มู่น่อนน่อนเลื่อนเมาส์ ค่อยๆเลื่อนลงดูอันด้านล่าง
ข่าวส่วนใหญ่ในตอนนี้ มักจะพาดหัวข่าวเพื่อดึงดูดความสนใจของคน เนื้อหาของข่าวมีส่วนที่คล้ายคลึงกันเกือบทั้งหมด
แต่ข่าวที่เกี่ยวกับเฉินถิงเซียว มักเป็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
ในบางครั้งก็อาจจะมีข่าวซุบซิบมาบ้าง แต่ก็ล้วนเป็นข่าวโคมลอยทั้งสิ้น
เฉินถิงเซียวหน้าตาหล่อเหลา และมีฝีมือยอดเยี่ยม เบื้องหลังยังเป็นผู้มีอำนาจและอิทธิพลของตระกูลเฉิน จึงมักจะถูกดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ง่ายเป็นธรรมดา
เมื่อก่อนตอนที่เขายังไม่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน เมื่อมีคนพูดถึงเขา ก็มักจะพูดว่าเขา“หน้าตาขี้เหร่ไม่มีมนุษยธรรม”ประมาณนี้
แต่ตอนนี้ เข้าค้นหาเรื่องของเขาบนหน้าเว็บต่างๆ คำพูดที่พูดถึงตัวเขาทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปหมดแล้ว
เศรษฐีใหม่ในวงการธุรกิจที่มีมูลค่าพันล้าน……
ทายาทคนเดียวของตระกูลเฉินที่เปี่ยมด้วยบารมีที่น่าเกรงขาม……
สิ่งเหล่านี้สุ่มเลือกมาสักอัน ล้วนเป็นสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปเอื้อมไม่ถึง
และมู่น่อนน่อน ก็เป็นหนึ่งในคนธรรมดาทั่วไปเช่นกัน
เมื่อก่อนตอนที่อยู่กับเฉินถิงเซียว ความรู้สึกนี้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร แต่พอทั้งสองคนอยู่ห่างกันนานวันเข้า ความรู้สึกนี้มันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
บางครั้งมู่น่อนน่อนก็มักจะนึกถึงช่วงเวลาที่เธอได้เคยใช้ชีวิตอยู่กับเฉินถิงเซียว ก็รู้สึกว่ามันเหมือนกับเป็นความฝันยังไงอย่างนั้น
จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าลูกในท้องกำลังเตะเธออยู่
มู่น่อนน่อนก้มหน้าลง ยื่นมือลูบไปที่หน้าท้องราวกับจะปลอบประโลม พูดปลอบเสียงเบา “ลูกรัก คนนี้คือพ่อของลูก หน้าตาเขาหล่อมาก แต่นิสัยเขาไม่ค่อยดีเท่าไร……”
พูดๆอยู่ มู่น่อนน่อนก็พูดต่อไม่ได้
เธอเม้มปาก ปิดคอมพิวเตอร์แล้วลุกขึ้น เข้าครัวเพื่อทำอะไรกิน
ในตอนที่เปิดตู้เย็น ก็พบว่าในตู้เย็นไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
กับสภาพร่างกายของเธอที่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งจะอุ้ยอ้าย เพราะหวังอยากจะแก้บทละครของเธอกับฉินสุ่ยซานให้เสร็จโดยเร็ว ช่วงนี้เลยไม่ได้ออกไปไหนเลย
ดูแล้ววันนี้คงต้องออกไปกินข้าวข้างนอกแล้ว
มู่น่อนน่อนกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่อีกชุด หยิบกระเป๋าแล้วออกจากบ้านไป
……
อุณหภูมิที่ซิดนีย์ในช่วงเดือนเมษานั้นกำลังดี ไม่หนาวและไม่ร้อนมาก
ในตอนที่มู่น่อนน่อนออกจากบ้าน ก็พบว่าประตูของเพื่อนข้างบ้านนั้นเปิดอยู่ ประตูหน้าบ้านก็ยังมีรถจอดอยู่อีกหลายคัน
เธออาศัยอยู่ที่นี่มาสองสามเดือนแล้ว ไม่เคยเห็นหน้าเพื่อนข้างบ้านมาก่อน
เวลาที่เธอเดินผ่าน ก็อดไม่ได้ที่จะชะเง้อมองด้วยความสงสัยเข้าไปข้างในบ้าน
ในตอนนี้เอง ด้านในก็มีเด็กหนุ่มอายุราวๆสิบหกสิบเจ็ดเดินออกมาสองสามคน มีทั้งคนผิวดำ และคนผิวขาว พวกเขาพูดคุยหยอกล้อกอดคอกันเดินออกมา
เมื่อมู่น่อนน่อนเห็น ก็นิ่งงัน หันหลังแล้วเดินจากไปทันที
วัยรุ่นกลุ่มนั้นก็เห็นเธอด้วยเช่นกัน
ใบหน้าแบบคนชาวตะวันออกนั้นพบเห็นได้ไม่ยาก แต่คนท้องที่หน้าตาสะสวยและตัวคนเดียวแบบนี้ ยากที่จะได้เห็นนัก
ด้านหลังมีเสียงผิวปากของกลุ่มวัยรุ่นดังขึ้น
นอกจากนั้นยังมีคำพูดเป็นภาษาอังกฤษปนมาด้วย ก็ประมาณ“สวย”“คนสวย”ราวๆนี้
น้ำเสียงของพวกเขาเท่าที่มู่น่อนน่อนได้ยิน ดูไม่เป็นมิตรเท่าไร
มู่น่อนน่อนไม่ได้สนใจพวกเขา ฝีเท้าก้าวเร็วขึ้น เดินอย่างเร่งรีบไปยังร้านอาหารที่เธอไปกินประจำ
กิจกรรมทั่วไปของมู่น่อนน่อนไม่ได้มีมากนัก ปรกติไปซื้อของหรือกินข้าวก็จะอยู่ละแวกนี้เท่านั้น บวกกับเธอที่หน้าตาสะสวย พนักงานในร้านอาหารต่างก็รู้จักเธอ
ทันทีที่เธอเข้ามา ก็มีพนักงานทักทายเธอเป็นภาษาอังกฤษ“คุณมู่ คุณมาแล้ว ”
มู่น่อนน่อนยกยิ้ม“ ฉันขอพิซซ่าขนาดหกชิ้น และน้ำผลไม้แก้วหนึ่ง”
“ได้ค่ะ กรุณารอสักครู่”พนักงานยิ้มแล้วสั่งอาหารให้เธอ จากนั้นก็ไปยังที่เคาน์เตอร์
ที่นั่งของมู่น่อนน่อนอยู่ไม่ไกลจากเคาน์เตอร์มากนัก และยังได้ยินเสียงพูดของพนักงานเบาๆ “ คนท้องที่หน้าตาสวยๆคนนั้นมากินข้าวที่นี่อีกแล้ว……”
คำพูดนี้ฟังดูแล้วมันแปลกๆ แต่มู่น่อนน่อนรู้ว่าพวกเขาไม่ได้คิดร้ายอะไร
กินเสร็จ มู่น่อนน่อนก็ไปที่ซูเปอร์เพื่อซื้อของ เสร็จแล้วจึงได้กลับบ้าน
ในตอนที่เดินผ่านประตูหน้าบ้านที่อยู่ข้างๆหลังนั้น มู่น่อนน่อนก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
ยังดี ที่วัยรุ่นกลุ่มนั้นไม่อยู่บ้าน เหมือนมีธุระออกไปแล้ว
……
เมืองหู้หยาง
เฉินถิงเซียวออกจากตึกของบริษัทเฉินซื่อ ก็ดึกมากแล้ว
สือเย่เห็นเขาเดินออกมา ก็ไปเปิดประตูรถให้เขาอย่างอัตโนมัติ“คุณผู้ชาย”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ขึ้นรถไป แต่มองมาที่เขา
สือเย่รู้ความหมาย ยื่นมืออีกข้างหนึ่งออกมา ในมือมีโทรศัพท์ที่ดูสะดุดตา
เฉินถิงเซียวรับมันมา เขาไม่ได้เร่งรีบขึ้นไปบนรถ ยืนอยู่ที่ตรงประตูรถแล้วเปิดโทรศัพท์ออกดู
หน้าจอก็สว่างวาบขึ้นมา ในนั้นปรากฏภาพของผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้หญิงในภาพสวมใส่เสื้อโค้ตแบบบางสีเทา ข้างในเป็นเดรสหลวมๆสีขาว มีพุงอ้วนๆและกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ในร้าน
คนที่ถ่ายรูปน่าจะแอบถ่ายจากที่ไกลๆผ่านหน้าต่างของร้าน เพราะฉะนั้นใบหน้าของหญิงสาวจึงไม่ค่อยชัดเท่าไร
ในตอนที่เธอก้มหน้ารับประทานอาหาร เส้นผมก็ย้อยปรกไปกว่าครึ่งหน้า แต่ดวงตาของเฉินถิงเซียวก็จับจ้องไปที่ภาพนั้น ดูจนเหม่อลอย
ครู่ใหญ่ เฉินถิงเซียวถึงได้พูดออกมา “ช่วงนี้เธอกินแต่ของพวกนี้เหรอ ?”
น้ำเสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย ฟังจากท่ามกลางสายลมในค่ำคืนช่างดูโดดเดี่ยวนัก
สือเย่ตอบกลับ“ปรกติคุณหญิงน้อยจะทำอาหารกินเอง แต่ในช่วงนี้ไม่ได้ออกจากบ้านเลย คงน่าจะกำลังยุ่งเรื่องงานอยู่ ที่บ้านไม่มีวัตถุดิบเหลือถึงได้ออกมากินนอกบ้าน ”
“อืม”เฉินถิงเซียวตอบกลับเสียงเบา แล้วถึงได้โน้มตัวขึ้นรถไป
สือเย่เห็นเขาเป็นแบบนี้ หลังจากที่ปิดประตูรถให้เขาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจ
ก่อนหน้านั้น เฉินถิงเซียวบอกว่าอย่าไปรบกวนมู่น่อนน่อน สือเย่คิดว่าเขาคงพูดเล่นเท่านั้น
เพราะจากที่รู้จักกับเฉินถิงเซียว เป็นไปไม่ได้ที่เฉินถิงเซียวรู้ว่ามู่น่อนน่อนอยู่ไหนแล้วจะไม่ไปตามกลับมา
ในตอนที่เฉินถิงเซียวยังเป็นวัยรุ่นเคยถูกลักพาตัว นิสัยจึงค่อนข้างแปลก หวาดระแวงและขี้สงสัย ยากที่จะรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
ดังนั้น ตอนที่สือเย่ได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียว ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไร
คิดว่าผ่านไปไม่กี่วันเฉินถิงเซียวก็น่าจะเปลี่ยนใจ ไปพาตัวมู่น่อนน่อนกลับมา
ไม่คิดว่า เขาจะเดาผิดหมด
เฉินถิงเซียวไม่เพียงไม่ให้คนไปตามตัวมู่น่อนน่อนกลับ แต่ยังให้คนไปคอยตามดูมู่น่อนน่อน และยังสั่งให้ลูกน้องห้ามให้มู่น่อนน่อนจับได้ ถ่ายรูปเธอส่งมาให้ด้วยทุกวัน
หากวันไหนที่มู่น่อนน่อนไม่ได้ออกจากบ้าน ต่อให้เป็นแค่รูปของหน้าประตู ก็ต้องถ่ายมันกลับมาให้ดู
กู้จือหยั่นพูดกับสือเย่อยู่หลายครั้ง ว่าเฉินถิงเซียวนั้นบ้าไปแล้ว
ในใจของสือเย่ ก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
สือเย่ส่ายหัว แล้วเดินอ้อมไปขึ้นรถอีกฝั่ง ขับรถไปตามทิศทางคอนโดของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนวางเพลิงเผาวิลล่าของเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวจึงย้ายมาอยู่คอนโดที่ห่างจากบริษัทเฉินซื่อไม่ไกลนัก หรือบางครั้งก็พักอยู่ที่บริษัท
สือเย่ขับรถไปด้วย ก็เฝ้าสังเกตอาการของเฉินถิงเซียวไปด้วย
ในมือของเฉินถิงเซียวยังคงถือโทรศัพท์แล้วดูรูปของมู่น่อนน่อนไปด้วย
วันนี้รูปถ่ายที่ส่งมามีจำนวนมาก เฉินถิงเซียวเปิดดูแต่ละรูปจึงใช้เวลานาน
จู่ๆ นิ้วของเขาก็หยุดไปชั่วขณะ
ในภาพถ่าย ด้านหลังของมู่น่อนน่อน เป็นกลุ่มวัยรุ่นที่มีผิวต่างสีกัน
เฉินถิงเซียวที่ดูรูปของมู่น่อนน่อนเป็นกิจวัตรประจำวัน มองออกทันทีว่าภาพด้านหลังนั้นเป็นภาพบริเวณบ้านของมู่น่อนน่อน
เฉินถิงเซียวถามเสียงเข้ม “คนพวกนี้เป็นใคร ?”