเฉินนี่ไม่เลวเลย ไม่ว่าจะเป็น”เฉินเจียฉิน”คนโตที่อยู่ที่บ้าน หรือว่าจะเป็นเฉินเจียฉินน้อยจอมซนที่อยู่ตรงหน้า ต่างก็หน้าตาดูดี ยิ่งเด็กวัยรุ่นอย่างเขาแล้ว แค่ใช้หน้าตานี้แอ๊บแบ๊วหน่อยก็หลอกคนได้สบายๆ
เพียงแต่ เขาบอกให้เธอไปจ่ายหนี้ให้หน้าตาเฉยแบบนี้ จะทำตัวยโสเกินไปหรือเปล่า
“เฉินเจียฉิน ฉันไม่ได้มีหน้าที่ต้องชดใช้หนี้แทนนายนะ”
“ยังไงในอนาคตเธอก็ต้องเป็นแฟนฉันอยู่แล้ว ตอนนี้ฉันใช้เงินของเธอ ต่อไปถ้าฉันได้เป็นนักกีฬาอีสปอร์ตมืออาชีพฉันจะหาเงินมาให้เธอใช้เอง”
ประโยคสนทนาไม่เคยหลุดจากเรื่องเล่นเกมเลย
“ฉันแต่งงานแล้ว !” มู่น่อนน่อนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เฉินเจียฉินลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย แล้วพูดว่า “ฉันหล่อขนาดนี้ เธอจะต้องเลิกกับสามีเพราะฉันแน่ๆ”
พอพูดจบ ก็หยิบกระจกที่อยู่ข้างๆขึ้นมาส่อง จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “หล่อจริงๆ”
มู่น่อนน่อน “.
ตอนที่ 107 คืนนี้ฉันจะรอคุณ
หลังจากกลับไปถึงบ้านพัก มู่น่อนน่อนก็หอบคอมพิวเตอร์ไปนั่งข้างหน้าต่าง ขณะเขียนต้นฉบับ อีกด้านก็คอยสังเกตว่ามีรถกลับเข้ามาหรือเปล่า
จนกระทั่งตกกลางคืน ถึงได้เห็นรถยนต์สีดำคันหนึ่งแล่นเข้ามา
คนขับลงจากรถ จากนั้นก็เปิดประตูหลังรถ แล้ว”เฉินเจียฉิน”ก็เดินลงมาจากรถ
มู่น่อนน่อนสายตาดี เลยเห็นได้ทันทีว่าคนที่ขับรถมานั้นคือสือเย่
สือเย่เป็นผู้ช่วยของเฉินถิงเซียว แต่กลับขับรถให้”เฉินเจียฉิน”อยู่บ่อยๆ
“เฉินเจียฉิน”ลงจากรถ แล้วพูดอะไรกับสือเย่อยู่สองสามคำ สือเย่พยักหน้าแล้วฟังอย่างตั้งใจ
มู่น่อนน่อนใช้ประโยชน์จากช่องว่างนี้ หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วส่งข้อความไปที่เบอร์ของ”เฉินถิงเซียว”
พอส่งข้อความเสร็จ เธอก็สังเกตเห็นว่า”เฉินเจียฉิน”เงยหน้ามองมาทางเธอ โชคดีที่ผ้าม่านของเธอปิดอยู่ เหลือเพียงรอยต่อเส้นเดียวเท่านั้น
หลังจากที่เขามองมาทางนี้ทีหนึ่งแล้ว ก็พูดอะไรกับสือเย่อีกคำสองคำ จากนั้นก็ก้มหน้าล้วงโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋า……
เพราะอยู่ไกลมาก มู่น่อนน่อนก็เลยไม่สามารถรู้ได้ว่าเขากำลังดูอะไรอยู่
แต่ว่า จู่ๆหัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้น เต้นอย่างรุนแรง
ทั้งคำพูดของเฉินเจียฉินน้อย และสัญญาณทั้งหมดก็บ่งชี้ ว่า”เฉินเจียฉิน”น่าจะเป็นเฉินถิงเซียว แต่ว่ามู่น่อนน่อนก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง
แล้วเธอก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับ”เฉินเจียฉิน”ด้วยซ้ำ
เรื่องนี้มันไร้สาระเกินไปแล้ว !
“เฉินเจียฉิน”เป็นคนที่รอบคอบมาก ถ้าหากเขาคือเฉินถิงเซียวจริงๆ เมื่อครู่เขาก็คงได้รับข้อความของเธอแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนั้น การที่เข้าได้รับข้อความแล้วเผลอหันมามองทางทิศทางของห้องเธอก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา
และเพื่อไม่ให้เขาสงสัย มู่น่อนน่อนเลยเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้าน ทำผมให้ยุ่งเหยิง แล้วนอนแกล้งหลับอยู่บนเตียง
เพียงไม่นานนัก ก็มีคนเดินมาเคาะประตู
“มู่น่อนน่อน”
วันนี้ทั้งวันของมู่น่อนน่อน อารมณ์ขึ้นๆลงๆอย่างรุนแรง เส้นประสาทเคร่งตึง พอนอนลงบนเตียงก็ง่วงแล้วและกำลังจะหลับ แต่ก็ได้ยินเสียงคนเรียกเธอขึ้นมา
ในสมองไม่ค่อยชัดเจนแล้ว เธอเลยเดินไปเปิดประตูด้วยความง่วงงัน “ใครเหรอ”
พอเปิดประตูออก คนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็คือ “เฉินเจียฉิน”
เฉินถิงเซียวมองประเมินเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นเธอหรี่ตาสติไม่มั่นคง ก็ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เป็นอะไรไป ร่างกายไม่สบายเหรอ”
มู่น่อนน่อนเลยได้สติตื่นขึ้นทันที น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นแหบพร่าเล็กน้อยเพราะเพิ่งตื่น “เปล่า กำลังหลับอยู่”
ชุดที่สวมอยู่บนตัวเธอเป็นชุดอยู่บ้านลายแมวน้อยสีชมพู ผมยาวยุ่งเหยิงเล็กน้อย ใบหน้าขาวนวลนั้นมีสีแดงอ่อนๆ ดูแล้วรู้สึกละมุนและน่ารัก
เฉินถิงเซียวคิดถึงช่วงกลางวันที่เธออุตส่าห์โทรไปหาเขาเพื่อจะเอาข้าวกล่องไปส่ง สีหน้าก็เลยยิ่งอ่อนโยนขึ้นกว่าเดิม ขนาดน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เปล่งออกมาก็ยังเจือไปด้วยความอ่อนโยน “งั้นเธอนอนต่ออีกหน่อยเถอะ เดี๋ยวฉันสั่งให้คนไปทำอาหาร เสร็จแล้วจะมาเรียกเธอ”
“……อืม” มู่น่อนน่อนมองดูเขาอย่างอึ้งๆ “เฉินเจียฉิน”ที่อ่อนโยนไร้ความดุดันแบบนี้ เธอพึ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เฉินถิงเซียวมองดูท่าทางอ้ำอึ้งของเธอ แล้วก็อดใจไม่ไหว ยื่นมือไปลูบศีรษะที่ยุ่งเหยิงของเธอ แล้วดันเธอเข้าไปข้างใน “นอนต่อเถอะ”
จนตอนที่มู่น่อนน่อนนอนลงบนเตียงอีกครั้ง ก็ยังไม่ค่อยได้สติกลับมาเท่าไหร่
แล้วจู่ๆเธอก็ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง แล้วเกาผมตัวเองอย่างสับสน
ทำไม”เฉินเจียฉิน”แค่พูดจาอ่อนโยนเพียงครั้งเดียว เธอก็ยอมกลับขึ้นมาบนเตียงทันทีแบบนี้ได้
เธอรู้สึกว่าตัวเองคงจะป่วยจริงๆ
ในใจมีความรู้สึกแปลกประหลาดที่ว่า “จำเป็นต้องทำตัวต่อต้าน‘เฉินเจียฉิน’ถึงจะเป็นเรื่องปกติ” มู่น่อนน่อนพลิกตัวลงจากเตียง แล้วเปิดประตูออกไป
ตอนที่เดินผ่านห้องสมุด เธอก็ยื่นมือไปเคาะประตู “เฉินถิงเซียว คุณอยู่ไหม”
วินาทีต่อมา มือถือของเธอก็สั่นขึ้นทีหนึ่ง
เฉินถิงเซียวส่งข้อความมาหาเธอ “มีธุระเหรอ ?”
มู่น่อนน่อนตอบข้อความเขา “คุณอยู่ในห้องสมุดเหรอ”
ฝั่งนั้นตอบกลับมาคำหนึ่ง ว่า “อืม”
มู่น่อนน่อนจ้องมองคำง่ายๆ “อืม” คำนั้น มือที่จับโทรศัพท์อยู่ก็กำแน่นขึ้น ปากก็เม้มกันแน่น จากนั้นก็หัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง
ตลอดทั้งบ่าย เธอก็เฝ้าอยู่ข้างหน้าต่างตลอด จนถึงช่วงกลางคืน นอกจากรถของ”เฉินเจียฉิน”แล้ว ก็ไม่มีรถคันอื่นขับเข้ามาในบ้านพักอีกเลย
แล้วเฉินถิงเซียวกลับมาได้อย่างไร
บินข้ามฟ้ามาหรือ
หรือเข้ามาจากทางใต้ดิน
มู่น่อนน่อนเริ่มมีความคิดพลุ่งพล่านขึ้นมา เธออยากจะพุ่งเข้าไปข้างในห้องสมุด แล้วทำลายหน้ากากจอมปลอมของ”เฉินเจียฉิน”ทิ้ง
ถึงว่าคนที่ไม่เคยเปิดเผยตัวกับคนภายนอกอย่างเฉินถิงเซียว แต่กลับสนิทกับ”ลูกพี่ลูกน้อง”ถึงขนาดนี้ ไม่เพียงแต่ให้”ลูกพี่ลูกน้อง”คนนี้มาอยู่ในบ้านของตัวเอง แถมยังใจกว้างปล่อยให้ “ลูกพี่ลูกน้อง” แตะต้องภรรยาของตัวเองลับหลังเขาอีก
และที่“เฉินเจียฉิน”เข้ามายั่วยุคนที่”น่าเกลียด”อย่างเธอ ก็มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลแล้ว
ได้แต่งงานกับคนที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ผู้ชายปกติก็ต้องไปดูหน้าภรรยาคนใหม่สักครั้งอยู่แล้ว แต่พอพบว่าภรรยาคนใหม่ไม่ได้รู้จักตัวเอง ก็ปล่อยเลยตามเลย ให้เธอเข้าใจผิดต่อไป
แถมยังหยิบเอาชื่อและตัวตนของ “ลูกพี่ลูกน้อง” มาใช้หลอกเธอเล่นอีก ได้เห็นเธอโกรธจนดิ้นพล่าน ในใจคงรู้สึกสะใจมากสินะ
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปาก
ดูสิว่าใครจะได้สะใจในตอนสุดท้าย!
……
ตอนที่ทานข้าว มู่น่อนน่อนก็นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ”เฉินเจียฉิน” กินข้าวไปพลางก็คอยเหลือบมองเขาไปพลาง
ในตอนที่เขาเริ่มรู้สึกได้ว่าเธอกำลังจ้องเขาอยู่ เธอก็รีบถอนสายตากลับไป แล้วคีบกับข้าวให้เขา “ทำงานเหนื่อยขนาดนั้น คุณก็ทานให้เยอะๆหน่อยสิ”
“เฉินเจียฉิน”ทานข้าวอย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
มู่น่อนน่อนรู้ว่าสิ่งที่สวยที่สุดบนร่างกายก็คือดวงตา เสิ่นเหลียงเคยบอกว่า ตอนที่เธอมองใครบางคนอย่างตั้งใจ ก็เหมือนเป็นการยั่วยวนนั่นเอง
ใช้ตัวตนของ “ลูกพี่ลูกน้อง” มาหยอกล้อเธอ คงสนุกมากสินะ!
ถ้าหากภรรยาของตัวเองชอบ”ลูกพี่ลูกน้อง”เข้าจริงๆ แล้วสวมเขาให้เขา ไม่รู้ว่าเขาจะยังรู้สึกสนุกอยู่อีกไหม
แต่ว่า “เฉินเจียฉิน”ก็ความอดทนค่อนข้างดีเลย
ปกติเอาแต่คอยหยอกเย้าเธอ จูบเธอ แต่ตอนนี้พอเธอเป็นฝ่ายรุกบ้าง เขากลับสงบนิ่งราวกับเขาไท่ซาน ไม่หันมามองเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว
นั่นทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย
จนกระทั่งทานข้าวเสร็จ “เฉินเจียฉิน”ก็หยิบผ้าขนหนูมาค่อยๆเช็ดมือ ก่อนจะพูดอย่างเชื่องช้าว่า “พี่สะใภ้เอาแต่จ้องฉันแบบนี้ หรือว่าในที่สุดก็คิดได้แล้ว ว่าจะเลือกฉัน ?”
“ใช่แล้ว” มู่น่อนน่อนกำลังรอคำนี้ของเขาอยู่ เลยพูดต่ออย่างไหลลื่นว่า “คุณรูปงามขนาดนี้ แล้วยังดีกับฉันขนาดนี้ ดีกว่าลูกพี่ลูกน้องคุณเยอะเลย ขนาดคนโง่ยังรู้เลยว่าต้องเลือกใคร ก่อนหน้านี้ฉันช่างโง่เหลือเกิน แต่ว่ายังดีที่ตอนนี้ฉันคิดได้แล้ว”
พอมู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปด้านหลังของ”เฉินเจียฉิน” เอียงคอแล้วจูบที่แก้มเขาทีหนึ่ง รู้สึกได้ว่าตัวเขาแข็งทื่อไปเลย เธอเผยรอยยิ้มออกมา แล้วขยับเข้าไปพ่นคำพูดที่ข้างหูเขาว่า “ฉันกลับไปอาบน้ำที่ห้องก่อนนะ……”
“อาบน้ำ” สองคำนี้เธอพูดแผ่วเบามาก น้ำเสียงอ้อยอิ้ง แฝงความหมายเชิญชวนอยู่ในนั้น
มู่น่อนน่อนไม่ค่อยถนัดเรื่องแบบนี้ คำพูดแบบ “คืนนี้ฉันจะรอคุณ” อะไรแบบนั้น เธอพูดไม่ออก
เพิ่งจะสิ้นเสียง เธอรู้สึกว่าความกดอากาศรอบตัวเธอลดต่ำลงอย่างกะทันหัน ทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ออก
โกรธขนาดนั้นเลยเหรอ ? หลังจากนี้ยังมีเรื่องให้โกรธอีกเยอะเลย !
มู่น่อนน่อนรีบถอนตัวและเดินออกไป ตอนที่เดินไปถึงหน้าประตูก็ยังหันกลับมาส่งสายตาเว้าวอนให้”เฉินเจียฉิน”อีกครั้งด้วย
สีหน้าของ”เฉินเจียฉิน”เปลี่ยนไปในทันที
ตอนที่ 106 เธอมาเป็นแฟนฉันเถอะ!
ณ เสิ้งติ่งมีเดีย
เฉินถิงเซียวกำลังประชุมอยู่ แล้วจู่ๆโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นขึ้น
เขาชำเลืองมองไปที่โทรศัพท์ เพียงแวบเดียว ความเยือกเย็นบนใบหน้าก็อ่อนโยนขึ้นทันที
จากนั้น เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเดินออกไปจากห้องประชุมทันที
พอเขาไปแล้ว เดิมทีห้องที่เงียบสงัดแทบไม่กล้าหายใจแรงนั้นก็คึกคักขึ้นมาทันที ต่างก็รุมถามกู้จือหยั่น “ประธานกู้ ใครโทรมาหาท่านประธานเหรอ”
“จะใครอีกล่ะ ก็ต้องภรรยาเขาสิ” กู้จือหยั่นไม่จำเป็นต้องดูโทรศัพท์ของเฉินถิงเซียวเลย ก็สามารถเดาได้ว่ามู่น่อนน่อนโทรมาหาเขา
“ท่านประธานมีเมียด้วยเหรอ”
“แล้วไม่ใช่หรือไง ขนาดคนนิสัยอย่างเขายังหาเมียได้เลย แต่ฉันกลับยังไม่มี……”
……
พอปิดประตูห้องประชุมแล้ว เฉินถิงเซียวก็กดรับโทรศัพท์
ไม่รอให้เขาเปิดปาก เสียงมู่น่อนน่อนที่อยู่อีกฝั่งก็ดังขึ้นก่อน “คุณทำงานอยู่ที่ไหนเหรอ เดี๋ยวตอนเที่ยงฉันจะเอาข้าวกล่องไปให้คุณ”
เดิมทีเสียงของเธอก็นิ่มนวลอยู่แล้ว ขณะนี้ยังจงใจพูดให้จังหวะช้าลง เลยทำให้ฟังดูอ่อนโยนขึ้น
มู่น่อนน่อนจะเอาข้าวกล่องมาให้เขา ?
เขาฟังผิดไปหรือเปล่า หรือว่าวันนี้เธอทานยาผิด ?
“เธออยู่ที่บ้านเหรอ ?”
“ใช่สิ”
“งั้นฉันจะกลับไปกิน”
“ก็ได้” ยังไงเป้าหมายของเธอก็ไม่ใช่การเอาข้าวไปส่งให้เขาอยู่แล้ว
…….
เที่ยงวัน “เฉินเจียฉิน”กลับมาได้ตรงเวลามาก
มู่น่อนน่อนยกซุปออกมาวางบนโต๊ะ แล้วก็เห็นเขาเดินเข้ามาในห้องอาหาร
“กลับมาทันเวลาพอดี ทานข้าวได้แล้ว” มู่น่อนน่อนยังไม่ได้ถอดผ้ากันเปื้อนบนตัวออก ยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ แล้วมองเขาด้วยรอยยิ้ม
เฉินถิงเซียวลังเลเล็กน้อย เขารู้สึกว่าวันนี้มู่น่อนน่อนทำตัวแปลกๆ
แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกมา มองประเมินเธออย่างเงียบๆ จากนั้นก็นั่งลงแล้วเริ่มทานข้าว
มู่น่อนน่อนพบว่า เวลาที่”เฉินเจียฉิน”กำลังทำอะไรสักอย่าง เขาจะมีสมาธิมาก แม้แต่เวลาทานข้าวก็เช่นเดียวกัน ราวกับในสายตามีแค่อาหารที่อยู่ตรงหน้า ไม่หันไปมองสิ่งอื่นนอกจากนั้นเลย
มู่น่อนน่อนล้วงโทรศัพท์ออกมาจากในกระเป๋า แล้วถ่ายใบหน้าด้านข้างของ”เฉินเจียฉิน”ไว้รูปหนึ่ง
“เฉินเจียฉิน”หันไปมองเธอราวกับจับสัมผัสได้ ดวงตาที่คมเข้มราวกับน้ำหมึกนั้นดูเหมือนจะสามารถมองทะลุผ่านผู้คนได้
ใจของมู่น่อนน่อนรู้สึกตื่นกลัวขึ้นมา เขาคงจับไม่ได้ว่าเธอแอบถ่ายเขาหรอกใช่ไหม!
ปรากฏว่า “เฉินเจียฉิน”กลับถามเธอแค่คำเดียวว่า “เธอไม่กินเหรอ ?”
“ฉันยังไม่ค่อยหิว คุณทานก่อนเถอะ” มู่น่อนน่อนพูดไปพลาง ถอดผ้ากันเปื้อนไปพลาง
รอจน”เฉินเจียฉิน”ทานข้าวเสร็จและออกไปแล้ว มู่น่อนน่อนถึงได้ออกไปข้างนอก
เธอนั่งรถบัสไปที่บ้านเช่า ก่อนที่จะไป เธอยังเอาอาหารมากมายมาจากบ้านด้วย
เฉินเจียฉินน้อยกำลังนั่งเล่นเกมอยู่บนโซฟา ข้างๆมือมีซองมันฝรั่งทอดวางอยู่ และเศษมันฝรั่งทอดก็กระเด็นไปทั่วบริเวณ
“ทานข้าวเที่ยวแล้วใช่ไหม” มู่น่อนน่อนเดินไปทางเขาพลาง อีกด้านก็เก็บขยะบนพื้นไปด้วย
เฉินเจียฉินน้อยเงยหน้าขึ้นมองเธอทีหนึ่ง “ยัง”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเด็กคนนี้เกเรเกินไปแล้ว เพียงเพราะเรื่องเล่นเกม เลยหนีออกจากบ้านข้ามโพ้นทะเลมาแบบนี้
“ถ้าฉันไม่มานายคิดจะทำยังไง ไม่ติดต่อคนที่บ้านด้วย ตั้งใจจะหิวตายอยู่ที่นี่เหรอ”
เขาพูดโดยไม่เงยหน้า “หิวตายน่ะไม่มีทางหรอก อย่างมากสุดก็แค่ไปปล้นธนาคาร”
น้ำเสียงฟังดูจริงจังมาก
มู่น่อนน่อน “……”
ในที่สุด เขาก็เล่นจนจบเกม แล้วก็เริ่มเปิดกล่องข้าวที่มู่น่อนน่อนเอามาให้เขาออกมาทาน พอทานไปคำสองคำ เขาก็เงยหน้าขึ้นมาทันที แล้วพูดด้วยสีหน้าแปลกใจว่า “ครั้งต่อไปฉันขออาหารจากร้านนี้อีกนะ !”
มู่น่อนน่อนชี้ที่มุมปากของเขา เพื่อบอกว่ามีเม็ดข้าวติดอยู่ “ฉันทำเอง”
เขายกมือขึ้นลูบมุมปากของตัวเอง จากนั้นก็พูดสิ่งที่น่าทึ่งออกมา “เธอมาเป็นแฟนฉันเถอะ !”
มู่น่อนน่อน “……”
เขาเห็นว่ามู่น่อนน่อนไม่พูดไม่จา เลยเป็นฝ่ายพูดก่อน “ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะยากจน แต่รอให้ฉันเล่นเกมระดับมืออาชีพ ฉันก็สามารถหาเงินมาซื้อกระเป๋าเสื้อผ้าเครื่องสำอางให้เธอได้แล้ว เธอลองคิดดูก่อนแล้วกัน”
ผู้หญิงต่างก็ชอบซื้อของพวกนี้ คุณแม่ก็เป็นแบบนี้ ทุกวันเอาแต่ซื้อซื้อซื้อ
คำพูดที่จริงจังนั้น ทำเอามู่น่อนน่อนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“อย่าพูดอะไรไร้สาระ ฉันแต่งงานแล้ว” ขณะที่มู่น่อนน่อนพูด ก็หยิบมือถือออกมาเปิดรูปของ”เฉินเจียฉิน”ที่ถ่ายก่อนหน้านี้ให้เขาดู “นายรู้จักผู้ชายคนนี้ไหม”
เฉินเจียฉินมองแค่แวบเดียว ก็พูดขึ้นว่า “นี่พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของฉันนี่ เธอไปแอบถ่ายมาจากไหน”
พอพูดจบ เขาก็อย่างตื่นตระหนกอีกว่า “เขาอยู่ที่ไหน ฉันเห็นเธอเป็นเพื่อน แต่เธอกลับไปเรียกเขามาจับตัวฉันกลับไปเหรอ !”
“เปล่า !” มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเด็กคนนี้ตอบสนองได้รวดเร็วดี “ลูกพี่ลูกน้องคนไหนของนาย”
“เฉินถิงเซียวไง !แม่ของฉันกับพ่อของเขาเป็นพี่น้องแท้ๆ แล้วเขาก็มีฉันคนเดียวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง” พอพูดจบเขาก็ก้มหน้าทานข้าวต่อ แถมยังพูดจาพึมพำฟังไม่ชัดว่า “อร่อยจริงๆ เธอหย่ากับสามีแล้วมาเป็นแฟนฉันดีกว่า สามีเธอให้เธอมาอยู่ในที่แบบนี้ จะต้องเอาเงินไปเลี้ยงเมียน้อยแน่ รีบหย่ากับเขาดีกว่า ฉันทั้งหนุ่มทั้งหล่อ แถมยังมีศักยภาพไม่จำกัด……”
ความตื่นตกใจและความโมโหทั้งหมดที่อยู่ในใจของมู่น่อนน่อน ตอนที่ได้ฟังคำพูดของเฉินเจียฉินน้อยแล้ว ก็พังทลายลงในทันที
“เด็กอย่างนายจะไปเข้าใจอะไร !”
เขายังพูดเองเออเองต่อว่า “ถึงพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของฉันจะหน้าตาใช้ได้ แต่เขานิสัยแย่มากเลยนะ น่ากลัวมากด้วย คนแบบเขาไม่มีทางหาแฟนสาวได้หรอก ได้ข่าวว่าเมียของเขาเป็นพวกขี้เหร่ด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า……”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนมืดมนทันที แล้วพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “นายคิดจะอยู่แบบนี้ต่อไปเหรอ เมื่อไหร่จะติดต่อพ่อแม่นาย”
“ฉันไม่ติดต่อพวกเขาหรอก นอกจากพวกเขาจะยอมให้ฉันไปลงแข่ง”
“พวกเขาจะกระวนกระวายได้นะ !”
“ไม่หรอก พวกเขาชินแล้ว ดังนั้นครั้งนี้ฉันก็เลยมาไกลหน่อย ให้เวลานานสักหน่อย จะได้ดึงความสนใจและความเข้าใจของพวกเขาได้”
“……” มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดีแล้ว
ที่แท้ก็เป็นผู้ร้ายที่หนีออกจากบ้าน
พ่อแม่ของเขาเองก็……ค่อนข้างตามใจเลย
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ส่วนตอนนี้เธอก็ไม่สะดวกที่จะบอกเรื่องของเขากับ”เฉินเจียฉิน” แต่ก็ปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ เลยทำได้แค่คอยดูแลเขาไปอีกสักระยะหนึ่ง
ระหว่างทางกลับ มู่น่อนน่อนก็ได้รับสายโทรเข้าจากมู่ลี่เหยียน
“น่อนน่อน ลูกกับเฉินถิงเซียวคุยกันได้ยังไงบ้างแล้ว เมื่อไหร่เขาจะออกหน้าช่วยพวกเราเหรอ”
มู่น่อนน่อนถอนหายใจ แล้วพูดว่า “เงินในแบล็คการ์ดหายไปตั้งขนาดนั้น เขาหาว่าหนูใช้เงินมากเกินไป เลยเก็บแบล็คการ์ดกลับไป แล้วไม่ยอมมาเจอหน้าหนูทั้งวันแล้วค่ะ”
“แบบนี้ไม่ได้นะ ลูกต้องทำให้เขายอมช่วยพวกเราให้ได้”
“หนูจะพยายามค่ะ คุณพ่อ วางใจเถอะค่ะ”
“พ่อต้องวางใจอยู่แล้ว เพราะลูกเป็นลูกที่กตัญญู โดยเฉพาะกับแม่ของลูก……เธอเคยชินกับชีวิตที่เรียบง่ายมาหลายปีแล้ว ถ้าเกิดบริษัทมู่ซื่อล้มละลายขึ้นมา พ่อก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอก แต่พ่อทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้แม่ของลูกต้องใช้ชีวิตยากลำบากแบบนั้น……”
มู่ลี่เหยียนกับเซียวชู่เหอต่างก็เหมือนกัน ที่คิดว่ามู่น่อนน่อนนั้นใส่ใจเซียวชู่เหอมาก ดังนั้นก็เลยจงใจพูดแบบนี้เพื่อให้มู่น่อนน่อนพยายามช่วยเหลือเขา
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหวั่นไหว “อืม หนูเข้าใจแล้วค่ะ”
พอวางสายไป มู่น่อนน่อนก็ทำเสียงในลำคอทีหนึ่ง จากนั้นก็ยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋า
ให้เธอขอร้องเฉินถิงเซียวเพื่อช่วยบริษัทมู่ซื่ออย่างนั้นหรือ ? ไม่มีทางเสียหรอก
ตอนที่ 105 ค่อยๆเล่นกับเขา
ตอนนี้มู่น่อนน่อนไม่เพียงแค่ตกใจ แต่แทบจะเป็นตะลึงงันมากกว่า
เธอเดินไปตรงหน้าของเด็กหนุ่ม แล้วถามเขาด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นายกับตระกูลเฉินเกี่ยวข้องกันยังไง”
“เกี่ยวข้องกันแบบญาติไง” เด็กหนุ่มทำสีหน้าไม่แยแส จากนั้นก็พูดเสริมอย่างระมัดระวังว่า “แต่ว่าฉันกับตระกูลเฉินไม่ได้สนิทกัน แล้วฉันก็ไม่มีเงินด้วย”
เด็กคนนี้เข้ามาอยู่ในบ้านโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตก่อน แต่ตอนนี้กลับเริ่มมาระแวดระวัง หรือว่าจะกลัวว่าเธอจะจับตัวเขาไปเรียกค่าไถ่กับทางตระกูลเฉินกัน
“นายชื่อเฉินเจียฉินจริงๆเหรอ” มู่น่อนน่อนหลอกถามเขาแบบเนียนๆ “แล้วตระกูลเฉินของพวกนายมีคนชื่อเฉินเจียฉินอยู่กี่คนกัน”
“อะไรรของเธอ” แววตาของเด็กหนุ่มเริ่มระแวดระวังมากขึ้น เป็นเพราะว่าอายุยังน้อย ท่าทางอ่อนต่อโลกนั้นเลยไม่ได้แสดงถึงความกดดันได้เท่าใดนัก
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มเข้ามาอยู่ในห้องเธอได้อย่างไร แล้วเข้ามาอยู่อย่างสง่าผ่าเผย แต่ก็สัมผัสได้ว่าเขาไม่ใช่เด็กที่หลอกล่อได้ง่ายๆแน่
เวลาที่เขาพูดจา ยังคงแฝงด้วยสำเนียงเฉพาะเวลาชาวต่างชาติพูดภาษาจีน พูดได้ไม่ลื่นไหลเท่าใดนัก เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้น่าจะเติบโตมาจากต่างประเทศ
สัญญาณทั้งหมดบ่งบอกว่า เขาอาจจะหนีออกจากบ้านมา!
มู่น่อนน่อนเผยรอยยิ้มออกมา “เด็กน้อย นายหนีออกจากบ้านมาเหรอ อยู่ในที่แบบนี้คงไม่ค่อยคุ้นชินสินะ ฉันไปเรียกให้คนที่ตระกูลเฉินมารับนายเอาไหม”
เขาเบิกตาโต แล้วก็เริ่มร้อนรนขึ้นมาทันที “ไม่ได้นะ ! กว่าฉันจะออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ !”
เธอเดาได้ไม่ผิดเลยจริงๆ
“นายรู้จักกฎหมายอาญาไหม ในนั้นมีข้อกฎหมายอาชญากรรมที่เรียกว่าการบุกรุกบ้านคนอื่นด้วยนะ” มู่น่อนน่อนรับมือกับ”เฉินเจียฉิน”คนโตที่อยู่ที่บ้านไม่ไหว แต่สำหรับเฉินเจียฉินคนเล็กคนนี้ เธอสามารถจัดการได้อย่างอยู่หมัดอยู่แล้ว
สีหน้าของเฉินเจียฉินน้อยเปลี่ยนไปทันที สายตามีแวววิตกกังวลวาบผ่าน แล้วพูดเสียงดังว่า “ที่บ้านตระกูลเฉินของพวกเรามีคนชื่อเฉินเจียฉินอยู่แค่คนเดียว !”
ส่วนใหญ่แล้วเขาใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมาตลอด แล้วจะกลับมาพักผ่อนที่ประเทศจีนเป็นครั้งคราว แต่เขาไม่คุ้นเคยกับผู้คนและพื้นที่ในประเทศมากนัก คำขู่ของมู่น่อนน่อน เลยทำให้เขาเริ่มกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
พอมู่น่อนน่อนได้ฟังคำพูดของเขาแล้ว สีหน้าก็เริ่มมึนงง และเริ่มสับสนขึ้นมาเล็กน้อย
ถ้าหากตระกูลเฉินมีเพียงคนเดียวที่แซ่เฉิน แล้ว”เฉินเจียฉิน”คนโตที่อยู่ที่บ้านคนนั้น เป็นใครกันแน่ ?
เธอจ้องมองเฉินเจียฉินน้อยที่อยู่ตรงหน้าอยู่ครู่ใหญ่ เฉินเจียฉินถูกเธอมองจนขนลุกไปทั่วร่าง “เธอเป็นอะไรไป ?”
มู่น่อนน่อนกำลังเตรียมจะพูดอะไร แต่ทันใดนั้นก็มีเสียง “โครกๆ” ดังขึ้น ขัดจังหวะความคิดของมู่น่อนน่อน
เฉินเจียฉินน้อยมองเธออย่างเลิ่กลั่กทีหนึ่ง จากนั้นก็แสร้งทำเป็นพูดเสียงดังอย่างดุร้ายว่า “มองหาอะไร ไม่เคยได้ยินเสียงท้องร้องมาก่อนเหรอ !”
คนที่ชื่อ”เฉินเจียฉิน”นี่ ช่างนิสัยเสียเหมือนกันจริงๆ
……
ภายในร้านอาหาร มู่น่อนน่อนนั่งมองดูเฉินเจียฉินน้อยกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อสามชามตาปริบๆ
บ้านที่เธอเช่าอยู่ในเขตสลัมของเมืองหู้หยาง ดังนั้นบริเวณใกล้เคียงก็เลยไม่มีร้านอาหารดีๆเสียเท่าไหร่ และยังมีเวลาวันเยอะมากอีกด้วย
เดิมทีเฉินเจียฉินก็มีท่าทีรังเกียจอยู่บ้าง แต่อาจเป็นเพราะหิวมากเขาเลยยอมเดินตามเธอเข้ามา
พอนั่งลงแล้วลองชิมดูคำหนึ่ง ตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
ดังคำที่ว่าจะล้วงความลับต้องป้อนของเข้าปากเหยื่อ หลังจากที่เฉินเจียฉินทานก๋วยเตี๋ยวไปสามชามแล้ว ไม่ว่ามู่น่อนน่อนจะถามอะไรเขา เขาก็ยอมพูดออกมาแทบจะทั้งหมด
“ก่อนหน้านี้ฉันอยู่ที่ออสเตรเลีย ฉันอยากเล่นอีสปอร์ตแบบมืออาชีพ แต่คุณแม่ไม่ให้ฉันไป แถมยังไม่ยอมให้เงินใช้จ่ายฉันอีก ฉันก็เลยหนีออกจากบ้านเพื่อทำให้แม่ตกใจ……เธอจะไปบอกคนในตระกูลเฉินว่าฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้นะ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะต้องมาจับตัวฉันกลับไปแน่……”
“เล่นเกมเหรอ ? ช่วงวัยของนายสมควรจะตั้งใจเรียนมากกว่าไม่ใช่เหรอ”
เฉินเจียฉินน้อยพูดแก้คำพูดของเธอ “เล่นเกมอะไรกัน นั่นก็เป็นอาชีพอย่างหนึ่งต่างหาก วงการอีสปอร์ต !นี่เป็นความฝันของฉัน !”
มู่น่อนน่อนราดน้ำเย็นใส่เขา “แต่นายยังอายุแค่สิบสี่นะ”
ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยเข้าใจพวกคนเล่นเกมหรือวงการอีสปอร์ต แต่เธอก็รู้ว่าหากเฉินเจียฉินน้อยจะไปทำสิ่งนี้จริงๆ อย่างน้อยก็ต้องอายุครบกำหนดเสียก่อน
เฉินเจียฉินน้อยทำเสียงในลำคอทีหนึ่ง แล้วกอดอกเชิดคาง ท่าทางดูหยิ่งผยองมาก
มู่น่อนน่อนรู้สึกอยากจะขำ เธอรู้สึกว่าเด็กคนนี้ค่อนข้างน่าแกล้งดี
มู่น่อนน่อนเคาะนิ้วลงบนโต๊ะสองที แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “เฉินถิงเซียวเป็นอะไรกับนาย”
“พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของฉันเอง อยู่ที่นี่เขามีชื่อเสียงมากเลยไม่ใช่เหรอ” พอเขาพูดจบ แล้วก็ดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าแสดงความหวังดีว่า “ ถึงแม้เขาจะมีเงินมากแถมยังหน้าตาพอใช้ได้ แต่เขาแต่งงานแล้ว เธออย่าคิดจะไปหลอกล่อเขาเลย”
มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นคำสำคัญในประโยคคำพูดของเขา “หน้าตาพอใช้ได้”
ลือกันว่าเฉินถิงเซียวนั้นเสียโฉมแถมยังไร้มนุษยธรรมอีก แล้วจะหน้าตาพอใช้ได้ได้อย่างไร
พอเห็นว่ามู่น่อนน่อนทำสีหน้าแปลกใจ สีหน้าของเฉินเจียฉินน้อยก็เปลี่ยนไปทันที “ที่ฉันพูดไปเมื่อกี้เธอช่วยลืมมันไปที !”
คนที่บ้านเคยบอกเขาไว้ ว่าเขาห้ามไปพูดเรื่องของพี่ชายลูกพี่ลูกน้องกับคนภายนอกเด็ดขาด
เมื่อครู่เขาเผลอพูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ดูท่าทางหลอกง่าย น่าจะไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้ง
แต่มู่น่อนน่อนกลับไม่มีอารมณ์ไปสนใจเฉินเจียฉินน้อยจะแสดงท่าทีแบบไหนออกมาแล้ว
เรื่องข้อสงสัยทั้งหมดหลังจากที่เธอแต่งงานเข้าไปในตระกูลเฉินนั้น ทั้งหมดสามารถอธิบายได้อย่างมีเหตุผลแล้ว
“เฉินเจียฉิน” ไม่เคยปรากฏตัวพร้อมกับเฉินถิงเซียวมาก่อน
“เฉินเจียฉิน” อาศัยอยู่ในห้องนอนใหญ่
สือเย่อยู่กับ”เฉินเจียฉิน”บ่อยมาก
ครั้งนั้นในร้านอาหาร ตอนที่สือเย่เห็นเธอล้มลงในอกของ”เฉินเจียฉิน”กลับแค่แสดงท่าทีตกใจ แล้วถอยออกไปทันที
แบล็คการ์ด กับรถหรูคันนั้น……
“เฉินเจียฉิน”เอาแต่ทำเรื่องไร้ยางอายกับเธอครั้งแล้วครั้งเล่า……
สามารถเข้าออกบ้านพักของเฉินถิงเซียวได้อย่างอิสระ หากไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของเฉินถิงเซียว “เฉินเจียฉิน” ถ้าอย่างนั้นก็คงมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเฉินถิงเซียวตัวจริงเท่านั้น!
ความคิดนี้ทำให้มู่น่อนน่อนตกใจจนสติหลุดลอยไปพักใหญ่
เธอนั่งต่อไปไม่ไหวแล้ว เลยลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปข้างนอกทันที
เฉินเจียฉินเห็นว่าเธอกำลังจะจากไป ก็รีบลุกขึ้นตามออกไป “เธอจะไปไหนน่ะ เธอ……”
เขายังไม่ทันได้พูดจบ เงาของมู่น่อนน่อนก็หายลับไปแล้ว
เขาลูบท้องที่อิ่มแปล้ของตัวเองอย่างพึงพอใจ เกาผมหยิกเล็กน้อยของตัวเองและพึมพำ “อย่างน้อยก็ให้ฉันยืมตังสักหน่อยแล้วค่อยไปสิ……”
……
มู่น่อนน่อนเรียกรถกลับไปที่บ้านพักทันที
เธอเข้าประตูไปอย่างร้อนรน พอเจอผู้คุ้มกันก็รีบถามทันที “เฉินเจียฉินอยู่ไหม !”
ผู้คุ้มกันอ้ำอึ้งไปทันที “……ไม่อยู่ครับ”
มู่น่อนน่อนไปที่ห้องสมุดและห้องนอน แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของ”เฉินเจียฉิน”เลย
เฉินถิงเซียว “ทั้งขี้เหร่และไร้มนุษยธรรม” นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนในเมืองหู้หยางต่างก็รู้กันดี ทุกคนต่างก็คิดกันแบบนั้น ขนาดมู่หวั่นขีเองก็ยังผลักมู่น่อนน่อนออกมาเพื่อหลบหนีจากการแต่งงานเข้าตระกูลเฉินเลย
ส่วนมู่น่อนน่อนเองก็เชื่อเหมือนกันว่าเฉินถิงเซียวคือผู้ชายที่ “ทั้งขี้เหร่และไร้มนุษยธรรม” และไม่ได้สงสัยเลยว่าข่าวลือนั้นเป็นจริงหรือเท็จ
ดังนั้นครั้งแรกที่เธอเห็น”เฉินเจียฉิน” ก็ไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าเขาจะเป็นเฉินถิงเซียวตัวจริง!
เธออุปาทานเอาเองว่าเฉินถิงเซียวนั้นไม่ใช่คนที่มีสุขภาพดี ถึงแม้ว่าช่วงสองสามเดือนนี้จะรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดถึงด้านนี้มาก่อนเลย
จนตอนที่เธอมาเจอกับ”เฉินเจียฉินน้อย”เข้า ถึงแม้ว่าเด็กคนนั้นจะดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เหมือนคนพูดโกหก
ตอนนี้เธอค่อยๆสงบลงแล้ว เลยไม่รีบร้อนที่จะเผชิญหน้ากับ”เฉินเจียฉิน”อีกแล้ว
เธอจะต้องยืนยันให้ได้ก่อนว่า”เฉินเจียฉิน”ใช่เฉินถิงเซียวตัวจริงหรือไม่ ถ้าหากใช่……
ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยๆเล่นเป็นเพื่อนเขาไปแล้วกัน
ตอนที่ 104 ฉันชื่อเฉินเจียฉิน แล้วเธอชื่ออะไร
พนักงานพวกนั้นพอเห็นมู่หวั่นขีเป็นแบบนี้ ก็เดินอ้อมหลีกเลี่ยงเธอ รีบออกไปด้านนอกทันที
หนึ่งในนั้นเหมือนว่าจะไม่ชอบหน้ามู่หวั่นขีมาตั้งนานแล้ว ตอนที่เธอจะเดินออกไป เธอก็แสร้งทำเป็นยกเท้าขึ้นและขวางอยู่หน้ามู่หวั่นขี
มู่หวั่นขีเห็นว่าพวกเธอกำลังจะออกไป เลยคิดจะเดินเข้าไปลากพวกเธอไว้ โดยไม่ได้สังเกตที่เท้า
และแล้ว เธอก็ล้มลงกับพื้นต่อหน้าสาธารณชนอย่างสวยงาม
มู่หวั่นขีล้มลงกับพื้นอย่างแรง เจ็บไปทั้งตัว พยายามพยุงตัวขึ้นสองครั้งแต่ก็ลุกไม่ขึ้น เลยกรีดร้องออกมาด้วยความโกรธ “ฉันจะไล่พวกเธอออกให้หมด !”
ไม่ได้ยินที่พวกเขาพูดเมื่อครู่หรือว่ากำลังคิดจะลาออกอยู่แล้ว เกรงว่าคงไม่รอให้เธอไล่พวกเขาออกหรอก
มู่น่อนน่อนกวาดตาไปมองทีหนึ่ง แล้วก็เหลือบไปเห็นมู่ลี่เหยียนออกมาจากลิฟต์แล้วเดินมาทางนี้ เลยรีบหมุนตัว แล้วไปพยุงมู่หวั่นขี “ทำไมพี่ถึงไม่ระวังตัวขนาดนี้ ล้มแบบนี้คงเจ็บสินะ บนพื้นมันเย็น เดี๋ยวฉันพยุงพี่ขึ้นเอง”
มู่หวั่นขีสะบัดมือเธอทิ้ง แล้วผลักเธอทีหนึ่ง แต่ไม่ได้รุนแรงนัก “ฉันไม่ต้องการความเห็นใจจอมปลอมของเธอ”
มู่น่อนน่อนแสร้งทำเป็นล้มลงกับพื้น จากนั้นก็ลุกขึ้นช้าๆ
มู่ลี่เหยียนเดินมาถึงแล้ว และถามเสียงขรึมว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“คุณพ่อคะ……” มู่หวั่นขีนั้นถูกมู่ลี่เหยียนตามใจจนโต ถูกคุมขังอยู่ที่สถานีตำรวจมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ในใจรู้สึกหดหู่จนแทบทนไม่ไหว ตอนนี้พอเห็นมู่ลี่เหยียนแค่เปิดปากน้ำตาก็ไหลออกมาทันที
เดิมทีช่วงหลายวันที่ผ่านมามู่ลี่เหยียนก็รู้สึกรำคาญใจมากพอแล้ว มู่หวั่นขีบอกว่าจะไปยั่วยวน”เฉินเจียฉิน”ให้เขาช่วยเหลือ สุดท้ายแล้วกลับทำให้ตัวเองต้องถูกส่งไปที่สถานีตำรวจ
ตอนนี้เขาถึงได้ตระหนักว่า จะพึ่งพามู่หวั่นขีให้มาช่วยเหลือบริษัทมู่ซื่อนั้นคงเป็นไปไม่ได้แล้ว บางทีมู่น่อนน่อนยังอาจจะมีประโยชน์มากกว่าเสียอีก
“ลุกขึ้นมาได้ตัวเองซะ ดูสภาพตัวเองสิ ดูไม่ได้เลย” มู่ลี่เหยียนมองเธอทีหนึ่ง ก่อนจะเบือนสายตาหนี เขารู้สึกขายหน้าเป็นอย่างมาก
มู่น่อนน่อนเห็นว่าเป็นเวลาเหมาะเลยยื่นมือจะไปพยุงมู่หวั่นขีอีกครั้ง แล้วพูดเอาอกเอาใจว่า “พี่คะ ลุกขึ้นเถอะค่ะ…..”
“ถอยไป อย่าเอามือสกปรกของเธอมาโดนตัวฉัน !” มู่หวั่นขีปัดมือเธอทิ้งทันที
มู่น่อนน่อนเลยถอนมือกลับไปเงียบๆ
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามือของใครสกปรกกว่ากันแน่
ตอนนี้มู่ลี่เหยียนจำเป็นต้องพึ่งพามู่น่อนน่อนเพื่อช่วยเหลือบริษัทมู่ซื่อ เลยต้องรีบเอาอกเอาใจเธอ พอได้ยินคำพูดของมู่หวั่นขี ก็รีบเปิดปากตำหนิเธอทันที “ทำไมเธอถึงพูดจาแบบนี้กับน้องสาว !”
“คุณพ่อคะ !” มู่หวั่นขีคลานขึ้นมาจากพื้นแล้ว “คุณพ่อเป็นอะไรไปคะ”
เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้มู่ลี่เหยียนเองก็ไม่ได้ชอบมู่น่อนน่อน แต่ว่าตอนนี้เขากลับด่าเธอเพื่อมู่น่อนน่อน
“เอาเถอะ กลับบ้านก่อนแล้วกัน” มู่ลี่เหยียนไม่อยากพูดอะไรมากที่นี่
เมื่อก่อนเขารู้สึกว่าจะต้องเอาอกเอาใจลูกสาว ไม่ว่าเธอยากจะทำอะไรก็ให้ทำ แต่ช่วงนี้พอเกิดเรื่องขึ้นไม่หยุดหย่อน ทำให้เขารู้สึกว่ามู่หวั่นขีถูกตามใจเสียจนเหลิงมากแล้ว
มู่น่อนน่อนเอ่ยปากพูดขึ้น “ถ้างั้นหนูเองก็ขอตัวกลับก่อนนะคะ”
มู่ลี่เหยียนหันไปมองทางมู่น่อนน่อน แล้วก็รีบเปลี่ยนสีหน้าให้อ่อนโยนขึ้นทันที “ได้ เธอกลับไปก่อนเถอะ กลับไปคุยกับเฉินถิงเซียวให้ดีๆล่ะ”
“ค่ะ”
พอมู่น่อนน่อนออกมาจากบริษัทมู่ซื่อ สีหน้าก็เริ่มหมองลง และเริ่มฉายแววเหน็ดเหนื่อยออกมาทางหว่างคิ้ว
ถ้าหากมู่ลี่เหยียนจะใจร้ายกับเธอให้ได้ตลอดก็คงไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้พอจำเป็นกลับอยากจะใช้เธอเป็นเครื่องมือ เลยกลับยิ่งทำให้รู้สึกปวดร้าวในใจมากกว่าเดิม
เมื่อมู่น่อนน่อนกลับถึงบ้าน พอเดินเข้าประตูไปก็พบกับ”เฉินเจียฉิน”ที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก
มู่น่อนน่อนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “คุณกลับมาแล้วเหรอ”
“อืม” เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมองเธอทีหนึ่ง พอเห็นว่าสีหน้าของเธอไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็เริ่มรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา
ตอนนี้มู่น่อนน่อนไม่มีความรู้สึกอะไรเลย “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปทำอาหาร”
พอเธอก้าวขาเข้าไปในห้องครัว ทางด้านหลังสือเย่ก็เอาเอกสารมาส่งให้ที่บ้านพัก
พอเห็นเฉินถิงเซียวอยู่ที่โซฟา สือเย่ก็เอ่ยปากถามเขาว่า “คุณผู้ชายครับ ผมเอาเอกสารพวกนี้ไปวางที่ห้องสมุดให้นะครับ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร สือเย่ก็เลยตัดสินใจเองแล้วเอาเอกสารขึ้นไปด้านบน
แต่ว่าตอนนั้นเองเฉินถิงเซียวกลับเปิดปากพูดอย่างแผ่วเบาว่า “สือเย่ ถ้าคืนไหนที่นายไม่กลับบ้าน เมียนายจะไม่โมโหใส่นายบ้างเลยเหรอ”
พอสือเย่ได้ยินอย่างนั้น ก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนพูดว่า “คุณผู้ชายครับ ผมหย่าแล้วครับ”
ตอนนั้นเองเฉินถิงเซียวถึงได้เงยหน้าขึ้นไปมองเขา “ตั้งแต่เมื่อไหร่”
สือเย่กับภรรยานั้นเข้ากันได้ดีพอสมควรเลย เมื่อก่อนทุกครั้งที่ไปทำงานต่างประเทศจะต้องซื้อของมากมายกลับมาฝากภรรยาของเขา
“ครึ่งปีก่อนครับ” เห็นได้ชัดว่าสือเย่ไม่มีทางพูดมากในเรื่องแบบนี้เด็ดขาด
เขานึกถึงคำที่กู้จือหยั่นพูดก่อนหน้านี้ ว่าเมื่อคืนคุณผู้ชายไม่ได้กลับบ้าน บวกกับคำถามของเฉินถิงเซียว ก็เลยเข้าใจได้ในทันที
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดเตือนคุณผู้ชายของตัวเอง “คุณผู้ชายครับ ตอนนี้ฐานะของคุณคือ “คุณชายเจีย” หากจะมีคืนไหนที่“คุณชายเจีย”ไม่กลับบ้าน ก็คงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณหญิงน้อยครับ”
เขาเพิ่งจะพูดจบ ก็เห็นว่าสีหน้าของเฉินถิงเซียวหมองลงทันที
สือเย่ก้มหน้า ที่เขาพูดนั้นคือความจริง
เฉินถิงเซียวสีหน้าบูดบึ้ง แล้วมองเขาอย่างเย็นชา “นายไปได้แล้ว”
ไม่ยอมให้คนอื่นพูดความจริงอย่างนั้นหรือ
ตอนนี้เฉินถิงเซียวนั้นทนฟังคำพูดพวกนี้ไม่ได้จริงๆ
ขณะทานข้าว มู่น่อนน่อนก็พบว่า”เฉินเจียฉิน”แทบไม่ขยับตะเกียบเลย เอาแต่จ้องเธออยู่อย่างนั้น
มู่น่อนน่อนจับหน้าตัวเองดู “คุณเป็นอะไรไปเหรอ”
ปรากฏว่า”เฉินเจียฉิน”กลับกวาดตามองเธอด้วยสายตาเย็นชาทีหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปชั้นบน ขนาดข้าวก็ยังไม่ทาน
มู่น่อนน่อนทำหน้างงงวย
พอเธอทานข้าวเสร็จ จู่ๆก็มีสายจากคุณนายเจ้าของบ้านโทรเข้ามา
เจ้าของบ้านเป็นหญิงสาววัยกลางคน น้ำเสียงหยาบกระด้างเวลาพูด “ถึงเวลาจ่ายค่าน้ำค่าไฟแล้ว เธอจะมาเมื่อไหร่”
“เดือนนี้ฉันไม่ได้อยู่ที่นั่นนะคะ ทำไมถึงมีค่าน้ำค่าไฟล่ะ” ช่วงนี้เธอพักอยู่ที่นี่ บ้านนั้นเธอเช่าไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว หากไม่ครบกำหนดก็ไม่สามารถคืนได้ เลยปล่อยให้ว่างมาตลอด
พอเจ้าของบ้านได้ฟังคำพูดของเธอแล้ว ก็รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา “พูดจาไร้สาระ เมื่อคืนเธอยังเปิดไฟที่บ้านเลย !”
มู่น่อนน่อนรู้สึกตกใจขึ้นมา หรือว่าจะมีขโมยขึ้นบ้าน
เธอไม่โต้เถียงกับเจ้าของบ้านต่อแล้ว พูดเพียงว่า “ได้ค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันเข้าไป”
เช้าตรู่ของวันที่สอง เธอก็เลยลางานเพื่อตรงไปที่บ้านเช่าของตัวเอง
พอถึงหน้าประตู เธอก็แอบแนบประตูฟังเสียงก่อนครู่หนึ่ง พอพบว่าด้านในไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ถึงได้เปิดประตูเดินเข้าไปด้านใน
พอเข้าไปแล้วเธอก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปเลย เพราะด้านในเละเทะมาก
บนพื้นเต็มไปด้วยซองขนมและกล่องบะหมี่สำเร็จรูปมากมาย บนโต๊ะยังมีเครื่องเล่นเกมวางอยู่อีกด้วย
นี่ไม่มีทางเป็นฝีมือโจรแน่ คงมีอะไรแปลกประหลาดบางอย่างแอบลักลอบเข้ามา บนพื้นแทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้เธอได้วางเท้าแล้ว
ในขณะนั้นเอง ด้านหลังของเธอก็มีเสียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น “เธอเป็นใคร ?”
มู่น่อนน่อนหันหลังกลับไป แล้วก็พบกับเด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าประตู ผมหยิกน้อยๆนั้นดูยุ่งเหยิง แต่เนื้อตัวกลับสะอาดสะอ้าน แถมยังดูดี และเนื่องจากอยู่กับ”เฉินเจียฉิน”มาเป็นเวลานาน เธอก็เลยรู้ได้ในทันทีที่เห็นว่าเสื้อผ้าบนตัวของหนุ่มน้อยนั้นเป็นยี่ห้อเดียวกับที่”เฉินเจียฉิน”สวมใส่อยู่เป็นประจำ
“ฉันเป็นผู้เช่าของบ้านหลังนี่ นายล่ะเป็นใคร” เด็กหนุ่มดูแล้วคงจะอายุราวๆสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น มู่น่อนน่อนเลยลดระดับความระแวงลง
“เหรอ” เด็กหนุ่มเดินเข้ามา แล้วก็วางของในมือลงบนโต๊ะ จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟา ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นราวกับกำลังอยู่ในบ้านของตัวเอง
แล้วเหมือนว่าจะรู้สึกได้ถึงสายตาของมู่น่อนน่อน เขาเลยเงยหน้าขึ้นมา “เธอสวยดีนะ มีแฟนหรือยังล่ะ”
“ฉัน……” มู่น่อนน่อนกำลังจะเปิดปากพูด แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าสิ่งที่ควรทำในตอนนี้ก็คือต้องรู้ให้ได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือใคร
มู่น่อนน่อนเห็นว่าเขาแต่งตัวดูดี ก็คาดเดาเอาว่าเขาคงเป็นเด็กที่หนีออกจากบ้าน เลยถามอย่างเป็นห่วงว่า “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ พ่อแม่ของนายล่ะ”
เด็กหนุ่มเมินเฉยต่อคำพูดของเธอ “ฉันชื่อเฉินเจียฉิน แล้วเธอล่ะชื่ออะไร”
“? ? ?” อะไรนะ ?
เฉินเจียฉิน ?
พอเห็นว่ามู่น่อนน่อนมีสีหน้าตื่นตกใจ เด็กหนุ่มก็แสดงท่าทางทุกข์ใจออกมา “เฮ้อ ฉันกับตระกูลเฉินของเมืองหู้หยางก็เกี่ยวข้องกันนิดหน่อยแหละ แต่เธอก็ไม่จำเป็นต้องตกใจขนาดนั้นเสียหน่อย”
ตอนที่ 103 อย่าเที่ยวกัดคนไปทั่ว
พอมู่น่อนน่อนไปถึงบริษัท สิ่งแรกที่ทำก็คือไปหามู่หวั่นขี
แต่ว่า ตอนที่เธอไปถึง ที่ห้องทำงานของมู่หวั่นขีกลับไม่มีคนอยู่
มู่น่อนน่อนถามผู้ช่วยของเขา “ผู้จัดการมู่ยังไม่มาอีกเหรอ”
ผู้ช่วยส่ายหน้า
ความรู้สึกของมู่น่อนน่อนเลยยิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้น
จะพูดอย่างไรดี ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นระหว่าง”เฉินเจียฉิน”กับมู่หวั่นขีเข้าจริงๆ เธอก็คงจะรู้สึกเหมือนดอกไม้สดที่ปักอยู่บนอึวัว
“เฉินเจียฉิน”ดูเป็นคนหยิ่งผยอง แต่หลังจากผ่านคืนวันมาด้วยกันเป็นเวลาสองเดือน มู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าชีวิตส่วนตัวของเขาค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ได้วุ่นวายเหมือนมู่หวั่นขี
……
เพราะเรื่องโรงงานที่ถูกเปิดโปงของบริษัทมู่ซื่อ ชื่อเสียงทางการตลาดก็เลยตกฮวบ ความคิดเห็นบนโลกอินเทอร์เน็ตเองก็ร้อนแรงมาก พอพูดถึงบริษัทมู่ซื่อก็จะมีแต่เสียงก่นด่า
หลังจากที่ถูกเปิดโปงจนถึงตอนนี้ เวลาก็ผ่านไปสี่สิบแปดชั่วโมงแล้ว ถ้าจะไม่คิดหาวิธีแก้ไข เรื่องราวก็มีแต่จะแย่ลงกว่าเดิม
ถึงจะให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ออกหน้าก็คงกลบเรื่องนี้ไม่ได้ อาจเป็นเพราะมีการเคลื่อนไหวมากเกินไป ถึงบริษัทจะเดินหน้าเจรจากับทางแพลตฟอร์ม แต่แพลตฟอร์มดังกล่าวก็ไม่ได้รับปากว่าจะรับเงินเพื่อปราบปรามประเด็นร้อนของบริษัทมู่ซื่อ
ตอนนี้บริษัทมู่ซื่อกำลังตกอยู่ในสถานะถูกเพิกเฉย
ตอนช่วงเที่ยงวัน มู่น่อนน่อนได้ยินข่าวว่าบริษัทมู่ซื่อมีการประกาศว่าจะมีการแถลงข่าวในช่วงบ่าย
แต่มู่หวั่นขีกลับไม่มาที่บริษัท กลับเป็นมู่ลี่เหยียนที่โทรมาเรียกให้เธอไปที่ห้องทำงานของเขา
หลายวันที่ผ่านมามู่ลี่เหยียนอยู่อย่างวิตกกังวลใจ เลยทำให้เขาดูแก่ขึ้นเป็นสิบปี ผมขาวเองก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย
พอเขาเห็นมู่น่อนน่อน ก็รีบเข้าไปต้อนรับ “น่อนน่อน ฉันส่งคนออกไปหาแบล็คการ์ดมาให้เธอแล้ว บริษัทตัดสินใจจัดงานแถลงข่าวในช่วงบ่าย จากนั้นเธอก็ขอให้เฉินถิงเซียวออกหน้าช่วยพวกเราสักหน่อย ถ้าผ่านช่วงเวลานี้ไปแล้ว เรื่องนี้ก็จะถูกแก้ไขอย่างราบรื่นเอง”
มู่น่อนน่อนไม่สนใจคำพูดช่วงท้ายของเขา “แล้วหาได้หรือยังคะ”
ทั้งๆที่แบล็คการ์ดก็อยู่ในมือของมู่ลี่เหยียน แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ยอมมอบมันออกมา แถมยังหลอกเธอว่ากำลังใช้ให้คนไปตามหา เห็นได้ชัดว่าต้องการจับหมาป่าขาวด้วยมือเปล่า
แน่นอนว่ามู่น่อนน่อนไม่มีทางยอมตกหลุมพรางแน่ๆ
“ก็กำลังหาอยู่ไง น่าจะหาได้แหละ สิ่งสำคัญคือการแก้ปัญหาความจำเป็นเร่งด่วนของบริษัทมู่ซื่อก่อน” มู่ลี่เหยียนสีหน้าหมองลง ไม่ค่อยพอใจปฏิกิริยาตอบรับของมู่น่อนน่อนสักเท่าไหร่
มู่น่อนน่อนไม่มีความอดทนมากพอที่จะใช้กับมู่ลี่เหยียน เธอยิ้มบางๆ “แบล็คการ์ดใบนั้นเป็นการ์ดสำรองของการ์ดที่อยู่ในมือของเฉินถิงเซียว เขารู้ทุกการใช้จ่ายอยู่แล้ว เมื่อคืนเขายังถามหนูเลยว่าทำไมช่วงนี้ถึงใช้เงินซื้อของเยอะแยะขนาดนั้น บอกว่าให้หนูคืนแบล็คการ์ดให้เขา ไม่อย่างนั้น เขาจะแจ้งให้ทางธนาคารอายัดบัตร”
เมื่อต้องประเชิญหน้ากับคนแซ่มู่ ตอนนี้มู่น่อนน่อนก็เลยพูดคำโกหกได้อย่างลื่นไหลแล้ว
มู่ลี่เหยียนหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที ช่วงนี้พวกเขาใช้เงินในบัตรใบนั้นตลอดจริงๆ ถ้าหากเฉินถิงเซียวคิดจะตรวจสอบขึ้นมา แล้วตรวจสอบจนถึงที่สุดแล้ว ก็คงตามมาถึงตัวเขาได้อย่างง่ายดาย
ถึงแม้ว่ามู่น่อนน่อนจะยังถูกปิดไว้ในกะลา แต่เฉินถิงเซียวคงไม่ได้หลอกง่ายขนาดนั้น
และเรื่องที่อยู่ตรงหน้า ก็ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของทรัพย์สินอีกต่อไปแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการแก้ปัญหาของโรงงานบริษัทมู่ซื่อ
ก่อนหน้านี้เขาเองก็ร้อนรนมาก ถูกคำพูดของมู่หวั่นขีทำให้ไขว้เขว เผลอใจ ทำให้ลืมว่ายังมีด่านของเฉินถิงเซียวอยู่อีก
ในที่สุดตอนนี้เขาก็เริ่มกลัวขึ้นมาแล้ว
“เดี๋ยวฉันจะสั่งให้คนหาแบล็คการ์ดไปคืนให้เธอแน่นอน”
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ”
หลังจากที่มู่น่อนน่อนออกไปแล้ว เพียงไม่นาน มู่ลี่เหยียนก็โทรหาเธอ บอกเธอว่าหาแบล็คการ์ดเจอแล้ว
จะแสดงละครก็ต้องแสดงให้จบ มู่น่อนน่อนทำสีหน้าตื้นตันใจ จากนั้นก็ถามอีกว่า “ทำไมถึงหาเจอได้ล่ะคะ แล้วโจรลักพาตัวสองคนนั้นล่ะ”
มู่ลี่เหยียนพูดอย่างคลุมเครือว่า “ถูกตำรวจจับไปแล้ว”
“ฉันจะขอร้องเฉินถิงเซียวเป็นอย่างดีเองค่ะ เรื่องของบริษัทมู่ซื่อก็คือเรื่องของหนูเหมือนกัน” ถ้าใช่สิแปลก
มู่ลี่เหยียนเชื่อในคำนั้น เลยพูดด้วยสีหน้าปลาบปลื้มใจว่า “ทุกอย่างต้องพึ่งเธอแล้ว”
……
ช่วงบ่าย บริษัทมู่ซื่อจัดงานแถลงข่าว
มู่น่อนน่อนหลบซ่อนอยู่ในห้องน้ำชาแล้วดูการถ่ายทอดสดงานแถลงข่าว
“บริษัทมู่ซื่อเป็นบริษัทเก่าแก่ของเมืองหู้หยาง ดำเนินธุรกิจมานานหลายปี ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคอย่างมากมาย พอถูกตรวจสอบพบเรื่องแบบนี้ ในฐานะของประธานบริษัทมู่ซื่อแล้ว ตอนนี้คุณมีอะไรที่อยากจะพูดบ้างไหมคะ”
มู่ลี่เหยียนสีหน้าซีดเซียว ทำหน้าสำนึกผิด “นี่คือความประมาทของผมเอง เราล้มเหลวในการแบกรับความไว้วางใจของทุกคน……”
อาจจะเป็นเพราะมู่ลี่เหยียนเตรียมตัวมาก่อนล่วงหน้าแล้ว ครึ่งแรกของการแถลงข่าวเลยเป็นไปตามปกติ
ส่วนช่วงครึ่งหลัง จู่ๆก็มีนักข่าวถามขึ้นมาว่า “มีบางคนบนอินเทอร์เน็ตกลาวว่าบริษัทมู่ซื่อเป็นบ่อ โคลน ปลอมแปลงผลิตภัณฑ์ ประธานคนปัจจุบันไม่มีความสามารถเท่าคุณพ่อของคุณ ส่วนลูกสาวทั้งสองคนของคุณ คนหนึ่งชีวิตส่วนตัววุ่นวายคบมั่วไปทุกที่ อีกคนก็ชอบกุข่าวมั่ว แล้วยังมีลูกชายอีกคนของคุณที่อยู่ที่ต่างประเทศ ก็ชอบซิ่งรถ……เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ คุณมีอะไรที่อยากจะพูดไหมคะ”
“พรวด……”
น้ำที่เพิ่งจะเข้าไปในปากของมู่น่อนน่อน ถูกพ่นออกมาทั้งอย่างนั้น
ชอบกุข่าวมั่ว พูดถึงเธออย่างนั้นหรือ
เธอนึกขึ้นมาได้แล้ว ครั้งที่แล้วเพราะเธอถูกพวกปาปารัสซี่แอบถ่ายรูป มู่ลี่เหยียนเลยให้เธอยอมรับกับสื่อว่าตัวเองกุเรื่องขึ้นเอง……
นักข่าวพวกนี้ช่างรอบรู้ทั่วถึงกันเสียจริงๆ
ภายในถ่ายทอดสด สีหน้าของมู่ลี่เหยียนเปลี่ยนเป็นย่ำแย่มากไปในทันที จนสามารถรับรู้ได้ถึงความลำบากใจของเขาผ่านหน้าจอ
คำที่ว่าทำเองเจ็บเอง ก็คงเป็นแบบมู่ลี่เหยียนในตอนนี้สินะ
ส่วนเรื่องที่กุข่าวหลอกลวง แค่เธอมีจิตสำนึกที่ชัดเจนพอก็พอแล้ว
……
จนตอนที่เลิกงาน ในที่สุดมู่น่อนน่อนก็ได้เจอกับมู่หวั่นขี
สีหน้าของมู่หวั่นขีย่ำแย่จนน่าตกใจ ตอนที่เห็นหน้ามู่น่อนน่อน เธอก็ถลึงตาใส่มู่น่อนน่อนทีหนึ่งก่อนพูดว่า “นังแพศยา !”
“ทุกคนต่างก็รู้แล้วว่าบริษัทมู่ซื่อมีคุณหนูรองที่ชีวิตส่วนตัวยุ่งเหยิงและมีความสัมพันธ์มั่วซั่วไปทุกหนทุกแห่ง แล้วใครกันที่แพศยา ?” มู่น่อนน่อนหัวเราะเสียงเย็นแล้วพูดขึ้น
มู่หวั่นขีถูกคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจด้วยข้อหา”คุกคามทางเพศ”มาตลอดทั้งคืน และเพิ่งจะถูกปล่อยตัวออกมาเมื่อครู่นี้ เธอเลยเอาความโกรธทั้งหมดที่สั่งสมมาไปลงกับมู่น่อนน่อนทั้งหมด
“เธอจงใจใช่ไหม เธอจะต้องบอกเฉินเจียฉินไว้ก่อนแล้วแน่ๆว่าฉันจะไปทำอะไร ดังนั้นเขาก็เลยทำให้ฉันอับอายแบบนั้น!” ในแววตาของมู่หวั่นขีเต็มไปค้วยความเกลียดชัง จนแทบอยากจะฆ่าเธอให้ตาย
ถึงแม้มู่น่อนน่อนจะไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไร แต่เธอก็ฟังจากคำพูดของมู่หวั่นขีออก ว่าเธอยั่วยวน”เฉินเจียฉิน”ไม่สำเร็จ แถมยังทำให้เธอต้องอับอายขายหน้าด้วย
แต่ว่า ขนาดเรื่องนี้มู่หวั่นขีก็ยังนับเป็นความผิดของเธอด้วยหรือ
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปใกล้เธอ แล้วพูดอย่างแผ่วเบาข้างหูเธอว่า “บ้าไปแล้วเหรอ ถ้าบ้าก็รีบกินยานะ อย่าเที่ยวกัดคนไปทั่ว”
ฉากนี้ถ้าอยู่ในสายตาของคนรอบข้าง คงดูเหมือนมู่น่อนน่อนกำลังพูดกับเธอด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“มู่น่อนน่อน นังคนแพศยา!” มู่หวั่นขีเดือดดาลขึ้นมาทันที ง้างมือขึ้นเตรียมจะตบมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเตรียมตัวถอยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เลยทำให้มือของเธอร่วงกลางอากาศ
ช่วงเวลาเลิกงาน พนักงานต่างก็สัญจรผ่านไปมา ฉากนี้พอตกอยู่ในสายตาของพนักงานที่เดินผ่าน ก็เลยกลายเป็นว่ามู่หวั่นขีกำลังรังแกมู่น่อนน่อน
คนในบริษัท ต่างก็ไม่ชอบหน้ามู่หวั่นขีมานานแล้ว
มีคนเริ่มคุยกันเสียงเบาว่า “ขนาดนี้แล้วหล่อนยังกล้ามาที่บริษัทอีก……”
“แล้วไม่ใช่หรือไง ถ้าหล่อนยังเป็นผู้จัดการแผนกต่อ ฉันก็จะลาออก แค่เห็นหน้าหล่อนฉันก็รำคาญแล้ว”
“สัญญาของฉันก็ครบกำหนดพอดีเลย”
มู่หวั่นขีเองก็ได้ยินคำพูดของเธอแล้ว เลยเดินเข้าไปหยุดพวกเธอไว้ด้วยท่าทางดุร้าย “พวกเธอหมายความว่ายังไง ที่นี่เป็นบริษัทของครอบครัวฉัน ทำไมฉันจะไม่กล้ามา
ตอนที่ 102 ปล่อยให้เธอตื่นเต้นไปก่อน
คลับเฮาส์ร้านอาหารจีนติ่ง
เฉินถิงเซียวเดินออกมาจากห้องส่วนตัว หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาสือเย่
“ไปรับแล้วใช่ไหม”
สือเย่ “ส่งคุณหญิงน้อยกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้วครับ”
“อืม”
เฉินถิงเซียวกดวางสาย กำลังเตรียมจะไปห้องน้ำ แต่พอหันหลังไป ก็ไปชนเข้ากับพนักงานที่ถือข้าวแกงกะหรี่เดินมา
น้ำแกงของข้าวแกงกะหรี่หกใส่เสื้อผ้าของเฉินถิงเซียว
พอพนักงานเห็นอย่างนั้น ก็ตกใจจนอึ้งไป แล้วรีบขอโทษด้วยตัวที่สั่นเทา “ขอโทษค่ะคุณผู้ชาย ขอโทษค่ะ……”
คิ้วของเฉินถิงเซียวขมวดเป็นปมแน่น แต่ก็ไม่ได้ด่าอะไรพนักงาน หันหลังเดินจากไปทันที
ในฐานะเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังร้านอาหารจีนติ่ง เฉินถิงเซียวก็เลยเผื่อห้องที่นี่ไว้ห้องหนึ่ง เมื่อก่อนที่ยังไม่แต่งงาน ตอนที่มาจัดการธุระที่นี่ บางทีถ้าดึกมากเขาก็จะค้างที่นี่เลย
แต่ว่า หลังจากแต่งงานแล้ว เขาก็แทบไม่เคยมาค้างที่นี่อีกเลย
ในห้องมีทั้งอุปกรณ์อาบน้ำและเสื้อผ้าให้เปลี่ยน
เขาเข้าไปในห้อง ถอดเสื้อนอกออก แล้วหันไปค้นเสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้า
สายตาของเขาไปตกอยู่ที่เสื้อเชิ้ตสีกรมท่าตัวหนึ่ง กำลังเตรียมจะยื่นมือไปหยิบ แต่กลับรู้สึกได้ว่าด้านหลังมีคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วรีบหันไปดูด้านหลัง ก่อนจะยื่นมือไปคว้าที่ต้นคอของคนที่อยู่ด้านหลัง
“ใคร !”
สัมผัสที่ละเอียดอ่อนภายใต้ฝ่ามือ พิสูจน์ว่าเป็นผู้หญิง
เฉินถิงเซียวก้มหน้าลง แล้วก็พบเข้ากับใบหน้าอันคุ้นเคย
มู่หวั่นขีสวมเพียงชุดเดรสสายเดี่ยว แต่งหน้าอ่อนๆ ถึงแม้ว่าจะถูกเขาบีบคออย่างรุนแรง ก็อดทนไว้ไม่เปลี่ยนแปลงสีหน้า แถมยังมองเขาด้วยสายตาเย้ายวน “คุณเฉินไม่รู้เหรอคะว่าผู้หญิงทุกคนต่างก็อ่อนแอ และต้องให้ความรักใคร่เอ็นดูนะคะ รุนแรงขนาดนี้ ทำเอาฉันแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว……”
พอเธอพูดจบ ยังครางออกมาอย่างยั่วยวนครั้งหนึ่งด้วย
มู่หวั่นขีคลุกคลีอยู่กับผู้ชายหลากหลายรูปแบบมาเป็นเวลานาน เลยรู้จักวิธีการรับมือเป็นอย่างดี
แต่ว่า วิธีการของเธอพอใช้กับ”เฉินเจียฉิน”แล้วก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ผล
เพราะวินาทีต่อมา “เฉินเจียฉิน”ก็ลากเธอโยนออกไปนอกห้องทันที แถมยังทำสีหน้ารังเกียจหล่อนมาก แถมยังพูดด้วยสีหน้ามืดมนว่า “มาทางไหนก็ไสหัวไปทางนั้น”
ครั้งนี้มู่หวั่นขีมุ่งมั่นจะเอาชนะอย่างเต็มที่ เลยไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เธอคลานขึ้นมาจากพื้น ยังอยากจะเข้าไปใกล้”เฉินเจียฉิน”อีกครั้ง
แต่”เฉินเจียฉิน”เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว เลยเบี่ยงหลบไปอีกด้านอย่างง่ายดาย จนมู่หวั่นขีล้มลงกับพื้น
เฉินถิงเซียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปที่ห้องรักษาความปลอดภัย “ที่นี่มีผู้หญิงบ้าคนหนึ่ง รีบขึ้นมาลากตัวออกไป”
พอเขาพูดจบ ก็ปิดประตูห้อง แล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่ามู่หวั่นขีไม่มีทางยอมถูกลากออกไปแบบนี้แน่ ตอนที่พวกยาวขึ้นมานั้น เธอก็ขัดขึ้นอย่างสุดแรง “เขาเป็นแฟนของฉัน พวกนายรีบปล่อยฉันเลยนะ !”
เฉินถิงเซียวเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วออกมาจากห้อง เขามองไปทางยามรักษาความปลอดภัยด้วยสายตาเย็นชา “ทำไมผู้หญิงคนนี้ยังอยู่ที่นี่อีก เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ ร้านอาหารจีนติ่งคงต้องเปลี่ยนยามชุดใหม่แล้ว”
ถึงแม้ยามจะไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวก็คือเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังของร้านอาหารจีนติ่ง แต่ก็รู้ว่าคนที่สามารถเปิดห้องที่ร้านอาหารจีนติ่งในระยะยาวนั้น จะต้องเป็นเศรษฐีหรือชนชั้นสูงแน่นอน แขกระดับนี้สามารถออกความคิดเห็นกับผู้ดูแลได้ ว่าให้ไล่พวกเขาออก
ยามเองก็ไม่ใจอ่อนอีกต่อไป รีบลากมู่หวั่นขีออกไปทันที ก่อนไปก็ยังไม่ลืมที่จะโค้งคำนับขอโทษเฉินถิงเซียวด้วย “ต้องขออภัยด้วยครับ คุณผู้ชาย ที่ทำให้คุณต้องตกใจ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร ตอนที่ยามกำลังจะออกไป จู่ๆก็ถูกเขาเรียกไว้อีกครั้ง “ส่งไปที่สถานีตำรวจเลย บอกว่าหล่อนมาตามก่อกวนฉัน”
ยาม “……”
ทำงานที่ร้านอาหารจีนติ่งมาตั้งหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นแขกผู้ชายบอกว่าผู้หญิงคนหนึ่งไล่ล่าเขาได้หน้าตาเฉยแบบนี้……
แถมแขกท่านชายผู้มีเกียรติท่านนี้ยังพูดได้อย่างสมเหตุสมผลอีกด้วย
“ได้ครับ……ผมเข้าใจแล้ว”
มู่หวั่นขีไม่เคยถูกผู้ชายมองข้ามและดูถูกขนาดนี้มาก่อน เธอเลยลากมู่น่อนน่อนลงน้ำด้วยความไม่พอใจ “มู่น่อนน่อนเป็นคนบอกฉันเองว่าคุณจะมาที่นี่คืนนี้ เธอให้ฉันมาดักรอคุณ คุณดีกับเธอขนาดนั้น แต่เธอกลับไม่ได้จริงจังกับคุณเลย……”
ยามรีบปิดปากของมู่หวั่นขีทันที แล้วรีบลากตัวเธอออกไป
เฉินถิงเซียวหรี่ตาเล็กน้อยด้วยสีหน้ามืดมน แล้วพูดอย่างแผ่วเบาว่า “มู่น่อนน่อน……”
พอกลับไปที่ห้องส่วนตัว กู้จือหยั่นเห็นว่าเขามีสีหน้าย่ำแย่ เลยเอ่ยถามเขาว่า “เกิดอะไรขึ้น ?”
เฉินถิงเซียวพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ในคลับเฮาส์ควรจะเปลี่ยนคนชุดใหม่ได้แล้ว”
พนักงานที่ชนเขาก่อนหน้านี้ จะต้องถูกมู่หวั่นขีใช้เงินซื้อตัวแน่ ส่วนที่มู่หวั่นขีรู้เรื่องห้องของเขาได้ คิดว่าก็คงจะหาวิธีใช้เงินซื้อทางผ่านเป็นแน่
จุดเด่นของคลับเฮาส์ร้านอาหารจีนติ่งก็คือให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว แต่ตอนนี้ดูท่าแล้ว พนักงานหลายคนภายในคลับเฮาส์คงสูญเสียจิตสำนึกขั้นพื้นฐานในสายอาชีพไปแล้ว จึงจำเป็นต้องจัดระเบียบให้เรียบร้อย
หลังจากเสร็จสิ้นการร่วมรับประทานอาหาร กู้จือหยั่นก็พบว่าเฉินถิงเซียวยังนั่งนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน
ช่วงนี้พอเลิกงานเฉินถิงเซียวก็จะรีบตรงกลับบ้านเลยไม่ใช่หรือ ถึงแม้จะมีเรื่องอย่างอื่นที่จำเป็นต้องไปทำ เขาก็จะสะสางให้เสร็จแล้วตรงกลับบ้านเลย
กู้จือหยั่นรู้สึกงงงวยเล็กน้อย “ทำไมนายยังไม่ไปอีก”
“นายไปก่อนเถอะ วันนี้ฉันไม่กลับ” พอเฉินถิงเซียวพูดจบ ก็ลุกขึ้นยืน หยิบเสื้อคลุมที่อยู่บนเก้าอี้แล้วเดินออกไปด้านนอกทันที
กู้จือหยั่นเกาศีรษะตัวเอง จากนั้นก็พูดเดากับตัวเองว่า “ทะเลาะกันงั้นเหรอ”
……
หลังจากมู่น่อนน่อนทานข้าวเสร็จ ก็กลับห้องตัวเองไปนอน แต่พลิกตัวไปมาก็นอนไม่หลับ
ถึงแม้จะยืนยันมาแล้วว่ามู่หวั่นขีไม่ได้ไปที่ร้านอาหารจีนติ่ง แต่”เฉินเจียฉิน”ไม่กลับมา เธอก็เลยยังวางใจไม่ได้
เธอเลยเอาแต่คอยสังเกตว่าจะมีเสียงของรถยนต์หรือไม่
แต่พอถึงเวลาเที่ยงคืนแล้ว เธอก็ยังไม่ได้ยินเสียงของรถยนต์เลย
หรือก็คือ “เฉินเจียฉิน”ยังไม่กลับมา
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด อยากจะโทรไปหาเขา นิ้วมือเลื่อนไปมาบนหน้าจออย่างลังเล สุดท้ายก็ไม่ได้กดโทรออก
พอเธอคิดถึงท่าทางของ”เฉินเจียฉิน”แล้วก็ยิ่งรู้สึกผิดอยู่ในใจ
จนถึงช่วงกลางดึก เธอเลยทนไม่ไหวเผลอหลับไป
วันรุ่งขึ้น
มู่น่อนน่อนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน แต่พอรุ่งเช้ากลับมีชีวิตชีวาราวกับผีเข้า
เธอลงไปชั้นล่าง แต่ก็อดไม่ได้ต้องไปถามผู้คุ้มกันหน้าประตูว่า “เมื่อคืนเฉินเจียฉินกลับมาหรือเปล่า”
ผู้คุ้มกันส่ายหน้า “ไม่ครับ”
มู่น่อนน่อนใจกระตุกเล็กน้อย
ระหว่างทางที่ไปทำงาน เธอก็เค้นความกล้า หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรไปหา”เฉินเจียฉิน”
โทรศัพท์ดังอยู่หลายทีกว่า “เฉินเจียฉิน”จะกดรับสาย
“มีเรื่องอะไร ?” น้ำเสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อย ราวกับคนกำลังตื่น
ดูจากเวลาปกติที่”เฉินเจียฉิน”ตื่นนอนแล้ว มู่น่อนน่อนก็รู้ว่าเขาไม่ได้มีนิสัยชอบนอนตื่นสาย
“ไม่ ไม่มีอะไร แค่กดผิดโดยไม่ระวัง คุณนอนต่อเถอะ……” มู่น่อนน่อนรีบกดวางสาย
แล้วก็เม้มปากครุ่นคิด คงไม่ได้ถูกมู่หวั่นขีฉวยโอกาสแล้วหรอกใช่ไหม
พอคิดว่าตอนนี้”เฉินเจียฉิน”อาจจะอยู่ด้วยกันกับมู่หวั่นขี ใจของมู่น่อนน่อนก็รู้สึกแย่เป็นอย่างมาก แล้วก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่เฉินถิงเซียววางสายไปแล้ว ริมฝีปากก็คลี่ออกเป็นรอยยิ้ม
ทนไม่ไหวจนต้องโทรหาเขาแล้วหรือ
ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เธอตื่นเต้นไปอีกสักหน่อยก็แล้วกัน
เฉินถิงเซียวต่อสายภายในอย่างอารมณ์ดี “เอาน้ำร้อนมาให้ฉันแก้วหนึ่ง”
เมื่อคืนเขาไม่ได้เปิดเครื่องทำความร้อนในร้านอาหารจีนติ่ง เลยรู้สึกเหมือนจะเริ่มเป็นหวัดเล็กน้อย
ตอนที่ 101เขาไปร้านอาหารจีนติ่งบ่อยๆ
เธอคิดถึงสิ่งที่มู่น่อนน่อนทำกับ “เฉินเจียฉิน”อยู่ที่นี่เมื่อครู่นี้ ในดวงตาก็มีแววริษยาวาบผ่าน “ทำไมเธอถึงยังข้องเกี่ยวกับ”เฉินเจียฉิน”อยู่อีก ? ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนที่มีสามีแล้วหรือไง สมควรแล้วที่เฉินถิงเซียวจะเมินเฉยต่อเธอ”
คำพูดนี้ของมู่หวั่นขีกระทบจิตใจของมู่น่อนน่อนเป็นอย่างมาก
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้แสดงความอ่อนแอออกมา “ถึงแม้เขาจะเมินเฉยต่อฉัน ฉันก็ยังคงเป็นคุณนายน้อยตระกูลเฉิน แล้วเธอล่ะ ? ถ้าบริษัทมู่ซื่อล้มละลายขึ้นมา เธอจะเหลืออะไรบ้าง”
มู่หวั่นขีหน้าซีดทันที ก่อนจะชี้หน้าใส่เธอแล้วกรีดร้องออกมาว่า “เธอหุบปากไปเลยนะ!”
ถึงแม้ว่ามู่หวั่นขีจะถูกคนที่บ้านตามอกตามใจขนาดไหน แต่เธอก็รู้ว่าที่ตัวเองสามารถทำตัวโอหังเวลาอยู่ข้างนอกได้ ก็เพราะว่าเบื้องหลังมีบริษัทมู่ซื่ออยู่
ถึงแม้ว่าในเมืองหู้หยางนี้บริษัทมู่ซื่อจะไม่ใช่บริษัทที่ใหญ่โตอะไร แต่เนื่องจากก่อตั้งมานานหลายปีแล้ว เลยมีรากฐานที่มั่นคง มีบริษัทเก่าแก่ที่คอยให้ความร่วมมือ ก็เลยมีชื่อเสียงในอุตสาหกรรมอยู่บ้าง
ตอนที่คุณปู่มู่เพิ่งสร้างบริษัทมู่ซื่อ ด้วยความที่เป็นคนกว้างขวางเลยรู้จักคนมากมาย ถึงแม้ว่าเขาจะเกษียณอายุแล้วไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศมาหลายปีแล้ว แต่บริษัทส่วนใหญ่ในเมืองหู้หยางก็ยังคงไว้หน้ามู่ลี่เหยียนอยู่บ้าง
บริษัทมู่ซื่อเองก็มีรากฐานอยู่บ้าง เพียงแต่เมื่อเทียบกับตระกูลเฉินแล้ว ก็ดูจิ๊บจ๊อยไปเลย
มู่หวั่นขีทำตัวสุรุ่ยสุร่ายจนชินแล้ว ก็เลยไม่กล้าคิดภาพว่าหากบริษัทมู่ซื่อล้มละลายแล้ว ตัวเองจะอยู่อย่างไร
“ถ้าจะมีเวลามาทะเลาะกับฉันอยู่ที่นี่ เธอเอาเวลาไปคิดหาวิธีแก้ไขวิกฤตของบริษัทมู่ซื่อก่อนไม่ดีกว่าเหรอ” มู่น่อนน่อนรู้ว่าถึงครั้งนี้บริษัทมู่ซื่อจะได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง แต่ก็คงไม่ถึงขั้นล้มละลาย เธอก็แค่พูดออกมาเพื่อขู่ให้มู่หวั่นขีตกใจเท่านั้น
มู่หวั่นขีกับมู่ลี่เหยียนทะเลาะกันมาแล้วยกหนึ่ง เดิมทีอารมณ์ก็ไม่ดีอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อน ก็เลยด่าสวนกลับทันที “นังคนเลวอย่างเธอมิสิทธิ์มาสั่งสอนฉันตั้งแต่เมื่อไหร่!”
แต่มู่น่อนน่อนกลับไม่ได้โมโหเลยแม้แต่น้อย เธอเอียงคอเล็กน้อย แล้วพูดยิ้มๆว่า “เธอเป็นพี่สาวแท้ๆของฉัน เธอไม่รู้เหรอว่าพวกเรามีสายเลือดเดียวกัน ถ้าฉันเป็นคนเลว แล้วเธอล่ะเป็นอะไร”
“มู่น่อนน่อน !” มู่หวั่นขีนอกจากความเย่ยหยิ่งและโอหังแล้ว ก็พูดได้เลยว่าไม่มีข้อดีอย่างอื่นอีกเลย ขนาดเรื่องการทะเลาะเองก็ยังเทียบมู่น่อนน่อนไม่ติด
การที่มีลูกสาวอย่างมู่หวั่นขี ทำให้มู่น่อนน่อนเริ่มเห็นใจมู่ลี่เหยียนขึ้นมาบ้างแล้ว
มู่น่อนน่อนหันหลังเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกมู่หวั่นขีเดินเข้ามาลากแขนไว้ “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
มู่หวั่นขีสวมเสื้อผ้าเพียงน้อยชิ้น ด้านในสวมเพียงชุดเดรสเปิดอก ด้านนอกสวมเสื้อโค้ตท่าทางราคาแพง ส่วนล่างคือถุงน่องแบบบางและรองเท้าส้นแหลม ดูแล้วเซ็กซี่เล็กน้อย
พอลมพัดมา เสื้อโค้ตของเธอก็เปิดออก เผยให้เห็นหน้าอกที่ขนลุกเพราะความหนาวเย็นอยู่ด้านใน……
มู่น่อนน่อนหันไปมองทีหนึ่ง แล้วก็ต้องหันมารวมเสื้อคลุมของตัวเองอย่างไม่ตั้งใจ เธอรู้สึกนับถือเพียรพยายามของมู่หวั่นขีมากจริงๆ
ที่จริงแล้วมู่หวั่นขีก็รู้สึกหนาวเหมือนกัน แต่เธอไม่อยากแสดงความพ่ายแพ้ออกมา เธอสวมรองเท้าส้นสูงแปดเซนติเมตรเลยสูงกว่ามู่น่อนน่อนเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนมากนัก
เธอเชิดคางขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราวกับออกคำสั่ง “เอาเบอร์ของ”เฉินเจียฉิน”มาให้ฉัน”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย กำลังสงสัยว่าตัวเองอาจจะฟังผิดไป “เบอร์ของใครนะ ?”
ผู้หญิงคนนี้เมื่อครู่ยังด่าเธอว่าคนเลวอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับบอกให้เธอมอบเบอร์โทรของ”เฉินเจียฉิน”ให้หล่อนอย่างหน้าตาเฉย ใครเป็นคนมอบความหน้าด้านแบบนี้ให้เธอกันแน่
“ก็ต้องเป็น”เฉินเจียฉิน”อยู่แล้วสิ !” มู่หวั่นขีพูดย้ำอีกรอบ น้ำเสียงร้อนรนมาก “เธอไม่ได้เรื่องเองที่ทำอะไรกับเฉินถิงเซียวไม่ได้ ฉันก็เลยต้องคิดหาวิธีด้วยตัวเองไง”
ดังนั้น วิธีที่เธอคิดได้ก็คือการไปหา”เฉินเจียฉิน”อย่างนั้นหรือ ?
“เฉินเจียฉิน”หัวเราะเสียงเย็น “ก็ไปขอเขาด้วยตัวเองสิ”
“อะไรของเธอ ตัวเองไม่มีน้ำใจจะช่วยเหลือบริษัทมู่ซื่อยังไม่พอ ขนาดแค่เบอร์โทรก็ยังไม่ยอมให้อีก เธออย่าลืมนะว่าตัวเองก็แซ่มู่เหมือนกัน !”
มู่หวั่นขีพูดคำเหล่านี้ออกมาอย่างเป็นเหตุเป็นผล โดยไม่มีสีหน้าละอายใจเลยแม้แต่น้อย
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนลึกขึ้นกว่าเดิม แต่สีหน้ากลับเย็นชายิ่งกว่าเดิม น้ำเสียงที่แผ่วเบานั้นเย็นชาจนแข็งกร้าว “ฉันไม่มีทางลืมแน่นอนว่าฉันก็แซ่มู่”
ภัยพิบัติทั้งหมดในครึ่งชีวิตของเธอ ต่างก็เป็นเหตุมาจากการที่เธอแซ่มู่ ล้วนมีสาเหตุมาจากมือของคนนามสกุลนี้ทั้งนั้น
“ฉันจะไปลืมว่าตัวเองแซ่มู่ได้ยังไงล่ะ” น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนแผ่วเบาลงหลายระดับ “พี่สาวคะ เธออยากได้เบอร์ของ”เฉินเจียฉิน”สินะ ฉันคงบอกเธอไม่ได้หรอก แต่ฉันรู้ว่าเขาจะไปที่ร้านอาหารจีนติ่งบ่อยๆ”
สิ่งที่เป็นของส่วนตัวอย่างเบอร์โทรศัพท์ ต่อให้เธอจะเกลียด”เฉินเจียฉิน”ขนาดไหน แต่ก็ไม่มีทางบอกมู่หวั่นขีไปง่ายๆแน่
แต่เธอสามารถเปิดเผยเรื่องที่”เฉินเจียฉิน”ไปที่ร้านอาหารจีนติ่งบ่อยๆให้มู่หวั่นขีรู้ได้
ไม่แน่ว่ามู่หวั่นขีจะได้เจอกับ”เฉินเจียฉิน” แต่ถึงแม้เธอจะได้เจอเขา โอกาสที่จะได้มานั้นก็ยังน้อยมาก
ที่จริงแล้ว มู่น่อนน่อนก็แค่อยากจะหาเรื่องยุ่งยากไปให้”เฉินเจียฉิน”
ใครใช้ให้เขาไร้ยางอายขนาดนั้น !
……
ตกกลางคืนหลังเลิกงาน “เฉินเจียฉิน”ก็ไม่ได้มารับเธอ
แต่ว่า พอเริ่มตกกลางคืน
ช่วงค่ำฝนก็เริ่มตก สภาพอากาศครึ้มฝน สีของฟ้าก็เริ่มมืดลง
มู่น่อนน่อนเข้าไปนั่งในรถ แล้วพูดว่า “บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าไม่ต้องมารับส่งฉันไปทำงาน”
“คุณชายเจียบอกให้ผมมารับคุณหญิงน้อยครับ บอกว่าฝนตกคงเรียกรถไม่สะดวก”
ช่วงนี้สือเย่มีความวิตกกังวลเล็กน้อย เขาไม่กล้ามารับคุณหญิงน้อยแล้ว กลัวว่าจะพูดอะไรผิดต่อหน้าคุณหญิงน้อย ถ้าเผลอเผยไต๋ คงอธิบายกับคุณผู้ชายได้ยาก
มู่น่อนน่อนทำสีหน้าประหลาดใจ “คุณกำลังพูดถึง”เฉินเจียฉิน”เหรอ ?”
หรือว่าที่”เฉินเจียฉิน”บอกว่าคืนนี้จะมารับเธอก่อนหน้านี้ เป็นเพราะรู้ว่าคืนนี้จะมีผนตกอย่างนั้นหรือ
สือเย่ตอบสนอง แล้วตอบกลับว่า “ใช่ครับ”
ที่จริงแล้วมู่น่อนน่อนเป็นคนใจอ่อน พอคิดถึงเรื่องที่ตัวเองบอกความเคลื่อนไหวของเขาให้กับมู่หวั่นขีไปเมื่อตอนบ่าย ก็เลยถามขึ้นด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อยว่า “แล้วเขาล่ะ ?”
“คุณชายเจียมีธุระครับ เขาไปร้านอาหารจีนติ่ง บอกว่าคืนนี้จะไม่กลับไปทานข้าวที่บ้าน” ถ้าหากว่าคุณผู้ชายไม่ได้มีงานที่ต้องไปจัดการ เกรงว่าเขาคงมารับคุณหญิงน้อยด้วยตัวเอง
ใจของมู่น่อนน่อนกระตุกวูบทันที
คงจะไม่บังเอิญไปเจอกับมู่หวั่นขีเข้าหรอกใช่ไหม
สือเย่เห็นสีหน้ากระวนกระวายใจของมู่น่อนน่อนผ่านทางกระจกมองหลัง ก็คิดว่าเธอกำลังเป็นห่วงคุณผู้ชาย เลยพูดขึ้นว่า “คุณผู้ชายไปจัดการธุระเกี่ยวกับงานเล็กน้อยเองครับ คงไม่กลับดึกเท่าไหร่หรอกครับ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าอย่างใจลอย เลยไม่ได้สังเกตเห็นคำที่สือเย่ใช้เรียก”เฉินเจียฉิน”
กลับเป็นตัวของสือเย่เองที่คิดได้ แล้วก็ตกใจจนเหงื่อตก
พอกลับถึงบ้าน ภายในบ้านพักก็ว่างเปล่า
พอมู่น่อนน่อนเปิดประตูเข้าไป ก็เดินวนรอบๆอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองอยากจะหาอะไร
เธอขึ้นไปเปลี่ยนชุดด้วยความว้าวุ่นใจ จากนั้นก็เข้าไปทำอาหารในครัว
“เฉินเจียฉิน”ไม่อยู่บ้าน ที่อยู่ของเฉินถิงเซียวเป็นปริศนาราวกับมนุษย์ล่องหน เธอก็เลยทำแค่ส่วนของตัวเองก็พอ
ขณะทานข้าว เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีส่วนไหนผิดปกติ ถึงได้โทรไปหาเซียวชู่เหอ เพื่อสอบถามว่ามู่หวั่นขีได้ไปที่ร้านอาหารจีนติ่งหรือเปล่า
“คุณแม่คะ ทานข้าวหรือยังคะ” มู่น่อนน่อนพยายามปกปิดความร้อนรนในน้ำเสียง
น้ำเสียงของเซียวชู่เหอฟังดูดีอกดีใจ “ยังเลย กำลังเตรียมจะทาน คุณพ่อกับพี่สาวของเธอกำลังคุยธุระกันอยู่ในห้องสมุด เลยรอพวกเขาอยู่”
“อ๋อ……อย่างนั้นเองเหรอคะ หนูก็แค่ถามดูแค่นั้นค่ะ หนูขอตัวไปทานข้าวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” มู่น่อนน่อนกดวางสายไป แล้วก็รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
อีกด้านหนึ่ง ถึงแม้เซียวชู่เหอจะรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนโทรมากะทันหันมากไปหน่อย แต่พอคิดได้ว่าจนถึงตอนนี้มู่น่อนน่อนก็ยังเป็นห่วงเธออยู่ ก็เลยรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
ในตอนนั้นเอง มู่ลี่เหยียนกับมู่หวั่นขีก็เดินลงมาจากชั้นบนพอดี
เธอรีบเดินเข้าไป “รีบมาทานข้าวเถอะ กับข้าวจะเย็นหมดแล้ว”
มู่หวั่นขีมองดูเธอทีหนึ่ง “ไม่ทานแล้วค่ะ หนูจะออกไปข้างนอก”
ตอนนั้นเองเซียวชู่เหอถึงได้สังเกตว่ามู่หวั่นขีเปลี่ยนชุดแล้ว แถมยังแต่งหน้าเสียประณีต
“ลูกจะไปไหนเหรอ ค่ำขนาดนี้แล้ว……”
“แม่ไม่ต้องมายุ่งหรอกค่ะ หนูออกไปก็ต้องไปทำธุระอยู่แล้ว” มู่หวั่นขีเหลือบไปมองเซียวชู่เหอทีหนึ่ง แล้วหยิบกระจกออกมาส่อง รู้สึกพอใจกับการแต่งหน้าของตัวเองมาก
เธอไม่เชื่อหรอกว่า “เฉินเจียฉิน”จะสามารถปฏิเสธความเย้ายวนของเธอได้
ตอนที่ 100 สู้ไม่ไหวหรอก
มู่น่อนน่อนเร่งฝีเท้า รอเขาโทรศัพท์เสร็จ
ผ่านไปสองนาที“เฉินเจียฉิน”วางโทรศัพท์หันไปมองเธอ เขามองเธอตอบด้วยสายตาเย็นชา
มู่น่อนน่อนโดนเขาจ้องจนขนลุกซู่ เธอยื่นบัตรกับเงินสดคืนเขา“ตกลงกันแล้วไงว่าฉันเลี้ยง ก็ต้องให้ฉันเช็คบิลสิ”
“เฉินเจียฉิน”รับบัตรคืน แต่ไม่ได้รับเงินสด
มู่น่อนน่อนยังคงยัดเงินใส่มือเขา“นี่ เงินให้คุณ!”
สายตาของ“เฉินเจียฉิน”ตกทอดลงไปบนมือขาวๆของเธอ เขายื่นมือออกไป มู่น่อนน่อนคิดว่าเขาจะรับเงิน คิดไม่ถึงว่าเขาจะกุมมือเธอ
สีหน้ามู่น่อนน่อนเปลี่ยนเล็กน้อย ยังไม่ทันได้พูด “เฉินเจียฉิน”ออกแรงที่มือ แล้วโอบเธอเข้ามากอด เขาทอดตาลง ลูกตาดำขลับดุจหมึกกลอกไปมา น้ำเสียงนุ่มเหมือนเหล้าที่หมักมาหลายปี หอมละมุน
แต่สิ่งที่พูดออกมาช่างน่าละอาย“คุณจะเอาเงินคืนผมให้ได้ ก็จูบผมสิ คุณจูบแล้ว ผมจะรับเงิน”
“????” ประสาท!
นี่บนถนนทางเท้านะ มู่น่อนน่อนตื่นเต้นจนหัวใจแทบเต้นออกมา พอตื่นเต้นก็กระทุ้งเข่า……
“แควก……”
เฉินถิงเซียวต้องการแค่สังเกตสีหน้าของมู่น่อนน่อน คิดไม่ถึงว่าเธอจะมาไม้นี้ ไม่งั้นเขา จะระมัดระวังตัว จะโดนได้ไงเล่า
แต่ว่า รอบนี้มู่น่อนน่อนแรงจริง กระทุ้งไปที่จุดสำคัญของเขา เจ็บจนจุก
ทำให้เฉินถิงเซียวรู้สึกว่า การระวังต่อหน้ามู่น่อนน่อนแทบเป็นศูนย์
“คุณ……คุณไม่เป็นไรนะ”มู่น่อนน่อนได้ยินเขาคำรามอย่างเย็นชา แม้ว่าเสียหน้าไม่เปลี่ยน แต่ดูสีหน้าตึงๆก็สัมผัสได้ว่าเขาเจ็บ
แม้ว่าเธอจะเป็นห่วงเขา แต่เธอก็ไม่รู้สึกผิด สำหรับผู้ชายหน้าด้านแบบนี้ ถ้าต้องอัดก็
ต้องอัด!
“เฉินเจียฉิน”ไม่ได้คลายมือจากเธอ ได้แต่พูดขึ้น“ผมไม่เป็นไร คุณนั่นแหละจะเป็นอะไร”
ถ้าเตะจนเขาเป็นหมัน ชาตินี้เธอคงจบ
มู่น่อนน่อนไม่ได้รู้สึกถึงความหมายอะไรในคำพูดเขา คิดว่าทำให้เขาโกรธ แล้วเขาจะ เอาคืน ไม่รู้ว่าตอนนี้วิ่งหนีทันไหม
ตอนที่ชักขาเตรียมวิ่ง เธอถึงได้รู้ว่ามือเธอยังโดน“เฉินเจียฉิน”จับอยู่
รู้ว่าตัวเองกำลังจะซวย เธอจึงเงยหน้ามอง“เฉินเจียฉิน” ส่วนเขาก็ก้มหน้าจูบเธอ
มู่น่อนน่อนโกรธในใจ ยังคิดเอาคืน แต่“เฉินเจียฉิน”เตรียมตัวไว้แล้ว มู่น่อนน่อนเลยรับมือไม่ได้ อีกอย่างเขาดุจะแย่ จูบก็แรง ไม่เว้นจังหวะให้มู่น่อนน่อนเลย
เวลาเขาจะรุนแรง มู่น่อนน่อนไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย เธอหายใจไม่ออก เลยผลักเขาออก
ตอนนี้เธออ่อนยวบไปทั้งตัว แทบจะไม่มีเรี่ยวแรง
เฉินถิงเซียวหายใจหอบถี่ กัดริมฝีปากเธอราวกับเป็นการลงโทษ จากนั้นจึงปล่อยเธอ
ออก ก้าวถอยหลังแล้วมองเธอด้วยแววตาลุ่มลึก
มู่น่อนน่อนผลักเขาออกอย่างไม่ทันตั้งตัว เธอพยายามยืนให้มั่น
เธอเจ็บริมฝีปากนิดหน่อย เธอยื่นมือไปจับ เห็นบนมือมีคราบเลือด ถึงรู้ว่าเมื่อกี้“เฉินเจียฉิน”กัดปากเธอ
มู่น่อนน่อนไม่รู้จะรับมือกับ“เฉินเจียฉิน”ยังไง ด่าเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ เขามันหน้าด้าน สู้ไม่ไหวหรอก
เธอจ้องเขม็ง หมุนตัวจากไป
“น่อนน่อน!”
เธอกำลังจะไป ก็ได้ยินเสียงมีคนเรียก
น้ำเสียงที่คุ้นเคย ทำให้มู่น่อนน่อนอารมณ์เสีย
มู่หวั่นขีออกจากร้านอาหาร เห็นมู่น่อนน่อนยืนจูบกับ“เฉินเจียฉิน”อยู่ริมถนน แต่ครั้งนี้ เธอไม่ถ่ายรูป
รูปที่เธอถ่ายคราวที่แล้วทำให้เกิดเรื่อง แต่สุดท้ายก็โดนตระกูลเฉินข่ม เรื่องก็จบไป
“ฉันมองเงาหลังรู้สึกเหมือน คิดไม่ถึงว่าเป็นเธอจริงๆ”มู่หวั่นขีเห็นมู่น่อนน่อนจึงเข้ามาหาอย่างเป็นมิตร จากนั้นก็ทำเป็นประหลาดใจที่เจอ“เฉินเจียฉิน”:“บังเอิญจัง คุณเฉินก็ยังอยู่นี่ด้วย”
เฉินถิงเซียวยังไม่ทันได้เห็นเธอ จึงนั่งยองๆ ก้มลงเก็บเงินที่มู่น่อนน่อนทิ้งเกลื่อนกลาด
เอาไว้
แม้ว่ามู่น่อนน่อนยังโกรธ“เฉินเจียฉิน” แต่ก็ต้องยอมรับ ผู้ชายคนนี้ไฮโซ ท่าทีเขาก้มเก็บเงินมันดูตลก
พอรู้สึกตัวว่าโดน“เฉินเจียฉิน”ทำซาดิสต์ มู่น่อนน่อนจึงแอบกัดริมฝีปาก
ตื่นหน่อย หล่อแค่ไหนน่าหลงใหลแค่ไหน ก็รับความโรคจิตไม่ได้!
“เฉินเจียฉิน”เก็บเงินขึ้นมา ค่อยๆปัดฝุ่นที่มองไม่เห็น จากนั้นจึงเก็บเงินใส่กระเป๋า
มู่น่อนน่อน “……”
เธอรู้สึกว่าเธอไม่เข้าใจ“เฉินเจียฉิน”มากขึ้น อยากเกลียดก็เกลียดไม่ลง อย่างอยู่ร่วมกันอย่างสงบ เขาก็หน้าด้าน……
มู่หวั่นขีที่อยู่ข้างๆเห็นท่าทางของ“เฉินเจียฉิน” ก็ตกตะลึง
“เฉินเจียฉิน”คนนี้ มานั่งก้มเก็บเงินไม่กี่ร้อยนี่นะ
เธอไม่รู้หรอกว่าเงินไม่กี่ร้อยนี่เป็นมายังไง เธอรู้แค่ว่าตัวเองไม่ต้องคืนบัตรดำให้มู่น่อนน่อน และก็ช่วยกู้วิกฤตบริษัทมู่ซื่อได้ด้วย
เธอจะไปยั่ว“เฉินเจียฉิน” “เฉินเจียฉิน”อยู่บ้านเดียวกับเฉินถิงเซียว เห็นได้ชัดว่าเป็นญาติที่พูดคุยอะไรด้วยกันก็ได้
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ดีจริงๆ
คิดว่าตัวเองจะได้“เฉินเจียฉิน” มู่หวั่นขีก็ยิ้มอย่างลำพอง
เธอจงใจดึงเสื้อ จนเห็นหน้าอก ส่งสายตาหวานฉ่ำให้“เฉินเจียฉิน”
เพียงแต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก“เฉินเจียฉิน”ก็พูดใส่มู่น่อนน่อนอย่างค่อนแคะ“เลิกงานแล้วมารับคุณ”
จากนั้นก็จากไป
มู่น่อนน่อนมองอย่างเย็นชา เขาจงใจยั่วโมโหเธอ!
ลมเย็นพัดมา มู่หวั่นขีหนาวจนตัวสั่น เธอกระชับเสื้อหนาว หันไปมองมู่น่อนน่อนเหมือน
จะยิ้มให้
สีหน้ามู่หวั่นขีอึมครึม:“หึ!บริษัทมู่ซื่ออยู่ในอันตราย เธอไม่ช่วยคิดให้เฉินถิงเซียวมาช่วยพวกเราหน่อยเหรอ ยังมายั่วผู้ชายอยู่ได้ ช่างกล้านะ!”
“ฉันแค่ทำงานธุรการอยู่ที่บริษัทมู่ซื่อ ไม่ได้เก่งแบบพี่ ช่วยอะไรไม่ได้ฉันก็ละอาย”มู่น่อนน่อนยิ้ม โดยที่ไม่รู้สึกละอาย
เธอค่อยๆเดินไปตรงหน้ามู่หวั่นขี พูดต่อ“ฉันทำบัตรดำหาย จะกล้าไปเจอเฉินถิงเซียวได้ไง อารมณ์เขาร้ายจะตาย ไม่แน่โกรธขึ้นมา อาจจะทำให้บริษัทมู่ซื่อวอดวายก็ได้”
“ไร้ประโยชน์!”มู่หวั่นขีหัวเราะเย็นชา แล้วจู่ๆสังเกตเห็นแผลแดงสดที่ปากมู่น่อนน่อน
ตอนที่ 99 ขุดเธอออกมา
ความงุนงงในสีหน้าของมู่น่อนน่อนลึกขึ้นทุกที“หาฉันมีธุระอะไรคะ”
แต่เธอก็รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ๆจะคุย จึงดึง“เฉินเจียฉิน”ออกไปข้างนอก
เฉินถิงเซียวค่อยๆดึงเธอออกไป เพราะว่าตัวสูงขายาว เขาเดินก้าวเดียวเท่ากับเธอเดิน
สองก้าว แบบนี้ทั้งตัวเขาก็ให้ความรู้สึกสบายไม่อึดอัด
“หาฉันมีธุระอะไรหรือคะ”พอออกมาจากบริษัทมู่ซื่อ มู่น่อนน่อนก็ถามคำถามนี้อีกรอบ
สำหรับเธอแล้ว “เฉินเจียฉิน”ไม่มีธุระก็ไม่มาหาเธอหรอก
“เฉินเจียฉิน”ไม่ได้ตอบคำถามเธอทันที แต่มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
มู่น่อนน่อนร้องไห้ก่อนหน้า แม้ว่าตอนนี้อาจจะไม่เห็นคราบน้ำตาแล้ว แต่เฉินถิงเซียวก็ยังคงสังเกตเห็นว่าตาเธอนั้นบวม เป็นรอยแดงๆผิดปกติ
ร้องไห้มาเหรอ
เขาหรี่ตาเล็กน้อย เขาคิดเชื่อมโยง“มู่น่อนน่อน”กับ“ร้องไห้”ไม่ออกเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ยังอยู่บริษัทมู่ซื่อ เธอคงไม่ร้องไห้ต่อหน้ามู่ลี่เหยียนหรอกมั้ง
ผ่านไปแบบนี้ไม่กี่วินาที เฉินถิงเซียวจึงพูดออกมาว่า“ผ่านมา คุณเลี้ยงข้าวผมหน่อย”
แน่นอนว่าตอนพูดน้ำเสียงกวนประสาท
แต่ว่า“เฉินถิงเซียว”อย่างไรก็เป็นผู้มีพระคุณของเธอ ถ้าไม่ได้เรียกร้องอะไรเกินไป มู่น่อนน่อนมักจะทำให้เสมอ
มู่น่อนน่อนพาเขาไปที่ร้านอาหารที่ไกลออกไปจากบริษัทหน่อย จะได้ไม่ต้องเจอเพื่อนร่วมงาน ไม่ต้องมีเรื่องยุ่งยาก
พอมาถึงร้านอาหาร หลังจากที่ทั้งคู่นั่งลง“เฉินเจียฉิน”แม้ว่าจะไม่พูดอะไร แต่มู่น่อนน่อนสัมผัสได้ว่าเขาไม่ค่อยจะชอบที่นี่นัก
ที่จริงมู่น่อนน่อนก็พอเข้าใจเขาอยู่
เขาเป็นคุณชายตระกูลใหญ่โต เวลากินข้าวก็ไปสถานที่แบบโรงแรมจีนติ่ง แทบจะจัดให้โรงแรมจีนติ่ง
เป็นห้องอาหารที่บ้านได้อยู่แล้ว
แต่เขาจะให้เธอเลี้ยงข้าวเองนี่ ร้านแบบนี้กินมื้อนึงก็เป็นร้อยอยู่นะ สำหรับเธอแล้ว……ก็ยังนับว่าแพง
มู่น่อนน่อนคิดมาถึงตรงนี้ จึงแอบลูบกระเป๋าตังค์ตัวเอง สีหน้าปวดใจนิดหน่อย
เฉินถิงเซียวสังเกตเห็นสีหน้ามู่น่อนน่อน จึงแอบยิ้มขึ้น แน่นอนเขารู้ว่าเธอจน
แต่ก็ยังจะให้เธอเลี้ยงข้าว เอาเปรียบเธอหน่อย สำหรับเขาเป็นเรื่องสนุก
บริกรมารับออเดอร์ มู่น่อนน่อนเลื่อนเมนูอาหารไปตรงหน้า“เฉินเจียฉิน” “คุณเลือกก่อน”
“เฉินเจียฉิน”ก็ไม่เกรงใจ พอเปิดเมนู ก็อ่านชื่ออาหารออกมาสามอย่างรวดเดียว
มู่น่อนน่อนรู้ ด้านหน้าของเมนูเป็นอาหารขึ้นชื่อของทางร้านทั้งนั้น มีแต่ของแพงๆ
เฉินถิงเซียวพลิกไปด้านหลัง สั่งน้ำแกงมาอีกอย่าง จากนั้นเงยหน้ามองมู่น่อนน่อน ถามอย่างจริงจัง“ผมสั่งมากไปมั้ย”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า“ไม่มาก……”
เธอจำได้คราวที่แล้วที่กินข้าวด้วยกันที่โรงแรมจีนติ่ง กินกันสี่ห้าคน อาหารเต็มโต๊ะ ไม่น้อยหน้าอาหารราชวงศ์แมนจูเลย
เฉินถิงเซียวพยักหน้าอย่างจริงจัง“งั้นผมสั่งอีกสอง”
มู่น่อนน่อน“……”
เฉินถิงเซียวมองดู ขมวดคิ้วเล็กน้อย“ไม่มีอะไรน่ากินแล้วอ่ะ”
จากนั้นเขาจึงยื่นเมนูส่งให้มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนที่จริงเป็นคนง่ายๆ สองคนกับข้าวสามอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง เธอก็รู้สึกว่า
เพียงพอแล้ว
แต่ว่านั่งต่อหน้าคุณชายอย่าง“เฉินถิงเซียว” ก็เลยเพิ่มกับข้าวอีกสอง ของกินเล่นอีกหนึ่ง ไม่งั้นเธอจะรู้สึกทรมานเขาจนเกินไป
หลังจากสั่งกับข้าวเสร็จ มู่น่อนน่อนจึงลุกขึ้นไปห้องน้ำ
เฉินถิงเซียวมองดูเงาที่หายไปของเธอ แล้วเรียกบริกรมา ยื่นบัตรให้“คิดเงิน”
……
มู่น่อนน่อนออกมาจากห้องน้ำ ก็เห็นมู่หวั่นขี
แต่มู่หวั่นขีไม่เห็นมู่น่อนน่อน เพราะว่าเธอหันหลังให้มู่น่อนน่อนไปทางประตู
มู่น่อนน่อนตั้งใจเดินช้าๆ แล้วหยุดลงด้านหลังมู่หวั่นขี เธอไม่อยากให้มู่หวั่นขีเห็นว่าเธอมากินข้าวกับ “เฉินเจียฉิน” แล้วเกิดเรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็นขึ้น
ทางที่มู่หวั่นขีเดินไป เป็นทางเดียวกับมู่น่อนน่อน มู่น่อนน่อนยิ่งเดินยิ่งช้า……
จนกระทั่ง มู่หวั่นขีเข้าไปในห้องส่วนตัว
ตอนที่มู่น่อนน่อนเดินผ่านห้องนั้น จึงชะลอฝีเท้า
ผนังกันเสียงของร้านอาหารไม่ค่อยดี
จึงมีเสียงลอดออกมา
มู่หวั่นขีเสียงแหลมสูง เสียงที่ลอดออกมาถือว่าลดไปมากแล้ว“จะคืนบัตรดำให้มันไม่ได้นะคะ!”
“ไม่……บริษัทมู่ซื่อ……แกจะเอายังไง……”
คนที่พูดต่อคือมู่ลี่เหยียน เสียงของเขาเบากว่ามู่หวั่นขีหน่อย เลยไม่ได้ยินทั้งหมด
สองพ่อลูกนี่ ทะเลาะกันเพราะบัตรดำเหรอนี่
ตั้งแต่โรงงานถูกเปิดโปงจนถึงตอนนี้ ยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย นี่เป็นครั้งที่สองที่มู่น่อนน่อนได้ยินสองพ่อลูกนี่ทะเลาะกัน
มู่ลี่เหยียนรักมู่หวั่นขีมาก ส่วนมู่หวั่นขีก็โดนตามใจจนเสียนิสัย ตอนนี้บริษัทมู่ซื่ออยู่ใน อันตราย เธอไม่ได้คิดจะช่วยมู่ลี่เหยียนคิดแก้ไขสถานการณ์เลย แต่กลับทะเลาะกับมู่ลี่เหยียนด้วยเรื่องส่วนตัว
ขนาดกับมู่ลี่เหยียนมู่หวั่นขียังเป็นแบบนี้ ต่อไปกับเซียวชู่เหอจะไม่ยิ่งใจดำเหรอ
มู่น่อนน่อนรู้สึกสับสน เธอไม่อยากจะยุ่งกับเซียวชู่เหอแล้ว
ต่อไปไม่ว่ามู่หวั่นขีจะปฏิบัติกับเซียวชู่เหอยังไง ล้วนเป็นสิ่งที่เซียวชู่เหอเลือกเองทั้งนั้น
ทั้งเรื่องเธอเอาบัตรดำมาแลกกับเซียวชู่เหอ เซียวชู่เหอไม่ได้ซาบซึ้งใจแม้แต่น้อย แต่
กลับเอาใจเธอ เพื่อใช้ผลประโยชน์……
มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจลึกๆ ผ่อนคลายอารมณ์ พอกลับมาถึงโต๊ะอาหารที่“เฉินเจียฉิน”นั่งอยู่
อาหารขึ้นมาหลายอย่างแล้ว “เฉินเจียฉิน”ไม่ได้แตะต้องตะเกียบแม้แต่น้อย หยิบมือถือไม่รู้ทำอะไร
รู้สึกเหมือนมีคนมา เขาเงยหน้าขึ้น แววตาค่อยๆหยุดลงบนหน้ามู่น่อนน่อน จากนั้นวางมือถือลง แล้วเอ่ยปากขึ้น“ผมกำลังจะโทรหาสือเย่”
มู่น่อนน่อนทำสีหน้าแปลกใจ“โทรทำไม”
“เฉินเจียฉิน”พูดจริงจัง“ให้เขาพาคนไปขุดคุณออกมาจากส้วม”
มู่น่อนน่อน“……”
เอาเถอะ เธอไปห้องน้ำตั้งยี่สิบนาที
มู่น่อนน่อนไม่ตอบ “เฉินเจียฉิน”อาจจะรู้สึกเบื่อ เลยไม่พูดอะไร และก็ไม่ค่อยกินอะไร
ตอนคิดเงิน บริกรยื่นบัตรให้มู่น่อนน่อน“สวัสดีค่ะ คุณผู้ชายชำระเรียบร้อยแล้วค่ะ ทั้งหมดหกร้อยแปดสิบหยวนค่ะ”
“สามีฉันเหรอ”
มู่น่อนน่อนยังไม่ทันตั้งตัวว่าบริกรหมายถึง“เฉินเจียฉิน” คนที่เธอคิดถึงคนแรกคือเฉิน ถิงเซียว
เธอหันไปถาม“เฉินเจียฉิน” “พี่ชายคุณมากินที่นี่ด้วยเหรอคะ”
“เฉินเจียฉิน”เดิมทีสีหน้าไร้ความรู้สึก จู่ๆก็นิ่งขรึมขึ้น หมุนตัวก้าวเท้าออกไป
ก้าวเท้าออกไปราวพายุ เดินเร็วมาก
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่า ถ้าเขาไม่เดินให้เร็วกว่านี้ อาจจะอดใจไม่ไหวซัดมู่น่อนน่อนเข้าสัก
เปรี้ยง
บริกรมารู้ตัวว่าเข้าใจความสัมพันธ์ของลูกค้าทั้งคู่ผิด เลยรีบอธิบาย“ขอโทษนะคะ ดิฉันคิดว่าพวกคุณเป็นสามีภรรยากัน เมื่อกี้คุณผู้ชายท่านนั้นจ่ายเงินค่ะ”
มู่น่อนน่อนตกตะลึง จึงรีบรับบัตรวิ่งตามออกไป
“เฉินเจียฉิน”ไม่ได้ไปไกล ตอนที่มู่น่อนน่อนวิ่งตามไป เขากำลังรับโทรศัพท์
ตอนที่ 98 ร้องไห้ได้สมบทบาท
มู่น่อนน่อนพูดพลาง สังเกตสีหน้ามู่ลี่เหยียนไปพลาง
ตอนที่เธอเอ่ยถึงบัตรดำ เธอเห็นมู่ลี่เหยียนหน้าเจื่อนลงไปอย่างชัดเจน
ตอนนี้จ๋อยแล้วเหรอ
แต่ว่า สายไปแล้วล่ะ
มู่ลี่เหยียนเห็นท่าว่ามู่น่อนน่อนกลัวจริงไม่ได้แกล้ง ก็รู้สึกลำบากใจ พูดขึ้น“ก็อย่าเพิ่ง
บอกเรื่องบัตรดำกับเขาสิ”
มู่น่อนน่อนยิ้มเย็นชาในใจ มาจนป่านนี้แล้ว มู่ลี่เหยียนยังไม่คิดส่งบัตรดำออกมาอีก
แม้ว่าในใจเธอจะคิดแบบนี้ แต่ก็แสดงสีหน้าว่าหวาดกลัวมาก
เธอแอบหยิกขาตัวเอง เจ็บจนน้ำตาเล็ด แล้วบีบน้ำตาอีกหน่อย น้ำตาก็ร่วงผล็อยๆ
มู่น่อนน่อนพูดเสียงเครือน้ำตา“บัตรดำนั่น เฉินถิงเซียวให้หนูยืมใช้ก็เท่านั้น ต้องคืนเขาค่ะ ต่อให้หนูไม่พูด เขาก็ต้องรู้เข้าสักวัน……”
ราวกับคิดเรื่องน่าหวาดกลัวอะไรได้ มู่น่อนน่อนปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก“คุณพ่อไม่รู้หรอกว่าเขาน่ากลัวแค่ไหน เป็นปิศาจคนหนึ่งเลย เขาไม่ปล่อยหนูไปแน่นอน……”
พอมู่น่อนน่อนร้องไห้ก็เก็บน้ำตาไม่อยู่ เธอเพิ่งรู้ว่าตัวเองบีบน้ำตาได้สมบทบาทขนาดนี้
เอง
บางที เธออาจจะลองไปเป็นนักแสดงได้
มู่ลี่เหยียนว้าวุ่นใจพออยู่แล้ว ก่อนหน้าที่อ่อนโยนกับมู่น่อนน่อนเพราะจะขอร้องเธอ ตอนนี้เห็นเธอร้องไห้ไม่หยุดก็ยิ่งรำคาญ
“ไม่ต้องร้องแล้ว!”มู่ลี่เหยียนตะคอกอย่างอารมณ์เสีย
มู่น่อนน่อนหยุดร้องทันที แต่ยังแกล้งสะอื้น
มู่ลี่เหยียนมองเธอด้วยสายตาดูแคลน คนโง่ก็คือคนโง่ สวยแค่ไหน ก็ไร้ประโยชน์
เขาคิดว่ามู่น่อนน่อนยั่วยวนจนเฉินถิงเซียวหลงหัวปักหัวปรำซะอีก ถึงได้บัตรดำมาจากเฉินถิงเซียว คิดไม่ถึงว่าแค่ยืมมาใช้
มู่น่อนน่อนก็รู้สึกรังเกียจตัวเอง เธอไม่ได้อยากจะแบบนี้หรอก แค่ร้องไห้สมบทบาทเกินไปก็เท่านั้น
มู่ลี่เหยียนถามขึ้นราวกับตัดสินใจครั้งใหญ่อะไร“แล้วถ้าหาบัตรดำกลับมาได้ล่ะ”
“หากลับมาได้หรือคะ”
มู่น่อนน่อนแสดงสีหน้าประหลาดใจ แล้วก็สลดกลับไปตามเดิม เธอยิ้มเจื่อนๆ“จะหากลับมาได้ไงกัน โจรหน้าตายังไงหนูยังไม่เห็น……”
มู่ลี่เหยียนพยายามสังเกตสีหน้าท่าทางของมู่น่อนน่อน ยืนยันว่าเธอไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับการลักพาตัว จึงขมวดคิ้วพูด“พ่อจะลองหาวิธี”
……
พอออกจากห้องทำงานมู่ลี่เหยียน มู่น่อนน่อนจึงไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ
โชคดีที่วันนี้เธอไม่ได้แต่งหน้า ไม่อย่างนั้นคงดูไม่จืด
ล้างหน้าเสร็จ เธอรู้สึกว่าตาจมูกแดงไปหมด
เมื่อกี้ร้องไห้สมบทบาทจริงๆ
เธอกลับไปที่ที่นั่งตัวเอง เพื่อนข้างๆเห็นท่าทางของเธอจึงถามด้วยความเป็นห่วง“น่อนน่อน เป็นอะไรไป”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า“เปล่าค่ะ”
เพื่อนร่วมงานจึงไม่ได้ถามอะไรมากนัก แต่เพื่อนที่เห็นเลขาของมู่ลี่เหยียนที่มาหาเธอพูดขึ้น“ท่านประธานเรียกเธอน่ะ”
“ท่านประธานเรียกเธอทำไมน่ะ”
“ไม่รู้สิ เรื่องโรงงานมั้ง เพราะเธอแต่งกับเฉินถิงเซียว ท่านประธานคงอยากอาศัยความสัมพันธ์……”
“……”
มู่น่อนน่อนฟังอยู่เงียบๆ รู้สึกว่าคนฝ่ายกิจกรรมนี่เก่งกาจจริงๆ ทายถูกด้วย
พวกเขาพูดอะไรต่อ มู่น่อนน่อนไม่ทันฟัง แต่ได้ยินแว่วๆว่า“เกินไปแล้วจริงๆ……ท่านประธานทำแบบนี้ได้ไง……”ประมาณนี้
มู่น่อนน่อนรู้สึกแปลกใจว่าสองคนนี้กินอะไรบำรุงสมอง
แต่ฟังดูเหมือนพวกเขากำลังต่อว่ามู่ลี่เหยียนอยู่
……
บริษัทเสิ้งติ่ง
“ถิงเซียว ตอนเที่ยงให้โรงแรมจีนติ่งส่งข้าวมาไหม” เรื่องที่กู้จือหยั่นจะตื่นเต้นทุกวัน คือเรื่องกิน
เฉินถิงเซียวไม่เงยหน้า“ไม่ต้อง”
กู้จือหยั่นถามอีก“นายจะไปไหน”
เฉินถิงเซียวไม่สนใจเขาอีก
กู้จือหยั่นกลอกตาขาวอย่างเซ็ง ถ้าไม่ใช่เพราะรู้จักเฉินถิงเซียวมาหลายปี คนที่เย็นชาเป็นตู้เย็นอย่างเฉินถิงเซียว คงโดนเขาต่อยไปนานแล้ว
เฉินถิงเซียวทำงานในมือเสร็จพอดี จึงเงยหน้ามองกู้จือหยั่น พูดอย่างชิวๆ“แกสู้ฉันได้
เหรอ”
กู้จือหยั่นมองเขาราวกับเห็นผี“บ้าเอ๊ย เออสู้ไม่ได้ๆ!ฉันคิดอะไรแกอ่านออกหมดอ่ะ”
เฉินถิงเซียวหัวเราะ หยิบมือถือเดินออกไป
กู้จือหยั่นมีนิสัยคึกคักเสมอ ตอนอยู่มัธยมมีเรื่องชกต่อยบ่อยๆ คนที่รู้จักมักจะอ่านใจเขาได้ง่ายๆ
เฉินถิงเซียวขับรถไปที่บริษัทมู่ซื่อ
เรื่องการเปิดโปงโรงงานบริษัทมู่ซื่อเมื่อวาน แค่คืนเดียวก็รู้ไปทั่วโลก ก็ไม่แน่ว่ามู่ลี่เหยียนอาจจะเดาได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือมู่น่อนน่อน
เขาไม่ค่อยวางใจ ก็เลยจะไปดูสถานการณ์ที่บริษัทมู่ซื่อหน่อย
เขาขับรถไปจอดที่บริษัทมู่ซื่อ หยิบมือถือออกมาโทรหามู่น่อนน่อน แต่ไม่มีคนรับ
เขาลงรถเดินเข้าบริษัท
เป็นเพราะเรื่องโรงงาน จึงมีการเข้มงวดต่อคนที่เข้าออกบริษัทมู่ซื่อ
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไป ก็โดนยามขวางไว้“ธุระอะไร หาใคร”
มียามขวางกั้นไว้สามชั้น โดยมากกลัวว่าคนจะมาก่อนเรื่อง
เฉินถิงเซียวรูปร่างสูงใหญ่ คนทั่วไปต้องเงยหน้ามอง
เขาก้มหน้า สีหน้าไร้ความรู้สึก“หาคน”
ยามรู้สึกว่าคนๆนี้ดูมีบารมี น่าจะเป็นคนใหญ่คนโต จึงไม่กล้าขัดใจ เลยพาเข้าไปที่ประชาสัมพันธ์“คุณบอกพวกเขาแล้วกันว่ามาหาใคร”
วันนี้พนักงานประชาสัมพันธ์เองก็เข้มงวด ตอนกลางเกือบโดนนักข่าวบุกเข้าไป ตอนนี้
ต้องระวังทุกคน。
แต่พอเขาเห็นรูปร่างหน้าตาเฉินถิงเซียว จึงพูดออกมาอึกอัก“ไม่ทราบว่าคุณ……หา……หาใครคะ”
“มู่น่อนน่อน”เฉินถิงเซียวหลุบตาลง ไม่สบตา
เขาเป็นคนมีความอดทนสูง แต่ถ้าเป็นเรื่องของมู่น่อนน่อน เขารู้สึกว่าเขาต้องอดทนมากขึ้น
“มู่น่อนน่อนหรือคะ”พนักงานสาวรู้สึกคุ้นหู
ไม่รอพนักงานสาวพูดต่อ เสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยก็ดังเข้ามาในหู“เฉินเจียฉินหรือคะ”
เฉินถิงเซียวหันไปมอง เห็นมู่น่อนน่อนเดินมาแต่ไกล
เธอค่อยๆเดิน เหมือนไม่แน่ใจว่าเป็นเขา จากนั้นจึงวิ่งเหยาะๆมาหา
ตอนนี้เป็นเวลาพักเที่ยง มู่น่อนน่อนเตรียมไปกินข้าว แต่พอออกจากลิฟต์ ก็เห็นคนสูงใหญ่เหมือน“เฉินเจียฉิน” ยืนถามอยู่ตรงเคาน์เตอร์
“เฉินเจียฉิน”ชายผู้บ้าระห่ำ จะมาถามพนักงานสาวที่เคาน์เตอร์ทำไม
แต่ว่ายิ่งดูยิ่งเหมือน เธอจึงเรียกชื่อเขาออกมา
คิดไม่ถึงว่า เป็น“เฉินเจียฉิน”จริงๆด้วย
มู่น่อนน่อนวิ่งเหยาะๆมาหา สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย“คุณจริงๆด้วย มาได้ไงคะเนี่ย”
พนักงานสาวพอเห็นมู่น่อนน่อน ก็จำได้ ยิ้มตาหยีพูดว่า“คุณมู่คะ คุณผู้ชายท่านนี้มาหาคุณค่ะ”
ตอนที่ 97 ไม่ปล่อยไปง่ายๆแน่นอน
พอกินข้าวเสร็จ“เฉินเจียฉิน”ก็ไล่กู้จือหยั่นไป
กู้จือหยั่นเกาะขอบประตูไม่ยอมไป“ฟ้ามืดขนาดนี้ อากาศก็เย็น ให้ฉันค้างสักคืนไม่ได้เหรอ”
มู่น่อนน่อนโยงภาพกู้จือหยั่นที่กำลังอ้อนเกาะขอบประตูเหมือนหมาน้อยกับประธานกู้ผู้มีชื่อเสียงแห่งวงการบันเทิงไม่ออก
หรืออาจจะถูกสิ่งแปลกปลอมเข้าสิงก็ได้
กู้จือหยั่นสัมผัสได้ถึงแววตาของมู่น่อนน่อน แล้วกระแอมออกมาเบาๆพร้อมคลายมือ“ที่จริงก็ไม่ได้หนาวอะไรขนาดนั้น ฉันไปก่อนนะ”
พอกู้จือหยั่นไปแล้ว ในห้องโถงจึงเหลือเพียงมู่น่อนน่อนกับ“เฉินเจียฉิน”เพียงสองคน
มู่น่อนน่อนมองออกไปด้านนอกประตู ในใจเกิดความสงสัย ทำไมเฉินถิงเซียวยังไม่กลับ
เขามักจะออกไปที่ไหนเหรอ
“ฉันขึ้นไปก่อนนะ”มู่น่อนน่อนมองดู“เฉินเจียฉิน”ทีหนึ่ง แล้วหมุนตัวกลับไป
“เฉินเจียฉิน”จู่ๆดักเรียกเธอไว้“มู่น่อนน่อน”
“ว่าไงล่ะ”มู่น่อนน่อนชะงักฝีเท้ามองไปที่เขา
เดิมทีเธอก็ขาวมากอยู่แล้ว พอแสงไฟส่อง ยิ่งดูขาวละออขึ้นไปอีก ดวงตาแมวคู่นั้นจับจ้องไปที่เขา จนเขารู้สึกอ่อนยวบไปทั้งตัว
อืม ดูยั่วนะ
“เรื่องบริษัทมู่ซื่อ……”เฉินถิงเซียวพูดไปครึ่งหนึ่งจึงชะงัก เห็นแววตามู่น่อนน่อนดูเครียด เลยยิ้มให้“จะให้ช่วยอะไรหรือเปล่า”
ตอนที่เขาพูดประโยคแรก มู่น่อนน่อนใจหายหมด คิดว่าเขาไปรู้อะไรมาเสียอีก
พอฟังประโยคหลัง ใจเธอก็หล่นว๊าบ สีหน้าดูอึดอัด ฝืนยิ้ม“เดี๋ยวพวกคุณพ่อคงจัดการ
เองได้ อย่างไรเสียโรงงานเกิดเรื่องแบบนี้ ก็ถือเป็นข่าวฉาวของบริษัท ก็ต้องแก้ไขเอง”
“เฉินเจียฉิน”เอียงคอ ยิ้มเหมือนขานรับ“อ้อ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า เดินตัวปลิวขึ้นบันไดไป
เมื่อกลับถึงห้อง เธอจึงสบายใจขึ้น
อย่างไรเสียเธอก็เป็นคนสกุลมู่ เธอวางแผนเอาไว้แล้ว เรื่องของคนสกุลมู่ คนยิ่งรู้น้อยยิ่งดี
เสิ่นเหลียงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ เธอไม่ต้องปิดบังอะไร
แต่ว่า“เฉินเจียฉิน”ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะเคยช่วยเหลือเธอยังไง แต่เขาก็เป็นคนตระกูลเฉิน
พวกผู้ใหญ่ก็ซับซ้อนแบบนี้แหละ ไม่ค่อยไว้ใจใคร
……
ตอนเช้าวันที่สอง มู่น่อนน่อนตื่นขึ้น ในตอนที่เดินผ่านห้องหนังสือของเฉินถิงเซียว เธอ
หยุดฝีเท้าลง
เฉินถิงเซียวลึกลับเกินไป สองวันนี้เธอไม่ได้ถามถึงสถานการณ์ของเฉินถิงเซียว และก็ไม่มีใครบอกเธอ เขาไม่เคยมีตัวตนในบ้านหลังนี้
หากแต่“เฉินเจียฉิน”กลับเหมือนเจ้าของบ้านมากกว่า
แม้ว่ามู่น่อนน่อนจะงุนงงสงสัย แต่ก็ยังต้องไปทำงานที่บริษัทมู่ซื่ออยู่ดี เลยไม่คิดมาก
พอไปถึงบริษัทมู่ซื่อ ตอนที่มู่น่อนน่อนเดินผ่านฝ่ายบุคคล เห็นคนกลุ่มหนึ่งนอนฟุบอยู่
ตามโต๊ะ แถมยังเห็นเพื่อนตาโหลสองคนชงกาแฟในห้องน้ำชาด้วย
ดูท่าฝ่ายบุคคลคงจะอดนอนทั้งคืน
แม้ว่าพวกเขาจะอดตาหลับขับตานอน แต่เรื่องของบริษัทมู่ซื่อก็แดงขึ้นมาแล้ว แถมคลิปฉาวโฉ่ของมู่หวั่นขี ยังลบไม่ออกอีกด้วย
มู่น่อนน่อนเดินไปนั่งที่นั่งตัวเอง ก็มีคนมาแจ้งให้เข้าประชุม
วันนี้มู่น่อนน่อนมาส่องดูเหตุการณ์โดยเฉพาะ ก็เลยตามไปที่ห้องประชุม
แล้วเธอก็จัดงานของลูกค้าอีกนิดหน่อย
ในตอนเลิกประชุม มู่น่อนน่อนเตรียมจะไปพร้อมคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าเลขาของมู่ลี่เหยียนเข้า มาตั้งแต่เมื่อไหร่
เลขาค่อยๆเกริ่นนำ“คุณมู่คะ ท่านประธานเรียกพบค่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอ”มู่น่อนน่อนถามพร้อมเดินออกไปอย่างสบายอารมณ์
เลขาจำได้ว่าคราวที่แล้วมู่ลี่เหยียนให้มาหามู่น่อนน่อน มู่น่อนน่อนเดินออกไปหน้าตาเฉยอย่างไม่ไว้หน้า เลยยื่นมือมาคว้าแขนเธอไว้ พูดอย่างอ่อนใจ“ไปสักครั้งเถอะค่ะ เมื่อคืนท่านประธานก็ไม่ได้นอนทั้งคืน……”
“ก็ปล่อยมือสิ……”มู่น่อนน่อนเองก็อยากไปดูสารรูปของมู่ลี่เหยียนเหมือนกัน
เธอต้องยอมรับ ว่าตัวเองก็ร้ายกาจใช่ย่อย
พอถึงประตูห้องทำงานมู่ลี่เหยียน เลขาเคาะประตูพูดขึ้น“ท่านประธานคะ คุณมู่มาแล้ว
ค่ะ”
เธอพูดพลางเปิดประตูให้มู่น่อนน่อน ด้วยท่าทีที่เคารพ
“ขอบใจนะ”มู่น่อนน่อนยิ้มให้เลขา ก้าวเท้าเข้าไป แล้วปิดประตู
มู่ลี่เหยียนเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงาน ยิ้มอย่างอ่อนโยน“น่อนน่อนมาแล้วเหรอ กินข้าวเช้ามาหรือยัง”
บนโต๊ะทำงานมีกล่องอาหารเช้าวางอยู่ LOGOด้านบนดูคุ้นตาเหลือเกิน เป็นร้านอาหารแถวๆนี้
“กินมาแล้วค่ะ คุณพ่อหาหนูมีธุระอะไรหรือคะ”มู่น่อนน่อนนั่งลงตรงหน้า สีหน้าจริงจัง
มู่ลี่เหยียนสีหน้าอ่อนเพลียไม่น้อย ดูออกว่าอดนอนมาทั้งคืน เขาส่ายหน้า สีหน้าเหนื่อยอ่อน“บริษัทเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เธอก็รู้ ฝ่ายบุคคลยุ่งกันอยู่ทั้งคืนแต่ทำอะไรไม่ได้เลย เมื่อวานยังมีคนไปพังหน้าร้านของบริษัทด้วย……”
มู่ลี่เหยียนปรับทุกข์ให้มู่น่อนน่อนฟัง ดูน่าสงสารมาก
แต่มู่น่อนน่อนรู้ดี มู่ลี่เหยียนเรียกเธอมาแต่เช้าแบบนี้ คงไม่ใช่แค่ปรับทุกข์หรอก จะต้องมีเรื่องอื่น
เป็นไปตามที่คิด มู่ลี่เหยียนพูดไปพูดไป ก็โยนเรื่องไปที่เธอ“บริษัทมู่ซื่อเป็นบริษัทบ้านเรา แม้ว่าเธอจะแต่งออกไป แต่ก็ยังคงเป็นคนตระกูลมู่ ตอนนี้บริษัทเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีใครช่วยเราได้แล้ว นอกจาก……”
เขาพูดมาถึงตรงนี้ เธอก็เข้าใจแล้ว ก็คืออยากให้มู่น่อนน่อนไปขอร้องตระกูลเฉิน
มู่น่อนน่อนเป็นคนก่อเรื่องนี้ แล้วเธอจะคิดช่วยมู่ลี่เหยียนเรื่องอะไร
เธอราวกับฟังไม่เข้าใจ พูดด้วยสีหน้าขึงขัง“จริงสิคะ เรื่องนี้ร้ายแรงมาก เมื่อวานหนูเปิดเน็ตเห็นคนด่าบริษัทเราเต็มเลย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเราต้องแก้ไขสิคะถึงจะถูก เพื่อให้ผู้บริโภคอภัยและยอมรับ……”
พูดง่าย ตอนนี้ปัญหาที่สำคัญที่สุดของบริษัทมู่ซื่อ ก็คือบริษัทอื่นถอนความร่วมมือไปหมดแล้ว บางคนถึงขั้นไปฟ้องร้อง สำหรับบริษัทมู่ซื่อแล้วมันร้ายแรงเหมือนลูกเห็บตกทับ
ถมหิมะ
แต่ว่า ถ้าตระกูลเฉินสามารถออกมาช่วยได้ในเวลานี้แล้ว บริษัทอื่นก็จะไม่ถอนตัว
อย่างไรเสีย ทุกคนเกรงใจตระกูลเฉิน
มู่ลี่เหยียนเห็นมู่น่อนน่อนไม่ค่อยอยากให้ความร่วมมือ จึงชักสีหน้า พูดเสียงเข้ม แล้วไม่อ้อมค้อม“พวกนี้เป็นเรื่องรองลงมา ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือให้บริษัทอยู่ต่อได้ แกบอกให้เฉินถิงเซียวส่งคนมาแถลงข่าว ให้บริษัทมู่ซื่อเราผ่านจุดนี้ไปให้ได้ก่อน”
มู่น่อนน่อนดวงตาเป็นประกาย“แค่นี้ก็ได้แล้วหรือคะ”
มู่ลี่เหยียนคิดว่าตัวเองโน้มน้าวใจมู่น่อนน่อนได้แล้ว จึงพยักหน้าแล้วพูด“ใช่ ง่ายๆแค่นี้”
ทันใด มู่น่อนน่อนก็หน้างอ แสดงสีหน้าหวาดกลัว“ก่อนหน้าเขาให้บัตรดำหนูมา แต่โดนโจรลักพาตัวขโมยไปแล้ว หนูยังไม่กล้าบอกเขาเลยค่ะ ถ้าเขารู้เรื่องนี้ จะต้องไม่ปล่อยหนูแน่ๆ…
ตอนที่ 96 ไม่ผ่านทาง ติดไปไม่ได้
สำหรับท่าทีของมู่หวั่นขีนั้น มู่น่อนน่อนไม่ได้รู้สึกสนใจอีกต่อไป
เธอเดินไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อโบกรถกลับคฤหาสน์
พอเข้าประตู เธอโยนกระเป๋าลง แล้วนอนแผ่ราบบนโซฟา เหนื่อยจนไม่คิดขยับ
วันนี้เธอก็ไม่ได้ทำอะไรนี่ ทำไมถึงเหนื่อยขนาดนี้
อาจจะเหนื่อยใจ
เธอเปิดดูข่าวเว็บบอร์ดในมือถือ เห็นคำว่า“โรงงานใจร้าย”กับ“คลิปฉาวในโรงงานใจ
ร้าย”สองคำนี้กำลังเป็นประเด็นถกเถียงอยู่
ในคอมเมนต์มีแต่เสียงด่าทอ
มีไม่กี่คอมเมนต์ที่ออกมาแก้ต่างแทนมู่หวั่นขี แต่ก็โดนกลบไป
ไม่นานนัก มู่น่อนน่อนก็เห็นคลิปมู่หวั่นขีถูกล้อมอยู่หน้าประตูบริษัทมู่ซื่อ
ในคลิปนั้น มู่หวั่นขีดูเหมือนคนบ้าเลยทีเดียว
คอมเมนต์ที่ร้อนแรงที่สุดในคลิปคือ“ทำไมฉันรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ยิ่งดูยิ่งประสาท ไม่งั้นทำไมคลิปฉาวร่อนขนาดนั้น เจ้าหล่อนไม่มียางอายบ้างเลยหรือไงยังไปด่านักข่าวอีก ว่ากันว่าเป็นเรื่องที่รู้เห็นเป็นใจกันอย่างนั้นเหรอ”
“เห็นด้วยกับคอมเมนต์ข้างบนค่ะ ดีนะคะที่ฉันไม่ได้เป็นเพื่อนของหล่อน คนบ้าแบบนี้ฆ่าคนตายก็คงไม่มีโทษหรอกใช่ไหมคะ”
“เป็นหญิงบ้าโดยแท้เลยล่ะค่ะ!”
“หน้าตาก็สวยดีหรอก ให้เงินเท่าไหร่ถึงนอนด้วยล่ะเนี่ย”
มู่น่อนน่อนวางมือถือลง ขี้เกียจอ่าน
นอกจากบอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกสองสามคน ทั้งคฤหาสน์ก็โล่งโจ้ง ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวกับ“เฉินเจียฉิน”อยู่บ้านไหมนะ
มู่น่อนน่อนครุ่นคิด จึงส่งข้อความหา“เฉินเจียฉิน”“คุณกลับมากินข้าวไหมคะ”
ถ้า“เฉินเจียฉิน”ไม่กลับมากินข้าว เธอก็ไม่ทำ ไหนๆก็มีบอดี้การ์ดทำให้
ส่วนเฉินถิงเซียวก็เพิ่งจบการประชุมอันยาวนานสามชั่วโมง รู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย
พอกลับมาถึงห้องทำงานจึงนั่งลง ก็ได้รับข้อความมู่น่อนน่อน
เขากำลังจะตอบกลับ ก็เห็นกู้จือหยั่นวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามา
“ถิงเซียว ดูนี่สิ!”กู้จือหยั่นส่งมือถือให้เฉินถิงเซียวดู
เฉินถิงเซียวทอดสายตามอง แววตาหดเล็กน้อย ดูแบบลวกๆ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“โรงงานภายใต้บริษัทมู่ซื่อมีปัญหาอยู่แล้ว คนที่ตั้งใจจะแซะ ก็เอาประเด็นนี้มาโจมตีได้ เพียงแต่ธุรกิจตอนนี้ จะที่ไหนมันก็ไม่สะอาดทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่ถูกต้อนจนจนมุม คงไม่มีใครออกมาโจมตีบริษัทมู่ซื่อได้ขนาดนี้หรอก”
กู้จือหยั่นพยักหน้าพูด“นายว่าเรื่องนี้ คุณท่านตระกูลมู่จะกลับมาไหม”
“เป็นไปได้”เฉินถิงเซียวไม่รู้คิดอะไร จึงพูดออกไปลอยๆ
กู้จือหยั่นไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดนี้ จึงถามขึ้นอย่างสงสัย“เรื่องนี้ถูกเปิดโปงกะทันหันเกินไป ก่อนหน้านี้ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย นายว่าใครเป็นคนทำ”
ใครเป็นคนทำเหรอ
เฉินถิงเซียวกระพริบตา แต่ก็ตอบกู้จือหยั่นอย่างไร้ความรู้สึกว่า“ไม่บอกหรอก”
กู้จือหยั่นเบิ่งตาโพลง“แค่ดูข่าว นายก็รู้แล้วเหรอว่าใคร”
เฉินถิงเซียวไม่สนใจ เปิดดูข่าวบริษัทมู่ซื่อ
กู้จือหยั่นถามต่ออย่างไม่สบอารมณ์“บอกหน่อยสิ เป็นการต่อสู้ทางธุรกิจหรือเปล่า”
“ไม่ใช่หรอก”เฉินถิงเซียวตอบโพล่งออกมา
ชาวเน็ตต่างถล่มด่าบริษัทมู่ซื่อ ก็ไม่มีอะไรมาก
เฉินถิงเซียวดูอยู่สองสามนาทีก็เลิกดู
เขาถึงคิดขึ้นได้ ก่อนหน้ามู่น่อนน่อนส่งข้อความหาเขา
เขาแต่งข้อความหนึ่งให้มู่น่อนน่อนส่งไป
กู้จือหยั่นเหมือนจะถามต่อ เฉินถิงเซียวก็หยิบเสื้อโค้ทออกมาสวมใส่แล้วเดินออกไป
กู้จือหยั่นก็เห็นเฉินถิงเซียวกำลังส่งข้อความ แค่ไม่เห็นเนื้อหา
คนที่เฉินถิงเซียวจะส่งข้อความหา แน่นอนมีแต่มู่น่อนน่อน
“นายจะกลับบ้านกินข้าวแล้วเหรอ วันนี้ฉันไม่ได้ขับรถมากลับไม่ได้ ขอติดรถไปด้วยสิ!”กู้จือหยั่นเคยกินข้าวที่มู่น่อนน่อนทำ ยังคงจำรสได้ อยากจะไปกินข้าวบ้านเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวหันหน้ากลับ ปฏิเสธอย่างเย็นชา“ไม่ผ่านทาง ติดไปไม่ได้”
“อย่าเย็นชาขนาดนั้นสิ แค่ไปกินข้าวที่บ้านเอง เป็นเพื่อนกันป่าวเนี่ย!”
เฉินถิงเซียวยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง“ไม่ใช่”
สุดท้าย กู้จือหยั่นยังคงขึ้นรถเฉินถิงเซียวอย่างหน้าด้าน
……
มู่น่อนน่อนจ้องจอโทรศัพท์ อ่านข้อความที่“เฉินเจียฉิน”ส่งกลับ
มีเพียงตัวอักษรสั้นๆ“อืม”
ในฐานะผู้เสียหาย มู่น่อนน่อนคิดว่าเธอควรจะแอดวีแชทของ“เฉินเจียฉิน” ถ้ามีอะไรเธอก็ส่งข้อความตรงได้เลย ไม่ต้องเสียเงินส่งแมสเซจ
เธอค้นหาคอนแทกต์ในวีแชท ไม่มีชื่อ“เฉินเจียฉิน”ปรากฏอยู่
คนๆนี้ไม่ใช้วีแชทหรือไงนะ
มู่น่อนน่อนวางมือถือลง ลุกขึ้นเดินไปที่ห้องครัว
เธอเพิ่งหั่นผักเสร็จ ก็ได้ยินเสียงรถดังมาจากด้านนอก
น่าจะเป็น“เฉินเจียฉิน”กลับมา
“น่อนน่อน”
เสียงนี้……
มู่น่อนน่อนหันกลับไป ก็เห็นกู้จือหยั่นยืนหัวเราะแหะๆแล้วเดินเข้ามา ในมือถือกล่องสวยๆมาด้วยใบหนึ่ง
LOGOที่พิมพ์อยู่บนกล่องเป็นร้านเค้กร้านหนึ่ง เป็นร้านเค้กที่เสิ่นเหลียงไปซื้อเป็นประจำ
“เฮ้อ วันนี้ไม่ได้ขับรถไปบริษัทน่ะ กลับบ้านไม่ได้ เจอเฉินเจียฉินเข้าพอดี ก็เลยขอติดรถมาค้างด้วยคืนหนึ่ง ลำบากเธอหน่อยนะที่ต้องทำกับข้าวเผื่อ เอาเค้กมาฝากจ๊ะ น้ำใจเล็กน้อย”
สมกับเป็นเจ้าของบริษัทบันเทิง คำพูดนี้ไม่มีตกหล่นเลย
แต่ว่า โดนกู้จือหยั่นเรียกว่า“น่อนน่อน”เธอเองก็ไม่ชินเลย
“ขอบใจนะ”
กู้จือหยั่นหน้าตาน่าเอ็นดู แล้วยังขี้เกรงใจ มู่น่อนน่อนได้แต่ยิ้มรับขนมเค้กไว้
มู่น่อนน่อนถ่ายรูปขนมเค้กส่งให้เสิ่นเหลียงดูอย่างแสนร้าย
เสิ่นเหลียงส่งอิโมจิว่างอนแล้วนะกลับมา“ไปซื้อขนมเค้กไม่ชวนกันเลย!!!”
“กู้จือหยั่นซื้อมา รู้สึกว่าเป็นร้านเค้กที่ใครบางคนไปบ่อยๆมั้ยนะ ไม่รู้ว่าได้เคยเจอกันบ้างหรือเปล่า……”
“[อิโมจิถือมีดยาวสี่สิบนิ้ว.jpg]。”
มู่น่อนน่อนไม่หยอกเธออีกต่อไป นึกได้ว่าเสิ่นเหลียงบอกว่าจะฉลองอะไรสักอย่าง“มากินข้าวมั้ย”
“ไม่ไป”กู้จือหยั่นก็อยู่ เสิ่นเหลียงไม่ไปแน่นอน
……
ตอนกินข้าว กู้จือหยั่นที่สงสัยค้างคาใจเรื่องโรงงานบริษัทมู่ซื่อ ก็เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
มู่น่อนน่อนก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่ให้สุ้มเสียง เงียบเป็นไก่
พูดเป็นนานสองนาน กู้จือหยั่นนึกขึ้นมาได้ว่ามู่น่อนน่อนเป็นคนตระกูลมู่
เขาเลยถามมู่น่อนน่อนออกไปตรงๆ“น่อนน่อน บริษัทเธอเกิดอะไรขึ้นเหรอ”
น่อนน่อน?
เฉินถิงเซียวหรี่ตาจ้องกู้จือหยั่น“อิ่มแล้วก็ไสหัวไป”
กู้จือหยั่นทำหน้างง เขาไปแหย่อะไรคุณชายท่านเข้าให้เนี่ย
มู่น่อนน่อนเคยชินกับนิสัยอันลึกลับของเฉินถิงเซียวเสียแล้ว เธอส่ายหน้า“ไม่ค่อยทราบสิคะ ในบริษัทวุ่นวายไปหมด”
พอพูดจบ “เฉินเจียฉิน”ที่นั่งตรงข้ามก็จู่ๆหันมามองเธอ
แววตาดำขลับดุจหมึกดูลึกลับ แถมยังดูคุ้นเคย
ทำไมเธอรู้สึกว่า “เฉินเจียฉิน”ดูเหมือนจับได้ว่าเธอนั้นโกหก…
ตอนที่ 95 ล้อมรอบ
มู่น่อนน่อนอ่านคอมเมนต์นั้นต่อ
ได้ประโยชน์จากการสู้รบตบมือกับมู่หวั่นขีในไม่กี่เดือนนี้ เธอยิ่งรู้สึกว่าคอมเมนต์เหล่านั้นผู้คนจงใจให้มันออกมาเป็นจังหวะๆ และคอมเมนต์ด้านล่างๆดูเหมือนจะจ้างหน้าม้ามาด้วย
มู่น่อนน่อนคิดถึงเสิ่นเหลียง
เธอครอปคอมเมนต์เหล่านี้ส่งไปให้เสิ่นเหลียงดู แล้วถามว่า“เธอเป็นคนปล่อยคอมเมนต์พวกนี้ใช่ไหม แถมยังหาหน้าม้ามาอีก”
เสิ่นเหลียงตอบทันที“บ้าเอ๊ย!ดูออกด้วยเหรอเนี่ย บอกมานะเธอแอบติดกล้องอะไรไว้ในมือถือฉันเปล่าเนี่ย”
มู่น่อนน่อนหุบยิ้มทันที จึงตอบไปเบาๆสองคำ“รู้สึก”
เสิ่นเหลียง“เซนส์เธอนี่แรงจริงนะ!แต่ว่า เธอจะหาคนเปิดโปงบริษัทมู่ซื่อทำไมไม่เรียกฉันด้วยล่ะ!ฉันจะได้ช่วยหาหน้าม้าเยอะๆไง!”
นิสัยชอบก่อกวนของเสิ่นเหลียง ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
“เธออย่าเข้ามายุ่งเลยดีกว่า ฉันจัดการเองได้ เธอเป็นคนสาธารณะ ระวังจะโดนคนแบล็คเมล์เอาได้”มู่น่อนน่อนเป็นห่วงเสิ่นเหลียงเหลือเกิน ถ้ามีคนจงใจจะแกล้งเธอแล้วล่ะก็ แค่ขุดเรื่องพวกนี้ออกมาก็แบล็คเมล์เธอได้แล้ว
“ไม่มีอะไร ไม่โดนขุดหรอกน่า เรื่องเก็บความลับฉันเก่งอยู่แล้ว ไม่พูดละ ฉันจะไปเล่นในเว็บบอร์ดสักหน่อย เย็นนี้กินข้าวฉลองกันนะ”
ฉลอง……อะไร
มู่น่อนน่อนยิ้มอย่างอ่อนใจ แล้วออกจากห้องแชท
เพื่อนร่วมงานพูดขึ้นข้างๆมู่น่อนน่อนว่า“น่อนน่อน ประชุมแผนกจ๊ะ ทำไมยังอยู่ตรงนี้อีก”
“จะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”
มู่น่อนน่อนเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ค่อยๆเดินตามกลุ่มคนไปเข้าประชุม
คนที่จัดการประชุมไม่ใช่มู่หวั่นขี แต่เป็นรองผู้จัดการ
รองผู้จัดการสีหน้าตึงเครียด“ทุกคนใช้มือถือติดต่อลูกค้าทุกคนในมือ ปลอบใจพวกเขาลูกค้าที่อยากจะถอนการร่วมมือ ให้ทุกคนพยายามผูกมิตรเอาไว้……”
มู่น่อนน่อนม้วนผมตัวเองเล่น โดยไม่ได้ตั้งใจฟัง
เรื่องฉาวโฉ่ของบริษัทมู่ซื่อถูกเปิดโปง ภาพลักษณ์ของธุรกิจถูกกระทบ เหมือนข่าวเรื่อง นมผงที่เป็นอันตรายต่อทารกที่ถูกเปิดโปงเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ธุรกิจเกือบล้มละลาย เหมือนกับตกแป๊กลงมาจากก้อนเมฆ
บริษัทมู่ซื่อทำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของใช้ ไม่ใช่ของกิน ขอแค่ผ่านมาตรฐาน ก็ไม่น่าจะถึงขั้นล้มละลาย แต่ว่าได้รับผลกระทบหนักแน่นอน
ในยุคที่ทุกอย่างล้ำสมัย คนส่วนใหญ่ยังคงทำทุกอย่างเพื่อให้มาซึ่งได้ผลประโยชน์ ใจ คนยากที่จะหยั่งถึง คนที่ตั้งใจทำงานจริงๆมีน้อยมาก
หมากตัวนี้ของมู่น่อนน่อนเดินแรงไปหน่อย แต่ถ้าตระกูลมู่ไม่มีปัญหาจริงๆ ปาปารัสซี่จะไป
ถ่ายอะไรได้ล่ะ
หลังจากที่การประชุมจบลงอย่างรวบรัด ก็เลยเวลาเลิกงานไปนานแล้ว ทุกคนต่างอยู่ทำงานล่วงเวลา
มู่น่อนน่อนไม่ได้คิดจะอยู่ทำงานล่วงเวลา เธอคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไป ในตอนที่เดิน ใกล้จะถึงลิฟต์ เธอกลับเดินไปทางห้องทำงานของมู่ลี่เหยียน
บังเอิญที่ประตูเปิดแง้มไว้
เสียงโกรธขึ้งของมู่หวั่นขีจึงเล็ดลอดออกมา
“เรายัดเงินให้พวกนักข่าวทุกปี พวกเขาทำแบบนี้เหรอ พ่อคะ ทำไงดี บริษัทจะล้มละ
ลายมั้ยคะ”
พอได้ยินคำว่าล้มละลาย มู่ลี่เหยียนจึงตะคอกใส่เธอ“หุบปาก!พ่อบอกแกตั้งนานแล้วว่าให้อยู่เฉยๆ ออกไปเที่ยวก็ให้โลว์โปรไฟล์หน่อย ตอนนี้โดนคนจับได้ แล้วเอาเรื่องแกมาเป็นสาเหตุ พวกมันตั้งใจให้ตระกูลมู่อยู่ไม่ได้!”
“หนูจะไปรู้ได้ไงคะว่าจะโดนถ่ายรูปกับถ่ายคลิป ตอนนั้นก็แค่อยากเที่ยว ตอนนั้นพ่อก็ไม่ได้มาสนใจเรื่องพวกนี้นี่ พ่อเองก็เที่ยวผู้หญิง คราวก่อนหนูเห็นพ่อโอบเอวเด็กที่ดูอ่อนกว่าหนูเข้าโรงแรมด้วยซ้ำ……”
มู่หวั่นขีร้อนใจ บวกกับโดนมู่ลี่เหยียนด่าอย่างไม่สบอารมณ์ ก็เริ่มพูดไม่หยุดปาก
เสียงฟาด“ผัวะ”ดังก้องขึ้น พร้อมกับเสียงมู่หวั่นขีที่หยุดลงทันควัน
มู่น่อนน่อนค่อยๆแง้มประตูออก เห็นมู่หวั่นขีเอามือกุมหน้า พร้อมกับร้องเสียงแหลม“คุณพ่อตบหนูเหรอ”
มู่ลี่เหยียนดูเหมือนจะเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป น้ำเสียงจึงอ่อนลงอย่างมาก“หวั่นขี……”
มู่หวั่นขีเดินก้าวถอยหลัง“ไม่ต้องมาเรียกหนู!”
พูดจบ เธอก็หมุนตัววิ่งออกไป
มู่น่อนน่อนเห็นเหตุการณ์ จึงรีบจากไป
ในตอนที่ใกล้ถึงประตู เธอนึกถึงเหตุการณ์ที่นักข่าวไปดักรอคนบริษัทมู่ซื่อเมื่อคราวที่ แล้ว จึงหยิบหน้ากากในกระเป๋าออกมาใส่
เธอเคยชินที่จะพกหน้ากากในช่วงฤดูหนาว คิดไม่ถึงว่าจะเอามาใช้ได้ในเวลานี้
พอมู่น่อนน่อนออกไป ก็โดนนักข่าวล้อมตัวไว้
“คุณเป็นพนักงานบริษัทมู่ซื่อหรือเปล่าครับ อยู่ตำแหน่งอะไร เรื่องความมือบอดของโรงงาน พวกพนักงานอย่างคุณรู้ไหมครับ”
“ขออภัยนะคะ ไม่สามารถตอบได้ค่ะ”พอมู่น่อนน่อนพูดจบ เธอหันกลับไปมองอย่างไม่ตั้งใจ เห็นมู่หวั่นขีเดินออกมาจากด้านใน
มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับไป พูดออกมา“คำถามของทุกท่าน ให้ผู้จัดการแผนกเป็นคนตอบนะคะ”
นักข่าวต่างหันตามมู่น่อนน่อน ก็เห็นมู่หวั่นขี
แม้มู่น่อนน่อนจะรูปร่างบอบบาง ภายนอกสวยสดงดงาม แต่ว่าแต่งตัวธรรมดามาก ไม่มีมาดผู้บริหารเลยแม้แต่น้อย
ส่วนมู่หวั่นขีนั้นสวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนม ที่เคยปรากฏอยู่บนนิตยสารแฟชั่น อีกทั้งพวกดาราในวงการบันเทิงเขาใส่กัน คนที่จะใส่เสื้อผ้าราคาแพงขนาดนี้ได้ น่าจะเป็นคนที่มี
ตำแหน่งอยู่ในบริษัท
พวกนักข่าวทุกคนต่างอยู่เป็น ต่างก็เบียดเสียดกันเข้าไปสัมภาษณ์มู่หวั่นขี
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้ไปไหนไกล ถอยหลบไปอยู่ในที่ๆไม่สะดุดตา มองดูมู่หวั่นขีถูกรุม
ล้อม
“คุณอยู่ตำแหน่งอะไรครับ คุณมีอะไรจะพูดเกี่ยวกับการที่บริษัทมู่ซื่อถูกเปิดโปงในครั้งนี้มั้ยครับ พวกคุณจะสามารถให้คำตอบสื่อได้เมื่อไหร่ครับ”
คำถามแรกเริ่ม ทุกคนต่างมะรุมมะตุ้มอยู่กับปัญหาของบริษัทมู่ซื่อ
จู่ๆก็มีใครไม่รู้จำคลิปฉาวของมู่หวั่นขีได้ จึงหลุดปากถามคำถามนี้ออกมา
“คุณเป็นหญิงสาวที่อยู่ในคลิปฉาวโฉ่นั่นใช่ไหมครับ”
“ชีวิตส่วนตัวเละเทะขนาดนี้ ยังมาบริหารบริษัทมู่ซื่อได้อีกหรือครับ”เห็นได้ชัดว่าคนถามไม่รู้ว่ามู่หวั่นขีเป็นลูกสาวของมู่ลี่เหยียน
อย่างไรเสียนักข่าวพวกนี้ไม่ใช่นักข่าววงการบันเทิง รู้แค่นั้น แต่ไม่ได้สังเกต
แต่ก็มีนักข่าวที่มีไหวพริบ ที่เสริชหาคลิปในเน็ต
จากนั้นก็เริ่มเปิดประเด็นทำข่าวบริษัทมู่ซื่อ
“สวัสดีค่ะ ท่านผู้ชม ฉันเป็นนักข่าวสำนัก……ตอนนี้ดิฉันอยู่หน้าประตูบริษัทมู่ซื่อ แล้วสุภาพสตรีที่โดนนักข่าวรุมล้อมอยู่นะคะ ก็เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทมู่ซื่อค่ะ ตามข่าว ก่อนหน้าสุภาพสตรีผู้นี้ได้มีคลิปฉาวปรากฏออกมาต่อสาธารณะนะคะ สำหรับประเด็นนี้……”
นักข่าวยังรายงานข่าวไม่ทันจบ มู่หวั่นขีก็กระโจนเข้ามา แย่งไม่โครโฟนในมือมา
ตอนนี้ภาพลักษณ์ของมู่หวั่นขีได้เสียหายยับเยิน พูดด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์“พวกแกซี้ซั้วพูดอะไรกัน นักข่าวอย่างพวกแกจะรายงานข่าวที่เป็นความจริงหน่อยไม่ได้หรือไง ข่าวยกเมฆพวกเนี่ยรายงานออกมาได้ไง”
นักข่าวอื่นๆต่างก็กระหน่ำถ่ายภาพการอาละวาดของมู่หวั่นขี
แสงแฟลชระยิบระยับ มู่หวั่นขีเอามือบังหน้า น้ำเสียงแหบพร่า“หยุดถ่ายได้แล้ว บอกให้หยุดถ่ายไง ยามล่ะ!ยามอยู่ที่ไหน!ไล่พวกมันออกไป!”
นักข่าวที่โดนปัดไมค์ทิ้ง เริ่มหยิบไมค์ขึ้นมาอีกครั้ง เห็นว่าไมค์ยังใช้ได้ จึงรีบรายงานข่าวต่ออย่างตื่นเต้น“คนที่ปัดไมค์ดิฉันเมื่อกี้นะคะก็คือผู้บริหารสาวของบริษัทมู่ซื่อคนเมื่อกี้เองค่ะ เพิ่งทราบนะคะว่าเธอเป็นลูกสาวของประธานบริษัท ชื่อมู่หวั่นขี
ตอนที่ 94 เปิดโปงความชั่วร้าย
“ขอบคุณค่ะ”มู่น่อนน่อนยิ้มบางๆให้เซียวชู่เหอ
แม้ว่าปากมู่น่อนน่อนจะกล่าวขอบคุณ แต่เซียวชู่เหอยังคงรู้สึกว่าในรอยยิ้มนั้นมีความหมายลึกซึ้ง ดวงตาแมวคู่นั้นดูเหมือนมองทะลุทุกอย่าง
เซียวชู่เหอตัวสั่นเทาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ตะเกียบในมือถือไว้ไม่นิ่ง ตกลงบนพื้น
มู่น่อนน่อนค้อมตัวช่วยเธอเก็บตะเกียบขึ้นมา ปากบอกว่า“แม่คะ ตะเกียบต้องจับให้มั่น ถ้าคราวหน้าตกอีก หนูอาจจะไม่ได้ยืนเก็บอยู่ข้างๆแม่แล้วนะคะ”
น้ำเสียงของเธอเชื่องช้าเนิ่นนาน จังหวะการพูดอ่อนโยน แต่ว่าในหูของเซียวชู่เหอ มักจะรู้สึกว่ามีความหมายอะไรบางอย่างแฝงไว้อย่างลึกซึ้ง
เซียวชู่เหอมุ่นคิ้ว แล้วส่งยิ้มออกมา“แค่ไม่ทันระวังเท่านั้นน่ะจ๊ะ”
“เหรอคะ”มู่น่อนน่อนหัวเราะอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ ลุกขึ้นยืน“หนูอิ่มแล้วค่ะ ออกไปก่อนนะคะ”
ที่จริงเธอแทบจะไม่ได้แตะต้องตะเกียบเลย
มู่ลี่เหยียนมองดูมู่น่อนน่อนเดินจากไป เขาขมวดคิ้ว เขามักจะรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนผิดแปลกไปตรงไหน
……
พอมู่น่อนน่อนออกจากห้องทำงานของมู่ลี่เหยียน ความรู้สึกที่แสดงบนสีหน้านั้นอลหม่านนับไม่ถ้วน รู้สึกถึงแต่ความเจ็บปวดทิ่มแทงกระดูก
การเอาอกเอาใจของเซียวชู่เหอเมื่อครู่ เธอดูออก แต่เธอไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งอะไรด้วยเลยหลายปีมานี้ เธอมักจะโดนรังแกอยู่เสมอ
ถ้าเซียวชู่เหอยังพอรักเธออยู่บ้าง หลายปีมานี้ก็คงจะซื้อเสื้อผ้าให้เธอสักตัวอยู่หรอก
และคงไม่คุกเข่าขอร้องเธอแทนมู่หวั่นขีให้ไปแต่งงานกับคนไร้มนุษยธรรมอย่าง
เฉินถิงเซียว
เป็นเพราะเรื่องการลักพาตัวในคราวนี้ เซียวชู่เหอถึงได้รู้ถึงความสำคัญของเธอที่มีอยู่ในใจ พอลิ้มรสถึงความหวานชื่นได้บ้าง ก็เลยอยากจะเอาใจเธอมั้ง
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอคงให้อภัยเซียวชู่เหอไปแล้ว
แต่ว่า พอจิตใจคนมันตายด้านไปแล้ว มันก็ตาสว่าง การเอาใจของเซียวชู่เหอ ก็หมด
ความหมายลงโดยปริยาย
ต่อไป เธอจะไม่สนใจเซียวชู่เหออีก
ไม่มีใครที่จะทนกับการถูกทำลายล้างครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วจะแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไร
เกิดขึ้นต่อไปได้
มู่น่อนน่อนเดินไปยังที่ๆไม่มีคน จึงส่งข้อความให้ปาปารัสซี่ที่เสิ่นเหลียงแนะนำให้เธอในตอนแรก“ผ้าขนหนูทำความสะอาดห้องครัวที่ตระกูลมู่คิดค้น วัตถุดิบแย่มาก มีสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย”
บริษัทมู่ซื่อผลิตของใช้ในบ้านเป็นสำคัญ เมื่อสองปีก่อนก็โดนโจมตีเรื่องที่ผลิตภัณฑ์ไม่ ได้มาตรฐาน ตรวจพบปัญหา แต่ต่อมาข่าวก็เงียบลงไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนั้นเธอยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย พอเห็นข่าวนี้ ก็เลยแอบไปตรวจดูที่โรงงานบริษัทมู่ซื่อ ซึ่งก็มีปัญหาจริงๆ
ปาปารัสซี่ที่เสิ่นเหลียงแนะนำมาค่อนข้างเชื่อถือได้ ถือว่าเป็นคนที่ค่อนข้างมีคุณธรรมทีเดียว แม้ว่าปาปารัสซี่เป็นคนอารมณ์ดี แต่ถ้าเขาจะเอาข่าวนี้ไปขายให้นักข่าวก็ย่อมทำได้
ปาปารัสซี่รีบตอบเธอกลับมาทันที“คุณแน่ใจเหรอ”
“แน่ใจสิ แต่นายต้องไปถ่ายรูปที่โรงงานเองนะ ฉันเอาที่อยู่ให้”สิ่งที่ปาปารัสซี่ถนัดก็คือปลอมตัวแล้วแอบถ่าย เป็นงานถนัดของเขา
“ตกลง ได้!”
เป็นเพราะมีความสัมพันธ์กับบริษัทเฉินซื่อ ข่าวบริษัทมู่ซื่อจึงดูมีมูลค่ามาก ดังนั้นปาปารัสซี่จึงตกปากรับคำลงทันที
มู่น่อนน่อนเก็บมือถือเข้าอย่างดี แล้วเดินไปในช่องว่าง
ระหว่างทางเห็นมู่หวั่นขีที่เพิ่งกินข้าวเสร็จกลับมา
เซียวชู่เหอมักจะทำอาหารมาส่งที่บริษัท ซึ่งมู่หวั่นขีเป็นคนต้นคิด เธอกินอาหารฝีมือ เซียวชู่เหอจนเบื่อแล้ว ก็เลยอยากจะออกไปกินข้าวข้างนอกบ้าง
มู่หวั่นขีร้องเรียกเธอเสียงสูง“เธออยากเรียนรู้จากฉันไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวตอนฉันประชุม เธอก็มาฟังด้วยกันสิ”
ตอนนี้มู่หวั่นขีได้สติคืน เธอคิดว่าตัวเองรู้จักมู่น่อนน่อนดีนัก ถ้ามู่น่อนน่อนรู้ว่าตัวเองเป็นคนทำเรื่องนี้ ก็คงจะไม่สงบขนาดนี้หรอกน่า แต่เธอก็ยืนยันไม่ได้ทั้งหมด เธอก็เลยอยากจะดูมู่น่อนน่อนไปก่อน
มู่น่อนน่อนยิ้มตอบตกลง“ได้สิ”
……
ในห้องประชุม
มู่น่อนน่อนนั่งลงข้างมู่หวั่นขี ค่อยๆฟังเนื้อหาการประชุมอย่างตั้งใจ
แม้ว่าเธอจะฟังไม่ค่อยออก แต่ก็สัมผัสได้ว่ามู่หวั่นขีไม่ได้ต่างอะไรจากเธอคือ ทำอะไรไม่เป็นเลย
มู่หวั่นขีดูสีหน้าเหม่อลอยของมู่น่อนน่อน ในใจก็ยิ่งรู้สึกลำพอง
คนโง่ก็คือคนโง่!
มู่น่อนน่อนไม่ใส่ใจว่ามู่หวั่นขีจะลำพองใจได้สักแค่ไหน เพราะว่าไม่นาน กิจการหลาย
อย่างของบริษัทมู่ซื่อก็จะถูกหยุดลง
หลังจากที่การประชุมเสร็จสิ้น มู่หวั่นขีจึงให้มู่น่อนน่อนอยู่ต่อ
“แค่เนื้อหาการประชุมง่ายๆยังฟังไม่เข้าใจเลย ฉันว่าเธอรีบกลับแผนกการตลาดของเธอไปเถอะนะ!”มู่หวั่นขีมองมู่น่อนน่อนอย่างดูแคลน ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหยียด
หยาม
“อ๋อ ค่อยว่ากันแล้วกัน”มู่น่อนน่อนมองเธออย่างสบายอารมณ์ แล้วหมุนตัวจากไป
สิ่งที่มู่หวั่นขีรับไม่ได้คือ มู่น่อนน่อนไม่เห็นเธออยู่ในสายตา
เธอมองตามเงาหลังมู่น่อนน่อนอย่างเกลียดชัง เธอไม่เชื่อหรอกว่ามู่น่อนน่อนจะดวงดีไปตลอด ได้ มันต้องมีสักวัน ที่เธอจะเหยียบมู่น่อนน่อนให้จมดิน!
มู่น่อนน่อนกลับมาถึงห้องพัก เธอท่องอินเตอร์เน็ตดู แต่ก็ยังไม่เห็นข่าวของบริษัทมู่ซื่อ
เลยหรือว่าปาปารัสซี่ถ่ายรูปอะไรไม่ได้ หรือว่ายังไม่ได้ไปแอบลักข้อมูลที่โรงงานบริษัทมู่ซื่อ
แต่ไม่นานนัก มู่น่อนน่อนก็ได้รับผลลัพธ์ที่รอคอย
ในตอนที่ใกล้จะเลิกงาน จู่ๆบริษัทก็เรียกประชุมด่วน
บรรยากาศภายในตึงเครียดขึ้นมา มีแต่เสียงโทรศัพท์ดังไม่หยุด วุ่นวายกันไปทั่ว
มู่น่อนน่อนมาทำงานในแผนกได้ไม่นาน เธอก็ได้แต่ทำงานเบ็ดเตล็ดเท่านั้น แต่ด้วยปกติเธอเป็นมิตรกับเพื่อนร่วมงาน บวกกับสถานภาพของเธอ เพื่อนๆจึงไม่ค่อยกล้าใช้งาน
เธอ
ดังนั้น มู่น่อนน่อนจึงกลายเป็นคนที่ว่างที่สุด
เธอจึงค่อยๆเปิดอินเตอร์เน็ตท่องดู แล้วก็เห็นพาดหัวข่าวเปิดโปงธุรกิจตัวเบ้อเร่อ
【ข่าวร้อน:นักข่าวสืบสวนบริษัทของใช้ประจำวัน เปิดโปงความมืดดำของโรงงาน】
“เมื่อพูดถึงบริษัทของใช้เจ้าดังประจำเมืองหู้หยาง ทุกคนย่อมต้องคิดถึงบริษัทมู่ซื่อ วันนี้นักข่าวของเราได้เสี่ยงอันตราย เข้าไปภายใต้ธงของบริษัท เพื่อเปิดโปงความมืดบอดของโรงงานที่คนไม่รู้……วัตถุดิบส่วนมากเก็บมาจากถังขยะ……ซึ่งเป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกายผู้บริโภค……”
มู่น่อนน่อนอ่านสิบบรรทัดรวดจนมาถึงบทสรุป
“บริษัทข้าวของเครื่องใช้เจ้าดังกว่าสิบปี ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ผ้าขนหนูยันไม้ถูพื้น ต่างล้วนออกมาจากบริษัทนี้ทั้งนั้น แต่สองปีก่อนผู้คนก็เริ่มที่จะไม่ใช้ สำหรับสาเหตุ คนที่ใช้แล้วต่างรู้ดี……”
“เพิ่งซื้อสินค้าชุดใหม่มาจากบริษัท จะคืนได้ไหมเนี่ย”
“ทุกคนยังจำคลิปฉาวก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ รู้สึกว่าจะเป็นลูกสาวของตัวประธานเอง สอนลูกออกมาได้ไร้ยางอายแบบนี้ จะไปหวังให้ผลิตของใช้อะไรดีๆได้”
“+1 ฉันเห็นด้วยกับคอมเมนต์ด้านบน!”
“+2……”
“+เลขบัตรประชาชน รู้อยู่แล้วว่าสักวันต้องเป็นข่าว!”
“……”
คอมเมนต์ที่พูดถึงคลิปฉาวของมู่หวั่นขี มีคอมเมนต์ตามมาอีกนับหมื่น ระลอกคลื่นลูกนี้ ได้ผลดีจริงๆ พอเป็นข่าวก็เข้าถึงแก่นของบริษัทมู่ซื่อเลย
ตอนที่ 93 คนน่าสงสาร
มู่หวั่นขีโดนมู่น่อนน่อนจ้องเสียขนลุก จนตัวแข็งทื่อ
เธออยากให้ตัวเองนิ่งลงอีกสักหน่อย จึงเผยอยิ้ม แต่ว่าความน่ากลัวในแววตาของเธอ มันเห็นเด่นชัด มาแบบนี้ สีหน้าของเธอจึงดูประหลาดมาก เหมือนกับคนที่เป็นบ้า
ทุกคนในลิฟต์ล้วนเห็นความผิดปกติของมู่หวั่นขี แต่ไม่มีใครกล้าส่งเสียง
มู่น่อนน่อนค่อยๆเดินไปหยุดตรงหน้ามู่หวั่นขี มือประคองเธอเอาไว้ อีกมือหนึ่งลูบคลำเนื้อผ้าบนเสื้อโค้ท พูดอย่างอิจฉา“พี่คะ นี่เสื้อชุดใหม่ใช่ไหมคะ สวยจริงๆเลย ดูแล้วน่าจะราคาแพงนะคะ”
ถ้าเป็นยามปกติ มู่หวั่นขีคงไม่พลาดที่จะอวดเสื้อผ้าชุดใหม่ของเธอ แต่ว่าคนที่อยู่ตรง
หน้าคือมู่น่อนน่อนที่เธอคิดว่าตายไปแล้ว เธอไม่มีแม้แต่อารมณ์ที่จะไปอวดด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น เสื้อผ้าบนตัวเธอชุดนี้ ยังใช้บัตรดำของมู่น่อนน่อนรูดซื้อเสียด้วย
“ไม่……ไม่ได้แพงนักหรอก”มู่น่อนน่อนค่อยๆคล้องแขนเข้าไปในแขนของเธอ ทำให้เธอรู้สึกราวกับมีงูพิษเข้าไปเลื้อยพัน หากเธอขยับ ก็จะโดนกัดตาย
“มันอาจจะไม่ได้แพงสำหรับพี่นะคะ เมื่อวานฉันเห็นชุดรุ่นเดียวกันนี้ที่ห้าง ราคาตั้งเก้าแสนกว่าแหน่ะ แถมยังต้องจองอีกด้วย คนทั่วไปอยากซื้อยังซื้อไม่ได้เลย……”
มู่หวั่นขีสั่งซื้อเสื้อผ้าชุดนี้ล่วงหน้า ซึ่งก็หมายความว่าพวกเขาวางแผนจะเอาบัตรดำนั่น
มาจากมือของมู่น่อนน่อนนานแล้ว
ในมุมมองของผู้อื่น มู่น่อนน่อนจงใจแหย่ให้มู่หวั่นขีอิจฉา มีแต่มู่หวั่นขีเท่านั้นที่รู้ เธอ
โดนมู่น่อนน่อนทำให้ตกใจจนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนพอใจกับปฏิกิริยาของมู่หวั่นขี นี่แหละเป็นปฏิกิริยาของคนที่ทำอะไรผิดมา
ติ๊ง——
ลิฟต์มาถึงชั้น แล้วเปิดออกเองโดยอัตโนมัติ
มู่หวั่นขีอยากออกไปแต่ไม่กล้าขยับ เพราะมู่น่อนน่อนยังไม่ได้ปล่อยมือจากเธอ
ทุกคนในลิฟต์เห็นมู่หวั่นขีไม่ขยับ ต่างก็ไม่กล้าเดินขึ้นหน้า
มู่น่อนน่อนแกล้งทำเป็นส่งเสียงตกอกตกใจ“พี่คะ คิดอะไรอยู่ ทำไมยังไม่ออกไปอีก ทุกคนรอพี่อยู่นะคะ”
เธอพูดพลางดันมู่หวั่นขีออกไป
ในตอนที่ออกไป เธอยังไม่ลืมหันกลับมามองคนในลิฟต์แล้วพูดขึ้นว่า“แล้วเจอกัน”
จนกระทั่งมาถึงห้องทำงานของมู่หวั่นขี หลังจากที่มู่น่อนน่อนลงกลอนประตูแล้ว จึงคลายมู่หวั่นขีออก
“พี่ดูเหมือนจะกลัวฉันมากเลยนะคะ แบบนี้ฉันลำบากใจนะคะ คนอื่นจะคิดว่าฉันรังแกพี่ได้”มู่น่อนน่อนพูดขึ้นมาคำหนึ่ง มู่หวั่นขีจึงก้าวถอยหลัง
มู่น่อนน่อนยิ้มเย็นชา มือคว้าคอเสื้อมู่หวั่นขีเอาไว้ น้ำเสียงพกความร้ายกาจ“ไม่ต้องกลัวนะคะ ฉันเชื่อฟังพี่มาโดยตลอด จะไปกล้ารังแกพี่ได้ไงกัน”
มู่หวั่นขีเห็นมู่น่อนน่อนพูดอยู่เป็นนาน ก็ไม่เห็นพูดถึงเรื่องเมื่อวาน เลยคิดว่ามู่น่อนน่อน ไม่รู้เรื่องราวเมื่อวานของเธอเสียอีก
พอคิดได้แบบนี้ เธอจึงรวบรวมความกล้าขึ้น
มู่หวั่นขีสะบัดมือมู่น่อนน่อน แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้“มู่น่อนน่อน เธอกินยาผิดมาหรือเปล่า มาพูดเรื่องแปลกๆกับฉันแต่เช้า!”
เธอพูดพลางหันตัวกลับเข้าไปในห้องทำงานแล้วนั่งลง วางท่าทางผู้จัดการ“เอาล่ะ นี่เป็นเวลาทำงาน เธอกลับไปทำงานก่อนเถอะนะ มีอะไรค่อยมาหาพี่หลังเลิกงาน”
มู่น่อนน่อนไม่แปลกใจเลยที่มู่หวั่นขีแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“เอาสิ เลิกงานแล้วฉันมาหา”มู่น่อนน่อนฉายรอยยิ้มออกไป แล้วหมุนตัวกลับ
เธอออกไป มู่หวั่นขีจึงโยนเอกสารลงบนพื้นอย่างแรง!
มู่น่อนน่อนกลับมาปรากฏตัวอย่างไม่เป็นอะไรเลย!
เรื่องลักพาตัวเมื่อวันเสาร์ เป็นแผนการของเธอกับมู่ลี่เหยียนเอง เพียงเพื่อต้องการจะ หลอกเอาบัตรดำมาจากมู่น่อนน่อน
แผนการที่เธอกับมู่ลี่เหยียนวางเอาไว้คือ เอาบัตรดำมา แล้วให้โจรลักพาตัวออกไปจากเมืองหู้หยาง ตอนนั้นต่อให้มู่น่อนน่อนรู้เรื่องแล้วก็ไม่มีหลักฐานผูกมัดอะไรพวกเขา
แต่ความเกลียดชังเข้ากระดูกที่มู่หวั่นขีมีต่อมู่น่อนน่อน ทำให้เธอไม่ปล่อยมู่น่อนน่อนไป ง่ายๆ
เธอแอบยัดเงินเพิ่มให้กับโจรลักพาตัวสองคนนั้น!
โจรสองคนนั้นมีคดีติดตัว ทั้งคู่เป็นคนที่ทำชั่วโดยไม่คำนึงถึงชีวิต ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต พอจบงานมู่หวั่นขีก็ไม่ได้ติดต่อถามผล เพราะกลัวว่าจะทิ้งรอย เดิมทีเธอคิดว่ามู่น่อนน่อนคงตายแน่นอน คิดไม่ ถึงว่าพวกมันจะทำพลาด!
มู่น่อนน่อนไม่เหมือนเดิม พอรู้ว่าเธอเป็นคนวางแผนลักพาตัว คงจะไม่ปล่อยเธอไปแน่
นอน!
……
มู่น่อนน่อนออกจากห้องทำงานของมู่หวั่นขี แล้วไปหามู่ลี่เหยียน
เรื่องลักพาตัวเมื่อวันเสาร์ จะต้องเป็นความร่วมมือของพวกเขาพ่อลูกแน่นอน มู่หวั่นขีคนเดียวทำไม่ได้หรอก
มู่น่อนน่อนเคาะประตู เสียงมู่ลี่เหยียนดังมาจากข้างใน“เข้ามา”
เธอผลักประตูเข้ามา มู่ลี่เหยียนเงยหน้าขึ้นมาพอดี
ตอนที่เธอเห็นมู่น่อนน่อน แววตามองแฉลบด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้หวาดกลัว
หมายความว่า สิ่งที่โจรลักพาตัวสองคนนั้นจะทำกับเธอ มู่ลี่เหยียนอาจจะไม่รู้
มู่ลี่เหยียนลุกขึ้นยืน“น่อนน่อน ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ แม่หนูสบายดีไหมคะ”มู่น่อนน่อนเดินไปอย่างไม่ให้สุ้มเสียง สีหน้าไม่ได้ดูแปลกอะไร
มู่ลี่เหยียนเห็นว่าเธอไม่ได้พูดถึงเรื่องที่โดนลักพาตัว คิดว่าเธอไม่รู้ จึงยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นแล้วพูดขึ้น“เธอไม่มีอะไร ตอนเที่ยงจะเอาข้าวมาส่ง จะมากินด้วยกันไหมล่ะ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้ารับ“เอาสิคะ”
ตอนเที่ยง เซียวชู่เหอมาส่งข้าวให้พวกมู่ลี่เหยียนที่บริษัทมู่ซื่อจริงๆด้วย
พอเธอเห็นว่ามู่น่อนน่อนก็อยู่ด้วย จึงเปลี่ยนสีหน้า“น่อนน่อนก็อยู่ด้วยเหรอเนี่ย……”
“ไม่ได้กินข้าวฝีมือแม่มานานแล้ว ได้ยินพ่อบอกว่าแม่จะมาส่งข้าว หนูเลยมาฝากท้องด้วย”ตอนที่มู่น่อนน่อนพูด จึงมองสบตาเซียวชู่เหอโดยตรง ดูเหมือนจะยิ้ม ทำให้เดาไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไร
“กับข้าวแม่รสชาติธรรมดามากเลยลูก……”เซียวชู่เหอหยิบกล่องอาหารออกมา พร้อมกับหลบสายตามู่น่อนน่อน
เซียวชู่เหอหลบหลีกอย่างเห็นได้ชัด ทำให้มู่น่อนน่อนแน่ใจว่า เรื่องลักพาตัวเมื่อวันเสาร์ เซียวชู่เหอก็รู้ด้วย
ไม่อย่างนั้น เธอจะร้อนตัวด้วยเรื่องอะไร
พูดไม่ถูกว่าเสียใจแค่ไหน รู้สึกจิตใจตายด้านไปหมด
เธอจะต้องยอมรับว่า ยี่สิบสองปีที่ผ่านมานี้ มารดาบังเกิดเกล้าไม่เคยรักเธอเลย
ในใจของแม่บังเกิดเกล้าของเธอ ไม่มีเธออยู่เลย
เซียวชู่เหอทำทุกอย่างเพื่อมู่ลี่เหยียนได้เสมอ
มู่หวั่นขีพูดได้ไม่ผิดหรอก เธอเป็นคนน่าสงสารที่แม้แต่แม่แท้ๆก็ไม่รัก
มู่น่อนน่อนก้มหน้า หัวเราะออกมาเบาๆ“ไม่ค่อยได้กินอาหารฝีมือแม่ เลยจำไม่ได้ว่ารส
ชาติเป็นไง”
เซียวชู่เหอฟังแล้วตะลึง เธอหันไปมองมู่ลี่เหยียน
มู่ลี่เหยียนทอดสายตาสงบไป ส่ายหน้า
เซียวชู่เหอถึงได้วางใจ
ผ่านเรื่องวันเสาร์ไป เธอรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนใส่ใจเธอเหลือเกิน บัตรดำมูลค่าสูงขนาดนั้น เธอสามารถยื่นออกได้โดยไม่แม้แต่กระพริบตา
เธอสำคัญสำหรับมู่น่อนน่อนมาก ต่อไปถ้ามู่ลี่เหยียนมีอะไรให้มู่น่อนน่อนไปทำอีก เธอ
จะได้ช่วยเขาได้
ที่ช่วยมู่ลี่เหยียนได้ เขาจะต้องดีใจมาก จะดีต่อเธอมากขึ้นด้วย
พอคิดแบบนี้ เซียวชู่เหอจึงมีรอยยิ้มบนใบหน้า ยื่นมือคีบกับข้าวให้มู่น่อนน่อน พร้อมกับพูดเอาใจ“งั้นลูกกินเยอะหน่อยนะ”
ตอนที่ 92 ตามใจเธอ
“เฉินเจียฉิน”ได้ฟังคำของมู่น่อนน่อน แววตาแฉลบประกายด้วยความตกตะลึง เขามองดูเธออย่างครุ่นคิด แต่ก็พูดเสียงเรียบออกมาเพียงคำเดียว“ไปเถอะ”
มู่น่อนน่อนเดินตามหลังเขา เธอรู้สึกสับสนพอตัว
ทุกคนมักถูกสับหลอกด้วยเรื่องของความรักความรู้สึกกันทั้งนั้น ตอนนี้เวลาเธอเห็น“เฉินเจียฉิน”เธอก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดอะไรแล้ว กลับรู้สึกขอบคุณและศรัทธาด้วยซ้ำ ถ้าเขาไม่ใช่น้องชายของเฉินถิงเซียว และถ้าหากว่าเธอไม่ได้แต่งงานกับเฉินถิงเซียว……
แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ปัญหาก็มักจะวกกลับไปที่จุดเริ่มต้น
ถ้าเธอไม่ได้แต่งให้กับเฉินถิงเซียว สำหรับสถานภาพในตัวเธอแล้ว ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่มีวันได้คบหากับ“เฉินเจียฉิน”เป็นแน่
มันเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก โชคชะตาก็มักจะน่าขันและก็น่าเพลียใจแบบนี้แหละ
ทั้งคู่ขึ้นรถไป จู่ๆ “เฉินเจียฉิน”ก็เอ่ยปากขึ้นถามเธอ“คุณจะเอาการ์ดดำนั่นกลับมายังไง
เหรอ”
มู่น่อนน่อนยิ้ม“ต้องมีวิธีอยู่แล้วล่ะ”
“คุณไม่กลัวว่าพี่ชายจะเอาเรื่องเหรอ”“เฉินเจียฉิน”ลองถามหยั่งเชิง
“ถ้าเขาคิดจะเอาเรื่องล่ะก็ เมื่อคืนคงเรียกฉันไปสอบปากคำแล้วล่ะ”รอยยิ้มบนใบหน้า
ของมู่น่อนน่อนค่อยจางลง“เขาใจกว้างขนาดนี้ ฉันก็ต้องหาทางเอาบัตรใบนั้นมาคืนเขาอยู่แล้วล่ะ”
เดิมทีคิดว่า เฉินถิงเซียวจะให้เธอเก็บบัตรนั้นไว้ เป็นการยอมรับในตัวตนของเธออีกรูปแบบหนึ่ง
มาดูตอนนี้ คิดว่าน่าจะเพราะเขาไม่ไยดีบัตรดำใบนั้นแล้วมากกว่า
เฉินถิงเซียวจับประเด็นสำคัญคำว่า:คืนให้เขา
ตอนที่เขาเอามือถือให้กับเธอนั้น บอกไปว่า“เฉินถิงเซียว”เป็นคนซื้อ เธอถึงได้รับไว้อย่างดีอกดีใจ
ในตอนที่เขาให้บัตรดำกับเธอนั้น เธอไม่เพียงแต่จะไม่รับ ยังเอาไปให้“เฉินถิงเซียว” อีกต่างหาก “เฉินถิงเซียว”ให้เธอรับบัตรดำไว้ เธอยังเอาไปรูดอีกที
ก่อนหน้านี้ เฉินถิงเซียวให้ของกับเธอ เธอก็รับไว้อย่างยินดีปรีดา
แต่ว่าตอนนี้ เธอกลับเอาบัตรดำนี้คืนให้กับเฉินถิงเซียว
ในที่สุดเธอก็หมดความอดทนกับ“พื้นหน้าบางด้านของเฉินถิงเซียว” แล้วตัดสินใจกลับไปอยู่ข้าง“เฉินเจียฉิน”อย่างนั้นเหรอ
การรับรู้ในครั้งนี้ เฉินถิงเซียวดีใจไม่ออก แต่สีหน้ากลับแย่ลงไปอีก
……
เสิ่นเหลียงถ่ายละครหาเงินได้ไม่น้อย แต่ก็ใช้เงินมาก
ทุกครั้งที่ออกไปเที่ยว ก็ใช้ไปเป็นแสน บางทีถ้าอารมณ์ดีก็ใช้ไปเป็นล้าน
แม้ว่าลักษณะการใช้เงินของมู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงจะไม่ค่อยเหมือนกัน แต่เธอคิดว่าผู้หญิงที่หาเงินใช้เอง จะใช้ยังไงก็ได้
ทั้งคู่ดูเหมือนจะเดินเที่ยวกันอยู่วันหนึ่ง ในตอนพลบค่ำ มู่น่อนน่อนรีบดึงเสิ่นเหลียงให้ไปกินข้าวเย็นแล้วค่อยแยกกัน
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ มู่น่อนน่อนเปิดประตูเข้ามาก็เห็น“เฉินเจียฉิน”
“คุณกินข้าวแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่กินฉันไปทำให้”ในใจคอยพะวงว่าจะทำอาหารให้“เฉินเจียฉิน” เธอจึงรีบบึ่งกลับมา
ตอนนี้เพิ่งเป็นเวลาหกโมงเย็น
“เฉินเจียฉิน”เงยหน้าขึ้น สีหน้าแววตาแสดงความรู้สึกที่ว่า“สะดุ้งที่ได้รับการเอาใจ”ประมาณนี้
เขากระแอมไอออกมา จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างจริงจังว่า“ยังไม่ได้กิน”
เส้นเลือดบนใบหน้าของบอดี้การ์ดกระตุกขึ้นทีหนึ่ง เขาจะไม่ยอมบอกคุณนายน้อยแน่ๆ ว่าคุณชายเพิ่งกินข้าวกลับมา
พอมู่น่อนน่อนทำอาหารเสร็จ เอาออกมาวางไว้ในถาด แล้วให้บอดี้การ์ดยกไปให้เฉินถิงเซียว
“เฉินเจียฉิน”ยังไม่ได้กินข้าวเลย เฉินถิงเซียวก็คงจะยังไม่ได้กินเหมือนกัน
จากนั้นเธอจึงกลับไปที่ห้องของตนเอง
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะกินข้าว มองดูอาหารที่พร้อมทั้งรูปรสกลิ่นเสียง จึงออกปากถามบอดี้การ์ดที่รินน้ำให้“นายคิดว่าคุณนายน้อยไม่เหมือนเดิมตรงไหน”
บอดี้การ์ดตั้งใจคิดอย่างจริงจัง พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่า“เมื่อก่อนเวลาคุณนายน้อยกลับมาก็มักจะถามก่อนเลยว่าคุณชายอยู่บ้านหรือเปล่า แต่วันนี้ไม่ได้ถามครับ”
คำว่า“คุณชาย”ที่บอดี้การ์ดหมายถึงคือ“เฉินถิงเซียวผู้ไม่เคยปรากฏหน้าค่าตา”
พอบอดี้การ์ดพูดจบ ตัวเองก็รู้สึกว่ายังไม่ค่อยชัดเจนนัก จึงพูดอธิบายว่า“คุณชายที่ผมหมายถึงไม่ใช่คุณนะครับ แต่เป็น’คุณชายคนนั้น’ คุณนายน้อย……”
พูดอยู่เป็นนานสองนาน บอดี้การ์ดรู้สึกว่าชักจะซับซ้อนขึ้นทุกที
“รู้แล้วล่ะ ออกไปเถอะ”เฉินถิงเซียวตัวบทพูด ชี้นิ้วให้เขาออกไป
……
วันถัดไปเป็นวันจันทร์
มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ เธอบรรจงแต่งหน้าอย่างประณีต
ในตอนที่ลงมาชั้นล่าง สือเย่ได้มารอเธอแล้ว
มู่น่อนน่อนมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็น“เฉินเจียฉิน” เธอเดินไปตรงหน้าสือเย่“ช่วงนี้คงต้องรบกวนคุณแล้วล่ะ ฉันนั่งรถไปทำงานเองดีกว่านะ”
พอเธอพูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป
สือเย่“……”
ไม่ได้ลำบากอะไรเลย เขารู้สึกว่างานที่สบายที่สุดก็คือการไปรับส่งคุณนายน้อยนี่แหละ
หลังจากที่มู่น่อนน่อนไป เฉินถิงเซียวที่มองทุกอย่างมาจากชั้นสอง จึงค่อยๆก้าวเท้าเข้า
“คุณชาย”สือเย่ค้อมหัวให้อย่างนอบน้อม เขารู้ว่าเฉินถิงเซียวได้ยินเรื่องราวเมื่อกี้แล้วทั้งหมด เขาจึงไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรมาก
เฉินถิงเซียวมองออกไปทางประตู แสดงสีหน้าที่ดูเหมือนจะยิ้ม“ตามใจเธอ”
เดิมทีเขาคิดว่ามู่น่อนน่อนคงจะรู้ถึงสถานะที่แท้จริงของเขา คิดไม่ถึงว่า ตอนนี้เธอเริ่มที่
จะรักษาระยะห่างกับเฉินถิงเซียวเข้าแล้ว
มู่น่อนน่อนนั่งรถมาที่บริษัทมู่ซื่อ
เธอลงจากรถ ยืนอยู่หน้าประตูบริษัทมู่ซื่อ ดวงหน้าสวยสดงดงามเต็มไปด้วยร่องรอย แห่งความเย็นชา ภายใต้แววตานั้นมีแต่ความมั่นใจอันแข็งกร้าว
เธอมู่น่อนน่อนดวงแข็ง และกลับมาอีกแล้ว
มู่น่อนน่อนก้าวเท้าเตรียมจะเข้าไป พนักงานที่เดินผ่านต่างก็อดส่งสายตามองเธอไม่ได้
พวกเขารู้สึกว่า วันนี้มู่น่อนน่อนดูเปลี่ยนไป แม้ว่าจะยังคงเป็นดวงหน้าดวงนั้น และยังคงสวยสดงดงาม แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนมีอะไรที่เปลี่ยนไป
ก่อนหน้าเพื่อนร่วมงานแผนกการตลาดเดินผ่านมู่น่อนน่อน และเรียกทักเธอขึ้นมาทีหนึ่ง“น่อนน่อน อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์จ๊ะ”มู่น่อนน่อนหันหน้าหา พลางพูดแล้วส่งยิ้มให้
ดวงตาแมวคู่สวยหรี่ยิ้มจนกลายเป็นจันทร์เสี้ยว ริมฝีปากแดงเรื่อ ผิวขาวสดใส รูปหน้า โหงวเฮ้งได้ที่
คนข้างๆดูจนใจหวิว ผ่านไปหลายวินาทีถึงได้ยิ้มตอบอย่างรู้สึกตัว
คนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในลิฟต์ มู่น่อนน่อนคุยเล่นกับพวกเขา “วันหยุดสุดสัปดาห์ทำอะไรกันมาบ้าง ออกไปทำกิจกรรมอะไรกันเหรอ”
“พาลูกไปสวนสนุกจ๊ะ……”
“ออกไปเดทกับแฟนจ๊ะ”
“มิน่าล่ะมีรอยแดงบนคอด้วย คิดว่ายุงกัดเสียอีกแหน่ะ!”
“พูดอะไรของเธอน่ะ!”
คนกลุ่มใหญ่หัวเราะร่า มู่น่อนน่อนก็ไม่พูดอะไรอีก ได้แต่อมยิ้มแล้วกดลิฟต์
เพียงแต่ ประตูลิฟต์ปิดลง แล้วเปิดขึ้นอีก
คนที่เข้ามาคือ มู่หวั่นขี
พอเธอเข้ามา เสียงหัวเราะจากด้านในจึงหยุดลงทันที ในลิฟต์จึงเงียบสงบ
มู่น่อนน่อนเข้าไปในลิฟต์เป็นอันดับแรก เธอยืนหลบมุมอยู่หลังผู้คน มู่หวั่นขีเชิดคางขึ้น กวาดตามองไปอย่างหยาบคาย แต่กลับไม่ได้เห็นมู่น่อนน่อนในทันที
มู่น่อนน่อนมองดูมู่หวั่นขี เห็นว่ามู่หวั่นขีสวมเสื้อโค้ทอยู่ เป็นเสื้อโค้ทรุ่นใหม่ที่มู่น่อนน่อนเห็นในห้างสรรพสินค้าเมื่อวาน ราคาเกือบล้าน
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก ค่อยเผยรอยยิ้มออกมา“พี่คะ สวัสดีค่ะ”
ตอนนี้ลิฟต์ค่อยๆเลื่อนขึ้น ข้างในเงียบมาก เสียงมู่น่อนน่อนไม่ได้ดังสักเท่าไหร่ แต่เสียงกลับกระจายไปทั่วลิฟต์ ให้ความรู้สึกแปลกๆขึ้น
มู่หวั่นขีหันหน้าไปหาอย่างเหลือเชื่อ พอเห็นว่าเป็นมู่น่อนน่อนอย่างชัดเจน สีหน้าก็ เปลี่ยนไปทันที
เธอทำเหมือนอย่างกับเห็นสัตว์ประหลาด เธอสะดุดหกล้ม เธอจับราวจับมือ เบิ่งตาโพลงโตจ้องมองมู่น่อนน่อน“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ เธอ……”
พอรู้ตัวว่าตอนนี้อยู่ในลิฟต์ เธอจึงรีบสงบสติอารมณ์ แกล้งทำเป็นนิ่ง“น่อนน่อนเองเหรอวันนี้มาเช้าจัง”
ในตอนที่มู่น่อนน่อนเปิดปากพูด คนที่อยู่ข้างเธอก็เริ่มหลีกทางให้
มู่น่อนน่อนมองมู่หวั่นขีด้วยสายตาสงบนิ่ง พูดออกมาอย่างสบายอารมณ์“มาเช้ากว่าพี่
นิดเดียวเองค่ะ”
ตอนที่ 91 เฉินเจียฉินกำลังปลอบใจเธอ
ท่ามกลางราตรีมืด น้ำเสียงของ“เฉินเจียฉิน”แหบพร่า ฟังดูแล้วคล้ายๆกับน้ำเสียงของ“เฉินถิงเซียว”
มู่น่อนน่อนหยุดชะงัก รู้สึกว่า“เฉินเจียฉิน”ในคืนนี้ผิดปกติอย่างมาก
ทั้งๆคนที่ถูกลักพาตัวคือเธอแท้ๆ เธอหลับไปตื่นหนึ่งตอนนี้อารมณ์สงบขึ้นมากแล้ว แต่“เฉินเจียฉิน”ดูเหมือนอารมณ์จะแย่ลงมาก ทั้งตัวดูอึมครึมไปหมด
ทำให้คนอ่านใจไม่ออก จึงรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้
มู่น่อนน่อนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงคิดจะลงรถ
เธอเดินไปหยุดหลัง“เฉินเจียฉิน” ถามเขาขึ้นเสียงเบาว่า“คุณเป็นอะไรไปน่ะ”
“เฉินเจียฉิน”ไม่ได้พูดอะไร เขาดับไฟบุหรี่ในมือลง หันตัวกลับ
ท่ามกลางราตรี มู่น่อนน่อนแม้จะไม่เห็นหน้าเขา แต่กลับสัมผัสได้ถึงความอึมครึมที่ระอุ มา
ทันใดนั้น ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอจึงก้มหัวลง ประกบหน้าลงบนริมฝีปากเธอ
……
ไม่นานนัก มู่น่อนน่อนจึงสงบลง แม้ว่าในใจจะรู้สึกโกรธกับการกระทำของ“เฉินเจียฉิน” แต่ก็ไม่ได้อาละวาดอะไร ทั้งคู่จึงกลับไปที่คฤหาสน์อย่างเงียบขรึม
ไฟของคฤหาสน์สว่างจ้า ทั้งด้านนอกด้านในล้วนเต็มไปด้วยบอดี้การ์ด
มู่น่อนน่อนตกตะลึง “เกิดอะไรขึ้น”
คงไม่ใช่เพราะว่าเฉินถิงเซียวเห็นว่าเธอหายไป เลยให้บอดี้การ์ดออกตามหาหรอกนะ
“เฉินเจียฉิน”ที่ลวนลามเธอไปก่อนหน้า ทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินเสียงเธออย่างไรอย่างนั้น จึงเดินก้าวขาเข้าไป
มู่น่อนน่อนเดินตามหลังเขาเข้าไป มองดูแผ่นหลังตรงสง่าของเขา ยิ่งรู้สึกว่า“เฉินเจียฉิน”ล้ำลึกเกินกว่าจะคาดเดา
พอเข้าไป“เฉินเจียฉิน”จึงตรงขึ้นห้องทันที
มู่น่อนน่อนกลับมาถึงคฤหาสน์ ในใจรู้สึกวางใจ พอสบายใจแล้วก็รู้สึกหิวลนลาน
มีบอดี้การ์ดเห็นเธอเดินไปที่ห้องครัว จึงรีบตามไปแล้วพูดขึ้น“คุณผู้หญิงอยากรับประทานอะไรครับ กระผมทำให้”
“มีอาหารสำเร็จรูปไหม ฉันกินอะไรรองท้องนิดหน่อยก็พอ”ตอนนี้เธอหิวจนแทบจะกลืนวัวลงไปได้สองตัว
เธอบอกว่ากินอะไรรองท้องนิดหน่อยก็พอ แต่ว่าบอดี้การ์ดก็ยังคงจัดอาหารเต็มโต๊ะให้ เธออยู่ดี
ตอนนี้เธอหิวจนตาลายไปหมด จึงหยิบตะเกียบขึ้นมากิน
กินไปได้ครึ่งหนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นมาเห็น“เฉินเจียฉิน”เดินเข้ามาประจันหน้ากับเธอ
บอดี้การ์ดรีบหยิบชุดตะเกียบให้กับเขา
มู่น่อนน่อนเห็นสถานการณ์ จึงถามเขา“คุณยังไม่ได้ทานข้าวหรือคะ”
น้ำเสียงของ“เฉินเจียฉิน”ราบเรียบ“ยังไม่ได้กิน”
จริงด้วย “เฉินเจียฉิน”ไปช่วยเธอใช้เวลาไม่น้อย ไม่มีเวลากินข้าวตามปกติ
“เฉินเจียฉิน”ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งชุด ผมเผ้าเปียกปอน น่าจะเพิ่งไปอาบน้ำมา
มู่น่อนน่อนกินใกล้อิ่มแล้ว จึงวางตะเกียบลง เอ่ยขึ้นอย่างเต็มปากว่า“ขอบคุณนะคะ……ช่วยฉันไว้อีกครั้งหนึ่งแล้ว”
เธอรู้สึกสับสนในอารมณ์เล็กน้อย
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธออยากจะรักษาระยะห่างกับ“เฉินเจียฉิน” แต่เขามักจะช่วยเหลือเธอเสมอ ระหว่างคนทั้งคู่มีจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว
“ต่อไปอย่าโง่แบบนี้อีกนะ”“เฉินเจียฉิน”ไม่แม้แต่จะเงยหน้า น้ำเสียงปราศจากอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น
พอมู่น่อนน่อนได้ฟัง รู้สึกสลด ยิ้มเย้ยหยัน“ฉันโง่ไปเองจริงๆ”
“แต่ฉันจะทำไงได้ล่ะ เธอเป็นแม่บังเกิดเกล้าของฉันนี่ ฉันจะไม่สนใจก็ไม่ได้ เธอจะไม่ดีอย่างไร ฉันก็ไม่เคยคิด ว่าเธอจะร่วมมือกับคนอื่นมาหลอกฉัน แล้วแถมยัง……”
มู่น่อนน่อนพูดมาถึงตรงท้าย ก็เหมือนจุกที่ลำคอ
เธอนิ่งงัน สีหน้าตึงเขม็งแสดงความอัดอั้น
“เฉินเจียฉิน”เงยหน้า เห็นท่าทีอึดอัดของเธอ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ จึงค่อยๆพูดออกมา“ไม่ใช่แม่ทุกคนที่เป็นแบบนั้นหรอกนะ แม่ของผม เธอดีมาก”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าอย่างตกตะลึง “เฉินเจียฉิน”กำลังปลอบใจเธออยู่เหรอนั่น
เธอคิดว่าในตอนที่เขาจะพูดอะไรบางอย่าง เขาได้ก้มลงพื้น ค่อยๆกินข้าว เหมือนกับว่า ไม่ได้พูดประโยคเมื่อกี้……
ในค่ำคืนนี้ มู่น่อนน่อนฝันร้ายตลอด
เธอตื่นตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ทำอาหารเช้าไว้แต่กลับไม่มีอารมณ์จะกิน จึงนอนขดตัวดูทีวีอยู่บนโซฟาในห้องโถง
เธอไม่ได้รีบไปหาคนตระกูลมู่เพื่อคิดบัญชี
เพราะว่าเธอรู้ดี ต่อให้เธอไปหาถึงหน้าประตู มู่หวั่นขีก็คงไม่ยอมรับหรอก
ตี๊ดๆ——
โทรศัพท์สั่นขึ้น
มู่น่อนน่อนดูชื่อคนที่โทรมา เป็นเสิ่นเหลียง
เมื่อวานเธอได้โทรหาเสิ่นเหลียง แต่ไม่ได้พูดธุระโดยละเอียด ได้แต่เกริ่นไปไม่กี่คำ ดัง นั้นเสิ่นเหลียงจึงไม่รู้ว่าเมื่อคืนเธอเกือบจะเกิดเรื่อง
“เฉินเจียฉิน”จึงต้องรีบไปช่วยเธอ หรือว่าเสิ่นเหลียงจะโทรหากู้จือหยั่น
“วันนี้จะออกมาเดินเล่นคลายเครียดหน่อยไหม อีกไม่กี่วันฉันจะไปงานภาพยนตร์แห่ง
ชาติ ต้องบินเป็นนักบินอวกาศอีกแล้ว”
มู่น่อนน่อนตอบรับมาคำนึง“ได้สิ”
เธอกลับห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา เดินลงไปข้างล่างเห็น“เฉินเจียฉิน”
“จะไปไหนเหรอ”“เฉินเจียฉิน”ดูกระเป๋าในมือเธอ ก็รู้ว่าเธอจะออกไป
“ไปเที่ยวกับเพื่อน”เธอเน้นกำชับเสริมไปอีกคำ“ไปเที่ยวกับเสี่ยวเหลียง คุณเคยเห็นเด็กสาวคนนั้น”
พอพูดจบ มู่น่อนน่อนจึงรู้สึกแปลกในที่ตัวเองทำไมต้องอธิบายให้“เฉินเจียฉินฟังด้วย”
“เฉินเจียฉิน”ลุกขึ้นยืน แล้วถือกุญแจรถไว้ที่อีกมือหนึ่ง“ผมให้คุณ”
มู่น่อนน่อนอยากจะบอกว่าไม่ต้อง แต่ว่า“เฉินเจียฉิน”ราวกับว่าอ่านความคิดของเธอออก จึงชิงพูดก่อนที่เธอจะเปิดปากพูด“พี่ชายสั่งมา ว่าถ้าคุณจะออกจากบ้าน ถ้าว่าง ให้ผมไปส่งคุณ”
เมื่อพูดถึงเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนไม่ได้ตาประกายง่ายเหมือนแต่ก่อน
เมื่อวานตอนที่เธอเกิดเรื่อง คนที่ไปช่วยเธอก็คือ“เฉินเจียฉิน” พอเธอกลับมาที่คฤหาสน์ก็ไม่เจอเฉินถิงเซียว แม้กระทั่งคำพูดแสดงความห่วงใย เฉินถิงเซียวก็ไม่พูด
เธอคิดว่าช่วงเวลานี้ ตัวเองแสดงความซื่อสัตย์จริงใจมากพอแล้ว แต่ว่าเฉินถิงเซียวยัง ไม่ยอมเจอเธอแม้จนกระทั่งบัดนี้
ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็เป็นสามีภรรยาที่มีความสัมพันธ์แบบ“น้ำแข็ง”ก็พอแล้ว
ไม่เคยข้องเกี่ยว ไม่เคยเป็นห่วงเป็นใย ต่างคนต่างอยู่
ตั้งแต่เด็กก็ไม่ได้รับความสนใจ ต่อให้เฉินถิงเซียวเป็นแบบนี้อีกคน ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เลย
พอคิดแบบนี้ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกเบาใจลงเยอะ เธอเดินไปหา“เฉินเจียฉิน”สองก้าว เอียงคอเล็กน้อยดูซุกซน“ถ้าเป็นแค่คำสั่งพี่ชาย คุณก็ไม่ต้องส่งฉันหรอก ถ้าพอดีคุณว่างแล้วอยากส่ง งั้นก็รบกวนด้วยแล้วกัน”
ตอนที่ 90 เดินตามผมไป
ด้วยความที่สัญชาตญาณเอาตัวรอด มู่น่อนน่อนขัดขืนสุดฤทธิ์ คนและเก้าอี้ล้มตามไปกับพื้นลงไป
“แม่ง!”
คนร้ายด่าขึ้นมาคำนึง แล้วใช้เท้าถีบไปที่ท้องของมู่น่อนน่อนทีนึง
แล้วยื่นมือไปดึงผมเธอเอาไว้ ก็กะจะดึงเธอลุกขึ้นมา
เขาใช้แรงถีบหนักไปหน่อย ทำให้มู่น่อนน่อนปวดจนเหงื่อแตก
ในสมองของเธอในตอนนี้คิดแต่จะหลุบให้พ้นจากน้ำมือสกปรกของคนร้าย ไม่มีเวลาไปคิดอย่างอื่น
คนร้ายได้ดึงผมของเธอไว้ ยังไม่ทันจะดึงเธอขึ้นมา ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกถีบออกจากด้านนอก
“ปั่ง”เสียงดังขึ้นมาทีนึง เสียงดังฟังชัดมาก
ศีรษะของมู่น่อนน่อนถูกผู้ชายดึงจนเจ็บ เธอเม้มปากไว้จนแน่นแล้วสายตามองไปยังประตู
ตอนเธอเห็นคนที่คุ้นเคยยืนอยู่หน้าประตู ตอนนั้น จู่ๆเธอก็ปล่อยให้ความหวัดกลัวราวกับกระแสน้ำพักเข้ามาท่วมตัวเธอจนมิด น้ำตาราวกับสร้อยไข่มุกที่ขาด หยดลงทีละเม็ดทีละเม็ด
ถึงแม้เธอกำลังน้ำตาไหล แต่ไม่มีเสียงร้องไห้เลยแม้แต่นิด กลับยิ้มแล้วพูดกับคนที่ยืนอยู่หน้าประตู:“เฉินเจียฉิน คุณมาแล้ว”
วินาทีที่เห็น“เฉินเจียฉิน” นั้น มู่น่อนน่อนถึงตระหนักถึง ก่อนหน้านี้สิ่งที่พยุงเธอให้สงบสติและต่อต้าน ก็คือจิตใต้สำนึกลึกๆของเธอคิดว่าจะมีใครสักคนที่มาช่วยเธอ
และคนที่มาช่วยเธอนั้น ก็ต้องเป็นคนเก่งกาจที่สุดที่เธอรู้จัก
และคนที่เก่งกาจที่สุดที่เธอรู้จักก็คือ“เฉินเจียฉิน”
ตอนที่เฉินถิงเซียวเห็นสภาพข้างในแล้ว สองมือก็ได้กำเป็นหมัดจนแน่น บนตัวเขาปกคลุมไปด้วยกลิ่นไออาฆาตราวกับยมทูตที่ออกมาจากนรกแค่เห็นก็ทำให้คนกลัวจนตัวสั่น
ยิ่งคนร้ายสองคนกลัวจนเสียงสั่นไปหมด:“นาย……นายเป็นใคร?”
ตอนที่คนแซ่มู่จ้างวานพวกเขา ไม่เคยพูดถึงว่าจะมีคนเข้ามาช่วยเธอหนิ!
“ชาติหน้าค่อยมาถามคำถามนี่กับฉัน”เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปหาพวกเขาทีละก้าวๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำราวกับความเย็นที่ทะลุออกมาจากน้ำแข็ง:“เพราะชาตินี้พวกแกไม่มีโอกาสได้รู้แน่”
เพิ่งจะพูดเสร็จ ชายที่เดิมที่เดินเข้าไปใกล้พวกเขาอย่างช้าๆ จู่ๆก็เร่งฝีเท้าก้าวเดินไปสองก้าว ก่อนที่พวกเขาจะมองเห็นท่าทางการเคลื่อนไหวของเขา ก็ได้ล้มลงไปที่พื้นอย่างแรงแล้ว เจ็บจนขดตัวร้องอย่างน่าอนาถ
เฉินถิงเซียวย่อตัวลง พยุงมู่น่อนน่อนพร้อมเก้าอี้ขึ้นมาอย่างระวัง แล้วแก้มัดมือเธออย่างรวดเร็ว
บนใบหน้าของเขาเผยให้เห็นแต่กลิ่นไออาฆาตทั้งตัว ไม่มีสีหน้าอื่นปะปนอยู่ ดูแล้วน่ากลัวกว่าปกติ
แต่ ณ ขนาดนี้ มู่น่อนน่อนกลับรู้สึกกังวลขึ้นมา เพราะเธอสังเกตเห็นว่าข้างหลังของ“เฉินเจียฉิน”ไม่มีใครเลย
ก็แปลว่า“เฉินเจียฉิน”มาคนเดียว
“เฉินเจียฉิน”ถามเธอ:“เป็นอะไรมั้ย?”
“ไม่ค่ะ ทำไมคุณถึงมาคนเดียวล่ะ?”แม้ไม่รู้ว่าเขาหาที่นี่เจอได้ยังไง แต่เขามาคนเดียวแบบนี้ มันอันตรายมากเลยนะ
“ผมคนเดียว ก็เพียงพอแล้ว”
ตอนที่เฉินถิงเซียวพูดอยู่นั้น ได้หลุบตาเล็กน้อย ทำให้เห็นแววตาของเขาได้ไม่ชัดเจนนัก
เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่ง:“คุณออกไปรอผมข้างนอก”
มู่น่อนน่อนเห็นท่าทางของเขามั่งใจมาก ค่อยยังรู้สึกวางใจขึ้นมา แต่ว่า พอตอนเธอกำลังจะยกขา ถึงสังเกตว่าร่างกายตัวเองอ่อนแรงไปหมด เดินไปได้เลยด้วยซ้ำ
ถึงภายนอกจะแกล้งทำเป็นสงบมาก แต่ร่างกายของเธอดูจะซื่อสัตย์กว่าใจของเธอซะอีก
เธอกลัวมาก
ทันใดนั้น เฉินถิงเซียวก็ได้ดึงเนคไทของตัวเองออกแล้วใช้มันปิดตาของเธอไว้ กดเธอนั่งกับเก้าอี้ แล้วค่อยเลื่อนเก้าอี้ไปข้างกำแพง
จากนั้น เขากระซิบที่ข้างหูของเธอคำนึง:“เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
หลังจากนั้น มู่น่อนน่อนก็ได้ยินเสียงต่อสู้และเสียงร้องอนาถตามมา และยังมี——กลิ่นคาวเลือด
ระหว่างนั้น กลิ่นเลือดยิ่งอยู่ยิ่งฉุนและเสียงกรีดร้องก็ค่อยๆจานหายไป
ในห้องได้สงบลงในที่สุด
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ามือของตัวเองถูกมือใหญ่ข้างนึงกุมมือไว้ ตามมาด้วยเสียงของ“เฉินเจียฉิน”:“เรียบร้อยแล้ว เราไปกันเถอะ”
มู่น่อนน่อนยื่นมือจะไปแก้เนคไทที่ปิดตาตัวเองออก กลับถูก“เฉินเจียฉิน ”จับมือเอาไว้
“ออกไปก่อนค่อยว่ากัน ตามผมมา”
ถูกปิดตาเอาไว้แล้ว ตรงหน้ามองไม่เห็นอะไรเลย มู่น่อนน่อนถูก“เฉินเจียฉิน”จูงมือเดินอยู่ ในใจกลับรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ตัวเธอเองยังประหลาดใจ
พอออกไปถึงนอกประตู “เฉินเจียฉิน”ก็ยื่นมือไปแก้เนคไทที่ปิดตาเธอออก
มู่น่อนน่อนกระพริบตาไปหลายที ถึงปรับสายตาได้
ฟ้าได้มืดลงแล้ว แต่ก็สามารถมองเห็นต้นหญ้าที่แห้งตายรอบๆอย่างล่างๆ
เห็นชัดว่าตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ยังเป็นชานเมือง ก็แค่ย้ายจากโกดังร้างมาที่นี่
มือของทั้งสองคนยังกุมไว้เข้าด้วยกัน มือของเธอเย็นมา ของ“เฉินเจียฉิน”กลับอุ่นๆ
ครั้งแรก ที่มู่น่อนน่อนไม่ได้คิดหลีกเลี่ยง ปล่อยให้“เฉินเจียฉิน”จูงมือไปโดยไม่ขัดขืนเลยแม้แต่นิด
ปล่อยตามใจตัวเองครั้งนึง……
ก่อนจากไป เธอหันไปมองทีนึงด้วยความกลัว เห็นคนร้ายสองคนก่อนหน้านี้ นอนอยู่บนกองเลือดไม่ขยับตัวเลยจากประตูที่ปิดแค่ครึ่งนึงพอดี คนนึงลืมตาค้างจ้องมาที่เธอ เหมือนคนตายตาไม่หลับอย่างไรอย่างนั้น
นอนตายตาไม่หลับ?
มู่น่อนน่อนถูกความคิดของตัวเองทำจนกลัว ตัวเย็นไปหมด สองคนนั้นถูก“เฉินเจียฉิน”ตีจนตาย——ทั้งเป็น?
รู้สึกถึงว่าเธอแปลกๆ“เฉินเจียฉิน”หันไปมองเธอทีนึง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ก้มลงแล้วอุ้มเธอขึ้นมาทันที
“คุณ……ฉันเดินเองได้”มู่น่อนน่อนดึงสติกลับมาแล้ว กอดคอของเขาไว้
“เฉินเจียฉิน”ก็ยังไม่พูดอะไรเหมือนเดิม
มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นว่า ตั้งแต่เขาปรากฏตัวจนถึงตอนนี้ เหมือนเขาจะไม่ได้พูดอะไรเลย
“เฉินเจียฉิน”ได้อุ้มมู่น่อนน่อนขึ้นรถไปโดยตรง
มู่น่อนน่อนมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม แต่อุณหภูมิในรถอบอุ่นเกินไป แถมข้างกายก็ยังมี“เฉินเจียฉิน”เส้นประสาทที่ตึงตัวของเธอไม่สามารถผ่อนคลายลงได้ในทันที เธอเลยเหนื่อยจนนอนหลับไป
เฉินถิงเซียวขับรถออกไปได้ระยะนึง ถึงสังเกตเห็นว่ามู่น่อนน่อนได้หลับไปแล้ว
เธอไม่ได้ถูกทำร้ายอะไรมาก แค่ผมยุ่งไปนิดๆ แม้แต่รอยขีดข่วนบนหน้าและแขนก็ยังไม่มีแม้แต่น้อย
สถานการณ์คับขันมากแต่เคราะห์ยังไงดีที่ไม่ได้เป็นอะไร ทำให้เขาตกใจแทบตาย
เขาเกลียดที่สุด——ก็คือพวกคนร้ายที่ลักพาตัว
พวกเขาสมควรตายไปให้หมด
เวลานี้ จู่ๆโทรศัพท์ของเขาได้ดังขึ้น
สือเย่เป็นคนโทรมา
“คุณชายครับ คุณอยู่ไหนครับ?”น้ำเสียงของสือเย่ดูจะเป็นห่วง ก่อนหน้า เขาได้ยินว่าคุณชายขึ้นรถแล้วขับออกไปเลย ไม่รู้ว่าไปไหน
เฉินถิงเซียวพูดด้วยเสียงเบา สั่งว่า:“ฉันส่งที่อยู่ให้นาย นายพาคนมาจัดการที่เหลือ”
สือเย่อึ้งไปครู่นึง ถึงตอบด้วยความเคารพ:“ครับ”
……
เครื่องทำความร้อนเปิดสูงมาก มู่น่อนน่อนร้อนจนตื่น
ไม่เห็น“เฉินเจียฉิน”อยู่ข้างกาย เธอหันหน้าไป ก็เห็นนอกหน้าต่างมีผู้ชายร่างใหญ่ที่เกือบจะกลืนไปกับความมือยืนอยู่ และไฟส้มจุดนึง
มู่น่อนน่อนเปิดประตูรถออกไป ก็ถูกลมหนาวยามค่ำคืนพัดมาจนจามขึ้นมา
พอได้ยินเสียง “เฉินเจียฉิน”ก็หันกลับมา :“อย่าลงรถ ผมสูบบุหรี่ม้วนนี้เสร็จก็ขึ้นมาแล้ว
ตอนที่ 89 ก็แซ่มู่เหมือนกัน
ระหว่างที่ขับรถไปด้วย มู่น่อนน่อนก็คอยสังเกตว่ารถของมู่ลี่เหยียนได้ตามเธอมาด้วยหรือเปล่า
ตอนที่ใกล้จะถึงโกดังรถรกร้างนั้น มีโค้งกะทันหัน
หลังจากที่มู่น่อนน่อนโค้งกะทันหันนั้น ก็ไม่เจอรถของมู่ลี่เหยียนพวกเขาอีกเลย
เธอจอดรถลงที่หน้าประตูโกดังรถเสร็จ
ประตูเหล็กของโกดังก็ได้ค่อยๆถูกคนเปิดขึ้นจากด้านใน มีผู้ชายตัวสูงเดินออกมาคนนึง เขาสวมหน้ากากเอาไว้ สายตาร้ายกาจจ้องมาที่มู่น่อนน่อน
“เธอก็คือมู่น่อนน่อนใช่มั้ย?”
“ใช่”มู่น่อนน่อนพยักหน้า
“เอาเงินมาด้วยหรือเปล่า?”
มู่น่อนน่อนพูดอย่างใจเย็น:“ฉันขอเจอหน้าแม่ก่อน!”
ผู้ชายมองดูรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเธอมาคนเดียว แล้วหันหน้าเดินไปข้างในไป:“ตามฉันเข้ามา”
มู่น่อนน่อนเดินตามเขาเข้าไป
โกดังร้างดูเก่าๆโทรมๆ บนพื้นเต็มไปด้วยฝุ่นหนาทึบ ข้างในกว้างและรกร้างมากมีของกองเต็มไปหมด
มู่น่อนน่อนที่เดิมตามหลังของเขา เห็นเซียวชู่เหอถูกมัดกับเก้าอี้แต่ไกล
ผมของเซียวชู่เหอที่ปกติถูกจัดทรงเป็นอย่างสวย ตอนนี้ได้ยุ่งเหยิงพันกันเป็นก้อนไปแล้ว ใบหน้าซีดเซียวดูแก่ขึ้นมาก
ถึงสวรรค์จะประทานใบหน้าอันงดงามมาให้ แต่สุดท้ายก็แพ้ให้กับกาลเวลาจนได้
แววตาของเซียวชู่เหอเผยความดีใจเมื่อเห็นมู่น่อนน่อนมา เสียงของเธอได้ร้องจนแหบแล้ว:“น่อนน่อน ในที่สุดเธอก็มาแล้ว!”
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปสองก้าว มองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เซียวชู่เหอใส่หัวแล้วยิ้มไปด้วย:“เธอมาแล้ว ฉันก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ เธอรีบเอาเงินให้พวกเขาเถอะ พวกเขาแค่ต้องการเงิน!”
เวลานี้ ผู้ชายที่ก่อนหน้านี้พาเธอเข้ามาก็ได้ยกมือกันเธอไว้:“พอแล้ว เงินล่ะอยู่ไหน?”
“เวลาที่คุณให้มันน้อยเกินไป ฉันหาเงินมากขนาดนั้นมาไม่ได้หรอก ”มู่น่อนน่อนพูดอย่างสงบ:“ในเมื่อคุณรู้ว่าฉันเป็นคุณหญิงน้อยของตระกูลเฉิน ก็ต้องรู้ว่าตระกูลเฉินมีแบล็คการ์ดที่ใช้ได้ทั่วโลก ฉันสามารถเอาบัตรนั่นให้คุณได้?”
พอผู้ชายได้ยินที่เธอพูดแล้ว สีหน้าเปลี่ยนในทันที :“เธอจะเล่นกับฉันนั้นเหรอ?เธอคิดว่าฉันโง่หรือไงกัน?ถ้าฉันเอาแบล็คการ์ดใบนั้นไปจริง เธอก็จะสั่งให้คนอายัดบัตร จากนั้นก็แจ้งความจับพวกเราสิ!”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอมีความคิดแบบนั้นจริง!
คนติดตามของผู้ชายคนนั้น จู่ๆได้เข้ามากระซิบที่หูของเขาอะไรบางอย่าง
ผู้ชายที่สวมหน้ากากยื่นมือไปที่เธอ :“ฉันปล่อยยัยแก่คนนี้ไปได้ แต่เธอต้องไปถอนเงินกับฉัน”
“ได้”มู่น่อนน่อนไม่ได้มองหน้าของเซียวชู่เหอเลยด้วยซ้ำ ก็รับปากไป
หลังจากที่พวกเขาปล่อยหมัดให้เซียวชู่เหอ เซียวชู่เหอมองหน้ามู่น่อนน่อนทีนึง แววตาตื่นตกใจแล้วพูดทิ้งไว้คำนึง:“น่อนน่อน ระวังตัวด้วยนะ”
จากนั้นเธอก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
มุมปากของมู่น่อนน่อนยกขึ้น แล้วยิ้มอย่างประชด โดยไม่พูดอะไรเลย
เธอหยิบบัตรแบล็คการ์ดออกมายื่นให้กับผู้ชายคนนั้น ผู้ชายคนนั้นยื่นมือมารับ
จู่ๆ มือที่มาถึงครึ่งนึงกลับยกไปที่หลังของเธอแล้วทุบลงที่คอของเธอทีนึงอย่างแรง
มู่น่อนน่อนยังไม่ทันจะพูดอะไร หน้าก็มืดในทันที แล้วระหว่างเสี้ยววินาทีที่จะสลบไป ในหัวของเธอก็ได้นึกย้อนเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างเร็ว
เพิ่งจะรู้ถึงความผิดปกติของเรื่องในตอนนี้ แต่ก็ช้าไปแล้ว
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนตื่นมา สังเกตเห็นว่าเธอได้มาถึงที่ใหม่แล้ว ไม่ใช่โกดังรถร้างจากเดิมแล้ว
สมองยังไม่ทันได้ฟื้นเต็มที่ ก็ได้ยินเสียงคนพูดรางๆ
“คนที่จ้างเรามาก็แซ่มู่เหมือนกัน?”
“เป็นคนในครอบครัวของผู้หญิงคนนี้!”
“นี่มันโกรธแค้นอะไรกัน ถึงได้……ถ้าพวกเราจัดการผู้หญิงคนนี้ แล้ว……คนบ้านตระกูลเฉินจะมาเอาเรื่องพวกเราหรือเปล่า?”
“นายลืมไปแล้วเหรอ สิบกว่าปีก่อน เรื่องที่คุณนายเฉินถูกลักพาตัวไป ……สุดท้ายข่าวก็เงียบหายไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตระกูลไฮโซอย่างพวกเขา หน้าตาชื่อเสียงต้องมาเป็นอันดับแรก……”
มู่น่อนน่อนสะดุ้งทีนึง เหมือนถูกแช่ไว้ในตู้แช่แข็ง ความหนาวเย็นได้เข้าสู่ร่างกายทั่วในทันที
ตอนที่เธอไปถึงที่ตระกูลมู่ เขวี้ยงถ้วยของมู่หวั่นขี แต่มู่หวั่นขีกลับไม่มีท่าทีโกรธเลย
มู่หวั่นขีไม่ยอมให้เธอแจ้งความ
ตอนนั้นเธอกังวลมาก ชีวิตคนทั้งคน ถึงเธอจะไม่คาดหวังอะไรจากเซียวชู่เหอแล้วก็ตาม แต่เธอก็ไม่สามารถทนเห็นเธอตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่สนใจอะไรเลย
สุดท้ายแล้วก็เธอมันอ่อนต่อโลกเอง ที่สู้มู่ลี่เหยียนและมู่หวั่นขีสองพ่อลูกไม่ได้
“พี่ใหญ่ เธอฟื้นแล้วครับ!”
คนที่กำลังพูดสังเกตเห็นว่ามู่น่อนน่อนฟื้นแล้ว
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเย็นอย่างกับน้ำแข็ง สงบจนไม่เหมือนคนที่กำลังถูกจับอย่:“คำพูดที่พวกคุณพูดในเมื่อกี้ ฉันได้ยินหมดแล้ว คนที่จ้างพวกคุณมาก็คือมู่ลี่เหยียนกับมู่หวั่นขีใช่มั้ย?”
ผู้ชายคนนึงในนั้นรำคาญฮึขึ้นทีนึง:“ใกล้จะตายอยู่แล้วยังจะถามเยอะไปทำไม!”
“ฉันก็แค่อยากจะให้ฉันนอนตายตาหลับ”มู่น่อนน่อนพูดไปด้วยและระหว่างนั้นสายตาก็สังเกตดูรอบๆ
เห็นว่าที่ๆเธออยู่นั้น เป็นห้องรับแขกของบ้านหลังนึง มีทั้งโซฟาและเก้าอี้ เธอถูกมัดกับเก้าอี้เอาไว้ ตัวเธอถูกมัดจนแน่น รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว
“ถึงบอกเธอไปแล้วไง เธอจะทำอะไรได้?พวกเขาเป็นคนจ้างพวกเราเอง อย่าโทษพวกเราเลยนะ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เธอโชคไม่ดีเอง”ผู้ชายคนนั้นเห็นว่ามู่น่อนน่อนหน้าตาดี เลยยอมที่จะคุยกับเธอ
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเธอมันโชคร้ายจริง
เธอรู้จักมู่หวั่นขีพวกเขาน้อยไป
การลักพาตัวครั้งนี้ เซียวชู่เหอรับบทอะไรกันแน่?
เธอรู้แผนการของมู่หวั่นขีพวกเขาตั้งแต่แรกแล้วใช่มั้ย แต่ก็ยอมช่วยพวกเขาหรอกบัตรแบล็คการ์ดของเธอไป โดยที่ไม่สนใจว่าเธอจะเป็นหรือตาย
ผู้ชายอีกคนเดินเข้ามา จ้องมู่น่อนน่อนด้วยสายตาหื่นกาม:“อย่าไปเสียเวลากับเธอเลย รีบจัดการให้เสร็จแล้วไปจากเมืองหู้หยางกัน!เราสองคนใครขึ้นก่อน!”
“พี่ใหญ่ พี่ก่อนเลย!”
ในตาของมู่น่อนน่อนหดในทันที หัวใจร่วงตกลงมาอย่างแรง ตามสัญชาตญาณ เธอพยายามดิ้นรนสองครั้ง แต่ถูกมัดไว้จนแน่น ขยับไม่ได้เลย
ครั้งก่อนที่อยู่คลับจื่อจีน มู่หวั่นขีอยากจะคิดทำร้ายเธอ สุดท้ายเธอโชคดีหนีไปได้ แต่ครั้งนี้ เธอหนีไม่พ้นจริงๆแล้วใช่มั้ย?
เธอไม่ยอมที่จะตายไปแบบนี้!
มู่น่อนน่อนบังคับตัวเองให้สงบลง เงยหน้าขึ้น เพื่อให้ตัวเองดูมั่งใจขึ้นมา“พวกคุณคิดว่าตระกูลเฉินจะรังแกได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรอ?คนที่เกี่ยวข้องกับการลักพาตัวคุณนายเฉินในปีนั้น ตอนนี้จะยังมีชีวิตอยู่อีกงั้นหรอ?ถึงแม้ตระกูลเฉินจะเห็นหน้าตาของวงศ์ตระกูลสำคัญกว่า แต่คิดเหรอว่าพวกเขาจะยอมให้คนนอกขึ้นมาเหยียบหัวของพวกเขาน่ะ?”
“คุณนายเฉิน”ที่พวกเขาพูดถึงในเมื่อกี้ คงจะหมายถึงแม่ของเฉินถิงเซียว
เห็นแววตาของผู้ชายสองคนนั้นลังเลหน่อยๆ มู่น่อนน่อนเลยพูดต่อ:“ถึงมู่หวั่นขีจะให้เงินพวกคุณมากมาย พวกคุณก็อาจจะไม่มีชีวิติอยู่ใช้มันได้ ถ้าพวกคุณยอมปล่อยฉันไปในตอนนี้ แล้วไปจากเมืองหู้หยาง ตระกูลเฉินก็ไม่เอาเรื่องกับพวกคุณแน่”
“หึ ยัยนี่กำลังขู่พวกเราอยู่ว่ะ!”
“ชาตินี้กูก็ไม่เคยคิดจะมีชีวิตยืนไปหรอก ถึงตระกูลเฉินจะไม่เอาเรื่องฉัน ตำรวจก็ไม่ปล่อยฉันไว้แน่ กูยังไม่เคยนอนกับผู้หญิงสวยขนาดนี้มาก่อน วันนี้กูต้องเอาเธอให้ได้……”
ระหว่างที่ผู้ชายกำลังพูดอยู่นั้น มือของเขาก็ได้เอื้อมไปดึงเสื้อของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนหน้าซีดในทันที
ห้ามกลัวนะ ต้องมีวิธีอื่นสิ !
เสื้อขนเป็ดสีขาวของเธอคือแบบรูดซิป คนร้ายดึงเสื้อของเธอออกได้เลยทันที ยื่นมือไปใต้เสื้อไหมพรมแล้วจะล้วนเข้าไปเลย
ตอนที่ 88 เธอมาคนเดียว
คำพูดของมู่น่อนน่อนไม่ค่อยน่าฟัง
แต่เธอก็คิดแบบนั้นจริง เซียวชู่เหอที่อยู่บ้านตระกูลมู่นั้น ดูภายนอกอาจจะเหมือนได้ใช้ชีวิตคุณนายไฮโซ แต่เมื่อเทียบกับคุณนายคนอื่นๆแล้ว เธอถึงว่าเลี้ยงง่ายมากแล้ว
ส่วนใหญ่แล้ว เซียวชู่เหอเอาแต่ยุ่งกับเรื่องการกินอยู่ของมู่ลี่เหยียนกับพี่ของเธออีกสองคน
ถึงเงินห้าสิบล้านไม่ใช่น้อยๆ แต่มู่ลี่เหยียนหามาได้แน่
แต่มู่ลี่เหยียนอาจไม่ยอมเอาออกมาก็เป็นได้
เห็นชัดว่ามู่หวั่นขีโกรธแล้ว แต่เธอก็เก็บอารมณ์โกรธนั้นเอาไว้อย่างปากแข็ง แล้วพูดว่า:“ถ้าหากมีเงิน พวกเราก็ต้องยอมเอาเงินห้าสิบล้านออกมาแน่?แต่ปัญหาคือตอนนี้พวกเราไม่มีเงินน่ะสิ!”
“ไม่มีเงินก็ไปหายืมมาซิ ”มู่น่อนน่อนไม่อยากเถียงกับมู่หวั่นขีอีก หันไปมองหน้ามู่ลี่เหยียน แล้วเรียกเขาคำนึง:“พ่อคะ!”
มู่ลี่เหยียนขมวดคิ้วอย่างแน่น:“ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ว่ายังไงฉันก็จะหาเงินห้าสิบล้านมาครบให้ได้แน่ แต่มีเวลาแค่สองชั่วโมง จะให้ฉันไปหาเงินมาจากไหน!”
มู่น่อนน่อนรู้สึกแปลกใจ ไม่นึกเลยว่ามู่ลี่เหยียนจะยอมเอาเงินออกมา
“หาได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ”มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ก้มหน้าหาเบอร์ในมือถือตัวเอง
เธอเพิ่งจะนึกได้ นอกจากเสิ่นเหลียงแล้ว เธอแทบจะไม่มีเพื่อนคนอื่นอีกเลย
มู่ลี่เหยียนได้หยิบโทรศัพท์ออกมาเริ่มโทรแล้ว
มู่น่อนน่อนเดินไปข้างๆ แล้วโทรหาเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงรับรับสายในทันที :“มีอะไรหรอ?ทานข้าวยังเนี่ย?”
มู่น่อนน่อนเม้มปากไว้:“เสี่ยวเหลียง ฉันอยากของยืมเงินกับเธอหน่อย”
“ได้สิ เธอจะเอาเท่าไหร่?”เสิ่นเหลียงสปอร์ตกับเธอมาตลอด ขอแค่เธอขอ เสิ่นเหลียงก็จะยืมให้เธอแน่นอน
เพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก มู่น่อนน่อนได้แต่ทนความหน้าด้านพูดออกมา:“เธอ……มีอยู่เท่าไหร่?”
“มีสัก……สามสี่ล้านหยวนได้?ฉันก็ไม่แน่ใจ ฉันขอดูก่อน……”ระหว่างที่พูด เสิ่นเหลียงก็ค้นหาดูยอดเงินในมือถือของตัวเอง
พอทำถึงครึ่งนึงจู่ๆเธอก็ตระหนักถึงเรื่องมันแปลกๆ แล้วถามเธอ:“เธอจะเอาเงินมากขนาดนี้ไปทำไม?เกิดเรื่องอะไรหรอ?”
“แม่ฉันถูกลักพาตัวไป ต้องใช้เงินห้าสิบล้านไปประกันตัว”
“นั้นเธอก็รีบแจ้งความซิ!”
“ยังไงแล้วก็ต้องช่วยคนกลับมาให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”มู่น่อนน่อนกลัวเซียวชู่เหอจะเกิดเรื่อง กลัวคนร้ายจะฆ่าเธอ
อันที่จริง เสิ่นเหลียงอยากจะพูดว่าปล่อยให้แม่ใจร้ายของเธอตายๆไปซะก็ยิ่งดี
แต่เธอรู้นิสัยของมู่น่อนน่อนดี เรื่องนี้ ถ้ามู่น่อนน่อนไม่รู้ก็ถือว่าแล้วไป แต่ตอนนี้เธอรู้แล้ว ก็คงไม่ยอมปล่อยเฉยแน่
“ได้ ฉันจะโอนเงินให้เธอ”
“ขอบใจเธอมากเลยนะ”
มู่หวั่นขีและมู่ลี่เหยียนสังเกตท่าทีของมู่น่อนน่อนจากข้างหลังของเธอตลอด
ได้ยินที่มู่น่อนน่อนพูดว่า“ยังไงก็ต้องช่วยคนกลับมาให้ได้ก่อน”ตอนนั้น สีหน้าของมู่หวั่นขีก็ยิ้มได้ใจออกมา
เธอเดินไปที่มู่ลี่เหยียน พูดด้วยเสียงเบา:“หนูรู้อยู่แล้วว่ามู่น่อนน่อนต้องไม่ยอมอยู่เฉยโดยที่ไม่สนใจแม่แน่ๆ”
มู่ลี่เหยียนพยักหน้า ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างได้ใจ
……
เวลาสองชั่วโมงก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ทั้งสามคนเพิ่งจะหาเงินได้ไม่ถึงหกล้านหยวน ห่างจากห้าสิบล้านหยวนอีกมากเลย
มู่น่อนน่อนกังวลจนเดินไปมาไม่หยุด
จู่ๆ มู่หวั่นขีก็เปิดปากเรียกเธอ:“มู่น่อนน่อน ฉันจำได้ว่าเธอมีแบล็คการ์ดของตระกูลเฉินอยู่ในมือไม่ใช่หรอ!”
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองเธอในทันที
มู่หวั่นขีพูดต่อว่า:“ตอนนี้เป็นเรื่องความเป็นความตายเลยนะ จะช่วยแม่กลับมาได้หรือเปล่าก็อยู่ที่เธอแล้ว พวกเราก็ทำเต็มที่แล้วจริงๆ”
เมื่อกี้ มู่น่อนน่อนเองกังวลมากเกินไป เลยลืมไปเลยว่าตัวเองยังมีแบล็คการ์ดอยู่ใบนึง!
“ฉันจะกลับไปเอาเดี๋ยวนี่เลย!”มู่น่อนน่อนไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากแล้ว สิ่งที่สำคัญสุดในตอนนี้คือช่วยเซียวชู่เหอออกมาให้ได้ก่อน
เวลานี้ มู่ลี่เหยียนเลยพูดขึ้นมา:“พวกเราส่งเธอกลับไปเอาด้วยกัน จากนั้นค่อยไปที่จุดนัดหมาย”
ใกล้ถึงเวลากำหนดสองชั่วโมงแล้ว เพื่อที่จะไม่ให้เสียเวลา มู่น่อนน่อนเลยรับข้อเสนอของมู่ลี่เหยียนไป
ไม่นาน ทั้งสามคนก็มาถึงที่วิลล่าของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวและ“เฉินเจียฉิน”ต่างก็ยังไม่กลับมา มู่น่อนน่อนหยิบแบล็คการ์ดเสร็จแล้วออกมาเลย
ระหว่างที่เดินอยู่ ก็หยิบมือถือออกมาโทรแจ้งความ
ก่อนหน้าที่เธอได้รับโทรศัพท์จากคนร้ายนั้น เธอตื่นเต้นเกินไป ลืมแม้กระทั่งเรื่องที่จะแจ้งความเป็นหลักฐานไว้ไปเลย
เห็นเธอโทรศัพท์แล้ว สีหน้าของมู่หวั่นขีดูตึงเครียดถามขึ้นมา:“เธอโทรศัพท์หาใคร ?หรือว่าคนร้ายโทรศัพท์มาหาเธอ?”
“แจ้งความเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน”เงินห้าสิบล้านนี่จะให้คนร้ายได้ไปฟรีๆไม่ได้
ต้องช่วยเซียวชู่เหอกลับมาให้ได้ แต่เงินนี้จะให้คนร้ายได้ไปง่ายๆแบบนี้ไม่ได้
พอได้ยินว่าเธอจะแจ้งความ มู่หวั่นขีอึ้งไปเลยทั้งคน ต่อจากนั้นก็พูด:“ฉันว่าอย่าเพิ่งแจ้งความเลยดีกว่า ช่วยแม่กลับมาให้ได้ก่อน เธอต้องเคยเห็นหน้าคนร้ายแน่ ถึงเวลานั้น ค่อยให้ตำรวจไปจับก็ไม่สาย”
“ไม่ได้ ฉันต้องแจ้งความไว้ก่อน”
เห็นมู่น่อนน่อนท่าทียืนยัน มู่หวั่นขีแข็งใจ แล้วแย่งมือถือของเธอมากดวางสายไปทันที แล้วพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ:“เธอจะรีบแจ้งความไปทำไม ?เธออยากให้แม่แท้ๆของเธอต้องตายหรือไง?ถ้าหากคนร้ายรู้เข้าแล้วฆ่าแม่เธอจะว่ายังไง?ฉันยอมรับว่าแม่รักฉันมากกว่าเธอก็จริง ?แต่เธอก็ไม่ควรให้ร้ายเธอแบบนั้นหนิ!ไม่ว่าจะยังไง เธอก็คือแม่ผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเธอมานะ!”
มู่หวั่นขีพูดได้อย่างมีเหตุมีผล จนตัวเองก็เกือบจะหลงเชื่อไปแล้ว
“หุบปาก!”ถึงที่มู่หวั่นขีพูดมาจะเป็นเรื่องจริง แต่พอเข้าถึงหูของมู่น่อนน่อนก็ยังรู้สึกแสลงหูอยู่ดี
นั่นเป็นแม่ของเธอทั้งคน เธอจะไม่สนใจได้ยังไง
คนร้ายได้โทรศัพท์มาหาเธออีกครั้ง
คนร้ายบอกสถานที่มา จากนั้นก็พูดต่อ:“เธอต้องมาคนเดียว ถ้ามีตำรวจหรือคนอื่นมาด้วยแล้วละก็ พวกเรา——ฆ่าแม่ของเธอแน่!”
มือถือได้เปิดโหมดแฮนด์ฟรีไว้ มู่ลี่เหยียนและมู่หวั่นขีต่างก็ได้ยินเสียงของคนร้ายด้วย
มู่น่อนน่อนรู้สึกแปลกๆในใจ
เธอรู้สึกว่าคนร้ายมุ่งเป้ามาที่เธอคนเดียวตั้งแต่เริ่มจนจบ ไม่เอ่ยถึงชื่อมู่ลี่เหยียนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เพราะว่าเธอเป็นคุณหญิงน้อยของตระกูล พวกเขาเลยคิดว่าเธอคงรวยมาก เพราะเหตุผลนี้จึงลักพาตัวเซียวชู่เหอไปงั้นหรอ?
ถึงเหตุผลนี้จะฟังขึ้น แต่เมื่อเอาการกระทำของคนร้ายมาประกอบเข้าด้วยกันแล้ว มันรู้สึกขาดๆบอกไม่ถูก
มู่หวั่นขีรีบถามเธอตัดหน้าก่อน:“ทำไมต้องให้เธอไปคนเดียว?”
“นี่มันไม่ปลอดภัย”มู่ลี่เหยียนพูดขึ้นมา:“เธอขับรถของหวั่นขีนำหน้าไป พวกเราจะตามหลังเธอมาเอง”
ในเรื่องที่จะช่วยเซียวชู่เหอ ทั้งมู่ลี่เหยียนและมู่หวั่นขีแสดงออกความมีน้ำใจและซื่อตรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ถึงมู่น่อนน่อนจะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไร เพราะยังไงซะ เซียวชู่เหอก็ใช้ชีวิตมากับพวกเขายี่สิบกว่าปี
พอมู่ลี่เหยียนพูดจบ แล้วถามมู่น่อนน่อนต่อ:“เธอขับรถเป็นมั้ย?”
มุมปากของมู่น่อนน่อนยกขึ้น ยิ้มอย่างประชด:“ขับเป็นค่ะ”
สี่ปีในมหาวิทยาลัย เธอต้องเลี้ยงดูตัวเอง บางครั้งก็รับงานเขียนบทละครบ้าง ได้เงินมาเยอะบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ครั้ง หักค่าเรียนและค่าใช้จ่ายประจำวัน ค่าที่ไปเรียนสอบใบขับขี่ ก็เป็นเงินที่เธอประหยัดเก็บออมมา
……
ที่อยู่ที่คนร้ายให้เธอมา คือโกดังรถร้างที่อยู่ชานเมือง แค่ฟังชื่อก็รู้ว่ารกร้างแค่ไหนแล้ว
หลังจากที่เธอตั้งตำแหน่งเสร็จ ก็เขียนข้อความและที่อยู่นี้ให้กับเสิ่นเหลียง เพื่อให้เสิ่นเหลียงช่วยแจ้งความ
ตอนนี้เธอต้องรีบไปแล้ว อาจเป็นไปได้ว่าจะมีคนร้ายคอยเฝ้าดูระหว่างทาง เพราะฉะนั้น เธอเลยได้แต่ต้องให้เสิ่นเหลียงช่วยเธอแจ้งความเอา
หลังจากที่ข้อความถูกส่งออกไปเรียบร้อยแล้ว มู่น่อนน่อนก็รีบลบข้อความออกในทันที
ตอนที่ 87 เตรียมเงินมาห้าสิบล้าน ไม่อย่างนั้นก็ฆ่าตัวประกัน
พอมู่น่อนน่อนพูดเสร็จ ในรถก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบผิดปกติ
เธอมองสือเย่ที่ขับรถอยู่แล้วหันมามอง“เฉินเจียฉิน” เห็นเขากำลังคิดอะไรเหม่อลอยอยู่ เธอเลยยื่นมือไปตบเขาทีนึง:“คุณยังไม่ได้บอกฉันเลยนะ ว่าพี่ชายคุณชอบทานอะไรกันแน่! ”
เฉินถิงเซียวดึงสติกลับมา มองเธออย่างลึกซึ้งทีนึง ผ่านไปหลายวินาทีถึงเอ่ยปากพูด:“เขาเป็นคนง่ายๆไม่เรื่องมาก ทานอะไรได้หมด”
ที่เขาพูดคือความจริง ฝีมือทำอาหารของมู่น่อนน่อนเยี่ยมมาก เขาทานอาหารที่เธอทำมานานขนาดนี้ รู้สึกรสชาติแต่ละอย่างอร่อยไปหมด
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าที่เขาพูดออกมานั้น เหมือนไม่ได้คำตอบจากคำพูดของเขาเลย
หลังจากนั้น “เฉินเจียฉิน”ก็เงียบมาตลอด ไม่พูดอะไรอีกเลย
ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เรื่องแรกที่มู่น่อนน่อนกลับถึงบ้านก็คือไปหาเฉินถิงเซียว
เธอวิ่งไปเคาะประตูห้องทำงานของเขา นานพักนึงก็ไม่มีคนมาเปิดประตู
ตอนที่ลงบันไดมา เธอเห็น“เฉินเจียฉิน” เลยแปลกใจถามเขา:“พวกคุณบอกว่าเฉินถิงเซียวเขาอยู่บ้านไม่ใช่หรอ?เมื่อกี้ ฉันไปเคาะประตูห้องทำงานของเขา ไม่เห็นมีคนมาเปิดเลย”
เฉินถิงเซียวหันไปมองทางอื่น พยายามหลีกเลี่ยงสายตาของมู่น่อนน่อน:“คงกลับไปพักผ่อนที่ห้องแล้วมั่ง สุขภาพของพี่ไม่ค่อยดี เลยเหนื่อยง่าย”
หลังจากพูดโกหกไปครั้งนึง ก็จำเป็นต้องพูดโกหกอีกต่อไปเพื่อที่จะได้ไม่ถูกจับได้
ก่อนหน้านี้ ที่หลอกมู่น่อนน่อนก็แค่รู้สึกว่าเธอสนุกดี เลยล้อเล่นกับเธอ
ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง ก็ได้ยินที่เธอคอยปกป้อง“เฉินถิงเซียว”คนๆนี้ตลอดเวลา
เฉินถิงเซียวเกิดในตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวย ฟังเรื่องราวคำพูดมาตั้งมากมาย คำพูดของมู่น่อนน่อนเป็นคำพูดที่จริงใจหรือหลอกลวง แค่มองทีนึงเขาก็รู้แล้ว
ก็เพราะมองออกว่าคำพูดของมู่น่อนน่อนพูดจากใจจริง อารมณ์และความรู้สึกของเขาในตอนนี้ซับซ้อนจนตัวเองก็อธิบายไม่ถูก
“อ๋อ”มู่น่อนน่อนพยักหน้าแล้วเดินลงไปชั้นล่างไปเลย
เฉินถิงเซียวมองเธอเดินเข้าไปในครัว แล้วก็ได้หยิบมือถือออกมาโทรหากู้จือหยั่นด้วยอารมณ์หงุดหงิด:“ออกมาดื่มเหล้าเป็นเพื่อนฉันหน่อย!”
“ฉันจะ……”กู้จือหยั่นอ้าปากจะปฏิเสธ แต่ก่อนเข้าจะมีโอกาสพูดออกมา เฉินถิงเซียวก็ตัดสายทิ้งไปก่อนแล้ว
……
สถานบันเทิงระดับสูงจีนติ่ง
กู้จือหยั่นเขย่าแก้วเหล้าอย่างไม่เต็มใจแล้วยื่นตัวมาตรงหน้าของเฉินถิงเซียว:“ไหนรองบอกมาซิ มีเรื่องเครียดอะไรที่ทำให้ต้องตามฉันมาดื่มเหล้ากลางวันแสกๆแบบนี้ ?”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร กรอกเหล้าใส่ปากตัวเองไปแก้วนึงอย่างเงียบๆ
กู้จือหยั่นเห็นเขาเป็นแบบนี้แล้ว ก็ตระหนักถึงเรื่องอาจจะร้ายแรง และไม่ทำเป็นเล่นอีกต่อไป สีหน้าจริงจังพูดขึ้นมา:“ยังไงแล้ว นายก็ควรจะเล่าหน่อยว่ามันเรื่องอะไร?”
เฉินถิงเซียวยอมหันหน้ามามองเขาได้สักที
แต่เขามองกู้จือหยั่นได้ไม่กี่วินาที สายตาก็หันไปทางอื่นต่อ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย:“พูดไปนายก็ไม่เข้าใจ”
“……”นั้นนายเรียกฉันมาดื่มเป็นเพื่อนของนายทำไมวะ?
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนทำอาหารเสร็จ บอดี้การ์ดกลับบอกกับเธอว่าเฉินถิงเซียวออกไปพร้อมกับ“เฉินเจียฉิน”ไปแล้ว
เธอเลยได้แต่ทานข้าวตัวคนเดียว เพิ่งจะหยิบตะเกียบขึ้นมา โทรศัพท์ของเธอก็ได้ดังขึ้น
เธอหยิบมือถือออกมาดู เห็นว่าเป็นเซียวชู่เหอโทรมา
เธอยื่นนิ้วไปแตะที่หน้าจอ สุดท้ายก็ยอมกดเลื่อนรับสาย
มู่น่อนน่อนเปิดปุ่มแฮด์ฟรีบนมือถือ น้ำเสียงเรียบเฉยมาก:“ ฮัลโหล?”
เสียงรบกวนที่แสบแก้วหูดังมาจากปลายสายพักนึง จากนั้นก็มีเสียงผู้หญิงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ:“น่อนน่อน ช่วยฉันด้วย……”
มู่น่อนน่อนมองเบอร์ถือมืออีกที ใช่เบอร์ของเซียวชู่เหอไม่ผิด
เซียวชู่เหอที่อยู่อีกฝั่งกรี๊ดดังทีนึง เสียงคล้ายจะร้องไห้ด้วย:“น่อนน่อน ที่ผ่านมาฉันผิดเอง ไม่ว่าจะยังไง ฉันก็เป็นแม่ของเธอนะ เธอต้องช่วยฉันนะ……”
ไม่รอให้มู่น่อนน่อนได้พูด โทรศัพท์ก็ถูกคนแย่งไป ครั้งนี้คนที่คุยสายคือผู้ชาย
“เธอเป็นลูกสาวของผู้หญิงคนนี้ใช่มั้ย?เธอฟังให้ดีนะ เตรียมเงินมาห้าสิบล้าน ไม่อย่างนั้น……”
เสียงของผู้ชายจู่ๆก็ร้ายกาจขึ้นมา:“พวกเราก็จะฆ่าตัวประกันซะ!”
มู่น่อนน่อนรู้สึกตกใจเป็นอันดับแรก จากนั้นก็พูดอย่างเยือกเย็น:“ฉันไม่มีเงินหรอกนะ ถ้าพวกคุณอยากได้เงินก็ไปที่บริษัทมู่ซื่อ ไปหาคนที่ชื่อมู่ลี่เหยียนเอาเอง!”
เซียวชู่เหอถูกคนร้ายลักพาตัว?
เงินห้าสิบล้านไม่ใช่น้อยๆเลยนะ!
ถ้าคนร้ายได้จ้องจับตาเธอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ก็ควรจะโทรศัพท์ไปหามู่ลี่เหยียนถึงจะถูกสิ ทำไมถึงโทรมาหาเธอได้?
“หึ เธอเป็นถึงคุณหญิงน้อยของตระกูลเฉิน จะไม่มีเงินได้ยังไง ?นี่มันน่าขำสิ้นดี!ให้เวลาเธอเตรียมเงินสองชั่วโมง หลังจากสองชั่วโมงฉันจะติดต่อมาเอง ห้ามแจ้งความ ไม่อย่างนั้นฉันฆ่าตัวประกันแน่!”
พอพูดจบ ผู้ชายก็วางสายไปเลย
ก่อนที่เขาจะวางสาย มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงกรีดร้องของเซียวชู่เหอในปลายสาย
มือที่กำมือถือเอาไว้ของมู่น่อนน่อนยิ่งแน่นขึ้น และสีหน้าก็เปลี่ยนไป
ไม่ว่าเซียวชู่เหอจะใจร้ายกับเธอแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นแม่ให้กำเนิดเธอ เธอจะทนเห็นเซียวชู่เหอเป็นอะไรไปโดยที่ไม่สนใจเธอเลยไม่ได้
มู่น่อนน่อนหยิบมือถือโทรหามู่ลี่เหยียนไปด้วยและระหว่างนั้นเธอก็เดินไปข้างนอกไปด้วย
แต่ไม่มีคนรับสายสักที
มู่น่อนน่อนกระวนกระวายอย่างมาก รีบวิ่งลงเขาแล้วนั่งรถตรงไปที่ตระกูลมู่เลย
หลังจากที่หน้าตาของมู่น่อนน่อนกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ก็ไม่เคยกลับมาที่บ้านตระกูลมู่อีกเลย ตอนที่เธอยืนอยู่หน้าประตูบ้านตระกูลมู่นั้น เลยถูกคนใช้ที่เฝ้าประตูกันไว้ทันที ไม่ให้เธอเข้าไป
คนใช้ถามเธอ:“คุณผู้หญิงท่านนี้ คุณมาหาใครคะ?”
มู่น่อนน่อนมองเธอด้วยสายตาเย็นชาทีนึง :“ฉันคือมู่น่อนน่อน”
“คุณหนูสาม?”สีหน้าคนใช้ดูเหลือเชื่อ แต่ดูดีๆแล้ว ผู้หญิงตรงหน้าก็หน้าคล้ายคุณนายอยู่บ้าง
คนใช้ไม่กล้าห้ามเธอไว้ต่อ
มู่น่อนน่อนเดินไปด้วยแล้วถามเธอไปด้วย :“พ่อฉันและมู่หวั่นขีอยู่ไหน?”
“คุณผู้ชายกับคุณหนูรองกำลังทานข้าวอยู่ค่ะ ” คนใช้พูดจบ แล้วถามขึ้นมาอีกคำ:“คุณหนูสามคุณหนูเล็กทานข้าวมาหรือยังคะ?”
มู่น่อนน่อนได้ยินแบบนี้แล้ว ยังจะมีกระจิตกระใจมาสนใจเธอที่ไหนอีก ความโกรธในใจได้ลุกท่วมขึ้นมา
คนปกติที่หมาตัวนึงหายยังต้องไปตามหา และนี่อะไร ตอนนี้ เซียวชู่เหอถูกลักพาตัวไปทั้งคน!
มู่น่อนน่อนคุ้นเคยกับบ้านตระกูลมู่อย่างดี เธอได้ตรงไปที่ห้องอาหารโดยตรง
“พ่อคะ กุ้งวันนี้อร่อยมากเลยค่ะ ท่านรองชิมดูซิคะ”
“อืม อร่อยกว่าปกติจริงด้วย……”
ตอนที่เธอเข้าไป เห็นมู่หวั่นขีกับมู่ลี่เหยียนกำลังนั่งทานข้าวอยู่อย่างมีความสุขดูเอร็ดอร่อยมาก
มู่หวั่นขีเป็นคนแรกที่เห็นมู่น่อนน่อน แล้วมองเธอด้วยสีหน้าประหลาดใจ:“ปกติ แม่เรียกเธอกลับมาทานข้าวที่บ้านเชิญเท่าไหร่เธอก็ไม่ยอมมา วันนี้ แม่ไม่อยู่บ้าน เธอกลับมาซะเอง?”
มู่น่อนน่อนก้าวเท้าใหญ่เดินไป ยื่นมือไปหยิบถ้วยที่วางตรงหน้าของมู่หวั่นขีแล้วเขวี้ยงลงที่พื้น:“แม่ถูกลักพาตัวไปทั้งคน เธอยังมีอารมณ์มานั่งทานข้าวอยู่อีกหรอ !”
มู่หวั่นขีลืมตาโตค้าง สีหน้าบนใบหน้ายิ่งดูตกใจโอเวอร์มาก:“อะไรนะ แม่ถูกลักพาตัว?”
“คนร้ายไม่ได้โทรหาเธอเลยหรอ?”มู่น่อนน่อนหรี่ตามองหน้ามู่หวั่นขี
“ก่อนหน้านี้ แม่ยังบอกว่ามีนัดไปเสริมสวยกับเพื่อนอยู่เลย บอกให้เราไม่ต้องรอเธอกลับมาทานข้าว จะถูกลักพาตัวไปได้ยังไง”มู่หวั่นขีทำหน้าไม่เชื่อที่เธอพูด
“มีคนโทรมาหาฉัน บอกว่าเขาลักพาตัวแม่ไป ให้ฉันเตรียมเงินห้าสิบล้านภายในสองชั่วโมง ไม่อย่างนั้นก็จะฆ่าเธอ ! ”น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนดูจะกังวล
หลังจากที่มู่หวั่นขีฟังที่เธอพูดแล้ว ปฏิกิริยาแรกไม่ใช่เป็นห่วงเซียวชู่เหอ กลับขมวดคิ้วพูดว่า:“ห้าสิบล้าน?เงินมากขนาดนั้น!ช่วงนี้ การเงินของบริษัทขาดแคลนอย่างหนัก จะไปหาเงินจากที่ไหนในเวลาสั้นแบบนี้!”
มู่น่อนน่อนหน้าดำลงมา:“ไม่มี ก็ไปหายืมสิ!แม่ฉันคอยรับใช้ที่บ้านตระกูลมู่เหมือนวัวเหมือนควายมาหลายปี หรือเธอไม่คู่ควรที่จะให้พวกคุณหาเงินห้าสิบล้านไปช่วยเธอเลยงั้นหรอ
ตอนที่ 86 เขาก็แค่เป็นผู้เสียหายคนนึง น่าสงสารกว่าใครๆ
มู่น่อนน่อนก็ไม่รู้ว่าคำพูดของตัวเองน่าขำตรงไหน ถึงทำให้ซือเฉิงหยู้จู่ๆหัวเราะออกมาได้
คนอย่างซือเฉิงหยู้ที่เป็นดาราดังมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง ไม่ว่าไปถึงไหนก็มีปาปารัสซี่คอยแอบถ่ายรูปอยู่ตลอดเวลา อันที่จริงมู่น่อนน่อนไม่ค่อยอยากจะพบเขาโดยบังเอิญสักเท่าไหร่ กลัวจะถูกถ่ายภาพทั้งสองคน
ตรงกันข้าม ซือเฉิงหยู้กลับความจำดีซะจริง สองครั้งหลังที่ผ่านมานี้ ยังเป็นคนริเริ่มเข้ามาทักทายเธอก่อน
ถ้าขืนถูกปาปารัสซี่ถ่ายภาพได้ เธอต้องขึ้นหน้าหนึ่งอีกแน่
แม้กระทั่งชื่อพาดหัวข่าวเธอยังคิดเรียบร้อยแล้วเลย
ยกตัวอย่างเช่น【คุณหญิงน้อยตระกูลเฉินแอบคบหากับคนดังในวงการบันเทิงบางคน】อะไรประมาณนั้น
แค่คิดก็รู้สึกขนลุกแล้ว
เพราะฉะนั้น มู่น่อนน่อนไม่คุยอะไรกับซือเฉิงหยู้มาก แค่ยิ้มทักทายอย่างมีมารยาท:“ฉันยังมีธุระต่อ ขอตัวก่อนนะคะ”
“ไว้เจอกันใหม่นะคะ”แววตาของซือเฉิงหยู้ดูจะเข้าใจความหมายของเธอ และท่าทีของเขาก็ยังคงอ่อนโยนเหมือนเดิม
แต่นี่กลับทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกอึดอัดแล้วเร่งรีบจากไป
ซือเฉิงหยู้หันกลับมาดูเงาของมู่น่อนน่อนที่ค่อยๆจางหายไป ฉะนั้นถึงยอมเดินต่อ
ผู้ช่วยที่เดินตามอยู่ข้างหลังจู่ๆถามขึ้นมา:“พี่หยู้ครับ ผู้หญิงคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกับคุณชายเฉินหรอครับ?ผมดูเหมือนจะเห็นเธออยู่กับคุณชายเฉินที่โรงแรมจีนติ่งในวันนั้น”
“งั้นหรอ?ไม่รู้สิ”ซือเฉิงหยู้ก้มหน้าเดินอยู่ข้างหน้า รอยยิ้มบนหน้าได้จางหายไป เก็บซ่อนอารมณ์ได้ลึกมาก
ที่ซือเฉิงหยู้มาที่นี่ในวันนี้ ก็เพื่อมาเตรียมความพร้อมกับหนังที่จะถ่ายในเรื่องต่อไป
หนังเรื่องใหม่ที่เขาจะถ่ายเป็นหนังแนวลึกลับ ในเรื่องเขารับบทเป็นจิตแพทย์ เพราะฉะนั้น วันนี้ถึงได้มาที่คลินิกจิตเวช เพื่อมาซึมซาบและทำความเข้าใจกับบทบาทที่จะแสดง
ทั้งสองคนเพิ่งจะเดินเข้าไป หลังจากนั้น เฉินถิงเซียวกับสือเย่ก็ได้ปรากฏตัวที่ระเบียนทางเดิน
เฉินถิงเซียวหันไปมองทางที่ซือเฉิงหยู้คุยกับมู่น่อนน่อน
สือเย่มองเฉินถิงเซียวทีนึง เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ได้หยุดลง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
เวลาของซือเฉิงหยู้เร่งรีบมาก เพราะฉะนั้นเลยไม่ได้อยู่พูดคุยกับจิตแพทย์นานเท่าไหร่ก็ออกมาแล้ว
พอเขาออกมา ก็เห็นเฉินถิงเซียวยืนอยู่ที่ระเบียนทางเดิน
สีหน้าของเขาดูแปลกใจมาก:“ถิงเซียว?นายมาอยู่นี่ได้ยังไง?”
พอพูดจบ แววตาของเขาจู่ๆก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ :“นายกับมู่น่อนน่อนมาด้วยกัน”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร ยกมือสั่งให้สือเย่ถอยไป
ระหว่างที่สือเย่เดินจากไป ผู้ช่วยของซือเฉิงหยู้ก็รู้ตัวแล้วเดินจากไปด้วย
ระเบียนทางเดินที่ว่างเปล่าเหลือเพียงพวกเขาสองคน
สีหน้าของเฉินถิงเซียวดูจะเย็นชา แต่ความเย็นชานั้นต่างกับที่มีให้กับคนแปลกหน้าทั่วไป
เขาจ้องมองที่ซือเฉิงหยู้:“พี่ใหญ่ ก่อนหน้านี้ ผมก็เคยบอกพี่แล้วว่าเธอคือมู่น่อนน่อน”
“ฉันรู้ว่าเธอคือมู่น่อนน่อน ชื่อเพราะดีนะ”รอยยิ้มของซือเฉิงหยู้ไม่ต่างอะไรจากปกติ ดูอ่อนโยนมาก
เฉินถิงเซียวเงียบไปครู่นึง ราวกับตัดสินใจได้อะไรบางอย่าง น้ำเสียงที่เรียบเฉยฟังแล้วกลับมีความโหดร้ายเสี้ยวนึง:“มู่น่อนน่อนหน้าตาคล้ายชิงหนิงมากก็จริง แต่เธอก็ไม่ใช่ชิงหนิง”
แววตาที่อ่อนโยนบนใบหน้าของซือเฉิงหยู้ได้พังทลายในที่สุด ลืมตาโตแล้วตะคอกออกมา:“นายหุบปากเลยนะ!”
เฉินถิงเซียวเงียบในทันที แล้วไม่พูดอะไรต่ออีกเลย
สักพัก ซือเฉิงหยู้สงบสติอารมณ์ได้ สีหน้าได้กลับมาอ่อนโยนเหมือนปกติเช่นเคย
“ถิงเซียว ฉันก็แค่พบเจอกับมู่น่อนน่อนโดยบังเอิญจริงๆ ”เขาพูดจบ แล้วมองดูเฉินถิงเซียวอย่างพินิจ:“ดูนายจะห่วงเธอมากเลยนะ ”
เฉินถิงเซียวหรี่ตา น้ำเสียงดูเรียบเฉยมาก:“เธอเป็นเมียของผมแล้วนะ”
“ทำไมต้องใช้ชื่อน้องชายของฉันเพื่อหลอกมู่น่อนน่อนด้วย?”น้ำเสียงของซือเฉิงหยู้เหมือนถามอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่ไม่นาน เขาก็หัวเราะขึ้นอีกครั้ง:“ถ้าหากเสี่ยวฉินรู้แล้วล่ะก็ เขาต้องมาขอค่ายืมชื่อเขามาใช้กับนายแน่ ?”
เฉินถิงเซียวมองเขาด้วยสายตาลึกซึ้งทีนึง น้ำเสียงเบาลงพูดขึ้นมา:“พี่ใหญ่ ชิงหนิงเธอจากไปนานแล้วนะครับ พี่ก็ควรเดินออกมาได้สักที”
พูดจบ เขาไม่ได้หันไปมองสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของซือเฉิงหยู้เลย แล้วก้าวเดินจากไปอย่างเร็ว
……
มู่น่อนน่อนเดินออกมาจากห้องจิตบำบัด ในใจคิดเรื่องของเฉินถิงเซียวอยู่ เลยทำให้เธอเดินช้ามาก
ปี๊น——
เสียงแตรรถดังขึ้นจากข้างหลัง
คนสมัยนี้ ทำไมถึงได้เอาแต่ใจขนาดนี้ ทั้งๆที่เธอก็เดินริมถนนสุดแล้ว ยังจะกดแตรไล่ให้เธอหลีกทางให้อีก
เธอหันไปมองด้วยสีหน้าร้ายๆ รถสีดำจอดลงที่หลังของเธอพอดี กระจกรถที่เปิดลงมาครึ่งนึง คนข้างในคือ“เฉินเจียฉิน”ใบหน้านั้นช่างหล่อกระชากใจ
“เฉินเจียฉิน”เอียงหัวมองเธอ ด้วยสีหน้าเกียจคร้าน:“ขึ้นรถ”
เขามาอยู่นี่ได้ยังไง?
ถึงจะสงสัยในใจ แต่ท่าทีของเธอก็ชัดเจนมาก เปิดประตูแล้วขึ้นรถไปเลย
เธอยังไม่ทันได้อ้าปากพูด เฉินถิงเซียวก็ได้พูดออกมาก่อนคำนึงแล้ว:“อย่าถามผมว่า‘มาอยู่นี่ได้ยังไง’คำถามที่ไร้สาระแบบนี้”
คำพูดที่มู่น่อนน่อนยังไม่ทันได้พูดออกมาก็ถูกคำพูดของเขาอุดเอาไว้ซะแล้ว
นั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรซะเลยแล้วกัน
เฉินถิงเซียวหันไปมองเธอทีนึง เห็นเธอครุ่นคิดอยู่แล้วแอบยิ้มจางๆโดยสังเกตจากสีหน้าของเขาไม่ออก น้ำเสียงกลับไม่ขำเลยสักนิด:“เธอมาทำอะไรที่นี่?”
มู่น่อนน่อนหันมา ยิ้มอย่างจริงจัง:“ไม่อยากตอบคำถามไร้สาระแบบนี้”
สือเย่ที่ขับรถอยู่ข้างหน้า ฟังคำสนทนาของทั้งสองคนแล้วอดไม่ไหวหัวเราะออกมาทีนึง
แต่ไม่นาน หลังจากที่เขาเห็นเฉินถิงเซียวที่อยู่ในกระจกมองหลัง สายตากวาดมาที่เขาทีนึง ก็รีบหุบปากเงียบไป
มู่น่อนน่อนที่เพิ่งขึ้นรถไม่ทันสังเกตเห็นว่าคนที่ขับรถคือสือเย่ :“สือเย่ วันนี้คุณผู้ชายของนายไม่ได้ออกไปไหนเลยหรอ?”
สือเย่หันไปมองเฉินถิงเซียวที่นั่งอยู่เบาะหลังอย่างดิบดี แล้วใส่หัว:“ไม่ครับ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าแล้วคิดอยู่ในใจ เที่ยงนี้กลับไปจะทำอะไรให้เฉินถิงเซียวทานดี
คิดๆแล้ว เธอก็เอื้อมมือไปแหย่“เฉินเจียฉิน”ทีนึง
“ทำอะไร?”เฉินถิงเซียวหันมามองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ถูก“เฉินเจียฉิน”จ้องด้วยสายตาเย็นชาแบบนี้ มันก็น่ากลัวอยู่นะ
มู่น่อนน่อนถอยไปข้างหลัง :“คุณบอกฉันมาดีๆ พี่ชายของคุณชอบทานอะไรกันแน่?”
วันนี้ มู่น่อนน่อนใส่เสื้อขนเป็ดสีขาว และมัดผมหางม้า ใบหน้าที่ไม่ได้แต่งเขียนอะไร แต่ผิวก็ยังดูขาวเนียนเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ดูเรียบๆใสๆ เหมือนสาวน้อยที่ไร้เดียงสาไม่ทันต่อโลกภายนอก
เธอลืมตาสวยใสวิ๊งจ้องมองเขา และรอคอยคำตอบจากเขา
เฉินถิงเซียวเอื้อมมือไปดึงเนคไทออก น้ำเสียงฟังดูแหบๆเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว :“ทำไมคุณถึงเป็นห่วงเขาขนาดนั้น?”
“ฉันเป็นเมียของเขานะ ฉันไม่เป็นห่วงเขาแล้วจะให้เป็นห่วงคุณรึไง?”แค่นึกถึงเรื่องที่“เฉินเจียฉิน”เคยทำกับเธอในอดีต มู่น่อนน่อนก็อดไม่ได้จ้องเขาด้วยสายตาดุร้ายทีนึง
“เฉินเจียฉิน”กลับหน้าตาปกติไม่แคร์อะไรเลย แล้วพูดต่อ:“ตามสภาพร่างกายของพี่ผมแล้ว พวกคุณไม่อาจใช้ชีวิตเหมือนสามีภรรยาปกติทั่วไปได้นะ และเขาก็อาจจะสืบทอดบริษัทเฉินซื่อไม่ได้ด้วย?ขนาดหน้าของเขาคุณยังไม่เคยเห็นมาก่อน คุณจงรักภักดีอยู่กับเขาแบบนี้ เพื่ออะไรกัน?”
ฟังจากคำพูดของ“เฉินเจียฉิน”แล้ว มู่น่อนน่อนไม่รู้สึกว่าเขาจะพูดประชด น้ำเสียงของเขาดูจะแปลกใจอยากรู้มากกว่า
มู่น่อนน่อนเม้มปาก ยอมอธิบายให้เขาฟังอย่างใจเย็น
“เพื่ออะไรงั้นหรอ?”มู่น่อนน่อนคิดๆแล้ว พูดอย่างจริงจัง:“คงเพราะหน้าที่ละมั้ง ถึงฉันจะถูกแม่บังคับให้แต่งงานกับพี่ชายของคุณ แต่ถ้าวันนั้น ฉันขู่จะฆ่าตัวตาย แน่นอนว่าเธอก็จะทำอะไรกับฉันไม่ได้ ในเมื่อฉันแต่งงานกับพี่ชายของคุณแล้ว ก็ควรทำหน้าที่ภรรยาถึงจะถูก อีกอย่าง……”
มู่น่อนน่อนนิ่งไปครู่นึง ถอนหายใจพูด:“หลายปีมานี้ คนในเมืองหู้หยาง เอาเรื่องของเฉินถิงเซียวมาเม้าท์มอยเป็นขี้ปากกันไม่น้อยเลยนะ แต่จะว่าไปแล้ว เขาเองก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้น เขาก็แค่ผู้เสียหายคนนึง น่าสงสารกว่าใครๆสักอีก
ตอนที่ 85 อาการของโรคที่แสดงออกมาภายหลังๆจากได้รับบาดเจ็บ
มู่น่อนน่อนออกไปก่อน ยืนรอมู่หวั่นขีที่นอกห้อง
มู่หวั่นขีเห็นเธอปุ๊บก็มีสีหน้าไม่ดี: “ดูซิว่าแกยังจะได้ใจอีกนานเท่าไหร่ รอคุณพ่อไล่แกออกจากบริษัทมู่ซื่อเถอะ!”
“อ้อหรอ? ไล่ฉันออกจากบริษัทมู่ซื่อ?” มู่น่อนน่อนยิ้มอย่างอ่อนโยน: “ไม่อยากให้เฉินถิงเซียวมาลงทุนที่บริษัทมู่ซื่อแล้วใช่มั้ย?”
มู่หวั่นขีเชอะเสียงเย็นชา: “นี่แกนึกว่าคนพิการอย่างเฉินถิงเซียวมีเงินจริงๆเหรอ?”
“พูดจาให้มันดีๆหน่อย” มู่น่อนน่อนกวาดสายตาเย็นชาใส่เธอทีนึง
“แกเองก็ยังพูดจาไม่ดีเลย ยังมีหน้ามาว่าคนอื่นอีก?” มู่หวั่นขีเชิดคางขึ้น และหัวเราะอย่างได้ใจ จู่ๆนึกอะไรขึ้นมาได้ เก็บรอยยิ้มบนใบหน้าลงเล็กน้อย จากนั้นได้หลังกลับไปที่ออฟฟิศของมู่ลี่เหยียน
มู่น่อนน่อนมองประตูออฟฟิศที่ปิดไว้แน่นแว๊บนึง จากนั้นได้หันหลังจากไป
ในออฟฟิศของมู่ลี่เหยียน
มู่หวั่นขีนั่งฝั่งตรงข้ามเขา สีหน้าเคร่งขรึม: “คุณพ่อคะ มีเรื่องนึงหนูลืมบอกคุณพ่อไป ในมือของมู่น่อนน่อนมีบัตรดำลิมิเต็ดระดับโลกใบนึงที่วงในของบริษัทเฉินซื่อถึงจะมีค่ะ”
“ลูกรู้ได้ยังไง?” มู่ลี่เหยียนถามด้วยสีหน้าช็อค: “เธอเพิ่งไปที่ตระกูลเฉินนานเท่าไหร่เอง เฉินถิงเซียวจะให้บัตรดำเธอได้ยังไง?”
“คราวก่อนหนูไปทานข้าวกับชูหานที่โรงแรมจีนติ่ง หนูเห็นกับตาว่าเธอใช้บัตรดำเช็คบิลค่ะ!” มู่หวั่นขีสีหน้าตื่นเต้น: “ได้ยินมาว่าบัตรดำของบริษัทเฉินซื่อ ไม่จำกัดวงเงินนะคะ?”
บัตรดำลิมิเต็ดระดับโลกของบริษัทเฉินซื่อ ไม่จำกัดวงเงินจริงหรือเปล่า อันนี้มู่ลี่เหยียนก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน
ในฐานะที่เป็นมหาเศรษฐีระดับต้นๆ ถึงจะไม่ใช่ไม่จำกัดวงเงิน ในนั้นก็ต้องเป็นตัวเลขที่มหาศาลแน่ๆ
เห็นมู่ลี่เหยียนได้ฟังคำพูดของตัวเองเข้าไปแล้ว มู่หวั่นขีพูดต่อ: “ถ้าเราสามารถเอาบัตรดำที่อยู่ในมือของมู่น่อนน่อนมาได้ ก็ไม่ต้องกลุ้มใจเรื่องเงินแล้วค่ะ”
มู่ลี่เหยียนก็ค่อนข้างหวั่นไหว แต่ยังไงเขาก็เป็นมือเก่าในด้านธุรกิจ ไม่วู่วามเหมือนคนหนุ่มสาว ทำงานระมัดระวังกว่าเยอะเลย
เขาคิดๆแล้วพูด: “แต่ไม่ว่าจะยังไง บัตรดำนั่นเฉินถิงเซียวเป็นคนให้มู่น่อนน่อน เธอจะให้พวกเราใช้เหรอ?”
มู่หวั่นขีเห็นมู่ลี่เหยียนหวั่นไหวแล้ว แววตามีแสงแห่งความได้ใจแว๊บผ่าน: “คุณพ่อคะ คุณพ่อเป็นพ่อแท้ๆของมู่น่อนน่อนเชียวนะคะ พ่อให้กำเนิดเธอเอ็นดูเธอ แค่ใช้บัตรดำหน่อยเอง จะเป็นอะไรเชียว ถึงเธอเข้าใจพ่อผิดไม่อยากเอาบัตรดำให้พ่อ แต่อย่างน้อยก็ยังมีคุณแม่อยู่นี่คะ……….”
มู่ลี่เหยียนได้ยินคำพูดนี้แล้ว เงียบไปครู่นึงก็ได้พยักหน้า
……………….
มู่น่อนน่อนเลิกงานกลับมาถึงบ้าน ยังไม่ได้ทำกับข้าว“เฉินเจียฉิน”ก็กลับมาแล้ว
ในวิลล่าเปิดเครื่องปรับอุณหภูมิความร้อนไว้ เขาเข้ามาป๊บก็ถอดเสื้อคลุมออก บนตัวเหลือแค่เสื้อเชิ๊ตสีเข้มที่เบาบางและกางเกงสูท รูปร่างสง่าผ่าเผยมาก
เขาไปหามู่น่อนน่อนที่ห้องครัวตามเสียง
เขาพิงอยู่ที่กรอบประตู พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ น้ำเสียงราบเรียบ: “ไปคุยงานเป็นยังไงบ้าง?”
มู่น่อนน่อนกำลังหั่นผักอยู่ พูดอย่างไม่ใส่ใจ: “ทำพังแล้วค่ะ”
เขาพูดเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม: “แค่โครงการแรกก็ทำพังแล้ว”
อารมณ์ในน้ำเสียงไม่ค่อยชัด ยากที่จะแยกแยะออกว่ากำลังหัวเราะเยาะเธอหรือเปล่า?
มู่น่อนน่อนหันมามองเขา: “มู่หวั่นขีเป็นคนทำพัง ไม่ใช่ฉันสักหน่อย”
ถึงแม้มู่หวั่นขีได้เอาความผิดในการคุยโครงพังโยนมาที่เธอ แต่เธอไม่ยอมรับหรอก
เธอพูดจบ ก็ได้หันไปหั่นผักอีก
เฉินถิงเซียวก้มหน้า หัวเราะอย่างไร้เสียง
วันถัดมาคือวันเสาร์
มู่น่อนน่อนได้ตื่นมาทำอาหารเช้าเหมือนปกติ “เฉินเจียฉิน”ก็ตื่นเช้าดี
มู่น่อนน่อนเห็นเธอปุ๊บ ก็พูดว่า: “ลูกพี่ลูกน้องคุณตื่นหรือยัง? คุณยกอาหารเช้าไปให้เขาหน่อย”
“ไม่ยก” เฉินถิงเซียวปฏิเสธโดยไม่คิด
เขาก็อยู่นี่แล้ว ยังจะยกอาหารเช้าอะไรอีก
มู่น่อนน่อนจ้องเขาทีนึง และเรียกบอดี้การ์ดคนนึงมายกอาหารเช้าไปให้เฉินถิงเซียว
เธอทานข้าวเสร็จก็ออกจากบ้านเลย
ปกติสุดสัปดาห์เธอไม่ค่อยออกจากบ้านสักเท่าไหร่ เฉินถิงเซียวแปลกใจเล็กน้อยว่าเธอจะไปไหน จึงได้ให้สือเย่ขับรถตามไป
ปรากฏว่า มู่น่อนน่อนได้ไปที่ศูนย์บำบัดจิตเวชแห่งนึง
ฝั่งตรงข้ามของข้างถนน เฉินถิงเซียวนั่งอยู่ในรถ มองหน้าประตูของศูนย์บำบัดจิตเวชผ่านกระจกรถ: “เธอไปทำอะไรที่นั่น?”
สือเย่นึกถึงคำพูดที่มู่น่อนน่อนพูดเมื่อวาน เขาไตร่ตรองแล้วพูด: “คุณหญิงน้อยอาจจะเพราะคุณผู้ชาย ถึงไปที่นั่นครับ”
เพราะเขา?
เฉินถิงเซียวครุ่นคิดไปครู่นึง ก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ผู้หญิงคนนี้นึกว่าเขามีความผิดปกติทางจิต ดังนั้นถึงได้มาศูนย์บำบัดจิตเวช?
มู่น่อนน่อนมาตระกูลเฉินนานขนาดนี้ก็ยังไม่เคยเจอหน้า“เฉินถิงเซียว” เปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าก็คงจะนึกว่าเฉินถิงเซียวมีความผิดปกติทางจิตเหมือนกัน
เพื่อ“เฉินถิงเซียว”ผู้หญิงคนนี้ได้ทุ่มเทแรงใจจริงๆ
สือเย่มองสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของคุณผู้ชาย เขาได้เปิดปากพูดอย่างยั้งความคิด: “คุณผู้ชายกะจะให้คุณผู้หญิงรู้ฐานะของคุณผู้ชายเมื่อไหร่ครับ?”
เมื่อไหร่?
คำถามนี้ได้ทำเอาเฉินถิงเซียวพูดไม่ออก
ในขณะนี้เอง หน้าศูนย์บำบัดจิตเวชมีร่างเงาที่คุ้นเคยปรากฏอีก
หลังจากสือเย่เห็นชัดแล้วว่าคนๆนั้นคือซือเฉิงหยู้ ก็ได้เปิดปากพูด: “คุณผู้ชายครับ นั่นเป็นคุณผู้ชายหรือเปล่าครับ!”
เฉินถิงเซียวมองไปตามทิศทางที่สือเย่ชี้ แค่แว๊บเดียวก็ดูออกว่าคนที่แต่งองค์ทรงเครื่องครบคนนั้นคือซือเฉิงหยู้
เขาคุ้นเคยซือเฉิงหยู้มาก สามารถดูออกอย่างง่ายดาย
สือเย่ไม่ได้คำตอบจากเฉินถิงเซียว ยังกำลังสงสัยอยู่ ก็ได้ยินเสียงประตูถูกเปิดออกแล้ว
เฉินถิงเซียวได้ลงจากรถเดินไปที่ศูนย์บำบัดจิตเวชแล้ว สือเย่ก็รีบตามไป
……………….
ศูนย์บำบัดจิตเวช
หมอได้ฟังการบรรยายของมู่น่อนน่อนแล้ว นี่ถึงได้พูดอย่างเคร่งขรึม: “อาการแบบนี้ก็เป็นโรคชนิดหนึ่งที่เกิดจากสภาวะจิตใจของผู้ป่วยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ที่เลวร้ายครับ นี่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาประสบมาในเมื่อก่อนครับ อาการแบบนี้ ต้องอาศัยคนที่อยู่ข้างกายคอยชี้นำครับ”
มู่น่อนน่อนทวนซ้ำอีกครั้งด้วยจิตใต้สำนึก: “เรื่องที่เคยประสบในสมัยก่อน?”
คุณหมอเดินมาใกล้เธอก้าวนึงแล้วอธิบาย: “ก็คือเกิดเรื่องค่อนข้างใหญ่ที่กระตุ้นประสาทเขา โดยปกติจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ประสบในวัยเด็กและวัยรุ่นครับ เพราะจิตใจของสองช่วงเวลานี้ยังไม่ได้มีความเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ ค่อนข้างบอบบาง ถึงได้มีอาการของโรคที่แสดงออกมาภายหลังครับ”
คุณหมอพูดได้เรียบง่ายและตรงไปตรงมา ฟังเข้าใจง่ายมาก
นี่ใกล้เคียงกับที่มู่น่อนน่อนคิดอยู่ในใจ
เธอไม่ได้บอกอาการที่สมบูรณ์แบบของเฉินถิงเซียวให้กับหมอจิตแพทย์ฟัง เธอแค่บอกว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานมาหมาดๆไม่ชอบเจอคน ใช้ชีวิตอย่างหลบหนีจากโลกภายนอกมาก
อาการของเฉินถิงเซียวอยู่ในเมืองหู้หยางเป็นความลับที่เปิดเผย ถ้าเธอพูดอาการของเฉินถิงเซียวชัดเจนเกินไป หมออาจจะเดาออกว่าคือเฉินถิงเซียว
“ค่ะ ขอบคุณหมอมากนะคะ”
มู่น่อนน่อนกล่าวขอบคุณหมอ แล้วลุกขึ้นเดินออกไป
ออกมาเพิ่งเดินได้ไม่กี่ก้าว ก็เห็นผู้ชายสองคนเดินมา
ผู้ชายสองคนคนนึงอยู่หน้าคนนึงอยู่หลังเดินมาทางนี้ ผู้ชายที่เดินอยู่ข้างหน้าแต่งตัวได้อย่างมิดชิด แต่รูปร่างค่อนข้างคุ้นเคย
ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ ผู้ชายถอดแว่นออก ไม่ว่าจะรอยยิ้มบนใบหน้า หรือว่าเสียงที่พูดออกมาก็ยังมีความอ่อนโยนที่มีความพอดี
“มู่น่อนน่อน เจอกันอีกแล้วนะครับ”
“ซือเฉิงหยู้?”
มู่น่อนน่อนมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างตะลึงงัน
เธอ……เจอราชาภาพยนตร์ซือโดยบังเอิญอีกแล้ว! ! !
ซือเฉิงหยู้เอาสีหน้าเธอเก็บไว้ในสายตา เขาเผลอหัวเราะออกมาแล้วพูด: “ทำไมเจอผมแล้วตื่นตะลึงขนาดนี้เลยเหรอ?”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า: “ภายในระยะเวลาสั้นๆแค่เดือนเดียว ฉันก็เจอคุณโดยบังเอิญสามครั้งแล้ว ฉันรู้สึกฉันไปซื้อหวยได้แล้วค่ะ”
ตอนที่ 84 ทำโครงการพัง
“เฉินเจียฉิน”รับเอกสารในมือเธอมา และพูดอย่างราบเรียบ: “คุณเรียนวิชาชีพไหนคุณไม่รู้หรือไง?”
“……”
มู่น่อนน่อนนึกขึ้นมาได้ ตอนที่เธอแต่งเข้าตระกูลเฉิน พวกเขาก็ตรวจสอบข้อมูลของเธอจนหมดเปลือกแล้ว ย่อมรู้อยู่แล้วว่าเธอเรียนวิชาชีพอะไร ไม่มีความรู้เกี่ยวกับทางด้านบริหารธุรกิจเลยสักนิด
“เฉินเจียฉิน”ดูเอกสารคร่าวๆทีนึง ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้ววางเอกสารลงข้างๆ
มู่น่อนน่อนถามเขาด้วยความสงสัย: “เป็นอะไรไปคะ?”
“เฉินเจียฉิน”มองเธอทีนึงแล้วพูด: “เอกสารนี้ไม่มีอะไรคู่ควรแก่การดู โครงการนี้บริษัทมู่ซื่อคุยไม่สำเร็จหรอก”
นาทีนี้กำลังมาเสิร์ฟกับข้าวพอดี เฉินถิงเซียวหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มทานข้าว
มู่น่อนน่อนหยิบเอกสารขึ้นมาดูแล้วดูอีกอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เธอดูเนื้อหาอะไรไม่ออกจริงๆ
แต่ว่า ในเมื่อเธอมาขอความช่วยเหลือจาก“เฉินเจียฉิน” งั้นก็ควรจะเชื่อใจเขา จึงไม่ได้ถามเซ้าซี้ต่อ
……………….
ตอนบ่าย มู่หวั่นขีพาพวกไปคุยโครงการ
บริษัทที่ไปคุยโครงการนั้นชื่อบริษัทถึงเสิ้ง อยู่ในเมืองหู้หยางก็ถือว่าเป็นผู้ประกอบการระดับกลาง ภาพแห่งอนาคตค่อนข้างดีกว่าบริษัทมู่ซื่อ
ทั้งพวกไปที่ห้องประชุม ผ่านไปสักพัก คนรับผิดชอบโครงการถึงมา
คนที่รับผิดชอบโครงการเป็นผู้หญิงวัยกลางคน อายุประมาณสี่สิบ ผมหวีได้อย่างเนี้ยบมาก แค่ดูก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงที่บ้าอำนาจมาก
มู่หวั่นขีลุกขึ้นทักทายกับเธอ ท่าทีสามารถบอกได้ว่าเย่อหยิ่งมาก: “ผู้จัดการเคอ เราเจอกันอีกแล้วนะคะ”
ผู้จัดการเคอเหลือบมองเธอทีนึง ก็ได้นั่งลงมาโดยตรง ราวกับฟังน้ำเสียงที่เย่อหยิ่งของมู่หวั่นขีไม่ออก เธอพูดด้วยน้ำเสียงแยกงานออกจากเรื่องส่วนตัว: “คราวก่อนฉันพูดได้อย่างชัดเจนมาก บริษัทมู่ซื่ออยากร่วมลงทุนโครงการนี้กับเรา ก็ต้องเอาความจริงใจออกมาหน่อย”
มู่หวั่นขียิ้ม หันหน้าไปมองมู่น่อนน่อนทีนึง: “คุณก็รู้ว่าท่านประธานของบริษัทมู่ซื่อคือพ่อของฉัน ครั้งนี้เขาส่งให้เราสองพี่น้องมาคุยเรื่องโครงการเชียวนะคะ นี่ยังไม่จริงใจพอเหรอคะ?”
ผู้จัดการเคอมองมู่น่อนน่อนทีนึง สีหน้าได้เปลี่ยนมายิ่งแย่ขึ้น ชีวิตนี้เธอเกลียดคนที่อาศัยเส้นสายที่ไม่ได้เรื่องแบบนี้ที่สุด เดิมทีเธอก็ไม่ชอบมู่หวั่นขีอยู่แล้ว ตอนนี้มีมู่น่อนน่อนเพิ่มมาอีกคน เธอก็ยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่
“ขอโทษด้วยค่ะ เดี๋ยวบ่ายสามฉันยังมีงานประชุมอยู่งานนึง ต้องขอตัวก่อนค่ะ” ผู้จัดการเคอได้ลุกขึ้นเดินไปด้านนอกโดยตรง
ในที่สุดมู่น่อนน่อนก็เข้าใจว่าทำไม“เฉินเจียฉิน”ถึงบอกว่าบริษัทมู่ซื่อจะคุยโครงการนี้ไม่สำเร็จ
ผู้จัดการเคอคนนั้นแค่ดูก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงแกร่ง เห็นได้ชัดว่าดูถูกมู่หวั่นขี แต่มู่หวั่นขีดันยังวางมาดนึกว่าตัวเองเก๋ามาจากไหน แถมยังจะลากเธอมาสร้างความแค้นให้ผู้จัดการเคออีก
มู่หวั่นขีพูดกับร่างเงาของผู้จัดการเคอ:“ถึงแม้น้องสาวฉันเป็นเด็กใหม่ แต่เธอก็มีความพยายามมากเลยนะคะ ผู้จัดการเคอคุณลองพิจารณาดูหน่อยมั้ยคะ?”
ผู้จัดการเคอก้าวฝีเท้าเดินไวขึ้น
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว พอเข้าใจอย่างลางๆแล้วว่าจุดประสงค์ที่มู่หวั่นขีพาเธอมาในวันนี้คืออะไร
อายุปูนนี้อย่างผู้จัดการเคอน่าจะเป็นพนักงานเก่าแก่ของบริษัท มีประสบการณ์และความน่าเกรงขามพอสมควร แต่บริษัทมู่ซื่อกลับส่งมู่หวั่นขีที่ไม่รู้เรื่องมาก็แล้วไป ตอนนี้ยังมีมู่น่อนน่อนมาเพิ่มอีกคนนึง……
นี่สำหรับผู้จัดการเคอแล้ว เป็นการเหยียดหยามอย่างนึง และเป็นการไม่ให้ความสำคัญกับโครงการด้วย
พอผู้จัดการเคอออกไปแล้ว มู่หวั่นขีหันหน้ากลับมาอย่างเย็นชา ตำหนิติเตียนมู่น่อนน่อน: “คุณพ่อให้ความสำคัญกับโครงการนี้มาก ตอนนี้แกทำพัง ดูซิว่าแกจะกลับไปบอกกับคุณพ่อยังไง!”
มู่น่อนน่อน: “? ? ?”
ตั้งแต่ผู้จัดการเคอเข้ามาจนถึงออกไป เธอไม่ได้พูดสักคำเลยแท้ๆ ความผิดที่ทำโครงการนี้พังก็หล่นมาอยู่บนหัวเธอแล้ว ให้เธอมาแบกรับแล้ว?
มู่น่อนน่อนหันไปมองอีกสองคนที่มาด้วยกัน หลังจากสองคนนั้นรู้สึกถึงสายตาของมู่น่อนน่อน แค่หันหน้าไปมองที่อื่น เห็นได้ชัดว่าเป็นแก๊งเดียวกับมู่หวั่นขี
“ยืนเซ่ออยู่ทำไม ยังคาดหวังว่าผู้จัดการเคอจะกลับมาอีกเหรอ?” มู่หวั่นขีเชิดคางขึ้นมองมู่น่อนน่อนอย่างดูถูกทีนึง แล้วเดินออกไปก่อน
มู่น่อนน่อนเดินตามหลัง ค่อยๆเดินออกไปข้างนอก
เธอรู้สึกมู่หวั่นขีเป็นคนโง่ชัดๆ ยอมที่จะทำโครงการสำคัญมากของบริษัทมู่ซื่อพัง ก็จะเหยียบเธอจมดินให้ได้
มู่หวั่นขีนี่ถูกโอ๋จนเสียคนแล้วจริงๆ ที่เธอสามารถใช้ชีวิตคุณหนูอย่างสบายใจ ก็ไม่ใช่เพราะมีบริษัทมู่ซื่อหรอกหรือ แต่เธอกลับเห็นโครงการของบริษัทเป็นของเล่นเด็ก
ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ช้าเร็วบริษัทมู่ซื่อต้องเล่นจนแย่แน่
……………….
พอกลับมาถึงบริษัทมู่ซื่อ มู่หวั่นขีก็ได้เรียกมู่น่อนน่อนเข้าไปในออฟฟิศของมู่ลี่เหยียนพร้อมกัน
มู่ลี่เหยียนเพิ่งประชุมกลับมา เห็นเธอสองคนอยู่กันพร้อมหน้า ก็ได้เปิดปากถาม: “วันนี้ลูกสองคนไปคุยโครงการมาเป็นยังไงบ้าง?”
มู่หวั่นขีกัดริมฝีปาก เบ้าตาแดงเล็กน้อย: “คุณพ่อคะ ขอโทษค่ะ หนูไม่น่าตามใจน่อนน่อนให้เธอไปคุยโครงการของบริษัทถึงเสิ้ง……..”
คำพูดเธอยังพูดไม่จบ ก็ถูกมู่ลี่เหยียนที่สีหน้าโกรธกริ้วขัดจังหวะ: “บริษัทถึงเสิ้ง ใครให้ลูกไปคุยโครงการที่บริษัทถึงเสิ้ง?”
ลูกสาวของเขา เขารู้ดีว่าเธอมีความสามารถแค่ไหน
เขาให้ความสำคัญกับโครงการของบริษัทถึงเสิ้งมาก รู้ว่ามู่หวั่นขีคุยไม่สำเร็จแน่ เลยเตรียมวางแผนยาวไกล ถึงเวลาหาคนที่เหมาะสมไปคุย
“น่อนน่อนเป็นคนบอกว่าอยากพิสูจน์ตัวเอง อยากไปคุยโครงการใหญ่ หนูก็ใจอ่อนในชั่วขณะ เลยรับปากพาเธอไปคุยโครงการของบริษัทถึงเสิ้งค่ะ………”
ที่จริงคำพูดนี้ของมู่หวั่นขีมีจุดรั่วไหลเยอะมาก แต่มู่ลี่เหยียนลำเอียงเอ็นดูเธอมากกว่า ถึงรู้ว่ามู่หวั่นขีกำลังพูดโกหก ก็มีแต่จะโมโหใส่มู่น่อนน่อน
“มู่น่อนน่อน! ฉันเห็นด้วยที่ให้แกย้ายไปที่แผนกบริหารโครงการ คือให้แกไปเรียนรู้ ไม่ใช่ให้แกไปถ่วงความเจริญของหวั่นขี และทำโครงการของบริษัทพัง!”
มู่ลี่เหยียนหน้าบูดบึ้ง เหมือนแทบอยากจะเดินเข้าไปตบมู่น่อนน่อนทีนึง
มู่น่อนน่อนจ้องมองสองพ่อลูกที่เป็นนักแสดงฝีมือยอดเยี่ยมคู่นี้ พร้อมหัวเราะเยาะ: “ความเจริญของมู่หวั่นขียังต้องให้หนูมาถ่วงด้วยเหรอคะ? เดิมทีเธอก็เหมือนคนขาขาดที่ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว! พ่อลองถามใจตัวเองดู ตั้งแต่เธอเข้ามาที่บริษัทมู่ซื่อ เคยคุยงานสำเร็จให้พ่อกี่โครงการ แล้วทำพังไปกี่โครงการ?”
“มู่น่อนน่อน แกพูดเหลวไหลอะไร! โครงการที่บริษัทคุยสำเร็จแต่ละปีนับไม่ถ้วน นี่ล้วนแต่เป็นโครงการที่ฉันนำพาลูกทีมไขว่คว้ามาอย่างลำบากเชียวนะ!”
มู่หวั่นขีส่ายหน้า สีหน้าเคียดแค้นชิงชังอย่างมาก: “ฉันทำเพื่อบริษัท แต่แกกลับมีความต้องการที่เห็นแก่ตัวอยากแสดงความสามารถของตัวเอง ก็เลยทำโครงการใหญ่ขนาดนี้พัง ตอนนี้ยังมากล่าวหาฉันอีก นี่แกเข้าท่าเหรอ!”
นี่มัน…………พูดเหมือนจริงเลย
“ทำเพื่อบริษัทหรือเปล่า เธอรู้ดีแก่ใจ” มู่น่อนน่อนยิ้มอย่างเสแสร้ง
มู่หวั่นขีถูกเธอจ้องมองแบบนี้ ร้อนตัวขึ้นมาอย่างห้ามใจไม่ได้
“ฉันก็ต้องทำเพื่อบริษัทอยู่แล้ว!” มู่หวั่นขีพูดเสียงสูง เพื่อปกปิดอาการกินปูนร้อนท้องของตัวเอง
มู่ลี่เหยียนเห็นทั้งสองทะเลาะจนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ จึงได้ตะคอกเสียงดัง: “พอได้แล้ว! แกสองคนออกไปเดี๋ยวนี้!”
มู่หวั่นขียังไม่ยอมไป จุดประสงค์ที่เธอทำเรื่องวันนี้ ก็คืออยากไล่ตะเพิดมู่น่อนน่อนออกจากแผนกบริหารโครงการ
“พ่อคะ น่อนน่อนไม่เหมาะกับแผนกบริหารโครงการจริงๆนะคะ! พ่อย้ายเธอกลับไปที่แผนกการตลาดเถอะค่ะ!”
คำพูดก่อนหน้านั้นของมู่น่อนน่อน ที่จริงได้พูดแทรกซึมเข้าไปในใจของมู่ลี่เหยียนแล้ว หลังจากแผนกบริหารโครงการถูกมู่หวั่นขีรับช่วงต่อ ผลงานแต่ละปีก็ยิ่งอยู่ยิ่งแย่
เขารำคาญสุดขีด: “ออกไป!”
“พ่อคะ!” มู่หวั่นขีเรียกเขาคำนึง ถึงไม่พอใจยังไงก็ได้แต่หันหลังเดินออกไป
ตอนที่ 83 ขอความช่วยเหลือจากเขา
ซือเฉิงหยู้เงียบไปครู่นึง น้ำเสียงเปิดเผยและตรงไปตรงมา: “ก่อนหน้านี้เคยเจอกันโดยบังเอิญครั้งนึง”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวยิ่งอยู่ยิ่งเยือกเย็นลง: “เธอคือมู่น่อนน่อน”
“ฉันรู้ เธอเป็นภรรยาของนาย มู่น่อนน่อน” จู่ๆเสียงของซือเฉิงหยู้กลายเป็นเลื่อนลอยขึ้นมา
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว อยากพูดแต่ก็หยุดชะงักไว้ สุดท้ายไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง ได้วางสายทิ้งโดยตรง
……………….
เช้าวันรุ่งขึ้น
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นมาทำอาหารเช้า เห็น“เฉินเจียฉิน”ลงมา เธอก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืนอีกอย่างห้ามใจไม่ได้อีก
เธอยกอาหารเช้าออกมาด้วย และแอบเหลือบมอง“เฉินเจียฉิน”ด้วย
เฉินถิงเซียวก้มหน้าดูมือถือ ยกแก้วขึ้นมาดื่มน้ำคำนึง จู่ๆได้เปิดปากพูดว่า: “แอบมองผมทำไม?”
มู่น่อนน่อนยักคิ้ว มองเขาด้วยสีหน้าท้าทาย: “ดูคุณสีหน้าแย่นิดหน่อย จะตุ๋นเนื้อวัวให้คุณบำรุงหน่อยมั้ยคะ?”
เฉินถิงเซียวได้ยินคำนี้แล้ว ท่าทางในมือได้หยุดนิ่ง เงยหน้าขึ้นมายิ้มอย่างไม่กระจ่าง: “บ้านหลังนี้ผู้หญิงอยู่แค่คนเดียว คุณตุ๋นให้ผมบำรุงไตนี่หวังอะไร?”
มู่น่อนน่อนจ้องเขาทีนึง แล้วหันหลังเข้าไปในห้องครัว
ถ้าพูดถึงเล่นลิ้นนี่ น้อยมากที่เธอจะเป็นคู่ต่อสู้ของ“เฉินเจียฉิน”
สุดท้ายทั้งสองได้เลิกรากันอย่างไม่สบอารมณ์อีก
สือเย่ส่งมู่น่อนน่อนไปทำงานที่บริษัทมู่ซื่อเหมือนเช่นเคย
ในรถ มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงถาม: “สือเย่ คุณผู้ชายของนายไม่เจอคนแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?”
สือเย่นึกถึงเฉินถิงเซียวที่วิ่งทุกสารทิศทุกวัน พูดว่าฝืนใจตัวเอง: “ใช่ครับ”
“เขาเคยไปพบหมอหรือเปล่า?” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ตระหนักได้ว่าคำพูดของตัวเองทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่าย เธอได้อธิบายอีก: “ความหมายของฉันคือ เขาจะไม่เจอผู้คนตลอดชีวิตไม่ได้นี่ ยังไงซะก็ต้องใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ”
เฉินถิงเซียวที่ต้องการใช้ชีวิตปกติ กลับโทรมาหาสือเย่ในเวลานี้
“ขอโทษครับ ผมรับโทรศัพท์แป๊บนึงครับ” สือเย่พูดจบ ก็ได้รับสายขึ้นมา
เสียงของเฉินถิงเซียวค่อนข้างเคร่งขรึม: “จับตาดูมู่น่อนน่อนดีๆ”
คำสั่งของเฉินถิงเซียวสั่งการได้ค่อนข้างแปลกประหลาด แต่สือเย่ไม่ได้ถามเซ้าซี้ เขาตอบคำเดียวว่า: “ครับผม”
……………….
มู่น่อนน่อนถึงหน้าบริษัท ก็เจอกับมู่หวั่นขี
มู่หวั่นขีมองรถคันที่มาส่งมู่น่อนน่อนมา แววตามีความริษยาแว๊บผ่าน
ถ้าตอนนั้นเป็นเธอที่แต่งเข้าตระกูลเฉิน ตอนนี้ คนที่นั่งรถคันนั้นมาทุกวันก็คือเธอแล้ว
มู่น่อนน่อนเสยผม แล้วเดินไปที่ตรงหน้าของมู่หวั่นขีที่ต้องใส่ส้นสูงถึงจะสูงเท่าเธอ เธอพูดด้วยรอยยิ้ม: “สวัสดีค่ะ ผู้จัดการมู่”
มู่หวั่นขีกลับเชอะเสียงเย็นชา ไม่สนใจเธอเลย
มาถึงที่ออฟฟิศ มู่น่อนน่อนเหมือนเมื่อวานได้ถ่ายเอกสารที่เหลือจากเมื่อวานต่อ
การปฏิบัติของมู่หวั่นขีนี้ เห็นได้ชัดว่าจะสร้างความลำบากใจให้มู่น่อนน่อน คนที่อยู่แผนกบริหารโครงการล้วนมองเห็นอย่างชัดเจน แต่กลับไม่มีคนกล้าพูดอะไร
แต่ว่า นี่ก็ไม่เป็นอุปสรรคให้พวกเขาหารือเรื่องนี้อย่างเป็นการส่วนตัว เอาเรื่องนี้แพร่ไปที่หูของมู่ลี่เหยียน
เวลาใกล้เที่ยง มู่ลี่เหยียนก็ได้เรียกมู่หวั่นขีเข้าไปที่ออฟฟิศ
“ถึงลูกไม่ชอบมู่น่อนน่อน ก็อย่าแสดงออกชัดเจนขนาดนี้สิลูก! นี้ถ้าคนอื่นเห็นเข้า
จะเอาไปเป็นขี้ปากได้นะ!”
ชัดเจนว่ามู่หวั่นขีไม่แคร์เลยสักนิด: “หนูเป็นลูกสาวของท่านประธาน แถมยังเป็นผู้จัดการของแผนกบริหารโครงการ ใครจะกล้าพูดอะไรคะ?”
“ลูกอยากกดขี่มู่น่อนน่อน ก็กดขี่ให้มันเหมือนหน่อย” มู่ลี่เหยียนค่อนข้างเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้ เมื่อก่อนรู้สึกว่ามู่หวั่นขีฉลาดดี ตอนนี้ดูแล้วทำไมถึงได้โง่ขนาดนี้!
“โอเคๆ บ่ายนี้หนูจะพาเธอออกไปคุยโครงการค่ะ” มู่หวั่นขีขี้เกียจฟังบทความยาวเหยียดของมู่ลี่เหยียน เธอหันหลังเล้วเดินออกไปข้างนอกเลย
สองวันนี้มู่น่อนน่อนแทบจะพักอยู่ในห้องถ่ายเอกสาร
มีคนมาถ่ายเอกสาร เธอก็ทักทายกับผู้คนอื่นด้วยรอยยิ้ม ทั้งสวยแถมยังนิสัยดี อีกทั้งยังเป็นญาติกับท่านประธานอีก พอเป็นแบบนี้ ความประทับใจที่เพื่อนร่วมงานมีต่อเธอก็ยิ่งมากแล้ว
มีเพื่อนร่วมงานที่เจตนาดีเตือนเธอ: “ที่จริงเธอไม่ต้องถ่ายเอกสารทุกครั้งก็ได้นะ เอกสารพวกนี้ต่างก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย”
มู่น่อนน่อนเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา สีหน้าไม่กล้าที่จะเชื่อ: “ห๊ะ พวก พวกนี้ต่างก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร?”
ในขณะนี้ เลขาของมู่หวั่นขีมาหาเธอ: “มู่น่อนน่อน ผู้จัดการหาคุณค่ะ”
“งั้นฉันไปหาผู้จัดการก่อนนะ” มู่น่อนน่อนหยุดงานในมือลงด้วยรอยยิ้ม แล้วไปที่ออฟฟิศของมู่หวั่นขี
เธอเข้าไปปุ๊บ มู่หวั่นขีก็โยนเอกสารให้เธอปึกนึง: “นี่เป็นเอกสารที่วันนี้จะไปคุยโครงการร่วมงาน แกเอาไปดูหน่อย เดี๋ยวตอนบ่ายไปกับฉัน”
มู่น่อนน่อนเอามาดูทีนึง แน่ใจว่าตัวเองไม่เข้าใจเลยสักนิด คำศัพท์ของในนั้นก็ค่อนข้างเยอะด้วย
อาชีพที่ไม่เหมือนกันยากที่จะเข้าใจสถานการณ์ของซึ่งกันและกัน ดูไม่เข้าใจก็คือไม่เข้าใจ
ตัวเธอเองย้ายมาแผนกบริหารโครงการก็ไม่ได้มีเจตนาดี มู่หวั่นขีพาเธอออกไปคุยโครงการก็ต้องไม่เจตนาดีแน่นอน
เธอจะต้องไปตรวจสอบบริษัทนี้ดูก่อน
ตรวจไปสักพัก ก็ตรวจสอบเนื้อหาอะไรไม่ออก
ของแบบนี้ เสิ่นเหลียงก็ไม่เข้าใจแน่นอน เสิ่นชูหานอาจจะเข้าใจ แต่เธอไม่มีทางถามเขา
คิดไปคิดมา เหมือนได้แต่ถาม“เฉินเจียฉิน”แล้ว
ไม่รู้เพราะอะไร ถึงแม้วันๆ“เฉินเจียฉิน”ดูเหมือนจะไม่มีอะไรทำ แต่ยังไงซะเขาก็เองคนของตระกูลเฉิน บริหารธุรกิจของตระกูลเฉิน เขาน่าจะเข้าใจพวกนี้อยู่
อาศัยช่วงเที่ยง มู่น่อนน่อนได้โทรหา“เฉินเจียฉิน”
เธอยังกังวลเล็กน้อยว่าจะไม่มีคนรับสาย แต่เหนือความหมายมาก ดังไปไม่กี่ทีก็มีคนรับสายแล้ว
มู่น่อนน่อนนึกถึงตอนเช้าตัวเองเพิ่งทำให้เขาโกรธเอง น้ำเสียงจึงค่อนข้างอึดอัด: “เฉินเจียฉิน ตอนนี้คุณยุ่งมั้ยคะ?”
“เฉินเจียฉิน”ประหยัดคำพูดเหมือนตัวอักษรมีค่าดั่งทองคำ: “มีธุระอะไร?”
มู่น่อนน่อนพูดอย่างกินปูนร้อนท้อง: “อยากเลี้ยงคุณทานข้าวเที่ยงค่ะ………”
“เฉินเจียฉิน”พูดอย่างไม่สนใจไยดี “พูดประเด็นหลัก”
ผู้ชายคนนี้นี่มีตาพันลี้เหรอเนี่ย?
มู่น่อนน่อนก็ไม่เขินอายแล้ว พูดอย่างทุ่มสุดตัว: “อยากขอความช่วยเหลือจากคุณนิดหน่อยอ่ะค่ะ!”
“เฉินเจียฉิน”ก็ไม่ได้พูดฉีกหน้าเธอเหมือนปกติ ได้ทำการตัดสินใจโดยตรง: “ผมมารับคุณที่บริษัทมู่ซื่อ”
“อ๋อ ค่ะ” มู่น่อนน่อนตอบกลับด้วยจิตใต้สำนึก
หลังจากวางสายถึงรู้สึกตรงไหนมันผิดสังเกต
เธอขอความช่วยเหลือจาก“เฉินเจียฉิน” เธอควรเป็นฝ่ายไปหาเขาไม่ใช่เหรอ?
ไม่นึกเลยว่าเขาจะขับรถมารับเธอ!
“เฉินเจียฉิน”มาไวมาก มู่น่อนน่อนไม่ได้รอเธอที่หน้าบริษัทมู่ซื่อ กลับกันได้ไปรอเขาที่ปากทางละแวกที่มีคนน้อยมาก
ตอนที่เฉินถิงเซียวหาเธอเจอ สีหน้าดูแย่มาก: “ขึ้นรถ!”
อยู่ในใจเธอ เขาเจอผู้คนไม่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?
มู่น่อนน่อนก็เดาออกว่าทำไมสีหน้าเขาดูไม่ดี เธอขอโทษเสียงเบา: “ขอโทษนะคะ ทางบริษัทมู่ซื่อคนมากมายต่างก็เคยเห็นคุณ ฉันกลัวถึงเวลาพวกเขากลัวถ่ายไปมั่ว และเดาความสัมพันธ์ของเราไปมั่วอีกค่ะ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร แค่หัวเราะเยาะทีนึง
ความรู้สึกที่หลบๆซ่อนๆแบบนี้มันไม่ดีเลย รู้อย่างงี้คืนนั้นตอนที่เธอเมา ก็ควรจะจัดการเธอให้เสร็จสรรพโดยตรงไปเลย!
มู่น่อนน่อนถูก“เฉินเจียฉิน”ที่สีหน้าราวกับจะถูกเขากลืนกินทำเอาตกใจจนตัวสั่น เธอได้ปิดปากอย่างรู้สถานการณ์ ไม่พูดมากอีกต่อไป
“เฉินเจียฉิน”ขับรถพาเธอมาร้านอาหารร้านนึงที่คนน้อยมาก
ทั้งสองนั่งลงมาสั่งอาหาร สายตาของ“เฉินเจียฉิน”ก็หล่นอยู่ที่เอกสารที่เธอถืออยู่ในมือ เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ: “เอาออกมา”
มู่น่อนน่อนมองเขาด้วยความตะลึงงัน เอาเอกสารออกมาอย่างช้าๆ: “คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันจะมาขอความช่วยเหลือจากคุณเรื่องนี้?”
“เฉินเจียฉิน”มองเธอทีนึงเหมือนมองคนโง่
ตอนที่ 82 กลับไปพร้อมกัน
มู่น่อนน่อนเคยเห็นเสิ่นเหลียงจัดการกู้จือหยั่นแล้ว ดังนั้นก็เห็นบ่อยจนไม่ประหลาดใจแล้ว
เธอมองไปยังฟู้ถิงซีที่ยืนอยู่ข้างกายของ“เฉินเจียฉิน” ยิ้มและทักทายกับเขา: “คุณฟู้”
ฟู้ถิงซีก็พยักหน้าเล็กน้อย ถือเป็นการตอบรับ
เฉินถิงเซียวไม่ได้สังเกตที่มู่น่อนน่อนพูดคือ“ทำไมพวกคุณก็อยู่นี่ได้”
“ก็”ของที่นี่ แสดงให้เห็นว่าก่อนหน้านี้เธอได้เจอคนรู้จักคนอื่นแล้ว
มู่น่อนน่อนไม่มีเพื่อนเยอะ ยิ่งไปกว่านั้นแถมยังเป็นเพื่อนที่สามารถมาโรงแรมจีนติ่งด้วย
เฉินถิงเซียวแววตาระยิบระยับ เดินมาที่ตรงหน้าของมู่น่อนน่อน มองเธอจากที่สูงลงมาที่ต่ำ: “คุณมาทานข้าวกับเพื่อนที่จีนติ่ง ทำไมไม่บอกผมล่วงหน้า?”
มู่น่อนน่อนสีหน้าประหลาดใจ: “นี่มันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย?”
กู้จือหยั่นถูกเสิ่นเหลียงกระทืบทีนึงก็ไม่โกรธ แถมยังพูดด้วยรอยยิ้ม: “พวกคุณได้ทานข้าวหรือยังครับ? ยังทานไม่อิ่มแน่ๆเลย จะไปทานกับพวกเราอีกหน่อยมั้ย คนเยอะคึกคักดี……..”
“ไม่ต้องแล้วค่ะ พวกเราทานอิ่มแล้วค่ะ”
มู่น่อนน่อนปฏิเสธได้อย่างเด็ดขาดมาก
ยากที่เฉินถิงเซียวจะพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: “ไปทานด้วยกันเถอะ เดี๋ยวจะได้กลับบ้านพร้อมกัน”
ที่จริงคนอย่างมู่น่อนน่อนใจอ่อนมาก ยากที่จะได้ยินเขาพูดจาอ่อนโยน จึงลังเลไปครู่นึง
อาศัยตอนที่เธอลังเลอยู่ เฉินถิงเซียวก็ได้ดึงเธอเข้าไปในห้องอาหารโดยตรงแล้ว
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้สำออย เพราะกลับไปก็สามารถติดรถเขาไปด้วย แต่ว่าการที่ถูกเขาดึงก็น่าเกลียดเกินไป
“คุณปล่อยค่ะ ฉันเดินเอง”
“เฉินเจียฉิน” เงยหน้ามองเธอทีนึง ไม่ได้พูดอะไรก็ปล่อยเธอโดยตรงเลย
มู่น่อนน่อนหันไปมองเสิ่นเหลียง เสิ่นเหลียงก็ได้เดินตามมาอยู่
แต่ว่า สีหน้าที่รอดูละครสนุกๆในแววตาเธอนั้น ทำให้มู่น่อนน่อนเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี นาทีต่อมา เธอก็รู้สึกได้ว่ามือถือของตัวเองกำลังสั่น
เธอหยิบมาดู พบว่าเสิ่นเหลียงเป็นคนส่งข้อความมาให้เธอ
“ลูกพี่ลูกน้องเผด็จการสุดๆ! ฉันหลงในความหล่อซะแล้ว!”
“ฉันว่าเธอสามารถพิจารณาลูกพี่ลูกน้องคนนี้ดูหน่อย หน้าตาดีหุ่นก็ดี!”
มู่น่อนน่อน: “……”
ลำบากเสิ่นเหลียงจริงๆแล้วที่สามารถดูจากภายนอกว่า“เฉินเจียฉิน”หุ่นดี
เธอส่งอิโมจิรูป [เอาหน้าหน่อย]ให้เสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงส่งอิโมจิ[ไม่สนใจ]ให้อย่างไม่ยอมแพ้
มู่น่อนน่อนยิ้มให้เธออย่างลึกลับ ส่งข้อความให้เธอข้อความนึง: “กู้จือหยั่นก็ไม่เลวนะ หน้าตาดีหุ่นก็ดี แถมยังมีตังค์ด้วยลองพิจารณาดูหน่อยมั้ย?”
ทีนี้เสิ่นเหลียงไม่ตอบข้อความเธอแล้ว แต่ใช้ตาจ้องมองเธอ
กว่าจะกลับมาถึงห้องอาหารไม่ใช่ง่ายๆ
เดิมทีเฉินถิงเซียวและพวกมาเพราะมีนัดทานข้าว แต่เพราะมีมู่น่อนน่อนและเสิ่นเหลียงอยู่ พวกเขาจึงไม่ได้ไปร่วมทานข้าว แต่ได้เปิดห้องของตัวเอง ทานข้าวอย่างเรียบง่ายก็กลับเลย
มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงทานมาแล้ว ก็เลยสั่งผลไม้มาทานย่อยอาหารหน่อย
……………….
ทางฝั่งของซือเฉิงหยู้ก็เพิ่งทานข้าวเสร็จพอดี ตอนที่ผู้ช่วยเข้ามา โน้มไปกระซิบที่ข้างหูเขา: “เมื่อกี๊ฉันเห็นคุณชายเฉินก็มาเหมือนกันค่ะ”
“คุณชายเฉิน”ที่ผู้ช่วยพูดถึง ก็คือเฉินถิงเซียว
ซือเฉิงหยู้ลุกขึ้นเดินไปข้างนอก: “งั้นฉันต้องไปทักทายสักหน่อยแล้ว”
เดินมาถึงหน้าห้องอาหาร เขาผลักประตูเข้าไป แว๊บแรกก็เห็นเฉินถิงเซียว
เขากำลังจะเปิดปากพูด จู่ๆสายตาหันไปมองเห็นมู่น่อนน่อน
เฉินถิงเซียวก็คิดไม่ถึงว่าซือเฉิงหยู้จะอยู่ที่นี่ เขามองมู่น่อนน่อนอย่างไม่ทิ้งร่องรอยก่อนทีนึง เธอกำลังก้มหน้าดูมือถือกับเสิ่นเหลียงอยู่
จากนั้น เขาถึงหันมามองซือเฉิงหยู้อีก และเป็นคนเปิดปากพูด: “ราชาภาพยนตร์ซือก็อยู่ที่นี่เหรอ?”
พอพูดออกมาปุ๊บ ในหัวของเขาก็มีคำว่า“ทำไมคุณก็อยู่ที่นี่ด้วย”ของมู่น่อนน่อนแว๊บผ่าน สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยอย่างไม่สามารถสังเกตเห็น
มู่น่อนน่อนได้ยินคำพูดเขา เงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน เห็นซือเฉิงหยู้ที่ยังยืนอยู่หน้าห้องพอดี
นาทีนี้ซือเฉิงหยู้ก็ดึงสติกลับมาได้แล้ว เขาพูดด้วยรอยยิ้ม: “เมื่อกี๊ฉันได้ยินว่าประธานกู้ก็อยู่ที่นี่ เลยมาทักทายสักหน่อย”
ซือเฉิงหยู้เป็นนักแสดงในสังกัดของบริษัทเสิ้งติ่ง นี่ไม่ใช่ความลับอะไร ดังนั้นวิธีพูดแบบนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผลอยู่
พริบตาเดียวบรรยากาศของห้องได้จมเข้าไปในความอึดอัดสุดขีด: “ห๊ะ อ้อใช่ คุณก็อยู่นี่เหมือนกันเหรอ……..”
“ใช่ ยังมีเพื่อนรอผมอยู่ ผมไปก่อนแล้วนะ”
ก่อนซือเฉิงหยู้จากไป ได้มองไปที่ทิศทางของเฉินถิงเซียวและมู่น่อนน่อนอย่างกับไม่ได้ตั้งใจ
มู่น่อนน่อนรู้สึกซือเฉิงหยู้กำลังมอง“เฉินเจียฉิน”
แต่เฉินถิงเซียวกลับรู้สึกว่า คนที่ซือเฉิงหยู้กำลังมองคือมู่น่อนน่อน
ทั้งสองหันมาสบตากันด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ไม่นานก็ขมวดคิ้วดึงสายตากลับ
“คนเมื่อกี๊คือซือเฉิงหยู้!”
เสิ่นเหลียงดึงสติกลับมาอย่างเชื่องช้า ตบไหล่ของมู่น่อนน่อนอย่างกะทันหัน: “น่อนน่อน คนเมื่อกี๊คือซือเฉิงหยู้เชียวนะ! ทำไมเธอไม่ไปถ่ายรูปกับเขา!”
กู้จือหยั่นรีบพูดต่อ ยิ้มซะตาหยีเชียว: “มู่น่อนน่อน ถ้าคุณอยากถ่ายรูปกับซือเฉิงหยู้ ไปหาผมที่บริษัทได้นะ”
โบราณกล่าวไว้ว่า ถ้าอยากเอาผู้หญิงคนนึงอยู่หมัด สามารถลงมือกับเพื่อนข้างกายของเธอก่อน ส่วนมู่น่อนน่อนก็คือเพื่อนสนิทของเสิ่นเหลียง
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว มองกู้จือหยั่นด้วยสายตาเย็นชาทีนึง: “กินข้าวก็อุดปากนายไม่ได้เหรอ?”
กู้จือหยั่นสีหน้าประหลาดใจ เขาพูดอะไรผิดเหรอ?
ทำไมเฉินถิงเซียวเหมือนโกรธเลย?
เมื่อกี๊มู่น่อนน่อนใช้เงินเขาๆยังดีใจขนาดนั้น!
นี่เขากำลังเอาใจมู่น่อนน่อนอยู่นะเนี่ย!
เฉินถิงเซียวควรจะรู้สึกโล่งอกถึงจะถูกไม่ใช่เหรอ?
บรรยากาศที่เดิมทีกลมกลืนมาก เพราะการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของซือเฉิงหยู้ ได้กลายเป็นแปลกประหลาดขึ้นมา
จนออกจากโรงแรมจีนติ่ง มู่น่อนน่อนก็ยังรู้สึกค่อนข้างแปลกประหลาดอยู่
ระหว่างทางกลับบ้าน มู่น่อนน่อนถาม“เฉินเจียฉิน”: “คุณรู้จักซือเฉิงหยู้ใช่หรือเปล่าคะ?”
ไม่งั้นก่อนที่ซือเฉิงหยู้จากไป มองเขาแว๊บนึงมันหมายความว่ายังไง?
ในใจของเฉินถิงเซียวหงุดหงิดเล็กน้อย แค่พูดอย่างเย็นชาคำนึง: “เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย?”
นิสัยอะไรเนี่ย?
เธอถามเขาดีๆ ไม่อยากพูดก็ช่าง ดันจะเหน็บแนมเธออีก?
อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน เดิมทีเธอก็อยากสร้างสัมพันธไมตรีกับเขาอยู่!
จนกลับมาถึงบ้าน มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้พูดกับเขาสักคำ
พอเข้ามาในบ้านปุ๊บ เธอก็ถามบอดี้การ์ด: “คุณผู้ชายของพวกนายอยู่บ้านมั้ย?”
บอดี้การ์ดได้เตรียมคำพูดไว้ตั้งนานแล้ว: “คุณผู้ชายนอนแล้วครับ”
“อ๋อ” มู่น่อนน่อนพยักหน้า แล้วเดินขึ้นชั้นบน
เธอคิดๆแล้วก็ได้ส่งข้อความให้เฉินถิงเซียว: เย็นนี้ฉันไปทานข้าวกับเสิ่นเหลียงค่ะ เพิ่งกลับมาถึงบ้าน ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
เฉินถิงเซียวกลับมาที่ห้องอย่างสีหน้าเยือกเย็น ก็ได้รับข้อความจากมู่น่อนน่อน
ยังรู้จักรายงานโปรแกรมกับเขาด้วย? ยิ่งอยู่ยิ่งกล่อมคนเก่งแล้วนะ
ถึงแม้ในใจคิดแบบนี้ สีหน้าที่บึ้งตึงทั้งคืนของเขา ก็ได้นุ่มนวลขึ้นอย่างห้ามใจไม่ได้
นิ้วมือสไลด์อยู่บนหน้าจอ ตอบข้อความให้มู่น่อนน่อนคำนึงว่า“อืม”
ข้อความเพิ่งส่งออกไป ก็มีสายเรียกเข้าจากซือเฉิงหยู้
เฉิงถิงเซียวจ้องมือถือไปสองวิ ถึงรับสาย
เสียงของซือเฉิงหยู้อ่อนโยนมาก ไม่ต่างจากปกติเลย: “ถิงเซียวเหรอ?”
ในความทรงจำ ซือเฉิงหยู้เป็นพี่ชายที่นิสัยดีมาก
แต่เฉิงถิงเซียวกับไม่เกรงใจ เปิดปากก็พูดว่า: “พี่เคยเจอมู่น่อนน่อนเหรอ?”
ตอนที่ 81 เหมือนรู้จักเธอตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว
เพราะเสิ่นเหลียงจะกลับมาแล้ว มู่น่อนน่อนอารมณ์ดีทั้งวันเลย
ที่บริษัทงานค่อนข้างเยอะ มู่หวั่นขีก็ไม่ได้มาหาเรื่องเธอ
ก่อนเลิกงาน เธอได้โทรบอกสือเย่ว่าไม่ต้องมารับเธอ เธอมีนัดทานข้าวกับเพื่อน
ออกจากบริษัทมู่ซื่อ มู่น่อนน่อนก็นึกถึงว่าต้องทำกับข้าวให้“เฉินเจียฉิน”ทาน
เธอยืนอยู่ที่ข้างถนน หยิบมือถือออกมาโทรหา“เฉินเจียฉิน”
หลังจากโทรติด แค่ดังขึ้นทีนึง ก็ถูกคนรับสายแล้ว
“มีอะไร?”
เสียงของ“เฉินเจียฉิน” ค่อนข้างทุ้มต่ำ อยู่ในสายฟังแล้วยิ่งมีแรงเสน่ห์
มู่น่อนน่อนฟังเสียงเขาชินแล้ว แต่ก็ยังเหม่อลอยไปครู่นึง เธอพูดว่า: “คืนนี้คุณจะกลับไปทานข้าวที่บ้านมั้ยคะ?”
เขาย้อนถาม: “ไม่งั้นล่ะ?”
มู่น่อนน่อนอธิบายให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล: “คืนนี้ฉันนัดทานข้าวกับเพื่อนที่นอกบ้านค่ะ”
ในสายเงียบไปครู่นึง เสียงของเขาก้องมาอย่างเบาๆ แฝงด้วยความเยือกเย็นที่แปลกประหลาด: “นัดกับเสิ่นชูหานเหรอ?”
มู่น่อนน่อนยกมุมปาก คนๆนี้นี่ประสาทชัดๆ “ผู้หญิงค่ะ!” มู่น่อนน่อนกัดฟัน:“ถึงแม้ฉันรับปากว่าจะทำกับข้าวให้คุณทาน แต่ฉันไม่ใช่คนรับใช้ของที่บ้าน ฉันก็ต้องการมีสังคมและเพื่อนของฉันเหมือนกัน”
จู่ๆท่าทีของ“เฉินเจียฉิน”นุ่มนวลลงเยอะ เขาพูดเบาๆ: “อ๋อ คุณไปเถอะ”
หลังจากวางสาย เฉินถิงเซียวมองกู้จือหยั่นทีนึง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “เมื่อกี๊นายบอกว่าคืนนี้มีนัดทานข้าวไม่ใช่เหรอ?”
“นายไม่ไปไม่ใช่เหรอ?” กู้จือหยั่นมองเขาด้วยความประหลาดใจ ปกติเฉินถิงเซียวแทบจะไม่ร่วมงานพบปะทานข้าวอะไรเลย
ฟู้ถิงซีที่อยู่ข้างๆรู้ข้อมูลเชิงลึกทั้งหมดตั้งนานแล้ว: “เพราะคืนนี้เมียของเขาไม่ทานข้าวที่บ้าน”
“ก็มีแต่นายแหละที่พูดมาก” เฉินถิงเซียวชายตามองฟู้ถิงซีทีนึง ฟู้ถิงซีหันหลังเดินออกไปอย่างเงียบๆ
……………….
ตอนที่มู่น่อนน่อนนั่งรถไปที่โรงแรมจีนติ่ง ไม่เห็นเสิ่นเหลียงเลย
เธอกำลังหยิบมือถือขึ้นมาจะโทรหาเสิ่นเหลียง ตรงหน้าก็มีผู้หญิงที่แต่งตัวมิดชิดมากเดินมาหา
มู่น่อนน่อนถามอย่างยั้งความคิดคำนึง:“เสี่ยวเหลียง?”
เสิ่นเหลียงดึงแว่นตาดำลงมานิดหน่อย มองดูรอบๆอย่างลับๆล่อๆทีนึง:“ใช่ ฉันเอง”
เธอพูดจบ ก็ดึงมู่น่อนน่อนไปที่ทิศทางของประตูด้วย พร้อมถามเธอด้วย: “เธอสามารถเข้าไปได้เหรอ?”
เสิ่นเหลียงย่อมรู้อยู่แล้วว่าโรงแรมจีนติ่งเป็นคลับเฮาส์ไฮคลาสต้นๆของเมืองหู้หยาง ให้ความสำคัญกับการความเป็นส่วนตัวมาก ดังนั้นไม่ใช่ใครๆก็จะสามารถเข้าไปอย่างเรื่อยเปื่อย
มู่น่อนน่อนพยักหน้า: “เข้าไปได้สิ ฉันเคยมาทานข้าวที่นี่”
นาทีนี้ทั้งสองกำลังเดินมาถึงที่หน้าประตูพอดี เบลบอยพอเห็นมู่น่อนน่อน แม้แต่คำว่า“ยินดีต้อนรับ”ก็ตะโกนเสียงดังขึ้นเยอะเลย เป็นมิตรไมตรีมาก
หลังจากเข้าไป เสิ่นเหลียงถอดแว่นดำลง ดึงผ้าพันคอที่ห่อหุ้มครึ่งค่อนหน้าออก สำรวจมู่น่อนน่อนตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด: “ฉันแค่ไปถ่ายละครกลับมา เธอก็ถอดรกเปลี่ยนกระดูก…..มาทั้งตัวเลยเหรอเนี่ย?”
เสิ่นเหลียงกับมู่น่อนน่อนรู้จักกันมานานหลายปีแล้ว แต่เวลาส่วนใหญ่ มู่น่อนน่อนล้วนมีหน้าตาที่หน้า“ขี้เหร่” เธอก็ดูจนชินแล้ว
ครั้งก่อนตอนที่เธอกลับกองถ่าย ถึงแม้มู่น่อนน่อนก็คืนสู่โฉมหน้าเดิมแล้ว แต่ว่าเท่าที่เธอดูก็แค่เปลี่ยนกลับมาเป็นโฉมหน้าเดิมเฉยๆ พอห่างกันสักพักมาดูอีกที บุคลิกของมู่น่อนน่อนเหมือนจะเปลี่ยนมาดูดีขึ้นเยอะเลย
ทั้งสองได้เข้ามาในลิฟท์แล้ว มู่น่อนน่อนส่องกระจกที่ผนังของลิฟท์: “เปล่านี่ ก็เหมือนเมื่อก่อนนี่แหละ”
เสิ่นเหลียงยืนที่ข้างกายเธอ จู่ๆได้เปิดปากพูดคำนึง: “เอางี้มั้ย เธอก็มาแสดงละครเถอะ ไม่แน่อาจจะดังกว่าฉันก็ได้”
“เป็นวงการที่ซับซ้อน น้ำลึก ไม่ไป”
“……”
……………….
ทั้งสองได้หาที่นั่งลงและสั่งอาหาร
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ
เธอล้างมือเสร็จแล้วเดินออกมา ตอนที่ก้มหน้าเดินออกมาเหม่อลอยนิดหน่อย ไม่ทันระวังชนเข้ากับคนตรงมุมเลี้ยว
เธอรีบกล่าวขอโทษ: “ขอโทษค่ะ”
รูปร่างของผู้ชายค่อนข้างสูง ครึ่งค่อนวันก็ไม่ส่งเสียง
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ เผชิญกับใบหน้าอ่อนโยนของซือเฉิงหยู้พอดี
เขาได้ยิ้มขึ้นมา ได้ให้ความรู้สึกกับคนเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ เรียกชื่อเธออย่างมีการเตรียมพร้อม: “มู่น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนรู้สึกประหลาดใจจากการได้รับความรักอย่างไม่คาดฝัน: “คุณก็มาทานข้าวที่นี่เหรอคะ?”
เมืองหู้หยางใหญ่ขนาดนี้ เธอไม่เคยคิดมาก่อน ว่าจะได้เจอซือเฉิงหยู้สองครั้งภายในระยะเวลาอันสั้นขนาดนี้
“ใช่ครับ นัดกับเพื่อนที่นี่ครับ” ซือเฉิงหยู้พยักหน้า จู่ๆถามขึ้นมาคำนึง: “ช่วงนี้สบายดีมั้ยครับ?”
ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นข่าวของมู่น่อนน่อนกับ“ลูกพี่ลูกน้องเฉินถิงเซียว”
ลูกพี่ลูกน้องห่างๆของเฉินถิงเซียวมีกี่คนเขาไม่รู้ แต่ลูกพี่ลูกน้องที่สนิทชิดเชื้อที่สุดมีแค่คนเดียว นั่นก็คือน้องชายแท้ๆของเขา เฉินเจียฉิน
แม่ของเขาเป็นน้าแท้ๆของเฉินถิงเซียว พ่อของเขาแซ่ซือ เขาใช้นามสกุลตามพ่อ น้องชายใช้นามสกุลตามแม่
แต่น้องชายเพิ่งจะอายุสิบสี่ แถมยังอยู่ต่างประเทศกับแม่ด้วย
“ก็……สบายดีค่ะ”
มู่น่อนน่อนไม่เข้าใจ ทำไมซือเฉิงหยู้ถึงได้ถามแบบนี้
เธอรู้สึกเหมือนเมื่อก่อนซือเฉิงหยู้ก็รู้จักเธอยังไงอย่างงั้นเลย……….
“งั้นก็ดีครับ”
ซือเฉิงหยู้พูดคำนี้ด้วยรอยยิ้ม ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีก
กลับมาถึงที่ในร้านอาหาร มู่น่อนน่อนเพิ่งนั่งลง เสิ่นเหลียงก็ได้ชูมือถือมาที่ตรงหน้าเธอ: “น่อนน่อน เมื่อกี๊ฉันเห็นราชาภาพยนตร์ซือได้โพสต์Weibo เธอดูสถานที่สิใช่โรงแรมจีนติ่งมั้ย?”
มู่น่อนน่อนก้มหน้าดู รูปประกอบใหม่ล่าสุดในWeiboที่ซือเฉิงหยู้โพสต์ นี่มันถ่ายที่โรงแรมจีนติ่งชัดๆ
แต่ว่านี่ก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ เพราะเมื่อกี้เธอก็ได้เจอเขาแล้ว
เห็นมู่น่อนน่อนสีหน้าสงบ เสิ่นเหลียงตบที่ไหล่เธอเบาๆ: “เธอไม่ตื่นเต้นสักนิดเลยเหรอ? ตอนนี้เธอออกไปเดินเล่นดูสิเผื่อจะเจอราชาภาพยนตร์ซือโดยบังเอิญก็ได้”
“ที่จริง…..” มู่น่อนน่อนนิ่งไปครู่นึง กลัวเสิ่นเหลียงไม่เชื่อ พยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองฟังแล้วจริงจัง: “ฉันเคยเจอซือเฉิงหยู้โดยบังเอิญสองครั้งแล้ว ครั้งล่าสุดก็คือเมื่อกี๊ตอนที่ไปเข้าห้องน้ำ เจอเขาโดยบังเอิญ”
ฟังคำพูดของเธอ ปากของเสิ่นเหลียงก็ได้อ้าเป็นตัวอักษร“O”แล้ว
ที่ไม่ไกล ซือเฉิงหยู้ตั้งใจอ้อมมาดูที่ห้องโถงทีนึง เห็นตำแหน่งที่นั่งของมู่น่อนน่อนพอดี ผู้หญิงที่อยู่ตรงข้ามเธอดูเหมือนจะเป็นดาราที่เคยร่วมงานกับเขา
……………….
เฉินถิงเซียวและพวกมาถึงที่โรงแรมจีนติ่ง เพิ่งเข้าลิฟท์ มือถือของเขาก็ได้รับข้อความใช้จ่ายเงินหนึ่งข้อความ
มู่น่อนน่อนใช้การ์ดของเขาแล้ว? กู้จือหยั่นตาแหลมเห็นเนื้อหาของข้อความเขา แล้วเห็นรอยยิ้มที่ไม่ค่อยชัดเจนบนใบหน้าเขา ทันใดนั้นก็รู้สึกขนลุกซู่: “บ้าไปแล้ว คนอื่นใช้เงินนาย ยังดีใจขนาดนี้อีก”
เฉินถิงเซียวเงยหน้ามองเขา น้ำเสียงราบเรียบ: “เธอยอมใช้เงินของฉัน เสิ่นเหลียงยอมใช้เงินของนายมั้ย?”
กู้จือหยั่นรู้สึกว่ามีธนูยิ่งเข้าตรงอกของตัวเอง เจ็บจนทิ่มแทงใจ
เฉินถิงเซียวมองตัวเลขค่าใช้จ่ายสี่หลักในมือถือทีนึง ครุ่นคิดไปครู่นึง ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา
กู้จือหยั่นรู้สึกว่า รอยยิ้มของเฉินถิงเซียวเต็มไปด้วยเจตนาร้าย
ดิ้ง——ลิฟท์ได้เปิดออก
เฉินถิงเซียวเงยหน้า ก็เห็นมู่น่อนน่อนที่ยืนอยู่นอกประตู
มู่น่อนน่อนก็เห็นเขา เธอร้องด้วยความตกใจคำนึง: “ทำไมคุณก็มาอยู่นี่ได้คะ?”
คนพวกนี้นี่วันนี้นัดกันไว้เหรอ? แต่ละคนวิ่งมาที่โรงแรมจีนติ่งหมด?
กู้จือหยั่นเห็นเสิ่นเหลียงปุ๊บ แววตาก็เปล่งประกาย เขาได้เบียดเข้าไปโดยตรง ผู้ชายที่รูปร่างสูงใหญ่ซื่อสัตย์เหมือนคนขี้ประจบ: “เสิ่นเสี่ยวเหลียง!”
เสิ่นเหลียงเหลือบมองเขาทีนึง และกระทืบไปโดยตรงทีนึง
“โอ๊ย——”
ตอนที่ 80 ไม่ได้มาดี
เรียกได้ว่ามู่ลี่เหยียนนั้นรักมู่หวั่นขีโดยไม่ใช้สมองครุ่นคิดและยำเกรงต่อสิ่งใดทั้งนั้น
ย่อมชอบฟังคนยกยอมู่หวั่นขีอยู่แล้ว
พูดกันอย่างตรงไปตรงมา มู่น่อนน่อนก็อยู่ในตระกูลมู่มานานหลายปี เชื่อฟังไม่น้อยไปกว่าสุนัขบ้าน ดังนั้นการที่เธอมาพูดเช่นนี้ ก็ทำให้มู่ลี่เหยียนเองก็เชื่ออยู่บ้าง
ยิ่งไปกว่านั้น มู่น่อนน่อนก็ยังบีบน้ำตาออกมาหลายหยด
ในที่สุดมู่ลี่เหยียนก็ผ่อนคลายลง “โอเค ฉันจะทำเรื่องย้ายเธอไปก่อน หากเธอความสามารถไม่ถึง ฉันก็จะย้ายเธอกลับมา”
มู่น่อนน่อนยิ้มหวานให้กับเขา “ขอบคุณค่ะพ่อ”
มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีวิสัยทัศน์ มู่น่อนน่อนในตอนนี้สวยแล้ว แม้แต่มู่ลี่เหยียนเองก็รู้สึกว่าสบายตาขึ้นมากยามที่มองเธอ เสียงที่เอ่ยว่า “ขอบคุณค่ะพ่อ” ก็ฟังรื่นหูยิ่งขึ้น
“เธอกลับไปก่อนเถอะ ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกหวั่นขีก่อน แล้วจะกลับมาบอกให้เธอย้ายไป”
มู่น่อนน่อนออกมาจากออฟฟิศของมู่ลี่เหยียน ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มจางลงไป ยื่นมือขึ้นมาเช็ดรอยน้ำตาบนใบหน้า และมุมปากก็ยกยิ้มเยาะเย้ย
…..
ทันทีที่มู่น่อนน่อนออกไป มู่ลี่เหยียนก็ต่อสายภายในเรียกมู่หวั่นขีให้มาหา
ทันทีที่มู่หวั่นขีเข้ามา ก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “พ่อ เรียกฉันมาทำไม ฉันยังมีงานที่ต้องทำอีกมากเลยนะ”
มู่ลี่เหยียนไม่ได้สนใจท่าทางของเธอ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “เมื่อครู่มู่น่อนน่อนมาหาพ่อ บอกว่าอยากย้ายไปทำงานกับลูก อยากจะเรียนรู้จากลูก ลูกเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
“เธอเป็นคนพูดหรือ” มู่หวั่นขีได้ยินเช่นนั้น สองตาก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ เธอพูดขึ้นมาเองเลย”
“เธออยากจะมาเรียนกับฉันจริงๆ หรือ เธอคงกำลังคิดจะทำอะไรอีกแน่ๆ” มู่หวั่นขีแค่นเสียงในลำคอ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ขอต่อรอง “พ่อ ฉันไม่ให้เธอย้ายมาทำที่ฝ่ายฉัน แค่เห็นเธอก็รำคาญแล้ว”
แต่เดิมมู่ลี่เหยียนก็คิดที่จะต่อรองกับมู่หวั่นขี แต่เมื่อเห็นท่าทีที่แข็งกร้าวไม่ไว้หน้าเขาของมู่หวั่นขีแล้ว เขาก็อดที่จะโมโหขึ้นมาไม่ได้ “หวั่นขี ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พวกเธอก็เป็นพี่น้องกัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรายังต้องพึ่งพาให้เธอไปช่วยพูดกับเฉินถิงเซียวเรื่องเงินลงทุนของบริษัทเรา เรื่องถูกตกลงเรียบร้อยแล้ว พ่อจะย้ายเธอไปแผนกของลูก ดูเธอให้ดีด้วย”
มู่หวั่นขีไม่พอใจ และบันดาลโทสะออกไปตรงๆ “พ่อ ทำไมพ่อถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ฉันพูดไปแล้วไงว่าไม่อยากให้เธอย้ายไปแผนกฉัน พ่อฟังไม่เข้าใจหรือ”
มู่ลี่เหยียนตะโกนเสียงดัง “มู่หวั่นขี”
เมื่อรับรู้แล้วว่าเขาโกรธจริงๆ มู่หวั่นขีก็ต้องให้ความร่วมมือแต่โดยดี “ก็ได้ๆ ตามใจพ่อเลย”
มู่หวั่นขีกล่าวจบ ก็รีบออกไปทันที
ตอนที่ออกไป ก็ยังปิดประตูเสียงดังสนั่น “ปึง”
คิ้วของมู่ลี่เหยียนขมวดแน่น รู้สึกว่าตัวเองนั้นตามใจมู่หวั่นขีเกินไปแล้วใช่ไหม เธอถึงได้จักแต่จะสาดอารมณ์ยามที่อยู่ต่อหน้าเขาอย่างเดียว
…..
โดยเร็วมู่น่อนน่อนก็ได้รับประกาศให้ย้ายแผนก
เธอเก็บของของตัวเองอย่างง่ายดาย และบอกลากับเพื่อนร่วมงานที่คุ้นเคยกันสองสามคน และอุ้มกล่องตรงไปยังแผนกโครงการ
เธอยืนอยู่ที่หน้าประตูออฟฟิศผู้จัดการ แล้วเคาะประตูออฟฟิศของมู่หวั่นขี
ไม่นาน ข้างในก็มีเสียงของมู่หวั่นขีดังออกมา “เข้ามาได้”
มู่น่อนน่อนเปิดประตูเข้าไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ต่อจากนี้คงต้องขอให้พี่สาวแนะนำกันเยอะๆ ด้วยนะคะ”
ทันทีที่มู่หวั่นขีเห็นเธอสีหน้าก็ย่ำแย่ทันที
“ที่นี่คือบริษัท เรียกฉันว่าผู้จัดการมู่”
มู่น่อนน่อนก็รีบเรียกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการมู่”
มู่หวั่นขีเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเธอ ทันใดนั้นก็รู้ว่าตัวเธอเหมือนถูกกดหัว
ดังนั้นเธอจึงให้คนไปเอาเอกสารที่ไม่มีประโยชน์อะไรมา แล้วให้มู่น่อนน่อนไปถ่ายเอกสาร หลังจากนั้นก็ให้เธอนำเอกสารนั้นไปทำลาย
มู่น่อนน่อนทำแต่เรื่องนี้ทั้งวัน
คิดไว้ว่า มู่น่อนน่อนทำไปได้สักพักต้องมาอารมณ์เสียใส่เธอแน่ ไม่คิดว่ามู่น่อนน่อนยังคงทำตามแบบนั้นอยู่ทั้งวัน โดยที่ไม้บ่นเลยแม้แต่นิดเดียว
นั้นทำให้มู่หวั่นขีรู้สึกเหลือเชื่อขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อวานมู่น่อนน่อนยังมาหาเรื่องเธอถึงออฟฟิศด้วยท่าทีดุดัน วันนี้นิสัยเปลี่ยนไปแล้วหรือ
แต่เธอก็ไม่เชื่ออยู่ดี
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน มู่หวั่นขีก็ให้คนนำเอกสารกองโตไปให้มู่น่อนน่อนแล้วให้เธอถ่ายเอกสาร
จนกระทั่งคนอื่นออกไปจนหมด มู่น่อนน่อนก็ยังถ่ายไม่เสร็จ
มู่หวั่นขีไปห้องถ่ายเอกสาร เมื่อเห็นว่ามู่น่อนน่อนยังคงตั้งใจถ่ายเอกสารอยู่ที่ตรงนั้น เธอเดินไปหาโดยที่ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย “มู่น่อนน่อน เธอกำลังจะเล่นเกมอะไรอีกกันแน่ เธอหลอกพ่อของฉันได้ แล้วเธอคิดว่าเธอจะหลอกฉันได้ด้วยอย่างนั้นหรือ”
“ฉันหลอกอะไรเธอกัน ฉันเพียงรู้สึกว่าพี่สาวของฉันนั้นยอดเยี่ยมมากจริงๆ ดังนั้นเลยอยากจะมาเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เธอดูแล”
น้ำเสียงที่อ่อนโยนของมู่น่อนน่อนพูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นบทสนทนาก็เปลี่ยนไป น้ำเสียงเองก็เปลี่ยนไปลึกซึ้ง “หากฉันไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอื่นจะคิดไปว่าพี่สาวไร้ความสามารถหรือไม่”
มู่หวั่นขีหัวเราะเยาะ “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่ได้มาดี”
มู่น่อนน่อนเหลือบมองเธอ แล้วจัดการเอกสารในมือต่ออย่างไม่รีบร้อน และไม่สนใจเธออีก
ได้ยินคนในบริษัทพูดมาตั้งนานแล้ว ว่ามู่หวั่นขีที่นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการของแผนกโครงการ ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดนั้นเป็นความดีความชอบของคนที่อยู่ภายใต้การดูแลทั้งนั้น
“แค่พ่อรู้ว่าฉันมาเรียนรู้จากเธอด้วยใจจริงก็พอแล้ว ส่วนฉันนั้นจะมาดีหรือไม่ สำคัญที่ตรงไหนกัน” มู่น่อนน่อนยิ้มเย้ยหยัน หยิบเอกสารถ่ายสำเนาใบสุดท้ายออกมา และหันหลังเดินออกไป
…..
ค่ำคืนของฤดูหนาวมาถึงอย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนออกมาจากบริษัทมู่ซื่อ ก็ใกล้จะหนึ่งทุ่ม ท้องฟ้าได้มืดแล้ว
สือเย่ได้มารออยู่สักครู่แล้ว
เธอขึ้นรถ และกล่าวกับสือเย่ว่า “ไม่ต้องมารับฉันทุกวันก็ได้ ฉันนั่งรถกลับไปเองได้”
ที่ผ่านมาเธอไม่เคยได้รับสวัสดิการที่มีรถคอยมารับมาส่งแบบนี้มาก่อน ถึงแม้จะรู้ว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนใจดี แต่เธอก็ไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่นัก
น้ำเสียงของสือเย่ยังคงจริงจังเช่นเดิม “คุณชายสั่งมาครับ นี่คือหน้าที่ของผม”
เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนก็นึกขึ้นมาได้ว่าครั้งก่อน “เฉินเจียฉิน” ได้ยัดบัตรดำใส่มือของเธอ
เธอวางกระเป๋าลง หยิบบัตรดำใบนั้นและไปหาเฉินถิงเซียวที่ห้องหนังสือ
เวลาที่เขาอยู่บ้าน เวลาส่วนใหญ่จะอยู่ที่ห้องหนังสือ ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังยุ่งอยู่กับอะไร
เฉินถิงเซียวยังคงไม่เผยใบหน้าดังเก่า นั่งหันหลังให้กับเธอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “มีธุระอะไร”
“ฉันเจอบัตรดำที่บ้านใบหนึ่ง ฉันคิดว่าน่าจะเป็นของคุณ” มู่น่อนน่อนไม่กล้าพูดว่าบัตรใบนี้เป็น “เฉินเจียฉิน” ที่ให้เธอมา
เฉินถิงเซียวเงียบไปอึดใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นมา “ไหนๆ ก็เจอแล้ว ก็เก็บไว้ใช้เถอะ”
“แต่ฉันได้ยินคนเขาพูดว่าบัตรใบนี้มีค่ามาก…” ทำเสิ่นชูหานและมู่หวั่นขีแตกตื่นได้ จะไม่มีค่าได้อย่างไรกัน
ไม่สามารถฟังจากน้ำเสียงของเฉินถิงเซียวออกได้ว่าเขากำลังรู้สึกแบบไหน “ต่อให้มีค่าก็ต้องมีคนนำไปใช้ มันถึงจะเป็นของที่มีประโยชน์”
มู่น่อนน่อนชะงักนิ่งไปอึดใจ แล้วก็รู้สึกว่าคำพูดของเขานั้นสมเหตุสมผลเป็นพิเศษ จนทำให้เธอหาคำพูดมาแย้งกลับไม่ได้
เมื่อเห็นว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรอีก มู่น่อนน่อนก็หันหลังกลับเดินออกไป
ตอนเย็นเสิ่นเหลียงโทรมาหาเธอ บอกว่าพรุ่งนี้จะกลับแล้ว
“จองสถานที่ แล้วไปทานข้าวด้วยกันเถอะ”
มู่น่อนน่อนมองบัตรสีดำในกระเป๋าของตัวเอง และเอ่ยเบาๆ “แบบนั้นไปโรงแรมจีนติ่งกันเถอะ”
“เธอถูกรางวัลห้าล้านหรือ”
“ก็ประมาณนั้น…มั้ง” เฉินถิงเซียวกล่าว ต่อให้เป็นของที่มีค่า ก็ต้องมีคนนำไปใช้ถึงจะแสดงประโยชน์ของมันออกมาได้
ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจจะใช้มัน
ตอนที่ 79 อยากเรียนรู้เพิ่มเติมจากพี่สาว
มู่น่อนน่อนเหลือบมองเขา และกล่าวอย่างจริงจัง “ฉันไม่ลง พวกเขามากันเยอะแยะก็เพราะมารังแกคุณ คุณไม่ต้องกลัว ฉันจะจัดการแทนคุณเอง”
ก่อนที่จะเกิดเรื่องที่นี่ กู้จือหยั่นที่แอบตามมาและได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อนเข้า ก็ “พรูด” หลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจ
แต่เดิมมีแต่เฉินถิงเซียวที่ไปรังแกคนอื่นเขา ใครหน้าไหนจะกล้ามารังแกเขากัน
มู่น่อนน่อนกล่าวจบ ก็เงยหน้าหันไปมองคนพวกนั้น “ที่ฉันพูดพวกนายคงได้ยินกันหมดแล้ว ยังไม่รีบเรียกคุณปู่อีกหรือ”
ชายหนุ่มกลุ่มใหญ่ที่ไม่เคยถูกผู้หญิงคนหนึ่งท้าทายแบบนี้มาก่อน ก็ถลกแขนเสื้อขึ้นเพื่อเข้าไปตะลุมบอนทันที
ประจวบเหมาะกับที่สือเย่พาพนักงานรักษาความปลอดภัยมา เพียงครู่เดียวก็จัดการคนพวกนั้นได้อยู่หมัด
สือเย่เดินมายังเบื้องหน้าเฉินถิงเซียว และเอ่ยถามอย่างนอบน้อม “คุณชายครับ จะจัดการอย่างไรดีครับ”
เฉินถิงเซียวชำเลืองมองมู่น่อนน่อนที่ตะโกนว่า “ทำดีมาก” โดยที่ในมือยังถือขวดเหล้า สายตาก็ฉายแววโอนอ่อน “ให้พวกเขามาก้มหน้าสำนึกผิดกับเธอ”
สือเย่ไม่คิดว่าตัวเองจะฟังผิดไป “ห๊ะ”
หลังจากนั้น ก็ปรากฏภาพนี้ขึ้นในบาร์
กลุ่มผู้ชายคุกเข่าที่พื้น ก้มหน้าสำนึกผิดกับมู่น่อนน่อน และปากก็พูดว่า “ปู่ครับ ผมผิดไปแล้ว”
…..
ระหว่างขากลับ สือเย่ขับรถอยู่ข้างหน้า เฉินถิงเซียวอุ้มมู่น่อนน่อนที่นอนหลับไปแล้วขึ้นมานั่งที่เบาะหลัง
สือเย่คอยมองสถานการณ์ทางด้านหลังจากกระจกส่องหลังอยู่ตลอดเวลา
เขาเห็นคุณชายของเขาได้อย่างชัดเจน เขากอดคุณหญิงไว้ในอ้อมกอดราวกับอุ้มเด็กทารก ถึงแม้จะมองสีหน้าของเขาได้ไม่ชัด แต่บรรยากาศอ่อนโยนที่แผ่กระจายไปทั่วรถนั้นทำให้รับรู้ได้ว่าคุณชายนั้นกำลังอารมณ์ดี
เขาไม่เข้าใจ เกิดเรื่องอะไรที่ทำให้คุณชายของเขาอารมณ์ดีได้ในบาร์กัน
ใช้เวลาไม่นาน รถก็ขับมาถึงประตูคฤหาสน์
เฉินถิงเซียวอุ้มมู่น่อนน่อนลงจากรถ ตอนที่อุ้มขึ้นตึก เขาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของตัวเองชั่วครู่ แต่ก็เลือกที่จะอุ้มมู่น่อนน่อนกลับไปยังห้องที่เธอพัก
ก่อนหน้านี้ก็อาละวาดที่บาร์เสียยกใหญ่ ตอนนี้ก็หลับ สงบขึ้นมามากเลยทีเดียว
ยามที่ถือขวดเหล้าและโวยวายเหมือนนักเลงนั้น ก็ไม่รู้ว่าไปเรียนมาจากใครเช่นกัน
มู่น่อนน่อนนอนหลับสนิท ตาจมูกปิดสนิท ริมฝีปากสีสดเผยอออกเล็กน้อย ดึงดูดให้น่าเก็บเกี่ยวนัก
เฉินถิงเซียวโน้มตัวลง จ้องมองเธออยู่ชั่วครู่ แต่ก็ไม่อาจจะอดทนไว้ได้ ก็ประกบปากจูบเธอในทันที
หลังจากที่จูบเสร็จ น้ำเสียงของเขาก็เริ่มแหบแห้ง “เหม็นจะตายแล้ว”
ปรับอุณหภูมิความร้อนให้กับเธอ ห่มผ้าห่มให้เรียบร้อย แล้วจึงเดินออกไป
……
เช้าวันรุ่งขึ้น
ยามที่มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมา ก็รู้สึกว่าโลกนั้นกำลังหมุน
เธอหลับตาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ผ่านไปเพียงครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้นใหม่ และรู้สึกดีกว่าเมื่อครู่ขึ้นมามาก
เธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง มองห้องที่คุ้นเคยด้วยความว่างเปล่า หลังจากนั้นก็พลิกตัวลงจากเตียงและเข้าห้องน้ำไป
เมื่อวานเธอกลับมาได้อย่างไร
เธอจำได้ว่า “เฉินเจียฉิน” ไปบาร์เพื่อหาเธอ หลังจากนั้นทั้งสองก็ดื่มด้วยกัน เรื่องต่อจากนั้น… เธอจำมันไม่ได้เลย
เมื่อจัดการตัวเองเสร็จแล้ว เธอก็เปิดประตูลงไปข้างล่าง เดินไปไม่กี่ก้าวก็ลอบมองไปรอบๆ ทำท่าราวกับโจร
เมื่อก่อนเธอเพียงเคยดื่มเหล้ากับเสิ่นเหลียง เสิ่นเหลียงเคยบอกว่าเธอที่ดื่มเหล้ากับยามปกตินั้นแตกต่างกันอย่างมาก
ดังนั้นเธอจึงไม่มั่นใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเมื่อคืนวานได้ทำอะไรเกินเรื่องต่อ “เฉินเจียฉิน” หรือไม่
จนกระทั่งมาถึงห้องโถง มู่น่อนน่อนก็ยังไม่พบกับ “เฉินเจียฉิน” ถึงได้สบายใจขึ้นมา
“พี่สะใภ้ อรุณสวัสดิ์”
ทันใดนั้นเสียงผู้ชายก็ดังขึ้น จนทำให้มู่น่อนน่อนสะดุ้ง ใจเต้นรัวขึ้นมาทันที
เธอหันไปตามเสียง ก็พบกับ “เฉินเจียฉิน” ที่เดินถือแก้วน้ำหนึ่งแก้วออกมาจากห้องครัวพอดิบพอดี
มู่น่อนน่อนยิ้มอย่างเกร็งๆ “ฮ่าฮ่า อรุณสวัสดิ์”
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปใกล้ เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่เลวของมู่น่อนน่อน ในน้ำเสียงของเขานั้นแฝงความไม่พอใจเล็กน้อย “เมื่อคืนคุณหลับได้สบายเลยสิ”
มู่น่อนน่อนตอบไปตามความจริง “ก็ยังดี…”
“เหอะ” เฉินถิงเซียวแสยะยิ้ม และเดินผ่านตัวเธอไป
เธอนอนหลับสบาย ส่วนเขาก็นอนฝันถึงกลิ่นหอมที่มีเสน่ห์นั้นทั้งคืน
มู่น่อนน่อนเดินตามไปและเอ่ยอย่างละล้าละลัง “เมื่อวาน ที่คุณดื่มเป็นเพื่อนฉัน… ขอบคุณนะคะ”
เธอพูด ในขณะนั้นก็ลอบสังเกตสีหน้าของ “เฉินเจียฉิน” ไปด้วย
เธอจำไม่ได้จริงๆ ว่าเมื่อคืนมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เฉินถิงเซียวเอียงหน้ามองเธอ เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ผิดแปลกอะไรของเธอ ก็เข้าใจขึ้นมา เธอจำเรื่องที่เกิดเมื่อคืนไม่ได้แล้ว
ดวงตาของเขาทอประกาย และกล่าวอย่างคลุมเครือ “ต่อจากนี้หากไม่มีเรื่องอะไรอย่าไปทานเหล้าสุ่มสี่สุ่มห้า อย่างน้อยให้ดีก็ให้ผมไปรับ หากเป็นคนอื่น…”
ท่าทางลังเลจนหยุดพูดของเขา ทำให้มู่น่อนน่อนเริ่มใจไม่ดี
เมื่อคืนเธอทำเรื่องอะไรลงไปกันแน่
แต่ “เฉินเจียฉิน” ก็ยังทำท่าเหมือนไม่อยากพูดอะไรมากมาย เธอก็เดาได้ว่าไม่ใช่เรื่องนี้เป็นแน่ แต่ก็ไม่กล้าถาม หากมันเป็นเรื่องน่าอายล่ะ
เฉินถิงเซียวมองท่าทางหวาดกลัวของมู่น่อนน่อนอย่างพึงพอใจ ถือแก้วน้ำจะเดินขึ้นไปข้างบน
ผู้หญิงคนนี้เวลาปกติดูอ่อนแอและเงียบขรึม ไม่คิดว่าหลังจากที่ดื่มเหล้าจนเมาแล้ว จะอาละวาดได้ขนาดนั้น
หากเขาไม่ได้อยู่ข้างๆ เธอ ใครจะเป็นคนช่วยเธอเก็บกวาดหลังจากที่เธออาละวาดไปแล้วกัน
เมื่อคืนมู่น่อนน่อนคงเสียใจมากแค่นั้น เสิ่นเหลียงไม่ได้อยู่ในเมืองหู้หยาง ถ่ายทำอย่างเหน็ดเหนื่อย มู่น่อนน่อนจึงไม่อยากเอาเรื่องแย่ๆ ไปรบกวนเธออีก
นอกจากดื่มเหล้าเพื่อคลายเครียดแล้ว ก็เหมือนว่าจะไม่มีวิธีอื่นที่จะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาอีกสักนิดได้เลย
พอสงบลงได้แล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย
น่ากลัวว่าเซียวชู่เหอในตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ต้องขอโทษมู่น่อนน่อน คนที่เจ็บปวดเสียใจก็มีเพียงมู่น่อนน่อนคนเดียว
มู่น่อนน่อนคนนี้ เป็นคนรักแรงเกลียดแรง
ตัวเธอแต่เดิมที่เชื่อฟังเซียวชู่เหอ มันก็แค่การคาดหวังที่จะได้รับความรักความใส่ใจจากเซียวชู่เหอเท่านั้น
เธอเข้าใจแล้ว ความหวังสูงเสียดฟ้าที่น่าสงสารของเธอนั้นไม่มีทางที่จะได้รับแล้ว
แต่เงื่อนของเธอและมู่หวั่นขีได้ขมวดเป็นปมใหญ่แล้ว มู่หวั่นขีย่อมไม่มีทางยอมแพ้ไปง่ายๆ แน่
โดยบังเอิญ เรื่องดำเนินมาจนถึงวันนี้ เธอเองก็จะไม่ยอมแพ้เช่นกัน
พวกเขาใช้ประโยชน์จากเธออย่างทั่วถึง และทั้งยังเพ่งเล็งเธอ ใช้ประโยชน์เธอโดยไม่ละอายแก่ใจ มีเรื่องดีๆ แบบนั้นที่ไหนกัน
…..
เมื่อมู่น่อนน่อนมาถึงบริษัทมู่ซื่อ ก็ตรงไปยังออฟฟิศของมู่ลี่เหยียนทันที
ทันทีที่มู่ลี่เหยียนเห็นมู่น่อนน่อน หัวคิ้วก็ขมวดลงเล็กน้อย ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะดีนัก “เธอมาทำอะไร”
“ฉันทำงานด้านสำรวจตลาดได้ไม่ดี อยากจะขอย้ายไปแผนกโครงการ อยากจะเรียนรู้เพิ่มเติมจากพี่สาว” มู่น่อนน่อนพูดด้วยสีหน้าจริงใจ จนมู่ลี่เหยียนไม่สามารถแยกออกได้ว่าคำพูดนี้ได้มาจากใจจริงของเธอหรือไม่
นักสำรวจตลาดนั้นเป็นเพียงพนักงานชนชั้นล่าง แต่แผนกโครงการนั้นกลับเป็นฝ่ายที่สำคัญที่สุดของบริษัท
ที่มู่ลี่เหยียนให้มู่น่อนน่อนไปยังแผนกการตลาดตั้งแต่แรก ก็เพราะไม่อยากให้เธอยุ่งเกี่ยวกับโครงการ เมื่อเป็นแบบนี้ ถึงแม้ในมือของเธอจะมีหุ้นของบริษัทมู่ซื่ออยู่ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก
“งานสำรวจตลาดเธอยังทำได้ไม่ดีเลย แล้วคิดจะไปเรียนรู้จากหวั่นขี เธอรู้สึกว่าตัวเธอจะทำได้ดีหรือ” มู่ลี่เหยียนครุ่นคิด แต่ก็ยังไม่เชื่อในคำพูดของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนยิ้มบางๆ ด้วยใบหน้าจริงจัง “สิ่งที่สำคัญ คือฉันรู้สึกว่าพี่สาวนั้นเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก ฉันได้อยู่ข้างๆ เธอ จะต้องได้เรียนรู้มามากมายแน่ๆ ความจริงตั้งแต่เด็กฉันนั้นนับถือความสามารถของพี่สาวมาก ในตอนเด็กพ่อก็เห็น ที่ฉันเชื่อฟังพี่สาวขนาดนั้น ก็น่าจะรู้ว่าฉันนั้นชอบเธอขนาดไหน ช่วงนี้… เป็นฉันที่ไม่ดี…”
ประโยคหลัง น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนแผ่วลง ทั้งยังบีบน้ำตาให้หยดลงมาสองหยด
ตอนที่ 78 ดาหน้าเข้ามา อุ้มโยนออกไป
เฉินถิงเซียวนั่งลง บรรยากาศกดดันแผ่ออกมาโดยที่ไม่ได้ทำอะไร จนทำให้ชายทั้งสองคนที่เมาได้ที่แล้วสร่างขึ้นมาเต็มตา
เมื่อพวกเขาเจอเฉินถิงเซียวที่สูงสง่า มีเสน่ห์ไม่ธรรมดาแล้ว ก็อดที่จะสับสนไม่ได้ สายตาของพวกเขายามที่มองมู่น่อนน่อนได้เปลี่ยนไปแล้ว
ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ว่าภูมิหลังอะไรใช่ไหม
มู่น่อนน่อนเหลือบมอง “เฉินเจียฉิน” ก่อนจะหันไปมองชายสองคน “ชะงักทำไมกัน เล่นต่อสิ มา”
กล่าวจบ เธอก็ “ป๊อกๆๆ” เปิดเหล้าอีกหลายขวด
ชายทั้งสองคนเหลือบมองเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวเพียงกวาดสายตาเย็นชามองไปเท่านั้น ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนสีทันที
พวกเขาไม่ใช่พวกเด็กปลายแถว คลุกคลีอยู่ในสังคมนี้มาหลายปี รู้ว่าคนแบบไหนที่ไปยุ่งได้หรือไปยุ่งไม่ได้ ดังนั้นจึงทยอยกันลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “พวกเรายังมีธุระต่อ ขอตัวก่อนล่ะ”
มู่น่อนน่อนมองแผ่นหลังดำๆ ของทั้งสอง ก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปหาเรื่อง “เฉินเจียฉิน” “คุณทำเพื่อนดื่มของฉันกลัวจนหนีไปแล้ว ตอนนี้คุณจะดื่มเป็นเพื่อนฉันไหม”
“ผมดื่มกับคุณ” เฉินถิงเซียวเหลือบมองเธอ ก้มหน้าไปหยิบไพ่วงเหล้าที่เธอเปิดเมื่อครู่ขึ้นมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและเริ่มดื่ม
มู่น่อนน่อนหันหน้าไป ก็เห็นลูกกระเดือกของเขาที่ขยับไปมาตอนที่ดื่มเหล้า ดูเซ็กซี่ขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูก
โดยเร็ว เฉินถิงเซียวก็ดื่มจนหมดขวด คว่ำขวดลง และไม่มีหยดเหล้าไหลลงมาสักหยด
ดื่มจนเกลี้ยงของจริง
มู่น่อนน่อนเองก็หยิบขึ้นดื่มหนึ่งขวด
ดวงตาของเธอหรี่เล็กน้อย คอเรียวเงยขึ้น มันดูบอบบางและละเอียดอ่อน
กู้จือหยั่นที่แต่เดิมคิดจะเดินเข้ามา พอเห็นทั้งสองผลัดกันดื่มคนละขวด ก็ไม่กล้าเข้ามารบกวนพวกเขาอีก กลับถ่ายวิดีโออย่างกระตือรือร้นและส่งให้ฟู้ถิงซีได้ดูความสนุกสนานนี้ด้วยกัน
…..
เฉินถิงเซียวไม่คิดเลยว่ามู่น่อนน่อนจะดื่มเหล้าเก่งขนาดนี้ ดื่มเบียร์หมดไปหนึ่งโหล ดวงตาของเธอก็ยังใสแจ๋ว
แต่โดยเร็ว เขาก็พบว่าตัวเองนั้นคิดผิด
มู่น่อนน่อนกระแทกขวดเปล่าลงกับโต๊ะดัง ปึง หลังจากนั้นก็ยื่นมือออกมา และโอบเข้าที่ไหล่ของเฉินถิงเซียว
แต่เพราะเฉินถิงเซียวตัวสูงกว่าเธอแม้ว่าจะนั่งอยู่ เธอจึงใช้ความพยายามอยู่บ้างในการยกขึ้น พลาดไปหนึ่งครั้งกว่าจะพาดไหล่ของเขาได้
ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังหันหน้ามาหาเขาใกล้ๆ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างถึงที่สุด “ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ”
ยามที่เธอพูดมีกลิ่นแอลกอฮอล์ติดอยู่เล็กน้อย แต่กลับไม่ทำให้รังเกียจเลยแม้แต่นิด กลับกันกับน่าดึงดูด จนเฉินถิงเซียวว้าวุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
แต่เพราะน้ำเสียงของเธอจริงจังเกินไป เฉินถิงเซียวจึงเอ่ยถามเธอด้วยคิ้วขมวด “เรื่องอะไร”
ว่ากันว่าคำพูดเวลาเมามักจะเป็นความจริง ผู้หญิงคนนี้กำลังจะบอกความลับของตัวเองให้เขาฟังหรือ
มู่น่อนน่อนมองไปรอบๆ หลังจากนั้นก็กระซิบกับเขาเสียงแผ่ว “ฉันอยากไปห้องน้ำ แต่ฉันเริ่มมึนหัวแล้ว คุณประคองฉันไปหน่อยสิ”
“……”
ใบหน้าของเฉินถิงเซียวมืดครึ้มไปชั่วขณะ
เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวไม่ขยับ มู่น่อนน่อนจึงเขย่าแขนของเขาไปมา “คุณอย่าใจแคบไปหน่อยเลย ดูสิว่าฉันทำอาหารให้คุณมานานขนาดไหน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ คุณจะช่วยกันไม่ได้เลยหรือ”
เฉินถิงเซียวก้มมองเธอ ดวงตาสวยเหมือนแมวของเธอหรี่ลงเล็กน้อย ท่าทางดูมึนงงเล็กน้อย
ดูแล้วน่าจะเมาแล้วจริงๆ
หากเป็นเวลาปกติ ตีให้ตาย เธอก็ไม่ทางพูดให้เขาประคองเธอไปห้องน้ำแบบนี้ออกมาแน่ๆ
เฉินถิงเซียวนึกคิด ขบฟันและกล่าวว่า “ช่วยได้”
กู้จือหยั่นที่หลบมุมมองความสนุกสนานอยู่ เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวประคองมู่น่อนน่อนขึ้น ก็คิดว่าในที่สุดทั้งสองคนก็จะออกไปแล้ว
ดังนั้นเขาจึงออกตามพวกเขาไป
ตามไปติดๆ ก็พบว่าทางมันเริ่มไม่ใช่
ยามที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็จ้องมองเฉินถิงเซียวที่ประคองมู่น่อนน่อนเข้าห้องน้ำหญิงไป
กู้จือหยั่น “…..”
มู่น่อนน่อนจัดการปัญหาทาสรีระเสร็จอย่างรวดเร็ว ยามที่เดินออกมาก็เห็น “เฉินเจียฉิน” ยืนอยู่ที่หน้าประตู เธอกล่าวด้วยสีหน้าแตกตื่น “คุณมายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำหญิงทำไม ไม่คิดเลยว่าคุณจะมีงานอดิเรกแบบนี้”
ประจวบเหมาะกับที่เวลานั้นมีผู้หญิงสองคนเดินมาเข้าห้องน้ำพอดี เมื่อได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อน ทั้งสองก็รีบหันหลังหนีไปอย่างว่องไว
เฉินถิงเซียวข่มกลั้นความโกรธเอาไว้ “เงียบซะ”
เขานึกเสียใจที่ใจอ่อนและดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเธอ
เฉินถิงเซียวใบหน้ามืดครึ้ม ท่าทางดูน่ากลัว มู่น่อนน่อนเหลือบสายตามองเขา ก็ก้มหน้าหลบและสงบปาก
เฉินถิงเซียวลากเธอออกไปข้างนอก
เดินไปได้ไม่ถึงสองก้าว มู่น่อนน่อนก็ดิ้นขึ้นและกล่าวว่า “เฮ้ คุณไม่รู้เรื่องสุขอนามัยหรือ ฉันยังไม่ได้ล้างมือเลย”
เฉินถิงเซียว “…..”
เฉินถิงเซียวทำได้แค่เพียงข่มกลั้นความโกรธเอาไว้ และพาเธอกลับไปล้างมือ
เขาเปิดก๊อกน้ำให้เธอ แต่เธอกลับไปล้างมือ และยื่นนิ้วชี้ที่เหมือนกับเด็กออกไป วนไปวนมาอยู่บนน้ำ
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่าความอดทนตลอดยี่สิบหกปีทั้งหมดของเขาได้ถูกใช้ไปกับมู่น่อนน่อนในค่ำคืนนี้แล้ว
ใบหน้าของเขาเรียบตึง หลังจากบีบเจลล้างมือลงบนมือและถูจนเป็นฟองแล้ว ก็ดึงมือของเธอมาและเริ่มช่วยเธอล้างมือ
มือของมู่น่อนน่อนเมื่อเทียบกับของเขาแล้ว มันทั้งเล็กทั้งนุ่ม เมื่อใช้เจลล้างมือก็ยิ่งลื่นเข้าไปอีก เธอรู้สึกสนุกจึงจงใจดึงมือออกมา
เฉินถิงเซียวเอ่ยห้ามเสียงเย็น “ห้ามขยับ”
มู่น่อนน่อนตกใจกลัวเสียงของเขา เหลือบมองเขาเล็กน้อย หลังจากนั้นก็เอ่ยอย่างซาบซึ้ง “แม่ไม่เคยล้างมือให้ฉันมาก่อนเลย คุณใจดีจริงๆ”
เฉินถิงเซียวชะงักการกระทำไปชั่วขณะ ใบหน้าที่เย็นชาของเขาฉายแววอบอุ่นออกมาเล็กน้อย เสียงแหบทุ้มเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “ผมยังใจดีได้มากกว่านี้อีก”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนดูงุนงง “หือ”
แววตาของเฉินถิงเซียวเข้มขึ้น และเอ่ยเสียงเบา “กลับบ้านไปแล้วจะดีให้คุณดู”
เขาล้างมือให้มู่น่อนน่อนอย่างตั้งใจ จูงมือเธอกลับไปยังห้องโถง หยิบเสื้อของเธอมาคลุมร่างของเธอ และเลือกที่จะพาเธอกลับ
แต่ในตอนนั้นมู่น่อนน่อนก็โวยวายขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่ได้ๆ ฉันยังดื่มไม่พอเลย ฉันยังอยากดื่มต่อ”
กล่าวจบ เธอก็เอื้อมมือไปคว้าขวดเหล้า
ขณะเดียวกัน ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากห้องส่วนตัว หนึ่งในนั้นมีผู้ชายที่เคยนั่งอยู่ข้างๆอยู่ จงใจเดินมาชนเฉินถิงเซียว
หลังจากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำถ่อย “โอ้ว้าว เด็กน้อย กล้ามของนายหนาใช้ได้เลยนะ กระแทกฉันจนแข็งเลย”
กลุ่มคนที่เดินตามหลังเขาก็หัวเราะตามขึ้นมา
มู่น่อนน่อนเดินมาพร้อมกับขวดเหล้า “อะไรแข็งแล้ว”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวมืดครึ้มพร้อมผลักหัวของเธอที่โผล่มาทางด้านหลังของเขากลับเข้าไป และถีบคนที่พูดขึ้นมาอย่างแรง
คนคนนั้นล้มไถลออกไปไกลในทันที เสียงกระแทกกับพื้นดัง ปึก ที่ได้ยินนั้นรู้สึกว่าน่าจะเจ็บทีเดียว
คนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้น ก็ค่อยๆ ตีล้อมเข้ามา “ล้อเล่นเท่านั้นเอง เด็กน้อย หากยอมคุกเข่าตอนนี้แล้วเรียกคุณปู่ วันนี้พวกเราจะปล่อยนายไป ไม่อย่างนั้น…”
ทันใดนั้น ก็มีเสียง ปึก ดังขึ้นมาอีกครั้ง
ทุกคนต่างหันไปมองกันถ้วนหน้า ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งถือขวดเหล้าที่แตกเหลือเพียงครึ่งเท้าเอวและยืนอยู่บนเก้าอี้
มู่น่อนน่อนที่เห็นทุกคนหันมามองเธอ ก็ชี้หน้าคนที่พูดด้วยอารมณ์เดือดดาล “หลานเอ๊ย นายนั่นแหละเดินมาก้มหน้าสารภาพผิดกับคุณปู่ด้วยตัวเองจะดีกว่า วันนี้คุณปู่จะยอมฝืนใจปล่อยเอ็งไป ไม่อย่างนั้นฉันจะให้พวกนายดาหน้ามาตรงๆ และอุ้มโยนออกไปข้างนอกซะ”
มู่น่อนน่อนเอียงหน้า ดวงตาหรี่ลง ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยอารมณ์
เฉินถิงเซียวโมโหจนเส้นเลือดที่หน้าผากแทบจะระเบิด “มู่น่อนน่อน ลงมาหาผมเดี๋ยวนี้”
ตอนที่ 77 อยากดื่มเหล้า ผมจะดื่มเป็นเพื่อนคุณ
สือเย่โทรหามู่น่อนน่อนอีกครั้ง ก็พบว่าไม่มีคนรับ จึงรู้สึกตัวขึ้นมามันแปลกๆ ไป
ในตอนที่เขากำลังจะโทรหาเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวก็เป็นคนโทรมาถามสถานการณ์ก่อน
“ทำไมถึงยังไม่กลับมา ยังไม่ไปรับอีกหรือ”
ครึ่งประโยคหลังนั้น น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเย็นเยียบลงอย่างเห็นได้ชัด
“ยังครับ โทรหาคุณหญิงแล้วแต่เธอไม่รับสายครับ ผมสงสัยว่าเธออาจจะออกไปนานแล้ว ไม่อย่างนั้นก็อาจจะ…” เกิดอุบัติเหตุ
เขาไม่กล้าพูดสามคำหลังออกมาต่อ
เงียบไปอึดใจ ปลายสายก็มีเสียงของเฉินถิงเซียวที่กำลังระงับความโกรธเอาไว้จนเสียงแหบดังขึ้นมา “แล้วยังไม่รีบไปหาอีกหรือ”
“ครับ”
วางสายโทรศัพท์ เฉินถิงเซียวก็รีบหยิบเสื้อคลุมและเดินออกไปข้างนอกทันที
หลังจากที่เข้าไปในโรงรถและขับออกมาหนึ่งคัน เขาเพิ่งจะมีเวลาคิดขึ้นได้
เรื่องในวันนี้ที่เซียวชู่เหอมาหาเขา จะต้องส่งผลกระทบต่อมู่น่อนน่อนไม่น้อยแน่
ถึงแม้เธอจะดูโหดเหี้ยม แต่ความจริงก็เป็นแค่เสือกระดาษ ให้เขาบดขยี้อีกสองสามครั้งเธอก็แหลกแล้ว
ความเป็นไปได้ที่จะเกิดอุบัติเหตุนั้นมีน้อยมาก กลับกันความน่าจะเป็นที่จะหลบตัวเพราะความเสียใจกลับมีมากกว่า
ทันใดนั้น มือถือของเขาก็ดังขึ้นมา
เขาก้มหน้าเหลือบสายตามอง ก็พบว่าเป็นกู้จือหยั่นที่โทรมา
“มีธุระอะไร”
กู้จือหยั่นยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่โง่งม “น้ำเสียงนายทำไมแย่แบบนี้ กินดินปืนเข้าไปหรือไง”
เฉินถิงเซียวขี้เกียจจะคุยกับเขา จึงตัดสายไป
มุมหนึ่งในบาร์ กู้จือหยั่นมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไป ตี๊ดๆ ดังขึ้นมาสองครั้ง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายมู่น่อนน่อนที่นั่งอยู่ไม่ไกลออกไปหนึ่งรูป แล้วส่งให้กับเฉินถิงเซียว
ตัดสายเขาทิ้งหรือ
เดี๋ยวเฉินถิงเซียวจะต้องเป็นฝ่ายโทรมาหาเขาอย่างแน่นอน
ทันใดนั้น สายจากเฉินถิงเซียวก็โทรเข้ามาอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงจนชาอย่างน่าประหลาด “สถานที่”
“นี่คือน้ำเสียงของคนที่กำลังขอร้องหรือ” กู้จือหยั่นอดไม่ได้ที่จะฉวยโอกาสจากเฉินถิงเซียว จึงไม่ยอมบอกเขาไปแต่โดยดี
“ธุรกิจขยายตัวที่แอฟริกายังว่างอยู่หนึ่งตำแหน่ง”
“ห่า” กู้จือหยั่นสบถลั่น และรีบบอกสถานที่บาร์แก่เฉินถิงเซียวโดยเร็ว
เฉินถิงเซียวจะเอาเรื่องนี้มาขู่เขาทุกครั้ง แต่มันก็ได้ผลไปซะทุกครั้ง
เพราะเฉินถิงเซียวเคยทำเรื่องนี้มาแล้ว ก่อนหน้านี้กู้จือหยั่นเคยทำเรื่องรั่วไหลครั้งใหญ่เพราะความประมาท ก็เลยถูกเฉินถิงเซียวโยกย้ายไปทำที่แอฟริกา
ในพจนานุกรมของเฉินถิงเซียว ไม่มีคำว่า “พูดเล่นๆ” เขาพูดจริงทำจริงเสมอมา
…..
ในบาร์
หลังจากที่มู่น่อนน่อนดื่มเหล้าในแก้วจนหมด ก็ยังไม่มีอาการเมาเลยแม้แต่น้อย จึงสั่งเบียร์มาอีกหนึ่งโห
พรสวรรค์ด้านการดื่ม ทำให้ไม่เมาง่ายๆ ในช่วงเวลาปกติก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่มู่น่อนน่อนในตอนนี้ต้องการซื้อมาเพื่อเมา
มู่น่อนน่อนสวยโดดเด่น มาเพียงคนเดียว และเบื้องหน้ามีเบียร์อยู่หนึ่งโหล เพียงมองแวบเดียวก็รู้ว่าอารมณ์ไม่ดีและต้องการมาเพื่อเมา มีผู้ชายไม่น้อยที่เมียงมองมาทางเธอ และต้องการจะเข้าหา
ท้ายที่สุด ก็มีผู้ชายสองคนได้ทดลองเข้าไปทักทาย
“คนสวย มาคนเดียวหรือ”
มู่น่อนน่อนเหลือบมอง ผู้ชายสองคนนี้สวมชุดสูท ดูแล้วเหมือนคนระดับสูง ดูมีมาดเล็กน้อย น่าจะอยู่ในระดับผู้บริหารของบริษัท
มู่น่อนน่อนไม่สนใจพวกเขา และยังคงดื่มกับตัวเอง
ไม่ได้ปฏิเสธ ถือว่าเป็นการยอมรับแล้ว
ชายทั้งสองคนคิดไปเองว่าเข้าใจความหมายของมู่น่อนน่อนแล้ว และนั่งลงข้างๆ เธอ
เสื้อคลุมของมู่น่อนน่อนถูกถอดออกแล้ว สวมเสื้อสเวตเตอร์พอดีตัวอยู่ข้างใน จนเผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งที่สวยงาม จนดึงดูดความมักมากของคน
ชายสองคนที่นั่งขนาบข้างต่างมองมาอย่างโจ่งแจ้ง
“คนสวย ดื่มคนเดียวจะมีความหมายอะไร ดื่มด้วยกันดีกว่า”
มีหรือที่มู่น่อนน่อนจะมองความคิดของพวกเขาไม่ออก มุมปากยกยิ้มขึ้นมา “ได้สิ ดื่มด้วยกัน เล่นด้วยกันน่าจะสนุกดี”
ชายหนุ่มตื่นเต้น เอ่ยถามเธอ “เล่นอะไร”
มู่น่อนน่อนเอียงหน้า ยกมือขึ้นมาเท้าคาง ดูมีเสน่ห์ชวนมองและดูไร้เดียงสา “เล่นลูกเต๋า”
ชายทั้งสองคนที่ได้ยินแบบนั้น ก็หันมาหัวเราะให้กัน และยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ “ได้สิ”
ผู้หญิงคนนี้ยังอยากจะเล่นลูกเต๋ากับพวกเขาหรือ พอถึงตอนที่เธอเมาแล้ว ก็จะเปลี่ยนเป็นพวกเขาที่เล่นเธอแทน
ชายทั้งสองคนที่แต่เดิมนั้นมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม แต่หลังจากที่เล่นติดต่อกันหลายๆ ตาเข้า ก็พบว่าเหล้าที่วางอยู่เบื้องหน้ามู่น่อนน่อนนั้นแทบไม่ได้แตะเลย แต่พวกเขานั้นดื่มหมดกันไปหลายขวดแล้ว ทั้งท้องเต็มไปด้วยเหล้า และได้ยินเป็นเสียงสะท้อนยามที่มีคนพูดแล้ว
มู่น่อนน่อนยิ้มอย่างไร้เดียงสา “พวกคุณดื่มเก่งกันจัง”
เธอพูดพร้อมกับรินเหล้าให้พวกเขา
กู้จือหยั่นที่อยู่อีกด้าน ในตอนที่ผู้ชายทั้งสองคนนั้นเข้าไปทักทาย ก็คิดจะเข้าไป แต่เมื่อเห็นว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไร ก็ไม่ได้เคลื่อนไหว และเปลี่ยนไปลอบเฝ้าดูอยู่เงียบๆ
มองผู้ชายสองคนนั้นที่แทบจะลงไปคลานแล้ว แต่เหล้าที่อยู่ตรงหน้าของเธอนั้นกลับยังไม่ขยับ มันทำให้เขาคันไม้คันมืออยากจะเข้าไปเล่นกับมู่น่อนน่อนบ้าง
ในตอนนั้นเอง ก็เกิดความวุ่นวายขึ้นที่หน้าประตูทางเข้าของบาร์
กู้จือหยั่นเหลือบสายตาไปมอง ก็เห็นเป็นเฉินถิงเซียวที่กำลังเดินมาทางนี้
เฉินถิงเซียวตัวสูง เสน่ห์ที่ไม่ธรรมดา เป็นที่น่าจดจำยามที่เดินอยู่ท่ามกลางฝูงคน ราวกับส่องประกายจนเพียงแค่มองก็จำได้
ไฟในบาร์นั้นสลัว เขามองเห็นใบหน้าของเฉินถิงเซียวไม่ชัด แต่ก็พอสัมผัสได้เลือนรางว่าอารมณ์ของเฉินถิงเซียวไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก
จิตใจกู้จือหยั่นว้าวุ่น รีบเดินทางหามู่น่อนน่อน เพื่อกู้สถานการณ์สักเล็กน้อย
แต่เขาก็ไม่เคยเดินได้เร็วเท่าเฉินถิงเซียวเลย
เพียงเฉินถิงเซียวเดินเข้ามาก็เห็นมู่น่อนน่อนทันที
เมื่อเห็นใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มและกำลังนั่งเล่นลูกเต๋าดื่มเหล้ากับผู้ชาย ดูเหมือนว่าค่อนข้างจะมีความสุขทีเดียว
เหอะ เขารีบขับมาด้วยความเร็วราวกับจะบิน แต่เธอกลับสบายดี และกำลังเล่นกับผู้ชายคนอื่นอย่างมีความสุข
มู่น่อนน่อนหันหลังให้ทางเข้า จึงไม่เห็นเฉินถิงเซียว เพียงแค่ในตอนที่เขาเดินเข้ามาใกล้ ก็รู้สึกเย็นยะเยือกจากทางด้านหลังเล็กน้อย บรรยากาศที่คุ้นเคยกำลังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนเธออดที่จะหันไปมองไม่ได้
ประจวบเหมาะกับที่เฉินถิงเซียวเดินมาถึงด้านหลังของเธอพอดี มู่น่อนน่อนชะงักค้าง “คุณมาได้อย่างไร”
ชายทั้งสองคนที่ดื่มจนเริ่มเมา เมื่อเห็นว่ามีชายอีกคนหนึ่งเดินเข้ามา ก็เอ่ยถาม “ใครกัน”
มู่น่อนน่อนหันไปมองพวกเขา และเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ลูกพี่ลูกน้องฉันเอง หล่อใช่ไหม มีผู้หญิงมาคอยตามมากมายเลย”
ใบหน้าของเฉินถิงเซียวมืดครึ้ม มองขวดเปล่าที่อยู่ข้างหน้าเธอ และคำนวณมาเธอนั้นดื่มเหล้าไปเท่าไหร่แล้ว
กล่าวจบ เธอก็ยื่นมือไปลากแขนของ “เฉินเจียฉิน” “นั่งลงเร็ว”
“มู่น่อนน่อนกลับบ้าน” สีหน้าของเฉินถิงเซียวเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ใบหน้าแข็งกระด้าง เห็นได้ชัดว่าเป็นสัญญาณของอาการโมโห
“ไม่อยากกลับ ไม่มีบ้าน” มู่น่อนน่อนก้มหน้า ยกเหล้าที่อยู่เบื้องหน้าขึ้นมาดื่มจนหมด สีหน้ายิ้มแย้มเมื่อครู่หายไปในทันที เหลือเพียงแต่ใบหน้าหม่นหมอง
ไม่เคยได้รับความรักจากพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก เติบโตมาอย่างยากลำบาก เคยใฝ่ฝันจะตามหาคนที่เหมาะสมมาสร้างครอบครัวเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความสุขด้วยกัน แต่ก็มาถูกแม่แท้ๆ ไล่มาแต่งงานกับเฉินถิงเซียวแทนมู่หวั่นขี
เธอมีบ้านที่ไหนกัน
เธอไม่มี
เฉินถิงเซียวได้ยินเช่นนั้น ก็จ้องเธอนิ่งอยู่สองสามวิ ขยับริมฝีปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยปลอบใจอะไรออกไป เพียงแต่นั่งลงข้างเธออย่างเงียบๆ “อยากดื่มเหล้า ผมจะดื่มเป็นเพื่อนคุณเอง”
เสียงแหบของเขายังคงทุ้มต่ำน่าดึงดูดเช่นเดิม แต่มู่น่อนน่อนที่ได้ยินเช่นนั้น กลับรู้สึกว่ามันน่าฟังมากกว่าปกติ
ตอนที่ 76 นิ้วชี้เดียวก็แข็งแรงกว่าเขา
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรอีก
มู่น่อนน่อนเหลือบมองเซียวชู่เหอด้วยสีหน้าเยาะเย้ย ก่อนจะหันหลังเดินออกไป
เซียวชู่เหอยังไม่เข้าใจว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่ สือเย่จึงเดินเข้าไปตรงหน้าเธอ “คุณนายมู่ เชิญครับ…”
สือเย่พยักหน้าเล็กน้อย และผายมือทำท่า “เชิญ” ให้ ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่ากำลังไล่เซียวชู่เหอออกไปข้างนอก
เซียวชู่เหอเป็นคนขี้ขลาดมาโดยตลอด รู้ดีว่าบันทึกเสียงที่อยู่ในมือนั้นเป็นของปลอม ทันใดนั้นก็รู้สึกใบหน้าหมองคล้ำ และเดินคอตกออกไปข้างนอก
เมื่อมาถึงหน้าประตู เธอก็เห็นมู่น่อนน่อนที่กำลังกอดอก ยืนพิงประตูและจ้องมาทางเธอเขม็ง
เซียวชู่เหอเดินไปข้างหน้าอย่างละล้าละลัง “น่อนน่อน เธอ…”
“รังเกียจที่จะนั่งไปด้วยกันกับฉันไหม” สีหน้าของมู่น่อนน่อนนั้นเป็นความเย็นชาที่ผลักไสให้ผู้คนถอยห่างออกไปหลายพันไมล์
มู่น่อนน่อนที่เป็นแบบนี้ สำหรับเซียวชู่เหอแล้ว เป็นอะไรที่ไม่คุ้นชินอย่างมาก แต่เธอก็ยังเลือกที่จะพยักหน้า
…..
ในรถ มู่น่อนน่อนและเซียวชู่เหอนั่งที่นั่งด้านหลังรถ
มู่น่อนน่อนเอ่ยขึ้นมาก่อนด้วยสีหน้าเย็นชา “มู่หวั่นขีสั่งให้แม่มาใช่ไหม”
น้ำเสียงที่เย็นชาของมู่น่อนน่อน แผ่ความรู้สึกบีบคั้นออกมา จนคำว่า “ไม่” ที่ติดอยู่ตรงปากของเซียวชู่เหอต้องหายไป “เป็นเธอ”
“ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนเธอเคยพูดไว้ว่าอะไรนะ เธอบอกว่าใครเชื่อฟังเหมือนหมากันนะ” มู่น่อนน่อนแสยะยิ้ม หัวเราะราวกับปีศาจ
เซียวชู่เหอหน้าซีด แต่ปากก็ยังคงแก้ตัวแทนมู่หวั่นขี “เธอเองก็มีช่วงเวลาที่สับสน ปกติเธอนั้นดีกับฉันมาก น่อนน่อน ฉันเห็นว่าเฉินถิงเซียวค่อนข้างเชื่อใจลูกทีเดียว พวกลูกต้องสนิทกันในขั้นที่ไม่เลวทีเดียวสินะ ลูกอย่าได้ทะเลาะกับพี่สาวของลูกจนทำให้เธอไม่มีความสุขเลย ลูกก็ยอมให้เธอหน่อย ช่วงนี้เธอโกรธเรื่องของลูกจนทานข้าวน้อยลงไปมากแล้ว…”
มู่น่อนน่อนประสานสองมือเข้ากันแน่น และตวาดใส่เธอเสียงดัง “พอแล้ว”
เซียวชู่เหอที่ไม่เคยถูกมู่น่อนน่อนตวาดใส่แบบนี้มาก่อน ถึงกับชะงักค้างไป
สองตาของมู่น่อนน่อนแดงก่ำ แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว
ตั้งแต่ที่มีชีวิตมา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอตีโพยตีพายต่อหน้าเซียวชู่เหอแบบนี้
“ต่อให้แม่จะไม่เคยมองฉันในฐานะลูกสาวแท้ๆ มาก่อน แต่อย่างน้อยแม่ก็ควรจะมองฉันในฐานะมนุษย์บ้าง ฉันเองก็มีหัวใจ ฉันไม่ใช่ของที่แม่จะใช้ประโยชน์ได้ตามใจชอบโดยที่ไม่เจ็บปวดอะไร ฉันเป็นคน ฉันมีความรู้สึก ฉันเจ็บปวดและเสียใจเป็น”
“ฉันรู้…” เซียวชู่เหอตื่นกลัวเพราะเสียงของมู่น่อนน่อน แต่ปากก็ยังพูดต่อไปว่า “หลายปีที่แม่อยู่ในตระกูลมู่มันไม่ง่ายเลย แม่เพียงอยากลูกช่วยแม่แค่เล็กน้อย…”
“แล้วหลายปีที่ผ่านมานี้มันง่ายสำหรับฉันหรือ ตั้งแต่ที่ฉันจำความได้ แม่ก็ไม่เคยซื้อเสื้อผ้าให้ฉันสักชุด ชุดที่ได้ก็เป็นชุดที่มู่หวั่นขีและคนใช้ในบ้านไม่เอาแล้ว ทุกครั้งที่แม่ทำคุกกี้และหั่นผลไม้ให้กับมู่หวั่นขี ฉันก็ได้แต่กินของเหลือจากเธอ แม้แต่ในตอนนี้ ฉันก็ถูกบังคับให้แต่งงานกับเฉินถิงเซียว พวกแม่ก็ยังไม่คิดจะปล่อยฉันไป…”
มู่น่อนน่อนหลับตา เงยหน้าขึ้น เมื่อให้น้ำตานั้นย้อนกลับเข้าไป และหันไปตะโกนกับคนขับรถเสียงดัง “หยุดรถ”
เซียวชู่เหอที่เห็นว่าเธอกำลังจะลงจากรถ ก็รีบดึงเธอไว้ “น่อนน่อน ลูกอย่าเพิ่งลงจากรถ ฟังฉันพูดก่อน…”
“ออกไปให้พ้น” มู่น่อนน่อนสะบัดมือของเธอออกอย่างแรง “อย่าไม่แตะฉัน”
เธอกลัวว่าหากตัวเองมองเซียวชู่เหออีกเพียงนิดเดียว จะทำเรื่องที่เกินเลยเกินไป
สายตาเกลียดและรังเกียจของมู่น่อนน่อน กดดันอย่างรุนแรงจนเซียวชู่เหอต้องปล่อยมือ และไม่พูดอะไรให้มากความอีก
…..
สถานที่ที่มู่น่อนน่อนลงรถมานั้น อยู่ไม่ไกลจากบริษัทมู่ซื่อแล้ว
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปในบริษัทมู่ซื่อ
ถึงแม้เมืองหู้หยางจะอยู่ภาคใต้ แต่ก็มีสี่ฤดูที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ในตอนนี้อุณหภูมิข้างนอกห้องก็เพียงสี่ถึงห้าองศาเท่านั้น ลมก็พัดบาดหน้าจนเจ็บไปหมด
แต่ความเจ็บปวดนี้ ยังไม่เท่าเศษหนึ่งส่วนสิบของใจเธอด้วยซ้ำ
เธอเดินอย่างรวดเร็ว ลมพัดมาอย่างแรง จนเธอหายใจได้อย่างลำบาก จนเธอรู้สึกหายใจไม่ออก
เมื่อมาถึงบริษัทมู่ซื่อ เธอก็ตรงไปที่ออฟฟิศของมู่หวั่นขี
ใบหน้าของมู่หวั่นขีเริ่มหายบวมไปบ้างแล้ว เมื่อโปะด้วยแป้งหนาๆ อีกหนึ่งชั้น ก็ทำให้มองไม่เห็นความผิดปกติ
มู่หวั่นขีเงยหน้า เมื่อเห็นเป็นมู่น่อนน่อน สายตาก็เผยแววเกลียดชังออกมา “เธอมาทำอะไร”
แต่โดยเร็ว เธอก็พบว่าสีหน้าของมู่น่อนน่อนนั้นไม่ปกติ
รอจนกระทั่งเธอดึงสติกลับมาได้ มู่น่อนน่อนก็ได้ยื่นมือข้ามโต๊ะมาคว้าคอเสื้อของเธอ และกระชากเธอขึ้นมาจากเก้าอี้
“ใช้แม่ฉันมาจัดการกับฉัน เธอคงใช้งานสบายๆ เลยสินะ ผู้หญิงที่ใช้ชีวิตไปกับการวางแผนทุกๆ วันแบบเธอน่าสมเพชจริงๆ เธอคิดจริงๆหรือว่าเฉินถิงเซียวจะหลอกได้ง่ายเหมือนเสิ่นชูหาน ผู้ชายของฉันมู่น่อนน่อน นิ้วชี้เดียวยังแข็งแรงกว่าเขาเสียอีก มีเรื่องอะไรมาพุ่งตรงมาที่ฉันนี่ ลองไปรบกวนเฉินถิงเซียวอีกครั้งดู แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
เธอขอบคุณที่เฉินถิงเซียวเชื่อใจเธอ
เพราะแบบนั้น เธอจึงยิ่งกล่าวโทษตัวเองขึ้นมาอีกเล็กน้อย
แต่เดิมเฉินถิงเซียวเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบพบปะผู้คน แต่มู่หวั่นขีกลับวางแผนไปแตะต้องเขา และให้เซียวชู่เหอไปรบกวนเขา
มู่น่อนน่อนกล่าวจบ ก็ปล่อยมือออกอย่างแรง จนมู่หวั่นขีล้มกลับไปนั่งที่เก้าอี้อีกครั้ง
เอวของเธอกระแทกเข้าที่วางแขนของเก้าอี้ เธอเจ็บจนลืมออกเสียง มองร่างของมู่น่อนน่อนเบื้องหน้าที่แผ่บรรยากาศหนาวเหน็บออกมา ในเวลานั้นเธอไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงพูด
มู่น่อนน่อนมองท่าทางหวาดกลัวของมู่หวั่นขี แค่นเสียงหัวเราะเยาะเย้ย แล้วจึงเดินออกไป
จนกระทั่งประตูถูกปิด มู่หวั่นขีถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อนึกถึงคำที่มู่น่อนน่อนเพิ่งจะพูดเมื่อครู่ เธอก็รีบโทรหาเซียวชู่เหอทันที
เซียวชู่เหอรับสายของมู่น่อนน่อนอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ
“หวั่นขี…”
เซียวชู่เหอเพียงเอ่ยเรียกชื่อมู่หวั่นขีเท่านั้น ก็ถูกมู่หวั่นขีเอ่ยขัดอย่างหมดความอดทนทันที “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง เฉินถิงเซียวโมโหไหม แล้วก็หน้าตาของเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
เธอให้เซียวชู่เหอไปหาเฉินถิงเซียว ไม่เพียงแค่ทำบันทึกเสียงปลอมขึ้นมาเพื่อยั่วโมโหเฉินถิงเซียวเท่านั้น เธอยังอย่างจะยืนยันอีกเล็กน้อยว่าเฉินถิงเซียวนั้นขี้เหร่จริงหรือไม่
อย่างไรมันก็ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่มู่น่อนน่อนออกมาพูดแทนเฉินถิงเซียวต่อหน้าเธอ ในตอนนี้มู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปสวยมาก รสนิยมก็น่าจะสูงขึ้นไปอีก ทำไมถึงได้ยินยอมใช้ชีวิตกับคนไร้ประโยชน์กัน
ดังนั้นเธอจึงเกิดความสงสัยขึ้นมา
“เขาหันหลังให้ฉัน ฉันไม่เห็นหน้าของเขา…” เซียวชู่เหอรู้ว่าตัวเองนั้นทำเสียเรื่องแล้ว น้ำเสียงจึงลดระดับลง “แล้วก็บันทึกเสียงอันนั้น เขาไม่เชื่อ ทั้งยังบอกว่าน่อนน่อนเป็นคนของตระกูลเฉิน ไม่จำเป็นต้องให้ฉันมาสนใจ…”
มู่หวั่นขีที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้น ในใจก็นึกโกรธจนอยากจะกดหัวเธอให้จมน้ำตาย
“เป็นแค่คนไร้ค่าก็ยังกล้าพูดอวดดี รอดูเขาถูกถีบออกจากตำแหน่งผู้สืบทอดได้เลย ดูสิว่าเขาจะยังอวดดีได้อยู่ไหม”
เซียวชู่เหอรู้ว่ามู่หวั่นขีโมโหแล้ว จึงกล่าวโทษตัวเอง “หวั่นขี ขอโทษ…”
“พอแล้วๆ คุณก็เป็นแบบนี้ตลอดไม่ใช่หรือไร ไม่เคยทำเรื่องอะไรสำเร็จสักอย่าง”
ติ๊ด…
สายถูกตัดไปแล้ว
เซียวชู่เหอมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไป ทันใดนั้นในหัวก็นึกไปถึงสายตาของมู่น่อนน่อนที่เต็มไปด้วยความเกลียดและรังเกียจ
เหมือนว่าเธอจะทำอะไรไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง
แต่เธอต้องการเพียงแค่ได้อยู่ในตระกูลมู่โดยสวัสดิภาพเท่านั้น ที่เธอคอยประจบมู่ลี่เหยียนและมู่หวั่นขีนั้นเป็นเรื่องที่ผิดหรือ
น่อนน่อนเป็นลูกสาวแท้ๆ ของเธอ จะไม่นึกชั่งใจถึงความลำบากของเธอบ้างเลยหรือ
…..
เวลาเลิกงาน สือเย่ขับรถมารอที่หน้าประตูบริษัทมู่ซื่ออยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งคนเดินออกจากบริษัทมู่ซื่อไปกันจนเกือบจะหมดแล้ว ก็ยังไม่เห็นมู่น่อนน่อนเดินออกมา
ตอนที่ 75 พาเธอกลับสั่งสอนให้ดีดี
กลับมาถึงคฤหาสน์ มู่น่อนน่อนดูในเว็บก่อน เพื่อดูว่ามีข่าวคราวที่เกี่ยวกับเธอเผยออกมาหรือเปล่า
เธอเลื่อนดูพอนานสักพักก็ไม่มี เลยไอที่ห้องครัวเพื่อทำอาหาร
ถึงเวลากินข้าว เฉินถิงเซียวยังคงเช่นเคยไม่ออกมาให้เห็นหน้า “เฉินเจียฉิน” ก็ไม่รู้หายไปแล้ว
เธอนี่ก็พึ่งสังเกตเห็นว่า ราวว่าตอน “เฉินเจียฉิน” อยู่บ้าน มักจะดูยุ่งมาก ไม่ค่อยทานข้าวที่บ้าน
มู่น่อนน่อนส่ายหัว รู้สึกว่าตัวเองอาจจะถูก “เฉินเจียฉิน” กดดันจนบ้าไปแล้ว เขาไม่อยู่บ้าน เธอกลับมีความรู้สึกไม่ค่อยชิน
วันต่อมา
สือเย่ขับรถมาหน้าประตูตรงเวลาเพื่อส่งเธอไปทำงานที่บริษัทมู่ซื่อ
ตอนกลับมานั้น สือเย่เห็นแต่ไกลมีรถคันหนึ่งจอดหน้าประตูคฤหาสน์
ตอนเขาจอดรถแล้วเดินเข้าไป ถามบอดี้การ์ด “มีคนมาหาคุณชายเหรอ? ”
บอดี้การ์ดพยักหน้าพูดขึ้น “คุณนางท่านนั้นบอกว่าเธอคือคุณแม่ของคุณผู้หญิงครับ”
เนื่องด้วยสถานการณ์ตอนนี้ของเฉินถิงเซียวพิเศษหน่อย ในคฤหาสน์เลยมีบอดี้การ์ดหลายคนเฝ้าอยู่ หลายปีนี้เขาไม่ได้ออกมาให้ทุกคนได้เห็น ฉะนั้นแล้วการเดินทางลับแบบนี้มักมีเพื่อนฝูงที่ให้เห็น คนที่จะมาหาเขาน้อยยิ่งกว่าน้อย
ถึงแม้จะมีคนมาหาเขา ก็ไม่สามารถเจอเขาได้ง่ายๆ
สือเย่ฟังแล้ว ก้าวเท้าเดินเข้าไป พลางเห็นเซียวชู่เหอที่นั่งอยู่บนโซฟา
เขาเคยช่วยเฉินถิงเซียวสืบข้อมูลมาก่อน เลยรู้ว่าเธอคือเซียวชู่เหอ
แต่ว่า ตัวจริงของคุณนายมู่คนนี้ดูดีกว่าในรูปเยอะ ดูออกว่าตอนสาวนั้นมีหน้าตาที่สวยงามไม่น้อย
เขาเรียกบอดี้การ์ดมาคนหนึ่งพูดขึ้น “เสิร์ฟน้ำช้าให้คุณนายมู่ก่อน”
เขาพูดจบ พลางเดินไปหาเฉินถิงเซียวที่ห้องทำงาน
สองวันนี้ เฉินถิงเซียวให้สือเย่ส่งมู่น่อนน่อนไปบริษัทก่อน จากนั้นค่อยมารับตัวเองไปบริษัทเสิ้นติ่ง ตอนนี้คนเขาอยู่ที่ห้องทำงาน
สือเย่เปิดประตูเข้าไป รายงานอย่างเคารพ “คุณชาย คุณนายมู่มาแล้วครับ”
“คุณนายมู่คนไหน? ” เฉินถิงเซียวไม่แม้แต่เงยหน้า ดูออกว่าตอบสนองไม่ทันกับ “คุณนายมู่” ที่เขาพูดถึงคือใคร
“คุณแม่ของคุณผู้หญิงครับ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้น คิดไปสักพัก แล้วคาดเดาเป้าหมายที่เซียวชู่เหอมาหาเขาโดยประมาณ
สายตาเขามีความดูดีแวบผ่าน “ให้เขาเข้ามา”
……
ตอนเซียวชู่เหอมาถึงห้องทำงาน เดิมคิดว่าสามารถเจอเฉินถิงเซียว แต่กลับรู้ว่าเขานั่งหันหลังให้เธออยู่ ไม่ได้แสดงหน้าให้เธอเห็น
สือเย่ที่ยืนข้างพูดขึ้น “คุณนายมู่มีอะไรก็พูดมาเลยครับ”
เซียวชู่เหอดึงแขนเสื้อทีหนึ่ง ทำหน้ารู้สึกผิดเริ่มพูดขึ้นมา “คุณชายเฉิน ฉันมาวันนี้ เพราะมาขอโทษคุณแทนลูกสาวฉัน”
เธอพูดจบ เห็นเฉินถิงเซียวไม่มีการตอบสนองใดๆ เห็นว่าเขาไม่พูดอะไร เธอจึงพูดต่อ “ฉันไม่ได้สั่งสอนเขาดีดีเอง ทำให้เขาต้องทำเรื่องผิดต่อคุณ เดิมทีเขาสามารถแต่งงานเข้าตระกูลเฉินแทนพี่สาวเขาได้ พวกคุณไม่เอาเรื่องก็ถือว่าใจกว้างมากแล้ว แต่ไม่คิดว่าเขาไม่เพียงไม่เห็นบุญคุณ กลับฉวยโอกาสตอนคุณไม่อยู่ อ่อยน้องชายคุณแล้วทำเรื่องแบบนั้นกับน้องชายคุณ…”
ไม่ต้องบอกว่าเฉินถิงเซียวมีความคิดยังไง แม้แต่สือเย่ยังมึนงงทั้งหน้า
ไม่ใช่ว่าช่วงนี้คุณหญิงกับคุณชายรักดีดีกันหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน
มีแม่แท้ๆ ที่ไหนจะวิ่งโร่มาลูกเขยเพื่อจัดการลูกสาวของตัวเองกัน
ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวเองก็รู้ว่าความสัมพันธ์ครอบครัวของตระกูลมู่ยุ่งยากขนาดไหน เซียวชู่เหอไม่ได้เอ็นดูมู่น่อนน่อน กลับใจใส่แต่พวกมู่หวั่นขีสองคนพ่อลูกนั้น วันนี้ถือว่าได้สัมผัสกันมันอย่างแท้จริงแล้ว
ในตอนที่เขากำลังจะอ้าปากพูด ทันใดนั้นประตูก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง ชนเข้ากับกำแพง จนเกิดเสียงดัง ปึง
เฉินถิงเซียวได้ยินเสียงนี้ ก็ใบหน้าเรียบตึง ไม่ต้องหันไปมองเขาก็เดาได้ว่าเป็นใคร
เซียวชู่เหอและสือเย่ที่ได้ยินก็หันไปมอง ก็พบเห็นเป็นคนที่ควรทำงานอยู่ที่บริษัทอย่างมู่น่อนน่อนกลับมา ยืนอยู่ที่ปากทางประตูด้วยสีหน้าเย็นชา สายตานิ่งเรียบราวกับวิญญาณ
มู่น่อนน่อนสบสายตากับเซียวชู่เหอ และเอ่ยขึ้นเบาๆ “แม่ แอบมาเจอหน้าสามีของฉันเพื่อฟ้องแบบนี้ ทำไมถึงไม่เรียกฉันมาเผชิญหน้าด้วยล่ะ”
“เธอ… เธอไม่ใช่ว่าอยู่ที่บริษัทหรือ” สีหน้าของเซียวชู่เหอซีดเผือดไปในทันที
ในเวลานี้ เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนแล้วว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้เชื่อฟังคำพูดของเธอเหมือนดั่งในอดีตอีกแล้ว บางครั้งสายตาของมู่น่อนน่อนที่เผยออกมาอย่างกะทันหันนั้น ก็ทำให้เธอรู้สึกกลัวได้จริงๆ
“หากฉันไม่กลับมา แล้วจะได้ว่าแม่เจตนาดีต่อฉันแบบนี้ได้อย่างไรกันล่ะ” มู่น่อนน่อนกล่าว พลางเดินเข้าไปหาเซียวชู่เหอย่างช้าๆ
เธอไปถึงบริษัทแล้ว หน้าที่ในวันนี้คือออกไปสำรวจตลาดข้างนอก ในตอนที่ออกมาถึงได้พบว่าตัวเองนั้นลืมเอาโทรศัพท์มาด้วย จึงได้กลับมาเอา
ในตอนที่เดินผ่านห้องหนังสือของเฉินถิงเซียว ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงของเซียวชู่เหอดังขึ้นมา
“แม่ขอโทษสามีของฉันแทนฉันอย่างนั้นหรือ” มู่น่อนน่อนแค่นหัวเราะ ดวงตายิ้มนั้นแฝงไปด้วยความเย็นชาอย่างสุดซึ้ง “แม่เป็นแม่ที่ดีของฉันจริงๆ”
เซียวชู่เหอถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว และหยิบของหนึ่งสิ่งออกมาจากที่ตรงไหนก็ไม่รู้ “ฉัน… ฉันมีหลักฐาน”
มู่น่อนน่อนจ้องมอง ถึงได้สังเกตเห็นว่าสิ่งที่เธอนำออกมานั้นคือปากกาบันทึกเสียงด้ามหนึ่ง
แต่เดิมที่เซียวชู่เหอมาหาเธอเมื่อวาน ก็เพราะมีความคิดแบบนี้นี่เอง
เป็นไปได้ยากที่คนขี้ขลาดอย่างเซียวชู่เหอ จะกล้ามาหาเฉินถิงเซียว ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความก็พอจะรู้ จะต้องเป็นมู่หวั่นขีที่มีมู่ลี่เหยียนคอยหนุนหลัง ที่สั่งให้เซียวชู่เหอทำแบบนี้
มู่ลี่เหยียนยังคงหวังว่ามู่น่อนน่อนจะช่วยเขากู้เงินจากเฉินถิงเซียวได้ หากเขารู้ แน่นอนว่าจะต้องไม่ให้มู่หวั่นขีทำเรื่องแบบนี้
เซียวชู่เหอได้กดปุ่มเล่นการบันทึก บันทึกเสียงนี้ไม่ยาว และมีเพียงสองประโยคที่เป็นประโยคใจความสำคัญที่สุด
“บอกความจริงกับฉันมา เธอกับลูกพี่ลูกน้องของเฉินถิงเซียวคนนั้น ได้อยู่ด้วยกันจริงหรือไม่ ครั้งนั้นฉันเห็นพวกเธอในรถ…”
“เกี่ยวอะไรกับแม่ด้วยกัน ต่อให้ฉันกับลูกพี่ลูกน้องของเขาจะอยู่ด้วยกันแล้วมันเป็นอย่างไร”
มู่น่อนน่อนจำได้แม่น คำพูดของเธอในตอนนั้น เหมือนจะเป็น “ทำไมจู่ๆ แม่ก็ใส่ใจเรื่องของฉันขึ้นมา แม่มีจุดประสงค์อะไรกันแน่”
บันทึกเสียงที่ต้นทุนต่ำแบบนี้ ก็ยังกล้าเอามาใช้ใส่ร้ายเธอ
เป็นเพราะก่อนหน้านี้มู่หวั่นขีได้แอบถ่ายภาพของเธอกับ “เฉินเจียฉิน” และเอาภาพนั้นซื้อสื่อข่าวให้ลงข่าว แต่ผลสุดท้ายข่าวนั้นกลับไม่มีผลกระทบอะไรกับมู่น่อนน่อนแม้แต่นิด ดังนั้นสุนัขจนตรอก จึงคิดจะเอาเรื่องนี้มาบอกกับเฉินถิงเซียวโดยตรง
“คุณชายเฉิน คุณลองฟังดู น่อนน่อนยอมรับด้วยตัวเอง ที่เธอทำเรื่องแบบนั้นลงไป ทั้งหมดเป็นเพราะฉันไม่ได้ทำการสั่งสอนให้ดีในฐานะคนเป็นแม่ ฉันยินดีที่จะพาเธอกลับไปสั่งสอนให้ดี คุณชายเฉิน คุณดู…”
มู่น่อนน่อนโมโหจนอยากจะหัวเราะ แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกไป ทำเพียงเงยหน้ามองไปทางเฉินถิงเซียว
บรรยากาศในห้องหนังสือเงียบไปอึดใจ น้ำเสียงแหบแห้งของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมา “เธอแต่งเข้าตระกูลเฉินของผม ก็เป็นผู้หญิงของเฉินถิงเซียว ผมคนนี้ ผู้หญิงของผม ต้องมีคนมาคอยสนใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“แต่ว่าเธอ…” เซียวชู่เหอไม่คิดว่าเฉินถิงเซียวจะมีท่าทีตอบกลับมาแบบนี้
ในตอนที่เธอมา หวั่นขีบอกเธอว่า เพียงเธอเอาที่อัดเสียงออกมา จะต้องทำให้เฉินถิงเซียวเดือดดาลได้แน่ๆ และเมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะรีบไล่มู่น่อนน่อนออกไป…
ถึงแม้ในใจของมู่น่อนน่อนจะรู้ดีว่าเฉินถิงเซียวไม่มีทางเชื่อบันทึกเสียงที่ปลอมขึ้นมานี้ แต่คำพูดของเขาก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา น้ำเสียงของเธออ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว “ขอโทษด้วยนะคะ ที่มีคนมารบกวนคุณเพราะเรื่องของฉัน”
ตอนที่ 74 เธอไม่ใช่คนแบบนั้น
ณ บริษัทเสิ้งติ่ง ห้องทำงานท่านประธาน
กู้จือหยั่นเปิดประตูเข้ามา เห็นเฉินถิงเซียวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ดันแว่นตาไปทีหนึ่ง แล้ววางเอกสารในมือลงไปบนโต๊ะเขาอย่างทางการ ล้อเรียบน้ำเสียงของเลขาไว้ “คุณเฉิน ตรงนี้ให้คุณเซ็นชื่อครับ”
เรื่องการส่งเอกสารแบบนี้ ส่วนมากคนทำเป็นเลขา
และเป้าหมายที่กู้จือหยั่นมาส่งเอกสารเองนั้นชัดเจนโดยไม่ต้องพูด
เป็นเพราะแบบนี้ เขาพึ่งวางเอกสารลง เฉินถิงเซียวก็ไล่เขาออกไปแบบเลือดเย็น “ออกไป”
กู้จือหยั่นตอนอยู่ตรงหน้าเฉินถิงเซียวก็ไม่เคยเอาหน้าอยู่เเล้ว
เขาเอาแว่นลง ปรายตามุดขึ้น แสดงความแกร่งที่ไม่ยอมแพ้แบบเพลย์บอยรวย
เขาส่ายหัว ทำหน้าอย่างน่าสงสาร “ถิงเซียว ผมช่างเห็นใจคุณ ไม่ง่ายกว่าจะแต่งงานได้ แต่ภรรยากับ “น้องชาย” ก็หักหลังคุณไปเลย ขอสัมภาษณ์หน่อย ตอนนี้คุณรู้สึกเป็นยังไง? ”
เฉินถิงเซียวเงยตามองเขา ดวงตามืดครึ้มเหมือนยิงเข้าไขกระดูกแบบเยือกเย็น “เธออยากไปพัฒนากิจการที่แอฟริกาใต้หรือ? ”
สีหน้ากู้จือหยั่นเปลี่ยนทันที รีบส่ายหัว “ไม่…ไม่อยากไปครับ!”
เขาไม่อยากไปแอฟริกาใต้หรอก!
“ยังไม่ไปให้พ้นอีก? ” เฉินถิงเซียวทำหน้าบึ้งไว้ ไม่อยากฟังเขาพูดเรื่องเลยสักนิด
แต่กู้จือหยั่นเป็นคนที่ชอบเสือกเรื่องแต่ไม่กลัวจะเกิดเรื่อง เขายังถามอย่างเสียดสีต่อ “ถ้ามู่น่อนน่อนหลงรัก “เฉินเจียฉิน” แล้วอดจะอะไรนั่นกับคุณไม่ได้ พอถึงตอนนั้น เกิดเขารู้ว่าคุณเป็น “เฉินถิงเซียว” …”
เฉินถิงเซียวไม่แม้แต่คิด แทรกคำพูดเขาขาดขึ้นมา “เป็นไปไม่ได้”
“เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าคุณเป็นเฉินถิงเซียว? คุณคิดว่าตัวเองจะปิดบังเรื่องนี้ได้อย่างผ่านไปทั้งชีวิตเหรอ? ” ในใจกู้จือหยั่น เฉินถิงเซียวเป็นคนที่เก่งเยี่ยมยอด แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาจะเก่งถึงขั้นนั้นได้
“เขาไม่ใช่คนแบบนั้น”
เฉินถิงเซียวพูดออกมาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่กลับทำให้กู้จือหยั่นเข้าใจความหมายของคำพูด
เขายื่นมือขึ้นมาปัดตรงหน้าจมูกอย่างโอเวอร์ แล้วพูดแบบว่ารู้ดี “คุณแค่บอกเขาไปนานแค่ไหนเอง ก็บอกว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น ผมเหมือนได้กลิ่นเหม็นเน่าเปรี้ยวๆ อะไรบางอย่าง…”
ฟู้ถิงซีเดินเข้ามาจากข้างนอก กำลังได้ยินครึ่งหลังของคำพูดกู้จือหยั่นพอดี เลยสงสัยถามขึ้น “อาไร่เหม็นครับ? ”
กู้จือหยั่นพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนลึกลับ “ยังไงก็ไม่ใช่กลิ่นเปรี้ยวเหม็นในตัวพวกเรา เราเป็นคนโสด กลิ่นสดชื่นเบาๆ ”
ฟู้ถิงซีในฐานะเป็นชายซื่อตรงนัก ใบหน้ามึนงงไม่เข้าใจความหมายกู้จือหยั่น
กู้จือหยั่นเหลือกตาอย่างไม่ดั่งใจ “กลิ่นเหม็นเปรี้ยวของความรักไง นี่ยังไม่รู้เหรอ สมควรแล้วที่โดดเดี่ยว!”
ฟู้ถิงซีที่โดนแม่โทรมาเร่งให้หาแฟนทุกแทบเดือนตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว เลยช่างเซนซิทีฟกับเรื่องนี้มาก
ฟู้ถิงซีขำ พูดอย่างคมเฉียบแรงกระตุ้น “คนที่เฝ้าตั้งแต่เด็กจนโต พอกำลังจะเอาเข้าปากก็วิ่งหนีแล้ว รู้สึกยังไง? ”
กู้จือหยั่นทำหน้าเข้มไว้ พุ่งเข้าไปตีฟู้ถิงซีหนักๆ แถมยังพูดโหดๆ “วันนี้ผมเข้ามาแล้ว ก็ไม่คิดจะรอดออกไปได้”
กู้จือหยั่นมีผู้หญิงที่โตด้วยกันตั้งแต่เด็ก ได้ยินว่ากินอยู่ในปากแล้ว ยังทำให้คนเขาหนีไปแล้วด้วย
เฉินถิงเซียวคิดๆ แล้วอาจจะเป็นดาราน้อยคนที่ชื่อเสิ่นเหลียงสินะ
ที่ความสัมพันธ์ดีกับมู่น่อนน่อนมาก เขาพึ่งจำชื่อนี้ได้ในช่วงนี้เอง
กู้จือหยั่นในเมื่อก่อนเป็นไม่เอาไหน เรื่องการตีกันไม่แพ้ใคร ตีกับฟู้ถิงซีไปพอนาน สุดท้ายใช้การเตือนโดยเขาตีจนฟู้ถิงซีล้มไปที่พื้นแล้วเป็น
เฉินถิงเซียวคุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้นานแล้ว เพียงแค่รอสองคนตีกันเสร็จก็เงยตาขึ้น “เก็บเรียบร้อยแล้วค่อยออกไป”
สองคนเลยต้องทำทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วออกไป
……
มู่น่อนน่อนได้ผ่านวันนี้ไปในภายใต้การนินทา
รอให้ผ่านไปช่วงหนึ่ง พวกเขาพูดเบื่อแล้ว ก็คงจะไม่พูดเรื่องนี้อีก
ถึงเวลาเลิกงาน สือเย่โทรมาหาเธอ บอกว่าอยู่ระหว่างแล้ว รถติดมาก อาจจะไปรับเธอสายหน่อย
มู่น่อนน่อนออกจากบริษัทมู่ซื่อ เตรียมตัวหาที่หนึ่งเพื่อรอสือเย่
“น่อนน่อน”
เธอหันกลับไป เห็นเซียวชู่เหอที่ไม่รู้ว่ายืนหลังตัวเองแต่เมื่อไหร่
มู่น่อนน่อนมีความแปลกนิดๆ ถามอย่างเย็นนิ่ง “มีธุระ? ”
“ฉันอยากถามนิดหนึ่ง เรื่องที่พูดถึงในข่าว เธอกับเรื่องของน้องเฉินถิงเซียวเป็น เรื่องจริงไหม? ” เซียวชู่เหอมีน้ำเสียงที่แตกต่างจากปกติแฝงความเป็นห่วง
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเซียวชู่เหอผิดปกติ มองเขาไว้แบบสงสัย “เธอเป็นอะไรเหรอ? ”
ไม่ว่าเซียวชู่เหอจะไม่สนใจเธอมากแค่ไหน แต่เธอก็ทำไม่ได้ที่จะไม่สนใจเซียวชู่เหอหรอก
เซียวชู่เหอยิ้ม ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนแบบนั้นง่ายต่อการให้คนไม่มีความขีดกั้น “ไม่มีอะไร แค่ในข่าวนั้น คนที่ด่าเธอแรงไปหน่อย เลยเป็นห่วงเธอ…”
เธอพูดถึงนี่แล้ว หยุดไปพัก แล้วถอนหายใจเบาๆ “ตอนนี้ฉันไม่ดีเอง ถ้าฉันไม่ให้เธอแต่งงานไปตระกูลเฉิน ก็จะไม่เกิดเรื่องวันนี้ขึ้น เธอก็จะไม่เป็นแบบตอนนี้…”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าคำพูดเซียวชู่เหอไม่สมเหตุเกินไป ความสงสัยก็หนักมากขึ้น “เธอมีอะไรก็พูดมาตรงๆ ได้ไหม? ”
เธอไม่ต่อยเชื่อว่าเซียวชู่เหอจะกลับตัวได้จริง
“เธอบอกความจริงกับแม่นะ เธอกับน้องชายเฉินถิงเซียว คบกันแล้วจริงหรือเปล่า ครั้งก่อนฉันเห็นพวกเธออยู่ในรถ…”
“ทำไมจุจุเธอถึงเป็นหัวเรื่องฉันขึ้นมา? เธอมีเป้าหมายอะไร? ” มู่น่อนน่อนเห็นเซียวชู่เหอพูดเรื่องนี้ไว้ไม่ยอมปล่อย เลยรู้สึกระวังขึ้นมา
“น่อนน่อน ถึงแม้เมื่อก่อนฉันจะห่วงใยเธอไม่พอ แต่ฉันเป็นห่วงเธอจากใจ…”
มือถือมู่น่อนน่อนดังขึ้นมา เป็นสือเย่ที่โทรมา
มู่น่อนน่อนรับสาย “ฉันอยู่หน้าประตู เธอขับมาได้ไหม”
เธอยังไม่ทันเก็บมือถือ เซียวชู่เหอก็ดึงแขนเธอไว้ น้ำเสียงเร่งรีบ “ใครมารับเธอ? ”
“คนที่เฉินถิงเซียวสั่งให้มารับฉันเลิกงาน” มู่น่อนน่อนรู้สึกการกระทำของเซียวชูยิ่งแปลกมากเรื่อยๆ
คำที่เธอพึ่งพูดกับเซียวชู่เหอในเมื่อกี๊มีอารมณ์ร้อนอยู่ ตอนนี้สงบลงแล้ว มองใบหน้าเซียวชู่เหอแล้วเพียงรู้สึกเหนื่อยชา
“ฉันไม่รู้ว่ามู่หวั่นขีพวกเขาหลอกใช้เธอมาทำอะไรฉันอีก แต่ฉันเตือนเธอด้วยความหวังดี ช่วยคิดถึงตัวเองให้มากหน่อย อย่ายอมตามใจพ่อเกิน”
ในอนาคตมู่หวั่นขีไม่กตัญญูต่อเซียวชู่เหอเเน่นอน เพียงแค่เอาเซียวชู่เหอเป็นคนใช้อุ่นเตียงของพ่อเธอแค่นั้น แต่ตอนนี้เซียวชู่เหอยังไม่รู้สิ่งนี้
เซียวชู่เหอฟังจบ พลางอึ้งไปครู่
มู่น่อนน่อนนั่งเข้าไปในรถ มองเซียวชู่เหอผ่านกระจกใส
เซียวชู่เหอยังยืนที่ที่คุยกับมู่น่อนน่อนเมื่อกี๊ เนื่องด้วยก้มหน้าไว้ เลยดูอารมณ์ออกอยากแต่มู่น่อนน่อนรับรู้ถึงการลังเลของ
ลังเลอะไรหล่ะ?
ลังเลจะช่วยมู่หวั่นขีจัดการเธอไหม?
เมื่อกี๊เซียวชู่เหอกำลังหลอกให้มู่น่อนน่อนพูดอย่างเห็นได้ชัด หลายปีนี้ใช้ชีวิตแบบสงบสุข แต่การมองสังเกตยังสู่มู่น่อนน่อนไม่ได้ ฉะนั้นแล้วเธอไม่รู้ว่าตัวเองถูกเผยออกมาแล้ว
มู่น่อนน่อนรับรู้ถึงเป้าหมายของเธอ และหลีกเลี่ยงคำถามที่เธอถามเกี่ยวกับ เฉินเจียฉินได้
ไม่ว่าพวกเขายังจะมีแผนการอะไร มีฝีมือแบบไหน ก็เอาออกมาทั้งหมดได้เลย
ตอนที่ 73 ตบจูบ
มู่น่อนน่อนเลิกคิ้วมองเขาไว้ “คุณออกไปแล้วไม่ใช่หรือ? ”
เฉินถิงเซียวไม่คิดว่ามู่น่อนน่อนจะทำอาหารเสร็จแล้วโยกขึ้นมาเร็วขนาดนี้ เกือบจะโดนจับได้แล้ว
เขาพูดอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ออกไปแล้วก็กลับมาได้หรือไง? ”
มู่น่อนน่อนยังคิดถึงข่าวในโซเชียลอยู่ เลยไม่มีอารมณ์โต้แย้งกับ “เฉินเจียฉิน” เธอพูดด้วยใบหน้าจริงจัง “คุณออกมา ฉันมีเรื่องคุยกับคุณ”
น้ำเสียงเธอมีความหนักใจหน่อย ใบหน้าที่จริงจังนั้นก็ดูทรงพลังอยู่เล็กน้อยเหมือนกัน เพียงแต่ว่าดวงตาแมวที่ทั้งโตทั้งสว่างนั้นตอนจ้องเฉินถิงเซียวไว้อย่างจริงจัง เขาไม่เพียงไม่รู้สึกความเย็นชาของเขา แต่กลับรู้สึกมีเสน่ห์
เขาเอามือล้วงกระเป๋าไว้ทั้งสองข้าง เดินตามเธออย่างไม่รีบไม่ร้อน
ตอนนี้จุดที่ไม่มีคนไปแน่นอนที่สุด ก็คือห้องรับประทาน
มู่น่อนน่อนพาเขามาถึงห้องรับประทาน เสียงอ่อนนั้นเเฝงความเย็นเรียบไว้ “เฉินเจียฉิน เพราะคุณ ตอนนี้ฉันกลายเป็นที่จับจ้องของผู้คน? ตอนนี้คุณพอใจแล้วใช่ไหม? ”
เธอช่างไม่เข้าใจจริงๆ ในใจ “เฉินเจียฉิน” กำลังคิดอะไรอยู่
ถ้าเขามีความสนใจต่อเธอจริงๆ ก็ต้องฉวยโอกาสลงมือกับเธอเเล้ว ในตอนที่ช่วยเธอกลับมาตอนเธอถูกมู่หวั่นขีวางแผนที่คลับจื่อจีน แล้ววางยาเธอในตอนนั้นแล้ว
แต่เขากลับไม่ได้ทำอะไรเธอเลย
แต่ในเวลาปกติก็มักจะมาวุ่นวายกับเธอนัก
เธอเคยเห็นพวกคนชายมากมายที่เล่นๆกับผู้หญิง แต่พวกเขาไม่ได้มาเสียแรงและเสียเวลาในตัวผู้หญิงพวกนั้น เพียงแค่เล่นสนุกไปชั่วแวบนั้น จากนั้นก็เข้าเรื่องเลย
ก็เพราะ “เฉินเจียฉิน” ในครั้งนั้นไม่ได้ลงมือกับเธอ เธอถึงรู้สึกว่า “เฉินเจียฉิน” ไม่ได้มีความคิดร้ายต่อเธอ
แต่ว่า ต่อจากนั้นเขาได้แต๊ะอั๋งเธอครั้งเล่าครั้งอีก ซึ่งนำความลำบากและความวุ่นวายมาให้เธอ
“ผมก็เช่นกันครับ ผมก็ถูกด่าจนแย่เหมือนกันไม่ใช่? ” เฉินถิงเซียวเอียงศีรษะ ทำหน้าไร้ความสนใจแต่แฝงความน่าสงสารอย่างชัด
ช่างไม่เอาหน้าจริงๆ
มู่น่อนน่อนจ้องเย็นเยือกเขาทีหนึ่ง “คุณคิดว่าฉันไม่อ่านคอมเม้นคนพวกนั้นเหรอ? พวกเขาด่าคุณตรงไหน? ต่างชมว่าหุ่นคุณดี ถอดผ้าแล้วต้องมีของแน่นอน!”
ช่างไม่เข้าใจพวกคนโซเชียลเลยจริงๆ ทำไมถึงได้ไม่ยุติธรรมแบบนี้ จะด่าก็ทั้งสองคนไปเลยสิ!
ทำไมเธอถูกด่า แล้ว “เฉินเจียฉิน” ถูกชม?
เฉินถิงเซียวทำตาหยีไว้ สายตาแลดูแปลกๆ แต่ก็พูดด้วยทำนองในกว้างนัก “ผู้หญิงพวกเธอดูออกแม้แต่สิ่งนี้เลย? แต่ถ้าเธออยากเห็น ผมสามารถถอดผ้าให้เธอมองดูได้นะ”
“…ฉันไม่อยากหรอก คุณอย่าเปลี่ยนเรื่อง!” มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นว่า “เฉินเจียฉิน” เฉินเจียฉินกำลังเปลี่ยนเรื่องอยู่
“เฉินเจียฉิน” เหมือนจะไม่ได้ฟังคำพูดเธอ ก้าวเท้าเดินออกจากห้องทานอาหาร เสียงงัวเงีย “ง่วงจัง ผมไปนอนแล้ว”
มู่น่อนน่อนมีความหงุดหงิดบ้าง
หายใจเข้าลึกอย่างเครียดใจ เอามือถือออกมาส่งข้อความให้เฉินถิงเซียว “ฉันเอาอาหารไปให้ที่ห้องทำงานคุณแล้ว”
ผ่านไปสิบวินาที ฝั่งนั้นตอบกลับมาคำเดียว “อืม”
มู่น่อนน่อนรู้สึกหนักใจ เลยไม่ได้กินของลงไปเยอะ คาดว่าเฉินถิงเซียวคงกินเสร็จแล้ว เลยขึ้นไปชั้นบน
เคาะประตูเข้าไป เฉินถิงเซียวยังคงหันหลังให้เธอตามเคย
จานกับข้าวที่วางอยู่ในโต๊ะทำงานถูกกินจนกลิ้ง เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนเธอเอากับข้าวให้เฉินถิงเซียว เขาก็ทานจนหมดเลย
คิดแล้วอาหารของเธอคงจะถูกปากเขามาก
มู่น่อนน่อนถามด้วยความดีใจ “คุณจะทานผลไม้ไหมคะ? หรือว่าดื่มอะไรหน่อย? ”
“ไม่ต้อง” เสียงเฉินถิงเซียวยังคงแหบ ไม่มีเสียงแบบชายหนุ่มอยู่เลย
มู่น่อนน่อนยืนข้างทำตัวไม่ถูก รู้สึกใจไม่ดีไม่รู้จะพูดอะไร
จุจุ เฉินถิงเซียวก็ถามเธอ “คุณเป็นคุณนางตระกูลเฉิน ทำบทบาทตัวเองให้ดี เราก็จะไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้น…”
คำนี้เขาได้เเฝงอารมณ์ส่วนตัวไปหน่อย ทำให้เสียงแหบนั้นฟังแล้วเข้มๆ บ้าง โดยเฉพาะคำด้านหลังที่จงใจพูดไม่จบ ยิ่งทำให้คนรู้สึกขนลุก
มู่น่อนน่อนกอดแขนตัวเองไว้อย่างไม่รู้ตัว กัดริมฝีปากแล้วอธิบายขึ้น “ฉันสัญญา ฉันกับเฉินเจียฉินไม่ได้มีอะไรกัน”
เธอคิดว่าคำพูดของเฉินถิงเซียวนี้ต้องเป็นเพราะเห็นข่าวเเน่นอน
“ไม่เกี่ยวกับเฉินเจียฉิน ผมเชื่อใจเขาอยู่แล้ว” เฉินถิงเซียวเน้นเสียวเข้มอย่างชัดเจนขึ้น
งั้นคำพูดนี้ของเขาก็หมายความว่า เธอไปมีอะไรเกี่ยวพันกับผู้ชายที่อื่นเหรอ?
เฉินถิงเซียวดูออกว่ากำลังปกปิดจุดด้อยเขา! เธอก็รู้ว่าต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว!
เฉินถิงเซียวรัก “เฉินเจียฉิน” มาก ก็ต้องเชื่อใจอยู่แล้วว่าน้องชายที่ตัวเองรักจะไปมีสิ่งที่เกินขอบเขตกับภรรยาตัวเอง จากนั้นได้ชี้ทุกอย่างบนหัวเธอ
มู่น่อนน่อนถามเขา “แล้วฉันหล่ะ? คุณไม่เชื่อฉันเหรอ? ”
เฉินถิงเซียวเงียบไปชั่วครู่ พูดขึ้น “แม้แต่หน้าตายังปลอมออกมาเลย ทำไมผมต้องเชื่อคุณด้วย? ”
มู่น่อนน่อน “…” แย้งกลับไม่ได้แล้วจริงๆ
ถ้าเธอเอาแต่ใจอกหน่อย ก็สามารถแย้งกลับโดยไม่ต้องคำหนึ่งถึงผลที่ตามมา คำเดียวว่า “คุณยังไม่กล้าใช้ใบหน้าจริงมองฉันเลย ทำไมฉันจะปลอมไม่ได้หล่ะ? ”
เฉินถิงเซียวกับคนตระกูลมู่ไม่เหมือนกัน การกระทำของเขาที่มีต่อเธอมันตรงๆ ชัดเจน ฉะนั้นแล้วเธอทำไมไม่ลองเอาจุดเสียของเขามากระตุ้นบาดแผลเขา
“ไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ ต่อไป ฉันจะให้สือเย่ส่งคุณไปทำงาน” เฉินถิงเซียวพูดจบ พลางไม่ออกเสียงอีกเลย
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองเขาทันที อารมณ์เริ่มซับซ้อนขึ้น
ทำไมเธอรู้สึกเฉินถิงเซียวเหมือนได้ตบเธอทีหนึ่งแล้วเอาลูกอมมาปลอบใจเธอสักงั้น?
แผนการแบบนี้ช่างเหมือน “เฉินเจียฉิน” มาก
“เฉินเจียฉิน” มักจะเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายต่อเธอมาตลอด
อาจเป็นเพราะพักด้วยกันมานาน เลยทำให้ทั้งสองคนมีแนวทางนิสัยที่เหมือนกัน
หลังจากมู่น่อนน่อนออกไปเเล้ว เฉินถิงเซียวหันกลับมา ยื่นมือนวดขมับตัวเองไว้
ตอนนี้เขามีความรู้สึกแบบหาเหาใส่หัว
เหมือนว่ามู่น่อนน่อนเริ่มไม่ชอบ “เฉินเจียฉิน” มากขึ้นแล้ว ให้เธอไม่ชอบ “เฉินเจียฉิน” มากอีกนิด แล้วมีความรู้สึกดีต่อ “เฉินถิงเซียว” อีกนิด พอถึงตอนนั้นแล้ว ก็คงไม่อยากที่จะแบบรับไหวหรอก
……
ข่าวในโซเชียลก็ถูกกดทับลงไปแบบนั้นเลย
ถึงแม้ยังมีคนพูดถึงเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตมรสุมอะไร
ในโซเชียลก็ได้สงบลงแล้ว แต่ในชีวิตจริงกลับไม่ได้สงบลงง่ายๆ
แผนกการตลาดที่มู่น่อนน่อนอยู่ ส่วนมากเป็นผู้หญิง วันๆรวมกลุ่มกันนินทา แน่นอนก็ลามมาถึงมู่น่อนน่อนด้วย
วันต่อมา
มู่น่อนน่อนไปทำงานที่บริษัท พนักงานบริษัทมู่ซื่อมองเธอด้วยใบหน้าแปลกๆ
เธอเดินไปไกลแล้วยังได้ยินเสียเงินทาเบาๆ จากด้านหลัง
“ไม่คิดเลยว่าวันนี้เขายังสามารถมาทำงาน!”
“หัวคุณชายเฉินช่างกว้างจริง ภรรยาตัวเองมีอะไรกับน้องชายเเล้ว เเต่กลับไม่สนใจเลย? ”
“เธอก็อย่าพูดแบบนี้ ถ้าเกิดคนเขาไม่ได้มีอะไรกับน้องชายอยู่แล้วหล่ะ!”
“พูดถูกเหมือนกันเนอะ คนตระกูลเฉินจะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ถ้ามีเรื่องจริงๆ มู่น่อนน่อนก็อยู่ไม่สุขแน่!”
“เชอะ พวกเธอแต่ละคนโง่นัก เรื่องแบบนี้ส่วนใหญ่ถ้าไม่มีเหตุ ก็ย่อมไม่มีผล !”
“…”
พวกเขาต่างเล่ากันไปมา แต่ก็เป็นแค่การเดาแค่นั้น
ตอนที่ 72 เเอบมีชู้ลับหลังเฉินถิงเซียว
เสิ่นชูหานหลังขับรถออกไปแล้ว มู่น่อนน่อนก็ไม่เห็นนักข่าวเหล่านั้นอีกเลย พลางพูดขึ้น “รบกวนเธอจอดรถหน่อยค่ะ ฉันจะลงรถ เรื่องวันนี้ของคุณเธอมาก”
เสิ่นชูหานจอดรถลงข้างทางอย่างเงียบๆ มู่น่อนน่อนยื่นมือไปเปิดประตู ลองเปิดไปสองครั้งก็เปิดไม่ออก
เธอหันไปมองเสิ่นชูหาน “ประตูรถถูกล็อคไว้แล้ว”
เสิ่นชูหานก็มองไปหาเธอด้วย สายตาดูแปลกๆ เหมือนกัน “น่อนน่อน เธอเลือกน้องชายเฉินถิงเซียว เลือกผมไม่ปลอดภัยดีเหรอ”
“??? ” นี่เธอเข้าใจความหมายเขาผิดเหรอ?
เห็นมู่น่อนน่อนไม่ได้พูดแทรกเขา น้ำเสียงเสิ่นชูหานยิ่งมั่นใจมากขึ้น “เราต่างรักใจยอม อยู่ด้วยกันมีความสุขมากแน่นอน ที่สำคัญคือผมจะไม่ให้ใครรู้เรื่องของเราด้วย”
“ฉันกับเธอ อยู่ด้วยกัน? ” มู่น่อนน่อนชี้เขาแล้วชี้ตัวเอง
เสิ่นชูหานพยักหน้า แสดงรอยยิ้มอันมีความมั่นใจของเขา ยื่นมือแล้วลูบหัวมู่น่อนน่อน “เธอเอาแต่เฝ้าเฉินถิงเซียวพิการนั่นเหนื่อยเกินไปแล้ว ผมเข้าใจเรื่องเธอกับน้องชายเขา ผมไม่โทษเธอ”
เหนื่อยเกินแล้ว?
พูดอย่างดูดีนัก ความหมายของเขาก็คือเธอเฝ้าเฉินถิงเซียวที่ทำอะไรไม่เป็นคนหนึ่ง เลยอดความเหงาไม่ไหวที่ไปหาน้องชายเฉินถิงเซียว!
คนที่เลวมักจะเอาความคิดนั้นไปคิดว่าคนอื่นก็เลวขนาดนั้นเลยเหรอ!
มู่น่อนน่อนสะบัดมือเขาที่ยื่นมาจับหัวเธอไว้ แล้วทำหน้ารังเกียจนัก “ความหมายของเธอคือ ให้ฉันลับหลังเฉินถิงเซียวมาชู้กับเธอเหรอ? ”
หัวข่าวในโซเชียลเสิ่นชูหานก็เห็นแล้ว เขารู้สึกว่ามู่น่อนน่อนทนความเหงาไม่อยู่ เลยได้ไปยุ่งเกี่ยวกับน้องชายเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนเดิมทีก็ชอบเขาอยู่แล้ว ถ้าเขามาหามู่น่อนน่อนก่อน มู่น่อนน่อนต้องทิ้งน้องชายเฉินถิงเซียวไปอย่างไม่ลังเล แล้วมาคบกับเขาแน่นอน
เสิ่นชูหานก็ไม่ได้ถือสาที่มู่น่อนน่อนหันหน้าหลบ แต่กลับพูดแรงมากขึ้น “เฉินถิงเซียวเดิมทีก็ไม่คู่ควรกับเธอ เราถึงจะรักกันจริง”
“ใครรักกันจริงกับเธอ คนที่รักกันจริงกับเธอคือมู่หวั่นขี เธอจะเปิดประตูไหม ไม่เปิดฉันแจ้งตำรวจแล้วนะ? ” มู่น่อนน่อนแนบติดประตูไว้แน่นๆ ทั้งหน้ามองเสิ่นชูหานอย่างระวัง
ทำไมก่อนหน้านี้เธอถึงสังเกตความวาดระแวงที่มีของเสิ่นชูหานเลย?
มู่น่อนน่อนที่มีกิริยาหลบหนีเขาแบบนี้ ทำให้เขารีบร้อนขึ้นบ้าง เขายื่นไปใกล้มู่น่อนน่อนอย่างเร่งเร็ว “มู่หวั่นขีจะเทียบเท่าเธอได้ยังไง!”
มู่น่อนน่อนไม่อยากไร้สาระกับเขา เอามือถือขึ้นมาแจ้งตำรวจ
เสิ่นชูหานในที่สุดก็ยังกลัวเสียหน้า ถอยระยะออกห่างไป แล้วเปิดประตูให้เธอ
มู่น่อนน่อนเปิดประตูรถจากรถ แล้วหันมามองเขา พูดด้วยความเหินห่าง “เสิ่นชูหาน เมื่อก่อนฉันชอบเธอ เธออาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ฉันชอบเธอในเมื่อก่อนคืออะไร เเต่หลังจากนี้ไปฉันไม่ชอบเธออีกแล้ว และจะไม่ยอมเป็นอะไรกับเธอลับหลังเฉินถิงเซียวแน่”
สีหน้าเสิ่นชูหานแย่ลงเยอะ มู่น่อนน่อนหันแล้วเดินจากไป ไม่ได้มองเขาอีกเลย
เดินไปได้ไม่ไกลมาก พลางมีรถคันหนึ่งจอดลงข้างเธอ
เธอคิดว่าเป็นเสิ่นชูหานอีกแล้ว รีบเดินห้าวอย่างไว้ขึ้น จนกว่าในรถนั้นมีเสียงคุ้นเคยดังออกมา
“คุณผู้หญิง…”
มู่น่อนน่อนหันไปด้วยใบหน้าตกใจ “สือเย่? พวกเธอกลับมาแล้วเหรอ? ”
สือเย่ในฐานะเป็นผู้ช่วยพิเศษของเฉินถิงเซียว ในสถานการณ์ปกติเเล้วเฉินถิงเซียวไปไหน เขาก็ตามไปที่นั่น
เฉินถิงเซียวหลังจากที่ไปต่างประเทศ เธอก็ไม่เคยเห็นสือเย่ปรากฏในคฤหาสน์อีก เลยคาดเดาว่าสือเย่น่าจากกลับมาพร้อมเฉินถิงเซียว
สือเย่ลงจากรถ พูดอย่างให้เกียรติ “ครับ คุณผู้ชายมอบหมายให้ผมมารับคุณผู้หญิงกลับบ้านครับ”
มู่น่อนน่อนมีความคาดหวังที่จะได้เจอเฉินถิงเซียวเล็กน้อย เเต่เธอรู้ดีเฉินถิงเซียวอาจจะยังคงหันหลังให้เธออย่างเดียว
ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น มู่น่อนน่อนก็ขึ้นรถไปอย่างดีใจเช่นกัน
หลังจากขึ้นรถแล้ว ความดีใจนั้นผ่านไป เธอก็สงบใจลง พลางนั่งต่อไม่ไหวแล้ว
เฉินถิงเซียวกลับมาในช่วงเวลานี้ทำไม?
เขาพึ่งกลับมาหรือกลับมาตั้งแต่เข้าแล้ว? เขาเห็นข่าวของเธอกับ “เฉินเจียฉิน” หรือยัง?
ถ้าหาก…ถ้าหากเขาเห็นข่าวแล้ว เขาจะ….หรือเปล่า
ไม่ สมมุตินี้ไม่เป็นจริง ถึงแม้เขาไม่เห็น ก็ต้องมีคนบอกเขาอยู่แล้ว
เธอสามารถแน่ใจได้คนที่มากดทับข่าวนี้ต้องเป็นคนตระกูลเฉินแน่นอน
คนตระกูลเฉินยังรู้แล้ว เฉินถิงเซียวก็ต้องรู้แน่นอน
……
กุมความไม่สบายใจไว้ รถยนต์มาจอดลงที่คฤหาสน์
“คุณผู้หญิง เชิญลงรถครับ” สือเย่เดินเข้ามา น้ำเสียงให้เกียรติ เป็นประตูให้
มู่น่อนน่อนลงจากรถ แล้วมองไปทางชั้นสองห้องทำงานของเฉินถิงเซียวหนึ่งที ถามสือเย่ขึ้น “เฉินถิงเซียวอยู่ห้องทำงานไหม? ”
สือเย่ “ไม่ครับ คุณผู้ชายกำลังพักผ่อนอยู่”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า เดินเข้าไปก็เห็น “เฉินเจียฉิน” ที่นั่งจีบกาแฟในห้องโถงอย่างผ่อนคลาย
เธอยังมีความโมโหในใจ แต่เนื่องด้วยสือเย่ยังอยู่ เธอเลยปล่อยออกมาไม่ได้ เพียงแค่จ้องเขาอย่างแรงเย็นชาทีหนึ่ง แล้วเดินกลับไปห้องเลย
มู่น่อนน่อนไปเเล้วปุ๊บ สือเย่ก็เดินมาตรงหน้าเฉินถิงเซียว แล้วพูดอย่างให้เกียรติ “คุณผู้ชายครับ เสิ่นชูหานไปหาคุณผู้หญิงมา”
น้ำเสียงเฉินถิงเซียวนิ่งๆ “ออ? หาเขาทำไม? ”
สือเย่รับรู้ง่ายถึงน้ำเสียงนิ่งๆ จากเขาแต่จับความไม่ปกติที่แฝงอยู่
สือเย่นึกถึงตอนที่เขาเห็นเสิ่นชูหานและมู่น่อนน่อนใกล้ชิดมากบนรถ แลดูแล้วอย่างสนิทสนมหน่อย เขาเลยไม่กล้าพูดอยู่แล้ว
ฉะนั้น เขาจึงเลือกพูดอย่างด้วยวิธีที่เขาคิดว่าปลอดภัยที่สุด “สองคนนั่งอยู่รถสักพัก คุณผู้หญิงก็ลงรถแล้วครับ”
“สักพักคือนานเเค่ไหน? ” เฉินถิงเซียววางแก้วกาแฟในมือลงโต๊ะ นั่งถอยหลังไปเล็กน้อย ห้อยขาอันยาวไว้ ทั้งคนดูมีความไฮโซแบบขี้เกียจเล็กน้อย
สือเย่เลยคิดว่าแย่แล้ว “แค่แป๊บเดียวเองครับ ประมาณสิบนาดี…”
“ออ? เพียงแค่สิบนาทีเหรอ? เธอรับคนกลับมาเกือบชั่วโมงกว่า? ” เฉินถิงเซียวมีสายตาที่คมแหลมทันที
สือเย่ไม่กล้าพูดแล้ว
เฉินถิงเซียวหลับตาลงไม่ได้ถามต่อไปอีก เหมือนว่าไม่ได้หวังได้รับคำตอบที่พอใจจากสือเย่มาก
……
มู่น่อนน่อนตอนเดินลงมาจากชั้นสอง ในห้องโถงก็ไม่มีร่างของ “เฉินเจียฉินแล้ว”
เธอวิ่งไปถามบอดี้การ์ดที่ยืนหน้าประตู “น้องชายคุณชายพวกเธอไปไหนแล้ว? ”
บอดี้การ์ดตอบอย่างจริงจัง “เขาออกไปแล้วครับ”
“อ้อ” มู่น่อนน่อนพยักหน้า แล้วเดินไปทำอาหารที่ห้องครัว
“เฉินเจียฉิน” ไม่อยู่บ้าน เธอก็รู้สึกว่าบรรยากาศในบ้านสงบลงไม่น้อย
เฉินถิงเซียวพึ่งกลับมา ระหว่างทางเหนื่อยล้า เธอตัดสินใจทำของรสจางๆ ให้เขาหน่อย
เธอยังทำอาหารไม่เสร็จ สือเย่ก็เดินเข้ามาบอก “คุณหญิง ผมออกไปทำธุระหน่อยครับ รบกวนสักพักคุณส่งอาหารขึ้นไปให้คุณชายด้วยครับ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกสงสัยในใจ นี่ก็จะดึกแล้ว ทำไมคนพวกเขานี่มีธุระมากมายมาจากไหนกันรึ?
“ค่ะ ฉันทำเสร็จจะส่งขึ้นไปให้เขา” มู่น่อนน่อนดีใจที่ได้ทำอะไรให้เฉินถิงเซียวหน่อย
ไม่นาน เธอทำอาหารเสร็จแล้วโยกขึ้นไป ตรงไปที่ห้องทำงานเฉินถิงเซียวเลย
เธอยืนหน้าประตูแล้วเคาะประตู ไม่มีคนตอบกลับจากข้างใน เธอเลยเปิดประตูเข้าไปแล้ว
เธอเตรียมจะวางของลงแล้วออกไป แต่ไม่คิดว่าหันกลับมาก็เจอ “เฉินเจียฉิน
ตอนที่ 71 ใครจะเล่นเอาใครตายก่อน
เฉินถิงเซียวค่อยๆ ลุกขึ้นมา สายตาจ้องเฉินชิงเฟิงไว้เย็นเรียบ “คุณอายุมากเเล้ว ต่อไปอย่าเข้ามายุ่งเรื่องเล็กๆ ที่หลักๆ เเบบนี้อีก”
ความหมายที่แท้คือ เรื่องของเขาไม่ต้องให้เฉินชิงเฟิงมายุ่ง
เฉินชิงเฟิงเป็นคนขั้นฉลาดแค่ไหนหล่ะ แป๊บเดียวก็รู้ความหมายคำพูดเขาแล้ว
เขาโกรธจนอยากทิ้งของอีกแล้ว แต่ก็อดทนไว้อย่างหนักๆ
เลิ่งซู่เดินเข้าไปเติมน้ำให้เขา “คุณผู้ชายครับ ดื่มน้ำให้ใจเย็นหน่อยครับ ตอนนี้คุณชายอายุยังน้อย ต่อไปก็จะเข้าใจความทุ่มเทใจของคุณเอง”
เฉินชิงเฟิงถอนหายใจทีหนึ่ง “หวังว่าจะเป็นแบบนั้นเถอะ”
ออกมาจากร้านชาแล้ว เฉินชิงเฟิงเอามือถือออกมาเตรียมโทรไปหามู่น่อนน่อน
มือถือเอาออกมาแล้ว พลางถูกเขาเก็บเข้าไปอีก
เขาช่างมีความอยากรู้ว่ามู่น่อนน่อนจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง
……
มู่น่อนน่อนเกือบสายไปแค่อีกนิดเดียวแล้ว
เธอนั่งลงในช่องทำงานตัวเอง มีเซนล์แบบว่าทุกคนกำลังจ้องเธออยู่ และสายตาที่มองเธอนั้นพลางแปลกๆ
มู่น่อนน่อนเอามือถือออกมา ดูหน้าตัวเองทีหนึ่ง ใบหน้าไม่มีสิ่งสกปรกใดๆ แลดูแล้วปกติดี!
หญิงร่วมงานที่นั่งตรงข้างเธอ เห็นเธอที่เหมือนไม่รู้เรื่องนั้น เลยชี้ไปที่มือถือให้เธออย่างใจดี
มู่น่อนน่อนถึงเข้าใจขึ้นมาได้ ยิ้มให้เธอ แล้วเปิดโซเชียลในโทรศัพท์ขึ้นมา
ปกติแล้วเธอมักเคยชินกับตื่นมาตอนเช้า แล้วเลื่อนดูข่าวบันเทิงเลย วันนี้นอนตื่นสาย เลยไม่ได้เปิดมาดูเลย
หัวข่าวบันเทิงนั้นกลับเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเธอ
เธอกดเข้าไปดู เห็นข้างในนั้นคือรูปเธอกับ “เฉินเจียฉิน” ที่อยู่นอกร้านภัตตาคารในเมื่อวาน
มู่น่อนน่อนริเริ่มก็ตกใจ หลังจากนั้นกลับสงบลงได้
“เฉินเจียฉิน” ซาตานและทำอะไรไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ถูกคนอื่นจับถ่ายได้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว
เธอคือตัวบริสุทธิ์ไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว แต่ถ้าคนตระกูลเฉินเห็นข่าวนี้แล้วจะเป็นยังไง?
แล้วถ้าเกิดเฉินถิงเซียวก็เห็นแล้วด้วยหล่ะ?
และทีนี้เอง มู่ลี่เหยียนพลางโทรเข้ามา “มาห้องทำฉันที”
……
ตอนมู่น่อนน่อนไป ในห้องทำงานมู่ลี่เหยียนมีแต่เขาคนเดียว มู่หวั่นขีที่เมื่อวานถูกตีจนหน้าบวมอย่างกับหมู ตอนนี้ก็ไม่สามารถมาทำงานได้อย่างปกติ
มู่ลี่เหยียนเห็นเธอแล้ว ก็ไม่มีสีหน้าที่ดีให้ “เรื่องเธอเฉินเจียฉินเป็นยังไงกัน? ”
มู่น่อนน่อนเม้มปากยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงอย่างไงก็ได้ “ไม่มีอะไร”
“ไม่มีอะไร เเล้วนี่คืออะไร? ” มู่ลี่เหยียนวางมือถือไปตรงหน้าเธออย่างแรง “ปั๊ง” ทีหนึ่ง ในนั้นเป็นรูปของเธอกับ “เฉินเจียฉิน” อีกแล้ว
มู่น่อนน่อนก้มตัว เอามือวางบนโต๊ะทั้งสองข้าง เม้มปากแดงๆ ทีหนึ่ง ใบหน้าอันสง่างามนั้นมีความอายที่ไม่ธรรมชาติซ้อนอยู่เล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงล่าช้า “คำถามนี้คุณควรไปถามมู่หวั่นขี เขาเป็นคนถ่ายรูป เขาน่าจะรู้ดีที่สุด”
ก่อนที่จะมาห้องทำงานมู่ลี่เหยียนนั้น เธอได้คิดดีดีแล้ว นอกจากมู่หวั่นขีที่กล้าถ่ายรูปแล้วส่งให้นักข่าว คนอื่นไม่มีใครกล้าเดือดร้อนตระกูลเฉินหรอก
และยิ่งกระทั่ง คนที่รู้จักเธอและ “เฉินเจียฉิน” ก็น้อยมากด้วย
“น่อนน่อน เธอเปลี่ยนเป็นคนไม่เชื่อฟังแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เมื่อวานเพื่อเธอเขาต้องเจ็บปวดขนาดนั้น ตอนนี้เธอยังอยากใส่ร้ายเขาอีก? ” มู่ลี่เหยียนโกรธจนลุกขึ้นทันที
มู่น่อนน่อนถอยออกมา ดวงตามีความเย็นเรียบแวบผ่าน ยิ้มแจ่มใสมากขึ้น “เรื่องที่คุณพูดเมื่อวาน ฉันไม่ช่วยคุณหรอก จะคอยดูว่าพวกคุณจะจัดการเรื่องนี้ยังไง”
มู่ลี่เหยียนได้บอกเมื่อวานไปแล้ว ให้เธอลองพูดชนะให้เฉินถิงเซียวลงทุนบริษัทมู่ซื่อ เดินทีเธอยังลังเลจะลองไปหาเฉินถิงเซียวดูไหม แต่ว่า คำพูดของมู่ลี่เหยียนได้ทำให้เธอตัดสินใจแน่วแน่ได้แล้ว
มู่หวั่นขีในเมื่อวานที่เวรกรรมที่สมควรได้รับอย่างชัดเจนเลย แต่อยู่ในปากมู่ลี่เหยียนแล้ว กลับพูดเป็นว่าเธอเจ็บปวดเพราะสาเหตุมาจากมู่น่อนน่อนสักงั้น
ทั้งที่รู้ว่าเรื่องโดดงานเป็นการเข้าใจผิด หลังจากนั้นมู่ลี่เหยียนก็เพียงแค่นิ่งๆ ให้เรื่องนี้หายไปเลย ไม่แม้แต่มีความจะขอโทษ!
มู่น่อนน่อนต้องไม่ช่วยมู่ลี่เหยียนอยู่แล้วแน่นอน
แต่ว่า แผนการร้ายๆ ใครก็มีทั้งนั้น ดูว่าใครจะเล่นใครให้ตายก่อน!
ถึงแม้ในร่างกายพวกเขาจะมีเลือดไหลเวียนที่เหมือนกัน แต่พอระหว่างกันไม่มีเยื่อใยอะไรต่อกันแล้ว ก็ต่างไม่คิดถึงกันแล้ว
……
ทั้งวัน มู่น่อนน่อนไปถึงไหนก็ได้ยินคนลือถึงเรื่องนี้
แต่เธอทำไม่สนใจอยู่แล้ว คนพวกนั้นอยากถามก็ไม่กล้ามาถามเธอ
ถึงเวลาเลิกงาน ความร้อนของข่าวในเว็บเธอกับ “เฉินเจียฉิน” ได้หายไปแล้ว แต่อยู่เพจใหญ่และโพสต์ต่างๆ ยังมีคนพูดถึงมากเหมือนกัน
เสิ่นเหลียงก็ได้โทรมาหาเธอด้วย
“ครั้งหน้าถ้าเธอขึ้นกระแสดังๆอีก ดึงฉันไปด้วยได้ไหม ฉันว่าใบหน้าเธอและชื่อเสียงเธอ แค่ขึ้นกระแสดังอีกไม่กี่รับ ก็เริ่มออกงานได้เลย”
มู่น่อนน่อนอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา “เธอคิดว่าฉันอยากขึ้นกระแสดังขึ้นเหรอ? ”
เสิ่นเหลียงพูดด้วยน้ำเสียงจริงๆ อย่างกะทันหัน “พูดความจริงนะ รูปนั้นฉันเห็นแล้ว ถึงแม้มีพวกคนสร้างกระแสพูดว่าถ่ายรูปแบบใช้มุมกล้องช่วย แต่ฉันถ่ายละครมาเยอะขนาดนี้ แค่ดูก็รู้ว่ารูปนั้นไม่ได้ใช้มุมกล้องช่วย!ฉันรู้สึกมานานแล้วคนนั้นที่ชื่อ “เฉินเจียฉิน” อะไรนั่นได้มองเธอแบบคิดอะไรกับเธอแน่นอน พวกเธออันนั้นจริง…”
“เปล่า…ไม่มีอะไรเลย!” มู่น่อนน่อนรีบต่อต้านอย่างเร็ว “เธอรีบถ่ายละครเสร็จแล้วกลับมาเถอะ ฉันจะเลิกงานแล้ว เจอกัน”
วางสายไปแล้ว มู่น่อนน่อนถึงถอนหายใจได้ทีหนึ่ง เก็บของแล้วเลิกงาน
แค่ออกจากประตูบริษัทมู่ซื่อ ระหว่างเธอยังไม่ทันตั้งตัว ก็ไม่รู้มีนักข่าวโผล่ออกมาจากไหนเป็นกลุ่ม
“อยากทราบว่าคุณมู่ เรื่องที่พูดลือกันว่าคุณกับน้องชายมีอะไรกันในโซเชียลเป็นจริงไหมคะ? ”
“นอกจากคุณจะเกาะแกะน้องชายแล้ว ยังมีผู้ชายข้างนอกอีกหรือเปล่า? ”
“…” มีแม่..เธอสิ!
โชคดีที่มู่น่อนน่อนไหวพริบเร็วบางหน้าตัวเองไว้ทันที
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะถูกนักข่าวมาเกะแน่นแบบนี้
ระหว่างที่มู่น่อนน่อนหาหน้ากากออกมาใส่อย่างรีบร้อนแล้ว พลางเงยหน้า แล้วพูดเสียเย็นชา “เรื่องปั้นน้ำเป็นตัว ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ฉันยังไม่ใช่คนในวงการ ฉันไม่มีบทบาทที่จำเป็นต้องตอบคำถามคุณ”
มีนักข่าวที่ช่างตั้งใจฟังนัก กลับจับคำเน้นของเธอไว้ได้
“คุณมู่คะ เมื่อกี๊คุณบอกว่า “ตอนนี้ยังไม่ใช่คนในวางการ” หมายความว่ายังไงคะ ต่อไปคุณจะเข้าวงการแล้วเริ่มทำงานเป็นดาราใช่ไหมคะ? ”
จากนั้น พลางมีนักข่าวสองสามคนเริ่มอนุมานไปถึงเรื่องอื่นได้ “ได้ยินว่าสามีคุณเพราะเหตุผลส่วนตัวเลยไม่สามารถสืบถอดบริษัทตระกูลเฉินได้ ฉะนั้นแล้วคุณเลยอยากใช้เส้นทางเข้าวงการเป็นแผนหลังของคุณใช่ไหมครับ? ”
“ก่อนหน้านี้คุณมีกระแสดังไปหงายครั้ง จริงๆ เพราะมีความจงใจสร้างกระแสใช่ไหมคะ? ”
“…”
มู่น่อนน่อนถูกนักข่าวรอบไว้ตรงกลาง ไม่สามารถออกไปได้เลย
จุจุ พลางมีเสียงฝีเท้ากลุ่มคนดังขึ้น ผู้รักษาความปลอดภัยกลุ่มหนึ่งไล่นักข่าวพวกนั้นไปหมดเลย
มู่น่อนน่อนยังไม่ทันตั้งตัวกลับมาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เสิ่นชูหานก็โผล่ออกมาแบบกะทันหัน ดึงมือเธอแล้วเดินก้าวใหญ่ไปที่ทางจอดรถ
มู่น่อนน่อนพอนึกขึ้นได้มือของเขาที่เคยลูบในร่างกายตัวเอง ในใจก็ขยะแขยงขึ้นที ใช้แรงสะบัดมือเขาออกไป
เสิ่นชูหานอึ้งไปทีหนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยความอดทนกับเธอไว้ “น่อนน่อน เดี๋ยวนักข่าวพวกนั้นก็ตามมาแล้ว รีบขึ้นรถเถอะ ผมส่งคุณกลับไปก่อน”
มู่น่อนน่อนลังเลไปครู่ แล้วขึ้นรถตามเขา
ตอนที่ 70 ช่างกล้านัก
มู่น่อนน่อนหั่นมะเขือเทศกับเนื้อ ทำก๋วยเตี๋ยวเนื้อซุปมะเขือเทศ
ตอนที่เธอกำลังหั่นเนื้อ เฉินถิงเซียวยืนอยู่ข้างไม่ไปไหน ผ่านไปสักพัก เขาพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “คุณหั่นช้าหน่อย”
ผู้ชายซื่อตรงที่ไม่เคยทำอาหาร
มู่น่อนน่อนยิ่งหั่นเร็วมากขึ้น พอน้ำเนื้อจัดใส่จานแล้ว เธอถึงหันกลับไปมองเขา “ออกไป อย่ามาเกะกะที่นี่”
อาจเป็นเพราะดึกๆ มักทำให้คนรู้สึกโดดเดี่ยว เฉินถิงเซียวไม่อยากไปรอที่โต๊ะอาหารคนเดียว เพียงแค่อยากดูมู่น่อนน่อนทำกับข้าวตรงนี้
เขาทำสายตาเฉยๆ หาข้ออ้างหาตัวเอง “ผมก็จะดูอยู่ตรงนี้ ถ้าเกิดคุณวางยาผมหล่ะ? ผมยังไม่อยากตาย”
“ฉันไม่งี่เง่าขนาดนั้น หากวางยาพิษฆ่าคุณตาย ฉันก็อยู่ไม่รอดหรอก!ฉันแพงมากนะ ฉันเป็นคนที่มีค่าถึงสามร้อยล้านเลย!” มู่น่อนน่อนจริงๆ นั้นคือกำลังประชดตัวเอง
แต่พูดด้วยเฉยๆ พอฟังแล้วก็เหมือนมีอะไร
เฉินถิงเซียวพูดอธิบายตัวเองอย่างหาได้ยาก “เรื่องนี้เป็นผู้ใหญ่ทั้งสองฝั่งจัดไว้ พี่ชายไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้”
“ฉันไม่ได้โทษเขาสักหน่อย คุณใจร้อนอะไร” มู่น่อนน่อนมอง “เฉินเจียฉิน” ไว้อย่างแปลกๆ “ฉันจำได้ว่าวันแรกที่ฉันเข้ามา คุณบอกต่อหน้าฉันว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนเลว ตอนนี้คุณกลับช่วยพูดแทนเขา ความสัมพันธ์ของคุณกับเขาดีหรือไม่ดีกันแน่? ”
“เฉินเจียฉิน” ย้อนถาม “คุณว่าหล่ะ? ”
เหอๆ ฉันว่าคุณเป็นโรคจิตที่ไร้ยางอาย!
แต่คำพูดนี้มู่น่อนน่อนเพียงแค่กล้าพูดอยู่ในใจแป๊บเดียวเท่านั้น
เร็วมากที่มู่น่อนน่อนโยกก๋วยเตี๋ยวสองถ้วยไปที่โต๊ะ
อาจเป็นเพราะเที่ยงคืนเงียบสงบ ทั้งสองคนเลยได้ปล่อยความขัดใจไป แล้วกินไปด้วยพูดไปด้วย
แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นมู่น่อนน่อนพูด สิ่งที่เธอถามส่วนมากเป็นเรื่องของเฉินถิงเซียว
คำที่ “เฉินเจียฉิน” ตอบนั้นส่วนใหญ่คือ “อืม” “ไม่ใช่” “ไม่รู้” “คงจะใช่” ประมาณนี้
นี่ก็ทำให้มู่น่อนน่อนต้องสงสัย ว่าความสัมพันธ์สองพี่น้องนี้คงทำด้วยพลาสติก
……
วันต่อมา
มู่น่อนน่อนนอนตื่นสายเลย
เธอรีบอาบน้ำเปลี่ยนผ้า แล้ววิ่งออกไป
ตรงหน้าลิฟต์ เธอเจอ “เฉินเจียฉิน” ที่มีชีวิตชีวา
ต่างเป็นคนที่ตื่นมากินข้าวเที่ยงคืนเหมือนกัน แต่ทำไมเธอถึงตื่นสายแล้วยังมึนๆ ส่วนผู้ชายคนนี้กลับแลดูสดใสมากนัก!
เธอสงสัยอีกครั้ง ร่างชายคนนี้ต้องทำด้วยเหล็กแน่นอน
เฉินถิงเซียวเห็นเธอไม่สดใส ขมวดคิ้วเล็กน้อย “หลับไม่ดีหรือ? ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเขากำลังอวดตัวเอง
เธอก้มมองเวลาทีหนึ่ง ทิ้งไปคำเดียว “ฉันจะสายแล้ว วันนี้ไม่ทำอาหารเช้าแล้ว” จากนั้นก็ลงชั้นล่างอย่างเร่งรีบ
เฉินถิงเซียวเดินก้าวยาวๆ เดินเข้าไปจับปกเสื้อเธอไว้ “ผมส่งคุณ”
มู่น่อนน่อนไม่อยากให้เขาส่งนะ แต่พอเห็นว่าถ้าเธอไปอัดรถเมล์แล้วก็ต้องสายแล้วแน่ๆ
สุดท้าย “เฉินเจียฉิน” ก็ไม่ได้ไปส่งมู่น่อนน่อนทำงาน เพราะเขาถูกสายหนึ่งเรียกไว้ ก่อนที่เขาจะไป เขาได้มอบหมายให้บอดี้การ์ดส่งมู่น่อนน่อนไปที่ทำงาน
……
เฉินถิงเซียวไปร้านช้าที่ส่วนตัวระดับดีแห่งหนึ่ง
เลิ่งซู่รอเขาหน้าประตู พอเห็นเขามาแล้ว พยักหน้าเบาๆ เเล้วพูดอย่างให้เกียรติ “คุณชาย คุณผู้ชายรอคุณอยู่ข้างในแล้วครับ”
พูดจบ เขาก็หันเดินนำหน้า
ในห้องส่วนตัว เฉินชิงเฟิงนั่งตรงหน้าโต๊ะชา ใบหน้านิ่งอย่างน้ำ
“หาผมมาอย่างเร่งรีบ มีธุระอะไรครับ” เฉินถิงเซียวนั่งลงตรงโซฟาในห้องที่ไกลจากเฉินชิงเฟิงที่สุด น้ำเสียงนิ่งเรียนไม่เหมือนกำลังคุยกับพ่อแท้ๆ ของตัวเองอยู่
เฉินชิงเฟิงก็ชินกับกริยาแบบนี้ของเฉินถิงเซียวแล้ว เพียงแค่เงยหน้าแล้วพูดกับเลิ่งซู่ “เอาให้เขาดู!”
เลิ่งซู่เลยเอาแมคบุ๊คยื่นไปตรงหน้าเฉินถิงเซียว
หน้าจอแมคบุ๊คนั้น แสดงให้เห็นหัวข่าวที่พึ่งออกมาตอนเช้านี้อย่างสดๆ ร้อนๆ
หัวข้อได้เน้นอย่างเจาะตา คุณนางตระกูลเฉินมีความน่าสงสัยที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับน้องชายสามีตัวเอง?
หัวข้อนี้นี่ช่างดึงดูดตามาก เหมือนจะซ่อนเร้น แต่ก็ช่างทำให้คนต้องคิดไปไกล
ฉะนั้นแล้ว การกดไลน์ของข่าวนี้เยอะมาก
เขาเลื่อนลงล่าง เนื้อหาของบทความกำลังบ่งชี้ไปที่ข่าวลือว่า “น้องชายเฉินถิงเซียว” มีความสัมพันธ์ไม่ถูกทางกับภรรยาตัวเอง
ข้างล่างยังมีรูปประกอบสองภาพ ในรูปนั้นเขากับมู่น่อนน่อนกำลังมีท่าทางใกล้ชิดครุมเครือมาก พื้นหลังเป็นข้างนอกร้านภัตตาคารที่ไปทานข้าวกับคนบ้านมู่ในเมื่อวาน
ทีนี้เฉินชิงเฟิงก็ได้พูดออกมา “อธิบายหน่อย”
เฉินถิงเซียวพยักหน้า น้ำเสียงจริงจัง “มุมกล้องของภาพถ่ายได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มองไม่เห็นหน้า และยังมัวนิดๆ ”
“เฉินถิงเซียว!” เฉินชิงเฟิงถูกกริยามองข้ามของทำให้โกรธจนปาดแก้วบนโต๊ะตกไปที่พื้นแรงๆ
“เธอยังโกรธอารมณ์ฉันเพราะเรื่องหลายปีก่อนของเเม่เธออยู่เหรอ!เพราะเธอยังอายุน้อย ฉันเลยทำเป็นหลับตาข้างเดียวมาตลอดทำเป็นมองไม่เห็น! แต่เธอกลับยิ่งได้จะกระตุ้นกับฉันหนักขึ้น!นี่เธอกำลังแค้นฉันที่ไม่ช่วยแม่เธอกลับมาในปีนั้นใช่ไหม? ”
เฉินชิงเฟิงในฐานะเป็นผู้สืบรับตระกูลเฉินอยู่ ระหว่างที่พูด ความมีสิทธิ์ในตำแหน่งสูงนั้นได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน
เลิ่งซู่ที่อยู่ข้างๆ ถอยหลังไปน้อยๆ อย่างไม่รู้ตัว
ส่วนเฉินถิงเซียวกลับไม่มีความเกรงกลัวอะไรทั้งนั้น เขายังมองเฉินชิงโม่ด้วยใบหน้าเรียบนิ่งดั่งน้ำ “คุณพูดอะไรอ่ะ? แม่ผมตายในมือผู้ร้าย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ? ไม่จำเป็นต้องทำเป็นแบกรับไว้รีบร้อนแบบนี้”
ก่อนที่เขายังสืบความจริงออกมาไม่ได้ ใครก็ไม่ต้องแบบรับทั้งนั้น หลับเขาสืบความจริงออกมาแล้ว คนที่มีความเกี่ยวข้องอย่าคิดจะใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายต่อไปอีก
เฉินชิงเฟิงฟังจบ เงยหน้าสังเกตลูกชายตรงหน้าไว้
เพราะเรื่องของแม่เฉินถิงเซียว พ่อลูกพวกเขาสองคนได้นั่งคุยกันดีดีมาหลายปีแล้ว
ทุกครั้งที่เจอกัน ก็มักจะเป็นบรรยากาศที่เหมือนจะยิงธนูแบบกะทัดรัด
“ถิงเซียว ฉันอายุมากแล้ว ต่อไปบริษัทเฉินซื่ออันใหญ่โตนี้ก็ต้องให้เธอมารับดูแลต่อ ยังไงเธอก็ต้องคืนดีกับฉัน น่อนน่อนสาวคนนั้นฉันเคยเจอ เป็นผู้หญิงที่ดี ถ้าเธอไม่อยากอยู่กับเขาจริงๆ ต่อไปรอเธอสืบรับบริษัทเฉินซื่อได้แล้ว เธออยากหย่าแล้วหาคนใหม่ก็ยังได้…”
ตระกูลเฉินเป็นตระกูลครอบครัวใหญ่ คนในทาญาติต่างจับจ้องอยากได้ตำแหน่งผู้รับสืบบริษัทเฉินซื่อ และครั้งนี้ที่ให้เฉินถิงเซียวแต่งานกะทันหันแบบนี้ ก็เป็นเพราะภายในตระกูลเฉินต่างพูดว่าเฉินถิงเซียวสืบถอดรุ่นหลังไม่เป็น ไม่สามารถรับสืบบริษัทเฉินซื่อต่อ
เฉินถิงเซียวหลังจากเสียแม่ตัวเองไปแล้ว ไม่เพียงไม่ออกหน้าให้คนนอกเห็น แม้แต่ญาติของตระกูลเฉินบางส่วนยังไม่เคยเห็นเฉินถิงเซียว
เฉินชิงเฟิงจนกระทั่งเคยส่งผู้หญิงไปให้เฉินถิงเซียว ทั้งงามนัก อ่อนโยนสลากมีความรู้ แต่ผู้หญิงที่ส่งเข้าไป พอส่งออกมาอีกทีก็จะแย่มาก
เฉินถิงเซียวไม่ได้แตะต้องพวกเขา
เฉินชิงเฟิงไร้หนทางแล้วจริงๆ เลยต้องบังคับให้เขาแต่งงาน เพื่อปิดก้านปากของคนตระกูลเฉิน
เขารู้ว่าร่างกายเฉินถิงเซียวไม่มีปัญหา รอให้ผ่านไปอีกไม่กี่ปีเฉินถิงเซียวรู้ความทุ่มเทของเขาแล้วก็จะยอมสืบถอดรุ่นหลังไปเอง
“ผมกับมู่น่อนน่อนจะเป็นยังไง นั่นเป็นเรื่องของพวกเรา ผมอยากบอกคุณ อย่ายื่นมือให้ยาวเกินดีกว่า เดี๋ยวจะทำให้แขนหาก และยังจะกระตุกโดนเอวด้วย!”
เฉินถิงเซียวนึกขึ้นมาได้ ห่อนที่มู่น่อนน่อนจะออกจากประตู ก็คงยังไม่รู้ข่าวนี้
เขาช่างคิดน้อยไปกับความกล้าของมู่หวั่นขี ที่กล้าถ่ายรูปแบบนี้แล้วส่งให้นักข่าว
ตอนที่ 69 ความผิดผมเอง
ตอนค่ำเวลารับประทานอาหาร มู่น่อนน่อนรู้สึกถึงสีหน้าแปลกๆ ของ “เฉินเจียฉิน”
จริงๆ แล้วปกติใบหน้าส่วนใหญ่ของเขาก็มักจะเย็นชาแบบนี้อยู่แล้ว เวลาไม่พูดและทำหน้านิ่งแบบนี้จะเต็มไปด้วยความทรงอำนาจที่แลดูน่าเกรงกลัว
แต่ว่า แต่ระหว่างอารมณ์ตอนนี้ของเขาที่ไม่ต่างจากปกตินั้น ทำให้มู่น่อนน่อนดูออกว่าอารมณ์เขาไม่ดี
มู่น่อนน่อนคีบเนื้อปลาไปที่ถ้วยเขาชิ้นหนึ่ง “คุณชิมอันนี้ดู วันนี้ฉันใส่พริกป่าไป ไม่รู้ว่าคุณจะกินเป็นหรือเปล่า”
“เฉินเจียฉิน” ไม่ได้แตะต้อง คีบแล้วทิ้งไปบนโต๊ะทันที
มู่น่อนน่อน “…” แลดูแล้วเหมือนเธอจะเดือดร้อนเขาแล้วจริงด้วย
แต่ว่าเธอจำไม่ได้ว่าตัวเองได้เดือดร้อนเขาตรงไหน หรือเป็นเพราะก่อนหน้านี้เธอเอากระเป๋าโยนไปที่เขา เขาเลยโกรธเหรอ?
คงไม่ต้องขนาดนั้นมั้ง ถึงแม้นิสัยชายหนุ่มจะใจแคบไปหน่อย แต่ในเรื่องเล็กๆ แบบนี้ ปกติก็ไม่เคยใส่ใจ
รับรู้ได้ว่ามู่น่อนน่อนกำลังมองตัวเองอู่ เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมา “วันศุกร์อาทิตย์ที่แล้วคุณไปไหนมา? ”
“อ๊ะ? ” มู่น่อนน่อนหลบสายตาจากเขาทันที ระหว่างนั้นก็ไม่ได้ยินชัดเจนกับสิ่งที่เขาพูด
เฉินถิงเซียววางตะเกียบลง ดวงตาดำครึม จ้องเธอไว้แน่นๆ แล้วพูดทีละคำอย่างช้าๆ เสียงดังชัดเจน “วันศุกร์อาทิตย์ที่แล้ว คุณไปที่ไหน ไปพบใคร”
มู่น่อนน่อนอึ้งไปเลย เงยหน้ามองเขา “คุณหมายความว่ายังไง? ”
“เฉินเจียฉิน” ที่พูดด้วยน้ำเสียงสอบสวนนั้น ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่สบายใจ
เขายิ้ม ดวงตาดูเย็นๆ “คุณเริ่มใจไม่ดีแล้วเหรอ? หรือว่าคุณได้ลับหลังพี่ชายผมไปหาผู้ชายคนอื่นข้างนอก? ”
“คุณพูดบ้าอะไร!” ถึงแม้คำนี้เขาไม่ได้พูดเป็นครั้งแรกแล้ว แต่น้ำเสียงในครั้งนี้ฟังดูแล้วเกินไปนิดหน่อย
มู่น่อนน่อนทิ้งตะเกียบไปที่โต๊ะแรงๆ “ซ่า” ทีหนึ่งลุกขึ้นมา “ถึงแม้ฉันจะถูกขายด้วยสามร้อยล้านให้ตระกูลเฉินพวกคุณ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนที่สกุลเฉินคนใดคนหนึ่งก็สามารถเข้ามายุ่งเรื่องฉันได้ มาชี้ว่าฉัน!”
เธอพูดจบพลางเดินออกไปข้างนอกอย่างโกรธ
ระหว่างที่เดินไปถึงประตู เธอยังไปชนราวประตูอย่างไม่ระวัง หงุดหงิดจนเธอแทบแย่
เฉินถิงเซียวก็ไม่มีความอยากอาหารแล้ว วางตะเกียบลง โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
สายที่โทรมาคือสือเย่ “คุณชายครับ ผมได้ส่งข้อมูลวิดีโอของวันนั้นไปที่เมลคุณแล้วครับ”
“อืม ลำบากแล้ว” เฉินถิงเซียวพูดจบพลางวางสายไป แล้วลุกเดินไปที่ห้องทำงาน
วิดีโอจากกล้องวงจรที่สือเย่ส่งมาเป็นเวลาวันศุกร์ของอาทิตย์ที่แล้วในร้านยา
ในวิดีโอมีคนที่มู่น่อนน่อนเคยเจอ นอกจากหมอที่เอายาให้เธอแล้ว ยังมีผู้ชายคนอื่นอีกสองคน
หนึ่งในนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งที่ติดอาวุธ และสวมหมวกหมวกแก๊ปลิ้นเป็ด เฉินถิงเซียวดูออกในแวบแรกเลย เขาคือซือเฉิงหยู้
โลเคชั่นร้านยาร้านนี้ไกลออกจากในเมืองพอได้ มู่น่อนน่อนไม่มีธุระคงไม่ออกไปถึงที่นั่น และบริษัทซื่อได้โปรโมทของใช้ประจำวันในช่วงนี้ด้วย มู่น่อนน่อนไม่จำเป็นต้องไปถึงนอกเมือง
ในคริปนั้นเห็นมู่น่อนน่อนจับมือซือเฉิงหยู้ไว้ แลดูว่ากำลังร้องของให้ช่วยเหลือ
ต่อมาเธอถูกซือเฉิงหยู้้พาไปเลย
วิดีโอที่ต่อจากนั้นแสดงให้เห็นว่า มู่น่อนน่อนมาถึงใจกลางเมือง ก็ลงรถแล้ว นอกจากตอนลงรถทั้งสองคนพูดคุยกันไม่กี่คำ ก็ไม่ได้มีท่าทีเกินเขตอะไร
ภาพวิดีโอจับไปที่ภาพตอนมู่น่อนน่อนเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมา เฉินถิงเซียวอยากดูให้ชัดว่าเธอพูดอะไร แต่วิดีโอที่ถูกขยายจนใหญ่สุด ก็ไม่ชัดเจน เพียงแต่รู้ว่าเธอพูดไปไม่กี่คำ ส่วนเนื้อหาที่พูดคืออะไร ก็ไม่สามารถแยกออกมาได้
เฉินถิงเซียวปิดโน๊ตบุ๊คลง ยื่นมือบีบกลางคิ้วไว้
เขารับรู้ว่าช่วงนี้ตัวเองแปลกจากปกติไป
ซือเฉิงหยู้เพียงแค่ถามถึงเรื่องมู่น่อนน่อนไม่กี่คำ เขากลับถึงต้องรีบร้อนนักที่ให้คนไปสืบเรื่องพวกนี้…
……
มู่น่อนน่อนพอนอนถึงเที่ยงคืน ถูกความหิวทำให้ตื่น
เธอเสียใจแล้ว จะโกรธมากแค่ไหนก็ห้ามเอาท้องลงโทษตัวเองสิ!
สุดท้ายก็อดไม่ไหวแล้วจริงๆ เธอพลิกตัวลงจากเตียง คลุมเสื้อผ้าร่มหนาๆให้ตัวเองอย่างแน่นแน่น เตรียมตัวลงไปหาของกินห้องครัวชั้นล่าง
คฤหาสน์ตอนเที่ยงคืนนั้นช่างเงียบสงบ แต่เนื่องด้วยคฤหาสน์อยู่ครึ่งตีนดอย บางครั้งเลยได้ยินเสียงของลมที่พัดเข้ามาจากด้านนอก
เธอเดินมาถึงห้องครัวอย่างไม่ช้า หาผ้ากวางตุ้งและมะเขือเทศ เตรียมจะต้มเส้นให้ตัวเอง
ระหว่างที่เธอกำลังหั่นมะเขือเทศนั้น ก็รู้สึกสันหลังเย็นเฉียบ เหมือนมีอะไรแปลกๆ ราวว่ามีคนอยู่ด้านหลังเธอ
ความรู้สึกแบบนั้นยิ่งอยู่ยิ่งชัดมากขึ้น เธอหลับตาลง ตั้งสติให้ตัวเองมีกำลังใจเพื่อหันกลับไปมอง พลางได้ยินเสียงที่ไร้อุณหภูมิดังจากด้านหลัง “คุณกำลังทำอะไร? ”
มู่น่อนน่อนตกใจจนมือสั่น มีดในมือตกไปที่เท้าของเธอ
โชคดีที่เธอสวมรองเท้าผ้านุ่มหนาๆ ไว้ ไม่งั้นเธอต้องแย่แน่ๆ
เฉินถิงเซียวตอนเห็นมีดตกหล่น ใจหวิวปลุกขึ้นมาเลย ย่อลงไปดูว่าเธอได้รับบาดเจ็บไหม พอแน่ใจว่าไม่ได้บาดโดนเท้าที่ถูกห่มด้วยอย่างหนา ถึงได้ลุกขึ้นอย่างโล่งอก แล้วพูดด้วยเสียงเข้มต่ำ “มู่น่อนน่อน ผมไม่เคยเจอผู้หญิงที่โง่กว่าเธอขนาดนี้มาก่อน!”
มู่น่อนน่อนได้ตั้งตัวกลับมานานแล้ว เธอเก็บมีดขึ้นมา จ้อง “เฉินเจียฉิน” ทีหนึ่ง หันแล้วเกินไปที่ก๊อกน้ำ ล้างมีดไปด้วยพูดไปด้วย “ช่างลำบากคุณนายเฉินจริงๆ ค่ะ ที่ต้องกินกับข้าวที่ผู้หญิงโง่ๆ อย่างฉันทำ หรือว่าเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ฉันไม่ต้องทำกับข้าวแล้ว ฉันยังสามารถย้ายออกจากคฤหาสน์ก่อนที่เฉินถิงเซียวจะกลับมา ให้คุณเจอไปเลย คุณว่าได้ไหม? ”
มู่น่อนน่อนวางมีดที่ล้างสะอาดแล้วกลับไปที่เดิม หันกลับมามอง “เฉินเจียฉิน” ไว้ด้วยหน้าจริงจัง
เธอช่างทน “เฉินเจียฉิน” ชายหนุ่มคนนี้มามากพอแล้ว
เขาเคยช่วยเหลือเธอก็จริง เธอเองก็มีความซาบซึ้งจากใจ แต่ส่วนไหนก็เป็นส่วนนั้น มันไม่อาจเนื่องด้วยเหตุผลที่เขาเคยช่วยเธอแล้วเขาก็สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องของเธอแทนเธอได้
“ไม่ได้” เฉินถิงเซียวหน้าเข้มไว้ พูดอย่างเย็นชา “คุณอยากให้พี่ชายผมเข้าใจผิดว่าผมไล่คุณออกไป เพื่อให้ความสัมพันธ์ของพี่น้องเราแตกเเยกกันเหรอ? ”
“แล้วแต่คุณจะคิด” มู่น่อนน่อนก้มหน้าลง ไม่อย่าถกเถียงกับเขาแล้ว
มุมที่เฉินถิงเซียวที่ยืนอยู่บังแสงไว้ ส่วนมู่น่อนน่อนคือยืนหันหน้าตรงกับแสงไว้ ฉะนั้นแล้วใบหน้าอารมณ์ของเธอเล็กน้อยแค่ไหนก็ไม่อาจพ้นสายตาเขาได้
และเป็นเพราะตอนตื่นมาในเที่ยงคืน ผมเธอมีความยุ่งบ้าง เสื้อคลุมผ้าร่มที่ยาวนั้นรูดซิปมาถึงคอ ใบหน้าที่ถูกส่องอยู่ภายใต้แสงทำให้ผิวเธอขาวจนสว่าง ดวงตาแมวที่ปกติกลมโตนั้น ตอนนี้ถูกหนังตาที่ทำตาหยีไว้บังไปครึ่งหนึ่ง ทั้งคนดูเศร้าๆ ขึ้นมาเลย
มู่น่อนน่อนรู้สึกนานจนเหมือนผ่านไปหนึ่งศตวรรษ ถึงได้ยินเสียงชายหนุ่มตรงหน้านี้เเฝงน้ำเสียงอารมณ์ “ก่อนหน้านี้ เป็นความผิดของผม”
“อะไรนะ? คุณพูดอีกรอบ? ” มู่น่อนน่อนเงยหน้าทันที มอง “เฉินเจียฉิน” ไว้อย่างอึ้งทึ่งนี่เขากำลังขอโทษเธออยู่เหรอ?แต่ว่า “เฉินเจียฉิน” จะพูดอีกรอบสักที่ไหนได้เล่า เขามองมะเขือเทศที่ถูกหั่นไปครึ่งหนึ่งในเขียงทีหนึ่ง แล้วทำหน้าอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ผมก็จะกินด้วย”
มู่น่อนน่อนที่มีความโกรธนั้นหายไปเกือบครึ่ง แต่ก็ยังคงเคยชินที่จะโต้กลับไป “ฉันวางยาพิษไปแล้ว คุณยังกินไหม? ”
เฉินถิงเซียวมองเธอด้วยสายตาเข้มๆ “คุณกินผมก็กินครับ”
“…” โรคจิต
ตอนที่ 68 ไปขายอีกรอบ
มู่น่อนน่อนเดินออกจากประตูบริษัทซื่อ แล้วเดินไปป้ายรถเมล์ทันทีเลย
เวลานี้คนรอรถเมล์เยอะมาก จุจุก็มีรถสีดำคุ้นตาขับมาจอดตรงหน้าเธอ
กระจกรถเลื่อนลง มู่ลี่เหยียนหันมามองเธอ “ขึ้นรถ”
มู่น่อนน่อนลังเลไปสักพัก เปิดประตูแล้วขึ้นไปเลย
ในรถมีแต่คนขับรถกับมู่ลี่เหยียน มู่น่อนน่อนขึ้นไปแล้ว ก็ไม่ได้เริ่มพูดก่อน
คนขับรถขับออกมาได้สักช่วงแล้ว พลางจอดรถไว้ข้างทาง
ผ่านไปสักพัก มู่ลี่เหยียนพลางพูดขึ้นนิ่งๆ “น่อนน่อน ฉันรู้ว่าเรื่องเธอโดดงานเป็นการเข้าใจผิด วันนี้พี่สาวเธอได้รับความทรมานขนาดนั้นแล้ว เรื่องนี้ก็ถือว่าผ่านไปแล้ว อย่าใส่ใจเลยนะ”
มู่น่อนน่อนขำทีหนึ่ง “ผ่านไปแล้ว? ”
มู่ลี่เหยียนขมวดคิ้ว “พี่สาวเธอได้รับการลงโทษขนาดนั้นแล้ว เธอยังอยากทำอะไรอีก? ”
“ตรงนี้” มู่น่อนน่อนชี้หน้าตัวเอง “มู่หวั่นขีเป็นคนตี”
ทำไมมู่ลี่เหยียนถึงบอกว่าเรื่องนี้ผ่านไปเลยก็คือผ่านไปได้เลย?
มู่ลี่เหยียนพูดเย็นชา “เมื่อก่อนฉันไม่สังเกตว่าเธอร้ายกาจแบบนี้!”
“ไม่ร้ายเท่าเธอ ลูกสาวแท้ๆ ตัวเองยังสามารถลงมือโหดแบบนั้น” มู่น่อนน่อนก้มหน้าใช้มือจับซีดกระเป๋าไว้ ใบหน้าที่ใจไม่อยู่กับเนื้อ แต่คำพูดที่แฝงความกระตุ้นนั้นไม่ต้องพูดออกมาก็ยังรับรู้ได้
มู่ลี่เหยียนในวันนี้ถูก “เฉินเจียฉิน” ทำให้หน้าเสียมาก จนตอนนี้ยังหงุดหงิดในใจอยู่เลย
ไม่พูดเรื่องนี้ยังดี พอพูดแล้ว หัวใจเขาก็โกรธยิ่งนัก
“เธอยังมีหน้ามีพูดเรื่องนี้อีกเหรอ? ฉันอายุเยอะขนาดนี้คนหนึ่งแล้ว ถูกนายไม่รู้ดีนั่นกดดันจนตีมู่หวั่นขีขนาดนั้น หัวใจฉันไม่เจ็บรึไง? ” มู่ลี่เหยียนอารมณ์ร้อนขึ้นมา แม้แต่เสียงที่พูดก็ดังมากขึ้น
มู่น่อนน่อนปิดหูตัวเองไว้ พูดอย่างไม่อยากฟัง “พอแล้วๆ ฉันรู้แล้ว มีเรื่องอะไรก็รีบพูดมา”
เธอยังต้องรีบกลับไปทำกับข้าวให้ “เฉินเจียฉิน”
มู่ลี่เหยียนมองมู่น่อนน่อนทีหนึ่ง ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความลำคานอย่างชัดเจน แค่สายตาเดียวก็ดูออก
เดิมทีที่มีความมั่นใจเต็มสิบจะให้มู่น่อนน่อนเชื่อฟัง แล้วไปพูดกับเฉินถิงเซียวให้ลงทุนบริษัทซื่อ ตอนนี้ก็เริ่มไม่มั่นใจแล้ว
เขาลองวิเคราะห์สักพัก แล้วพูดออกมา “เรื่องของเฉินเจียฉิน เธอก็ได้ยินเเล้วสินะ”
มู่น่อนน่อนไม่พูด เขายังคงพูดต่อ “เนื่องด้วยบริษัทลงทุนผิดพลาด กองทุนทั้งหมดขาดสิ้นแล้ว ไม่ว่ายังไง เธอก็เป็นหนึ่งของสมาชิกตระกูลมู่ เวลานี้แล้วเธอควรช่วยตระกูลมู่ครั้งหนึ่ง”
มู่น่อนน่อนเม้มปากพูดอย่างกระตุ้นใส่เขา น้ำเสียงคมแหลม “ยังมีค่าของขวัญสามร้อยล้านของตระกูลเฉินไม่ใช่เหรอ? ฉันเอาค่าขายตัวเพิ่มให้พวกเธอแล้ว เธอยังต้องการให้ฉันช่วยพวกเธอยังไงอีก? ไปขายอีกรอบเหรอ? คงไม่มีคนเอา”
มู่ลี่เหยียนน้ำเสียงเข้มงวด “เธอนั่นคือแต่งงานไปอย่างถูกหลัก ทำไมถึงพูดฟังไม่ขึ้นแบบนี้!”
“คนที่ควรแต่งงานไปอย่างถูกหลักเดิมทีคือมู่หวั่นขี” มู่น่อนน่อนเงยหน้าจ้องตาเขา ไม่กลัวเขาเลยสักนิด
มู่ลี่เหยียนถูกสายตามู่น่อนน่อนทำเอาตกใจ ช่างเย็นเฉียบและห่างเหินนัก ไม่เหมือนมู่น่อนน่อนเมื่อก่อนที่อดทนความโกรธต่างได้
ในเมื่อพูดชนะใจเธอไม่ได้ มู่ลี่เหยียนเลยหน้าเยือกเย็น พูดข่มขู่ขึ้นมา “เธอคิดว่าตระกูลมู่ล้มละลายแล้ว ตระกูลเฉินเขาจะดีกับเธอเหรอ? คุณนางเฉินที่ไม่เบื้องหลังการสนับสนุนของทางบ้าน อยู่ตระกูลเฉินก็ยืนนิ่งได้ยาก!”
“ยืนไม่นิ่งก็หย่าไปเลยไง!” มู่น่อนน่อนพูดด้วยใบหน้าไม่สนใจอะไร
เธอเข้าใจสักทีแล้ว ทำไมมู่ลี่เหยียนถึงยอมให้หุ้นส่วนบริษัทกับเธอ และจะให้เธอกลับมาทำงานที่บริษัทซื่อ
ที่แท้อยากให้เธอช่วยพูดให้เฉินถิงเซียวยอมลงทุนบริษัทซื่อนี่เอง
ตระกูลมู่ทำเรื่องอะไรที่ดีดีขึ้นมาไม่เป็น แต่ช่างคิดแผนการแบบนี้ได้จริงๆ
มู่ลี่เหยียนโกรธจนชี้เธอไว้ พูดอะไรไม่ออก “เธอ…”
“ฉันพูดความจริง” มู่น่อนน่อนเก็บสายตา น้ำเสียงจริงจักมากขึ้น “ทำไมเริ่มเเรกเฉินถิงเซียวถึงยอมตกลงหมั้นกับมู่หวั่นขี ในนี้มีเรื่องที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้ใช่ไหม? ”
สีหน้ามู่ลี่เหยียนเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย พูดอย่างรีบร้อน “เธอพูดบ้าอะไร!พี่สาวเธอไม่เหมาะกับเฉินถิงเซียวตรงไหน!เป็นเฉินถิงเซียวที่ไม่สมควรได้รับความดีนั้น!”
มู่ลี่เหยียนชอบเปรียบเทียบอะไรดีอะไรเป็นผลเสียอยู่ตลอด เมื่อสิบปีก่อนบริษัทซื่ออ่อนกว่าตอนนี้เยอะ ถึงแม้เขาจะรักมู่หวั่นขีแค่ไหน ก็คงจะรู้ว่าในสถานการณ์ปกตินั้นการหมั้นของตระกูลเฉินกับตระกูลมู่ความเป็นไปได้คือศูนย์
และมู่ลี่เหยียนที่เปลี่ยนสีหน้าเร็วแบบนี้ บวกกับการแย้งกลับอย่างรีบร้อน ก็ได้ยืนยันว่าการหมั้นนี้ต้องมีเรื่องบางอย่างที่ไม่สามารถพูดออกมาได้แน่นอน
มู่น่อนน่อนเดิมทีก็สงสัยการหมั้นของตระกูลเฉินกับตระกูลมู่มาตลอด เพียงแค่ถามออกมาเฉยๆ ไม่คิดว่ากลับดึงดุดให้เธอสนใจสักงั้น
“ไม่เช้าแล้ว ฉันต้องกลับบ้านแล้ว มีเรื่องอะไรค่อยคุยพรุ่งนี้เถอะ” มู่น่อนน่อนดูเวลาเเล้วพลางดึงประตูเปิดแล้วลงรถไป
มู่ลี่เหยียนตะโกนด้านหลังดังๆ “มู่น่อนน่อน!”
มู่น่อนน่อนหันกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วโบกมือให้เขา เดินไปอย่างสง่า
……
กลับมาถึงคฤหาสน์ มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปประตูก็เจอ “เฉินเจียฉิน”
ในตัวเขายังสวมชุดสูทตอนกลางวันอยู่ เป็นลายสีน้ำเงินออกแนวโบราณ และมีความไฮโซสว่าแฝงอยู่ ที่สำคัญคือเขาเริ่มพูดออกมาก่อน
“เธอกลับบ้านช้ากว่าปกติหนึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมงนี้เพียงพอให้เธอกินข้าวเย็นภายใต้แสนเทียนข้างนอกกับผู้ชายคนอื่นแล้ว” “เฉินเจียฉิน” ยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา แสดงหน้าเย็นให้เธอเห็น
มู่น่อนน่อนจ้องเขาไว้ โยนกระเป๋าในมือไปทางเขา หันแล้วเดินไปห้องครัว
เฉินถิงเซียวรับกระเป๋าใบเล็กของเธอไว้อย่างแม่นยำ ยักคิ้วให้หลังเธอทีหนึ่ง
นี่กำลังอารมณ์เสียใช่ไหม?
จุจุเสียงสายเรียกเขาดังขึ้นมา
เฉินถิงเซียวเห็นว่าดังออกมาจากกระเป๋ามู่น่อนน่อน
เขาเปิดซีดออก แล้วเอาโทรศัพท์มู่น่อนน่อนออกมาจากข้างใน
คนที่โทรเข้ามาถูกบันทึกชื่อว่า “เสี่ยวเหลียง”
เสี่ยวเหลียง? เหมือนว่าบ้านกู้จือหยั่นก็มีดาราเล็กๆ คนหนึ่งชื่อเสี่ยวเหลียงอะไรสักอย่างเหมือนกัน?
เหมือนว่าเป็นผู้หญิง?
เขาสังเกตเห็นโทรศัพท์ถูกใส่ด้วยเครสที่เป็นกรอบหนา แสดงว่าเจ้าของได้รักมันเช่นกัน
เฉินถิงเซียวเม้มปาก จับมือถือไว้แล้วเดินไปทางห้องครัวอย่างใจดี แต่ไม่คิดว่าในระหว่างนั้นกลับสัมผัสกดโดนปุ่มรับสายไป
เสียงเสิ่นเหลียงดังออกมาจากโทรศัพท์อย่างดัง “น่อนน่อน เธอรู้ไหม? ซือเฉิงหยู้กลับมาเมืองหู้หยางแล้ว ถ้าเธอว่างๆ ออกไปเดินดูไม่แน่อาจจะพบเจอเขาก็ได้ ฉันก็จะกลับไปเร็วๆ นี้แล้ว ถึงตอนนั้นฉันจะลองดูว่าพอสืบเขาไปที่ไหนออกกิจกรรมอะไรต่างๆ อาจจะหาโอกาสพาเธอไปดูเขา…”
เฉินถิงเซียวฟังคำพูดเธอแล้ว หยุดฝีเท้าลง
เสิ่นเหลียงอีกฝั่งอีกฝั่งสงสัยมาก “นี่? น่อนน่อน ทำไมเธอไม่พูด? เธอดีใจจนซื่อเลยรึไง? หรือว่าฝั่งฉันไม่มีสัญญาณเนี่ย…”
ทีนี้ มู่น่อนน่อนกำลังออกมาจากห้องครัวพอดี “ฉันได้ยินโทรศัพท์ฉันดังแล้ว”
เฉินถิงเซียวยนมือถือให้เขาอย่างหน้าไม่มีอารมณ์ใดๆ หันแล้วเดินไป
มู่น่อนน่อนเกือบรับมือถือไว้ไม่ทัน ดูหลัง “เฉินเจียฉินทีหนึ่ง” “เชอะ” ออกมาคำหนึ่ง แล้วพูดเองเอ่อเอง “นิสัยแย่เหมือนเดือนมิถุนา!จะเปลี่ยนหน้าก็เปลี่ยนเลย…”
มู่น่อนน่อนจับมือถือแล้วเดินเข้าห้องครัว เฉินถิงเซียวได้หันกลับมาในตอนนี้ สายตาลึกด้วยความสงสัย
เฉินถิงเซียวนึกถึงวันนั้นที่มู่น่อนน่อนกลับบ้านเช้า วันนั้นพอดีที่ซือเฉิงหยู้กลับมาเมืองหู้หยางพอดี ตอนที่พวกเขาเจอกัน ซือเฉิงหยู้ได้ถามคำถามที่เกี่ยวกับมู่น่อนน่อนหลายอย่าง
เฉินถิงเซียวค่อยๆ ล้วงมือถือออกมา โทรไปหาสือเย่ “ตรวจสอบหน่อย วันศุกร์อาทิตย์ที่แล้วมู่น่อนน่อนไปที่ไหนมาบ้าง ได้เจอคนอะไร”
ตอนที่ 67 คุณอย่าขยับ ผมดูให้
จนกว่าใบหน้าทั้งสองข้างของมู่หวั่นขีนั้นได้บวมจนมองไม่ออกใบหน้าเดิมแล้ว เฉินถิงเซียวก็ยังสั่งให้หยุด
มีแต่มู่น่อนน่อนกลับทนเห็นไม่ไหวแล้ว เธอเตะเท้าเขาใต้โต๊ะเบาๆ แล้วเรียกเขาเบาๆ “เฉินเจียฉิน!”
เฉินเจียฉินหันมามองเธอ ก็เข้าใจว่าเธออยากให้เขาสั่งให้หยุด มือเรียวยาวของเขาเคาะบนโต๊ะไปสองที จากนั้นถึงได้เริ่มพูดอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “พอแล้ว คุณมู่ช่างใจร้ายลงไปได้ ลูกสาวดั่งดอกไม้ ยังอดใจตีจนขนาดนี้”
ในน้ำเสียของเขาฟังทำนองแบบผู้ร้ายไม่ออกเลยสักนิด แต่กลับเหมือนเป็นท่านผู้ชมที่ดูตลกคนหนึ่งมากกว่า
มู่ลี่เหยียนรู้สึกคับข้องใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ เขาก้มหน้ามองมู่หวั่นขีทีหนึ่ง แล้วหลบหน้าหนีเลยทันที
ใบหน้าที่บวมเหมือนหัวหมูของมู่หวั่นขี ช่าง…ช่างเห็นเข้าตาไม่ได้
เฉินถิงเซียวมองมู่หวั่นขีทีหนึ่ง อ้าปากอย่างช้า “สั่งสอนลูกสาวตัวเองสมควรครับ แต่ก็ไม่สามารถใจร้ายขนาดนั้นเหมือนคุณมู่ ยังไงก็ต้องเหลือทางหลังให้ตัวเอง”
เฉินถิงเซียวได้ตามเป้าหมายแล้ว ขี้เกียจอยู่ต่อไป หันมองมู่น่อนน่อนที่อยู่ข้างๆ ทีหนึ่ง น้ำเสียงอ่อนโยนลงอย่างเห็นชัด “กินอิ่มหรือยังครับ? ”
มู่น่อนน่อนวางแผนเค้กฝักท้องในมือที่ยังไม่หมดลง เก็บความตกกลัวบนใบหน้าไว้ พยักหน้า “อิ่มแล้วค่ะ”
“ไปเถอะ” เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก
มู่น่อนน่อนรีบหยิบกระเป๋าเดินตามไป
เฉินถิงเซียวตัวสูงขายาว ตอนที่มู่น่อนน่อนเดิมตามไป เขาก็ได้เดินไปพอไกลแล้ว
เธอกำลังจะวิ่งน้อยๆ ก็เห็นเขาหันกลับมาทันที จากนั้นยืมอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ราวว่ากำลังรอเธอ
อาจเป็นเพราะวันนี้เกิดเรื่องเยอะไปหน่อย และอาจเป็นเพราะได้รับการกระทบจากเซียวชู่เหอ จุจุดวงตาเธอก็แดงอีกแล้ว
ตอนเด็ก เธอเคยถูกเซียวชู่เหอพาไปสถานที่เครื่องเล่น แต่ครั้งนั้นมีมู่หวั่นขีไปด้วย
เซียวชู่เหอมุ่งอยู่แต่ดูแลมู่หวั่นขี ไม่มีเวลาดูแลเธอ ตอนนี้เธอยังเด็ก เห็นอะไรพลางมีความสนใจไปหมด ต่อมาก็หลุดไปจากด้านหลังพวกเขาสองคน เธอจ้องมองเซียวชู่เหอหายไปจากทุ่มกลุ่มผู้คน ไม่แม้แต่หันกลับมามองเธอ
ในตอนนั้น เธอคาดหวังให้เซียวชู่เหอหันกลับมามองหาเธอมาก
เฉินถิงเซียวเห็นเธอยืนเหม่อกับที่ไม่ขยับ ขมวดคิ้วแล้วเดินกลับมา “คุณเป็นอะไรครับ? ”
มู่น่อนน่อนหลบหน้าเช็ดน้ำตา พอเงยหน้าอีกครั้ง นอกจากดวงตาแดงพลางดูความไม่ปกติอย่างอื่นไม่ออก
“ลมแรงไปหน่อย ฝุ่นเข้าตา”
เธอคิดว่าตัวเองคำโกหกที่ตัวเองสร้างนั้นจะถูก “เฉินเจียฉิน” พูดออกมา แต่ไม่คิดว่าเขาไม่เพียงไม่ ยังก้มตัวลงอย่างใส่ใจเรื่องนี้ “คุณอย่าขยับ ผมดูให้”
มู่น่อนน่อนยังอยู่กับความซาบซึ้งที่ “เฉินเจียฉิน” ช่วยตัวเองในเมื่อกี๊อยู่ เลยยืนนิ่งไม่ขยับ เงยหน้าให้เขาดูตาของเธอ
แต่เธอลืมไปว่า “เฉินเจียฉิน” แม้จะทำเรื่องดีเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษตัวจริง
เธอมอง “เฉินเจียฉิน” ที่ค่อยๆ ซูมกว้างเข้าตา ใบหน้าที่ยิ่งเข้าใกล้เรื่อยๆ ในใจมีความรู้สึกไม่ค่อยดี อยากหลบถอยออกไป
เฉินถิงเซียวมือเร็วรีบประคองท้ายทอยเธอไว้ ก้มหน้าแล้วจูบริมฝีปากเธอทีหนึ่ง พลางถอยออกไปอย่างเร่งรีบ
จากที่เขาจูบแล้วถอยออกไปนั้น ไม่เกินสองนาที
นานสักพักมู่น่อนน่อนถึงตั้งตัวกลับมา อยากปริปากด่าเขา แต่เมื่อกี๊เขาพึ่งช่วยเธอ
แต่ถ้าไม่ด่าเขา…เป็นไปไม่ได้!
“เฉินเจียฉิน!คุณช่วยเอาหน้าหน่อยได้ไหม!” มู่น่อนน่อนรู้ว่าตัวเองด่า “เฉินเจียฉิน” ก็จนคำพูดเลย
คิดวนไปมาก็นอกจากคำว่า “ไร้ความละอาย” “หน้าไม่อาย” เธอหาคำอื่นที่จะด่าเขาไม่ออกเลย
แต่เขาก็ยังไม่รู้จักผิด
“ มู่น่อนน่อน ฉันยอมจูบหน้าที่แย่ๆ ของเธอลงได้ เธอควรซาบซึ้งนะ” เขาพูดไป พลางยื่นมือไปจับครึ่งใบหน้าที่บวมช้ำของเธอ
มู่น่อนน่อนรีบตบมือเขาทิ้ง มองด้วยสายตาเย็นชา “อย่าลงไม้ลงมือนะ!”
“เฉินเจียฉิน” เหมือนน่าสนุกยื่นมือไปจับอีก มู่น่อนน่อนยื่นมือปัดมือเขาทิ้งอีก
แต่ว่า ครั้งนี้เธอกลับไม่ได้ดั่งคิด เพราะ “เฉินเจียฉิน” ได้จับมือเธอไว้แน่น
มือของหญิงสาวเหมือนไร้กระดูก พอจับไว้ในฝ่ามือช่างนุ่มนวลมาก
เฉินเจียฉินมีความได้ใจผ่านสายตา กดมือเธอไว้อีก ก่อนที่มู่น่อนน่อนจะโมโห พลางดึงเธอเดินเข้าไปข้างหน้า
“เธอปล่อยมือนะ!” มู่น่อนน่อนดิ้นรนอยู่ตลอด
เธอรู้สึกว่า “เฉินเจียฉิน” ในวันนี้ช่างเกินไปเป็นพิเศษ กลับกล้าจูบเธอกลางผู้คนในที่สาธารณะแบบนี้ และยังจับมือเธอด้วย
ที่นี่ไม่ไกลจากบริษัทมู่ซื่อมาก มีพนักงานบางส่วนมากินข้างที่นี่ ถ้าเกิดมีคนมาเห็นเข้า…
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า ถ้ายังเป็นแบบนี้อีกต่อไป เธอต้องถูก “เฉินเจียฉิน” กดดันจนบ้าแน่ๆ !
เธอดึงมือของ “เฉินเจียฉิน” ไม่ออก แต่ก็ไม่สามารถทำให้สถานการณ์วุ่นวายมาก กลัวทำให้คนอื่นต้องหันมาสนใจ สุดท้ายพลางถูกเขาจับมือมาถึงในรถ
หลังจากสองคนไปแล้ว มู่หวั่นขีที่หน้าบวมอย่างหมูเดินออกมาจากเสาประตูร้านอาหาร ดูรูปที่ตัวเองถ่ายตอนเมื่อกี๊ สายตามีความมืดเฉียบ
มู่น่อนน่อนฉวยโอกาสใช้นามคุณนางเฉิน ยังยุ่งเกี่ยวไม่ขาดกับน้องชาย เธอจะรอดูจุดจบขอสองคนนี้เป็นยังไง
วันนี้เธอต้องทนความลำบากมากขนาดนี้ จะไม่ยอมใจง่ายๆ เเน่นอน!
……
มู่น่อนน่อนถูก “เฉินเจียฉิน” พาไปที่คลินิก มาสก์หน้า แล้วทายาแก้อักเสบไป จากนั้นก็กลับมาทำงานที่บริษัทซื่อต่อ
มาถึงบริษัทซื่อ เธอพึ่งนั่งลงในช่อของตัวเอง พลางได้ยินคนข้างๆ พูดเรื่องมู่หวั่นขีลากลับบ้านพักผ่อนเลย
คนที่พูดเห็นมู่น่อนน่อนมาเเล้ว เสียงเบาลงทันที
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ มู่น่อนน่อนก็ยังหูดีได้ยินเป็นคำๆ
“ฉันว่ามู่น่อนน่อนคนนี้ไม่ธรรมดา…เขาเพิ่มมาบริษัท ผู้บริหารในบริษัทก็เกิดเรื่องต่อๆ กัน ลาบ้าง…”
มู่น่อนน่อนคิดๆแล้ว ราวว่าเป็นแบบนั้นจริงด้วย
เริ่มแรกเป็นซุนเจิ้งหวา ต่อมาเป็นมู่หวั่นขี
แต่สิ่งนี้จะโทษเธอได้ไหม? เป็นพวกเขาที่หาเรื่องเธอก่อน!
ช่วงเวลาเลิกงาน มู่น่อนน่อนเก็บของกำลังจะออกไป พลางเห็นเลขามู่ลี่เหยียนเดินเข้ามาเลย
“คุณมู่ครับ ผู้อำนวยการเรียกคุณไปครับ”
มู่ลี่เหยียนเรียกเธอไปทำอะไร?
หรือเป็นเพราะเรื่องในกลางวันนี้ อยากจะแก้แค้นแทนมู่หวั่นขี
ว่าด้วยการเอ็นดูของมู่ลี่เหยียนต่อมู่น่อนน่อนนั้น นี่คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ฉะนั้นแล้ว มู่น่อนน่อนเลยพูดด้วยความอ่อนโยนอย่างตั้งใจนัก “โทษทีค่ะ ตอนนี้เป็นเวลาเลิกงาน ถ้าผู้อำนวยการมีเรื่องงานจะหาฉัน ฉันจะไปหาเขาพรุ่งนี้ ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว เขาจะโทรมาหาฉันแน่นอน และอีกอย่างฉันจะไปเยี่ยม “เพื่อนร่วมงานชาย” คนนั้นที่ทำงานเหนื่อยล้าจนล้มลงเพราะสาเหตุที่ฉันโดดงาน”
เลขามู่ลี่เหยียนอยู่กับเขามาหลายปี มากน้อยก็ต้องรู้สถานการณ์ของมู่น่อนน่อนบ้าง หน้าตาธรรมดา ไหวพริบลากช้า
เรื่องราวช่วงนี้ของบริษัทเขาก็รู้ แต่หลังจากคบหา ถึงรู้ว่ามู่น่อนน่อนไม่เพียงสวยขึ้นแล้ว คำพูดก็แรงมากขึ้น
เลขาพูดอย่างไม่ตายใจ “แต่ว่าประธานมู่ได้มอบหมายให้คุณไปหาเขาครับ”
การตอบสนองของมู่น่อนน่อนคือเป้กระเป๋าแล้วออกไปเลย
ตอนที่ 66 ผมไม่ตีผู้หญิง คุณลงมือเองเถอะ
อย่างไรก็ตาม “เฉินเจียฉิน” มีส่วนสูงถึง1.9เมตร มู่น่อนน่อนยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่สามารถบดบังใบหน้าของเขาได้
มู่หวั่นขีมองมู่น่อนน่อนด้วยสายตาดูถูก ก้าวไปข้างหน้า และมองตรงไปที่ “เฉินเจียฉิน” เท่านั้น “คุณเฉน พวกเราเจอกันอีกแล้วนะคะ”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองมู่หวั่นขี และหันมามองมู่น่อนน่อนที่จู่ๆ ก็ออกมาบังหน้าเขา ทันใดนั้นก็เข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมมู่น่อนน่อนต้องออกมาบังข้างหน้าเขา
นึกถึงในอดีตที่เธอเคยตวาดใส่เขา เคยพูดว่า “สะใภ้ใหญ่ก็เหมือนแม่” อะไรทำนองนี้ เธอที่ทำท่าออกมาปกป้องลูกของตนเพราะจะให้เขาเป็นลูกชายจริงๆ อย่างนั้นหรือ
เมื่อเฉินถิงเซียวนึกถึงตรงนี้ ใบหน้าก็เย็นเยียบลง เขาไม่แม้แต่จะชายตาแลมู่หวั่นขี
มู่หวั่นขีเมื่อพบว่า “เฉินเจียฉิน” ไม่สนใจเธอ เลยอับอายเล็กน้อย
มู่ลี่เหยียนพูดขึ้นมาอย่างประจวบเหมาะ “มีเรื่องอะไรจะคุย พวกเรามาหาร้านอาหารและนั่งคุยกันช้าๆ ดีกว่า”
…..
กลุ่มคนหาร้านอาหารหนึ่งร้านสำหรับทานข้าว
ในตอนที่นั่งลง ทุกคนจงใจให้ “เฉินเจียฉิน” นั่งลงก่อน
แต่ “เฉินเจียฉิน” ไม่ได้นั่งลงก่อน กลับลากเก้าอี้ออก และพูดกับมู่น่อนน่อนว่า “นั่ง”
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าเขาต้องการทำอะไรกันแน่ แต่เธอก็รับรู้ได้จากสัญชาตญาณว่า “เฉินเจียฉิน” จะไม่ทำร้ายเธอ จึงนั่งลงแต่โดยดี
เธอนั่งลงแล้ว “เฉินเจียฉิน” ก็นั่งลงข้างๆ เธอ
มู่ลี่เหยียนส่งสายตาไปให้กับมู่หวั่นขี มู่หวั่นขีเข้าใจ ยิ้มหวานและนั่งลงด้านข้างอีกทางของ “เฉินเจียฉิน” ทันที
มู่น่อนน่อนคิดว่า “เฉินเจียฉิน” จะพูดอะไรสักหน่อย แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไร ราวกับไม่เห็นว่ามู่หวั่นขีนั่งลงที่ข้างๆ เขา
มู่น่อนน่อนนินทาอยู่ในใจ สงสัยว่าเธอนั้นคิดผิดไปหรือเปล่า ถึงแม้ “เฉินเจียฉิน” จะดูทำตัวห่างเหิน แต่ความจริงแล้วไม่จุกจิกกับเรื่องผู้หญิงหรือ
ในไม่ช้าอาหารก็ขึ้นมาครบ มู่ลี่เหยียนพูดเป็นครั้งคราวเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย และกลมกลืนไปด้วยกัน
มู่หวั่นขีคีบอาหารให้ “เฉินเจียฉิน” อยู่หลายครั้ง เขาไม่ปฏิเสธ แต่เขาก็ไม่ทาน
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าวันนี้ “เฉินเจียฉิน” แปลกมาก ตั้งแต่ที่เขานั่งลง เธอรู้สึกได้ถึงบรรยากาศกดดันที่เขาแผ่ออกมาก หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธที่มู่หวั่นขีคีบอาหารให้เขา เธอยังไม่อยากเชื่อว่าเขาจะเตะตาต้องใจมู่หวั่นขี
ในใจของมู่หวั่นขีเป็นปลื้มอย่างมาก ใบหน้าประดับด้วยยิ้มอย่างอ่อนโยน “คุณเฉนทานเยอะๆ นะคะ อาหารของร้านนี้ไม่เลวเลย”
“อื้อ” “เฉินเจียฉิน” ตอบรับอย่างเฉยเมย แต่ก็ไม่ได้ขยับตะเกียบ
มู่หวั่นขีไม่ใส่ใจ และอาศัยจังหวะที่เหล็กกำลังร้อนเอ่ยถามเขา “คุณเฉนมีแฟนแล้วหรือยังคะ”
ประโยคนี้ถามออกไปได้อย่างเถรตรง ใบหน้าของ “เฉินเจียฉิน” นั้นไม่มีร่องรอยของความโกรธ แต่กลับหันหน้าไปมองเธอ “ไม่มี แล้วคุณมู่ล่ะครับ”
“ฉันยังไม่มีแฟนค่ะ พูดตามจริงแล้ว ความจริงฉัน…” มู่หวั่นขีแสดงท่าทีเขินอาย “ฉันรักคุณเฉนมากๆ เลยค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ” เฉินถิงเซียวฉีกยิ้มที่มุมปาก รอยยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงดวงตา ระหว่างนั้นคิ้วก็ขมวด ทันใดนั้นเสียงทุ้มก็เปลี่ยนไปมืดครึ้มอย่างถึงที่สุด “แต่ผมชอบผู้หญิงหน้าใหญ่ คุณมู่ใบหน้าเล็กเกินไป”
มู่หวั่นขีเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ ดวงตาคู่นั้นที่เหมือนกับไข่มุกแทบจะร่วงออกมาอยู่รอมร่อ
มู่น่อนน่อนที่อยู่ข้างๆ และเพิ่งจะดื่มน้ำเข้าไป ก็แทบจะพ่นออกมาเช่นกัน
“เฉินเจียฉิน” คนนี้กำลังพูดไร้สาระอะไรกัน
เธอมองผู้ชายที่อยู่ข้างๆ มองเห็นแต่เพียงใบหน้าด้านข้างที่ดูดีของเขาที่พยักหน้าน้อยๆ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่นิดเดียว
“ฉันเพิ่มไขมันได้ค่ะ ใบหน้าจะต้องอ้วนขึ้นมาได้แน่นอน” มู่หวั่นขีตื่นเต้นจนน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย และไม่ลืมที่จะหันไปมองมู่น่อนน่อนด้วยสายตาลำพองใจ
เธอจะต้องได้รับความชอบจาก “เฉินเจียฉิน” อย่างแน่นอน
มู่น่อนน่อนหันหน้าหนี ขี้เกียจจะมองเธอ
“อย่างนั้นหรือ” เฉินถิงเซียวหลุบสายตาลง เมื่อบดบังสายตาที่เย็นชา และเอ่ยอย่างไม่แยแส “ยังมีหนทางที่เร็วอยู่อีกวิธีหนึ่ง คุณมู่จะลองดูก็ได้”
มู่หวั่นขีเชื่อว่าเป็นความจริง จึงรีบเอ่ยถาม “วิธีอะไรหรือคะ”
เฉินถิงเซียวหันไปมองมู่น่อนน่อน “เป็นแบบเธอ”
มู่หวั่นขีหันไปมองมู่น่อนน่อน ไร้ปฏิกิริยาตอบกลับไปชั่วขณะ แต่มู่ลี่เหยียนกลับเข้าใจในทันที จึงเอ่ยกลบเกลื่อน “คุณเฉนล้อเล่นได้เก่งจริงๆ รีบทานอาหารเถอะครับ ไม่อย่างนั้นมันจะเย็นเอาได้”
เฉินถิงเซียวไม่ได้เห็นมู่ลี่เหยียนอยู่ในสายตา สีหน้าที่แสดงออกมาของเขานั้นเย็นชาอย่างถึงที่สุด
แต่เดิมเขานั้นหล่อ และมีบรรยากาศที่กดดันอยู่แล้ว ณ เวลานี้ที่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา แต่ก็แผ่บรรยากาศคุกรุ่นออกมายิ่งกว่า
บรรยากาศที่เขาแผ่ออกมานั้นหนักอึ้งเกินไป ในเวลานั้นไม่มีใครกล้าพูดแม้แต่คนเดียว
เฉินถิงเซียวนั่งนิ่งไม่ไหวติง และจ้องมองมู่หวั่นขีด้วยสายตาเย็นชา ในน้ำเสียงนั้นยังฟังดูคงไม่แยแส “ผมไม่ตีผู้หญิง คุณลงมือเองเถอะ”
“คุณเฉน เรื่องล้อเล่นนี้ไม่ตลกเลย…”
“เรื่องล้อเล่นหรือ” เฉินถิงเซียวแสยะยิ้มที่มุมปาก แต่ใบหน้านั้นกลับไม่มีร่องรอยของรอยยิ้มแม้แต่นิด ในทางกลับกันกลับดูข่มขู่จนน่ากลัว “พวกคุณคิดว่า พวกคุณสามารถนำคุณหญิงที่ถูกแต่งเข้าตระกูลเฉินมาด้วยเงินสินสอดสามร้อยล้านมาล้อเล่นได้อย่างนั้นหรือ”
พวกเขาเข้าใจขึ้นมาในทันที ว่าจุดประสงค์ที่ “เฉินเจียฉิน” ต้องการมาทานข้าวกับพวกเขาในวันนี้คืออะไร
มู่น่อนน่อนมองเขาอย่างประหลาดใจ เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่า “เฉินเจียฉิน” จะออกหน้าแทนเธอ
เธอเองก็เพิ่งได้รู้ในวันนี้ ว่าตระกูลเฉินให้เงินสินสอดกับตระกูลมู่สามร้อยล้าน
ถึงแม้เงินสามร้อยล้านสำหรับตระกูลเฉินจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่สำหรับตระกูลมู่ นั่นคือเงินทุนจำนวนมาก
“เฉินเจียฉิน” พูดออกมาอย่างชัดเจน ในฐานะที่มู่ลี่เหยียนเป็นประมุขของครอบครัว ย่อมต้องลุกขึ้นยืนเป็นเรื่องธรรมดา เขาเอ่ยแก้ต่าง “ความจริงของเรื่องเป็นแบบนี้ น่อนน่อนและหวั่นขีทั้งสองเป็นพี่น้องกัน น่อนน่อนเธอทำผิดเล็กน้อย หวั่นขีจึงสั่งสอนเธอด้วยความรักที่มีต่อน้องสาว…”
“คุณมู่หูหนวกตาบอดแล้วหรือ ถึงฟังไม่รู้เรื่อง” เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตาคมปลาบ
มู่ลี่เหยียนได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี เขาไม่คิดว่า “เฉินเจียฉิน” จะอวดดีจนถึงขนาดไม่ไว้หน้าเขาขนาดนี้
สีหน้าของเขาย่ำแย่ และหันไปมองมู่น่อนน่อน “น่อนน่อน เรื่องนี้…”
มู่น่อนน่อนไม่สนใจเขา ยื่นมือไปหยิบพายฟักทองในจานมาหนึ่งชิ้น และทานตามใจตนเอง
ทุกคนจึงเข้าใจทันที เรื่องในวันนี้ ไม่สามารถผ่อนปรนได้อีกแล้ว
มู่ลี่เหยียนคิ้วขมวดและไม่พูดอะไร แต่เซียวชู่เหอกลับเอ่ยขึ้นมา “คุณเฉน คุณเห็นแก่ฉันที่เป็นแม่ของน่อนน่อน ปล่อยหวั่นขีไปสักครั้ง น่อนน่อน เธอดู…”
เฉินถิงเซียวกล่าวด้วยความอดกลั้นอย่างถึงที่สุด “การลงทุนครั้งล่าสุดของบริษัทมู่ซื่อล้มเหลว และต้องการเงินลงทุนก้อนใหม่อย่างเร่งด่วน หากเรื่องนี้ถูกประกาศออกไปให้เพื่อนร่วมทางธุรกิจรู้ พวกเขาจะทำอย่างไรกัน”
มู่ลี่เหยียนใบหน้าซีดเซียว นี่เป็นความลับภายใน “เฉินเจียฉิน” รู้ได้อย่างไรกัน
หากเพื่อนร่วมธุรกิจมารู้เข้า พวกเขาต้องฉวยโอกาสในตอนที่กำลังย่ำแย่ ทำให้สถานการณ์ของบริษัทมู่ซื่อเลวร้ายลง
มู่ลี่เหยียนขบฟันแน่น และเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม “หวั่นขี ตบตัวเองเดี๋ยวนี้”
มู่หวั่นขีไม่อยากจะเชื่อ “พ่อ”
มู่ลี่เหยียนที่เห็นเธอไม่ยอมลงมือ ก็ลุกขึ้นเดินไปหา และตบไปที่ใบหน้าของมู่หวั่นขี
เพี๊ยพ
เฉินถิงเซียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา “ยังเหลืออีกข้าง”
มู่ลี่เหยียนตบไปอีกครั้ง เฉินถิงเซียวเหลือบสายตามอง และกล่าวว่า “หน้าไม่เท่ากันหรือ ขนาดมันไม่เท่า”
ดังนั้น มู่ลี่เหยียนจึงตบหน้ามู่หวั่นขีอีกหลายครั้ง
ตอนที่ 65 มู่น่อนน่อนทำทั้งหมด
แผนกการตลาดนั้นมีพนักงานหญิงจำนวนมาก เวลาที่ผู้หญิงรวมตัวกันก็มักจะชอบนินทาโดยธรรมชาติ
ในตอนเที่ยง เรื่องที่เกิดขึ้นที่แผนกการตลาดเมื่อตอนเช้า ก็ถูกพูดกันไปทั่วทั้งบริษัท
ใบหน้าของมู่น่อนน่อนบวมอย่างมาก ในตอนที่เข้าห้องน้ำ ก็ได้ยินเพื่อนร่วมงานหญิงกำลัง จับกลุ่มคุยกันเรื่องเมื่อตอนเช้า
“สรุปว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน ฉันได้ยินมาว่าคนที่ลาในวันนี้เป็นผู้หญิงคนเดียว ไม่มีผู้ชายลาเลยนะ”
“เรื่องมันก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ มู่หวั่นขีและซุนเจิ้งหวาจับมือกันจัดการมู่น่อนน่อน”
“ไม่มีทางเถอะ มู่น่อนน่อนเพิ่งจะมาได้ไม่กี่วัน ก็ขัดใจซุนเจิ้งหวาแล้วหรือ”
“ซุนเจิ้งหวาเป็นคนแบบไหน ใครไม่รู้บ้าง เรื่องที่เขาลาและเข้าโรงพยาบาลก่อนหน้านั้น ได้ยินว่าเป็นมู่น่อนน่อนที่ทำทั้งหมด”
“มู่น่อนน่อนโหดร้ายขนาดนั้นหรือ”
“แต่ฉันรู้สึกว่าคนที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าคือมู่หวั่นขี ก่อนหน้านี้เธอตบหน้ามู่น่อนน่อนไปหนึ่งครั้ง ฉันที่อยู่ไกลๆ ยังได้ยินเสียงตบกระทบหน้าอย่างชัดเจน ต้องเกลียดกันขนาดไหน ถึงต้องตบแรงขนาดนั้น…”
มู่น่อนน่อนยืนพิงกำแพงห้องน้ำ รอจนข้างนอกเงียบเสียงลงไปจนเงียบ ถึงได้ออกมาข้างนอก
ยืนอยู่ข้างหน้าอ่างล้างมือ เธอมองใบหน้าของตัวเองในกระจก
บวมหมดแล้ว ทั้งยังช้ำอีกด้วย ดูไปแล้วก็ค่อนข้างน่าเกลียด
มู่หวั่นขีตบลงมาได้หนักพอสมควร
ดูเหมือนว่าในช่วงเวลานี้ จะปล่อยให้มู่หวั่นขีพยศมาพอสมควรแล้ว
รอก่อนเถอะ ดูสิว่าในตอนสุดท้ายนั้นในพวกเธอใครที่จะได้เป็นคนหัวเราะกัน
…..
ช่วงเวลาพักเที่ยง ในตอนที่มู่น่อนน่อนกำลังจะออกไปทานข้าว
เพิ่งจะได้ลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้นมา
เป็น “เฉินเจียฉิน” ที่โทรมา
มู่น่อนน่อนคิ้วขมวด ก่อนจะรับสาย “คุณมีธุระอะไรอีกหรือ”
เหมือนว่าน้ำเสียงของเธอนั้นกำลังจะหมดความอดทน เฉินถิงเซียวจึงกล่าวออกไปตรงๆ “ออกมาทานข้าว ผมรอคุณอยู่ที่หน้าบริษัทมู่ซื่อ”
ทันทีที่เขาสั่งจบ เขาก็วางสายทันที
มู่น่อนน่อนมองหน้าจอโทรศัพท์ที่กลับมาล็อกหน้าจอแล้ว ก็ขยี้ผมด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเดินออกไปข้างนอก
เมื่อเดินออกมาทางประตูใหญ่ของบริษัทมู่ซื่อ มู่น่อนน่อนก็เห็นรถที่สะดุดตาของ “เฉินเจียฉิน” ในทันที เมื่อครู่ก่อนที่จะลงมา เธอได้แอบเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อค้นหารถคันนั้นของเขา
ราคาเริ่มต้นที่สิบล้าน ส่วนราคาจริงนั้นจะขึ้นอยู่กับการสั่งของเจ้าของรถ
สำหรับมู่น่อนน่อนแล้ว นี่มันราคาที่สูงเสียดฟ้า
ถึงแม้จะเป็นตระกูลมู่ หากมู่หวั่นขีอยากซื้อรถราคาสิบล้าน ก็ไม่แน่ใจเลยว่ามู่ลี่เหยียนจะให้
เมื่อเห็นว่าผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างพูดคุยกันถึงเรื่องรถของ “เฉินเจียฉิน” กันไม่น้อย มู่น่อนน่อนก็ก้มหน้าและสาวเท้าไวๆ ไปหาเขา
ในตอนนั้นเอง ข้างทางก็มีรถอีกคันหนึ่งมาจอด ในตอนที่มู่น่อนน่อนกำลังรอให้รถคันนั้นไปแล้วค่อยเดินต่อ รถคันนั้นก็หยุดลงเบื้องหน้าของเธอ
คนขับรถลดกระจกของที่นั่งด้านหลังลง ใบหน้าที่โผล่ขึ้นมานั้นคือ… เซียวชู่เหอ
ตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่มู่น่อนน่อนหลอกเซียวชู่เหอไปยังร้านอาหาร แล้วทิ้งเธอกลางทาง ก็ไม่ได้พบเจอเซียวชู่เหออีกเลยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
เซียวชู่เหอสั่งให้คนขับรถนำกล่องรักษาอุณหภูมิอาหารสองกล่องลงมา เงยหน้าขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็พบมู่น่อนน่อนที่ยืนอยู่ข้างรถ
เธอคิ้วขมวด ตกใจจนชะงักไปทั้งร่าง มองมู่น่อนน่อนอย่าไม่อยากเชื่อสายตา เอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ “เธอคือน่อนน่อนหรือ”
มู่น่อนน่อนยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา และแฝงแววเยอะเย้ยเอาไว้ “แล้วคิดว่าเป็นฉันไหม”
อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันมา20ปี แม่แท้ๆ ที่ให้กำเนิดเธอ กลับจำลูกสาวของตัวเองไม่ได้
ไม่เพียงเท่านั้น เซียวชู่เหอได้ยินและเห็นว่าใบหน้าของเธอเปลี่ยนไป แต่กลับเมินเฉยใบหน้าที่ยังบวมไม่เลิกของเธอ
ไม่รู้เหมือนกันว่านี่คือความเสียใจของมู่น่อนน่อน หรือเป็นความเสียใจของเซียวชู่เหอกันแน่
เซียวชู่เหอเดินเข้าไปใกล้ และกวาดมองมู่น่อนน่อนอย่างพิจารณา “เธอ… เธอไปศัลยกรรมหรือ ดังนั้นครั้งที่แล้วที่ฉันชวนไปทานข้าวเธอก็เลยไม่ไปใช่ไหม”
ทันใดนั้น มู่น่อนน่อนก็ไม่สามารถแม้แต่จะยิ้มออกมา ใบหน้าของเธอเผยให้เห็นร่องรอยของความเสียใจ “แม่ ฉันคือน่อนน่อน ตั้งแต่เด็กจนโตฉันก็หน้าแบบนี้ แต่แม่กลับพูดเสมอ ว่าฉันไม่ควรโตมาสวยกว่าพี่สาว ดังนั้นยิ่งฉันโตขึ้นฉันเลยยิ่งน่าเกลียด”
“เป็นไปได้อย่างไร ปีที่ผ่านมาเธอมักจะ…” เซียวชู่เหอไม่กล้าเชื่อคำพูดของมู่น่อนน่อน เธอจะแต่งตัวขี้เหร่แบบนั้นมาตั้งหลายปีได้อย่างไรกัน
มู่น่อนน่อนจ้องเซียวชู่เหอนิ่ง ความเศร้าใจแฝงอยู่ในน้ำเสียง “เพราะฉันอยากเป็นลูกสาวที่ดีของแม่ เพื่อให้แม่มีความสุข ดังนั้นตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าแม่จะตั้งเงื่อนไขอะไรกับฉันก็แล้วแต่ ฉันก็ทำได้ทั้งนั้น”
เซียวชู่เหอขยับริมฝีปาก แต่ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออกมาไปชั่วขณะ
ในความทรงจำ ตอนที่มู่น่อนน่อนยังเด็ก เธอเป็นเด็กดี สวย เรียนได้คะแนนดี แต่หลังจากนั้นคะแนนก็แน่ลง ยิ่งโตยิ่งน่าเกลียด แต่ก่อนหน้านั้น เธอเคยพูดกับมู่น่อนน่อนแน่ๆ ว่าไม่ควรดีไปกว่าพี่สาว
แต่โดยเร็ว เธอก็พูดเชิงป้องกัน “เธอยอมทำเองทั้งนั้น ในตอนนี้เธอไม่สามารถมาตำหนิฉันได้นะ”
มู่น่อนน่อนชะงักนิ่ง เอ่ยถามเธอด้วยแววตารวดร้าว “แม่ ฉันขอถามประโยคหนึ่ง ฉันได้เป็นลูกสาวแท้ๆ ของแม่ไหม”
“เธอ…”
“ไปกันเถอะ ไปทานข้าว”
ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยแทรกคำพูดของเซียวชู่เหอขึ้นมา มู่น่อนน่อนเงยหน้ามอง ก็พบว่าเป็น “เฉินเจียฉิน” ที่ไม่รู้ว่าเดินมายืนอยู่ข้างๆ เธอตั้งแต่เมื่อไหร่
เขาตัวสูง เวลาที่มองมู่น่อนน่อนก็ต้องก้มหน้า
มู่น่อนน่อนเงยหน้าไปมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ ดวงตาแมวที่สวยคู่นั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ ดูน่าสงสารอย่างมาก
โดยเฉพาะเมื่อมองรวมไปกับใบหน้าที่บวมไปครึ่งซีก ดวงตาสีน้ำหมึกทอประกายเป็นไฟลุกโชน แต่ก็เก็บซ่อนเอาไว้ในทันที และลากเธอเดินไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย
เซียวชู่เหอจำได้ว่านี่คือ “เฉินเจียฉิน” ที่ไปตระกูลมู่เมื่อครั้งที่แล้ว ทำไมเขาถึงมารับมู่น่อนน่อนกัน
หรือว่าพวกเขา…
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในรถของพวกเขาเมื่อครั้งที่แล้ว เซียวชู่เหอก็รีบเรียกทั้งสองคนไว้ “รอก่อน”
ทั้งสองหันหน้าไปมองเธอพร้อมกัน เซียวชู่เหอกล่าวว่า “น่อนน่อน แม่เอาอาหารมาให้พ่อกับพี่สาวค่อนข้างมาก เธอเองก็จะมาทานด้วยกันไหม”
มู่น่อนน่อนที่กำลังจะปฏิเสธ ก็ถูกเฉินถิงเซียวแย่งเดินหน้าเธอและกล่าว “ดีครับ ผมเองก็ยังไม่ได้ทานมาพอดี”
“นี่…” เซียวชู่เหอนำอาหารมาในจำนวนที่เพียงพอต่อสามคนเท่านั้น แต่ก็รู้ว่า “เฉินเจียฉิน” นั่นคือญาติผู้น้องของเฉินถิงเซียว ขัดใจไม่ได้ จึงไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
มู่น่อนน่อนไม่เข้าใจเหตุผลจึงเงยหน้ามองเขา ศอกเล็กกระแทกที่แขนของเขาเบาๆ
เฉินถิงเซียวกำแขนเล็กของเธอไว้แน่น เหลือบสายตามองเธอ และส่งสายตาบอกให้เธออดรนทนรอไปก่อน
ที่น่าแปลกก็คือ มู่น่อนน่อนสงบใจลงได้ด้วยสายตาของเขาจริงๆ เธอยืนนิ่งอยู่ข้างๆ เขา และไม่ออกเสียงอะไรอีก
เซียวชู่เหอที่มีหน้าที่เป็นภรรยามาครึ่งชีวิต นอกจากจะใช้เงินเอาไปเสริมสวยเอาอกเอาใจมู่ลี่เหยียนแล้ว ก็ยังสามารถอ่านสถานการณ์ได้เล็กน้อย เธอรู้ว่าไม่สามารถละเลย “เฉินเจียฉิน” ได้ ส่งสายตาให้กับคนขับรถ เพื่อให้เขาแจ้งมู่ลี่เหยียนให้ทราบ
มู่ลี่เหยียนลงมาอย่างรวดเร็ว ข้างหลังของเขานั้นมีมู่หวั่นขีตามมาด้วย
เห็นได้ชัดว่ามู่หวั่นขีตั้งใจแต่งหน้ามา จนใบหน้านั้นดูมีมิติขึ้นมา
ทันทีที่เธอได้เห็น “เฉินเจียฉิน” ดวงตาคู่นั้นก็ไม่ผละออกไปไหน สายตาละโมบนั้นราวกับกำลังจ้องกระเป๋าเงินของตัวเอง
มู่น่อนน่อนรับรู้ได้ถึงสายตาของเธอ จึงขยับกายและยืนอยู่ด้านหน้าของ “เฉินเจียฉิน” เพื่อบดบังสายตาของมู่หวั่นขี
ตอนที่ 64 ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกคน
แต่เดิมเฉินถิงเซียวได้ออกไปแล้ว
แต่เมื่อนึกถึงการกระทำครั้งที่แล้วของมู่หวั่นขี ก็เลยเลือกที่จะกลับมา
ผลลัพธ์…คือได้ดูเกมที่สนุกฉากหนึ่ง
เขาจนถึงโตขนาดนี้แล้ว นอกจากแม่ นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่มีผู้หญิงออกมาปกป้องเขา
ความรู้สึกแบบนี้ มันแสนวิเศษมากๆ
……
มู่น่อนน่อนสวมรองเท้าคัทชูส้นสามเซนติเมตร เหยียบลงไปบนเท้าของมู่หวั่นขีก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากขนาดนั้น
แต่มู่หวั่นขีสกัดกั้นความโกรธนี้ไม่ได้ เมื่อก่อนมู่น่อนน่อนไม่กล้าแม้แต่จะออกเสียงกับเธอ แต่ในตอนนี้มู่น่อนน่อนหญิงสารเลวคนนี้กล้าถึงขนาดเหยียบเท้าเธอ
ในตอนที่เธอวิ่งเข้าไปในล็อบบี้ของบริษัทมู่ซื่อ มู่น่อนน่อนก็กำลังรอลิฟต์อยู่ เธอหันหน้ากลับมามองมู่หวั่นขีด้วยรอยยิ้มท้าทาย และเดินเข้าลิฟต์ไป
ในตอนที่มู่หวั่นขีตามไปลิฟต์ก็ได้ขึ้นไปแล้ว
มู่น่อนน่อนออกมาจากลิฟต์ และเดินตรงไปออฟฟิศของมู่ลี่เหยียนทันที
เมื่อวันศุกร์ที่แล้วเขาโทรมาบอกกับเธอว่า วันจันทร์จะมาคุยเรื่องที่เธอโดดงานกันอีกครั้ง เธอยังจำได้อยู่
เธอรอไม่นาน มู่ลี่เหยียนก็เข้ามา
และมีมู่หวั่นขีตามหลังเขามาติดๆ
พวกเขาไม่รู้ว่ามู่น่อนน่อนอยู่ในออฟฟิศแล้ว มู่หวั่นขีจึงยังบ่นกับมู่ลี่เหยียนต่อ “พ่อ มู่น่อนน่อนทำเกินไปแล้วนะ ถึงแม้จะมีบางเวลาที่ฉันนิสัยไม่ดี แต่ทำไมเธอถึงต้องทำกับฉันแบบนี้ ฉันเป็นผู้จัดการแผนกโครงการแต่เธอกลับไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาเลย น่ากลัวว่าแม้แต่พ่อเธอเองก็คงมองไม่เห็นอยู่ในสายตา…”
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ที่โซฟา หันหน้าไปมองสองพ่อลูกที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าใสซื่อ
จุ๊ๆ มู่หวั่นขีพูดแบบนี้มันไม่ถูก เธอนิสัยไม่ดีที่ตรงไหนกัน เธอแค่จิตใจดำมืดต่างหาก
“พี่สาวพูดแบบนี้มันไม่ถูกเลย คนที่ฉันเคารพมากที่สุดก็คือพ่อนะ”
เมื่อได้ยินเสียงของมู่น่อนน่อน พ่อลูกทั้งสองคนถึงได้รู้ว่ายังมีคนอื่นอยู่ในออฟฟิศอีกด้วย
มู่หวั่นขีได้ยินเสียงของมู่น่อนน่อน ก็เบิกตาโตด้วยความตกใจราวกับเห็นผี “เธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“พ่อมีธุระจะคุยกันฉัน ฉันก็เลยมารอที่นี่เองเลยอย่างไรล่ะ” มู่น่อนน่อนฉีกยิ้มอ่อน
ตอนนี้ในที่สุดมู่หวั่นขีก็เชื่ออย่างสุดใจ มู่น่อนน่อนในอดีตที่อดทนยอมรับโดยไม่ปริปากนั้น เป็นการการเสแสร้งทั้งหมด
มู่ลี่เหยียนที่เพิ่งจะได้ฟังมู่หวั่นขีบ่นถึงมู่น่อนน่อน ในใจก็คุกรุ่น ทันทีที่เห็นมู่น่อนน่อน ใบหน้าก็คว่ำลงทันที “ออฟฟิศของประธานบริษัท เธอที่เป็นพนักงานเดินเข้ามาได้ตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ”
“โอ๊ะ” มู่น่อนน่อนลุกขึ้นยืน เดินออกไปข้างนอก ทั้งยังเงื้อมือไปปิดประตูอีกด้วย
มู่ลี่เหยียนและมู่หวั่นขีมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจว่าเธอนั้นกำลังทำบ้าอะไร
ก๊อกก๊อก
วินาทีต่อมา ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เป็นมู่น่อนน่อนที่เอ่ยขึ้นมาอย่างสุภาพ “ท่านประธานคะ ฉันมู่น่อนน่อนนะคะ ไม่ทราบว่าตอนนี้ฉันเข้าไปข้างในได้แล้วหรือยังคะ”
มู่ลี่เหยียนโมโหมู่น่อนน่อนจนปวดหัว เขาเดินไปทางด้านหลังของโต๊ะทำงานและนั่งลง และยกมือขึ้นชี้ไปทางประตู “หวั่นขี ให้เธอเข้ามา”
สีหน้าของมู่หวั่นขีไม่ได้ดีไปกว่ามู่ลี่เหยียนแม้แต่นิด ก่อนจะหันไปตะโกนทางประตูอย่างไม่ยินยอม “เข้ามา”
แต่มู่น่อนน่อนกลับไม่ได้ผลักประตูเข้ามา
มู่หวั่นขีเดินไปเปิดประตูออกไปดู แต่หน้าประตูนั้นไม่มีแม้แต่เงาของมู่น่อนน่อน
เธอขบฟัน ข่มกลั้นอารมณ์โกรธไว้และหันไปหามู่ลี่เหยียน “พ่อ เธอไปแล้ว”
มู่น่อนน่อนในตอนนั้นก็ได้กลับมาถึงคอกทำงานแล้ว
เธอไม่เห็นเงาของซุนเจิ้งหวา
ผ่านไปสักพัก ซุนเจิ้งหวาก็ได้เดินมา “ทุกคนเตรียมตัว อีกสักครู่จะมีการประชุม”
การประชุมประจำวันจันทร์
มู่น่อนน่อนในฐานะพนักงานระดับรากหญ้าตัวน้อย การประชุมครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับเธออยู่แล้ว
แต่เวลาผ่านไปได้ไม่นาน หลังจากที่ประชุมเสร็จ มู่ลี่เหยียนและหวั่นขีก็ได้ตามซุนเจิ้งหวามายังแผนกการตลาด
มู่น่อนน่อนรู้สำนึกเพียงว่าการมาของพวกเขานั้นไม่เรื่องที่ดี และมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะมาหาเธอ
ในขณะนั้นเอง มู่หวั่นขีก็มองมาทางเธอ และกล่าวด้วยใบหน้าจริงจังว่า “มู่น่อนน่อน คุณตามมาด้วย”
ผลลัพธ์สุดท้ายคือมาหาเธอ
มู่น่อนน่อนเหลือบมองทั้งสามคน ก่อนจะลุกขึ้นและเดินตามไป
เธอยังไม่ทันได้เดินเข้าไปใกล้ มู่หวั่นขีก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าสองก้าว และตบที่ใบหน้าของเธออย่างแรง หลังจากนั้นก็กล่าวด้วยอย่างรุนแรง “รู้ไหมว่าฉันตบเธอทำไม”
มู่น่อนน่อนจับแก้มที่เริ่มชาของตัวเอง ผ่านไปได้สองวินาที ถึงได้หันมามองมู่หวั่นขี
ถึงแม้สีหน้าของมู่หวั่นขีดูน่าเกรงขาม แต่สายตาที่แสดงออกให้เห็นว่าดีใจแค่ไหนที่ได้แก้แค้นนั้นไม่สามารถรอดพ้นสายตาของมู่น่อนน่อน
“ฉันรู้ว่าการให้เธอไปทำงานในแผนกการตลาดนั้นลำบากขนาดไหน แต่เธอเป็นน้องสาวของฉัน เป็นคนตระกูลมู่ของเรา เมื่อตัดสินใจจะมาทำงานแล้ว ก็ควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกคน แต่สุดท้ายในวันแรกที่ได้ออกไปข้างนอกเธอก็โดดงานเสียแล้ว นี่มันไม่สมเหตุสมผล”
เวลาที่หาข้ออ้างมาสร้างความลำบากให้กับเธอ เธอก็ได้กลายเป็นคนของตระกูลมู่แล้วรึ
มู่น่อนน่อนยกยิ้มที่มุมปาก สายตามองไปที่มู่หวั่นขีอย่างเย็นชา “เรื่องเมื่อวาน เป็นฉันที่ไม่ดีเอง…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเธอก็เปลี่ยนไป และเอ่ยถาม “เพื่อนร่วมงานชายที่ออกไปข้างนอกกับฉันเมื่อวาน จะต้องทำงานอย่างหนักเป็นแน่ ฉันจะขอโทษเขาต่อหน้าทุกคน ได้ไหมคะ”
มู่หวั่นขีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทำไมมู่น่อนน่อนถึงยอมจำนนเร็วขนาดนี้
ทันใดนั้นเอง ซุนเจิ้งหวาก็เข้ามากระซิบที่ข้างหูของเธอ “ผู้ชายที่หามาได้เมื่อวาน ไม่ใช่คนของบริษัท”
ซุนเจิ้งหวาที่ทำเพื่อความเหมาะสมเป็นหลัก จึงไม่ได้หาจากคนในบริษัท เพราะกลัวว่าเรื่องมันใหญ่โตจนดังไปถึงมู่ลี่เหยียนเข้า ต่อให้มู่น่อนน่อนจะไม่ได้สลักสำคัญ แต่ก็เป็นลูกสาวของเขา อย่างไรเรื่องนี้คนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
มู่หวั่นขีได้ยินเช่นนั้น ก็คิ้วขมวด แล้วจึงหันมาพูดกับมู่น่อนน่อน “ผู้จัดการซุนบอกว่า เพื่อนร่วมงานคนนั้นไม่สบาย วันนี้จึงลงงานไป”
มู่ลี่เหยียนที่ยืนอยู่อีกด้าน และไม่ได้พูดอะไรมาตลอด แต่ทันใดนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ป่วยอะไรร้ายแรง จนถึงขอลาวันจันทร์ได้กัน”
ทุกวันจันทร์ แผนกและทีมงานของบริษัทจะต้องประชุมเพื่อมอบหมายงานกัน โดยปกติแล้วจะไม่สามารถลางานได้
ซุนเจิ้งหวาสีหน้าเปลี่ยนทันพลัน และกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “ทางนี้ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ พนักงานมีจำนวนมากเกินไป จึงจำไม่ค่อยได้ เช่นนั้นคงต้องขอกลับไปถาม…”
มู่น่อนน่อนเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ “เช่นนั้นคงต้องรบกวนผู้จัดการซุนบอกชื่อร่วมงานคนนั้นให้ฉันฟังหน่อยค่ะ พอเลิกงานไปฉันจะได้ไปเยี่ยมเขา”
มู่ลี่เหยียนรู้สึกว่าท่าทางของมู่น่อนน่อนนั้นไม่เลวเลยทีเดียว และไม่ควรที่จะผลักไสเธอเร็วเกินไป เพราะเขารู้สึกว่าลูกสาวของเขาในตอนนี้ไม่เหมือนกับในอดีต
ดังนั้น มู่ลี่เหยียนที่พอใจกับท่าทางของมู่น่อนน่อนเป็นอย่างมากจึงเอ่ยถามขึ้นมาในช่วงเวลาที่เหล็กกำลังร้อนๆ “วันนี้เพื่อนร่วมงานของกลุ่มไหนลางาน”
ทุกคนต่างเงียบไปทั้งแทบ และไม่มีใครพูดอะไร
ซุนเจิ้งหวาร้อนรนจนเหงื่อเริ่มซึมที่หัว
ในตอนที่มู่ลี่เหยียนคิ้วขมวดจนกำลังจะหมดความอดทน ทันใดนั้นหัวหน้ากลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา “กลุ่มพวกเรามีคนลางานคนหนึ่ง”
ทุกคนในกลุ่มต่างหันมาสบตากัน เมื่อครู่มู่น่อนน่อนบอกว่าเพื่อนร่วมงานชาย แต่คนในกลุ่มเขาที่ลางานไปเป็นผู้หญิงนะ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวอีกสักครู่คุณช่วยเอาช่องทางติดต่อของคนคนนั้นให้น่อนน่อนด้วย ให้เธอไปเยี่ยมหลังเลิกงาน” มู่ลี่เหยียนกล่าวจบ ก็หันไปมองพนักงานในความดูแลรอบๆ แล้วกล่าวว่า “ทุกคนไม่ต้องกังวลไป ถึงแม้จะเป็นวันจันทร์ แต่หากทุกคนมีเรื่องเร่งด่วนก็สามารถลาได้ บริษัทมู่ซื่อเป็นครอบครัวใหญ่ ทุกคนต่างเป็นครอบครัวเดียวกัน…”
มู่ลี่เหยียนกล่าวด้วยท่าทีผ่าเผยเสร็จ ก็เดินออกไปกับมู่หวั่นขี
แต่มู่หวั่นขีผู้ที่ไม่รู้ว่าเรื่องราวนั้นถูกเปิดเผยไปถึงครึ่งแล้ว ก่อนที่จะจากไป ยังหันมายิ้มเยาะใส่มู่น่อนน่อน
ตอนที่ 63 สามีของฉันไม่ใช่คนที่เธอจะมาวิพากษ์วิจารณ์ได้
มู่น่อนน่อนออกจากคฤหาสน์มา ยังไม่ทันออกไปได้ไกล ก็ได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้นที่ด้านหลัง
มู่น่อนน่อนหันกลับไป รถยนต์คันนั้นก็จอดที่ข้างๆ เธอทันที
หน้าต่างรถลดลง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของ “เฉินเจียฉิน” แต่ในสายตาของมู่น่อนน่อนเป็นใบหน้าที่เกลียดที่สุด
ดวงตาของเขาหรี่ลง น้ำเสียงเข้มทุ้ม “ขึ้นรถ ผมจะไปส่งคุณที่ทำงาน”
“ไม่จำเป็น” มู่น่อนน่อนปฏิเสธไปตามตรง เธอไม่อยากถูกจับตามองอีกแล้ว
เธอนึกภาพได้เลย ในตอนที่ “เฉินเจียฉิน” ไปส่งเธอที่บริษัท จะต้องถูกคนจับจ้อง หลังจากนั้นก็จะมีข่าวลือมากมายตามมา
ทันใดนั้น “เฉินเจียฉิน” ก็ยกยิ้มที่มุมปาก ดวงตาสีน้ำหมึกแผ่บรรยากาศน่ากลัวออกมาเล็กน้อย เสียงแหบเอ่ยเสียงต่ำ “คุณกำลังกลัวอะไร”
กลัวอะไรรึ
มู่น่อนน่อนชะงัก และถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา ว่าที่เธอเย็นชาต่อ “เฉินเจียฉิน” โดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจมาโดยตลอดนั้น ความจริงเป็นเพราะว่ากำลังกลัว
ถึงแม้เธอจะแสดงออกมาว่าเกลียดเขามาโดยตลอด แต่เธอก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ ว่าเขานั้นเป็นผู้ชายที่ดีมากจริงๆ
ความเย่อหยิ่งและอวดดีของเขานั้นราวกับฝังอยู่ในแกนกระดูก จนทำให้รู้สึกว่าผู้ชายแบบเขานั้นควรมีความมั่นใจในตัวเอง เช่นเดียวกับรูปลักษณ์ที่ส่องประกายโดยธรรมชาติ จนดึงดูดสายตาผู้คน
เขาเองก็แย่บ้างในบางครั้ง แต่ที่เขาดีต่อเธอนั้นก็เป็นความจริงเช่นกัน
ผู้ชายแบบนี้ ทำให้ผู้หญิงหวั่นไหวได้ง่ายจริงๆ
ดังนั้นมู่น่อนน่อนจึงตระหนักว่าต้องหลีกเลี่ยงเขาเสมอ และเย็นชาต่อเขา
เธอนั้นมีป้ายกำกับไว้ว่าเป็น “คุณหญิงของตระกูลเฉิน” และป้ายกำกับนี้จะคงอยู่กับเธอไปทั้งชีวิต ดังนั้นเธอจะต้องยิ่งรู้จักตัวเองให้มากขึ้น ต้องรู้จักรักษาหน้าที่ของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น
เธอกำลังกลัวความหวั่นไหวของใจตัวเอง
เมื่อเห็นมู่น่อนน่อนไม่ยอมพูดอะไรเป็นเวลานาน เฉินถิงเซียวก็เพิ่มแรงกระตุ้นเธอเข้าไปอย่างต่อเนื่อง “หรือว่า คุณคิดอะไรเกินเลยกับผม…”
“ฉันเปล่า” มู่น่อนน่อนแทบจะเถียงเขากลับไปในทันที
รอจนเธอตอบสนองกลับมาแล้ว เธอก็รีบขึ้นนั่งฝากข้างคนขับอย่างรวดเร็ว
สายตาของ “เฉินเจียฉิน” มองไปข้างหน้าไม่ล่อกแล่ก สีหน้าเรียบนิ่งและไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาเป็นพิเศษ แต่ในแววตาของเขากลับซ่อนร่องรอยของความสำเร็จเอาไว้ จนเผยให้เห็นความคิดของเขา
มู่น่อนน่อนละอายใจขึ้นมาทันพลันจนไม่กล้ามองเขา หันหน้ามองออกไปข้างนอกหน้าต่างรถ และเริ่มหาเรื่องชวนคุย “รถของคุณคันนี้ราคาเท่าไหร่”
“เฉินเจียฉิน” พูดขึ้นมาก่อนว่า “ไม่แพง”
มู่น่อนน่อนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย รถคันนี้พบเห็นได้น้อยมาก เมื่อก่อนในตอนที่เธอยังเรียนอยู่ มีคนรวยมากมายที่ขับรถแบบนี้มารับลูกสาวที่หน้าโรงเรียน มีรถหลากหลายยี่ห้อ เบนท์ลีย์เองก็มี แต่ไม่เคยเห็นรถรุ่นนี้มาก่อน
เธอรู้สึกว่ารถคันนี้มันค่อนข้างแพง
เฉินถิงเซียวมองเธอ “แต่เพิ่งจะเลิกผลิตไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน”
“คือฉัน…” แค่ถามเล่นๆ เท่านั้น
เฉินถิงเซียวเอ่ยขัดคำพูดของเธอ “หากคุณต้องการ พูดดีๆ ให้ฟัง แล้วผมจะลองพิจารณาเรื่องยกมันให้กันคุณ”
เมื่อรับรู้ได้ถึงสีหน้าของมู่น่อนน่อนที่เปลี่ยนไปในทันที เฉินถิงเซียวถึงได้รู้สึกขึ้นมาว่าตัวเองนั้นพูดอะไรออกไป
การที่พูดแบบนี้ในฐานะของเขาเฉินถิงเซียว การส่งรถต่อให้กับมู่น่อนน่อนนั่นไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกอะไร แต่หากคนที่พูดเป็น “เฉินเจียฉิน” มันออกจะไม่เหมาะสมเล็กน้อย
หลังจากนั้น จนกระทั่งมาถึงบริษัทมู่ซื่อ ทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก
ยามที่ลงจากรถ มู่น่อนน่อนก็กล่าวกับเขา “ขอบคุณค่ะ”
น้ำเสียงของเธอนั้นมีมารยาทอย่างถึงที่สุด แต่ก็มีความรู้สึกที่แปลกแยกอยู่อย่างมาก
เธอปิดประตูรถ หันหลังกลับ ก็เผชิญหน้ากับมู่หวั่นขีจะจะ
สีหน้าของมู่หวั่นขีมองมาที่เธออย่างเย้ยหยัน สายตามองไปยังรถที่อยู่ด้านหลังของเธอ “ดูเหมือนว่าเธอและลูกพี่ลูกน้องของเฉินถิงเซียวจะเข้ากันได้ดีไม่เลว คอยมารับมาส่งถึงที่ทำงาน กลมกลืนกันน่าดู”
“เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ย่อมกลมกลืนกันอยู่แล้ว หรือว่าจะต้องเหมือนกับเธอ…” มู่น่อนน่อนก้าวเท้าไปข้างหน้าสองก้าว ขยับเข้าไปใกล้มู่หวั่นขี และใช้ระดับเสียงที่จะได้ยินกันเพียงสองคน “สถานที่อย่างคลับจื่อจีน ไม่ใช่ที่ใครๆ จะชอบไปเที่ยวเล่น คราวหน้าพี่สาวอย่าแกล้งโกหกให้ฉันไปเที่ยวที่แบบนั้นเลย”
สีหน้าของมู่หวั่นขีแข็งค้างเล็กน้อย แต่ก็ดึงกลับมาเป็นธรรมชาติได้อย่างรวดเร็ว “ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
มู่น่อนน่อนยิ้มสดใส ในน้ำเสียงแฝงคำขู่ไปด้วยเล็กน้อย “แต่พ่อคงไม่ชอบให้พี่ไปเที่ยวที่คลับจื่อจีนเท่าไหร่ พี่ก็ระวังไว้สักนิดนะ”
มู่ลี่เหยียนไม่ได้เอ็นดูมู่น่อนน่อน แต่เขาชอบใช้ประโยชน์จากเธอ เธอที่อยู่ในฐานะคุณหญิงของตระกูลเฉิน ยังถือว่ามีประโยชน์อีกมาก หากมู่ลี่เหยียนรู้เรื่องที่มู่หวั่นขีทำกับมู่น่อนน่อน ย่อมด่ามู่หวั่นขีเป็นแน่
มู่น่อนน่อนเข้าใจในจุดนี้ มู่หวั่นขีเองก็เข้าใจเช่นกัน
แต่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่ามู่หวั่นขีไม่กลัวคำขู่ของมู่น่อนน่อนแม้แต่น้อย เธอยังพูดอย่างลำพองใจว่า “คำพูดปากเปล่า ใครจะไปเชื่อเธอกัน”
“มู่น่อนน่อน เลิกงานกี่โมง ผมจะมารับคุณ”
น้ำเสียงติดเย็นชาของ “เฉินเจียฉิน” ดังขึ้นมา มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับไปมองเขาด้วยความงุนงง เห็นได้ชัดว่าในแววตานั้นถูกเขียนไว้ว่า ทำไมคุณยังไม่ไปอีก
แน่นอนว่าเฉินถิงเซียวต้องแสร้งทำเป็นอ่านสายตานั้นของเธอไม่ออก ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไหว ราวกับว่าหากยังไม่ได้รับคำตอบที่เขาพอใจ เขาจะไม่หันหลังกลับเด็ดขาด
มู่น่อนน่อนที่ไม่มีทางเอก จึงทำได้แค่พยักหน้าให้เขาแต่โดยดี “ค่ะ”
เฉินถิงเซียวพอใจกับคำตอบนั้นอย่างมาก สายตาเย็นชามองกวาดมู่หวั่นขี กลับขึ้นรถและขับออกไปทันที
มู่หวั่นขีที่ถูกเขามองเช่นนั้นก็ตัวสั่นสะท้าน แต่สายตาของเธอกลับฉายแววโลภออกมา
หากตอนแรกรู้ว่าเฉินถิงเซียวจะมีลูกพี่ลูกน้องที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ หากเป็นเธอที่แต่งเข้าตระกูลเฉิน “เฉินเจียฉิน” ก็จะมาส่งเธอที่ทำงานใช่หรือไม่นะ
เธอนึกย้อนไปถึงวันนั้นที่โรงแรมจีนติ่ง ตอนมู่น่อนน่อนหยิบบัตรสีดำใบนั้นออกมา ดวงตาของเธอก็ลุกโชนเป็นไฟ
เธอรู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่เดิมคนที่จะได้แต่งเข้าตระกูลเฉินคนนั้นมันควรเป็นเธอ
มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับมา ก็เห็นใบหน้าของมู่หวั่นขีที่ฉายแววโลภกำลังมองไปตามทางที่ “เฉินเจียฉิน” ออกไป
มู่น่อนน่อนยกยิ้ม และหัวเราเยาะเย้ย “ตอนนี้พี่สาวเริ่มเสียใจที่ยกคู่หมั้นของตัวเองให้ฉันแล้วอย่างนั้นใช่ไหม แต่พี่เสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้เฉินถิงเซียวยินยอมที่จะหย่ากับฉัน เขาก็ไม่มีทางแต่งกับพี่อยู่ดี”
ถึงแม้กระแสเรื่องคลิปที่ไม่เหมาะสมของมู่หวั่นขีจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ชื่อเสียงของเธอนั้นก็ได้ถูกทำลายเป็นที่เรียบร้อยเช่นกัน คงเป็นอะไรที่แปลกหากตระกูลเฉินจะยอมให้ผู้หญิงไร้เกียรติแบบนี้แต่งเข้าตระกูล
เมื่อถูกมู่น่อนน่อนทำลายจินตนาการ สีหน้าของมู่หวั่นขีแปรเปลี่ยนไปจนน่าเกลียด
แต่สีหน้าของเธอก็กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว เธอเสยผมขึ้นและกล่าวอย่างลำพองใจ “ฉันต่างหากที่ไม่อยากแต่งกับคนไร้ค่าอย่างเฉินถิงเซียว”
ที่เธอต้องการ คือ “เฉินเจียฉิน”
“เฉินเจียฉิน” ผู้ชายที่ยอดเยี่ยมแบบนั้น หากได้แต่งและได้อยู่กับเขาสักหนึ่งครั้ง รสชาติของชีวิตนั้นจะต้องติดอยู่ตลอดไปไม่หายไปอย่างแน่นอน
คนโง่อย่างมู่น่อนน่อน ต่อให้สวยขึ้นแล้วมันอย่างไร เรื่องรับมือกับผู้ชายอย่างไรก็ไม่มีทางสู้เธอได้
หากมู่น่อนน่อนไม่มีประสบการณ์มาก่อน ย่อมไม่มีทางเดาได้เลยว่ามู่หวั่นขีกำลังคิดเรื่องน่ารังเกียจอะไรอยู่ รู้สึกแค่ว่าท่าทางขยี้ขย้ำหัวของเธอนั้นราวกับคนเป็นประสาท
แต่ที่มู่หวั่นขีพูดว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนไร้ประโยชน์ นั่นทำให้เธอไม่มีความสุข
“เฉินถิงเซียวจะเป็นคนไร้ประโยชน์แล้วมันอย่างไร สามีของฉัน ไม่ใช่คนที่เธอจะมาวิพากษ์วิจารณ์ได้” มู่น่อนน่อนกล่าวจบ ก็ยังรู้สึกไม่สาแก่ใจ จึงเหยียบเท้าของมู่หวั่นขีอย่างแรงไปหนึ่งครั้ง และเดินกร่างเข้าบริษัทมู่ซื่อไป
มู่หวั่นขีกรีดร้องและไล่ตามมาทันที “มู่น่อนน่อน ยัยสารเลว”
ขณะเดียวกัน เฉินถิงเซียวที่ควรออกไปตั้งนานแล้ว ก็เดินออกมาจากข้างหลังเสาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ตอนที่ 62 ผมไม่ได้ลวนลามคุณ
สายตาของเฉินถิงเซียวจ้องเขม็งมาที่เธอ ไม่ละเว้นสายตาจากสีหน้าของเธอไปแม้แต่จุดเดียว มองมาอย่างถี่ถ้วนและจริงจัง
ยามที่เขามองมู่น่อนน่อน มู่น่อนน่อนเองก็มองเขา ทั้งสองคนสบตากันเงียบๆ ราวกับกำลังทดสอบฝีมือกันอย่างไร้เสียง
ท้ายที่สุด ก็เป็นมู่น่อนน่อนที่ต้องหลบสายตาออกไปก่อน
“เฉินเจียฉิน” ก็คือเฉินถิงเซียว?
ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันไร้สาระมากๆ
เฉินถิงเซียวที่เห็นสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด ก็เริ่มเข้าใจ การที่จู่ๆ เขาพูดแบบนี้ขึ้นมามันคงกะทันหันเกินไป
เขาดึงสายตากลับมา และดื่มน้ำอย่างเอื่อยเฉื่อย ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน “หากผมบอกว่าไม่ใช่ คุณก็จะเชื่ออย่างนั้นใช่ไหม”
มู่น่อนน่อนจับได้ถึงน้ำเสียงหยอกล้อของเขา ก็ถอนหายใจผ่อนคลาย “แน่นอนว่าไม่ คุณคิดว่าฉันโดนหลอกได้ง่ายขนาดนั้นหรือ”
เฉินถิงเซียวกล่าวเสียงเรียบ “เปล่า”
เขาไม่ได้คิดว่าเธอนั้นหลอกได้ง่าย แต่เดิมเธอนั้นถูกหลอกได้ง่ายมากอยู่แล้ว
เมื่อทานข้าวเสร็จจนกลับเข้ามาในห้อง มู่น่อนน่อนก็ยังคงคิดเรื่องที่ “เฉินเจียฉิน” พูด
เธอและ “เฉินเจียฉิน” เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ด้วยเนื้อในของเขาที่เย่อหยิ่งและอวดดีย่อมไม่มีใครมาจัดการเขา ให้แต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้ชอบได้
ไม่ว่าในตอนแรก จะเป็นเธอหรือมู่หวั่นขีที่แต่งเข้ามา พวกเขาสามารถตรวจสอบความจริงของพวกเธอทั้งสองได้แน่ๆ
เธอในเวลานั้น “ทั้งน่าเกลียดและหน้าโง่” ส่วนมู่หวั่นขีนั่นกลับมีชีวิตส่วนตัวที่เละเทะ ช่วงเวลาเปิดเทอมก็ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ไม่ได้ถือเป็นแบบอย่างที่ดีเลย
หาก “เฉินเจียฉิน” คือเฉินถิงเซียวจริงๆ เขาไม่มีความจำเป็นต้องกล้ำกลืนแต่งงานกับเธอและมู่หวั่นขีเลย
และยิ่งไปกว่านั้น เฉินถิงเซียวคือคนที่มีข้อบกพร่อง และเขาก็หลีกเลี่ยงมู่น่อนน่อนอย่างเย็นชา แต่นั่นกลับทำให้น่าเชื่อยิ่งขึ้น
ด้วยการวิเคราะห์แบบนี้ ทำให้มู่น่อนน่อนสงบใจลงมาได้ หยิบเสื้อผ้าและเข้าห้องอาบน้ำไป
เมื่อออกมาหลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพอดิบพอดี
เธอรับสายทันที โดยไม่ได้มองว่าเป็นใครที่โทรมา
“วันนี้โดดงานรึ”
ไม่ได้ยินน้ำเสียงที่ดุดันของมู่ลี่เหยียน มู่น่อนน่อนก็ชะงักไปอึดใจ เปิดลำโพงโยนไปบนเตียง หลังจากนั้นก็เช็ดผมพลางกล่าวว่า “ข่าวสารของพ่อนี่รวดเร็วจริงๆ วันนี้ตอนเช้าฉันกลับบ้านมาทันทีที่ออกไป และพอตกค่ำแล้วพ่อถึงเพิ่งจะได้รู้ว่าฉันโดดงาน”
เรื่องเมื่อตอนเช้า ผู้ชายคนนั้นที่ออกไปสำรวจตลาดกับเธอ จะต้องเป็นคนที่ซุนเจิ้งหวาเอามาแก้แค้นเธอเป็นแน่
ไม่อย่างนั้น ด้วยนิสัยที่ชอบสร้างความลำบากให้แก่เธอของมู่หวั่นขี จะเป็นไปได้อย่างไรที่เพิ่งจะมาบอกเรื่องนี้กับมู่ลี่เหยียนในเวลาแบบนี้
เรื่องนี้ อย่างน้อยมู่หวั่นขีก็ต้องเข้าร่วมด้วยหนึ่งก้าว อาจจะเป็นหลังจากที่ยืนยันได้แล้วว่าคนคนนั้นทำไม่สำเร็จ ถึงได้ปรี่เข้าหามู่ลี่เหยียนเพื่อฟ้องเรื่องของเธอ
มู่หวั่นขีไม่ละความพยายามในการแก้แค้นเธอเลยจริงๆ
เรื่องที่คลับจื่อจีนเมื่อครั้งที่แล้ว เธอยังไม่ได้คิดบัญชีกับมู่หวั่นขีเลยนะ
วันนั้นที่ออฟฟิศของมู่ลี่เหยียน เธอจงใจพูดว่ามู่หวั่นขีไปที่คลับจื่อจีนอีกแล้ว เพราะอยากจะลองทดสอบดูเล็กน้อยว่าวันนั้นมู่หวั่นขีได้อยู่ที่คลับจื่อจีนจริงหรือไม่
ถึงแม้ว่าตัวการเรื่องนั้นจะไม่มีใครอื่นนอกจากมู่หวั่นขีแล้ว แต่เธอก็ต้องทำการยืนยันให้แน่ใจเสียก่อน
มู่ลี่เหยียนไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับมู่น่อนน่อนในวันนี้เลยแม้แต่น้อย เมื่อมาได้ยินน้ำเสียงอวดดีขอมู่น่อนน่อน ก็ยิ่งเดือดดาล เขาที่อยู่ปลายสายตวาดลั่น “มู่น่อนน่อน เธอคิดว่าที่ตอนนี้ได้เป็นคุณหญิงของตระกูลเฉินแล้ว ฉันจะควบคุมเธอไม่ได้ใช่ไหม”
มู่น่อนน่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “เปล่านี่ หากพ่ออยากควบคุมฉัน เวลาไหนก็ทำได้ทั้งนั้น”
แต่ว่า ตั้งแต่เล็กจนโต มู่ลี่เหยียนก็ไม่ได้สนใจเธอเลย มีเพียงตอนที่จะใช้ประโยชน์จากเธอเท่านั้น ถึงได้เห็นเธออยู่ในสายตา
มู่ลี่เหยียนถูกคำพูดของมู่น่อนน่อนค้านไว้จนพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ได้แต่พูดคำว่า “ดี” ขึ้นมาซ้ำๆ “ดี ดี มาคุยกันอีกครั้งวันจันทร์ที่บริษัท”
กล่าวจบ เขาก็วางสายเสียงดัง โครม
มู่หวั่นขีเทน้ำและวางลงเบื้องหน้ามู่ลี่เหยียน “พ่อ น่อนน่อนพูดอะไร ถึงทำให้พ่อโกรธขนาดนี้กัน”
“ฉันว่าเธอคงคิดว่าไม่มีใครสามารถรักษาเธอได้ ถึงได้ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาแบบนี้” มู่ลี่เหยียนตบโต๊ะทำงานเสียงดังด้วยความโมโห
มู่หวั่นขียื่นมือไปลูบอกของเขาเพื่อปลอบประโลมเขา และเอ่ยปลอบเขาว่า “พ่อ ฉันรู้สึกว่าครั้งนี้น่อนน่อนทำเกินไปแล้ว พ่อดีกับเธอขนาดนี้ แต่เธอกลับไปเห็นพ่ออยู่ในสายตา ฉันว่า คงต้องให้บทเรียนแก่เธอบ้างแล้วล่ะ”
มู่ลี่เหยียนได้ยินเช่นนั้น ก็ครุ่นคิดเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พยักหน้าช้าๆ
……
เรื่องที่มู่ลี่เหยียนบอกว่าค่อยพูดกันใหม่ที่บริษัทในวันจันทร์ มู่น่อนน่อนก็ได้แอบคิดเอาไว้แล้วว่าเรื่องนี้จะยังไม่จบ
อย่างไรเธอก็กล้าไปบริษัทมู่ซื่ออยู่แล้ว ไม่ได้กลัวอะไรทั้งนั้น
เสิ่นเหลียงยังคงถ่ายทำนอกสถานที่ มู่น่อนน่อนเองก็ไม่มีเพื่อนที่เมืองหู้หยางแล้ว วันหยุดจึงไม่ได้ออกไปข้างนอก จึงอยู่ที่บ้านดูละคร และเขียนสคริปต์
แน่นอนว่าจะอยู่ที่บริษัทมู่ซื่อไม่นาน เธอจะลืมวิชาชีพไปไม่ได้
สองวันมานี้ไม่รู้ว่า “เฉินเจียฉิน” กำลังติดพันกับอะไร เจอหน้าที่บ้านน้อยครั้งมาก แม้แต่วันหยุดเธอก็ไม่เห็นหน้าเขา แต่ก็ถือว่าช่วยเธอได้หลายอย่างทีเดียว
เช้าวันจันทร์
เมื่อคืนตอนใกล้จะเที่ยงคืน เธอได้ยินเสียงเครื่องยนต์ ดังนั้นเธอจึงเดาว่า “เฉินเจียฉิน” คงจะอยู่ที่บ้านแล้ว
ดังนั้นในตอนที่เธอทำมื้อเช้า จึงทำไว้สองชุด
ในตอนที่เธอถือมื้อเช้าของตัวเองออกมาจนถึงหน้าประตูห้องครัว ก็พบ “เฉินเจียฉิน” ที่อยู่ในชุดสูทนั่งอยู่ที่โต๊ะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พบหน้าเขาจะจะ หลังจากที่ทานข้าวด้วยกันตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว
มู่น่อนน่อนยังคงขุ่นเคืองใจเพราะคำพูดของเขาเมื่อวันนั้น จึงถือมาแค่มื้อเช้าของตัวเองและนั่งลง มองเขาและเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณไปเอามื้อเช้าของคุณที่ห้องครัวเลย”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร และสายตาก็มองอยู่ที่มื้อเช้าของเธอ
เธอทำมื้อเช้าง่ายๆ ก็แค่โจ๊กและแพนเค้ก
มู่น่อนน่อนรับรู้ถึงสายตาของเขา รู้สึกขึ้นมาว่าเขานั้นจะต้องแย่มื้อเช้าของเธอแน่
ดังนั้นเธอจึงก้มหน้าก้มตากัดแพนเค้กเข้าไปหนึ่งคำ เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
หลังจากที่ทำลงไปแล้วถึงได้รู้สึกว่าตัวเองนั้นทำตัวเด็กมาก
แต่เธอไม่คิดเลยว่า “เฉินเจียฉิน” จะทำตัวเด็กกว่าเธอ
เขาลุกขึ้นยืน ใช้ประโยชน์จากมือที่ยาว หยิบมื้อเช้าที่อยู่ตรงหน้าเธอมาวางที่เบื้องหน้าของตัวเอง
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังทำท่าเลียนแบบ กัดแพนเค้กตรงตำแหน่งเดียวกับที่เธอกัดไว้หนึ่งคำ
มู่น่อนน่อนที่ไม่เคยสัมผัสกับเพศตรงข้ามมาก่อน ก็หน้าแดงขึ้นมาทันที “คุณ คุณมันหน้าไม่อาย”
เฉินถิงเซียววางตะเกียบลง ท่าทางจริงจังและสงบนิ่ง “ผมไม่ได้ลวนลามคุณด้วยซ้ำ ทำไมคุณต้องด่าด้วย”
มู่น่อนน่อน “…..”
เมื่อเถียงสู้เขาไม่ได้ เธอก็หันหลังกลับเข้าไปห้องครัวและทานอาหารเช้าที่เหลือ และทานมันที่ห้องครัวด้วยความเร็วราวกับพายุจนหมดแล้วจึงเดินออกมา
ในตอนที่เธอเดินออกมา เฉินถิงเซียวก็มองเธอด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนเดินออกไปข้างนอกราวมีลงพยุงอยู่ที่ใต้เท้า เฉินถิงเซียวมองจนร่างของเธอหายไป มุมปากอดที่จะยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้
ความจริงเธอไม่รู้ว่าเขาคือเฉินถิงเซียว เหมือนว่าจะค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว
สองวันนี้ถึงแม้เขาจะยุ่งมาก แต่ก็ยังจำเหตุการณ์เมื่อวันศุกร์ที่มู่น่อนน่อนกลับมาเร็วได้
มู่หวั่นขีจิตใจอำมหิต ย่อมต้องหาทางแก้แค้นมู่น่อนน่อนแน่ และหากไม่จำเป็น เขาจะไม่ลงมืออย่างแน่นอน อย่างไรการเฝ้าดูมู่น่อนน่อนผู้หญิงคนนั้นเข้าปะทะกับคนด้วยปัญญาและความกล้าหาญ ก็ยังน่าสนใจมากทีเดียว
นี่คือสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจ แต่ร่างของเขากลับลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ตอนที่ 61 การหยอกล้อแบบใหม่
ดวงตาของมู่น่อนน่อนเบิกกว้าง “ซือ…”
ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดต่อ ดวงตาของชายสวมผ้าปิดปากหรี่ลงเล็กน้อยและเอ่ยขัดจังหวะในการพูดของเธอ “ประโยคต้องเป็นผมที่ควรถามคุณไม่ใช่หรือ คุณไม่มีธุระแล้วมาทำอะไรที่นี่”
ในน้ำเสียงที่น่าฟังนั้นมีความดุดันเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงความกังวล
มู่น่อนน่อนเกือบจะคิดไปแล้วว่าผู้ชายคนนี้คือ ลูกพี่ลูกน้อง ของตัวเองจริงๆ และกล่าวขึ้นมาด้วยความงุนงง “ฉันกำลังจะกลับ”
“ผมไปส่ง” ชายที่สวมผ้าปิดปากกล่าวจบ ก็ลากข้อมือของเธอเดินออกไป
แต่เห็นได้ชัดว่าเพื่อนร่วมงานชายที่มาพร้อมกับมู่น่อนน่อนคนนั้นจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ เขาก้าวไปขวางทางข้างหน้าของมู่น่อนน่อน “พวกเราออกมาสำรวจการตลาด คุณกำลังจะโดดงานหรือ”
มู่น่อนน่อนมองเขายิ้มๆ “ลูกพี่ลูกน้องของฉันนานๆ จะกลับมาจากต่างประเทศสักครั้ง ฉันอยากจะสังสรรค์กับเขาสักหน่อย รบกวนคุณลาให้ฉันด้วยนะคะ”
ชายคนนั้นยังอยากจะขวางทางมู่น่อนน่อนต่อ ชายที่สวมผ้าปิดปากจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาช้าๆ “อยากให้ผมแจ้งความหรือ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ชายคนนั้นจึงรีบเปิดทางให้
มู่น่อนน่อนขึ้นรถไปกับชายที่สวมผ้าปิดปาก เธอลังเลแล้วลังเลอีก สุดท้ายก็เรียกความกล้าแล้วเอ่ยถามออกไป “คุณคือซือเฉิงหยู้ใช่ไหม”
ซือเฉิงหยู้ดึงผ้าปิดปากออก และมองเธอยิ้มๆ “มองออกได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “ไม่ใช่ เปล่าเลย… ฉันแค่…”
จะให้บอกว่าติดตามเขามาแปดปี ก็คงจะน่าอายเกินไปที่มู่น่อนน่อนจะพูดออกไป จนใบหน้าขึ้นสี
เธอดูละครของเขาทุกเรื่อง ดังนั้นเธอจึงคุ้นเคยกับแววตาของเขา
ซือเฉิงหยู้ที่เห็นใบหน้าของเธอแดงระเรื่อ จึงพยักหน้า และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผมเข้าใจ”
เขาดึงสายตากลับไปตั้งใจขับรถ และเอ่ยถามเธอ “คุณจะไปที่ไหน”
“ข้างหน้าที่มีคนเยอะๆ ค่ะ ฉันเรียกรถกลับเองก็ได้แล้ว” มู่น่อนน่อนไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันได้เจอซือเฉิงหยู้ตัวเป็นๆ เธอจึงมีความสุขมากที่ได้เจอเขา ความชอบที่มีต่อเขานั้นยังจำกัดอยู่ที่ละครของเขาเท่านั้น ครั้งนี้เขาได้ช่วยเธอไว้ เธอก็ไม่ควรจะใช้ฐานะแฟนคลับมารบกวนเขา
เมื่อถึงที่ที่มีคนมาก ก่อนที่มู่น่อนน่อนก็ได้เอ่ยถามเขา “หลังจากที่คุณกลับประเทศมาจะรับละครเรื่องใหม่ไหมคะ”
ซือเฉิงหยู้ก็ตอบกลับไปโดยไม่ลังเล “หากมีบทละครดีๆ ผมจะเล่นแน่นอน จะเล่นจนถึงวันที่แก่ตัวจนเล่นต่อไม่ได้ครับ”
ดวงตาของมู่น่อนน่อนเป็นประกาย และพยักหน้าแรงๆ “อื้อ ตราบใดที่คุณยังแสดงได้ดีแบบนี้ ฉันเองก็จะดูไปตลอดเช่นกัน”
ซือเฉิงหยู้หัวเราะ ดูเหมือนว่าเธอนั้นจะชอบละครของเขามากจริงๆ นอกจากนี้ยังเป็นผู้ชมที่เถรตรงมากเสียด้วย
มู่น่อนน่อนกล่าวอีกว่า “เรื่องในวันนี้ต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ ค่ะ”
ซือเฉิงหยู้นึกไปถึงเรื่องก่อนหน้านี้ เขายักคิ้วแล้วกล่าว “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แต่ผู้หญิงเวลาอยู่ข้างนอกก็ควรจะระวังตัวไว้ด้วย”
“อื้อ ฉันจะระวังค่ะ” มู่น่อนน่อนกล่าวจบก็ยิ้มให้เขา และหันหลังเดินออกไป
ซือเฉิงหยู้มองตามแผ่นหลังของเธอ ในตอนที่เหม่อลอยเล็กน้อย ก็เอ่ยถามเธอ “คุณชื่ออะไร”
มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับไปด้วยความตกใจ “มู่น่อนน่อน”
“มู่น่อนน่อน…” ซือเฉิงหยู้ทวนชื่อของเธอขึ้นมาเบาๆ อีกครั้ง และคิ้วก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย
หากเขาจำไม่ผิด ภรรยาที่เพิ่งผ่านพิธีวิวาห์ของถิงเซียว ก็เหมือนจะชื่อนี้เหมือนกัน…
……
โรงแรมจีนติ่ง
เพียงเฉินถิงเซียวเดินเข้าไป ก็พบเจอกับสือเย่
สือเย่ที่เมื่อก่อนถูกเขาส่งไปต่างประเทศครั้งหนึ่ง และเพิ่งจะกลับมา
สือเย่เดินไปหาเขา และกล่าวด้วยความเคารพ “คุณชาย”
เฉินถิงเซียวยกมือขึ้นมาเพื่อดูเวลา “พี่ใหญ่มาถึงหรือยัง”
สือเย่ “เพิ่งมาถึงเมื่อสักครู่ครับ”
เฉินถิงเซียวเดินตรงไปยังห้องพิเศษ
ซือเฉิงหยู้ได้ยินเสียงเปิดประตู ก็เงยหน้าไปมองทางประตู ในตอนที่เห็นเฉินถิงเซียว เขาก็หลุดรอยยิ้มที่อบอุ่นขึ้นมา ตัวตนของเขาก็ยิ่งอ่อนโยนราวกับหยกยิ่งขึ้น
เขาเรียก “ถิงเซียว”
เฉินถิงเซียวเดินไปนั่งลงตรงข้ามกับเขา และผลักเมนูอาหารไปเบื้องหน้าของเขา “พี่ใหญ่ยังไม่ได้สั่งอาหารหรือ”
ซือเฉิงหยู้เป็นลูกชายผู้เป็นป้าของเฉินถิงเซียว และยังเป็นดาวรุ่งอันดับต้นๆ ของบริษัทเสิ้งติ่ง
“ไม่รีบ” ซือเฉิงหยู้ไม่ได้เปิดพลิกเมนูอาหาร กลับเอ่ยถามขึ้นอย่างสนใจ “กับภรรยาคนใหม่ของนายเป็นอย่างไรกันบ้าง”
เมื่อเอ่ยถึงมู่น่อนน่อน คิ้วของเฉินถิงเซียวก็ขมวดเล็กน้อย ไม่ยอมพูดอะไรมากมาย “ก็ไม่เป็นอย่างไร”
ซือเฉิงหยู้ยื่นมือออกไปจับแก้วน้ำที่อยู่ข้างหน้า และทำท่าทีถามไปเรื่อยเปื่อย “ทำไมล่ะ รับมือยากหรือ”
มู่น่อนน่อน ผู้หญิงคนนั้นรับมือได้ยากไหมไม่รู้ เพราะเธอไม่เคยรบกวนเขาเลย
ซือเฉิงหยู้เป็นคนค่อนข้างเฉื่อยชา แต่วันนี้เขากลับมีคำถามค่อนข้างมาก
เฉินถิงเซียวเอนพิงไปด้านหลัง และมองซือเฉิงหยู้อย่างละเอียด “ที่พี่กลับมาก็เพราะใส่ใจกับชีวิตแต่งงานของผมหรือ”
ซือเฉิงหยู้ก็รับรู้แล้วว่าตัวเองนั้นถามมากเกินไปแล้ว เขาหัวเราะ และเปลี่ยนหัวข้อไปเรื่องอื่นอย่างเป็นธรรมชาติ “แม่ฉันบอกว่า หากฉันยังไม่ยอมหาแฟน ท่านจะจับฉันไปรายการหาคู่”
ใบหน้าของเฉินถิงเซียวเผยท่าทีสนุกสนานที่หาดูได้ยากออกมา “บริษัทไม่อนุญาตให้พี่ไปรายการหาคู่หรอก ในฐานะเจ้าของบริษัท ผมสามารถให้คนหาคู่เดตในพี่ได้นะ”
ซือเฉิงหยู้กระแอมไอขึ้นมาก่อนจะบอกว่า “หากฉันออกเดตแฟนคลับฉันหายแน่”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเขา “คิดว่าตัวเองเป็นไอดอลหรือ”
ซือเฉิงหยู้ “…..” ได้เป็นราชาวงการภาพยนตร์ตั้งแต่อายุยี่สิบแปดนั่นคือความผิดของเขาหรือ
……
ตกเย็น เฉินถิงเซียวเลิกงานกลับบ้าน ก็พบว่ามู่น่อนน่อนไม่เพียงแต่จะอยู่ที่บ้าน ทั้งยังเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว
ยามปกติ ในตอนที่เขาเลิกงานกลับบ้าน มู่น่อนน่อนเองก็เพิ่งจะกลับมาเช่นกัน ทำไมวันนี้ถึงได้กลับเร็วขนาดนี้
ในตอนที่เขาเดินไปถึงหน้าห้องครัว ก็พบเห็นมู่น่อนน่อนที่สวมถุงมือกันร้อนกำลังถือน้ำซุปถ้วยใหญ่ออกมา
มู่น่อนน่อนที่เห็นเฉินถิงเซียว คิ้วก็ขมวดมุ่น “เฉินเจียฉิน หลีกทางเร็วๆ”
เฉินถิงเซียวไม่หลีก ทั้งยังเอาเสื้อสูทตัวนอกที่พาดอยู่ที่แขนไปพาดไว้ที่แขนของมู่น่อนน่อน และยื่นมือไปรับถ้วนน้ำซุปในมือของเธอ
มู่น่อนน่อนมองมือของเขาที่เข้ามารับน้ำซุป ก็อดไม่ได้ที่จะเตือนเขา “เฮ้ นี่มันร้อนมากนะ”
เฉินถิงเซียววางถ้วยน้ำซุปลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าเรียบเฉย
มู่น่อนน่อน “…..” ผู้ชายคนนี้เป็นเหล็กไหลอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ในยามที่ทั้งสองคนนั่งลงทานข้าวด้วยกัน เฉินถิงเซียวก็ทำท่าทีถามไปเรื่อยเปื่อย “ทำไมวันนี้ถึงกลับมาเร็วล่ะ”
มู่น่อนน่อนตักน้ำซุปให้กับตัวเอง เอียงหน้ามองเขา “ฉันต้องรายงานคุณด้วยหรือ”
เฉินถิงเซียวขุ่นเคืองจนหัวเราะออกมา “ปากคอเราะราย”
อย่างไรก็ตามด้วยสถานะของเขา “เฉินเจียฉิน” ในตอนนี้ก็ไม่สามารถรักษาเธอได้
“ขอบคุณสำหรับคำชม” มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าจากข้อสรุปที่ได้มาจากประสบการณ์เธอนั้นไม่ผิดทีเดียว เพียงเธอไม่แสดงด้านที่อ่อนแอออกมา “เฉินเจียฉิน” ก็จะไม่สามารถทำอะไรเธอได้
ดวงตาของเฉินถิงเซียวหรี่ลงเล็กน้อย และจ้องมู่น่อนน่อนเขม็ง
ทั้งร่างเขาดูเย่อหยิ่งและเผด็จการ แม้แต่เวลาที่มองมา ออร่าในแววตาที่แผ่ออกมานั้นก็แตกต่างจากคนปกติทั่วไป
มู่น่อนน่อนเริ่มไม่สบายใจที่ถูกเขามอง ในยามที่กำลังจะพูด ก็ได้ยินเฉินถิงเซียวพูดออกมาช้าๆ ว่า “มู่น่อนน่อน ผมคือเฉินถิงเซียว”
มู่น่อนน่อน “????”
ภายในห้องอาหารตกอยู่ในความเงียบ ระหว่างทั้งสองคนนั้นมีเพียงโต๊ะหนึ่งตัวกั้นอยู่ สีหน้าของทั้งสองดูเคร่งเครียด
มือที่จับตะเกียบของมู่น่อนน่อนจับแน่นขึ้น น้ำเสียงแหบ พร่าเล็กน้อยยามที่พูดออกไป “นี่คือการหยอกล้อแบบใหม่ของคุณหรือ
ตอนที่60 แก้แค้นเธอ
มู่น่อนน่อนกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องทำอาหารให้“เฉินเจียฉิน” ถึงยังไงมันก็เป็นเรื่องที่เธอรับปากเขาไว้แล้ว
แต่ว่าหลังจากเข้ามาในห้าง มู่น่อนน่อนก็โดนพวกเธอลากไปลองนี่ลองนั่น
ท้องฟ้าข้างนอกก็เริ่มมืดลงแล้ว มู่น่อนน่อนหาข้ออ้างแล้วพูดว่า “เหนื่อยจัง ไปหาที่นั่งพักหน่อยเถอะ”
หลังจากนั้น พวกเธอก็ไปหาร้านน้ำดื่มนั่งกัน
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ออกมา ก็เห็นรายชื่อของ“เฉินเจียฉิน”อยู่ในสายที่ไม่ได้รับ
เธอรู้สึกว่า“เฉินเจียฉิน” ปกติก็ไม่ค่อยจะมีความอดทนอะไรอยู่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะโทรหาเธอตั้งสองครั้ง เธอสามารถนึกภาพได้เลยว่าหน้าของเขาจะโกรธขนาดไหนหลังจากที่เธอไม่ได้รับสายที่สองของเขา
มู่น่อนน่อนรีบลุกขึ้น “ขอโทษด้วยนะ ฉันมีธุระนิดหน่อยต้องกลับก่อนแล้ว วันนี้ขอบคุณทุกคนมากนะ เดี๋ยววันหลังฉันจะเลี้ยงข้าวทุกคนเอง”
หลังจากออกมาจากห้าง เธอก็เดินไปที่ป้ายรถเมล์ พลางโทรหา“เฉินเจียฉิน”
เสียงรอสายยังไม่ทันดัง ก็มีคนรับสาย
“อยู่ไหน?”
น้ำเสียงของ “เฉินเจียฉิน”ทุ้มมาก แต่ว่ามันดูผิดปกติ เสียงของเขาทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกมืดมนตามไปด้วย
มู่น่อนน่อนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
เธอยื่นมือออกไปลูบคอของตัวเองแล้วตอบว่า “ยังอยู่ข้างนอก เดี๋ยวฉันกำลังกลับแล้ว ถ้าเกิดว่านายหิวก็สั่งอะไรกินไปก่อน”
เขาย้ำกลับมาอีกครั้ง “ฉันถามว่าเธออยู่ไหน”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรำคาญและความโกรธ ไม่ได้ปกปิดมันอีกต่อไป
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองป้ายชื่อห้าง หลังจากนั้นก็ตอบ“เฉินเจียฉิน”ไป
ตั้งแต่ตอนที่เห็นท่าทีที่น่ากลัวของ“เฉินเจียฉิน”เรื่องการ์ดดำนั้น เธอก็ไม่กล้าไปยั่วยุคุณผู้ชายคนนี้อีกเลย
มู่น่อนน่อนก็หันกลับไป แล้วก็เดินกลับไปที่ประตูห้างอีกครั้ง เพื่อรอให้“เฉินเจียฉิน”มารับ
เธออยู่ตรงนั้นไม่นาน ก็เห็นรถของ“เฉินเจียฉิน”แล่นเข้ามา
เธอกำลังจะเดินเข้าไป ก็ได้ยินเสียงเรียกเธอจากด้านหลัง “น่อนน่อน เธอยังไม่กลับอีกหรอ?”
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปอย่างแข็งทื่อ คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอคือเพื่อนร่วมงานที่พาเธอมาเดินเล่นเมื่อกี้นี้
“ใช่ ฉันยัง…”
มู่น่อนน่อนพึ่งจะพูดออกมาได้แค่ครึ่งเดียว ก็โดน“เฉินเจียฉิน”ตัดบทสะก่อน
“มู่น่อนน่อน ขึ้นรถ” เฉินถิงเซียวขับรถมาจอดข้างๆเธอ แล้วก็เปิดหน้าต่างรถ พร้อมกับมองหน้าเธอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
พวกเพื่อนร่วมงานพวกนั้นก็พากันแสดงสีหน้าตกใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด:(⊙o⊙)…
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ามันจบแล้ว
มู่น่อนน่อนหันกลับไปมองหน้า“เฉินเจียฉิน” แล้วก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงแม้ว่าฉันจะอายุน้อยกว่านาย แต่ว่ายังไงฉันก็เป็นพี่สะใภ้นายนะ”
เฉินถิงเซียวค่อยๆหันหน้าไป ก็เห็นเพื่อนร่วมงานของมู่น่อนน่อนที่อยู่ข้างหลังเธอ เขาเลิกคิ้วนิดหน่อย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรำคาญ “ขึ้นรถ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเขาเริ่มหมดความอดทนแล้ว กลัวว่าเขาจะทำเรื่องอะไรขึ้นมาอีก เธอก็ได้แต่หันหน้าไปพูดกับคนด้านหลังว่า “นี่คือลูกพี่ลูกน้องของสามีฉัน เขาผ่านมารับฉันพอดี ฉันไปก่อนนะ”
เธอไม่กล้าอยู่ที่นี่นานกว่านี้ ก็รีบเปิดประตูขึ้นรถไปทันที
เมื่อตอนที่“เฉินเจียฉิน”สตาร์ทรถนั้น มู่น่อนน่อนยังเห็นได้จากกระจกหลัง ว่าเธอล้อมวงคุยอะไรกันบางอย่าง…
มู่น่อนน่อนถอนหายใจ แล้วก็หันไปมองหน้า“เฉินเจียฉิน” “ทำไมนายมาเร็วขนาดนี้ มาทำธุระแถวนี้รึไง?”
“เฉินเจียฉิน”ไม่ได้สนใจเธอ
มู่น่อนน่อนหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง เธอไม่อยากจะคุยอะไรกับเขาแล้ว
……
หลังจากกลับมาถึงบ้าน มู่น่อนน่อนก็เข้าไปทำอาหารในห้องครัว
หลายวันมานี้ เธอเคยชินกับรสชาติที่“เฉินเจียฉิน”ชอบกินไปแล้ว เขาเป็นคนที่ชอบกินเผ็ดมาก
หลังจากทั้งสองคนกินข้าวเสร็จ ก็แยกย้ายกันกลับห้อง
มู่น่อนน่อนอาบน้ำ แล้วก็นอนลงบนเตียง หลังจากนั้นก็วิดีโอคอลหาเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงแต่งกายชุดโบราณ ด้านหลังของเธอก็เป็นตึกสไตล์โบราณ
มู่น่อนน่อนถามเธอออกมา “นี่คือที่ถ่ายหนังหรอ?”
“ใช่ ถ่ายฉากกลางคืน” เสิ่นเหลียงวิ่งไปแอบอยู่ตรงมุม แล้วก็คุยกับเธอเสียงเบา “เธอรู้มั้ยว่าวันนี้ใครเล่นคู่กับฉัน?”
“ใครหรอ?” มู่น่อนน่อนเหมือนกับว่านึกอะไรออก แล้วพูดว่า “คงไม่ใช่ซือเฉิงหยู้หรอกนะ? เขาไม่ได้ไปเรียนเมืองนอกหรอกหรอ?”
“เขานั่นแหละ!” น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ผู้กำกับเหมือนจะรู้จักกับภาพยนตร์จักรพรรดิซือ ก็เลยเชิญให้เขามาเป็นแขกรับเชิญ เมื่อกี้ฉันก็เล่นบทต่อสู้กับเขา ถ้าเกิดว่าฉันตัวสั่นเพราะความตื่นเต้นจะทำยังไงดีล่ะ?”
มู่น่อนน่อนเม้มปากแน่น แล้วพูดออกมาว่า “ไม่รู้เหมือนกัน ฉันเองก็ตื่นเต้น”
ซือเฉิงหยู้เป็นหนึ่งในนักแสดงหนังกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ และอายุเขาก็น้อยที่สุด มู่น่อนน่อนชอบเขามาแปดปีแล้ว
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากปลายสาย “เสี่ยวเหลียง ได้เวลาเข้าฉากแล้ว!”
“จะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” เสิ่นเหลียงตอบ แล้วก็พูดกับมู่น่อนน่อน “ฉันไปก่อนนะ ฉันจะขอลายเซ็นต์จากซือเฉิงหยู้มาให้เธอ แต่ว่าอาจจะไม่ได้ แต่ว่าฉันจะพยายามสุดชีวิต”
หลังจากพูดจบ เธอก็ตัดสายไป
มู่น่อนน่อน:“……”เธอไม่ได้หน้าตาอัปลักษณ์เหมือนยัยเสิ่นเหลียงนะ!
……
วันถัดมา
มู่น่อนน่อนมาถึงบริษัท รู้สึกว่าเพื่อนร่วมงานของเธอเมื่อวานต่างพากันมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ
เธอสามารถรับรู้ได้ แต่ว่าก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่
ซุนเจิ้งหวาเหมือนว่าจะกลัวบทเรียนที่ได้จากมู่น่อนน่อนไป หลังจากนั้นเขาก็เงียบสงบ และไม่ได้มาสร้างเรื่องกวนใจให้มู่น่อนน่อนอีกเลย
จนถึงวันศุกร์ เขาก็ให้คนมาเรียกมู่น่อนน่อน “วันนี้พวกเธอออกไปสำรวจตลาด วันนี้วันศุกร์แล้ว วันจันทร์ค่อยมารายงานฉัน”
เขาพาผู้ชายร่างสูงมาอีกคนหนึ่ง ดูท่าทีเหมือนเป็นคนไม่มีพิษมีภัยอะไร
มู่น่อนน่อนเหลือบมองผู้ชายคนนั้น ดูแปลกหูแปลกตามาก
คนในแผนกการตลาดเยอะมาก มู่น่อนน่อนที่พึ่งมาก็ไม่มีทางที่จะรู้จักทุกคน เพราะฉะนั้นเธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
หลังจากทั้งสองคนออกจากบริษัทมา ก็เรียกแท็กซี่
มู่น่อนน่อน “บริษัทจะคืนเงินให้มั้ย?”
“คืนให้” ผู้ชายคนนั้นมองหน้าเธอด้วยสายตาแปลกๆ
มู่น่อนน่อนรู้สึกตื่นตัว เธอหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง ก็เห็นว่ามันกำลังมุ่งหน้าไปชานเมือง
ก่อนที่จะออกมานั้น เธอก็อ่านเอกสารแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในครั้งนี้เป็นสิ่งจำเป็นประจำวันในครัวเรือน และสถานที่ที่พวกเขากำลังจะไปควรเป็นที่อยู่อาศัย
เมื่อกี้พึ่งผ่านร้านขายยา มู่น่อนน่อนหรี่ตา และเบะปากพร้อมขมวดคิ้วทำท่าทีเหมือนกำลังเจ็บปวด “จอดรถก่อนได้มั้ยคะ ฉันขอซื้ออะไรหน่อย”
ผู้ชายคนนั้นถามเธอ “เธอจะซื้ออะไร?”
“ยาแก้ปวด” มู่น่อนน่อนหันไปมองหน้าเขา “เป็นประจำเดือนหนะ ปวดท้องมากเลย”
ผู้ชายคนนี้คิดอยู่สักพักก็เข้าใจ แล้วก็ตอบว่า “เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน”
“โอเค” มู่น่อนน่อนรู้ดีว่า ถ้าเกิดว่าเธอปฏิเสธเขา เขาก็จะหาทางไม่ให้เธอลงจากรถ
ตอนนี้เธอมั่นใจได้แล้วว่า ผู้ชายคนนี้คือคนที่ซุนเจิ้งหวาสั่งให้มาแก้แค้นเธอ
ทั้งสองคนลงจากรถแล้วตรงที่ร้านขายยา เขาเดินตามเธอมาติดๆ มู่น่อนน่อนซื้อยาแล้วก็เดินออกมาข้างนอกช้าๆ
ในตอนนี้เอง ก็มีผู้ชายที่สวมหน้ากากและแว่นกันแดดเดินเข้ามา เขามีอาการไอเล็กน้อย ตอนที่มู่น่อนน่อนเดินผ่านเขานั้น อยู่ดีๆก็ยื่นมือไปจับแขนเขา สีหน้าแปลกใจ “พี่ชาย พี่มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกันเนี่ย?”
ชายที่สวมหน้ากากอึ้งไปสักพัก หลังจากนั้นเขาก็ถอดหมวกออก เผยให้เห็นดวงตาที่อบอุ่นที่เธอคุ้นเคย
ตอนที่59 คนที่มีเมียแล้วจะไม่ใช้ชีวิตแบบค้างคืน
เพราะว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย มู่ลี่เหยียนก็เลยต้องรักษาหน้า เขาพูดกับมู่น่อนน่อนออกไปส่งๆว่า “มากินด้วยกันสิ”
“ได้สิคะ” พอมู่น่อนน่อนพูดจบ ก็เห็นว่าสีหน้าของมู่ลี่เหยียนค่อยๆเปลี่ยนไป เธอก็เลยพูดต่อ “แต่ว่าวันนี้ไม่ได้ค่ะ หนูต้องกินกับเพื่อนร่วมงาน เดี๋ยววันหน้าหนูกินกับพ่อนะคะ”
มู่ลี่เหยียนไม่สนิทกับมู่น่อนน่อน แล้วเขาก็ไม่ชอบเธอ ก็เป็นปกติที่เขาไม่อยากจะกินข้าวกับเธอ
พอเห็นว่ามู่น่อนน่อนปฏิเสธ สีหน้าเขาก็ผ่อนคลายลงหน่อย เขาดูอ่อนโยนขึ้นเยอะ “งั้นก็ได้ งั้นลูกไปก่อนเถอะ”
ในตอนนี้เอง อยู่ดีๆมู่หวั่นขีก็หันหน้ามาคีบอาหารให้มู่ลี่เหยียน “พ่อ ชิมอันนี้ดูสิคะ หนูรู้สึกว่าอาหารร้านนี้อร่อยดี”
มู่ลี่เหยียนก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ลูกเองก็กินด้วยสิ ช่วงนี้ผอมไปเยอะเลย”
นี่มันคือความสามัคคีของพ่อกับลูกสาวจริงๆ!
มู่หวั่นขียิ้มให้มู่น่อนน่อนอย่างเหยียดหยาม สายตาของเธอกำลังพูดว่า : เธอมันแค่แมลงที่พ่อแม่ไม่รัก
จะปฏิเสธก็ไม่ได้ว่า มู่หวั่นขีได้ไปจี้ใจดำของมู่น่อนน่อนเข้าให้จริงๆ
เธอนึกว่า การที่โดนตระกูลมู่ใช้ประโยชน์จากเธอและทอดทิ้งเธอครั้งแล้วครั้งเล่านั้น เธอได้ฝึกจิตใจให้เข้มแข็งมาแล้ว แต่ว่าก็ยังโดนภาพเหตุการณ์พ่อลูกผูกพันตรงหน้าทิ่มแทงเข้าให้จนได้
จนถึงตอนที่เพื่อนร่วมงานพากันไปหาโต๊ะนั่ง สีหน้าของมู่น่อนน่อนก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ก่อนหน้านี้มีอยู่ช่วงนึง ที่เรื่องของเธอกับมู่หวั่นขีโกลาหลอยู่เต็มอินเตอร์เน็ตไปหมด เพื่อนร่วมงานผู้หญิงพวกนี้ยังวัยรุ่นอยู่ แน่นอนว่าต้องรู้เรื่องของพวกเธอจากอินเตอร์เน็ตแล้วเหมือนกัน
แล้วเรื่องเมื่อกี้นี้ พวกเธอก็เห็นแล้ว ยังไงก็ต้องรู้สึกแหละว่ามู่ลี่เหยียนเหมือนจะไม่ค่อยชอบมู่น่อนน่อน
มีคนหนึ่งในนั้นดันเมนูมาให้เธอ “เธอดูสิว่าอยากกินอะไร”
มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วก็ยื่นเมนูคืนกลับไป “ฉันไม่เลือกกินหรอก พวกเธอเลือกเลย แล้วอีกอย่างฉันก็ยังไม่เคยมาที่นี่ ก็เลยไม่รู้ว่าอะไรอร่อย”
พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ คนอื่นๆก็เลยเริ่มสั่งอาหารอย่างไม่เกรงใจ
พวกเธอรู้สึกว่าสามารถเข้ากับมู่น่อนน่อน ก็เลยมีคนถามเธอออกมาว่า “เธอรู้เรื่องที่ซุนเจิ้งหวาลาพักร้อนวันนี้มั้ย? ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นที่ห้องผู้อำนวยการหนะ?”
“ฉันไม่รู้ เมื่อก่อนเขาชอบทำเรื่องไม่ดีรึเปล่า? วันนี้กรรมเก่าก็เลยกลับมาเล่นงานเขา” มู่น่อนน่อนปั้นเรื่อง
คนอื่นๆก็ไม่ได้ถือสาอะไร ยิ้มให้กับเธอ หลังจากนั้นพวกเธอก็เริ่มเปิดเผยอดีตที่น่ารังเกียจของซุนเจิ้งหวา
มู่น่อนน่อนก็เสริมบทสนทนาด้วยเหมือนกัน บรรยากาศดูสามัคคีกันมาก
จนถึง อยู่ดีๆก็มีประโยคหนึ่งดังขึ้นมา ที่ทำลายความสามัคคีนั้น
“น่อนน่อน ในเมื่อตอนนี้เธอเป็นคุณนายของตระกูลเฉินแล้ว ทำไมยังต้องมาทำงานที่บริษัทมู่ซื่ออีกหละ?”
คนที่ถามคำถามนี้ออกมาไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร แต่ว่าคำถามนี้ก็ตอบไม่ได้ง่ายๆเหมือนกัน
มู่น่อนน่อนนิ่งไปสักพัก น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความลังเล “เรื่องนี้หนะ…”
ทันใดนั้นก็มีคนช่วยมู่น่อนน่อน “โอ๊ยตายแล้ว รีบกินเถอะ เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว กินเสร็จจะได้กลับไปพักผ่อนอีกสักหน่อย”
คนๆนั้นก็ไม่ได้ตามถามต่อ
ที่จริงคนในบริษัทต่างพากันคิดว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้รับการต้อนรับจากตระกูลเฉินเท่าไหร่นัก
แล้วคุณชายเฉินที่ถูกทำให้เสียโฉมคนนั้นเป็นทายาทอันดับหนึ่งของบริษัทเฉินซื่อ แต่ว่าสถานภาพทางร่างกายของเขาไม่ค่อยเหมาะกับการเป็นผู้สืบทอดบริษัทเฉินซื่อ หลายๆคนต่างคิดว่าพวกเขาน่าจะเปลี่ยนผู้ที่มารับช่วงต่อ แต่ว่าก็ไม่เคยมีข่าวที่เป็นทางการหลุดออกมา
รีศมีของผู้สืบทอดของบริษัทเฉินซื่อเลือนลางหายไปเรื่อยๆ แต่ว่าคุณชายของตระกูลเฉินก็แค่พิการเท่านั้นเอง แต่ว่ามู่น่อนน่อนก็ไม่ได้รับการต้อนรับจากตระกูลเฉินแถมยังต้องออกมาทำงานอีก
ออกมาทำงานก็อีกเรื่องนึง แถมยังต้องมาทำงานที่ยากลำบากอย่างแผนกวิจัยตลาดอีก เธอดูน่าสงสารมาก
มู่น่อนน่อนมองเพื่อนร่วมงานที่คีบอาหารให้เธอไม่หยุด สายตาที่พวกเธอมองเธอนั้น เหมือนกับว่า——สงสาร?
หลังจากคิดอยู่สักพัก เธอก็เข้าใจแล้วว่านี่มันเรื่องอะไรกัน
ถ้าดูจากมุมมองคนนอก เธอก็น่าสงสารมากจริงๆแหละ….
……
……
เฉินถิงเซียวอยู่ในบริษัททั้งวัน
หลังจากเลิกงาน กู้จือหยั่นก็วิ่งเข้ามาหาเขาด้วยท่าทีตื่นเต้น “ไปดื่มกันเถอะ!”
พอเฉินถิงเซียวมาที่บริษัท งานของเขาก็เบาลงไปเยอะ อารมณ์ดีก็เลยอยากจะออกไปเที่ยวเล่นสะหน่อย
“ไม่ไป” เฉินถิงเซียวปฏิเสธโดยที่ไม่เงยหน้าด้วยซ้ำ
กู้จือหยั่นกลอกตา “แกจะกลับบ้านเร็วขนาดนี้เพื่อ? ไม่มีอะไรก็อยู่แต่ในบ้าน ขนาดเลิกงานก็รีบกลับบ้าน กิจกรรมอะไรก็ไม่เข้าร่วมสักอย่าง ตอนนี้แกช่างเหมือนคนแก่ไปเรื่อยๆแล้วนะ”
คำพูดลอยๆของเฉินถิงเซียว ทำให้กู้จือหยั่นรู้สึกเกลียดมาก
“คนมีเมียก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น”
กู้จือหยั่นหัวเราะออกมา “ฮ่าๆ”
ตอนนั้นเอง ฟู้ถิงซีก็เข้ามาพอดี
เขาไม่รู้เลยว่ากู้จือหยั่นพึ่งโดนเฉินถิงเซียวโจมตีมาเมื่อกี้นี้ เขาถามว่า “ไปได้ยัง?”
“ปะ” กู้จือหยั่นพูดจบก็เดินออกไปข้างนอก
ฟู้ถิงซีมองหน้าเฉินถิงเซียว “แกไม่ไปหรอ?”
กู้จือหยั่นตอบแทนเฉินถิงเซียวด้วยสีหน้าเย็นชา “คนมีเมียแล้วเขาไม่ไปค้างคืนข้างนอกกันหรอก”
ตามที่กู้จือหยั่นคาดการณ์ไว้ ฟู้ถิงซีมีสีหน้าที่ตกใจมาก
“ไปกันเถอะ พวกเราไปดื่มกันสองคนก็พอแล้ว ใครใช้ให้เราไม่มีเมียกันล่ะ?” กู้จือหยั่นยกมือขึ้นมาตบบ่าฟู้ถิงซี แล้วก็ลากแขนเขาออกไป
ฟู้ถิงซีขมวดคิ้วแน่น แล้วก็สะบัดมือของกู้จือหยั่น หลังจากนั้นก็หันหน้ากลับมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเห็นใจ “มีเมียแล้วยังไง ก็แค่เอาไว้ดูเฉยๆไม่ใช่หรอ”
เฉินถิงเซียวยิ้มอย่างเยือกเย็น “อย่าคิดว่าจะไปกินข้าวที่บ้านฉันอีกนะ”
ฟู้ถิงซีแข็งทื่อ ทันใดนั้นคำพูดของเขาก็เปลี่ยนไป “อิจฉาพวกคนที่มีเมียจริงๆ”
กู้จือหยั่นอดไม่ได้ที่จะเตะเท้าของฟู้ถิงซีทีหนึ่ง!
ทำไมพวกเขาไม่ดีขึ้นบ้าง? ทำไมพวกเขาต้องแพ้ให้เฉินถิงเซียวทุกครั้ง?
ฟู้ถิงซีเหมือนจะไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่ ได้แต่ชักเท้าหลบ
กู้จือหยั่นลากเขาออกไปข้างนอก “อย่ามาทำให้ตัวเองขายขี้หน้าตรงนี้เลย”
หลังจากพูดจบ ก็หันหน้ากลับมาพูดกับเฉินถิงเซียว “พวกเราไปก่อนนะ”
เฉินถิงเซียวอารมณ์ดี สามารถได้ยินความสุขออกมาจากเสียงที่ทุ้มต่ำของเขา “พวกแกไปเถอะ คิดตังค์ในบัญชีฉันนะ”
แต่ว่า หลังจากเฉินถิงเซียวขับรถกลับบ้าน เห็นวิลล่าที่เงียบสนิท อารมณ์ที่ดีๆอยู่นั้นก็หายไป
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหามู่น่อนน่อน แต่ว่าไม่มีคนรับสาย
เขาโทรไปอีกสองรอบ ก็ไม่มีคนรับสาย
จงใจไม่รับสาย หรือว่าเกิดอะไรขึ้นนะ?
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ตรงห้องโถงที่ว่างเปล่าอยู่พักนึง บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ข้างๆก็อดไม่ได้ที่จะถามเขาออกมา “คุณชาย เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าครับ?”
สีหน้าของคุณชายดูจริงจังมาก คิดว่าน่าจะต้องเกิดเหตุการณ์อะไรที่ร้ายแรงขึ้นแน่ๆ
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาหยิบเสื้อคลุมแล้วเดินออกไป พอเดินถึงประตูก็เหมือนพึ่งนึกอะไรขึ้นได้ ก็เลยหันหน้ากลับมาสั่งงาน “ถ้าเกิดว่าคุณหญิงกลับมาแล้ว โทรหาฉันด้วยนะ”
“……”เรื่องใหญ่ของเขาคือเรื่องที่คุณหญิงไม่กลับบ้านงั้นหรอ?
……
มู่น่อนน่อนในตอนนั้นเอง ถูกคนลากมาเดินเล่นที่ห้าง
หลังจากเลิกงาน เธอก็อยากจะตรงกลับบ้านเลย
แต่ว่า เพื่อนร่วมงานที่กินข้าวกลางวันกับเธอเมื่อตอนเช้า น่าจะรู้สึกว่าการที่เธอต้องอยู่คนเดียวในวิลล่าที่กว้างใหญ่นั้นมันน่าสงสารมาก ก็เลยจำเป็นต้องลากเธอออกมาเดินเล่น
ที่จริงเธอคิดว่าตัวเองไม่ได้น่าสงสารเลยสักนิด ถึงแม้ว่าต้องกลับบ้านที่ว่างเปล่า แต่ว่ามันก็เป็นวิลล่าที่หรูหรา ยังดีกว่าบ้านเช่าขนาดเล็กๆที่เธอเคยอยู่หลายพันหลายหมื่นเท่า
แต่ว่า ไม่ควรปฏิเสธความมีน้ำใจของเพื่อนร่วมงาน เธอก็เลยจำเป็นต้องมาเดินเล่นด้วย
ตอนที่58 เขาต้องการโอกาส
หลังจากมู่น่อนน่อนส่งข้อความออกไป ก็รอคอยคำตอบจากเฉินถิงเซียวอย่างตื่นเต้น
ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอจะส่งข้อความหาเสิ่นชูหาน เธอไม่เคยตื่นเต้นมาก่อนเลย
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเพื่อนร่วมงานกระซิบคุยกัน
“ฉันได้ยินมาว่าซุนเจิ้งหวาลาพักร้อน”
“สองวันนี้เขาเป็นอะไรไปหนะ? ก่อนหน้านี้เขาเสแสร้งทำเป็นอุทิศตัวเองให้บริษัททุกวันเลยนะ!”
“……”
มู่น่อนน่อนฟังอย่างสนใจ แล้วก็มีเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งเข้าร่วมวงสนทนาด้วย
ทันใดนั้นเสียงของพวกเธอก็เบาลงทันที
แต่ว่ามู่น่อนน่อนก็ได้ยินบางคำ “……น่อน……ทำ……เมื่อวาน……”
ทันใดนั้นจู่ๆมู่น่อนน่อนก็จามออกมา นี่พวกเธอกำลังพูดเรื่องของเธออยู่งั้นหรอ?
……
บริษัทเสิ้งติ่ง
ในห้องประชุมนั้นเงียบมาก เฉินถิงเซียวนั่งประจำที่ หรี่ตา แล้วก็อ่านโครงการในมือเขา
ผู้จัดการอาวุโสหลายๆคนได้แต่นั่งหลังตรง ไม่มีใครกล้าทำเสียงอะไรทั้งนั้น ยังไงหัวหน้าใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของประธานกู้ก็อารมณ์ร้อนยิ่งไปกว่าเขาอีก
คนภายนอกต่างคิดว่ากู้จือหยั่นคือหัวหน้าใหญ่ของบริษัทเสิ้งติ่ง แต่ว่าที่จริงแล้วผู้อาวุโสในที่นี้ต่างรู้ดีกว่า ท่านที่อยู่ตรงหน้าต่างหากที่เป็นหัวหน้าใหญ่ ที่อยู่และตัวตนของเขาลึกลับมาก เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องมีการตัดสินใจโครงการใหญ่ๆในบริษัท ท่านคนนี้ถึงจะมาเข้าร่วมประชุมด้วย
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เฉินถิงเซียวไม่ได้เข้ามาที่บริษัท เรื่องน้อยใหญ่ในบริษัทต่างยกให้กู้จือหยั่นเป็นคนจัดการ ต้องดูแลบริษัท และต้องไปออกงานต่างๆ มันถือว่าเป็นเรื่องที่ลำบากเหมือนกัน
พอมู่น่อนน่อนไปทำงานที่บริษัทมู่ซื่อ เขาก็เลยสามารถเข้ามาจัดการเรื่องต่างๆที่บริษัทได้
มีกรรมการบริหารบางคนที่ต้องการจะกบฏ แต่ว่านั่นก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่อะไร
สุดท้าย หลังจากเฉินถิงเซียวอ่านเอกสารจบ ก็วางบางส่วนไว้บนโต๊ะ ส่วนบางส่วนก็ถูกกระแทกลงที่โต๊ะอย่างรุนแรง จนมีเสียง “ปัง” เกิดขึ้น
ทุกคนตรงนั้นตกใจ
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมา แล้วก็มองทีละคนช้าๆ หลังจากนั้นก็พูดออกมาอย่างรุนแรง “ทุกคนเป็นผู้อาวุโสของบริษัทนี้ ทำงานมาก็ตั้งนาน ผมจะให้โอกาสทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย เก็บของพวกนี้ไป ทำให้ดี แล้วเอามาให้ผมอีกครั้งนึง”
หลังจากพูดจบ เขาก็ลุกแล้วก็เดินออกจากห้องประชุมไป กู้จือหยั่นเดินตามเขามา แล้วก็เก็บเอกสารตามเขาไป
หลังจากกลับมาที่ห้องทำงาน เฉินถิงเซียวก็ปลดเนคไทออก แล้วก้นั่งลงที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน แล้วก็ยื่นมือมากุมขมับ
กู้จือหยั่นก็ตามเขาเข้ามา แล้วก็วางเอกสารลง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พวกคนแก่พวกนั้น จะเชื่อฟัง แล้วก็กลับไปแก้งานมาให้ดีๆมั้ย?”
เฉินถิงเซียวสีหน้าเยือกเย็น “คนที่โดนบริษัทเสิ้งติ่งไล่ออก จะมีใครในสายงานนี้กล้ารับเข้าทำงานอีกมั้ยล่ะ?”
คำพูดของเขาดูเย่อหยิ่งมาก แต่ว่ากู้จือหยั่นก็รู้ดีว่า ความเย่อหยิ่งคือตัวตนของเขา
ถึงแม้ว่ากู้จือหยั่นจะรู้ดีว่าเฉินถิงเซียวนิสัยไม่ดี แถมยังเย่อหยิ่ง แต่ว่าที่จริงแล้วเขาเป็นคนใจดี แต่ว่าคนพวกนั้นครั้งนี้ทำเกินไปจริงๆ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วแกก็ไปทำงานต่อเถอะ” เฉินถิงเซียวพูดพลางดึงโทรศัพท์ออกมาจากลิ้นชัก
หลังจากกดปุ่มเปิดปิด หน้าจอก็สว่างขึ้นมา ทันใดนั้นก็ปรากฏข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน
ตามที่คาดหวัง มู่น่อนน่อนส่งข้อความมาหาเขา [ฉันคือมู่น่อนน่อนเองนะคะ ขอบคุณโทรศัพท์ที่ส่งมาให้ใช้ ฉันชอบมากเลยค่ะ]
สายตาของเขาไปหยุดอยู่ตรงที่คำว่า “ชอบมาก” สองคำนี้ หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา
กู้จือหยั่นยังไม่ได้ออกไป พอเห็นว่าเฉินถิงเซียวยิ้มให้โทรศัพท์ ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย “อยู่ดีๆก็ยิ้มให้โทรศัพท์ทำไมหนะ? แบบนี้น่ากลัวนะ”
เฉินถิงเซียวอารมณ์ดีอยู่ ก็เลยพูดออกมาว่า “ถ้ากลัวแล้วทำไมยังไม่ไปอีก?”
กู้จือหยั่นเดินอ้อมมาเพื่อจะดูว่าเขากำลังดูอะไรอยู่ แต่ว่าเฉินถิงเซียวก็เหมือนกับมีตาอยู่บนหัวของเขา เขารีบคว่ำหน้าขอลงกับโต๊ะทันที
กู้จือหยั่น:“……”
ได้ ถือว่าเฉินถิงเซียวตาเหยี่ยว!
หลังจากกู้จือหยั่นออกจากห้องไป เฉินถิงเซียวถึงตอบข้อความของมู่น่อนน่อน
[เธอชอบก็ดีแล้ว]
ถึงยังไง ถ้าเกิดจะบอกว่า“เฉินถิงเซียว”ไม่อยากจะเจอมู่น่อนน่อน ก็เหมือนจะไม่เหมาะสมกับสไตล์ของ“เฉินถิงเซียว”ไปหน่อยรึเปล่า
[สือเย่เป็นคนซื้อมันหนะ]
มันดูจงใจเกินไป
สุดท้าย เฉินถิงเซียวก็ได้แต่ส่งกลับไปคำเดียว [อืม]
หลังจากวางโทรศัพท์ลง เขาก็นั่งพิงเก้าอี้ หลังจากนั้นความหงุดหงิดก็ปรากฏขึ้นในดวงตาสีดำของเขา
หลังจากนั้นกู้จือหยั่นก็กลับเข้้มาอีกครั้ง เขาเปิดประตูเข้ามาแล้วก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา “ถิงเซียว นี่เป็นIPขนาดใหญ่ที่บริษัทพึ่งลงทุนไปเมื่อเร็วๆนี้ ฉันวางข้อมูลไว้ตรงนี้นะ เดี๋ยวแกก็ดูเอาแล้วกัน”
“เดี๋ยวก่อน”
หลังจากกู้จือหยั่นวางเอกสารลงก็เตรียมจะออกไป แต่ว่าโดนเฉินถิงเซียวเรียกไว้ก่อน เขาหันหน้ากลับไป “มีอะไรอีกรึเปล่า?”
เฉินถิงเซียวกระแอมออกมาเล็กน้อย แล้วก็ยื่นมือไปเคาะโต๊ะสองสามที แล้วก็พูดออกมาแบบไร้สีหน้าว่า “แกคิดว่า ฉันควรบอกมู่น่อนน่อนมั้ยว่าฉันคือเฉินถิงเซียว?”
หลังจากพูดจบ เขาก็เสริมออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าแกกล้าหัวเราะ ฉันจะทำให้นักแสดงอย่างแกไม่ได้เล่นละครอีกเลย”
ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะแค่ขู่เขาเฉยๆ แต่ว่ากู้จือหยั่นก็รีบหุบรอยยิ้มของเขาทันที
กู้จือหยั่นพยายามกลั้นขำจนหน้าแดงไปหมด แล้วก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “ได้สิ แกควรจะรีบบอกเธอให้เร็วที่สุดด้วยซ้ำ”
เฉินถิงเซียวรู้ดีว่า กู้จือหยั่นกำลังพยายามกวนเขาอยู่
เขาปาเอกสารไปที่กู้จือหยั่นทันที “ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้”
“ได้ๆๆๆ ฉันไปแล้ว ฮ่าๆๆๆ….” กู้จือหยั่นกลั้นขำไม่ไหวแล้ว เขาหัวเราะออกมาอย่างพอใจมาก
กู้จือหยั่นรู้สึกว่าชีวิตนี้ของเขาเกิดมาไม่ได้เสียเปล่าแล้ว เพราะว่าชีวิตของเขาสามารถได้เห็นเฉินถิงเซียวรู้สึกสับสนเพราะผู้หญิงคนเดียว!
เขารีบไปบอกข่าวที่น่าสนใจนี้กับฟู้ถิงซีทันที
เฉินถิงเซียวเม้มปากแน่น เขาหยิบที่วางปากกา ปาไปที่กู้จือหยั่นที่ยืนอยู่ตรงประตูทันที
“โอ้ย——”
เสียงร้องของ กู้จือหยั่น ทำให้เฉินถิงเซียวรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแน่นอีกครั้ง ถ้าบอกมู่น่อนน่อนว่าเขาคือเฉินถิงเซียวในตอนนี้นั้น ดูเหมือนว่าจะผิดเวลาไปหน่อย
เขายังต้องการโอกาสอีกครั้ง
……
มู่น่อนน่อนรออยู่เกือบครึ่งวัน สุดท้ายก็ได้รับข้อความตอบกลับจากเฉินถิงเซียวแล้ว
ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่คำๆเดียว แต่ว่าสำหรับมู่น่อนน่อนแล้วนั้น ถือว่าไม่เลวเลย
ตอนกินข้าวกลางวันนั้น ก็มีเพื่อนร่วมงานผู้หญิงหลายคนมาเรียกให้เธอไปกินข้าวด้วยกัน
“น่อนน่อน ไปกินข้าวด้วยกันสิ”
ประกายความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนร่วมงานพวกนั้นซ่อนจากมู่น่อนน่อนไม่ได้”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า เรื่องที่เธอจัดการกับซุนเจิ้งหวา พวกเธอน่าจะรู้แล้ว
เธอยังไม่รู้ว่าตัวเองยังจะต้องอยู่ที่บริษัทมู่ซื่ออีกนานแค่ไหน ก็เลยได้แต่ยิ้มแล้วก็พยักหน้า “ได้สิ”
ทั้งๆที่เป็นผู้หญิงทั้งหมด แต่ว่ารอยยิ้มของมู่น่อนน่อนนั้น ทำให้ผู้หญิงทุกคนที่อยู่ตรงนั้นค้างแข็งไปเลย
ร้านอาหารแถวบริษัทถือว่าไม่ได้เยอะเท่าไหร่ พอเธอเจอร้านอาหารที่จะกิน ก็บังเอิญเจอสองพ่อลูกมู่หวั่นขี
ทุกคนต่างเป็นหัวหน้า พวกพนักงานผู้หญิงก็เลยรีบทักทาย “ผู้อำนวยการ ผู้จัดการมู่สวัสดีค่ะ”
มู่หวั่นขีเป็นผู้จัดการโครงการ แน่นอนว่าเธอไม่ได้มีความสามารถอะไรหรอก คนที่ทำงานจริงๆนั้นก็คือพวกลูกน้องเธอทั้งนั้น
มู่น่อนน่อนคิดว่ามันไม่ดีเท่าไหร่ที่จะทำตัวแปลกประหลาด ก็เลยทักทายพวกเขาเหมือนกัน
“พ่อ พี่”
ตอนที่57 ตอนนี้สิ่งที่เธอรอคอยมาถึงแล้ว
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป แล้วก็เงยหน้าขึ้นโดยที่ไม่ปิดประตู เธอยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ผู้จัดการซุนออกจากโรงพยาบาลแล้วหรอคะ? วันนี้ฉันว่าจะไปเยี่ยมคุณสักหน่อย”
ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ชื่อของเขาคือซุนเจิ้งหวา แต่งงานและมีลูกสาวแล้ว เมียของเขาดุมาก เคยตามล่าซุนเจิ้งหวามาถึงที่บริษัทเพราะว่าเขาเคยไปมีความสัมพันธ์ลับๆกับเพื่อนร่วมงานผู้หญิง
หลังจากวันนั้น คนในบริษัททุกคนก็ต่างรู้ว่าซุนเจิ้งหวากลัวเมียมาก
เมื่อวานพึ่งทำงานได้วันแรกก็ทำเรื่องให้ผู้จัดการแผนกแล้ว เธอก็ต้องเตรียมตัวมาอยู่แล้ว
พอซุนเจิ้งหวาเห็นหน้ามู่น่อนน่อน ใบหน้าของเขาก็กระตุกทันที ผู้หญิงคนนี้ดูอ่อนแอจะตาย คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่กลัวอะไรเลยขนาดนี้
เขาอยู่บริษัทนี้มาสิบกว่าปี ไม่มีวันยอมโดนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆรังแกแน่นอน!
ดวงตาของซุนเจิ้งหวาเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย เขาเงยหน้าขึ้นมาอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้สนใจมู่น่อนน่อนเลยแม้แต่น้อย
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่แคร์เขาเหมือนกัน เธอเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ามู่ลี่เหยียน แล้วพูดว่า “พ่อ เรียกหนูมามีธุระอะไรรึเปล่าคะ?”
ถึงแม้ว่าในใจเธอจะรู้ดีอยู่แล้ว มู่ลี่เหยียนและลูกสาวของเขาไม่พอใจเธอ ก็เลยหาเรื่องมาเล่นงานเธอ แต่ว่าเธอก็เสแสร้งทำเป็นไม่รู้
มู่ลี่เหยียนสีหน้าเย็นชา แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวด “น่อนน่อน ถ้าเกิดว่าลูกไม่พอใจงานที่พ่อจัดให้ ก็มาบอกพ่อตรงๆก็ได้นิ ลูกเอาไฟไปช็อตผู้จัดการซุนแบบนี้มันหมายความว่ายังไง? ถ้าเกิดว่าข่าวเรื่องนี้หลุดออกไป แล้วคนอื่นรู้เข้าว่าลูกสาวของมู่ลี่เหยียนใช้อำนาจบาตรใหญ่! มันจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของเรานะ!”
มู่น่อนน่อนไม่ขัดคำพูดของเขา เธอตั้งใจฟัง หลังจากนั้นก็เสแสร้งทำเป็นตกใจ “ดูเหมือนว่าจะร้ายแรงมากเลยนะเนี่ย”
มู่หวั่นขีหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “รู้ว่าผลที่ตามมาจะร้ายแรง แล้วเธอยังไม่ขอโทษผู้จัดการซุนอีกหรอ!”
มู่น่อนน่อนไม่ได้สนใจมู่หวั่นขีเลยแม้แต่น้อย เธอหันหน้าไปมองมู่ลี่เหยียน แล้วก็พูดอย่างจริงจังมากว่า “พ่อ ในเมื่อพูดถึงเรื่องที่กระทบเรื่องภาพลักษณ์บริษัท แล้วเรื่องของพี่สาวเรานี่จัดการได้แล้วหรอ? หลายวันก่อนนี้หนูเห็นคนในอินเตอร์เน็ตพูดกันว่า พวกเขาเห็นพี่สาวไปปาร์ตี้ที่คลับจี่อจีนอีกแล้วนิ”
พอ มู่หวั่นขีได้ยินดังนั้น หน้าก็ซีดทันที แล้วก็พยายามจะหาข้ออ้างให้ตัวเอง “พ่อ หนู….”
แต่ว่ามู่น่อนน่อนขัดคำพูดของเธอก่อน เธอยิ้มแล้วพูดว่า “หนูรู้ดีอยู่แล้วว่าพี่สาวของหนูไม่ใช่คนแบบนั้น พี่สาวของหนูจะไปที่คลับจี่อจีนได้ยังไงกันล่ะ? หนูคิดว่าน่าจะเป็นคู่แข่งของเรา พยายามจะใส่ร้ายพี่สาว แล้วก็บอกว่าพ่อไม่สั่งสอน แล้วก็ถือว่าบริษัทมู่ซื่อของเราเป็นบริษัทที่ไม่น่าเชื่อถือ”
มู่น่อนน่อนพูดอย่างจริงจัง แม้แต่ตัวเธอเองก็เกือบเชื่อแล้วเหมือนกัน
ภาพถ่ายและวิดีโอที่ไม่เหมาะสมของมู่หวั่นขี มู่ลี่เหยียนก็ลบออกจากอินเตอร์เน็ตไปหมดแล้ว
แต่ว่าหลังจากนั้นก็มีคนเอามาโพสอีกครั้ง มู่ลี่เหยียนพยายามใช้เส้นสายทุกทางก็ไม่สามารถลบมันออกไปได้ ได้แต่รอให้เรื่องมันเงียบลง เขาก็ซื้อแพลตฟอร์มนั้นอีกครั้ง แล้วก็ขอให้พวกเขาลบรูปและคลิปพวกนั้นออก
ต้องพยายามลบมันตั้งหลายวันกว่าจะลบได้ มู่ลี่เหยียนไม่คิดเลยว่ามู่หวั่นขีจะไปเที่ยวเล่นที่คลับจี่อจีนอีกแล้ว!
คำพูดของมู่น่อนน่อน สามารถดึงดูดความสนใจของมู่ลี่เหยียนได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าเขาอยากจะกดดันมู่น่อนน่อน แต่ว่าสำหรับเขาแล้วนั้น เรื่องของมู่หวั่นขีสำคัญกว่า
มู่ลี่เหยียนสีหน้าเยือกเย็น “พวกเธอออกไปก่อน!”
มู่น่อนน่อนก็เดินออกไปก่อน ถึงแม้ว่าซุนเจิ้งหวาจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่เขารู้ว่าผู้อำนวยการต้องจัดการเรื่องในครอบครัวก่อน เพราะฉะนั้นก็เดินตามออกไปเหมือนกัน
หลังจากเขาออกไป ก็เห็นว่ามู่น่อนน่อนยืนกอดอกอยู่ด้านหน้าประตูยังไม่ได้เดินไปไหล
มู่น่อนน่อนยิ้มมุมปาก ใบหน้าซีดๆของเธอก็เยือกเย็นลงทันที “ผู้จัดการซุน ผู้อำนวยการบอกว่าฉันช็อตไฟใส่คุณ คำพูดพวกนี้คุณเป็นคนฟ้องเองงั้นหรอ?”
พอ ซุนเจิ้งหวาเห็นท่าทีเย็นชาของมู่น่อนน่อน เขารู้สึกเหมือนมีตะขอกำลังเกี่ยวหัวใจของเขาอยู่ รู้สึกคันไปทั้งตัว
เขารูปร่างไม่ค่อยสูงมาก พอยืนอยู่ตรงหน้ามู่น่อนน่อน ก็ไม่ได้สูงไปกว่าเธอสักเท่าไหร่ ก็เลยได้แต่เชิดคางแล้วตอบว่า “รอให้ผู้อำนวยการจัดการเรื่องที่บ้านให้เสร็จก่อน เธอรอดูเลย ตอนนี้เธอควรจะขอร้องฉัน ฉันอาจจะใจอ่อนยอมไปขอร้องให้ผู้อำนวยการปล่อยเธอไป”
มู่น่อนน่อนยิ้มกว้างกว่าเดิมอีก ซุนเจิ้งหวาคิดว่าเธอกลัวคำพูดของเขา ก็เลยรู้สึกภูมิใจ
ในตอนนี้เอง เขาเห็นว่ามู่น่อนน่อนยกเท้าขึ้นมา ในใจเขารู้สึกมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก หลังจากนั้น เขาก็กรีดร้องออกมาในขณะที่เอามือกุมเป้า “โอ้ย——”
มู่น่อนน่อนหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา แล้วก็เอาทิชชู่เช็ดรองเท้าของตัวเอง “คุณเป็นคนพูดเอง ว่าฉันเป็นคนช็อตไฟคุณ ตอนนี้ก็น่าจะพอใจแล้วใช่มั้ย”
ซุนเจิ้งหวาเจ็บจนหน้าซีดไปหมด เขาชี้หน้าเธอแล้วก็พูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก “เธอ…ฉัน…”
มู่น่อนน่อนเคยอาศัยอยู่ในสลัมมาครึ่งปี บางทีตอนเย็นตอนที่กำลังจะกลับบ้าน เธอก็ได้เจอกับพวกอันธพาลบ้าง ถึงแม้ว่าตอนนั้นเธอจะหน้าตาน่าเกลียด แต่ว่ายังไงเธอก็ถือว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ก็ต้องถูกคุกคามอยู่แล้วเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น การคุกคามแบบนี้ เธอไม่เคยรู้สึกกลัวมาก่อน
การคุกคามแบบนี้ คนส่วนใหญ่ในที่ทำงานไม่กล้าพูดออกมา เหตุผลเดียวกัน ซุนเจิ้งหวาก็ไม่กล้าพูดเรื่องที่เขาโดนเธอสั่งสอนมาหรอก ทำได้แค่กลืนความเจ็บปวดลงไปเท่านั้น
แต่ว่า เธอมั่นใจว่า ซุนเจิ้งหวาไม่มีวันปล่อยเธอไปแค่นี้หรอก
……
อีกฝั่งนึง ห้องทำงานของผู้อำนวยการ
หลังจากมู่น่อนน่อนกับซุนเจิ้งหวาออกจากห้องไป มู่ลี่เหยียนก็ตะคอกใส่มู่หวั่นขีด้วยความโกรธ “พ่อเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือไง? ว่าช่วงนี้อย่าพึ่งทำอะไร ยังจะไปคลับจี่อจีนอีก! นี่ลูกไม่เคยเห็นพ่ออยู่ในสายตาเลยใช่มั้ย!”
“พ่อ!” มู่หวั่นขีก็ไม่คิดว่ามู่น่อนน่อนจะต่อสู้กับเธอแบบนี้ เธอพูดออกมาอย่างร้อนรนว่า “คนพวกนั้นคือเพื่อนหนูทั้งนั้น ครอบครัวร่ำรวยแล้วก็มีอำนาจ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะช่วยพวกเราก็ได้นะ? ถ้าเกิดว่าหนูไม่ยอมไปปาร์ตี้กับพวกเขา ต่อไปพวกเขาก็จะไม่พาหนูไปเที่ยวอีก ถ้าแบบนั้นพวกเราอาจจะเสียโอกาสที่สำคัญไปก็ได้….”
“หึ! เพื่อนงั้นหรอ? กลุ่มคนที่เป็นลูกคนรวยที่รู้จักเอาแต่กินกับเที่ยวนั่นหนะหรอที่ลูกเรียนว่าเพื่อน? ตอนนี้ชื่อของตัวเองยังเสียไม่มากพอใช่มั้ย พ่อยังขายหน้าไม่พออีกใช่มั้ย? ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดของลูกก็คือ เกาะเสิ่นชูหานไว้ให้แน่น!”
มู่ลี่เหยียนอยู่ในภาคธุรกิจนี้มาตั้งหลายปี มีประสบการณ์มากมาย เขาเข้าใจเรื่องของคลับจี่อจีนดี สายตาเขายังมองไกลกว่ามู่หวั่นขีเยอะ
มู่หวั่นขีโดนมู่ลี่เหยียนด่า ก็รู้สึกรับไม่ค่อยได้ แต่ว่าเธอก็รู้ดีว่ามู่ลี่เหยียนรักเธอมาก เพราะฉะนั้นเธอจึงจำความแค้นนี้ไว้ในใจ
ถึงแม้เธอจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ผิดอะไร แต่เพื่อที่จะให้มู่ลี่เหยียนหายโกรธ เธอก็รีบยอมรับผิดอย่างเชื่อฟัง “พ่อคะ หนูรู้แล้วว่าหนูผิด หนูจะเกาะเสิ่นชูหานไว้ให้แน่น”
มู่ลี่เหยียนถอนหายใจ “เฮ้อ โอเค ไปทำงานต่อเถอะ”
……
มู่น่อนน่อนเดินกลับมาถึงโต๊ะทำงานของตัวเอง แล้วก็อ่านเอกสารของเธอต่อ
ตอนนี้เธอมีเบอร์โทรศัพท์ของเฉินถิงเซียวแล้ว แต่ว่าเมื่อคืนเธอเอาแต่ลังเล สุดท้ายก็เลยไม่ได้โทรไปหาเขา
ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมง ที่อเมริกาก็น่าจะสองทุ่มแล้ว ตอนนี้เขาน่าจะยังไม่นอน
ถ้ายังงั้นส่งข้อความไปดีมั้ย?
[ฉันคือมู่น่อนน่อนเองค่ะ อยู่ที่อเมริกาสบายดีมั้ยคะ?]
พูดแบบนี้ได้มั้ย? มันจะดูเสือกเรื่องของเขาไปหน่อยรึเปล่า?
มู่น่อนน่อนลบๆเปลี่ยนๆอยู่แบบนั้น สุดท้ายข้อความที่ส่งไปก็คือ [ฉันคือมู่น่อนน่อนเองค่ะ ขอบคุณที่ส่งโทรศัพท์มาให้ใช้ ฉันชอบมากเลย]
ตอนที่56 ถ้าไม่อยากได้ก็โยนทิ้งไป
เฉินถิงเซียวก้มหน้า แล้วก็เห็นมือที่เรียวบางของเธอจับอยู่ที่แขนของเขา เขาไม่ได้สะบัดออก แล้วก็พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “สืบเรื่องของเธอก็เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่หรอ? เธอคิดว่าตระกูลเฉินของพวกเราจะทนการหลอกลวงของตระกูลมู่ของพวกเธอเฉยๆงั้นหรอ?”
ท่าทางของเขาเย็นชามาก มู่น่อนน่อนรู้สึกเหมือนจะสั่นอีกครั้ง
วันแรกที่มู่น่อนน่อนเข้ามาในบ้านของตระกูลเฉิน เฉินถิงเซียวส่งคนไปสืบ แล้วก็รู้ว่าเธอชอบเสิ่นชูหาน
แต่เรื่องสาเหตุที่เธอต้องปลอมตัวแกล้งปัญญาอ่อนและหน้าตาน่าเกลียดนั้น เพราะว่ามันผ่านมานานมากแล้ว ก็เลยตรวจสอบไม่ได้
มู่น่อนน่อนอึ้งไปแปปนึง แล้วก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เฉินถิงเซียวให้นายมาสืบงั้นหรอ?”
“ถ้าไม่ใช่แล้วจะอะไรล่ะ?” เฉินถิงเซียวหันหน้าไป แล้วก็ยืนเผชิญหน้ากับเธอ แล้วก็หรี่ตามองหน้าเธอ
พอเห็นสีหน้าหวาดกลัวของเธอแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วก็เดินเข้าร้านอาหารจีนติ่งไป
ตอนแรกเฉินถิงเซียวจะไปนั่งในห้องวีไอพี แต่ว่ามู่น่อนน่อนรู้สึกไม่สบายใจ ก็เลยนั่งในห้องโถงใหญ่
ดังนั้น ทั้งสองคนเลยนั่งลงที่โต๊ะริมหน้าต่าง
หลังจากสั่งอาหารเสร็จ มู่น่อนน่อนก็ถาม“เฉินเจียฉิน””พี่ชายของนายจะกลับมาเมื่อไหร่หรอ?”
“ไม่รู้”
หลังจาก เฉินถิงเซียว เห็นว่าสีหน้าของมู่น่อนน่อนเหมือนจะไม่เชื่อเท่าไหร่ ก็กอดอก แล้วพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉยว่า “ถึงรู้ว่าเขาจะกลับมาเมื่อไหร่ แล้วฉันรายงานการเดินทางของเขาให้เธอรู้ด้วยงั้นหรอ?”
ก็ดูมีเหตุผลดีเหมือนกัน….
มู่น่อนน่อนก้มหน้า แล้วก็เล่นโทรศัพท์มือถือ
เฉินถิงเซียวส่งโทรศัพท์มาให้เธอ ก็อาจจะแค่ทำได้อย่างง่ายดายก็ได้ ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนนั้น ก็แน่นอนว่าเขาคงไม่อยากให้ใครรู้
มู่น่อนน่อนทอดถอนใจ ชีวิตของเฉินถิงเซียวน่าจะลำบากน่าดูเหมือนกัน
เฉินถิงเซียวที่มีชีวิตอย่างยากลำบากจ้องหน้ามู่น่อนน่อนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา เธอเห็นเธอหน้านิ่วเหมือนว่ากำลัง “เสียใจ” ก็นึกว่าตัวเองพูดแรงไป หลังจากคิดอยู่พักนึง เขาก็บอกเบอร์โทรศัพท์ออกมา
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเต็มไปด้วยความสับสน “อะไร?”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าเริ่มรำคาญ “เบอร์ของพี่ชายฉันไง”
ตอนนั้นเองมู่น่อนน่อนก็ได้สติกลับมา ก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมจะเมมเบอร์ของเขา “พูดอีกรอบได้มั้ย”
พอเฉินถิงเซียวเห็นว่าเธอดูมีความสุขมาก ก็อดทนและพูดออกมาอีกครั้ง
“ขอบคุณมาก!” มู่น่อนน่อนเมมเบอร์นั้น แล้วก็ถามเขาออกมาด้วยรอยยิ้ม “นายอยากสั่งอะไรเพิ่มมั้ย”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวยังคงเย็นชาเหมือนเดิม “ไม่”
ทั้งๆที่ตอนนี้เขาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว แต่ว่ากลับพูดออกมาไม่ได้ว่าเขาคือเฉินถิงเซียว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้ ทำให้เขากินข้าวด้วยใบหน้าที่อึมครึม
แต่ว่ามู่น่อนน่อนก็ไม่ได้สนใจท่าทางของเขา เธอแค่คิดว่าเดี๋ยวเธอจะโทรหาเฉินถิงเซียวแล้วก็ส่งข้อความหาเขา
ส่งข้อความไปน่าจะดีกว่า ถ้าโทรไปน่าจะอึดอัดน่าดูจริงมั้ย?
เธอรู้สึกว่า หลังจากได้รับสายจากเธอเขาก็น่าจะบล็อกเบอร์เธอทันที
……
หลังจากทั้งสองคนกินข้าวเสร็จ ,มู่น่อนน่อนก็เดินออกไปก่อน เพื่อไปจ่ายเงินด้านหน้า
ตอนที่กำลังไปจ่ายเงินนั้นก็เจอกับมู่หวั่นขีและเสิ่นชูหาน
เสิ่นชูหานยิ้มให้มู่น่อนน่อนอย่างอบอุ่น “น่อนน่อน”
“อืม” มู่น่อนน่อนพยักหน้า ไม่ได้อยากจะสนใจเขาเท่าไหร่
มู่หวั่นขีที่เห็นภาพตรงหน้า ก็รู้สึกเกลียดจนกัดฟันแน่น แต่สุดท้ายก็พยายามฝืนยิ้มออกมา “ชูหาน จ่ายเงินให้น่อนน่อนด้วยสิ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันจ่ายเสร็จแล้ว”
หลังจากมู่น่อนน่อนพูดจบ พนักงานแคชเชียร์ก็ยื่นใบเสร็จกับการ์ดดำคืนให้มู่น่อนน่อน “คุณผู้หญิง บัตรของคุณค่ะ”
เสียงของแคชเชียร์คนนั้นดึงดูดความสนใจของมู่หวั่นขีกับเสิ่นชูหานได้
มู่น่อนน่อนหยิบการ์ดขึ้นมา “ขอบคุณค่ะ”
ทั้งสองคนนั้น พอเห็นบัตรเครดิตสีดำในมือของเธอนั้น ก็ตะลึงไปเลย
บริษัทเฉินซื่อถือว่าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับต้นๆของประเทศ มีบริษัทในเครือมากมายนับไม่ถ้วน รวมถึงธนาคารด้วย บัตรเครดิตสีดำที่มีเฉพาะไม่กี่ใบบนโลก แม้แต่ตระกูลเฉินก็จะมีเฉพาะคนสำคัญเท่านั้น
ถึงแม้ว่าบัตรที่มู่น่อนน่อนถือนั้นจะเป็นแค่บัตรรอง แต่ก็เรียกได้ว่าตระกูลเฉินให้ความสำคัญกับเธอมาก
มู่น่อนน่อนมองดูท่าทางของพวกเขา แล้วก็ก้มหน้าลงดูบัตรในมือของตัวเอง
การ์ดดำใบนี้….เหมือนว่ามันยอดเยี่ยมไปเลยนะ
มู่น่อนน่อนพูดกับพวกเขาด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่า “พวกเราไปก่อนนะ”
หลังจากกลับถึงรถ มู่น่อนน่อนก็ถาม“เฉินเจียฉิน”ว่า “บัตรใบหน้าของนายมันคืออะไรกันแน่?”
เฉินถิงเซียวตอบออกมาง่ายๆ “ก็เอาไว้ใช้ซื้อของไง”
มู่น่อนน่อนรู้สึกเหมือนว่า“เฉินเจียฉิน”กำลังเกทับเขา เธอรู้สึกเหมือนว่าการ์ดดำในมือของเธอนั้นเหมือนกับมันฝรั่งร้อน เธอก็รีบส่งคืนให้“เฉินเจียฉิน”ทันที “ตอนนี้ฉันก็เลี้ยงข้าวนายแล้ว คืนบัตรให้แล้วกัน”
เฉินถิงเซียวมองหน้าเธอ แล้วก็โยนบัตรกลับไป
“นายจะทำอะไรหนะ?” มู่น่อนน่อนยื่นกลับคืนไปให้เขาอีกครั้ง
เฉินถิงเซียวโยนบัตรนั้นออกไปนอกหน้าต่างทันที แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “ถ้าไม่เอาก็โยนทิ้งไป”
มู่น่อนน่อนเปิดประตูไปเก็บบัตรนั้นคืนมา
เธอไม่กล้ายื่นให้“เฉินเจียฉิน”อีกแล้ว ไม่กล้าไปยั่วยุคุณชายใหญ่คนนี้เข้าให้
ไว้รอให้เฉินถิงเซียวกลับมา เธอก็จะคืนบัตรให้เขาเอง
……
วันถัดมา
มู่น่อนน่อนนั่งรถเมล์ไปที่บริษัท เพราะว่าแท็กซี่มันแพงเกินไป
ทันทีที่ลงจากรถเมล์ เธอก็เห็นคนที่ไม่อยากจะเห็น
เสิ่นชูหานเดินเข้ามาหาเธอ “น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนถอยหลังไปสองก้าว “มีอะไรรึเปล่า?”
เสิ่นชูหานเหมือนกับว่าไม่รับรู้ถึงท่าทีเย็นชาของเธอ เขาดูหดหู่เล็กน้อย หลังจากนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นและสง่างามกว่าเดิม “ที่มาเจอกับเธอ เพราะว่าอยากจะพูดกับเธอสองประโยค”
หลังจากได้เจอกับเขา ท่าทีของมู่น่อนน่อนก็เย็นชาขึ้นมาก “ตอนนี้นายพูดเกินสองประโยคแล้ว ฉันยังต้องไปทำงาน ไปก่อนนะ”
เมื่อก่อนเธอชอบเสิ่นชูหานนั่นคือเรื่องจริง แต่ว่าคงเป็นเพราะว่าตอนนั้นเธอตาบอด ก็เลยคิดว่าเขาดีไปหมด
แต่ว่าหลังจากความคิดเปลี่ยนไป ตอนนี้เสิ่นชูหานสำหรับเธอนั้น มีแค่สถานะเดียวเท่านั้น ก็คือ——แฟนของมู่หวั่นขี
เสิ่นชูหานหัวเราะออกมา แล้วก็พูดออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เขาดูแลเธอดี ถ้างั้นฉันก็สบายใจแล้ว”
มู่น่อนน่อน:“……”แม้แต่เซียวชู่เหอยังไม่พูดแบบนี้กับเธอเลย แล้วเสิ่นชูหานไปเอาความกล้ามาจากไหนที่มาพูดกับเธอแบบนี้
“ถ้าเกิดว่านายว่างขนาดนี้ ก็ไปโรงพยาบาลดูหน่อยเถอะนะ” อย่ามาประสาทเสียแถวนี้
เสิ่นชูหานเห็นว่ามู่น่อนน่อนห่างเขาไปเรื่อยๆ ความหดหู่บนใบหน้าก็ค่อยๆหายไป ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความอยากเอาชนะ
ที่มู่น่อนน่อนเย็นชาขนาดนั้น ต้องเป็นเพราะว่าจะปิดบังความสงสัยแน่ๆ เธอชอบเขามาหลายปีขนาดนี้ ไม่ใช่จะเลิกชอบก็เลิกได้ง่ายๆหรอก
เฉินถิงเซียวยอมมอบแม้แต่การ์ดดำที่มีอยู่ไม่กี่ใบให้มู่น่อนน่อน แสดงว่าเขาคงดีกับเธอมาก
ตระกูลเสิ่นเริ่มตกต่ำในหลายปีที่ผ่านมา ขอแค่เข้าเกลี้ยกล่อมมู่น่อนน่อน ให้เธอช่วยดันเขา ให้เฉินถิงเซียวช่วยเหลือเขา แค่นี้ก็ทำให้สถานการณ์ของเขาดีขึ้นได้มากเลย
……
มู่น่อนน่อนมาถึงโต๊ะทำงาน พึ่งจะนั่งลง มู่หวั่นขีก็เข้ามา
สายตาของเธอเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น “พ่อให้เธอไปหาที่ห้องทำงาน”
“เขามีเรื่องอะไรจะพูดงั้นหรอ?” มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วยืนขึ้นพร้อมกับมองหน้าเธอ
มู่หวั่นขีดูเหมือนว่าพูดมากไม่ค่อยได้ “ไปแล้วก็จะรู้เอง”
หลังจากมาถึงห้องทำงานของมู่ลี่เหยียน มู่น่อนน่อนก็เห็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่โดนไฟฟ้าช็อตไปเมื่อวานนี้
ตอนที่55 นึกว่าพวกเราตระกูลเฉินไม่มีคนอื่น
ก่อนหน้านี้มู่หวั่นขีกับเซียวชู่เหอเข้าใจผิดคิดว่าเธอกับ“เฉินเจียฉิน”เป็นชู้กัน ถ้าเกิดว่าตอนนี้เธอเห็นว่า“เฉินเจียฉิน”มารับเธอล่ะก็ มันจะ….
มู่น่อนน่อนรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
หลังจากออกมาจากลิฟต์ มู่หวั่นขีออกมาก่อน มู่น่อนน่อนอยู่ด้านหลัง แล้วก็โทรหา“เฉินเจียฉิน”
เขารับสายเร็วมาก ไม่รอให้มู่น่อนน่อนพูดอะไร เขาก็ถามออกมาก่อนว่า “เธอไม่อยากเลี้ยงข้าวฉัน ก็เลยไปซ่อนงั้นหรอ?”
มู่น่อนน่อน:“……”เหมือนหมาเห่า
เดี๋ยวก่อนนะ…
“ตอนนี้นายอยู่ไหนเนี่ย?” มู่น่อนน่อนสงสัย เขาต้องมาถึงบริษัทมู่ซื่อแล้วแน่ๆ ไม่ยังงั้นเขาจะพูดได้ยังไงว่าเธอซ่อนอยู่!”
เฉินถิงเซียวเงยหน้ามองประตูทางเข้าของบริษัทมู่ซื่อ “ประตูทางเข้าบริษัทมู่ซื่อ ถ้าเกิดว่าไม่ได้ซ่อนอยู่ก็รีบออกมาได้แล้ว เดี๋ยวไปช้าจะไม่มีที่นั่ง
หลังจากตอบออกมาอย่างรัดกุม เขาก็ตัดสายไป
มู่น่อนน่อนโทรไปอีกครั้ง แต่ว่าเขาก็ตัดสาย
เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินออกไป หวังว่ามู่หวั่นขีกับเสิ่นชูหานจะออกไปแล้ว
ถ้าเกิดว่ามู่หวั่นขีเห็นว่า“เฉินเจียฉิน”มารับเธอ ไม่แน่ว่าเธอจะเอาไปประกาศอีกว่าเธอไปเป็นชู้กับลูกพี่ลูกน้องของสามีอีก
ถึงแม้ว่าช่วงนี้เฉินถิงเซียวจะอ่อนโยนกับเธอมากกว่าเดิม แต่ว่าเขากับ“เฉินเจียฉิน”ความสัมพันธ์มันแน่นแฟ้นกว่าอยู่แล้ว ถ้าเกิดว่าเธอกับ“เฉินเจียฉิน”เป็นข่าวด้วยกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เฉินถิงเซียวไม่มีวันยืนอยู่ข้างเธอแน่ๆ
แต่ว่าน่าเสียดาย ฟ้าไม่เป็นใจ ตอนที่เธอเดินออกมานั้น เสิ่นชูหานกับมู่หวั่นขียังไม่ไป
เสิ่นชูหานจอดรถอยู่ตรงหน้าประตู มู่หวั่นขีก็เปิดกระจกออกมา แล้วก็เรียกเธอ “น่อนน่อน ขึ้นรถสิ ฉันจะพาเธอไปกินข้าว”
มู่น่อนน่อนจะมองไม่ออกได้ยังไง ว่ามู่หวั่นขีต้องการจะโชว์เธอว่าเธอดีกับเสิ่นชูหานแล้ว
มู่น่อนน่อนยิ้มน้อยๆ “ไม่ต้องหรอก พวกเธอไปกันเถอะ พวกเราไม่ได้ไปทางเดียวกันซะด้วย”
เสิ่นชูหานกลับเปิดประตูรถแล้วลงมา แล้วก็มองมาทางมู่น่อนน่อน “น่อนน่อน เธออย่า…”
ทันทีที่เขาเห็นรูปลักษณ์ของมู่น่อนน่อนในตอนนี้ เสียงของเขาก็หายไป ดวงตาเปล่งประกายความตะลึง จนถึงตอนที่มู่หวั่นขีเรียกเขาอย่างไม่พอใจว่า “ชูหาน” เขาถึงได้สติกลับมา หลังจากนั้นก็พูดต่อว่า “อย่าเกรงใจเลย เดี๋ยวฉันไปส่งเธอกลับเอง”
ก่อนหน้านี้บอกว่าจะพาเธอไปด้วยกัน แต่ว่าตอนนี้บอกว่าจะไปส่งเธองั้นหรอ?
มู่น่อนน่อนยิ้มมุมปาก ตอนที่กำลังจะอ้าปากพูดนั้น ก็ได้ยินเสียงปิดประตูรถดัง “ปัง”
เธอหันไปมอง ก็เห็น“เฉินเจียฉิน”รูปร่างที่สูงโปร่งเดินเข้ามาหาเธอ
ตอนนั้นเองเสิ่นชูหานกับมู่หวั่นขีถึงได้รู้ว่า มีรถเบนท์ลีย์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ข้างพวกเขามาโดยตลอด
ผู้ชายทุกคนก็ต่างชอบรถกันทั้งนั้น รูปลักษณ์ของรถเบนท์ลีย์นั้นช่างดูเรียบหรูและสวยงาม เสิ่นชูหานหันไปมองอย่างอดไม่ได้ พอเห็น เขาก็เห็นว่ามันคือBentley Elegant 728 ที่หยุดขายไปเมื่อกลายปีก่อน มันเป็นงานออกแบบสำหรับเฉพาะคนเท่านั้น
สำหรับราคานั้น ก็ต้อง50ล้านขึ้นไปอยู่แล้ว เพราะว่ารูปร่างมันสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของเจ้าของ การออกแบบแต่ละอย่างทำให้ราคาของมันไม่เหมือนกัน ถ้าดูด้วยสายตาอย่างมืออาชีพนั้น รถคันนี้ไม่น่าต่ำกว่าร้อยล้านด้วยซ้ำ
พวกเศรษฐีในเซี่ยงไฮ้นี้ เสิ่นชูหานก็เกือบจะรู้จักแทบทุกคน แต่ว่าพอเห็นผู้ชายที่เดินเข้าไปหามู่น่อนน่อนในตอนนี้ เขากลับไม่รู้จักเลย
เฉินถิงเซียวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ามู่น่อนน่อน แล้วก็หรี่ตามองหน้าเธอ หลังจากนั้นก็หันไปมองเสิ่นชูหาน แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส แต่ว่าทรงพลังมาก “คุณคนนี้คิดว่าตระกูลเฉินของพวกเราไม่มีคนอย่างงั้นหรอครับ? ก็เลยต้องให้คนอื่นไปส่งคุณผู้หญิงของตระกูลเฉินกลับบ้าน?”
เสิ่นชูหานอึ้งไป ที่แท้ผู้ชายคนนี้ก็คือคนของตระกูลเฉินหรอเนี่ย?
แต่ว่าได้ยินมาว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนพิการไปแล้วไม่ใช่หรอ? แล้วผู้ชายที่หล่อเหลาที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือใครกัน?
มู่หวั่นขีที่อยู่ด้านข้างก็เตือนเขาว่า “นี่คือลูกพี่ลูกน้องของเฉินถิงเซียว เฉินเจียฉิน”
พอเสิ่นชูหานได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “เธอรู้จักเขาได้ยังไง?”
ครั้งแรกที่ มู่หวั่นขีคบกับเขานั้น มีเลือดออก เขาก็นึกว่าเป็นครั้งแรกของเธอ แต่หลังจากมีวิดีโอหลุดไปนั้น เขาถึงได้รู้ว่าเธอไปให้หมอซ่อมมัน รักแรกที่บริสุทธิ์อะไรของเธอนั้นมันเป็นเรื่องหลอกลวงชัดๆ!
แต่ว่าเพราะเหตุผลบางอย่าง ทำให้เขาจำเป็นต้องกลับมาคบกับมู่หวั่นขีอีกครั้ง
เสิ่นชูหานพยายามกดความรังเกียจมู่หวั่นขีไว้ในใจ แล้วก็หันหน้าไปพูดว่า “คุณเฉินเข้าใจผิดแล้วครับ ผมเป็นเพื่อนของน่อนน่อน เห็นว่าเป็นทางผ่านก็เลยอาสาจะไปส่งเฉยๆ”
“งั้นหรอ?” เฉินถิงเซียวหันหน้ากลับมามองหน้ามู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนต้องการจะช่วย“เฉินเจียฉิน” “ก็ไม่ใช่ทางผ่านเท่าไหร่นะ”
เฉินถิงเซียวพอใจสำหรับการให้ความร่วมมือของเธอมาก สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่ แต่ว่าสายตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อไม่ใช่ทางผ่าน ถ้ายังงั้นพวกเราไปก่อนนะครับ”
จนถึงตอนที่เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนขึ้นรถไป เสิ่นชูหานยังไม่เลิกมองตามพวกเขาเลย
ทำไมอยู่ดีๆมู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปกลายเป็นสวยได้ขนาดนี้กัน?
ถ้าเกิดว่าเธอไปทำศัลยกรรมมาจริงๆ แต่ว่ามันก็ห่างจากครั้งที่แล้วที่เขาเจอเธอไม่กี่วันเท่านั้นเอง ไม่มีวันหายเร็วขนาดนี้หรอก
นี่มันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เธอสวยมากมาตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ว่าเมื่อก่อนทำไมเธอถึง….
ตอนแรกมู่หวั่นขีก็แค่อยากจะอวดว่าเธอดีกับเสิ่นชูหานอีกแล้ว แต่ว่าลืมไปว่าตอนนี้มู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปเป็นสวยขึ้นแล้ว ก็เลยดึงดูดสายตาของเสิ่นชูหานได้
มู่หวั่นขีโกรธมาก เธอพูดกับเสิ่นชูหานอย่างเย็นชาว่า “มองอะไรกัน ถึงมองยังไงเธอก็เป็นคุณนายของตระกูลเฉิน!”
เสิ่นชูหานโดนคำพูดของเธอทิ่มแทง ก็มองหน้าเธอด้วยความรังเกียจ “หุบปากไป!”
……
ในรถนั้นเงียบมาก
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาเสิ่นเหลียง
เธอบอกเสิ่นเหลียงเรื่องที่เสิ่นชูหานกลับมาดีกับมู่หวั่นขีแล้ว
เสิ่นเหลียงส่งรูปหน้าตะลึงมา : ไม่อยากจะเชื่อว่าบริษัทเสิ่นซื่อ จะมีคนเยี่ยงนี้อยู่ด้วย!
ช่วงนี้เธอถ่ายละครโบราณอยู่ เพราะฉะนั้นก็เลยติดคำพูดแบบตัวละครมาบ้าง
มู่น่อนน่อนกลับรู้สึกว่า มู่หวั่นขีรู้จุดอ่อนของเสิ่นชูหาน เพราะฉะนั้นก็เลยบังคับให้เขาดีกับเธอ
ไม่ยังงั้น ผู้ชายที่รักภาพลักษณ์ของตัวเองมากอย่างเสิ่นชูหาน จะยอมให้เธอสวมเขาแล้วดีกับเธอยังงั้นหรอ
เธอพิมพ์ความคิดของตัวเองส่งไปให้เสิ่นเหลียง เสิ่นเหลียงยังไม่ทันจะตอบกลับมา เธอก็รู้สึกได้ว่ารถจอดลงแล้ว
มู่น่อนน่อนปลดเข็มขัดแล้วก็ลงจากรถ หลังจากนั้นก็เห็นรถคันข้างๆ ก็คือมู่หวั่นขีกับเสิ่นชูหานนั่นเอง
“……”มีคำพูดหนึ่งที่เรียกว่าอะไรนะ? ศัตรูจะชอบเจอหน้ากันง่ายๆ!
เสิ่นชูหานเห็นมู่น่อนน่อนพอดี เหมือนว่ากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ว่าก็โดนมู่หวั่นขีลากออกไปก่อน
มู่น่อนน่อนคิดไม่ออกจริงๆว่ามันเพราะเหตุผลอะไรกันแน่ ถึงทำให้ผู้ชายที่รักภาพลักษณ์ของตัวเองอย่างเสิ่นชูหานกลับมาดีกับมู่หวั่นขีได้
หลังจากนั้นก็มีเสียงที่ทุ้มต่ำของ“เฉินเจียฉิน”ดึงขึ้นมา “พวกเขาไปไกลละ ถ้าเกิดว่ายังอยากเห็นอยู่ก็เดินตามไปสิ”
มู่น่อนน่อนกำลังจะหันหน้ากลับมานั้น “เฉินเจียฉิน”ก็เดินเข้าร้านอาหารจีนติ่งไปแล้ว
เขาทั้งสูงแล้วก็ขายาว ก้าวขาทีหนึ่งก็ยาวมาก มู่น่อนน่อนต้องวิ่งตามเข้าไป “นายพูดบ้าอะไรของนาย! ใครอยากเห็นใคร?”
“เสิ่นชูหาน” เฉินถิงเซียวหยุดเดิน แล้วก็หันมามองหน้าเธอนิ่งๆ
มู่น่อนน่อนโดนเขาจ้องจนหนาวสั่นไปหมด
“นายรู้จักเขาด้วยหรอ?” มู่น่อนน่อนเดินตามเขาไป ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วก็คว้าแขนเขาไว้ “นายเคยสืบเรื่องฉัน!
ตอนที่54 เธอเลิกงานแล้วเดี๋ยวฉันไปรับ
หลังจากมาถึงแผนกการตลาด มู่หวั่นขีก็พามู่น่อนน่อนไปที่ห้องผู้จัดการ
ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเป็นผู้ชายหัวล้านวัยกลางคน พอเห็นมู่หวั่นขีก็ยิ้มจนตาหยี ดูประจบประแจงมาก
“คุณหญิงที่สอง มาที่นี่มีธุระอะไรรึเปล่าครับ?”
มู่หวั่นขีกอดอก แล้วก็เชิดคางแล้วชี้ไปทางมู่น่อนน่อน “นี่จะเป็นพนักงานวิเคราะห์ตลาดใหม่ของแผนกคุณ ฝากดูแลเธอด้วยนะ”
ถึงปากจะบอกว่าให้ฝากดูแลเธอด้วย แต่ว่าการกระทำของมู่หวั่นขีนั้นดูห่างเหินกับมู่น่อนน่อนมาก
ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเหมือนว่าจะเริ่มจับจุดได้แล้ว “ผมจะ “ดูแล”เธอให้ดีเลยครับ”
“ฉันไว้ใจคุณอยู่แล้ว” มู่หวั่นขีพูดจบ ก็หันไปเหลือบมองมู่น่อนน่อน แล้วก็เดินออกไป
คำพูดของ มู่หวั่นขี ทำให้ผู้จัดการรู้ว่า คำว่า “ดูแล”ที่มู่หวั่นขีพูดนั้น หมายถึงอะไร
“คุณผู้หญิงที่สองเดินดีๆนะครับ!” ผู้จัดการยิ้มจนตาหยีเดินไปส่งมู่หวั่นขี หลังจากนั้นก็หันหน้ากลับมา แล้วก็มองหน้ามู่น่อนน่อนด้วยท่าทางจริงจัง “ชื่ออะไร”
“มู่น่อนน่อน。”
หลังจากกลับมาที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ก็เริ่มที่จะพิจารณามู่น่อนน่อน
การวิเคราะห์ในครั้งนี้ ดวงตาของเขาเอาแต่มองเรือนร่างของเธอไม่ขยับไปไหน? “นามสกุลมู่? เธอเป็นอะไรกับผู้อำนวยการ?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกรังเกียจสายตาของเขา ก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกี่ยวข้องกันนิดหน่อย”
ผู้จัดการคนนี้แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นคนทำงานไม่เป็นโล้เป็นพายแต่ว่าเลียแข้งเลียขาเก่ง ไม่แปลกใจที่ทำงานอยู่ที่นี่โดยที่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่งอะไรเลยหลายปี
เกี่ยวข้องนิดหน่อย หมายความว่าไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่
ผู้จัดการที่เข้าใจไปว่าตัวเองรู้เหตุการณ์แล้วก็ยิ้มออกมา “อืม ถ้ายังงั้นก็ตั้งใจทำ ฉันจะไม่ลำเอียงให้เธอหรอกนะ”
เขาจงใจเน้นคำว่า “ทำ” มู่น่อนน่อนได้ยินแล้วรู้สึกคลื่นไส้
แต่ว่าเธอก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ถูกพาตัวไปที่ห้องทำงานเล็กๆ
หลังจากแนะนำตัวง่ายๆเรียบร้อยแล้ว มู่น่อนน่อนก็นั่งลง แล้วก็รู้สึกได้ว่าเพื่อนร่วมงานรอบๆต่างมองหน้าเธอ
เพื่อนร่วมงานคนใหม่ที่สวยขนาดนี้ คุณหญิงที่สองเป็นคนพาเข้ามาเอง พวกเขาก็ต้องสงสัยอยู่แล้ว
แต่ว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ เธอเองก็ไม่มีอะไรที่ต้องเก็บกวาด หลังจากนั่งลงก็ถ่ายรูปให้เสิ่นเหลียงดู
มู่น่อนน่อน:ฉันเริ่มทำงานที่บริษัทมู่ซื่อแล้วนะ
เสิ่นเหลียง:ตำแหน่งอะไร? รองประธานหรอ?
มู่น่อนน่อน:ฝ่ายวิจัยตลาด
เสิ่นเหลียง:[รูปเครื่องหมาย?สีดำ] เธอมาทำตำแหน่งผู้ช่วยฉันยังจะดีสะกว่าอีก ฉันจะให้เงินเดือนเธอ550,000หยวนต่อปี
คิก——
มู่น่อนน่อนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา ใครจะไปเป็นผู้ช่วยคนอย่างเสิ่นเหลียงกัน
มีเพื่อนร่วมงานเข้ามาเรียกเธอ “มู่น่อนน่อน ผู้จัดการเรียกให้เธอไปห้องเขา เขามีเรื่องจะคุยกับเธอ”
มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วตอบว่า “โอเค เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากนะ”
เพื่อนร่วมงานคนนั้นเหมือนมีอะไรจะพูดต่อ แต่ว่าก็ได้แต่ส่งสายตาให้เธอแทน
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร ผู้จัดการคนนั้นแค่ดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ได้เรื่อง
ยิ่งไปกว่านั้น เธอได้เตรียมตัวมาตั้งแต่แรกแล้ว
……
มู่น่อนน่อนเคาะประตูห้องทำงานของผู้จัดการ
“น่อนน่อน เข้ามาสิ เมื่อกี้ฉันพึ่งทำเอกสารออกมา เดี๋ยวเธอเอาไปดู”
พึ่งเริ่มต้นก็เรียกเธอด้วยชื่อที่สนิทกันขนาดนี้แล้วหรอ?
“ขอบคุณค่ะผู้จัดการ” มู่น่อนน่อนยื่นมือไปรับเอกสาร
แต่ว่าทันใดนั้นผู้จัดการกลับลูบมือของเธอ “ไม่ต้องรีบหรอก พวกเรามาคุยเรื่องงานกันก่อนดีกว่า”
มู่น่อนน่อนดึงมือกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทันใดนั้นผู้จัดการก็ดึงแขนของเธอ “มานั่งลงข้างๆฉันสิ ต้องอยู่ใกล้ๆกันถึงจะคุยกันรู้เรื่อง”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเยือกเย็นขึ้นเล็กน้อย “ผู้จัดการคะ รบกวนปล่อยมือฉันด้วยค่ะ”
ตอนแรกผู้จัดการก็คิดว่าเขาได้ให้คำใบ้กับมู่น่อนน่อนชัดเจนมากแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่ามู่น่อนน่อนจะมองไม่ออก
สีหน้าของเขามืดมน แล้วก็ออกแรงดึงมู่น่อนน่อนให้มานั่งลงตรงหน้าเขา แขนอีกข้างก็โอบเอวของเธอไว้ แล้วก็พูดด้วยความโกรธว่า “คำพูดของคุณหญิงที่สองก่อนหน้านี้เธอก็ได้ยินแล้ว ถ้าเธอชื่อฟังฉัน ทำให้ฉันมีความสุข ฉันก็จะไม่ทำให้เธอต้องลำบาก”
“หืม?” มู่น่อนน่อนหัวเราะพลางมองหน้าเขา แล้วก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า
ผู้จัดการคิดว่ามีความหวัง ก็เลยพุ่งเข้าไปจะจูบเธอ อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะขยับเข้าไปใกล้ได้ เขาก็รู้สึกชาไปทั้งตัว สายตาเบิกกว้าง ได้แต่ชี้หน้าเธอแล้วพูดว่า “เธอ”ทันใดนั้นก็ล้มลงที่พื้นทันที
มู่น่อนน่อนดึงที่ช็อตไฟฟ้าออก แล้วก็หยิบเอกสารมา ทันใดนั้นก็ก้าวข้ามผู้จัดการ แล้วก็เดินออกจากห้องมา
หลังจากผ่านเหตุการณ์ของคลับจี่อจีนมาได้ เธอก็มีบทเรียนแล้ว
เพื่อนร่วมงานข้างนอกเห็นว่าเธอออกมาเร็ว ก็พากันตะลึง
สำหรับสายตาที่ตะลึงของพวกเขา มู่น่อนน่อนตอบกลับเพียงแค่รอยยิ้ม
เธอพึ่งจะนั่งลง โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เบอร์โทรเหมือนจะคุ้น แต่ว่าก็แปลกประหลาดเล็กน้อย
ตอนแรกเธอเองก็ไม่อยากจะรับ แต่ก็นึกถึงเรื่องที่ต้องเจอหน้าคนๆนี้ทุกวัน เธอก็เลยรับโทรศัพท์ “มีอะไรรึเปล่า?”
เฉินถิงเซียวรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของเธอเย็นชามาก ก็เลยเริ่มรู้สึกเสียใจที่ตอนนั้นเขาใช้ชื่อลูกพี่ลูกน้องของเขาออกมา
แต่ว่า ถ้าเกิดว่าเธอรู้ว่าเขาคือเฉินถิงเซียวตั้งแต่แรก ก็คงไม่มีเรื่องที่น่าสนใจเกิดขึ้นภายหลังแบบนี้หรอก
น้ำเสียงของ เฉินถิงเซียวนิ่งเรียบ “ทำงานวันแรกเป็นยังไงบ้าง?”
มู่น่อนน่อนที่กำลังเปิดเอกสารอ่านอยู่นั้นหยุดทันที ที่เขาโทรมาหาเธอด้วยตัวเองก็เพื่อที่จะถามว่าทำงานเป็นยังไงบ้างเนี่ยหรอ?
มู่น่อนน่อนปิดเอกสารนั้น แล้วถามเขา “นายโทรมาเพื่อจะถามเรื่องนี้น่ะหรอ?”
“อย่าลืมว่าเธอยังติดหนี้ทำอาหารให้ฉันอยู่ เพราะฉะนั้นวันนี้ก็ห้ามขาด วันนี้ตอนเย็น ฉันจะไปรับเธอหลังเลิกงาน” หลังจากเฉินถิงเซียวพูดจบ ก็ตัดสายทันที ไม่ให้โอกาสเธอได้ปฏิเสธ
มู่น่อนน่อนคิดด้วยความสงสัยว่า เมื่อเช้าที่เธอทำกับ“เฉินเจียฉิน” ถ้าพูดตามหลักเหตุผลแล้ว เขาควรจะโกรธไม่ใช่หรอ หลังจากนั้นก็หาวิธีเอาคืนเธอ
แต่ว่าผลก็คือน้ำเสียงเขายังนิ่งเรียบเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
นี่มันทำให้เธองงเล็กน้อย
“ใครก็ได้ช่วยด้วย ผู้จัดการเป็นลม”
ห้องทำงานของผู้จัดการอยู่ไม่ไกลจากมู่น่อนน่อนมาก มู่น่อนน่อนเงยหน้ามอง ก็เห็นผู้หญิงคนนึงยืนเรียกให้คนช่วยอยู่หน้าประตูห้องเขา
มู่น่อนน่อนก้มหน้าลงเหมือนว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นี่
สุดท้าย ผู้จัดการก็ถูกส่งไปโรงพยาบาล
มู่น่อนน่อนลูบที่ช็อตไฟฟ้าของตัวเองในกระเป๋า เยี่ยมไปเลย สามารถส่งไอ้หัวล้านนั่นไปโรงพยาบาลได้ด้วย
หลังจากผู้จัดการไปโรงพยาบาลจนถึงตอนบ่ายก็ยังไม่กลับมา ถือว่าวันนี้มู่น่อนน่อนมีวันที่ค่อนข้างสงบ
……
ตอนที่เลิกงานนั้น มู่น่อนน่อนก็เจอมู่หวั่นขีที่ลิฟต์
มู่น่อนน่อนอ่านเอกสารมาทั้งวัน ก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ไม่มีอารมณ์ที่จะไปต่อสู้กับมู่หวั่นขี เพราะฉะนั้นเธอเลยหลบมายืนด้านข้าง ให้คนอื่นไปก่อน
มู่หวั่นขีก็ไม่ได้เข้าไปในลิฟต์เหมือนกัน พอคนอื่นเดินไป ก็เหลือเพียงแค่เธอสองคน
ทั้งสองคนไม่มีใครพูดอะไรก่อน
หลังจากเข้ามาในลิฟต์ มู่หวั่นขีก็หันมามองหน้าเธอ แล้วก็พูดว่า “ตระกูลเฉินมีคนขับรถมารับเธอมั้ย? ถ้าเกิดว่าไม่มีล่ะก็ เดี๋ยวชูหานจะมารับฉันไปกินข้าว เธอไปด้วยก็ได้นะ”
พอมู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้น ก็มองหน้ามู่หวั่นขีด้วยความแปลกใจ
เสิ่นชูหานดีกับมู่น่อนน่อนอีกแล้วหรอ?
พอรู้สึกได้ว่ามู่น่อนน่อนกำลังมองตัวเองอยู่ มู่หวั่นขีก็เชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
“ไม่มี” ทันทีที่มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็นึกขึ้นได้ว่า“เฉินเจียฉิน”บอกว่าจะมารับเธอ
ตอนที่53 ไม่ได้ทำศัลยกรรมมาใช่มั้ย
พอมู่น่อนน่อนเห็นดังนั้น แล้วก็ยิ้มมุมปากพร้อมกับพูดเย้ยหยันเขา “แม้แต่แก้วกาแฟยังถือนิ่งๆไม่ได้ ไตไม่ค่อยดีงั้นหรอ?”
เฉินถิงเซียววางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะพร้อมกับยิ่ม แล้วก็ไม่เช็ดกาแฟที่เลอะตัวเองด้วย หลังจากนั้นก็พูดออกมา “เธอลองดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรอ?”
มู่น่อนน่อนปัดผมตัวเองขึ้น หลังจากนั้นก็มองหน้าเขาแล้วก็เดินไปที่ประตู หลังจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “คิดได้ดีมาก!”
เฉินถิงเซียว:“……”
ผู้หญิงคนนี้ไปเอาความกล้ามาจากไหน?
มู่น่อนน่อนเดินออกจากวิลล่ามา แล้วก็ตบไปที่หน้าอกของตัวเอง แล้วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ศัตรูก็เหมือนกับสปริง ถ้าเกิดว่าเราอ่อนแอ เขาก็จะแข็งแกร่ง!
หลังจากเมื่อกี้เธอพูดกับ“เฉินเจียฉิน”ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เธอก็รู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีอะไรจะมาสู้กับเธอได้อีกแล้ว
“เฉินเจียฉิน”ก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นสักหน่อย!
ถ้าเกิดว่าเธอโดนเขาขู่อีกครั้ง เธอต้องเป็นหมาแน่นอน!
……
มู่น่อนน่อนขึ้นรถและตรงไปยังบริษัทมู่ซื่อ
ตอนที่เธอยังเด็กมากอยู่นั้น ก็เลยมาที่นี่กับมู่หวั่นขีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากโตขึ้น ทุกครั้งที่ผ่านมา เธอก็ได้แต่ยืนมองอยู่ข้างนอก
ความปรารถนาของเธอเมื่อก่อน ก็คือการที่เซียวชู่เหอเห็นเธออยู่ในสายตาสักครั้ง สนใจเธอ เธอไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะได้เข้าบริษัทมู่ซื่อ แล้วก็ถือหุ้น
แต่นึกไม่ถึง ว่าสุดท้ายจะมีวันหนึ่ง ที่เธอถูกมู่ลี่เหยียนเรียกให้มาทำงานที่บริษัทมู่ซื่อ
เธอหายใจเข้าลึกๆ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วก็เดินเข้าไป
วันแรกของมู่น่อนน่อน ก็ยังไม่มีบัตรพนักงาน พอเดินเข้าไปก็โดนพนักงานต้อนรับขวางไว้ก่อน “คุณผู้หญิงคะ มาพบใครคะ?”
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองหน้าเธอ แล้วก็ยิ้มออกมาเบาๆ ดวงตาของเธอเหมือนกับแมว “ฉันชื่อมู่น่อนน่อนค่ะ มาทำงาน”
นามสกุลมู่งั้นหรอ? พนักงานต้อนรับต่างมองหน้ากัน
“นี่ใครกันเนี่ย?” ทันใดนั้นก็มีเสียงของมู่หวั่นขีดังขึ้นมาจากข้างหลัง
หลังจากนั้นก็มีเสียงรองเท้าส้นสูงดัง “แกร๊กๆๆ” ก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
มู่หวั่นขีเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ทันทีที่เห็นใบหน้าของเธอชัดๆนั้น เธอก็รู้สึกตะลึงจนตาค้าง แม้แต่น้ำเสียงยังเปลี่ยนไป “เธอ เธอเป็นใคร!”
“พี่ ฉันคือน่อนน่อน ไม่รู้จักฉันซะแล้วหรอ?” น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนนั้นนิ่มนวลมาก แต่ว่าพอมู่หวั่นขีได้ยิน กลับรู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก
มู่หวั่นขีถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่ทันตั้งตัส “ทำไมเธอเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปได้?”
“ฉันก็หน้าตาแบบนี้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พี่ก็มองหน้าฉันดีๆสิ ฉันคือน้องสาวแท้ๆของพี่นะ ถ้าเกิดว่าแม้แต่พี่ยังจำฉันไม่ได้ ไปบอกใครเค้าก็ดูน่าขำไม่ใช่หรอ?”
มู่น่อนน่อนพูดไปพลางขยับเข้าใกล้มู่หวั่นขีขึ้นเรื่อยๆ
มู่หวั่นขียังคงระลึกอยู่กับการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของมู่น่อนน่อน พอมู่น่อนน่อนก้าวเข้ามาใกล้เธอหนึ่งก้าว เธอก็ก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ
วันนั้นที่คลับจี่อจีน คนพวกนั้นทำตามเป้าหมายไม่สำเร็จ มู่หวั่นขีรู้ดี
แต่ว่าเธอไม่เชื่อว่า วันนั้นเธอทำอย่างแนบเนียนไม่มีที่ติ แล้วมู่น่อนน่อนจะหนีออกมาได้ยังไง
เพราะฉะนั้นเธอจึงปล่อยให้เซียวชู่เหอนัดมู่น่อนน่อนออกมากินข้าว เพราะว่าเธออยากจะเห็นว่ามู่น่อนน่อนสบายดีจริงๆรึเปล่า
พนักงานต้อนรับที่อยู่ตรงโต๊ะข้างหน้าเสแสร้งทำเป็นก้มกินแตงโม แต่ว่ามือก็สั่นจนแตงโมเกือบจะหล่นพื้น
ได้ยินมาว่าคุณหญิงที่สามของตระกูลมู่ทั้งหน้าตาน่าเกลียดทั้งปัญญาอ่อนด้วยไม่ใช่หรอ? ไปทำศัลยกรรมที่เมืองนอกมางั้นหรอ?
คุณหญิงที่สองที่ปกติดูเจ้าบงการในบริษัทนี้ ยังดูกลัวคุณหญิงที่สามเลยนะ?
มู่หวั่นขีได้สติกลับมา แล้วก็พยายามกดความไม่พอใจและความโกรธเอาไว้ เธอกัดฟันแล้วพูดว่า “เธอก็ต้องเป็นน้องสาวของฉันแน่นอนอยู่แล้ว ฉันรักเธอมากขนาดไหนเธอก็เห็น ขนาดคู่หมั้นของตัวเองยังยกให้เธอเลย จะไม่รู้จักเธอได้ยังไงกันล่ะ”
อ้อ เมื่อก่อนยังตั้งใจลงข่าวเหมือนว่ามู่น่อนน่อนแย่งคู่หมั้นของเธอไป แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่าเธอยกให้มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณมากที่พี่สาวของฉันจิตใจงดงามขนาดนี้ ให้ฉันได้แต่งงานกับผู้ชายที่มีเสน่ห์มากๆ”
“แก!” มู่หวั่นขีชอบเหยียบเท้าของมู่น่อนน่อนเสมอ แล้วก็มองเท้าของเธอด้วยความภาคภูมิใจ เธออดไม่ได้ที่จะลอกผิวหนังของมู่น่อนน่อนออกมาเป็นแผ่นๆ
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปกอดแขนของมู่หวั่นขีเอาไว้ ท่าทางเหมือนพี่น้องที่สนิทสนมกันมาก ใบหน้าของเธอยังคงปรากฏรอยยิ้มไม่เปลี่ยน “พี่สาว พวกเราขึ้นไปกันก่อนเถอะ อย่าให้พ่อต้องรอนานเลย”
ที่นี่คือบริษัท พนักงานเดินผ่านไปผ่านมา ถ้าเกิดว่าทั้งสองคนทะเลาะกันขึ้นมา คงจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
มู่หวั่นขีไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วก็เดินไปที่ลิฟต์
แต่ว่า ทั้งสองคนยังไม่ทันจะเดินไปไกล ก็ได้ยินพวกพนักงานต้อนรับด้านหน้าคุยกันว่าใครหน้าตาดีกว่า
“ฉันรู้สึกว่าคุณหญิงที่สามดูดีมากเลย คงไม่ได้ไปทำศัลยกรรมมาใช่มั้ย?”
“ดูก็รู้ว่าธรรมชาติ!”
“ถ้าเกิดว่าไม่ได้ทำก็แสดงว่าหน้าตาดีกว่าคุณหญิงที่สองเยอะมากเลยนะเนี่ย!”
พอมู่หวั่นขีได้ยิน ก็โกรธจนสะบัดแขนของมู่น่อนน่อนทิ้ง แล้วก็มองเธอด้วยสายตารังเกียจราวกับมองสิ่งสกปรก “อย่ามาโดนตัวฉัน!”
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปลูบแขนของตัวเอง เหมือนกับว่ามีสิ่งสกปรกติดอยู่ที่แขนของเธอ “อื้อ”
เธอรู้สึกว่ามู่หวั่นขีน่ารังเกียจมาก เรื่องที่เล่นนอกรอบก็อีกเรื่องนึง แถมยังทำตัวสำส่อนอีก
มู่หวั่นขีเห็นท่าทางของเธอแล้วก็โกรธมากกว่าเดิม แต่เพื่อที่จะได้รับมอบหมายจากมู่ลี่เหยียน เธอจึงจำเป็นต้องอดทนไว้
……
หลังจากออกมาจากลิฟต์ ทั้งสองคนก็ตรงไปที่ห้องทำงานของมู่ลี่เหยียน
ถึงแม้ว่ามู่ลี่เหยียนจะไม่ชอบมู่น่อนน่อน แต่ว่าก็ยิ้มต้อนรับด้วยความอบอุ่น “น่อนน่อนมาแล้วหรอ”
มู่ลี่เหยียนอ่อนโยนกับมู่น่อนน่อนมาก มู่หวั่นขีก็รู้สึกไม่พอใจ เธอไปเตรียมชาให้มู่ลี่เหยียน แล้วก็วางไว้ตรงหน้าเขาแรงๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่พอใจ
มู่น่อนน่อนเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แล้วก็รู้สึกว่ามันน่าขำสิ้นดี มู่หวั่นขีไม่สามารถเก็บอารมณ์ตัวเองได้เลยจริงๆ
“พ่อจะให้หนูทำตำแหน่งไหนหรอ?” มู่น่อนน่อนนั่งลงตรงหน้าเขา แล้วก็แสดงท่าทีที่อ่อนโยน
ไม่รอให้มู่ลี่เหยียนพูดออกมา มู่หวั่นขีกลับแย่งเขาพูดก่อน “ฉันรู้มาว่าตอนนี้ฝ่ายขายขาดนักวิจัยทางการตลอด แล้วฉันก็เห็นว่าน่อนน่อนเป็นคนชอบความท้าทาย เพราะฉะนั้นเธอไปทำตำแหน่งนั้นแล้วกัน”
มู่น่อนน่อนเหลือบมองหน้าเธอ แล้วพูดออกมานิ่งๆ “แต่ว่าฉันก็ไม่ได้ชอบความท้าทายมากขนาดนั้น ฉันอยากได้งานที่สบายๆ”
เธอเรียนเกี่ยวกับการทำภาพยนตร์ เกี่ยวกับการตลาดหรือการขาย เธอไม่สามารถทำได้แน่นอน
แต่ว่าเธอเองก็รู้ดีเลยว่า การวิจัยเกี่ยวกับการตลาด ต้องเป็นงานที่ลำบากมากแน่นอน
“น่อนน่อนยังวัยรุ่นอยู่ ต้องฝึกฝนสักหน่อย ลูกไปลองดูก่อนเถอะ ถ้าเกิดว่าไม่เหมาะล่ะก็ ลูกค่อยมาบอกพ่ออีกที” คำพูดของมู่ลี่เหยียนดูน่าฟัง แต่มันก็หมายความว่าตัดสินใจแล้วว่าจะให้เธอทำวิจัยตลาด
เขากับมู่หวั่นขีต่างคุ้นเคยกับการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่เลวร้ายอยู่แล้ว มู่น่อนน่อนที่เชื่อฟังคำสั่งมาแต่ไหนแต่ไร ก็แค่ต้องเน้นย้ำให้ชัดก็พอ
เคล็ดลับเล็กน้อยแค่นี้ มู่น่อนน่อนแค่เห็นก็ดูออกแล้ว
มู่น่อนน่อนใบหน้าเหมือนซาบซึ่ง “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้ายังงั้นหนูก็ต้องขอบคุณความรักที่พ่อมีให้นะคะ”
“หวั่นขี พาน่อนน่อนไปแผนกการตลาดสิ” พอมู่ลี่เหยียนพูดจบ ก็ก้มหน้าอ่านเอกสารต่อ
มู่หวั่นขีรู้สึกเหมือนว่าเธอได้รับความทุกข์ แต่ว่าเธอก็พยายามทนไว้ แล้วก็ทำใบหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ตามฉันมาสิ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เมื่อก่อนตอนที่อยู่บ้านตระกูลมู่ เธอเป็นคนไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงขนาดไหนกัน ตอนนี้ถึงทำให้พวกเขาคิดว่าพวกเขาจะทำยังไงกับเธอก็ได้?
การที่ให้เธอไปเป็นพนักงานวิจัยตลาดงั้นหรอ? เธอก็เลยได้แต่ขอบคุณ “ความรักและเมตตา” ที่มู่ลี่เหยียนมีให้กับเธอ เธอจะทำได้มั้ยนะ?
ตอนที่52 ฉันสมคบคิดกับเฉินถิงเซียว
ฟู้ถิงซีก็เดินตามเขาเข้ามาเหมือนกัน แล้วก็ยิ้มให้มู่น่อนน่อนอย่างมีมารยาทมาก “ฉันก็เหมือนกัน”
หลังจากพูดจบ พวกเขาก็นั่งลงที่โต๊ะอาหาร กู้จือหยั่นก็รีบนั่งลงที่ข้างเขา
เหลือก็แต่เฉินถิงเซียว ที่ยังยืนอยู่ตรงประตูไม่ยอมเข้ามา
มู่น่อนน่อน:“……”
ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลกๆ
เฉินถิงเซียวเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเย็นชา แล้วก็นั่งลงที่โต๊ะอาหาร
มู่น่อนน่อนเห็นดังนั้น ก็เข้าไปเอาชามจากในห้องครัวมาอีกสองชาม
เฉินถิงเซียวอดไม่ได้ที่จะเอาเท้าเตะทั้งสองคนใต้โต๊ะ “กินข้าวก็ไม่รู้จักไปเอาถ้วยเองรึยังไง?”
เมียของเขา ทำให้เขาคนเดียวก็พอแล้ว ทำไมต้องทำให้สองคนนี้ด้วย?
กู้จือหยั่นกับฟู้ถิงซีก็รีบลุกขึ้นไปเอาถ้วยในห้องครัวทันที
มู่น่อนน่อนมองผู้ชายทั้งสองคนที่เดินไปหยิบชามในห้องครัวอย่างเชื่อฟัง หลังจากนั้นก็เห็นท่าทีเอ้อระเหยลอยชายของ“เฉินเจียฉิน”เขาสามารถทำให้ผู้ชายที่ไม่ธรรมดาสองคนนั้นสวามิภักดิ์ได้
ใช่แล้ว พวกเขาทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า พวกเขาสวามิภักดิ์ต่อ“เฉินเจียฉิน”
มู่น่อนน่อนก็นั่งลงที่โต๊ะอาหาร
เธอกำลังคีบอาหารมาเพื่อจะกิน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง “เกร็งๆ”จากตะเกียบดังขึ้นมาจากโต๊ะอาหาร
พอเงยหน้าขึ้นมา เธอก็เห็นผู้ชายสามคนกำลังแย่งอาหารกันอยู่ โดยเฉพาะ“เฉินเจียฉิน”ก็ทำเกินไป เขาพยายามแย่งอาหารของสองคนนั้นตลอด
มู่น่อนน่อนกินข้าวลงไปเงียบๆ เธอรู้สึกว่าผู้ชายทั้งสามคนที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่ผู้ชายที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง แต่กลับเป็นเด็กอนุบาลสามคน
พอฟู้ถิงซีเห็นว่ามู่น่อนน่อนกำลังมองอยู่ ก็รีบขอโทษ “ทำให้คุณนางเฉินรู้สึกว่าน่าขำซะแล้ว ฉันไม่ได้กลับบ้านมาสามทีแล้ว ก็เลยไม่ได้กินอาหารรสชาติของที่บ้านเลย”
กู้จือหยั่นก็รีบพูดตาม “งานที่บริษัทยุ่งมากเลย ฉันต้องกินข้าวนอกบ้านทุกวัน”
เฉินถิงเซียว:”ไม่ต้องไปฟังคำพูดไร้สาระของพวกนี้”
กู้จือหยั่นกับฟู้ถิงซีได้แต่ก้มหน้ากินข้าวเงียบๆ
ในสายตาของมู่น่อนน่อน ก็ดูเหมือนว่า“เฉินเจียฉิน”กำลังรังแกพวกเขาอยู่
เธอกระแทกข้อศอกของเธอเบาๆที“เฉินเจียฉิน” พอเห็นว่าเขาหันหน้ากลับมามองเธอ เธอก็พูดกับเขาว่า “ในเมื่อคุณให้พวกเขาอยู่กินข้าวที่นี่ ก็อย่าทำแบบนี้เลย กินข้าวดีๆกันเถอะ”
เขาอนุญาตให้สองคนนี้อยู่กินข้าวด้วยกันตั้งแต่เมื่อไหร่?
เฉินถิงเซียวยิ้มอย่างเย็นชาแล้วมองไปที่สองคนนั้น แล้วก็พูดจาอย่างมืดมน “พวกนายกินเยอะๆเลยนะ”
มู่น่อนน่อนมือสั่น ทำไมอยู่ดีๆเธอรู้สึกเหมือนกับว่าผู้ชายพวกนี้จะตีกันเมื่อไหร่ก็ได้เลยล่ะ?
……
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลกๆ พอกินข้าวเสร็จก็กลับไปที่ห้องนั่งเล่น
เธอไม่เข้าใจพวกผู้ชายพวกนี้เลยจริงๆ
พอมู่น่อนน่อนไป ในห้องอาหารก็กลับมาสามัคคีกันอีกครั้ง
ในที่สุดกู้จือหยั่นก็มีโอกาสได้ถามในสิ่งที่เขาสงสัยออกมา “มู่น่อนน่อน….มันคือยังไงกันแน่?”
เฉินถิงเซียวจ้องหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา
กู้จือหยั่นก็ทำท่ารูดซิปปากทันที
ฟู้ถิงซีเป็นคนที่มีนิสัยหนักแน่นมาแต่ไหนแต่ไร แต่พอคบกับกู้จือหยั่นนานๆไป ก็มีนิสัยหลุดออกมาบ้าง แต่ว่าเรื่องไหนที่จริงจัง เขาก็จริงจังมาก
วันนี้เขาไม่ได้แค่อยู่เพื่อกินข้าวเท่านั้น แต่เขายังมีเรื่องอื่นที่อยากจะพูดอีก
สีหน้าของ ฟู้ถิงซีจริงจัง “มู่ลี่เหยียนเอาสัญญาการโอนหุ้นมาให้มู่น่อนน่อน มันมีอะไรเจ้าเล่ห์อยู่ เหมือนมีช่องโหว่ของสัญญาอยู่”
เฉินถิงเซียวหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “มู่ลี่เหยียนคำนวณผลประโยชน์ของตัวเองได้ดี มู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้โดนหลอกง่ายขนาดนั้น ถ้าเกิดว่าเธอกลับไปที่บริษัทมู่ซื่อ ก็จะรู้สึกว่าชีวิตของคนในบริษัทมู่ซื่อไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น แล้วพวกเขาก็จะดันให้คุณปู่มู่กลับมารับตำแหน่งผู้บริหารอีก”
ไม่นานหลังจากที่เขากับแม่ถูกช่วยออกมาจากการโดนลักพาตัว ทันใดนั้นตระกูลเฉินก็ได้ตกลงแต่งงานกับตระกูลมู่ คุณปู่มู่ก็ได้ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการบริษัทมู่ซื่อ แล้วก็ไปอยู่ที่ต่างประเทศ
ถ้าพูดถึงพื้นหลังทางครอบครัว ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะเสียโฉมจริงๆ เขาก็ไม่มีวันเลือกคนจากตระกูลมู่มาเป็นคู่หมั้นแน่ๆ
แต่เพราะว่างานหมั้นครั้งนั้นมันบังเอิญเกินไป เรื่องราวผิดปกติไปหมด เขาสงสัยว่ามันจะมีอะไรไปเกี่ยวข้องกับการที่เขาและแม่โดนลักพาตัวเมื่อหลายปีก่อน เพราะฉะนั้นเมื่อเฉินชิงเฟิงขอให้เขาแต่งงาน เขาก็ตกลงอย่างไม่ขัดขืน
ตาแผนเดิมของเขานั้น เขาจะสืบหาเรื่องราวของตระกูลมู่จากมู่หวั่นขีคู่หมั้นของเขา
แต่ว่า คนที่ได้มาแต่งงานกับเขากลับเป็นมู่น่อนน่อน ผู้หญิงที่มีความลับ บางทีก็ฉลาด แต่บางที่ก็โง่
เฉินถิงเซียวเอนหลัง ดวงตาเหม่อลอย
อาหารที่มู่น่อนน่อนเหมือนกับฝีมือของแม่ของเขาเลย เพราะฉะนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะเข้าใกล้เธอเรื่อยๆ และเรื่อยๆ….
กู้จือหยั่นเคาะโต๊ะอยู่หลายครั้ง แล้วก็พูดว่า “ฉันคิดว่าแกน่าจะเชิญคุณปู่มู่กลับมาโดยตรงได้เลยนะ”
“ไม่ นั่นมันเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น” สีหน้าของเฉินถิงเซียวดูมั่นใจ “เมื่อตอนนั้นที่คุณปู่มู่ออกไปนอกประเทศมันเป็นเรื่องที่กะทันหันมากจริงๆ แน่นอนว่ามันต้องมีเรื่องอะไรอยู่แล้ว แล้วมันก็ผ่านไป15ปีแล้ว ฉันไม่สนใจว่ามันต้องรออีกนานแค่ไหน ฉันจะต้องลากคนที่เกี่ยวข้องเมื่อตอนนั้น ลากพวกมันออกมาให้หมด”
ลากออกมาให้หมด? แล้วหลังจากนั้นล่ะ?
ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ว่ากู้จือหยั่นก็รู้ดีกว่า เฉินถิงเซียวไม่มีวันปล่อยพวกเขาไปง่ายๆแน่นอน
เขารู้สึกสงสัยเหตุการณ์ลักพาตัวเมื่อตอนนั้น ว่าจะมีคนในตระกูลเฉินตกลงกับคนร้าย หลังจากคดีลักพาตัวจบไป เขาก็พยายามสืบซ้ำแล้วซ้ำอีก พยายามตามหาเบาะแสจากอดีต
……
วันจันทร์
มู่น่อนน่อนจะไปรายงานตัวที่บริษัทมู่ซื่อ
เธอไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่ามู่ลี่เหยียนจะเตรียมตำแหน่งอะไรไว้ให้เธอ ถึงยังไงเธอก็มีหุ้นอยู่ในมือ จะกลัวอะไรกันล่ะ
ในเมื่อเธอไม่ได้จำเป็นต้องปลอมตัวแล้ว เธอก็เลยไม่ต้องใส่เสื้อผ้าพวกนั้นอีก
มีผู้หญิงคนไหนไม่รักสวยรักงามกันบ้างล่ะ
เธอเองก็มีเสื้อผ้าสวยๆ ที่ซื้อมาด้วยตัวเองเหมือนกัน เสิ่นเหลียงเองก็ซื้อให้เธอไม่น้อยเลย
ครอบครัวของ เสิ่นเหลียงไม่เลวเลย เมื่อสมัยตอนเรียนมัธยมเขาเป็นอันธพาลของโรงเรียน มีคนมากมายที่ติดตามเธอ และคนที่เกลียดเธอก็ไม่น้อยเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กผู้หญิง
วิธีการที่ผู้หญิงจะจัดการผู้หญิงที่ตัวเองเกลียด จะใช้ทั้งวิธีที่ทั้งต่ำและเลวร้าย
พวกเธอใช้ประโยชน์จากเสิ่นเหลียง จับเธอไปในอาคารร้างแล้วก็ทำร้ายร่างกายเธอ ทำให้เธอต้องร้องเหมือนกับหมา แล้วก็ฉีกเสื้อผ้าของเธอแล้วก็ถ่ายรูปไว้….
ตอนที่มู่น่อนน่อนไปให้อาหารแมวจรจัดนั้น เธอก็ได้ยินเสียงนึง ก็เลยหยิบมีดเป็นสนิมขึ้นมาแล้วก็เดินเข้าไป แล้วก็ขู่พวกเธอว่า “คนบ้าฆ่าคนก็ไม่ติดคุกหรอกนะ”
ผู้หญิงพวกนั้นกลัวจนหนีไป
หลังจากนั้น เสิ่นเหลียงก็เป็นเพื่อนสนิทของเธอมานานหลายปี
มู่น่อนน่อนเลือกใส่เสื้อคลุมสีแดง ด้านในใส่เสื้อยืดสีดำ แล้วก็ใส่รองเท้าหนังสีดำ ดูมีชีวิตชีวาและมีความสามารถมาก
เธอถือกระเป๋าแล้วลงมาจากชั้นบน ก็เห็น“เฉินเจียฉิน”ที่กำลังนั่งจิบกาแฟและอ่านหนังสือพิมพ์พอดี
พอได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็เงยหน้าขึ้นมา ก็ได้เห็นมู่น่อนน่อน สวมใส่เสื้อคลุมสีแดง ใบหน้าขาวผ่องบวกกับริมฝีปากสีแดงสด ผมยาวเหมือนน้ำตก
แถมเสื้อคลุมตัวนั้นยังสั้นเหนือเข่าเพียงหนึ่งนิ้วเท่านั้น เผยขาที่เรียวยาวของเธอ
อ่อนหวาน และสดใส
เฉินถิงเซียวจ้องเธออยู่หลายวินาที หลังจากนั้นก็หรี่ตาแล้วพูดออกมา “อาศัยตอนที่ลูกพี่ลูกน้องเธอไม่อยู่ ก็เลยอยากจะไปสมคบคิดกับพวกผู้ชายป่ารึไง”
สิ่งที่เขาพูดออกมาไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคบอกเล่าต่างหาก
ตอนที่มู่น่อนน่อนส่องกระจกนั้น ก็รู้สึกว่าตัวเองดูไม่เลว ก็เลยอารมณ์ดี
เธอเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินถิงเซียว แล้วก็มองหน้าเขาอย่างเหยียกหยาม “ถ้าเกิดว่าฉันจะสมคบคิดกับใคร ฉันก็จะสมคบคิดกับเฉินถิงเซียว อย่าคิดว่าคนอื่นจะสกปรกแบบนั้นเสมอไปสิ”
พอเฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้น มือก็สั่นทันที ทันใดนั้นกาแฟเขาก็สั่นแล้วก็หกเลอะเต็มชุดสูทของเขา
ตอนที่51 มู่น่อนน่อนหน้าตาเปลี่ยนไป
พอมู่น่อนน่อนเข้าวิลล่ามา ก็ถามบอดี้การ์ดว่า “เฉินเจียฉินอยู่มั้ย?”
“อยู่ด้านบนครับ”
มู่น่อนน่อนถือของว่างยามบ่าย แล้วก็เดินขึ้นไปข้างบนอย่างอารมณ์ดีเพื่อไปหา“เฉินเจียฉิน”
ห้องเขาคือห้องไหนกันล่ะ?
เธอคิดอยู่แปปนึง เมื่อวานตอนเช้าเธอออกมาจากห้องเขา…
ในที่สุดเธอก็เจอห้องของ“เฉินเจียฉิน”เธอมองซ้ายขวา ตำแหน่งของห้องนี้ ดูก็รู้ว่าเป็นห้องหลักของบ้านหลังนี้
ความสัมพันธ์ของเฉินถิงเซียวกับเขาดีมาก จนถึงขนาดที่ให้ห้องนอนหลักของบ้านนี้ให้เขาอยู่เลยงั้นหรอ?
มู่น่อนน่อนยกมือขึ้นมาเคาะประตู ทันใดนั้นก็มีเสียงของ“เฉินเจียฉิน”ดังลอดออกมาจากในห้องอย่างรวดเร็ว “มีอะไร?”
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและเยือกเย็น มันเย็นชากว่าที่พูดกับเธอปกติเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนตอบว่า “ฉันเอง ฉันเอาของว่างมาให้นาย”
ในห้องนั้น เฉินถิงเซียวกำลังถอดเสื้อผ้าเพื่อสำรวจบาดแผลจากกระสุนปืนของตัวเอง
หลังจากที่มู่น่อนน่อนช่วยเขาจากกระสุนปืนในครั้งนั้น เขาก็ไปรักษาร่างกายที่โรงพยาบาลเอกชน ชีวิตของเขารอดมาได้เพราะว่าแม่ของเขายอมแลกชีวิตของตัวเอง เพราะฉะนั้นเขาต้องรักษามันให้ดี
ตอนนั้นที่ให้มู่น่อนน่อนเป็นคนเอากระสุนออกให้ ก็เป็นแผนที่ได้ถูกวางมาแล้ว
ตอนนี้แผลหายดีแล้ว แต่ก็ยังเป็นแผลเป็นอยู่
เขาใส่เสื้อผ้า พอเปิดประตูออกไปก็เห็นมู่น่อนน่อนถือกล่องนึงอยู่ที่หน้าประตู
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองหน้าเขาพอดี ใบหน้าของเธอใสสะอาดและเรียบร้อย เธอยืนกล่องของว่างตอนกลางวันไปตรงหน้าเขา “นี่ ให้นาย”
พอเห็นของในกล่อง เขาก็รู้ทันทีว่ามันมาจากร้านอาหารจีนติ่ง
เขารับมาแล้วถามว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยมั้ย?”
“เรียบร้อยมาก ขอบคุณนายด้วย” มู่น่อนน่อนยิ้มออกมาอย่างไม่ทันตั้งใจ ใบหน้าของเธอเหมือนกับแมวน้อยที่ยิ้มจนตาหยี สามารถทำให้คนอื่นประทับใจได้
เฉินถิงเซียวกลืนน้ำลายลงไปเล็กน้อย แล้วก็ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “อืม”
หลังจากนั้นก็ปิดประตูดัง ‘ปัง’
มู่น่อนน่อน:“……” ทำไมท่าทางของเขาเมื่อกี้เหมือนว่ากลัวเธอเลยล่ะ?
เธอเดินกลับไปที่ห้อง แล้วก็ได้รับข้อความจาก“เฉินเจียฉิน”เนื้อหาในข้อความนั้นเป็นชื่ออาหาร
หลังจากนั้นก็มีข้อความเข้าต่อมาเรื่อยๆ
ในนั้นมีแต่ชื่อเมนูอาหาร
อยากกินอะไรบอกมาตั้งแต่เมื่อกี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรอ ทำไมต้องส่งข้อความมาด้วย คนรวยนี่ชอบใช้อำนาจจริงๆ
ตอนที่เธอยังจนอยู่นั้น….ไม่ได้จ่ายค่าโทรศัพท์มาเกือบครึ่งปี นับประสาอะไรกับการส่งข้อความแบบสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้ล่ะ
ตอนที่เธอลงมาชั้นล่างนั้น ก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรที่ฟุ่มเฟือยมากกว่านั้นอีก
……
ตอนแรกมู่น่อนน่อนวางแผนจะลงไปข้างล่างเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ในตู้เย็นบ้าง
ตอนที่มาถึงห้องครัวนั้น ก็เห็นบอดี้การ์ดสองคนเอาอาหารต่างๆออกมาจากตู้เย็น
เธอเดินเข้าไปแล้วถามด้วยความสงสัย “พวกคุณเอาอาหารออกมาทำไมหนะ?”
“นี่เป็นอาหารสำหรับมื้อกลางวันของเมื่อวานครับ วันนี้ต้องเปลี่ยนใหม่”
“ทำไมต้องเปลี่ยนใหม่ด้วยล่ะ อาหารพวกนี้ยังไม่เสียเลยนะ!”
มู่น่อนน่อนก้มลงดู อาหารพวกนั้นยังสดใหม่อยู่เลย
บอดี้การ์ดมองหน้ากัน “มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วนะครับ…ต้องเปลี่ยนอาหารใหม่ทุกวัน”
มู่น่อนน่อน:“……โอเคค่ะ”
ทุกครั้งที่เธอทำอาหารนั้น ในตู้เย็นก็จะมีอะไรเต็มไปหมด เธอก็นึกว่ามีคนเอาอาหารใหม่มาเติมทุกวัน ไม่คิดเลยว่าจะต้องเปลี่ยนเมนูใหม่ทุกวัน…
เมื่อวานตอนเย็นที่ทำอาหาร อาหารทุกจานที่มู่น่อนน่อนทำนั้นก็เป็นจานใหญ่ทั้งนั้น
เพราะว่าเธอรู้ว่า ถ้าเกิดว่าอาหารพวกนี้กินไม่หมด ก็ต้องโดนทิ้ง
ถึงแม้ว่าเธอจะคิดว่าการต้องเปลี่ยนอาหารใหม่ทุกวันมันฟุ่มเฟือย แต่ว่าพวกเศรษฐีก็มีทางของพวกเขา
หลังจากทำอาหารไปได้ครึ่งทาง เธอก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอก
ตอนนั้นเธอพึ่งทำอาหารอีกจานนึงเสร็จ กำลังเดินเอาไปวางไว้บนโต๊ะ ก็เลยเงยหน้าขึ้นมอง
ในห้องนั่งเล่น นอกจากมี“เฉินเจียฉิน”แล้วนั้น ยังมีผู้ชายอยู่กับเขาอีกสองคน
กู้จือหยั่นกับฟู้ถิงซี
“เฉินเจียฉิน”รู้จักกับฟู้ถิงซี กู้จือหยั่นก็รู้จักเขาเหมือนกัน ก็เลยไม่น่าแปลกอะไรหรอก
กู้จือหยั่นมีสายตาที่คมชัด แวบเดียวก็เห็นมู่น่อนน่อนแล้ว
น่าจะประมาณตอนที่เฉินถิงเซียวป่วยเมื่อครั้งที่แล้ว เขาก็เลยได้เปิดเผยนิสัยที่แท้จริงของเขาไปแล้ว เพราะฉะนั้นเขาก็เลยไม่ได้ใส่แว่นเพื่อแกล้งเป็นคนสุภาพเรียบร้อยอีกต่อไป แถมยังยิ้มให้เธอและโบกมือทักทายอย่างสนิทสนม
เขาดูเรียบร้อยน้อยลงกว่าเดิมเยอะมาก ดูร้ายขึ้นเยอะ เหมือนกับเพื่อนร่วมชั้นที่ร้ายที่สุดในห้อง
สะดุดตาที่สุด ร้ายที่สุด แต่ว่าก็ดึงดูดให้คนมาชอบมากที่สุด
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเขามีความเป็นเด็กมาก
คุณนาง……คุณนางเฉิน พอกู้จือหยั่นเห็นท่าทางของมู่น่อนน่อน ก็พูดออกมาตะกุกตะกัก
เขาหันหน้ากลับไปมองฟู้ถิงซี ฟู้ถิงซียื่นมือมาจะตบเขา แต่ก็ยิ้มอย่างไร้เดียงสา
กู้จือหยั่นรู้สึกว่ารอยยิ้มของฟู้ถิงซีปลอมมาก
เมื่อตอนบ่ายตอนที่อยู่ที่บริษัทเขากับฟู้ถิงซีได้เถียงกันเรื่องหน้าตาของมู่น่อนน่อน ก็เลยตัดสินใจว่าเขากับฟู้ถิงซีจะตรงมาที่บ้านของเฉินถิงเซียว เพื่อดูว่ามู่น่อนน่อนหน้าตาเป็นยังไง
แล้วความจริงก็ปรากฏแล้ว พวกเขาไม่ได้ตาบอด แต่ว่ามู่น่อนน่อนหน้าตาเปลี่ยนไปแล้ว!
กู้จือหยั่นถามออกมา “ทำไมเธอหน้าตาไม่เหมือนกับเมื่อก่อนเลยล่ะ?”
“อาจจะเพราะว่าเมื่อก่อนมีผมหน้าม้า แล้วแต่งหน้าก็ไม่ค่อยสวยด้วยเท่าไหร่” มู่น่อนน่อนพูดกึ่งเล่นกึ่งจริง แล้วก็ทักทายฟู้ถิงซี หลังจากนั้นก็กลับเข้าห้องครัวไป
ใบหน้าของกู้จือหยั่นเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ว่ามันก็เปลี่ยนเยอะเกินไปรึเปล่า! ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยด้วยซ้ำ
เขาคิดไปคิดมาจนเหม่อ ขนาดมู่น่อนน่อนเข้าห้องครัวไปแล้วเขายังมองตามอยู่เลย
เฉินถิงเซียวเดินเข้ามา แล้วก็เตะไปที่ขาของเขาทีหนึ่ง แล้วก็มองหน้าเขาอย่างเย็นชา “ดูจนพอใจแล้วก็กลับไปได้แล้ว”
กู้จือหยั่นจับขาที่เจ็บปวดของตัวเอง แล้วก็ร้องออกมา ‘โอ้ย’ : “เฉินถิงเซียว แกมันไม่มีหัวใจ!”
ยังพูดไม่ทันขาดคำ เฉินถิงเซียวก็มองหน้าเขาด้วยสายตาเยือกเย็นมาก เขาก็เลยได้สติว่าเมื่อกี้เขาพูดอะไรออกไป ก็รีบหุบปากทันที
โชคดีที่ห้องครัวอยู่ห่างจากห้องนั่งเล่นค่อนข้างเยอะ และมู่น่อนน่อนเองก็ทำอาหารอยู่ เพราะฉะนั้นก็เลยไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมา
กู้จือหยั่นมองหน้าเฉินถิงเซียวด้วยสายตาหวาดกลัว “เมียแกไม่ได้ยินหรอก!”
“พวกแกไปได้แล้ว” เฉินถิงเซียวพูดจบแล้วก็เดินไปที่ห้องอาหาร
กู้จือหยั่นได้กลิ่นหอมๆของอาหารลอยมา ก็เดินตามเฉินถิงเซียวไปที่ห้องอาหาร
เฉินถิงเซียวหันหน้ากลับมา แล้วก็มองหน้าเขาด้วยสีหน้านิ่งเฉย “แกอยากไปแอฟริกางั้นหรอ?”
หลังจากพูดจบ เขาก็เห็นว่าฟู้ถิงซีก็เดินตามมาเหมือนกัน
พอเห็นสายตาของเฉินถิงเซียว ฟู้ถิงซีก็ก้มลงมองข้อมือ ข้อเท้าของตัวเอง ทำเหมือนว่าไม่เห็นสายตาไล่แขกของเฉินถิงเซียว
ปีหนึ่งมี 365วัน เขาก็กินอาหารนอกบ้านไปแล้ว 366วัน ตอนนี้มีโอกาสได้กินอาหารที่บ้าน ทำไมเขาจะต้องไปด้วยล่ะ?
เขาได้กลิ่นซุปปลาเผ็ดด้วย!
อาหารจานสุดท้ายของมู่น่อนน่อนทำเสร็จแล้ว ทันใดนั้นก็หันมาเห็นผู้ชายสามคนยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องอาหาร แต่ไม่ยอมเข้ามา
เธอไม่รู้เลยว่าผู้ชายพวกนี้ยืนอยู่ตรงประตูอย่างไร้เดียงสา ตอนแรกก็นึกว่า “เฉินเจียฉิน”เป็นคนบอกให้พวกเขาอยู่กินข้าวด้วยกัน
ถ้าเกิดว่าจะให้พวกเขากินข้าวด้วยกัน แล้วทำไมไม่เข้ามาล่ะ?
มู่น่อนน่อนมองไปทาง“เฉินเจียฉิน” แล้วก็ถามออกมาอย่างไม่แน่ใจว่า “คุณจะออกไปกินกับเพื่อนข้างนอก หรือว่ากินในบ้านล่ะ? อาหารที่ฉันทำมันธรรมดาไปหน่อย……”
ตัวตนของกู้จือหยั่นก็เห็นชัดๆอยู่แล้ว ฟู้ถิงซีเองก็ดูไม่ธรรมดาเหมือนกัน พวกเขาคงจะเลือกกินเหมือนกับ“เฉินเจียฉิน” คงจะอยากไปกินในภัตตาคารใหญ่มากกว่า
กู้จือหยั่นเบียดเฉินถิงเซียวแล้วเดินเข้ามาในห้องอาหาร ยิ้มตาหยีแล้วตอบว่า “ฉันชอบกินอาหารธรรมดาๆ”
ตอนที่ 50 เวลาของเขาแพงกว่าทองคำเสียอีก
เพียงแต่ รอจนถึงตอนที่ดูสัญญา มู่ลี่เหยียนก็เพิ่งพบว่าตนคิดผิดไปแล้ว
ทนายความที่มู่น่อนน่อนพามาไม่ใช่คนไม่มีความสามารถ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบมากอีกด้วย
ทนายความที่ “เฉินเจียฉิน” ให้มู่น่อนน่อนยืมตัวชื่อว่าฟู้ถิงซี ดูแล้วก็สุขุมละเอียดรอบคอบ
ฟู้ถิงซีเมื่อครู่ก็พอจะมองออกว่า มู่ลี่เหยียนมองเขาด้วยสายตาดูถูก แต่เขายังคงไม่แสดงอาการอะไร
รอจนกระทั่งตอนที่ทนายความของมู่ลี่เหยียนเอาสัญญาโอนหุ้นออกมา สายตาที่ร้ายกาจของฟู้ถิงซีก็หาช่องโหว่เหล่านั้นจนเจอ
มู่ลี่เหยียนไม่ได้รู้เรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ทนายความของเขาหน้าซีดไปเรียบร้อยแล้ว เขาก็พอจะเข้าใจขึ้นมา ทนายความที่มู่น่อนน่อนพามาเก่งมากจริงๆ
เขารีบพูดกับมู่น่อนน่อน: “น่อนน่อน ช่วงนี้บริษัทของพวกเรายุ่งมาก ดังนั้นสัญญามีความผิดพลาดก็คงจะเป็นเรื่องปกตินะ”
ฟู้ถิงซียิ้มอย่างเย็นชา: “อย่างนั้นหรือครับ? ช่องโหว่ของสัญญาที่ง่ายๆขนาดนี้ นักศึกษาฝึกงานที่เพิ่งจบใหม่ต่างก็มองออกกันทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นที่ปรึกษาด้านกฎหมายของบริษัทคุณที่ทำอาชีพนี้มาตั้งสามปีขึ้นไปแล้วล่ะครับ?”
มู่น่อนน่อนประหลาดใจนิดหน่อย เขารู้ได้อย่างไรว่าทนายความที่มู่ลี่เหยียนพามาทำงานมาอย่างน้อยสามปีขึ้นไปแล้ว?
สายตาของทนายความดีขนาดนี้เชียวหรือ?
มู่น่อนน่อนไม่ได้เอาความประหลาดใจปรากฏออกมาบนใบหน้า แต่กลับพูดอย่างนุ่มนวล: “พ่อคะ ควรเปลี่ยนทนายความได้แล้วนะคะ”
มู่ลี่เหยียนหันไปด่าทนายความของตน: “นายจัดการเรื่องนี้อย่างไร แค่สัญญาการโอนก็ยังทำไม่ดี ฉันจะจ้างนายไว้ทำประโยชน์อะไร!”
ทนายความของเขารีบก้มหัวยอมรับผิด: “ขอโทษครับท่านประธาน เป็นความผิดของผมเอง ผมอาจจะหยิบสัญญามาผิดครับ”
เขาพูดแล้ว ก็หยิบสัญญาชุดใหม่ออกมาจากกระเป๋าหนังสือราชการ
มู่ลี่เหยียนแฝงกายอยู่ในวงการค้านี้มาหลายปีแล้ว ไม่มีความสามารถไหนที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเขาก็เตรียมไว้ทั้งสองชุดตั้งแต่แรกแล้ว
สัญญาที่มีช่องโหว่หนึ่งชุด สัญญาที่เป็นปกติหนึ่งชุด
ฟู้ถิงซีรับสัญญาโอนหุ้นฉบับใหม่มาดูอย่างละเอียดเรียบร้อยแล้ว ก็หันไปทางมู่น่อนน่อนแล้วพยักหน้า: “ไม่มีปัญหาครับ”
……
หลังทำหนังสือโอนหุ้นเสร็จเรียบร้อย มู่น่อนน่อนสั่งชุดน้ำชายามบ่ายมาสองชุด นำกลับบ้าน
สำหรับค่าใช้จ่ายนั้น? แน่นอนว่ามู่ลี่เหยียนเป็นคนจ่าย
ออกมาจากร้านอาหารจีนติ่ง มู่น่อนน่อนก็เอาชุดน้ำชายามบ่ายหนึ่งชุดในนั้นให้กับฟู้ถิงซี พูดอย่างยิ้มแย้ม: “ทนายความฟู้ วันนี้ลำบากคุณแล้ว”
“คุณนางเฉิน เกรงใจเกินไปแล้ว”
แม้ว่าปกติฟู้ถิงซีจะไม่รับกรณีเล็กๆอย่างนี้ แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นลูกจ้างของเฉินถิงเซียว ทั้งยังเห็นแก่มิตรภาพกับเขา เรื่องนี้ของมู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ลำบากเขาจึงไม่ปฏิเสธ
ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลคือ เขาก็อยากจะเห็น คุณนางเฉินที่เล่าลือกันว่าจะขี้เหร่สักเพียงไหน
แม้ว่าจะแต่งกายเรียบๆไม่หรูหรา แต่จากสายตาของผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่อย่างเขา ไม่เพียงแต่ไม่ขี้เหร่ แต่กลับสวยมากๆ
คนสวยอยู่ข้างในไม่ได้อยู่ข้างนอก มู่น่อนน่อนก็คงจะเป็นคนประมาณนี้
ตอนที่ยิ้มออกมา ก็ยิ่งรู้สึกสดใส
“ขอบคุณมากๆเลยนะคะที่คุณมาช่วย คุณคงจะยุ่งมาก ฉันก็ขอเอาของขวัญนี้ทำหน้าที่เลี้ยงน้ำชายามบ่ายคุณแล้วกันนะคะ” จากสไตล์ที่ดุเดือดของเขาก็พอจะมองออก เขาต้องเป็นทนายความที่เก่งมากแน่ๆ ยิ่งเป็นคนเก่งก็ยิ่งได้รับความชื่นชมแล้วก็ยิ่งยุ่งมากด้วย
ฟู้ถิงซีเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยจริงใจของเธอ ก็ยื่นมือไปรับมา
เขาจะได้เอากลับไปให้กู้จือหยั่นกิน นายคนนั้นเหมือนกับหมูกลับชาติมาเกิด กินทุกอย่าง
มู่น่อนน่อนออกไปก่อน มู่ลี่เหยียนกับทนายความของเขาออกมาทีหลัง
จริงๆมู่ลี่เหยียนค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นว่า มู่น่อนน่อนไปหาทนายความที่เก่งขนาดนี้มาจากไหน ก็เดินเข้าไปสอบถาม: “คุณครับ ขอเวลาสักครู่นะครับ”
สีหน้าที่เคร่งขรึมของฟู้ถิงซีมองไปทางมู่ลี่เหยียน: “คุณมู่มีอะไรหรือครับ?”
มู่ลี่เหยียนทำตัวโอ่อ่าหรูหรา กระแอมเบาๆแล้วถามขึ้น : “ถ้าไม่รังเกียจ ดื่มกาแฟด้วยกันสักแก้วได้ไหม?”
ฟู้ถิงซียิ้ม: “ขอโทษด้วยครับ คงจะไม่มีเวลา”
จิ้งจอกเฒ่าคนนี้ฉลาดไม่เท่าลูกสาวของเขา เวลาของเขาแพงยิ่งกว่าทองเสียอีก ใครมาจากไหนชวนไปดื่มกาแฟเขาต่างก็ไปหมด เขายุ่งจนไม่รู้จะยุ่งอย่างไรแล้วไม่ใช่หรือ
ส่วนทนายความที่อยู่ข้างหลังมู่ลี่เหยียน ในตอนนี้ถามด้วยเสียงสุภาพ: “คุณนามสกุลอะไรหรือครับ?”
ฟู้ถิงซีเอ่ยปาก: “สกุลฟู้”
จากนั้นก็ก้าวเท้าออกไปเลย
ทนายความของมู่ลี่เหยียนบ่นพึมพำ: “สกุลฟู้ ฟู้……”
ทันใดนั้น เขาก็ตบมือ อย่าน่าเสียดาย: “วงการทนายความของเมืองหู้หยางกว้างขวางขนาดนี้ ทนายความที่มีชื่อเสียงในสายงานนี้เขาต่างก็รู้จักทั้งหมด หลักแหลมร้ายกาจขนาดนี้ก็ต้องเป็นฟู้ถิงซีอย่างแน่นอนแล้ว!”
ฟู้ถิงซีคนนี้ มู่ลี่เหยียนก็เคยได้ยินมาก่อน
ไม่กี่ปีก่อน คดีธุรกิจใหญ่ที่ฮือฮาไปทั่วเมืองหู้หยางเนื่องจากคดีนี้พัวพันกันแผ่ขยายมากเกินไปจึงไม่มีคนกล้ารับ สุดท้ายแล้วฟู้ถิงซีก็รับไว้ ใช้เวลาหลายปีในที่สุดก็ชนะคดีนี้จนได้ แค่คดีนี้เขาก็กลายเป็นคนมีชื่อเสียงไปเลย
ทนายความที่เก่งขนาดนี้ มู่น่อนน่อนเชิญมาไม่ได้อย่างแน่นอน
ต้องเป็นเฉินถิงเซียวอย่างแน่นอนที่เชิญเขามาช่วยเธอ!
นึกถึงความเป็นไปได้นี้ ใจของมู่ลี่เหยียนก็หม่นหมองที่โอนหุ้น15%ออกไปจนหมด
เฉินถิงเซียวดีกับมู่น่อนน่อนขนาดนี้เชียวหรือ? เช่นนั้นก็ให้มู่น่อนน่อนกระซิบบอกเขาความเป็นไปได้ที่จะทำให้เขาลงทุนกับบริษัทมู่ซื่อก็มีมากมิใช่หรือ?
……
ฟู้ถิงซีถือชุดน้ำชายามบ่ายไปสำนักงานสื่อบริษัทเสิ้งติ่ง
เขาไปหากู้จือหยั่นที่ห้องทำงานประธานทันที
ช่วงนี้กู้จือหยั่นทุกวันต่างก็ต้องทำงานในเวลานอกเวลาอยู่แต่ในบริษัท เหนื่อยจนเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง เห็นคนอื่นได้ออกไปเดินเล่น ในใจเขาก็ไม่สบาย
เขาก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ฟู้ถิงซีออกไปข้างนอกมาแล้ว แค่เขาเห็นฟู้ถิงซีเข้ามา ก็แสดงความเห็นอย่างรุนแรง: “นายไปไหนมา บอกมาตามตรง มิฉะนั้นหักเงินเดือน!”
“นายพูดแล้วทำได้จริงไหม?” ฟู้ถิงซีมองเขาอย่างไม่สนใจไยดี
กู้จือหยั่นดันแว่นตาออก แล้วนอนคว่ำหน้าบนโต๊ะทำงานแกล้งตาย
ฟู้ถิงซีเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้สูงศักดิ์ คนทั่วไปไม่สามารถเชิญตัวเขาไปได้ กู้จือหยั่นจะกล้าหักเงินเดือนเขาได้อย่างไร ก็คงมีแค่เฉินถิงเซียวคนเดียวที่กล้าหักเงินเดือนเขา
ฟู้ถิงซีเอาชุดน้ำชายามบ่ายที่มู่น่อนน่อนให้ไปวางไว้ที่โต๊ะทำงาน พูดด้วยใบหน้าที่มีบุญคุณ: “กินสิ”
เพียงชั่วครู่กู้จือหยั่นก็ฟื้นคืนชีพ ดื่มน้ำชาไปหนึ่งคำก็ขมวดคิ้ว: “ซื้อมาจากร้านอาหารจีนติ่งหรือ?”
แต่ก่อนร้านอาหารจีนติ่งเป็นร้านอาหารร้านหนึ่ง เฉินถิงเซียวรับช่วงต่อมา จ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อก่อสร้างเป็นสถานที่หรูหรา
ในช่วงที่เฉินถิงเซียวเฉื่อยชาหมดอาลัยตายอยาก มักจะไม่มาบริษัท ดังนั้นเขาก็เลยไปกินระบายความแค้นที่ร้านอาหารจีนติ่งทุกวัน กินจนเบื่อจนเกือบจะอาเจียนออกมา แล้วอยู่ๆเขาก็ไม่เจริญอาหารไปเสียอย่างนั้น
ใบหน้าที่ยากที่จะเข้าใจของฟู้ถิงซี: “คุณนางเฉินให้ฉันมา”
“มู่น่อนน่อน?” กู้จือหยั่นค่อนข้างตกใจ: “เธอไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องซื้อชุดน้ำชายามบ่ายให้นาย ฉันว่านะ เธอสมคบคิดกับนายหรือ? อย่างนี้เกินไปแล้วนะ นายกับเฉินถิงเซียวเป็นเพื่อนกันมาตั้งตั้งนาน เธอไม่คิดหน่อยหรือว่าจะทำให้พวกนาย กลายเป็นศัตรูกัน? ใจเธอชั่วร้าย!”
ฟู้ถิงซียกมุมปาก: “นายรีบเข้าวงการบันเทิงไปถ่ายภาพยนตร์ได้แล้ว ให้ถิงเซียวเยินยอนายให้มีชื่อเสียงเลย”
แต่แรกกู้จือหยั่นก็แค่ล้อเล่นเพียงเท่านั้น เขาเคยเจอมู่น่อนน่อน รู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนแบบนั้น
“นายเจอมู่น่อนน่อนแล้ว หน้าตาก็แบบนั้น แต่เหมือนกับว่าถิงเซียวโดนมอมเมาให้หลงหัวปักหัวปำ เอาใจใส่เธอมากเลย” กู้จือหยั่นไม่ได้มีความหมายเลวร้าย แล้วก็ไม่ได้มีอคติกับมู่น่อนน่อน ก็แค่รู้สึกว่าสายตาของเฉินถิงเซียวคาดไม่ถึงมากเพียงเท่านั้น
ฟู้ถิงซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ให้การประเมินตามความคิดที่แน่นอนของตน: “สวยมากนะ”
กู้จือหยั่น: “?????”
สรุปว่าสองคนนี้ผ่านอะไรมา ทำไมรสนิยมของพวกเขาถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปแล้ว?
ตอนที่ 49 ภรรยาของฉันหั่นให้ฉัน
มู่ลี่เหยียนเหมือนกับกลัวว่าเธอจะกลับคำ จึงรีบพูด: “ตอนไหนก็ได้ วันนี้พ่อก็มีเวลา”
“แต่วันนี้หนูไม่ว่างค่ะ พรุ่งนี้แล้วกันนะคะ” มู่น่อนน่อนน้ำเสียงเมินเฉย ไม่รีบร้อนสักนิด
แต่ก่อนตอนที่มู่น่อนน่อนยังอยู่ในตระกูลมู่ ก็ต้องเผชิญกับสภาพที่เลวร้ายอย่างไม่สะทกสะท้านอยู่แล้ว คนของตระกูลมู่ต่างก็คุ้นเคยกับเธอที่เป็นอย่างนั้นตั้งนานแล้วด้วยแม้แต่ มู่ลี่เหยียนก็ไม่มีข้อยกเว้น
แค่ได้ยินน้ำเสียงที่ขอไปทีอย่างนี้ของเธอ มู่ลี่เหยียนก็ทนไม่ไหว: “ตอนนี้แกก็ไม่ได้ทำงาน จะยุ่งอะไรนัก?”
“พ่อคิดว่าหนูกำลังพูดแบบขอไปทีใช่ไหมคะ? หนูมีเรื่องที่จะต้องทำจริงๆค่ะ ตามนี้แล้วกันนะคะ รอสักครู่หนูจะส่งที่อยู่ไปให้”
วางโทรศัพท์ไปแล้ว มู่น่อนน่อนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็เรียบเรียงข้อความส่งให้มู่ลี่เหยียน
มู่ลี่เหยียนได้รับข้อความของมู่น่อนน่อน ดูที่อยู่ด้านบนอย่างชัดเจน อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ในความรู้สึกของเขา มู่น่อนน่อนทั้งเซ่อซ่า ทั้งไม่ปราดเปรื่อง ไม่คิดเลยว่าเธอจะเลือกที่ร้านอาหารจีนติ่งอย่างคาดไม่ถึง
นึกถึงค่าใช้จ่ายที่ร้านอาหารจีนติ่ง เขาก็รู้สึกเจ็บเนื้อเจ็บตัวขึ้นมาทันที
ร้านอาหารจีนติ่งก็คือที่ที่คราวก่อน “เฉินเจียฉิน” พามู่น่อนน่อนมากินข้าว เป็นเพราะแพงมาก ดังนั้นมู่น่อนน่อนจึงเลือกที่นั่น
สำหรับอีกเหตุผลหนึ่ง ก็เพราะร้านอาหารจีนติ่งเป็นสถานที่ระดับสูงที่ได้มาตรฐาน มู่ลี่เหยียนพวกเขาก็คงไม่กล้าทำเรื่องไม่ดี
และสำหรับตอนนี้ ที่เธอต้องการที่สุด ก็คือทนายความ
แต่ว่าเธอไม่มี แล้วก็ไม่สามารถหาได้ด้วย
……
ช่วงนี้ตอนดึกๆของทุกวันกู้จือหยั่นจะโทรหาเฉินถิงเซียวเพื่อระบายความทุกข์ บอกว่าเขาโดนกลุ่มคนที่ดื้อรั้นของบริษัทรังแกจนน่าเวทนามาก
ช่วงนี้เรื่องราวของบริษัทเยอะมากจริงๆ เฉินถิงเซียวก็เลยเข้าบริษัทไปครั้งหนึ่ง
หลังจากประชุมเสร็จไปสองรอบ จัดวางภารกิจรายการโครงการแล้ว ก็กลับเลย
ตอนที่ถึงคฤหาสน์ เป็นเวลามื้อกลางวันพอดี แค่เขาเข้าประตู ก็ได้กลิ่นหอมของกับข้าวที่ลอยออกมาจากในครัวแล้ว
เธอกำลังทำกับข้าว?
เฉินถิงเซียวเอาสูทเสื้อคลุมส่งไปให้องครักษ์ที่อยู่ด้านหลัง แล้วก็ก้าวยาวๆไปทางห้องครัว
ในครัว มู่น่อนน่อนผูกผ้ากันเปื้อนที่หลังของเธอ กำลังยืนอยู่บนปลายเท้ากดปุ่มเครื่องดูดควัน
ปุ่มเครื่องดูดควันติดตั้งไว้สูงนิดหน่อย เธอเขย่งปลายเท้าแล้วก็ยังค่อนข้างลำบาก เฉินถิงเซียวเดินเข้ามา ยื่นแขนออกมาเลยหัวของเธอ แล้วก็ช่วยเธอกด
มู่น่อนน่อนหันกลับมา ท่าทางที่เป็นธรรมชาติไม่แต่งหน้า ผมหน้าม้าที่หนาๆก่อนหน้านี้ก็ตัดออกจนบางไปเยอะแล้ว ในมือขวายังถือตะหลิวอยู่ ใส่ผ้ากันเปื้อนยืนอยู่ในนั้น ใบหน้าที่งดงามสดใสก็ปรากฏความนุ่มนวลอ่อนโยนออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“คุณกลับมาแล้ว! อีกครู่เดียวก็กินข้าวได้แล้ว” มู่น่อนน่อนมีเรื่องจะขอร้องเขา ก็เลยยิ้มอย่างเอาใจเป็นพิเศษ
คนที่อยากจะเอาใจเขามีมากมาย แต่ก็มีมู่น่อนน่อนเพียงคนเดียวในตอนที่เอาใจเขา แล้วเขาอารมณ์ดีที่สุด
หน้าของเฉินถิงเซียวไม่ปรากฏความรู้สึก เพียงแค่ตอบรับอย่างเรียบเฉย: “อืม”
จากนั้นก็สอดมือทั้งคู่เข้าไปในกระเป๋ากางเกง ยืนอยู่ข้างๆดูเธอทำกับข้าว ท่าทางที่ไม่สนใจบนใบหน้า แต่สายตากลับตกอยู่ที่ร่างของมู่น่อนน่อนตลอด
เสียงที่อยู่ในกระทะ ปกปิดเสียงลมหายใจของทั้งสองฝ่าย
มู่น่อนน่อนผัดกับข้าวเสร็จ ตอนที่หันกลับไป ก็เพิ่งรู้ว่า “เฉินเจียฉิน” อยู่ในนี้ตลอด
“คุณยืนทำอะไรตรงนี้?” หรือว่าเขาชอบดมกลิ่นเขม่าน้ำมัน
เฉินถิงเซียวหมุนตัวจะเดินออกไป: “ไม่ได้ทำอะไร”
ก็แค่รู้สึกว่าเธอสบายตาเท่านั้นเอง ก็เลยมองนานสักพักหนึ่ง
บนโต๊ะอาหาร ทั้งสองคนทานข้าวเสร็จแล้ว มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วมองเขา : “คุณกับเฉินถิงเซียว ต่างก็มีทนายความส่วนตัวของตัวเองใช่ไหม?”
“อืม” เฉินถิงเซียวใช้ผ้าขนหนูเช็ดมือ ถามอย่างไม่สนใจเธอ: “ทำไมหรือ เจอคดีฟ้องร้องแล้วหรือ?”
มู่น่อนน่อนส่ายหัว: “ไม่ใช่ ก็แค่ทนายที่ดูสัญญาทางธุรกิจคุณมีไหม ให้ฉันยืมตัวเขามาช่วยฉันสักหน่อยได้ไหม?”
เฉินถิงเซียวมองเธอนิ่งๆ ใบหน้าที่ไม่สนใจไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกอะไร แต่มู่น่อนน่อนกลับเข้าใจว่าเขาไม่พอใจอย่างอธิบายไม่ถูก
เขาไม่พอใจอะไร?
แต่แรกเฉินถิงเซียวคิดว่าที่เธอเป็นฝ่ายเริ่มเอาใจเขาขนาดนี้ อาจจะมีคำขอที่ยิ่งใหญ่อะไรเสียอีก ผลก็แค่ขอยืมทนายความเท่านั้นเอง
ยังรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยจริงๆ
“จะว่ามีก็มี เพียงแต่……” เฉินถิงเซียวพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง สายตาลังเลอยู่บนร่างของเธอ
มู่น่อนน่อนก้มหัวมองตนเอง เสื้อผ้าบนร่างกายของเธอก็ไม่มีอะไรผิดใช่ไหม? หรือเขาอยากพูดถึงคำขอที่ไร้ยางอาย?
คิดถึงตรงนี้ มู่น่อนน่อนก็มองเขาอย่างระวังตัว ค่อยๆยื่นมือทั้งสองข้างออกมากอดร่างกายโดยใช้แขนบังเอาไว้
เฉินถิงเซียวเห็นการตอบสนองของเธอ ก็อยากจะหัวเราะ แต่ทำได้เพียงยื่นมือมาสกัดกั้นเอาไว้ที่ข้างริมฝีปากเกระแอมเบาๆอำพรางรอยยิ้ม
ตอนที่ปล่อยมือออก สีหน้าของเขาก็เรียบเฉยอีกครั้ง: “ต่อไปคุณต้องทำกับข้าว”
“ต่อไปหรือ?” มู่น่อนน่อนลองถามดู: “ทำนานเท่าไหร่?”
“แล้วแต่อารมณ์ของฉัน” เฉินถิงเซียวไม่หันหัวไป ชำเลืองมองเธอ ท่าทางที่ดวงตาโตๆค่อยๆหดเล็กลง ดูแล้วเหมือนพวกอันธพาล
มู่น่อนน่อนกัดฟันตอบตกลง: “ได้ ตามนั้น!”
“เฉินเจียฉิน”ก็ไม่ได้มีหน้าที่ช่วยเธอ คำขอของเขาก็อยู่ในขอบเขตที่เธอรับได้ จริงๆก็ไม่ถือว่ามากเกินไป
เฉินถิงเซียวอมยิ้ม ปรากฏรอยยิ้มออกมา น้ำเสียงที่เป็นคำสั่ง: “ตอนนี้ไปหั่นผลไม้”
มู่น่อนน่อน: “……” ไม่ได้บอกว่าแค่ทำอาหารหรือ? น้ำเสียงตอนนี้ให้เธอทำหน้าที่เป็นคนรับใช้แล้วใช่ไหม?
แม้ว่าในใจจะพูดให้ร้ายเขาซ้ำๆ แต่เธอก็ยังไปหั่นผลไม้อย่างว่าง่าย
มู่น่อนน่อนหั่นผลไม้มาจานหนึ่งหลังจากยกมาให้ ก็ออกไปเลย
เฉินถิงเซียวหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปจานผลไม้ ส่งไปให้กู้จือหยั่น
กู้จือหยั่นเหมือนกับว่าให้เขาติดตั้งอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษ ชั่วครู่ก็ตอบเฉินถิงเซียวกลับมา: “ผลไม้เท่านั้นเอง มีอะไรยอดเยี่ยม!”
เฉินถิงเซียวตอบกลับอย่างสบายใจ: “ภรรยาของฉันหั่นให้ฉัน”
กู้จือหยั่นส่งอีโมจิกลับมา: [เย็นชา.jpg]
รู้สึกถึงความอิจฉาของกู้จือหยั่น เฉินถิงเซียวก็เริ่มกินผลไม้อย่างพอใจมาก
ช่วงบ่าย มู่น่อนน่อน พาทนายความที่ยืมมาจาก “เฉินเจียฉิน” ไปที่ร้านอาหารจีนติ่ง
ใบหน้าเรียบๆของเธอ สวมเสื้อขนเป็ดสีขาว ใส่กางเกงยีน สะพายกระเป๋าแล้วก็ออกไป สามารถบอกได้ว่าแต่งกายได้ธรรมดาอย่างถึงที่สุด
ร้านอาหารจีนติ่งเป็นสถานที่ระดับสูงอย่างนั้น ไม่ใช่คนทั่วไปจะสามารถเข้าไปได้ แต่มู่ลี่เหยียนการคบค้าสมาคมกว้างขวาง แน่นอนว่าต้องเข้าได้ เธอคิดเอาไว้ว่าถึงแล้วจะให้มู่ลี่เหยียนออกมารับ
แต่ว่า ตอนที่เธอพาทนายความมาถึงทางเข้าที่ร้านอาหารจีนติ่ง พนักงานที่เฝ้าประตูไม่เพียงไม่ขวาง ยังยิ้มให้จนเห็นฟันเลย กระตือรือร้นมาก: “ยินดีต้อนรับครับ”
รูปแบบของสถานที่ระดับสูงเป็นอย่างที่คิดเอาไว้ว่าไม่เหมือนกับที่อื่น
มู่น่อนน่อนไปห้องส่วนตัวที่มู่ลี่เหยียนอยู่ทันที
มู่ลี่เหยียนก็พาทนายความมาด้วย เขาไม่คิดว่ามู่น่อนน่อนก็รู้ว่าต้องพาทนายความมาด้วย
อย่างไรก็ตามในสายตาเขา มู่น่อนน่อนตอบสนองได้ช้ากว่าคนปกติทั้งยังโง่หน่อยๆด้วย
มู่น่อนน่อนนั่งลงตรงข้ามกับมู่ลี่เหยียน: “พ่อคะ”
มู่ลี่เหยียนมองเธอครั้งแรก ก็พบว่าเธอไม่เหมือนกับตอนปกติ
เหมือนจะเปลี่ยนไป……สวยเป็นพิเศษแล้ว?
แม้ในใจของเขาจะงงงวย แต่มีคนนอกอยู่ด้วย คงจะไม่ดีถ้าเขาถามเธอว่าไปทำศัลยกรรมมาหรือ?
“อืม” มู่ลี่เหยียนเก็บความคิดกลับมา ก็ตอบรับ
เขามองทนายความที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ แล้วส่งสายตาให้กับทนายความของตนอย่างไม่กระโตกกระตาก ให้เขาดำเนินการตามโอกาสได้เลย
ถึงแม้ว่ามู่น่อนน่อนจะพาทนายความมาด้วยแล้วจะเป็นอย่างไร ก็ไม่แน่ว่าจะมองเห็นถึงช่องโหว่ของสัญญา เธอไม่มีเงิน จะหาทนายความที่ดีสักเท่าไหร่เชียว?
ตอนที่ 48 หุ้น15%
ตระกูลมู่ทั้งหมด ก็มีมู่น่อนน่อนเพียงคนเดียวที่โดนตัดออก ไม่มีส่วนแบ่งของหุ้นทั้งหมด
เธอเคยเฝ้ารอคอยอย่างยิ่งว่ามู่ลี่เหยียนจะแบ่งหุ้นให้เธอ ถึงแม้จะมีเพียงแค่ 1% อย่างน้อยก็ยังทำให้เธอรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลมู่
แต่ตอนนี้ เธอไม่ได้สนใจหุ้นนั้นแล้ว มู่ลี่เหยียนกลับจะอยากให้เธอขึ้นมา
คิดๆแล้วยังรู้สึกน่าขำสิ้นดี
มู่น่อนน่อนก็หัวเราะออกมาจริงๆ แม้ในใจจะรู้ว่ามู่ลี่เหยียนอาจจะมีเป้าหมายอื่น แต่เธอก็ยังถามต่อ: “พ่อคิดจะให้หนูเท่าไหร่หรือคะ?”
มู่ลี่เหยียนพูดอย่างคลุมเครือ: “แน่นอนว่าต้องมากกว่าแม่ของลูก ลูกวางใจเถอะ พ่อจะไม่ปฏิบัติต่อลูกอย่างขาดความยุติธรรม”
มากกว่าเซียวชู่เหออย่างนั้นหรือ? นั่นก็น้อยมากนะ
ในเมื่อมู่ลี่เหยียนเปิดทางมาแล้ว มู่น่อนน่อนจะไม่รับได้อย่างไร?
“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หนูก็เป็นลูกสะใภ้ของตระกูลเฉิน ความจริงที่พ่ออยากจะให้หุ้นกับหนู ก็ให้หนู15%แล้วกันค่ะ ถ้าคนข้างนอกรู้ว่าน้อยเกินไปคงจะโดนหัวเราะเยาะนะคะ”
แม้ว่าเธอจะไม่มีหุ้นของบริษัทมู่ซื่อ แต่สำหรับส่วนแบ่งหุ้นของบริษัทมู่ซื่อเธอก็เข้าใจอย่างชัดเจน
ในมือของมู่ลี่เหยียนถือหุ้นอยู่30% ในมือของมู่หวั่นขีกับพี่ชายของเธอ แบ่งกันคนละ10% ในมือของเซียวชู่เหอถือหุ้นอยู่ 5% เมื่อรวมกัน ก็จะเป็น55%
ที่เหลือก็เป็นผู้ถือหุ้นคนอื่นๆแล้ว
ถ้ามู่ลี่เหยียนแบ่งหุ้นให้มู่น่อนน่อน15% ก็จะเปลี่ยนเป็นค่อนข้างอันตราย
ตอนที่เลือกประธานบริษัทในการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งต่อไป ถ้ามู่น่อนน่อนไม่เลือกเขา ก็เป็นไปได้อย่างมากว่าเขาอาจจะหลุดออกจากตำแหน่งประธานแล้ว
หุ้น15% ไม่ใช่จำนวนเล็กๆ
มู่ลี่เหยียนคำนึงถึงส่วนได้ส่วนเสียอย่างชัดเจน พูดอย่างพยายามอดกลั้นความโมโหเอาไว้: “น่อนน่อน พ่อให้ความสำคัญกับลูกนะ แต่คำขอนี้ของลูกมากเกินไปหน่อย”
ให้ความสำคัญกับเธอหรือ?
มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วพูด: “พ่อคะ อายุมากแล้ว อย่าโมโหมากเลยค่ะ ไม่ดีต่อสุขภาพ หนูก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น พ่อไม่ยินยอมก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ตามหนูก็หางานได้แล้ว หนูยังมีเรื่องทำ แล้วเจอกันค่ะ”
ตระกูลมู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?
มู่ลี่เหยียนใช้หุ้นมาดึงดูดเธอ อยากจะให้เธอไปทำงานที่บริษัทมู่ซื่อ วางแผนอะไรอยู่?
……
อีกด้านหนึ่ง
มู่ลี่เหยียนที่โดนมู่น่อนน่อนวางโทรศัพท์ใส่ ก็โมโหจนเกือบจะทำโทรศัพท์ตกแตก
เขาเอามือทั้งสองดันหลังเอาไว้ เดินไปเดินมาอยู่ในห้องทำงาน: “ฉันเห็นเธอปีกกล้าขาแข็งแล้ว นี่ก็คงเริ่มต้นแล้วสินะ!”
มู่หวั่นขีเทน้ำชาให้มู่ลี่เหยียน: “พ่อคะ อย่าโมโหเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้เลย ไม่มีค่าพอ”
มู่ลี่เหยียนกำลังโมโหอยู่ ก็เลยไม่ได้รับน้ำชาที่มู่หวั่นขีส่งมาให้ พูดแล้วชี้ไปที่เธออย่างเข้มงวด: “พ่อบอกลูกหลายรอบแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอะไรอย่าไปสถานที่ที่เต็มไปด้วยพิษร้ายอย่างนั้น ถึงแม้ว่าจะไปก็ระวังตัวให้พ่อสักหน่อย ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ ตระกูลเสิ่นที่ยินยอมจะแต่งงานกันแต่แรก เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ตระกูลเสิ่นพวกเขาจะยังอยากได้ลูกไหม!”
ช่วงนี้บริษัทมู่ซื่อขาดแคลนเงินลงทุน แต่เดิมคิดว่าจะเกี่ยวดองกับตระกูลเสิ่น เพื่อให้ตระกูลเสิ่นให้เงินลงทุนพวกเขา แต่มีเรื่องวิดีโอที่ไม่ดีของมู่หวั่นขีออกมาเสียก่อน ก็อย่าหวังเลยว่าตระกูลเสิ่นจะลงทุนให้
ดังนั้น เขาก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่มู่น่อนน่อนแทน
มู่น่อนน่อนแต่งเข้าตระกูลเฉินมาสองสามเดือนแล้ว ก็ยังดีอยู่ อาจจะเข้ากับเฉินถิงเซียวได้ไม่เลว ตอนนี้เอาใจมู่น่อนน่อนสักหน่อยไม่แน่ว่าอาจจะทำให้มู่น่อนน่อนไปพูดเกลี้ยกล่อมเฉินถิงเซียวให้ยอมลงทุนให้กับบริษัทมู่ซื่อ
“พ่อคะ นั่นก็มู่น่อนน่อนทำอย่างแน่นอน เธออยากจะทำลายชื่อเสียงของหนู” มู่หวั่นขีพูดจบ ก็พูดขึ้นอีกครั้งด้วยใบหน้าที่ลึกลับ: “แต่หนูก็แก้แค้นกลับไปแล้ว”
มู่ลี่เหยียนได้ยินที่เธอพูดว่าแก้แค้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป พูดออกมา: “ลูกทำอะไร?”
“เธอทำลายชื่อเสียงของหนูแล้ว หนูก็ไม่ทำให้เธออยู่ดีหรอก หนูก็ทำลายเธอแล้ว หนูล่อเธอไปที่คลับจี่อจีน……” มู่หวั่นขีพูดด้วยความตื่นเต้นดีใจ ยังพูดไม่ทันจบ ฝ่ามือของมู่ลี่เหยียนก็ตบเข้าที่หน้าของเธอ
ปัง!
เสียงตบที่ดังฟังชัด
มู่หวั่นขีโดนตบจนหน้าหันไปอีกด้าน ผ่านไปชั่วครู่ เธอเพิ่งจะหันกลับมามองมู่ลี่เหยียนอย่างไม่อยากจะเชื่อ: “พ่อ! ตบหนู?”
ตั้งแต่เล็กจนโต มู่ลี่เหยียนโมโหเธอน้อยมาก เรื่องตบตียิ่งไม่ต้องพูดถึง
เมื่อครู่นี้มู่ลี่เหยียนก็คงโมโหมาก อย่างไรก็ตามครั้งนี้บริษัทมู่ซื่ออาจจะไปไม่รอด กำลังเผชิญหน้าอยู่กับความล้มละลาย ไม่ก็โดนคนอื่นซื้อไป ในช่วงเวลาที่อันตรายนี้ คิดไม่ถึงว่ามู่หวั่นขีจะล่วงเกินมู่น่อนน่อนอีก
มู่ลี่เหยียนรักภรรยาคนก่อนที่เสียชีวิตไปแล้วมาก สำหรับลูกสองคนที่ภรรยาคนก่อนทิ้งไว้ให้ก็รักมากอย่างเป็นพิเศษ โดยเฉพาะมู่หวั่นขี เพราะเธอเหมือนภรรยาคนก่อนเหลือเกิน
มู่ลี่เหยียนมองที่มือของตน หายใจเข้าลึกๆ น้ำเสียงก็อดไม่ได้ที่จะผ่อนคลายลงเอง: “หวั่นขี อย่างไรก็ตามตอนนี้มู่น่อนน่อนก็เป็นลูกสะใภ้ของตระกูลเฉิน ตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของด้วย ลูกคิดจะจัดการเธอ ก็ไม่ต้องรีบร้อน เธอแต่งเข้าไปในตระกูลเฉินนานขนาดนี้ ยังมีชีวิตที่ดีอยู่ ไม่แน่ว่าต่อไปเธออาจจะได้รับความรักจากเฉินถิงเซียวใช่ไหมล่ะ?”
มู่หวั่นขียังโต้เถียงอย่างไม่ยอมเลิกรา: “แม้ว่าจะได้รับความรักจากเฉินถิงเซียวแล้วจะเป็นอย่างไรคะ เขาก็เป็นแค่คนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง!”
ในใจของเธอไม่เห็นด้วยกับคำพูดของมู่ลี่เหยียนสักนิด แม้ว่ามู่น่อนน่อนจะแต่งเข้าไปในตระกูลเฉินแล้วจะเป็นอย่างไร ก็เป็นแค่แมลงที่น่าสงสารที่แม่ผู้ให้กำเนิดยังไม่รักเธอเลย ชั้นต่ำ!
แต่เธอรู้ว่าตอนนี้มู่ลี่เหยียนยังโมโหอยู่ เธอจึงไม่สามารถพูดไม่ดีกับมู่น่อนน่อนได้
“แม้ว่าเฉินถิงเซียวจะเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ เขาก็เป็นลูกชายของตระกูลเฉิน ต่อไปเขายังต้องได้รับช่วงต่อของตระกูลเฉิน และตอนนี้พวกเราขาดเงินลงทุน ถ้ามู่น่อนน่อนสามารถช่วยพวกเราหาเงินลงทุนก้อนหนึ่งจากเฉินถิงเซียวได้ เช่นนั้นพวกเราก็จะสามารถแก้ปัญหาได้แล้ว!”
มู่หวั่นขีโดนมู่ลี่เหยียนโน้มน้าวแล้ว เธอรู้สึกว่าคำพูดของเขามีเหตุผลมาก: “เช่นนั้นก็ให้เธอเอาเงินลงทุนจากเฉินถิงเซียวสิคะ!”
มู่ลี่เหยียนนึกถึงโทรศัพท์สายนั้นเมื่อครู่นี้ สีหน้าก็ขรึมลง พูดอย่างเย็นชา: “พ่อว่าตอนนี้เธอปีกกล้าขาแข็งแล้ว เมื่อครู่นึกไม่ถึงว่าจะกล้าวางสายใส่พ่อ แล้วก็นึกไม่ถึงว่าจะมีความต้องการมากอย่างนั้น อยากได้หุ้นตั้ง15%!”
“ให้เธอไปสิคะ!” มู่หวั่นขีไม่ใส่ใจเลย: “พ่อไม่ได้ต้องการให้เธอมาทำงานที่บริษัทมู่ซื่อหรือคะ? ถึงตอนนั้นก็หาโอกาสอย่างไรก็ได้ทำให้เธอคืนหุ้นอีกครั้งก็พอแล้ว”
มู่ลี่เหยียนฟังคำพูดของเธอ ก็จมลงไปในห้วงความคิด แล้วก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา: “ลูกสาวที่มีค่าของพ่อยังคงฉลาดเสมอ เมื่อครู่เจ็บไหม พ่อไม่ดีเอง……”
“พ่อคะ หนูไม่เป็นไร”
ไม่ว่ามู่น่อนน่อนจะคิดอย่างไร ก็คงคิดไม่ถึงว่าเป้าหมายของมู่ลี่เหยียนที่อยากจะให้เธอไปขอร้องเฉินถิงเซียวเพื่อลงทุนให้บริษัทมู่ซื่อ
เรื่องที่เธอต้องทำวันนี้ คือไปสัมภาษณ์ที่บริษัทเสิ้งติ่ง
ยังไม่ทันได้ออกจากบ้าน เธอก็ต้องรับโทรศัพท์ของมู่ลี่เหยียนอีกครั้ง
“น่อนน่อน คำขอของลูกก่อนหน้านี้ พ่อคิดมาครู่หนึ่งแล้ว พ่อยินยอมให้หุ้นของบริษัทมู่ซื่อ15%กับลูก เมื่อไหร่ลูกจะมาทำงานที่บริษัทมู่ซื่อล่ะ?”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วไม่เข้าใจ มู่ลี่เหยียนยินยอมให้หุ้น15%กับเธอ
มู่ลี่เหยียนอยากให้เธอไปทำงานที่บริษัทมู่ซื่อก็แปลกพออยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะให้หุ้นเธอจริงๆ
เอาหรือไม่เอา? ไปหรือไม่ไป?
หุ้น15% เยอะกว่าที่มู่หวั่นขีถืออยู่อีก จะเป็นไปได้อย่างไรที่เธอเห็นด้วย?
ตรงนี้แน่นอนว่ามีบางอย่างที่น่าสงสัย แต่เธอไม่กลัว
“พ่อโอนหุ้นมาให้หนูเมื่อไหร่ หนูก็จะไปทำงานตอนนั้นค่ะ”
ตอนที่ 47 ผู้ชายจ่ายเงินเป็นหลักการอันเปลี่ยนแปลงมิได้
มู่น่อนน่อนออกมาจากคฤหาสน์ เพียงพูดเสร็จก็วิ่งออกมาไกลมาก เพิ่งจะหยุดลงได้
เธอต้องออกห่างจาก “เฉินเจียฉิน” ให้ไกลสักหน่อย เขาอันตรายเกินไปแล้ว
ความคิดที่เพิ่งผุดออกมานี้ เพียงแค่มีรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ข้างๆเธอ เธอก็ตอบสนองด้วยการหันไปมอง เฉินถิงเซียวกำลังลดกระจกรถลงมองเธอพอดี
สายตาของทั้งสองคนสบตากันอยู่กลางอากาศ มู่น่อนน่อนตกใจจึงรีบเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ก้าวเท้าเร็วยิ่งขึ้น
เฉินถิงเซียวขับรถอย่างช้าๆ ค่อยๆตามไปข้างๆมู่น่อนน่อน รักษาให้ความเร็วรถอยู่ในระดับเดียวกับการเดินของเธอ เสียงที่ทุ้มต่ำมาพร้อมกับน้ำเสียงที่เป็นคำสั่ง: “ขึ้นรถ”
“ไม่เป็นไร” มู่น่อนน่อนหันไปพูดคำนี้ แล้วก็เดินต่อไป
เฉินถิงเซียวก็เข้าใจขึ้นมาเลยว่า มู่น่อนน่อนต้องการขีดเส้นแบ่งกับเขาให้ชัดเจน
มู่น่อนน่อนเดินไปๆก็ รู้สึกว่ารถของเขาไม่ได้ตามมาแล้ว เธอจึงหยุดลงนิดหนึ่ง ยังอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง
เธอเห็นเฉินถิงเซียวจอดรถแล้วเดินมาหาเธอ ใบหน้าที่เย็นชา ท่าทางที่เหิมเกริมทำให้คนหวาดกลัวขึ้นมาหน่อยๆ
เขาตัวสูงขายาว เพียงไม่กี่ก้าวก็เดินมาถึงเธอใกล้ๆแล้ว เขาไม่พูดอะไรสักคำ อุ้มเธอขึ้นมาทันที แล้วยัดกลับเข้าไปในรถ
มู่น่อนน่อนตกตะลึงไปแล้ว ผู้ชายคนนี้จริงๆเลย……
เธอโมโหมากแต่ต้องยิ้ม: “เฉินเจียฉิน! คุณไม่ก่อความวุ่นวายได้ไหม?”
“ใครกำลังวุ่นวาย?” เฉินถิงเซียวชำเลืองมองเธออย่างเย็นชา จากนั้นก็ตั้งใจขับรถต่อไป
มู่น่อนน่อน: “แน่นอนว่าเป็นคุณที่กำลังวุ่นวาย!”
เฉินถิงเซียวทำเหมือนไม่ได้ยินอย่างนั้น ไม่สนใจเท่าไหร่ตั้งแต่แรกแล้ว แค่ถาม: “ที่ไหน”
มู่น่อนน่อนไม่พูด เฉินถิงเซียวจึงยื่นแขนยาวๆ ยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์จากในกระเป๋าของเสื้อเธอออกมาทันที เปิดข้อความที่เซียวชู่เหอส่งมาให้เธอ
“คุณแอบฟังฉันคุยโทรศัพท์หรือ?” มิเช่นนั้นเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอจะไปพบกับเซียวชู่เหอ
……
เพียงชั่วครู่ ก็ถึงร้านอาหารที่เซียวชู่เหอพูดถึง
มู่น่อนน่อนยังไม่ลงจากรถ หน้าต่างยาวๆที่ขอบตกถึงพื้นของร้านอาหารที่กั้นเอาไว้ เธอมองเห็นเซียวชู่เหอที่รออยู่ในนั้นตั้งแต่แรกแล้ว
เซียวชู่เหอนั่งที่โต๊ะตัวเล็กๆข้างหน้าต่าง เธอดูนาฬิกาตลอดเวลา แล้วก็มองข้างนอก ข้างๆกายไม่มีคนอื่น
เฉินถิงเซียวเห็นมู่น่อนน่อนเอาแต่มองเซียวชู่เหอ แต่เหมือนจะไม่ต้องการลงไปพบเธอ จึงถามขึ้น: “คุณคิดจะอยู่ในรถมองเธอไปตลอดอย่างนี้หรือ?”
มู่น่อนน่อนมองเขา แต่ก็ไม่พูดอะไร
ทำให้เซียวชู่เหอได้สัมผัสถึงการรอคอยคนอื่นบ้าง
เฉินถิงเซียวมองไปนอกหน้าต่าง ก็พบว่าด้านตรงข้ามก็เป็นร้านอาหารร้านหนึ่ง จึงขับรถไปที่จอดรถของร้านอาหารร้านตรงข้าม แล้วก็จูงมู่น่อนน่อนลงมาจากรถเข้าไปในร้านอาหาร
เขาพามู่น่อนน่อนขึ้นไปที่ชั้นสองทันที แล้วก็เลือกโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปจากตรงนี้ ก็มองเห็นเซียวชู่เหอได้อย่างพอดี
บริกรถือเมนูมาให้พวกเขาสั่งอาหาร เฉินถิงเซียวก็ผลักเมนูไปใกล้ๆมู่น่อนน่อนทันที
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองเฉินถิงเซียว แม้ว่าเธอจะไม่พูดอะไร แต่เขาก็เหมือนจะเข้าใจความคิดในใจของเธออย่างชัดเจน
“มองอะไร? สั่งอาหารสิ”
เสียงของเฉินถิงเซียวดังขึ้น สติของมู่น่อนน่อนก็กลับมาอย่างฉับพลัน เขากำลังก้มหน้าดูโทรศัพท์อยู่แท้ๆ หรือว่าบนหัวก็มีตาด้วยหรือถึงรู้ว่าเธอกำลังมองเขา?
มาก็มาแล้ว มู่น่อนน่อนก็ไม่ยืดเยื้ออีกต่อไป สั่งอาหารทันที
สักครู่เฉินถิงเซียวก็สั่งเพิ่มมาอีกสองอย่าง
อาหารยังไม่มา มู่น่อนน่อนก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเซียวชู่เหอที่อยู่ร้านอาหารฝั่งตรงข้าม สีหน้าค่อนข้างซับซ้อน
“เฉินเจียฉิน” นอกจากตอนที่หัวเราะเยาะข่มขู่เธอ จริงๆแล้วตอนอื่นๆเขาพูดน้อยมาก
“นี่เป็นครั้งแรกที่แม่นัดฉันกินข้าว” หลังจากคำพูดนี้ เธอก็เห็นรถคันหนึ่งจอดที่ประตูทางเข้าของร้านอาหาร ร่างของมู่หวั่นขีที่อยู่ด้านในเดินออกมา
เธอหัวเราะเยาะออกมา แล้วพูดต่อ: “ฉันก็รู้แล้วว่าแม่คงไม่นัดฉันกินข้าวอย่างบริสุทธิ์ใจ”
มู่หวั่นขีเดินไปที่โต๊ะที่เซียวชู่เหออยู่ทันที เพราะระยะห่างเป็นเหตุ เธอจึงไม่ได้ยินว่าสองคนคุยอะไรกัน แต่ดูจากท่าทางของทั้งสองคนก็พอจะมองออก มู่หวั่นขีกำลังอารมณ์เสีย ส่วนเซียวชู่เหอกำลังปลอบใจเธอ
สองคนโต้เถียงกันอยู่ครู่หนึ่ง เซียวชู่เหอก็ก้มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่นานเท่าไหร่ โทรศัพท์ของมู่น่อนน่อนก็ดังขึ้น
เธอรับโทรศัพท์: “ฮัลโหล”
“น่อนน่อน ทำไมลูกยังไม่มาอีก คุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่หรือว่ามากินข้าวเที่ยงด้วยกัน?” ในน้ำเสียงของเซียวชู่เหอควบคุมความโมโหเอาไว้ เหมือนกับว่าค่อนข้างหมดความอดทนแล้ว
มู่น่อนน่อนพูดอย่างไม่กระตือรือร้น: “หนูยังอยู่บนรถประจำ รถค่อนข้างติดค่ะ”
ในน้ำเสียงของเซียวชู่เหอผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด: “อย่างนั้นก็เร็วหน่อยนะ”
วางโทรศัพท์แล้ว มู่น่อนน่อนก็เห็นเซียวชู่เหอกำลังคุยกับมู่หวั่นขีอีกครั้ง จากนั้นมู่หวั่นขีก็กลับตัวออกไปจากโต๊ะ แต่กลับไม่ได้ออกไปจากร้านอาหาร
เมื่อคืนเกิดเรื่องอย่างนั้น มู่หวั่นขีก็ทนไม่ไหวที่จะให้เซียวชู่เหอนัดเธอออกมา มู่หวั่นขีคงจะคิดใช่ไหมว่าเธอคงโดนคนพวกนั้นทำลายเกียรติไปแล้ว ดังนั้นก็อยากจะเห็นความน่าสังเวชของเธอ?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เธอก็ควรจะออกไปปรากฏตัวใช่ไหม ออกไปโจมตีมู่หวั่นขีเสียหน่อย
ในตอนนี้ บริกรเริ่มยกอาหารมาแล้ว เสียงของเฉินถิงเซียวดึงเธอออกมาจากห้วงความคิด: “กินข้าว”
มู่น่อนน่อนตั้งสติได้ จู่ๆก็นึกถึงคราวก่อนที่เขาไม่สบายและยังเรียก “แม่” อย่างสติเลอะเลือนขึ้นมา จึงถาม “เฉินเจียฉิน” ด้วยความอยากรู้อยากเห็น: “คุณอยู่บ้านของเฉินถิงเซียวมาโดยตลอด แล้วพ่อแม่ของคุณล่ะ?”
หลังคำพูดจบลง เธอก็เห็น“เฉินเจียฉิน” ที่กำลังคีบอาหารอยู่ หยุดชะงักขึ้นทันที สีหน้าของเขาไม่ค่อยดี
มู่น่อนน่อนรู้สึกเหมือนว่าตนถามอะไรที่ไม่ควรถาม รีบคีบกับข้าวให้เขา แฝงไว้ด้วยความหมายที่ค่อนข้างเอาใจมากทีเดียว: “คุณกินเยอะๆหน่อย”
มื้อนี้จบลงโดยที่ทั้งสองคนไม่พูดอะไรกันเลย
ตอนที่จ่ายเงิน มู่น่อนน่อนคิดจะแย่งเขาจ่ายเงิน ผลลัพธ์คือเพียงมือเดียวของเฉินถิงเซียวก็ดึงเธอไปไว้ข้างหลังตนได้แล้ว หลังจากจ่ายเงินเสร็จก็หันกลับมาพูดอย่างกับมีเรื่องอะไรสำคัญอย่างนั้น: “กินข้าวกับผู้หญิง ผู้ชายต้องจ่ายเงินเป็นสัจธรรมที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้”
มู่น่อนน่อนสีหน้าจริงจัง: “พี่สะใภ้ก็เหมือนแม่ พี่สะใภ้จ่ายเงินก็เป็นสัจธรรมที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้”
“ฉันจ่ายเงินไปแล้ว ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจจริงๆล่ะก็……” เฉินถิงเซียวโน้มกายเข้าไปใกล้เธอ พูดเสียงต่ำ: “จูบฉันสักทีก็พอแล้ว”
“……” ยังสู้ไม่ได้กับให้เธอไปตาย
มู่น่อนน่อนสะบัดมือเขาออกแล้วก็ออกไปจากร้านอาหาร
เฉินถิงเซียวมองด้านหลังของเธอ แล้วยิ้มอย่างลึกซึ้ง
……
สุดท้ายแล้ว มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ไปพบเซียวชู่เหอที่ร้านอาหารฝั่งตรงข้าม เธอกับ “เฉินเจียฉิน” กลับบ้านในทันที
เซียวชู่เหอโทรหาเธอตลอด แต่เธอก็ไม่รับเลยเช่นกัน
เธอคิดว่าเรื่องนี้ก็ถือว่าผ่านไปแล้ว ผลคือเช้าตรู่ของวันที่สอง เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากมู่ลี่เหยียน
“น่อนน่อน ช่วงนี้กำลังหางานอยู่ใช่ไหม? ลูกมาที่บริษัทของครอบครัวเราเลยสิ ไม่ต้องไปรับใช้คนอื่นด้วย ดีจังเลย!” มู่ลี่เหยียนพูดด้วยความรักและเป็นห่วงอย่างแท้จริง มู่น่อนน่อนเกือบจะเชื่ออยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนตอบกลับอย่างไม่สนใจไยดี: “แต่หนูหางานได้แล้วค่ะ”
บริษัทมู่ซื่อกับบริษัทเสิ้งติ่ง เธอก็เลือกบริษัทเสิ้งติ่งอย่างไม่ลังเล ไม่ต้องครุ่นคิดแต่แรกอยู่แล้ว
มู่ลี่เหยียนเงียบลงไปครู่หนึ่ง เหมือนกับว่าตัดสินใจได้แล้ว: “ลูกมาทำงานที่บริษัท พ่อให้หุ้นลูกด้วยเป็นอย่างไร?”
หุ้น?
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะนั่งยืดตัวขึ้นมา ค่อนข้างสงสัยว่าตนฟังผิดไปหรือ
มู่หวั่นขีกับพี่ชายของเธอต่างก็ถือหุ้นของบริษัทมู่ซื่อ ทุกปีต้องแบ่งโบนัสกัน รวมไปถึงเซียวชู่เหอก็มีหุ้นอยู่นิดหน่อย แม้ว่าจะน้อยจนน่าสงสาร แต่ก็ยังดีที่มี
ตอนที่ 46 คิดไม่ถึงว่าเขาจะอิจฉา “ตัวเอง” นิดหน่อย
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบกลับไปในทันที เซียวชู่เหอจึงรีบส่งเสียงอธิบายออกมา: “น่อนน่อน ก่อนหน้านี้แม่ยุ่งมากเลย ขนาดว่าเวลาที่จะมากินข้าวกับลูกเพียงลำพังก็ยังไม่มีเลย ลูกอย่าตำหนิแม่เลยนะ”
ถ้าเป็นแต่ก่อน เซียวชู่เหอนัดมู่น่อนน่อนออกมากินข้าวด้วยกันตามลำพัง เธอก็คงดีใจจนจะลอยขึ้นไปแล้ว
เอาเรื่องยุ่งมาเป็นข้ออ้าง ก็ออกจะสะเทือนใจเกินไปหน่อย
เซียวชู่เหอเป็นคุณนายที่ร่ำรวยแบบเต็มเวลา ในบ้านก็มีคนรับใช้มากมาย เธอจะยุ่งเรื่องอะไรหรือ?
เธอจำได้อย่างชัดเจน เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง เธอซื้อตั๋วภาพยนตร์แล้วอยากจะดูกับเซียวชู่เหอ แต่เดิมเซียวชู่เหอก็ตอบตกลงแล้วว่ามาดูด้วยกันได้
แต่ว่า จนกระทั่งภาพยนตร์จบแล้ว เธอก็ไม่ได้เจอเซียวชู่เหอ
กลับถึงบ้านก็เพิ่งจะรู้ เป็นเพราะมู่หวั่นขีดื่มจนเมาอยู่ข้างนอก เซียวชู่เหอจึงรีบไปรับมู่หวั่นขี แล้วทิ้งมู่น่อนน่อนไว้โดยปริยาย ไม่โทรมาบอก ทำให้เธอรออยู่ตลอดจนภาพยนตร์เลิก
มู่น่อนน่อนเอ่ยปาก ในน้ำเสียงมีรอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นมา: “ได้ค่ะ แม่ส่งที่อยู่มาให้หนูนะคะ”
เธอวางโทรศัพท์แล้ว เงยหน้าก็เห็นหน้าตาที่เข้มงวดของเสิ่นเหลียงกำลังมองมาที่เธอ
มู่น่อนน่อนประหลาดใจ: “ทำไมหรือ?”
เสิ่นเหลียงพูดอย่างอารมณ์ไม่ดี: “แม่ของเธอนัดเธอกินข้าวอีกแล้วหรือ? เธอจะไปจริงๆหรือ?”
“ไปสิ” มู่น่อนน่อนดึงเสิ่นเหลียงมานั่งลงบนโซฟา ในตอนนี้ที่เสิ่นเหลียงควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เธอก็พูดอย่างไม่รีบร้อน: “ฉันก็มีแผนของฉัน ที่ให้เธอเอาอิฐมาให้ได้เอามาไหม?”
เสิ่นเหลียง: “อยู่ในรถ ฉันไปเอามาให้”
มู่น่อนน่อนเปิดประตูไม่ออก แต่ของของเธออยู่ด้านใน เรียกคนมาเปิดก็ไม่รู้ต้องรอถึงเมื่อไหร่ ตอนที่เสิ่นเหลียงจะมาเธอจึงจำเป็นต้องให้เธอช่วยเอาอิฐมาให้ เธอจะเอามาทุบประตู
การทำงานของเสิ่นเหลียงในสองปีมานี้มีแนวโน้มโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่แรกเธอก็คิดจะช่วยมู่น่อนน่อนทุบประตู แต่ผู้จัดการของเธอตามตัวเธอแล้ว
ก่อนจะไป เธอก็พูดอย่างอาลัยอาวรณ์: “น่อนน่อน ตอนที่ทุบประตู อย่าลืมถ่ายวิดีโอออกอากาศมาให้ฉันดูด้วยนะ”
มู่น่อนน่อน: “……” แฟนคลับของเสิ่นเหลียงอายุน้อยขนาดนั้นเลยหรือ?
……
มู่น่อนน่อนถืออิฐเดินมาที่หน้าประตูห้องของตน ยกมือหันไปทางประตูแล้วก็ทุบลงมา เสียงค่อนข้างดัง
เฉินถิงเซียวได้ยินเสียงก็เลยเดินมาหา เห็นเธอกำลังทุบประตู ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆก็ยื่นมือแล้วก้มหัวลง ก้มๆอยู่ก็ยิ้มออกมา
ผู้หญิงคนนี้จริงๆเลย……ทำให้คนอื่นระมัดระวังตัวไม่หวาดไม่ไหว
เขาเดินเข้ามา แล้วหยุดข้อมือของเธอเอาไว้อย่างแม่นยำ เสียงทุ้มต่ำ: “พี่ชายไม่อยู่บ้าน คุณไปนอนในห้องของเขาก็ได้ ทุบประตูพังคิดเงินคุณได้ใช่ไหม?”
มู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าทำลายข้าวของไม่ดีเลยจริงๆ พูดอย่างลังเล: “แต่ว่าของของฉันอยู่ข้างในหมดเลย”
“ตอนที่พวกคุณแต่งงาน ก็มีคนส่งของใช้ผู้หญิงมากมายมาให้วางไว้ในห้องของเขา” จริงๆแล้วช่วงนี้เขาเพิ่งจะให้คนซื้อเข้ามาเพิ่มเติม
มู่น่อนน่อนกลับไม่ได้คิดถึงว่ายังมีโอกาสอย่างนี้ แต่เธอยังคงส่ายหัว พูดอย่างซื่อตรงและเปิดเผย : “แต่ฉันไม่กล้าไปนอนในห้องของเขา”
คำพูดที่ออกมานี้คงจะโดน “เฉินเจียฉิน” หัวเราะเยาะ แต่ไม่กล้าก็คือไม่กล้า
เฉินถิงเซียวก็ไม่คิดว่าเธอจะพูดอย่างนี้ มิน่าปกติก็โต้แย้งอยู่ตลอดผู้หญิงของเขาไม่ใช่เธอหรือ?
“ดังนั้น ฉันจะยังทุบประตูต่อไป ฉันเชื่อว่าเขาคงไม่ให้ฉันชดใช้ค่าประตู เขาไม่ใช่คนขี้เหนียวขนาดนั้น” ถึงอย่างไรก็ให้โทรศัพท์เธอแล้วไม่ใช่หรือ? เรื่องพวกนั้นในอินเตอร์เน็ตก็ไม่เห็นว่าเขาจะสอบสวน มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเขาดีกว่าที่เธอคิดเอาไว้
นัยน์ตาของเฉินถิงเซียวปรากฏความตะลึงงันออกมา จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เธอก็พูดไปหมดแล้ว เขาเป็นคนใจกว้าง เขาจะยังพูดอะไรได้อีกล่ะ?
จำเป็นจะต้องช่วยเธอทุบประตู
เขายื่นมือไปหยิบอิฐในมือของมู่น่อนน่อนออกมา ทุบไปสองสามทีประตูก็เปิดออกแล้ว
มู่น่อนน่อน คิดว่า “เฉินเจียฉิน” ก็ไม่ได้น่ารำคาญขนาดนั้นแล้ว เธอส่งสายตาให้แล้วก็เอ่ยขึ้น: “ขอบคุณนะ”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไรแล้วก็ไม่มองเธอด้วย กลับตัวเดินออกไปเลย รูปร่างจากด้านหลังดูเหมือนว่าจะ……วุ่นวายใจนิดหน่อยใช่ไหม?
เฉินถิงเซียวเดินมาไม่ไกลเท่าไหร่ ก็เห็นองครักษ์ที่ได้ยินเสียงเดินขึ้นมาแล้ว
เฉินถิงเซียวชำเลืองมององครักษ์: “ไม่มีเรื่องอะไรหรอก”
แทนคำพูดที่ให้เขาลงไปข้างล่าง
องครักษ์รีบหมุนตัวกลับลงไป แต่ในใจก็ค่อนข้างงงงวย
เสียงที่ดังขนาดนั้นเมื่อสักครู่ พวกเขาต่างก็คิดว่าคุณชายกับคุณผู้หญิงทะเลาะกันแล้ว เขายังเดิมพันไปแล้วหนึ่งร้อยหยวน แต่ท่าทางของคุณชายดูแล้วก็ไม่เหมือนท่าทางที่จะทะเลาะกับคุณผู้หญิง……
เฉินถิงเซียวเข้าไปในห้องแล้วสักครู่ ก็ได้รับข้อความที่กู้จือหยั่นส่งมา
เขาส่งเสียงมา มีความยาวกว่าสี่สิบวินาที เฉินถิงเซียวกดข้อความเสี่ยงนั้น แล้วก็วางโทรศัพท์ลง
“ฉันส่งข้อความหานายตอนนี้ ไม่ได้รบกวนนายใช่ไหม? เมื่อคืนผ่านไปได้ด้วยดีไหม? สิ่งของพวกนั้นที่ส่งไปก่อนหน้านี้ได้ใช้แล้วใช่ไหม? ฉันบอกว่าถ้านาย……”
เฉินถิงเซียวฟังถึงตรงนี้ ก็กดปุ่มหลักของโทรศัพท์ ล็อกหน้าจอ
เดินไปทางห้องเก็บเสื้อผ้า
ห้องเก็บเสื้อผ้าใหญ่โต ครึ่งหนึ่งเป็นเสื้อผ้าของผู้ชายประเภทสูทเสื้อเชิ้ต อีกครึ่งหนึ่งเป็นเสื้อผ้าของผู้หญิงประเภทกระโปรงเสื้อสเวตเตอร์
มู่น่อนน่อนดูเหมือนจะสร้างความยุ่งยากให้เขาอย่างมากจริงๆ ถ้าหากว่าเธอใส่ใจเขามากกว่านี้สักหน่อย ก็จะพบว่าเขาอยู่ที่ห้องนอนหลัก แล้วก็จะยิ่งพบว่า “เฉินเจียฉิน” กับ “เฉินถิงเซียว” ทั้งสองคนไม่เคยปรากฏตัวออกมาพร้อมกันเลย
ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ความประทับใจแรกสำคัญที่สุด ทำให้เธอรู้สึกว่า “เฉินถิงเซียว” ไม่ใช่คนปกติอย่างแน่นอน
เฉินถิงเซียวนึกถึงเรื่องในห้องอาหารก่อนหน้านี้ขึ้นมา หลังจากที่เธอได้ยินว่าโทรศัพท์นี้ “เฉินถิงเซียว” เป็นคนซื้อให้ ความสุขที่อยู่ในดวงตาของเธอก็ลอยออกมา
ในเวลานั้น เขาไม่คิดเลยว่าจะอิจฉาตัวเองนิดหน่อย
……
มู่น่อนน่อนปิดประตู แล้วก็นอนลงบนเตียง
นอนบนเตียงที่คุ้นเคยก็รู้สึกสบายใจมากกว่า เธอพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง ก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า
ยืนอยู่ที่หน้ากระจก เธอลังเลอยู่ขณะหนึ่ง ก็ตัดสินใจไม่แต่งหน้าขี้เหร่แล้ว แบบนั้นค่อนข้างวุ่นวาย และเธอก็ไม่ได้คิดว่าจะไปกินข้าวกับเซียวชู่เหอจริงๆ
ถึงอย่างไรเมื่อคืนก็โดน “เฉินเจียฉิน” จับได้แล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเท่าไหร่ เฉินถิงเซียวยังไม่เคยเจอเธอมาก่อน เธอจงใจแต่งขี้เหร่ต่อไปนอกจากจะทำให้เธอลำบากแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไร
เพียงแต่……
เธอนึกถึง “เฉินเจียฉิน” ที่เมื่อเช้ายังจูบเธออีก จูบนั้นที่คิดขึ้นมาแล้วก็ทำให้เธอรู้สึกว่าหน้าแดงใจเต้นเร็ว
มู่น่อนน่อนที่สติกลับมาแล้วก็เพิ่งรู้สึกได้ว่าคิดไม่ถึงว่าตนกำลังย้อนกลับไปถึงรสจูบของ “เฉินเจียฉิน” สีหน้าของเธอก็ซีดไปเลย
“เฉินเจียฉิน” เป็นน้องชายของเฉินถิงเซียว เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่!
จนกระทั่งตอนที่เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา สีหน้าก็ยังแย่อยู่มาก
บังเอิญเหลือเกิน เธอพบกับ “เฉินเจียฉิน” อีกแล้วที่ทางลงบันได
เฉินถิงเซียวเห็นสีหน้าของเธอแย่มาก ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยถามเธอ: “ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
เขาพูดไป แล้วก็ยื่นมือออกมาจะแตะหน้าผากเธอ
มู่น่อนน่อนเหมือนได้รับความตื่นตระหนกตกใจก็กระโดดออกไปห่างๆเขาทันที พูดอย่างลุกลี้ลุกลน: “ฉันไม่ ไม่เป็นไร……”
พูดเสร็จ ก็รีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ที่เดิม สายตาตกไปอยู่ที่มือของตนที่อยู่ในกลางอากาศ ในขณะหนึ่ง สีหน้าที่กลัดกลุ้มก็เพิ่งจะเก็บมือกลับเข้ามา
เขาพิงที่ราวบันได มองมู่น่อนน่อนที่สะพายกระเป๋าหนีเตลิดไป สีหน้ายิ่งกลัดกลุ้มไปพักหนึ่ง แต่อย่างรวดเร็ว เขาก็รีบเดินตามออกไปอย่างไม่วางใจ
ตอนที่ 45 จงใจล่อเธอออกไป
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมาถามเขาอย่างประหลาดใจ: “คุณซื้อมาหรือ?”
“ฝันไปเถอะ พี่ชายผมซื้อมาให้คุณ” เฉินถิงเซียวชายตามองเธอ แล้วก็เริ่มกินข้าว
มู่น่อนน่อน: “……” พูดอย่างกับว่าเธอดูเหมือนอยากจะได้ของที่ “เฉินเจียฉิน” ซื้อมาให้อย่างนั้น
ในเมื่อเฉินถิงเซียวเป็นคนซื้อ เธอก็จะรับเอาไว้
มู่น่อนน่อนพบว่าข้างๆโทรศัพท์ มีซิมโทรศัพท์วางอยู่ เป็นเบอร์ที่เธอใช้ก่อนหน้านี้
เธอใส่ซิมโทรศัพท์แล้วก็โทรหาเสิ่นเหลียงทันที
ดังเพียงครั้งเดียว ก็มีคนรับโทรศัพท์แล้ว
น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงเป็นกังวลอย่างมาก: “น่อนน่อน เธอไม่เป็นไรใช่ไหม? ยังสบายดีใช่ไหม?”
“ฉันไม่เป็นอะไร ตอนนี้เธออยู่ในทีมการแสดงแล้วใช่ไหม?” ก่อนหน้านี้เสิ่นเหลียงเคยบอกไว้แล้ว วันนี้เธอต้องกลับไปทีมการแสดง
“เธอมีเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ฉันยังกลับไปทำอะไรที่ทีมการแสดง ตอนนี้ฉันกำลังออกไป พวกเราเจอกันนะ” เสียงที่เสิ่นเหลียงกำลังเก็บของดังขึ้นมา
มู่น่อนน่อนก็อยากจะคุยกับเสิ่นเหลียงเรื่องเมื่อคืนเหมือนกัน ก็ตอบรับทันที: “อืม ฉันกำลังกินข้าว รอสักครู่ฉันจะออกจากบ้าน……”
“ออกจากบ้านทำอะไร ฉันไปหาเธอเอง” เสิ่นเหลียงตัดบททันที พูดเสร็จวางโทรศัพท์
เธอวางโทรศัพท์ แค่เหลือบตา ก็เห็นผู้ชายที่กินข้าวอย่างสบายๆตรงหน้า
เขาอยู่ตรงหน้าเธอ มักจะแสดงอาการกำเริบเสิบสานและอาละวาดอย่างผิดปรกติอยู่เป็นประจำ แต่พฤติกรรมของเขากลับตรงกันข้ามอย่างประจวบเหมาะ ปรากฏความสุขุมรอบคอบอยู่ตลอด
“เรื่องของเมื่อคืน……” มู่น่อนน่อนหยุดลงครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้น: “ขอบคุณมากๆ”
“ขอบคุณฉันทำไม?” เฉินถิงเซียวเงยหน้ามองเธอ นัยน์ตาสีดำราวกับหมึกยิ้มขึ้นอย่างแตกต่างจนสังเกตได้ “จุดสำคัญที่ขอบคุณฉัน คือตอนที่ผลักคุณหรือเปล่า?”
มู่น่อนน่อนตอบสนองกับความหมายของคำพูดของเขา หน้าก็แดงขึ้นมาในทันที: “คุณพูดให้ดีๆไม่ได้หรือ!”
สำหรับคำขอบคุณในใจของเธอที่จะเก็บไว้ให้เขา ก็สูญหายไปหมดแล้ว
เฉินถิงเซียวกินข้าวต้มเสร็จแล้ว พลางเอาผ้าขนหนูเช็ดมือ พลางพูดไปด้วย: “ขอบคุณตามใจชอบขนาดนี้ ไม่มีความจริงใจ”
มู่น่อนน่อนคิดๆแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่มีความจริงใจจริงๆ: “ฉันเลี้ยงข้าวเป็นอย่างไร?”
“กินข้าวหรือ? ได้สิ ก็ไปคลับนั้นที่คุณพาไปคราวก่อน” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวจริงจังมาก
คลับนั้น……
มู่น่อนน่อนเม้มปาก ถ้าเธอจำไม่ผิด คลับนั้นอยู่ที่เมืองหู้หยางแต่เป็นสถานบันเทิงที่อยู่บนยอดสูงสุดของพีระมิด ด้วยสถานะเด็กจบใหม่อย่างเธอ ไม่ต้องพูดถึงที่ตอนนี้ไม่มีงานทำ แม้ว่าจะมีงานทำ ตามมาตรฐานของคุณชายที่แสนร่ำรวยอย่าง “เฉินเจียฉิน” ไปที่นั่นแล้วสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องจ่ายเงินเดือนครึ่งปีออกไป
เธอสงสัยว่า “เฉินเจียฉิน” จงใจ
มู่น่อนน่อนพูดอย่างเปิดเผยซื่อตรง: “เปลี่ยนร้านเถอะ ร้านนั้นกินไม่ลง”
“เฉินเจียฉิน” มองเธออย่างประหลาดใจ: “พี่ชายฉันไม่ได้ให้บัตรเสริมของเขากับเธอหรือ?”
“ทำไมเขาต้องให้บัตรเสริมฉัน!” มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า “เฉินเจียฉิน” นายคนนี้ปรากฏความแปลกประหลาดอยู่ตลอดๆ
อีกครู่หนึ่ง “เฉินเจียฉิน” ก็ล้วงไปหยิบบัตรสีดำออกมาจากข้างหลังอีกครั้งวางไว้ใกล้ๆเธอ: “พี่ชายให้ฉันไว้ คุณเอาไปรูดก่อนเถอะ”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ไปหยิบบัตรสีดำใบนั้น แต่กลับแสดงสีหน้าอิจฉาออกมา: “เฉินถิงเซียวดีกับคุณจริงๆ”
เฉินถิงเซียวไม่เคยแสดงสีหน้าต่อหน้าใครมาก่อน เล่าลือกันว่านิสัยของเขารุนแรงสุดโต่ง แต่เขากลับให้ “เฉินเจียฉิน” อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของเขา ยังเอาบัตรเสริมของตนให้ “เฉินเจียฉิน” ใช้อีก
ในทางตรงกันข้ามเธอกับมู่หวั่นขี ทั้งสองคนก็เหมือนกับเป็นศัตรูกันอย่างนั้น
เฉินถิงเซียวได้ยิน ก็มองเธออย่างลึกซึ้ง: “เพียงแค่คุณพยายาม ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะดีกับคุณมากกว่าฉัน”
“พยายาม” สามคำนี้ เขาตั้งใจเน้นย้ำโดยเฉพาะ
ผู้ชายไร้ยางอายกำเริบเสิบสาน!
มู่น่อนน่อนไม่สนใจเขา ก้มหน้าคว้าข้าวมากินสองคำ แล้วก็เก็บบัตรสีดำใบนั้นไป
จ่ายเงินของเฉินถิงเซียว เพื่อเลี้ยงข้าว “เฉินเจียฉิน” ไม่ใช่ปัญหา
แต่เดิมเธอก็อยากจะขอบคุณ “เฉินเจียฉิน” อย่างจริงใจ แต่ใครให้เขาตั้งใจเลือกสถานที่ที่แพงขนาดนั้น ก็อย่าว่าเธอไม่มีความจริงใจแล้วกัน
……
ตอนที่เสิ่นเหลียงมาถึง มู่น่อนน่อนยังกำลังต่อสู้อยู่กับประตูห้อง
แปลกจริงๆ ประตูห้องเปิดไม่ออกเลย
องครักษ์มาบอกเธอจากข้างหลัง: “คุณผู้หญิงครับ คุณเสิ่นมาแล้ว”
มู่น่อนน่อนก็เลยต้องลงไปข้างล่างเพื่อพบเสิ่นเหลียงก่อน
แค่เธอเดินลงไป เสิ่นเหลียงก็กระโจนเข้ามา: “เธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว!”
มู่น่อนน่อนหันไปยิ้มให้เธอ ถามเธอว่า: “ฉันไม่เป็นไร เธอล่ะ?”
เมื่อคืนวิดีโอที่บล็อกเกอร์คนนั้นปล่อยออกมา เป็นที่นิยมอย่างมาก ผู้จัดการของเสิ่นเหลียงก็ดูแล้ว ยังส่งให้เสิ่นเหลียงดูอีกด้วย
เมื่อคืนเสิ่นเหลียงเข้าร่วมงานเลี้ยงธุรกิจ ผู้จัดการกลัวว่าหลังเสร็จงานอาจจะลำบาก ก็เลยให้เธอหาคนไม่กี่คนมาถ่ายรูปรวมกันแล้วโพสลงในWeibo เพื่อหลีกเลี่ยงถึงตอนนั้นที่อาจจะมีคนทำไม่ดีต่อเธอ
ตอนที่โพสลงในWeibo เธอก็พบว่ามีเบอร์ที่ไม่ได้รับมากมาย จากนั้นก็ได้รับโทรศัพท์ของกู้จือหยั่น จึงเพิ่งจะรู้ว่ามู่น่อนน่อนคิดว่าเธออยู่ในคลับจี่อจีน ก็เลยออกไปตามหาเธอ
ฟังที่เสิ่นเหลียงเล่าแล้ว มู่น่อนน่อนก็เข้าใจขึ้นมา เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างมากว่ามีคนวางกับดัก จงใจล่อเธอออกไป
ช่วงนี้คนที่ผิดใจกับเธอ ก็มีแค่มู่หวั่นขีเท่านั้น
เรื่องของเธอกับมู่หวั่นขี ในระยะนี้แพร่หลายในอินเตอร์เน็ตอย่างอึกทึกครึกโครม ดังนั้นมู่หวั่นขีก็รู้อย่างแน่นอนว่าไม่ว่าเวลาไหนเธอก็จะเล่นอินเตอร์เน็ต
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มู่หวั่นขีก็รู้ว่าเสิ่นเหลียงเป็นเพื่อนสนิทของเธอ
มู่หวั่นขีแก้แค้นเธอ แล้วยังค่อนข้างใช้ความคิดอีกด้วย
เสิ่นเหลียงเห็นเธอจมอยู่ในห้วงความคิด ก็ถามเธอ: “เป็นอะไรไป?”
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองเธอ: มู่หวั่นขีน่าจะเป็นคนทำ แต่ก่อนฉันก็รู้ว่าเธอไปเล่นสะเปะสะปะข้างนอกอยู่บ่อยๆ เป็นสมาชิกของคลับเหล่านั้น แต่เพราะไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ ดังนั้นก็เลยไม่รู้ว่าเป็นคลับจี่อจีน”
ถ้าเธอรู้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ว่าสถานที่ที่มู่หวั่นขีไปเล่นบ่อยๆคือคลับจี่อจีน เธอจะไม่โดนหลอกอย่างแน่นอน
แม้ว่าเสิ่นเหลียงจะเป็นคนที่กระตือรือร้น แต่เธอก็ยกเรื่องมากมายออกอย่างชัดเจน เธอไม่มีทางไปเข้าร่วมงานเลี้ยงในสถานที่อย่างนั้น
เสิ่นเหลียงขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
เธอก้มหยิบโทรศัพท์ของตนออกมา แต่ดูแล้วก็พบว่าไม่ใช่โทรศัพท์ของเธอ
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ที่สว่างจ้าตาออกมา: “ของฉันเอง”
“ในที่สุดก็ยอมเปลี่ยนโทรศัพท์แล้วหรือ?” เสิ่นเหลียงเบิกตาโพลง แต่ก่อนเธอเร่งให้มู่น่อนน่อนเปลี่ยนโทรศัพท์ มู่น่อนน่อนก็พูดเสมอว่ากลัวจะทำให้เซียวชู่เหอไม่มีความสุข ก็เลยไม่ยอมเปลี่ยนโทรศัพท์มาโดยตลอด
แววตาที่เป็นประกายของมู่น่อนน่อน มีความสุขอย่างเห็นได้ชัด เธอเข้าไปใกล้ๆหูของเสิ่นเหลียงแล้วพูดเบาๆ : “เฉินถิงเซียวให้ฉัน”
เธอรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นสัญญาณที่เฉินถิงเซียวค่อยๆเปิดใจรับเธอ ดังนั้นเธอจึงมีความสุขมาก
แต่แรกเป็นเธอเองที่ยินยอมแต่งงานกับเฉินถิงเซียว ยังปรารถนาที่จะอยู่กับเขาอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ
เสิ่นเหลียงยังมีเรื่องที่อยากถามอย่างชัดเจน มู่น่อนน่อนชี้ไปที่โทรศัพท์: “ฉันรับโทรศัพท์ก่อน”
แค่เพียงแต่ ตอนที่เธอเห็นเบอร์ที่ท่องได้จนขึ้นใจ สีหน้าก็ไม่ดีมากแล้ว
เสียงที่นุ่มนวลของเซียวชู่เหอ: “น่อนน่อน แม่จองร้านน้ำชาเอาไว้ ตอนเที่ยงออกมากินข้าวเป็นเพื่อนหน่อยสิลูก”
อยู่ๆก็มาเอาอกเอาใจ แน่นอนว่าต้องมีเรื่องที่ปิดบังเอาไว้!
มู่น่อนน่อนยิ้มเบาๆแล้วถามขึ้น: “แค่เราสองคนแม่ลูกใช่ไหมคะ?”
เซียวชู่เหอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูด: “เอ่อ……ใช่จ๊ะ แค่พวกเราแม่ลูกกินข้าวด้วยกันอย่างเงียบๆ”
คำพูดของเธอ มู่น่อนน่อนไม่เชื่อสักนิด!
ตอนที่ 44 เร้าใจมากใช่ไหม
มู่น่อนน่อนเห็น “เฉินเจียฉิน” พูดอย่างตรงไปตรงมา ท่าทางไม่เหมือนกำลังพูดโกหกเลยสักนิด ในใจก็คิดตามขึ้นมา
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เธอไม่มีความรู้สึกสักนิดเลยจริงๆ แล้วเธอยังโดนวางยาอีก ก็อาจจะเป็นไปได้ที่เกิดเรื่องราวอะไรขึ้นกับเขา……
ในหัวของมู่น่อนน่อนที่ว่างเปล่าอยู่ชั่วครู่ อยู่ๆก็นึกถึงเฉินถิงเซียวขึ้นมาทันที
เธอไม่สามารถอยู่ในห้องของ “เฉินเจียฉิน” ได้ หากว่าโดนเฉินถิงเซียวรู้เรื่องเข้าแล้วล่ะก็……
หน้าซีดขาวของเธอ เปิดผ้าห่มออกจะลงจากเตียง แต่กลับโดนเฉินถิงเซียวใช้มือกดเธอให้กลับไป
“พี่สะใภ้เมื่อคืนเหนื่อยแย่แล้ว ควรจะพักผ่อนให้เต็มที่ อยากกินอะไรฉันจะให้คนไปทำให้” มือของเฉินถิงเซียวกดอยู่ที่ไหล่ของเธอเอาไว้ดูเหมือนจะไม่ได้ออกแรงเลย แต่เธอกลับขยับตัวไม่ได้แล้ว
มู่น่อนน่อนแค่คิดว่าเมื่อคืนเธอกับ “เฉินเจียฉิน”อาจจะทำเรื่องอย่างนั้นไปแล้ว รู้สึกอับอายขายหน้าไปทั่วร่างกาย เธอโมโหจนตัวสั่น : “คุณมันไร้ยางอาย!”
“นี่ก็ไร้ยางอายแล้วหรือ? อย่างนั้น……แบบนี้ล่ะ?” เขาพูดแล้ว ออกแรงใช้มือกดที่ไหล่ของเธอนิดหน่อย แล้วก็ผลักเธอกลับไปที่เตียง ร่างสูงใหญ่ครอบคลุมเอาไว้แล้ว แค่เพียงก้มหัวก็จับกุมริมฝีปากของเธอได้อย่างแม่นยำ
มู่น่อนน่อนโดนจูบอย่างไม่ทันตั้งตัว ก็ตะลึงงันไปแล้ว นี่ก็เลยเป็นโอกาสที่เฉินถิงเซียวตรึงเธอเอาไว้
เขาจับข้อมือของเธอเอาไว้ ซ่อนริมฝีปากของเธอราวกับว่าบุกเข้ายึดเมืองแล้วปล้นสะดมออกมา จูบอย่างแข็งกร้าวและป่าเถื่อน
ประสบการณ์การจูบเพียงหนึ่งเดียวของมู่น่อนน่อนก็มาจากผู้ชายคนนี้ แต่ครั้งก่อนๆที่เขาจูบไม่ได้ลึกซึ้งขนาดนี้ ลมหายใจที่เย็นฉ่ำของเขาห่อหุ้มเธอเอาไว้ ทำให้เธอหมดทางหนีทีไล่ที่จะต่อต้านเขาอย่างที่สุด
เพียงจูบเสร็จ เฉินถิงเซียวอยากที่จะทำบางอย่างต่อจึงจิกริมฝีปากของเธอไปเบาๆสองครั้ง แล้วลุกขึ้นมา
สีหน้าของมู่น่อนน่อนที่นอนหงายอยู่บนเตียง ในดวงตาเต็มไปด้วยละอองน้ำที่สวยงามสดใส หน้าแดงเปล่งปลั่ง หายใจแรงนิดหน่อย ท่าทางถูริมฝีปากอย่างอ่อนนุ่มที่ปล่อยให้คนอื่นรุกรานตามอำเภอใจ
เพียงไม่กี่นาทีลมหายใจก็แรงขึ้นอีกครั้งที่แต่เดิมเฉินถิงเซียวก็สงบลงแล้ว ดวงตาที่ลึกและเงียบมองไปที่เธอ เสียงที่แหบเล็กน้อยพูดขึ้น “ฉันยังไร้ยางอายได้มากกว่านี้อีก คุณอยากจะลองดูไหม?”
คำพูดของเขาเรียกสติของมู่น่อนน่อนให้กลับมา สายตาฟื้นฟูมาอย่างชัดเจนแล้ว เหลือบตาขึ้นมองเขาใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้ๆบนหัวของเธอ เธอกลั้นความโมโหเอาไว้ ยกมือขึ้นแล้วก็โบกมือไปทางเขาอย่างเด็ดเดี่ยว
แต่ว่า ฝ่ามือของเธอกลับโดนเฉินถิงเซียวที่ตาไวมือคล่องแคล่วหยุดเอาไว้
เฉินถิงเซียวเผยอปาก ยิ้มอย่างลึกซึ้งแล้วคว้าฝ่ามือของเธอมาวางไว้ข้างๆริมฝีปาก จูบตีตราที่ฝ่ามือที่นุ่มนวลของเธอ: “ฉันก็ชอบผู้หญิงที่ปราดเปรียวอย่างพี่สะใภ้นี่แหละ”
มู่น่อนน่อน: “……”
ผู้ชายคนนี้ถือโอกาสไร้ยางอายอย่างไม่มีข้อจำกัด!
เธอดึงมือกลับมาไม่ได้ อยู่ภายใต้การควบคุมของคนอื่น ก็ทำได้เพียงอดกลั้นความโมโหแล้วพูดออกมา : “ฉันเป็นพี่สะใภ้ของคุณ!”
เหมือนกับว่าเฉินถิงเซียวจะฟังไม่ออกถึงน้ำเสียงที่พยายามอดกลั้นความโมโหของเธอเอาไว้ รอยยิ้มที่ลึกซึ้งมากขึ้น : “พี่ชายไปต่างประเทศแล้ว ไม่ถึงสิบวันหรือครึ่งเดือนก็คงไม่กลับมา เวลานี้ ไม่มีใครมาคฤหาสน์รบกวนพวกเรา เร้าใจมากใช่ไหมล่ะ?”
เร้าใจบ้าอะไร!
เธอไม่เล่นด้วยกับน้องของสามีอย่างแน่นอนไม่เพียงแต่ความรักที่แปลกประหลาดนี้ด้วย!
เฉินถิงเซียวเห็นสีหน้าของเธอแย่ลงเรื่อยๆ ก็ไม่แกล้งเธออีก ลุกขึ้นยืน หุบยิ้ม แล้วถามอย่างจริงจัง: “อยากกินอะไร ฉันจะให้คนไปทำให้”
มู่น่อนน่อนใบหน้าเย็นชา: “ไม่อยากกินสักอย่าง”
เธอหวังเพียงแค่ให้เขารีบออกไปเท่านั้น!
เฉินถิงเซียวไม่สะทกสะท้านกับท่าทีที่เย็นชาของเธอ พูดเอาเอง: “อย่างนั้นก็ข้าวต้ม กับกับข้าวไม่กี่อย่างแล้วกัน”
แค่เขาออกไป มู่น่อนน่อนก็กระโดดลงจากเตียงแล้วไปเข้าห้องน้ำ
เธอต้องแน่ใจเสียหน่อยว่า เธอกับ “เฉินเจียฉิน” ได้ทำเรื่องอย่างนั้นแล้วจริงหรือ
ปวดเอวเจ็บหลังนี่เป็นเรื่องปกติ แต่ร่างกายของเธอก็ไม่ได้มีความรู้สึกไม่สบายใดๆทั้งนั้น
อีกอย่างหนึ่ง “เฉินเจียฉิน” แม้ว่าดูแล้วก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไร แต่เธอกลับเชื่ออย่างอธิบายไม่ถูกว่าเขาคงไม่ฉวยโอกาสทำอย่างนั้นกับคนที่กำลังตกอยู่ในความลำบากหรอก
เธอล็อกประตูห้องน้ำแล้ว ตรวจดูร่างกายของตนเอง ก็พบว่าร่างกายของเธอไม่มีร่องรอยอะไร กระโดดขึ้นๆลงๆก็ไม่ได้รู้สึกไม่สบายอะไรเลย
เธอก็รู้แล้วว่า “เฉินเจียฉิน” หลอกเธอ
ไร้เดียงสาจริงๆ ผู้ชายคนนั้นไม่มีอะไรทำจนต้องเอาเรื่องนี้ล้อเล่นหลอกเธอสนุกอย่างนั้นหรือ?
มู่น่อนน่อนเป่าลมออกจากปากอย่างผ่อนคลาย เดินไปที่อ่างล้างหน้าเตรียมตัวจะล้างหน้า ผลคือเมื่อเธอเห็นตนเองในกระจก ก็ตะลึงไปเลย
หน้าที่แต่งขี้เหร่เอาไว้โดนคนลบออกไปแล้ว……
คงเป็นเพราะเมื่อคืนเกิดเรื่องมากเกินไป สีหน้าของเธอค่อนข้างซีดเผือด แต่เธอยังอายุน้อย ใบหน้าที่ซีดเผือดนี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้เธอเปลี่ยนไปจนไม่น่ามอง แต่ความอ่อนแอนี้กลับยังทำให้คนอื่นรู้สึกสงสาร
มู่น่อนน่อนเพิ่งจะผ่อนคลายลงได้ แต่อีกสักพักก็กลับตึงเครียดขึ้นมาอีกแล้ว
……
หลังจากนั้นสามสิบนาที เฉินถิงเซียวก็ขึ้นมาเรียกมู่น่อนน่อนไปกินข้าว
เข้ามาในห้องก็พบว่าบนเตียงว่างเปล่า
เขาหยุดอยู่ที่ประตูห้องครู่หนึ่ง เพียงหันตัวกลับ ก็เห็นมู่น่อนน่อนไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
หน้าของมู่น่อนน่อนมองเขาอย่างไม่แสดงความรู้สึก: “ทำไมประตูห้องของฉันถึงเปิดไม่ออก?”
เมื่อครู่เธออยากจะกลับไปที่ห้องของตนเอง แต่ด้วยความที่เธอมีแรงอันน้อยนิด จึงเปิดประตูไม่ออก
“ตัวล็อกประตูพังแล้ว” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเรียบเฉยมาก แยกไม่ออกเลยว่าพูดจริงหรือโกหก
มู่น่อนน่อนมองเขาด้วยใบหน้าที่สงสัย เมื่อคืนที่เธอออกไปตัวล็อกประตูก็ยังดีอยู่ไม่ใช่หรือ?
เฉินถิงเซียวเห็นท่าทางของเธอเปลี่ยนมาเป็นปกติแล้ว ก็เดาได้ว่าเธอรู้แล้วว่าจริงๆระหว่างพวกเขาไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ไปกินข้าวก่อนเถอะ” เขาพูดเสร็จก็เดินลงไปทันที
ก่อนหน้านี้ที่เธอเข้าใจผิดว่าตนกับ “เฉินเจียฉิน” ทำเรื่องอะไรกัน ก็เลยไม่อยากอาหาร จริงๆเธอก็หิวตั้งนานแล้ว
ห้องอาหาร
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวนั่งเผชิญหน้ากัน องครักษ์ก็ยกอาหารขึ้นโต๊ะ
เธอค่อนข้างอยากรู้มาโดยตลอดว่าทำไมคฤหาสน์ถึงมีแต่องครักษ์ไม่มีคนรับใช้ ตามปกติแล้วให้ผู้หญิงคอยรับใช้คงจะดูแลได้ดีกว่า
ด้วยนิสัยอยากรู้อยากเห็นมู่น่อนน่อนจึงลองถาม “เฉินเจียฉิน” ดู: “พี่ชายของคุณไม่ชอบผู้หญิงมากเลยใช่ไหม?”
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้วก็ หยุดคนข้าวต้มทันที เขาแสดงออกมาชัดเจนอย่างนั้นเลยหรือ?
เขาวางช้อนในมือลง เงยหน้ามองมู่น่อนน่อน: “ทำไมถามอย่างนั้น?”
มู่น่อนน่อนก็วางช้อนในมือลง: “เหมือนเขาไม่อยากเจอฉัน ในคฤหาสน์ก็ไม่มีคนรับใช้ผู้หญิงเลย”
เฉินถิงเซียวยิ้ม ไม่พูดอะไร
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเหมือนว่าตนจะลืมเรื่องอะไรไป เธอยื่นมือไปถูหัวตนเอง นั่งหลังตรงขึ้นมาทันที: “เสี่ยวเหลียงไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
พูดเสร็จ เธอก็นึกขึ้นได้แม้ว่าเฉินถิงเซียวจะเคยเจอเสิ่นเหลียง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะรู้จัก เธอจึงพูดเพิ่มเติม: “เพื่อนที่วันนั้นมาหาฉันที่คฤหาสน์ แล้วเธอก็รู้จักกับกู้จือหยั่น”
นึกถึงเรื่องเมื่อวาน สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็หม่นหมองลงนิดหน่อย: “เธอไม่เป็นไร”
ยังจะห่วงคนอื่นได้อีก ถ้าเมื่อคืนเขาไม่ไป ดูสิว่าเธอจะกระโดดออกมาจากคลับจี่อจีนอย่างไร
มู่น่อนน่อนยังไม่ค่อยวางใจ ยื่นมือไปลูบโทรศัพท์ของตน นี่ก็คิดขึ้นมาได้ เมื่อคืนตอนที่เธอกระโดดตึกลงมา โทรศัพท์ของตนก็ตกลงมาด้วย ศพอาจจะไม่สมบูรณ์แล้ว
เฉินถิงเซียวเห็นท่าทางของเธอ จึงยื่นมือเข้าไปหยิบกล่องออกมาจากข้างหลัง ดันเข้าไปใกล้ๆเธอทันที
“ของอะไรหรือ?” มู่น่อนน่อนถามด้วยความประหลาดใจ เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไรมาก ชายตามองเธอ ส่งสัญญาณให้เธอเปิดเอาเอง
มู่น่อนน่อนเปิดกล่องออก ก็พบว่าด้านในเป็นโทรศัพท์สำหรับผู้หญิงตัวใหม่ล่าสุดของยี่ห้อดัง
ตอนที่ 43 เรื่องที่ไม่ควรทำคุณก็ทำกับฉันหมดแล้ว
เส้นประสาทที่ตึงเครียดตลอดทั้งคืนของเฉินถิงเซียว ในที่สุดก็ผ่อนคลายลงแล้ว
เขานั่งยองๆลงไป ยื่นมือไปลูบผมของเธอ ปัดผมที่ปิดบังหน้าของเธอออกไป เสียงที่แหบแห้งเล็กน้อยแต่ชัดเจน :”มู่น่อนน่อน ในที่สุดก็เจอคุณแล้ว”
ผมของเธอยุ่งเหยิงมาก เสื้อผ้าบนร่างกายก็ยับยู่ยี่ เหงื่อเม็ดละเอียดๆเกาะตัวหนาอยู่บนหน้าผาก แต่ยังดีที่เธอไม่เป็นอะไร
เฉินถิงเซียวยื่นมือเข้าไปอยากจะอุ้มเธอขึ้นมา เพียงแต่ แขนของเขาเพิ่งจะอ้อมไปที่หลังของเธอ เธอก็ตื่นตระหนกตกใจดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้สติสังเกตจากที่ดิ้นรนปฏิเสธ พูดอย่างอ่อนแรง: “ไปให้พ้น……”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวแต่เดิมที่ผ่อนคลายลงแล้ว ก็กลับมาหม่นหมองอีกครั้ง
เขามองมู่น่อนน่อนด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง ผ่านไปชั่วครู่ ก็เข้าไปใกล้ๆหูของเธอ พูดเบาๆ : “ฉันเฉินเจียฉินเอง ฉันมารับคุณกลับบ้าน”
การเคลื่อนไหวที่ต่อต้านของมู่น่อนน่อนน้อยลงแล้ว จากนั้นก็โน้มเอียงหัวมาทางเขา แต่เดิมเฉินถิงเซียวก็อยู่ที่ข้างหูของเธอ ทั้งสองคนใกล้ชิดกัน หัวก็พิงกันเอาไว้
เขารู้สึกได้ถึงหน้าผากที่ร้อนจนผิดปกติของเธอ
เฉินถิงเซียวสีหน้าเย็นชา รีบอุ้มเธอขึ้นมา ก้าวยาวๆออกไปข้างนอก
ผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดราวกับเตาไฟเครื่องเล็กๆที่ดูเหมือนกับกำลังจะอบเขา ราวกับว่าไม่สบายจนจะทนไม่ไหว ขมวดคิ้วแน่น เสียงลมหายใจทั้งแรงทั้งเร็ว แต่กลับไว้วางใจที่จะพิงที่อกของเขาอย่างแนบแน่น ไม่ขยับไม่ก่อกวน
เฉินถิงเซียวใบหน้าหม่นหมอง ความโมโหในใจที่มีเพิ่มขึ้นไม่หยุด
มีลูกน้องบอกให้กู้จือหยั่นกับสือเย่รู้เรื่องแล้ว ตอนที่เฉินถิงเซียวอุ้มมู่น่อนน่อนออกมาจากห้องจัดเลี้ยง ก็เห็นพวกเขาสองคนแล้ว
สือเย่เห็นใบหน้าอย่างนี้ของเฉินถิงเซียว ก็ไม่กล้าเข้าไปถาม กู้จือหยั่นจึงเป็นคนเข้าไปถามเอง : “เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นไร” เฉินถิงเซียวเสียงทุ้มต่ำมาก หันไปบอกสือเย่: “ไปโรงพยาบาล”
“ครับ” สือเย่ตอบรับอย่างนอบน้อม แล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทร
ตอนที่ขึ้นรถ ดูเหมือนว่าเฉินถิงเซียวจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ถามกู้จือหยั่น: “ดาราที่ไม่ค่อยดังคนนั้นล่ะ?”
“เมื่อครู่เพิ่งติดต่อเธอได้ เธอไม่ได้อยู่ที่นี่” กู้จือหยั่นแม้จะยังไม่พอใจที่เฉินถิงเซียวเรียกเสิ่นเหลียงแบบนั้น แต่เขาก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเล็กคิดน้อยกับปัญหาอย่างนี้
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เงยหน้าสั่งคนขับรถ: “ขับเร็วหน่อย”
ถึงแม้ว่าถ้าเร็วกว่านี้ก็จะเกิดกำหนดแล้ว แต่คนขับรถก็ไม่กล้าไม่เชื่อฟังคำสั่ง
ยังดีที่ตอนนี้เป็นเวลาค่อนข้างดึก รถบนถนนก็น้อยลงมากแล้ว
พวกเขาไปโรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ที่สุด
โรงพยาบาลไม่ได้ใหญ่มาก คนน้อย หมอที่เข้าเวรเป็นผู้ชาย กำลังคุยกับแฟนของเขาฆ่าเวลา
หมอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเฉินถิงเซียวพวกเขาเดินเข้ามา สีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย รีบวางโทรศัพท์
เฉินถิงเซียวที่อุ้มมู่น่อนน่อนเดินอยู่ข้างหน้าสุด สือเย่กับกู้จือหยั่นอยู่ข้างหลังเขา ด้านหลังเป็นกลุ่มลูกน้อง เพียงเห็นครั้งแรก ก็เหมือนจะมาก่อความวุ่นวายอยู่นิดหน่อย
หมอตกใจจนหน้าซีด : “ถาม……ถามหน่อยมาหาหมอใช่ไหมครับ?”
“อืม” เฉินถิงเซียวตอบ แล้ววางมู่น่อนน่อนลงบนเตียงคนไข้ จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างๆจ้องไปที่หมอด้วยความเคารพ
หมอกลืนน้ำลายแล้ว ช่วยตรวจดูมู่น่อนน่อนอย่างสั่นๆด้วยความหวาดกลัว มือที่หยิบหูฟังก็กำลังสั่น
เฉินถิงเซียวมองเขาอย่างเย็นชา: “คุณหมอเป็นโรคลมบ้าหมูหรือ?”
หมอรีบตอบกลับ: “ไม่……ไม่ครับ……”
ข้างกายโดนล้อมรอบด้วยกลุ่มคนที่เหมือนปีศาจ ราวกับว่าถ้าเขาทำเรื่องผิดพลาดสักเล็กน้อย ก็จะจัดการเขาทันที เขาไม่กลัวได้หรือ?
ไม่เพียงเท่านั้น ผู้หญิงคนนี้โดนวางยา ค่อนข้างไม่น่าไว้ใจจริงๆ มีส่วนประกอบของยาสลบ แล้วก็เหมือนกับจะเป็นยาที่ทำให้มีความสุข……
แม้ว่าในเวลานี้จะยังดูไม่ออกว่าผู้หญิงคนนี้โดนวางยาอะไร แต่การรักษากลับไม่ยาก
เขาฉีดยาให้มู่น่อนน่อนเข็มหนึ่ง แล้วก็ให้น้ำเกลืออีกขวดหนึ่ง สถานการณ์ของมู่น่อนน่อนก็คลี่คลายลงแล้ว
หลังจากกลับมาที่คฤหาสน์ เฉินถิงเซียวก็อุ้มมู่น่อนน่อนเข้าไปให้ห้องของเขาทันที
หน้าของเธอเหงื่อออกมากเกินไปแบบนี้ดูแล้วท้อแท้หน่อยๆ เฉินถิงเซียวจึงลุกขึ้นไปที่ห้องน้ำหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นๆมาเช็ดหน้าเธอ
เขายื่นมือไปปัดผมหน้าม้าหนาๆของเธอขึ้นไป อีกมือหนึ่งก็ถือผ้าขนหนูเช็ดหน้าเธอ
เช็ดไปเรื่อยๆ มือของเฉินถิงเซียวก็อดไม่ได้ที่จะหยุดนิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาคอยปรนนิบัติคนอื่น แล้วยังทำได้อย่างราบรื่นเสียด้วย……
แต่ว่า หน้าของมู่น่อนน่อนเหมือนว่าจะต่างไปจากเดิมแล้ว?
ครั้งที่แล้วตอนที่อยู่ที่ร้านอาหาร เขาก็พบว่าหน้าของมู่น่อนน่อนมีปัญหา แต่เธอก็ระแวดระวังเขาอย่างหนัก ดังนั้นเขาก็เลยไม่มีโอกาสสืบหาความจริง นอกจากนั้นเขาเองก็ไม่ได้สนใจหน้าของผู้หญิงด้วย
ตอนนี้แค่ได้มอง ก็เป็นปัญหาที่ไม่เล็กเลยจริงๆ
เขาหรี่ตา หลังจากเช็ดหน้าเธอจนสะอาด เขาก็ถอยห่างออกมานิดหน่อยเพื่อมองเธอ
ไม่เหมือนกับตอนปกติที่หน้าของเธอเหลืองเหมือนเทียนไขแล้วยังมีจุดสีดำบนใบหน้าอีก สีผิวหน้าของเธอแต่เดิมเป็นผิวขาวสุขภาพดีเหลือเกิน ภายใต้แสงไฟที่ส่องสว่างก็ขาวจนเหมือนจะเรืองแสงแล้ว
ริมฝีปากแดงระเรื่อ จมูกเล็กๆโด่งๆ ขนตาที่ยาวและงอนแผ่ออกราวกับพัดลมเล็กๆ ทอดเงาที่อบอุ่นใต้ดวงตา หน้าผากเป็นเงาวาวและสะอาดหมดจด ไรผมที่สะอาดเรียบร้อย
อวัยวะทั้งห้ามองแยกกันก็สวยมากแล้ว เข้ามาอยู่ด้วยกันใกล้ๆ ยิ่งสวยมาก
เฉินถิงเซียวมองแล้วมองอีก จู่ๆก็หัวเราะเสียงต่ำๆออกมา
ผู้หญิงคนนี้ แกล้งโง่ก็แล้วนึกไม่ถึงว่ายังจะหน้าแต่งขี้เหร่อีก ดูแล้วแต่ก่อนคงจะใช้ชีวิตมาอย่างน่าเวทนาจริงๆ
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมา ไม่เพียงแต่ปวดไปทั้งร่างกาย ในจมูกยิ่งแห้งจนอยากจะพ่นควันออกมาด้วย
เธอหมุนหัวไปมา มองซ้ายมองขวาอย่างเลอะเลือน ก็พบว่านี่ไม่ได้อยู่ในห้องของตน
เธอพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง สมองจำอะไรไม่ได้หน่อยๆ แค่เวลานี้ก็นึกไม่ออกเลยว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ในตอนนี้ ประตูก็โดนคนจากด้านนอกผลักเข้ามา
เฉินถิงเซียวถือแก้วน้ำเดินเข้ามา เดินมาถึงข้างเตียงส่งน้ำในมือให้เธอ: “ดื่มน้ำ”
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกไปรับมาดื่มหมดในทีเดียว
ตอนนี้ เธอก็เพิ่งพบว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าสวมชุดนอน เธอก้มลงมองตนเอง พบว่าเธอเองก็สวมชุดนอน
ความจำกลับมาแล้ว ทะลักเข้ามาในสมองของเธอมากมาย เพียงแค่ตอนนี้เธอพูดไม่ชัดเจน: “เฉินเจียฉิน! คุณ……ฉัน……เมื่อคืน……พวกเรา……”
เฉินถิงเซียวนั่งลงที่ข้างเตียง มือหนึ่งพยุงที่ข้างตัวของเธอ มองเธอด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง เสียงทุ้มต่ำ : “เมื่อคืน ฉันไปช่วยคุณที่คลับจี่อจีน หลังจากกลับมา คุณต้องนอนที่ห้องของฉัน หลังจากนั้นยังดูถูกฉันอีก สิ่งไหนควรทำสิ่งไหนไม่ควรทำ คุณทำกับฉันทั้งหมดแล้ว!”
“??????”
ใบหน้าที่ไม่มีสติของมู่น่อนน่อน เธอจำได้แค่ว่าตนกระโดดลงมาจากตึก จับที่ราวของชั้นล่างปีนเข้ามาซ่อนที่หลังผ้าม่าน จากนั้นเธอก็จำไม่ได้แล้ว
แต่เธอจำได้ว่า ตอนที่กระโดดตึกนอกจากความปรารถนาที่จะเอาตัวรอดทำให้เธอจับราวเอาไว้ เวลาที่เหลือนั้นก็ไม่มีแรงอะไรอีกแล้ว
ในเมื่อไม่มีแรงอะไรทั้งนั้น ทำไมเธอถึงทำเรื่องที่ไม่ควรทำกับ “เฉินเจียฉิน” ได้อีกล่ะ?
“คุณอย่ามาโกหกฉัน! แม้ว่าฉันจะจำเรื่องของเมื่อคืนไม่ได้ แต่ฉันก็แน่ใจว่าฉันไม่มีแรงทำอะไรคุณทั้งนั้น!”
“ในเมื่อจำไม่ได้ ทำไมคุณถึงกล้ามั่นใจขนาดนี้ว่าไม่ได้ทำอะไรฉันล่ะ? พวกเขาวางยาคุณ แต่เป็นยาประเภทใหม่ ประสิทธิภาพดีมาก” เฉินถิงเซียวยิ่งใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความรู้สึกรัก: “ยิ่งไปกว่านั้น ฉันก็ชอบพี่สะใภ้มากๆมาโดยตลอด คุณคิดดู ฉันก็ไม่อยากจะปฏิเสธคุณ……”
ตอนที่ 42 ถ้าไม่บอกก็จะกรีดหน้าเธอให้เละ
กู้จือหยั่นตามมาจากด้านหลัง เจอเฉินถิงเซียวยืนนิ่งไม่เดินต่อไป ก็มองไปที่ด้านหน้าตามสายตาของเขา ตกใจจนแว่นตาจะร่วงลงมาอยู่แล้ว: “นี่นี่นี่……นี่คือมู่……อย่างนั้นหรือ?”
รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความหม่นหมองที่ส่งออกมาของเฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างกายตน กู้จือหยั่นเงียบลง แล้วจึงพูดขึ้น: “ไม่เหมือนสักนิดเลย ฉันช่วยนายดูให้ นี่ไม่ใช่ภรรยาของนายอย่างเด็ดขาด!”
ใบหน้าราบเรียบไม่พูดอะไรของเฉินถิงเซียว กู้จือหยั่นก็รู้แล้วว่าเขาตกลง
จริงๆเขาก็ประหม่าอยู่นิดหน่อย เขาเองก็เคยเจอมู่น่อนน่อนเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ก็ยังมองออกเลยว่าด้านหลังของรูปร่างนี้กับมู่น่อนน่อนเหมือนกันเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้นเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ก็คงมองออกอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
กู้จือหยั่นกระวนกระวายเล็กน้อย หากใช้ความสนิทสนมของเขากับเฉินถิงเซียวมาตัดสิน จริงๆเฉินถิงเซียวเอาใจใส่มู่น่อนน่อนมากทีเดียว
แม้ว่าหน้าตาของมู่น่อนน่อนจะไม่สวย อาจจะเป็นเฉินถิงเซียวคนที่ไม่เข้าใกล้ผู้หญิงอย่างเขาเห็นถึงความงดงามภายในของเธออย่างนั้นหรือ?
กู้จือหยั่นเดินเข้าไป ค่อยๆเอี้ยวตัว ยื่นมือไปหันหน้าผู้หญิงคนนั้นออกมา เขาเหมือนกับไม่กลั้นใจดูอย่างนั้น แล้วก็รีบเคลื่อนสายตาออกมา
เหมือนจะไม่ใช่มู่น่อนน่อนอย่างนั้นหรือ?
เขามองอีกครั้ง จากนั้นก็พูดกับเฉินถิงเซียวอย่างตื่นเต้นดีอกดีใจ: “ไม่ใช่เธอ!”
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว สายตาก็เปล่งประกายออกมา ก้าวยาวๆเข้าไป ดูผู้หญิงคนนั้นชัดๆ แล้วก็ยิ้มอย่างอึมครึม บีบคอของเธอทันที : “มู่น่อนน่อนล่ะ?”
มู่หวั่นขีไม่คิดว่าจะได้เจอเฉินถิงเซียวน้องเขยของเธออย่างคาดไม่ถึงที่นี่ เธออยากจะดึงมือของเขาออก แต่กำลังของผู้ชายคนนี้มากเกินไป เธอดึงไม่ออกแต่แรกอยู่แล้ว
ผู้ชายที่กอดกับมู่หวั่นขีอยู่ เรื่องดีๆอย่างนี้โดนขัดจังหวะ ก็เบิกตาโพลงด้วยความต้องการจะด่า แต่เฉินถิงเซียวแค่กวาดสายตาไปมองเขาเท่านั้น จิตใต้สำนึกเขาก็ไม่กล้าส่งเสียงออกมาแล้ว เงยหน้ามองกู้จือหยั่นที่ยืนอยู่ข้างหลังเฉินถิงเซียว ผู้ชายคนนั้นก็ยิ่งรีบทิ้งมู่หวั่นขีไปในทันที
ก่อนจะไปยังพูดทิ้งท้ายไว้ว่า: “ประธานกู้ครับ พวกคุณมีเรื่องกันก็ค่อยๆพูด ผมขอตัวก่อนครับ”
สำนักงานสื่อของบริษัทเสิ้งติ่งคือหัวหน้าใหญ่ของวงการบันเทิง ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลกู้ก็เป็นทั้งความดีความเลวที่ไว้หน้าคนอื่นสักเล็กน้อย ด้วยความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงและซับซ้อน น้อยคนนักที่กล้าหาเรื่องกู้จือหยั่น
มู่หวั่นขีกำลังจะลุกขึ้น เมื่อครู่นี้ที่โดนผู้ชายสะบัดออก ตอนนี้ทั้งร่างกายอ่อนปวกเปียกไปหมด ดวงตาที่สวยงามราวกับผ้าไหมมองไปที่เฉินถิงเซียวคอของเธอยังคงโดนบีบอยู่ เสียงขาดๆหายๆ: “ฉันสวย……กว่ามู่น่อนน่อน……คุณหาเธอ……ไม่ดีเท่าหาฉันหรอก……”
เฉินถิงเซียวรังเกียจที่เธอสกปรก จึงปล่อยมือสะบัดเธอออก หยิบแก้วเหล้าที่อยู่ด้านข้างขึ้นมากระแทกให้แตก เอาปากแก้วที่แหลมคมแนบไปที่ใบหน้าของเธอ: “ไม่พูดฉันก็จะกรีดหน้าของเธอให้เละ”
มู่หวั่นขีรู้สึกได้ถึงแรงกดที่แน่นๆของของแหลมคมบนใบหน้าของตน ราวกับว่าสามารถกรีดใบหน้าที่ละเอียดอ่อนของเธอให้พังได้ทุกเวลา เธอกลัวแล้ว แต่ในใจกลับรู้สึกสบายอกสบายใจอย่างหยุดไม่ได้
มู่หวั่นขียิ้มขึ้นมา น้ำเสียงแปลกประหลาด: “ถ้าบอกแล้วคุณจะทำอย่างไร? ตอนนี้เธอกำลังโดนผู้ชายกลุ่มหนึ่งปรนนิบัติอย่างเบิกบานใจ! คุณอยากไปนั่งชม หรือจะไปเข้าร่วมกับพวกเขาล่ะ? พวกคุณเคยทำมาก่อนไหมล่ะ?”
ไม่ต้องพูดถึงเฉินถิงเซียว กู้จือหยั่นก็ทนฟังไม่ได้แล้ว
เฉินถิงเซียวก็เลยเตะมู่หวั่นขีจนลอยไปกระแทกกับกำแพง เธอเจ็บจนร้องไม่ออก แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ผ่านไปตั้งนานแล้ว มู่น่อนน่อนคงโดนคนพวกนั้นทำลายเกียรติแล้วอย่างแน่นอน
พรุ่งนี้เช้า คนที่ลงพาดหัวข่าวก็จะเปลี่ยนเป็นมู่น่อนน่อน นึกถึงตรงนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็อดไม่ได้ที่จะลึกมากขึ้น
ใบหน้าที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็งของเฉินถิงเซียวมองไปที่มู่หวั่นขี ตอนนี้เขาไม่มีเวลาไปทำลายมู่หวั่นขีอีกแล้ว เขาต้องตามหามู่น่อนน่อนให้เจอก่อน
เมื่อแน่ใจแล้วว่าในห้องงานเลี้ยงไม่มีมู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียง เขากับกู้จือหยั่นก็เลยออกมาจากห้อง
สือเย่พาลูกน้องตามมาแล้ว
“คุณชายครับ เจอคุณผู้หญิงไหมครับ?” ก่อนที่เฉินถิงเซียวจะออกมา ก็บอกเขาให้รู้ไว้ก่อนแล้ว
ในสายตาของเฉินถิงเซียวปรากฏความโหดเหี้ยมออกมา: “ค้นหาทีละห้อง ทำให้เร็ว”
สีหน้าของสือเย่ก็เคร่งขรึมขึ้นมา
คลับจี่อจีนเป็นสถานที่อะไร เขาเองก็เข้าใจ ผ่านมานานขนาดนี้ คงจะเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเสียมากกว่าแล้ว
แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกไป พาลูกน้องไปดำเนินการตามคำสั่งของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ แยกกับกู้จือหยั่นตามหา
คลับจี่อจีนไม่ถือว่าเล็ก หลังจากที่เฉินถิงเซียวหาตามห้องที่ชั้นหนึ่งเสร็จแล้ว ก็ยังไม่พบร่องรอยของมู่น่อนน่อน
ตอนที่กู้จือหยั่นตามหาอยู่นั้น ก็เห็นเขาเดินทวนกับเสาไฟอยู่ที่ทางเดินท้ายๆ ใบหน้าอีกด้านหนึ่งอำพรางได้ไม่ถึงเงามืดด้านใน
เฉินถิงเซียวเป็นอย่างนี้ แต่ก่อนเขาก็เคยเจอมาก่อนแล้ว
สีหน้าเคร่งขรึมของเขาเดินเข้าไป ตบที่ไหล่ของเฉินถิงเซียว พูดขึ้น: “เจอคนพวกนั้นแล้ว”
เฉินถิงเซียวเหลือบตามองขึ้น ดวงตาที่กลัดกลุ้มเปล่งประกายออกมา
……
กู้จือหยั่นพาเขาไปที่ห้องนั้น
ลูกน้องที่สือเย่พามาล้อมห้องเอาไว้อย่างแน่นหนามาก ด้านในมีผู้ชายที่ร่างเปลือยเปล่าไม่กี่คนนั่งยองๆอยู่ที่พื้น บนเตียงระเกะระกะไปหมด ภายในห้องยังมีกลิ่นกามารมณ์ที่ยังไม่ได้สลายออกไป
ใบหน้าของเฉินถิงเซียวยิ่งเยือกเย็นมากขึ้น ค่อยๆก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ราวกับมีพลังที่สยบคนได้ คนพวกนั้นที่ก่อนหน้านี้ยังอาละวาดโวยวาย ต่างก็ไม่กล้าส่งเสียงออกมาอีก
สือเย่ตอบสนอง รีบก้าวเข้าไปหา อยู่ที่ด้านข้างหลังของเขา พูดเบาๆอย่างนอบน้อม: “คุณชายครับ ตอนที่พวกเราเข้ามาก็ไม่พบคุณผู้หญิงแล้ว พวกเขาบอกว่าก่อนหน้านี้คุณผู้หญิงกระโดดลงจากระเบียงไป ผมส่งคนไปตามหาแล้วครับ”
เฉินถิงเซียวเคลื่อนสายตาไปที่ผู้ชายพวกนั้นที่นั่งยองๆอยู่ที่พื้น สายตาของเขาอึมครึมราวกับการลงโทษประหารชีวิตในสมัยโบราณ ชายคนหนึ่งฝ่าวงล้อมที่ป้องกันไว้เดินเข้าไปหาเป้าหมายอย่างรวดเร็วแล้ว คุกเข่าลงคลานเข่าเข้าไปใกล้ๆเฉินถิงเซียว: “พวกฉันไม่ได้แตะต้องผู้หญิงคนนั้นเลย เธอเป็นคนกระโดดลงไปเอง ไม่เกี่ยวกับพวกฉันจริงๆ คุณปล่อยพวกฉันไปเถอะนะ”
พวกเขาไม่ได้แตะต้องมู่น่อนน่อน ดังนั้นกลิ่นภายในห้องนี้ เป็นพวกเขาที่กำลังเล่นซึ่งกันและกันกับอีกฝ่ายหรือ……?
กู้จือหยั่นมองไปที่ร่องรอยเลือดบนเตียงนอน ก็รู้สึกเจ็บทวารหนักขึ้นมาหน่อยๆ
ในตอนนี้ ลูกน้องที่โดนส่งไปตามหามู่น่อนน่อนกลับมาแล้ว: “ไม่เจอคุณผู้หญิงเลยครับ”
ท่าทางของพวกเขาไม่เหมือนคนที่กำลังโกหก เวลาที่สำคัญอย่างนี้ คงจะไม่มีใครกล้าโกหก แต่ก็ยังไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ที่จะโกหกออกไป
ดังนั้น แม้ว่าตอนนี้ผู้ชายคนนั้นจะร้องขอความเมตตาแล้ว เฉินถิงเซียวก็ยังไม่ให้สือเย่ปล่อยพวกเขาไป
เขาเดินไปใกล้ๆหน้าต่าง มองลงไปข้างล่าง
ที่นี่คือชั้นเจ็ด กระโดดลงไปถ้าไม่ตายก็คงจะเป็นอัมพาต
เฉินถิงเซียวก้มลงมองดู เห็นระเบียงของห้องข้างล่างยื่นออกมาตามลำดับ ค่อยๆส่งเสียงออกมา: “ไปที่ชั้นล่างห้องที่ตรงกันกับห้องนี้หาต่อไป!”
คนในตระกูลมู่ต่างก็ไม่ชอบมู่น่อนน่อน เธอเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ญาติสนิทเย็นชาใส่ แต่กลับยังใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ใช้ชีวิตอย่างจริงจัง
ความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดของเธอต้องเด็ดเดี่ยวแน่นอน เธอจะต้องไม่เกิดเรื่องอะไรแน่ๆ!
กู้จือหยั่นพาคนไปตามเริ่มจากชั้นหนึ่ง สือเย่พาคนไปหาจากชั้นหนึ่ง
แต่เฉินถิงเซียวกลับไปที่ชั้นสาม
ลูกน้องเตะประตูเปิดออก เขาเดินเข้าไป ตรงเข้าไปที่ระเบียงห้อง
คนในห้องที่กำลังเล่นกันอยู่ในห้องน้ำ ได้ยินเสียงจึงออกมาดูก็พบคนมากมาย ชี้พวกเขาแล้วถามขึ้น: “ พวกคุณเป็นใคร ทำอะไรกัน!”
ลูกน้องของเฉินถิงเซียวจึงปิดประตูดันให้คนๆนั้นเข้าไปในห้องน้ำทันที
ที่ระเบียงว่างเปล่า ไม่มีอะไรสักอย่างเลย แต่ด้านหลังของผ้าม่านที่อยู่ด้านข้างกลับมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปดู มือที่ยกขึ้นอยู่กลางอากาศหยุดลงครู่หนึ่ง แล้วจึงเปิดผ้าม่านออก
ในมุมของหลังผ้าม่าน ผู้หญิงที่รูปร่างผอมบางขดตัวเป็นก้อนกลม ตกอยู่ในสภาพกึ่งๆไม่ได้สติ
ตอนที่ 41 ไม่กล้าจะก้าวเข้าไปอีกก้าว
มู่น่อนน่อนฟื้นคืนสติได้ไม่กี่นาที เธอก็รู้สึกว่ามีผู้ชายสองคนเข้ามาประคองตนเอาไว้
แรงของพวกเขามากเกินกว่าที่เธอจะดิ้นรน ถึงดิ้นรนไปก็ราวกับมดที่พยายามจะเขย่าต้นไม้ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่สามารถดิ้นหลุดจากพวกเขาได้
“พวกคุณ……จะพาฉันไปไหน……” เธออยากจะร้องขอความช่วยเหลือดังๆ แต่เสียงที่ออกมานั้นกลับเบาบางเหลือเกิน
มู่น่อนน่อนรู้สึกรางๆว่าตนถูกพาเข้ามาในห้อง แล้วก็โดนทิ้งลงบนเตียง
เธองอแขน ใช้ข้อศอกยันเตียงอยากจะลุกขึ้นมา แต่กลับไม่มีแรงดันตนเองขึ้นสักนิด
ทันใดนั้นก็ตามมาด้วยเสียงบทสนทนา
“ผู้หญิงขี้เหร่อย่างนี้ก็ยังจะส่งมาอีกหรือ?”
“หน้าตาแย่นิดหน่อย แต่หุ่นดีนะ……” เป็นเสียงพูดของผู้หญิง เธอหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นเหี้ยมโหดขึ้นมา: “พวกคุณจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น แค่อย่าทำให้เธอตายก็พอแล้ว”
มู่น่อนน่อนจับมือทั้งสองแน่นๆ ใช้แรงหยิกเข้าไปที่ฝ่ามือของตน อยากจะทำให้ตนเองรู้สึกตัวขึ้นอีกสักหน่อย
ความเจ็บปวดแผ่ออกมา สายตาของเธอชัดขึ้นนิดหน่อย จนพอจะมองเห็นผู้ชายผู้หญิงที่กำลังคุยกันอยู่ข้างๆเตียง
พวกเขาคุยอะไรกัน เธอฟังได้ไม่ค่อยชัดเจนแล้ว ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้เธอขยับตัวจะลงจากเตียง แต่กลับนึกไม่ถึงว่าในขณะนั้นเธอจะตกลงมาจากเตียงเสียแล้ว
ปัง !
เสียงที่เธอตกลงมาดึงดูดความสนใจของชายหญิงคู่นั้น ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาหาทันทียกเธอขึ้นบนเตียง น้ำเสียงประหลาดใจนิดหน่อย: “ผู้หญิงคนนี้เก่งจริงๆ โดนวางยาอย่างเต็มที่ขนาดนั้น นึกไม่ถึงว่าเธอจะยังขยับตัวได้อีก”
“ให้อีกนิดหนึ่ง”
“รอสักพักแล้วค่อยปลุกให้ตื่น……”
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่คาง ของเหลวเย็นๆเข้าปากแล้วไหลลงไปในคอ เพียงครู่เดียว ในที่สุดเธอก็ตกอยู่ในสภาพที่ไม่ได้สติ
……
เฉินถิงเซียวอยู่ในห้องหนังสือกำลังจัดการเอกสารไม่กี่อย่าง เตรียมจะลงไปเทน้ำข้างล่าง
ห้องของมู่น่อนน่อนห่างจากห้องหนังสือของเฉินถิงเซียวไม่ไกล
เพียงเขาออกมา ด้วยจิตใต้สำนึกก็หันไปมองที่ห้องของมู่น่อนน่อน พบว่าประตูห้องของมู่น่อนน่อนเปิดออกอยู่ครึ่งหนึ่ง
โดยปกติแล้ววิถีการทำงานและการพักผ่อนของผู้หญิงขี้เหร่คนนั้นก็เหมือนกับคุณนายแก่ๆคนหนึ่ง ตอนนี้นึกไม่ถึงว่าจะยังเปิดประตูอยู่อีกยังไม่นอนหรือ?
เฉินถิงเซียวก้าวยาวๆไปทางห้องนอนของเธอ ผลักประตูเข้าไปดู พบว่าในห้องเปิดไฟไว้ แต่บนเตียงไม่มีคน
เขาขมวดคิ้ว ยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา เกือบจะห้าทุ่มแล้ว
กวาดสายตาอย่างไม่ใส่ใจ ก็เห็นว่าคอมพิวเตอร์ของเธอที่อยู่บนโซฟายังเปิดเอาไว้
คอมพิวเตอร์ต้องใส่รหัสก่อนจึงจะเปิดได้ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องยากของเฉินถิงเซียว
เขาเปิดคอมพิวเตอร์ของเธอได้อย่างง่ายดาย บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ปรากฏข้อความในWeiboที่เธอดูก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน
เปิดดูวิดีโอนั้นแค่สองวินาที เขาก็ปิดลงแล้ว พวกลูกหลานคนรวย มักจะรวมตัวเล่นเกมที่สเกลใหญ่ แล้วถือโอกาสหาดาราหน้าใหม่มาเล่นด้วยกัน นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ถือว่าแปลกใหม่อะไร
เพียงแต่ ในเวลานี้ที่มู่น่อนน่อนยังไม่กลับมาถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างผิดปกติ
ผ้าปูที่นอนก็ปูไว้เรียบร้อยแล้ว ชุดนอนก็วางไว้ข้างๆโซฟา เห็นได้ชัดว่าแต่เดิมเธอกำลังจะอาบน้ำเข้านอน แล้วก็มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจึงทำให้เธอต้องออกไปในทันที
เฉินถิงเซียวคิดถึงอะไรบางอย่าง ลูกตาดำหดเล็กลง สีหน้าเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
เขาเปิดวิดีโอดูอีกครั้ง ดูติดต่อกันถึงสองครั้ง จึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหากู้จือหยั่น
ในที่ตรงนั้นของกู้จือหยั่นค่อนข้างอึกทึกครึกโครม: “โทรมาหาฉันเวลานี้ ในที่สุดนายก็มีจิตสำนึกที่จะช่วยฉันดื่มเหล้าแล้วใช่ไหม?”
แม้ว่าบริษัทเสิ้งติ่งจะเป็นบริษัทใหญ่ ไม่จำเป็นต้องอาศัยงานเลี้ยงเพื่อความสำเร็จ แต่บางทีก็ควรไว้หน้าอีกฝ่ายที่ร่วมงานกัน จึงต้องออกมากินข้าวด้วยกันบ้าง
เรื่องอย่างนี้ ก็เป็นหน้าที่ของกู้จือหยั่นตามปกติอยู่แล้ว
เฉินถิงเซียวไม่คิดจะสนใจเขา ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ: “ดาราที่ไม่ค่อยดังของนาย ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”
เขาจำได้แค่ว่าดาราที่ไม่ค่อยดังคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทของมู่น่อนน่อน สำหรับชื่อของเธอ เขาจำไม่ได้แล้ว
“อะไรคือการเรียกว่าดาราที่ไม่ค่อยดัง?” กู้จือหยั่นพูดอย่างไม่พอใจ: “เสิ่นเสี่ยวเหลียงของฉัน จะกลายเป็นดาราดังที่เป็นนักแสดงภาพยนตร์หญิงยอดนิยมอย่างแน่นอน!”
เฉินถิงเซียวหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา: “เงื่อนไขแรกที่จะกลายเป็นนักแสดงภาพยนตร์ยอดนิยม เธอต้องสามารถอยู่ในวงการบันเทิงนี้ไปนานๆเสียก่อน”
กู้จือหยั่นรู้สึกแน่นๆในใจ: “นายหมายความว่าอย่างไร? มีเรื่องอะไรนายก็มาหาเรื่องฉันสิ รังแกผู้หญิงถือเป็นความสามารถอะไรของนาย!”
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่าตอนนี้เขาอยากจะเอากู้จือหยั่นไปทิ้งไว้ที่แอฟริกา เขาไม่อยากได้หุ้นส่วนที่โง่ขนาดนี้
“เจอกันที่คลับจี่อจีน”
เฉินถิงเซียวทิ้งท้ายไว้ด้วยประโยคนี้ ก็วางโทรศัพท์แล้วขับรถออกไป
คลับจี่อจีนอยู่ที่เมืองหู้หยางเป็นที่รู้จักมากมาย แต่ชื่อเสียงแย่มาก เพราะคลับนี้สร้างโดยกลุ่มของลูกคนรวยที่รู้จักเพียงแค่กินดื่มเล่นเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวคาวๆแพร่ออกมาหลายต่อหลายครั้ง
แต่เป็นเพราะลูกหลานของครอบครัวคนรวยที่ร่วมกันสร้างขึ้นมา ผู้สนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังที่มากฝีมือ ก็ทำให้ไม่โดนกำจัดออกไป และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับในวงการสังคมระดับสูงอีกด้วย
กู้จือหยั่นก็รู้จักคลับจี่อจีน เขาลุกขึ้นหยิบเสื้อคลุมแล้วก็เดินออกไป เดินไปแล้วก็โทรหาเสิ่นเหลียง ไปด้วย และมือของเขากำลังสั่น
……
สถานที่ของงานเลี้ยงที่กู้จือหยั่นไปเข้าร่วมอยู่ไม่ไกลจากคลับจี่อจีน ดังนั้นตอนที่เฉินถิงเซียวถึง เขาก็ถึงเรียบร้อยแล้ว
แค่กู้จือหยั่นได้พบเขา ก็รีบมุ่งเข้าไปหา: “นี่เกิดอะไรขึ้น?”
เฉินถิงเซียวใบหน้าเคร่งขรึม สายตาที่เยือกเย็น: “มู่น่อนน่อนกับดาราที่ไม่ค่อยดังของนายอยู่ข้างใน”
กู้จือหยั่นแค่ได้ฟัง ก็หมุนตัววิ่งเข้าไปข้างใน
แค่เขาเข้าไปก็โดนคนจำได้แล้ว
“ประธานกู้ก็มาร่วมเล่นด้วยหรือครับ?”
กู้จือหยั่นดึงคอเสื้อของเขา: “ห้องงานเลี้ยงอยู่ที่ไหน?”
ภายใต้การดูแลของเฉินถิงเซียวก็มีคลับ แต่คุณภาพชั้นสูงกว่าคลับจี่อจีนอยู่มาก เขาก็เลยไม่เคยมาที่นี่ จึงไม่รู้ว่าห้องงานเลี้ยงอยู่ที่ไหน
ชายคนนั้นที่ได้พบกู้จือหยั่น แต่เดิมก็คิดว่าจะทักทายประจบเสียหน่อย แต่เห็นท่าทางของกู้จือหยั่นที่เหมือนจะไปหาศัตรูที่ฆ่าพ่อของตน จึงชี้ไปที่ตั้งของห้องงานเลี้ยงอย่างว่าง่าย ไม่กล้าที่จะส่งเสียงออกมาอีกครั้ง
กู้จือหยั่นปล่อยชายคนนั้น ตอนที่จะหันไปพูดกับเฉินถิงเซียว ก็พบว่าข้างหลังของตนนั้นไม่มีร่างของเฉินถิงเซียวตั้งนานแล้ว
เฉินถิงเซียวไปที่ห้องงานเลี้ยงแล้ว
สถานการณ์ภายในวุ่นวายไปหมด เห็นแล้วขัดตามาก
รูปร่างหน้าตาของเฉินถิงเซียวโดดเด่น เพียงแค่เข้าไปในห้องงานเลี้ยง สายตาของผู้หญิงเหล่านั้นก็ติดอยู่ที่ร่างของเขาอย่างพร้อมใจกัน ราวกับแมวที่เจอหนู อยากจะกระโจนเข้าไปจริงๆ
มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาตีสนิท เอามือไปวางไว้ที่ไหล่ของเขา: “สุดหล่อ มาคนเดียวหรือคะ?”
แต่ว่า ผู้หญิงคนนี้ยังไม่ทันได้เข้ามาแนบชิด ก็โดนเฉินถิงเซียวบิดข้อมือของเธอจนล้มออกไปไกลๆ : “ไปให้พ้น!”
“อา——”ผู้หญิงคนนั้นร้องออกมาอย่างน่าเวทนา แล้วสลบไป
การกระทำของเขา ทำให้ผู้หญิงคนอื่นๆที่อยากจะลองดูต่างก็ไม่กล้าเข้ามา
ทันใดนั้น เขาก็มองไปที่มุมห้อง เห็นร่างของผู้หญิงกับผู้ชายที่อยู่ด้วยกัน
ด้านหลังของผู้หญิงที่อยู่ต่อหน้าเขา เสื้อผ้าของเธอถอดออกไปแล้วครึ่งหนึ่ง นั่งอยู่บนร่างของผู้ชาย
ร่างที่คุ้นเคยนี้ ทำให้เฉินถิงเซียวหยุดฝีเท้าลงอย่างแข็งทื่อ ฝีเท้าที่หยั่งรากลึกราวกับไม่กล้าที่จะก้าวออกไปอีกก้าว
ตอนที่40 วงการนี้สับสนวุ่นวายมาก
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ข้างหลังเสิ่นชูหานและถอยไปหนึ่งก้าว
มู่หวั่นขีโกรธมาก “ชูหานคุณอยากทำอะไร คุณอยากบกป้องผู้หญิงขี้เหร่คนนี้หรือ”
“เธอเป็นน้องสาวของคุณ” เสิ่นชูหานรู้สึกไม่ชอบมู่หวั่นขีตอนนี้
มู่หวั่นขีโตขึ้นมาโดยถูกตามใจ เธอฟังคำพูดของเสิ่นชูหานไม่เข้าหูหรอก เธอยิ้มแห้งๆ “คุณไม่ต้องมาทำเป็นคนดีตอนนี้ คุณเป็นคนเสนอฉันไปบอกว่าผู้หญิงขี้เหร่คนนี้แย่งสามีของฉัน”
เสิ่นชูหานพูดว่า “นั่นคือเพราะว่าผมถูกคุณหลอก”
พอได้ยินคำพูดของพวกเขา มู่น่อนน่อนจึงคิดว่าเมื่อก่อนเธอดูเบาเสิ่นชูหานไปแล้ว
ดูหน้ายิ่งเหมือนคนซื่อตรง แต่จริงไม่น่าไว้วางใจ
ดีที่ตอนนี้เธอรู้เนื้อแท้ของเสิ่นชูหานแล้ว
“พอเถอะ” มู่น่อนน่อนเดินเข้าจากหลังเสิ่นชูหานและพูดว่า “ให้ฉันคุยกับพี่ฉันหน่อยได้ไหม”
เมื่อก่อนเสิ่นชูหานถูกมู่หวั่นขีหลอกจึงเข้าใจผิดกับมู่น่อนน่อนตอนนี้มีข่าวน่าอายเกี่ยวกับมู่หวั่นขีออกมา เขาจึงเลือกยืนกับข้างมู่น่อนน่อน
ในสายตาของเขา สองคนนี้เป็นพี่น้องกันแท้ๆถ้ามีปัญหาอะไรก็ควรจัดการเอง เขาจึงพยักหัวแล้วออกไปจากห้อง
พอเสิ่นชูหานออกไป มู่หวั่นขีก็ด่าว่า “ผู้หญิงเลว แกทำร้ายฉัน ตอนนี้ทั้งหมดของฉันก็พังไปหมด”
เธออยากจะมาตีมู่น่อนน่อนแต่มู่น่อนน่อนหลีกไป เธอจึงล้มอยู่บนพื้น
มู่น่อนน่อนนั่งย่องๆข้างเธอแล้วดึงเส้นผมของเธอไว้พูดว่า “มู่หวั่นขีเธอสมน้ำหน้า พวกเธอบังคับฉันมากเกินไปแล้ว”
เธอดึงผมของมู่หวั่นขีอย่างแรง มู่หวั่นขีเจ็บจนหน้าซีด “มู่น่อนน่อนแกบ้าแล้วหรือ แกกล้าทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไง”
มู่น่อนน่อนยิ้มเยาะแล้วตอบหน้ามู่หวั่นขีประมาณสี่ห้าที
“แก…ฉัน… เซียวชู่เหอ…จะไม่มีวัน……”
หน้ามู่หวั่นขีถูกตอบจนพอง เธอมองมู่น่อนน่อนด้วยความตกใจ เธอกลัวจนพูดประโยชน์ที่ครบไม่ได้
มู่น่อนน่อนยิ้มหวานว่า “การตบหน้าเมื่อกี๊สำหรับเธอ เธอยังอยากเอาเซียวชู่เหอมาบังคับฉันหรือ ตามใจเถอะ ฉันไม่สนใจเซียวชู่เหอ”
แม้ว่าพูดแบบนั้นไป แต่มู่น่อนน่อนรู้ว่าตนเองไม่มีวันจะใจร้ายกับเซียวชู่เหอจริงๆ
เธอไม่เคยคิดว่าจะแก้เผ็ดเขา
“วันหลังก็วางตัวให้ดีเถอะ อย่ามายุ่งกับฉันอีก”
มู่น่อนน่อนปล่อยผมมู่หวั่นขีแล้วยืนก้าวข้ามร่างกายมู่หวั่นขีออกไป
มู่หวั่นขียืนจากพื้น หน้าของเธอพองจนไม่น่าดูตาแดงของเธอเต็มไปด้วยความประสงค์ร้าย
มู่น่อนน่อนฉันจะให้เธอเจ็บกว่าฉันไปหลายร้อยเท่า
…..
แม้ว่าจัดการมู่หวั่นขีแล้วแต่มู่น่อนน่อนก็ไม่ค่อยดีใจเท่าไร
มู่หวั่นขีเป็นพี่สาวสายเลือดเดียวของเธอแท้ๆ แต่พวกเขาเป็นฝ่ายตรงการข้าม
สภาพของเธอไม่ค่อยดี การสัมภาษณ์ของตอนบ่ายก็ไม่ค่อยราบรื่น
ระหว่างทางกลับ เธอรับสายจากเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงพูดตรงๆว่า “มู่น่อนน่อนเธอได้รับการชวนสัมภาษณ์ของบริษัทเสิ้งติ่งใช่ไหม ”
“เธอรู้ได้ยังไง” มู่น่อนน่อนรู้สึกแปลกใจ
นึกถึงว่าเสิ่นเหลียงรู้จักกับกู้จือหยั่น หรือว่ากู้จือหยั่นเป็นนบอกเธอ
แต่คุณผู้จัดการอย่างกู้จือหยั่นอาจมาเกี่ยวกับเรื่องๆอย่างไม่ได้หรอก
“ไม่ต้องถามว่าฉันรู้ได้ยังไง ได้รับการชวนแล้วทำไมไม่ไปสัมภาษณ์ เธอโง่หรือไง”
มู่น่อนน่อน“คนของ บริษัทเสิ้งติ่งก็เคยมาหาเธอ และเธอก็ไม่ได้เซ็นสัญญากับพวกเขา ไม่ใช่หรือ”
เสิ่นเหลียง“ฉันไม่เข้ากันกับกู้จือหยั่นเธอไม่มีความเกลียดชังกับเขา ทำไมไม่ไป”
มู่น่อนน่อนกำลังจะพูดต่อ แต่มีคนมาตัดบทเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงพูดกับมู่น่อนน่อนอย่างรีบร้อนว่า “น่อนน่อนฉันจะไปแต่งตัวเตรียมงานในคืนนี้แล้ว”
ตู———-
มู่น่อนน่อนยังไม่ทันตอบสนองเลย เธอก็วางสายไป
มู่น่อนน่อนรู้สึกหดหู่นิดหน่อย เธอเคยบอกกับ“เฉินเจียฉิน”ว่าไม่อยากไปทำงานที่บริษัทเสิ้งติ่งแต่ตอนนี้เธอจะเปลี่ยนท่าทีแล้วหรือ
เธอเลือกเรียนสาขาวิชาละครมีส่วนเกี่ยวข้องกับเสิ่นเหลียงมาก
เสิ่นเหลียงเป็นนักแสดง เธอก็เขียนบทละครให้เสิ่นเหลียงแสดง
แต่บริษัทที่เสิ่นเหลียงอยู่ตอนนี้เป็นคู่แข่งของ บริษัทเสิ้งติ่งถ้าวันหลังเธอได้เขียนบทละครดีๆออก ก็อาจให้เสิ่นเหลียงมาแสดงไม่ได้
แต่ตอนนี้เสิ่นเหลียงรู้เรื่องนี้เข้า ถ้าเธอไม่ไปเสิ่นเหลียงก็จะโทษตัวเอง
และที่จริงเธอก็อยากไปทำงานที่บริษัทเสิ้งติ่ง
ไม่ให้“เฉินเจียฉิน”รู้ก็ดีแล้ว ไม่ใช่หรือ
……
หน้าบ้านพัก มู่น่อนน่อนเห็นรถสีดำที่หรูหราน่าสบายขับเข้ามาเรื่อยๆ
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ารถนี้สวยและเจ้านายของรถก็จะเป็นคนสายตาดีและมีความสงบของจิตใจ
แต่ว่า เธอเห็น“เฉินเจียฉิน”ลงจากรถ……
ในเวลาที่อยู่รถเฉินถิงเซียวก็ได้เห็นมู่น่อนน่อนเขายิ้มทักทายว่า “พี่สะใภ้ครับ”
สือเย่ตามลงรถ พอได้ยินคำทักทายแล้วเขาก็รู้สึกเกิดอาการชาขึ้นมา
“ค่ะ” มู่น่อนน่อนตอบอย่างรีบเร่งแล้วก็เข้าไปข้างใน
แต่เรื่องทำให้เธอแปลกใจก็คือ ทำไม“เฉินเจียฉิน”อยู่กับสือเย่เสมอ
แต่เธอก็ไม่ค่อยคิดอะไรไปมาก พอได้รู้ว่าเฉินถิงเซียวก็อยู่ในบ้าน เธอก็ไปทำกับข้าวที่ห้องครัวแล้ว
หลังกินข้าวเสร็จเธอก็กลับห้องไปเล่นอินเตอร์เน็ต
ทันใดนั้น เธอได้เห็นข่าวหนึ่งข่าว
“[วงการนี้สบสนจริงๆ] ได้รับการชวนไปงานหนึ่งจากเพื่อ เราก็ว่างๆอยู่จึงรับปากไป แต่คิดไม่ถึงเลยว่างานนี้ไม่ใช่งานที่มีหน้ามีตา ทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็รวมกันทำ……”
และข้างหลังยังมีวิดีโออยู่ด้วย
มู่น่อนน่อนเปิดวิดีโอมาดู เธอได้เห็นรูปทรงร่างกายของเสิ่นเหลียงแม้ว่าวิดีโอไม่ค่อยชัดแต่เธอก็ดูออกแล้ว
เธอยังจำได้ว่าเสิ่นเหลียงบอกว่าคืนนี้จะไปงาน
เธอจึงรีบเอามือถือโทรหาเสิ่นเหลียงแต่ไม่มีคนรับสาย
มู่น่อนน่อนรู้สึกเป็นห่วง จึงหยิบกระเป๋าออกไป
เธอหาวิธีเข้าไปถึงที่ที่จัดงาน บรรยากาศของงานแปลกๆ เธอหาไปทุกมุมของงานก็ไม่พบเสิ่นเหลียง
ในขณะที่เธอกำลังกลุ้มใจ เธอรู้สึกมีใครคนหนึ่งดึงแขนข้างหนึ่งของเธอไว้ เธอหมายจะหันตัวไปแต่แขนอีกข้างหนึ่งก็ถูกดึงไว้ทันที แล้วก็ถูกคนเทเหล้าเข้าปาก
พอดื่มเหล้าเข้าไป เธอก็รู้สึกว่าสายตาครึ้มๆ แล้วก็ถูกสองคนค้ำไปข้างนอกโดยตัวร่างกายของเธอที่อ่อนแอ
ตอนที่ 39 เรื่องที่ไม่เคยทำยอมไม่ได้จริงๆ
มู่น่อนน่อนโทรหาเสิ่นเหลียงทันที
“เธอไปจัดการเรื่องมู่หวั่นขีแล้วหรือ”
“เธอไม่ให้ฉันทำไม่ใช่หรือ หรือว่าตอนนี้เธอเปลี่ยนความคิดแล้ว” เสิ่นเหลียงพูดอย่างดีใจ
มู่น่อนน่อนอธิบาย “ไม่ใช่ เราเห็นข่าวที่เกี่ยวกับมู่หวั่นขีนั้นกลายเป็นข่าวฮอตอันดับหนึ่งแล้วอีก”
“จริงหรือ” เสิ่นเหลียงเปิดคอมพิวเตอร์ไปดู
“จริงๆด้วย นี่เรียกว่า ‘ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว’ ”
มู่น่อนน่อนคิดว่าเรื่องนี่มันผิดปรกติเป็นอย่างมาก
เป็นฝีมือของใครกันแน่น หรือว่าเป็นคนอื่นที่รังเกียจมู่หวั่นขี
นี่ก็เป็นไปได้นะ มู่หวั่นขีเป็นคนที่นิสัยไม่ดีชอบดูถูกคนอื่น มีคนหลายคนที่ไม่ชอบเธอ
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้คิดมากแล้ว
เธอยืนขึ้นไปหาเฉินถิงเซียวตอนนี้เขาคงกินข้าวเสร็จแล้ว
ไม่ว่ายังไง เธอก็อยากหาเฉินถิงเซียวคุยเรื่องนี้หน่อย
……
ประตูห้องหนังสือถูกปิดอยู่
มู่น่อนน่อนไปเคาะประตู
“เข้ามา”เสียงต่ำๆของผู้ชายจากข้างใน
มู่น่อนน่อนเข้าไปแล้วเห็นผู้ชายที่นั่งเก้าอี้โดยหลังกลับไป
มู่น่อนน่อนรู้สึกแปลกใจว่าอยากคุยกับเธอ แต่ทำไมไม่ให้เธอเห็นหน้า
ในความคิดของเธอเฉินถิงเซียวเป็นคนที่ปิดข้างตัวเองมาก ไม่ทำงาน ไม่ออกไปข้างนอก และไม่ชอบพูดคุยกับคน
เฉินถิงเซียวพูดก่อนว่า “มีเรื่องอะไรหรือ”
มู่น่อนน่อนเอียงหัวถามว่า “ข่าวใหญ่ในช่วงนี้คุณรู้ไหมคะ”
เฉินถิงเซียวเงียบไปสักพักแล้วพูดอย่างเข้มๆว่า “เรื่องที่ผ่านไปไม่ต้องพูดถึงอีก และในฐานะที่เป็นนางหญิงของตระกูลเฉิน เธอควรวางตัวให้ดี”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าคำพูดแบบนี้เหมือนกับ“เฉินเจียฉิน”เลย หรือเป็นเพราะว่าสองคนเป็นพี่น้องกัน
พอออกไปจากห้องมู่น่อนน่อนหายใจลึกๆเข้าไป
……
เช้าวันรุ่งขึ้น มู่น่อนน่อนแต่งตัวเตรียมไปสัมภาษณ์
หลายวันมานี้เธอเสียเวลาในเรื่องของมู่หวั่นขีมาก
เธอจบอยู่ในมหาลัยดังและประวัติย่อของเธอก็ทำดี มีบริษัทสองแห่งก็ยอมรับเธอ
เธอรู้สึกดีใจมาก เมื่อก่อนเพราะเซียวชู่เหอเธอได้ทำงานที่ไม่สม แต่ตอนนี้เธอมีตัวเลือกแล้ว และเธอก็ต้องคิดดีๆว่าจะเลือกใคร
เธอไปกินข้าวที่โรงอาหารแห่งหนึ่งพร้อมดูข้อมูลของบริษัทที่เธอจะไปสัมภาษณ์ตอนไป
ยังไม่ได้นั่งลงกี่นาที ก็มีคนที่ใส่หมวกคนหนึ่งเดินไปถึงหน้าของเธอแล้วเอาน้ำเทเธอจากหัวเธอ
ต่อจากนั้นก็มีคนเรียกเธอด้วยน้ำเสียงแค้นๆ “มู่น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนเช็ดหน้าแล้วมองไปคนนั้น
ดูอย่างดีๆแล้วจึงดูออกว่าคนที่แต่งตัวแบบแปลกๆนั้นเป็นมู่หวั่นขี
มู่หวั่นขีไม่อยากให้คนอื่นเห็นเธอออกจึงแต่งตัวแบบนั้นออกมา
“มีอะไรก็พูดดีๆนะ พี่ทำอย่างนี้ทำไม” มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองเธอและพูดอย่างชาๆ
สายตาของมู่หวั่นขีเต็มไปด้วยความโกรธ เธอพูดแบบเหลี่ยมๆว่า “มู่น่อนน่อนรูปถ่ายและวิดีโอที่เกี่ยวกับฉันเหล่านั้นเป็นฝีมือของแก ใช่ไหม ฉันจะแก้แค้นให้ได้แน่นอน”
มู่น่อนน่อนคิดไม่ถึงเลยว่ามู่หวั่นขีเดาถูกแล้ว
แต่เธอไม่มีวันที่จะยอม
มู่น่อนน่อนถามอย่างข้องใจว่า “วิดีโออะไร”
“หลายปีที่อยู่ในตระกูลมู่ แกแกล้งทำเป็นคนโง่ ที่จริงแล้วแกไม่ได้โง่” สายตาของมู่หวั่นขีดุร้ายขึ้น
มู่น่อนน่อนยิ้ม “พี่รู้หนูดีกว่าพ่อแม่ไปอีก”
ตอนนี้มู่ลี่เหยียนกับเซียวชู่เหอคงยังคิดว่าเธอเป็นคนโง่อยู่
ในตอนเด็กๆพวกเขาสองคนก็ไม่เคยรักและเอาใจใส่เธอ พวกเขายอมว่าลูกสาวคนเล็กเป็นคนโง่ตลอด พวกเขาไม่มีวันจะยอมว่าตนเองถูกลูกสาวเล่นมาตลอด
“หน้าด้าน” มู่หวั่นขีจะไปตบหน้ามู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนตั้งใจจะหลีก แต่สายตาของเธอมองเห็นมีคนคนหนึ่งที่รูปร่างคุ้นๆเดินเข้ามา
เธอจึงไม่ได้หลีก และฝ่ามือของมู่หวั่นขีจึงตบหน้ามู่น่อนน่อนอย่างแรง
เสิ่นชูหานเห็นมู่น่อนน่อนถูกคนตบหน้า จึงรีบเดินเข้าไปยึดมือของคนนั้น
พอเห็นได้ชัดว่าคนตบเป็นมู่หวั่นขีเขาจึงขมวดคิ้วขึ้น “หวั่นขี”
“ชูหาน” เสียงของมู่หวั่นขีอ่อนขึ้น “คุณยอมมาเจอฉันแล้ว พวกรูปภาพและวิดีโอเป็นฝีมือของคนหน้าด้านคนนี้ทั้งหมด เธอตั้งใจต่อต้านฉัน เธออิจฉาคุณอยู่กับฉันจึงตั้งใจทำร้ายฉัน”
มู่น่อนน่อนคิดว่าในสายตาของมู่หวั่นขีคงจะไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่อิจฉาเธอ
มู่น่อนน่อนทำหน้าเป็นน่าสงสาร “ฉันไม่ได้ทำ”
เธอไม่ได้อิจฉามู่หวั่นขีจริงๆ
มู่หวั่นขีตะโกน “โกหก”
เสิ่นชูหานพูดกับมู่หวั่นขีอย่างหุนหัน “พอเถอะ”
คนอื่นที่อยู่ในโรงอาหารต่างก็มองไปพวกเขา
เสิ่นชูหานเป็นคนเอาหน้า เขาพูดว่า “ไปคุยที่ห้อง”
พอจบ เขาก็มองมู่น่อนน่อน“เธอก็มาด้วย”
มู่น่อนน่อนอยากดูมู่หวั่นขีถูกจัดการ จึงไปด้วย
พอถึงห้องบอคซ มู่หวั่นขีก็พูดว่า “ชูหานคุณเชื่อฉัน เรื่องทั้งหมดก็เป็นกลอุบายของผู้หญิงคนนี้ เธอใส่ร้ายฉัน ฉันไม่มีความผิดจริงๆ”
ถึงตอนนี้แล้วมู่หวั่นขียังพูดคำโกหกอยู่
เสิ่นชูหานเหมือนได้รู้จักกับมู่หวั่นขีครั้งแรก เขามองดูมู่หวั่นขีทั้งหัวจนถึงเท้าแล้วพูดว่า “ถึงตอนนี้แล้วทำไมยังพูดคำโกหกอยู่”
ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไปมู่หวั่นขีไปจูงมือของมู่น่อนน่อนแล้วพูดว่า “เธอไปบอกชูหัน บอกว่านั่นเป็นอุบายของเธอ เธอตั้งใจใส่ร้ายฉัน ไปซิ”
มู่น่อนน่อนนั่งตรงๆมองไปเสิ่นชูหานแล้วเบี่ยงเบนสายตาไปรวดเร็วพูดอย่างเบาๆแต่แน่วแน่ว่า “เรื่องที่ไม่เคยทำ ฉันยอมไม่ได้”
ที่จริงแล้วความประทับใจที่เสิ่นชูหานต่อมู่น่อนน่อนดีมาตลอด พอเห็นมู่หวั่นขีบังคับเธออย่างนี้ เขาจึงพูดว่า “หวั่นขีเธอไปจัดการเรื่องตนก่อน ไม่ต้องมาติดตามผมอีก”
หลายวันมานี้มู่หวั่นขีติดต่อกับเขาตลอด เขาไม่อยากเจอ แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามู่หวั่นขีหาคนมาติดตามเขา
ตอนที่ 38 กลายเป็นข่าวใหญ่อีกแล้วหรือ
สำหรับคำที่เสิ่นเหลียงพรรณนา“เฉินเจียฉิน”นั้น มู่น่อนน่อนไม่ค่อยเห็นด้วย “หน้าตา แค่เป็นรูปร่างส่วนหนึ่ง”
เสิ่นเหลียงพยักหัว “ฉันไม่เชื่อว่าเธอไม่หลงกับหน้าตานั้นแม้แต่นิดเดียว……”
หลงโดยหน้าตาของเขาหรือ
เดินอยู่บนท้องถนนเมื่อเห็นคนหล่อๆก็จะแอบไปมอง และผู้ชายคนหล่อแสนหล่ออย่าง“เฉินเจียฉิน”แบบนี้ก็ไม่ต้องว่าอะไรแล้ว
“จริงๆแล้ว ถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้เห็นหน้าของเฉินถิงเซียวถ้าเขาไม่โดนทำเสียโฉมก็จะเป็นคนหน้าตาดีแน่นอน”
มู่น่อนน่อนรู้สึกเกิดความสงสารกับสามีของเขาที่ยังไม่ได้เจอหน้าจากใจจริงๆ
“ยังไม่ได้เจอหน้า นี่ พวกคุณแต่งงานไปสามเดือนแล้วนะ เป็นผัวเมียกันจริงๆหรือเปล่าเนี่ย” เสิ่นเหลียงดื่มน้ำแล้วพูดต่อว่า “ฉันว่าท่าทีของเฉินเจียฉิน ต่อเธอไม่เหมือนคนอื่นนะ เขานุ่มนวลกับกว่าคนอื่น”
เฉินเจียฉินนุ่มนวลกับเธอนั่นหรือ
มู่น่อนน่อนพยักหัว “เธอถ่ายละครจนสมองไม่ดีแล้วหรือ”
เสิ่นเหลียงกำลังอยากจะแสดงความไม่พอใจ แต่เสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้นในเวลานี้
เป็นโทรศัพท์จากเอเย่นต์ของเธอ
พอวางสายลง เธอก็พูดอย่างไม่ดีใจว่า “มีประชุมด่วนอีกแล้ว กินข้าวกับเธอดีๆก็ไม่ได้”
มู่น่อนน่อนปลอบเธอว่า “เธอไปก่อนเถอะ เผื่อวันหลังฉันเลี้ยง”
……
หลังแยกกันกับเสิ่นเหลียง มู่น่อนน่อนก็กลับบ้านพักแล้ว
พอเดินเข้าห้องโถงเธอก็เห็น“เฉินเจียฉิน”
เขาใส่เสื้อกางเกงนอนและคอมพิวเตอร์วางอยู่ข้างหน้า ยังมีแก้วน้ำหนึ่งแก้วที่วางอยู่ด้วย
มู่น่อนน่อนคิดอยู่ในใจว่า “ผู้ชายคนนี้เก่งจริงๆนะ”
ครั้งหน้าให้เธอช่วยเอาลูกปืนออก มีอาการทั้งเป็นไว้และเป็นลม แต่เมื่อฉีดยาไปก็ตื่นมาทำงานต่อ
สังเกตถึงว่ามีคนกำลังมองตนเองอยู่ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมาและสบตากับมู่น่อนน่อนพอดี
“กลับมาแล้วหรือ”
มู่น่อนน่อนมองคอมพิวเตอร์ที่อยู่ต่อหน้าเขา ถามเขาด้วยมีระยะทางประมาณสองสามเมตรว่า “คุณกำลังทำงานหรือ คุณหายดีแล้วหรือ”
ดูเขาแล้วนอกจากหน้าซีดไปหน่อยแล้ว ก็ไม่มีที่อื่นที่เหมือนผู้ป่วยคนหนึ่ง
“ไม่เป็นไร”เขากำลังพิมพ์อะไรอยู่และเงยหน้ามากะทันหัน “แต่ว่าหิวข้าวแล้ว”
พอนึกถึงสายเมื่อกี๊ที่เขาโทรไป มู่น่อนน่อนก็พูดว่า “คุณให้…..” ให้ผู้คุ้มปลอดภัยทำ
“เฉินเจียฉิน”เหมือนรู้ว่าเธออยากพูดอะไร ตัดบทของเธอก็พูดว่า “ไม่อร่อย” ออกมา
สือเย่เอายามาให้และได้ยินคำว่า “ไม่อร่อย” พอดี
เขาไม่รู้ว่าจะใช้คำอะไรมาแสดงอารมณ์ของตนตอนนั้น
ไม่เคยได้ยินคุณชายว่าฝีมือของพวกเขามาก่อน แต่หลังแต่งงานไปคุณชายก็เปลี่ยนไปแล้ว
พูดความจริง นอกจากหน้าตาขี้เหร่แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าคุณหญิงของพวกเขายังมีอะไรที่พิเศษบ้าง
แต่คุณชายไม่เพียงแต่ไม่รังเกียจคุณหญิงยังชอบอยู่กับเธอด้วย ในฐานะที่เป็นลูกน้องพวกเขาก็ต้องให้เกียรติแก่คุณหญิง
พอเห็นสือเย่ก็อยู่ มู่น่อนน่อนจึงถามว่า “เฉินถิงเซียวอยู่บ้านหรือ”
“ครับ” คนที่ตอบเธอคือ“เฉินเจียฉิน”
มู่น่อนน่อนรู้สึกแปลกใจ “แล้วเขากินข้าวหรือยัง”
เฉินถิงเซียวเอาแก้วมาดื่มน้ำและมองสือเย่
“คุณชายก็ยังไม่ได้กินครับ” สือเย่ชมความฉลาดของตนจากใจจริงๆ
มู่น่อนน่อนพูดด้วยความยินดีว่า “งั้นเดี๋ยวฉันไปทำให้”
พูดจบก็เข้าไปห้องครัว
ครั้งหน้าตั้งใจทำอาหารให้เฉินถิงเซียวแต่ถูก“เฉินเจียฉิน”กินแล้ว
เฉินถิงเซียวเห็นท่าทีของเธอแล้วก็เกิดความอิจฉาต่อ“เฉินถิงเซียว”
สือเย่เอายาให้เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวไม่แต่รับกลับถามสือเย่ว่า “แกว่าเธอโง่ไหม คนหล่อคนดีอย่างผมที่อยู่ต่อหน้าเธอ เธอไม่สนใจ กลับไปเอาใจคนพิการ หรือว่าเธอแกล้งทำ”
สือเย่คิดในใจว่า เมื่อก่อนคุณชายเป็นคนชอบเงียบๆไม่พูดคุยอะไรมาก แต่พอแต่งงานไปเขาก็ชอบทำเรื่องต่างๆไปดึงดูดสายตาของคุณหญิงและคุณหญิงก็ไม่ใช่คนสวย สายตาของคุณชายมีปัญหาอะไรแล้วหรือ
แต่ความจริงเขาก็ไม่กล้าพูดข้อสงสัยตนออกมา เขาพูดว่า “คุณชายใส่ใจเรื่องของคุณหญิงจริงๆ”
“อึม”
เฉินถิงเซียวเข้าใจความหมายของสือเย่ทันที
สือเย่พูดต่อว่า “คนหญิงอาจไม่ใช่คนโง่ ดูวิธีที่คุณหญิงจัดการมู่หวั่นขีก็รู้ว่าคุณหญิงเป็นคนละเอียดลออ”
“ละเอียดลออ……”
ถ้าไม่ใช่เขาช่วยไปจัดการเรื่องที่ไม่ดีต่อเธอโดยลอบๆ ในฐานะที่เป็นนางหยิงของตระกูลเฉินคนในตระกูลเฉินที่สนใจเรื่องหน้าแบบนั้น คงจะมาหาเรื่องแก่เธอแล้ว
……
มู่น่อนน่อนไม่ค่อยเชื่อที่“เฉินเจียฉิน”บอกว่าเฉินถิงเซียวชอบกินเผ็ด เธอทำโจ๊กผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพให้
ไม่ว่าเฉินถิงเซียวชอบรสอะไร ทำอาหารดีต่อสุขภาพก็จะไม่มีผิดแน่นอน
เธอทำอาหารเสร็จแล้วใส่จานวางอยู่บนโต๊ะอาหาร
สือเย่ยิ้มว่า “คุณหญิงเอาส่วนของคุณชายให้ผมเถอะ”
มู่น่อนน่อนเอาอาหารให้สือเย่แล้วถามว่า “ตอนบ่ายเขาจะออกไปไหม”
“ไม่รู้ครับ” สือเย่คิดอยู่ในใจว่าชีวิตที่ต้องพูดคำโกหกแบบนี้จะจบเมื่อไรสักที
หลังสือเย่ออกไป “เฉินเจียฉิน”ก็เดินเข้ามาห้องกินอาหาร
เขานั่งลงแล้วมองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารขมวดคิ้วถามว่า “ทำไมทั้งหมดก็เป็นอาหารรสจืด”
มู่น่อนน่อนเอาน้ำให้เขาแล้วพูดว่า “คนป่วยยังอยากกินรสเผ็ดหรือ ถ้าเกิดปัญหาอะไรแล้วจะมาว่าฉันหรือ”
“เฉินเจียฉิน”ก็ไม่พูดอะไรต่อ เขาเอาตะเกียบขึ้นมากินข้าว
มู่น่อนน่อนดูเขาแล้วคิดว่า กินเร็วอย่างนี้ไม่เหมือนผู้ป่วยสักนิดเลย
แต่สำหรับ“เฉินเจียฉิน”อาจมีแต่ความเป็นความตายที่เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องป่วยนั้นเขาไม่เคยไปสนใจเท่าไร
พอเขากินข้าวเสร็จ มู่น่อนน่อนกลับห้องแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ดูพบว่า ข่าวที่เกี่ยวกับมู่หวั่นขีนั้นกลายเป็นข่าวฮอตอันดับหนึ่งแล้วอีก
เธอคิดอย่างดีๆแล้วสรุปว่านี่เป็นฝีมือของเสิ่นเหลียงแน่นอน
ตอนที่ 37 อยากชิมฝีมือของเธอจัง
หมอฉีด ยาแก้ไข้ให้เฉินถิงเซียวตอนนี้อาการของเขาก็ดีขึ้นไปมากแล้ว
ในเวลาที่มู่น่อนน่อนเอาผ้าขนหนูช่วย“เฉินเจียฉิน”เช็ดตัว คนอื่นก็ไปกันหมดแล้ว
เธอรู้สึกแปลกใจว่า วันที่อยู่โรงอาหาร เวลาที่เธอล้มอยู่อุ้มของ“เฉินเจียฉิน” สือเย่ก็ได้เห็นแล้ว และตอนนี้สือเย่ยังให้เธอมาดูแล“เฉินเจียฉิน”เขาไม่ถือสาอะไรหรือ
“แม่……”
“เฉินเจียฉิน”พูดคำบ้าๆบอๆอีกแล้ว มู่น่อนน่อนช่วยเขาเช็ดตัวเสร็จจึงอยากเอามือกลับมา แต่“เฉินเจียฉิน”ดึงมือของเธออย่างหนาแน่น เธอเอามือของตนออกมาไม่ได้
เธอเหลือบตามอง“เฉินเจียฉิน”แล้วพูดว่า “นี่ ฉันไม่ใช่แม่ของคุณนะ ปล่อย”
แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรผู้ชายคนนี้นอนหลับสนิทมาก
สายของเสิ่นเหลียงโทรมาในเวลานี้
“เสี่ยวเหลียงถึงแล้วหรือ”
“ฉันอยู่หน้าประตูแล้ว เธออยู่ไหน”
มือของมู่น่อนน่อนถูก“เฉินเจียฉิน”ดึงไว้อย่างหนาแน่น เธอจากตัวไปไม่ได้ เลยให้สือเย่ไปเรียกเสิ่นเหลียงขึ้นมา
พอเข้ามาเสิ่นเหลียงก็รู้สึกตรึงใจไปหมด “ไหน เธอว่าเฉินถิงเซียวขี้เหร่ไม่ใช่หรือ นี่หรือ เรียกว่าขี้เหร่”
สือเย่คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเธออธิบายว่า “นี่คือนายน้อย เฉินเจียฉิน”
“นายน้อยหรือ” เสิ่นเหลียงเหลือบตาสือเย่“ งั้นเขาทำไมจูงมือของน่อนน่อนพี่สะใภ้กับนายหน่อย เขาไม่กลัวจะถูกนินทาหรือ”
สือเย่ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
มู่น่อนน่อนก็เงยหน้ามองสือเย่เธอก็อยากรู้เหมือนกัน
สือเย่ไม่รู้จะพูดอะไร สุดท้ายก็พูดว่า “พี่สะใภ้ก็เหมือนคุณแม่”
มู่น่อนน่อนยิ้มแห้งๆ “เพราะแบบนี้หรือที่เมื่อกี๊เขาเรียกว่าฉันเป็นแม่”
“……” คุณชายตื่นเถอะ ผมไม่ไหวแล้ว
สือเย่หาข้ออ้างออกไปอย่างทึมๆ
“เธอนั่งก่อน เดี๋ยวเราก็ออกไปกินข้าว” มู่น่อนน่อนชี้เก้าอี้ข้างๆ
เสิ่นเหลียงนั่งลงแล้วก็ไปมอง“เฉินเจียฉิน”
แม้ว่าเธอเจอคนหน้าตาดีๆมาไม่รู้ว่ากี่คน แต่ก็อดใจไม่ไหวชมว่า “หล่อมากๆ หล่อทีเดียวเหลือเกิน นี่เป็นคนจริงๆหรือเปล่าเนี่ย”
เธอพูดไปก็เอามือไปสัมผัสหน้าของเขา
แต่ยังไม่ได้ทันสัมผัสถึงหน้า ผู้ชายที่นอนอยู่เตียงนั้นก็เปิดตามาทันที
เสิ่นเหลียงรู้สึกงุ่มง่าม จึงพูดว่า “ตื่น…ตื่นมาแล้วหรือ”
มู่น่อนน่อนเห็นสายตาของเฉินถิงเซียวมีเจตนาไม่ดีอยู่ในสายตา จึงพูดว่า “คุณอยากทำอะไร นี่เพื่อนฉัน”
เฉินถิงเซียวมองไปมู่น่อนน่อนและท่าทีของเขาก็ผ่อนคลายหน่อย เขาพูดด้วยเสียงต่ำๆว่า “น้ำ”
มู่น่อนน่อนมองไปมือของตนที่ถูกเขาดึงไว้แล้วพูดว่า “คุณปล่อยฉันก่อน”
เฉินถิงเซียวมองมือของพวกสองคนด้วยสายตาที่รักใคร่ แล้วก็ปล่อยมือของเธอ
มู่น่อนน่อนเพิ่งจะยืนขึ้นก็ได้ยินเสียงคนข้างนอก
“ผมจะเข้าไปดูว่าเขาตายแล้วหรือเปล่า”
“คุณชายป่วยแล้วจริงๆครับ”
เสียงของสองคนก็คุ้มๆอยู่ แต่มู่น่อนน่อนแค่ฟังออกว่าเสียงของคนข้างหลังนั้นเป็นเสียงของสือเย่
ในนาทีต่อไป ประตูก็ถูกผลักเปิด
กู้จือหยั่นไม่คิดว่ามู่น่อนน่อนก็อยู่ด้วย ตะลึงไปก่อนแล้วก็พูดอย่างสุภาพว่า “สวัสดีครับนางเฉิน”
มู่น่อนน่อน“……ค่ะ”
ท่าทีของเขาเปลี่ยนเร็วทีเดียว
“ได้ข่าวว่าเจียฉินป่วยแล้ว ผมเลยมาเยี่ยม เขา……” คำพูดของกู้จือหยั่นถูกตัดบท
“กู้จือหยั่น”
มู่น่อนน่อนหันตัวเห็นว่าเสิ่นเหลียงกำลังพบแขนเสื้อเดินไปทางกู้จือหยั่นและกู้จือหยั่นถูกเธอตีหนึ่งหมัดอยู่ตอนท้อง
ดูท่ากู้จือหยั่นอาจรู้สึกเจ็บมาก แต่เขาก็ไม่พูดสักคำ
มู่น่อนน่อนคิดอยู่ในใจว่า นี่เป็นอะไรกัน
ห้องสนิมไปสักพักแล้วก็ได้ยินกู้จือหยั่นยิ้มพูดเบาๆกับว่า “เสี่ยวเหลียงตีหนักแบบนี้ถ้าผมเป็นอะไรไป เธอจะเลี้ยงผมหรือ”
เสิ่นเหลียงตอบด้วยเสียงแข็งว่า “ฉันเคยบอกว่า ทุกครั้งที่เจอหน้า ฉันก็จะตีคุณ”
มู่น่อนน่อนไม่เคยเจอเสิ่นเหลียงแบบนี้มาก่อน เธอเห็นความแค้นจากสายตาของเสิ่นเหลียงด้วย
เสิ่นเหลียงหันตัวมองเธอ “ฉันไปรอที่ข้างนอก”
มู่น่อนน่อนพยักหัว
พอเสิ่นเหลียงออกไป กู้จือหยั่นก็นั่งข้างเตียงมองเฉินถิงเซียวว่า “แกป่วยจริงๆหรือ”
เฉินถิงเซียวพูดว่าจะไปบริษัทวันนี้ ดังนั้นกู้จือหยั่นรู้ว่าเขาไม่ได้ป่วยจริง
“จากผมไปไกลหน่อย” เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วพูด
เขามองมู่น่อนน่อนโดยไม่พูดคำเดียว
มู่น่อนน่อนรู้ว่าเขาอยากแสดงอะไร “ให้สือเย่ช่วยเอาน้ำมาให้เถอะ”
เธอเป็นห่วงเสิ่นเหลียงพอพูดจบก็ออกไปแล้ว
เฉินถิงเซียวเหลือบตามองสือเย่“ออกไป”
สือเย่พยักหัว “ผมไปเอาน้ำให้คุณชาย”
เฉินถิงเซียวพูดอย่างใจลอยว่า “ไม่อยากดื่มแล้ว”
สือเย่“……” คุณชายยิ่งแปลกมากขึ้นแล้ว
……
มู่น่อนน่อนพอออกไปก็จูงมือของเสิ่นเหลียงลงไปชั้นล่าง “เธอรู้จักกับกู้จือหยั่นก่อนหรือ”
“ใช่” เสิ่นเหลียงหยุดแปปเดียวแล้วพูดต่อว่า “เขาสมน้ำหน้า ไม่ว่าฉันจะทำอะไร เขาก็ว่าอะไรไม่ได้”
ฟังแบบนี้แล้ว รู้สึกว่าระหว่างเสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นมีเรื่องความขุ่นขื่นใจแน่น
มู่น่อนน่อนไม่ได้ถามต่อและก็ไม่พูดเรื่องของการชวนสัมภาษณ์ด้วย
สองคนไปกินข้าวกันข้างนอก พอสั่งอาหารเสร็จมู่น่อนน่อนก็ได้รับสายของ“เฉินเจียฉิน”
เธอไม่มีเบอร์ของเขา เลยไม่รู้ว่าคนโทรคือ“เฉินเจียฉิน”
“จะกลับเมื่อไร” แม้ว่า“เฉินเจียฉิน”ป่วยแล้วแต่มู่น่อนน่อนก็ฟังเสียงของเขาออก
มู่น่อนน่อนถามว่า “มีอะไรหรือ”
คนโทรเงียบไปสักพักแล้วพูดว่า “ผมยังไม่ได้กินข้าว”
“ถ้ากินไม่ลงก็บอกให้หมอฉีดยาก็ดีแล้ว ฉัน……”
ประโยคที่เธอยังไม่ได้พูดจบถูกตัดบท “ผมอยากกินฝีมือของเธอ”
ในเวลานั้นมู่น่อนน่อนไม่รู้จะตอบยังไงจึงวางสายลง
เมื่อเธอรับสายเสิ่นเหลียงก็ฟังเรื่องที่พวกเขาพูดออก “ชายน้อยที่หล่อจะตายคนนั้นโทรมาหรือ”
ตอนที่ 36 เหมือนกับรถประจำทาง ไม่มีใครอยากเอาหรอก
ในบ้านพักของตระกูลมู่
มู่หวั่นขีนอนอยู่ในโซฟาเปิดมือถือดู เธอจ้างคนหลายคนไปด่ามู่น่อนน่อนและตอนนี้ไม่เห็นมีเสียงเห็นด้วยกับมู่น่อนน่อนแล้ว
เธอรู้สึกว่าเมื่อก่อนเธอถูกนักข่าวแอบถ่ายรูปมีความเกี่ยวข้องกับมู่น่อนน่อน
และตอนนี้เธอรู้สึกดีใจมากที่มู่น่อนน่อนโดนด่า
ถูกนักข่าวแอบถ่ายรูปก็ไม่มีอะไรหรอกเพราะเนื้อหาในวิดีโอแค่การพูดคุยของเธอและไม่มีหลักฐานแท้ๆ แต่มู่น่อนน่อนยอมต่อหน้านักข่าวว่าตนเองหลอกลวงอย่างแท้จริง
ผู้หญิงขี้เหร่อย่างเธอนั้นสู้กับตนเองไม่ได้หรอก
มู่หวั่นขีเล่นมือถือไปแล้วเวลาหนึ่งก็ไปนอนด้วยความพอใจแล้ว
แต่พอเวลาดึกเข้าก็มีเรื่องราวกำลังเปลี่ยนแปลงขึ้น
เพื่อนสนิทโทรมา “หวั่นขีเกิดอะไรขึ้น มีคนแผ่รูปและวิดีโอของแกออกมา และตอนนี้ทุกคนก็พูดคุยเรื่องของแกอยู่ แกขัดใจกับใครหรือเปล่า”
พอได้ยิน “วิดีโอและรูปถ่าย” มู่หวั่นขีก็มีความไม่ดีเกิดจากใจ
เธอเกาผมตนด้วยความหงุดหงิดแล้วเปิดมือถือไปดู
มีคนหลานคนกำลังพูดคุยเธอ
รูปถ่ายของเธอที่ไม่น่าดูแพร่ไปหมด
ฐานะของบริษัทมู่ซื่อนับว่าไม่เลวในวงการ ปกติมู่หวั่นขีก็ชอบไปเที่ยวเล่น
ดูเป็นสุภาพสตรีแต่เรื่องอะไรที่ไม่งามก็แอบทำอยู่
มู่หวั่นขีกลัวจนมือสั่น เธอพูดว่า “ทำไมกลายเป็นแบบนี้แล้ว”
มีคนหลายคนด่าเธอ “คนเลว หน้าด้าน”
“ยังมีหน้าให้น้องสาวไปเป็นแกะรับโทษหรือ”
เธอโมโหมากจึงด่ากลับไปทั้งหมด
ทันใดนั้น เธอคิดถึงเสิ่นชูหาน
ตอนนี้เป็นตอนตึกอยู่ เสิ่นชูหานอาจยังไม่ทันได้ดูรูปถ่ายและวิดีโอเหล่านี้
หากให้เสิ่นชูหานรู้เข้า พวกเขาสองคนก็จะพังแน่นอน
เธอรีบใส่เสื้อไปหามู่ลี่เหยียน“คุณพ่อ ช่วยหน จัดการหน่อย”
และตอนนี้มู่น่อนน่อนกำลังเปิดกล้องคุยกันกับเสิ่นเหลียงอยู่
เสิ่นเหลียงกำลังอ่านความคิดเห็นด้วยความตื่นเต้นอยู่
“เราคิดว่ามู่หวั่นขีไม่ใช่ผู้หญิงดีอยู่ตั้งนานแล้ว ยังมีหลายคนไปช่วยเธอทำไมก็ไม่รู้”
“ดูหน้าตาดีแบบนี้ คิดไม่ถึงเลยว่านิสัยเลวขนาด”
“ให้เราเดาหน่อยว่า ครอบครัวมู่ให้น้องสาวแต่งเข้าไปตระกูลเฉินก็เพราะว่าพี่สาวมีนิสัยแบบนี้ ได้ยินว่าน้องสาวขี้เหร่แต่เขานิสัยดีอยู่นะ หน้าตาดีแต่เหมือนรถประจำทางไม่มีใครอยากเอาหรอก”
เสิ่นเหลียงก็เห็นด้วยกับข้อนี้ “น่อนน่อน เราว่าคนนี้พูดถูกนะ เธอว่าตระกูลเฉินรู้เรื่องของมู่หวั่นขีตลอด ใช่หรือเปล่า”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่ายังมีเหตุผลแบบนี้
เธอยิ้มพูดว่า “ไม่ว่าเป็นอย่างไรก็ตาม สถานการณ์แบบนี้ถูกใจกับมู่หวั่นขีพอดี ตอนนี้เธออยู่กับเสิ่นชูหานโดยไม่มีความกดดันอะไรได้แล้ว”
เสิ่นเหลียงกับเสิ่นชูหานไม่ใช่เป็นญาติกัน เธอพูดว่า “เสิ่นชูหานโง่ก็จริง แต่เขาคงจะไม่ชอบแต่งงานกับรถประจำทางมั้ย”
……
เพาะคุยกันกับเสิ่นเหลียงจนถึงตึงมู่น่อนน่อนจึงตื่นนอนช้ากว่าปกติ
เปิดคอมพิวเตอร์มาดู พบว่าหัวข้อ รูปถ่ายและวิดีโอที่เกี่ยวกับมู่หวั่นขีหายไปทั้งหมด
เธอรู้ว่านี่เป็นฝีมือของมู่ลี่เหยียนแน่นอน
ตั้งแต่เด็กเธอก็ไม่ค่อยคุยกับมู่ลี่เหยียน แต่เขารักมู่หวั่นขีจริงๆ
แม้ว่าตอนนี้ข่าวนี้ไม่อยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ก็ถูกแพร่ไปเป็นไกลมาก มีหลายรอยคนที่รู้เรื่องนี้
เธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จก็ได้รับสายของเสิ่นเหลียง
“ข่าวของรถประจำทางไม่อยู่แล้ว เราจะให้มันเกิดใหม่อีก”
ตอนนี้เสิ่นเหลียงเรียกมู่หวั่นขีว่าเป็นรถประจำทาง
มู่น่อนน่อนปลอบเธอว่า “ไม่เป็นไร เร็วๆนี้เธอก็จะมีหนังใหม่จะฉายแล้ว ถ้าให้คนอื่นรู้ว่าเธอเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มันจะไม่ดีต่อเธอนะ”
เสิ่นเหลียงตอบอย่างจำใจว่า “โอเค มากินข้าวกันเถอะ พรุ่งนี้เราจะไปถ่ายละคลแล้ว เรามารับเธอ”
“ได้ๆ”
……
พอผ่านไปห้องหนังสือของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนก็หยุดเป็นเวลาหนึ่ง
เมื่อวานเธอไม่ได้เจอหน้าเฉินถิงเซียวไม่รู้ว่า“เฉินเจียฉิน”พูดว่าเขาโกรธนั้นเป็นจริงหรือเปล่า
ทันใดนั้น ประตูของห้องหนังสือก็ถูกคนปิดจากด้านใน
มู่น่อนน่อนถอยก้าวโดยจิตใต้สำนึก พอเงยหน้าขึ้นก็ได้เจอหน้าของ“เฉินเจียฉิน”ที่โป๊กเกอร์
เธอตะลึงไปสักพักแล้วถามว่า “พี่ชายคุณ……เขาอยู่ไหม”
“เธอมีเรื่องจะหาเขาหรือ” เฉินถิงเซียวปิดประตูเอียงมองหน้ามู่น่อนน่อน
ในหน้าของเขาดูซีดไปหน่อย ดูเขาอ่อนเพลียมาก
มู่น่อนน่อนพยักหัว “ไม่มีอะไร”
พอพูดจบก็หันตัวลงไป
มีเสียงหนักๆที่สิ่งของอะไรล้มลงผ่านเข้ามาอย่างกะทันหัน
มู่น่อนน่อนหันตัวไปดู เห็นได้ว่า“เฉินเจียฉิน”คนที่ยืนอยู่ดีๆเมื่อกี๊ล้มลงพื้นแล้ว
มู่น่อนน่อนวิ่งเข้าไป เธออยากช่วย“เฉินเจียฉิน”ยืนขึ้นมา “ เฉินเจียฉินคุณเป็นอะไรไป”
แม้ว่าเธอรังเกียจเขา แต่เธอก็ไม่อยากให้เขามีเรื่องอะไร
ตอนนี้ เธอจึงสังเกตว่าใบหน้าของเขาซีดมาก
เธอเอามือไปสัมผัสหน้าผากของเขา ร้อนมากเลย
“เฉินเจียฉิน”สูงมาก ช่วยเขายืนขึ้นโดยเธอคนเดียวเป็นไปไม่ได้ เธอจึงไปเรียกคนมาช่วย “มีใครอยู่ไหมเฉินเจียฉินเป็นลมแล้ว ”
มีผู้คุ้มกันขึ้นมาทันทีช่วยพาเฉินถิงเซียวกลับไปห้อง
และมีหมอมาตรวจร่างกายให้ทันที
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ตลอดก็ไม่เห็นเฉินถิงเซียวมา เธอรู้สึกว่าที่นี่ไม่มีอะไรที่ต้องให้เธอช่วยแล้วจึงอยากจากไป
สือเย่เห็นเธออยากไปจึงพูดว่า “คุณหญิงอยู่ช่วยดูแลคุณชายหน่อยไดไหม”
“แต่ว่าฉันยังมีธุระอยู่” มู่น่อนน่อนเอามือถือออกมาดูเวลา ตอนนี้เสิ่นเหลียงก็ถึงแล้ว
“คุณแม่ ไม่เอา……ผมขอร้อง” เฉินถิงเซียวที่นอนอยู่ในเตียงนั้นพูดอะไรบ้าๆบอๆก็ไม่รู้
มู่น่อนน่อนหันตัว เห็นสีหน้าของ เขามีที่ทั้งความตกใจและความกลัว ดูน่าสงสารจริงๆ
เธอจึงยอมอยู่เพื่อดูแลเขา
บ้านพักไม่มีแม่บ้าน และพวกผู้คุ้มความปลอดภัยก็ดูแลไม่เป็น
ตอนที่ 35 ทำให้ชื่อเสียงของเธอพัง
หลังเสร็จการสัมภาษณ์ “เฉินเจียฉิน”ก็ตามมู่น่อนน่อนตลอด เธอยังไม่ทันดูสัมภาษณ์ตัวเองเลย
เธอเปิดคอมพิวเตอร์ดูพบว่ามีคนติดตามมากและมีคนดังหลายคนแชร์
คนส่วนใหญ่ก็ด่าเธอ แต่ก็มีคนส่วนน้อยที่ยังมีสติอยู่เห็นด้วยกับเธอ
“พูดแล้วไงว่าเธอแค่ทำข่าวกู เห็นมั้ยคนที่สงสารเธอก่อน”
“นึกว่าตนเองเป็นคนสำคัญหรือ ยังใส่หน้ากากมาสัมภาษณ์”
“แค่มีฉันคนเดียวหรือที่คิดว่าคำพูดของเธอเจ๋งมาก”
“เราพบว่าตั้งแต่ต้นจนจบเธอก็ไม่เคยยอมว่าเธอแย่งสามีพี่สาว”
พอเห็นความคิดเห็นข้อสุดท้ายมู่น่อนน่อนก็ยิ้มขึ้นมา
เธอตั้งใจไม่ตอบคำถามนั้นเผื่อวันหลังมู่หวั่นขีจะมาหาเรื่องเธอเพราะเรื่องนี้
มู่น่อนน่อนดูความคิดเห็นต่อไป
“นี่เป็นละครใหญ่ในรอบปีหรือ”
“……”
พอได้รู้จุดมุ่งหมายของคนตระกูลมู่ มู่น่อนน่อนก็ตัดสินใจว่าเธอจะไม่ตามใจเขาเหมือนก่อนแล้ว และเธอจะไม่ให้เรื่องนี่จบลงอย่างง่ายๆ
ไม่นานเท่าไร ความคิดเห็นของการสัมภาษณ์นั้นก็กลายเป็นคำด่าทั้งหมดแล้ว
มู่น่อนน่อนรู้ว่านี่เป็นฝีมือของมู่หวั่นขี
แต่เธอไม่สนใจ
มู่หวั่นขีก็มีจุดดำมากมาย และเธอกับมู่หวั่นขีอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวง่ายที่จะหาจุดดำของเธอ
ให้คนตระกูลมู่ภูมิใจในตัวเองอีกหนึ่งวัน พรุ่งนี้เธอก็จะเปิดเผยจุดดำของมู่หวั่นขีให้นักข่าว เธอจะทำให้ชื่อเสียงของมู่หวั่นขีพังไป
ดูความคิดเห็นไปเรื่อยๆ มู่น่อนน่อนมีอีเมลฉบับหนึ่งทียังไม่ได้อ่าน
พอเธอเปิดไปอ่านก็ตะลึงไปสักพัก
เป็นการชวนสัมภาษณ์จากบริษัทเสิ้งติ่ง
เธอเคยส่งประวัติย่อให้บริษัทเสิ้งติ่งหรือ
เธอไปตรวจดูหลายรอบก็ไม่พบ เธอรู้สึกแปลกใจมาก
ทันใดนั้น เธอคิดถึงว่า “เฉินเจียฉิน”เคยพาเธอไปกินข้าวกับกู้จือหยั่น
เธอพบว่าเวลาที่อีเมลส่งมาคือเก้าโมงเช้าและตอนนั้นเธอกำลังสัมภาษณ์อยู่
คิดแล้วคิดอีก เธอก็ตัดสินใจว่าจะไปถาม “เฉินเจียฉิน”หน่อย
……
เฉินถิงเซียวกำลังนั่งเล่นเกมอยู่ในห้องโถง
สือเย่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ด้านหลังเขา และโทรศัพท์ก็เปิดสปีกเกอร์อยู่
เธอได้ยินเสียงคลั่งๆของกู้จือหยั่น “ผมแค่ไปกินข้าวขางนอกกับคุณชายแก พอกลับถึงบริษัทก็วุ่นวายไปหมด แกบอกให้เขาถ้าเขาไม่กลับมาทำงานผมก็จะไปฆ่าตัวตายแล้ว”
สือเย่หันตัวมองเฉินถิงเซียวแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “คุณชายกำลังยุ่งอยู่”
กู้จือหยั่นไม่เชื่อแน่นอน “ยุ่งอะไรของเขาวะ เขาทำอะไรอยู่แกเปิดกล้อง”
ในเวลานี้เฉินถิงเซียวพูดอย่างใจเย็นว่า “เปิดเถอะ”
สือเย่คิดอยู่ในใจว่าคุณชายตั้งใจจะเล่นกับประธานกู้
เขาเลยเปิดกล้องให้
พอเห็นเฉินถิงเซียวกำลังเล่นเกมอยู่กู้จือหยั่นก็โกรธขึ้นมาทันที “กูเหนื่อยจะตายอยู่ในบริษัท แต่แกกลับเล่นเกมอย่างสบายๆอยู่”
“อึม” เฉินถิงเซียวตอบอย่างใจเย็นและเห็นมู่น่อนน่อนลงมาจากขั้นบนพอดี
เขาใช้สายตาบอกสัญญาณให้สือเย่ปิดเสียง แล้วพูดกับกู้จือหยั่น“ประธานกู้ผมวางใสแล้วครับ”
กู้จือหยั่นก็เห็นมู่น่อนน่อนลงมาพอดีและเขาสนใจเรื่องระหว่างเขาสองคนมาก จึงขู่ว่า “แกกล้าวางกูก็กล้าไปตาย”
สือเย่รู้ดีอยู่ในใจว่าแม้ว่าวางสายแล้วกู้จือหยั่นก็ไม่กล้าไปตาย แต่เขาก็ไม่ได้วางสายไว้
มู่น่อนน่อนเห็น‘เฉินเจียฉิน”อยู่ในห้องโถงแต่พอลงมาจึงได้สังเกตว่าสือเย่ก็อยู่
แต่ดูท่าทางสือเย่กำลังพิมพ์อะไรอยู่เหมือนไม่ได้เห็นเธอลงมา เธอจึงวางใจเดินไปหา ‘เฉินเจียฉิน’
เธอนั่งตรงข้ามของ “เฉินเจียฉิน”ว่า “ฉันมีเรื่องอยากถามคุณ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมาแล้วก้มหน้าเล่นเกมต่อ “เรื่องอะไร”
เธออย่างเบาๆว่า “คุณรู้จักกับคุณกู้ของบริษัทเสิ้งติ่งดีใช่ไหม”
เฉินถิงเซียววางมือถือลงแล้วพูดว่า “มีอะไรหรือ เธอชอบเขาหรือ”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว “คุยกันดีๆไม่ได้หรือ”
เฉินถิงเซียวชี้ข้างๆโซฟาที่เขานั่งอยู่แล้วพูดว่า “เธอมั่งที่ใก้ลๆผมก่อน”
“ไม่อยากพูดก็ช่างมันเถอะ” มู่น่อนน่อนหันตัวจะไป
เธอยังไม่ไปกี่ก้าวเฉินถิงเซียวก็พูดว่า “ช่วงนี้เธอกำลังหางานอยู่ เป็นเรื่องการชวนสัมภาษณ์ใช่ไหม”
มู่น่อนน่อนรู้สึกแปลกใจจึงหยุดก้าวและหันตัวไปถามว่า “คุณรู้ได้ยังไร”
“กู้จือหยั่นเคยพูดกับผมว่า บริษัทต้องการคนใหม่จึงเลือกคนที่กำลังจบการศึกษาเข้าบริษัทบ้าง”
พอพูดจบเฉินถิงเซียวก็ใช้ตาโตของเขามองเธอแล้วขมวดคิ้วขึ้นมาพูดว่า “เธอก็ได้รับการชวนสัมภาษณ์ของเขาหรือ”
มู่น่อนน่อนดูความเหยียบหยามจากใบหน้าของเขา
เธอย่นลิปสแล้วพูดว่า “ฉันก็ไม่อยากไปหรือ”
พอพูดจบเธอก็จากไป
เฉินถิงเซียวมองหลังของเธอและคิดอยู่ในใจว่า
ผู้หญิงขี้เหร่คนนี้กล้าเถียงกับตัวเองด้วยหรือ
สือเย่รู้ว่าคุณชายของตนโกรธแล้ว เขาจึงอยากไปวางสายแต่ไม่รู้ว่ากู้จือหยั่นวางสายลงเมื่อไร
และวินาทีถัดไปกู้จือหยั่นก็โทรเข้ามาเฉินถิงเซียวรับสายแล้วพูดกับกู้จือหยั่นว่า “อยากไปฆ่าตัวตายก็ไปเถอะไม่ต้องาบอก”
แต่กู้จือหยั่นกลับหัวเราะขึ้นมา “ฮาๆๆๆ แกเปิดประตูหลังให้ แต่เมียแกก็ไม่อยากเข้าเลย……”
“แค่นึกถึงว่าแกโกรธขณะนี้ กูก็รู้สึกดีใจมาก ฮาๆๆ……”
เฉินถิงเซียวพูดว่า “ผมจะไม่เข้าบริษัทก่อนเมียผมเข้า”
กู้จือหยั่นยอมผิดทันที “กูผิดแล้ว……”
แต่เสียงที่ตอบเขามีแต่เสียงโทรศัพท์ที่ถูกวางสาย
ตอนที่ 34 เขาผิดปกติมาก
รถจดที่หน้าสโมสรที่หรูหราแห่งหนึ่ง
มู่น่อนน่อนหยุดแก้เข็มขัดนิรภัยและมอง “เฉินเจียฉิน”ด้วยสีหน้าสงสัยว่า “จะกินข้าวที่นี่หรือ”
เขาแน่ใจหรือว่าไม่ใช่มาเที่ยวเล่น
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรก็เปิดประตูรถลงไป
มู่น่อนน่อนก็ตามไปด้วย
พวกเขาสองคนเดินไปทางประตู เฉินถิงเซียวเดินอยู่ข้างหน้าและมู่น่อนน่อนตามอยู่ข้างหลัง พอถึงประตูแล้วผู้บริการก็ก้มเอวพูดกับเฉินถิงเซียวว่า “ยินดีต้อนรับ” แต่พอมู่น่อนน่อนผู้บริการก็ไม่ให้เธอเข้าไป
ผู้บริการมองมู่น่อนน่อนตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามว่า “เธอมาทำอะไรที่นี่”
มู่น่อนน่อนก้มหน้าดูการแต่งตัวตน ชำรุดอยู่หน่อยจริงๆ แต่เธอก็พูดอย่างใจเย็นว่า “มากินข้าว”
พอพูดจบเธอก็จะเดินเข้าไป แต่ผู้บริการก็ยังไม่ให้เธอเข้าไป “ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ใครก็เข้าได้”
มู่น่อนน่อนทำริมฝีปากกล่างยื่น เธอก็ไม่อยากเข้าไปด้วย
เฉินถิงเซียวถึงข้างในแล้ว ปรากฏว่า มู่น่อนน่อนไม่ได้ตามมาจึงกลับไปหาและได้ยินคำพูดของผู้บริการพอดี
เขาเดินเข้าไปและถามผู้บริการว่า “ชื่ออะไร”
คนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นคนรวย คนมีฐานะดี และผู้บริการที่นี่ก็เป็นคนที่มีสายตาพวกเขาแค่ดูการแต่งตัวก็เดาฐานะของคนออกได้
พอเห็นเฉินถิงเซียวผู้บริการกลัวจนเสียงสั่นว่า “อาปิง……ครับ”
พอได้คำตอบแล้วเฉินถิงเซียวเหลือบตาผู้บริการและจูงมู่น่อนน่อนเข้าไป และครั้งนี้ไม่มีใครมาขวางทางพวกเขาอีกแล้ว
มือใหญ่ๆของเฉินถิงเซียวจูงมือเล็กของมู่น่อนน่อนไว้ ทำให้เธอรู้สึกมีความอบอุ่นเกิดขึ้นจากหัวใจ เธอมองไหล่ของเขาจนใจลอย
นอกจากเสิ่นเหลียงแล้วยังไม่มีใครทำดีกับเธอเหมือนแบบนี้เลย
ติน———
เสียงของลิฟต์ดึงมู่น่อนน่อนกลับมาถึงโลกตัวจริง
เธอเงยหน้าขึ้นพบเห็นว่า เฉินถิงเซียวกำลังมองเธอด้วยสายตาแบบไม่รู้มีความหมายอะไร
มู่น่อนน่อนตื่นเต้นมาก เธอเอามือของตนออกจากมือของเขาและเข้าไปลิฟต์อย่างรวดเร็ว
เธอถูก“เฉินเจียฉิน”จูงมือตลอดทางมา……
พอเฉินถิงเซียวเข้าไปลิฟต์ มู่น่อนน่อนก็ย้ายไปที่ไกลเขามากที่สุด
เฉินถิงเซียวเหลือบเธอแล้วพูดว่า “ไปไกลนั้นทำไม ผมไม่ไปกินเธอหรอก”
มู่น่อนน่อนหันตัวไม่ได้ตอบสนองอะไร
……
พอถึงห้องแล้วมู่น่อนน่อนปรากฏว่ายังมีอีกคนหนึ่งอยู่ และนี่เป็นเรื่องที่เธอคิดไม่ถึง
ผู้ชายคนนั้นแต่งตัวเรียบร้อย ดูแล้วก็ทำให้คนรู้สึกว่าเขาเป็นคนสุภาพบุรุษคนหนึ่ง
ใครที่เป็นคนในวงการก็จะรู้จักเขาดี เขาชื่อกู้จือหยั่นเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเสิ้งติ่ง
กู้จือหยั่นสังเกตถึงสายตาของมู่น่อนน่อนแล้วจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มกับเธอ
เฉินถิงเซียวเดินไปถึงหน้าโต๊ะอาหารช่วยให้มู่น่อนน่อนดึงเก้าอี้ออกมา แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองกู้จือหยั่น พูดด้วยคำสั้นๆว่า “พี่สะใภ้ผม”
กู้จือหยั่นตกตะลึงไปแล้วแป๊บเดียวแล้วทักทายว่า “คุณหญิงเฉิน”
มู่น่อนน่อนรู้สึกบรรยากาศแปลกอยู่หน่อยแต่ก็ทับกลับด้วยมารายาทว่า “สวัสดีค่ะ คุณกู้”
ผู้หญิงขี้เหร่นี้รู้จักกู้จือหยั่นด้วยหรือ
เฉินถิงเซียวยกคิ้วและทิ้งรายการอาหารให้กับมู่น่อนน่อนแล้วพูดว่า “สั่งอาหาร”
มู่น่อนน่อนก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำเรื่องอะไรที่ทำให้เขาไม่พอใจแล้ว แต่ด้วยมีคนนอกอยู่เธอก็ไม่พูดอะไรก็ไปดูรายการอาหารอย่างใจจริงแล้ว
ตี————-
เป็นเสียงของข้อความ
เฉินถิงเซียวเอามือถือออกมา เป็นข้อความที่ส่งจากกู้จือหยั่น“ยังเล่นเกมแบบนี้กับเมียแกด้วยหรือ”
เฉินถิงเซียวไม่พอใจกับมู่น่อนน่อนรู้จักกู้จือหยั่นอยู่แล้ว พอได้เห็นข้อความแบบนี้ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นอีก จึงเอาขายาวๆของเขาไปแตะกู้จือหยั่นอย่างหนัก
“อึอ…..” กู้จือหยั่นคิดไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวเตะหนักขณะนี้ แต่ด้วยมู่น่อนน่อนอยู่เขาทำแต่อดทนไว้
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าโต๊ะขยับจึงเงยหน้ามองเฉินถิงเซียว
“อาหารสั่งเสร็จแล้วหรือ” เฉินถิงเซียวใกล้ตัวมาหามู่น่อนน่อนท่าทางคลุมเครือ
มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่สบายทั้งตัว แค่ตอบว่า “สั่งเสร็จแล้ว” ก็เอารายการอาหารไปวางไว้ที่ไกล
ดีที่เวลากินข้าว “เฉินเจียฉิน”ไม่ได้ทำอะไรกับเธอแล้ว เขาคุยกันกับกู้จือหยั่นตลอด สังเกตได้ว่าสองคนนั้นมีความสัมพันธ์ไม่เลว
มู่น่อนน่อนก้มหน้ากินข้าวตลอด พอกินเสร็จเธอก็หาข้ออ้างไปข้างนอกแล้ว
พอเธอจากไปกู้จือหยั่นก็หายใจเข้าลึกๆถอดแว่นตาออกมา ตอนนี้เขาไม่เหมือนคนสุภาพบุรุษเมื่อกี๊เลย เขาพูดกับเฉินถิงเซียวด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “แกสนุกกับเมียแกเล่นเกมอยู่ แต่ให้กูไปจัดการพวกเรื่องราวที่วุ่นวายของบริษัท กูเหนื่อยจะตายแล้ว กูต้องการพักสักพัก”
เฉินถิงเซียวไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร เขายกแก้วจิบน้ำแล้วพูดว่า “คนชนบทๆอย่างมู่น่อนน่อนก็รูจักแก แกไม่ควรขยันทำงานกว่านี้หรือ”
“หึ๊ย กูมีแฟนเป็นล้าน คนที่รู้จักกับฉันมีตั้งเยอะตั้งแยอะ และอีกอย่างเจ้านายแท้ๆของบริษัทเสิ้งติ่ง
เป็นแก กูแค่เป็นลูกจ้างของแก”
กู้จือหยั่นยิ่งพูดยิ่งรู้สึกใจร้อน “ถ้าแกยังไม่กลับไปทำงาน กูก็จะไปฆ่าตัวตายที่ตึกบริษัทเสิ้งติ่ง
จะได้ช่วยให้แกสร้างข่าวใหญ่”
คำขู่แบบนี้กู้จือหยั่นจะพูดวันละสามครั้งกับเฉินถิงเซียวและเฉินถิงเซียวก็ชิมแล้ว
เขาจิบน้ำแล้วพูดอย่างช้าๆว่า “แผนกบุคคลไม่ได้ประวัติย่อของมู่น่อนน่อนหรือ”
กู้จือหยั่นตอบด้วยความข้องใจว่า “ผมให้เลขาไปถามทุกวัน ไม่มีจริงๆ”
พอพูดจบเขาก็ถามอีกว่า “เมียแกหน้าตาแบบนั้น แกก็กินได้หรือ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าเหลือบตามองว่า “หน้าตาแบบไหน”
กู้จือหยั่นพูดอย่างเอาใจว่า “ใบหน้าแจ่มใส ตาโตสดชื่น……”
เฉินถิงเซียว“แกตาบอดหรือ”
กู้จือหยั่น“……”
ว่ามู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ ชมมู่น่อนน่อนก็ไม่ให้ อยากทำอะไรกันแน่น
เขารู้สึกว่าหลังแต่งงานไปเฉินถิงเซียวก็ไม่เหมือนคนเดิมแล้ว
ก่อนที่จากไปเฉินถิงเซียวพูดกับกู้จือหยั่นว่า “ผู้บริการที่ชื่ออาปิงนั้น ไล่ออก”
……
จนถึงตอนบ่าย พวกเขาจึงได้กลับถึงบ้านพัก
พอเข้าไปมู่น่อนน่อนก็ถามว่า “คุณชายอยู่ไหม”
“ไม่มี”
ถึงห้องแล้วมู่น่อนน่อนก็นอนบนเตียงคิดว่า ตนเองควรอธิบายเรื่องการสัมภาษณ์แก่เฉินถิงเซียวอย่างไร
แต่คิดไปเรื่อยๆ เธอก็คิดถึง “เฉินเจียฉิน”
วันนี้เขาผิดปรกติมาก จุๆก็ทำดีกันเธ
ตอนที่ 33 แฟนหนูก็เป็นห่วงหนูแหละ
มู่น่อนน่อนกอดคอของเขาไว้ด้วยจิตใต้สำนึก และสมองของเขาขาดข้องสักพักจึงได้สังเกตถึงว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเป็นอะไรกัน
เธอดิ้นรนอยู่ในกอดของเขา “เฉินเจียฉิน”ปล่อยฉัน”
เฉินถิงเซียวอ้อมเธออย่างหนาแน่ ไม่ใส่ใจคำพูดของเธอสักนิด กอดเธอไปถึงที่นั่งรถโยยตรง
พอถึงที่นั่ง มู่น่อนน่อนก็หมายจะเปิดประตูออกไป
เฉินถิงเซียวคิดถึงจุดมุ่งหมายของมู่น่อนน่อนล่วงหน้าแล้ว มือข้างหนึ่งของเขาดึงประตูรถ และอีกข้างหนึ่งวางอยู่บนกรอบประตูยิ้มหัวว่า “ถ้าคุณกล้าออกไป ผมก็จะจูบแล้วน้อ”
พอได้ยินคำพูดนั้นมู่น่อนน่อนเอ่ยปากพูดสองคำออกว่า “หน้าด้าน”
เฉินถิงเซียวปิดประตูรถลงแล้วเข้านั่งอยู่รถเดินทางออกไป
มู่น่อนน่อนเอียงหัวไปถึงอีกด้านหนึ่ง เธอเบื่อกับผู้ชายคนที่อยู่ในข้างๆขี้เกียจมองหน้าเขา
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้มองหน้าเธอ สายตาของเธอมองแต่ทางข้างหน้าและพูดอย่างใจเย็นว่า “คุณยังไม่ได้ตอบคำถามของผมเลย”
มู่น่อนน่อนหยุดสักพักและคิดถึงแล้วว่าเมื่อกี้เขาเย้ยหยันถามว่าตั้งใจจะหาเรื่องหรือเปล่า
มู่น่อนน่อนหันหัวถลึงตาเขาและว่า “ฉันคิดว่า คนที่อยากหาเรื่องนั้นเป็นคุณต่างหาก”
เฉินถิงเซียวยลมู่น่อนน่อนและยิ้มยั่วว่า “สามีของคุณเป็นคนที่มีอนาคตดีที่สุดในเมืองหู้หยางผมกล้าหาเรื่องคุณได้ยังไง ”
ฟังแล้วประโยคนี้มีทั้งความยกย่องและความเย้ยหยัน
โดยสรุปแล้ว มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า ‘เฉินเจียฉิน’ แปลกมาก
เธอดู ‘เฉินเจียฉิน’ ตั้งแต่หัวจรดเท้า รู้สึกว่าเขาก็ไม่มีความต่างกันที่ไม่เหมือนคนธรรมดา
แต่ว่า ‘เฉินเจียฉิน’ ได้ดูการสัมภาษณ์ของเธอไปแล้ว ก็แสดงว่าเฉินถิงเซียวก็คงได้ดูแล้วเหมือนกัน
พอคิดถึงอย่างนี้แล้ว เธอก็รู้สึกว่าไม่สบายใจอยู่หน่อย
ท่าทีของตระกูลเฉินชัดเจนอยู่ตลอดมา พวกเขาแค่ปราบข่าวฮิตที่เกี่ยวข้องกับเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้มีวิธีการอะไรอื่นแล้ว นี่ก็หมายความว่าแค่ไม่เกี่ยวกับเฉินถิงเซียวพวกเขาก็จะไม่ไปยุ่งเรื่องระหว่างครอบครัวของมู่น่อนน่อน
การสัมภาษณ์ในวันนี้ คำถามของนักข่าวที่เกี่ยวข้องกับเฉินถิงเซียวนั้นมันมากเกินไปแล้ว และคำตอบของเธอที่ดึงดันนั้นมันจะทำให้เฉินถิงเซียวรู้สึกน่าสะอิดสะเอียนหรือเปล่า
คิดแล้วคิดอีก มู่น่อนน่อนตัดสินใจว่าถาม ‘เฉินเจียฉิน’ ก่อนจะดีกว่า “พี่ชายคุณได้ดูการสัมภาษณ์หรือยังคะ”
เฉินถิงเซียวรู้ความหมายแฝงของเธอจึงตอบว่า “ดูแล้ว”
มู่น่อนน่อนถามเบาๆต่อว่า “แล้วเขา……”
เฉินถิงเซียวตอบแบบสีหน้าธรรมดาๆว่า “เขาโกรธมาก”
พอได้ยินแบบนั้นมู่น่อนน่อนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นอีก
เธอมองไปข้างนอกพบว่านี่ไม่ใช่ทางกลับจึงถามว่า “เราจะไปไหน ฉันจะกลับบ้านพัก”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบสนองอะไรและดูท่าทีแล้วท่าทีเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเธอ เขาขับรถจนถึงคลินิกแห่งหนึ่ง
เขาออกจากรถแล้วเปิดประตูรถให้มู่น่อนน่อน“ลงมาเองได้ไหม หรือว่า……ให้ผมกอด”
พอได้ยินคำพูดนี้มู่น่อนน่อนก็รีบก้มเอวลงรถ
“คุณจะซื้อยาหรือ” มู่น่อนน่อนเห็นเขาเดินเข้าคลินิกจึงถามด้วยความแปลกใจ
แต่ผู้ชายที่เดินอยู่ข้างหน้าเธอนั้นนอกจากเดินต่อแล้วก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปก็ได้ยินเขาพูดกับหมอว่า “ขาของเธอบาดเจ็บแล้ว คุณหมอช่วยดูหน่อย”
มู่น่อนน่อนคิดไม่ถึงเลยว่า ‘เฉินเจียฉิน’ ขับรถมาคลินิกคือเพื่อพาเธอมาหาหมอ
คุณหมอได้ยินคำพูดของเขาแล้วจึงพูดกับมู่น่อนน่อนด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “เข้ามาด้านใน ให้หมอดูว่าบาดเจ็บตรงไหน”
“ขาของฉันไม่เป็นอะไรหรอก ไม่เป็นไรค่ะ” มู่น่อนน่อนพูดไปและมอง “เฉินเจียฉิน”ไป
คุณหมอฟังแล้วไปมองเฉินถิงเซียวและยิ้มกับมู่น่อนน่อนว่า “แฟนเธอก็เป็นห่วง เธอให้หมอตรวจหน่อยเถอะ”
มู่น่อนน่อนโต้แย้งทันทีว่า “เราสองคนไม่เป็นแฟนกัน”
เฉินถิงเซียวแค่ชี้ไปทางไกลๆแล้วพูดว่า “ให้หมอหญิงช่วยตรวจดีกว่า”
หมอหญิงเดินเข้ามา พอได้เห็นเฉินถิงเซียวก็หน้าแดงไปหมด แล้วก็ตรวจเข่าของมู่น่อนน่อนอย่างอ่อนนุ่ม
ขาของเธอทั้งขาวและตรง หมอหญิงชมอย่างจริงใจว่า “ขาของเธอสวยจริงๆนะ”
พอนึกคิดว่ามู่ เฉินเจียฉินยังยืนอยู่ตรงข้างๆ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกไม่สบายใจ สำหรับเธอแล้วบาดเจ็บอย่างนี้แค่นิดเดียวเองไม่จำเป็นต้องมาคลินิก ก็ไม่รู้ว่า ทำไม “เฉินเจียฉิน” ถึงคิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่
และเวลาเธอหันหัวไป สอบตากับ“เฉินเจียฉิน”พอดี
เขามองขาเธอเหมือนไม่ใช่ตั้งใจแล้วพูดว่า “เธอก็ทนล้มนะ”
เวลาที่เขาเห็นเธอล้มพื้นดิน เขาคิดว่าบาดเจ็บเป็นหนัก
และสิ่งที่ยากเชื่ออีกอย่างก็คือ ฟังคำพูดของเขาแล้วเหมือนว่าแค่แสดงความรู้สึกเฉยๆไม่มีการประชดอยู่ในนั้น
……
แม้ว่าขาของมู่น่อนน่อนไม่เป็นอะไรมาก แต่หมอก็ให้เธอเอาน้ำยากลับไปทา
ออกจากคลินิกแล้วเฉินถิงเซียวตรงไปเปิดประตูรถ พอถึงจุดหยุดรถจึงสังเกตว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้ตามมาเธอยังยืนอยู่หน้าคลินิก
เขาหันตัวยิ้มพูดกับมู่น่อนน่อนว่า “เจ็บขา เดินไม่ได้หรือ หรือว่าจะให้ผมไปอุ้ม”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตัวเองก็เป็นคนนิสัยไม่ดีอยู่แล้ว แต่เธอไม่เคยเจอคนหน้าด้านเหมือน “เฉินเจียฉิน”แต่ก่อน
เธอทำหน้าไม่ดีใจว่า “วันนี้ขอบคุณมาก และคุณไปทำธุระเถอะฉันเรียกรถกลับเองได้”
เฉินถิงเซียวเอียงรถและดูสีหน้าอดทนของเธอพูดเสียงเบาๆว่า “ผมไม่มีอะไร แค่ไปกินข้าวกับเพื่อน ไปด้วยกันเถอะ”
มู่น่อนน่อนหันตัวจากไป
เธอรู้ว่าพูดอะไรมากไปกว่านี้กับผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ทำไมเขาตามเธอมาตลอด
หรือว่า เขาเป็นคนชอบผู้หญิงขี้เหร่อย่างเธอหรือ
เธอยังไม่ได้ไปถึงไหนก็ได้ยินเสียงของ “เฉินเจียฉิน”ที่มาจากข้างหลัง
เขาเหมือนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
“อยู่ข้างนอกครับ ครับ พอดีเจอกับพี่สะใภ้เราสองคนไปกินข้าวเสร็จก็กลับครับ พี่คงไม่ถืออะไรหรอก ผมกับพี่สะใภ้…… ”
พอหยุดเดินมู่น่อนน่อนก็เห็นยิ้มมองเธอ และรอยยิ้มของเขายังแฝงด้วยความขู่เข็ญ
เธอรู้ดีแก่ใจว่า ถ้าเธอก้าวไปอีกก้าวเขาก็จะพูดคำว่า “พี่สะใภ้ยั่วยวนผม” ออก
เธอเดินมาถึงข้างหน้า “เฉินเจียฉิน”ด้วยความไม่เต็มใจ
สายตาของเขาเต็มไปด้วยความพอใจ “พี่สะใภ้ขึ้นรถก่อนเถอะ ผมยังมีเรื่องจะคุยกับพี่”
พอเห็นมู่น่อนน่อนขึ้นรถแล้วเขาก็เอามือถือออกมาถึงตรงหน้า มือถือยังถูกปิดอยู่เลย เมื่อกี้เขาไม่ได้คุยกับใคร
ตอนที่ 32 ข้ามถนนไม่ระมัดระวังอย่างนี้เธอตั้งใจหาเรื่องผมใช่ไหม
มู่น่อนน่อนหมายความว่านักข่าวนี้เป็นคนหน้าด้านที่มาถามเรื่องผัวเมียในสาธารณสถาน
และนักข่าวที่ถามคำถามคนนั้นก็รู้ความหมายของมู่น่อนน่อน
นักข่าวที่มาในวันนี้ติดสินบนของมู่ลี่เหยียนทั้งหมด จุดประสงค์หลักก็คือย้ายความสนใจของผู้คนจากมู่หวั่นขีไปถึงมู่น่อนน่อน มีแต่นักข่าวคนนี้คนเดียวเพื่อดึงดูดสายตามาถามเรื่องของเฉินถิงเซียว
ตระกูลเฉินมีสิทธิอิทธิพลใหญ่หลวง ไม่ค่อยมีคนกล้าไปรบกวน แต่ก็มีคนใจกล้าๆที่หาเรื่องเองอยู่
นักข่าวคนนี้ถูกหัวเราะจนหน้าหน้าชา จึงพูดต่อด้วยใจชั่วว่า “หน้าตาของเธอแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเฉินถิงเซียวอ่อนแอ ทำไมถึงแต่งงานกับเขาได้ เธอก็ไม่ต้องปิดบานอะไรแล้ว ผู้หญิงที่กล้าแย่งคู่หมั้นกับพี่สาวอย่างเธอ จะหาคนที่สามแน่นอนอยู่แล้ว”
แม้ว่ามู่น่อนน่อนยังไม่เคยเจอหน้ากับเฉินถิงเซียวแต่ในจิตใต้สำนึก เธอก็ไม่อยากให้เฉินถิงเซียวมาวุ่นวายกับเรื่องบ้าๆบอๆเหล่านี้
เฉินถิงเซียวมีนิสัยแปลกๆมีความเกี่ยวข้องกับการประสบการณ์ของเขา ไม่ว่าเขาอ่อนแอหรือไม่คนพวกนี้ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเล่าในสาธารณสถาน
“ไปหาคนที่สามหรือ ในเมืองหู้หยางยังมีผู้ชายคนไหนที่มีอนาคตดีกว่าเฉินถิงเซียวหรือ” มู่น่อนน่อนยิ้มย่องว่า “ชีวิตเราสองคนมีความสุขดี ถ้าเธอไม่เชื่อไปถามคุณสามีของฉันเฉินถิงเซียวก็ได้”
“แก……”
นักข่าวคาดคิดว่ามู่น่อนน่อนจะโมโหจนพูดคำด่า แต่ไม่คิดเลยว่าเธอใจเย็นแบบนี้ ใจเย็นจนเธอก็ไม่รู้ว่าเธอจะพูดอะไร
สำหรับเรื่องไปถามเฉินถิงเซียว?
แค่สิทธิ์ไปเจอเฉินถิงเซียวเธอก็ไม่มี และถ้าได้เจอจริงๆเธอก็แค่อยากเอาใจเฉินถิงเซียวกล้าถามคำถามแบบนี้ได้ยังไง
ถึงตอนนี้ นักข่าวคนอื่นจึงได้สำนึกว่า คนที่พวกเขาสัมภาษณ์นั้น ไม่เพียงแต่เป็นคุณหนูสามที่พ่อแม่ไม่ชอบ ยังเป็นคุณหญิงของตระกูลเฉินอีกด้วย
ถึงแม้ว่าดูท่าทีคุณหญิงคนใหม่นี้ไม่ค่อยได้ใจเท่าไร แต่เรื่องของตระกูลใหญ่นั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ดังนั้น คำถามของนักข่าวเหล่านี้ก็น่าฟังขึ้นมาแล้ว
“ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับมู่หวั่นขีพี่สาวเธอดีไหม”
มู่น่อนน่อนยิ้มละไม “ตอนเด็กๆฉันชอบพี่สาวมาก” พอโตขึ้นก็ไม่ชอบแล้ว
“คุณแม่ทำดีกับคุณกับพี่สาวคุณใช่ไหม”
“ค่ะ แม่เป็นคนดี” เซียวชู่เหอทำดีกับมู่หวั่นขีมาก
“……”
สุดท้ายแล้ว นักข่าวเหล่านี้จึงคิดถึงว่าตัวเองเอาเงินของมู่ลี่เหยียนไว้ จึงถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องวิดีโอต่อ
“มีคนพูดว่าความจริงแล้ววิดีโอนั้นคือคุณตั้งใจจะทำให้พี่สาวเธอโกรธ และจ้างคนไปถ่าย เธอเพื่อเก็งกำไรใช่ไหม”
มู่น่อนน่อนเงียบไปครึ่งนาทีแล้วพยักหัวตอบว่า “ใช่”
……
พอสัมภาษณ์เสร็จพวกนักข่าวจากไป มู่หวั่นขีก็เดินเข้ามาด้วยความโกรธเคือง “ให้เธอยอมว่าเธอแค่ทำข่าวกู ทำไมลังเลอย่างนั้น เธอตั้งใจทำใช่ไหม”
พูดจบแล้วเธอรู้สึกยังไม่ได้แก้แค้นและหมายจะตบหน้ามู่น่อนน่อนอีก
มู่น่อนน่อนแสร้งถอยครึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว ฝ่ามือของมู่หวั่นขีจึงไม่ได้ตบหน้ามู่น่อนน่อนอย่างที่เธอหมาย
พอเห็นแบบนี้มู่หวั่นขีก็แค้นขึ้นอีก ถลึงตากับมู่น่อนน่อนว่า “เธอกล้าหลีกด้วยหรือ”
“หวั่นขี” เสียงตะเบ็งของมู่ลี่เหยียนทำให้มู่หวั่นขีหยุดกิริยาอาการที่อยากจะตบหน้ามู่น่อนน่อน
พอได้เห็นมู่ลี่เหยียน มู่หวั่นขีก็เดินเข้าไปอย่างน้อยใจ “คุณพ่อ เมื่อกี้นักข่าวถามว่าเธอใช่ทำข่าวกูหรือเปล่า แต่เธอลังเลตั้งนาน”
มู่ลี่เหยียนมองมู่น่อนน่อนด้วยสายตาแบบตรวจสอบ
คำพูดที่มู่น่อนน่อนพูดกับนักข่าวนั้นเขาก็ได้ยินแล้ว และคำพูดฉลาดแบบนั้น ไม่น่าเชื่อว่าคือพูดออกโดยปากของคนโง่คนหนึ่ง
มู่น่อนน่อนมองไปทางมู่ลี่เหยียนถอดหน้ากากออกไปและพูดด้วยเสียงกริ่งเกรงว่า “คุณพ่อคะ หนูยังไม่ได้กินข้าวเช้า รู้สึกหิวแล้ว หนูอยากไป……”
“ไปเถอะ” มู่ลี่เหยียนมองไปทางเซียวชู่เหอและพูดว่า “คุณไปด้วย ช่วยซื้ออะไรให้ลูกกิน”
……
มู่น่อนน่อนและเซียวชู่เหอจึงเดินออกไปจากตึก
“น่อนน่อน” เซียวชู่เหอเดินเข้าจูมือของมู่น่อนน่อนอย่างกะทันหัน
มู่น่อนน่อนหันหัวมาและพูดอย่างสงบใจว่า “มีอะไรหรือคะ แม่”
“คุณชายเฉินเขา……” ดูท่าเซียวชู่เหอขวยใจเธอลังเลสักพักแล้วพูดต่อว่า “เขาเหมือนที่เขาเล่ากันหรือเปล่า หรือว่าร่างกายของเขาไม่มีปัญหาไร”
มู่น่อนน่อนตะลึงเป็นเวลาหนึ่งแล้วก็ทำท่าทางที่รู้สึกอายเหนียมว่า “ทำไมแม่ถึงถามคำถามแบบนี้”
เซียวชู่เหอเห็นท่าทางเธอแบบนี้แล้ว ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เธอต้องพูดความจริงกับแม่ ร่างกายเฉินถิงเซียวแข็งแรงหรือเปล่าดี ถ้าเขาไม่มีปัญหาเธอก็ไม่สมที่เข้าคู่กับเขา พี่สาวเธอเป็นคู่หมั้นที่คุณนายเขาเลือกไว้เดิม”
ตอนนี้มู่น่อนน่อนรู้สึกประหลาดใจไปหมดเลย
ตามที่เธอเข้าใจ เซียวชู่เหอหมายความว่าถ้าเฉินถิงเซียวแข็งแรงดี ก็ให้เธอหย่ากับเฉินถิงเซียวและให้มู่หวั่นขีแต่งงานกับเขา
มู่น่อนน่อนยิ้มเยาะว่า “ถ้าเฉินถิงเซียวไม่ได้เป็นคนวิกลและมีร่างกายแข็งแรง เขาก็ไม่มีวันจะมาเลือกฉันหรือมู่หวั่นขีหรอก”
หลายปีมานี้เพื่อให้เซียวชู่เหอดีใจเธออำพรางเป็นคนโง่ตลอดมา และตอนนี้เธอเหนื่อยแล้ว ไม่อยากพรางต่อแล้ว
“เธอเป็นพี่สาวแกนะ” เซียวชู่เหอไม่พอใจที่มู่น่อนน่อนเรียกชื่อมู่หวั่นขีตรงๆ
มู่น่อนน่อนแค่ถามว่า “ฉันใช่ลูกสาวแท้ๆของแม่ไหมคะ”
เซียวชู่เหอขมวดคิ้วขึ้นอีก “น่อนน่อนเธอพูดอย่างนี้ได้ยังไง เมื่อก่อนเธอไม่ใช่คนแบบนี้”
เป็นเพราะว่าเมื่อก่อนเธอยอมเป็นคนโง่ตามใจสมหวังกับพวกเขาเอง
แต่ตอนนี้เธอไม่อยากน้อยใจต่อไปแล้ว
เธอไม่อย่าพูดกับเซียวชู่เหออะไรอื่นแล้ว จึงหันตัวจากไป เซียวชู่เหอเรียกเธอในข้างหลังเธอก็ไม่สนใจ และไม่กี่นาทีเธอก็หายไปในท่ามกลางฝูงคน
แต่เซียวชู่เหอเป็นแม่แท้ๆของเธอ ในใจเธอก็รู้สึกเศร้ามาก
เธอเดินในหลังสุดคนและข้ามถนนอย่างใจลอย
ในขณะนั้น เสียงปี่ของรถดังขึ้นมา เธอเงยหัวไปดูจึงถูกสะดุดล้มด้วยสิ่งของอะไรก็ไม่รู้ที่อยู่บนท้องถนน
แม้ว่าตอนนี้อยู่ในฤดูหนาวเธอใส่เสื้อหนาๆอยู่ แต่ก็รู้สึกเจ็บมากเหลือเกิน
และมีเสียงเปิดประตูรถผ่านเข้ามาถึงหู เธอเงยหัวขึ้นไปดูแต่ยังไม่ทันมองหน้าของคนนั้นได้ชัดก็ได้ยินเสียงที่คุ้นๆว่า “มู่น่อนน่อนข้ามถนนอย่างนี้เธอตั้งใจจะหาเรื่องหรือ”
พอได้สังเกตดูดีๆแล้วมู่น่อนน่อนก็พบว่า “ผู้ชายที่ใส่เสือสุภาพอยู่ต่อหน้านี้เป็นเฉินเจียฉินแท้ๆ”
ตอนนี้เธอกำลังอารมณ์เสียงอยู่และก็ยิ่งไม่อยากเห็นหน้าผู้ชายคนนี้อีกด้วย
เธออดทนความเจ็บปวดออกจากพื้นและหันตัวอยากจะไป แต่มีฝ่ามือที่ใหญ่ๆตัวหนึ่งดึงข้อมือของเธอไว้ และพูดด้วยเสียงต่ำๆว่า “บาดเจ็บแล้วหรือ”
มู่น่อนน่อนไม่พูดอะไรกับเขา เธออยากเหวี่ยงมือของเขาแต่ไม่สำเร็จ
และในวินาทีที่ถัดไป เธอก็ถูก‘ เฉินเจียฉิน ’อ้อมขึ้นมา ตัวร่างของมู่น่อนน่อนทั้งตัวก็อยู่ในอกของเขา
ตอนที่ 31 ให้เธอยอมว่าเธอโฆษณาเกินจริง
มู่น่อนน่อนเอียงหัวไปอีกข้างหนึ่งเพื่อเลี่ยงสายตาอันคมกริบของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบว่า “ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“งั้นเกี่ยวกับใครหรือครับ”
เฉินถิงเซียว จ้องมองเธออย่างกระชั้นชิด และตัวร่างของเขาที่สง่างามกีดขวางทางถอยของเธอไปหมดทำให้เธอไม่เหลือโอกาสหนีไปสักนิด
มู่น่อนน่อนได้ดมกลิ่นสุขุมอันพิเศษของเขา แต่ก็ไม่ได้ให้บรรยากาศของเขาที่มีความกดขี่เบาลงสักนิด
หัวใจของเธอเต้นเร็วเป็นอย่างมาก เธอรู้สึกว่าแค่พูดเพิ่มอีกคำก็จะกลายเป็นข้อบกพร่องไป
“เฉินเจียฉิน” ไม่ใช่คุณชายธรรมดาที่โง่เง่า เขาฉลาดกว่าที่เธอคิดไปหลายเท่า
“ไม่พูดอีกแล้วหรือ” เฉินถิงเซียวถอยไปครึ่งก้าวอย่างกะทันหัน
มู่น่อนน่อนคิดว่าสุดท้ายเขาก็ยอมปล่อยเธอไปแล้ว แต่วินาทีถัดไป หัวใจของเธอก็ถูกยกขึ้นอีก
เฉินถิงเซียวมองหน้าเธอแล้วพูดอย่างสะเพร่าว่า “ไปล้างหน้า”
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปากหนึ่งที ทันใดนั้นก็มองไปทางประตูโรงอาหารโดยสีหน้าประหลาดใจแล้วพูดว่า “คุณพ่อ”
เฉินถิงเซียวฟังแล้วพูดแบบไม่ใส่ใจว่า “เกมเล็กๆแบบนี้ ไร้สาระมากเลย”
บนใบหน้าของมู่น่อนน่อนนั้นไม่ได้สังเกตถึงความขัดเขินที่ถูกเขาเปิดโปง กลับขมวดคิ้วและแสดงความอึดอัดใจทั้งหน้า
เฉินถิงเซียวเกิดความสงสัยขึ้นมา จึงหันตัวไปมองข้างหลัง แต่ปรากฏว่าข้างหลังไม่ได้มีอะไรเลย
ในยามที่เขาหันตัวไปมู่น่อนน่อนก็วิ่งหนีไปทันที
เฉินถิงเซียวตะลึงอยู่สักสองสามวินาทีแล้วก็ก้าวเท้าหมายจะไล่ตามไป แต่ยังไม่ก้าวไปก็หยุดเท้าอย่างรวดเร็ว
ใจเย็นๆ ยังมีเวลาอีกมากมาย
เขาหันตัวกลับนั่งที่โต๊ะอาหารแล้วกินข้าวต่อ
อร่อยกว่าฝีมือของพวกลูกน้องจริงๆด้วย
……
มู่น่อนน่อนวิ่งเข้ากลับถึงห้องตัวเอง แล้วก็พิงประตูหมอบไปหายใจลึกๆ
เมื่อกี้ “เฉินเจียฉิน”ทำให้เธอตกใจหมดเลย
แม้ว่าเธอไม่ใช่ตั้งใจทำตัวเป็นคนน่าเกลียด แต่ถ้าจะอธิบายก็จะก่อเรื่องวุ่นวายที่ไม่จำเป็นขึ้นมาอีกมากมาย
หลังจากเรื่องนี้ “เฉินเจียฉิน”ก็เป็นคนอันตรายมากทีเดียวสำหรับเธอแล้ว ถ้าเขาไม่ย้ายออกไป เธอก็จะหาทางย้ายออกไปแน่นอน
หลังอาบน้ำเสร็จแล้วนอนบนเตียงโดยใจหมกมุ่นมู่น่อนน่อนก็ได้รับสายของเสิ่นเหลียง
“น่อนน่อน Weiboของบริษัทมู่ซื่อประกาศว่าพรุ่งนี้จะอธิบายรายละเอียดของเรื่องวิดีโออย่างเปิดเผย จุดประสงค์ของเขาคืออะไร”
มู่น่อนน่อนเย้ยหยันว่า “พวกเขาอยากให้ฉันไปอธิบาย ‘ ความเข้าใจผิด’ กับสื่อมวลชนด้วยตัวเอง”
“วิดีโอนั้นเป็นหลักฐานแท้ๆอยู่แล้ว พวกเขาอยากให้เธออธิบายยังไง อยากจะให้เธอเป็นแพะรับบาปหรือ” น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงเต็มไปด้วยความโกรธ
มู่น่อนน่อนพูดอย่างไม่แคร์ว่า “ไม่เป็นไรหรอก แล้วแต่เขา”
เธอเอาใจอารมณ์เสิ่นเหลียงแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ดูWeibo เห็นว่าWeiboของบริษัทมู่ซื่อได้ประกาศข่าวนี้จริงๆ
พรุ่งนี้คนในตระกูลมู่คงจะมาหาเธอแล้ว
เดาไม่ผิดจริงๆ เช้าวันรุ่งขึ้น มู่ลี่เหยียนก็โทรหาเสิ่นเสี่ยวยี่
“พอดีบริษัทเรามีงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในวันนี้ เธอไปดูเลเวทีและแวะอธิบายเรื่องวิดีโอหน่อย ”
มู่น่อนน่อนตอบด้วยเสียงน่ารัก “ค่ะ”
……
มู่น่อนน่อนมองไปรอบข้างอย่างระมัดระวังในเวลาที่เธอเปิดประตูออกไป พอสังเกตว่าไม่มีบุคคลที่น่าสงสัยเหมือน “เฉินเจียฉิน”เธอจึงกล้านำกระเป๋าออกไป
เธอแค่กินอาหารง่ายๆนิดหน่อยในระหว่างทางแล้วก็ไปงาน
เธอเห็นเซียวชู่เหอกำลังยืนอยู่หน้าประตูเหลือบแลอยู่ ดูท่าทางแล้วคงจะรอเธออยู่
พอได้เห็นมู่น่อนน่อน เซียวชู่เหอก็เดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ทำไมมาช้าอย่างนี้ และเธอใส่หน้ากากมาทำไม”
มู่น่อนน่อนพูดเบาๆเพื่อให้เกิดเสียงแหบว่า “เป็นหวัดนิดหน่อย”
เซียวชู่เหอก็ไม่ได้ถามอะไรต่อแล้วก็พาเธอไปถึงห้องประชุม
มู่ลี่เหยียนกับมู่หวั่นขีก็อยู่ห้องประชุม
มู่หวั่นขีเหี่ยวบทปราศรัยที่เตรียมไว้อยู่ในมือให้เธอและพูดว่า “เดี๋ยวนักข่าวจะถามคำถาม เธอตอบตามบทนี้ก็แล้วแต่”
มู่น่อนน่อนเปิดบทดูและสายตาของเธอแวบแววตาที่เยาะเย้ยอย่างรวดเร็ว
โดยสรุปแล้วเนื้อหาของบทปราศรัยมีแต่จุดมุ่งหมายเดียว นั่นก็คือให้มู่น่อนน่อนรับโทษทั้งหมด ให้เธอยอมว่าหัวข้อที่ว่า “คนขี้เหร่มักจะเรื่องมาก”อยู่บนWeiboและเรื่องวิดีโอที่เกิดมาทีหลังนั้นเป็นฝีมือของเธอเอง ให้เธอยอมว่าตัวเธอเองโฆษณาเกินจริง
พวกเขาคิดได้รอบคอบจริงๆ เพราะวันหลังเขาจะเป็นคนเขียนบท แม้ว่าแค่เป็นคนเบื้องหลัง แต่ก็เป็นคนในวงการอยู่ พูดว่าเธอโฆษณาเกินจริงก็ได้
เพียงไม่กี่นาทีนี้เอง ผู้ช่วยของมู่ลี่เหยียนก็เคาะประตูเข้ามาและพูดว่า “คุฌมู่ครับ เรียบร้อยแล้วครับ”
“ครับ” มู่ลี่เหยียนมองมู่น่อนน่อนแล้วพูดแกร่งกร้านว่า “จำเนื้อหาในบทปราศรัยได้หรือยัง แต่ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เธอแค่รู้ว่าทั้งหมดนี้คือความผิดของเธอทั้งนั้นก็พอ”
“ค่ะ” มู่น่อนน่อนแสดงความเห็นด้วยโดยพยักหน้า
ประตูของห้องประชุมถูกผลักขึ้น แล้วก็มีฝูงนักข่าวตามเข้ามาด้วย
เธอรู้ดีแก่ใจว่า นักข่าวเหล่านี้ติดสินบนของพวกมู่ลี่เหยียนอยู่แล้ว ถ้าคำพูดของเธอไม่เหมือนบทปราศรัยก็จะไม่แถลงออกไปอย่างแน่นอน
มู่น่อนน่อนเรียนที่คณะภาพยนตร์ เรื่องในวงการนั้นเธอก็รู้อยู่ไม่น้อย โดยบังเอิญเธอก็สังเกตว่า ไซน์ที่อยู่ในไมโครโฟนนั้นคุ้นๆอยู่ ถ้าเธอจำไม่ผิดนั่นก็คือบริษัทเสิ้งติ่งแห่งหนึ่ง
บริษัทเสิ้งติ่งเป็นกลุ่มบริษัทครอบคลุมที่ใหญ่ที่สุดในวงการ มีเงินเยอะและวางตัวสูงไม่เคยสนใจบริษัทอื่น ผู้ก่อตั้งมีสายตาที่คมเฉียบ และลูกจ้างในบริษัทก็มีนิสัยที่ดื้อรั้น สมมุติว่ายากที่จะถูกติดสินบน
พอการสัมภาษณ์เริ่ม มู่น่อนน่อนก็ถูกไมโครโฟนที่มีไซน์ของบริษัทเสิ้งติ่งโอบล้อม
“คุณมู่คะ ขอถามหน่อยว่า เนื้อหาที่อยู่ในวิดีโอครั้งหน้าและเรื่องที่มู่หวั่นขีพี่สาวคุณพูดนั้นเป็นความจริงไหม และคุณแต่งงานเข้าไปตระกูลเฉินนั้นโดยจำใจ ใช่ไหม”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ถอดหน้ากากออกมา ตะลึงไปสักพักแล้วจึงตอบว่า “ไม่ใช่ค่ะ ฉันอยากแต่งงานเองค่ะ”
ปฏิกิริยาของเธอทั้งหมดนี้ บรรดานักข่าวก็เห็นกับตา เมื่อก่อนก็ได้ยินว่าคุณหนูสามตระกูลมู่นั้นเป็นคนโง่ และวันนี้ก็รู้สึกว่าสมองของเธอมีปัญหาจริงๆ
พอได้ฟังแบบนี้สามคนรวมมู่ลี่เหยียนต่างก็รู้สึกมีความพอใจ
“เพื่อแต่งงานกับเศรษฐี คุณจึงแทนพี่สาวคุณแต่งงานกับตระกูลเฉินใช่ไหมครับ”
“เธอเป็นพี่สาวแท้ๆของคุณ คุณทำอย่างนี้ได้ยังไง และหน้าตาของเธอแบบนี้ คุณชายเฉินก็ชอบหรอก”
“เธอหน้าด้านแบบนี้ กล้าแย่งคู่หมั้นของพี่สาว มิน่าเล่าคุณแม่ของเธอก็ไม่ใส่ใจเธอ……”
“เธอเป็นโรคจิตตั้งมาแต่เด็กใช่ไหม”
คำถามของนักข่าวมีแล้วมีอีก จะพูดว่าทำร้ายจิตใจมู่น่อนน่อนก็ได้แล้ว
ยังมีนักข่าวที่มีใจกล้าๆไม่กลัวอำนาจของตระกูลมู่ถามเธอว่า “คุณชายเฉินอ่อนแอเหมือนที่เขาเล่ากันมาจริงๆหรือเปล่า เพื่อเงินแล้วคุณยอมอยู่โดยสถานภาพเป็นมายตลอดชีวิตไหมคะ วันหลังคุณจะหาคนที่สามไหมคะ”
พวกนักข่าวที่ไร้น้ำใจเพื่อดึงดูดสายตาของคนอื่นไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าความดีมันคืออะไรเลย
มู่น่อนน่อนมองนักข่าวคนนั้น ครึ่งหน้าของเธอถูกหน้ากากคลุม และบนหน้าผักของเธอก็มีผมม้าที่หนักๆคลุมอยู่ ในหน้าของเธอสิ่งที่เห็นได้ชัดมีแต่ดวงตาของเธอที่สว่าง
เมื่อถูกมู่น่อนน่อนมองแบบนี้นักข่าวคนนั้นรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
และในเวลานี้มู่น่อนน่อนเอ่ยปากว่า “แม้ว่าคุณมีนิสัยชอบสืบค้นดูเรื่องผัวเมีย แต่ฉันไม่ชอบเอาเรื่องระหว่างฉันกับสามีฉันมาเปิดเผย เพราะว่า ฉันเป็นคนที่รู้ความอาย”
พอเธอพูดจบ นักข่าวคนอื่นก็หัวเราะขึ้นมา
ตอนที่ 30 เธอคิดจะให้เราสองพี่น้องผิดใจกันหรือไง?
เธอวิ่งไปที่ห้องน้ำ มองใบหน้าที่อัปลักษณ์ของตัวเองในกระจก ยังไงเธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไม “เฉินเจียฉิน” ถึงชอบหาเรื่องเธอตั้งหลายครั้งหลายคราว
ใช่ว่าเธอจะไม่เคยได้ยินว่า ในแวดวงของสังคมชั้นสูง มีบางคนที่มีความชอบส่วนตัวแปลก ๆ
หรือเป็นเพราะว่าเธอมีศักดิ์เป็นพี่สะใภ้ของเขา พอทำแบบนี้ถึงจะทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น?
ทันทีที่มีความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว เธอก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันใด
ครั้งแรกที่เธอพบกับ “เฉินเจียฉิน” เธอคิดว่า เฉินเจียฉิน เป็นแค่คุณชายเสเพลคนหนึ่งเท่านั้น
แต่เมื่อครั้งที่เธอได้รับบาดแผลจากกระสุนปืน เธอก็เปลี่ยนความคิดต่อเขาไปอย่างสิ้นเชิง
เขาเป็นคนที่หน้าตาดี ฐานะของครอบครัวก็ดี มีความเพียรมุมานะเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไป เพียงเท่านี้ เธอแน่ใจได้เลยว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ๆ
และผู้ชายที่ไม่ธรรมดาคนนี้ กลับชอบที่จะ…หาเรื่องเธอ?
ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้กันนะ?
…
หรือเพราะเขามีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ มู่น่อนน่อนทำกับข้าวอย่างใจลอย
หลังจากที่ทำเนื้อเสียไปสองชิ้น เธอถึงดึงสติกลับมาได้
เธอคิดว่าจะเชื่อ “เฉินเจียฉิน”สักครั้ง ทำกับข้าวตามที่เขาบอก
หลังจากที่เธอปรุงอาหารเสร็จ ก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถอยู่ที่ประตูบ้าน
เฉินถิงเซียวกลับมาแล้วเหรอ?
ถ้าเธอออกไปตอนนี้ จะเจอเขาไหมนะ?
เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ในใจก็ประหม่าเล็กน้อย
เมื่อเธอถอดผ้ากันเปื้อนออก และเดินออกไป ก็เจอแค่ สือเย่เพียงคนเดียว
เขาเดินถือกล่องกระดาษใบหนึ่งเข้าไปในห้องรับแขก เมื่อเขามองเห็นมู่น่อนน่อนเขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็ก้มหัวลงคำนับเล็กน้อย แล้วพูดอย่างสุภาพ: “คุณนายน้อย”
มู่น่อนน่อนพยักหน้ารับ แล้วถามเขาว่า: “เฉินถิงเซียวกลับมาแล้วเหรอ?”
“คุณชายขึ้นไปชั้นบนแล้วครับ” หลายวันผ่านไป สือเย่ก็เรียนรู้ที่จะช่วยเฉินถิงเซียวโกหกหน้าตาย
มู่น่อนน่อนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก: “เขาน่าจะยังไม่ได้กินข้าว ฉันเพิ่งทำอาหารเสร็จ”
สือเย่เป็นคนฉลาด พอฟังปุ๊บก็เข้าใจความหมายของมู่น่อนน่อน
“ผมเอาเอกสารไปให้คุณชายก่อน แล้วผมจะถามเขาให้ว่าจะลงมาทานอาหารชั้นล่าง หรือจะให้ยกอาหารขึ้นไปทานชั้นบนนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
…
สือเย่ถือกล่องเอกสารไปที่ห้องหนังสือของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียว กำลังโทรศัพท์อยู่
เมื่อได้ยินเสียงผลักประตูดังขึ้นจากด้านหลัง เขารู้โดยไม่ต้องหันไปมองว่านั้นคือสือเย่
เมื่อเฉินถิงเซียวโทรศัพท์เสร็จ สือเย่ก็หยิบเอกสารทั้งหมดในกล่องออกมา จัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยบนโต๊ะทำงาน
เมื่อเห็นว่าสือเย่ยังไม่ออกไปจากห้อง เขาจึงถามไปว่า “ยังมีอะไรอีก?”
“คุณนายน้อย บอกว่าทำอาหารให้คุณชายทานครับ”
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้น เขายังไม่ตอบในทันที เขาหักนิ้วมือเล่นไปมาอย่างไม่มีใครอธิบายสาเหตุได้ จากนั้นก็พูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “อ๋อ ฉันรู้แล้ว”
สือเย่รู้สึกว่าตั้งแต่คุณนายน้อยแต่งเข้ามา คุณชายก็ทำตัวแปลกขึ้นทุกวัน
…
มู่น่อนน่อนรอไปรอมา ไม่เห็นสือเย่ลงมาสักที
เธอกำลังจะขึ้นไปชั้นบน แต่กลับเห็น “เฉินเจียฉิน” เดินลงมาอย่างช้า ๆ
มู่น่อนน่อนมองดูเขาด้วยความระแวง สีหน้าระแวดระวังก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว แต่ก็อดไม่ได้เลยถามไปว่า “เมื่อกี้คุณบอกว่าตอนเย็นมีนัดกินข้าวนอกบ้านไม่ใช่เหรอ?”
“อืม” เฉินถิงเซียวตอบคำหนึ่ง จากนั้นก็เดินผ่านหน้าเธอ ตรงไปที่ห้องอาหาร
บนโต๊ะอาหารมีอาหารหน้าตาดีอยู่หลายอย่าง นอกจากอาหารที่เขาบอกไปสามอย่างนั้นแล้วมู่น่อนน่อนยังทำไก่ผัดเผ็ดอีกอย่างหนึ่ง
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วและเดินตามหลังเขาไป: “ทำไมคุณถึงยังไม่ออกไปข้างนอกล่ะ?”
“ฉันบอกว่า จะไปเหรอ?” เฉินถิงเซียวนั่งลงที่โต๊ะอาหาร แววตาราบเรียบมองไปที่มู่น่อนน่อนแวบหนึ่ง
ยังไงก็ตามมู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเขากำลังได้ใจ!
ตอนที่เฉินถิงเซียวอยู่ที่บ้านตระกูลมู่เขาแทบไม่ได้กินอะไรเลย ก็เลยรู้สึกหิวอยู่แล้ว เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาและทำท่าเหมือนว่าจะเริ่มลงมือกิน
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปใกล้ กะว่าจะไปคว้าตะเกียบในมือของเขา: “ฉันไม่ได้ทำให้คุณกินสักหน่อย … ”
เฉินถิงเซียว พอจะเดาออกว่าเธอจะเดินมาคว้าตะเกียบที่ตนถืออยู่ เขาเลยยกแขนยาวๆของเขาขึ้น ทำให้เธอคว้าอากาศแทนตะเกียบ เธอเสียหลักโน้มตัวไปทางด้านหน้า
เธอเอามือป้องหน้ากับหัวไว้โดยสัญชาตญาณ เมื่อเธอล้มลงไปกระทบกับหน้าอกที่แข็งแกร่งนั้น เสียงของ “เฉินเจียฉิน” ดังมาจากด้านบน: “ตอนนี้พี่ชายของฉันอยู่ที่บ้าน เธอก็ยังเอาตัวเข้ามาให้ฉันกอด นี่เธอคิดจะให้เราสองพี่น้องผิดใจกันหรือไง?
มู่น่อนน่อน คลายมือที่ป้องหน้ากับศีรษะไว้ พอลืมตาขึ้นมา ก็เห็นใบหน้าที่ดูเหมือนหัวเราะแต่ไม่หัวเราะของ เฉินเจียฉิน
“เฉินเจียฉิน” ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหาร ขณะที่มู่น่อนน่อนนั่งอยู่บนตักของเขา ทั้งตัวของเธออยู่ในอ้อมแขนของเขา!
ท่าทางของทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันมาก หากมีใครเกิดมาเห็นเข้า…
มู่น่อนน่อนตกใจจนสีหน้าเปลี่ยน ดิ้นรนเพื่อจะลุกขึ้น และในเวลานั้นเองสือเย่เดินเข้ามาในห้องอาหารพอดี
“คุณชายบอกว่า … “เมื่อสือเย่มองเห็นภาพตรงหน้า สีหน้าที่จริงจังของเขาเปลี่ยนเป็นแปลกใจแวบหนึ่ง
ด้วยความสามารถในการปรับตัวได้ที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมของเขา ทำให้เขาสามารถกลับสู่สีหน้าปกติได้อย่างรวดเร็ว: “คุณชายบอกว่า เขาไม่หิวครับ”
จากนั้น เขาก็หันหลัง และเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เขาเห็นอะไร?
คุณชายกับคุณนายน้อยอยู่ในห้องอาหาร ก็ …
ไม่ถูก ตอนนี้คุณชายอยู่ในฐานะน้องชายลูกพี่ลูกน้อง”เฉินเจียฉิน” เขาเป็นคนของคุณชาย การแสดงออกเมื่อครู่ดูจะนิ่งไปหรือเปล่า?
หรือจะกลับไปอีกรอบ…แต่ก็ช่างเถอะ เขาไม่อยากกลับไปรบกวนคุณชาย
แต่ว่าไปแล้ว รสนิยมของคุณชายแปลกดีเหมือนกันนะ…
…
ในห้องอาหาร
มู่น่อนน่อนมองดูสือเย่เข้ามาและจากไป ตัวเธอเองรู้สึกงงอึ้งไปพักหนึ่ง
เฉินถิงเซียวมองดูสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แววตาของเขามีความสะใจแวบเข้ามาครู่หนึ่ง จากนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว เขาพูดเปรยขึ้นมาอย่างช้า ๆ: “เธอลองเดาสิ ว่าสือเย่จะเอาเรื่องที่เห็นวันนี้ไปบอกพี่เขาหรือเปล่า?”
มู่น่อนน่อนปฏิเสธเขาทันควัน: “เราไม่ได้มีอะไรกันนี่!”
เธอพยายามจะลุกขึ้น แต่เฉินถิงเซียวไม่ยอมปล่อยมือ ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ออกแรงอะไรด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าเธอจะดิ้นยังไงก็ดิ้นไม่หลุด
เธอทั้งโกรธทั้งกังวล หูของเธอแดงก่ำ: “เฉินเจียฉิน! มันจะมากเกินไปแล้วนะ!”
เฉินถิงเซียวสังเกตเห็นว่าหูของเธอแดงก่ำ แต่สีหน้ากลับไม่เห็นมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ด้วยความแปลกใจเขาจึงก้มหัวลงเล็กน้อย จึงสังเกตเห็นว่าบนใบหน้าของเธอเหมือนจะมีอะไรฉาบอยู่ชั้นหนึ่ง
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นใช้นิ้วถูๆไปที่ใบหน้าของเธอ
จุดที่เขาถู เป็นตรงที่มีกระพอดี ตอนที่เขายกมือขึ้น เขาสังเกตว่าตรงที่เขาถู ไม่เพียงแต่กระ หายไป แต่กลับเผยสีผิวขาวใส
มันเกิดอะไรขึ้น?
มู่น่อนน่อนฉวยโอกาสตอนที่เขากำลังเผลอ ใช้แรงดิ้นหลุดออกจากอ้อมอกของเขา เธอปิดหน้ายืนอยู่อีกด้าน สีหน้าไม่สามารถปกปิดความหวาดกลัวไว้ได้
เมื่ออ้อมอกว่างเปล่า เฉินถิงเซียวถึงได้สติ
เขามองไปที่นิ้วมือของเขา มีผงอะไรสีเหลือง ๆติดอยู่ที่นิ้ว
ดวงตาสีเข้มราวกับหมึกของเขา บรรยากาศอึมครึมมากกว่าเดิม จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นแววตาที่เฉียบคมขึ้นมาทันใด เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปทิศทางที่มู่น่อนน่อนยืนอยู่
เขาเดินช้ามาก ๆ แต่ละย่างก้าวของเขาทำให้มู่น่อนน่อนอกสั่นขวัญหาย เขาก้าวเข้ามาก้าวหนึ่ง เธอก็เดินถอยหลังไปนิดหนึ่ง
จนกระทั่งเธอถอยไปชิดกับกำแพง ไม่มีทางให้ถอยอีกต่อไป ชายหนุ่มยื่นมือไปด้านหน้าของเธอ พูดเสียงทุ้มต่ำอย่างน่ากลัว: “นี่คืออะไร?”
ด้วยความกลัวว่าเขาจะจับพิรุธได้ มู่น่อนน่อนพูดเสียงสูงกลบเกลื่อน: “ก็เครื่องสำอางไง คุณไม่รู้จักหรือไง?”
แน่นอนว่าเฉินถิงเซียวไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆ
สายตาอันแหลมคมของเขา ดูเหมือนจะเห็นความมีพิรุธในตัวเธอ เขาพูดพลางยิ้มอย่างเยือกเย็นว่า: “พวกผู้หญิงเขาชอบแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางสีเข้มๆแบบนี้เหรอ?
ตอนที่ 29 ตั้งใจหาเรื่อง
มู่น่อนน่อนแสร้งทำตัวทำโง่ ขี้เหร่แฝงอยู่ในตระกูลมู่เป็นเวลานานหลายปี จนคนในตระกูลมู่เชื่ออย่างสนิทใจในความเซ่อซ่าที่เธอแสดงออกมาจนชินชา
แต่ตระกูลเก่าแก่กว่าร้อยปีอย่างตระกูลมู่คนรับใช้แต่ละคน ก็มีแต่พวกฉลาดๆทั้งนั้น ไม่ต้องพูดถึงลูกพี่ลูกน้องอย่างเฉินถิงเซียวและเฉินเจียฉิน
และแน่นอนการที่เธอแกล้งโง่ ทำตัวเซ่อซ่าอาจหลอกทั้งสองคนไม่ได้ เธอจึงไม่ได้ตั้งใจแสดงละครมากนัก
ดังนั้น ทันทีที่เธอเดินออกจากประตูบ้านของตระกูลมู่เธอทำตัวปกติ
เฉินถิงเซียวหันหน้าไป แน่นอนว่าสีหน้าโล่งใจของเธอไม่สามารถหลบสายตาอันเฉียบแหลมของเขาได้
ดูเหมือนเธอไม่ค่อยอยากจะเข้าไปผัวพันกับ “เฉินเจียฉิน”สักเท่าไร
แม้ว่าเธอจะรู้ว่า สิ่งที่เกลียดคือลูกพี่ลูกน้องที่”เฉินเจียฉิน” ปั้นขึ้นมา แต่ในใจก็ยังรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอยู่ดี
อี๊ดดดดดด–
เสียงรถเบรกกะทันหัน ล้อรถถูไปกับพื้นถนน เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
มู่น่อนน่อนเหมือนถูกกระชากไปด้านหน้า วินาทีต่อมาก็เด้งกลับไปที่พนักพิงด้านหลังอย่างแรง
เธอระงับโทสะ หันหน้าไปมองที่ “เฉินเจียฉินอย่างอ่อนล้า”: “คุณทำอะไรของคุณ?”
เฉินถิงเซียวพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน: “มือลื่น”
“คุณ … ” คำอธิบายที่ดูไม่จริงใจของเขา ทำให้มู่น่อนน่อนพูดไม่ออก
ในเมื่ออยู่กับคุณชายที่เธอไม่สามารถยั่วโมโหเขาได้ นอกจากอดทน จะพูดอะไรได้อีก?
เฉินถิงเซียวแหล่มองเห็นแววตาที่คับแค้นใจแต่ทำอะไรไม่ได้ของเธอ ในสายตาคู่นั้นก็สะท้อนความกระหยิ่มยิ้มย่องใจ
มู่น่อนน่อน รู้สึกว่าเธอและ “เฉินเจียฉิน” จะต้องชะตาไม่ต้องกันแน่ ๆ เจอเขาทีไร ไม่เคยเกิดเรื่องดี ๆเลยสักครั้ง ทำให้เธอแน่ใจมากยิ่งขึ้นว่า เธอควรจะอยู่ห่างๆเขาจะดีกว่า
…
รถหยุดตรงทางเข้าวิลล่าของ เฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนพูด “ขอบคุณ” แบบขอไปที จากนั้นก็เปิดประตูลงจากรถเดินไปที่วิลล่า
เธอถามบอดี้การ์ดที่ยืนประจำการอยู่ที่ประตู: “คุณชายของพวกคุณอยู่ไหม?”
เธอกล้าที่จะกลับมาเหยียบที่บ้านของตระกูลมู่ เพราะเธอมั่นใจว่าสามารถออกไปได้อย่างปลอดภัย แต่ เฉินถิงเซียวตั้งใจให้ “เฉินเจียฉิน” ไปรับเธอ เธอก็ยังนึกขอบคุณเขาอยู่ในใจ
บอดี้การ์ดมองไปที่เฉินถิงเซียวที่เดินถือกุญแจรถตามหลังมา พูดโดยสีหน้าไม่จริงจังว่า: “คุณชายออกไปทำธุระข้างนอก ยังไม่กลับมา”
“อย่างนี้นี่เอง … ” มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่งและพูดว่า “ถ้าเขากลับมาแล้ว รบกวนช่วยบอกฉันด้วยนะคะ”
เธออยากจะขอบคุณเฉินถิงเซียวด้วยตนเอง
บอดี้การ์ดกล่าวอย่างสุภาพ: “ครับ”
เฉินถิงเซียวเดินเข้ามา จ้องไปที่หลังของมู่น่อนน่อน แต่กลับพูดกับบอดี้การ์ดว่า: “เธอพูดว่าอะไรนะ?”
“คุณนายน้อยถามว่าคุณชายอยู่ที่บ้านหรือเปล่าครับ ถ้าคุณชายกลับมาบ้านแล้ว ให้บอกเธอด้วย” บอดี้การ์ดบอกเขาอย่างซื่อ ๆ
…
มู่น่อนน่อนกลับมาที่ห้อง แล้วตรวจจดหมายขาเข้าจากอีเมลว่ามีใครส่งจดหมายนัดสัมภาษณ์งานมาบ้างหรือไม่
มีบริษัทเล็ก ๆ อยู่สองสามที่ ที่ส่งจดหมายนัดสัมภาษณ์งานมาให้เธอ
หลังจากที่เธอเรียนจบมหาวิทยาลัย เธอก็ไม่เคยแบมือขอเงินจากตระกูลมู่เธอเพิ่งจะเรียนจบในปีนี้เงินเดือนที่ได้ก็น้อยนิด พอที่จะเลี้ยงตัวเองรอดเท่านั้น
การที่เธอแต่งงานเข้าตระกูลเฉินทางตระกูลเฉินคงให้ผลประโยชน์กับตระกูลมู่ไม่น้อย แต่เงินสักแดงเดียวเธอก็ไม่เคยเห็น แต่เพราะการแต่งงานในครั้งนี้ ทำให้เธอต้องออกจากงาน ตอนนี้เงินขาดมือมาก ต้องรีบหางานทำโดยด่วน
อ่านข้อความคร่าวๆของบริษัทที่นัดสัมภาษณ์ เป็นบริษัทที่ไม่ใหญ่มาก แต่สำหรับนักศึกษาจบใหม่อย่างเธอแล้วก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย เธอจึงตัดสินใจไปสัมภาษณ์งานทุกบริษัท
เมื่อปิดคอมพิวเตอร์เสร็จ เธอเดินออกจากห้อง แล้วหยุดที่ทางลงบันได มองไปที่ห้องรับแขกแวบหนึ่ง ก็ยังไม่เห็นใคร
เธอก็ไม่ได้ยินเสียงรถเฉินถิงเซียวน่าจะยังไม่กลับมา
เธอจึงเดินกลับไปรอที่ห้องเหมือนเดิม
รอไปรอมา รอจนมืดค่ำ ก็ไม่เห็นเฉินถิงเซียวกลับมาสักที
มู่น่อนน่อนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เดินไปที่ห้องครัว
เฉินถิงเซียวน่าจะกลับมากินข้าวเย็นที่บ้านล่ะมั้ง? ถ้าอย่างนั้นเธอทำอาหารขอบคุณเขาดีกว่า
ตั้งแต่ที่เธอเข้ามาอยู่ที่นี่ ในวิลล่าแห่งนี้ก็มีแต่พวกบอดี้การ์ด เธอกลับมากินข้าวที่บ้านไม่บ่อยมากนัก ส่วนกับข้าวที่เฉินถิงเซียวกิน บอดี้การ์ดเป็นคนทำให้เหรอ?
เฉินถิงเซียว เป็นคนที่ประหลาดจริง ๆ แม้แต่คนรับใช้ก็ไม่ยอมจ้าง
ตามที่คาดการณ์ไว้ พอเธอเดินเข้ามาในครัว ก็มีบอดี้การ์ดคนหนึ่งเดินตามเข้ามา: “คุณผู้หญิงหิวแล้วหรือครับ? อยากทานอะไรบอกผม เดี๋ยวผมจัดการให้”
“ฉันอยากทำอาหารให้คุณชายของพวกคุณกิน ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันลงมือทำเอง” มู่น่อนน่อนพูดพลางเปิดตู้เย็น
เมื่อบอดี้การ์ดได้ยินเช่นนั้น ก็ไม่ได้บังคับ: “หากคุณต้องการอะไร ก็บอกผมได้นะครับ”
มู่น่อนน่อนยิ้มให้เขา แล้วตอบว่า: “ได้ค่ะ”
ในตู้เย็นมีวัตถุดิบเพียบ อยากได้อะไรมีหมด ไม่ว่าจะเป็นเนื้อแดง หรือขาว ผักประเภทใบเขียวและประเภทแตงต่าง
เธอไม่แน่ใจว่า เฉินถิงเซียว ชอบกินอะไร กะว่าจะออกไปถามบอดี้การ์ดสักหน่อย ก็มีเสียงทุ้มต่ำของผู้ชายดังขึ้นจากด้านหลังของเธอ: “สตูว์เนื้อ ผัดผักสามสหาย…ใส่พริกเยอะๆหน่อย ใส่น้ำมันน้อย ๆ”
ทันทีที่มู่น่อนน่อนหันหน้าไปหาที่มาของเสียงนั้น ก็มองเห็น “เฉินเจียฉิน”ไม่รู้ว่าเขามายืนอยู่ด้านหลังของเธอเมื่อไร
เขาเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านสีเข้มดูสบายๆ มือทั้งสองล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ รูปร่างสูงโปร่งยืนอยู่ตรงนั้น ถึงแม้ว่าเขาไม่พูดอะไร แค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ไม่มีใครกล้ามองผ่านเขาไปได้
เขาก้มมองไปที่มู่น่อนน่อนและพูดเพิ่มว่า: “อ๋อ เพิ่มไข่ตุ๋นให้อีกอย่างหนึ่งด้วย อันนี่ไม่ต้องใส่พริก”
มู่น่อนน่อน: “… ”
ตอนนี้เริ่มสั่งอาหาร คิดว่าเธอเป็นพนักงานในร้านอาหารหรือไง?
เมื่อเขาพูดจบ กำลังจะหันหลังเดินออกไป มู่น่อนน่อนก็คว้าแขนเขาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วถามว่า “แล้วพี่ของคุณชอบกินอะไร?”
เฉินถิงเซียวหยุดชะงัก แล้วหันกลับมามองที่เธอ: “ที่ฉันพูดมา เขาชอบทุกอย่าง”
“จริงเหรอ?” ทำไมเธอรู้สึกว่า อาหารพวกนี้น่าจะเป็น “เฉินเจียฉิน” ชอบซะมากกว่า
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลงเล็กน้อย มือของเขาจับไปที่หัวของเธอแล้วลูบไปที่ท้ายทอย จากนั้นก็จ้องไปที่ดวงตาของเธอ
เขาโน้มตัวให้สูงพอๆกับเธอ จากนั้นใบหน้าอันหล่อเหลาที่มองไม่ออกถึงความรู้สึกใด ๆ พูดขึ้นว่า: “เธอคิดว่าฉันต้องโกหกหลอกกินอาหารที่เธอทำ อย่างนั้นหรือ?”
ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ตอนที่เขาพูด ความร้อนจากลมหายใจของเขาลนมาที่ใบหน้าของเธอ จนทำให้เธอหน้าแดง
เธอมองเห็นได้ชัดเจน ในแววตาดำสนิทราวกับหมึกคู่นั้น สะท้อนให้เห็นใบหน้าของเธอ
เมื่อก่อนเธอไม่เคยรู้สึกอะไรกับใบหน้าของตัวเอง แต่ตอนนี้รู้สึกว่ามันช่างน่าเกลียดและดูโง่เง่าเสียจริง ๆ
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่า “เฉินเจียฉิน” สามารถรับได้ทุกอย่างจริง คุณชายตระกูลร่ำรวยที่เจอสาวงามมาสารพัด กล้าที่จะประทับจูบลงบนใบหน้าของเธอ!
เฉินถิงเซียวเห็นเธอยืนงง ก็ยิ้มขึ้นมานิดๆ มือของเขาลูบคลำไปที่คอที่เนียนละเอียดของเธอทีละนิด ทีละนิด: “มองฉันแบบนี้ เธอคิดจะทิ้งคนไร้ประโยชน์คนนั้น แล้วมาอยู่กับฉันใช่หรือเปล่า? ”
นิ้วของเขาเย็นเฉียบ แต่เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งไปมา ทำให้เธอเหมือนโดนไฟช็อตอยู่เนือง ๆ
มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมาจากภวังค์ จากนั้นก็ผลัก”เฉินเจียฉิน”ออกไปเต็มแรง: “คุณพูดเหลวไหลอะไร!”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตั้งรับ แรงผลักทำให้เขาเซไปด้านหลังสองสามก้าวถึงทรงตัวอยู่ แต่ไม่เห็นเขาจะมีทีท่าอะไร ทำเป็นไม่รู้สึกรู้สา: “เชื่อฉันเถอะ ว่าอาหารพวกนั้นเป็นของชอบของเฉินถิงเซียว อีกอย่างวันนี้ฉันมีนัดกินข้าวข้างนอก”
ทิ้งเพียงสายตาเจ้าเล่ห์มีความนัย แล้วเขาก็เดินออกไปจากห้องครัวอย่างช้า ๆ
ทันทีที่ร่างของเขาหายลับตาไป มู่น่อนน่อนใจสั่นรัวหายใจแรง จนต้องยื่นมือไปจับประตูตู้เย็น เพื่อประคองตัวเองไว้
เธอค่อยๆยื่นมือไปจับที่ท้ายถอยตัวเอง สัมผัสเพียงนิดเดียว เหมือนกับมีไฟช็อต จนเธอต้องรีบชัดมือกลับ
หลังจากที่สงบจิตสงบใจได้แล้วมู่น่อนน่อนก็มั่นใจว่า “เฉินเจียฉิน” ตั้งใจหาเรื่องเธอแน่ ๆ
ตอนที่ 28 ความสามารถในการดึงดูดผู้ชาย
เฉินถิงเซียวที่ได้ยินแล้ว ถึงกลับหันข้างไปมองหล่อน สีหน้าที่แสดงออกมานั้นช่างดูผ่อนคลาย “มารับคุณไง”
มู่น่อนน่อน เม้มปาก พร้อมทั้งพูดกระซิบกระซาบทำตัวอย่างกับขโมย “คุณอย่ามาหาเรื่องนะ”
“เอาตามที่คุณสบายใจ” เฉินถิงเซียวกระตุกยิ้มมุมปาก ดูท่าทางไม่สนใจไยดีว่าหล่อนจะคิดยังไงเลย
เขาที่มาไม่ใช่ว่ามารับมู่น่อนน่อนจริงๆนั่นแหละ
เขาก็แค่อยากมาพบเจอกับคนในตระกูลมู่เท่านั้นแหละ เรื่องในอินเทอร์เน็ตนั้นมันดูเป็นเรื่องใหญ่โต สำหรับเขาแล้วมันไม่มีผลกระทบอะไรกับเขาเลย แต่มันยุ่งยากมาก
ถึงแม้ว่ามู่น่อนน่อนจะเป็นภรรยาที่เรื่องไม่เยอะ แต่หากว่าคนในตระกูลมู่ยังวุ่นวายไม่หยุด เขาไม่สนใจที่จะลงมือจัดการเองกับมือ
มู่น่อนน่อนยังพูดอะไรขึ้นมาอีก ยิ่งเห็นเซียวชู่เหอเดินลงจากตึกมาพร้อมกับมู่ลี่เหยียน แล้วด้วย จากนั้นก็เป็นมู่หวั่นขีลงมา
ไม่รู้ว่าทั้งคู่ต่างคุยอะไรกัน ยิ่งเห็นสายตามู่น่อนน่อนที่ไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่
“หวั่นขีมาคุยเป็นเพื่อนคุณชายหน่อย” มู่ลี่เหยียนพูดจบ ก็มองไปทางมู่น่อนน่อน “น่อนน่อน พ่อมีเรื่องอยากจะคุยด้วย เธอตามมาทางนี้กับฉันหน่อย”
มู่น่อนน่อนมองมู่หวั่นขีแวบหนึ่ง ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามไปอย่างเชื่อฟัง
มู่หวั่นขี เดินไปข้างๆของเฉินถิงเซียว ซึ่งเป็นที่นั่งที่ มู่น่อนน่อนนั่งก่อนหน้านี้ ไม่ต้องคิดเลย อยู่ดีๆเฉินถิงเซียวก็เสียงแข็งขึ้นมา “อยู่ไกลๆฉัน”
มู่หวั่นขีสีหน้านิ่ง หล่อนคิดถึงคราวที่แล้วที่หล่อนเจอกับผู้ชายคนนี้ ที่ตนเองเป็นคนเชื้อเชิญเขาให้เข้ามานั่งเล่นในวิลล่า ทว่าผู้ชายคนนี้กลับไม่มีใจให้หล่อนเลยสักนิด
ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ไม่เข้าใกล้ความรู้สึกใครทั้งสิ้น!
และก็ไม่รู้ว่าคนบ้านนอกอย่างมู่น่อนน่อน มีข้อดีตรงไหนเขาถึงได้ยินยอมที่จะมารับหล่อนได้นะ
……
มู่น่อนน่อนเดินตามมู่ลี่เหยียนมายังห้องหนังสือ
มู่ลี่เหยียนใช้สีหน้าเคร่งขรึมถามเขา “เธอกับเฉินเจียฉินคนนั้นมีความสัมพันธ์อะไรกัน?”
“ไม่มีความสัมพันธ์กันนี่” มู่น่อนน่อนส่ายศีรษะ พร้อมทั้งสีหน้าใสซื่อ
“คราวที่แล้วที่เธอกลับมาบ้านมู่ สิ่งที่พวกเธอทำในรถนั้น แม่ของเธอและหวั่นขี ทั้งคู่ ต่างก็เห็นเต็มสองตา!” มู่ลี่เหยียนโมโหจนตบโต๊ะดังๆ
“ป๊าบ” เสียงดังสนั่น มู่น่อนน่อนตกใจจนหัวหด
“แกแต่งกับเฉินถิงเซียว ก็ไปเป็นคุณนายน้อยอย่างสบายใจ แกมายั่วน้องชายลูกพี่ลูกน้องเขาแถมอยู่ด้วยกันอีกเนี่ยมันหมายความว่าไง?”
ในใจมู่น่อนน่อนถึงกลับยิ้มยะเยือก ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นว่ามู่ลี่เหยียนจะสนใจเธอมาก่อนเลย
ยามเงยศีรษะขึ้นมานั้น ใบหน้าของหล่อนก็ยังคงทำหน้าตาไม่รู้เรื่องอยู่ดี “ฉันไม่ได้ทำ”
มู่ลี่เหยียนกำลังวิเคราะห์มู่น่อนน่อนอยู่ สายตาของเขามองอยู่ที่ใบหน้าของหล่อน ในสายตาของเขานั้นแสดงความรังเกียจ ขึ้นมา
เขาและเซียวชู่เหอต่างหน้าดี จะมีอยู่กับผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์อย่างมู่น่อนน่อนเนี่ยนะ?
หากไม่มีการตรวจ DNAในเวลานั้น เขาก็ต้องสงสัยว่ามู่น่อนน่อนไม่ใช่ลูกเขา
หล่อนหน้าตาแบบนี้เนี่ยนะ มันช่างไม่มีทางดึงดูดผู้ชายได้ตรงไหน
ในใจของเขานั้นวิธีคิดแบบนี้ไม่สามารถแสดงออกมาให้เห็นได้ สำหรับเขามู่น่อนน่อน ยังมีประโยชน์อยู่
“ไม่มีก็ดี มีเวลาก็พาพี่สาวของแกไปเดินเที่ยวที่บ้านตระกูลเฉินบ้าง ให้หล่อนได้รู้จักเพื่อนให้เยอะขึ้น” พอพูดจบเขาก็พูดต่อตามใจเขาเลย “น้องชายของเฉินถิงเซียวก็ ถือว่าไม่เลว”
คำพูดนี้ของ มู่ลี่เหยียนเคยพูดมาแล้ว มู่น่อนน่อนถามเขากลับด้วยสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจ “พี่เขาก็เพื่อนเยอะอยู่แล้วไม่ใช่หรอ? แถมหล่อนยังมีเสิ่นชูหานอยู่นี่”
“แกจะเข้าใจอะไร!” มู่ลี่เหยียนกวาดตามองหล่อนอย่างเย็นชา “ลงไป”
“อ้อ”
มู่น่อนน่อนหดคอ ทำท่าทางหวาดกลัว พร้อมทั้งหันตัวเดินลงด้านล่าง
……
บนโต๊ะอาหาร มู่ลี่เหยียนกำลังสอบถามเฉินถิงเซียว ที่นั่งอยู่ข้างๆว่าทำงานตำแหน่งอะไรในบริษัท พ่อแม่เป็นอะไรกับคนในตระกูลเฉิน
“ก่อนหน้านี้ทำไมตอนอยู่ในเมืองหู้หยางนั้นถึงไม่เคยเห็นคุณชายเฉินมาก่อนเลย เพิ่งกลับจากต่างประเทศหรอ?”
เฉินถิงเซียวเบิกตาขึ้น แล้วกวาดตาไปมองมู่ลี่เหยียนแวบหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆพูดออกมา “เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่งตำแหน่งก็ถูๆไถๆอยู่ได้ไปวันๆ”
ดวงตา มู่ลี่เหยียนเปล่งประกายขึ้นมา พร้อมทั้งหัวเราะอย่างอ่อนโยน “งั้นพ่อแม่ของคุณล่ะ? ยังอยู่ที่ต่างประเทศหรอ?”
เฉินถิงเซียวขี้เกียจจะสนใจเขา พร้อมทั้งเอาถ้วยยื่นให้มู่น่อนน่อน “ซ้อ ตักซุปให้ผมหน่อย”
มู่น่อนน่อนเงยศีรษะขึ้นมาก็เห็นว่าเขายื่นถ้วยมาวางไว้ตรงหน้าซะแล้ว
นิ้วมือของเขาทั้งเรียวยาวทั้งสะอาดสะอ้าน นิ้วที่แนบมาถ้วยกระเบื้องสีขาวนั้นมันช่างน่ามองอย่างเห็นได้ชัด
มู่น่อนน่อนถึงกลับสติเลื่อนลอย หล่อนตระหนักว่า “เฉินเจียฉิน” ทำตัวเป็นคุณชายตั้งแต่หัวจรดเท้าซะจริงๆ
หล่อนรับถ้วยมา พลางเงยหน้ามองนัยน์ตาดำดั่งหมึกของเขาที่ดูเร่งรีบปรากฏออกมา
หล่อนไม่ได้พูดอะไรต่อ ลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งตักข้าวเพิ่มแล้ววางอยู่ตรงหน้าเขา
“ขอบคุณ” มุมปากของเขาไม่ได้ยิ้มตาม เหมือนจะยิ้ม แต่กลับไม่เห็นมีรอยยิ้มปรากฏออกมา
มู่น่อนน่อน ถึงกลับอึ้งพร้อมทั้งจ้องมองเขา “ไม่เป็นไร”
คุณชายคนนี้แสดงได้เก่งกาจจริงหรอ?
คำพูดของมู่ลี่เหยียนนั้น ไม่ได้กระแทกตาเฉินถิงเซียวเลยสักนิด สีหน้าของเขาไม่ค่อยดีสักนิด
เขาประเมินออกว่า“เฉินเจียฉิน”นั้นค่อนข้างใกล้ชิดสนิทสนมกับมู่น่อนน่อน หากเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกของเขาที่ให้มู่น่อนน่อนแนะนำมู่หวั่นขีให้ “เฉินเจียฉิน”ได้สานสายสัมพันธ์กันนั้นถือว่าเป็นวิธีที่ดี
ส่วนเพื่อนชายคนสนิทเสิ่นชูหานของมู่หวั่นขี ในตอนนี้นั้น เขาก็แค่คิดว่าเป็นแค่ตัวสำรองเท่านั้นเอง
ในใจมู่ลี่เหยียนนั้นคิดเช่นนี้ เลยเปิดปากพูดออกไป
เฉินถิงเซียวเหลือบตามอง มู่ลี่เหยียน อยู่แวบหนึ่งโดยสีหน้ายังคงเดิม เลยแย่งพูดก่อนที่เขาจะพูดกับมู่น่อนน่อน “ฉันกินอิ่มแล้ว กลับเถอะ”
พอพูดจบ ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งพูดว่า “ขอบคุณที่เลี้ยงรับรอง”
ถึงแม้ว่าปากที่พูดจะหมายถึงขอบคุณก็ตาม แต่การแสดงออกของเขานั้นเหมือนกำลังออกคำสั่งอยู่
บรรยากาศที่ตามมานั้น มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด
แต่สำหรับเขาคนที่ไม่เคยสนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น มันคือความเย่อหยิ่ง
ทว่า มันช่างน่าหลงใหล
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตนเองบางทีอาจจะเป็นเพราะถูกมู่หวั่นขีตบจนเอ๋อ ไม่งั้นหล่อนคงไม่รู้สึกว่าที่คุณดื้อด้าน“เฉินเจียฉิน” คนนี้ทำนั้น มันช่างน่าหลงใหลมากเลยแหละ?
“พ่อ งั้นฉันขอตัว…กลับก่อนนะ” ถึงแม้ว่ามู่น่อนน่อนจะอยากจะกลับเร็วๆ แต่ว่าการละเล่นละครนั้นก็ต้องทำให้เต็มที่
มู่ลี่เหยียนอยากจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ไม่ทัน เดิมก็อึดอัดอยู่นิดๆ มู่น่อนน่อน ก็เหมือนว่าจะกำลังยืนจ่ออยู่ที่ปากกระบอกปืน
เขาจ้องมู่น่อนน่อนตาถลน พร้อมใช้เสียงตะคอกตอบหล่อน “ยังไม่รีบออกไปอีก!”
มู่น่อนน่อนพยายามก้มหน้าอย่างอดทน พร้อมทั้งหยิบกระเป๋าเดินออกไปทางด้านนอก
มู่ลี่เหยียนและทั้งบ้านต่างเดินตามออกมาส่งพวกเขา
ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า อำนาจนั้นเป็นสิ่งที่ดีมาก โดยเฉพาะ“เฉินเจียฉิน” ที่เมื่อครู่นี้ไม่ไว้หน้ามู่ลี่เหยียนเลยด้วยซ้ำ แต่มู่ลี่เหยียนก็ยังยิ้มสู้
พวกเขาทั้งสามคนนั้นยืนอยู่หน้าประตูวิลล่า “คุณชายเฉิน ไว้เจอกันใหม่นะครับ”
เฉินถิงเซียวทำเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้มมองพวกเขากลับ จากนั้นก็หันไปมองมู่น่อนน่อนที่ยืนอยู่ที่ด้านหน้ารถ พร้อมใช้เสียงทุ้มต่ำ “ยังไม่ขึ้นรถอีกหรอ?”
พอมู่น่อนน่อนได้ยินแล้ว ก็เปิดประตูรถแล้วขึ้นรถทันที แต่กลับพบว่ามันเปิดไม่ออก
หล่อนมองหน้า“เฉินเจียฉิน”อย่างสงสัย
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว นัยน์ตาดำขลับทอประกายความรู้สึกหมดความอดทน “ซ้อ คุณคิดว่าผมเป็นคนขับรถหรือยังไง?”
หล่อนแค่ไม่อยากนั่งข้างๆเขาเท่านั้นเองนี่คิดแบบใส่ซื่อนะ!
เขาพูดแบบนี้แล้ว หล่อนเลยดึงประตูรถด้านข้างคนขับรถพร้อมทั้งสอดตัวเข้าไปในรถ
รถยนต์เคลื่อนตัวออก ในตัวรถเงียบสนิท
มู่น่อนน่อนเริ่มรู้สึกว่า “เฉินเจียฉิน” ที่มาบ้านตระกูลมู่ในวันนี้ดูแปลกประหลาดพิกล
“เฉินถิงเซียวเป็นคนให้คุณมารับฉันจริงๆหรอ?” คิดไปคิดมาแล้ว หล่อนก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าการที่เขามาที่บ้านตระกูลมู่นั้น มีจุดประสงค์อะไรกันแน่
ดวงตาของเฉินถิงเซียว ไม่ขวันเขวเอาแต่มองไปยังด้านหน้า น้ำเสียงของเขาดูเฉยเมย “ไม่งั้นล่ะ? คุณคิดว่าฉันอยากจะมาเองงั้นหรอ?”
“อ๋อ งั้นก็ดี”
ตอนที่ 27 เดินเกมไปตามเขา
เซียวชู่เหอลุกขึ้นยืน “ฉันให้คนใช้จัดเตรียมอาหารไว้”
มู่หวั่นขีแทบไม่มองหล่อนสักแวบหนึ่งด้วยซ้ำ มู่ลี่เหยียนหันไปทางหล่อนพร้อมทั้งพยักหน้าแทน
สีหน้าของเซียวชู่เหอดูไม่ได้ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
พอตอนเดินผ่านตัวมู่น่อนน่อน หล่อนหยุดเท้าลง น้ำเสียงกลับเข้มงวดขึ้นมา “ออกมานี่”
มู่ลี่เหยียนและมู่หวั่นขีนั่งด้วยกัน แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังกระซิบคุยอะไรกันอยู่
หล่อนมองพวกเขาแวบหนึ่ง ก็เดินออกไปพร้อมกับเซียวชู่เหอ
เซียวชู่เหอลากหล่อนเข้าห้องนอนเก่าของหล่อนเอง พอปิดประตูลงสีหน้าก็จ้องมองหล่อนอย่างเคร่งขรึม “คลิปวิดีโอนั่นแกให้คนไปถ่ายไว้ใช่ไหม?”
มู่น่อนน่อนอึ้งเล็กน้อย หล่อนไม่คิดเลยว่ามู่ลี่เหยียน จะเชื่อใจหล่อนแล้ว แต่เซียวชู่เหอกลับไม่เชื่อหล่อนเลย
ในความทรงจำของหล่อนนั้น เซียวชู่เหอเป็นผู้หญิงที่คอยจะพึ่งพึงแต่ผู้ชาย แถมเอาความหวังทั้งหมดมาไว้ที่มู่ลี่เหยียน แถมยังอ่อนแอและไม่มีความคิดเห็นใดๆ
“ไม่ใช่…” มู่น่อนน่อนส่ายศีรษะไปมาราวกับกำลังตีกลองอยู่ ดวงตาคู่นั้นแสดงออกอย่างชัดเจน
เซียวชู่เหอ เป็นผู้หญิงที่ไม่มีความคิดจริงๆ แต่ว่าหล่อนเป็นแม่แท้ๆของมู่น่อนน่อนนะ แม่ลูกจิตใจสามารถสื่อถึงกันได้ หล่อนคิดว่าเรื่องนี้มันไม่ง่ายดายขนาดนั้น
“พ่อแกและพี่สาวแกต่างเชื่อใจแก แกก็อย่ามาโกหกพวกเขา” เซียวชู่เหอขมวดคิ้ว สีหน้าน้ำเสียงที่พูดออกมาดูมีพลัง
ช่วงวัยรุ่นสภาพแวดล้อมของเซียวชู่เหอนั้นไม่ค่อยดี แต่ถือว่าหล่อนเป็นคนสวยคนหนึ่ง แต่เป็นผู้หญิงที่ดูแลคนได้ดี เพราะฉะนั้นมู่ลี่เหยียนเลยขอหล่อนแต่งงาน
ตอนเด็กๆหล่อนไม่รู้เรื่องอะไร แต่พอโตขึ้นหล่อนก็เข้าใจดีว่า มู่ลี่เหยียนจะขอเซียวชู่เหอแต่งงาน แต่แท้จริงแล้วเขาก็แค่อยากหาผู้หญิงสักคนมาช่วยดูแลลูกสาวสองคนแทนภรรยาของเขาที่เพิ่งเสียชีวิตไปแล้ว
หากพูดให้ไม่น่าฟังหน่อย ก็แค่พี่เลี้ยงที่คอยปรนนิบัติบนเตียงด้วยเท่านั้นแหละ
หล่อนคิดไม่ออกว่ามู่ลี่เหยียนมีแผนร้ายอะไร ที่สามารถทำให้เซียวชู่เหอตายใจได้ขนาดนี้
“ฉันหิวแล้ว” มู่น่อนน่อนก้มศีรษะลง เลยมองเซียวชู่เหอแวบหนึ่ง หล่อนไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะพูดอะไรออกมา
หลังจากที่โดนเซียวชู่เหอบังคับให้แต่งงานกับคนในตระกูลเฉิน ความอดทนของหล่อนต่อเซียวชู่เหอเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ
เซียวชู่เหอเห็นหล่อนเป็นแบบนี้ เลยรู้สึกว่าตัวเองเกินกว่าเหตุไปนิด
หล่อนมองไปทางมู่น่อนน่อน น้ำเสียงอ่อนโยนลงเล็กน้อย “แกลงไปเถอะ”
มู่น่อนน่อนเดินออกไปจากห้อง การแสดงออกขี้ขลาดและน้อยเนื้อต่ำใจที่ปรากฏออกมานั้นหายไปหมดสิ้น
หลังจากที่หล่อนแต่งเข้าตระกูลเฉิน เดิมทีก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนในตระกูลมู่ แค่อยากใช้ชีวิตให้สงบสุขก็เท่านั้นเอง
แต่ว่า คนในตระกูลมู่ กลับไม่ปล่อยหล่อนไปเลย
ถ้ายังเป็นแบบนั้น งั้นก็คอยดูแล้วกัน
……
เวลาเดินผ่านหน้าห้องหนังสือ กลับพบว่าประตูห้องหนังสือแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง ในห้องหนังสือไม่มีคนอยู่แล้ว
พ่อลูกคู่นั้นลงไปรอด้านล่างแล้วหรอ?
มู่น่อนน่อนเพิ่งเดินถึงปากทางบันได ก็ได้ยินเสียงคนด้านล่างที่กำลังพูดงึมงำกันอยู่ นอกจากเสียงมู่หวั่นขีและพ่อลูกสองคน เหมือนว่ายังมีเสียงผู้ชายอีกคนอยู่ด้วย
ในเวลานี้ ใครกันนะที่มาเป็นแขกของบ้านตระกูลมู่กัน?
หล่อนรู้สึกสงสัยเลยชิดกับบันไดแล้วชะโงกหน้าลงไปทางบันไดเพื่อมองด้านล่าง พอหล่อนเห็นใบหน้าของผู้ชายคนนั้นอย่างชัดเจน หล่อนถึงกลับตกตะลึงทันที
มู่ลี่เหยียนก็เห็นหล่อนแล้ว เขามองมาที่หล่อนแล้วกวักมือเรียกเข้าไป น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างผิดไปถนัด “น่อนน่อนรีบมานี่เร็ว ถิงเซียวให้น้องชายของเขาเข้ารับตัวเธอนะ”
มู่น่อนน่อนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมาเจอ “เฉินเจียฉิน” ที่บ้านตระกูลมู่ ได้ ความตกใจของหล่อนปรากฏอยู่บนใบหน้าอย่างไม่สามารถปิดบังได้
วันนี้เขาสวมใส่ชุดสูทพอดีตัว แถมตัดเย็บได้อย่างสวยหรู ใบหน้าหล่อเหลาประดับกลับไม่ปรากฏรอยยิ้ม ท่าทางสบายๆผ่อนคลาย ทว่าแผ่รังสีที่ทรงพลังไปทั่วทั้งห้อง
อาจจะเป็นเพราะเขารับรู้ได้ว่ากำลังถูกหล่อนจ้องมองอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมองหล่อน “ซ้อ พี่ชายให้ฉันมารับกลับบ้าน”
ตอนที่เขากำลังพูดออกมานั้น รอยยิ้มที่มุมปากของเขายิ้มหวานขึ้นเล็กน้อย เสียงทุ้มต่ำมากจนไม่สามารถฟังถึงความอบอุ่นจากเสียงที่เปล่งออกมา
มู่น่อนน่อนเอ่ยปากพูด ด้วยน้ำเสียงที่ยากแก่การเปล่งออกมา “อ้อ”
แต่มู่หวั่นขีกลับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หล่อนเขยิบเข้าไปข้างๆมู่ลี่เหยียนพร้อมทั้งพูดอะไรสักอย่างด้วยเสียงกระซิบ แถมพูดไปตาก็มองมู่น่อนน่อนไปด้วยอยู่หลายครั้ง
ไม่ต้องเงี่ยหูฟัง หล่อนก็พอจะเดาออก มู่หวั่นขีคงไม่ได้พูดอะไรที่ดีๆแน่
เฉินถิงเซียวใช้ประโยชน์จากช่องว่างตรงนี้ประเมินมู่น่อนน่อนอยู่ สายตาของเขากวาดตามองใบหน้าของหล่อนที่กำลังบวมฉึ่ง ม่านตาดำที่อยู่ในดวงตาของเขาถึงกลับส่งแววตาดุดันกลับมา มือที่วางอยู่บนโซฟานั้นกลับเกร็งขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ถึงแม้ว่าจะหน้าตาอัปลักษณ์แถมโชคร้ายอีก ถึงอย่างไรมู่น่อนน่อนก็เป็นผู้หญิงของเขา!
ตัวเขาเองไม่เคยลงไม้ลงมือกับหล่อนเลย แต่คนพวกนี้กลับกล้าลงมือทำร้ายหล่อน
เฉินถิงเซียวกวาดตามองมู่ลี่เหยียนกับมู่หวั่นขีที่กำลังนั่งอยู่กับด้านนั้น พลางหันไปทางมู่น่อนน่อน พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม “มานั่งนี่สิ”
มู่น่อนน่อนไม่อยากที่จะไปนั่งจริงๆ แต่ว่าพฤติกรรมที่ดื้อด้านของ “เฉินเจียฉิน”นั้น มันทำให้หล่อนเข้าอกเข้าใจ หล่อนไม่รู้ว่าวันนี้ที่เขามาที่บ้านตระกูลมู่นั้นมาทำไม เลยตัดสินใจทำตามที่เขาบอกก่อนดีกว่า
หล่อนไม่มีทางเชื่อเลยว่าเฉินถิงเซียว จะให้ “เฉินเจียฉิน” มารับหล่อน
เมื่อหล่อนนั่งข้างๆ “เฉินเจียฉิน”นั้น ก็เห็นว่าเขาหันมามองหล่อน แถมพูดด้วยน้ำเสียงตลกๆ “หน้าซ้อบวมขนาดนี้ ผมเกือบจำซ้อไม่ได้แล้วนะเนี่ย
มู่น่อนน่อนถึงได้นึกออกว่า ก่อนหน้านี้ตัวเองถูกมู่หวั่นขีตบหน้าฉาดใหญ่ หน้าก็เลยบวมฉึ่งตั้งแต่แรกมู่หวั่นขี ตบหล่อนแรงมาก หล่อนเจ็บจนหน้าชา จนตอนนี้ลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท
ยามที่มู่หวั่นขี พูดออกมานั้น พร้อมทั้งหันไปทางมองมู่หวั่นขีและมู่ลี่เหยียนแวบหนึ่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เดิมทีมู่หวั่นขีค่อนข้างหวาดกลัวรังสีอันทรงพลังของเขาที่แผ่มาจากตัวเฉินถิงเซียว แต่ในเวลานี้นั้นเขากลับถามคำถามเรื่องใบหน้าของหล่อน ในใจถึงกลับสั่น พร้อมทั้งใช้สายตามองแกมข่มขู่ไปทาง มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนขยับหัวคิ้ว พร้อมทั้งทำท่าทางกำลังหวาดกลัวอยู่ อีกทั้งขยับปากไปทาง “เฉินเจียฉิน” พร้อมทั้งอธิบายตอบกลับ “ ฉันไม่ทันระวัง… เลยล้มลงมา
ข้ออ้างคำโกหกไร้สาระเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องไปเคาะเกราะเคาะไม้อะไรก็ไม้พังแล้ว
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลง พร้อมทั้งเขยิบเข้าใกล้มู่น่อนน่อนแล้วทำท่าทางเหมือนไม่มั่นใจ “จริงหรอ?”
มู่น่อนน่อนไม่กล้าสบตาเขา พลางก้มศีรษะเหมือนว่าทำผิด “….ใช่”
เฉินถิงเซียว แอบยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
จากรอยยิ้มของเขา มู่น่อนน่อน ก็สามารถเข้าใจความหมายทันที ไม่รู้ว่าผิดหรือถูก
“เฉินเจียฉิน” ใช้ชื่อหล่อนแอบอ้างเพื่อมาที่นี่ จะพูดอีกด้านหนึ่งก็คือ ก็สามารถยืนยันได้ว่าเฉินถิงเซียวให้ความสำคัญกับมู่น่อนน่อนมาก
ไม่สนว่าเขาจะถูกเฉินถิงเซียวบังคับให้มา แต่สิ่งที่มู่น่อนน่อนรู้ก็คือ หากหล่อนบอก “เฉินเจียฉิน” ตรงๆว่าที่หน้าหล่อนบวมฉึ่งสาเหตุก็มาจากถูกมู่หวั่นขีตบ เขาต้องออกหน้าแทนหล่อนแน่
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตนเองสามารถจัดการเรื่องที่บ้านตระกูลมู่ได้ ส่วนอีด้านหนึ่งนั้น “เฉินเจียฉิน” เป็นคนที่อันตรายมาก หล่อนไม่อยากไปข้องแวะกับเขาให้เรื่องมันวุ่นวาย
มู่ลี่เหยียนรู้สึกพอใจในคำพูดของมู่น่อนน่อน น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนขึ้นมาทันที “คุณชายเฉินตั้งใจมาที่บ้านตระกูลมู่งั้นเรารับประทานอาหารร่วมกันก่อนเสร็จแล้วค่อยกลับไปดีมั้ย”
เฉินถิงเซียวที่กำลังนั่งพิงโซฟาอยู่นั้น พูดอย่างใจเย็น “ได้ครับ”
สำหรับมู่ลี่เหยียนแล้ว นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่คาดไม่ถึงก็ว่าได้
ถึงแม้ว่า “เฉินเจียฉิน” จะเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณชายตระกูลเฉิน แต่ก็ถ้าปฏิบัติตัวได้ดีในหลักความเป็นจริง
คนรับใช้หยิบโทรศัพท์ของมู่ลี่เหยียนมาให้เขาได้รับสาย มู่ลี่เหยียนก็ลุกขึ้นยืนเพื่อออกไปรับโทรศัพท์ มู่หวั่นขีเองที่นั่งอยู่อย่างไม่เป็นสุขนั้น หล่อนต้องการหาข้ออ้างในการออกไปจากที่นี่
ในเวลานั้นเอง ในห้องรับแขกนั้นก็เหลือเพียงมู่น่อนน่อนกับ เฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนกวาดตามองรอบๆ พร้อมทั้งถามเขาอย่างเบาๆ “คุณมาที่นี่ทำไม?
ตอนที่ 26 เชื่อฟังยิ่งกว่าสุนัขอีก
มู่น่อนน่อนนั่งรถไปที่บ้านตระกูลมู่
เวลาที่คนรับใช้เห็นหล่อน ถึงกลับทำความเคารพทันที “คุณหนูสาม”
การแสดงออกของคนรับใช้เปลี่ยนไป ก็ไม่ได้ยากที่จะเข้าใจ
เพราะตอนนี้หล่อนอยู่ในฐานะคุณนายน้อยของตระกูลเฉิน แถมตอนนี้ มู่หวั่นขียังใช้ชีวิตท่ามกลางข่าวสาร หากไม่ระมัดระวังก็จบชีวิตทางด้านนี้ไปเลย
“คุณพ่อคุณแม่อยู่หรือป่าว?” มู่น่อนน่อนพูดอ้ำๆอึ้งๆ ทำท่าทางว่ากำลังอารมณ์ดีอยู่
อารมณ์ของคนรับใช้ดูอ่อนโยนขึ้นเยอะ “อยู่ครบทุกคน รอคุณอยู่ที่ห้องหนังสือ”
……
เวลาที่มู่น่อนน่อน ยืนอยู่หน้าประตูห้องหนังสือ ยังไม่ทันเดินเข้าห้อง เพราะว่าด้านในห้องมีเสียงสนทนาจึงได้หยุดเท้าลงทันที
“หวั่นขีทำไมแกถึงไม่มีความอดทนอดกลั้นเอาไว้เลย! มีเรื่องก็เรียกหล่อนให้มาคุยที่บ้านก็จบเรื่องแล้ว ไปคุยข้างนอกก็โดนคนแอบถ่ายเข้า ตอนนี้จะเข้าไปจัดการเรื่องมันก็ยุ่งยากไปแล้ว”
นี่เป็นเสียงของมู่ลี่เหยียน
น้ำเสียงของเขาถึงแม้ว่ากำลังด่าทอมู่หวั่นขีอยู่ แต่กลับรู้สึกว่าสิ่งที่มู่หวั่นขีทำไปไม่มีอะไรผิดไปสักนิด
น้ำเสียงของมู่หวั่นขีดูน้อยใจเล็กน้อย “ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา พ่อ ทั้งหมดนี่ต้องเป็นแผนของมู่น่อนน่อนแน่ๆ ! ไม่งั้นจะมีคนแอบถ่ายได้อย่างพอดิบพอดีได้ยังไงกัน”
ในเวลานั้นเอง เซียวชู่เหอรีบอธิบายอย่างร้อนรน “หวั่นขี เธอก็เข้าใจน่อนน่อนเป็นอย่างดี หล่อนโง่ขนาดที่ยังสอบไม่ผ่านเลย จะทำเรื่องพรรค์นี้ได้ยังไงกัน ไม่ใช่หล่อนทำแน่นอน หล่อนทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก”
“โง่หรอ? ในปีนั้นหล่อนไม่ได้ใช้เส้นพ่อเลยด้วยซ้ำ ยังสอบเข้าคณะภาพยนตร์ของเมืองหู้หยางด้วยตนเองได้เลย คุณมาบอกว่าหล่อนโง่หรอ?”
คณะภาพยนตร์ของเมืองหู้หยางนั้น ถือว่าเป็นคณะศิลปศาสตร์อันดับต้นๆของประเทศ
“หล่อนก็แค่โชคเข้าข้างเท่านั้นแหละ เธออย่าโมโหไปเลย….”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ามู่หวั่นขีพูดได้ถูกต้อง เซียวชู่เหอ นี่เลวจริงด้วย
ในคลิปวิดีโอนั้น มู่หวั่นขีก็ด่าว่าหล่อนเลว แต่เซียวชู่เหอไม่เพียงแต่ ไม่หักหน้ามู่หวั่นขี แถมตอนนี้ยังพูดยกยอปอปั้นหล่อนอยู่อีกต่างหาก กลัวว่าหล่อนจะโกรธ
ครั้งนี้มู่หวั่นขีน่าจะโมโหอยู่ไม่น้อยจริงๆ ปกติหล่อนจะรักษาหน้าให้ดูเป็นปกติเอาไว้กับเซียวชู่เหอ แต่ตอนนี้จะแกล้งจะรักษาหน้าต่อไปดูท่าก็เหนื่อยจะแกล้งต่อไปแล้ว
หล่อนถึงกลับสบถด่าพรวดใหญ่ “นี่คุณหุบปากไปเลย พวกแกเป็นแม่ลูกกันก็เลวด้วยกันทั้งคู่ ไร้ประโยชน์ทั้งคู่”
มู่น่อนน่อนกำลังจะเปิดประตูเข้าไป พอได้ยินประโยคนั้นขึ้นมาถึงนิ่งหยุดการกระทำทั้งหมด
หล่อนอยากจะฟังทัศนคติของมู่ลี่เหยียน
ภายในห้องกลับเงียบสนิท ในที่สุดก็มีเสียงสุขุมของมู่ลี่เหยียนดังออกมา “หยุดทะเลาะกันสักทีเถอะ ตอนนี้มีเรื่องเร่งด่วน เราต้องรีบจัดการให้ดี มู่น่อนน่อนใกล้จะมาถึงแล้ว”
ถึงแม้ว่าจะห่างกันแค่ประตูเท่านั้น แม้ว่ามู่น่อนน่อนจะไม่เห็นการแสดงออกของเซียวชู่เหอ แต่ว่าหล่อนก็รู้ดี ในเวลานี้การแสดงออกของเซียวชู่เหอนั้นช่างน่าสนใจมากทีเดียว
หลังจากที่ มู่ลี่เหยียนพูดออกมานั้น ในห้องก็เงียบสนิท
มู่น่อนน่อนพยายามเก็บอาการของอารมณ์ตนเองเอาไว้ พร้อมทั้งก้มศีรษะลงแล้วผลักประตูเข้าไป
หล่อนมองบรรยากาศรอบๆ พร้อมกลับหลุบตาลง อีกทั้งใช้เสียงเล็กเสียงน้อยเรียกพวกเขา “พ่อ แม่”
จากนั้นหล่อนก็เบนสายตาไปทางมู่หวั่นขี “พี่”
“หึ!” มู่หวั่นขีส่งเสียงอย่างเย็นชาตอบรับ สีหน้าแสดงออกถึงความเย็นชา “ไปยืนไกลขนาดนั้นทำไม เข้ามาสิ!”
มู่น่อนน่อนทำท่าราวกับกำลังหวาดกลัวอยู่ พร้อมทั้งเดินด้วยท่าทีเชื่องช้า
หล่อนมองไปทางเซียวชู่เหอตามนิสัยเคยชิน
ทว่าเซียวชู่เหอกลับหันหน้าไปอีกทางแทน แทบไม่สนใจหล่อนเลย
สีหน้าของมู่น่อนน่อนถึงกลับหมดหวังทันที ช่วงที่หล่อนเตรียมตัวนั่งลงบนโซฟานั้น
อยู่ดีๆมู่หวั่นขีก็ยืนขึ้นพร้อมกับเสียงดัง “เพี๊ยะ” หล่อนง้างมือตบหน้ามู่น่อนน่อนฉาดใหญ่
เสียงดัง “เพี๊ยะ” ดังลั่น สะท้อนไปมาในห้อง
มู่น่อนน่อนถูกตบหน้าคว่ำ ใบหน้าร้อนแสบร้อน หล่อนเอื้อมมือขึ้นมาลูบใบหน้าของตนเอง ใบหน้าหล่อนชาทั่วทั้งใบหน้า
ครั้งนี้มู่หวั่นขี ตบแรงพอตัว
หล่อนจ้องมองมู่น่อนน่อนที่ยังทำหน้าโง่ๆอยู่ เลยยังรู้สึกว่ายังไม่หายโกรธ เลยง้างมือเตรียมตบอีกครั้ง
มู่น่อนน่อนหรี่ตาลง พร้อมทั้งขยับมือที่อยู่ข้างลำตัว เตรียมพร้อมที่จะสู้กลับ
ในเวลานั้นเอง มู่ลี่เหยียนที่ไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำก็พูดออกมา “พอแล้ว ! กลับมาพูดเรื่องประเด็นหลักก่อน!”
“พ่อ!”มู่หวั่นขีหันไปทางมู่ลี่เหยียน “เห็นหน้าแล้วโมโหนี่ หากไม่ใช่หล่อน ฉันก็คงไม่ต้องอยู่ในสภาพนี้ในเวลานี้หรอก เมื่อกี้นี้เพื่อนๆก็ส่งข้อความมาถามว่าเรื่องข่าวที่เกิดขึ้นบนอินเทอร์เน็ตนั้นมันเรื่องอะไรกันแน่…”
มู่ลี่เหยียนยกมือเล็กน้อย แสดงท่าทีให้มู่หวั่นขี หยุดเข้ามายุ่มย่าม
หากพูดเรื่องภายในบ้าน คนที่มู่หวั่นขีเชื่อฟังที่สุด ก็ต้องเป็นมู่ลี่เหยียนอย่างแน่นอน
มู่ลี่เหยียนเป็นถึงประมุขของที่บ้าน แถมยังน่าเชื่อถือที่สุด
เขาฉงนคิ้วมองไปทางมู่น่อนน่อน “น่อนน่อน เธอพูดออกมาสิ คลิปวิดีโอที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตนั่นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา?”
ในใจของมู่น่อนน่อนรู้สึกขมขื่น การที่อยู่ด้านนอกเมื่อครู่นั่น มู่ลี่เหยียนตอนที่กำลังพูดคุยเรื่องตนเองอยู่นั้น เขาเรียกชื่อเต็มของเธอ “มู่น่อนน่อน ”แต่ตอนนี้กลับมาเรียกแค่ “น่อนน่อน”แทน
หล่อนเงยหน้าขึ้น ทำท่าทางหดหู่ให้ดูน่าสงสารเข้าไว้ พร้อมทั้งเสียงเล็กเสียงน้อย “พ่อคะ ฉันไม่รู้จริงๆว่าคลิปวิดีโอบนอินเทอร์เน็ตนั้นมันเกิดเรื่องเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…”
พอพูดเรื่องนี้ น้ำเสียงของหล่อนแข็งกร้าวขึ้น หล่อนสูดลมหายใจเข้าออก น้ำตาไหลออกมาจากกระบอกตาอย่างช้าๆ
แต่หล่อนก็ยังพยายามทำเสียงร้องไห้ ทำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจหันไปทางมู่หวั่นขีพลางพูดอธิบายให้เข้าใจ “พี่คะ พี่ต้องเชื่อฉันนะ ฉันจะทำเรื่องพวกนี้ได้ยังไงกัน ฉันจะทำร้ายพี่ได้ยังไง เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ…”
มู่หวั่นขีมองมู่น่อนน่อนอย่างสงสัยแบบมีเล่ห์กล พยายามควานหาร่องรอยบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนที่กำลังโกหกอยู่
แต่ว่า ความเสียอกเสียใจของมู่น่อนน่อนที่แสดงออกมานั้นมันแทบไม่มีร่องรอยของอาการแกล้งเลยสักนิด
หล่อนได้แต่หันไปทางมู่ลี่เหยียน
มู่ลี่เหยียนก็กำลังวิเคราะห์มู่น่อนน่อนอยู่เหมือนกัน
เขามักจะรู้สึกว่า ลูกสาวที่เขาไม่เคยสนใจขึ้นมาเลยสักนิด ราวกับว่าเมื่อแต่งเข้าตระกูลเฉินไปในวันนั้น ก็เหมือนมีสิ่งใดแปลกไป
แต่ในเวลานั้นเอง หล่อนยืนอยู่ด้านหน้า ยังหน้าตาอัปลักษณ์เช่นเดิม และยังอ่อนแอคงเดิม
ขนาดมู่หวั่นขีที่เพิ่งตบหล่อนเข้าฉาดใหญ่ เตรียมพร้อมที่จะตบหล่อนอีกครั้ง หล่อนกลับไม่มีทีท่าจะหลบ แต่ทำไมการตอบสนองกลับของหล่อนถึงได้ช้าขนาดนี้ล่ะ?
คิดได้เช่นนี้ คำพูดของมู่น่อนน่อน ทำให้มู่ลี่เหยียนเชื่อไปเกินครึ่ง
การควบคุมคนโง่นั้น มันง่ายดายเหลือเกิน
มู่ลี่เหยียนเขารู้สึกผ่อนคลายพร้อมทั้งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ พร้อมทั้งใช้น้ำเสียงเข้มงวดพูดกับมู่น่อนน่อน “ใช่สิ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเวลาไหนก็ตามเราต่างคิดแทนครอบครัวเสมอ คนที่เข้าใจพี่สาวเธอผิดในเว็บไซต์นั้น และเรื่องที่เธอต้องทำนั้น ต้องอธิบายพวกเขาที่กำลังเข้าใจผิดให้เข้าใจอย่างชัดเจน”
เข้าใจผิดงั้นหรอ?
มู่หวั่นขีด่าหล่อนกับเซียวชู่เหอว่าเป็นคนเลว ด่าว่าพวกหล่อนเป็นหมาบ้าง พวกเขาร่วมมือกันบีบบังคับให้หล่อนแต่งเข้าบ้านตระกูลเฉิน ทั้งหมดนี่มันคือความเข้าใจผิดหรอ?
ผู้คนในโลกใบนี้ไม่มีคนทรยศในทางธุรกิจ ถือว่าพูดไม่ผิด มู่ลี่เหยียนถือว่ามีความสามารถในการพูดเรื่องผิดให้กลายมาเป็นเรื่องใสสะอาดได้เก่งจริงๆ
มู่น่อนน่อนจงใจตกใจจนเบิกตาโต ใบหน้าแสดงออกถึงความกังวลที่มองมายังมู่หวั่นขี “ฉัน..ฉันจะจัดการอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน พี่ไม่ต้องกังวลไป”
มู่หวั่นขี แสยะยิ้ม สายตาสื่ออาการดูถูกออกมาเล็กน้อย
ช่างเชื่อฟังเหมือนสุนัขจริงๆ
เซียวชู่เหอที่อยู่ข้างๆกลับไปไม่ได้รู้สึกยินดีตามพวกเขา หล่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะหล่อนรู้สึก ว่ามู่น่อนน่อนมีอะไรบางอย่างแปลๆ
มุมปากมู่ลี่เหยียนปรากฏรอยยิ้มออกมา น้ำเสียงอ่อนโยนเล็กน้อย “ต่อจากนี้ เราจะจัดงานให้สัมภาษณ์นักข่าว พอถึงเวลานั้น ทางเราจะให้เธอพูดอะไรออกมา เธอก็ต้องพูดตามนั้น”
“อื้อ” พยักหน้าตอบรับอย่างเชื่อฟัง
ในสายตาของมู่ลี่เหยียน นั้นช่างแสดงออกถึงความยินดี “พอแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เดี๋ยวอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนค่อยกลับไป”
มู่น่อนน่อนหลุบตาต่ำ เพื่อซ่อนสายตาที่แสดงความเยาะเย้ยอยู่ “ได้ค่ะ
ตอนที่ 25 ในทางกลับกัน
เมื่อมู่น่อนน่อนเดินออกมาจากร้านอาการ ก็ได้รับโทรศัพท์ของเสิ่นเหลียง
“รีบมาทางนี้ รถยนต์สีแดงฝั่งตรงข้ามถนน” เสิ่นเหลียงพูดเพียงแค่ประโยคนั้นก็ตัดสายทิ้งทันที
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น ก็เห็นรถยนต์สีแดงที่รอดรออยู่ถนนฝั่งตรงข้าม ตอนที่เธอมองไปนั้น เสียงแตรรถก็บีบดังขึ้นมาสองครั้ง
มู่น่อนน่อนมองสังเกตการณ์โดยรอบ จากนั้นก็รีบข้ามไปยังถนนฝ่ายตรงข้ามพร้อมทั้งเปิดประตูข้างคนขับรถแล้วเข้าไปนั่งในรถ
เสิ่นเหลียงสตาร์ทรถยนต์ พร้อมทั้งถามหล่อนกลับ “เป็นยังไง? เรื่องเรียบร้อยใช่มั้ย?”
ช่วงนี้กำลังมีหนังเรื่องหนึ่งของเสิ่นเหลียง กำลังฉายอยู่ เป็นหนังเรื่องเล็กแต่ก็สามารถขายได้ดีมาก ไม่ว่าจะไปนั่งที่ไหนก็ตามอาจจะถูกคนอื่นจดจำได้ ฉะนั้นทำได้แค่รอหล่อนอยู่ด้านนอก
มู่น่อนน่อนหัวเราะร่า “สำเร็จค่ะ”
มู่หวั่นขีกดดันหล่อนมาหลายปี หล่อนแทบไม่เคยเอาหล่อนไว้ในสายตาเลย เพราะฉะนั้นเลยจัดการปล่อยไปโดยง่าย อีกทั้งคงไม่คิดว่ามันมีกับดักทั้งหมด
“แต่ว่า แผนการอาจมีการเปลี่ยนแปลง”
“หมายความว่าไง?”
“หล่อนอยากให้ฉันพูดเรื่องหย่าร้างกับเฉินถิงเซียว เพื่อทำให้คนในตระกูลเฉินโกรธแค้นขึ้นมา ให้พวกข้อขัดแย้งทั้งหมดมายังที่ฉัน ถึงเวลานั้นคนตระกูลเฉินจะได้มองข้ามว่าที่ภรรยาที่แท้จริงคนนี้ไป หล่อนก็สามารถที่อยู่กับเสิ่นชูหานได้อย่างเปิดเผย”
เสิ่นเหลียงได้ยินดังนั้น โมโหจนทุบพวงมาลัยเสียงดัง “ไม่รู้เลยว่าพวกหล่อนยังไม่มีแผนการอะไรอีกหรือป่าว!”
“ขอแค่มีผลประโยชน์ต่อตนเอง พวกหล่อนก็ไม่มีทางหักหลัง” มู่น่อนน่อนเข้าใจเป็นอย่างดี
เดิมทีหล่อนวางแผนไว้ว่าเช้าวันพรุ่งนี้จะให้ปาปารัสซี่ เอาวิดีโอระหว่างหล่อนกับมู่หวั่นขีปล่อยให้หลุดออกมา
จากสถานการณ์ในเวลานี้นั้น หล่อนเดินหน้าเพิ่มอีกหนึ่งก้าว
……
พาดหัวข่าวบนWeibo “คนอัปลักษณ์เรื่องเยอะ”ถึงกลับดังขึ้นมา จากนั้นก็มีข่าวตามติดมาอีกระลอก “ไม่หย่าร้างเก็บเอาไว้ตอนปีใหม่หรือไง”
“ตามข่าวที่ทราบ น้องสาวของคุณมู่ยื่นเจรจาเสนอขอเลิกร้างกับเฉินถิงเซียวภายใต้ความกดดัน….”
มันเป็นเพียงแค่คำพูดที่ดูมึนงง แต่กลับทำให้เหล่าคนในอินเทอร์เน็ตต่างถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง
“เกี่ยวกับความกดดัน?” ฉันดูแล้วว่าหล่อนก็จิตใจไม่ได้สงบสักเท่าไหร่!
“คิดแต่เรื่องเงินจนประสาทแดกไปแล้ว ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าคุณชายในตระกูลเฉินคนนั้นสถานะเหมือนกับคนไม่สมประกอบ แถมแต่งไปแล้วยังจะต้องไปดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองเหมือนไม่มีสามีแบบนั้น…”
“บนตึกนั่นช่างเจรจาได้ดี”
หัวข้อนี้ถูกจัดอันดับในอันดับแรก แต่ว่าเร็วมาก ข่าวการค้นหานี้ก็ถูกถอดออกอย่างเร็ว
การถกเถียงกันต่างๆมากมายในหัวข้อนี้ต่างเป็นจุดสนใจในการค้นหาตามอินเทอร์เน็ต แต่มู่น่อนน่อนรู้ดี ว่าข่าวการติดอันดับการค้นหานี้คนในตระกูลเฉินเป็นคนจัดการถอดข่าวออกไปแทน
ในความเป็นจริง ตระกูลเฉินเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง ไม่สามารถที่จะให้คนสืบทอดอำนาจของตระกูลมาโดนคนซุบซิบข่าวบนอินเทอร์เน็ตแบบนี้
เที่ยงคืนของวันนี้ ทีคนหนึ่งลงวิดีโอบนWeibo แถมลงคำพูดไว้อีกด้วย ต่อไปนี้อย่าปล่อยคู่แข่งไปง่ายๆ จนใบหน้าแดงชาหมดแล้ว
คนนี้ก่อนหน้านี้ก็เคยถากถางมู่น่อนน่อนบนWeiboมาก่อน
คนที่กำลังสงสัยอยู่เลยเปิดคลิปวิดีโอดู ภาพและเสียงชัดเจนจนสามารถรู้ได้ว่าคนในวิดีโอนั้นคือมู่หวั่นขี
อีกอย่างคำติดแฮชแท็กนั้นที่ว่า “ขอโทษก็ทำแล้ว ต่อไปอย่าทำให้แม่ลำบากใจอีกเลย” “เหมือนหมาตัวหนึ่งที่ต้องคอยเชื่อฟัง” “ขอร้องให้ฉันแต่งงานกับเฉินถิงเซียว” คำพูดที่พูดติดกันมาเป็นระลอก ความจริงก็ถูกเปิดเผยจนได้
คนที่เคยด่าทอมู่น่อนน่อนก่อนหน้านี้ เพราะเหตุการณ์มันกลับตาลปัตร ทั้งหมดต่างเงียบฉี่
จากนั้น ก็มีคนเริ่มออกมาขอโทษมู่น่อนน่อนบนWeibo แต่ก็ยังมีคนที่ทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ที่ไม่ได้ดูในเนื้อหาในคลิปวิดีโอเลย เอาแต่ด่าทอมู่น่อนน่อนไม่หยุด แต่ก็เป็นส่วนน้อย
จากเวลาเที่ยงคืนจะถึงเช้าตรู่ หกชั่วโมงเต็มๆ แฟนคลับของมู่น่อนน่อน ก็เพื่มขึ้นมาห้าหมื่นคน
……
ส่วนมู่หวั่นขีหลังจากที่ประสบความสำเร็จในการข่มขู่ หล่อนก็ดีใจอย่างออกนอกหน้าเลยนัดกับเสิ่นชูหาน คืนนั้นเองหล่อนก็พักที่บ้านของเสิ่นชูหาน
ดังนั้น หล่อนเลยไม่รู้เรื่องรู้ราวที่ติดแฮชแท็กที่กำลังโด่งดังอยู่ในWeibo
เช้าตรู่ หล่อนถูกปลุกด้วยสายโทรศัพท์ของมู่ลี่เหยียน
มู่หวั่นขีที่ยังขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของเสิ่นชูหาน แต่ก็กดรับสายอย่างไม่รีบร้อนอะไร “พ่อ มีเรื่องอะไรหรือป่าว?”
“แกไปดูในอินเทอร์เน็ตเอาเองละกันว่าแกก่อเรื่องเอาไว้ใหญ่โตขนาดไหน แถมยังไม่กลับมานอนที่บ้านอีก แกรีบกลับมาบ้านเดี๋ยวนี้!” มู่ลี่เหยียนไม่เคยโกรธหล่อนเป็นฟืนเป็นไฟแบบนี้มาก่อนเลย
ในใจของมู่หวั่นขีเริ่มรู้สึกเป็นลางไม่ค่อยดี
หล่อนวางสายโทรศัพท์เพื่อเข้าหาข่าวในอินเทอร์เน็ต ถึงได้เห็นว่าตนเองกับมู่น่อนน่อนถูกปาปารัสซี่แอบถ่าย ที่ร้านอาหารตอนเวลาพูดคุยกัน
สีหน้าหล่อนเปลี่ยนไปทันที พร้อมทั้งเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่น “อีพวกสารเลว!”
“เป็นอะไรไป” เสิ่นชูหานบรรจงจูบบนใบหน้าของหล่อน พร้อมทั้งใช้เสียงทุ้มต่ำถามหล่อน
มู่หวั่นขีเก็บโทรศัพท์ลงอย่างเรียบร้อย พร้อมทั้งเอ่ยตอบอย่างอ่อนโยน “พ่อโทรศัพท์มาหาฉัน บอกว่าที่บ้านเกิดเรื่องขึ้น ฉันขอตัวกลับบ้านก่อน”
ระหว่างทางกลับบ้าน หล่อนกลับรู้สึกว่าเรื่องที่หล่อนกับมู่น่อนน่อนโดยแอบถ่ายนั้น มันต้องเกี่ยวข้องกับมู่น่อนน่อนแน่ๆ
บางที่นี่อาจจะเป็นแผนการที่มู่น่อนน่อนตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกก็ได้
หล่อนหน้าดำคร่ำเครียดพลางโทรศัพท์หามู่น่อนน่อนทันที แต่กลับไม่มีคนรับสาย
……
ส่วนทางฝั่งของมู่น่อนน่อนนั้น เมื่อหล่อนเห็นหน้าจอโทรศัพท์ปรากฏชื่อ “พี่สาว” หล่อนถึงกลับหัวเราะออกมา พร้อมทั้งเอาโทรศัพท์ย้ายไปวางด้านข้างๆ อีกทั้งลุกยืนขึ้นเพื่อไปรินน้ำใส่แก้ว
พอตอนเดินกลับมา โทรศัพท์ก็ยังส่งเสียงอยู่
ตอนนี้มู่หวั่นขีคงโกรธจนบ้าตายไปแล้ว คงเกลียดหล่อนจนอยากจะฉีกเป็นชิ้นๆแล้วมั้ง?
“มีเรื่องอะไรทำไมถึงได้ดีอกดีใจขนาดนี้เนี่ย?”
ในยามนั้นมู่น่อนน่อนแสยะยิ้มบริเวณมุมปาก หล่อนไม่ต้องหันศีรษะกลับไปดู ก็รู้ว่าคนที่พูดนั้นคือ “เฉินเจียฉิน”
หล่อนปรับเสียงโทรศัพท์เป็นเงียบแทน พร้อมทั้งเอาใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกง พร้อมทั้งหยิบเก้าน้ำแล้วลุกขึ้นยืนจากนั้นก็เดินมุ่งหน้าขึ้นชั้นบน
ช่างบังเอิญแบบไม่อยากบังเอิญ “เฉินเจียฉิน” ก็ยืนอยู่ที่ปากทางบันไดพอดี
“เฉินเจียฉิน” ทำท่าทางราวกับกำลังเป็นอริกับหล่อนอยู่เช่นนั้น หล่อนเขยิบไปทางซ้าย เขาก็ไปทางซ้าย หล่อนเขยิบไปทางขวาเขาก็ไปทางขวา…
อาการอารมณ์ดีของมู่น่อนน่อนเผลอแปบเดียวก็ถูกเขาทำลายซะสิ้นซาก หล่อนมองไปทางด้านบนพร้อมทั้งใช้เสียงทุ้มต่ำถาม “เฉินเจียฉิน” “คุณจะทำอะไรกันแน่เนี่ย?”
“คุณรู้หรือป่าวว่า คนในตระกูลบ้านมู่ของเธอกำลังทำลายชื่อเสียงของตระกูลเฉิน ลงบนอินเทอร์เน็ต” “เฉินเจียฉิน” มองหล่อนเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม สายตาแสดงออกอย่างจริงจัง ราวกับกำลังหาอะไรบางอย่างบนใบหน้าหล่อน
“อ๋อ” มู่น่อนน่อนหลุบตาต่ำ พร้อมทั้งไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมา แต่ตอบกลับแค่คำเดียวแทน แล้วก็เดินผ่านเขาไป เดินมุ่งหน้าขึ้นไปบนตึก
เฉินถิงเซียวหรี่ตามอง น้ำเสียงกำลังค้นหาความรู้สึกบางอย่างอยู่ “เธอดูเหมือนว่าไม่เกรงกลัวสักนิด”
ไม่อยากจะสนใจเขา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต่อกรกับเขา “ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดนี่ ฉันจะต้องกลัวอะไรล่ะ?”
เฉินถิงเซียวไม่คิดเลยว่าหล่อนจะพูดโต้ตอบกลับมาแบบนี้ หล่อนช่างนิ่งจนเกิดความคาดเดาของเขา
มู่น่อนน่อนพูดจบก็หันตัวกลับไปทันที เขาจ้องมองด้านหลังของเขา นัยน์ตามองภาพอย่างลึกซึ้ง ผู้หญิงคนนี้ ตอนนี้เริ่มแกล้งโง่แล้วหรือเนี่ย?
พอกลับมาถึงห้องนั้น ความนิ่งสงบเมื่อครู่ของมู่น่อนน่อนที่เผชิญหน้าต่อ “เฉินเจียฉิน” หายไปแล้ว
หล่อนรู้ว่าตระกูลเฉินเป็นคนยื่นมือเข้าไปปิดบังข่าวพวกนี้ไว้ หล่อนรู้สึกอึดอัด เพราะจับต้นชนปลายกับความคิดของตระกูลเฉินไม่ถูก
จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หน้าจอโทรศัพท์ก็มีเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ได้รับสายอยู่หลายสาย คนในตระกูลมู่เป็นคนโทรเข้ามาทั้งนั้น
มู่น่อนน่อนแสยะยิ้มบริเวณมุมปาก จากนั้นก็โทรศัพท์ไปหาเซียวชู่เหอ
ตามความคิดที่คิดเอาไว้ ยามเมื่อกดรับสายโทรศัพท์ เซียวชู่เหอก็อ้าปากทันที “กลับมาเดี๋ยวนี้”
“ฉันก็กลับมาแล้วนี่…” มู่น่อนน่อน พยายามใช้เสียงต่ำ เพื่อให้เสียงตนเองที่ดังออกมานั้น เหมือนอยู่ไม่เป็นสุข
แน่นอนอยู่แล้วว่าหล่อนต้องกลับไปที่บ้านตระกูลมู่เพื่อไปดูสีหน้าพวกเขาท่ำลังโกรธจนหน้าดำหน้าแดง
กลับไปดูหน้าตามู่หวั่นขีที่ถูกด่าทอ ที่กำลังโมโหจนเป็นเหมือนคนบ้า
แต่ว่า หล่อนเข้าใจอย่างชัดเจน คนในตระกูลมู่ไม่มีทางยอมรับได้
ตอนที่ 24 การหย่าร้างกับเฉินถิงเซียว
ภายในร้านอาหาร
หล่อนวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะอาหาร ชูคางอย่างเย่อหยิ่งมาทางมู่น่อนน่อน “มีอะไรจะพูดก็พูดมาเร็วๆ อีกสักพักฉันมีนัดกับชูหาน”
หล่อนพูดไป ก็กรีดกรายมือของตนเอง เพื่อชื่นชมเล็บที่เพิ่งไปทำมาใหม่
หล่อนเหลือบสายตามองมู่น่อนน่อนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างไม่ได้ตั้งใจ วันนี้หล่อนยังคงแต่งตัวเหมือนสิบปีที่แล้ว ชุดผ้าฝ้ายสีอ่อนตัวยาว ผิวพรรณสีน้ำผึ้ง แว่นตาสีดำ ทุเรศจนขัดหูขัดตาเหมือนเดิม
ผู้หญิงแบบนี้ ยังจะสิ้นคิดมาแย่งผู้ชายของเธองั้นหรอ?
มีแต่พวกโง่เง่าดักดานบนอินเทอร์เน็ตเท่านั้นแหละที่เชื่อ
มู่น่อนน่อนช้อนสายตา พลางถือแก้วน้ำ สองมือเอาแต่ลูบคลำบริเวณด้านข้างแก้วน้ำ แต่หล่อนก็ทอดสายตามายังผู้ชายที่แต่งตัวธรรมดาที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหลัง
หล่อนสีหน้ายังคงเหมือนเดิมพร้อมกับส่งข้อความออกไปตามที่ตนเองได้ตั้งใจจัดฉากมาตั้งแต่แรก : เริ่มได้แล้ว
การกระทำเช่นนี้ทั้งหมด หล่อนระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นมู่หวั่นขีเลยไม่สังเกตเห็น
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองมู่หวั่นขีอย่างระมัดระวัง พลางกระซิบพูด “ฉันลงคำขอโทษบนWeiboแล้ว ฉะนั้นพี่อย่ามาทำให้แม่ฉันลำบากใจอีกเลย”
หล่อนทำท่าทางอ้ำอึ้งจะพูดก็ไม่ยอมพูด ช่างดูเหมือนเมื่อก่อนนี้ไม่มีผิดเพี้ยนไปเลย
มู่หวั่นขีหัวเราะอย่างเย็นชา หล่อนรู้อยู่แล้วว่า มู่น่อนน่อนตั้งแต่เด็กจนโตโง่เง่ามาตลอด อยู่ดีๆจะเปลี่ยนมาฉลาดได้ยังไง
“ไม่ทำให้เซียวชู่เหอลำบากใจก็ได้ ฉันมีเงื่อนไข” มู่หวั่นขีกอดอกไปก็ยิ้มอย่างหยิ่งผยอง
“งะ..เงื่อนไขอะไร?” น้ำเสียงของ มู่น่อนน่อน ทั้งยินดีทั้งกังวล
“อีโง่ ไม่รู้จริงๆเลยว่าทำไมแกถึงได้เป็นห่วงเป็นใยเซียวชู่เหอขนาดนั้น ทั้งๆที่เขาไม่เคยคิดว่าแกเป็นลูกสาวของเขาเลยด้วยซ้ำ”
มือที่วางบนตักของมู่น่อนน่อนกำหมัดแน่น ใบหน้าขาวซีด หล่อนเปิดปากพูดอย่างขมขื่น “ไม่ว่าจะพูดยังไง เขาก็เป็นแม่ของฉัน หากย้อนกลับไปได้ ทั้งๆที่รู้ว่าทั้งหมดนี้เขาทำเพื่อขอร้องให้ฉันแต่งงานกับเฉินถิงเซียว ฉันก็ยังคงยินยอม ”
มู่หวั่นขีดูสภาพของมู่น่อนน่อนที่ทำท่าทาง อ่อนปวกเปียกเช่นนี้ ในช่วงยามเด็กนั้นการเรียนของมู่น่อนน่อนดีกว่าหล่อนมาก หล่อนเกลียดน้องสาวคนๆของหล่อนจริงๆ
หลังจากที่มู่น่อนน่อน อยู่ดีๆก็เซ่อซ่า หล่อนยิ่งเกลียดน้องสาวคนนี้มากกว่าเดิมอีก
การมีน้องสาวอย่างมู่น่อนน่อน มันทำให้หล่อนอับอายขายขี้หน้า
ทว่า ดีที่ว่ามู่น่อนน่อน เชื่อฟังเหมือนหมาตัวหนึ่ง ที่สามารถเอาไว้ให้หล่อนใช้งานได้
มู่หวั่นขีมุมปากกระดกยิ้ม น้ำเสียงอ่อนโยน แต่ช่างร้ายกาจมาก “เธอก็เลวเหมือนแม่เธอ..”
สายตามู่น่อนน่อนส่องประกายความเย้ยหยันออกมาแวบหนึ่ง เซียวชู่เหอแต่งเข้าบ้านตระกูลมู่มายี่สิบกว่าปีแล้ว หล่อนทำดีต่อมู่หวั่นขีอย่างหมดหัวใจ จนในที่สุดมู่หวั่นขีไม่เพียงจะรับความรู้สึกดีต่อเซียวชู่เหอนี้ไว้ แถมยังด่าว่าเขาว่าเลวอีก
“ไม่ว่าเธอจะพูดเงื่อนไขอะไรออกมาฉันยินยอมได้หมด แต่ว่าอย่าพูดถึงแม่แบบนี้อีก เขาดีต่อเธอจริงๆ” มู่น่อนน่อนกำลังหลอกว่าเสียอกเสียใจอยู่ พลางทำเสียงอ่อนขอร้องหล่อน
มู่หวั่นขีฟังความหมายของคำพูด มู่น่อนน่อน พลางเหลือบตามอง พร้อมทั้งเสียงดังใส่ “หุบปาก! เรื่องของฉันแกไม่ต้องมาสนใจ ตอนนี้ เธอก็แค่ต้องทำเรื่องหนึ่ง ไปหย่ากับเฉินถิงเซียวซะ”
“หย่า?” มู่น่อนน่อนตกใจจนตาเบิกโต
การตกใจครั้งนี้ ครึ่งหนึ่งคือแกล้งทำไปงั้น อีกครึ่งหนึ่งคือเรื่องจริง
ไม่จำเป็นต้องให้มู่หวั่นขีพูดออกมา มู่น่อนน่อนก็สามารถคาดเดาจุดประสงค์ของหล่อนได้
ถึงแม้ว่าตระกูลเฉินไม่ได้สนใจว่าใครจะเป็นคนแต่งงานกับเฉินถิงเซียว ด้วยซ้ำ แต่ว่าไไม่สามารถปล่อยปะละเลยให้มู่น่อนน่อน ทำเรื่องขึ้นมาให้เสียใจภายหลังโดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่ไม่สามารถเอาออกหน้าออกตาต่อสังคมได้ “ทั้งหน้าตาอัปลักษณ์ทั้งโง่เง่า”
หล่อนยื่นข้อเสนอมาว่าต้องการหย่าร้างกับเฉินถิงเซียว นี่มันแสดงออกว่าเพื่อต้องการหักหน้าตระกูลเฉิน
คนในบ้านตระกูลเฉิน ไม่ปล่อยหล่อนให้ลอยนวลไปแน่!
วิธีการของมู่หวั่นขีในครั้งนี้ถือว่ารุนแรงจริงๆ พยายามเบี่ยงเบนสายตาของคนในตระกูลเฉิน ไปยังมู่น่อนน่อน ให้คนในตระกูลเฉิน เกลียดแค้นมู่น่อนน่อนต่อไปเรื่อยๆ เรื่องอย่างนี้ ความรู้สึกในใจของหล่อนนั้นยิ่งติดลบลงเรื่อยๆเป็นทวีคูณ ถึงสามารถลดความกดดันและการเสียสละระหว่างกันของเสิ่นชูหาน
มู่หวั่นขีสะบัดผมที่ด้านข้างใบหูออกอย่างไม่ได้ใส่ใจ ลำคอขาวผ่องกลับมีรอยจูบแดงๆเป็นจ้ำๆบนลำคอระหง “ขอแค่เธอทำเรื่องนี้ ฉันก็จะไม่ทำให้เซียวชู่เหอลำบากใจอีก”
มู่น่อนน่อนไม่ได้เห็นกับตา แต่ที่เห็นคือร่องรอยเท่านั้นเอง
รอยแดงบนลำคอของมู่หวั่นขี เห็นชัดเจนว่าเป็นรอยจูบ
นี่กำลังเปิดเผยอะไรให้หล่อนหรือป่าว?
มู่น่อนน่อนยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ ในใจช่างอึดอัดขัดใจเหลือเกิน
สิ่งที่หล่อนลำบากใจไม่ใช่ว่าเสิ่นชูหานกับมู่หวั่นขีอยู่ด้วยกัน แต่สิ่งที่หล่อนลำบากใจจริงๆคือ การที่ตนเองแอบรักผู้ชายมาตั้งนานหลายปี มันก็แต่นี้เท่านั้นเอง
“ทว่า ทางตระกูลเฉินคงไม่ยินยอมให้ฉันกับเฉินถิงเซียวหย่าร้างกันแน่…” ถึงแม้ว่าจะหย่าร้างกันจริงๆขึ้นมา ทำได้แค่เฉินถิงเซียวเป็นคนเอ่ยปากขึ้นมาเอง
“มันเป็นเรื่องของแก ฉันแค่แนะนำให้แก ทางที่ดีที่สุดทำตัวให้เหมือนสุนัขตัวหนึ่งที่คอยเชื่อฟังคำสั่งก็พอ ไม่งั้นพอถึงเวลานั้น ฉันจะให้แกกับแม่ของแกอยู่กันอย่างไม่มีความสุข”
มู่หวั่นขีไม่มีน้ำอดน้ำทนจะพูดกับมู่น่อนน่อนต่ออีกแล้ว หล่อนหยิบกระจกขึ้นมาเพื่อเติมสีลิปสติก จากนั้นก็ต่อสายโทรศัพท์พร้อมทั้งออกคำสั่งอย่างนุ่มนวล “ชูหาน”
มู่น่อนน่อนหน้าตึงชาทันที
ปฏิกิริยาตอบสนองของหล่อนช่างทำให้มู่หวั่นขี สะใจมาก
ถึงแม้ว่ามู่น่อนน่อนจะไม่ได้พูดข่มขู่หล่อนแต่อย่างใด แต่หล่อนดูอากัปกิริยาของมู่น่อนน่อน ที่แสดงออกมาราวกับลูกหมากำลังตกน้ำที่น่าสงสารจับใจ มันกลับสร้างความรู้สึกดูเหมือนทำเรื่องได้ประสบความสำเร็จ
เมื่อมู่น่อนน่อนมองผ่านหน้าต่างกระจกออกไป ก็เห็นว่า มู่หวั่นขีขับรถออกไปแล้ว ถึงได้หันศีรษะกลับมาพลางมองไปทางโต๊ะอาหารทางด้านหลัง
ผู้ชายคนนั้นเขย่าโทรศัพท์ที่อยู่ในมืออย่างไม่มีเสียง ก้มศีรษะลง มีข้อความแสดงบนหน้าจอโทรศัพท์
“ผมกลับไปจะคัดลอกวิดีโอให้เสร็จจากนั้นจะส่งต่อให้คุณ”
มู่น่อนน่อนตอบกลับ “ขอบคุณ”
หล่อนวางโทรศัพท์ที่อยู่ในมือลง จากนั้นก็จัดการรับประทานอาหารที่เย็นชืดที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างเชื่องช้าๆ
หล่อนไม่รู้เลยว่าทำไมมู่หวั่นขีถึงเปลี่ยนไปเป็นคนเช่นนี้ได้ ตอนเด็กนั้น หล่อนชอบมู่หวั่นขีจริงๆ
มู่หวั่นขีหน้าตาถือว่าไม่เลว เป็นเด็กน้อยที่ชอบพี่สาวที่รักรักสวยรักงาม เพราะฉะนั้นหล่อนมักจะอยู่ด้านหลังมู่หวั่นขีอยู่เสมอ
ทว่า คนอย่าง มู่หวั่นขี คนนี้เหมือนจะไม่ค่อยมีจิตใจสักเท่าไหร่
เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วเซียวชู่เหอทุ่มเทดีต่อหล่อนมาก แต่มู่หวั่นขีก็ยังด่าว่าหล่อนเลวอีก แล้วคนไม่ที่ไม่เคยเข้าตาอย่างมู่น่อนน่อนล่ะ?
หล่อนคิดว่ามู่หวั่นขีคงมีความรู้สึกบ้างแหละกับเซียวชู่เหอ ทว่า…..
ในใจของมู่น่อนน่อนเริ่มอึดอัดขึ้นมาบ้าง อาหารเย็นชืดก็ไม่ได้เลิศรส หล่อนลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากร้าน
เฉินถิงเซียวเดินออกมาจากภายในห้องรับรองอีกห้องหนึ่ง แล้วเจอกับปาปารัสซี่คนนั้นที่ดักรออยู่ที่หน้าประตู
ปาปารัสซี่เห็นเฉินถิงเซียวที่เขาทำตัวดูสูงส่งนิสัยดูไม่ธรรมดา ในใจเริ่มหวาดหวั่น “คุณจะทำอะไร?”
“ขอผมดูหน่อย” สายตาของเฉินถิงเซียวเพ่งมองไปที่บนกระเป๋าของเขา น้ำเสียงแข็งกร้าวเย็นยะเยือก
“ผมไม่เข้าใจว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่” เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขาหาข่าวได้ แถมเป็นข่าวพาดหน้าหนึ่งของวันพรุ่งนี้ เลยไม่คิดจะให้คนอื่นดูได้อย่างตามใจชอบ
“ใช่หรอ? แกเชื่อหรือป่าวว่าคนอย่างฉันสามารถทำให้แกไม่มีวันอยู่ที่เมืองหู้หยางนี้อีกต่อไปได้?” การแสดงออกของเฉินถิงเซียวไม่มีการเปลี่ยนแปลง น้ำเสียงยังปกติดังเดิมแต่กลับไม่มีอารมณ์ใดๆแสดงออกมาอีกเลย
ปาปารัสซี่ถึงได้พบว่า ผู้ชายที่อยู่ด้านหน้าไม่เพียงหน้าตาหล่อเหลาอารมณ์สุขุมนุ่มลึก ชุดสูทที่สวมใส่อยู่บนเรือนกายต่างตัดเย็บอย่างหรูหรา ดูแวบเดียวก็รู้ว่าแพงแสนแพง ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าความรู้สึกที่ทรงพลังแผ่ออกมาจากตัวของเขาพร้อมทั้งกำลังถูกเขากดขี่อยู่อย่างเห็นได้ชัดเจน อีกทั้งมีความรู้สึกให้คนยอมแพ้โดยง่าย
เขาไม่ได้มีความสงสัยใดๆในคำพูดของเฉินถิงเซียวเลย จากนั้นก็เอาวิดีโอยื่นให้เฉินถิงเซียวดู
เสียงและภาพแสดงอย่างชัดเจน คำพูดระหว่างผู้หญิงสองคนนั้น เขาได้ยินทุกคำพูดไม่มีตกหล่นเลย
ตอนที่ 23 ข้ออ้างที่ดูไร้สาระ
เฉินถิงเซียว กำลังโมโหจัด เลยตะคอกเสียงเข้มกลับไป “ไสหัวไป!”
มู่น่อนน่อนที่อยู่ด้านนอกประตู ถึงกลับอึ้งกิมกี่ พร้อมทั้งหันหลังเดินห่างออกไป
ผ่านไปสักพัก อารมณ์ของเฉินถิงเซียวค่อยกลับมาปกติดังเดิม
สือเย่เคาะประตูเข้ามา ในมือถือเอกสารกองใหญ่มาด้วย
เฉินถิงเซียวเหมือนเพิ่งจะคิดอะไรได้ เงยหน้าพร้อมทั้งถามเขาแทน “มู่น่อนน่อน กลับมาหรือยัง? “
สือเย่ วางเอกสารที่อยู่ในมือวางไว้บนโต๊ะไว้อย่างเงียบๆ พร้อมทั้งพูดอ้อมแอ้มแทน “คุณผู้หญิงกลับมาได้สักพักหนึ่งแล้ว เมื่อครู่ก็มาแล้วนี่ครับ….มาหาคุณ… ”
เฉินถิงเซียวถึงนึกได้ว่า ก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนนั้นมาเคาะห้องหล่อนแล้วจริงๆ
ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่อาศัยอยู่ในวิลล่านี้ มีแค่มู่น่อนน่อนเท่านั้น
มาหาเขาเองเลยหรอ?
ก็แค่ข่าวแย่ๆที่ไม่ยุติธรรมที่ลงในอินเทอร์เน็ต ถึงขนาดมาขอร้องเขางั้นหรอ?
ดวงตาดำขลับของเฉินถิงเซียวถึงกลับส่องประกายความตื่นเต้นขึ้นมา จนนั่งเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ พร้อมทั้งเปล่งเสียงออกคำสั่ง “คุณไปเรียกหล่อนมาที่นี่หน่อย”
สือเย่ เดินออกไป ไม่นานก็พามู่น่อนน่อนมาด้วย
ยามเมื่อมู่น่อนน่อนเปิดประตูเข้ามา กลับพบว่าเฉินถิงเซียว ยังคงนั่งทำงานอยู่บนเก้าอี้ของเจ้านายที่โต๊ะทำงานเหมือนครั้งที่แล้ว เก้าอี้ของเจ้านายนั่นหันหลังอยู่ฝั่งตรงข้ามหล่อน
หล่อนเห็นแค่มือที่วางอยู่พนักเก้าอี้ และศีรษะที่โผล่พ้นเก้าอี้ออกมาทางด้านบน อย่างอื่นมองไม่เห็น
เฉินถิงเซียวเปิดปากถามหล่อนก่อน “มาหาฉันมีธุระอะไร? ”
คำพูดนี้น่าจะเป็นหล่อนมากกว่าที่ควรจะถามเขา?
ก่อนหน้าก็เป็นเขาที่เรียกให้หล่อนมาหา พอมาหาแล้วก็ขับไล่หล่อนไปซะนี่ ตอนนี้ก็เรียกหล่อนให้มาหาอีก ก็เพื่อจะถามว่าหล่อนว่ามีธุระอะไรงั้นหรอ?
มู่น่อนน่อนเลยพูดตรงๆไม่อ้อมค้อม “ฉันอยากย้ายไปอยู่ข้างนอก”
หล่อนพูดจบ ก็ไม่เห็นว่าเฉินถิงเซียวจะตอบกลับมา หล่อนเลยอธิบายต่อ “อีกไม่นานฉันก็ไปทำงานแล้ว ถ้าพักอยู่ที่นี่ ตอนไปทำงานคงไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่”
พอหล่อนอธิบายเสร็จแล้ว แต่กลับมีเสียงตอบกระชับกลับมา “อ้อ”
อ้อ?
นี่เป็นคำตอบที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย?
ในเวลานี้เฉินถิงเซียวกลับเกิดอารมณ์ไม่ถูกใจสักเท่าไหร่
ยัยผู้หญิงอัปลักษณ์คนนี้ เมื่อวานยังพูดอย่างจริงใจว่าไม่รังเกียจเขา “ไม่ได้ ” วันนี้กลับมาบอกว่าอยากจะย้ายออกจากวิลล่าซะงั้น!
ฝันไปเถอะ!
มู่น่อนน่อนเห็นว่าเขาไม่ยอมพูดยอมจา เลยถามเขาอย่างสงสัย “คุณ…. ”
เฉินถิงเซียวพูดแทรกหล่อนอย่างเย็นชา “เธอคิดว่าที่บ้านฉันเป็นตลาดหรือไง? จะเข้าก็เข้ามาได้ตามสบายใจ จะออกก็ออกไปง่ายแบบนั้น?
มู่น่อนน่อนฟังออกถึงน้ำเสียงความโกรธของเขา
หล่อนไม่ค่อยเข้าใจ ว่าหล่อนไปทำอะไรให้เขาโกรธ
พอเถอะ ไม่ย้ายก็ไม่ย้าย
พอกลับมาคิดอีกครั้ง หล่อนคิดว่าการที่ตัวเองมายื่นข้อเรียกร้องว่าจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกนั้น บางทีมันอาจเป็นการสร้างความเจ็บปวดให้เฉินถิงเซียวก็เป็นได้
ยิ่งเป็นเฉินถิงเซียวคนแบบ “ร่างกายไม่สมประกอบ” ด้วยแล้ว “ ความอ่อนไหวง่ายทางด้านจิตใจค่อนข้างมาก ง่ายมากที่จะไปกระทบกับจิตใจของเขา
มู่น่อนน่อนคิดได้เช่นนั้น น้ำเสียงพลันอ่อนโยนอย่างไม่รู้ตัว “ฉันรู้แล้วค่ะ ไม่มีธุระอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนค่ะ”
น้ำเสียงอันอ่อนโยนนุ่มนวลของหล่อน มันเป็นครั้งแรกที่เฉินถิงเซียว ได้ยินกับหู
เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ทำหน้าดำคร่ำเครียดแทน
“ออกไป!”
มู่น่อนน่อนถึงกลับถอนหายใจ อารมณ์ของเฉินถิงเซียวช่างแย่เหลือก้ำเหลือเกิน
เฉินถิงเซียวหันหน้ากลับมา ก็เอาเอกสารต่างๆที่อยู่ในมือที่ยังไม่ได้จัดการวางให้เรียบร้อยพลันโยนลงบนโต๊ะทำงานทันที
สือเย่ดูลักษณะอาการที่เขาแสดงออกมา ในใจก็รู้สึกประหลาดใจอยู่ลึกๆ ช่วงนี้เจ้านายของเขาอยู่ดีๆก็อยากจะระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
สักพัก เฉินถิงเซียวเหมือนว่าคิดอะไรได้แบบนั้น เขาเอ่ยปากถาม “ฉันจำได้ว่าในเอกสารของมู่น่อนน่อนนั้น บนนั้นหล่อนเขียนว่าเรียนจบทางด้านสาขาภาพยนตร์ใช่มั้ย?”
สือเย่ “ใช่ครับ คุณผู้หญิงเรียนทางด้านศิลปศาสตร์ทางด้านนิเทศศาสตร์การละคร”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเฉินถิงเซียวทันที มันเป็นรอยยิ้มเล่ห์เหลี่ยมเจ้าเล่ห์เฉกเช่นนายพรานที่กำลังเห็นเหยื่อ เงียบอยู่นานถึงได้เอ่ยขึ้นมา “งั้นก็หมายความว่า งานของหล่อนคือเขียนบทละครงั้นสิ? ”
สือเย่ อึ้งไปสักพัก จากนั้นก็พยักหน้า
คนอื่นต่างคิดว่าคนอย่างเฉินถิงเซียวเป็นแค่คนไร้ค่าสิ้นดี แต่ไม่มีใครรู้ว่า หลายปีทีผ่านมานี้เฉินถิงเซียว เป็นเจ้าของธุรกิจเสิ้งติ่งธุรกิจเบื้องหลังอุตสาหกรรมทางด้านบันเทิงที่โด่งดังมากภายในประเทศ
ในระยะเวลาแค่แปดปีที่ผ่านมานี้ บริษัทเสิ้งติ่งกลายเป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่อันดับต้นๆของธุรกิจบันเทิงบริษัทเสิ้งติ่ง เป็นบริษัทด้านธุรกิจบันเทิงที่ใครต่างก็อยากเข้ามาสมัครงาน หากมู่น่อนน่อนอยากเป็นนักเขียนตอนที่มีชื่อเสียงแล้วละก็ หล่อนต้องส่งใบสมัครงานมาที่เสิ้งติ่ง แน่นอน
สือเย่เข้าใจความหมายอันแยบยลที่อยู่ในคำพูดของเฉินถิงเซียวทันที เขารีบพูดขึ้นก่อน “ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ครับ”
……
มู่น่อนน่อนส่งใบสมัครงานไปตามบริษัทด้านธุรกิจบันเทิงไปทั่วเมืองหู้หยาง
ทว่า หล่อนจงใจที่จะข้ามบริษัทเสิ้งติ่งไป
เหตุผลนะหรอ?
เพราะว่าบริษัทเสิ้งติ่งกับบริษัทที่เสิ่นเหลียง เซ็นสัญญาอยู่บริษัทบันเทิงนั้นเป็นบริษัทฝ่ายตรงข้ามกัน
อีกอย่าง หล่อนมั่นใจว่ายังไงก็ไม่ถูกเรียกตัวไปทำงานแน่นอน
ช่วงที่กำลังรอฟังข่าวจากการสมัครงานอยู่นั้น หล่อนต้องจัดการเรื่อง มู่หวั่นขีที่ปล่อยข่าวออกมาให้สิ้นซากซะก่อน
หล่อนขลุกขลักอยู่นาน ถึงต่อสายตรงไปหามู่หวั่นขี
“มีธุระอะไร พูดมา” มู่หวั่นขีก็ยังใช้น้ำเสียงดูสูงส่งเช่นเดิม
มู่น่อนน่อนทำเสียงขึ้นจมูก น้ำเสียงราวกับสะอึกสะอื้นอยู่ “พี่ ฉันขอโทษ พี่ไม่โกรธฉันใช่ไหม เราออกมาเจอกันไหม? พี่อย่าทำร้ายแม่ฉันนะ”
“แกให้ฉันออกไปหาแก ฉันก็ต้องออกไปงั้นสิ แกคิดว่าแกเป็นใคร”
มู่น่อนน่อนเข้าใจมู่หวั่นขีเป็นอย่างดี หล่อนใช้เสียงกระซิบกระซาบพูด “ขอร้องแหละพี่”
“เสียงดังๆหน่อย ฉันไม่ได้ยิน”
“ฉันขอร้องนะพี่…..
“โอเค”
มู่น่อนน่อนวางสายโทรศัพท์ ดวงตากลับเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที
มู่หวั่นขีตอนนี้พี่ก็คงยินดีเปรมปรีดิ์อยู่ใช่ไหม?
อีกไม่ช้า พี่ก็สุขสำราญเบิกบานใจได้ไม่นานแล้ว
ก่อนหน้านี้เสิ่นเหลียงได้ติดต่อกับฝ่ายการตลาดให้หล่อนหลายที่ แถมยังติดต่อพวกปาปารัสซี่อีกด้วย
ข่าวที่บอกว่าหล่อน “แย่ง” ว่าที่สามีของมู่หวั่นขีมาที่กำลังเป็นข่าวโด่งดังในขณะนี้ ตอนนี้มีคนยินยอมที่จัดเตรียมเอกสารไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว
หล่อนเลือกที่จะติดต่อหนึ่งในปาปารัสซี่พวกนั้นโดยอาศัยความรู้สึก พร้อมทั้งส่งที่อยู่กับเวลานัดหมายไปให้ทางนั้น พร้อมทั้งเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปตามที่ได้นัดหมายกันไว้
พอมู่น่อนน่อนก้าวเท้าออกจากประตู ก็รีบไปยังห้องหนังสือเพื่อแจ้งให้เฉินถิงเซียวทราบทันที “คุณผู้หญิงออกนอกบ้านไปแล้วครับ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้น สายตาของเขาที่ปรากฏออกมามันมีความหมายว่า “แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน?”
ถึงแม้ว่าเขาจะชินกับสายตาที่เย็นชาของเฉินถิงเซียวแล้วก็ตาม ทว่าสือเย่แต่ยังคงกลืนน้ำลายอยู่ดี
“ผมเดาว่าคุณผู้หญิงต้องออกไปเพราะเรื่องมู่หวั่นขี แน่ๆ” เขายังคงแปลกใจอยู่ว่าคุณผู้หญิงจะรับมือมู่หวั่นขีอย่างไร อีกทั้งเขาเชื่อมันว่าเจ้านายของเขาก็คิดแบบเขาเช่นนี้อยู่ในใจ
ใครจะไปรู้ว่า เฉินถิงเซียวได้แต่ตอบรับเฉยเมยมาหนึ่งคำ “อ้อ”
ความคิดของสือเย่มึนงงทันที หรือว่าเขาจะคาดเดาผิดไป?
วินาทีต่อมานั้นเฉินถิงเซียว ยืนขึ้นมา พร้อมทั้งใส่เสื้อโค้ตแล้วเดินมุ่งหน้าออกจากห้อง “ไม่ได้เจอพี่ใหญ่นานแล้ว ฉันไปกินข้าวกับเขาดีกว่า”
สือเย่:“……”
หากเขาจำไม่ผิดไป คุณชายต้าเปียวยังอยู่ที่ต่างประเทศยังไม่ได้กลับประเทศเลย
เจ้านายคงหาข้ออ้างที่ดูดี…
ถึงแม้ว่าข้ออ้างของเฉินถิงเซียวจะดูไร้สาระ แต่สือเย่ก็ไม่กล้าแม้ที่จะพูดดักทางเขาไว้
……
เฉินถิงเซียวขับรถไปทางร้านอาหารที่มู่น่อนน่อนไป
เขานั่งอยู่ในรถยนต์ และคอยชะเง้อมองมู่น่อนน่อน ที่เดินเข้าไปในร้าน ผ่านไปยี่สิบนาทีแล้วมู่หวั่นขีถึงมาถึง
จากนั้น ก็มีผู้ชายแต่งตัวธรรมดาแต่ท่าทางน่าสงสัยคนหนึ่งเดินเข้าไปในร้าน
การเป็นเจ้าของบริษัทด้านธุรกิจบันเทิงที่ทำงานอยู่เบื้องหลังนั้น เฉินถิงเซียวมองแวบเดียวก็สามารถตัดสินได้ว่า ผู้ชายที่เดินตามหลังเข้าไปนั้น เป็นปาปารัสซี่
การที่เขานั่งอยู่ในรถนี้มันไม่เสียเวลาจริงๆ ดูท่าแล้วมีฉากละครฉากเด็ดให้ดูด้วย
ตอนที่ 22 การขอโทษต่อมู่หวั่นขี
เมื่อกลับถึงวิลล่าแล้ว ตลอดทางมู่น่อนน่อนเอาแต่รีเฟรชWeiboอยู่ตลอดเวลา
หัวข้อ “คนอัปลักษณ์แถมยังเรื่องเยอะ” ต่างพุ่งกระฉูด
ในWeiboนั้นคนจำนวนเยอะแยะต่างกำลังด่าทอมู่น่อนน่อน ไม่หยุดหย่อน
มู่น่อนน่อนยิ้มอย่างเย็นชา หล่อนเป็นถึงผู้เสียหาย แล้วจะยังให้คนอื่นมาด่าทอหล่อนที่เป็นผู้บริสุทธิ์แบบนี้หรอ? แต่มู่หวั่นขี ผู้เริ่มต้นยิงปืนนัดเดียวแถมได้นกมาสองตัวงั้นหรอ?
มู่น่อนน่อนส่งข้อความให้เสิ่นเหลียง
“แนะนำฝ่ายการตลาดที่น่าเชื่อถือได้ให้ฉันที”
“เธอจะทำอะไร???!!”
แม้ว่าระยะของตนเองจะห่างจากโทรศัพท์มือถือก็ตาม แต่มู่น่อนน่อนรับรู้ความรู้สึกตื่นเต้นของเสิ่นเหลียงไว้ได้ทั้งหมด
“ฉันไม่อยากถูกด่าฟรีๆ”
“นี่ก็ถูกแล้วนี่ ทิ้งนิสัยเจ้าหญิงล้าหลังไปซะที! ฉันจะช่วยติดต่อเพื่อนฉันให้เธอเอง จำนวนแฟนคลับของหล่อนเยอะกว่าฉันมาก….”
เสิ่นเหลียง ดูไม่คุ้นชินกับหน้าตามู่หวั่นขีที่โกรธเคืองโมโหอย่างทันควันอยู่ “ทุกคนบนโลกใบนี้ก็ฟังฉันทั้งนั้น” ด้วยคำพูดที่คอยเรียกมู่หวั่นขีว่าเจ้าหญิงล้าหลัง
มู่น่อนน่อนที่ได้ยินดังนั้นถึงกลับหมดความอดทน เสิ่นเหลียงชอบดูอาการครื้นเครงของผู้หญิงที่ไม่เกรงกลัวเรื่องใหญ่โตอะไร!
แต่ว่า เรื่องมันพัฒนามาถึงขั้นนี้แล้ว มู่น่อนน่อนก็ไม่คิดว่าจะสงบลง หล่อนก็คิดว่าจะทำให้เรื่องมันใหญ่ขึ้นอีกสักนิด
ที่แท้ มู่หวั่นขีตั้งใจเอาไว้ว่าจะสูบเลือดสูบเนื้อและใช้ประโยชน์จากตัวหล่อน งั้นก็ทำให้มู่หวั่นขีสมใจอยากไปเลย
ทว่า มู่หวั่นขีสามารถรับมือกับการเรียกร้องคุณค่าให้หล่อนกลับมาขาวสะอาดดังเดิม นั่นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน
……
บ่ายสามโมง แสงตะวันคล้อยบ่ายช่างเป็นช่วงเวลาในการดื่มน้ำชา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาบ่ายสามโมงของวันสุดสัปดาห์
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อความเนื้อหาธรรมดาอยู่ข้อความหนึ่ง เขียนแค่คำว่า “ขอโทษ” เอาไว้สามคำในWeiboนั่นที่กลายเป็นกระแสในอันดับต้นๆ
เวลาเพียงแค่สองชั่วโมง comment นั่นก็ลงความเห็นเกินหนึ่งหมื่น comment เข้าไปแล้ว
ข้อความของWeiboอันนี้มู่น่อนน่อนเป็นคนใช้IDของตัวเองลงเอง
หล่อนให้ฝ่ายการตลาดเป็นฝ่ายส่งรูปหน้าจอมาให้ แถมยังแนะนำที่มาข้อความWeibo “คนอัปลักษณ์แถมยังเรื่องเยอะ” ทั้งหัวข้อแยกออกมาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในทันใดนั้นเอง คนในWeiboต่างด่าทอกันอย่างเมามัน
ข้อความ comment ที่ว่า “ตายยกครัวบ้าง” “ถูกรถชนบ้าง” ยิ่งทวีคูณขึ้นเรื่อยจนนับไม่ถูก
เสิ่นเหลียงโมโหจนจะบ้าคลั่งแล้ว หล่อนรีบโทรศัพท์ไปหามู่น่อนน่อน “มู่น่อนน่อน นี่เธอบ้าไปแล้วหรือไง? เธอมาหาฉันก็เพื่อ… ที่ทำมาทั้งหมดก็เพื่อจะขอโทษมู่หวั่นขี ผู้หญิงที่มีนิสัยเจ้าหญิงล้าหลังไม่ใช่หรอ? เธอเชื่อหรือป่าวว่าตอนนี้ฉันสามารถถลกหนังเธอได้นะ?”
“ไม่เชื่อ” มู่น่อนน่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ
เสิ่นเหลียงเริ่มหมดกำลังใจนิดๆ “เธอวางแผนจะทำอะไรกันแน่?”
ช่วงที่หล่อนเริ่มเห็นข้อความต้นๆของWeiboนั้น แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามู่น่อนน่อนเป็นคนเขียนเอง พอมาดูอีกที ID นั้นเป็นของมู่น่อนน่อนจริงๆ
ถึงแม้ว่าหล่อนจะโกรธเคืองก็ตาม แต่ก็สงบลงได้อย่างรวดเร็ว
หลายปีมานี้มู่น่อนน่อนอยู่ที่บ้านตระกูลมู่ต่างกล้ำกลืนฝืนทนมาโดยตลอด แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าหล่อนไม่มีอาการโกรธเคือง
“ฉันคิดว่าจะส่งของขวัญมาให้มู่หวั่นขีชิ้นใหญ่” มู่น่อนน่อนถึงกลับหยุดชะงัก น้ำเสียงลดต่ำลงไปเยอะ “ของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นแรกในชีวิตที่ให้คนมาด่าทอหล่อนยกใหญ่”
ทางบ้านของเสิ่นเหลียงดีกว่าบ้านมู่อยู่บ้าง หล่อนอยากจะจัดการมู่หวั่นขีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ว่ามู่น่อนน่อนเป็นคนรั้งเธอเอาไว้มาตลอดไม่ให้หล่อนทำแบบนี้
คราวนี้มู่น่อนน่อนเป็นคนลงมือทำด้วยตนเอง หล่อนรู้สึกตื่นเต้นเอามา “พอแล้ว ยังไงก็ตามเธอมีเรื่องอะไรสามารถเรียกใช้ฉัน ก็โทรศัพท์มาหาฉันได้โดยตรงเลย”
……
ประตูห้องหนังสือถูกเปิดออก
สือเย่ถือแท็บเล็ตเดินเข้ามา แล้วก็เอาแท็บเล็ตวางไว้บนโต๊ะทำงาน “เจ้านาย คุณผู้หญิงลงขอโทษคุณมู่หวั่นขีบนWeiboแล้วครับ”
เฉินถิงเซียวกำลังจัดการงานอยู่ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขายังไม่ได้รับกิจการของตระกูลเฉินอย่างเต็มตัวก็ตาม แต่ว่าเขาก็มีกิจการลับๆเป็นของตนเอง
เขาเงยศีรษะมองแท็บเล็ตแวบหนึ่ง สือเย่เปิดดูข้อความอันนั้นบนWeibo
แค่แวบเดียว เขาก็กวาดตามองจากบนลงล่างได้ครบ น้ำเสียงสงบนิ่งอย่างไม่มีเสียงแตกพร่า “แทบไม่ได้เอ่ยชื่อแซ่ แล้วทำไมหล่อนถึงพูดว่าข้อความนี้เขียนเพื่อขอโทษมู่หวั่นขีไปได้ล่ะ?”
“เจ้านาย ความหมายของคุณคือ…” สือเย่จดจำความทรงจำระหว่าง มู่น่อนน่อนไว้ได้ พร้อมทั้งหยุดคำว่า “หน้าตาไม่ดี” “แถมยังตอบสนองได้ช้ามาก” พอเวลาอ่านข้อความบนWeibo เลยไม่ได้คิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งอะไร
“อย่าไปแทรกแซง ถ้ามีความคืบหน้าก็บอกฉันก็แค่นั้นแหละ”
ถึงแม้ว่าเขาเคยเจอมู่หวั่นขีมาแล้วหนึ่งครั้ง แต่ว่าก็ดูออกว่า มู่หวั่นขีถูกคนที่บ้านตามใจจนเสียคน ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ไม่เคยคิดเลย
อย่างน้อย การถกเถียงเรื่องพวกนี้กับเขา มู่หวั่นขีไม่ได้ใช้สมองมาคิดเลยด้วยซ้ำ
ส่วนสภาพแวดล้อมในการเติบโตของมู่น่อนน่อนนั้นมันช่างเลวร้ายสุดทน ไม่มีการปรบมือ ไม่มีการให้กำลังใจ แถมถูกญาติๆทุกคนผลักไสไล่ส่ง เพราะฉะนั้นหล่อนเลยดูโตกว่ากว่าคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเยอะ
เขาเชื่อว่าหากมู่น่อนน่อนอยากจะต่อกรขึ้นมาจริงๆ มันต้องประสบความสำเร็จแน่นอน
หากไม่ประสบผลสำเร็จ…
เฮ้อ หากหล่อนไม่ขอร้องเขา เขายินยอมคิดทบทวนเพื่อที่จะช่วยเหลือหล่อนอยู่
แต่ว่า…ยัยผู้หญิงอัปลักษณ์คนนั้นมีโอกาสที่จะมาขอร้องเขา…..
——ตืด ตืด
เสียงโทรศัพท์สั่นนั่นเป็นสิ่งที่เรียกสติของเฉินถิงเซียวกลับมา
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา ก็เห็นหมายเลขบนโทรศัพท์ สีหน้าเงียบขรึม
เป็นสายโทรศัพท์มาจากต่างประเทศ
เขายังไม่ทันรับโทรศัพท์ แถมพูดออกมาว่า “คุณออกไปก่อน”
ช่วงที่เขาพูดออกมานั้น สายตาของเขายังจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ สือเย่ เป็นคนสนิทขิงเขาเป็นอย่างมาก เดาก็รู้ว่าใครกันที่เป็นคนโทรศัพท์เข้ามา
ยามเมื่อสือเย่ ออกไปแล้ว เฉินถิงเซียวถึงได้กดรับโทรศัพท์บนหน้าจอ
วินาทีต่อมา กระบอกเสียงในโทรศัพท์เป็นเสียงผู้หญิงถามเขากลับมา “ถิงเซียว ข่าวบนอินเทอร์เน็ตมันมีเรื่องอะไรกันแน่? ขนาดฉันที่อยู่ต่างประเทศยังเห็นข่าวนี้เลย ในประเทศคงเป็นเรื่องใหญ่โตมาก แกไปขอผู้หญิงที่อัปลักษณ์และโง่ขนาดนั้นแต่งงานจริงๆหรอ? ตำแหน่งแกก็ดูดีอยู่แล้วนี่ ทำไมถึงไม่ยอมเปิดเผยหน้าตาทำให้คนเข้าใจผิดมาตลอด สามารถเรียกพวกหมาพวกแมวนั่นเป็นภรรยาของแกได้ตามสบายเลยนะ แกสามารถเปิดรับคนพวกนั้นเข้ามาอยู่ในบ้านเฉินได้เลย…”
คำพูดของผู้หญิงคนนั้นยิ่งพูดยิ่งไม่น่าฟัง จนเฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว น้ำเสียงแสดงความโกรธขึ้นมาเล็กน้อย“เฉินจิ่งหยุ้น!”
“น้ำเสียงนี้ของแกหมายความว่ายังไง? ฉันเป็นพี่สาวของแกนะ!”
“ก็แค่เกิดก่อนฉันสองนาทีเนี่ยนะ” เฉินจิ่งหยุ้น เป็นพี่สาวแท้ๆของเฉินถิงเซียว
เฉินจิ่งหยุ้นพยายามสงบอารมณ์สักพัก ถึงได้พูดต่อ “ถิงเซียว ฉันไม่ได้มาขวางแกไว้ แต่ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ทำไมแกถึงได้ปลอมตัวเป็นคนไร้ค่าไปได้ล่ะ แถมตอนนี้ขนาดผู้หญิงในครอบครัวเล็กๆนั่นยังกล้ามารังแกแกได้ ที่ทำไปทั้งหมดนี่จำเป็นไหม? อีกสองปีพ่อก็จะเกษียณแล้ว แกจะต้องเป็น…”
เฉินถิงเซียวก็เหมือนว่าเป็นแมวเหมียวที่กำลังถูกเหยียบหางอยู่ แวบเดียวก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา
น้ำเสียงของเขาเย็นชาอย่างเห็นชัดเจน “ก็เพราะว่าคนที่เห็นแม่ถูกทำให้อับอายขายขี้หน้าจนถึงแก่ความตาย ไม่ใช่เธอ! เพราะงั้นตอนนี้เธอเลยไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศอย่างสบายอกสบายใจ แต่ว่าฉันทำไม่ได้! ยังจับมือหาคนร้ายที่ทำร้ายแม่ไม่ได้ ฉันก็ใช้ชีวิตสงบสุขไม่ได้!”
เฉินจิ่งหยุ้นตอบโต้เขา “คนลักพาตัวพวกนั้นก็ถูกสไนเปอร์ยิงทิ้งไปแล้วนี่!”
น้ำเสียงเงียบขรึมของเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้น “ไม่มีทาง! คนร้ายตัวจริงยังจับตัวไม่ได้! เช้าวันนั้นเป็นเพราะพวกเราแก้กำหนดการเดินทาง หากไม่มีคนของตระกูลเฉินแจ้งข่าว พวกเรียกฆ่าไถ่พวกนั้นไม่สามารถใช้เวลาอันน้อยนิดหาเราได้แม่นยำขนาดนี้ แล้วจับพวกเราไปเรียกฆ่าไถ่!”
พอคิดเรื่องในวันนั้นขึ้นมา ความเกลียดและความโกรธที่มาจากก้นบึ้งหัวใจของเฉินถิงเซียวมันปะทุกันจนอัดแน่นจุกอก
เขาไม่อยากพูดสนทนากับเฉินจิ่งหยุ้นต่อ “ปึก” เสียงตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง
ทุกครั้งที่ทะเลาะกับหล่อนก็เป็นเพราะเรื่องนี้
ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตู พร้อมทั้งเสียงมู่น่อนน่อนที่ดังตามมา “เฉินถิงเซียวคุณอยู่หรือป่าว?
ตอนที่ 21 ตอนนี้ฉันเป็นคนของตระกูลเฉิน
เฉินถิงเซียวจ้องมองหล่อนกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ สีหน้าของเขาดูเหมือนไม่ทุกข์ไม่ร้อนไปด้วย น้ำเสียงก็ดูปกติธรรมดา “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอ?”
มู่น่อนน่อนบีบผ้าห่มเอาไว้พร้อมทั้งจ้องมองเขาอย่างเย็นชา “ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
ใบหน้าของหล่อนเย็นชาตลอด ยิ่งการที่หล่อนจ้องมองเฉินถิงเซียวนั้น กลับไม่มีพลังสักนิด
“มันไม่ใช่เรื่องของฉันจริงๆด้วยแหละ แต่ว่า ถ้าคุณต้องการขอร้องให้ผมช่วย ผมคิดว่าผมสามารถช่วยคุณได้นะ” นัยน์ตาเฉินถิงเซียว จ้องมองตอบหล่อนอย่างลึกซึ้ง แทบไม่สามารถซ่อนปิดบังความรู้สึกที่ไม่ดีของเขาไว้เลยสักนิด
เห็นได้ชัดว่า มู่น่อนน่อน ไม่มีทางไปขอร้องเขาอยู่แล้ว
เฉินถิงเซียวจ้องมองวิเคราะห์ดูหล่อนแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินออกไปเลย
ยามเมื่อเขาก้าวเท้ายังไม่ถึงสองก้าว ก็เจอกับสือเย่
สือเย่พยักหน้าเบาๆ พลางออกเสียงเอ่ยถามความคิดเห็นของเขา : “เจ้านาย ข่าวที่ลงเรื่องนางหญิงจะจัดการอย่างไรดี?”
เฉินถิงเซียวนึกถึงคำพูดของ มู่น่อนน่อนที่เคยพูดก่อนหน้านี้ เขาคลี่ยิ้ม พร้อมทั้งยิ้มอย่างไม่มีความอบอุ่นใดๆหลงเหลือไว้เลยสักนิด อีกทั้งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย : “แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน? อยากจะช่วยหล่อน ก็ต้องดูด้วยสิว่าคนๆนั้นเขาอยากให้คุณไปช่วยเขาหรือป่าว เฮ้อ!”
เฉินถิงเซียวพูดจบก็เดินตรงไปยังห้องอ่านหนังสือทันที
สือเย่มองด้านหลังของเขา ภายหลังถึงได้รู้สึกว่า เสียงอุทานคำพูดสุดท้ายของเจ้านาย “เฮ้อ” นั่นมันเหมือนเก็บซ่อนอาการโกรธหน่อยๆเอาไว้นะเนี่ย?
……
มู่น่อนน่อนไม่คิดที่จะสนใจในการเข้าไปในเว็บไซต์ ดูข่าวพวกนั้นสักนิด
ทำไมมู่หวั่นขีอยู่ดีๆถึงทำแบบนั้นขึ้นมาปัจจุบันทันด่วนได้กันนะ หล่อนไม่รู้ และก็ไม่มีเวลาจะไปคาดเดาด้วยซ้ำ
หล่อนแค่รู้ว่า เสิ่นเหลียง รู้แล้วว่าหล่อนเป็นคนที่มาแต่งงานเข้าตระกูลเฉิน เดี๋ยวสักพักเสิ่นเหลียงคงฉีกหล่อนเป็นชิ้นๆแน่
แม้รู้ว่าเสิ่นเหลียงไม่เพียงแต่เกลียดหล่อนจนอยากจะฉีกหล่อนเป็นชิ้นๆ แต่หล่อนก็ยังอยากที่จะไปพบเสิ่นเหลียง
ทั้งสองต่างนัดเจอกันที่ร้านกาแฟเล็กๆที่ไม่หรูหราสักเท่าไหร่
ถึงแม้ว่าตอนนี้แฟนคลับในWeiboของเสิ่นเหลียงจะมีอยู่เจ็ดถึงแปดร้อยคน ยิ่งในสถานที่ที่มีคนอยู่ด้วยกันเยอะแยะก็ยังต้องเป็นห่วงกลัวว่าจะโดนคนจับได้
ตอนที่หล่อนมาถึงร้านกาแฟในเวลานั้น เสิ่นเหลียงก็มาถึงแล้ว
เสิ่นเหลียงใช้หน้ากากปิดหน้า มัดผมหางม้า ใส่เสื้อขนเป็ดสีขาวที่แสนจะธรรมดา ลักษณะท่าทางดูสะอาดสะอ้านอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อีกทั้งหน้าตาดูไม่คุ้นเคย เหตุนั้นเอง หล่อนเลยตกเป็นเป้าสายให้คนมองอย่างไม่หยุดหย่อน
ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียน เสิ่นเหลียง ก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็ตามมักจะเป็นจุดเด่นมาโดยตลอด ช่างง่ายดายมากในการตกเป็นจุดสนใจให้คนอื่นโดยง่าย
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ตรงข้ามหล่อน น้ำเสียงแทรกการขอโทษเอาไว้ : “รอนานแล้วหรอ”
เสิ่นเหลียงนั่งกอดอกพร้อมกับนั่งพิงโซฟา พร้อมทั้งเหลือบมองหล่อนแวบหนึ่ง จากนั้นถึงได้พูดออกมาอย่างเนิบนาบ : “คุณเป็นถึงคุณนายน้อยของตระกูลเฉิน ผู้น้อยอย่างฉัน การที่ต้องมารอคุณนั้นถือว่าสมควรแล้ว”
มู่น่อนน่อน:“……”
เสิ่นเหลียง เห็นว่า มู่น่อนน่อนไม่ยอมพูดยอมจา เลยอดไม่ได้ที่จะพูดคำพูดแรงๆขึ้นมาแทน
หล่อนถอดหน้ากากพร้อมทั้งสะบัดมันทิ้งไปอีกทาง พร้อมพูดด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีสักเท่าไหร่ : “เขาเป็นแม่แท้ๆทำอย่างกับว่าถูกคนกดหัวเอาไว้งั้นแหละ เอาลูกสาวของคนอื่นมาโอ๋จนออกนอกหน้า พอถึงคราวลูกสาวแท้ๆของตัวเองก็ไม่ถามหาสักคำ ไม่เคยคิดแทนสักครั้ง ฉันบอกกับแกตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าให้ระวังไว้ให้ดี ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ตกหลุมพรางจนต้องแต่งงานกับคนในตระกูลเฉิน! ”
เมื่อเสิ่นเหลียงพูดจบ ก็ยกแก้วน้ำที่อยู่ข้างๆดื่มอึกหนึ่งอย่างคล่องคอ
มู่น่อนน่อนขยับแว่นตาที่อยู่บนสันดั้งไปมา พร้อมทั้งพูดเตือนสติหล่อน : “ค่อยๆดื่ม”
เสิ่นเหลียงจ้องหล่อนตาเขม็ง : “คนในตระกูลเฉินไม่ได้ทำให้เธอลำบากใจใช่ไหม”
“ไม่นะ คนในตระกูลเฉิน…..ดีมากๆ” นอกจาก “เฉินเจียฉิน”ที่มาคอยข้องแวะเป็นผีผลุบๆโผล่ๆไปมาอยู่ประจำ นอกเหนือจากนั้นก็ผ่านไปด้วยดี
เสิ่นเหลียงคิดถึงเรื่องที่ตั้งใจมา ด้วยสีหน้าดูปกติ : “เธอรู้ไหมว่ามู่หวั่นขีทำไมกำลังติดแฮชแท็กกบนอินเทอร์เน็ต แถมบอกว่าเธอไปแย่งว่าที่สามีเขามาใช่ไหม?”
“เธอรู้ได้ยังไงว่ามู่หวั่นขีเป็นคนซื้อติดแฮชแท็กนี่อ่ะ?” มู่น่อนน่อนที่กำลังเตรียมเทน้ำใส่แก้วให้หล่อนอีกครั้งถึงกลับมือหยุดค้างกลางอากาศ
เสิ่นเหลียงทำตัวราวกับคนโง่คนหนึ่งที่กำลังจ้องมองหล่อน “ก็เป็นเพราะว่าเธอที่เป็นแบบนี้แหละ ใครจะมาคอยใช้ความคิดสาดเสียเทเสียใส่เธอล่ะ หรือว่าน่ามีแผนเพื่อหวังผลประโยชน์”
“แผนหวังผลประโยชน์อะไร?” มู่น่อนน่อนไม่เข้าใจเลยสักนิด แล้วทำไมมู่หวั่นขีถึงทำเรื่องแบบนี้ขึ้นมาด้วยล่ะ
เสิ่นเหลียงยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วเอ่ยขึ้นมา “ก่อนที่ฉันขึ้นเครื่องบินมานี้ ก็ให้เพื่อนที่เป็นปาปารัสซี่ไปลองถามมาแล้ว การที่มู่หวั่นขีทำแบบนี้นั้น ก็เพื่อจะให้อยู่กับเสิ่นชูหานได้อย่างเปิดเผย แต่ว่าหล่อนก็ขาดก้อนหินที่คอยไว้รองเท้าให้หล่อนเหยียบพอดี”
สิ่งที่เสิ่นเหลียงพูดมาแบบนี้ มู่น่อนน่อนถึงได้เข้าใจอย่างทันที
ถึงแม้ว่าตระกูลเฉินไม่ได้สนใจว่าคนที่แต่งเข้าบ้านไปจะไม่ใช่มู่หวั่นขี แต่ว่าทางตระกูลเฉินอยู่ที่เมืองหู้หยางซึ่งไม่มีผลกระทบใดๆอยู่แล้ว ไม่มีใครกล้าอยู่กับมู่หวั่นขีอยู่แล้ว
ถึงเวลานั้น มู่หวั่นขีก็แค่ต้องการสะบัดให้หลุดจากการเป็นว่าที่ภรรยาของเฉินถิงเซียวเท่านั้นเอง
โดยเฉพาะการที่หล่อนใช้Weiboในการติดแฮชแท็ก การให้มู่น่อนน่อนไว้รองตีนรองมือคอยเหยียบย่ำใส่ความ แล้วหล่อนจะล้างผิดให้ตัวเองเป็นพี่สาวที่แสนดีคนหนึ่ง
มู่น่อนน่อนเอ่ยขึ้นมา “คิดได้สวยงามมาก”
“แล้วไง? เธอคิดจะทำยังไง?” เสิ่นเหลียงพูดจบ พลางคิดถามหล่อนขึ้นมา “ฉันถามเธอหน่อยนะ สภาพเธอในแบบนี้เนี่ยนะจะแต่งกับเฉินถิงเซียว พวกเธอ…. ”
“เขารังเกียจที่ฉันหน้าตาอัปลักษณ์ เราต่างเย็นชาใส่กันอย่างเสมอภาค” มู่น่อนน่อนรู้ว่าหล่อนต้องการถามเรื่องอะไร เลยพูดตรงๆออกมา
“คนหน้าตาทุเรศชอบทำตัวแปลกประหลาด ตัวเองไม่ได้เรื่องได้ราวแถมยังจะรังเกียจที่คนอื่นหน้าตาอัปลักษณ์อีก เธออย่าแต่งตัวทุเรศๆอีกแล้ว แต่งตัวใส่เสื้อผ้าแต่งหน้าแต่งตา จนสวยเข้าตาเขา!” เสิ่นเหลียงกำลังถ่ายละครจำพวกล้างแค้น เพราะฉะนั้นหล่อนถึงชอบทำหน้าทำตาแบบนี้แทน
มู่น่อนน่อนหุบยิ้มทันที “ไม่ต้อง ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
ต่างเย็นชาใส่กันแบบนี้แหละ ต่างไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกันก็ดีแล้ว
……
ไม่นาน เสิ่นเหลียงก็ถูกผู้จัดการส่วนตัวเรียกตัวกลับแล้ว
ก่อนกลับหล่อนยังแย่งจ่ายเงินอีกด้วย
ส่วนมู่น่อนน่อนไม่ได้สูงเท่าหล่อน มือก็ไม่ได้ยาวเหยียด เลยแย่งจ่ายไม่ทัน
แม้ว่าโดยปกติหล่อนจะเป็นคนโหวกเหวกโวยวาย แต่พอเรื่องเล็กๆน้อยๆถือว่าเป็นคนละเอียดยิบย่อยเอามาก พอรู้ว่ามู่น่อนน่อนมีปัญหาเรื่องสภาพเงินที่ไม่ค่อยคล่องตัวนัก พอตอนนัดออกมาหาของกินเลยคิดหาวิธีการในการจ่ายเงินก่อนหล่อน
มู่น่อนน่อนรู้สึกอบอุ่น ทว่าในใจรู้สึกว่ากลับรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
เสิ่นเหลียงรู้ความลับของหล่อนทั้งหมด ยิ่งเรื่องในตระกูลมู่ด้วยแล้วยิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งเลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้เสิ่นเหลียงเคยพูดแล้วว่า ไม่อยากให้หล่อนไปให้ความคาดหวังกับตนในตระกูลมู่คนในบ้านนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียวชู่เหอ
แต่ว่าหล่อนก็ไม่เชื่อ จนถึงตัวหล่อนต้องโดนบีบให้แต่งงานข้าไปอยู่ในตระกูลเฉิน
แต่ว่า เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาไม่ใช่ว่าไม่พอใจ แถมยังใช้หล่อนให้เป็นประโยชน์ด้วย
พวกเขาคิดหรอว่าจะหลอกใช้หล่อนได้ง่ายดายเช่นนี้นะ?
มู่น่อนน่อนกำลังเตรียมที่เรียกรถเพื่อเดินทางกลับไปยังวิลล่าของเฉินถิงเซียว ก็มีสายโทรศัพท์ของเซียวชู่เหอเข้ามา
มันช่างยากมากที่เซียวชู่เหอที่จะใช้น้ำเสียงอันอบอุ่นพูดมา “น่อนน่อนคืนนี้กลับมากินข้าวที่บ้านนะ”
ด้วยสถานการณ์นี้ อารมณ์ที่อบอุ่นของเซียวชู่เหอขนาดนี้ที่โทรศัพท์มาหาหล่อน จุดประสงค์ก็เห็นได้อย่างชัดเจน
มู่น่อนน่อน รีบปฏิเสธทันควัน ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่มีเวลา”
เซียวชู่เหอไม่คิดมาก่อนเลยว่าหล่อนจะปฏิเสธเขาอย่างดื้อๆ น้ำเสียงของเขาเลยเกร็งๆขึ้นมา “ตอนนี้เธอก็ไม่มีงานทำ จะมีเรื่องอะไรได้อีกล่ะ? แค่กลับมากินข้าวเท่านั้นแหละ คนทั้งบ้านก็อยู่….”
“อ้อ แต่ตอนนี้ฉันเป็นคนในบ้านของตระกูลเฉิน” มู่น่อนน่อน รีบตัดบทเซียวชู่เหอทันที
ครั้งนี้เซียวชู่เหอโกรธขึ้นมาจริงๆ พร้อมเสียงดังขึ้น “แกพูดกับแม่อย่างนี้หรอ!”
ก่อนหน้านี้หล่อนไม่เคยใช้น้ำเสียงหรือคำพูดเย็นชาแบบนี้พูดกับเซียวชู่เหอมาก่อนเลยเซียวชู่เหอ ก็ไม่เคยใช้น้ำเสียงที่หมดความอดทนนี้พูดกับมู่หวั่นขีมาก่อนเลย
ถ้าจะพูดให้หมดไส้หมดพุง อาจจะเป็นเพราะว่าการไม่ใส่ใจแค่นั้น
เซียวชู่เหอไม่สนใจหล่อน เพราะฉะนั้นก็เลยพูดไปตามใจหล่อน
หล่อนไม่สนใจเซียวชู่เหออีกต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้นจะให้มารู้สึกดีด้วยก็ไม่มีทางอีกแล้ว
“งั้นแม่ก็ไปหามู่หวั่นขีเถอะ หล่อนดูให้ความเคารพแม่มากกว่าฉันนะ แถมยังอ่อนโยนกว่า อะไรก็ดีไปซะหมด” มู่น่อนน่อนพูดจบก็ตัดสายทิ้งทันที
ตอนที่20 เส้นชีวิตของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเลื่อนดูข้อมูลบนweiboรอบหนึ่ง
มีการคิดอย่างมีความสุขในความทุกข์ ยังดีเธอไม่มีบัญชีweibo ไม่งั้นถูกชาวเน็ตที่กำลังโมโหด่าเป็นหมูแน่ๆ
เห็นการด่าไปเรื่อยที่อำมหิตพวกนั้น ถ้าบอกว่าไม่โกรธ ก็คงไม่ใช่
มู่น่อนน่อนไม่สามารถอดทนได้ หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหามู่หวั่นขี
โทรติดมาได้สักพักแล้ว มู่หวั่นขีถึงรับสาย
“คิดยังไงถึงโทรมาหาฉัน? มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”เสียงมู่หวั่นขีอ่อนโยนและเรียนนิ่ง เหมือนกับว่าไม่รู้เรื่องบนเน็ตนั้นเลย
มู่น่อนน่อนยกริมฝีปากเยาะเย้ย แต่ต้องควบคุมความโกรธภายในใจเอาไว้ ทำให้เสียงของตนเองฟังเหมือนไม่ต่างจากปกติ
“การค้นหายอดนิยมของweibo และข้าวบนอินเทอร์เน็ต นี่มันเรื่องอะไรกัน?”เมื่อกี้เธอดูบนอินเทอร์เน็ตแล้ว ไม่ใช่แค่การค้นหายอดนิยมของweibo สื่อต่างๆก็ออกข่าวแล้ว
หลายๆคนยังชอบดูความเกลียดแค้นของพวกไฮโซพวกนี้ สื่อบันเทิงก็ไม่ปล่อยไปแน่นอน
เสียงของมู่หวั่นขีฟังดูแล้วเพิ่มความไม่สนใจใยดีเล็กน้อย”ข่าวอะไร?ฉันทำงานยุ่งมาก ก่อนที่พี่ชายของฉันกลับมาจากเรียนต่อต่างประเทศ ฉันต้องช่วยเขาดูแลบริษัทของพ่อฉันให้ดี
ไม่ได้ว่างเหมือนเธอ ว่างขนาดไม่มีอะไรทำไปดูข่าวบันเทิงได้”
น้ำเสียงสบายๆ แต่กลับแสดงความดีเลิศของหล่อนทั้งหมด
มู่หวั่นขีเรียนจบมหาวิทยาลัยก็เข้าสู่บริษัทมู่ซื่อทำการบริหาร
แต่มู่น่อนน่อนเรียนจบ อย่าว่าแต่การบริหารเลย แค่เธอจะอ้าปากบอกกับเซียวชู่เหอว่าอยากไปทำงานเริ่มจากระดับเบื้องต้นที่บริษัทมู่ซื่อ เซียวชู่เหอก็ปฏิเสธเธอทันที”ความสามารถของเธอสู้พี่สาวไม่ได้ ไปบริษัทก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไปหางานข้างนอกเองเถอะ”
มู่ลี่เหยียนยิ่งไม่เคยสนใจการเรียนและการงานของเธอเลย
นึกถึงพวกนี้ ความโกรธในใจของมู่น่อนน่อนเดือนขึ้นมาทันที
เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา คมชัดทุกตัว”ไม่ต้องแสดงแล้ว ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนทำ เธออยากทำอะไรฉันไม่รู้ แต่ที่ฉันรู้คือ ถึงเธอจะเอาน้ำสกปรกมาสาดใส่ฉันไม่ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้ฉันคือลูกสะใภ้ของตระกูลเฉิน ตระกูลเฉินไม่ชอบฉันยังไง ก็ไม่ยอมให้คนมาทำลายชื่อเสียงของฉันได้ตามใจชอบแน่”
มู่หวั่นขีที่อยู่สายนั้นได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อน สีหน้าเปลี่ยนทันที
ในความประทับใจของเธอ มู่น่อนน่อนเป็นผู้หญิงที่ทั้งโง่ทั้งบื้อมาโดยตลอด แต่หลังจากแต่งเข้าตระกูลเฉิน กลับเปลี่ยนไปไม่โง่ขนาดนั้นแล้วอย่างแปลกใจ
ถึงแม้ไม่รู้ว่าทำไมมู่น่อนน่อนถึงฉลาดขึ้นมาหน่อย แต่สำหรับมู่หวั่นขีแล้ว ความฉลาดแค่นี้ไม่เท่ากับอะไร
เพราะ…….ในมือเธอกำเส้นชีวิตขอมู่น่อนน่อนอยู่
เธอยกมุมปากขึ้น น้ำเสียงอ่อนนุ่มและมั่นใจ”เซียวชู่เหอล่ะ?เธอก็ไม่แคร์เหรอ?”
ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เธอสั่งมู่น่อนน่อนทำอะไร แค่เซียวชู่เหอพูดคำเดียว มู่น่อนน่อนก็ทำอย่างเชื่อฟังเหมือนสุนัขแล้ว
ดังนั้นเธอรู้ ที่มู่น่อนน่อนสนใจที่สุดก็คือเซียวชู่เหอ
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงของเซียวชู่เหอ มือที่จับโทรศัพท์ค่อยๆแน่นขึ้น เธอเม้มปากแน่น พูดเบาๆ”หล่อน?แล้วแต่เธอเถอะ”
เธอพูดจบ ก็กดวางสายเลย
เพิ่งวางโทรศัพท์ลง เธอก็รู้สึกว่ามีคนมองเธออยู่
เงยหน้าขึ้นอย่างแรง ก็เห็นประตูห้องที่ถูกคนเปิดออกตอนไหนไม่รู้ ผู้ชายที่ยืดกอดอกพิงขอบประตู ไม่ใช่เฉินเจียฉินแล้วจะเป็นใครอีก?
“เธอ……เธอเข้ามาได้ยังไง!”มู่น่อนน่อนตกใจจนหน้าซีด ตอนเธอนอนหลับ ล็อกประตูนิ!
เฉินถิงเซียวแกว่งกุญแจในมือ คิ้วสวยยักคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงไม่สนใจไยดี”เธอคิดว่าไงล่ะ?”
มู่น่อนน่อนโกรธจนหน้าแดง”เธอออกไป!
ใครจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้มีกุญแจห้องเธอได้!
ตอนที่19 “คนขี้เหร่ก่อเหตุ”
มู่น่อนน่อนเห็นสือเย่ไม่ได้มองเธอ ก็คิดว่าเขาไม่เห็นเธอกับเฉินเจียฉินแตะต้องกันอย่างสนิทสนม เธอเลยหนีไปที่ห้องครัว
เฉินถิงเซียวมองหล่อนเข้าห้องครัว ก็เดินไปนั่งที่โซฟาช้าๆ
สือเย่เห็นสถานการณ์ ก็ก้าวเท้าเดินออกไปเลย
ไม่รู้จริงๆเจ้านายกำลังคิดอะไรอยู่
……
ในห้องครัว มู่น่อนน่อนเปิดตู้เย็น เห็นข้างในมีผักมีเนื้อ ยังสดทั้งนั้น ครุ่นคิด แล้วเอาออกมาสักหน่อย
จู่ๆ เธอนึกขึ้นได้เช้าวันนั้นเฉินถิงเซียวเคยทำอาหารเช้า งั้นก็แสดงว่าเขาทำอาหารเป็น?
ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าคุณชายลูกผู้ดีแบบเขาทำไมถึงทำอาหารเป็น แต่ในเมื่อเขาทำอาหารเป็น ทำไมยังต้องให้เธอทำให้เขาด้วย?
เหอะ คิดว่าเธอน่าแกล้ง?
มู่น่อนน่อนยิ้มเยาะเย้ย เอาผักที่อยู่ในมือยัดเข้าตู้เย็น
เธอเดินไปห้องโถง เห็นเฉินเจียฉินที่นั่งก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่ที่โซฟา มองดูสักครู่ ก็แอบเดินขึ้นไปชั้นบน
เธอคิดว่า คงจะเพราะว่าเธอยอมง่ายเกิน ดังนั้นเฉินเจียฉินถึงข่มขู่เธอได้ง่ายๆ”
เฉินเจียฉินอาศัยอยู่ที่บ้านเฉินถิงเซียวได้ ก็แสดงว่าความรักใคร่สนิทสนมของพี่น้องคู่นี้ดีมาก
ในเมื่อความรักใคร่สนิทสนมกันดี เฉินเจียฉินจะไปบอกเฉินถิงเซียวว่าเธออ่อยเขาได้อย่างไร จะก่อความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นระหว่างลูกพี่ลูกน้องเหรอ?
ยิ่งคิด มู่น่อนน่อนยิ่งรู้สึกว่าเฉินเจียฉินมีความเป็นไปได้ที่จะขู่ตนเองน้อยมาก
ถือโอกาส
ตัดสินใจทำให้รู้แล้วรู้รอดไป วิ่งขึ้นไปที่ห้องตัวเองเลย
ยังไงเธอก็กินข้าวเย็นแล้ว
เฉินถิงเซียวรอที่ห้องโถงมาสักพักใหญ่ๆ
ก็ไม่เห็นมู่น่อนน่อนมาหาเขา
เขามองไปทางห้องครัว จู่ๆก็นึกอะไรขึ้นได้ ลุกขึ้นก้าวเดินใหญ่ๆไปห้องครัว
ห้องครัวที่ว่างเปล่าไม่เห็นมีร่างของมู่น่อนน่อนผู้หญิงขี้เหร่คนนั้นเลย!
เหอะ เก่งจริงๆ
……
ทั้งคืน มู่น่อนน่อนยังจมอยู่ในอารมณ์ดีใจที่แกล้งฉีกหน้าเฉินเจียฉินได้ คิดท่าทางว่าเขาโกรธมากและไม่สามารถมาหาเรื่องเธอได้ เธอก็ฝันดีแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น เธอถูกเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ปลุกตื่น
เธอหยิบมาดู เห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทเสิ่นเหลียงไปถ่ายละครที่ต่างประเทศไม่กลับมา3เดือนแล้ว
เสียงมู่น่อนน่อนมีความดีอกดีใจ”เสี่ยวเหลียง เธอจะกลับมาแล้วเหรอ?”
น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงที่อยู่อีกสายดุเดือดมาก”กูกลับมาสับมึงเดี๋ยวนี้แหละ!”มู่น่อนน่อนถือโทรศัพท์ยื่นออกไป เอาโทรศัพท์ถือให้ไกลๆ หลีกเลี่ยงเสียงหนวกหูของเสิ่นเหลียงสั่นทะลุหูตนเอง
รอด่าสารพัดเสร็จ เธอถึงถามเขาๆว่า”เกิดอะไรขึ้น?”
“มึงไปดูweiboเอง กูไปแค่3เดือน มึงก็เป็น’ผู้หญิงขี้เหร่ที่ก่อเหตุทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะแต่งงานกับคนรวย’
เสียงของเสิ่นเหลียงฟังแล้วตื่นเต้นมาก
มู่น่อนน่อนมึนสักครู่ สีหน้าค่อยๆหมองลง แต่กลับต้องปลอบเสิ่นเหลียงก่อน”เธออย่าเพิ่งโมโห ฉันไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
“กูอยู่สนามบินแล้ว!”
“……”มู่น่อนน่อนมีการกระทำที่ตกใจเล็กน้อย
วางสายโทรศัพท์ มู่น่อนน่อนก็เข้าweibo
หัวข้อที่อยู่บนพาดหัวข่าวของweiboก็คือ”คนขี้เหร่ก่อเหตุ”
เธอกดเข้าไปดูweiboที่ติดอยู่ด้านบนอันหนึ่ง
weiboนั้นก็คือใส่ร้ายเรื่องของตระกูลมู่
ความหมายก็คือบอกว่าเธอเพื่อที่จะแต่งเข้าตระกูลเฉิน ใช้วิธีการที่สกปรก แค่แต่งเข้าตระกูลเฉินแทนพี่สาวมู่หวั่นขี
weiboอีกหลายๆอันที่ใส่ร้ายตั้งใจจะบอกว่ามู่หวั่นขีคือพี่สาวที่จิตใจงามโอ๋น้องสาว แต่กลับถูกน้องสาววางแผนแย่งว่าที่สามีไ
ตอนที่18 เหนือความคาดหมาย
มู่น่อนน่อนนิ่งไปสักครู่ แล้วยื่นมือดันแว่นตาบนจมูกขึ้น ตอบซื่อๆ”อ๋อ”
ที่เธอรู้มา เดิมทีเฉินถิงเซียวก็เกลียดเธออยู่แล้ว
ดังนั้น ตอนที่เฉินถิงเซียวพูดว่าเธอขี้เหร่ออกมาตรงๆแบบนี้ เธอก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเสียใจเลย
“ไม่มีเรื่องอะไร ฉันก็ออกไปแล้วนะ”
มู่น่อนน่อนพูดจบ เห็นเฉินถิงเซียวไม่ได้พูด ก็หันหลังออกไป
ประตูปิดลง เฉินถิงเซียวหันเก้าอี้มา หันตรงไปทางประตูห้อง
เหอะ ผู้หญิงขี้เหร่นี่ช่าง……เหนือความคาดหมายจริงๆ
……
เพราะยังเช้าอยู่ มู่น่อนน่อนไม่ได้คิดที่จะนอน
เธอนั่งที่โซฟาห้องโถง เปิดทีวี
ในใจของเธอมีความตื่นเต้น
ถึงแม้เฉินถิงเซียวจะเกลียดเธอ แต่กลับยอมเจอเธอ และไม่ได้ทำให้เธอลำบากใจ
แค่จุดนี้ ก็ดีกว่าตระกูลมู่คนพวกนั้นไม่รู้กี่เท่า
ผ่านไปสักครู่ จู่ๆก็มีเสียงเป่านกหวีดดังขึ้นข้างหลังเธอ
มู่น่อนน่อนหันหลัง ก็เห็นเฉินเจียฉินเดินมาทางเธอด้วยท่าทางเกียจคร้านพอดี
เธอตกใจเบิกตากว้าง เขามาอยู่ที่นี่ได้ไง?
เฉินถิงเซียวมองความตกใจในตาหล่อน อย่างพอใจ ยักคิ้วขึ้น เผยรอยยิ้มยั่วยุ”พี่สะใภ้ พวกเราไม่เจอกันแค่ครึ่งวัน เธอก็ไม่รู้จักฉันแล้วเหรอ?”
เธอมองเฉินเจียฉินอย่างระมัดระวัง “เธอมาทำอะไรที่นี่?”
“แม่ของฉันคือป้าแท้ๆของลูกพี่ลูกน้อง ฉันแค่อาศัยอยู่ที่บ้านของลูกพี่ลูกน้องไม่กี่วันเอง มีปัญหาอะไรไหม?”เฉินถิงเซียวพูดพลาง เข้ามาใกล้มู่น่อนน่อนพลาง
เฉินเจียฉินอาศัยอยู่ในบ้านเฉินถิงเซียว ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน
ที่มีปัญหาคือเธอ
เธอไม่ควรเอาความเจ้าชู้ของเฉินเจียฉินที่มีต่อเธอก่อนหน้านี้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และตอนนี้ก็อยู่ในบ้านพักตากอากาศนี้ด้วย เธอไม่สงสัยเลย ด้วยนิสัยทำตามอำเภอใจของเฉินเจียฉินนั้น
ต้องทำเรื่องบ้าบอคอแตกออกมาหน่อยแน่นอน
มู่น่อนน่อนไม่อยากให้โอกาสเขาทำเรื่องบ้าบอคอแตก พูดอย่างขอไปที”ไม่มี”
แล้วลุกขึ้นยืนก้มหัวเดินขึ้นชั้นบนไป
แต่ว่า เธอคงประเมินความไร้ยางอายของเฉินเจียฉินต่ำไป
เธอเดินได้สองก้าว ก็ถูกเขาจับข้อมือไว้ นิ้วมือถูข้อมือเรียวนุ่มของเธออย่างคลุมเครือไว้ เอนตัวให้ตรงกับความสูงเธอ เข้าไปพูดข้างๆหูเธอ”ฉันยังไม่กินข้าวเย็นเลย พี่สะใภ้ยอมเห็นฉันอดเหรอ? ฉันยังบาดเจ็บอยู่นะ”
เกิดเรื่องมากๆในคืนนี้ มู่น่อนน่อนเกือบจะลืมเรื่องที่เฉินเจียฉินกำลังบาดเจ็บไปแล้ว
เฉินถิงเซียวตั้งใจยื่นมือลูกหัวเธอ ริมฝีปากบางเกือบจนติดที่หูของเธอแล้ว”ช่วยไปทำอะไรกินให้ฉันหน่อยสิ ฉันรอเธอ”
มู่น่อนน่อนแข็งทื่อไปทั้งตัว กำลังจะผลักเขาออก สายตาเห็นสือเย่ลงมาจากชั้นบนตอนไหนก็ไม่รู้ เธอตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย สะบัดเฉินเจียฉินออกไปข้างๆ
เฉินเจียฉินก็ไม่โกรธ บนหน้ายิ้มแย้ม”พี่สะใภ้ เร็วหน่อยนะ ฉันหิวมาก”
สือเย่ที่อยู่ข้างๆเห็นเฉินถิงเซียวมีท่าทีแบบนี้ กระตุกมุมปาก หันหัวไปอีกทาง
เฉินถิงเซียวยักคิ้วมองสือเย่”แกทำสีหน้าอะไร?”
“เปล่า……”เขาแค่รู้สึกว่าเรื่องที่เจ้านายทำ ไม่แมนเลยสักนิด
คงจะว่างมาก ต้องแกล้งเป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง ไปหยอกภรรยาของตัวเอง
หรือว่าเพื่อที่จะค้นหาแรงกระตุ้นของข้อล่วงเกิน?
นาทีถัดไป เขาก็ปฏิเสธความคิดนี้
เขาตามเฉินถิงเซียวมาตั้งหลายปี ไม่เคยเห็นเขามองผู้หญิงคนไหนตรงๆเลย
“ถึงแม้หน้าตาของคุณหญิงจะไม่ค่อยพึงพ่อใจจริงๆ แต่ว่า……เจ้านายทำกับหล่อนไม่ธรรมดา
ตอนที่17 ฉันถือสาเธอหน้าตาขี้เหร่
มู่น่อนน่อนกลัวเล็กน้อย ในที่สุดเฉินถิงเซียวก็ยอมเจอเธอแล้ว?
ตอนเธอเคาะประตูห้องหนังสือ รู้สึกไม่เป็นจริงเลย
เธอก้าวเท้าเข้าห้องหนังสือ ยังเห็นไม่ชัดสถานการณ์ข้างใน ก็ได้ยินเสียงแหบของผู้ชายดังขึ้น”สือเย่ ใครมา?”
ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะทำงานพูดว่า”คุณชาย คือคุณหญิง”
มู่น่อนน่อนเพิ่งจะสังเกตเห็น หลังเก้าอี้โต๊ะทำงาน มีผู้ชายรูปร่างกว้างใหญ่นั่งหันหลังให้เธออยู่
มองจากมุมของเธอ มองจากหลังเก้าอี้เห็นได้แค่หัวของผู้ชายที่โผล่ออกมา และแขนที่วางไว้ที่ตั้งแขน
คือผู้ชายที่รูปร่างสูงใหญ่
เขา ก็คือเฉินถิงเซียว?
สือเย่มองมู่น่อนน่อน ประเมินหล่อนอย่างเงียบๆ”คุณหญิง”
“สือเย่?” เมื่อกี้เธอได้ยินเฉินถิงเซียวเรียกชื่อนี้
สือเย่พยักหน้า ไม่พูดมาก
เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้ว
ขณะนี้ เฉินถิงเซียวที่นั่งหันหลังให้เธอพูดออกมา
“เธอไปเจอเฉินชิงเฟิงแล้ว?”
มู่น่อนน่อนนิ่งไปสักครู่ ถึงรู้สึกว่าเขากำลังพูดกับเธออยู่
ถึงแม้จะได้ยินจากลมปากของเฉินชิงเฟิงแล้ว ความสัมพันธ์ของพ่อลูกคู่นี้ไม่ดี แต่เฉินถิงเซียวเรียกชื่อเฉินชิงเฟิงออกมาโดยตรง ทำให้เธอตกใจเล็กน้อย
“เจอแล้ว”มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวถามคำถามนี้ทำไม แต่เธอรู้สึกได้ว่าเฉินถิงเซียวไม่มีท่าทีจะให้เธอเห็นใบหน้าที่แท้จริง
“เขาพูดอะไรบ้าง?”
“พูดคุยไปเรื่อง และยังพูดเรื่องของเธอ……”มู่น่อนน่อนหยุดนิ่งไปแล้วพูด”เขาเป็นห่วงเธอ”
คำพูดพวกนั้นของ น่าจะมีจุดหมายอะไรบางอย่าง แต่เขาเป็นห่วงเฉินถิงเซียวแน่ๆ
เธออิจฉาเขาเล็กน้อย มีพ่อที่รักเขา
เฉินถิงเซียวฟังที่หล่อนพูด พูดเยาะเย้ย”ฟังเจียฉินบอกว่า พวกเธอเข้ากันได้ดี?”
มู่น่อนน่อนได้ยินคำว่าเจียฉิน แข็งไปทั้งตัวส่ายหัวรัวๆ”แค่เคยเจอกันที่บ้านพักตากอากาศเฉยๆ”
นึกขึ้นได้เฉินถิงเซียวที่นั่งหันหลังให้เธอมองไม่เห็นเธอส่ายหัว เธอเสริมไปอีกประโยค”พวกเราไม่สนิท”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอตั้งใจปิดบังเรื่องที่เฉินเจียฉินบาดเจ็บอาศัยที่ห้องเช่าของเธอหนึ่งคืน
“ใช่เหรอ?”
ผู้ชายพูดเบาๆสองคำ ทำให้มู่น่อนน่อนตัวสั่น ไม่กล้าพูด
เฉินเจียฉิน คงจะไม่ได้พูดอะไรต่อหน้าเฉินถิงเซียวสินะ?
“เสร็จแล้ว เธอออกไปเถอะ”น้ำเสียงเฉินถิงเซียวฟังแล้วมีความเบื่อหน่ายเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนมองไม่เห็นหน้าของเฉินถิงเซียว แต่ห่างกันไกลขนาดนี้ เธอกลับรู้สึกถึงกลิ่นไอความเฉยชาที่แพร่ออกมาจากตัวเขาได้
ที่เธอแต่งเข้าตระกูลเฉิน ครึ่งหนึ่งเพราะว่าถูกเซียวชู่เหอบังคับ อีกครึ่งหนึ่งเพราะว่าเธอผิดหวังจนยินยอม
แต่งเข้าตระกูลเฉิน เธอก็ไม่ได้คิดถึงว่าจะมีวันที่ต้องหย่า เพราะตั้งแต่แต่งเข้ามาวันแรก เธอก็ตัดสินใจพร้อมที่จะเป็นภรรยาของเฉินถิงเซียวตลอดชีวิต
เธอกัดปาก ขึ้นไปสองก้าว ยืนที่ที่ใกล้กับเฉินถิงเซียวเล็กน้อย อ้าปากพูดออกมาอย่างกล้าหาญ”เฉินถิงเซียว เธอ……หันมาได้ไหม?”
เขาหันมา เธอก็จะได้เห็นหน้าของเขาแล้ว
เธอเพิ่งพูดจบ อยู่ๆก็รู้สึกว่าในห้องเต็มไปด้วยความกดดันที่สามารถฆ่าคนได้
“ฉัน ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างอื่น ฉันแค่รู้สึก พวกเราอนาคตคือคนที่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต ยังไงก็ต้องเจอหน้าอยู่แล้ว ฉันไม่ถือสา……สภาพร่างกายของเธอ”
เฉินถิงเซียวที่อยู่หลังเก้าอี้ได้ยินคำพูดของเธอ ก็นิ่งไปชั่วครู่เหมือนกัน
เขายกมุมปากเบาๆ น้ำเสียงมีความชั่วร้ายและความเกลียด”แต่ฉันถือสาเธอหน้าตาขี้เหร่”
ตอนที่16 คุณชายรอคุณที่ห้องหนังสือ
มู่น่อนน่อนไม่คิดว่า ผู้นำของตระกูลที่ร่ำรวยเทียบเท่าประเทศคนนั้น จะเป็นคนที่มีสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตรแบบนี้
เธอตะลึงนิ่งไปสักครู่ แล้วพูดว่า”ฉัน ฉันคือมู่น่อนน่อน”
ซื่อของครั้งนี้ไม่ได้แกล้ง แต่ทำให้ตกใจจริงๆ
“ไม่ต้องเขิน เธอแต่งเข้าตระกูลเฉินแล้ว ก็คือส่วนหนึ่งของตระกูลเฉิน ก็ถือว่าเป็นลูกสาวของฉัน”
เฉินชิงเฟิงพูดไปพลาง ถือกาน้ำที่อยู่ข้างๆเทน้ำให้หล่อนไปพลาง
ตอนอยู่ตระกูลมู่ มู่ลี่เหยียนไม่เคยมองเธอตรงๆเลย ความสนใจของเซียวชู่เหอก็อยู่ที่ตัวสองพี่น้องนั้นทั้งหมด
ไม่เคยมีผู้ใหญ่คนไหนปฏิบัติต่อเธออย่างอ่อนโยนแบบนี้บ้างเลย อยู่ๆก็ตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดคิดเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนรับแก้วน้ำมา”ขอบคุณค่ะ”
“เธอทำเหมือนถิงเซียวก็ได้ เรียกฉันพ่อ”เฉินชิงเฟิงพูดพลาง ประเมินหล่อนอย่างเงียบๆพลาง
หน้าตาไม่ค่อยเข้าตา ปฏิกิริยาเชื่องช้าเล็กน้อย ถึงแม้จะเขินเก้ๆกังๆแต่กลับมีมารยาท เป็นเด็กที่จิตใจงามเป็นธรรมชาติ
“……พ่อ”มู่น่อนน่อนเรียกอย่างลังเล
บนหน้าเฉินชิงเฟิงปรากฏรอยยิ้มออกมา น้ำเสียงขอโทษ”เธอแต่งงานกับถิงเซียว ไม่ได้จัดงานแต่งลำบากเธอหน่อยนะ จริงๆวันนี้ควรจะเป็นเธอกับถิงเซียวกลับไปทานข้าวที่บ้านเก่า แต่ถิงเซียวเด็กนั้นเพราะว่าเรื่องของแม่มีปมในใจ ไม่ยอมกลับบ้านเก่าสักที ทีหลังเธอแนะนำๆเขาหน่อย”
คือครอบครัวใหญ่ที่ถูกสืบทอดมาหลายร้อยปี เป็นประเพณีมาสามชั่วอายุ
ว่ากันว่า บ้านเก่าหลังนั้นของตระกูลเฉินไม่สามารถตีราคาได้ เคยมีคนลองให้ราคาแสนล้านจะซื้อบ้านของตระกูลเฉิน สุดท้ายคนนั้นกลายเป็นเรื่องตลกในวงการคนชั้นสูง
และในคำพูดของเฉินชิงเฟิงยังพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับแม่ของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนก็รู้มานิดหน่อย
การลักพาตัวในสิบปีก่อน โจรไม่ใช่ลักพาตัวแค่เฉินถิงเซียว แล้วยังลักพาตัวแม่ของเฉินถิงเซียวไปด้วย
แต่ว่าสุดท้ายช่วยออกมาได้แค่เฉินถิงเซียว
สำหรับแม่ของเฉินถิงเซียว มีคำพูดหลายแบบ
มีคนบอกว่าหล่อนตายแล้ว มีคนบอกว่าหล่อนยังไม่ตาย และยังมีคนบอกว่าหล่อนถูกโจรลักพาตัวทำให้เสื่อมเสีย……
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองเฉินชิงเฟิง พูดอย่างเชื่องช้าว่า”แต่ว่า……จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่……เจอเขา”
คำด้านหลัง เธอพูดเสียงเบาๆ
เธอสังเกตเห็น หลังจากเฉินชิงเฟิงได้ยินคำพูดของเธอแล้ว สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
และแล้ว เฉินชิงเฟิงก็ไม่ได้ถามเรื่องเฉินถิงเซียวอีกเลย แต่ถามเรื่องความเป็นอยู่ของมู่น่อนน่อนอย่างเป็นห่วง
มู่น่อนน่อนตอบไปตามตรง น้ำเสียงช้าๆ ดูเหมือนจะเชื่องช้าแต่กลับจริงใจมาก
ตอนออกไป เฉินชิงเฟิงยังคงให้เลิ่งซู่ส่งหล่อนกลับบ้านพักตากอากาศของเฉินถิงเซียว
……
เลิ่งซู่ส่งหล่อนถึงหน้าประตูบ้านพักตากอากาศ ดูมู่น่อนน่อนเข้าไปแล้ว เขาถึงจากไป
เวลานี้ เวลานี้มู่น่อนน่อนถึงจะนึกย้อนกลับไปได้ ก่อนหน้านี้ดูเหมือนเฉินชิงเฟิงกำลังลองเชิงเธออยู่?
แล้วนึกดู ก็รู้สึกไม่ใช่
เหมือนเขาจะลองเชิงเฉินถิงเซียวมากกว่า
ถึงแม่เธอจะยังไม่เคยเจอเฉินถิงเซียว แต่ว่า เธอกลับรู้สึกได้ว่า ความสัมพันธ์ของพ่อลูกคู่นี้ไม่ค่อยดี และมีความขัดแย้งกันมาก
เฉินชิงเฟิงบอกว่า เฉินถิงเซียวมีปมเพราะว่าเรื่องของแม่ แต่ว่าแม่ของเขาไม่อยู่ตั้งแต่10กว่าปีก่อนตอนที่ถูกลักพาตัวนั้นแล้ว หรือว่าเพราะเรื่องที่ถูกลักพาตัวก็เลยมีความบาดหมางใจกันกับเฉินชิงเฟิง?
“คุณหญิง”
มู่น่อนน่อนถูกเสียงของบอดี้การ์ดดึงสติมา เงยหน้ามองบอดี้การ์ดที่พูด
บอดี้การ์ดนี้คุ้นตา คือคนที่วันนั้นไปรับเธอจากตระกูลมู่
บอดี้การ์ดพยักหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงเรียบ”คุณชายอยากเจอคุณ”
มู่น่อนน่อนสงสัยว่าตัวเองฟังผิด เธอนิ่งไปสามวิ ถึงพูดว่า”คุณชาย?เฉินถิงเซียว?”
“ใช่ครับ คุณชายรอคุณที่ห้องหนังสือ”
ตอนที่15 นั้นแกล้งโง่
พ่อของเฉิน……เฉินถิงเซียว?
คือลูกผู้ดีร่ำรวยที่ตอนสมัยหนุ่มมีผู้หญิงเมืองเซี่ยงไฮ้แย่งชิงกันมากมาย ——เฉินชิงเฟิง?
มู่น่อนน่อนสตั้นชั่วครู่ ถึงรู้สึกตัว พูดอย่างอึดอัด”สวัสดีค่ะ”
คำว่าพ่อนั้น ไม่ว่ายังไงเธอก็เรียกไม่ออก
“ถ้ามีเวลา คืนนี้มาทานข้าวด้วยกันสิ” เสียงของเฉินชิงเฟิงมีความมั่นคงและหนักแน่น แฝงด้วยความอ่อนโยนเป็นมิตรที่ผ่านกาลเวลามาแล้ว ถึงแม้น้ำเสียงจะเป็นการสั่ง แต่กลับไม่ทำให้คนรังเกียจ
มู่น่อนน่อนฟังเข้าใจ คำพูดของเฉินชิงเฟิงถึงแม้จะดูเหมือนเป็นการถามเธอ แต่เธอกลับห้ามปฏิเสธ
เธอพูดอย่างอ่อนน้อมถ่อมตัว”มีเวลาค่ะ”
“ฉันให้คนขับรถไปรับเธอ เจอกันคืนนี้”
เขาพูดจบอย่างช้าๆไม่รีบ ก็วางสาย
ต้นแต่ต้นจนจบ น้ำเสียงของเฉินชิงเฟิงอ่อนโยน แต่กลับแฝงด้วยลมหายใจที่ไม่ต้องสงสัย
มู่น่อนน่อนทิ้งโทรศัพท์ ก็ออกจากบ้านนั่งรถไปบ้านพักตากอากาศของเฉินถิงเซียวอย่างรวดเร็ว
เฉินชิงเฟิงบอกให้คนขับรถมารับเธอ คนขับรถต้องไปรับที่บ้านพักตากอากาศของเฉินถิงเซียวแน่ๆ
……
มู่น่อนน่อนยืนหน้าประตู เงยหน้าวิเคราะห์บ้านพักตากอากาศของเฉินถิงเซียว
บ้านพักตากอากาศสร้างที่ครึ่งภูเขา รอบๆมีคนน้อยมาก บ้านพักตากอากาศสีขาวตั้งเงียบๆในกลางป่า ดูเหมือนแปลกประหลาดเล็กน้อย
ครั้งที่แล้วมู่น่อนน่อนถูกรับมา ไม่ได้สังเกตบ้านพักตากอากาศนี้ที ตอนนี้ยิ่งดูยิ่งรู้สึกผิดปกติ
ความหนาวเย็นเพิ่มขึ้นมาจากใต้เท้า
ฤดูหนาวแล้ว มู่น่อนน่อนเย็นจนสีหน้าขาวซีด
เธอเอาขาที่ยื่นออกไปเก็บกลับมา ชั่งเถอะ รอที่หน้าประตูดีกว่า
ผ่านไปไม่นาน รถยนต์สีดำก็จอดลงหน้าประตูบ้านพักตากอากาศ
มู่น่อนน่อนเอียงหัวมองไปแบบอยากรู้อยากเห็น ก็เห็นผู้ชายวัยกลางคนใบหน้าอ่อนโยนเดินออกมาจากรถ
ตอนเขาเห็นใบหน้าของมู่น่อนน่อนชัดๆแล้ว ในตาแวบผ่านความตกใจอย่างเห็นได้ชัด แต่บนหน้ากลับไม่ได้แสดงออกมา
เขายืนนิ่งอยู่ตรงหน้ามู่น่อนน่อน พยักหน้าเล็กน้อย ท่าทางเคารพนอบน้อม”คุณหญิง ฉันชื่อเลิ่งซู่ คุณเฉินส่งฉันมารับคุณไปทานข้าว”
คือคนขับรถที่เฉินชิงเฟิงส่งมารับเธอไปทานข้าว
“รบกวนคุณด้วยนะ” มู่น่อนน่อนยิ้มให้เขา ฉีกปากกว้างๆ ดูเหมือนซื่อเล็กน้อย
สีหน้าของเลิ่งซู่ตะลึงเล็กน้อย แต่ก็กลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว
เขาหันหลังดึงประตูรถ”คุณหญิง เชิญขึ้นรถ”
หลังจากนั้น เขาอ้อมไปนั่งที่คนขับขับออกไป
รอรถยนต์ไปไกล เดิมทีบนชั้น2ของบ้านพักตากอากาศเปิดผ้าม่านมารูหนึ่ง “ฟึบ” เสียงถูกคนเปิดออกอย่างแรง
สือเย่มองรถที่ขับออกไปแล้ว เอียงหัวถามเฉินถิงเซียวที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าเดาไม่ถูก”เจ้านาย คุณจะให้คุณหญิงไปเจอคุณเฉินแบบนี้เหรอ?”
“ไม่งั้นล่ะ?” สายตาบูดบึ้ง เอามือทั้งสองเสียบไว้ในกระเป๋ากางเกง น้ำเสียงทุ้มต่ำ”หล่อนก็แค่ผู้หญิงขี้เหร่ที่ทั้งโง่ทั้งบ้า เฉินชิงเฟิงจะทำไรได้?”
“แต่ว่า คุณหญิงนั้นแกล้งโง่
“แกล้งจนทำให้ทุกคนเชื่อได้ ก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่ง”
เฉินถิงเซียวพูดประโยคนี้จบ ก็หันหลังเดินออกไปเลย
……
มู่น่อนน่อนถูกส่งมาร้านอาหารที่หรูร้านหนึ่ง
เลิ่งซู่พาเธอเดินถึงหน้าห้อง ยื่นมือทำท่าเชิญ”คุณเฉินรอคุณอยู่ข้างใน”
“อืม”มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็เสริมอีกประโยคอย่างเชื่องช้า”ขอบคุณค่ะอาเลิ่ง”
เลิ่งซู่มองหล่อนเข้าไป หลังจากปิดประตู ไม่รู้ว่านึกอะไรได้ ส่ายหัวเล็กน้อย
หน้าโต๊ะอาหาร ชายวัยกลางคนที่บุคลิกสง่างาม กำลังเปิดดูเมนู
ได้ยินเสียง เขาวางเมนูลงเงยหน้าขึ้น มู่น่อนน่อนคิดว่าการแต่งกายที่เชยทั้งตัวของตัวเองอย่างน้อยก็ทำให้เขาขมวดคิ้วคือไม่ชอบใจบ้าง แต่เขาพูดด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน”เธอก็คือน่อนน่อน?
ตอนที่14 พ่อของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนมองเฉินเจียฉินที่มีกลิ่นไอความหม่นหมองอึมครึมเต็มไปหมด ชำเลืองเห็นหลังมือที่เปื้อนเลือดของเขา เบิกตาขว้างอย่างตกใจ”เธอ……”
ในกับข้าวของเธอก็ไม่ได้ใส่ของแปลกๆลงไป ทำไมถึงทำให้เขาคิดไม่ถึงวิ่งออกมาทำร้ายตัวเองกันนะ?
เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจหล่อน กำลังยกขาจะเดิน โทรศัพท์ของเขาดังขึ้น
เขาแค่กวาดมองเบอร์แปลกบนหน้าจอ ก็กดวางสายทันที
ตอนนั้น เขาถึงเงยหน้ามอง”เข้าไปเถอะ”
น้ำเสียงของเขาเย็นชาและแฝงไปด้วยความกดดัน และยังมีความหม่นหมองบางอย่างอยู่
มู่น่อนน่อนรู้ถึงได้ว่าเฉินเจียฉินในตอนนี้น่ากลัวมาก เธอค่อยๆเขยิบถอยหลังเข้าไปในห้อง มือหนึ่งจับประตูที่ปิดครึ่งหนึ่ง ลังเลว่าจะปิดประตูให้ผู้ชายคนนี้อยู่ด้านนอกเลยดีไหม
เฉินถิงเซียวไม่ได้สังเกตเห็นความสับสนของหล่อน เพราะว่าโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นอีก
ครั้งนี้บนหน้าจอไม่ใช่เบอร์แปลก แต่แสดงคำว่าสือเย่สองตัว
เขาไม่รอช้าที่จะกดรับสาย และไม่ต้องเลี่ยงมู่น่อนน่อนที่อยู่ในนี้ ถามตรงๆ”เขาหาฉันมีเรื่องอะไร?”
สือเย่ที่อยู่สายนั้น พูดสั้นๆว่า”ให้นายพาลูกสะใภ้ของเขากลับบ้านกินข้าว คืนนี้”
“เหอะ!”เฉินถิงเซียวยิ้มเยาะเย้ย”ทีหลังสายของเขา แกไม่ต้องสนใจ”
สือเย่เข้าใจ”อืม ยังไง เขาก็ไม่ได้ให้เงินเดือนฉัน”
วางสายไป เฉินถิงเซียวเงยหน้าเห็นมู่น่อนน่อนยังยืนอยู่ที่ประตูตั้งนาน
“แอบฟังฉันคุยโทรศัพท์?”
มู่น่อนน่อนส่ายหัวรัวๆ”เปล่า”
เธอรู้สึกว่าอย่าเพิ่งไปกวนเฉินเจียฉินในตอนนี้จะดีที่สุด
“แล้วยังไม่เข้าไป?”เฉินถิงเซียวพูดจบ เดินเข้าไปหนึ่งก้าว เหล่มองเธอจากที่สูงเสียงคลุมเครือ”หรือว่า เธอคิดได้แล้ว ยอมทิ้งลูกพี่ลูกน้องฉัน อยู่ฉันไป?”
มู่น่อนน่อนฟังเขาพูดแบบนี้ หันหลังปิดประตูอย่างไม่ลังเล
เฉินถิงเซียวถูกปิดประตูใส่อย่างเย็นชา ในตาไม่มีความหวั่นไหว
สองวันนี้เขาอยู่ที่นี้ ก็แค่จะหาคนที่ตนเองไล่ตามวันนั้นอยู่ที่นี่รึเปล่าเท่านั้นเอง
ในเมื่อคนนั้นจะไม่อยู่ที่นี่ เขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ที่มู่น่อนน่อนนี้แล้ว
เจ้าสาวคนนี้ มีความฉลาด และจิตใจดี สำหรับตอนนี้ยังไม่ขัดขวางสิ่งที่เขาทำอยู่ ดังนั้นเขายังไม่สนใจหล่อนก่อนชั่วคราว
…….
ที่ปากซอย เฉินถิงเซียวเห็นสือเย่ที่รออยู่นั้นตรงนั้นทันที
พอสือเย่เห็นเฉินถิงเซียว ก็สาวเท้ายาวๆเดินเข้ามา บนหน้าแกร่งสังเกตเห็นอย่างเป็นห่วงเล็กน้อย”เจ้านาย ร่างกายของคุณเป็นไงบ้าง?”
เฉินถิงเซียวส่ายมือ ผลักมือที่สือเย่จะเข้ามาพยุง”ไม่เป็นไร”
สือเย่เปิดประตูรถให้เขา เขานั่งเข้าไป เงยหน้าพิงหลังที่เก้าอี้ น้ำเสียงเรียบฟังไม่ออกว่าอารมณ์ไหน”สือเย่ สองวันนี้เขาโทรหาแกตลอดเหรอ?”
สือเย่รู้ว่าที่เฉินถิงเซียวพูดถึงคือใคร พยักหน้าพูด”คุณเฉินบอก เจ้านายบล็อกสายของเขา เขาเปลี่ยนเบอร์โทรหาเจ้านาย นายก็ไม่รับ เขาเลยต้องโทรมาหาฉัน”
“อืม”ยังไงก็ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว
“เมื่อกี้ก่อนเจ้านายมา คุณเฉินโทรบอกว่า ถ้านายไม่พาคุณหญิงกลับไปทานข้าว เขาก็จะโทรหาคุณหญิงเอง”
พ่อที่ดีของเขา จะโทรหามู่น่อนน่อน ผู้หญิงคนนั้น ให้หล่อนไปทานข้าวตระกูลเฉิน?
สือเย่รอตั้งนาน ถึงได้ยินเสียงเรียบของเฉินถิงเซียว”ตามใจเขา”
……
มู่น่อนน่อนกลับเข้าห้องกินข้าวเสร็จ เตรียมตัวจะล้างจาน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์
ที่โทรมาคือเบอร์แปลก
ดังมาสักแปปไม่ได้วาง น่าจะไม่ใช่เบอร์ก่อกวน
“สวัสดีค่ะ ฉันคือมู่น่อนน่อน”
“ฉันคือพ่อของเฉินถิงเซียว เฉินชิงเฟิง”
ตอนที่13 ฉันจน
มู่น่อนน่อนสตั้นไปชั่วครู่ ถึงรู้สึกตัว เจ้าของเสียงนี้คือเฉินเจียฉิน
“ทำไมเธอยังไม่ไป?”
ที่ตอบเธอ คือเสียงตัดสาย
เธอมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสาย นั่งยองๆกุมหัวอย่างหงุดหงิด
ทำไมทุกๆคนถึงต้องมาทำให้เธอลำบากในใจกันนะ?
เซียวชู่เหอกับมู่ลี่เหยียนให้กำเนิดเธอออกมา แต่กลับไม่เคยรักเธอ
เธอถูกบังคับแต่งเข้าตระกูลเฉิน เฉินถิงเซียวเกลียดจนไม่อยากเจอเธอ
เธอไม่อยากสร้างปัญหา แต่เฉินเจียฉินกลับยุ่งกับเธอ
แต่ว่า ถ้าเกิดไม่สนใจเฉินเจียฉิน เขาจะไปบอกกับเฉินถิงเซียวจริงๆหรือเปล่าว่า เธออ่อยเขา?
พอนึกถึงข้อนี้ มู่น่อนน่อนก็หายใจเข้าลึกๆแล้วลุกขึ้นมา
ถึงแม้เธอจะใช้เรื่องแบบนี้มาข่มขู่เซียวชู่เหอกับมู่หวั่นขี แต่ถ้าสมมุติเฉินเจียฉินพูดบ้าๆจริงๆ ตระกูลเฉินไม่สนถูกผิด ยังไงก็ต้องเสียสละเธอเพื่อรักษาชื่อเสียงตระกูลเฉินอยู่แล้ว
……
มู่น่อนน่อนไม่ได้ไปห่ออาหารพวกนั้นกลับมาอย่างที่เฉินเจียฉินบอก แต่ไปซื้อวัตถุดิบที่ตลาดกลับไป
เธอเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นรูปร่างใหญ่โตของเฉินเจียฉินอยู่ที่โซฟาขนาดเล็กสำหรับคนเดียว
ผู้ชายที่หล่อสง่าเอียงหัวพิงโซฟา ขายาวสองข้างทับด้วยกัน รักษาท่าทีที่สบายอิสระไว้ ถ้าไม่ใช่สีหน้าของเขาขาวซีดเกินไป สีหน้านิ่งเงียบแบบนี้ มองไม่ออกว่าเขาเพิ่งถูกยิงมาเลย
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เขายังคงดูเหมือนไม่เข้ากับห้องเดียวขนาดเล็กที่แคบของเธอ
ยังไงก็เป็นคุณชายตระกูลร่ำรวยที่ถูกโอ๋มาจนโต ถึงแม้ศีลธรรมแย่ไปนิด แต่ความสูงศักดิ์สง่างามซ่อนไว้ไม่ได้อยู่แล้ว
เธอเอาผักในมือตั้งไว้ข้างๆ ก้มลงเปลี่ยนรองเท้า
จู่ๆกลิ่นไอความเยือกเย็นเข้ามาใกล้
เธอเงยหน้าขึ้นอย่างแรง ก็เห็นผู้ชายที่ก่อนหน้านี้ยังเห็นนั่งพิงโซฟาอยู่ ไม่รู้เดินมาตรงหน้าเธอเมื่อไหร่ กำลังก้มหน้าสำรวจผักที่เธอเอากลับมา
เฉินถิงเซียวเห็นผักที่หล่อนซื้อชัดๆ ยักคิ้วมองหล่อน”นี่คืออาหารที่เธอห่อกลับมา?”
มู่น่อนน่อนเปลี่ยนรองเท้าเสร็จแล้ว หันหลังกลับหยิบผัก พูดเบาๆ”ห่ออาหารสุกแพงเกินไป ฉันจน”
เฉินถิงเซียวประเมินเสื้อที่หล่อนใส่ ดูแล้วถูกมากเก่ามากจริงๆ
เจ้าสาวของเขานี้ช่าง……โทรมจริงๆ
มู่น่อนน่อนก็ไม่ใส่ใจความคิดเห็นของเขา หยิบผักไปห้องครัวขนาดเล็กที่กั้นอยู่
……
1ชั่วโมงผ่านไป มู่น่อนน่อนยกอาหารที่ทำเสร็จแล้วออกมา
เฉินถิงเซียววางโทรศัพท์ลงมองหล่อน สายตาตกลงบนอาหารที่หล่อนทำ
หน้าตาอาหารดูดีมาก ดูเหมือนจะจืด เป็นอาหารที่เหมาะกับคนป่วย
มู่น่อนน่อนตักข้าวตั้งไว้ตรงหน้าเขา ไม่ต้องสนเขาอีกเลย
ชำเลืองอย่างไม่ตั้งใจ เธอสังเกตเห็น หลังจากเฉินเจียฉินกินอาหารไปไม่กี่คำ จู่ๆสีหน้าหมองลง อารมณ์มีความอึมครึมเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนใจเต้นแรง
เป็นอะไรไป?
อาหารที่เธอทำทำให้คุณชายนี้ไม่พอใจ?
เฉินถิงเซียววางตะเกียบลงด้วยสีหน้าที่หม่นหมอง ลึกขึ้นเดินออกไปข้างนอก
ก้าวฝีเท้าอย่างสุขุม ไม่เห็นมีความอ่อนแอ
ท่าทางพุ้ยข้าวด้วยตะเกียบของมู่น่อนน่อนหยุดไปพักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ตามออกไป
ข้างนอก
เฉินถิงเซียวล้วงกระเป๋าหาบุหรี่อย่าง หงุดหงิด ล้วงตั้งนานเพิ่งนึกขึ้นได้ไม่มีบุหรี่
รสชาติที่คุ้นเคยเมื่อกี้ ทำให้เขานึกถึงแม่
แม่ที่อ่อนโยนสง่างามถึงแม้จะมาจากตระกูลที่เสียงโด่งดัง แต่กลับเป็นกุลสตรีอ่อนโยน ชอบทำอาหาร
แต่ว่า สุดท้ายกลับ……
เขานึกถึงห้องใต้ดินที่เปียกชื้นสกปรกนั้น กำหมัดแน่นต่อยไปที่กำแพง มีเสียง”ปัง”ออกมาดังๆ
ขนาดมู่น่อนน่อนที่นั่งกินข้าวในห้องยังได้ยินเสียงนี้
มู่น่อนน่อนลังเลสักแปป ยังคงไม่วางใจ วางตะเกียบลงเปิดประตูออกไป”เป็นอะไร?เกิดอะไรขึ้น?”
ตอนที่12 เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่เธอ
มู่น่อนน่อนไม่ชอบสีหน้าใจร้ายแบบนี้ของ
มู่หวั่นขี”เธอพูดบ้าอะไร!”
“ฉันไม่ได้พูดเบาๆ ในใจเธอรู้ดี มู่หวั่นขีหึเบาๆ”เธอกล้าพูดว่า เธอไม่ชอบชูหาน?”
มู่น่อนน่อนก้มหน้า เงียบ
เธอไม่กล้าพูด
เพราะว่า คนที่เธอชอบมาตลอดก็คือเสิ่นชูหาน
ในเวลานั้นเอง จู่ๆมู่หวั่นขีร้องออกมาอย่างตกใจ”ชูหาน?”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นอย่างแรง ถึงเห็นเสิ่นชูหานที่ไม่รู้กลับมาตั้งแต่ตอนไหน
เธอมองเสิ่นชูหานอย่างตื่นเต้น ไม่รู้ว่าเขาได้ยินไปเท่าไหร่
ใครจะไปรู้ เสิ่นชูหานกลับเลี่ยงที่จะมองเธอ
เธอรู้แล้วเสิ่นชูหานได้ยินแล้วแน่นอน
มู่หวั่นขีดูปฏิกิริยาของเสิ่นชูหานอย่างพอใจ ยิ้มปลอบเสิ่นชูหาน”ชูหาน เธออย่ามีภาระทางจิตใจ น่อนน่อนแต่งงานแล้ว พวกเราก็อยู่ด้วยกันอย่างราบรื่นได้แล้ว”
นี้แหละคือปฏิกิริยาปกติของการที่ถูกผู้หญิงทั้งน่าเกลียดทั้งโง่แบบนี้อย่างมู่น่อนน่อน ไม่รู้ว่าลูกพี่ลูกน้องคนนั้นของเฉินถิงเซียว ทำไมถึงยังยุ่งกับมู่น่อนน่อน
อาจจะเป็นเพราะลองเปลี่ยนรสนิยมแปลกใหม่บ้าง หาความตื่นเต้น
“น่อนน่อน เธอแต่งงานแล้ว” ตอนนี้เสิ่นชูหานถึงหันหน้ามองมู่น่อนน่อนตรงๆ
“ใช่ ก่อนหน้านี้หล่อนยังบอกกับฉัน ถ้าแต่งงานจริงๆก็จะไม่มีทางแต่งงานให้ดี ก็เลยอยากแต่งเข้าตระกูลเฉิน ฉันเคยเตือนหล่อนแล้ว ถึงแม้ไฮโซอย่างตระกูลเฉินจะร่ำรวยมาก แต่สามีแบบนั้น……”
มู่หวั่นขีพูดถึงตรงนี้ ส่ายหัว ทำท่าทีเจ็บปวดใจ
แต่มู่น่อนน่อนฟังออกอย่างชัดเจน ในคำพูดของมู่หวั่นขีถึงบอกว่าเธออยากแต่งเข้าตระกูลเฉินเพราะเห็นแก่เงิน
เสิ่นชูหานขมวดคิ้วมองมู่น่อนน่อน ในตามีแต่ความผิดหวัง”ไม่ว่าจะยังไง ก็ต้องขอบคุณที่เธอแต่งเข้าตระกูลเฉินแทนหวั่นขีมู่หวั่นขีก็รู้สึกขอบคุณเหมือนกัน”ใช่แล้ว ถ้าไม่ใช่เธอแต่งเข้าตระกูลเฉินแทนฉันฉันกับชูหานก็ไม่มีทางอยู่ด้วยกันได้หรอก”
มู่น่อนน่อนกัดปากแน่น พูดอธิบายเสียงแหบให้ตัวเอง”ไม่ใช่อย่างที่หล่อนพูดนะ”
ถึงแม้ชาตินี้เธอกับเสิ่นชูหานอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่เธอก็ไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดว่าเป็นคนเห็นแก่เงิน
เสิ่นชูหานขมวดคิ้ว”น่อนน่อน เธอไม่ต้องอธิบายแล้ว ฉันเข้าใจอารมณ์ของเธอได้ถึงแม้ร่างกายเฉินถิงเซียว……ไม่ไหว แต่ตระกูลเฉินไม่มีทางปฏิบัติไม่ดีต่อเธอแน่นอน”
ใจของมู่น่อนน่อน ห่อเหี่ยวไปหมดแล้วจริงๆ
ในเวลานั้นเอง จู่ๆโทรศัพท์ของเธอสั่นขึ้นมา
เอหยิบออกมา เห็นว่าเนื้อหาของข้อความคือเมนูอาหาร ไม่มีเนื้อหาอื่นๆเพิ่มเติม
ไม่รู้ว่าใครส่งมาให้เธอ แต่เธอใช้ข้ออ้างออกไปได้พอดี
“ฉันมีธุระไปก่อนนะ”เธอลุกขึ้นยืน มองเสิ่นชูหานด้วยสีหน้าไร้อารมณ์”เมื่อก่อนฉันเคยชอบเธอก็จริง ฉันไม่ปฏิเสธ แต่คราวหลังจะไม่ทำมันอีก ฉันแต่งเข้าได้ไงมู่หวั่นขีรู้ดีที่สุด เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่เธอ”
เธอชอบเสิ่นชูหานได้ ก็เพราะว่าเขาเป็นผู้ชายคนเดียวที่ไม่รังเกียจเธอและยังเป็นห่วงเธอ
ดูเหมือนตอนนี้ เขาทำกับเธอเป็นแค่ความเห็นอกเห็นใจจอมปลอมเท่านั้นเอง
ตระกูลเสิ่นกับตระกูลมู่สองตระกูลเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ พวกเขารู้จักกันมาหลายปี หรือเขาไม่รู้จริงๆเหรอว่าเธอเป็นคนยังไง?
ก็จริง ขนาดเซียวชู่เหอแม่แท้ๆยังไม่เชื่อเธอ คนนอกอย่างเสิ่นชูหานจะเชื่อเธอได้ไง
เธอพูดจบ ก็ออกจากห้องไปอย่างไร้เยื่อใย
ตอนปิดประตู เธอได้ยินเสิ่นชูหานพูดกับ
มู่หวั่นขี”เมื่อก่อนรู้สึกว่าน่อนน่อนคือเด็กผู้หญิงที่จิตใจบริสุทธิ์ คิดไม่ถึงว่าหล่อนจะกลายเป็นแบบนี้……”
มู่หวั่นขียังคงทำน้ำเสียงเสียใจอย่างนั้น”ฉันก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน………”
มู่น่อนน่อนกำมือทั้งสองแน่น เม้มปากแน่น เดินออกจากร้านอาหารโดยที่หน้าก็ไม่หันกลับไป
โทรศัพท์ที่กระเป๋าดังขึ้นอีกครั้ง เธอกดรับโดยที่ไม่ได้มองเลย
น้ำเสียงทุ้มต่ำกระทบกับแก้วหูเธอ”เมนูที่ส่งไป ห่อกลับมาด้วย”
ตอนที่11รูปลักษณ์เดิม
มู่น่อนน่อนไม่เคยละเมอ
หล่อนหน้าแดงหันไปหาเขา”เธอ……”
“ฉันเป็นผู้ป่วย”เฉินถิงเซียวหันหน้ามองหล่อน น้ำเสียงเรียบ
มู่น่อนน่อนไม่เคยร่วมเตียงกับผู้ชาย กลิ่นไอความเคร่งขรึมเข้มข้นเกินไป ออร่าที่ยิ่งใหญ่ทำเรี่ยวแรงกำลังของหล่อนหายหมด
หล่อนเม้มปากตื่นเต้นเล็กน้อย ดึกผ้าห่มออกจะลุกขึ้นลงจากเตียง นึกไม่ถึงว่าถูกผู้ชายข้างตัวจับข้อมือไว้
ดวงตาของเฉินถิงเซียวตกอยู่ใบหน้าหล่อในตามีความสำรวจเล็กน้อย”ทำไมมือเธอขาวขนาดนี้ สีหน้าถึงได้เหลือง?”
มู่น่อนน่อนดึงมือกลับอย่างตกใจ พูดเสียงต่ำว่า”เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ”
หลังจากนั้น ก็กระโดดลงเตียงเหมือนกระต่าย ไปห้องน้ำ
ด้านหลัง ในตาเฉินถิงเซียวมีอารมณ์สนุกกำลังมา
…….
ในห้องน้ำ
มู่น่อนน่อนมองในกระจก สีหน้าเหลืองของตัวเอง ในตาแวบผ่านความเยาะเย้ยตัวเอง
หยิบน้ำยาล้างเครื่องสำอางจากตู้ที่อยู่ใต้แท่นล้างมือ เริ่มล้างเครื่องสำอางออก
ผ่านไปไม่นาน ในกระจกปรากฏใบหน้าที่ขาวบริสุทธิ์ ผู้หญิงสวยงามที่มีดวงตาสดใสฟันขาว
ถ้าไม่ใช่ว่าหลังจากเรียบจบ เช่าห้องเองข้างนอก ล้างเครื่องสำอางทุกวัน หล่อนก็เกือบจะลืมรูปลักษณ์เดิมของตัวเองแล้ว
ลูกสาวหน้าตาสวยงาม เดิมทีแม่ต้องรู้สึกดีใจถึงจะถูก
แต่ตอนเด็ก เซียวชู่เหอกล่าวหาว่าเธอแย่งซีนมู่หวั่นขีตลอด ไม่ยอมซื้อเสื้อสวยให้เธอ
เธอในตอนนั้น เพื่อที่จะทำให้ดีใจ พูดได้ว่าพยายามอย่างหนัก
จากที่1ของชั้นกลายเป็นที่โหล่ จากดาวโรงเรียนกลายเป็นเด็กขี้เหร่ที่ไม่มีเพื่อนสักคน
แต่แล้วเซียวชู่เหอไม่ได้ดีใจจนมองหล่อนมากขึ้น
เธอไม่เชื่อมาโดยตลอด เซียวชู่เหอไม่รักเธอเลยสักนิด
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เธอจัดการตัวเองให้ดีอีกครั้ง ออกจากห้องน้ำ
เฉินถิงเซียวพิงบนหัวเตียง ถือโทรศัพท์เอียงข้างไม่รู้ว่าดูอะไรอยู่ สีหน้าท่าทางที่ไร้อารมณ์ดูเหมือนมีการหักห้ามใจเพิ่มขึ้น
เธอครุ่นคิด พูดว่า”ฉันจะออกไปข้างนอกแล้ว เธอโทรหาคนมารับเธอกลับตระกูลเฉินเองเถอะ”
เฉินถิงเซียวไม่ตอบ
มู่น่อนน่อนก็ไม่สนใจ ถือกระเป๋าออกไปเลย
งานครั้งก่อน เพราะเซียวชู่เหอสั่งให้เธอกลับบ้านรอแต่งงาน เลยจบอย่างรีบร้อน
เธอต้องหาเลี้ยงตัวเอง ยังต้องหางานใหม่
……
ช่วงเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เธอยืนรอรถที่ป้ายรถประจำทาง
ทันใดนั้น รถยนต์สีดำจอดอยู่ตรงหน้าเธอ
หน้าต่างรถลดลง ใบหน้าอ่อนโยนของชายหนุ่มโผล่ออกมา”น่อนน่อน จะไปไหนเหรอ?”
ในตาของมู่น่อนน่อนประกายออกมา ยากที่จะซ่อนความตื่นเต้นในน้ำเสียงได้”เสิ่นชูหาน?เธออยู่ที่นี่ได้ไง?”
“ขึ้นรถก่อนเถอะ ที่นี่จอดนานไม่ได้”
เสิ่นชูหานพูดอยู่ แล้วเปิดประตูรถให้เธอ
มู่น่อนน่อนตรงขึ้นรถไป พอปิดประตูรถ ก็ได้ยินเสิ่นชูหานพูด”พอดีฉันได้นัดพี่สาวเธอทานข้าว กินด้วยกันเถอะ”
เขานัดมู่หวั่นขี?
เธอน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว
ตั้งแต่สมัยก่อนก็มีคนบอกว่ามู่หวั่นขีกับเสิ่นชูหานเป็นชายหญิงคู่กัน
แต่ทั้งสองไม่อยู่ด้วยกันสักที ดังนั้นเธอเลยแอบซ่อนความคิดของตัวเองได้ เป็นเพื่อนกับเสิ่นชูหานต่อไป
เธอฉีกมุมปากอย่างแข็งทื่อ”ฉันยังมีธุระ ก็ไม่ไปกับพวกเธอ……”
“ไม่ได้ทานข้าวด้วยกันนานแล้ว ฟังฉันนะ”ท่าทีเสิ่นชูหานแข็งกร้าว ไม่ให้โอกาสเธอปฏิเสธเลย
ถึงร้านอาหารอย่างรวดเร็ว
มู่หวั่นขีถึงอยู่แล้ว พอเธอเห็นมู่น่อนน่อนกับเสิ่นชูหานมาด้วยกัน สีหน้าบูดบึ้งทันที
เสิ่นชูหานกลับไม่รู้สึก”หวั่นขี ฉันเจอน่อนน่อนระหว่างทาง ก็เลยพาหล่อนมาทานข้าวด้วยกัน เธอไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”
มู่หวั่นขีเผยยิ้มออกมา พูดเสียงอ่อนโยน”ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว”
“ฉันไปห้องน้ำก่อน พวกเธอคุยกันก่อนเลย เสิ่นชูหานพูดทิ้งประโยคนี้ ก็หันหลังออกไปเลย
พอเขาออกไป รอยยิ้มบนหน้ามู่หวั่นขีหายไปเลย”ทำไม คนพิการตระกูลเฉินทำให้เธอพอใจไม่ได้ เลยมาอ่อยชูหาน?
ตอนที่10 ใช้หล่อนเป็นกระดานโดดน้ำ
วันรุ่งขึ้น
มู่น่อนน่อนถูกเสียงเตือนของโทรศัพท์ปลุกขึ้นมา
เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดวางที่เฉยแล้ว ตอนที่ทุกๆคนรอบตัวต่างก็ใช้สมาร์ตโฟนที่ภายนอกสวยงามแล้วยังมีคุณสมบัติครบถ้วน หล่อนยังคงใช้โทรศัพท์เก่าแก่แบบที่ใช้โทรศัพท์และส่งข้อความได้อย่างเดียว
หยิบโทรศัพท์มา มองดูผู้ติดต่อบนหน้าจอ สมองของหล่อนตื่นขึ้นมาทันที
หล่อนสตั้นชั่วครู่ แล้วรับสาย”พ่อ”
เสียงมู่ลี่เหยียนเข้มงวดเช่นเคย”เมื่อวานเธอกลับบ้าน?ใครส่งเธอกลับไป?”
คนเป็นพ่อโทรหาลูกสาวที่เพิ่งแต่งงานไป กลับถามคำถามที่ไม่สำคัญอะไรเลย มู่น่อนน่อนรู้สึกผิดหวัง
ปกติ มู่ลี่เหยียนไม่ค่อยโทรหาเธอ จู่ๆเขาก็โทรมาถามแบบนี้ อดไม่ได้ที่จะให้มู่น่อนน่อนสงสัยเจตนาของเขา
แต่เธอก็พูดตามความจริง”เป็นลูกพี่ลูกน้องของเฉินถิงเซียว”
มู่ลี่เหยียนที่อยู่ฝั่งนั้นเงียบไปชั่วครู่ แล้วพูดว่า”มีเวลา พาพี่สาวเธอไปเวียนตระกูลเฉิน มีหนุ่มที่เหมาะสมก็แนะนำให้หล่อนสักหน่อย ให้หล่อนหาเพื่อนใหม่สักสองสามคน”
ความหมายของคำที่เขาพูด มู่น่อนน่อนเข้าใจแล้ว
เมื่อวานหลังจากที่เธอออกจากบ้านพักตากอากาศแล้วเฉินเจียฉินกับมู่หวั่นขีน่าจะเจอหน้ากัน
มู่หวั่นขีมีความเป็นไปได้ที่จะชอบเฉินเจียฉินแล้ว ดังนั้นอยากให้เธอชักนำให้พวกเขา”
ลูกคิดรางแก้วที่พวกเขาสองพ่อลูกวางไว้ดีจังเลย
จริงๆแล้วคือการหมั้นที่เฉินถิงเซียวกับมู่หวั่นขีหมั้นไว้ แต่สุดท้ายกลับเป็นเธอที่แต่งกับเฉินถิงเซียว
หลังจากนั้น พวกเขาก็จะใช้หล่อนเป็นกระดานโดดน้ำ ให้มู่หวั่นขีหาผู้ชายดีเด่นในตระกูลเฉินมาเป็นสามี
ทั้งเมืองเซี่ยงไฮ้ใครไม่รู้ ตระกูลเฉินนอกจากเฉินถิงเซียว ลูกพี่ลูกน้องพวกนั้นของเขาแต่ละคนเป็นคนเก่ง โดดเด่นมากมายในตามู่น่อนน่อนมีความเยาะเย้ยตนเอง มู่หวั่นขีคือลูกสาวแท้ๆของมู่ลี่เหยียน รึว่าเธอไม่ใช่เหรอ?
ทำไมถึงลำเอียงขนาดนี้ได้?
มู่น่อนน่อนทนความน้อยใจไว้ พยายามทำให้เสียงเสียบนิ่ง”ฉันก็อยากจะพาพี่สาวไปเวียนตระกูลเฉินนะ แต่ว่า จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เห็นเฉินถิงเซียวเลย”
มู่ลี่เหยียนได้ยิน ขนาดหน้าของหล่อนเฉินถิงเซียวก็ยังไม่เจอ โมโหขึ้นมาทันที
“ขนาดสามีก็ยังไม่เจอหน้า ใช้งานแค่นี้ก็ไม่ได้ เธอยังมีหน้ากลับบ้าน!”
มู่น่อนน่อนเสียใจ กลั้นน้ำตาไว้ น้ำเสียงไม่ต่างจากปกติ”เธอเอาพี่สาวส่งไปตระกูลเฉิน
ไม่แน่เฉินถิงเซียวก็ยอมเจอหล่อนแล้ว?ฉันเป็นของปลอม เขาจะเจอฉันทำไม?”
เฉินถิงเซียวที่ออกมาจากห้องอาบน้ำได้ยินหล่อนพูดประโยคนี้พอดี
หล่อนนั่งบนเตียง ผมที่ดำสนิทปิดถึงเอว นิ้วมือที่ถือโทรศัพท์ออกแรงมากเกินไปจนเห็นเส้นเลือดสีเขียวนูนขึ้น ในดวงตาใสเต็มไปด้วยน้ำตา กลับไม่ไหลออกมาอย่างเข้มแข็ง ร่างที่อ่อนแอดูแล้วน่าสงสาร
เฉินถิงเซียวหรี่ตาดำ สังเกตเห็นว่าเจ้าสาวคนนี้ยิ่งดูยิ่งสบายตาจริงๆ
ไม่รู้ว่าโทรศัพท์ฝั่งนั้นพูดอะไรอีก สีหน้ามู่น่อนน่อนขาวซีด ไม่ได้พูดอะไรและไม่ได้วางสาย
เฉินถิงเซียวเดินไปเลย แย่งโทรศัพท์ในมือหล่อนมา วางสายซะเลย
เหอะ คาดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้ยังใช้โทรศัพท์แบบนี้อยู่อีก
หลังจากนั้น เขาก้มหน้ามองมู่น่อนน่อน น้ำเสียงเย็นชาฟังไม่อารมณ์ไม่ออก”ไม่อยากฟัง ไม่ฟังก็ได้แล้ว”
มู่น่อนน่อนรีบเงยหน้าขึ้น ในตายังเก็บน้ำตาไว้ แต่รู้สึกข้างหน้าเบลอๆ มองหน้าเขาไม่ชัดเลย
แต่ที่น่าแปลกใจ หล่อนฟังคำพูดที่เขาพูดออกมามีความปลอบใจเล็กน้อย
แต่วินาทีต่อไป หล่อนเบิกตาโตกว้าง”ฉันอยู่บนเตียงได้ไง?”
หล่อนเอาเตียงให้ผู้ชายที่บาดเจ็บ เมื่อคืนหล่อนนอนอยู่บนโซฟานะ!”
“เธอละเมอปีนขึ้นไปเอง”เฉินถิงเซียวพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก็เดินมาข้างเตียง นอนลงข้างๆหล่อน
ตอนที่9 อยากแตะหล่อน
มู่น่อนน่อนที่ใส่ยาให้เขา ดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ อ่อนโยนจนทำให้เฉินถิงเซียวประทับใจเล็กน้อย
แล้วก็ อยากจะแตะหล่อนหน่อย
หล่อนคือภรรยาของเขา จะทำอะไรก็ทำได้อยู่แล้ว
แต่สำหรับมู่น่อนน่อน เขาคือเฉินเจียฉิน คือลูกพี่ลูกน้องของเฉินถิงเซียว
เขาแต๊ะอั๋งหล่อนครั้งแล้วครั้งเล่า จูบหล่อน ไกลเกินกวินขอบเขตที่หล่อนจะรับได้
มู่น่อนน่อนผลักเขาออกอย่างแรง ถอยหลังรัวๆ ออกห่างเขาให้ไกล พูดด้วยสีหน้าเย็นชา”เฉินเจียฉิน ฉันคือพี่สะใภ้เธอ กรุณาให้เกียรติหน่อย!”
หลังจากผ่านเรื่องที่เอากระสุนออกเมื่อกี้ ทำให้เธอไม่ค่อยเกลียดเฉินเจียฉินแล้ว
แต่ไม่คิดว่าเขายังคงบังอาจขนาดนี้
เฉินถิงเซียวถูริมฝีปากตัวเองเหมือนอยากจะลิ้มลองอีกครั้ง น้ำเสียงน่าฟังมีความปั่นเล็กน้อย”พี่สะใภ้ เธออยู่กับลูกพี่สาวน้องก็แค่เป็นหม้ายไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ลองพิจารณาฉันบ้างเหรอ?”
มู่น่อนน่อนปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา”ไม่พิจารณา”
หน้าตาใสซื่อ บวกกับการแต่งกายเซอร์ๆ เหมือนกับยายแก่ ไม่มีอะไรที่ทำให้คนหวั่นไหวได้เลย
แต่เฉินถิงเซียวกลับรู้สึกว่าท่าทางแบบนี้ของมู่น่อนน่อนมีชีวิตชีวามาก
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตัวเองจะทำเฉยอีกไม่ได้ แบบนี้ได้แต่จะทำให้เฉินเจียฉินยิ่งทำตามอำเภอใจ
“เธอโทรหาคนมารับเธอกลับไปเถอะ ไม่งั้นฉันจะโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล ถึงเวลานั้น คนอื่นก็จะรู้ว่าเธอถูกยิง”
น้ำเสียงของหล่อนอ่อนเล็กน้อย ถึงแม้จะเป็นการพูดขู่ แต่ไม่มีแรงข่มขวัญเลยสักนิด
เฉินถิงเซียวชำเลืองมองหล่อน ทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยิน หลับตาพักผ่อนเลย
มู่น่อนน่อน”…..”
หล่อนกัดปาก มองดูสีหน้าที่ขาวซีดเหมือนกระดาษของเขา จะปลุกเขาให้ตื่นไล่เขาไปก็ทำไม่ลง
ถือโอกาสช่องว่างตอนพักผ่อนของเฉินเจียฉิน มู่น่อนน่อนไปตลาด
ถึงแม้เธอจะมีนามเป็นคุณหนูสามของ ตระกูลมู่ แต่กลับไม่มีดวงของคุณหนูเลย เวลาส่วนใหญ่ป่วยแล้วไม่มีใครสน หิวแล้วไม่มีใครถาม เจ็บแล้วกัดฟันอดทนเอง
เพราะฉะนั้น ทักษะการเอาตัวรอดของหล่อนสูงมาก
ถึงจะเกลียดเฉินเจียฉินแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถฝ่าฝืนความเสี่ยงที่เขาอาจจะตายในที่ของเธอแล้วไม่สนใจเขา
เธอใช้ชีวิตอย่างตั้งใจมากและจริงจังมาก ไม่อยากเผชิญกับชีวิตคน และไม่อยากฝังไว้ข้างเขา
ดังนั้น หล่อนยังคงต้มแกงให้เขาอย่างฝืนใจ
……
ก่อนจะมืดลง มู่น่อนน่อนปลุกเฉินเจียฉิน
“เธอหิวไหม?ฉันต้มแกงไว้ เธอจะกินหน่อยไหม?”หล่อนยืนอยู่ที่ๆห่างเขาสองก้าว กลัวว่าเขาจะทำการกระทำที่บังอาจอีก พูดออกมาคำนึงอย่างกับว่าตัวอักษรมีค่าดั่งทอง”เอา”
เฉินถิงเซียวเงยหน้ามองหล่อน
มู่น่อนน่อนตักแกงมาให้ ตั้งไว้บนโต๊ะหน้าเตียงของเขา แล้วถอยออกไปไกลๆ
แต่ห้องเดี่ยวขนาดเล็กของเธอเล็กเกินไปจริงๆ
นอกจากห้องครัวเล็กกั้นกับห้องน้ำ เตียงกว้าง1เมตรครั้ง โต๊ะเล็กพับหนึ่งอัน โซฟาเล็กสำหรับหนึ่งคน ชั้นวางหนังสือครึ่งใหม่ไม่เก่า……ของธรรมดาไม่กี่อย่างก็ยึดพื้นที่ครึ่งใหญ่ของห้องแล้ว
ไม่ว่าหล่อนไปไกลแค่ไหน ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากขอบเขตสายตาของเฉินถิงเซียวได้
เฉินถิงเซียวมองหล่อน ค่อยๆยืดตัวตรง แล้วดึงผ้าห่มออกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เผยอกที่มีผ้าพันแผลเปื้อนเลือดไว้ เอ่ยปากอย่างไม่สนใจไยดี”บาดแผลเปิดออกแล้ว”
น้ำเสียงไม่แคร์นั้น พูดเหมือนกับว่าบาดแผลบนตัวนี้ไม่ใช่ความตายและชีวิตของเขา แต่กำลังพูดถึงเรื่องของคนอื่นอยู่
มู่น่อนน่อนไม่อยากยุ่งกับเขา แต่ก็ไม่น่าดู
ได้แต่เดินไปช้าๆ มือหนึ่งถือถ้วยแกงขึ้น อีกมือถือช้อนตักแกงยื่นไปข้างปากเขา
ครั้งนี้เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไรอีก หลับตาลง กลืนแกงที่หล่อนป้อนเขาทีละคำ
ในห้องที่เล็กเงียบสงบมาก มีแค่เสียงช้อนแตะกับขอบถ้วยเบาๆ ความไม่ชัดเจนไร้คำพูดก็แพร่กระจายออกมาแบบนี้
ตอนที่8 ผู้หญิงที่ฉลาดและจิตใจดี
“อะไรนะ?”มู่น่อนน่อนได้ยิน เกือบจะตกใจจนขาอ่อน”ฉันทำไม่ได้!”
ถึงแม้เธอจะรังเกียจผู้ชายคนนี้ แต่เธอก็รักชีวิต
ถึงแม้ว่าการกำเนิดของเธอ เป็นแค่การเกิดปัญหาของการคุมกำเนิดผิดพลาดของมู่ลี่เหยียนกับเซียวชู่เหอ กี่ปีมานี้อยู่ตระกูลมู่ถูกมู่หวั่นขีสั่งใช้เหมือนกับคนใช้มาตลอด
แต่เธอก็ยังพยายามดำรงชีวิตอยู่
เธอไม่รู้ว่าทำไมเฉินเจียฉินถึงเอาเรื่องของชีวิตคนมาพูดง่ายๆแบบนี้ แต่เธอจะไม่ตอบตกลง
เฉินถิงเซียวยักคิ้ว”หรือว่าเธออยากฝังไว้ข้างๆฉัน?”
ยังคงเป็นน้ำเสียงที่เย็นชา แต่กลับแสดงออกถึงความไม่สงสัยอย่างแน่วแน่
มู่น่อนน่อนใบหน้าว่างเปล่า ไปเอาของอย่างช่วยไม่ได้
เธอคิดว่า ชีวิตของเธอตั้งแต่แต่งเข้าตระกูลเฉินวินาทีนั้นมา ก็พังทลายจนซ่อมไม่ได้แล้ว พังกว่านี้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร?
เธอคิดอย่างหาความสุขในความทุกข์จนได้ ถ้าเฉินเจียฉินตายตอนเธอเอากระสุนออกให้เขาจริงๆ เธอได้ฝังข้างๆผู้ชายที่หน้าตาดีแบบนี้ ก็ไม่ถือว่าเสียหายมาก
มู่น่อนน่อนพยายามรักษาความสงบนิ่งอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังควบคุมไม่ได้จนมือสั่นเล็กน้อย
เธอใช้มีดกรีดหนังข้างๆบาดแผลของเขาพลาง เฝ้าระวังอาการของเฉินเจียฉินพลาง
เธอสังเกต นอกจากสีหน้าเขาจะขาวซีด และเม็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้ว ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ แม้แต่หัวคิ้วก็แค่ขมวดเล็กน้อย
ถ้าจะบอกที่ที่พิเศษ งั้นก็คือเขาจ้องมองเธอตลอด
ตอนนี้เธอรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอของเขา แต่ว่าดวงตาเขายังคงเหมือนปกติ เผาไหม้เธอ
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะพูด”เธออย่ามองฉัน”
อันที่จริงเฉินถิงเซียวไม่ได้นิ่งเฉยเหมือนภายนอก เจ็บแผล เสียเลือดเยอะ เขาเกือบจะสลบไป
แต่ว่า เวลาเขาเห็นมู่น่อนน่อน ความเจ็บปวดจะลดลงอย่างปาฏิหาริย์
“ไม่ต้องตื่นเต้น ฉันไม่ตายหรอก ฉันเชื่อเธอ”เสียงของเฉินถิงเซียวเบาบางมาก แต่กลับมั่นใจอย่างมาก
มู่น่อนน่อนไม่เคยถูกเชื่อถือและให้ความสำคัญอย่างนี้มาก่อน เธอกัดฟันสู้ เอากระสุนออกมาให้เขาอย่างจดจ่อมากขึ้น
…….
มู่น่อนน่อนรู้สึกผ่านเวลาไปนานเหมือนหนึ่งศตวรรษ
พอเธอเอากระสุนเม็ดนั้นออกมาได้แล้วนั้น ก็เหงื่อไหล่เต็มตัว
เธอล้างมือในกะละมังข้างๆ ถามเฉินถิงเซียวอย่างกังวล”เธอรู้สึกยังไงบ้าง?”
ถ้าพูดว่าก่อนหน้านี้ ความประทับใจของเธอที่มีต่อเฉินเจียฉินคือเสนียดลูกผู้ดี แต่หลังจากที่เอากระสุนออกมา เธออดไม่ได้ที่จะนับถือเขา
ตลอดขึ้นตอน เขาไม่ได้ร้องเจ็บสักคำ และไม่ได้สลบไป ความเด็ดเดี่ยวเกินคนแบบนี้ เธอเคยเห็นแค่ในภาพยนตร์
ในเวลาเดียวกัน เธอก็สึกว่าผู้ชายคนนี้มีความลึกลับที่ไม่สามารถรู้ได้ มีความน่ากลัวเล็กน้อย
“หาปากกา ฉันเรียงชื่อยาให้เธอ” ถ้าแม้สีหน้าเฉินถิงเซียวขาวซีด แต่เวลาพูดก็ยังมีความข่มขู่อยู่มาก
มู่น่อนน่อนจดชื่อยาไว้ ก็ออกไปซื้อยาให้เขา
เธอซื้อยาหลายร้านอย่างระมัดระวังถึงจะซื้อยาจนครบได้
ตอนมู่น่อนน่อนกลับมา เฉินถิงเซียวสังเกตเห็นหล่อนถือถุงพลาสติกที่พิมพ์ร้านยาไม่เหมือนกัน ยกมุมปากขึ้นที่จับได้ยาก
ช่างเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและจิตใจดี
เขามองออก มู่น่อนน่อนเกลียดเขา
หรือจะพูดว่า หล่อนเกลียดเฉินเจียฉิน
หล่อนน่าจะคิดว่าเขาถูกศัตรูตามฆ่า เพราะงั้นเธอช่วยเขาซื้อยารักษาแผลกลัวถูกคนสงสัย เลยหาซื้อหลายๆร้าย
มู่น่อนน่อนเอายาออกมา นั่งยองๆตรงหน้าเขา”ฉันใส่ยาให้เธอ ถ้าเจ็บ เธอก็บอกให้ฉันเบาหน่อย”
จนเธอใส่ยาเสร็จ เฉินถิงเซียวก็ไม่ร้องสักแอะ
ในตอนที่หล่อนจะลุกขึ้น จู่ๆผู้ชายยื่นมือดึงหล่อนไว้ จูบทับริมฝีปากหล่อน
“ฉันเคยบอกแล้ว ห้ามใส่แว่น”
ตอนที่7 เธอช่วยฉันเอาออก
เฉินถิงเซียวก็ไม่คิดว่าจะเจอมู่น่อนน่อนที่นี่ได้
คนที่เขาตามหามาถึงที่นี่ แต่ไม่คิดว่ากลับถูกจู่โจมกลับ
บ้านช่องที่นี่แออัด พื้นที่ซับซ้อน เขาแยกทิศทางไม่ออกเลย เดิมทีคิดว่าจะจับคนพาเขาออกจากที่นี่ แต่กลับไม่คิดว่าจะเจอมู่น่อนน่อนได้
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนเวลาเห็นใบหน้าซื่อๆของมู่น่อนน่อน ภายในใจของเขาเกิดความไว้วางใจแปลกๆออกมา
เขาเก็บปืนไว้ ดวงตาที่เศร้าโศกจ้องหล่อนตรงๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำและเยือกเย็น”เธอทำอะไรที่นี่?”
“ฉันอาศัยอยู่ที่นี่”มู่น่อนน่อนตกใจปืนในมือของเขา พูดความจริงอย่างเชื่อฟัง
ในตาเฉินถิงเซียวมีความประหลาดใจ คุณหนูสามของตระกูลมู่ อาศัยอยู่ในที่แบบนี้?
แต่เขากลับสภาพเดิมอย่างไว พูดออกคำสั่ง”พาฉันไปที่เธออยู่ซะ”
“ไม่ได้”ให้เธอพาผู้ชายคนนี้ไปที่เธออยู่ เอาปืนมายิงเธอยังถึงใจกว่าอีก
“เหอะ”เฉินถิงเซียวคิดไว้อยู่แล้วว่าหล่อนจะมีการตอบสนองแบบนี้ ยิ้มเยาะเย้ย น้ำเสียงทุ้มต่ำเหมือนปีศาจ”อยากให้ฉันบอกกับลูกพี่ลูกน้องว่าเธออ่อยฉัน?”
ข่มขู่เธออีกแล้ว!
มู่น่อนน่อนกำมือทั้งสองแน่น โกรธจนหน้าแดง ไม่มีทางทำอะไรผู้ชายหน้าด้านคนนี้ได้เลย
สุดท้าย เธอหันหลังเดินไปทางที่มา”เธอตามฉันมา”
เวลาการพูดคุยของทั้งสองคน ก็แค่ครึ่งนาที
พอพวกเขาไป ผู้ชายเสื้อดำสองคนก็ตามขึ้นมา
เฉินถิงเซียวได้ยินเสียงฝีเท้าเดิน พามู่น่อนน่อนแวบเข้าซอยหนึ่งอย่างตื่นตัว หาห้องอะไรก็ได้เข้าไป
รอสองคนนั้นออกไป เขาถึงพามู่น่อนน่อนออกมา
ในใจมู่น่อนน่อนตื่นเต้นจะตายไป เธอไม่รู้เฉินเจียฉินกวนใครมา แต่เธอก็รู้ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะถามมาก
……
ทั้งสองรีบกลับห้องเดี่ยวขนาดเล็กของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนยืนอยู่หน้าประตูกวาดมองรอบๆเหมือนโจร ถึงจะถอยกลับเข้าห้อง
“เธอยังไง……”
เธอปิดประตู หันหลังกลับจะถามเฉินเจียฉินกวนใครมา ประโยคหลังยังไม่ทันพูด ก็เห็นรูปร่างสูงใหญ่ของเขาล้มลงไป
“เธอเป็นอะไร?”สีหน้ามู่น่อนน่อนเปลี่ยนไป รีบเข้าไปพยุงเขา
แต่เฉินถิงเซียวรูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแน่นทั้งตัว เธอแขนขาเล็ก ไม่เพียงแต่พยุงเขาไม่ขึ้นเท่านั้น มือยังเปื้อนเลือด
เธอถึงจะสังเกตเห็นสีหน้าของเฉินเจียฉินขาวซีดเหมือนกระดาษ เนื่องจากเขาใส่เสื้อผ้าสีดำทั้งตัว ดังนั้นเปื้อนเลือดก็มองไม่ออก
เฉินถิงเซียวมองสีหน้าที่ร้อนรนของหล่อน จู่ๆยื่นมือดึงมือหล่อนไว้ ริมฝีปากบางค่อยๆเปิดออก”กลัวอะไร? วางใจเถอะ ฉันตายแล้วอย่างมากพวกเขาก็ให้เธอฝังไว้ข้างๆฉัน”
น้ำเสียงของเขาเนือยๆ ยากที่จะแยกออกว่าล้อเล่นหรือจริงจัง
มู่น่อนน่อนก็ไม่มีกะจิตกะใจฟังเขาพูดแบบนี้ เธอนึกได้เสียงปืนก่อนหน้านี้ พูดหน้าขรึม”เธอปล่อยมือ ฉันไปเอาโทรศัพท์โทรหารถพยาบาลให้เธอ”
สีหน้าของเขาขรึมลง น้ำเสียงเย็นชา”ห้ามเรียกรถพยาบาล”
มู่น่อนน่อนรู้สึกถึงแรงที่เขาเพิ่มขึ้น มือตัวเองถูกดึงจนเจ็บปวดอย่างยิ่ง สีหน้าที่เยือกเย็นของเขามีความบีบรัดอย่างสูง เธอไม่กล้าตอบโต้
เธอพูดเชิงลอง”งั้น……ฉันพันแผลให้เธอ?”
เฉินถิงเซียวเมินคำพูดของหล่อนโดยตรงสั่งเสียงทุ้มต่ำ”ใบมีด ไฟแช็ก เทียน ผ้าพันแผล ผ้าเช็ดหน้า”
มู่น่อนน่อนเข้าใจขึ้นมา นี่เขาจะเอากระสุนออกเอง
เธอตกใจส่ายหน้าอย่างเดียว”ไม่ได้ เธอจะเอากระสุนออกเองไม่ได้ เสียชีวิตได้นะ”
“ใครบอกฉันจะเอาออกเอง”เฉินถิงเซียวมองหล่อน ตาที่ดำเข้มเหมือนความชั่วร้ายสีดำ มองแล้ว ดูดคนเข้าไปได้
ในตอนที่มู่น่อนน่อนเกือบจะถูกตาของเขาดูดเขาไปแล้ว เธอได้ยินเสียงพูดสะอึกสะอื้นของเขา”เธอช่วยฉันเอาออก”
ตอนที่6 พาฉันออกไปให้ไว
มู่น่อนน่อนมองเซียวชู่เหอตรงๆ สายตาเย็นชา”ขอโทษ? เป็นไปไม่ได้”
ในความรู้สึกของเซียวชู่เหอ ลูกสาวคนเล็กนี้ตอนสมัยเด็กสวยฉลาดจริงๆ แต่ยิ่งโตยิ่งขี้เหร่ยิ่งโง่ นี้ยังคงเป็นครั้งแรกที่เห็นมู่น่อนน่อนแสดงสายตาที่แหลมคมแบบนี้ ไม่คิดว่าเธอจะถูกสายตานี้ทำให้เย็นไปทั้งตัว
เธอกลืนน้ำลาย หันหน้าพูดเสียงเบากับมู่หวั่นขี”หวั่นขี วันนี้พวกเราพอก่อน ถ้าเกิดบีบบังคับหล่อนจน……”
ถึงแม้มู่หวั่นขีจะไม่ยอม แต่ก็ได้แต่ชั่งเถอะ
ถ้าเกิดมู่น่อนน่อนประสาทเสียขึ้นมาจริงๆทำเรื่องนอกกรอบ ตระกูลเฉินโกรธแล้วเอาตระกูลมู่เข้ามาเกี่ยว เธอยังจะใช้ชีวิตคุณหนูผู้สูงส่งได้อย่างไรกัน?
มู่น่อนน่อนเห็วพวกเขาช็อคกับคำพูดตนเอง จึงหันหลังไปเก็บของตัวเองที่ห้องชั้นบน
เธอใช้ชีวิตที่ตระกูลมู่มา20ปี ของน้อยเหมือนกับคนมาอาศัยบ้านคนอื่น
ตอนถือกระเป๋าสัมภาระลงมาชั้นล่าง ในห้องโถงไม่มีสักคน
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดอยู่กับที่สักครู่ แล้วอ้อมไปประตูหลังออกจากบ้านพักตากอากาศของตระกูลมู่
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าลูกพี่ลูกน้องของเฉินถิงเซียวทำไมถึงสนใจเธอ แต่เธอรู้ ออกห่างจากเขาหน่อยดีที่สุด
……
เฉินถิงเซียวรออยู่หน้าบ้านพักตากอากาศตระกูลมู่นานแล้ว ก็ไม่เห็นมู่น่อนน่อนออกมา สีหน้าดูไม่ดีขึ้นมา
นึกถึงข้อมูลที่ได้จากเอกสารที่เห็นเมื่อวาน เขาขมวดคิ้วสวย ผู้หญิงขี้เหร่คนนั้นไม่ใช่ว่าถูกคนของตระกูลมู่รังแกนะ?
ความคิดนี้โผล่ออกมา เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมาจับแก้มตัวเองที่ถูกหล่อนตบ หึเบาๆ หล่อนไม่เหมือนคนที่จะถูกรังแกง่ายๆนะ
“คุณ เธอจะเข้ามานั่งหน่อยไหม?”
เสียงอ่อนช้อยของผู้หญิงส่งมา เฉินถิงเซียวหันหน้าไปทางนอกหน้าต่าง ก็เห็นผู้หญิงที่หน้าตางดงามยืมสง่าอยู่ข้างรถ
ตอนมู่หวั่นขีเห็นหน้าตรงของเขา อดไม่ได้ที่จะตะลึง
ก่อนหน้านี้เธออยู่ชั้นบนเห็นมู่น่อนน่อนกับผู้ชายคนหนึ่งจู๋จี๋กัน แต่ไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาดีขนาดนี้มีออร่าขนาดนี้
ผู้ชายที่โดดเด่นแบบนี้จะชอบมู่น่อนน่อนที่เชยๆทั้งโง่ทั้งขี้เหร่นั้นได้ไง?
ดูแล้ว ความคิดที่เธอตัดสินใจออกมาลองดูสักหน่อยก็ไม่เลว
ความคิดแค่นั้นของหล่อน หลอกตาเฉินถิงเซียวไม่ได้อยู่แล้ว
เขายิ้มเยาะ”เธอคือใคร?”
“ฉันคือพี่สาวของน่อนน่อน ฉันชื่อมู่หวั่นขี”เธอไม่แคร์การเมินเฉยของเฉินถิงเซียวสักนิด
มู่หวั่นขี?
เฉินถิงเซียวนึกขึ้นได้ ตระกูลมู่มีลูกสาวสองคน นอกจากมู่น่อนน่อน อีกคนก็คือคู่หมั้นที่ราคาถูกของเขา
ใช้สายตาของคนธรรมดาดู งดงามดั่งบุปผาจริงๆ แต่ในสายตาของเขา คิดไม่ถึงว่าจะรู้สึกหน้าตาที่น่าเกลียดของมู่น่อนน่อนจะสบายตามากกว่า
เขาไม่มีความอดทนที่จะคุยกับหล่อนต่อ แต่กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์”มู่น่อนน่อนล่ะ?”
“หล่อน……หล่อนน่าจะยังเก็บห้องอยู่ในห้อง หล่อนให้ฉันลงมาเรียกเธอเข้าไปนั่ง”มู่หวั่นขีไม่อยากปล่อยโอกาสนี้ไป สานสัมพันธ์เป็นมิตรกับคนของ ฐานะที่บ้านก็ไม่เลว อีกอย่างหน้าตายังหล่อขนาดนี้
เฉินถิงเซียวที่มองทะลุความคิดของหล่อนแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะเย้ย มู่น่อนน่อนจะเรียกเขาเข้าไปนั่งได้?
เวลานี้คงจะแอบหนีไปแล้ว!
สายตามากกว่านี้ของเขายังไม่อยากมีให้มู่หวั่นขี ลดหน้าต่างลง ขับรถออกไปโดยตรงเลย
มู่หวั่นขีไม่เคยถูกผู้ชายเมินแบบนี้มาก่อน วินาทีนั้นโกรธจนหน้าเขียว
……
มู่น่อนน่อนกลับห้องเดี่ยวขนาดเล็กที่ตัวเองเช่าไว้โดยตรง
หลังจากขึ้นมหาวิทยาลัย เธอก็อาศัยอยู่ในมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นจบมาฝึกงาน เธอก็เช่าห้องอยู่ข้างนอก
ถ้าไม่ใช่ช่วงนี้เซียวชู่เหอบังคับให้เธอแต่งเข้าตระกูลเฉิน ขังเธอไว้ในบ้านตลอด เธอไม่อยากเข้าตระกูลมู่เลยสักนิด
ยังไงเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านพักตากอากาศ ก็ไม่ได้อยากเจอเธอ เธอกลับไม่กลับไปก็ไม่เห็นจะเป็นไร?
หลังจากจัดของเสร็จ ก็ตอนเย็นแล้ว เธอจะออกไปซื้อของ
ที่ที่เธออยู่คือชุมชนแออัดที่ขึ้นชื่อของเมืองเซี่ยงไฮ้ เดินทางไม่สะดวก คนปะปนกันมั่ว
เพิ่งเลี้ยวเข้าซอยหนึ่ง เธอก็ได้ยินเสียง”ปัง”ดังมาก
เหมือนจะเป็น……เสียงปืน
เธอเงยหน้า ก็เห็นรถตู้สีขาวที่เหมือนหมาที่เป็นบ้าเข้ามา ควบคุมไม่ได้พุ่งมาทางเธอ
เธอหลบไปข้างๆอย่างหวุดหวิด นาทีที่รถคันนั้นเฉียดตัวเธอไปนั้น จู่ๆประตูรถเปิดออก ผู้ชายที่รูปร่างใหญ่กระโดดออกมา
เขากุมหัวกลิ้งมาที่ขามู่น่อนน่อนพอดี
เธอกำลังจะถอยหลัง จู่ๆผู้ชายคนนั้นลุกพรวดพราดขึ้นมา เอาสิ่งของที่เย็นดันขมับเธอไว้ น้ำเสียงน่าฟังของผู้ชายมีความคุ้นเคย”พาฉันออกไป ให้ไว”
ตอนมู่น่อนน่อนเงยหน้าเห็นหน้าผู้ชายอย่างชัดเจน จิตใต้สำนึกเรียกอย่างตกใจ”เฉินเจียฉิน!”
ตอนที่5 เหมือนกับคนใช้
เซียวชู่เหอได้ยินคำว่า”พี่สะใภ้” สีหน้าบูดบึ้งอย่างแรง เหล่มองมู่น่อนน่อนอย่างเย็นชา
มู่น่อนน่อนกัดปาก นี่เฉินเจียฉินคิดจะฆ่าเธอรึไง?
เซียวชู่เหอลากมู่น่อนน่อนเข้าห้องโถงในบ้านพักตากอากาศ ถึงสะบัดมือเธอออก
เธอมองมู่น่อนน่อนอย่างหน้าเขียว”ผู้ชายเมื่อกี้เรียกเธอพี่สะใภ้?คือลูกพี่ลูกน้องของเฉินถิงเซียว?”
มู่น่อนน่อนพยักหัว”อืม”
“เพี้ยะ!”
เซียวชู่เหอก็ตบหน้าลงมา แรงหนักมาก ตีจนในหูของมู่น่อนน่อนเสียงดังหึ่งๆ
“เธอหน้าไม่อาย แต่งงานวันแรกก็อยู่กับลูกพี่ลูกน้องของสามี เธออยากจะฆ่าใคร”เธออยากตายก็อย่าเอาตระกูลมู่เข้าไปเกี่ยว!”
มู่น่อนน่อนหน้าเศร้าโศก ยื่นมือจับแก้มที่เจ็บจนชาของตัวเอง เงยหน้ามองเซียวชู่เหออย่างเย็นชา”ทำไมเธอไม่ถามฉันสมัครใจรึเปล่า?”
เป็นแบบนี้ทุกครั้ง พอมีเรื่องก็ด่าเธอสั่งสอนเธอก่อน ไม่เคยถามสาเหตุก่อนเลย
“คนหนึ่งคือคนพิการที่เสียโฉมและไม่สามารถมีเซ็กส์ได้ อีกคนคือผู้ชายที่แข็งแรงปกติ คนปกติก็รู้ว่าจะเลือกใคร เมื่อคืนเธอ ไม่ใช่ว่าอยู่กับลูกพี่ลูกน้องเหรอ?”
“เสียงอ่อนช้อยของผู้หญิงส่งมาจากบันได อ่อนช้อย แต่มีความชั่วร้ายเต็มอก
เซียวชู่เหอเห็นมู่หวั่นขีลงมา รีบเข้าไป ถามอย่างเป็นห่วง”หวั่นขี เธอดีขึ้นรึเปล่า?”
“แม่ ฉันดีขึ้นมากแล้ว”มู่หวั่นขียิ้มให้ชู่เหออย่างอ่อนโยน แล้วเดินมาข้างตัวมู่น่อนน่อน”น่อนน่อน ถึงแม้ฉันจะเข้าใจความรู้สึกของเธอ แต่เธอก็ต้องคิดถึงตระกูลมู่บ้างต้องสำรวมหน่อย”
เมื่อกี้อยู่ชั้นบน เธออยู่ข้างหน้าต่างก็เห็นมู่น่อนน่อนจู๋จี๋กับผู้ชายคนหนึ่งในรถ แต่เธอไม่คิดว่ามู่น่อนน่อนที่ปกติดูเหมือนทั้งโง่ทั้งขี้เหร่จะมีความสามารถอ่อยผู้ชายด้วย
เธอพูดจบ ก็หันหน้าพูดอ้อนๆกับเซียวชู่เหอ”แม่ ฉันพูดถูกไหม?”
เซียวชู่เหอยิ้มออกมา”ที่หวั่นขีพูดถูกแน่นอน”
มู่น่อนน่อนกำมือแน่น เม้นปาก ไม่พูดอะไรออกมา
ถ้าคนที่ไม่รู้ คงคิดว่ามู่หวั่นขีกับเซียวชู่เหอเป็นแม่ลูกแท้ๆ
แต่หลายปีมานี้ เซียวชู่เหอคิดจะอยู่ในตระกูลมู่อย่างมั่นคง เพื่อเอาใจคนในบ้านไม่ว่าจะด้วยวิธีสกปรกเพียงใด ลูกสาวแท้ๆอย่างเธอกลับเหมือนถูกเก็บมา
เซียวชู่เหอเก็บรอยยิ้ม ทำหน้าจริงจังมองมู่น่อนน่อน”น่อนน่อน ในเมื่อเธอแต่งเข้าตระกูลเฉินแล้ว ก็ต้องรู้หน้าที่ตัวเอง อย่าทำให้ตระกูลมู่พวกเราขายหน้า”
มู่น่อนน่อนมองลงไป ปกปิดความเยาะเย้ยใต้ตา บนหน้าแสดงท่าทางที่ถูกระบาย พูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง”นี่พวกเธอได้เตือนฉัน ถ้าวันไหนฉันอารมณ์ไม่ดี ทำเรื่องนอกกรอบอะไร ไม่รู้ว่าตระกูลเฉินจะโกรธจนจัดการตระกูลมู่ทั้งหมดด้วยไหม”
มู่หวั่นขีไม่คิดว่ามู่น่อนน่อนที่ยอมถูกกระทำโง่ๆมาโดยตลอด จะพูดแบบนี้ออกมาได้ เธอขมวดคิ้วพูด”เธอหมายความว่าอย่างไร?”
“ก็คือความหมายอย่างที่พี่สาวได้ยินนั่นแหละ” มู่น่อนน่อนเงยหน้า เก็บสีหน้า ดวงตาซื่อๆที่ไม่มีแววไม่ต่างจากปกติ
คิดว่าเธอจะเหมือนเมื่อก่อนที่ถูกพวกเขาสั่งไปสั่งมาเหมือนคนใช้เหรอ?
เมื่อคืนเพราะว่าเธอยังมีความหวังกับแม่คนนี้ หลังจากที่หล่อนบังคับตนเองให้แต่งเข้าตระกูลเฉินแทนพี่สาว สุดท้ายความหวังนี้ก็ไม่มีแล้ว
“เธอ!”
มู่หวั่นขีใช้อารมณ์สั่งมู่น่อนน่อนชินแล้ว นี้ยังเป็นครั้งแรกที่ต่อต้าน
เธอโกรธจนจ้องมู่น่อนน่อนเขม็ง หันหน้ามองเซียวชู่เหอ”แม่ ฉันใจดีเตือนน่อนน่อน ทำไมหล่อนทำแบบนี้!”
เซียวชู่เหอฟังคำขู่ของมู่น่อนน่อนออกอยู่แล้ว แต่พอคิดว่าเมื่อก่อนไม่ว่าเรื่องอะไรมู่น่อนน่อนก็จะยอมเธอ ก็เลยวางท่าของแม่ให้เต็มที่ พูดอย่างเข้มงวด”น่อนน่อน ขอโทษพี่สาวซะ!”
ตอนที่4 เห็นหนึ่งครั้งจูบหนึ่งครั้ง
รถยนต์สีดำจอดอยู่หน้าบ้านพักตากอากาศของตระกูลมู่
มู่น่อนน่อนกำลังจะปลดเข็มขัดนิรภัย เฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างๆโน้มตัวเข้ามา นิ้วเรียวยาวกดเบาๆที่ล็อกเข็มขัดนิรภัย เสียง”ผัวะ”ดังขึ้น เข็มขัดนิรภัยปลดออกแล้ว
ใบหน้าที่หล่อของเขาใกล้ชิดมาก ถึงแม้ว่าหัวใจของมู่น่อนน่อนเหมือนน้ำที่หยุดไหล เห็นแล้วก็หน้าแดงใจสั่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน เดิมทีตาที่ลอยอยู่เกิดความสับสนเล็กน้อย
ผู้ชายคนนี้ใช้แค่ใบหน้า ก็พอที่จะทำให้ผู้หญิงทุกคนหวั่นไหวได้
แต่คิดถึงพฤติกรรมของเขาเมื่อวานนี้ สีหน้าของมู่น่อนน่อนก็กลับมาปกติ
ก็แค่ลูกผู้ดีมีเงินร่ำรวยที่คิดสนุกเกินเลยกับพี่สะใภ้เท่านั้นเอง หน้าตาดีทำไรได้
เธอเงยหน้าขึ้น ดันแว่นเล็กน้อย สีหน้ามึนๆ ดวงตาที่ไม่มีแววนั้นมีความโง่เขลา”ฉันจะลงรถแล้ว”
เฉินถิงเซียวหรี่ตาเล็กน้อย ออร่าถูกปล่อยออกมาทันที คนทั้งคนเต็มไปด้วยกลิ่นไอความอันตราย
มู่น่อนน่อนรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของเขาอย่างเฉียบแหลม เปิดประตูจะลงรถ แขนข้างหนึ่งล็อกมือที่หล่อนจะเปิดประตูก่อน
รูปร่างของเขากว้าง แขนยาวยืดอยู่ตรงหน้าเธอ ถ้าดูจากด้านนอก เขาเหมือนกอดหล่อนไว้ในอ้อมแขน
เขามองทะลุผ่านแว่นเธอ มองตาที่สดใสของหล่อนตรงๆ พูดอย่างมีความหมายลึกซึ้ง”ฉันใจดีส่งพี่สะใภ้กลับมา พี่สะใภ้ไม่ขอบคุณฉันเหรอ?”
เธอก้มหัวลง มีสภาพจิตใจที่หวาดกลัว กระซิบพูดเบาๆว่า”ขอบคุณ”
พวกตระกูลมู่เห็นสภาพแบบนี้ของเธอแล้วเบื่อที่จะสนใจเธอ ขอให้เฉินเจียฉินก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
เฉินถิงเซียวมองริมฝีปากอมชมพูที่เม้มเล็กน้อยของเธอ สีหน้าค่อยๆหมองลง”ขอบคุณได้ไม่จริงใจขนาดนี้ ฉันคงต้องเอาคำขอบคุณเอง”
ทั้งทั้งที่เป็นแค่ใบหน้าที่มีผิวหมองคล้ำ กลับมีริมฝีปากที่อมชมพูขนาดนี้ ทำให้เขามีความอยากได้ขึ้นมา
ในเมื่อเป็นภรรยาที่ถูกต้องของเขา ทำไมเขาต้องอดกลั้นด้วย?
คิดขึ้นมา เขาโน้มตัวลงจูบบนฝีปาก
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ว่ามีวัตถุนุ่มเย็นปกคลุมริมฝีปากของเธอ
เธอตะลึงมองใบหน้าที่ขยายใหญ่อยู่ตรงหน้า ยื่นมือคิดจะผลักเขาออก กลับเห็นมือทั้งสองของตัวเองถูกเขาล็อกไว้แน่น
เฉินถิงเซียวพอใจมากกับการตอบสนองของหล่อน เขาว่างมือหนึ่งออกมา เอาแว่นของหล่อนออก เผยตาที่สดใสคู่นั้นออกมา
ดูแบบนี้แล้ว สบายตาขึ้นเยอะ
มู่น่อนน่อนโกรธจนหน้าแดง ผู้ชายคนนี้บังอาจมาก ไม่คิดว่าจะกล้าเกินเลยเธอหน้าประตูตระกูลมู่!
จูบจบ เขาออกจากริมฝีปากหล่อนอย่างลืมไม่ได้ พูดสั่ง”คราวหลังห้ามใส่แว่น ไม่งั้น ฉันเจอหนึ่งครั้ง จูบหนึ่งครั้ง”
ทั้งอุ่นทั้งหวาน มีโอกาสอยากจะลองอีก
ประโยคหลัง เขาตั้งใจลดเสียงลงแต่กลับเพิ่มความหนักหน่วง เขากวาดตามองบนตัวหล่อนโดยอำเภอใจ
ดูเหมือนสัตว์ป่าที่ดุร้ายบางอย่างกวาดตามองที่ของตัวเอง มีความเป็นเจ้าของมาก
มู่น่อนน่อนจะด่าเขาหน้าด้าน เสียงผู้หญิงพูดทำลายความเงียบในรถ
“น่อนน่อน?”
มู่น่อนน่อนได้ยิน ทันใดนั้นหันหน้ามองไปทางนอกหน้าต่างรถที่เปิดครึ่งหนึ่ง
เซียวชู่เหอเบิกตากว้างอย่างตกใจ ครึ่งหนึ่งคือตกใจ อีกครึ่งหนึ่งคือไม่พอใจ”เธออยู่ที่นี่ได้ไง?”
มู่น่อนน่อนกำมือแน่น ในตามีความสับสนเล็กน้อย
วันแต่งงานวันแรก ก็ถูกแม่เห็นฉากแบบนี้ที่หน้าบ้านตัวเอง…….
ยังไงเซียวชู่เหอก็คำนึงถึงศักดิ์ศรี มองรอบๆ เห็นว่าไม่มีคน ก็ตึงหน้าพูดเสียงเย็นชา”ลงมา”
มู่น่อนน่อนเปิดประตูรถตรงลงไปเลย
เธอลงไปปุ๊บ เซียวชู่เหอลากเธอจะเข้าบ้านพักตากอากาศ
แต่คาดไม่ถึง เฉินถิงเซียวที่อยู่ในรถยื่นหัวออกมานอกหน้าต่าง ในนิ้วมือถูริมฝีปากอย่างชั่วร้าย พูดอย่างไม่ใส่ใจ”พี่สะใภ้ ฉันรอเธอนะ”
ตอนที่3 สัมผัสมือใช้ได้
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
มู่น่อนน่อนที่พิงอยู่บนหัวนอนสะดุ้งตื่น
ถึงสังเกตเห็นว่าฟ้าสว่างแล้ว
เมื่อคืนเฉินถิงเซียวไม่ได้กลับมา
ในใจเธอผ่อนคลายลงหน่อย แต่ก็หน่วงเล็กน้อย
ความรู้สึกนี้ก็เหมือนกับมีมีดแขวนไว้เหนือหัว ไม่ตัดลงมาสักที ทำให้เธออกสั่นขวัญหายอยู่เสมอ
……
มู่น่อนน่อนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จลงชั้นล่าง ก็มีบอดี้การ์ดพอเธอไปห้องอาหาร
ห้องอาหารกับห้องครัวห่างกันไม่ไกล พอเธอเข้าไป ก็เห็นคนรูปร่างใหญ่โตคนหนึ่งถืออาหารเช้าเดินออกมาจากห้องครัวพอดี
หลังจากเห็นชัดว่าผู้ชายคนนั้นคือเฉินเจียฉิน เธออยากจะหันหลังเดินออกไปเลย แต่นึกไม่ถึงว่าผู้ชายจะเรียกออกมาว่า”พี่สะใภ้ อรุณสวัสดิ์”
เสียงของเขาน่าฟัง แต่กลับมีความเจ้าชู้มาก
บอดี้การ์ดข้างๆกระตุกไหล่ นี้คุณชายเล่นคอสเพลย์กับคุณผู้หญิงอยู่เหรอ?
มู่น่อนน่อนเห็นเขาแล้วรู้สึกเอือมระอามาก ไม่รู้ว่าลูกพี่ลูกน้องคนน้อง ไม่รู้ว่าทำอะไรที่บ้านลูกพี่ลูกน้องคนพี่ทุกวัน
“สวัสดีตอนเช้า”เธอดันแว่นลง พูดเสียงแข็งจบ ก็หันหัวมองบอดี้การ์ดข้างหลัง”คุณชายพวกเธอไม่อยู่ที่นี่เหรอ?”
บอดี้การ์ดมองเฉินถิงเซียวที่ไม่มีอารมณ์ใดๆอย่างระมัดระวัง ฝืนใจลืมตาพูดโกหก”ช่วงนี้คุณชายไม่ค่อยสบาย คนอยู่ที่โรงพยาบาล”
มู่น่อนน่อนดูเผินๆเหมือนโง่ แค่เพราะว่าถูกยับยั้งไม่ให้แย่งซีนพี่ชายพี่สาวมาตั้งแต่เด็ก เลยต้องซ่อนศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้
คำโกหกที่ไม่ได้เรื่องมากของบอดี้การ์ด หลอกเธอไม่ได้อยู่แล้ว
แต่เธอก็ยังพยักหน้าแสดงความเข้าใจ”อ๋อ งั้นฉันไปเยี่ยมเขาได้ไหม?”
“ช่วงนี้ไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่”บอดี้การ์ดพูดโกหกด้วยความหวังดีต่อไป
ดูเหมือนเฉินถิงเซียวไม่ชอบเธอมาก ขนาดเจอยังไม่อยากเจอเธอเลย
เฉินถิงเซียวเอาอาหารเช้าตั้งไว้บนโต๊ะ น้ำเสียงเรียบ”กินอาหารเช้าเถอะ”
ตอนมู่น่อนน่อนลงมา ก็สังเกตเห็นว่าในบ้านพักตากอากาศนี้ไม่มีคนใช้ ดังนั้นอาหารเช้านี้เขาเป็นคนทำ?
“ทำไม กลัวฉันใส่ยา?” เฉินถิงเซียวโน้มตัวเข้าใกล้เธอ ในตามีความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เห็นแล้วรู้สึกกลัว มู่น่อนน่อนถอยหลังครึ่งก้าวโดยไม่ได้ตั้งใจ”ขอบคุณอาหารเช้าของเธอ แต่ว่าฉันไม่หิว”
เธอพูดจบ ก็หันหลังเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เธอเห็นบอดี้การ์ดที่ไปรับเธอมาเมื่อวานในห้องโถง”รบกวนเธอส่งฉันกลับไปได้ไหม?ฉันจะกลับตระกูลมู่เอาของสักนิด”
ตอนมาเมื่อวาน เธอไม่ได้พกอะไรมาเลย ต้องกลับไปเอาเสื้อผ้าของต่างๆสักนิด ตอนมาเธอสังเกตเห็นว่า บ้านพักตากอากาศนี้อยู่ครึ่งหนึ่งของภูเขา จะลงไปต้องผ่านถนนวงแหวน ไกลมาก
บอดี้การ์ดไม่ได้ตอบเธอทันที แต่มองไปทางด้านหลังของเธอ
เธอหันหลังกลับ ก็เห็นเฉินเจียฉินไม่รู้ว่าตามออกมาตอนไหน
เขาเอามือทั้งสองข้างสอดไว้ในกระเป๋าเสื้อสูท เดินมาช้าๆไม่รีบ”พี่สะใภ้จะกลับบ้านเอาของ?ให้ฉันไปส่งก็ได้ รบกวนคนอื่นทำไม?”
พูดจบ แขนของเขาก็โอบไหล่เธอ
มู่น่อนน่อนสะบัดมือของเขาออกอย่างรังเกียจ”ไม่ต้อง”
เธอไม่เข้าใจ ผู้ชายคนนี้เมื่อวานยังพูดว่าเธอน่าเกลียด ทำไมวันนี้ถึงตามติดเธอแบบนี้ได้
“คุณหญิง ให้คุณ………ชายลูกพี่ลูกน้องไปส่งเถอะ”บอดี้การ์ดข้างๆพูดออกมาทันเวลา
……
สุดท้าย ก็ให้เฉินเจียฉินส่งมู่น่อนน่อนกลับตระกูลมู่
เพราะว่า เขาพูดข้างหูเธอว่า”ร่างกายของพี่สะใภ้สัมผัสมือใช้ได้ทีเดียว……”
เธอกลัวเขาจะทำเรื่องล้ำเส้นอีก เลยต้องขึ้นรถไปกับใคร
ภายในรถที่เงียบ มู่น่อนน่อนดึงเข็มขัดนิรภัยไว้แน่น มองข้างหน้าไม่ว่อกแว่ก
ไม่มีสายตาพอที่จะมองเฉินเจียฉินเลย
เฉินถิงเซียวเห็นเธอแบบนี้ ในตาดำมีความน่าสนใจแวบผ่าน
เจ้าสาวคนนี้น่าขี้เหร่ไปหน่อย แต่เป็นคนซื่อตรงดี
จริงๆเมื่อวานเขาแค่จะหยอกหล่อน แต่การตอบสนองของหล่อนน่าสนุกมาก ทำให้เขาอยากเล่นเกมนี้ต่อ
ตอนที่2 ทำให้เธอพอใจ
เขาจงใจเน้นคำว่า”คนพิการ” เสียงทุ้ม เพิ่มความหมายที่ยั่วยุเล็กน้อย
ผู้ชายจงใจใกล้ชิดเธอ ออร่าความหนาวเย็นยิ่งอยู่ยิ่งเข้ม
มู่น่อนน่อนขยับออกข้างอย่างไม่ชิน หลังจากการสงสัยระยะสั้นๆ เธอเชื่อคำพูดของเขา
เพราะยังไง บ้านพักตากอากาศของเฉินถิงเซียว คนธรรมดาเข้ามาไม่ได้
“เขาคือลูกพี่ลูกน้องเธอ กรุณาอย่าพูดอย่างนั้นกับเขา”ขนาดลูกพี่ลูกน้องตัวเองยังพูดแบบนี้ คิดว่าปกติเฉินถิงเซียวไม่ค่อยสบายดี
ภายในใจลึกๆของมู่น่อนน่อนเกิดความสงสารอย่างหนึ่ง
ถึงแม้ตระกูลเฉินจะเป็นไฮโซระดับสูง ทำให้รู้สถานการณ์ของเฉินถิงเซียว สองสามปีมานี้เขาคงอยู่อย่างลำบากมาก
ดวงตาดำของเฉินถิงเซียวมีความตกใจ เขาไม่คาดว่าผู้หญิงที่ขี้เหร่จะพูดแบบนี้ได้
เขาอดไม่ได้ที่จะสำรวจเธอใหม่
ผมที่ยุ่งเหยิง แว่นกรอบดำและเสื้อไหมพรมแขนยาวที่เชย หน้าม้าบนหน้าผากหนาจนจะปิดตาได้แล้ว บนใบหน้าที่หมองคล้ำมีจุดด่างเล็กๆสองสามเม็ด มองอีกกี่ครั้งก็รู้สึกเอียน
ไม่ต้องสงสัยเลย ผู้หญิงที่ขี้เหร่คนนี้ไม่ใช่ว่าที่เจ้าสาวที่งดงามดั่งบุปผาในข่าวลือนั้น
แต่คนของตระกูลเฉินไม่แคร์ว่าผู้หญิงที่จะแต่งกับเขาขี้เหร่หรือสวย ขอแค่เป็นผู้หญิงที่มีลูกสืบสกุลได้ก็พอแล้ว ถึงจะเปลี่ยนคน พวกเขาก็ไม่สนใจ
ในตาของเฉินถิงเซียวมีความคิดแวบผ่าน เขายื่นมือผลักมู่น่อนน่อนลงบนเตียง ในน้ำเสียงมีความดูถูกและเจตนาร้ายอย่างไม่ปกปิด “ในนี้ไม่มีคนอื่น เธอไม่ต้องทำเป็นเสแสร้ง เธอหน้าตาแบบนี้คงจะบริสุทธิ์สินะ ฉันจะถือว่าทำความดี ทำให้เธอพอใจเอง”
พูดจบ เขาเอื้อมมือเข้าหาเธอตรงๆเลย
ความรู้สึกละเอียดอ่อนมาก พอแตะแล้วจะติดใจเล็กน้อย
“เพี๊ยะ!”
มู่น่อนน่อนใช้แรงทั้งหมด ตบลงบนหน้าเขา”อย่าคิดว่าคนอื่นจะสกปรกเหมือนเธอ ก่อนที่ลูกพี่ลูกน้องเธอจะมา เธอรีบไป ฉันจะทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
ถึงแม้เธอจะพยายามสงบสติอารมณ์แล้ว แต่การสั่นของมือทรยศเธอ
เธอเคยคิดระหว่างทางว่าเฉินถิงเซียวจะน่าเกลียดขนาดไหน แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่าจะพบเจอกับเรื่องแบบนี้
เฉินถิงเซียวทำหน้าบูดบึ้ง ในตัวปล่อยความรู้สึกหนาวเข้ากระดูกออกมา”ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าทำฉัน”
เพราะดิ้น แว่นของเธอเลยหล่นลงมา เผยดวงตาที่ใสสะอาดอย่างไม่น่าเชื่อ ขนตาที่สั่นไหวแสดงออกถึงความตื่นเต้นและความกลัวของเจ้าของ
เฉินถิงเซียวชะงัก ไม่รู้ว่าทำไมถึงใจอ่อน
เขายืดตัวขึ้น จัดเสื้อเล็กน้อย มองเธออย่างเย็นชา”เธอรอคนพิการนั้นต่อไปเถอะ”
ปัง!
จนประตูปิดลง ประสาทที่ตึงเครียดของมู่น่อนน่อนค่อยๆผ่อนคลายลงมา
…….
นอกประตู
มีบอดี้การ์ดเห็นรอยแดงบนหน้าเฉินถิงเซียว ตะลึงเล็กน้อยแล้วพูดว่า”คุณชาย หน้าของคุณ…….”
เฉินถิงเซียวจับหน้าของตัวเอง พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า”ชนโดนประตู”
ประตูอะไรถึงชนออกมาได้รอยมือ5นิ้วได้?
แต่บอดี้การ์ดไม่กล้าถามมาก ได้แต่ส่งเอกสารฉบับหนึ่งให้”นี้คือข้อมูลส่วนตัวของคุณหญิง”
เฉินถิงเซียวเปิดเอกสาร เห็นชื่อที่เขียนไว้มู่น่อนน่อน
ผู้หญิงที่น่าเกลียดนั้นดูเหมือนจะตายด้าน นึกไม่ถึงว่าจะตั้งชื่อว่าน่อนน่อน?
แม่ผู้ให้กำเนิดของนี้น่าสนใจดี โอ๋ลูกเลี้ยงเหมือนเพชรพลอย แต่โหดกับลูกสาวแท้ๆ
พออ่านลงมาอีก เขาขมวดคิ้ว ถามบอดี้การ์ด”เธอคือคนบ้า?”
บอดี้การ์ดพยักหน้า
เฉินถิงเซียวพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์”ตรวจสอบใหม่”
เวลามู่น่อนน่อนพูด เห็นได้ชัดว่ายังรู้เรื่อง
อีกอย่าง เขาไม่เคยเห็นคนบ้าคนไหนตกอยู่ในสถานการณ์แล้วยังลุกขึ้นตบคนอย่างแรงได้
พอนึกถึงตรงนี้ หน้าของเขาบึ้ง ปาเอกสารในมือใส่บอดี้การ์ด”หาเอกสารที่ฉันพอใจไม่ได้ ก็ไม่ต้องกลับมาเจอฉัน!”
ตอนที่1 ขี้เหร่มาก
มู่น่อนน่อนนั่งเหม่อลอยอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง รอช่างแต่งหน้าเข้ามาแต่งหน้าให้เธอ
ทันใดนั้น ประตูถูกเปิดออกเซียวชู่เหอเดินเข้ามากอย่างเร่งรีบ
เธอเห็นผมที่ยุ่งเหยิงของมู่น่อนน่อน บนตัวยังสวมเสื้อไหมพรมแขนยาว พูดต่อว่า”คนของตระกูลเฉินมากันหมดแล้ว ทำไมเธอยังไม่เปลี่ยนชุด?”
มู่น่อนน่อนดันแว่นกรอบดำขึ้น เปลือกตาที่หย่อนยานดูเหมือนมึนๆ”คุณแม่ จะให้ฉันแต่งงานกับว่าที่สามีของพี่สาวจริงๆเหรอ?”
เซียวชู่เหอคิดว่าหล่อนจะเปลี่ยนใจ กระวนกระวายจนหน้าขาวซีดแล้ว
คนของตระกูลเฉินรออยู่ด้านนอก มีอะไรผิดพลาดก็ทำลายตระกูลมู่ได้!
เธอกระวนกระวายคุกเข่าลงตรงหน้ามู่น่อนน่อน”น่อนน่อน ถือว่าแม่ขอร้อง พี่สาวเธอคู่ควรกับคนที่ดีกว่านี้ เธอช่วยหล่อนหน่อย!”
เดิมทีดวงตาที่ดูไม่มีแววค่อยๆเปลี่ยนเป็นเย็นชา ถึงแม้เซียวชู่เหอจะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเธอ แต่กลับเอาความเอ็นดูทั้งหมดให้ลูกชายลูกสาวของภรรยาเก่าของพ่อที่เสียชีวิตไปแล้ว
ดังนั้น เซียวชู่เหอรู้อยู่แล้วว่าที่สามีของพี่สาวทั้งขี้เหร่ทั้งไม่สามารถมีเซ็กส์ได้ แต่กลับให้มู่น่อนน่อนแต่งแทนพี่สาว
เสียงเร่งของคนใช้ดังมาจากนอกประตู”คุณผู้หญิง คุณหนูสาม คนของขึ้นมาแล้ว”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ยื่นมือไปประคองเซียวชู่เหอแค่พูดอย่างเย็นชาว่า”ลุกขึ้นเถอะ ฉันจะไปแล้ว”
ครั้งนี้ เธอตายใจแล้วจริงๆ
เปิดประตู เห็นนอกประตูมีบอดี้การ์ดแปลกหน้ายืนอยู่กลุ่มหนึ่ง นี้คือคนที่มารับเธอจากตระกูลเฉิน
ไม่มีงานแต่ง และไม่มีเจ้าบ่าว วันนี้เธอจะแต่งงานแล้ว
“ไปเถอะ”เธอเดินอยู่ข้างหน้า เดินลงไปก่อน
ตระกูลเฉินคือไฮโซระดับสูงของเมืองเซี่ยงไฮ้ ผู้สืบทอดสายตรงเพียงคนเดียวเฉินถิงเซียว กลับทำให้เสียโฉมตอนถูกคนลักตัวเมื่อ10กว่าปีที่แล้ว ไม่สามารถมีเซ็กส์ได้
ตั้งแต่นั้นมาเฉินถิงเซียวก็ไม่เคยโผล่หน้าให้ใครเห็น
ข่าวลือเขาอารมณ์โหดเหี้ยม น่าเกลียดน่ากลัว ผู้หญิงทุกคนที่ถูกส่งเข้าห้องเขาไม่มีใครมีรอดชีวิตออกมาได้
เรื่องที่น่าเศร้าที่สุดคือมีความคิดที่ว่า ถึงแม้เฉินถิงเซียวจะเป็นปีศาจ เธอก็ไม่แคร์แล้ว
………
ถึงบ้านพักตากอากาศของเฉินถิงเซียวแล้ว
หลังจากบอดี้การ์ดพาเธอเข้าไปในห้อง ก็ออกไปกันหมด
จนท้องฟ้านอกหน้าต่างเริ่มมืด ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง
มู่น่อนน่อนหันหน้ามา เห็นผู้ชายที่มีรูปร่างสูงใหญ่เดินเข้ามา
เขาปิดประตู เปิดไฟ
แสงไฟสว่างขึ้นอย่างรวดเร็ว มู่น่อนน่อน
ยื่นมือบังอย่างไม่ชิน แล้วเงยหน้ามองไปทางผู้ชาย
แค่แวบเดียว เธอก็ตกตะลึงแล้ว
ไม่ใช่มีหน้าตาที่ผู้ชายน่าเกลียดน่ากลัว
แต่เพราะเขามีหน้าตาที่หล่อเกินไป
สูทสีมืดห่อหุ้มร่างกายที่สูงและแข็งแรงของเขาไว้ ขายาวคู่นั้นก้าวเท้าใหญ่มาก เดินถึงตรงหน้าเธออย่างรวดเร็ว
โครงหน้าของเขาคมลึกสวยงาม เหมือนกับงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่สร้างอย่างประณีต หล่อผิดปกติ แต่ทำให้คนรู้สึกกดดันมาก
เฉินถิงเซียวมองสำรวจมู่น่อนน่อนไม่กี่วิ คิ้วขมวดขึ้น”ขี้เหร่มาก”
ในน้ำเสียงเรียบนั้น บอกไม่ได้ว่ามีอารมณ์อะไรอีก
มู่น่อนน่อนมองกลับอย่างแรง เธอไม่แคร์ที่เขาบอกว่าเธอขี้เหร่ แต่แค่มองเขาอย่างระวัง”เธอคือใคร?”
ดวงตาสีดำของเขาเปล่งรัศมีแหลมคมออกมา น้ำเสียงทุ้ม”เธอไม่รู้ว่าตัวเองแต่งกับใคร?”
ตามด้วยเขาเข้ามาใกล้ กลิ่นไอความเย็นพัดเข้ามาทำให้มู่น่อนน่อนตัวสั่น
ออร่าทรงพลังกดดันให้เธอหายใจไม่ออกเล็กน้อย แต่เธอก็ยังยืดหลังให้ตรง”ฉันรู้แน่นอนว่าคนที่ฉันจะแต่งคือ เฉินถิงเซียว!”
เฉินถิงเซียวฟังแล้ว ค่อยๆเก็บดวงตาที่แหลมคม เข้าใจแล้ว เหมือนว่าจะเป็นผู้หญิงอีกคนที่เชื่อข่าวลือนั้น
แต่งงานกับผู้ชายที่”ทั้งขี้เหร่และไม่มีมนุษยธรรม” สีหน้าของเธอเรียบเฉยมาก เรียบเฉยจนทำให้เขาเกิดความสนใจเล็กน้อย
เขายกยิ้ม ทำเป็นเอ่ยปากอย่างเจ้าชู้”ที่แท้ก็คือพี่สะใภ้นี่เอง ฉันเป็นลูกพี่ลูกน้องของเฉินถิงเซียวชื่อเฉินเจียฉิน คืนในวันแต่งงาน คิดว่าเธอก็คงไม่อยากเฝ้าคนพิการ”