ซือเฉิงหยู้ใบหน้ายิ้มแย้มดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิ ท่าทางและน้ำเสียงนั้น ดูไม่แตกต่างจากตอนที่มู่น่อนน่อนเจอกับเขาครั้งแรก
ในใจของมู่น่อนน่อนนั้นเข้าใจดีที่สุด ว่าภายใต้ใบหน้าที่ราบเรียบของซือเฉิงหยู้นี้ ซ่อนเขี้ยวเล็บยาวที่ดุร้ายของสัตว์ประหลาดไว้
เขาเตรียมพร้อมทำลายทุกสิ่งตลอดเวลา
มู่น่อนน่อนจ้องลึกซือเฉิงหยู้ครู่หนึ่ง จากนั้นหันมามองเฉินถิงเซียว แล้วกล่าวเบาๆ:“ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“เกิดอะไรขึ้น” เฉินถิงเซียวก้มหน้ามองเธอ ตอนที่กุมมือของเธอนั้น รู้สึกถึงความเย็นวาบจากมือของเธอราวกับเพิ่งชักออกมาจากน้ำ ฝ่ามือยังเปียกชุ่มด้วยหยดเหงื่อ
เฉินถิงเซียวค่อยๆขมวดคิ้วขึ้น แล้วหันไปมองทิศทางที่มู่น่อนน่อนวิ่งมาเมื่อสักครู่แวบหนึ่ง เขามองไม่เห็นคนอื่น
นี่ก็แปลว่าสือเย่ได้พาเด็ก ๆ ขึ้นเรือไปอย่างราบรื่นแล้ว อย่างนั้นอะไรกันที่ทำให้มู่น่อนน่อนตื่นกลัวได้เพียงนี้
ซือเฉิงหยู้เอื้อมมือมาขยับหมวกแก๊ปที่อยู่บนศีรษะ แล้วกล่าวถามด้วยน้ำเสียงบางเบา:“ในเมื่อรับเด็กไปแล้วก็ควรจะคืนชิงหนิงมาให้ผมเสียที”
เมื่อสักครู่ซูชิงหนิงมีโอกาสที่จะหนีไป แต่เธอกลับไม่หนี และยังเดินตามมู่น่อนน่อนมา เพียงแค่เดินตามอยู่ด้านหลังของมู่น่อนน่อนเท่านั้น
ซูชิงหนิงเดินตรงมาที่ด้านหน้าของซือเฉิงหยู้ ยิ้มหวานแล้วเรียกขึ้น :“เฉิงหยู้”
“มานี่สิ” ใบหน้าของซือเฉิงหยู้ก็ผุดรอยยิ้มขึ้น ดูอ่อนโยนและสง่างาม ไร้ร่องรอยความดุดัน
มู่น่อนน่อนอาศัยจังหวะที่ซือเฉิงหยู้จดจ่ออยู่ที่ตัวของซูชิงหนิง จับเข้าที่ฝ่ามือของเฉินถิงเซียว หันหลังให้กับซือเฉิงหยู้แล้วพูดโดยไม่มีเสียงให้กับเฉินถิงเซียว : ระเบิด
เฉินถิงเซียวอ่านริมฝีปากของเธอออก การแสดงออกบนสีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้เห็นชัดเจนแต่อย่างใด ๆ มีเพียงดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อย ที่เผยให้เห็นความคิดของเขาในยามนี้
เห็นได้ชัดเจนว่าคำพูดของมู่น่อนน่อนไม่ได้ทำให้เฉินถิงเซียวแปลกใจมากแต่อย่างใด
มู่น่อนน่อนหันไปมองซือเฉิงหยู้ เห็นเขากำลังจ้องซูชิงหนิงอย่างเสน่หา
เขาจับมือของซูชิงหนิงไว้ โดยที่ไม่พูดจาใด ๆ แต่กลับสามารถทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกซาบซึ้ง
หรือบางทีในก้นบึ้งจิตใจที่บ้าคลั่งของซือเฉิงหยู้ อาจมีเพียงผู้หญิงที่ชื่อซูชิงหนิงคนนี้เท่านั้นที่สามารถทำให้เขาสงบลงได้
“ถิงเซียว ลำบากแล้ว เธอเหมือนกับชิงหนิงไม่มีผิด” ซือเฉิงหยู้หันกลับมามองเฉินถิงเซียวฉับพลัน รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งยิ้มยิ่งลุ่มลึก: “หกปีแล้ว ชิงหนิงคนเดียวคงจะโดดเดี่ยวเดียวดาย พวกเราควรจะไปหาเธอ”
ซือเฉิงหยู้ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แววตาของเขาดูแปลกผิดปกติและพึงพอใจ
เวลานี้ เฉินถิงเซียวได้ร้องดังขึ้นทันใด :“ไปกันเถอะ!”
เสียงยังไม่ทันจบ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกเฉินถิงเซียวดึงแล้ววิ่งไปทางทะเล
ซือเฉิงหยู้ที่อยู่ด้านหลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง :“ไม่มีประโยชน์หรอก ผมฝังลูกระเบิดใต้สนามกอล์ฟไว้หมดแล้ว พวกเราทุกคนไปหาชิงหนิง……”
คำพูดท้ายๆถูกเสียงระเบิดที่ดังสนั่นนั้นกลบลง
สำหรับความทรงจำสุดท้ายของมู่น่อนน่อนที่มีต่อซือเฉิงหยู้ ได้หยุดอยู่ในฝุ่นควันจากการระเบิด ภาพใบหน้าที่เรียบสงบของเขา มุมปากที่อมยิ้มยืนอยู่ลานพื้นหญ้า
สนามกอล์ฟที่เห็นๆอยู่ว่าอยู่ไม่ไกลห่างจากน้ำทะเลเท่าไหร่ แต่ในเวลานี้กลับเหมือนวิ่งอย่างไรก็ไม่ไปไม่ถึงจุดหมายเสียที
มีพื้นดินและหมู่มวลหญ้าที่ถูกระเบิดกระเทือนเข้าที่ลำตัวของพวกเขาทั้งคู่ มู่น่อนน่อนพลางวิ่งพลางพูดขึ้น:“ดูแลมู่มู่ให้ดี ๆ ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน”
กำลังแรงของมู่น่อนน่อนสู้เฉินถิงเซียวไม่ได้ ท่ามกลางวินาทีแห่งความเป็นความตายนี้ ชั่วโมงที่ต้องใช้ชีวิตวิ่งแข่งกับเวลา เธอมีแต่จะเป็นภาระให้กับเฉินถิงเซียว
เสียงตูมตามดังอยู่ด้านหลัง
เฉินถิงเซียวยังคงใบหน้าสงบ
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ว่าเฉินถิงเซียวจะเอื้อมมือมากอดเธอ เธอจึงใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักเขาออกไป
มู่น่อนน่อนใช้แรงทั้งหมดที่มี ผลักร่างของเฉินถิงเซียวจนกระเด็นล้มไปด้านหลัง ด้านหลังของเขานั้นเป็นน้ำทะเล ตกลงไปโอกาสรอดเป็นไปได้สูง
เฉินถิงเซียวเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ดวงตาคู่นั้นที่ไร้ความรู้สึกมาแต่ไหนแต่ไร ประกายความลนลานและความกลัว
มู่น่อนน่อนอยากจะเผยรอยยิ้มให้กับเขา แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว……
……
สือเย่ที่รออยู่บนเรือ เห็นมู่น่อนน่อนยังไม่กลับมา จึงตัดสินใจลงเรือแล้วออกไปตามหา
แต่ว่าเมื่อเขากำลังจะลงจากเรือนั้น ก็ได้ยินเสียงดังสนั่นกระแทกเข้ามาในใบหู
ด้านหลังเขามีลูกน้องคนหนึ่งกล่าวขึ้น :“ตรงนั้นมีการระเบิด!”
“คุณผู้ชาย!” สือเย่พึมพำแล้วจะวิ่งลงจากเรือ
แต่แล้วเรือกลับมีการเคลื่อนขยับตัวขึ้น
สือเย่รีบเดินไปที่ห้องควบคุมเรือ :“นายทำบ้าอะไร”
กัปตันเรือที่สีหน้าตกใจกลัว:“เกิดการระเบิดขึ้น แน่นอนว่าต้องรีบออกจากที่นี่ให้โดยเร็วที่สุด!”
“มัดตัวไว้” สือเย่ออกคำสั่ง จึงมีคนไปมัดตัวเขาไว้
และสือเย่ก็รีบวิ่งลงไปจากเรือ
สถานที่หลักๆของการระเบิดคือสนามกอล์ฟ
ตอนที่พวกเขาวิ่งไปถึงนั้น เกือบครึ่งหนึ่งของเกาะนี้เละตุ้มเป๊ะด้วยแรงระเบิดครั้งนี้ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝุ่นควันจนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นหาคนจากตรงไหนดี
สือเย่ได้ติดต่อหน่วยกู้ภัย
โชคดีที่หน่วยกู้ภัยนั้นมาอย่างฉับไว จึงเริ่มทำการค้นหาคนในวงกว้าง
ในขณะเดียวกัน คนที่มาด้วยนั้นยังมีเฉินจิ่งหยุ้น
เมื่อเฉินจิ่งหยุ้นมาถึงสถานที่เกิดเหตุ ก็ใส่อารมณ์สือเย่ทันที:“ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ นายติดตามถิงเซียวตลอดเวลา ทำไมเขาเกิดเรื่องแต่นายกลับไม่เป็นอะไรเลย!”
สือเย่ก้มหน้า ใบหน้าเฉื่อยชา:“สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือรีบหาตัวคุณผู้ชายกับคุณหญิงน้อยให้พบ”
“คุณหญิงน้อยคนไหน มู่น่อนน่อนเหรอ” เมื่อเฉินจิ่งหยุ้นได้ยินชื่อของมู่น่อนน่อน สีหน้าก็ดูแย่ขึ้น: “ฉันว่าแล้ว ด้วยความสามารถของถิงเซียวต้องไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอย่างแน่นอน จะต้องมีคนถ่วง……”
สือเย่ที่เงียบมาโดยตลอด เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินจิ่งหยุ้น ก็อดไม่ได้จึงได้กล่าวขึ้นอย่างเย็นชา:“คุณหนูเฉินยังไม่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องราว อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปเองจะดีที่สุด”
“นาย……” เฉินจิ่งหยุ้นคิดไม่ถึงว่าสือเย่จะกล้าต่อปากต่อคำ
เมื่อสือเย่พูดจบก็ไม่สนใจเธออีก และออกไปตามหาคนพร้อมกับหน่วยกู้ภัย
เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศ ทำให้การค้นหานั้นค่อนข้างลำบาก
ในช่วงบ่ายของวันที่สองของการระเบิด พวกเขาถึงได้เจอตัวซือเฉิงหยู้กับซูชิงหนิง
ทั้งคู่ไม่มีสัญญาณชีพจรแล้ว
หัวใจสือเย่เต้นตึกตัก คุณผู้ชายกับคุณหญิงน้อยคงไม่เป็นอะไรมั้ง
คืนนั้น พวกเขาก็หาตัวเฉินถิงเซียวเจอ
แต่ว่าลมหายใจของถิงเซียวนั้นรวยริน
หน่วยกู้ภัยที่ได้ติดตามไปด้วยได้รีบให้การปฐมพยาบาลช่วยเหลือ สือเย่จึงรีบกล่าวถามขึ้น :“คุณผู้ชาย ท่านได้ยินผมพูดไหม”
เฉินถิงเซียวขยับริมฝีปากเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
สือเย่โน้มตัวเข้าไปฟังใกล้ ๆ ก็ได้ยินเขาพูดอย่างไม่มีสติว่า “มู่……”
คำพูดท้ายๆนั้นได้ยินไม่ชัดเจน
แต่ว่าสือเย่ก็เข้าใจดี ว่าคำพูดของเฉินถิงเซียวนั้นหมายถึงอะไร
สือเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง:“ผมรู้ครับ ผมจะต้องตามหาคุณหญิงน้อยให้เจอ”
เมื่อพาเฉินถิงเซียวขึ้นเรือแล้ว สือเย่จะพาคนทำการหามู่น่อนน่อนต่อไป
แต่ตอนที่หันหลังนั้น กลับได้ยินเสียงของเฉินจิ่งหยุ้นพูดกับหน่วยกู้ภัยว่า:“คนที่พวกเราต้องการหานั้นได้หาเจอแล้ว ลำบากพวกท่านแล้ว”
สือเย่สาวเท้าก้าวยาวเข้าไป :“คุณหนูเฉิน!ยังมีคุณหญิงน้อยที่ยังหาไม่เจอ”
เฉินจิ่งหยุ้นยิ้มอย่างดูแคลน:“คุณหญิงน้อยบ้าบออะไรกัน ถิงเซียวมีคุณหญิงน้อยที่ไหนกัน”
เธอพูดจบก็สั่งกำชับลูกน้อง:“ผู้ช่วยสือเองก็ลำบากแล้ว พวกนายพาผู้ช่วยสือกลับขึ้นเรือไปพักผ่อนได้แล้ว”