เซียวชู่เหอรอที่ทางออกของลานจอดรถใต้ดิน รอจนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นมู่น่อนน่อนออกมา
ความเร็วของล้อรถแล่นออกมาจากที่จอดรถค่อนข้างช้า เพียงพอที่จะทำให้เธอเห็นว่าคนในรถนั้นใช่มู่น่อนน่อนหรือไม่
เธอแน่ใจว่าเธอไม่ได้พลาดรถคันใด แต่ทำไมเธอถึงไม่เห็นมู่น่อนน่อน
หรือว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้ขับรถมา หรือว่ามู่น่อนน่อนจะรู้ว่าเธอรออยู่ตรงนี้ ดังนั้นจึงไม่ผ่านตรงนี้
เซียวชู่เหอยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนนั้นกำลังหลบหน้าเธอ
เธอหันหลังกลับเข้าไปในรถ แล้วพูดกับคนขับรถว่า “พวกเรากลับกันก่อน”
เมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลมู่ เซียวชู่เหอก็พบกับมู่สือยั่นที่บังเอิญกลับมาจากบริษัทเพื่อมาเอาเอกสาร
“สือยั่น ทำไมลูกอยู่บ้าน” เซียวชู่เหอลดเสียงลงอย่างอ่อนโยน
มู่สือยั่นขมวดคิ้วขึ้น เห็นได้ชัดว่าไม่อยากจะคุยกับเซียวชู่เหอสักเท่าไหร่ “กลับมาเอาเอกสาร”
“เหรอ” เซียวชู่เหอรู้นิสัยของมู่หวั่นขี แต่กับมู่สือยั่นที่คลุกคลีกันน้อย จึงไม่ค่อยรู้ว่าจะเข้าหามู่สือยั่นอย่างไร
มู่สือยั่นเย็นชาเช่นนี้ เซียวชู่เหอก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
มู่สือยั่นรู้สึกหมดอารมณ์ เดิมทีก็ไม่อยากจะสนใจเซียวชู่เหอสักเท่าไหร่ หยิบเอกสารเสร็จก็เดินออกไปด้านนอก
เซียวชู่เหอมองมู่สือยั่นที่กำลังจะเดินออกไป จึงกัดฟันแล้วตะโกนเรียกเขา “สือยั่น ลูกรอก่อน”
“คุณยังมีเรื่องอะไรอีก” มู่สือยั่นไม่ถึงกับไม่ชอบเซียวชู่เหอ แต่ก็ไม่ได้ชอบ เพียงแต่แค่ไม่อยากจะเห็นหน้าก็เท่านั้น ดังนั้นเวลาปกติจึงไม่ค่อยพูดคุยกับแม่เลี้ยงคนนี้สักเท่าไหร่
“เมื่อกี้ฉันไปที่ซูปเปอร์มาเก็ต แล้วเจอกับน่อนน่อน”
สีหน้าท่าทางของเซียวชู่เหอดูลังเลที่จะพูด ใบหน้าของมู่สือยั่นนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง “ใคร? น่อนน่อน? คุณไปหาเรื่องเธออีกแล้ว?”
“ฉันสงสัยว่าเธอจะรู้ข่าวคราวน้องสาวของลูก ตอนที่ฉันถามเธอนั้น เธอไม่ค่อยที่จะสนใจฉัน หลังจากนั้นฉันก็เลยไปรอเธอที่ประตูทางออกลานจอดรถ เธอไม่แม้แต่จะไปที่ลานจอดรถด้วยซ้ำ เธอจงใจที่จะหลบหน้าฉัน!”
เซียวชู่เหอยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องราวยิ่งเป็นแบบนี้ ท่าทีก็ยิ่งมั่นอกมั่นใจ
มู่สือยั่นขมวดคิ้ว ราวกับฟังเรื่องตลกก็ไม่ปาน แล้วกล่าวอย่างเย็นชา “รบกวนคุณทบทวนในสิ่งที่คุณทำกับน่อนน่อนก่อนดีไหม ถ้าผมเป็นเธอ ผมก็ไม่อยากจะสนใจคุณเช่นกัน!”
“สือยั่น ทำไมลูกถึงพูดเช่นนี้ หรือว่าลูกไม่เป็นห่วงน้องสาวสักนิด เธอเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของแกนะ!”
“น่อนน่อนยังป็นลูกสาวแท้ ๆ ของคุณเลย!”
ประโยคเดียวของมู่สือยั่นทำให้เซียวชู่เหอถึงกับพูดไม่ออก
เขาไม่ได้ช่วย มู่น่อนน่อนพูด ตอนเล็ก ๆ มู่น่อนน่อนนั้นเป็นเด็กดีมาก เขาไม่เกลียดเธอ
หลังจากที่เซียวชู่เหอเข้ามาที่บ้านของตระกูลมู่ ก็มักจะให้ความสำคัญกับมู่หวั่นขี มู่หวั่นขีถูกตามใจจนเสียนิสัย ส่วนหนึ่งก็มาจากเซียวชู่เหอ
ความดีและความชั่วเดิมทีก็มีอยู่ในตัวสันดานของมนุษย์
ส่วนมู่สือยั่นตอนเล็ก ๆ ก็ถูกเลี้ยงแบบปล่อย มู่ลี่เหยียนยุ่งกับการทำงาน จึงไม่ค่อยมีเวลามาสนใจเขา เซียวชู่เหออยากจะใกล้ชิดสนิทสนมกับเขา แต่ก็ไม่สามารถใกล้ชิดได้ เขามักจะเป็นคนกลางที่อยู่ในบ้านตระกูลมู่
จนกระทั่งเขากับพวกเด็กแว้นเหล่านั้นแข่งรถด้วยกัน มู่ลี่เหยียนไม่สามารถที่จะทนดูต่อไปได้อีก จึงได้ส่งเขาออกไปสัมผัสประสบการณ์ที่ต่างประเทศ
ให้พูดจริง ๆ ก็คือเขากับมู่น่อนน่อนก็ไม่ได้มีความโกรธแค้นแต่อย่างใด มู่น่อนน่อนสำหรับเขาแล้ว ก็ไม่ใช่คนที่เขาเกลียด แต่ก็ไม่ใช่น้องสาวที่สนิทสนมสักเท่าไหร่
อาจเป็นเพราะด้วยสายเลือด จึงค่อนข้างสนิทมากกว่าคนอื่น ๆ
การกระทำที่เซียวชู่เหอปฏิบัติต่อมู่น่อนน่อน มู่สือยั่นเห็นแล้วยังรู้สึกว่าทำเกินไป แทบไม่อยากจะเชื่อ แต่เขาก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่ง
เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขา
เซียวชู่เหอดึงแขนเสื้อของมู่สือยั่นไว้ด้วยสีหน้าที่ขาวซีด “สือยั่น ฟังฉันพูดก่อน ฉันรู้สึกว่าการหายตัวของ หวั่นขี จะต้องเกี่ยวข้องกับน่อนน่อนอย่างแน่นอน ความสัมพันธ์ของลูกค่อนข้างดีกับเธอ เธอไม่ยอมสนใจฉัน ถ้าหากว่าลูกไปหาเธอ เธอจะต้องบอกลูกอย่างแน่นอน! หรือไม่……”
เซียวชู่เหอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้น “หรือไม่พวกเราก็แจ้งความเถอะ!”
มู่สือยั่นที่ไม่ค่อยชอบเซียวชู่เหอ เมื่อถูกเธอดึงแขนเสื้อแบบนี้ สีหน้าของเขาจึงดำทะมึน
แล้วสะบัดเซียวชู่เหอทิ้งด้วยสีหน้ารังเกียจ จากนั้นก็ทำการจัดระเบียบแขนเสื้อตัวเองขึ้น “คนที่ไม่รู้อาจคิดว่า หวั่นขีเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของคุณ ส่วนน่อนน่อนคือลูกที่เก็บมาเลี้ยงมั้ง”
“สือยั่น ลูกหมายความว่าอย่างไร ……” จนถึงตอนนี้เซียวชู่เหอก็ไม่รู้นึกว่าตัวเองนั้นทำอะไรผิด
สิ่งที่มู่หวั่นขีกระทำนั้น ก็เคยทำให้เธอรู้สึกผิดหวัง แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะเพิกเฉยต่อมู่หวั่นขีได้
เพราะอย่างไร เธอรักและเอ็นดูมู่หวั่นขีมาหลายปี ยิ่งกว่าลูกแท้ ๆ ของตัวเอง
“ฮึ่ม!” มู่สือยั่นส่งเสียงฟืดฟัดไปทีหนึ่ง ไม่อยากจะเสวนากับเธออีก จึงได้เดินจากไป
……
หลังจากที่มู่น่อนน่อนพาเฉินมู่กลับมาถึงบ้านแล้ว ก็ได้จัดของที่ซื้อมาให้เรียบร้อย จากนั้นก็เตรียมทำอาหารกลางวัน
เวลาที่ทำอหารให้กับเฉินมู่ เธอนั้นค่อนข้างใส่ใจเป็นพิเศษ พยายามทำออกมาให้น่าดูและน่ารับประทานที่สุด
เฉินมู่ทานเสร็จแล้วก็นอนหลับ
มู่น่อนน่อนกล่อมเธอเสร็จ ก็กลับไปที่ห้องอาหารเก็บกวาดโต๊ะอาหาร ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ตอนแรก มู่น่อนน่อนคิดว่าตัวเองหูฝาดไป
เธอจึงยืนตรงขึ้นและเอียงหูฟังอีกที พบว่ามีคนมาเคาะประตูจริง ๆ เธอถึงได้เดินไปที่ประตู
เธอมีเพื่อนน้อย และหลายวันมานี้ดูเหมือนว่าจะมีคนมาหาเธอไม่น้อย
มู่น่อนน่อนเดินไปถึงที่ประตู แล้วก็ส่องดูที่ช่องตาแมวมองออกไปด้านนอก เมื่อพบว่าคนที่ยืนอยู่ด้านนอกนั้นเป็นมู่สือยั่น เธอก็อึ้งตะลึงงันไปทั้งตัว
และก็เป็นอีกคนที่ไม่เจอหน้ากันมานาน
เธอนึกถึงเรื่องที่เจอเซียวชู่เหอในซูเปอร์มาร์เก็ตวันนี้ จึงเข้าใจราง ๆ ถึงเหตุผลที่มู่สือยั่นมาหาถึงบ้าน
ความสัมพันธ์ของเธอกับมู่สือยั่นนั้นไม่ถึงกับสนิทแต่ก็ไม่ถึงกับห่างเหิน ปฏิกิริยาที่มู่น่อนน่อนมีต่อเขาดีกว่าเซียวชู่เหอเล็กน้อย
สุดท้ายเธอก็ทำการเปิดประตู
มู่น่อนน่อนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เรียกขึ้น “พี่ใหญ่”
ลูกสามคนของตระกูลมู่ มู่สือยั่นเป็นคนโต ส่วนคนรองก็คือมู่หวั่นขี และมู่น่อนน่อนก็เป็นคนสุดท้อง
ถ้าหากมู่หวั่นขีไม่บ้าคลั่งจนเสียสติ มู่น่อนน่อนคงเรียกเธอว่าพี่รอง
“น่อนน่อน ไม่เจอกันตั้งนาน”
มู่สือยั่นนานมากแล้วที่ไม่ได้เจอกับมู่น่อนน่อน เวลาพูดจึงรู้สึกเกร็งอย่างยิ่ง รอยยิ้มบนใบหน้ามีความฝืนเล็กน้อย
“เข้ามาก่อนแล้วค่อยพูด” มู่น่อนน่อนขยับตัวไปด้านข้าง ให้มู่สือยั่นได้เข้ามา
มู่สือยั่นจึงเดินเข้ามาแล้วกวาดตามองไปรอบ ๆ บ้าน
บ้านหลังนี้ค่อนข้างเล็กสำหรับเขา
มู่น่อนน่อนพาเขาไปนั่งลงที่โซฟา สองมือของมู่สือยั่นวางอยู่บนหัวเข่า แล้วกล่าวถามขึ้น “เธอพักอยู่ที่นี่คนเดียว?”
มู่น่อนน่อนที่ไม่ได้ตอบว่าใช่แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ หยิบแก้วมาแล้วถามเขา “จะดื่มอะไรดี”
“ไม่ต้องลำบากหรอก พี่ไม่กระหายน้ำ” มู่สือยั่นโบกมือสื่อให้รู้ว่าตัวเองไม่ต้องการเครื่องดื่ม”
มู่น่อนน่อนรินน้ำอุ่นให้กับเขา แล้ววางลงที่ด้านหน้าเขา
“พี่ใหญ่ตั้งใจมาหาฉัน มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” มู่น่อนน่อนไม่ชอบถามคำถามนี้ที่ทุกครั้งมีคนมาหา แต่มู่สือยั่นมาหาถึงที่ได้ จะต้องมีเรื่องแน่นอนถึงได้มา
มู่สือยั่นกุมมือแล้วเชิดคางขึ้น จากนั้นเริ่มเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง “เซียวชู่เหอบอกกับพี่ว่าเจอเธอที่ซูเปอร์มาเก็ต”
เขาไม่ได้เพิ่งจะเรียกชื่อของเซียวชู่เหออย่างตรง ๆ มู่น่อนน่อนจึงไม่ได้รู้สึกผิดแปลกอะไร
“อืม” มู่น่อนน่อนนั่งลงตรงด้านหน้าของเขา สายตาจับจ้องมองมาที่เขา
เสิ่นเหลียงซักไซ้มู่น่อนน่อนทันที “แล้วมันอะไรกัน ถ้าพวกเธอไม่ได้คืนดีกัน เขาลงทุนละครของเธอทำไม ตัวเขาเองก็มีบริษัทเสิ้งติ่งอยู่บริษัทนึง ถ้าเขาสนใจธุรกิจบันเทิง สู้ลงทุนบริษัทเสิ้งติ่งดีกว่า”
“คงจะรู้สึกเบื่อมั้ง”มู่น่อนน่อนก็เดาไม่ถูกเหมือนกันว่าเฉินถิงเซียวกำลังคิดอะไรอยู่ ถึงแม้รู้สึกว่าเหตุผลอันนี้ไร้สาระนิดหน่อย แต่คิดไปคิดมากลับรู้สึกว่ามีเหตุผลดี
เฉินถิงเซียวไม่ใช่คนที่ใช้จิตใจกำลังไปกับเรื่องที่ไร้สาระ ในเมื่อพวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว เขายังมาลงทุนละครของเธอโดยเฉพาะอีก ไม่ใช่เพราะเบื่อเหรอ
อ๋อ และมีความเป็นไปได้ว่าจะตอบสนองความต้องการของซูเหมียน
ตอนนี้ซูเหมียนอยากหาเรื่องเธอ อยากกดขี่เธอไม่ใช่เหรอ
บริษัทเฉินซื่อลงทุน เมืองพัง2 เฉินถิงเซียวเป็นเสี่ยสายเปย์ ซูเหมียนที่ฐานะเป็นแฟนของเฉินถิงเซียว อยากวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในกองถ่าย เมืองพัง2 ก็ใช่ว่าเป็นเป็นไม่ได้
อย่างน้อย เรื่องอย่างเช่นว่าซูเหมียนจู้จี้จุกจิก เรื่องมาก และหาเรื่องมู่น่อนน่อน ก็อาจจะเกิดขึ้นได้อยู่
พอคิดแบบนี้ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าน่าเบื่อสุดๆ
เสิ่นเหลียงแสยะยิ้มมุมปาก หลังจากครุ่นคิดไปครู่นึง ก็ได้พูดอย่างจริงจัง “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าบอสใหญ่จะโรคเก่ากำเริบ ความจำเสื่อมอีก ”
น้ำเสียงของเธอจริงจังสุดขีด จนมู่น่อนน่อนก็เกือบจะเชื่อแล้ว
แต่ความจริงคือร่างกายของเฉินถิงเซียวปกติดี ไม่มีปัญหาเลยสักนิด เขาแค่จิตใจตั้งมั่นแน่วแน่ว่าไม่อยากอยู่กับเธอเฉยๆ
“เปล่า ทะเลาะกัน จากนั้นเขาก็ไล่ฉันไป……”
มู่น่อนน่อนยังพูดไม่จบ เสิ่นเหลียงก็ปรี๊ดแตกเลย “อะไรนะ เธอบอกว่าเฉินถิงเซียวไล่เธอ นึกว่าเธอไม่มีปัญญาซื้อบ้านหรือว่าอะไร ไล่เตี่ยมันสิ ”
มู่น่อนน่อนรอให้เสิ่นเหลียงแขวะเสร็จถึงพูดต่อว่า “ตอนนั้นฉันจากไปโดยตรง แต่ต่อมาพอคิดๆดูแล้ว ก็รู้สึกอยู่เรื่อยเลยว่าเฉินถิงเซียวอาจจะไม่อยากแยกกับฉันจริงๆ อาจจะมีเหตุผลอย่างอื่น เพราะยังไง……เขาก็เคยเป็นผู้ชายที่เพื่อช่วยฉันแล้วถึงขั้นยอมสละชีวิตตัวเอง……”
ตอนที่ไม่ไปคิดเรื่องพวกนี้ ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไร
แต่พอนึกถึงเรื่องในอดีต มู่น่อนน่อนก็พบว่า ความทรงจำระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวมีเยอะมากๆ
เฉินถิงเซียวนอกจากค่อนข้างอคติในบางครั้ง อย่างอื่นล้วนดีมากๆ
เสิ่นเหลียงเอามือตบขาอ่อนแล้วเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ใช่ ฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน บอสใหญ่มีเรื่องลำบากใจอะไรหรือเปล่า ”
มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นครั้งนี้เสิ่นเหลียงเรียกว่า“บอสใหญ่”
นิสัยของเสิ่นเหลียงก็เป็นคนตรงไปตรงมาแบบนี้แหละ ตอนแขวะเรียกเฉินถิงเซียวโดยตรง คราวนี้รู้สึกคำพูดของมู่น่อนน่อนมีเหตุผล ก็เปลี่ยนมาเรียกเขาว่าบอสใหญ่แล้ว
“ฉันก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกัน” มู่น่อนน่อนหายใจลึกๆแล้วพูดต่อ “เพราะฉะนั้นฉันก็เลยเคยไปหาเขา”
จากนั้น มู่น่อนน่อนก็ได้เล่าเรื่องคราวก่อนตอนที่พวกเขาทานข้าวอยู่ที่โรงแรมจีนติ่ง หลังจากเธอไปหาเฉินถิงเซียวแล้วเกิดเรื่องให้กับเสิ่นเหลียงฟัง
ปฏิกิริยาแรกของเสิ่นเหลียงก็คือถามมู่น่อนน่อนว่า “เจียงซ่งไอ้ขยะนั่นคงไม่ได้ทำอะไรเธอใช่มั้ย ห๊ะ ”
“ไม่ ฉันไม่ได้ถูกลวนลาม แต่ตั้งแต่ต้นจนจบเฉินถิงเซียวก็ไม่พูดสักคำเลย ถึงเจียงซ่งทำกับฉันแบบนั้นก็ตาม เขาก็ไม่เคยลุกขึ้นมาเลย” มู่น่อนน่อนหัวเราะเยาะตัวเอง
เสิ่นเหลียงขยับริมฝีปาก แต่กลับไม่รู้ควรจะพูดอะไร
เธอรู้สึกถึงแม้เฉินถิงเซียวดูดุมาก แต่ก็ไม่ใช่คนที่ไร้มนุษยธรรม แถมดูแล้วยังเป็นคนที่รักใครรักจริงมาก
ยังไงเธอก็ไม่มีทางเชื่อว่าเฉินถิงเซียวจะทิ้งมู่น่อนน่อน
แต่ที่มู่น่อนน่อนพูด ก็ทำให้เธอจำต้องเชื่อว่าเฉินถิงเซียวคือจิตใจตั้งมั่นแน่วแน่ไม่เอามู่น่อนน่อนแล้ว
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่เผด็จการมาโดยตลอด เจียงซ่งลวนลามมู่น่อนน่อนต่อหน้าเขา เขาก็ยังไม่สะทกสะท้าน นี่แสดงให้เห็นถึงอะไร
นี่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่รักมู่น่อนน่อนแล้วจริงๆ
เธอหันไปมองมู่น่อนน่อน ถึงแม้สีหน้ามู่น่อนน่อนสงบนิ่งมาก แต่เธอก็ยังดูอ้างว้างในแววตามู่น่อนน่อนออกอยู่ดี
เฉินถิงเซียวสามารถใจดำได้ถึงขนาดนั้น แต่สลัดมือก็ไม่เอามู่น่อนน่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่ามู่น่อนน่อนยังรักเขาอยู่
ที่เธอมาหามู่น่อนน่อนเพราะนึกว่ามู่น่อนน่อนคือดีกับเฉินถิงเซียวแล้วจริงๆ แต่คิดไม่ถึงว่าทั้งคู่ไม่เพียงไม่คืนดีกัน กลับกันยังแยกทางกันอย่างสิ้นเชิง
ในใจเสิ่นเหลียงหงุดหงิดนิดหน่อย หลายวันนี้มู่น่อนน่อนคงไม่สบายใจมากแน่ๆเลย แต่เธอดันยังมาหาถึงที่มาพูดเรื่องพวกนี้อีก……
“น่อนน่อน ขอโทษนะ ฉันไม่ได้……”
มู่น่อนน่อนแสร้งทำเป็นจ้องเธอด้วยสีหน้าโกรธแวบนึง “เสิ่นเสี่ยวเหลียง เก็บสีหน้าแบบนี้ของเธอไว้เลยนะ ผู้ใหญ่คบกันและเลิกกันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ ฉันสบายดี”
เสิ่นเหลียงเบะปาก “เธอบอกว่าดีก็ดี”
พวกเธอล้วนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่เหมือนตอนอายุสิบกว่าแล้ว ดื้อด้านคิดว่าทุกอย่างล้วนต้องมีคำตอบและคำอธิบายที่ชัดเจน
ถึงแม้เสิ่นเหลียงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามู่น่อนน่อนเสียใจและเศร้าใจ แต่มู่น่อนน่อนบอกว่าเธอสบายมาก เสิ่นเหลียงก็เปิดโปงไม่ได้
ถึงเปิดโปงแล้วจะทำเป็น เธอกับมู่น่อนน่อนเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนที่ดีมากๆ
แต่ความรักกับมิตรภาพมันไม่เหมือนกัน เรื่องความรัก สำหรับมู่น่อนน่อนแล้ว เฉินถิงเซียวต่างหากที่เป็นยาดีของเธอ
เธอไม่สามารถช่วยมู่น่อนน่อนอะไรเลย
ถ้ามี นั่นก็คือช่วยเธอมีความสุขหน่อย
เสิ่นเหลียงคิดแล้ว ได้เอียงศีรษะมองไปที่มู่น่อนน่อน “เราออกไปเที่ยวกันเถอะ ”
มู่น่อนน่อนหันมามองเธอ “ที่เที่ยวที่ไหน ”
“ไปดูโรงเรียนสมัยเรียนของพวกเรา”
“ห๊า ”
เสิ่นเหลียงยิ้มอย่างลึกลับให้เธอ จากนั้นได้หยิบมือถือขึ้นมาแล้วเดินไปข้างๆไปโทรหาผู้จัดส่วนตัวของเธอ
ผ่านไปสักพัก ผู้จัดการส่วนตัวของเสิ่นเหลียงก็ได้มาถึง ในมือหิ้วกระเป๋าใบใหญ่เอาไว้สองใบ
ผู้จัดการส่วนตัวรู้ว่าความสัมพันธ์ของเสิ่นเหลียงกับมู่น่อนน่อนดี ก็ไม่ได้อยู่นาน แค่ทิ้งของเอาไว้ก็ไปเลย
ก่อนจะไป เธอแค่กำชับเสิ่นเหลียงคำนึงว่า “อย่าเที่ยวจนลืมกลับบ้านนะ”
เสิ่นเหลียงทำท่า“OK”ให้ผู้จัดการส่วนตัวแล้วก็ไล่เธอไปเลย
พอผู้จัดการส่วนตัวไป เสิ่นเหลียงได้เปิดกระเป๋าทั้งสองใบออก
พอมู่น่อนน่อนเดินไปดู ไม่นึกเลยว่าในกระเป๋าจะเป็นชุดนักเรียนของมัธยมปลายสองชุด
“เซอร์ไพรส์ใช่มั้ยล่ะ ”เสิ่นเหลียงหยิบชุดนักเรียนออกมา เทียบใส่ตัวไปด้วยและถามมู่น่อนน่อนอย่างตื่นเต้นไปด้วย
“……เฉยๆ”พูดตามตรง เธอไม่รู้สึกมีอะไรเซอร์ไพรส์เลย
“เธอก็ถือว่าใส่cosplayเป็นเพื่อนฉันก็แล้วกัน ละครที่ฉันรับเรื่องหน้าเป็นบทนักเรียน ทบทวนความรู้สึกของสมัยเรียนล่วงหน้าหน่อย”
เสิ่นเหลียงดูออกว่ามู่น่อนน่อนไม่ค่อยมีอารมณ์ จึงได้เอาชุดนักเรียนยัดใส่ไปให้เธอ “รีบเปลี่ยนเร็ว”
มู่น่อนน่อนก็ไม่อยากทำให้เสิ่นเหลียงเสียน้ำใจ ได้สวมชุดนักเรียนทับอยู่ด้านนอกของเสื้อไหมพรมโดยตรง
เสิ่นเหลียงเห็นมู่น่อนน่อนใส่ชุดนักเรียนแล้ว ได้ส่งเสียง“จึกๆ”สองทีพร้อมพูดว่า “ห่างมานานหลายปี มาดูเธอใส่ชุดนักเรียนนี้แล้ว รู้สึกว่า……”
มู่น่อนน่อนตกใจ จากนั้นได้หยิบหมอนกอดที่อยู่ข้างๆเขวี้ยงใส่เสิ่นเหลียง “เธอว่าใคร ไหนลองพูดอีกครั้งซิ”
วัยของมู่น่อนน่อน เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ผมดำผิวขาว หน้าตางดงาม สวยสะพรั่งสุดๆ ใส่ชุดนักเรียนแล้วมีความรู้สึกcosplayชุดนักเรียนจริงๆด้วย
เสิ่นเหลียงลุกขึ้นมาวิ่งจากทางด้านนี้ของโซฟาไปที่ทางโน้น พร้อมวิ่งไปด้วยแล้วตะโกนออกมาด้วย
มู่น่อนน่อนโดดขึ้นบนโซฟาและตามไปตีเธอโดยตรง
มู่น่อนน่อนหยุดอยู่กับที่ได้ครู่นึง ก็ได้เดินไปยังทิศทางของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวพิงอยู่บนโซฟา ดูแล้วเกียจคร้านกับเย็นชา
เขาได้ยินความเคลื่อนไหวแล้ว ได้เงยหน้าขึ้นมามองมู่น่อนน่อนแวบนึงพร้อมยักคิ้วเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้เธอว่ามีอะไรก็พูดมาเลย
มู่น่อนน่อนมองโซฟาที่อยู่ตรงข้ามเขาแวบนึง เธอก็ไม่ได้นั่งลง แค่ยืนคุยกับเขา “ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ เดิมทีคืออยากฝากให้ผู้ช่วยสือบอกคุณ แต่คุณอยู่ที่นี่แล้ว ฉันบอกคุณโดยตรงเลยดีกว่า”
ก็ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวตั้งใจฟังเธอพูดอยู่หรือเปล่า เขาได้ดูดบุหรี่แรงๆอีกคำ
นิ้วมือของเขาเรียวยาวสวยงาม แม้แต่ท่าทางในการดูดบุหรี่ก็ยังเพลินตาเพลินใจมากเป็นพิเศษ
เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย เอาบุหรี่ครึ่งมวนที่ยังดูดไม่หมดเขี่ยใส่ที่เขี่ยบุหรี่ จากนั้นถึงมองไปที่มู่น่อนน่อนอย่างเอื่อยเฉื่อย “เพราะฉะนั้น ”
“ฉันอยากพาลูกไปอยู่กับฉันช่วงนึง ” มู่น่อนน่อนได้พูดออกมาโดยตรง
เฉินถิงเซียวไม่มีปฏิกิริยาในทันที เขาจ้องมู่น่อนน่อนอย่างนิ่งๆอยู่หลายวินาที
ความเงียบของเขาทำให้มู่น่อนน่อนค่อนข้างตื่นเต้น เฉินถิงเซียวนี่คือไม่อยากให้เธอพาเฉินมู่ไปคอนโดของเธอเหรอ
สักพัก เฉินถิงเซียวได้นั่งตัวตรง แล้วพูดอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยคำนึง “อีกไม่นานก็วันส่งท้ายปีเก่าแล้ว”
น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยอารมณ์ซับซ้อนที่มู่ย่อนน่อนยากจะแยกแยะ
จู่ๆมู่น่อนน่อนนึกขึ้นได้ว่า หลังจากพวกเขาอยู่ด้วยกัน เหมือนไม่เคยอยู่ฉลองวันส่งท้ายปีเก่าด้วยกันดีๆเลย
วันส่งท้ายปีเก่าของปีแรกฉลองที่ตระกูลเฉิน ตระกูลเฉินก็เกิดเรื่อง
ในสามปีนั้นไม่มีอะไรต้องพูดถึงเลย
และปีนี้……
สมองของมู่น่อนน่อนค่อยๆปลอดโปร่ง เข้าใจความหมายที่แอลแฝงอยู่ในคำพูดของเฉินถิงเซียว “ถ้าคุณอยากฉลองวันส่งท้ายปีเก่ากับมู่มู่ ฉันส่งเธอกลับมาล่วงหน้าได้ค่ะ”
ใครจะไปรู้ว่าเฉินถิงเซียวเปิดปากก็ปฏิเสธโดยตรงเลย “ไม่ต้อง”
ไม่รอให้มู่น่อนน่อนไหวตัวทัน เฉินถิงเซียวก็ได้พูดว่า “วันส่งท้ายปีเก่าผมมีนัด ไม่ว่าง พรุ่งนี้คุณมารับเธอเลย”
เขาพูดจบก็ได้ลุกขึ้น และหันหลังขึ้นชั้นบนไป
แผ่นหลังเย็นชา ไม่หยุดลงเลย
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปากไว้ เหมือนเพื่อเอาคืน แล้วงอนยังไงอย่างงั้น เธอก็ได้เดินออกไปข้างนอกอย่างเร่งรีบทันที
ราวกับว่าพอเดินช้าปุ๊บ ก็จะขายขี้หน้า
เดินออกมาจากห้องโถง มู่น่อนน่อนมองดูรอบด้าน ก็เห็นฉีเฉิงหอบเสื้อคลุมและกำลังนั่งสูบบุหรี่กับบอดี้การ์ดหลายคนอยู่บนพื้น เหมือนเป็นเจ้าพ่อมาเฟียเลย
หน้าของบอดี้การ์ดมีแผลอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ชกต่อยกันมาเหรอ
มู่น่อนน่อนเดินตรงดิ่งไป ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก แค่พูดคำเดียวว่า “กลับกันเถอะ”
เธอพูดจบก็ได้เดินไปด้านนอกโดยตรงเลย ไม่นานฉีเฉิงก็ได้ตามมา
รู้สึกได้ว่าฉีเฉิงที่อยู่ข้างหลังฝีเท้ายิ่งอยู่ใกล้ มู่น่อนน่อนเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น ไม่หยุดฝีเท้าและไม่หันหน้ากลับมา “นายชกต่อยกับบอดี้การ์ดของเฉินถิงเซียวเหรอ ”
“อืม” ฉีเฉิงแค่ตอบคำนึง ยังคงไม่อยากพูดมากแม้แต่คำเดียวเหมือนก่อนหน้านี้
สำหรับหน้าตาแบบนี้ของฉีเฉิงแล้ว มู่น่อนน่อนชินจนกลายเป็นเรื่องปกติไปตั้งนานแล้ว
“ตอนนี้ฉันไม่อยากมีความเกี่ยวพันใดๆกับเฉินถิงเซียว จุดนี้นายก็รู้ดี ถึงฉันเป็นนายจ้างของนาย แต่พฤติกรรมส่วนตัวของนายไม่เกี่ยวกับฉัน”
ฉีเฉิงฟังความหมายในคำพูดของมู่น่อนน่อนออก ได้หัวเราะเยาะทีนึง “ผมซ้อมบอดี้การ์ดของเขา เขารู้อยู่ เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของผมอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับคุณหรอกครับ”
“งั้นก็ดี”มู่น่อนน่อนพึงพอใจกับการตอบของฉีเฉิงมาก
ตอนนี้เธอไม่อยากมีความเกี่ยวพันกับเฉินถิงเซียวสักนิดเลยจริงๆ
แต่ที่ตลกคือ แต่เธอก็ไม่มีทางไม่เกี่ยวข้องกับเฉินถิงเซียวจริงๆ
เฉินถิงเซียวเป็นพ่อของลูกสาวเธอ และเป็นผู้ลงทุนละครเรื่องใหม่ของเธอ
ระหว่างทางกลับบ้าน ในรถเงียบผิดปกติ
มู่น่อนน่อเพราะเจอกับเฉินถิงเซียวเลยทุกข์ใจ ส่วนฉีเฉิงก็ไม่รู้เพราะอะไร ดูเหมือนอารมณ์ก็ไม่ค่อยดีเหมือนกัน
ทั้งสองไม่มีท่าทีจะเป็นห่วงอีกฝ่ายกันเลย เงีบตลอดทางจนกระทั่งมาถึงจุดหมายปลายทาง
หลังลงจากรถ ทั้งสองขึ้นชั้นบนก็ได้แยกทางกันโดยตรง
มู่น่อนน่อนกลับมาถึงบ้าน เปิดดูตู้เย็นแวบนึงแล้ว ไม่มีอะไรกินเลย
ไหนๆก็ไหนแล้วจึงได้หยิบนมเปรี้ยวมาดื่มซะเลย
เธอดื่มนมเปรี้ยวไปด้วยและหยิบมือออกมาดูข่าวไปด้วย เพิ่งเปิดเจอข่าวของเสิ่นเหลียง มือถือเธอก็ได้ดังขึ้น
เสิ่นเหลียงโทรมาพอดี
พอรับสายปุ๊บ เสิ่นเหลียงก็ได้พูดว่า “ฉันอยู่ใต้ตึก”
มู่น่อนน่อนตกใจ มือที่ถือนมเปรี้ยวเอาไว้ควบคุมแรงได้ไม่ดี ไม่ระวังได้บีบนมเปรี้ยวออกมา แล้วสาดใส่บนเสื้อเธอ
“เธอกลับมาเมื่อไหร่ ”มู่น่อนน่อนรีบวางนมเปรี้ยวลง เปิดลำโพงคุยกับเสิ่นเหลียงไปด้วย และเอาทิชชูเช็ดคราบนมเปรี้ยวบนเสื้อไปด้วย
“ฉันจะกลับมาเมื่อไหร่ก็เรื่องของฉัน เธอยุ่งอะไรด้วย ฉันจะขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย”เสิ่นเหลียงรีบร้อน พอพูดจบก็วางสายทิ้งเลย
มู่น่อนน่อนเช็ดนมเปรี้ยวเสร็จ ได้ลุกไปล้างมือที่ห้องน้ำ ก็เห็นแผลบนคอตัวเองที่ยังไม่ได้หายดีหมดผ่านกระจก
วันนี้เธอใส่เสื้อไหมพรมคอเต่า ตอนที่ออกจากบ้านได้ใส่เสื้อคลุมและพันผ้าพันคอ กลับมาถึงบ้าน หลังจากถอดเสื้อคลุมและผ้าพันคอออก แผลบนคอก็ได้เผยออกมา
มู่น่อนน่อนก็ไม่รู้ว่าเสิ่นเหลียงมาหาเธออย่างรีบร้อนขนาดนี้คือเธอพบเห็นอะไรแล้วหรือเปล่า แต่เธอก็ไม่คิดจะพูดเรื่องของเจียงซ่งให้เสิ่นเหลียงฟัง
เพราะยังไงก็ผ่านไปแล้ว มีเรื่องน้อยก็ทุกข์น้อย เพื่อเสิ่นเหลียงจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง
มู่น่อนน่อนเพิ่งเปลี่ยนเสื้อไหมพรมคอเต่าออกมาจากห้องนอน ประตูห้องนอนก็“ก๊อกๆๆ” ถูกคนเคาะดังขึ้นจากข้างนอก
เธอเดินไปเปิดประตูอย่างไว ก็เห็นเสิ่นเหลียงยืนอยู่ที่หน้าห้อง
เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเหลียงกลับมาจากกองถ่าย ข้างๆมือยังมีสัมภาระวางอยู่ใบนึง
เธอใส่หมวกแก๊ปเอาไว้ หมวกของเสื้อโค้ตก็สวมอยู่บนหัว ผมค่อนข้างยุ่ง ไม่ได้แต่งหน้า แต่ดูแล้วหน้าตาสดชื่นมีชีวิตชีวามาก
“ช้าจังเลย เธอมัวแต่ทำอะไรอยู่ ”เสิ่นเหลียงบ่นคำนึง จากนั้นก็ได้หิ้วสัมภาระเดินเข้ามาโดยตรง
มู่น่อนน่อนยิ้ม จัดเสื้อไหมพรมคอเต่าของตัวเองอย่างสงบเยือกเย็น แล้วปิดประตูห้องนอน
“ทำไมไม่บอกล่วงหน้าสักคำ ก็มากะทันหันเลยล่ะ ”มู่น่อนน่อนพูดไปด้วยแล้วรินน้ำให้เสิ่นเหลียงไปด้วย
เสิ่นเหลียงเข้ามาในห้อง ก็โยนสัมภาระไว้ข้างๆแล้วโดดขึ้นไปบนโซฟาเลย คอยซุกอยู่ในโซฟารอมู่น่อนน่อนรินน้ำให้เธอ
มู่น่อนน่อนรินน้ำแล้วยื่นให้เสิ่นเหลียง
“ขอบใจจ้า”เสิ่นเหลียงรับน้ำมาดื่มคำนึง ก็ได้วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้า
มู่น่อนน่อนรู้ว่าเธอมีเรื่องจะพูด ก็เลยนั่งลงที่ข้างกายเธอ
และแล้วก็จริงด้วย เธอนั่งลงปุ๊บ เสิ่นเหลียงก็เขยิบเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเลย “ได้ยินมาว่าบริษัทเฉินซื่อจะลงทุน เมืองพัง2 ”
“ข่าวของเธอไวดีหนิ”มู่น่อนน่อนก็เพิ่งรู้เรื่องนี้ในวันนี้นี่เอง คิดไม่ถึงเลยว่าเสิ่นเหลียงก็รู้แล้ว
เสิ่นเหลียงเชอะทีนึง แล้วทำสีหน้าได้ใจ “ดูถูกฉัน เส้นสายของฉันเยอะกว่าของเธอก็แล้วกัน”
มู่น่อนน่อนยิ้มอ่อนๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร
“เธอกับประธานเฉินคืนดีกันแล้วเหรอ ”เสิ่นเหลียงได้ถามอย่างสอดรู้สอดเห็นอีก
“ยัง”สีหน้าของมู่น่อนน่อนจืดจางลงมาบ้าง หลุบตาลง หายใจลึกๆทีนึงแล้วพูดว่า “ก็อย่างนี้แหละ ไม่มีทางคืนดีกันอีกแล้ว”
“ห๊ะ ”เสิ่นเหลียงมึนไปครู่นึง
เธอลงเครื่องปุ๊บ ก็ได้นั่งรถมาอย่างดีอกดีใจโดยตรงเลย ก็เพราะรู้ว่าเฉินถิงเซียวจะลงทุน เมืองพัง2 เธอยังนึกว่ามู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวคืนดีกันแล้ว
อะไรกัน
ไหนสือเย่บอกว่าเฉินถิงเซียวประชุมอยู่ที่บริษัทไม่ใช่เหรอ
ทำไมเฉินถิงเซียวยังอยู่ที่บ้านได้ล่ะ
เฉินถิงเซียวลงมาจากชั้นบน ตอนที่เห็นมู่น่อนน่อน แววตามีความประหลาดใจแวบผ่านอย่างไว
มู่น่อนน่อนนึกขึ้นถึงวันที่เธอถูกคนของเจียงซ่งขัดขวาง ภาพเหตุการณ์ที่เฉินถิงเซียวกับซูเหมียนโอบกอดกันอยู่ข้างถนน
หลายวันมานี้ ภาพนั้นคอยตอกย้ำเธอตลอดว่าเฉินถิงเซียวไม่ใช่เฉินถิงเซียวคนก่อนหน้านี้แล้ว
มู่น่อนน่อนกำมือไว้แน่น รู้สึกความหนาวเย็นหนาวจากศีรษะลงมาสู่เท้า
เธอเม้มปากไว้แน่น เสียงที่เปล่งออกมาแฝงด้วยความเย็นชา “ผู้ช่วยสือบอกว่าคุณประชุมอยู่ที่บริษัท ฉันถึงมาที่นี่”
“งั้นเหรอ ”นาทีนี้เฉินถิงเซียวได้ลงบันไดมาแล้ว กำลังเดินมาหาเธอ
เขาได้หยุดลงตรงตำแหน่งที่ห่างจากมู่น่อนน่อนสามก้าว “สือเย่ได้บอกหรอว่าผมประชุมอยู่ที่บริษัท คือสือเย่พูดไม่ชัดเจน หรือว่าคุณฟังได้ไม่ชัดเจนพอ ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกตัวเองคงจะบ้าไปแล้ว
เพราะนาทีนี้ ในหัวเธอไม่ได้คิดว่าจะโต้แย้งคำพูดที่แฝงด้วยการยั่วยุของเฉินถิงเซียวยังไง แต่สิ่งที่เธอคิดคือเฉินถิงเซียวผอมลงมาก ดูแล้วซูบผอมไปเยอะเลย
เธอกับเฉินถิงเซียวใช้ชีวิตมาด้วยกันนาน ต่างก็คุ้นเคยซึ่งกันและกันมาก
ดังนั้น พอไม่ได้เจอหน้ากันช่วงนึง เธอก็สามารถพบเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเฉินถิงเซียวผอมลง
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่ควบคุมตัวเองได้ดีมาก น้ำหนักจะรักษาเอาไว้ที่ตัวเลขเดิมตลอด ไม่เคยขึ้นเลย นอกจากเหนื่อยล้าเกินไปถึงจะลดลงมาหน่อย
เฉินถิงเซียวที่หลังจากซูบผอมลง ดูแล้วเหมือนยิ่งดุร้ายมากขึ้น หน้าตาก็ยิ่งคมเข้มขึ้น ให้ความรู้สึกที่ยิ่งหล่อกระชากใจมากยิ่งขึ้น
เฉินถิงเซียวที่เป็นแบบนี้ สำหรับมู่น่อนน่อนแล้วรู้สึกแปลกตานิดหน่อย
มีความรู้สึกเหมือนผ่านไปหนึ่งชาติภพในชั่วขณะ
“พูดสิ”
เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายอยู่ใกล้แค่เอื้อม
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมากะทันหัน ถึงพบว่าตอนที่เธอเหม่อลอย เฉินถิงเซียวได้เดินมาที่ตรงหน้าเธอแล้ว
เขาหลุบตามองเธอ แววตามีการสำรวจที่สังเกตเห็นได้ยาก สายตาของเขากวาดผ่านใบหน้าเธอ แล้วหยุดอยู่ที่บนคอของเธออยู่ครู่นึง
มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นสายตาของเขาได้อย่างหลักแหลม ทันใดนั้นได้ยื่นมือบังแผลช่วงคอที่เพิ่งหายเอาไว้
ตำแหน่งคอที่เธอได้รับบาดเจ็บ ที่จริงใกล้ตำแหน่งท้ายทอยแล้ว
นี่เป็นท่าทางที่เธอทำโดยไม่รู้ตัว
วันนั้นเธอแบกร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บไปยืนอยู่ที่ตรงหน้าของเขากับซูเหมียนอย่างน่าอนาถสุดๆ คำเย็นชาที่ว่า“คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง ไม่ต้องถามให้มากความ”ของเขา แต่ละถ้อยคำล้วนทิ่มแทงใจเธอมาก
ความหนาวเย็นแบบนั้นได้พุ่งขึ้นมาจากฝ่าเท้าอีก
มู่น่อนน่อนอดสั่นไม่ได้
ก็ไม่รู้เฉินถิงเซียวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนึกอะไรขึ้นมาได้ จู่ๆได้เดินมาข้างหน้าก้าวนึง
มู่น่อนน่อนถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไหวตัวทัน แววตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
เธอไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวจะทำอะไรอีก
เธอเคยเห็นหน้าตาอ่อนโยนรักใครรักจริงของผู้ชายคนนี้ เธอเห็นหน้าตาเย็นชาไร้เยื่อใยของเขา
และตอนนี้ เธอได้แต่ใช้ศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่อันน้อยนิดนี้รักษาหน้าตัวเองเอาไว้
ในเมื่อเขาเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะปล่อยมือ ถ้าอย่างนั้น งั้นก็ต่างฝ่ายต่างเด็ดขาดและจากกันด้วยดีหน่อย
“ฉันจะขึ้นไปดูมู่มู่หน่อย”มู่น่อนน่อนพูดจบก็ได้เดินผ่านข้างกายเขาอย่างเร่งรีบ ได้ขึ้นไปชั้นบนอย่างกับหนี ไม่เหลียวมองเฉินถิงเซียวอีก
เฉินถิงเซียวยืนหันหลังให้กับบันได ถึงมู่น่อนน่อนหันกลับมาดูก็มองไม่เห็นใบหน้าเขา
ในที่ๆเธอมองไม่เห็น สีหน้าของเฉินถิงเซียวเหมือนมีหิมะเย็นอวบผ่านยังไงอย่างงั้น เย็นชาจนไร้ชีวิตจิตใจ
ในห้องโถงที่ว่างเปล่า นอกจากเฉินถิงเซียวแล้ว ยังมีฉีเฉิงอยู่อีกคน
เมื่อครู่ ฉีเฉิงได้มองเรื่องที่เกิดขึ้นกับเฉินถิงเซียวและมู่น่อนน่อนเอาไว้ในสายตาหมดแล้ว
มู่น่อนน่อนขึ้นไปชั้นบน เขาก็รอเธอลงมาอยู่ที่ห้องโถง
เขาเห็นเฉินถิงเซียวยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ ก็ได้เดินไปหาเฉินถิงเซียว
ฉีเฉิงเอามือสองข้างล้วงกระเป๋า แล้วพูดอย่างทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่ “ต่างก็บอกว่าผู้หญิงเข้าใจยาก ผมรู้สึกบางครั้งผู้ชายก็เข้าใจยากเหมือนกัน โดยเฉพาะผู้ชายอย่างคุณ”
เฉินถิงเซียวหลุบตาลง จัดแขนเสื้อตัวเองอย่างเอื่อยเฉื่อย ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แววตาไม่มีอารมณ์ใดๆแล้ว
เขาแค่พูดอย่างใจเย็นคำนึง สีหน้าของฉีเฉิงก็เปลี่ยนไปทันที
“เฉินจิ่งหยุ้นรักษาตัวอยู่ที่ต่างประเทศไม่ราบรื่นเลย”
“เฉินถิงเซียว” ฉีเฉิงกัดฟันเรียกชื่อของเขา
เฉินถิงเซียวแสยะยิ้มมุมปาก แฝงด้วยกลิ่นอายของความดุร้ายชั่วร้ายไปทั้งตัว
“ทำตามสัญญาของเราดีๆ อย่างนี้ การรักษาของเฉินจิ่งหยุ้นถึงจะยิ่งราบรื่นขึ้น” เสียงของเฉินถิงเซียวทุ้มต่ำและเชื่องช้า ฉีเฉิงฟังแล้วกลับมีความรู้สึกกลัวจนขนลุก
ฉีเฉิงกำหมัดไว้แน่น จ้องเฉินถิงเซียวเอาไว้อย่างหน้าเขียวหน้าดำ พร้อมตะคอกเสียงต่ำ “เธอเป็นพี่สาวแท้ๆของคุณที่คลอดออกมาจากแม่คนเดียวกันนะ ”
“แล้วจะทำไม ”เดิมทีใบหน้าของเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้เผยสีหน้าออกมาอยู่แล้วแล้ว ได้เก็บสีหน้าเอาไว้ที่สุดเท่าที่จะมากได้ เสียงเย็นชาจนน่ากลัว “ฉันถูกบีบจนถึงขั้นนี้ ก็เพราะการผสมโรงของเฉินจิ่งหยุ้นด้วย”
“แต่เธอสำนึกผิดแล้ว”
เฉินถิงเซียวหัวเราะเสียงต่ำ เสียงหัวเราะฟังแล้วมีแต่ความเย็นชา “ฉันให้อภัยเธอ แล้วใครให้อภัยฉัน ”
ฉีเฉิงสลัดมืออย่างแรง จากนั้นได้เดินไปด้านนอกด้วยความโกรธ
จากนั้น เฉินถิงเซียวก็ได้เสียงโอดโอยอยู่หลายที
เหมือนเสียงหมัดชกใส่กำแพง
หลังจากฉีเฉิงเดินออกมาชกกำแพงหมัดนึงแล้ว ได้หายใจหอบอยู่หลายที พอหันไปก็เห็นบอดี้การ์ดที่เดินผ่านหลายคน ทันใดนั้นเขาได้ส่งเสียงเรียกพวกเขาเอาไว้ “ประลองฝีมือกันหน่อย”
ก่อนหน้านี้ฉีเฉิงเคยพักอยู่ที่วิลล่าของเฉินถิงเซียวอยู่ช่วงนึง บอดี้การ์ดในวิลล่าต่างก็รู้จักเขาอยู่
แต่ต่างก็ค่อนข้างเกรงกลัวฉีเฉิง
พวกเขาไม่ค่อยรู้ประวัติของฉีเฉิง แต่ก็รู้ว่าฉีเฉิงไม่ใช่คนธรรมดา
“เข้ามาพร้อมกันเลย”ฉีเฉิงก็ไม่สนว่าพวกเขาเห็นด้วยหรือเปล่า เขาได้ถอดเสื้อคลุมออกโดยตรง จากนั้นได้พยักหน้าให้กับพวกเขา “มาเลย”
เฉินถิงเซียวที่อยู่ในบ้านได้ยินเสียงร้องโอดโอยของบอดี้การ์ดแล้ว ไม่มีปฏิกิริยาใดๆเลย
เขาเดินไปนั่งที่โซฟา จุดบุหรี่ขึ้นมามวนนึง พอดูดคำนึงแล้วได้คีบเอาไว้ในมือ ไม่แตะต้องมันอีก
……
มู่น่อนน่อนไปที่ห้องนอนของเฉินมู่ พบว่าเฉินมู่กำลังหลับอยู่
ถึงแม้เฉินถิงเซียวซูบผอมลง แต่กลับดูแลเฉินมู่ได้ดีมาก เธอดูแล้วอ้วนขึ้นกว่าก่อนหน้านั้นที่เจออีกนิดหน่อย
สีหน้าดูดีมาก ใบหน้าเล็กๆดูมีเลือดฝาดและแก้มตุ้ยนุ้ยมาก กำลังห่มผ้าเอาไว้และหลับลึกอยู่
มู่น่อนน่อนมองเฉินมู่ ไม่นึกเลยว่าอารมณ์ที่หดหู่ติดต่อกันมาหลายวัน นาทีนี้สบายใจขึ้นมาไม่น้อยเลย
เธอแข็งใจปลุกลูกตื่นไม่ได้ เธอแค่มองลูกอย่างเงียบๆ ก็ยังรู้สึกอิ่มเอมใจสุดๆเลย
เธอมองเฉินมู่อยู่อย่างนี้สักพัก ก็ได้ลุกขึ้นเดินออกมาจากห้องแล้ว พร้อมทั้งได้ปิดประตูอย่างเบามือเบาเท้า
ผ่านไปนานขนาดนี้ เธอนึกว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้อยู่ที่ห้องโถงแล้ว
แต่ตอนที่เธอลงไป พบว่าเฉินถิงเซียวกำลังสูบบุหรี่อยู่ที่ห้องโถง
ที่เขี่ยบุหรี่ที่วางอยู่ตรงหน้าเขามีก้นบุหรี่ทิ้งอยู่หลายอันแล้ว
เมื่อก่อนตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ที่จริงมู่น่อนน่อนไม่ค่อยคุมเฉินถิงเซียวสูบบุหรี่เลย และตอนนั้นเฉินถิงเซียวก็สูบไม่ค่อยเยอะเหมือนกัน
ในเรื่องแบบนี้ ที่จริงเขามีด้านที่ละเอียดรอบคอบมาก
แต่ตอนนี้ มู่น่อนน่อนก็ไม่มีสิทธิ์ไปคุมเขาตั้งนานแล้ว
ในใจซูเหมียนคิดอะไรอยู่ มู่น่อนน่อนรู้ดี
ซูเหมียนนี่คือตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าจะเป็นปรปักษ์กับเธอ เธอก็ย่อมไม่ถอยอยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนรู้ว่าซูเหมียนเก็บกดมานาน ตอนนี้อุตส่าห์พลิกชะตาได้แล้ว ก็ย่อมต้องกู้หน้ากลับคืนมาสุดชีวิตอยู่แล้ว
“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ดูบทก่อนเถอะ” มู่น่อนน่อนเอาฮาร์ดดิสก์ที่พกติดตัวไว้ออกมา แล้วยื่นให้กับฉินสุ่ยซาน
บทละครที่เหลืออีกหลายตอนล้วนอยู่ในนั้น
พอพูดเรื่องงาน สีหน้าของฉินสุ่ยซานก็จริงจังขึ้นมา “ฉันลองดูก่อน”
ฉินสุ่ยซานดูอย่างจริงจังมาก ตรงไหนที่ไม่เข้าใจยังได้ถามอยู่เป็นครั้งคราว
“หลังจากนี้อาจจะต้องให้เธอคอยตามอยู่ในกองถ่ายหน่อย หลังจากนี้ยังมีกลายจุดที่ต้องแก้”
“ถึงจะเริ่มถ่ายทำ อย่างน้อยก็ต้องรอหลังปีใหม่มั้ง ”มู่น่อนน่อนไม่มีความคิดเห็นอะไรกับสิ่งนี้
ราคาที่ฉินสุ่ยซานให้ไม่เลว อีกอย่างทางด้านบทละคร ฉินสุ่ยซานก็ให้เกียรติกับเธอที่เป็นนักเขียนบทต้นฉบับมาก
“ใช่ ต้องหลังปีใหม่อยู่แล้ว”ฉินสุ่ยซานพูดจบแล้วได้ดูนาฬิกาแวบนึง “เวลาล่วงเลยมานานแล้ว ไปทานข้าวด้วยกันเถอะ”
มู่น่อนน่อนก็ไม่ปฏิเสธ ได้พยักหน้า
ตอนที่ทั้งสองออกไปด้วยกัน มู่น่อนน่อนได้ตรงดิ่งไปที่รถสีดำคันนึง
ก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่มู่น่อนน่อนมาสตูดิโอของฉินสุ่ยซานล้วนขับรถมาเอง ฉินสุ่ยซานคุ้นเคยกับรถของมู่น่อนน่อนอยู่ เธอมองรถคันนั้นแวบนึง ก็รู้เลยว่ารถคันนั้นไม่ใช่รถของมู่น่อนน่อน
ในรถเหมือนจะมีคน
มู่น่อนน่อนเดินมาถึงข้างประตูรถ ก็ได้ยื่นมือเคาะกระจกรถ
กระจกรถเลื่อนลง ใบหน้าของฉีเฉิงได้โผล่อยู่ที่ตรงหน้า
ฉีเฉิงที่ในฐานะเป็นบอดี้การ์ดของเธอ พอออกจากบ้านก็คอยตามติดเธออย่างทำหน้าที่ได้เต็มที่สุดๆ
“ฉันจะไปทานข้าวกับฉินสุ่ยซาน”มู่น่อนน่อนก้มหน้าเล็กน้อย แล้วพูดกับฉีเฉิงที่อยู่ด้านใน
ฉีเฉิงพยักหน้าทีนึง หน้าตาเหมือนไม่อยากพูดเยอะ
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าที่จริงฉีเฉิงก็แปลกประหลาดดีนะ ปกติตอนที่เขาไปมาหาสู่กับเธอเป็นคนละเอียดรอบคอบดี เป็นห่วงเธอมาก แค่ปกติค่อนข้างเย็นชาไปหน่อยเอง
เย็นชาขนาดนั้น ไม่เข้ากับที่เขาเป็นห่วงเธอเลย
เหมือนอย่างกับว่ามีคนบีบบังคับเขา ให้เขาดีกับเธอยังไงอย่างงั้น
มู่น่อนน่อนคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าเดิมทีฉีเฉิงก็เป็นคนที่นิสัยแปลกประหลาดอยู่แล้ว
ฉีเฉิงไม่อยากพูดมาก แต่มู่น่อนน่อนที่ในฐานะเป็นนายจ้างที่ใจดีคนนึง ก็ยังได้ถามว่า “นายจะทานกับพวกเราหรือว่า ”
“ไม่ต้องสนใจผมหรอกครับ”ฉีเฉิงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ก็ได้
มู่น่อนน่อนหันหลังเดินกลับมาที่ข้างกายของฉินสุ่ยซาน
ถึงแม้เมื่อครู่ฉินสุ่ยซานไม่ได้ตามไป แต่เธออยู่ห่างจากรถของฉีเฉิงไม่เยอะ เธอเห็นหน้าของฉีเฉิงไม่ชัด รู้แค่ว่าเป็นผู้ชายคนนึง
มู่น่อนน่อนเดินมาปุ๊บ ฉินสุ่ยซานก็ยิ้มอย่างคลุมเครือเลย “ฉันถึงว่าล่ะว่าทำไมหน้าตาเธอเหมือนไม่แคร์เลย ที่แท้ก็หาใหม่ได้แล้วนี่เอง”
“ของใหม่ของเก่าอะไร ”มู่น่อนน่อนดึงสติกลับมาไม่ได้ในชั่วขณะ
ฉินสุ่ยซานมองไปที่ฉีเฉิงแวบนึง แล้วกระซิบที่ข้างหูมู่น่อนน่อนว่า “ก็ผู้ชายคนใหม่ไง”
มู่น่อนน่อนอึ้งไปครู่นึง แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “เขาเป็นบอดี้การ์ดของฉัน”
“ห๊ะ ”ทีนี้กลายเป็นฉินสุ่ยซานที่อึ้ง
เมื่อครู่เธอยังคิดว่าผู้ชายที่อยู่ในรถคนนั้นคือแฟนใหม่ของมู่น่อนน่อนเสียอีก
ฉินสุ่ยซานรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย
เธอรีบเปลี่ยนประเด็น “ขึ้นรถก่อน หิวจะตายอยู่แล้ว”
มู่น่อนน่อนทำตามที่เจ้านายสั่ง ก็ไม่ได้พูดประเด็นนี้ต่ออีก
หลังจากเธอคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จ ได้มองผ่านกระจกมองหลังแวบนึง พบว่าฉีเฉิงได้ขับรถตามมา
หลังจากผ่านเรื่องของคราวก่อน รถของมู่น่อนน่อนก็ได้เอาไปบำรุง ไม่ได้เอากลับมาสักที ฉีเฉิงได้ขับรถของเขาเอง
รถของฉีเฉิงไม่แพง สองแสนกว่าหยวน ดูเรียบง่ายธรรมดามาก
……
ฉินสุ่ยซานพามู่น่อนน่อนมาร้านอาหารสุดครีเอทีฟที่เพิ่งเปิดใหม่ รสชาติธรรมดามาก
พูดโดยตรงหน่อยก็คือไม่ค่อยอร่อย
แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่แคร์อันนี้ กับข้าวมาเสิร์ฟปุ๊บก็ก้มหน้าทานข้าวเลย
ฉีเฉิงก็เข้ามาด้วย ได้นั่งที่ข้างๆของพวกเธอและได้สั่งอาหารด้วย
มู่น่อนน่อนแค่อยากรีบทานข้าวให้เสร็จแล้วกลับบ้านเร็วๆ
ช่วงนี้เนื่องจากบาดแผลยังไม่หายดี เธอไม่ได้ไปหาเฉินมู่เลย
ตอนนี้ตัดไหมแล้วและดีขึ้นมาบ้างแล้ว เธออยากไปหาเฉินมู่
ถ้าเป็นไปได้ เธออยากลองคุยกับเฉินถิงเซียวดู ว่าเธอจะรับเฉินมู่ไปอยู่ที่คอนโดเธอช่วงนึง
ใกล้จะสิ้นปี ตอนนี้เธอก็ไม่มีอะไรให้ทำ อีกทั้งยังมีบอดี้การ์ดที่ความสามารถโดเด่นอย่างฉีเฉิงอยู่ เธอก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย
ตอนที่มู่น่อนน่อนกินข้าว ไม่ได้สังเกตเห็นฉีเฉิงที่อยู่ข้างๆ กลับเป็นฉินสุ่ยซานที่มองไปทางฉีเฉิงอยู่บ่อยครั้ง
ผ่านไปสักพัก ฉินสุ่ยซานได้เขยิบจากฝั่งตรงข้ามมาที่ข้างกายมู่น่อนน่อนอย่างลับๆล่อๆ “บอดี้การ์ดคนนั้นของเธอไปหามาจากไหน ดูแล้วไม่ธรรมดาเลย”
“อื๊ม มีอะไรเหรอ ” มู่น่อนน่อนก็อดหันไปมองทิศทางของฉีเฉิงไม่ได้
ฉีเฉิงสั่งอาหารมาสองชุด ได้กินจนหมดเกลี้ยงแล้ว กำลังถือโทรศัพท์ไว้ไม่รู้คิดอะไรอยู่ ขมวดคิ้วไว้เหมือนเจอเรื่องกลุ้มใจอะไร
น้อยมากที่มู่น่อนน่อนจะเห็นอารมณ์ของฉีเฉิงเผยออกมาทางสีหน้า เธอแอบคาดเดาอยู่ในใจว่าฉีเฉิงอาจจะเห็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเฉินจิ่งหยุ้น
“เธอไม่รู้สึกว่าบอดี้การ์ดของเธอดูแล้วเหมือนเจ้าพ่อมาเฟียในหนังเหรอ เขาดูแล้วมีความรู้สึกผ่านอะไรมาเยอะ เก็บซ่อนความสามารถไว้หมด ”
ต้องยอมรับว่าฉินสุ่ยซานดูคนได้แม่นยำมาก
“ใช่เหรอ ทำไมฉันดูไม่ออกเลย เขาแค่หน้าดุนิดหน่อยเฉยๆ” มู่น่อนน่อนไม่ปริปากพูดว่าถูกหรือผิด มีเจตนาอยากจะช่วยฉีเฉิงปกปิดสถานะ
ดีที่ฉินสุ่ยซานแค่เอ่ยขึ้นมาเฉยๆ บอดี้การ์ดคนนึงไม่คุ้มค่าให้เธอเอามาใส่ใจจริงๆ
ทานข้าวเสร็จ มู่น่อนน่อนกับฉินสุ่ยซานได้แยกกันแล้วนั่งรถของฉีเฉิงกลับไป
มู่น่อนน่อนอยากไปหาเฉินมู่ ก็เลยค่อนข้างเสียสมาธิ
เธอคิดๆแล้วถึงได้โทรหาสือเย่
สือเย่รับสายไวมาก เสียงรอสายดังขึ้นแค่สองทีก็รับสายแล้ว
“คุณมู่ครับ” ครั้งนี้สือเย่เปลี่ยนคำพูดได้คล่องเชียว
ที่ผ่านมาสือเย่เคารพนอบน้อมและเกรงใจเธอมาโดยตลอด มู่น่อนพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ผู้ช่วยสือ เฉินถิงเซียวอยู่บริษัทเฉินซื่อหรือเปล่า ”
ถึงแม้ตอนนี้เธอกับเฉินถิงเซียวกลายเป็นแบบนี้ แต่สือเย่ไม่ได้ขัดใจเธอ เธอก็ย่อมเกรงใจสือเย่อยู่แล้ว
สือเย่ที่อยู่ในสายเงียบไปครู่นึง “คุณชายประชุมอยู่ครับ”
“อ๋อ ถ้าเขาประชุมเสร็จ นายบอกเขาหน่อยนะว่าฉันอยากรับมู่มู่ไปอยู่กับฉันช่วงนึง รบกวนนายแล้วนะ”
น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนเกรงใจขนาดนี้ สือเย่ก็ย่อมใช้น้ำเสียงต้องทำตามหน้าที่ “ผมรู้แล้วครับ เดี๋ยวผมจะบอกคุณชายให้ครับ”
วางสายลง มู่น่อนน่อนได้มองไปที่ฉีเฉิง “ไปวิลล่าของเฉินถิงเซียว ฉันจะไปหามู่มู่”
ฉีเฉิงมองเธอแวบนึง เหมือนมีความหมายแอบแฝง
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว “นายจ้องฉันแบบนี้ทำไม ”
ฉีเฉิงก็ไม่พูดจา ได้ขับไปที่วิลล่าของเฉินถิงเซียวโดยตรง
หลังจากมาถึงวิลล่าของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนลงจากรถ แล้วพาฉีเฉิงเดินเข้าไปข้างใน
เฉินถิงเซียวประชุมอยู่ที่บริษัท มู่น่อนน่อนมาหาเฉินมู่ที่วิลล่าของเขา รู้สึกว่าผ่อนคลายลงเยอะเลย
ตอนนี้เธอก็ยังคิดไม่ออกว่าจะใช้อารมณ์ยังไงไปเผชิญหน้ากับเฉินถิงเซียว
เพียงแต่ ตอนที่เธอเดินเข้ามาในห้องโถง ก็เห็นผู้ชายที่เดิมทีควรจะประชุมอยู่ที่บริษัท กำลังลงมาจากชั้นบน……
ช่วงเวลาต่อจากนี้ จนกระทั่งแผลของมู่น่อนน่อนตัดไหมแล้ว ก็ไม่มีคนมาหาเรื่องมู่น่อนน่อนอีกเลย
แต่ระหว่างนั้นลี่จิ่วเชียนเคยโทรหาเธอหลายครั้งอยู่
แต่ก็แค่โทรศัพท์เฉยๆ ไม่ได้หามาถึงที่
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ออกจากบ้านสักเท่าไหร่ จึงย่อมไม่มีข่าวของเจียงซ่ง
ตอนที่มู่น่อนน่อนออกไปตัดไหม มีฉีเฉิงไปเป็นเพื่อนเธอ
ถ้าตัดอดีตของฉีเฉิงทิ้งไป เขาเป็นบอดี้การ์ดที่ทุ่มเทกับหน้าที่การงานสุดๆและเป็นบอดี้การ์ดที่มีความสามารถด้วย
และมู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าฉีเฉิงเป็นบอดี้การ์ดให้เธอเหมือนค่อนข้างใช้คนที่มีความสามารถไม่เหมาะกับงาน
แต่ราวกับว่าฉีเฉิงไม่ได้รู้สึกแบบนี้ และไม่ได้ขี้เกียจเพราะค่าจ้างที่มู่น่อนน่อนให้ไม่สูงเลย
คนอย่างนี้ ไม่เป็นบอดี้การ์ด ทำเรื่องอย่างอื่นก็ไม่แย่หรอก
หลังจากตัดไหมเสร็จ มู่น่อนน่อนก็ได้พักฟื้นอีกหลายวัน ใกล้วันสิ้นปี ฉินสุ่ยซานก็ได้โทรมาตามบทกับมู่น่อนน่อนอีก
ฉบับแรกของ เมืองพัง2 มู่น่อนน่อนเขียนเสร็จหมดแล้ว สำหรับจุดที่อาจจะต้องแก้และไม่ผ่านการตรวจสอบ เธอก็ได้มาร์คเอาไว้แล้ว ได้เขียนแผนการแก้ไขไว้
มู่น่อนน่อนถือบทละครไปที่สตูดิโอของฉินสุ่ยซาน
ตอนที่เธอไป พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ได้พูดทักทายกับเธออย่างเป็นกันเองเหมือนปกติ
“บอสพวกเธอล่ะ อยู่ออฟฟิศเหรอ ”มู่น่อนน่อนได้นัดฉินสุ่ยซานเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ที่เธอถามแบบนี้ แค่ถามดูเฉยๆ
แต่คาดไม่ถึง เธอเพิ่งพูดออกมา พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ก็เผยสีหน้าดูแย่ออกมาเลย “บอสเจอแขกอยู่ค่ะ”
ฉินสุ่ยซานมีแขกเป็นเรื่องปกติมาก มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้คิดมาก “งั้นฉันรอเธอ”
จากนั้นมู่น่อนน่อนได้หยิบนิตยสารมาเล่มนึง แล้วนั่งรอฉินสุ่ยซานอยู่บนโซฟา
ผ่านไปสักพัก ประตูออฟฟิศของฉินสุ่ยซานเปิดออก
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงประตู พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นคนที่ออกมาจากออฟฟิศของฉินสุ่ยซานพอดี
ซูเหมียน
เมืองหู้หยางช่างแคบจริงๆ
นิ้วมือที่มู่น่อนน่อนจับหน้าชื่อเรื่องของนิตยสารไว้ อดกำแน่นขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
ตอนที่ซูเหมียนเห็นมู่น่อนน่อน ใบหน้ามีความประหลาดใจที่พอเหมาะพอดีแวบผ่าน ราวกับเธอไม่รู้จักมู่น่อนน่อนยังไงอย่างงั้น ต่อมา เธอได้หันไปมองฉินสุ่ยซานที่อยู่ด้านหลัง “คุณฉิน คุณยังมีแขกท่านอื่นอีกรออยู่เหรอ ”
ซูเหมียนนี่คือแกล้งทำเป็นไม่รู้จักมู่น่อนน่อน
ฉินสุ่ยซานจะไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างซูเหมียน เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนสามคนนี้ได้อย่างไร
ถ้าจะแบ่งว่าใครแพ้ใครชนะ สำหรับตอนนี้ในหลายคนนี้ ผู้ที่ชนะเลิศที่สุดคือซูเหมียน
ก่อนหน้านี้ซูเหมียนขายหน้าไปไม่น้อยเลย ในที่สุดตอนนี้ก็ได้อยู่กับเฉินถิงเซียวแล้วก็ย่อมเงยหน้าอ้าปากได้ และอยากกู้หน้ากลับคืนมา
ฉินสุ่ยซานรู้ความคิดของซูเหมียนดีมาก แต่ตอนนี้ต่อหน้าซูเหมียนก็ขัดใจเธอไม่ได้
เธอส่งสายตา“ใจเย็นๆรออีกเดี๋ยวนะ”ให้มู่น่อนน่อน จากนั้นได้พูดด้วยรอยยิ้มทันที “คุณซู ฉันขอแนะนำให้คุณรู้จักหน่อยค่ะ นี่คือมู่น่อนน่อนค่ะ เธอก็คือนักเขียนของเมืองพัง ค่ะ”
“น่อนน่อน เธอรีบมาเร็ว ท่านนี้คือแฟนของคุณซู ผู้ลงทุนการถ่ายทำของ เมืองพัง2 ”ฉินสุ่ยซานยิ้มได้ค่อนข้างแข็งกระด้าง
มู่น่อนน่อนฟังแล้ว ได้ลุกขึ้นมาพร้อมมองไปที่ฉินสุ่ยซานทันที
ฉินสุ่ยซานถอนหายใจทีนึง หันหน้าไปอีกทางเพื่อหลบสายตาเธอ
มู่น่อนน่อนรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถามเซ้าซี้ ซูเหมียนยังอยู่ที่นี่ มีเรื่องอะไรก็ต้องรอให้ซูเหมียนไปแล้วเธอถึงค่อยไปถามฉินสุ่ยซาน
มู่น่อนน่อนเม้มปากเดินไปหาซูเหมียน น้ำเสียงทำตามหน้าที่ “สวัสดีค่ะ ดิฉันมู่น่อนน่อนค่ะ”
เธอไม่คิดจะยื่นมือไปจับมือกับซูเหมียนหรอก เธอรู้ว่าถึงเธอยื่นมือไปแล้ว ซูเหมียนก็ไม่จับมือกับเธอแน่นอน
ซูเหมียนเหมือนจะอ่านความคิดของเธอออก แววตามีความเย็นชาแวบผ่าน สีหน้าก็เย็นชาลง
เธอไม่ชายตามองมู่น่อนน่อนเลย ได้หันมาพูดกับฉินสุ่ยซานว่า “คุณฉิน ในเมื่อถิงเซียวถูกใจทีมของพวกคุณ ฉันเชื่อว่าพวกคุณก็คงมีจุดที่เก่งกว่าคนอื่นแน่นอนค่ะ”
“ขอบคุณๆซูที่ชื่นชมความสามารถของพวกเรานะคะ”หลายปีมานี้ฉินสุ่ยซานยิ่งอยู่ยิ่งรับมือได้รอบคอบและชำนาญแล้ว ถึงคำพูดของซูเหมียนฟังแล้วทำให้คนไม่สบายใจ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินสุ่ยซานก็ไม่ลดลงเลย
“แต่ว่า……”ซูเหมียนพูดถึงตรงนี้ แล้วได้เปลี่ยนคำพูด “คนที่ฉลาดมากแค่ไหน บางครั้งก็ดูคนผิดเหมือนกัน หาคนร่วมงาน จะต้องตาสว่างหน่อยนะ จะได้ไม่เจอพวกคนไม่ได้เรื่อง……”
คำพูดนี้เห็นได้ชัดมากว่ามุ่งเป้ามาที่มู่น่อนน่อน
แม้แต่คนโง่ก็ยังสามารถฟังออกเลยว่า คำพูดนี้มีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่
มู่น่อนน่อนไม่พูดจา กลับกันยังเป็นฉินสุ่ยซานที่สีหน้าค่อนข้างแย่
ฉินสุ่ยซานก็ไม่ค่อยถูกกับซูเหมียนเลย ฐานะของครอบครัวเธอก็ไม่แย่ แต่เธอเกลียดน้ำเสียงยโสโอหังของซูเหมียนมาก
แม้แต่ยิ้มเธอก็ขี้เกียจจะแกล้งยิ้มแล้ว ถอยหลังไปครึ่งก้าว น้ำเสียงเย็นชาและห่างเหิน “ถ้าคุณซูไม่มีธุระอะไรแล้ว งั้นฉันให้คนส่งคุณออกไปนะคะ ฉันยังมีงานอย่างอื่นต้องทำอีก วันหลังค่อยเลี้ยงกาแฟคุณนะคะ”
คำสั่งขับไล่ที่ชัดเจนขนาดนี้ ทำให้ซูเหมียนสีหน้าเปลี่ยนไป
เมื่อครู่ฉินสุ่ยซานยังเคารพนอบน้อมกับเธออยู่เลย ตอนนี้คือเกิดอะไรขึ้น
เธอยิ้มหยันทีนึง ดูไม่ออกจริงๆว่าความสัมพันธ์ของฉินสุ่ยซานกับมู่น่อนน่อนก็ดีเหมือนกันนะ
ขอแค่เป็นคนล้วนเสแสร้งเป็นทั้งนั้น ซูเหมียนพูดด้วยรอยยิ้ม “งั้นฉันไปก่อนนะคะ ไม่รบกวนเวลาคุณฉินคุยงานแล้ว”
ซูเหมียนเพิ่งก้าวออกไป ฉินสุ่ยซานก็ดึงมู่น่อนน่อนเข้าไปในออฟฟิศทันที
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่บนโซฟาอย่างเงียบๆ ฉินสุ่ยซานล็อกประตูเสร็จ ก็ได้เดินมาที่ตรงหน้าของมู่น่อนน่อนอย่างเร่งรีบ แล้วพูดอย่างค่อนข้างตื่นเต้น “น่อนน่อน อันนี้ฉันอธิบายได้นะ”
“สองวันก่อน ลูกน้องของเฉินถิงเซียว ชื่อสืออะไรนะ……”
มู่น่อนน่อนส่งเสียงในเวลาที่เหมาะสม น้ำเสียงเย็นชา “สือเย่ ผู้ช่วยของเฉินถิงเซียว”
“ใช่ ก็สือเย่อะไรนั่นแหละ ได้มาหาถึงที่บอกว่าจะลงทุน เมืองพัง2 ฉันพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของเธอกับเฉินถิงเซียว ย่อมไม่เห็นด้วยแน่นอนอยู่แล้ว แต่เขากลับขู่ฉัน เขาบอกถ้าไม่รับการลงทุนของบริษัทเฉินซื่อ ก็อย่าคิดจะได้รับการลงทุนจากคนอื่นเลย”
“จากนั้น……ก็อย่างที่เธอเห็นเนี่ยแหละ ซูเหมียนก็ได้มาเลย หล่อนคงจะรู้ว่าวันนี้เธอจะมามั้ง……”
เรื่องนี้ฉินสุ่ยซานอยากปรึกษาหารือกับมู่น่อนน่อนอยู่ แต่หลายวันนี้มีงานตลอด อีกอย่างมู่น่อนน่อนก็ไม่ได้มาสตูดิโอเลย จึงได้ยื้อมาจนถึงทุกวันนี้
ฉินสุ่ยซานพูดจบ ก็ได้เหลือบมองมู่น่อนน่อนอย่างร้อนตัวแวบนึง รอมู่น่อนน่อนพูด
มู่น่อนน่อนเงียบไปพักนึง ถึงถามฉินสุ่ยซานว่า “เซ็นต์สัญญาหรือยัง ”
ฉินสุ่ยซานรีบพูดว่า “ยัง”
มู่น่อนน่อนเสยผมทีนึง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ในเมื่อเฉินถิงเซียวดันจะลงทุนให้ได้ เธอก็เซ็นต์สัญญาเลย มีกองถ่ายตั้งเท่าไหร่ที่อยากจะให้บริษัทเฉินซื่อลงทุน เขาประเคนมาถึงที่เอง ทำไมไม่เซ็นต์ ”
“แต่ว่าเธอ……”เดิมทีฉินสุ่ยซานคิดว่ามู่น่อนน่อนจะคัดค้านสุดฤทธิ์เสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่ามู่น่อนน่อนไม่เพียงไม่คัดค้าน กลับกันยังสนับสนุนเธอขนาดนี้อีก
“การร่วมมือทางธุรกิจคือให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ ไม่เกี่ยวกับความรู้สึกส่วนตัว” น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนเย็นชาเล็กน้อย
เดิมทีฉินสุ่ยซานก็ยินดีที่จะร่วมงานกับบริษัทเฉินซื่ออยู่แล้ว พอฟังคำพูดของมู่น่อนน่อนแล้วก็ได้พยักหน้า
“ยังมีอีกเรื่องนึง ฉันคิดว่าซูเหมียนจะต้องหาเรื่องอีกแน่นอน”
มู่น่อนน่อนสีหน้าไม่แคร์ “แล้วแต่เธอเลย”
เช้าวันรุ่งขึ้น
ประตูห้องของมู่น่อนน่อนได้ดังขึ้น
เธอสามารถรู้สึกได้เลือนรางว่าคนที่มาเคาะประตูเช้าขนาดนี้ ไม่ใช่ฉีเฉิงแน่นอน
เธอมองผ่านตาแมวแวบนึง เป็นตำรวจสองนายที่ใส่ชุดยูนิฟอร์ม
ที่ตำรวจมาหาถึงที่ เพราะเรื่องของเมื่อวานแน่เลย
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมายมาก เมื่อวานถ้าเธอตกอยู่ในมือของเจียงซ่งจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะรอดชีวิตกลับมาได้หรือเปล่า และเจียงซ่งก็ย่อมต้องจัดการเรื่องที่ตามมาทีหลังอยู่แล้ว
แต่เมื่อวาน ไอ้พวกเจียงซ่งไม่ได้บรรลุเป้าหมาย เรื่องที่ตามมาทีหลังก็ย่อมไม่จัดการอยู่แล้ว
เจียงซ่งเป็นคนถ่อยสุดขีด เมื่อวานเขาเสียเปรียบ ย่อมต้องคิดหาวิธีสร้างปัญหาให้มู่น่อนน่อนอยู่แล้ว
จุดนี้ มู่น่อนน่อนก็เตรียมใจไว้ตั้งนานแล้ว
มู่น่อนน่อนจัดระเบียบของเสื้อผ้าไปครู่นึงแล้วเปิดประตู
ตำรวจเอาบัตรชูมาที่ตรงหน้าเธอ น้ำเสียงเคร่งขรึม “ไม่ทราบคุณคือมู่น่อนน่อนหรือเปล่าครับ ”
“ใช่ค่ะ”สายตาของมู่น่อนน่อนได้หยุดอยู่ที่บัตรตำรวจอยู่ครู่นึง ถึงเคลื่อนย้ายสายตาออก
“ไปกับพวกเราเที่ยวนึงครับ เกี่ยวกับเรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดขึ้นที่ถนนหวนหนานของช่วงบ่ายเมื่อวานครับ ทางเราอยากสอบถามสถานการณ์กับคุณครับ”ตำรวจเก็บบัตรไปด้วยแล้วพูดไปด้วย
“รอฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึงได้มั้ยคะ ”มู่น่อนน่อนพูดจบ แล้วปิดประตูกลับมาที่ห้อง
หลังจากปิดประตูแล้ว สีหน้าของมู่น่อนน่อนซีเรียสเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เธอแค่นึกได้ว่าเจียงซ่งจะหาเรื่องเธอจากด้านนี้ แต่กลับไม่เคยคิดมาก่อนว่าถึงตำรวจจะหามาถึงที่ อย่างน้อยเมื่อวานก็ต้องติดต่อเธอแล้ว
ท่าทางนี้ช้าเกินไปแล้วมั้ง
มู่น่อนน่อนมองไปทางประตูแวบนึง แล้วเดินไปนั่งที่โซฟา หยิบมือถือออกมาพิมพ์ตัวหนังสือสำคัญเพื่อค้นหาข่าวที่เกี่ยวข้อง
แต่เธอพบว่าไม่มีอะไรเลย
วงการบันเทิงของเมืองหู้หยางพัฒนาได้ดีมาก เป็นไปได้อย่างไงว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีข่าวเลย
ในใจมู่น่อนน่อนเกิดความสงสัยนิดหน่อย
ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นในเวลานี้อีก
“คุณมู่ ผมเองครับ”เป็นเสียงของฉีเฉิง
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้ว ลุกไปเปิดประตูให้
พอประตูเปิด เธอก็เห็นฉีเฉิงยืนอยู่หน้าห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่วนตำรวจสองนายนั้นยังยืนรอเธออยู่ตรงนั้น
ตำรวจเห็นมู่น่อนน่อนออกมาปุ๊บก็ถามเลยว่า “ไปได้หรือยังครับ ”
“ไปไหนครับ ”ฉีเฉิงกลับเป็นคนส่งเสียงพูดก่อน
มู่น่อนน่อนแบมือ “ยังจะไปไหนได้อีกล่ะ”
ฉีเฉิงหันไปมองตำรวจแวบนึง แล้วพูดกับมู่น่อนน่อนว่า “ผมไปกับคุณ”
“คุณเป็นอะไรกับมู่น่อนน่อนครับ ”ตำรวจฟังแล้ว สมาธิก็ได้หล่นอยู่ที่บนตัวฉีเฉิง
ฉีเฉิงไม่ได้ตอบคำถามของตำรวจ เขาพูดโดยตรงว่า “ไปด้วยกันครับ”
มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นสีหน้าของตำรวจสองนายนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
เธอกับฉีเฉิงสบตากันแวบนึง ฉีเฉิงไม่ได้พูดอะไร แค่ส่งสัญญาณให้เธอว่าไปได้แล้ว
มู่น่อนน่อนเดินอยู่ข้างหน้า ฉีเฉิงได้ตามไปโดยตรง
“คุณยังไม่ได้ตอบคำถามพวกเราเลยครับ ”ตำรวจตามมา สีหน้าไม่สบอารมณ์
“ทำไมผมต้องตอบคำถามพวกคุณด้วย ”ฉีเฉิงยิ้มหยัน “เพราะพวกคุณเป็นตำรวจปลอมใช่มั้ย ”
เพิ่งพูดเสร็จ ฉีเฉิงได้ยื่นมือขวางไว้ที่ตรงหน้าของมู่น่อนน่อน มู่น่อนน่อนได้ถอยหลังอย่างเข้าใจโดยปริยายมาก เขาดึงมือกลับ ยกเท้ากระทืบตำรวจปลอมสองนายล้มลงไปกองกับพื้น
“นี่คุณกำลังทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่นะ ”ตำรวจปลอมสองคนล้มลงที่พื้นก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นตำรวจปลอม
“งั้นก็แจ้งความเลยดีกว่า”ฉีเฉิงมองไปที่มู่น่อนน่อนแวบนึง มู่น่อนน่อนเข้าใจและได้หยิบมือถือออกมาจะแจ้งความ
ตำรวจปลอมสองคนเห็นสถานการณ์แล้ว ได้ลุกจากพื้นอย่างพูดไปด่าไป เสร็จแล้วได้วิ่งไปทางหัวบันไดเลย แม้แต่ลิฟต์ก็ขี้เกียจรอ
มู่น่อนน่อนมองทิศทางที่ตำรวจสองคนสูญหายไป แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “เป็นตำรวจปลอมจริงด้วย เมื่อครู่ฉันแค่สงสัยนิดหน่อยเท่านั้น”
ฉีเฉิงไม่ได้พูดกับเธอมากมายในประเด็นนี้
เขาหยิบมือถือออกมา “ทิ้งเบอร์ไว้ให้ผมหน่อย มีเรื่องอะไรคุณสามารถโทรหาผมโดยตรงเลย”
มู่น่อนน่อนแจ้งเบอร์ของตัวเองให้ฉีเฉิง จากนั้นเขาได้โทรเข้ามา แล้วเธอก็ได้เมมเบอร์ของฉีเฉิงไว้
แลกเปลี่บนเบอร์เสร็จ ฉีเฉิงก็จะกลับห้องอีก
มู่น่อนน่อนนึกถึงเมื่อคืนกลางดึก ถ้วยที่ฉีเฉิงเอาโจ๊กมาให้เธอยังอยู่ในห้องของเธออยู่เลย จึงได้เรียกฉีเฉิงไว้
“ฉีเฉิง นายรอก่อน”
ฉีเฉิงหยุดฝีเท้าลง แล้วหันมามองมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนกลับไปที่ห้อง แล้วเอาถาดกับถ้วยที่ล้างสะอาดเรียบร้อยออกมา
“ขอบใจนะ สำหรับโจ๊กของนาย”
ฉีเฉิงรับถาดเอาไว้ มู่น่อนน่อนอดถามไม่ได้ “นายทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอ ”
“ไม่เป็นครับ ผมจ้างคนทำ”ฉีเฉิงพูดจบก็ไปเลย
เดินไม่ถึงสองก้าว เขาได้หันมาถามเธออีก “คุณคงยังไม่ได้ทานข้าวสินะ”
“ยัง” มู่น่อนน่อนส่ายหัว
ฉีเฉิงไม่ได้พูดอะไร แค่กลับห้องโดยตรง
มู่น่อนน่อนยืนอยู่กับที่ มีอยู่เสี้ยววินาทีที่มึนงง
บอดี้การ์ดของเธอนี่ไม่ขัดสนเรื่องเงินจริงๆ ยังจ้างคนทำกับข้าวเอาไว้โดยเฉพาะด้วย
คนอย่างฉีเฉิงจะทำกับข้าวเป็นได้ยังไง
ต่อไปพอผ่านไปหลายปี มู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าตัวเองด่วนสรุปเกินไป คนอย่างฉีเฉิงทำกับข้าวเป็นก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก
มู่น่อนน่อนกลับห้อง ผ่านไปสักพัก ประตูของห้องได้ดังขึ้นอีก
ไม่ต้องเดาเธอก็รู้ว่าคือฉีเฉิงอีกแล้ว
เธอเปิดประตู ก็เห็นฉีเฉิงที่ยืนอยู่หน้าห้องจริงด้วย
เขายืนอยู่หน้าห้องพร้อมยกอาหารเช้าไว้ชุดนึงด้วยสีหน้าเรียบเฉย สายตาเย็นชา ราวกับถูกใครบังคับให้มาส่งอาหารเช้าให้เธอยังไงอย่างงั้น
“ไม่……ต้องแล้ว ฉันไม่หิว”ดูแล้วไม่สมัครใจเลย มู่น่อนน่อนก็ไม่ค่อยกล้ารับเอาไว้เหมือนกัน
ฉีเฉิงเหมือนได้แสยะยิ้มมุมปากทีนึงแล้วพูดว่า “ทำเยอะไปหน่อยครับ ไหนๆก็กินไม่หมด”
มู่น่อนน่อนได้แต่รับเอาไว้ ตอนนี้เธอไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่าตัวเองได้หาบอดี้การ์ดหรือว่าแม่บ้างมากันแน่
มู่น่อนน่อนรับอาหารเช้ามา ฉีเฉิงได้พูดว่า “ตำรวจปลอมสองคนที่โผล่เมื่อครู่นี่มันยังไงกันครับ คุณไปหาเรื่องใครมา ”
“เจียงซ่ง นายรู้จักหรือเปล่า ”มู่น่อนน่อนก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังฉีเฉิง
“อ๋อ”ฉีเฉิงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยคำนึง จากนั้นได้ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คุณอยากจัดการเขายังไง ศพสมบูรณ์แบบหรือว่าพิการดี ”
มือที่มู่น่อนน่อนยกถาดเอาไว้สั่นทีนึง “ห๊ะ ”
“คุณคิดว่าจะจัดการกับเขายังไงก็บอกผมนะ แต่ถ้าจะเอาชีวิตของเขา จะต้องคุยกันใหม่ ถ้าแค่แขนขาดขาขาด คุณแค่พูดคำเดียวก็พอแล้ว”
“……”มู่น่อนน่อนไม่รู้จะพูดอะไรในชั่วขณะ รู้สึกแค่ว่าอาหารเช้าในมือค่อนข้างหนัก
หลังฉีเฉิงจากไป มู่น่อนน่อนได้ยกอาหารเช้ามาที่ห้อง นั่งอยู่หน้าโต๊ะทานข้าวก็ยังสีหน้ามึนงงอยู่ดี
เมื่อครู่น้ำเสียงของฉีเฉิงผ่อนคลายและเรียบเฉยเกินไป นี่ทำให้มู่น่อนน่อนค่อนข้างเกรงกลัว
คำพูดนี้ถ้าพูดออกมาจากปากของคนอื่น อาจจะยังไม่ทำให้มู่น่อนน่อนมีความรู้สึกแบบนี้ แต่คนที่พูดคำนี้ออกมาคือฉีเฉิง
ฉีเฉิงพูดจริงจัง
มู่น่อนน่อนตระหนักได้อีกครั้งว่าฉีเฉิงเป็นคนที่มือเปื้อนเลือด ไม่ใช่บอดี้การ์ดกระจอกๆ
เธอนึกขึ้นได้ว่าคราวก่อนแกล้งเอ่ยถึงเฉินจิ่งหยุ้นต่อหน้าเขา ถึงแม้ตอนนั้นฉีเฉิงจะโกรธแต่ก็ไม่ได้ลงมือ ตอนนี้พอนึกขึ้นมาได้แล้วเธอรู้สึกช่างโชคดีจังเลย
ไม่กล้าจินตนาการเลย ถ้าตอนนั้นฉีเฉิงควบคุมตัวเองไม่ได้……
มู่น่อนน่อนหนาวสั่นทีนึง จ้องอาหารเช้าตรงหน้าไว้ และกินอย่างระมัดระวัง
นาทีต่อมา เสียงของฉีเฉิงก็ดังขึ้น
“คุณมู่เชื่อผมหรือเปล่าครับ ”
มู่น่อนน่อนหันไปพูดด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น “ค่าจ้างที่ฉันให้อาจจะสูงสู้เฉินจิ่งหยุ้นไม่ได้นะ”
พอพูดจบ เธอเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแววตาของฉีเฉิงเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
เป็นเพราะเธอเอ่ยถึงเฉินจิ่งหยุ้นเหรอ
การพบเห็นนี้ ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกสนุกจังเลย
ฉีเฉิงถอดหมวกแก๊ปบนหัวออก “ผมไม่ขัดสนเรื่องเงิน ผมต้องงาน ยิ่งต้องการนายจ้างที่ไว้ใจผม”
ฝีมือของฉีเฉิงไม่ธรรมดา เหล่าคนรวยมีอำนาจพวกนั้นย่อมอยากให้เขาเป็นบอดี้การ์ดอยู่แล้ว แม้กระทั่งยังสามารถจ่ายค่าจ้างที่ไม่ธรรมดาให้กับเขา
แต่ประวัติของเขาซับซ้อนเกินไป ในดวงตาคู่นั้นได้ซ่อนอะไรไว้มากมาย ขอแค่เป็นคนที่ระมัดระวังหน่อย ส่วนใหญ่ล้วนจะไปตรวจสอบเบื้องลึกของเขาอยู่
ถึงแม้คนทั่วไปจะตรวจสอบสถานะของเขาไม่ได้ แต่สำหรับฉีเฉิงแล้ว ก็เป็นแค่เรื่องยุ่งยากเรื่องนึงเท่านั้น
หลังจากมู่น่อนน่อนคิดปัญหาพวกนี้อยู่ในใจอย่างไวปุ๊บ ก็ได้ส่งเสียงพูดว่า “ตอนนี้ฉันจะลงไปทิ้งขยะ”
ลิฟต์จะปิดในเวลานี้พอดี ฉีเฉิงได้ยื่นมือกดทีนึงโดยตรง และเป็นคนเดินเข้าไปก่อน
มู่น่อนน่อนยกมุมปากขึ้น ฉีเฉิงคนนี้นี่สนุกจริงๆ
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปตาม ฉีเฉิงได้กดชั้น“1”
ทั้งสองออกมาจากลิฟต์ ฉีเฉิงก็ได้ติดตามอยู่ด้านหลังและเว้นระยะห่างกับมู่น่อนน่อนหนึ่งก้าว
ตอนนี้ก็เข้าสู่โหมดทำงานแล้ว
“ฉันต้องชมนายว่ามีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานใช่มั้ย ”มู่น่อนน่อนเดินไปด้วย และแกล้งแซวเล่นไปด้วย
ฉีเฉิงไม่ส่งเสียงพูดจา มู่น่อนน่อนไม่ถือสาเลย
หลังจากเธอทิ้งขยะลงในถัง ตอนที่หันกลับมา ฉีเฉิงก็ได้เดินมาที่ข้างหลังเธอแล้ว
ฝีมือการต่อสู้คล่องแคล่วว่องไว
มู่น่อนน่อนพูดกับฉีเฉิงต่อ “ฉันเชื่อว่าตามความสามารถของนาย ก็สามารถทำเรื่องอื่นได้ดีเหมือนกัน ทำไมถึงยอมไปเป็นบอดี้การ์ดของคนอื่น ”
ตั้งครึ่งค่อนวันก็ไม่ได้ยินคำตอบของฉีเฉิง ในขณะที่มู่น่อนน่อนนึกว่าฉีเฉิงจะไม่เปิดปากพูดอีก เสียงของฉีเฉิงได้ดังขึ้น
“ผมเป็นแค่สองเรื่อง ฆ่าคนกับปกป้องคน”
ในเมื่อล้างมือจากวงการแล้ว ย่อมไม่ไปทำเรื่องฆ่าคนวางเพลิงอีก
ตอนนี้มู่น่อนน่อนไม่ค่อยกลัวฉีเฉิงแล้ว ก็เลยกล้าถามทุกอย่าง
“ทำไมต้องล้างมือจากวงการด้วย ”
ฉีเฉิงไม่พูด มู่น่อนน่อนพูดต่อเอง “เพราะเฉินจิ่งหยุ้นเหรอ ”
เธอเพิ่งพูดจบ ก็รู้สึกได้ว่าความหนาวเย็นมาจากด้านหลัง
“โกรธแล้วหรอ ”มู่น่อนน่อนหันมามองเขา
สีหน้าของฉีเฉิงเย็นชาสุดขีด “คุณมู่เหมือนจะสนใจเรื่องส่วนตัวของผมมากเลยนะ”
ไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคบอกเล่า
“ใช่ ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษเลย”มู่น่อนน่อนก็ไม่ปฏิเสธ กลับกันยังได้ยอมรับอย่างใจกว้าง
นาทีนี้ทั้งสองได้เข้าไปในลิฟต์แล้ว
หลังจากลิฟต์ใกล้ถึงชั้นที่พวกเขาพักอาศัยอยู่ จู่ๆฉีเฉิงถึงพูดว่า “เพราะความสัมพันธ์ของคุณกับสามีเก่าของคุณไม่ราบรื่น เพราะฉะนั้นคุณมู่ถึงได้เป็นห่วงเรื่องส่วนตัวของคนอื่นขนาดนี้ อยากใช้อันนี้มาเบี่ยงเบนความสนใจเหรอครับ ”
มู่น่อนน่อนตกใจ มีความโกรธโผล่ขึ้นในใจ
แทบจะในใจของทุกคน ล้วนมีคนที่ไม่อยากเอ่ยถึงง่ายๆ
ฉีเฉิงไม่อยากฟังเธอเอ่ยถึงเฉินจิ่งหยุ้น เธอไม่อยากฟังฉีเฉิงเอ่ยถึงเฉินถิงเซียว มันก็เหตุผลเดียวกันแหละ
มู่น่อนน่อนถอนหายใจทีนึง “ฉันขอโทษ”
ฉีเฉิงรับคำขอโทษของมู่น่อนน่อนไว้อย่างสบายใจเฉิบ
มู่น่อนน่อนคิดไม่ถึงว่าฉีเฉิงเป็นคนพิถีพิถันดี
เธอกับฉีเฉิงแยกกันที่หน้าลิฟต์ และต่างคนต่างกลับห้องตัวเอง
เที่ยวหาเฉินมู่เสร็จ ออกมาจากวิลล่าของเฉินถิงเซียว มาจนถึงถูกเจียงซ่งพาคนมาดักไว้ แล้วไปโรงพยาบาลเที่ยวนึง ยุ่งมานานขนาดนี้ ตอนนี้ก็ใกล้พลบค่ำแล้ว
มู่น่อนน่อนนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย
เธอเปิดตู้เย็น ดูอะไรก็ไม่รู้สึกอยากอาหารเลย
สุดท้าย เธอได้หยิบแอปเปิ้ลมาลูกนึง กินไปครึ่งนึงก็รู้สึกว่าไม่อยากกินแล้ว
นั่งอยู่หน้าจอคอมแล้วเริ่มเขียนบทละครที่เหลืออีกหลายตอน
พอเขียนเสร็จในอึดใจเดียวก็กลางดึกแล้ว
ท้องว่างจนทรมาน ขี้เกียจไปทำกับข้าว และไม่อยากอาหาร
เป็นเพราะหัวใจใกล้กับกระเพาะใกล้เกินไปหรือเปล่า ก็เลยได้รับผลกระทบด้วย เลยผิดปกติตามไปด้วยชั่วคราว
ราวกับว่าภาพเหตุการณ์ที่ก่อนหน้านี้เห็นเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนกอดอยู่ด้วยกันบนท้องถนนยังลอยอยู่ตรงหน้า
มู่น่อนน่อนยิ้มหยันทีนึง เฉินถิงเซียวย้อนกลับไปหาผู้หญิงที่เหมาะสมกับฐานะทางครอบครัว ทำไมเธอต้องด้อยค่าตัวเองด้วย
ไม่มีเฉินถิงเซียว เธอก็อยู่ไม่ได้แล้วงั้นเหรอ
เธอกดตำแหน่งกระเพาะไว้ แล้วลุกไปที่ห้องครัว
ยังเดินไม่ถึงห้องครัว เธอก็ได้ยินด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก
เสียงเคาะประตูคือเสียงเคาะสามครั้งอย่างมีจังหวะมาก ไม่รีบร้อนเลย
มู่น่อนน่อนหันไปดูนาฬิกาแวบนึง ตีหนึ่งครึ่ง
ไม่มีทางเป็นเสิ่นเหลียงแน่นอน เพราะเมื่อวานเธอยังเห็นเสิ่นเหลียงถูกแอบถ่ายรูปในการถ่ายทำหนังอยู่ที่ทะเลทรายอยู่เลย
และไม่มีทางเป็นกู้จือหยั่นกับฉินสุ่ยซานพวกเขาเหมือนกัน……
หรือว่าเจียงซ่งหามาถึงที่ไวขนาดนี้เลย
มู่น่อนน่อนหยิบมือถือออกมา ได้กดเลขโทรหาตำรวจเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อย ขอแค่มีความผิดปกติ เธอก็จะกดปุ่มโทรออกไปทันที
ในห้องไม่มีของอะไรที่สามารถป้องกันตัวได้ เธอได้ไปคว้ามีดทำครัวที่ห้องครัว
จากนั้น มือข้างหนึ่งของเธอถือมีดทำครัวไว้ ส่วนอีกข้างก็ถือโทรศัพท์เอาไว้ พร้อมเดินไปที่หน้าห้องอย่างเบามือเบาเท้า
เธอแน่ใจว่าตอนที่เธอเดินไม่ได้ส่งเสียงออกมาเลย
แต่ตอนที่เธอเดินมาถึงข้างประตู คนที่อยู่นอกห้องราวกับรู้ว่าเธอเดินมาถึงแล้ว จึงได้ส่งเสียงพูดว่า “ผมเอง ฉีเฉิง”
มู่น่อนน่อนอึ้งอยู่ครู่นึง พริบตาเดียวจิตใจที่กระวนกระวายก็ได้ผ่อนคลายลงมาทันที
เธอเปิดประตู ก็เห็นฉีเฉิงยืนอยู่หน้าห้องและในมือได้ยกถาดเอาไว้
เธอมองถาดอย่างเร่งรีบแวบนึง ก็ไม่ได้ดูชัดเจนว่าของด้านในคืออะไร แค่ถามเขาว่า “ดึกป่านนี้แล้ว นายมาทำอะไร ”
แววตาของมู่น่อนน่อนมีความระแวดระวังที่สังเกตเห็นได้ยาก
ไม่ว่ายังไงเธอก็รู้สึกว่าที่ฉีเฉิงพักอยู่ในชุมชนเดียวกับเธอ มันค่อนข้างบังเอิญเกินไป
ถึงแม้ตอนนี้เขาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของเธอแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีผลกับการที่เธอสงสัยเขาเลย
ฉีเฉิงวางถาดในมือลง “กินไหมครับ ”
ทีนี้มู่น่อนน่อนถึงเห็นชัดว่าในถาดที่เขาถืออยู่ ในนั้นมีโจ๊กถ้วยนึงและกับข้าวอยู่สองอย่าง ดูแล้วน่ากินมาก
มู่น่อนน่อนเบิกตากว้างอย่างควบคุมไม่ได้ “นาย……เป็นคนทำ ”
“ถ้ากินก็รับไว้” ฉีเฉิงไม่ได้ตอบ แค่ผลักถาดไปข้างหน้า ขมวดคิ้วไว้แน่น ราวกับของที่เขาถืออยู่ในมือไม่ใช่ของกิน แต่ได้ถือเผือกร้อนลวกมือที่น่ารังเกียจเอาไว้
ไม่ว่ายังไงมู่น่อนน่อนก็จินตนาการไม่ออกว่าคนอย่างฉีเฉิงจะทำกับข้าวเป็น แถมยังเอากับข้าวมาให้เธอด้วย
บอดี้การ์ดคนนี้ก็ทำหน้าที่การงานได้เต็มที่เกินไปแล้วมั้ง
ถ้าไม่ใช่ว่าเธอดูออกตั้งนานแล้วว่าความสัมพันธ์ของฉีเฉิงกับเฉินจิ่งหยุ้นไม่ธรรมดา เธอถึงขั้นจะสงสัยแล้วว่าฉีเฉิงกำลังแอบชอบเธออยู่หรือเปล่า
คนอย่างฉีเฉิง น่าจะเอาอะไรให้คนอื่นน้อยมากเลยมั้ง
มู่น่อนน่อนรู้สึกค่อนข้างซึ้งในชั่วขณะ
เธอยื่นมือรับถาดในมือของเขามา “ขอบใจนะ”
ฉีเฉิงก็ไม่พูดจา ราวกับแค่พูดคำเดียวก็ยังรู้สึกยุ่งยากมากเลย ได้หันหลังจากไปโดยตรง
มู่น่อนน่อนยืนอยู่หน้าห้อง มองฉีเฉิงเข้าไปห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม จากนั้นได้ก้มมองโจ๊กที่อยู่ในถาดแล้วอารมณ์ซับซ้อนสุดๆ
เธอปิดประตู กลับมาที่ห้อง เอาโจ๊กวางไว้บนโต๊ะทานข้าว แล้วนั่งลงมาเริ่มทานโจ๊ก
หน้าตาของโจ๊กและกับข้าวใช้ได้เลยทีเดียว ไม่นึกเลยว่าทานแล้วรสชาติก็ไม่แย่เหมือนกัน
แผลของมู่น่อนน่อนไม่ได้ลึก แต่แผลค่อนข้างยาวอยู่
หมอบอกว่าต้องเย็บแผล
มู่น่อนน่อนเงียบมาโดยตลอด แต่ตอนที่หมอจะฉีดยาชาให้เธอ เธอกลับปฏิเสธ
ใบหน้าเธอนิ่ง ไม่มีความรู้สึกทางอารมณ์เลย:“เย็บโดยตรงเลยค่ะ ไม่ต้องใช้ยาแก้ปวด”
คุณหมอเป็นชายวัยกลางคน เขาฟังคำพูดของมู่น่อนน่อนแล้ว ได้ทำสีหน้ามึนงงก่อน จากนั้นก็ได้ถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ:“ไม่ต้องใช้ยาแก้ปวด?”
ไม่รอให้มู่น่อนน่อนพูด ลี่จิ่วเชียนก็ได้ก้าวมาข้างหน้า พร้อมขมวดคิ้วและพูดว่า:“มู่น่อนน่อน คุณถูกกระตุ้นจนเป็นบ้าหรือว่าโง่ไปแล้ว?คุณคิดว่าคุณเป็นนักรบหญิงรึไง?”
มู่น่อนน่อนไม่มองใครเลย สายตาเหม่อลอย พูดจาเรียบเฉย:“ฉันจะจำความเจ็บปวดแบบนี้ไว้”
เธอจะจำความเจ็บปวดที่เฉินถิงเซียวให้เธอ
ลี่จิ่วเชียนเหมือนจะโกรธสุดขีดจนหัวเราะ สีหน้าค่อนข้างแย่ พูดทิ้งท้ายไว้คำเดียว:“ตามใจคุณ!”
หมอย่อมฟังคำพูดของทั้งสองไม่เข้าใจอยู่แล้ว และไม่รู้ด้วยว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์เป็นอะไรกัน แต่ขอแค่รู้ว่าสองคนนี้ล้วนตัดสินใจว่าไม่เอายาแก้ปวดก็พอแล้ว
มู่นน่อนน่อนไม่สนว่าลี่จิ่วเชียนจะมีสีหน้ายังไง หรือพูดอะไร แค่เงยหน้ามองไปที่หมอ:“คุณหมอ เริ่มได้เลยค่ะ”
ลี่จิ่วเชียนได้ออกไปโดยตรงพร้อมปิดประตูแรงๆ
เห็นได้ชัดว่าคุณหมอยังค่อนข้างลังเล
“คุณหมอ ฉันทนได้ค่ะ คุณหมอไม่ต้องกังวลค่ะ”มู่น่อนน่อนพูดอีกครั้ง
คุณหมอถอนหายใจทีนึง จากนั้นได้เริ่มเอาอุปกรณ์:“ถ้าทนไม่ไหวก็บอกผมนะ”
“ค่ะ”เสียงของมู่น่อนน่อนแน่วแน่ผิดปกติ
ที่จริงแค่เย็บสองสามเข็มเฉยๆ
แต่ความรู้สึกที่เข็มแหลมปี๊ดแทงทะลุเนื้อหนัง ก็ค่อนข้างเจ็บอยู่เหมือนกัน
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปากเอาไว้ บนหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมา สีหน้าค่อนข้างซีด
คุณหมอเห็นเธอทนได้จริงๆ ในใจค่อนข้างทึ่ง
หลังจากเย็บแผลเสร็จ คุณหมอได้ยื่นทิชชู่ให้มู่น่อนน่อนสองแผ่น:“เช็ดเหงื่อหน่อย”
“ขอบคุณค่ะ”มู่น่อนน่อนยื่นมือรับทิชชู่มา แล้วลุกขึ้น
“เดี๋ยวหมอจะเขียนใบสั่งจ่ายยาให้คุณ คุณเอายากลับไปกินหน่อย อีกหนึ่งสัปดาห์มาตัดไหม หรือไปตัดที่คลินิกอื่นก็ได้”
“ขอบคุณค่ะ”มู่น่อนน่อนจะยื่นมือไปรับใบสั่งจ่ายยา
คุณหมอได้มองไปนอกห้องด้วยความแปลกใจ:“เอ๊ะ แฟนของคุณล่ะ?ทำไมยังไม่เข้ามาอีก?”
“เขาไม่ใช่แฟนของฉันค่ะ” มู่น่อนน่อนพูดจบก็ได้ออกไปเลย
เธอไม่เห็นลี่จิ่วเชียนอยู่นอกห้อง
ขี้เกียจสนใจว่าลี่จิ่วเชียนไปไหน มู่น่อนน่อนไปรับยาโดยตรง
ตอนที่ออกมาจากโรงพยาบาล ก็พบว่ารถของลี่จิ่วเชียนยังจอดอยู่หน้าโรงพยาบาล เขากำลังสูบบุหรี่อยู่ในรถ
มู่น่อนน่อนยืนอยู่กับที่ไปครู่นึง จากนั้นได้เดินไปด้วยสีหน้าแววตาซับซ้อน:“ฉันจะกลับแล้วค่ะ”
“แม้แต่คำว่าขอบคุณก็ไม่พูดสักคำแล้ว?เฉินถิงเซียวจู๋จี๋กับผู้หญิงคนอื่น วันนี้ถ้าไม่ใช่ผมช่วยคุณเอาไว้ คุณยังสามารถมีชีวิตยืนอยู่ตรงนี้เหรอ?”
ในมือของลี่จิ่วเชียนคีบบุหรี่เอาไว้ หรี่ตาเล็กน้อย ไม่นึกเลยว่าสีหน้าดูแล้วจะมีกลิ่นอายของความเป็นเพลย์บอยอยู่หลายส่วน
“ขอแค่ไม่ใช่เรื่องชั่วช้าสามานย์ ตอนที่คุณต้องการให้ฉันตอบแทน สามารถมาหาฉันได้ค่ะ”
มู่น่อนน่อนเพิ่งเย็บแผลมา สีหน้าดูไม่มีเลือดฝาดเลยสักนิด แม้แต่แววตาก็ไม่มีชีวิตชีวาเหมือนปกติ
ลี่จิ่วเชียนดูไม่เข้าตาเลย
เขาดับบุหรี่ในมืออย่างค่อนข้างหงุดหงิด แล้วทวนซ้ำอีกรอบ:“ขอแค่ไม่ใช่เรื่องชั่วช้าสามานย์ ล้วนได้หมด?”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย:“อืม”
“อ๋อ”ลี่จิ่วเชียนเอามือข้างนึงวางพาดอยู่บนกระจกรถ น้ำเสียงจริงจังสุดขีด:“งั้นคุณแต่งงานกับผมเถอะ”
มู่น่อนน่อนได้ละเลยคำพูดของลี่จิ่วเชียนไปโดยตรง:“ลี่จิ่วเชียน ฉันเป็นคนพูดจามีสัจจะมาโดยตลอด”
เธอพูดจบก็จะหันหลังเดินไป
เดิมทีก็ไม่คาดหวังอยู่แล้วว่าลี่จิ่วเชียนจะสามารถตอบอย่างจริงจัง แต่ได้ยินเขาบอกว่าให้เธอแต่งงานกับเขา เธอก็ยังรู้สึกบ้าบอคอแตกเกินไปอยู่ดี
ก่อนหน้านี้รถของมู่น่อนน่อนอยู่บนท้องถนนก็ถูกคนของเจียงซ่งขวางเอาไว้ ตอนที่เธอกับลี่จิ่วเชียนไป ได้ขับรถของลี่จิ่วเชียน
ตอนนี้เธอต้องโบกรถกลับไปแล้ว
มือถือไม่อยู่กับตัว กระเป๋าตังค์ทิ้งไว้ในรถ
ทุกอย่างล้วนแย่สุดขีด
มู่น่อนน่อนคิด เธอคงต้องเดินกลับไปแล้ว
“เฮ้!”
มีเสียงก้องมาจากรถที่ขับมา
พอหันไปดู ไม่นึกเลยว่าจะเป็นลี่จิ่วเชียนอีก
มู่น่อนน่อนเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น ไม่ไปสนใจเขา
“ขึ้นรถ ผมไปส่งคุณ”ลี่จิ่วเชียนขับรถช้ามาก ควบคุมรถได้ดีมาก ขับไปพร้อมกับมู่น่อนน่อนพอดี
เห็นมู่น่อนน่อนไม่สนใจเขา เขาได้พูดอีกครั้งว่า:“คุณกะจะเดินกลับไป?”
มู่น่อนน่อนได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่สนใจลี่จิ่วเชียน ย่อมไม่ส่งเสียงอีก
แต่ลี่จิ่วเชียนก็ดื้อรั้นมากเหมือนกัน คอยขับตามเธอช้าๆอย่างกับเต่าอยู่อย่างนี้
ทั้งสองไม่มีใครพูดจากันอีก คนนึงคอยเดิน คนนึงคอยขับรถ จากนั้นก็ได้กลับมาถึงที่พักของมู่น่อนน่อนอย่างนี้เลย
ดีที่โรงพยาบาลอยู่ห่างจากที่พักของมู่น่อนน่อนไม่มาก แต่ถึงจะอย่างนี้ก็ตาม เธอก็ยังได้เดินไปเกือบหนึ่งชั่วโมงอยู่ดี
ตอนที่เธอขึ้นมาที่ห้อง ลี่จิ่วเชียนยังตามเธอมาอยู่
“คุณกะจะเข้าไปกับฉัน?”มู่น่อนน่อนหยุดลงที่หน้าห้อง
“ไหนๆก็มาแล้ว ไม่คิดจะเชิญผู้มีพระคุณของคุณเข้าไปจิบชาสักแก้วเลยเหรอ?”ลี่จิ่วเชียนมีท่าทีเหมือนไม่บรรลุเป้าหมายก็จะไม่ยอมเลิกรา
มู่น่อนน่อนไม่มีพละกำลังรับมือเขา เธอเปิดประตูเดินเข้าไปในคอนโด จากนั้นได้เข้าไปต้มน้ำและชงชาให้ลี่จิ่วเชียนที่ห้องครัวโดยตรง
“แกร๊ง”เสียงนึง เธอวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ:“ดื่มเสร็จแล้วรีบไป”
ในห้องยังไม่ได้เปิดเครื่องทำความร้อน น้ำชาเย็นเร็วมาก
ลี่จิ่วเชียนก็ไม่ได้ตามตื๊อตามตอแย เขาจิบชาเสร็จก็กลับไปเลย
หลังจากในห้องเหลือแค่มู่น่อนน่อนคนเดียว ก็เงียบจนค่อนข้างน่ากลัว
เธอเอาถ้วยชาที่ลี่จิ่วเชียนเคยดื่มทิ้งลงไปในถังขยะโดยตรง จากนั้นได้เดินเข้าไปในห้องน้ำ ยืนดูแผลตรงคอของตัวเองอยู่ที่หน้ากระจก
ผู้หญิงในกระจกสีหน้าแย่จนน่ากลัว สีหน้าเรียบเฉยเหมือนกับศพเดินได้
มู่น่อนน่อนจับแก้มตัวเอง แล้วพูดพึมพำว่า:“ต้องฮึดสู้เข้าไว้ ต่อจากนี้ยังมีเรื่องต้องจัดการอีก ยังเหลือบทละครอีกหลายตอน……”
เธอยกมุมปากขึ้น พยายามฉีกรอยยิ้มออกมา
แต่รอยยิ้มที่ฉีกออกมาแบบนี้ น่าเกลียดกว่าร้องไห้เสียอีก
มู่น่อนน่อนหน้าห้อยลงมา หลังล้างมือเสร็จก็ได้ออกมาจากห้องน้ำ
น่าเกลียดจังเลย เธอไม่อยากส่องกระจกอีกแล้ว
มู่น่อนน้อนเปลี่ยนชุด ทำความสะอาดตัวเองไปครู่นึง เอาผ้าพันคอกับเสื้อโค้ตที่เปื้อนเลือดใส่ถุงให้เรียบร้อยเตรียมเอาลงไปทิ้ง
เธอออกจากห้อง ตอนที่รอลิฟต์อยู่ พอประตูลิฟต์เปิดออก คนที่ออกมาจากด้านในคือฉีเฉิง
ฉีเฉิงสะพายกระเป๋าสีดำกับสวมหมวกแก๊ปไว้ แค่ดูก็ไม่เหมือนคนดีแล้ว
แต่มู่น่อนน่อนรู้ว่าฉีเฉิงมีกฎเกณฑ์และหลักการของตนเอง
ที่จริงคนที่มีกฎเกณฑ์กับหลักการไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น แต่ก่อนอื่นคือคุณห้ามไปทำลายกฎเกณฑ์และหลักการของเขา
“คุณมู่?”ฉีเฉิงสังเกตเห็นแผลตรงคอของมู่น่อนน่อน น้ำเสียงข้องใจ แต่ก็ไม่ได้ถามออกมา
มู่น่อนน่อนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วยกฝีเท้าจะเดินเข้าไปในลิฟต์
ฉีเฉิงได้เรียกเธอไว้ในเวลานี้:“คุณมู่ หลายวันนี้ผมหานายจ้างใหม่ไม่ได้สักที”
มู่น่อนน่อนหันมายักคิ้วเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้เขาพูดต่อ
ฉีเฉิงพูดโดยตรงว่า:“คุณต้องการบอดี้การ์ดหรือเปล่า?”
มู่น่อนน่อนรู้ความสามารถของฉีเฉิง
ช่วงนี้เกิดเรื่องติดต่อกันเยอะขนาดนี้ มู่น่อนน่อนพูดโดยที่ไม่ต้องคิด:“ต้องการ”
ศีรษะของเจียงซ่งติดเข้าไปในรถทั้งศีรษะ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับ สั่นไปทั้งตัว บนตัวก็มีคราบน้ำไหลลงมา
นี่คือกลัวจนฉี่ราด?
มู่น่อนน่อนมองเจียงซ่งอย่างเย็นชาแวบนึง ก็ได้เงยหน้าไปมองที่ลี่จิ่วเชียน
นาทีนี้เธอกลับใจเย็นและตื่นตัว
ลี่จิ่วเชียนเห็นมู่น่อนน่อนยืนอยู่ไม่ขยับ สีหน้าซีเรียสเล็กน้อย พร้อมทั้งได้พูดอย่างเคร่งขรึมและเด็ดขาด:“มาที่ด้านหลังผม!”
มู่น่อนน่อนก็ยังยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ดี
ถูกผู้ชายที่เกือบจะทำลูกสาวเธอตายช่วยชีวิตเอาไว้อีกครั้ง เธอไม่อยาก
ไม่อยากเลยสักนิด
ดูเหมือนลี่จิ่วเชียนจะอ่านความคิดของเธอจนทะลุปรุโปร่ง:“ถ้าวันนี้คุณไม่ไปกับผม ยังจะสามารถเห็นพระอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้หรือเปล่า คุณน่าจะรู้ดีแก่ใจที่สุด ถ้าคุณไปกับผม ยังมีโอกาสแก้แค้นผมอยู่”
มู่น่อนน่อนเบิกตากว้างทันที
เธอฟังออกว่าลี่จิ่วเชียนกำลังใช้วิธีกระตุ้นกับเธอ
แต่ว่า แววตาของลี่จิ่วเชียนมีแต่ความใจกว้าง
น้ำเสียงของเขาจริงจัง เขาอยากช่วยเธอจริงๆ
ใบหน้าเขาไม่มีรอยยิ้ม สีหน้าบูดบึ้งและแฝงด้วยความรู้สึกที่เย็นชา นี่คือหน้าตาของเขาที่ลบความเสแสร้งออกแล้ว
เธอไม่อยากถูกลี่จิ่วเชียนช่วยจริงๆ
แต่ว่า ถ้าตายอยู่ในมือของเจียงซ่ง งั้นก็ยิ่งไม่คุ้มเลย
มู่น่อนน่อนเม้มปากไว้แน่น แล้วเดินไปที่ข้างหลังของลี่จิ่วเชียนอย่างช้าๆ
เธอเดินมาถึงด้านหลังของลี่จิ่วเชียนแล้ว ก็รู้สึกได้เลยว่าไหล่ของลี่จิ่วเชียนได้ตกลงไปเหมือนกับว่าผ่อนคลายลงเยอะ จากนั้นได้หันมาพูดเสียงเบาว่า:“ขึ้นรถของผม!”
มู่น่อนน่อนไม่มีการลังเลอีก ได้หันหลังไปขึ้นรถโดยตรง
ประตูรถที่เธอเปิดคือประตูฝั่งคนขับ
ลี่จิ่วเชียนได้ดึงเจียงซ่งออกมาจากกระจกรถทันที คุมตัวเขาเดินมาถึงหน้าประตูรถ
มู่น่อนน่อนได้ยื่นมือเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับที่ลี่จิ่วเชียนพิงอยู่ออก
ชีวิตน้อยๆของเจียงซ่งยังอยู่ในกำมือของลี่จิ่วเชียน เขาพูดจาตัวสั่น:“แก……แกยังไม่ปล่อยฉันอีก!ฉันปล่อย……นังแพศยา……อ๊า!!”
คำพูดตอนท้ายของเขายังไม่ได้พูดออกมา ก็ถูกลี่จิ่วเชียนกระชากไปโยนใส่พื้นแล้ว ส่งเสียงโอดโอยออกมา
ในขณะเดียวกัน ลี่จิ่วเชียนได้ขึ้นรถไปอย่างไว
เขาขึ้นรถปุ๊บ มู่น่อนน่อนก็ขับเคลื่อนรถยนต์เลย
รถซิ่งด้วยความเร็วสูงสุด ทำให้แม้แต่ลูกน้องของเจียงซ่งก็ยังไหวตัวไม่ทันเลย
แต่ถึงลูกน้องพวกนั้นของเจียงซ่งดึงสติกลับมาก็ไม่มีกะจิตกะใจไปจับพวกเขา เพราะลี่จิ่วเชียนลงไม้ลงมือกับเจียงซ่งไม่เบาเลย
พวกเขาย่อมต้องรักษาชีวิตของเจ้านายตัวเองเอาไว้ก่อนอยู่แล้ว ไม่งั้นไม่มีคนจ่ายเงินเดือนให้
หลังจากพวกเขาขับออกมาได้ระยะทางช่วงนึง ก็ได้ยินเสียงไซเรนรถตำรวจ
มู่น่อนน่อนคิดๆแล้วได้พูดว่า:“ก่อนหน้านี้ฉันได้โทรแจ้งตำรวจค่ะ”
ลี่จิ่วเชียน“อืม”คำนึง แล้วหันมามองเธอ:“จอดชิดริม ผมมาขับเอง”
สภาพของมู่น่อนน่อนไม่ค่อยดีจริงๆ เธอมองดูแวบนึง พอเห็นว่าไม่มีรถตามมาแล้วจริงๆ ส่วนรถตำรวจก็ได้ขับไปจากอีกฝั่งนึงพอดี เธอจึงวางใจขับรถไปจอดชิดริมถนน
เธอเปลี่ยนที่นั่งกับลี่จิ่วเชียน ลี่จิ่วเชียนคอยขับรถไปด้วยและถามเธอคำนึง:“แผลของคุณเป็นไงบ้าง?”
“ไม่ถึงตายหรอก” ถึงถูกลี่จิ่วเชียนช่วยชีวิตเอาไว้ ก็ไม่สามารถมาหักลบกับเรื่องที่ลี่จิ่วเชียนเคยทำเหล่านั้นหรอก
เธอไม่เคยเห็นคนที่โรคจิตกว่าลี่จิ่วเชียนมาก่อน
ร้ายสุดๆ แต่กลับช่วยเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
กลับกันยังได้ทำให้อารมณ์ของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนมาค่อนข้างซับซ้อน
เดิมทีหลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่วิลล่า ตอนนั้นมู่น่อนน่อนเกลียดลี่จิ่วเชียนจริงๆ
แต่ตอนนี้ เหมือนความเกลียดชังนั้นก็ได้จืดจางลงไปบ้างอีก
ลี่จิ่วเชียนก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก
ที่จริงบาดแผลที่คอไม่ได้ลึกเท่าไหร่ เลือดแข็งตัวแล้ว แผลไม่มีเลือดไหลออกมาอีก ขอแค่อย่าไปสะกิดโดนแผล สามารถอดทนจนถึงโรงพยาบาลอยู่
มู่น่อนน่อนพิงอยู่ที่เบาะนั่ง หันหน้ามองไปนอกกระจกรถ
จู่ๆเธอได้นั่งตัวตรงกะทันหัน:“จอดรถ!”
ลี่จิ่วเชียนไม่รู้เพราะสาเหตุอะไร แต่ก็ได้จอดรถให้เธอ
รถของเขาเพิ่งจอดนิ่ง มู่น่อนน่อนก็เปิดประตูรถลงจากรถไปเลย
ลี่จิ่วเชียนขมวดคิ้ว มองไปตามสายตาของมู่น่อนน่อน ก็เห็นเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนที่กอดคออยู่ด้วยกันพอดี
เขายกมุมปาก และพูดเองเออเองคำนึง:“น่าสนุกจริงๆ”
มู่น่อนน่อนเดินเร็วมาก แต่เธอเดินไปถึงระยะที่ห่างจากเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนไม่กี่ก้าวก็ได้หยุดลงมาแล้ว
เมื่อครู่เหลือบมองอยู่บนรถแวบนึง เธอยังนึกว่าตัวเองตาฝาดไปเสียอีก
เพราะฉะนั้น เธอจะเดินเข้ามาใกล้หน่อย ดูให้ชัดเจนหน่อย
ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนจริงๆ
มู่น่อนน่อนหยุดลงมา ยืนอยู่กับที่ พร้อมกัดฟันไว้แน่น จ้องเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนเอาไว้อย่างไม่คลาดสายตา
ซูเหมียนเห็นมู่น่อนน่อนแล้ว ได้ผลักเฉินถิงเซียวออกด้วยความเขินอาย พร้อมกับพูดว่า:“คุณดูสิคะ นี่ไม่ใช่คุณมู่เหรอคะ?”
เฉินถิงเซียวหันไปมองมู่น่อนน่อนด้วยแววตาลุ่มลึก ยากมากที่จะอ่านใจเขาออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เขาจ้องมู่น่อนน่อนอยู่ครู่นึง จากนั้นได้ตอบเรียบเฉยคำนึงว่า:“อ๋อ”
ซูเหมียนพึงพอใจกับหน้าตาเย็นชาของเฉินถิงเซียวมาก เธอแกล้งพูดอย่างประหลาดใจ:“เธอดูเหมือนเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลยค่ะ?ไม่ว่ายังไงเธอก็เป็นภรรยาเก่าของคุณ ไม่ถามเธอหน่อยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่จำเป็นต้องถามให้มากความ ไปกันเถอะ”เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็ได้ช่วยซูเหมียนเปิดประตูรถของฝั่งข้างคนขับ
ซูเหมียนยิ้มให้มู่น่อนน่อนอย่างได้ใจ เชิดหน้าชูตาขึ้นรถไปอย่างเย่อหยิ่ง
ที่จริงตั้งแต่ต้นจนจบคนที่มู่น่อนน่อนมองมีแค่เฉินถิงเซียวเท่านั้น
คนที่เธอแคร์ก็มีแค่เฉินถิงเซียวเท่านั้น
แต่เฉินถิงเซียวพูดอะไรนะ?
คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่จำเป็นต้องถามให้มากความ
ดีมาก ไม่จำเป็นต้องถามให้มากความ
ซูเหมียนขึ้นรถ เฉินถิงเซียวปิดประตูรถและจะหันไปขึ้นรถที่อีกฝั่ง
ในขณะนี้ เขาได้ยินข้างหลังมีเสียงเย็นชาของมู่น่อนน่อนก้องมา:“เฉินถิงเซียว!”
ที่จริงพวกเขาไม่เคยถือสาในการเรียกชื่อของอีกฝ่ายเลย ต่างก็เรียกชื่อเต็มของกันและกัน แต่ไม่เคยมีความรู้สึกว่าห่างเหินกันเลยจริงๆ
แต่นาทีนี้ ตอนที่มู่น่อนน่อนเรียกชื่อของเขา ทำให้เขามีความรู้สึกหนาวเย็นตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก
เขาหันหลังให้กับมู่น่อนน่อน ไม่ได้หันกลับไปเลย
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเย็นชาสุดๆ:“สมดังปรารถนาคุณแล้ว ต่อไปเราสองคนเป็นแค่คนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน!”
เธอพูดจบแล้วเดินหันหลังเหมือนตอนที่มา ได้เดินไปหารถของลี่จิ่วเชียนอย่างไว ไม่นานก็ได้ขึ้นรถของลี่จิ่วเชียนไป
ลี่จิ่วเชียนมองเธอด้วยสีหน้าขี้เล่น:“ไปได้แล้ว?”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเย็นเหมือนฤดูหนาวนี้
“สมดังปรารถนาคุณแล้ว นับแต่นี้ไปฉันกับเฉินถิงเซียวไม่มีเกี่ยวพันกันอีก”
สีหน้าของลี่จิ่วเชียนชะงักเล็กน้อย จ้องหน้าเธอไว้ หัวเราะอย่างคลุมเครือทีนึง:“งั้นเหรอ?แล้วคุณร้องไห้ทำไม?”
มู่น่อนน่อนตกใจไปครู่นึง จากนั้นได้ยื่นมือจับแก้มตัวเอง
นิ้วมือสัมผัสโดนความเปียกชื้นที่เย็นเฉียบบนใบหน้า
เธอยื่นมือมาที่ตรงหน้าอย่างลังเล ที่แท้เธอร้องไห้เหรอเนี่ย
เป็นน้ำตาที่เย็นเฉียบ
มู่น่อนน่อนยื่นมือเช็ดน้ำตาบนใบหน้าทิ้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วพูดด้วยเสียงที่เย็นชาอีกเช่นเคย:“ฉันเจ็บแผลเกินไป ขืนยังไม่รีบไปโรงพยาบาลเร็วๆ ฉันก็จะตายอยู่บนรถคุณแล้ว”
“ผมไม่ให้คุณตายหรอก” นาทีนี้ลี่จิ่วเชียนย่อมไม่เชื่อคำพูดไร้สาระของมู่น่อนน่อนอยู่แล้ว ถึงมู่น่อนน่อนพูดอย่างจริงจังก็เถอะ
ลี่จิ่วเชียนขับซิ่งตลอดทาง เพื่อส่งมู่น่อนน่อนไปถึงโรงพยาบาลอย่างไว
ตอนที่มู่น่อนน่อนมาถึงด้านนอก เฉินถิงเซียวกำลังขับรถจากไปพอดี
มู่น่อนน่อนสามารถเห็นแค่ท้ายรถของรถยนต์สีดำสูญหายไปในระยะไกล
เธอขึ้นรถด้วยสีหน้าแววตาที่ซับซ้อน
ช่วงนี้เฉินถิงเซียวมีข่าวถี่มาก แต่เป็นพวกข่าวซุบซิบหมด
ที่จริงไม่เพียงซูเหมียนเท่านั้น บางครั้งยังมีข่าวของเฉินถิงเซียวกับผู้หญิงคนอื่นๆที่ไม่ทีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อยด้วย
ส่วนข่าวฉาวเป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอม คือสื่อเขียนออกมาเพื่อดึงดูดสายตาผู้คน หรือว่าเฉินถิงเซียวมีเรื่องรักใคร่อะไรกับพวกเธอจริงๆ มู่น่อนน่อนไม่สามารถรู้ได้เลย
ถ้าบอกว่าไม่แคร์เลยสักนิดเลย ก็คงเป็นคำโกหก
เธอกับเฉินถิงเซียวอยู่ด้วยกันนานขนาดนั้น ไม่ใช่บอกว่าหมดรักก็จะสามารถหมดรักได้
แต่เธอก็ยังจะไปติดตามซุบซิบเหล่านั้นของเฉินถิงเซียวอย่างไม่รู้ตัวอยู่ดี พอดูข่าวเหล่านั้นแล้ว เธอกลับรู้สึกเสียใจผิดปกติอีก
เหมือนทรมานตัวเองยังไงอย่างงั้น รู้ทั้งรู้ว่าจะเสียใจ แต่ก็ยังจะดูอีก
แต่ในใจลึกๆของมู่น่อนน่อน ก็ยังรู้สึกว่าช่วงนี้เฉินถิงเซียวทำตัวแปลกมากอยู่ดี
ผู้ชายที่ไม่ได้ถูกตัณหาครอบงำจิตใจ ทำไมถึงมีข่าว
ฉาวกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าบ่อยจังเลย?
นี่ไม่สอดคล้องกับสไตล์การทำงานของเฉินถิงเซียวเลย
มู่น่อนน่อนขับรถอย่างเหม่อลอย เลยขับค่อนข้างช้า
จนกระทั่งตอนที่มีรถหลายคันขับแซงมาจากด้านหลังของเธอ และขวางอยู่หน้าของรถเธอ ทันใดนั้นเธอถึงดึงสติกลับมาพร้อมกับเหยียบเบรก
เนื่องจากเป็นการเหยียบเบรกที่กะทันหัน ร่างกายของเธอได้พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเฉื่อย
เธอเวียนหัวอยู่ครู่นึง ตอนที่เงยหน้าขึ้นมามองนอกรถ ก็เห็นรถหลายคันที่ขวางอยู่ตรงหน้าเธอเริ่มมีคนทยอยลงมาจากในรถแล้ว
คนที่นำหน้ามาก็คือเจียงซ่งนี่เอง
เหมือนผีเร่ร่อนที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิดจริงๆ
มู่น่อนน่อนหยิบมือถือออกมาแจ้งความโดยตรง
แต่เธอเพิ่งหยิบมือถือออกมา คนของเจียงซ่งก็ทุบกระจกรถแตกโดยตรงเลย
เศษกระจกรถได้กระเด็นใส่ตัวเธอ ที่มือกับบนใบหน้าล้วนมีแผลขีดข่วนในระดับที่แตกต่างกันออกไป
มู่น่อนน่อนตื่นตระหนก เธอหันหน้าไปทางฝั่งข้างคนขับเตรียมจะหนีจากทางนี้ด้วยจิตใต้สำนึก
แต่คนของเจียงซ่งได้ยื่นมือจากนอกกระจกรถที่แตกร้าวเข้ามากระชากผมของมู่น่อนน่อนเอาไว้
แต่นาทีนี้มู่น่อนน่อนกำลังโทรแจ้งความอยู่
มือถือได้หล่นจากมือ ในสายมีเสียงของตำรวจดังขึ้น:“สวัสดีครับ?มีคนอยู่หรือเปล่าครับ?”
ผมของมู่น่อนน่อนถูกพวกเขากระชากเอาไว้แน่นมาก เธอเจ็บจนหน้าซีดไปหมด ได้พูดเสียงดังว่า:“ที่นี่คือถนนหวนหนาน ฉัน……อ๊า!”
“นังตัวดี กล้าแจ้งความเหรอ!”
นาทีนี้คนที่กระชากผมของเธอจากนอกกระจกรถไว้ได้ใช้แรงกะทันหัน คอของเธอได้ติดคาอยู่บนมุมแหลมของกระจกรถที่แตกร้าว
วันนี้เธอพันผ้าพันคอสีขาวเอาไว้ พริบตาเดียวเลือดสีแดงสดได้ย้อมจนผ้าพันคอของเธอแดงหมด
นาทีนี้มู่นน่อนน่อนเจ็บจนพูดไม่ออกสักคำแล้ว
ประตูรถถูกเปิดออก เธอถูกลากออกไปโดยตรง มือถือของเธอก็ถูกพวกเขาเอาไป ใช้แรงเขวี้ยงไปที่บนท้องถนน
เจียงซ่งเดินมาจากข้างหลัง เห็นสถานการณ์แล้วก็ได้พูดไปด่าไป:“ทำงานกันยังไงวะ กูยังไม่ได้ลงมือพวกมึงก็ทำคนตายก่อนแล้ว?”
มีคนรีบอธิบายด้วยท่าทีที่อ่อนโยนและน้ำเสียงที่นิ่มนวล:“ประธานเจียง ไม่ได้สาหัสขนาดนั้นครับ ไม่ตายครับ”
“ทางที่ดีที่สุดอย่าทำคนตาย กูจะเอาตัวเป็นๆโว้ย!”เจียงซ่งเอียงศีรษะมองมู่น่อนน่อนแวบนึง หัวเราะได้น่ากลัวผิดปกติ:“วันนี้ มึงอย่าคิดว่าจะมีคนมาช่วยมึงเลย!กูไม่ปล่อยมึงไปแน่!”
เขาพูดจบแล้วได้“ฮื้อ”ทีนึงอย่างเย็นชา ได้ยืดตัวตรงพร้อมพูดว่า:“เมื่อกี๊เธอได้แจ้งความไป พวกแกจัดการหน่อย เดี๋ยวสลัดตำรวจทิ้งแล้วส่งคนไปให้ฉัน”
เจียงซ่งพูดจบก็ได้ขึ้นรถไปก่อน
แต่เขาเพิ่งขึ้นรถ ตรงหน้าก็มีรถยนต์สีดำคันนึงพุ่งมาโดยตรงเลย
เจียงซ่งเบิกตากว้าง ด่าคนขับสุดฤทธิ์:“หลบสิวะ!แม่งเอ๊ย!”
คนขับหักหลบอย่างเร่งด่วน แต่รถคันนั้นก็ยังได้พุ่งชนมาอยู่ดี
คอของมู่น่อนน่อนยังมีเลือดไหลอยู่ นาทีนี้ร่างกายเริ่มรู้สึกหนาวแล้ว สายตาค่อนข้างพร่ามัว มองไม่ค่อยชัดว่าคนที่อยู่ในรถคันนั้นคือใคร
เฉินถิงเซียวเพิ่งไปก่อนเธอไม่นาน ใช่เฉินถิงเซียวหรือเปล่า?
ประตูรถเปิดออก รูปร่างสูงใหญ่ลงมาจากในรถ
คนๆนั้นเดินตรงมา
พอเขาเดินเข้ามาใกล้ มู่น่อนน่อนถึงมองเห็นอย่างชัดเจนว่าคนที่เดินมาคือใคร
เธอพูดพึมพำอย่างเหลือเชื่อ:“ลี่จิ่วเชียน……”
“น่อนน่อน”ลี่จิ่วเชียนเรียกเธอคำนึง เดิมทีใบหน้ายังแฝงด้วยรอยยิ้มที่เสมอต้นเสมอปลาย แต่หลังจากสายตาได้สังเกตเห็นผ้าพันคอที่ถูกเลือดย้อมจนแดงก่ำแล้ว สีหน้ามืดมนลงมาทันที
นาทีนี้มู่น่อนน่อนไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดของร่างกายแล้ว ในหัวของเธอคิดอยู่แค่คำถามเดียว
ทำไมไม่ใช่เฉินถิงเซียว?
ทำไมไม่ใช่เขา?
แต่ไม่มีใครสามารถให้คำตอบเธอ
รถของเจียงซ่งถูกชนทีนึง แต่รถของเขาดีมาก ตัวเขาไม่ได้เป็นอะไร
เดิมทีเขายังนึกว่าบุคคลใหญ่โตที่ไหนเสียอีก ปรากฏพอลงจากรถมาดู เห็นแค่ลี่จิ่วเชียนยืนอยู่ที่นั่นคนเดียว ได้มีความมั่นใจขึ้นมาเต็มเปี่ยมทันที:“ไอ้หมอนี่ คงเพิ่งมาเมืองหู้หยางสินะ?รู้หรือเปล่าว่ารถที่มึงชนคือรถของใคร?”
ลี่จิ่วเชียนหันมามองเจียงซ่งแวบนึง แล้วพูดด้วยเสียงเย็นชา:“ปล่อยเธอไป”
สาเหตุอาจจะเพราะชอบหัวเราะเป็นเวลานาน ใบหน้าของลี่จิ่วเชียนทำให้คนที่ไม่รู้จักเขาและไม่รู้เบื้องลึกของเขาดูแล้ว ไม่รู้สึกมีแรงโจมตีสักนิดเลย
เจียงซ่งไม่เห็นหัวลี่จิ่วเชียนเลย:“ฮื้อ ใจกล้าไม่เบาเลย!นานมากแล้วที่ไม่เจอคนใจกล้าอย่างนาย นายรู้หรือเปล่าว่าไอ้พวกที่ใจกล้าอย่างนายไปไหนกันหมดแล้ว?”
“พวกมันตายกันหมดแล้ว”เจียงซ่งหัวเราะได้อำมหิตสุดขีด:“ฉันให้โอกาสนายครั้งนึง ตอนนี้ถ้านายคุกเข่าลงมาเรียกคุณปู่คำนึง ฉันสามารถปล่อยนายไปได้ แต่ถ้านายไม่คุกเข่า ก็ต้องไปอยู่กับคนพวกนั้นแล้ว”
ไม่เพียงเจียงซ่งที่ไม่เห็นลี่จิ่วเชียนอยู่ในสายตา ลี่จิ่วเชียนก็ไม่เห็นเจียงซ่งอยู่ในสายตาเหมือนกัน
เขาแค่มองมู่น่อนน่อนแวบเดียว อารมณ์ที่อยู่ในแววตายากจะแยกแยะ เหมือนกำลังคอนเฟิร์มอะไรอยู่ แต่ก็เหมือนไม่มีอะไรเลย
จากนั้น เขาได้เคลื่อนย้ายสายตาอย่างเร็ว เดินมาที่ตรงหน้าของเจียงซ่งด้วยท่าทางที่ว่องไวสุดๆ ลงมือยังไงมู่น่อนน่อนไม่ทันได้เห็น เธอเห็นแค่ลี่จิ่วเชียนกดศีรษะของเจียงซ่งเข้าไปในกระจกรถที่อยู่ข้างๆ
ก็ไม่รู้ว่าลี่จิ่วเชียนใช้แรงไปมากเท่าไหร่ กระจกรถได้แตกร้าว หัวของเจียงซ่งก็กระแทกจนแตก เลือดไหลตามหน้าผากลงมาจนเต็มหน้า
เสียงกรีดร้องที่น่าอนาถของเจียงซ่งใกล้จะทะลุแก้วหูของคน
ลูกน้องของเจียงซ่งได้ห้อมล้อมลี่จิ่วเชียนเอาไว้หมด ในขณะที่กำลังจะลงมือ ก็ได้ยินลี่จิ่วเชียนพูดกับเจียงซ่งว่า:“นายแน่ใจเหรอว่าจะให้ลูกน้องนายลงมือ?ถ้าพวกมันลงมือ นายคิดว่านายยังสามารถมีชีวิตอยู่รอดกลับบ้านได้เหรอ?”
ลี่จิ่วเชียนลงมือโหดเกินไป เจียงซ่งไม่เคยเจอคนอย่างลี่จิ่วเชียนมาก่อน ถึงแม้ปกติเขาเป็นคนที่จะต่อสู้อย่างดุเดือด แต่ในช่วงเวลาสำคัญก็ยังกลัวตายอยู่
เจียงซ่งสั่นไปทั้งตัว กลัวจะแย่อยู่แล้ว แม้แต่เสียงก็ยังสั่น:“อย่า……พวกแกอย่าเข้ามา ถอยหลังไป……”
ลี่จิ่วเชียนเห็นหน้าตาขี้ขลาดของเจียงซ่งแล้ว แววตามีความดูถูกแวบผ่านเสี้ยวนึง และได้พูดด้วยเสียงเย็นชาว่า:“ปล่อยมู่น่อนน่อน”
“ปล่อย ปล่อยผู้หญิงคนนั้น!”เจียงซ่งจะกล้าขัดคำสั่งลี่จิ่วเชียนได้อย่างไง
ลูกน้องของเขาได้รีบปล่อยมู่น่อนน่อน และผลักเธอมาที่ตรงหน้าของลี่จิ่วเชียนทันที
เมื่อก่อน ตอนที่เฉินมู่ดูการ์ตูน เธอตั้งใจดูจนไม่กะพริบตาเลย
ตอนนี้เธอถึงขั้นบอกว่าการ์ตูนไม่สนุก น่าเบื่อ?
มู่น่อนน่อนถามหยั่งเชิงว่า:“งั้นหนูอยากดูอะไรคะ?”
เฉินมู่ก็ไม่พูด ได้โดดลงมาจากโซฟาแล้วขึ้นไปชั้นบนโดยตรง
มู่น่อนน่อนตามขึ้นไป ก็เห็นเฉินมู่ได้หอบกระดานมานั่งลงที่พื้นแล้วเริ่มวาดรูป
เฉินมู่วาดได้ใจจดใจจ่อ ก็ไม่สนว่ามู่น่อนน่อนเข้ามาหรือเปล่า
มู่น่อนน่อนพยายามพูดคุยกับเฉินมู่ แต่เฉินมู่ก็ไม่ค่อยสนใจเธอ
เฉินมู่จมปลักอยู่ในโลกของตัวเอง เหมือนตัดขาดกับทุกอย่าง
มู่น่อนน่อนอยู่กับเธอไปสักพัก ก็ได้ลงไปทำอาหารเที่ยงให้เฉินมู่แล้ว
เธอก็ไม่คิดจะทานอาหารเที่ยงที่นี่ แค่ทำอาหารให้เฉินมู่ทานสักมื้อเฉยๆ
คนใช้รู้ว่าเธอจะทำกับข้าว ต่างก็ได้ออกมาจากห้องครัว
ตอนเที่ยงเฉินถิงเซียวไม่ได้กลับมา ตอนนี้เฉินจิ่งหยุ้นก็ไปแล้ว อาหารเที่ยงของเฉินมู่ก็มีมู่น่อนน่อนเป็นคนทำให้ คนใช้จึงไม่จำเป็นต้องเตรียมอาหารให้ใคร
มู่น่อนน่อนใช้ใจทำอาหารที่มีรูปทรงน่ารักๆออกมา
เด็กผู้หญิงล้วนชอบของน่ารักหมด
มู่น่อนน่อนยกอาหารเที่ยงที่ทำเสร็จออกมาจากห้องครัวด้วยรอยยิ้ม ตอนที่เดินผ่านห้องโถง หน้าบ้านได้มีคนเดินเข้ามา
ทันใดนั้นเธอเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นเฉินถิงเซียวกำลังก้าวเท้ายาวเดินมาในห้องโถง
เฉินถิงเซียวก็กำลังมองมาที่เธอพอดี สายตาของทั้งสองได้กระทบเข้าด้วยกันอยู่กลางอากาศ
มู่น่อนน่อนนึกถึงเรื่องของเมื่อวาน ก็เหมือนถูกเผายังไงอย่างงั้น ได้เคลื่อนย้ายสายตาออกกะทันหัน ทำเป็นเหมือนไม่เห็นเฉินถิงเซียว และได้ขึ้นชั้นบนโดยตรง
เธอก้มหน้าเดินขึ้นไปชั้นบน ยับยั้งความวู่วามที่อยากจะหันไปมองเฉินถิงเซียว
เขามีอะไรน่าดู?
เมื่อคืนตอนที่อยู่โรงแรมจีนติ่ง เขาถึงขั้นไม่พูดไม่สนใจเธอเลย งั้นก็แสดงว่าเขาได้ตัดสินใจเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าครั้งนี้อยากเลิกกับเธอจริงๆ
ทุกคนล้วนมีศักดิ์ศรีและขอบเขตของตัวเอง
เธอก็เหมือนกัน!
พอขึ้นมาชั้นบน มู่น่อนน่อนพบว่าฝ่ามือที่ตัวเองถือถาดไว้มีเหงื่อซึมออกมาแล้ว
ตื่นเต้นอย่างไร้สาเหตุ
ก็ไม่รู้ว่าตื่นเต้นอะไร
มู่น่อนน่อนยกอาหารเที่ยงมาที่ห้องนอนของเฉินมู่ เฝ้าดูเธอทานจนหมดถึงออกมา
ตอนที่ออกมา เธอได้มองไปยังทิศทางห้องอ่านหนังสือของเฉินถิงเซียวแวบนึงอย่างควบคุมไม่ได้
ประตูของห้องอ่านหนังสือปิดสนิท เมื่อครู่เธออยู่ที่ห้องนอนของเฉินมู่ไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ที่เฉินถิงเซียวกลับมากะทันหัน บางทีอาจจะแค่กลับมาเอาเอกสารสำคัญที่บ้านเฉยๆ ไม่แน่ตอนนี้อาจจะออกไปแล้ว
พอคิดแบบนี้ ในใจมู่น่อนน่อนได้ผ่อนคลายลงมาบ้าง
แต่ตอนที่เธอเดินมาถึงหัวบันได พอเห็นเฉินถิงเซียวนั่งอยู่ที่โซฟาของห้องโถง จิตใจที่ผ่อนคลายลง ก็ได้อกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาทันที
ทำไมเฉินถิงเซียวยังไม่ได้ไปอีก!
อารมณ์ของมู่น่อนน่อนค่อนข้างซับซ้อน จะลงดีหรือไม่ลงดี
เธอได้ชะโงกมองลงไปอีกทีนึง เฉินถิงเซียวถือโทรศัพท์อยู่ ก้มหน้าไว้ไม่รู้กำลังทำอะไรอยู่
ในขณะนี้เอง มือถือของเขาได้ดังขึ้น
มองเฉินถิงเซียวรับสาย มู่น่อนน่อนก็ได้ลงไปชั้นล่างอย่างใจกล้า
เธอมาถึงห้องโถง ได้เอาถาดให้คนใช้ทันที แล้วหันหลังเดินออกไปข้างนอกโดยตรง
ในขณะนี้เอง จู่ๆด้านหลังมีเสียงของเฉินถิงเซียวก้องมา:“หยุด”
เสียงของเฉินถิงเซียวทุ้มต่ำ ฟังไม่ออกว่ามีอารมณ์ยังไง
มู่น่อนน่อนอึ้งอยู่ครู่นึง ไม่ได้หยุดฝีเท้า กลับกันได้เดินเร็วกว่าเดิม สุดท้ายได้วิ่งโดยตรงซะเลย
เหมือนเธอได้ยินเสียงยิ้มหยันของเฉินถิงเซียวมาจากด้านหลัง
แต่เธอมัวแต่มาคิดเยอะขนาดนั้นไม่ได้แล้ว เธอไม่อยากอยู่เผชิญหน้ากับเฉินถิงเซียว เผชิญหน้ากับเฉินถิงเซียวคนนี้ที่ไม่มีความสัมพันธ์กับเธอ
ความสัมพันธ์ระหว่างคนมันเปราะบางเกินไป
ระหว่างพวกเขาไม่มีพันธะการแต่งงานกัน
ถึงมีเฉินมู่ลูกสาวคนนี้ พวกเขานอกจากเป็นพ่อแม่ของเฉินมู่แล้ว ไม่มีความสัมพันธ์อะไรซึ่งกันและกัน
ถ้าดันต้องบอกว่ามีความสัมพันธ์ นั่นก็คือตอนนั้นเฉินถิงเซียวได้มอบบริษัทเฉินซื่อให้มู่น่อนน่อน ระหว่างทั้งสองอาจจะยังมีพันธะทางผลประโยชน์
มู่น่อนน่อนคิดมากในชั่วขณะ
เลยทำให้ตอนที่เธอวิ่งมาถึงข้างนอก ถูกบอดี้การ์ดขวางเอาไว้ เธออึ้งไปครู่นึงถึงดึงสติกลับมา
“พวกนายจะทำอะไร หลีกไป!”มู่น่อนน่อนหน้าบึ้งไว้ แววตาเย็นชา
พวกบอดี้การ์ดต่างก็มองหน้ากันไปมาอย่างค่อนข้างลังเล แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่ท่าทีว่าจะหลีกให้
มู่น่อนน่อนเข้าใจแล้วว่านี่คือความต้องการของเฉินถิงเซียว
ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนหันไป ก็เห็นเฉินถิงเซียวกำลังเดินออกมาจากห้องโถงอย่างใจเย็น
ชุดสูทสีดำทั้งตัว ทำให้เขายิ่งดูเย็นชาลุ่มลึกเข้าไปใหญ่ ยิ่งทำให้คนมีความรู้สึกว่ายากที่จะคาดเดา
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วมองหน้าเขา:“เฉินถิงเซียว!คุณหมายความว่ายังไง?”
เฉินถิงเซียวค่อยๆเดินมาที่ตรงหน้าเธอ ทุกย่างก้าวที่เขาเดิน มู่น่อนน่อนรู้สึกความกดดันบนตัวก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เธอถอยหลังไปสองก้าวอย่างควบคุมไม่ได้
ท้ายที่สุด เฉินถิงเซียวเดินมาหยุดอยู่ที่ตรงหน้าเธอ หลุบตาจ้องมองเธอไปครู่นึง ถึงค่อยๆส่งเสียงออกมา:“ให้คุณหยุดไม่ได้ยินรึไง?”
“คุณชายเฉินไม่ได้เอ่ยชื่อเอ่ยนามสกุล ใครจะไปรู้ว่าให้คนนี้หยุดหรือว่าให้คนนั้นหยุด?”มู่น่อนน่อนเชิดคางขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเย็นชา ไม่ยอมเลยแม้แต่น้อย
จู่ๆเฉินถิงเซียวได้หัวเราะเยาะทีนึง
มู่น่อนน่อนเบะปากด้วยจิตใต้สำนึก หัวเราะอะไร?มีอะไรน่าหัวเราะ?
เอาเรื่องผีสางเทวดามาลวงล่อใจคน!
“คิดว่าก่อเรื่องที่จีนติ่งแล้วสามารถถอนตัวออกมาได้ ก็นึกว่าตัวเองมีความสามารถแล้วงั้นเหรอ?”เฉินถิงเซียวมองหน้าเธอพร้อมพูดเหน็บแนม:“เป็นผู้หญิงที่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีหน่อย ก่อเรื่องให้น้อยหน่อย เพราะยังไงคุณก็เป็นแม่ของลูกผม”
——คุณเป็นแม่ของลูกผม
เหอะ แยกได้ชัดเจนจังเลยนะ
เฉินถิงเซียวระวังและระแวง ส่วนใหญ่ในเวลาสำคัญ เขาพูดจาไม่เคยมีจุดรั่วไหลเลย
มู่น่อนน่อนมองเขาด้วยสีหน้าเหน็บแนม แล้วพูดทีละถ้อยคำ:“เกี่ยว อะ ไร กับคุณ”
เธอเพิ่งพูดคำนี้ออกมา สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็บูดบึ้งขึ้นมาทันทีอย่างสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าจริงด้วย
มองดูเฉินถิงเซียวสีหน้าเปลี่ยนไป อย่าให้พูดเลยว่ามู่น่อนน่อนสะใจมากแค่ไหน
ใครใช้ให้เขาอยู่ดีไม่ว่าดีมาพูดคำพูดที่เหมือนใช่แต่ไม่ใช่ มาทำให้เธอทุกข์ใจล่ะ!
เธอก็จะทำให้เขาทุกข์ใจเหมือนกัน!
มู่น่อนน่อนหรี่ตาเล็กน้อย มองหน้าเขาอย่างไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
กรามของเฉินถิงเซียวตึงเอาไว้ สีหน้าแววตาไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่มู่น่อนน่อนกลับรู้สึกได้อย่างแปลกประหลาดว่าเฉินถิงเซียวแอบกัดฟันไว้แน่น
ไม่รู้ว่าทั้งสองอยู่ด้วยกันนานเกินไปเลยมีความเข้ากันเกินไป หรือว่าเธอคิดมากไปเอง
ผ่านไปสักพัก เฉินถิงเซียวถึงพูดอย่างเย็นชาว่า:“ดีมาก”
“ในเมื่อดีมาก งั้นตอนนี้ปล่อยฉันไปได้หรือยัง?”มู่น่อนน่อนไม่กลัวเลยสักนิด
ตอนนี้สำหรับเธอแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือเฉินมู่ ถึงเฉินถิงเซียวโกรธเธอมากแค่ไหน เขาก็คงไม่มีทางเอาเฉินมู่มาเป็นที่ระบายความโกรธหรอก
เผชิญหน้ากับเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนตอนนี้คือมีที่พึ่งจึงไม่เกรงกลัว
เปลี่ยนวิธีพูดอีกแบบนึงก็คือ มีข้อบกพร่องหรือผิดพลาดแล้วปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ไม่แก้ไขให้ถูกต้อง
ระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวกลายเป็นแบบนี้แล้ว ถึงจะแย่ก็ไม่แย่ไปกว่านี้แล้ว?
คิดถึงพวกนี้ สีหน้าท่าทางของมู่น่อนน่อนก็ยิ่งเยือกเย็นไม่สะทกสะท้านมากยิ่งขึ้น
เฉินถิงเซียว“ฮื้อ”ทีนึง จากนั้นได้เดินผ่านเธอไปข้างนอกโดยตรง
เฉินถิงเซียวไปแล้ว พวกบอดี้การ์ดที่ขวางมู่น่อนน่อนเอาไว้ก็ย่อมหลีกทางให้เธอแล้วเหมือนกัน
มู่น่อนน่อนยืนอยู่หน้าห้องตัวเอง แกล้งล้วงกุญแจของตัวเองออกมาเปิดประตูอย่างช้าๆ
เธอเพิ่งเอากุแจเสียบเข้าไปที่รูเสียบ ก็ได้ยินอีกฝั่งมีเสียงเปิดประตูและปิดประตูดังขึ้น
มู่น่อนน่อนหันไปมอง เห็นประตูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามปิดพอดี
ฉีเฉิงพักที่นี่จริงด้วย?
แค่บังเอิญจริงเหรอ?
บนโลกใบนี้มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้เลย?
มู่น่อนน่อนหรี่ตาเล็กน้อย ครุ่นคิดไปครู่นึง ถึงเปิดประตูเข้าห้องไป
แต่เธอเพิ่งเข้าไปในห้อง เดิมทีฉีเฉิงที่อยู่อีกฝั่งได้ปิดประตูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จู่ๆได้เปิดประตูออกอีก
เขายืนอยู่ข้างประตู มองไปที่หน้าห้องของมู่น่อนน่อนแวบนึง จากนั้นได้หยิบมือถือออกมาโทรศัพท์
“ผมกับเธอได้เจอหน้ากันแล้ว เธอน่าจะสงสัยผมนิดหน่อย”
ไม่รู้ว่าในสายพูดอะไรมา ฉีเฉิงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย:“ผมรู้แล้วครับ”
……
เช้าวันรุ่งขึ้น
ตอนที่มู่น่อนน่อนออกจากบ้าน ได้มองไปที่หน้าห้องของฝั่งตรงข้ามแวบนึงโดยเฉพาะ
ประตูปิดสนิท ไม่รู้ว่าฉีเฉิงอยู่บ้านหรือว่าออกไปแล้ว
วันนี้มู่น่อนน่อนก็วางแผนจะไปหาเฉินมู่ที่วิลล่าของเฉินถิงเซียวก่อน จากนั้นค่อยไปสตูดิโอของฉินสุ่ยซาน
เธอทานอาหารเช้าที่ข้างนอก ตอนที่ผ่านร้านเค้ก เธอได้ซื้อเค้กที่หน้าตาสวยงามประณีตหลายก้อน ซื้อไปฝากเฉินมู่
เธอดูนาฬิกาแวบนึงโดยเฉพาะ แน่ใจว่าเฉินถิงเซียวได้ออกจากบ้านไปแล้ว เธอถึงขับรถไปที่วิลล่าของเฉินถิงเซียว
ตอนที่มู่น่อนน่อนขับรถมาถึงหน้าวิลล่าของเฉินถิงเซียว พบว่าหน้าบ้านมีรถจอดอยู่คันนึง ท้ายรถถูกเปิดออก มีบอดี้การ์ดกำลังยกกระเป๋าเดินทางไปใส่ที่ท้ายรถพอดี
ดูแล้วเหมือนมีคนจะเดินทางไกล
มู่น่อนน่อนมองไปในวิลล่าแวบนึง แล้วขมวดคิ้ว:“เฉินถิงเซียวอยู่บ้าน?”
บอดี้การ์ดรู้ว่ามู่น่อนน่อนคือใคร ถึงแม้ตอนนี้เธอไปจากวิลล่าแล้ว แต่เฉินถิงเซียวก็อนุญาตให้เธอมาเที่ยวหาเฉินมู่อยู่ แสดงว่าเธอก็ยังมีสถานะอยู่
เพราะเหตุนี้ บอดี้การ์ดต่างก็เกรงิกเกรงใจกับเธอ
บอดี้การ์ดฟังคำพูดของเธอแล้ว ได้พูดอย่างเคารพนอบน้อมมาก:“คุณชายออกจากบ้านไปแต่เช้าแล้วครับ”
“แล้วพวกนายเอากระเป๋าเดินทางทำไม?ใครจะไปไหน?”
มู่น่อนน่อนเพิ่งถาม เฉินจิ่งหยุ้นก็เดินออกมาจากวิลล่าเลย พร้อมเรียกเธอ:“มู่น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองไปตามเสียง ก็เห็นเฉินจิ่งหยุ้นที่ใส่เสื้อผ้าหนาๆกำลังเดินมาหาเธอ
นึกถึงคำพูดที่เมื่อวานฉีเฉิงพูด มู่น่อนน่อนได้ถามว่า:“คุณจะไป?”
“ไปรักษาอาการป่วยที่ต่างประเทศ”เฉินจิ่งหยุ้นก้มหน้าเอาไว้ต่ำๆ พันผ้าพันคอขนแกะหนาๆและสวมถุงมือเอาไว้ ดูแล้วกลัวมากมาก และดูค่อนข้างอ่อนแอ
เมื่อวานได้ยินฉีเฉิงพูดเรื่องนี้แล้ว มู่น่อนน่อนก็เลยไม่ได้รู้สึกประหลาดใจมากเกินไป
เพียงแต่ สีหน้าสงบนิ่งของมู่น่อนน่อน อยู่ในสายตาของเฉินจิ่งหยุ้นได้กลายเป็นอีกความหมายนึง
เฉินจิ่งหยุ้นนึกว่า มู่น่อนน่อนได้พูดอะไรกับเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวถึงได้พูดคำพูดเหล่านั้นกับเธอ ให้เธอไปรักษา
เฉินจิ่งหยุ้นทำจมูกฟุดฟิด เสียงแหบเล็กน้อย:“มู่น่อนน่อน ขอบใจเธอมากนะ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกประหลาดใจ:“ขอบคุณฉันทำไม?”
เฉินจิ่งหยุ้นนึกว่ามู่น่อนน่อนไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ เธอจึงแค่ยิ้มมุมปากทีนึง
เฉินจิ่งหยุ้นวันนี้หน้าสด แต่ใบหน้าที่คล้ายกับเฉินถิงเซียวนี้ สวยตั้งแต่เกิดเลย ถึงจะอิดโรยแต่ก็ยังสวยมากอยู่ดี
“คุณหนู ได้เวลาแล้วครับ”บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆส่งเสียงเร่งเฉินจิ่งหยุ้น
เฉินจิ่งหยุ้นเงยหน้ามองมาที่มู่น่อนน่อนอีก:“ฉันจะไปแล้ว เธอกับถิงเซียวต้องมีความสุขนะ”
น้ำเสียงเรียบเฉย มีความรู้สึกเหมือนกำลังสั่งเสีย
มู่น่อนน่อนถามเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย:“ฉีเฉิงล่ะ?เขาหายไปไหน?”
เฉินจิ่งหยุ้นตกใจเล็กน้อย จากนั้นได้พูดด้วยเสียงเรียบเฉย:“เขากับฉันไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน ฉันพาเขาไปด้วยทำไม”
ฉีเฉิงไม่ไปต่างประเทศกับเธอเอง
แต่เฉินจิ่งหยุ้นก็มีความเย่อหยิ่งของตัวเองอยู่เหมือนกัน เธอไม่บอกมู่น่อนน่อนหรอก ที่จริงเธออยากให้ฉีเฉิงไปกับเธอ แต่ฉีเฉิงไม่ไป
มู่น่อนน่อนไม่รู้ความคิดวกไปวนมาเหล่านี้ของเฉินจิ่งหยุ้นเลย
เธอรู้สึกค่อนข้างกลุ้มใจ คิดไม่ถึงเลยว่าที่ฉีเฉิงคือความจริง เฉินจิ่งหยุ้นไม่พาฉีเฉิงไปจริงๆ
มาถึงเวลานี้แล้ว มู่น่อนน่อนเผชิญหน้ากับเฉินจิ่งหยุ้นยังคงอารมณ์ซับซ้อนอีกเช่นเคย สุดท้ายแค่พูดออกมาคำนึงว่า:“รักษาตัวด้วยนะคะ”
“เธอก็เหมือนกัน”เฉินจิ่งหยุ้นเหมือนมีอะไรจะพูด แต่สุดท้ายก็แค่โน้มตัวนั่งเข้าไปในรถอย่างจะพูดแต่ก็หยุดเอาไว้
รถที่เฉินจิ่งหยุ้นนั่งจากไปแล้ว มู่น่อนน่อนถึงเข้าไปในวิลล่า
ในวิลล่าไม่มีฉีเฉิงกับเฉินจิ่งหยุ้นอยู่ เหลือแค่บอดี้การ์ดกลุ่มนึงกับคนใช้ ไม่นึกเลยว่าจะค่อนข้างเงียบเหงา
“คุณหญิง……คุณมู่”คนใช้ยังค่อนข้างเปลี่ยนคำพูดไม่ได้
มู่น่อนน่อนพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ขึ้นไปหาเฉินมู่ที่ชั้นบนเลย
อาการของเฉินมู่ค่อยๆดีขึ้นมาบ้างแล้ว เธอได้ยินเสียงเปิดประตู ได้หันมามอง พอเห็นมู่น่อนน่อนแล้วตาเปล่งประกาย แต่ไม่ได้พูดจา
มู่น่อนน่อนอยู่กับเฉินมู่ที่ห้องนอนได้สักพัก จากนั้นได้กล่อมเธอลงไปดูโทรทัศน์ที่ชั้นล่าง
ดีที่ภาพยนต์การ์ตูนมีพลังวิเศษที่ทรงพลัง เด็กทุกคนล้วนยากที่จะต่อต้าน
มู่น่อนน่อนพาเธอมาที่ห้องโถง ตอนที่เอารีโมทเปลี่ยนช่อง ได้เห็นข่าวบันเทิงใหม่ล่าสุดข่าวนึง
“เมื่อคืน มีผู้สื่อข่าวแอบถ่ายได้ว่าเฉินถิงเซียว ประธานคนล่าสุดของบริษัทเฉินซื่อได้พาผู้หญิงกลับบ้าน เท่าที่ทราบมา ผู้หญิงคนดังกล่าวคือคุณซูที่ก่อนหน้านี้เคยมี
การหมั้นหมายกับคุณชายเฉิน……”
มู่น่อนน่อนเม้มปากแล้วเปลี่ยนช่อง
“เฉินถิงเซียวคืนดีกับอดีตคู่หมั้น……”
คิดไม่ถึงว่าพอเปลี่ยนอีกช่องนึงก็เป็นข่าวบันเทิงของเฉินถิงเซียวอีกเหมือนกัน
ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป แม้แต่ค่าโฆษณาบริษัทเฉินซื่อก็ได้ประหยัดไปแล้ว ไม่ต้องจ้างพรีเซ็นเตอร์เลย ตัวเขาเองก็เป็นกระแสร้อนแรงอยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนกัดฟันแล้วเปลี่ยนช่องต่อ
เปลี่ยนติดต่อกันหลายช่อง ไม่นึกเลยว่าจะเป็นข่าวบันเทิงของเฉินถิงเซียวหมด
มู่น่อนน่อนหดหู่ แม้แต่โทรทัศน์ก็ยังต่อกรกับเธอ
เธอหันไปมองเฉินมู่ แล้วพูดกับเธอด้วยรอยยิ้ม:“มู่มู่ เราอย่าดูโทรทัศน์เลย วันนี้ไม่มีอะไรน่าดู”
เฉินมู่เบิกตากว้างพร้อมชี้โทรทัศน์ จากนั้นได้พูดจาฉะฉาน:“ดูเฉินชิงเซียว”
เฉินมู่ก็ดูออกแล้วว่าคนในข่าวคือเฉินถิงเซียว
“เขาไม่น่ามอง” มู่น่อนน่อนพยายามที่จะเปลี่ยนช่อง
แต่เฉินมู่กลับขมวดคิ้วแน่น:“น่ามอง”
มู่น่อนน่อน:“……”
เธอได้แต่เปลี่ยนกลับมาช่องเดิม
เฉินมู่จ้องเฉินถิงเซียวในโทรทัศน์และดูอย่างเมามัน จู่ๆได้พูดออกมาคำนึง:“เหมือนหนู”
“แค๊กๆ……”มู่น่อนน่อนกำลังดื่มน้ำอยู่พอดี ได้ยินคำพูดของเฉินมู่แล้วเกือบจะสำลักน้ำ
เฉินมู่หันมามองมู่น่อนน่อนด้วยความข้องใจแวบนึง:“หม่ามี๊เป็นหวัดเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ……หม่ามี๊เป็นหวัด……แค๊กๆ……”มู่น่อนน่อนไอแค๊กๆหลายทีอย่างไหลลื่นไปตามน้ำ
เมื่อครู่เธอได้ยินอะไรนะ?
เฉินมู่บอกว่าเฉินถิงเซียวน่ามอง คือเพราะเหมือนเธอเหรอ?
เฉินมู่พูดจริงจัง:“กินยาค่ะ”
“เดี๋ยวหม่ามี๊ไปกินค่ะ”มู่น่อนน่อนร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออกนิดหน่อย
เธอพบว่าวันนี้เฉินมู่พูดเยอะอยู่ แต่กลับมีความเย่อหยิ่งและเย็นชาที่คล้ายกับเฉินถิงเซียว
ข่าวของเฉินถิงเซียวไม่ยาว ไม่นานก็ดูจบแล้ว
ครั้งนี้มู่น่อนน่อนได้เปลี่ยนไปที่ช่องโทรทัศน์สำหรับเด็กดูการ์ตูน เฉินมู่ก็ไม่ได้พูดอะไร
แต่ผ่านไปไม่นาน เธอก็ได้ยินเฉินมู่ที่อยู่ข้างกายพูดอย่างเรียบเฉยว่า:“น่าเบื่อ ไม่สนุก”
มู่น่อนน่อน:“????
พอคิดแบบนี้ มู่น่อนน่อนก็ได้ตามไป
“ฉีเฉิง นายรอก่อน”
ฉีเฉิงได้หยุดลงมาจริงๆด้วย แววตานิ่ง:“คุณมู่ยังมีธุระ?”
สีหน้าแววตาของเขาสงบนิ่งแต่เย็นชา
มู่น่อนน่อนก็ไม่อ้อมค้อม ได้ถามตรงๆว่า:“นายมาอยู่นี่ได้ยังไง?”
น้ำเสียงของฉีเฉิงเหลาะแหละมาก:“ผ่านมาพอดีครับ”
“นายคิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ?”มู่น่อนน่อนขวางฉีเฉิงเอาไว้ ฉีเฉิงที่เดิมทีเตรียมจากไปได้แต่เงยหน้าขึ้นมามองเธอ
ฉีเฉิงยิ้มหยันทีนึง:“เฉินจิ่งหยุ้นจะไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ เธอไม่ต้องการผมแล้ว”
มู่น่อนน่อนค่อนข้างทึ่ง ความหมายในคำพูดของฉีเฉิงคือ……เฉินจิ่งหยุ้นไม่เอาเขาแล้ว?
ที่ผ่านมาเธอดูออกว่าฉีเฉิงมีความรู้สึกพิเศษให้เฉินจิ่งหยุ้น แต่เฉินจิ่งหยุ้น……จะว่ามีความรู้สึกพิเศษให้ฉีเฉิง มันก็มีความรู้สึกพิเศษนิดนึงอยู่ แต่คนเย่อหยิ่งอย่างเฉินจิ่งหยุ้น จะชอบคนอย่างฉีเฉิงหรือเปล่า?
มู่น่อนน่อนดูออกว่าฉีเฉิงไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องของเฉินจิ่งหยุ้นให้มาก เธอก็เลยไม่ได้ถามอีก
เธอได้ถามอย่างกับว่าไม่ได้ตั้งใจ:“งั้นจากนี้นายวางแผนจะไปไหน?”
“ไปไหนก็เหมือนกันหมดไม่ใช่เหรอครับ?”ฉีเฉิงหัวเราะเยาะทีนึง บนใบหน้ามีกลิ่นอายสง่างามของความเสเพลอยู่หลายส่วน
ไม่รู้เพราะอะไร จู่ๆมู่น่อนน่อนรู้สึกว่าฉีเฉิงไม่เหมือนคนฆ่ารันฟังแทงเลย
“มันก็ใช่” มู่น่อนน่อนพยักหน้า แล้วเสนอแนะว่า:“วันนี้นายได้ช่วยฉันเอาไว้ งั้นฉันเลี้ยงข้าวนายดีกว่า”
ความคิดของมู่น่อนน่อนเรียบง่ายมาก เธอแค่อยากหลอกถามฉีเฉิงอะไรหน่อย
ถึงแม้มีความเป็นไปได้สูงว่าฉีเฉิงจะไม่ตอบตกลง แต่นั่นก็ไม่เป็นไร ไม่รับปากก็ช่าง
แต่ที่ทำให้มู่น่อนน่อนประหลาดใจคือ ฉีเฉิงได้พยักหน้าอย่างใจกว้าง:“โอเคครับ”
ทีนี้ มู่น่อนน่อนกลับค่อนข้างสงสัย
ระแวกชุมชน ก็มีร้านปิ้งย่างอยู่ร้านนึงแล้ว
ฉีเฉิงก็ไม่เรื่องมาก ได้ตามมู่น่อนน่อนเข้าไปในร้านปิ้งย่างเลย
พนักงานเอาเมนูอาหารมา ฉีเฉิงก็ไม่เกรงใจเลยสักนิด ได้สั่งเนื้อสัตว์มามากมาย
แต่ราคาของร้านปิ้งย่างแบบนี้ถูกมาก ถึงสั่งเยอะก็ไปไม่เท่าไหร่หรอก
ท่าทางที่ฉีเฉิงกินข้าวไม่ถือว่าสง่า แต่กลับทำคนให้คนรู้สึกว่าสุภาพเรียบร้อยมาก
มู่น่อนน่อนจ้องมองเขาไปครู่นึง แล้วอดขำไม่ได้:“นักฆ่าในละครเหมือนล้วนดุร้ายมาก กินข้าวก็กินคำโตๆไม่แคร์ภาพลักษณ์เลย”
ฉีเฉิงดื่มเบียร์ไปกรึ๊บนึง จากนั้นได้เงยหน้า พร้อมชายตามองมู่น่อนน่อนแวบนึง:“ไม่รู้อะไรเลย”
มู่น่อนน่อนถูกเขาทำเอาสำลัก
ช่างเถอะ อย่าถือสาฉีเฉิงเลย เมื่อครู่เขาได้ช่วยเธอไว้ อีกอย่างเธอก็อยากหลอกถามเขาด้วย
“ฉันไม่เคยเห็นของจริงสักหน่อย ในละครเล่นยังไง ก็ต้องมองเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”มู่น่อนน่อนพิงไปที่ข้างหลัง ทำหน้าบริสุทธิ์ใจ
ฉีเฉิงหัวเราะเยาะทีนึง จู่ๆจากนั้นได้กดเสียงต่ำ ใช้เสียงที่สามารถได้ยินกันแค่สองคนพูดว่า:“คุณรู้หรือเปล่า?งานสุดท้ายที่ผมรับ คือเป็นครูสอนภาษาที่โรงเรียนมัธยมแห่งนึง ได้สอนอยู่สองปีเต็มๆ ถึงหาโอกาสลงมือเจอและสำเร็จงานนั้นได้”
ปกติตอนที่ฉีเฉิงพูดจา ดูแล้วก็ไม่ใช่คนที่รับมือง่าย
แต่นาทีนี้ตอนที่เขาใช้เสียงสงบนิ่งจนผิดปกติพูดเรื่องนี้ ทำให้มู่น่อนน่อนมีความรู้สึกกลัวจนขนลุกซู่
ฉีเฉิงที่เป็นนักฆ่า แต่กลับสามารถเป็นครูสอนภาษาที่มัธยมต้นแห่งนึง!สอนหนังสือมาสองปี ไม่ได้เผยพิรุธออกมาเลย
เพื่อฆ่าคนๆนึงแล้วเตรียมการสองปีเต็มๆ!
แต่ที่ยิ่งทำให้มู่น่อนน่อนช็อกคือ ฉีเฉิงยังมีความสามารถในการเป็นครูสอนภาษา!
ดูยังไง ก็ควรจะเป็นครูสอนพละมากกว่ามั้ง……
คงจะเพราะความประหลาดใจของมู่น่อนน่อนแสดงออกมาชัดเจนเกิน ฉีเฉิงแสยะยิ้มมมุปาก เผยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มออกมา:“สิ่งที่ผมเป็น ไม่น้อยกว่าเฉินถิงเซียวหรอก”
คราวนี้ถึงทีมู่น่อนน่อนแสยะยิ้มมุมปากแล้ว
เธอก้มหน้าลง ถือไม้เสียบอันนึงทิ่มเต้าหู้ในถ้วย ก็ไม่พูดต่อจากประเด็นของฉีเฉิง
จู่ๆเหมือนเธอนึกอะไรขึ้นมาได้ ได้เงยหน้ามองไปที่ฉีเฉิงกะทันหัน
ฉีเฉิงเห็นสีหน้าที่อย่างกับว่าเห็นผีของเธอแล้ว ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย:“คุณเป็นคนพูดประเด็นนี้ขึ้นมาเอง แต่คุณวางใจได้ ผมไม่อยู่ดีๆก็ลงมือกับคุณโดยที่เราไม่มีความแค้นกันหรอก”
มู่น่อนน่อนจ้องฉีเฉิงไว้แล้วถามว่า:“นายรู้จักคนที่ชื่อลี่จิ่วเชียนหรือเปล่า?”
“ใครครับ?”ฉีเฉิงคิดอยู่ครู่นึง:“ไม่รู้จัก”
มู่น่อนน่อนกลับจมปลักเข้าสู่การครุ่นคิด
เมื่อครู่ฉีเฉิงบอกว่า การค้าขายสุดท้ายของเขาในก่อนหน้านี้ ได้สอดแนมอยู่ในโรงเรียนมัธยมต้นแห่งนึงสองปีเต็มๆ
และตอนนั้นลี่จิ่วเชียนก็ดูแลมู่น่อนน่อนมาสามปีเต็มๆเหมือนกัน ได้รับความไว้ใจจากเธอ สุดท้ายถึงเผยธาตุแท้ของเขาออกมาเอง
วิธีการของสองเรื่องนี้ คล้ายคลึงกันมาก
นี่ทำให้มู่น่อนน่อนอดสงสัยไม่ได้ว่า ลี่จิ่วเชียนอาจจะเกี่ยวข้องกับองค์กรX
“ไม่รู้จักจริงอ่ะ?”
ความสงสัยที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของมู่น่อนน่อน ทำให้ฉีเฉิงไม่ค่อยสบอารมณ์ เขาหน้าบึ้งพร้อมพูดว่า:“ในองค์กร ทุกคนที่ปฏิบัติการอยู่ข้างนอกต่างก็มีรหัสที่ตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะ พวกเราไม่รู้ชื่อและสถานะแท้จริงของกันและกันครับ”
มู่น่อนน่อนฟังแล้วค่อนข้างช็อกไปเลย
เธอเขียนบทละครก็ยังไม่กล้าเขียนแบบนี้เลย
แต่ความจริงยิ่งดราม่ากว่าในละครเสียอีก
ถึงแม้มู่น่อนน่อนยังอยากรู้เรื่องขององค์กรXให้มากขึ้น แต่คืนนี้เธอถามเยอะเกินไปแล้ว
ที่ฉีเฉิงพูดเรื่องพวกนี้กับเธอ คงจะเพราะอารมณ์ดี และคงจะอยากขู่เธอ วันข้างหน้าให้เธอไม่กล้าถามเรื่องขององค์กรXอีก
หลังจากนี้ เธอก็เลยไม่ได้ถามฉีเฉิงเกี่ยวกับเรื่ององค์กรXอีก
ทั้งสองกินปิ้งย่างเสร็จ ก็ได้ล่ำลาซึ่งกันและกัน
แต่หลังจากทั้งสองล่ำลากันแล้ว มู่น่อนน่อนพบว่าฉีเฉิงไม่ได้จากไป กลับกันได้คอยเดินตามอยู่ข้างหลังเธอ
“นายตามฉันมาทำไม?”มูาน่อนน่อนย่อมไม่คิดว่าฉีเฉิงกลัวเธอจะเกิดเรื่องอีก ก็เลยจะส่งเธอกลับบ้าน
ฉีเฉิงเอามือสองข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุม พร้อมใส่แมสกับหมวกอีกครั้ง ดูแล้วไม่ต่างกับคนธรรมทั่วไปในท้องถนนเลย
คิ้วที่เขาเผยอยู่ข้างนอกได้ขยับ เสียงอยู่ภายใต้การบดบังของแมสไม่ค่อยชัดเท่าไหร่:“ผมก็กลับบ้านไง”
มู่น่อนน่อนชี้ทางข้างหน้า:“นายก็ไปที่นี่?”
ฉีเฉิงขี้เกียจพูดมากกับเธอ ได้เดินแซงเธอไปข้างหน้าโดยตรง
มู่น่อนน่อนเดินตามหลังเขา มองดูเขาเข้าไปในชุมชนที่เธอพักอยู่ จากนั้นได้เข้าไปในตึกที่เธอพักอาศัยอยู่
หน้าลิฟต์ ฉีเฉิงได้ก้าวเข้าไปก่อน แล้วเรียกมู่น่อยน่อนที่ยืนอยู่ข้างนอก:“เฮ้ คุณจะไปไหม?”
มู่น่อนน่อนมองเขาแวบนึง จากนั้นได้ยกฝีเท้าเดินเข้าไป
เธอมองชั้นที่ฉีเฉิงกดแล้วม่านตาหดทันที
บังเอิญจังเลย ฉีเฉิงไม่เพียงพักตึกเดียวกันของชุมชนกับเธอ แถมยังพักอยู่ชั้นเดียวกันด้วย
ฉีเฉิงเห็นมู่น่อนน่อนไม่ได้กดชั้นที่จะไป จึงได้ถามเธอว่า:“ชั้นไหนครับ?”
มู่น่อนน่อนไม่พูดจา ฉีเฉิงหัวเราะเยาะทีนึง น้ำเสียงดูหมิ่นมาก:“ผู้หญิงที่ผมเคยเจอมาเยอะจนนับไม่ถ้วน คุณคิดว่าผมจะทำอะไรคุณงั้นเหรอ?”
มู่น่อนน่อนพบว่า ฉีเฉิงคนนี้ถ้าไม่พูดถึงอดีต นิสัยและความเคยชินของเขาไม่ต่างกับคนทั่วไปเลย
“ฉันไม่เคยคิดแบบนี้ แค่รู้สึกว่าบังเอิญเฉยๆ” มู่น่อนน่อนดึงสายตากลับ หลุบตาลงจ้องปลายเท้าของตัวเองไว้
จากนั้นทั้งสองก็ไม่พูดจากันอีก
ตอนที่ลิฟต์เปิดออก ทั้งสองได้ทยอยกันเดินออกมาจากลิฟต์ จากนั้นได้เดินไปยังห้องที่ทิศทางกลับกัน
ความดูถูกที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของมู่น่อนน่อน ถึงคนโง่ก็ยังฟังออก
ผู้หญิงแบบไหนบ้างที่เจียงซ่งไม่เคยเจอ เคยเจอผู้หญิงหน้าตาสวย และเคยเจอผู้หญิงที่มองข้ามความหวังดีของคนอื่น
แต่ไม่เคยเห็นผู้หญิงที่สวยอย่างมู่น่อนน่อนมาก่อน จะตายอยู่แล้วยังปากดี
ความสนใจที่เขามีต่อมู่น่อนน่อนได้เพิ่มมากขึ้นอีกในชั่วขณะ
เจียงซ่งโบกมือ ส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดถอยหลังไปหน่อย
บอดี้การ์ดถอยไปด้านหลัง เจียงซ่งเดินมาที่ตรงหน้าของมู่น่อนน่อน ส่ายหัวทีนึง แล้วพูดอย่างนักเลง:“ทำไม?สี่คนหาว่าเยอะเหรอ?งั้นเธอก็เชื่อฟังซะดีๆ ล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดแล้วคุกเข่าสำนึกผิดกับฉันดีๆ ก็เป็นสิริมงคลทุกอย่างแล้ว ไม่ใช่เหรอ?”
มู่น่อนน่อนจะฟังความหมายชั้นต่ำในคำพูดของเจียงซ่งไม่ออกได้อย่างไร
ตอนนี้เธอแทบอยากจะเหยียบเจียงซ่งให้ตายคาตีนไปเลย
แต่ตรงหน้าคนเยอะเกินไป เธอไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ถ้ามีแค่เจียงซ่งคนเดียว เธอไม่กลัวหรอก
เธอสูดหายใจลึกๆ เม้มริมฝีปากด้วยความอดทน แล้วพูดอย่างสงบเยือกเย็น:“เหรอคะ?ง่ายขนาดนี้เลย?”
“ฉันเคยบอกเธอแล้วว่าฉันเป็นคนที่ทะนุถนอมอ่อนโยนต่อผู้หญิง โดยเฉพาะกับเธอที่หน้าตาสวยอย่างนี้ ก็ยิ่งใจกว้างอยู่แล้ว ชี้ทางให้เธอแล้ว เธอเลือกเองเลย”
ต่างก็บอกว่ามองสาวสวยใต้แสงไฟ มู่น่อนน่อนในนาทีนี้ยืนอยู่ใต้แสงไฟ แถมเจียงซ่งยืนอยู่ใกล้ขนาดนั้น มองใบหน้าสวยสะพรั่งของมู่น่อนน่อนแล้ว เขาแทบอยากจะกระโจนไปทันที
แต่ผู้หญิงชั้นเยี่ยมอย่างมู่น่อนน่อนแบบนี้ อย่ารีบร้อนเกินไปดีกว่า
ถึงเวลาพอได้มาแล้ว มีเวลาค่อยๆเล่นอยู่ถมเถไป
เจียงซ่งเลียริมฝีปากตัวเอง สายตาลามกจ้องอยู่ที่มู่น่อนน่อน ไม่ปกปิดแผนการของเขาเลย
เวลานี้ คนที่เข้าออกชุมชน ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่
ไม่ก็พนักงานออฟฟิศที่กลับมาดึก ไม่ก็คนแก่ที่กลับมาจากข้างนอก คนพวกนั้นเห็นมู่น่อนน่อนถูกคนกลุ่มนึงห้อมล้อมไว้ ต่างก็มองมาทางนี้ด้วยความแปลกใจ แต่กลับไม่มีใครเดินมาถามเธอเลยว่าต้องการความช่วยเหลือเปล่า
ดูท่า คาดหวังให้คนอื่นมาช่วยเธอนี่คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
ส่วนเจียงซ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ความมั่นใจเต็มเปี่ยม หน้าตาอย่างกับทุกอย่างล้วนอยู่ในกำมือตัวเองหมด
ความจริงก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
มู่น่อนน่อนแค่ไม่ระวังนิดหน่อย ก็อาจจะถูกเจียงซ่งจับตัวไปจริงๆ
นาทีนี้เธออดนึกุึงคำพูดที่ซูเหมียนพูดในก่อนหน้านี้ไม่ได้
ใช่สิ ตอนนี้เฉินถิงเซียวไม่ใช่เกราะป้องกันของเธอแล้ว
ไม่มีคนมีประสิทธิภาพสูงเหมือนอย่างเฉินถิงเซียวอีกแล้ว ที่สามารถหาเธอเจอภายในระยะเวลาอันรวดเร็วที่สุด หลังจากที่เธอเกิดเรื่อง
เป็นไปไม่ได้แล้ว
แต่เธอก็ทำยังไงได้ล่ะ?
ได้แต่ต่อสู้ให้ถึงที่สุด
มู่น่อนน่อนเดินมาข้างหน้าก้าวนึง ยกมุมปากขึ้นยิ้มให้กับเจียงซ่ง:“ประธานเจียงเป็นคนฉลาด ฉันเองก็ไม่ได้โง่ ก็รู้ว่าผู้เข้าใจสถานการณ์คือผู้ฉลาด ประธานเจียงคิดว่าฉันจะเลือกยังไงคะ?”
เจียงซ่งหัวเราะอย่างได้ใจ:“ฮื้อ พวกผู้หญิงก็ชั้นต่ำแบบนี้แหละทำไมต้องโวยวายที่จีนติ่งด้วย!เพราะไหนๆผลสุดท้ายมันก็เหมือนกันหมด”
“ใช่ค่ะ”มู่น่อนน่อนหัวเราะต่อ
เจียงซ่งปล่อยวางความระแวง แล้วจะยื่นมือไปจับหน้าของมู่น่อนน่อน
แต่ว่า ในขณะที่มือของเขาจะแตะมาที่ตรงหน้าของมู่น่อนน่อน ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนได้ยกเท้าขึ้นมาเตะช่วงล่างของเจียงซ่งทีนึง
“ซี๊ด……โอ๊ย……”เจียงซ่งเบิกตากว้างและเจ็บจนก้มลงไปทันที หมุนอยู่กับที่อย่างไม่หยุด เจ็บจนพูดไม่ออก
บอดี้การ์ดของเจียงซ่งคือคนที่เขาจ้างมาส่วนตัว หลักๆคือคอยคุ้มกันความปลอดภัยของเขา
บอดี้การ์ดเป็นผู้ชายหมด เห็นเจียงซ่งเป็นแบบนี้ ได้ห้อมล้อมไปถามว่า:“ประธานเจียง!ประธานเจียงเป็นยังไงบ้างครับ?”
“กู……แม่ง……จะตายอยู่แล้ว……”เจียงซ่งไม่พอใจ คำนี้แทบจะเบียดออกมาจากซอกฟัน
มู่น่อนน่อนฉวยโอกาสตอนที่บอดี้การ์ดไปห้อมล้อมเจียงซ่งหมด ได้วิ่งออกไปนอกชุมชน
คนเฝ้าประตูชุมชน มีพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่แค่สองคน ก็ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่
มู่น่อนน่อนพุ่งออกมาจากชุมชน โดยตรง เตรียมนั่งรถวิ่งหนี
เจียงซ่งที่อยู่อีกฝั่งเจ็บจนเหงื่อท่วมหัว เขาได้ปัดมือของบอดี้การ์ดทิ้ง พร้อมกัดฟันพูดว่า:“ไปให้พ้น!ไปจับผู้หญิงคนนั้นมาให้ฉัน ขอแค่พวกแกไปจับเธอมา ไม่ว่าเป็นหรือตาย ฉันให้รางวัลพวกแกคนละล้าน”
บอดี้การ์ดฟังคำพูดของเจียงซ่งแล้ว ได้ออกไปตามจับมู่น่อนน่อนในทันที
ยังไงก็เป็นถึงผู้ฝึกบู๊ อีกทั้งยังมีสิ่งล่อใจหนึ่งล้านหยวน ศักยภาพล้วนถูกกระตุ้นออกมาหมดแล้ว
ออกมาจากชุมชน พวกเขาก็เห็นมู่น่อนน่อนเลย
“ผู้หญิงคนนั้นอยู่ไหน!ตามโว้ย!”
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงของพวกเขาแล้วแอบพูดอยู่ในใจว่าแย่แล้ว บอดี้การ์ดพวกนี้เท้าเหยียบล้อไฟมารึไง แต่ละคนวิ่งไวจังเลย
เธอก็ไม่มีเวลาโบกรถแท็กซี่แล้ว ถนนของที่นี่แคบ กลัวว่าเธอแค่เพิ่งขึ้นรถ รถยังไม่ทันได้ขับออกไป ก็ถูกบอดี้การ์ดพวกนั้นกระชากลงไปแล้ว
หัวใจมู่น่อนน่อนตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ขาสองข้างล้วนค่อนข้างชาแล้ว รู้แค่ว่าต้องวิ่งไปข้างหน้าอย่างไว ขาสองข้างวิ่งจนสูญเสียการรับรู้แล้ว
แต่ยังไงแรงของเธอก็สู้บอดี้การ์ดพวกนั้นไม่ได้
มู่น่อนน่อนวิ่งไปได้ระยะทางช่วงนึง ก็วิ่งไม่ไหวแล้ว แต่บอดี้การ์ดเหล่านั้นกลับยิ่งวิ่งยิ่งไว อีกไม่นานก็จะตามเธอทันแล้ว
ในขณะนี้เอง ไม่รู้มีผู้ชายคนนึงโผล่มาจากไหน ได้ชนเข้ากับบอดี้การ์ดกลุ่มนั้นอย่างจัง
บอดี้การ์ดได้ด่าทันที:“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลย ตาบอดหรือไงวะ!”
ก็ไม่รู้ว่าผู้ชายที่ถูกพวกบอดี้การ์ดชนได้พูดอะไร จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ได้ปะทะกันขึ้นมา
มู่น่อนน่อนค่อนข้างประหลาดใจ
ผู้ชายกลุ่มนึงชกต่อยกันกลางถนน คนที่เดินผ่านล้วนขาดต้องมีไปมุงดูกัน
มู่น่อนน่อนอยากฉวยโอกาสหนี แต่ถ้าหากผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาล่ะ?
เธอคิดๆแล้ว ได้ตัดสินใจหยุดลงมาช่วยผู้ชายคนนนั้นแจ้งความก่อนแล้วค่อยเผ่น
พูดจากอีกแง่หนึ่ง ผู้ชายคนนั้นก็ถือว่าได้ช่วยชีวิตเธอเอาไว้
แต่ว่า ตอนที่มู่น่อนน่อนหยิบมือถือออกมาเตรียมโทรศัพท์ ก็พบว่าบอดี้การ์ดพวกนั้นของเจียงซ่งได้ทยอยกันล้มลงไปที่พื้นแล้ว
เก่ง……เก่งขนาดนี้เลยเหรอ?
เทคนิคที่ผู้ชายคนนั้นต่อสู้โหดมากเป็นพิเศษ ลงมือล้วนไว โหดและแม่นยำมาก ไม่ให้โอกาสบอดี้การ์ดพวกนั้นได้ไหวตัวเลย
มู่น่อนน่อนค่อนข้างทึ่ง นอกจากเฉินถิงเซียวแล้ว เธอยังไม่เคยเห็นใครที่ชกต่อยโหดขนาดนี้มาก่อนเลย
เธอเก็บมือถือ คงไม่ต้องแจ้งความแล้ว
เธอวิ่งไปอย่างไว:“คุณ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
เมื่อครู่ผู้ชายหันหลังให้กับเธอ บนหัวสวมหมวกของเสื้อโค้ตไว้ แถมยังใส่แมสปิดปากไว้ด้วย มู่น่อนน่อนเห็นหน้าของเขาไม่ชัดเจน
พอเดินเข้ามาใกล้แล้ว เธอมองดวงตาที่เผยอยู่ด้านนอกของผู้ชาย แล้วเรียกอย่างค่อนข้างไม่แน่ใจ:“ฉีเฉิง?”
ฉีเฉิงไม่ได้ถอดแมสออก แววตาก็ไม่มีคลื่นที่เห็นได้ชัดอะไร:“คุณมู่ เจอกันอีกแล้วนะครับ”
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”มู่น่อนน่อนมองสำรวจฉีเฉิงอยู่ครู่นึง พบว่าเขาดูแล้วไม่เหมือนได้รับบาดเจ็บเลย
คนที่ได้รับบาดเจ็บคือบอดี้การ์ดของเจียงซ่ง
พวกเขาต่างก็ล้มไปที่พื้นพร้อมหดตัวเป็นก้อน เจ็บจนร้องโอดโอย
ฉีเฉิงส่ายหัวทีนึงแล้วจะหันหลังไปเลย
ในใจมู่น่อนน่อนเกิดความสงสัย ฉีเฉิงควรอยู่ในวิลล่าของเฉินถิงเซียว คอยเฝ้าอยู่ที่ข้างกายเฉินจิ่งหยุ้นไม่ใช่เหรอ?
มาโผล่อยู่ที่นี่ได้ยังไง?
วันนี้เธอไปหากู้จือหยั่นถามเรื่ององค์กรXพอดี ก็ถามไม่ได้ใจความอะไรเลย ตอนนี้เจอฉีเฉิงพอดี สู้หลอกถามเขาดูดีกว่า
กู้จือหยั่นอยู่ด้านหลังเธอพร้อมเรียกเธอไว้:“เสิ่นเสี่ยวเหลียง!”
เสิ่นเหลียงยกกระเป๋าไว้ หันมามองกู้จือหยั่นแล้วทำท่าจะตีเขา ทันใดนั้นกู้จือหยั่นได้ปิดปากเงียบอย่างเชื่อฟังทันที ไม่ส่งเสียงออกมาอีก
แต่ตอนที่เขาหันมา ใบหน้ากลับเต็มด้วยรอยยิ้ม:“นายดูหน้าตาหยาบคายของเสิ่นเสี่ยวเหลียงสิ ดูซิว่าชาตินี้เธอจะขายออกหรือเปล่า ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เธอถึงจะสามารถทำตัวอ่อนโยนอย่างน่อนน่อนหน่อย……”
“อ่อนโยน?”เฉินถิงเซียวยักคิ้วเล็กน้อย:“นายว่ามู่น่อนน่อน?”
“ก็ใช่น่ะสิ เธออยู่ตรงหน้านายก็อ่อนโยนอยู่ไม่ใช่เหรอ……”ในใจกู้จือหยั่นรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนดีกับเฉินถิงเซียว มากกว่าที่เสิ่นเหลียงดีกับเขาเสียอีก
เฉินถิงเซียวแสยะยิ้มมุมปาก แค่ยิ้มหยันทีนึงแต่ไม่ได้พูดอะไร
ผู้หญิงที่เจอครั้งแรกก็ตบหน้าเขาฉาดนึง……
เสียงยิ้มหยันของเขา ทำให้กู้จือหยั่นกลัวจนหัวหด:“ฉันรีบให้คนไปหาดูว่าเจียงซ่งยังอยู่นี่หรือเปล่า”
กู้จือหยั่นไม่รู้ว่ามู่น่อนน่อนไปหาเฉินถิงเซียวมา ยิ่งไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวกับเจียงซ่งอยู่ห้องเดียวกัน
เขานึกแค่ว่า เฉินถิงเซียวกลัวเจียงซ่งจะเล่นซี้ซั้วในโรงแรมจีนติ่ง ถึงเวลาก่อเรื่องขึ้นมาจะพลอยทำให้โรงแรมจีนติ่งเดือดร้อนไปด้วย
เขาพาคนเข้าลิฟต์แล้ว ถึงมานึกได้ทีหลังว่า:“ถิงเซียวรู้ได้ยังไงว่าเจียงซ่งอยู่ที่นี่?”
พนักงานที่มากับเขา เป็นพนักงานที่ก่อนหน้านี้ต้อนรับเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนพอดี จึงได้พูดว่า:“ก่อนหน้านี้คุณชายเฉินกับประธานเจียงก็ดื่มเหล้าอยู่ในห้องเดียวกันครับ”
“นายแน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาด?”จิตใต้สำนึกของกู้จือหยั่นคือพนักงานตาฝาดไป
เพราะปกติเฉินถิงเซียวเกลียดงานเลี้ยงอาหารค่ำมาก และไม่ชอบเล่นอยู่ข้างนอก ขนาดเขานัดเฉินถิงเซียวออกมาดื่มเหล้า เฉินถิงเซียวก็ไม่เห็นจะยอมตอบตกลงเลย
คนที่พาออกหน้าออกตาไม่ได้อย่างเจียงซ่งก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“ไม่ฝาดครับ ผมยังได้เข้าไปเทเหล้าเลยครับ คุณชายเฉินอยู่โรงแรมจีนติ่งเคยมาแล้วหลายครั้ง ผมไม่มีทางตาฝาดหรอกครับ”พนักงานส่ายหัวรัวๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดจริงๆ
กู้จือหยั่นมึนไปโดยสิ้นเชิง สิ่งที่เฉินถิงเซียวทำในช่วงนี้ทำให้คนเข้าใจยากจริงๆ
จากมู่นน่อนน่อนมาถึงซูเหมียนแล้วมาถึงเจียงซ่ง เรื่องยุ่งเหยิงทั้งชุดนี้ ไม่เหมือนสไตล์การทำงานของเฉินถิงเซียวเลยสักนิด
กู้จือหยั่นครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน จากนั้นได้เอามือกุมหัวอย่างค่อนข้างหงุดหงิด พร้อมกับถอนหายใจทีนึง:“เฮ้อ!”
คิดไม่ออกก็ไม่คิดแล้ว
เขาพาคนไปห้องVIPที่ก่อนหน้านั้นเฉินถิงเซียวกับพวกเจียงซ่งดื่มเหล้า
ด้านในยังมีคนเล่นกันอยู่เยอะ พวกเขาเห็นกู้จือหยั่นปุ๊บ ก็ได้ทักทายกับเขาว่า:“ประธานกู้?”
“วันนี้คือลมอะไรหอบประธานกู้มาครับ!”
กู้จือหยั่นก็ถือเป็นคนมีชื่อเสียงเหมือนกัน โลดแล่นอยู่ในวงการได้อย่างเจริญรุ่งเรือง ละมุนละม่อมไปทั่วทุกด้าน ได้รับความนิยมมาก คนมากมายต่างก็ให้เกียรติเขา เห็นเขาล้วนทยอยกันทักทายกับเขา
“อยู่ที่นี่พอดี ว่างพอดีก็เลยแวะมาดูหน่อยครับ”ระหว่างที่กู้จือหยั่นพูด ได้มองดูรอบด้านอย่างสงบเยือกเย็นรอบนึง
ไม่เห็นเงาของเจียงซ่ง
แต่เจียงซ่งอาจจะไปห้องน้ำก็ได้ล่ะ?
กู้จือหยั่นหรี่ตาไว้เล็กน้อย และเหมือนถามเรื่อยเปื่อย:“วันนี้พวกคุณมากันเยอะดีนะครับ”
“กลับไปหลายคนแล้วครับ ถ้าประธานกู้มาเช้าหน่อย คุณชายเฉินกับประธานเจียงก็อยู่เหมือนกันครับ”
“เหรอครับ? พวกเขาไปแล้วเหรอครับ?”
“เพิ่งเดินตามกันออกไปครับ ”
ไปก็ดีแล้ว
กู้จือหยั่นพูดพร้อมยิ้มแฉ่ง:“เหรอครับ ผมนึกขึ้นได้ว่ายังมีธุระต่อ พวกคุณเล่นกันก่อนนะ ผมให้คนเอาผลไม้เข้ามาให้พวกคุณ”
“ประธานกู้เกรงใจเกินไปแล้วครับ!”
“ทุกคนเป็นเพื่อนกันทั้งนั้น……”
กู้จือหยั่นพูดคุยกับพวกเขาไปไม่กี่คำก็ได้ออกมาแล้ว
ในห้องมีแต่กลิ่นควันบุหรี่ หลังจากเขาออกมา ได้ถอนหายใจยาวๆทีนึง ถึงเดินไปที่ลิฟต์
เฉินถิงเซียวยังรอกู้จือหยั่นอยู่
เขานั่งอยู่บนโซฟาของห้องโถงด้วยสีหน้าเรียบเฉย มือสองข้างยันอยู่บนหัวเข่าที่แยกออก นั่งตัวตรงไว้ คนทั้งคนอยู่ในสภาพที่ตึงเครียดมาก
กู้จือหยั่นที่รู้จักเขาดี แค่มองแวบเดียวก็ดูออกว่านี่คือสีหน้าร้อนรนใจของเฉินถิงเซียว
หลังจากกู้จือหยั่นเดินมาใกล้ ถึงพบว่าตรงหน้าเขามีน้ำวางอยู่แก้วนึง น่าจะพนักงานยกมาเสิร์ฟให้เขา
เฉินถิงเซียวได้ยินเสียงฝีเท้าแล้วหันไปมองกู้จือหยั่น หน้าบึ้งตึงไว้ น้ำเสียงทุ้มต่ำ:“เป็นไงบ้าง?เจียงซ่งไปหรือยัง?”
“ไปแล้ว ไปหลังนายแป๊บเดียว”กู้จือหยั่นนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของเฉินถิงเซียว มองสำรวจเฉินถิงเซียวอย่างสงบเยือกเย็น
เฉินถิงเซียวลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า:“ฉันกลับก่อนแล้ว”
“เฮ้อ!”กู้จือหยั่นลุกขึ้นมาพูดด้วยน้ำเสียงบ่น:“ทำไมนายเป็นคนแบบนี้เนี่ย ไปแบบนี้เฉยเลย?”
ทำไมเป็นแบบนี้กันหมดเลย มีเรื่องก็มาหาเขาหมด พอทำธุระเสร็จ ก็ทิ้งเขาไว้แล้วจากไปเฉยเลย!
ยังมีความเป็นคนอยู่หรือเปล่า?
เฉินถิงเซียวหยุดฝีเท้าลง แล้วหันมาพูดคำนึงว่า:“ขอบใจ”
กู้จือหยั่น“เชอะ”ทีนึง:“ใครจะเอาคำขอบคุณของนาย!”
……
พอเฉินถิงเซียวจากไป มู่น่อนน่อนอยู่จีนติ่งก็ไม่มีธุระอะไร จึงได้ขับรถกลับ
ระหว่างทาง เธอได้จอดลงที่ร้านสะดวกซื้อเพื่อแวะซื้อของหน่อย หลังจากเอาของที่ซื้อมาโยนใส่เบาะนั่งหลัง ถึงขับรถต่อ
ตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้ว
ห้าทุ่มของฤดูหนาว คนที่เดินอยู่บนถนนไม่เยอะเลย
โดนเฉพาะย่านที่อยู่อาศัยแบบนี้ คนบนท้องถนนยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่
เธอเอารถจอดไว้ที่ลานจอดของข้างชุมชน ตอนที่เดินเข้าไปในชุมชน ก็รู้สึกได้อย่างเลือนรางว่ามีคนกำลังเดินตามหลังเธอ
แต่ตอนที่มู่น่อนน่อนหันไปดู พบว่าด้านหลังนอกจากมีรถติดอยู่หลายคัน ไม่มีคนที่น่าสงสัยเลย
ถึงจะอย่างนี้ก็เถอะ แต่เธอก็ยังค่อนข้างไม่สบายใจอยู่ดี
มู่น่อนน่อนเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น หลังจากเข้ามาชุมชน แล้วถึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อยนึง
พื้นที่สีเขียวในชุมชน ทำได้ดีมาก แต่แสงไฟข้างถนนค่อนข้างสลัว
มู่น่อนน่อนต้องเปิดไฟฉายมือถือ ถึงจะสามารถมองเห็นถนนได้ชัดเจน
จะมีคนเดินผ่านข้างกายอยู่คนสองคนเป็นครั้งคราว พอเดินไปถึงที่ๆสว่างหน่อย มู่น่อนน่อนถึงรู้สึกสบายใจขึ้น
แต่เวลานี้ เธอได้ยินข้างหลังมีเสียงฝีเท้าของคนหลายคนดังขึ้น
ฟังเสียงฝีเท้ายังไวอยู่
มู่น่อนน่อนหันไปดู ก็เห็นผู้ชายตัวสูงใหญ่หลายคนกำลังเดินมาหาเธอ
ผู้ชายที่อยู่ข้างหลังของหนึ่งในนั้นรู้สึกคุ้นตานิดหน่อย
แววตาของมู่น่อนน่อนระยิบระยับ หรี่ตามองดูทีนึง จากนั้นได้เบิกตากว้างขึ้นมาทันที
ผู้ชายคนนนั้นก็คือเจียงซ่งไม่ใช่เหรอ!
ในใจมู่น่อนน่อนแอบบอกว่าแย่แล้ว จากนั้นได้หันหลังวิ่งหนีเลย
แต่ว่าเธอจะวิ่งแข่งกับผู้ชายขายาวทั้งหลายได้ยังไง
นั่นเป็นบอดี้การ์ดของเจียงซ่ง เป็นมืออาชีพเชียวนะ
มู่น่อนน่อนวิ่งไปได้ไม่ไกล ก็ถูกพวกเขาห้อมล้อมเอาไว้หมดแล้ว
“พวกแกจะทำอะไร?”มู่น่อนน่อนมองพวกเขาอย่างระแวดระวัง
ขณะนี้ เจียงซ่งได้เดินออกมา
“มู่น่อนน่อน”เขาได้เรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงที่หนักขึ้นก่อน จากนั้นได้หัวเราะทีนึงแล้วพูดอย่างดูหมิ่น:“เธอนึกว่าฉันเป็นคนที่สามารถให้เธอลงไม้ลงมือได้เรื่อยเปื่อยงั้นเหรอ!”
มู่น่อนน่อนใช่ว่าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจียงซ่งจะมาหาเรื่องเธอ แต่เธอคิดไม่ถึงว่าจะไวขนาดนี้
คนถ่อยแบบนี้ เธอก็ไม่ใช่เพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก
หลังจากลนลานไปครู่เดียว เธอก็สงบสติอารมณ์ได้แล้ว
เธอเชิดคางเล็กน้อย น้ำเสียงสงบนิ่งมาก:“เพราะฉะนั้น ตอนนี้นายก็เลยมาแก้แค้น แถมยังพา……บอดี้การ์ดสี่คนมาแก้แค้นผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างฉัน?”
สีหน้ามู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปทันที
เมื่อครู่เฉินถิงเซียวพูดอะไรนะ?
เธอถึงขั้นสงสัยว่าตัวเองหูฝาดไป
แต่ว่า สีหน้าเย็นชาของเฉินถิงเซียวได้บอกเธอว่า เมื่อครู่เขาได้พูดคำนั้นจริงๆ
การตัดสินใจเด็ดขาดที่เดิมทีมู่น่อนน่อนจะต้องถามเฉินถิงเซียวให้ชัดเจน ได้แตกสลายในนาทีนี้ คำพูดทั้งหมดติดคาอยู่ในลำคอจนพูดไม่ออก
เฉินถิงเซียวเห็นเธอไม่พูดจาอีก ได้ยื่นมือผลักเธอออกแล้วไปโดยตรง
ซูเหมียนยังอยู่ข้างหลัง คอยพูดอย่างหน้าชื่นตาบาน:“รู้มั้ยว่าเจียงซ่งที่เมื่อครู่คุณไปขัดใจคือใคร?อยู่เมืองหู้หยางนี้ นอกจากตระกูลเฉินแล้ว ไม่มีใครกล้าขัดใจคนของตระกูลเจียงซี้ซั้วเชียวนะ ตอนนี้คุณไม่มีเกราะป้องกันอย่างถิงเซียวแล้ว ระวังตัวให้ดีเถอะ”
มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นจากในน้ำเสียง ไม่ต้องพูดก็เข้าใจกัน
มู่น่อนน่อนสามารถถูกคำพูดของเฉินถิงเซียวทิ่มแทงใจ แต่อยู่ตรงหน้าซูเหมียน เธอกลับไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
เธอรีบปรับสีหน้าของตัวเองอย่างไว พร้อมยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย:“ถึงตอนนี้เฉินถิงเซียวไม่ใช่เกราะป้องกันของฉันแล้ว เขาก็ไม่ใช่เกราะป้องกันของคุณเสมอไปหรอก ฉันเฝ้ารอวันที่คุณนั่งบัลลังก์ภรรยาประธานบริษัทเฉินซื่อให้มั่นคงวันนั้นนะคะ”
แน่นอนว่าซูเหมียนไม่มีทางรู้อยู่แล้วว่าเจ้านายที่แท้จริงของบริษัทเฉินซื่อในตอนนี้คือมู่น่อนน่อน ดังนั้น เธอย่อมฟังไม่ออกอยู่แล้วว่าคำพูดของมู่น่อนน่อนมีความหมายลึกซึ้งแอบแฝงอยู่
เธอกับมู่น่อนน่อนไม่ถือว่าสนิทกัน ดูหน้าตามู่น่อนน่อนที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ก็ยังทำให้เธอค่อนข้างสงสัยอยู่
แต่ว่า เธอก็ไม่แสดงความสงสัยของในใจออกมาหรอก
“งั้นคุณก็คอยดูเถอะ”ซูเหมียนยิ้มหยันทีนึงแล้วจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
มู่น่อนน่อนมองร่างเงาที่ทั้งสองทยอยกันจากไป ได้หันกลับมายกเท้าขึ้นถีบใส่ผนังทีนึง
จะไม่ให้โกรธได้ยังไง?
หรือว่าเธอคิดมากไปจริงๆ?
แต่ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวยังพูดอยู่เลยว่าให้เธออยู่ห่างจากฉีเฉิงหน่อย……
อยู่ดีๆเขาให้เธออยู่ห่างๆฉีเฉิงหน่อย?
มู่น่อนน่อนได้จมปลักเข้าไปสู่การสงสัยตัวเองอีก
อีกฝั่งนึง เฉินถิงเซียวกับซูเหมียนออกมาจากจีนติ่งก็ได้เดินไปที่ลานจอดรถโดยตรง
เฉินถิงเซียวเปิดประตูรถแล้วนั่งเข้าไปในรถเองโดยที่ไม่สนใจซูเหมียนเลย
ถึงแม้ซูเหมียนไม่ค่อยพอใจที่เฉินถิงเซียวไม่เปิดประตูให้เธอ แต่เธอกลัวเฉินถิงเซียวจะทิ้งเธอไว้ที่นี่โดยตรงมากกว่า
เธอยังอยากให้เฉินถิงเซียวส่งเธอกลับบ้านอยู่ จะได้มีเวลาอยู่กับเฉินถิงเซียวนานหน่อย
เธอขึ้นรถปุ๊บ เพิ่งนั่งนิ่ง แม้แต่เข็มขัดนิรภัยก็ยังไม่ได้คาดเลย เฉินถิงเซียวก็ซิ่งรถออกไปแล้ว
ซูเหมียนได้พุ่งไปข้างหน้ากะทันหันด้วยความเคยชิน สีหน้าเธอไม่ค่อยดีเลย:“ถิงเซียว!ฉันยังไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยเลย!”
สายตาของเฉินถิงเซียวจ้องมองตรงทางข้างหน้า คำพูดที่พูดออกมาไร้อารมณ์และไม่มีความอ่อนโยน ฟังแล้วค่อนข้างเย็นชาและเคร่งขรึม:“งั้นก็คาดให้เรียบร้อย”
ซูเหมียนค่อนข้างหงุดหงิด คาดเข็มขัดนิรภัยแรงๆไปด้วยแล้วพูดอย่างไม่พอใจไปด้วย:“คุณอยู่กับมู่น่อนน่อนก็เป็นแบบนี้เหมือนกันเหรอคะ?เธอรับนิสัยแบบนี้ของคุณได้เหรอ?”
คำพูดของเธอ เหมือนจู่ๆได้ก้าวล่วงพื้นที่ต้องห้ามของเฉินถิงเซียวยังไงอย่างงั้น พริบตาเดียวอุณหภูมิในรถได้เย็นลดลงทันที
“เอี๊ยด”เสียงนึง เสียงแสบแก้วหูได้ดังขึ้น รถเหยียบเบรกอย่างเร่งด่วน
ซูเหมียนโยกอยู่ทีนึง แล้วถูกเข็มขัดนิรภัยดึงกลับมา ดูแล้วค่อนข้างน่าอนาถ
เธอหันไปมองเฉินถิงเซียวด้วยความโกรธ พร้อมพูดจาเสียงดัง:“เฉินถิงเซียว คุณนี่อะไรกัน!ขับรถภาษาอะไรเนี่ย!”
“ต่อไป อย่าเอ่ยถึงมู่น่อนน่อนต่อหน้าผมอีก” เสียงทุ้มต่ำของเฉินถิงเซียวได้ดังขึ้นในรถ ค่อนข้างอึมครึมอย่างไร้สาเหตุ
ซูเหมียนค่อนข้างประหลาดใจ เฉินถิงเซียวเกลียดมู่น่อนน่อนขนาดนี้เลยเหรอ?แม้แต่เอ่ยตรงหน้าเขาหน่อยก็ไม่ได้เลย?
ซูเหมียนคิดๆแล้วได้พูดหยั่งเชิงว่า:“เห็นเมื่อก่อนตอนที่คุณกับมู่น่อนน่อนอยู่ด้วยกันก็รักกันมาก ตอนนี้กลับโมโหจนไม่ไว้หน้าแล้ว แม้แต่เอ่ยถึงเธอหน่อยก็ไม่ได้?คุณนี่ใจดำจังเลย”
“ไม่จำเป็นต้องเปลืองความคิดกับคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”เฉินถิงเซียวขับเคลื่อนรถยนต์อีกครั้ง อุณหภูมิในรถก็ค่อยๆฟื้นฟูกลับมา นี่แสดงว่าอารมณ์ของเขาก็ค่อยๆคงที่แล้ว
แต่ว่า ในระหว่างทางต่อจากนี้ เขาก็ไม่ได้พูดจาอีกเลย
ไม่ว่าซูเหมียนพูดอะไร เขาล้วนจ้องมองด้านหน้าไว้ หน้าตาเหมือนตั้งใจขับรถมาก ไม่อยากพูดมากแท้แต่คำเดียว และไม่มีทีท่าว่าจะสนใจซูเหมียนเลย
สำหรับความเย็นชาของเฉินถิงเซียว ถึงแม้ซูเหมียนจะรู้สึกเจ็บใจ แต่คิดๆแล้วรู้สึกว่าสันดานของเฉินถิงเซียวก็คงจะเป็นแบบนี้อยู่แล้วแหละ ทีนี้เธอถึงรู้สึกค่อนข้างสบายใจขึ้นมาหน่อย
สามปีที่เฉินถิงเซียวความจำเสื่อมนั้น เฉินถิงเซียวก็เย็นชาแบบนี้กับเธอเหมือนกัน
ในที่สุด รถยนต์ก็ได้จอดลงที่หน้าบ้านตระกูลซู
เฉินถิงเซียวจอดรถนิ่งแล้วได้พูดคำนึงว่า:“ลงรถครับ”
“จะเข้าไปนั่งในบ้านหน่อยมั้ยคะ?พ่อแม่ฉันก็อยากเจอหน้าคุณอยู่เหมือนกันค่ะ”ซูเหมียนทำเสียงให้ซอฟลง พร้อมพูดเสียงเบา
“คืนนี้ดึกมากแล้ว”
เฉินถิงเซียวปฏิเสธโดยตรงแบบนี้ ซูเหมียนรู้สึกเสียหน้า ได้เปิดประตูลงจากรถด้วยความโกรธ
ซูเหมียนลงจากรถแล้ว ก็รู้สึกว่ายังไม่หายโกรธ อยากก้มลงมาพูดคุยกับเฉินถิงเซียวสักสองสามคำ แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่ให้โอกาสนี้กับเธอเลย
หลังจากเธอลงจากรถแล้ว เพิ่งปิดประตูรถเสร็จ เฉินถิงเซียวก็ขับรถจากไปเลย
รถยนต์สีดำขับซิ่งไปอย่างไว เหลือไว้แค่เงาแวบไปอย่างไว
ซูเหมียนโกรธจนย่ำเท้าอยู่กับที่ พร้อมกัดฟันพูดว่า:“เฉินถิงเซียว!สักวัน ฉันจะทำให้คุณรักฉันจนหัวปักหัวปำแน่นอน!”
……
เฉินถิงเซียวเพิ่มความเร็วตลอดทาง ได้ขับรถไปที่จีนติ่ง
เขาลงจากรถปุ๊บ ก็เดินเข้าไปอย่างไว
พอเดินเข้ามาก็เห็นกู้จือหยั่นกับเสิ่นเหลียงที่กำลังฉุดดึงกันอยู่ในห้องโถง
กู้จือหยั่นก็เห็นเขาเหมือนกัน ได้ส่งเสียงเรียกเขา:“ถิงเซียว!”
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้วเดินไปอย่างไว:“เห็นมู่……”
พอเปิดปากปุ๊บ จู่ๆเขาก็ได้หยุดชะงักเอาไว้ จากนั้นได้เปลี่ยนคำพูด:“เห็นเจียงซ่งหรือเปล่า?”
กู้จือหยั่นคิดๆแล้วได้ถามว่า:“ก็ไอ้เหี้ยของตระกูลเจียงที่คราวก่อนที่จัดPartyที่บ้านคนนั้นเหรอ?”
เฉินถิงเซียวหน้าบูดบึ้งไว้ ได้พยักหน้า:“อืม”
“ไม่เห็นหนิ เขามาจีนติ่งเหรอ?”กู้จือหยั่นใช้ลิ้นดันเพดานปาก เปลี่ยนจากหน้าตาเชื่องช้าตอนที่อยู่กับเสิ่นเหลียงเมื่อครู่ สีหน้าดูแล้วค่อนข้างเยาะเย้ยถากถางสังคม:“จีนติ่งของเราเป็นสถานที่ประกอบการถูกกฎหมายเชียวนะ ฉันไปดูหน่อยซิว่าไอ้หมอนั่นได้ทำอะไรซี้ซั้วอยู่ที่นี่หรือเปล่า”
ตระกูลเจียงมีเงินมีอำนาจ แต่ลูกชายที่เลี้ยงดูออกมากลับพาออกหน้าออกตาไม่ได้ ถูกแฉข่าวฉาวหลายครั้งแล้ว
ในวงการสังคมชั้นสูง ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากใกล้ชิดกับไอ้พวกผลาญเงินของตระกูลเจียง แต่ทำไงได้ตระกูลเจียงมีอำนาจ ภายนอกคนมากมายได้แต่เอาใจไอ้เด็กเวรทั้งหลายของตระกูลเจียง
แต่กู้จือหยั่นก็เป็นคนที่ไม่แคร์อะไรเลย เขาไม่กลัวเจียงซ่งหรอก
กู้จือหยั่นพูดจบแล้วหันไปมองเสิ่นเหลียง ก็พบว่าเธอกำลังโทรศัพท์อยู่
เขาแอบเอาหูไปแนบชิด ไม่ได้ยินว่ากำลังโทรหาใคร จึงได้ถามเสียงเบาว่า:“เสิ่นเสี่ยวเหลียง คุณกำลังโทรหาใครอยู่?”
เสิ่นเหลียงหันมามองเขาแวบนึง และได้ผลักเขาออกอย่างรังเกียจ พร้อมพูดกับในสายว่า:“ไม่มีธุระก็กลับเช้าๆนะ เดี๋ยวว่างแล้วทานข้าวด้วยกัน บ๊ายบาย”
กู้จือหยั่นคิดๆแล้วได้ถามว่า:“คุณกำลังโทรหาน่อนน่อนอยู่เหรอ?”
“เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย!”เสิ่นเหลียงวางสายแล้วได้มองเฉินถิงเซียวแวบนึง พร้อมส่งเสียงเชอะทีนึงอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็ได้หันหลังจากไปเลย
ไม่นึกเลยว่าจะเป็นซูเหมียนอีก!
เมื่อครู่ตอนที่อยู่ข้างนอก มู่น่อนน่อนเห็นมีผู้หญิงอยู่ข้างกายของเฉินถิงเซียว ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจแล้ว
แต่ตอนนี้พอรู้ว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเฉินถิงเซียวก็คือซูเหมียน คอของมู่น่อนน่อนเหมือนตีบจนค่อนข้างหายใจไม่ออก
ไปไหนก็มีซูเหมียนอยู่ทุกที่เลย!
เฉินถิงเซียวไปงานก็พาซูเหมียนมาด้วย!มางานเลี้ยงแบบนี้ก็พาซูเหมียนมาอีก!
เขาหมายความว่ายังไง?คือจะคบกับซูเหมียนจริงๆเหรอ?
พริบตาเดียว ในหัวของมู่น่อนน่อนมีความคิดมากมายแวบผ่าน
ตอนนั้น ในสามปีที่เฉินถิงเซียวความจำเสื่อม ซูเหมียนก็คือว่าที่ภรรยาในนามของเขา
ในสามปีนั้น ระหว่างเขากับซูเหมียนก็ได้มีอะไรกันแล้วหรือเปล่า?
เรื่องนี้พอคิดลึกปุ๊บ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกจิตใจสับสนวุ่นวายเหมือนด้ายพันกัน
ซูเหมียนมองสีหน้าที่ตะลึงงันของมู่น่อนน่อนด้วยความพึงพอใจ จากนั้นได้ค่อยๆเดินมาที่ตรงหน้าของมู่น่อนน่อน:“ดูท่าคุณมู่เห็นฉันแล้วประหลาดใจมากเลยนะคะ”
มู่น่อนน่อนเคลื่อนย้ายสายตาไปที่เฉินถิงเซียว
นับตั้งแต่ตอนที่เมื่อครู่เจียงซ่งลวนลามเธอ แถมยังอยากดูถูกเหยียดหยาม เธอก็สังเกตเห็นแล้วว่าเฉินถิงเซียวไม่ขยับเลย และไม่ได้เหลียวมองเธอด้วยซ้ำ
เมื่อครู่ถ้าไม่ใช่ซูเหมียนพูด ไม่แน่นาทีนี้เธอคงถูกเจียงซ่งตบหน้าแล้ว
เธอมองหน้าเฉินถิงเซียวที่ไม่เคลื่อนไหวเลย และได้เรียกชื่อของเขาอีกครั้ง
“เฉินถิงเซียว”ถ้าตั้งใจฟังดีๆ ยังสามารถฟังออกว่าเสียงของเธอนั้นสั่น
ซูเหมียนเองก็ได้เคลื่อนย้ายสายตาไปที่เฉินถิงเซียวตามมู่น่อนน่อนเหมือนกัน
ตอนที่เห็นเฉินถิงเซียวยังคงรักษาท่าทางของก่อนหน้านี้ไม่เคลื่อนไหวเลย เธอได้ยิ้มอย่างพึงพอใจ
ถึงแม้ซูเหมียนพยายามปกปิดสุดฤทธิ์แล้ว แต่แววตาลึกๆของเธอก็ยังเผยความดีอกดีใจของผู้ชนะออกมาอยู่ดี
เธอรู้อยู่แล้วเชียวว่าเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนไม่ใช่คนที่อยู่โลกใบเดียวกัน มู่น่อนน่อนไม่คู่ควรกับเฉินถิงเซียวเลย
สักวัน เฉินถิงเซียวจะต้องเบื่อมู่น่อนน่อนแน่นอน
วันนี้ ยังถือว่าไม่สาย
เฉินถิงเซียวไม่เปิดปากพูด ซูเหมียนในฐานะที่เป็นเพื่อนออกงานของเขา ได้พูดกับมู่น่อนน่อนอย่างโดยธรรมชาติว่า:“นิสัยของถิงเซียวเย็นชา ไม่อยากสนใจคนที่ไม่เกี่ยวข้อง นี่คุณน่าจะรู้ดี อย่าโทษเขาเลยนะ”
เจียงซ่งฟังบทสนทนาของทั้งสองได้อย่างชัดเจนและเข้าใจ
ดูจากเนื้อหาสนทนาที่เขาได้ยิน เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนคนนี้น่าจะรู้จักกัน แต่อาจไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น
ไม่งั้น มู่น่อนน่อนยืนอยู่ที่นี่ตั้งนาน ทำไมเฉินถิงเซียวถึงไม่สนใจเธอเลยล่ะ?
เจียงซ่งที่คิดเอาเองว่าตัวเองคิดจุดนี้ได้ แววตาลึกๆมีความร้ายกาจแวบผ่าน แต่ตอนที่เขาพูดกับซูเหมียนก็ยังคงเกรงอกเกรงใจอยู่:“คุณซู ในเมื่อเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้อง ทำไมต้องลำบากคุณหนักใจขนาดนี้ด้วยล่ะ?ให้ผมจัดการก็พอครับ”
ซูเหมียนย่อมแทบอยากให้มู่น่อนน่อนตกอยู่ในมือของเจียงซ่งจะแย่อยู่แล้ว พวกคุณชายเพลย์บอยที่มีเจียงซ่งเป็นตัวนำนี้เป็นคนยังไง ซูเหมียนรู้ดีจนไม่รู้จะรู้ดียังไงแล้ว
แต่ยังไงมู่น่อนน่อนก็เป็นผู้หญิงที่เฉินถิงเซียวเคยรักมาก่อน ถึงแม้ซูเหมียนอยากให้มู่น่อนน่อนเจอดีซะบ้าง แต่ก็คำนึงถึงเกรงกลัวเฉินถิงเซียว
เธอหันไปมองเฉินถิงเซียวแวบนึง เห็นหน้าตาเฉินถิงเซียวไม่สะทกสะท้านเลย คิดๆแล้วได้พูดว่า:“ถิงเซียว คุณว่าไงคะ?”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดในทันที แต่ได้ลุกขึ้นมากะทันหัน แล้วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยคำนึง:“เสียงดังมาก”
พอพูดจบก็จะเดินออกไปข้างนอก
ซูเหมียนเห็นเฉินถิงเซียวไม่สนใจมู่น่อนน่อนแล้วจริงๆ สีหน้าได้เผยความดีใจออกมา เธอไม่พูดอะไรมาก ก็เดินออกไปตามเฉินถิงเซียวเลย
มู่น่อนน่อนเห็นเฉินถิงเซียวไป ก็อยากตามไปด้วย แต่กลับถูกเจียงซ่งขวางเอาไว้
เจียงซ่งขวางอยู่ที่ตรงหน้าของมู่น่อนน่อน น้ำเสียงแฝงด้วยความร้าย:“สถานที่แบบนี้ เป็นที่ๆเธออยากมาก็มา อยากไปก็ไปงั้นเหรอ?”
“ดูท่าคุณนี่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องจริงๆ”
มู่น่อนน่อนพูดคำนี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเสร็จ ก็ได้ยื่นมือและยกเท้าขึ้นมา คนที่อยู่ข้างๆไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น พอผู้คนดึงสติกลับมา เจียงซ่งที่เมื่อครู่ยังมีลักษณะท่าทางดุร้ายอยู่ นาทีนี้ได้ล้มลงไปที่พื้นแล้ว
“นังแพศยา!กูพูดจาดีๆกับมึงหน่อย มึงก็เห็นว่าตัวเองเป็นคนสำคัญแล้วจริงเหรอ!วันนี้กูจะสอนให้มึงเป็นคนใหม่!”
ระหว่างที่เจียงซ่งพูดอยู่ก็จะเอามือยันพื้นและลุกขึ้นมา ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนได้คว้าเหล้ามาจากโต๊ะแก้วนึง แล้วราดใส่หัวของเจียงซ่งโดยตรง
“พู……ถุย!นังผู้หญิงบ้า มึงทำอะไรวะ!”เจียงซ่งถูกเหล้าราดหัวจนลืมตาไม่ขึ้น ในปากยังพูดไปด่าไป
มู่น่อนน่อนราดเสร็จ ก็เขวี้ยงแก้วเหล้าใส่พื้นอย่างแรง แล้วพูดอย่างดูหมิ่นว่า:“นายเองก็ยังไม่เข้าใจชีวิตเลย ยังอยากสอนฉันเป็นคนใหม่อีก?นายต่างหากที่บ้า”
ผู้คนมากมายที่อยู่ในห้องVIPนี้ต่างก็ถูกฉากที่อยู่ตรงหน้านี้ทำเอาตะลึงค้างไปเลย
ผู้หญิงคนนี้ดูแล้วบอบบางอ่อนแอ นอกจากหน้าตาสวยมาก และมีบุคลิกแตกต่างจากคนของที่นี่แล้ว ใครก็คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะมีฝีมือที่เก่งกาจขนาดนี้ ลงมือเด็ดขาดขนาดนี้ กล้าลงมือกับเจียงซ่ง
ทันใดนั้น ไม่นึกเลยว่าในห้องVIPที่กว้างขวางจะไม่มีคนส่งเสียงพูดจา
มู่น่อนน่อนไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจพวกที่ไม่เกี่ยวข้อง ตอนที่เธอหันไปมองหน้าห้องVIP พบว่าเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนได้เดินออกไปแล้ว
เธอไม่มีเวลาไปสนใจเยอะขนาดนั้นแล้ว ได้ตามออกไปโดยตรง
หลังจากออกไป ในห้องVIPถึงมีเสียงวิพากวิจารณ์ดังขึ้น
“ผู้หญิงคนนี้มีภูมิหลังอะไร ทำไมถึงได้ซ่าขนาดนี้?”
“หน้าคุ้นๆนะ……”
“เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ก็จำไม่ค่อยได้แล้ว ฉันลองนึกดูก่อน……”
พวกเขามัวแต่วิพากวิจารณ์มู่น่อนน่อน แต่กลับลืมเจียงซ่งที่ยังนอนอยู่บนพื้น
เจียงซ่งโมโหจนรูปทรงหน้าเปลี่ยนไป:“ไม่รู้จักมาประคองกูหน่อยเลยเหรอวะ?ไอ้พวกโง่ที่ไร้ประโชยน์!”
พอพูดจบ ก็มีสาวนั่งดริ้งหลายคนมาประคองเขา
สาวนั่งดริ้งถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง:“ประธานเจียง เป็นอะไรมากมั้ยคะ?”
เจียงซ่งไม่ใช่คนโง่ ผู้หญิงพวกนี้ไม่จริงใจ หวังแค่อำนาจเงินทองของเขาเท่านั้น
เขาจ้องด้วยสายตาดุร้าย พร้อมทั้งตะคอกใส่สาวนั่งดริ้งคนนั้น:“กูแม่งดูแล้วเหมือนไม่เป็นอะไรเหรอวะ?มึงดูหน้ากู!นี่เป็นฝีมือของนังแพศยานั่นหมด!”
สาวนั่งดริ้งถูกเจียงซ่งตะคอกจนตกใจไม่กล้าพูดสักคำ คอยก้มหน้าเอาไว้ ปล่อยให้เจียงซ่งด่าแล้วให้เธอออกไป
ผ่านไปสักพัก บนตัวเจียงซ่งถูกทำความสะอาดได้พอสมควรแล้ว เขาถึงกัดฟันและแอบตัดสินใจว่า เขาจะไม่ปล่อยผู้หญิงคนนั้นไปเด็ดขาด!
ตอนที่มู่น่อนน่อนตามออกมา เฉินถิงเซียวกับซูเหมียนยังไปได้ไม่ไกล
เธอวิ่งไปขวางที่ตรงหน้าของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย สายตาเย็นชาได้หล่นอยู่ที่บนตัวมู่น่อนน่อน
เมื่อครู่อยู่ในห้องVIP ท่าทีที่เฉินถิงเซียวไม่แยแสมู่น่อนน่อน ทำให้ซูเหมียนพึงพอใจมาก
แต่ว่า เธอก็ยังกลัวว่ามู่น่อนน่อนป้วนเปี้ยนอยู่ตรงหน้าเฉินถิงเซียวอยู่เป็นประจำแบบนี้ จะทำให้เฉินถิงเซียวถ่านไฟเก่าลุกขึ้นมาใหม่
เธอชิงมู่น่อนน่อนพูดอย่างเสียงดังก่อน:“มู่น่อนน่อน คุณยังอยากจะทำอะไรอีก?ตอนนี้พวกคุณไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันแล้ว!”
มู่น่อนน่อนไม่เหลียวมองซูเหมียนเลย ได้จ้องแววตาเฉินถิงเซียวเอาไว้:“ฉันมีอะไรจะถามคุณ”
เฉินถิงเซียวฟังแล้วได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ยกมือขึ้นมาดูนาฬิกาแวบนึง แล้วพูดอย่างรำคาญสุดขีด:“มู่น่อนน่อน ทำไมเมื่อก่อนผมไม่รู้เลยว่าคุณน่ารำคาญขนาดนี้?”
ห้องวีไอพีส่วนตัวใหญ่มาก ดูเหมือนว่าสามารถรองรับได้ยี่สิบถึงสามสิบคน
ผู้ชายพวกนั้นด้านใน มีบางส่วนที่ดูคุ้น และมีผู้หญิงหลายคนที่คุ้นหน้า
เพราะในห้องคนเยอะเกินไป บางครั้งเข้าๆ ออกๆ เปิดปิดประตูห้อง โดยพื้นฐานแล้วจึงไม่มีใครสนใจใครเป็นพิเศษ
ดังนั้น เมื่อมู่น่อนน่อนยืนอยู่หน้าประตูห้อง คนในห้องจึงไม่มีใครสังเกตเธอ
หรืออาจเป็นเพราะแสงที่ประตูค่อนข้างมืด ทำให้เธอไม่เด่นมากนัก
มู่น่อนน่อนไม่ได้ปิดประตูห้อง เดินตรงเข้าไปข้างในตรงตำแหน่งที่เฉินถิงเซียวอยู่
คนอื่นล้วนซ้ายโอบขวากอด แต่ข้างกายเฉินถิงเซียวมีผู้หญิงแค่คนเดียว และท่าทางของทั้งสองก็ไม่ได้ใกล้ชิดกันนัก
คนที่อยู่ข้างเขานั่งห่างจากเขาพอสมควร แต่โน้มตัวเล็กน้อยเวลาคุยกับเขา ท่าทางดูเอาอกเอาใจเป็นอย่างมาก
ส่วนเฉินถิงเซียวถือแก้วไวน์ในมือ ก็ไม่รู้ว่าตั้งใจฟังคนข้างๆ พูดอยู่หรือเปล่า
เมื่อมู่น่อนน่อนเดินอย่างรวดเร็วไปตรงหน้ามู่น่อนน่อน ในห้องวีไอพีส่วนตัวถึงได้มีคนสังเกตเห็นเธอ
คนหนึ่งในนั้นสวมเสื้อสีเทาพูดว่า “เฮ้ ผู้หญิงคนนั้นน่ะ คุณกำลังจะไปไหน! เข้ามาไม่รู้จักปิดประตู ปิดประตูซะ”
มู่น่อนน่อนเหลือบมองเขา แต่ไม่สนใจ
ตอนนั้นคนคนนั้นจึงได้เห็นหน้ามู่น่อนน่อน และมองตาตั้งทันที
ตลอดชีวิตเซียวชู่เหออยู่โดยอาศัยใบหน้า เหมือนพวงดอกไม้เคียงข้างมู่ลี่เหยียน
มู่น่อนน่อนสืบทอดความงามมาจากเซียวชู่เหอ ต่อให้อยู่ในหมู่มวลดารานางแบบ ก็ยังโดดเด่นที่สุด
อายุยี่สิบหกยี่สิบเจ็ด แม้ผ่านการมีลูกมาหนึ่งคน รูปร่างหน้าตาก็ยังยอดเยี่ยม บวกกับการใช้ชีวิตอยู่กับเฉินถิงเซียวมานาน จึงติดเชื้อพวกความสง่าบุคลิกท่าทางอันสูงส่งเฉพาะตัวของเฉินถิงเซียวมาโดยปริยาย จึงยิ่งโดดเด่นมากขึ้นไปอีก
ผู้ชายที่สวมเสื้อสีเทาแม้มองแค่แวบเดียว ดวงตาก็เปล่งประกายแล้ว
ดวงตาของเขาจ้องมู่น่อนน่อนโดยไม่กะพริบ สายตาเกิดประกายรอยยิ้มที่ปรารถนาอยากได้ขึ้นมาทันที
เขาจัดเสื้อผ้าแล้วลุกขึ้น
นางแบบสาวข้างๆ เอื้อมมือมาดึงเขา น้ำเสียงทรงสเน่ห์เย้ายวน “ประธานเจียง?”
ชายเสื้อเทาสะบัดเธอออก แล้วส่งสายตาเตือนเธอ นางแบบสาวจึงไม่กล้าส่งเสียงอีก
เขาก้าวสองสามก้าวไปถึงตรงหน้ามู่น่อนน่อน ขวางทางของเธอ “โย่ว คุณผู้หญิงท่านนี้ดูไม่คุ้นหน้าหรือเปล่า มาหาใครครับ ผมชื่อเจียงซ่ง คุณชื่ออะไร”
ที่นี่มีแต่ควันบุหรี่ เดิมทีมันทำให้มู่น่อนน่อนอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ชายที่ชื่อเจียงซ่งคนนี้ยังวิ่งมาขวางทางเธออีก สีหน้าของเธอจึงยิ่งแย่ลง
มู่น่อนน่อนยังคงไม่พูด เลื่อนสายตาขึ้นมองผ่านเจียงซ่ง ไปยังโซฟาที่อยู่ข้างหลังเขา
เพราะเสียงของเจียงซ่ง จึงมีคนมากมายในห้องวีไอพีส่วนตัวหันมองมาที่เธอกันแล้ว แต่เฉินถิงเซียวก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือ ไม่รู้ทำอะไรบนโทรศัพท์มือถือ
มู่น่อนน่อนไม่เชื่อว่าเฉินถิงเซียวไม่รู้ว่าเธอเข้ามา
ความโกรธที่อธิบายไม่ได้ตีรวนขึ้นอก พุ่งขึ้นหัว มู่น่อนน่อนเรียกด้วยสีหน้าที่ไม่หม่นหมอง “เฉินถิงเซียว”
น้ำเสียงเธอที่เรียกเฉินถิงเซียวนั้นดังพอสมควร แทบจะทันทีที่ทั้งห้องเงียบลง ทุกคนต่างหันหน้ามามองเธอ
ต้องรู้ว่าในห้องนี้ ไม่มีใครกล้าเรียกชื่อเต็มของเฉินถิงเซียวตรงๆ
ปกติจะเรียกอย่างเป็นทางการอย่าง “ประธานเฉิน” หรือไม่ก็ “คุณชายเฉิน”
ทันใดนั้นผู้หญิงคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามา การที่เรียกชื่อเต็มของเฉินถิงเซียวแบบนี้ โดยธรรมชาติแล้วมันเป็นการดึงดูดความสนใจของพวกเขา
หลังจากที่เจียงซ่งได้ยินเธอเรียกชื่อเต็มเฉินถิงเซียว สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ที่แท้ก็มาหาประธานเฉินสินะ”
เจียงซ่งขดยิ้ม หันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว รอยยิ้มเต็มใบหน้าพูดกับเฉินถิงเซียว “ประธานเฉิน มีคนมาหาคุณครับ”
เช่นนี้เฉินถิงเซียวจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง ในดวงตาดำราวกับหมึก ลึกราวกับสระน้ำ มองอารมณ์ใดๆ ไม่ออก
สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ใบหน้ามู่น่อนน่อนเพียงครึ่งวินาที แล้วก้มลงไปดูโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง ราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้า
แม้มู่น่อนน่อนจะคาดไว้อยู่แล้วว่าเฉินถิงเซียวอาจมีปฏิกิริยาเช่นนี้ แต่ใจเธอก็ยังคงรู้สึกจุก รู้สึกแย่มาก
เธอกัดฟัน กำมือ และเริ่มพูดอีกครั้ง “เฉินถิงเซียว ฉันมีคำพูดที่ต้องพูดกับคุณ มีเรื่องที่ต้องถามคุณ”
เฉินถิงเซียวยังคงเงียบ ไม่สนใจความตั้งใจของเธอ
หัวใจมู่น่อนน่อนกลายเป็นเย็นชาทันที ความหนาวเย็นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วไปในทุกส่วนกระดูก
แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยรู้สึกถึงความเฉยเมยและเยือกเย็นอย่างชัดเจนเช่นนี้ในตัวเฉินถิงเซียว
โดยธรรมชาติแล้วเจียงซ่งที่สนใจมู่น่อนน่อน เดิมทีเขายังกลัวความสัมพันธ์ของเฉินถิงเซียวกับผู้หญิงคนนี้ แต่ตอนนี้เห็นเฉินถิงเซียวไม่สนใจมู่น่อนน่อนเลย จึงกล้าขึ้นมาหน่อย
สายตาแน่วแน่ของเขาไปตกที่ตัวมู่น่อนน่อน สายตาปรารถนาโดยไม่ปิดบัง ดูราวกับว่ากำลังจะเปลือยกายเธอ น้ำเสียงนุ่มนวล “ดูเหมือนประธานเฉินจะไม่รู้จักคุณนะ”
เขาพูดอย่างนั้นแล้วเอื้อมมือออกต้องการจะสัมผัสเอวมู่น่อนน่อน “ประธานเฉินของพวกเราเป็นคนรักเดียวใจเดียว ข้างกายเขามีคนอยู่แล้ว ถ้าคุณมีเรื่องอยากขอร้องเขา ไม่สู้ลองพิจารณาผมสักหน่อยล่ะ ผมเป็นคนที่ทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรี……”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ามือของเขาขยับ จึงก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันที มือของเจียงซ่งจึงคว้าความว่างเปล่า
เขามองดูมือที่คว้าความว่างเปล่าของตัวเอง จึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นขุ่นมัวอย่างมาก
นานมาแล้วที่มู่น่อนน่อนไม่ได้ถูกรังแกแบบนี้ เธออดไม่ได้ที่จะยิ้ม มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นชาไร้อุณหภูมิ “เชิญคุณไสหัวไปทางโน้น”
“คุณลองพูดอีกรอบไหม” เจียงซ่งหน้าตาไม่อยากเชื่อ เขาคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะพูดกับเขาแบบนี้
ต้องรู้ว่าในห้องวีไอพีส่วนตัว นอกจากเฉินถิงเซียว เขามีสถานะสูงที่สุด ไม่ต้องพูดถึงพวกผู้หญิง แม้แต่พวกคุณชายไฮโซรักสนุกพวกนี้ก็ล้วนแต่ไม่กล้าพูดกับเขาแบบนี้เลย
“คุณหูหนวกเหรอ งั้นฉันไม่รังเกียจที่จะพูดอีกรอบ เชิญ คุณ ไส หัว ไป ทาง โน้น!” ที่มู่น่อนน่อนเกลียดที่สุดก็คือคนอย่างเจียงซ่ง คิดว่าตัวเองรวยมากแล้วดูถูกคนอื่น
“คุณ……” เจียงซ่งโกรธมากจนยกมือขึ้นจะตบมู่น่อนน่อน
เวลานี้ น้ำเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น “ประธานเจียง เมื่อครู่คุณยังพูดว่าตัวเองเป็นคนทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรี แล้วนี่จะทำอะไร”
มือของเจียงซ่งนิ่งค้างกลางอากาศ
มู่น่อนน่อนมองตามเสียง พบว่าคนที่พูดคือผู้หญิงที่นั่งข้างเฉินถิงเซียว
เมื่อผู้หญิงคนนั้นพูดจบ ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ใบหน้าอันคุ้นเคยเปิดเผยภายใต้แสง
มู่น่อนน่อนพึมพำด้วยความประหลาดใจ “ซูเหมียน!”
“คุณมู่ พบกันอีกแล้วนะคะ” ซูเหมียนสวมชุดสีแดงไวน์ เน้นส่วนเว้าส่วนโค้ง ผิวขาวยิ่งกว่าหิมะ สวยเกินบรรยาย มีสง่าราศี
แต่เมื่อเทียบกับมู่น่อนน่อนในเวลานี้ สภาพดูน่าอายกว่ามาก
“แยกทาง?” เสิ่นเหลียงย้ำอีกรอบแล้วถามว่า “อะไรคือแยกทาง หมายถึงเลิกกันน่ะเหรอ”
บนใบหน้ามู่น่อนน่อนมีการแสดงออกที่ค่อนข้างเรียบเฉย เธอพยักหน้ารับ “อืม”
เสิ่นเหลียงหยิบน้ำตรงหน้าขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมด ก่อนจะพูดว่า “ใครเป็นคนพูด”
“ฉันเป็นคนพูด เขาเห็นด้วย และไล่ฉันออกจากวิลล่า”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็มองดูสีหน้าเสิ่นเหลียง
เป็นไปอย่างที่คาด บนใบหน้าของเสิ่นเหลียงมีอาการตกใจและเหลือเชื่อ
เสิ่นเหลียงไม่อยากเชื่อว่าเฉินถิงเซียวจะทำอย่างนี้
“ล้อเล่นใช่ไหม เธอคิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ” เสิ่นเหลียงมองเธออย่างไม่สบอารมณ์
กู้จือหยั่นที่อยู่อีกฝั่งจู่ๆ ก็พูดเสียงอ่อย “ผมเป็นพยานได้ เป็นความจริง”
“คุณรู้ได้ยังไง” เสิ่นเหลียงหันมองไปยังกู้จือหยั่น ยิ่งขมวดคิ้วหนัก
กู้จือหยั่นคีบกับข้าวให้เสิ่นเหลียง แล้วมองไปที่มู่น่อนน่อน เห็นว่ามู่น่อนน่อนไม่มีทีท่าว่าจะห้ามเขา จึงได้เริ่มพูดว่า “ครั้งนั้นอยู่ที่จีนติ่ง น่อนน่อนเมา ผมโทรเรียกให้ถิงเซียวเข้ามา แต่เขาไม่ดูแลน่อนน่อนเลย และเป็นผมที่ให้คนพาน่อนน่อนไปพักผ่อนที่ห้อง”
แม้เขาจะให้คนพามู่น่อนน่อนไปพัก ก็เป็นเพราะรับสายจากถิงเซียว เพียงแต่ ต่อให้เฉินถิงเซียวไม่ได้โทรหาเขา เขาก็จะทำแบบนี้อยู่ดี
แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ ไม่อยากเชื่อว่าเฉินถิงเซียวจะปล่อยมู่น่อนน่อนขณะที่กำลังเมาโดยไม่ดูแลได้
จุดนี้ไม่เหมือนนิสัยของเฉินถิงเซียว
กลับกันถ้าเป็นเขา หากเสิ่นเหลียงเมาจนขาดสติสตัง เขาก็จะไม่ยืมมือของคนอื่นแน่
ไม่เพียงเป็นมู่น่อนน่อน ตอนนี้เขาเองก็มีข้อสงสัยอยู่จุดหนึ่ง เฉินถิงเซียวอาจไม่สนใจมู่น่อนน่อนจริงๆ……
เพียงแต่ สิ่งนี้เขาจะไม่พูดมันออกมา
เมื่อเสิ่นเหลียงได้ยินคำพูดของกู้จือหยั่น ก็เบนจุดโฟกัสทันที
เธอจ้องมองมู่น่อนน่อน พูดด้วยหน้าตาที่ไม่พอใจ “เธอวิ่งโร่มาดื่มเหล้าถึงจีนติ่งโดยไม่ชวนฉันเหรอ”
มู่น่อนน่อน “……….”
“คุณอยากดื่มอะไรก็ดื่ม ผมจะให้คนเอามาเสิร์ฟ” กู้จือหยั่นเริ่มยิ้มหวานให้เสิ่นเหลียงอย่างประจบ
เสิ่นเหลียงถลึงตาใส่เขา “ใครอยากดื่มกับคุณ!”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “ฉันมีบางเรื่องที่ต้องไปให้เฉินถิงเซียวยืนยัน พวกคุณทานไปเลย ฉันอาจจะไม่กลับมาที่นี่อีก”
ใจเธอคิดเรื่องของเฉินถิงเซียว ต่อให้นั่งทานอาหารอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีความสุข ไม่สู้ไปคุยกับเฉินถิงเซียวตอนนี้ให้รู้เรื่องเสียเลย
เสิ่นเหลียงก็ไม่ได้รั้งเธออีก “มีเรื่องอะไรโทรมานะ”
“ได้” มู่น่อนน่อนหยิบกระเป๋าแล้วออกไป
ในห้องวีไอพีส่วนตัวเหลือเพียงเสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่น กู้จือหยั่นแอบคิด ว่าในที่สุดโอกาสที่เขาจะได้อยู่กับเสิ่นเหลียงตามลำพังก็มาถึง
แต่เสิ่นเหลียงไม่ให้โอกาสนี้กับเขา
เสิ่นเหลียงโทรหาผู้ช่วยของตัวเอง “เข้ามาทานอาหารกัน”
กู้จือหยั่นรู้เลยว่า ตามลำพังอะไรมันก็ได้แต่คิดเท่านั้น
……
เมื่อมู่น่อนน่อนออกจากห้องวีไอพีส่วนตัว ก็กำลังจะเดินไปที่ลิฟต์
เดินไปไม่ถึงสองก้าว เธอก็หยุดกะทันหัน จากนั้นจึงหันเดินไปทางห้องน้ำ
เธอแต่งหน้าในห้องน้ำ ตอนที่กำลังใส่ลิปสติกลงในกระเป๋า การสนทนาระหว่างผู้หญิงสองคนที่มาจากด้านนอกดึงดูดความสนใจของเธอ
“ผู้ชายที่ตอนหลังเพิ่งเข้ามาในห้องวีไอพีส่วนตัวเป็นใครน่ะ หล่อมาก! แค่เสื้อผ้าทั้งตัว เห็นแวบแรกก็รู้ว่าแพงมาก”
“คุณไม่รู้จักเขาเหรอ เขาคือเฉินถิงเซียวผู้โด่งดัง!”
“เฉินถิงเซียว? ประธานของเฉินซื่อนั่นน่ะเหรอ ได้รับช่วงเฉินซื่อมาสามปี เป็นประธานหนุ่มอายุน้อยที่ประสบความสำเร็จโด่งดังในแวดวงธุรกิจใช่ไหม”
“ใช่แล้ว ทั้งหนุ่มทั้งหล่อ!”
“แล้วเขามีแฟนหรือยัง”
“ได้ยินว่ามี เหมือนจะแซ่ซู แต่เขาเคยแต่งงานมาก่อน แล้วต่อมาก็หย่า เรื่องของเขามันซับซ้อนนิดหน่อย ฉันก็พูดได้ไม่ชัดนัก……”
“หย่าร้างสำคัญอะไร ต่อให้เขามีภรรยา สามารถได้เป็นชู้ของเขาก็พอแล้ว”
“คุณไม่รู้หรอกว่ามีผู้หญิงกี่คนอยากปีนขึ้นเตียงเขา อยากเป็นชู้ของเขา! ถ้าฉันบอกว่า ต่อให้ไม่ได้ผลตอบแทน ฉันก็อยากนอนกับเขา……”
“ทำไมคุณเป็นคนแบบนี้!”
“แล้วยังไง คุณไม่อยากเหรอ”
“โธ่เอ๊ย คุณพูดอะไรเนี่ย……”
ผู้หญิงสองคนนั้นพูดพร้อมกับเดินเข้าห้องสุขาในห้องน้ำ
ส่วนมู่น่อนน่อนยืนอยู่หน้ากระจก ใบหน้าราวกับน้ำค้างแข็ง
เธอกำมือแน่น จากนั้นค่อยๆ คลาย หยิบกระเป๋าแล้วก้าวกว้างเดินออกไป
หลังจากออกมา เธอเอาโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาเฉินถิงเซียว
แต่ทว่า ทันทีที่นึกถึงทัศนคติของเฉินถิงเซียว เธอก็ลดโทรศัพท์มือถือในมือลง
ถ้าเธอโทรหาเฉินถิงเซียวเขาจะรับหรือเปล่า
บางที เขาไม่เพียงจะไม่รับ ยังระแวงว่าเธอจะไปหาเขาด้วย
ทันทีที่คิดแบบนี้ ไม่สู้เธอตรงไปหาเฉินถิงเซียวเลยดีกว่า เขาไม่มีทางไม่พบเธอ
มู่น่อนน่อนตัดสินใจเด็ดขาด เก็บโทรศัพท์มือถือไป
คิดถึงบทสนทนาระหว่างผู้หญิงสองคนในห้องน้ำเมื่อครู่ เธอก็สีหน้าเย็นชาลงอีกหลายส่วน
แต่ว่า เธอมีเพียงตามผู้หญิงสองคนนั้นไป ถึงจะรู้ว่าเฉินถิงเซียวอยู่ห้องไหน
มู่น่อนน่อนยืนรอด้านนอกสักพัก ก่อนจะเห็นผู้หญิงสองคนนั้นออกมา
หญิงสาวทั้งสองไม่ได้พูดถึงเฉินถิงเซียวอีก เริ่มพูดคุยเรื่องกระเป๋าและเสื้อผ้า
มู่น่อนน่อนเอาโทรศัพท์มือถือออกมา แกล้งทำเป็นเปิดมือถือเล่นโซเชียล ตามหลังพวกเธอไปโดยไม่สะดุดตา
พวกเธอน่าจะอยู่ห้องเดียวกับเฉินถิงเซียว ตราบใดที่ตามพวกเธอไปก็พอ
มู่น่อนน่อนตามพวกเธอไปสักพัก ในที่สุดพวกเธอก็หยุดตรงหน้าประตูห้องวีไอพีส่วนตัวห้องหนึ่ง พูดอีกสองประโยค แล้วจัดแจงเสื้อผ้า ก่อนจะยิ้มแล้วผลักประตูเข้าห้องนั้นไป
แสงไฟในห้องวีไอพีส่วนตัวสว่างไสว แต่ในช่องว่างระหว่างที่พวกเธอเปิดปิดประตู มู่น่อนน่อนยังได้เหลือบไปเห็นเฉินถิงเซียว
เธอเห็นรางๆ ว่าข้างเฉินถิงเซียวมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ เพียงแต่ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ในเงามืด มู่น่อนน่อนจึงเห็นไม่ชัดว่าเป็นใคร
เมื่อครู่ดูคร่าวๆ เธอพบว่าข้างในมีคนเยอะมาก
เธอกำลังลังเล ว่าจะเข้าไปหรือไม่เข้าไปดี
ถ้าไม่เข้าไป หรือว่าเธอต้องอยู่ที่นี่รอเฉินถิงเซียวออกมา
ถ้าเข้าไป……
มู่น่อนน่อนสะบัดศีรษะ ไม่คิดมากอีก เข้าไปก่อนค่อยว่ากัน
หลังจากตัดสินใจแล้ว มู่น่อนน่อนก็สูดหายใจเข้าลึก เดินไปที่ประตู เปิดประตูห้องวีไอพีส่วนตัวออก
ตอนที่เธอยืนอยู่หน้าประตู ถึงได้พบว่าข้างในมีคนมากกว่าที่เธอเห็น
มีสาวคอยเทเครื่องดื่มที่โต๊ะไวน์ คนเหล่านั้นต่างทำเจ้าชู้จีบกัน ดื่มแอลกอฮอล์ พูดคุย ต่างคนต่างทำกันไป ไม่มีใครสังเกตเห็นเธอเลย
ไวน์แดงเรียงรายอยู่ภายใน ข้าวของเครื่องใช้ ทั่วทุกมุมมีแต่ความหรูหราไฮโซ
ไม่แปลกใจเลยที่มีคนบอกว่า จีนติ่งเป็นแหล่งซ่องสุมชั้นดีของอบายมุขอันฟุ้งเฟ้อ
เวลาเธอมาจีนติ่ง ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ได้มาทานอาหารกับพวกเฉินถิงเซียว แค่นัดกับเสิ่นเหลียงที่นี่
เฉินถิงเซียวไม่ชอบเข้าร่วมงานเลี้ยง และไม่ชอบสังสรรค์กับพวกคุณชายตระกูลไฮโซ
แน่นอนว่ามู่น่อนน่อนก็ไม่เคยเห็นพวกคุณชายตระกูลไฮโซพวกนี้เวลาสนุกสุดเหวี่ยงจริงๆ แล้วมีสภาพอย่างไร
เสิ่นเหลียงเหมือนจะโมโหจัด สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ
พวกเขาทานกันไปคุยกันไป
กู้จือหยั่นคุยเรื่องธุระ สีหน้ากลายเป็นจริงจังขึ้นมา
“น่อนน่อน คุณอยากรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับองค์กรX ได้ยินมาจากไหน” กู้จือหยั่นมองมู่น่อนน่อน สายตามีแววสอบสวน
“ว่ากันว่า องค์กรXเป็นองค์กรลับ ตราบใดที่จ่ายได้ สามารถสืบค้นได้ทุกเรื่องที่ต้องการ และยังสามารถซื้อ……” มู่น่อนน่อนนิ่งไปเล็กน้อย น้ำเสียงเพิ่มขึ้นนิดหน่อย “ชีวิตคน”
กู้จือหยั่นสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย และยิ้มทันที “ดูเหมือนคุณก็รู้มาไม่น้อยนะ”
“ดูเหมือนว่า ความจริงแล้วองค์กรXเป็นองค์กรอาชญากรรม” มู่น่อนน่อนยืดตัวตรง เม้มริมฝีปาก และถามกู้จือหยั่นต่อว่า “คุณเคยเห็นนักฆ่าขององค์กรXไหม”
กู้จือหยั่นกำลังดื่มน้ำพอดี ได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อน เขาเกือบจะสำลักน้ำที่เพิ่งดื่มเข้าปาก
“แค่กๆ……” กู้จือหยั่นวางแก้วลง ยกมือขึ้นกุมคอครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้เงยหน้ามองยังมู่น่อนน่อน “ล้อเล่นอะไร คนขององค์กรXโดยพื้นฐานไม่เปิดเผยหน้าตา ต่อให้ตอนทำข้อตกลงกับใคร ยังมีช่องทางพิเศษในการติดต่อ ซื้อขายแบบไม่เผชิญหน้า”
เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยิน สีหน้าพลันค่อนข้างซับซ้อน
เธอหรี่ตามองกู้จือหยั่น “คุณรู้มาชัดเจนจริงๆ”
กู้จือหยั่นก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ หันศีรษะไปมองเสิ่นเหลียงโดยจิตใต้สำนึก จากนั้นถึงได้เริ่มอธิบาย “ที่จริงผมก็ไม่ได้รู้แน่ชัดนัก มีแต่ได้ยินมาจากคนอื่น”
เขาพูดจบ เห็นมู่น่อนน่อนกำลังยิ้ม ชัดเจนว่าไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด เขาจึงพูดอีกว่า “คุณก็รู้ ว่าผมมีเส้นสายกว้างขวาง รู้จักคนมากมาย และสถานะของคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ต่ำ มักจะมีหนึ่งหรือสองคนเสมอที่เผชิญกับสิ่งนี้”
“ฉันก็ไม่ได้คิดว่าคุณไปทำข้อตกลงกับองค์กรX เลยรู้เรื่องขององค์กรXชัดเจนขนาดนี้ คุณรีบอธิบายทำไม ตรงกันข้ามมันกลับส่อให้เห็นว่ากำลังปกปิดบางอย่างมากกว่า”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ยังยกมือขึ้นจับไหล่เสิ่นเหลียงด้วย “เสี่ยวเหลียง ฉันพูดถูกไหม”
เสิ่นเหลียงที่ทำหน้าโง่เขลาอยู่เมื่อครู่
จากที่ฟังมามาก เธอยังแทบไม่เข้าใจตื้นลึกหนาบางขององค์กรXนี่เลย
เธอไม่สนใจว่ากู้จือหยั่นมีสีหน้าท่าทางยังไง หันหน้าไปมองมู่น่อนน่อน ถามด้วยสีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม “น่อนน่อน เธอถามเรื่ององค์กรXทำไม”
“นี่คือสิ่งที่อาจจะเอามาเขียนบทคล้ายๆ แบบนี้ เพราะงั้นเลยมาถามกู้จือหยั่นดูน่ะ” เหตุผลที่มู่น่อนน่อนพูดออกมา เป็นเหตุผลเดียวกันกับที่พูดกับกู้จือหยั่นก่อนหน้านี้
แต่ว่า กู้จือหยั่นผู้ชายคนนี้ ในสายตาของเขา ยกเว้นเสิ่นเหลียง หญิงอื่นก็เป็นแค่มนุษย์เท่านั้น
แน่นอนว่าเขาจะไม่คลางแคลงข้อเท็จจริงในคำพูดของมู่น่อนน่อน
แต่เสิ่นเหลียงนั้นต่างกัน เธอรู้จักมู่น่อนน่อนดี รู้จักนิสัยของมู่น่อนน่อน
ต่อให้มู่น่อนน่อนจะกลบเกลื่อนการแสดงออกภายนอกได้ดี แต่เธอยังสามารถมองออกได้ว่ามู่น่อนน่อนโกหกหรือไม่
เสิ่นเหลียงเอียงศีรษะเล็กน้อย มือกุมแก้วน้ำ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “จริงเหรอ”
มู่น่อนน่อนไม่พูดอะไร
เธออาจะปิดบังเสิ่นเหลียงไม่ได้
เพื่อปกปิดความรู้สึกของตัวเอง มู่น่อนน่อนยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มทานอาหารต่อ ท่าทางเอาจริงเอาจังกับการทานอาหาร
เสิ่นเหลียงถอนสายตากลับ หันหน้าไปมองกู้จือหยั่น “คุณพูดต่อสิ”
“องค์กรXเป็นองค์กรที่ลึกลับมาก ไม่มีใครรู้ว่าผู้นำของพวกเขาคือใคร ไม่มีใครเคยเห็นนักฆ่าขององค์กรX”
“นักฆ่าเหล่านั้นจะปลอมตัวเป็นอย่างดี พวกเขาอาจเป็นเจ้าของแผงลอยริมถนน หรืออาจเป็นพนักงานออฟฟิศ หรืออาจเป็นคนที่เดินผ่านคุณไปบนท้องถนนก็ได้”
ตอนที่กู้จือหยั่นพูดถ้อยคำนี้ ในสายตามีความลึกลับ เหมือนพนักงานขายตรง
เสิ่นเหลัยงกับมู่น่อนน่อนคิดแบบเดียวกัน เมื่อกู้จือหยั่นพูดจบ เธอก็หลุดหัวเราะพรืดทันที “กู้จือหยั่น ตอนนี้คุณเหมือนพนักงานขายตรง หรือพวกสมุนที่ถูกล้างสมองเข้าแก๊งค์เลย”
กู้จือหยั่นสีหน้าบึ้งตึง ทำหน้าตาจริงจังทันที “ที่ผมพูดเป็นความจริง”
มู่น่อนน่อนเชื่อคำพูดของกู้จือหยั่น
องค์กรXลึกลับเช่นนี้ หากคนภายนอกสามารถรู้เรื่องได้ อย่างมากที่สุดก็ได้ยินจากปากต่อปาก
ส่วนที่ว่าจะมีสิ่งอัศจรรย์อะไรหรือไม่ เท็จหรือจริง ทุกสิ่งยากจะบอกได้
มู่น่อนน่อนนั้นเดิมทีแค่เพราะสงสัยเกี่ยวกับองค์กรXจากปากของฉีเฉิงถึงได้ถามเรื่องพวกนี้จากกู้จือหยั่น
เพียงแต่ หลังจากได้ยินคำพูดของกู้จือหยั่น เธอกลับยิ่งอยากรู้
เฉินถิงเซียวเป็นคนรอบคอบมาก เขาต้องรู้ที่มาของฉีเฉิงแน่นอน
แต่ว่า เขารู้ที่มาของฉีเฉิงขนาดนี้ ก็ยังให้ฉีเฉิงอยู่ข้างเฉินจิ่งหยุ้น และตอนนั้นเฉินมู่ก็ถูกวางไว้ใกล้ตัวเฉินจิ่งหยุ้น เพื่อให้เธอดูแลด้วย
และตอนนี้ ฉีเฉิงอยู่ในวิลล่าของเฉินถิงเซียว
การที่เฉินถิงเซียวทำขนาดนี้ มีเพียงสองความเป็นไปได้
อย่างแรก บางทีเฉินถิงเซียวอาจเชื่อใจฉีเฉิงคนนี้มาก อาจเชื่อในความสามารถของเขา อาจเชื่อในตัวเขา
อย่างที่สอง อาจเพราะฉีเฉิงมีประโยชน์ต่อเฉินถิงเซียวมาก ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ให้ฉีเฉิงอยู่ในวิลล่าต่อไป
แต่ถ้า เฉินถิงเซียวให้ฉีเฉิงอยู่เพราะจุดประสงค์อย่างที่สอง เช่นนั้นจุดประสงค์ของเฉินถิงเซียวคืออะไร
หรือว่า……เฉินถิงเซียวอยากทำข้อตกลงกับองค์กรX
ถ้าไม่ใช่ทำข้อตกลง แล้วเพื่ออะไร
หรือว่าเขามีความสนใจในองค์กรX
แต่เฉินถิงเซียวเป็นนักธุรกิจ นักธุรกิจที่มีทรัพย์สมบัติมหาศาลอยู่ในมือ ทำไมต้องสนใจองค์กรอาชญากรรม
ไม่ถูก ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวมอบเฉินซื่อให้เธอ……
มู่น่อนน่อนคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจก็ยุ่งเหยิงทันที
เฉินถิงเซียวเก็บฉีเฉิงไว้เพราะอะไรกันแน่
จู่ๆ เธอก็ถูกเฉินถิงเซียวไล่ออกมา เขาลืมเหรอว่าเขาให้เฉินซื่อกับเธอแล้ว
หรือจะบอกว่า ที่ฉินถิงเซียวไล่เธอออกมา อาจจะมีเหตุผลอื่น!
ตลอดเวลาที่ผ่านมา มู่น่อนน่อนมั่นใจเกินไปเกี่ยวกับความรู้สึกของเฉินถิงเซียวที่มีต่อเธอ ดังนั้นเมื่อเฉินถิงเซียวออกมาไล่เธอ เธอจึงคิดว่าเฉินถิงเซียวอาจจะเบื่อหน่ายจริงๆ ไม่ได้คิดเลยว่าอาจจะมีเหตุผลอื่น
คิดถึงตรงนี้ เธอก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ฉับพลัน
ไม่ได้ เธอต้องถามเฉินถิงเซียวให้ชัดเจน
เธอลุกขึ้นพรวด และพูดกับเสิ่นเหลียงว่า “เสี่ยวเหลียง ฉันมีเรื่องด่วน เธอกับกู้จือหยั่นทานกันไปก่อนเลย ฉันขอตัวก่อน”
ไม่ง่ายที่เสิ่นเหลียงจะมีเวลาว่างมาทานอาหารกับมู่น่อนน่อน ไหนเลยจะให้มู่น่อนน่อนไปง่ายๆ
เธอรั้งมือของมู่น่อนน่อนไว้ ออกแรงที่มือ ดึงมือมู่น่อนน่อนกลับลงไปนั่งดังเดิม
“เสี่ยวเหลียง?” มู่น่อนน่อนหันไปมองเสิ่นเหลียงด้วยความประหลาดใจ
เสิ่นเหลียงถามเธอ “เรื่องด่วนอะไร พูดมาจะฟัง บางทีฉันอาจช่วยได้”
“เรื่องเกี่ยวกับเฉินถิงเซียว” มู่น่อนน่อนพูดอย่างอึดอัดเล็กน้อย
“พอดีเลย ฉันก็กำลังอยากรู้สถานการณ์ของเธอกับเฉินถิงเซียว” เสิ่นเหลียงหรี่ตามองเธอ เพียงแต่รอยยิ้ม ยิ้มแต่เพียงภายนอกเท่านั้นใจไม่ได้ยิ้มด้วย
มู่น่อนน่อนก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ครุ่นคิดก่อนจะพูดออกมาหนึ่งประโยค “เราแยกทางกันแล้ว”
ช่วงเย็น
มู่น่อนน่อนไปจีนติ่งตามเวลานัด
เมื่อเธอไปถึง กู้จือหยั่นรออยู่ในห้องวีไอพีส่วนตัวแล้ว
สวมเชิ้ตสีชมพูที่ดูน่าหมั่นไส้มาก
“น่อนน่อน รีบเข้ามานั่งเร็ว” กู้จือหยั่นช่วยเลื่อนเก้าอี้ออกให้มู่น่อนน่อนอย่างมีน้ำใจ ส่งสัญญาณให้เธอมานั่ง
มู่น่อนน่อนรู้ชัดเจนไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ที่กู้จือหยั่นมีน้ำใจขนาดนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเสิ่นเหลียง
มู่น่อนน่อนยิ้มพลางส่ายหน้า “ฉันทำเอง”
จากนั้นเธอก็ดึงเก้าอี้ออกนั่งเอง
กู้จือหยั่นเกาศีรษะ ยิ้มอย่างเขินๆ จากนั้นก็จัดๆ เสื้อผ้าบนร่างกายของตัวเอง และยิ้มร่าให้มู่น่อนน่อน “น่อนน่อน คุณว่าชุดผมเป็นยังไง รุ่นลิมิเต็ดเลยนะ ผมสั่งให้ผู้ช่วยไปสั่งจองมาให้ผมเชียวล่ะ!”
“อืม” มู่น่อนน่อนมองครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ก็ดี”
บุคลิกของกู้จือหยั่นเมื่อเทียบกับเฉินถิงเซียว จะค่อนข้างต่างกัน สามารถเห็นความแตกต่างบางอย่างได้จากอาหารและเสื้อผ้าในชีวิตประจำวัน
“คุณดูละเอียดหรือยัง” กู้จือหยั่นดึงๆ กระเป๋าเล็กๆ บนเสื้อของตัวเอง ชี้ที่หัวแมวเล็กๆ บนขอบกระเป๋าและพูดว่า “คุณเห็นนี่ไหม นี่เป็นความพิเศษของเสื้อตัวนี้เลยนะ!”
“………”
มู่น่อนน่อนอ้าปากเล็กน้อย จ้องมองชุดของเขาด้วยสีหน้าว่างเปล่า
เธอไม่เข้าใจจริงๆ เสื้อสีชมพูสำหรับผู้ชาย หัวแมวเล็กๆ ที่ปักตรงกระเป๋าเสื้อบนอกมันมีอะไรพิเศษ
เสื้อผ้าสไตล์นี้ เธอที่เป็นผู้หญิงเคยเห็นมาไม่น้อย
มู่น่อนน่อนมองเสื้อของเขาอีกครั้ง แล้วย้ำคำพูดของเขาอีกรอบ “พิเศษ?”
“อืม? เป็นยังไง”
กู้จือหยั่นมองด้วยสายตาคาดหวัง มู่น่อนน่อนพิจารณาอย่างละเอียดครู่หนึ่ง “อืม ไม่เลว”
แม้มู่น่อนน่อนจะชมอย่างไม่จริงใจ แต่เวลานี้กู้จือหยั่นอารมณ์ดีมาก จึงไม่ได้ฟังให้ละเอียด
กู้จือหยั่นได้คำชมจากมู่น่อนน่อน จึงกลับลงไปนั่งบนเก้าอี้ จัดๆ แขนเสื้อ จัดระเบียบคอเสื้อ จากนั้นก็รินน้ำให้มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนคุ้นเคยกับรูปแบบความสัมพันธ์ของกู้จือหยั่นกับเสิ่นเหลียงนานแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่กู้จือหยั่นเป็นแบบนี้
ไม่ช้า เสิ่นเหลียงก็มา
เสิ่นเหลียงเพิ่งออกรายการ เสื้อผ้าที่สวมใส่จึงค่อนข้างบาง และแต่งหน้าอย่างดี
ทว่า หลังจากเสิ่นเหลียงเข้ามาใกล้ มู่น่อนน่อนสามารถมองเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของเธอได้
“เสี่ยวเหลียง” มู่น่อนน่อนเรียกเธอด้วยรอยยิ้ม
เสิ่นเหลียงยิ้มตอบและเดินเข้ามา
กู้จือหยั่นซึ่งรอคอยการมาของเสิ่นเหลียงมาตลอดตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เวลานี้กลับไม่มีเสียง สีหน้าท่าทางเย็นชาเป็นพิเศษ
มู่น่อนน่อนแอบประหลาดใจ ผู้ชายเปลี่ยนสีหน้าไวกว่าพวกผู้หญิงเสียอีก
กู้จือหยั่นเป็นตัวอย่างที่ดีมาก
มู่น่อนน่อนเพียงเหลือบมองกู้จือหยั่น ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ลุกขึ้นมาดึงเก้าอี้ออกให้เสิ่นเหลียง “นั่งเร็ว”
“สุภาพทำไมกัน ตกใจหมด” แม้ปากเสิ่นเหลียงจะพูดอย่างนั้น แต่ก็ยังนั่งลง
หลังจากเธอนั่งลง ก็ไม่ได้มองกู้จือหยั่นเลย แค่หันหน้าไปคุยกับมู่น่อนน่อน “ที่จริง ต่อให้เธอไม่นัดฉัน ฉันก็อยากมาหาเธอ แต่ตารางงานสองวันนี้มันยกเลิกไม่ได้ และก็กังวัลว่าเธอจะยุ่งอยู่กับการเขียนบท จึงไม่ได้มาหาเธอ”
“มาหาฉัน?” มู่น่อนน่อนแปลกใจเล็กน้อย “มีเรื่องอะไรเหรอ”
โดยทั่วไปแล้ว ในสถานการณ์ที่ทั้งคู่ต่างยุ่ง หากเสิ่นเหลียงนึกอยากมาหาเธอ ก็ต้องแน่นอนว่ามีเรื่องสำคัญ
เสิ่นเหลียงสีหน้าจริงจังพร้อมกับพูดว่า “เรื่องกิจกรรมวันนั้น ฉันได้ยินว่า บอสใหญ่พาซูเหมียนไป”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนนิ่งไป สังเกตได้ว่าบรรยากาศรอบกายค่อนข้างเย็น ก่อนจะแย้มยิ้มปรับบรรยากาศ “แม้แต่เธอก็ได้ยิน ดูเหมือนว่าในวงการนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่หลบซ่อนได้เลยจริงๆ”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็เอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำตรงหน้าด้วยสีหน้าปกติ จรดริมฝีปาก ดื่มลงไปช้าๆ
แต่เสิ่นเหลียงกลับมองเธอตลอดเวลา เหมือนอยากมองให้ทะลุผ่านตัวเธอ
ทำไมเสิ่นเหลียงจะมองไม่ออกว่าเธอแกล้งทำเป็นสงบ
เสิ่นเหลียงจ้องมองเธออยู่หลายนาที จากนั้นจึงหันหน้าไปหยิบแก้วน้ำของตัวเองมาดื่มบ้าง
ตั้งแต่เริ่มกู้จื่อหยั่นถูกทิ้งโดยสมบูรณ์ ขณะที่พวกเธอทั้งสองกำลังเงียบ ในที่สุดก็หาโอกาสขัดจังหวะได้
กู้จือหยั่นดันเมนูมาตรงหน้าเธอ ไร้ซึ่งการแสดงออกบนสีหน้า น้ำเสียงดูเย็นชามอง “สั่งอาหารสิ”
เสิ่นเหลียงเหลือบไปที่กู้จือหยั่นราวกับกำลังดูอะไรที่แปลกประหลาด “ไม่ได้เจอหน้ากันไม่นานเลยนะ คุณวุ่นวายอะไรอีก”
“เสิ่นเสี่ยวเหลียง โปรดระวังน้ำเสียงที่คุณพูดด้วย” กู้จือหยั่นเชิดคางขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงขณะที่พูดราบเรียบ
อย่าว่าแต่เสิ่นเหลียง แม้แต่มู่น่อนน่อนยังตกใจจนตาแทบถลน
กู้จือหยั่นพล่ามอะไรออกมา
เสิ่นเหลียงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกอดอกเอ่ยถามกู้จือหยั่น “คุณให้ฉันระวังน้ำเสียงงั้นเหรอ”
“แล้วไม่อย่างนั้นเหรอ หรือว่าผมต้องพูดกับน่อนน่อน” กู้จือหยั่นยังคงสีหน้าเรียบเฉย
เสิ่นเหลียงขดยิ้ม วินาทีต่อไป รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอหายไป และเอื้อมมือไปตบศีรษะกู้จือหยั่น
กู้จือหยั่นกุมศีรษะตัวเอง สีหน้าบึ้งตึงทันที “บอกแล้วว่าให้คุณอ่อนโยนหน่อย พวกบรรดาแฟนคลับของคุณต่างเป็นห่วงว่าคุณเป็นแบบนี้จะหาแฟนไม่ได้ นี่คุณยังจะดุร้าย……”
ตบนี้ของเสิ่นเหลียง เป็นการแสดงร่างที่แท้จริงของกู้จือหยั่น
เสิ่นเหลียงส่งเสียงเยาะ “แฟนคลับชอบวิถีทางของฉัน เป็นแฟนสาวป่าเถื่อนน่ะ เข้าใจไหม”
สายตาของกู้จือหยั่นกวาดผ่านตัวเสิ่นเหลียง แล้วเยาะเย้ยเธอว่า “ป่าเถื่อนก็ป่าเถื่อน แต่แฟนสาวหมายถึงอะไร คุณดูตัวเองตอนนี้ แม้แต่ข่าวคราวกับผู้ชายก็ไม่มี พูดอะไรแฟนสาวป่าเถื่อน……”
“กู้จือหยั่น! คุณอยากมีเรื่องใช่ไหม!” เสิ่นเหลียงพูดอย่างนั้นแล้วยกมือจะตบโต๊ะ
เพียงแต่ ตอนที่มือของเธอกำลังจะตกลงไป กลับถูกกู้จือหยั่นจับไว้
เขาสีหน้าไม่ค่อยดี “อะไรนิดอะไรหน่อยก็จะตบโต๊ะ ถ้าเจ็บมือขึ้นมาดูสิว่าคุณจะออกรายการยังไง”
“นายทุน! คิดแต่เรื่องรายการ คิดแต่เรื่องที่จะช่วยให้คุณได้เงิน!” เสิ่นเหลียงถลึงตามองเขาอย่างเกลียดชัง สะบัดมือออก ไม่สนใจเขาอีก
มู่น่อนน่อนเห็นว่าในที่สุดทั้งสองคนก็หยุด ถึงได้ส่งเสียงว่า “เอาล่ะ สั่งอาหารเถอะ”
เสิ่นเหลียงกับกู้จีอหยั่นสองคนนี้ ทะเลาะกันเมื่อไรก็เหมือนเด็กสองคน ต้องทะเลาะกันให้ได้ถึงจะพอใจ
แต่หลังจากนั่งกันเงียบๆ สงบๆ ชายสง่างาม หญิงสะสวย ยังเป็นคู่ที่เหมาะสมดั่งกิ่งทองใบหยก
แค่ไม่รู้ว่า ระหว่างพวกเขา เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
มู่น่อนน่อนถอนหายใจ
ความสัมพันธ์แบบนี้ ยากเกินไปที่จะขบคิด
แต่เดิมเธอคิดว่า นิสัยดื้อรั้นอย่างเฉินถิงเซียว ต่อให้เธอพูดว่าเลิกจริงๆ เฉินถิงเซียวก็จะไม่มีทางเห็นด้วย
ทว่า เฉินถิงเซียวไม่เพียงเห็นด้วย ยังไล่เธอออกมาอีกต่างหาก
คิดมาถึงตรงนี้ มู่น่อนน่อนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับตัวเอง
โศกนาฏกรรมส่วนใหญ่ในชีวิตคนเรา ล้วนเป็นเพราะการหลอกตนเองและผู้อื่น
คนเรายิ่งมีชีวิตอยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะเท่าไร ถึงจะยิ่งง่ายและอิสระ
แต่ก็มีคนบอกว่า การใช้ชีวิตอยู่อย่างวุ่นวายหน่อยถึงจะมีความสุข
เธอไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวจะรับสายเธอหรือไม่
ในมุมมองของเธอ จากที่เธอรู้จักเฉินถิงเซียวมา หลังจากเฉินถิงเซียวพูดจาใจร้ายมากมาย มีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่รับสายของเธออีก
ขณะที่รอสายไปเรื่อยๆ มือของมู่น่อนน่อนก็ยังไม่คลาย
เป็นอย่างที่เธอคาดไว้ กระทั่งสายถูกตัดอัตโนมัติ เฉินถิงเซียวก็ไม่มีการรับสายเธอ
หลังจากสายโทรศัพท์มือถือตัดอัตโนมัติ ก็กลับมายังหน้าผู้ติดต่อ
มู่น่อนน่อนจ้องมองผู้ติดต่อไม่กี่คนบนหน้าจอ แล้วในใจก็ครุ่นคิด
ในหมู่คนเหล่านี้ มีใครรู้เกี่ยวกับองค์กรXหรือเปล่า
กับเส้นสายและประสบการณ์ของฉินสุ่ยซาน เป็นไปได้ไหมที่จะรู้จักองค์กรX
กู้จือหยั่นล่ะ เขาจะรู้เรื่องขององค์กรXหรือไม่
มู่น่อนน่อนคิดมาถึงตรงนี้ ก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้ง แล้วต่อสายไปหากู้จือหยั่น
เมื่อสายเชื่อมต่อ เสียงของกู้จือหยั่นก็ดังขึ้น “น่อนน่อน?”
ไม่ว่าเมื่อไหร่ กู้จือหยั่นก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพลังงานล้นเหลือ
“ฉันมีบางเรื่องอยากถามคุณ” มู่น่อนน่อนกับกู้จือหยั่นนับว่าสนิทกัน จึงไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป
กู้จือหยั่นที่ปลายสายลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “คุณอยากถามเรื่องถิงเซียวเหรอ ช่วงนี้ผมไม่ได้เจอเขาเลย ช่วงนี้เขาทำอะไรอยู่ผมก็ไม่รู้……”
รีบร้อนเคลียร์จังนะ จริงๆ เลย……
ไหนเลยมู่น่อนน่อนจะไม่รู้ความคิดของกู้จือหยั่น กู้จือหยั่นก็แค่กลัวเฉินถิงเซียวเท่านั้นเอง
“เรื่องที่ฉันจะถาม ไม่เกี่ยวกับเฉินถิงเซียว”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อนแล้ว กู้จือหยั่นก็เปลี่ยนน้ำเสียงทันที พูดด้วยความโล่งอก “คุณบอกก่อนสิว่าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับถิงเซียว ผมกลัวจะตายแล้วเนี่ย……”
“คุณรู้จักองค์กรXไหม” เพิ่งสิ้นเสียงมู่น่อนน่อน ก็ได้ยินเสียงไอของกู้จือหยั่นดังมาจากปลายสาย
“แค่กๆๆ……” ทางฝั่งกู้จือหยั่นมีเสียงกุกกักดังมา อาจเป็นเสียงแก้วน้ำล้ม และกำลังเช็ดน้ำอยู่
มู่น่อนน่อนก็ไม่เร่งรีบ รอเงียบๆ ให้กู้จือหยั่นจัดการให้เสร็จ
ผ่านไปไม่นาน เสียงของกู้จือหยั่นที่ปลายสายก็ดังขึ้นอีกครั้ง “น่อนน่อน คุณพูดอีกรอบ คุณเพิ่งพูดว่าอะไรนะ”
มู่น่อนน่อนจำต้องย้ำอีกครั้ง “ฉันถามคุณว่า คุณรู้จักองค์กรXหรือเปล่า”
น้ำเสียงของกู้จือหยั่นจู่ๆ ก็กลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง “น่อนน่อน มีเรื่องอะไรนักหนาเหรอ ที่จริงแล้วการแก้ปัญหามีหลายวิธีนะ คุณอาจจะแค่ยังคิดไม่ตก อย่าเดินทางผิดเลยนะ! ลองถอยสักก้าวแล้วจะเห็นโลกที่กว้างขึ้น มีบางเรื่อง……”
จู่ๆ กู้จือหยั่นก็ยกหลักเหตุผลยิ่งใหญ่มากมายขึ้นมาพูดกับมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ามันค่อนข้างไร้เหตุไร้ผล เธอจึงขัดจังหวะคำพูดของกู้จือหยั่น “กู้จือหยั่น คุณกำลังพูดอะไรกันแน่”
กู้จือหยั่นสูดหายใจเข้าลึก ทำเหมือนเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ แล้วพูดว่า “น่อนน่อน ต่อให้เฉินถิงเซียวเขาจะทรยศคุณ เขาไม่ดีกับคุณ คุณก็ไม่สามารถซื้อคนจากองค์กรXไปจัดการเขาได้นะ!”
มู่น่อนน่อนร้องไห้ไม่ได้หัวเราะก็ไม่ออก “ในสมองคุณใส่อะไรเอาไว้ ฉันบอกเหรอว่าจะซื้อคนมาจัดการเฉินถิงเซียว”
แม้เธอจะรู้สึกว่ากู้จือหยั่นสมองไม่ปกติ แต่น้ำเสียงของกู้จือหยั่นที่ได้ยินนั้นคลับคล้ายคลับคลาว่าเขาจะรู้จักองค์กรX และเรียกได้ว่ารู้จักองค์กรXดีเสียด้วย
“งั้นคุณถามเรื่องขององค์กรXทำไม” กู้จือหยั่นถอนหายใจโล่งอก น้ำเสียงก็ค่อนข้างเก้อเขิน
ช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนลดลงอย่างเห็นได้ชัดจนถึงจุดเยือกแข็ง เพราะสองวันนี้ที่เขาโทรหาเฉินถิงเซียว ก็ล้วนแล้วแต่ต้องหน้าหงายกลับมา
แต่ว่า เขาไม่เข้าใจเลยว่าเฉินถิงเซียวกำลังคิดอะไรอยู่ และไม่เข้าใจความคิดของสองคนนี้
เขาก็รู้สึกว่าครั้งนี้เฉินถิงเซียวใจร้ายไปหน่อย เมื่อครู่มู่น่อนน่อนถามเขาเรื่ององค์กรX เขาจึงอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่ามู่น่อนน่อนจะแก้นแค้นเฉินถิงเซียวในเรื่องนี้
มู่น่อนน่อนถาม “คุณรู้จักองค์กรXมากน้อยแค่ไหน”
กู้จือหยั่นจมอยู่กับความเงียบครู่หนึ่ง น้ำเสียงค่อนข้างเคร่งขรึม “คุณถามเรื่องนี้เพราะต้องการจะทำอะไรกันแน่ ถ้าคุณไม่บอกว่าคุณจะทำอะไร ผมจะไม่บอกคุณ”
เมื่อครู่เธอยังรู้สึกว่ากู้จือหยั่นไม่น่าเชื่อถือ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะเปลี่ยนเป็นคนระแวดระวังรอบคอบ
มู่น่อนน่อนรีบหาข้ออ้าง “ช่วงนี้ฉันเขียน [เมืองพัง2] มันเป็นพล็อตที่เกี่ยวข้องกับองค์กรประเภทนี้ เพราะงั้นเลยอยากรวบรวมข้อมูลน่ะ”
ก่อนหน้านี้ที่กู้จื่อหยั่นคิดว่ามู่น่อนน่อนต้องการซื้อคนจากองค์กรXเพื่อจัดการกับเฉินถิงเซียว ก็เพราะพูดโดยไม่ผ่านสมองคิด
ตอนนี้ใจเย็นลงแล้ว โดยธรรมชาติแล้วก็รู้ว่าไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้
ได้ยินมู่น่อนน่อนบอกว่าจะรวบรวมข้อมูล กู้จือหยั่นก็ไม่ได้คิดมาก และเชื่อด้วย
“อ้อ เกี่ยวกับองค์กรX เรื่องมันยาว ช่วงเวลาครู่เดียวอาจพูดไม่ชัดเจนพอ” กู้จือหยั่นเหมือนครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้พูดต่อว่า “หรือไม่เอาแบบนี้ พวกเรามาคุยกันต่อหน้า”
คุยต่อหน้า?
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ากู้จือหยั่นกระตือรือร้นเกินไป
ไม่ปกติเหมือนผีเข้า
เกิดเรื่องผิดปกติแสดงว่าต้องมีปีศาจ
อย่างที่คาดไว้ วินาทีต่อมา กู้จือหยั่นพูดว่า “ฤกษ์ดีไม่ดีเท่าฤกษ์สะดวก เย็นนี้เลยเถอะ ทานอาหารเย็นด้วยกันที่จีนติ่ง โอกาสเหมาะที่จะคุยเรื่ององค์กรX……โอกาสเหมาะที่จะโทรนัดเสิ่นเสี่ยวเหลียง”
พูดมาเสียยืดยาว ปรากฏว่าประโยคสุดท้ายถึงจะเป็นจุดสำคัญสินะ
“กู้จือหยั่น ประสิทธิภาพของคุณต่ำเกินไปนะ คุณกับเสี่ยวเหลียงรู้จักกันตั้งแต่เด็ก ฉันรู้จักคุณก็สามสี่ปีแล้ว แต่ตอนนี้คุณกับเสี่ยวเหลียงไม่ได้มีการใกล้ชิดกันขึ้นมาเลยสักก้าว” มู่น่อนน่อนพูดขึ้นเพราะรู้สึกแปลกๆ
ที่จริงจนถึงตอนนี้เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมเสิ่นเหลียงถึงปฏิเสธกู้จือหยั่น
กู้จือหยั่นกับเสิ่นเหลียงเป็นเพื่อนเล่นที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ทว่าหลังจากมู่น่อนน่อนรู้จักเสิ่นเหลียง มีความสัมพันธ์อันดีกับเสิ่นเหลียง ยังไม่เคยเห็นกู้จือหยั่นปราฏตัวอยู่ข้างกายเสิ่นเหลียงเลย
นี่อธิบายได้ว่า ปัญหาระหว่างเสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่น อาจจะเกิดก่อนที่เธอกับเสิ่นเหลียงรู้จักกัน
คงเป็นเรื่องที่เกิดก่อนเสิ่นเหลียงอายุสิบเก้าปี
“คุณต้องช่วยผมนะ น่อนน่อน……” น้ำเสียงของกู้จือหยั่นหงอยจนดูน่าสงสาร
มู่น่อนน่อนถอนหายใจ “ฉันจะไปถามเสี่ยวเหลียง ถ้าเธอไม่มา ก็ได้แต่ช่างมันไปนะ”
“ได้ ไม่มีปัญหา!” กู้จือหยั่นตอบตกลงทันที น้ำเสียงดีใจ
มู่น่อนน่อนวางสาย แล้วกดโทรหาเสิ่นเหลียง
ช่วงนี้เสิ่นเหลียงถ่ายรายการวาไรตี้โชว์ เวลาเลิกงานแต่ละวันนับว่าเร็ว
ตอนที่มู่น่อนน่อนโทรไป เสิ่นเหลียงกำลังเล่นโทรศัพท์มือถือพอดี จึงรับสายเร็วมาก
“น่อนน่อน ทำไมอยู่ดีๆ ก็โทรหาฉันล่ะ” ช่วงนี้มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงไม่ค่อยได้ติดต่อกันมากนัก แค่ส่งวีแชทหากันเป็นครั้งคราว
“ฉันมีเรื่องต้องรบกวนกู้จือหยั่น เขาบอกว่าเย็นนี้ให้ไปทานอาหารเย็นด้วยกัน เขาอยากให้ฉันนัดเธอ เธอเต็มใจก็ไป ถ้าเธอไม่อยากไป ฉันแน่ใจว่าเขาก็ยังคงจะช่วยฉันเรื่องนี้”
มู่น่อนน่อนพูดอย่างชัดเจน จะไปไม่ไป ทุกอย่างแล้วแต่เสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ไปสิ ทำไมจะไม่ไป แค่ไม่สนใจเขาก็พอ”
มู่น่อนน่อนจับอารมณ์อันซับซ้อนในน้ำเสียงของเสิ่นเหลียงได้ จึงหัวเราะและพูดว่า “ได้ สถานที่นัดคือจีนติ่ง ถึงเวลาก็ไปกัน”
“เอาตามนี้ วันนี้ฉันจะเลิกงานเร็วหน่อย” เสิ่นเหลียงวางสายอย่างมีความสุข
คำตอบของฉีเฉิงทำให้เฉินจิ่งหยุ้นรู้สึกว่ามีเหตุผล
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองอย่างมาก ลำพังแค่ฉีเฉิงเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะเปลี่ยนความคิด
เมื่อคิดแบบนี้ ใจเธอก็ยิ่งสงสัย ทำไมจู่ๆ เฉินถิงเซียวมาพูดเรื่องนี้กับเธอ
คิดไปคิดมาก็ยังคิดไม่ออก
หลายปีที่ผ่านเฉินจิ่งหยุ้นใช้ชีวิตเป็นคุณหนูใหญ่ ทุกคนเคารพนบนอบเธอ เพื่อนพ้องก็จริงใจเพียงผิวเผินเท่านั้น
เธอจดจำไม่ลืม ตอนที่เธอเพิ่งได้รับใบรายงานวินิจฉัย ปฏิกิริยาแรกคืออยากบอกเฉินถิงเซียวหรือไม่
เพราะเฉินถิงเซียวเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เธอเหลืออยู่บนโลก
สำหรับเฉินถิงเซียว เธอเลิกหวังนานแล้ว
เพียงแต่ เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะโทรบอกเฉินถิงเซียว เพราะเฉินถิงเซียวไม่สนใจเธอเลย
แต่ว่า นอกจากเฉินถิงเซียว เธอก็ไม่รู้ว่าควรบอกใคร
ในตอนนั้น เธอรู้สึกสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด
ภายนอกเธอเจิดจรัสมาก แต่คนที่จริงใจต่อเธอกลับไม่มีแม้แต่คนเดียว
เฉินจิ่งหยุ้นอึดอัดในอก หลังจากเธอหอบหายใจสองครั้ง ก็เริ่มพูดกับฉีเฉิงอีกครั้งว่า “เตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้พวกเราไปกัน”
ฉีเฉิงดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย อารมณ์บนใบหน้าค่อนข้างซับซ้อน “ผมไม่ไปกับคุณ”
“อะไร” เฉินจิ่งหยุ้นสงสัยว่าตัวเองได้ยินผิด ฉีเฉิงบอกว่าจะไม่ไปกับเธอเหรอ
“จุดเริ่มต้นที่ผมติดตามปกป้องอยู่ข้างกายคุณ เป็นเพราะคุณได้ช่วยผมให้รอดพ้นจากปัญหาครั้งหนึ่ง” บนใบหน้าของฉีเฉิงไม่มีสีหน้าอะไรพิเศษ “พวกเรา หมดหนี้ต่อกันนานแล้ว”
เฉินจิ่งหยุ้นสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย และกลับมาปกติดังเดิมทันที “แบบนี้ก็ดี งั้นคุณ……วางแผนว่าจะไปไหน”
ฉีเฉิงไม่ได้ตอบ
เฉินจิ่งหยุ้นจึงถามเองตอบเอง “ก็จริง คุณไปไหนก็ไม่จำเป็นต้องบอกฉัน แต่ไม่ว่าคุณคิดจะไปไหน ฉันก็ยังต้องขอบคุณคุณ”
ไม่มีฉีเฉิงเธอก็คงไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนั้น
ฉีเฉิงคนนี้ดูเย็นชามาก แถมยังออกจะน่ากลัว แต่ที่จริงเขาเป็นผู้ชายที่มีเลือดนักสู้มาก
เขามีหลักการและบรรทัดฐาน และเขาใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยมากกว่าคนส่วนใหญ่ที่เป็นเพียงผิวเผิน
เขาสัญญาว่าจะเป็นบอดี้การ์ดของเธอ ก็เพียงเพราะเธอเคยช่วยเขาไว้ครั้งหนึ่งเท่านั้น
ตอนนี้หมดหนี้ต่อกันแล้ว ก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีก
“งั้นฉันกลับห้องก่อนนะ” เฉินจิ่งหยุ้นเห็นฉีเฉิงยังคงเงียบ เหมือนไม่มีความตั้งใจที่จะพูดสิ่งใด
เฉินจิ่งหยุ้นดวงตาหมองหม่นเล็กน้อย หันหลังและจะเดินไป
เพียงแต่ ตอนที่เธอหันตัวไป เธอรู้สึกว่าข้อมือตัวเองถูกจับไว้
กำลังที่ใช้จับข้อมือนั้นแรงมาก กระชากเธอไปอย่างดุดัน ทั้งร่างของเธอชนเข้ากับอกของฉีเฉิงอย่างหนักโดยควบคุมไม่ได้
มันเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป เฉินจิ่งหยุ้นร้องอุทานด้วยความตกใจ และเงยหน้าขึ้นมองฉีเฉิง“ฉีเฉิงคุณทำ……”
คำพูดส่วนหลัง ฉีเฉิงไม่ได้ให้โอกาสเธอได้พูดออกมา เขากดหน้าต่ำลงมาบนริมฝีปากของเธอ
ฉีเฉิงใช้มือข้างหนึ่งจับข้อมือของเธอ ส่วนอีกข้างกอดเอวเธอแน่น ไม่ให้เฉินจิ่งหยุ้นมีโอกาสได้รอดพ้น
เฉินจิ่งหยุ้นถูกเขากักไว้ในอ้อมแขน ดิ้นไม่หลุด ริมฝีปากปิดแน่นด้วยความขุ่นเคือง ไม่ให้โอกาสแก่เขา
แต่ไหนเลยเธอจะสามารถควบคุมมันได้
กระทั่งรู้สึกว่าหญิงสาวในอ้อมแขนกำลังจะหมดลมหายใจ เขาจึงปล่อยริมฝีปากของเธอ
แต่ก็ปล่อยเพียงแค่ริมฝีปากของเธอเท่านั้น มือของเขายังคงกอดเอวเธอเอาไว้แน่น ไม่มีการปล่อยเธอ
เฉินจิ่งหยุ้นเพิ่งถูกฉีเฉิงจูบไป แม้แต่บนใบหน้าซีดที่ไร้สีเลือด ก็ปรากฏริ้วแดงเรื่อขึ้นมาก
สีหน้าของฉีเฉิงผ่อนคลายลงเล็กน้อย คลายมือปล่อยข้อมือของเฉินจิ่งหยุ้น มือที่ว่างลูบริมฝีปากของเฉินจิ่งหยุ้นด้วยนิ้วหัวแม่มือ น้ำเสียงยังค่อนข้างแหบพร่า “ตรงนี้ ผมทำเครื่องหมายไว้ ต่อให้ผมไม่ไปหาหมอเป็นเพื่อนคุณ คุณก็ต้องจำไว้ว่าตัวเองเป็นคนของใคร!”
ขณะที่เขาเค้นคลึงริมฝีปากของเธอ ข้อนิ้วก็ยังจับล็อคคางเธอ ทำให้เธอไม่เงยหน้ามองเขาไม่ได้
เมื่อฉีเฉิงพูด แววตาเป็นประกายโหดเหี้ยมราวกับหมาป่า
เฉินจิ่งหยุ้นหัวใจหยุดเต้นไปครึ่งจังหวะ ตกตะลึงจนพูดไม่ออกสักคำ
กระทั่งเมื่อเธอได้สติ ฉีเฉิงก็ปล่อยเธอแล้ว “มีชีวิตกลับมา”
ทิ้งประโยคนี้ไว้ แล้วเขาก็หันหลังจากไป ไกลห่างออกไป ด้านหลังที่แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
บนตัวเขามองไม่ออกถึงร่องรอยที่ว่าวินาทีก่อนยังจูบกับหญิงสาวคนหนึ่ง
เฉินจิ่งหยุ้นลูบริมฝีปากที่แดงเรื่อของเธอ มองฉีเฉิงเดินหายไปตรงทางเลี้ยว มองไปยังทางเดินอันว่างเปล่า ค่อนข้างสงสัยว่าเมื่อครู่ตัวเองเกิดภาพลวงตาใช่หรือไม่
ถ้อยคำต่างๆ ที่ฉีเฉิงพูด……หมายถึงอะไร
……
หลังจากมู่น่อนน่อนกลับไป ก็เริ่มค้นหา “องค์กรX” บนอินเทอร์เน็ต
แต่สิ่งที่ทำให้สับสนก็คือ เธอค้นหาบนอินเทอร์เน็ตนานมาก ก็ไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวข้องใดๆ เลย
เธอเปลี่ยนหลายเบราว์เซอร์ เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ เปลี่ยนแท็บเล็ต แต่ก็ยังค้นหาข้อมูลขององค์กรXไม่เจอ
หรือว่าฉีเฉิงโกหกเธอ
แต่ดูท่าทางฉีเฉิงแล้วไม่เหมือนว่าโกหกเธอ
ถ้าฉีเฉิงเคยเป็นนักฆ่าจริง ถ้าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง……
ถ้าอย่างนั้น การที่เธอค้นหาข้อมูลของ “องค์กรX” ไม่เจอก็เป็นเรื่องปกติ
——สามารถซื้อชีวิตคนได้ สามารถซื้อข้อมูลข่าวสารทุกอย่างได้ ตราบใดที่สามารถจ่ายได้ ก็สามารถซื้อสิ่งที่ต้องการได้
นี่เป็นองค์กรอาชญากรรมชัดๆ!
ถ้ามีองค์กรแบบนี้อยู่จริง เช่นนั้นก็ต้องซ่อนอยู่ในที่มืด
องค์กรอาชญากรรมแบบนี้ ทุกนายจ้างที่หาพบถ้าไม่รวยก็ต้องสูงศักดิ์ เพราะฉะนั้นการป้องกันความลับขององค์กรนี้จึงต้องรัดกุมมาก
ดังนั้นต่อให้มู่น่อนน่อนค้นหาบนอินเทอร์เน็ต ก็ยากที่จะพบข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรนี้
มู่น่อนน่อนใจเต้นกระหน่ำ
ถ้าฉีเฉิงเป็นคนขององค์กรX แล้วเฉินถิงเซียวรู้เรื่องนี้ไหม
สายตาของมู่น่อนน่อนไปตกบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ
เธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือมา หาเบอร์ของเฉินถิงเซียว เพิ่งกดโทรออก เธอก็กดวางทันที
เฉินถิงเซียวไม่ใช่คนโง่ เขามีความระแวดระวังมาก เขาจะใช้งานใครก็ต้องค้นหาข้อมูลส่วนตัวให้แน่ชัดก่อน
ตัวตนของฉีเฉิงเฉินถิงเซียวรู้อยู่ก่อนแล้ว
แต่ว่า ถ้าเขารู้ตัวตนของฉีเฉิงทำไมยังให้ฉีเฉิงอยู่ข้างกายอีก
ฉีเฉิงไม่ใช่คนดีอะไร ทำงานแลกเงิน มือเปื้อนเลือดคนมาไม่รู้เท่าไร คนแบบนี้ อันตรายมาก!
มู่น่อนน่อนคิดไปคิดมา และก็ยังคงโทรออกไป
ขณะที่รอสายเชื่อมต่อ มู่น่อนน่อนกำมือแน่นอย่างตึงเครียดตลอดเวลา
มู่น่อนน่อนไม่ได้สัญญาหรือปฏิเสธในทันที
เธอแค่รู้สึกตกใจมาก
ตั้งแต่ตอนยังอยู่กับเฉินถิงเซียว เธอผ่านประสบการณ์หลายอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่ที่ฉีเฉิงพูดเธอเพิ่งได้ยินครั้งแรก
ที่แท้ มีองค์กรใต้ดินประเภทที่ซื้อชีวิตคนได้อยู่จริงๆ
ฉีเฉิงส่งมู่น่อนน่อนขึ้นรถ แล้วหันหลังกลับเข้าวิลล่า
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ในรถ ความคิดยังคงค่อนข้างล่องลอย
เธอค่อยๆ คาดเข็มขัดนิรภัย วางมือบนพวงมาลัยครู่หนึ่งถึงสตาร์ทรถ
ขณะที่เธอขับรถออกจากเขตวิลล่า ด้านหน้ามีรถกำลังขับเข้ามาเช่นกัน เป็นรถที่ดูค่อนข้างคุ้น
หลังจากเข้ามาในระยะประชิด มู่น่อนน่อนจึงพบว่า นั่นเป็นรถของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่เห็นแล้วขับต่อไป
ทว่าเฉินถิงเซียวกลับขวางทางเธอ
ทั้งคู่หยุดนิ่งกันไปชั่วขณะ และเป็นมู่น่อนน่อนที่ลงจากรถก่อน
หลังจากเธอลงจากรถ เฉินถิงเซียวก็ตามลงมา
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปตรงหน้าเขา สบกับดวงตาราวกับหมึกของเขา ก่อนจะหลบอย่างอึดอัด “คุณกำลังขวางทางฉัน”
ปฏิกิริยาเล็กๆ น้อยๆ ของเธออยู่ในสายตาเฉินถิงเซียว เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ต่อไปมาหามู่มู่ ไม่ต้องสนใจฉีเฉิง”
มู่น่อนน่อนค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย เม้มริมฝีปากและพูดว่า “เพราะอะไร”
“ฉีเฉิงเป็นบอดี้การ์ดของเฉินจิ่งหยุ้น เฉินจิ่งหยุ้นเป็นคนในตระกูลเฉินของเรา สถานะคุณอยู่ตรงไหนมาให้ผมบอกคุณว่าเพราะอะไร” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวทุ้มต่ำอยู่ในระดับเดียวกัน ไม่มีร่องรอยของอุณหภูมิ ราวกับกำลังคุยกับคนแปลกหน้า
มู่น่อนน่อนอ้าปากเล็กน้อย รู้สึกในลำคอเหมือนมีอะไรติดอยู่ อยากพูดแต่กลับไม่มีเสียงออกมา
เธอยังปรับตัวให้ชินกับเฉินถิงเซียวที่คุยกับเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่ได้
แม้เฉินถิงเซียวจะเยาะเย้ยเย็นชาใส่เธอ ก็แสดงได้เพียงว่า เฉินถิงเซียวยังมีความรู้สึกต่อเธออยู่
คำพูดของเฉินถิงเซียวความจริงแล้วมีเหตุผล มู่น่อนน่อนไม่มีทางโต้แย้งได้เลย
มีช่วงเวลาหนึ่ง มู่น่อนน่อนอยากถามเขาออกไป เพราะอะไรกันแน่ถึงตกลงแยกทาง ทำไมต้องไล่เธอออกมา
แต่ศักดิ์ศรีและสติสัมปชัญญะของเธอไม่ยอมให้เธอถาม
มู่น่อนน่อนกำมือแน่น หันหลังกลับไปขึ้นรถ
เฉินถิงเซียวมองมู่น่อนน่อนเดินกลับไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เธอมีรูปร่างผอมเพรียว ภายใต้การห่อหุ้มของเสื้อโค้ตตัวหนา ก็ยังดูผอมบาง
เขาเฝ้ามองกระทั่งมู่น่อนน่อนขึ้นรถแล้ว ถึงได้หันกลับไปขึ้นรถตัวเอง ขับรถหลบ ให้มู่น่อนน่อนออกไป
หลังจากมู่น่อนน่อนไปแล้ว เขาจึงขับรถกลับไปที่วิลล่า
เฉินถิงเซียวลงจารถและตรงเข้าวิลล่า คนรับใช้และบอดี้การ์ดระหว่างทางที่เดินผ่านต่างก้มศีรษะน้อยๆ เพื่อต้อนรับ
“คุณชายกลับมาแล้ว”
เฉินถิงเซียวสีหน้าบึ้งตึง ทั้งกายมีกลิ่นอายเย็นยะเยือก ก้าวกว้างไปข้างหน้า โดยไม่พูดอะไรสักคำ
พวกคนรับใช้เห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากอีกเลย ต่างคนต่างไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เข้าไปถึงห้องโถง เขาเห็นฉีเฉิงจ้องฉีเฉิงอย่างเย็นชามากพร้อมกับพูดประโยคเดียว “มาห้องหนังสือ”
พูดจบ เขาล่วงหน้าขึ้นชั้นบนไปห้องหนังสือ
เขาก้าวเข้าห้องหนังสือก่อน ฉีเฉิงตามหลังเข้ามา
ทันทีที่ฉีเฉิงเข้าไป ก็ถูกเฉินถิงเซียวคว้าจับสาบเสื้อแน่น
ชายสองคนรูปร่างสูงใหญ่ ยืนอยู่ด้วยกันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเผ่าพันธุ์ที่เทียบเคียงกันได้ แต่เมื่อจำแนกให้ดีๆ แล้ว จะพบว่าออร่ายังคงแตกต่างกัน
ฉีเฉิงเป็นชายที่เลียเลือดบนปลายมีดเพื่อการดำรงชีพ ออร่าสังหารบนร่างหนาแน่น แต่เฉินถิงเซียวดูลุ่มลึกกว่า ออร่าแข็งแกร่งและสูงส่งกว่า
เฉินถิงเซียวกำเสื้อของฉีเฉิงอย่างไร้ความปรานี ทั้งหน้ามีแต่ความเย็นชา กัดฟันพูดว่า “คุณพูดอะไรกับมู่น่อนน่อน”
ฉีเฉิงไม่ได้ดิ้นรน และไม่มีแผนจะสู้กลับ เขาปล่อยให้เฉินถิงเซียวจับเขา น้ำเสียงราบเรียบ “คุณมู่อยากรู้อะไร ผมก็บอกเธออย่างนั้น”
“คุณแค่อยากให้ผมช่วยเกลี้ยกล่อมเฉินจิ่งหยุ้นให้ไปรักษาเท่านั้น ผมช่วยคุณก็ได้! แต่……” เฉินถิงเซียวพูดถึงตรงนี้แล้วหยุดไปเล็กน้อย ทั่วทั้งกายปกคลุมด้วยความเย็นยะเยือก “อย่ายุ่งกับมู่น่อนน่อนอีก! คุณรู้ ว่าผมมีวิธีจัดการกับคุณ!”
ฉีเฉิงได้ยินดังนั้นก็พลันด้วยตาเปล่งประกาย พยักหน้าและพูดว่า “ผมรู้”
เฉินถิงเซียวจึงปล่อยฉีเฉิงอย่างแรง
เขาจัดแขนเสื้อตัวเองและพูดเนิบช้า “แต่ผมมีเงื่อนไข”
“ผมจะสัญญากับคุณทุกเงื่อนไข” ฉีเฉิงไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ตอบรับทันที
เวลานี้ ห้องหนังสือของเฉินถิงเซียวถูกคนเปิดเข้ามา
สองคนในห้องได้ยินเสียง จึงพากันหันหน้าไปมองทางประตู
เฉินจิ่งหยุ้นรีบร้อนเดินเข้ามา รู้สึกว่าบรรยากาศของสองคนในห้องมีความผิดปกติ สีหน้าค่อนข้างแปลกใจ รีบอธิบายว่า “ฉันนึกว่าพวกคุณ……”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองฉีเฉิง“คุณออกไปก่อน”
ฉีเฉิงได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียว แล้วมองเฉินจิ่งหยุ้นอย่างลึกซึ้งครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกไป
“ถิงเซียว……” เฉินจิ่งหยุ้นไม่รู้ว่าชายสองคนนี้คุยอะไรกัน เมื่อยู่ต่อหน้าเฉินถิงเซียวเธอมักมีความรู้สึกผิด ชั่วขณะหนึ่งค่อนข้างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เฉินถิงเซียวชำเลืองมองเฉินจิ่งหยุ้น แล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟา พูดโดยไร้ซึ่งสีหน้า “เฉินจิ่งหยุ้น กี่ปีแล้วที่เราไม่เคยได้นั่งคุยกันดีๆ”
“หลายปีมากแล้ว” เฉินจิ่งหยุ้นไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ เฉินถิงเซียวถึงพูดอย่างนี้ จิตใจยังค่อนข้างห่อเหี่ยว
เฉินถิงเซียวเปลี่ยนหัวข้อกะทันหัน แววตาเย็นชาลง “เรื่องราวต่างๆ ที่คุณทำลงไปก่อนหน้านี้ การที่ผมไม่ได้เอาเรื่องคุณ ก็เป็นความเมตตาต่อคุณมากแล้ว”
เฉินจิ่งหยุ้นยิ้มขมขื่นครู่หนึ่ง “ฉันรู้”
“ตอนนี้คุณไม่รับการรักษา เพราะอยากตายชดใช้ความผิดเหรอ ผมไม่สน มันไม่มีความหมายกับผมเลย” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวมีแต่ความเย้ยหยัน
เฉินจิ่งหยุ้นสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ส่ายหน้าซ้ำๆ “ฉันเปล่า……”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงท้ายคำว่า “เปล่า” เฉินถิงเซียวก็พูดสวนกลับมาว่า “งั้นก็ไปรักษา”
เฉินจิ่งหยุ้นเงยหน้ามองเขาฉับพลัน “นาย……”
“ไปพรุ่งนี้ ยิ่งเร็วยิ่งดี เห็นแล้วขวางหูขวางตา” เฉินถิงเซียวพูดจบก็ผลักประตูออกไป
เฉินจิ่งหยุ้นยืนอยู่คนเดียวในห้องหนังสือ สมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ ก่อนจะได้สติ นี่คือเฉินถิงเซียวให้เธอไปรับการรักษา
แต่ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวไม่สนใจเธอเลย แต่ตอนนี้จู่ๆ เมื่อกลับมาก็เรียกฉีเฉิงมาห้องหนังสือ แล้วก็เรียกเธอมาและพูดกับเธอเรื่องการรักษา
เฉินจิ่งหยุ้นไม่ได้โง่ เธอรู้ว่าเฉินถิงเซียวจะไม่ทำแบบนี้โดยไม่มีสาเหตุ
เธอเองก็รู้นิสัยของเฉินถิงเซียวดี เขาทำอะไรมีหลักการ และไม่ใช่คนใจดีมีเมตตาอะไรนัก
เฉินจิ่งหยุ้นค่อยๆ เดินออกไป เมื่อออกมานอกห้อง ก็เห็นฉีเฉิงยืนอยู่หน้าประตู
ฉีเฉิงเป็นเหมือนเมื่อก่อน ก้มหน้าเล็กน้อยเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าเธอ ดูนอบน้อมให้เกียรติ แท้จริงแล้วบนความไม่ถ่อมตัวไม่ถือตน มีความหยิ่งผยองยิ่งกว่าใครทั้งหมด
เฉินจิ่งหยุ้นเงยหน้ามองเขา “คุณพูดอะไรกับถิงเซียว”
ฉีเฉิงเงยหน้า พูดเสียงเข้ม “คุณคิดว่าผมสามารถพูดอะไรที่เป็นการโน้มน้าวความคิดเขาได้ด้วยเหรอ
มู่น่อนน่อนเห็นเฉินจิ่งหยุ้นเป็นแบบนี้ ก็ค่อนข้างใจแข็งใส่ไม่ลง
ตอนนี้เมื่อใดที่เธอนึกถึงเฉินจิ่งหยุ้น สิ่งแรกที่ผุดขึ้นในสมองคือ ภาพตอนที่เจอเฉินจิ่งหยุ้นครั้งแรก
จนถึงตอนนี้ เธอถึงได้รู้ตัว เฉินจิ่งหยุ้นก็แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง หลีกหนีไม่พ้นการเกิดแก่เจ็บตาย
นอกเหนือจากเรื่องต่างๆ ที่เฉินจิ่งหยุ้นเคยทำ มู่น่อนน่อนรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
เฉินจิ่งหยุ้นยังสาว สวย มีความสามารถ
ชีวิตที่อ่อนเยาว์และมีชีวิตชีวาเช่นนี้ ไม่ควรดับสูญไปแบบนี้
มู่น่อนน่อนลดสายตาลง และถามเฉินจิ่งหยุ้นว่า “คุณจะละทิ้งการรักษาไปแบบนี้จริงเหรอ”
เมื่อครู่ยังเพิ่งพูดเรื่องของเฉินถิงเซียว จู่ๆ มู่น่อนน่อนก็เปลี่ยนเรื่องมาที่ตัวเฉินจิ่งหยุ้น เฉินจิ่งหยุ้นจึงอึ้งไปครู่หนึ่งกว่าจะได้สติ
“จะรักษาหรือไม่ก็เหมือนกัน” เฉินจิ่งหยุ้นยิ้มครู่หนึ่ง สีหน้าดูฝืนๆ
มู่น่อนน่อนเพิ่งพบว่า สภาพของเฉินจิ่งหยุ้นแย่ลงกว่าเดิม
เธอรู้สึกเศร้า แต่ไม่อยู่ในตำแหน่งที่พูดอะไรกับเฉินจิ่งหยุ้นได้
เฉินจิ่งหยุ้นดึงหัวข้อกลับไปที่มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียว
“ถิงเซียวไม่ใช่คนสองจิตสองใจ เขาเลือกใครแล้วก็จะมั่นคงไปตลอดชีวิต ระหว่างพวกคุณมีเรื่องเข้าใจผิดกันใช่ไหม”
มู่น่อนน่อนฟังออก ว่าเฉินจิ่งหยุ้นพยายามโน้มน้าวอย่างถึงที่สุดให้เธอกับเฉินถิงเซียวปรองดองกัน
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วพูดว่า “นิสัยของเฉินถิงเซียว คุณรู้มากน้อยแค่ไหน ปัญหาระหว่างฉันกับเขาไม่ใช่แค่ชั่วข้ามคืน ครั้งนี้ถึงแม้มันจะกะทันหันไปหน่อย แต่ก็มีสัญญาณเตือนมานานแล้ว ไม่ช้าก็เร็วมันก็จะต้องมาถึงจุดนี้”
เฉินถิงเซียวเอาแต่ใจตัวเองเผ็ดจการ ดื้อรั้นและหวาดระแวงเกินไป
ในหลายๆ เรื่อง เขาจะไม่มีวันยอมถอย
เมื่อเขาเผด็จการ เขาจะกักขังมู่น่อนน่อนไว้ไม่ให้เธอออกไปไหน
วิธีการที่เขาทำบางครั้งก็รุนแรงเกินไป
ตอนนี้คิดขึ้นมา บรรดาเรื่องไร้สาระที่เคยเกิดขึ้น ล้วนเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาเดินมาถึงจุดนี้
ความสัมพันธ์แบบนี้ บางครั้งก็ยากจะอธิบาย
จะว่าไป การที่จู่ๆ เฉินถิงเซียวหมดรักเธอ มันน่าเหลือเชื่อ
เธอเชื่อว่าเฉินถิงเซียวไม่ใช่ไม่รักเธอ เขาแค่อยากแยกทางกับเธอ
สำหรับทำไมต้องแยกทาง บางทีเขาอาจจะรู้สึก……เบื่อแล้วล่ะมั้ง
เสียงของเฉินจิ่งหยุ้นดึงความคิดของมู่น่อนน่อนกลับมา
“คุณรู้ไหม ตอนถิงเซียวยังเด็กมาก ถิงเซียวเป็นเด็กชายที่แสนน่ารัก แม้ว่าเราเป็นพี่น้องแม่เดียวกัน แต่ฉันโตเป็นสาวน้อยแล้ว รู้ความมากกว่าเขานิดหน่อย แต่……”
เฉินจิ้งหยุนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ มีบางอย่างที่ยากที่จะพูด “เมื่อคุณแม่ประสบอุบัติเหตุ ถิงเซียวเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาไม่สนใจใครเลย ถึงขั้นวันหนึ่งเขาวิ่งออกไป ฉันเห็นเขายืนอยู่กลางถนน……เขาอยากตาย ฉันจดจำสายตาของเขาในตอนนั้นได้ไม่ลืม ฉันรู้สึกว่าเขาน่ากลัวเกินไป เขาเป็นเหมือนสัตว์ประหลาด……”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วอย่างรุนแรง “เขาไม่ใช่”
“ถูก เขาไม่ใช่” เฉินจิ่งหยุ้นพูดกับตัวเอง “ถ้าตอนนั้น ฉันสามารถดูแลเขาได้มากกว่านี้ ดึงเขาขึ้น ก็คงดี แต่ไม่เพียงฉันไม่ได้ทำอย่างนั้น เมื่อเขาโตขึ้น ยังคิดควบคุมเขาอีก……”
เรื่องราวต่อมาหลังจากนั้น มู่น่อนน่อนรู้ทุกอย่างแล้ว
มู่น่อนน่อนเองก็เสียใจที่เฉินถิงเซียวประสบกับเหตุการณ์เหล่านั้น
เธอไม่อยากฟังเฉินจิ่งหยุ้นพูดเรื่องพวกนี้อีก จึงลุกขึ้นยืน “ฉันยังมีธุระ ขอตัวก่อน”
เฉินจิ่งหยุ้นนั่งเฉยๆ พูดแค่ประโยคเดียว “ฉีเฉิงไปส่งคุณมู่”
ไม่รู้ว่าฉีเฉิงโผล่มาจากไหน ชุดสูททางการ โกนเคราออกแล้ว เผยใบหน้าอันเด็ดเดี่ยว เป็นความองอาจทรงพลังอย่างคาดไม่ถึง
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะจ้องมองเขาสักพัก
ฉีเฉิงใบหน้านิ่ง เดินมาตรงหน้ามู่น่อนน่อน “คุณมู่ เชิญ”
มู่น่อนน่อนหันหลังเดินออกไป ฉีเฉิงชะลอการก้าวเท้า เดินตามหลังเธอไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
กระทั่งถึงประตูใหญ่ เธอรู้สึกว่าฉีเฉิงยังตามเธอ
เธอหันหน้าไปมองฉีเฉิงฉีเฉิงยืนตัวตรง ดวงตาไม่หลบเลี่ยงไม่กะพริบ เหมือนมีบางอย่างจะพูดกับเธอ
มู่น่อนน่อนถามเขา “มีเรื่องอะไร”
“ผมรู้สึกว่าอาการป่วยของเธอสามารถรักษาได้” ฉีเฉิงพูดประโยคนี้มาทื่อๆ ไม่มีหัวไม่มีหาง แต่มู่น่อนน่อนรู้ว่าเขาพูดถึงเฉินจิ่งหยุ้น
มู่น่อนน่อนหรี่ตาเล็กน้อย และถามว่า “คุณอยากพูดอะไร”
“คุณคงมองออก ว่าเธอไม่อยากรักษา เธอไม่มีความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ แม้เฉินถิงเซียวจะรับเธอกลับมา แต่ก็แค่รับกลับมาเท่านั้น เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจเธอ” ฉีเฉิงมองมู่น่อนน่อน น้ำเสียงสงบนิ่งคล้ายกับเฉินถิงเซียว
“คุณอยากให้ฉันทำยังไง ให้ฉันเกลี้ยกล่อมเฉินถิงเซียวให้พาเฉินจิ่งหยุ้นไปรักษาเหรอ ตอนนี้เฉินจิ่งหยุ้นป่วย ฉันเองก็รู้สึกเศร้า แต่ก็เพียงแค่เศร้าเท่านั้น ตัวเธอไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ไม่ว่าคนอื่นจะทำอะไรแค่ไหน ว่าไปแล้วมันก็เป็นภาระต่อเธอ”
มู่น่อนน่อนสีหน้าเย็นชา น้ำเสียงนั้นกล่าวได้ว่าเป็นคนไร้มนุษยธรรม
สีหน้าของฉีเฉิงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เขาเหมือนคิดเกี่ยวกับความหมายในคำพูดของมู่น่อนน่อน และไม่เห็นร่องรอยแห่งความโกรธเคือง
นานมากกว่าฉีเฉิงจะพูดมาหนึ่งคำ “ไม่ใช่”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าฉีเฉิงคนนี้มีความน่าสนใจ กอดอกฟังเขาพูดต่อ
“เธอไม่ใช่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่รู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่มันไม่มีความหมาย ถ้าเฉินถิงเซียวสามารถโน้มน้าวเธอได้……ตอนนี้เธอรับฟังแค่เฉินถิงเซียวเท่านั้น” ฉีเฉิงพูดถึงตรงนี้แล้วหยุด ในดวงตามีร่องรอยแห่งความคาดหวังรางๆ
จู่ๆ มู่น่อนน่อนก็หัวเราะ “คุณชอบเธอเหรอ”
สีหน้าของฉีเฉิงนิ่งไปเล็กน้อย ไม่มีการปฏิเสธ และไม่ได้ยอมรับ
แม้ไม่รู้ว่าฉีเฉิงกับเฉินจิ่งหยุ้นรู้จักกันได้ยังไง และเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้าง แต่ปฏิกิริยาของฉีเฉิงเพียงพอจะพิสูจน์ได้ ว่าเป็นความจริงที่เขาชอบเฉินจิ่งหยุ้น
อาจเป็นคนที่เคยทำเรื่องผิด กระทั่งประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถึงได้เข้าใจสัจธรรมอย่างถ่องแท้
เหมือนอย่างเฉินจิ่งหยุ้น เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ก็เริ่มเสียใจภายหลังกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำ
มู่น่อนน่อนสามารถจินตนาการอารมณ์ความรู้สึกในเวลานี้ของเฉินจิ่งหยุ้นได้ เธอติดหนี้เฉินถิงเซียว ถ้าเฉินถิงเซียวได้เกลี้ยกล่อมเธอ เธอจะฟังแน่นอน
เรื่องเหล่านี้ ไม่ต้องให้ฉีเฉิงพูดออกมา อันที่จริงมู่น่อนน่อนก็รู้อย่างชัดเจน
ฉีเฉิงผู้ชายคนนี้ ที่มาที่ไปไม่แน่ชัด แต่ให้ความรู้สึกของคนเลือดเย็น ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
มู่น่อนน่อนเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถามว่า “ฉีเฉิงคุณเคยทำอะไรมาก่อน”
สายตาของฉีเฉิงเปลี่ยนไปทันที เปลี่ยนเป็นความโหดเหี้ยมดุร้าย
มู่น่อนน่อนประหลาดใจจากก้นบึ้ง เกิดความระแวดระวังเป็นพิเศษ
ฉีเฉิงเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดด้วยเสียงกดต่ำ “คุณมู่ เคยได้ยินองค์กรXไหม”
มู่น่อนน่อนทำหน้าสงสัยทันที ฉีเฉิงนั้นรู้ว่าเธอไม่เคยได้ยิน จึงอธิบายด้วยตัวเอง “คนใหญ่คนโตและเจ้าหน้าที่ระดับสูงจำนวนมากล้วนรู้จักองค์กรX ซื้อชีวิตคน ซื้อข่าวสาร ตราบใดที่สามารถจ่ายได้ ไม่มีสิ่งใดที่ซื้อไม่ได้”
ดวงตาของมู่น่อนน่อนเบิกกว้าง “ซื้อชีวิต? งั้นคุณเป็น……”
ฉีเฉิงกระตุกยิ้มมุมปาก ออร่าสังหารอันเยือกเย็นบนร่างกายพลันสลายไป
“นัก……ฆ่า?” มู่น่อนน่อนเติมสองคำสุดท้าย
ฉีเฉิงลดสายตาลง ออร่าสังหารบนร่างกายหายไป พูดอย่างซื่อตรงมาก “รบกวนคุณมู่ช่วยผมเรื่องนี้ด้วยครับ
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก “ถ้าคุณไม่พูด ฉันก็จะไปสืบเอง”
ฉินสุ่ยซานค่อนข้างหมดคำพูด “ฉันรู้ แต่อย่างไรก็ตาม คุณอย่าเอาแต่คิดเรื่องพวกนี้ บทก็ต้องเขียนด้วย!”
มู่น่อนน่อนเสยผมขึ้นทัดหูและพูดว่า “ก่อนปีใหม่ จะส่งให้คุณทั้งหมด”
ฉินสุ่ยซานดวงตาสดใสทันที “ฉันจะบอกคุณแล้ว ฉันจะบอกคุณว่าซูเหมียนอยู่ที่ไหนตอนนี้เลย!”
หลังจากรู้ที่อยู่ของซูเหมียนแล้ว มู่น่อนน่อนก็กลับไป
ช่วงเวลายังเช้าอยู่ เธอเขียนบทไปสองชั่วโมง จัดเรียบเรียงสั้นๆ คร่าวๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะไปดูเฉินมู่ที่บ้านเฉินถิงเซียว
ถึงบ้านตระกูลฉิน ย่อมเจอเฉินจิ่งหยุ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สภาพของเฉินจิ่งหยุ้นดูแย่กว่าตอนที่มู่น่อนน่อนเพิ่งไป
“มาหามู่มู่เหรอ” เฉินจิ่งหยุ้นเป็นคนฉลาด ทันทีที่มู่น่อนน่อนมา เธอก็รู้จุดประสงค์ของมู่น่อนน่อน
คราวที่แล้วได้พูดถ้อยคำที่ไม่น่าพอใจเหล่านั้นกับเฉินจิ่งหยุ้นไป ทั้งสองจึงไม่มีอะไรจะคุยกัน มู่น่อนน่อนตอบอย่างเย็นชาว่า “อืม”
ขณะที่มู่น่อนน่อนเดินขึ้นไปชั้นบน รู้สึกได้ว่าเฉินจิ่งหยุ้นมองเธอตลอดเวลา
กระทั่งเธอเดินถึงทางเลี้ยว เฉินจิ่งหยุ้นจึงส่งเสียงเรียกเธอ “มู่น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับไปมองเธอ ส่งสัญญาณว่าเธอมีอะไรจะพูดก็พูดมา
เฉินจิ่งหยุ้นนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “หลังจากคุณหามู่มู่เรียบร้อยแล้ว พวกเราคุยกันหน่อยได้ไหม”
สีหน้าของเธอดูสงบนิ่งมาก มู่น่อนน่อนมองไม่ออกว่าเฉินจิ่งหยุ้นอยากพูดอะไรกับเธอ
แต่มู่น่อนน่อนคาดเดาได้รางๆ ว่าอาจเกี่ยวข้องกับเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนลังเลอยู่สองวินาที ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ
เฉินจิ่งหยุ้นยิ้มให้เธอครู่หนึ่ง แสดงสีหน้าเชิงขอบคุณ
มู่น่อนน่อนอยู่วิลล่าหลังนี้มานาน คุ้นเคยกับแผนผังของที่นี่เป็นอย่างดี หลับตาก็รู้ว่าห้องของเฉินถิงเซียวอยู่ตรงไหน ห้องของเฉินมู่อยู่ตรงไหน
ขณะที่เดินผ่านห้องหนังสือของเฉินถิงเซียว การก้าวของมู่น่อนน่อนชะลอตัวโดยไม่ตั้งใจ แต่กลับไม่มีการหยุดแต่อย่างใด เดินตรงผ่านไปเลย
เมื่อมู่น่อนน่อนเปิดประตูห้องของเฉินมู่ เฉินมู่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะวาดรูป
เฉินมู่ได้ยินเสียงประตูเปิดก็พลันหันหน้าฉับ ดวงตาตื่นตระหนกราวกับกระต่ายน้อยหวาดกลัว
มู่น่อนน่อนไม่ได้เดินเข้าไปทันที แค่พูดอย่างอ่อนโยน “มู่มู่ แม่เอง”
เฉินมู่มองจ้องเธอสักพัก ความตื่นตระหนกในแววตาค่อยๆ จางหายไป
มู่น่อนน่อนถึงได้เดินเข้าไป
“มู่มู่ทำอะไรอยู่คะ” มู่น่อนน่อนมองกระดานวาดภาพในมือเฉินมู่ครู่หนึ่ง พบว่าเธอกำลังวาดผลแอปเปิ้ล ซึ่งวาดได้ค่อนข้างเหมือน
มู่น่อนน่อนจำได้ว่าเมื่อก่อน เฉินมู่ในตอนที่ยังไม่เกิดเรื่อง จะวาดไปแบบสบายๆ ตามใจชอบ ลายเส้นทุกแบบทุกชนิด และก็พวกวงกลมเรื่อยเปื่อย
แต่แอปเปิ้ลตรงหน้า เฉินมู่วาดได้เหมือนมาก
เห็นมู่น่อนน่อนกำลังมองภาพวาด เฉินมู่ก็มีการกระทำเล็กๆ ด้วยการดันกระดานวาดภาพไปตรงหน้ามู่น่อนน่อน
การกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้ไม่รอดพ้นจากสายตาของมู่น่อนน่อน
ความไม่คาดฝันนี้ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกดีมาก ดวงตาเกิดแววประหลาดใจ “หนูไม่ต้องดันมาหรอก แม่มองเห็น หนูวาดให้แม่ดูอีกรูปได้ไหม”
เฉินมู่พยักหน้า หยิบพู่กันมาวาดรูปอย่างจริงจัง
ขณะที่เธอวาด ดูจริงจังมาก ใบหน้าเล็กนวลเนียนน่ารักราวกับหยกแกะสลักเต็มไปด้วยความเอาจริงเอาจัง ดวงตาดำขลับจ้องกระดานวาดภาพโดยไม่กะพริบ
มู่น่อนน่อนจิตใจอ่อนยวบ อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบศีรษะเธอเบาๆ
ทันใดนั้นเฉินมู่ก็ขมวดคิ้วเล็กมองเธอ มู่น่อนน่อนนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เฉินมู่ไม่ชอบให้ใครสัมผัส เธอมือแข็งทื่อกำลังจะชักกลับ ก็ได้ยินเฉินมู่พูดออกมาสองคำ “วาดรูป!”
วาดรูป?
หมายถึงว่าเธอกำลังวาดรูปอยู่ ฉะนั้นอย่ารบกวนเธออย่างนั้นเหรอ
มู่น่อนน่อนชักมือกลับมา และลองถามหยั่งเชิงว่า “งั้นถ้าหนูวาดเสร็จแล้ว แม่กอดหนูได้ไหม”
เฉินมู่พยักหน้า
บนใบหน้าของมู่น่อนน่อนเผยรอยยิ้มโดยอัตโนมัติ
หลังจากเฉินมู่วาดเสร็จ ก็ให้มู่น่อนน่อนกอดจริงๆ
ผ่านไปไม่นาน เฉินมู่ก็หลับไป
มู่น่อนน่อนอุ้มเธอไปบนเตียง หลังจากจัดวางเรียบร้อยดีแล้ว มู่น่อนน่อนก็ออกไปหาเฉินจิ่งหยุ้น
เห็นได้ชัดว่าเฉินจิ่งหยุ้นกำลังรอคอยอยู่
ทั้งสองไปที่ห้องรับแขก
ในห้องเปิดเครื่องทำความร้อนอยู่ก่อนแล้ว และมีชาร้อนเตรียมไว้สำหรับตอนเช้าด้วย
มู่น่อนน่อนกับเฉินจิ่งหยุ้นสองคนนั่งเผชิญหน้ากัน เฉินจิ่งหยุ้นเอาชาถ้วยหนึ่งไปตรงหน้าเธอ “ดื่มชาสิ”
มู่น่อนน่อนรับชาไป “คุณมีอะไรจะพูดก็พูดตรงๆ เถอะ”
เฉินจิ่งหยุ้นก็ไม่ได้อ้อมค้อม ถามตรงๆ ว่า “คุณกับถิงเซียวนี่ยังไงกัน ทำไมจู่ๆ ก็ย้ายออก”
“เรื่องของความสัมพันธ์แบบนี้ ปรองดองก็อยู่ด้วยกัน ขัดแย้งก็แยกย้าย มันเป็นเรื่องปกติ” มู่น่อนน่อนลดสายตาลงจ้องมองใบชาที่ลอยอยู่ในถ้วยน้ำชา
“ความสัมพันธ์แบบที่คุณว่ามันเป็นของคนอื่น ไม่ใช่ของถิงเซียว” เฉินจิ่งหยุ้นส่ายหน้า ในน้ำเสียงฟังดูเหมือนเป็นความรู้สึกบางอย่างที่ค่อนข้างมีความหมาย “คุณไม่เคยสังเกตเหรอ สิ่งของที่ถิงเซียวใช้จะเป็นแบรนด์เดียวมาโดยตลอด เขาเป็นคนที่ทุ่มเทและยึดติด”
ทั้งร่างมู่น่อนน่อนค่อนข้างตึงเครียด ริมฝีปากขยับเล็กน้อย ฝืนยิ้มออกมา “ซูเหมียนหน้าตาสวยบุคลิกดี แถมชาติตระกูลฐานะก็คู่ควรกับเขา อยู่ด้วยกันมีอะไรไม่ดีล่ะ”
เฉินจิ่งหยุ้นได้ยินคำพูดเธอแล้วค่อนข้างโมโห ในที่สุดน้ำเสียงก็ใส่ความมีอำนาจของการเป็นพี่สาวที่โตกว่าขึ้นมาเล็กน้อย “มู่น่อนน่อน ถิงเซียวเลอะเลือน ทำไมคุณต้องไปเลอะเลือนตามเขา”
แต่เวลานี้มู่น่อนน่อนกลับคิดอีกเรื่อง
เธอไม่ได้พูดอะไร แค่จ้องเฉินจิ้งหยุ้น มองดูอย่างพิจารณา
เฉินจิ่งหยุ้นค่อนข้างอึดอัดกับสายตาที่มู่น่อนน่อนมอง “คุณมองฉันแบบนี้ทำไม”
“ถ้าตอนเด็ก คุณสามารถดูแลห่วงใยเฉินถิงเซียวได้มากหน่อย เมื่อเขาโตขึ้น ก็จะไม่เป็นคนที่ชอบหวาดระแวงขนาดนี้” เมื่อมู่น่อนน่อนพูดจบ เฉินจิ่งหยุ้นก็สีหน้าเปลี่ยนทันที
“ฉันไม่ได้หมายความว่าจะโทษคุณ ถึงยังไงฉันก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่พูดได้” มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึก เปลี่ยนท่าทางแล้วพูดว่า “ฉันใช้เวลาอยู่ร่วมกันกับเขามากกว่าคุณที่ใช้เวลากับเขา ครั้งนี้เฉินถิงเซียวอยากแยกทางกับฉันจริงๆ ฉันรู้ดี”
เฉินจิ่งหยุ้นเงียบไปสักพัก ขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ว่า ฉันรู้สึกว่าเขายังรักคุณ ช่วงหลังเขามักกลับดึกมาก บางครั้งฉันตื่นขึ้นมากลางดึก เห็นไฟในห้องหนังสือของเขายังสว่างอยู่”
มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง ภายใต้สายตาจ้องมองของเฉินจิ่งหยุ้น เธอกดหน้าก้มต่ำมาก “มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”
คำว่าเฉินถิงเซียวสามคำนี้ เพียงพอจะสามารถเกิดระลอกคลื่นในหัวใจของเธอ
เพียงแต่ ถ้อยคำเหล่านั้นที่เฉินถิงเซียวพูด เธอก็จำได้ไม่ลืมแม้แต่คำเดียว
ครั้งนี้เฉินถิงเซียวตัดสินใจเด็ดขาดมากกว่าที่เคย
เรื่องมันเกิดขึ้นกะทันหัน มู่น่อนน่อนรอสองสามวันถึงจะคิดวิธีเมื่อคืนออกมาได้ อยากลองคุยกับเขา
เฉินถิงเวียวฉลาดขนาดนั้น ไม่มีทางที่จะไม่รู้จุดประสงค์ของเธอ แต่เขาก็พูดถ้อยคำที่ใจร้ายแบบนั้นออกมา……
เฉินถิงเซียวไม่อยากคุยกับเธอเลย
คนหนึ่งยิ่งทุ่มเท อีกคนก็ยิ่งใจร้าย
ความเย็นชาของมู่น่อนน่อน ทำให้เฉินจิ่งหยุ้นพูดประโยคหลังจากนี้ไม่ออก
“ฉันมีเวลาไม่มาก เมื่อก่อนเคยทำเรื่องโง่ๆ ไปมากมาย ฉันแค่หวังว่าเฉินถิงเซียวจะสามารถมีความสุขได้” เฉินจิ่งหยุ้นหัวเราะกับตัวเอง “แต่ชีวิตคนไม่มีทางหวนกลับ บางเรื่องทำไปแล้วก็คือทำ ผิดแล้วก็คือผิด”
มันเป็นสิ่งที่ตลอดมามู่น่อนน่อนไม่อยากคิด
ดังนั้น เธอจึงมีความคิดที่อยากไปถามเฉินถิงเซียวให้แน่ชัด
แต่ความคิดของเฉินถิงเซียวได้อธิบายทุกอย่างแล้ว
เขาอยากแยกทางกับเธอจริงๆ
ไม่ว่ารักหรือไม่รัก เฉินถิงเซียวก็อยากแยกทางกับเธอจริง
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปาก เดินไปหน้าประตูลิฟต์ด้วยสติไม่อยู่กับตัว และไม่ได้กดลิฟต์ ยืนล่องลอยไปแบบนั้น
ข้างหลังมีคนตามเข้ามา เห็นมู่น่อนน่อนยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางไร้วิญญาณ อดไม่ได้ที่จะมองสักพัก แล้วเอื้อมมือไปกดลิฟต์
ประตูลิฟต์เปิดและปิดลง ปิดและเปิดอีกครั้ง
มู่น่อนน่อนยังยืนนิ่งไม่ขยับ
กระทั่งฉินสุ่ยซานโทรเข้ามาหาเธอ
“มู่น่อนน่อน วันนี้ทางที่ดีคุณอย่ามาที่สตูดิโอ ไม่อย่างนั้นถ้าคุณมาก็อย่าคิดจะมีชีวิตได้ออกไป ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณจะให้สวุมู่หันไอ้คนเจ้าชู้นั่นมารับฉัน!”
น้ำเสียงของฉินสุ่ยซานฟังดูหงุดหงิดมาก เมื่อเช้าเธอตื่นขึ้นมาพบว่าไม่ได้อยู่บ้านตัวเอง ก็ตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก
หลังจากมู่น่อนน่อนฟังเธอพูดจบ จึงพูดประโยคหนึ่งนิ่งๆ “คุณกล้าพูดไหมว่าการให้สวุมู่หันมารับคุณ ไม่ใช่ความตั้งใจของคุณเอง”
“ฉัน……” ฉินสุ่ยซานนิ่งอึ้ง พูดตะกุกตะกักอยู่เป็นนานสองนาน ก่อนจะพูดอย่างเขินๆ ว่า “แต่คุณก็ไม่ควรจะ……”
“เหมาะเจาะกับความตั้งใจของคุณไม่ดีเหรอ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วฉันวางนะ”
“เฮ้ คุณรอเดี๋ยวสิ! เมื่อคืนคุณนอนที่ไหน คุณ……”
มู่น่อนน่อนไม่สนว่าฉินสุ่ยซานจะพูดอะไร จัดการวางสายไปเลย
เธอทำจิตใจให้สงบ ยกเท้าก้าวเข้าลิฟต์ เธอขึ้นลิฟต์ลงไปชั้นล่าง แล้วรีบเดินออกไป
ถูกคนชนตรงหน้าประตู
มู่น่อนน่อนไม่ได้ใส่ใจ สองมือล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ต ลดสายตาลงและรีบเดินออกไป
ขณะที่ลงบันได รู้สึกว่ามีคนมาขวางทาง มู่น่อนน่อนจึงขมวดคิ้วเงยหน้า ก็เห็นใบหน้าที่น่ารังเกียจของลี่จิ่วเชียน
“น่อนน่อน” ลี่จิ่วเชียนยิ้มให้เธอเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนเลิกคิ้ว สีหน้าเรียบนิ่ง “มีอะไร”
“ไม่มีอะไร” ลี่จิ่วเชียนส่ายหน้า “แค่สงสัยนิดหน่อย ว่าทำไมคุณมาอยู่ที่นี่”
“ฉันอยู่ที่ไหนเกี่ยวอะไรกับคุณ” มู่น่อนน่อนเบี่ยงหลบและคิดจะไป แต่ประโยคถัดมาของลี่จิ่วเชียน กลับทำให้เธอต้องหยุดก้าวเท้ากะทันหัน
“น่อนน่อน คุณกำลังหลอกผม”
น้ำเสียงของลี่จิ่วเชียนกดต่ำ มีการจับผิดอย่างระมัดระวัง สามารถได้ยินความโกรธที่เจือในน้ำเสียงของเขาได้
มู่น่อนน่อนหยุดก้าวเท้า หันหน้าไปหาลี่จิ่วเชียน พบว่าลี่จิ่วเชียนก็หันหน้ามามองเธอพอดี
ลี่จิ่วเชียนจ้องมองเธออย่างตั้งใจ อารมณ์ในดวงตาแยกแยะได้ยาก
มู่น่อนน่อนหัวใจเต้นแรง
หรือว่าลี่จิ่วเชียนรู้แล้ว ว่าเธอไม่ได้ถูกเขาสะกดจิต
มู่น่อนน่อนคลางแคลงใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
หลี่จิ่วเชียนหรี่ตามอง และก้าวมาตรงหน้าเธออีกหนึ่งก้าว ยืนในตำแหน่งที่อยู่ใกล้เธอมาก “ผมบอกแล้วไง เฉินถิงเซียวเขาไม่เหมาะกับคุณ ต่อให้คุณจะแสร้งว่าถูกสะกดจิต ก็ยังถูกเฉินถิงเซียวทอดทิ้งอยู่ดีไม่ใช่หรือไง”
เขาพูดจบก็ยืดตัวตรงถอยออกมา และหัวเราะอย่างอ่อนโยนผิดปกติ
มู่น่อนน่อนกำสองมือแน่น กัดฟันพูดว่า “ไม่ว่าฉันจะอยู่กับเฉินถิงเซียวหรือเปล่า มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย”
“ไม่เพียงคุณไม่ถูกสะกดจิต เฉินมู่ก็ยังไม่ตายด้วยใช่ไหม” ลี่จิ่วเชียนเลิกคิ้วพูดขึ้นโดยไม่สนใจคำพูดของเธอ
มู่น่อนน่อนใจสั่นจากก้นบึ้ง นี่ลี่จิ่วเชียนรู้ทุกอย่างแล้วเหรอ
เธอตกใจถึงขีดสุด จนยากจะปกปิดสีหน้า
ลี่จิ่วเชียนมองออกว่าเธอตกใจ จึงหัวเราะเยาะ “คุณคอยดูให้ดีนะ เฉินถิงเซียวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผม!”
มู่น่อนน่อนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย กำลังจะพูด แต่แล้วก็รู้สึกรางๆ ถึงอะไรบางอย่าง เงยหน้าขึ้นมองเลยไปข้างหลังของลี่จิ่วเชียน เห็นปาปารัสซี่คนหนึ่งถือกล้องกำลังถ่ายรูปเธออยู่พอดี
ปาปารัสซี่คนนั้นเห็นว่ามู่น่อนน่อนพบตัวเองเข้าแล้ว จึงหันกล้องกลับทันทีแล้ววิ่งหนีไปอีกฝั่ง รถคันหนึ่งเข้ามาพอดี เขาขึ้นรถและจากไปเลย
คนคนนั้นเหมือนว่าจะเป็นคนที่ชนเธอตอนที่เพิ่งออกมา!
มู่น่อนน่อนจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เธอทานอาหารเย็นกับลี่จิ่วเชียนในร้านอาหาร ก็ถูกถ่ายรูปเอาไปเขียนข่าว จึงอดกลั้นความโกรธมองลี่จิ่วเชียน “ต่ำช้า!”
เป็นไปได้อย่างไรที่ทุกครั้งเมื่อเจอลี่จิ่วเชียนก็ล้วนแล้วแต่มีปาปารัซซี่ เธอไม่ใช่ดาราดัง ถึงจะเป็นนักเขียนบทที่มีขื่อเสียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่คุ้มค่าที่ปาปารัซซี่จะแอบทุ่มตามถ่ายเธออย่างเอาเป็นเอาตายแบบนี้
เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่ลี่จิ่วเชียนหามา ให้จงใจถ่าย!
ลี่จิ่วเชียนยิ้มอย่างไม่เห็นด้วย “อย่ารีบร้อนโกรธไปก่อน นี่ผมทำเพื่อประโยชน์ของคุณเองนะ!”
มู่น่อนน่อนหัวเราะเยาะ ไม่อยากพูดกับลี่จิ่วเชียนอีกแม้แต่คำดียว หันหลังแล้วจากไปทันที
ข้างหลังเธอ ใบหน้าของลี่จิ่วเชียนเผยรอยยิ้มแห่งความสำเร็จ
……
เพราะคำพูดของเฉินถิงเซียวเมื่อคืน มู่น่อนน่อนก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว บวกกับการมาปะทะกับลี่จิ่วเชียน อารมณ์ของเธอก็ยิ่งแย่ลงซ้ำอีก
ตอนที่เธอไปสตูดิโอของฉินสุ่ยซาน หน้าตามีแต่ความเย็นชา เมื่อพนักงานทักทายเธอ จึงพยายามระมัดระวัง
ทันทีที่มู่น่อนน่อนถึงห้องทำงานของฉินสุ่ยซาน ก็นั่งลงบนโซฟา
ฉินสุ่ยซานเห็นเธอเข้ามา จึงให้ผู้ช่วยรินน้ำเข้ามาให้
หลังจากผู้ช่วยนำน้ำเข้ามา ฉิสุ่ยซานก็ส่งสัญญาณให้ผู้ช่วยนำน้ำไปวางตรงหน้ามู่น่อนน่อน
ผู้ช่วยวางน้ำลงตรงหน้ามู่น่อนน่อน และพูดเสียงเบาว่า “คุณมู่ น้ำของคุณค่ะ”
“ขอบคุณ” มู่น่อนน่อนแม้อารมณ์ไม่ดี แต่ก็ไม่พาลฟาดงวงฟาดงา
หลังจากผู้ช่วยน้อยออกไป ฉินสุ่ยซานก็นั่งลงข้างมู่น่อนน่อน “คุณอารมณ์ไม่ดีหนักตั้งแต่เช้า เป็นอะไร”
ฉินสุ่ยซานวางมือข้างหนึ่งไว้บนโซฟา นั่งไขว่ห้าง ต้องการคุยกับมู่น่อนน่อนด้วยท่าทางสบายๆ
สายตาของมู่น่อนน่อนหยุดอยู่ที่ลำคอของฉินสุ่ยซานครู่หนึ่ง สังเกตเห็นจุดสีแดงเล็กๆ บนคอ แล้วยกเปลือกตาขึ้นมองที่ฉินสุ่ยซาน “ดึงคอเสื้อให้สูงขึ้นหน่อย”
“อะไรเหรอ” ฉินสุ่ยซานสัมผัสลำคอตัวเอง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงคิดได้ในความหมายของคำพูดมู่น่อนน่อน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ที่คอมีอะไรเหรอ”
“มีอะไรตัวคุณเองไม่รู้เหรอ หรือว่าคุณจะบอกฉันว่ามันเป็นรอยยุงกัด” มู่น่อนน่อนขดยิ้ม หรี่ตาเล็กน้อยดูค่อนข้างชั่วร้ายอย่างอธิบายไม่ได้
ฉินสุ่ยซานดึงคอเสื้อของตัวเอง และพูดอย่างโมโหนิดหน่อย “ถ้าเป็นยุงกัดแล้วทำไมล่ะ”
“โอ้” มู่น่อนน่อนพยักหน้า “เป็นยุงที่ชื่อสวุมู่หันล่ะสิ!”
“เอ๊ะ! คุณ……” เห็นฉินสุ่ยซานเริ่มหน้าแดง มู่น่อนน่อนจึงไม่พูดอีก
มู่น่อนน่อนเปลี่ยนการพูดเป็นจริงจัง “คุณรู้จักซูเหมียนมากน้อยแค่ไหน รู้ไหมว่าเธออยู่ที่ไหน”
ฉินสุ่ยซานอึกอักครู่หนึ่ง พูดอย่างค่อนข้างลังเล “คุณต้องการอะไร คุณต้องการแก้แค้นเธอเหรอ ต่อให้เฉินถิงเซียวอยู่กับเธอแล้ว คุณก็ไม่สามารถทำเรื่องผิดกฎหมายได้นะ!”
“สมองคุณมีแต่น้ำเหรอ” มู่น่อนน่อนถอนหายใจอย่างอารมณ์เสีย “ฉันดูเหมือนคนที่ต้องการหาเรื่องเธอหรือไง”
ฉินสุ่ยซานพยักหน้าโดยไม่ลังเล “อื้ม!
กู้จือหยั่นไม่มีแบล็กการ์ดของเฉินซื่อ มันเป็นรุ่นลิมิเต็ด เฉพาะคนของตระกูลเฉินเท่านั้นถึงมีได้ เขาไม่รู้ว่าการ์ดมีขีดจำกัดมากน้อยเท่าไร
มู่น่อนน่อนปัดมือของกู้จือหยั่นออก “ดึงฉันทำไม นั่งลงดื่มสิ!”
คนเมาแข็งแกร่งอย่างน่าประหลาด เดิมทีกู้จือหยั่นยังมีความตั้งใจเป็นพิเศษ แต่ถูกมู่น่อนน่อนออกแรงดึงลงไปนั่ง
หลังจากนั้น มู่น่อนน่อนลากขวดไวน์มายัดใส่มือกู้จือหยั่น “ดื่ม!”
กู้จือหยั่นอยากดึงมือออก แล้ววางขวดกลับไป แต่ไม่ช้าเขาก็พบว่า เขาไม่มีทางดึงมองออกจากมู่น่อนน่อนได้เลย
หลังจากมู่น่อนน่อนยัดขวดไวน์ใส่มือกู้จือหยั่นสำเร็จแล้ว ก็ตบๆ มือเขา “ดื่มให้อร่อยนะ! มา!”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็หันหน้าไปหยิบอีกขวด ต้องการยกชนดื่มกับกู้จือหยั่น
แต่เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อดื่มเป็นเพื่อนเธอ
เขาแกล้งทำเป็นดื่มกับมู่น่อนน่อน แล้วโทรเรียกให้ผู้จัดการพาพนักงานเสิร์ฟหญิงสองคนขึ้นมา
พนักงานเสิร์ฟมาในเวลาไม่นาน กู้จือหยั่นสั่งพวกเธอทันที “พาคุณมู่ท่านนี้ ไปส่งที่ห้องพักแขกชั้นบน”
“ทำอะไร ไปไหน” มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว “ปล่อยฉัน อย่ามายุ่งกับฉัน!”
พนักงานเสิร์ฟมองกู้จือหยั่นด้วยสีหน้าลำบากใจ “ประธานกู้”
กู้จือหยั่นสองมือเท้าเอว พูดอย่างอารมณ์เสีย “มองผมทำไม! ถ้าเธอไม่ไปกับพวกคุณ พวกคุณก็คิดหาวิธีให้เธอไปกับพวกคุณสิ”
แต่ละคน สมองไม่ทำงานเลย!
“ค่ะ” เมื่อพนักงานได้ยินก็ไม่อิดออดอีก ทั้งสองประคองมู่น่อนน่อนออกไป
เพียงแต่มู่น่อนน่อนดิ้นรนอย่างหนักด้วยความไม่ชอบใจไปตลอดทาง
กู้จือหยั่นตามหลังพวกเธอไป ครุ่นคิดแล้วส่งเสียงเรียกมู่น่อนน่อน
“น่อนน่อน”
“ฮะ?”
ยังรู้จักส่งเสียงตอบ เหมือนยังไม่เมามากเกินไป
กู้จือหยั่นใช้ประโยชน์ตอนนี้ที่เธอกำลังเบลอๆ เมาครึ่งไม่เมาครึ่ง เดินไปตรงหน้าเธอและพูดหลอกเธอ “ถิงเซียวรู้ว่าคุณดื่มอยู่ที่นี่ ก็รีบมาหาคุณ พวกเรารีบไปกันเดี๋ยวนี้เลยเถอะ”
มู่น่อนน่อนที่ตอนนี้เมามากแล้ว ไหนเลยจะยังจำได้ว่าเฉินถิงเซียวมาไปแล้ว
เธอเงยหน้าฉับ ดวงตาพร่าเบลอ อัตราการพูดค่อนข้างยานคาง “เฉินถิงเซียวมาเหรอ เรารีบไปกัน……”
ในที่สุดมู่น่อนน่อนก็ตามพนักงานเสิร์ฟไปอย่างเชื่อฟัง เช่นนี้กู้จือหยั่นถึงได้ถอนหายใจโล่งอก
เวลาฉุกเฉิน ก็ต้องงัดเฉินถิงเซียวออกมาถึงจะได้ผล
หลังจากพนักงานเสิร์ฟส่งมู่น่อนน่อนเข้าห้องไป ก็อยู่ข้างในและช่วยอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มู่น่อนน่อน
กู้จือหยั่นยืนนอกห้อง จุดบุหรี่สูบไปหนึ่งที แล้วเอาโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาเฉินถิงเซียว
“ผมให้คนพาน่อนน่อนมาส่งในห้องที่คุณเคยอยู่” ห้องนั้นเป็นที่พักประจำขณะเฉินถิงเซียวที่อยู่จีนติ่ง เมื่อมีเวลาเฉินถิงเซียวมักพักอยู่ที่นี่ สิ่งของที่ควรมีในห้องจึงพร้อมสรรพ
ต่อให้ช่วงหลังเฉินถิงเซียวจะไม่ได้อยู่ที่จีนติ่งเท่าไรแล้ว ห้องนั้นก็ยังคงทิ้งไว้ รอให้เฉินถิงเซียวเช็คอินได้ตลอดเวลา
เมื่อเขาพูดจบ ก็รอเฉินถิงเซียวพูดเงียบๆ
ผ่านไปชั่วครู่ ปลายสายถึงมีเสียงขุ่นของเฉินถิงเซียวดังมา “คุณให้ใครไปส่ง”
กู้จือหยั่นรู้สึกว่าคำถามนี้ค่อนข้างอันตรายอย่างอธิบายไม่ได้ เขาขบคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “พนักงานเสิร์ฟหญิงสองคน”
“อืม” เฉินถิงเซียวส่งเสียงตอบรับ และพูดว่า “รบกวนแล้ว”
กู้จือหยั่นรู้สึกสงสัยเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ตัวคุณก็มาแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมหลังจากนั้นถึงให้ผมพาน่อนน่อนมาส่งที่ห้องให้คุณ พวกคุณมีเรื่องอะไรกันอีก”
“ไม่มีอะไร” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวบางเบา
กู้จือหยั่นมีลางสังหรณ์ว่าเฉินถิงเซียวกำลังจะวางสาย เขาจึงพูดทันที “คุณอย่าเพิ่งวางสาย งานเลี้ยงอาหารค่ำคืนนี้ ถึงผมไม่ได้ไป แต่ผมได้ยินว่าคุณพาซูเหมียนไปด้วย คุณจะบอกว่าจู่ๆ คุณก็พบว่าซูเหมียนคือรักแท้ถึงได้ไปหาเธอ ให้ตายผมก็ไม่เชื่อ”
“หึ” เฉินถิงเซียวหัวเราะเย็นชา “ที่ไม่ได้เพราะผมไม่รักมู่น่อนน่อนเหรอ”
กู้จือหยั่นชะงักไปครู่หนึ่ง เพราะตลอดที่พูดคุย ไม่ได้สนใจสูบบุหรี่ ก้นบุหรี่จึงเผานิ้ว
เขาเจ็บจนต้องสูดปากร้อง “ซี๊ด” ก่อนจะพูดว่า “…….ได้”
จากนั้นเฉินถิงเซียวก็วางสายไป
กู้จือหยั่นดีดสลัดเขม่าที่สะสมบนก้นบุหรี่ งอขาข้างหนึ่งเตะกำแพงไปสองทีอย่างเบื่อหน่าย
……
วันรุ่งขึ้น
เมื่อมู่น่อนน่อนลืมตา พลันรู้สึกโลกหมุน มึนศีรษะอย่างหนัก สติก็ไม่ค่อยตื่นดี
นอนบนเตียงสักพัก สติของมู่น่อนน่อนถึงได้ค่อยๆ กลับคืนมา ก่อนที่เธอจะเริ่มจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ช้าๆ
เฉินถิงเซียวมาแล้วก็ไป หลังจากนั้นกู้จือหยั่นมา ให้คนพาเธอมาส่งที่ห้อง
เมื่อคืน หลังจากเฉินถิงเซียวไปแล้ว แม้เธอจะเมามาก แต่ตอนนี้เมื่อมานึกๆ ดู ยังสามารถจำเรื่องราวทั้งหมดเมื่อคืนได้
มู่น่อนน่อนหยุงตัวลุกขึ้นนั่ง หันมองไปรอบห้อง พบว่าห้องนี้คือห้องที่เฉินถิงเซียวใช้พักในจีนติ่ง
นึกถึงใบหน้าเย็นชาของเฉินถิงเซียวเมื่อคืน ถ้าให้เฉินถิงเซียวรู้ ว่าเมื่อคืนเธอนอนที่นี่อีก ไม่รู้ว่าจะพูดคำหยาบคายอะไรบ้าง
มู่น่อนน่อนลงจากเตียง หลังจากรีบอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็รื้อผ้าปูเตียงโยนลงพื้น จากนั้นเรียกรูมเซอร์วิส
ไม่นานรูมเซอร์วิชก็มา
“เปลี่ยนผ้าปูที่นอนทั้งหมด” มู่น่อนน่อนพูดจบก็เดินออกไป
เธอเดินไปพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา การบริการของที่นี่ค่อนข้างได้มาตรฐาน มีการชาร์จโทรศัพท์มือถือให้เธอด้วย
มู่น่อนน่อนโทรไปหากู้จือหยั่น “ขอบคุณคุณเรื่องเมื่อคืน”
กู้จือหยั่นบ่นเกี่ยวกับทิศทางในคำพูดของมู่น่อนน่อน “ตอนที่พูด พูดให้ชัดเจนหน่อย อะไรคือขอบคุณผมเรื่องเมื่อคืน……อย่าพูดอะไรที่ง่ายต่อการเข้าใจผิดสิ……”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ากู้จือหยั่นคนนี้ยิ่งแก่ยิ่งจู้จี้เรื่องมาก
เธอขัดจังหวะคำพูดของกู้จือหยั่น “ขอบคุณที่คุณให้คนไปส่งฉันที่ห้องพัก”
“ไม่ต้องขอบคุณผม ถ้าจะขอบคุณ คุณก็……” กู้จือหยั่นลังเลครู่หนึ่ง นึกไปถึงคำพูดในสายของเฉินถิงเซียวเมื่อคืน ก็เปลี่ยนเสียงทันทีและพูดว่า “ต่อไปคุณอย่าดื่มมากขนาดนั้น ถิง……เสิ่นเสี่ยวเหลียงจะเป็นห่วง……”
“ขอบคุณ ฉันเข้าใจแล้ว” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ไม่ได้ให้โอกาสกู้จือหยั่นได้จุกจิกยืดเยื้ออีก รีบพูดว่า “แล้วพบกันใหม่” และวางสายไป
เธอไม่ใช่คนขี้เมา เมื่อวานที่วิ่งโร่มาดื่มที่จีนติ่ง มันก็แค่มีแรงกระตุ้นเกิดขึ้นมาเท่านั้น
เธอถูกกระตุ้นอย่างสมบูรณ์เพราะการปรากฏตัวของเฉินถิงเซียวกับซูเหมียน เธอถึงได้ทำเรื่องที่หุนหันพลันแล่นแบบนี้
ถ้าเป็นเวลาปกติ เธอไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้แน่
เธอกล้าดื่มเหล้ามาก ก็เพราะอยู่ในจีนติ่ง เธอถึงได้กล้าดื่มขนาดนั้น
ต่อให้เฉินถิงเซียวไม่สนใจเธอ กู้จือหยั่นที่เห็นแก่หน้าเสิ่นเหลียง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สนใจเธอ
ทัศนคติของเฉินถิงเซียวนั้นเด็ดขาดเหมือนเคย
เขารู้สึกเหนื่อยหน่ายจริงเหรอ
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่มีเหตุผลและใจเย็น แม้ว่าสิ่งที่มู่น่อนน่อนพูดในขณะนั้นจะทำให้เขาโกรธมาก แต่ถ้าเขาไม่ได้อยากแยกทาง อย่างไรก็ไม่มีทางไล่เธอ
แต่เฉินถิงเซียวไล่เธอแบบนี้ พูดให้ชัดคือ เขามีความคิดอยากแยกทางกับเธอนานแล้ว
เมื่อเฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อน ก็ไม่ได้พูดออกไปทันที
ดูเหมือนเขาจะรู้สึกว่านั่งไม่ค่อยถนัด จึงขยับมือเท้าเปลี่ยนตำแหน่ง ให้ใบหน้าทั้งหน้าซ่อนอยู่ในความมืด ก่อนจะพูดอย่างเชื่องช้าว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนคนที่บอกว่าเลิกกันคือคุณ ตอนนี้คนที่เริ่มเข้าหาก่อนก็ยังเป็นคุณ”
พูดถึงตรงนี้ เฉินถิงเซียวก็หยุด แล้วส่งเสียงหัวเราะที่ไม่สามารถบอกอารมณ์ได้ “ทำไม เลิกกันแค่ไม่กี่วันก็ทนเหงาไม่ไหวจนมาหาผมอีกแล้วเหรอ”
ห้องวีไอพีส่วนตัวของเอนเตอร์เทนเมนท์คลับ เพื่อสร้างบรรยากาศ ไฟในห้องจึงไม่สว่างมากนัก
และตำแหน่งที่เฉินถิงเซียวพิงอยู่ เป็นมุมมืดพอดี มู่น่อนน่อนจึงมองสีหน้าเวลาเขาพูดไม่ชัด ได้แต่เดาอารมณ์จากน้ำเสียงของเขาเท่านั้น
ความไม่แคร์ในน้ำเสียงของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนจะฟังไม่ออกได้อย่างไร
วันนั้น ทั้งคู่พูดกันด้วยถ้อยคำไม่รื่นหู
ตั้งแต่เธอขับรถออกจากวิลล่าของเฉินถิงเซียวจนถึงตอนนี้ ทั้งร่างกายและจิตใจยังคงสับสนมึนงง กระทั่งวันนี้เห็นเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนปรากฏตัวในงานเลี้ยงอาหารค่ำด้วยกัน มู่น่อนน่อนถึงได้มีสติขึ้นมาหน่อย
เธอสังหรณ์ว่า เฉินถิงเซียวจะมาจริง
ก่อนหน้านี้ ให้ตายยังไงเฉินถิงเซียวก็จะไม่มีวันข้องเกี่ยวกับผู้หญิงอย่างซูเหมียน แต่ก่อนหน้านั้น อยู่ดีๆ เขากลับไปงานเลี้ยงอาหารค่ำกับซูเหมียน
เมื่อคิดว่าเฉินถิงเซียวมาปรากฏตัวจริงๆ แล้วคิดว่ามีผู้หญิงคนอื่นนอนอยู่ข้างกายเขา หัวใจมู่น่อนน่อนก็ราวกับถูกบีบอัด
กลายเป็นความสับสน
เธอไม่สามารถตรงไปหาเฉินถิงเซียวเพื่อตั้งคำถามได้ ได้แต่ลองใช้วิธีอ่อนหัดน่าเบื่อเช่นนี้ ให้เฉินถิงเซียวมาพบเธอ
บอสที่ออกหน้าของจีนติ่งคือกู้จือหยั่น แต่กู้จือหยั่นก็เป็นคนฉลาด ถ้าเขารู้ว่ามู่น่อนน่อนมาหาเรื่องที่นี่ ต้องติดต่อตรงไปหาเฉินถิงเซียวทันทีแน่
สำหรับว่าเฉินถิงเซียวจะมาไม่มา ความจริงมู่น่อนน่อนก็ไม่แน่ใจ
แต่โชคดีที่เขามา
เพียงแต่ พอเฉินถิงเซียวมา การไม่มายังทำให้เธอรู้สึกแย่น้อยกว่า
มู่น่อนน่อนนั่งตรงจุดที่มีแสงสว่าง บนใบหน้ามีการแสดงออกอะไรเปลี่ยนแปลง ล้วนปรากฏในสายตาของเฉินถิงเซียวทั้งหมด
สองมือเธอซ้อนทับกัน แม้บนใบหน้าจะสงบ แต่มือที่จับกันอยู่ กลับกำกันแน่นเสียแล้ว
“คุณเฉิน ทำไมก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยรู้ ว่าคุณเป็นคนหลงตัวเองขนาดนี้” มู่น่อนน่อนหัวเราะเยาะ “อย่าคิดว่าตัวเองสำคัญเกินไปนัก ที่ฉันให้คุณมา เพราะแค่อยากถามความเป็นไปของมู่มู่เท่านั้น”
ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อมู่น่อนน่อนพูดจบ ก็รู้สึกเหมือนว่าอุณหภูมิในห้องดูจะลดลงหลายองศา แรงดันอากาศก็ลดลงด้วย
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย เป็นภาพลวงตาเหรอ หรือว่าเธอพูดโกหกจนเครียดเกินไป
เธอลดสายตาลง เห็นตรงหน้าตัวเองยังมีเบียร์กระป๋องหนึ่ง จึงหยิบขึ้นมาเปิดแล้วดื่มหนึ่งอึก พยายามผ่อนคลายอารมณ์ของตัวเอง
เพียงแต่ เมื่อดื่มเบียร์อึกนี้ลงไป ไม่เพียงแต่เธอไม่รู้สึกผ่อนคลาย กลับกันรู้สึกว่าความดันอากาศในห้องดูเหมือนจะยิ่งลดลงไปอีก
เวลานี้ ในที่สุดเฉินถิงเซียวก็ส่งเสียงพูดอีกครั้ง
“ผมห้ามคุณไปหามู่มู่เหรอ ถ้าคุณอยากไปจริงๆ ก็ตรงไปหาเธอเลยก็ได้ มีด้วยเหรอที่ผมไม่ให้คุณไปหา”
เฉินถิงเซียวยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาบนข้อมือ “ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อน”
เขาพูดอย่างนั้นแล้วลุกขึ้นและกำลังจะไป
มู่น่อนน่อนกลัวเขาจะไปทั้งแบบนี้จริงๆ จึงรีบลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวก่อน!”
เฉินถิงเซียวเหลียวมองเธอ สายตาหงุดหงิด
มู่น่อนน่อนสีหน้าไม่ค่อยดีนัก “แล้วเรื่องไวน์ปลอมคุณจะว่ายังไง”
“ผมจะให้คนไม่คิดเงินคุณ” เฉินถิงเซียวยกมือขึ้นดึงเนกไทลง ความหงุดหงิดบนใบหน้าเขายิ่งฉายชัด
มู่น่อนน่อนชะงักอยู่กับที่ ครู่หนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ตั้งแต่เฉินถิงเซียวเดินเข้ามาในห้องวีไอพีส่วนตัว แสดงออกว่า ใจร้อน หงุดหงิด ไม่แคร์ เฉยเมย ทุกอย่างผสมปนเปเข้าด้วยกันเป็นก้อนกลม เหมือนก้อนหิมะที่ยิ่งกลิ้งยิ่งใหญ่มากดทับบนตัวเธอ ขณะที่ในเวลาเดียวกันเธอหนาวเหน็บไปทั้งตัว ทั้งรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก
เธอขยับริมฝีปาก แต่กลับไม่มีเสียงออก
เฉินถิงเซียวเหมือนจะรู้สึกว่าเธอไม่มีอะไรจะพูด จึงหันหลังแล้วเดินออกไป
เพียงแต่ เขายกเท้าไปแค่สองก้าว จู่ๆ ก็หยุดกะทันหันอีกครั้ง
ดวงตามู่น่อนน่อนเกิดแววประหลาดใจ แต่ในไม่ช้าคำพูดของเฉินถิงเซียว ก็ทำให้ความประหลาดใจในดวงตาของมู่น่อนน่อนดับลง
“ยังมีอีกเรื่อง” เฉินถิงเซียวเอียงศีรษะเล็กน้อย เหล่มองเธอ น้ำเสียงต่ำลึกไร้ร่องรอยอุณหภูมิ “ถ้าคุณจะไปดูมู่มู่ อย่าดื่มหนึ่งวันล่วงหน้า”
เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็ก้าวกว้างจากไป
ตอนที่ออกไป มีการปิดประตูด้วยเสียงดัง “ปัง”
มู่น่อนน่อนทรุดลงบนโซฟา แววตาค่อนข้างว่างเปล่า
เธอเอื้อมมือไปหยิบเบียร์ที่เพิ่งเปิด แล้วดื่มเข้าปากอึกแล้วอึกเล่า
สุรามีรสขม
แต่กลับไม่ทำให้มึนเมา
มู่น่อนน่อนโยนกระป๋องเบียร์เปล่าออกไป กระป๋องเบียร์ตกลงบนพื้นเสียงดัง “เคร้ง” หลังจากกลิ้งไปแล้วมันก็หายไป
มู่น่อนน่อนขึ้นเสียงตะโกนออกไปข้างนอก “เอาไวน์มา! เอาไวน์เข้ามาให้ฉัน!”
ด้านนอกห้องวีไอพีส่วนตัวมีพนักงานเสิร์ฟเฝ้าอยู่ เมื่อได้ยินเสียงก็เข้ามาทันที “คุณมู่ คุณดื่มมากไปแล้วนะครับ อย่าดื่มอีกเลย เราจะส่งคุณกลับบ้านนะครับ?”
“กลับเกลิบอะไร” มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วมองเขา ใช้นิ้วออกแรงกระแทกโต๊ะเสียงดัง “ตึงตึง” พร้อมกับพูดเน้นทุกคำ “เอา ไวน์ มา ให้ ฉัน!”
คำว่า “ไวน์” ลากหางเสียงยาวเหยียด
แขกของจีนติงไม่ว่ารวยหรือสูงศักดิ์ ใครก็ตามล้วนห้ามยั่วโมโห ยิ่งแขกตรงหน้าคนนี้ที่ชื่อว่ามู่น่อนน่อน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเฉินด้วยแล้ว พนักงานเสิร์ฟยิ่งไม่กล้าพูดอะไรอีก จึงออกไปเอาไวน์เข้ามาอีกครั้ง
พนักงานเสิร์ฟนำไวน์เข้ามา และถูกมู่น่อนน่อนไล่ออกไป
เพียงแต่ มู่น่อนน่อนยิ่งดื่มกลับยิ่งมีสติ
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว ยกขวดไวน์มาตรงหน้าพลางพึมพำกับตัวเอง “เป็นไวน์ปลอม……จริงเหรอ”
เธอเอนหลังพิงโซฟาท่าทางอึนๆ กอดเข่าคุดคู้บนโซฟา ดูเปราะบางและค่อนข้างหดหู่
“น่อนน่อน?”
ท่ามกลางความเบลอ มู่น่อนน่อนได้ยินว่ามีคนเรียกเธอ
เหมือนเป็นเสียงผู้ชาย
เฉินถิงเซียว?
ไม่ เฉินถิงเซียวเพิ่งไป จะกลับมาอีกได้ยังไง
อีกอย่าง เฉินถิงเซียวเคยเรียกเธอว่า “น่อนน่อน” เมื่อไรกัน เรียกเธอด้วยชื่อพร้อมแซ่ตลอดไม่ใช่หรือไง
“ฮ่าฮ่า” มู่น่อนน่อนหัวเราะกับตัวเอง ไม่สนใจผู้ชายที่เรียกชื่อเธอ
“บ้าเอ๊ย คุณดื่มไปเท่าไรเนี่ย” เสียงของผู้ชายใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
มู่น่อนน่อนหรี่ตา จ้องชายหนุ่มสักพัก ถึงได้เอ่ยเรียกชื่อเขา “กู้……จือหยั่น?”
กู้จือหยั่นทำหน้าประหลาดใจ “ดื่มมากขนาดนี้ คุณยังจำผมได้ ท้องคุณยังเป็นของมนุษย์อยู่เหรอ หรือว่าเป็นมหาสมุทร”
“มาก็ดีแล้ว เรามา……ดื่ม……กัน……” มู่น่อนน่อนพยายามลุกขึ้น จะไปเอาไวน์มาอีก
กู้จือหยั่นรั้งแขนเธอ “พอเถอะ อย่าดื่มอีกเลย ผมจะไปส่งคุณกลับ”
“กลับอะไร ฉันไม่กลับ ฉันจะดื่มเหล้า” มู่น่อนน่อนเอาแบล็กการ์ดออกมาตรงหน้ากู้จือหยั่น “ฉันมีเงิน! คุณเอาไวน์ที่ดีที่สุดของจีนติ่งมาเดี๋ยวนี้!!”
“พูดเหมือนผม……ไม่มีเงิน……” หลังจากกู้จือหยั่นเห็นแบล็กการ์ดชัดเจน ก็กระตุกยิ้มมุมปาก “ผมไม่มีเงินเท่าคุณจริงๆ……
ไม่นาน พนักงานเสิร์ฟก็พาผู้จัดการเข้ามา
หลังจากที่ผู้จัดการเข้ามา ทันทีที่เห็นมู่น่อนน่อน สีหน้าก็เปลี่ยนฉับพลัน
แน่นอนผู้จัดการรู้ว่ามู่น่อนน่อนเป็น “อดีตภรรยา” ของเฉินถิงเซียว โดยธรรมชาติแล้วจึงรู้จักเธอ
สามารถเป็นผู้จัดการในจีนติ่งได้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ
ผู้จัดการมีรอยยิ้มประดับเต็มใบหน้า พูดด้วยรอยยิ้มบางว่า “คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณมู่ ถ้ารู้ก่อนว่าคุณมู่มา เราจะให้บริการอย่างดีที่สุดเลยครับ”
มู่น่อนน่อนรู้ว่า ผู้จัดการแค่พูดตามมารยาทเท่านั้น จีนติ่งเปิดมาเพื่อทำธุรกิจ และยังทำธุรกิจแต่กับพวกชนชั้นสูงด้วย ยกเว้นมู่น่อนน่อนคนเดียวที่ได้รับการให้เกียรติในฐานะ “อดีตภรรยาของเฉินถิงเซียว” ซึ่งเป็นเพียงนักเขียนบทหน้าใหม่ในวงการบันเทิงเท่านั้น
บุคคลสำคัญใหญ่โตจำนวนมากมาจีนติ่งเพื่อบริโภค อย่างมู่น่อนน่อนจะสำคัญอะไร
ผู้จัดการสุภาพต่อมู่น่อนน่อนมากขนาดนี้ ก็แค่อยากทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้สลายไป
ถ้าปกติ มู่น่อนน่อนอาจจะช่างมันไปก็ได้
แต่วันนี้เธอมาหาเรื่อง โดยธรรมชาติแล้วจึงไม่อาจช่างมันได้
“ผู้จัดการสุภาพแล้ว” มู่น่อนน่อนเลื่อนสายตาขึ้น ขดยิ้มเล็กน้อย เผยรอยยิ้มที่พอเหมาะพอดี ไม่เย่อหยิ่งเกินไป และไม่ให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี
มู่น่อนน่อนเอียงศีรษะ น้ำเสียงไม่เบาไม่แรง “บางทีพนักงานเสิร์ฟอาจไม่เข้าใจคำพูดของฉันชัดเจนนัก ที่ฉันต้องการพบคือบอสของพวกคุณ”
สีหน้าของผู้จัดการเปลี่ยนไปเล็กน้อย อันที่จริงตอนแรกเขามีความคิดว่าจะทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้สลายไป
ทว่า มู่น่อนน่อนนั้นชัดเจนว่าไม่ยอมรามือง่ายๆ
คนที่มาหาเรื่องจีนติ่งนั้นมีไม่น้อย และมู่น่อนน่อนคนนี้ก็ไม่ยกเว้น
เพียงแต่ คนที่มีสถานะละเอียดอ่อนอย่างมู่น่อนน่อนยังเป็นคนแรก
มู่น่อนน่อนมาที่จีนติ่งหลายครั้งแล้ว ผู้จัดการก็ค่อนข้างประทับใจในตัวเธอ มีมารยาทสุภาพต่อคนอื่น และไม่เหมือนคนหยาบคายไร้เหตุผล
ผู้จัดการไตร่ตรองชั่วครู่ ก่อนจะพูดว่า “คุณมู่ครับ คุณก็รู้ บอสของเราไม่ได้มาจีนติ่งบ่อยนัก ถึงอย่างไรเขาก็งานยุ่งมาก คุณมู่ก็เป็นแขกประจำของเรา หรือไม่เอาแบบนี้ เครื่องดื่มวันนี้ผมให้ส่วนลดขั้นต่ำที่สุดแก่คุณดีไหมครับ”
“ฉันดูเหมือนคนขัดสนเรื่องเงินเหรอ” มู่น่อนน่อนเอาแบล็กการ์ดออกมาจากกระเป๋า วางไว้บนโต๊ะตรงหน้า น้ำเสียงหนักเล็กน้อย เพิ่มความเยือกเย็นในน้ำเสียงขึ้นมาหลายส่วน
ผู้จัดการเห็นแบล็กการ์ด ก็พูดด้วยความตกใจหน้าซีด “คุณมู่โปรดรอสักครู่ ผมจะไปติดต่อหาบอสเดี๋ยวนี้ครับ”
แบล็กการ์ดที่มู่น่อนน่อนนำออกมา เป็นแบล็กการ์ดลิมิเต็ดไม่จำกัดวงเงินภายใต้แบรนด์เฉินซื่อซึ่งได้รับจากตระกูลเฉินในตอนนั้น
แม้คนที่มีแบล็กการ์ดจะมีหลายคน แต่โดยพื้นฐานแล้วคนที่มีความรู้ในจุดนี้ล้วนรู้ว่าแบล็กการ์ดนี้เป็นอย่างไร
มู่น่อนน่อนเก็บแบล็กการ์ดกลับไป น้ำเสียงนุ่มนวล “งั้นรบกวนผู้จัดการแล้ว”
ผู้จัดการยิ้ม ก่อนจะนำพนักงานเสิร์ฟออกไป
ทันทีที่ออกจากห้องวีไอพีส่วนตัว ผู้จัดการก็เอาโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหากู้จือหยั่น
บอสที่ออกหน้าของจีนติ่นก็คือกู้จือหยั่น ถ้าสถานการณ์โดยทั่วไป เวลาจีนติ่นมีเรื่องก็จะติดต่อกู้จือหยั่น
กู้จือหยั่นรู้ว่าปกติหากทางจีนติ่งไม่มีเรื่องที่จัดการไม่ได้ ก็จะไม่ตามหาเขา
เขารับสายและถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ประธานกู้ครับ มีคนบอกว่าที่เราขายเหล้าปลอม จึงต้องการพบบอสครับ”
“เรื่องแบบนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดครั้งแรก พวกคุณเคยจัดการมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้เป็นอะไร” น้ำเสียงของกู้จือหยั่นหงุดหงิดเล็กน้อย “ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็แจ้งตำรวจ คนนั้นขัดสนเรื่องเงินหรือไงถึงบอกว่าเราทำไวน์ปลอม”
ผู้จัดการลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “บุคคลท่านนั้นที่หาเรื่องก็คือคุณมู่ครับ และก็ไม่ใช่ท่านที่ขัดสนเรื่องเงิน”
กู้จือหยั่นหยุดไปครู่หนึ่ง เรื่องที่ทำอยู่ในมือนิ่งไป เอ่ยถามว่า “ใคร คุณมู่ไหน”
“ชื่อมู่น่อนน่อน นักเขียนบท อดีตภรรยาของเฉินถิงเซียว……”
ฟังถึงตรงนี้ กู้จือหยั่นก็ขัดจังหวะคำพูดของผู้จัดการทันที “ไอเคๆ ผมรู้แล้ว เรื่องนี้ผมจัดการเอง”
ทันทีที่วางสาย กู้จือหยั่นก็เด้งตัวจากเก้าอี้
มู่น่อนน่อนวิ่งไปหาเรื่องที่จีนติ่ง? แถมยังระบุว่าต้องการพบบอส?
ไม่ใช่ว่าต้องการพบเฉินถิงเซียวเหรอ
สองคนนี้ทำบ้าอะไรกันอีก
กู้จือหยั่นส่ายหน้า แล้วโทรออกหาเฉินถิงเซียว
โทรศัพท์ดังขึ้นเป็นเวลานานกว่าจะเชื่อมต่อ
“เฉินถิงเซียว ไปดูแลภรรยาคุณหน่อย เธอกำลังหาเรื่องอยู่ที่จีนติ่ง!” กู้จือหยั่นตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม เป็นการทิ้งระเบิดใส่เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“คุณไปที่จีนติ่งดูก็รู้ ไปเองเลย! เรื่องของพวกคุณเองก็จัดการกันเอง” กู้จือหยั่นพูดจบก็วางสายไปเลย
นานมากแล้วที่ไม่ได้มีโอกาสวางสายใส่เฉินถิงเซียว ยังรู้สึกดีเหมือนเคย
……
มู่น่อนน่อนรออยู่ในห้องมาสักพักใหญ่แล้ว ประตูห้องถึงได้ถูกคนเปิดออกอีกครั้ง
เธอได้ยินเสียงผลักประตู จึงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยของเฉินถิงเซียว
ชุดบนตัวของเฉินถิงเซียวยังคงสไตล์และสีเดียวกับชุดในงานเลี้ยงอาหารค่ำ แต่มู่น่อนน่อนรู้จักเขาดี อันที่จริงเขาได้เปลี่ยนชุดแล้ว
ชุดของเขามีลักษณะคล้ายกัน มีความแตกต่างเพียงเล็กน้อย คนทั่วไปมองไม่ออก
มู่น่อนน่อนจ้องมองเฉินถิงเซียวครู่หนึ่ง ก่อนที่สายตาจะตกไปที่ด้านหลังของเขา พบว่าข้างหลังเขาไม่มีคนอื่น
ดูเหมือนว่าเขาจะขับรถมาที่นี่ด้วยตัวเอง
มู่น่อนน่อนถอนสายตากลับ เฉินถิงเซียวพลิกมือไปด้านหลังเพื่อปิดประตู แล้วเดินไปนั่งบนโซฟาตรงข้ามมู่น่อนน่อน
เฉินถิงเซียวนั่งตรงข้ามเธอ สองมือวางบนเข่า มองมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าเย็นชา น้ำเสียงก็เย็นชาเฉยเมยอย่างมาก “คุณมู่มีปัญหาอะไร พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า”
คุณมู่?
มู่น่อนน่อนแอบกัดฟันด้วยความโกรธ พยายามระงับความโกรธจัดที่กำลังจะพุ่งออกจากอก พูดด้วยเสียงเรียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ “ฉันสงสัยว่าพวกคุณขายเหล้าปลอม”
เฉินถิงเซียวจ้องเธอไม่วางตาทันที ดวงตาเข้มดุจหมึก หมึกหนามากจนมองไม่เห็นอารมณ์อื่นใด แค่มองเธอนิ่งๆ ไปอย่างนั้น
มู่น่อนน่อนที่อยู่ภายใต้สายตาของเขา มีความรู้สึกผิดเล็กน้อยจนต้องหลบตา
เดิมทีเธอตั้งใจใช้สิ่งนี้เพื่อให้เฉินถิงเซียวมาหา เฉินถิงเซียวฉลาดขนาดนั้น แน่นอนว่าเมื่อได้รับข้อความ ก็ต้องเดาความคิดของเธอได้
แต่เขาก็ยังมา
คิดมาถึงตรงนี้ มู่น่อนน่อนก็สูดหายใจเข้าลึก เชิดคางขึ้นเล็กน้อย อยากให้ตัวเองดูแข็งแกร่งขึ้นสักหน่อย
มู่น่อนน่อนกวาดมองขวดเปล่าบนโต๊ะ ส่งสัญญาณให้เฉินถิงเซียวดู “เห็นไหม ฉันดื่มไปมากขนาดนี้ แต่กลับไม่เมาสักนิด ต่อให้ฉันคอแข็ง แต่ไวน์เยอะขนาดนี้จะถึงขนาดไม่มีปฏิกิริยาสักนิดเลยเหรอ”
เฉินถิงเซียวจ้องเธอไม่กี่วินาที แล้วทันใดนั้นก็หลุดหัวเราะ “ดื่มหมดเลยเหรอ”
“ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วยังไงล่ะ” ใจมู่น่อนน่อนแม้จะอ่อนแอ แต่ภายนอกกลับไม่ยอมแพ้ ดูมั่นใจอย่างถึงที่สุด
“งั้นเหรอ” เฉินถิงเซียวมองเธออย่างเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม หันหน้าไปทางห้องน้ำและเหลือบมองดู สีหน้าแสดงออกว่ารู้หมดแล้ว
มู่น่อนน่อนรู้ ว่าเฉินถิงเซียวมองกลอุบายของเธอออกนานแล้ว
ในเมื่อถูกจับได้แล้ว มู่น่อนน่อนก็ไม่เสแสร้งอีก พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เฉินถิงเซียว คุณรู้อยู่แล้วว่าทำไมฉันถึงให้คุณมาหา!”
จีนติ่งเอ็นเตอร์เทนเมนท์คลับ
ฉินสุ่ยซานกับมู่น่อนน่อนยืนเคียงข้างกันที่หน้าประตูจีนติ่ง คนที่สัญจรไปมาอดไม่ได้ที่จะเอาสายตามามองพวกเขา
“มองไม่ออกเลย คุณมีรสนิยมดีอยู่นะเนี่ย” สายตาของฉินสุ่ยซานตกไปที่ตัวมู่น่อนน่อนซึ่งอยู่ข้างๆ
มู่น่อนน่อนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความหมายพาให้คนสนอกสนใจ “จีนติ่งนอกจากแพงแล้ว มีอะไรเป็นรสนิยมที่ดีบ้าง”
ฉินสุ่ยซานไม่รู้ว่าบอสที่เป็นเบื้องหลังจีนติ่งคือเฉินถิงเซียว จึงถามมู่น่อนน่อนอย่างค่อนข้างสงสัย “หมายถึงอะไร ถ้าคุณไม่ชอบจีนติ่ง แล้วยังมาที่นี่ทำไม”
“คุณรู้สึกไม่ใช่เหรอว่าที่นี่รสนิยมค่อนข้างดีน่ะ” มู่น่อนน่อนชำเลืองมองเธอ และก็ก้าวเท้าเดินเข้าไป
ทั้งสองขอหนึ่งห้อง และสั่งไวน์สำหรับหนึ่งโต๊ะ
ไวน์ขาวไวน์ต่างประเทศไวน์แดงเบียร์ค็อกเทล ทุกชนิดมีหมด
ฉินสุ่ยซานหยิบไวน์ขึ้นมาดูทีละขวด จากนั้นก็นั่งลงตรงข้ามมู่น่อนน่อน แล้วถอนหายใจ “นี่คุณตั้งใจจะดื่มให้ตายเหรอ หรือคุณตั้งใจล้างผลาญเงินในกระเป๋าของคุณ”
มู่น่อนน่อนไม่พูด และเริ่มรินไวน์ให้ตัวเอง
ฉินสุ่ยซานโน้มตัวเข้าไปถามเธอต่อ “[เมืองพัง]ภาคสองยังไม่เสร็จเลยนะ คุณแน่ใจเหรอว่าในมือมีเงินมากพอจะจ่ายค่าไวน์น่ะ”
มู่น่อนน่อนให้ฉินสุ่ยซานดื่มหนึ่งแก้ว แล้วพูดด้วยรอยยิ้มสดใส “ไม่ใช่ว่ายังมีคุณเหรอ”
ฉินสุ่ยซานมองมู่น่อนน่อนอย่างตกตะลึงอ้าปากค้าง นานมากก็พูดไม่ออกสักคำ
“คุณ……คุณคิดจะทุบกระเป๋าเงินของฉันเหรอ คุณบอกว่าต้องการมาดื่มไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ว่าควรเป็นคุณที่เลี้ยงเหรอ!” ฉินสุ่ยซานขมวดคิ้ว หยิบแก้วตรงหน้าขึ้นมาดื่มรวดเดียว
นี่มันบ้าชัดๆ!
เธอแทบจะสงสัยว่าการร่วมงานกับมู่น่อนน่อนนี่มันน่าเชื่อถือหรือไม่
“แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ดูคุณสิตกใจแค่ไหน ไวน์ราคาเบาๆ พวกนี้น่ะฉันจ่ายได้” มู่น่อนน่อนวางแก้วในมือลง แล้วหยิบแก้วทรงสูงใบหนึ่งขึ้นมา และเทไวน์แดงลงไป
ไวน์บนโต๊ะนี้ อย่างน้อยก็ต้องมูลค่าหลายล้าน
ทว่ามู่น่อนน่อนไม่กะพริบตาสักนิด ตอนนี้ยังพูดว่า “เงินแค่นี้” ……
“ปากดีไม่เบาเลยนะ” ฉินสุ่ยเซียนกระตุกยิ้มมุมปาก
“เลิกพูดไร้สาระ ดื่ม” มู่น่อนน่อนเทไวน์ใส่แก้วของฉินสุ่ยซานอีกรอบ
ฉินสุ่ยซานไม่ได้ดื่มกับมู่น่อนน่อน คิดว่าความสามารถในการดื่มของมู่น่อนน่อนนั้นธรรมดามาก แค่ให้ตัวเองดื่มนิดหน่อย แล้วรอมู่น่อนน่อนเมา ก็จะส่งมู่น่อนน่อนกลับบ้าน
เพียงแต่ เธอประเมิณความสามารถในการดื่มของมู่น่อนน่อนต่ำไป
มู่น่อนน่อนดื่มไวน์ไปหลายแก้ว แต่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลย กลับกันตัวเธอเริ่มมึนศีรษะแล้ว
ฉินสุ่ยซานยกมือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ มองมู่น่อนน่อนพลางพูดว่า “หรือไม่เรากลับกันไหม”
“ยังดื่มไม่หมดเลย จะกลับอะไรกันล่ะ” มู่น่อนน่อนดึงแขนเสื้อของฉินสุ่ยซานเอาไว้เหมือนกลัวเธอวิ่งหนี
ฉินสุ่ยซานไม่มีทางเลือก จึงต้องนั่งดื่มเป็นเพื่อนมู่น่อนน่อนต่อไป
ท้ายที่สุด เป็นฉินสุ่ยซานที่ร่วงไปก่อนแทน
“คุณ……คุณ……ดื่มให้น้อยลงหน่อย……” ฉินสุ่ยซานพูดจบประโยคนี้ก็ร่วงไปเลย
เวลานี้มู่น่อนน่อนยังคงตื่นตัวอยู่อย่างผิดปกติ
“ฉินสุ่ยซาน?” มู่น่อนน่อนเดินไปข้างฉินสุ่ยซาน แล้วเอื้อมมือไปผลักๆ ไหล่เธอ
ฉินสุ่ยซานไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด เป็นการดื่มแล้วเมาจนตายของจริง
ดื่มไปนิดเดียวเอง……
มู่น่อนน่อนยืดตัวขึ้นกำลังจะกลับไปดื่มต่อ ก็พลันเห็นหน้าจอโทรศัพท์มือถือขอฉินสุ่ยซานสว่างขึ้นมาในเวลานี้
ทันทีหลังจากนั้น เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
บนหน้าจอมีไม่กี่คำเด้งขึ้นมาว่า “คนขับรถพิเศษ”
“คนขับรถพิเศษ?” มู่น่อนน่อนพึมพำอ่านคำนี้ หยิบโทรศัพท์มือถือของฉินสุ่ยซานขึ้น มีสีหน้าสงสัยเล็กน้อย
ฉินสุ่ยซานขับรถเองตลอดไม่ใช่เหรอ คนขับรถพิเศษมาจากไหน
นี่ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว
เสียงโทรศัพท์มือถือยังคงดังอื้ออึงต่อเนื่อง
มู่น่อนน่อนยื่นนิ้วมือไปสไลด์ปุ่มตอบรับ
เธอเอาโทรศัพท์มือถือแนบหู ยังไม่ได้ส่งเสียง ก็ได้ยินเสียงผู้ชายที่ทุ้มต่ำทรงพลังจากปลายสาย “คุณอยู่ที่ไหน”
มู่น่อนน่อนรู้สึกคุ้นๆ เสียงนี้
อีกฝ่ายรออยู่ชั่วครู่ ไม่รอให้เธอได้พูด ก็ส่งเสียงถามอีกครั้ง “ทำไมไม่พูด”
มู่น่อนน่อนขดยิ้มเล็กน้อย แล้วถามเสียงเบา “สวุมู่หันเหรอ”
เสียงของชายหนุ่มมีความระแวดระวังทันที “คุณเป็นใคร ฉินสุ่ยซานล่ะ”
ในน้ำเสียงยังมีร่องรอยของความวิตกกังวลด้วย
“ฉินสุ่ยซานอยู่จีนติ่ง ห้องเลขที่……ฉันไปดูแป๊บ……” มู่น่อนน่อนพูดอย่างนั้นแล้วลุกขึ้นไปที่ประตู หลังจากดูหมายเลขห้องแล้ว ก็เอาหมายเลขห้องไปบอกสวุมู่หัน แล้ววางสายไปเลย
สวุมู่หันมาเร็วกว่าที่มู่น่อนน่อนจินตนาการไว้
ตอนที่เขาผลักประตูเข้ามาอย่างเร่งรีบ สิ่งแรกที่เห็นคือฉินสุ่ยซานฟุบอยู่บนโต๊ะ หลังจากนั้นถึงได้สังเกตเห็นมู่น่อนน่อนที่กำลังยิ้มสดใสมองเขาอยู่
มู่น่อนน่อนชูแก้วไวน์ในมือ “เว่ยซิงเฉิน ไม่เจอกันนานเลยนะ”
เว่ยซิงเฉินเป็นชื่อของพระเอกใน [เมืองพัง] บทละครของมู่น่อนน่อน [เมืองพัง] นำแสดงโดยสวุมู่หัน
“คุณมู่” สวุมู่หันเดินเข้ามา ดูท่าทางเหมือนโล่งใจ
มู่น่อนน่อนออกปากถามหนึ่งประโยคอย่างเป็นกันเองว่า “ดื่มสักแก้วไหม”
สวุมู่หันส่ายหน้า ลดสายตาลงมองฉินสุ่ยซาน ขมวดคิ้วถามมู่น่อนน่อน “เธอดื่มไปเท่าไรครับ”
มู่น่อนน่อนชี้หลายขวดเปล่าข้างๆ เป็นสัญญาณให้สวุมู่หันดู
สวุมู่หันมองไป พบว่ามีขวดเปล่าสามสี่ใบ
มู่น่อนน่อนพิงโซฟา ในมือมีแก้วทรงสูงใบหนึ่ง “เป็นของที่เราดื่มด้วยกันสองคน”
สายตาของสวุมู่หันแช่อยู่ที่ใบหน้าของมู่น่อนน่อนสองวินาที ก่อนจะถอนสายตาออกอย่างสุภาพ
ทั้งคู่ดื่มไปมากขนาดนั้น ฉินสุ่ยซานดื่มจนร่วงไปแล้ว แต่สีหน้าของมู่น่อนน่อนยังคงปกติมาก
สวุมู่หันถามอย่างสุภาพ “คุณมู่โอเคไหมครับ อยากให้ผมไปส่งคุณกลับก่อนไหม”
“ไม่ต้องหรอก คุณเอาฉินสุ่ยซานไปก็พอ” มู่น่อนน่อนเริ่มดื่มกับตัวเอง ไม่สนใจสวุมู่หันอีก
สวุมู่หันไม่ใช่คนมากเรื่อง ในเมื่อมู่น่อนน่อนพูดอย่างนี้ เขาจึงพาฉินสุ่ยซานออกไป
ในห้องว่างเปล่า มู่น่อนน่อนโคลงแก้วไวน์ในมือไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ทันใดนั้น เธอวางแก้วลง แล้วยกมือขึ้นเปิดขวดไวน์ที่เหลือทั้งหมด
จากนั้นจึงนำบรรดาไวน์ทั้งหมดเข้าไปในห้องน้ำ เอาเททิ้งในชักโครก
เหลือขวดสุดท้าย มู่น่อนน่อนยกขวดแล้วเงยหน้าดื่ม
ที่จริงเธอเริ่มเมานิดหน่อยแล้ว
ไม่อย่างนั้น ทำไมเวลานี้เธอถึงได้อยากโทรหาเฉินถิงเซียวล่ะ
แย่จริงๆ!
มู่น่อนน่อนกลับไปนั่งบนโซฟา แล้วเรียกพนักงานเสิร์ฟมา
พนักงานเสิร์ฟเข้ามา เห็นทุกขวดไวน์ล้วนว่างเปล่า ดวงตาเกิดแววประหลาดใจ “คุณผู้หญิง ไม่ทราบว่าต้องการสั่งอะไรครับ”
มู่น่อนน่อนหยิบการ์ดออกจากกระเป๋า
พนักงานเสิร์ฟเห็นดังนั้นจึงถามว่า “ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงต้องการเช็กบิลใช่ไหมครับ”
“ก่อนเช็กบิล ฉันต้องการพบบอสของพวกคุณหน่อย” มู่น่อนน่อนชักมือที่ถือการ์ดกลับ แล้วพูดอย่างสบายๆ “ฉันสงสัยว่าพวกคุณขายเหล้าปลอม เพราะไม่อย่างนั้นทำไมตอนนี้ฉันยังไม่เมาอีก”
บนโต๊ะมีขวดไวน์ที่ว่างเปล่ามากมาย และมู่น่อนน่อนดูไม่เมาจริงๆ
พนักงานเสิร์ฟอึ้งไปทันที “รบกวนคุณรอสักครู่ ผมจะไปเรียกบอสเดี๋ยวนี้ครับ”
ถึงอย่างไรก็เป็นบิลใหญ่ ไม่ใช่พนักงานเสิร์ฟอย่างเขาที่จะรับผิดชอบได้ จึงรีบออกไปหาหัวหน้าทันที
เพิ่งสิ้นเสียงมู่น่อนน่อน ซูเหมียนก็กรีดร้องเรียกชื่อเธอเสียงแหลม “มู่น่อนน่อน!”
ความโกรธในน้ำเสียงไม่อาจซ่อนได้
เดิมทีซูเหมียนอยากโอ้อวดต่อหน้ามู่น่อนน่อน เพราะท้ายที่สุดแล้วเฉินถิงเซียวก็เป็นผู้ชายที่ทำให้ซูเหมียนพลาดหลุดจากมือไป
ไม่ง่ายที่ตอนนี้เธอจะได้สเตจของผู้ชนะ แน่นอนว่าความคิดแรกของซูเหมียนคือต้องการอวดต่อหน้ามู่น่อนน่อน
แต่มู่น่อนน่อนกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย กลับกันยังบอกว่าเฉินถิงเซียวเป็นผู้ชายที่เธอใช้แล้ว จะให้ซูเหมียนไม่โกรธได้อย่างไร
มู่น่อยน่อนขดยิ้มมุมปาก สีหน้าสงบเรียบเฉย
เธอเงยหน้าขึ้น กำลังจะพูดต่อ แต่หางตาเหลือบไปเห็นเฉินถิงเซียวยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ
เขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ดูเย็นชา จ้องมองมู่น่อนน่อนด้วยสายตานิ่งๆ
คำพูดของมู่น่อนน่อนมาถึงริมฝีปากแล้ว แต่จำต้องกลืนมันลงไป
เฉินถิงเซียว……เขา ได้ยินคำที่เธอเพิ่งพูดเหรอ
สายตาของมู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะไปตกที่ตัวเฉินถิงเซียวโดยอัตโนมัติ พยายามมองสีหน้าของเขา เพื่อคาดเดาว่าเขาได้ยินสิ่งที่เธอเพิ่งพูดไปหรือเปล่า
แต่เฉินถิงเซียวไม่ได้ให้โอกาสเธอ
เฉินถิงเซียวแค่มองจ้องตากับเธอก่อนจะเบี่ยงสายตาไปยังซูเหมียน
“ซูเหมียน”
เสียงต่ำลึกถึงกระดูกนั่นเธอคุ้นเคยดี ในเวลานี้เขากลับเรียกชื่อผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าเธอ
ความโกรธจัดของซูเหมียนเมื่อครู่ เมื่อเฉินถิงเซียวเรียกชื่อเธอ ก็มลายหายวับไปทันที
เธอชำเลืองมองมู่น่อนน่อน แววตาภูมิใจในตัวเองแสดงออกชัด
จากนั้นเธอก็ทำเหมือนคนที่ได้กอบกู้ชื่อเสียง ก้าวกว้างเดินเข้าไปหาเฉินถิงเซียว
ซูเหมียนเดินไปตรงหน้าเฉินถิงเซียว ลองหยั่งเชิงยื่นมือไปคล้องแขนของ “ไปเถอะค่ะ”
สายตาของมู่น่อนน่อนไปตกบนแขนของเฉินถิงเซียวที่ซูเหมียนจับอยู่
นิ้วเรียวขาวเนียน แถมยังทำเล็บอย่างวิจิตรงดงาม อยู่บนผ้าสูทสีเข้ม ดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
หลังจากที่มือของซูเหมียนคล้องแขนของเขา ก็ไม่ได้มีการขยับออกอีก
เธอไม่ได้ขยับออก เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้มีการสะบัดมือของเธอออก
มู่น่อนน่อนอ้าริมฝีปากเล็กน้อย ถอนสายตาอย่างแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง หันตัวเดินไปล้างมือหน้ากระจก
เฉินถิงเซียวไม่อยู่ต่อแม้สักวินาที หันหลังจากไปโดยมีซูเหมียนคล้องแขนไปด้วย
มู่น่อนน่อนเหลือบมองเห็นร่างของทั้งสองหายลับไป ถึงได้ปิดก๊อกน้ำอย่างเลื่อนลอย วางมือบนขอบอ่างล้างมือ สติสับสนวุ่นวาย
ซูเหมียนคล้องแขนเฉินถิงเซียวออกจากห้องน้ำ ยังเดินไปไม่กี่ก้าว ก็ถูกเฉินถิงเซียวสะบัดมือออก
ซูเหมียนมองมือตัวเองที่ถูกสะบัดออก ในใจพลันครุกรุ่น รีบก้าวเดินไปตรงหน้าเฉินถิงเซียว ไปขวางทางเขา และถามด้วยเสียงเย็นชา “เฉินถิงเซียว คุณหมายความว่ายังไง เมื่อครู่คุณจงใจถูกไหม คุณกับมู่น่อนน่อน พวกคุณ……”
ทันทีที่เฉินถิงเซียวกวาดสายตามองมา ส่งผลให้เธอเงียบเสียงโดยอัตโนมัติ
สายตาของเขาหยุดที่มือของซูเหมียนครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่เร่งไม่ช้า “เมื่อครู่คุณไม่ได้ล้างมือ”
ซูเหมียนสีหน้าแข็งทื่อ อ้าปากเหวอ ริมฝีปากสั่นครู่หนึ่ง แต่แม้แต่คำเดียวก็พูดไม่ออก
เมื่อครู่เธอไม่ได้ล้างมือจริงๆ แต่เธอแค่เติมหน้าเท่านั้น
สถานการณ์แบบนั้นใครยังจะมีแก่ใจคิดล้างมือกันล่ะ
ต่อให้เธอไม่ได้ล้างมือ ในฐานะที่เป็นสุภาพบุรุษ พูดแบบนี้ออกมาให้เธออับอายได้ยังไง
“คุณ……”
ผ่านไปนานมาก แต่เธอก็เค้นออกมาได้แค่คำเดียว
เฉินถิงเซียวจัดปรับเสื้อผ้าตัวเอง แล้วยกมือขึ้นปัดๆ แขนตัวเอง ราวกับมีสิ่งสกปรกติดอยู่
สีหน้าของซูเหมียนยิ่งแย่ลง
เฉินถิงเซียวเบี่ยงตัวผ่านเธอ เดินตรงไปข้างหน้า ไม่มีความตั้งใจจะบรรเทาความอับอายเลยสักนิด
แม้ใจซูเหมียนจะค่อนข้างโกรธ แต่มันไม่ง่ายที่เฉินถิงเซียวจะเข้าหาเธอก่อน เธอไม่อยากพลาดโอกาสนี้ ได้แต่ฝืนทนเดินตามไป
เฉินถิงเซียวก้าวกว้าง เดินอย่างรีบร้อน ซูเหมียนเดินบนรองเท้าส้นสูงตามเขาอย่างยากลำบาก
ซูเหมียนตามเขาไปสักพัก แล้วก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เฉินถิงเซียว คุณรู้ไหมว่าเวลาเดินกับสุภาพสตรี ต้องพยายามคล้อยตามสุภาพสตรีหน่อย นั่นถึงเป็นสิ่งที่สุภาพบุรุษควรทำ”
“คล้อยตาม?” เฉินถิงเซียวหัวเราะเย็นชา “ผมคิดว่าคนที่มีความรู้อย่างคุณซู จะไม่มีรสนิยมต่ำแบบนั้น ตอนนี้กำลังให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมกันระหว่างชายหญิงไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมผู้ชายต้องคล้อยตามผู้หญิงด้วยล่ะ”
ตอนที่เขาพูด ช่วงตาและคิ้วดูจริงจัง ทำให้ซูเหมียนไม่รู้เลยว่าควรโต้แย้งอย่างไร
ซูเหมียนไม่สามารถพูดอะไรกับเฉินถิงเซียวได้ จำต้องอดทนไปห้องจัดเลี้ยงกับเฉินถิงเซียวเงียบๆ
ถึงหน้าประตูห้องจัดเลี้ยง ซูเหมียนสงบจิตสงบใจ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย หันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว กำลังคิดจะยื่นมือไปคล้องแขนเขา แต่เธอคิดไปถึงคำพูดของเฉินถิงเซียวก่อนหน้านี้ จึงจำต้องยับยั้งความคิดนี้ลงไปอีกครั้ง
ความแปลกก็คือ หลังจากมาถึงห้องจัดเลี้ยง เฉินถิงเซียวเดินค่อนข้างช้า เหมือนจงใจปรับตัวให้เข้ากับจังหวะของเธอ
ซูเหมียนปลอบใจตัวเอง เมื่อครู่ที่เฉินถิงเซียวเดินเร็วมาก อาจจะรีบกลับมาที่ห้องจัดเลี้ยง
……
ไม่ว่าต่อหน้าซูเหมียนจะแสร้งทำเป็นว่าไม่สำคัญเพียงใด แต่เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนพากันจากไป จิตใจมู่น่อนน่อนก็ยังเจ็บปวดหม่นหมอง
เธอหลอกคนอื่นได้ แต่กลับหลอกตัวเองไม่ได้
ภายนอก เธอดึงเกมกลับมาได้ต่อหน้าซูเหมียน
แต่ว่า เมื่อเฉินถิงเซียวยืนอยู่ตรงประตูห้องน้ำแล้วส่งเสียงเรียกชื่อซูเหมียน มู่น่อนน่อนก็รู้ว่า ความจริงแล้วเธอสูญเสียอย่างสมบูรณ์
ที่จริงเธอคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เหตุใดเธอกับเฉินถิงเซียวถึงเดินมากันถึงจุดนี้
ความเฉียบขาดของเฉินถิงเซียว ทำให้เธอค่อนข้างงุนงง
แต่ปัญหาระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียว ก็ไม่ใช่ว่ามีอยู่มาแค่วันสองวัน
และมันยิ่งค่อยๆ เพิ่มพูนสะสมขึ้นทุกวันๆ
บางครั้งเธอหงุดหงิดกับความเผด็จการของเฉินถิงเซียว แต่เมื่อเขาตัดสินใจไล่เธอขึ้นมาจริงๆ ยกเว้นความภาคภูมิใจเล็กๆ ที่เธอเหลือไว้ ที่ไม่ได้เอาสิ่งของอะไรจากเขามาเลย และมันก็ทำอะไรไม่ได้อีก
เฉินถิงเซียวเป็นคนเด็ดขาดมาก บอกว่าแยกทางก็แยกทาง ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
หึ
มู่น่อนน่อนหัวเราะเยอะกับตัวเอง เงยหน้าหลับตาสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่ง
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าของเธอกลับคืนสู่ความสงบดังเดิมแล้ว
ทันทีที่เธอออกไป ก็พบว่าฉินสุ่ยซานมาหาเธอ
ฉินสุ่ยซานเห็นเธอ อดไม่ได้ที่จะทำตาดุใส่ “ฉันคิดว่าคุณตกหลุมไปแล้ว นานมากก็ไม่ออกมา”
มู่น่อนน่อนเสยผมตัวเอง พูดด้วยสีหน้านิ่งสงบ “ท้องเสียน่ะ เลยนั่งนานไปหน่อย”
ฉินสุ่ยซานชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างสบายๆ ว่า “ท่านนักเขียนบทใหญ่มู่ คุณมีภาพลักษณ์ไอดอลหน่อยได้ไหม”
“ไปเถอะ จบงานเลี้ยงที่น่าเบื่อนี่ให้เร็วที่สุด แล้วเราไปดื่มกัน” มู่น่อนน่อนยกมือขึ้นโอบไหล่ฉินสุ่ยซาน พาเธอไปยังห้องจัดเลี้ยง
ฉินสุ่ยซานถูกบังคับให้เดินตามมู่น่อนน่อน ขณะที่เดินเธอก็หันหน้าไปมองมู่น่อนน่อนด้วย “ดื่มเหล้าเหรอ คุณจะไปดื่มจริงเหรอ ไปดื่มที่ไหน”
มู่น่อนน่อนหยุดก้าวเท้า ครุ่นคิด ก่อนจะหันไปยิ้มเล็กๆ ให้ฉินสุ่ยซาน ริมฝีปากสีแดงขยับเปิดบางเบา “จีนติ่ง”
ตอนที่มู่น่อนน่อนได้ยินฉินสุ่ยซานพูดประโยคแรก สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้ว
เห็นฉิยสุ่ยซานหน้าตาเหมือนเห็นผี มู่น่อนน่อนจึงลองพูดออกมาสองคำ
“ซูเหมียน?”
“คุณรู้ได้ยังไง” ฉินสุ่ยซานนั่งลงข้างมู่น่อนน่อน “เป็นซูเหมียนจริงๆ!”
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองยังประตูทางเข้า แต่ฝูงชนออกันอยู่ เธอที่นั่งอยู่ตรงนั้น จึงไม่เห็นเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนเลย
เธอเพ่งมองไปทางนั้น ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ค่อยๆ ขยับปรับชุดเดรสบนตัว
“คุณจะทำอะไร” ฉินสุ่ยซานเงยหน้าขึ้นมองการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเธอ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ไปดูหน่อย” มู่น่อนน่อนทิ้งประโยคนี้แล้วเดินเข้าไปยังที่ที่ฝูงชนรวมตัวกัน
ความหลงลืมของผู้คนนั้นยิ่งใหญ่ เพราะเรื่องการแต่งงานและหย่าร้างของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนจึงเคยเป็นจุดสนใจของผู้คน
แต่หลังจากเรื่องราวผ่านพ้นไป ความโด่งดังก็ลดน้อยถอยลง โดยธรรมชาติแล้วจึงจะไม่มีใครพูดถึงมู่น่อนน่อนอีก
ต่อให้มีหลายคนรู้จักมู่น่อนน่อน ก็ไม่ได้มีใจที่จะคิดและพูดอะไรมาก
ถึงอย่างไรคนที่โดดเด่นที่สุดในคืนนี้ ก็เป็นเฉินถิงเซียวกับซูเหมียน
ข้างๆ มีคนซุบซิบนินทาเฉินถิงเซียวกับซูเหมียน
“ก่อนหน้านี้เว่ยป๋อของตระกูลเฉินโพสต์ข้อความแล้วไม่ใช่เหรอว่าประธานของพวกเขาไม่ได้ชอบผู้หญิงแซ่ซู”
“ใครจะรู้ล่ะ บางทีรสนิยมของคุณชายเฉินอาจจะเปลี่ยนก็ได้”
“คุณซูคนนี้ รูปโฉมตระกูลไม่เลว ต่อให้เฉินถิงเซียวชอบเธอก็ไม่แปลกอะไร”
“พวกคุณพูดมากไปมีประโยชน์อะไร คอยดูต่อไปอีกหน่อย……”
“ใครว่าไม่ล่ะ”
สำหรับคำพูดของพวกเขา มู่น่อนน่อนฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ฟังไปโดยไม่ใส่ใจเลย
สายตาของเธอทั้งหมดวางไว้ที่ตัวเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนสองคนนั้น
สองคนเดินเคียงข้างกัน ซูเหมียนแม้ไม่มีการควงแขนเขา แต่สองคนใกล้ชิดกัน บนใบหน้าของเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้มีแววขยะแขยงและรังเกียจ
สามารถเดินกับเฉินถิงเซียวได้ ก็เพียงพอจะทำให้คนจินตนาการไปไกลแล้ว
เฉินถิงเซียวสวมสูทสีเข้มเช่นปกติ สูงส่งสง่างาม ซูเหมียนแต่งองค์ทรงเครื่องพิถีพิถันตั้งแต่ศีรษะจดเท้า แม้แต่ชุดเดรสก็เป็นฝีมือของดีไซเนอร์ชื่อดัง แถมยังเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชัน
ถ้าหากจะเปรียบเทียบ ชุดบนตัวมู่น่อนน่อน ดูแสนจะธรรมดามาก
มู่น่อนน่อนยืนในฝูงชน ไม่มีความสะดุดตาแม้แต่น้อย
เธอแค่มองดูเงียบๆ แบบนั้น เฉินถิงเซียวกับซูเหมียนเดินอยู่ด้วยกัน เดินตรงผ่านหน้าเธอไป
มือที่ตกอยู่ข้างตัวกำกันแน่น
เฉินถิงเซียวอยู่ดีๆ ก็……มาพัวพันกับซูเหมียนอีกแล้วเหรอ
วันนั้นในวิลล่าของเฉินถิงเซียว ทั้งคู่พูดจากันด้วยคำพูดที่ใจร้ายกันไปไม่น้อย
ปกติเฉินถิงเซียวมักจะเผด็จการเสมอ แต่ก่อนหน้านี้ต่อให้ทะเลาะกันใหญ่โต ก็จะไม่ออกปากไล่เธอแบบนั้น
มู่น่อนน่อนรับรู้ถึงการตัดสินใจเด็ดขาดในน้ำเสียงของเขา ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรมาก ไปเลยในทันที
ตั้งแต่เธอย้ายออกจากวิลล่าของเฉินถิงเซียวมาจนถึงตอนนี้ พยายามแล้วที่จะไม่ให้ตัวเองคิดถึงเฉินถิงเซียว เช่นเดียวกับแต่ละคำที่เฉินถิงเซียวพูด
เพียงแต่ เมืองหู้หยางมีขนาดเล็กเกินไป แม้แต่งงานกิจกรรม งานเลี้ยงอาหารค่ำ ก็ยังพบเจอเขาได้
มู่น่อนน่อนสุดหายใจเข้าลึก ลดสายตาลง จิตใจซับซ้อนหลากหลาย
ฉินสุ่ยซานตามมา หันหน้าไปถามเธอ “มู่น่อนน่อน ปฏิกิริยาของคุณผิดปกติไปนิดหน่อยหรือเปล่า”
ตลอดมาเธอสงสัยเรื่องของมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวถึงขั้นสุด รู้สึกว่าสองคนนี้มีอะไรแอบแฝง ต่อให้ไม่มีอะไรแอบแฝง อย่างน้อยก็มีเยื่อใยต่อกัน
แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ฉินสุ่ยซานรู้สึกว่าตัวเองอาจจะคิดมากและคิดผิดไป
ยากเกินคาดเดา!
“คุณยังต้องการพาฉันไปรู้จักใครอีกไม่ใช่เหรอ ไปเถอะ พาฉันไปดูสิ” ตอนที่มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น การแสดงออกบนใบหน้าได้กลับคืนสู่ปกติเรียบร้อยแล้ว
ฉินสุ่ยซานชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าจะแนะนำให้มู่น่อนน่อนรู้จักคน มู่น่อนน่อนล้วนมีท่าทีขาดความสนใจ วันนี้กลับค่อนข้างกระตือรือร้น
สำหรับที่ว่าทำไมถึงกระตือรือร้น ใครก็รู้ได้โดยปริยาย โดยที่ไม่ต้องพูดออกมาให้ชัดเจนแต่อย่างใด
ฉินสุ่ยซานพยักหน้า “โอเค ตามฉันมาเลย”
ดังนั้น มู่น่อนน่อนจึงตามฉินสุ่ยซานไปทำความรู้จักผู้กำกับการแสดงและผู้สร้างภาพยนตร์
ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงหรือไม่ ฉินสุ่ยซานก็ล้วนแต่ยินดีแลกเปลี่ยนนามบัตร ทักษะทางสังคมสามารถเห็นได้ชัดเจน
เมื่อผ่านไปหนึ่งรอบ มู่น่อนน่อนก็ดื่มไปจนแก้มแดงเล็กน้อยเสียแล้ว
ฉินสุ่ยซานส่ายหน้า “ฉันจะให้พนักงานเสิร์ฟนำน้ำอุ่นมาให้คุณแก้วหนึ่ง คุณดื่มมากขนาดนี้ทำไม แค่จิบนิดหน่อยพอเป็นพิธีก็พอแล้ว ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีจริงๆ เดี๋ยวงานเลี้ยงจบลง ฉันจะไปดื่มเป็นเพื่อนคุณ……”
“ฉันไม่ได้รู้สึกไม่ดี ก็แค่ดีใจมากที่ได้รู้จักรุ่นพี่ในวงการเยอะแยะ แบบนี้ เส้นทางในอนาคตของฉันก็ยิ่งราบรื่น” มู่น่อนน่อนพูด มู่น่อนน่อนสีหน้าปกติและพูดด้วยความจริงจัง
ฉินสุ่ยซานอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ยังเชื่อว่ามู่น่อนน่อนพูดจริง
แล้วฉินสุ่ยซานก็ยังบอกให้พนักงานเสิร์ฟนำน้ำร้อนมาให้มู่น่อนน่อนหนึ่งแก้วด้วย
ที่จริงมู่น่อนน่อนดื่มแล้วมีอาการมึนศีรษะเล็กน้อย กลิ่นเหล้าขึ้นนิดหน่อย แต่ไม่มีผลกระทบมากนัก เธอดื่มน้ำเสร็จก็ไปห้องน้ำ
พอดีกับที่มีคนมาหาฉินสุ่ยซาน เธอจึงไม่มีเวลามากังวลกับมู่น่อนน่อน ได้แต่กำชับมู่น่อนน่อนว่า “กลับมาเร็วๆ นะ”
มู่น่อนน่อนโบกมือให้เธอ แล้วเดินไปห้องน้ำ
เธอเข้าไปในห้องน้ำ ยืนอยู่หน้ากระจก จ้องมองตัวเองในกระจก ในสมองกลับฉายภาพเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนเดินเคียงข้างกันก่อนหน้านี้โดยไม่ตั้งใจ
ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแย่
เธอกัดริมฝีปาก สูดหายใจเข้าลึก ล้วงเอาแป้งพัฟในกระเป๋าออกมาแต่งหน้า
เมื่อเธอเก็บแป้งพัฟกลับไปแล้วหยิบลิปสติกออกมา ก็เห็นจากกระจกว่ามีคนเดินเข้าประตูมา
หลังจากเห็นว่าผู้หญิงที่เข้ามาคือซูเหมียน มือที่กำลังเคลื่อนไหวของมู่น่อนน่อนก็หยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะทาลิปสติกต่อไปราวกับซูเหมียนไม่มีตัวตน
ซูเหมียนเดินนวยนาดมาข้างๆ มู่น่อนน่อน ลดสายตาลงเอาลิปสติกออกจากกระเป๋า ดูเหมือนก็มาแต่งหน้าด้วย
ทั้งสองคนไม่มีใครพูดกับใคร
มู่น่อนน่อนเก็บลิปสติกใส่กระเป๋าและกำลังจะไป แต่เวลานี้ซูเหมียนกลับเรียกรั้งเธอไว้ “คุณมู่จะไปแล้วเหรอ ยากนักที่จะมีโอกาสได้คุยกับคุณ ทำไมต้องรีบไปด้วยล่ะคะ”
มู่น่อนน่อนหยุดเล็กน้อย เหลือบมองซูเหมียน และพูดอย่างแดกดันว่า “คุณซูมีอะไรจะพูดก็พูดมาตรงๆ ความร้ายลึกมันส่งผลร้ายต่อนิสัยของคุณเหลือเกิน”
ซูเหมียนหน้าบึ้ง สีหน้าสงบนิ่งจางหายไปค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “มู่น่อนน่อน คุณรู้ไหมความต่างของฉันกับคุณอยู่ตรงไหน”
มู่น่อนน่อนเลิกคิ้ว ไม่ได้พูดอะไร รอซูเหมียนพูดให้จบ
“ความแตกต่างระหว่างเรา มันเป็นความแตกต่างระหว่างเมฆกับโคลน” น้ำเสียงของซูเหมียนเจือไอเย็นชา เธอเชิดคางเบะปาก มองมู่น่อนน่อนอย่างยโสอวดดี ดวงตาส่อแววแห่งชัยชนะของผู้ชนะ
สายตาแบบนี้ มู่น่อนน่อนรับรู้ได้ดี
มู่น่อนน่อนไม่แม้แต่จะกะพริบตา เธอเสยผมที่ปรกลงมาตรงหน้าตัวเอง และพูดแบบสบายๆ ว่า “ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ชายของฉันที่คุณเคยโลภอยากได้ แต่ตอนนี้คุณรับช่วงต่อผู้ชายที่ฉันใช้แล้ว”
ทั้งคู่มองหน้ากันสามนาที ก่อนจะตั้งสติแล้วละสายตากันออกไป
หู้หยางเมืองที่ใหญ่ขนาดนี้ แต่โอกาสในการเจอคนรู้จักนั้นสูงเกินไป
แค่ออกมาดูชุดเท่านั้น ก็สามารถประสบพบเจอคนที่ไม่ได้เจอมานาน
โลกนี้มันกลมจนง่ายต่อการเจอศัตรูจริงๆ
เวลานี้ ฉินสุ่ยซานก็ออกมาพอดี
“มู่น่อนน่อน ดูชุดนี้หน่อยสิว่าเป็นยังไงบ้าง” ฉินสุ่ยซานถามเธอหน้าตายิ้มแย้ม เห็นได้ชัดว่าตัวเธอพอใจชุดนี้มาก
ชุดนี้ค่อนข้างดูดีกว่าชุดก่อนหน้านี้ มู่น่อนน่อนจึงพยักหน้าเห็นด้วย
“งั้นก็เอาตัวนี้!” ฉินสุ่ยซานยิ้มแล้วหันหน้าไป แต่แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าพลันจางหาย
เธอโน้มไปข้างหูมู่น่อนน่อนด้วยหน้าตาระมัดระวัง และถามว่า “ซูเหมียนมาเมื่อไร”
คนที่เพิ่งมองหน้ากันกับมู่มู่น่อนน่อน ก็คือซูเหมียน
มู่น่อนน่อนมองไปยังทิศทางของซูเหมียน แล้วตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เพิ่งมา”
ฉินสุ่ยซานสังเกตมู่น่อนน่อนอย่างระมัดระวัง พยายามค้นหาร่องรอยความรู้สึกอื่นๆ บนใบหน้าของเธอ แต่ในที่สุดฉินสุยซ่านก็ผิดหวัง
เธอไม่เห็นอารมณ์อื่นใดบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนเลย
ซูเหมียนเคยมีเรื่องอื้อฉาวกับเฉินถิงเซียวมาก่อน ถึงสุดท้ายแล้วเว่ยป๋อของตระกูลเฉินจะออกมาปฏิเสธข่าวลือ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังรู้สึกว่า “จะมีคลื่นได้อย่างไรหากไร้ลม”
รวมถึงฉินสุ่ยซานที่เป็นคนใน ก็รู้สึกว่าระหว่างเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนนั้นไม่ธรรมดา
แต่ว่าเธอรู้สึกได้ ว่าเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนนั้นไม่ธรรมดายิ่งกว่า
ทว่ามู่น่อนน่อนปากแข็งเกินไป โดยพื้นฐานแล้วเธอแทบจะไม่รู้สิ่งใดเลย
ฉินสุ่ยซานเลิกล้มความคิดที่จะได้ฟังข่าวซุบซิบจากมูน่อนน่อน และพูดเดาว่า “หรือว่าเธอก็จะเข้าร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ด้วย”
คำพูดของฉินสุ่ยซานเตือนมู่น่อนน่อน
ซูเหมียนก็ทำงานในสถานีโทรทัศน์ การมีส่วนร่วมในงานแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“รีบไปเปลี่ยนชุด” มู่น่อนน่อนไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป จึงดันฉินสุ่ยซานเข้าห้องลองชุด
ฉินสุ่ยซานปิดประตูไปด้วยและพูดไปด้วย “รอฉันนะ ฉันจะรีบออกมา”
มู่น่อนน่อนหันตัวไป พบว่าซูเหมียนไม่รู้เดินเข้ามาหาเธอเมื่อไร
อยากแกล้งทำเป็นไม่เห็น มันก็สายเกินไปแล้ว
“คุณมู่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ทำไมรู้สึกว่าคุณดูผอมลงไปเยอะเลย” ซูเหมียนยืนอยู่ตรงหน้ามู่น่อนน่อน เชิดคางขึ้นเล็กน้อย บนใบหน้าแม้เจือรอยยิ้ม แต่ความเย่อหยิ่งที่ซึ่งลึกถึงกระดูกไม่อาจซ่อนได้
ซูเหมียนที่อยู่ตรงหน้า ก็เหมือนเฉินจิ่งหยุ้นในอดีตอีกคน
เพียงแต่ ซูเหมียนดูเก็บอารมณ์มากกว่าเฉินจิ่งหยุ้นในอดีตเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนเลิกคิ้ว นั่งบนโซฟาอย่างขี้เกียจเกินกว่าจะขยับตัว น้ำเสียงเกียจคร้าน “ขอบคุณสำหรับความห่วงใยของคุณซู คุณดูอ้วนขึ้นเยอะนะ ช่วงนี้อาหารการกินคงดีมากแน่เลยใช่ไหม”
จู่ๆ มู่น่อนน่อนก็นึกไปถึงก่อนหน้านี้ตอนที่ซูเหมียนพูด ดูเหมือนจะพูดกับใครสักคน แต่ตอนนี้ ข้างๆ ซูเหมือนไม่มีคนอื่นเลย
คนที่มาดูชุดเป็นเพื่อนเธอ ทำไมอยู่ดีๆ ก็ไปแล้วล่ะ
ซูเหมียนโดนคำพูดของมู่น่อนน่อนเข้าไปจนสำลัก สีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย และไม่รู้ว่าคิดอะไร ไม่นานก็กลับเป็นปกติ “คุณมู่ล้อเล่นแล้ว ไม่จำเป็นว่าปัญหาต้องเป็นเพราะอาหาร บางทีอาจเป็นเพราะมีเรื่องที่สุขใจเกิดขึ้นก็ได้นะ……”
ซูเหมือนเบะปากยิ้มลึกขึ้น และพูดอย่างสื่อความหมายว่า “คุณมู่สีหน้าไม่ค่อยดี คงจะไม่เพราะมีเรื่องเศร้าอะไรเกิดขึ้นหรอกใช่ไหม”
มู่น่อนน่อนหรี่ตาเล็กน้อยมองซูเหมียน “คุณซูหวังให้ฉันเกิดเรื่องเศร้างั้นเหรอ”
เธอรู้สึกเสมอว่ามีบางอย่างในคำพูดของซูเหมียน
“ทำไมคุณถึงคิดกับฉันแบบนั้นล่ะ ถึงยังไงเราสองคนก็รู้จักกันมานาน แน่นอนว่าฉันหวังให้คุณประสบกับเรื่องที่มีความสุข……”
มู่น่อนน่อนมองซูเหมียน โดยไม่พูดอะไร
เธอเหลือบมองไปทางห้องลองชุด คิ้วขมวดเล็กน้อย ทำไมฉินสุ่ยซานยังไม่ออกมาอีก
ฉินสุ่ยซานอาจจะรู้สึกได้ถึงความวิตกกังวลของมู่น่อนน่อน ประตูห้องลองชุดที่เดิมทีปิดสนิท วินาทีต่อมาก็ถูกคนเปิดออกจากด้านใน
ฉินสุ่ยซานเดินออกมา หยิบการ์ดออกมายื่นให้พนักงานขายที่รออยู่ “ห่อชุดนี้ให้ด้วยค่ะ”
มู่น่อนน่อนจึงลุกขึ้นยืน “ไปได้แล้วใช่ไหม”
“อื้ม เดี๋ยวนี้เลย” ฉินสุ่ยซานตอบด้วยรอยยิ้ม
พนักงานเคลื่อนไหวรวดเร็ว ไม่ให้พวกเขาต้องรอนานนำชุดที่ห่อเรียบร้อยแล้วส่งให้
ฉินสุ่ยซานรับชุดที่ห่ออย่างดีแล้วจูงมู่น่อนน่อนเดินไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอไม่ได้พูดกับซูเหมียนสักคำ
แน่นอนว่าฉินสุ่ยซานรู้จักซูเหมียน แต่ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์เชิงบวก
พูดอีกนัยหนึ่ง ซูเหมียนไม่ถูกชะตาฉินสุ่ยซาน ฉินสุ่ยซานก็ไม่ถูกชะตาซูเหมียน
แต่ทั้งสองคนไม่มีความเกี่ยวข้องในเชิงแข่งขัน ถ้าไม่จำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน โดยพื้นฐานแล้วทั้งสองคนจะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกัน
ออกจากร้าน ฉินสุ่ยซานโน้มมาข้างๆ มู่น่อนน่อนและนินทา “เมื่อครู่ที่ฉันอยู่ในห้องลองชุด ได้ยินคุณคุยกับซูเหมียน ถึงไม่รู้ว่าพวกคุณคุยอะไรกัน แต่คนที่หาเรื่องคนอื่นก่อนนิสัยเสีย ซูเหมียนเจตนาไม่ดี เป็นคนร้ายลึก”
“งั้นเหรอ” แม้แต่ฉินสุ่ยซานก็รู้สึกแบบนี้ มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเธออาจจะคิดไม่ผิด ซูเหมียนไม่ได้มาคุยกับเธอโดยไม่มีเหตุมีผล
“เลิกพูดถึงเธอเถอะ พูดถึงเธอแล้วหมดสนุก พวกเราไปดูอย่างอื่นกัน……”
ฉินสุ่ยซานจูงมู่น่อนน่อนไปซื้อรองเท้า กระทั่งถึงตอนเย็นจึงไปทำผม เปลี่ยนชุดและไปยังสถานที่จัดงานด้วยกัน
งานกิจกรรมครั้งนี้ มีหลายผู้สนับสนุนที่ได้รับเชิญมางาน
เมื่อมู่น่อนน่อนเดินเข้าไป พบว่าคนภายในงานกิจกรรมมีมากกว่าที่เธอคิด
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่กิจกรรมใหญ่อะไร ตามหลักแล้ว คนที่มาควรจะมีไม่มากถึงจะถูก
ทันทีที่ฉินสุ่ยซานมาถึงงาน ก็ไปพูดคุยกับบรรดาคนที่มีความเกี่ยวข้องในงานของเธอ
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ในมุมหนึ่ง นั่งมองคนไปๆ มาๆ ด้วยความเบื่อหน่ายสุดจะทานทน เอาเครื่องดื่มมาก็ดื่มไปไม่เท่าไร
“มู่น่อนน่อน!”
จู่ๆ ฉินสุ่ยซานก็รีบวิ่งเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมรีบร้อนขนาดนี้” มู่น่อนน่อนเหล่มองเก้าอี้ข้างๆ ส่งสัญญาณมองฉินสุ่ยซานให้มานั่งแล้วค่อยพูด
“ฉันไม่นั่งแล้ว ฉันเพิ่งได้ยินข่าวล่าสุด เฉินถิงเซียวกำลังจะมา!”
มู่น่อนน่อนฟังแล้วชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพึมพำ “มิน่าล่ะ……”
มิน่าคืนนี้ถึงมีคนมาร่วมงานเยอะมาก ที่แท้ทั้งหมดก็มาเพราะเฉินถิงเซียว
ฉินสุ่ยซานเห็นเธอเงียบ จึงถามว่า “คุณเป็นยังไง พูดหน่อยสิ”
“เขาจะมาก็มา มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉัน” มู่น่อนน่อนยกเครื่องดื่มที่ยังไม่พร่องขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
พนักงานเสิร์ฟเดินผ่านมาพอดี มู่น่อนน่อนหยิบแชมเปญหนึ่งแก้ว ดื่มไปกว่าครึ่งในชั่วอึดใจ
ฉินสุ่ยซานอ้าปากพะงาบๆ มองดูเธอเรอเพราะฤทธิ์แชมเปญ พลางพึมพำ “นี่เรียกว่าไม่เกี่ยวข้องเหรอ”
ดูไปแล้วไม่เพียงมีความเกี่ยวข้อง แต่ยังเกี่ยวข้องอย่างมากด้วย
แต่คำพูดนี้ฉินสุ่ยซานไม่ได้พูดออกมา
เวลานี้ ทันใดนั้นฝูงชนต่างมองไปยังทิศทางเดียวกัน แถมยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ซุบซิบกันด้วย
มู่น่อนน่อนไม่ต้องมองก็รู้ เป็นเพราะเฉินถิงเซียวมาแล้ว
ฉินสุ่ยซานเห็นมู่น่อนน่อนไม่มีแผนที่จะลุก จึงเดินไปดูความครึกครื้นคนเดียว
แต่ไม่นาน ฉินสุ่ยซานก็กลับมาอีกครั้ง
เธอพูดกับมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าที่หลากหลาย “เฉินถิงเซียวพาคู่ควงมาด้วย! คุณเดาไม่ได้แน่ว่าคู่ควงของเขาคือใคร!”
สือเย่ถอนหายใจเล็กน้อย “ผมเข้าใจครับ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้านิดหน่อย แล้วหันเดินไปทางห้องของเฉินมู่พร้อมกับพูดว่า “ฉันไปดูเฉินมู่อีกที เดี๋ยวจะกลับมา”
สือเย่ได้ยินว่าเธอจะไปหาเฉินมู่ ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ยินยอมเงียบๆ
มู่น่อนน่อนไปดูเฉินมู่ ก่อนจะออกจากวิลล่าไป
ประตูใหญ่วิลล่า มีรถสองคันจอดเตรียมพร้อมอยู่แล้ว รถคันหนึ่งในนั้นบรรจุของใช้ของมู่น่อนน่อน รถอีกคันอาจจะมารับเธอไป
มู่น่อนน่อนลดสายตาลงเล็กน้อย “สิ่งของพวกนี้ไม่จำเป็น และไม่ต้องไปส่งฉัน ฉันขับรถไปเอง”
สือเย่เข้าใจอารมณ์โกรธของมู่น่อนน่อน จึงไม่ได้ฝืนบังคับมากนัก แค่ถามหยั่งเชิงว่า “งั้นให้ผมบอกที่อยู่บ้านกับคุณไหมครับ”
“ไม่ต้อง ฉันจะไม่ไปอยู่” มู่น่อนน่อนปฏิเสธตรงๆ และขับรถตัวเองออกไป
สือเย่ยืนอยู่ใต้โคมไฟทางตรงหน้าประตูใหญ่ เห็นมู่น่อนน่อนขับรถจากไปแล้ว ถึงได้โทรออกไปหาเฉินถิงเซียว
“คุณชายครับ”
เฉินถิงเซียวเอ่ยถาม “เธอไปแล้วเหรอ”
“คุณหญิงน้อยเพิ่งไปครับ แต่ว่า……”
คำพูดของสือเย่เพิ่งผ่านไปครึ่งเดียว ก็ถูกเฉินถิงเซียวขัดจังหวะ “เธอไม่ต้องการสิ่งของ และไม่ต้องการบ้านใช่ไหม”
สือเย่ถอนหายใจเล็กน้อย “ใช่ครับ”
ปลายสายโทรศัพท์เกิดความเงียบ ก่อนที่เสียงของเฉินถิงเซียวจะดังขึ้นอีกครั้ง “ผมรู้แล้ว คุณกลับไปก่อน”
เดิมทีสือเย่ยังมีถ้อยคำที่ต้องการพูด แต่คำพูดของเฉินถิงเซียวกลับขัดขวางถ้อยคำในตอนท้ายที่ยังไม่ได้พูดออกมา
“ได้ครับ” เขาจึงได้แต่วางสายไป
……
มู่น่อนน่อนย้ายกลับไปยังห้องชุดที่เช่าไว้ก่อนหน้านี้
ห้องชุดหลังนั้นเธอเซ็นสัญญาระยะยาว ต่อให้ย้ายกลับไปวิลล่าของเฉินถิงเซียว ก็ไม่ได้มีการคืนห้อง
ตอนนี้ได้ใช้สอยอีกครั้งพอดี
ก่อนหน้านี้พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกเคยอาศัยอยู่ในห้องชุดหลังนี้ด้วยกัน ในห้องมีของจุกจิกเพิ่มขึ้นพอสมควร
ที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุด คงเป็นโต๊ะทำงานใหญ่ในห้องโถง
ตอนนั้นเฉินถิงเซียวยืนกรานว่าจะเข้ามาอยู่ ถึงได้ตั้งโต๊ะทำงานไว้ตรงนั้น
มู่น่อนน่อนเดินไปยืนนิ่งที่หน้าโต๊ะครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหลังโต๊ะทำงาน เก็บเอาของที่เหลือบนโต๊ะและชั้นวางหนังสือออกไป หลังจากนั้นเอาคอมพิวเตอร์ของตัวเองกับหนังสือข้อมูลอ้างอิงวางลง
หลังจากนี้ไป นี่จะเป็นโต๊ะทำงานของเธอคนเดียว
ในห้องไม่มีใครอยู่มานาน มู่น่อนน่อนทำความสะอาดง่ายๆ ครู่หนึ่ง ไม่มีความอยากอาหารแม้แต่อาหารเย็นก็ขี้เกียจทาน แค่หลับไปทั้งอย่างนั้น
……
เช้าวันรุ่งขึ้น มู่น่อนน่อนขับรถไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต
ซื้อของใช้ประจำวันและวัตถุดิบทำอาหารมากมาย เพื่อนำกลับไปทำทานเอง
เธอกลับถึงที่พัก เพิ่งทำอาหารเสร็จ ก็ได้รับสายจากฉินสุ่ยซาน
“ที่บอกกับคุณไว้เมื่อวาน ว่าคืนนี้มีงานยังจำได้ไหม มีชุดหรือยัง ตอนบ่ายอยากไปดูด้วยกันไหม”
มู่น่อนน่อนพิงหลังกับพนักเก้าอี้ พูดอย่างไร้แรงกำลัง “ได้สิ”
ฉินสุ่ยซานได้ยินความผิดปกติในน้ำเสียงของมู่น่อนน่อน จึงถามเธอออกไปว่า “ทำไมคุณพูดอย่างไร้แรงกำลังจัง คุณเป็นอะไร”
“ไม่ได้เป็นอะไร ฉันยังมีธุระ ไม่มีอะไรแล้วฉันวางนะ” มู่น่อนน่อนหยิบตะเกียบขึ้นมา จิ้มผักในจานที่อยู่ตรงหน้าอย่างคนไร้จิตวิญญาณ
ฉินสุ่ยซานโทรหาเธอ หลักใหญ่ใจความก็คือเตือนเธอเกี่ยวกับงานคืนนี้ จึงบอกลาแล้ววางสายไป
เมื่อวางสายแล้ว ในห้องก็กลับคืนสู่ท่ามกลางความเงียบงันอีกครั้ง
มู่น่อนน่อนโยนมือถือไปข้างๆ ทานข้าวสองสามคำ แล้ววางตะเกียบลง
ลุกขึ้นเก็บจานชามด้วยความเฉื่อยชา
หลังจากทำความสะอาดครัว เธอนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อีกครั้ง เขียนเนื้อหาใหม่นิดหน่อย เมื่อถึงเวลาที่นัดกับฉินสุ่ยซานไว้ จึงออกไปตามนัด
ทันทีที่ฉินสุ่ยซานเห็นมู่น่อนน่อน ก็กวาดตามองเธออย่างจู้จี้จุกจิก จ้องมู่น่อนน่อนจากศีรษะจดเท้า ก่อนจะส่ายหน้า ทำหน้าตารังเกียจ
“มู่น่อนน่อน คุณรู้ตัวว่าเป็นคนดังหน่อยได้ไหม แม้แต่การแต่งหน้าคุณก็ไม่แต่งออกจากบ้าน แล้วยังชุดคุณนี่อีก แจ็คเก็ตบุนวมตัวใหญ่ กางเกงยีนส์ รองเท้าส้นสูงก็ไม่ใส่……”
มู่น่อนน่อนไม่มีท่าทีใดๆ และยอมให้ฉินสุ่ยซานดุเธอ กระทั่งฉินสุ่ยซานพูดจบ มู่น่อนน่อนถึงได้พูดด้วยหน้าตาจริงจัง “เราไปดูชุดกันตอนนี้เลยได้ไหม”
“คุณได้ฟังที่ฉันพูดไหมเนี่ย” ฉินสุ่ยซานรู้สึกว่าที่ตัวเองเพิ่งพูดไปมากมาย มู่น่อนน่อนอาจจะไม่ได้ฟังเลย
มู่น่อนน่อนตอบกลับอย่างจริงจัง “กำลังฟังอยู่”
ในเมื่อฟังอยู่ แล้วนี่คือปฏิกิริยาเหรอ
ฉินสุ่ยซานค่อนข้างหมดคำจะพูด แต่ยังถามอย่างเป็นห่วง “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณกันแน่”
ปกติมู่น่อนน่อนมักจะไปที่สตูดิโอด้วยการสวมเสื้อผ้าที่ค่อนข้างดูดีพิถีพิถัน วันนี้ออกมาข้างนอกสภาพอย่างนี้ ดูแล้วหดหู่ไม่กระฉับกระเฉงเลย
ไม่ใช่ทุกครั้งที่ฉินสุ่ยซานถามคำถามนี้ มู่น่อนน่อนก้มหน้ามองตัวเองครู่หนึ่ง แล้วจึงถามว่า “ฉันดูเหมือนคนที่มีเรื่องเกิดขึ้นมากเลยเหรอ”
ฉินสุ่ยซานพยักหน้า
มู่น่อนน่อนจมกับความเงียบครู่หนึ่ง “ฉันแค่นอนไม่ค่อยหลับ”
ฉินสุ่ยซานเชื่อเธอก็บ้าแล้ว
……
มู่น่อนน่อนไม่ได้มีข้อกำหนดต่อชุดมากมายอะไรนัก ไม่นานก็เลือกได้
ฉินสุ่ยซานจริงจังกับงานคืนนี้มาก แม้แต่การเลือกชุดยังพิถีพิถันเป็นพิเศษ
เลือกชุดไหนก็ต้องถามมู่น่อนน่อนว่าแบบนี้เป็นยังไง
ทว่า หลังจากมู่น่อนน่อนพูดสิ่งที่ตัวเองคิด ฉินสุ่ยซานกลับคัดค้านเธอ แล้วเลือกใหม่อีก
มู่น่อนน่อนมองฉินสุ่ยซานสักพัก ก็เข้าใจอะไรบางอย่าง
หลังจากฉินสุ่ยซานลองชุดอีกครั้ง มู่น่อนน่อนก็เดินวนรอบตัวเธอ จากนั้นก็โน้มตัวไปข้างหูฉินสุ่ยซาน และกระซิบเสียงเบา “คุณฉิน งานในคืนนี้ สวุมู่หันเข้าร่วมด้วยใช่ไหม”
“คุณรู้ได้ยังไง” ฉินสุ่ยซานเงยหน้าขึ้นหน้าตาประหลาดใจ
หลังจากที่เธอได้เห็นหน้ามู่น่อนน่อนที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ก็รีบหลบสายตาไปมองกระจก แสร้งพูดเป็นว่าไม่สนใจ “เขาจะมาเข้าร่วมหรือไม่มา มันเกี่ยวอะไรกับฉัน”
น้ำเสียงพูดจงใจเลี่ยงประเด็น แต่กลับรู้สึกได้ว่ากำลังพยายามกลบเกลื่อน
มู่น่อนน่อนกลั้นขำ แต่ก็ไม่ได้ต่อหัวข้อนี้อีก
หลายวันมานี้ ฉินสุ่ยซานการงานก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ประสบการณ์ช่ำชองขึ้นเรื่อยๆ แต่สำหรับกับสวุมู่หัน เธอยังแสดงออกชัดเจนเสมอมา
ฉินสุ่ยซานเลือกชุดอย่างยากลำบาก ไม่มีอะไรมากไปกว่าอยากให้ในงานที่ไปคืนนี้ ทำให้สวุมู่หันดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า ดึงดูดความสนใจของสวุมู่หัน
มู่น่อนน่อนนั่งบนโซฟา รอฉินสุ่ยซานเปลี่ยนชุดอย่างอดทน
ครั้งนี้ฉินสุ่ยซานใช้เวลาในการเปลี่ยนชุดค่อนข้างนาน มู่น่อนน่อนรอไปๆ ก็มีอาการใจลอยตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย
ทันใดนั้น พลันมีเสียงผู้หญิงดึงความคิดเธอกลับมา
“ก่อนหน้านี้ฉันสั่งชุดของที่นี่ไว้ คุณช่วยฉันดูหน่อยว่าดูดีไหม” คำพูดของผู้หญิงฟังไปแล้วเหมือนพูดกับคนอื่น
แต่หลังคำพูดของเธอ กลับไม่มีคนตอบ
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อหันมองไปตามเสียง ผู้หญิงที่พูดอยู่นั้นก็มองมาทางเธอเช่นกัน
สายตาของทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ และต่างมีอาการชะงัก
ทันทีที่สิ้นเสียงมู่น่อนน่อน ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
ในห้องเต็มไปด้วยความเงียบอันน่าอึดอัด
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ต่อหน้ามู่น่อนน่อน ไม่มีการส่งเสียงโดยตลอด
มู่น่อนน่อนยื่นมือผลักเขา “พูดสิ!”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร หันตัวเดินออกไป
มู่น่อนน่อนกัดฟัน ชี้ด้านหลังของเขาพร้อมกับพูดว่า “เฉินถิงเซียว ถ้าวันนี้คุณออกไปทั้งแบบนี้ ก็รับผลที่ตามมาเอาเอง!”
แต่ไหนแต่ไรมาไม่ใช่แค่เฉินถิงเซียวที่พูดจารุนแรงได้ เธอก็ทำได้!
เพียงแต่ ส่วนใหญ่แล้วที่เฉินถิงเซียวพูดจารุนแรงใส่เธอ ก็แค่พูดออกมาเพื่อทำให้เธอกลัวเท่านั้น ไม่ได้จะทำอะไรเธอจริงๆ
เฉินถิงเซียวเป็นคนปากร้ายใจดี
และมันแตกต่างจากมู่น่อนน่อน ปกติแล้วส่วนใหญ่เธอจะจิตใจอ่อนโยน แต่ถ้าเธอพูดจารุนแรงออกมา มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นการพูดคำไหนคำนั้น
การก้าวของเฉินถิงเซียวหยุดเล็กน้อย หยุดขณะห่างจากมูน่อนน่อนสามเมตร จากนั้นก็เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยว่าจะหยุดอีกเลย
ปัง!
เสียงของประตูที่ปิดลงนั้นดังสนั่น เหมือนเป็นค้อนทุบหัวใจมู่น่อนน่อนอย่างรุนแรง ทะลวงหัวใจให้เจ็บปวด
มู่น่อนน่อนหมดเรี่ยวแรง เซไปทรุดลงเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ ก้มหน้ายกมือขึ้นกุมใบหน้า นานมากก็ไม่มีการเงยหน้าขึ้นเลย
……
มู่น่อนน่อนอยู่ในห้องของเฉินถิงเซียวเป็นเวลานาน
กระทั่งมีคนมาเคาะประตู
มู่น่อนน่อนถึงได้พบว่า นอกหน้าต่างเป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว
ที่แท้ก็เย็นแล้ว
“มาแล้ว” มู่น่อนน่อนส่งเสียงตอบข้างนอก ก่อนจะลุกขึ้นยืน
แต่เพราะเธอนั่งนานเกินไป สองขาจึงชาเล็กน้อย เอามือเท้าขอบโต๊ะครู่หนึ่ง ถึงบรรเทาอาการชาที่ขาลงได้บ้าง ก่อนจะค่อยๆ เดินออกไป
เธอเปิดประตู มองเห็นสือเย่ยืนอยู่หน้าประตู เกิดอาการค่อนข้างคาดไม่ถึง
“ผู้ช่วยสือ? คุณมาได้ไง” บางครั้งสือเย่จะมาทานอาหารเย็นที่วิลล่า แต่ก็เป็นในตอนที่ก่อนหน้านั้นเฉินถิงเซียวทำงานที่บริษัท แล้วสือเย่มาส่งเขาในเวลาอาหารเย็นพอดี
ภายใต้สถานการณ์ปกติ สือเย่จะมาแค่ส่งเอกสาร และรายงานเรื่องงานกับเฉินถิงเซียว โดยพื้นฐานแล้วก็จะไม่อยู่นาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมาหามู่น่อนน่อน
สือเย่มีสีหน้าลำบากใจ เขาขยับริมฝีปาก ดูเหมือนมีบางถ้อยคำที่ยากจะพูด ลังเลอยู่นานก็ไม่พูด
“มีอะไรก็พูดตรงๆ” ความสงสัยในใจมู่น่อนน่อนขยายขอบเขตไม่หยุด เรื่องอะไรที่สามารถทำให้สือเย่ผู้สุขุมสงบนิ่งอยู่เสมอมีลักษณะอึกๆ อักๆ เช่นนี้
สือเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนว่าในที่สุดก็ตัดสินใจได้ ก้มหน้าลง พูดค่อนข้างเร็วกว่าที่เคยเป็น ฟังดูไม่เหมือนสงบนิ่งเช่นปกติ “คุณหญิงน้อย คนรับใช้ได้เก็บสัมภาระของคุณเรียบร้อยแล้ว และรถพร้อมแล้ว คุณสามารถไปได้ตอนนี้เลยครับ”
“หมายความว่ายังไง” สีเลือดบนใบหน้ามู่น่อนน่อนพลันจางหายไป หน้าซีดลงทีละน้อยๆ น้ำเสียงสั่นเครือ “คุณเงยหน้าขึ้นมองฉัน บอกฉันมาให้ชัดเจน นี่มันเรื่องอะไร!”
สือเย่ไม่ได้เงยหน้า “คุณชายฝากบอกว่า นี่คือบ้านของเขา ตอนนี้คุณกับเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะฉะนั้น…..ตอนนี้คุณ……”
มู่น่อนน่อนขัดจังหวะคำพูดของสือเย่ “เฉินถิงเซียวไล่ฉันไปเหรอ”
สือเย่ไม่กล้าพูดอีก ใช้ความเงียบเป็นคำตอบรับโดยปริยาย
มู่น่อนน่อนก็รู้ ว่าครั้งนี้เธอกับเฉินถิงเซียวทะเลาะกันหนัก แต่อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะถึงกับไล่เธอไป!
ตอนนั้นที่เฉินถิงเซียวพยายามทุกวิถีทางให้เธอมาอยู่ที่นี่ ไม่อยากเชื่อว่าจะไล่เธอไปแบบนี้!
มู่น่อนน่อนยกมือขึ้นทึ้งผมตัวเอง ส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ย ก่อนจะพูดเสียงดัง “เฉินถิงเซียวล่ะ เขาอยู่ที่ไหน ฉันต้องการพบเขา! เขาจะไล่ฉันไป ก็ให้เขามาบอกกับฉันเอง!”
สือเย่เงยหน้าขึ้นเหลือบมองเธอ เม้มริมฝีปาก ไม่ได้ตอบรับ
เดิมทีมันเป็นเรื่องของเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนสองคน แต่เฉินถิงเซียวดันต้องการให้เขามาจัดการ
ครั้งแรกเขาได้รับคลื่นความรุนแรงอันเยือกเย็นของเฉินถิงเซียวก่อน ตอนนี้ต้องเผชิญกับความโกรธของมู่น่อนน่อนอีก
สือเย่รู้สึกว่า เป็นไปได้ว่าชาติก่อนเขาอาจจะเป็นหนี้บุณคุณอันใหญ่หลวงของเฉินถิงเซียว ดังนั้นชาตินี้จึงต้องมาทดแทนคุณ ถึงได้ถูกเฉินถิงเซียวไช้เยี่ยงทาส
มู่น่อนน่อนไม่ได้รับการตอบจากสือเย่ ความโกรธในจิตใจไม่ลดลงมีแต่จะเพิ่ม “ได้! คุณไม่บอกฉันว่าเฉินถิงเซียวอยูที่ไหน ฉันไปหาเขาเอง!”
เธอผลักสือเย่ เพิ่งก้าวไปก้าวเดียว ทันทีที่เงยหน้าขึ้นก็เห็นเฉินถิงเซียว
ชุดสูทที่เฉินถิงเซียวสวมยังเป็นชุดเดียวกับที่เขาทะเลาะกับมู่น่อนน่อนในห้องทำงานก่อนหน้านี้ ตอนที่เธอออกไปเมื่อเช้าได้เตรียมมันไว้ให้เฉินถิงเซียวเป็นพิเศษ
และตอนนี้เขา ใส่สูทตัวนั้นที่เธอเลือกให้เขาเมื่อเช้านี้ เดินมาตรงหน้าเธอ เพื่อขับไล่เธอไป!
มือของมู่น่อนน่อนที่ตกอยู่ข้างตัวกระชับเข้าหากันแน่นโดยอัตโนมัติ กำจนข้อนิ้วเริ่มเจ็บ
เธอจ้องมองเฉินถิงเซียวเขม็ง แม้ดวงตาก็ไม่มีการกะพริบสักนิด เพราะกลัวจะพลาดการแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเดินมาตรงหน้าเธอ เลื่อนสายตาลงเหล่มองเธอ บนใบหน้าเจือความเฉยเมยไม่แยแสแสดงออกชัดว่าไม่มีการยอมอ่อนข้อให้
ดวงตาของเขาแปลกประหลาดและไร้ซึ่งความรู้สึก ขณะที่พูด แต่ละอย่างล้วนไม่หลงเหลือความผูกพันในอดีต “ผมให้สือเย่มาพูดกับคุณ เพื่อไว้หน้าคุณ แต่คุณต้องการให้ผมมาพูดเอง ได้ ผมจะช่วยให้คุณสมปรารถนา”
มู่น่อนน่อนควบคุมตัวเอง พยายามพูดน้ำเสียงราบเรียบ “คุณพูดมา”
“เราหย่ากันเมื่อสามปีก่อน ตอนนี้จึงไม่ใช่ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา ในเมื่อเป็นแบบนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน” เฉินถิงเซียวไม่เคยพูดอะไรให้มากความ แต่ทันทีที่เขาพูด ล้วนแทงใจทุกถ้อยคำ
“ความหมายของคุณคือ……แยกทาง?” สองคำหลัง มู่น่อนน่อนแทบจะเค้นออกมา
“ส่วนแบ่งที่ควรให้คุณ ผมจะไม่ให้คุณน้อยแน่นอน ส่วนเฉินมู่ ตอนนี้คุณไม่สะดวกดูแลเธอ ก็ให้เธออยู่กับผมก่อน ถ้าต่อไปคุณต้องการสิทธิ์เลี้ยงดู ก็มาหาผมโดยตรง”
ความสงบของเฉินถิงเซียว กับน้ำเสียงเรียบนิ่งของเขา ในเวลานี้ล้วนแล้วแต่ทำให้มู่น่อนน่อนตัวสั่นน้อยๆ ท่าทางตื่นตระหนกจนผิดปกติ
เธอรู้ว่าเธอควรเรียนรู้ที่จะสงบเยือกเย็นอย่างเฉินถิงเซียว แต่เธอทำไม่ได้!
เธอมองเฉินถิงเซียวอย่างไม่อยากเชื่อ “แม้แต่มู่มู่คุณก็ไม่ต้องการเหรอ”
“ไม่ว่ามู่มู่จะอยู่กับคุณหรืออยู่กับผม สำหรับผมมันก็เหมือนกัน ยังไงที่ไหลเวียนในตัวเธอทั้งหมดก็เป็นเลือดของผม”
เฉินถิงเซียวพูดถึงตรงนี้ ก็ชำเลืองมองมู่น่อนน่อน ยกข้อมือขึ้นมองดูเวลา ก่อนสายตาจะกลับไปตกที่ตัวมู่น่อนน่อน “ผมมีธุระต้องออกไปข้างนอก หวังว่าก่อนผมกลับมา คุณจะรีบออกไปโดยเร็ว”
เขาพูดจบ ก็หันหลังเดินจากไป
“คุณชาย……” สือเย่เห็นสีหน้าท่าทางของมู่น่อนน่อน จึงเรียกเฉินถิงเซียวไว้อย่างค่อนข้างทนไม่ได้
เฉินถิงเซียวกวาดมองเขา น้ำเสียงสบายๆ “สือเย่ ผมเชื่อความสามารถในการจัดการของคุณ”
สือเย่ปวดหัว “……ผมเข้าใจแล้วครับ”
เฉินถิงเซียวก้าวกว้างเดินจากไป ไม่มีการหยุดหรือลังเลแม้แต่น้อย
“คุณหญิงน้อยครับ คุณ……” สือเย่หันหน้ากลับมา เห็นมู่น่อนน่อนยังคงมองไปยังทิศทางที่เฉินถิงเซียวจากไป คำพูดในตอนหลังไม่รู้จะพูดออกไปอย่างไร
มู่น่อนน่อนหายใจหนักครู่หนึ่ง น้ำเสียงนิ่งสงบกลับคืนมา “ผู้ช่วยสือ ฉันจะไปเอง ไม่ทำให้คุณลำบากหรอก หลังจากที่ฉันไม่อยู่ หากคุณมีเวลาว่างก็มาดูมู่มู่ด้วยนะ”
มู่น่อนน่อนตรงกลับบ้าน
หลังจากพาเฉินมู่กลับบ้าน เพื่อความสะดวกใจการดูแลเฉินมู่ เฉินถิงเซียวแทบจะย้ายงานมาอยู่ที่บ้าน
เว้นแต่จะมีการประชุมและสิ่งที่จำเป็น ถึงจะไปบริษัท
มู่น่อนน่อนก็เช่นกัน
เมื่อเธอกลับถึงบ้านคนแรกที่เห็นไม่ใช่เฉินถิงเซียว แต่เป็นเฉินจิ่งหยุ้น
เห็นได้ชัดว่าเฉินจิ่งหยุ้นเห็นข่าวแล้ว เพราะมีสีหน้าไม่ดีใส่มู่น่อนน่อน
ทันทีที่เธอเห็นมู่น่อนน่อน ก็เดินเข้าหามู่น่อนน่อนทันที “ข่าวนั้นหมายความว่าไง ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”
เวลานี้มู่น่อนน่อนอารมณ์ไม่ดี เธอสามารถยอมรับการสอบสวนของเฉินถิงเซียวได้ แต่จะไม่รับการสอบสวนของเฉินจิ่งหยุ้น
“เป็นใครงั้นเหรอ” มู่น่อนน่อนหัวเราะเย็นชา “ชายคนนั้นยังเป็นใครได้อีกล่ะ นั่นก็คือคนที่ตอนนั้นคุณหามาสะกดจิตเฉินถิงเซียวไง ผู้เชี่ยวชาญการสะกดจิตที่ปิดความทรงจำให้เขา พอเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่สวมแมส คุณก็ไม่รู้จักแล้วเหรอ”
เฉินจิ่งหยุ้นสีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน สีหน้าซีดเผือดมองมู่น่อนน่อน พูดอะไรไม่ออก
“เรื่องที่เขาทำ มันมีมากกว่านั้นอีกนะ! ที่มู่มู่กลายเป็นแบบนี้ มันก็เป็นเพราะเขาด้วย!” มู่น่อนน่อนเสียงหนักขึ้น ดูเย็นชาและรุนแรงมาก
เฉินจิ่งหยุ้นราวกับโดนระเบิด เซไปสองก้าว ยากลำบากกว่าจะยืนนิ่งได้
ผ่านไปสักพัก เฉินจิ่งหยุ้นกลืนน้ำลายสองครั้ง ก่อนจะพูดออกมาหนึ่งคำ “ขอโทษ”
เธอพูดจบ ก็หันหน้าหนีไปอีกทาง ไม่กล้ามองหน้ามู่น่อนน่อน
นี่ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังกลั่นแกล้งผู้ป่วยระยะสุดท้าย
มู่น่อนน่อนตั้งสติ ก่อนจะพูดว่า “ฉันมีธุระ ไปหาเฉินถิงเซียวก่อน”
เธอพูดจบ ก็รีบขึ้นไปหาเฉินถิงเซียว
เธอเปิดประตูห้องหนังสือ พบว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้อยู่ภายใน ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เดาว่าเขาอาจจะอยู่ในห้องของเฉินมู่ จึงเปลี่ยนทิศเดินไปทางห้องของเฉินมู่
หลังจากเฉินมู่กลับมาบ้าน สถานการณ์ดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
แม้ยังคงไม่พูดอะไร แต่สามารถจดจำคนได้แล้ว
มู่น่อนน่อนยืนเคาะประตู หลังจากนั้นถึงเปิดออกเบาๆ
เธอเพิ่งผลักประตูเปิด ก็เห็นเฉินมู่วิ่งมาหาเธอ ขณะที่เธอยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็วิ่งไปซ่อนอยู่ด้านหลังเธอแล้ว
แม้จะรู้ว่าเฉินมู่ไม่สามารถตอบคำถามของเธอได้ เธอก็ยังถามออกไปหนึ่งคำ “เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองเข้าไปในห้อง เห็นของเล่นกระจัดกระจายไปทั่วพื้นห้อง
และเฉินถิงเซียวกำลังนั่งอยู่บนพื้น ค่อยๆ เรียงซ้อนสร้างบล็อก
ไม่ไกลจากตรงเฉินถิงเซียว มีหนึ่งกองบล็อกเล็กๆ นั่นอาจจะเป็นผลงานชิ้นเอกของเฉินมู่
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป ลดสายตาลงเหล่มองเฉินถิงเซียวที่อยู่บนพื้น “คุณแกล้งมู่มู่เหรอ”
เฉินมู่ที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังมู่น่อนน่อนส่งเสียงเล็กเยาะหยัน “หึ”
“ผมบอกว่าจะเล่นด้วย เธอไม่ยอม งั้นก็แค่ต่างคนต่างเล่น” เฉินถิงเซียวยกเปลือกตาขึ้นเหลือบมองมู่น่อนน่อนแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มศีรษะไปสร้างบล็อกต่อ
ผู้ชายคนนี้นี่มัน……ไร้สาระจริงๆ เลย!
แม้แต่ของเล่นของเด็กยังจะแย่ง
มู่น่อนน่อนจูงเฉินมู่เดินไปยังบล็อกไม้กองเล็ก ยิ้มเล็กน้อยและพูดกับเธอว่า “มู่มู่เด็กดี เล่นต่อเถอะ ขาดอะไรเดี๋ยวแม่เอาให้หนูเอง”
เฉินมู่มองเธออย่างว่างเปล่า หยิบบล็อกไม้ขึ้นสร้างต่อไป
เพียงแต่ว่า เมื่อเธอหยิบชิ้นบล็อก ก็จะเหลือบมองมู่น่อนน่อน
บล็อกตัวต่อชุดนี้มู่น่อนน่อนเคยเล่นกับเฉินมู่มาก่อน รู้ว่าซ้อนตรงไหนแล้วจะได้สีอะไรรูปร่างแบบใด เธอหันหน้าไปแล้วหยิบเอาสิ่งที่มู่มู่ต้องการจากตรงเฉินถิงเซียว
ตอนแรกที่มู่น่อนน่อนหยิบมาจากตรงเฉินถิงเซียว เฉินมู่ยังไม่กล้ารับ
เธอหดศีรษะลงมองมือเล็ก แล้วชำเลืองมองเฉินถิงเซียวอย่างระมัดระวัง ไม่กล้ารับ
มู่น่อนน่อนจึงวางตรงหน้าเฉินมู่ แล้วหันหน้าไปเอาของเฉินถิงเซียวมาอีก
หลังจากเธอเอามา ยังถามเฉินมู่ด้วยว่า “ตอนนี้ต้องการอันนี้ใช่ไหม ไม่ต้องกลัว มันเป็นของเล่นของหนูตั้งแต่แรก หนูไม่ยอมให้เขาเล่น เขาเอามันไปเอง แม่เอากลับมาให้หนู”
เช่นนี้เฉินมู่ถึงได้กล้ารับบล็อกไม้ที่มู่น่อนน่อนส่งให้
เฉินถิงเซียวมองปราสาทที่ตัวเองเรียงซ้อนอย่างดีถูกมู่น่อนน่อนทำพังด้วยหน้าตาไร้อารมณ์ โดยไม่พูดอะไรสักคำ
เขามองเฉินมู่สร้างปราสาทเสร็จเรียบร้อยอย่างเย็นชา แล้วจึงลุกขึ้นเดินออกไป
มู่น่อนน่อนเห็นเขาออกไปแล้ว ก็ลุกขึ้นตามไป
มู่น่อนน่อนปิดประตูห้องของเฉินมู่ แล้ววิ่งเหยาะๆ เพื่อไล่ให้ทันการก้าวของเฉินถิงเซียว
เธอกัดริมฝีปาก หันหน้าไปด้านข้างมองเฉินถิงเซียว แต่กลับไม่เห็นอารมณ์อะไรที่ชัดเจนบนใบหน้าของเขา
กระทั่งเฉินถิงเซียวเข้าห้องหนังสือ มู่น่อนน่อนตามเขาเข้าไป และเอ่ยถามอย่างค่อนข้างลังเล “คุณเห็นข่าวแล้วหรือยัง”
“คุณหมายถึงศาตราจารย์แซ่ลี่ โดนแฉข่าว ‘แฟนสาว’ น่ะเหรอ” เฉินถิงเซียวลดสายตาลงมองเธอ มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยนั้นไร้ซึ่งร่องรอยของอุณหภูมิ น้ำเสียงก็ค่อนข้างเย็นชาเช่นกัน
“นี่เป็นครั้งล่าสุดที่ฉันกับลี่จิ่วเชียนพบกันในร้านอาหาร เขาสั่งคนให้มาถ่ายรูปสร้างเรื่อง จงใจให้สื่อเขียนแบบนี้ เขาตั้งใจสร้างปัญหาให้ฉัน”
เธอยังถึงขั้นสงสัยจุดหนึ่ง ว่าลี่จิ่วเชียนอาจจะรู้แล้วว่าเธอไม่ได้ถูกสะกดจิต
“ถ้าตอนนั้นคุณไม่ตัดสินใจเองเออเอง แอบวิ่งโร่ไปหาลี่จิ่วเชียนที่เมืองM พวกเราก็จัดงานแต่งงานไปนานแล้ว! ได้เปิดเผยต่อสาธารณชนไปนานแล้วว่าคุณ มู่น่อนน่อนคือผู้หญิงของผม!”
คำพูดของเฉินถิงเซียวดังและดุดันขึ้น
“เพราะอย่างนั้นคุณเลยโทษฉันเหรอ สถานการณ์อย่างในตอนนั้นคุณจะให้ฉันทำยังไง คุณจะให้ฉันเป็นคนเนรคุณเหรอ คุณอย่าลืมนะ การสืบเสาะค้นหาความจริง เรื่องราวทุกอย่าง ล้วนเป็นเพราะพวกคุณคนตระกูลเฉินทั้งนั้น!”
มู่น่อนน่อนโมโหจนวิงเวียนศีรษะ คิดอะไรก็พูดออกไปอย่างนั้น
“ถ้าไม่ใช่เพราะซือเฉิงหยู้ เฉินมู่ที่ยังไม่ครบเดือนจะถูกคนลักพาตัวไปเหรอ ถ้าไม่ใช่เฉินจิ่งหยุ้น คุณจะสูญเสียความทรงจำไปสามปีเหรอ ไม่ใช่ว่าตลอดมาคุณอยากปกป้องฉันเหรอ อยากให้ฉันไม่ทำอะไรเลยสักอย่างเหรอ ได้เลย เราเลิกกัน! แยกทางกันตอนนี้เลย ฉันกับคุณ เฉินถิงเซียวเราไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก สิ้นสุดกันเท่านี้!”
มู่น่อนน่อนขึ้นเสียงสูง มันแหลมเสียจนตัวเธอเองยังรู้สึกว่ามันค่อนข้างไม่ใช่ตัวเธอ
เฉินถิงเซียวใบหน้าหมองคล้ำมองเธอ ทั้งกายเครียดเกร็งราวกับจะสูญเสียการควบคุมได้ทุกขณะ
มู่น่อนน่อนรู้จักเขาดี รู้สึกได้ถึงความโกรธอันรุนแรงที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาแล้ว
ทว่า เขายังคงควบคุมตัวเองและอดทนอดกลั้น
ความโกรธในใจมู่น่อนน่อนก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเขา
หน้าอกของเธอสั่นสะท้านไม่หยุด และอดทนกับอารมณ์ของตัวเองเช่นกัน
สองคนเผชิญหน้า
เป็นเวลานาน ก่อนที่น้ำเสียงเย็นชาและไร้อารมณ์ของเฉินถิงเซียวจะดังขึ้น “มู่น่อนน่อน ในที่สุดคุณก็พูดในสิ่งที่คุณคิดออกมา”
มู่น่อนน่อนดวงตาเบิกกว้าง มองไปยังเฉินถิงเซียว
ตอนนี้เธอสงบลงบ้างแล้ว และรู้ตัวว่าเมื่อครู่เผลอพูดอะไรผิดไป
แต่ถ้อยคำที่เฉินถิงเซียวพูด มันกลับทำลายความสงบที่เพิ่งเกิดขึ้นในจิตใจของเธอ
เธอจ้องมองเฉินถิงเซียวอย่างแน่วแน่ พูดเน้นคำต่อคำ “ไม่ผิด นี่คือสิ่งที่ใจฉันคิดจริงๆ! ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในใจฉันคิดแบบนี้เสมอ! ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่กับคุณ หลายสิ่งหลายอย่างจะไม่เกิดขึ้น!”
พูดถึงเรื่องตอนนั้น มู่น่อนน่อนทอดถอนใจเล็กน้อย
“เสี่ยวเหลียง ความจริงแล้วมีเรื่องหลายเรื่องที่ในตอนนั้นรู้สึกว่าลำบาก ตอนนี้ทำให้ฉันหวนคิดถึงในตอนนั้น กลับรู้สึกว่าก็ไม่ได้ลำบากอะไรมาก”
“นี่เรียกว่าแผลเป็นที่หายดีแล้วจนลืมความเจ็บปวด!” เสิ่นเหลียงแหย่ที่หัวของมู่น่อนน่อนไปทีหนึ่ง:“ถึงอย่างไรเธอก็ต้องระวังเฉินจิ่งหยุ้นหน่อย ฉันไปก่อนนะ”
“ขับรถระวังด้วยนะ”
เสิ่นเหลียงหันกลับมาแล้วเดินถอยหลัง:“รู้แล้วนะ! ถ้าหากแต่งงานแล้วจู้จี้จุกจิกอย่างนี้ ชีวิตนี้ฉันก็ไม่อยากแต่งงานแล้ว!”
ใบหน้ามู่น่อนน่อนผุดรอยยิ้มออกมา มองดูเสิ่นเหลียงขับรถจากไป แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าถึงค่อย ๆ จางลง!”
ลี่จิ่วเชียนคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย เขาเชี่ยวชาญเรื่องการใช้คนและเรื่องราว
กลัวว่าวันหนึ่ง ลี่จิ่วเชียนอยากจะคุกคามเธอนั้น แม้แต่เสิ่นเหลียงก็อาจจะไม่ยอมละเว้น
ดังนั้น ช่วงนี้ทางที่ดีอย่าเพิ่งติดต่อกับเสิ่นเหลียงจะดีที่สุด
……
ถ้าหยุดคิดเรื่องเลว ๆ ของลี่จิ่วเชียนที่แอบทำอย่างลับ ๆ แล้ว รูปลักษณ์และบุคลิกลักษณะของเขานั้นถือว่าเยี่ยมยอดเลย เป็นศาสตราจารย์ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพิเศษในมหาวิทยาลัย ในบรรดาศาสตราจารย์วัยกลางคนหัวล้าน เขาก็เป็นคนที่ดูสะดุดตาที่สุด
ด้วยเหตุนี้ ลี่จิ่วเชียนจึงกลายเป็นคนดังอย่างรวดเร็ว
เมื่อมู่น่อนน่อนออกไปทำงานนั้น ก็ได้แวะไปทานอาหารข้างนอก จึงบังเอิญได้ยินสาว ๆ เหล่านั้นคุยกันถึงเรื่องลี่จิ่วเชียนศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย Z
ลี่จิ่วเชียนสามารถซื้อใจคนได้อย่างช่ำชอง
แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก
มู่น่อนน่อนคิดถึงเรื่องราวในตอนนั้น ลี่จิ่วเชียนเพื่อต้องการความเชื่อใจจากเธอ จึงไม่ลังเลดูแลเธอที่เป็นเจ้าหญิงนิทราสามปีเต็ม ๆ
ความเพียรพยายามแบบนี้ ไม่ใช่คนทั่วไปที่จะทำได้
ลี่จิ่วเชียนกลายเป็นคนดัง นี่เดิมทีก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ
แต่ เธอลืมไปเลยว่า คนดังนั้นมักจะมีทั้งเรื่องที่จริงและไม่จริง
“ศาสตราจารย์ลี่หล่อมากจริง ๆ โดยเฉพาะตอนที่สอนอยู่ในห้องเรียน!”
“ไม่รู้ว่าคนแบบไหนกันที่จะโชคดีกลายเป็นคุณนายลี่ คิด ๆ แล้วรู้สึกน่าอิจฉาจัง!”
“……”
มู่น่อนน่อนแค่ทานอาหารกลางวันในร้านอาหารเท่านั้น สาว ๆ โต๊ะข้าง ๆ ก็พูดคุยแต่เรื่องของลี่จิ่วเชียน
ถ้าหากว่าพวกเธอรู้ลี่จิ่วเชียนเป็นเศษสวะ ที่ทำเรื่องเลว ๆ อย่างลับ ๆ แม้แต่เด็กก็ไม่เว้น ไม่รู้ว่าพวกเธอจะยังคลั่งไคล้เขาอยู่อีกหรือเปล่า
มู่น่อนน่อนยิ้มเยาะ แล้วเรียกพนักงาน:“คิดเงินค่ะ”
ตอนที่เธอออกไปนั้น ตรงกันข้ามก็มีหญิงสาวสองคนเดินเข้ามา
ก็ไม่รู้ว่าเหตุผลอะไร สองสาวนั้นจ้องมองมู่น่อนน่อนตลอดเวลา
จนกระทั่งเธอเดินออกไปไกล ตอนที่หันกลับมานั้น ยังคงเห็นหญิงสาวสองคนนั้นชี้มาทางตัวเอง
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเบา ๆ แล้วก็รีบก้าวเท้ายาวเดินกลับไปที่ห้องทำงานของฉินสุ่ยซาน
“คุณมู่……”
เธอเดินเข้าไปนั้น พนักงานให้ห้องทำงานก็ทักทายเธอด้วยท่าทีกระอึกกระอัก
มู่น่อนน่อนหยุดชะงักเท้าขึ้น แล้วถามเธอ:“เป็นอะไร ทำไมถึงมองฉันแบบนั้น มีอะไรก็ให้พูดมา”
พนักงานคนนั้นส่ายหน้า:“คุณดูจากในอินเทอร์เน็ตเองนะคะ”
มู่น่อนน่อนพลางหยิบโทรศัพท์มา พลางเดินไปยังห้องทำงานของฉินสุ่ยซาน
ตอนเช้าฉินสุ่ยซานออกไปคุยธุระด้านนอก ตอนนี้ยังไม่กลับมา แต่ว่าห้องทำงานของเธอ มู่น่อนน่อนสามารถเข้าออกได้ตามสบาย
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป แล้วนั่งลงบนโซฟา หยิบโทรศัพท์ออกมาท่องอินเทอร์เน็ต
มู่น่อนน่อนเข้าหน้าเพจบันเทิงท้องถิ่น แล้วก็เห็นถึงในสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น
“เปิดตัวแฟนสาวของศาสตราจารย์ลี่ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเธอ!”
หัวข้อที่ได้รับความสนใจจากผู้ชม จำนวนการคลิกเกินสบล้านครั้งแล้ว ความคิดด้านล่างก็เกินหมื่น
มู่น่อนน่อนดูข้อมูลก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นถึงค่อยคลิกดูรายละเอียดข้อความ
แค่ดูก็ชัดเจนอยู่แล้ว ยังต้องมีรายละเอียดอะไรอีก รูปด้านบนสุดที่ขยายใหญ่อย่างละเอียด ก็เพียงพอที่จะทำให้สื่อต่าง ๆ เขียนรายงานได้อย่างยาวเหยียดแล้ว เพียงพอที่จะให้คนดูคิดไปต่าง ๆ นานา
เป็นรูปที่ถูกถ่ายเมื่อสองสามวันก่อนที่เธอออกไปทานข้าวกับลี่จิ่วเชียน
เมื่อก่อนมู่น่อนน่อนก็เคยถูกนักข่าวแอบถ่ายภาพ และก็บล็อกมาหลายครั้งแล้ว เธอยังคงอ่อนไหวกับกล้องเล็กน้อย
แต่ว่าวันนั้นเธอไม่รู้สึกเลยว่ามีคนแอบถ่าย
อีกทั้งรูปยังถ่ายได้ออกมาชัดเจน……
มือของมู่น่อนน่อนที่จับมือถือไว้ได้กำแน่นขึ้น แล้วออกจากหน้าเพจอินเทอร์เน็ต จากนั้นโทรศัพท์ไปหาลี่จิ่วเชียน
ลี่จิ่วเชียนที่เหมือนกับรอโทรศัพท์ของเธอมาโดยตลอด เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้นเพียงสองครั้ง ก็ถูกรับสายขึ้น
“น่อนน่อน” น้ำเสียงของเขาที่อ่อนโยน แต่ฟังแล้วมู่น่อนน่อนถึงกับขนลุก
มู่น่อนน่อนจึงไม่มีความเกรงใจ เธอจึงถามตรง ๆ :“ลี่จิ่วเชียน คุณหมายความว่าอย่างไร ฉันเห็นข่าวแล้ว! นี่คุณตั้งใจให้คนมาถ่าย และเขียนข่าวออกมาใช่ไหม”
“ฉลาดจริง ๆ!” ข่าวเพิ่งจะออกมา คุณก็รู้ว่าผมเป็นคนทำ” น้ำเสียงของลี่จิ่วเชียนฟังดูแล้ว เหมือนรู้สึกภาคภูมิใจ
มู่น่อนน่อนโมโหกัดริมฝีปาก:“ทางที่ดีคุณช่วยฉันไปชี้แจงให้กระจ่างเดี๋ยวนี้!”
“นี่คุณกำลังออกคำสั่งผมเหรอ” น้ำเสียงของลี่จิ่วเชียนสบาย ๆ แต่มู่น่อนน่อนกลับรู้สึกได้ว่าในน้ำเสียงของลี่จิ่วเชียนมีความโกรธซ่อนอยู่
มู่น่อนน่อนกำลังจะอ้าปากพูด ก็ได้ยิเสียงเปิดประตูดังขึ้นจากด้านหลัง
“แล้วแต่คุณจะคิดก็แล้วกัน” มู่น่อนน่อนพูดเสร็จก็วางสายโทรศัพท์ลง
มู่น่อนน่อนกุมโทรศัพทไว้แน่น สูดลมหายใจเข้ายาว ๆ เพื่อระงับอารมณ์ของตัวเอง จากนั้นถึงหันหน้ามา
ฉินสุ่ยซานผลักประตูเข้ามาพอดี สายตาตกกระทบไปที่ใบหน้าของมู่น่อนน่อนครู่หนึ่ง:“นี่เธอเป็นอะไร สีหน้าดูแย่จัง”
เธอพลางพูดพลางเดินไปที่ด้านหน้าโต๊ะทำงาน แล้วต่อสายภายในเรียกผู้ช่วยชงกาแฟมาให้เธอ
เมื่อผู้ช่วยออกไป มู่น่อนน่อนถึงได้เดินมาที่ด้านหน้าโต๊ะทำงานของฉินสุ่ยซาน จากนั้นนั่งลงบนเก้าอี้
ฉินสุ่ยซานจิบกาแฟหนึ่งเบา ๆ แล้วพลางเปิดคอมพิวเตอร์พลางคุยกับมู่น่อนน่อน:“คืนพรุ่งนี้มีงานอีเว้นท์ เธอไปร่วมงานกับฉันนะ”
วินาทีต่อมา กาแฟในปากของเธอก็พุ่งทะลักออกมา
“อึก……แค่ก ๆ……
ฉินสุ่ยซานสำลักจนน้ำตาไหลออกมา จากนั้นปิดจมูกแล้วรีบกล่าวขึ้น:“ทิชชู ยื่นทิชชูให้ฉันหน่อย!”
มู่น่อนน่อนน่าจะคาดเดาได้ว่าฉินสุ่ยซานเห็นถึงอะไร จึงได้มีปฏิกิริยาเช่นนี้
เธอยื่นกล่องทิชชูให้ฉินสุ่ยซานด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
ฉินสุ่ยซานสักพักถึงได้สงบลง
คอมพิวเตอร์ของเธอเป็นแล็ปท็อป เธอจึงหันแล็ปท็อปมาทางมู่น่อนน่อน:“พูดสิ เธอกับศาสตราจารย์คนนี้ยังไงกัน ไม่ว่าจะข่าวอะไรก็มีเธอไปพัวพันตลอด นี่เพิ่งจะสงบไปสองสามวันหลังเธอกลับมาเองนะ! ฉันรู้สึกว่าเธอไปเป็นนักเขียนบทคงจะเก่งน่าดู แต่ว่าเป็นไปนักแสดงหน้าจอเถอะ”
มู่น่อนน่อนจ้องเขม็งเธอแวบหนึ่ง:“ไร้สาระ”
“ไม่เป็นนักแสดงก็ได้ รายการวาไรตี้เป็นไง ตอนนี้รายการวาไรตี้ต่าง ๆ ทางทีวี ออนไลน์ ต่างทำเงินได้มากเลยนะ!” น้ำเสียงอของฉินสุ่ยซานจริงจังมาก พูดราวกับเป็นเรื่องจริง
เห็นสีหน้าของมู่น่อนน่อนยังคงแย่ ฉินสุ่ยซานจึงไม่พูดล้อเล่นกับเธออีก
ฉินสุ่ยซานทำสีหน้าจริงจัง :“ข่าวเหล่านี้ต้องการให้ฉันช่วยเคลียร์ให้ไหม”
“ไม่ต้องหรอก ขอบคุณนะ วันนี้ฉันขอตัวกลับก่อน” มู่น่อนน่อนพูดจบก็ถือกระเป๋าเดินออกไป
ฉินสุ่ยซานไม่ลืมที่จะเตือนเธอ:“เออ งานอีเว้นท์คืนพรุ่งนี้ เธออย่าลืมเชียวนะ!”
“ฉันรู้แล้ว”
แม้ว่าในใจมู่น่อนน่อนจะครุ่นคิดเรื่องมากมาย แต่ว่าใบหน้ากลับไม่เปิดเผยออกมา เพียงแค่ยกรอยยิ้มเยาะเย้ยขึ้น:“ระวังน้ำเสียงคำพูดของคุณหน่อยนะ นี่คุณกำลังออกคำสั่งกับฉัน คุณคิดว่าฉันเหมือนกับอาลั่วเป็นลูกน้องของคุณเหรอ”
ลี่จิ่วเชียนเงียบไปชั่วครู่แล้วหัวเราะเบา ๆ :“น่อนน่อน ทำไมคุณถึงคิดอย่างนี้ ผมก็แค่เป็นห่วงคุณเท่านั้น เฉินถิงเซียวคนนั้นเป็นคนเจ้าเล่ห์ ผมกลัวว่าคุณจะถูกเขาครอบงำ”
มู่น่อนน่อนจึงโมโหกลับ:“คุณเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาหรอก”
“เหอะ ๆ” ลี่จิ่วเชียนจึงฝืนหัวเราะขึ้น: “ถ้าหากว่าคุณไม่อยากจะบอกก็ช่างเถอะ ผมไม่ฝืนใจคุณ เพราะอย่างไรพวกเรานั้นก็เป็นเพื่อนกัน ผมจะไม่เหมือนนกับเฉินถิงเซียวที่บังคับคุณแบบนั้น”
มู่น่อนน่อนหัวเราะเยาะในใจ แต่ว่าน้ำเสียงนั้นกลับดีกว่าก่อนหน้านี้มาก
เธอถอดถอนใจ แล้วกล่าวอย่างจำใจ:“ถ้าคุณอยากจะรู้มากขนาดนี้ อย่างนั้นฉันจะบอกคุณให้รู้ก็ได้ เพราะถึงฉันไม่บอกคุณ คุณก็คงจะสืบรู้ได้เอง”
“น่อนน่อน คุณอย่าคิดมาก ผมแค่เป็นห่วงคุณเท่านั้นจริง ๆ”
มู่น่อนน่อนเพิกเฉยต่อประโยคของลี่จิ่วเชียน:“เมื่อคืนจู่ ๆ เฉินถิงเซียวอยากจะไปเมืองเล็ก ๆ นั่น ฉันรู้สึกว่ากะทันหันเกินไป ดังนั้นจึงตามเขาไปด้วย ดูว่าเขาไปทำอะไร”
“แล้วเขาทำอะไร?” น้ำเสียงของลี่จิ่วเชียนเปลี่ยนเป็นลนลาน
มู่น่อนน่อนคิดข้ออ้างดี ๆ ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว :“เขาไปรับเฉินจิ่งหยุ้นกลับมา”
พวกเขารับเฉินจิ่งหยุ้นกลับมาจริง ๆ ต่อให้ลี่จิ่วเชียนไปสืบเอง ก็คงจะสืบได้ ส่วนเฉินมู่ พวกเขาได้ระวังโดยตลอด ดังนั้นขอเพียงเฉินมู่ไปออกไปไหน ลี่จิ่วเชียนก็จะไม่รู้เรื่องราวของเฉินมู่
แต่ตอนนี้ได้รับเฉินมู่กลับมาที่เมืองหู้หยางแล้ว เรื่องนี้คิดว่าน่าจะปิดบังได้ไม่นาน
ลี่จิ่วเชียนได้ยินคำพูดของเธอ น้ำเสียงจึงเปลี่ยนเล็กน้อย:“เขากับเฉินจิ่งหยุ้นกลายเป็นศัตรูมองหน้ากันไม่ติดแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ คุณอยากรู้ก็ไปสืบเองแล้วกัน ฉันก็แค่อยากจะแก้แค้นเฉินถิงเซียวเท่านั้น สำหรับเรื่องระหว่างเขากับเฉินจิ่งหยุ้น ฉันไม่อยากจะรู้”
มู่น่อนน่อนพูดจบก็วางสายลง
เธอครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้ามองเฉินถิงเซียวที่อยู่ไกล ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะได้ยินคำสนทนาของเธอกับลี่จิ่วเชียนเมื่อสักครู่หรือเปล่า
มู่น่อนน่อนเดินตรงไปหาเขา หลังจากที่เข้าใกล้แล้วก็เปล่งเสียงถามเขาขึ้น:“คุณจะไม่ไปดูสักหน่อยเหรอ”
เขาชี้ไปที่ห้องของเฉินจิ่งหยุ้น
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร ดึงเธอแล้วเดินไปที่ห้องหนังสือ
เมื่อเข้าไปในห้องหนังสือ เฉินถิงเซียวก็ปิดประตูห้องทันที
จากนั้น เขาหันหลังให้กับมู่น่อนน่อนเดินตรงมาที่หน้าต่าง สองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าสูท แล้วจ้องมองไปด้านนอกหน้าต่าง ที่ดูท่าทางแล้วค่อนข้างหงุดหงิด
“เป็นอะไรไป” มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปหา แล้วยืนอยู่ข้าง ๆ เขา
สักพัก เฉินถิงเซียวจึงเปล่งเสียงออกมา: “ต่อให้ผมจะไม่เห็นด้วย คุณก็จะดำเนินตามแผนของคุณใช่ไหม” มู่น่อนน่อนรู้ว่าเฉินถิงเซียวหมายถึงการแก้แค้นเขาปลอม ๆ จากนั้นก็แอบสืบความลับที่อยู่เบื้องหลัง
เธอกล่าวอย่างไม่ลังเลและกล่าวตรง ๆ :“ใช่ ต่อให้คุณจะไม่เห็นด้วย ฉันก็จะทำต่อไป”
เมื่อพูดจบเธอก็หันหน้าไปมองเฉินถิงเซียวที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เพียงถอนหายใจแล้วกล่าวเบา ๆ:“
โดยเฉพาะหลังจากที่เห็นเฉินมู่แล้ว ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ฉันต้องจัดการให้ได้ ถ้าหากว่าไม่จัดการตั้งแต่เนิ่น ๆ ถึงจุดประสงค์ของลี่จิ่วเชียน มีความลับอะไร พวกเราก็คงจะไม่มีวันสงบสุข”
“คุณไม่เชื่อมั่นว่าผมสามารถจัดการเรื่องนี้ได้”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเย็นชา ราวกับชั้นผนึกของน้ำแข็ง
“สำหรับเหตุผลที่ว่าทำไมฉันต้องทำ ฉันได้อธิบายให้คุณหลายต่อหลายครั้งแล้ว ว่าไม่ได้ไม่เชื่อมั่นคุณ เพียงแต่แค่อยากทำเพื่อคุณ เพื่อเฉินมู่ เพื่อพวกเราก็เลยอยากช่วยออกแรง”
“ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณมาโดยตลอด แต่ว่าจะให้คุณแบกรับทุกอย่างคนเดียวไม่ได้ ตอนนี้ลี่จิ่วเชียนกับคุณนั้นขัดแย้งกันแล้ว เขาสามารถอ่านใจคนออก แผนการแยบยล เบื้องหลังยังมีอำนาจมืดอีก เกราะป้องกันของเขาแข็งแกร่งมาก ตอนนี้มีเพียงฉันเท่านั้นที่สามารถเข้าใกล้เขาได้ นี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่เร็วที่สุด”
มู่น่อนน่อนพูดประโยคยืดยาวขนาดนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าเดียวของเฉินถิงเซียวคือความเย็นชา และไม่รู้ว่าได้ยินในสิ่งที่เธอพูดหรือไม่
เธอรู้ดีว่าเฉินถิงเซียวไม่อยากให้เธอเสี่ยงอันตราย
แต่ว่าเธอก็มีหน้าที่เป็นของตัวเอง อีกทั้งเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องการการปกป้องเพียงอย่างเดียว
เธอไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น
……
เสิ่นเหลียงหลังรู้ว่ามู่น่อนน่อนพักอยู่ที่คฤหาสน์ของเฉินถิงเซียว จึงได้มาหาถึงที่ทันที
“เธอกับเฉินถิงเซียวนั้นคืออะไร” ตอนที่อยู่ที่เมืองMนั้น การกระทำในงานเลี้ยงของมู่น่อนน่อน เธอนั้นเห็นกับตาอย่างชัดเจน
มู่น่อนน่อนชะงักขึ้น แล้วมองแววตาของเสิ่นเหลียง จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงตั้งใจ:“เสี่ยวเหลียง เรื่องนี้ยุ่งยากซับซ้อนมาก ฉันไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหนดี และก็ไม่อยากจะลากเธอเข้ามาเกี่ยวข้อง”
“เธอทำแบบนี้คืออยากให้ฉันกระวนกระวายตายเหรอ!” เสิ่นเหลียงขมวดคิ้วถลึงตาใส่เธอ
“วางใจได้ ยังมีเฉินถิงเซียวอยู่ทั้งคนไม่ใช่เหรอ มีเขาอยู่ ฉันยังไม่ห่วงเลย แล้วเธอห่วงอะไร” สีหน้าของมู่น่อนน่อนเผยรอยยิ้มออกมา: “แต่ว่าช่วงเวลานี้ ฉันอาจจะยุ่งมาก ถ้าหากว่าไม่มีอะไร เธอก็อย่าเพิ่งมาหาฉันเลยนะ”
“อีกอย่าง ลี่จิ่วเชียนคนนั้น เธอพยายามอยู่ห่างเขาไว้ให้มากที่สุด”
“ฉันเข้าใจแล้ว” เสิ่นเหลียงพึมพำ : “ลี่จิ่วเชียนสารเลวนั่น จะต้องถูกฝังในไม่ช้า!”
เมื่อเสิ่นเหลียงพูดจบ ก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นได้ :“มู่มู่ล่ะ ฉันอยากจะไปดูเธอหน่อย”
“เธอนอนหลับไปแล้ว ไว้วันหลังนะ” มู่น่อนน่อนปฏิเสธเสิ่นเหลียงเหมือนเฉกเช่นปกติ
เดิมทีเสิ่นเหลียงไม่รอบคอบอยู่แล้ว เมื่อได้ยินมู่น่อนน่อนพูดเช่นนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีตรงไหนผิดปกติ จึงไม่ได้ไปเยี่ยมมู่มู่
ตอนเย็นเสิ่นเหลียงอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกัน จึงได้แห็นฉินจิ่งหยุ้น
เห็นเฉินจิ่งหยุ้นในบ้านของเฉินถิงเซียว ทำให้คู่ดวงตาของเสิ่นเหลียงแทบถลนออกมา
เธอเงยหน้าขึ้นมองมู่น่อนน่อนด้วยแววตาสงสัย:เฉินจิ่งหยุ้นทำไมถึงอยู่ที่นี่ได้
มู่น่อนน่อนทำเพียงส่ายหน้าเบา ๆ สื่อว่าอธิบายยาก
หลังจากที่เสิ่นเหลียงเห็นเฉินจิ่งหยุ้นแล้ว สีหน้าก็แย่ลง
เมื่อทานอาหารเสร็จ เธอจึงลุกขึ้น:“น่อนน่อน ฉันต้องไปแล้ว เธอไปส่งฉันหน่อย”
มู่น่อนน่อนรู้ว่าเสิ่นเหลียงมีเรื่องต้องการถามเธอ จึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
เธอส่งเสิ่นเหลียงถึงหน้าประตู เสิ่นเหลียงมองไปรอบ ๆ แล้วดึงมือของเธอไปข้าง ๆ จากนั้นถามขึ้น:“เฉินจิ่งหยุ้นนั้นคืออะไร เถ้าแก่ใหญ่ทำไมถึงพาเธอกลับมาพักบ้าน เขาเสียสติไปแล้วเหรอ”
“เฉินจิ่งหยุ้นเป็นมะเร็ง เกรงว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน”
ประโยคนี้ของมู่น่อนน่อน ทำให้เสิ่นเหลียงพูดอะไรไม่ออก
คนเมื่อใกล้ตาย เรื่องหลายเรื่องก็มักจะถูกให้อภัย
ถึงแม้เสิ่นเหลียงจะเกลียดชังความชั่วร้าย แต่เมื่อได้ยินว่าเฉินจิ่งหยุ้นเป็นมะเร็ง คำพูดที่คมคายแค่ไหน ก็ไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้อีก
เธอชะงัก ถามมู่น่อนน่อนด้วยความเป็นห่วง:“อย่างนั้นตอนนี้เธอใกล้จะตายแล้ว คงไม่มีแผนการชั่วร้ายอีกแล้วสินะ”
มู่น่อนน่อนก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง:“น่าจะไม่แล้วมั้ง”
เสิ่นเหลียงทำเสียงฮึดฮัด:“ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เธอคอยยั่วยุ เธอกับเถ้าแก่ใหญ่ก็คงไม่ต้องแยกจากกันถึงสามปี!
มู่น่อนน่อนพูดจบ เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบใด ๆ ในทันที
เธอรออยู่ครู่หนึ่ง ก็สังเกตเห็นว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้อยากจะพูดอะไร จึงกล่าวขึ้น:“อย่างนั้นก็ตกลงตามนี้นะ ฉันจะไปถามความคิดเห็นของเธอ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้คัดค้าน มู่น่อนน่อนจึงหันหลังไปหาเฉินจิ่งหยุ้น
ตอนที่มู่น่อนน่อนไปหาเฉินจิ่งหยุ้นนั้น เฉินจิ่งหยุ้นกำลังนั่งอยู่หน้ากระจก จัดการกับวิกผมของตัวเอง
ด้วยความเป็นผู้หญิง ไม่มีใครไม่รักความสวยความงาม
ยิ่งผู้หญิงที่เคยมีชีวิตประณีตวิจิตรอย่างเฉินจิ่งหยุ้น
ต่อให้เธอจะป่วย จนผมร่วงเกือบหมดแล้ว เธอก็ยังเตรียมวิกผมไว้มากมาย
รูปแบบต่าง ๆ ทั้งสั้นทั้งยาวทั้งตรงและที่เป็นลอน ๆ
เฉินจิ่งหยุ้นเห็นมู่น่อนน่อนเดินเข้ามา จึงวางวิกผมในมือลง แล้วหันมาถามมู่น่อนน่อน:“มีธุระ?”
มู่น่อนน่อนเดินมาด้านหน้าอีกสองสามก้าว เว้นช่วงจากเฉินจิ่งหยุ้นระยะหนึ่งแล้วก็หยุดลง จากนั้นจึงได้เริ่มกล่าวขึ้น
“ฉันกับเฉินถิงเซียวตกลงกันแล้วว่าจะกลับเมืองหู้หยาง”
เธอสังเกตเห็เฉินจิ่งหยุ้นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอแล้ว ตัวก็ชะงักขึ้น นั่นคืออาการความประหลาดใจ
มู่น่อนน่อนกล่าวต่อ:“ฉันอยากพามู่มู่กลับไปด้วยกัน”
เมื่อประโยคท้ายจบลง เฉินจิ่งหยุ้นก็ลุกขึ้นทันใด แล้วกล่าวขึ้น:“หมายความว่าอย่างไร ทำไมต้องพามู่มู่ไปด้วย เธออยู่ที่นี่ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ พวกเธอพากลับไปเมืองหู้หยางยิ่งจะทำให้ไม่สะดวก”
“พวกเราเป็นพ่อแม่ ยิ่งต้องอยู่ข้างกายเธอ”
คำพูดของมู่น่อนน่อน ราวกับทำให้เฉินจิ่งหยุ้นไม่สามารถหาเหตุผลมาโต้ตอบได้
“แบบนี้เองเหรอ……” เฉินจิ่งหยุ้นถอนหายใจ ครุ่นคิดพยักหน้า: “ก็จริง เธอเป็นลูกของพวกเธอ อยู่กับพวกเธอก็เป็นสิ่งที่สมควร”
แม้ว่าเฉินจิ่งหยุ้นจะพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองแล้ว แต่มู่น่อนน่อนก็ยังสังเกตเห็นความผิดหวังใต้ดวงตาของเธอ
เธอสังเกตดูปฏิกิริยาตอบสนองของเฉินจิ่งหยุ้นทั้งหมดภายใต้สายตาของเธอ
เพียงแต่มองดูอย่างเงียบ ๆ ไม่เปิดเผยออกมาก็เท่านั้น
มู่น่อนน่อนลองถามขึ้นหนึ่งประโยคพลาง ๆ:“แล้วเธอล่ะ จะกลับเมืองหู้หยางกับพวกเราไหม”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อน สีหน้าที่ตกใจของเฉินจิ่งหยุ้นนั้นซ่อนไม่มิดอีกต่อไป
“หลายวันที่มู่มู่พักอยู่ที่นี่ ก็น่าจะคุ้นเคยกับเธอแล้ว ถ้าหากว่าเธอสามารถกลับไปพร้อมกับมู่มู่ได้ ถ้าในแต่ละวันมู่มู่สามารถเห็นเธอได้ บางทีอาจมีส่วนช่วยให้สถานการณ์ของมู่มู่ดีขึ้น”
คำพูดของมู่น่อนน่อนเน้นไปที่เฉินมู่ แต่ว่าเฉินจิ่งหยุ้นนั้นไม่ได้โง่ เธอสามารถฟังออกว่ามู่น่อนน่อนต้องการพาเธอกลับเมืองหู้หยางด้วย”
ถึงแม้ว่าเธอกับมู่น่อนน่อนรับมือกันไม่กี่ครั้ง แต่นี่ก็ไม่ได้ปิดกั้นการเข้าใจที่เธอมีต่อมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนไม่ใช่คนมุทะลุ เธอสามารถพูดคำเหล่านี้ออกมา ก็แปลว่าเธอได้ปรึกษากับเฉินถิงเซียวแล้ว
เฉินจิ่งหยุ้นมองดูมู่น่อนน่อนอยู่ครู่หนึ่งโดยที่ไม่พูดอะไร เธอค่อย ๆ อ้าปากขึ้น ในแววตามีน้ำตาซึมจนพร่ามัว
“ถ้าหากว่าเธอยินดี ก็ไปเตรียมตัวเถอะ อีกสักครู่พวกเราก็จะเดินทางกันแล้ว”
มู่น่อนน่อนไม่อยากอยู่ที่นี่ดูน้ำตาของเฉินจิ่งหยุ้น และก็ยิ่งไม่อยากอยู่เพื่อปลอบใจเธอ
ตอนที่มู่น่อนน่อนหันหลังไปนั้น หางตาเหลือบเห็นเฉินจิ่งหยุ้นยื่นมือขึ้นมาปาดแก้มอย่างไม่ตั้งใจ
เธอแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไร แล้วก็เดินออกไป
……
มู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวต่างไม่ได้นำของอะไรมาด้วย จึงไม่จำเป็นต้องเก็บข้าวของแต่อย่างใด แต่การหลอกล่อให้เฉินมู่ขึ้นรถ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
เฉินมู่ราวกับเห็นห้องน้อย ๆ ของเธอเป็นพื้นที่ปลอดภัย ดังนั้นเธอจึงไม่อยากจะจากห้องนี้ไป
มู่น่อนน่อนพยายามสุดความสามารถ ถึงได้เกลี้ยกล่อมเฉินมู่ขึ้นรถสำเร็จ
ที่กลับไปพร้อมกับพวกเขายังมีฉีเฉิง บอดี้การ์ดของเฉินจิ่งหยุ้น
มู่น่อนน่อนยังคงสงสัยตัวฉีเฉิง โดยเฉพาะเขาที่ดูไม่เหมือนบอดี้การ์ดทั่วไป
แต่ว่าตลอดทั้งเส้นทางเธอก็ไม่มีโอกาสคุยกับเฉินถิงเซียวเรื่องของฉีเฉิง เพราะว่าเฉินมู่นั้นพิงเธอไว้แน่น
พวกเขาทั้งสามคนนั่งอยู่แถวหลัง โดยเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนนั่งอยู่ริม มีเฉินมู่นั่งอยู่ตรงกลาง
เฉินมู่ที่กลัวเฉินถิงเซียว จึงเป็นธรรมดาที่ย่อมพิงมู่น่อนน่อนไว้แน่น
นี่แปลว่า เฉินมู่เชื่อใจเธอแล้ว ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกดีใจ
ตอนบ่ายสี่โมงเย็น รถได้แล่นมาจอดด้านหน้าคฤหาสน์ที่เมืองหู้หยาง
มู่น่อนน่อนหยิบผ้าห่มที่ได้เตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ มาพันตัวเฉินมู่ไว้ แล้วอุ้มเข้าไปในคฤหาสน์ เดินตรงไปที่ห้องที่อยู่ชั้นบน
เฉินมู่ราวกับเหมือนจำห้องของตัวเองได้ เมื่อถึงห้องก็รีบขดตัวซ่อนอยู่ที่มุมเตียง
มู่น่อนน่อนปลอบโยนเธอครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็นอนหลับไป
เมื่อพูดถึงการปลอบโยน ความจริงแล้วมู่น่อนน่อนก็แค่ยืนอยู่ข้าง ๆ เฉินมู่ที่ห่างสองเมตร แล้วสนทนากับเฉินมู่ก็เท่านั้น
เมื่อจัดการเฉินมู่เสร็จแล้ว มู่น่อนน่อนก็ออกมาจากห้อง
ตอนที่เธอออกมาจากห้องนั้น ก็พบกับเฉินถิงเซียวพอดี
“ชู่ว์!” มู่น่อนน่อนทำท่าทำมือบอกให้เงียบ หลังจากที่เธอปิดประตูแล้ว ถึงได้กล่าวกับเฉินถิงเซียวว่า:“มู่มู่นอนหลับแล้ว”
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้นจึงถามขึ้น :“เธอไม่งอแงเหรอ”
มู่น่อนน่อนเผยรอยยิ้มโล่งใจ:“ก็ไม่เท่าไหร่”
เฉินถิงเซียวมองสังเกตเธอ เห็นรอยยิ้มที่มาจากด้านในของมู่น่อนน่อน จึงได้ไม่ถามต่อ
มู่น่อนน่อนมองไปรอบ ๆ ไม่เห็นเงาของเฉินจิ่งหยุ้น :“พี่สาวของคุณล่ะ จัดการเรียบร้อยแล้วเหรอ”
เฉินถิงเซียวตอบกลับอย่างไม่มีท่าที:“มีคนรับใช้คอยจัดการ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกราง ๆ ถึงความคิดของเฉินถิงเซียว
ตอนนี้เฉินจิ่งหยุ้นถือว่ากลับตัวกลับใจแล้ว เฉินถิงเซียวยินดีที่จะยอมรับตัวเฉินจิ่งหยุ้น แต่ว่าระดับการยอมรับยังมีขีดจำกัด
“ฉันจะไปดูเธอสักหน่อย” มู่น่อนน่อนตบมือของเฉินถิงเซียวเบา ๆ แล้วกล่าว
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว ดึงเธอไว้:“ไม่ต้อง”
มู่น่อนน่อนยิ้ม ดึงมือของตัวเองออก แล้วก็ไปหาเฉินจิ่งหยุ้น
คนรับใช้จัดห้องที่ใช้สำหรับรับแขกให้กับเฉินจิ่งหยุ้น ในห้องมีของไม่ครบครัน ยังมีของจำเป็นที่ต้องนำมาจัดวางเพิ่มเติม
มู่น่อนน่อนกล่าวขึ้นในฐานะเจ้าบ้าน:“มีอะไรขาดเหลือ รับสั่งคนใช้ได้เลยนะ”
เฉินจิ่งหยุ้นมองข้ามผ่านตัวมู่น่อนน่อนไป แล้วมองไปยังด้านหลังเธอ
มู่น่อนน่อนรู้ว่าเธอนั้นกำลังมองดูว่าเฉินถิงเซียวได้ตามมาด้วยหรือเปล่า แต่เหมือนว่าเธอจะต้องผิดหวังเสียแล้ว
มู่น่อนน่อนก็แสร้งทำเป็นไม่รู้:“เธอพักผ่อนก่อนเถอะ ฉันไปก่อนนะ”
เธอออกจากห้องของเฉินจิ่งหยุ้น ก้าวเพียงไม่กี่ก้าว โทรศัพท์ก็ได้ดังขึ้น
เมื่อเธอเห็นหมายเลขที่โทรเข้า สีหน้าจึงหม่นลง
คนที่โทรศัพท์มาเธอไม่ใช่ใครที่ไหน คือลี่จิ่วเชียนนั่นเอง
ลี่จิ่วเชียนโทรศัพท์หาเธอตอนนี้ทำไม
มู่น่อนน่อนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกดรับสายขึ้น
“มีธุระ?” แม้แต่มารยาทขั้นพื้นฐานของการรับโทรศัพท์ก็ถูกละเว้นไป มู่น่อนน่อนไม่มีกะจิตกะใจสุภาพตอ่เขา
ลี่จิ่วเชียนก็ไม่ได้อ้อมค้อม กล่าวถามเธอตรง ๆ :“เมื่อคืนคุณกับเฉินถิงเซียวไปไหนกัน”
มู่น่อนน่อนแอบตกใจ ลี่จิ่วเชียนรู้แม้กระทั่งว่าเมื่อคืนเฉินถิงเซียวได้ออกจากเมืองหู้หยาง!
ลี่จิ่วเชียนรู้แผนการเดินทางของพวกเขาเป็นอย่างดี
แต่ว่า ฟังจากน้ำเสียงของลี่จิ่วเชียนแล้ว เขาไม่น่าจะรู้วาเธอกับเฉินถิงเซียวออกจากเมืองหู้หยางไปคนละเวลา เขานึกว่าเธอกับเฉินถิงเซียวเมื่อคืนนั้นออกไปพร้อมกัน?
เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียว ฉับพลันก็พูดอะไรไม่ออก
เธอจ้องเฉินถิงเซียว สังเกตการเปลี่ยนแปลงของใบหน้าท่าทางของเขา เดาความคิดของเขาลึก ๆ แล้วคิดอะไรอยู่
มู่น่อนน่อนคิดแล้วคิดอีก คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าเฉินถิงเซียวกำลังคิดอะไรอยู่
เธอจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หมดความอดทน:“ดังนั้นคุณก็เลยปิดบังทุกอย่างในเรื่องที่คุณไม่อยากจะบอกกับฉัน คุณคิดว่าแบบนั้นมันดีกับฉัน?”
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลงแล้วย้อนถามกลับ:“คุณคิดว่าบอกกับคุณทั้งหมดแล้ว ดีกับคุณอย่างนั้นเหรอ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าที่ตัวเองประเมินเฉินถิงเซียวก่อนหน้านี้นั้นคิดไปเองฝ่ายเดียวจริง ๆ
เฉินถิงเซียวนั้นฉลาดจริงเหรอ เห็นได้ชัดว่าเขานั้นโง่ไม่ต่างจากควาย ไม่สามารถพลิกผันเลยสักนิด
สิ่งที่เธอกับเฉินถิงเซียวต้องการสื่อออกมามันคนละเรื่องกันชัด ๆ
“นอนเถอะ” มู่น่อนน่อนลุกขึ้นเดินขึ้นไปบนตึก
……
ห้องที่เฉินจิ่งหยุ้นให้มู่น่อนน่อนนอนพักนั้น เป็นห้องที่เฉินถิงเซียวใช้พักเมื่อมาที่นี่ครั้งที่แล้ว
ห้องไม่ใหญ่มาก แต่เตียงนุ่มมาก
เมื่อปิดไฟแล้ว มู่น่อนน่อนหลับตาท่ามกลางความมืด แต่ทว่านอนไม่หลับ
เรื่องของเฉินมู่ ทำให้เธอนอนไม่หลับพลิกตัวไปมา
ผ่านไปสักพัก เธอรู้สึกว่าคนข้าง ๆ นั้นหายใจอย่างสงบแล้ว จึงลุกขึ้นนั่ง แล้วเปิดไฟบนหัวเตียง และเตรียมที่จะออกไปดูเฉินมู่สักหน่อย
เธอยังคงเป็นกังวล
แต่ เมื่อเธอกำลังจะลุกขึ้น เฉินถิงเซียวที่เดิมทีคิดว่านอนหลับไปแล้วก็ได้ลุกขึ้นนั่งตาม น้ำเสียงชัดเจน:“จะไปไหน”
มู่น่อนน่อนสะดุ้ง แล้วหันกลับไปมองเฉินถิงเซียว:“คุณ……”
เธอชะงัก จากนั้นกล่าวต่อ:“ฉันจะไปดูมู่มู่”
“คุณนอนต่อเถอะ เดี๋ยวผมไปเอง” เฉินถิงเซียวพลิกตัวลงจากเตียง ดึงเสื้อคลุมมาใส่แล้วก็ออกไป
การกระทำของเฉินถิงเซียวเป็นไปอย่างรวดเร็วและไม่คาดคิด เมื่อมู่น่อนน่อนรู้สึกตัวนั้น ประตูได้ถูกปิดลงแล้ว
มู่น่อนน่อนก็ยังคงตามออกไป
เฉินมู่นอนหลับได้สนิท
เมื่อกลับถึงห้อง ทั้งสองต่างเงียบและไม่ได้นอนลงบนเตียงทันที
“ผมไม่อยากบอกสถานการณ์ของมู่มู่ให้กับคุณ ก็เพราะไม่อยากเห็นคุณที่จิตใจกระวนกระวายเช่นนี้”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสนิท ลุ่มลึกและแฝงด้วยอารมณ์ซับซ้อน
“แต่ว่าถ้าฉันรู้เรื่องเกี่ยวกับเฉินมู่ หลังเวลาผ่านไปแล้ว คุณรู้บ้างไหมว่าฉันจะตำหนิติโทษตัวเองทุกข์ทรมานมากแค่ไหน” มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้หวังให้เฉินถิงเซียวจะคิดถึงจุดนี้
ทั้งคู่ไม่ได้นอนกันตลอดทั้งคืน
วันรุ่งขึ้นพวกเขาต่างตื่นกันแต่เช้า
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นจากเตียงแล้วไปดูเฉินมู่ที่ห้อง จากนั้นก็ลงจากตึกไปทำอาหารเช้า
เธอทำอาหารเช้าให้กับเฉินมู่ก่อน จากนั้นค่อยทำให้กับทุกคน
อากาศเย็น เฉินมู่นอนดึก ตอนเช้าก็เลยตื่นสาย
มู่น่อนน่อนทานอาหารเช้ากับทุกคนแล้ว ถึงได้ยกอาหารเช้าของเฉินมู่ขึ้นไปบนห้องของเธอ
เฉินมู่ตื่นขึ้นมาแล้ว และกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างว่างเปล่า
“อรุณสวัสดิ์จ้ะ มู่มู่” มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วเดินเข้าไป จากนั้นวางอาหารลงบนโต๊ะ
เฉินมู่น่าจะหิวแล้ว เธอถูกกลิ่นหอมอาหารดึงดูดใจ สายตาจึงจ้องมองไปยังอาหารบนโต๊ะ
“หิวแล้วใช่ไหม ล้างหน้าแปรงฟัน สวมเสื้อผ้าแล้วมาทานอาหารเร็ว” มู่น่อนน่อนเดินเบาที่สุด กลัวจะทำให้เธอตกใจ
เฉินมู่มองท่าทางของมู่น่อนน่อนอย่างไร้ความรู้สึก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร หรืออาจจะไม่คิดอะไรเลย
เวลานี้ ในห้องมีคนผลักประตูเข้ามาอีกครั้ง
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงเปิดประตู ยังไม่ทันรู้ว่าเป็นใครที่เข้ามา ก็เห็นเฉินมู่ขดตัวลงแล้วด้วยท่าทางที่หวาดกลัว
“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัว” มู่น่อนน่อนทำการปลอบเฉินมู่ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
จากนั้นเธอก็รู้สึกดีใจเล็กน้อย
ก่อนหน้าที่เฉินถิงเซียวจะมา เฉินมู่แทบจะไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ นิ่งเหมือนกับตุ๊กตาหุ่นก็ไม่ปาน
แต่ว่าเมื่อวานหลังจากที่เฉินถิงเซียวมา เฉินมู่กลับรู้สึกกลัวเฉินถิงเซียว เกิดปฏิกิริยาตอบสนองอาการกลัวออกมา
ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ดี แต่อย่างน้อยก็เป็นปฏิกิริยาของคนปกติ
อย่างน้อยเฉินมู่สามารถรู้สึกถึงอารมณ์ของคนปกติได้แล้ว
จุดนี้ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกดีใจ
เฉินมู่จ้องมองเฉินถิงเซียวด้วยสายตาระแวดระวังตลอดเวลา
หลังจากที่เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปใกล้ เฉินมู่ก็ซบเข้ามาที่อ้อดกอดของมู่น่อนน่อนทันที
มู่น่อนน่อนสะดุ้งด้วยความตกใจ จนชะงักงัน
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เธอถึงรู้สึกตัวแล้วค่อย ๆ โอบเฉินมู่เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด
เธอกอดเฉินมู่ไว้ แล้วหันหน้าไปทางเฉินถิงเซียวแสดงรอยยิ้มดีใจออกมา
หลังจากที่กลับจากต่างประเทศ เฉินถิงเซียวก็ไม่เคยเห็นรอยยิ้มของมู่น่อนน่อนที่ออกมาจากใจเช่นนี้
เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นรอยยิ้มที่มาจากใจของมู่น่อนน่อน
เฉินถิงเซียวเองก็ยิ้มตามขึ้นทันที
อาจเป็นเพราะการมาของเฉินถิงเซียว กระตุ้นการรับรู้อารมณ์ของเฉินมู่
เพียงแค่เห็นเฉินถิงเซียว เธอก็จะเหมือนกับคนอื่น ๆ ที่มองหาการปกป้อง จึงหลบเข้ามาในอ้อมกอดของคนอื่น
แต่ถ้าเฉินถิงเซียวจากไป เธอก็จะแอบไปมองเฉินถิงเซียว
ทั้งรักทั้งกลัว เป็นเฉกเช่นนี้
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเฉินมู่ที่เป็นแบบนี้นั้นน่ารักมาก
การทานอาหารเช้าของเฉินมู่เป็นไปอย่างราบรื่น
เมื่อมู่น่อนน่อนเก็บจานอาหารของเฉินมู่ออกไปนั้น พบว่าเฉินถิงเซียวยืนรอเธออยู่ด้านนอกประตู
เฉินถิงเซียวรับจานจากมือของมู่น่อนน่อน จากนั้นไม่พูดไม่จาแล้วเดินลงตึกไป
หลังจากที่มาถึงห้องครัว เฉินถิงเซียวได้กล่าวขึ้น:“ได้เวลากลับกันแล้ว”
“กลับไปไหน” มู่น่อนน่อนกล่าวเสร็จก็เข้าใจทันที ที่เฉินถิงเซียวพูดหมายถึงกลับเมืองหู้หยาง
สีหน้าของมู่น่อนน่อนถมึงทึงเล็กน้อย หรี่ตาลงมองจานอาหารของเฉินมู่อย่างละเอียด
“ฉันไม่กลับไป นอกจากพาเฉินมู่กลับไปด้วย หรือให้ฉันอยู่ที่นี่ดูแลเธอ” สภาพแบบนี้ของเฉินมู่ เธอจะทิ้งเฉินมู่แล้วกลับไปเมืองหู้หยางได้อย่างไร
เฉินถิงเซียวเงียบอยู่ชั่วครู่แล้วกล่าว:“อย่างนั้นก็พากลับไปด้วย”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาที่เห็นได้ชัดว่าเกิดความสงสัย
“คุณไม่ใช่เป็นเพียงมู่น่อนน่อน ผมก็ไม่ใช่เป็นเพียงเฉินถิงเซียวเช่นกัน แต่ยังเป็นพ่อแท้ ๆ ของเฉินมู่ ผมก็หวังอยากให้เธอหายเร็ว ๆ สำหรับเรื่องอื่น ไม่มีอะไรที่สำคัญกว่ามู่มู่”
เฉินถิงเซียวจ้องมองดวงตามู่น่อนน่อน แล้วกล่าวออกมาทีละคำช้า ๆ อย่างชัดเจน
ทั้งคู่สบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มให้แก่กันและกัน
มู่น่อนน่อนคิดอีกเรื่องหนึ่งขึ้นได้
“อย่างนั้นพี่สาวคุณล่ะ เธอควรทำอย่างไร” นึกถึงอาการป่วยของเฉินจิ่งหยุ้น รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนก็จางลงทันที
เฉินจิ่งหยุ้นเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเฉินถิงเซียว ที่มีสายเลือดเดียวกันกับเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
มู่น่อนน่อนจึงถามเขาขึ้นเบา ๆ :“บอกฉันหน่อยได้ไหมว่าคุณคิดอย่างไร”
ในโลกใบนี้ไม่มีรักที่จีรัง ไม่มีความเกลียดชังที่ยั่งยืน จิตใจของคนเป็นสิ่งที่ยากจะหยั่งถึง
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า ความรู้สึกที่เฉินถิงเซียวมีต่อเฉินจิ่งหยุ้นนั้นค่อนข้างซับซ้อน ซับซ้อนจนบางทีอาจจะยากแก่การต้องเลือก
“ถ้าเป็นไปได้ พาเธอกลับไปด้วยนะ” มู่น่อนน่อนพลางพูดพลางสังเกตสีหน้าท่าทางของเฉินถิงเซียว
เห็นสีหน้าของเฉินถิงเซียวไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน มู่น่อนน่อนจึงกล่าวต่อ:“อย่างไรเธอก็เป็นป้าแท้ ๆ ของมู่มู่”
เธอไม่ได้บอกว่าเฉินจิ่งหยุ้นเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเฉินถิงเซียว กลัวว่าจะทำเฉินถิงเซียวสติแตก
เห็นได้ชัดว่าเฉินถิงเซียวเริ่มใจอ่อน เพียงแต่ว่ายังไม่ตัดสินใจ อย่างนั้นก็ให้เธอช่วยเขาตัดสินใจแล้วกัน
เฉินถิงเซียวปล่อยให้เฉินมู่ตีสองสามที แล้วก็จับมือของเฉินมู่ไว้
เฉินมู่ก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น มองดูการถูกควบคุม
เฉินถิงเซียวเอียงหน้าไปหอมเฉินมู่ฟอดหนึ่ง :“เรียกพ่อสิ”
เฉินมู่จึงสงบลงอย่างน่าประหลาดใจ แม้ว่าจะยังคงขัดขืน แต่ก็ไม่รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวด้วยสีหน้ามึนงง
เธอคิดไม่ถึงว่าไม้นี้ของเฉินถิงเซียวจะใช้ได้ผล
ถึงแม้เฉินมู่จะไม่ได้เรียกพ่อ แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านั้นมาก
มู่น่อนน่อนเห็นความกลัวจากแววตาของเฉินมู่
เฉินถิงเซียวเป็นคุณพ่อที่เข้มงวด เฉินมู่ทั้งชอบและกลัวเขามาโดยตลอด ความรู้สึกกลัวที่ฝังอยู่ในกระดูก แม้แต่ตอนนี้เธอก็ยังกลัวเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียววางเฉินมู่ลงบนเตียง:“นอนนะ”
เมื่อเฉินมู่ถึงบนเตียง ก็ซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มทันที แล้วมองเฉินถิงเซียวอย่างระแวดระวัง
ท่าท่างที่ดูน่าสงสารมาก
มู่น่อนน่อนใจอ่อน จึงกระตุกแขนของเฉินถิงเซียว แล้วกล่าวเบา ๆ :“หรือว่าคุณออกไปก่อน”
“ผมไม่ออกไป” เฉินถิงเซียวมองดูมู่น่อนน่อนแวบหนึ่ง แล้วก็นั่งลงข้างเตียง
เฉินมู่เห็นเฉินถิงเซียวเข้ามาใกล้ จึงขดตัวอยู่ในผ้าห่ม จนมองไม่เห็นตัวคน
เฉินถิงเซียวดึงผ้าห่มออก ให้เห็นถึงศีรษะของเฉินมู่
เฉินมู่ก็ขดตัวลงไปอีก เฉินถิงเซียวจึงได้ดึงตัวเธอไว้
เฉินมู่จึงขยับตัวไม่ได้อีก เหมือนกับสัตว์ร้ายที่ถูกล่ามโซ่ไว้ แล้วก็จ้องไปที่เฉินถิงเซียว
แต่กลับไม่ดุร้ายเลยสักนิด
ในที่สุด ด้วยเวลาที่ดึกมากแล้ว เฉินมู่จึงได้หลับใหลไป
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวเดินออกมาจากห้องของเฉินมู่นั้น ก็เป็นเวลาเกือบสีสองแล้ว
ค่ำคืนดึกสงัดทำให้คนอ่อนล้า แต่ทั้งคู่กลับไม่รู้สึกง่วงนอน
มู่น่อนน่อนหงายมือปิดประตู ยังไม่ทันได้กล่าวอะไร ก็ได้ยินเสียงอีกห้องหนึ่งดังขึ้น
เธอมองไปตามเสียง ก็เห็นเฉินจิ่งหยุ้นเปิดประตูออกมา
บนตัวเฉินจิ่งหยุ้นคลุมด้วยเสื้อคลุมหนา ๆ ยิ่งทำให้เธอดูผอมมากขึ้น
มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นเฉินจิ่งหยุ้นได้ใส่วิกผม เพียงแต่ไม่ได้เรียบร้อยเหมือนเมื่อตอนกลางวัน ดูเหมือนจะรีบร้อนในการสวมใส่
เธอเดาว่าน่าจะเป็นเพราะเฉินจิ่งหยุ้นรู้ว่าเฉินถิงเซียวมาแล้ว จึงได้ตั้งใจใส่วิกผมอีกครั้ง
เฉินจิ่งหยุ้นกับเฉินถิงเซียวสองพี่น้องนี้……
มู่น่อนน่อนถอนหายใจเงียบ ๆ แล้วหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว
เฉินจิ่งหยุ้นได้เดินเข้ามาใกล้ สายตากวาดมองตัวของทั้งคู่ จากนั้นกระทบลงไปที่ตัวของเฉินถิงเซียว แล้วกล่าวเบา ๆ:“มาแล้วเหรอ”
เฉินถิงเซียวสีหน้าราบเรียบ กล่าวเพียงว่า:“อืม”
เฉินจิ่งหยุ้นเหมือนกับจะพูดอะไรบางอย่าง อาจะเป็นเพราะท่าทางที่เย็นชาของเฉินถิงเซียว ทำให้เธอไม่พูดอะไรอีกหลังจากนั้น
“แกนอนกับมู่น่อนน่อนเถอะ ทุกอย่างมีครบ เป็นของที่แกใช้ตอนที่มาครั้งก่อน” เฉินจิ่งหยุ้นกล่าวจบก็หันหลังกลับห้องไป
เพียงแต่เมื่อเธอไปถึงที่ประตู ก็เหมือนกับคิดอะไรขึ้นได้ จึงหันกลับมา:“จากเมืองหู้หยางมาที่นี่ใช้เวลากี่ชั่วโมง แกมาหลังจากเลิกงานใช่ไหม ทานอะไรหรือยัง”
แม้เฉินจิ่งหยุ้นจะถามเฉินถิงเซียว แต่สายตากลับจ้องมาที่ตัวมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเข้าใจทันทีว่าคำพูดนี้เฉินจิ่งหยุ้นนั้นพูดให้กับเธอ
เฉินถิงเซียวมาถึงที่นี่ก็ดึกมากแล้ว มู่น่อนน่อนตอนนี้ไม่มีอารมณ์ที่จะไปคิดอะไรอย่างอื่น จึงย่อมไม่ได้คิดถึงเรื่องที่เฉินถิงเซียวทานข้าวหรือยัง
เมื่อเฉินจิ่งหยุ้นกล่าวจบ ก็ทิ้งไว้หนึ่งประโยค “ฉันไปนอนก่อนนะ” ทิ้งมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวทั้งคู่อยู่บนระเบียงทางเดิน
มู่น่อนน่อนถามเฉินถิงเซียว:“ยังไม่ได้ทานข้าวใช่ไหม”
ไม่รอให้เฉินถิงเซียวได้ตอบ มู่น่อนน่อนก็เปล่งเสียงออกมา:“ตามฉันมา ฉันจะไปห้องครัวทำบางอย่างให้คุณทาน” นิสัยของเฉินถิงเซียว เธอนั้นเข้าใจอย่างดี
สือเย่บอกที่อยู่ของเฉินมู่ให้กับเธอ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเมื่อเฉินถิงเซียวรู้เรื่องนี้ จะต้องระเบิดอารมณ์อย่างแน่นอน
ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่สือเย่จะเป็นคนบอกเฉินถิงเซียวก่อน
เฉินถิงเซียวรู้เรื่องนี้เข้า จะมีกะจิตกะใจที่ไหนมาทานอาหาร จะต้องทำการขับรถแล้วตรงมาที่นี่อย่างแน่นอน
มู่น่อนน่อนพาเฉินถิงเซียวไปที่ห้องครัว หยิบไข่และแครอทจากตู้เย็น เตรียมที่จะทำข้าวผัดไข่ให้กับเฉินถิงเซียว
ห้องครัวกับห้องอาหารนั้นอยู่ติดต่อกัน
ขณะที่มู่น่อนน่อนผัดข้าวผัดให้กับเขานั้น เฉินถิงเซียวได้นั่งหน้าโต๊ะอาหารแล้วจ้องมองเธอ
หลังจากที่ทำอาหารเสร็จแล้ว มู่น่อนน่อนได้ทำซุปผักง่าย ๆ ให้กับเขาอีก
เฉินถิงเซียวไม่ใช่คนเลือกทาน เว้นแต่หัวหอม เมื่อมู่น่อนน่อนยกมาเสิร์ฟเขาแล้ว เขาก็ก้มหน้าก้มตาทาน
ทานจนหมดไม่เหลือแม้แต่เศษชิ้นเดียว
มู่น่อนน่อนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินถิงเซียว มองเขาถือช้อนค่อย ๆ ทานข้าวผัด ในใจเกิดความรู้สึกจี๊ดขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูก
ถ้าหากเฉินถิงเซียวไม่ได้อยู่กับเธอ เขาก็คงไม่มีจุดอ่อน และคงไม่เป็นอย่างเช่นตอนนี้ ที่ต้องขับรถกลางดึก-สองสามชั่วโมงมาถึงสถานที่ตรงนี้
ถ้าหากว่าเขาไม่มีจุดอ่อน เขายังคงเป็นคุณชายที่สูงส่งของตระกูลเฉิน
ไม่มีใครทำอะไรเขาได้
แต่เธอกับเฉินมู่กลายเป็นจุดอ่อนของเขา
มองเฉินถิงเซียวทานข้าวผัดเสร็จแล้ว มู่น่อนน่อนจึงก้มหน้าเรียกด้วยเสียงเบา ๆ :“เฉินถิงเซียว”
“อะไรเหรอ” เฉินถิงเซียวมองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นลุกยืนขึ้น ถือจานอาหารที่ตัวเองทานเสร็จไว้ แล้วกล่าว: “ผมเอาจานไปไว้ที่ห้องครัวก่อน”
เขาพลางพูดพลางเขยิบเก้าอี้แล้วเดินตรงไปที่ห้องครัว
อาจเป็นเพราะรับอิทธิพลจากเฉินมู่ ก่อนหน้านี้ที่มู่น่อนน่อนเช่าอาศัยอยู่ด้านนอกเพียงลำพังนั้น เฉินมู่ก็ดึงเฉินถิงเซียวเก็บจานของตัวเอง นี่จึงทำให้เฉินถิงเซียวเกิดความเคยชิน
ในสภาวะที่ไม่มีคนรับใช้ มีเพียงพวกเขาที่ทำอาหารทานกันเองนั้น เฉินถิงเซียวก็เก็บจานของตัวเองจนกลายเป็นนิสัย
มู่น่อนน่อนมองตามร่างเฉินถิงเซียวเข้าไปในห้องครัว
เมื่อเฉินถิงเซียวเข้าไปในห้องครัว ก็ไม่ได้นำจานไปวางที่อ่างล้างจานโดยตรงแล้วเดินออกมา แต่กลับก้มลงไปล้างจานให้เสร็จแล้ววางลงข้าง ๆ จากนั้นถึงค่อยกลับมาที่ห้องอาหาร
ทั้งคู่นั่งตรงข้ามกัน เกิดความสงบทางจิตใจที่หายาก
มู่น่อนน่อนถามเขา :“คุณดุด่าผู้ช่วยสืออีกแล้วใช่ไหม”
เมื่อเอ่ยถึงสือเย่ เฉินถิงเซียวก็ขมวดคิ้วขึ้น :“ไม่ด่าเขา หรือจะให้ผมชมเชยเขา?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ไม่ได้ดั่งใจนี้……
“ฉันเป็นคนบังคับเขาเอง คุณอย่าโทษเขาเลยนะ อีกอย่าง ถ้าหากว่าคุณยอมบอกฉัน ฉันจะบังคับเขาไหม” น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนแฝงด้วยการตำหนิ
มุมปากของเฉินถิงเซียวเกร็งขึ้น ไม่เปล่งเสียงใด ๆ
“เฉินถิงเซียว เกิดเรื่องใหญ่กับมู่มู่ขนาดนี้ แต่คุณกลับยังปิดบังฉันไว้ คุณเห็นฉันเป็นอะไรกันแน่ เมื่อไหร่คุณจะเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์ของครอบครัวพวกเรา ฉันไม่ใช่แค่มู่น่อนน่อน ไม่ใช่มู่น่อนน่อนคนที่ต้องให้คุณปกป้องตลอดเวลา ฉันยังเป็นภรรยาของคุณ ฉันสามารถแบ่งเบาปัญหาจากคุณ และฉันเป็นแม่ของมู่มู่ด้วย ฉันเป็นห่วงเธอทุกอย่าง ทุกอย่างของเธอล้วนเกี่ยวข้องกับฉัน”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เธออยากจะพูดคำพูดเหล่านี้กับเฉินถิงเซียวตั้งนานแล้ว
แต่ว่าเขาไม่เคยฟัง
สักพัก เฉินถิงเซียวจึงได้เอ่ยขึ้น :“แต่ว่าในใจผมนั้นคุณเป็นเพียงมู่น่อนน่อนเท่านั้น”
ตามแรงดึงของเฉินจิ่งหยุ้น วิกผมบนศีรษะของเธอก็ถูกดึงออกมา เผยให้เห็นถึงผมเดิมของเธอ
เมื่อก่อน เฉินจิ่งหยุ้นมีผมสวยงามที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี
แต่ว่าเวลานี้ เมื่อเฉินจิ่งหยุ้นขาดวิกผมที่ปกปิดศีรษะแล้ว ก็เผยให้เห็นถึงเส้นผมเบาบางและแห้งบนศีรษะของเธอ และยังมองเห็นแผ่นหนังศีรษะที่กว้างของเธอด้วย
มู่น่อนน่อนเกิดความตกใจ:“เธอ……”
เฉินจิ่งหยุ้นกล่าวสองคำอย่างเรียบนิ่ง:“มะเร็ง”
หลังจากที่เธอกล่าวเบา ๆ เสร็จ ก็ได้สวมวิกกลับเข้าไปใหม่
การกระทำที่ดูช่ำชอง ราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับการทำเช่นนี้มานานแล้ว
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้น :“ทำไมถึงไม่อยู่รักษาที่ต่างประเทศ ปัจจัยการรักษาที่ต่างประเทศดีกว่าตั้งเยอะ”
“มีสุภาษิตคำโบราณกล่าวไว้ว่า ‘ใบไม้ย่อมร่วงคืนสู่ราก’ เฉินจิ่งหยุ้นเชิดคางขึ้น ความเย่อหยิ่งทะนงที่ฝังอยู่ในกระดูกยังคงไม่ลดน้อยลง: “แม้ว่าฉันจะอยู่ต่างประเทศมานานหลายปี แต่สำหรับฉันนแล้ว นั่นก็ยังเป็นเพียงต่างบ้านต่างเมือง ถ้าหากว่าฉันตายแล้ว ฉันก็อยากจะฝังอยู่ในสถานที่ที่ฉันเกิด”
มู่น่อนน่อนฟังเข้าใจในความหมายของเธอ เฉินจิ่งหยุ้นล้มเลิกที่จะทำการรักษาแล้ว ตอนนี้เธออาศัยอยู่ที่นี่ ก็เพื่อรอความตาย!
คนที่เคยคิดว่าไม่มีใครเทียบตัวเองได้อย่างเฉินจิ่งหยุ้น มีเกียรติยศหน้าตา มีผู้คนที่อิจฉาคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเฉิน กลับมาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่เรียบง่ายเพื่อรอความตาย
ความรู้สึกมู่น่อนน่อนเกิดความสับสนซับซ้อน
ถ้าหากจะบอกว่าเห็นอกเห็นใจ เธอก็ไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจเฉินจิ่งหยุ้นเป็นพิเศษ
แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปดี ๆ เฉินจิ่งหยุ้นก็ไม่เคยทำเรื่องอะไรจนไม่สามารถยกโทษได้จริง ๆ
ถึงแม้เฉินจิ่งหยุ้นจะเคยแยกเธอกับเฉินถิงเซียวสามปี แต่สามปีนั้นเธอก็ยังคงดูแลเฉินมู่เป็นอย่างดี
ถ้าหากว่าเฉินจิ่งหยุ้นโหดร้ายพอ ก็คงจะทำการฆ่าอย่างสิ้นซาก
เฉินจิ่งหยุ้นไม่ได้โหดร้ายขนาดที่ว่าให้อภัยไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นคนจิตใจดี
ถ้ามองจากมุมอื่น เธอเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเฉินถิงเซียว และก็เป็นป้าแท้ ๆ ของเฉินมู่
ยิ่งเป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลือไม่มากของเฉินถิงเซียว
“มู่น่อนน่อน เธอรู้ไหมว่าปฏิกิริยาบนใบหน้าของเธอเป็นอย่างไร” คำพูดของเฉินจิ่งหยุ้นดึงความคิดของมู่น่อนน่อนกลับมา
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกมาจับใบหน้าของตัวเอง
เฉินจิ่งหยุ้นกล่าวอย่างหยอกล้อ:“บนใบหน้าเขียนคำว่าเห็นอกเห็นใจไว้อย่างชัดเจน!”
มู่น่อนน่อนปฏิเสธอย่างเสียงแข็ง:“ฉันเปล่า”
“อย่างนั้นก็ดี” เฉินจิ่งหยุ้นยิ้มเบา ๆ “ต่อให้ฉันใกล้จะตาย ฉันก็ใช้ชีวิตที่ดีมีเกียร์ติมาทั้งชีวิต ดีกว่าเธอมาก”
มู่น่อนน่อนจ้องมองไปที่เฉินจิ่งหยุ้น มองออกอย่างน่าประหลาดใจถึงเบื้องหลังรอยยิ้มที่ฝืนของเฉินจิ่งหยุ้น
ถ้าหากว่าเฉินจิ่งหยุ้นรู้สึกพอใจกับการใช้ชีวิตที่ดีในชีวิตนี้จริง ๆ ทำไมต้องกลับมาหาเฉินถิงเซียว?
ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะไม่ได้ทำงานที่บริษัทเฉินซื่อแล้ว แต่ก็มีเงินใช้จ่ายอย่างไม่หมด เธอสามารถนำเงินเหล่านั้นมาใช้จ่ายได้อย่างฟุ่มเฟือย
ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับการให้อภัย เว้นแต่จะได้ทำความผิดพลาดที่ยกโทษให้ไม่ได้
นี่เฉินจิ่งหยุ้นคงจะ……สำนึกผิดแล้ว
……
เวลานอนตอนกลางคืนนั้น มู่น่อนน่อนนั้นอยากจะนอนเป็นเพื่อนเฉินมู่
แต่ว่าเฉินมู่ยังคงต่อต้านเธอ และยังนอนดึกมากด้วย
มู่น่อนน่อนนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตู จนกระทั่งห้าทุ่ม เฉินมู่ถึงได้นอนลงบนพรมที่อยู่บนพื้น
มู่น่อนน่อนจึงได้เข้าไป แล้วอุ้มเธอขึ้นมาวางบนเตียง จากนั้นค่อย ๆ ห่มผ้าห่มให้เธอเบา ๆ
เธอนั่งอยู่ริมเตียงอยู่สักพัก จากนั้นก็ลงตึกเพื่อไปรินน้ำ
เธอรินน้ำเสร็จแล้วเดินออกจากห้องครัว ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังจากด้านนอก
ดึกขนาดนี้แล้ว ใครกันนะ
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว ขณะกำลังลังเลว่าจะไปดูดีหรือไม่ ก็ได้ยินเสียงก้าวฝีเท้า
เธอหันกลับไปดู ก็เห็นชายหนวดเคราเดินลงมาจากบนตึก เขาพลางเดินพลางใส่เสื้อผ้า
ตามที่เฉินจิ่งหยุ้นบอก ชายหนวดเคราคนนี้ชื่อฉีเฉิง เป็นบอดี้การ์ด
แต่มู่น่อนน่อนมักจะรู้สึกว่า เขาไม่ใช่บอดี้การ์ดที่ธรรมดา
รอบกายเฉินถิงเซียวมีบอดี้การ์ดมากมาย มู่น่อนน่อนยังไม่เคยเห็นบอดี้การ์ดคนใดเหมือนกับฉีเฉิง ที่แววตาคมกริบ มีบางครั้งที่เปล่งประกาย ยังให้ความรู้สึกน่าสะพรึง
ฉีเฉิงเห็นมู่น่อนน่อนอยู่ที่ห้องรับแขก ก็ชะงักขึ้น แล้วกล่าว:“ผมจะไปเปิดประตู”
น้ำเสียงของเขาที่ตรงไปตรงมาและเด็ดขาด เมื่อพูดจบก็ก้าวเท้ายาวออกไป
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตามออกไปด้วย รอฉีเฉิงอยู่ที่ห้องรับแขก
หลังจากนั้นไม่กี่นาที เธอก็ได้ยินเสียงก้าวเดินกลับมาของฉีเฉิง
ถ้าฟังเพียงเสียงก้าวเดินของฝีเท้า มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าไม่ได้มีเพียงแต่เสียงฝีเท้าของฉีเฉิง ยังมีเสียงฝีเท้าของอีกคนหนึ่ง
“เอี๊ยด” ประตูถูกผลักออก
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมอง ก็เห็นร่างที่คุ้นเคยของเฉินถิงเซียวกำลังก้าวเข้ามาในบ้าน โดยมี ฉีเฉิงเดินตามอยู่ด้านหลัง
มู่น่อนน่อนชะงัก แล้วก็เข้าไปต้อนรับ:“คุณมาได้อย่างไร”
เฉินถิงเซียวก็ไม่ถามว่าเธอรู้ได้อย่างไร มาได้อย่างไร
อย่างแรกเขาจ้องมองเธออยู่สักพัก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองบนตึกแล้วถามขึ้น:“เจอมู่มู่เหรือยัง”
เมื่อเอ่ยถึงเฉินมู่ บรรยากาศก็หยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง
ใบหน้ามู่น่อนน่อนซีดเล็กน้อย:“เจอแล้ว”
เธอหันหลังแล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟา เฉินถิงเซียวได้ตามไปด้วย
ฉีเฉิงเดินขึ้นไปบนตึก ทิ้งมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวอยู่ในห้องรับแขกตามลำพัง
ทั้งคู่ต่างนั่งเคียงกันบนโซฟา มองหน้ากันอย่างเงียบ ๆ
เวลาเช่นนี้ มู่น่อนน่อนไม่มีอารมณ์ที่จะทะเลาะกับเฉินถิงเซียวอีก และก็ไม่อยากจะตำหนิติโทษใครที่เฉินมู่เป็นแบบนี้
เธอเพียงต้องการให้เฉินมู่หายขึ้นเร็ว ๆ
สักพักเฉินถิงเซียวเอ่ยปากขึ้นก่อน:“สถานการณ์ปัจจุบันของมู่มู่ เป็นการปิดตัวเองตามสัญชาตญาณหลังจากเผชิญสถานการณ์วิกฤติ เพื่อที่จะเสาะหาความรู้สึกปลอดภัย ขอเพียงอยู่ในสภาพแววล้อมที่นิ่งมั่นคง อาการก็จะดีขึ้นในไม่ช้า”
มู่น่อนน่อนเม้มปาก ไม่พูดไม่จา
“เธอเพิ่งจะหลับไป จะไปดูไหม” มู่น่อนน่อนหันมามองเขา
“อืม”” เฉินถิงเซียวพยักหน้า
ทั้งคู่คนหนึ่งเดินนำหน้าคนหนึ่งเดินตามหลังขึ้นไปชั้นบนดูเฉินมู่
ก่อนที่มู่น่อนน่อนจะเดินออกมานั้น ได้เปิดไฟเล็ก ๆ ทิ้งไว้ในห้องเฉินมู่
เมื่อเธอผลักประตูเดินเข้าไป เฉินมู่ที่เดิมทีได้นอนหลับไปแล้ว เวลานี้เธอกลับนั่งอยู่บนผ้าห่ม ก้มหน้าเล่นอะไรบางอย่าง
“มู่มู่”
มู่น่อนน่อนเรียกชื่อของเธอไปหนึ่งครั้ง เฉินมู่เงยหน้าขึ้นทันใด แล้วถอยไปด้านหลังด้วยความตกใจ จากนั้นก็ซุกเข้าไปอยู่ในผ้าห่ม แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมหัว คลุมตัวเองไว้อย่างแน่นหนา
มู่น่อนน่อนหันกลับไปมองเฉินถิงเซียวแวบหนึ่ง ก่อนที่จะเดินไปข้างเตียงอย่างรวดเร็ว
เธอลองยื่นมือไปเพื่อจะดึงเปิดผ้าห่มของเฉินมู่
แต่เมื่อมือของเธอโดนผ้าห่ม ก็ได้ยินเฉินมู่กรีดร้องขึ้น
มู่น่อนน่อนดึงมือกลับทันทีราวกับไฟฟ้าช็อต
เฉินถิงเซียวเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเธอ ขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไปหา ยื่นมือไปเลิกผ้าห่มของเฉินมู่ออก
“คุณจะทำอะไร!” มู่น่อนน่อนเปล่งเสียงต่ำ อยากจะห้ามเขา
แต่เรื่องที่เฉินถิงเซียวต้องการทำ ไม่มีใครที่จะห้ามได้
บนผ้าปูที่นอน เฉินมู่ขดตัวเป็นก้อนอยู่ในนั้น และก็ไม่มองมาทางพวกเขา
เฉินถิงเซียวยื่นสุดแขนอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา
เฉินมู่ขมวดคิ้ว แล้วขัดขืนเหมือนกับที่ทำกับมู่น่อนน่อนก่อนหน้านี้ สะบัดมือน้อย ๆ ตีเฉินถิงเซียว
“ทำไม่เป็น” เฉินจิ่งหยุ้นวางตำราอาหารลง ท่าทางจริงจัง: “เธออาจจะอาหารเป็นพิษก็ได้นะ”
ท่าทางของเฉินจิ่งหยุ้นจริงจังมาก ทำให้มู่น่อนน่อนเชื่อได้ยากว่าสิ่งที่เฉินจิ่งหยุ้นพูดนั้นไม่ใช่เรื่องจริง
มู่น่อนน่อนนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นถามเธอขึ้น:“มู่มู่ทานอะไร”
“ของที่มู่มู่ทานฉันไม่ได้เป็นคนทำ” เฉินจิ่งหยุ้นกล่าวประโยคนี้อย่างเย็นชา แล้วก็ลุกขึ้นเดินตรงไปที่ห้องครัว
ในเมื่อมู่น่อนน่อนยังไม่คิดที่จะกลับตอนนี้ เฉินจิ่งหยุ้นที่ก็ทำอาหารไม่เป็น เธอจึงได้เดินตามเฉินจิ่งหยุ้นเข้าไปห้องครัวทันที
เฉินจิ่งหยุ้นที่กำลังจะเป็นตู้เย็น ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านหลัง จึงถามมู่น่อนน่อน:“เธอเข้ามาทำไม”
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้บอกว่าจะมาทำอาหาร เพียงแค่กล่าวว่า:“ฉันอยากช่วยเธอ”
เฉินจิ่งหยุ้นก็ไม่เกรงใจเธอ เปิดตู้เย็นอีกครั้งหยิบวัสดุทำอาหารหลายอย่างออกมา:“เธอช่วยฉันล้างของเหล่านี้แล้วหั่นให้ด้วย”
มู่น่อนน่อนมองดูเธอแวบนึง ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ทำตามอย่างเงียบ ๆ
มู่น่อนน่อนทำอาหารเป็นประจำ ทักษะการใช้มีดจึงเยี่ยมยอด หั่นได้เร็ว
ร่องรอยของความชื่นชมปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในดวงตาของเฉินจิ่งหยุ้น
เมื่อรอมู่น่อนน่อนหั่นผักเสร็จแล้ว เฉินจิ่งหยุ้นก็กล่าวขึ้นอีก:“ในเมื่อหั่นเสร็จแล้ว อย่างนั้นเธอก็ผัดด้วยแล้วกัน”
มู่น่อนน่อน:“……”
สิ่งที่เฉินจิ่งหยุ้นกับเฉินถิงเซียวเหมือนกันก็คือ ชอบวางอำนาจ
เธอไม่รูว่าเฉินถิงเซียวทำไมถึงฝากเฉินมู่ให้กับเฉินจิ่งหยุ้น แต่ในเมื่อเขาฝากเฉินมู่ให้เฉินจิ่งหยุ้น เขาย่อมต้องมีเหตุผลของเขา
ถึงแม้ว่าเธอในตอนนี้ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจต่อเฉินจิ่งหยุ้นอยู่เล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา
ขณะที่ มู่น่อนน่อนกำลังทำอาหารอยู่นั้น เฉินจิ่งหยุ้นก็ยืนอยู่ข้าง ๆ คอยสั่งการตลอด
“ใส่หัวหอมน้อย ๆ หน่อย!”
“แครอทนี้ใส่เยอะอีกหน่อย……”
“ฉันไม่กินเผ็ด……”
มู่น่อนน่อนอดทนจนทำอาหารเสร็จ
สุดท้าย ตอนที่ทานอาหารนั้น มู่น่อนน่อนแทบไม่อยากจะสนใจเฉินจิ่งหยุ้นเลย
แต่กลับเฉินจิ่งหยุ้นที่ทานอาหารทุกอย่าง จากนั้นก็วางตะเกียบลง แล้วเงยหน้าขึ้นมองมู่น่อนน่อน:“เฉินถิงเซียวคงชอบทานอาหารที่เธอทำมากสินะ”
มู่น่อนน่อนเงียบ ถือเป็นการยอมรับโดยปริยาย
“รสชาติเหมือนกับอาหารที่แม่ฉันทำเลย” เฉินจิ่งหยุ้นสูดลมหายใจเข้าลึก ราวกับกำลังคิดถึงเรื่องในอดีต จากนั้นกล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยค: “อร่อยมาก”
มู่น่อนน่อนมองไปทางเฉินจิ่งหยุ้นด้วยความประหลาดใจ
เธอรู้ว่ามาโดยตลอดว่าเฉินถิงเซียวชอบทานอาหารที่เธอทำมาก เธอมั่นใจฝีมือในการทำอาหารของตัวเองอย่างมาก
เพียงแต่เธอไม่เคยได้ยินเฉินถิงเซียวพูดว่าอาหารที่เธอทำนั้นเหมือนกับรสชาติของคุณแม่ของเขา
เฉินจิ่งหยุ้นเอนหลังไปพิงเก้าอี้ ฟังจากน้ำเสียงค่อนข้างซับซ้อน:“หลายปีแล้วที่ฉันไม่ได้ทานอาหารแบบนี้”
เธอเป็นคุณหนูใหญ่แห่งบริษัทเฉินซื่อ ตอนที่พักอาศัยอยู่ในบ้านนั้น มีแม่ครัวที่คอยทำอาหารให้เธอโดยเฉพาะ ทั้งกลิ่นรูปรสชาติอาหารมีครบ หาจุดบกพร่องไม่มี
ตอนที่ทำงานอยู่ข้างนอก จะมีผู้ช่วยคอยจองร้านอาหารระดับไฮเอนด์ให้เธอ
เธอมีชีวิตที่หรูหราสง่างามมาโดยตลอด เธอคือคุณหนูใหญ่แห่งบริษัทเฉินซื่อที่มีคนอิจฉานับไม่ถ้วน
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าเฉินจิ่งหยุ้นทำไมถึงพูดเรื่องราวเหล่านี้ เธอก้มหน้าทานอาหารอย่างเงียบ ๆ ทานอย่างรีบร้อน ทานเสร็จก็กลับไปที่ห้องครัวดูโจ๊กที่เธอทำให้เฉินมู่
ก่อนหน้านั้นเฉินจิ่งหยุ้นบอกกับเธอว่า เฉินมู่นั้นค่อนข้างเลือกทาน บางครั้งทานตามอารมณ์
มู่น่อนน่อนตักโจ๊กมาหนึ่งถ้วย แล้วเดินขึ้นตึกไปหามู่มู่
เธอผลักประตู สาวเท้าเดินเข้าไป แล้วกล่าวเบา ๆ อย่างอ่อนโยน:“มู่มู่ ได้เวลาทานอาหารเย็นแล้วจ้ะ!”
เฉินมู่ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใด ๆ ไม่มองเธอ ไม่พูดจา
เมื่อมู่น่อนน่อนเห็นเธอเป็นแบบนี้ ในใจก็เกิดความเจ็บปวดทรมานอย่างยิ่ง แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการเกลี้ยกล่อมให้เฉินมู่ทานอาหาร
เธอวางโจ๊กลงบนโต๊ะ จากนั้นเดินไปเพื่อจะอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา
“มู่มู่ ทานอาหารกับคุณแม่ดีไหม” มู่น่อนน่อนกล่าวกับเฉินมู่ด้วยน้ำเสียงเบา ๆ
แต่ว่าเฉินมู่ยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ
มู่น่อนน่อนเม้มปาก ยื่นมือจะไปอุ้มเธอ
ในตอนแรกเฉินมู่นั้นไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ต่อมาก็เกิดการต่อต้านทันที พร้อมมีเสียงปฏิเสธเปล่งออกมาจากปาก
มู่น่อนน่อนกอดเธอไว้แน่น:“มู่มู่ เด็กดี นี่แม่เอง……แม่เป็นแม่ไง……”
การต่อต้านของเฉินมู่ค่อย ๆ เบาลง แต่ก็ยังไม่นิ่งสงบ
มู่น่อนน่อนอุ้มเธอไปวางลงบนเก้าอี้อย่างทุลักทุเล เพียงแต่ว่าเมื่อเฉินมู่นั่งลงแล้ว ก็ก้มหน้าเล่นเชือกของตัวเองต่อ
มู่น่อนน่อนตักโจ๊กขึ้นมาหนึ่งช้อนป้อนไปที่ริมฝีปากของเฉินมู่ แต่เธอไม่แม้แต่จะมอง
ไม่ว่ามู่น่อนน่อนจะหลอกล่ออย่างไร เฉินมู่ก็จมอยู่ในโลกของตัวเอง
มู่น่อนน่อนดึงช้อนกลับมาวางลงในถ้วย จากนั้นหันหลังไป ยื่นมือออกมาทาบที่ทรวงอกของตัวเอง แล้วกัดริมฝีปากแรง ๆ
เห็นเฉินมู่เป็นแบบนี้ เธอประหนึ่งถูกมีดกรีดกลางใจ
ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงดัง “แกร๊ง”เบา ๆ อย่างชัดเจนจากด้านหลัง
เมื่อเธอหันหน้าไป ก็เห็นเฉินมู่กำลังหยิบช้อนตักอาหารใส่ปากคำเล็ก ๆ
มู่น่อนน่อนใบหน้าประกายความดีใจ ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยปาก เฉินมู่ก็มองเธอแวบหนึ่งอย่างระแวดระวัง จากนั้นก็โยนช้อนลงในถ้วยทันที จนเกิดเสียงดัง “แกร๊ง” ขั้น
มู่น่อนน่อนตกใจ หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไป
หลังจากที่เธอเดินออกไป ก็ได้ปิดประตู แต่ว่าไม่ได้ปิดสนิท เปิดแง้มนิดหน่อยให้พอมีช่องเห็นภาพจากด้านใน
หลังจากที่เธอออกมาได้ประมาณสิบนาที เธอเห็นเฉินมู่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงมองไปรอบ ๆ เหมือนกำลังมองหาของบางอย่าง
จากนั้นเธอก็จ้องโจ๊กที่อยู่ตรงหน้าอยู่สักพัก แล้วก็ยื่นมือไปหยิบช้อนมาตักทาน
เมื่อก่อนเฉินมู่นั้น เวลาทานอาหารจะค่อนข้างเก่ง ตอนนี้ก็เช่นกัน
มู่น่อนน่อนมองดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ทนดูต่อไปไม่ไหว ในใจรู้สึกเจ็บแปลบ
เธอขยับไปด้านข้างสองก้าว เอนศีรษะไปพิงกับผนังแล้วเหม่อลอย
เธอไม่คิดถึงว่าลี่จิ่วเชียนจะลงมือกับเฉินมู่อย่างใจร้ายได้ขนาดนั้น
เฉินมู่ยังเด็กขนาดนั้น อยู่คนเดียวในห้องตอนที่ไฟลุกโชน และต่อมาก็ถูกเฉินถิงเซียวโยนลงมาจากตึกชั้นสามอีก……
เรื่องราวทั้งหมดนี้ สำหรับเด็กอายุที่เพียงสามขวบแล้ว มันน่ากลัวแค่ไหน
แต่ว่าตอนนั้นเธออยู่แห่งหนใด
การตำหนิติโทษตัวเองและความเสียใจค่อย ๆ แผ่ซ่านในใจ ก่อตัวโตขึ้นราวกับวัชพืชก็ไม่ปาน
ทันใดนั้นเสียงของเฉินจิ่งหยุ้นดังขึ้นจากด้านข้าง :“เธอรู้สึกผิดมากเหรอ”
เธอกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เธอดูออกว่ามู่น่อนน่อนกำลังคิดอะไรในใจ
มู่น่อนน่อนไม่ได้มองไปทางเฉินจิ่งหยุ้น เธอในตอนนี้ไม่อยากจะคุยกับเฉินจิ่งหยุ้น
เฉินจิ่งหยุ้นเดินมาที่ด้านหน้าเธอ แล้วพูดช้า ๆ อย่างชัดเจนว่า :“เธอไม่ต้องโทษตัวเองหรอก มีหลายเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุม เมื่อเทียบกับแม่บังเกิดเกล้าของเธอ กับพ่อของฉัน เธอถือว่าเป็นคุณแม่ที่ดีคนหนึ่งแล้ว”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นตอบกลับเธอ :“มาตรฐานของแม่ที่ดีไม่ได้ต่ำขนาดนี้”
เฉินจิ่งหยุ้นขมวดคิ้ว :“เธอทำไมถึงเหมือนกับก้อนหินเลย”
มู่น่อนน่อนเบือนหน้าไป ไม่อยากมองเธอ
“แล้วแต่เธอจะพูดอะไรเถอะ” เฉินจิ่งหยุ้นเดินมาที่ด้านหน้าประตูแล้วมองเข้าไปด้านในแวบนึงแล้วกล่าวขึ้น: “โดยปกติแล้ว อาหารที่ส่งมาให้นั้นมู่มู่จะทานน้อยมาก โจ๊กถ้วยที่เธอให้นั้น ดูเหมือนเธอจะชอบทานมาก ทานจนหมดเลย”
มู่น่อนน่อนพบว่าเฉินจิ่งหยุ้นไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วจริง ๆ
เธอจ้องเฉินจิ่งหยุ้น แล้วถามคำถามที่ค้างอยู่ในใจมานาน:“ทำไมเธอถึงกลับประเทศ”
เฉินจิ่งหยุ้นจ้องมองเธอครู่หนึ่ง ฉับพลันเอื้อมมือออกมาดึงผมของตัวเองไว้ แล้วดึงกระตุกอย่างแรง…
ชายหนวดเครายื่นหนึ่งถ้วยให้กับเฉินจิ่งหยุ้นก่อน
แต่ว่าเฉินจิ่งหยุ้นกลับถลึงตาใส่เขาแล้วกล่าวขึ้นหนึ่งประโยคว่า :“ถ้วยแรกให้แขกก่อน”
ชายหนวดเคราก็ไม่ได้พูดอะไร ยกถ้วยชามาด้านหน้าของมู่น่อนน่อน:“เชิญดื่มชาครับ!”
“ขอบคุณค่ะ” มู่น่อนน่อนรับถ้วยชามาแล้วกล่าวขอบคุณ จากนั้นกุมจับไว้ในมือ แต่สายตาของเธอกลับกวาดมองไปทั่วบ้าน
บ้านหลังนี้เป็นบ้านเล็ก ๆ สามชั้น ไม่เหมือนกับคฤหาสน์ในเมืองที่ใหญ่โตโอ่อ่าประณีต ดูธรรมดาแต่กลับอบอุ่น
มู่น่อนน่อนมองไม่เห็นเงาของคนรับใช้ และก็ไม่เห็นเฉินมู่
เฉินจิ่งหยุ้นดูแล้วไม่เหมือนกับเมื่อก่อน มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เฉินจิ่งหยุ้นอยู่ที่นี่ได้จะต้องไม่ใช่เป็นเรื่องที่บังเอิญ
มู่น่อนน่อนไม่ได้เร่งรีบที่จะถามอะไรมากมาย
ชายหนวดเคราเสิร์ฟน้ำชาให้พวกเขาทั้งสองคนละถ้วยแล้ว ก็เดินไปนั่งลงที่โซฟาเดี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ จากนั้นหยิบโทรศัพท์ออกมา นิ้วมือเล่นอยู่บนหน้าจอ ที่ดูเหมือนกำลังเล่นเกมอยู่
เฉินจิ่งหยุ้นได้กล่าวหนึ่งประโยคขึ้นอย่างกะทันหัน:“เธอมาหามู่มู่ล่ะสิ”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้น ก็หันหน้ามามองเธอทันที:“เธออยู่ที่นี่เหรอ?”
“เธอมาหาถึงที่นี่ได้ หรือไม่รู้ว่ามู่มู่อยู่ที่นี่?” เฉินจิ่งหยุ้นเอนหลังพิงโซฟาอย่างเกียจคร้าน และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นในเวลานี้
ชายหนวดเคราได้ลุกแล้วเดินขึ้นไปบนตึก สักพักก็ลงมา
โดยมีผ้าห่มถือไว้ในมือ
เขาเดินตรงมาทางด้านหน้าเฉินจิ่งหยุ้น แล้วโยนผ้าห่มลงบนตัวเฉินจิ่งหยุ้น
เฉินจิ่งหยุ้นมองเขาอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง แล้วก็หันกลับมาคุยต่อเรื่องที่คุยค้างกับมู่น่อนน่อนเมื่อสักครู่:“มู่มู่นั้นอยู่ที่นี่จริง ๆ แต่ว่าเธอต้องเตรียมใจไว้หน่อยนะ”
“เธอเป็นอะไร?” หัวใจมู่น่อนน่อนตกลงในตาตุ่ม สีหน้าเปลี่ยน:“เฉินถิงเซียวบอกกับฉันว่ามู่มู่สบายดี”
“เมื่อเธอเห็นแล้วเธอก็จะรู้เอง” เฉินจิ่งหยุ้นเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง ด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างคล้ายกับเฉินถิงเซียว
เป็นพี่น้องฝาแฝดกัน หน้าตาเหมือนกันก็เป็นเรื่องปกติ
เฉินจิ่งหยุ้นกล่าวจบก็ลุกยืนขึ้น
มู่น่อนน่อนรูว่าเฉินจิ่งหยุ้นนั้นจะพาเธอไปดูเฉินมู่ จึงได้ลุกขึ้นตามทันที
ตอนที่ขึ้นไปบนตึกนั้น มู่น่อนน่อนตามอยู่ด้านหลังเฉินจิ่งหยุ้นอย่างใกล้ชิด จึงสังเกตเห็นว่าเฉินจิ่งหยุ้น
นั้นผอมลงไปมาก
เสื้อคลุมตัวใหญ่ยาวพลิ้วไหวตามท่วงท่าการเคลื่อนไหวขึ้นบนตึกของเฉินจิ่งหยุ้น จึงเห็นความหลวมของเสื้อได้อย่างชัดเจน
เฉินจิ่งหยุ้นพามู่น่อนน่อนขึ้นไปถึงชั้นสอง แล้วเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องหนึ่ง
เวลานี้จิตใจของมู่น่อนน่อนค่อนข้างรีบร้อน เมื่อเห็นเฉินจิ่งหยุ้นไม่เปิดประตู เธอจึงยื่นมือไปเพื่อผลักประตู
แต่ เฉินจิ่งหยุ้นได้จับมือของเธอและหยุดการกระทำที่ต้องการเปิดประตูของมู่น่อนน่อนไว้
ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนรู้สึกถึงมือที่จับมือตัวเองนั้นผอมแห้งจนเห็นกระดูกได้อย่างชัดเจน กดทับมือจนรู้สึกเจ็บ
แต่ว่า เวลานี้มู่น่อนน่อนจิตใจร้อนรุ่มดุจเปลวไฟ จึงไม่ได้คิดอะไรมาก สีหน้าเย็นชา แล้วถามขึ้น:“เธอหมายความว่าอย่างไร!”
“อย่าลืมเรื่องที่ฉันเตือนเธอเมื่อสักครู่” เฉินจิ่งหยุ้นพูดจบก็ทำการปล่อยมือ
ในใจของมู่น่อนน่อนกระวนกระวายจนถึงขีดสุด เธอจับที่จับประตูด้วยตัวที่แข็งทื่อ
จนถึงขั้นรู้สึกไม่กล้าที่จะเปิดประตูออกมา
เฉินจิ่งหยุ้นให้เธอเตรียมใจอีกครั้ง เธอรู้สึกได้ว่าสถานการณ์ของเฉินมู่นั้นไม่ธรรมดา
เฉินจิ่งหยุ้นก็ไม่ได้ห้ามเธออีก ทำเพียงหลบไปด้านข้าง แล้วให้มู่น่อนน่อนเป็นคนตัดสินใจเอง
ครึ่งนาทีผ่านไป มู่น่อนน่อนรวบรวมความกล้าแล้วบิดลูกบิดประตู แล้วเปิดประตูนั้นออกมา
ในห้องตกแต่งอย่างอบอุ่นด้วยพรมหนานุ่ม
สีชมพู เต็มไปด้วยบรรยากาศความเป็นเด็ก ๆ
แต่มู่น่อนน่อนมองไปรอบ ๆ กลับมองไม่เห็นเฉินมู่
เธอเดินเข้าไปข้างในแล้วส่งเสียงเรียกขึ้น:“มู่มู่”
ไม่มีเสียงตอบรับ เธอจึงหันกลับมามองเฉินจิ่งหยุ้น ที่แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย
เฉินจิ่งหยุ้นก็มองเข้าไปด้านในแวบหนึ่ง จากนั้นเดินผ่านเธอไป
เตียงในห้องนั้นตั้งเป็นแนวนอน เฉินจิ่งหยุ้นจึงเดินตรงเข้าไที่เตียง
เดินไปถึงตำแหน่งบนหัวเตียง เธอก็ได้หยุดลง แล้วหันมามองมู่น่อนน่อน ส่งสัญญาณให้เธอเดินเข้าไป
มู่น่อนน่อนที่ยืนอยู่หน้าประตู ไม่กล้าขยับตัวในขณะนั้น
เฉินจิ่งหยุ้นหันกลับไป แล้วมองไปยังพื้นด้านในเตียง จากนั้นกล่าวเบา ๆ :“มู่มู่ คุณแม่มาหา”
ทันใดนั้น มู่น่อนน่อนตระหนักถึงบางอย่าง ดวงตาจึงแดงก่ำทันที
เธอก้าวขาออก แล้วตรงเข้าไปอย่างรวดเร็ว ก็เห็นเฉินมู่ที่สวมเสื้อสเวตเตอร์สีชมพูนั่งพิงเตียงอยู่บนพื้น ถือขวดพลาสติกเล็ก ๆ อยู่ในมือและเล่นกับตัวเองคนเดียว ราวกับไม่เห็นคนที่เข้ามา
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป แล้วนั่งลงตรงหน้าเฉินมู่ จากนั้นเรียกเบาก ๆ อย่างอ่อนโยน:“มู่มู่”
เฉินมู่ที่เหมือนกับไม่ได้ยิน ยังคงเล่นขวดพลาสติกในมือต่อ ก้มหน้าก้มตาจมอยู่ในโลกของตัวเอง
“แม่คือแม่ของหนูไง มู่มู่ หนูมองหน้าแม่สิ!” มู่น่อนน่อนพลางพูดพลางยื่นมือไปกอดเธอ
แต่ขณะที่มือของเธอไปโดนตัวเฉินมู่ เฉินมู่ก็ต่อต้านปัดมือเธอออกอย่างรุนแรง
มือของมู่น่อนน่อนจึงค้างอยู่ในอากาศอย่างนั้น มองเฉินมู่โดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
หลังจากที่เฉินมู่ปัดมือของมู่น่อนน่อนแล้ว เธอก็ก้มหน้าเล่นขวดพลาสติกเล็ก ๆ ของตัวเองต่อ โดยไม่สนใจการรบกวนของเธอ
มู่น่อนน่อนเบ้าตาแดงก่ำ หันกลับไปมองเฉินจิ่งหยุ้น น้ำเสียงสั่นเครือ:“ทำไมถึง……เป็นแบบนี้?”
เฉินจิ่งหยุ้นทอดถอนใจเบา ๆ:“ตอนที่เฉินถิงเซียวส่งเธมมาหาฉันนั้นก็เป็นแบบนี้แล้ว เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอยู่อย่างนั้น เมื่อสองสามวันก่อนสถานการณ์ดีขึ้น แต่แป๊บเดียวก็กำเริบขึ้นอีกครั้ง”
มู่น่อนน่อนมองเฉินมู่ด้วยสายตาอ่อนโยน แล้วพึมพำ :“ดังนั้นตอนที่เพิ่งกลับมา เฉินถิงเซียวรับปากว่าจะให้ฉันเจอมู่มู่ แต่ผ่านไปไม่กี่วัน เขาก็ไม่ให้ฉันเจอมู่มู่อีก เพราะมู่มู่อาการกำเริบ”
“แต่ว่าเธอทำไมถึงเป็นแบบนี้……มู่มู่……เมื่อก่อนสดใสมีชีวิตชีวามาก……” ในลำคอมู่น่อนน่อนเหมือนมีก้อนสำลีอุดไว้ก็ไม่ปาน จนรู้สึกอึดอัด หายใจลำบาก
มู่น่อนน่อนอ้าปากขึ้นและสูดลมหายใจเข้าไปสองครั้งติดต่อกัน แล้วก็กลั้นน้ำตาที่ซึมอยู่ในเบ้าตาไม่ให้ไหลออกมา
“ไปหาหมอมาแล้ว ทานยาก็ไม่หาย อาการป่วยทางใจต้องใช้ยาใจรักษา ต้องคอยพยายามชักนำ ก็อาจจะหาย”
ความหมายของก็อาจจะหาย คือ ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะไม่หาย
มู่น่อนน่อนยกมุมปากขึ้นแล้วกล่าว:“มู่มู่จะต้องหายอย่างแน่นอน!”
…..
มู่น่อนน่อนคุยกับเฉินมู่อยู่ในห้องอีกพักใหญ่ ๆ พยายามที่จะหยอกเล่นกับเฉินมู่ แต่เฉินมู่กลับไม่พูดกับเธอแม้แต่คำเดียว ทำเพียงแค่จ้องมองคู่ดวงตาของเธอเท่านั้น
แต่เฉินมู่ยอมที่จะจ้องคู่ดวงตาของเธอ ก็ยังดีกว่าการที่เธอไม่สนใจเธอเลย
เมื่อด้านนอกฟ้ามืดค่ำลงแล้ว มู่น่อนน่อนลงตึกไปเตรียมตัวที่จะทำอาหาร
หลังจากที่เฉินจิ่งหยุ้นออกจากห้อง ทิ้งให้มู่น่อนน่อนกับเฉินมู่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน แล้วมู่น่อนน่อนก็ลงมาจากตึกนั้น ก็เห็นเฉินจิ่งหยุ้นนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ดูตำราอาหารที่อยู่ในมืออย่างตั้งใจ
ได้ยินเสียงฝีเท้า เฉินจิ่งหยุ้นจึงหันหน้ามา:“เป็นไงบ้าง”
“เธอไม่พูดกับฉันเลย แต่เมื่อฉันพูดเรื่องที่น่าสนใจ เธอก็จะมองมาที่ฉัน” มู่น่อนน่อนยิ้มเบา ๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจ
เฉินจิ่งหยุ้นเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้น:“อยู่ที่นี่ ไม่มีอาหารเย็นให้เลือกนะ ฝีมือการทำอาหารของฉันไม่ดี”
มู่น่อนน่อนประหลาดใจ:“เธอทำอาหารเป็น?”
สือเย่จึงชะงักหยุดด้วยความจำใจ แล้วหันกลับไปมองมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนก็ไม่อยากจะเสียเวลา จึงถามขึ้นตรง ๆ :“บอกมาว่ามู่มู่อยู่ที่ไหน”
สือเย่ส่ายหน้า:“ผมไม่รู้ครับ”
มู่น่อนน่อนกระตุกมุมปากขึ้น:“ถ้าจะให้คิดดี ๆ แล้วล่ะก็ เวลาที่นายอยู่กับเฉินถิงเซียวนั้นนานกว่าที่ฉันอยู่กับเฉินถิงเซียวมาก เขาเชื่อใจนายที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ให้นายเป็นคนจัดการ แต่นายกลับบอกกับฉันว่าไม่รู้?”
เฉินถิงเซียวเชื่อใจสือเย่ เกือบแทบทุกเรื่องที่ให้สือเย่เป็นคนลงมือจัดการ
มู่น่อนน่อนกล้ามั่นใจว่าสือเย่จะต้องรู้ว่าเฉินมู่อยู่ที่ใด
ต่อให้เรื่องนี้สือเย่จะไม่ได้จัดการด้วยตัวเองก็ตาม แต่อย่างไรสือเย่จะต้องรู้รายละเอียดอย่างแน่นอน
สือเย่สีหน้าสะดุ้ง ถอนหายใจเบา ๆ เล็กน้อย :“แต่ว่าเรื่องนี้ผมไม่ได้เป็นคนจัดการ ทุกอย่างคุณผู้ชายเป็นคนจัดการเองทั้งนั้นครับ”
“เฉินถิงเซียวเป็นคนจัดการเอง?” นี่ทำให้มู่น่อนน่อนแปลกใจเล็กน้อย
แต่เมื่อคิดดูแล้ว ก็รู้สึกว่าเป็นไปได้
ท่าทีมุมมองที่เฉินถิงเซียวมีต่อเฉินมู่นั้นเปลี่ยนไปแล้ว การลงมือจัดการเรื่องของเฉินมู่ด้วยตัวเองก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้
“ครับ” สือเย่ปาดเหงื่ออย่างเงียบ ๆ แบบนี้คงปล่อยเขาไปได้แล้วสินะ?
เธอเเอียงศีรษะเล็กน้อยและพูดช้า ๆ “ต่อให้เขาจะเป็นคนจัดการเอง ก็เป็นไปไม่ได้ที่นายจะไม่รู้!”
สือเย่เงียบ
มู่น่อนน่อนจึงเข้าใจทันทีว่าเธอนั้นทายถูกแล้ว
สุดท้ายสือเย่จนปัญญากับมู่น่อนน่อน จึงได้บอกที่อยู่เธอไปตามตรง
ที่อยู่นี้ เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากเมืองหู้หยางร้อยกว่ากิโลเมตร
เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้มีชื่อเสียงจากการปลูกดอกไม้ มู่น่อนน่อนเคยไปครั้งหนึ่งสมัยตอนที่ยังเรียนอยู่ เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามมาก
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเฉินถิงเซียวจะพาเฉินมู่มาอยู่เมืองเล็ก ๆ แบบนี้ได้
เดิมทีเธอคิดว่าอาจจะเป็นเมืองที่อยู่ห่างจากเมืองหู้หยางหลายพันกว่ากิโลเมตร คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเมืองที่ห่างแค่ไม่กี่ร้อยกิโลเมตร
ต่อให้เมื่อลี่จิ่วเชียนจะรู้ว่าเฉินมู่ยังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าเฉินถิงเซียวก็คงจะสอดส่องเฉินมู่ไม่ให้คลาดสายตา
……
มู่น่อนน่อนไปถึงที่สถานีรถขนส่งและขึ้นรถไปถึงเมืองเล็ก ๆ แห่งนั้น
เมืองเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างหนาวกว่าในเมือง
มู่น่อนน่อนตามหาเลขที่บ้านท่ามกลางลมหนาว เมื่อเธอหาเลขที่บ้านเจอ จมูกของเธอก็แดงขึ้นด้วยความเย็นแล้ว
เป็นวิลล่าเก่า ๆ ที่ไม่ค่อยสะดุดตาหลังหนึ่ง ยืนมองจากที่ไกล ๆ สามารถมองข้ามกำแพงรั้วบ้านเห็นต้นหญ้าในสวนหย่อมที่ลานหน้าบ้าน
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปใกล้แล้วพบว่า กำแพงรั้วหน้าบ้านค่อนข้างสูง จึงมองไม่เห็นด้านในบ้าน
เธอยืนอยู่ที่หน้าประตู แล้วทำการเคาะประตู
หลังจากที่เคาะอยู่สองสามที มู่น่อนน่อนก็ได้ยืนรออยู่ด้านหน้าประตู
ผ่านไปนานสักพัก ถึงได้มีคนมาเปิดประตู
ตามด้วยเสียงเปิดประตูดัง “เอี๊ยด” ก็มีเสียงห้วน ๆ ของชายหนุ่มดังขึ้น:“ใครอ่ะ”
เมื่อประตูถูกเปิดออก ชายร่างสูงใหญ่ในเสื้อแจ็คเก็ตสีดำหนาก็เดินออกมา
ชายหนุ่มที่ไว้หนวดเครา ที่ดูค่อนข้างดุดัน
เขาจ้องมองมาทางมู่น่อนน่อน มองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า ดวงตาเบิกกว้าง ถึงแม้จะะดูไม่ค่อยมีมารยาท แต่ว่าในแววตานั้นก็ไม่มีความหมายอื่นนแอบแฝง
เมื่อสำรวจเสร็จแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วถามเธออย่างหมดความอดทน:“คุณเป็นใคร”
“ฉันมาตามหาคน” มู่น่อนน่อนที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร “ขอถามหน่อยค่ะว่าที่นี่มีคนแซ่เฉินอยู่ไหมคะ”
เธอหมายถึงคนที่แซ่ “เฉิน” ส่วนชายหนุ่มนั้นอาจไม่รู้ว่าเป็น “เฉิน” ตัวไหน
สายตาของชายหนุ่มตกกระทบไปที่ใบหน้าของเธอ จากนั้นจึงกล่าวออกมาหนึ่งประโยค:“ไม่มีคนแซ่เฉินอะไรทั้งนั้น”
เมื่อพูดจบ เขาก็ปิดประตูลง
เสียงดัง “ปัง” ประตูเหล็กที่หนาถูกปิดลงต่อหน้าต่อตามู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนถอยหลังสองสามก้าวอย่างหวุดหวิด มิเช่นนั้นอาจจะถูกประตูหนีบโดน
เธอได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวในนั้นค่อย ๆ ไกลออกไป ชายหนุ่มคนนั้นจากไปแล้วจริง ๆ เหรอ
มู่น่อนน่อนนั่งรถมาตั้งหลายชั่วโมง คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับสภาพแบบนี้
เธอนึกว่าถ้าหากเป็นคนที่เฉินถิงเซียวจัดแจงมา อย่างน้อยก็น่าจะรู้จักเธอบ้าง
หรือว่าสือเย่ให้ที่อยู่เธอผิด
หรือว่าเฉินถิงเซียวต้องการปิดบังเป็นความลับ ดังนั้นจึงโกหกแม้กระทั่งสือเย่?
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดไปมา ก็คิดไม่ออกถึงสาเหตุ
แต่ในเมื่อเธอมาแล้ว ก็จะต้องเห็นเฉินมู่ให้ได้
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง ฉับพลันก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแต่ก็เหมือนไม่รู้จักดังมาจากด้านหลัง:“มู่น่อนน่อน?”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้นก็รีบหันขวับไปทันที ก็เจอกับบุคคลที่ไม่คาดฝัน
“เฉินจิ่งหยุ้น?” มู่น่อนน่อนมองเฉินจิ่งหยุ้นที่สวมเสื้อคลุมยาวสีดำที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
ตอนนั้นเฉินถิงเซียวกับเฉินจิ่งหยุ้นตัดขาดจากกัน เฉินจิ่งหยุ้นออกจากประเทศไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ
เวลานี้ ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้
“เธอมาได้ยังไง” เฉินจิ่งหยุ้นเดินมาที่ด้านหน้าของมู่น่อนน่อน ในแววตาเต็มไปด้วยการสำรวจ
เธอสำรวจมองมู่น่อนน่อน แน่นอนว่ามู่น่อนน่อนก็มองสำรวจเธอเช่นกัน
เฉินจิ่งหยุ้นที่พันด้วยผ้าพันคอหนา ๆ เสื้อคลุมยาวถึงข้อเท้า และเท้าของเธอเป็นคู่รองเท้าบูตลุยหิมะที่ดูแล้วเหมือนจะอุ่นมาก
ชุดที่ดูเรียบง่ายกว่าของมู่น่อนน่อน แต่ยังคงดูมีสง่าราศี
สองสาวต่างมองสำรวจกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมู่น่อนน่อนจึงได้ถามขึ้น:“แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เฉินจิ่งหยุ้นกลับไม่ได้พูดอะไร เดินไปเคาะประตู จากนั้นค่อยหันมาทางมู่น่อนน่อนแล้วกล่าวขึ้น:“เข้ามาด้านในก่อน”
ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านในนานอยู่ครู่หนึ่ง เฉินจิ่งหยุ้นจึงยกเท้าขึ้นมาถีบประตูเหล็กไปหนึ่งที น้ำเสียงดุดัน:“ฉีเฉิง ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
“……”
มู่น่อนน่อนมองเฉินจิ่งหยุ้นด้วยความประหลาดใจ
เฉินจิ่งหยุ้นในความทรงจำของเธอ เป็นผู้หญิงที่สง่างามมักจะวางมาดด้วยฐานะคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินซื่อตลอดเวลา
เฉินจิ่งหยุ้นที่มีความหยิ่งผยองฝังอยู่ในกระดูก และความสูงส่งมาแต่โดยกำเนิด
เป็นเรื่องยากที่มู่น่อนน่อนจะปะติดปะต่อเฉินจิ่งหยุ้นที่อยู่ตรงหน้ากับความทรงจำให้เข้าด้วยกันได้
สักพัก ประตูถูกเปิดออกอีกครั้งจากคนด้านใน
ยังคงเป็นชายหนวดเคราคนเดียวกันกับเมื่อสักครู่
เขาเปิดประตูออกมาก็เห็นเฉินจิ่งหยุ้น จึงดึงประตูให้เฉินจิ่งหยุ้นได้เข้าไปด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ
“เข้าไปกันเถอะ” เฉินจิ่งหยุ้นกล่าวกับมู่น่อนน่อน แล้วก็สาวเท้าก้าวไปด้านใน
เมื่อมู่น่อนน่อนเดินผ่านชายหนวดเครา ก็ได้เหลือบมองเขาอีกครั้ง
ครั้งแรกที่เขาเปิดประตูนั้น มู่น่อนน่อนมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ครั้งนี้จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าชายหนวดเครานี้มีแววตาที่คมกริบ
จนทำให้คิดถึงท่าทางของเฉินจิ่งหยุ้นที่อยู่หน้าประตูเมื่อสักครู่ มู่น่อนน่อนรู้สึกราง ๆ ว่าความสัมพันธ์ของชายหนวดเคราคนนี้กับเฉินจิ่งหยุ้นนั้นไม่ธรรมดา
ในบ้านมีเครื่องทำความร้อน จึงอบอุ่นกว่าข้างนอกมาก
“เธอนั่งตามสบายเลยนะ” เฉินจิ่งหยุ้นเข้ามาแล้วก็ถอดผ้าพันคอกับเสื้อคลุมทันที
มู่น่อนน่อนนั่งลงบนโซฟา เงยหน้าขึ้นก็เห็นชายหนวดเคราได้เดินตามเข้ามา
เฉินจิ่งหยุ้นหันไปมองชายหนวดเครา:“ไปรินชา”
ตอนที่เธอกล่าวประโยคนี้นั้นดูธรรมชาติมาก เหมือนกับยามปกติเธอก็ออกคำสั่งแบบนี้กับชายหนวดเคราเป็นประจำ
ชายหนวดเคราก็ไม่ได้พูดอะไร หันหลังไปหยิบกาน้ำแล้วทำการรินน้ำชาให้กับพวกเธอสองคน
ชายหนุ่มที่มาดเข้มแบบนี้ เมื่อทำการรินน้ำชา เรื่องที่เล็ก ๆ แบบนี้กลับทำได้อย่างพิถีพิถัน
เพียงแต่ คนรับใช้ยังเดินไปได้ไม่ไกล ก็ได้ยินเสียงของเฉินถิงเซียวลอยดังมา:“เดี๋ยว!”
คนรับใช่รีบหยุดชะงักลง แล้วหันหน้ามามองทางเฉินถิงเซียว:“คุณผู้ชาย ยังมีอะไรจะรับสั่งอีกคะ”
เฉินถิงเซียวเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นถามอย่างเคร่งขรึม :“เธอทานข้าวหรือยัง”
คนรับใช้ชะงักงันไปชั่วขณะ เมื่อรู้ตัวว่าเฉินถิงเซียวนั้นถามถึงมู่น่อนน่อน จึงได้พยักหน้าแล้วกล่าวเบา ๆ :“คุณหญิงน้อยมัวแต่รอคุณผู้ชายกลับมา ยังไม่ได้ทานข้าวเลยค่ะ”
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้น สีหน้านิ่งครู่หนึ่ง แล้วรีบกำชับคนรับใช้:“นำอาหารไปให้เธอที่ห้อง”
“ค่ะ” คนรับใช้ตอบรับ แล้วก็เตรียมไปทำอาหารส่งไปให้มู่น่อนน่อน
คนรับใช้จัดวางอาหารเสร็จเรียบร้อย ก็ได้ยินเฉินถิงเซียวกล่าวกำชับเพิ่มอีกหนึ่งประโยค:“อย่าบอกว่าผมเป็นคนสั่งให้เธอส่งไปให้นะ”
“……ค่ะ”
คนรับใช้ยกอาหารขึ้นไปบนตึก แล้วยื่นมือออกมาข้างหนึ่งทำการเคาะประตู
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงเคาะดังจากด้านนอก ปฏิกิริยาแรกคือนึกถึงเฉินถิงเซียว
แต่ความคิดต่อมา ด้วยนิสัยของเฉินถิงเซียว เขาจะมาหาเธอก่อนได้อย่างไร ต่อให้เฉินถิงเซียวมาหาเธอ ก็ไม่มีทางที่จะเคาะประตู
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ขยับตัว เพียงแค่เอ่ยออกมาหนึ่งประโยค:“เข้ามา”
คนรับใช้ยกอาหารไว้แล้วผลักประตูเข้ามา มู่น่อนน่อนมองเพียงแวบหนึ่ง แล้วก็ก้มลงไปมองโทรศัพท์
คนรับใช้วางอาหารลงบนโต๊ะ จากนั้นหันมากล่าวกับมู่น่อนน่อนว่า :“คุณหญิงน้อยคะ ตอนเย็นท่านไม่ทานอาหารเลย ดิฉันก็เลยทำอาหารนิดหน่อยมาให้ค่ะ ทานสักหน่อยนะคะ”
“ฉันรู้แล้ว เธอวางไว้ตรงนั้นแหละ” มู่น่อนน่อนกล่าวโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า
หลังจากคนรับใช้วางอาหารลงแล้ว ก็ได้หันหลังเดินออกไป
เมื่อคนรับใช้ออกไปแล้ว มู่น่อนน่อนก็วางโทรศัพท์ลง แล้วเดินไปยังโต๊ะมองดูอาหารครู่หนึ่ง
แทบไม่มีความรู้สึกอยากอาหาร
เมื่อนึกถึงประโยคคำพูดนั้นของเฉินถิงเซียว “เรื่องโง่ ๆ ที่ผมเคยทำ ก็คือการรักและตามใจคุณมากเกินไป” มู่น่อนน่อนจึงโกรธมากจนจี๊ดขึ้นสมอง
เธอวางโทรศัพท์ลงข้าง ๆ แล้วลุกขึ้นไปห้องอาบน้ำทำธุระส่วนตัว
……
เฉินถิงเซียวกลับมาถึงห้องนั้น มู่น่อนน่อนได้เอนตัวนอนบนเตียงแล้ว
ในห้องมืดสนิท เฉินถิงเซียวอาศัยความจำเดินไปเปิดไฟดวงเล็ก ๆ และเดินย่องเข้าห้องน้ำเบา ๆ
เพียงแต่ว่าตอนที่เขาออกมานั้น กลับเห็นมู่น่อนน่อนลุกขึ้นนั่งเอนตัวพิงอยู่ที่หน้าต่าง และมองมาทางเขาอย่างเงียบ ๆ
ทั้งสองคนต่างสบตากันภายใต้แสงไฟสลัวกันสองสามวิ จากนั้นเฉินถิงเซียวก็ได้เบนสายตาไป แล้วทอดตัวลงบนเตียงที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง
“เมื่อไหร่คุณจะพาฉันไปเจอมู่มู่ หรือคุณบอกกับฉันก็ได้ว่าเธออยู่ที่ไหน แล้วฉันจะไปเอง” มู่น่อนน่อนยังคงอยู่ในท่าเดิม แม้แต่ดวงตาก็ยังไม่มีการกะพริบ
“ตอนนี้ไม่ได้” เฉินถิงเซียวตอบกลับ
“ทำไมตอนนี้ถึงไม่ได้ ฉันต้องการเจอลูกสาวของตัวเอง ยังต้องหาฤกษ์งามยามดีด้วยเหรอ” ในที่สุดมู่น่อนน่อนก็หันมาทางเฉินถิงเซียว กล่าวด้วยน้ำเสียงแดกดัน
น้ำเสียงเฉินถิงเซียวทุ้มต่ำ มีร่องรอยการอดกลั้นความโกรธเอาไว้:“มู่น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้กลัวว่าจะทำให้เขาโกรธ และกล่าวออกมาอย่างตรง ๆ :“แล้วแต่คุณจะพูดยังไง แต่ว่าฉันต้องการเจอมู่มู่”
เฉินถิงเซียวนอนราบลงไป แล้วหลับตาลงในท่านอนหงาย
มู่น่อนน่อนเห็นแล้วรู้สึกโมโหมาก แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้
เธอจึงนอนหันหลังให้กับเฉินถิงเซียวด้วยความโกรธ
ทั้งสองคนจึงนอนกันแบบนี้ทั้งคืน
……
วันรุ่งขึ้น
ตอนที่มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมานั้น เฉินถิงเซียวก็เพิ่งตื่นเช่นกัน
ประตูห้องน้ำไม่ได้ปิด ตำแหน่งบนเตียงสามารถมองเห็นอ่างล้างหน้าในห้องอาบน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากประตูได้พอดี
เฉินถิงเซียวยืนอยู่หน้ากระจก กำลังผูกเนกไทตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ผูกอย่างไรก็ออกมาไม่ดี
มู่น่อนน่อนจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง เห็นเขาเดี๋ยวผูกเดี๋ยวแก้เนกไทอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทนดูต่อไปไม่ไหว จึงลุกขึ้นลงจากเตียงแล้วเดินไปหาเขา
เฉินถิงเซียวเห็นเธอเดินเข้ามา จึงหันหน้าไปมองเธอแวบหนึ่ง แล้วก็หันกลับมาผูกเนกไทของตัวเองต่อ
มู่น่อนน่อนหยิบแปรงสีฟันขึ้น กะว่าจะไม่สนใจเขา
แต่ว่าสมองของเธอได้ตัดสินใจล่วงหน้าไปก่อนเธอแล้ว แปรงสีฟันที่เพิ่งหยิบขึ้นมานั้นได้ถูกวางลงกลับไป เธอเงยหน้าขึ้น ยื่นมือไปปัดมือของเฉินถิงเซียวออก แล้วช่วยผูกเนกไทให้กับเขา
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้ปฏิเสธ ทำเพียงหรี่ตามองเธอ
อากาศก็เงียบสงัดอย่างน่าประหลาดใจ
ในเรื่องเล็ก ๆ ที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ ผู้หญิงมักจะทำได้ดีกว่าผู้ชายเสมอ
นิ้วมือที่เรียวบางของมู่น่อนน่อนจับเนกไทแล้วบรรจงผูกเข้าด้วยกันอย่างคล่องแคล่าว จากนั้นก็หันไปหยิบแปรงสีฟันขึ้นมา
ตอนที่เธอแปรงฟันอยู่นั้น รู้สึกเหมือนเฉินถิงเซียวยังจ้องมองเธออยู่
เธอจึงได้ก้มหน้าต่ำลง เวลานี้เธอสวมใส่รองเท้าแตะ และค่อนข้างเตี้ยกว่าเฉินถิงเซียวมาก จึงจงใจก้มหน้าลงเพื่อไม่ให้เฉินถิงเซียวได้เห็นหน้าเธอ
จนกระทั่งมู่น่อนน่อนแปรงฟันเสร็จ จึงหันหน้าไปมองเขา:“คุณเสร็จหรือยัง เสร็จแล้วก็ออกไป อย่ามายืนขวางทาง เกะกะอยู่ตรงนี้”
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้น ความโกรธจึงตีบตันอยู่ตรงลำคอ ขึ้นก็ไม่ได้ จะลงก็ไม่ได้
ผู้หญิงคนนี้ ช่าง……
เฉินถิงเซียวทำเสียงฟืดฟัดหันหลังแล้วก็เดินออกไป
เพียงแต่ว่าย่างก้าวของเขานั้นค่อนข้างหนักหน่วง เต็มไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
มู่น่อนน่อนยิ้มเยาะเบา ๆ:“ไร้สาระ!”
เมื่อเธอทำธุรส่วนตัวเสร็จแล้วลงมาจากตึกนั้น เฉินถิงเซียวเพิ่งทานอาหารเช้าเสร็จพอดีและกำลังจะออกไป
สือเย่ขับรถมารับเฉินถิงเซียวไปบริษัทตามปกติ เวลานี้เฉินถิงเซียวกำลังรอยู่ในห้องโถง
สือเย่เห็นมู่น่อนน่อนจึงโค้งคำนับเบา ๆ ให้กับเธอ:“คุณหญิงน้อย”
มู่น่อนน่อนดวงตาเป็นประกาย คิดอะไรบางอย่างออก จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม:“ผู้ช่วยสือ เช้าขนาดนี้ทานอาหารหรือยัง”
สือเย่ที่ไม่เห็นถึงความผิดปกติของมู่น่อนน่อน จึงยิ้มแล้วกล่าว:“ทานแล้วครับ”
“อย่างนั้นก็ดี” มู่น่อนน่อนกล่าวเสร็จ ก็เดินตรงไปที่ห้องอาหาร โดยไม่มีการพูดคุยกับเฉินถิงเซียวใด ๆ
สือเย่จึงรู้สึกถึงบางอย่าง จ้องมองไปทางมู่น่อนน่อน แล้วก็หันมามองเฉินถิงเซียวที่กำลังเดินมาหาตัวเอง
จึงเข้าใจในใจ นี่ทะเลาะกันอีกแล้ว?
และก็ไม่รู้ว่าคราวนี้ทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไรอีก?
สือเย่เองก็ฉลาดพอจึงไม่ได้ถามอะไรมาก
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารคนเดียว ดูเหมือนกำลังทานอาหารเช้า แต่ยังคงให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของด้านนอกตลอดเวลา
ผ่านไปสักพัก เธอได้ยินเสียงรถยนต์จากด้านนอกดังขึ้น จึงได้วางช้อนส้อมในมือลง
เฉินถิงเซียวไม่พาเธอไปพบเฉินมู่ เธอจะไปเองไม่ได้เลยรึ?
เฉินถิงเซียวไม่บอกว่าเฉินมู่อยู่ที่ไหน เธอจะคิดหาทางเองไม่ได้เลยรึ?
……
ช่วงเวลาตอนบ่าย สือเย่ออกไปทำธุระด้านนอก
ขณะที่กำลังเดินไปถึงที่จอดรถนั้น ก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงดังมาจากด้านหลัง
“ตึก ๆ ๆ” อย่างชัดเจน และใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
สือเย่หันกลับไป ก็เห็นรอยยิ้มของมู่น่อนน่อนที่ยิ้มให้กับตัวเองอ่อนโยน
“คุณหญิงน้อย?” สือเย่ชะงักแล้วก็ถามขึ้น :“มาหาคุณผู้ชายเหรอครับ ตอนนี้คุณผู้ชายอยู่ที่ห้องทำงาน คุณหญิงน้อยไปหาคุณผู้ชายได้เลยครับ”
มู่น่อนน่อนกอดอกแล้วเดินมาที่ด้านหน้าของสือเย่:“ฉันมาหานาย”
สือเย่รู้สึกถึงความผิดปกติในทันใด ครู่เดียวก็เข้าใจในทันทีว่ามู่น่อนน่อนมาหาเขาด้วยเรื่องอะไร จึงรีบกล่าวหนึ่งประโยคขึ้น :“ผมยังมีธุระที่ต้องไปจัดการ คุณหญิงน้อยมีธุระอะไรค่อยคุยกันวันหลังนะครับ”
เขาพลางพูดพลางยกเท้าจะก้าวเดินจากไป
แต่ว่า มู่น่อนน่อนที่ได้รออยู่ที่ลานจอดรถมาเกือบครึ่งค่อนวัน จะปล่อยสือเย่จากไปแบบง่าย ๆ ได้อย่างไร
มู่น่อนน่อนเปล่งเสียงขึ้นเบา ๆ “หยุด”
น้ำเสียงของเธอเบาบาง แต่กลับทำให้สือเย่รู้สึกเหมือนกับความน่าเกรงขามของเฉินถิงเซียว
ลี่จิ่วเชียนประเมินมู่น่อนน่อนอย่างไม่กระโตกกระตาก พลันยื่นข้อเสนอให้ “ถ้าคุณเกลียดเขาขนาดนี้จริงๆ การอยู่ใกล้ตัวเขาบางทีอาจเป็นเรื่องดีก็ได้”
“หมายความว่ายังไงคะ?” มู่น่อนน่อนเหลือบมองลี่จิ่วเชียนด้วยความสงสัย
“ตอนนี้เฉินถิงเซียวยังมีความรู้สึกกับคุณ จึงไม่ได้คิดจะทำอะไรกับคุณ ถ้าคุณเกิดย้ายออกจากวิลล่าของเขา ด้วยสถานะของพวกคุณทั้งสองแล้ว คุณยังมีโอกาสอีกเท่าไหร่ที่สามารถจะเจอเขาได้อีกล่ะ? เช่นนั้นยิ่งไม่สะดวกให้คุณแก้แค้นหรอกเหรอครับ?
สีหน้าของลี่จิ่วเชียนแปรเปลี่ยนเป็นมีความหมายเป็นนัย
มู่น่อนน่อนได้แต่หัวเราะแห้งๆ ให้ตัวเองอยู่ในใจ แต่ไม่มีการแสดงออกทางสีหน้า “จากนั้นล่ะ?”
“จากนั้น คุณก็มีโอกาสได้แก้แค้นเขา โดยการใส่อะไรสักอย่างลงไปในอาหาร หรือการเล่นตุกติกกับเอกสารลับของบริษัทของเขา เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่สามารถทำให้เฉินถิงเซียวไม่สามารถกลับมาตั้งตัวใหม่ได้”
ประโยคสุดท้าย ลี่จิ่วเชียนจงใจเน้นย้ำเป็นพิเศษ
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้ว พลันเงียบขรึมไปชั่วครู่ และจ้องลี่จิ่วเชียนอยู่สักพัก พลันพูดว่า “ทำไมรู้สึกว่าคุณจงเกลียดจงชังเฉินถิงเซียวมากกว่าฉันล่ะคะ? เมื่อก่อนจริงๆ แล้วฉันก็แปลกใจมาก ว่าคุณกับเฉินถิงเซียวไปมีเรื่องบาดหมางอะไรกันตอนไหน”
ตอนที่ถามประโยคนี้ออกไป ในใจมู่น่อนน่อนก็มีอาการตื่นเต้นอยู่บ้าง
ลี่จิ่วเชียนจะพูดออกมาไหมนะ?
ลี่จิ่วเชียนผุดรอยยิ้มที่แสนแปลกประหลาดออกมา พร้อมทั้งพูดจาอย่างไม่รีบไม่ร้อน “รอวันที่คุณแก้แค้นเฉินถิงเซียวสำเร็จแล้ว ผมจะบอกกับคุณ”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก “งั้นก็ต้องรอไปก่อนแล้วแหละ”
ลี่จิ่วเชียนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวนี้ เธอก็รู้ว่าเขาจะไม่มีทางพูดออกมาง่ายดายเช่นนี้
“ตราบใดที่คุณพยายามสุดความสามารถแล้ว ไม่นานวันนั้นก็ใกล้จะมาถึงแล้ว อย่างไรเสียตอนนี้คุณเป็นคนที่ใกล้ชิดเฉินถิงเซียวคนเดียว ซึ่งลงมือง่ายดายกว่าคนอื่นๆ” ลี่จิ่วเชียนจ้องมองมู่น่อนน่อนตาเขม็ง อารมณ์ที่แสดงออกทางสีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นบูดเบี้ยวเล็กน้อย
“เรื่องนี้ฉันเข้าใจดี” มู่น่อนน่อนพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไป พลันช้อนสายตามองสายตาลี่จิ่วเชียน น้ำเสียงแสดงอาการเย้ยหยันออกมาเล็กน้อย “ตอนแรกคุณก็ปฏิบัติกับฉันแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันรู้ดีว่าคุณไม่พอใจกับเรื่องที่ผมทำในตอนแรก แต่ว่า หลักการที่ว่าหากมนุษย์ไม่ฝึกฝนตัวเองก็ไม่ได้รับความเมตตาจากสวรรค์คุณยังไม่เข้าใจเหรอ?” ลี่จิ่วเชียนพูดด้วยความหมายลึกซึ้งและทรงพลัง “น่อนน่อน คุณใจอ่อนเกินไป รอไปในภายภาคหน้า คุณเองก็จะค้นพบว่า บนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องใดที่คุ้มค่าทำให้คุณใจอ่อนเลย”
มู่น่อนน่อนหัวเราะอย่างเย็นชา พร้อมทั้งพูดอย่างไม่อายปาก “ก็เหมือนคุณตอนนี้เหรอ? เพื่อให้ได้มาตามเป้าหมายที่ตนเองวางไว้ โดยใช้ผลประโยชน์จากคนหรือเรื่องต่างๆใช่มั้ย?”
สิ้นเสียงเธอ จึงเหลือบมองอารมณ์ที่อยู่บนสีหน้าลี่จิ่วเชียน แค่สายตาเนื้อแท้ก็เห็นการนิ่งที่เปลี่ยนลงอย่างรวดเร็วขึ้นมาทันที
มู่น่อนน่อนกระตุกมุมปาก พร้อมทั้งจ้องมองเขาทั้งที่ไม่มีความหวาดกลัวสักนิด แถมยังทำหน้าตาสงสัยตอนถามเขากลับ “คุณโกรธเหรอคะ?”
ลี่จิ่วเชียนหลุบตาลง และจัดข้อมือเสื้อของตนเองอย่างสง่างาม จากนั้นก็ค่อยๆ ตอบออกมา “น่อนน่อน ถ้าเป็นคนอื่นพูดกับผมแบบนี้ คุณรู้ว่าจะมีจุดจบยังไงมั้ย?”
“ไม่รู้ค่ะ ฉันก็ไม่อยากรู้ด้วย ไม่ว่าจะยังไง คุณก็ไม่เหมือนคนพวกนั้นที่ปฏิบัติกับฉัน ไม่ใช่เหรอคะ?” มู่น่อนน่อนจ้องมองลี่จิ่วเชียนด้วยหน้าตามั่นใจ
ลี่จิ่วเชียนหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ “นั่นมันแน่นอนครับ คุณไม่เหมือนกับพวกเขา”
มู่น่อนน่อนยิ้มให้ แต่ไม่พูดอะไรเพิ่ม
……
หลังจากแยกตัวกับลี่จิ่วเชียนแล้ว มู่น่อนน่อนจับรถกลับมาที่วิลล่าของเฉินถิงเซียว
เธอเอาคอมพิวเตอร์ไปนั่งเขียนบทละครในห้องหนังสือของเฉินถิงเซียว
ที่แท้ เธอคิดว่าสภาพของเธอในเวลานี้อาจจะเขียนอะไรไม่ออก
แต่ที่น่าแปลกใจคือ เธอเขียนได้ราบรื่นมาก
มู่น่อนน่อนใช้เวลาเฮือกเดียวเขียนได้สามชั่วโมง
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมามองด้านนอกนั้น จึงพบว่าด้านนอกท้องฟ้ามืดสนิทไปแล้ว
ท้องฟ้าค่ำคืนในฤดูหนาวมักจะมากเร็วมาก
มู่น่อนน่อนเหลือบตามองเวลา ตอนนี้หนึ่งทุ่มแล้ว
ช่วงนี้เฉินถิงเซียวกลับบ้านดึกมาก
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นยืน และจัดการยืดเส้นยืดสาย และเดินไปรูดผ้าม่านที่หน้าต่างเพื่อมองวิวด้านนอก
ไฟถนนในสนามสว่างขึ้นมาแล้ว จนเห็นคนรับใช้และบอดี้การ์ดเดินผ่านอยู่ในสนามเป็นเงาลางๆ
ตรงประตูไม่มีรถยนต์อยู่ เฉินถิงเซียวอาจจะไม่ได้กลับมาสักพัก
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ข้างหน้าต่างสักพัก พลางเบนตัวกลับไปนั่งด้านหน้าโต๊ะทำงาน
เธอเหลือบมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่าจะเขียนตอนท้ายว่าอย่างไร จึงนั่งหมุนซ้ายหมุนซ้ายบนเก้าอี้ทำงาน พร้อมทั้งใช้สายตาประเมินบนโต๊ะทำงานของเฉินถิงเซียว
โต๊ะทำงานของเฉินถิงเซียวมีลิ้นชักที่ล็อกไว้หลายอัน ส่วนมีอะไรอยู่ด้านใน มู่น่อนน่อนเองก็ไม่ค่อยชัดเจนนัก
เธอนึกถึงคำพูดของลี่จิ่วเชียนก่อนหน้านี้ จนหัวเราะเยาะออกมา
ลี่จิ่วเชียนให้เธอไปขโมยเอกสารลับของบริษัทเฉินซื่องั้นเหรอ?
เกรงว่าขนาดเขานอนฝันหวานยังเดาไม่ถูก เฉินถิงเซียวยกบริษัทเฉินซื่อให้เธอตั้งนานแล้ว
ลี่จิ่วเชียนที่เป็นคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เป็นผู้ชายเจ้าคิดเจ้าแค้น ทำไมถึงได้เชื่อมั่นว่าบนโลกใบนี้ผลประโยชน์กับทรัพย์สินมันสำคัญกว่าความรู้สึกไปได้นะ?
ตอนที่เฉินถิงเซียวกลับมานั้น ใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว
เมื่อเขาเตะเท้าเข้าบ้าน ก็ทำหน้าตาบอกบุญไม่รับมาทันที
มู่น่อนน่อนไม่ได้กินข้าวก่อน แถมยังตั้งใจรอเขากลับมากินข้าวพร้อมกัน
ทั้งสองคนนั่งเผชิญหน้าหน้าโต๊ะกินข้าว และไม่มีใครเริ่มลงมือจับตะเกียบก่อน
สุดท้ายต้องเป็นมู่น่อนน่อนเป็นคนถามเขาก่อน “เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ?”
เฉินถิงเซียวเงยหน้า และเงยหน้ามองเธอแบบไร้ความรู้สึก พลางใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ระงับความโกรธเอาไว้ “คำถามนี้ผมน่าจะถามคุณนะ”
มู่น่อนน่อนตกตะลึง และตั้งสติได้ทันควัน เฉินถิงเซียวรู้เรื่องที่ว่าวันนี้เขาไปหาลี่จิ่วเชียนมา
มู่น่อนน่อนก็ตีหน้าขรึมลง และถามกลับ “คุณให้คนคอยสะกดรอยตามฉันเหรอ?”
อารมณ์ที่แสดงออกทางสีหน้าของเฉินถิงเซียวไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด “ไม่ใช่สะกดรอยตาม แต่เป็นการปกป้องเวลาที่คุณทำเรื่องโง่ๆ”
“ฉันทำเรื่องโง่ๆ อะไรเหรอ?” มู่น่อนน่อนยิ้มตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “แค่เป็นเรื่องที่ไม่เป็นไปตามความคิดของคุณ คุณก็มองว่ามันเป็นเรื่องโง่ๆ งั้นสิ?”
“เรื่องโง่ๆ ที่คุณทำมันยังน้อยใช่มั้ย?” เฉินถิงเซียวเหลือบมองเธอด้วยแววตาเย็นชา ท่าทางเฉยเมยจนทำให้คนโมโห
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปากเอาไว้ พลันลุกขึ้นจนมีเสียง “ครืน” พร้อมทั้งพูดเสียงดังลั่น “เรื่องที่โง่ที่สุดที่ฉันทำ ก็คือการตามใจคุณทุกเรื่อง!”
น้ำเสียงเฉินถิงเซียวสงบมากกว่าเธอเยอะ “เรื่องที่โง่ที่สุดที่ผมทำ ก็คือการเอาอกเอาใจคุณเกินไป!”
“คุณ…” มู่น่อนน่อนโมโหเขาจนพูดไม่ออก
ผู้ชายคนนี้อายุมากขึ้นเรื่อย ความสามารถในการทำให้คนโมโหยิ่งหนักข้อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“คุณกินไปคนเดียวแล้วกัน!” มู่น่อนน่อนพูดประโยคนี้ทิ้งท้ายเอาไว้ และดันเก้าอี้ออกและเดินออกไปจากห้องอาหาร
เสียงขาเก้าอี้มันขูดกับพื้นจนดังเสียดแก้วหู
พอมู่น่อนน่อนเดินไป ในห้องอาหารก็เงียบสนิท ขนาดเสียงหายใจยังได้ยินอย่างชัดเจน
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่หน้าโต๊ะกินข้าวเงียบๆ อยู่แบบนั้น โดยนั่งอยู่ท่าเดิมตอนที่มู่น่อนน่อนเดินออกไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานสักเท่าไหร่ จู่ ๆ เขาก็หยิบถ้วยที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาขว้างออกไป
ถ้วยกระทบกับพื้นแตกละเอียด จนเกิดเสียงดังแสบแก้วหู
คนรับใช้ที่รออยู่ด้านนอกห้องอาหารเมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวในห้องอาหาร จึงรีบเดินเข้ามาทันควัน
“คุณชายคะ?”
มือที่อยู่บนโต๊ะอาหารของเฉินถิงเซียวกำหมัดไว้แน่น พลันกัดฟันพูด “ออกไป!”
คนรับใช้เห็นเฉินถิงเซียวกำลังโกรธเคืองอย่างหนัก จึงไม่กล้าอยู่ต่อ พลันหันตัวและเดินออกจากห้องทันที
ทั้งสองคนต่างดึงชายผ้าห่มคนละฝั่งไม่ยอมปล่อย
เฉินถิงเซียวดึงทางฝั่งเธอ มู่น่อนน่อนก็ดึงกลับมาทางตัวเอง
แต่ว่า สรุปคือพละกำลังของมู่น่อนน่อนยังสู้พละกำลังมากมายมหาศาลของเฉินถิงเซียวไม่ไหว ท้ายที่สุด ผ้าห่มก็ถูกเฉินถิงเซียวดึงไป
หลังจากเฉินถิงเซียวดึงผ้าห่มมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จัดการห่มผ้าห่มและหลับตานอนหลับอย่างสบายอกสบายใจ
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวอย่างไม่อยากจะเชื่อ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้…
หลังจากมู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าออกลึกๆ ให้ตัวเองสงบสติอารมณ์อยู่หลายครั้งแล้ว จึงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเขียนโน้ตลงไป มีตัวอักษรที่อยู่บนนั้นอยู่หนึ่งคำ “น่าเบื่อ!”
จากนั้นจึงโยนโทรศัพท์ไปหาเฉินถิงเซียว
บนเครื่องบินสามารถเปิดโทรศัพท์ได้ แต่ต้องเป็นโหมดเครื่องบิน Wechat และข้อความต่างๆ ไม่สามารถส่งออกไปได้
เฉินถิงเซียวหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาและเหล่ตามอง และจัดการเขียนบรรทัดด้านล่างเพื่อเป็นการตอบกลับ “เชอะ”
มู่น่อนน่อนรับมาแล้วพิมพ์ตอบกลับไปอีกประโยค “ไปขอผ้าห่มกับแอร์ฯเองไม่ได้เหรอไง?”
เฉินถิงเซียวทำผิดแล้วไม่รู้จักอาย “คุณใกล้กว่า”
มู่น่อนน่อน “อายเป็นบ้างไหม?”
หลังจากเฉินถิงเซียวมองเห็นแล้ว จึงแสยะยิ้มให้เธอ ทำหน้าตาเหมือนตัววายร้ายคล้ายกับตอนที่พวกเขาเพิ่งรู้จักกันเป็นครั้งแรก
มู่น่อนน่อนแย่งโทรศัพท์กลับมา หันตัวออก เพื่อให้ใบหน้าไปอยู่อีกทาง พลันหลับตาและเริ่มนอนหลับ
เธอไม่เชื่อหรอกว่าเฉินถิงเซียวจะไม่สนใจเธอจริงๆ
ที่แท้ผ่านไปไม่นานนัก เธอก็รู้สึกว่าบนร่างกายของเธอเริ่มหนัก จึงลืมมาขึ้นมามอง ก็พบว่าเฉินถิงเซียวที่แย่งผ้าห่มไปก่อนหน้านี้ได้เอาผ้าห่มกลับมาคืนและห่มอยู่บนตัวเธอแล้ว
……
เครื่องบินเดินทางถึงสนามบินนานาชาติหู้หยางและ Landing ในเวลาเที่ยงตรง
ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวจัด
เมื่อลงจากเครื่องบิน มู่น่อนน่อนก็ดึงเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวให้กระชับทันที
ลี่จิ่วเชียนกับอาลั่วก็มุ่งหน้าออกไปด้านนอกพร้อมกับพวกเขา ทิศทางเดียวกัน คือเดินไปยังลานจอดรถ
ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีใครพูดคุยกันเลยสักคน
เฉินถิงเซียวโอบตัวมู่น่อนน่อนไว้แน่นตลอดทั้งการเดินทาง เมื่อมาถึงลานจอดรถก็จัดการเอาตัวเธอจับยัดใส่ในรถ
หลังจากที่ทั้งสองคนเกิดเรื่องแย่งผ้าห่มกันบนเครื่องแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
รถยนต์ขับมายังวิลล่าของเฉินถิงเซียวทันที
เมื่อนับเวลาดูแล้ว มู่น่อนน่อนเดินทางไปเมืองMได้ไม่นานนัก แต่พอกลับมาที่นี่อีกครั้ง พลันเกิดความรู้สึกมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นมาแทน
เธอกับเฉินถิงเซียวเดินเคียงข้างเข้าไปพร้อมกัน
ภายในวิลล่ายังคงมีบ่าวรับใช้และบอดี้การ์ดรวมตัวเป็นกันเป็นกลุ่ม
“คุณชาย คุณหญิงน้อย!”
บ่าวไพร่และบอดี้การ์ดคอยต้อนรับพวกเขาอยู่ตรงประตู
มู่น่อนน่อนเข้าไปในห้องโถงของวิลล่า พลางมองบริเวณโดยรอบ เพื่อหาตัวเฉินมู่
แต่ว่า เธอวนดูแล้วหนึ่งรอบ แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเฉินมู่
มู่น่อนน่อนถามเขา “มู่มู่ล่ะคะ?”
“ผมให้คนเอา DNA ของมู่มู่ไปไว้ในที่เกิดเหตุไฟไหม้ ย่อมไม่สามารถให้เธออยู่ที่เมืองหู้หยางได้ต่อ” เฉินถิงเซียวทั้งพูด และเดินขึ้นชั้นบนไปพร้อมกัน
ลี่จิ่วเชียนเป็นคนมั่นใจในตัวเอง หลังจากเขาได้มีการตรวจ DNA ของเฉินมู่ในที่เกิดเหตุแล้ว จึงคิดว่าเฉินมู่ตายไปแล้วจริงๆ จึงใช้โอกาสนี้ในการสะกดจิตมู่น่อนน่อน
ส่วนเรื่องDNAเฉินถิงเซียวกลับจงใจให้คนไปทำเอาไว้
มู่น่อนน่อนเดินตามขึ้นไป และเดินไปหยุดทางด้านหน้าเฉินถิงเซียว และขวางเขาไว้ “งั้นคุณส่งตัวเธอไปไว้ที่ไหนล่ะ?”
เฉินถิงเซียวหยุดฝีเท้า พลางช้อนตามองเธอ “สถานที่หนึ่งที่คุณก็คาดเดาไม่ถึง”
“ฉันอยากเจอเธอ” เธออยากจะเจอหน้าเฉินมู่มากจริงๆ
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ได้สิ”
แม้ว่าเฉินถิงเซียวจะตกปากรับคำมู่น่อนน่อนแล้ว ว่าจะพาเธอหาเฉินมู่ ทว่าเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เขาก็ไปบริษัทแทน
เขาเดินทางออกจากเมืองหู้หยางนานขนาดนี้ ที่บริษัทมมีเรื่องราวตั้งมากมายที่กองสุมหัวจำเป็นให้เขาต้องเข้าไปจัดการ
มู่น่อนน่อนจึงได้ติดต่อฉินสุ่ยซาน
ฉินสุ่ยซานเจอหน้าเธอประโยคแรกที่พูดก็คือ “นี่แกยังรู้ทางกลับมาด้วยเหรอ?”
ประโยคที่สองคือ “ก่อนตรุษจีนจะส่งบทแรกให้ฉันได้ไหม?”
“น่าจะส่งให้ไม่ทันนะ” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็เห็นฉินสุ่ยซานทำตาเขม็งใส่ จึงยิ้มให้และพูดเพิ่มเติมสมทบไปอีกประโยค “ฉันจะพยายาม”
“ทางที่ดีที่สุดแกส่งบทแรกให้ฉันก่อนตรุษจีน” ฉินสุ่ยซานเวลาทำงานถือว่าเป็นเคร่งครัดคนหนึ่ง ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น เธอก็ไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจแบบนี้แล้วแหละ
แต่ให้ใครมู่น่อนน่อนเขียนบทละครเก่งล่ะ แถมฐานะของเธอยังไม่ธรรมดาอีกเนี่ยนะสิ?
“แกไปทำอะไรที่เมือง M มา? ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาสักระยะว่าเฉินถิงเซียวเกิดอุบัติเหตุในอเมริกา แกอย่าบอกฉันนะ ว่าที่แกไปเมือง M มันช่างบังเอิญที่เฉินถิงเซียวก็ไปเมือง M เหมือนกัน?”
ฉินสุ่ยซานคนถ้วยกาแฟที่อยู่ด้านหน้า พลางเอียงศีรษะมองมู่น่อนน่อน นัยน์ตาเปล่งประกายแพรวพราว
มู่น่อนน่อนไม่ตอบแต่ยอกย้อนถามกลับแทน “แกคิดว่าไงล่ะ?”
ฉินสุ่ยซานทำเสียง “ชิ” “แกทำแบบนี้มันสนุกไหม? ทุกครั้งที่ถามเรื่องพวกนี้ แกก็ยอกย้อนคำถามฉันตลอด พูดกันตรงๆ เลยไม่ได้เหรอไงกัน?”
“พูดตรงๆ หน่อยเหรอ?” มู่น่อนน่อนยิ้มตอบ “งั้นแกก็พูดมาสิว่าแกกับนักแสดงที่ชื่อว่าสวุมู่หันมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? อ้อ ยังมีเฉินอันย่าอีก ความสัมพันธ์ระหว่างพวกแกสามคนฉันเองก็สนใจเรื่องนี้มากเลยแหละ”
ฉินสุ่ยซานอาการแข็งทื่อปรากฏอยู่บนใบหน้า “แกเชื่อมั้ยว่าฉันจะเอากาแฟถ้วยนี้สาดใส่หน้าแก?”
มู่น่อนน่อนยิ้มตอบ พลางยื่นมือออกไปเคาะช้อนเล็กๆ แก้วกาแฟที่อยู่ด้านหน้าของตัวเอง พร้อมทั้งพูดอย่างอ่อนโยน “แกมีกาแฟ ฉันก็มีนะ”
ฉินสุ่ยซานไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดีในเวลานั้น พลางหัวเราะด้วยอาการเยาะเย้ยและพูดว่า “ความจริงแล้วบางทีฉันก็รู้สึกว่า เรื่องพวกนี้ที่มันเกิดขึ้นกับตัวแก มันน่าสนุกกว่าบทละครที่แกเขียนอีก
มู่น่อนน่อนไม่ได้ต่อปากต่อคำกับฉินสุ่ยซาน
ความสัมพันธ์ของเธอกับฉินสุ่ยซานเป็นความสัมพันธ์กันแบบผู้ร่วมมือกัน แต่เฉินสุ่ยซานค่อนข้างพูดซุบซิบนินทาเกิน มักจะยุ่งเรื่องของเธอกับเฉินถิงเซียวอยู่ตลอด
……
หลังจากกลับมาเมืองหู้หยางได้หลายวันแล้ว เฉินถิงเซียวก็เอาแต่ไปบริษัททั้งวัน ส่วนมู่น่อนน่อนก็ไปออฟฟิศของฉินสุ่ยซานทุกวัน
ส่วนลี่จิ่วเชียนนั้น เขาเป็นศาสตราจารย์พิเศษของภาคจิตวิทยาของมหาวิทยาลัย
มู่น่อนน่อนรู้จักลี่จิ่วเชียนจนมาถึงทุกวันนี้ สถานะของเขาเปลี่ยนไปเยอะมากจริงๆ
เป็นที่ปรึกษาทางจิตวิทยาให้กับทีมสอบสวนทางคดีอาชญากรรม นายแพทย์ที่เปิดคลินิกจิตวิทยา เชฟ ตอนนี้เป็นศาสตราจารย์พิเศษภาคจิตวิทยา
วันนี้ มู่น่อนน่อนตั้งใจจะออกจากออฟฟิศให้เร็วๆ เพราะต้องการจะไปหาลี่จิ่วเชียน
แม้ว่าเฉินถิงเซียวไม่ยินยอมให้เธอเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตราย แต่ก็ไม่ได้จำกัดสิทธิ์ให้ตัวเธอเองใช้ชีวิตอิสระ
เธอนัดลี่จิ่วเชียนในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่ในละแวกมหาวิทยาลัย
ลี่จิ่วเชียนอ้าปากถาม “ช่วงนี้คุณใช้ชีวิตอยู่กับเฉินถิงเซียวแล้วเหรอครับ?”
“พูดว่าพักอยู่ในวิลล่าของเขาก็เท่านั้นเอง สองสามวันมานี้ฉันไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา” มู่น่อนน่อนแสดงท่าทางเกียจคร้านตอนมองมาที่เขา
“ก็ดีนะ ด้วยอารมณ์อย่างคุณแล้ว ถ้าเขาเกิดอยู่บ้านทุกวัน เกรงว่าคุณก็ต้องหุนหันพลันแล่นจนเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาได้” น้ำเสียงลี่จิ่วเชียนฟังดูราวปกติมาก ทว่าในแววตาของเขาปรากฏความร้ายกาจออกมา ซึ่งก็ไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาของมู่น่อนน่อนไปได้เลย
เมื่อคุณค้นพบคนคนหนึ่งมีจิตใจทะเยอทะยานดั่งหมาป่าแล้ว จึงตราตรึงเงานั้นอยู่ในใจ และย่อมคอยจับผิดความคิดอันชั่วร้ายที่ซ่อนเร้นของคนคนนั้นอยู่ตลอดเวลา
มู่น่อนน่อนเก็บอารมณ์ที่แสดงออกมามากเกินทางสีหน้า พลางยิ้มให้อย่างเย็นชา และเอาช้อนในมือยื่นออกไป “ตอนนี้ทุกนาทีฉันไม่อยากอยู่ในวิลล่าของเฉินถิงเซียวต่อ ตราบใดที่อยู่ในวิลล่าของเขามากกว่าหนึ่งนาที ฉันคิดถึงมู่มู่ จนรู้สึกว่าร่างกายทรมานจนเกิดอาการคลุ้มคลั่ง”
เธอพูดออกมา ด้วยแววตาจงเกลียดจงชัง
ความเกลียดมันเป็นความจริง แต่ไม่ใช่เฉินถิงเซียว แต่เป็นเพราะลี่จิ่วเชียนแทน
มู่น่อนน่อนถึงกลับอ้าปากค้างกับพฤติกรรมคล่องตัวราวกับน้ำไหลทั้งหมดของเฉินถิงเซียว จนร่างกายแข็งทื่อไปทั้งตัว
มู่น่อนน่อนจ้องมองเฉินถิงเซียวอยู่ชั่วครู่ พลางยื่นมือออกไปหยิบบุหรี่ออกมาจากมือของเขา พลางกระซิบพูด “อย่าหาเรื่องน่า”
เฉินถิงเซียวยอมให้เธอเอาบุหรี่ที่อยู่ระหว่างนิ้วมือออกไป พลางมองเธอที่หันหลังไปจัดการบี้บุหรี่ให้ดับลง ซึ่งไม่ได้พูดอะไรแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้
มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางหันตัวกลับมามองเฉินถิงเซียว “ฉันพูดกับคุณอย่างจริงจังนะ เฉินถิงเซียวคะ คุณลองคิดทบทวนดูหน่อยนะคะ”
เฉินถิงเซียวยังคงไม่พูดไม่จาเช่นเดิม พลางก้าวเท้าเดินออกไปทางด้านนอก
ตอนแรกมู่น่อนน่อนก็อยากจะไปหาเสิ่นเหลียง แต่เธอกลับมาคิดดูใหม่ ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้คนรู้เรื่องน้อยยิ่งดี จึงตัดสินใจไม่ไปดีกว่า
……
ในงานเลี้ยงก่อนหน้า ทุกคนต่างได้กินอาหาร จนเกือบจะห้าทุ่ม คนรับใช้จึงเตรียมมื้อดึกไว้ให้
สือเย่ขึ้นมาเรียกมู่น่อนน่อนให้ลงไปกินมื้อดึก
ตอนที่มู่น่อนน่อนลงไปนั้น คนอื่นต่างนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะกันแล้ว
เหลือแค่ตำแหน่งข้างเฉินถิงเซียวที่ยังคงว่างอยู่
มู่น่อนน่อนมองแล้วมองอีก ก็นั่งลงด้านข้างเฉินถิงเซียว
เมื่อเธอนั่งลง ก็รู้สึกว่าทุกสายตาจับจ้องมาที่ตัวเธอ
เฉินถิงเซียวหยิบตะเกียบขึ้นมา พลางไปเคาะโดนขอบถ้วยอย่างไม่ลงแรงมากนัก คนอื่นต่างเบนสายหนีไปอย่างเงียบๆ และก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ
แต่มู่น่อนน่อนยังคงจับสัมผัสได้ว่าสายตาของพวกเขาคอยมองมาที่ตัวเธออยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่ตอนที่เธอนั่งลง กระทั่งตอนที่เธอกินมื้อดึกเสร็จแล้ว ซึ่งไม่ได้พูดอะไรออกมาสักประโยค และไม่ได้ส่งสายตาสื่อสารกับคนใดเลย
เฉินถิงเซียวก็เหมือนกัน
เมื่อกินมื้อดึกเสร็จ คนอื่นต่างออกไปจากห้องอาหารกันอย่างเงียบเชียบมาก
ห้องอาหารขนาดใหญ่เหลือแค่มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวเพียงสองคน
“คุณคิดจะปล่อยฉันกลับไปเมื่อไหร่คะ?” มู่น่อนน่อนนั่งอยู่หน้าโต๊ะกินข้าว พลางหันหน้าไปทางเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวหันกลับมามองเธอ “มู่น่อนน่อน ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะ อย่าได้คิดเองว่าผมจะตอบตกลงคุณ”
มู่น่อนน่อนหรี่ตาลง และไม่พูดไม่จา
……
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
มู่น่อนน่อนถูกเฉินถิงเซียว หิ้วปีกขึ้นรถตั้งแต่ไก่โห่
เป้าหมายคือสนามบิน
เมื่อคืนนี้เฉินถิงเซียวได้พูดแล้ว ว่าวันนี้เครื่องบินจะบินกลับเมืองหู้หยาง
เฉินถิงเซียวพูดได้ก็ทำได้ ไม่ได้หลอกเธอเลย
ตอนที่มาเมือง M ในตอนแรกนั้น มู่น่อนน่อนมาก่อนส่วนเฉินถิงเซียวตามมาติดๆ
ส่วนในเวลานี้พวกเขากลับไป กลายเป็นกลับพร้อมกันเป็นกลุ่มคณะใหญ่
แต่ว่าตอนนี้เสิ่นเหลียงเป็นคนอยู่ในวงการบันเทิง เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความยุ่งยาก จึงไม่ได้นั่งเครื่องบินเที่ยวเดียวกับพวกเขา
การเช็คอิน และการตรวจพาสปอร์ตผ่านตรวจคนเข้าเมือง
ทุกอย่างราบรื่นเป็นอย่างดี
กระทั่งตอนเช็คBoarding passขึ้นเครื่องนั้น…
พวกเขาดันมาเจอลี่จิ่วเชียนบริเวณห้องโดยสาร First class เนี่ยสิ
“คุณเฉิน บังเอิญขนาดนี้เชียว” ลี่จิ่วเชียนเดินตามหลังอาลั่ว ทั้งสองคนยืนขวางทางทั้งด้านหน้าและหลัง
ส่วนมู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวสองคน คนหนึ่งอยู่หน้าอีกคนยืนอยู่หลังในทางเดิน
เฉินถิงเซียวพลางกวาดตามองลี่จิ่วเชียน พลางหันมามองมู่น่อนน่อน
ส่วนมู่น่อนน่อนไม่มองเฉินถิงเซียวเลยด้วยซ้ำ แต่พยักหน้าให้ลี่จิ่วเชียนเล็กน้อย
วินาทีต่อมา เฉินถิงเซียวก็ดึงมู่น่อนน่อนไปยังห้องน้ำทันที
เมื่อเข้าห้องน้ำได้ เฉินถิงเซียวก็ปิดประตูดัง “ปึง” และจัดการกดตัวมู่น่อนน่อนไว้กับบานประตู
“มู่น่อนน่อน!” เฉินถิงเซียวราวกับเค้นคำพูดออกมาจากไรฟัน
กระทั่งมู่น่อนน่อนรู้สึกว่า วินาทีต่อมาเขาอาจจะเริ่มลงมือทำร้ายเธอก็ได้
ในห้องน้ำคับแคบมาก มู่น่อนน่อนราวกับถูกลมหายใจเฉินถิงเซียวห้อมล้อม ความรู้สึกกดดันอันแรงกล้า จนทำให้เธอตัวสั่นเทาอย่างไม่รู้ตัว
เฉินถิงเซียวโมโหขึ้นมา ว่าต้องทำเรื่องอะไรบางอย่าง ที่เธอไม่กล้าแน่ชัด
เธอกลัวว่าตนเองขืนพูดอะไรออกไป ก็จะทำให้เฉินถิงเซียวโมโห จึงไม่ยอมพูดอะไร
ซึ่งไม่ทันคาดคิดเลยว่า มู่น่อนน่อนหลุบตาต่ำ และแสดงท่าทางไม่ยอมพูดอะไรออกมา ในทางกลับกันเฉินถิงเซียวยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม
เฉินถิงเซียวสูดลมหายใจเข้าออกเฮือกใหญ่ ในน้ำเสียงต่างอดกลั้นความโกรธเคือง “มู่น่อนน่อน คุณคิดจริงๆ หรือว่าผมมีความอดทนอยู่เยอะมากหรือไง?”
ราวกับ มู่น่อนน่อนตอบคำถามอย่างแน่ชัดทันควัน “ไม่มีค่ะ”
เฉินถิงเซียวโมโหจนถึงขั้นสุด พลางยื่นมือมาบีบปลายคางมู่น่อนน่อนเอาไว้ “เมื่อไหร่คุณจะทำตัวเชื่อฟังสักหน่อยนะ? อะไรที่ห้ามไม่ให้คุณทำ คุณยิ่งจะทำให้ได้! ผมไม่ให้คุณเข้าไปเสี่ยงอันตราย แต่คุณดันบอกการเดินทางของพวกเราให้ลี่จิ่วเชียนรู้!”
“ไม่ผิดหรอกค่ะ ฉันบอกเขาเอง ว่าวันนี้พวกคุณจะกลับเมืองหู้หยาง” เฉินถิงเซียวก็พูดออกมาอย่างชัดเจนแล้ว มู่น่อนน่อนจึงต้องพูดตรงไปตรงมา
ซึ่งเป็นเธอที่บอกลี่จิ่วเชียนจริงๆ ว่าพวกของเฉินถิงเซียวจะกลับเมืองหู้หยางในวันนี้ ดังนั้นลี่จิ่วเชียนจึงปรากฏตัวขึ้นในเที่ยวบินลำนี้ด้วย
เฉินถิงเซียวโกรธจัดจนโมโหออกมา!
มู่น่อนน่อนหดคอลง เพราะรู้สึกว่าฉินถิงเซียวที่เป็นเช่นนี้ช่างน่ากลัวมากกว่าเดิม
เขาโกรธอยู่ ทว่าแล้วเขาจะทำอะไรมู่น่อนน่อนได้ล่ะ?
เฉินถิงเซียวกัดฟันเอาไว้ และอดใจไม่ไหวจนอยากจะจัดการมู่น่อนน่อนสักยก แต่ท้ายที่สุด เขาก็แค่ขบกัดลงบนริมฝีปากมู่น่อนน่อนเป็นการเอาคืน
แต่การกัดลงไปป เขาขบกัดลงแรงไปมากจริงๆ จนทำให้ริมฝีปากมู่น่อนน่อนเป็นแผลเหวอะทันที
มู่น่อนน่อนเจ็บจนต้องร้อง “ซี๊ด” ออกมา พลางยื่นมือออกไปแต่ผลักเขาไม่ได้
เฉินถิงเซียวบีบปลายคางของเธอ และถามกลับ “เจ็บไหม?”
มู่น่อนน่อนจ้องตาเขาเขม็ง “ฉันลองกัดคุณกลับ คุณก็จะรู้เองแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“เจ็บก็ต้องอดทนแทนผมไว้!” เฉินถิงเซียวยื่นมือออกมา พลางกดลงบนตำแหน่งที่เขาเพิ่งกัดจนเป็นแผลเมื่อครู่ พร้อมทั้งพูดแรงๆ ใส่เธอมาหนึ่งประโยค “ช้าเร็วคงมีสักวันที่โมโหคุณจนผมต้องตายไป!”
พูดจบ เขาก็ผลักมู่น่อนน่อนไปด้านข้าง และเปิดประตูห้องน้ำเดินออกไป
มู่น่อนน่อนอยู่เป็นคนสุดท้าย และส่องกระจกที่อยู่ด้านหน้า
ริมฝีปากของเธอถูกเฉินถิงเซียวกัดจนเป็นแผลที่เห็นได้อย่างชัดเจน พอคนอื่นมองก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ไม่สามารถซ่อนเร้นได้ มู่น่อนน่อนทำได้แต่เดินออกไปในแบบนี้
เธอเดินออกจากห้องน้ำเพื่อไปยังที่นั่งนั้น ยังต้องผ่านตำแหน่งที่นั่งของลี่จิ่วเชียนและอาลั่ว
ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยง ว่าต้องสบตากับพวกเขา
เมื่อตอนที่มู่น่อนน่อนเดินมาถึงด้านข้างของพวกเขานั้น สายตาของลี่จิ่วเชียนจ้องมองใบหน้าของเธอสามวินาที จากนั้นก็แสดงความรู้สึกแกมอมยิ้มออกมา
มู่น่อนน่อนเหลือบมองเขา แต่ไม่ได้พูดจาอะไร พลางก้มหน้าก้มตาเดินมุ่งหน้าไปทางเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวกำลังนั่งพิมพ์งานอยู่บนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ มู่น่อนน่อนนั่งลงด้านข้างของเขา เขาไม่ได้มองเธอสักนิด
มู่น่อนน่อนเดาว่าตอนนี้เขาน่าจะโกรธจนไฟสุมหัวแล้ว
เฉินถิงเซียวเคยโกรธเธอจริงๆ เมื่อไหร่กันนะ?
เคยโกรธ แต่ก็หายแล้วนี่?
แต่ครั้งนี้ ราวกับไม่เหมือนครั้งก่อน
มู่น่อนน่อนหันศีรษะไปอีกทาง และให้แอร์โฮสเตสหยิบผ้าห่มมาให้เธอ เธอเอาผ้าห่มคลุมตัวและจัดการปรับเก้าอี้และเริ่มนอน
ตอนที่เฉินถิงเซียวปิดคอมพิวเตอร์นั้น จึงสังเกตเห็นว่ามู่น่อนน่อนหลับไปแล้ว
หึ ผู้หญิงที่ไม่มีมโนธรรม
เสียงดัง “ปึก” ตอนที่เขาพับหน้าจอคอมพิวเตอร์ลงมา ซึ่งจงใจลงแรงเพิ่ม
เสียงพับคอมพิวเตอร์มันดังอยู่บ้าง จนปลุกมู่น่อนน่อนให้ตื่น
เธอลืมตามามองเขา และมองคอมพิวเตอร์ที่ถูกเขาพับหน้าจอลง พลันเบะปากเล็กน้อย และหลับตานอนต่อ
น่าเบื่อ!
แต่ว่า เมื่อเธอเพิ่งข่มตานอนนั้น ก็รู้สึกว่ามีคนดึงผ้าห่มเธอ
มู่น่อนน่อนลืมตาขึ้นมา ก็มองเห็นเฉินถิงเซียวกำลังดึงผ้าห่มของเธออยู่
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วทันที พลางใช้แรงดึงผ้าห่มไม่ยอมปล่อย
ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากยิ่งที่เฉินถิงเซียวจะสำลักจนพูดไม่ออก มู่น่อนน่อนไม่ไว้หน้าสักนิดพลางหัวเราะร่าออกมาทันที
เธอเอาศีรษะแนบลงแผงอกเฉินถิงเซียว และส่งเสียงหัวเราะอู้อี้อยู่ตรงนั้น
เฉินถิงเซียวหน้าตาเคร่งขรึม พร้อมทั้งแสดงสีหน้าไร้ความรู้สึกและปล่อยให้มู่น่อนน่อนได้หัวเราะร่าต่อไป
ผ่านไปชั่วครู่ เขาทำเหมือนเกิดไม่พอใจขึ้นมา จึงเงื้อมือไปตีก้นมู่น่อนน่อนหนึ่งที “ไม่อนุญาตให้หัวเราะแล้ว!”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งแวววาวทั้งน้ำตาคลอเบ้า หน้าแดงระเรื่อ “คุณจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ ว่าฉันสามารถทำในสิ่งที่คุณทำไม่ได้?”
“นี่คุณกำลังทำตัวไม่สมเหตุสมผลอยู่นะ!” น้ำเสียงเฉินถิงเซียวเย็นเฉียบ แต่พอมองออก ว่าเขาไม่ได้โกรธเคืองจริงๆ
มู่น่อนน่อนเลิกคิ้วขึ้น “คุณนั่นแหละที่ไม่สมเหตุสมผล!”
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลง พลางพูดข่มขู่เธอ “คุณพูดอีกสักครั้งสิ?”
มู่น่อนน่อนไม่ยอมที่จะพูดซ้ำอีกครั้ง งั้นไม่เท่ากับว่าหาเรื่องใส่ตัวเหรอ?
เธอสำรวจภายในบริเวณห้องโดยรอบ พลางถามด้วยความระมัดระวัง “มู่มู่ล่ะคะ? ลูก…ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”
คำถามนี้เธออยากจะถาม แต่ก็หวาดกลัวอยู่บ้าง
ซึ่งในช่วงเวลานั้นไฟไหม้กระพือโหมแรงขนาดนั้น เธอหวาดกลัวมากว่าเฉินถิงเซียวจะมาช้าไปก้าวเดียวจริงๆ
เมื่อเอ่ยถึงเฉินมู่ น้ำเสียงเฉินถิงเซียวจริงจังขึ้นทันที “ลูกไม่เป็นไรครับ”
ตอนที่เขากระโจนพุ่งตัวเข้าไปในห้องของเฉินมู่นั้น เพิ่งรู้ว่ากองเพลิงยังไม่ได้ลุกลามเข้าไปในห้อง แต่มีเขม่าควันไฟอบอวลไปทั่วทั้งห้อง
ถ้าเขาไปช้าอีกก้าวเดียว อาจจะไม่เจอเฉินมู่ผู้แสนมีชีวิตชีวาก็ได้
ส่วนเฉินมู่นั้นเป็นเด็กฉลาดคนหนึ่ง พลันมีสัญชาตญาณตระหนักถึงช่วงเวลาอันสมควร ซึ่งรู้ตัวว่าต้องเข้าไปหลบอยู่ในห้องน้ำ
หลังจากที่เฉินถิงเซียวหาตัวเธอเจอแล้ว จึงฉีกผ้าปูเตียงมาห่อตัวเฉินมู่เอาไว้ และจัดการปล่อยตัวเธอลงจากชั้นสาม
เด็กที่เติบโตบ้างแล้ว แม้ว่ามีเรื่องราวมากมายที่ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็รู้จักความหวาดกลัว
เขายังจำจดได้ดี ตอนที่เขาอุ้มตัวเฉินมู่มาหยุดตรงขอบหน้าต่างนั้น เธอตกใจจนหน้าซีดเผือดทันที สีหน้าเต็มไปด้วยการขอร้อง
เธอไม่อยากกระโดดลงไป เพราะว่าเธอหวาดกลัว
เฉินถิงเซียวมองเห็นเต็มสองตา แต่ไม่สามารถมัวแต่มาลังเลจำต้องปล่อยเธอลงไป
ผ้าปูเตียงสามารถรับน้ำหนักได้แค่เด็กน้อยคนเดียว แต่กลับรับน้ำหนักเฉินถิงเซียวไม่ไหว จากนั้นเขาก็อาศัยเดินเลียบทางเข้ามาเพื่อกลับออกไป
แต่ว่า บริเวณตรงกลางนั้นยากลำบากและอันตรายมาก เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้มู่น่อนน่อนรู้
มู่น่อนน่อนย่อมเชื่อเฉินถิงเซียวที่สุด
ปากเขาพูดว่าเฉินมู่ไม่เป็นไร มู่น่อนน่อนก็เชื่อสนิทแล้ว
“งั้นตอนนี้เธออยู่ที่ไหนคะ?” ตอนนี้เธออยากจะเห็นหน้าเฉินมู่
“ผมจัดการให้คนไปส่งเธอกลับที่เมืองหู้หยางในคืนนั้นทันที” เฉินถิงเซียวกล่าวตอบ
มู่น่อนน่อนได้ยินคำพูดของเขา พลางเงียบงันอยู่ชั่วครู่ ถึงตอบกลับมา “ก็ดีค่ะ”
การได้ออกไปจากเมืองM สถานที่มีแต่ความขัดแย้ง เฉินมู่อยู่ในเมืองหู้หยางถือว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว
“ขอแค่เธอไม่เป็นไร ฉันก็วางใจได้แล้วค่ะ” มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า เธอติดหนี้เฉินมู่ไว้เยอะมากเหลือเกิน
ทั้งสองคนต่างเงียบงันทันที
ผ่านไปสักพัก มู่น่อนน่อนถึงได้เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นการพูดคุยปรึกษาหารือกัน กับเฉินถิงเซียว “เฉินถิงเซียวคะ ฉันพูดจริงๆ นะ ฉันกลับไปเมืองหู้หยางพร้อมคุณไม่ได้ ฉันจะไปอยู่ทางฝั่งลี่จิ่วเชียน แล้วจะคอยช่วยคุณตรวจสอบให้ได้ ว่าตกลงแล้วทำไมเขาถึงจงเกลียดจงชังคุณขนาดนั้น”
“มู่น่อนน่อน!” เฉินถิงเซียวราวกับกัดฟันพูด “เฉินถิงเซียวคนอย่างผมต้องให้ผู้หญิงคนหนึ่งออกไปเสี่ยงแทนผมมั้ยล่ะ?”
มู่น่อนน่อนเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอยู่ในใจบ้างแล้ว
เธอพูดเน้นน้ำเสียง จนเสียงสูงขึ้นมาเล็กน้อย “ฉันรู้ว่าคุณไม่ต้องการ! แต่ฉันอยากจะช่วยคุณนี่ ฉันรู้สึกปวดใจตามคุณ ฉันไม่อยากให้คุณเกิดเรื่องขึ้น ฉันอยากจะช่วยคุณ! คุณไม่เข้าใจเหรอ? ฉันอยากจะช่วยคุณ!”
เธอพูด “ฉันอยากจะช่วยคุณ” ติดกันออกมาหลายครั้ง
เฉินถิงเซียวเบนหน้าไปทางด้านข้าง ไม่อยากจะมองเธออีก
นี่เป็นการปฏิเสธข้อเสนอของเขาด้วยความเงียบ
มู่น่อนน่อนรู้ดีว่าพูดไปก็ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้ ดังนั้นก่อนหน้าที่เขาอยากจะพาเธอกลับมานั้น ถึงได้ต่อต้านซะขนาดนั้น
สักพัก น้ำเสียงเฉินถิงเซียวค่อยๆ กลับมาดังขึ้น “ถ้าลี่จิ่วเชียนรู้ว่าคุณไปหลอกเขาล่ะ? คุณเคยคิดไว้บ้างไหมว่าเขาจะทำอะไรขึ้นมาบ้าง?”
“เขาไม่มีวันรู้หรอกน่า!” มู่น่อนน่อนพูดอย่างมั่นใจที่สุด
“ถ้าล่ะ? ถ้าเกิดเขาจับได้ขึ้นมาล่ะ?” เฉินถิงเซียวถามเองตอบเอง “เขาต้องทรมานคุณทุกวิถีทางแน่!”
เรื่องนี้มู่น่อนน่อนทราบเป็นอย่างดี
ดังนั้น เธอต้องทำให้สำเร็จไม่สามารถพ่ายแพ้ได้
“เฉินถิงเซียว เชื่อฉันสิ!” มู่น่อนน่อนกุมมือเฉินถิงเซียวเอาไว้ และมองเขาด้วยสีหน้ารอคอยความหวัง
เธอจะทำให้เขาเชื่อมั่นได้ยังไง ว่าเธอสามารถปกป้องตัวเองให้รอดปลอดภัย?
เฉินถิงเซียวดึงมือเธอกลับ โดยใช้แรงมาก
แม้มู่น่อนน่อนยังไม่กล้าบอกเฉินถิงเซียวด้วยซ้ำ ว่าลี่จิ่วเชียนอยากใช้ตัวเธอเพื่อช่วยลี่วานวาน
ลี่วานวานป่วยหนักเอาการ ถ้าต้องการทำการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ เธอกับลี่วานวานต้องดูแลร่างกายให้ดีๆ เพื่อให้ร่างกายของทั้งสองคนอยู่ในสภาพที่เหมาะสมที่สุดในการผ่าตัด
ดังนั้น มู่น่อนน่อนย่อมเข้าใจเป็นอย่างมาก การที่เธออยู่ข้างกายลี่จิ่วเชียน มันปลอดภัยที่สุด และยังอันตรายที่สุดด้วย
ที่พูดว่าปลอดภัยนั้น นั่นเป็นเพราะว่าลี่จิ่วเชียนยังอยากใช้เธอในการช่วยลี่วานวาน ก็ไม่มีวันให้เธอเกิดเรื่องขึ้นมาอย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องจุดที่อันตรายนั้น ไม่รู้ว่าลี่จิ่วเชียนอยากทำการแหวะร่างกายของเธอตอนไหน ที่จะดึงอวัยวะภายในร่างกายของเธอไปใส่ในร่างกายของลี่วานวาน
เรื่องเหล่านี้ เธอไม่กล้าปริปากบอกเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวซึ่งไม่ยอมให้เธอเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตรายอย่างแน่นอน
ถ้าให้เฉินถิงเซียวมารู้เรื่องราวพวกนี้เข้า เฉินถิงเซียวจะไม่มีวันปล่อยให้เธอกลับไปอยู่ใกล้ตัวลี่จิ่วเชียนอีกเป็นแน่
เฉินถิงเซียวไม่พูดไม่จา พลางลุกขึ้นและลงจากเตียง และสวมใส่เสื้อโค้ทและเดินไปยังระเบียง
ตอนใกล้จะเดินถึงระเบียงนั้น เขากลับเดินกลับมา และหยิบเสื้อคลุมให้เธอหนึ่งตัว
ในห้องเปิดฮีทเตอร์เอาไว้ แต่มู่น่อนน่อนใส่แค่ชุดราตรีที่บางเบาชุดเดียวเท่านั้น
เขาจึงโยนเสื้อผ้ามาอยู่บนเตียง และเดินไประเบียง
มู่น่อนน่อนกำชุดเสื้อคลุมและมองไปทางด้านนอกระเบียง จึงลุกขึ้นและสวมเสื้อคลุมทับ และเดินไปที่ระเบียง
ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดสลัวทางด้านนอกระเบียงและแสงไฟระยิบระยับ
ส่วนเฉินถิงเซียวนั้น ตรงกึ่งกลางนิ้วมือยังคีบบุหรี่ไว้หนึ่งมวน และหันหลังให้เธอ
เศษขี้บุหรี่ทีสะสมอยู่บนบุหรี่ยังไม่ได้ดีดออก เห็นเต็มตาว่าบุหรี่นั้นมันลวกมือเฉินถิงเซียวแล้ว เฉินถิงเซียวราวกับได้สติกลับมาเช่นนั้น พลางดีดบุหรี่ออก และค่อยวางริมฝีปากและจัดการสูดเข้าไปใหม่อีกครั้ง
เฉินถิงเซียวไม่ใช่คนชอบสูบบุหรี่
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ข้างขอบประตูอย่างเงียบๆ อยู่สักพัก จึงหันตัวเพื่อเตรียมจะเดินออกไป
เฉินถิงเซียวพาตัวเธอออกมา พวกกู้จือหยั่นน่าจะไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยงกันนานนัก เธออยากเจอเสิ่นเหลียง
ตอนที่เธอเปิดประตูนั้น ก็ได้ยินเสียงเร่งรัดของเฉินถิงเซียวที่อยู่ด้านหลัง “คุณจะไปไหน?”
มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับมา จึงมองเห็นเฉินถิงเซียวสาวเท้ายาวๆ มุ่งหน้าเดินมาทางนี้
หลังจากที่เขาออกตัวเดินมาถึงแล้ว พลันยื่นมือออกไปจัดการประตูที่มู่น่อนน่อนเปิดออกครึ่งให้กลับเข้าที่เดิม
มู่น่อนน่อนมองประตูที่ถูกปิดลง ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “คุณกำลังสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียงไม่ใช่เหรอ? ฉันจะไปหาเสี่ยวเหลียง”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วถามเธอ “ผมสูบบุหรี่คุณไม่ดูดำดูดีผมเลยเหรอ?”
“คุณก็ไม่ได้สูบบ่อยนี่คะ” มู่น่อนน่อนรู้ดีว่าเขาจะสูบบุหรี่มวนสองมวนเมื่อตอนที่ไม่สบายใจ และไม่ได้ติดบุหรี่ จึงไม่สนใจเขา
“งั้นตอนนี้ผมจะเริ่มสูบทุกวันเลย” เขาพูด และควานหาซองบุหรี่ที่อยู่ในกระเป๋าออกมาหนึ่งซอง และจัดการจุดบุหรี่หนึ่งมวนต่อหน้ามู่น่อนน่อนทันที และคีบไว้มุมปาก
เขาอัดควันบุหรี่เข้าปอด และพ่นควันใส่หน้ามู่น่อนน่อน และคีบมวนบุหรี่ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลาง และเอ่ยปากถามอย่างจริงจัง “สนใจหรือยัง?”
มู่น่อนน่อนจับจ้องมองเขาชั่วครู่ จึงลุกขึ้นและเดินไปหาเขา
เธอเพิ่งจะก้าวเดินไปตำแหน่งด้านหน้าเพียงสองก้าว เฉินถิงเซียวอดทนรอไม่ไหวจนดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอดทันที
เมื่อดึงตัวคนเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดแล้ว เฉินถิงเซียวถึงได้หายใจทั่วท้องได้จริงๆ “มู่น่อนน่อนครับ คุณนี่นับว่ายิ่งเก่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ! ขนาดผมยังกล้าหลอกเลย”
“แต่ก็ไม่ได้หลอกคุณได้นี่คะ!” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย
เธอผลักเฉินถิงเซียวออก “คุณกอดแน่นมาก ปล่อยก่อนค่ะ! ฉันมีเรื่องอยากจะพูดกับคุณ”
เฉินถิงเซียวไม่เพียงไม่ยอมปล่อย ในทางกลับกันยังกอดแน่นกว่าเดิม จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมาก “พูดมาเลยครับ”
“… คุณทำแบบนี้แล้วจะให้ฉันพูดกับคุณยังไงล่ะ!” มู่น่อนน่อนถูกเขากกอยู่ในอ้อมกอด ขนาดแขนขายังขยับไม่ได้เลย
“งั้นเปลี่ยนท่าแล้วกัน”
เมื่อพูดจบ เฉินถิงเซียวจึงอุ้มเธอขึ้นมา และมุ่งหน้าเดินมาทางเตียงนอนทันที
สีหน้ามู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ก็…ต้องพูดคุยแบบนี้เลยเหรอคะ!”
เฉินถิงเซียวจัดการวางตัวเธอลงบนเตียง และตัวเขาเองก็เอนตัวลงไป โดยการดึงตัวเธอให้มาตรึงอยู่ในอ้อมกอดของตนเองอย่างแน่นหนา
“โอเคแล้ว ตอนนี้พูดมาได้เลย”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า การที่พวกเขาสองคนนอนอยู่บนเตียงแบบนี้ ยังไม่เท่ากับการกอดและพูดคุยกันที่เป็นอยู่เมื่อครู่นี้เลย
เฉินถิงเซียวจูบมุมปากของเธอ และถามกลับ “ทำไมลี่จิ่วเชียนสะกดจิตคุณแล้วถึงไม่ประสบผลสำเร็จล่ะครับ?”
“คุณรู้ได้ยังไงคะว่าเขาสะกดจิตฉันด้วย?” มู่น่อนน่อนแปลกใจมากจนต้องถามเขากลับ
“ลี่จิ่วเชียนเขามั่นใจตัวเองมากขนาดนั้น การที่เขากล้าพาคุณออกมา นั่นก็หมายความว่ามีความรู้สึกมั่นใจมากที่คุณจะมากับผม เขาพยายามจะใช้ความคิดชั่วร้ายบางอย่าง นอกจากการสะกดจิตแล้วเขายังจะทำอะไรได้บ้าง?”
เฉินถิงเซียวพูดมาถึงตรงนี้ พลันน้ำเสียงเย็นชาลงไปเยอะ “กระทั่ง เขาเคยสะกดจิตขั้นลึกซึ้งกับผมมาแล้ว เขาก็สามารถสะกดกับคุณได้เช่นเดียวกัน”
“ฉันรู้ค่ะ คุณฉลาดขนาดนี้ ต้องเดาออกแน่ ๆ ค่ะ!” ดวงตามู่น่อนน่อนเปล่งประกาย แววตาไม่ปิดบังความนับถือสักนิด
เฉินถิงเซียวถึงกลับซาบซึ้ง พลันกดริมฝีปากลงต่ำเพื่อจูบเธอ
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกมาป้องปากของตนเองเอาไว้ พลางพูดด้วยลมหายใจขาดๆหายๆ “ยังพูดไม่ทันจบเรื่องเลยค่ะ!”
“จุ๊บหน่อยนะ” เฉินถิงเซียวช้อนสายตาลง พลางมองความรู้สึกที่อยู่ในดวงตาไม่ชัดเจน
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า ใช่ว่าเธอไม่รู้จักว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนยังไง
ถ้าเกิดให้เขาจูบขึ้นมาจริงๆ เธออาจจะไม่ได้ลงจากเตียงนี้แล้ว
เฉินถิงเซียวพึมพำอย่างเย็นชา และจัดการจูบเธอลงบนฝ่ามือแทน
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าฝ่ามือตัวเองจั๊กจี้ชะมัด
เฉินถิงเซียวจูบฝ่ามือของเธอ แต่มีการขบเล็กเบาๆ วนอยู่เรื่อย ๆ
สุดท้าย มู่น่อนน่อนทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ จึงยกเท้าขึ้นถีบเขา “พูดเรื่องประเด็นสำคัญก่อนค่ะ”
“พูดต่อสิ” เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็หันศีรษะขึ้นมาจูบใบหน้าของเธอ และจูบหูอันขาวนุ่มของเธอ
ครั้งนี้มู่น่อนน่อนโมโหขึ้นมาจริง ๆ “เฉินถิงเซียว!”
“อื้อ” เฉินถิงเซียวส่งเสียงตอบรับ ถึงได้ยอมถอยแทบไม่เต็มใจ
มู่น่อนน่อนถึงได้ยอมพูดต่อ “เขาอยากสะกดจิตฉันค่ะ ให้ฉันรู้สึกว่าคุณทำร้ายมู่มู่จนเสียชีวิต อยากให้ฉันเกลียดคุณ แต่ในใจของฉันรู้ดีที่สุด ว่าคุณรักมู่มู่ ตอนที่ในวิลล่าเกิดไฟไหม้ขึ้นมา คุณต้องกระโจนเข้าไปในกองเพลิงเพื่อเข้าไปช่วยเธออย่างไม่ลังเลแน่นอนเลยค่ะ”
“ตอนที่เขาสะกดจิตฉันอยู่นั้น ฉันคอยคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา กระทั่งมันเป็นแบบนี้ เขาสะกดจิตฉันแต่ไม่ใช่ว่ามันไม่มีผลเลยสักนิด แต่โชคยังดี ยังมีปากกาหมึกซึมด้ามนั้นของคุณอยู่ด้วย ถึงได้ทำให้ฉันไม่โดนสะกดจิตไปจริงๆ”
เฉินถิงเซียวฟังจบแล้ว ก็เงียบงันไปชั่วครู่ และถามเธอกลับ “ปากกาหมึกซึมล่ะ?”
“อยู่ในกระเป๋าค่ะ” มู่น่อนน่อนพูดจบพลันย่นคิ้วหากันทันที “กระเป๋าฉันล่ะคะ?”
เฉินถิงเซียวลุกขึ้น พลางหากระเป๋าของมู่น่อนน่อนที่วางอยู่มุมเตียงจนเจอ และหาปากกาด้ามนั้นเจอ จากในกระเป๋าของเธอ
เขาค่อยๆ หยิบปากกาหมึกซึมด้ามนั้นออกมาอย่างระมัดระวัง และจ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์
มู่น่อนน่อนถึงกลับเบะปากให้ พลางถามเขา “ตกลงว่าไอ้ปากกาหมึกซึมด้ามนี้คุณไปเอามาจากไหนเหรอคะ?”
เฉินถิงเซียวหันหน้ากลับมา และจ้องมองเธออยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็พูดไปอย่างคลุมเครือ “คนอื่นให้มา”
“ใครให้มาหรือคะ?” ก่อนหน้ามู่น่ออนน่อนได้เดาที่มาที่ไปของปากกาด้ามนี้ อาจจะเป็นเธอในช่วงวัยเด็กที่เป็นคนให้เฉินถิงเซียว
แต่เธอก็คิดไม่ออกว่าตัวเองเอาไปให้เฉินถิงเซียวตอนไหน
แทนที่ตัวเองจะมานั่งเดามั่วๆ สู้ถามเฉินถิงเซียวตรงๆ เลยดีกว่า
“เป็นเด็กผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง” เฉินถิงเซียวพูด พร้อมทั้งจัดการยัดปากกาหมึกซึมด้ามนั้นลงในกระเป๋าทันที
“นี่! คุณทำอะไรเนี่ย!” มู่น่อนน่อนเห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว พลางยื่นมือออกไปแย่งปากกาหมึกซึมของเขากลับมา
เฉินถิงเซียวหันตัวไปด้านข้างเล็กน้อย มู่น่อนน่อนคว้าอากาศ จนกลายเป็นกระโจนไปหาตัวเฉินถิงเซียวแทน
มู่น่อนน่อนนอนพาดอยู่บนตัวเฉินถิงเซียว ลักษณะท่าทางของทั้งสองคนต่างแนบชิดสนิทสนมมาก
เธอเตรียมจะลุกขึ้น จนเกิดความรู้สึกว่าแขนของเฉินถิงเซียวเหนี่ยวรั้งเอวของเธอไว้
เฉินถิงเซียวกระชับแขนให้แน่น เพื่อให้เธอได้นอนพาดอยู่บนตัวของเขาและกักขังเธอเอาไว้ พลางกระซิบข้างหูเสียงทุ้มต่ำ “ปากกาหมึกซึมเป็นของผมนะ คุณคิดจะทำอะไรเหรอครับ?”
“คุณยังไม่พูดเลยว่าใครเป็นคนให้คุณมา!” ตั้งแต่สามปีก่อน มู่น่อนน่อนก็รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้มาก
น้ำเสียงเฉินถิงเซียวดูสบายอกสบายใจตอนพูด “ก็พูดแล้วนี่? เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยมาก”
เฉินถิงเซียวหัวเราะร่า พลันเขยิบเข้าจูบเธอ
จากนั้นจึงเปลี่ยนเรื่องทันที “พรุ่งนี้เช้านั่งเครื่องบินกลับเมืองหู้หยางนะ”
ความรู้สึกที่แสดงออกทางสีหน้าของมู่น่อนน่อนค่อยๆ เก็บอาการ น้ำเสียงพูดอย่างเต็มเสียง “ตอนนี้ยังกลับไม่ได้ค่ะ”
ดวงตาอันตรายของเฉินถิงเซียวหรี่ลงเล็กน้อย น้ำเสียงดูกระชับขึ้น “มู่น่อนน่อน ผมรู้นะว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าเกิดว่าคุณอยากจะทำเช่นนั้น มันไม่มีทางเกิดขึ้นแน่!”
มู่น่อนน่อนรู้ดี ความคิดของเธอไม่สามารถหนีจากสายตาของเฉินถิงเซียวได้
“คนอย่างลี่จิ่วเชียน ความคิดความอ่านช่างซับซ้อนเหลือเกิน ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ตามจะไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้เลย เป็นคนที่ระมัดระวังมากคนหนึ่ง ขืนตรวจสอบไปแบบนี้ มันก็ยากมากที่จะตรวจสอบได้ว่าตกลงเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่!
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดไปมา จึงรู้สึกว่าการที่อยู่ข้างกายลี่จิ่วเชียน ถึงมีโอกาสในการตรวจสอบว่าตกลงแล้วลี่จิ่วเชียนเขาต้องการทำอะไรแน่ และมันเกี่ยวพันอะไรกับเฉินถิงเซียว
ดังนั้น เธอถึงได้แสร้งทำทีถูกสะกดจิต และจงใจพูดคำพูดพวกนั้นออกไปในงานเลี้ยง ก็เพื่อยากให้ได้รับความเชื่อมั่นจากลี่จิ่วเชียน
ลี่จิ่วเชียนเขาเป็นคนระมัดระวัง แต่เขาเป็นคนมั่นใจตัวเองสุดโต่ง
เขาคอยคิดว่าเฉินถิงเซียวเป็นศัตรูของเขา และการสู้จนเฉินถิงเซียวพ่ายแพ้เป็นความสุข ในปีนั้นเขาประสบผลสำเร็จในการสะกดจิตเฉินถิงเซียว จึงมั่นใจในวิชาการสะกดจิตของตนเองมากขึ้นกว่าเดิม
ดังนั้น เขาถึงได้ไม่สงสัยในตัวมู่น่อนน่อนว่าตกลงแล้วโดนสะกดจิตหรือเปล่า
น้ำเสียงทุ้มต่ำของเฉินถิงเซียวผสมความโกรธเคืองเอาไว้ “มู่น่อนน่อน นี่มันเป็นเรื่องของผมกับลี่จิ่วเชียน ผมจะจัดการเอง”
ราวกับชั่วขณะนั้น มู่น่อนน่อนโต้แย้งทันควัน “แต่ฉันอยากช่วยคุณนี่คะ ก็เหมือนที่คุณคอยช่วยฉันไง”
มู่น่อนน่อนพูดออกไปตรงๆ ตามปกติ จนทำให้เฉินถิงเซียวตะลึงทันที
“เฉินถิงเซียวคะ แม้ว่าฉันจะไม่ได้เก่งเท่าคุณ แต่ฉันก็ไม่ได้อ่อนแอตามที่คุณจินตนาการเอาไว้แบบนั้นค่ะ ฉันยังเรื่องต่างๆ ได้อีกเยอะเลย”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ซาบซึ้งกินใจไปกลับมู่น่อนน่อนด้วย เขาพูดออกมาด้วยหน้าตาเฉยเมย “แล้วคุณทำอะไรได้?”
จู่ ๆ มู่น่อนน่อนฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ พลันยิ้มให้ตอนพูด “ฉันสามารถทำในเรื่องที่คุณทำไม่ได้ค่ะ”
“หึ” เฉินถิงเซียวหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา และไม่เชื่อสักนิด
รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้ามู่น่อนน่อนยิ่งคลี่ยิ้มออกหนักกว่าเดิม พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ก็มีลูกสาวให้คุณหนึ่งคน แล้วคุณทำได้หรือเปล่าล่ะคะ?”
เฉินถิงเซียว “…
มู่น่อนน่อนตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงขมวดคิ้วและพูดออกมาอย่างไร้ความรู้สึก “ถึงแม้ว่าฉันจะกลับบ้าน ก็ต้องเป็นบ้านฉัน ไม่ใช่กลับพร้อมกับคุณ!”
เมื่อน้ำเสียงของเขาสิ้นสุดลง จึงรับรู้ได้ถึงความเย็นชาที่แผ่รัศมีออกมาจากตัวของเฉินถิงเซียว ที่กำลังเก็บงำความรู้สึกไว้อย่างอัดแน่น
มู่น่อนน่อนเริ่มแสดงอาการระแวดระวังอยู่ในใจ จังหวะที่เธอจะถอยหลังหนี ทว่าเฉินถิงเซียวกลับยื่นมือออกมาคว้าแขนของเธอไว้อย่างแรงทันที พร้อมทั้งใช้แรงในการดึงตัวเธอเข้าสู่อ้อมกอด
มู่น่อนน่อนไม่ทันได้ตื่นตกใจด้วยซ้ำ กลับรู้สึกตัวเบาหวิว เพราะถูกเฉินถิงเซียวจับอุ้มขึ้นมาทันที
มีคนเห็นสถานการณ์นี้จะเริ่มส่งเสียงเอ็ดตะโรขึ้นมา “ว้าว!”
จากนั้นจึงมีสายตานับไม่ถ้วนหันมาองด้วยความแปลกใจ ท่ามกลางสายตานั้นยังมีคนทำเสียงดูสับสนปะปนออกมาด้วย
สีหน้ามู่น่อนน่อนพลางปรากฏอาการตื่นตระหนกอยู่เล็กน้อย พลันยื่นมือออกไปคว้าเสื้อบริเวณหน้าอกของเฉินถิงเซียวเอาไว้ตามสัญชาตญาณ และก้มหน้าถามเขาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “คุณทำอะไรเนี่ย?”
“ก็คุณไม่อยากเดินไปเอง ผมก็เลยอุ้มคุณเดินไง” เมื่อเฉินถิงเซียวพูดประโยคนี้ออกมา บริเวณคิ้วค่อยๆ ผ่อนคลายลง และมีรอยยิ้มผสมอยู่ในนั้น
มู่น่อนน่อนสำรวจโดยรอบ ยิ่งเห็นว่ามีคนมองมาทางเธอเยอะขึ้นเรื่อย ๆ สีหน้ามู่น่อนน่อนจึงแสดงอาการข่มขู่หน้าตาทมึงทึงใส่เฉินถิงเซียว “คุณรีบปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้!”
“อย่าขยับ ถ้าขืนคุณยังขยับตัวอีกนิด ผมจะไม่รับประกันแล้วนะ ว่าผมจะทำอะไรกับคุณตรงนี้บ้าง” เฉินถิงเซียวพูดจาตามปกติ น้ำเสียงปนข่มขู่ออกมา มู่น่อนน่อนฟังออก
เสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นและพวกเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางฝั่งของเฉินถิงเซียว พวกเขารีบตาลีตาเหลือกเข้ามาหา และถามสือเย่ทันที “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
สือเย่ไม่ยอมพูดจา ได้แต่ส่ายหน้าไปมา และเดินตามไป
กู้จือหยั่น ฟู้ถิงซีสบตากัน จากนั้นก็เดินตามหลังไป
เฉินถิงเซียวจัดการอุ้มมู่น่อนน่อนและเดินอยู่ด้านหน้าสุด บรรดาแขกเหรื่อในงานต่างหลีกทางให้พวกเขา เพื่อเป็นทางเดินมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวได้เดิน
ตอนที่คนกลุ่มนั้นจากไปแล้ว ยังเรียกความสนใจมากกว่าตอนที่พวกเขามาเสียอีก
……
เฉินถิงเซียวอุ้มมู่น่อนน่อนเอาไว้ และโดยสารลิฟต์เพื่อลงมาข้างล่าง
สือเย่ได้โทรศัพท์หาลูกน้องที่รถจอดอยู่ในลานจอดรถ เพื่อแจ้งให้พวกเขาขับรถมารออยู่ตรงประตูใหญ่ทันที
ตอนที่เฉินถิงเซียวอุ้มมู่น่อนน่อนลงมาด้านล่าง รถยนต์ของพวกเขาก็มาจอดรออยู่ตรงประตูใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อพวกเขาเดินออกไป ก็มีคนเดินนำหน้าไปเปิดประตูให้ก่อน
เฉินถิงเซียวจัดการโยนมู่น่อนน่อนเข้าไปด้านใน ซึ่งแสดงพฤติกรรมที่ค่อนข้างหยาบช้าบ้าง
จากนั้น เขาก็ขึ้นรถตาม เขาปิดบานประตูรถจนสั่นสะท้านเสียงดัง
มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับมานั้น พลางพูดกับเฉินถิงเซียวด้วยความเขินอายอยู่บ้าง “เฉินถิงเซียว! นอกจากคุณจะใช้กำลังกับฉันแล้ว คุณยังจะทำอะไรอีก?”
“ผมทำได้หมดแล้ว ประเด็นสำคัญคือคุณอยากให้ผมทำอะไรล่ะ?” เฉินถิงเซียวใช้กำลังเอนตัวไปทางด้านหน้า แสดงไฟสีหม่นนอกตัวรถสาดส่องลงบนใบหน้าของเขา ยิ่งทำให้นัยน์ตาของเขายิ่งเคร่งขรึมหนักกว่าเดิม
มู่น่อนน่อนหัวเราะเย็นชาใส่ “ฉันอยากจะฆ่าคุณเพื่อเป็นการแก้แค้นให้มู่มู่!”
เฉินถิงเซียวหรี่ดวงตาลงจ้องมองมู่น่อนน่อนอยู่สักพัก จากนั้นก็เขยิบเข้าใกล้เล็กน้อย
ทั้งสองคนแนบชิดจนใกล้กันเป็นพิเศษ
“ลี่จิ่วเชียนเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย คุณไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำต่อไปแล้ว” จังหวะที่เขาพูดออกมานั้น มุมปากราวกับสัมผัสริมฝีปากของมู่น่อนน่อนด้วย
ด้านหลังของมู่น่อนน่อนเป็นเบาะเก้าอี้ ซึ่งไม่มีทางให้หนี จึงเอนศีรษะไปอีกทางแทน
แต่ว่า เฉินถิงเซียวยื่นมือออกไปค้ำด้านข้างศีรษะของเธอ จนทำให้เธอจะเอนหน้าไปทางไหนก็ไม่สามารถเอนได้
“ฉันแกล้งทำอยู่เหรอ?” มู่น่อนน่อน “งั้นคุณช่วยบอกฉันที มู่มู่อยู่ที่ไหน? ฉันอยากเจอหน้าลูก!”
เฉินถิงเซียวเงียบงันไปชั่วครู่ถึงตอบกลับมา “ช่วงนี้เธอไม่ได้อยู่กับผม”
“ไม่ได้อยู่กับคุณ?” มู่น่อนน่อนหัวเราะร่าอย่างเย็นชา “งั้นเธออยู่ที่ไหนล่ะ?”
เฉินถิงเซียวแสดงสีหน้าหมดความอดทน เพราะว่าเขาไม่ชอบจริงเลยที่มู่น่อนน่อนพูดคุยกับเขาด้วยลักษณะท่าทางเช่นนี้
“มู่น่อนน่อน ผมให้โอกาสคุณในการสารภาพออกมาเป็นครั้งสุดท้ายนะ!” ไม่งั้นเขาจะไม่เกรงใจแล้ว
สิ่งที่มู่น่อนน่อนตอบรับกลับมาคือ การเปิดประตูเพื่อลงจากรถ
การกระทำของเธอช่างรวดเร็วและรีบร้อนมา เฉินถิงเซียวไม่ทันสังเกต จนให้เธอได้เปิดประตูลงจากรถไปจริง ๆ
โชคดีที่ตอนนั้นรถยนต์ขับช้ามาก ไม่เช่นนั้นมู่น่อนน่อนก็ไม่สามารถยืนทรงตัวได้อย่างปลอดภัย
เฉินถิงเซียวโมโหเดือดพล่าน พลันสาวเท้าลงจากรถ และยื่นมือออกไปจับกุมมู่น่อนน่อนเอาไว้ “หาเรื่องพอหรือยัง?”
มู่น่อนน่อนจ้องมองเขาอย่างเย็นชา พลางง้างมือเตรียมตบเฉินถิงเซียว แต่เฉินถิงเซียวหูตาว่องไว พลันคว้ามือของมู่น่อนน่อนที่เตรียมจะสร้างปัญหาเอาไว้แน่น
“คุณหาเรื่องเองนะ!”
เมื่อสิ้นเสียง มู่น่อนน่อนก็รู้สึกเจ็บท้ายทอย จนร่างกายหมดสติ
เฉินถิงเซียวอุ้มมู่น่อนน่อนมายังตำแหน่งข้างคนขับรถ และจัดการคาดเข็มขัดนิรภัยให้กับเธอ และเดินอ้อมไปยังตำแหน่งคนขับรถที่อยู่อีกทาง และเปิดประตู พร้อมทั้งสั่งให้ลูกน้องที่ประจำตำแหน่งคนขับลงจากรถทันที
ตอนที่เขางอตัวเพื่อเข้าไปในรถนั้น พลันกวาดตามองอย่างไม่ทันตั้งใจ จึงเห็นหน้าร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่งที่กำลังเปิดไฟสว่างที่อยู่ไม่ไกลนัก ลี่จิ่วเชียนกำลังยืนฉีกยิ้มหน้าบานอยู่ตรงบริเวณนั้น
เฉินถิงเซียวหัวคิ้วผูกเป็นโบ พลางงอตัวลงไปนั่งในรถ และปิดประตูรถทันที
เขามีอารมณ์โกรธเคืองอัดแน่นอยู่เต็มอก และพาตัวมู่น่อนน่อนกลับมายังวิลล่าของเขา
ตอนที่สือเย่กับพวกของกู้จือหยั่นมาถึงนั้น เห็นเพียงรถยนต์ของเฉินถิงเซียวทิ้งห่างไปไกลเสียแล้ว
……
เฉินถิงเซียวขับรถด้วยความเร็ว ไม่นานก็มาถึงวิลล่าของเขา
หลังจากจอดรถไว้ที่ด้านหน้าวิลล่าที่เป็นเรียบร้อยแล้ว จึงลงจากรถแล้วอุ้มมู่น่อนน่อนที่นอนสลบไสลไม่ได้สติเข้ามาในวิลล่า
เมื่อบ่าวไพร่เห็นเฉินถิงเซียวเดินเข้ามา พลางโค้งตัวเพื่อแสดงความเคารพ “คุณชาย!”
เฉินถิงเซียวหางตายังแทบไม่มองด้วยซ้ำ พลันอุ้มตัวมู่น่อนน่อนเดินเข้าห้องนอนทันที เมื่อเดินเข้าห้องแล้วก็จัดการลงกลอนล็อกประตู
จากนั้นจึงโยนตัวมู่น่อนน่อนลงบนเตียง
เตียงนอนขนาดใหญ่อันนุ่มมาก มู่น่อนน่อนตกใจตื่นทันที
เธอชูมือขึ้นเพื่อลูบคลำบริเวณท้ายทอยที่รู้สึกเจ็บปวด และพยุงตัวอยากจะลุกขึ้นนั่ง
แต่ว่า เธอเพิ่งจะลุกได้เพียงนิดเดียว ก็มีฝ่ามืออันทรงพลังยื่นออกมาและจัดการกดเธอลงบนเตียงทันที
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น จึงเห็นใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธเคืองของเฉินถิงเซียว
“คุณ…” สิ่งที่ด่าก็ด่าไปแล้ว สิ่งที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ซึ่งในเวลานี้มู่น่อนน่อนกลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี
เฉินถิงเซียวเหล่ตามองเธอ พร้อมทั้งจัดการถอดเสื้อผ้าเธอออกโดยไม่พูดไม่จาสักคำ
มู่น่อนน่อนสติเตลิดเปิดเปิงไปชั่วครู่ พร้อมทั้งพูดออกมาด้วยอาการตื่นตระหนก “คุณ… คุณจะทำอะไร!”
“ที่นี่นอกจากคุณ ผมยังมีอะไรให้ทำบ้างล่ะ?”
แววตาของเฉินถิงเซียวจับจ้องมาที่เรือนร่างของเธออยู่ตลอดเวลา นิ้วเรียวยาวอันสง่างามพลางปลดกระดุมเสื้อออกอย่างไม่รีบร้อน
สิ่งที่เขาทำก็เป็นพฤติกรรมตามปกติก็เท่านั้น แต่กลับกลายเป็นการดึงดูดอย่างบอกไม่ถูก
มู่น่อนน่อนหลบสายตา “ไม่อนุญาตให้คุณถอดอีกแล้ว!”
เฉินถิงเซียวหัวเราะอย่างดูถูก “ไม่ถอดแล้วจะทำอะไรต่อจากนี้ได้ยังไง?”
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปคว้าเอาหมอนมาตีเฉินถิงเซียว พร้อมทั้งจงใจพูดแรงๆ ใส่ “คุณก็ลองถอดต่อดูสิ!”
เฉินถิงเซียวมือกำลังเป็นระวิงในการแกะกระดุมพลันหยุดทันที ราวกับมีคนมากดปุ่มให้หยุดชั่วคราว จึงหยุดกะทันหัน
มู่น่อนน่อนเห็นว่าไม่พูดไม่จา แค่จ้องมองเธอ จนในใจรู้สึกตงิดใจ จึงลองถามออกไป “คุณอยากถอดก็ถอดสิคะ เอาที่คุณสบายใจ…”
เฉินถิงเซียวผ่อนมือที่กำลังเขาแกะกระดุมเอาไว้ สีหน้าราวกับน้ำค้างแข็งถามกลับทันที “ไม่แกล้งทำต่อแล้วเหรอ?”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก พลางส่ายหน้า และกระซิบพูด “ไม่แกล้งแล้วค่ะ…”
เฉินถิงเซียวสูดลมหายใจเข้าออกเฮือกใหญ่ พลางพ่นลมหายใจออกมายาวๆ จากนั้นจึงอ้าแขนรับเธอ “มานี่มา”
ตั้งแต่ที่มู่น่อนน่อนตั้งใจเก็บโทรศัพท์ของเขาขึ้นมา มองออกว่าเธอตั้งใจทำ
เมื่อมาถึงตอนท้าย เธอยังจงใจปลดล็อกโทรศัพท์ของเขาด้วย เฉินถิงเซียวย่อมรู้ดี เธอกำลังใช้โอกาสนี้เพื่อเป็นการบอกบางสิ่งกับเขา
เฉินถิงเซียวเริ่มคาดเดาทันที มู่น่อนน่อนอาจจะโดนลี่จิ่วเชียนสะกดจิต
มู่น่อนน่อนเพิ่งพูดว่า เขาไม่สนใจชีวิตของเฉินมู่งั้นเหรอ?
ลี่จิ่วเชียนใช้เรื่องนี้มาสะกดจิตมู่น่อนน่อนงั้นเหรอเนี่ย?
แต่ว่า เมื่อมองลักษณะมู่น่อนน่อนที่แอบส่งข่าวให้กับเขา จนสามารถมองออกว่า ลี่จิ่วเชียนได้สะกดจิตเธอแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
อาศัยความเข้าใจที่เขามีกับมู่น่อนน่อนแล้ว มู่น่อนน่อนเป็นผู้หญิงที่แสนโง่เขลาที่คิดจะเอาตัวไปเสี่ยง เพื่อวางแผนฉวยโอกาสนี้ที่ได้ตรวจสอบเรื่องอะไรบางอย่างของลี่จิ่วเชียน
สีหน้าของเฉินถิงเซียวเย็นชาทันทีราวกับถูกความเยือกเย็นปกคลุมอีกหนึ่งชั้น
เฉินถิงเซียวคนอย่างเขาจำเป็นต้องให้ผู้หญิงตัวคนเดียวเอาตัวเข้าแลกอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงเพื่อเขาไหมล่ะ?
คิดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว!
ผู้หญิงโง่คนนั้นดันคิดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียวเสียนี่!
เฉินถิงเซียวยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห พลางเดินออกไปทางด้านนอกด้วยความรู้สึกโกรธเกรี้ยว
แต่เมื่อเดินผ่านถึงข้างโทรศัพท์เครื่องนั้นที่ถูกมู่น่อนน่อนโยนทิ้งไปนั้น เขาก็หยุดฝีเท้า และเก็บโทรศัพท์ขึ้นมาทันที
เขาเพิ่งเดินออกจากห้องน้ำไม่ไกลนัก ก็เจอกับลี่จิ่วเชียนทันที
เหมือนว่าลี่จิ่วเชียนจะมาตรวจสอบประสิทธิภาพผลลัพธ์ พลางใช้สายตาจับจ้องเพื่อประเมินตัวเฉินถิงเซียวอยู่ตลอด
ความโกรธเคืองของเฉินถิงเซียวที่แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน แล้วเขาจะมองไม่ออกได้อย่างไร
น้ำเสียงลี่จิ่วเชียนยากแก่การปิดบังความภาคภูมิใจเอาไว้ “ดูเหมือนว่าคุณเฉินจะอารมณ์เสียมากเลยนะครับ”
เฉินถิงเซียวจ้องลี่จิ่วเชียนด้วยสายตาเย็นชาอยู่แวบเดียว จากนั้นก็ง้างหมัดพุ่งเป้าไปที่ลี่จิ่วเชียนทันที
ลี่จิ่วเชียนหลบไม่ทัน จึงถูกต่อยเต็มแรงเข้าอย่างจัง
แต่ว่า สีหน้าของเขากลับไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงเลย
เฉินถิงเซียวอดใจไม่ไหวจนต้องลงมือต่อยเขา นั่นก็หมายความว่าเขาประสบผลสำเร็จแล้ว
เขาประสบความสำเร็จในการใช้มู่น่อนน่อนมาคอยเป็นตัวกระตุ้นเฉินถิงเซียว จนเฉินถิงเซียวโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
งูมีจุดอ่อนเจ็ดส่วนที่ทำให้เสียชีวิต จุดอ่อนของมนุษย์ คือการโจมตีไปที่หัวใจไว้ก่อน
ส่วนจุดอ่อนของเฉินถิงเซียวนั้นคือมู่น่อนน่อน
เขาแค่ใช้มู่น่อนน่อนมาเป็นตัวต่อกรเฉินถิงเซียว เขาแทบไม่ต้องลงมือทำอะไรด้วยซ้ำ เฉินถิงเซียวก็กลายเป็นคนแพ้ล้มไม่เป็นท่าไปเสียแล้ว
ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นผล แถมผลลัพธ์ที่ได้กลับมานั้นก็ไม่เลวจริงๆ
ลี่จิ่วเชียนเอื้อมมือออกไปปาดเลือดสดมุมปากของตนเอง และกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มแจ่มใส “คุณเฉินลงมือเองโดยตรงเช่นนี้ เป็นการลดตัวเองเลยนะเนี่ย”
“แกคิดว่าตัวแกเองมีของดีอยู่เหรอ?” เฉินถิงเซียวจับคอเสื้อเขาขึ้น พลางใช้สายตากินเลือดกินเนื้อจับมองไปเขาตาเขม็ง
รูปร่างของลี่จิ่วเชียนเตี้ยกว่าเฉินถิงเซียวเล็กน้อย เฉินถิงเซียวอาศัยความสูงเป็นข้อได้เปรียบ ตอนที่หิ้วลี่จิ่วเชียนอยู่ตอนนั้น บรรยากาศช่างกดดันมาก
“ผมล่ะนับถือคุณจริงๆ ตอนนี้ ยังมีกะจิตกะใจมาด่าผมแรงๆ ได้อีก” รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าลี่จิ่วเชียนดูจางลงเล็กน้อย แววตากลับไม่มีอาการหวาดกลัวแม้แต่น้อย
จังหวะนั้นเอง สือเย่รีบวิ่งกระหืดกระหอบมาจากอีกทางทันที
“คุณชายครับ” เมื่อเขาเห็นภาพนั้น พลันอึ้งไปชั่วครู่ แต่ก็กลับมาทำสีหน้าปกติเช่นเดิม
เฉินถิงเซียวหันหน้ากลับมามองสือเย่แวบหนึ่งอย่างไร้ความรู้สึก “เอาตัวมู่น่อนน่อนกลับบ้าน!”
สีหน้าสือเย่พลันแสดงความลังเลออกมาเล็กน้อย แต่สุดท้ายยังตกปากรับคำ “ครับคุณชาย”
เฉินถิงเซียวโยนตัวลี่จิ่วเชียนออกไป ราวกับเหมือนโยนผ้าขี้ริ้วเก่าๆ ทิ้ง
ลี่จิ่วเชียนเตรียมทรงตัวไว้ตั้งแต่แรก จึงไม่ได้ล้มลงจนหมดสภาพ
“คุณไม่ไปลองถามมู่น่อนน่อนดูหน่อยเหรอว่าจะยอมกลับไปกับคุณหรือเปล่า!” น้ำเสียงลี่จิ่วเชียนแสดงความภาคภูมิใจออกมาเล็กน้อย
เขาล่ะหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นเฉินถิงเซียวแพ้อย่างราบคาบ
“ไม่สนว่าเธอจะยอมหรือไม่ยอม เธอก็เป็นคนของฉัน! แม้ว่าเธอตายไปแล้ว ก็ต้องเป็นผีใต้อาณัติของเฉินถิงเซียว! แกมาถือดีอะไร!”
ดวงตาของเฉินถิงเซียวเต็มไปด้วยความเย้ยหยันอย่างไม่มีการปิดบัง ราวกับลี่จิ่วเชียนเป็นขยะที่ไม่สมควรจะมองเห็นด้วยซ้ำ
ลี่จิ่วเชียนรังเกียจที่สุด ก็คือท่าทางสีหน้าแววตาความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลาของเฉินถิงเซียวเช่นนี้
ทั้ง ๆ ที่ในเวลานี้ ก็ยังแสดงอย่างชัดเจนว่าเขาเป็นผู้ชนะ ทว่าเฉินถิงเซียวยังคงทำตัวสูงส่งเหนือคนอื่น ราวกับจอมราชันย์ที่คอยเหล่ตามองเขาเช่นนั้น
เรื่องนี้ถือว่าเป็นจุด ๆ หนึ่งที่เขาไม่พอใจที่สุด
“แกมันมั่นใจตัวเองเกินไป ไม่เคยสนใจว่าน่อนน่อนจะยอมไหม แค่เอาความคิดของตัวเองไปบังคับขู่เข็ญยัดเยียดให้เธอ แกพูดเต็มปากว่าเธอเป็นคนของแก แต่มันก็หลอกตัวเองและหลอกคนอื่นก็เท่านั้น!”
ลี่จิ่วเชียนกระแอมอยู่หลายครั้ง และค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้น
เฉินถิงเซียวหัวเราะดูถูก และพูดออกมาหนึ่งประโยคตามปกติ “เก่งกว่าแกแล้วกัน”
จากนั้น เขาก็หันหน้าเดินจากไป
ลี่จิ่วเชียนยืนอยู่ตำแหน่งเดิม ความโกรธเคืองค่อย ๆ แผ่ซ่านออกมาจากดวงตา
จากนั้นเขาก็คำรามออกมา พลันยื่นมือออกไปชกกำแพงหมัดหนึ่ง
“เฉินถิงเซียว! ฉันไม่มีวันปล่อยให้แกได้ตามปรารถนาแน่!”
……
เฉินถิงเซียวเดินมาถึงทางเข้าห้องโถงจัดเลี้ยง จึงมองเห็นสือเย่
สือเย่จงใจยืนรออยู่ตรงบริเวณนี้เพื่อรอคอยเฉินถิงเซียวมาถึง
แม้ว่าเมื่อครู่เฉินถิงเซียวพูดว่าต้องเอาตัวมู่น่อนน่อนกลับบ้าน ทว่าสือเย่มักรู้สึกว่ามันดูไม่เหมาะ เพราะไม่รู้ว่าควรทำเช่นนั้นหรือไม่
“คุณชายครับ ต้องพาตัวคุณหญิงน้อยกลับบ้านจริงๆ หรือครับ?” เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวเดินมาแล้ว สือเย่จึงถามทันที
เฉินถิงเซียวทำหน้าเคร่งขรึม และเหล่ตามองเขาอย่างเย็นชา “ไม่เอากลับบ้าน ให้เธอแสดงความรักทำตัวสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่นต่อไปงั้นสิ?”
สือเย่เองก็รู้สึกว่าสนิทสนมมาก
นี่แหละคือคุณชายคนที่เขารู้จัก
นิสัยแย่ และไม่อนุญาตให้คุณหญิงน้อยได้ทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่น
“ครับ” สือเย่รับคำสั่ง จึงพาคนไปสกัดกั้นมู่น่อนน่อนเอาไว้
งานเลี้ยงวันเกิดในเวลานี้ใกล้จะมาถึงช่วงท้ายของงานแล้ว
บางคนก็กลับไปแล้ว แต่ว่าคนที่อยู่ภายในห้องจัดเลี้ยงนั้นยังมีเยอะมาก
มู่น่อนน่อนก็เตรียมตัวจะกลับเช่นกัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมุมห้องและกำลังโทรศัพท์หาลี่จิ่วเชียน
หลังจากที่เธอมาถึงห้องจัดเลี้ยงแล้ว ก็ไม่เห็นลี่จิ่วเชียนเลย ตอนนี้จะกลับบ้าน เธอก็ต้องโทรศัพท์หาลี่จิ่วเชียน
แต่ว่า เธอเพิ่งกดโทรศัพท์ออกไปยังไม่ทันต่อสายเลย โทรศัพท์ก็โดนคนดึงไป และโดนยึดกดตัดสายทิ้งทันที
สือเย่หยิบโทรศัพท์มา และโค้งศีรษะเล็กน้อย “คุณหญิงน้อยครับ”
“จะทำอะไร? เอาโทรศัพท์ฉันคืนมานะ!” มู่น่อนน่อนเห็นสือเย่ จึงทำสายตาเย็นชาใส่ พลางยื่นมือออกไป “ส่งโทรศัพท์คืนมาให้ฉัน!”
สือเย่ยืนอยู่ตรงด้านหน้าของเธอ ด้วยท่าทางสงบนิ่งดั่งภูผา “คุณหญิงน้อยครับ พวกเรามารับคุณกลับบ้านครับ”
มู่น่อนน่อนขึ้นเสียงสูง และเรียกชื่อของเขา “สือเย่!”
สีหน้าแววตาของสือเย่ไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนแปลงใดๆ พร้อมทั้งใช้น้ำเสียงจริงจังและอ่อนโยน “คุณหญิงน้อยจะเดินไปดีๆ เอง หรือว่าต้องให้พวกเรา ‘เรียนเชิญ’ ด้วยตัวเองครับ?
เขาตั้งใจเน้นย้ำความว่า ‘เรียนเชิญ’ ซึ่งเป็นการบอกมู่น่อนน่อน ว่าถ้าเธอไม่ยอมเดินตามไปดีๆ พวกของสือเย่ก็จะบีบบังคับพาตัวเธอออกไป
มู่น่อนน่อนยิ้มให้อย่างเย็นชา “ถ้าฉันดื้อดึงไม่ไปกับนายล่ะ?”
“งั้นผมก็ต้องใช้ไม้เด็ดโดยการ ‘เรียนเชิญ’ แล้วล่ะครับ” สือเย่พูดจาด้วยความเคารพ
“เจ้านายแบบไหน ลูกน้องก็แบบนั้นจริงๆ” มู่น่อนน่อนกำลังแอบพูดเหน็บแนมเฉินถิงเซียว
สือเย่ยังไม่ค่อยคุ้นชินกับการที่มู่น่อนน่อนพูดจาด้วยอารมณ์แปลกพิกลจริงๆ
เขาเม้มริมฝาก พลางแสร้งทำทีว่าไม่ได้ยินความหมายเป็นนัยของมู่น่อนน่อน “ความหมายของคุณหญิงน้อยคืออะไรครับ?”
“ใครเป็นคุณหญิงน้อย ฉันมิบังอาจหรอก” มู่น่อนน่อนพูดจบก็ผลักเขาทันที “หลีกทาง!”
เธอเพิ่งจะก้าวไม่ถึงสองก้าว จึงหยุดทันที
ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวมาถึงตอนไหน พลันยืนขวางทางเดินของเธอทันที
“ไม่ได้ยินสือเย่พูดหรือไง? ผมมารับคุณกลับบ้าน”
เฉินถิงเซียวยืนตรงหน้าเธอ แถมแสดงท่าทางจริงจังมาก
เฉินถิงเซียวค่อยๆ เงยหน้าขึ้น พลางมองลี่จิ่วเชียนที่อยู่เคียงข้างมู่น่อนน่อนที่อยู่ตำแหน่งไม่ไกลนัก
ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาถึงได้ค่อยๆ เอ่ยปากพูด “ลี่จิ่วเชียนไม่เคยทำเรื่องอะไรที่ไม่ได้เตรียมการเอาไว้ก่อน ข่าวที่เขาพามู่น่อนน่อนมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดในครั้งนี้ เขาจงใจปล่อยข่าวออกมา
สือเย่ครุ่นคิดอยู่สักพัก พลันถามทันที “ นี่เขาหมายความว่าอะไร? เขาจงใจปล่อยข่าวออกมาเพื่อเรียกความสนใจให้พวกเราออกมา ผมเข้าใจได้นะครับ แต่นี่ เขาไม่กังวลบ้างเหรอ ว่าพวกเราจะฉวยจังหวะลักพาตัวคุณหญิงน้อยกลับไปด้วย?”
“คุณรู้สึกว่า มู่น่อนน่อนเขาจะกลับไปกับพวกเราไหมล่ะ?” น้ำเสียงเฉินถิงเซียวเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม สันกรามเกร็งแน่น ความโกรธที่ระงับเอาไว้อย่างหนักหน่วงพลันแผ่ออกมาทั่วตัว
“ความหมายของคุณชายก็คือ…” สือเย่พูดได้เพียงเท่านี้ พลางเงยหน้ามองไปทางตำแหน่งที่มู่น่อนน่อนอยู่
อากัปกิริยาตอบสนองของมู่น่อนน่อนก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างเห็นเต็มสองตา
มู่น่อนน่อนมีอากัปกิริยาที่ผิดแปลกไปมาก ซึ่งแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“มีความเป็นไปได้ไหมว่าคุณหญิงน้อยเธอ จงใจแสดงละครตบตาให้ลี่จิ่วเชียนดูหรือเปล่าครับ?” สือเย่คิดแล้วคิดอีก จึงคิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้
“ลี่จิ่วเชียนไม่ใช่คนจำพวกเชื่อคนอื่นง่ายดาย เขาแค่เชื่อตัวเธอเอง เขาเคยอยู่กับมู่น่อนน่อนมาก่อน ย่อมรู้ดีว่าเธอเป็นคนยังไง แม้ว่าผู้หญิงจอมโง่อย่างมู่น่อนน่อนจะมีทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยมก็ตาม นายรู้สึกว่าลี่จิ่วเชียน เขาจะเชื่อง่ายๆ ไหมล่ะ?”
ตอนที่เฉินถิงเซียวพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง สงบนิ่งถึงขั้นทำให้สือเย่แปลกใจอยู่บ้าง
ถ้าเป็นเฉินถิงเซียวคนเมื่อก่อน อย่าพูดว่าจะมาวิเคราะห์แจกแจงอย่างใจเย็นแบบนี้เลย ตอนที่เห็นมู่น่อนน่อนยืนทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับลี่จิ่วเชียนอยู่นั้น อาจจะอดใจไม่ไหวจนเข้าไปลงมือลงไม้แล้ว
“ความหมายของคุณคือ คุณหญิงน้อยเธอไม่ได้แสดงละครเหรอครับ?” ตอนแรกสือเย่คิดว่าตัวเองทายถูกแล้ว แต่การที่เฉินถิงเซียวพูดออกมาแบบนี้ สมองของเขายิ่งงงเป็นไก่ตาแตกหนักกว่าเก่า
“ถ้าคุณหญิงน้อยไม่ได้เล่นละครตบตา แล้วเธอเป็นอะไรไปล่ะครับเนี่ย?” สือเย่รู้จักกับมู่น่อนน่อนมานานแล้ว ย่อมชัดเจนที่สุดว่าเธอเป็นคนอย่างไร
“ครั้งที่แล้วตอนที่เห็นคุณหญิงน้อยในวิลล่า ผมได้เอาปากกาหมึกซึมด้ามนั้นยื่นให้เธอ ซึ่งตอนนั้นดูว่าเธอก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติไป”
สถานการณ์ไฟไหม้ที่เกิดขึ้นในครั้งที่แล้ว เนื่องจากเฉินถิงเซียวอยู่ในเหตุการณ์นั้นนานเกินไป ราวกับสำลักควันไฟจนใกล้จะหมดสติอยู่รอมร่อ
แต่แม้ว่าเรื่องจะเป็นเช่นนั้น เฉินถิงเซียวยังคงฝืนทนเพื่อจะกลับเข้าไปหาสิ่งของบางอย่าง
สือเย่ไม่มีวิธีอื่น จึงจำใจต้องตีเขาให้หมดสติไป และให้บอดี้การ์ดเอาตัวเขาออกไป ส่วนเขากลับเข้าไปหาสิ่งของให้เฉินถิงเซียวแทน
ไม่คิดเลยว่าจะพบมู่น่อนน่อนอยู่ด้านใน
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น คนของลี่จิ่วเชียนยังเฝ้าอยู่ทางด้านนอก เขาไม่มีวิธีที่จะช่วยพาตัวมู่น่อนน่อนให้ออกไปได้ ทำได้เพียงเอาปากกาหมึกซึมด้ามนั้นของเฉินถิงเซียวยื่นให้มู่น่อนน่อนไปแทน เพื่อทำให้เธอได้สบายใจรอให้พวกเขามาช่วยเธอ
สือเย่รู้ดีว่าปากกาหมึกซึมด้ามนั้นมันมีความสำคัญมากต่อเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนก็น่าจะรู้เช่นเดียวกัน
แต่เรื่องราวเพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วันเอง เมื่อกลับมาเจอหน้ามู่น่อนน่อนอีกครั้ง กลับพบว่าเธอไม่เหมือนก่อนหน้านี้เลย
เฉินถิงเซียวค่อยหลุบตาลงต่ำ พลันโพล่งออกมาหนึ่งคำ “สะกดจิต”
“สะกดจิตเหรอครับ?” สือเย่พูดทวนคำพูดของเฉินถิงเซียวซ้ำอีกครั้ง
“ลี่จิ่วเชียนไม่เชื่อคนอื่น เชื่อแค่ตัวเขาเองคนเดียว ไม่งั้นทำไมเขาถึงได้กล้าบ้าบิ่นที่จะกล้าลักพาตัวมู่น่อนน่อนไปต่อหน้าต่อผมได้ล่ะ?” เฉินถิงเซียวพูดจบประโยคตอนท้าย สีหน้าก็แผ่ความเย็นเฉียบออกมาทั่วใบหน้า
“แต่ก่อนหน้านี้ คุณชายก็จำคุณหญิงน้อยคนนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ลักษณะท่าทางของคุณหญิงน้อยเมื่อครู่นี้ จำพวกเราไม่ได้ครบทุกคน”
สือเย่เพิ่งจะคิดอยู่เหมือนกัน มู่น่อนน่อนอาจโดนสะกดจิตมา
แต่ว่า มู่น่อนน่อนยังจดจำพวกเขาได้ทุกคนซึ่งแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน สือเย่จึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย
“ความหมายของการสะกดจิตไม่ใช่การที่ทำให้คนคนหนึ่งสูญเสียความทรงจำไป แต่เป็นการชี้นำจิตวิญญาณชนิดหนึ่ง” เฉินถิงเซียวพูดเสร็จ ก็ลุกขึ้นทันที
เขาจัดการจัดสูทที่อยู่บนร่างกายของตัวเอง และแสดงท่าทางต้องการไปจากที่นี่
“คุณชายจะไปไหนหรือครับ?” สือเย่ถามทันที
“ไม่ต้องตามผมไป คอยจับตามองลี่จิ่วเชียนเอาไว้”
เฉินถิงเซียวพูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค และเดินหายไปในกลุ่มฝูงชนทันที
ตอนที่สือเย่หันหน้าไปมองทางลี่จิ่วเชียน จากนั้นจึงพบว่ามู่น่อนน่อนหายตัวไปไม่ได้อยู่ข้างกายของเขาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
……
เฉินถิงเซียวเดินฝ่ากลุ่มฝูงจน มุ่งหน้าเดินไปทางห้องน้ำที่อยู่ด้านหลัง
เขาเดินตรงแน่วมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำผู้หญิงทันที
ตอนที่เขาเข้าไปนั้น มู่น่อนน่อนกำลังเดินออกมาจากห้องน้ำที่แยกเป็นห้อง
ตอนที่เธอเห็นเฉินถิงเซียว มีอาการชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ยืนกอดอก และเริ่มพูดจากถากถางทันที “คุณเฉินมีรสนิยมชอบเข้าห้องน้ำผู้หญิงตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ ทำไมฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
เฉินถิงเซียวไม่พูดไม่จา พลางก้าวเท้าเดินไปหา ค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้เรื่อย ๆ
สีหน้ามู่น่อนน่อนแสดงอาการแข็งทื่อออกมาอย่างชัดเจน สายตาจับจ้องมองเขาที่เดินเขยิบก้าวมาใกล้ ๆ เธอเองก็ไม่ได้ถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว
เฉินถิงเซียวเดินมาหยุดตรงด้านหน้าของเธอ พลางใช้เสียงทุ้มต่ำที่ไม่สามารถจับความหมายได้ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ?”
“คุณเฉินพูดว่าอะไรดิฉันฟังไม่เข้าใจค่ะ” มู่น่อนน่อนพูดจบ แทบไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ พลางเดินหันข้างเพื่อต้องการเดินหนีไปจากข้างตัวเขา
แต่เฉินถิงเซียวจะปล่อยเธอไปได้ยังไง
เขายื่นมือมาคว้าแขนของมู่น่อนน่อนเอาไว้ พลันพูดเสียงทุ้มต่ำ “พูดกันให้รู้เรื่อง”
จังหวะนั้นเอง มีแขกผู้หญิงที่มาร่วมงานเลี้ยงเปิดประตูเข้ามาจากด้านนอก เมื่อเห็นว่าผู้ชายตัวโตอย่างเฉินถิงเซียวแต่กลับมาอยู่ด้านในนี้ พลันรู้สึกตกใจจนกรีดร้องออกมา “สุภาพบุรุษท่านนี้ นี่เป็นห้องน้ำหญิงนะคะ รบกวนออกไปด้วยค่ะ”
เฉินถิงเซียวหันศีรษะกลับไป ระหว่างบริเวณดวงตาอัดแน่นไปด้วยความเกลียดชัง “ไสหัวไปซะ!”
เมื่อแขกผู้หญิงเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นแล้ว ไฉนยังกล้าดื้อดึงอยู่ต่อ พลางเหล่ตามองมู่น่อนน่อน และหันหลังเดินออกไปทันที
มู่น่อนน่อนฉวยจังหวะนั้นการสะบัดมือของเฉินถิงเซียวออก
ทว่าเฉินถิงเซียวคว้าเธอไว้แน่นเหลือเกิน เธอแทบสะบัดไม่หลุดเลย
ทั้งสองคนยื้อยุดฉุดกระชากอยู่เช่นนั้น คนหนึ่งก็อยากจะดึงอีกคนเอาไว้ ส่วนอีกคนก็ต้องการสะบัดให้หลุด
ท่ามกลางความตื่นตระหนก โทรศัพท์ของทั้งสองคนต่างหล่นลงพื้น
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ไหน ที่ผลักเฉินถิงเซียวให้หลุด และงอเข่าก้มลงไปเก็บโทรศัพท์
ช่างบังเอิญเสียจริง โทรศัพท์ของทั้งสองคนเป็นยี่ห้อเดียวกันและรุ่นเดียวกันอีก
มู่น่อนน่อนเหลือบมองโทรศัพท์ทั้งสองเครื่องที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว จึงหยิบเครื่องนั้นที่อยู่ใกล้ตัวเฉินถิงเซียวที่สุดขึ้นมา
ส่วนโทรศัพท์เครื่องที่ตกอยู่ใกล้ตัวเฉินถิงเซียวเครื่องนั้น เป็นของเฉินถิงเซียว ซึ่งไม่ใช่มู่น่อนน่อน
เป็นไปไม่ได้ที่มู่น่อนน่อนจะไม่รู้
แต่เธอกลับจงใจหยิบโทรศัพท์ของเฉินถิงเซียวขึ้นมา
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และจัดการกดปุ่มเปิดปิดเครื่อง หน้าจอโทรศัพท์สว่างจ้าทันที
เธอแตะไปที่หน้าจอโทรศัพท์ของเฉินถิงเซียวเล็กน้อย จากนั้นก็เอาโทรศัพท์มายื่นต่อหน้าเฉินถิงเซียว เพื่อชี้ไปที่รูปหน้าจอบนโทรศัพท์เพื่อถามเฉินถิงเซียว “คุณเฉินคะ นี่คุณทำอะไรอยู่กันแน่? ที่เอารูปภาพนี้มาทำเป็นรูปหน้าจอ ทำตัวหน้าซื่อใจคดให้ใครดูอยู่เหรอคะ?”
รูม่านตาเฉินถิงเซียวหม่นหมองลง “ผมหน้าซื่อใจคดอยู่หรือเปล่า คุณยังไม่รู้เหรอ?”
“น่าขยะแขยงจริงๆ!” มู่น่อนน่อนหัวเราะเยาะพลันมีเสียง “พลั่ก” และโยนโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของเขาทิ้งไปทันที
หัวคิ้วเฉินถิงเซียวขมวดเข้าหากันทันที “มู่น่อนน่อน คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ?”
“ฉันบ้ามาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่คุณเริ่มไม่สนใจชีวิตของมู่มู่นั่นแหละ ฉันก็เป็นบ้าไปแล้ว! คุณคอยดูนะ ฉันไม่มีวันปล่อยคุณไป!” มู่น่อนน่อนพูดจบด้วยความเย็นชา จึงเก็บโทรศัพท์ของตนเองขึ้นมา และเดินหันหลังออกไป
ส่วนเฉินถิงเซียวยังยืนอยู่ที่เดิม สีหน้ายากแก่การคาดเดา
หน้าจอโทรศัพท์ของเขาและรูปล็อกหน้าจอเป็นรูปมู่น่อนน่อนทั้งสิ้น ซึ่งหน้าจอโทรศัพท์ของเขาก็ได้ตั้งรหัสเอาไว้ หน้าจอโทรศัพท์สว่างขึ้น มู่น่อนน่อนมองเห็นรูปภาพของเธอเอง ทว่าเธอกลับจงใจใส่รหัสเพื่อปลดล็อกโทรศัพท์ของเขา
เฉินถิงเซียวพาคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าเดินมาทางลี่จิ่วเชียน
เวลานี้คนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แต่ชายหนุ่มต่างบ้านต่างเมืองที่หล่อเหลาไม่ธรรมดาเฉกเช่นเฉินถิงเซียว กู้จือหยั่นกับพวกถือว่าน้อยมาก
ดังนั้น ตอนที่กลุ่มของเฉินถิงเซียวเดินเข้าไปหานั้น จึงตกเป็นเป้าสายตาจนโดดเด่นเป็นพิเศษ
มีสายตามากมายต่างจับจ้องมาที่พวกเขา
ซึ่งลี่จิ่วเชียนย่อมเห็นพวกเขาตามธรรมชาติ
เขาคลี่ริมฝีปากด้านล่าง พลันปรากฏรอยยิ้มที่ไม่แสดงออกอย่างชัดเจนมากนัก จากนั้นจึงหันศีรษะไปมองมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนกำลังเอียงศีรษะมาพูดคุยกับผู้หญิงอีกคน ด้วยลักษณะท่าทางหัวร่อต่อกระซิก
ลี่จิ่วเชียนเรียกเธอ “น่อนน่อนครับ”
“คะ?” มู่น่อนน่อนหันศีรษะกลับมามองลี่จิ่วเชียน “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ดูสิว่าใครมา” ลี่จิ่วเชียนที่มือถือขาแก้วไวน์พลันใช้นิ้วชี้ปัดไปทางด้านหน้า เพื่อส่งสัญญาณชี้ให้เธอมองตามทางที่เขาชี้ไป
มู่น่อนน่อนเหลือบมองตามสายตาของเขา พลันเห็นเฉินถิงเซียวที่เดินฝ่าฝูงชนมาอยู่ทางด้านหน้า
รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเธอ เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวในวินาทีนั้น ค่อยๆ แข็งทื่อ กระทั่งมลายหายไปสิ้น
ส่วนเฉินถิงเซียวที่คอยจับจ้องมู่น่อนน่อนจนตาไม่กระพริบอยู่อยู่นั้น จึงเห็นความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของมู่น่อนน่อนทันที
ซึ่งสีหน้าของเขาก็ไม่สู้ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กลับยิ่งเคร่งขรึมหนักกว่าเก่า
กู้จือหยั่นที่เดินมาอยู่ด้านข้างของเฉินถิงเซียว พลางลูบแขนตัวเองอย่างไม่รู้
สายตาของมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวประสานสายตากันอยู่ท่ามกลางอากาศ ซึ่งไม่ได้มีทีท่าจะเบนสายตาหนีกันเลย
สายตาของเฉินถิงเซียวเย็นชามาก ส่วนมู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าสักเท่าไหร่ ในเวลานี้ทั้งสองคนช่างยากยิ่งในการให้คนอื่นเขาจินตนาการกันได้ว่าพวกเขาเคยเป็นคนรักใคร่กันมาก่อน
ในที่สุด กลุ่มเฉินถิงเซียวก็เดินเข้ามาใกล้แล้ว
มู่น่อนน่อนที่ยืนอยู่ด้านข้างลี่จิ่วเชียน แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา และไม่ได้เดินไปทางฝั่งเฉินถิงเซียวด้วยซ้ำ
ลี่จิ่วเชียนเหลือบมองมู่น่อนน่อนอยู่แวบหนึ่ง และพอใจกับการแสดงออกของเธอเป็นอย่างยิ่ง
ใบหน้าเขาพลันปรากฏรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“คุณเฉิน ไม่ได้เจอกันเสียนาน ช่วงนี้ยังสบายดีใช่ไหมครับ?” สายตาของลี่จิ่วเชียนจ้องมองมาที่ตัวเฉินถิงเซียว พลางคลี่ยิ้มมากกว่าเดิม
เสิ่นเหลียงถึงกลับพ่นลมออกจากปาก ตอนนี้จะมองลี่จิ่วเชียนยังไงก็ยังรู้สึกรังเกียจ
เธอหันหน้าออกไปอีกทาง ดันไปสบตามู่น่อนน่อนอีก จนอารมณ์ยิ่งหงุดหงิดหนักกว่าเดิม เธอจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นแทน
เฉินถิงเซียวไม่ได้มองลี่จิ่วเชียนสักนิด
บรรยากาศดูแปลกพิกลเล็กน้อย
กู้จือหยั่นเป็นคนฉลาดมากคนหนึ่ง นัยน์ตาเขาเปล่งประกาย พลันพูดและยิ้มให้ลี่จิ่วเชียน “ไม่ได้เจอกันนานเสียที่ไหนล่ะครับ? ก่อนหน้าผมก็ได้ดูข่าว คุณลี่กับคุณเฉินเคยเป็นเพื่อนบ้านกันมาก่อนด้วยนี่ครับ?”
แม้ว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้พูดจาอะไรออกไป แต่กู้จือหยั่นรู้ดีว่า เฉินถิงเซียวกำลังดูถูกลี่จิ่วเชียน จึงไม่อยากร่วมวงเสวนากับเขา
ฐานะของกู้จือหยั่นเมื่อเอามาเปรียบเทียบกับเฉินถิงเซียวแล้ว ยังสู้เฉินถิงเซียวไม่ได้ การที่เขาออกหน้ามาพูดแทน ก็เท่ากับกู้จือหยั่นเสียหน้าเอง
ลี่จิ่วเชียนสีหน้าแปรเปลี่ยนความรู้สึกเล็กน้อย พลันตอบทันควัน “ถ้าผมจำไม่ผิดนะ สุภาพบุรุษท่านนี้คือ ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัทเสิ้งติ่งใช้ไหมครับ?”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับผม ใช่กระผมเองครับ” กู้จือหยั่นปรากฏรอยยิ้มแย้มหน้าบานอยู่บนใบหน้า แต่ในใจกลับสบถด่าลี่จิ่วเชียนไปยกหนึ่งแล้ว
นี่เล่นตลกอะไรกันอยู่ พูดกันตรงๆ ก็อีแค่หมอจิตวิทยาคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ? ดูจากท่าทางที่เขาคิดว่าตัวเองถูกต้องอยู่เสมอ ยังคิดว่าตัวเองเก่งยอดเยี่ยมมากจริงๆ เหรอเนี่ย!
ลี่จิ่วเชียนยิ้มให้ พลางหันมามองมู่น่อนน่อน “น่อนน่อนครับ เหมือนว่าพวกเขาเป็นเพื่อนของคุณหมดนั่นเลยนะครับ?”
“พวกเขาทั้งหมดที่ไหนกัน มีแค่เสี่ยวเหลียงที่เป็นเพื่อนฉันเท่านั้นแหละค่ะ” มู่น่อนน่อนมองไปทางลี่จิ่วเชียน แววตาปรากฏความเกลียดชังให้เห็น
มุมปากลี่จิ่วเชียนกระตุกขึ้น และปรากฏรอยยิ้มที่แสนแปลกประหลาด “พูดแบบนี้ มีคนเขาเสียใจอยู่นะ”
เขามองไปทางเฉินถิงเซียวเพื่อสื่อความหมายเป็นนัย
แววตาเฉินถิงเซียวยังคงจับจ้องบนตัวมู่น่อนน่อนไม่เลิก เขาเอ่ยปากพูดอย่างเคร่งขรึม “มู่น่อนน่อน มานี่”
“ถ้าคุณเฉินมีธุระอะไร หลังเสร็จงานเลี้ยงแล้ว พวกเราค่อยไปหาสถานที่คุยกันค่ะ” มู่น่อนน่อนแสยะยิ้มให้เขา และไม่มองเขาอีกเลย
เธอกลับไปคล้องแขนลี่จิ่วเชียนอีกครั้ง “ไปกันเถอะ อย่าให้คนไร้ประโยชน์มาถ่วงเวลาเลยค่ะ เดี๋ยวรออีกสักพักฉันอยากจะกลับบ้านเร็วๆ แล้วค่ะ”
“ได้สิครับ”
ก่อนที่ลี่จิ่วเชียนจะเดินจากไปพลางเหลือบมองเฉินถิงเซียวครั้งหนึ่ง หางตาแสดงรอยยิ้มผู้มีชัยชนะ
บรรดาฝูงชนทำได้แต่จ้องมองลี่จิ่วเชียนกับมู่น่อนน่อนเดินจากไป
กู้จือหยั่นมองด้านหลังของสองคนนั่น จนอดสบถด่าตามหลังไม่อยู่ “เหี้ยเอ๊ย! ไอ้เหี้ยลี่จิ่วเชียนแม่งมันเล่นห่าเหวอะไรวะ!น่อนน่อนน้ำเข้าสมองหรือไงวะ? อะไรที่เรียกว่าคนไร้ประโยชน์? กูโมโหฉิบหาย! พวกมันแม่ง…”
กู้จือหยั่นยังพูดไม่จบ พลางรู้สึกว่าฟู้ถิงซีที่ยืนอยู่ข้างเขาคอยดึงเขาเอาไว้
“ดึงผมไว้ทำไม ผมก็ไม่ได้พูดผิดนี่” กู้จือหยั่นจ้องมองฟู้ถิงซีตาเขม็ง
ฟู้ถิงซีเตะเขาไปหนึ่งที เพื่อส่งสัญญาณให้เขามองเฉินถิงเซียว
กู้จือหยั่นเข้าใจทันที ความรู้สึกที่แสดงออกทางสีหน้าเริ่มแสดงอาการประหม่าอยู่บ้าง
คำพูดพวกนั้นของมู่น่อนน่อน มันทิ่มแทงหัวใจของเฉินถิงเซียว เธอพูดแบบนี้ต่อหน้าเฉินถิงเซียว แล้วหัวใจของเฉินถิงเซียวมันจะยิ่งทุกข์ใจจนรับไม่ไหวมากกว่าเดิมอยู่ไหม?
กู้จือหยั่นเกาหัว ท้ายที่สุดก็พยายามพูดประโยคหนึ่งออกมาเพื่อเป็นการปลอบโยน “เอ่อ คือ… เฉินถิงเซียว ที่น่อนน่อนเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อครู่นี้ เธอต้องมีเหตุผลของเธอแน่ ปกติแล้วเธอไม่ใช่คนแบบนี้นี่…”
เฉินถิงเซียวเหล่ตามองเขา น้ำเสียงไร้ความรู้สึก “เธอเป็นคนยังไง ฉันจะไม่เข้าใจงั้นเหรอวะ? จำเป็นต้องให้แกมาคอยบอกฉันด้วยเหรอ?”
กู้จือหยั่น “…” เขาอุตส่าห์ทำตัวใจดีอยากจะปลอบโยนเฉินถิงเซียวบ้าง แต่ไม่คิดเลยว่ากลับตาลปัตรทำให้เฉินถิงเซียวไม่ชอบขี้หน้าเขาแทน
กู้จือหยั่นโกรธจนไม่พอใจจึงชี้ไปที่เฉินถิงเซียวและพูดกับฟู้ถิงซี “แกดูมันสิ!”
ฟู้ถิงซีเหลือบมองเฉินถิงเซียวแวบหนึ่ง พลางส่ายหน้าทันที แต่ไม่ได้พูดอะไร
มีคนมากมายเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิด
พวกของเฉินถิงเซียวก็มาถึงงานแล้ว จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการพบปะพูดคุยคบค้าสมาคมกันได้
ขนาดเสิ่นเหลียงเองก็ยังมีคนเข้ามาหาเรื่องนั้นเรื่องนี้พูดคุยอยู่ตลอดเวลา
ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับการพบปะพูดคุยกัน มีแค่เฉินถิงเซียวคนเดียวที่ทำตัวว่างอยู่
เขาหาที่นั่งมีวิสัยทัศน์ที่ค่อนข้างดีและนั่งอยู่ตรงตำแหน่งนั้น แม้ว่ามีคนอยากจะเข้ามาเสวนาพูดคุยกับเขาก็ตาม แต่กลับถูกปฏิเสธให้ต้องให้ล่าถอยออกจากเขาด้วยรัศมีทำตัวห่างเหินระยะเป็นพัน ๆ ไมล์ที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา
ท้ายที่สุด จึงไม่มีใครกล้าเขาไปหาเฉินถิงเซียวเลย
กู้จือหยั่นพบปะพูดคุยจนวนครบหนึ่งรอบและกลับมาแล้ว และนั่งลงด้านข้างเฉินถิงเซียว ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ถิงเซียว แกในฐานะประธานใหญ่ของการบริหารบริษัทข้ามชาติและอุตสาหกรรมนับไม่ถ้วน ไปพบปะเสวนาอย่างเป็นทางการสักหน่อยจะได้ไหม ทำงานทำการบ้างดิ? ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ทางบริษัทเฉินซื่อจะไม่ล้มละลายจริงๆ ใช่ป่ะ?”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเขาตามปกติ “ไม่มีทาง”
กู้จือหยั่นถึงกลับสำลัก เขาหมดคำพูดแล้ว พลางลุกขึ้นไปเสวนาต่ออย่างจริงจัง
เขาเพิ่งจะก้าวขาออกไป ซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสือเย่ที่เดินออกไปกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
สือเย่เดินมาหยุดทางด้านข้างเฉินถิงเซียว พลางเรียกด้วยความเคารพ “คุณชายครับ”
มือเฉินถิงเซียวที่ถือแก้วไวน์พลันวางลงทันที นัยน์ตาอันเหม่อลอยหดตัวลงเล็กน้อย พลันพูดออกมาคำเดียว “พูดมา”
สือเย่นำเรื่องที่ตนเองได้ตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อยแล้วแจ้งให้เฉินถิงเซียวฟัง “ผมพาคนไปดูให้เห็นกับตา ลี่จิ่วเชียนพาบอดี้การ์ดมาแค่ 2-3 คน ขนาดอาลั่วที่เป็นผู้ช่วยตัวเก่งของเขาก็ไม่ได้พามาด้วย ซึ่งลูกน้องของเขาส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของอาลั่ว”
เฉินถิงเซียวได้ยินทั้งหมด ถึงกลับเงียบงันไปชั่วครู่ จากนั้นจึงหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา
สือเย่เดาความคิดของลี่จิ่วเชียนไม่ออก และยิ่งไม่สามารถทายความหมายในการหัวเราะอย่างเย็นชาในครั้งนี้ของเฉินถิงเซียวว่ามันหมายความว่าอย่างไร
เขาถามกลับด้วยความรู้สึกสงสัย “คุณชายครับ คุณคิดว่ายังไงดีครับ?”
แม้ว่าเสิ่นเหลียงจะกลัวเฉินถิงเซียวมากก็ตาม แต่เธอก็ยังต้องถามออกไปอีกครั้ง “น่อนน่อนเธอเป็นอะไรหรือคะ?” เฉินถิงเซียวเพิกเฉยกับคำพูดของเธอ พลางหันตัวเดินหนีไป
เสิ่นเหลียงเห็นลักษณะท่าทางที่เขาคอยบ่ายเบี่ยงไม่ตอบคำถาม ซึ่งในใจก็เข้าใจความหมายเพิ่มขึ้นทันที จนหัวใจต้องพลอยแขวนอยู่บนเส้นด้ายตาม
สือเย่ยังคงอยู่ต่อเพื่อจัดการห้องพักให้กับพวกเขา
“ผมจะพาพวกคุณไปพักผ่อนก่อน” สือเย่เอียงตัวหันข้างเล็กน้อย และใช้มือแสดงท่าทางเป็นการเชื้อเชิญ
เสิ่นเหลียงเห็นสถานการณ์เช่นนั้นแล้ว ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก จึงเดินไปยังห้องพักพร้อมกับสือเย่ทันที
……
ไม่นานนักก็มาถึงคืนวันจัดงานเลี้ยง
กลุ่มของเฉินถิงเซียวมาถึงงานเลี้ยงเร็วมาก ตอนที่พวกเขามาถึงนั้น ลี่จิ่วเชียนยังมาไม่ถึง
การปรากฏตัวของพวกเขา ต่างถูกคนห้อมล้อม เพราะมีคนอีกมากมายที่ต้องการจะพูดคุยกับเฉินถิงเซียว
ในอดีตเฉินถิงเซียวเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว หลังจากเข้ามารับช่วงต่อของบริษัทเฉินซื่อแล้ว ความสามารถอันโดดเด่น จัดการได้อย่างกล้าหาญ วิธีการยอดเยี่ยมล้ำเลิศไม่มีที่ติ จนทำให้มีคนมากมายตั้งหน้าตั้งตารอจนทนไม่ไหว
ในบรรดานั้น คนที่อิจฉาเขาก็มี คนที่ชื่นชมเขาก็มีต่างปะปนอยู่ในนั้นด้วย
ซึ่งโดยส่วนใหญ่เฉินถิงเซียวไม่สนใจคนเหล่านี้ จึงตกเป็นหน้าที่ของสือเย่คอยช่วยจัดการให้
เขาหามุมที่ไม่ค่อยสะดุดตานักนั่งลง พลางใช้มือหยิบแชมเปญมาหนึ่งแก้ว และคอยสังเกตทางเข้าอยู่เงียบๆ
เขากำลังรอลี่จิ่วเชียนให้มาถึงงาน
มีคนมากมายต่างมองออกว่า เฉินถิงเซียวไม่อยากสนใจคนอื่น จึงไม่ได้คิดหาประเด็นอะไรเพื่อเข้าไปพูดคุยด้วย
ไม่นานนัก เจ้าของงานเลี้ยงก็ปรากฏตัวขึ้น และได้เชื้อเชิญเฉินถิงเซียวให้ไปสนทนากันเล็กน้อยภายในห้องที่อยู่ด้านใน
ถึงอย่างไรเขาเป็นเจ้าของงาน แม้ว่าเฉินถิงเซียวไม่ชื่นชอบงานเลี้ยงเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ แต่ก็ยังต้องไว้หน้าเจ้าของงานด้วย
เขาพาสือเย่เข้าไปด้านในด้วยกัน ส่วนพวกเสิ่นเหลียงอยู่ทางด้านนอกต่อไป
หลังจากผ่านเมื่อคืนมาแล้ว เสิ่นเหลียงพอจะทราบและเข้าใจสถานการณ์ของมู่น่อนน่อนบ้างแล้ว แต่รายละเอียดที่แน่ชัดว่าเป็นมายังไงนั้นเธอยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี แค่รอให้มู่น่อนน่อนมาแล้วค่อยว่ากัน
ก่อนหน้านี้ได้ยินสือเย่พูดว่า ลี่จิ่วเชียนพามู่น่อนน่อนมาด้วย ซึ่งไม่รู้ว่าจะพามาจริงหรือเปล่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉินถิงเซียวเดินเข้าไปด้านในได้ไม่นานนัก ลี่จิ่วเชียนก็มาถึงงาน
เสิ่นเหลียงเคยเจอลี่จิ่วเชียนมาแล้วหลายครั้ง ดังนั้นเธอจึงมองเห็นลี่จิ่วเชียนก่อน
“มาแล้ว มากันแล้ว! ลี่จิ่วเชียนมาถึงแล้วนั่น!”
กู้จือหยั่นกับฟู้ถิงซีกำลังสนทนาเรื่องอื่นกันอยู่ เมื่อได้ยินเสียงเสิ่นเหลียงพูด จึงหันไปตามทางเสียง จึงมองเห็นลี่จิ่วเชียนเดินเข้ามาในงานแล้ว
หลังจากที่ลี่จิ่วเชียนได้เข้ามาในงานเลี้ยงแล้วนั้น ไม่ได้มุ่งหน้าเข้าสู่ภายในงานทันที แต่กลับหยุดชะงักเล็กน้อย พลางหันหน้ากลับไปมองด้านหลัง
พวกเขามองตามสายตาของลี่จิ่วเชียน จึงเห็นมู่น่อนน่อนทันที
ในค่ำคืนนี้มู่น่อนน่อนทำทรงผมมาเป็นพิเศษ ชุดราตรีสีแชมเปญเสื้อคอเต่าแขนเว้า รองเท้าส้นสูงสีเดียวกับชุด ผิวพรรณของเธอก็ขาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สีแชมเปญมันยิ่งขับผิวให้สว่างขึ้น หลังจากแต่งตัวอย่างใส่ใจ ช่างสวยงามจนไม่สามารถพรรณนาบรรยายออกมาได้
กู้จือหยั่นที่มือถือขาแก้วไวน์อยู่ พลางหมุนแก้วไวน์สองครั้งอย่างไม่รู้ตัว พร้อมทั้งหันหน้ามาส่งสัญญาณให้ฟู้ถิงซี “จะเดินไปหาไหม?”
ฟู้ถิงซียังพูดไม่ทันขาดคำ เสิ่นเหลียงก็สวนขึ้นมาทันควัน “ฉันจะเดินไป”
พูดจบ เธอก็เดินมุ่งหน้าปรี่ไปทางนั้นทันที
กู้จือหยั่นเรียกเธออยู่ด้านหลัง “เสิ่นเสี่ยวเหลียง!”
เสิ่นเหลียงเดินกระแทกรองเท้าส้นสูงมุ่งหน้าเดินไปทางลี่จิ่วเชียน และไม่หันศีรษะกลับมาสักนิด
กู้จือหยั่นกับฟู้ถิงซีทำได้แต่เดินตามหลังไป
หลังจากที่มู่น่อนน่อนมาถึงแล้ว พลางยื่นมือออกไปคล้องแขนลี่จิ่วเชียนเอาไว้ และเดินมุ่งหน้ามาทางห้องโถงของงานเลี้ยงพร้อมกับเขา
เสิ่นเหลียงเห็นภาพตามนั้น พลันย่นคิ้วเข้าหากัน พร้อมทั้งมองมู่น่อนน่อนอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ตามที่สือเย่ได้พูดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด ทำไมมู่น่อนน่อนถึงได้ทำตัวสนิทสนมกลมกลืนกับลี่จิ่วเชียนได้ถึงขนาดนี้ล่ะ?
เธอถึงขั้นไปคล้องแขนลี่จิ่วเชียนเอาไว้ด้วย!
“น่อนน่อน!” เสิ่นเหลียงเดินปรี่เข้ามาดักหน้ามู่น่อนน่อนและลี่จิ่วเชียนทันที
จังหวะที่มู่น่อนน่อนมองเห็นเสิ่นเหลียงนั้น สีหน้าพลางปรากฏอาการประหลาดออกมา จากนั้นจึงยิ้มทันที “เสี่ยวเหลียง! แกมาได้ไง?”
เธอปล่อยแขนที่คล้องลี่จิ่วเชียนทันที และเดินมาหาเสิ่นเหลียง “เสี่ยวเหลียง!”
เสิ่นเหลียงมองลี่จิ่วเชียนที่ยืนอยู่ด้านหลังของมู่น่อนน่อน ลี่จิ่วเชียนยิ้มให้เธอตามมารยาท
เสิ่นเหลียงดึงมู่น่อนน่อนให้เดินมาอีกทาง
กู้จือหยั่นกับฟู้ถิงซีเดินตามมาทางด้านหลัง เมื่อเห็นเสิ่นเหลียงอยู่ดีๆ ก็ดึงมู่น่อนน่อนไปดื้อๆ จนหน้าถอดสีทันที
ลี่จิ่วเชียนให้เสิ่นเหลียงดึงตัวมู่น่อนน่อนมาอย่างง่ายดายถึงขั้นนี้ เรื่องนี้ดูยังไงก็ยังแปลกพิกลอยู่ดี
ทั้งสองคนเหลือบมองลี่จิ่วเชียน ฟู้ถิงซีพลางหันศีรษะพูดทันที “นายเดินตามไปถามดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉันจะคอยเฝ้าลี่จิ่วเชียนเอาไว้เอง”
ถึงอย่างไรกู้จือหยั่นก็สนิทสนมกับมู่น่อนน่อนมากกว่า
“ได้สิ” กู้จือหยั่นเหลือบมองลี่จิ่วเชียนแวบหนึ่ง ถึงได้เดินมุ่งหน้าไปทางเสิ่นเหลียงและมู่น่อนน่อน
ตอนที่กู้จือหยั่นเดินไปถึงนั้น เสิ่นเหลียงกำลังย่นคิ้วมองมู่น่อนน่อน ซึ่งกำลังแสดงท่าทางรอคำตอบของมู่น่อนน่อนอยู่เช่นนั้น
กู้จือหยั่นที่ยืนอยู่ด้านข้างเสิ่นเหลียง ถามทันที “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“นี่ก็กำลังถามไถ่กันอยู่ไม่ใช่เหรอเนี่ย?” เสิ่นเหลียงพูดกับกู้จือหยั่นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
ตอนแรกมู่น่อนน่อนก็เตรียมจะอ้าปากพูดออกมา แต่เห็นกู้จือหยั่นเดินเข้ามาหา คำพูดที่ติดอยู่ริมฝีปากของเธอพลางเปลี่ยนไปทันที “รายละเอียดเป็นมาอย่างไร มันเป็นเรื่องระหว่างฉันกับเฉินถิงเซียว ซึ่งมันไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกคุณสักนิด”
เธอพูดจบ จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดกับเสิ่นเหลียง “เสี่ยวเหลียง จดเบอร์โทรศัพท์เบอร์ใหม่ของฉันไว้สิ มีเวลาเราค่อยคุยกันนะ”
เสิ่นเหลียงถูกมู่น่อนน่อนทำให้สับสนงุนงง “นี่เล่นตลกอะไรอยู่เนี่ย? มีเวลาค่อยมาคุยกันงั้นเหรอ?”
มู่น่อนน่อนเห็นว่าเสิ่นเหลียงยังไม่มีการขยับเขยื้อน เธอจึงยื่นมือออกไปหยิบโทรศัพท์ของเสิ่นเหลียงมา “รหัสอะไร?”
เสิ่นเหลียงจ้องหน้ามู่น่อนน่อน และหยิบโทรศัพท์กลับมาเพื่อใส่รหัสเปิดเครื่อง “เบอร์อะไรล่ะ”
มู่น่อนน่อนบอกตัวเลขเป็นชุดให้เธอ พลางหันตัวเดินจากไปทันที
“ฉันคิดว่าเธอดูแปลกพิกล” หลังจากที่เสิ่นเหลียงบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของมู่น่อนน่อนแล้ว จึงเก็บโทรศัพท์ทันที และมองด้านหลังของมู่น่อนน่อนพร้อมบ่นพึมพำไม่หยุดปาก
กู้จือหยั่นที่อยู่ด้านข้างพูดสมทบทันควัน “ก็ดูปกติดีทุกอย่างนี่ เธอยังรู้จักคุณอยู่นะ นี่แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้ความจำเสื่อม”
“คุณจะเข้าใจอะไร?” เสิ่นเหลียงเหล่ตามองเขา จากนั้นก็หันหลังและเดินปลีกตัวไปอีกทาง
กู้จือหยั่นเดินตามทันควัน แถมยังถกเถียงพูดถึงเรื่องของมู่น่อนน่อนกับเธอไม่เลิก
ทว่าเสิ่นเหลียงไม่ได้สนใจเขาสักนิด
ผ่านไปไม่นานนัก เฉินถิงเซียวกับสือเย่จึงเดินออกมา
เมื่อเฉินถิงเซียวเดินออกมานั้น พลันเห็นมู่น่อนน่อนท่ามกลางฝูงชน และลี่จิ่วเชียนที่คอยยืนอยู่ข้างกายเธอ
กู้จือหยั่นให้ความสนใจกับเฉินถิงเซียวอยู่ตลอดเวลา พอเขามองเห็นเฉินถิงเซียวออกมาแล้ว จึงรีบกระหืดกระหอบวิ่งมาหาทันที “ถิงเซียว ลี่จิ่วเชียนพามู่น่อนน่อนมาด้วย เธอ…”
เฉินถิงเซียวพูดขัดจังหวะคำพูดของเขาทันที ด้วยน้ำเสียงความหมายเป็นนัย “เห็นแล้ว”
กู้จือหยั่นมองตามสายตาของเขาไป ซึ่งมองเห็นมู่น่อนน่อนกับลี่จิ่วเชียนในทันที
กู้จือหยั่นยังคาดคั้นพยายามจะพูดอะไรเพิ่ม ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าอันถมึงทึงของเฉินถิงเซียวแล้ว คำพูดที่ติดอยู่ริมฝีปากพลันกลืนลงคอทันที
ช่วงเวลานี้ ถ้าเขาเกิดพูดอะไรผิดพลาดขึ้นมา สายตาของเฉินถิงเซียวก็สามารถฆ่าเขาตายได้
สือเย่ที่เข้าใจทุกเรื่องราว พลางมองมู่น่อนน่อนกับลี่จิ่วเชียนที่ปรากฏตัวพร้อมกันและกำลังแสดงท่าทางสนิทสนม จึงรู้สึกว่ามันดูแปลกประหลาด
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?” สือเย่หันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว “คุณชายครับ เอ่อ…”
“เดินไปรวมกลุ่มกับเขา” เฉินถิงเซียวปากก็พูด พร้อมทั้งยกมือขึ้นมาจัดเนคไทเล็กน้อย
แต่สายตาของเขา กลับจับจ้องอยู่ทางลี่จิ่วเชียนทางนั้นอยู่ตลอดเวลา
ปากพูดว่าคอยจับจ้องทางลี่จิ่วเชียน แท้จริงคือสายตาของเขาคอยจับจ้องเพ่งมองอยู่ที่ตัวของมู่น่อนน่อนตลอดเวลา
บริเวณห้องใต้ดินเงียบเชียบมาก ขนาดเสียงลมยังเล็ดลอดเข้ามาไม่ได้
นานพอควร เฉินถิงเซียวไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
ซึ่งอาศัยความเข้าใจเฉินถิงเซียวที่มีก่อนหน้านี้แล้ว ในเวลานี้ เฉินถิงเซียวน่าจะเริ่มโมโหตั้งนานแล้ว หรือว่าควรจะพูดอะไรออกมาบ้างสิ
แต่ที่น่าแปลกประหลาดมากก็คือ เฉินถิงเซียวไม่ปริปากพูดอะไรออกมาเลยสักคำ
หลังจากผ่านความเงียบงันอย่างยาวนานไปแล้ว นานซะจนสือเย่คิดว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้ยินตอนที่เขาพูดออกมาแน่ ทว่าเฉินถิงเซียวค่อย ๆ เอื้อนเอ่ยเบาๆ “ยังไงก็ต้องเจอตัว”
เสียงเบามาก ราวกับกำลังกระซิบกับคนอื่นอยู่เช่นนั้น
แต่ด้วยความที่ว่าอยู่ในห้องใต้ดิน จึงได้ยินเสียงเฉินถิงเซียวอย่างชัดเจนเต็มสองหู
จากนั้น สือเย่กับเฉินถิงเซียวได้สำรวจโดยการมองรอบๆ ห้องใต้ดิน คิดว่าน่าจะหาเบาะแสอะไรอย่างอื่นได้อีก
พลางสำรวจโดยรอบแล้วหนึ่งรอบ ห้องใต้ดินนอกจากอาหารและเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่ได้ตระเตรียมเอาไว้ ก็ไม่มีสิ่งใดที่พิเศษสักอย่าง
สือเย่เริ่มโมโหจนทนไม่ไหว “กระต่ายเจ้าเล่ห์ขุดหลุมหลบภัยไว้สามโพรงมีทางหนีทีไล่เยอะ ลี่จิ่วเชียนคนนี้ช่างเจ้าเล่ห์เหลือเกิน รู้ตั้งแต่แรกปีนั้นก็น่าจะตรวจสอบข้อมูลของเขาให้ละเอียดถี่ถ้วนให้ดีเสียก่อน”
ซึ่งโดยปกติเฉินถิงเซียวเป็นคนอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ทว่าในเวลานี้ สือเย่กลับหมดความอดทนจนระเบิดอารมณ์โกรธออกมา ส่วนเฉินถิงเซียวพูดจาอย่างใจเย็นแทน “ไปกันเถอะ”
“คุณชายครับ?” สือเย่เรียกเขาอย่างตกตะลึง
เฉินถิงเซียวหันศีรษะกลับมา พร้อมทั้งพูดออกมาหนึ่งประโยคด้วยความใจเย็น “จะไม่ออกไปหรือคิดจะจำศีลฤดูหนาวอยู่ที่นี่งั้นเหรอ?”
สือเย่รีบเดินตามทันควัน
ตอนออกมานั้น สือเย่คอยมองเฉินถิงเซียวอยู่ตลอดเวลาอย่างอดใจไม่ไหว
เขารู้สึกว่าคุณชายราวกับมีบางอย่างที่ไม่ค่อยเหมือนเดิม
ทำไมจู่ ๆ ถึงได้กลายเป็นคนอารมณ์ดีใจเย็นไปได้ล่ะ?
ทั้งสองคนขึ้นรถ เฉินถิงเซียวนั่งอยู่ด้านหลัง สายตายังจับต้องเศษซากปรักหักพังของกำแพงที่ถล่มลงมาหลายแผ่นที่ถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่
รถยนต์ทะยานไปทางด้านหน้า กระทั่งมองไม่เห็นซากปรักหักพังของวิลล่าที่อยู่ด้านหลัง เฉินถิงเซียวถึงหันกลับไปมอง และเริ่มปริปากพูดออกมา
“ลี่จิ่วเชียนวางแผนเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสะกดจิตผมในปีนั้น ยังมีการหลอกลวงมู่น่อนน่อน และการเรียกร้องจูงใจให้พวกเรามาที่เมือง M ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่ในแผนการของเขา บางที…”
เฉินถิงเซียวพูดมาถึงตรงนี้ พลันหยุดขึ้นมาดื้อๆ
สือเย่ไม่เข้าใจจนต้องมองเขาจากกระจกมองหลัง จึงมองเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างกินเลือดกินเนื้อปรากฏบนใบหน้าเฉินถิงเซียว “บางทีเขาอาจจะวางแผนการมาตั้งนานแล้วก่อนที่พวกเราจะจินตนาการออก อาจมากกว่าที่เราคิด”
สือเย่อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นตาม จึงพูดขึ้นมาทันควัน “แม้ว่าลี่จิ่วเชียนจะไม่สามารถหลุดพ้นความสัมพันธ์เรื่องที่คุณถูกยิงจนได้รับบาดเจ็บในปีนั้นได้ เรื่องนี้สามารถชี้ชัดได้หรือไม่ ว่าเขาเริ่มวางแผนตั้งแต่ตอนนั้นครับ?”
เฉินถิงเซียวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ พลางพูดว่า “น่าจะนานกว่านั้น”
ปีนั้น ตอนที่เฉินถิงเซียวเริ่มสงสัยในตัวเฉินชิงเฟิง ถูกคนตามไล่ฆ่าจนได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงอยู่นอกบ้าน
ตั้งแต่ครั้งที่ถูกยิงในครั้งนั้น จึงทำให้เขายิ่งมุ่งมั่นและเชื่อมั่นอย่างไม่สั่นคลอนสักนิด แท้จริงแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นกับมารดา เฉินชิงเฟิงต้องมีส่วนรู้เห็นอย่างแน่ชัด
เขาคิดมาตลอดว่าการได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงในครั้งนั้น เฉินชิงเฟิงเป็นคนบงการสั่งคนให้มาทำ
ส่วนเรื่องของมารดานั้น เฉินชิงเฟิงไม่สามารถหลุดพ้นการมีส่วนร่วมด้วยจริงๆ แต่ว่า หลังจากที่เขาจัดการกับเฉินชิงเฟิงเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น จึงพบว่า บุคคลที่เป็นคนใช้ปืนมายิงเขาคนนั้น แต่กลับไม่ใช่คนของเฉินชิงเฟิง
ต่อมาเมื่อมาเจอกับลี่จิ่วเชียน ที่มาของเขากลายเป็นความฉงนแทน เพราะมีความแปลกพิกลอยู่ทั่วตัว ทว่าอย่างไรก็ตามเฉินถิงเซียวไม่เคยคิดว่าเขามีความเชื่อมโยงใดๆ กับคนที่ทำให้ตนเองโดนยิงจนได้รับบาดเจ็บในปีนั้น
เรื่องมันเป็นเช่นนี้ การก้าวพลาดไปก้าวเดียว จนทำให้ทุกย่างก้าวที่ตามมายิ่งเดินก็ยิ่งย่ำแย่ขึ้นเรื่อย ๆ
เรื่องมันนำพามาถึงทุกวันนี้ เฉินถิงเซียวมองเห็นเป้าหมายของลี่จิ่วเชียนตั้งแต่แรก
ลี่จิ่วเชียนพุ่งเป้ามาที่ตัวเขา
ไม่สนว่าเฉินมู่ หรือมู่น่อนน่อน เป็นแค่เพียงหมากที่ลี่จิ่วเชียนใช้ประโยชน์เท่านั้นเอง
เป้าหมายสุดท้ายของลี่จิ่วเชียน ก็คือเขา
ลี่จิ่วเชียนยืนกรานจะเล่นทางนี้ให้ได้ เช่นนั้นเขาก็จำต้องเล่นเป็นเพื่อนให้ถึงที่สุด
“งั้นคุณหญิงน้อย…” สือเย่ยังคงมีความเป็นห่วงมู่น่อนน่อน
เมื่อเอ่ยถึงมู่น่อนน่อนแล้ว กลิ่นอายที่อยู่บนตัวเฉินถิงเซียวเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบลงทันที และเริ่มแผ่การอัดอากาศออกมาทั่วร่างกาย พลันกัดฟันพูดทันที “สำหรับเขามู่น่อนน่อน ยังมีคุณค่ามีประโยชน์อยู่ ก่อนหน้าที่เป้าหมายของเขาจะบรรลุผลนั้น มู่น่อนน่อนจะไม่มีวันได้รับอันตรายแน่”
สือเย่ได้ยินดังนั้น พลางครุ่นคิดอยู่ในสมองชั่วครู่ และรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวพูดมีหลักการ
เพียงแต่ว่า เฉินถิงเซียวให้ความสำคัญกับมู่น่อนน่อนถึงเพียงนี้ ทว่าตอนนี้กลับได้แต่ยืนจ้องมองลี่จิ่วเชียนใช้ประโยชน์จากมู่น่อนน่อน ในใจต้องทุกข์ทรมานอยู่มากอย่างแน่นอน
สือเย่ค่อย ๆ ถอนหายใจ และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี
……
หลังจากผ่านไปหลายวัน ทางอภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมือง Mได้ปล่อยข่าวว่าจะมีการจัดงานเลี้ยงวันเกิดขึ้น
ก่อนที่จะมีข่าวปล่อยออกไป รายชื่อแขกที่เชิญเข้าร่วมงานก็เริ่มหลุดออกมาแล้ว
งานเลี้ยงในสังคมชนชั้นสูงเช่นนี้ มีคนนับไม่ถ้วนที่อยากจะเข้าร่วมงาน
รายชื่อที่ได้กำหนดเอาไว้ ซึ่งมีการเรียนเชิญคนดังทุกสาขาอาชีพ และอภิมหาเศรษฐีทั่วทุกมุมโลก
เฉินถิงเซียวได้รับบัตรเชิญเป็นคนแรก
แม้ว่าเขายกบริษัทเฉินซื่อให้มู่น่อนน่อนแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่ได้มีการเปิดเผยออกมา
แม้ว่าจะเปิดเผยก็ตาม ด้วยอิทธิพลของเฉินถิงเซียวแล้ว การได้รับบัตรเชิญก็ไม่รู้สึกผิดแปลกอะไร
เขาเพิ่งจะได้รับบัตรเชิญเอง สือเย่ก็วิ่งกระวีกระวาดมาจากด้านนอก
สือเย่ทำหน้าตาเคร่งขรึมและเดินมาหยุดตรงด้านหน้าเฉินถิงเซียว พลางพูดเสียงทุ้มต่ำ “คุณชายครับ จากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ ทางนั้นได้เรียนเชิญลี่จิ่วเชียนด้วย ลี่จิ่วเชียนมีอำนาจมากในวงการจิตวิทยาในเมือง M”
อภิมหาเศรษฐีท่านนี้ชอบความสนุกสนานครื้นเครง และหลงรักบุคคลที่มากความสามารถ ในการจัดงานเลี้ยงทุกครั้ง ทนรอไม่ไหวที่ต้องเชื้อเชิญบุคคลอันมีชื่อเสียงทั่วทุกมุมโลกมาร่วมงานด้วย
พูดว่างานเลี้ยงวันเกิด พูดกันตามตรง เป็นงานประชุมแลกเปลี่ยนที่มีขนาดใหญ่ด้วย
มีบุคคลมากมายต่างยินยอมตบเท้าเข้าร่วมงาน
เฉินถิงเซียวได้รับบัตรเชิญ เดิมก็ไม่คิดจะไปร่วมงาน
ทว่า ข่าวที่สือเย่เอามาบอกนั้น ต้องเป็นข่าวที่ดังระเบิดอย่างไม่ต้องสงสัย
“ข่าวที่ได้มามั่นใจมั้ย?” เฉินถิงเซียวไม่อยากได้ยินอะไร “ตามข่าวที่น่าเชื่อถือได้” คำพูดจำพวกนี้ เขาอยากฟังคำตอบที่แน่ชัดและไม่มีแม้ข้อผิดพลาดแม้แต่เล็กน้อย
สือเย่สีหน้าเกร็ง พลันหุบปากทันที
ทันใดนั้นเอง โทรศัพท์ของสือเย่ก็ดังขึ้นมา
เขาเหลือบมองเฉินถิงเซียว ซึ่งเห็นว่าเฉินถิงเซียวทำหน้าตาไร้ความรู้สึก จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย
หลังจากวางสายโทรศัพท์ไปแล้ว สีหน้าของสือเย่มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น “คุณชายครับ ได้รับการยืนยันว่าข่าวจริงครับ”
นิ้วมือเฉินถิงเซียวกำบัตรเชิญไว้แน่น จดหมายบัตรเชิญปกแข็งตัวอักษรเคลือบทองนูนออกมากลับถูกเขาขยำจนกลายเป็นก้อนลูกบอลทันที
จากนั้น เขาค่อยคลายนิ้วมือที่กำแน่นออก พลันใช้เสียงทุ้มต่ำและลมหายใจอันหนาวเหน็บ “เตรียมตัวกันไว้ด้วย จะไปงานร่วมงานเลี้ยงวันเกิด”
“ครับคุณชาย!”
……
ก่อนถึงวันจัดงานเลี้ยงหนึ่งวัน จู่ ๆ กู้จือหยั่นก็มาปรากฏตัวที่เมือง M
คนที่มาพร้อมกับเขาก็ยังมีฟู้ถิงซี และเสิ่นเหลียง
ช่วงนี้เสิ่นเหลียงยุ่งมาก ดังนั้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับมู่น่อนน่อนเธอจึงไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่
ตอนที่เธอใกล้จะมาถึงเมือง Mนั้น ถึงได้พอรู้เค้าโครงเรื่องมาบ้าง
แต่เรื่องรายละเอียดที่แน่ชัด เธอเองก็ยังไม่เข้าใจ
ในฐานะที่กู้จือหยั่นดำรงตำแหน่งเป็น CEO บริษัทเสิ้งติ่งในนาม การถูกเชื้อเชิญก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เช่นกัน
ส่วนฟู้ถิงซีเป็นนักกฎหมายมืออาชีพเบอร์ต้นๆ ของประเทศ เป็นที่รู้จักและได้รับความชื่นชมจากนานาชาติ และการติดตามมาก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
สำหรับสถานภาพของเสิ่นเหลียงนั้น แม้ว่าจะมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการกลุ่มเล็กๆ ชื่อเสียงและการแสดงก็ถือว่าไม่เลว แต่ยังไม่เพียงพอที่จะถูกเชิญตัวมาร่วมงานด้วย
เธอมาพร้อมกับกู้จือหยั่น
ที่เธอมาอยู่ที่นี่ ย่อมไม่ใช่งานงานเลี้ยงวันเกิดตามธรรมชาติแน่ แต่มาเพื่อเรื่องของมู่น่อนน่อนต่างหาก
เสิ่นเหลียงเดินเข้าประตูบ้านก็ถามไถ่ทันที “น่อนน่อนล่ะคะ?”
ทว่า เมื่อสายตาของเธอสัมผัสสายตาของเฉินถิงเซียวที่เย็นเฉียบไร้ความอบอุ่นในวินาทีนั้น พลันกลัวจนขี้หดตดหายลงไปเยอะพลันความน่ากลัวจากสายตาทำให้เย็นเข้าถึงกระดูกเลยทีเดียว
วันรุ่งขึ้น มู่น่อนน่อนไม่ได้เจอลี่จิ่วเชียนอีกเลย
นอกจากมีคนเอาข้าวมาส่งให้มู่น่อนน่อนทุกวัน เวลาที่เหลือ เธอก็ถูกขังอยู่ในห้องทั้งสิ้น
หลังจากนั้นถัดมาอีกวัน มู่น่อนน่อนถึงได้เจอลี่จิ่วเชียนอีกครั้ง
ลี่จิ่วเชียนใส่ชุดดำล้วน ดูทำตัวราวกับเบิกบานใจมากกว่าเดิม ราวกับเกิดเรื่องราวดีๆ บางอย่างขึ้นมา
ลี่จิ่วเชียนยืนอยู่ด้านหน้าเธอ พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คิดได้หรือยังครับ?”
“ไม่สนว่าคุณจะให้เวลาฉันนานอีกขนาดไหน คำตอบของฉันก็เหมือนเดิม” มู่น่อนน่อนเว้นวรรคพูดเน้นย้ำ “ไม่ มี ทาง!”
คำพูดของมู่น่อนน่อน กระตุกต่อมโกรธของลี่จิ่วเชียน
แต่ว่า ลี่จิ่วเชียนกลับไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นชัด
เขาหลับตาลง พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติความโกรธเคือง
รอจนเขาลืมตากลับมาอีกครั้งหนึ่งนั้น อารมณ์ที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาได้เปลี่ยนเป็นมั่นใจแถมแน่วแน่มาก “คุณคิดว่า การต่อต้านอันไร้สติจำพวกนี้ของคุณมันมีประโยชน์ไหมล่ะ?”
เขาพูดจบ พลางยิ้มอย่างลึกลับทันที
“น่อนน่อน คุณลืมไปแล้วเหรอว่าเฉินถิงเซียวลืมคุณไปได้อย่างไร?” รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าลี่จิ่วเชียนเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกและหนาวเหน็บทันที
สีหน้ามู่น่อนน่อนหน้าถอดสีทันที พลางถอยหลังหลายก้าว “ลี่จิ่วเชียน คุณอย่าทำอะไรบ้าๆนะ!”
เฉินถิงเซียวเป็นคนหนักแน่นมุ่งมั่นเช่นนั้น หลังจากถูกลี่จิ่วเชียนสะกดจิตแล้ว สามปีที่ผ่านมาก็ไม่สามารถจดจำเรื่องนั้นได้
ถ้าไม่ใช่เฉินถิงเซียวได้มาเจอกับมู่น่อนน่อนอีกครั้ง บางทีตอนนี้เขายังนึกหน้ามู่น่อนน่อนไม่ออกด้วยซ้ำ
การถูกลืมเลือนมันเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด
ความทรงจำสำหรับคนคนหนึ่ง มันเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ทว่า นี่มันเป็นถิ่นของลี่จิ่วเชียน มู่น่อนน่อนไม่สามารถปีนหนีขึ้นท้องฟ้า จึงแทบไม่สามารถหนีจากเงื้อมมือลี่จิ่วเชียนได้เลย
ลี่จิ่วเชียนจ้องมองแววตาของเธอ ราวกับมองเหยื่อที่หมดหนทางสู้
มู่น่อนน่อนหันตัวเตรียมวิ่ง ทว่ากลับถูกมือของลี่จิ่วเชียนคว้าเอาไว้ทันที
“เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่คุณเป็นคนบีบบังคับผมเองนะ น่อนน่อน” เสียงอันอ่อนโยนของลี่จิ่วเชียน ค่อยๆ เดินมุ่งหน้ามาหาเธอ
……
โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
สือเย่เดินจากนอกห้องเพื่อเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย ซึ่งมาพร้อมกับความหนาวเหน็บ
เขาเพิ่งผลักประตูเข้าไป บอดี้การ์ดกำลังออกมาจากด้านในพอดี และแสดงท่าทางร้อนรน
สือเย่ขมวดคิ้วถามไถ่ “เกิดอะไรขึ้น?”
สีหน้าของบอดี้การ์ดดูย่ำแย่ แต่ยังคงพูดไปตามความจริง “ผู้ช่วยสือครับ! คุณชายหายตัวไปแล้วครับ”
“บอกแล้วให้พวกแกคอยจับตาดูเขาไว้ให้ดี!” สือเย่ชี้มาทางพวกเขา และพูดด้วยความโกรธเคือง “รอฉันตามตัวคุณชายเจอก่อน แล้วฉันจะกลับมาจัดการกับพวกแกทั้งหมด”
สือเย่ออกจากโรงพยาบาล และขับรถไปตามหาเฉินถิงเซียว
บริเวณในเมืองก็ใหญ่มากขนาดนี้ ใครจะไปรู้เล่าว่าเฉินถิงเซียวจะไปอยู่ที่ไหน!
สือเย่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวอาจจะไปที่วิลล่าของลี่จิ่วเชียนก็ได้
ดังนั้น สื่อเย่จึงขับรถมุ่งหน้าไปยังวิลล่าของลี่จิ่วเชียนทันที
เหตุการณ์ไฟไหม้วิลล่าของลี่จิ่วเชียนในครั้งนี้ ไหม้หมดไม่เหลือซาก หลังจากที่ไฟสงบแล้ว เหลือแค่เศษซากปรักหักพังเท่านั้น
สือเย่ลงจากรถ ใช้ฝ่ามือสะบัดปิดรถ และวิ่งเข้าไปในเศษซากปรักหักพังตรงบริเวณนั้น
“คุณชาย!” สือเย่ทั้งวิ่งและตะโกนเรียกเฉินถิงเซียวไปพร้อมกัน
แต่ว่า เขาไม่ได้รับการตอบกลับของเฉินถิงเซียวแม้แต่น้อย
สือเย่วนอยู่ที่นี่หลายรอบ และยังหาตัวฉินถิงเซียวไม่พบ
หรือว่าเขาจะคิดผิดพลาดไป? คุณชายไม่ได้มาที่นี่ตั้งแต่แรก?
ทันใดนั้น เขาพลันเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ จึงพบช่องทางคล้ายทางเข้าที่อยู่ไม่ไกลนัก
สือเย่เดินเข้าไป จึงพบว่าเป็นทางเข้าห้องใต้ดิน
ปกติทางเข้าช่องนี้ถูกซ่อนเร้นเอาไว้ดีมาก แต่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีคนเข้ามาที่นี่ อีกทั้งจัดการทำลายสิ่งของที่ปกปิดทางเข้า จึงทำให้ปากทางเข้าอันนี้ปรากฏออกมาให้เห็นอยู่
สือเย่เดินลงไปตามทางเข้า เมื่อเข้าไปในห้องใต้ดินแล้ว จึงเห็นเฉินถิงเซียวทันที
เฉินถิงเซียวได้รับบาดเจ็บจากอาการไฟไหม้หนักก่อนหน้านี้ สือเย่เป็นคนส่งเขาไปที่โรงพยาบาล นี่ก็เพิ่งผ่าตัดเสร็จ ยังต้องใช้เวลาพักรักษาตัวเพื่อดูอาการอีกหลายวัน แต่ผลที่ได้คือเขากลับวิ่งแจ้นมาอยู่ที่นี่แทน
ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวไปหาเสื้อผ้าทั้งชุดมาจากไหน เสื้อโค้ตสีดำยิ่งทำให้เขาดูลึกลับและยิ่งเคร่งขรึมหนักกว่าเดิม
“คุณชายครับ!”
สือเย่เห็นเฉินถิงเซียวตัวเป็นๆ ถึงได้ถอนหายใจโล่งอก เขากล่าวเรียกเฉินถิงเซียว และเดินไปหาเฉินถิงเซียวทันที
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ด้านหน้าโซฟา ดวงตาจับจ้องบนโซฟาซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังเพ่งมองอะไรอยู่
“คุณชายครับ ถ้าคุณอยากมาที่นี่ บอกกับผมสักคำก็ได้นะครับ! ตอนนี้สภาพร่างกายของคุณต้องพักรักษาตัวให้ดี มาที่นี่คนเดียว แล้วจะทำให้คนอื่นวางใจได้ยังไงกันครับเนี่ย!”
ซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเฉินถิงเซียวได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมาหรือเปล่า ในทางกลับกันเฉินถิงเซียวไม่สนใจเขาสักนิด
สือเย่เดินก้าวมาทางด้านหน้าครึ่งก้าว เพราะความอยากรู้ว่าตกลงแล้วเฉินถิงเซียวเขากำลังมองอะไรอยู่
เวลานั้นเอง เฉินถิงเซียวกลับย่อตัวลง พลันชูสองนิ้วออกไปคีบเอาเส้นผมหนึ่งเส้นขึ้นมาจากโซฟา
เป็นเส้นผมสีดำสนิท เส้นเล็กและยาว มองดูก็รู้ว่าเป็นเส้นผมของผู้หญิง
สือเย่จ้องมองเส้นผมเส้นนั้นอยู่ชั่วครู่ เมื่อหวนนึกถึงอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วจึงพูดว่า “เส้นผมของลูกน้องของลี่จิ่วเชียนไม่ได้ยาวขนาดนี้นี่”
“เส้นผมของมู่น่อนน่อน”
น้ำเสียงเฉินถิงเซียวสงบนิ่งแถมเงียบขรึม เขาพูดจบ พลางเกร็งกระชับนิ้วทันที เพื่อเอาเส้นผมเส้นนั้นบีบไว้ในฝ่ามือ
เขาเงยหน้าสำรวจห้องใต้ดินโดยรอบ และกล่าวลอย ๆ ออกมา “ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้น ลี่จิ่วเชียนไม่ได้พาตัวมู่น่อนน่อนออกไปทันที แต่ให้ลูกน้องแยกเป็นสองกลุ่ม โดยการแยกไปทางประตูหน้าและประตูหลังแทน”
“ลี่จิ่วเชียนตัวเขาเองก็รู้ดี ถ้าทำเช่นนี้ ไม่นานนักผมก็จะทำลายแผนได้ ดังนั้น เขาจึงให้คนไปวางเพลิงในห้องของมู่มู่ซะ”
สือเย่กัดฟันสบถออกมา “ไอ้สัตว์นรก!”
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนพูดมากอะไร ซึ่งปกติส่วนใหญ่จะเงียบขรึมก็ตาม แต่นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เขาสบถด่าคนออกมาเช่นนี้
นั่นเป็นเพราะว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลี่จิ่วเชียนลงมือทำมันช่างเกินเหตุไปมาก
ถึงขั้นวางเพลิงในห้องของเด็กผู้หญิงที่มีอายุเพียงสามขวบ โดยการวางเพลิงเยอะมากขนาดนั้น จุดประสงค์ก็เพื่อเป็นการจำกัดการเคลื่อนไหวเฉินถิงเซียวเอาไว้เท่านั้นเอง
ไม่เสียแรงที่ลี่จิ่วเชียนทำมันสำเร็จ!
หลายปีที่ผ่านมานี้ลี่จิ่วเชียนสือเย่ทำงานแทนเฉินถิงเซียวมาตั้งมากมาย เคยเจอคนที่หนักหนากว่าลี่จิ่วเชียนมาแล้ว แต่ลี่จิ่วเชียนร้ายกาจกว่าคนอื่นมากนัก
“ซึ่งไม่สนใจด้วยซ้ำว่าไฟไหม้ในครั้งนั้นมู่มู่จะถูกไฟคลอกจนตาย หรือว่าไฟคลอกฉันให้ตาย หรือฉันกับมู่มู่จะถูกไฟคลอกจนตายด้วยกันทั้งคู่ สำหรับลี่จิ่วเชียนแล้วมันเป็นเรื่องที่จะเกิดอยู่ในความคิดของเขาอยู่แล้ว”
เฉินถิงเซียวเดินมุ่งหน้าไปทางด้านหน้าหลายก้าว สายตาหยุดอยู่ที่ก้นบุหรี่ที่หล่นอยู่ที่พื้น “ดูเหมือน ฉันกับเขาต้องมีความแค้นเคืองชิงชังกันหนักหนาอย่างแน่นอน”
สือเย่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงกล้าพูดจากความคาดเดาออกมา “หรือจะเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของแม่ของคุณในปีนั้นครับ?”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบ สือเย่ก็พูดตามความคาดเดาของตนเองต่อ “พวกเราได้ตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ทุกอย่างของลี่จิ่วเชียนแล้ว ซึ่งไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับตระกูลมู่สักนิด นอกจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับแม่ของคุณในปีนั้น ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่ายังมีเรื่องอื่นอีก”
เฉินถิงเซียวหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา “ดูเหมือนต้องตรวจสอบเรื่องนั้นซ้ำอีกครั้งแล้วแหละ”
แม้ว่าตอนนี้ได้มีการตรวจสอบแล้วก็ตาม แต่คนที่บงการเรื่องนั้นคือเฉินชิงเฟิง
ทว่า เรื่องยิบย่อยในเรื่องใหญ่เรื่องโตนั่น จะเชื่อมโยงกับคนอื่น หรือมีผลประโยชน์กับคนอื่น ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ลี่จิ่วเชียนถึงขั้นเคยตรวจสอบเรื่องมารดาของเขา ต้องเชื่อมโยงเรื่องที่เกิดขึ้นกับมารดาของเขาในปีนั้นแน่นอน
สือเย่พยักหน้า “ครับคุณชาย”
เฉินถิงเซียวเคร่งขรึมทันที ผ่านไปสักพักถึงได้เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ได้ข่าวคราวของมู่น่อนน่อนบ้างไหม”
สือเย่ฟังน้ำเสียงอันเคร่งเครียดของเขาออก จึงพูดออกไปตรงๆ “ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวของคุณหญิงน้อยเลยครับ”
ลี่จิ่วเชียนยังคงก้มหน้ามองเด็กสาวที่อยู่บนเตียง และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“น่อนน่อน แม้ว่าคุณจะเป็นผู้หญิงที่แสนเฉลียวฉลาดมากก็ตาม แถมผมก็ยังชื่นชมในตัวคุณมาก”
สำหรับคำพูดของลี่จิ่วเชียน มู่น่อนน่อนแทบไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ แต่จ้องมองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมให้โอกาสสุดท้ายกับคุณอีกครั้งนะ คุณลองคิดดูในใจ เฉินถิงเซียวเขามีความสำคัญมากกับคุณขนาดนั้นจริงๆ ใช่ไหม”
ลี่จิ่วเชียนยืดลำตัวตรง พลางเดินมายืนอยู่ด้านหน้ามู่น่อนน่อน แล้วก้มศีรษะพูดกับเธอ “นี่ถือว่าเป็นโอกาสสุดท้ายของคุณแล้วนะ”
“ดังนั้น ฉันควรจักขอบอกขอบใจกับความเมตตาปรานีของคุณใช่ไหม?” มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าท่าทางเสียสละทำบุญทำทานเช่นนี้ของลี่จิ่วเชียนช่างน่าขยะแขยงที่สุด
ลี่จิ่วเชียนหัวเราะเบาๆ และพูดสื่อความหมายไม่ชัดเจน “คุณฉลาดขนาดนี้ ผมเชื่อมั่นว่าคุณได้ทำการเปรียบเทียบระหว่างข้อดีและสิ่งที่จะสูญเสียไป สุดท้ายคุณจะตัดสินใจในสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับคุณ”
“ไม่จำเป็นต้องคิดอีกแล้วแหละ นอกจากคุณตายไปซะ” ประโยคท่อนสุดท้าย มู่น่อนน่อนเน้นย้ำทุกคำ ความโกรธเคืองและเกลียดชังต่างสุมกองรวมกันอยู่ในนั้น
ลี่จิ่วเชียนสีหน้าเคร่งขรึมลง และตีหน้าเข้ม พลางกัดฟันพูด “ดูเหมือนว่าคุณจะอดใจรอไม่ไหว อยากจะช่วยเธอแล้ว”
“คุณรู้ไหมว่าจะช่วยเธอได้ยังไงหรือเปล่า?” ลี่จิ่วเชียนยื่นนิ้วชี้ไปทางเด็กสาวที่อยู่บนเตียงคนไข้
แม้ว่าเขาจะถามมู่น่อนน่อนก็ตาม แต่กลับไม่มีท่าทีรอคำตอบของเธอด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นชั่วครู่ ลี่จิ่วเชียนเขาก็พูดเองเออเอง “พูดกันแบบง่ายๆเลยแล้วกัน แค่ต้องเปลี่ยนอวัยวะในร่างกายที่มันล้มเหลวไปถือว่าเป็นอันใช้ได้แล้ว”
มู่น่อนน่อนกำมือทั้งสองข้างที่อยู่ข้างกายแน่น
เธอสามารถคาดเดาได้ทันที ต้องการช่วยเด็กสาวคนนี้มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
ทว่าคำพูดของลี่จิ่วเชียนยิ่งตราตรึงในความคิดที่อยู่ในใจของเธอทันที
เปลี่ยนอวัยวะเหรอ? อวัยวะอะไรบ้างล่ะ?
หัวใจเหรอ? หรือจะเป็นไต?
ถึงเวลานั้น มู่น่อนน่อนเกรงว่ายังมีชีวิตอยู่รอดออกไปหรือเปล่า
ไม่นานนัก ลี่จิ่วเชียนพาเธอออกจากห้องพักผู้ป่วย
ตอนเดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วยนั้น จู่ ๆ มู่น่อนน่อนก็นึกขึ้นมาได้ ครั้งแรกที่เธอถูก “ลี่จิ่วชัง” คนไม่ได้เรื่องลักพาตัวมานั้น เธอพักอาศัยอยู่ในห้องซึ่งมีเสื้อผ้าแขวนจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่เป็นแถว
“เสื้อผ้าพวกนั้นที่อยู่ในตู้เสื้อผ้า คุณเป็นคนเตรียมเอาไว้ให้เธองั้นเหรอ?” มู่น่อนน่อนไม่ได้ชี้ชัดว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นเป็นของ “เธอ” คนไหน แต่เธอรู้ดีว่าลี่จิ่วเชียนเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้
ลี่จิ่วเชียนไม่ได้บ่ายเบี่ยงสักนิด “ไม่ผิด เตรียมให้เธอทั้งหมดนั่นแหละ”
มู่น่อนน่อนถามไถ่ “เธอเป็นอะไรกับคุณ? ชื่ออะไรเหรอ?”
ลี่จิ่วเชียนราวกับแปลกใจอยู่บ้างที่มู่น่อนน่อนจะถามเรื่องพวกนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เหตุเพราะตั้งแต่ที่เธอออกจากโรงพยาบาลมา ก็ไม่ค่อยสนใจเขาเท่าไหร่นัก และไม่พูดคุยกับเขาเลยด้วยซ้ำ
มู่น่อนน่อนเห็นว่าเขาไม่พูดไม่จา สีหน้าไร้ความรู้สึก “ถ้าคุณจะเอาชีวิตของฉันไปแลกกับเธอ ฉันตายก็ต้องอยากเข้าใจอะไรไว้บ้าง”
“น้องสาวแท้ๆ ของผมเอง เธอชื่อลี่วานวาน”
ว่าแล้วเชียว!
หลังจากที่มู่น่อนน่อนเคยแอบได้ยินลี่จิ่วเชียนพูดคุยกับอาลั่วก่อนหน้านี้ ก็พอจะเดาได้ถึงตัวตนที่แท้จริงของ “วานวาน” ที่แท้เธอก็ทายถูก
“วานวาน” คนที่ป่วยหนัก ที่แท้ก็คือน้องสาวแท้ๆ ของลี่จิ่วเชียน ชื่อลี่วานวาน
“ที่คุณเริ่มตีสนิทกับฉัน ก็เพื่อให้ฉันไปช่วยชีวิตของลี่วานวาน แต่ตอนนั้นฉันเป็นภรรยาของเฉินถิงเซียว ดังนั้นคุณเลยไม่ได้ลงมือกับฉันทันที แต่กลับใช้ประโยชน์จากตัวฉันแทน เพื่อสร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมานและความวุ่นวายให้กับเฉินถิงเซียว คุณอยากใช้ประโยชน์จากตัวฉันจนฉันไร้คุณค่าใดๆแล้ว จากนั้นก็ค่อยเอาอวัยวะในร่างกายของฉันไปช่วยน้องสาวของคุณ”
มู่น่อนน่อนวิเคราะห์อย่างใจเย็น ราวกับกำลังพูดเรื่องของคนอื่นอยู่
ลี่จิ่วเชียนหรี่ตามองมู่น่อนน่อน สักพักถึงได้พูดออกมา “ผมเคยพูดแล้วนะ ว่าคุณเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเฉลียวคนหนึ่ง หวังว่าสักวันหนึ่งคุณจะเลือกสิ่งที่ฉลาดสำหรับคุณ”
จากนั้น เขาก็ตีหน้าขรึม พลันพูดเสียงเข้ม “ส่งคุณมู่กลับไปพักผ่อน”
เมื่อสิ้นเสียง ก็มีคนเข้ามาจับมู่น่อนน่อน และบังคับพาเธอเดินออกไป
พวกเขาพาตัวมู่น่อนน่อนมายังห้องว่างเปล่าห้องหนึ่ง หลังจากพวกเขาโยนตัวเธอเข้ามาในห้องแล้ว พลันล็อกประตูและออกไปทันที
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ข้างประตู และพยายามบิดลูกบิดนานอยู่สักพัก ก็ไม่สามารถเปิดประตูได้
พวกเขาล็อกประตูปิดตาย
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากเอาไว้ และนั่งพิงบานประตู
ภายในห้องไม่มีเครื่องนอนใด ๆ เลยสักชิ้น และไม่ได้เปิดฮีทเตอร์ พื้นห้องเย็นเฉียบจนหนาวเข้ากระดูก
การปรากฏตัวของลี่จิ่วเชียน เป็นการจัดฉากโกหกกันมาตั้งแต่ต้น
ความทะเยอทะยานราวหมาป่าของเขา ตีสนิทมู่น่อนน่อน และใช้ประโยชน์จากเธอเพื่อให้เขาสำเร็จตามเป้าหมายที่เขาได้วางไว้ ปลอมแปลงตัวเอง เพื่อให้ได้รับความเชื่อมั่นจากเธอ
ทุกขั้นตอนที่เรื่องมาถึงทุกวันนี้ ต่างขึ้นอยู่กับความไว้เนื้อเชื่อใจลี่จิ่วเชียนทั้งสิ้น
เป้าหมายของลี่จิ่วเชียนได้เปิดเผยจนรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว
ทว่า มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่งที่มู่น่อนน่อนยังไม่เข้าใจตั้งแต่แรก
ทำไมลี่จิ่วเชียนจะต้องเป็นปฏิปักษ์กับเฉินถิงเซียวให้ได้ด้วยล่ะ?
มู่น่อนน่อนหยิบปากกาหมึกซึมเก่าด้ามนั้นออกมาจากร่างกายเสื้อผ้า ด้วยท่าทางเคร่งขรึม
เฉินถิงเซียว คุณต้อง… ไม่เป็นไรนะ
เธอจ้องมองปากกาหมึกซึมด้ามนั้นอยู่นานมาก ทันใดนั้นเหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงเอาปากกาด้ามนั้นมาดูใกล้ๆ สักหน่อย เพื่อตรวจสอบปากกาหมึกซึมด้ามนั้นให้ละเอียด
ตอนเด็ก ปากกาหมึกซึมยี่ห้อนี้เหมือนว่าทุกคนมีกันคนละด้ามอยู่แล้ว ตอนที่ทางโรงเรียนแจกปากกาเพื่อเป็นของรางวัล เพื่อแสดงความแตกต่าง จึงสลักชื่อคนที่ได้รับรางวัลบนตัวปากกานั้นเอาไว้ด้วย
ซึ่งเวลาได้ผ่านพ้นมาสิบกว่าปีแล้ว แม้ว่าจะรักษาปากกาหมึกซึมเป็นอย่างดี ถ้าบนนั้นสลักชื่อเอาไว้ด้วย ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ง่ายๆ
มู่น่อนน่อนเอาปากกาหมึกซึมมามองอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่สักพัก ในที่สุดก็เจอร่องรอยเล็กน้อยบนปากกานั้น
เหมือนจะเห็นตัวอักษร “มู่” อยู่ลางๆ ด้านข้างยังมีตัวอักษร “ยรื่อ”
ทั้งหมดนี่มันเป็นส่วนประกอบของอักษรและหมวดคำ
คงไม่ใช่ชื่อของเธอมั้ง?
จากการคาดเดาตามอุปทานนี้แล้ว อาศัยความคาดเดาของตนเองและคอยเพ่งมองตัวอักษรที่สลักชื่อบนนั้น ยิ่งมองแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนชื่อเธอ
ตอนเด็กๆ มู่น่อนน่อนคะแนนดีมาก และได้รับสมุดกับปากกาหมึกซึมที่โรงเรียนแจกเป็นของรางวัลอยู่บ่อยครั้ง
ปีนั้นเธอได้รับปากกาหมึกซึมไม่ใช่แค่ด้ามเดียว
ถ้าปากกาหมึกซึมด้ามนี้เป็นของเธอจริง แล้วทำไมมาอยู่ที่เฉินถิงเซียวได้ล่ะ?
เธอแทบไม่มีความทรงจำสักนิดเลย
พอจำได้ลางๆ เธอให้ปากกาหมึกซึมกับขอทานเด็กคนหนึ่งไป
ตอนนั้นเด็กคนนั้นกำลังนั่งขดตัวอยู่บนทุ่งหญ้าข้างถนน เสื้อผ้าขาดวิ่นไปทั่วตัว เป็นหญิงหรือชายมู่น่อนน่อนเองก็ไม่แน่ชัด
มู่น่อนน่อนถามเขาแต่เขากลับไม่พูด วันนั้นเธอเพิ่งจะได้ปากกาหมึกซึมเป็นของรางวัลที่เพิ่งได้มาใหม่ เมื่อเห็นเด็กคนนั้นน่าสงสาร จึงส่งให้เขาไป
นั่นเป็นเพียงครั้งเดียวที่ส่งปากกาหมึกซึมให้คนอื่น ต่อจากนั้นก็ไม่เคยทำแบบนั้นอีกเลย
เฉินถิงเซียวเขาเป็นถึงคุณชายใหญ่ของตระกูลเฉิน แม้ว่าตอนเด็กผ่านเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ มามากมายก็ตาม แต่ก็น่าจะใช้ชีวิตสุขสบายมีอาหารการกินทุกอย่างเพียบพร้อม แล้วจะไปเป็นขอทานได้อย่างไรกัน?
คิดไม่ออกจริงๆ
แต่มู่น่อนน่อนยังรู้สึกตงิดใจ ว่าปากกาหมึกซึมด้ามนี้อาจจะเป็นเธอส่งให้เขาจริงๆ
คิดแล้วก็รู้สึกตลก พอผ่านครั้งนั้นไปแล้ว มู่น่อนน่อนก็จงใจสอบให้ได้คะแนนน้อยหน่อย และไม่ได้รับของรางวัลอะไรอีก
สำหรับเธอแล้วมันเป็นเพียงเรื่องราวเล็กน้อย ถ้าไม่เห็นปากกาหมึกซึมด้ามนี้อีกครั้ง เธอแทบนึกไม่ออกด้วยซ้ำ
มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจเข้าลึก พลางตัดสินใจแล้วว่าหยุดคิดเรื่องนี้เอาไว้ก่อน
เธอเรียกพลังให้ตัวเอง และลุกขึ้นจากพื้นห้อง พร้อมทั้งประเมินห้องห้องนี้แทน
นี่เป็นครั้งแรก ที่ลี่จิ่วเชียนพูดเรื่องสะกดจิตเฉินถิงเซียวอย่างตรงไปตรงมา
มาถึงตอนนี้แล้ว มู่น่อนน่อนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเฉินถิงเซียวไปล่วงเกินอะไรกับลี่จิ่วเชียน หรือว่าทั้งสองคนเคยมีปากเสียงอะไรกัน
ลี่จิ่วเชียนถูกคนอุปการะมาตั้งแต่เด็ก และเติบโตอยู่ต่างประเทศ ส่วนเฉินถิงเซียวใช้ชีวิตอยู่ในประเทศจนอายุสิบกว่าขวบถึงมาต่างประเทศ พูดกันตามหลักการแล้ว ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนก็แทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันถึงจะถูก
“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย?” มู่น่อนน่อนถามลี่จิ่วเชียนว่าทำไมต้องสะกดจิตเฉินถิงเซียวด้วย
ถ้าลี่จิ่วเชียนไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับเฉินถิงเซียว เช่นนั้นการที่ลี่จิ่วเชียนทำแบบนี้ ย่อมต้องมีเหตุผลของเขาอย่างแน่นอน
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว บอกคุณก็คงไม่เป็นไรแล้วแหละ” ลี่จิ่วเชียนแสดงความภาคภูมิใจปรากฏให้เห็นในแววตาอยู่บ้าง “เฉินถิงเซียวได้รับสิ่งของที่เป็นของเขามากเกินควร เขามีสิทธิ์อะไรที่ได้รับความสุขด้วย? ผมแค่อยากเห็นกับตาที่เขาทำลายความสุขที่หามาอย่างยากลำบากด้วยน้ำมือของเขาเอง”
“แต่ไม่คิดเลยว่า คุณจะบาดเจ็บหนักมาก จนหลับไปสามปีถึงฟื้นขึ้นมา หลังจากฟื้นแล้ว ยังสูญเสียความทรงจำอีก!”
น้ำเสียงลี่จิ่วเชียนเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสารและเห็นใจ มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า ลักษณะท่าทางของเขาในเวลานี้ราวกับโรคจิตที่สมองเกิดอาการผิดปกติ
กระนั้นมู่น่อนน่อนก็ไม่คิดว่าจะมีเหตุผลแบบนี้ด้วย ที่กระตุ้นให้ลี่จิ่วเชียนสะกดจิตเฉินถิงเซียวได้หนักขนาดนี้
“คุณแค่อยากให้เฉินถิงเซียวลืมฉันเหรอ? แล้วเลิกกับฉันใช่ไหม?”
“คุณสามารถเข้าใจแบบนี้ก็ได้นะ”
ลี่จิ่วเชียนหัวเราะออกมา ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและภาคภูมิใจ
“ซึ่งต่อมา ความทรงจำของฉันกลับคืนมาแล้ว คุณก็จงใจปล่อยให้ฉันกลับไปอยู่ข้างกายเฉินถิงเซียวงั้นเหรอ?”
“แบบนั้นแหละ ผมอยากเห็นภาพที่สุด ก็คือการที่เฉินถิงเซียวอาศัยความสามารถของตนเองในการทำร้ายคนที่ตนเองรักที่สุด จึงได้ให้คุณกลับไปอยู่ข้างกายของเขา แต่ว่า…”
ลี่จิ่วเชียนหยุดอยู่ชั่วครู่ พลางพูดว่า “คุณให้ความสำคัญกับเฉินถิงเซียว เกินกว่าที่ผมคาดการณ์เอาไว้ คุณให้เขาเริ่มฟื้นความจำกลับคืนมาในระยะเวลาอันสั้นขนาดนั้น ซึ่งฝ่าออกจากโลกใบนั้นที่ถูกผมสะกดจิตเขาเอาไว้…”
“คุณบ้าไปหรือเปล่า?” คำถามนี้ของมู่น่อนน่อน ถามด้วยความจริงใจเป็นพิเศษ
เธอรู้สึกว่าลี่จิ่วเชียนป่วยจริงๆ
แถมยังเป็นอาการป่วยทางจิตใจที่หนักเอาการอยู่
เขาแค่เห็นว่าเฉินถิงเซียวอยู่สุขสบายได้ทุกอย่างตามใจปรารถนา จึงจงใจสะกดจิตเฉินถิงเซียว ให้เฉินถิงเซียวลืมมู่น่อนน่อนคนนี้ไปซะ เพื่อทำลายความรักของคนสองคน เพื่อเติมเต็มความคิดอันบิดเบี้ยวของเขา
โดยให้เฉินถิงเซียวลืมมู่น่อนน่อนไปซะ นี่มันสร้างความเสียหายให้เฉินถิงเซียวมากกว่าการบุกไปแทงเขาตรงๆ เสียอีก
การทำงานของลี่จิ่วเชียน โดยการพุ่งเป้ามาที่หัวใจโดยตรงอยู่เสมอ
รอยบาดแผลที่อยู่บนตัว สามารถฟื้นตัวจนปิดสนิท แต่ถ้าหัวใจของคนคนหนึ่งตายไปแล้ว การมีชีวิตอยู่ก็ไม่แตกต่างกับการตายทั้งเป็น
เรื่องนี้เป็นจุดที่น่ากลัวที่สุดของลี่จิ่วเชียนคนนี้
มู่น่อนน่อนแค่รู้สึกว่าร่างกายเย็นเฉียบเล็กน้อย
เธอหน้าชา ร่างกายแข็งทื่อตอนที่มองมาทางลี่จิ่วเชียน
ทันใดนั้นลี่จิ่วเชียนก็ยื่นมือออกมาตบไหล่ของเธอเล็กน้อย “คุณไม่อยากรู้บ้างหรือว่าด้านในมีอะไร? เข้าไปดูกันเถอะ”
หลังจากลงมือทำเรื่องราวมาเยอะแยะเรียบร้อยแล้ว ลี่จิ่วเชียนทำท่าทางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมทั้งใช้น้ำเสียงพูดคุยแบบตามสบายกับมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนแสดงอาการหลีกเลี่ยงราวกับหนีโรคระบาด พลางบ่ายเบี่ยงทันที เพื่อหลบเลี่ยงมือของลี่จิ่วเชียน สีหน้าลี่จิ่วเชียนเคร่งขรึมลงทันควัน
เขาส่งเสียงพึมพำเย็นชาในลำคอ พลันหันตัวเดินเข้าไปทันที
ส่วนมู่น่อนน่อนนั้น กลับถูกลูกน้องของลี่จิ่วเชียนดันตัวให้เดินเข้าไปด้านใน
ตัววิลล่าใช้ระบบการจดจำรูม่านตา อีกด้านหนึ่งสามารถพูดได้อย่างชัดเจน ว่าระบบรักษาความปลอดภัยของตึกหลังนี้มีความปลอดภัยสูงมาก
คนด้านนอกไม่สามารถเข้ามาโดยง่าย คนที่อยู่ภายในก็ไม่สามารถออกไปโดยง่ายเช่นกัน
ยิ่งมุ่งหน้าเดินเข้าไปด้านใน มู่น่อนน่อนก็ค้นพบว่าภายในมีการติดตั้งเทคโนโลยีชั้นสูง
ตัวตนของลี่จิ่วเชียนยิ่งแปรเปลี่ยนจนสับสนขึ้นเรื่อย ๆ
เธอยิ่งมั่นใจมากขึ้น ลี่จิ่วเชียนกับเฉินถิงเซียวต้องมีความเคียดแค้นที่คนอื่นไม่รู้อย่างแน่นอน
ซึ่งความเคียดแค้นนี้ ขนาดตัวเฉินถิงเซียวเองก็ยังไม่ทราบ
มู่น่อนน่อนถูกดันให้เดินเข้ามาด้านใน แต่ว่าหลังจากที่เข้ามาแล้ว ลูกน้องของลี่จิ่วเชียนถึงได้ยอมปล่อยเธอ
มู่น่อนน่อนเองก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเดินผ่านมากี่ประตูแล้ว
ท้ายที่สุด เธอถูกพามายังห้องที่มีเสียงอุปกรณ์ต่างๆ ดังระงมอยู่ทั่วทั้งห้อง
กลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อ ตีเข้าจมูกเป็นสิ่งแรก
ในเวลานี้มู่น่อนน่อนอยู่ภายใต้การควบคุมตัวของลี่จิ่วเชียน ทำได้เพียงเดินตามเขาเข้าไปด้านใน
ช่วงเวลานั้น มีคนลักษณะเหมือนคุณหมอใส่เสื้อกาวน์เดินเข้ามารับหน้า
คุณหมอโค้งตัวเพื่อแสดงความเคารพลี่จิ่วเชียนพลางกล่าวทักทาย “บอสครับ”
หลังจากลี่จิ่วเชียนเดินเข้ามาในห้องนี้แล้ว อากัปกิริยาสีหน้าพลางเปลี่ยนแปลงไป
เขาจ้องมองคุณหมอ และถามออกไปหนึ่งประโยค “อาการเป็นยังไงบ้าง?”
คุณหมอขยับแว่นตา และพูดตอบด้วยสีหน้าย่ำแย่ “อาการเหมือนเดิมครับ”
จากนั้น ภายในห้องก็เงียบสนิททันที เสียงอุปกรณ์ทางการแพทย์เกิดอาการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
มู่น่อนน่อนมองไปทางด้านหลังคุณหมอ จึงมองเห็นเตียงคนไข้หนึ่งเตียงอยู่ลาง ๆ
บนเตียงมีส่วนนูนขึ้นมาเล็กน้อย บนนั้นมีคนนอนอยู่หนึ่งคน
ทันใดนั้นเธอก็เกิดคิดขึ้นมาได้ ครั้งนั้นที่แอบฟังลี่จิ่วเชียนกับอาลั่วพูดคุยกัน
เด็กผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อว่า “วานวาน” อาศัยเครื่องช่วยหายใจในการมีชีวิตรอด ก็คือคนที่นอนอยู่บนเตียงคนนี้ใช่ไหมเนี่ย?
มู่น่อนน่อนไม่คิดเลยว่า ลี่จิ่วเชียนจะพาเธอมาดู “วานวาน” ตัวจริง
“ออกไป!” ภายใต้น้ำเสียงของลี่จิ่วเชียนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเก็บงำอารมณ์โกรธเคืองเอาไว้
เขากำลังบอกให้คุณหมอออกไป
เมื่อคุณหมอได้ยินในสิ่งที่เขาพูดออกมา จึงไม่กล้าพูดอะไรมาก พลันโค้งตัวและถอยหลังไปหลายก้าว แล้วหันตัวเดินออกไปทางด้านนอกทันที
คุณหมอท่านนี้แสดงความเคารพให้ลี่จิ่วเชียน หรือจะพูดว่าหวาดกลัวกันแน่
ลี่จิ่วเชียนมุ่งหน้าเดินไปยังเตียงคนไข้ทันที
มู่น่อนน่อนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างทางด้านหลังของเขา และเดินตามไป
บนเตียงมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียงจริงๆ ผิวพรรณซีดเผือดและโปร่งใส ใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ตลอด บนร่างกายมีอุปกรณ์ต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วนเชื่อมโยงไปมา การหายใจอ่อนแรงราวกับคนไม่มีชีวิต
มองดูแล้วว่าอายุน้อยมาก หน้าตาก็ใสซื่อ ขนตายาวเป็นแพ ถ้าลืมตาขึ้นมา น่าจะเป็นเด็กสาวที่มีชีวิตชีวามากคนหนึ่ง
ถึงแม้ว่ามู่น่อนน่อนจะเกลียดลี่จิ่วเชียนก็ตาม แต่นิสัยความเวทนาก็ยังมีอยู่
ถ้าใครมาพบเห็นร่างกายเด็กสาวแรกรุ่น แต่กลับมานอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยโดยไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้ ต่างจะเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจกันทั้งนั้น
มู่น่อนน่อนก็เป็นเช่นนั้นด้วย
ลี่จิ่วเชียนค่อยๆ เอนตัว พลางยื่นมือออกไปลูบศีรษะของสาวน้อย ทั้งหมดนี่เป็นพฤติกรรมที่แสนธรรมดามาก ทว่าแสดงให้เห็นถึงความอบอุ่นเป็นพิเศษ
คำพูดที่ออกมาจากปาก กลับเป็นการถามมู่น่อนน่อน “คุณลองเดาสิว่าเธอนอนมากี่ปีแล้ว?”
มู่น่อนน่อนจะไปรู้ได้อย่างไรเล่าว่าเธอนอนมากี่ปีกันแล้ว
ลี่จิ่วเชียนเองก็ไม่ได้บังคับให้เธอต้องตอบคำถามนี้ มู่น่อนน่อนจึงไม่ตอบกลับและยืนอยู่อย่างเงียบเชียบ
ผ่านไปชั่วครู่ ลี่จิ่วเชียนถึงค่อยๆ ส่งเสียงตอบกลับมา “สิบกว่าปีแล้ว รายละเอียดว่ากี่ปีนั้น ผมเองก็จำไม่ได้แล้ว”
น้ำเสียงของเขาฟังดูแล้วมีอาการถอนหายใจออกมา
เขาหดมือกลับ พลางลุกขึ้นยืน สายตาจับจ้องมาที่ตัวมู่น่อนน่อน “ทุกปี ร่างกายของเธอจะอ่อนแอลงกว่าเดิม แต่เมื่อสามปีก่อน เธอมีหนทางรอดชีวิต”
กลายเป็นสามปีก่อนอีกแล้ว!
สมองของมู่น่อนน่อนพลันโลดแล่นอย่างรวดเร็ว
เมื่อสามปีก่อน ลี่จิ่วเชียนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเธอ
สามปีก่อน ลี่จิ่วเชียนช่วยเธอให้หายจากอาการป่วย
ก่อนหน้านี้ เฉินถิงเซียวเคยพูดว่า ลี่จิ่วเชียนเคยแอบตรวจร่างกายของเธอแบบลับๆ และเป็นห่วงเป็นใยกับร่างกายของเธอมากเป็นพิเศษ
ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้ เวลานี้ได้คำตอบแล้ว
มู่น่อนน่อนพูดขึ้นเป็นประโยคแรกตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องนี้ “ฉันเป็นหนทางรอดชีวิตเดียวของเธอใช่ไหม?”
อาลั่วเองก็ตื่นตระหนกอยู่บ้าง เธอหวาดหวั่นกับท่าทางมู่น่อนน่อนจนไม่กล้าเปิดปากพูดออกมา
ทว่าเวลานี้ เธอไม่เพียงแต่โมโหมู่น่อนน่อน ถึงขนาดที่ยังโกรธตัวเธอเองด้วยซ้ำ
น้ำเสียงของเธอย่อมย่ำแย่กว่าเดิม
“มู่น่อนน่อน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วคุณยังเอาของมาเขวี้ยงใส่ฉันมันก็ไร้ประโยชน์สิ้นดี! คนก็ตายไปแล้ว ยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้นเถอะ!” ในเวลานี้อาลั่วพลางถอยหลังไปอยู่ข้างประตู
มู่น่อนน่อนเห็นว่าเธอยังไม่ยอมออกไป พลันหยิบหมอนที่อยู่ด้านหลังตัวเขวี้ยงออกไปอีกครั้ง
เมื่อมู่น่อนน่อนจัดการเขวี้ยงทุกอย่างเสร็จแล้วก็จ้องมองเธออย่างเย็นชา แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา
นอกจากลี่จิ่วเชียนแล้ว ใครยังกล้าปฏิบัติตัวเช่นนี้กับอาลั่วกัน?
ทว่าในเวลานี้ มู่น่อนน่อนที่นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย อาลั่วก็ไม่สามารถทำอะไรเธอได้ ได้แต่ส่งเสียงอยู่ในลำคอ พลางเดินออกไปอย่างกระฟัดกระเฟียด
เสียงบานประตูถูกปิดดัง “ปึงปัง”
ภายในห้องพักผู้ป่วยกลับมาสู่สภาพความเงียบงันอีกครั้งหนึ่ง
มู่น่อนน่อนนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียงชั่วครู่ ถึงได้ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ พลางก้มหน้าลูบคลำบนร่างกายตัวเอง ราวกับหาสิ่งของบางอย่างอยู่
ทว่าเสื้อผ้าบนร่างกายของเธอถูกเปลี่ยนชุดไปแล้ว ตอนนี้ใส่ชุดคนป่วย แล้วจะไปหาสิ่งของเจอได้ยังไงกัน
มู่น่อนน่อนเลิกผ้าห่มออกจากตัวและโยนลงจากเตียง ราวกับต้องการพลิกเตียงขึ้นมา แต่ก็ยังหาสิ่งของที่เธอต้องการไม่เจอ
เธอยื่นมือออกมากุมหน้าผาก จู่ ๆ ก็ทรุดตัวไปอยู่กับพื้น พลางหลับตาลงเล็กน้อย และเม้มมุมปากเผยให้เห็นอารมณ์ของเธอในเวลานี้
ผ่านไปไม่กี่วินาที เธอลืมตาขึ้น หางตาพลันเหลือบเห็นเหมือนมีสิ่งของบางอย่างอยู่ใต้เตียง
มู่น่อนน่อนใช้มือข้างหนึ่งดันเตียงเอาไว้ จากนั้นจึงมุดตัวลงไปควานหาใต้เตียง
เธอควานหาสิ่งของอยู่ใต้เตียงรอบหนึ่ง จนในที่สุดสายตาก็เจอปากกาเก่าแท่งหนึ่งอยู่บริเวณขาเตียง
มู่น่อนน่อนดวงตาเปล่งประกาย พลางมุดตัวไปหยิบปากกาหมึกซึมด้ามนั้นขึ้นมา
เธอนำปากกาหมึกซึมด้ามนั้นมาอยู่ตรงหน้า หลังจากปัดเช็ดถูเรียบร้อยแล้ว และกำไว้ในฝ่ามืออย่างทะนุถนอม
ปากกาหมึกซึมด้ามนี้ เป็นปากกาที่เฉินถิงเซียววางไว้บนตู้นิรภัยก่อนหน้านี้
ก่อนหน้าที่เธอจะบุกเข้าไปในกองเพลิง ซึ่งเห็นสือเย่อยู่ในกองเพลิง
ทั้งสองคนต่างสูดดมเขม่าควันไปไม่น้อย เวลาพูดจากันก็ดูลำบากมาก สือเย่จึงเอาปากกาหมึกซึมด้ามนั้นยื่นให้เธอ
ซึ่งเธอรู้ดีว่า ลี่จิ่วเชียนต้องเข้ามาหาเธออย่างแน่นอน จึงเอาเสื้อโค้ตของตัวเองให้สือเย่ไป
สือเย่นำปากกานั้นยื่นให้เธอเพื่อแสดงความหมายเป็นนัย เป็นการบอกกับเธอว่า เฉินถิงเซียวไม่เป็นอะไรเหรอ?
ถ้าเฉินถิงเซียวไม่เป็นไร เช่นนั้นเฉินมู่ก็คงไม่เป็นไรใช่ไหม?
สิ่งที่อาลั่วเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อครู่นี้ เธอตั้งใจฟังทุกอย่าง แต่เธอไม่เชื่อคำพูดที่อาลั่วพูดออกมา
มู่มู่ของเธอนั้นเป็นเด็กน่ารักฉลาดเฉลียวถึงเพียงนั้น จะตายท่ามกลางทะเลเพลิงได้อย่างไรกัน?
มู่น่อนน่อนกำปากกาด้านนั้นไว้แน่น พลันนั่งกอดเข่าอยู่ที่พื้น พร้อมทั้งกอดปากกาด้ามนั้นแนบอก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ จู่ ๆ มู่น่อนน่อนก็เงยหน้าขึ้นมา พลันมองโทรทัศน์ที่ติดไว้กับกำแพง
เธอลุกพรวดขึ้นทันที หารีโมตเพื่อเปิดโทรทัศน์ดู จนเจอช่องข่าว
อาลั่วพูดว่าไฟไหม้นั้นได้ดับลงแล้ว ไฟไหม้ครั้งใหญ่นี้ต้องมีข่าวแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนั้นเฉินถิงเซียวที่พักอยู่บ้านข้างๆ ลี่จิ่วเชียน บรรดานักข่าวต้องรู้เรื่องแน่
สำนักข่าวท้องถิ่นของเมือง M รายงานข่าว โดยใช้ภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงถูกต้องตรงตามมาตรฐาน และในนั้นใช้คำศัพท์เฉพาะเยอะมาก มู่น่อนน่อนจ้องมองด้วยความพยายามสุดฤทธิ์ แต่ก็พอฟังออกอยู่บ้าง
เธอเปลี่ยนช่องอยู่หลายช่อง และไม่เห็นข่าวที่เกี่ยวข้องสักนิด
ทันใดนั้น ประตูห้องก็มีเสียงผู้ชายดังออกมา
“พวกนายคอยอยู่ข้างนอก”
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียง พลางหันไปมองทางประตู จึงเห็นลี่จิ่วเชียนที่กำลังเดินมุ่งหน้ามาทางนี้
“ได้ยินอาลั่วพูดว่าคุณฟื้นแล้ว ผมเลยมาดูคุณสักหน่อย” ลี่จิ่วเชียนเดินมาอยู่ตรงด้านหน้าของเธอ พร้อมทั้งพิจารณามองเธออยู่เงียบๆ
จากนั้น ลี่จิ่วเชียนขมวดคิ้วพลันพูดออกมา “ร่างกายของคุณตอนนี้อ่อนแอมาก กลับขึ้นไปนอนพักบนเตียงเถอะ”
“พักเหรอ?” มู่น่อนน่อนจ้องมองลี่จิ่วเชียนทั้งที่ปากยิ้มแต่ดวงตาไม่แสดงรอยยิ้ม พร้อมทั้งพูดอย่างเย็นชา “คุณพูดออกมาจากปากเอง สัญญาแล้วว่าจะปล่อยมู่มู่ไป พอฉันหันหลังให้ก็จัดการวางเพลิงเพื่อฆ่าเธอทันที! ตอนนี้ฉันจำต้องพักผ่อนอีกเหรอ?”
สายตามู่น่อนน่อนเย็นชาราวกับสันกระบี่อันแหลมคม พร้อมทั้งพูดเน้นย้ำและค่อยๆ พูดว่า “ฉันไม่จำเป็นต้องพักผ่อน ฉันต้องการให้คุณไปตายซะ!”
ลี่จิ่วเชียนไม่กะพริบตาสักนิด ในทางกลับกันยังยิ้มให้อีกด้วย
“เกลียดผมเหรอ?” ลี่จิ่วเชียนพลันหันตัว และเดินมานั่งลงบนโซฟาที่อยู่ด้านข้าง “เกลียดผมก็ถูกต้องแล้ว แต่คุณเกลียดแค่ผมคนเดียวก็ไม่ถูกนะ? คุณไม่เกลียดเฉินถิงเซียวเลยเหรอ? ในใจคุณกลับไม่กล่าวโทษเฉินถิงเซียวสักนิดเลยเหรอไง?”
มู่น่อนน่อนมองเขาอย่างไร้ความรู้สึก แต่ไม่เอ่ยอะไรออกมา
ลี่จิ่วเชียนมองเธอและยิ้มด้วยรอยยิ้มแปลกพิกล “ช่างเถอะ เรื่องนี้มันไม่สำคัญอะไร!”
ในใจของมู่น่อนน่อนพลันมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา รู้สึกตงิดใจว่าลี่จิ่วเชียนกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่
“พักผ่อนร่างกายให้หายดีก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมค่อยมาเยี่ยมคุณอีก”
ลี่จิ่วเชียนไม่ปล่อยโอกาสให้มู่น่อนน่อนได้สำรวจเขาเลย พูดจบก็ลุกขึ้นและเดินออกไปทันที
ตอนที่เปิดประตูนั้น มู่น่อนน่อนมองเห็นด้านนอกห้องพักผู้ป่วยมีบอดี้การ์ดคอยเฝ้าอยู่ตลอด
แม้ว่ามู่น่อนน่อนไม่เชื่อว่าเฉินมู่ตายแล้ว แต่อาลั่วกับลี่จิ่วเชียนพูดอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเฉินมู่ หัวใจของเธอจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงกับอาการหวาดหวั่นนั้นได้
ลี่จิ่วเชียนเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายขนาดนั้น ถ้าไม่มีหลักฐานแน่ชัด และจะยอมรับได้อย่างไรว่าเฉินมู่ตายท่ามกลางกองเพลิงล่ะ?
เธอไม่กล้าจินตนาการถ้าเฉินมู่อยู่ท่ามกลางกองเพลิงในวิลล่าจริง…
ไม่ เป็นไปไม่ได้
ขอแค่เฉินถิงเซียวมีชีวิตรอด เฉินมู่ก็ต้องรอดชีวิตแน่!
อาศัยความเชื่อมั่นกับเรื่องนี้ ซึ่งเป็นตัวพยุงให้มู่น่อนน่อนได้พักอยู่ในโรงพยาบาลต่ออีกสามวัน
สามวันนี้สำหรับมู่น่อนน่อนนั้น ราวกับใช้เวลาเป็นปี
ห้องพักอยู่บนชั้นที่สูงมาก ทางด้านนอกห้องพักก็มีบอดี้การ์ดคอยเฝ้าอยู่ตลอด มู่น่อนน่อนติดปีกหนียังไงก็หนีไม่พ้น จึงจำต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอยู่เฉยๆ
หลังจากนั้นสามวัน ลี่จิ่วเชียนพาคนมารับมู่น่อนน่อนออกจากโรงพยาบาล
มู่น่อนน่อนออกจากโรงพยาบาลมาพร้อมกับลี่จิ่วเชียนอย่างไร้ความรู้สึก ไม่ว่าลี่จิ่วเชียนจะพูดว่าอะไร เธอก็ไม่ยอมเสวนาด้วย
เธอไม่อยากพูดคุยกับผู้ชายที่อาจจะเป็นคนฆ่าลูกสาวของเธอ เธอไม่ใช่แค่ไม่อยากคุยกับเขา กระทั่งตอนนี้เธอหวังให้เขารีบตายไปเร็วๆ สักที
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า แม้ว่าปกติเธอจะมีนิสัยเป็นคนอ่อนแอติดตัวคนหนึ่ง
ในอดีตตอนอยู่ในบ้านตระกูลมู่ เธอเป็นคนอ่อนแอเหลือเกิน จึงถูกเซียวชู่เหอใช้จุดอ่อนของเธอ ยัดเยียดให้เธอแต่งงานกับเฉินถิงเซียว “ผู้ซึ่งหน้าตาอัปลักษณ์และไม่มีศีลธรรม” ในเวลานั้น
คอยให้มู่หวั่นขีคอยกดขี่เหนือหัวเธออยู่ตลอดร่ำไป
ถึงได้ปล่อยโอกาสให้ลี่จิ่วเชียนมาโกหกเธอได้
ลี่จิ่วเชียนโกหกเธอ ถึงได้มีโอกาสทำร้ายเฉินมู่
ถ้าทำตัวเป็นคนเลวทรามต่ำช้า สามารถปกป้องคนสำคัญเอาไว้ได้… เช่นนั้น เธอยินยอมถลำตัวลงหุบเหวขุมนรกโลกันตร์
……
รถยนต์เคลื่อนตัวผ่านถนนและกลุ่มฝูงชนอย่างราบรื่น สุดท้ายก็มาจอดด้านหน้าอาคารที่ดูแปลกประหลาดอยู่หลังหนึ่ง
วิลล่าทรงกลมสีดำทึบตึกหนึ่ง และมีบรรยากาศแปลกประหลาดอย่างมาก
ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มู่น่อนน่อนได้เห็นวิลล่าแปลกประหลาดเช่นนี้
ลี่จิ่วเชียนลงจากรถก่อน จากนั้นก็รอเธออยู่นอกรถ
มู่น่อนน่อนเหลือบตามองเขา และเปิดประตูรถลงมาจากรถ
มุมปากลี่จิ่วเชียนกระตุกขึ้น สายตากวาดตามองวิลล่าหลังนี้อย่างเรื่อยเปื่อย จากนั้นก็กลับมามองที่ตัวของมู่น่อนน่อน
“เฉินถิงเซียวก็เคยมาที่นี่”
มู่น่อนน่อนตกตะลึงเป็นอันดับแรก จากนั้นได้สติกลับมาทันควัน “คุณทำการสะกดจิตเฉินถิงเซียว อยู่ที่นี่ใช่ไหม?”
“ใช่สิ ตอนนั้นผมใช้พลังงานเปลืองมาก” ลี่จิ่วเชียนถอนหายใจยาว พลางแสดงท่าทางเหนื่อยหน่ายราวกับเป็นการบ่นความยุ่งยากในการทำงานให้เพื่อนฟังเช่นนั้น
ติ๊ด–
ภายในห้องพักผู้ป่วย เสียงเครื่องมือแพทย์ดังขึ้นเป็นระยะตามระบบ
มู่น่อนน่อนที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย พลันตื่นขึ้นมาในเวลานี้พอดี
เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา พลางมีเสียงฝีเท้าจากทางเดินห้องพักผู้ป่วยดังเข้าหูเป็นสิ่งแรก และมีเสียงเครื่องผลิตออกซิเจนอยู่ใกล้ตัว
เธอขยับนิ้วมือ พลางพบว่ามีสิ่งของบางอย่างคีบนิ้วเอาไว้
พลางเอนศีรษะเหลือบมอง จึงพบว่ามีคลิปหนีบนิ้วมือเชื่อมต่อกับจอมอนิเตอร์
มู่น่อนน่อนดึงคลิปที่หนีบนิ้วมือออก และใช้มือพยุงตัวให้ลุกนั่ง
เธอประเมินภายในห้องพักผู้ป่วยก่อนเล็กน้อย
ห้องพักผู้ป่วยมองดูกว้างขวางมาก แถมยังปลอดโปร่งและสว่างมาก
น่าจะเป็นห้องพักอันหรูหราของโรงพยาบาลเอกชนสักแห่ง อุปกรณ์มองดูทันสมัยมาก ในห้องพักนอกจากเตียงที่เธอนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยแล้ว ยังมีโซฟาและโต๊ะ รวมทั้งมีเตียงคนเฝ้าไข้ไว้ด้วย
สมองมีอาการมึนหัวเล็กน้อย
ไฟไหม้ เฉินมู่ เฉินถิงเซียว
ความทรงจำค่อยๆ ฟื้นกลับมา ใบหน้าไม่มีเลือดฝาดของมู่น่อนน่อนเป็นทุนเดิม พลันหน้าซีดลงถนัดตา
เวลานี้เอง มีพยาบาลผลักประตูเดินเข้ามา
เมื่อพยาบาลเห็นมู่น่อนน่อนฟื้นแล้ว พลางพูดอย่างตื่นตระหนว่า “คุณฟื้นแล้วเหรอคะ?”
นางพยาบาลสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ
มู่น่อนน่อนเหลือบมองนางพยาบาล แต่ไม่พูดจาอะไร
นางพยาบาลรีบวางสิ่งของที่อยู่ในมือทันที “ฉันจะออกไปเรียกเพื่อนของคุณให้เข้ามา คุณรอเดี๋ยวนะคะ…”
พยาบาลเห็นว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้พูดอะไรออกมา พลางคิดว่าเธอฟังภาษาอังกฤษไม่ออก จึงใช้มือเพื่อช่วยแสดงท่าทาง พร้อมทั้งเปล่งคำพูดเป็นภาษาจีนออกมาอย่างสุดกำลัง “รอ…ฉัน”
เธอพูดอย่างยากลำบาก ออกเสียงค่อนข้างเน้นหนักไปหน่อย
มู่น่อนน่อนถึงได้พยักหน้า
พยาบาลยิ้มให้เล็กน้อย พลันหันหลังเดินออกไปทันที
ตอนที่พยาบาลออกไปนั้น ไม่ได้ปิดประตูห้องให้สนิทอย่างเข้มงวดมากนัก ไม่นาน มู่น่อนน่อนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบได้ยินมาแต่ไกลจนใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
พริบตาเดียวพลันมีเสียง “แอ๊ด” บานประตูถูกเปิดออก
ตอนที่เห็นว่าเป็นใครเข้ามานั้น ความหวังในแววตามู่น่อนน่อนพลันมลายหายไปทันที
“ฟื้นแล้วเหรอคะ?” อาลั่วเดินมายืนตรงหน้าเธอ “รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
มู่น่อนน่อนยังไม่ยอมพูดจา
อาลั่วย่นคิ้วเล็กน้อย และหันศีรษะไปพูดกับพยาบาล “ตรวจร่างกายเธอที ดูสิว่าสูดเขม่าควันไฟมาจนสมองได้รับความเสียหายไปหรือเปล่า”
พยาบาลเห็นสีหน้าอาลั่วไม่เป็นมิตร เลยไม่ได้พูดอะไรมา พลางหันกลับออกไปเรียกคุณหมอเข้ามา
หลังจากตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้ว มู่น่อนน่อนยังคงไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ
ซึ่งเป็นการตรวจร่างกายตามปกติทั่วไป ไม่นานนักผลการตรวจร่างกายก็ออกมา
“คุณอาลั่วครับ ร่างกายของคุณมู่นอกจากอาการอ่อนเพลียเพียงเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่มีปัญหาอื่นอีกแล้วครับ”
เมื่อได้รับคำตอบของคุณหมอ อาลั่วพลางยกมือเพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้พวกเขาออกไปได้แล้ว
คุณหมอ พยาบาลและลูกน้องของเธอทั้งหมดต่างพลันออกจากห้องทันที
“มู่น่อนน่อน ฉันรู้ว่าตอนนี้คุณมีความรู้สึกอย่างไร แต่ว่าคนก็เสียชีวิตไปแล้วและไม่สามารถชุบชีวิตได้ คุณตัดใจเถอะ” น้ำเสียงอาลั่วเย็นชาที่สุด
มู่น่อนน่อนที่ไร้ความรู้สึกมาตั้งแต่แรก ในที่สุดก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวแล้ว พลางถามด้วยเสียงแหบพร่า “ใครตาย?”
ก่อนหน้านี้เธอสูดเขม่าควันในวิลล่าอยู่สักพัก จนลำคอแหบแสบคออยู่พอตอนเวลาพูดคุยจึงลำบากอยู่บ้าง น้ำเสียงแหบพร่า ซึ่งไม่ไพเราะเสนาะหูน่าฟังเหมือนแต่ก่อน
การแสดงออกของอาลั่วดูเหมือนสมเพชอยู่บ้าง “เผชิญหน้ารับความจริงเถอะค่ะ เฉินมู่ตายแล้ว”
มู่น่อนน่อนมีดวงตาอันงดงาม เป็นแบบกลมโตแบบตาแมวที่พบได้น้อยมาก ซึ่งปกติมองว่าอ่อนโยนและสดใส เมื่อยิ้มก็จะส่องความสดใสไปทั่ว ช่างมีเสน่ห์มาก
ทว่าในเวลานี้ เธอลืมตาที่คล้ายดวงตาแมวคู่นั้น จับจ้องอาลั่วอย่างสงบเยือกเย็น
ความเย็นยะเยือกที่อยู่ในแววตาเธอนั้น มันลึกซึ้งจนเหมือนว่าวินาทีต่อไปจะพุ่งออกมาอยู่แล้ว
อาลั่วก็เป็นคนที่คร่ำหวอดกับสถานการณ์ใหญ่มาแล้ว แต่การจ้องมองอย่างนิ่งเฉยของมู่น่อนน่อนในเวลานี้ ถึงขั้นรู้สึกเริ่มหนาวสะท้านอยู่บ้าง
เธอแสร้งทำว่ามู่น่อนน่อนเป็นศัตรู แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าเมื่อสักครู่นี้เธอถูกมู่น่อนน่อนจ้องมองจนรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง
อาลั่วเผยอปากพูดอย่างไม่รู้ตัว ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “หาศพเจอแล้ว และได้ตรวจDNA ซึ่ง DNA ตรงกับเฉินมู่ คุณไม่จำเป็นต้องมีความคิดว่าโชคช่วยอะไรอีกแล้ว สิ่งที่ฉันพูดออกมามันเป็นความจริงทั้งหมด”
อาการหวั่นไหวที่ปรากฏอยู่บนใบหน้ามู่น่อนน่อนเล็กน้อยพลันมลายหายไปทันที
ราวกับเธอไม่ได้ยินคำพูดของอาลั่วเช่นนั้น พลางหันหน้าจ้องมองช่อดอกไม้ที่วางไว้ตู้หัวเตียง
ซึ่งเป็นช่อดอกลิลลี่สดทั้งช่อ เมื่อสูดหายใจลึกๆ ยังได้กลิ่นหอมของดอกลิลลี่อบอวล
ใต้ช่อดอกไม้เป็นแจกันแก้วสีขาวใส ซึ่งทั้งสวยและใสมาก
สายตามู่น่อนน่อนจับจ้องที่แจกันเหยือกนั้น
อาลั่วมองอากัปกิริยาทุกอย่างของมู่น่อนน่อนอยู่ในสายตา และมองไปที่แจกันดอกไม้ แล้วกลับมามองมู่น่อนน่อนอีกครั้ง คอยถามไถ่อาการ “มู่น่อนน่อน?”
คงไม่ได้โดนถูกกระตุ้นจนส่งผลให้เป็นบ้าไปแล้วมั้ง?
แต่ว่า เธอกลับไม่ได้รู้สึกว่ามู่น่อนน่อนได้รับการกระตุ้นทางใจถึงขนาดนั้น
ผู้หญิงคนนี้ภายนอกดูอ่อนโยนแต่ภายในแข็งแกร่ง ไม่เหมือนคนอ่อนแอปวกเปียกเช่นนั้น
มู่น่อนน่อนจ้องมองแจกันดอกไม้อยู่สักครู่ พลางยื่นมือไปหยิบแจกันดอกไม้มา และหยิบมาวางด้านหน้าของตนเอง และจัดการวางไว้บนผ้าห่ม
เธอก้มหน้ามองดอกลิลลี่ ราวกับมองหาของเล่นที่พบได้ยากยิ่ง และไม่เบนสายตาเลยสักนิด
เมื่อผ่านไปหลายวินาที เธอก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้น และแต่เอ่ยปากกระซิบถามอย่างไร้ความรู้สึก “เมื่อครู่คุณพูดว่าอะไรนะ?”
ตอนแรกอาลั่วก็คิดว่าพูดจบก็เดินหนีไป ทว่าเมื่อเห็นลักษณะท่าทางมู่น่อนน่อนในเวลานี้ จนเกิดความสงสัยถึงที่สุด ถึงขั้นเลี่ยงไม่ได้ที่อยากมองว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมู่น่อนน่อนกันแน่
ปฏิกิริยาของมู่น่อนน่อนช่างแปลกประหลาดพิกลนัก และยิ่งดูสงบมากเกิน
อาจจะเป็นเพราะเฉินมู่เสียชีวิตไปแล้ว จึงส่งผลกระทบกับเธอหนักมาก
นอกจากมู่น่อนน่อนเอ่ยปากถามแล้ว อาลั่วเองก็ไม่ได้แสดงท่าทางรังเกียจที่จะพูดซ้ำอีกครั้ง
“ลูกสาวคุณตายแล้วค่ะ ตอนนี้สภาพวิลล่าถูกไฟไหม้จนไม่เหลือซาก ภายในยังพบศพเด็กที่ไหม้เกรียม แต่ได้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ซึ่ง DNA ที่ตัวเด็กผู้หญิงคนนี้ก็ตรงกับลูกสาวของคุณ ตอนนี้คุณ…”
คำว่า “ได้ยินชัดไหม?” ที่อยู่ท้ายประโยคยังไม่ได้พูดออกไป อาลั่วก็ต้องยกมือขึ้นมาขวางแจกันดอกไม้ที่ลอยพุ่งเข้ามาทางด้านหน้า
แจกันดอกไม้ที่โยนมาหาด้วยแรงมากมายมหาศาล แม้ว่าอาลั่วจะยกมือขึ้นมากั้นเอาไว้ก็ตาม ซึ่งไม่ได้โดนใบหน้าของเธอ ทว่ามือของเธอปะทะกับแจกันดอกไม้จนรู้สึกเจ็บ เจ็บจนเริ่มแสดงอาการชาอยู่บ้าง
อาลั่วใช้มือสะบัดออก พลางพูดด้วยความโกรธเคือง “มู่น่อนน่อน!นี่คุณบ้าไปแล้วหรือไง!”
เธอรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนถูกกระตุ้นจนบ้าไปแล้วจริงๆ ถึงขั้นใช้แจกันดอกไม้มาเขวี้ยงใส่
นัยน์ตาอันสงบนิ่งราวกับความหนาวเหน็บยามค่ำคืนของมู่น่อนน่อน พลางเผยอริมฝีปากแดงออกมาเล็กน้อย และเปล่งเสียงชัดเจนออกมาจากลำคอ “ไสหัวไป!”
“คุณให้ฉันไสหัวไป คุณคิดว่าคุณเป็นใครกัน!” อาลั่วเป็นผู้หญิงที่มีนิสัยจองหองอยู่ตลอด เดิมเธอยังคิดว่ามู่น่อนน่อนน่าสงสาร ทว่าในเวลานี้ ความรู้สึกน่าสงสารในใจของเธอนั้นมันได้มลายหายไปโดยสิ้นเชิงอย่างไม่เหลือซาก
สีหน้าที่แสดงออกอย่างไร้ความรู้สึก พลางยื่นมือออกไปหยิบสิ่งของทั้งหมดและหยิบขึ้นมาจากนั้นจัดการเขวี้ยงไปที่ตัวของอาลั่ว
อาลั่วยังไม่ทันป้องกันตัวได้ทันท่วงที พลางยกมือขึ้นมาขวาง แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการกระทบกับสิ่งของที่มู่น่อนน่อนเขวี้ยงมาหาได้
ข้อดีของห้องพักผู้ป่วยอันหรูหราก็คือ มีอุปกรณ์ครบครันมากมาย สิ่งของที่มู่น่อนน่อนจะขว้างลงได้นั้นก็เยอะมาก
อาลั่วรีบหลบทันที พลางถอยหลังไปเรื่อย ๆ พร้อมทั้งอัดแน่นไปด้วยความโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
และท้ายที่สุด บริเวณข้างตัวมู่น่อนน่อนไม่มีสิ่งของให้ขว้างอีกแล้ว เธอตะคอกด้วยแสงแหบพร่า “ไสหัวออกไป!”
มู่น่อนน่อนนั่งลงบนเตียงผู้ป่วยในเวลานี้ ด้วยใบหน้าซีดเผือดแถมอ่อนแรง แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีเรี่ยวแรงจนเห็นได้อย่างชัดเจน ทว่าอาลั่วยังอ้าปากและไม่กล้าส่งเสียงออกมา
มู่น่อนน่อนหน้าตาซีดเผือดไม่มีสีเลือดฝาดอยู่บนใบหน้าสักนิด พลางนั่งอยู่บนพื้นและค่อยๆลุกขึ้นจากพื้น
เธอไม่เหล่ตามองลี่จิ่วเชียนอีกเลย พลันวิ่งมุ่งหน้าไปทางวิลล่าที่ยังคงมีกลุ่มควันไฟและเปลวเพลิงห้อมล้อมปกคลุมไปทั่วบริเวณโดยรอบ
จังหวะนั้นอาลั่วจึงวิ่งตามมาทันที
เมื่อมาถึงก็เห็นมู่น่อนน่อนมุ่งหน้าวิ่งไปทางวิลล่า พลางหรี่ตาเล็กน้อย พร้อมทั้งถามออกไป “ไฟไหม้หนักขนาดนั้น นี่เธอคิดจะวิ่งกระโจนเข้าไปจริงๆ เหรอ?”
เมื่อมนุษย์ถูกความอิจฉาริษยามันบังตาเอาไว้ ย่อมไม่สามารถเห็นข้อดีของคนที่เธอคอยอิจฉาคนนั้นได้ตามวิสัยธรรมชาติ
ซึ่งมีความคล้ายคลึงอาลั่วที่กำลังเหล่ตามองมู่น่อนน่อน เธอรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนแค่แสดงท่าทางให้ดูก็เท่านั้นเอง เธอไม่มีทางกล้าวิ่งพุ่งเข้าไปในวิลล่าแน่
เพราะตอนนี้ไฟโหมแรงขนาดนั้น มู่น่อนน่อนกระโจนเข้าไปก็มีแต่ตายอย่างเดียว ที่ถูกย่างสดตายทั้งเป็น
ลี่จิ่วเชียนไม่ได้พูดอะไร แค่เหลือบมองมู่น่อนน่อนที่กำลังจะกระโจนเข้าไปด้านใน
อาลั่วเห็นว่าลี่จิ่วเชียนไม่พูดไม่จา เธอก็ไม่อยากจะพูดอะไรเพิ่มเติม
เวลานั้นเอง มู่น่อนน่อนได้วิ่งไปอยู่ตรงบริเวณด้านหน้าของวิลล่าแล้ว พร้อมทั้งฝืนพุ่งตัวเข้าไปด้านในวิลล่าทันที
อาลั่วสีหน้าเปลี่ยนลงถนัดตา “มู่น่อนน่อนเธอ…”
“คุณผู้ชายคะ ฉันจะไปเอาตัวมู่น่อนน่อนกลับมาค่ะ” อาลั่วพูดจบ กำลังจะวิ่งไปทางวิลล่า
ทว่าลี่จิ่วเชียนกลับรั้งเอาไว้ในจังหวะนั้นทันที “ไม่ต้อง ให้เธอได้ลิ้มรสความทุกข์บ้าง”
“ถ้าเธอเกิดได้รับบาดเจ็บขึ้นมาละคะ? ร่างกายของเธอไม่สามารถเสียหายได้นะคะ…” น้ำเสียงของอาลั่วแสดงความสับสนและร้อนรนเล็กน้อย
ส่วนลี่จิ่วเชียนทำสีหน้าเคร่งขรึม และยืนอยู่ตรงนั้นอย่างมั่นคงหนักแน่นดั่งภูเขาไท่ซาน ไม่พูดอะไรออกมาสักประโยค
เขาไม่พูด อาลั่วก็ไม่สามารถทำอะไรโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเขาได้ พลันยืนขมวดคิ้วนิ่วหน้าอยู่ที่เดิม ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
มู่น่อนน่อนวิ่งมาหยุดอยู่ด้านหน้าวิลล่า พร้อมทั้งสำลักควันไฟที่กำลังเผาไหม้อย่างรุนแรง กองเพลิงกำลังโหมกระหน่ำลุกโชนจนมู่น่อนน่อนรู้สึกแสบหน้า
มู่น่อนน่อนเหลือบมองตามเปลวเพลิงลุกไหม้ จึงพบว่าห้องที่อยู่ด้านข้างไฟยังไม่ลุกลามสักเท่าไหร่ พลันหันตัวและพุ่งเข้าไปในห้องนั้นทันที
ในห้องมีควันอบอวลไปทั่ว มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปและสำลักควันไฟอยู่ตลอดเวลา
เธอระงับอาการสำลักควันที่มีอยู่ตลอด และเปล่งเสียงเรียกเฉินมู่
“มู่มู่!”
“มู่มู่ลูกอยู่ข้างในไหม? นี่แม่เองนะ?”
มู่น่อนน่อนเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ไหนจะควันที่แรงขึ้น คลื่นความร้อนก็ยิ่งแผดเผามากขึ้น
เธอค่อยๆ เดินเข้ามาถึงจุดที่ถูกไฟไหม้ พลางเม้มริมฝีปากเดินเข้าไปด้านใน
เธอเดินเข้าไปด้านในได้สักระยะอย่างยากลำบาก อย่างเชื่องช้า บางครั้งยังต้องหลีกเลี่ยงเศษกระจกที่อยู่บนพื้นด้วย
มู่น่อนน่อนไม่รู้รายละเอียดโครงสร้างของวิลล่าหลังนี้เป็นพิเศษมากนัก เมื่อเดินผ่านมาหนึ่งห้องถึงได้จำทิศทางห้องโถงใหญ่ได้ และจำตำแหน่งที่ตั้งห้องนอนของเฉินมู่ได้
เมื่อเธอเดินเลียบทางเข้าห้องโถงใหญ่มานั้น จึงเห็นทะเลเพลิงที่อยู่ด้านหน้าเต็มสองตา ราวกับทรงตัวไม่อยู่ พลางสะดุดเท้าจนลงไปนั่งคุกเข่ากองอยู่ที่พื้น
“เป็นไปไม่ได้… เป็นไปไม่ได้!?” บริเวณบันไดที่อยู่เบื้องหน้ามันไม่มีแม้แต่เงาเลยเหรอ?
ห้องโถงมอดไหม้ไปเกินครึ่ง
เมื่อครู่ตอนที่เธอมองมาจากด้านนอก เห็นว่าวิลล่าไหม้ไปครึ่งเดียว
แม้ว่าเธอไม่ยินยอมที่จะเชื่อ ทว่าภาพที่ปรากฏตรงหน้าเธอในเวลานี้ บริเวณที่ไฟไหม้นั้นกินตำแหน่งห้องนอนของเฉินมู่เกินครึ่ง
ความหนาวเหน็บพลางแทรกซึมเข้าทุกส่วนอณูทั่วร่างกาย
ทะเลเพลิงที่กำลังลุกโชนอยู่ทางด้านหน้า ทว่ามู่น่อนน่อนกลับหนาวเหน็บ เย็นเข้ากระดูก
ตอนที่เธอถูกลี่จิ่วเชียนพาตัวออกมานั้น เฉินมู่กำลังนอนหลับอยู่
กองเพลิงถาโถมหนักขนาดนี้ ต้องเป็นช่วงจังหวะที่เธอออกมาก็ไหม้ทันที
ตอนที่เธอส่งข้อความหาเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวได้รับข้อความของเธอก็ต้องมาหาเฉินมู่แน่….
มู่น่อนน่อนไม่กล้าจะคิดต่ออีกแล้ว
เธอไม่เชื่อ!
เธอไม่เชื่อว่าเฉินมู่กับเฉินถิงเซียวทั้งคู่จะอยู่ที่นี่!
ทว่ามีอะไรบ้างล่ะที่จะชี้ชัดบอกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่?
เธอต้องการเข้าไปดู! ต้องเข้าไปดูให้ได้!
ทันใดนั้น เธอรู้สึกว่าบริเวณหัวเข่ากลับมีความเย็น
มู่น่อนน่อนก้มศีรษะลงมอง จึงเห็นว่าใต้เข่ามีแต่น้ำ
เธอหันศีรษะกลับไป จึงพบว่ามีน้ำไหลมาจากห้องครัว และห้องโถงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องครัวนัก ในห้องครัวมีน้ำไหลมามากมายขนาดนี้ น่าจะเป็นท่อน้ำระเบิดแน่
มู่น่อนน่อนเริ่มตั้งสติได้ พลันลุกขึ้นและเดินไปทางห้องครัวทันที
ในห้องครัวกลายเป็นทะเลไหลเจิ่งนองไปหมดแล้ว
มู่น่อนน่อนจัดการถอดเสื้อผ้าบนตัวออก และทำให้ตัวเองเปียก โดยการเอาเสื้อโค้ตวางลงในน้ำทำให้เปียกชุ่ม จากนั้นจึงเอาเสื้อคลุมเหนือศีรษะแล้ววิ่งเข้าไปในกองเพลิง
วินาทีที่วิ่งเข้าสู่กองเพลิงนั้น มู่น่อนน่อนคิดตั้งหลายอย่างมากมาย
ถ้าเฉินถิงเซียวกับเฉินมู่อยู่ด้านใน เธอก็จะไม่ออกมาแล้ว
เธอเคยเห็นการจากลาด้วยความเป็นความตายของคนอื่นมานักต่อนักแล้ว เธอเองก็เคยผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง
ยิ่งคนที่มีประสบการณ์ผ่านการจากลามาแล้ว ยิ่งหวงแหนทุกอย่างที่เป็นของตนเองยิ่งนัก
มักมีคนพูดว่า ชีวิตของคนเราชั่วชีวิต แม้ว่าไม่มีญาติพี่น้องหรือคนรัก เหลือแค่ตัวเองคนเดียว ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่ถ้ามีเหลือแค่ตัวเองเท่านั้น การมีชีวิตอยู่ต่อไปมันจะมีความหมายอะไรเล่า?
ความหมายของการมีชีวิตอยู่มันคืออะไรเล่า?
ตอนที่เรื่องนี้มันเกิดขึ้นกับคนอื่น บางทีเธอยังสามารถพูดคำปลอบโยนออกมาได้บ้าง
ทว่าเมื่อเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกับตัวเธอเองแฃ้ล้ว เธอกลับรู้สึกว่า มันก้าวข้ามให้ผ่านไปไม่ได้เลย
อยากจะมีต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป มันช่างยากเย็นเหลือเกิน
มู่น่อนน่อนได้กลิ่นรองเท้าถูกไฟไหม้ แต่เธอก็ยังยืนกรานฝืนที่จะเดินเข้าไปด้านใน
สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ บริเวณด้านในตรงส่วนนั้นกลับไม่ได้มีไฟไหม้หนักอย่างที่คิด แต่ยังคงมีอุณหภูมิสูงจนทำให้ตกใจ เธอไม่สงสัยสักนิดเลยว่าอีกไม่นานเธอก็คงถูกย่างจนสุกได้ที่
“มู่มู่! เฉินถิงเซียว! แค่ก แค่ก …” มู่น่อนน่อนอ้าปากพูด พลันอดสำลักควันไฟไม่ได้
“โครม!”
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียง คิดว่ามีสิ่งของหล่นลงมาด้านข้าง แต่เมื่อเธอหันกลับไปมองนั้น ทว่าเห็นร่างกายคนอยู่บริเวณมุมห้อง…
……
ทางด้านนอกวิลล่า
เวลาผ่านพ้นไปสิบกว่านาทีแล้ว มู่น่อนน่อนยังไม่ออกมาจากด้านใน สุดท้ายลี่จิ่วเชียนก็เริ่มยืนไม่อยู่สุขแล้ว
สีหน้าอาลั่วกลับเคร่งขรึมหนัก แต่ไม่กล้าพูดอะไรมากออกมา
ลี่จิ่วเชียนเหลือบมองวิลล่าเล็กน้อย และพูดออกมาด้วยหน้าถมึงทึง “รีบเข้าไปดูเร็ว”
ตอนที่พวกเขาเข้าไปดูนั้น มองไม่ได้เห็นร่างของมู่น่อนน่อนเลยด้วยซ้ำ
อาลั่วหน้าถอดสีทันที “คงไม่ได้วิ่งหนีไปใช่ไหม?”
“เธอจะวิ่งไปไหนได้?” ลี่จิ่วเชียนหันศีรษะกลับมามองเธอ ด้วยหน้าตาเย็นชา
อาลั่วสำรวจบริเวณโดยรอบ นอกจากตำแหน่งทางประตูที่มู่น่อนน่อนเข้ามาแล้ว ไม่มีตรงไหนที่สามารถวิ่งหนีไปไหนได้เลยจริงๆ
“หรือว่า…” อาลั่วเบนสายตามาทางกองเพลิง และแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“ไปหาเธอในนั้นเร็ว!” ลี่จิ่วเชียนออกคำสั่งทันที ลูกน้องที่อยู่ด้านหลังที่ได้รับการฝึกฝนในการทำงานให้ช่วยเหลือคนในกองเพลิงมาเป็นอย่างดี
อาลั่วคงลังเลอยู่ว่าจะเข้าไปหรือไม่ ลี่จิ่วเชียนออกคำสั่งทันที “คุณไม่ต้องเข้าไป”
อาลั่วได้ยินแล้วชะงักไปชั่วครู่ จนดวงตาแพรวพราวทันที “ค่ะ”
ลูกน้องของลี่จิ่วเชียนเข้าไปได้ไม่นานนัก ก็พาตัวมู่น่อนน่อนที่นอนสลบไสลออกมา
ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาเป็นทุนเดิมของมู่น่อนน่อนเปรอะเปื้อนด้วยควันดำจนมองหน้าตาเดิมไม่ออก เสื้อผ้าที่อยู่บนตัวก็เปียกโชก และไม่ได้ใส่เสื้อโค้ตไว้
ลี่จิ่วเชียนจ้องมองมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าหม่นหมองอยู่ชั่วพริบตา พลันหันตัวเดินออกไปด้านนอก
“ไปกัน” อาลั่วเดินตามอยู่ด้านหลัง
พวกเขาพาตัวมู่น่อนน่อนออกจากวิลล่า และขึ้นรถออกไปทันที
รถยนต์ค่อยๆ ทะยานออกไปไกล ท่ามกลางกองเพลิงอันแรงกล้าพลันมีคนคนหนึ่งกระโจนออกมาจากวิลล่า
ซึ่งสิ่งที่คลุมเหนือศีรษะคนคนนี้เอาไว้ ก็คือเสื้อโค้ตอันเปียกชุ่มของมู่น่อนน่อนก่อนหน้านี้พอดี เขายืนอยู่ที่เดิมสักพัก เมื่อไม่ได้ยินถึงความเคลื่อนไหวจากภายนอกแล้ว จึงเดินออกมาทางด้านนอก
ลี่จิ่วเชียนเห็นมู่น่อนน่อนไม่ยอมแตะต้องถ้วยชา แต่ไม่ได้โกรธอะไร พลางนั่งไขว่ห้างในท่วงท่าสบายพลันเอนหลังพิงโซฟา และเหล่ตามองมู่น่อนน่อน
“น่อนน่อน ฟังผมสักหน่อยนะ ตอนนี้คุณมานั่งตื่นเต้นอยู่ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี ถึงเวลานี้เฉินถิงเซียวเขายังหาที่นี่ไม่เจอ พอคาดเดาการแพ้ชนะของผมกับเขาได้แล้วนะ”
ลี่จิ่วเชียนชะงักหยุดพูด พลางหรี่ตามองอากัปกิริยาตอบสนองกลับของมู่น่อนน่อน
เมื่อเห็นว่ามู่น่อนน่อนยังแสดงท่าทางไร้ความรู้สึกเช่นเดิม สุดท้ายการแสดงออกของลี่จิ่วเชียนจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
เขาเริ่มเก็บอาการ น้ำเสียงก็เริ่มเย็นชาตามลงมาเล็กน้อย “ผมสามารถให้โอกาสคุณได้อีกครั้ง ให้คุณเลือกเอง ก่อนหน้านี้ที่ผมเคยพูดกับคุณ มันมียังใช้ได้ผลอยู่ อย่างไรเสีย …”
“พวกเราเป็นคนที่เหมาะสมจะอยู่ด้วยกันที่สุดแล้ว”
มู่น่อนน่อนตอบกลับอย่างเย็นชา “ไม่จำเป็นต้องคิดด้วยซ้ำ ฉันคิดว่าเราไม่มีตรงไหนเหมาะสมกันสักนิด”
สีหน้าลี่จิ่วเชียนแข็งทื่อชั่วขณะ วินาทีต่อมา เขาสูดลมหายใจเข้าลึก พลางยื่นมือออกไปจัดการกับแขนเสื้อของตนเอง พลางเอ่ยเสียงออกมาอย่างสุขุมและทุ้มต่ำ “ทำให้เธอได้สงบปากสักหน่อย ไม่อยากจะฟังเสียงเธอพูดสักระยะ”
มู่น่อนน่อนยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดหมายถึงอะไร พลางหันศีรษะกลับมาก็เห็นอาลั่วกำลังเดินมาทางเธอได้สองก้าว
“คุณ…”
วินาทีต่อมา อาลั่วใช่สันฝ่ามือทุบท้ายทอยของเธอ บริเวณด้านหน้าของเธอดำมืด ร่างกายทรุดลงล้มบนโซฟา
วินาทีก่อนที่จะหมดสติไปนั้น มู่น่อนน่อนตกอยู่ในภวังค์ ที่แท้ลี่จิ่วเชียนให้เธอสงบปาก นี่ก็คือสิ่งที่ลี่จิ่วเชียนความหมายของสงบปากเป็นแบบนี้นี่เอง
……
มู่น่อนน่อนไม่ทราบว่าตัวเองสลบไปนานเท่าไหร่แล้ว
รอจนเวลาที่เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งนั้น ก็ยังคงอยู่ในห้องใต้ดินเช่นเดิม
เธอนอนเอนครึ่งตัวอยู่บนโซฟา บนตัวก็ไม่ได้มีสิ่งของจำพวกผ้าห่มนุ่มๆ คลุมตัวอยู่เลย แม้ว่าห้องใต้ดินจะเปิดฮีทเตอร์แล้วก็ตาม แต่เธอยังคงรับรู้ถึงความหนาวเย็นอยู่บ้าง
อาการเพิ่งตื่นนอนทำให้สายตาฝ้าฟางอยู่บ้าง เธอหลับตาลงเพื่อพักสายตาชั่วครู่ การมองภาพด้านหน้าถึงชัดเจนขึ้น
จึงเห็นโคมระย้าเป็นอันดับแรก เขยิบไปทางด้านข้างคือโซฟา จากนั้นคนที่ยืนอยู่ตำแหน่งไม่ไกลมากนักคือลี่จิ่วเชียนกับอาลั่ว
อาลั่วเงยหน้าเล็กน้อยเพื่อพูดคุยอะไรบางอย่างกับลี่จิ่วเชียน ลี่จิ่วเชียนกระตุกริมฝีปากขึ้น มุมปากพลันปรากฏรอยยิ้มออกมาให้เห็นเล็กน้อย
รอยยิ้มของเขาที่ปรากฏออกมาทำให้มู่น่อนน่อนหนาวไปทั้งตัว หัวใจก็หม่นหมองหนักมาก ร่างกายตื่นตัวในชั่วขณะนั้นทันที
ลี่จิ่วเชียนหันศีรษะไปพูดประโยคหนึ่งกับอาลั่ว สีหน้าของอาลั่วเปลี่ยนเป็นหม่นหมองเล็กน้อย แต่ยังคงพยักหน้ารับ
จากนั้น ลี่จิ่วเชียนจึงเดินมาทางมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนหันตัวเพื่อนั่งลงบนโซฟาให้เรียบร้อย พร้อมทั้งมองลี่จิ่วเชียนด้วยหน้าตาระแวดระวัง
“อาลั่วเธอลงมือหนักไปหน่อย ต้องขอโทษคุณด้วย คุณ…” ลี่จิ่วเชียนเดินมาหยุดด้านข้างและนั่งลงข้างเธอ พลางยื่นมือออกไปแตะใบหน้าของมู่น่อนน่อน
ทว่ามู่น่อนน่อนกลับเอนตัวถอยหลังและเงยหน้าขึ้น เป็นการหลบเลี่ยงมือของลี่จิ่วเชียนที่ยื่นออกมาได้สำเร็จ
ลี่จิ่วเชียนเหลือบมองมือที่ค้างเติ่งอยู่ในอากาศของตนเอง พลางชะงักเล็กน้อย ไม่นานนักก็สามารถปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว “ตื่นแล้วก็ดี พวกเราไปกันได้แล้ว”
มู่น่อนน่อนก็ไม่มั่นใจว่าตนเองหลับไปนานเท่าไหร่แล้ว และก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มันคือเวลาอะไร ซึ่งดูจากสถานการณ์ในห้องใต้ดิน เฉินถิงเซียวคงหาที่นี่ไม่เจอแน่
อาลั่วก็เดินเข้ามา พร้อมจับจ้องมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร “คุณจะเดินไปเอง หรือว่าให้ฉันช่วย?”
มู่น่อนน่อนลุกขึ้น แต่ไม่ได้พูดอะไร เธอแสดงท่าทางว่าต้องการจะเดินไปเอง
อาลั่วส่งเสียงพึมพำในลำคออย่างเย็นชา และเดินหน้าเป็นการเดินนำทาง
อาลั่วพาพวกเขาเดินลดเลี้ยวไปมาอยู่ในทางเดินชั้นใต้ดิน ท้ายที่สุดก็มาหยุดตรงด้านหน้าของประตูเหล็กบานหนึ่ง เธอค่อยๆ ยกมือขึ้น จากนั้นลูกน้องก็เดินนำหน้าขึ้นไปเปิดบานประตูเหล็กทันที
บานประตูเหล็กหนักอึ้ง ต้องใช้ความร่วมแรงแข็งขันแรงของผู้ชายสองคนถึงสามารถเปิดประตูออก
อาลั่วคอยจับตามองมู่น่อนน่อนอย่างโดยไม่ให้เล็ดลอดสายตา เธอเป็นคนเดินนำทาง ย่อมไม่ปล่อยให้มู่น่อนน่อนไปเดินรั้งท้ายอยู่ทางด้านหลัง
ดังนั้นในเวลานี้ มู่น่อนน่อนเดินอยู่ด้านหน้าแล้ว ส่วนลี่จิ่วเชียนอยู่ด้านหลังของเธอ
เมื่อบานประตูเหล็กเปิดออก มู่น่อนน่อนได้กลิ่นสิ่งของบางอย่างถูกไฟไหม้เกรียมเตะเข้าจมูกทันที
แม้ว่าแสงท้องฟ้าในเวลานี้ยังไม่ทันสว่างมากนัก แต่ก็มีแสงแดดทอแสงลงมาแล้ว หลังจากปรับสภาพจนชินจึงสามารถมองได้ชัดเจนขึ้นเล็กน้อย
มนุษย์เกิดมาพร้อมกับการมีไหวพริบในการรับรู้ถึงอันตรายกับเรื่องที่ไม่ดีอยู่เสมอ ความรู้สึกอยู่ไม่เป็นสุขด้วยเศษเสี้ยวจิตใต้สำนึกของมู่น่อนน่อนมันขึ้นมาแตะถึงขีดสุดแล้ว
กระทั่งเธอไม่สนใจหันกลับไปถามลี่จิ่วเชียนด้วยซ้ำ และเริ่มวิ่งออกไปตรงปากทางออก
ด้านนอกบานประตูเหล็กไม่ใช่ทางเดินที่ราบเรียบ แต่เป็นขั้นบันได
“มู่น่อนน่อน!”
อาลั่วเรียกชื่อเธอทางด้านหลัง ส่วนมู่น่อนน่อนนั้นราวกับไม่ได้ยินสิ่งใดพลางวิ่งหนีไปทางด้านหน้าเรื่อยๆ
“คุณผู้ชายคะ ฉันจะวิ่งตามเธอกลับมาค่ะ!” เมื่ออาลั่วหันศีรษะกลับมาพูดคุยกับลี่จิ่วเชียนเสร็จแล้ว จึงวิ่งตามมู่น่อนน่อนไปทันที
น้ำเสียงลี่จิ่วเชียนขรึมลงเล็กน้อย “กลับมา”
อาลั่วหันตัวกลับมาอย่างไม่เต็มใจ เมื่อได้ยินลี่จิ่วเชียนพูด “เธอวิ่งหนีไปไหนไม่ได้หรอก”
มู่น่อนน่อนวิ่งไปทางด้านหน้า เมื่อวิ่งมาถึงประตูทางออกนั้น จังหวะผลักบานประตูที่อยู่ด้านนอกที่สุดออกมานั้น สิ่งแรกที่มองเห็นคือเปลวไฟ
ทางออกของห้องใต้ดินก็คือภายในสวนดอกไม้ที่อยู่ด้านหลังวิลล่า
มู่น่อนน่อนพักอยู่ในวิลล่าของลี่จิ่วเชียนมานานขนาดนี้แล้ว ย่อมรู้ว่าวิลล่าของเขาทั้งใหญ่โตและหรูหรา
ทว่า วิลล่าหลังนี้กลับถูกไฟไหม้ไปเกินครึ่งแล้ว เปลวเพลิงลุกโชนทะยานพุ่งสู่ท้องฟ้า แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไฟไหม้มาหลายชั่วโมงแล้ว
“มู่มู่!”
ปฏิกิริยาแรกของมู่น่อนน่อนนั้นคือคิดถึงเฉินมู่เป็นอันดับแรก เธอก้าวเท้าวิ่งไปทางวิลล่า
แต่ทว่า เธอเพิ่งจะก้าวเท้าเพียงก้าวเดียว กลับถูกคนคว้าข้อมือเอาไว้แทน
เธอหันศีรษะกลับมา จึงเห็นสีหน้าลี่จิ่วเชียนทำหน้าตาเขียวปั๊ดใส่
“คุณพูดว่าจะปล่อยมู่มู่ไป!” มู่น่อนน่อนพลางใช้อีกมือที่เป็นอิสระชี้ไปทางวิลล่าที่มีเปลวเพลิงกำลังลุกโชนสูงตระหง่านท้องฟ้า น้ำเสียงสั่นเทาอยู่บ้าง “นี่คือสิ่งที่คุณพูดว่าปล่อยไปงั้นเหรอ? ลี่จิ่วเชียนฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่า คุณจะเลวทรามต่ำช้าถึงขั้นนี้ได้ ถ้ามู่มู่เกิดได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ฉันไม่มีวันปล่อยคุณไปแน่!”
สำหรับคำต่อว่าจากมู่น่อนน่อนนั้น ลี่จิ่วเชียนแค่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ถ้าผมปล่อยมู่มู่ไป เฉินถิงเซียวจะปล่อยผมไปไหมล่ะ?”
“ยังมีอีกอย่างที่คุณพูดผิดไปแล้ว ถ้าเฉินมู่ตายอยู่ที่นี่ คุณมาโทษผมไม่ได้ ต้องโทษเฉินถิงเซียวนู่น เพราะว่าเขาไม่มีความสามารถที่จะปกป้องพวกคุณไว้ได้ เขาเป็นคนทำร้ายลูกสาวของคุณ มันเป็นความผิดของเขาทั้งหมด!”
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปากเอาไว้ โมโหจนตัวสั่น พลางเงื้อมือแล้วตบหน้าลี่จิ่วเชียนอย่างแรง
เธอตบอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ลี่จิ่วเชียนไม่ทันป้องกันตัวได้ทันเวลา จึงต้อนรับกับฝ่ามือของเธออย่างเต็มแรง
แรงฝ่ามือนี้ มู่น่อนน่อนใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด ทั้งเกลียดทั้งโมโห ผสมปนเปลงไปในฝ่ามือนั้น ครึ่งใบหน้าของลี่จิ่วเชียนแดงแปร๊ดทันที
“อย่าหาข้อแก้ตัวกับสิ่งชั่วร้ายที่ตัวคุณเองลงมือทำ เฉินถิงเซียวเขาเลวแต่ไม่เหมือนคุณที่เลวทรามต่ำช้าผิดมนุษย์มนา!” มู่น่อนน่อนพูดว่าจอย่างดุเด็ดเผ็ดมันดุเดือด และอยากจะสะบัดมือให้หลุดจากเขา
ทว่าลี่จิ่วเชียนคว้าข้อมือไว้แน่นเหลือเกิน มู่น่อนน่อนใช้เรี่ยวแรงมากมาย แต่ก็ไม่สามารถสะบัดให้หลุด
ลี่จิ่วเชียนถูกมู่น่อนน่อนตบหน้าหนึ่งที เดิมสีหน้าที่ดูย่ำแย่อยู่เดิมอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ที่เธอพูดออกมา สีหน้ากลับเปลี่ยนเป็นย่ำแย่หนักกว่าเดิม
เขาสะบัดมือออกอย่างแรง มู่น่อนน่อนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนทรงตัวไม่อยู่พลางล้มไปกองอยู่ที่พื้น
บนพื้นปูหินกรวดไว้ทั่ว แขนของมู่น่อนน่อนโดนหินกรวดขูดจนถลอกเป็นแผล
อย่างไรก็ตาม ลี่จิ่วเชียนไม่ได้มองเห็นสิ่งเหล่านี้อยู่ในสายตาเลย เขายืนอยู่ด้านหน้ามู่น่อนน่อน พลางชำเลืองมองต่ำถือไพ่ที่เหนือกว่า “น่อนน่อน อย่าได้บีบบังคับผมนะ”
เมื่อได้ยินเสียงเฉินถิงเซียวเรียกเขา สือเย่รีบเดินออกจากห้องมาหาเฉินถิงเซียวทันที
สือเย่เดินมาหยุดอยู่ตรงด้านหน้าเฉินถิงเซียว พลางเอ่ยปากเรียก “คุณชายครับ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ?”
“ลี่จิ่วเชียนลงมือแล้ว” เฉินถิงเซียวเดินก้าวเท้าไม่หยุด พร้อมทั้งพูด และเดินมุ่งหน้าไปทางด้านนอกพร้อมกัน
เมื่อสือเย่ได้ยินแล้ว สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “ผมจะพาคนไปด้วยเดี๋ยวนี้ครับ”
เมื่อเฉินถิงเซียวกับสือเย่อาศัยท้องฟ้ายามวิกาลและความหนาวเหน็บจังหวะที่มาถึงประตูวิลล่าของลี่จิ่วเชียนนั้น พลางมองเห็นคนรวมตัวกันเป็นกลุ่มอยู่ตรงประตูวิลล่าพอดี แถมตรงประตูยังมีรถจอดอยู่สองคัน ซึ่งแสดงลักษณะทำทีท่าว่าจะออกไปข้างนอก
สือเย่เห็นเหตุการณ์นั่นแล้ว พลันพาคนเข้าไปดักหน้าและล้อมพวกเขาเอาไว้ทุกทางทันที
ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าในกลุ่มนั้นพลางมองมาทางเฉินถิงเซียว “คุณเฉินนี่มันหมายความว่ายังไงกันครับเนี่ย?”
เฉินถิงเซียวจ้องมองเขาอย่างไร้ความรู้สึก น้ำเสียงเย็นยะเยือก “ลี่จิ่วเชียนอยู่ที่ไหน?”
“ตอนนี้คุณชายก็น่าจะหลับอยู่สิครับ ยังจะไปอยู่ที่ไหนได้?” ชายหนุ่มน่าจะได้รับคำสั่งมาก่อนแล้ว ว่าให้ตอบกลับไปอย่างมีไมตรีจิต ขนาดแววตายังไม่หวั่นไหวสักนิด
เฉินถิงเซียวแสยะยิ้มออกมาทันที พลางพาคนเข้าไปด้านใน
“คุณจะทำอะไรกันครับเนี่ย!”
“พวกคุณหยุดเดี๋ยวนี้ ที่นี่มันเป็นสถานที่ที่ให้พวกคุณเข้าออกกันได้ตามสบายหรือยังไงกัน!”
พวกเขายังคิดขวางเฉินถิงเซียวเอาไว้ ทว่าจะไปขวางเฉินถิงเซียวเอาไว้ได้อย่างไรกันเล่า?
เฉินถิงเซียวก้าวเดินมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว และไม่ใส่ใจคนพวกนี้ด้วยซ้ำ ส่วนข้างกายนั้นมีสือเย่และบอดี้การ์ดคอยคุ้มกันอยู่ คนเหล่านั้นแทบเข้าใกล้เขาไม่ได้เลย
ลูกน้องของลี่จิ่วเชียน ทำได้แค่จ้องมองเฉินถิงเซียวเดินเข้าไปด้านใน
ซึ่งบรรยากาศภายในไม่เหมือนกับด้านนอกเลยสักนิด ภายในวิลล่าเงียบเชียบมาก ขนาดคนรับใช้สักคนยังไม่มี แถมไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศด้วยซ้ำ
“ค้น!” เฉินถิงเซียวยืนอยู่ห้องโถงใหญ่อันว่างเปล่า สีหน้าเงียบขรึม ราวกับกลายเป็นส่วนเดียวกับสีของท้องฟ้ายามวิกาลด้านนอก
เวลานั้นเอง จู่ ๆ ก็มีบอดี้การ์ดวิ่งเข้ามาพูด “ประตูด้านหลังของวิลล่ามีรถจอดอยู่หลายคันครับ”
สือเย่ได้ยินเช่นนั้น พลางหันศีรษะไปมองเฉินถิงเซียว แต่เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร แค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
สือเย่ครุ่นคิดอยู่สักพัก “คุณชายครับ ผมขอพาคนออกไปก่อน!”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่กลับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และหาตำแหน่งปักหมุดจุดสีแดงที่อยู่ในโทรศัพท์
ตำแหน่งหมุดสีแดงยังอยู่ภายในวิลล่า
เขาฉุกคิดได้ว่ามู่น่อนน่อนได้ส่งข้อความสั้นๆ มาหาเขา เพียงไม่กี่คำ โดยครึ่งหนึ่งคือการเตือนให้เขามารับตัวมู่มู่ออกไป
โทรศัพท์ที่อยู่ในมือเขากำแน่นอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นจึงมุ่งหน้าเดินขึ้นชั้นบน
แม้ว่าเขาแค่เคยมาห้องหนังสือของลี่จิ่วเชียน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่คุ้นเคยกับวิลล่าหลังนี้
สองสามวันนี้เขาไปมาหาสู่วิลล่าของลี่จิ่วเชียนอยู่ตลอด ไม่เพียงแต่เป็นการยั่วอารมณ์ลี่จิ่วเชียนให้โมโหตามปกติ เขายังส่งคนให้มาทำความรู้จักโครงสร้างของวิลล่าให้ชัดเจนอีกด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งที่พักของมู่น่อนน่อนกับเฉินมู่ เขารู้ดี
เฉินถิงเซียวอาศัยความทรงจำในหัวสมอง และรีบเดินไปยังห้องเฉินมู่ทันที
ตอนที่เขาเดินไปยังทางเดินชั้นสามนั้น พลันได้ยินเสียงพึ่บพับดังอยู่สักพัก
นั่นมัน… เป็นเสียงสิ่งของที่กำลังลุกไหม้
เฉินถิงเซียวรีบหันศีรษะกลับมาอย่างแรง พลางเห็นแสงกองเพลิงที่กำลังลุกโหมอยู่ตรงทางเดินอีกฝั่ง
ตามรูปโครงสร้างที่ใช้มือวาดขึ้นมาเองตามความทรงจำนั้น เฉินถิงเซียวรู้ว่าบริเวณตรงนั้นคือห้องเรือนกระจก เมื่อเดินผ่านห้องเรือนกระจกไปแล้ว ก็คือห้องนอนของเฉินมู่
ส่วนเสียงเคล้งที่ดังอยู่ด้านใน เป็นเสียงกระจกที่เกิดจากการลุกไหม้และหล่นแตกกระจัดกระจาย!
สีหน้าอันไร้ความรู้สึกมาโดยตลอดของเฉินถิงเซียวพลางเกร็งทันที เส้นเลือดตรงขมับปูดขึ้น พลางกัดฟันไว้แน่น แววตาทอประกายความดุร้ายจ้องกินเลือดกินเนื้อออกมา
ไม่เพียงแค่มู่น่อนน่อนจะยกให้ลี่จิ่วเชียนเป็นคนดีมีจิตใจเมตตาเหลือเกิน เขาเองก็เช่นเดียวกัน
ซึ่งเขาไม่คิดเลยว่าลี่จิ่วเชียนจะแสดงถึงพฤติกรรมโหดร้ายป่าเถื่อน ขนาดเฉินมู่ก็ยังไม่ยอมปล่อยไป
หัวสมองเฉินถิงเซียวปรากฏภาพเฉินมู่กระโจนเข้าอ้อมกอดของเขาและเรียกเขาว่าพ่อ หัวใจพลันบีบรัดแน่น ราวกับมีคนใช้มือบีบขยำเอาไว้
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ตรงทางเดินสองวินาที พลันวิ่งเข้าไปท่ามกลางกองเพลิงที่กำลังลุกโชนอย่างรวดเร็ว ทางด้านหน้ามีห้องขวางอยู่พอดี
เขาเตะบานประตูเข้าไป ซึ่งมีผ้าห่มนาโนวางไว้บนเตียงพอดี เขาหยิบผ้าห่มนาโนขึ้นมาและรีบพุ่งเข้าไปในห้องน้ำ และจัดการเปิดก๊อกน้ำทั้งหมดในห้องน้ำทันที
ผ้าห่มนาโนจึงเปียกโชกชุ่ม ขนาดร่างกายของเขายังเปียกชุ่ม
อุณหภูมิกลางดึกลดต่ำจนเป็นเพียงตัวเลขเดียวถึงขั้นลดต่ำลงจนติดลบ แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่รู้สึกหนาวสักนิด เขาเอาผ้าห่มนาโนคลุมตัวและวิ่งกระโจนเข้าสู่กองเพลิง
จังหวะที่เขากระโจนเข้ากองเพลิงในวินาทีนั้น สือเย่พาคนเข้ามาด้านในแล้วและตะโกนเรียก “คุณชายครับ!”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ยินเสียงเขาแม้แต่น้อยแม้ว่าจะได้ยินเขาก็ไม่สามารถหยุดได้
สือเย่พาคนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา นอกจากเห็นกองเพลิงที่กำลังถาโถมแรงขึ้นเรื่อย ๆ อยู่เบื้องหน้า แล้วจะเห็นตัวของเฉินถิงเซียวได้อย่างไรกัน
วิลล่ามีขนาดค่อนข้างใหญ่ จุดที่เกิดไฟไหม้มันอยู่ค่อนข้างลึก ดังนั้นตอนที่พวกเขาเข้ามาในวิลล่านั้น จึงไม่ได้กลิ่นควันไฟ และไม่เห็นเปลวเพลิง
บรรดาลูกน้องที่ติดตามสือเย่มาด้วยตกตะลึงชั่วขณะ สือเย่รีบหันไปตะคอกใส่ทันที “ยังยืนบื้ออยู่ทำไม!รีบเข้าไปช่วยคนเร็ว!”
สือเย่อยู่กับเฉินถิงเซียวมานานแล้ว เวลาจัดการเรื่องต่างๆ มักนิ่งสงบมาก น้อยครั้งนักที่จะระเบิดอารมณ์เช่นนี้
เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ถือว่าเร่งด่วนมาก ส่วนลี่จิ่วเชียนก็ช่างเจ้าเล่ห์เหลือทน
เมื่อครู่เขาเพิ่งมาคนออกไปทางประตูด้านหลัง กลับพบว่าคนในกลุ่มนั้น ไม่มีตัวของลี่จิ่วเชียนกับมู่น่อนน่อนเลย ถึงได้ย้อนกลับมาหาเฉินถิงเซียว
สือเย่คิดว่า เฉินมู่คงถูกลี่จิ่วเชียนพาตัวออกไปด้วย ทว่าเห็นลักษณะท่าทางของเฉินถิงเซียวที่ไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีกแล้วและกระโจนไปทางด้านหน้าที่มีแต่กองเพลิงจึงสามารถเดาได้ว่า เฉินมู่ยังอยู่ในห้อง
เวลานี้เฉินถิงเซียวเข้าไปช่วยเฉินมู่ ซึ่งเป็นจังหวะพลาดที่ดีที่สุดในการตามหา ลี่จิ่วเชียนกับมู่น่อนน่อน
ซึ่งจำต้องพูดเลยว่า วิธีการเช่นนี้ของลี่จิ่วเชียนถือว่าโหดมาก กลยุทธ์การหลอกล่อให้ติดกับ โดยการใช้เฉินมู่เป็นตัวหลอกล่อเฉินถิงเซียว แม้ว่าเฉินถิงเซียวต้องการตามหาตัวลี่จิ่วเชียนกับมู่น่อนน่อนว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ทว่ากลับต้องมาช่วยเฉินมู่ก่อนแล้วค่อยไปตามหาพวกเขาต่อ
หลังจากเรื่องช่วยเฉินมู่มาได้แล้วนั้น แล้วลี่จิ่วเชียนพามู่น่อนน่อนไปที่ใด และจะพาไปไกลแสนเพียงใด ใครเล่าจะรู้?
ทว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่สามารถคำนึงอะไรได้มากมายนัก
เพลิงลุกไหม้แรงขึ้น เฉินถิงเซียวกับเฉินมู่จะรอดชีวิตออกจากด้านในได้หรือไม่นั้น ไม่มีใครสามารถบอกได้
บอดี้การ์ดรีบเอาผ้าห่มเปียกมา สือเย่หยิบมาหนึ่งผืน “พวกนายตามฉันเข้าไป ที่เหลือดับไฟอยู่ด้านนอก”
เขาพูดจบ พลันเอาผ้าห่มคลุมศีรษะและพุ่งเข้าไปทันที
……
ห้องใต้ดิน
ลี่จิ่วเชียนนั่งจิบน้ำชาอย่างสบายใจเฉิบอยู่บนโซฟา
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พลางจ้องมองเขาตาเขม็ง
ทว่าความรู้สึกที่แสดงผ่านทางสีหน้าลี่จิ่วเชียน ยังคงแสดงอาการสบายใจเฉิบตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ มู่น่อนน่อนไม่สามารถจับจุดผิดสังเกตร่องรอยอะไรได้สักนิด
สำหรับแผนการในครั้งนี้ของเขาแล้ว ราวกับเขามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
พวกเขานั่งรออยู่ห้องใต้ดินมาสักพักใหญ่แล้ว เวลาที่พ้นผ่านไปแต่ละนาที หัวใจมู่น่อนน่อนเหมือนถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ความรู้สึกจิตใจไม่สงบ พลันค่อย ๆ ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น
ลี่จิ่วเชียนวางแผนจู่โจม การทำตามเป้าหมายโดยไม่สนวิธีการใดๆ ที่ต้องคิดบัญชีกับทุกคนในทุกๆ เรื่อง
เรื่องราวในครั้งนี้ ซึ่งไม่ง่ายดายเหมือนภาพที่มองเห็นเช่นนั้น
“ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้น มาดื่มชาเร็ว” ลี่จิ่วเชียนยื่นมือออกไปเทน้ำชาให้มู่น่อนน่อนพลางยกมาวางตรงด้านหน้า สีหน้าดูเอาอกเอาใจมาก
มู่น่อนน่อนไม่มีกะจิตกะใจมานั่งดื่มชา แถมไม่แตะต้องถ้วยชาสักนิด
เมื่อได้ยินคำพูดของลี่จิ่วเชียนในเวลานี้ เธอเพิ่งจะรู้ตัว ที่แท้ตอนนั้นเฉินถิงเซียวคอยให้คนปกป้องเธออย่างลับๆ อยู่ตลอดเวลา
ซึ่งเธอคิดมาโดยตลอดว่า หลังจากที่เธออยู่ที่ออสเตรเลียผ่านมาได้หลายเดือนแล้ว เฉินถิงเซียวเขาถึงส่งคนมาคอยคุ้มกันให้เธอ
ทว่าเธอกลับคาดไม่ถึงว่า เมื่อเธอถึงทางฝั่งนั้นแล้ว คนที่เฉินถิงเซียวส่งมาก็ตามมาถึงติดๆ
หลังจากผ่านเรื่องราวนั้นไปแล้ว แต่กลับมารู้เรื่องเหล่านี้ภายหลัง หัวใจของมู่น่อนน่อนพลางเกิดความรู้สึกซาบซึ้งกินใจ
“เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องโกหก คุณได้ช่วยผมไว้จริงๆ” แววตาของลี่จิ่วเชียนแสดงความรู้สึกที่เปลี่ยนไป รอยยิ้มไม่ได้คลี่ยิ้มเหมือนเมื่อครู่แล้ว
มู่น่อนน่อนถามเขากลับ “เรื่องมันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ลี่จิ่วเชียนเหลือบมองเธออย่างสื่อความหมาย ทว่ากลับไม่พูดว่าเธอไปช่วยเขาไว้ตอนไหน
“มาพนันกันไหม คุณลองเดาสิว่าเฉินถิงเซียวจะตามหาประตูที่พวกเราออกไปได้อย่างถูกต้องหรือเปล่า?”
เรื่องราวเหล่านั้นที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่เธอได้รับผลกระทบอยู่ไม่น้อย มู่น่อนน่อนโกรธจนหัวเราะออกมา “นี่คุณบ้าไปแล้วหรือไงกัน?”
ลี่จิ่วเชียนเป็นคนบ้าไปแล้วจริงๆ ช่วงเวลานี้ ใครจะมาเดิมพันกับเขากัน?
เดิมมู่น่อนน่อนก็แค่โมโหจัดจนด่าเขาไปเท่านั้นเอง ทว่าความรู้สึกที่ปรากฏอยู่บนสีหน้าของลี่จิ่วเชียนมองด้วยตาเปล่าก็เห็นถึงความรู้สึกเย็นยะเยือกดั่งน้ำค้างแข็งคอยปกคลุมอีกชั้นลง ซึ่งมันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การแสดงออกของเขายิ่งแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกลงอีก “ผมเป็นบ้า แต่บ้าน้อยกว่าเฉินถิงเซียว”
มู่น่อนน่อนกัดฟันแน่น พลางเบนศีรษะไปมองทางอื่นแทน ไม่อยากจะสนใจลี่จิ่วเชียนอีกต่อไป
ยิ่งพูดกับเขามากขึ้นเท่าไหร่ เธอยิ่งโมโหอยู่ในใจมากขึ้นเท่านั้น และกลัวว่าจะไปเป็นการยั่วยุเขาจนเกินเหตุ เดี๋ยวเขาจะทำเรื่องอะไรบางอย่างที่เธอไม่สามารถแบบรับไว้ได้
เป้าหมายของลี่จิ่วเชียนในเวลานี้ก็ไม่ชัดเจน แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าเขากำลังเตรียมการแผนใหญ่อยู่
เขาใช้เวลา 3-4 ปีในการเตรียมการนี้ หรือว่าอาจจะมากกว่านั้น
แต่มู่น่อนน่อนยิ่งสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ ลี่จิ่วเชียนใช้ความสามารถอันมากมายถึงเพียงนี้เพื่อวางแผนเรื่องนี้ไว้ ตกลงว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือการพุ่งเป้าโจมตีเฉินถิงเซียว หรือพุ่งเป้ามาที่เธอกันแน่?
ถ้าเป้าหมายที่แท้จริงคือเฉินถิงเซียว เช่นนั้นทำไมเขาถึงต้องเบี่ยงเบนประเด็นจนหักมุมมาทำตัวสนิทสนมกับเธอด้วยล่ะ?
หลังจากเกิดระเบิดขึ้นบนเกาะเล็กๆ แล้ว เธอกับเฉินถิงเซียวบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย ลี่จิ่วเชียนสามารถช่วยเหลือเธอออกมาจากเกาะเล็กๆ นั้นได้ และสามารถลงมือฆ่าเฉินถิงเซียวบนเกาะเล็กๆ นั้นได้ทันที
ทว่า เขากลับไม่ได้ฆ่าเฉินถิงเซียวด้วยซ้ำ แถมยังช่วยชีวิตเขาเอาไว้ด้วย
ถ้าจะพูดว่าตอนนั้นเขาทำอะไรไว้กับเฉินถิงเซียว ซึ่งมีเพียงเรื่องเดียวคือการสะกดจิตเฉินถิงเซียวเอาไว้เท่านั้นเอง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เรื่องการสะกดจิตเฉินถิงเซียวยังเป็นปริศนาที่ไม่สามารถปลดล็อกให้หลุดได้สักที
หลังจากที่เฉินถิงเซียวเกิดความสงสัยในตัวลี่จิ่วเชียนแล้วนั้น ซึ่งเป็นเวลาไม่นานนัก ลี่จิ่วเชียนพลันถูก ‘ลี่จิ่วชัง’ คนไม่ได้เรื่องลักพาตัวไป
ลี่จิ่วเชียนสามารถทำเรื่องราวได้ตั้งมากมาย เวลานี้มู่น่อนน่อนจึงไม่ต้องสงสัยว่าเป็นเขาที่สะกดจิตเฉินถิงเซียวเอาไว้
มู่น่อนน่อนมองหน้าเขาอย่างเย็นชา พลันใช้น้ำเสียงเย็นเฉียบ “คุณเป็นคนสะกดจิตเฉินถิงเซียวใช่ไหม?”
“ในที่สุดก็เดาได้ว่าเป็นผมแล้วสินะ?” ลี่จิ่วเชียนแสดงแววตาลุกพราวปรากฏทางสีหน้า “พลังจิตของเฉินถิงเซียวแรงกล้ามาก แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาได้รับบาดเจ็บจนสลบไป … ไม่ถูกต้องสิ พูดว่าสลบก็ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ เดิมทีเขาไม่ได้รับบาดเจ็บหนักมากนักจนใกล้จะฟื้นอยู่รอมร่อ แต่พี่สาวแท้ๆ ของเขากลับใส่ยาให้เขาแทน เพื่อให้เขาสลบไสลต่อไป…”
“ส่วนผม ก็แค่ทำตามความปรารถนาคำขอร้องของพี่สาวแท้ๆ ของเขาก็เท่านั้นเอง”
คำพูดของลี่จิ่วเชียนทั้งสองประโยค ต่างเน้นคำว่า “พี่สาวแท้ๆ” อย่างชัดเจน พอฟังดูราวกับเขาอยากเห็น เฉินถิงเซียวกับเฉินจิ่งหยุ้นสองคนนี้ห้ำหั่นฆ่ากันเอง
ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินถิงเซียวกับเฉินจิ่งหยุ้นก็ไม่ค่อยลงรอยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนนั้น ยังไม่ถึงขั้นพลิกหน้ามือเป็นหลังมือกลายเป็นอริศัตรูคู่แค้นกัน
แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนนั้น จึงส่งผลให้เฉินถิงเซียวกับเฉินจิ่งหยุ้นถึงกลายเป็นอริศัตรูกันอย่างชัดเจน
“ที่แท้ก็เป็นคุณจริงๆ ด้วย!” ก่อนหน้าที่ลี่จิ่วเชียนจะยอมรับออกมา มู่น่อนน่อนก็มีแค่ความสงสัยเท่านั้นเอง
เธอเชื่อว่าเฉินถิงเซียวไม่มีการคาดเดาโดยไร้มูลเหตุ แต่เธอก็ยังมีความสงสัยมากอยู่ในใจเช่นเดิม
บางครั้ง แม้ว่าตอนนี้ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจนแล้ว มนุษย์อาจตั้งข้อสงสัยเพราะความเชื่อมั่นที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ปรากฏออกมา
“คุณเหมือนดูไม่รู้สึกแปลกใจสักนิด” ลี่จิ่วเชียนมองเธออย่างสนอกสนใจ และเตรียมจะพูดต่อ แต่อาลั่วกลับเดินเข้ามาพอดี
“คุณผู้ชายค่ะ จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”
เมื่อครู่อาลั่วได้ยินเนื้อหาที่มู่น่อนน่อนกับลี่จิ่วเชียนพูดคุยกัน พลันเข้าใจความหมายลี่จิ่วเชียนว่าต้องการพูดทุกอย่างออกไปให้มู่น่อนน่อนฟังอย่างหมดเปลือก
ในเวลาเดียวกัน ทั้งหมดนี่เป็นการยืนยันแล้วว่า ครั้งนี้ลี่จิ่วเชียนไม่มีทางใจอ่อนยอมออมมือจริงๆแล้ว
เขาถึงขั้นบอกทุกอย่างกับมู่น่อนน่อนไปหมดแล้ว ซึ่งไม่ปล่อยให้มู่น่อนน่อนกลับออกไปได้อย่างสุขสบายแน่ เรื่องนี้ทำให้สีหน้าของอาลั่วผ่อนคลายลงบ้าง
ลี่จิ่วเชียนหันศีรษะกลับมามองอาลั่ว “งั้นก็เริ่มกันเถอะ”
บรรดาลูกน้องของอาลั่ว ทำตามแผนการเมื่อครู่ที่วางแผนเอาไว้ พลันคนมีคนกลุ่มหนึ่งล่วงหน้าออกจากประตูหลังไปก่อน ส่วนคนอีกกลุ่มหนึ่งเดินออกไปทางประตูด้านหน้า
ส่วนลี่จิ่วเชียนไม่ได้เดินไปยังทางด้านหน้า และไม่ได้เดินไปทางประตูทางด้านหลัง แต่กลับมุ่งหน้าเดินไปยังห้องใต้ดินแทน
มู่น่อนน่อนพักอยู่ที่วิลล่าหลังนี้มานานขนาดนี้ โดยไม่ทราบเลยว่าใต้วิลล่ายังมีห้องใต้ดินขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้
ห้องใต้ดินมีสิ่งของมากมาย อย่างครบครันทุกอย่าง
ลี่จิ่วเชียนเดินนำอาลั่ว และมีลูกน้องอีกหลายคน
มู่น่อนน่อนเหลือบสำรวจมองห้องใต้ดินโดยรอบ สถานที่แห่งนี้มีขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ ต้องมีทางออกหลายทางเป็นแน่
ตอนนี้เองเธอถึงได้สติฉุกคิดได้ว่า ในสิ่งที่ลี่จิ่วเชียนเดิมพันกับเธอก่อนหน้านี้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร
ไม่ว่าเธอจะเดิมพนันว่าประตูหน้าหรือประตูหลังก็ตาม เฉินถิงเซียวก็ไม่มีวันสกัดกั้นพวกเขาไว้ได้ทั้งสองทาง
เพราะลี่จิ่วเชียนไม่คิดจะเดินออกไปซึ่งๆ หน้า
ตัวตน ชื่อเสียงเรียงนามของลี่จิ่วเชียน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปทั้งหมดอาจจะจอมปลอมทั้งเพ แต่เรื่องที่เขาจบปริญญาเอกด้านจิตวิทยามานั้นต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน
ถ้าไม่ใช่การอ่านใจคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วเขาสามารถวางแผนการอย่างละเอียดแยบยลเช่นนี้ในทุกเรื่องได้อย่างไรกัน?
ลี่จิ่วเชียนนั่งลงบนโซฟา และพูดจากับมู่น่อนน่อนสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย “เฉินถิงเซียวมีไหวพริบไวขนาดนั้น ต้องเจอกับสิ่งผิดปกติอย่างแน่นอน คุณว่าตอนนี้เฉินถิงเซียวน่าจะอยู่ด้านบนแล้วหรือยัง?”
เขาพูดและเอาชี้ไปบนฝ้าเพดานเหนือห้องใต้หลังดิน ด้านบนซึ่งหมายถึงห้องโถงในวิลล่า
ลี่จิ่วเชียนพูดไม่ผิดไปหรอก แม้จะเป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืนก็ตาม เธอเพิ่งจะส่งข้อความหาเฉินถิงเซียว ตอนนี้เฉินถิงเซียวต้องอยู่ในวิลล่าของลี่จิ่วเชียนอย่างแน่นอน
ถึงแม้ไม่ได้เข้ามาในวิลล่าก็ตาม ก็ต้องเฝ้าอยู่หน้าประตูบ้านแล้วแน่
ราวกับทุกการเคลื่อนไหวของเฉินถิงเซียว มิสามารถหลุดพ้นจากสายตาของลี่จิ่วเชียนไปได้
ก้นบึ้งหัวใจมู่น่อนน่อนพลันเกิดความรู้สึกหนาวเหน็บจู่โจมขึ้น เธอเองที่มองลี่จิ่วเชียนผิดไป ในหัวสมองเธอพลันมีความทรงจำว่าลี่จิ่วเชียนเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตแถมยังอ่อนโยนมีเมตตา
แม้ว่าเธอจะรู้จักใบหน้าที่แท้จริงของเขาแล้วก็ตาม ทว่าในความคิดของเธอก็ยังคงจัดลี่จิ่วเชียนอยู่ในจำพวกคนมีจิตใจเมตตาตามสัญชาตญาณ
……
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ข้างหน้าต่าง และไม่ได้แสดงท่าทีจะนอนด้วยซ้ำ
เวลากลางดึก โทรศัพท์ของเขาจู่ ๆ ก็สั่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ซึ่งเป็นเพียงการเตือนเมื่อมีข้อความใหม่เข้ามา
เฉินถิงเซียวกดเปิดโทรศัพท์ จึงเห็นข้อความสั้นๆ ในนั้น : เขาเริ่มลงมือแล้ว มารับมู่มู่ออกไป
ข้อความสั้นกระชับที่สุด และยังเขียนสัญลักษณ์ต่างๆ ไว้ด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนตอนที่มู่น่อนน่อนส่งข้อความสั้นๆ อันนี้มานั้น ดูใจเย็นมาก
ดังนั้นสามารถคาดเดาได้ว่า ลี่จิ่วเชียนไม่ได้ใช้วิธีการรุนแรงในการบังคับขู่เข็นแต่อย่างใด
เฉินถิงเซียวกำโทรศัพท์ไว้แน่น พลางหันตัวมุ่งหน้าเดินออกไปข้างนอก พร้อมทั้งเรียกสือเย่มาด้วย
“สือเย่!”
เฉินถิงเซียวยังไม่นอน สือเย่กำลังจัดการให้ลูกน้องตรวจสอบรายละเอียดของเด็กสาวที่ชื่อว่า “วานวาน” ไม่นานนักจึงมีข้อมูลส่งมาให้ เขาเองก็ยุ่งอยู่ตลอดจึงยังไม่ได้เข้านอนเช่นกัน
ตอนนี้นอกจากทำตามใจลี่จิ่วเชียนแล้ว เธอก็ไม่มีวิธีอื่นเหมือนกัน
ไม่ว่าลี่จิ่วเชียนจะทำอะไร เธอเป็นผู้ใหญ่คนนึง คิดเป็นอีกทั้งยังมีแรงเคลื่อนไหว มักจะหาวิธีแก้ไขได้เสมอ
แต่เฉินมู่เด็กเกินไป เธอจะให้เฉินมู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
ลี่จิ่วเชียนยกมือขึ้นมาดูนาฬิกาแว๊บนึง จากนั้นก็ได้เคลื่อนย้ายสายตามาที่บนตัวเธอ:“หนึ่งนาที”
“ขอบคุณค่ะ”มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ได้หันหลังปิดประตู
พอประตูปิด อาลั่วก็ได้พูดอย่างไม่พอใจทันที:“คุณชาย ทำไมคุณชายยังต้องเกรงอกเกรงใจเธอขนาดนี้อีกคะ เมื่อกี๊ฉันก็บอกแล้วว่าเปิดประตูเอาตัวเธอไปโดยตรงก็พอแล้ว!”
ลี่จิ่วเชียนไม่พูดจา แค่หันมามองเธออย่างเย็นชา
อาลั่วได้ปิดปากเงียบทันที พร้อมหลุบตาลง ปิดปากเงียบอย่างเคารพนอบน้อม
ทีนี้ลี่จิ่วเชียนถึงได้เอ่ยว่า:“พูดให้น้อย ทำให้มาก”
อาลั่วกัดริมฝีปาก:“ค่ะ”
ในห้องนอน
มู่น่อนน่อนปิดประตูปุ๊บก็รีบเอามือถือที่เฉินถิงเซียวเอาไว้ให้เธอก่อนหน้านี้ออกมาย่างไว และพิมพ์ข้อความอย่างรวดเร็ว:“เขาเคลื่อนไหวแล้ว รับมู่มู่ไป”
เวลาเร่งรีบ มู่น่อนน่อนพิมพ์ได้แค่ไม่กี่คำเอง
แต่แค่ตัวหนังสือไม่กี่ตัวนี้ ก็เพียงพอให้เฉินถิงเซียวรับมือและจัดการกับเรื่องที่เกิดการเปลี่ยนการกะทันหัน
หลังจากมู่น่อนน่อนส่งข้อความออกไป ก็ได้ลบข้อมูลในมือถือทิ้งหมด จากนั้นปรับมือถือเป็นโหมดเงียบ และเอามือถือใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อของเฉินมู่
ถ้าเธอเดาไม่ผิด ในมือถือนี้น่าจะมีตัวติดตามตำแหน่งอยู่
เธอเอามือถือใส่ไว้กับเฉินมู่ ถึงลี่จิ่วเชียนจะทำอะไรมิดีมิร้ายกับเฉินมู่ เฉินถิงเซียวก็จะสามารถหาเฉินมู่เจอก่อนเป็นอันดับแรก
พอทำเรื่องพวกนี้เสร็จ มู่น่อนน่อนได้สูดหายใจลึกๆ จากนั้นได้พันผ้าพันคอเดินมาที่ประตูอย่างไว และเปิดประตูอย่างใจเย็น
เธอเดินออกไปแล้วค่อยๆปิดประตู
อาลั่วไม่พอใจมู่น่อนน่อนมาก เธอยิ้มหยันพร้อมพูดว่า:“มู่น่อนน่อน คุณชายให้เวลาคุณหนึ่งนาที ตอนนี้ผ่านไปจะสองนาทีแล้ว!”
อาลั่วมีสิทธิ์พูด มู่น่อนน่อนก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ฟังเหมือนกัน
มู่น่อนน่อนได้มองไปที่โดยตรง:“ไปเถอะ”
อาลั่วเห็นมู่น่อนน่อนเพิกเฉยคำพูดของเธอ ได้โมโหจนจะปรี๊ดแตกลี่จิ่วเชียนอีก แต่เธอมองสีหน้าของลี่จิ่วเชียนแล้ว ก็ได้ฝืนปิดปากเงียบเอาไว้
ที่จริงอาลั่วก็เป็นคนที่ใจเย็นมาก แต่แค่เพราะลี่จิ่วเชียนแสดงออกว่าเหมือนจะมีใจให้มู่น่อนน่อน อาลั่วก็เลยใจเย็นกับมู่น่อนน่อนไม่ได้อีก
ผู้หญิงมักจะเป็นแบบนี้เสมอ มักจะยอมไปทำให้ลำบากใจผู้หญิงมากกว่า
อาลั่วก็หลุดพ้นประเพณีวัฒนธรรมไม่ได้ เธอแอบชอบลี่จิ่วเชียน แต่กลับไม่เคยคิดว่าจะบอกลี่จิ่วเชียนยังไง ก็ไม่ไขว่คว้าให้ตัวเอง พอรู้ว่าลี่จิ่วเชียนมีใจให้มู่น่อนน่อน ก็เริ่มทำให้มู่น่อนน่อนลำบากใจทุกอย่าง
ผู้หญิงที่ฉลาดมากแค่ไหน เพราะความรักแล้วก็อาจจะกลายเป็นคนโง่ได้
เห็นแก่ที่เธอเป็นคนโง่คนนึง มู่น่อนน่อนไม่อยากถือสาอะไรกับเธอ
ลี่จิ่วเชียนมองทิศทางของประตูแว๊บนึง จากนั้นก็ได้พามู่น่อนน่อนหันหลังไปเลย
เพียงแต่ แว๊บสุดท้ายที่เขามองไปที่ประตู ทำให้มู่น่อนน่อนค่อนข้างกระวนกระวายใจ
ตอนนี้เธอไม่เชื่อลี่จิ่วเชียนแล้ว ยิ่งไม่เชื่อว่าลี่จิ่วเชียนจะยอมปล่อยเฉินมู่ไปอย่างง่ายดาย
ในใจลึกๆของคนจิตใจดีคือแฝงด้วยความปรารถนาดีอยู่ แต่คนที่เสแสร้งเป็นคนจิตใจดีงามหลังจากเผยธาตุแท้แล้ว จิตเจตนาร้ายก็จะกลายเป็นยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น
ลี่จิ่วเชียนก็คืออันข้างหลังนี้
มู่น่อนน่อนไม่เชื่อว่าในใจเขายังมีความปรารถนาดีอยู่ หวังแค่ว่าเจตนาร้ายในใจเขาอย่าชั่วร้ายขนาดนั้น
เฉินถิงเซียวอยู่ข้างบ้านนี้เอง ถ้าเฉินถิงเซียวสามารถมาเร็วหน่อย งั้นเฉินมู่ก็จะไม่เกิดเรื่องแล้ว
มู่น่อนน่อนได้คิดเรื่องราวมากมายอยู่ในใจ ก็เลยเดินได้ค่อนข้างช้า
อาลั่วคอยจ้องมู่น่อนน่อนตลอด เห็นเธอเดินช้าขนาดนี้ ได้ยื่นมือดึงเธอไปโดยตรง
มู่น่อนน่อนมองเธอแว๊บนึง จากนั้นได้หัวเราะเยาะ
สีหน้าของอาลั่วได้ดูแย่ขึ้นมาทันที เธอกำลังจะเปิดปาก ก็ได้ยินลี่จิ่วเชียนพูดว่า:“ปล่อยเธอ”
“คุณชายคะ!”ถึงแม้อาลั่วจะเจ็บใจ แต่สุดท้ายก็จำต้องปล่อยมู่น่อนน่อน
หลังจากอาลั่วปล่อยมู่น่อนน่อนแล้ว ได้เชอะใส่มู่น่อนน่อนทีนึง แล้วเดินไปนำทางที่ด้านหน้าสุด
หลังจากที่พวกเขาลงมาจากชั้นบน ไม่ได้จากไปในทันที
มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นว่าลี่จิ่วเชียนได้ส่งสายตาให้อาลั่ว จากนั้นอาลั่วก็ได้ไปแจ้งให้ลูกน้องมารวมตัวกัน
พอลูกน้องมากันครบหมดแล้ว อาลั่วแยกมือสองข้างออก จากนั้นลูกน้องพวกนั้นก็ได้แยกเป็นคนกลุ่ม
อาลั่วชี้หนึ่งกลุ่มในนั้นแล้วพูดว่า:“พวกนายพาคนขับรถไปทางด้านหลังของวิลล่า ส่วนที่เหลือเดี๋ยวไปด้านหน้ากับพวกเรา”
มู่น่อนน่อนฟังแล้วได้หันไปมองลี่จิ่วเชียนทันที
ลี่จิ่วเชียนหลุบตาลง ในที่สุดก็สมปรารถนาได้เห็นความประหลาดใจจากใบหน้าของมู่น่อนน่อน มุมปากของเขาได้เผยรอยยิ้มออกมาเสี้ยวนึง:“น่อนน่อน จะเดิมพันกับผมมั้ย”
มู่น่อนน่อนมองเขาอย่างระแวงสุดขีด:“เดิมพันอะไร?”
“ก็ต้องเดิมพันว่าเฉินถิงเซียวจะสามารถเดาได้ถูกต้องแม่นยำหรือเปล่า ว่าเดี๋ยวเราจะไปทางประตูหน้าหรือประตูหลัง”สีหน้าของลี่จิ่วเชียนเปลี่ยนมาตื่นเต้น เหมือนเด็กที่กำลังจะได้ของเล่นที่ตัวเองชอบ
ตอนที่มู่น่อนน่อนเห็นคงามเคลื่อนไหวของอาลั่ว ก็พอจะเดาได้เลือนรางแล้วว่าลี่จิ่วเชียนให้อาลั่วทำอะไร
สมัยที่เธอเผาวิลล่าของเฉินถิงเซียวแล้วหนีไป เสิ่นชูหานช่วยเธอหนีก็เคยใช้ไม้นี้เหมือนกัน
วิธีการที่คุ้นขนาดนี้ ทำให้มู่น่อนน่อนสมองไบรท์ขึ้นมาทันที เธอหรี่ตาไว้พร้อมลี่จิ่วเชียนว่า:“คุณรู้จักเสิ่นชูหานหรือเปล่าคะ?”
“รักแรกของคุณ ผมก็ต้องรู้จักอยู่แล้ว”สีหน้าของลี่จิ่วเชียนยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก:“น่อนน่อน คุณคงไม่รู้สินะ?ตอนนั้นช่วยให้คุณไปจากเมืองหู้หยาง ก็มีคุณงามความดีกับผมเหมือนกันนะ”
ต่อมาไม่รู้ว่าเขานึกอะไรขึ้นมาได้ ได้พูดด้วยสีหน้าเสียดาย:“น่าเสียดายจังเลย เดิมทีเราสามารถรู้จักกันที่ออสเตรเลียอย่างเป็นทางการได้ แต่คนที่เฉินถิงเซียวส่งไปจับตาดูคุณไว้แน่นหนาเกิน ไม่ได้โอกาสผมได้ทำตัวเป็นฮีโร่เลย ก็จัดการเยาวชนที่เล่นยาพวกนั้นทิ้งโดยตรงเลย ช่างน่าเสียดายจริงๆ……”
ในหัวของมู่น่อนน่อนได้ดัง“บึ้ม”เสียงนึง ผ่านไปสักพักถึงดึงสติกลับมา
เธอถามด้วยเสียงพึมพำ:“หมายความว่ายังไง?”
ลี่จิ่วเชียนได้อธิบายให้เธอฟังอย่างมีความอดทน:“ผมเป็นคนส่งคนพวกนั้นไปเอง เดิมทีกะจะทำตัวเป็นฮีโร่สักหน่อย แต่พวกมันได้ถูกคนของเฉินถิงเซียวจัดการทิ้งเสียก่อน ไม่ให้โอกาสผมได้ทำตัวเป็นฮีโร่เลย”
“ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าฉันเคยช่วยคุณ คือเรื่องโกหก?”ตอนที่มู่น่อนน่อนอยู่ที่ออสเตรเลีย เคยเจอเรื่องไม่ดีอยู่หลายครั้งจริง และเคยโทรแจ้งตำรวจจริง
ตอนนั้นลี่จิ่วเชียนบอกว่าเธอเคยช่วยเขา เธอก็เลยไม่ได้คิดมาก
ตอนนี้ดูท่าการปรากฏตัวของลี่จิ่วเชียนมันเป็นแค่การหลอกลวงเท่านั้น
ตอนนี้พอมาคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ได้ทำให้มู่น่อนน่อนหนาวสั่นไปทั้งตัว
ในขณะเดียวกัน ในใจของมู่น่อนน่อนมีความประหลาดใจอยู่เสี้ยวนึง
ตอนที่เธออยู่เมืองนอก ตั้งครรภ์ท้องป่องอยู่ไม่ค่อยสะดวกจริงๆ และเคยเจอเรื่องวุ่นวายอยู่หลายครั้ง
ตอนนั้นเธอนึกแค่ว่าตัวเองโชคดี
จึงมักจะสามารถเปลี่ยนอันตรายให้กลายเป็นความปลอดภัย
จนกระทั่งห้องข้างๆมีคนพาลกลุ่มนึงมาพักอาศัยอยู่ เธอถึงพบว่าเฉินถิงเซียวได้สั่งให้คนคอยติดตามเธอตลอด
สือเย่ออกมาจากห้องนอน และเดินมาที่ด้านหลังของเฉินถิงเซียว ได้มองไปตามสายตาของเฉินถิงเซียวแว๊บนึง จากนั้นได้เรียกเขาด้วยเสียงทุ้มต่ำ:“คุณชายครับ”
“มีบุหรี่ไหม?”เฉินถิงเซียวดึงสายตากลับและหันมามองเขา
ถึงแม้สือเย่เองก็ไม่ค่อยสุบบุหรี่เท่าไหร่ แต่กลับพกติดตัวไว้ตลอด
เขาเอาบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าซองนึง จากนั้นได้ดึงบุหรี่ออกมาครึ่งนึงจากในซองแล้วยื่นมาที่ตรงหน้าของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวดึงบุหรี่มวนนั้นออกมา จากนั้นได้เอามาคาบไว้ในปาก จากนั้นสือเย่ได้เอาไฟแช็กออกมา ทำท่าจะจุดไฟให้เขา
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว ยื่นมือไปเอาไฟแช็กมา:“ฉันจุดเอง”
“แช็ก”เสียงนึง ไฟแช็กถูกจุดขึ้น ได้จุดเปลวไฟขึ้น
เฉินถิงเซียวจุดไฟเอง จากนั้นได้คืนไฟแช็กคืนให้กับสือเย่
สือเย่รับไฟแช็กมาแล้วยังยืนอยู่ที่ข้างหลังของเฉินถิงเซียว ไม่ได้จากไป และไม่ได้เปิดปากพูดอีก
ตั้งแต่ย้ายมาที่ข้างบ้านของลี่จิ่วเชียน เฉินถิงเซียวนอกจากเคลียร์เรื่องราวแล้ว เวลาที่เหลือล้วนยืนอยู่ที่นี่ ก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
สือเย่สามารถรู้สึกได้ว่าในใจของเฉินถิงเซียวคิดถึงมู่น่อนน่อนอยู่
แต่ก็รู้สึกว่าสิ่งที่ในใจของเฉินถิงเซียวคิด ไม่ใช่มู่น่อนน่อนหมด เขายังได้คิดอย่างอื่นด้วย แต่เขาเดาไม่ถูก
“นายคิดว่าลี่จิ่วเชียนจะเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อไหร่?”
เฉินถิงเซียวได้ถามสือเย่อย่างคาดคิดไม่ถึง สือเย่เหม่อไปครู่นึง จากนั้นได้ครุ่นคิดอย่างละเอียดครู่นึงถึงพูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า:“คงจะช่วงนี้แล้วมั้งครับ?”
เฉินถิงเซียวดูดบุหรี่แรงๆคำนึง และได้เอาลงมาคีบอยู่ในนิ้วมือ นิ้วมือเรียวยาวได้ดีดควันทิ้ง น้ำเสียงเลื่อนลอย:“ช่วงนี้นี่คือวันไหน?”
“ความหมายของคุณชายคือ?” ในเรื่องแบบนี้ สือเย่ก็ยังสามารถรับรู้ความคิดในใจของเฉินถิงเซียวได้อยู่
เฉินถิงเซียวถามเขาแบบนี้ ในใจจะต้องมีความคิดของเขาแล้วแน่นอน
สือเย่พูดจบ ก็ได้โน้มตัวไว้รอคำตอบของเฉินถิงเซียว แต่แล้วเฉินถิงเซียวกลับเงียบสงบลง
จนกระทั่งเฉินถิงเซียวได้ดูดบุหรี่มวนนั้นจนหมด ถึงส่งเสียงว่า:“ช้าสุดพรุ่งนี้เขาก็จะเคลื่อนไหวแล้ว”
เขาเพิ่งสูบบุหรี่เสร็จ ลำคอที่สัมผัสกับควันได้แฝงด้วยความแหบพร่าเสี้ยวนึง ทำให้เขายิ่งดูทุ้มลึกเข้าไปอีก
ความคิดของสือเย่โลดแล่น สมองได้ทำงานอย่างไว พริบตาเดียวก็เข้าใจความหมายของเฉินถิงเซียวแล้ว:“ความหมายของคุณชายคือ ลี่จิ่วเชียนเร็วสุดก็จะเคลื่อนไหวคืนนี้เลย?”
“งั้นคุณหญิงก็คง……”หลังจากเห็นสีหน้ามืดมนของเฉินถิงเซียวแล้ว คำพูดตอนท้ายของสือเย่ก็ไม่ได้พูดออกมาอีก
ถ้าลี่จิ่วเชียนลงมือคืนนี้เลย งั้นสถานการณ์ของมู่น่อนน่อนก็จะกลายเป็นไม่ปลอดภัย
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้โต้แย้งสือเย่ นั่นก็แสดงว่าสือเย่พูดถูกแล้ว
เฉินถิงเซียวกำมือแน่น เอาก้นบุหรี่ที่เมื่อครู่เพิ่งดูดหมดกุมไว้ในฝ่ามือจนเละ จากนั้นจึงได้เริ่มออกคำสั่ง
“ส่งคนไปตรวจสอบผู้หญิงที่ชื่อวานวาน อาการป่วยหนัก คอยอาศัยเครื่องช่วยหายใจยื้อชีวิตตลอด เธออาจจะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับลี่จิ่วเชียน”
สือเย่อึ้งไปครู่นึง:“ครับ”
“ยังมีอีก……”เฉินถิงเซียวชะงักไปครู่นึง แต่สือเย่รู้แล้วว่าเฉินถิงเซียวจะพูดอะไร
สือเย่พูดอย่างรู้ตัวว่า:“ผมจะส่งคนไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของลี่จิ่วเชียนตลอดครับ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดจาอีก
หลายวันนี้ เฉินถิงเซียวพูดจาน้อยมาก
ที่จริงเมื่อก่อนเฉินถิงเซียวก็ไม่ใช่คนพูดมาก แต่ไม่เหมือนตอนนี้ในคำพูดสิบ
คำมีแปดคำที่ไม่ได้คำตอบ ทั้งหมดล้วนต้องอาศัยเขาไปเดา ถึงจะสามารถเดาความหมายจากคำพูดของเฉินถิงเซียวออก
ดีที่คำถามที่ตอนนี้เฉินถิงเซียวไม่สนใจเหล่านั้น ล้วนเป็นคำตอบที่สือเย่สามารถเดาได้
สือเย่ได้รับคำสั่งของเฉินถิงเซียว ก็ได้ออกจากห้องนอนเริ่มไปปฏิบัติการทันที
……
ตกดึก มู่น่อนน่อนก็รู้สึกได้ว่านอกห้องมีความเคลื่อนไหว
ตั้งแต่เธอมาอยู่ที่วิลล่าของลี่จิ่วเชียนก็หลับไม่ค่อยสนิทเลย ชอบสะดุ้งตื่นอยู่เรื่อยเลย โดยเฉพาะช่วงดึกมีความเคลื่อนไหวนิดหน่อยก็ตื่นแล้ว
หัวเตียงได้เปิดไฟไว้ดวงนึง มู่น่อนน่อนลืมตาขึ้นแค่พร่ามัวไปครู่นึง สายตาก็กลับมาชัดเจนแล้ว
เธอเอียงศีรษะและรวบรวมสมาธิไปฟังความเคลื่อนไหวของด้านนอก แต่กลับพบว่าไม่ได้ยินอะไรเลย
หรือเมื่อครู่เธอหูฝาดไป?
ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
หรือลองออกไปดูหน่อยดีกว่า?
พอมู่น่อนน่อนคิดแบบนี้ ก็ได้ลุกจากเตียงเบาๆ
เฉินมู่ยังหลับลึกอยู่ มู่น่อนน่อนโน้มตัวดึงผ้าห่มให้เฉินมู่ และได้ดึงมุมผ้าห่ม ทีนี้ถึงเดินไปใส่เสื้อคลุม
เธอกำลังจะใส่เสื้อคลุม แต่ก็ได้หยุดชะงักไว้เล็กน้อย
ถ้าข้างนอกมีคนจริงๆล่ะ?
มู่น่อนน่อนลังเลอยู่ครู่นึง จากนั้นได้ถอดเสื้อคลุมออก ใส่เสื้อผ้าทั้งหมดให้เรียบร้อย
เดินมาถึงหน้าห้องได้สวมรองเท้า พอจัดความเรียบร้อยของชุดเสร็จ ถึงยื่นมือไปเปิดประตู
“แกร๊ก”เสียงนึง ประตูห้องนอนค่อยๆถูกเปิดออก
มู่น่อนน่อนมองผ่านช่องโหว่ประตู พบว่าด้านนอกไม่มีเงาคนเลย
เธอโล่งอกไปที นี่ถึงได้เปิดประตูให้กว้างขึ้น
แต่ว่า ตอนที่เธอเปิดประตูให้กว้างขึ้น ก็สะดุ้งที่เห็นลี่จิ่วเชียนกำลังยืนห่างจากหน้าห้องหนึ่งเมตร!
ลี่จิ่วเชียนใส่เสื้อคลุมสีดำไว้ ยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทั้งตัวมีกลิ่นอายที่เย็นชาฟุ้งกระจายอยู่ แววตาก็ดุร้ายมาก
ด้านหลังของเขามีอาลั่วยืนอยู่ ด้านหลังของอาลั่วมีบอดี้การ์ติดตามอยู่หลายคน
ลี่จิ่วเชียนยกมุมปากขึ้น ดูแล้วใจเย็นแต่ดุร้าย เสียงยังคงอ่อนโยนอีกเช่นเคย:“ดูท่าแม้แต่ขั้นตอนเคาะประตูผมก็ได้ประหยัดไปแล้ว”
ใช่ เสียงอ่อนโยน เพียงแต่ในความอ่อนโยนนั้นได้แฝงด้วยความเย็นชา
มู่น่อนน่อนพอจะเข้าใจแล้วว่าในที่สุดลี่จิ่วเชียนก็ทนไม่ไหวที่จะเคลื่อนไหวแล้ว
ถ้าไม่มีการกระตุ้นของเฉินถิงเซียว เขาอาจจะยังนั่งนิ่งอยู่ ไม่เป็นฝ่ายลงมือเอง และจะสามารถได้โอกาสที่เอื้ออำนวยกว่า
แต่ว่า สองวันนี้พฤติกรรมทั้งหลายของเฉินถิงเซียวทำให้ลี่จิ่วเชียนไม่สามารถใจเย็นได้อีก
เขาถูกยั่วให้เกิดโทสะ ก็เลยไม่ได้มีความมั่นใจขนาดนั้นแล้ว หลังจากอารมณ์ยากที่จะควบคุม เขาก็ทนไม่ไหวที่จะลงมือแล้ว
มือข้างนึงของมู่น่อนน่อนจับประตูไว้ มืออีกข้างอดกุมแน่นไม่ได้
พักอยู่ที่วิลล่าของลี่จิ่วเชียนมานานขนาดนี้ จู่ๆนาทีนี้มู่น่อนน่อนกลับมีความรู้สึกที่ว่า“อะไรที่ควรจะมาในที่สุดก็มาแล้ว”
ในใจเธอสงบนิ่งจนเธอเองก็ยังค่อนข้างประหลาดใจเลย
“มีเรื่องเร่งด่วนอะไรคะ ถึงขั้นต้องให้คุณพาคนมาหาฉันกลางดึก?”มู่น่อนน่อนมองหน้าลี่จิ่วเชียนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงไม่มีความประหลาดใจและความหวาดกลัวอยู่เลย
แววตาของลี่จิ่วเชียนได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย:“คุณไม่รู้เลยว่าผมจะทำอะไร ก็ไม่กลัวเลยเหรอ?”
“ตอนนั้นฉันสมคบคิดกับคุณ ตอนที่ให้คุณคุมตัวฉันมา ฉันก็รู้แล้วว่าต้องมีวันนี้”
อย่างไรก็ตามเพิ่งตื่นขึ้นมากลางดึก ผมของมู่น่อนน่อนยังค่อนข้างยุ่งเหยิงอยู่ เธอยื่นมือทัดผมที่ติดอยู่ตรงแก้มไปที่หลังหู และคุยเงื่อนไขกับลี่จิ่วเชียนด้วยน้ำเสียงจริงจัง:“ถ้าฉันไปกับคุณ คุณปล่อยมู่มู่ไปได้มั้ย?เธอเป็นแค่เด็กคนนึง”
ลี่จิ่วเชียนยิ้มอ่อนๆ:“ผมย่อมยอมปล่อยเธอไปอยู่แล้ว”
เขายิ่งเป็นแบบนี้ มู่น่อนน่อนกลับยิ่งไม่เชื่อเขา
มู่น่อนน่อนเม้มปากแล้วพูดว่า:“ฉันกลับไปเอาผ้าพันคอที่ห้องหน่อยได้มั้ย?”
ในที่สุด ตอนที่เฉินถิงเซียวคีบผักให้มู่น่อนน่อนอีกครั้ง ลี่จิ่วเชียนได้เขวี้ยงตะเกียบในมือลงบนโต๊ะอาหารฉับพลัน พร้อมพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมและเฉียบขาด:“อาลั่ว ส่งแขก!”
อาลั่วเกลียดขี้หน้าเฉินถิงเซียวตั้งนานแล้ว ได้รีบลุกขึ้นมาแล้วเดินมาที่ตรงหน้าของเฉินถิงเซียว:“คุณเฉิน เชิญค่ะ”
เฉินถิงเซียววางตะเกียบลงอย่างเอื่อยเฉื่อย พร้อมถามสือเย่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม:“สือเย่ กินอิ่มหรือยัง?”
สือเย่เงียบไปครู่นึง จากนั้นถึงพูดว่า:“ไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ครับ”
“อืม” ทีนี้เฉินถิงเซียวถึงลุกขึ้น:“งั้นก็ไปเถอะ”
อย่าว่าแต่ลี่จิ่วเชียนเลย ถ้าพูดกลางๆแม้แต่มู่น่อนน่อนก็ยังรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวทำเกินไปจริงๆ
ทั้งสองเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ไม่เห็นหัวลี่จิ่วเชียนเลย
เฉินถิงเซียวกับสือเย่ได้เดินออกไปข้างนอก ไม่แม้แต่จะหันมามองเลย
จู่ๆลี่จิ่วเชียนได้ลุกขึ้นมากะทันหัน และปัดจานที่อยู่ตรงหน้าทิ้งไปที่พื้นหมด
จานลงไปที่พื้น ส่งเสียงกร๊องแกร๊งๆออกมา
ปฏิกิริยาแรกของมู่น่อนน่อนก็คืออุ้มเฉินมู่ขึ้นมา
เฉินมู่ตกใจจนเอ๋อไปแล้ว
ในเวลานั้น ตอนที่จู่ๆความทรงจำของเฉินถิงเซียวได้กลายมาเป็นสับสน ภายใต้การควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ก็เคยเขวี้ยงข้าวของที่วิลล่าเหมือนกัน
เห็นได้ชัดว่านาทีนี้ลี่จิ่วเชียนได้สติแตกไปแล้ว
อาลั่วให้คนส่งเฉินถิงเซียวพวกเขาออกไป ยังเดินไปได้ไม่ไกล ได้ยินความเคลื่อนไหวของห้องอาหาร เธอก็ได้ย้อนกลับมาทันที
เธอมองไปที่มู่น่อนน่อนอย่างสีหน้าไม่เปลี่ยน:“ยังไม่ไปอีก?”
เฉินมู่ตกใจ ถึงอาลั่วไม่พูด มู่น่อนน่อนก็เตรียมจะไปอยู่ดี
ในเมื่ออาลั่วก็พูดแบบนี้แล้ว เธอจึงได้อุ้มเฉินมู่เดินออกไปข้างนอก ไม่หยุดแม้แต่นาทีเดียว
อาลั่วเห็นมู่น่อนน่อนไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้ ได้โกรธจนหัวเราะ แต่สถานการณ์ของลี่จิ่วเชียนในตอนนี้ทำให้เธอไม่ทันไปคิดอย่างอื่น เธอเดินมาที่ตรงหน้าของลี่จิ่วเชียน ล้วงยาที่พกติดตัวตลอดออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้กับลี่จิ่วเชียน
ลี่จิ่วเชียนได้ปัดขวดยาที่อาลั่วยื่นมาทันที คนทั้งคนอยู่ในความเกรี้ยวกราด:“เอาไป!”
พริบตาเดียวขวดยาถูกได้เขาปัดทิ้ง อาลั่วรีบไปเก็บกลับมา
“คุณชาย……”อาลั่วมองลี่จิ่วเชียนด้วยความกังวล แต่กลับไม่รู้ต้องจะทำยังไง
ก็ไม่กล้ายื่นขวดยาให้เขาอีก
ความโกรธของลี่จิ่วเชียนได้พุ่งทะยานขึ้นไป มือสองข้างของเขายันอยู่บนโต๊ะอาหาร และพูดอย่างดุร้าย:“ถือสิทธิ์อะไรว่าเฉินถิงเซียวกับฉันไม่เหมือนกัน?เดิมทีเฉินถิงเซียวก็ควรจะเป็นคนแบบเดียวกันกับฉันอยู่แล้ว!”
ทุกถ้อยคำที่เขาพูดออกมา
ล้วนเหมือนน้ำแข็งที่รวมตัวกันยังไงอย่างงั้น แฝงด้วยความหนาวเย็น
……
มู่น่อนน่อนพาเฉินมู่ออกมาจากห้องอาหาร เฉินมู่เงียบสงบ ใบหน้าเล็กๆบึ้งตึงไว้ไม่พูดจาสักคำ แค่ซบมู่น่อนน่อนไว้แน่น
ในใจมู่น่อนน่อนรู้ดีว่าลี่จิ่วเชียนได้ทำให้เฉินมู่ตกใจแล้ว
มู่น่อนน่อนเห็นลี่จิ่วเชียนเป็นแบบนี้มาสองครั้งแล้ว ไม่ได้ตกตะลึงเหมือนที่เห็นครั้งแรกแล้ว
มู่น่อนน่อนได้หันกลับไปมองทิศทางของห้องอาหารอีกแว๊บนึง จากนั้นก็ได้พาเฉินมู่ขึ้นไปชั้นบน พอปลอบโยนเฉินมู่เสร็จ ถือโอกาสตอนที่เฉินมู่หลับไปแล้ว มู่น่อนได้หามือถือที่ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวให้เธอออกมา แล้วโทรหาเฉินถิงเซียว
เสียงรอสายดังตู๊ดขึ้นทีเดียว ก็มีคนรับสายแล้ว
“เป็นอะไร?”
เสียงของเฉินถิงเซียวทุ้มต่ำไพเราะ แยกแยะง่ายมาก
“มีเรื่องนึงฉันยังไม่ทันได้บอกคุณค่ะ”วันนี้อยู่หน้าห้องอ่านหนังสือแอบได้ยินบทสนทนาของอาลั่วกับลี่จิ่วเชียน ข้อมูลที่มู่น่อนน่อนวิเคราะห์ออกมาจากในนั้นยังไม่ได้บอกเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวที่อยู่ในสายได้เข้าสู่ความเงียบสงบ มู่น่อนน่อนได้ยินแค่เสียงหายใจแผ่วเบาของเฉินถิงเซียว ยากที่จะคาดเดาจากลมหายใจนี้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่มู่น่อนน่อนกลับรู้สึกได้อย่างแปลกประหลาดว่าอารมณ์ของเฉินถิงเซียวได้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เธอกำลังจะเปิดปากถามเฉินถิงเซียวว่าเป็นอะไรไป แต่เฉินถิงเซียวกลับพูดขึ้นมาในเวลานี้:“ไหนลองเล่ามาซิ”
“เช้าวันนี้หลังจากที่คุณมา ลี่จิ่วเชียนได้ปรี๊ดแตกอยู่ที่ห้องอ่านหนังสือ ได้เขวี้ยงปาข้าวของเยอะมาก เมื่อกี๊ก็เหมือนกัน แต่เมื่อเช้าฉันแอบได้ยินบนสนทนาของเขากับอาลั่ว ตอนแรกเริ่มที่เขาใกล้ชิดฉันคือมีจุดประสงค์อย่างอื่นจริงๆ ถ้าตอนนี้พวกคุณตรวจสอบเรื่องของลี่จิ่วเชียนแล้วไม่มีความคืบหน้า งั้นก็สามารถตรวจสอบจากบนตัวของผู้หญิงที่ชื่อว่า‘วานวาน’ค่ะ”
มู่น่อนน่อนไม่ได้เยิ่นเย้ออืดอาด ได้พูดเรื่องเหล่านี้ให้เฉินถิงเซียวฟังทั้งหมด:“‘วานวาน’เป็นผู้หญิงกำลังที่ป่วยหนักคนนึง อาศัยเครื่องช่วยหายใจยื้อชีวิตไว้ น่าจะเป็นที่คนสำคัญกับลี่จิ่วเชียนมาก อาจจะเป็นญาติของเขา”
สำหรับคนทั่วไปแล้ว อาศัยข้อมูลผิวเผินหลายจุดนี้ไปหาคน ไม่ต่างกับงมเข็มในมหาสมุทรเลย
แต่สำหรับเฉินถิงเซียวแล้ว ข้อมูลเหล่านี้ก็เพียงพอให้เขาหาผู้หญิงที่ชื่อ“วานวาน”คนนี้เจอในระยะเวลาอันสั้นแล้ว
มู่น่อนน่อนพูดจบ พบว่าเฉินถิงเซียวที่อยู่ในสายเงียบกริบไม่ส่งเสียงเลย เธอได้พูดอย่างค่อนข้างสงสัย:“เฉินถิงเซียว?คุณฟังอยู่หรือเปล่าคะ?”
เสียงของเฉินถิงเซียวทุ้มต่ำมาก:“คุณรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง?”
เมื่อครู่มู่น่อนน่อนคิดแต่อยากจะเล่าเรื่องพวกนี้ให้เฉินถิงเซียวฟัง รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของเฉินถิงเซียวผิดสังเกต ตอนนี้ฟังเสียงของเฉินถิงเซียวแล้ว ถึงฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความโกรธ
“แอบฟังมาค่ะ ”มูาน่อนน่อนพูดจบ ก็ได้ถามเสียงเบาว่า:“มีอะไรเหรอคะ?”
“คุณนึกว่าลี่จิ่วเชียนจะไม่ทำอะไรคุณจริงๆเหรอ?”เสียงของเฉินถิงเซียวแฝงด้วยความเย็นชา
มู่น่อนน่อนอึ้งอยู่ครู่นึงถึงตอบเฉินถิงเซียวว่า:“พวกเขาไม่เห็นฉันค่ะ……”
“เหอะ”เฉินถิงเซียวยิ้มหยัน ได้กดคำพูดที่เหลือของมู่น่อนน่อนไปหมด
ทีนี้มู่น่อนน่อนไม่พูดแล้ว เฉินถิงเซียวแบบนี้จะให้เธอพูดต่อยังไง
จู่ๆมู่น่อนน่อนนึกขึ้นมาได้อีกเรื่องนึง
ที่นี่ไกลจากตัวเมืองมาก ช่วงเช้าหลังจากเฉินถิงเซียวมาแล้ว ช่วงค่ำก็มาทานข้าวเย็นอีก แสดงว่าเขาไม่ได้อยู่ในตัวเมือง แต่อยู่แถวนี้
มู่น่อนน่อนถามเขา:“ตอนนี้คุณพักอยู่ที่ไหนคะ?”
เฉินถิงเซียวได้ตอบโดยตรง:“ข้างบ้านลี่จิ่วเชียน”
“พวกคุณเข้ามาพักตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”มู่น่อนน่อนถามด้วยความประหลาดใจ
เสียงของเฉินถิงเซียวยังคงเรียบเฉยมากอีกเช่นเคย:“สองวันก่อน”
ตอนที่ข้างนอกลือกันว่าเฉินถิงเซียวเกิดอุบัติเหตุ เขาก็ใช้เรื่องอุบัติเหตุนี้ดึงดูดสายตาของคนอื่น และเข้าพักที่ข้างบ้านของลี่จิ่วเชียนอย่างเงียบๆ
“ลี่จิ่วเชียนน่าจะมีความเคลื่อนไหวในเร็วๆนี้แล้ว มีอะไรก็โทรหาผมนะ ทุกเมื่อ”คำสุดท้ายสองคำนี้ เฉินถิงเซียวได้เพิ่มน้ำเสียงเสียง แฝงด้วยความเคร่งขรึมและความจริงใจ
มู่น่อนน่อนพยักหน้า จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเฉินถิงเซียวมองไม่เห็นเธอพยักหน้า เธอจึงรีบพูดอีกว่า:“โอเคค่ะ”
“ฝันดี”เฉินถิงเซียวพูดจบแต่ไม่ได้วางสายทิ้ง เขากำลังรอให้มู่น่อนน่อนวางสายก่อน
มู่น่อนน่อนเข้าใจความหมายของเขา ก็เลยเป็นฝ่ายวางสายทิ้งก่อน
เธอวางสายพร้อมเอามือถือเก็บไว้ดีๆ จากนั้นก็ได้กลับไปนอนที่บนเตียง
แต่เฉินถิงเซียวที่อยู่อีกฝั่ง หลังจากวางมือถือลงแล้ว สีหน้ากลับบึ้งตึงขึ้นอีกหลายส่วน
เขายืนอยู่ริมหน้าต่างชั้นสามของวิลล่า วิลล่าที่เขาพักอาศัยอยู่ไม่ไกลจากวิลล่าของลี่จิ่วเชียน จากตำแหน่งที่เขายืนอยู่สามารถเห็นตำแหน่งห้องที่มู่น่อนน่อนพักพอดี
โรคแผลกประหลาดแบบนี้ อาจจะเป็นที่จิตใจ อาจจะเป็นที่ความคิด และอาจจะเป็นที่ร่างกาย
ลี่จิ่วเชียนคนนี้เต็มไปด้วยความลับ ซับซ้อนเกินไป
มู่น่อนน่อนหลุบตาไว้ อำพรางอารมณ์ในแววตาไว้แล้วถามว่า:“พวกเราเข้าไปได้หรือยังคะ?”
“เข้ามาเลยครับ”ลี่จิ่วเชียนนี่ถึงสังเกตเห็นว่าเธอได้พาเฉินมู่มาด้วย
รอยยิ้มของลี่จิ่วเชียนได้ลึกซึ้งขึ้นหลายส่วน เขายื่นมือไปจับศีรษะของเฉินมู่:“มู่มู่”
เฉินมู่ได้เรียกอย่างเชื่อฟังคำนึง:“คุณลุงลี่”
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ว่าเฉินมู่ได้เขยิบมาใกล้เธอเล็กน้อย เหมือนจะต่อต้านลี่จิ่วเชียนนิดหน่อย
ลี่จิ่วเชียนหันหลังเดินเข้าไปด้านใน มู่น่อนน่อนก็ได้พาเฉินมู่ตามเข้าไปด้วย
เข้ามาในห้องอ่านหนังสือ มู่น่อนน่อนกับเฉินมู่ก็ได้นั่งลงที่บนโซฟา
“หาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”มู่น่อนน่อนส่งเสียงถามเขา
บนโต๊ะน้ำชามีกาน้ำวางอยู่ ลี่จิ่วเชียนรินน้ำให้เธอไปด้วยและใช้น้ำเสียงที่ผ่อนคลายเหมือนชิวๆพูดไปด้วย:“คุณไม่อยากรู้เหรอครับ ว่าผมกับเฉินถิงเซียวได้คุยอะไรไปบ้าง?”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมา แววตาไม่มีอารมณ์อะไร:“ถ้าคุณอยากบอกฉัน สามารถพูดออกมาโดยตรงเลย”
เฉินมู่ที่อยู่ข้างๆได้ยินคำว่า“เฉินถิงเซียว”แล้ว ได้เอามือน้อยๆจิ้มเอวของมู่น่อนน่อนทีนึง มู่น่อนน่อนหันมามองเธอ ก็เห็นความข้องใจจากแววตาของเฉินมู่
เฉินมู่เห็นมู่น่อนน่อนมองเธอ ก็ได้พูดเสียงเบาว่า:“คุณพ่อ”
มู่น่อนน่อนได้กุมมือน้อยๆของเธอไว้ และพูดโดยที่ไม่เงยหน้า:“ถ้าคุณอยากบอกฉัน ก็บอกมาตรงๆเลยค่ะ”
ก่อนหน้านี้เธออยู่หน้าห้องอ่านหนังสือของลี่จิ่วเชียน ก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่ลี่จิ่วเชียนโมโหจัดเขวี้ยงปาข้าวของแล้ว เธอย่อมสามารถเดาได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินถิงเซียวอยู่ในห้องอ่านหนังสือของลี่จิ่วเชียนไม่ได้พูดคำพูดที่ฟังดูดีแน่นอน
ลี่จิ่วเชียนหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะฟังแล้วเย็นชาเล็กน้อย
เขาผลักน้ำที่รินเสร็จมาที่ตรงหน้าของมู่น่อนน่อน เสียงอ่อนโยนจนใกล้เคียงกับตึง:“ดื่มน้ำครับ”
“ขอบคุณค่ะ”มู่น่อนน่อนกล่าวขอบคุณแต่ก็ไม่ได้ยื่นมือไปหยิบน้ำ
พริบตาเดียวในห้องได้เงียบสงบลง ทั้งสองคนต่างก็ไม่มีใครพูดจาเลย
เฉินมู่ซบอยู่ที่บนตัวของมู่น่อนน่อน คอยก้มหน้าเล่นซิปบนเสื้อผ้าตัวเอง ไม่โวยวายและไม่งอแง
เหมือนกำลังแสดงละครตลกที่เงียบกริบอยู่ ทั้งๆที่ไม่ได้พูดคำพูดพิเศษอะไรเลย แต่กลับแฝงด้วยความรู้สึกตลกและบ้าบอคอแตกที่อธิบายสาเหตุไม่ได้
ผ่านไปครึ่งค่อนวัน ลี่จิ่วเชียนถึงค่อยๆพูดออกมาคำนึง:“คอยดูเถอะ ใครจะตายอยู่ในมือของใครก็ยังไม่แน่เลย”
พูดถึงตอนท้าย เขาได้เงยหน้าขึ้นมาเผยรอยยิ้มที่ลึกซึ้งกระตุ้นให้เกิดความสนใจให้กับมู่น่อนน่อน
น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความรู้สึกที่แข่งขัน
ดูเหมือนเขาจะเห็นเฉินถิงเซียวเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุดคนนึง แต่ทำไมถึงมีการแข่งขันแบบนี้ มู่น่อนน่อนเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจเหมือนกัน
มู่น่อนน่อนยกมุมปากขึ้น แต่ไม่ได้พูดจา
……
ช่วงพลบค่ำ เฉินถิงเซียวได้มาอีกรอบจริงๆด้วย
มู่น่อนน่อนได้ยินด้านนอกมีเสียงดังขึ้น ยังไม่รอให้เธอได้ออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เฉินถิงเซียวก็ได้เดินเข้ามาจากประตูห้องโถงแล้ว ครั้งนี้ยังได้พาสือเย่มาด้วย
ระยะห่างของพวกเขากับมู่น่อนน่อนยังค่อนไกลอยู่ ตอนที่มู่น่อนน่อนมองไป เฉินถิงเซียวก็ได้มองมาที่เธอ แววตาลุ่มลึกยากที่จะแยกแยะอารมณ์ที่แท้จริงของเขา
สือเย่ได้เดินอยู่ที่ข้างหลังของเฉินถิงเซียวและห่างจากเขาหนึ่งก้าว ได้พยักหน้าให้มู่น่อนน่อนอย่างเล็กน้อยจนมองไม่เห็นเหมือนเมื่อก่อน
นี่ทำให้มู่น่อนน่อนเบลอไปครู่นึง ราวกับว่าพวกเขาได้อยู่ในวิลล่าของเฉินถิงเซียวที่เมืองหู้หยาง แต่ไม่ได้อยู่ในวิลล่าของลี่จิ่วเชียนอยู่ต่างเมืองต่างถิ่นอย่างเมืองM
ลี่จิ่วเชียนลงมาจากชั้นบนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ข้างหลังมีอาลั่วคอยติดตามอยู่
เขาเดินลงมาจากชั้นบน ได้ยืนนิ่งตรงที่ๆห่างจากเฉินถิงเซียวไม่ไกล พร้อมยิ้มหยันทีนึง:“คุณเฉินนี่เห็นบ้านผมเป็นตลาดรึไงครับ?”
เฉินถิงเซียวยักคิ้ว น้ำเสียงชิวๆ:“คุณลี่ก็ดูถูกตัวเองเกินไปแล้วครับ ผมไม่เคยไปตลาดเลย”
รอยยิ้มที่หลงเหลือเพียงน้อยนิดของลี่จิ่วเชียนได้จางหายไปตาม แต่ยังได้เก็บอารมณ์ไว้ไม่เปิดปากไล่คน
ได้มีคนรับใช้เดินมาในเวลานี้:“คุณผู้ชายคะ อาหารค่ำเตรียมเสร็จแล้วค่ะ”
ยังไม่รอให้ลี่จิ่วเชียนออกคำสั่ง สือเย่ก็ได้ก้าวมาถามคนรับใช้แล้ว:“ไม่ทราบว่าห้องอาหารไปยังไงครับ?”
สือเย่ใส่ชุดสูททั้งตัว ดูแล้วระมัดระวังและสุภาพ คนรับใช้นึกว่าเป็นแขกของลี่จิ่วเชียน จึงได้ชี้ทิศทางของห้องอาหาร:“เดินไปทางนี้ก็คือห้องอาหารแล้วค่ะ”
“ขอบคุณครับ”สือเย่พูดจบก็ได้ถอยหลังไปก้าวนึง ยืนอยู่ข้างๆให้เฉินถิงเซียวไปก่อน
เฉินถิงเซียวเหมือนอย่างกับอยู่บ้านตัวเองยังไงอย่างงั้น ได้เดินไปที่ห้องอาหารโดยตรง โดยที่ไม่เกรงใจเลยสักนิด ราวกับว่าอยู่บ้านตัวเอง
มู่น่อนน่อนเคยเห็นแค่หน้าตาที่ไม่มีเหตุผลของเฉินถิงเซียว แต่กลับไม่เคยเห็นหน้าตาที่ขี้โกงอย่างเปิดเผยเช่นนี้ของเขามาก่อน
ลี่จิ่วเชียนถนัดเรื่องเสแสร้ง เขาชินกับการเสแสร้งให้ตัวเองเป็นคนดี และเสแสร้งเป็นสุภาพบุรุษที่ทำอะไรรอบคอบและระมัดระวัง
ถ้าลี่จิ่วเชียนเป็นสุภาพบุรุษคนนึงจริงๆ พฤติกรรมขี้โกงเหล่านี้ของเฉินถิงเซียวก็จะไม่มีผลกระทบอะไรกับเขา แต่ลี่จิ่วเชียนแค่เสแสร้งออกมาเท่านั้น
พอแบบนี้ปุ๊บ พฤติกรรมเหล่านี้ของเฉินถิงเซียว ก็ไม่ต่างกับว่ากำลังท้าทายฟางเส้นสุดท้ายของของลี่จิ่วเชียน
ดูแค่ว่าลี่จิ่วเชียนจะสามารถทนได้นานแค่ไหน
ช่วงนี้ ลี่จิ่วเชียนนอกจากให้คนจัดฉากอุบัติเหตุอยากทำร้ายเฉินถิงเซียว กลับไม่มีแผนการต่อไปที่แน่ชัด
มู่น่อนน่อนมาอยู่ที่นี่ได้ช่วงนึงแล้ว ที่ผ่านมาก็แค่ถูกปักหลักอยู่ที่นี่เฉยๆ
ลี่จิ่วเชียนไม่มีความเคลื่อนไหว เฉินถิงเซียวก็คิดหาวิธีบีบให้เขาเคลื่อนไหว
เฉินมู่เห็นเฉินถิงเซียวเดินไปที่ห้องอาหาร เธอรีบดึงมือมู่น่อนน่อนไว้จะเดินไปที่ห้องอาหาร:“แม่คะ กินข้าวแล้วค่ะ!”
“ไปกันเถอะค่ะ”มู่น่อนน่อนมองลี่จิ่วเชียนแว๊บนึง จากนั้นก็ได้พาเฉินมู่ไปที่ห้องอาหาร
อาลั่วเห็นสถานการณ์แล้ว โมโหจนกำลังจะเปิดปากพูด แต่กลับถูกลี่จิ่วเชียนห้ามเอาไว้
“เฉินถิงเซียวนี่ชักจะเกินไปแล้ว เขาอาศัยว่าพวกเราไม่กล้าเคลื่อนไหวในที่สว่าง ถึงได้มีที่พึ่งจึงไม่เกรงกลัวขนาดนี้ มู่น่อนน่อนก็อีกคน ช่วงนี้พวกเราก็ดีกับเธออยู่ เธอก็ไม่มีน้ำใจเลย!”
อาลั่วยิ่งพูดยิ่งโมโห สุดท้ายได้หันไปกระทืบโซฟาที่อยู่ข้างๆทีนึง
“ไปเถอะ ทานข้าว”อารมณ์ของลี่จิ่วเชียนกลับได้สงบลงมาตั้งนานแล้ว
ตอนที่เขากับอาลั่วเข้ามาในห้องอาหาร เฉินถิงเซียวกับพวกมู่น่อนน่อนได้นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารตั้งนานแล้ว
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ที่ข้างกายเฉินถิงเซียว สือเย่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของพวกเขา
หลังจากลี่จิ่วเชียนเข้ามา ได้นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะโดยตรง ส่วนอาลั่วได้นั่งลงที่ข้างกายของสือเย่
อาหารค่ำมื้อนี้แปลกมาก นอกจากลี่จิ่วเชียนกับอาลั่วแล้ว คนอื่นล้วนทานอย่างเอร็ดอร่อยมาก โดยเฉพาะเฉินมู่
“พ่อคะ อันนี้อร่อย……หนูจะเอาอันนั้น……”เฉินมู่มือสั้น เธอใช้ตะเกียบเป็น แต่คีบผักไม่ค่อยคล่อง ปกติล้วนมีผู้ใหญ่คอยคีบให้เธอ
วันนี้เฉินถิงเซียวอยู่นี่ เธอย่อมพึ่งพาเฉินถิงเซียวคอยให้เขาคีบผักให้เธออยู่แล้ว
เฉินถิงเซียวคอยดูแลเฉินมู่ทานข้าวอย่างมีความอดทน ความรู้สึกที่ใกล้ชิดผูกพันของพ่อลูกแท้ๆแสดงออกมาได้เฉียบขาดและชัดเจน
แต่มู่น่อนน่อนกลับสังเกตเห็นสีหน้าของลี่จิ่วเชียนยิ่งอยู่ยิ่งแย่
เฉินถิงเซียวกับเฉินมู่ใกล้ชิดผูกพันกัน นี่ก็สามารถกระทบกระเทือนลี่จิ่วเชียน?
เธอคอยสังเกตลี่จิ่วเชียนอย่างสงบเยือกเย็น ก็พบว่าอารมณ์ของลี่จิ่วเชียนยิ่งอยู่ยิ่งชัดเจน
ลี่จิ่วเชียนหน้าบูดบึ้งไว้ ได้กรอกยากำนั้นเข้าไปอย่างแข็งกระด้าง
อาลั่วยืนอยู่ข้างหลังเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสาร:“ถึงคุณชายไม่กินยาก็ไม่เป็นไรค่ะ!ไม่ว่าคุณชายจะเป็นลี่จิ่วเชียนหรือว่าลี่จิ่วชัง ฉันก็ไม่……”
ลี่จิ่วเชียนได้กลืนยาเข้าไปอย่างค่อนข้างลำบาก เสียงค่อนข้างแหบพร่า แต่กลับแฝงด้วยความเย็นชา:“หุบปาก”
อาลั่วไม่พูดจาอีก แค่มองเขาไว้อย่างอยากจะพูดแต่ก็หยุดเอาไว้
“ฉันคือฉัน เสี่ยวชังคือเสี่ยวชัง”ตอนที่ลี่จิ่วเชียนพูด มือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานได้กุมแน่นอย่างควบคุมไม่ได้
อาลั่วก็อดไม่ได้อยู่ดี เธอได้พูดอีกคำนึงว่า:“ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่ว่าอาการป่วยของคุณชายกำเริบ คุณชายจะดำเนินแผนการ จะล่อมู่น่อนน่อนมาที่เมืองMเหรอคะ?”
ลี่จิ่วเชียนหันไปมองอาลั่ว มองจากมุมของมู่น่อนน่อน สามารถเห็นแค่ใบหน้าด้านข้างของลี่จิ่วเชียน แต่ใบหน้าด้านข้างนี้ก็เย็นชาเหมือนกัน
สีหน้าของลี่จิ่วเชียนจะต้องดูแย่มากแน่ๆเลย เสียงของอาลั่วค่อนข้างขาดความมั่นใจ:“คุณชายตกหลุมรักมู่น่อนน่อนเข้าจริงๆแล้วใช่มั้ยคะ?คุณชายคงไม่ใช่ว่าลืมจุดประสงค์เดิมไปแล้วนะคะ?ตอนนี้วานวานยังอยู่ในโรงพยาบาลอาศัยเครื่องช่วยหายใจยื้อชีวิตอยู่……”
เพี๊ยะ!
คำพูดของอาลั่วได้ถูกเสียงตบหน้าของลี่จิ่วเชียนขัดจังหวะ
มู่น่อนน่อนที่อยู่หน้าห้องก็ถูกเสียงตบหน้าของลี่จิ่วเชียนทำเอาช็อกเหมือนกัน
ถึงแม้รู้ตั้งนานแล้วว่าลี่จิ่วเชียนไม่ใช่คนดี แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะตบตีผู้หญิง โดยเฉพาะกับอาลั่วที่ดีกับเขาและภักดีกับเขาขนาดนี้
ลี่จิ่วเชียนตบฉาดนี้ได้ค่อนข้างโหด อาลั่วเซไปครู่นึงถึงยืนทรงตัวนิ่ง เธอไม่ได้ยื่นมือไปจับหน้าตัวเอง แค่ก้มหน้าเล็กน้อยไม่พูดสักคำ
เป็นผู้หญิงที่ดื้อด้านและหยิ่งในศักดิ์ศรี
ลี่จิ่วเชียนลุกขึ้นมาหันหลังให้กับประตู มู่น่อนน่อนไม่เห็นสีหน้าของเขา ได้ยินแค่เสียงของเขา:“ฉันทำเรื่องอะไร ต้องให้เธอมาเตือนด้วยเหรอ?”
ผ่านไปครู่นึง เสียงของอาลั่วถึงก้องมาเบาๆ:“ขอโทษค่ะ ฉันล้ำเส้นเกินไป”
ลี่จิ่วเชียนหันหน้ามาพร้อมกับสีหน้าบูดบึ้ง เสียงก็เย็นชาสุดๆ:“ออกไป”
“ค่ะ”อาลั่วพยักหน้าเล็กน้อย ดูแล้วเคารพนอบน้อมสุดขีด
เห็นอาลั่วกำลังจะออกมาแล้วมู่น่อนน่อนรีบปิดประตูอย่างระมัดระวัง จากนั้นได้หันหลังเดินกลับไปที่ห้องนอนของเฉินมู่อย่างเบามือเบาเท้าและรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนเดินไปด้วยและนึกย้อนเนื้อหาที่เมื่อครู่อยู่หน้าห้องได้ยินที่ลี่จิ่วเชียนกับอาลั่วพูดคุยกันไปด้วย
ลี่จิ่วเชียนชอบเธอหรือเปล่าอันนี้เธอไม่รู้ เธอแค่อยากรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของลี่จิ่วเชียนคืออะไร
แต่เมื่อครู่คำพูดของอาลั่วพูดไปแค่ครึ่งเดียว ก็ไม่ได้พูดให้แน่ชัดว่าจุดประสงค์ที่ลี่จิ่วเชียนเข้าใกล้เธอตอนนั้นคืออะไรกันแน่
ยังมีอีก แล้ววานวานคือใคร?
ถ้าวานวานเป็นชื่อคน ฟังแล้วน่าจะเป็นชื่อของผู้หญิง
——ตอนนี้วานวานยังอยู่ในโรงพยาบาล อาศัยเครื่องช่วยหายใจยื้อชีวิตอยู่
นี่เป็นคำพูดเดิมของอาลั่ว คำพูดนี้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลออกมาได้ไม่น้อยเลย
วานวาน อาจจะเป็นผู้หญิงคนนึง
ฟังน้ำเสียงของอาลั่ว วานวานน่าจะเป็นผู้หญิงที่มีความเกี่ยวข้องลี่จิ่วเชียน แถมน่าจะสำคัญมากด้วย ถ้าไม่สำคัญ ลี่จิ่วเชียนก็ไม่สนหรอกว่า“วานวาน”คนนั้นจะอาศัยเครื่องช่วยหายใจยื้อชีวิตหรือว่าตายไปแล้ว
สำหรับผู้ชายคนนึงแล้ว ผู้หญิงที่สำคัญก็มีแค่สองแบบเท่านั้น แบบนึงคือคนรัก อีกแบบนึงคือคนในครอบครัว
ดูจากนิสัยที่เจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างลี่จิ่วเชียนแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าวานวานคนนั้นอาจจะเป็นแค่คนในครอบครัวของเขา
อาลั่วชอบลี่จิ่วเชียน ถ้าวานวานเป็นคนรักของลี่จิ่วเชียน ตอนที่เธอพูดถึงวานวานน้ำเสียงไม่ควรจะปกติขนาดนั้นถึงจะถูก
มู่น่อนน่อนได้จัดเรียงสิ่งที่ในใจวิเคราะห์ออกมา และได้ข้อสรุปว่า
ลี่จิ่วเชียนมีจุดประสงค์ที่ไม่อาจบอกใครได้จริงๆ จุดประสงค์นี้อาลั่วรู้ มีคนๆนึงที่สำคัญกับเขามาก ชื่อวานวาน เป็นผู้หญิงและกำลังป่วยหนักอยู่
อาลั่วเป็นคนหัวดื้อไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ปากแข็งจะตาย เหมือนลี่จิ่วเชียนเลย อยากได้ข้อมูลจากปากของสองคนนี้ ยากไม่ต่างกับขึ้นสวรรค์เลย
เพราะฉะนั้น จุดทะลวงที่เหลืออยู่ก็คือผู้หญิงที่ชื่อ“วานวาน”คนนั้น
แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่สามารถแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นผู้หญิงแน่นอน ถ้าเกิดเป็นผู้ชายล่ะ?ถึงแม้ความเป็นไปได้จะต่ำมาก
ตลอดทางมู่น่อนน่อนได้ไตร่ตรองเรื่องนี้จนกลับมาถึงห้องนอนของเฉินมู่
เฉินมู่นั่งอยู่บนพรมปูพื้น เอาตุ๊กตาทั้งหมดวางเรียงเป็นแถวอย่างเบื่อหน่าย กำลังเล่นพ่อแม่ลูกกัน
ถึงแม้ลี่จิ่วเชียนไม่ค่อยจำกัดอิสระของพวกเธอ แต่ยังไงก็สู้อยู่บ้านไม่ได้ มู่น่อนน่อนกลัวจะมีคนคิดมิดีมิร้ายกับเฉินมู่ ดังนั้นจึงให้เฉินมู่คอยอยู่ที่ข้างกายตลอด ให้เธออยู่ในสายตาตัวเองตลอด
พอเป็นแบบนี้ พื้นที่ๆเฉินมู่สามารถทำกิจกรรมก็จะเล็กมาก
ตอนนี้เธอเป็นวัยที่กำลังชอบขยับเขยื้อนพอดี กลับได้แค่อุดอู้อยู่ในวิลล่าทั้งวัน ออกไปเล่นก็ไม่ได้ และน้อยมากที่จะงอแง เป็นเด็กดีเชื่อฟังจนทำให้คนสงสาร
เฉินมู่ได้ยินเสียง พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นมู่น่อนน่อนเข้ามา เธอแหงนหน้ายิ้มให้กับมู่น่อนน่อน:“แม่คะ!”
“กำลังเล่นอะไรอยู่คะ?”มู่น่อนน่อนนั่งลงมาที่ข้างๆของเฉินมู่ มองดูเธอจัดวางตุ๊กตา
เฉินมู่มีความสนใจที่จะอธิบายให้เธอฟังมาก ตุ๊กตาพวกนี้คือใครบ้าง และชื่ออะไรบ้าง
ยังไม่รอให้เฉินมู่ได้บอกชื่อตุ๊กตาพวกนั้นให้มู่น่อนน่อนฟังหมด ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้ว
มู่น่อนน่อนได้ลังเลก่อน เดาอยู่ในใจว่าก่อนหน้านี้อาลั่วเห็นตัวเองไปแอบฟังหรือเปล่า ตอนนี้ถึงได้มาหาเธอ
จากนั้น เธอถึงลุกไปเปิดประตู
คนที่ยืนอยู่หน้าห้องคืออาลั่วจริงๆด้วย
อาลั่วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย:“คุณผู้ชายหาคุณ ที่ห้องอ่านหนังสือ”
เธอพูดจบก็ได้หันหลังไปเลย ไม่อยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว
มู่น่อนน่อนหันมามองเฉินมู่แว๊บนึง เห็นเธอยังนั่งอยู่บนพื้นและอินกับการเล่นตุ๊กตาของตัวเองอยู่ มู่น่อนจึงได้เรียกเธอ:“มู่มู่”
“คะ?”เฉินมู่เงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยสีหน้ามึนงง
มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วกวักมือให้เธอ:“รีบมาเร็ว เราไปเล่นที่ห้องอ่านหนังสือของลุงลี่กัน”
“ค่ะ!”เฉินมู่เอามือยันพื้นไว้แล้วลุกขึ้นมา ถึงในห้องจะเปิดเครื่องทำความร้อนไว้ แต่เธอก็ยังใส่เสื้อผ้าหนาอยู่ดี ก็เลยดูค่อนข้างเซ่อซ่า
แต่ก็เซ่อซ่าได้น่ารัก
หลังจากเฉินมู่ยืนขึ้น ก็ได้วิ่งไปยังทิศทางของมู่น่อนอย่างไว วิ่งมาถึงตรงหน้ามู่น่อนน่อนก็ได้กุมมือของเธอไว้โดยตรง
มู่น่อนน่อนได้พาเธอมาถึงที่หน้าห้องอ่านหนังสือของลี่จิ่วเชียน ก่อนอื่นได้เคาะประตูก่อน ทีนี้ก็รอแค่คนที่อยู่ด้านในเรียกพวกเธอเข้าไป
แต่มู่น่อนน่อนไม่ได้ยินลี่จิ่วเชียนที่อยู่ข้างในเรียกพวกเธอเข้าไป เพราะลี่จิ่วเชียนได้มาเปิดประตูเอง
เอี๊ยดเสียงนึง ประตูถูกคนเปิดออกจากด้านใน
ลี่จิ่วเชียนยืนอยู่ที่หน้าห้องด้วยสีหน้าอ่อนโยน พอเห็นมู่น่อนน่อน เขาได้พูดด้วยรอยยิ้ม:“มาแล้วเหรอครับ”
ประตูเปิดกว้างไปหน่อย มู่น่อนน่อนมองไปที่ด้านหลังของลี่จิ่วเชียน พบว่าห้องอ่านหนังสือไม่มีความเละเทะของก่อนหน้านี้แล้ว ได้กลายเป็นห้องที่สะอาดเรียบร้อยเป็นระบบระเบียบแล้ว
ลี่จิ่วเชียนก็เหมือนห้องอ่านหนังสือที่ได้ผ่านการจัดความเรียบร้อยยังไงอย่างงั้น สีหน้าอ่อนโยนและใจเย็น หาร่องรอยคลุ้มคลั่งของก่อนหน้านี้ไม่เจอเลยสักนิด
มู่น่อนน่อนยิ่งอยู่ยิ่งแน่ใจแล้วว่าลี่จิ่วเชียนอาจจะป่วยโรคแปลกประหลาด
เฉินถิงเซียวไม่ใช่คนที่ชอบยิ้ม โดยเฉพาะตอนที่ยิ้มออกมาจากใจจริงยิ่งน้อยจนน่าสงสาร
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตอนที่เฉินถิงเซียวยิ้มอย่างไม่ได้ออกมาจากใจจริงแบบนี้ดูน่ากลัวมาก
เธอก็ไม่ได้พูดอะไร แค่มองเฉินถิงเซียวอยู่อย่างนั้น
จู่ๆเฉินถิงเซียวได้ยื่นมือลูบศีรษะเธอ เดิมทีนี่ก็เป็นท่าทางที่ใกล้ชิดสนิทสนมมากอยู่แล้ว มู่น่อนน่อนยิ่งรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนของเขา
“ผมไปก่อนนะ เดี๋ยวช่วงดึกค่อยมาใหม่”
เขาพูดจบก็ได้ดึงมือกลับ เหมือนกำลังรอมู่น่อนน่อนตอบสนองเขา
มู่น่อนน่อนอึ้งไปสิบกว่าวิ ถึงเบาเสียงถามเขาด้วยสีหน้ามึนงง:“ช่วงดึกจะมายังไงคะ?”
เฉินถิงเซียวพูดจาเรียบเฉย:“ก็ต้องเดินเข้ามาสิ”
“คุณ……”ตอนนี้มู่น่อนน่อนรู้สึกถูกความเคลื่อนไหวของเฉินถิงเซียวทำเอาค่อนข้างมึน
จู่ๆเขามาที่วิลล่าของลี่จิ่วเชียนอย่างกร่างขนาดนี้ และไปอยู่กับลี่จิ่วเชียนที่ห้องอ่านหนังสือมาพักนึง ยังบอกว่าช่วงดึกจะมาอีก
หรือว่าเขาไม่ได้มาพาเธอกับเฉินมู่ไป?
ตามนิสัยของเฉินถิงเซียวแล้ว ในเมื่อเขามาแล้วก็จะต้องพาเธอกับเฉินมู่ไป!
เฉินถิงเซียวย่อมดูความข้องใจของมู่น่อนน่อนออกอยู่แล้ว “ตอนที่ผมมา ได้ปล่อยข่าวออกไปและแจ้งให้สื่อ”
เขาอธิบายแบบนี้ปุ๊บ มู่น่อนน่อนก็เข้าใจในทันทีเลย
เฉินถิงเซียวเป็นคนมีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจ แต่เพราะธุรกิจของตระกูลครอบคลุมอยู่ทั่วโลก เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกธุกิจ อิทธิพลยิ่งดูถูกไม่ได้ เรื่องอุบัติเหตุของหลายวันก่อน ก็ได้ลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง จู่ๆตอนนี้ได้ปรากฏตัวอย่างปลอดภัยไม่มีตรงไหนได้รับบาดเจ็บ ย่อมดึงดูดความสนใจของสื่ออยู่แล้ว
เขามาที่วิลล่าของลี่จิ่วเชียน จะต้องมีนักข่าวมากับเขาด้วยแน่นอน ไม่ว่าจะนักข่าวในประเทศหรือว่านักข่าวของต่างประเทศ ต่างก็จะต้องตามมาทั้งนั้น เพื่ออยากจะได้ข่าวที่สดๆร้อนๆที่สุด
ลี่จิ่วเชียนอยู่เมืองM อยู่ในธุรกิจจิตวิทยาก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ถ้าเฉินถิงเซียวเข้ามาแล้วไม่ได้ออกไป งั้นเรื่องก็เป็นที่ฮือฮากันแล้ว
ดังนั้น เฉินถิงเซียวถึงได้กล้าเข้ามาอย่างกร่างขนาดนี้ และออกไปอย่างปลอดภัย แถมยังบอกว่าช่วงดึกจะมาอีก
มู่น่อนน่อนคิดจุดนี้ได้ ก็ตกใจจนพูดไม่ออกในชั่วขณะ
วิธีที่ได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่ายแถมยังไม่สูญเสียกองทัพแบบนี้ เฉินถิงเซียวก็คิดได้น้อ
วิธีนี้สำหรับเฉินถิงเซียวแล้วมีผลดีเยอะมาก แต่สำหรับลี่จิ่วเชียนแล้วกลับกลุ้มใจมาก
หลายวันก่อน ลี่จิ่วเชียนยังบอกกับเธอว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนแบบเดียวกันกับเขา ดูเหมือนในจิตใต้สำนึกของเขาจะรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวสู้เขาไม่ได้ ใจจิตใจเขาอาจจะยังมีความเกลียดชังที่ซับซ้อนแบบนึงต่อเฉินถิงเซียว
แต่ตอนนี้เฉินถิงเซียวมาหาถึงที่ ลี่จิ่วเชียนกลับทำอะไรเขาไม่ได้ มู่น่อนน่อนยากที่จะจินตนาการว่าตอนนี้อารมณ์ของลี่จิ่วเชียนเป็นยังไง
มู่น่อนน่อนยังมีเรื่องอยากจะถาม แต่เฉินถิงเซียวจิตใต้สำนึกของมู่น่อนน่อนอยากส่งเฉินถิงเซียว แต่เธอเดินไปไม่ถึงสองก้าว ก็ถูกบอดี้การ์ดขวางเอาไว้แล้ว
เฉินถิงเซียวที่เดินอยู่ข้างหน้าได้ยินความเคลื่อนไหวแล้วหันมามอง สายตาได้หยุดอยู่ที่บนตัวของบอดี้การ์ดที่ขวางมู่น่อนน่อนไว้ แต่ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็ได้เดินออกไปข้างนอกต่อเลย
เมื่อครู่บอดี้การ์ดถูกเฉินถิงเซียวมองอย่างนั้นแว๊บนึง ก็รู้สึกค่อนข้างขนหัวลุก
เดิมทีมู่น่อนน่อนก็มีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดกับเฉินถิงเซียวอยู่แล้ว แต่เวลานี้ไม่เหมาะสม
พอเธอหันหลังก็เห็นเฉินมู่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ มองประตูอย่างคาดหวัง ในใจขมขื่นเล็กน้อย
เธอเดินมานั่งที่ตรงหน้าของเฉินมู่แล้วอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา
เฉินมู่กอดคอเธอไว้ แต่สายตายังได้มองไปข้างนอกอยู่ดี
มู่น่อนน่อนรู้ว่าเธอกำลังมองเฉินถิงเซียวอยู่ นาทีเธอคงจะข้องใจมากว่าทำไมคุณพ่อมาแล้วและก็กลับเลย แต่กลับไม่รับเธอกลับบ้านด้วย
นี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจน
มู่น่อนน่อนเป็นแม่ที่ไม่ได้เพอร์เฟคขนาดนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เธอถึงกับหาวิธีการพูดที่เหมาะสมมาอธิบายให้เฉินมู่ไม่ได้ในชั่วขณะ
เฉินมู่คงจะรู้สึกอะไรได้เลือนราง ตอนที่มู่น่อนน่อนอุ้มเธอขึ้นไปชั้นบน เธอเงียบกริบจนผิดสังเกต
ในขณะเดียวกัน
ในห้องอ่านหนังสือของลี่จิ่วเชียนคือความเละเทะทั้งผืน
ตอนที่อาลั่วผลักประตูเข้าไป ลี่จิ่วเชียนกำลังขว้างปาข้าวของอยู่ในห้องอ่านหนังสืออย่างกระหืดกระหอบอยู่
ถ้วยกาแฟ หนังสือ เจกันดอกไม้……ของทุกอย่างที่สามารถคว้าได้ เขาได้ขว้างลงไปที่พื้นหมด
อาลั่วได้เดินไปหาลี่จิ่วเชียนอย่างระมัดระวังท่ามกลางความเละเทะ
“คุณชาย!”
“ไปให้พ้น!”
ในขณะที่ลี่จิ่วเชียนตะคอกด้วยความโกรธ ได้ตามด้วยขว้างเซรามิกมาที่อาลั่ว
อาลั่วเอียงศีรษะหลบไป เซรามิกที่เป็นของตั้งโชว์นั้นก็ได้แตกสลายอยู่บนพื้น เศษเซรามิกที่อยู่บนพื้นได้เด้งขึ้นมาตำขาของเธอ ไม่เจ็บ แต่เธอก็ยังได้ขมวดคิ้วอย่างแรงทีนึง
เธอถอยหลังไปสองก้าว ไม่ได้ส่งเสียงอีก ปล่อยให้ลี่จิ่วเชียนเขวี้ยงปาข้าวของระบายอารมณ์
ผ่านไปสักพัก ในที่สุดลี่จิ่วเชียนก็ได้หยุดลง
มือสองข้างของเขาห้อยลงมา มือสองข้างจับโต๊ะทำงานไว้แน่น ทรวงอกกระหืดกระหอบ แสดงให้เห็นว่านาทีนี้เขายังควบคุมความโกรธไว้
อาลั่วรอไปพักนึง เห็นลี่จิ่วเชียนไม่มีท่าทีว่าจะพูดจา ถึงนั่งลงไปและเริ่มจัดเก็บความเละเทะของห้องอ่านหนังสือ
ไม่นานลี่จิ่วเชียนก็สงบสติอารมณ์ได้ หลังจากเขาสงบสติอารมณ์ได้ ก็ได้เดินไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ข้างหลังของโต๊ะทำงาน
สำหรับอาลั่วที่กำลังจัดเก็บห้องอ่านหนังสืออยู่ เขาไม่ได้เหลียวมองเธอเลย เห็นได้ชัดว่าชินจนคิดว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
ผ่านไปครึ่งค่อนวัน เขาได้ส่งเสียงถามอาลั่วว่า:“ครั้งก่อนที่ฉันขว้างปาข้าวของคือเมื่อไหร่?”
อาลั่วนึกอยู่ครู่นึง ถึงเงยหน้าขึ้นมามองเขาและพูดว่า:“ที่ฉันเห็นกับตาคือเมื่อสามปีก่อนค่ะ ตอนที่อยู่เมืองหู้หยางฉันไม่รู้ว่าคุณชายเคยเขวี้ยงปาข้าวของหรือเปล่าค่ะ”
ลี่จิ่วเชียนฟังแล้วได้ยิ้มหยัน จากนั้นได้หยิบยาขวดนึงออกมาจากลิ้นชักที่อยู่ข้างโต๊ะทำงาน
อาลั่วเห็นแล้วได้รีบพูดว่า:“ฉันไปเอาน้ำให้คุณชายค่ะ”
“ไม่ต้อง”ลี่จิ่วเชียนได้พูดปฏิเสธ จากนั้นได้เทยาออกมาจากขวดหลายเม็ด
เขากำยาไว้กำลังจะกรอกเข้าปาก ก็ไม่รู้ว่านึกอะไรได้ ไม่นานอารมณ์ก็ได้เปลี่ยนมาค่อนข้างตื่นเต้น จากนั้นได้เทยาออกมาจากขวดอีกกำนึง แล้วกรอกเข้าปากโดยตรง
อาลั่วสีหน้าเปลี่ยนไป พร้อมวิ่งไปกุมแขนของเขาไว้อย่างไว ขัดขวางเขากินยาเยอะขนาดนี้ในพริบตาเดียว
“เดิมทียาพวกนี้ก็มีโทษต่อร่างกายของคุณชายอยู่แล้ว คุณชายจะกินเยอะขนาดนี้ไม่ได้นะคะ”อาลั่วส่ายหัว สีหน้าเต็มไปด้วยการอ้อนวอน:“ฉันขอร้องคุณล่ะ อย่ากินอีกเลยค่ะ”
ถ้าเป็นยาก็ต้องมีผลเสียต่อร่างกายอยู่แล้ว กรอกยาเข้าไปเป็นกำแบบนี้ ยิ่งมีผลเสียต่อร่างกายเข้าไปใหญ่
ลี่จิ่วเชียนไม่เหลียวมองอาลั่วเลย แค่พูดด้วยเสียงเย็นชา:“ปล่อย”
“ไม่ค่ะ!”อาลั่วจงรักภักดีกับลี่จิ่วเชียนมาโดยตลอด แต่ยามคับขันแบบนี้ เธอกลับปล่อยให้เขาทำแบบนี้ไม่ได้
ลี่จิ่วเชียนก็ไม่ได้พูดมากอีก ได้ทุบไปที่ข้อมือของอาลั่วโดยตรง อาลั่วเจ็บจนปล่อยมือทันที ได้แต่มองดูลี่จิ่วเชียนกรอกยาทั้งกำเข้าไปในปาก
หน้าห้อง มู่น่อนน่อนมองผ่านช่องโหว่ประตูเห็นลี่จิ่วเชียนกรอกยาเข้าปากเยอะขนาดนี้ ใบหน้าก็มีความประหลาดใจแว๊บผ่าน
ลี่จิ่วเชียนป่วยเป็นโรคอะไร ทำไมต้องกินยาทีเดียวเยอะขนาดนี้?
เมื่อครู่เธอพาเฉินมู่กลับห้องนอน คิดไปคิดมา จึงอยากมาดูที่ห้องอ่านหนังสือหน่อย ยังไม่ทันได้เข้าห้องก็ได้ยินด้านในมีเสียงตะคอกด้วยความโกรธของลี่จิ่วเชียน
เธอพยายามลองเปิดประตูให้เป็นช่องโหว่ ลี่จิ่วเชียนกับอาลั่วที่อยู่ด้านในไม่เห็นเธอ กลับกันทำให้เธอสามารถเห็นสถานการณ์ของด้านในได้อย่างชัดเจน
ในขณะที่มู่น่อนน่อนเหม่อลอยอยู่ เฉินมู่นึกว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้ยินคำพูดของเธอ จึงได้ทวนซ้ำอย่างไม่หยุดว่า:“แม่ หนูเห็นคุณพ่อ คือคุณพ่อค่ะ!”
“ใช่ค่ะ แม่รู้แล้วว่าเป็นคุณพ่อ”มู่น่อนน่อนวางเธอลง:“หนูลงมาก่อน แม่เมื่อยมือแล้ว”
เธอพบว่าเฉินถิงเซียวพูดไม่ผิด ช่วงนี้เฉินมู่หนักขึ้น เธออุ้มแป๊บเดียวก็เมื่อยมือแล้ว
มู่น่อนน่อนวางเฉินมู่ลงบนพื้น เฉินมู่ก็ดึงมือเธอไว้จะเดินไปที่หน้าวิลล่า ในปากยังคอยเรียกตลอดว่า:“คุณพ่อ คุณพ่อ……”
มู่น่อนน่อนจูงมือเฉินมู่เดินไป
เมื่อครู่ทั้งสองยืนอยู่บนแปลงดอกไม้ มีความได้เปรียบตรงตำแหน่งที่ยืน จึงง่ายต่อการมองเห็นเฉินถิงเซียว แต่ตอนนี้ทั้งสองยืนอยู่บนพื้น ด้านหน้าคือผู้ชายที่ตัวสูงใหญ่ฝูงนึง พวกเธอสองคนแทบจะมองไม่เห็นเฉินถิงเซียวเลย
เฉินมู่ดึงมือมู่น่อนน่อนไว้ จะเบียดจากฝูงชนไปหาเฉินถิงเซียว แต่มู่น่อนน่อนได้ดึงเฉินมู่กลับมา และนั่งลงมาพูดกับเฉินมู่อย่างเบาเสียงว่า:“มู่มู่ ไม่ต้องเบียดแล้วค่ะ เดี๋ยวคุณพ่อก็เข้ามาเอง เรารอในบ้านนะ”
เฉินถิงเซียวสามารถหามาถึงที่ ย่อมสามารถเข้ามาในบ้านอยู่แล้ว พวกเธอเบียดไปเบียดมาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์
เฉินมู่เบะปากไว้ ผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังได้พูดอย่างเชื่อฟัง:“โอเคค่ะ”
มู่น่อนน่อนได้พาเธอเดินย้อนกลับไป เดินไปไม่กี่ก้าว เธอได้หันมาดูอีกแว๊บนึงถึงเข้าห้องนอนไป
ทั้งสองเข้าไปในห้องนอนได้ไม่นาน เฉินถิงเซียวก็ได้เข้ามาพร้อมกับลี่จิ่วเชียนแล้ว
เฉินถิงเซียวเข้าห้องปุ๊บ ก็เห็นมู่น่อนน่อนกับเฉินมู่เลย
แววตาที่เดิมทีไร้อารมณ์ของเขา ได้มีรอยยิ้มอ่อนๆแว๊บผ่าน
มู่น่อนน่อนอ่านความหมายของแววตาเขาออก เหมือนกำลังพูดว่า:“ผมบอกแล้วว่าจะมาหาคุณกับลูก”
เธอดึงสายตากลับ หันหน้าไปมองอีกทางและอดหัวเราะไม่ได้
ส่วนเฉินมู่ได้แสดงออกอย่างตรงไปตรงมากว่า เธอได้วิ่งไปยังทิศทางของเฉินถิงเซียวโดยตรงอย่างมีความสุข:“คุณพ่อ!”
เฉินมู่ตัวเล็ก ถึงวิ่งไปก็ได้แค่กอดขาเขาไว้และขอให้เขาอุ้ม
เฉินถิงเซียวโน้มตัวอุ้มเธอขึ้นมาวางที่บนโซฟาของข้างๆ จากนั้นได้ยื่นมือแตะหน้าผากเธอทีนึง:“พ่อยังมีธุระต่อ”
เขาพูดจบก็ได้หันไปมองลี่จิ่วเชียน:“วิธีต้อนรับแขกของคุณลี่ก็คือให้ผมยืนอยู่ที่นี่?”
ลี่จิ่วเชียนแค่มองมู่น่อนน่อนแว๊บนึง ไม่ได้พูดอะไรมาก ลูกน้องที่อยู่ด้านหลังเขาได้ก้าวมาข้างหน้าพร้อมทำท่าเรียนเชิญอยู่ที่หัวบันได:“เชิญทางนี้ครับ”
สถานการณ์ค่อนข้างละเอียดอ่อน เห็นๆอยู่ว่าเฉินถิงเซียวกับลี่จิ่วเชียนไม่ลงรอยกัน แต่เฉินถิงเซียวหามาถึงที่ลี่จิ่วเชียนยังต้อนรับด้วยความสุภาพ
ถ้าพูดตามหลักแล้ว สองคนนี้ควรจะตาต่อตาฟันต่อฟันกันสิถึงจะถูก
ถ้าทุกเรื่องสามารถแก้ไขด้วยความสันติมันก็ย่อมดีที่สุด แต่ตอนนี้คู่กรณีคือเฉินถิงเซียวกับลี่จิ่วเชียน ทีนี้ชักจะละเอียดอ่อนแล้ว
เฉินถิงเซียวขึ้นชั้นบนโดยตรง ได้ไปที่ห้องอ่านหนังสือพร้อมกับลี่จิ่วเชียน
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ที่เดิม ค่อนข้างมึนงงนิดหน่อย
จนกระทั่งเฉินมู่ที่นั่งอยู่บนโซฟาได้ที่นั่งข้างๆของตัวเองแล้วเรียกมู่น่อนน่อนว่า:“คุณแม่มานั่งค่ะ”
มู่น่อนน่อนได้เดินไปนั่งลงที่ข้างกายของเฉินมู่
เฉินมู่จับมือของมู่น่อนน่อนไว้และตั้งหน้าตั้งตา:“เรารอคุณพ่อด้วยกันค่ะ”
มู่น่อนจับแก้มเธอ แต่ไม่ได้พูดจาอีก
……
ห้องอ่านหนังสือ
เฉินถิงเซียวเข้ามาในห้องอ่านหนังสือปุ๊บ ก็ไม่ถือว่าตัวเองเป็นแขกเลย ไม่รอให้ลี่จิ่วเชียนพูด ก็ได้ไปนั่งที่โซฟาโดยตรง จากนั้นได้เงยหน้ามองไปที่ลี่จิ่วเชียน:“กาแฟ ไม่ใส่น้ำตาลครับ”
“คุณเห็นที่นี่เป็นร้านอาหารหรือไง?”ลี่จิ่วเชียนโกรธสุดขีดจนหัวเราะ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเฉินถิงเซียวจะกล้ามาหาเขาอย่างกร่างขนาดนี้
เฉินถิงเซียวมั่นใจว่าเขาจะไม่ทำร้ายมู่น่อน ถึงได้มีที่พึ่งจึงไม่เกรงกลัวขนาดนี้!
“คุณลี่ใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก คงจะไม่ค่อยรู้การต้อนรับแรกของในประเทศ คนในประเทศจะต้อนรับแขกด้วยจิตใจอันเร่าร้อน มีแขกมาหาถึงที่ ต่างก็ต้องต้อนรับอย่างกินดีอยู่ดีทั้งนั้น”
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่บนโซฟา น้ำเสียงเกียจคร้าน พร้อมมองลี่จิ่วเชียนอย่างจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ดูแล้วใจเย็นมากๆ
ลี่จิ่วเชียนจ้องเฉินถิงเซียวไปครึ่งวินาที ก็ได้เรียกคนรับใช้มา:“ชงกาแฟให้คุณเฉินแก้วนึง ไม่ใส่น้ำตาล”
“ไม่ใส่น้ำตาล”คำนี้ เขาได้ตั้งใจเพิ่มน้ำหนักเสียงโดยเฉพาะ
ในห้องโถง
มู่น่อนน่อนเห็นคนใช้ลงมาชงกาแฟขึ้นไปเสริ์ฟที่ชั้นบนแล้วรู้สึกประหลาดใจมาก
ไม่นึกเลยว่าลี่จิ่วเชียนจะเกรงอกเกรงใจกับเฉินถิงเซียวขนาดนี้?
หลังจากคนใช้ยกกาแฟมาเสริ์ฟที่ห้องอ่านหนังสือของลี่จิ่วเชียนเสร็จก็ได้ออกไปเลย
ในห้องยังคงเหลือแค่เฉินถิงเซียวกับลี่จิ่วเชียนสองคนเท่านั้น
อาลั่วไปทำธุระกลับมาจากข้างนอก ได้พาความเหน็บหนาวเข้ามาอย่างเร่งรีบ
เธอเข้ามาในบ้าน เห็นมู่น่อนกับเฉินมู่แล้วได้ก้าวเท้ายาวเดินมา พร้อมถามโดยตรงว่า:“เฉินถิงเซียวมา?”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมามองชั้นบนแว๊บนึง:“อยู่ที่ห้องอ่านหนังสือ”
อาลั่วหันหลังเตรียมขึ้นไปชั้นบน จู่ๆก็ได้หันมามองมู่น่อนน่อนอีก:“คุณดูแล้วไม่เป็นห่วงเฉินถิงเซียวเลย นี่ไม่ใช่ถิ่นของตระกูลเฉินนะ คุณไม่เป็นห่วงเลยจริงเหรอ?”
“ฉันต้องเป็นห่วงอะไรคะ?”มู่น่อนน่อนหันหน้ามาย้อนถาม
อาลั่วไม่รู้ว่าคำพูดของมู่น่อนน่อนหมายความว่ายังไง ก็เลยไม่ได้เปิดปากพูดในทันที
มู่น่อนน่อนเดินมาที่ตรงหน้าของอาลั่ว ได้หยุดลงในระยะที่ห่างกับอาลั่วครึ่งก้าว
เธอมองหน้าอาลั่ว กดเสียงต่ำพร้อมพูดอย่างใจเย็น:“เป็นห่วงอุบัติเหตุที่ลี่จิ่วเชียนจัดฉากขึ้นมาในก่อนหน้านี้ หรือเป็นห่วงกาแฟที่คนใช้ยกขึ้นไปเมื่อครู่ได้ใส่ยาพิษไว้?”
อาลั่วอุทานอย่างเย็นชา จากนั้นก็ได้ขึ้นชั้นบนไป
อาลั่วเพิ่งเดินขึ้นไป มู่น่อนน่อนก็ได้ยินเฉินมู่พูดว่า:“แม่กับน้าอาลั่วทะเลาะกันเหรอคะ?”
“เปล่าค่ะ น้าอาลั่วคุยกับแม่เฉยๆ”มู่น่อนน่อนเห็นเฉินมู่เหมือนไม่ค่อยเชื่อ จึงได้อธิบายอีก:“น้าอาลั่วเป็นคนที่เคร่งขรึมตลอด ไม่มีอะไรค่ะ”
เฉินมู่กะพริบตาปริบๆ ได้พยักหน้าอย่างมึนงง
ถึงแม้อาลั่วจะดูเย็นชา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายกับเฉินมู่ แม้กระทั่งเวลามีขนมอร่อยและของกินอร่อย ก็จะให้คนใช้เอามาให้เฉินมู่ตลอด
เฉินมู่ฉลาด รู้ว่าอาลั่วไม่มีเจตนาร้ายกับเธอ เธอก็มีความรู้สึกดีๆให้กับอาลั่วอยู่
อาลั่วขึ้นไปไม่ถึงสิบนาทีก็ได้ลงมาแล้ว
มู่น่อนน่อนเข้าใจในทันทีว่าลี่จิ่วเชียนจะคุยธุระกับเฉินถิงเซียวอยู่ที่ห้องอ่านหนังสือตามลำพัง
ผู้ชายสองคนนี้ จะสามารถคุยอะไรได้?
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าทุกวินาทีได้กลายมาเรื่องที่ทรมาน
แต่ดีที่ผ่านไปไม่นาน เฉินถิงเซียวก็ได้ลงมาจากชั้นบนแล้ว เขาลงมาคนเดียว ลี่จิ่วเชียนไม่ได้ลงมาด้วย
อาลั่วเห็นเฉินถิงเซียวลงมาปุ๊บ ก็ได้ขึ้นไปดูลี่จิ่วเชียนที่ชั้นบนอย่างเร่งรีบด้วยสีหน้าที่กังวลแล้ว
มู่น่อนน่อนเดินไปหาเฉินถิงเซียว สายตาได้มองอยู่ที่บนตัวเขาอย่างละเอียดพร้อมถามว่า:“เป็นอะไรมั้ยคะ?”
“ไม่เป็นไร”เฉินถิงเซียวหลุบตาไว้ ยังได้ยิ้มให้กับเธอทีนึง
“คุณคุยอะไรกับลี่จิ่วเชียนไปบ้างคะ?”ตอนนี้มู่น่อนน่อนแปลกใจจริงๆว่าพวกเขาได้คุยอะไรกัน
เฉินถิงเซียวหยุดชะงักอยู่ครู่นึง จากนั้นได้พูดอย่างจริงจังว่า:“ผมบอกเขาว่า ขอบคุณมากที่ช่วยผมดูแลภรรยาและลูกสาว”
“……”
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวด้วยสีหน้าตะลึงงัน:“คุณคิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ?”
“ผมพูดแบบนี้จริงๆ”เฉินถิงเซียว ได้หัวเราะอีกที เพียงแต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ยิ้มออกมาจากใจจริง
อาลั่วฟังแล้วได้จ้องมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แค่หันไปมองลี่จิ่วเชียน
ลี่จิ่วเชียนยิ้มอ่อนๆ ไม่เห็นความโกรธเลยสักนิด:“ถ้าคุณอยากให้อาลั่วเป็นเพื่อนคุณก็ได้”
อาลั่วสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ได้เรียกสั้นๆคำนึง:“คุณชาย!”
เห็นได้ชัดว่าคัดค้านจะที่ออกไปกับมู่น่อนน่อนสุดๆ
มู่น่อนน่อนไม่แปลกใจกับท่าทีของอาลั่วเลย กลับกันรู้สึกว่าผู้หญิงที่ดูหน้าตาและจิตใจเย็นชาอย่างอาลั่วช่างน่ารักจริงๆ
มู่น่อนน่อนเอียงศีรษะเล็กน้อย และถามลี่จิ่วเชียนด้วยรอยยิ้ม:“งั้นก็เอาตามนี้นะคะ?”
ลี่จิ่วเชียนหลุบตาลงเล็กน้อย น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนอีกเช่นเคย:“พวกคุณออกไปด้วยกัน ส่วนมู่มู่ก็ให้อยู่บ้านเถอะ ข้างนอกอากาศหนาวเกินไป”
มู่น่อนน่อนตกใจไปครู่นึง จากนั้นได้หัวเราะเบาๆ:“ใช่ค่ะ ข้างนอกอากาศหนาวเกิน ฉันไม่ออกไปแล้วดีกว่า”
เธอพูดจบ ก็ได้ลุกขึ้นด้วยรอยยิ้มแล้วเดินไปจูงมือเฉินมู่เดินออกไปข้างนอก
พอหันหลัง รอยยิ้มของมู่น่อนน่อนก็ได้จางหายไปหมด
มู่น่อนน่อนบอกอยากให้อาลั่วไปเป็นเพื่อนเธอ แค่ไม่อยากไปกับลี่จิ่วเชียนเฉยๆ ส่วนลี่จิ่วเชียนก็ไม่ใช่คนที่จะรัลมือได้ง่ายๆ
ความหมายของคำพูดเขาได้พูดให้เห็นชัดแล้ว ถ้าเธอจะออกไปพร้อมกับอาลั่ว ก็ต้องเอาเฉินมู่ไว้ที่นี่
ลี่จิ่วเชียนระมัดระวังมากแค่ไหน นี่คือกลัวมู่น่อนน่อนไปข้างนอกแล้วคิดหาวิธีชิ่งหนี ดังนั้นถึงได้ให้เฉินมู่อยู่ที่วิลล่า
ตอนที่ผู้ชายคนนึงถนัดใช้ความอ่อนโยนและจิตใจที่ดีงามมาอำพรางตัวเอง หลังจากที่ได้เผยสันดานความเห็นแก่ตัวและความใจแคบที่แท้จริงที่สุดออกมา ก็อย่าคาดหวังอะไรกับเขาอีกเลย
ลี่จิ่วเชียนไม่ใช่ลี่จิ่วเชียนคนเมื่อก่อนแล้ว
งั้นความสัมพันธ์ของเธอกับลี่จิ่วเชียนก็ไม่มีทางกลับไปเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
อันคำว่ามิตรภาพที่เคยผ่านความตายมาด้วยกัน ก็เป็นแค่สิ่งจอมปลอมที่ลี่จิ่วเชียนจัดฉากขึ้นมาเพื่อบรรลุหมายหมายของตัวเองเท่านั้น
สองแม่ลูกเพิ่งเดินออกมาที่ข้างนอก เธอก็รู้สึกได้ว่าเฉินมู่กำลังดึงแขนเสื้อเธออยู่
เธอก้มหน้าก็เห็นว่าเฉินมู่กำลังแหงนหน้ามองเธออยู่ พร้อมถามเสียงเบาว่า:“แม่คะ ทำไมแม่ถึงโกรธคะ?”
มู่น่อนน่อนจับแก้มของเฉินมู่:“เพราะแม่เจอเรื่องที่ไม่สบอารมณ์มากเลยค่ะ”
เฉินมู่พูดเหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ:“งั้นแม่ก็มีความสุขหน่อยสิคะ”
มู่น่อนน่อนอดขำไม่ได้:“มีมู่มู่อยู่ แม่ก็มีความสุขขึ้นมากแล้วค่ะ”
……
มู่น่อนน่อนไม่ได้รับปากว่าจะออกไปเดินเล่นกับลี่จิ่วเชียน ลี่จิ่วเชียนก็ไม่ได้ฝืนใจเธอ
เพียงแต่ลี่จิ่วเชียนก็ไม่ได้ออกจากบ้านเหมือนกัน รวมทั้งอาลั่วก็อยู่ที่วิลล่าไม่ได้ออกไป
ตอนนี้เวลาที่มู่น่อนน่อนมีธุระยอมที่จะไปหาอาลั่ว ก็ไม่อยากเจอหน้าลี่จิ่วเชียน
เธอไม่อยากเห็นหน้าลี่จิ่วเชียน แต่กลับต้องแคร์ความรู้สึกของเฉินมู่
เมื่อคืนเฉินมู่ได้เจอหน้าเฉินถิงเซียวแล้วอารมณ์ดีมากเลย เธออยากเล่นอยู่ที่ห้องโถง มู่น่อนน่อนได้แต่อยู่เป็นเพื่อนเธอ
เธอกับเฉินมู่อยู่ที่ห้องโถง ลี่จิ่วเชียนก็อยู่ที่ห้องโถงเหมือนกัน
เฉินมู่เล่นต่อจิ๊กซอว์ ลี่จิ่วเชียนก็ได้ไปเล่นกับเธอด้วย
ตอนนี้เฉินมู่ก็ยังมีความรู้สึกดีๆให้ลี่จิ่วเชียนอยู่ เล่นกับลี่จิ่วเชียนก็เล่นได้มีความสุขอมาก
มู่น่อนน่อนคอยจ้องลี่จิ่วเชียนอยู่ที่ข้างๆตลอด จู่ๆได้ยินลี่จิ่วเชียนพูดคำนึงว่า:“มู่มู่มีความสุขมากเลยเหรอคะ?”
“ค่ะ!”เฉินมู่พยักหน้าอย่างจริงจัง
ลี่จิ่วเชียนถือโอกาสถาม:“เจอเรื่องน่าดีใจอะไรมา แบ่งปันกับลุงลี่หน่อยได้มั้ยคะ?”
“เมื่อคืนหนู……”เฉินมู่เปิดปากพูดปุ๊บ หัวใจของมู่น่อนน่อนก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเลย
เฉินมู่คงไม่ใช่จะบอกเรื่องที่เมื่อคืนเจอเฉินถิงเซียวมั้ง?
มู่น่อนน่อนคิดอยู่ในใจว่าต้องหาเหตุผลอะไรสักอย่างมาขัดจังหวะเฉินมู่
แต่แล้วในขณะนี้นี่เอง เฉินมู่ได้เอียงศีรษะกะพริบตาปริบๆให้ลี่จิ่วเชียนอย่างซุกซน ทำท่าพูดกระซิบ มือน้อยๆบังอยู่ที่ข้างปาก พูดด้วยเสียงที่ไม่ดังไม่เบา:“ฝันเห็นคุณพ่อ!เมื่อคืนหนูฝันเห็นคุณพ่อค่ะ!”
อีกนิดเดียว มู่น่อนก็จะขัดจังหวะเฉินมู่แล้ว แม้แต่เหตุผลเธอก็คิดเรียบร้อยแล้ว
ปรากฏว่าเฉินมู่ได้อ้อมสักรอบใหญ่ บอกว่าเธอฝันเห็นเฉินถิงเซียว……
มู่น่อนน่อนรู้สึกขำ และได้หัวเราะขึ้นมาจริงๆ แต่สีหน้าของลี่จิ่วเชียนเนี่ยสิไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย
เฉินมู่พูดจบ ยังได้ถามลี่จิ่วเชียนด้วยความแปลกใจว่า:“คุณลุงลี่รู้จักพ่อของหนูมั้ยคะ?”
“รู้จักสิคะ”ลี่จิ่วเชียนฝืนรักษาความอ่อนโยนของใบหน้าไว้ ยิ้มได้ค่อนข้างแข็งกระด้าง
เฉินมู่กะพริบตา และพูดอย่างค่อนข้างเก้อเขิน:“คิๆ พ่อหนูโคตรหล่อเลยค่ะ”
มู่น่อนน่อนไม่เคยได้ยินเฉินมู่พูดคำพูดแบบนี้มาก่อน และไม่เคยได้ยินเธอชมเฉินถิงเซียวหล่ออะไรประมาณนี้ด้วย น่าจะไปฟังมาจากที่เสิ่นเหลียงแน่เลย
เสิ่นเหลียงชอบหยอกเฉินมู่ แถมนิสัยยังร่าเริงแจ่มใส เฉินมู่ชอบเธอมาก
สีหน้าของลี่จิ่วเชียนได้จืดลงไปเยอะเลย เขาลุกขึ้นมาแล้วพูดกับเฉินมู่ว่า:“หนูไปเล่นนะคะ ลุงลี่ยังมีธุระต่อ”
“ค่ะ”เดิมทีเฉินมู่ก็มีนิสัยอ่อนไหวอยู่แล้ว แต่นาทีนี้มัวแต่หวงเล่นอยู่ จะไปมีเวลาสนใจสีหน้าของลี่จิ่วเชียนได้อย่างไร เธอได้ก้มหน้าเล่นต่อจิ๊กซอว์ของตัวเองต่อทันที ดูแล้วแล้งน้ำใจสุดๆ
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ข้างๆไม่ได้ส่งเสียงอะไร
ลี่จิ่วเชียนกำลังจะลุกเดินไป ก็มีลูกน้องเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“คุณชายครับ”
นาทีนี้อารมณ์ของลี่จิ่วเชียนไม่ค่อยดี น้ำเสียงจึงค่อนข้างเย็นชา:“เรื่องอะไร?”
ลูกน้องได้มองมู่น่อนน่อนแว๊บนึง จากนั้นก็ได้ไปกระซิบที่ข้างหูลี่จิ่วเชียน
ต่อมา มู่น่อนน่อนก็เห็นสีหน้าของได้ลี่จิ่วเชียนเปลี่ยนไป แววตามีความช็อกแว๊บผ่าน
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ลี่จิ่วเชียนก็ได้มองมู่น่อนน่อนแว๊บนึง จากนั้นได้พูดกับลูกน้องว่า:“ออกไปดูหน่อย”
ทั้งสองได้เดินออกไป มู่น่อนน่อนก็แปลกใจอยากออกไปดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงขั้นสามารถทำให้ลี่จิ่วเชียนช็อกขนาดนี้
“มู่มู่”มู่น่อนน่อนได้ดึงมือของเฉินมู่:“แม่อยากออกไปเดินเล่นข้างนอกค่ะ”
“ข้างนอกหนาวนะคะ”เฉินมู่หันหน้ามามองเธอพร้อมพูดอย่างจริงจัง คำว่า“หนาว”ได้เพิ่มน้ำหนักและลากเสียงซะยาวเลย น้ำเสียงที่หัวโบราณใสแบ๊วมาก
มู่น่อนน่อนหยิกจมูกเธอเบาๆ:“แม่ไม่กลัวหนาว หนูกลัวมั้ยคะ?”
เฉินมู่ลังเลอยู่ครู่นึง ยื่นมือทำท่าทางไปสองทีและพูดอย่างค่อนข้างสำออย:“งั้นแม่ใส่หมวกที่เป็นกระต่ายอันนั้นให้หนูหน่อยค่ะ”
“โอเคค่ะ!”มู่น่อนน่อนตอบอย่างไว เธอขึ้นไปเอาหมวกมาใส่ให้เฉินมู่ เสร็จแล้วก็ได้จูงมือเธอออกไปดูเฮฮาเลย
ภาพความเหี่ยวฉาวของฤดูหนาวที่ลานบ้าน ถึงผ่านการจัดแต่งดูแลอย่างละเอียด ก็ยังดูเงียบเหงามากอยู่ดี
ลี่จิ่วเชียนกับลูกน้องอยู่ที่หน้าวิลล่า คนเยอะเกินไป มู่น่อนน่อนเห็นสถานการณ์ของทางโน้นไม่ค่อยชัด จึงได้พาเฉินมู่เดินไปข้างหน้าระยะนึง เดินไปยืนบนแปลงดอกไม้ ก็สามารถมองเห็นชัดเจนกว่าเยอะเลย
หลังจากเธอยืนนิ่งแล้ว พอมองไปก็เห็นร่างเงาที่คุ้นเคยยืนอยู่ท่ามกลางหมู่คน
มู่น่อนน่อนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย พร้อมพึมพำว่า:“เฉินถิงเซียว?”
“แม่ หนูก็จะดูด้วยค่ะ!”เฉินมู่ยืนอยู่ข้างๆ กอดขาเธอไว้อย่างน่าสงสารพร้อมแหงนหน้ามองเธอไว้
มู่น่อนน่อนก้มไปอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา:“หนูเห็นใครคะ?”
เฉินมู่ชี้ไปที่หน้าวิลล่า และพูดกับมู่น่อนน่อนด้วยความตื่นเต้น:“คุณพ่อค่ะ!”
ทีนี้มู่น่อนน่อนถึงแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด เมื่อคืนเฉินถิงเซียวบอกว่าวันนี้จะมาหาพวกเธอ มู่น่อนน่อนนึกว่าเขาจะปีนหน้าต่างเข้ามาในช่วงดึกเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะมาอย่างเปิดเผย!
ใบหน้าของมู่น่อนน่อนมีความโกรธกริ้วโผล่ขึ้นมาเสี้ยวนึง น้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย:“อาลั่ว คุณจะทำอะไรกันแน่!ฉันรู้ว่าเพราะลี่จิ่วเชียนแล้วคุณได้มีความบาดหมางกับฉัน แต่คุณก็อย่ารังแกคนมากเกินไปนะ!”
อาลั่วยิ้มหยันพร้อมกัดฟันพูด:“มู่น่อนน่อน ฉันดูถูกคุณเกินไปแล้ว”
ถึงแม้เธอรู้สึกเจ็บใจ แต่ก็แค่อุทานอย่างเย็นชาก็ได้หันหลังเดินออกไปเลย
มู่น่อนน่อนรอให้อาลั่วออกไป หลังจากเดินไปล็อกประตูแล้ว ก็ได้รีบเดินมาเปิดตู้เสื้อผ้า
เธอเปิดประตูตู้เสื้อผ้าของด้านในสุดออก ดึงเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ออกมาข้างนอกทีละตัวๆ ก็เห็นเฉินถิงเซียวกำลังยืนพิงอยู่ที่ผนังตู้เสื้อผ้า
ถึงจะหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้า เฉินถิงเซียวดูแล้วไม่เพียงไม่ตกที่นั่งลำบากเลย กลับกันออร่ายังดูไม่ลดลงเลย
คนบางคนนี่เกิดมาก็ดูสูงส่งเลย
แต่มู่น่อนน่อนก็ยังรู้สึกว่าแบบนี้กล้ำกลืนเฉินถิงเซียวมาก
เธอเม้มปากและพูดว่า:“เธอไปแล้วค่ะ ออกมาได้เลย”
เฉินถิงเซียวมองเธอแว๊บนึง นัยน์ตาที่ดำสนิทแฝงด้วยกลิ่นอายของความดุร้าย
มู่น่อนน่อนกะพริบตาปริบๆ รู้สึกหนาวสันหลังอย่างควบคุมไม่ได้
เฉินถิงเซียวเป็นอะไรไป?
เขาออกมาจากตู้เสื้อผ้า แม้แต่เสื้อผ้าบนตัวก็ขี้เกียจที่จะจัดให้เรียบร้อย แค่จ้องมู่น่อนน่อนไว้อย่างเย็นชาแบบนี้
ถึงแม้มู่น่อนน่อนไม่รู้เลยว่าตัวเองไปทำอะไรให้เขาโกรธ แต่ก็ยังร้อนตัวอย่างไร้สาเหตุ
เธอถามเฉินถิงเซียว:“เป็นอะไรไปคะ?”
เฉินถิงเซียวก้มหน้า หรี่ตาจ้องมู่น่อนน่อนไปพักนึง ถึงค่อยๆเปิดปากพูด:“เจ้านายอีกคน?คุณผู้หญิง?”
น้ำเสียงของเขาเย็นชา ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิด และฟังไม่ออกเลยว่าโกรธ
ยิ่งฟังไม่ออกว่าโกรธ ก็ยิ่งหมายความว่ากำลังโกรธอยู่
มู่น่อนน่อนเม้มปากแล้วพูด:“แค่พูดออกมายั่วโมโหอาลั่วเฉยๆ คุณก็ทำเป็นไม่ได้ยินก็พอค่ะ”
“แต่ผมได้ยินแล้ว”เฉินถิงเซียวยักคิ้ว ชัดเจนว่าไม่คิดจะยุติแบบนี้
“……”
มู่น่อนน่อนอ้าปาก แต่สรรหาคำพูดไม่ได้ในชั่วขณะ
ทั้งสองสบตากันไปครู่นึง มู่น่อนน่อนได้เป็นฝ่ายหมดความอดทนก่อน
“งั้นก็ตามใจคุณ”
บางครั้งเฉินถิงเซียวก็เหมือนเด็กเลย ถึงรู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ยังจะโกรธอีก
แต่วันนี้ มู่น่อนน่อนไม่คิดที่จะง้อเขาแล้ว จะโกรธซี้ซั้วทุกครั้งไม่ได้ จากนั้นก็ให้เธอไปง้ออีก เธอก็มีอารมณ์เหมือนกันนะ
เธอไม่ง้อเฉินถิงเซียว แต่เฉินถิงเซียวเจ้าอารมณ์กว่าเธอเสียอีก
เขามองมู่น่อนน่อนแว๊บนึง ก็ได้หันหลังเดินไปที่ริมหน้าต่าง จากนั้นได้โดดไปนอกหน้าต่างโดยไม่บอกกล่าวสักคำ
มู่ย่อนน่อนอึ้งอยู่ครู่นึงถึงดึงสติกลับมา เธอรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปที่ริมหน้าต่างอย่างไว
เธอยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง โน้มตัวมองลงไปข้างล่าง ด้านล่างมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรเลย ร่างเงาคนยิ่งไม่ต้องพูดถึง
มู่น่อนน่อนมองดูรอบๆ เธอก็ไม่กล้าเรียกชื่อเขาเสียงดัง ได้แต่เรียกเบาๆว่า:“เฉินถิงเซียว!”
แต่เฉินถิงเซียวไม่ตอบเธอเลย
มู่น่อนน่อนปิดหน้าต่าง แล้วหันหลังกลับมาเดินไปมาอยู่ที่ห้องนอน
เธอเดินไปด้วยและพึมพำไปด้วย:“ฉันไม่ใช่ไม่รู้สึกสักหน่อยว่าเขามีนิสัยยังไง ฉันไม่โกรธ ฉันไม่โกรธ……”
ไม่โกรธสิแปลก!
มู่น่อนน่อนนั่งลงที่โซฟา หยิกหมอนไว้ทุบตีอยู่พักนึง ในที่สุดถึงรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยนึง
ขณะนี้ เธอรู้สึกได้ว่ากระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองเหมือนมีของ
มู่น่อนน่อนยื่นมือล้วงออกมาดู พบว่าในกระเป๋าเสื้อไม่รู้มีมือถือเพิ่มมาหนึ่งเครื่องตั้งแต่เมื่อไหร่
มู่น่อนน่อนรู้สึกคุ้นมือถือเครื่องนี้มาก เป็นมือถือที่ปกติเฉินถิงเซียวใช้
เขาเอามือถือมาใส่ที่กระเป๋าเสื้อของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่?
ขณะนี้ จู่ๆมือถือได้สั่นสะเทือน มีสายเรียกเข้า
มู่น่อนน่อนลังเลอยู่ครู่นึงถึงรับสาย
เสียงทุ้มต่ำของเฉินถิงเซียวได้ก้องมาจากมือถือ:“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมค่อยมาหาคุณกับลูกใหม่นะ”
มู่น่อนน่อนถามด้วยความตะลึง:“พรุ่งนี้?”
พรุ่งนี้เฉินถิงเซียวยังจะปีนหน้าต่างอีก?
“พรุ่งนี้คุณจะปีนเข้ามาจากหน้าต่างอีก?”มู่น่อนน่อนได้รีบส่งเสียงปฏิเสธทันที:“ไม่ได้ ห้ามปีนอีก”
ตอนนี้เธอรู้ว่าเฉินถิงเซียวปลอดภัยก็โอเคแล้ว เธอไม่อยากให้เฉินถิงเซียวเสี่ยงแบบนี้อีก
เฉินถิงเซียว:“ฝันดีt”
จากนั้นเขาก็ไม่พูดจาอีกเลย
มู่น่อนน่อนจึงได้แต่วางสายทิ้ง
……
เช้าวันรุ่งขึ้น
เฉินมู่ตื่นเช้ามาก ได้ตีลังกาลุกขึ้นจากเตียง เธอมองดูรอบๆด้วยหัวที่ฟูเหมือนรังนก
เธอตื่นปุ๊บ มู่น่อนน่อนก็ได้ตื่นขึ้นมาแล้วเหมือนกัน
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นมานั่ง ใช้มือจัดผมที่ยุ่งเหยิงของเฉินมู่:“ตื่นเช้าจังเลย”
เฉินมู่ขยี้ตาแล้วถามมู่น่อนน่อน:“คุณพ่อล่ะคะ?”
“คืนนี้คุณพ่อจะมาอีกค่ะ”มู่น่อนน่อนรู้ว่าตามนิสัยของเฉินถิงเซียวแล้ว ถึงแม้เธอไม่ให้เขาปีนขึ้นมาอีก แต่เขาบอกจะมาก็ต้องมาแน่นอน
น้อยมากที่จะมีคนสามารถเปลี่ยนความคิดของเฉินถิงเซียว
เฉินมู่ขมวดคิ้วไว้ หน้าตาเหมือนจะร้องไห้:“ทำไมคุณพ่อไม่รอหนูเลย”
มู่น่อนน่อนพูดปลอบโยนเธอ:“เพราะหนูหลับไปแล้วนี่คะ คุณพ่อไม่อยากกวนหนูถึงไม่ได้ปลุกหนู”
เฉินมู่ดูเสียใจนิดหน่อย แต่ไม่นานก็ถูกมู่น่อนน่อนหยอกจนขำและเบี่ยงเบนความสนใจได้
ตอนที่สองแม่ลูกออกจากห้อง มู่น่อนน่อนได้กำชับเฉินมู่ว่า:“ห้ามบอกคนอื่นว่าหนูเจอคุณพ่อ?รู้มั้ยคะ?”
“เพราะอะไรคะ?” เฉินมู่มองมู่น่อนน่อนอย่างมึนงง จู่ๆได้ยิ้มขึ้นมา:“หนูรู้แล้วค่ะ เพราะคุณพ่อเป็นซุปเปอร์แมน จะให้คนอื่นรู้ความลับอันนี้ไม่ได้!”
“……ใช่ค่ะ จะให้คนอื่นรู้ความลับอันนี้ไม่ได้”ที่จริงเด็กช่างจินตนาการก็เป็นเรื่องดีนะ
เมื่อคืนเฉินมู่ได้เจอหน้าเฉินถิงเซียวแล้วอารมณ์ดีมาก
ตอนที่มาถึงห้องอาหาร ก็ได้ปากหวานเรียกทั้งสองคนว่า:“คุณลุงลี่ น้าอาลั่ว!”
เมื่อวานอาลั่วกับมู่น่อนน่อนมีเรื่องผิดใจกันนิดหน่อย แต่ตอนที่เฉินมู่เรียกเธอ เธอก็ยังได้ตอบด้วยรอยยิ้ม
ดูออกว่าอาลั่วมีความเห็นอกเห็นใจเด็กมาก มู่น่อนน่อนคาดเดานี่อาจจะเกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของอาลั่ว
พ่อบุญธรรมที่อาลั่วพูดก่อนหน้านี้อาจจะหลอกเธอ แต่ชาติกำเนิดของเธอน่าจะเป็นเรื่องจริง สมัยเด็กๆเธออาจจะเป็นเด็กกำพร้าจริงๆ ถูกรับเลี้ยง เลยมีความเห็นอกเห็นใจกับเด็กๆ
ตอนที่ทานอาหารเช้าเสร็จ จู่ๆลี่จิ่วเชียนได้เงยหน้ามองมาที่มู่น่อนน่อน แล้วถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า:“อยากออกไปเดินเล่นหน่อยมั้ย?”
ลี่จิ่วเชียนในเมื่อก่อนก็พูดจาน้ำเสียงแบบนี้แหละ แต่ตอนนี้มู่น่อนน่อนเห็นหน้าเขาแล้วก็รู้สึกว่าเกลียดขี้หน้าเลย
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าเขาคิดกำลังอะไรแผลงๆอีก จึงได้พูดตรงๆว่า:“ไม่อยากค่ะ คุณมีจุดประสงค์อะไรก็พูดมาตามตรงๆ ดีกว่า ไม่ต้องอ้อมค้อม”
เฉินมู่ทานอาหารเช้าเสร็จก็ได้ไปเล่นแล้ว มู่น่อนน่อนจึงไม่ได้พูดจาเกรงใจขนาดนั้น
ลี่จิ่วเชียนยังไม่ได้พูดอะไรเลย อาลั่วก็นั่งไม่ติดแล้ว
“คุณมู่ คุณมาที่นี่นานขนาดนี้แล้ว คุณชายกลัวว่าคุณจะเบื่อ ถึงอยากพาคุณออกไปเดินเล่นหน่อยค่ะ”
คำว่า“คุณมู่”นี้ อาลั่วได้เพิ่มน้ำหนักเสียงให้หนักขึ้น เห็นได้ชัดว่ากำลังเตือนเธออยู่
มู่น่อนน่อนฟังแล้วได้มองไปที่อาลั่วด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ:“ในเมื่อแบบนี้ ฉันให้คุณอาลั่วพาฉันออกไปเดินเล่นได้มั้ยคะ?
หลังจากมู่น่อนน่อนพูดจบ เฉินถิงเซียวไม่ได้เปิดปากพูดในทันที
ห้องนอนได้เข้าสู่ความเงียบสงัด
มู่น่อนน่อนก็ไม่เร่งรัด ได้รอคำตอบของเฉินถิงเซียวอย่างมีความอดทนสุดขีด
ผ่านไปสักพัก เฉินถิงเซียวถึงตอบคำนึงว่า:“อืม”
ถึงแม้ไม่ได้ตอบชัดเจน แต่คนที่มีความมั่นใจและยโสโอหังอย่างเฉินถิงเซียว สามารถฟังคำพูดของเธอเข้าหู ยอมถอย ก็ถือว่ามีความคืบหน้ามากแล้ว
ขณะนี้ จู่ๆด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวสบตากันทีนึง ได้นั่งตัวตรงด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป:“ฉันออกไปดูหน่อยค่ะ”
เธอลุกขึ้นมา หยุดชะงักไปครู่นึง ถึงพูดหยั่งเชิงว่า:“คุณเลือกตู้เสื้อผ้า……หรือว่าห้องน้ำ?”
สถานการณ์ตอนนี้คับขันมาก แถมเฉินถิงเซียวปีนหน้าต่างเข้ามา ถ้าถูกลูกน้องของลี่จิ่วเชียนพบเห็น ไม่อยากจะคิดเลยว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง จึงต้องลำบากเขาไปหลบซ่อนตัวหน่อยแล้ว
เฉินถิงเซียวหน้าเขียวหน้าดำขึ้นมาทันที เขาได้หันหลังเดินไปทางห้องน้ำ
มู่น่อนเห็นเขาไปที่ห้องน้ำ จึงเตรียมเดินไปเปิดประตูที่หน้าห้อง
แต่เฉินถิงเซียวเดินไปถึงกลางคันก็ได้ย้อนกลับมาอีก เขาได้เข้าไปหลบในตู้เสื้อผ้าภายใต้สายตาที่แปลกประหลาดของมู่น่อนน่อน
ห้องนอนห้องนี้ใหญ่มาก ตู้เสื้อผ้าก็กว้างมาก มีพื้นที่เหลือเฟือให้ผู้ชายตัวสูงใหญ่หลบซ่อน
มู่น่อนน่อนมองดูเฉินถิงเซียวเข้าไปในตู้เสื้อผ้า หลังจากแน่ใจแล้วว่าเขาหลบซ่อนตัวดีแล้ว ไม่เห็นตู้เสื้อผ้ามีสิ่งผิดปกติอะไรอีก ถึงยื่นมือไปเปิดประตู
เธอบิดลูกบิดประตูไปแค่ครึ่งเดียว ก็ได้ส่งเสียงถามว่า:“ใครคะ?”
ด้านนอกมีเสียงผู้หญิงก้องมา:“ฉันเอง”
คืออาลั่ว?
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดอยู่ครู่นึง ดึกป่านนี้แล้วอาลั่วมาหาเธอทำไม?
ปกติอาลั่วแทบจะไม่มาหาเธอที่ห้องเลย
มู่น่อนน่อนเปิดประตู ก็เห็นอาลั่วยังใส่เสื้อคลุมรองเท้าบูทของวันนี้อยู่ ยืนอยู่ที่หน้าห้องด้วยความเย็นชา เหมือนหาว่าเธอเปิดประตูช้าเกินไป แววตามีความหงุดหงิดอยู่เลือนราง
มู่น่อนน่อนมองอาลั่วอย่างสงบเยือกเย็น สุดท้ายได้ข้อสรุปว่า——อาลั่วเพิ่งกลับมาจากข้างนอก
เพิ่งกลับมาจากข้างนอกก็รีบมาหาเธอเลย หรือว่าอาลั่วจะพบเห็นอะไร?
สีหน้าของมู่น่อนน่อนไม่มีความผิดปกติเลยสักนิด เธอได้ถามอย่างเป็นธรรมชาติว่า:“คุณอาลั่วมีธุระ?”
คนที่อยู่ในวิลล่านี้ล้วนเรียกเธอว่าคุณอาลั่ว แต่ก็มีแค่มู่น่อนน่อนเท่านั้นที่เรียกคุณอาลั่วแล้วทำให้เธอฟังจนอึดอัดไปทั้งตัว
“ไม่เชิญฉันเข้าไปนั่งหน่อยเหรอคะ?”อาลั่วมองเข้าไปห้องนอนที่อยู่ข้างหลังเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก็ไม่รู้ว่าอยากจะดูอะไร
มู่น่อนน่อนไม่ได้พยักหน้าและไม่ได้ส่ายหัว แค่พูดคำเดียวว่า:“มู่มู่หลับไปแล้วค่ะ”
ความหมายแอบแฝงก็คือไม่อยากให้อาลั่วเข้าไป
อาลั่วเชิดคางขึ้นเล็กน้อย:“ฉันจะพยายามเบาเสียงค่ะ”
ทีนี้มู่น่อนน่อนสามารถแน่ใจแล้วว่าอาลั่วคงจะพบเห็นอะไรแล้ว ดังนั้นจู่ๆอาลั่วถึงได้มาหาเธอ
“มีธุระอะไรเอาไว้คุยพรุ่งนี้ไม่ได้หรือไง?” น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนก็ค่อนข้างหงุดหงิดแล้ว ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตามีความเย็นชาโผล่ขึ้นมา
อาลั่วไม่เคยเห็นหน้าตาแบบนี้ของมู่น่อนน่อนเลย อยู่ในความทรงจำของเธอ มู่น่อนน่อนเป็นผู้หญิงที่สวยและอ่อนแอ ตอนที่ต่อกรกันก็แค่โจมตีกลับอย่างใจเย็นสุดๆ
แต่นาทีนี้ มู่น่อนน่อนดูเฉียมคมสุดๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีออร่าที่บอกไม่ถูกฟุ้งกระจายอยู่
ไม่นึกเลยว่าในเสี้ยววินาทีนั้นอาลั่วจะมีความคิดที่อยากจะหันหลังจากไป แต่เธอได้ดึงสติกลับมาอย่างไว
เธอยกมุมปากขึ้นมาเยาะเย้ยตัวเอง ช่างแปลกประหลาดจริงๆ ก็แค่ผู้หญิงที่ถูกคุมตัวมาเป็นตัวประกันเฉยๆ ไม่นึกเลยว่าเมื่อครู่เธอจะถูกพลังทรงอำนาจบนตัวมู่น่อนน่อนทำเอากลัว
อาลั่วได้พูดเสียงสูงทันที ได้แฝงด้วยความหมายที่วางมาดใหญ่โตเพื่อตบตาผู้คน:“ฉันก็แค่อยากเข้าไปนั่ง ทำไมคะ?คุณมู่ไม่ยอมให้ฉันเข้าไปสักที เพราะข้างในได้ซ่อนเงื่อนงำอะไรไว้เหรอคะ?หรือคุณคิดว่าฉันไม่มีสิทธิ์เข้าไป?”
“คุณอาลั่วคิดว่าห้องของฉันได้ซ่อนเงื่อนงำอะไรไว้?”มู่น่อนน่อนยังคงยืนอยู่ที่หน้าห้องไม่ให้อาลั่วเข้ามา
ในห้องไม่ได้มีเงื่อนงำอะไร แค่ซ่อนเฉินถิงเซียวไว้เฉยๆ
อาลั่วยิ่งพูดแบบนี้ มู่น่อนน่อนก็ยิ่งปล่อยให้เธอเข้ามาทันทีไม่ได้ ถ้าไม่อย่างนั้น อาลั่วจะคิดว่าเธอกินปูนร้อนท้อง
เธอจะต่อกรกับอาลั่วจนถึงที่สุด เป็นผู้หญิงด้วยกัน มู่น่อนน่อนรู้ดีที่สุด เวลาส่วนใหญ่ผู้หญิงทำเรื่องก็แค่อยากเอาคืนเฉยๆ กลับกันไม่ได้แคร์เรื่องราวมากมายขนาดนั้น
มู่น่อนน่อนเดาว่านาทีนี้ ในใจของอาลั่วแค่คิดอยากจะเข้าห้องนอนอย่างเดียว ส่วนจุดประสงค์เดิมที่เธอมาหามู่น่อนน่อน กลับไม่ได้สำคัญขนาดนั้นแล้ว
“มู่น่อนน่อน คุณอย่าคิดว่ามีคุณชายคอยให้ท้ายคุณแล้ว จึงไม่เกรงกลัวแล้วงั้นเหรอ?”อาลั่วได้ถูกมู่น่อนน่อนยั่วโมโหเข้าแล้ว
“ฉันไม่ได้คิดแบบนี้เลย”มู่น่อนน่อนพูดจบ จู่ๆได้หัวเราะขึ้นมา:“คุณอาลั่ว มีเรื่องนึงฉันต้องเตือนคุณหน่อยนะ ถ้าฉันยินยอม ต่อไปคุณอาจจะต้องเรียกฉันคุณผู้หญิงคำนึงด้วยซ้ำ”
“คุณ!”อาลั่วถูกมู่น่อนน่อนทำเอาติดขัดจนพูดไม่ออก
“ช่างเถอะ คุณเข้ามาเถอะ”มู่น่อนน่อนเอามือกอดอกไว้ และถอยหลังไปก้าวนึง พร้อมแกล้งพูดอย่างใจกว้างว่า:“ถ้าต่อไปฉันอยู่กับคุณผู้ชายของคุณจริงๆ ก็ถือเป็นเจ้านายอีกคนของคุณเหมือนกัน เราต้องเข้าหากันดีๆ เพื่อจะได้เลี่ยงไม่ให้คุณชายของคุณลำบากใจ”
มู่น่อนน่อนรู้ว่าอาลั่วรักลี่จิ่วเชียน จึงได้แกล้งคำก็เรียก“คุณชายของคุณ”สองคำก็เรียกว่าคุณชายของคุณ เพื่อทิ่มแทงใจอาลั่ว
อาลั่วหน้าเขียวหน้าดำขึ้นมาทันที เธอไม่ได้พูดอะไรกับมู่น่อนน่อนอีก ก็ได้เดินเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
มู่น่อนน่อนปิดประตูแล้วเดินตามหลังอาลั่ว ได้มองไปยังทิศทางของตู้เสื้อผ้าแว๊บนึง จากนั้นก็ได้เดินไปยืนอยู่ที่ๆห่างกับประตูห้องน้ำไม่ไกล ดูแล้วเหมือนจงใจบังประตูห้องน้ำไว้
อาลั่วเข้ามาห้องนอนแล้วได้มองไปที่บนเตียงแว๊บนึง เห็นเฉินมู่กำลังหลับอยู่จริงๆ เธอจึงได้เบาฝีเท้าลงเยอะ
มู่น่อนน่อนค่อนข้างประหลาดใจ อาลั่วก็ไม่ใช่คนที่ร้ายกาจอะไร
ตู้เสื้อผ้าของห้องนอนเป็นตู้ที่มีบานประตูหกบาน ใหญ่มาก
อาลั่วเดินมาถึงหน้าตู้เสื้อผ้า ก็ได้เปิดตรวจทีละบานอย่างไม่หลีกเลี่ยงเลย
มู่น่อนน่อนยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ ภายนอกดูสงบเยือกเย็น ยิ่งเปิดบานประตูเสื้อผ้ามากขึ้นเท่าไหร่ ในใจเธอยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น
ในที่สุด ตอนที่อาลั่วเปิดประตูบานที่สี่ได้หันกลับไปมองมู่น่อนน่อนกะทันหัน
มู่น่อนน่อนยักคิ้ว:“ทำไมไม่เปิดแล้วล่ะ?”
เธอรู้สึกว่าเธอได้รับอิทธิพลจากเฉินถิงเซียวมากเกินไป ดังนั้นถึงได้สามารถใจเย็นได้ขนาดนี้ ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเมื่อครู่เธอกลัวเฉินถิงเซียวจะถูกอาลั่วหาเจอมากแค่ไหน
อาลั่วได้หรี่ตามองไปยังห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังของมู่น่อนน่อน มู่น่อนน่อนสีหน้าไม่เปลี่ยน แต่กลับแกล้งเขยิบไปข้างๆสองก้าว สร้างภาพลวงตาว่าบังประตูห้องน้ำไว้
อาลั่วได้หลงกลจริงๆด้วย เธอเดินมาอย่างไว มุ่งมาที่ประตูห้องน้ำโดยตรง
ไหนๆมู่น่อนน่อนจะเล่นละครแล้วก็ต้องเล่นให้ถึงที่สุด เธอยื่นมือบังอาลั่วไว้:“ทำอะไร?”
อาลั่วยกมุมปากขึ้นพร้อมยิ้มหยันแล้วพูดว่า:“ขอเข้าห้องน้ำแป๊บนึงค่ะ”
“อาลั่ว คุณอย่าให้มันเกินไปนะ!”มู่น่อนน่อนเม้มปากไว้ ยังคงไม่หลีกทางให้
อาลั่วได้เดินอ้อมผ่านเธอไปเปิดประตูห้องน้ำโดยตรง
แผนผังของห้องน้ำแค่มองแว๊บเดียวก็เข้าใจหมดแล้ว ไม่มีเงาคนอยู่เลย
ทันใดนั้นเธอหันมามองมู่น่อนน่อน:“นี่คุณปั่นหัวฉันงั้นเหรอ?”
เฉินถิงเซียวไตร่ตรองอยู่ครู่นึง แล้วเอ่ยว่า:“เป็นไปได้”
“ตอนนั้น ฉันขับรถออกมาจากวิลล่าของลี่จิ่วเชียน ได้หันไปดูแค่แว๊บนึง เห็นหน้าตาของคนแก่คนนั้นไม่ชัดค่ะ”มู่น่อนน่อนพูดถึงตรงนี้ จู่ๆได้หยุดชะงักแล้วถามเฉินถิงเซียวว่า:“คุณรู้ได้ยังไงว่าพ่อบุญธรรมของลี่จิ่วเชียนเสียชีวิตแล้ว?คุณรู้ว่าพ่อบุญธรรมของเขาคือใครเหรอคะ?”
ต้องรู้ไว้นะว่าตอนนั้นพ่อบุญธรรมของลี่จิ่วเชียน ก็เป็นคนที่มีสถานะเร้นลับมาก
ตอนที่อยู่ในประเทศ อย่าว่าแต่พ่อบุญธรรมของลี่จิ่วเชียนเลย แม้แต่ข้อมูลของลี่จิ่วเชียนก็ตรวจสอบได้ยากมาก
เฉินถิงเซียวได้เดินไปนั่งโซฟาที่อยู่ข้างๆ และพูดอย่างใจเย็น:“พ่อบุญธรรมของเขาคุณก็น่าจะรู้จักอยู่”
“ใครคะ?”
เฉินถิงเซียวพูดออกมาอย่างช้าๆ:“เซี่ยอ้ายเซิง”
“เซี่ยอ้ายเซิง?”มู่น่อนน่อนอึ้งค้างไว้:“ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเขา!”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนมาเคร่งขรึมขึ้นเยอะ เธอเดินไปนั่งที่ข้างกายของเฉินถิงเซียว:“อยู่ในแวดวงคนจีน เซี่ยอ้ายเซิงเป็นผู้ใจบุญที่ชื่อเสียงดีงาม ทั้งชีวิตนี้เคยช่วยเหลือผู้คนตั้งมากมาย ได้รับความนับถือจากผู้คนมาก ยังมีหนังเรื่องนึงได้ใช้เขาเป็นต้นแบบในการถ่ายหนัง”
“พียงแต่ หลายปีนี้ข่าวคราวของเขาน้อยมาก มีคนบอกว่าเขาอายุมากและร่างกายไม่ค่อยดีแล้ว เพราะฉะนั้นถึงค่อยๆเงียบหายไปจากสายตาของผู้คน แต่เขาก็ยังทำการกุศลอยู่ตลอด”
มู่น่อนพูดความคิดความเห็นของตัวเองจบ ก็ได้เงยหน้าไปมองเฉินถิงเซียว:“ เซี่ยอ้ายเซิงมีจุดน่าสงสัยอะไรเหรอคะ?”
บนตัวลี่จิ่วเชียนซ่อนความแปลกประหลาดไว้ เซี่ยอ้ายเซิงที่มีฐานะเป็นพ่อบุญธรรมของลี่จิ่วเชียน ก็อาจจะซ่อนเงื่อนงำอะไรไว้
เฉินถิงเซียวเอียงตัวพิงอยู่บนโซฟา ดูเกียจคร้านสุดๆ เสียงที่ทุ้มต่ำแฝงด้วยความเลื่อนลอย:“เป็นผู้ใจบุญ ไม่ใช่เหรอ?”
“ดูจากข้อมูลแล้ว เซี่ยอ้ายเซิงเป็นคนที่จิตใจดีงามมากจริงๆค่ะ”มู่น่อนน่อนพยักหน้า
“ลี่จิ่วเชียนเคยตรวจสอบเรื่องแม่ของผม”เฉินถิงเซียวแค่พูดหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญอย่างนี้ไปคำเดียว ความคิดของมู่น่อนน่อนก็ได้คึกคะนองขึ้นมาเลย
“ลี่จิ่วเชียนแก่กว่าคุณแค่ปีสองปี ตอนนั้น……”พูดถึงเรื่องแม่ของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวอย่างระมัดระวังแว๊บนึง เห็นสีหน้าเขาปกติถึงได้พูดต่อว่า:“ตอนที่เกิดเรื่องแม่ของคุณ เขาก็เพิ่งจะอายุสิบกว่าปีเอง เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเขาคะ?”
เฉินถิงเซียวถามเธอ:“เซี่ยอ้ายเซิงอายุเท่าไหร่?”
มู่น่อนน่อนคิดครู่นึงแล้วพูดว่า:“น่าจะ……ประมาณหกสิบค่ะ”
เฉินถิงเซียวหลุบตาลงเล็กน้อย น้ำเสียงเบามาก:“ห่างกับอายุของแม่ผมไม่เยอะ”
“ความหมายของคุณคือ ที่ลี่จิ่วเชียนรู้เรื่องแม่ของคุณ อาจจะเกี่ยวข้องกับเซี่ยอ้ายเซิง?เซี่ยอ้ายเซิงอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของสมัยนั้น?ถ้าลี่จิ่วเชียนช่วยคนอื่นทำงานมาโดยตลอด งั้นคนที่เขาช่วยก็คือเซี่ยอ้ายเซิงแน่นอน!”
ได้รับข้อมูลยิ่งเยอะ มู่น่อนน่อนกลับรู้สึกว่าเรื่องมันชักจะซับซ้อนไปกันใหญ่แล้ว
เดิมทีนึกว่าเรื่องของสมัยนั้นแค่เกี่ยวข้องคนบางส่วนของตระกูลเฉินเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าต่อมาจะมีลี่จิ่วเชียนข้องเกี่ยวเข้ามาด้วย และเซี่ยอ้ายเซิง ผู้ใจบุญที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ
มู่น่อนน่อนได้สรุปอย่างเรียบง่ายว่า:“ลี่จิ่วเชียนเป็นดอกเตอร์ของอาชญาวิทยา เซี่ยอ้ายเซิงเป็นผู้ใจบุญ ต่างก็เป็นคนที่มีสถานะทางสังคมและทรงอิทธิพล มีสถานะที่โปร่งใสมากเพราะมีการรับประกันของสถานะแบบนี้ ถ้าพวกเขาจะแอบทำเรื่องอย่างอื่นลับๆ ก็ยิ่งยากที่จะถูกพบเห็น”
ลี่จิ่วเชียนเนี่ยแหละเป็นตัวอย่างที่ดีมาก
เขาเคยช่วยมู่น่อนน่อน เป็นผู้มีพระคุณของมู่น่อนน่อน ถ้าไม่เกิดเรื่องพวกนี้ มู่น่อนน่อนจะเห็นว่าลี่จิ่วเชียนเป็นคนดีคนนึงอยู่
มู่น่อนน่อนพูดมาเยอะขนาดนี้ เห็นเฉินถิงเซียวปิดปากเงียบตลอด เลยอดเงยหน้าไปมองเขาไม่ได้
ปรากฎพอมองปุ๊บ เธอถึงพบว่าเฉินถิงเซียวกำลังจ้องมองเธออย่างน่าสนใจอยู่ ดูแล้วชิวสุดๆ ไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นเลย
มู่น่อนน่อนเม้มปาก:“เฉินถิงเซียว คุณพูดอะไรหน่อยสิ”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวฟังไม่ออกว่ามีอารมณ์อะไร เขาได้พูดอย่างใจเย็น:“คุณไม่กลัวว่าผมจะใช้คุณกับลี่จิ่วเชียนมาแลกข่าวของแม่ผมเหรอ?”
มู่น่อนน่อนได้ส่ายหัวก่อน
เฉินถิงเซียวหรี่ตาไว้ เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อเธอ
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปากและได้แต่พยักหน้า
“ที่จริงตอนแรกเคยคิดแบบนี้อยู่……”เธอยังพูดไม่จบ แววตาของเฉินถิงเซียวก็เปลี่ยนมาอันตรายขึ้น
มู่น่อนน่อนรีบส่งเสียงกอบกู้:“สถานการณ์ของตอนนั้น ฉันเป็นผู้หญิงคนนึง ฉันจะคิดฟุ้งซ่านหน่อยไม่ได้เลยหรือไง ฉัน……”
“คุณก็รู้เหมือนกันเหรอว่าคุณเป็นผู้หญิงคนนึง?”เฉินถิงเซียวแค่อ้าปากก็เหน็บแนมเลย:“ในเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงคนนึง ก็ไม่รู้จักพึ่งพาผมเหมือนผู้หญิงหน่อย?เอะอะก็ตัดสินใจโดยพลการเอง ครั้งสองครั้งก็แล้วไป ไหนคุณลองพูดซิว่านี่มันกี่ครั้งแล้ว! ”
พูดถึงตอนท้าย เขาได้ทำเสียงสูงโดยที่ไม่รู้ตัว เหมือนภรรยาที่กัดฟันอดทนมานานเกิน ในที่สุดก็หาโอกาสที่ได้ระบายเจอ ได้พูดความคิดในใจตัวเองออกมาจนหมดเปลือก……
มู่น่อนน่อนได้เปลี่ยนความคิด คำอุปมานี้ชักจะแปลกเกินไปแล้ว
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่กัดฟันอดทนที่ไหนกัน คนที่ขัดใจเขาล้วนไม่มีจุดจบที่ดี ยิ่งอย่าบอกว่าให้เขากัดฟันอดทนเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ที่มู่น่อนน่อนตัดสินใจโดยพลการ ไม่ใช่เพราะเขาไม่พูดอะไรเลยหรอ เธอจึงต้องใช้วิธีของตัวเองไปแก้ไขปัญหา
พอคิดแบบนี้ มู่น่อนน่อนรู้สึกมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาอีก:“นี่คุณกำลังโทษฉันเหรอ?”
“มู่น่อนน่อน”เฉินถิงเซียวกัดฟันเรียกชื่อของเธอ
มู่น่อนน่อนชี้ไปที่บนเตียง:“มู่มู่หลับอยู่ คุณเบาเสียงหน่อย”
ความโกรธของเฉินถิงเซียวได้กลั้นไว้ที่ลำคอ ฝืนกลืนมันลงไป หลุบตาไว้เล็กน้อยพร้อมยื่นมือนวดหัวคิ้ว และไม่มองมู่น่อนน่อนอีก
ทีนีมู่น่อนน่อนถึงสังเกตเห็นว่าใต้ตาของเฉินถิงเซียวดำคล้ำ
ตอนที่เขาลืมตามองคนด้วยสายตาเย็นชาแล้วทรงพลังมาก แค่มองแว๊บเดียวก็มีความน่าเกรงขามมาก แต่เขาหลับตาลง พอแววตาเฉียบมคมถูกบดบังเอาไว้ปุ๊บ ความอิดโรยของใบหน้าก็ได้โผล่ออกมา
ที่แท้ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้พักผ่อนดีๆเหมือนกัน
มู่น่อนน่อนถอนหายใจแล้วยื่นมือไปกอดเขาไว้ พูดจาให้ซอฟลง:“คุณเอาแต่ว่าฉันทำโดยพลการ แต่ทุกครั้งตอนที่คุณมีบางอย่างอยู่ในใจไม่บอกฉัน เคยคิดหรือเปล่าว่าฉันเป็นห่วงมากแค่ไหน ตอนที่คุณจำกัดอิสระของฉันและขังฉันไว้โดยพลการ แล้วคุณกำลังคิดอะไรอยู่?เคยนึกถึงความรู้สึกของฉันบ้างหรือเปล่า?”
ตอนที่เธอพูดถึงคำสุดท้ายนี้ เธอสามารถรู้สึกได้ว่าร่างกายที่เพิ่งผ่อนคลายของเฉินถิงเซียวได้เกร็งขึ้นมาทันทีอีก
มู่น่อนน่อนยื่นมือลูบหลังเขาหลายที แฝงด้วยเจตนารมณ์ของการปลอบใจ อ่อนโยนมากเป็นพิเศษ
“เฉินถิงเซียว ฉันไม่ได้จะมารื้อบัญชีเก่ากับคุณนะ และไม่ได้โทษคุณด้วย ฉันรู้ดีกว่าใครๆว่าในใจคุณหนักหน่วงมากแค่ไหน เก็บกดมากแค่ไหน”
มู่น่อนน่อนสูดหายใจแรงๆ:“ยังจำตอนที่ฉันท้องเฉินมู่และเอาไฟเผาวิลล่าของคุณได้มั้ย?นั่นเป็นครั้งแรก เฉินมู่ถูกจับตัวไป คุณกลัวว่าฉันจะเอาตัวเองไปแลกกับเธอ ก็ได้ขังฉันไว้อีก นั่นเป็นครั้งที่สอง”
“ห้ามมีครั้งที่สามอีก โอเคมั้ย?ต่อไป เราสามารถหาวิธีแก้ไขที่ดีกว่าด้วยกัน”อย่างน้อยอย่าใช้วิธีที่สุดโต่งแบบนี้
เฉินถิงเซียวเห็นมีตุ๊กตาอยู่บนเตียง เลยยัดตุ๊กตาเข้ามาที่อ้อมกอดของเฉินมู่ จากนั้นได้ดึงมู่น่อนน่อนเข้าไปในห้องน้ำและปิดประตู
ความเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ เฉินถิงเซียวทำได้ไหลลื่นสุดๆและเสร็จในอึดใจเดียว
พอมู่น่อนน่อนดึงสติกลับมา เธอก็ได้อยู่ในห้องน้ำแล้ว
“ฉันอ่านหนังสือพิมพ์บอกว่าคุณเกิดอุบัติเหตุ?คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”มู่น่อนน่อนได้มองสำรวจอยู่ที่บนตัวเขาอย่างเป็นห่วง
เมื่อครู่เขายังมีเรี่ยวแรงกำลังล้อเล่นกับเธออยู่ คงไม่เป็นไรหรอก
แววตาของเฉินถิงเซียวมืดมนเล็กน้อย ไม่ได้ตอบคำถามเธอ มือข้างนึงกอดเอวของเธอไว้ มืออีกข้างประคองหลังศีรษะของเธอไว้พร้อมกับประทับจูบลงไป
ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ตอนที่นานจนมู่น่อนน่อนรู้สึกว่าปากตัวเองค่อนข้างชาไปหมดแล้ว มือของเฉินถิงเซียวถึงได้คลายออกเล็กน้อย เขาถึงยืนตัวตรงอย่างปล่อยวางไม่ได้
เฉินถิงเซียวแค่เบาแรงลงหน่อย แต่ไม่ได้คลายมือออก ยังคงกอดเธอไว้อีกเช่นเคย
“คิดถึงผมหรือเปล่า?”
เสียงของเขาแฝงด้วยความแหบพร่าหลังจากที่ได้จูบอย่างเร่าร้อน
มู่น่อนน่อนหดคอทีนึง ได้ทำการขัดขืนไปครู่นึง แต่กลับแลกมาซึ่งการโอบกอดที่ยิ่งแนบชิดของเฉินถิงเซียว
ทีนี้มู่น่อนน่อนไม่ขยับแล้ว ปล่อยให้เขากอดเอาไว้แบบนี้ เงียบไปครู่นึงถึงพูดเสียงเบาว่า:“มู่มู่คิดถึงคุณมากค่ะ”
“แล้วคุณล่ะ?”น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวมีความดื้อดึงแฝงอยู่เสี้ยวนึง
มู่น่อนน่อนเม้มปาก จากนั้นได้ตอบคำนึงว่า:“อืม”
เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเธอเพิ่งพูดจบ แม้แต่ลมหายใจของผู้ชายที่กอดเธอไว้ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
เธอได้ชิงถามเฉินถิงเซียวก่อนที่เขาจะเปิดปากพูด:“คุณเข้ามาได้ยังไงคะ?”
เฉินถิงเซียวคิ้วผูกโบว์ไว้ เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับคำตอบของมู่น่อนน่อน
ถึงจะอย่างนี้ แต่เขาก็ยังได้ตอบคำถามของมู่น่อนน่อนอย่างเชื่อฟังอยู่ดี แต่ตอบแบบลวกๆมาก
“ปีนหน้าต่างเข้ามา”เขาพูดไปด้วยและยื่นมือไปจับหน้าของมู่น่อนน่อนไปด้วย น้ำเสียงไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่
มู่น่อนน่อนฟังเขาพูดแบบนี้แล้ว นี่ถึงพบว่าตรงเอวเขามีเชือกที่เส้นบางมากม้วนนึง ทั้งสองข้างของเชือกยังมีตะขออยู่ด้วย
เธอเองก็พอจะเดาได้แล้วว่าเฉินถิงเซียวใช้เชือกอันนี้ปีนขึ้นมา
เชือกอันนี้ดูแล้วเรียบง่ายมาก แต่ตอนที่เฉินถิงเซียวปีนขึ้นมา ยังได้ใช้อุปกรณ์เสริมตัวอื่นด้วย
สีหน้าของมู่น่อนน่อนได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว:“ที่นี่คือชั้นสามนะ!”
เฉินถิงเซียวฟังแล้วได้ฮื้อเสียงเบา:“แค่ชั้นสามเอง ถึงคุณพักอยู่ที่ชั้นสามสิบ ผมก็สามารถปีนขึ้นไปได้เหมือนกัน”
สีหน้าแววตาเขาดูแล้วเหิมเกริมสุดขีด เหิมเกริมจนใกล้จะยโสโอหัง แต่ก็แฝงด้วยความภาคภูมิใจอยู่หลายส่วน ไม่นึกเลยว่าค่อนข้างจะนิสัยเด็กๆ
เฉินถิงเซียวก็เป็นผู้ชายแบบนี้แหละ ถึงจะเหิมเกริมและยโสโอหัง แต่มักจะสามารถทำให้คนเชื่อว่าคำพูดที่เขาเคยพูด เขาก็จะสามารถทำได้แน่นอน
เขามีต้นทุนของการเหิมเกริมและการหยิ่งยโส
ต้นทุนของเขาไม่ใช่บริษัทเฉินซื่อ และไม่ใช่รัศมีของคุณชายใหญ่ตระกูลเฉิน แต่เพราะเขาคือเขา เขาคือเฉินถิงเซียว
ผู้ชายทั้งชีวิตล้วนเหมือนเด็กคนนึง จิตวิญญาณของพวกเขามีเลือดอันพลุ่งพล่านไหลเวียนอยู่
แต่สิ่งที่มู่น่อนน่อนจะทำคือจะสาดน้ำเย็นใส่เขา เพื่อสาดเลือดอันพลุ่งพล่านของเขาให้เย็นลง
เลือดพลุ่งพล่านของเขาคือจะเอามาใช้กับการปีนตึกเหรอ?
มู่น่อนน่อนโกรธสุดขีดจนหัวเราะ:“เฉินถิงเซียว คุณรู้สึกภาคภูมิใจมากใช่มั้ย?ถ้าเกิดพลัดตกตึกขึ้นมาล่ะ?”
เฉินถิงเซียวอึ้งไปครู่นึง แววตามีความสงสัยแว๊บผ่านอย่างไว:“คุณไม่รู้สึกซึ้งเลยเหรอ?”
“……ซึ้งงั้นเหรอ?”มู่น่อนน่อนพูดอย่างไม่สบอารมณ์:“มีเวลาฉันก็จะไปปีนสามชั้นไปหาคุณบ้าง คุณซึ้งมั้ย?”
มู่น่อนน่อนเพิ่งพูดจบ เฉินถิงเซียวก็ได้หน้าห้อยลงมาพร้อมพูดเสียงเย็นชาว่า:“คุณกล้าเหรอ!”
มู่น่อนน่อนแบมือด้วยสีหน้าบริสุทธิ์ใจ
เฉินถิงเซียวหน้าบึ้งไว้ จับคางของเธอไว้แล้วจูบลงไปอย่างโหดอีกครั้ง มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ว่าจูบนี้เอ่อล้นด้วยความไม่พอใจ
เธอไม่ยอมบอกเขาหรอกว่าเธอซึ้ง
เธอกลัวหลังจากเธอบอกเขาแล้ว คราวหน้าเขาจะทำแบบนี้อีก
เฉินถิงเซียวจูบพอแล้ว ทีนี้ถึงได้ถอยหลังไปก้าวนึง คอยมองมู่น่อนน่อนอย่างละเอียด สายตากวาดไปมาอยู่ที่บนตัวเธอหลายรอบ ถึงส่งเสียงพูดว่า:“ลี่จิ่วชังไม่ได้ทำให้คุณลำบากใจ?”
“เขาไม่ได้ทำให้ฉันลำบากใจหรอกค่ะ”มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็นึกขึ้นได้ว่าเฉินถิงเซียวยังไม่รู้เลยว่าลี่จิ่วชังก็คือลี่จิ่วเชียน จึงได้รีบบอกเขา:“ที่จริงลี่จิ่วชังก็คือลี่จิ่วเชียนค่ะ”
มู่น่อนน่อนพูดจบ พบว่าเฉินถิงเซียวได้หยุดชะงักไปครู่นึง แต่ไม่ประหลาดใจเลย
มู่น่อนน่อนถามเขา:“ทำไมคุณถึงไม่ประหลาดใจเลยล่ะ?”
“หลายวันนี้ได้ตรวจสอบเจอข้อมูลบางส่วน เคยมีการคาดเดา แต่ยังไม่ทันได้ไปพิสูจน์ความจริง”
“เรื่องอุบัติเหตุนี่มันยังไงกันคะ?ฉันอยู่วิลล่าถูกตัดขาดจากโลกภายนอกหมด วันนี้ลี่จิ่วเชียนเอาหนังสือพิมพ์ให้ฉันดู ฉันถึงรู้เรื่องอุบัติเหตุ อีกอย่าง เรื่องอุบัติเหตุลี่จิ่วเชียนอาจจะมีส่วนรู้เห็นด้วย”
“ไม่เกิด‘อุบัติเหตุ’แล้วจะทำให้ลี่จิ่วเชียนชะล่าใจได้ยังไง ผมจะปีนเข้ามาหาคุณได้ยังไง?”น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวแฝงด้วยการหยอกล้อเสี้ยวนึง
มู่น่อนน่อนเม้มปากแล้วจ้องเขาทีนึง จากนั้นได้หันไปเปิดประตูห้องน้ำแล้วเดินออกไป
เฉินถิงเซียวคอยตามอยู่ด้านหลัง
เฉินมู่ได้กอดตุ๊กตาหลับไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งทั้งก้อนนอนอยู่บนผ้าห่ม
ยังดีที่เครื่องทำความร้อนของห้องเปิดได้อุ่นมาก ไม่งั้นหนาวอยู่อย่างนี้พักนึง ลูกสาวจะต้องเป็นหวัดอีกแน่
มู่น่อนน่อนกำลังจะเดินไปอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา เฉินถิงเซียวแค่ก้าวเท้าก็ได้ชิงตัดหน้าไปเสียก่อน เขาอุ้มเฉินมู่ขึ้นมาอย่างสบายๆ
เฉินมู่ยังไม่ได้หลับลึกมาก เธอลืมตาดูเฉินถิงเซียวอย่างสะลึมสะลือ แววตาเต็มไปด้วยความพร่ามัว
เฉินถิงเซียวมองแล้วใจอ่อนยวบยาบ ได้ลูบหลังเธอพร้อมพูดเสียงเบาว่า:“พ่ออยู่นี่”
เฉินมู่กะพริบตาปริบๆ เหมือนแน่ใจแล้วว่าเขาคือพ่อจริงๆ ก็ได้หลับตาพร้อมนอนหลับอย่างสบายใจเฉิบ
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวอย่างตกตะลึง เหมือนเธอจะไม่เคยเห็นเขาแสดงหน้าตาที่อ่อนโยนขนาดนี้ออกมาเลย
เฉินถิงเซียวหันหน้ามา ก็เลยเห็นมู่น่อนน่อนยังจ้องเขาอยู่ จึงได้ส่งเสียงเตือนเธอ:“ผ้าห่ม”
มู่น่อนน่อนดึงสติกลับ แล้วรีบดึงผ้าห่มออก ให้เขาวางเฉินมู่เข้าไปในผ้าห่ม
เฉินถิงเซียววางเฉินมู่เข้าไปใต้ผ้าห่ม ส่วนมู่น่อนน่อนได้ห่มผ้าให้เฉินมู่ จู่ๆเฉินถิงเซียวได้ยื่นมือหยิกแก้มของเฉินมู่ทีนึง เหมือนน้ำเสียงจะมีความไม่พอใจ:“อ้วนขึ้นนะ”
มู่น่อนน่อนตบมือของเขาออก:“นี่เรียกว่าเบบี้แฟตค่ะ”
เนื้อตัวเฉินมู่จ้ำม่ำ แต่มู่น่อนน่อนรู้สึกเธอไม่อ้วน แบบนี้กำลังดี
ผอมกว่านี้ดูตัวเล็กเกินไป อ้วนกว่านี้ก็ไม่แข็งแรง แบบนี้กำลังดี
มู่น่อนน่อนเดินไปที่ริมหน้าต่างแล้วมองออกไปด้านนอก มองลงไปจากชั้นสามแล้วมืดตึ๊ดตื๋อไปหมด
เธอจินตนาการภาพเหตุการณ์ตอนที่เฉินถิงเซียวปีนขึ้นมาจากตรงนี้แล้วได้คิ้วผูกโบว์ไว้ เงียบกริบไม่พูดจา
เฉินถิงเซียวเดินมาที่ข้างกายเธอพร้อมพูดเสียงทุ้มต่ำ:“พ่อบุญธรรมของลี่จิ่วเชียน ได้จากไปเมื่อครึ่งเดือนก่อนแล้ว”
มู่น่อนน่อนได้เงยหน้าขึ้นมากะทันหัน:“ตอนที่ฉันไปจากวิลล่าของเขา เคยเห็นคนแก่คนนึงไปหาเขา เป็นได้ได้มั้ยว่าคนๆนั้นจะเป็นพ่อบุญธรรมของเขา?”
ตำแหน่งที่แสงไฟนั้นอยู่คือมุมซ้ายล่างของหน้าต่าง แสงสว่างอันน้อยนิดริบหรี่มาก แต่เฉินมู่กลับมองเห็นอย่างชัดเจน
“เอ๊ะ?”
เฉินมู่ประหลาดใจจนเขย่งเท้าเอียงศีรษะไปดู
จู่ๆ มีมือข้างนึงโผล่มาจากมุมซ้ายล่างของหน้าต่าง
วัยของเฉินมู่อยากรู้อยากเห็นไปหมดทุกอย่าง ไม่เพียงไม่รู้สึกกลัว กลับกันยังได้จ้องมองมือนั้นอย่างอยากรู้อยากเห็นสุดๆ
มุมซ้ายล่างได้ยื่นมือออกมาข้างนึงก่อน ตามมาด้วยแขน จากนั้นคือศีรษะและไหล่กว้าง……
ตอนที่คนๆนั้นเผยใบหน้าออกมา พริบตาเดียวดวงตาของเฉินมู่ก็เปล่งประกายขึ้นมา เห็นเธอกำลังจะดีใจจนกรี๊ดออกมา คนที่อยู่นอกหน้าต่างให้ทำท่าให้เธออย่าส่งเสียง
เฉินมู่ไม่ส่งเสียงอย่างเชื่อฟังมาก มือสองข้างกำเป็นหมัด ชูมืออยู่ที่ตรงหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก พร้อมเรียกด้วยเสียงที่เบามาก:“คุณพ่อ”
หน้าต่างกันเสียงได้เป็นอย่างดี เธอเรียกเสียงเบามาก เฉินถิงเซียวที่อยู่นอกหน้าต่างไม่ได้ยิน
แต่เขาสามารถมองเห็นทรงปากเธออย่างชัดเจน
เขาไม่ได้เจอหน้าเฉินมู่เกือบจะหนึ่งเดือนแล้ว
เจ้าก้อนแป้งเหมือนจะตัวโตขึ้นมาอีกนิดแล้ว บนตัวใส่ชุดนอนที่ขนปุกปุย คนทั้งคนดูแล้วนุ่มนิ่มมาก อุณภูมิของห้องนอนน่าจะกำลังดี แก้มตุ้ยนุ้ยของเธอยังอมชมพูเล็กน้อย
เดิมทีเขานึกว่าเฉินมู่เห็นเขาแล้วจะกลัว
จู่ๆกลางค่ำกลางคืนนอกหน้าต่างมีคนโผล่มา ไม่ว่าใครก็ต้องกลัวกันทั้งนั้นแหละ
แต่ว่าเธอแค่มองแว๊บเดียวก็ดูออกแล้วว่าเป็นเขา แถมยังเงียบกริบไม่ส่งเสียงอย่างเชื่อฟัง
สองพ่อลูกมีหน้าต่างกันเสียงกั้นไว้บานนึง ต่างก็ไม่ได้ยินเสียงของอีกฝ่าย แม้แต่สีหน้าของอีกฝ่ายก็ยังมองไม่ค่อยชัดเจน แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่เคยรู้สึกได้อย่างชัดเจนเหมือนนาทีนี้ว่านี่คือลูกสาวที่มีสายเลือดเชื่อมต่อกับเขา
บนตัวเธอมีสายเลือดเดียวกันกับเขา เธอใช้นามสกุลของเขา เป็นพยานรักของเขากับมู่น่อนน่อน
เธอต้องการเขามาก และไว้ใจเขามาก
เธอกับเฉินถิงเซียวไม่เหมือนกัน บนตัวเขาแบกรับการติดค้างที่มีต่อแม่และพันธนาการที่ปล่อยวางไม่ลง แต่เฉินมู่แค่ตัวคนเดียว
เธอบริสุทธิ์ และควรได้รับความรัก
หน้าตาที่แต่ไหนแต่ก็เคร่งขรึมของเฉินถิงเซียว ได้มีความตื้นตันใจกับความรักความเมตตาเพิ่มมากขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว
จู่ๆ ข้างหูมีเสียง“แก๊ก”ดังขึ้น
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเฉินมู่ได้เปิดตัวล็อกหน้าต่างออกแล้ว กำลังยิ้มและตั้งตาตั้งตารอเขาอยู่ แถมยังเปิดปากพูดกับเขาว่า:“พ่อรีบเข้ามาเร็วค่ะ”
เฉินถิงเซียวนึกถึงพวกนี้ที่จริงก็เป็นเรื่องครึ่งนาทีเท่านั้น ไม่ได้ใช้เวลานานเท่าไหร่
แต่เฉินมู่กลับได้ช่วยเขาเปิดหน้าต่างแล้ว
เฉินถิงเซียวยื่นมือเปิดหน้าต่าง จากนั้นได้โบกมือให้เฉินมู่ เพื่อส่งสัญญาณให้เฉินมู่หลีกทางหน่อย
เฉินมู่ถอยหลังไปสองก้าวอย่างเชื่อฟัง เพื่อให้เฉินถิงเซียวเข้ามา
เพียงแต่ เฉินมู่ตัวเล็กขาสั้น ถอยหลังไปข้างๆสองก้าวก็เหมือนไม่ได้ถอยยังไงอย่างงั้น
เฉินถิงเซียวรู้สึกจนปัญญา แต่กลับไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเอามิคลึงหน้าต่างแล้วกระโดดเข้ามา
ตอนที่เขาหล่นมาที่พื้นคือนั่งยองๆอยู่ที่บนพื้น เขาเพิ่งหล่นสู่บนพื้นปุ๊บ เฉินมู่ก็พุ่งมากอดคอของเขาไว้แล้ว และพูดด้วยสีหน้าเศร้าใจ:“หนูนึกว่าวันนี้คุณพ่อจะไม่มีแล้วเสียอีก”
เฉินถิงเซียวอึ้งไปครู่นึง และได้ยื่นมือข้างนึงออกไปปิดหน้าต่าง มืออีกข้างที่ว่างอยู่ได้ยื่นมาประคองแผ่นหลังของเธอไว้:“ใครบอกว่าวันนี้พ่อจะมา?”
มือของเขาใหญ่เกินไป แค่มือข้างเดียวก็แทบจะคลุมแผ่นหลังเธอไว้แล้ว
เจ้าตัวเล็ก
หลังจากเฉินถิงเซียวปิดหน้าต่างแล้ว ก็ได้ดึงผ้าม่านไปปิดหน้าต่างไว้ จากนั้นถึงอุ้มเฉินมู่พร้อมลุกขึ้นมา
สำหรับเฉินมู่แล้ว คำถามของเฉินถิงเซียว เกินความสามารถของเธอไปหน่อย
มู่น่อนน่อนเคยบอกเธอว่าเฉินถิงเซียวจะมารับพวกเธอ พอเธอเริ่มคิดถึงเฉินถิงเซียวขึ้นมา ก็ย่อมคิดทุกวันอยู่แล้วว่าเฉินถิงเซียวจะมา
และมู่น่อนน่อนก็ไม่เคยพูดอย่างแน่ชัดว่าวันนี้เฉินถิงเซียวจะต้องมาแน่นอน
คือในจิตใต้สำนึกของเฉินมู่ล้วนๆที่อยากให้เฉินถิงเซียวมา
เฉินมู่ยื่นมือเกาหัว จากนั้นถึงพูดอย่างจริงจังว่า:“คุณแม่บอกว่าคุณพ่อจะมารับพวกเรา หนูก็เลยรอคุณพ่อทุกวันค่ะ”
รอเขาทุกวัน?
เฉินถิงเซียวอดหัวเราะไม่ได้ เจ้าก้อนแป้งที่ดูตัวกะเปี๊ยกนิดเดียว เวลาพูดจาขึ้นมานี่ก็ปลุกเร้าอารมณ์เหมือนกันนะเนี่ย ก็ไม่รู้ว่าไปฝึกมาจากมู่น่อนน่อนหรือเปล่า
เชาเพิ่งคิดถึงตรงนี้ ก็ได้เห็นเฉินมู่เรียกคำนึงว่ส:“คุณแม่!”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นมู่น่อนน่อนกำลังยืนมองพวกเขาอยู่ที่ไม่ไกล
เมื่อครู่ตอนที่มู่น่อนน่อนอยู่ห้องน้ำได้เปิดน้ำ คิดเรื่องราวจนค่อนข้างเหม่อลอย จึงไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวเริ่มแรกของเฉินถิงเซียว
จนกระทั่งเฉินถิงเซียวเข้ามา หลังจากโดดมาที่พื้นได้สร้างความเคลื่อนไหว เธอถึงเดินออกมาจากห้องน้ำ
ปรากฏพอออกมาปุ๊บ ก็เห็นเฉินถิงเซียว
ผู้ชายตัวเป็นๆคนนี้จู่ๆได้โผล่อยู่ที่ในห้องนอน กำลังอุ้มเฉินมู่ไว้และพูดคุยกันอยู่
เธอแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย
หลังจากสายตาของทั้งสองได้บรรจบอยู่กลางอากาศ ก็ไม่ได้เคลื่อนย้ายออกอีกเลย
เฉินมู่เห็นมู่น่อนน่อนยืนนิ่งไม่ขยับสักที อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงเตือนเธอ:“แม่คะ คุณพ่อค่ะ!”
“มู่น่อนน่อน”เฉินถิงเซียวเรียกชื่อของเธอ เสียงยังคงทุ้มต่ำไพเราะอีกเช่นเคย
มู่น่อนน่อนเงยหน้าเล็กน้อย ยังคงจ้องมองเขาไว้
เฉินถิงเซียวใช้มือข้างเดียวอุ้มเฉินมู่ไว้ แล้วกางมืออีกข้างออก ใบหน้ายังคงเย็นชาเหมือนที่ผ่านมา พร้อมพูดอย่างใจเย็น:“ให้เวลาคุณสามวินาทีเดินเข้ามา ผมอาจจะให้อภัยคุณโดยที่ถือสาเรื่องบาดหมางก่อนหน้านี้”
เขาเพิ่งพูดจบ มู่น่อนน่อนก็ได้พุ่งมาอย่างไว กระโจนเข้ามาในอ้อมกอดของเขา
สะเปะสะปะอย่างกับเด็กคนนึง
เฉินถิงเซียวเก็บแขนให้แน่น กดเธอเข้ามาที่อ้อมอกอย่างมั่นคง จากนั้นได้พูดเสียงทุ้มต่ำที่ข้างหูเธอ:“ให้อภัยคุณแล้ว”
ให้อภัยกับการดึงดันทำตามใจตัวเอง โดยที่ไม่รับฟังข้อเสนอของคนอื่นของเธอ ให้อภัยเธอที่ไม่ปรึกษากับเขาก็ตัดสินใจให้ลี่จิ่วเชียนคุมตัวเธอจากไปเอง
มู่น่อนน่อนกำเสื้อผ้าของเขาไว้ หัวใจที่กระวนกระวายมาทั้งวันได้สงบลงมาอย่างสิ้นเชิงในนาทีนี้
ไม่นาน เฉินถิงเซียวก็รู้สึกได้ว่ามือของมู่น่อนน่อนได้ลูบจับไปมาอยู่ที่บนตัวเขา แม้กระทั่งยังมีแนวโน้มว่าจะล้วงไปที่ชายเสื้อของเขา
เฉินถิงเซียวจับมือของเธอไว้อย่างแม่นยำพร้อมกดเสียงต่ำ ดูแล้วค่อนข้างร้าย:“มู่น่อนน่อน ไม่ได้เจอกันมานานขนาดนี้ ผมสามารถเข้าใจความทรมานของคุณ เพราะผมเองก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่เหมาะที่จะทำเรื่องพวกนั้น ยิ่งไปกว่านั้น มู่มู่ยังอยู่ในห้องด้วย”
พริบตาเดียว อารมณ์ที่ซึ้งและสบายใจอะไรพวกนั้นได้หายไปในกลีบเมฆทันที มู่น่อนน่อนผลักเขาออกและพูดอย่างไม่สบอารมณ์:“ฉันอยากดูว่าคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า ใครจะเหมือนคุณที่วันๆเอาแต่คิดเรื่องลามกพวกนั้น!ไร้ยางอาย!”
ข้างๆมีเสียงไร้เดียงสาของเฉินมู่ก้องมา:“อะไรคือไร้ยางอายคะ?”
มู่น่อนน่อนเกือบลืมไปเลยว่าเฉินมู่ยังอยู่ข้างๆ จะอธิบายก็ไม่ใช่ ไม่อธิบายก็ไม่ได้
เธอกะพริบตาปริบๆ จากนั้นได้ยื่นมือทิ่มไหล่ของเฉินถิงเซียว ความหมายชัดเจนมากว่าให้เขาอธิบายให้เฉินมู่ฟัง
เฉินถิงเซียวได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเธอ เขาได้ส่งสายตาที่มีความลึกซึ้งกระตุ้นให้เกิดความสนใจให้เธอ จากนั้นถึงหันมาถามเฉินมู่ว่า:“มู่มู่ง่วงมั้ย?”
เฉินมู่ส่ายหัว:“ไม่ง่วงค่ะ”
เฉินถิงเซียวยักคิ้ว ก้าวสองสามก้าวก็ได้เดินมาถึงที่ขอบเตียงแล้ว เขาวางเธอลงที่บนเตียง:“ไม่ง่วงก็เล่นเองนะ”
เฉินมู่มองเฉินถิงเซียวด้วยหน้าเซ่อๆ แววตาเต็มไปด้วยความมึนงง
เหมือนตรงไหนมันผิดสังเกต?
ทำไมต้องเล่นเองด้วย?คุณพ่อไม่เล่นกับเธอเหรอ?
เฉินถิงเซียวชะงัก แต่ก็ยังไม่ทำให้เขาหายโกรธ
เขาจ้องหน้ามู่น่อนน่อนอยู่นาน สายตาที่แหลมคมของเขาเหมือนมองทะลุจิตใจของเธอได้: “เมื่อกี้ตอนที่เธอลงมาที่ชั้นใต้ดิน เธอคิดจะทำอะไร? เธอจะบีบคอมู่หวั่นขีตายงั้นเหรอ?”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นกะทันหัน เธอเบิกตาโพลงมองเฉินถิงเซียว
มือที่แนบอยู่ข้างกายก็กำหมัดอย่างไม่รู้ตัว เมื่อกี้เธออยากจะฆ่ามู่หวั่นขีให้ตายจริงๆ……
เธอเกลียดมู่หวั่นขี เกลียดที่มู่หวั่นขีร่วมมือกับคนอื่นลักพาตัวเฉินมู่ไป
ตั้งแต่เล็กจนโต มู่หวั่นขีก็หาเรื่องกลั่นแกล้งเธอสารพัด เธอแค่อยากแก้แค้นกับสิ่งที่มู่หวั่นขีทำกับตัวเองก็เท่านั้น ไม่ถึงขั้นเกลียดหรอก
เพราะยังไง เธอก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับพี่สาวที่พ่อเดียวกันคนละแม่อย่างมู่หวั่นขีหรอก
ไม่ได้คาดหวัง ก็ต้องไม่โกรธอยู่แล้ว
แต่ว่า มู่หวั่นขีกลับร่วมมือกับคนอื่นแล้วจับตัวเฉินมู่ไป
เพราะเรื่องตอนเด็กของเฉินมู่ มู่น่อนน่อนรู้สึกผิดต่อลูกสาวมาตลอด ตอนนี้เฉินมู่ต้องถูกลักพาตัวไปเพราะความแค้นระหว่างผู้ใหญ่ นี่ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกรับไม่ได้อย่างมาก
มู่น่อนน่อนไม่ได้พูดอะไร เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้พูดอะไรด้วย เขารอเธอพูดก่อน
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามข่มอารมณ์ไว้ แล้วถามเฉินถิงเซียวอย่างใจเย็นว่า: “มู่มู่ถูกลักพาตัวไปตั้งแต่ตอนไหน?”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว เงียบสักพัก ถึงจะตอบเธอว่า: “ช่วงที่ฉันมาถึงเมืองMน่ะ”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้วก็กัดริมฝีปากหัวเราะออกมาอย่างประชด
“มู่มู่ถูกลักพาตัวไปนานขนาดนี้เลยเหรอ?” มู่น่อนน่อนส่ายหน้า จ้องเฉินถิงเซียวด้วยแววตาที่เย็นชา: “นายเพิ่งไป พวกนั้นก็มาลักพาตัวมู่มู่ไปเลยเหรอ?”
คำพูดสุดท้ายของมู่น่อนน่อน เป็นเหมือนการแทงใจดำเฉินถิงเซียวมาก
แม้เธอจะไม่พูดตรงๆ แต่น้ำเสียงนั้นกลับเต็มไปด้วยการกล่าวโทษเฉินถิงเซียว โทษที่เขาไม่ได้ปกป้องมู่มู่ดีๆ
เฉินถิงเซียวรู้ว่าเธอคิดอะไร แต่เขากลับไม่ได้พูดแก้ตัวเลยสักคำ
สำหรับเรื่องนี้เขาไม่มีอะไรจะแก้ตัว
“มู่มู่ถูกลักพาตัวไปแล้วก็ไม่บอกฉัน ให้ฉันอยู่ในกะลาอยู่ได้!” มู่น่อนน่อนเห็นว่าเขาไม่พูดก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่
“เฉินถิงเซียว! เฉินมู่เป็นลูกสาวแท้ๆของนายนะ! ถ้าตอนที่นายไป สั่งคนดูแลปกป้องลูกสาวเราให้ดี คนพวกนั้นก็ไม่มีทางลักพาตัวลูกสาวเราไปได้หรอก!”
มู่น่อนน่อนนึกถึงเฉินมู่ที่ยังเป็นเด็กขนาดนั้น กลับถูกคนพวกนั้นลักพาตัวไป ใจก็เจ็บจนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว
เธอตะคอกเสียงสูง น้ำเสียงเย็นชา ลมหายใจของเฉินถิงเซียวดูเศร้าโศก บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆก็ไม่กล้าเข้าไปพูดอะไร ทำได้แค่โทรศัพท์หาสือเย่ก่อน
สือเย่เพิ่งออกไปได้ไม่นาน จึงกลับมาเร็ว
ตอนที่เขากลับมา มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวก็กลับไปรอที่ห้องโถงแล้ว
“คุณผู้ชาย ผู้หญิงน้อย” สือเย่เดินไปตรงหน้าทั้งสองคน แล้วโค้งคำนับพวกเขา
มู่น่อนน่อนเห็นเขาเข้ามา เธอก็รีบลุกขึ้นแล้วถามอย่างร้อนใจว่า: “ผู้ช่วยสือ มีข่าวหรือยัง?”
บอดี้การ์ดที่โทรหาสือเย่ ก็บอกสถานการณ์คร่าวๆกับสือเย่แล้ว สือเย่ได้ยินมู่น่อนน่อนถามแบบนี้ เขาไม่รู้สึกแปลกใจเลย
เขามองเฉินถิงเซียวก่อน ถึงตอบมู่น่อนน่อน: “คนที่ลักพาตัวมู่มู่ไปเจ้าเล่ห์มาก ช่วงนี้พวกเราติดตามพวกนั้นมาตลอด แต่พวกนั้นเร็วกว่าพวกเราทุกที”
มู่น่อนน่อนมือเท้าเย็นเฉียบขาอ่อนนั่งลงบนโซฟา ห้องโถงก็เงียบสงัด
ผ่านไปสักพัก ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนก็ลุกขึ้นมาแล้วเดินออกไปด้านนอก
เฉินถิงเซียวรีบเดินไปดึงตัวเธอไว้ก่อน: “เธอจะไปไหน?”
“ฉันจะไปหามู่หวั่นขี” มู่น่อนน่อนพูดจบก็สะบัดมือเขาออก
เธอนึกถึงคำพูดของมู่หวั่นขีเมื่อกี้ว่า ‘คนพวกนั้นจะมาหาเธอเอง’
มู่หวั่นขีไม่ได้พูดลอยๆแน่ มู่หวั่นขีรู้จักคนที่ลักพาตัวเฉินมู่ไป เธอจะต้องไปถามมู่หวั่นขีให้รู้เรื่อง
แต่ว่า เธอเดินได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกเฉินถิงเซียวขว้างทางไว้: “ไปไม่ได้!”
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วพูดว่า: “เฉินถิงเซียว นายไม่สนใจเฉินมู่ ฉันสน! ถอยไป!”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร เขายื่นมือไปคว้าข้อมือของเธอไว้: “มู่น่อนน่อน เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง”
มู่น่อนน่อนกัดฟันกรอด แล้วพูดออกมาชัดๆเน้นๆทีละคำว่า: “ลูกสาวของฉัน ฉันจะหาเอง”
เธอใช้แรงทั้งหมดที่มือสะบัดมือของเฉินถิงเซียวออก แล้วรีบวิ่งออกไปด้านนอก
เฉินถิงเซียวตะโกนเรียกจากด้านหลัง: “สือเย่!”
สือเย่รีบขว้างตรงหน้ามู่น่อนน่อนไว้ แล้วพูดด้วยสีหน้าลำบากใจว่า: “คุณหญิงน้อยครับ……”
มู่น่อนน่อนชะงักฝีเท้า สมองแล่นเร็วมาก
เฉินถิงเซียวไม่บอกข่าวของเฉินมู่กับเธอ และไม่ให้เธอไปหามู่หวั่นขี ทำไมกันนะ?
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองสือเย่ แล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “สือเย่ บอกฉันมาว่าได้ข่าวมู่มู่แล้วใช่ไหม?”
สีหน้าของสือเย่เปลี่ยนไป เขาเม้มปากไว้ไม่ยอมตอบ
เขาไม่ได้ปฏิเสธ งั้นก็แสดงว่ามีข่าวแล้วน่ะสิ
มู่น่อนน่อนแสยะยิ้มเย็นชา หันหน้ากลับไปมองเฉินถิงเซียว: “นายจะบอกฉันเอง หรือให้ฉันไปถามมู่หวั่นขีเอง?”
เฉินถิงเซียวมองดูเธอสักพัก ทันใดนั้นก็เรียกชื่อเธอ
“มู่น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนคิดว่าเฉินถิงเซียวจะคิดถี่ถ้วนดีแล้ว ตัดสินใจจะบอกข่าวของเฉินมู่กับตัวเอง แต่ไม่คิดว่า เธอจะถูกฟาดเข้าไปที่หลังคอ แล้วสลบเหมือดไปทันที
ก่อนที่จะสลบ เธอเห็นแววตาที่เย็นชาและไร้ความปรานีของเฉินถิงเซียว
……
ตอนที่ตื่นขึ้นมาอีกที มู่น่อนน่อนก็ได้กลิ่นอาหารหอมๆโชยมา
เฉินถิงเซียวยืนย้อนแสงอยู่ปลายเตียง มีแสงสลัวเล็ดลอดออกมา เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า: “ตื่นแล้วมากินข้าวกันเถอะ”
มู่น่อนน่อนมองดูรอบๆ เธอลุกขึ้นจากเตียงกะทันหัน และเห็นอาหารที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะ
เธอดึงผ้าห่มออกแล้วเดินลงจากเตียง เหมือนจะพิสูจน์อะไรสักอย่าง แล้วรีบเดินไปที่ประตู
เฉินถิงเซียวไม่ได้ห้ามเธอไว้ แค่มองดูเธอเดินไปที่ประตู
มู่น่อนน่อนเปิดประตูออก ก็เห็นด้านนอกประตูมีบอดี้การ์ดคอยเฝ้าอยู่
บอดี้การ์ดมองไปที่เฉินถิงเซียว ดูว่าอารมณ์สีหน้าของเขา จากนั้นก็ถามมู่น่อนน่อนว่า: “คุณหญิงน้อยมีอะไรให้คำใช้เหรอครับ?”
“เหอะ” มู่น่อนน่อนแสยะยิ้มเย็นชา ‘ปัง’ เสียงปิดประตูดังขึ้น
เธอหันหน้ากลับไปมองเฉินถิงเซียวด้วยแววตาที่เยือกเย็น: “ในสายตานายฉันมันก็แค่แมวหมา ที่นายคิดจะขังไว้เมื่อไหร่ก็ได้งั้นเหรอ?”
“กินข้าวกันเถอะ” เฉินถิงเซียวทำเหมือนไม่ได้ยินที่เธอพูด เขากลับหลังหันเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ สายตามองไปที่เธอ เพื่อให้เธอมานั่งกินข้าวเร็วๆ
มู่น่อนน่อนตะคอกใส่เขาอย่างสิ้นหวัง: “ฉันไม่กิน ฉันจะไปหามู่มู่!”
แต่เฉินถิงเซียวกลับใจเย็นมาก: “ฉันจะไปตามหามู่มู่เอง”
“งั้นนายก็ไปหาสิ! นายจะขังฉันไว้ที่นี่ทำไม?” มู่น่อนน่อนหลับตาลง ลูบอกเพื่อให้ตัวเองใจเย็นลง
เธอไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวจะทำอะไรกันแน่
ตามหาเฉินมู่แล้วทำไมต้องขังเธอไว้ที่นี่ด้วย?
ทำไมต้องปกปิดเรื่องเฉินมู่กับเธอ แม้เธอจะรักเฉินมู่มาก แต่กลับไม่ได้อ่อนแอถึงขั้นจะรู้ไม่ได้ว่าเฉินมู่ถูกลักพาตัวไป
ที่เธอรู้สึกเสียใจคือ เฉินถิงเซียวขังเธอไว้ ไม่ให้เธอทำอะไรเลย
มู่น่อนน่อนลงรถแล้วกลับเข้าไปในคฤหาสน์อีกที
เธอเดินเข้าไปในคฤหาสน์แล้วมองออกไปที่ประตูใหญ่ด้วย
เดินไปจนไม่เห็นเฉินถิงเซียวที่นอกคฤหาสน์แล้ว เธอก็นั่งลงบนพื้น แล้วรีบเดินไปที่ห้องใต้ดินอย่างรวดเร็ว
พอเธอเดินเข้าไปแล้วก็รีบปิดประตูลง แล้วเดินลงไปเรื่อยๆตามทาง
ไฟในห้องใต้ดินสว่างมาก แถมมีบอดี้การ์ดคอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้วย
ตอนที่บอดี้การ์ดเห็นมู่น่อนน่อนมา พวกเขาก็เรียกเธออย่างสงสัย: “คุณหญิงน้อย?”
หลายวันมานี้ พวกเขาเห็นมู่น่อนน่อนลงมาหามู่หวั่นขีครั้งแรก
มู่น่อนน่อนหยุดเดินแล้วมองเข้าไปด้านใน เธอเห็นรูปร่างคนรางๆ เงยหน้าแล้วถามบอดี้การ์ดว่า: “เธอยังไม่ยอมพูดอีกเหรอ?”
เธอไม่รู้ว่าหรอกว่าเฉินถิงเซียวถามมู่หวั่นขีอะไรบ้าง แต่คำถามนี้ ทำให้บอดี้การ์ดเชื่อว่าเธอรู้ทุกเรื่องที่เฉินถิงเซียวรู้
เฉินถิงเซียวตามใจมู่น่อนน่อนแค่ไหน บอดี้การ์ดพวกนี้รู้ดี ได้ยินมู่น่อนน่อนถามแบบนี้ พวกเขาก็คิดว่าเฉินถิงเซียวบอกทุกเรื่องกับเธอแล้ว
บอดี้การ์ดหนึ่งในนั้นก็ตอบว่า: “เธอยังไม่ยอมพูดอะไรเลยครับ ปากแข็งมาก”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ถามอะไรอีก กลัวว่าจะถูกจับได้เสียก่อน
“ฉันเข้าไปดูเธอก่อนนะ”
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป ก็เห็นมู่หวั่นขีนั่งบนเก้าอี้แล้วถูกล่ามโซ่ไว้บนเท้า
มู่หวั่นขีถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินนี้มานานถึงหนึ่งอาทิตย์กว่า สีหน้าของเธอซีดเซียวแล้วโทรมหนักมาก เสื้อผ้าบนตัวแม้จะสกปรก แต่เหมือนจะไม่เคยถูกทรมานอะไรเลย
มู่หวั่นขีได้ยินเสียงเท้าเดิน เธอก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างขี้เกียจ พอเห็นว่าเป็นมู่น่อนน่อนเข้ามา แววตาของเธอก็ประกายไปด้วยความโหดเหี้ยม: “เธอเองเหรอ?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกแปลกใจ เฉินถิงเซียวมีเมตตากับมู่หวั่นขีงั้นเหรอ?
เธอคิดว่าเฉินถิงเซียวจะทรมานมู่หวั่นขีซะอีก
เขากลับไม่ได้ทำอะไรมู่หวั่นขีเลย
“ทำไม? เห็นฉันยังยืนอยู่นี่โดยไม่เป็นอะไรเลย รู้สึกแปลกใจมากเลยล่ะสิ?” มู่หวั่นขีสังเกตดูสีหน้าเธออย่างละเอียด และแววตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย
แต่ไม่นาน แววตาสงสัยของมู่หวั่นขีก็เปลี่ยนเป็นเข้าใจทันที
“เธอยังไม่รู้หรอกเหรอ?” มู่หวั่นขีแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ ยิ้มจนใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวไปหมด
มู่น่อนน่อนกระตุกยิ้มเย็นชา: “ฉันควรรู้อะไร?”
“ฮ่าๆ!” มู่หวั่นขีแหงนหน้าหัวเราะ จนน้ำตาเล็ดออกมา ถึงพูดต่อว่า: “มู่น่อนน่อน โลกนี้มีแม่อย่างเธอได้ยังไงกัน ลูกสาวถูกลักพาตัวไปแล้ว เธอยังไม่รู้สึกอะไรอีก น่าอดสูจริงๆ!”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปทันที น้ำเสียงเธอสั่นเทาเล็กน้อย: “เธอว่ายังไงนะ?”
“เธอไม่รู้หรอกเหรอเนี้ย?” มู่หวั่นขีส่ายหน้าแล้วทำท่าถอนหายใจ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆว่า: “เฉินถิงเซียวเขารักเธอมากไม่ใช่เหรอ? แต่กลับไม่บอกเรื่องที่ลูกสาวหายตัวไปกับเธอ ฮะ……ฮ่าๆๆ”
ก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนก็เคยคิด คนทางฝั่งนั้นของมู่หวั่นขีอาจจะลงมือกับเฉินมู่
แต่ว่า เฉินถิงเซียวยังปลอดภัยดีที่บ้าน และช่วงนี้เธอยังได้โทรศัพท์วิดีโอคอลกับเฉินมู่ด้วย นั่นหมายความว่าเฉินมู่ยังสบายดีอยู่ที่บ้าน
“มู่หวั่นขี เมื่อวานฉันยังคุยโทรศัพท์กับมู่มู่อยู่เลย ตอนนี้เธอกลับมาบอกฉันว่าลูกสาวันถูกลักพาตัวไปงั้นเหรอ?” มู่น่อนน่อนมองดูเธอด้วยสีหน้าดูถูก
มู่หวั่นขีได้ยินแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ไม่นานก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม: “ถ้าลูกสาวเธอยังอยู่บ้านจริงๆ ทำไมพวกเขาถูกยังไม่พาเธอกลับประเทศอีกล่ะ?”
คำพูดนี้ ทำเอามู่น่อนน่อนไปต่อไม่เป็นเลยทีเดียว
ในใจเธอก็แอบเดาไว้แล้วบ้าง จึงมีคำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้
เฉินมู่ถูกคนลักพาตัวไป ดังนั้นเฉินถิงเซียวจึงไม่พาเธอกลับประเทศ กลัวจะเห็นว่าเฉินมู่ไม่อยู่บ้าน และช่วงนี้สือเย่ก็อาจจะออกตามหาเฉินมู่ทุกวันก็ได้
เรื่องทุกอย่างกระจ่างแล้ว
มู่น่อนน่อนรู้สึกถึงความเยือกเย็น ไม่นานก็ทะลุเข้าร่างกายเธอทั้งหมด
เธอถอยหลังไปสองก้าว พอได้สติก็รีบกลับหลังหันไปหาเฉินถิงเซียวทันที
แต่ว่า ตอนที่เธอกลับหลังหัน ก็เห็นเฉินถิงเซียวอยู่ในห้องใต้ดินแล้ว
เขายืนอยู่หน้าทางเข้าห้องใต้ดินด้วยสีหน้ามืดมน ทั้งสองสบตากัน
มู่น่อนน่อนมองดูเขา เธอไม่กล้าถามเขาเลยว่าที่มู่หวั่นขีพูดมาคือเรื่องจริงไหม
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรแล้วเดินเข้ามา
พอเขาเดินเข้ามาใกล้ มู่น่อนน่อนก็ถึงเห็นสีหน้าที่เย็นชาของเขา
เฉินถิงเซียวเดินผ่านเธอไป เดินไปตรงหน้ามู่หวั่นขีด้วยความเย็นเยือก และเตะเก้าอี้ที่เธอนั่งออกไปใกล้
มู่หวั่นขีแค่นั่งอยู่บนเก้าอี้ แต่ไม่ได้ถูกมัดไว้กับเก้าอี้ด้วย พอเก้าอี้ตัวนั้นถูกเฉินถิงเซียวเตะกระเด็นไปชนกำแพงจนแตกละเอียด มู่หวั่นขีก็ตกลงพื้นไปด้วย
“โอ๊ย——”
สายตาของเฉินถิงเซียวเยือกเย็นจนเหมือนยมทูตที่มาเอาชีวิต มู่หวั่นขีตกใจจนกรีดร้องออกมา เธอตัวสั่นเทาแล้วขดตัวอยู่กับที่
แต่ว่า เฉินถิงเซียวกลับไม่ได้ทำอะไรเธอเลย
เพราะเรื่องของแม่ เขาแทบจะไม่เคยทำร้ายผู้หญิงเลย แม้จะเป็นคนที่โหดเหี้ยมไร้ความเป็นมนุษย์อย่างมู่หวั่นขี
ตอนนั้นมู่หวั่นขีเกือบขับรถชนมู่น่อนน่อนตาย เขาโกรธมากแต่ก็แค่สั่งให้บอดี้การ์ดกรีดเนื้อเธอออกมา อยากจะทรมานเธอจนตายแต่ก็ไม่อยากลงมือเอง
ตอนนี้ก็เหมือนกัน
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ข้างๆ มองการกระทำของเฉินถิงเซียวด้วยแววตาที่เย็นชา
มีหลายเรื่องมากที่ไม่ต้องพูดก็รู้แล้ว เธอเข้าใจทุกอย่างแล้ว
เฉินถิงเซียวหลอกเธอมาแต่แรก เฉินมู่ถูกลักพาตัวไป และถูกจับไปหลายวันแล้วด้วย
และเฉินถิงเซียวก็พยายามปกปิดเธอไว้ ไม่ให้เธอรับรู้เรื่องนี้
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปาก เดินไปตรงหน้ามู่หวั่นขี ยื่นมือไปบีบคางมู่หวั่นขีไว้แน่น แล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “ฉันจะถามเธอนะ ใครจับลูกสาวฉันไป?”
เฉินถิงเซียวยังอยู่ที่นี่ มู่หวั่นขีกลัวเขามา แม้เธอจะเกลียดมู่น่อนน่อนมากแค่ไหน แต่เธอก็จำใจต้องตอบคำถาม: “ฉันไม่รู้”
“ไม่รู้งั้นเหรอ?” มู่น่อนน่อนขยับมือลงไปบีบคอเธอไว้แทน แล้วบีบแรงขึ้นเรื่อยๆ
ตอนแรกมู่หวั่นขียังไม่รู้สึกอะไร แต่ว่ามู่น่อนน่อนบีบแน่นมากขึ้น จนเธอหายใจไม่ออก ก็ถึงรู้ว่า มู่น่อนน่อนคิดจะฆ่าเธอจริงๆ
“ปะ……ปล่อยฉัน……ฉะ……ฉันไม่รู้จริงๆ……” มู่หวั่นขีหายใจไม่ออกจนหน้าซีดไปหมด: “ขะ……เขา……จะมา……หาเธอเอง……”
มู่น่อนน่อนยังคงไม่ปล่อยมือออก แล้วถามต่อว่า: “มาหาฉันเองเหรอ?”
ตอนนี้เอง ด้านหลังเธอก็มีมือมาจับแขนเธอไว้ แล้วดึงเธอขึ้นมา
มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับไปก็เห็นสีหน้าที่ตึงเครียดของเฉินถิงเซียว เขาเม้มปากแน่น แววตาประกายไปด้วยความโกรธ
“เฉิน……” มู่น่อนน่อนยังไม่ทันได้เรียกชื่อเขา ก็ถูกเขาลากออกไปจากห้องใต้ดินเสียก่อน
เฉินถิงเซียวดึงเธอแรงมาก จนข้อมือของมู่น่อนน่อนระบมไปหมด
พอออกจากห้องใต้ดิน เฉินถิงเซียวก็สะบัดมือเธอออก แล้วมองเธอด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก: “เธออย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้เลย!”
“ทำไมฉันจะเข้าไปยุ่งไม่ได้! พวกนั้นจับมู่มู่ไปนะ!” มู่น่อนน่อนโกรธจนขอบตาแดงไปหมด แต่เธอก็ไม่ได้ร้องไห้ออกมา
มู่น่อนน่อนมองดูเวลา ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงเช้า ถึงคืนพรุ่งนี้ก่อนฟ้าจะมืด ก็ไม่ถึง24ชั่วโมงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงจากที่เธอไปสนามบินว่าไกลขนาดไหน แค่อยู่บนเครื่องบินก็ต้องใช้เวลากว่าสิบชั่วโมงแล้ว
แม้ว่าเธอจะไปสนามบินในตอนนี้ เธอก็อาจไม่สามารถซื้อตั๋วและออกเดินทางได้ในทันที
เฉินถิงเซียวนี่เป็นเรื่องบังคับให้คนลำบากใจชัดๆ
มู่น่อนน่อนพูดอย่างไม่พอใจ “คุณคิดว่าบนตัวฉันมีปีก สามารถบินกลับด้วยตัวเองได้หรือไง?”
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้พูด ท่าทีของเขาชัดเจนมากแล้ว เขาไม่สนใจว่ามู่น่อนน่อนจะมีปีกหรือจะกลับไปอย่างไร เขาเพียงแค่ต้องการให้เธอกลับ
ผู้ชายอย่างเขา ก็ไร้เหตุผลแบบนี้แหละ!
มู่น่อนน่อนพูดอีกสองสามคำ โดยไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวฟังเข้าหูหรือเปล่า ท้ายสุด เขาพูดเพียงประโยคเดียว “ผมมารับคุณ”
มู่น่อนน่อนหลังจากฟังคำพูดของเฉินถิงเซียวแล้ว ยังไม่ทันตั้งสติ
ในเวลานี้เฉินถิงเซียวพูดขึ้นว่า “ผมจะกินข้าวละ”
นี่เขาหมายถึงให้มู่น่อนน่อนวางสายเหรอ
ก่อนที่มู่น่อนน่อนจะวางสาย ได้บอกกับเขาประโยคหนึ่งว่า “ฉันจัดการเองได้ คุณไม่ต้องมา”
หลังจากที่เธอวางสาย เธอพึ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้เธอมัวแต่พูดเรื่องไร้สาระมากมายกับเฉินถิงเซียวแต่เธอไม่ได้พูดเรื่องสำคัญสักคำ
มู่น่อนน่อนวางโทรศัพท์ลงด้วยความรำคาญ สายตาจ้องมองไปที่กระเป๋าเดินทางด้านข้าง
เธอจ้องไปที่กระเป๋าเดินทางสักพัก แล้วจึงเริ่มจัดของของตัวเอง
เธอมาพักที่ลี่จิ่วชังนี่แค่วันเดียว ก็ไม่มีของอะไรต้องจัดมากนัก ดังนั้นใช้เวลาไม่นานเธอก็จัดกระเป๋าเดินทางเสร็จเรียบร้อย
ถ้าหากเธอจากไปแบบนี้ลี่จิ่วชังจะปล่อยเธอไปจริงหรือ?
ถ้ามันเป็นไปตามที่ลี่จิ่วเชียนพูด เธอจะไปลี่จิ่วชังก็จะไม่ขวาง เธอก็เชื่อคำพูดของลี่จิ่วเชียน เชื่อว่าที่เขาบอกว่าไม่มีอะไร
หลังจากตัดสินใจแน่วแน่ มู่น่อนน่อนก็ลากกระเป๋าเดินทางออกไป
ทันทีที่เธอออกไปก็ได้พบกับอาลั่ว
อาลั่วถือถาดไว้ในมือ ในถาดมีถ้วยกาแฟวางอยู่
เธอเห็นมู่น่อนน่อนก็ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณมู่”
มู่น่อนน่อนเดาว่าเธอกำลังส่งกาแฟให้ลี่จิ่วชังและถามว่า “ลี่จิ่วชังอยู่ที่ไหน?”
“เขาอยู่ในห้องหนังสือ…” อาลั่วมองดูกระเป๋าเดินทางที่อยู่ด้านหลังมู่น่อนน่อนและถามด้วยความสงสัย “คุณมู่นี่คุณ… กำลังจะไปเหรอคะ? ”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบคำถามของอาลั่ว แต่ถามไปตรงๆว่า “ห้องหนังสืออยู่ฝั่งไหน ฉันมีธุระจะหาเขา”
อาลั่วเห็นว่ามู่น่อนน่อนไม่มีท่าทีที่จะตอบ ก็ถือถาดเดินมาที่ด้านหน้า “คุณตามฉันมา”
อาลั่วพามู่น่อนน่อนไปที่ประตูห้องในส่วนลึกที่สุดของระเบียง เธอเคาะประตูก่อน จากนั้นจึงเปิดประตูและเดินเข้าไป
มู่น่อนน่อนเดินตามหลังอาลั่ว เพียงแค่ชำเลืองก็มองเห็นลี่จิ่วชังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน
ด้านหลังของลี่จิ่วชังเป็นชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่ ที่มีหนังสือปกแข็งภาษาอังกฤษดั้งเดิมจำนวนมาก ยังมีเครื่องประดับบางส่วน นอกจากนั้นยังมีโมเดลนิดหน่อย
ที่นี่ไม่เหมือนห้องหนังสือของเชฟเลย?
ยิ่งกว่านั้นมู่น่อนน่อนเหลือบไป ก็เห็นหนังสือเกี่ยวกับแพทยศาสตร์ ไม่มีเล่มไหนเกี่ยวกับทำอาหารเลย
ดังนั้นลี่จิ่วชังอาชีพเชฟในโรงแรมก็จะเป็นแค่ในนาม จริงๆแล้วเขาทำอะไร เกรงว่ามีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ชัดเจน
อาลั่วเดินตรงไป และวางกาแฟไว้ตรงหน้าลี่จิ่วชัง”คุณคะ กาแฟของคุณค่ะ”
ลี่จิ่วชังเห็นมู่น่อนน่อน
อาลั่ววางกาแฟลงแล้วออกไปอย่างรู้หน้าที่และถือโอกาสปิดประตูด้วย
“หาผมมีธุระอะไร? “ลี่จิ่วชังถามเธอ
มู่น่อนน่อนพูดอย่างตรงไปตรงมา “ฉันต้องการออกไปจากที่นี่ และกลับไปที่เมืองหู้หยาง”
ลี่จิ่วชังได้ยินเช่นนี้ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะเยาะออกมา “อยู่แค่วันเดียว ก็ร้อนใจจะจากไป คิดไม่ถึงว่าลี่จิ่วเชียนก็มองผิดพลาดได้เหมือนกัน ดูเหมือนคุณก็ไม่ได้เป็นห่วงเขาสักเท่าไหร่ ผู้หญิงเนรคุณ”
คำพูดของเขาฟังดูแล้วโหดร้ายไปหน่อย แต่ไม่รู้ว่าทำไม ฟังดูรู้สึกจงใจเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนหรี่ตาลงและพูดว่า “อย่าพูดถึงเรื่องไร้สาระพวกนี้ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แล้วนะ”
ลี่จิ่วชังเปิดลิ้นชักด้านข้าง หยิบกุญแจรถออกมาแล้วโยนให้เธอ “ไม่ส่งนะ”
มู่น่อนน่อนจำป้ายบนกุญแจรถได้ ก็คือเป็นกุญแจรถของลี่จิ่วชังเมื่อวานที่เขาขับมา
การกระทำของเขา กระตุ้นความสงสัยของมู่น่อนน่อน
เธอไม่คิดว่าลี่จิ่วชังจะปล่อยเธอไปง่ายๆแบบนี้
มู่น่อนน่อนเอื้อมมือไปหยิบกุญแจรถไว้ในมือ คำพูดที่มาถึงปากเธอเลยพูดแบบนี้ออกมาว่า “ให้ฉันไปง่ายๆแบบนี้เหรอ งั้นทำไมตอนแรกคุณถึงพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ฉันมาที่ประเทศZล่ะ?”
ลี่จิ่วชังเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างด้วยสายตาที่ตกใจอย่างเห็นได้ชัด
ในใจของมู่น่อนน่อนรู้ชัดเจน เธอเอนตัวไปข้างหน้าบนโต๊ะด้วยมือข้างหนึ่ง และจ้องไปที่ลี่จิ่วชัง และพูดอย่างเบาๆ “ถูกฉันทายถูกละสิ?”
ดวงตาของลี่จิ่วชังเย็นชาลง “เดิมทีคุณสามารถไปได้ แต่ตอนนี้ คุณไปไม่ได้แล้ว”
“ในเมื่อคุณจงใจล่อฉันมาที่ประเทศZ คุณควรรู้ว่าเฉินถิงเซียวเป็นใคร ในเมื่อคุณรู้เรื่องลี่จิ่วเชียนช่วยฉัน คุณก็ควรรู้ว่าฉันกับเฉินถิงเซียวมีความสัมพันธ์อะไร การที่ฉันจะจากไปได้หรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะมาตัดสินใจ”
มู่น่อนน่อนมีใบหน้าบึ้งตึง สีหน้าเย็นชาเมื่อเผชิญหน้ากับลี่จิ่วชังไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย
ขณะนี้ ข้างนอกมีคนมาเคาะประตู
มันเป็นเสียงของอาลั่วที่ดังขึ้น
“คุณชายคะ มีแขกมาค่ะ”
ลี่จิ่วชังได้ยินเช่นนี้ ถึงเอนไปข้างหลัง
“นี่คุณกำลังข่มขู่ผมเหรอ? ”
“ไม่ได้ข่มขู่ แค่ให้คุณรับรู้ถึงข้อเท็จจริง” มู่น่อนน่อนยกริมฝีปากของเธอ และมองเขาเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
เธอไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่า น้ำเสียงที่เย่อหยิ่งของเธอเหมือนกับเฉินถิงเซียวไม่มีผิด
ลี่จิ่วชังสูดหายใจเข้าลึกๆ และโบกมือ “เอาล่ะ ผมเข้าใจข้อเท็จจริงแล้ว คุณไปเถอะ”
ประนีประนอมอย่างง่ายดาย?
นี่ไม่ใช่สไตล์ของลี่จิ่วชัง
แม้ว่ามู่น่อนน่อนจะสงสัยในใจ แต่เธอก็ยังคว้ากุญแจรถแล้วเดินออกไป
ไปก็ไปสิ เธอก็อยากดูว่า คนแซ่ลี่นี้จะมาไม้ไหน
เธอมาหาลี่จิ่วชังที่นี่ คิดไปคิดมาก็แค่ยี่สิบสี่ชั่วโมงเอง แม้ว่าในระหว่างยี่สิบสี่ชั่วโมงนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย แต่เธอกลับยิ่งรู้สึกว่ามันแปลกๆ
บางที การออกไปจากที่นี่ก่อนอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
แม้ว่าเธอจะอยู่ที่นี่ตลอด เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากถูกกักขังในบ้านพักตากอากาศแห่งนี้ ทางที่ดีควรออกจากที่นี่ก่อนจะดีกว่าแล้วค่อยหาทางตรวจสอบสิ่งเหล่านี้จากช่องทางอื่น
ทันทีที่เท้าข้างหนึ่งของเธอก้าวออกไป ก็ได้ยินเสียงเก้าอี้บนพื้นข้างหลังเธอขยับ
ลี่จิ่วชังตามมา เธอนึกขึ้นได้เมื่อกี้อาลั่วบอกว่ามีแขกมา ถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ลี่จิ่วชังจะลงไปพบแขก ไม่ใช่เปลี่ยนใจกะทันหัน
ในบ้านพักตากอากาศไม่มีลิฟต์ มู่น่อนน่อนเลยต้องถือกระเป๋าเดินทางลงด้วยตัวเองเท่านั้น
เพียงแต่ว่า เมื่อตอนเดินไปถึงชั้นบันได ก็มีคนนำหน้าเธอหนึ่งก้าว และถือกระเป๋าเดินทางไว้ในมือ
เมื่อเธอหันศีรษะมา ก็เห็นลี่จิ่วชัง
เขาไม่ได้พูดอะไรกับมู่น่อนน่อนมาก แล้วเดินลงไปพร้อมกับกระเป๋าเดินทางของเธอ
มู่น่อนน่อนสองมือวางบนโต๊ะอาหาร เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย “เขาอยู่ที่ไหน!”
“ลี่จิ่วชังเพียงแค่หัวเราะ และไม่ได้ตอบคำถามของเธอ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปข้างนอก
มู่น่อนน่อนรีบเดินตามไปขวางอยู่ตรงหน้าลี่จิ่วชัง”อย่างน้อยคุณก็ให้ฉันได้พบลี่จิ่วเชียนสักครั้ง ตลอดมาคุณไม่ยอมให้ฉันพบลี่จิ่วเชียนมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”
จากคำพูดของลี่จิ่วเชียน เธอก็สามารถสันนิษฐานได้ว่าลี่จิ่วชังดูเหมือนจะไม่ได้คิดร้ายต่อเธอ ในขณะนี้ที่นี่ก็มีเพียงพวกเขาสองคน ดังนั้นเธอจึงกล้าที่จะพูดให้กระจ่าง
ลี่จิ่วชังก้มหน้าพิจารณาเธอ โดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ สรุปไม่ได้พูดออกมาในทันที
เขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเยอะ เสื้อเชิ้ตด้านใน และมีเสื้อสูทด้านนอก แต่เสื้อเชิ้ตของเขาไม่ได้ติดกระดุมเม็ดบนสุดเหมือนลี่จิ่วเชียน ลี่จิ่วเชียนเป็นจิตแพทย์ เขามักจะสวมสูทและผูกเนกไทในเวลาทำงาน ดูแล้วซื่อตรงและน่าเชื่อถือมาก
ลี่จิ่วชังดูสบายๆมากกว่าเขาเล็กน้อย กระดุมบนเสื้อสองเม็ดของเขาไม่ได้ติดกระดุม มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา ทันใดนั้น เธอเห็นที่คอเสื้อของเขามีรอยแผลเป็นบนผิวหนังไม่ค่อยชัดเจน
เธอจำได้ว่าเมื่อสามปีก่อนตอนที่ลี่จิ่วเชียนหาเธอครั้งแรก ก็มีรอยแผลเป็นบนตัวมากมาย ต่อมา เขาป่วยและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และมู่น่อนน่อนก็เคยเห็น
บนตัวของลี่จิ่วชังก็มีรอยแผลเป็นเช่นกัน?
สองพี่น้องนี้เมื่อตอนอายุสิบกว่าปี เพราะพ่อแม่ของพวกเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ก็ถูกคนจีนรับไปเลี้ยงดูแล้วไม่ใช่เหรอ?
พูดตามหลักเหตุผลแล้ว พวกเขาน่าจะใช้ชีวิตปกติถึงจะถูก แต่ทำไมทั้งสองคนถึงมีรอยแผลเป็นเต็มตัว?
ลี่จิ่วชังสังเกตเห็นการจ้องมองของมู่น่อนน่อนเหลือบมองลงมาที่หน้าอกของตัวเอง เลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “คุณมู่คุณพยายามจะยั่วยวนผม เพื่ออยากรู้ที่อยู่ของลี่จิ่วเชียน?”
มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง พูดอย่างโกรธเคืองว่า “คุณคิดว่าทุกคนไร้ยางอายเหมือนคุณเหรอ? ประสาท! ”
หลังจากที่เธอพูดจบก็หันหลังเดินออกไป แต่ลี่จิ่วชังมองตามหลังของเธอ ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้ว เอื้อมมือกุมศีรษะ สีหน้าปรากฏความเจ็บปวดขึ้นมาแบบหาที่เปรียบมิได้
เขาเดินโซเซไปสองก้าวแล้วชนกับเก้าอี้ด้านหลัง แต่อาการปวดหัวของเขาดูเหมือนจะระเบิด เขาไม่สามารถปิดบังได้อีก เขาทรุดตัวลงกับพื้น วินาทีถัดมา
อาลั่ววิ่งเข้ามาจากด้านนอก “คุณเป็นอะไรคะ ! ”
เธอรีบนั่งยองๆตรงหน้าลี่จิ่วชังคิดอยากพยุงเขาขึ้นมา
…….
หลังจากที่มู่น่อนน่อนกลับมาถึงห้อง นั่งอยู่บนเตียงคิดอะไรไม่ออก
เธอรู้สึกว่ามีเบาะแสมากมาย แต่ก็รู้สึกว่าไม่มีเบาะแสอะไรเลย
โทรหาเฉินถิงเซียวดีกว่า?
เธอต้องหาคนมาช่วยออกความคิดเห็นสักหน่อย
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วกดเบอร์ของเฉินถิงเซียวทีละตัว จากนั้นก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกดโทรออกไป
ถ้าหากท่าทีของเฉินถิงเซียวไม่รู้ร้อนรู้หนาวเธอก็บอกว่าเธอคิดถึงมู่มู่
อันที่จริงเธอก็คิดถึงมู่มู่จริงๆแหละ
โทรศัพท์ดังขึ้นหนึ่งครั้ง สองครั้ง และสามครั้ง…
เพราะไม่มีใครรับสายเลย เมื่อกำลังจะวางสาย ก็มีคนรับสายพอดี
มู่น่อนน่อนไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนรับสายในนาทีสุดท้าย เธอไม่แน่ใจว่าเป็นเฉินถิงเซียวหรืออาจจะเป็นสือเย่ ดังนั้นเธอจึงลองพูดอย่างไม่แน่ใจ “เฉินถิงเซียว?”
“อืม”
ด้านโทรศัพท์อีกฝ่ายตอบเพียงเบาๆ แต่โชคดีที่เป็นน้ำเสียงที่คุ้นเคยนั้นจริงๆ
หลังจากคำนวณอย่างรอบคอบแล้ว มู่น่อนน่อนมาที่ประเทศZประมาณหนึ่งสัปดาห์ นอกจากช่วงสองวันแรกที่เคยโทร หลายวันมานี้ก็ไม่ได้ติดต่ออะไรมากมาย จู่ๆได้ยินเสียงของเฉินถิงเซียวมู่น่อนน่อนกลับรู้สึกปรับตัวไม่ทัน
เธอถือโทรศัพท์ไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกข้างดึงผ้าปูที่นอนโดยไม่รู้ตัว “กำลังทำอะไรอยู่?”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเย็นชา “กินข้าว”
คราวนี้เสียงของเฉินมู่มาจากฝั่งโน้น “ใครโทรมาเหรอคะ?”
หลังจากเฉินมู่พูดจบ แล้วถามอีกว่า “คุณแม่ใช่มั้ย?”
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงของมู่มู่ และน้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความปิติ “คุณกับมู่มู่กินข้าวอยู่ที่บ้านเหรอ?”
เฉินถิงเซียวน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อยและเยาะเย้ย “ยังจำได้ว่าตัวเองมีลูกสาวคนหนึ่ง?”
มู่น่อนน่อนตัดสินใจเพิกเฉยต่อประโยคนี้โดยตรง “ให้มู่มู่รับสายหน่อย”
อีกด้านหนึ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และเสียงของมู่มู่ก็ดังขึ้นจากโทรศัพท์ “คุณแม่! ”
เฉินถิงเซียวคงเปิดลำโพง เฉินมู่ก็อยู่ใกล้ เสียงก็เลยดังหน่อย”
“มู่มู่ คิดถึงแม่มั้ย? ”
“คิดถึงค่ะ คิดถึงมากๆค่ะ”
เมื่อฟังเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อย ทำให้มุมปากของมู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะโค้งขึ้น
เธอยังไม่ทันจะพูด ก็ได้ยินเฉินมู่พูดอีกว่า “คุณพ่อก็คิดถึงคุณแม่เหมือนกัน เขาร้องไห้แล้ว”
“ร้องไห้” สองคำในตอนท้าย ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนจะเกินจริงเล็กน้อย
“ห๊ะ?”
มู่น่อนน่อนไม่สามารถตั้งสติได้ในทันที
เฉินถิงเซียวคิดถึงเธอ คิดถึงจนร้องไห้?
อาจเป็นไปได้ว่าเฉินถิงเซียวหยิบโทรศัพท์ไปแล้ว ทางโทรศัพท์มีเสียงที่ไม่พอใจของ เฉินมู่แว่วมา “หนูยังจะคุยกับคุณแม่อยู่!”
เป็นดั่งที่คิด วินาทีต่อมา ก็ได้ยินเสียงของเฉินถิงเซียวดังขึ้นทางโทรศัพท์
เขาอธิบายอย่างไม่สบอารมณ์ “เมื่อวานกินหม้อไฟสำลัก จือหยั่นล้อเล่นกับมู่มู่ เธอก็เลยจดจำไว้”
มู่น่อนน่อนจับประเด็นสำคัญได้ “คุณพาเธอไปกินหม้อไฟ? ”
โดยไม่รอให้เฉินถิงเซียวพูด เฉินมู่ที่อยู่ข้างๆได้โอกาสรีบพูดเสียงดังขึ้น “เผ็ดมากด้วย!”
เฉินถิงเซียวเหล่มองเฉินมู่ เธอยักไหล่ กะพริบตาอีกครั้ง และวิ่งไปหาสาวใช้ “น้าคะ หนูหิวน้ำ”
เรื่องหลบหนีคล่องแคล่วมาก
มู่น่อนน่อนกัดฟันและพูดว่า “เฉินถิงเซียวคุณถึงกับพาเฉินมู่ไปกินหม้อไฟ?”
“สั่งน้ำซุปใสหม้อเล็กๆให้เธอ”
“แต่เธอบอกว่าเผ็ด?”
“เธอไม่ได้กินเผ็ด แค่ชิมนิดหน่อย”
“ก็เท่ากับว่ากินแล้ว!”
“…”
เฉินถิงเซียวหยุดไม่พูดอีก ในโทรศัพท์ก็เงียบไปครู่หนึ่ง
หลังจากผ่านไปสักครู่เฉินถิงเซียวค่อยพูดขึ้นอีกครั้ง “เมื่อไรจะกลับมา?”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็รีบพูดเสริมประโยคหนึ่ง “มู่มู่คิดถึงคุณ”
“คูณไม่คิดถึงฉันเหรอ?”
เฉินถิงเซียว“เฮอะ”
เขาทำเช่นนี้ มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ตัวเธอเป็นคนออกไปเอง และตอนนี้ก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆเลย กลับกลายเป็นว่าเธอตกอยู่ในปริศนาแล้วต้องการหาเฉินถิงเซียวเพื่อขอความช่วยเหลือ
ทำไมถึงไม่เอาไหนขนาดนี้นะ?
คราวนี้เป็นเฉินถิงเซียวเป็นคนพูดขึ้นก่อน “คุณเจอลี่จิ่วเชียนหรือยัง?”
“ยังไม่เจอ เมื่อคืนนี้ฉันไปดูที่บ้านพักตากอากาศและพบว่านอกจากคนใช้กับบอดี้การ์ดแล้ว ก็มีเพียงลี่จิ่วชังคนเดียว ไม่พบแม้แต่เงาของลี่จิ่วเชียน อีกอย่าง เมื่อคืนนี้…”
เธอกำลังจะบอกเรื่องที่เมื่อคืนเธอได้รับโทรศัพท์จากลี่จิ่วเชียน แต่เฉินถิงเซียวก็ถามอย่างเย็นชา “คุณกับลี่จิ่วชังพักอยู่ด้วยกัน มีเพียงเขาคนเดียวเหรอ?”
มู่น่อนน่อน”….”
วินาทีต่อมา เสียงที่โกรธจัดของเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้น “มู่น่อนน่อนก่อนคืนพรุ่งนี้ ผมต้องการพบคุณที่เมืองหู้หยาง มิฉะนั้น ก็รับผิดชอบผลที่จะตามมาเอง !”
ไม่ช้า อาลั่ว ก็ออกมาพร้อมกับน้ำ และกับจานเค้กมาด้วย
เธอวางเค้กลงบนโต๊ะชา แล้วยื่นน้ำให้มู่น่อนน่อนว่า “ฉันเห็นว่ายังมีเค้กอยู่เล็กน้อย ก็เลยเอามาให้ด้วยค่ะ นี้พึ่งทำเมื่อวานค่ะ คุณชายรู้สึกว่าโอเคนะคะ”
มู่น่อนน่อนลองชิมหนึ่งคำ ไม่ค่อยหวาน ยังเหนียวอยู่นิดหน่อย
เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นอาลั่วมองมาที่เธออย่างมีความหวัง เธอพูดว่า”ดีมาก ฝีมือของเธอดีมากจริงๆ”
“ฉันยังทำเค้กแบบอื่นได้ด้วย ถ้าคุณอาศัยอยู่นี้อีกสักพัก ฉันจะทำให้คุณกินค่ะ” อาลั่วยิ้มและหรี่ตาลง ดูไร้เดียงสาและน่ารักดี
แต่เธอไม่สามารถหลอกมู่น่อนน่อนได้อีกต่อไป
สังเกตเห็นในวันนี้ ในคฤหสาสน์ นอกจากคนใช้ที่ดูแลลานและคนใช้ที่ทำความสะอาด ก็มีเพียง อาลั่ว
แม้ว่า อาลั่วจะทำงานเป็นคนรับใช้ แต่เขาก็ไม่เหมือนกับคนรับใช้คนอื่น ๆ เมื่อเทียบกับคนรับใช้คนอื่น ๆอาลั่วมี “ตำแหน่งที่สูงกว่า” อย่างเห็นได้ชัด
เธอดคยบอกมู่น่อนน่อนก่อนหน้านั้นว่า เธอถูกรับเลี้ยงโดยพ่อบุญธรรมคนเดียวกันกับลี่จิ่วชังดังนั้นลี่จิ่วชังจึงไม่ปฏิบัติต่อเธอในฐานะคนใช้
มู่น่อนน่อนเก็บความคิดภายใต้ดวงตาของเธอ และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง: “ฝีมืออันดีของอาลั่วดีขนาดนี้ ฉันอาศัยอยู่ที่แล้ว ไม่อยากไปไหนเลย แต่ฉันยังกังวลว่าการอยู่เป็นเวลานานจะทำให้ผู้คนไม่สบายใจ”
อาลั่วหัวเราะอย่างมีความสุข กุมมือของมู่น่อนน่อนอย่างตื่นเต้นแล้วพูดว่า: “จะเป็นอย่างงั้นได้ไงล่ะ? ในคฤหาสน์นี้ก็ไม่มีใครอยู่แล้ว กว่าจะมีแขกมา ฉันตอนรับด้วยซ้ำ!” มู่น่อนน่อนเหลือบมองการกุมมือกันระหว่างคนทั้งสอง
อาลั่วตกใจเล็กน้อย อาลั่วเอามือกลับด้วยความเขินอาย: “ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆ ฉันดีใจเกินไป”
“ไม่เป็นไร” มู่น่อนน่อนก็เอามือเธอกลับเหมือนกัน และพูดด้วยรอยยิ้ม: “มันดึกแล้ว ไปนอนก่อนดีกว่า”
อาลั่วพยักหน้า: “โอเคค่ะ คุณขึ้นไปก่อนเลยค่ะ ฉันจัดเก็บตรงนี้ก่อน”
หลังจากมู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็ขึ้นไปชั้นบนแล้วกลับห้อง
ในห้องโถงชั้นล่าง เมื่ออาลั่ว กำลังจัดเก็บข้าวของ เขาได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากบันได
เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นลี่จิ่วชังยืนอยู่บนบันไดและมองมาที่เธอ สีหน้าอย่างเย็นชา
อาลั่วมองไปทางเขาเพียงครั้งเดียว จากนั้นก็ถอนสายตาออก ราวกับว่าไม่เห็นเขา
ลี่จิ่วชังพียงชำเลืองมองเธออย่างลึกซึ้ง แล้วหันกลับขึ้นชั้นบน
…
หลังจากที่มู่น่อนน่อนกลับมาที่ห้อง เธอมักจะหลับครึ่งตื่นครึ่งเสมอ
ทำให้มีผลกระทบ ตื่นขึ้นพร้อมกับดวงตาแพนด้าใหญ่ๆสองดวงในวันรุ่งขึ้น
เธอและลี่จิ่วชังพบกันที่โต๊ะอาหาร
ในชีวิตของเธอ นอกเหนือจากรับประทานอาหารเช้ากับเฉินถิงเซียวแล้ว เธอรับประทานด้วยอีกคนคือลี่จิ่วเชียน และตอนนี้เธอก็เพิ่มลี่จิ่วชังอีกคนหนึ่ง
เขามีใบหน้าคล้ายกับ ลี่จิ่วเชียนทุกประการ แต่สำหรับของ มู่น่อนน่อนแล้ว เธอเพียงรู้เกี่ยวกับเขาว่าชื่อของเขาคือลี่จิ่วชังซึ่งเป็นน้องชายฝาแฝดของ ลี่จิ่วเชียน
สำหรับเธอลี่จิ่วชังเป็นคนแปลกหน้า
ลี่จิ่วชังทำให้เธอสว่างขึ้นครู่หนึ่งแล้วพูดเสียงดัง: “ดูเหมือนว่าเมื่อคืนคุณนอนได้ไม่ดี”
มู่น่อนน่อนอ้าปากและพูดกับเธอว่า: “บ้านของนายมีฮวงจุ้ยที่ไม่ดี”
แต่ลี่จิ่วชังหัวเราะ และพูดว่า: “เมื่อคืนนี้คุณเดินละเมอไม่ใช่หรือ?”
“เดินละเมอ?” หัวใจของมู่น่อนน่อนเต้นรัวๆ ลางสังหรณ์บอกว่าลี่จิ่วชังรู้อะไรบางอย่างแล้ว
“ผมเป็นคนที่รักชีวิตตัวเองและระมัดระวังอย่างมาก ผมเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีการติดตั้งกล้อวงจรรูเข็มกี่ตัวในคฤหาสน์นี้”ลี่จิ่วชังพูดออกมาขนาดนี้มู่น่อนน่อนยังไม่เข้าใจอีก ก็คือโง่แล้ว
เมื่อวานเธอสังเกตว่ามีกล้องติดตั้งอยู่ในคฤหาสน์หรือไม่ เพราะเธอไม่เห็นกล้อง เธอจึงขึ้นไปชั้นบนเพื่อสำรวจคฤหาสน์ในเมื่อคืนนี้
แต่เธอก็ยังคิดว่าลี่จิ่วชังธรรมดาเกินไป ที่แท้คือติดตั้งกล้องรูเข็ม
เมื่อคืนเธอออกมาอย่างมีสติ เพื่อฟังการเคลื่อนไหวของทีละห้องทีละห้องลี่จิ่วชังคิดว่าเธอกำลังเดินละเมออยู่?
ไม่ว่าลี่จิ่วชังจะคิดว่าเธอกำลังเดินละเมอหรือแกล้งทำเป็นพูดว่าเธอกำลังเดินละเมอก็ตาม เขาได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญกับเธอว่าคฤหาสน์นี้เต็มไปด้วยกล้องรูเข็ม
ต่อจากนี้ไป เธอจะระมัดระวังกว่านี้
“อาหารเช้าแล้วค่ะ”
อาลั่วเดินออกจากครัวพร้อมอาหารเช้า
เธอเดินกลับไปกลับมาหลายครั้ง และในที่สุดก็นำน้ำผักสีเขียวออกมา 2 ถ้วย เธอวางน้ำผักสองถ้วยไว้ข้างหน้ามู่น่อนน่อนและลี่จิ่วชังตามลำดับ
จากนั้น เธอกระตุ้นลี่จิ่วชังว่า: “คุณชาย คุณลิ้มรสดูเร็ว”
ลี่จิ่วชังจิบไปคำหนึ่งและสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
เมื่อเห็นเช่นนั้น มู่น่อนน่อนก็ยกขึ้นมาชิมดู ได้กลิ่นผักสด ขมนิดๆ
“คุณมู่อร่อยไหมคะ” อาลั่วถามอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นมู่น่อนน่อนกินเข้าไป
มู่น่อนน่อนเม้มปาก “ขมไปหน่อย”
“ฉันใส่มะระลงไปค่ะ ฤดูกาลนี้มะระหายากค่ะ แต่ช่วงนี้คุณชายต้องการระงับอารมณ์ของตัวเอง…” อาลั่วพูดจบ แล้วก็พูดด้วยความเครียดว่า “ควรระงับอารมณ์เหมือนจะไม่มีประโยชน์ ฉันอยู่ต่างประเทศมานานเกิน คำศัพท์มากมายก็ยังใช้ไม่ถูก…”
มู่น่อนน่อนยิ้ม แต่ในใจเธอ รู้สึกว่าอาลั่วมีความหมายแฝง
ให้ลี่จิ่วชังระงับอารมณ์?
ทำไมถึงต้องระงับอารมณ์?
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมองลี่จิ่วชังและเห็นเขาขมวดคิ้วและผลักแก้วน้ำผักออกไปไกล
เมื่อเห็นเช่นนี้ อาลั่วก็พูดอย่างรวดเร็ว: “คุณชาย นี่คือสิ่งที่ฉันทำออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย มีคุณค่าทางโภชนาการมาก คุณต้องดื่มมันให้หมด”
“ฉันไม่อยากดื่ม”ลี่จิ่วชังพูดพลางเงยหน้าขึ้น และมองดูหล่อน: “ถ้าเธอทำด้วยตัวเอง เธอก็ดื่มมันด้วยตัวเอง”
“คุณชาย คุณ…” ดูเหมือนอาลั่วจะตกใจกับคำพูดของลี่จิ่วชังและไม่รู้จะพูดอะไร
สักพักลี่จิ่วเชียนทุบส้อมในมือลงบนโต๊ะอาหาร ด้วยน้ำเสียงโกรธจัด “ถ้าไม่อยากดื่ม ก็ออกไป ออกไปเดี๋ยวนี้!”
อาลั่วดูเหมือนจะหวาดกลัวมาก กัดริมฝีปาก แล้วรับน้ำผักหนึ่งแก้ว หยิบขึ้นมา “คุณชายคะ อย่าไล่ฉันเลย ฉันดื่มเองค่ะ” หลังจากพูดจบ เธอก็หยิบขึ้นมาดื่มให้หมด
ลี่จิ่วชังไม่ได้มองเธอ และพูดตรงๆ ว่า: “ดื่มเสร็จแล้วก็ออกไป อย่ามาขวางทางที่นี้”
อาลั่วออกไปด้วยสีหน้าที่เสียใจ
มู่น่อนน่อนดูการแสดงหนังที่ดีเยี่ยมมาแล้วหนึ่งตอน เลิกคิ้วมองลี่จิ่วชังแล้วพูดว่า “ลี่จิ่วเชียนสุภาพบุรุษมากกว่านายอีก”
“หมอนั่นเหรอ?” ใบหน้าของลี่จิ่วชังไปด้วยความไม่พอใจ”อย่าเอาผมไปเปรียบเทียบกับคนหน้าซื่อใจคดคนนั้น
“แค๊ะ …” มู่น่อนน่อนเกือบสำลักน้ำลายตัวเอง
อะไรคือเรียกว่าคนหน้าซื่อใจคด?
“นายบอกว่า ลี่จิ่วเชียนเป็นคนหน้าซื่อใจคด?” มู่น่อนน่อนหัวเราะ อย่างเยาะเย้ย: “ไม่ว่าอะไรก็ตาม! อย่างน้อยเขาก็ดีกว่านาย!”
ใบหน้าของลี่จิ่วเชียนแสดงออกถึงความโกรธเคือง และก็เรียกชื่อเธออย่างเย็นชาว่า: “มู่น่อนน่อน!”
มู่น่อนน่อนไม่สนใจความโกรธของเขาเลย เธอเหลือบไปที่ประตูร้านอาหารและพูดกับลี่จิ่วชังว่า:
“เมื่อคืนเขาโทรหาฉัน เขาอยู่ที่ไหนกันแน่? ”
ใบหน้าของลี่จิ่วชังเปลี่ยนไปเล็กน้อย: “คุณพูดถึง ลี่จิ่วเชียน?”
ทันใดนั้นเสียงของ ลี่จิ่วเชียนก็หายไปจากโทรศัพท์
สีหน้าของ มู่น่อนน่อนเปลี่ยนไป และเธอก็ขมวดคิ้วและพูดอย่างเคร่งขรึม: “ลี่จิ่วเชียน? ลี่จิ่วเชียนนายพูดสิ!”
ไม่มีเสียงตอบรับจากโทรศัพท์
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ออกมาดู พบว่าวางสายไปแล้ว
เธอดูเวลา เป็นเวลาตีหนึ่ง
ขณะนี้เป็นเวลาตีหนึ่งในประเทศZ และเป็นเวลาเที่ยงในประเทศจีน
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้าที่เคร่งและโทรกลับหมายเลขโทรศัพท์ของลี่จิ่วเชียน
“ขออภัย ไม่สามารถรับสายที่ท่านเรียกได้ชั่วคราว”
มู่น่อนน่อนโทรไปหลายสาย แต่ก็โทรไม่ติด
เธอวางโทรศัพท์ลงด้วยความท้อแท้เล็กน้อย เอื้อมมือกดขมับ ก้มศีรษะลงและครุ่นคิด
ลี่จิ่วเชียนจะโทรหาเธอตอนกลางดึก เป็นไปได้ว่าเขาเอาโทรศัพท์มือถือได้ในเวลานี้ และสายก็ถูกขัดจังหวะอย่างกะทันหัน เป็นไปได้ว่ามีคนเห็นและจับได้ และถูกยึดโทรศัพท์ไป
แต่ที่แน่ๆคือลี่จิ่วเชียนปลอดภัยแล้ว
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมลี่จิ่วชังถึงบังคับจับเขากลับมาที่ประเทศZ แต่โชคดีที่เขาไม่ได้ทำอะไรกับ ลี่จิ่วเชียน
แต่ทำไมเขาถึงกระตือรือร้นที่จะให้เธอกลับไปประเทศจีน?
ขณะที่เขาต้องการให้ฉันกลับจีน เขาบอกว่า ถ้าฉันต้องการจะไปลี่จิ่วชังก็จะไม่ห้ามฉัน นี่มันขัดแย้งกันไม่ใช่หรือ?
ปัจจุบันคนที่เธอรู้จักในประเทศZ ก็มีแต่ลี่จิ่วชังนี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่ประเทศZ และเธอไม่เคยทำให้ใครขุ่นเคืองเธอในประเทศZ
ต่อให้มีใครอยากจะทำร้ายเธอ เธอก็คิดได้เพียงลี่จิ่วชังเท่านั้น ดังนั้นลี่จิ่วเชียนจึงขอให้เธอกลับไปประเทศจีนโดยเร็วที่สุด คนที่อยากทำร้ายเธอไม่ใช่ลี่จิ่วชังแต่เป็นคนอื่น
ดังนั้น “คนอื่น” ที่ว่านี้ ที่ลี่จิ่วเชียนช่วยเธอเพราะจุดประสงค์นี้?
ลี่จิ่วชังเปลี่ยนใจแล้ว?
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าความคิดนี้อาจจะใช่
หากความคิดของเธอถูกต้อง ดังนั้น ที่ลี่จิ่วเชียนถูกจับกลับมาประเทศZ โดย ลี่จิ่วเชียน ก็เพื่อดึงดูดให้เธอมาประเทศZไม่ใช่หรือ?
เมื่อตั้งสมมติฐานก่อนหน้านี้ถูกต้องแล้ว แนวคิดของเธอก็ถูกไปด้วยเช่นกัน
ลี่จิ่วเชียนช่วยเธอไว้ตั้งแต่แรกเพราะมีจุดประสงค์อื่น ไม่รู้ว่าจุดประสงค์คืออะไร และ ลี่จิ่วเชียนก็ไม่เคยพูดเฉินถิงเซียวสงสัยว่า ลี่จิ่วเชียนอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตที่สะกดจิตเขาในตอนนั้น ความทรงจำของเขากเลยถูกปิดกั้น
ไม่นานหลังจากนั้น ลี่จิ่วเชียนถูกลี่จิ่วชังจับตัวกลับมา เธอก็มาที่ประเทศZ
ลี่จิ่วเชียนโทรมาตอนดึกเพื่อขอให้เธอกลับจันโดยเร็ว
จนถึงตอนนี้ ลี่จิ่วเชียน ไม่เคยทำร้ายเธอเลย เธอเชื่อว่า ลี่จิ่วเชียน จะไม่ทำร้ายเธอ
แต่เธอจะกลับจีนโดยไม่ได้อะไรแบบนี้จริงๆเหรอ?
เธอยังไม่หาลี่จิ่วเชียนไม่เจอ และเธอไม่รู้ว่าใครอยากจะทำร้ายเธอ
และลี่จิ่วเชียนน่าจะรู้ว่าใครกันแน่ที่อยากจะทำร้ายเธอ ตอนนี้เขาสบายดี ถ้าเธอกลับไปจีนแล้ว จะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาไหม
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่น่อนน่อนก็ลังเลอีกครั้ง
เธอถอนหายใจยาวเพื่อให้โล่งอก เอนศีรษะลงบนหัวเตียง และผล็อยหลับไปโดยบังเอิญเมื่อเธอหลับตาลง
แต่ว่า เธอก็ตื่นขึ้นด้วยความตกใจอีกครั้ง
เธอฝันว่า ลี่จิ่วเชียน ยิ้มให้เธอเต็มไปด้วยเลือด
ดูเหมือนว่าคืนนี้ฉันจะนอนไม่หลับแล้ว
ยังไงก็นอนไม่หลับแล้ว มู่น่อนน่อนลุกจากเตียงและสวมเสื้อผ้า คิดว่าจะไปสำรวจรอบๆคฤหาสน์
เธอไม่คุ้นเคยกับสถานที่นี้ มักจะอยู่ในตำแหน่งที่ตาม ดังนั้น เธอจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แม้ว่า ลี่จิ่วเชียนจะไม่อยู่ในคฤหาสน์ เธออาจจะสามารถหาเบาะแสได้
…
หลังจากที่มู่น่อนน่อนสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เธอก็เดินไปที่ประตู เปิดประตู และมองออกไปที่ประตูอย่างเงียบๆ
ไม่มีใครอยู่ในทางเดิน มีเพียงโคมเทียนสองสามดวงที่สว่าง สีเหลืองสลัวดูเหงาเล็กน้อย
เธอยืนอยู่ข้างประตูสองสามนาที แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น และออกไปอย่างแผ่วเบา
มู่น่อนน่อนเดินไปตามทางเดินก่อน แล้วจึงเดินไปที่ชั้นบนสุดของบันไดแล้วดูรอบๆ นอกจากนี้ยังมีไฟดวงเล็กๆ สว่างในห้องโถงอีกด้วย แสงสลัวมาก และเงียบๆ ไม่มีใครเลย
คฤหาสน์มีหลายชั้น เธอต้องการจะขึ้นไปชั้นบนดูก่อน
ห้องบนชั้น 1 ด้านบนปิดไฟทั้งหมด เมื่อเธอเดินผ่านห้อง เธอก็จะแนบหูไว้ที่ประตูเพื่อฟังการเคลื่อนไหวต่างๆ
จนกระทั่งเธอฟังทุกห้องแล้ว ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
เธอลงไปชั้นล่างอย่างแผ่วเบา และเมื่อเธอไปถึงชั้นบันไดบนชั้นสอง เธอก็รู้สึกว่ามีคนอยู่ข้างหลังเธออย่างคลุมเครือ
มีใครอยู่ข้างหลัง?
มู่น่อนน่อนหันศีรษะและเห็นผู้หญิงในชุดนอนสีขาวยืนอยู่ข้างหน้าเธอด้วยผมยาวและใบหน้าของเธอ
“อ๊าย—”
มู่น่อนน่อนอุทานด้วยความตกใจ และก้าวถอยหลังหลายก้าวเลยทีเดียว
ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้า แล้วปัดผมไว้ข้างหลังใบหู และเผยให้เห็นหน้า “คุณมู่ดึกขนาดนี้ มาทำอะไรที่นี้คะ”
“อาลั่วนี้เอง” มู่น่อนน่อนเห็นหน้าเธอชัดแล้วหลับตาลงเล็กน้อย แล้วพูดด้วยความโล่งใจว่า “ฉันกระหายน้ำนิดหน่อย อยากจะหาน้ำดื่ม”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตื่นมากลางดึกหรือเปล่า เสียงของ อาลั่วเบาๆ : “จริงเหรอคะ แล้วคุณลงมาจากชั้นบนได้อย่างไร?
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็มองขึ้นไปชั้นบน แล้วหันกลับมามองที่มู่น่อนน่อน
ก่อนที่เธอจะเห็นอาลั่ว มู่น่อนน่อนก็ได้ทำการจัดการสีหน้าของตัวเอง และพูดออกมาอย่างธรรมชาติว่า “ฉันสับสนเล็กน้อยในตอนกลางคืน และ ฉันขึ้นไปพบว่าฉันเดินผิดทางแล้ว”
อาลั่วดูเหมือนจะเชื่อแล้ว “อ๋อ” เธอพูดว่า: “ฉันก็ลุกมาดื่มน้ำเหมือนกัน คุณมู่ตามฉันมาเลยค่ะ หรือให้ฉันเอาน้ำมาให้”
“ยังไงก็ตื่นมาแล้ว ฉันลงไปกับเธอเลย” มู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็หันหลังเดินลงไปข้างล่างก่อน
ขณะที่เธอเดิน เธอตั้งใจฟังเสียงฝีเท้าของอาลั่ว
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เธอพบว่าอาลั่วเดินแทบจะไม่มีเสียงเท้าเลย
ในช่วงกลางวัน เธอไม่ได้สนใจมันมากนัก แต่เมื่อเธอลงไปข้างล่างตอนนี้ เธอพึ่งมาสังเกตรู้ว่า เธอไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของอาลั่ว
ในโลกนี้ มีคนเพียงสองประเภทที่เดินโดยไม่มีเสียง
คนหนึ่งคือผี อีกคนคือผู้ฝึกบู๊
เห็นได้ชัดว่า อาลั่วน่าจะเป็นอย่างหลัง
ในช่วงเวลากลางวัน อาลั่วดูไร้เดียงสา และ มู่น่อนน่อนเกือบจะเชื่อว่าอาลั่วเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดา
ผู้ฝึกบู๊ที่สามารถฝึกเดินได้โดยไม่ส่งเสียงใด ๆ จะต้องได้รับการฝึกฝนอย่างมืออาชีพ ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน และยิ่งไม่ใช่คนใช้ที่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ทันใดนั้น อาลั่วที่เดินตามเธอมาก็เดินมาข้างหน้า “คุณมู่ ให้ฉันไปเถอะ ห้องรับแขกมืดเกินไป ฉันจะช่วยเปิดไฟให้”
คราวนี้ฝีเท้าของหล่อนเริ่มหนักขึ้น ราวกับจงใจทำให้มู่น่อนน่อนฟัง
สัญชาตญาณของผู้หญิงนั้นแม่นยำเสมอ และมู่น่อนน่อนก็เชื่อในความรู้สึกของเธอเช่นกัน
เมื่อมาถึงห้องรับแขกอาลั่ว เดินไปที่โซฟาและพูดกับ มู่น่อนน่อนว่า “คุณมู่ นั่งลงก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะเทน้ำให้คุณเอง”
“โอเค ขอบคุณมากๆ” มู่น่อนน่อนยิ้มและนั่งลงบนโซฟา มองดู อาลั่วที่หันหลังเพื่อเทน้ำให้เธอ
ทันทีที่ร่างของอาลั่วหายไป รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็จางลง
เธอก้มศีรษะเล็กน้อย สีหน้าของเธอครุ่นคิด
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงของเธอมึนงงเล็กน้อย “เสื้อผ้าของฉัน?”
“ก็คือกระเป๋าเดินทางของคุณ ส่งไปที่ห้องของคุณแล้ว” อาลั่วพูดและเหลือบมองไปทางร้านอาหาร: “คุณชายน่าจะกินข้าวเสร็จแล้ว ฉันต้องไปก่อน และเตรียมเก็บทำความสะอาด” หลังจากที่
อาลั่วพูดจบ ก็รีบไปที่ร้านอาหาร
มู่น่อนน่อนจ้องไปที่แผ่นหลังของเธอเป็นเวลาสองวินาที จากนั้นก็หันกลับขึ้นชั้นบน แล้วเดินไปที่ห้องของเธอ
ทันทีที่เธอเปิดประตู เธอยืนอยู่ข้างเตียงติดผนัง และเห็นกระเป๋าเดินทางของเธอที่ควรจะถูกเอาไว้ในโรงแรม
มู่น่อนน่อนเดินไปเปิดกระเป๋าเดินทาง พบว่าของข้างในเป็นของเธอจริงๆ
โรงแรมระดับ 5 ดาวมีระบบการจัดการที่เข้มงวดมาก และจะไม่มีการมอบกระเป๋าเดินทางของแขกให้ผู้อื่นโดยอย่างง่ายดาย เรื่องแบบนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้น
แต่เรื่องก็เกิดขึ้นแล้วลี่จิ่วชังให้คนเอากระเป๋าเดินทางของเธอมา
หมายความว่าอย่างไร?
แสดงว่าผู้จัดการแม่บ้านของโรงแรมนั้นอยู่ฝั่งลี่จิ่วชังและจะต้องเป็นผู้จัดการแม่บ้านเอากระเป๋าเดินทางให้คนของลี่จิ่วชังแน่ๆ
ลี่จิ่วชังสื่อถึงว่า อย่าคิกที่จะเล่นงานเขา
ถึงมู่น่อนน่อนจะมีแผนลี่จิ่วชังก็รู้แผนของเธอได้โดยดี
เธอเดินไปมาในห้อง แล้วนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง
ในขณะนี้ โทรศัพท์มือถือของเธอก็สั่นขึ้น
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว และเห็นชื่อที่ปรากฏบนจอคือเสิ่นเหลียง หัวใจที่ที่เต้นรัว ก็ผ่อนคลายลง
เธอกดปุ่มรับสาย ก็มีเสียงของเสิ่นเหลียงดังมาจากโทรศัพท์ “น่อนน่อน ได้ข่าวว่าแกไปต่างไปต่างประเทศ?”
“อืม ก็หลายวันแล้วที่ฉันมาต่างประเทศ” มู่น่อนน่อนบอกเรื่องนี้รู้สึกผิดเล็กน้อย เธอรีบมาต่างประเทศและไม่มีเวลาบอกเสิ่นเหลียง
จริงๆ แล้วเป็นเพราะเสิ่นเหลียงยุ่งเกินไป และ มู่น่อนน่อนก็มีธุรกิจของตัวเอง และเธอก็ไม่อยากบอกเรื่องไร้สาระพวกนี้ของเธอให้เสิ่นเหลียง
“ไปกี่วันแล้ว? ไปทำไมเหรอ? จะอยู่นานแค่ไหน? ถ้าไม่ใช่หัวโง่ กู้จือหยั่นมาหาฉัน ฉันยังไม่รู้เลยว่าแกไปต่างประเทศแล้ว!ก่อนหน้านี้แกคุยกับฉินสุ่ยซานเกี่ยวกับ 《เมืองพัง》ไม่ใช่เหรอ? มีเวลาที่ไหนไปต่างประเทศ? ”
คำถามของเสิ่นเหลียงเกิดขึ้นราวกับปืนกระสุนมาต่อเนื่อง แต่ มู่น่อนน่อนตอบกลับอย่างช้าๆ ว่า: “จัดการเรื่องบางอย่าง ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับวันไหน”
“มีเรื่องอะไรที่ต้องไปจัดการต่างประเทศ?” เสิ่นเหลียงพูดจบและเดาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “แกปิดบางบอสใหญ่ ไปมีชู้แล้วตอนนี้แกท้อง แกเลยไปต่างประเทศใช่ไหม?”
มู่น่อนน่อน: “…”
เมื่อเห็น มู่น่อนน่อนไม่ได้พูด เสิ่นเหลียงก็พูดเสียงดังว่า: “ใช่มั้ย? ฉันเดาถูกจริงด้วย!!!”
มู่น่อนน่อนพูด: “แกถ่านหนังจนโง่ละมั้ง? ฉันมาต่างประเทศเพราะลี่จิ่วเชียน”
“เกิดอะไรขึ้นกับ ลี่จิ่วเชียน?” เสิ่นเหลียงดูเหมือนจะถามให้หมด
“เขาหายไป ฉันสงสัยว่าเขาถูกบังคับจับไป ฉันออกมาหาเขา”
“หาคนเดียวจะหายังไง แกไม่รู้จักแจ้งตำรวจเหรอ? ว่าคุณโทรแจ้งตำรวจหรือเปล่า”
“ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ”
มู่น่อนน่อนเคยคิดที่จะโทรแจ้งตำรวจ แต่ก็เลิกคิดอย่างรวดเร็ว
ตัวเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้สะอาด ก็เคยมีคนตายด้วยมือของเขาเช่นกัน แม้ว่าเธอจะเดินผ่านมือของเทพเจ้าแห่งความตายได้ แต่เธอก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง
เกรงว่าตำรวจไปตรวจมา ก็ตรวจถึงเฉินถิงเซียว
ความคิดแบบนี้อาจจะดูซ้ำซากจำเจในตอนนี้ แต่มู่น่อนน่อนคิดแบบนี้อยู่ในใจ
เสิ่นเหลียง เงียบไปครู่หนึ่งและถามว่า “บอสใหญ่ล่ะ? เขาสนใจแกเหรอ?”
มู่น่อนน่อนใจกระตุกเล็กน้อย ดูเหมือนว่าทุกคนรอบตัวเธอชินกับเฉินถิงเซียวที่ช่วยเธอทุกอย่าง แม้แต่บอสใหญ่ก็เช่นกัน
“ในหลายปีที่ผ่านมาโดยไม่มีเฉินถิงเซียวฉันก็ผ่านมาได้ด้วยดีไม่ใช่เหรอ? พูดเหมือนว่าฉันจะดูแลตัวเองไม่ได้ถ้าไม่มีเขา!” มู่น่อนน่อนก็ไม่รู้ตัวเอง น้ำเสียงของเธอค่อนข้างที่จะใจร้อน
เสิ่นเหลียงเป็นเพื่อนกับเธอมาเป็นเวลาหลายปี เธอเองก็เดาอะไรบางอย่างได้ แต่ก็ไม่พูดมันออกมา
“ดูแลตัวเองด้วยนะ ถ้ามีอะไรก็ติดต่อฉันมา” เสิ่นเหลียงพูดจบ และรู้สึกว่าการหากมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ติดต่อเธอก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี เธอจึงรีบเปลี่ยนคำพูด “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริง แกก็ติดต่อไปที่บอสใหญ่ดีกว่า ชีวิตสำคัญกว่า”
“จะอันตรายขนาดไหนล่ะ โอเค ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน ฉันเป็นคนโชคดีอยู่แล้วนะ”
มู่น่อนน่อนพูดสองสามคำกับเสิ่นเหลียง แล้วก็วางสายโทรศัพท์
หลังจากเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จ มู่น่อนน่อนก็นอนอยู่บนเตียง โดยคิดว่าจะนอนไม่หลับ แต่นอนลงไม่นาน เธอก็หลับยาวไปเลย
ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหนเธอก็ตื่นขึ้นด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือสั่นอีกครั้ง
ตอนที่เธอหลับ เธอไม่ได้ปิดไฟทุกดวง โดยทิ้งโคมไฟข้างเตียงไว้
มู่น่อนน่อนก็ลืมตาขึ้นและมองไปยังการจัดวางที่ไม่คุ้นเคยภายในห้อง ไม่กี่วินาที สมองที่ว่างเปล่าของเธอ สติของเธอก็กลับเข้ามา
เธอไม่ได้อยู่ในบ้านเมืองหู้หยางที่เธอเช่าไว้ และไม่ได้อยู่คฤหาสน์ของเฉินถิงเซียวตอนนี้เธออยู่ในเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร
โทรศัพท์ข้างเตียงยังสั่นอยู่ มู่น่อนน่อนพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์
ใครจะโทรหาเธอในเวลานี้?
ญาติของเธอและผู้คนที่เธอติดต่อด้วยก็รู้ว่าเธอมาต่างประเทศแล้ว
เมื่อเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเห็นจอที่แสดงอยู่บนนั้น ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างอย่างเฉียบขาด
เป็นสายเรียกเข้าจากลี่จิ่วเชียน!!
มู่น่อนน่อนแทบจะจับโทรศัพท์ไว้ไม่อยู่ เธอสงบลงครู่หนึ่งก่อนจะรับสาย
เธอรับสาย และเสียงที่คุ้นเคยของ ลี่จิ่วเชียน ก็มาจากโทรศัพท์: “น่อนน่อน” มันคือลี่จิ่วเชียนจริงๆ!
มู่น่อนน่อนจับมือโทรศัพท์มือถือไว้และอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างแข็งกร้าวว่า “ลี่จิ่วเชียน นายอยู่ไหน”
“ไม่ว่าฉันจะอยู่ไหน ก็ไม่ต้องมาหาฉัน!” น้ำเสียงของลี่จิ่วเชียน เป็นน้ำเสียงที่เย็นชาและจริงจังที่มู่น่อนน่อนไม่เคยได้ยินมาก่อน
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะโกรธเล็กน้อยเมื่อได้ยินที่พูด: “ถ้าฉันไม่หานาย แล้วใครจะหานายล่ะ? เป็นลี่จิ่วชังน้องชายของนายใช่ไหม? บอกฉันมา ว่าทำไมเขาถึงพานายกลับมาประเทศZ เขาทำอะไรนายไหม?”
โทรศัพท์เงียบไปหลายวินาที เสียงของ ลี่จิ่วเชียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง: “เธอ…ได้เจอกับเขาแล้วเหรอ?”
มู่น่อนน่อนบอกว่า “ใช่ ฉันเจอกับเขาแล้ว และเขาบอกว่าเขาจะพาฉันไปพบนาย ตอนนี้ฉันอยู่ที่คฤหาสน์ของเขา ฉันเพิ่งมาถึงวันนี้”
“น่อนน่อน ฟังฉันนะ ตอนนี้ฉันสบายดี พรุ่งนี้เธอกลับประเทศจีนเลย ถ้าเธอจะไปลี่จิ่วชังจะไม่ห้ามเธอไว้ … ”
คำพูดของ ลี่จิ่วเชียนทำให้ มู่น่อนน่อนสับสนมากขึ้น
ดูเหมือนเขาจะกระตือรือร้นที่จะให้เธอกลับประเทศจีน และทำไมเขาถึงมั่นใจนักว่าลี่จิ่วชังจะไม่ห้ามเธอ
มู่น่อนน่อนขัดคำพูดของเขา: “ฉันจะไม่ไปถ้าฉันไม่เจอนาย และตอนนี้ฉันมีคำถามมากมาย ถ้าเราได้พบกันฉันหวังว่านายจะอธิบายอย่างชัดเจนให้หมด นายบอกเอง ถือได้ว่าเป็นมิตรภาพที่เคยผ่านพ้นอัตรายมาด้วยกัน ดังนั้นก็ซื่อตรงหน่อย
“ตราบใดที่เธอกลับประเทศจีน ตราบใดที่ฉันมีโอกาสกลับไปที่เมืองหู้หยางฉันจะบอกเธอทุกอย่าง แต่หลักๆแล้วคือเธอต้อง. .ตูตูตู!”
มู่น่อนน่อนมองดูรอบๆ ในห้องอีกครั้ง โดยไม่พลาดแม้แต่มุมเดียว
พบว่านอกจากตู้เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าแล้ว ด้านในยังมีห้องเล็กๆ อีกด้วย เป็นเครื่องประดับสำหรับผู้หญิง
ตั้งแต่เข็มขัด สร้อยข้อมือ เข็มกลัด ต่างหู และสิ่งอื่น ๆ
ทั้งหมดมีความวิจิตรบรรจงและซับซ้อน เกือบทั้งหมดเป็นสินค้าชื่อดัง ยังเป็นแบรนด์เฉพาะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะมีชื่อเสียงอย่างมาก
เธอเดาไม่ออกว่าใครเป็นคนเตรียมของพวกนี้ และเตรียมให้กับใคร แต่มันต้องเกี่ยวข้องกับลี่จิ่วชังแน่นอน
หลังจากที่มู่น่อนน่อนมองไปรอบๆ เธอก็เดินไปที่ริมหน้าต่างอีกครั้ง
ห้องกว้างใหญ่มาก นอกจากนี้ยังมีหน้าต่างบานใหญ่สูงจากพื้นจรดเพดานพร้อมไฟส่องสว่างที่ยอดเยี่ยม ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานซึ่งเป็นลานภายใน
หากเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน จากที่นี้ไปด้านนอก วิวหน้าจะสวยมาก
แต่ในเวลานี้ มองเห็นแต่บอดี้การ์ดที่ลาดตระเวนอยู่ข้างนอกและต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา
หากต้องการหลบหนี ต้องหนีพ้นจากบอดี้การ์ดถึงจากหนีสำเร็จได้
แต่ว่า เธอจะไม่หนีในตอนนี้
…
ตอนกลางคืน มีคนใช้มาเรียกมู่น่อนน่อนกินข้าว
“คุณมู่ อาหารค่ำเตรียมเสร็จแล้วค่ะ คุณสามารถไปที่ร้านอาหารเพื่อทานอาหารได้แล้วค่ะ”
มู่น่อนน่อนเอนกายบนโซฟาแล้วหลับตาเพื่อพักสมอง แต่เผลอหลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และถูกปลุกโดยคนใช้เคาะประตู
เธอก็ได้ยิน คนใช้บอกให้เธอไปทานอาหารค่ำ
เธอลุกขึ้น จัดระเบียบเสื้อผ้า เดินไปที่ประตูแล้วเปิดประตูออก
คนใช้ยังคงรออยู่ข้างนอก เมื่อเห็นเธอเปิดประตู เขาพยักหน้าเล็กน้อย: “คุณมู่”
“ขอบคุณนะคะ” มู่น่อนน่อนยิ้มให้คนใช้อย่างเป็นผู้ดี
คนใช้ชะงักไปครู่หนึ่ง และส่ายหัวด้วยความตื่นตระหนก: “คุณมู่ อย่าเกรงใจเลย คุณเป็นแขกของคุณชายค่ะ”
“คุณชายของพวกเธอมีแขกบ่อยไหม?” มู่น่อนน่อนถามอย่างเป็นกันเอง
คนใช้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “น้อยมากเลยค่ะ แทบจะไม่มีเลยค่ะ”
“อ๋อ” มู่มู่น่อนน่อนตอบ แล้วถามว่า “เธอก็เป็นคนเมืองZเหรอ เธอชื่ออะไรเหรอ?” สาวใช้เม้มริมฝีปากและยิ้ม: “ชื่ออาลั่วค่ะ แต่ฉันไม่ได้เติบโตใน เมืองZ ฉันได้รับการอุปถัมภ์จากพ่อทูนหัวเหมือนคุณชายค่ะ”
มู่น่อนน่อนจับความสำคัญในคำพูดของอาลั่ว: การรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมพ่อทูนหัว
ดวงตาของเธอหรี่ลง และเธอหลับตาลงเล็กน้อยเพื่อปกปิดอารมณ์ในดวงตาของเธอ พยายามทำให้น้ำเสียงของเธอฟังดูไม่ผิดปกติ
“พ่อทูนหัว?” มู่น่อนน่อนทวนอีกรอบแล้วทำเป็นสงสัย “เป็นพ่อบุญธรรมของพวกเธอเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
พูดถึงพ่อบุญธรรม นัยน์ตาของอาลั่วแสดงความเคารพ “เขาเป็นพ่อบุญธรรมของพวกเรา แต่ชินกับการเรียกเขาว่าพ่อทูนหัว เขาให้ชีวิตใหม่แก่พวกเรา ให้พวกเรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เขาเป็นคนดี”
– เขาเป็นคนดี
คนดี เป็นอัตลักษณ์ที่ยากมากที่จะกำหนด
ดูจากสีหน้าและน้ำเสียงของอาลั่ว พ่อทูนหัวคนนี้เสมือนเป็นคนใจบุญอย่างมาก
มู่น่อนน่อนพูดนิ่งๆ ว่า “ถ้ามีเวลา ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสที่ได้กับเจอคนใจบุญนี้รึเปล่า”
อาลั่วได้ยินเช่นนี้ สีหน้าเธอแสดงออกอย่างสิ้นหวัง: “ฉันเองก็ไม่ได้พบพ่อทูนหัวมาหลายปีแล้ว หลังจากที่ลูกสาวเขาป่วย เขาก็พาลูกสาวไปอยู่คนเดียว อยู่ห่างจากผู้คน ไม่ค่อยติดต่อกับพวกเราเลย และไม่ค่อยอยากเจอพวกเรา…”
อาลั่วยังพูดไม่จบ เสียงของลี่จิ่วชังดังมาจากไกล: “อาลั่ว”
เสียงของเขาไม่รีบร้อนไม่ร้อน และน้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้โทษอะไร แต่ อาลั่วมองไปที่ มู่น่อนน่อนด้วยความตื่นตระหนก: “คุณมู่ โปรดรีบๆไปทานอาหารค่ำที่ร้านอาหารกับคุณชายเลยค่ะ”
“นั่นฉันไปก่อนนะ” สีหน้า มู่น่อนน่อนยังคงดูนิ่งสงบอยู่เหมือนเดิม
หลังจากที่เธอลงไป เธอเดินไปตรงหน้าลี่จิ่วชังและมองเขาอย่างเฉยเมย
เธอไม่จำเป็นต้องแสดงสีหน้าที่ดีให้กับลี่จิ่วชังคนพูดแล้วทำไม่ได้
เมื่อเห็นสีหน้าของเธอลี่จิ่วชังก็ถามเธอด้วยความประชด: “มีคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้คนอยู่ใต้ชายคาและต้องก้มหัวลง คุณแสดงสีหน้าแบบนี้ใส่ผมอย่างไม่เป็นมิตรแบบนี้ คุณไม่กลัวผมอารมณ์เสีย แล้วทรมานคุณเหรอครับ?”
มู่น่อนน่อนหัวเราะอย่างเย็นชา: “คนอย่างนายที่พูดแล้วทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ฉันก็จะไม่รู้สึกตกใจหรือกลัวใดๆ ทั้งสิ้น”
สีหน้าของลี่จิ่วชังเปลี่ยนไปในที่สุด: ” ไปกินข้าวก่อน”
มู่น่อนน่อนไม่พูดอะไรมาก แล้วเดินตามเขาไปที่ร้านอาหาร
เธอกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าลี่จิ่วชังเพราะเธอมีเหตุผล
เมื่อลี่จิ่วชังพาเธอมาที่นี่ เขาดูสุภาพมากขึ้นดูเหมือนไม่อยากทำร้ายเธอ
แต่ก็ไว้วางใจไม่ได้ ในเมื่อลี่จิ่วชังพาเธอมาที่นี่ จะต้องมีจุดประสงค์อะไรของเขาแน่นอน แต่เขาจะไม่เผยให้เห็นแน่นอน
ถ้าเป็นอย่างงี้ มู่น่อนน่อนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาหรือเป็นอะไรกับเขา?
ในเมื่อเขาไม่ให้เธอไป และเธอก็จะไม่ไปจนกว่าเธอจะพบลี่จิ่วเชียน
เมื่อทั้งสองมาถึงร้านอาหาร พวกเขาก็นั่งหันหน้าเข้าหากัน และเริ่มกินโดยไม่พูดอะไรสักคำ
อย่างไรก็ตาม มู่น่อนน่อนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่ใช่อาหารตะวันตก
เธอคิดว่าคนอย่างลี่จิ่วชังที่อาศัยอยู่ในประเทศZมาหลายปี ควรจะชินกับอาหารตะวันตก แต่อาหารค่ำนี้กลับเป็นอาหารจีน
วันนี้มู่น่อนน่อนไม่ได้กินอะไรมามาก พอเห็นอาการบนโต๊ะใหญ่ความอยากของอาหารก็เพิ่มขึ้น กินไปเยอะเลยทีเดียว
เธอเงยหน้าขึ้นหลังจากรับประทานอาหาร และเห็นลี่จิ่วชังจ้องมองมาที่เธอ
มู่น่อนน่อนเพียงชำเลืองมองเขาแล้วถามว่า “นายมองฉันแล้วกินลงเหรอ?”
“คุณกินได้เยอะดี”ลี่จิ่วชังวางตะเกียบลง: “ดูเหมือนว่า คุณจะค่อนข้างที่จะชินกับการที่ได้อยู่ที่นี้”
“ก็ดีนะ แต่ถ้านายให้ฉันได้พบกับลี่จิ่วเชียนก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่” มู่น่อนน่อนเลิกคิ้ว และเอียงหัวเพื่อมองเขา
ลี่จิ่วชังหัวเราะ เช็ดมือของเขาด้วยผ้าขนหนู แล้วพูดช้าๆ ว่า “จะรีบทำไม? ในเมื่อคุณก็มาแล้ว ยังไงก็จะได้พบเขาไม่ช้าก็เร็วๆนี้”
ปฏิกิริยาของเขา ทำให้ มู่น่อนน่อนนึกถึงลี่จิ่วเชียนอีกครั้ง
ลี่จิ่วเชียน และ ลี่จิ่วเชียน คล้ายกันมาก พวกเขาเหมือนกันทุกประการ
หากไม่ใช่เพราะความแตกต่างในบุคลิกภาพ มู่น่อนน่อนก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเขาคือลี่จิ่วชังหรือ ลี่จิ่วเชียน
มู่น่อนน่อนเหลือบมองเขา ยืนขึ้นและเดินขึ้นไปชั้นบน
เมื่อเธอออกจากร้านอาหาร เธอก็เห็นอาลั่ว
อาลั่วมองดูเธออย่างมีความสุข: “คุณมู่ กินข้าวเสร็จแล้วเหรอคะ?”
อาลั่วดูเหมือนอายุจะน้อยกว่าเธอเล็กน้อย เมื่อเธอยิ้ม เธอจะมีลักยิ้มบางๆ ซึ่งดูไร้เดียงสาและสง่างามมาก ทำให้มีความรู้สึกดีต่อกัน
แต่ว่า เรื่องของซือเฉิงหยู้ให้เธอได้รู้ว่า ดูจากภายนอกเป็นอีกคนหนึ่ง แต่ภายในนั้นแตกต่างจากภายนอกเป็นอีกแบบหนึ่ง
เธอไม่สามารถรู้ได้ว่า อาลั่วเป็นคนที่ใจดีเหมือนภายนอกที่แสดงออกมารึเปล่า แต่เรื่องแบบนี้ เธอรู้อยู่แก่ใจ ว่าไว้วางใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เธอก็ไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทางที่ไม่ไว้วางใจเธอออกมาให้หล่อนเห็น
จากนั้น มู่น่อนน่อนยิ้มตอบ: “อืม เธอกินข้าวหรือยัง?”
อาลั่วยิ้มอย่างมีความสุขมากขึ้น: “ฉันยังไม่ได้กินค่ะ ฉันจะรอจนกว่าคุณชายกินเสร็จ ฉันถึงจะไปกิน เสื้อผ้าของคุณ พวกเขาส่งไปที่ห้องของคุณแล้วค่ะ”
ใบหน้ามู่น่อนน่อนชะงักเล็กน้อย และเธอเบิกบานใจสักครู่หนึ่ง แล้วก็รีบเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่นิ่งลง
เธอรู้ว่าลี่จิ่วชังจะไม่พาเธอไปหา ลี่จิ่วเชียนอย่างง่ายดาย
ลี่จิ่วชังเห็นความลังเลของเธอและยิ้มพูดว่า “เป็นอะไร?ไม่กล้าไปเหรอครับ?”
“พูดแล้วทำได้ไหมคะ? คุณจะพาฉันไปเจอกับ ลี่จิ่วเชียนจริงๆ หรือ?” มู่น่อนน่อนกล้าไปอยู่แล้ว แต่เธอไม่เชื่อลี่จิ่วชัง
ลี่จิ่วชังยกคิ้ว น้ำเสียงที่พูดนั้นพร้อมกับความโกรธของเขา “พูดแล้วไม่กลับคำครับ”
มู่น่อนน่อนกัดฟันและพูดว่า “ตกลง ฉันจะไปกับคุณ”
ลี่จิ่วชังดูเหมือนจะคาดเดาถูกแต่แรก มู่น่อนน่อนจะตกลงที่ไปพบลี่จิ่วเชียนกับเขา สีหน้าของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ยืนตัวตรง: “การเดินทางค่อนข้างไกล เราออกเดินทางได้เดี๋ยวนี้เลย”
มู่น่อนน่อนตามเขาออกจากร้านกาแฟ และขึ้นรถไปกับเขา
รถของลี่จิ่วชังคือรถจิ๊ป ซึ่งดูเท่มาก
เขาขับรถ มู่น่อนน่อนนั่งข้างคนขับ
รถค่อยๆ ออกจากเมืองและขับไปที่ชนบท
ระหว่างทาง มู่น่อนน่อนมองออกไปนอกหน้าต่าง พยายามจำป้ายถนนและป้ายพิเศษตลอดทาง
อาจจะใช้ได้ในตอนไหนก็ได้
ลี่จิ่วชังเหลือบมองเธอในกระจกหลัง: “คุณมีความจำที่ดีเหรอครับ?”
มู่น่อนน่อนพูดอย่างระมัดระวัง “ความจำของฉันไม่ดี สามปีที่แล้วล้มกระทบโดนสมอง สูญเสียความจำไประยะหนึ่งอีกด้วยค่ะ”
ใครจะไปรู้ลี่จิ่วชังพูดทันทีว่า: “ผมรู้เรื่องนี้ครับ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกเสมอว่าลี่จิ่วชังดูเหมือนจะเดาได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่และหยุดพูดกับเขา
พูดให้น้อยลงจะได้ผิดน้อยลง
เธอหยุดพูดแล้ว แต่ลี่จิ่วชังยังคงคุยกับเธออย่างไม่รู้สึกเหงา
มู่น่อนน่อนเพียงแค่หัวเราะออกไปอย่างฝืนๆ หรือ “อืม”คำเดียว
หลังจากขับรถมาห้า หกชั่วโมง รถก็ขับเข้าไปในเมืองชายทะเล
ในเมืองครึกครื้นอย่างมาก แต่ดูเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน
เมื่อลี่จิ่วชังขับรถเข้าไปในเมือง เขาก็ชะลอความเร็วลง และผู้คนก็ทักทายเขาตลอดทาง
มีคนรู้จักเขา ซึ่งหมายความว่านี่อาจเป็นที่ที่ลี่จิ่วชังอาศัยอยู่
อีกไม่นานพวกเขาน่าจะถึงที่หมายแล้ว
อย่างที่ว่า หลังจากผ่านไปสิบกว่านาที รถก็จอดที่หน้าคฤหาสน์
คฤหาสน์สไตล์ยุโรป 3 ชั้น มีต้นไม้ใหญ่หลายต้นอยู่ตรงลานบ้าน แต่ดูเหมือนจะเงียบเย็นไปหน่อย เพราะใกล้จะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว
มีคนใช้กำลังกวาดพื้นตรงลานบ้าน และมีบอดี้การ์ดลาดตระเวนไปมาในลานบ้าน
เห็นได้ชัดว่า คฤหาสน์แห่งนี้ได้รับการดูแลอย่างเข้มงวด
“ลงรถ”
เสียงของลี่จิ่วชังดังขึ้น และมู่น่อนน่อนก็กลับมามีสติอีกครั้ง ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเปิดประตูลงจากรถ
เขาเดินด้านหน้าและเข้าไปในคฤหาสน์ มู่น่อนน่อนเดินตามหลังอย่างใกล้ชิด
คนใช้ที่กวาดพื้นในลานเห็นลี่จิ่วชังและพูดด้วยความเคารพ: “คุณชายกลับมาแล้วค่ะ”
ลี่จิ่วชังไม่สนใจ และเดินตรงเข้าไปข้างใน
หลังจากเข้าไปในคฤหาสน์แล้วลี่จิ่วชังก็สั่งให้คนใช้ว่า: “พาคุณมู่ ไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน”
คนใช้เป็นคนประเทศZหรือไม่ลี่จิ่วชังพูดภาษาจีน
คนใช้เดินไปหามู่น่อนน่อนแล้วพูดเป็นภาษาจีนที่ไม่ค่อยชัดสักเท่าไหร่”คุณมู่ ตามหนูมาเลยค่ะ”
มู่น่อนน่อนเหลือบมองสาวใช้แล้วเอื้อมมือไปจับแขนของ ลี่จิ่วเชียนไว้: “คุณบอกว่าคุณจะพาฉันไปพบ ลี่จิ่วเชียนไม่ใช่เหรอ?”
“ผมบอกว่าจะพาคุณไปหาลี่จิ่วเชียน แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปตอนนิ ผมเคยบอกไหมว่า ผมจะพาคุณมาพบเขาทันทีเลย?”ลี่จิ่วชังยิ้ม และยิ้มแบบนี้ดูเหมือนลี่จิ่วเชียนมากที่สุด
แต่ว่า มู่น่อนน่อนได้สติมากขึ้นว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ ลี่จิ่วเชียน
มู่น่อนน่อนกดริมฝีปาก หันกลับแล้วเหลือบมองไปด้านนอกคฤหาสน์ ยังมีบอดี้การ์ดคอยลาดตระเวนอยู่ที่นั่น แม้ว่าเธออยากจะหนี เธอก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น
เธอจ้องไปที่ลี่จิ่วชังและพูดอย่างแรงๆ ว่า: “สารเลว!”
ลี่จิ่วชังแค่ยิ้ม รอยยิ้มของเขาดูน่าเกลียดเป็นพิเศษ
มู่น่อนน่อนจ้องที่ลี่จิ่วชังอย่างขมขื่นและตามสาวใช้ขึ้นไปชั้นบน
คฤหาสน์ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และถ้าลี่จิ่วชังได้พา ลี่จิ่วเชียน กลับมาจริงๆ ก็น่าจะอยู่ในคฤหาสน์นี้ด้วย
ในเมื่อเธอก็มาแล้ว อาศัยอยู่ที่นี่ก่อน ไม่ช้าก็เร็วก็จะได้พบกับ ลี่จิ่วเชียน
…
มู่น่อนน่อนถูกคนใช้พาไปที่ห้องพัก
การตกแต่งห้องเป็นแบบชนบทสไตล์ยุโรป หลังจากที่คนใช้ออกไปแล้ว มู่น่อนน่อนก็เริ่มสำรวจห้อง
การตกแต่งห้องนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นห้องของผู้หญิง และทุกอย่างก็มีความเฉพาะเจาะจงมาก
มู่น่อนน่อนค้นลิ้นชักหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าดู
เมื่อเธอเปิดตู้เสื้อผ้า เธออดตกใจไม่ได้ มีเสื้อผ้าเต็มตู้ เป็นของใหม่ทั้งหมดแถมยังไม่ได้เอาป้ายออก ราวกับว่าเตรียมไว้ให้สำหรับใครบางคน
เสื้อผ้าเหล่านี้อัดไว้อย่างแน่นหนา มู่น่อนน่อนพยายามที่จะเอาเสื้อผ้าสักตัวออกอย่างยากลำบาก เธอทำได้เพียงดึงมุมเสื้อผ้า เพื่อดูว่าเสื้อผ้านั้นคือเสื้อผ้าอะไร
เธอดูจากซ้ายไปขวา เธอพบว่า เสื้อผ้าเหล่านี้ไม่ใช่เสื้อผ้าของผู้หญิงในวัยเดียวกัน
ซ้ายมือเป็นเสื้อผ้าสไตล์สาววัยรุ่น การตัดเย็บและสไตล์ค่อนข้างโต เหมาะกับสาววัยมู่น่อนน่อนมองไปด้านหน้าอีก จะมีกระโปรงลายดอกและชุดกะลาสี…
ยิ่งไปด้านหน้า ก็ยิ่งอายุน้อยลง. .
การจัดเรียงเสื้อผ้าเหล่านี้ ดูเหมือนจะบันทึกอายุของผู้หญิงคนหนึ่ง ตั้งแต่เด็กสาวจนถึงผู้หญิงสาวโต
มันเหมือนกับพิธีกรรมบางอย่าง
เสื้อผ้าเหล่านี้ไม่ได้เตรียมไว้สำหรับเธอแน่นอน แต่เตรียมสำหรับเจ้าของห้องในห้องนี้
มู่น่อนน่อนปิดตู้เสื้อผ้า นั่งลงบนเตียง สงบสติอารมณ์และเริ่มค้นคิดทบทวน
ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดมาก ไม่สำคัญสำหรับเธอว่าใครเป็นเจ้าของห้องนี้ สิ่งที่สำคัญคือ ลี่จิ่วเชียนตอนนี้อยู่ที่ไหน
ตั้งแต่เวลาที่พบกับลี่จิ่วชังจนตอนนี้ลี่จิ่วชังเรียกว่า “ลี่จิ่วเชียน” อย่างเดียว ไม่เคยเรียกว่า “พี่ชาย” หรือ “น้องชาย” เลย
เห็นได้ชัดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องไม่ดี
แต่ว่าลี่จิ่วชังบอกว่าเขารู้เรื่องเกาะในเกาะ และรู้เรื่องเกี่ยวกับที่เธอเสียความจำไปด้วย…
ถ้า ลี่จิ่วเชียนไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้เขา เขาจะรู้ได้อย่างไร?
ไม่ใช่ลี่จิ่วชังเคยบอกว่า เขาบอก จริงๆคนที่จะช่วยมู่น่อนน่อนคือเขา
มู่น่อนน่อนเอื้อมมือไปกดขมับของเธอ มันวุ่นวายไปหมด ทุกเรื่องมาถูกนวดรวมกัน มันดูวุ่นไปหมด เธอไม่มีเงื่อนงำเลย
ในขณะนี้ เธอก็คิดถึงเฉินถิงเซียวเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวฉลาดขนาดนั้น เขาจะค้นพบความก้าวหน้าจากเรื่องเหล่านี้อย่างแน่นอน ไม่เหมือนเธอที่จะดูวุ่นวายไปหมด
แต่ว่า เธอกับเฉินถิงเซียวไม่ได้ติดต่อกันมาหลายวันแล้ว
กระทั่งเธอมาถึงประเทศZ จึงเข้าใจว่าไม่ใช่ว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้โกรธ เขาแค่เปลี่ยนวิธีแสดงความโกรธเป็นอีกแบบหนึ่ง
ประเทศZคือเธอจะมาเอง และไม่ได้บอกเขาด้วยเฉินถิงเซียวก็สมควรที่จะโกรธเธอ
เพราะฉะนั้น เธอจึงต้องจัดการกับมันทั้งหมดด้วยตัวเอง
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ปัดหน้าจอสองสามครั้งแล้ววางโทรศัพท์กลับ
เรื่องของเธอเอง เธอก็จะจัดการมันให้ได้เอง
หลังจากที่ผู้จัดการแม่บ้านได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อนและได้พูดว่า”ที่นี่มีเชฟชาวตะวันออกหลายคน ไม่ทราบว่าคุณพูดถึงคนไหนคะ?”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย: “คนที่นาสกุลลี่”
ผู้จัดนึกคิดแล้วสักครู่ และพูดว่า: “ขอโทษจริงๆ นะคะ อาจารย์ลี่ อยู่ในช่วงหยุดพักผ่อนอยู่ค่ะ”
“หยุดพักผ่อน?”
ผู้จัดการฟังออกความสงสัยในน้ำเสียงของมู่น่อนน่อนและพูดอย่างรวดเร็ว: “เขาเป็นเชฟตะวันออกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดค่ะ ฉันจึงจำได้ค่ะ ดังนั้นเรื่องหยุดพักผ่อนของเขา ฉันก็เลยรู้ค่ะ ”
“นั่นเขาจะกลับมาทำงานเมื่อไหร่?”
“นี่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เพราะเขาไม่ได้อยู่แผนกแม่บ้านค่ะ …. .. ”
มู่น่อนน่อนมา ได้มีการทำใจไว้ก่อน ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าลี่จิ่วชังหยุดพักผ่อน มู่น่อนน่อนก็ไม่รู้สึกแปลกใจอะไรมาก
ลี่จิ่วชังสามารถพาลี่จิ่วเชียนออกจากประเทศจีนได้ ไม่ใช่แค่เล่นๆ และ มู่น่อนน่อนไม่ได้คิดไว้ว่าจะหาเขาเจอได้อย่างง่ายๆ
เรื่องการหาตัวลี่จิ่วชังยังต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
……
มู่น่อนน่อนพักอยู่ในโรงแรมหลายวัน แต่ลี่จิ่วชังไม่ได้กลับมาทำงานในโรงแรม
และในสองสามวันที่ผ่านมา เธอกับเฉินถิงเซียวแทบไม่มีการติดต่อใดๆ
เธอรู้สึกว่าเธอจะนิ่งอยู่แบบนี้ไม่ได้ เธอต้องคิดทำอะไรบางอย่าง
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าลี่จิ่วชังอาจรู้อยู่แล้วว่าเธอมาที่ประเทศZ และยังพักอยู่ในโรงแรมที่เขาทำงานอยู่
หากเป็นแบบนี้จริงๆ เธอรู้สึกว่าต้องเปลี่ยนสถานที่อยู่
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น มู่น่อนน่อนกำลังเตรียมตัวที่จะเช็คเอาท์
ทันทีที่เธอออกจากลิฟต์ เธอยังไม่ทันเห็นชัดผู้คนข้างนอก เธอก็ได้ยินคนพูดว่า: “คุณลี่นี่คือคุณมู่ที่อยากจะสั่งอาหารที่คุณทำ”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น และเห็นผู้จัดการแม่บ้านก่อน ข้างๆ เธอ มีบุคคลที่ดูเกือบจะเหมือนกับลี่จิ่วเชียนแทบทุกประการ
เมื่อเธอมองไปที่เขา เขาก็มองกลับเธอเช่นกัน
มู่น่อนน่อนหรี่ตาและเป็นฝ่ายที่เริ่มพูดก่อน: “คุณคือลี่จิ่วชัง?”
ลี่จิ่วชังขดริมฝีปากและยิ้ม ใบหน้านั้นเหมือนลี่จิ่วเชียนโดยสิ้นเชิง
เขาพูดอย่างช้าๆ: “คุณมู่ เราเจอกันอีกแล้วครับ”
เสียงของเขาคล้ายกับเสียงของลี่จิ่วเชียนอย่างมาก ถ้าไม่ได้ตั้งใจฟัง จะไม่สามารถแยกได้เลยว่าระหว่างเสียงของเขากับลี่จิ่วเชียนต่างกันตรงไหน
เสียงของ ลี่จิ่วเชียน ฟังแล้วค่อนข้างผ่อนคลาย ส่วนเสียงของลี่จิ่วชังมีความหนักหน่วงที่ดูเหมือนไม่มีอะไร เช่น…บางครั้งน้ำเสียงที่พูดก็จะเหมือนเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนพูดด้วยรอยยิ้มตรึงๆ: “ดูเหมือนว่าคุณเฝ้าคอยที่เราจะได้พบกันอีกครั้งนะคะ”
“เป็นอย่างที่พูดจริงๆ ครับ”ลี่จิ่วชังหยุดนิ่งสักพัก และพูดขึ้นอีกครั้ง: “คุณมู่เต็มใจที่จะไปดื่มกาแฟกับผมมากใช่ไหมครับ?”
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ” จุดประสงค์ของ มู่น่อนน่อนคือการตามหาลี่จิ่วชังให้เจอ และทำความรู้จักกับลี่จิ่วเชียน ในเมื่อลี่จิ่วชังเสนอชวนเธอไปดื่มกาแฟ เธอจะไปปฏิเสธเขาได้อย่างไงล่ะ?
ตอนที่มู่น่อนน่อนพูดคุยกับลี่จิ่วชังพูดคุยกันด้วยภาษาจีน ผู้จัดการฟังไม่ออกเลยสักคำ เขามองไปทางลี่จิ่วชังอย่างมึนงง: “พวกเธอ… ”
ลี่จิ่วชังหันหัวกลับ และพูดกับผู้จัดการเป็นภาษาอังกฤษ ” ผมมีธุระต้องกลับก่อนนะครับ ”
ในมือมู่น่อนน่อนยังคงมีกระเป๋าเดินทางอยู่ เธอลากกระเป๋าเดินทางไว้ดันหน้าผู้จัดการ :” รบกวนคุณเอานี่กลับไปที่ห้องฉันหน่อยนะคะ ฉันยังจะพักที่นี้ต่อ ฉันจะกลับมาช้าสุดคือตอนอาหารเห็นนะคะ ถึงเวลาอย่าลืมส่งอาหารให้ฉันด้วยนะคะ เอาเหมือนเดิมค่ะ”
ผู้จัดการพยักหน้า: “โอเคค่ะ”
คำพูดพวกนี้ของมู่น่อนน่อนตั้งใจพูดให้ลี่จิ่วชังได้ยิน
ตอนนี้เธอกำลังออกไปกับลี่จิ่วชังและถ้าเธอไม่กลับมาในตอนกลางคืน ก็จะเป็นเพราะลี่จิ่วชังทำอะไรกับเธอ เธอจึงไม่สามารถกลับมาได้
แม้ว่าลี่จิ่วชังจะไม่มีเหตุผลที่จะทำร้ายเธอ แต่ก็ควรระมัดระวังในทุกสิ่งเสมอ
…
มู่น่อนน่อนและลี่จิ่วชังหาร้านกาแฟใกล้ที่โรงแรม นั่งลงและเริ่มพูดคุยกัน
ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองลี่จิ่วชัง
ลี่จิ่วชังสวมชุดสีดำเหมือนในวันนั้น ดูจริงจังและดูนิ่ง จากรูปลักษณ์นี้ สามารถเห็นความแตกต่างระหว่างเขากับลี่จิ่วเชียน ได้
อาจเป็นเพราะตัวตนของเขาถูกเปิดเผย ดังนั้นเขาจึงไม่ปิดบังตัวเองอีกต่อไป และจงใจเลียนแบบลี่จิ่วเชียน
คืนวันนั้น ตอนที่เธอกับเฉินถิงเซียวไปที่บ้านของลี่จิ่วเชียนลี่จิ่วชังจงใจที่จะเลียนแบบลี่จิ่วเชียน เพื่อผ่านมันไป
และเขาก็ทำสำเร็จ
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ สีหน้าของมู่น่อนน่อนก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลง
ถ้าเธอจำเขาได้ในคืนนั้น เขาไม่ใช่ลี่จิ่วเชียน และลี่จิ่วเชียนจะไม่ถูกพรากไปโดยเด็ดขาด
ลี่จิ่วชังดันเมนูให้ มู่น่อนน่อนและยกมือทำท่าทาง “เชิญ” ต่อ มู่น่อนน่อน: “ผู้หญิงก่อนเสมอครับ”
ละทิ้งความจริงจังและนิ่งเฉยของเขา คำพูดและการกระทำของเขาเหมือนกับลี่จิ่วเชียน หมดเลย สามารถปลอมตัวเป็นลี่จิ่วเชียนได้เลย
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วสั่งกาแฟให้ตัวเอง
ทั้งสองสั่งอาหารเสร็จ ก่อนที่กาแฟยังไม่มาเสิร์ฟมู่น่อนน่อนออกเสียงถามเขาว่า “ลี่จิ่วเชียนอยู่ไหน?”
” ตกลงกันว่าจะมาดื่มกาแฟด้วยกันไม่ใช่เหรอ? กาแฟแก้วนี้ยังดื่มไม่หมดเลยครับ ทำไมสีหน้าของคุณมู่ถึงเปลี่ยนไปล่ะครับ?”
น้ำเสียงของลี่จิ่วชังอย่างช้า ดูเหมือนกับว่าสบายมาก
มู่น่อนน่อนขดริมฝีปากและยิ้มอย่างไม่จริงใจ: “ดื่มกาแฟเสร็จ คุณจะบอกไหมคะ?”
“นั้นต้องดื่มกาแฟให้เสร็จก่อน ค่อยว่ากัน”
ทันทีที่ลี่จิ่วชังพูดจบ พนักงานก็มาเสิร์ฟกาแฟให้ทั้งสองคน
ลี่จิ่วชังสั่งกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลและไม่ใส่นม
มู่น่อนน่อนสั่งลาเต้
ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน และบรรยากาศก็ตึงแปลก
ลี่จิ่วชังดื่มกาแฟหนึ่งแก้ว ใช้เวลาดื่มเกือบหนึ่งชั่วโมง รอจนกระทั่งกาแฟเย็นจนหมดก่อน เขาถึงจะดื่มเข้าไป
หลังจากนั้น เขาพูดทันทีที่เขาอ้าปาก: “คุณหายดีแล้ว ลี่จิ่วเชียนดูแลคุณอย่างดีเลย”
คำพูดในประโยคนี้มีความหมายแฝงอยู่อย่างมากมาย
“คุณรู้เรื่องที่เกิดขึ้นบนเกาะ?” มู่น่อนน่อนไม่ได้บอกอย่างละเอียด เพียงต้องการทราบว่าลี่จิ่วชังรู้จริงรึเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบนเกาะ
“แน่นอนครับ ผมรู้” หลังจากลี่จิ่วชังพูดจบ ราวกับว่าเขารู้ว่ามู่น่อนน่อนไม่เชื่อ เขาพูดเสริมว่า: “จริงๆ แล้วคนที่จะเป็นคนช่วยเธอคือฉัน แต่ลี่จิ่วเชียนเข้าไปก่อน”
มู่น่อนน่อนพบว่า คำพูดของลี่จิ่วชังเธอไม่เข้าใจเลยสักประโยค
เธอสงสัยว่าลี่จิ่วชังจงใจพูดคำเหล่านี้โดยเจตนา ทำให้เธอไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด และในขณะเดียวกันก็กระตุ้นความอยากรู้ของเธอและเปลี่ยนเรื่องคุย
มู่น่อนน่อนไม่กล้าที่จะผ่อนคลายอีกต่อไป นั่งตัวตรงแล้วถามว่า “ลี่จิ่วเชียนอยู่ที่ไหน?”
ลี่จิ่วชังแสดงสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูด: “ผมคิดไม่ถึงเลยว่า คุณจะตามหามาถึงประเทศZ ดูเหมือนว่าคุณเป็นห่วงลี่จิ่วเชียนไม่น้อย”
“คนเราต้องรู้จักบุญคุณคนที่เคยช่วยเหลือเรา ไม่ว่าวันนี้เป็นใครที่จับลี่จิ่วเชียนไป ฉันก็ตามมาถึงประเทศZเหมือนกัน”ตอนที่มู่น่อนน่อนพูดประโยคออกมา น้ำเสียงของเธอจริงจังมาก
ความตกใจบนใบหน้าของลี่จิ่วชังและก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
เขาใช้นิ้วชี้ของเขาเค๊าะโต๊ะแล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า “ผมพาคุณไปพบเขาได้”
เมื่อถึงสนามบิน มู่น่อนน่อนขับรถไปที่ลานจอดรถและเอาสัมภาระออกมา
เธอผ่านจุดตรวจความปลอดภัย และรออยู่ในห้องรอเครื่องจนกว่าเธอจะขึ้นเครื่อง แล้วถึงจะโทรหาเฉินถิงเซียว
หลังจากที่โทรติด มู่น่อนน่อนเป็นฝ่ายที่เริ่มพูดก่อน: “ยุ่งอยู่รึเปล่า?”
เสียงต่ำของเฉินถิงเซียวมาจากปลายสายอีกด้าน: “ไม่ยุ่ง”
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปาก เธอไม่รู้จะพูดต่ออย่างไรดี
ในขณะนี้เฉินถิงเซียวก็ถามขึ้นทันทีว่า “เธออยู่ที่สนามบินเหรอ?”
มู่น่อนน่อนตกใจ และตอนนี้เธอก็พูดอะไรไม่ออกเลย
ดูเหมือนว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้อยากฟังเธอพูด เขาถามออกอย่างโดยตรงว่า “จะขึ้นเครื่องแล้วใช่ไหม?”
“ใช่” มู่น่อนน่อนพูดประโยคนี้ด้วยร่างกายที่แทบจะแข็งทื่อไปหมด
“นายทำไม…” เธออยากจะถามเฉินถิงเซียวว่ารู้ได้อย่างไรว่าเธออยู่ที่สนามบินและกำลังจะขึ้นเครื่อง
เธอหามุมที่ไม่ไม่ได้ยินเสียงประกาศโดยเฉพาะ เพื่อโทรหาเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวขัดคำพูดของเธอ “ถึงแล้วรายงานความปลอดภัยด้วย”
“เฉินถิงเซียวนาย…”
“ไปขึ้นเครื่องก่อน”
“…โอเค”
มู่น่อนน่อนวางสาย แล้วจ้องมองที่โทรศัพท์มือถืออย่างมึนงง
ตามที่คาดไว้ ความโมโหของเฉินถิงเซียวไม่ได้ปรากฏขึ้น และแถมเขายังเตือนเธอให้ไปขึ้นเครื่องก่อนด้วย…
มู่น่อนน่อนเปิดบันทึกการโทรอีกครั้ง เพื่อแน่ใจว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่เธอเพิ่งโทรไปนั้นเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของเฉินถิงเซียวจริงๆ แล้วค่อยใส่โทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋าของเธอ
แต่เธอไม่มีเวลาคิดอะไรมาก เพราะถึงเวลาขึ้นเครื่องบินแล้ว
หลังจากที่มู่น่อนน่อนขึ้นเครื่องบินแล้ว โดยยังคงคิดเกี่ยวกับปฏิกิริยาของเฉินถิงเซียวทางโทรศัพท์เมื่อสักครู่นี้
เขาดูสงบ สงบเกินจนเธอคาดเดาไม่ถึง ……
…………
บริษัทเฉินซื่อ สำนักงานประธาน
เมื่อได้ยินเสียงที่วางสายเฉินถิงเซียวก็ถือโทรศัพท์ไว้ตรงหน้าเขาและมองดูเป็นเวลาสองวินาที จากนั้นจึงโยนโทรศัพท์ออกราวกับว่าในที่สุดก็ระเบิดออกมาได้
เมื่อกี้ที่เฉินถิงเซียวรับสายจาก มู่น่อนน่อนเขาที่ดูสงบ สือเย่ก็รู้สึกว่ามีผิดปกติ
ที่แท้เป็นเพราะเขาระงับความโกรธไว้
สือเย่อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา: “คุณชาย ในเมื่อท่านไม่อยากให้คุณหญิงไปคนเดียว ทำไมท่านไม่ให้คนอื่นไปขัดขวางเธอละครับ”
“ฉันบอกไปแล้วว่า เรื่องของเธอก็คือเรื่องของฉัน ฉันจะไม่สนใจลี่จิ่วเชียนได้ไงล่ะ!”เฉินถิงเซียวหัวเราะออกอย่างเลือดเย็น สีหน้าอย่างมืดมน: “ถ้าเธออยากไปก็ปล่อยเธอไป!ห้ามให้ใครไปตามเธอ!”
สือเย่ค่อยๆพยักหน้า: “ครับ”
เขาอยู่กับเฉินถิงเซียวมาเป็นเวลาหลายปี ก็ไม่กล้าที่จะบอกว่าเขาเข้าใจเฉินถิงเซียวอย่างโดยดี แต่ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมู่น่อนน่อนเขารู้สึกว่าเขาเข้าใจเฉินถิงเซียวได้เป็นอย่างดี
สำหรับมู่น่อนน่อนไม่ว่าเฉินถิงเซียวจะดุร้ายและโหดเหี้ยม
จริงๆ แล้ว สุดท้ายเขาก็ดุไม่ลง
ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ก็จะเป็นแบบนี้
สือเย่เงยหน้าขึ้นมองไปทางเฉินถิงเซียวและถามอย่างไม่มั่นใจว่า “คุณชาย ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ผมออกไปก่อนนะครับ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร สือเย่ก็ออกไป
…
เที่ยวบินของมู่น่อนน่อนมาถึงที่หมายในเช้าวันที่สอง
หลังจากนั่งบนเครื่องบินนานกว่าสิบชั่วโมง มู่น่อนน่อนรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย แต่เธอก็ยังดูสดชื่น
เธอขึ้นแท็กซี่ และก็โทรหาเฉินถิงเซียว
โทรศัพท์ดังแล้วหลายครั้ง ถึงจะมีคนมารับสาย
เมื่อเธอกำลังจะพูด เสียงของสือเย่ก็ดังขึ้นที่ปลายสายอีกฝั่งว่า“
คุณหญิง คุณชายกำลังคุยธุระอยู่ครับ มีอะไรจะพูดกับคุณชายบอกผมได้เลยครับ ผมจะบอกคุณชายให้ครับ มีอะไรก็บอกได้ครับ”
มู่น่อนน่อนอึ้งไปสักพัก และตั้งใจฟังดีๆ สามารถได้ยินเสียงดนตรีที่เมามันจากปลายสายอีกฝั่ง
เธอเพิ่งจะนึกได้ว่า เวลาในประเทศจีนมีความแตกต่างกัน ตอนนี้ที่เธออยู่เป็นเวลาเช้า แต่ในประเทศจีนเป็นเวลากลางคืน
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และถามสือเย่ว่า: “พวกนายอยู่ข้างนอกเหรอ?”
“อยู่โรงแรมจีนติ่งครับ คืนนี้มีนัดทานอาหารเย็นครับ ผมมาเป็นเพื่อนคุณชายครับ”
“อ๋อ” มู่น่อนน่อนถามหลังจากหยุดไปชั่วครู่”เฉินถิงเซียวดื่มเหล้าไหม?”
สือเย่มองลอดช่องประตูและชำเลืองมองเฉินถิงเซียวที่กำลังชนแก้วกับใครบางคนในห้องแล้วพูดว่า“ดื่มนิดหน่อยครับ”
“อย่าปล่อยให้เขาดื่มมากเกินไป ฉันวางสายก่อน ลาก่อน”
“ครับผม ลาก่อนครับคุณหญิง”
หลังจากที่มู่น่อนน่อนวางสาย เขาก็กลับไปที่ห้องพร้อมกับโทรศัพท์มือถือแล้วยื่นโทรศัพท์ให้เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวรับโทรศัพท์มา และไม่ได้ถามอะไรมาก เขาได้พูดคำพูดของมู่น่อนน่อนให้เฉินถิงเซียว: “คุณหญิงบอกให้ดื่มน้อยหน่อยครับ”
“เฮอะ”เฉินถิงเซียวยิ้มอย่างเฉยชา อารมณ์บนใบหน้าของเขาเดาไม่ถูกเลย
สือเย่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากเช่นกัน แล้วนั่งลงข้างเขาเหมือนเดิม
“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?” กู้จือหยั่นเอียงมาฝั่งเฉินถิงเซียวและถามเขาว่า “นายทะเลาะกับน่อนน่อนอีกแล้วเหรอ?”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเขา: “นายนั่นแหละที่ทะเลาะ!”
“ปกติแล้ว นายจะยอมออกมาทานอาหารเย็นกับฉันด้วยเหรอ? ถ้านายบอกว่า นายไม่ได้ทะเลาะกับน่อนน่อน ฉันไม่เชื่อ” กู้จือหยั่นพูดจบ เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางสือเย่: “สือเย่ นายว่าใช่หรือไม่ใช่?”
สือเย่ ไม่พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มกลับ
อาหารเย็นวันนี้ จริงๆ แล้วกู้จือหยั่นจะจัดงานเลี้ยง แต่เมื่อรู้ว่าเฉินถิงเซียวจะมา เขาก็หาเหตุผลให้กลุ่มคนที่ไม่เกี่ยวด้วยไปทานอาหารกันเอง และตัวเขาเอง ก็เหลือเพียงเฉินถิงเซียวไว้ เพื่อดื่มเป็นเพื่อนเฉินถิงเซียว
ตั้งแต่ที่มีมู่น่อนน่อนเขาต้องการนัดกับเฉินถิงเซียวสักครั้ง ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก
นอกเสียจากว่าเฉินถิงเซียวและมู่น่อนน่อนทะเลาะกันเฉินถิงเซียวถึงจะนัดเจอเขา
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะถามเฉินถิงเซียวว่าทะเลาะกับ มู่น่อนน่อนอีกหรือไม่
เฉินถิงเซียวไม่สนใจเขา หยิบขวดเหล้า เติมเหล้าในแก้วให้ตัวเองและกู้จือหยั่น อย่างเต็ม จากนั้นก็ยกดื่มรวดเดียวหมด
กู้จือหยั่นขมวดคิ้วและเกลี้ยกล่อมเขา: “เฮ้ นายดื่มน้อยๆ หน่อย!”
…
มู่น่อนน่อนจองโรงแรมห้าดาวที่ลี่จิ่วชังทำงานด้วย
โรงแรม 5 ดาวแห่งนี้ มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายปี และยังมีชื่อเสียงมากในประเทศZ ผู้คนที่มาท่องเที่ยวที่นี้ มักจะมาพักที่โรงแรมนี้
มู่น่อนน่อนรู้เพียงว่าลี่จิ่วชังเป็นเชฟที่นี่ แต่เธอไม่รู้ว่าเป็นหัวหน้าพ่อครัว หรือตำแหน่งอื่น เธอไม่รู้เลย
เธอต้องคิดหาวิธี หากเธอต้องการพบลี่จิ่วชัง
เมื่อพนักงานส่งเธอไปถึงห้องพักของโรงแรมมู่น่อนน่อนจงใจวางโทรศัพท์มือถือไว้ที่มุมโต๊ะ จังหวะที่พนักงานหันกลับมาแล้วโดนโทรศัพท์มือถือของเธอและหล่นลงบนพื้น
พนักงานรับหยิกโทรศัพท์ขึ้นมาและขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า: “ขอโทษนะคะ”
อันที่จริงพื้นปูด้วยพรมแดง โทรศัพท์ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก
แต่วันนี้มู่น่อนน่อนก็คือจะหาเรื่อง เลยถามต่อว่า “คนในโรงแรมพวกคุณ ซุ่มซ่ามกันแบบนี้ทุกคนรึเปล่า?ไปเรียกผู้จัดการพวกเธอมา”
มู่น่อนน่อนแกล้งทำเป็นว่าเป็นคนที่ไม่มีเหตุผลคนหนึ่ง พนักงานก็ไม่มีวิธีอื่นใด เลยต้องเรียกผู้จัดการแม่บ้านมา
“คุณผู้หญิงคะ ฉันขอโทษที่ความผิดพลาดของพนักงานทำให้คุณหัวเสียนะคะ ทางเราจะ…”
“พอแล้ว” มู่น่อนน่อนส่ายมือไปมา แล้วนั่งบนโซฟาด้วยท่าทางที่หยิ่งผยอง: “ฉันก็ใช่ว่าจะเป็นคนที่ไม่มีเหตุผล ฉันได้ยินจากเพื่อนที่เคยพักในโรงแรมของพวกคุณมาก่อน ว่าที่นี่มีเชฟชาวตะวันออกที่ทำอาหารอร่อยมาก ฉันอยากสั่งให้เขาทำอาหารให้ฉัน ถ้าพวกคุณตอบสนองความต้องการของฉัน ฉันก็จะไม่เอาเรื่อง”
สำหรับคำพูดของมู่น่อนน่อนแล้ว เฉินถิงเซียวไม่ได้พยักหน้า แต่ก็ไม่ได้ส่ายหัว
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดสักพักจึงพูดขึ้นว่า “ดังนั้น ตอนนี้ถ้าพวกเราสืบได้ว่าลี่จิ่วชังอยู่ที่ไหน ก็หาตัวลี่จิ่วเชียนเจอแล้วนะซิ”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร แต่ยกข้อมือขึ้นดูเวลา แล้วลุกยืน “ฉันกลับบริษัทก่อน ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ”
มู่น่อนน่อนกำลังจะพยักหน้า แต่คิดอะไรได้ จึงพูดว่า “รอแปบค่ะ”
หลังจากนั้น เธอก็หยิบมือถือตัวเองขึ้นมา แล้วฟอร์เวิร์ดเมล์ในมือถือของเฉินถิงเซียวส่งให้เธอ แล้วส่งมือถือคืนให้เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวรับมือถือมา ถือเสื้อคลุมเดินออกไป
มู่น่อนน่อนหยิบมือถือแล้วเดินขึ้นบ้านไป หยิบคอมพิวเตอร์ของตัวเองไปที่ห้องหนังสือของเฉินถิงเซียว
อีเมลฉบับเมื่อกี้เธอยังอ่านไม่จบ อ่านได้แค่ครึ่งเดียว
ข้อมูลที่เหลือก็คือประสบการณ์ส่วนตัวของลี่จิ่วชังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยไหน ทำงานที่ไหน
สิ่งที่ทำให้มู่น่อนน่อนประหลาดใจก็คือ อาชีพของลี่จิ่วชังคือพ่อครัวในโรงแรมห้าดาว
อาชีพของเขากับลี่จิ่วเชียนช่างแตกต่างกันมาก
ไม่ว่าลี่จิ่วชังจะทำอะไรก็ตาม แต่เขาบังคับพาตัวลี่จิ่วเชียนไป ต้องมีจุดประสงค์บางอย่างแน่ๆ
บางทีพี่น้องสองคนนี้อาจจะแค่ขัดแย้งกันบางอย่าง อาจจะแค่ปิดประตูแล้วตีกันทะเลาะกันบ้าง แต่มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า เพื่อความปลอดภัย ยังไงก็ต้องได้เห็นว่าลี่จิ่วเชียนไม่เป็นอะไร เธอถึงจะสบายใจ
มู่น่อนน่อนวางมือถือไว้ข้างๆ แล้วเปิดคอมพิวเตอร์ เสิร์ชหาโรงแรมห้าดาวที่ลี่จิ่วชังทำงานอยู่
เธอหยิบปากกาขึ้นมา จดที่อยู่ลงบนสมุดบันทึก
มู่น่อนน่อนยังเช็คเที่ยวบินที่ใกล้ที่สุดอีกด้วย แล้วก็อดไม่ได้ที่จะตกอยู่ในภวังค์
ตอนที่ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวคิดอะไรในใจ มู่น่อนน่อนยังโทษเฉินถิงเซียวโดยไร้เหตุผล แต่ตอนนี้ เธอจะไปโทษเขาลงได้อย่างไร
เฉินถิงเซียวยอมที่จะช่วยเธอสืบเรื่องของลี่จิ่วชัง แต่ถ้าพูดกันจริงๆแล้ว เรื่องนี้ควรจะเป็นเรื่องของเธอ
สายตาของมู่น่อนน่อนกลับมาโฟกัสที่หน้าจอ มือที่จับเมาส์เคลื่อนไหว จองตั๋วเครื่องบินใบหนึ่งบินข้ามมหาสมุทรพรุ่งนี้เช้า
เวลาไม่คอยท่า ยิ่งไวก็ยิ่งดี
เธอจองตั๋วเครื่องบินเสร็จ ก็หยิบมือถือโทรหาฉินสุ่ยซาน “พรุ่งนี้ฉันจะไปต่างประเทศนะ อยากจะรบกวนให้เธอช่วยฉันหาคนทำ วีซ่าให้หน่อย”
ทันทีที่ฉินสุ่ยซานได้ยินคำพูดของเธอ ทำให้เธอต้องจัดการกับภาวะหงุดหงิด “เหล่าโกว คุณประเมินฉันสูงเกินไปหรือเปล่า? คิดว่าฉันเป็นโดเรมอนที่ทำได้ทุกอย่างเหรอ……”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ขัดฉินสุ่ยซาน รอให้เธอพูดจบ แล้วเธอจึงค่อยๆถามฉินสุ่ยซานว่า “จะช่วยไม่ช่วย?”
“คุณนี่มันจริงๆ…..” ฉินสุ่ยซานไม่รู้จะทำยังไงกับเธอ “ช่วย! จะไม่ช่วยได้ไงล่ะ!”
“ขอบคุณนะ” มู่น่อนน่อนรู้ว่าฉินสุ่ยซานเป็นคนกว้างขวาง เรื่องแบบนี้ต้องมาหาเธอถูกแล้ว
เวลานี้ ฉินสุ่ยซานถึงได้รู้สึกตัวแล้วคิดได้ว่า “คุณจะไปต่างประเทศทำไม? บทละคร เมืองพัง2 เพิ่งเขียนได้ไม่เท่าไรเอง? คุณให้ฉัน…..”
เสียงตอบกลับเธอ คือ เสียงวางสายของโทรศัพท์
ฉินสุ่ยซาน “……”
……
เย็นวันนั้น เมื่อเฉินถิงเซียวกลับมา มู่น่อนน่อนก็ทำอาหารเย็นเสร็จแล้ว
อาหารกว่าครึ่งเป็นอาหารที่เฉินถิงเซียวชอบกิน
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร ยิ้มพิมพ์ใจมองเขา
เฉินถิงเซียวขยับเน็กไทให้หลวม ส่งเสื้อคลุมในมือให้คนรับใช้ที่อยู่ข้างๆ นั่งลงข้างหน้ามู่น่อนน่อน ถามเธอว่า “นี่คุณทำอะไร?”
มู่น่อนน่อนยิ้ม “ถือซะว่าเป็นการขอบคุณที่คุณช่วยฉันสืบเรื่องลี่จิ่วชัง”
“ไม่ได้ช่วยคุณ” เฉินถิงเซียวพูดหน้านิ่ง
มู่น่อนน่อนยักคิ้ว
เฉินถิงเซียวก้มหน้าลง หลังจากหยิบตะเกียบก็พูดเสริมขึ้นว่า “เรื่องของคุณ ก็เหมือนเรื่องของผมไม่ใช่เหรอ?”
มู่น่อนน่อนตกใจไปชั่วครู่ หยิบถ้วยที่วางไว้ด้านหน้าของเขาตักซุปให้ครึ่งถ้วย แล้ววางไว้ด้านหน้าของเขา ไม่พูดอะไร ได้แต่มองเขาด้วยรอยยิ้ม
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลงมองเธอ จู่ๆก็พูดขึ้นว่า “ทำดีหวังผล”
“ฉันบอกแล้วไงว่าอยากจะขอบคุณคุณ หวังผลตรงไหนกัน” มู่น่อนน่อนจ้องเขาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วก็ละสายตา
จริงๆแล้วเธอรู้สึกใจเต้น
เธอรู้สึกค่อนข้างเป็นกังวลว่าเฉินถิงเสียวจะดูออกว่าเธอคิดจะไปหาลี่จิ่วชังคนเดียวที่ต่างประเทศ
ดีที่เฉินถิงเซียวไม่ได้ถามซอกแซกอะไรอีก ได้แต่ก้มหน้ากินข้าว
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเฉินถิงเซียวตื่นนอน มู่น่อนน่อนก็ตื่นขึ้นพร้อมเขา
ตอนที่เฉินถิงเซียวกำลังผูกเน็กไท เธอเดินเข้าไป ดึงเน็กไทของเขาช่วยเขาผูกจนเสร็จ
หลังจากนั้น เธอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นเฉินถิงเซียวจ้องเธอด้วยสีหน้าเย็นชา นัยน์ตาซ่อนเร้น
ทั้งสองประสานตากันเพียงไม่กี่วินาที มู่น่อนน่อนก็ถามเขาก่อนว่า “มีอะไรเหรอ?”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร พยุงศีรษะเธอไว้ด้วยมือเดียว แล้วจูบเธอ
มู่น่อนน่อนนิ่งงันไปชั่วครู่ แต่ร่างกายก็อ่อนระทวยลงอย่างรวดเร็ว ยอมให้เฉินถิงเซียวจูบเธอโดยดีโดยไม่ขัดขืนใดๆ
หลังจากจูบที่ยาวนานเฉินถิงเซียวลูบไล้ใบหน้าของเธอ “วันนี้จะออกไปไหนไหม?”
“น่าจะนะ” มู่น่อนน่อนพยักหน้า
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวอ่อนโยนอย่างผิดวิสัย “จะไปด้วยกันไหม? ผมไปส่งคุณก่อนได้นะ”
ดวงตาดำขลับคู่นั้นของเขา ทำให้มู่น่อนน่อนมีความรู้สึกว่าตัวเองถูกเขามองออกทะลุปรุโปร่ง
มู่น่อนน่อนหันหน้าหนี หลบสายตาเขา เอื้อมมือทัดผมยาวสลวยข้างใบหู “ไม่ต้องหรอก คุณไปก่อนเถอะ ฉันยังต้องรอเฉินมู่ตื่นก่อนถึงจะไปได้”
นับวันอากาศก็ยิ่งหนาวขึ้นทุกวัน เฉินมู่เริ่มที่จะขี้เกียจลุกจากที่นอน ตอนเช้าขณะที่เฉินถิงเซียวไปแล้ว เธอก็ยังไม่ตื่น
เฉินถิงเซียวได้แต่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “แล้วแต่คุณนะ”
แล้วก็ไม่ได้พูดอย่างอื่นอีก
ส่งเฉินถิงเซียวไปทำงานแล้ว มู่น่อนน่อนก็ไปดูเฉินมู่
เฉินมู่ตื่นแล้ว กำลังงัวเงียๆให้คนรับใช้ช่วยใส่เสื้อผ้า
“มู่มู่?”
เมื่อเธอเห็นมู่น่อนน่อน ก็หรี่ตายิ้ม “คุณแม่”
“ตื่นแล้วเหรอ” มู่น่อนน่อนนั่งลงที่ข้างเตียง “แม่มีเรื่องนิดหน่อยจะต้องไปในสถานที่ไกลมาก ต้องไปสักพักถึงจะกลับมา หนูอยู่บ้านจะต้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังนะ”
เฉินมู่ถามเธอว่า “ต้องนั่งเครื่องบินเหรอค่ะ?” เธอเคยดูการ์ตูน รู้ว่าจะต้องนั่งเครื่องบินไปในสถานที่ที่ไกลมาก
“ใช่แล้วลูก แม้แต่เรื่องนี้มู่มู่ก็ยังรู้ ฉลาดจริงๆเลยลูก” มู่น่อนน่อนลูบหัวเธอเบาๆ
มู่น่อนน่อนได้ยินเช่นนั้น ดวงตาก็เป็นประกาย “หนูก็อยากนั่งเครื่องบิน”
“ครั้งหน้ามีโอกาสแม่จะพาหนูไปด้วย”
“ไม่เอา……”
“แม่ไม่โกหกหนูหรอก ถ้ามีโอกาสแม่จะพาหนูนั่งเครื่องบินจริงๆ”
แม้ว่าเฉินมู่จะไม่เต็มใจนัก แต่ก็ยังบุ้ยปากและพยักหน้าไปด้วย พูดอย่างไม่เต็มใจว่า “ก็ได้ค่ะ”
……
มู่น่อนน่อนปลอบโยนเฉินมู่แล้ว ก็ขับรถออกไปจากคฤหาสน์
ก่อนที่เธอจะมาพักที่นี่กับเฉินถิงเซียวเธอไม่ได้ลากกระเป๋าเดินทางอะไรมาเลย ตอนนี้เธอต้องกลับไปที่ห้องเก่าเพื่อเอากระเป๋าเดินทาง
นึกไม่ถึงเลยว่าเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวในตอนนั้น จะมอบความสะดวกให้เธอในตอนนี้
ถ้าหากเธอลากกระเป๋าเดินทางออกไปจากที่บ้านของเฉินถิงเซียว บอดี้การ์ดในคฤหาสน์นี้จะต้องบอกเฉินถิงเซียวแน่ๆ ไม่แน่ว่าเธอยังไม่ทันถึงสนามบิน ก็อาจจะถูกเฉินถิงเซียวจับตัวกลับไปก็เป็นได้
เมื่อถึงห้องพักเก่าที่เช่าไว้ มู่น่อนน่อนก็รีบเก็บกระเป๋าอย่างรวดเร็ว แล้วรีบขับรถไปสนามบิน
มู่น่อนน่อนกลับไปโดยที่ไม่ได้อยู่ที่บ้านของลี่จิ่วเชียนนานนัก
ก่อนที่จะกลับ เธอเข้าไปที่ห้องหนังสือของเขาสักพัก แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไรที่เป็นประโยชน์
เธอไปๆมาๆแบบนี้อยู่ครึ่งวัน กลับถึงบ้านก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวจะพูดว่า เขาจะไม่กลับมากินข้าวกลางวัน แต่มู่น่อนน่อนก็ยังเข้าครัวทำอาหารกลางวันเอง
เฉินถิงเซียวไม่กลับมากิน แต่เธอกับเฉินมู่ยังต้องกิน
ท้ายที่สุด เมื่อเธอทำกับข้าวเสร็จ กำลังจะนั่งกินข้าวกับเฉินมู่ก็มีเสียงคนใช้ดังลอยเข้ามาจากข้างนอก
“คุณผู้ชายกลับมาแล้ว!”
“คุณผู้ชายทานข้าวมาหรือยังค่ะ?”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้น ก็เงยหน้ามองไปที่ประตูทางเข้าห้องอาหาร
เฉินมู่ที่นั่งอยู่ข้างๆเธอ ดวงตาเป็นประกาย แล้วพูดด้วยความดีใจว่า “คุณพ่อกลับมาแล้ว!”
มู่น่อนน่อนลูบหัวเธอเบาๆ
โดยปกติแล้ว แม้ว่าเฉินถิงเซียวจะไม่ค่อยยิ้มและค่อนข้างจะใจร้ายกับเฉินมู่แต่เฉินมู่ก็ยังรักเขามาก
ผ่านไปไม่นาน ทางเข้าห้องอาหารก็มีเงาสูงใหญ่ปรากฎขึ้น
เฉินถิงเซียวเดินตรงเข้ามาที่โต๊ะอาหาร แล้วนั่งลงตรงข้ามมู่น่อนน่อน
“คุณพ่อค่ะ” เฉินมู่เรียกเขาด้วยความดีใจ มุมปากยังเลอะไปด้วยซอสน้ำผึ้งจากปีกไก่อบน้ำผึ้ง เลอะขอบปากไปหมด ดูแล้วช่างน่าเอ็นดู
เฉินถิงเซียวตอบกลับ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เช็ดปากตัวเองหน่อยซิ”
“ค่ะ” เฉินมู่ดึงกระดาษทิชชู่ในกล่องออกมาหนึ่งแผ่น วางบนปากแบบสุ่มๆแล้วเช็ดปาก
เธอลดทิชชู่ดู เห็นซอสน้ำผึ้งสีเหลืองที่ติดอยู่บนทิชชู่ ก็ร้อง “อี๋” แล้วทิ้งทิชชู่ไว้ข้างๆอย่างรังเกียจ
เฉินถิงเซียวเห็นเธอเช็ดเองแล้วไม่สะอาด จึงดึงทิชชู่ออกมาอีกหนึ่งแผ่น จึงค่อยๆโผตัวไปข้างหน้า ยักคิ้วมองเธอ “เข้ามานี่สิ”
เฉินมู่ยันโต๊ะอาหารด้วยมือเล็กๆสองข้าง ยืดคอขึ้นยื่นหน้าเข้าไปหา ทำปากจู๋ให้เฉินถิงเซียวเช็ดปากให้เธอ
เฉินถิงเซียวเช็ดให้เธอจนสะอาด ก็ทิ้งทิชชู่ไว้ข้างๆ
ในเวลานี้ ก็มีคนรับใช้ตักข้าวมาให้เขาพอดี
เมื่อเขาหยิบตะเกียบขึ้นมา ก็เห็นมู่น่อนน่อนกำลังจ้องมาที่เขา
เฉินถิงเซียวแสดงสีหน้าอึดอัดขึ้นมาแวบหนึ่ง จึงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ออกมาคุยเรื่องสัญญาทางธุรกิจ พอดีเห็นว่าอยู่ใกล้บ้าน ก็เลยกลับมากินข้าว”
สีหน้าของเขาทรยศเขาเอง ทำให้มู่น่อนน่อนรู้ว่าเขาก็แค่สร้างเรื่อง แต่ก็ไม่ได้พูดแทงใจเขา กลับเอื้อมมือไปคีบอาหารให้เขา “กินเยอะๆนะคะ”
เฉินถิงเซียวก้มหน้าลงทานข้าว
เฉินมู่เห็นมู่น่อนน่อนคีบอาหารให้เฉินถิงเซียวก็เลียนแบบบ้าง เธอคีบหอมใหญ่ที่ใช้ผัดผักคีบให้เฉินถิงเซียว
“คุณพ่อ กินผักค่ะ”
เฉินถิงเซียวมองไปที่เธอ “พ่อไม่กินผักนี้”
เฉินมู่คิ้วขมวด พูดอย่างคนโตว่า “คุณแม่บอกว่าห้ามเลือกกินค่ะ”
เฉินถิงเซียวถามเธอ “หนูไม่เลือกกินเหรอ?”
เฉินมู่ส่ายหัว
เฉินถิงเซียวยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “งั้นหนูกินให้พ่อดูก่อนซิ”
“ได้ค่ะ” เฉินมู่คีบหอมใหญ่ชิ้นนั้นเข้าปากโดยไม่ลังเล รวดเร็วจนมู่น่อนน่อนห้ามไว้ไม่ทัน
แต่ว่า เมื่อเธอได้เคี้ยวก็คายออกมาทันที
“ว้าย…… นี่มันอะไรเนี่ย เผ็ดจัง……”
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวอย่างไม่สบอารมณ์ หยิบถ้วยของเฉินมู่มาตักน้ำซุปให้เธอสองสามช้อน
เฉินมู่รับถ้วยมาแล้วดื่มเอื้อกๆจนหมด
หลังจากนั้นก็บุ้ยปากมองไปที่เฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนคีบอาหารให้เธอ “กินเนื้อสิลูก”
เฉินมู่พลางโกยข้าวเข้าปากพลางแอบมองเฉินถิงเซียว ผ่านไปสักพัก เธอทำท่าทางเข้าใจ ชี้ไปที่หอมใหญ่ชิ้นนั้นที่เธอคายทิ้งบนโต๊ะอาหารแล้วพูดขึ้นว่า “อันนี้กินไม่ได้ค่ะ เผ็ด”
ในที่สุดเฉินถิงเซียวก็ตอบกลับ “อืม”
มู่น่อนน่อนและเฉินมู่ลงมือกินข้าวก่อน เมื่อเธอกินเสร็จ จึงพาเฉินมู่ออกไป
หลังจากเฉินถิงเซียวกินข้าวเสร็จตามออกมา เฉินมู่ก็หลับไปแล้ว มู่น่อนน่อนกำลังจะอุ้มเธอขึ้นไปนอนกลางวันพอดี
เฉินถิงเซียวเดินเข้ามา รับเฉินมู่มาจากอ้อมแขนของเธอโดยไม่พูดอะไร แล้วเดินขึ้นไปข้างบน
เขาอุ้มเฉินมู่วางลงบนเตียง มู่น่อนน่อนถอดเสื้อคลุมของเฉินมู่ออกแล้วห่มผ้าให้
จากนั้น ทั้งสองจึงออกมาจากห้องของเฉินมู่พร้อมกัน
ทั้งสองเดินลงมาจากข้างบนตามลำดับ มู่น่อนน่อนพูดขึ้น “ก่อนหน้านี้ ฉันไปที่บ้านของลี่จิ่วเชียนมา ที่บ้านของเขามีร่องรอยการต่อสู้”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร ยังคงเดินลงมาเรื่อยๆ
เขาไม่อยากจะพูดถึงเรื่องลี่จิ่วเชียนนัก
เขาเกลียดลี่จิ่วเชียน แต่ก็ยังช่วยเธอสืบเรื่องของลี่จิ่วเชียนอย่างลับๆ
เมื่อถึงห้องโถงใหญ่ มู่น่อนน่อนเรียกเขาไว้ “เฉินถิงเซียว”
เฉินถิงเซียวหันกลับมามองเธอด้วยสีหน้าเฉยเมย
เธอยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณนะ”
เมื่อก่อนเฉินถิงเซียวเป็นคนยโสโอหัง คนที่เขาไม่ชอบ ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางสนใจ
เขาเกลียดลี่จิ่วเชียน แต่เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าลี่จิ่วเชียนเคยช่วยมู่น่อนน่อนดังนั้น เขาถึงไม่ได้นั่งดูเฉยๆ
เขารู้ดีอยู่แก่ใจ แต่บางครั้งคนเราก็เดินมาถึงทางตันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลงเล็กน้อย พูดขึ้น “ขอบคุณอะไร? ยังไม่ทันได้แต่งงาน ก็เริ่มเกรงใจซะแล้วเหรอ?”
“แต่งงาน? ถ้าจะพูดให้ถูก พวกเราแต่งงานซ้ำอีกรอบต่างหาก” มู่น่อนน่อนเดินมาด้านหน้าของเขา เห็นเน็กไทของเขาเอียง จึงจะเอื้อมมือไปจัดเน็กไทของเขาให้เข้าที่
แต่ทันใดนั้น เขากลับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว
มู่น่อนน่อนตกใจ เอื้อมมือไปคว้าเน็กไทของเขาไว้ แล้วพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “คุณลองถอยอีกครั้งดูสิ”
เฉินถิงเซียวมองไปที่เธอ แล้วก็ก้มมองมือที่เธอคว้าเน็กไทของเขาไว้ เพราะเธอใช้แรงมากในการคว้ามันไว้ ทำให้เห็นข้อต่อชัดมาก ยิ่งทำให้มือของเธอดูเล็กลงไปอีก
เฉินถิงเซียวยกมือขึ้น ค่อยๆวางลงบนมือของเธอ มองๆแล้วไม่ได้ใช้กำลังใดๆ และไม่ได้ทำให้เธอเจ็บแต่อย่างใด ค่อยๆจับมือของเธอออกอย่างเบาๆ
หลังจากเฉินถิงเซียวจับมือเธอออกแล้ว ก็ถามเธอว่า “นี่คุณใช้ความรุนแรงในครอบครัวเหรอ?”
มู่น่อนน่อน“……”
“พูดเข้าเรื่องเลยแล้วกัน”เฉินถิงเซียวทำสีหน้าจริงจัง “ก่อนหน้านี้ ข้อมูลที่ลูกน้องของฉันสืบได้ถูกส่งมาที่อีเมลฉันแล้ว และฉันก็เปิดอ่านแล้ว”เฉินถิงเซียวหยิบมือถือออกมา เปิดไปที่อีเมลที่เพิ่งได้รับ ส่งให้มู่น่อนน่อนอ่าน
มู่น่อนน่อนอ่านแบบคร่าวๆ จนสายตาหยุดจับจ้องไปที่ชื่อชื่อหนึ่ง
“ลี่จิ่วชัง?” มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองเฉินถิงเซียว“เขาเป็นพี่น้องฝาแฝดของลี่จิ่วเชียนจริงๆ”
เฉินถิงเซียวหันหลังนั่งลงบนโซฟา ค่อยๆพูดว่า “ลี่จิ่วเชียนกับลี่จิ่วชังจริงๆแล้วเป็นคนเมืองหู้หยาง แต่ตอนพวกเขาเล็กๆ พ่อแม่ของพวกเขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุอย่างไม่คาดคิด ในตอนนั้นมีคนจีนโพ้นทะเลที่อยู่ต่างประเทศรับเลี้ยงพวกเขา พาพวกเขาไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ แต่ประวัติของคนจีนโพ้นทะเลที่รับเลี้ยงพวกเขานั้นน้อยมาก ”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย “อันนี้พอเข้าใจได้ ขนาดประวัติของลี่จิ่วเชียนก็สืบยากขนาดนั้น แล้วนับประสาอะไรกับคนที่รับเลี้ยงพวกเขา พ่อเลี้ยงของพวกเขาต้องเป็นคนที่มีอำนาจมากแน่ๆ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สามารถปกปิดประวัติเกี่ยวกับตัวเขาเอง ของ ลี่จิ่วเชียนและของลี่จิ่วชังไว้เป็นความลับได้ขนาดนี้หรอก”
มู่น่อนน่อนยอมที่จะเห็นเขาโกรธเหมือนสิงโตที่โกรธอย่างไร้เหตุผล มากกว่าเห็นเขายิ้มแบบนี้
เขาคือเฉินถิงเซียว
เขาฉลาดหลักแหลมและก็มั่นใจในตัวเองขนาดนั้น
หลังจากที่แม่ของเขาถูกฆาตกรรมตอนเขาอายุ 11 ปี เขาอดทนอดกลั้นสืบหาความจริงที่แม่เขาถูกฆาตกรรม
อายุ 11 ปี เขาเป็นเพียงเด็กน้อย จนกระทั่งตอนนี้เขาอายุ 26 ปี ที่เติบโตเป็นคนที่มีสีหน้าไม่อาจคาดเดา ชายผู้ยอดเยี่ยมที่ทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุม
เขาไม่ควรจะเปลี่ยนเป็นแบบนี้เพราะเธอ
หากบนโลกนี้จะมีใครสักคนที่เกิดมาเพื่อให้คนแหงนมองและเปล่งประกาย ถ้าอย่างนั้นเฉินถิงเซียวก็คือคนๆนั้น
อย่างน้อยในสายตาของมู่น่อนน่อน เขาก็คือชายผู้ที่ยืนเปล่งประกายแม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงชน
เฉินถิงเซียวถามเธอด้วยรอยยิ้ม ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าปกติ “ผิดหวังในตัวผมใช่ไหม?”
“ไม่เลย” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็รู้สึกว่าคำง่ายๆสองคำมันสั้นเกินไป จึงรีบพูดต่อว่า “ไม่ผิดหวังเลย เมื่อก่อนก็ไม่ ต่อไปก็ไม่ ในใจของฉัน เธอคือผู้ชายที่เก่งที่สุดในโลก”
“ผู้ชายที่เก่งที่สุดในโลก?”เฉินถิงเซียวหัวเราะ น้ำเสียงต่ำลง “ฉันไม่เก่งเลยสักนิด”
เขาพูดจบก็หันหลังเดินไปที่หน้าบานหน้าต่างบานใหญ่
ห้องทำงานของ CEO อยู่บนชั้นสูง มองจากตรงนี้ลงไป รถและคนเดินถนนที่อยู่ข้างล่างตัวเล็กเท่ามดยังไงยังงั้น
มู่น่อนน่อนรู้สึกเป็นห่วงเขา อยากจะเดินเข้าไปหา
แต่เฉินถิงเซียวหันหน้ากลับมา “อย่าเข้ามาอีกเลยนะ”
มู่น่อนน่อนหยุดเดิน เงยหน้ามองเขา
ทั้งสองอยู่ห่างกัน 3 เมตรกว่าๆ ยืนเผชิญหน้ากัน ระยะห่างนี้ถือว่าไกลพอตัว ไกลจนรู้สึกห่างเหิน
เฉินถิงเซียวแทบจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว สีหน้ากลับมาเย็นชาเหมือนเดิมอย่างไร้ที่ติ
เขาพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ตอนเด็กๆลี่จิ่วเชียนเติบโตที่ต่างประเทศ ผู้ชายคนที่หน้าตาเหมือนกับเขาอย่างกับแกะคนนั้น อาจจะเป็นพี่น้องที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขา ในเวลานี้……”
เขาพูดพลางยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาข้อมือ “พวกเขาน่าจะขึ้นเครื่องบินออกนอกประเทศไปแล้ว”
เฉินถิงเซียวคิดอย่างรอบคอบ ในเมื่อเขาเดาได้ว่าผู้ชายคนเมื่อคืนไม่ใช่ลี่จิ่วเชียน ก็สามารถเดาแผนต่อไปของผู้ชายคนนั้นได้เป็นธรรมดา
“ทำไมเขาจะต้องบังคับให้ลี่จิ่วเชียนไปต่างประเทศด้วย?” ถ้าลี่จิ่วเชียนเต็มใจ เขาก็คงไม่ต้องลงทุนทำถึงขนาดนี้หรอก
เฉินถิงเซียวพึมพำอยู่สักพัก แล้วจึงค่อยๆพูดว่า “เพราะว่า ลี่จิ่วเชียนไม่ยอมกลับไปแต่โดยดี”
“งั้นก็หมายความว่า เขาพาลี่จิ่วเชียนกลับไป ต้องเป็นการบังคับให้ลี่จิ่วเชียนทำสิ่งที่เขาไม่เต็มใจแน่ๆ” มู่น่อนน่อนส่ายหัวไปมา “เรื่องของลี่จิ่วเชียน ฉันจะนั่งดูอยู่เฉยๆไม่ได้”
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้น น้ำเสียงเข้มขึ้น “ผมใช้ให้คนไปสืบแล้ว”
“อืม” มู่น่อนน่อนตอบกลับ ไม่รู้จะพูดอะไรดี
เธอมองสำรวจเฉินถิงเซียว เห็นว่าหน้าของเขาไม่มีอารมณ์ที่แสดงออกก่อนหน้านี้แล้ว
เหมือนกับว่าชายที่ยืนต่อหน้าเธอที่ตื่นกลัวก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เฉินถิงเซียว
เธอรู้ว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนเข้มแข็ง แต่บางครั้งเขาก็ดันทุรัง แต่กลับไม่ยอมเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้าหาเขา แล้วจะให้คนข้างๆทำยังไงล่ะ?
เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน
ดูจากลักษณะของเฉินถิงเซียวตอนนี้ ก็คงไม่อยากจะพูดถึงเรื่องเมื่อกี้อีก
ทั้งสองยืนนิ่งอยู่อย่างนี้สักครู่ มู่น่อนน่อนจึงถามเขา “กลางวันนี้คุณจะกลับไปกินข้าวบ้านไหม? วันนี้ฉันไม่ไปที่ทำงานของฉินสุ่ยซาน เลยอยู่บ้านทำอาหาร”
เฉินถิงเซียวขยับปาก รูปปากเหมือนจะพูดว่า “โอเค” แต่กลับพูดอีกประโยคออกมา “ไม่กลับ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า “งั้นฉันกลับก่อนนะ”
เธอพูดจบ เห็นว่าเฉินถิงเซียวได้แต่ยืนเงียบๆอยู่ตรงนั้น จึงหันหลังเดินออกไป
เมื่อประตูห้องทำงานปิดลง เฉินถิงเซียวกำหมัดแน่นทุบหน้าต่างบานใหญ่อย่างแรงหนึ่งหมัด ยืนอยู่หน้าบานหน้าต่างบานใหญ่เป็นเวลานานไม่ขยับ
……
มู่น่อนน่อนออกมาจากตึกบริษัทเฉินซื่อ ก็รีบขับรถกลับไปที่ห้องเช่าของเธอ
ทันใดนั้น เธอก็นึกได้ว่า ตอนที่เธอจากลี่จิ่วเชียนมา เธอเอากุญแจบ้านของเขาติดมาด้วย
เธอเคยพูดเรื่องนี้กับลี่จิ่วเชียนเหมือนกัน แต่ลี่จิ่วเชียนก็พูดเชิงล้อเล่นกับเธอว่า ถ้าติดต่อเขาไม่ได้ เธอก็ยังสามารถเอากุญแจไปเปิดบ้านของเขาดูได้ว่าเขาตายไปแล้วหรือยัง
นึกไม่ถึงเลยว่ากุญแจพวงนี้จะมีประโยชน์จริงๆ
เมื่อถึงห้องเช่าที่มู่น่อนน่อนเช่าไว้ เธอก็เริ่มควานหากุญแจในกล่องในตู้
ลิ้นชักและตู้เยอะแยะไปหมด ทำให้มู่น่อนน่อนใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะหากุญแจพวงนั้นเจอในตู้เก็บของที่ไม่ได้สะดุดตาเท่าไรนัก
เธอหยิบกุญแจพวงนั้นไป แล้วขับรถไปที่บ้านของลี่จิ่วเชียน
เมื่อถึงทางเข้าย่านที่พักของเขา เธอเดินผ่านประตูป้อมยาม ยามได้พูดทักทายเธอ “คุณมาหาคุณลี่อีกแล้วเหรอครับ? วันนี้ตอนเช้า เขากับเพื่อนของเขาออกไปตั้งแต่เช้าแล้วครับ คุณไม่รู้เหรอ?”
มู่น่อนน่อนเดาว่า เพื่อนของเขาที่ยามพูดถึง อาจจะเป็นลี่จิ่วเชียนตัวจริง
เธอเก็บอารมณ์ของเธออย่างรวดเร็ว แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันรู้สิค่ะ ตอนที่เขาจะไป เขายังโทรหาฉัน ให้ฉันมาช่วยดูแลต้นไม้ดอกไม้ที่ปลูกไว้ที่บ้านของเขาเลยค่ะ ช่วยเขารดน้ำต้นไม้ จะได้ไม่แห้งตายค่ะ”
มู่น่อนน่อนหาข้ออ้างได้อย่างเป็นธรรมชาติ ยามก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พยักหน้างึกๆ “ก็ต้องเป็นอย่างนั้น……”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันเข้าไปก่อนนะคะ”
มู่น่อนน่อนบอกลายาม แล้วเดินตรงไปที่อพาร์ทเม้นท์ที่ลี่จิ่วเชียนพักอาศัย
เมื่อถึงประตูบ้านของลี่จิ่วเชียน เธอจึงหยิบกุญแจออกมาเปิดประตู
สภาพห้องโถงใหญ่ยังคงเหมือนกับเมื่อวานที่เธอมา แต่ว่า ประตูห้องนอนของลี่จิ่วเชียนกลับเปิดกว้างอยู่
เธอรีบเดินเข้าไปในห้องนอนของลี่จิ่วเชียน ในห้องยุ่งเหยิงไปหมด เหมือนจะมีร่องรอยของการต่อสู้
ในห้องยุ่งเหยิงไปหมด สามารถจินตนาการได้เลยว่าในนี้ต้องเกิดการต่อสู้ที่รุนแรงขนาดไหน
มู่น่อนน่อนนึกถึงเรื่องเมื่อวานแล้วก็เตะประตูด้วยความโกรธ
เมื่อคืนวานเธอรู้สึกได้ว่า ลี่จิ่วเชียน คนนั้นมีอะไรแปลกๆ แต่กลับไม่ได้คิดมาก
เธอจะไปคิดได้อย่างไรว่า ลี่จิ่วเชียน คนนั้นที่เธอเห็นเมื่อตอนกลางวันที่โรงแรมจีนติ่ง จะใช้เวลาเพียงสั้นๆแค่นี้ ปลอมตัวเป็น ลี่จิ่วเชียนตัวจริง และยังปลอมตัวอยู่ใต้จมูกเธอแท้ๆ
พูดไปพูดมา ก็ต้องโทษตัวเธอเอง
ถ้าตอนนั้นเธอคิดมากขึ้นอีกสักนิด ไม่แน่ว่าลี่จิ่วเชียนก็คงไม่ถูกพาตัวไป
ส่วนเฉินถิงเซียว……
มู่น่อนน่อนถอนหายใจเบาๆ
มู่น่อนน่อนเดินดูรอบๆห้องอีกครั้ง ทำให้พิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่เธอและเฉินถิงเซียวคาดเดาว่าลี่จิ่วเชียนถูกบังคับพาตัวไปนั้นเป็นเรื่องจริง
ลี่จิ่วเชียนก็เป็นคนฉลาดหลักแหลมคนหนึ่ง จะพาตัวเขาไปก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แสดงให้เห็นว่าลี่จิ่วเชียนเชื่อใจผู้ชายคนนั้นมาก และผู้ชายคนนั้นจะต้องให้ลี่จิ่วเชียนทำในสิ่งที่เขาไม่เต็มใจแน่ๆ ถึงได้บังคับพาตัวลี่จิ่วเชียนไป
ส่วนเรื่องอะไรนั้น มู่น่อนน่อนเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
เธอรู้เพียงว่า เธอติดหนี้ลี่จิ่วเชียน เรื่องของลี่จิ่วเชียน เธอต้องยุ่ง!
แต่มู่น่อนน่อนไม่ได้ฟังคำของสือเย่แม้แต่น้อย รีบเดินตรงไปที่ประตูห้องประชุม และผลักประตูห้องประชุม
ด้านในมีคนนั่งอยู่เต็มห้อง กำลังประชุมเรื่องธุรกิจ
การกระทำที่หุนหันพลันแล่นของมู่น่อนน่อนทำให้คนในห้องต่างก็มองไปที่เธอ
ห้องประชุมเดิมทีก็มีบรรยากาศค่อนข้างเคร่งขรึม เนื่องจากการเข้ามาในห้องอย่างกะทันหันของมู่น่อนน่อนยิ่งทำให้บรรยากาศเปลี่ยนเป็นเงียบสงบผิดปกติ ราวกับว่าเข็มตกลงบนพื้นก็ยังได้ยิน
ทุกคนในห้องประชุมต่างมองไปที่มู่น่อนน่อน ในท่ามกลางคนในห้องประชุม บางคนก็ไม่รู้จักมู่น่อนน่อน
เมื่อเฉินถิงเซียวได้ยินเสียงผลักประตู แต่เดิมรู้สึกหงุดหงิด แต่เมื่อเขาหันไปเห็นมู่น่อนน่อน ดวงตาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย แล้วยืนขึ้น เดินไปหามู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนไม่ได้พูดอะไรมาก เดินหันหลังไปที่ห้องทำงานของเฉินถิงเซียวเฉินถิงเซียวเดินตามหลังเธอออกไปอย่างช้าๆ
สือเย่ยังอยู่เพื่อจัดการเรื่องต่อจากนี้
“ขอโทษด้วยนะครับทุกท่าน ขอหยุดการประชุมชั่วคราวครับ ”
มีคนถามสือเย่ว่า “ผู้ช่วยสือ ผู้หญิงคนเมื่อกี้คือใครเหรอ?”
คนในห้องประชุมที่ไม่รู้จักมู่น่อนน่อนต่างก็เป็นผู้อาวุโสของบริษัทเฉินซื่อ คนหนุ่มสาวส่วนหนึ่งรู้จักมู่น่อนน่อน
สือเย่ยังไม่ทันได้ตอบ ก็มีคนตอบกลับว่า “ผู้หญิงคนนี้เหมือนจะเป็นภรรยาคนก่อนของท่านประธาน ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวออกมา……”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนต่างก็มองหน้ากัน แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก
สือเย่เดินออกจากห้องประชุม เดินไปที่หน้าประตูห้องทำงานของเฉินถิงเซียวยืนอยู่สักครู่ ส่ายหัวแล้วเดินจากไป
……
ทั้งสองเดินมาถึงห้องทำงาน เฉินถิงเซียวก็นั่งลงบนโซฟา
หลังจากที่เขานั่งลง เห็นมู่น่อนน่อนยังยืนอยู่ตรงนั้น จึงชี้ไปที่ข้างๆกายเขา “มีเรื่องอะไรก็นั่งลงคุยกัน”
มู่น่อนน่อนก็ไม่นั่ง ได้แต่ยิ้มเยาะ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เมื่อวานนี้ คุณดูออกอยู่แล้วว่านั่นไม่ใช่ลี่จิ่วเชียน”
เธอพูดถึงลี่จิ่วเชียนออกมาตรงๆไม่อ้อมค้อม ไม่พูดมากเฉินถิงเซียวก็รู้ว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องที่พวกเขาไปบ้านของลี่จิ่วเชียนเมื่อวาน
“ใช่ เมื่อวานตอนเย็นที่บ้านของลี่จิ่วเชียน ผมก็ดูออกแล้วว่าผู้ชายที่มาต้อนรับพวกเราคนนั้นไม่ใช่ลี่จิ่วเชียนตัวจริง”เฉินถิงเซียวยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ดูไม่สำนึกผิดเลยสักนิด
มู่น่อนน่อนกัดฟันด้วยความโกรธจัด “เฉินถิงเซียว คุณดีใจใช่ไหมถ้าจะเกิดอะไรขึ้นกับลี่จิ่วเชียน? ฉันบอกคุณเลยนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับลี่จิ่วเชียน ฉันจะรู้สึกผิดมาก ทำให้ฉันยิ่งจดจำเขาไปชั่วชีวิต เขาเคยช่วยฉัน เขาดูแลฉันตลอดสามปีที่ฉันนอนป่วยอยู่บนเตียง!” ไม่รู้ว่าคำพูดไหนที่ไปแทงใจของเฉินถิงเซียว สีหน้าเนือยของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก มีรัศมีเย็นยะเยือกแผ่ไปทั่วร่างของเขา
ทันใดนั้น เขายืนขึ้นด้วยความเดือด พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พอได้แล้ว!”
มู่น่อนน่อนตัวสั่นเทาด้วยความกลัวเมื่อเห็นเฉินถิงเซียวโกรธ
เธอกำหมัดอย่างเงียบๆ ยืนต่อหน้าเขา เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ไม่แสดงอาการใดๆ
นัยน์ตาของเฉินถิงเซียวเต็มไปด้วยความโกรธ ดูเหมือนว่าเขาจะโกรธมาก แม้แต่หน้าอกของเขาก็ขยับขึ้นๆลงๆอย่างรุนแรง และเสียงพูดก็ดังขึ้นมากโดยไม่รู้ตัว
“มู่น่อนน่อน ผมไม่จำเป็นต้องให้คุณเตือนฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ตอนที่คุณนอนป่วยอยู่บนเตียงตลอดสามปี คือ ใครอีกคนที่ดูแลคุณ แต่ผม…… ”
เขาชะงักไปเมื่อพูดถึงตรงนี้ นัยน์ตาของความเจ็บปวดวาบขึ้นมา ราวกับถูกอารมณ์นั่นกดทับร่างของเขานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้เขาหายใจไม่ออก เขาจึงต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงต่ำลงว่า “แต่ผมกลับอยู่ที่บ้านตระกูลเฉิน ทำตัวเป็นคุณชายตระกูลเฉินอย่างสบายใจ”
มู่น่อนน่อนตกใจ ไม่รู้ตัวไปชั่วครู่
ห้องทำงานก็เงียบสงัดอย่างกับตายยังไงยังงั้น
ผ่านไปสักพัก มู่น่อนน่อนก็ขยับปาก พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เย็นชาเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ถอนหายใจ “ฉันไม่ได้โทษคุณ”
“แต่ผมโทษตัวผมเอง!”เฉินถิงเซียวยังคงมองเธออย่างไม่ละสายตา
ถึงแม้ว่าอารมณ์ของเขาจะขึ้นๆลงๆ แต่เขาก็ยังคงควบคุมสีหน้าของเขาได้ดี ทำให้มองก็ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
มู่น่อนน่อนไม่คิดเลยว่า เขายังคิดเรื่องนี้อยู่ในใจตลอดเวลา
หลังจากเธอจากลี่จิ่วเชียนมาแล้ว ในตอนแรกที่เธอได้มาอยู่กับเฉินถิงเซียวเฉินถิงเซียวไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเธอเลย แม้ว่าจะเขาจะรู้สึกดีต่อเธอ แต่ก็ได้แค่รู้สึกดีด้วยเท่านั้น
เฉินถิงเซียวในเวลานั้น แม้จะรู้ว่าเธอนอนป่วยอยู่บนเตียงเป็นเวลาสามปี เกือบจะไม่ฟื้นขึ้นมา แทบจะไม่มีความรู้สึกซาบซึ้ง หลังจากนั้น ในเวลานั้นที่ความทรงจำของเขาสับสน ทำให้ท่าทีที่เขามีต่อเธอยิ่งแย่ลงไปอีก
จนกระทั่งภายหลัง เขานึกบางเรื่องได้……
ชีวิตของคนเรามักมีเรื่องไม่แน่ไม่นอนเสมอ เธอไม่เคยโทษเขาเลย และก็ไม่คิดเลยว่าเฉินถิงเซียวจะโทษตัวเองไหม
ดังนั้น เมื่อเขาเริ่มจำเรื่องระหว่างพวกเขาได้ จึงไม่ได้บอกเธอเหรอ?
เขาที่ฟื้นความทรงจำได้บางส่วน มีความรู้สึกดีๆต่อเธอ ดังนั้น เขารู้ว่าเธอนอนป่วยติดเตียงอยู่สามปี จึงปวดใจ เป็นทุกข์ และโทษตัวเอง
เมื่ออารมณ์แบบนี้สะสมอยู่ในใจมานาน ก็ทำให้เปลี่ยนไป แม้แต่ลี่จิ่วเชียนเขาก็เกลียด
เพราะว่า ลี่จิ่วเชียนทำในสิ่งที่เขาควรจะทำ
แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยรู้สึกว่า มู่น่อนน่อนและลี่จิ่วเชียนมีอะไรในกอไผ่ แต่เขาไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับมู่น่อนน่อนยังไง ในเวลาที่เธอต้องการเขามากที่สุด แต่เขากลับไม่ได้อยู่ข้างกายเธอ
ทุกครั้งที่ได้ยินมู่น่อนน่อนพูดถึงลี่จิ่วเชียน ทุกครั้งที่มู่น่อนน่อนไปหาลี่จิ่วเชียน มันเป็นการย้ำเตือนว่าเขาล้มเหลวมากแค่ไหน
แม้แต่ผู้หญิงของตัวเองก็ดูแลได้ไม่ดี
ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องเหล่านี้ ทำให้เขารู้สึกว่าสลดใจมาก
เขาเป็นคนแสดงออกไม่เก่ง จิตใจก็ยากที่จะหยั่งถึง เขาไม่อยากให้ใครรู้เรื่องในใจของเขาเหล่านี้ ถ้าเขาไม่พูด ก็ไม่มีใครเดาออก
“เฉินถิงเซียว……” มู่น่อนน่อนเรียกชื่อเขาออกมา แต่ไม่รู้จะพูดอะไร
ชายผู้ฉลาดและทรงพลังที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ยืนกำหมัดแน่นต่อหน้าเธอ ด้วยใบหน้าที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าสุขหรือทุกข์ ครึ่งหนึ่งดูโอ้อวด อีกครึ่งดูโศกเศร้า
หลังของเขายืดตรง แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่าเขาเหมือนไก่ชนที่พ่ายแพ้ สูญเสียความหลักแหลมและความมั่นใจที่เคยมี เหมือนเด็กน้อยที่หลงทาง
มีความตื่นกลัว ยิ่งทำให้รู้สึกปวดใจ
มู่น่อนน่อนรู้สึกเจ็บจี๊ดในหัวใจ
เธอเดินไปข้างหน้าสองก้าว เดินไปยืนต่อหน้าเฉินถิงเซียว เอื้อมมือออกไปเพื่อจะแตะเขา
แต่ก่อนที่มือของเธอใกล้จะแตะตัวเฉินถิงเซียวเฉินถิงเซียวกลับถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว หลบไม่ให้เธอถูกตัวเขา
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองเขา
เฉินถิงเซียวขยับมุมปาก ยิ้มกว้างออกมา ยิ้มจนดวงตาที่เคร่งขรึมคู่นั้นโค้งเว้าขึ้นมา
เขาเป็นผู้ชายที่สง่างาม ปกติจะไม่ค่อยยิ้ม ถึงแม้จะยิ้มบ้างบางครั้งที่ดีใจ แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น จริงๆแล้วมู่น่อนน่อนชอบมากเวลาที่เห็นเขายิ้ม
เพราะว่า เขามักจะเก็บความรู้สึกไว้ในใจเสมอ สุขทุกข์ก็เก็บไว้ในใจลึกๆ ไม่ให้ใครเข้าไปแอบดู
แต่ในเวลานี้ รอยยิ้มของเขากลับทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่สบายใจ
หลังจากเฉินถิงเซียวฟังคำของมู่น่อนน่อนแล้ว ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณบอกว่า เมื่อวานตอนกลางวันคุณเห็นลี่จิ่วเชียนที่โรงแรมจีนติ่ง แต่ว่าตอนที่คุณโทรหาเขา เขามีปฏิกริยาโต้ตอบแปลกๆ คุณจึงไปหาเขาเหรอ?”
“ใช่ ตอนบ่ายฉันไปหาเขาที่คลินิก แต่เขาไม่อยู่” มู่น่อนน่อนเม้มปากแล้วพูดว่า “ฉันจึงถามผู้ช่วยเขาดู ผลสุดท้ายผู้ช่วยเขาบอกว่า อาหารกลางวันของลี่จิ่วเชียน เธอเป็นคนช่วยสั่งมาให้”
มู่น่อนน่อนพูดจบ เห็นว่าเฉินถิงเซียวทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่ เดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เธอจึงพูดสิ่งที่เธอสงสัยอยู่ในใจออกมา “ดังนั้น ฉันกำลังคิดว่า จะเป็นไปได้ไหม ที่ลี่จิ่วเชียนคนที่ฉันเห็นเมื่อตอนกลางวันที่โรงแรมจีนติ่งคนนั้น จะเป็นคนที่แค่มีหน้าตาเหมือนกับลี่จิ่วเชียนกันนะ?”
“ถ้าเป็นแค่คนที่หน้าตาเหมือนกับลี่จิ่วเชียน……”เฉินถิงเซียวพูดถึงแค่นี้ก็หยุดไปชั่วขณะ แล้วจึงพูดเสริมหลังจากนั้นจนจบ แต่น้ำเสียงของเขานั้นแย่กว่าเดิม
“แล้วทำไมเขาถึงไม่พูดกับคุณตรงๆทางโทรศัพท์ล่ะ?”
มู่น่อนน่อนสีหน้าสับสน ใช่สิ ทำไมเธอถึงนึกไม่ได้นะ
เธอแค่รู้สึกสงสัยอยู่ในใจ แต่ไม่ได้ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน
“ดังนั้น ลี่จิ่วเชียนที่ฉันเห็นที่โรงแรมลี่จิ่วเชียน อาจจะเป็นคนที่หน้าตาเหมือนกับเขา แต่ว่าคนที่หน้าตาเหมือนกับเขา ที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือเป็นพี่น้องฝาแฝดของเขา แล้วเขาตั้งใจจะปิดบังเรื่องนี้……”
เฉินถิงเซียวฉีกยิ้ม เผยให้เห็นรอยยิ้มที่จะยิ้มก็เหมือนไม่ยิ้ม “มันยากเกินไปสำหรับคุณ ที่จะนึกถึงจุดนี้ได้ใช่ไหม”
มู่น่อนน่อนจ้องเขาเขม็ง แล้วก็คิดเรื่องของตัวเองต่อ
ถ้าคนๆนั้นเป็นพี่น้องฝาแฝดของลี่จิ่วเชียนจริงๆ ยังไงเขาก็ต้องไปหาลี่จิ่วเชียนแน่ๆ
เมื่อวานที่โรงแรมจีนติ่ง ตอนที่เธอเห็นลี่จิ่วเชียนคนนั้น เขาใส่เสื้อผ้าสีดำทั้งตัว และเมื่อวานตอนที่เธอและเฉินถิงเซียวไปหา ลี่จิ่วเชียนที่บ้าน เขาก็ใส่เสื้อผ้าอยู่บ้านสีดำเหมือนกัน
และอีกอย่าง บ้านของลี่จิ่วเชียนก็ดูรกๆ
เสื้อผ้าสีดำ ความเรียบร้อยของบ้าน คิดได้อย่างเดียว นั่นก็คือ……
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมา มองไปที่เฉินถิงเซียวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เมื่อวานตอนเย็น คนที่พวกเราเจอที่บ้านลี่จิ่วเชียน จริงๆแล้วไม่ใช่ลี่จิ่วเชียน!”
เฉินถิงเซียวเอนหลังพิงเก้าอี้ เอียงศีรษะมองเธอ ไม่พูดไม่จา
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่มู่น่อนน่อนก็สังเกตได้จากสีหน้าของเขา เธอมองออกว่าเฉินถิงเซียวมองออกตั้งนานแล้วว่าคนที่เจอที่บ้านของลี่จิ่วเชียนเมื่อวาน ไม่ใช่ลี่จิ่วเชียนตัวจริง
“แล้วทำไมคุณไม่บอกฉันล่ะ?” มู่น่อนน่อนขยี้ผมตัวเองด้วยความหงุดหงิด “ต้องเกิดเรื่องขึ้นกับลี่จิ่วเชียนแน่ๆ ไม่อย่างนั้น คนที่เจอเมื่อวานถึงไม่ใช่ลี่จิ่วเชียนล่ะ?”
เฉินถิงเซียวมองเธอที่กำลังพูดกับตัวเองด้วยสายตาเยือกเย็น ไม่พูดอะไร
มู่น่อนน่อนหันมาเห็นเฉินมู่ มองมาที่เธอด้วยใบหน้างงงวย
เธอลูบหน้าของเฉินมู่ ถามด้วยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนว่า “กินอิ่มแล้วเหรอลูก?”
“กินอิ่มแล้วค่ะ” เฉินมู่ พยักหน้า แล้วขยับตัวจะลงจากเก้าอี้
มู่น่อนน่อนพยุงเธอ ช่วยเธอลงจากเก้าอี้ “ออกไปเล่นข้างนอกเถอะลูก”
หลังจาก เฉินมู่ออกไป มู่น่อนน่อนที่อยู่ข้างหลังก็นั่งไม่ติด
เธอลุกขึ้นยืน “ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องไปที่คลินิกจิตเวชของลี่จิ่วเชียนสักหน่อย”
หลังจากพูดจบ เธอก็ลากเก้าอี้ออกแล้วเดินออกไป เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้รั้งเธอไว้
……
มู่น่อนน่อนขับรถไปที่คลินิกจิตเวชของลี่จิ่วเชียน
เมื่อเธอไปถึง ประตูเปิดออกกว้าง แต่เมื่อเธอเดินเข้าไป ข้างในกลับเงียบสงัดมาก
ตอนนี้เป็นเวลาเช้าที่เพิ่งเปิดคลินิก ไม่มีคนก็เป็นเรื่องปกติ
พนักงานหญิงหน้าเคาน์เตอร์เห็นมู่น่อนน่อนก็ยิ้มให้เธอ “คุณมู่ มาแต่เช้าเลยนะคะ?”
มู่น่อนน่อนถามด้วยความร้อนใจ “คุณหมอลี่ของพวกคุณล่ะ?”
“เมื่อวานตอนเย็นคุณหมอลี่โทรมาบอกพวกเราว่า จะไปราชการที่ต่างประเทศสักพักค่ะ ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไรเหมือนกันค่ะ วันนี้พวกเรามาก็เพื่อมาทำความสะอาด แล้วก็มารับหน้าคนไข้ที่นัดไว้ก่อนหน้านี้ค่ะ ”
หลังจากที่พนักงานหญิงหน้าเคาน์เตอร์พูดจบ ก็หันไปมองนาฬิกาแขวนผนัง “ตอนนี้ คุณหมอลี่น่าจะขึ้นเครื่องเรียบร้อยแล้วนะคะ”
ใจของมู่น่อนน่อนกระตุกทีหนึ่ง หลังจากที่รู้ว่า ลี่จิ่วเชียนคนที่เธอเจอเมื่อวาน อาจจะไม่ใช่ลี่จิ่วเชียนตัวจริง เธอไม่เชื่อว่าทั้งหมดนี้จะเป็นแผนการของลี่จิ่วเชียน
ต้องเป็นคนที่หน้าตาเหมือนกับลี่จิ่วเชียนคนนั้นเป็นคนทำแน่ๆ
ส่วนจุดประสงค์ที่ทำเขาเพราะอะไรนั้น แล้วพาลี่จิ่วเชียนไปไว้ไหน ก็ไม่อาจรู้ได้
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปแล้วถามว่า “รู้ไหมว่าเขานั่งเครื่องไฟลต์ไหน?”
“ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ เขาเป็นคนจองตั๋วเครื่องบินเอง พวกเราไม่รู้เลยค่ะ” พนักงานหญิงหน้าเคาน์เตอร์เห็นสีหน้าของมู่น่อนน่อนไม่ดี จึงถามขึ้นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าค่ะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก คุณทำงานของคุณต่อไปเถอะ เดี๋ยวฉันไปก่อน” มู่น่อนน่อนหันหลังจากไปอย่างรีบร้อน
พอเธอขึ้นรถได้ ก็ตบพวงมาลัยอย่างแรง บ่นว่า “เฉินถิงเซียว!”
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วขับรถไปบริษัทเฉินซื่อด้วยความโกรธ
หลังจากพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ของบริษัทเฉินซื่อเคยถูกตักเตือน ตอนนี้จึงเคารพมู่น่อนน่อนเป็นพิเศษ “คุณหญิงน้อย”
มู่น่อนน่อนไม่มองหน้าใครทั้งนั้น เดินตรงไปที่ประตูลิฟต์ เข้าไปในลิฟต์แล้วกดไปที่ชั้นบนสุด
สือเย่เห็นมู่น่อนน่อนก็ผงะไปชั่วครู่ ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ “คุณหญิงน้อย?”
“เฉินถิงเซียวล่ะ?” มู่น่อนน่อนถามสือเย่ด้วยใบหน้าเย็นชา
สือเย่เป็นคนฉลาดหลักแหลม เมื่อเห็นสีหน้าของมู่น่อนน่อนก็รู้ทันทีว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
“คุณชายกำลังประชุมอยู่ครับ คุณหญิงน้อยไปรอเขาที่ห้องทำงานของCEOก่อนดีไหมครับ?” สือเย่เห็นมู่น่อนน่อนท่าทางโกรธจัด ก็อยากพาเธอไปพักผ่อนที่ห้องทำงานก่อน รอเฉินถิงเซียวประชุมเสร็จแล้ว ไม่แน่ว่าความโกรธของเธออาจจะจางหายไปบ้างแล้ว
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขาสองคน แต่การมีเรื่องน้อยลงหนึ่งเรื่องก็ดีกว่าเพิ่มเรื่องขึ้นมาอีกหนึ่งเรื่อง ทะเลาะกันให้น้อยยังไงก็ดีกว่า
มู่น่อนน่อนหยุดเดิน แล้วพูดซ้ำขึ้นว่า “ประชุม?”
“ใช่ครับ” สือเย่รู้ว่ามู่น่อนน่อนไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล รู้ว่าเธอจะต้องฟังเหตุผลของตัวเองแน่ๆ
แต่เห็นได้ชัดว่า ครั้งนี้เขาคาดการณ์ความโกรธครั้งนี้ของมู่น่อนน่อนผิดไป
ครั้งนี้มู่น่อนน่อนไม่เพียงแต่จะโกรธที่เฉินถิงเซียวไม่บอกเธอเรื่องที่เขาคาดเดาได้ แต่ยังโกรธในท่าทีของเฉินถิงเซียวด้วย
“ฉันรู้แล้ว เดี๋ยวฉันไปหาเขาเอง” มู่น่อนน่อนพูดจบก็ผลักสือเย่ เดินตรงไปที่ห้องประชุม
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยทำงานที่บริษัทเฉินซื่อ แต่เธอเคยมาที่นี่หลายครั้ง จึงรู้ว่าห้องประชุมของบริษัทเฉินซื่ออยู่ที่ไหน
“คุณหญิงน้อย! มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันหลังเขาประชุมเสร็จเถอะครับ !” สื่อเย่คิดที่จะเดินไปข้างหน้าห้ามเธอไว้
มู่น่อนน่อนยิ้มเยาะอย่างเยือกเย็น “รอเขาประชุมเสร็จเหรอ? ทำไมฉันจะต้องรอเขา ทำไมทุกครั้งเขาต้องทำอะไรตามใจเขาตลอด?”
สือเย่ได้ยินเช่นนั้น ก็ตกใจ
เขารู้สึกได้ว่า ครั้งนี้ความขัดแย้งระหว่างพวกเขาสองคนรุนแรงมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าไม่สามารถห้ามมู่น่อนน่อนได้ ก็ยังคิดจะลองเกลี้ยกล่อมเธอ ไม่ว่ายังไงนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ของเขา
เมื่อลี่จิ่วเชียนได้ยินดังนั้น จึงหยุดไปชั่วขณะแล้วพูดขึ้นว่า “ออกมาตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า เหมือนกับนึกอะไรบางอย่างได้ แล้วถามว่า “มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า ถึงได้ลืมแม้แต่มือถือ”
จากนิสัยของลี่จิ่วเชียน จะต้องมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นแน่ๆ ถึงขนาดลืมหยิบมือถือมาด้วย
ก่อนหน้านี้ เธอโทรศัพท์หาลี่จิ่วเชียน หลังจากโทรติดในครั้งแรก สายก็ตัดอัตโนมัติ ครั้งที่สองดังอยู่สองครั้งแล้วสายก็ตัดไป หลังจากนั้น โทรไปอีกครั้งก็ปิดเครื่องไปแล้ว
ถ้าลี่จิ่วเชียนลืมหยิบมือถือออกไป แล้วเครื่องปิดไปเพราะแบตหมดก็เป็นเรื่องปกติ
ลี่จิ่วเชียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไรหรอก จัดการเรียบร้อยแล้ว”
แม้ว่าเขากำลังยิ้ม แต่กลับรู้สึกแปลกแยกในสีหน้าและน้ำเสียงอย่างบอกไม่ถูก ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่ค่อยชิน
เธอเอื้อมมือไปแตะเฉินถิงเซียวเพื่อส่งสัญญาณบอกว่า ตอนนี้พวกเราควรกลับได้แล้ว
เฉินถิงเซียวเอนหลังพิงโซฟา ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกับอยู่ที่บ้านของตัวเอง
เกิดอะไรขึ้นกับชายผู้นี้ อยู่บ้านของลี่จิ่วเชียนจนติดใจแล้วงั้นเหรอ?
มู่น่อนน่อนมองเขา
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเธอด้วยสายตาราบเรียบ แล้วเงยหน้ามองลี่จิ่วเชียน “มีกาแฟไหม?”
พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังสั่งกาแฟที่ร้านกาแฟยังไงยังงั้น
ลี่จิ่วเชียนหรี่ตา ดูเหมือนจะหงุดหงิดเล็กน้อย แต่เขาก็ยังลุกขึ้นไปชงกาแฟให้เฉินถิงเซียว
เมื่อเขาหันหลังกลับไป มู่น่อนน่อนจึงถามเขาเบาๆ “คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?พวกเราควรจะกลับได้แล้ว”
“ไหนๆก็มาแล้ว ก็นั่งสักพักแล้วค่อยไปก็ได้ จะรีบไปไหน?”
แวบแรกที่ได้ฟังเฉินถิงเซียวพูด ดูเหมือนกำลังโกรธ แต่น้ำเสียงของเขาไม่ได้แตกต่างจากเวลาปกติ จึงฟังไม่ออกเลยว่าเขาโกรธ
มู่น่อนน่อนดูไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ และก็ขี้เกียจที่จะไปใส่ใจ จึงลุกขึ้นแล้วเดินไปหาลี่จิ่วเชียน
“ลี่จิ่วเชียน คุณไม่ต้องลำบากหรอก พวกเรากำลังจะกลับแล้ว ”เฉินถิงเซียวไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรถึงได้ไม่อยากกลับ ในเมื่อเป็นแบบนี้เธอต้องเป็นคนพูดเองดีที่สุด
ลี่จิ่วเชียนหันไปมองเธอ แล้วหันกลับมาชงกาแฟต่อ “ไม่ลำบากหรอก แปบเดียวก็เสร็จแล้ว”
เขาชงกาแฟสด ดังนั้น เลยใช้เวลาค่อนข้างนาน
“คุณลี่เขาพูดแล้วว่าไม่ลำบาก ก็ดื่มกาแฟสักแก้วแล้วค่อยไป” ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวเดินมาเมื่อไร
คนที่ไม่ได้เข้าเวรดึกคนไหนบ้าง ที่จะมาดื่มกาแฟเอาตอนเย็นแบบนี้ล่ะ?
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวตั้งใจหาเรื่อง แต่เรื่องแบบนี้ เธอก็ไม่รู้ว่าจะควบคุมเขาได้ยังไง
ลี่จิ่วเชียนได้ฟังเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร ได้แค่ยิ้ม
หลังจากรอลี่จิ่วเชียนชงกาแฟเสร็จแล้วเฉินถิงเซียวดื่มกาแฟไปครึ่งแก้วเล็กๆ แล้วจึงกลับไปพร้อมกับมู่น่อนน่อน
หลังจากลี่จิ่วเชียนปิดประตูห้อง มู่น่อนน่อนก็จ้องมองเฉินถิงเซียวอย่างไม่สบอารมณ์ “ดูสิว่าคืนนี้คุณจะหลับได้ไหม”
เธอพูดจบ ก็เดินตรงไปที่ลิฟต์ก่อน
เมื่อมู่น่อนน่อนเดินมาถึงหน้าประตูลิฟต์ ก็เห็นว่าลิฟต์เพิ่งไปหยุดอยู่ที่ชั้นบนเพียงหนึ่งชั้น ลิฟต์จึงลงมาอย่างรวดเร็วเมื่อเธอกดลิฟต์
ทั้งสองจึงเดินเข้าลิฟต์ด้วยกัน
หลังจากประตูลิฟต์ปิดลง ทันใดนั้น ประตูห้องของลี่จิ่วเชียนถูกเปิดออกอีกครั้ง
ลี่จิ่วเชียนยืนอยู่ข้างประตูมองไปที่ประตูลิฟต์ที่ว่างเปล่า นัยน์ตาเต็มไปด้วยอารมณ์สับสนอย่างบอกไม่ถูก และมองด้วยสายตาที่เฉียบคม ราวกับว่าสามารถมองทะลุประตูลิฟต์เห็นคนที่อยู่ด้านในได้ยังไงยังงั้น
……
มู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวยืนอยู่ในลิฟต์
ในขณะที่ลิฟต์กำลังลง มู่น่อนน่อนเห็นว่าเฉินถิงเซียวทำท่าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
มู่น่อนน่อนจ้องไปที่เขาชั่วครู่ แล้วพูดขึ้นว่า “คืนนี้คุณดูแปลกๆไปนะ”
ตั้งแต่เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปในบ้านของลี่จิ่วเชียน ก็ทำตัวแปลกๆแล้ว
เดิมที มู่น่อนน่อนเข้าใจว่าเฉินถิงเซียวอยากเข้าไปนั่งข้างในเพื่อจะทะเลาะกับลี่จิ่วเชียนซะอีก แต่เขาไม่เพียงแต่ไม่ทะเลาะกับลี่จิ่วเชียน แต่กลับนิ่งสงบมาก แทบจะไม่พูดอะไรเลย
แค่เรื่องนี้ก็แปลกมากแล้ว
เมื่อก่อนเวลาที่เฉินถิงเซียวเจอกับลี่จิ่วเชียน ทั้งสองต่างไม่มีใครยอมใคร แต่วันนี้ทั้งสองกลับสงบนิ่งมาก
เฉินถิงเซียวเอียงศีรษะมองเธอ พูดด้วยน้ำเสียงหน่ายแหนง “มีแค่ผมเท่านั้นที่แปลกไปเหรอ?”
มู่น่อนน่อนมองนัยน์ตาที่ดำขลับของเขา คิดอยู่ชั่วครู่ แต่ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการสื่ออะไรกันแน่ ดังนั้น จึงถามหยั่งเชิงว่า “คุณบอกว่าลี่จิ่วเชียนทำตัวแปลกๆเหรอ?”
เฉินถิงเซียวเอื้อมมือไปเคาะที่หัวของเธอ “ดูเหมือนว่าในนี้จะเป็นของแท้นะ”
เขาทำแบบนี้เพื่อเป็นการด่าทางอ้อมว่าเธอไม่มีสมองเหรอ?
มู่น่อนน่อนปัดมือเขาทิ้ง โกรธจนอยากจะเตะตัดขาเขา
แต่เธอรู้ว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเล็กคิดน้อย
“อันที่จริงแล้ว ฉันเองก็รู้สึกว่าลี่จิ่วเชียนแปลกๆไปเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าแปลกไปตรงไหน” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็มองไปที่เฉินถิงเซียวรอว่าเขาจะพูดอะไรสักนิด
เฉินถิงเซียวถามเธอกลับมาแบบนี้ แสดงว่าต้องค้นพบอะไรบางอย่าง
ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาอยู่บ้านลี่จิ่วเชียนไม่ยอมกลับ ก็เป็นเหตุผลที่เหมาะสมที่จะอธิบายได้แล้ว
เธอแน่ใจว่าเฉินถิงเซียวต้องค้นพบอะไรแน่ๆ
ลิฟต์ลงมาถึงชั้นหนึ่ง เฉินถิงเซียวก็เดินออกไปทันที
มู่น่อนน่อนรีบเดินตามออกไป ถามเขาว่า “เฉินถิงเซียว คุณค้นพบอะไรเหรอ?”
เฉินถิงเซียวไม่พูด เธอจึงทำได้เพียงเอ่ยปากถามเขาก่อน
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวค่อนข้างเนือยๆ “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่พูดไปงั้นๆแหละ”
มู่น่อนน่อนเม้มปาก “คุณ……”
ต้องโทษตัวเธอเองที่เข้าใจว่า เขาพบอย่างจริงๆ
มู่น่อนน่อนเดินผ่านนำเขาไป ขึ้นรถก่อน แล้วขับออกไป
ก่อนที่เฉินถิงเซียวจะขึ้นรถ ก็หันกลับไปมองตึกที่ลี่จิ่วเชียนอยู่อีกครั้ง แล้วจึงเอี้ยวตัวเข้าไปนั่งในรถ
ทั้งคู่ขับรถกลับคฤหาสน์ตามลำดับก่อนหลัง กว่าจะถึงก็ดึกมากแล้ว
คนรับใช้ที่เข้าเวรดึกเปิดประตูให้พวกเขาทั้งสอง มู่น่อนน่อนเข้าประตูไปก็ถามว่า “มู่มู่หลับแล้วเหรอ?”
คนรับใช้ตอบว่า “คุณหนูน้อยเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำแล้วค่ะ”
มู่น่อนน่อนขึ้นไปข้างบน เดินไปดูเฉินมู่ที่ห้องก่อน แล้วค่อยกลับไปห้องนอนหลัก
เฉินถิงเซียวกำลังยืนดึงปมเน็กไทอยู่หน้าเตียง พอได้ยินเสียงเปิดประตู ก็มองไปที่ประตูแล้วถอดเน็กไทออก ถอดเสื้อคลุมแล้วเดินเข้าห้องอาบน้ำไป
……
วันรุ่งขึ้น
เนื่องจาก เมื่อวานกลับมาดึก นอนก็ค่อนข้างดึก มู่น่อนน่อนจึงดูไม่ค่อยสดชื่น นั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะอาหาร หาวไปด้วยปอกไข่ให้เฉินมู่ ไปด้วย
เธอยื่นไข่ที่ปอกแล้วให้เฉินมู่ เอามือกุมขมับแล้วก็หาวฟอดใหญ่ จนน้ำตาไหลออกมา
เวลานี้เฉินถิงเซียวที่นั่งเงียบๆอยู่ตรงข้ามเธอ จู่ๆก็ถามขึ้น “เมื่อวานตอนบ่าย คุณไปหาลี่จิ่วเชียนทำไมเหรอ?”
เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินเฉินถิงเซียวพูดถึงชื่อนี้ ก็ตอบสนองด้วยความตกใจ
เฉินถิงเซียวเห็นเธอไม่ตอบ จึงพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ “แค่จะถามก็ไม่ได้แล้วเหรอ?”
อยู่กับเขามานาน มู่น่อนน่อนมีภูมิต้านทานกับน้ำเสียงของเขาแบบนี้แล้ว จึงรู้สึกว่าน้ำเสียงแบบนี้ถือว่าปกติ
“เพราะฉันเห็นเขาที่โรงแรมจีนติ่ง โทรศัพท์หาเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆไป เลยไปหาเขา หลังจากที่ฉันไปก็……
มู่น่อนน่อนเองก็สังเกตเห็นว่าเฉินถิงเซียวตามเธอมาตลอด
ในเมื่อเขาอยากจะตามมา ก็ตามมาสิ
ยังมีอีกเหตุผลนึงคือเธอไม่มีทางสลัดเฉินถิงเซียวออกไปได้เลยเช่นกัน
ทั้งสองคนขับตามกันมาอย่างนี้ไปยังเขตหมู่บ้านที่ลี่จิ่วเชียนอาศัยอยู่
หลังจากมู่น่อนน่อนที่อยู่ข้างหน้าลงจากรถมา ก็ยืนรอเฉินถิงเซียวอยู่ตรงที่เดิม
เฉินถิงเซียวเดินเข้ามาที่ตรงหน้าเธอด้วยใบหน้ามืดครึ้ม จ้องเธอเขม็ง
“ขึ้นไปด้วยกันเถอะ” มู่น่อนน่อนอยากจะโกรธ แต่เห็นท่าทางอย่างนี้ของเขาแล้วก็เกิดความโกรธไม่ลงขึ้นมาอีก
เฉินถิงเซียวยิ้มเย็นพลางเอ่ยออกมาว่า “คุณนึกว่าผมตามมา เพื่อที่จะให้คุณขึ้นไปเจอลี่จิ่วเชียนงั้นเหรอ?”
“เปล่านี่” มู่น่อนน่อนส่ายหน้าปฏิเสธออกมาด้วยความซื่อตรงอย่างมาก “คุณไม่มีทางให้ฉันไปเจอลี่จิ่วเชียนอย่างแน่นอน ดังนั้นแล้ว…”
มู่น่อนน่อนพูดถึงตรงนี้จู่ๆก็หยุดชะงักไป ก้าวเข้าไปข้างหน้าก้าวนึง ยื่นมือไปจูงมือของเฉินถิงเซียวเอาไว้ พลางเงยหน้าขึ้นไปมองเขา แล้วพูดคำพูดท่อนหลังต่อจากนั้นออกมาจนจบ
“ขึ้นไปด้วยกันเถอะ”
“ใครจะ…” เฉินถิงเซียวเพิ่งจะเอ่ยปากพูดออกมา มู่น่อนน่อนก็ได้ลากเขาเดินเข้าไปในเขตหมู่บ้านเสียแล้ว
เมื่อก่อนมู่น่อนน่อนเคยอยู่ที่นี่มาก่อน รปภ.ของเขตหมู่บ้านแห่งนี้มีภาพจำที่ลึกซึ้งต่อเธอ ก็เลยยังจำเธอได้ จึงได้ปล่อยเธอเข้ามาได้
พอเข้ามาในหมู่บ้านแล้ว เธอก็รู้สึกได้ถึงความกดอากาศต่ำลงที่แผ่ออกมาจากร่างของเฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างๆที่แรงขึ้นเรื่อยๆ
ราวกับว่าเขาจะต่อต้านเขตหมู่บ้านเล็กๆนี้มากเลยก็ไม่ปาน
ว่ากันตามหลักแล้ว ไม่ควรจะเป็นอย่างนี้สิ
เมื่อก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวก็เคยอยู่ที่เขตหมู่บ้านนี้มาก่อนช่วงหนึ่งเหมือนกัน ทำไมเขาถึงได้ต่อต้านเกลียดชังสถานที่นี้กันนะ?
ทั้งสองคนเข้าลิฟต์มา ยืนเรียงอยู่ด้วยกัน
บนประตูลิฟต์ที่แสงสว่างสะท้อนเงาร่างของทั้งสองคนออกมา มู่น่อนน่อนเห็นสีหน้าย่ำแย่สุดๆของเฉินถิงเซียวจากในเงาสะท้อนที่ประตูลิฟต์
ในใจเธอมีความสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ถามเขาไปว่าทำไมถึงได้เกลียดที่นี่ได้ขนาดนี้
ติ๊ง——
ลิฟต์มาถึงชั้นที่บ้านของลี่จิ่วเชียนอยู่แล้ว
ลิฟต์เปิดออก ทั้งสองคนแทบจะก้าวออกไปพร้อมกัน เดินเข้าไปด้านนอกประตูลิฟต์ด้วยกัน
ทั้งสองคนหันหน้ามองอีกฝ่ายทันที เฉินถิงเซียวส่งเสียงเฮอะเสียงเย็นออกมา แล้วเป็นฝ่ายเบือนหน้าออกไปก่อน
มู่น่อนน่อนเองก็ได้ส่งเสียงเฮอะอย่างไม่สบอารมณ์ออกมาเช่นกัน
เฉินถิงเซียวเขาพาลไร้เหตุผลขึ้นมาเอง ตอนนี้ทำเหมือนกับว่าเธอผิดเสียยังไงอย่างนั้น!
ผู้ชายที่พาลไร้เหตุผลเสียจนมั่นใจมากว่าตัวเองถูกอย่างนี้ นอกจากเฉินถิงเซียวแล้ว เกรงว่าคงหาไม่เจออีกแล้ว
ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้คุยกันเลย เดินตรงไปที่ประตูบ้านของลี่จิ่วเชียนทันที
มู่น่อนน่อนเข้าไปข้างหน้า กำลังจะเคาะประตู แต่ผลสุดท้ายเฉินถิงเซียวที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอได้อาศัยส่วนสูงของตัวเองมาเป็นประโยชน์ ยื่นมือไปจับคอปกเสื้อด้านหลังของเธอเอาไว้แล้วพาเธอไปอยู่ที่ข้างหลัง
มู่น่อนน่อนที่ถูกหิ้วไปที่ข้างหลังมีความไม่ยอมขึ้นมา ก็จะเข้าไปที่ข้างหน้าอีกครั้ง แต่เฉินถิงเซียวก็เหมือนกับมีตาหลังยังไงอย่างนั้น พลิกมือมาคว้าแขนเธอเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างนึงที่ว่างก็เข้าไปเคาะประตู
ประตูก็เคาะไปแล้ว แต่กลับไม่มีคนมาเปิด
ผ่านไปได้สักพักนึง เฉินถิงเซียวก็ได้ยื่นมือไปเคาะอีกครั้ง ก็ยังไม่มีใครมาเปิดประตู
ภายในใจของมู่น่อนน่อนร้อนใจขึ้นมา อ้าปากตะโกนเข้าไปข้างในเสียงดัง “ลี่จิ่วเชียน คุณอยู่บ้านหรือเปล่า?”
ทันทีที่เสียงเพิ่งจะหลุดออกไป ด้านในก็ได้มีเสียงเปิดประตูดังเข้ามา
จากนั้น ประตูบ้านก็ถูกเปิดออกมา
มู่น่อนน่อนเอียงหน้าเข้าไป ตอนที่เห็นเงาร่างของลี่จิ่วเชียนโผล่ออกมาจากด้านในประตู ตัวเธอถึงได้ผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอกออกมา
“คุณอยู่บ้านเหรอเนี่ย? ทำไมคุณถึงไม่รับสายฉัน? ฉันนึกว่าคุณจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาเสียอีก!” มู่น่อนน่อนเป็นห่วงลี่จิ่วเชียนจริงๆ
ลี่จิ่วเชียนอยู่ที่เมืองหู้หยางไม่มีเพื่อนอะไรกับเขาเลย อาศัยอยู่คนเดียว เมื่อตอนนั้นมู่หวั่นขีคิดจะทำร้ายเธอ เธอไม่เป็นอะไร แต่ลี่จิ่วเชียนที่ขับรถกลับได้รับบาดเจ็บแทน
เมื่อกี้ระหว่างทางที่มาเธอได้ทำการเตรียมใจที่แย่ที่สุดเอาไว้แล้ว คาดเดาไปว่าเขาคงจะถูกมู่หวั่นขีแค้นฝังใจ แล้วมาแก้แค้นไปแล้ว
ตอนนี้เห็นเขายังปลอดภัยหายห่วง ก็สบายใจขึ้นมาแล้ว
ลี่จิ่วเชียนได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อนแล้ว ก็ยิ้มพลางเอ่ยออกมาว่า “โทรศัพท์วางเอาไว้ที่คลินิก ลืมเอากลับมา”
เขาสวมชุดนอนสีดำตลอดทั้งตัว สีดำล้วนภายใต้การส่องสว่างของหลอดไฟ ดูเหมือนว่าจะสะดุดตาผิดปกติเลย ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกไม่มีความกลมกลืนกันอย่างบอกไม่ถูกอยู่บ้างเหมือนกัน
มู่น่อนน่อนหันไปมองเฉินถิงเซียวแวบนึง พบว่าเขากำลังจ้องมองลี่จิ่วเชียนตาเขม็ง แววตาเยือกเย็น มองไม่ออกเลยว่าอารมณ์เป็นแบบไหน
ลี่จิ่วเชียนพูดจบ ก็หันไปมองทางเฉินถิงเซียว
ไม่รู้ว่ามู่น่อนน่อนตาฝาดไปหรือเปล่า ตอนที่ลี่จิ่วเชียนกำลังมองเฉินถิงเซียวนั้น สายตาเหมือนจะแวบออกมาแป๊บนึง แล้วจากนั้นก็ถึงจะเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนออกมา “คุณเฉินก็มาด้วย ดูเหมือนว่าคุณเฉินเองก็เป็นห่วงผมมากเลยเหมือนกัน”
เฉินถิงเซียวยิ้มเย็นออกมา แล้วเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “ใช่แล้ว ผมเป็นห่วงว่าคุณจะตายเมื่อไหร่ จะได้เตรียมงานศพที่ใหญ่โตสักงานเอาไว้ให้คุณ”
มู่น่อนน่อนตะลึงไปแป๊บนึง แล้วก็รีบพูดกับลี่จิ่วเชียนออกไปทันที “เขาล้อเล่นน่ะ คุณอย่าไปคิดจริงจังเลยนะ”
ในจุดที่ลี่จิ่วเชียนมองไม่เห็น เธอได้ยื่นมือไปหยิกที่หลังเอวของเฉินถิงเซียว แต่ก็ไม่อาจแข็งใจลงแรงไปมากนักได้
เฉินถิงเซียวเจอกับ “วิธีการทำร้ายคนอื่น” โดยที่ไม่แม้แต่จะกะพริบตาเลยของเธอ “ผมพูดคำไหนคำนั้น ไม่ว่าคุณจะตายเมื่อไหร่ ผมก็จะจัดงานศพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้คุณเอง”
มู่น่อนน่อน “…” เธอหมดคำที่จะพูดแล้ว
ดวงตาโตของลี่จิ่วเชียนได้หดเล็กลงไปเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนไปแป๊บนึง แต่เพียงไม่นานก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง น้ำเสียงสบายๆ “งั้นผมลี่จิ่วเชียนก็ต้องขอบคุณสำหรับความหวังดีของคุณเฉินเอาไว้ล่วงหน้า”
“ดึกมากแล้ว ขอไม่รบกวนการพักผ่อนของคุณแล้ว พวกเราขอตัวกลับก่อนนะ” มู่น่อนน่อนไหนเลยจะยังกล้าอยู่นานอีก จึงได้ลากเฉินถิงเซียวเตรียมจะพาออกไป
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเลยสักนิดเดียว สายตายังคงจ้องลี่จิ่วเชียนตาเขม็ง น้ำเสียงเนิบช้าสบายๆออกมา “ไปอะไรกัน? คนมาเป็นแขก คุณลี่ไม่เชิญพวกเราเข้าไปนั่งสักหน่อยเหรอ?”
“เฉินถิงเซียว” มู่น่อนน่อนเรียกเขาออกมา เตือนสติเขาว่าอย่าทำอะไรส่งเดช
ก่อนหน้านี้คนที่ไม่ให้เธอมาคือเฉินถิงเซียว ตอนนี้คนที่ไม่ยอมไปก็ยังเป็นเขาอีกเช่นกัน
มู่น่อนน่อนไม่เข้าใจเลยว่า ตกลงแล้วเฉินถิงเซียวกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“แน่นอนว่าได้อยู่แล้ว” ลี่จิ่วเชียนเบี่ยงตัวไปยืนที่ข้างๆ ยื่นมือทำท่าทางเชิญออกมา “คุณเฉินเชิญด้านในครับ”
เฉินถิงเซียวจูงมู่น่อนน่อนเดินเข้าไปทันที
พอเข้ามาในบ้าน มู่น่อนน่อนก็ได้พบว่าบ้านค่อนข้างที่จะรกเลยทีเดียว
ของอย่างอื่นต่างก็ยังวางกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ แต่ของจำพวกกล่องกระดาษแก้วน้ำที่อยู่บนโต๊ะน้ำชาได้วางกันอยู่อย่างไม่มีการจัดเรียงเอาไว้เลยสักนิดเดียว
อันที่จริงลี่จิ่วเชียนเป็นคนที่ใส่ใจกับอะไรๆอย่างพิถีพิถันมากคนหนึ่ง ในบ้านจะเก็บกวาดจนเป็นระเบียบเรียบร้อย และมีการยึดตามความเคยชินในการวางข้าวของเอาไว้ให้เป็นที่ด้วย
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวนั่งเรียงกันอยู่บนโซฟา ลี่จิ่วเชียนไปรินน้ำมาให้พวกเขาทั้งสองคน
มู่น่อนน่อนถามเขา “ช่วงนี้คุณยุ่งเหรอ?”
“ก็เรื่อยๆ” เสียงของลี่จิ่วเชียนดังเข้ามา
งั้นก็คงจะยุ่งแหละ ไม่อย่างนั้นแล้วจะไม่มีแม้แต่เวลาจะเก็บกวาดบ้านได้ยังไงกันล่ะ
เขายกน้ำสองแก้วเข้ามา แบ่งวางไปที่ตรงหน้าเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อน
“ขอบคุณ” มู่น่อนน่อนหยิบน้ำขึ้นมา จิบไปคำนึง หันหน้าไปเห็นเฉินถิงเซียวเหมือนกับว่าอยากรู้อยากเห็นมากยังไงอย่างนั้น กำลังมองสำรวจบ้านอยู่ตลอด
ลี่จิ่วเชียนได้นั่งลงตรงหน้าพวกเขา “ทำให้คุณเป็นห่วงแล้ว ครั้งหน้าผมจะไม่ลืมพกโทรศัพท์มาให้เรียบร้อยอย่างแน่นอน”
มู่น่อนน่อนได้ยินอย่างนั้น จึงเอ่ยออกไป “เมื่อตอนบ่ายฉันไปหาคุณที่คลินิกของคุณ แต่คุณไม่อยู่”
มู่น่อนน่อนนั่งไม่ติดที่อยู่บ้าง
ลี่จิ่วเชียนเป็นคนที่รอบคอบระมัดระวังมาก วันนี้นึกไม่ถึงว่าจะวางสายเธอไป ทั้งยังโทรไม่ติดอีก
ตรงจุดนี้มันไม่สอดคล้องกับสามัญสำนึกของเขาเลย
มู่น่อนน่อนเคลือบแคลงใจอยู่บ้างจริงๆว่าลี่จิ่วเชียนอาจจะเกิดอะไรขึ้นมา
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าลี่จิ่วเชียนมีที่มามาจากที่ไหนกันแน่ แต่จากที่เธอรู้จักลี่จิ่วเชียนมาจนถึงตอนนี้ ลี่จิ่วเชียนไม่เคยจะประทุษร้ายเธอมาก่อนเลย แล้วยังมีบุญคุณอันใหญ่หลวงต่อเธอเสียขนาดนั้น
ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าจะพูดยังไง ถ้าเขาเกิดเรื่องขึ้นมา เธอไม่มีทางปล่อยมันไปโดยที่ไม่สนใจได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากเธอแล้ว ที่เมืองหู้หยางลี่จิ่วเชียนก็ไม่มีเพื่อนอะไรกับเขาเลยด้วย
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นเดินออกมาจากในห้องรับประทานอาหาร เห็นเฉินมู่กำลังนอนทำอะไรอยู่กับสมุดวาดภาพของเธอบนโซฟาอยู่อีก
เธอเดินเข้าไปย่อตัวนั่งลงตรงหน้าโซฟา “มู่มู่ พวกเราขึ้นไปเตรียมเข้านอนกันดีมั้ย?”
“หนูกำลังวาดแอปเปิลอยู่ ยังวาดไม่เสร็จ…” เฉินมู่วาดเสียจนขะมักเขม้นอยู่เลย แน่นอนว่าจะต้องไม่ยอมขึ้นไปนอนแน่
“หนูกลับไปวาดที่ห้องก็ได้ ให้คุณป้าอยู่เป็นเพื่อนหนู” คุณป้าที่มู่น่อนน่อนหมายถึงคือสาวใช้ที่คอยดูแลเฉินมู่อยู่ทุกๆวัน
เฉินมู่ได้ยินคำพูดเธอแล้ว ก็ถามออกมา “คุณแม่ขึ้นไปด้วยหรือเปล่า?”
“แม่สามารถอุ้มหนูขึ้นไปได้ แต่หลังจากนั้นแม่มีธุระอื่นที่ต้องทำ ไม่สามารถคอยอยู่เป็นเพื่อนหนูวาดภาพได้”
มู่น่อนน่อนอธิบายกับเธอ
“อ้อ” เฉินมู่หน้าคว่ำออกมา แต่ก็ยังลุกยืนขึ้นมา แล้วอ้าแขนมายังมู่น่อนน่อน อยากให้เธออุ้มสักหน่อย
คงจะเป็นเพราะว่าเฉินถิงเซียวนั้นออกไปตั้งแต่เช้ากลับมาก็ค่ำ มักจะทำงานไม่ได้อยู่บ้านเป็นประจำ เฉินมู่ก็เลยสามารถปรับตัวกับสภาวะของมู่น่อนน่อนได้
ถึงแม้ว่าจะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ดื้อกับมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนส่งเธอไปที่ห้อง สั่งสาวใช้ให้ดูแลเธอให้ดีๆ แล้วก็ผันร่างเดินออกไป
ตอนที่ผ่านประตูห้องทำงานของเฉินถิงเซียวไป มู่น่อนน่อนได้หยุดฝีเท้าลง
ตอนนี้เธออยากจะไปดูที่บ้านลี่จิ่วเชียนสักหน่อย ต้องบอกเฉินถิงเซียวหรือเปล่านะ?
ถึงแม้ว่าจะไม่บอกเขา หลังจากนี้เขาก็จะต้องรู้อยู่แล้ว แต่เธอก็ไม่มีทางจะไม่ไปหาลี่จิ่วเชียนอีก
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดอยู่สักพักนึง แล้วก็ได้เปิดประตูห้องทำงานเข้าไป
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่ที่ด้านหลังโต๊ะทำงาน ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่อยู่ตรงหน้าไปอย่างจดจ่ออย่างมาก นิ้วมือกำลังขยับเคลื่อนอยู่บนแป้นพิมพ์ไม่หยุด
คงเป็นเพราะว่าได้ยินเสียงมู่น่อนน่อนเข้ามา การเคลื่อนไหวที่มือของเขาก็เลยหยุดชะงักไปเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัดเจน
แต่ว่า ตอนที่มู่น่อนน่อนเดินเข้ามาตรงหน้าเขา เขาไม่เพียงแต่จะไม่เงยหน้าขึ้นมา แต่แม้แต่ดวงตาก็ไม่แม้จะกะพริบออกมาเลย
มู่น่อนน่อนรู้ว่าเขาจงใจไม่อยากจะสนใจเธอ
ผู้ชายคนนี้ตอนที่โกรธ ก็ไม่ชอบสนใจใครอย่างนี้
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่สนใจว่าเขาจะสนใจเธอหรือเปล่า เพียงแค่พูดออกไปว่า “ฉันมีธุระต้องออกไปข้างนอกสักหน่อย”
การเคลื่อนไหวที่มือของเฉินถิงเซียวได้หลุดลง ผ่านไปหลายวิ ก็ได้เคาะไปที่แป้นพิมพ์ต่อไปอีก
“คุณก็ไม่ต้องส่งคนตามฉันไปแล้ว ฉันบอกคุณตามตรงเลยก็ได้ ฉันจะไปหาลี่จิ่วเชียน”
คำพูดของมู่น่อนน่อนเพิ่งจะหลุดออกมา เฉินถิงเซียวก็ได้เงยหน้าขึ้นมาทันที แล้วเอ่ยออกมาด้วยสายตาที่เยือกเย็น “มู่น่อนน่อน คุณนึกว่าผมไม่มีทางทำอะไรคุณจริงๆเหรอ?”
มู่น่อนน่อนโกรธสุดๆแต่ก็ยังยิ้มออกมา ย้อนถามออกไป “คุณคิดจริงๆเหรอว่าคุณทำอะไรก็ถูกไปหมด ฉันจะต้องเชื่อฟังคุณถึงจะโอเคใช่มั้ย?”
สายตาของเฉินถิงเซียวมองไปแล้วน่ากลัวสุดๆ ราวกับว่าวินาทีต่อจากนี้จะตีเธอเลยก็ไม่ปาน
แต่ดีที่เธอรู้ว่าเฉินถิงเซียวไม่ตบตีผู้หญิง
แม้แต่เมื่อตอนนั้นตอนที่เขาทรมานมู่หวั่นขี ก็เพียงแค่ให้มู่หวั่นขีตบตีตัวเองไปเท่านั้น
ภายในใจของมู่น่อนน่อนร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย เธอมองดูเวลาไปเล็กน้อย ระยะห่างจากตอนที่เธอโทรหาลี่จิ่วเชียนเสร็จ มันได้เป็นเรื่องของครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ไปแล้ว
เธอกังวลจริงๆเลยว่าลี่จิ่วเชียนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่คิดจะมาเสียเวลาไปกับเฉินถิงเซียวอีก
เฉินถิงเซียวโกรธง่าย แต่อีกแป๊บนึงก็จะหายโกรธแล้ว มู่น่อนน่อนตัดสินใจที่จะไม่สนใจเขาไปก่อนชั่วคราว
เธอเข้ามาที่ห้องหนังสือ เพียงแค่มาบอกเฉินถิงเซียวสักหน่อยว่าเธอจะออกไปข้างนอกเท่านั้น
เฉินถิงเซียวจะตกลงหรือไม่ ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของเธอ
“มู่น่อนน่อน คุณหยุดอยู่ตรงนั้น!” เสียงเดือดดาลของเฉินถิงเซียวดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
มู่น่อนน่อนไม่เพียงจะไม่หยุด แต่ยังเดินเร็วกว่าเดิมเสียอีก
เฉินถิงเซียวระเบิดอารมณ์ออกมา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำออกมาได้ทั้งนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะขังเธอเอาไว้ในบ้านไม่ให้เธอไปหาลี่จิ่วเชียนด้วยการบังคับเลยก็ย่อมได้
เธอคิดอย่างนี้แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเพิ่มความเร็วฝีเท้าขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
ลงไปหยิบกุญแจรถ แล้วก็เดินออกไปยังข้างนอกประตูใหญ่
เธอขับรถออกไปจากวิลล่า ขับไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ก็เห็นว่าด้านหลังมีรถตามมาจากในกระจกมองหลัง
รถคันข้างหลังขับเร็วเลยทีเดียว เธอคิดว่ารถคันนั้นคงจะเป็นรถของเฉินถิงเซียวแน่ๆ
และก็เป็นไปอย่างที่คิดเอาไว้ ความเร็วของรถคันนั้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ เพียงไม่นานก็แซงเธอมาแล้ว เข้ามาขวางข้างหน้าเธอไปอย่างหยาบคายมากๆ เธอถูกบังคับให้ต้องเหยียบเบรกแบบกระชั้นชิด จากนั้นก็ได้ใส่ล็อกเพื่อความปลอดภัยไปอย่างระมัดระวังอย่างมาก
เฉินถิงเซียวลงจากรถ เดินเข้ามาทางรถของเธอด้วยท่าทางดุดัน
เขาเคาะมาที่หน้าต่างรถของเธอไปด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ ใช้สายตาส่งสัญญาณบอกเธอว่าทางที่ดีให้เธอเปิดประตูรถเดี๋ยวนี้เลย
แต่มู่น่อนน่อนไม่ขยับเลยสักนิดเดียว
เธอไม่มีทางเปิดประตูรถหรอกนะ
เห็นมู่น่อนน่อนไม่ขยับเขยื้อน เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหามู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนรับสายมา เขาก็ได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็นว่า “ลงมา”
เสียงของเขาราวกับน้ำแข็งในฤดูหนาว ได้ยินแล้วก็เกิดความรู้สึกหนาวเหน็บเสียจนขนหัวลุกขึ้นมา
“ไม่ลง วันนี้ฉันจะต้องไปให้ได้” เดิมทีเธอก็สงสัยว่าลี่จิ่วเชียนจะเกิดเรื่องขึ้นมา ไม่วางใจจึงอยากจะไปดูสักหน่อย ตอนนี้เฉินถิงเซียวมาขวางเธออย่างนี้ แต่เธอจะไม่ไปก็ไม่ได้
เสียงของเฉินถิงเซียวฟังไปแล้วดูโกรธเกรี้ยวสุดๆ “คุณกล้า!”
มู่น่อนน่อนมองผ่านหน้าต่างรถออกไป มองสีหน้าของเขาไปแวบนึง ทอดถอนหายใจแล้วพูดอธิบายกับเขาออกไป “ฉันโทรหาลี่จิ่วเชียน เขาไม่รับสายเลย ฉันสงสัยว่าเขาอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เลยอยากจะไปยืนยันให้แน่ใจที่บ้านเขาดูสักหน่อยเท่านั้นเอง”
เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจเลยว่าเธอจะพูดอะไร ไม่คุยเหตุผลกันเลยสักนิดเดียว น้ำเสียงหยาบคายอยู่บ้าง “ไปไม่ได้!”
มู่น่อนน่อนหมดความอดทนที่จะอธิบายกับเฉินถิงเซียวไปแล้ว
เธอวางสายไปทันที ดวงตาทั้งสองข้างมองตรงไปข้างหน้า แล้วสตาร์ทรถขึ้นมา
ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะขวางเอาไว้ เธอก็ยังต้องไปอยู่ดี
ตอนนี้สำหรับเธอแล้ว เรื่องสำคัญที่สุด ไม่ใช่ว่าจะต้องไปหาลี่จิ่วเชียนให้ได้แล้ว แต่เป็นการที่อยากจะแก้ไขความอคติในใจของเฉินถิงเซียวแทน
เรื่องที่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิด ก็คือถูกต้องแล้ว
เฉินถิงเซียวที่อยู่นอกรถตระหนักได้ถึงความคิดของมู่น่อนน่อน คือตัดสินใจจะชนเข้าไปที่รถของเขาโต้งๆ จึงไม่มีเวลาไปสนใจอะไรมากมาย พุ่งกระโจนเดินจ้ำๆเข้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ขึ้นรถขับรถตัวเองออกไป
ความเร็วของเขารวดเร็วมาก เพิ่งจะจอดรถให้ตรง แต่รถของมู่น่อนน่อนก็ได้ขับสีเข้ากับข้างๆตัวรถของเขาออกไปเสียแล้ว
เฉินถิงเซียวมองตอนที่รถของเธอได้ขับไปจากข้างๆรถของตัวเองไปอย่างปลอดภัย มือไม้สั่นไปหมด กลัวว่าเธอจะเกิดเรื่องขึ้นมา
ในทันใดนั้น เขาได้ใช้แรงตบลงไปที่พวงมาลัยรถไปทีนึงอย่างแรงทันที ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเรียกชื่อเธอออกมาครั้งนึง
“มู่น่อนน่อน!”
เวลาดึกมากขนาดนี้แล้ว มู่น่อนน่อนขับรถออกไปคนเดียว แล้วยังไปหาลี่จิ่วเชียนอีก แน่นอนว่าเฉินถิงเซียวไม่มีทางให้เธอไปคนเดียวแน่
ถึงแม้ว่าภายในใจมันจะโกรธไปหมด แต่เขาก็ได้ตามไปด้วยความไม่วางใจอยู่ดี
เฉินมู่ได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อนแล้ว ก็ได้เดินมาอย่างเชื่อฟังจริงๆ ไม่ได้กระโดดโลดเต้นออกมาอีก
พอเธอมาถึงห้องโถงใหญ่แล้ว ก็ได้ปล่อยมือออกไปจากสาวใช้ไปทันที แล้วกระโจนเข้าไปหามู่น่อนน่อนอย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนย่อตัวนั่งลง รับเจ้าก้อนน้อยที่กระโจนเข้ามา แล้วจุ๊บลงบนใบหน้าของเธอไปทีนึง
ตอนนี้ทั้งหัวใจของเฉินมู่ล้วนมีแต่แอปเปิลที่ตนวาดทั้งนั้น ไม่มีเวลาไปสนใจจุ๊บด้วยความรักของมู่น่อนน่อนเลย
เธอเปิดภาพแอปเปิลหน้านั้นที่เธอวาดเหมือนกับกำลังโอ้อวดความสามารถที่ตัวเองนึกว่ามันดีมากอยู่ ให้มู่น่อนน่อนดู “คุณแม่รีบดูแอปเปิลที่หนูวาดสิ”
ขีดเส้นหลากหลายสีสัน ได้ปกคลุมอยู่เต็มกระดาษวาดภาพไปตามอารมณ์อย่างมาก จะมองดูยังไงก็มองรูปทรงแอปเปิลไม่ออกเลย
แต่เห็นได้ชัดว่าเฉินมู่มีความสุขมาก
เธอเปิดสมุดวาดภาพไปพลาง พูดพึมพำกับตัวเองไปพลาง “หนูยังวาดแอปเปิลอีกสามลูก แล้วยังวาดลูกชิ้นเนื้อด้วย…”
มู่น่อนน่อนพบว่าเฉินมู่เหมือนจะชอบวาดภาพมากเลย
เพียงแต่ว่าเธอในตอนนี้ยังเด็กเกินไป จึงวาดของอะไรออกมาไม่ได้เลย รู้เพียงแค่เลือกสีที่ชอบมาละเลงลงไปบนสมุดวาดภาพไปเท่านั้น
ในเมื่อเฉินมู่ชอบ มู่น่อนน่อนก็ไม่มีทางทำลายความกระตือรือร้นของเธอไปเช่นกัน
มู่น่อนน่อนอุ้มเธอไปนั่งลงบนโซฟา จากนั้นก็รับสมุดวาดภาพไป มองไปอย่างตั้งอกตั้งใจไปสักพักหนึ่ง แล้วก็ยิ้มพลางเอ่ยออกไปกับเฉินมู่ “วาดเก่งมาก แต่แม่เชื่อว่าหลังจากนี้ไปหนูจะวาดได้ดีกว่านี้อีก!”
เฉินมู่ได้ยินอย่างนั้นแล้ว ก็ปิดปากยิ้มตาหยีออกมาอย่างมีความสุข เหมือนกับเขินอายมากออกมา
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปจิ้มหน้าผากเธอไปเบาๆ “มู่มู่ของพวกเราเขินอายกับเขาด้วยเหรอ?”
“อิอิ…” เฉินมู่จับมือของมู่น่อนน่อนเอาไว้ ยิ้มออกมาจนใบหน้าดูมีความสุขไปหมด
ตอนนี้เฉินถิงเซียวก็ได้เข้ามาจากข้างนอกด้วยเหมือนกัน
เด็กน้อยต่างก็ชอบที่จะได้รับความเห็นพ้องต้องกันและการชื่นชมจากคนใกล้ชิดกันทั้งนั้น เฉินมู่เองก็เช่นกัน
เธอเห็นเฉินถิงเซียว ก็ได้ดึงสมุดวาดภาพวิ่งเข้าไปหาเขา
มู่น่อนน่อนรู้ว่าตอนนี้เฉินถิงเซียวอารมณ์ไม่ดี ก็ได้ลุกยืนขึ้นมาด้วยความกังวลอยู่บ้าง แล้วส่งเสียงเรียกออกไป “มู่มู่!”
แต่เฉินมู่ไม่ได้ยินคำพูดของเธอ เหยียบรองเท้าวิ่งเตาะแตะไปที่ตรงหน้าเฉินถิงเซียว แล้วยกสมุดวาดภาพของตัวเองขึ้นมา “คุณพ่อ คุณพ่อดูแอปเปิลที่หนูวาด แอปเปิลลูกโตๆสองลูก…”
คิ้วที่แต่เดิมได้ขมวดแน่นของเฉินถิงเซียว หลังจากที่เห็น “แอปเปิล” บนสมุดวาดภาพของเฉินมู่แล้ว คิ้วก็ได้ขมวดแน่นออกมายิ่งกว่าเดิม
ภายในใจของมู่น่อนน่อนแอบรู้สึกไม่ดีอยู่ลึกๆ จึงได้ส่งเสียงเรียกออกไป “เฉินถิงเซียว!”
เธอกังวลว่าเขาจะพูดอะไรบ้าๆออกมา
ช่วงนี้เขาเหมือนจะไม่ได้ดีกับเฉินมู่เท่าแต่ก่อน ไม่ได้มีความอดทนเท่าแต่ก่อน เธอกังวลว่าต่อจากนี้เขาจะพูดคำพูดที่ไม่น่าฟังจำพวกที่ว่า “วาดบ้าอะไรเนี่ย” ออกมาจริงๆเลย
เฉินถิงเซียวเลิกตาขึ้นมา มองเธอมาแวบนึง จากนั้นก็ได้ถอนสายตาออกไป แล้วเอาสายตาจรดไปที่บนสมุดวาดภาพของเฉินมู่
ผ่านไปสองวิ เขาก็ได้ส่งเสียงพูดออกมาคำนึง “อืม”
ไม่ได้รับคำชมเชยจากเฉินถิงเซียว เฉินมู่ถึงแม้ว่าจะหดหู่ใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังเบ้ปากพูดออกมาประโยคนึง “เอาเถอะ”
เธอเก็บสมุดวาดภาพกลับมา แล้วก็ได้เงยหน้ามองเฉินถิงเซียวตาปริบๆไปอีกที เม้มปาก แล้วเดินเข้าไปทางมู่น่อนน่อน
พอเธอเดินไป เฉินถิงเซียวก็ได้ขึ้นชั้นบนไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมาเลย
หลังจากที่เฉินมู่เดินเข้ามาใกล้ มู่น่อนน่อนก็ยื่นมือไปแตะหัวของเธอไปเบาๆ แล้วเอ่ยออกไป “คุณพ่อก็คิดว่าหนูวาดได้ไม่เลวเหมือนกันแหละ”
เฉินมู่ได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อนแล้ว เงยใบหน้าที่เหมือนกับซาลาเปาน้อยขึ้นมา มองเธอไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงงงวย
เมื่อกี้คุณพ่อได้ชมเธอหรือเปล่า?
“คุณพ่อก็แค่คิดว่าหนูวาดได้ไม่เลวเลย หนูจะต้องไม่ลดละความพยายาม! สู้ๆ!” มู่น่อนน่อนทำมือสู้ๆไปให้เธอ
เฉินมู่ได้ทำมือสู้ๆตามเธอออกมาด้วยเหมือนกัน จากนั้นก็หัวเราะ “คิกคัก” ขึ้นมา
เป็นเด็กน้อยมันดีจริงๆ ไม่เข้าใจอะไรเลย พูดกล่อมไปสองประโยคก็สามารถมีความสุขได้นานแล้ว
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองไปที่ชั้นบน นึกถึงคำพูดที่เฉินถิงเซียวพูดออกมาเมื่อกี้นี้ ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย
ผู้ชายตัวโตคนหนึ่งพูดกล่อมได้ยากกว่าเด็กน้อยเยอะเลย
แต่ครั้งนี้ เธอไม่อยากจะพูดกล่อมเขาเลยจริงๆ
มู่น่อนน่อนถอนสายตากลับมา จูงเฉินมู่เดินไปยังห้องครัว “เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราไปทำลูกชิ้นเนื้อกัน!”
“ได้เลย! ทำลูกชิ้นเนื้อกันเลย!” เฉินมู่ดีใจจนกระโดดโลดเต้นออกมา
อยู่ข้างนอกมาทั้งวัน ตอนเย็นสามารถกลับมาอยู่เป็นเพื่อนลูกได้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเรื่องหนึ่งเลย
มู่น่อนน่อนวางแผนเอาไว้ว่าเนื้อแต่ละอย่างจะเอามาทำลูกชิ้นสักสองสามลูกก็พอ หลักๆแล้วคือทำให้เฉินมู่กิน เธอยังเด็ก กินได้ไม่เยอะเท่าไหร่ เพียงไม่นานก็สามารถทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แต่ถึงยังไงเธอก็ได้ทำลูกชิ้นแล้ว ก็ทำมื้อเย็นไปด้วยเลยแล้วกัน
ก็คงจะเป็นเพราะว่ามีใจคิดอยากแก้แค้นครอบงำเอาไว้อยู่ มู่น่อนน่อนจึงทำอาหารมื้อเย็นที่จืดชืดมาก ไม่มีอาหารที่รสชาติถูกปากเฉินถิงเซียวอยู่เลยสักจาน
ตอนที่กินข้าว มู่น่อนน่อนตั้งใจจับตาดูสีหน้าของเฉินถิงเซียวเป็นพิเศษ
ตอนที่เขากินไปคำแรก คิ้วก็ได้ขมวดแน่นขึ้นมา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปมองมู่น่อนน่อนแวบนึง เหมือนกับกินแล้วรู้เลยว่านี่เป็นอาหารที่มู่น่อนน่อนทำ
มู่น่อนน่อนเอียงหัวเล็กน้อย มองเขาไปอย่างท้าทาย
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรเลย ก้มหน้ากินไปเงียบๆ
มู่น่อนน่อนส่งเสียงเฮอะออกมาเบาๆ เธอยังนึกอยู่เลยจริงๆว่าเฉินถิงเซียวนั้นจะไม่กินแม้แต่อาหารที่เธอทำแล้วน่ะ
ความจริงชี้ชัดออกมาว่าเฉินถิงเซียวไม่เพียงจะไม่ได้ไม่กิน แต่ยังกินเสียมากกว่าปกติเสียอีก
เพียงแต่ว่าพอเขากินข้าวเสร็จแล้วก็ขึ้นชั้นบนไปเลย กินเร็วกว่าเฉินมู่เสียอีก
เฉินมู่เห็นเฉินถิงเซียวออกไปแล้ว มองตาปริบๆแล้วชี้ไปที่เงาร่างเบื้องหลังของเขา แล้วพูดกับมู่น่อนน่อน “คุณพ่อไปแล้ว!”
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปหยิบเม็ดข้าวที่มุมปากของเฉินมู่ออกไป ยิ้มพลางเอ่ยออกไป “เขากินอิ่มแล้วไง”
“อ้อ” เฉินมู่ก้มลงมองในชามตัวเองที่ยังเหลือผักอยู่ แล้วหันหน้าไปพูดกับมู่น่อนน่อน “หนูกินอิ่มแล้ว”
มู่น่อนน่อนชี้ไปที่ผักในชามเธอ “หนูกินผักอีกสักสองชิ้นก็อิ่มแล้ว”
เฉินมู่แสดงใบหน้าไม่ยินยอมออกมา “หนูกินอิ่มแล้ว”
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ยิ้มกับเธอไป สีหน้าเปลี่ยนมาจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย “กินผักให้หมด”
“ก็ได้…” เฉินมู่เห็นมู่น่อนน่อนไม่ยิ้ม จึงจำต้องกินผักไปให้หมดอย่างยอมๆไป
เธอกินผักเสร็จ มู่น่อนน่อนถึงจะปล่อยเธอไป
มู่น่อนน่อนพิงเข้ากับพนักเก้าอี้ไปเล็กน้อย นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา จึงหยิบโทรศัพท์ออกมา
ไม่มีข้อความวีแชทที่ยังไม่ได้อ่าน และก็ไม่มีข้อความและสายที่ไม่ได้รับที่โทรศัพท์ด้วยเช่นกัน
ลี่จิ่วเชียนไม่ได้โทรหาเธอ
ว่ากันตามหลักแล้ว ถ้าลี่จิ่วเชียนรู้ว่าเธอได้ไปหาเขา ก็ควรจะติดต่อเธอมาถึงจะถูก
หรือว่าหลังจากที่เธอกลับไปแล้ว ลี่จิ่วเชียนก็ไม่ได้กลับไปที่คลินิกจิตเวชอีกเหมือนกันงั้นเหรอ?
มู่น่อนน่อนคิดว่าความเป็นไปได้นี้มันเยอะมาก
เธอเข้าไปหาเบอร์ลี่จิ่วเชียนในสมุดรายชื่อ ลังเลอยู่แป๊บนึง แล้วก็ได้ต่อสายไปหาลี่จิ่วเชียน
โทรศัพท์มีเสียงดังขึ้นมาหลายครั้งติดๆกัน ไม่มีใครรับเลย จนกระทั่งสุดท้ายก็ถูกตัดสายไปเอง
มู่น่อนน่อนได้ต่อสายไปอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงดังขึ้นมาสองครั้งก็ได้ถูกวางสายไป
โทรศัพท์โทรติดมีเสียงดังขึ้นมาสองครั้งก็ถูกวางสายไป โดยทั่วไปแล้วคงจะเป็นคนวางสายไปเอง
ลี่จิ่วเชียนวางสายเธอ?
ในเวลานี้เขาจะมีธุระอะไรได้?
มู่น่อนน่อนต่อสายไปอีกครั้งนึง ครั้งนี้โทรศัพท์ไม่สามารถติดต่อได้
“ขอโทษค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้…”
ในใจของมู่น่อนน่อนรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา ลี่จิ่วเชียนเป็นคนระมัดระวังคนหนึ่ง ตอนที่เธออยู่กับเขาเมื่อตอนนั้น ก็ยังไม่เคยเห็นโทรศัพท์ของเขาหมดแบตปิดเครื่องไปเลย
คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาหรอกมั้ง?
มู่น่อนน่อนกลับมาที่ในรถ แล้วก็ตกอยู่ในความเงียบ
เมื่อตอนเที่ยงตอนที่ลี่จิ่วเชียนรับสายเธอ ปฏิกิริยาได้ผิดปกติไปบ้าง
และคำพูดเมื่อกี้นี้ของผู้ช่วย มันยิ่งทำให้มู่น่อนน่อนไม่เข้าใจอยู่บ้างเล็กน้อย
ผู้ช่วยของลี่จิ่วเชียนบอกว่า เมื่อตอนเที่ยงเธอสั่งอาหารเดลิเวอรี่ให้ลี่จิ่วเชียน และยังบอกว่าลี่จิ่วเชียนไม่ได้ไปโรงแรมจีนติ่งอีกด้วย
ผู้ช่วยของเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหกเธอในเรื่องจำพวกนี้
ลองคิดดูในทางกลับกันแล้ว ถ้าผู้ช่วยของลี่จิ่วเชียนพูดจริง งั้น “ลี่จิ่วเชียน” คนนั้นที่เธอเจอที่โรงแรมจีนติ่งเมื่อตอนเที่ยงเป็นใครกันล่ะ?
บนโลกนี้จะมีคนสองคนที่หน้าเหมือนกันเปี๊ยบจริงๆเหรอ?
มู่น่อนน่อนโตขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่เคยเจอคนสองคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยสองคนมีหน้าตาที่เหมือนกันเปี๊ยบมาก่อนเลย
มากสุดก็คือฝาแฝดที่จะหน้าตาคล้ายกันมาก
แต่อย่างไรก็ตามฝาแฝดทุกคู่ก็ไม่ได้หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบเลยด้วยเหมือนกัน
เฉินถิงเซียวกับเฉินจิ่งหยุ้นก็เป็นฝาแฝดพี่สาวน้องชาย ทั้งสองคนนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นพี่น้องกัน แต่ดูจากรูปลักษณ์หน้าตาแล้ว หน้าตาก็คล้ายกันมากเหมือนกัน
จนถึงตอนนี้ ความรู้ความเข้าใจต่อลี่จิ่วเชียนของเธอนั้น ก็จำกัดอยู่เฉพาะลี่จิ่วเชียนคนนี้เท่านั้นเหมือนกัน
แต่พื้นเพครอบครัวเบื้องหลังลี่จิ่วเชียน ที่บ้านมีญาติพี่น้องอะไรบ้าง มีเพื่อนคนอื่นอีกหรือเปล่า เธอก็ไม่รู้อะไรเลยสักนิด
พอคิดอย่างนี้แล้ว ก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ที่ลี่จิ่วเชียนจะมีพี่น้องฝาแฝดไปได้เลย
มู่น่อนน่อนได้มองคลินิกจิตเวชของลี่จิ่วเชียนผ่านทางกระจกรถไปอีกครั้ง ก่อนที่จะสตาร์ทรถออกไป
ตอนนี้เธอคิดมากกว่าเดิม แต่ก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาของเธอเท่านั้น
ความจริงมันเป็นยังไงกันแน่ ยังต้องไปเจอลี่จิ่วเชียนเพื่อยืนยันก่อนถึงจะได้
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนขับรถกลับไปที่วิลล่า ก็เห็นรถของเฉินถิงเซียวมาจอดอยู่ที่ประตูทางเข้าวิลล่าด้วยเหมือนกัน
เธอมองเวลาไปเล็กน้อย เพิ่งจะห้าโมงเอง
วันนี้เฉินถิงเซียวเลิกงานเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?
เธอเพิ่งจะคิดมาถึงตรงนี้ ประตูรถของเฉินถิงเซียวก็ถูกคนเปิดออกมาจากด้านใน
ต่อมา เงาร่างสูงใหญ่ของเฉินถิงเซียวก็ได้ออกมาจากในรถ ปรากฏอยู่ในสายตาของมู่น่อนน่อน
อุณหภูมิวันนี้เดิมทีแล้วก็ลดต่ำลงไปอยู่แล้ว แต่บนร่างของเฉินถิงเซียวยังสวมชุดสูทบางๆเอาไว้อยู่ ยืนตัวตรงอยู่ที่ตรงนั้น แล้วมองมาทางมู่น่อนน่อน
สีหน้าของเขาเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับว่าไม่หนาวเลยสักนิดยังไงอย่างนั้น
มู่น่อนน่อนลังเลไปแป๊บนึง เปิดประตูลงจากรถ เดินเข้าไปทางเฉินถิงเซียว
หยุดอยู่ตรงบริเวณที่ห่างออกมาจากเฉินถิงเซียวสองก้าว
ตอนที่เธอมองเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวก็ได้กำลังมองเธออยู่เหมือนกัน
ทั้งสองคนสบสายตากันไปเงียบๆอยู่หลายวิ มู่น่อนน่อนเอ่ยถามเขาออกไป “เลิกงานเร็วขนาดนี้เลย?”
แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน เฉินถิงเซียวก็ได้พูดออกมาประโยคนึงเหมือนกัน “คุณไปไหนมา?”
ทั้งสองคนพูดจบ ต่างก็ชะงักงันกันไป
เฉินถิงเซียวนิ่วคิ้วออกมา อารมณ์ที่อยู่ภายในดวงตาซับซ้อนอ่านได้ยากออกมา
มู่น่อนน่อนรู้ว่าถ้าเธอไม่เอ่ยปากพูดออกไปก่อน เฉินถิงเซียวจะไม่มีทางจะเอ่ยปากพูดออกมาก่อนแน่
“ฉันไปไหน ไม่ใช่ว่าคุณควรจะรู้ดีอยู่แล้วเหรอ?” เขาได้ส่งการ์ดมาให้เธอตั้งแต่เช้า ตั้งแต่ตอนที่เธอออกจากบ้านไปเมื่อตอนเช้าก็ได้ติดตามเธอไปแล้ว การ์ดพวกนั้นจะต้องบอกความเคลื่อนไหวของเธอกับเฉินถิงเซียวไปแบบไม่มีตกหล่นอยู่แล้ว
เธอจำได้ว่าตอนที่เพิ่งแต่งงานกับเฉินถิงเซียวใหม่ๆ ที่ในวิลล่าของเขาไม่มีสาวใช้เลยแม้แต่คนเดียว ทั้งหมดล้วนเป็นบอดี้การ์ดทั้งนั้น
เฉินถิงเซียวไม่รู้ว่ามีพลังวิเศษอะไร การ์ดพวกนั้นถึงได้จงรักภักดีต่อเขาเสียจนผิดปกติขนาดนั้น
เฉินถิงเซียวได้ยินอย่างนั้นแล้ว มุมปากก็ได้แสยะอย่างเย็นชาออกมา สีหน้าที่แสดงออกมามืดครึ้มไปเล็กน้อย พลางถามเธอเสียงเย็นออกมา “กลับมาจากที่ไหน?”
สายตาของเขาบอกมู่น่อนน่อนว่า เขาเดาออกแล้วว่าเธอไปหาลี่จิ่วเชียนมา
เธอคิดไร้เดียงสาเกินไป นึกว่าสลัดการ์ดที่เฉินถิงเซียวส่งมาให้เธอไปก็จะไม่เป็นไรแล้ว ด้วยความฉลาดหลักแหลมของเฉินถิงเซียว จะปิดบังไปได้ยังไงกันน่ะ?
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากออกมาเล็กน้อย แล้วก็เลือกที่จะพูดความจริงออกไป “คลินิกจิตเวชของลี่จิ่วเชียน!”
ถึงยังไงเฉินถิงเซียวคาดเดาได้อยู่แล้ว เธอปิดบังไปอีกมันก็ไม่มีความหมายอะไร
เมื่อวานทั้งสองคนได้ทะเลาะกันเพราะเรื่องลี่จิ่วเชียนไปแล้ว มู่น่อนน่อนมองออกว่าเฉินถิงเซียวได้โกรธขึ้นมาอีกแล้ว เพียงแต่ว่าไม่ได้แสดงออกมาเท่านั้น
ถ้าตอนนี้เธอปิดบังต่อไปอีก ไม่แน่ว่าเฉินถิงเซียวอาจจะโกรธขึ้นมายิ่งกว่าเดิมก็ได้
“เหอะ” เฉินถิงเซียวเพียงแค่หัวเราะเสียงเย็นออกมาเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรออกมา แล้วก็ได้ผันร่างเดินเข้าไป
มู่น่อนน่อนจ้องมองเงาร่างเบื้องหลังของเขาไปสักพักนึง แล้วได้สาวเท้าก้าวใหญ่ๆไล่ตามไป “เฉินถิงเซียว!”
เฉินถิงเซียวได้ยินเธอกำลังเรียกเขาอยู่ ไม่เพียงจะไม่หยุด แต่ยังเดินเร็วกว่าเดิม
มู่น่อนน่อนเองก็ได้เพิ่มความเร็วของฝีเท้าขึ้นมาด้วยเหมือนกัน เดินไปพลางอธิบายกับเขาออกไปพลาง “ฉันไปหาลี่จิ่วเชียนเพราะว่ามีเรื่องสำคัญถึงได้ไป ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่ได้อยู่ที่คลินิกจิตเวช ฉันไม่ได้เจอเขาด้วยเหมือนกัน”
เฉินถิงเซียวยังคงไม่สนใจเธออยู่ มู่น่อนน่อนโกรธสุดๆไปเลย วิ่งเข้าไปดึงเขาเอาไว้
เธอเข้าไปยืนอยู่ที่ตรงหน้าเขา ตอนที่เห็นสีหน้าของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านออกมาเสียไม่ได้
สีหน้าที่แสดงออกมาของเขา เยือกเย็นเสียจนน่ากลัว
เธอถูกสายตาที่เยือกเย็นของเขามองเข้ามา มือที่ดึงแขนของเขาเอาไว้อยู่ได้ปล่อยออกไปทันที
เฉินถิงเซียวก้มหน้าลงมองเธอ คำพูดที่พูดออกมาเหมือนกับบีบคั้นออกมาทีละคำจากในช่องว่างระหว่างฟัน
“ถ้าคุณเจอเขา คิดว่าจะกลับมาเมื่อไหร่? คืนนี้หรือว่าพรุ่งนี้เช้า หรือจะบอกว่าไม่คิดจะกลับมาแล้ว?”
ตอนที่เขาพูดคำพูดนี้ออกมา สายตาที่มองเธอ ราวกับว่ากำลังมองภรรยาที่เพิ่งจะกลับมาจากการลอบไปคบชู้มาจากข้างนอกอยู่
มู่น่อนน่อนถูกคำพูดของเขาทำเอาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา ยกมือขึ้นมาอย่างยับยั้งชั่งใจเอาไว้ไม่อยู่ แต่ตอนที่สัมผัสได้ถึงสายตาที่เยือกเย็นของเฉินถิงเซียว มือที่ยกค้างอยู่กลางอากาศก็ได้เก็บกลับไปทันที
“จะอธิบายให้กับคุณอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย ระหว่างฉันกับลี่จิ่วเชียน บริสุทธิ์ใจไม่มีอะไรเกินเลยกันเลย คุณจะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของคุณ” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็มองไปทางด้านนอกวิลล่าไปแวบนึง
ถ้าเป็นเมื่อหลายปีก่อนที่เธอยังไม่ได้คลอดเฉินมู่ออกมา เผชิญกับสถานการณ์อย่างนี้แล้ว เธอก็คงจะพุ่งออกไปเลยทันที
แต่ว่าเมื่อเช้าตอนที่เธอออกจากบ้านไป ได้พูดกับเฉินมู่ไปว่าเย็นนี้จะกลับมาทำลูกชิ้นเนื้อให้เธอ
เธอโกรธเฉินถิงเซียว แต่ก็ไม่อาจผิดคำพูดที่เคยพูดกับเฉินมู่ไปได้
หลังจากเรื่องงานเลี้ยงครั้งที่แล้ว เธอก็เคยบอกกับเฉินมู่ไปว่าต่อจากนี้ไปคำพูดที่พูดไปจะต้องทำตามคำพูด
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางผันร่างเดินไปทางห้องโถงใหญ่
ตรงที่เธอกับเฉินถิงเซียวอยู่เมื่อกี้นี้ เป็นตรงกลางลานบ้านของภายในวิลล่า ห่างออกมาจากประตูห้องโถงใหญ่อยู่ช่วงนึง
มู่น่อนน่อนสงบอารมณ์ของตัวเองลงในระหว่างการเดินทางในชั่วเวลาสั้นๆนี้
พอเธอเข้าห้องโถงใหญ่ไป ก็มีคนใช้ก้มหัวเอ่ยออกมาด้วยความนอบน้อม “คุณหญิงน้อย!”
มู่น่อนน่อนถามเธอ “มู่มู่ล่ะ?”
ไม่รอให้สาวใช้เอ่ยปากพูดออกมา เสียงของเฉินมู่ก็ได้ดังเข้ามา “มู่มู่อยู่ตรงนี้!”
มู่น่อนน่อนหันมองไปตามเสียง ก็พบว่าเฉินมู่กำลังถูกสาวใช้จูงลงมาจากชั้นบน
ในมือเธอยังถือสมุดวาดภาพเอาไว้เล่มนึง เดินกระโดดโลดเต้นลงมาจากชั้นบนอย่างร่าเริง
เห็นมู่น่อนน่อนมองเธออยู่ ก็ชูสมุดวาดภาพในมือขึ้น แล้วพูดออกมาอย่างมีความสุข “คุณแม่ดู หนูวาดแอปเปิลลูกใหญ่ๆสองลูก”
“ได้ หนูเดินดีๆ บนบันไดจะกระโดดไม่ได้นะ แม่จะรอหนูลงมาอยู่ตรงนี้” ความรู้สึกไม่อภิรมย์ภายในใจของมู่น่อนน่อนที่มีมาแต่เดิมนั้น หลังจากที่ได้เห็นเฉินมู่ ก็ได้มลายหายไปจนสิ้นทันที
แม้ว่าเธอจะเรียกลี่จิ่วเชียนไป ลี่จิ่วเชียนก็ไม่ได้ส่งเสียงออกมาทันทีเช่นกัน
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตรงหน้าแล้วดู แน่ใจว่าโทรศัพท์ยังอยู่ในสถานะโทรอยู่ จึงได้เอาโทรศัพท์มาวางที่ข้างๆใบหูต่อ พลางเอ่ยพูดออกไป “คุณยังอยู่หรือเปล่า?”
ตอนนี้ฉินสุ่ยซานได้เดินเข้ามาพอดี มู่น่อนน่อนมองไปทางเธอแวบนึง แล้วดันเมนูอาหารไปตรงหน้าฉินสุ่ยซาน
จากนั้น ในสายจึงได้มีเสียงลี่จิ่วเชียนดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ขอโทษนะ น่อนน่อน ผมมีธุระนิดหน่อยแค่นี้ก่อนนะ”
“งั้นคุณ…”
ไม่รอให้มู่น่อนน่อนได้เอ่ยปากพูดอะไรออกไป ลี่จิ่วเชียนก็ได้วางสายไปทันที
มู่น่อนน่อนเอาโทรศัพท์ลง มองโทรศัพท์ที่ถูกวางสายไป ตรงระหว่างคิ้วขมวดครุ่นคิดขึ้นมา
ทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่าลี่จิ่วเชียนเหมือนกับจงใจวางสายเธอกันนะ?
ปกติแล้วลี่จิ่วเชียนเป็นคนที่ทำอะไรมักจะตระหนักถึงคนอื่นเสมอ ถึงแม้ว่าจะเจอเรื่องอะไร ก็สามารถควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ มีท่าทีสงบนิ่งประหนึ่งไร้คลื่นที่คอยผันผวนอยู่
แต่เมื่อกี้นี้ น้ำเสียงของเขาฟังไปแล้วเหมือนจะผิดปกติอยู่บ้าง
ส่วนผิดปกติที่ตรงไหนนั้น มู่น่อนน่อนเองก็ไม่อาจคาดเดาได้เหมือนกัน
“เฮ้!”
ฉินสุ่ยซานยื่นมือไปโบกที่ตรงหน้ามู่น่อนน่อน มู่น่อนน่อนถึงได้เรียกสติกลับมาในทันที แล้วมองไปทางฉินสุ่ยซาน
มืออีกข้างนึงของฉินสุ่ยซานเท้าอยู่ที่บนโต๊ะอาหาร ตัวเธอได้โน้มเข้ามาข้างหน้า “เธอคิดอะไรอยู่น่ะ? ฉันเรียกเธอหลายครั้งแล้วเธอก็ไม่สนใจฉันเลย”
เมื่อกี้มู่น่อนน่อนกำลังคิดไปอย่างใจจดใจจ่อไปหน่อย จึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าฉินสุ่ยซานกำลังเรียกเธออยู่ด้วย
“ไม่ได้มีอะไร” มู่น่อนน่อนหลุบตามองต่ำลง สายตาจรดไปที่บนเมนูอาหารที่อยู่ตรงหน้าฉินสุ่ยซาน แล้วถามเธอออกไป “สั่งอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”
ฉินสุ่ยซานพยักหน้าออกมาเล็กน้อย “สั่งเรียบร้อยแล้ว”
ตอนที่เธอพูดออกมา สายตายังคงอยู่ที่ตัวของมู่น่อนน่อน
ตอนนี้ฉินสุ่ยซานมีความสนใจต่อความสัมพันธ์ของมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียว และลูกสาวของเฉินถิงเซียวที่ปรากฏตัวในงานเลี้ยงคนนั้นเป็นพิเศษ
แต่เธอก็เข้าใจดีว่ามู่น่อนน่อนไม่มีทางจะบอกเธอ คิดๆไปแล้วก็จำต้องช่างมันไป
หลังจากนั้นตอนที่กินข้าว มู่น่อนน่อนเอาแต่คิดเรื่องลี่จิ่วเชียนอยู่ตลอด ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง
เกี่ยวเนื่องจากคำพูดของเฉินถิงเซียวเมื่อก่อนหน้านี้ แสดงให้เห็นว่าที่ตัวลี่จิ่วเชียนมีจุดที่น่าสงสัยมันเยอะมากเลยจริงๆ เธอต้องไปหาเขาอีกสักหน่อย
กินข้าวเสร็จ มู่น่อนน่อนกับฉินสุ่ยซานได้กลับมาที่สตูดิโอ
ตอนบ่ายที่สตูดิโอไม่มีงานอะไร มู่น่อนน่อนจึงได้กลับออกไปก่อน
ตอนที่เธอออกมา รถคันนั้นที่ตามมาเมื่อเช้ายังตามเธอมาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
คนที่อยู่บนรถคันนั้นเหมือนจะรู้ว่ามู่น่อนน่อนเห็นพวกเขามาตั้งนานแล้ว ก็เลยไม่ได้ตั้งใจจะหลบๆซ่อนๆอีก ตามมาอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็ยังรักษาระยะห่างเอาไว้
มู่น่อนน่อนขับรถมาจอดอยู่ที่ตรงที่สำหรับจอดรถชั่วคราว เอารถไปจอดที่ข้างถนน แล้วผันร่างเดินไปยังรถคันที่ตามเธอมาคันนั้น
เธอเดินเข้าไปที่ตรงหน้ารถ ยื่นมือไปเปิดประตูรถ
เธอลองเปิดดู ปรากฏว่าเปิดไม่ออก…
มู่น่อนน่อนยกเท้าขึ้นไปเตะที่ตัวรถไปทีนึงด้วยความไม่สบอารมณ์ น้ำเสียงเยือกเย็นขึ้นมาเล็กน้อย “เปิดประตู! อย่ามาเล่นลูกไม้หน้าด้านๆ ฉันรู้ว่าเฉินถิงเซียวส่งพวกนายมา”
คนในรถได้ยินอย่างนั้น จึงได้ปลดล็อก แล้วเปิดประตูลงจากรถ
การ์ดรูปร่างสูงใหญ่สองสามคน ยืนเรียงแถวกันอยู่ตรงหน้ามู่น่อนน่อน ยืนกันเป็นเส้นตรงอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นก็ส่งเสียงกันออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความนอบน้อม “คุณหญิงน้อย!”
มู่น่อนน่อนจนใจอยู่บ้าง “นับตั้งแต่ตอนนี้ไปพวกนายไม่ต้องตามฉันมาอีกแล้ว ฉันจะไปจัดการเรื่องส่วนตัวสักหน่อย”
แน่นอนว่าการ์ดไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว “แต่ว่าคุณผู้ชายสั่งว่า…”
มู่น่อนน่อนเอ่ยขัดคำพูดของเขาออกมาทันที “ฉันไม่สนว่าเขาจะสั่งมายังไง ไม่ใช่ว่าจะมีคนต้องการจะฆ่าฉันเสียหน่อย ก็แค่นักข่าวไม่กี่คนเท่านั้นเอง ฉันหลบได้หรอก”
การ์ดไม่ได้พูดอะไรออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดจะฟังคำพูดของมู่น่อนน่อนเลย
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ที่ข้างๆประตูรถ เมื่อกี้ตอนที่การ์ดพวกนี้ลงจากรถมา ก็ได้ลงจากอีกด้านหนึ่งของรถ
เธอเหลือบมองลูกบิดประตูรถไปนิ่งๆไม่แสดงอารมณ์ออกมา พลางถามออกไป “ก็แค่ให้พวกนายไม่ต้องตามฉันมาชั่วคราวเท่านั้นเอง ก็ไม่ได้งั้นเหรอ?”
การ์ดไม่กี่คนนั้นได้กดหัวลงต่ำกว่าเดิม
มู่น่อนน่อนหรี่ตาลงเล็กน้อย ทันใดนั้นเองก็ได้ดึงประตูรถออก โน้มตัวเข้าไปดึงกุญแจรถออกมา แล้วถอยออกมาทันที แล้วโยนกุญแจรถออกไปสุดแรง ไม่รู้เหมือนกันว่าโยนไปที่ไหน
การ์ดนึกไม่ถึงว่ามู่น่อนน่อนจะมาไม้นี้
ตอนที่มู่น่อนน่อนออกมาจากรถ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้จุดประสงค์ของมู่น่อนน่อนอยู่แล้ว แต่ก็ไม่กล้าไปแย่งกุญแจรถมา
ถ้าระหว่างการแย่งกุญแจรถนั้น ควบคุมแรงไม่ดีไปทำให้มู่น่อนน่อนบาดเจ็บขึ้นมา ถึงตอนนั้นแล้วเฉินถิงเซียวจะต้องถลกหนังพวกเขาแน่
มู่น่อนน่อนยกมุมปากโค้งขึ้น พลางผายมือออกไป “รีบไปหากุญแจรถสิ!”
พูดจบ เธอก็ผันร่างวิ่งไปที่รถของตัวเอง
พอเธอขึ้นรถไป ก็ขับรถหนีไป ส่วนการ์ดที่อยู่ด้านหลังยังหากุญแจรถกันอยู่
มู่น่อนน่อนขับรถเปลี่ยนทิศทางไปเรื่อยๆ เมื่อแน่ใจแล้วว่าการ์ดพวกนั้นที่เฉินถิงเซียวส่งมาให้เธอหาเธอไม่เจอแล้ว จึงได้ขับไปที่คลินิกจิตเวชของลี่จิ่วเชียน
ตอนที่เธอมาถึง ผู้ช่วยของลี่จิ่วเชียนกำลังเมาท์มอยอยู่กับสาวน้อยทั้งสองคนที่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์อยู่
พวกเธอต่างก็รู้จักมู่น่อนน่อนกันทั้งนั้น
“คุณมู่ คุณมาหาคุณหมอลี่ใช่มั้ยคะ?”
“ใช่ เขากำลังยุ่งอยู่หรือเปล่า?” มู่น่อนน่อนยิ้มพลางเอ่ยออกไป
ผู้ช่วยมองไปทางด้านในแวบนึง แล้วเอ่ยออกมา “ก่อนหน้านี้คุณหมอลี่ได้ออกไปแล้ว ยังไม่ได้กลับมาเลยค่ะ ไม่งั้นคุณก็ลองรอเขาอีกสักแป๊บนึงมั้ยคะ?”
“ออกไปแล้ว?” มู่น่อนน่อนนึกไม่ถึงว่าลี่จิ่วเชียนจะไม่อยู่
หลังจากที่มู่น่อนน่อนประหลาดใจไปชั่วครู่นึง ก็ได้เอ่ยถามออกไป “เขาได้บอกมั้ยว่าไปไหน? จะกลับมาเมื่อไหร่?”
ผู้ช่วยส่ายหน้าออกมาเล็กน้อย “คุณหมอลี่ไม่ได้บอกค่ะ ฉันก็ไม่ได้ถามไปด้วยเหมือนกัน แต่สามารถโทรหาเขาได้นะคะ”
เดิมทีแล้วมู่น่อนน่อนก็นึกจะมาก็มาเลยอยู่แล้วด้วย ในเมื่อลี่จิ่วเชียนไม่อยู่ ก็ช่างเถอะ
เธอปฏิเสธข้อแนะนำของผู้ช่วย ยิ้มพลางเอ่ยออกไปว่า “ไม่ต้องหรอก ครั้งหน้าฉันค่อยมาใหม่แล้วกัน”
“ได้ค่ะ คุณมู่เดินทางปลอดภัยนะคะ”
มู่น่อนน่อนผันร่างออกไป ทันทีที่เดินไปที่ประตู ก็นึกเรื่องที่เจอลี่จิ่วเชียนที่โรงแรมจีนติ่งเมื่อตอนเที่ยงขึ้นมาได้ จึงหันหน้าไปถามผู้ช่วยอีกครั้ง “วันนี้เมื่อตอนเที่ยงลี่จิ่วเชียนกินอะไร?”
“กินอาหารเดลิเวอรี่ที่ฉันสั่งมาให้เขาค่ะ” ถึงแม้ว่าผู้ช่วยจะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆมู่น่อนน่อนถึงได้ถามเรื่องนี้ออกมา แต่ก็ได้พูดความจริงออกไป
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปเล็กน้อย “อาหารเดลิเวอรี่?”
ถ้าเมื่อตอนเที่ยงอาหารที่ลี่จิ่วเชียนกินเป็นอาหารเดลิเวอรี่ แล้ว “ลี่จิ่วเชียน” ที่เธอเจอที่โรงแรมจีนติ่งคนนั้นเป็นใครอีกกัน?
“ใช่ค่ะ ก็ร้านอาหารที่อยู่บนถนนฝั่งตรงกันข้ามสายนั้นไงคะ คุณหมอลี่สั่งอาหารจากร้านนั้นตลอดเลย ตอนนี้ก็ได้กลายเป็นสมาชิกระดับพรีเมียมวีไอพีของร้านอาหารร้านนั้นไปแล้ว!”
ผู้ช่วยเห็นสีหน้ามู่น่อนน่อนแปลกไป จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?”
มู่น่อนน่อนระงับอารมณ์ที่ปรากฏออกมาบนใบหน้า พลางเอ่ยออกไปด้วยสีหน้าที่เป็นปกติ “เขาเป็นผู้ชายตัวโตคนหนึ่ง ทำงานยุ่งทั้งวัน ทางด้านอาหารการกินจะต้องไม่ค่อยได้คำนึงถึงแน่เลย ในฐานะที่เป็นเพื่อนกัน ก็ควรจะต้องเป็นห่วงเป็นใยเขาสักหน่อย”
ผู้ช่วยเชื่อคำพูดของมู่น่อนน่อนไปอย่างง่ายดาย จากนั้นก็ส่ายหน้าพลางเอ่ยออกมาว่า “ก็ใช่ค่ะ คุณหมอลี่เป็นคนดีขนาดนั้น ที่เมืองหู้หยางก็ไม่มีเพื่อนอะไรกับเขาเลยด้วย แล้วยังทำงานล่วงเวลาอยู่เป็นประจำ…คุณมู่คุณมีเวลาก็แนะนำเขาหน่อยนะคะ…”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากออกมาเล็กน้อย “อืม ฉันจะพูดกับเขาให้ ฉันขอตัวกลับก่อนนะ”
“คุณมู่ ลาก่อนค่ะ”
“ลาก่อน”
เพราะว่ามูลค่าข่าวของตัวมู่น่อนน่อนมันเยอะมาก นักข่าวบันเทิงพวกนั้นก็เลยจะยิ่งไม่มีทางปล่อยเธอไป
เมื่อกี้รถคันนั้นขับตามเธอมาตลอดทาง ถ้าไม่ใช่นักข่าวบันเทิง งั้นก็มีความเป็นไปได้อย่างเดียว…
มู่น่อนน่อนหรี่ตาลงเล็กน้อย คล้องแขนของฉินสุ่ยซาน ลากเธอเดินไปยังด้านในสตูดิโอ
“ไปกันเถอะ พวกเราปล่อยไปก่อนเถอะ”
ในเมื่อรถคันนั้นได้ขับออกไปแล้ว พวกเธอยืนครุ่นคิดพิจารณากันอยู่ที่นี่ไปมันก็ไม่มีความหมายอะไรเลยด้วย
ทั้งสองคนเข้าสตูดิโอไป มู่น่อนน่อนถือโอกาสช่องว่างระหว่างที่ไปชงกาแฟมา โทรไปหาเฉินถิงเซียว โทรศัพท์ดังอยู่สองทีก็ถูกคนรับสาย
เฉินถิงเซียวถึงแม้ว่าจะรับสาย แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา
มู่น่อนน่อนก็เลยต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเขาออกไปก่อน “คุณส่งคนมาตามฉัน?”
ทางนั้นเงียบอยู่แป๊บนึง จากนั้นก็มีเสียงเย็นชาของเฉินถิงเซียวดังขึ้นมา “เปล่า”
น้ำเดือดแล้ว มู่น่อนน่อนเอาแก้วไปวางที่ช่องรับน้ำ หลังจากที่เปิดสวิตช์ ก็ได้ค่อยๆพูดออกไป “คุณรู้หรือเปล่า? ตอนที่คุณปากแข็ง น้ำเสียงที่พูดจะฟังดูเย็นชากว่าตอนที่พูดคุยปกติไปนิดนึงอย่างไม่รู้ตัว”
สิ่งที่ตอบเธอกลับมา คือความเงียบประหนึ่งได้ตายไปช่วงนึงก็ไม่ปาน จากนั้นก็มีเสียง “ตู๊ด” ของการถูกตัดสายไปดังขึ้นมา
มู่น่อนน่อนวางโทรศัพท์ลง แสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย
ผู้ชายคนนี้ บางครั้งดื้อดึงปากแข็งเสียจนน่ารัก บางครั้งก็ยึดติดกับบางอย่างมากเกินไปเสียจนน่าเกลียดสุดๆด้วยอีก
จะทำยังไงได้ล่ะ?
ทั้งยังไม่สามารถแยกทางกันไปได้อีกด้วย ทำได้แค่เพียงค่อยเป็นค่อยไป
……
มู่น่อนน่อนก่อนที่จะประชุม ก็ได้เข้าไปดูWeiboอีกแป๊บนึง เธอพบว่าคำค้นหายอดนิยมที่ติดเทรนอันดับหนึ่งได้ถูกหัวข้อประเด็น “เจ้าหญิงน้อยของบริษัทเฉินซื่อ” ขึ้นมาบนสุดอีกที
คนพวกนี้อยากรู้อยากเห็นเรื่องเฉินมู่และแม่ผู้ให้กำเนิดของเฉินมู่มากเลย ไถกันจนขึ้นคำค้นหายอดนิยมกันเลย
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ข้างๆฉินสุ่ยซาน พลางเอียงหัวไปถามเธอเบาๆ “ยกเลิกคำค้นหายอดนิยมได้ยังไง? ติดต่อทางแพลตฟอร์มไปโดยตรงได้เลยหรือเปล่า?”
“เธออยากจะยกเลิกคำค้นหายอดนิยมอะไร?” ฉินสุ่ยซานหันหน้ามา ก็มีท่าทีมองทะลุไปถึงความคิดที่อยู่ในก้นบึ้งภายในใจของเธอออกมา
มู่น่อนน่อนเลิกคิ้วออกมาเล็กน้อย “ไม่บอกก็ช่างมันเถอะ”
“พูดแล้วๆๆ ฉันจะไม่บอกได้ยังไง ฉันว่านะ ตอนนี้เธออยู่ต่อหน้าฉัน นับวันจะยิ่งกำเริบเสิบสานขึ้นมาเรื่อยๆแล้ว” ฉินสุ่ยซานพูดมาอย่างนี้ แต่ก็ยังบอกวิธีการยกเลิกคำค้นหายอดนิยมกับเธอมา ทั้งยังช่วยเธอติดต่อกับคนของทางแพลตฟอร์มไปด้วย
มู่น่อนน่อนติดต่อคนของทางแพลตฟอร์มมาได้แล้ว ตกลงราคากันไปเรียบร้อย เพียงไม่นานคำค้นหายอดนิยมก็ได้ยกเลิกไป
หลังจากการประชุมได้สิ้นสุดลง ฉินสุ่ยซานก็ข่มกลั้นความอยากรู้ภายในใจเอาไว้ไม่อยู่ “เด็กคนนั้น ก็คือลูกสาวของเธอกับเฉินถิงเซียวใช่มั้ย? พวกเธอยังคบอยู่ด้วยกันอยู่ใช่มั้ย?”
มู่น่อนน่อนเบือนหน้าไป มองฉินสุ่ยซานไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ยิ้มพลางเอ่ยออกไป “เธออยากรู้?”
“อืม” ฉินสุ่ยซานพยักหน้ายอมรับออกมาเล็กน้อย
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนได้กดลึกขึ้นกว่าเดิม “ทายเอาเองสิ”
ฉินสุ่ยซานฉีกดึงมุมปากออกมาเล็กน้อย โกรธจนอยากจะตีมู่น่อนน่อนเลยทีเดียว “ความสัมพันธ์ของพวกเราก็เป็นอย่างนี้แล้ว เธอยังไม่พูดความจริงกับฉันอีก?”
“ใช่แล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเราดีขนาดนี้แล้ว ตอนเที่ยงฉันเลี้ยงข้าวเธอเป็นไง?” มู่น่อนน่อนยิ้มพลางเอ่ยออกไป
ฉินสุ่ยซานรู้สึกว่าหมัดที่ชกออกไปที่อีกฝ่ายของตนเหมือนกับชกเข้าไปที่สำลีเลยก็ไม่ปาน แต่มู่น่อนน่อนกลับรำมวยจีนมากับเธอ เธอเองก็อับจนหนทางไปด้วย
ถึงแม้ว่าภายในใจเธอคาดเดาว่าเด็กน้อยที่ปรากฏตัวที่งานเลี้ยงวันนั้น ก็คือลูกสาวของเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อน แต่ตลอดทั้งวันมู่น่อนน่อนไม่ปริปากยอมรับออกมา เธอก็ไม่สามารถมั่นใจมากไปว่านั่นก็คือลูกสาวของพวกเขาได้
ใครมันจะไม่มีความอยากรู้อยากเห็นในใจเลยสักนิดเดียวบ้าง?
ฉินสุ่ยซานคิดว่าคนเรา เธอแทบจะถูกความอยากรู้อยากเห็นในใจอันนั้นทำเอาจะเป็นบ้าอยู่แล้ว แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ให้เธอได้สำราญใจสักหน่อยเลยเช่นกัน
ฉินสุ่ยซานตัดสินใจจะฆ่ามู่น่อนน่อนไปสักยกนึง
เธอมองมู่น่อนน่อนไปแวบนึง พลางเอ่ยออกไปด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “ฉันจะไปกินที่โรงแรมจีนติ่ง!”
มู่น่อนน่อนตอบรับมาเต็มปากเต็มคำ “ได้สิ”
ตอนนี้เธอไม่ได้ขาดแคลนเงินจำนวนนั้นสำหรับไปกินที่โรงแรมจีนติ่งอยู่แล้ว
……
ตอนเที่ยงมู่น่อนน่อนกับฉินสุ่ยซานไปกินข้าวด้วยกันที่โรงแรมจีนติ่ง รถที่ขับเป็นรถของฉินสุ่ยซาน
ขับไปไม่ได้ไกลนัก ฉินสุ่ยซานก็ได้พบว่ามีรถตามพวกเธอมา
ตอนที่ข้ามแยกไฟแดงแห่งหนึ่ง ฉินสุ่ยซานได้ส่งสัญญาณให้มู่น่อนน่อนมองกระจกมองหลัง “นั่นใช่รถคันนั้นที่ตามเธอมาเมื่อเช้าใช่มั้ย ตอนที่เราเพิ่งจะออกมา ก็ตามหลังพวกเรามาตลอดเลย”
มู่น่อนน่อนเพียงแค่มองไปแวบนึง แล้วก็เคลื่อนสายตาออกไป “ไม่ต้องไปสนพวกเขา”
คนพวกนั้นตามพวกเธอไปโรงแรมจีนติ่งมาตลอดทาง
ตอนที่ลงจากรถ ฉินสุ่ยซานพูดว่า “ฉันคิดว่าพวกเขาไม่เหมือนกับนักข่าวบันเทิงเลยสักนิดเดียว แต่กลับเหมือนกับบอดี้การ์ดเลย ตามอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันเกินไป”
มู่น่อนน่อนยิ้มออกมาเล็กน้อยจนยากที่จะสังเกตเห็นได้ แล้วลากฉินสุ่ยซานเดินเข้าโรงแรมจีนติ่งไป “พอแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
เป็นเวลาทานอาหารกลางวัน คนที่กินข้าวในโรงแรมจีนติ่งเยอะมาก
เส้นสายของฉินสุ่ยซานกว้างขวาง มู่น่อนน่อนตามเธอเข้าไปด้วยกัน ยังไม่ทันได้นั่งลงที่หน้าโต๊ะอาหาร ฉินสุ่ยซานก็ได้หยุดทักทายคนไปหลายครั้งมากแล้ว
ขอบเขตเมืองหู้หยางใหญ่ขนาดนี้ มีเพียงแค่โรงแรมจีนติ่งที่เดียว ที่แน่นอนว่าจะต้องเจอคนรู้จักเข้าอยู่แล้ว
คนพวกนั้นที่ทักทายกับฉินสุ่ยซานแน่นอนว่ารู้จักมู่น่อนน่อนด้วยเหมือนกัน พวกเขาได้ส่งสายตาอยากรู้อยากเห็นมาทางมู่น่อนน่อน แต่กลับไม่ได้พูดอะไรและถามอะไรออกมามากมาย
ต่างก็เป็นพวกที่มีไหวพริบดีกันทั้งนั้นเลย
ตอนที่ฉินสุ่ยซานหยุดทักทายคนอื่นอีกครั้ง มู่น่อนน่อนก็ไปพูดที่ข้างๆใบหูของเธอว่า “ฉันเข้าไปก่อน เธอจัดการตัวเองเสร็จแล้วก็ตามมา”
“อืม ฉันทราบแล้ว” ฉินสุ่ยซานพยักหน้าออกมา พลางดันเธอออกไปเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปนั่งลงที่ข้างหน้าโต๊ะอาหารเพียงคนเดียว พนักงานก็ได้ถือเมนูอาหารเดินเข้ามา
เธอมองดูเมนูอาหารไปแป๊บนึง สั่งอาหารไปก่อนสองอย่าง แล้วก็รอฉินสุ่ยซานเข้ามา
มู่น่อนน่อนมองไปทางฉินสุ่ยซานแวบนึง รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง จึงหันไปมองทางอื่น
ในทันใดนั้นเอง เธอเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งในกลุ่มคน
เธอมองเงาร่างที่คุ้นเคยร่างนั้น แล้วส่งเสียงเรียกพึมพำออกมา “ลี่จิ่วเชียน?”
ลี่จิ่วเชียนวันนี้สวมชุดลำลองสีดำตลอดทั้งตัวมาโดยที่หาเจอได้ยากมากจากเขา ผมยาวกว่าปกติอยู่บ้าง เนื่องจากระยะห่างออกมาไกลหน่อย มู่น่อนน่อนจึงมองเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัด
แต่ถึงยังไงก็เคยอยู่ร่วมกันมาเป็นช่วงเวลาหนึ่ง แค่แวบตาเดียวมู่น่อนน่อนก็จำได้แล้วว่าเป็นเขา
แต่ทว่า ในความทรงจำของเธอ ลี่จิ่วเชียนชอบสวมชุดสีอ่อนมาโดยตลอด เพราะความเกี่ยวข้องกับงาน เขาเหมือนกับเฉินถิงเซียว ทุกวันก็จะสวมชุดสูทอยู่ตลอด
นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เห็นลี่จิ่วเชียนสวมชุดลำลองเลย ก็เลยรู้สึกว่ามันหาเจอได้ยากอยู่บ้าง
ลี่จิ่วเชียนกำลังยืนพูดอะไรบางอย่างกับพนักงานอยู่ที่ตรงนั้น
ระยะห่างห่างออกมาค่อนข้างไกล มู่น่อนน่อนไม่กล้าเรียกเขาด้วยเหมือนกัน จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเขา
ตอนที่เธอต่อสายไป สายตาได้จับจ้องไปที่ลี่จิ่วเชียนไปอย่างไม่ละสายตา
เพียงแต่ว่านาทีก่อนที่จะต่อสายติด ลี่จิ่วเชียนก็ได้ผันร่างเดินออกไปเสียแล้ว
หลังจากที่โทรติด เสียงดังขึ้นมาหลายครั้ง กว่าจะถูกลี่จิ่วเชียนรับสาย
เสียงของลี่จิ่วเชียนเหมือนกับเมื่อก่อน ประดับไปด้วยความรู้สึกเชิงเย้าหยอกออกมา “น่อนน่อน? ทำไมวันนี้ถึงได้มีเวลาโทรหาผมได้?”
มู่น่อนน่อนหัวเราะตามออกมาเล็กน้อย แล้วเอ่ยออกมา “เมื่อกี้ฉันเห็นคุณ คุณก็มากินข้าวที่โรงแรมจีนติ่งด้วยเหมือนกันเหรอ?”
ลี่จิ่วเชียนที่อยู่ทางปลายสายเงียบไปครู่ใหญ่ๆ มู่น่อนน่อนส่งเสียงเรียกเขาออกไปอีกครั้งด้วยความสงสัยเล็กน้อย “ลี่จิ่วเชียน?”
อีกทั้ง ความร้อนแรงของWeiboนี้ สูงมากเป็นประวัติการณ์
จำนวนการส่งต่อและการคอมเมนต่างก็เกินแสนกันไปหมดแล้ว และยังคงเพิ่มขึ้นมาไม่หยุด
มู่น่อนน่อนเมื่อก่อนหน้านี้หลังจากที่ถูกจับขึ้นคำค้นหายอดนิยมไปแล้ว เฉินถิงเซียวก็ได้กดคำค้นหายอดนิยมพวกนั้นลงไปทันทีโดยไม่ยั้งคิด
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่อะไรเด็ดเดี่ยวคนหนึ่ง คร้านจะไปสนใจพวกเธอ ให้ความสนใจเพียงแค่ผลลัพธ์เท่านั้น
แต่ครั้งนี้หลักๆเป็นเพราะว่าซูเหมียนทำเขารำคาญขึ้นมาแล้ว เขาจึงจัดการแก้ปัญหาเรื่องนี้ไปซึ่งๆหน้าเลย
ทางWeiboออฟฟิเชียลของบริษัทเฉินซื่อเองก็มีแฟนคลับที่เป็นบัญชีผู้ใช้จริงๆหลายสิบล้านคนเช่นกัน บัญชีทางการออกมาชี้แจง ก็สามารถโน้มน้าวชวนให้น่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก
มู่น่อนน่อนกดเปิดคอมเมนด้านล่าง แทบจะทั้งหมดต่างเป็นการปรบมือชื่นชมกันทั้งนั้นเลย แต่ทว่าก็ยังมีข้อยกเว้นอื่นอยู่บ้าง
“Weiboออฟฟิเชียลอันนี้คงไม่ได้ถูกแฮคมาหรอกมั้งใช่มั้ย?”
“การหมั้นหมายของเฉินถิงเซียวกับคุณหนูซูท่านนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว ทำไมถึงได้รอให้ถึงตอนนี้ถึงได้ออกมาชี้แจง ก่อนหน้านี้เขามัวไปทำอะไรอยู่?”
“ฉันคิดเหมือนกับข้างบน ฉันสงสัยว่าเฉินถิงเซียวคนนี้จะต้องเป็นชู้กับคุณหนูซูท่านนี้…”
เป็นชู้กัน เป็นชู้บ้านย่าเธอสิ
มู่น่อนน่อนยิ้มเย็นออกมา แล้วก็ได้เลื่อนลงไปอีก
ตอนหลังยังมีบางคนที่มองดูความวุ่นวายไปพลางเสี้ยมให้เรื่องราวมันใหญ่โตมากขึ้นกว่าเดิมไปพลางอยู่บ้าง
“@อดีตภรรยาคุณชายเฉิน โอกาสของคุณมาแล้ว”
“มาเริ่มพนันกันถึงความเป็นไปได้ที่เฉินถิงเซียวกับอดีตภรรยาของเขาจะกลับมาคบกันใหม่สักหน่อย”
“แล้วตกลงแล้วเด็กคนนั้นเป็นของใครกันแน่?”
“Weiboออฟฟิเชียล แม่ของเจ้าหญิงน้อยของพวกคุณตกลงแล้วเป็นใครกันแน่?”
เห็นพวกเขาได้พูดถึงเฉินมู่กันขึ้นมาอีก มู่น่อนน่อนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วออกมา
มู่น่อนน่อนกลับมาที่หน้าWeiboของตัวเอง การแจ้งเตือนข่าวสารก็ยังเป็น99+
เธอโพสต์Weiboน้อยมาก แต่หลายวันนี้การแจ้งเตือนข่าวสารของเธอมีมาไม่หยุดเลย อ่านไม่จบไม่สิ้นเลย
มู่น่อนน่อนออกจากWeiboไป กลับไปคุยกับเสิ่นเหลียงในวีแชทต่อ
เมื่อกี้ตอนที่เธอไปเลื่อนดูในWeibo เสิ่นเหลียงก็ได้ส่งข้อความมาให้เธอเยอะมากอีกครั้ง
“ตอนนี้ฉันอยากรู้มากเลยว่าซูเหมียนมีสีหน้ายังไงออกมา”
“เธอไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่ผ่านมา ซูเหมียนนั้นมักจะซื้อบทความข่าวอยู่เป็นประจำ…”
เรื่องเมื่อสามปีก่อนนั้น ในเมื่อมันได้เกิดขึ้นมาแล้ว มู่น่อนน่อนเองก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปคิดเล็กคิดน้อยอีก
ตอนนี้สิ่งที่เธอกังวลคือคนพวกนั้นให้ความสนใจไปกับเฉินมู่กันด้วยใจแรงกล้ามากเกินไป
เฉินมู่ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเปิดเผยใบหน้ามาก่อน แต่ก็ยากที่จะรับประกันว่าจะมีนักข่าวที่มีความอาจหาญมากจะคิดหาทุกวิถีทางเพื่อแอบถ่ายเฉินมู่ขึ้นมาด้วยเหมือนกัน
เดิมทีมันก็เป็นเรื่องระหว่างผู้ใหญ่ แต่กลับเอาเด็กเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย
ภายในใจของมู่น่อนน่อนเกิดความหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
“วันนี้เธอไม่ยุ่งเหรอ?” เธอส่งข้อความนี้ไปหาเสิ่นเหลียง แล้วก็เอาโทรศัพท์ไปห้องน้ำไปล้างหน้าบ้วนปาก
วันนี้เธอยังต้องไปหาฉินสุ่ยซานเพื่อพูดคุยกันเรื่องบทละครอีก
บนอินเทอร์เน็ตอยู่ในความร้อนแรงไปหมด แต่สำหรับชีวิตจริงของเธอ มันไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรเลย
ตอนนี้เรื่องนี้ได้ใหญ่โตขึ้นมาขนาดนี้แล้ว เธอในฐานะที่เป็น “อดีตภรรยา” ของเฉินถิงเซียว แน่นอนว่าสื่อเหล่านั้นไม่มีทางจะปล่อยเธอไปอย่างแน่นอน
วันนี้เธอออกจากบ้านมาต้องระมัดระวังสักหน่อยถึงจะได้
มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงคุยกันหลายประโยค แล้วก็ได้วางโทรศัพท์ลง
เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เธอก็ได้ไปที่ห้องของเฉินมู่
เฉินมู่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว กำลังนั่งขยับตุ๊กตาสองตัวเล่นพ่อแม่ลูกเสียงพึมพำอยู่บนเตียง
คนใช้เฝ้าอยู่ที่ข้างๆเตียง พอเห็นมู่น่อนน่อนเข้ามา ก็ได้เดินเข้ามาหาเธอทันที “คุณหญิง คุณหนูน้อยไม่ให้ดิฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอค่ะ บอกว่าจะรอให้คุณมา”
ที่บ้านมีสาวใช้คอยดูแลเฉินมู่โดยเฉพาะ ตอนที่มู่น่อนน่อนไม่อยู่ ชีวิตความเป็นอยู่ของเฉินมู่ล้วนมีสาวใช้เป็นคนดูแลให้ทั้งหมด
เฉินมู่เล่นจนใจจดใจจ่อไปหน่อย ตอนนี้จึงไม่ได้สังเกตเห็นว่ามู่น่อนน่อนมาแล้ว
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป ถามสาวใช้เสียงเบาออกไป “ตอนที่ฉันไม่อยู่ล่ะ? เธอกินข้าวสวมเสื้อผ้าไปอย่างว่าง่ายหรือเปล่า?”
สาวใช้ได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา พลางเอ่ยออกมาว่า “ว่าง่ายสุดๆไปเลยค่ะ”
“ฉันเข้าใจแล้ว” มู่น่อนน่อนพยักหน้าออกมาเล็กน้อย “ฉันจัดการเอง เธอไปทำงานของเธอเถอะ”
“ค่ะ” สาวใช้ถอยออกไป
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนออกมา “มู่มู่ ตื่นแล้ว”
เฉินมู่เงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าเป็นมู่น่อนน่อน ดวงตาก็สว่างวาบออกมาทันที “คุณแม่!”
มู่น่อนน่อนยิ้มออกมาเล็กน้อย โน้มตัวไปอุ้มเธอขึ้นมา
“ยืนให้ดี คุณแม่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หนู” มู่น่อนน่อนเอาหุ่นในมือเธอลง “เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีกเดี๋ยวค่อยเล่น”
มู่น่อนน่อนช่วยเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงพาเธอลงไปกินข้าวเช้าที่ข้างล่าง
เห็นภาพเฉินมู่กินข้าวไปอย่างว่าง่าย มู่น่อนน่อนเกิดความอาลัยอาวรณ์ไม่อยากไปขึ้นมาบ้างจริงๆ
อยากจะพาเฉินมู่ออกไปด้วยกัน แต่เธอกังวลว่าระหว่างทางจะถูกนักข่าวเข้ามาขวางเอาไว้
ในช่วงเวลาแบบนี้ ยังต้องระมัดระวังเอาไว้สักหน่อยดีกว่า
ตอนที่มู่น่อนน่อนไป กล่อมเฉินมู่อยู่สักพักใหญ่ๆกว่าจะกล่อมเธอเสร็จ
จากนั้นมู่น่อนน่อนก็ได้ขับรถออกจากบ้านไป
เธอไปได้ไม่ไกล ก็รู้สึกได้ว่าด้านหลังมีรถตามเธอมา
หรือว่าจะเป็นนักข่าวงั้นเหรอ?
นักข่าวคนไหนกันที่ข่าวไวขนาดนี้ แม้แต่ที่อยู่ของบ้านใหม่ของเฉินถิงเซียวก็ยังหาเจอหมด?
ออกจากบ้านมาก็ตามเธอมาเลย จะต้องแอบซุ่มตัวอยู่ที่นี่มาก่อนแน่ๆเลย
มู่น่อนน่อนพยายามที่จะสลัดรถคันข้างหลังไป แต่เธอพบว่านั่นมันไร้ประโยชน์เอาเปล่าๆ ไม่ว่าจะยังไงก็สลัดไปไม่ได้เลย
ในที่สุด เธอก็มาถึงที่หน้าประตูสตูดิโอของฉินสุ่ยซานแล้ว
เธอมองกระจกมองหลัง รถคันนั้นที่ตามเธอมาตลอด ได้จอดอยู่ในที่ไม่ไกลออกไปเช่นกัน
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาฉินสุ่ยซาน “มีคนตามฉันมา เธอเรียกรปภ.สักสองคนออกมารับฉันหน่อย”
ฉินสุ่ยซานในฐานะที่เป็นคนทำงานบันเทิงด้วยครึ่งนึง จึงมีความรู้สึกไวต่อข่าวบันเทิงเป็นอย่างมาก
เรื่องที่ช่วงก่อนเช้าตรู่ของเมื่อคืนวานWeiboออฟฟิเชียลของบริษัทเฉินซื่อได้ชี้แจงออกมา แน่นอนว่าฉินสุ่ยซานก็รู้เช่นกัน
ไม่ต้องให้มู่น่อนน่อนอธิบายมาให้มากมาย ฉินสุ่ยซานก็รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เธอเองก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปมากมาย ก็ได้เอ่ยพูดออกไป “ฉันจะนำคนลงไปเดี๋ยวนี้”
ฉินสุ่ยซานลงมาเร็วมาก เธอไม่เพียงจะพารปภ.มา แต่ยังพาพนักงานสองคนของสตูดิโอของเธอมาด้วย เป็นหนุ่มน้อยวัยรุ่นรูปร่างสูงใหญ่
เธอเดินเข้ามาตรงหน้ามู่น่อนน่อน ตบลงไปที่ประตูรถไปเบาๆ “ลงมาเถอะ คนที่ตามเธอมาที่เธอบอกอยู่ที่ไหนล่ะ?”
มู่น่อนน่อนชี้ไปที่รถคันสีดำทางข้างหลัง
ฉินสุ่ยซานหันมองไปทางพนักงานทั้งสองคนทางข้างหลัง ใช้คางชี้ไปที่มู่น่อนน่อน “พาพี่มู่ขึ้นไปข้างบนก่อน”
มู่น่อนน่อนลงจากรถ เห็นฉินสุ่ยซานเหมือนกับว่าไม่คิดจะขึ้นไป จงอดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความอยากรู้ “เธอจะทำอะไร?”
“ไม่มีอะไร จะช่วยเธอดูสักหน่อยว่าคนที่ไม่มีตาคนไหน ที่แม้แต่คนของฉันก็กล้ามาแตะต้อง”
ฉินสุ่ยซานสวมชุดสูททำงาน มือข้างหนึ่งค้ำยันไปที่บนตัวรถ แต่ดูมีพลังความยิ่งใหญ่เป็นอย่างมากออกมา
มู่น่อนน่อนมองเธอไปแวบนึง “อะไรที่เรียกฉันว่าเป็นคนของเธอกัน?”
ฉินสุ่ยซานเข้าไปตรงหน้าเธอ พูดเสียงเบาออกมา “ล้อเล่นมั้ยล่ะ มีหนุ่มน้อยอยู่ที่ตรงนี้ ไว้หน้ากันหน่อยสิ”
มู่น่อนน่อนยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ตอนที่เธอหันหน้าไปมองรถที่ตามเธอมาคันนั้นไปอีกที ก็ได้พบว่ารถคันนั้นได้ขับออกไปเรียบร้อยแล้ว
ฉินสุ่ยซานเข้ามายืนข้างๆเธอ มองตามสายตาเธอออกไป พลางถามออกไปด้วยใบหน้าสงสัย “รถคันนั้นเกิดอะไรขึ้น? เธอแน่ใจนะว่าขับตามเธอมาใช่มั้ย? ไม่แน่ว่ารถคันนั้นอาจจะผ่านทางเดียวกันกับเธอพอดีก็ได้? มันจะไปมีอย่างที่ไหนที่นักข่าวบันเทิงจะปล่อยเนื้อชิ้นโตอย่างเธอไปง่ายๆอย่างนี้กัน?”
ข่าวบันเทิง เป็นสิ่งที่ปรับเปลี่ยนชีวิตให้มีสีสันมากขึ้นที่เหล่าผู้คนชอบมากที่สุดตลอดกาล
ซูเหมียนได้ถูกเฉินถิงเซียวปฏิเสธไปเรียบร้อยแล้ว งั้นตอนนี้ผู้หญิงที่มีความเกี่ยวพันกับเฉินถิงเซียว ก็เหลือเพียงแค่มู่น่อนน่อนเท่านั้นแล้ว
ก็หมายความว่าตัวเธอมีมูลค่าข่าวเยอะมากเลย
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวไปแวบนึง แล้วส่งเสียงเฮอะออกมา พลางจูงเฉินมู่ไปที่ห้องรับประทานอาหาร
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่อีกฝั่งนึงคนเดียว มู่น่อนน่อนกับเฉินมู่นั่งอยู่ที่ฝั่งตรงกันข้ามกับเขา
การยืนแถวสามคนพ่อแม่ลูก แบ่งได้อย่างชัดเจนมากเลย
ตอนที่เฉินมู่กินข้าวยังคงเป็นเด็กดีอยู่ อยากกินอะไรก็จะชี้ให้มู่น่อนน่อน ให้มู่น่อนน่อนคีบให้เธอ
“เอากะหล่ำดอกอันนั้น!”
“เอาน่องไก่…”
“กินน่องไก่ก็ได้ งั้นก็ต้องกินผักอีกสักหน่อย…”
เด็กน้อยไม่ค่อยชอบกินผักเท่าไหร่นัก
มู่น่อนน่อนอยากให้เฉินมู่กินผัก ยังต้องเจรจายื่นเงื่อนไขกับเธอถึงจะได้
เฉินมู่ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบกิน แต่เพื่อน่องไก่แล้ว จึงจำต้องฝืนกินไปคำนึง
เฉินถิงเซียวจ้องมองแม่ลูกที่อบอุ่นสนิทสนมกลมเกลียวกันฝั่งตรงข้ามคู่นี้ไปตาเป็นมัน แล้วก็ก้มลงมองชามข้าวตรงหน้าตัวเองไปอีกที จู่ๆก็ไม่มีความอยากอาหารขึ้นมา
เขาวางตะเกียบลงบนอาหารดัง “ปัง” ออกมาทีนึง “ผมอิ่มแล้ว”
เห็นมู่น่อนน่อนไม่มีการตอบสนองออกมา เขาก็จงใจส่งเสียงดังออกไปอีกครั้ง “ผมบอกว่า ผมกินอิ่มแล้ว!”
มู่น่อนน่อนไหนเลยจะไม่รู้ว่าเขาจงใจโยนตะเกียบลงไปเสียเสียงดังขนาดนั้น ก็เพื่ออยากจะดึงดูดความสนใจเธอ
เธอเลิกสายตาขึ้นไป มองเฉินถิงเซียวอย่างรวดเร็วแวบนึง “กินอิ่มแล้วก็กินอิ่มแล้วสิ ฉันกับมู่มู่ยังกินไม่อิ่ม”
เฉินมู่เงยหน้าขึ้นมาจากในชามเล็กๆของตัวเอง พูดเสียงต่ำออกมา “มู่มู่ยังไม่อิ่ม”
“โอเค หนูกินของหนูต่อไป” มู่น่อนน่อนคีบอาหารให้เฉินมู่อีก
เฉินถิงเซียวใบหน้าเยือกเย็นจนน่ากลัว แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่สนใจเขา เขาก็ไม่สามารถทำอะไรเธอได้อีก
เขาส่งเสียงฮึดฮัดเสียงเย็นออกมา ลุกขึ้นออกจากห้องรับประทานอาหารไป
เขาเพิ่งจะออกไป จู่ๆเฉินมู่ก็เงยหน้าขึ้นมา มองไปยังทิศทางที่เฉินถิงเซียวเพิ่งออกไปเมื่อกี้นี้ แล้วก็หันไปมองมู่น่อนน่อนอีกที “คุณพ่อโกรธแล้ว”
มู่น่อนน่อนตะลึงงันไปเล็กน้อย แต่ก็นึกไม่ถึงว่าเฉินมู่จะพูดเรื่องนี้ออกมา
เธอถามเฉินมู่ออกไปด้วยความอยากรู้เล็กน้อย “เขาโกรธตรงไหน?”
“เขา “เฮอะ”!” เฉินมู่พูด แล้วสะบัดหน้าไป เลียนแบบท่าทางของเฉินถิงเซียวส่งเสียง “เฮอะ” ออกมาทีนึง
มู่น่อนน่อนหัวเราะ “พรืด” ออกมา อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปหยิกหน้าของเฉินมู่ “ลูกน้อยของฉันทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี้กันนะ?”
เฉินมู่เชิดหัวเล็กๆขึ้น เอ่ยเสียงหวานออกมา “เพราะว่าแม่ของหนูคือมู่น่อนน่อนไงคะ”
มู่น่อนน่อนสอนเฉินมู่ท่องชื่อเธอกับเฉินถิงเซียวมาก่อน และชื่อของกู้จือหยั่นกับเสิ่นเหลียง ก็เคยสอนเธอมาก่อนเหมือนกัน เธอจำได้หมด
เพียงแต่ว่าตอนที่เธออ่านชื่อเฉินถิงเซียว มักจะอ่านเป็น “เฉินชิงเซียว” ไปด้วยความเคยชิน
มู่น่อนน่อนแก้ให้เธอไปหลายครั้ง เธอจะอ่านได้ชัดเจนเป็นครั้งคราว แต่ส่วนใหญ่ เธอมักจะอ่านเป็น “เฉินชิงเซียว” ไปหมด
ก็คงจะเป็นเพราะว่าชินไปแล้ว
ขอเพียงแค่ในใจเธอรู้ว่าพ่อของเธอชื่ออะไร เธออยากจะเรียก “เฉินชิงเซียว” ก็ให้เธอเรียกไป ถือเสียว่าเป็นชื่อเล่นเอาไว้เรียกน่ารักๆระหว่างพ่อลูกของเธอกับเฉินถิงเซียวไปแล้วกัน
……
มู่น่อนน่อนกับเฉินมู่กินข้าวเสร็จ ก็พาเฉินมู่ไปที่ห้องไปอาบน้ำเตรียมเข้านอน
ก่อนหน้านี้เธอได้ยินคนใช้บอกว่าวันนี้เฉินมู่ไม่ได้นอนกลางวัน
ถ้าตอนกลางวันเฉินมู่ไม่ได้นอนกลางวันแล้วล่ะก็ ตอนกลางคืนจะนอนเร็วเป็นพิเศษ
เพียงไม่นานเธอก็ได้กล่อมเฉินมู่นอนหลับไป
หลังจากที่ทำให้เฉินมู่นอนหลับสนิทไปเรียบร้อยแล้ว มู่น่อนน่อนก็ได้ลุกขึ้นไปห้องนอนใหญ่
เธอผลักประตูห้องออก พบว่าด้านในว่างเปล่าไม่มีใครเลยสักคนเดียว
เฉินถิงเซียวยังไม่กลับห้องมานอน คือยังอยู่ที่ในห้องทำงาน
มู่น่อนน่อนเดินย่องๆไปที่หน้าประตูห้องทำงาน แอบแง้มประตูห้องทำงานออกมานิดหน่อยไปเงียบๆ ก็เห็นเฉินถิงเซียวกำลังนั่งดูอะไรอยู่ที่ด้านหลังโต๊ะทำงาน
คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น ตรงหน้าวางเอกสารเอาไว้หลายชุดมาก เหมือนกับว่าจะเจอปัญหาที่ยุ่งยากมากๆเข้า
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ที่หน้าประตูอยู่สักพักนึง ก็ตัดสินใจที่จะปิดประตูผันร่างเดินออกไป
แต่เฉินถิงเซียวในตอนนี้ได้ค้นพบแล้วว่าที่ประตูมีคนอยู่ จึงได้มองไปทางประตูทันที พลางเอ่ยเสียงเข้มออกมา “ใคร!”
ถึงยังไงก็ได้ถูกพบเข้าแล้ว มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้หลบอีก จึงเดินตรงเข้าไปทันที
“ฉันเอง”
เฉินถิงเซียวเห็นว่าเป็นมู่น่อนน่อน สีหน้าบนใบหน้าจึงได้อ่อนลงไปบ้างเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนไม่ได้เข้าไปใกล้ เพียงแค่ยืนพูดอยู่ตรงที่ไม่ไกลจากข้างๆประตู “ฉันกลับห้องไปนอนก่อน จะกลับมาหรือเปล่าก็แล้วแต่คุณ”
เธอพูดจบ ก็ผันร่างเดินออกไป
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่ที่ตรงหน้าโต๊ะทำงาน ยังคงไม่มีการตอบสนองออกมากับความหมายที่อยู่ในคำพูดของมู่น่อนน่อนอยู่บ้าง
ระหว่างทางกลับมาพวกเขาทะเลาะกันจนไม่น่าอภิรมย์เลย เขานึกว่าคืนนี้มู่น่อนน่อนจะนอนกับเฉินมู่
ความหมายของมู่น่อนน่อนเมื่อกี้นี้คือ…จะกลับมานอนห้องนอนใหญ่?
เฉินถิงเซียวพอคิดอย่างนี้แล้ว ไหนเลยจะยังมีกะจิตกะใจทำงานอะไรอีก จัดการของที่อยู่ในมือไปด้วยความรวดเร็ว แล้วก็ลุกขึ้นกลับห้องนอนใหญ่ไป
มู่น่อนน่อนได้อาบน้ำเสร็จแล้วก็นอนลงบนเตียง
เธอได้ยินเสียงเปิดประตู จึงได้ห่มผ้าห่มคลุมตัวเองเอาไว้แน่น พลิกตัวหันหลังไปทางประตู
เฉินถิงเซียวเดินเข้ามาแล้วก็มองไปบนเตียง
จากเดิมบนเตียงได้วางผ้าห่มเอาไว้แค่ผืนเดียว แต่ตอนนี้ได้เพิ่มผ้าห่มมาอีกผืนนึง
มู่น่อนน่อนห่มผ้าห่มผืนนึงนอนอยู่ที่อีกด้านนึงของเตียง และยังเว้นพื้นที่ส่วนใหญ่เอาไว้ ด้านบนก็ได้วางผ้าห่มเอาไว้อีกผืนนึง
เฉินถิงเซียวเดินไปที่ข้างเตียงหยุดอยู่สักพักนึง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ผันร่างเดินไปที่ห้องอาบน้ำ
ได้ยินเสียงน้ำซู่ๆ ซ่าๆดังออกมาจากในห้องน้ำ มู่น่อนน่อนจึงได้ลดผ้าห่มลงไป
อายุของเธอกับเฉินถิงเซียวเมื่อรวมๆกันดูแล้วก็ปาไปเกือบจะหกสิบปีไปแล้ว ทั้งสองคนในด้านความรู้สึกก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจนเป็นผู้ใหญ่มากนัก ยังทะเลาะกันอยู่ทั้งวัน
บางครั้งเธอก็คิดเหมือนกันว่าการทะเลาะปะทะคารมกับเฉินถิงเซียวมันค่อนข้างที่จะดูเป็นเด็กน้อยไปหน่อย แต่ว่าไม่ทะเลาะมันก็ไม่ได้อีก
เฉินถิงเซียวมักจะคิดว่าเธอกำลังเข้าข้างลี่จิ่วเชียนอยู่ ปกป้องลี่จิ่วเชียนอยู่ แต่เธอกลับคิดว่าเฉินถิงเซียวพาลหาเรื่องทะเลาะกันอย่างไม่มีเหตุผลเสียมากกว่า
เธอพยายามเจอกับลี่จิ่วเชียนให้น้อยลงแล้ว เฉินถิงเซียวก็ยังคิดอย่างนี้อยู่ เธอคิดว่าปัญหามันเกิดขึ้นที่ตัวของเฉินถิงเซียวเองมากกว่า
เธอคิดอยู่สักพักนึง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูWeibo
คำค้นหายอดนิยมที่เกี่ยวกับข่าวดีที่ใกล้เข้ามาของเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนอันนั้นยังติดเทรนอยู่ข้างบนยังไม่ลงไป ระดับความร้อนแรงไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย
เธอยังนึกว่าคำค้นหายอดนิยมนี้จะลงไปนานแล้วเสียอีก แต่ผลสุดท้ายก็ยังไม่ลงไป
เมื่อกี้เฉินถิงเซียวทำอะไรอยู่ที่ห้องทำงาน?
ภายในใจของมู่น่อนน่อนมีความคับข้องใจพูดไม่ออกขึ้นมา เธอโยนโทรศัพท์กลับไป
เรื่องนี้เดิมทีแล้วก็เป็นเรื่องที่เฉินถิงเซียวก่อขึ้นมาเอง ก็ให้เขาแก้ปัญหาเองไป…
ผ่านไปสักพักนึง เฉินถิงเซียวก็ออกมาจากห้องอาบน้ำ และได้ตรงเข้ามานอนลงข้างๆมู่น่อนน่อน
ทั้งคืนนี้ ทั้งสองคนได้นอนอยู่บนเตียงเดียวกัน หันหลังให้กัน
……
เช้าวันต่อมา ตอนที่มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมา ข้างๆก็ไม่มีคนอยู่แล้ว
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยความเคยชิน เห็นข้อความที่ยังไม่ได้อ่านที่เสิ่นเหลียงส่งมาให้เธอหลายฉบับบนหน้าจอ
“รีบมาดูความวุ่นวาย”
“บัญชีทางการWeiboของบริษัทเฉินซื่อได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือแล้ว นี่มันตบหน้ากันแรงมากเลย”
ตอนหลังก็ได้ส่งรูปที่แคบหน้าWeiboสองรูปมาให้ด้วย
มู่น่อนน่อนเปิดเข้าไปดู แล้วก็ออกไปจากวีแชทไปอย่างรวดเร็ว แล้วไปเข้าWeibo
เป็นไปอย่างที่คิดคำค้นหายอดนิยมอันดับหนึ่งก็คือ “บัญชีอย่างเป็นทางการของบริษัทเฉินซื่อได้ปฏิเสธข่าวลือ” คำพวกนี้นั่นเอง
เธอกดเข้าไปในWeiboออฟฟิเชียลของบริษัทเฉินซื่อ Weiboยอดนิยมด้านบนสุด ก็คือได้ขึ้นหัวข้อประเด็นเรื่องเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนเมื่อวานนี้เอาไว้ด้วย เนื้อหามันสั้นมาก “ข่าวปลอม ท่านประธานไม่ได้ชอบผู้หญิงแซ่ซู”
เวลาที่Weiboนี้ได้โพสต์ออกมา เป็นช่วงก่อนเช้าตรู่ของเมื่อเย็นวาน
พอเฉินถิงเซียวลงจากรถไป ก็เห็นเฉินมู่
“เฉินชิงเซียว”
เฉินมู่เหมือนกับกลัวว่าเขาจะโกรธ จึงเข้าไปหลบหลังคนใช้ไปอย่างรวดเร็ว แล้วส่งเสียงเรียกไปอย่างอยู่เป็นสุดๆ “คุณพ่อ!”
เฉินถิงเซียวมองเฉินมู่ไปหลายวิด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ จากนั้นก็แสยะริมฝีปากเผยรอยยิ้มไปทางเฉินมู่
มู่น่อนน่อนบอกว่าเขาโมโหใส่เฉินมู่ งั้นเขาก็ยิ้มให้เฉินมู่ก็จบล่ะมั้ง?
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเคยโมโหใส่เฉินมู่มาก่อน
แต่ผลสุดท้าย เขาไม่ยิ้มก็ยังดีอยู่ พอเขายิ้มมาแล้ว ก็ได้ทำให้เฉินมู่กลัวจนร้องไห้ออกมาเลย
มู่น่อนน่อนลงจากรถอยู่ที่ข้างหลัง ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองพ่อลูกคู่นี้ ก็เห็นเฉินมู่ร้อง “ว้าก” ขึ้นมาพอดี
“เป็นอะไรไป? มู่มู่” มู่น่อนน่อนพอได้ยินเสียงร้องไห้ ก็เดินเข้ามาทางเฉินมู่แล้วอุ้มเธอขึ้นมา
เฉินมู่ชี้ไปที่เฉินถิงเซียว ร้องไห้ออกมาไม่หยุด
มู่น่อนน่อนก็ได้หันหน้าไปมองเขาเช่นกัน
ไม่รอให้เธอพูดออกมา เฉินถิงเซียวได้ชิงพูดออกมาก่อน “ผมไม่ได้ดุเธอ และก็ไม่ได้โมโหใส่เธอด้วย”
เขาพูดจบ ก็ได้ก้าวเข้าประตูวิลล่าไป
เงาร่างเบื้องหลังมองไปแล้วเต็มไปด้วยความโกรธ
มู่น่อนน่อนอุ้มเฉินมู่เดินอยู่ที่ข้างหลัง ปลอบเฉินมู่ออกไปเบาๆ เฉินมู่จึงไม่ได้ร้องไห้อะไรมากมายแล้ว
เธอเอียงตัว ยืดคอยาวออกมา หลังจากที่เห็นเฉินถิงเซียวเข้าไปในบ้านแล้ว ถึงจะสูดจมูกไม่ได้ร้องไห้ออกมาแล้ว
“ทำไมถึงต้องร้องไห้? คุณพ่อดุหนู?” มู่น่อนน่อนยื่นมือไปปาดเช็ดน้ำตาให้เธอ ถามเธอไปอย่างอ่อนโยน
“เปล่า…” เฉินมู่เช็ดน้ำตาบนใบหน้าตัวเอง เอ่ยออกมาด้วยเสียงอ้อแอ้
มู่น่อนน่อนมึนงงอยู่บ้างเล็กน้อย “แล้วเป็นเพราะอะไร?”
เฉินมู่ถูกถามโดนจุดที่รู้สึกเสียใจเข้า ก็ได้บึนปากจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่ลืมที่จะตอบคำถามของมู่น่อนน่อนออกไปก่อน
“คุณพ่อเขายิ้มให้หนู…ฮือ…ฮือ…”
มู่น่อนน่อน “…”
เธออ้าปากออกมา พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เธอเพิ่งได้ยินมาเป็นครั้งแรก เด็กถูกรอยยิ้มของพ่อทำเอากลัวจนร้องไห้ออกมาเลย
คุณชายใหญ่เฉินเป็นคนที่ไม่ธรรมดาเลย
มู่น่อนน่อนอยากจะหัวเราะอยู่บ้าง แต่เห็นเฉินมู่ร้องไห้เสียจนเสียใจขนาดนี้ จึงตัดสินใจเลือกที่จะปลอบเฉินมู่ให้เสร็จก่อน “คุณพ่อยิ้มให้หนู เป็นเพราะชอบหนู เป็นเพราะมีความสุขไง ทำไมหนูยังร้องไห้ออกมาอีก?”
“น่ากลัว…” เฉินมู่พูดสองคำนี้ออกมาอย่างสะอึกสะอื้น เอาหัวฝังเข้าไปในอ้อมแขนของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
“ทำไมถึงได้น่ากลัวไปได้ล่ะ เขาชอบหนูต่างหากจึงได้ยิ้มมาให้หนูไง”
เฉินมู่ร้องไห้เสียงดังออกมากว่าเดิม
ดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้จักวิธีการอยู่ร่วมกันของสองพ่อลูกคู่นี้ดีพอ นึกไม่ถึงว่าเพียงแค่รอยยิ้มเดียวของเฉินถิงเซียวจะสามารถทำให้เฉินมู่กลัวจนร้องไห้ออกมาได้
ตอนที่เธออุ้มเฉินมู่เข้าห้องโถงใหญ่ เฉินมู่ก็ได้สงบลงแล้ว
เธอวางเฉินมู่ลง แล้วมองหาเงาร่างของเฉินถิงเซียวไปรอบๆ
คนใช้มองออกว่ามู่น่อนน่อนกำลังหาเฉินถิงเซียวอยู่ จึงเป็นฝ่ายเข้ามาพูดเองว่า “คุณหญิง คุณผู้ชายอยู่ข้างบนค่ะ”
“อืม” มู่น่อนน่อนพยักหน้าออกมาเล็กน้อย แล้วเอ่ยกับเฉินมู่ออกไป “หนูเป็นเด็กดีรออยู่ที่ตรงนี้ แม่จะไปชั้นบนหน่อย”
“ค่ะ” เฉินมู่นั่งเล่นของเล่นอยู่บนโซฟา
เด็กน้อยก็ยังคงเป็นเด็กน้อย เมื่อกี้ร้องไห้หนักขนาดนั้น ตอนนี้ได้เล่นเสียจนสนุกสนานขนาดนี้แล้ว
มู่น่อนน่อนขึ้นมาชั้นบน มาหาเฉินถิงเซียวที่ในห้องนอน
เธอเปิดประตูเข้าไป เฉินถิงเซียวกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า ถอดกางเกงอยู่พอดี
มู่น่อนน่อนได้หันหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เอ่ยออกไปอย่างไม่พอใจ “คุณเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่รู้จักล็อกประตูหรือไง!”
“ไม่มีคนใช้กล้าอาจหาญเข้าห้องผมโดยไม่ได้รับอนุญาตหรอก ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องของผม คุณก็บุกเข้ามาเอง แล้วก็มาโทษผม?”
เฉินถิงเซียวสวมกางเกง เดินเข้าไปหาเธอช้าๆ “มองร่างกายของผมแล้ว คนร้ายร้องทุกข์ออกมาก่อนอีก คุณนายเฉินคุณมีเหตุผลหรือเปล่า?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ว่าเสียงของเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จึงก้าวเดินไปทางข้างๆประตู “คุณเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ออกมาเอง”
ขายาวของเฉินถิงเซียวก้าวเข้าไปข้างหน้า เพียงพริบตาเดียวร่างก็ได้เดินเข้ามาขวางทางหน้าของเธอเอาไว้
มู่น่อนน่อนถูกขวางทางเอาไว้ แต่เห็นเขาได้สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว จึงได้เงยหน้าไปมองเขา
เฉินถิงเซียวเองก็ได้ก้มหน้าลงมาพอดี น้ำเสียงทุ้มต่ำออกมา “หนีอะไร? ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นเสียหน่อย”
มู่น่อนน่อนไม่อยากพูดประเด็นนี้กับเขา เพราะว่าถ้าเกิดเธอพูดประเด็นนี้กับเขาต่อ ก็จะถูกเขาชักนำไปทางที่ไม่ดีได้ เรื่องจริงจังจะไม่ได้คุยกัน
“ยิ้มให้ลูกสาวตัวเอง แต่กลับทำลูกสาวกลัวจนร้องไห้ รู้สึกยังไง” มู่น่อนน่อนกอดแขนทั้งสองข้าง มองเขาไปพร้อมกับพูดคำพูดเสียดสีเขาออกมา
เฉินถิงเซียวมีสีหน้าแข็งค้างออกมา แต่เพียงไม่นานก็ได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกที แล้วยิ้มเย็นออกมา “ไม่ได้รู้สึกอะไร”
“ปกติคุณก็อย่าทำหน้าบึ้งตึงกับมู่มู่ ยิ้มให้มากๆหน่อย” มู่น่อนน่อนพูด พลางยื่นมือไปหยิกหน้าของเขาเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวแหงนหน้าขึ้นไปทางข้างหลัง ใบหน้านิ่วคิ้วขมวดต่อต้านออกมา “อย่ามาทำมือไม้อยู่ไม่สุข!”
มู่น่อนน่อน “…”
นึกไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวจะไม่ชอบให้เธอมือไม้อยู่ไม่สุข?
มู่น่อนน่อนเก็บมือกลับไป เตะไปที่แข้งของเขาไปทีนึง “หลีกไป ฉันจะออกไป”
เฉินถิงเซียวเม้มริมฝีปากออกมาเล็กน้อย เอ่ยเสียงเย็นออกมา “ไม่หลีก”
“คุณ…” มู่น่อนน่อนกำลังจะพูดอะไรออกไป ก็ได้ถูกเฉินถิงเซียวเอ่ยขัดออกมา “ผมก็จะออกไปเหมือนกัน”
เขาพูดจบ ก็ผันร่างเปิดประตูเดินออกไป
มู่น่อนน่อนรีบออกตามหลังเขาไปติดๆ เพียงไม่นานก็แซงเขาไป เดินไปที่ข้างหน้า
ทั้งสองคนลงไปข้างล่างเรียงหน้าหลังกัน ระหว่างทั้งสองฝ่ายได้รักษาระยะห่างกันเอาไว้ช่วงนึงไม่ห่างกันนัก
เฉินมู่พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นเฉินถิงเซียว ยิ้มแล้วส่งเสียงเรียกออกมา “คุณพ่อ”
มู่น่อนน่อนเดินเข้ามานั่งลงที่ข้างๆเฉินมู่ เฉินถิงเซียวเองก็ได้ตามมาด้วยเช่นกัน แล้วก็ได้นั่งลงข้างๆเฉินมู่อีกข้างนึง
เฉินมู่แสดงสีหน้างงงวยออกมา
เธอมองมู่น่อนน่อนไปเล็กน้อย แล้วมองเฉินถิงเซียวไปอีกที รู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับส่วนเกินอยู่บ้างเล็กน้อย
ดังนั้นแล้ว เฉินมู่จึงพลิกตัวไปเงียบๆ นอนลงไปบนโซฟาใช้ปลายเท้าเหยียบไปที่พื้น ไถลลงไปจากโซฟา หอบของเล่นบนโซฟาเดินไปเล่นฝั่งตรงกันข้าม
คนใช้เองก็มองออกเหมือนกันว่าเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนทะเลาะกันอยู่ จึงไม่กล้าส่งเสียงออกไป แต่กลับถูกพฤติกรรมของเฉินมู่ทำเอาขำขึ้นมา
แต่ทว่าพวกเธอก็ไม่กล้าจะส่งเสียงหัวเราะออกมา จึงพากันก้มหน้ากลั้นหัวเราะกันเอาไว้
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวไปแวบนึง แล้วก็ได้ผันร่างหันหลังให้กับเขาไปอย่างรวดเร็วอีกที
ไม่อยากเห็นเขา
เฉินถิงเซียวกอดอก นั่งอยู่ข้างเธอไปด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ ทั้งร่างได้แผ่ความเย็นยะเยือกออกมา
คนใช้เตรียมอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไม่กล้าไปเรียกพวกเขา ก็เลยต้องเดินเข้าไปที่ข้างๆเฉินมู่เรียกเธอไปเพื่อเป็นการแก้ปัญหาทางอ้อมออกมา “คุณหนูน้อย กินข้าวได้แล้วค่ะ”
“อ้อ! กินข้าวแล้ว” ในสถานการณ์ปกติ เฉินมู่มีความกระตือรือร้นกับเรื่องการกินข้าวเรื่องนี้มากเลยทีเดียว
เธอกอดหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง ไถลจากโซฟาลงมา จะตามคนใช้ไปที่ห้องรับประทานอาหารด้วย
“คุณหนูน้อย” คนใช้ดันเธอไปเบาๆ พลางชี้ไปที่มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียว
เฉินมู่เป็นเด็กฉลาดคนหนึ่ง วิ่งไปที่ตรงหน้ามู่น่อนน่อนไปดึงมือเธอ พลางเอ่ยเสียงหวานออกไป “คุณแม่กินข้าวได้แล้ว”
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวทะเลาะกัน แต่ตอนที่ปฏิบัติกับเฉินมู่ก็ยังคงเผยใบหน้ายิ้มออกมาอยู่ “ค่ะ”
เฉินมู่ได้หันหน้าไปมองเฉินถิงเซียวอีกครั้ง กะพริบตาปริบๆออกมาเล็กน้อย แล้วเอ่ยออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก “กินข้าว”
เฉินถิงเซียวกำลังจะพูดอะไรออกไป ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อกี้เพิ่งจะทำเธอกลัวจนร้องไห้ไป น้ำเสียงจึงได้อ่อนโยนลงกว่าปกติไปบ้าง “เรียกใครกินข้าว?”
เฉินมู่มองเขาไปแวบนึง แล้วส่งเสียงเรียกด้วยเสียงอ้อแอ้ออกไป “คุณพ่อ”
ตอนนี้มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน จึงส่ายหน้าออกมาเล็กน้อย “ไม่รู้ ฉันต้องดูก่อนสักหน่อย”
เธอแม้แต่คอมเมนข้างล่างWeiboของตัวเองก็ไม่ได้ไปอ่านมันเลยด้วยซ้ำ ตรงเข้าไปดูที่คำค้นหายอดนิยมไปทันที
เป็นไปอย่างที่คิด หัวข้อที่จัดอยู่ในคำค้นหาอันดับหนึ่งก็คือ ชุดแต่งงานของว่าที่เจ้าสาวของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนกล้ายืนยันได้เลยว่า ว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในหัวข้อประเด็นนี้ไม่ได้กำลังพูดถึงเธออยู่อย่างแน่นอน มีความเป็นไปได้สูงว่ากำลังพูดถึงซูเหมียนอยู่
คำค้นหายอดนิยมอันดับสองก็คือชื่อของเธอ
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ น้ำเสียงจนใจเล็กน้อย “ติดเทรนอีกแล้ว”
ตรงระหว่างคิ้วของเฉินถิงเซียวได้ขมวดเข้าหากันแน่น “เกี่ยวข้องกับซูเหมียน?”
มู่น่อนน่อนมองเขาไปด้วยความประหลาดใจ “คุณหัดทำนายเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันยังไม่ได้พูดเลยนะ คุณก็รู้ว่ามันเกี่ยวกับเธอแล้ว?”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็กดเข้าไปในหัวข้อประเด็นนั้น
“เมื่อวาน มีนักข่าวถ่ายภาพเฉินถิงเซียวกับคู่หมั้นของเขาปรากฏตัวที่ร้านชุดแต่งงานด้วยกัน สงสัยว่าข่าวดีกำลังจะมาถึงในเร็วๆนี้ [ภาพ] [ภาพ]”
ด้านหลังได้เสริมภาพมาด้วยสองรูป เป็นภาพที่เฉินถิงเซียวกับซูเหมียนที่ร้านชุดแต่งงาน
มองจากมุมนั้นแล้ว คนที่ถ่ายภาพคนนั้น จงใจไม่ถ่ายมู่น่อนน่อนที่อยู่ข้างๆ เพียงแค่ถ่ายเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนเข้าไปเท่านั้น
ซูเหมียนไม่มีทางจงใจแสดงละครตบตาไปที่ร้านชุดแต่งงานเพียงแค่เพื่อถ่ายภาพนี้หรอกมั้ง?
มุมมองของหลากหลายภาพ ล้วนแล้วแต่จะจงใจไม่ถ่ายมู่น่อนน่อนเข้าไปเลย และก็มีความเป็นไปได้ที่จะถ่ายเธอเข้าไปด้วยเหมือนกัน แต่ก็จงใจตัดเธอออกไป
“ฉันก็บอกแล้วว่าเฉินถิงเซียวกับคู่หมั้นของเขาต่างหากถึงจะคู่กันจริง มู่น่อนน่อนคนนั้นนับว่าเป็นอะไรกัน? ไม่มีความสามารถและก็ไม่มีพื้นฐานครอบครัวเลยด้วย รู้เพียงแค่เข้ามาตี้สนิทคนรวยอย่างเฉินถิงเซียวคนนี้อย่างหน้าไม่อาย ขายหน้าผู้หญิงอย่างเราๆกันจริงๆเลย”
“หลักฐานชัดเจนออกมาแล้ว บางคนก็ยังไม่เชื่อกันอีก ก็เรียกว่าคนที่แกล้งหลับไม่ตื่นขึ้นมาตลอดไปเลยแล้วกัน”
มู่น่อนน่อนเลื่อนไปอีกหน้านึง พบว่าทั้งหมดล้วนแล้วแต่จะเป็นWeiboที่พูดดีกับซูเหมียนทั้งนั้นเลย
กดเข้าไปดูที่หน้าหลัก โดยพื้นฐานไม่มีแอคหลุมของแฟนคลับพวกนั้นเลย
ส่วนWeiboที่มีสติปัญญาพวกนั้น กลับถูกกดเอาไว้หลังสุด
มู่น่อนน่อนยิ้มเย็นออกมา “เฉินถิงเซียว เสน่ห์ของคุณมันช่างเยอะมากจริงๆเลยนะ”
“คุณก็เช่นกัน” เฉินถิงเซียวตอบกลับมาประโยคนึงอย่างไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
มู่น่อนน่อนส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วโต้เฉินถิงเซียวออกไปว่า “ฉันเทียบคุณไม่ไหวหรอก ฉันไม่มีคนที่คอยไล่ตามกันอย่างไม่ย่อท้ออย่างซูเหมียนเสียหน่อย”
“ลี่จิ่วเชียนไม่ได้ดีไปกว่าซูเหมียนตรงไหนเลย” เฉินถิงเซียวยิ้มเย็นออกมา น้ำเสียงฟังไปแล้วเหมือนจะมีอาการหึงหวงอยู่เล็กน้อย
ในเรื่องของลี่จิ่วเชียนนั้น มู่น่อนน่อนไม่อยากถกเถียงกับเฉินถิงเซียวไปให้มากมาย
เพราะว่าตอนนี้เธอค้นพบว่าเฉินถิงเซียวได้ยึดความคิดที่คิดว่าลี่จิ่วเชียนมีความคิดอื่นกับเธอไปก่อนแล้วโดยสมบูรณ์
ดังนั้นแล้ว มู่น่อนน่อนจึงไม่ได้สนใจเขา
วันนี้เป็นวันที่มีความสุขวันหนึ่ง เธอไม่อยากทะเลาะกับเฉินถิงเซียว
ถึงแม้ว่าจะเห็นคำค้นหายอดนิยมอันนี้แล้ว ความรู้สึกมีความสุขในก้นบึ้งภายในใจของเธอก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเท่าไหร่เลยเช่นกัน
เธอคิดอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเฉินถิงเซียวจะคิดอย่างนี้เช่นกัน
เขาเห็นมู่น่อนน่อนไม่พูดออกมา ก็ได้เอ่ยพูดด้วยความมืดครึ้มเยือกเย็นออกมา “คุณไม่พูด คือกำลังยอมรับอยู่กลายๆงั้นเหรอ?”
“เฉินถิงเซียว คุณแน่ใจว่าจะคุยประเด็นนี้กับฉันใช่มั้ย?” มู่น่อนน่อนข่มกลั้นความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ ถามเขาออกไป
“ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าลี่จิ่วเชียนเป็นหมอที่สะกดจิตให้ผมคนนั้น คุณก็ยังจะปกป้องเขาอยู่อีก ใช่มั้ย?”
แต่ละคำที่พูดออกมาจากปากของเฉินถิงเซียว ก็เหมือนกับได้ปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งมาชั้นนึง ฟังไปแล้วก็รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา
“ตอนนี้มีหลักฐานยืนยันแล้วเหรอว่าลี่จิ่วเชียนเขาคือหมอสะกดจิตคนนั้น?” เมื่อกี้มู่น่อนน่อนได้ข่มกลั้นอารมณ์ของตัวเองเอาไว้แล้ว ตอนนี้ได้ถูกเฉินถิงเซียวกระตุ้นเข้ามาอย่างนี้ ก็ได้ขึ้นเสียงสูงออกมาอย่างควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ “ถ้าพิสูจน์ได้แล้วว่าเขาก็คือหมอสะกดจิตคนนั้น แล้วคุณจะทำยังไงกับเขา? คุณคิดจะให้ฉันมองคุณทรมานเขา หรือมองดูคุณจัดการเขาไปเสียอยู่เฉยๆ?”
เฉินถิงเซียวยิ้มเย็นออกมา ใช้น้ำเสียงชนิดที่แน่ใจเป็นอย่างมากเอ่ยออกมา “คุณหมายมั่นแล้วว่าจะปกป้องเขาให้ได้”
มู่น่อนน่อนหลับตาลง สงบอารมณ์ของตัวเองลงเล็กน้อยแล้วก็ได้ลืมตาออกมาอีกครั้ง เสียงสงบขึ้นเล็กน้อย “สถานะของลี่จิ่วเชียนในตอนนี้ยังไม่ได้ยืนยันชัดเจน คุณมาตั้งสมมติฐานไร้สาระพวกนี้ขึ้นมามันไม่มีประโยชน์หรอก”
ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าลี่จิ่วเชียนก็คือหมอคนนั้นที่สะกดจิตให้เฉินถิงเซียวเมื่อตอนนั้น ส่วนสิ่งพวกนี้ที่เฉินถิงเซียวกับเธอถกเถียงกัน ล้วนแล้วแต่จะเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายทั้งนั้น
ความสำคัญของลี่จิ่วเชียนต่อเธอนั้น เป็นเพียงแค่เพื่อนที่เคยช่วยเหลือเธอคนหนึ่งเท่านั้น
ลี่จิ่วเชียนเคยช่วยชีวิตเธอ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
เธอป่วยนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยมาสามปี เป็นเจ้าหญิงนิทรามาสามปี ก็ล้วนแล้วแต่จะเป็นลี่จิ่วเชียนที่คอยดูแลเธอ
บุญคุณนี้ชั่วชีวิตนี้เธอก็ตอบแทนไปได้ไม่หมด
“ตอนนี้คุณคิดอยากจะปกป้องเขา ถึงแม้ว่าในอนาคตสักวันนึง ตัวตนของเขาได้ถูกยืนยันออกมาแล้ว คุณก็ยังจะยืนอยู่ข้างเขา”
เสียงของเฉินถิงเซียวฟังไปแล้วมีความขบเขี้ยวเคี้ยวฟันออกมาเล็กน้อย อุณภูมิภายในรถเหมือนกับได้ดิ่งต่ำลงไปในทันทีด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่าจะเปิดฮีตเตอร์ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นอยู่บ้างเหมือนกัน
เธอพิงเข้ากับพนักเก้าอี้ เอ่ยออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อนอยู่บ้าง “เฉินถิงเซียว ฉันไม่ได้ตอบตกลงแต่งงานกับคุณไปในทันที ก็เพราะว่าระหว่างพวกเรามันยังมีปัญหาพวกนี้อยู่ ถึงแม้ว่าพวกเราจะแต่งงานกันไปแล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องเหนื่อยกันไปทั้งคู่เพราะเรื่องพวกนี้”
ภายในรถทันใดนั้นก็ได้ตกอยู่ในความเงียบไป
มู่น่อนน่อนไม่อยากจะพูดออกไปอีก เฉินถิงเซียวเองก็ไม่ได้พูดออกมาเช่นกัน
ไม่รู้เหมือนกันว่าได้ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว นานจนถึงตอนที่มู่น่อนน่อนนึกว่าเฉินถิงเซียวจะไม่พูดออกมาต่ออีกแล้ว แต่จู่ๆเฉินถิงเซียวก็ได้พูดประโยคนึงขึ้นมาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง “ที่แท้ก่อนหน้านี้ที่คุณไม่ตกลงแต่งงานกับผม เป็นเพราะลี่จิ่วเชียนนี่เอง”
มู่น่อนน่อนช็อกไป
เธอไม่รู้ว่าทำไมเฉินถิงเซียวถึงได้คิดอย่างนี้
เธอคิดว่าเธอได้สื่อออกไปชัดเจนแล้ว
“ฉันไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงได้คิดอย่างนี้ แต่มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด” มู่น่อนน่อนทึ้งผมตัวเองไปด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย “คุณจอดรถเถอะ คืนนี้ฉันจะกลับไปพักที่บ้านฉัน”
เมื่อวานเธอบอกว่าไม่ย้ายของ สิ่งที่รอก็คือสถานการณ์จำพวกนี้
เฉินถิงเซียวอารมณ์ไม่คงที่ หวาดระแวง มันจะต้องมีตอนที่ต้องทะเลาะกันแน่ๆ
เสียงพูดได้พูดออกมา เฉินถิงเซียวไม่เพียงแต่จะไม่หยุดรถ มู่น่อนน่อนยังได้ยินเสียงล็อกขึ้นมาอีกด้วย
มู่น่อนน่อนได้ถามเขาไปด้วยคำพูดที่แฝงได้ด้วยการประชดประชัน “นี่คุณกลัวว่าฉันจะกระโดดลงจากรถงั้นเหรอ?”
“มีเรื่องอะไรบ้างที่คุณไม่กล้าทำ?” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวไม่ได้ดีไปกว่ากันเลยเช่นกัน
ทั้งสองคนกลับไปถึงบ้านโดยปราศจากคำพูดไปอย่างนี้ตลอดทาง
เฉินมู่ได้ยินเสียงรถก็ได้วิ่งออกมา ด้านหลังยังตามมาด้วยคนใช้อีกหลายคน
“คุณหนูน้อย ช้าหน่อย…”
“คุณแม่!”
มู่น่อนน่อนยังไม่ลงจากรถ ก็ได้ยินเสียงเฉินมู่เข้ามาแล้ว
เธอกำลังเตรียมที่จะปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วลงจากรถ ชายที่อยู่ข้างๆก็ได้โน้มหน้าเข้ามา
เธอได้ถอยไปข้างหลังเล็กน้อยทันที
แต่ผลก็คือเฉินถิงเซียวเพียงแค่เข้ามาช่วยเธอปลดเข็มขัดนิรภัยเท่านั้นเอง
ถ้าไม่เพราะเฉินถิงเซียวมีหน้ามุ่ยออกมา มู่น่อนน่อนคงจะสงสัยไปหมดว่าเมื่อกี้พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้ทะเลาะกันเลย
เธอปล่อยให้เฉินถิงเซียวปลดเข็มขัดนิรภัยให้เธอไป เหมือนกับว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยออกไป “ห้ามไปโมโหใส่เฉินมู่!”
เฉินถิงเซียวปลดเข็มขัดนิรภัยของเธอเสร็จเรียบร้อย ก็หันกลับมาปลดให้กับตัวเองอีกที พลางเอ่ยออกมาอย่างไร้อารมณ์ “ผมไม่โมโหใส่เธอ”
“ลืมไป มู่มู่เด็กขนาดนั้น คุณไม่จำเป็นต้องไปโมโหใส่ แค่ส่งสายตาไปนิดเดียวก็สามารถทำเธอกลัวได้แล้ว”
คำตอบของเฉินถิงเซียวคือลงจากรถไปทันที
มู่น่อนน่อนวางสายโทรศัพท์แล้วถอนหายใจ
เธอถูกเฉินถิงเซียวข่มขู่สำเร็จอีกครั้งหนึ่งแล้ว
ในใจของเธอคิดอะไร เขารู้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ดังนั้นทุกครั้งที่ข่มขู่เธอถึงได้ประสบความสำเร็จทุกครั้ง
คล้ายกับว่าตั้งแต่ที่ทั้งสองคนเริ่มต้นมาจนถึงตอนนี้ เธอก็ถูกเฉินถิงเซียวข่มขู่มาตลอด
อีกทั้ง เฉินถิงเซียวไม่เคยพลาดสักครั้ง
มู่น่อนน่อนท้อแท้อยู่บ้าง
………
มู่น่อนน่อนกินข้าวกลางวันที่สตูดิโอของฉินสุ่ยซาน หลังจากนั้นก็ประชุมสั้นๆ และขับรถไปยังร้านชุดแต่งงาน
เฉินถิงเซียวรอเธออยู่ในร้านชุดแต่งงานแล้ว
ตอนที่เธอเข้าไป เฉินถิงเซียวกำลังพลิกอ่านนิตยสารการเงินและเศรษฐศาสตร์ที่อยู่ในมือ
เขานั่งหันหลังให้เธอ มู่น่อนน่อนเกิดความรู้สึกนึกสนุกขึ้นมา ทำมือเงียบเสียงให้กับพนักงานร้าน และเดินย่องไปทางเฉินถิงเซียว เตรียมทำให้เขาตกใจ
เพียงแต่ในตอนที่เธออยู่ในจุดที่ห่างจากเฉินถิงเซียวสองก้าว เฉินถิงเซียวก็เรียกชื่อเธอออกมากะทันหัน
“มู่น่อนน่อน”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ขยับ นิตยสารในมือก็ไม่ได้ถูกวางลงเช่นกัน
เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอมาแล้วกัน
มู่น่อนน่อนหยุดฝีเท้า ผ่านไปสองวินาทีถึงได้เดินไปที่ด้านหลังเขา ขยี้เส้นผมเขาราวกับระบายความแค้น “คุณยังไม่เห็นฉันเลย คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นฉัน”
เฉินถิงเซียวจับมือเธอที่กำลังทำให้ผมเขายุ่งเอาไว้ เธออยากจะดึงกลับมา เขาก็จับแน่นกว่าเดิม ที่มากกว่านั้นก็คือ เขาจับมือเธอทั้งสองข้างเอาไว้ด้วยกัน
แบบนี้ มู่น่อนน่อนก็ทำได้เพียงแค่ยืนอยู่ด้านหลังเขา
เขาหันหน้ากลับมามองมู่น่อนน่อน เอ่ยด้วยท่าทางจริงจังว่า “คำถามนี้ คุณคิดแล้วก็คิดไม่ออกหรอก”
มู่น่อนน่อนเลิกคิ้ว ถามเขา “ทำไม”
เฉินถิงเซียวใช้มือที่ว่างอีกข้างหนึ่งชี้ไปที่ศีรษะของตัวเอง
มู่น่อนน่อนถูกเฉินถิงเซียวทำท่าทางรังเกียจไปหลายครั้ง จึงเข้าใจความหมายที่เฉินถิงเซียวต้องการแสดงออกมาได้ในทันที
ความหมายของเฉินถิงเซียวก็คือ ด้อยสติปัญญา
นี่ยังจะทนได้หรือ?
มู่น่อนน่อนถมึงตาใส่เขา “เฉินถิงเซียว ให้โอกาสคุณในการปฏิบัติตัวใหม่อีกครั้ง ตอบคำถามเมื่อครู่ใหม่อีกครั้ง ไม่อย่างนั้นวันนี้คุณก็รอที่จะนอนที่ระเบียงทางเดินเถอะ”
และไม่รู้ว่าคำพูดประโยคใดสะกิดถูกต่อมอารมณ์ขันของเฉินถิงเซียว จู่ๆเขาก็หัวเราะออกมา
ทั้งยังเป็นการหัวเราะที่หยุดไม่ได้ด้วย
เฉินถิงเซียวกุมมือเธอเอาไว้ ดึงเธอมาด้านหน้า ร่างกายส่วนบนของเธอจึงเอนมาทางเขา
แต่เป็นเพราะเธอยืนอยู่ด้านหลังเฉินถิงเซียว ดังนั้นจึงล้มพิงลงไปบนร่างของเฉินถิงเซียวทั้งร่าง
มือหนึ่งของเฉินถิงเซียวกดเธอเอาไว้ อีกมือหนึ่งก็กดมือเธอ และจุมพิตลงไปราวกับรอบด้านไม่มีใคร
มู่น่อนน่อนเบิกตากว้าง เธอเพียงแค่เล่นสนุกตามสบายชั่วคราวเท่านั้นเอง ตอนนี้ทำให้คนได้เห็นเรื่องตลกแล้ว
เธอรู้ว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนที่ทำตามใจปรารถนาคนหนึ่ง ไม่เคยควบคุมตัวเองในด้านนี้เลย
เธอจึงทำได้เพียงแค่กัดเฉินถิงเซียวไปคำหนึ่ง แรงก็ไม่ได้เบามาก
เฉินถิงเซียวรู้สึกเจ็บ จึงเป็นธรรมดาที่จะปล่อยเธอออก
แต่นี่เป็นเพียงแค่ความคิดของเธอเท่านั้น เฉินถิงเซียวกลับไม่ได้ทำแบบนั้น
เขาไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยเธอ แต่กลับจุมพิตหนักหน่วงขึ้น
พนักงานร้านที่อยู่ด้านข้างล้วนเบนสายตาตามจิตใต้สำนึก ไม่มองพวกเขา
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินถิงเซียวถึงได้ปล่อยมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนลูบริมฝีปากตัวเอง รู้สึกได้ว่าริมฝีปากบวมตัวเองบวมแล้ว หลังจากนั้นก็มองเฉินถิงเซียวอย่างไม่สบอารมณ์
เธอลองชุดเจ้าสาวตลอดทั้งบ่ายอีกครั้ง
ทว่าในครั้งนี้ เธอลองสังเกตสีหน้าของเฉินถิงเซียวอย่างละเอียด
ทุกครั้งที่เธอลองชุดเจ้าสาวออกมา เฉินถิงเซียวล้วนตั้งใจมองเธอ บนใบหน้าไม่มีความหงุดหงิดรำคาญใจเลยแม้แต่น้อย
คล้ายกับว่าเขารู้สึกว่าชุดเจ้าสาวทุกชุดไม่เลวเลยจริงๆ ถึงได้พยักหน้าตลอด……..
มู่น่อนน่อนลองจนเหนื่อยแล้ว ระหว่างพักผ่อนก็วิ่งไปถามเขา “คุณไม่รู้สึกว่าชุดเจ้าสาวชุดไหนสวยเป็นพิเศษหรือ”
คำตอบของเฉินถิงเซียวธรรมดาและตรงไปตรงมา “ไม่มี”
มู่น่อนน่อนถูกคำพูดของเขาทำให้สำลักไปครู่หนึ่ง
เฉินถิงเซียวเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง เขาจึงมองความรู้สึกบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนออกได้อย่างรวดเร็ว เธอไม่พอใจต่อคำตอบนี้
เขาขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เลือกที่จะพูดความจริงออกมา “เพราะว่าถูกสวมอยู่บนร่างของคุณ ดังนั้นทุกชุดล้วนไม่เลว”
มู่น่อนน่อนกระพริบตาปริบๆ ผ่านไปไม่กี่วินาที ถึงได้เอ่ยว่า “คุณพูดว่าทุกชุดล้วนไม่เลว หมายความว่าเช่นนี้?”
“อืม” เฉินถิงเซียวพยักหน้าจริงจัง
ยิ่งคนที่พูดคำหวาน เอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาด้วยท่าทางจริงจังในตอนที่ไม่แคร์ ก็ยิ่งทำให้คนชื่นชอบมากยิ่งขึ้น
มู่น่อนน่อนหลุดหัวเราะ เขยิบเข้าไปจุมพิตเขา
เฉินถิงเซียวเหลือบตาขึ้นมองเธอ ดูเหมือนจะไม่เข้าใจถึงจุมพิตที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้
มู่น่อนน่อนก็ไม่อธิบายให้เขารู้ เพียงแค่ยิ้มน้อยๆ และเข้าไปลองชุดเจ้าสาวอีกสองชุด
การแต่งงานเป็นเพียงแค่รูปแบบหนึ่งเท่านั้น เธอกับเฉินถิงเซียวอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ ความจริงแล้วรู้สึกเฉยๆกับสิ่งเหล่านี้มาก
เธอไม่เคยต้องอาศัยรูปแบบภายนอกเหล่านั้น ไปตามหาความรู้สึกมั่นคง
เธอเป็นอิสระเร็วเกินไป คนที่รู้จักพึ่งพามากที่สุดก็คือตัวเอง เธอไม่คิดอยากจะตามหาความรู้สึกมั่นคงจากเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่มีอำนาจมากคนหนึ่ง เขาสามารถกลายเป็นที่พักพิงของเธอได้นั้นมิผิด เธอก็ไว้ใจเขามากเช่นกัน
แต่เรื่องไม่คาดฝันในชีวิต มักจะมาอย่างกะทันหัน
ยกตัวอย่างเช่นการที่ต้องแยกจากกันในสามปีที่ผ่านมา และยกตัวอย่างเช่นเธอกับเฉินถิงเซียวที่สูญเสียความทรงจำ
ชีวิตคนเราเปลี่ยนแปลงได้มากมาย ไม่มีใครสามารถเป็นที่พักพิงของใครได้ตลอดชีวิต
แม้ว่าจะไม่มีเฉินถิงเซียว เธอก็สามารถปกป้องตัวเองให้ผ่านไปได้ด้วยดีได้
………
สุดท้าย มู่น่อนน่อนก็เลือกชุดเจ้าสาวมาสามชุด ให้เฉินถิงเซียวเลือกให้เธอชุดหนึ่ง
ชายหนุ่มที่คิดอุบายวางแผนในการทำธุรกิจ กลับถูกชุดเจ้าสาวสามชุดทำให้ลำบากใจเสียแล้ว
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ตรงหน้าเขา เงยหน้ายิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน “เฉินถิงเซียว ชุดแต่งงานนี้ฉันสวมให้คุณดูคนเดียว คุณเลือกมาชุดหนึ่งตามใจคุณ”
…..เป็นชุดที่สวมให้คุณดูคนเดียว
เฉินถิงเซียวร่างสั่นสะท้าน บนใบหน้ามีแววตกใจพาดผ่าน
มู่น่อนน่อนจับมือของเขา น้ำเสียงเจือไปด้วยการโอ๋เล็กน้อย “ช่วยฉันเลือกชุดหนึ่งนะ”
เฉินถิงเซียวพยักหน้าอย่างเชื่องช้า “อืม”
สายตาของเฉินถิงเซียวกวาดมองผ่านชุดเจ้าสาวสามชุดนั้นทีละชุด สุดท้ายก็ตกลงบนชุดเลอค่าของร้านที่ผู้จัดการร้านพูดชุดนั้น
นั้นเป็นชุดเจ้าสาวที่นักออกแบบเลื่องชื่อที่เสียชีวิตไปแล้วคนหนึ่งออกแบบในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นชุดสุดท้าย เป็นชุดที่ทำสำเร็จด้วยกันกับสามีเธอ ทั่วทั้งโลกมีเพียงแค่ชุดนี้ชุดเดียว
ชุดเจ้าสาวชุดนี้ผลิตขึ้นในหลายปีก่อน แต่ตอนนี้มองดูแล้วก็ยังคงสวยงามและโดดเด่น
ระหว่างทางกลับ เฉินถิงเซียวขับรถ ส่วนมู่น่อนน่อนก็เล่นโทรศัพท์มือถือ
เธอเลื่อนดูไทม์ไลน์ในวีแชทก่อน หลังจากนั้นก็เข้าไปในเว่ยป๋อ
เพราะข่าวไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เว่อป๋อของเธอได้รับข้อความส่วนตัวจำนวนมาก และยังมีข้อความที่เธอยังไม่ได้อ่าน
นอกจากคอมเม้นท์บางส่วน ก็ยังมีข้อความที่ @ เธอด้วย
เมื่อเธอเข้าไปในเว่ยป๋อ โทรศัพท์มือถือก็สั่นขึ้นมา
ในส่วนแจ้งเตือนของโทรศัพท์มือถือมีข้อความเตือนเด้งขึ้นมาไม่หยุด
เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกหรือ
โทรศัพท์มือถือสั่นไม่หยุด มือของเธอถูกแรงสั่นสะเทือนทำให้ชาไปเล็กน้อย ถึงได้เข้าไปปิดการโหมดสั่นเตือนในตั้งค่า
โทรศัพท์มือถือดัง “ครืดๆ” ไม่หยุด จึงดึงดูดความสนใจของเฉินถิงเซียว
เขาหันหน้ามาถามเธอ “ทำไมหรือ”
พนักงานร้านชุดแต่งงานมีสายตาเฉียบแหลมมาก เห็นมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวเดินเข้าไปทางด้านใน ก็รู้ว่าพวกเขามีเรื่องจะคุยกัน จึงไม่ได้เดินใกล้มากเกินไป ปล่อยให้พวกเขาได้พื้นที่ว่างในการสนทนากัน
ทั้งสองคนเดินไปถึงสถานที่ที่ไม่มีคน มู่น่อนน่อนถึงได้ปล่อยเขา
“คำพูดของซูเหมียนหมายความว่าอะไร งานเลี้ยงคราวที่แล้ว ทำไมคุณถึงให้เธอนั่งข้างคุณ เธอพูดอะไรกับคุณ” เรื่องในงานเลี้ยง เธอเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง
เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่ซูเหมียนพูดอะไรบางอย่างกับเฉินถิงเซียว แม้ว่าเฉินถิงเซียวจะไม่เต็มใจ แต่ก็ยอมให้ซูเหมียนนั่งข้างเขา
แต่เมื่อครู่นี้ สายตาของซูเหมียนก็ประหลาดมากเช่นกัน
เฉินถิงเซียวมองมาทางเธอด้วยแววตาเคร่งขรึม ถามด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรว่า “คุณคิดว่าผมเป็นชายแก่?”
มู่น่อนน่อนคิดไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวยังจะถือสาหาความกับปัญหานี้ไม่เลิก จึงเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “นั่นฉันกำลังด่าซูเหมียน”
“ในใจคุณคิดแบบนี้” เฉินถิงเซียวไม่ยอมเธอ จับปัญหาเรื่องนี้ไม่ปล่อย
มู่น่อนน่อนเอามือกุมหน้า เอ่ยอย่างจนปัญญาว่า “ไม่ใช่ ผู้ชายอายุสามสิบมีความเป็นผู้ใหญ่ จัดการเรื่องราวได้ดี ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ผู้หญิงที่ไหนเห็นก็หลงรัก คุณเพิ่งจะสามสิบพอดี ไม่แก่”
เฉินถิงเซียวหัวเราะเสียงเย็น เห็นได้ชัดมากว่าคำพูดของมู่น่อนน่อนใช้กับเขาไม่ได้
“เช่นนั้นตอนนี้คุณสามารถตอบคำถามฉันได้แล้วใช่ไหม” มู่น่อนน่อนถามเขา
“วันนี้มาเลือกชุดเจ้าสาว” เฉินถิงเซียวเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยจบแล้วก็ไปดูชุดเจ้าสาว
เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวไปดูชุดเจ้าสาว ผู้จัดการร้านก็รีบตามเข้าไป แนะนำเนื้อผ้าและจุดเด่นของชุดเจ้าสาวเหล่านี้ รวมไปถึงถูกออกแบบโดยนักออกแบบคนใดให้เขาฟัง
“นี่คือนักออกแบบที่โรแมนติกมากที่สุดของฝรั่งเศส….”
“เซตนี้แสดงถึงความเป็นนิรันดร์….”
“…..คุณชายเฉินสายตาเฉียบคมจริงๆ นี่คือชุดที่เลอค่าที่สุดในร้านของพวกเราค่ะ”
เฉินถิงเซียวไปดูชุดเจ้าสาวแล้ว มู่น่อนน่อนก็ทำได้เพียงแค่เดินตามไป
ทั้งสองคนเดินไปรอบหนึ่งแล้วก็ลงมานั่งพักผ่อนที่โซฟา
เจ้าของร้านให้คนยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ และเอ่ยถามด้วยท่าทางใจจดใจจ่อ “คุณชายเฉิน คุณหญิงน้อย มีชุดเจ้าสาวที่ถูกใจไหมคะ”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร เพียงแค่เงยหน้ามองไปทางมู่น่อนน่อน
ร้านชุดเจ้าสาวร้านนี้เป็นร้านชุดเจ้าสาวชั้นสูงที่สุดร้านหนึ่งที่อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทเฉินซื่อ
ชุดเจ้าสาวในร้าน แทบจะถูกผลิตจากผู้ที่มีฝีมือยอดเยี่ยม นักออกแบบทั้งในและต่างประเทศล้วนมีหมด
มู่น่อนน่อนดูจนตาลาย รู้สึกว่าทุกชุดล้วนสวยมาก ดังนั้นจึงอยากจะถามความเห็นเฉินถิงเซียวสักหน่อย
เธอเอามือเท้าคาง หันไปมองเฉินถิงเซียว “คุณคิดว่ายังไง”
ในฐานะที่เฉินถิงเซียวเป็นผู้ชายสวมชุดสูทที่ตรงไปตรงมาเป็นเวลานานหลายปี ในฐานะที่เป็นจระเข้ยักษ์ในวงการธุรกิจ ความรู้สึกเกี่ยวกับแฟชั่นและสุนทรียภาพในเรื่องเครื่องแต่งกายนั้นสามารถกล่าวได้ว่าไม่มี
สำหรับเขา ไม่ว่ามู่น่อนน่อนจะใส่ชุดไหน ในสายตาเขาล้วนเหมือนกัน ตอนที่ไม่สวมนั้นสวยที่สุด
แต่เขาก็รู้ว่าขั้นตอนการแต่งงานปกติ ผู้หญิงจะต้องสวมชุดเจ้าสาว ดังนั้นจึงมอบให้สือเย่ไปจัดการเรื่องพวกนี้
ส่วนก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี ตอนที่มู่น่อนน่อนแต่งให้เขา นั่นไม่นับว่าเป็นการแต่งงาน
ครั้งนี้ เขาเตรียมจัดงานยิ่งใหญ่งานหนึ่ง
ส่วนคำถามนี้ของมู่น่อนน่อนทำให้เขาหนักใจมาก
มู่น่อนน่อนยังคงรอคำตอบของเขา นัยน์ตาแมวคู่นั้นมองมาทางเขาโดยไม่กระพริบ ยั่วยวนคนเป็นอย่างมาก
เขากระแอมไอเสียงเบา น้ำเสียงเจือไปด้วยแววปรึกษาหารืออยู่หลายส่วน “ไม่อย่างนั้น ล้วนลองดูสักหน่อย”
“ลองหมด?” มู่น่อนน่อนหันไปมองครู่หนึ่ง ชุดเจ้าสาวมากขนาดนี้ เธอต้องลองไปถึงปีไหนเดือนไหนกัน
“ลองสักหน่อย แล้วก็เลือกชุดที่ชอบมากที่สุดชุดหนึ่ง” เฉินถิงเซียวเอ่ยจบแล้วก็เสริมต่ออีกประโยค “ถ้าหากว่าไม่เจอชุดที่ชอบ พวกเราก็ไปดูกันที่ต่างประเทศ”
มู่น่อนน่อนหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก “ทำไมคุณไม่ไปลองดูให้หมดบ้าง”
“ผมไม่ต้องลอง ผมสามารถอยู่เป็นเพื่อนคุณได้” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวจริงจังมาก
มู่น่อนน่อนก็ไม่ค่อยเก็บเอาคำพูดของเฉินถิงเซียวมาใส่ใจ เลือกออกมาหลายชุดแล้วให้พนักงานร้านนำมาให้เธอลอง
เธอลองชุดเจ้าสาวไปได้ไม่กี่ชุด ช่วงบ่ายก็ผ่านไปแล้ว
ส่วนทุกชุดที่เธอลองออกมา ถามว่าเฉินถิงเซียวเป็นอย่างไรบ้าง ปฏิกิริยาของเฉินถิงเซียวล้วนเป็นการพยักหน้าเพียงอย่างเดียว
ลองถึงชุดสุดท้าย มู่น่อนน่อนกลับลองจนโมโหเสียแล้ว
“เหนื่อยจะตายแล้ว ไม่ลองแล้ว”
“อืม เช่นนั้นก็กลับบ้านเถอะ”
เฉินถิงเซียวลุกขึ้นยืน จัดเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อยแล้วเอ่ยเสริมประโยคหนึ่ง “พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
มู่น่อนน่อน “???” พรุ่งนี้ยังจะมา?
ระหว่างทางกลับไป มู่น่อนน่อนก็ส่งข้อความวีแชทแขวะเฉินถิงเซียวให้เสิ่นเหลียง
“วันนี้ฉันไปลองชุดเจ้าสาว ถามเฉินถิงเซียวว่าชุดไหนสวย คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะให้ฉันลองทุกชุด!”
“ฉันลองชุดเจ้าสาวไปทั้งบ่าย เขาไม่เอ่ยความเห็นออกมาสักความเห็น กลับให้ฉันมาลองใหม่ในวันพรุ่งนี้ เขานึกว่าลองชุดเจ้าสาวเนี่ยสนุกหรือไง!”
“โมโหจะตายแล้ว!”
“……..”
เดิมเสิ่นเหลียงคิดจะตอบเธอ แต่เมื่ออ่านข้อความวีแชทที่ราวกับทิ้งระเบิดแต่ละข้อความของเธอแล้ว ก็รอให้เธอเอ่ยจบแล้วค่อยตอบเธอ
“เอ่ยถึงเรื่องสำคัญ เจ้านายใหญ่ไปลองชุดเจ้าสาวเป็นเพื่อนเธอตลอดทั้งบ่าย เรื่องอะไรในช่วงบ่ายเขาก็ไม่ได้ทำทั้งนั้น นั่งรอเธอลองชุดเจ้าสาวเฉยๆ?”
มู่น่อนน่อนเห็นข้อความนี้ของเสิ่นเหลียงแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย หันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวที่กำลังขับรถ ก็มองไปข้างหน้าโดยไม่ละสายตา ทั่วทั้งร่างมองดูแล้วมุ่งมั่นมากเป็นพิเศษ
จากมุมมองของมู่น่อนน่อน ก็เห็นเพียงแค่เค้าโครงบริเวณสันกรามที่เห็นได้ชัด รวมถึงใบหน้าด้านข้างที่หนักแน่น
เฉินถิงเซียวเหลือบตามองมู่น่อนน่อนครู่หนึ่ง น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นภายในตัวรถ “มองผมทำไม?”
“มองที่คุณหล่อ” มู่น่อนน่อนเอ่ยเย้าเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงเบา “อย่างนั้นหรือ”
มู่น่อนน่อนถอนสายตากลับมา มองไปนอกหน้าต่าง
เธอละเลยการที่เฉินถิงเซียวอยู่เป็นเพื่อนเธอตลอดทั้งบ่าย นั่งอยู่ในร้านชุดแต่งงานเฉยๆตลอดทั้งบ่าย
เธอคิดเพียงแต่ว่าตัวเองเหนื่อย แต่คิดไม่ถึงว่าความจริงแล้วเฉินถิงเซียวก็เหนื่อยเหมือนกัน
ปกติเขาที่เป็นคนที่ยุ่งมากขนาดนั้น นั่งเฉยๆตลอดบ่ายน่าจะรู้สึกเบื่อหน่ายมาก
โทรศัพท์มือถือยังคงสั่นอยู่ นั่นคือข้อความวีแชทที่เสิ่นเหลียงส่งให้เธอ
“ฉันเข้าใจแล้วว่า เจ้านายใหญ่น่าจะรักเธอมากจริงๆ”
“เธอให้ฉันนั่งเฉยๆ ลองชุดเจ้าสาวตลอดทั้งบ่ายเป็นเพื่อนเธอ ก็ไม่แน่ว่าฉันจะเต็มใจนะ”
“เธอรอฉันจัดการตารางงานให้เรียบร้อยก่อน จะหาเวลาสองวันออกไปลองชุดเจ้าสาวเป็นเพื่อนเธอ”
……..
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดไปอย่างนั้น
บ่ายวันถัดมา เขาก็ไปบริษัทแต่เช้า ตอนบ่ายโทรศัพท์หามู่น่อนน่อน บอกว่าจะไปลองชุดเจ้าสาวเป็นเพื่อนเธอ
เป็นครั้งแรกที่มู่น่อนน่อนพบว่าผู้ชายที่ตรงไปตรงมานั้นมีค่ามากเพียงใด
เฉินถิงเซียวตั้งใจจะให้เธอลองชุดเจ้าสาวทั้งหมดในร้านชุดเจ้าสาวรอบหนึ่งจริงๆหรือ
“วันนี้ไม่ไปแล้ว ยังมีงานต้องทำอีก” วันนี้เธอถูกฉินสุ่ยซานเรียกมาประชุมกะทันหัน ปรึกษาเรื่องบทละคร ช่วงบ่ายไม่แน่ว่าจะมีเวลา
เฉินถิงเซียวเงียบไปครู่หนึ่ง พลางเอ่ยว่า “ผมจะไปรับคุณ”
“ฉันขับรถมาเองได้”
“ผมก็สามารถไปรับคุณได้” เฉินถิงเซียวคล้ายกับตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าจะมารับเธอ
มู่น่อนน่อนถูกประโยคนี้ของเขาทำให้พูดไม่ออก เพียงแค่รับคำอย่างไม่เต็มใจว่า “อืม”
เฉินถิงเซียว ผู้ชายคนนี้ มักจะมีวิธีในการจับจุดอ่อนของเธอแล้วจัดการสำเร็จได้ในครั้งเดียว
วันนั้นเธอไม่ได้บอกฉินสุ่ยซานถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียว จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่อยากให้เฉินถิงเซียวมารับเธอ ให้ฉินสุ่ยซานได้ดูเรื่องสนุก
เฉินถิงเซียวก็เข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน ถึงได้จงใจบอกว่าจะมารับเธอ
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดและถามฉินสุ่ยซานว่า “พ่อของเธอมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่”
เธอได้ยินมาว่าครอบครัวของซูเหมียนไม่ธรรมดา แต่สำหรับสภาพแวดล้อมในครอบครัวของซูเหมียนนั้นก็ไม่ได้รู้ชัดเจนนัก
ตอนนี้เธอได้ยินฉินสุ่ยซานพูดแบบนี้แล้ว ก็เกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาหลายส่วน
“ไม่รู้ และไม่มีใครรู้เช่นกัน” ฉินสุ่ยซานส่ายหน้า “ดังนั้นถึงได้บอกว่าเธออ่อนน้อมถ่อมตน เธอก็รู้ ตอนนี้ ยิ่งเป็นคนที่มีความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ ก็ยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ถ้าหากพบกับคนหรือเรื่องอะไร เช่นนั้นก็สามารถจัดการทิ้งภายในเศษเสี้ยวนาที”
“สรุปนะ เธอระวังซูเหมียนหน่อยดี”
รู้ว่าฉินสุ่ยซานเอ่ยเตือนด้วยความปรารถนาดี มู่น่อนน่อนก็พยักหน้า “ฉันรู้แล้ว ขอบใจนะ”
ฉินสุ่ยซานยิ้มโดยไม่ปฏิเสธ
เมื่อออกมาจากสตูดิโอของฉินสุ่ยซาน มู่น่อนน่อนก็ได้รับสายโทรศัพท์จากเฉินถิงเซียว
“กลางวันกินข้าวด้วยกัน ตอนบ่ายจะไปดูชุดเจ้าสาวเป็นเพื่อนคุณ”
“คุณว่างขนาดนั้น?”
“ผมเป็นแค่พนักงานคนหนึ่งเท่านั้น แน่นอนว่าต้องเห็นเรื่องของเจ้านายสำคัญที่สุด”
เฉินถิงเซียวถอนตัวออกมาแล้ว แต่ยังจะใช้เธอเป็นข้ออ้างอีก
ตอนนี้แม้ว่าบริษัทเฉินซื่อจะเป็นของเธอแล้วจริงๆ แต่คนที่จัดการดูแลก็ยังคงเป็นเฉินถิงเซียว
ถึงอย่างไร เธอก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการจัดการบริหารพวกนี้แม้แต่น้อย
ในเมื่อเฉินถิงเซียวมีอารมณ์สุนทรีย์ มู่น่อนน่อนก็รับเอาไว้เป็นธรรมดา
ทั้งสองคนกินข้าวกลางวันด้วยกัน และไปดูร้านชุดเจ้าสาวเพื่อดูชุดเจ้าสาว
ร้านชุดเจ้าสาวก็เป็นกิจการที่อยู่ภายใต้ชื่อของบริษัทเฉินซื่อ ก่อนที่มู่น่อนน่อนจะเข้าไปดูชุดเจ้าสาว ก็ถูกสือเย่จัดการให้ทุกคนจากไปแล้ว
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า สือเย่คนนี้มีความสามารถรอบด้านมาก
“คุณให้เงินเดือนผู้ช่วยสือเท่าไร?” มู่น่อนน่อนรู้สึกอยากรู้ขึ้นมากะทันหัน
เฉินถิงเซียวหัวเราะ “คุณเดาสิ”
มู่น่อนน่อนทุบเขาไปทีหนึ่ง เฉินถิงเซียวจับมือเธอเอาไว้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยว่า “จำไม่ได้แล้ว ถึงอย่างไรก็หลายล้านต่อปีนะ เงินเดือนก็เพิ่มขึ้นทุกปี ผมจำไม่ได้แล้วจริงๆ”
เมื่อเห็นท่าทางจริงใจของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนก็ไม่ทำให้เขาลำบากใจอีก
ทั้งสองพูดคุยกันไป พลางเดินไปทางร้านชุดเจ้าสาว
ผู้จัดการร้านนำพนักงานออกมาต้อนรับพวกเขาที่หน้าประตู
“คุณชายเฉิน”
เฉินถิงเซียวจูงมือมู่น่อนน่อนเดินเข้าไปข้างใน
จู่ๆเขาก็หยุดฝีเท้า หันหน้ามองไปทางผู้จัดการร้าน น้ำเสียงแฝงไปด้วยกลิ่นอายเย็นยะเยือก “คุณหญิงน้อย” สามคำนี้เรียกไม่เป็นหรือ ต้องให้ผมสอนพวกคุณไหม”
ผู้จัดการร้านมองมู่น่อนน่อนครู่หนึ่ง ลนลานโค้งตัวเอ่ยเรียกว่า “คุณหญิงน้อย!”
พนักงานร้านคนอื่นๆก็รีบทำตามผู้จัดการร้าน เอ่ยเรียกว่า “คุณหญิงน้อย”
มู่น่อนน่อนมองไปทางผู้จัดการร้านครู่หนึ่ง ก็พบว่าผู้จัดการร้านหลบสายตาอยู่บ้าง อีกทั้งบนใบหน้าพนักงานร้านคนอื่นๆก็มีสีหน้ากังวลใจ มีปัญหาแล้ว
มู่น่อนน่อนพิจารณามองพวกเธอเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
เฉินถิงเซียวพาเธอเดินเข้าไปด้านใน
ทั้งสองคนเดินเข้าไปได้ไม่กี่ก้าว ผู้จัดการร้านก็เรียกพวกเขาให้หยุดกะทันหัน “คุณชาย คุณหญิงน้อย ขอโทษด้วยนะคะ วันนี้ที่ร้านพวกเรายังจัดการชุดใหม่ที่เข้ามาไม่เรียบร้อย ด้านในรกมาก ไม่สู้พวกคุณค่อยมาดูชุดเจ้าสาวอีกครั้งเป็นอย่างไรคะ”
เฉินถิงเซียวหยุดฝีเท้า หันหน้ามามองผู้จัดการร้าน
สีหน้าเขาไม่น่ามอง นัยน์ตาเย็นชามาก
ผู้จัดการร้านไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ ก้มศีรษะลงต่ำมาก มองดูแล้วหวาดกลัวเป็นอย่างมาก มู่น่อนน่อนยังสังเกตเห็นว่ามือของเธอกำลังสั่น
ความจริงแล้วมู่น่อนน่อนก็สามารถรู้สึกถึงกลิ่นอายกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างของชายหนุ่ม แต่เธอชินแล้ว จึงไม่ได้กลัวเหมือนกับผู้จัดการร้านขนาดนั้น
สาเหตุที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ คนที่ทำให้เขาโมโหไม่ใช่เธอ
เฉินถิงเซียวเงียบไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก “เช่นนั้นหรือ รกมาก?”
น้ำเสียงของเขาแม้ว่าจะไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่รับได้ ผู้จัดการร้านที่หวาดกลัวแต่ก็ยังคงกัดฟันเอ่ยว่า “ค่ะ”
“เหอะ!” เฉินถิงเซียวหัวเราะเสียงเย็น น้ำเสียงไม่สบอารมณ์มากกว่าเดิม “คุณยังมีหน้ามาพูดกับผมว่า ‘ค่ะ’! ผมมอบหมายเรื่องนี้มาตั้งแต่สองวันก่อนหน้านี้ เพียงแต่เลื่อนมาวันนี้ถึงได้พาคนมา ส่วนคุณก็มาบอกกับผมว่าร้านรกมาก นี่คือความสามารถในการจัดการของคุณหรือ”
“ฉัน…ฉัน…” ผู้จัดการร้านตกใจจนพูดไม่ออก
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก คิดจะโน้มน้าวเขา
ตอนนี้เองที่ด้านในมีเสียงหญิงสาวที่คุ้นหูดังลอยมา
“ทำไมจะต้องทำให้พนักงานคนหนึ่งลำบากใจด้วยล่ะคะ”
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปก็เห็น ซูเหมียนสวมชุดสูทสีขาวบริสุทธิ์ออกมาจากด้านใน
ซูเหมียนเป็นหญิงสาวที่มีบุคลิกงดงามเพียบพร้อมที่สุดคนหนึ่งในบรรดาหญิงสาวที่มู่น่อนน่อนเคยพบมา
เธอสง่างามและงดงามมากเช่นกัน
ถ้าหากว่าซูเหมียนไม่คิดจะแย่งผู้ชายของเธอ เธอก็ชื่นชมซูเหมียนผู้หญิงคนนี้มาก
เมื่อครู่นี้มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นว่าสีหน้าของผู้จัดการร้านและพนักงานในร้านผิดปกติ แต่คิดไม่ถึงว่าเป็นเพราะซูเหมียนอยู่ที่นี่
ก่อนที่พวกเขาจะมาที่นี่ เฉินถิงเซียวได้สั่งให้สือเย่มาจัดการให้คนออกไปหมดแล้ว
แต่ทำไมซูเหมียนยังอยู่ที่นี่อีก?
มู่น่อนน่อนเพียงแค่ครุ่นคิดเล็กน้อย ก็พบคำตอบแล้ว
ข่าวในงานเลี้ยงก่อนหน้านี้ออกมาปุ๊บ เกือบจะทุกคนล้วนยืนอยู่ข้างซูเหมียน ทุกคนล้วนนึกว่าซูเหมียนกับเฉินถิงเซียวเป็นคู่กัน
อีกทั้งคนในร้านชุดเจ้าสาวนี้ก็น่าจะคิดแบบนั้นเช่นกัน
ดังนั้นหลังจากจัดการให้ทุกคนออกไปหมดแล้ว พวกเธอก็ปล่อยให้ซูเหมียนเข้ามา
ตอนที่เฉินถิงเซียวเห็นซูเหมียน กลิ่นอายบนร่างก็เย็นเยียบขึ้นหลายองศา
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ว่าเขารังเกียจซูเหมียนมากจริงๆ
ผู้จัดการร้านเห็นซูเหมียนออกมาแล้ว ก็ก้าวขึ้นไปเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอโทษด้วยนะคะคุณหนูซูรบกวนคุณค่อยมาใหม่ในวันหลังนะคะ”
“ได้สิ” ซูเหมียนรับคำผู้จัดการร้านด้วยท่าทางผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
ต่อมา เธอก็หันหน้ามามองเฉินถิงเซียว เดินเข้ามาทางเขาสองก้าว พลางเอ่ยว่า “มาดูชุดเจ้าสาวหรือคะ นี่วางแผนจะแต่งงานแล้ว? วางแผนเปิดตัวมู่มู่แล้ว?”
เฉินถิงเซียวมองเธอด้วยสายตาเย็นชา น้ำเสียงไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ “อยู่ห่างจากผมหน่อย”
ซูเหมียนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็คืนสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็ว
เธอก้าวถอยหลังอย่างคล้อยตาม “ถิงเซียว เหตุใดต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วยล่ะคะ ไม่พิจารณาดูหน่อยหรือว่ามีใครที่เหมาะสมกับคุณมากกว่า”
ซูเหมียนเอ่ยจบแล้วก็กวาดตามองมู่น่อนน่อนด้วยสายตาเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง แววตาเต็มไปด้วยความเป็นอริ
ในเมื่อซูเหมียนยั่วยุเธอ มู่น่อนน่อนก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เถียงเธอ
มู่น่อนน่อนปล่อยมือเฉินถิงเซียว เดินไปตรงหน้าซูเหมียน เอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ฉันคิดว่าก่อนที่คุณหนูซูจะเป็นกังวลต่อปัญหาเรื่องการแต่งงานของพวกเรา ก็น่าจะพิจารณาปัญหาของตัวเองสักหน่อยนะคะ เฉินถิงเซียว ชายแก่ที่อายุสามสิบปีคนนี้เริ่มรีบร้อนจะแต่งงานแล้ว แม้ว่าคุณหนูซูจะบำรุงเป็นอย่างดี แต่ก็ต้องพิจารณาให้มากเพื่อตัวเองด้วยนะคะ”
สีหน้าของซูเหมียนมีโทสะเล็กน้อย โมโหจนลมหายใจก็แรงขึ้นหลายส่วน แต่กลับไม่ได้ตอบมู่น่อนน่อน
เพียงแค่มองเฉินถิงเซียวอย่างลึกซึ้งครู่หนึ่ง ก็จากไป
ทว่า ก็สามารถฟังออกว่าตอนนี้อารมณ์เธอไม่ดีเป็นอย่างมากได้จากเสียงฝีเท้าที่ทั้งหนักและเร็วของเธอ
ความรู้สึกของการฉีกหน้าศัตรูความรักนั้นไม่เลว
แต่ความรู้สึกสะใจนี้อยู่ไม่ถึงสามวินาทีก็เลือนหายไปแล้ว
มู่น่อนน่อนคิดถึงสายตาที่มองมาทางเฉินถิงเซียวอย่างมีนัยยะในตอนสุดท้ายแล้ว ก็อารมณ์ดีไม่ขึ้น
“ซูเหมียน เธอหมายความว่าอะไร?”
“ชายแก่?”
ทั้งสองคนแทบจะเอ่ยออกมาในเวลาเดียวกัน
รอบด้านนิ่งเงียบไปหลายวินาที มู่น่อนน่อนมองผู้จัดการร้านและพนักงานร้านที่ยืนอยู่ด้านหลังเฉินถิงเซียวด้วยท่าทางเคารพนบนอบแล้ว ก็ดึงเขาเดินเข้าไปด้านใน
เฉินมู่เบะปาก เอ่ยเสียงงึมงำว่า “ดุร้ายมาก”
เฉินถิงเซียวส่งสายตาไป เธอก็รีบหุบปากทันที และลงจากเตียงไปด้วยท่าทางที่ได้รับความไม่เป็นธรรม
เธอตัวเล็ก ทำได้เพียงแค่พาดตัวลงบนเตียงและค่อยๆไถลลงไปด้านล่าง มุมปากเบะลงเป็นเส้นโค้ง
เฉินมู่มองไปมองมาภายในห้องก็หาเสื้อผ้าตัวเองไม่เจอ
เธอกำลังจะพูด แต่ก็นึกถึงท่าทางเมื่อครู่นี้ของเฉินถิงเซียว เธอจึงตกใจจนปิดปากแน่น และไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่วิ่งเข้าไปดึงผ้าห่มข้างกายเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วมองเธอ
เฉินมู่เงยหน้ามองมู่น่อนน่อนครู่หนึ่ง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบามากเป็นพิเศษ “หนูหาเสื้อไม่เจอ”
นี่คือห้องของเฉินถิงเซียว แน่นอนว่าไม่มีทางมีเสื้อผ้าของเฉินมู่
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้วก็ก้มหน้ามองมู่น่อนน่อนในอ้อมแขนตัวเองเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พลิกตัวลงจากเตียงด้วยความระมัดระวัง จูงมือเฉินมู่กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของเธอ
เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เฉินมู่เรียบร้อยแล้ว ก็ให้คนรับใช้พาเธอลงไปกินข้าวเช้า
ก่อนลงไปชั้นล่าง เฉินมู่มองไปทางห้องนอนของเฉินถิงเซียวด้วยท่าทางที่ไม่ยินยอมเป็นอย่างมาก เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณแม่ก็ต้องกินข้าวเช้า”
“หนูกินก่อน”
คำพูดเรียบง่ายธรรมดาของเฉินถิงเซียว ทำให้เฉินมู่ไม่กล้าเอ่ยอีก
หลังจากเห็นคนรับใช้พาเฉินมู่ลงไปที่ชั้นล่างแล้ว เฉินถิงเซียวถึงได้กลับไปที่ห้อง
มู่น่อนน่อนยังคงหลับลึกอยู่
เฉินถิงเซียวเดินไปมองเธอที่ข้างเตียงครู่หนึ่ง ถึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปที่ชั้นล่าง
ตอนที่เขาลงไป คนรับใช้กำลังป้อนข้าวเช้าให้กับเฉินมู่
เฉินมู่สายตาดี เธอเห็นเฉินถิงเซียวลงมา ก็รีบแย่งช้อนในมือของคนรับใช้มากินเองทันที มองดูแล้วเชื่อฟังเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าเฉินถิงเซียวเห็นการกระทำของเธอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
สองพ่อลูกนั่งประจันหน้ากัน และกินข้าวเช้าของตัวเองไปโดยไม่เอ่ยพูดอะไร
ตอนที่ใกล้จะกินเสร็จ มู่น่อนน่อนก็ลงมา
เธอเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งการแต่งเติม ตรงไปนั่งข้างเฉินมู่ จนทำให้สายตาของเฉินถิงเซียวเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
มู่น่อนน่อนแสร้งทำเป็นไม่เห็น หันหน้าไปมองเฉินมู่ “ว้าว มู่มู่กินเยอะขนาดนี้เลยหรือจ๊ะ?”
“อืม” เฉินมู่พยักหน้า และตักโจ๊กช้อนหนึ่งยื่นไปที่ริมฝีปากของมู่น่อนน่อน
แต่ว่า เธอจับได้ไม่มั่นคง ระหว่างทางจึงหกลงบนโต๊ะอาหารเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนยิ้ม จับมือเธอเอาไว้ และยื่นช้อนไปที่ริมฝีปากเธอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หนูกินเถอะ แม่ก็มีเหมือนกัน”
เพิ่งจะสิ้นสุดเสียง บนโต๊ะอาหารก็มีเสียง “เคร้ง” ดังขึ้น
มู่น่อนน่อนเหลือบตาขึ้นมองไป ก็พบว่าเฉินถิงเซียววางช้อนในมือกระแทกกับโต๊ะอย่างแรง
มู่น่อนน่อนใช้สายตาถามเขา กินข้าวเช้าดีๆไปสิ โมโหอะไร?
“ไม่มีอะไร” เฉินถิงเซียวก้มหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
เขาไม่เคยเห็นมู่น่อนน่อนผู้หญิงคนนี้ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนแบบนี้คุยกับเขาเหมือนกับตอนที่คุยกับเฉินมู่
เหอะ ผู้หญิงคนนี้!
…….
มู่น่อนน่อนก็ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวโมโหเรื่องอะไร กินอาหารเช้าเสร็จก็ไม่คุยกับเธอสักประโยค ตรงไปที่บริษัททันที
ประกอบกับที่ฉินสุ่ยซานโทรศัพท์มาคุยเรื่องบทละครพอดี มู่น่อนน่อนจึงกลับไปที่ห้องพักที่ตัวเองเช่าเอาไว้ นำคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คไปหาฉินสุ่ยซานที่สตูดิโอทำงานของเธอ
ตอนที่เธอไปถึง ฉินสุ่ยซานก็เพิ่งจะประชุมเสร็จ และกำลังรอเธออยู่
ฉินสุ่ยซานพาเธอไปที่ห้องประชุม และมีผู้ช่วยเขียนบทหลายคนรอเธออยู่ที่นั่นเช่นกัน
เมืองพัง ภาคแรก เป็นบทละครสำเร็จรูปภายใต้การสมมติ โดยมีมู่น่อนน่อนกับฉินสุ่ยซานเป็นผู้ดำเนินการให้สำเร็จสองคน
ปกติผู้เขียนบทล้วนมีผู้ช่วยของตัวเอง การผลิตละครเรื่องหนึ่ง นอกจากจะต้องมีผู้เขียนบทหลักแล้ว ยังต้องมีผู้ช่วยอีกหลายคน
ฉินสุ่ยซานถ่ายทำเมืองพังก็หาเงินได้ไม่น้อย ทั้งยังเปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง และจ้างคนไม่น้อย จึงไม่ต้องลำบากเหมือนกับแต่ก่อน
หลังจากประชุมเสร็จ คนอื่นๆล้วนแยกย้ายไปแล้ว ฉินสุ่ยซานถึงได้พามู่น่อนน่อนไปที่ห้องทำงานของเธอ
ฉินสุ่ยซานให้เธอนั่งบนโซฟา ต่อมาก็ถามว่า “ดื่มอะไร น้ำเปล่า กาแฟ น้ำผลไม้ หรือว่าเครื่องดื่มอื่นๆ”
มู่น่อนน่อนเอ่ย “น้ำเปล่าก็พอแล้ว”
ฉินสุ่ยซานให้เลขานำน้ำแก้วหนึ่งและกาแฟแก้วหนึ่งมาเสิร์ฟ
กาแฟเป็นของเธอ น้ำเปล่าเป็นของมู่น่อนน่อน
เธอนั่งตรงข้ามกับมู่น่อนน่อน เอียงตัวพิงเข้ากับพนักโซฟา พิจารณามองมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนยกแก้วน้ำขึ้นมา ปล่อยให้ฉินสุ่ยซานพิจารณามองเธอไป
ฉินสุ่ยซานพิจารณามองเธออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า “หน้าตาดูมีสง่าราศีมาก”
มู่น่อนน่อนยิ้ม ไม่ค่อยได้ถือสาคำพูดของฉินสุ่ยซาน
จู่ๆ ฉินสุ่ยซานก็แย้มริมฝีปากยิ้ม พยักหน้าให้กับมู่น่อนน่อน พูดมาเถอะว่า “รายงานข่าวในไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เด็กผู้หญิงที่อยู่ในงานเลี้ยงวันนั้น คือลูกสาวของเธอกับเฉินถิงเซียวสินะ?”
มู่น่อนน่อนชะงักไปเล็กน้อย วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะวางน้ำชา ต่อมาก็เอ่ยว่า “การคาดเดาของเธอหรือ”
“เป็นการคาดเดาของฉัน แต่ฉันเชื่อว่านี่เป็นความจริงเช่นกัน”
ก่อนหน้านี้ฉินสุ่ยซานก็ได้รับบัตรเชิญให้ไปงานเลี้ยง เดิมเธอคิดจะไปกับมู่น่อนน่อน ถึงอย่างไรมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวก็เคยมีความสัมพันธ์แบบนั้นกันในระดับหนึ่ง เธออยากรู้อยากเห็นในเรื่องของความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ดังนั้นจึงอยากจะไปดูความครึกครื้น
แต่มู่น่อนน่อนไม่ไป เธอก็มีธุระพอดี จึงไม่ได้ไป
สุดท้ายเธอก็เสียใจอยู่นาน
มู่น่อนน่อนเป็นผู้หญิงที่พูดกลับคำไปมา ในภายหลังจึงไป ทั้งยังทำให้เกิดข่าวใหญ่ขนาดนี้ด้วย
“ตั้งแต่ปีที่เธอตั้งครรภ์ในปีนั้น รวมไปถึงอายุของเด็กหญิงคนนั้น นั่นก็คือลูกสาวของเธอกับเฉินถิงเซียว แต่ว่า ตอนนั้นพวกเธอเก็บเป็นความลับได้ดีเกินไป เธอก็คลอดลูกที่ต่างประเทศ ดังนั้นสื่อมวลชนในประเทศจึงขุดค้นหาข้อมูลไม่พบ”
ฉินสุ่ยซานเอ่ยจบแล้ว ก็มีสีหน้าอยากรู้อยากเห็น “สำหรับซูเหมียน? ตอนนั้นเธอกับเฉินถิงเซียวก็ดูเหมือนจะไม่ได้ไปมาหาสู่กันนะ?”
มู่น่อนน่อนยิ้ม ไม่พูดอะไร
“ตอนนี้เธอมาแสร้งเป็นใบ้อะไรกับฉัน สรุปว่าเรื่องของเธอกับเฉินถิงเซียวมันยังไงกันแน่ เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวของเธอใช่หรือไม่” ในใจฉินสุ่ยซานอยากรู้อยากเห็นจะตายอยู่แล้ว
“ในเวลาทำงานไม่คุยเรื่องส่วนตัว” มู่น่อนน่อนไม่ได้ตั้งใจจะพูดคุยเรื่องนี้กับฉินสุ่ยซาน
จนถึงตอนนี้ บนโลกใบนี้คนที่สามารถทำให้เธอพูดทุกอย่างออกมาได้โดยไร้ซึ่งความกังวล ก็น่าจะมีเพียงแค่เสิ่นเหลียงเท่านั้น
ฉินสุ่ยซานเห็นท่าทางดื้อดึงเช่นนี้ของมู่น่อนน่อนแล้วก็ไม่ฝืน “ก็ได้ เธอไม่อยากพูดก็ช่างเถอะ แต่ฉันต้องเตือนเธอก่อนนะว่า ซูเหมียนไม่ใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน”
บิดาของฉินสุ่ยซานผู้อำนวยการสถานี ถือว่าเป็นบุคคลที่เป็นผู้บริหารที่ตำแหน่งไม่เล็กคนหนึ่ง
แต่บิดาของซูเหมียนมีความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า ถ้าจะให้พูดล่ะก็ พวกเธอก็อยู่ในวงการเดียวกัน ฉินสุ่ยซานก็รู้จักเธอ
มู่น่อนน่อนถามเธอ “ยังไงหรือ”
ฉินสุ่ยซานคนกาแฟ คิดแล้วถึงได้เอ่ยออกมาว่า “จะพูดอย่างไรดีล่ะ ฐานะของซูเหมียนในวงการนี้ของพวกเรา ก็เหมือนกับฐานะสตรีผู้งดงามอันเพียบพร้อมในโลกธุรกิจของเฉินจิ่งหยุ้น”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า แสดงให้เห็นว่าเข้าใจแล้ว
และเป็นเพราะเฉินจิ่งหยุ้นกับซูเหมียนล้วนถูกคนไล่ตามมาจนโต ดังนั้นจึงมีท่าทางเย่อหยิ่งมากเป็นพิเศษ ทั้งสองคนถึงได้เป็นเพื่อนกันได้
เพียงแต่ว่ามิตรภาพเช่นนี้ไม่ค่อยจะทนทานต่อการทดสอบเท่าใดนัก
เมื่อเห็นมู่น่อนน่อนฟังอย่างตั้งใจ ฉินสุ่ยซานชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “แต่ว่า ปกติซูเหมียนก็ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่คนที่ล่วงเกินเธอล้วนมีจุดจบที่ไม่ดี”
มู่น่อนน่อนทุบกำปั้นใส่เขาก็ไม่มีประโยชน์
เฉินมู่นอนหลับอยู่ด้านนอก เธอไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมา
ทั่วทั้งร่างล้วนถูกเฉินถิงเซียวควบคุมเอาไว้ ไม่มีช่องว่างให้โต้กลับแม้แต่น้อย
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉินถิงเซียว
…….
เมื่อเสร็จกิจ เฉินถิงเซียวก็อุ้มเธอไปอาบน้ำ
มู่น่อนน่อนโมโหมาก บิดเอวเขา แต่กลับถูกเฉินถิงเซียวคว้าหมับเข้าที่มือของเธอ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย “ยังอยากจะทำอีกรอบ?”
มู่น่อนน่อนมือสั่นเล็กน้อย ไม่กล้าขยับสุ่มสี่สุ่มห้า
เฉินถิงเซียวหัวเราะเสียงเบา “กลัวอะไร”
วันนี้เฉินถิงเซียวอารมณ์ดีมากจริงๆ
นี่คือท่าทางที่มู่น่อนน่อนไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว
เธอยื่นมือไปลูบหน้าเฉินถิงเซียว เอ่ยเสียงเบาว่า “หลังจากนี้ก็ต้องมีความสุขนะ”
เฉินถิงเซียวแค่นเสียงเย็น “คำพูดนี้ฟังดูเหมือนกับคำสั่งเสีย ผมไม่ชอบฟัง”
“……” บรรยากาศงดงามถูกทำลายลงได้สำเร็จด้วยประโยคเดียวของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนผลักเขา “คุณออกไป ฉันอาบเอง”
หางตาของเฉินถิงเซียวแฝงไปด้วยรอยยิ้ม มองดูแล้วเจ้าเล่ห์เล็กน้อย “คุณอาบเองได้หรือ”
……..
ตอนที่ทั้งสองคนกลับไปที่ห้องนอน ก็เป็นช่วงเวลาก่อนฟ้าสางแล้ว
มู่น่อนน่อนนอนลงบนเตียง รู้สึกว่าตัวเองได้รับชีวิตใหม่
เธอนอนหงายอยู่บนเตียง เฉินถิงเซียวหันหน้านอนตะแคง สายตาตกลงบนร่างเธอ ระหว่างพวกเขามีเฉินมู่กั้นอยู่
เด็กหญิงหลับลึกมาก มือน้อยๆอยู่ข้างหู ทั้งยังกรนเสียงเบา
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงกรนเบาๆของเธอแล้วก็รู้สึกว่าน่ารัก อดไม่ได้ที่จะตะแคงร่างหันไปมองเธอ
ผลลัพธ์ก็คือ เมื่อหันหน้าไปก็เห็นเฉินถิงเซียว
เธอเขยิบตัวลงไปด้านล่างเล็กน้อย ก็จะไม่เห็นหน้าเฉินถิงเซียวแล้ว
เธอดึงเฉินมู่เข้ามาในอ้อมแขนตัวเองด้วยความระมัดระวัง และหลับตาลงด้วยความพึงพอใจ
ผลลัพธ์ก็คือในระยะเวลาอันสั้น ริมฝีปากเธอก็ถูกจุมพิต เธอยังรู้สึกได้ถึงตอหนวดที่เพิ่งขึ้นมาของชายหนุ่มจิ้มลงบนคาง
เธอลืมตา เฉินถิงเซียวลูบศีรษะเธอ “นอนเถอะ”
หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้เก็บมือกลับไป
ระหว่างกลางถูกคั่นด้วยเฉินมู่ เขาก็ยังจะยื่นมือที่ยาวขนาดนั้นมากอดเธอ ลำบากเขาแล้วจริงๆ
……..
เช้าวันรุ่งขึ้น คนที่ตื่นขึ้นมาแรกสุดคือเฉินมู่
เธอลืมตาขึ้นมา จ้องเพดานอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่านี่ไม่ใช่ห้องของตัวเอง
สีผ้าห่มก็น่าเกลียด ไม่ใช่ผ้าห่มผืนสีชมพูของเธอ
อีกทั้งข้างเธอก็มีสิ่งที่แผ่อุณหภูมิอุ่นๆออกมา
เธอยื่นมือไปยิ้มเจ้าสิ่งที่แผ่ไอความร้อน ก็พบว่ามันขยับได้
ต่อมา เหนือศีรษะเธอก็มีเสียงคุ้นหูดังขึ้น “เฉินมู่”
เธอเงยหน้าก็เห็นใบหน้าเย็นชาของเฉินถิงเซียว
แต่ว่า เฉินถิงเซียวที่เพิ่งจะตื่นนอนนั้นเส้นผมยุ่งเหยิง มองดูแล้วไม่เหมือนกับยามปกติที่มีพลังโจมจีขนาดนั้น
เฉินมู่จึงไม่ได้กลัวเขาขนาดนั้น
การนอนหลับในครั้งนี้ของเธอดีมากเป็นพิเศษ ไม่ร้องไห้โวยวาย เอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มๆของเด็กน้อยว่า “เฉินชิงเซียว ทำไมคุณถึงมานอนที่เตียงหนูล่ะ”
“เบาเสียงหน่อย” เฉินถิงเซียวหลุบตาลง แม้จะไม่มีโทสะแต่ก็มีความน่าเกรงขาม
เฉินมู่ยื่นมือมาปิดปากตัวเอง มองเขา พลางกระพริบตาปริบๆ
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วถามเธอ “หนูดูให้ชัดเจนว่านี่คือเตียงของหนูหรือ”
มานอนที่เตียงของเขา ครอบครองตำแหน่งของเขา ตอนนี้ยังมาโทษว่าเขานอนเตียงเธออีก?
เฉินมู่ลุกขึ้นมานั่ง ขยี้ตาไปมา ก็พบว่านี่ไม่ใช่เตียงของเธอจริงๆ
เธอหันหน้าไปก็เห็นมู่น่อนน่อนที่กำลังนอนหลับลึกอยู่อีกด้านหนึ่ง
เฉินมู่ดวงตาเป็นประกาย “คุณ….”
คำว่า “แม่” ที่อยู่ด้านหลังยังไม่ได้เอ่ยออกมา ก็ถูกเฉินถิงเซียวปิดปากเอาไว้เสียก่อน “บอกให้หนูเบาเสียงหน่อย”
น้ำเสียงเขาเคร่งขรึมเล็กน้อย เจือไปด้วยพลังคุกคาม
เฉินมู่พยักหน้าหงึกหงัก แสดงให้เห็นว่าตัวเองจะไม่เสียงดังแบบนี้อีก
แต่เมื่อเฉินถิงเซียวปล่อยมือ เธอก็คลานไปข้างมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้ามีความสุข
แม้ว่าเฉินถิงเซียวจะนอนอยู่บนเตียง แต่ก็สามารถดึงเธอกลับมาด้วยมือเดียว แล้วโยนไปด้านข้างโดยไม่ต้องใช้แรงเยอะ
“อย่ารบกวนเธอ หนูไม่นอนก็ลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้าเอง” ตอนที่เฉินถิงเซียวเอ่ยนั้นเหมือนกับพ่อเลี้ยงเป็นพิเศษ
มู่น่อนน่อนพูดแล้ว ก็อุ้มเฉินมู่เดินอ้อมเฉินถิงเซียวขึ้นไปที่ชั้นบน
เฉินถิงเซียวยื่นมือออกมาได้ครึ่งทาง ตะลึงงันมองมู่น่อนน่อนขึ้นไปข้างบนแล้ว ถึงได้เก็บมือกลับมา
เขาสูดลมหายใจลึก หลุบตาลงอย่างไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่
……
มู่น่อนน่อนวางเฉินมู่ลงบนเตียง ตอนที่ช่วยเธอถอดเสื้อผ้า เฉินมู่ก็ตกใจตื่นเสียแล้ว
เธอเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกเล็กน้อย “คุณแม่”
มู่น่อนน่อนรีบกุมมือเธอเอาไว้ และหอมแก้มเธอ “แม่อยู่นี่จ้ะ”
เฉินมู่จึงหลับต่อไปด้วยความสบายใจอย่างรวดเร็ว
เธอเฝ้ามองอยู่ข้างเตียงอีกครู่หนึ่ง ถึงได้หมุนตัวออกไป
เธอเดินไปตามระเบียงทางเดิน ลงไปที่ชั้นล่าง ก็พบว่าภายในห้องโถงว่างเปล่า นอกจากคนรับใช้ไม่กี่คน ก็ไม่มีเงาร่างของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนเดินขึ้นไปยังตำแหน่งที่ตั้งห้องหนังสือของเฉินถิงเซียวที่ชั้นบน เธอเดาว่า เฉินถิงเซียวน่าจะอยู่ในห้องหนังสือ
เธอกำลังจะขึ้นไป ก็เห็นเฉินถิงเซียวเดินลงมาเสียแล้ว
เขาเปลี่ยนเป็นชุดนอน กลิ่นอายคมปลาบบนร่างกายลดลงไปไม่น้อย
“มู่มู่หลับแล้ว?” เฉินถิงเซียวเดินมาถึงตรงหน้าเธอ ก้มหน้าหอมแก้มเธอครั้งหนึ่ง
มู่น่อนน่อนพยักหน้า “อืม คุณขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า?”
ในตอนนี้เองที่คนรับใช้เดินเข้ามาเอ่ยด้วยท่าทางเคารพนบนอบ “คุณชาย คุณหญิงน้อย อาหารเย็นเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”
…….
เมื่อกินมื้อเย็นเสร็จ มู่น่อนน่อนก็ขึ้นไปดูเฉินมู่ที่ชั้นบน
ก่อนหน้านี้เฉินมู่กินข้าวแล้ว มู่น่อนน่อนจึงไม่ต้องเป็นห่วงว่าเธอจะตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะหิวข้าว เพียงแต่มาดูเพราะไม่วางใจ
คนเป็นแม่อาจจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ยิ่งมองลูกของตัวเอง ก็ยิ่งรู้สึกว่าน่ารักจนแทบทนไม่ไหว
เธออยู่ในห้องของเฉินมู่นานมาก จนกระทั่งเฉินถิงเซียวมาหาเธอ “คุณตั้งใจนอนที่นี่คืนนี้?”
มู่น่อนน่อนหันหน้าไป ยื่นนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปาก “ชู่ว เบาหน่อย”
เฉินถิงเซียวเดินเข้ามา และหันหน้าไปมองเฉินมู่ครู่หนึ่ง
หลังจากนั้นก็หันมามองมู่น่อนน่อน “คุณก็ควรจะเข้านอนได้แล้ว”
มู่น่อนน่อนมองเฉินมู่ เอ่ยเสียงเบาว่า “คืนวันนี้ฉันอยากนอนกับมู่มู่”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “แล้วผมล่ะ”
น้ำเสียงของเขาแทบจะไม่แตกต่างอะไรจากช่วงเวลาปกติ แต่มู่น่อนน่อนฟังออกถึงความรู้สึกคับแค้นใจที่ถูกทิ้งอยู่หลายส่วน
มู่น่อนน่อนมองเขา พลางเอ่ยว่า “คุณก็นอนเองสิ หรือต้องให้ฉันกล่อม?”
“อืม” เฉินถิงเซียวรับคำ กอดอกจ้องมองเธอ คล้ายกับว่ารอคำตอบจากเธอ
มู่น่อนน่อนครุ่นคิด เอ่ยหยั่งเชิงขึ้นว่า “อย่างนั้น…ก็นอนด้วยกัน?”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร เธอจึงถือว่าเฉินถิงเซียวเห็นด้วยแล้ว
เธอเลิกผ้าห่มเฉินมู่ออก เอ่ยกับเฉินถิงเซียวว่า “คุณกอดเฉินมู่เถอะ เบาหน่อยนะ อย่าทำให้เธอตื่น”
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลงเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “นอนด้วยกัน?”
“ใช่สิ พวกเราสามคนนอนด้วยกัน” มู่น่อนน่อนมองสีหน้าไม่เป็นมิตรเท่าไรนักของเฉินถิงเซียวแล้ว ก็เข้าใจได้ว่า ความหมายของคำว่า “นอนด้วยกัน” ที่เฉินถิงเซียวเข้าใจ กับที่เธอเข้าใจนั้นไม่ใช่ความหมายเดียวกัน
การนอนด้วยกันที่เธอพูดถึงก็คือ พวกเราสามคนนอนด้วยกัน
ส่วนการนอนด้วยกันที่เฉินถิงเซียวพูดถึงคือ เขากับมู่น่อนน่อนนอนด้วยกัน
นี่มันช่าง….
เพียงแต่ว่า สุดท้ายเฉินถิงเซียวก็ถูกบีบให้เป็นฝ่ายถอย
เขาอุ้มเฉินมู่ไปที่ห้องนอนหลัก
ตอนที่มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป ก็เห็นเฉินถิงเซียววางเฉินมู่ที่ริมเตียงด้านหนึ่ง
เธอเดินเข้าไป ขยับเฉินมู่ไปที่ตรงกลางเตียง
“มู่น่อนน่อน!” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเจือไปด้วยโทสะเล็กน้อย
เขาโมโห? เธอต่างหากที่ต้องโมโห!
มู่น่อนน่อนเดินไปตรงหน้าเฉินถิงเซียว แหงนหน้ามองเขา จิ้มนิ้วลงบนแผงอกเขา กัดฟันเอ่ยว่า “เฉินถิงเซียว มู่มู่เป็นลูกสาวแท้ๆของคุณหรือไม่ แน่นอนว่าเด็กต้องนอนตรงกลางสิ”
เฉินถิงเซียวเอ่ยด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “เป็นลูกแท้ๆ”
“คุณยังรู้ว่าเป็นลูกแท้ๆ!”
เอ่ยถึงหัวข้อสนทนานี้แล้ว จู่ๆมู่น่อนน่อนก็นึกถึงบทสนทนาของพวกเขาในวันที่เธอออกจากโรงพยาบาลวันนั้น ตอนที่อยู่ระหว่างทางได้พบกับเฉินถิงเซียวและเฉินมู่ “ก่อนหน้านี้คุณยังสงสัยว่าเธอไม่ได้เป็นลูกแท้ๆของคุณ!”
มู่น่อนน่อนเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งอย่างไม่มีหัวไม่มีหาง เฉินถิงเซียวไม่รู้ว่าเธอพูดถึงเรื่องอะไร
เฉินถิงเซียวปฏิเสธ “ผมไม่ได้สงสัย”
“วันที่ฉันเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาล รถที่ฉันนั่งอยู่ข้างรถของคุณ ฉันได้ยินอย่างชัดเจนว่าคุณพูด คุณพูดว่าอารมณ์สุนทรียศาสตร์ของมู่มู่ทำให้คุณสงสัยว่าเธอเป็นลูกแท้ๆของคุณหรือไม่!”
มู่น่อนน่อนพูดคำหนึ่งก็ถมึงตาใส่เขา
“มีเรื่องแบบนี้ด้วย?” ความทรงจำของเฉินถิงเซียวในตอนนี้ จำได้เพียงแค่เรื่องที่เขากับมู่น่อนน่อนแต่งงานกันในไม่กี่เดือนนั้น
เรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นในภายหลัง สือเย่ล้วนเคยบอกเขา เขาก็รู้หมดแล้ว
แต่ว่า รายละเอียดเล็กน้อยพวกนี้ สือเย่กลับไม่เคยบอกเขา
มู่น่อนน่อนก็คิดถึงจุดนี้ เดิมเธอก็ไม่ได้อยากคิดบัญชีเก่ากับเฉินถิงเซียว เพียงแต่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้อย่างกะทันหันเท่านั้นเอง
“โอเค ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว มู่มู่ต้องได้นอนตรงกลาง”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร เดินตรงเข้าไปในห้องอาบน้ำ
มู่น่อนน่อนห่มผ้าห่มให้เฉินมู่เรียบร้อยแล้ว ก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูข้อความ
ก่อนหน้านี้เสิ่นเหลียงส่งข้อความวีแชทมาหาเธอ เธอไม่เห็น
เสิ่นเหลียงก็ส่งข้อความเสียงมาให้เธอ
“วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ฉันได้ยินมาว่าพวกเธอเรียกกู้จือหยั่นไปกินข้าวด้วยกัน”
มู่น่อนน่อนรู้ว่าเสิ่นเหลียงหมายถึงเรื่องอะไร
“ฉันจะเป็นอย่างไรได้ เซ็นชื่อไปแล้ว”
ภายในระยะเวลาสั้นๆ เสิ่นเหลียงก็ส่งสติ๊กเกอร์หน้าตาออดอ้อนมาภาพหนึ่ง
มู่น่อนน่อนหาสติ๊กเกอร์โปรยเงินเจอแล้วก็ส่งให้เธอ
ตอนนี้เองที่เสียงของเฉินถิงเซียวดังออกมาจากห้องอาบน้ำ “มู่น่อนน่อน ผมไม่ได้เอาเสื้อผ้าเข้ามา”
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงเขาแล้วก็ส่งข้อความตอบเสิ่นเหลียงไป “ค่อยคุยกันนะ มีธุระ”
ความรวดเร็วในการพิมพ์ของเสิ่นเหลียงนั้นเร็วมาก ตอบข้อความเธอกลับมาประโยคหนึ่ง “กลางดึกแบบนี้ ยุ่งเรื่องอะไร”
มู่น่อนน่อนส่งสติ๊กเกอร์ทุบตีไปให้เธอ และไม่สนใจเธออีก
มู่น่อนน่อนวางโทรศัพท์มือถือ ก็เห็นว่าเสื้อผ้าที่เฉินถิงเซียวหาด้วยตัวเองเรียบร้อยเมื่อครู่ไม่ได้ถูกนำเข้าไป จึงทำได้เพียงแค่หยิบเสื้อผ้าแล้วไปเคาะประตูห้องอาบน้ำ
แอ๊ด….
ประตูห้องอาบน้ำแง้มเปิดเป็นช่อง อากาศด้านในลอยออกมา มู่น่อนน่อนยืนอยู่ข้างประตู ยื่นเสื้อผ้าเข้าไป “เสื้อผ้า”
เธอชูขึ้นไม่กี่วินาที ก็ไม่รู้สึกว่าเฉินถิงเซียวจะหยิบเสื้อผ้าไป จึงหันหน้ามองไปด้านในห้องอาบน้ำด้วยความสงสัย
เพียงแต่ เธอยังไม่ทันจะมองสภาพภายในห้องอาบน้ำได้ชัดเจน ก็รู้สึกว่าข้อมือถูกคนจับเอาไว้แน่น และถูกคนลากเข้าไปในห้องอาบน้ำ
ประตูห้องอาบน้ำที่อยู่ด้านหลังปิดลง เธอถูกเฉินถิงเซียวกดให้แนบเข้ากับบานประตู
เฉินถิงเซียวยืนเปลือยกายอยู่ตรงหน้าเธอ มือหนึ่งโอบเอวเธอ อีกมือหนึ่งก็ยันอยู่บนบานประตู
มู่น่อนน่อนตะลึงไปครู่หนึ่ง ต่อมาก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เฉินถิงเซียว คุณเบื่อใช่ไหม”
“ก็เป็นเพราะว่าเบื่อเกินไป ดังนั้นจึงต้องหาเรื่องที่มีความหมายมาทำสักหน่อย” เฉินถิงเซียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
มู่น่อนน่อนฟังออกถึงความนัยที่อยู่ในคำพูดเขา สีหน้าแดงระเรื่อ “ทั้งวันในสมองของคุณล้วนคิดอะไรบ้าง!”
เฉินถิงเซียวตอบอย่างคล้อยตามว่า “คิดถึงคุณ”
หลังจากนั้นก็หลุบตาลง จุมพิตเธอ
เขาเคลื่อนไปตามลำคอขาวเนียนราวกับหิมะ จุมพิตที่ไหปลาร้า มือที่โอบเอวของเธอเอาไว้ดันขึ้น เพื่อให้สายตาของเธออยู่ในระดับเดียวกันกับตัวเอง……
เคร้ง!
ช้อนตักน้ำซุปในมือของมู่น่อนน่อนร่วงลงบนโต๊ะอาหาร
เธอหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียวตาค้าง
เธอไม่เคยเห็นท่าทางเชื่อฟังเช่นนี้ของเฉินถิงเซียวมาก่อน
มู่น่อนน่อนจับแขนเสื้อของเขา หันหน้าไปมองเขา “คุณพูดอีกครั้งหนึ่งสิ?”
เฉินถิงเซียวหันหน้ามา ขมวดคิ้วมองเธอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “พูดอะไร?”
หลังจากนั้น ก็ดึงมือเธอออกราวกับรังเกียจการสัมผัสจากเธอเป็นอย่างมาก
การกระทำเช่นนี้ในสายตาของบุคคลอื่นก็เหมือนว่าหงุดหงิดจากสัมผัสของเธอ
แต่มู่น่อนน่อนรู้สึกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วว่า เฉินถิงเซียวเขินอายเสียแล้ว
เพียงแต่เขาไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญในเรื่องการแสดงออก ดังนั้นในตอนนี้จึงอาศัยสัญชาตญาณหลบสายตาเธอ
มู่น่อนน่อนรู้สึกคล้ายกับว่าเธอค้นพบวิธีการใหม่ที่ถูกต้องในการทำความรู้จักกับเฉินถิงเซียวแล้ว
กู้จือหยั่นที่นั่งอยู่ตรงข้ามทั้งสองคนทนดูต่อไปไม่ไหว
เขาโยนตะเกียบลงกับโต๊ะ ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ฉันรู้แล้วว่าทำไมฟู้ถิงซี เจ้าหมอนั่นถึงไม่มากินข้าวด้วยกัน ข้าวมื้อนี้ฉันก็ยังไม่ค่อยได้กิน ก็รู้สึกว่าถูกการจู๋จี๋ตรงหน้าทำให้ตาใกล้จะบอดเสียแล้ว”
เขาเอ่ยจบก็เอ่ยซ้ำอีกรอบด้วยความเสียใจในการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตัวเอง “มิน่าเขาถึงไม่มา”
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว ก็ยื่นมือไปโอบมู่น่อนน่อนเข้ามาในอ้อมแขน ภายใต้ความไม่ใส่ใจแฝงไปด้วยความรู้สึกโอ้อวดอยู่หลายส่วน “ลืมบอกนายไปเลยว่า พวกเราจะแต่งงานกันแล้ว ถึงตอนนั้นจะเชิญนายมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว”
กู้จือหยั่นที่ถูกโจมตีติดต่อกัน ทั่วทั้งร่างก็รู้สึกไม่ดีเสียแล้ว
“นาย…ไม่กี่วันก่อนหน้านี้พวกนายยังทะเลาะกันอยู่ไม่ใช่หรือ ทำไมถึงจะแต่งงานกันเร็วขนาดนี้ล่ะ”
กู้จือหยั่นเอ่ยถามมู่น่อนน่อน “น่อนน่อน เธอคิดดีแล้วจริงๆหรือ”
เฉินถิงเซียวยิ้มเย็น ตัดบทเขา “แม้ว่าจะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว แต่ก็อย่าลืมของขวัญแต่งงานล่ะ บ้าน รถ เครื่องบิน เงินสด ที่ดิน ล้วนได้หมด ฉันไม่เลือกมาก”
“……” กู้จือหยั่นไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว
…….
กู้จือหยั่นถูกเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนยั่วโมโห ดังนั้นจึงดื่มไวน์ไปเยอะมาก
เฉินถิงเซียวให้บริกรแบกเขาขึ้นไปนอนบนห้องพักด้านบน และพามู่น่อนน่อนจากไป
เมื่อนั่งอยู่ในรถ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกไม่วางใจอยู่บ้าง
“ให้กู้จือหยั่นอยู่ที่นั่นคนเดียวจะไม่เป็นไรหรือ”
“โรงแรมจีนติ่งเป็นของเขาครึ่งหนึ่ง เบื้องหน้าเขาก็เป็นเจ้านาย ไม่มีใครกล้าทำอะไรเขาหรอก” เฉินถิงเซียวเอ่ยจบแล้วก็มีสีหน้าเคร่งขรึม “หลังจากนี้ก็เป็นห่วงผู้ชายคนอื่นให้น้อยหน่อย”
มู่น่อนน่อนถามเขา “เป็นห่วงในฐานะเพื่อนก็ไม่ได้หรือ”
คำตอบของเฉินถิงเซียวนั้นเด็ดขาด “ไม่ได้”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้ว ก็เม้มริมฝีปาก ไม่เอ่ยพูดอะไร
ปัญหาเดิมระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวยังคงอยู่
ก่อนหน้านี้เขาไม่ให้เธอทำความรู้จักกับลี่จิ่วเชียน มู่น่อนน่อนยังสามารถนึกถึงเหตุผลได้นิดหน่อย
แต่กระทั่งเธอเอ่ยว่าเป็นห่วงกู้จือหยั่นประโยคเดียว เฉินถิงเซียวก็ไม่อนุญาต
น้ำเสียงของเขาจริงจังขนาดนี้ ไม่เหมือนกับล้อเล่นแม้แต่น้อย
กู้จือหยั่นเป็นเพื่อนสนิทของเฉินถิงเซียวมาหลายปี
มู่น่อนน่อนรู้ว่า เฉินถิงเซียวเชื่อในตัวกู้จือหยั่น
ในเมื่อเชื่อในตัวกู้จือหยั่น และรู้ว่าเธอเพียงแค่เป็นห่วงกู้จือหยั่นในฐานะเพื่อน ทำไมเขาถึงยังคงไม่อนุญาตกัน?
มู่น่อนน่อนนึกถึงคำพูดที่สือเย่เคยพูดเอาไว้
สือเย่พูดว่า นิสัยของเฉินถิงเซียวมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง
ความจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ถ้าหากชั่วชีวิตนี้เฉินถิงเซียวเป็นแบบนี้ตลอด โมโหเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย ถือสาที่เธอพูดคุยกับคนต่างเพศประโยคหนึ่ง เช่นนั้นควรจะทำอย่างไรกัน
อาจจะเป็นเพราะว่ามู่น่อนน่อนนิ่งเงียบนานเกินไป เฉินถิงเซียวถึงได้เอ่ยถามขึ้นมาประโยคหนึ่งกะทันหัน “กำลังคิดอะไรอยู่”
มู่น่อนน่อนกระพริบตา อำพรางอารมณ์ความรู้สึกในก้นบึ้งนัยน์ตา เอ่ยกับเขายิ้มๆว่า “กำลังคิดถึงมู่มู่”
เฉินถิงเซียวก็ยิ้มน้อยๆ “เธออยู่ที่บ้าน คิดถึงเธอก็กลับไปอยู่ที่นั่น”
“ได้เลย” มู่น่อนน่อนรับคำยิ้มๆ
………
พูดกับเฉินถิงเซียวว่าจะย้ายไปอยู่ที่บ้านเขา แต่มู่น่อนน่อนกลับไม่ได้เตรียมของอะไรมา ก็ตรงกลับไปเลย
ถึงอย่างไรที่บ้านของเฉินถิงเซียวก็ยังมีของใช้ของเธอ
เฉินถิงเซียวไม่พอใจในเรื่องนี้อยู่บ้าง “ทำไมถึงไม่ย้ายของพวกนั้นของคุณกลับไปให้หมด หรือว่าคุณยังคิดว่าจะย้ายกลับไปอีกในภายหลัง”
“ที่บ้านคุณก็ไม่ขาดของพวกนี้ ไม่ขนกลับไปก็ไม่เป็นไร”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว ไม่พูดไม่จา
เมื่อถึงคฤหาสน์ของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนเพิ่งจะเข้าประตูคฤหาสน์ไป ก็ได้ยินเสียงของเฉินมู่ที่อยู่ด้านใน
เธอเดินเข้าไปในห้องโถง เฉินมู่ก็เห็นเธอทันที
เมื่อเฉินมู่เห็นเธอ ปฏิกิริยาแรกก็คือพุ่งเข้ามาด้วยความดีใจ
แต่เธอวิ่งได้แค่ครึ่งทาง ก็หน้าม่อยคอตกหยุดวิ่งลง ก้มหน้าเล็กน้อย เบิกตากว้างมองมาที่มู่น่อนน่อน
ดูเหมือนจะโมโห แต่ก็เหมือนกับน้อยใจ
เด็กๆความจำดี มู่น่อนน่อนเดาได้ว่าเธออาจจะจำเรื่องที่เคยพูดว่าจะรับเฉินมู่กลับไปในตอนที่ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงก่อนหน้านี้”
มู่น่อนน่อนเดินไปถึงตรงหน้าเฉินมู่ เอ่ยเรียกเธอ “มู่มู่”
เฉินมู่มองเธอครู่หนึ่ง แค่นเสียงออกมาแล้วหันหน้าไปอีกด้าน คล้ายกับว่าไม่อยากจะสนใจเธอ
“แม่ผิดไปแล้ว เดิมวันนั้นแม่จะกลับไปหาลูก แต่เพราะเรื่องบางอย่าง ทำให้แม่ต้องชะลอออกไป ไม่ได้กลับไปรับลูก เป็นแม่ที่ไม่ดีเอง”
มู่น่อนน่อนสังเกตสีหน้าของเฉินมู่ เดินเข้าไปดึงมือเธอ
มือของเด็กนุ่มนิ่ม จับเอาไว้ในมือแล้วเหมือนกับไม่มีกระดูกอย่างไรอย่างนั้น
เฉินมู่เด็กเกินไป เรื่องของผู้ใหญ่ อธิบายกับเธอได้ไม่ชัดเจน
สุดท้ายแล้วเด็กก็สนิทสนมกับแม่มากที่สุด แม้ว่าเธอดูเหมือนจะโมโห แต่มู่น่อนน่อนใช้น้ำเสียงอ่อนโยนขนาดนี้มาพูดกับเธอ เธอก็เบ้ปากทันที น้อยใจอย่างสุดซึ้ง
มู่น่อนน่อนอุ้มเธอขึ้นมา “เป็นแม่ที่ไม่ดีเอง มู่มู่ไม่ร้องนะ”
“หนูรอนานมากๆเลย! แง้…..ฮือๆ….” เฉินมู่เอ่ยประโยคด้านหน้าออกมาแล้วก็ร้องไห้โฮ
เธอน้อยใจจริงๆ และชอบมู่น่อนน่อนมากจริงๆ
มู่น่อนน่อนเห็นเธอร้องไห้ ก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองใกล้จะแตกสลายแล้ว
นี่คือความรู้สึกที่ไม่เคยมีขณะอยู่ด้วยกันกับเฉินถิงเซียว
รู้แต่แรกจะไม่ไปงานเลี้ยงอะไรนั่นแล้ว
ถ้าหากไม่ไปงานเลี้ยงนั่น ก็จะไม่มีเรื่องพวกนี้
มู่น่อนน่อนอุ้มเฉินมู่ ตบแผ่นหลังเธอ เอ่ยเสียงเบาปลอบเธอ
เฉินถิงเซียวยืนมองอยู่ด้านข้าง ไม่ได้เข้าไปใกล้ และไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่เช่นกัน
ดูอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆเขาก็หมุนตัวเดินออกไป
เมื่อเดินไปถึงนอกประตู เขาก็ลูบตามตัวอยู่ครู่หนึ่ง แต่หาบุหรี่ไม่พบ
“คุณชายครับ” บอดี้การ์ดที่อยู่อีกด้านส่งบุหรี่มวนหนึ่งให้เขาอย่างตาถึง
เฉินถิงเซียวรับบุหรี่มาคาบไว้ในปาก บอดี้การ์ดก็จุดไฟที่บุหรี่ให้เขาต่อ
บุหรี่มวนหนึ่งถูกสูบไปครึ่งหนึ่ง เขาก็ดับไฟแล้ว
บอดี้การ์ดเห็นเขาดับบุหรี่ตัวเองแล้ว ก็เขยิบมาด้านหน้า ถามเขาว่า “คุณชาย จะจุดบุหรี่ไหมครับ”
“ไม่ต้อง”
เฉินถิงเซียวเอ่ยจบก็หมุนตัวเดินเข้าไป
มู่น่อนน่อนปลอบเฉินมู่ให้หลับไปแล้ว
มือที่เต็มไปด้วยเนื้อนุ่มของเด็กหญิงกำเสื้อของมู่น่อนน่อนเอาไว้แน่น ตอนที่หลับอยู่ก็ยังสะอื้น มองดูแล้วทั้งน่าสงสารและน่ารัก
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงฝีเท้าของเฉินถิงเซียวใกล้เขามา ก็เงยหน้าทำมือ “ชู่ว” ให้เฉินถิงเซียว และตบลงที่เฉินมู่เบาๆ เมื่อมั่นใจว่าเธอหลับสนิทแล้ว ก็อุ้มเธอขึ้นมา ไปส่งเธอที่ห้อง
เฉินถิงเซียวเดินเข้ามา คิดจะรับเธอไป แต่มู่น่อนน่อนเอียงตัวหลบ ส่ายศีรษะ พลางเอ่ยว่า “ฉันทำเอง”
เขาอยู่ใกล้เธอมาก ตอนที่เอ่ยพูด ลมหายใจร้อนผ่าวก็รดลงบนใบหน้าเธอ
มู่น่อนน่อนเซ็นชื่อแล้ว ว่ากันตามเหตุผล ตอนนี้บริษัทเฉินซื่อก็เป็นของเธอ เธอเป็นเจ้านายบริษัทเฉินซื่อแล้วจริงๆ
แต่มีเจ้านายที่ไหนถูกพนักงานของตัวเองบีบบังคับจนตกอยู่ในสภาพแบบนี้กัน
เฉินถิงเซียวคล้ายกับเล่นจนติดเป็นนิสัยอย่างไรอย่างนั้น เอียงคอจ้องมองมู่น่อนน่อน สายตาคู่นั้นราวกับมองทะลุเธอได้อย่างปรุโปร่งในแวบเดียว
“เจ้านายสามารถบอกได้ว่า ต้องการให้ผมใช้รูปแบบใดในการเอาใจ จะเป็นเรื่องของจิตใจหรือร่างกายล้วนได้หมด”
ใบหน้าของเฉินถิงเซียวประดับไปด้วยรอยยิ้ม คิ้วเข้มสง่างามนั้นอ่อนโยนลงเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด บนกายก็ไร้ซึ่งเงาร่างของประธานบริษัทเฉินซื่อ แต่มีกลิ่นอายของชายหนุ่มธรรมดาที่กำลังพลอดรักเพิ่มขึ้นมาแทน
มู่น่อนน่อนหลุดหัวเราะ ยื่นมือไปดันแผงอกเขา เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณคิดว่าฉันต้องการการเอาใจทางด้านจิตใจหรือว่าร่างกายล่ะคะ”
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลง ลูกกระเดือกขยับไปมา ยื่นมือไปจับมือที่ดันอยู่บริเวณแผงอกตัวเอง น้ำเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย “ผมคิดว่าคุณต้องการสิ่งหลัง”
ตอนที่เขาเอ่ยพูด นัยน์ตาดำราวกับน้ำหมึกคู่นั้นก็ไม่ละจากเธอไปแม้แต่นิดเดียว ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับสัตว์ป่าชนิดหนึ่งที่เฝ้ารอการล่าเหยื่อที่มีรสชาติอันโอชะ
มองดูแล้วทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง ทว่ากลับเพิ่มความรู้สึกในการจีบสาวขึ้นมาหลายส่วน
แน่นอนว่ามู่น่อนน่อนสู้เขาไม่ได้
มือที่ดันอยู่ที่แผงอกเขาของเธอ ออกแรงผลักเขาให้ห่างออกไปเล็กน้อย หลังจากนั้นก็แสร้งทำเป็นจัดการเสื้อผ้าบนร่างของตัวเองให้เรียบร้อยด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ไม่ใช่บอกว่าหิวหรือ รีบขับรถไปกินข้าวเร็วเข้า”
เฉินถิงเซียวมองเธอ เอ่ยอย่างมีนัยยะลึกซึ้งอื่นๆว่า “ความจริงแล้วข้าวจะกินหรือไม่กินก็ไม่เป็นไร”
มู่น่อนน่อนนึกขึ้นมาได้ว่า ฝีมือการเย้าแหย่เธอของเฉินถิงเซียวนั้นดีเยี่ยมมาตั้งแต่สามปีก่อนหน้านี้แล้ว
มู่น่อนน่อนหน้าตึง น้ำเสียงที่เอ่ยก็สูงขึ้นไปหลายระดับ “ถ้ายังไม่ยอมขับรถอีกจะหักเงินเดือน!”
เฉินถิงเซียวชะงักไปครู่หนึ่ง และหัวเราะขึ้นมาในเวลาต่อมา
เป็นการหัวเราะเสียงดังจนตัวโยน
เพียงแค่ได้ยินเสียงหัวเราะ ก็สามารถฟังออกว่าตอนนี้เขาอารมณ์ดีมากเพียงใด
มู่น่อนน่อนก็ไม่รู้ว่าเขาอารมณ์ดีเพราะอะไร แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มบางๆไปด้วย
เฉินถิงเซียวโยนโทรศัพท์มือถือให้เธอ “โทรศัพท์หากู้จือหยั่น”
เขาเอ่ยจบก็ขับเคลื่อนรถ
มู่น่อนน่อนนึกว่าเขามีธุระอะไรจะคุยกับกู้จือหยั่น จึงต่อสายโทรศัพท์หากู้จือหยั่นให้เขา ทั้งยังแนบโทรศัพท์มือถือให้ที่ข้างหูเขาอย่างเอาใจใส่
“มากินข้าวที่โรงแรมจีนติ่ง” เฉินถิงเซียวเอ่ยจบแล้วก็เสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “เรียกฟู้ถิงซีมาด้วย”
เขาไม่รอให้กู้จือหยั่นที่อยู่อีกด้านพูดอะไร ตัวเองเอ่ยจบแล้วก็บอกกับมู่น่อนน่อนว่า “เรียบร้อยแล้ว”
ความหมายก็คือให้มู่น่อนน่อนวางสายโทรศัพท์ได้
มู่น่อนน่อนดึงโทรศัพท์มือถือกลับมา และช่วยเขาเอ่ยกับกู้จือหยั่นว่าบ๊ายบาย
“เฉินถิงเซียวกำลังขับรถ เอาแบบนี้แล้วกันนะ บาย”
กู้จือหยั่นจ้องโทรศัพท์มือถือตัวเอง และจมเข้าสู่การครุ่นคิด
โทรศัพท์สายนี้โทรมาจากโทรศัพท์มือถือของเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวบอกแค่ว่าให้เขาไปกินข้าวที่โรงแรมจีนติ่ง สุดท้ายคนที่วางสายโทรศัพท์คือมู่น่อนน่อน
จากข้อมูลอันน้อยนิดและมีอยู่อย่างจำกัดนี้ กู้จือหยั่นจับประเด็นสำคัญได้อย่างรวดเร็ว
เฉินถิงเซียวคืนดีกับมู่น่อนน่อนแล้ว ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีมากด้วย
กู้จือหยั่นคิดถึงตัวเองที่ยังโดดเดี่ยวไร้แฟนสาว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความโศกเศร้าที่ปะทุออกมา
เขาถอนหายใจ และโทรศัพท์หาฟู้ถิงซี
เขาพูดคำพูดเดิมที่เฉินถิงเซียวฝากบอก ฟู้ถิงซียิ้มเย็น “ฉันไม่ไป”
“ทำไมถึงไม่ไปล่ะ ยากที่ถิงเซียวจะนัดพวกเราไปกินข้าวสักครั้งนะ” กู้จือหยั่นครุ่นคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง เฉินถิงเซียวเป็นฝ่ายเรียกเขาไปกินข้าว คล้ายกับว่าเป็นเรื่องในชาติที่แล้ว
“บอกว่าไม่ไปก็คือไม่ไป” คำตอบของฟู้ถิงซีแน่วแน่ผิดปกติ
กู้จือหยั่นจึงกลุ้มใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้โน้มน้าวฟู้ถิงซีมากนัก และเดินทางไปยังโรงแรมจีนติ่งคนเดียว
…….
ตอนที่กู้จือหยั่นมาถึง อาหารที่เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนสั่งก็มาเสิร์ฟแล้ว
เขาค้นพบอย่างน่าประหลาดใจว่า บนโต๊ะอาหารยังมีเมนูอาหารที่เขาชอบด้วย
กู้จือหยั่นซาบซึ้งใจจนเกือบจะร้องไห้แล้ว
เขามองไปทางเฉินถิงเซียวด้วยสีหน้าซึ้งใจ “นายถึงกับจำได้ว่าฉันชอบกินเมนูอะไร!”
เพียงแต่ว่า เพิ่งจะสิ้นสุดเสียงเขา ก็พบว่าสีหน้าของเปลี่ยนแปลงไปจนน่ากลัวอยู่บ้าง
“ทำ…ทำไมหรือ” กู้จือหยั่นนั่งลงด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
หรือว่าจะแสดงความซาบซึ้งใจเล็กน้อยก็ไม่ได้?
เฉินถิงเซียวหันไปมองมู่น่อนน่อน สีหน้าเย็นชาเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนมองกู้จือหยั่นครู่หนึ่ง “ฉันเป็นคนสั่งอาหารพวกนั้นเอง”
“เธอรู้ได้อย่างไรว่าฉันชอบกินอาหารพวกนี้” กู้จือหยั่นคิดไม่ถึงว่ามู่น่อนน่อนจะเป็นคนสั่งอาหารพวกนี้
มู่น่อนน่อนตบมือเฉินถิงเซียวเบาๆเป็นการปลอบประโลม
เฉินถิงเซียวแค่นเสียง แต่สีหน้าก็น่ามองขึ้นเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนยิ้ม พลางอธิบาย “ตอนที่ไปกินข้าวกับเสี่ยวเหลียงก่อนหน้านี้ บางครั้งเธอก็จะเอ่ยขึ้นมา ฉันความจำดี จึงจำได้”
กู้จือหยั่นได้ยินก็ชะงักไป ต่อมาก็หัวเราะเสียงเบาอย่างไร้ความรู้สึก “โดยปกติแล้วเมื่อเธอเอ่ยถึงผมมักจะไม่ใช่เรื่องดี เอ่ยขึ้นตอนที่ด่าผมสินะ”
มู่น่อนน่อน “…..ก็ใช้ได้นะ”
เสิ่นเหลียงมักจะแขวะกู้จือหยั่นกับเธอบ่อยๆ
พวกเธอกินข้าวด้วยกันบ่อย เสิ่นเหลียงก็จะเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “กู้จือหยั่น XX คนนั้นชอบกินอาหารจานนี้ ไม่รู้ว่าอร่อยยังไง…” “นึกไม่ถึงเลยว่ากู้จือหยั่น XX คนนั้นจะชอบกินอาหาร…ประเภทนี้” คำพูดประมาณนี้
เธอฟังมาเยอะแล้ว จึงจำได้อยู่บ้าง
แต่ว่า สองคนนี้ล้วนเข้าใจซึ่งกันและกันได้ลึกซึ้งดีจริงๆ
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียวครู่หนึ่ง “กินข้าวเถอะ”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเธอด้วยสายตาเฉยชาครู่หนึ่ง และเริ่มกินข้าวโดยไม่สนใจเธอ
มู่น่อนน่อนถามเขาเสียงเบา “ทำไมคุณถึงโมโหอีกแล้ว”
“เปล่า” เฉินถิงเซียวเอ่ยปฏิเสธ
มู่น่อนน่อนคีบเนื้อให้เขาชิ้นหนึ่ง เฉินถิงเซียวก็ขยับเนื้อชิ้นนั้นไปไว้อีกด้าน และไม่กิน
ยังจะบอกว่าไม่โมโหอีก
นิสัยของผู้ชายคนนี้ ก็เหมือนกับสภาพอากาศในเดือนหก นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน
มู่น่อนน่อนนึกย้อนอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหน้าที่พวกเขาจะมาถึงโรงแรมจีนติ่งด้วยกัน จนถึงก่อนที่กู้จือหยั่นจะมาถึงเมื่อครู่นี้ ท่าทางของเฉินถิงเซียวดูแล้วยังอารมณ์ดีอยู่บ้าง
ตอนนี้จู่ๆก็โมโหขึ้นมา นอกจากเรื่องที่เธอสั่งอาหารที่กู้จือหยั่นชอบแล้ว มู่น่อนน่อนก็นึกเรื่องอื่นๆที่ทำให้เขาโมโหไม่ออกแล้ว
และไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้เอาอารมณ์จากที่ไหนมาโมโหเยอะแยะกัน
มู่น่อนน่อนแสร้งทำเป็นเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจกับเขาประโยคหนึ่ง “กลับไปถ้ามีเวลา ก็ไปตรวจตับที่โรงพยาบาลสักหน่อยนะ”
เฉินถิงเซียวเพียงแค่มองเธอครู่หนึ่ง และหันหน้ากลับไปกินข้าวต่อ
ดังนั้น มู่น่อนน่อนจึงเอ่ยเสริมอีกประโยคหนึ่ง “คนที่โมโหเป็นประจำนั้น ตับจะไม่ดี”
เฉินถิงเซียววางตะเกียบ หันหน้ามองไปทางเธอ น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “มู่น่อนน่อน!”
“เรียกฉันทำไม” มู่น่อนน่อนเชิดคางขึ้นเล็กน้อย เคาะศีรษะเขาไปครั้งหนึ่ง
เฉินถิงเซียวตะลึง ยื่นมือไปลูบบริเวณศีรษะที่ถูกมู่น่อนน่อนเคาะ ชั่วขณะหนึ่งที่ลืมมีปฏิกิริยาตอบสนอง
มู่น่อนน่อนไม่เคยเห็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ของเฉินถิงเซียว เธอจึงเลิกคิ้วใส่เขา เอ่ยว่า “อยากจะแต่งงานก็เชื่อฟังหน่อย!”
ใบหน้าของเฉินถิงเซียวไร้ซึ่งความรู้สึก เขาหันหน้าหนีไม่มองมู่น่อนน่อน โดยไม่พูดอะไร
มู่น่อนน่อนรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เธอทำเกินไปใช่หรือไม่
ในตอนนี้เองที่เฉินถิงเซียวเอ่ยด้วยเสียงเบาที่แทบจะไม่ได้ยินว่า “อ่อ”
เฉินถิงเซียวถมึงตาใส่ฟู้ถิงซีอย่างเย็นชาครู่หนึ่ง ฟู้ถิงซีก้มหน้าเล็กน้อยด้วยท่าทางจริงจัง คล้ายกับว่าเขาไม่ได้เป็นคนเอ่ยวาจาเมื่อครู่นี้
เขามองดูแล้วสงบนิ่งมาก
แต่มู่น่อนน่อนก็ยังสังเกตเห็นว่ามือของฟู้ถิงซีที่ประสานจับกันกำแน่น
มู่น่อนน่อนหัวเราะเสียงเบา เธอนึกว่าพื้นฐานจิตใจของฟู้ถิงซีจะดีไปจนถึงระดับที่ไม่กลัวเฉินถิงเซียวแล้วเสียอีก
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ด้านหลังมู่น่อนน่อน มือหนึ่งยันโต๊ะเอาไว้ ท่าทางนี้ดูแล้วคล้ายกับว่าโอบมู่น่อนน่อนเอาไว้ในอ้อมแขน
เขายื่นนิ้วออกมาเคาะบนโต๊ะสองนิ้ว เตือนมู่น่อนน่อนว่า “เซ็นชื่อเถอะ”
มู่น่อนน่อนจะกล้าเซ็นชื่อได้อย่างไร
ฟู้ถิงซีเป็นทนายความเลื่องชื่อของเมืองหู้หยาง และเป็นทนายความที่เฉินถิงเซียวจ้างเป็นการส่วนตัว ของพวกนี้เมื่อเซ็นชื่อไปแล้ว ก็จะมีผลทางกฎหมาย
บริษัทที่ใหญ่ขนาดนี้อย่างบริษัทเฉินซื่อ เฉินถิงเซียวกลับทำเหมือนเรื่องเล่นๆ บอกว่าจะมอบให้เธอก็มอบให้เธอ
เธอไม่เคยมีความคิดจะแตะต้องบริษัทเฉินซื่อแม้แต่น้อย ตอนนี้เฉินถิงเซียวมอบบริษัทเฉินซื่อให้เธออย่างเต็มใจ เธอก็ไม่กล้ารับเอาไว้
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าควรจะโน้มน้าวเขาอย่างไรดีแล้ว จึงขมวดคิ้วเรียกชื่อเขาไป “เฉินถิงเซียว!”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เวลาของฟู้ถิงซีมีค่า คุณถ่วงเวลาหนึ่งนาที ผมก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มให้เขาหนึ่งนาที พวกเรายังต้องเลี้ยงดูมู่มู่ ประหยัดได้นิดหน่อยก็ประหยัดเถอะ”
น้ำเสียงของเขาจริงจังมาก คล้ายกับว่าจู้จี้จุกจิกเรื่องเงินนี้จริงๆ
มู่น่อนน่อนรู้ เขากำลังหยอกเธอ
ในเวลาแบบนี้ เขายังมีอารมณ์มาหยอกเธอ
“เฉินถิงเซียว ฉันจะไม่เซ็นชื่อหรอกนะ บริษัทเฉินซื่อเป็นธุรกิจตระกูลเฉินของพวกคุณ ทำไมคุณถึงได้ทำเป็นเล่นๆ บอกว่าจะมอบให้ฉันก็ให้ฉันกัน”
เฉินถิงเซียวคล้ายกับรู้สึกว่าสีหน้าจริงจังของเธอน่าสนใจมาก ยิ้มบางๆ พลางเอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เป็นสินสอดที่ผมมอบให้คุณ”
มู่น่อนน่อนตะลึง กว่าครู่หนึ่งถึงจะหาเสียงของตัวเองพบ
เธอเอ่ยถามเขาเสียงเบา “คุณไม่กลัวว่าในอนาคตฉันจะเปลี่ยนใจ เอาเงินของคุณไปแล้วหนีไปกับผู้ชายคนอื่นหรือ?”
“หือ? ผมจำได้ว่าก่อนหน้านี้คุณเคยพูดประโยคหนึ่ง” เฉินถิงเซียวชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยช้าๆว่า “ทั้งเมืองหู้หยางมีผู้ชายคนไหนที่มีอนาคตมากกว่าเฉินถิงเซียวด้วยหรือ”
มู่น่อนน่อนเกือบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยพูดประโยคนี้
เวลาผ่านไปนานเกินไปแล้ว ตอนที่เธอพูดประโยคนี้ เป็นการพูดต่อหน้าสื่อมวลชน
คิดไม่ถึงเลยว่ากระทั่งเรื่องเก่านมนานเช่นนี้ เขาก็ยังจำได้
เสียงของเฉินถิงเซียวดึงเธอออกมาจากความทรงจำ “เช่นนั้นตอนนี้ผมถามคุณ คุณคิดว่าทั้งเมืองหู้หยางมีผู้ชายคนไหนที่มีอนาคตมากกว่าผมหรือไม่”
คำตอบของเธอเหมือนกับในปีนั้น
ไม่มี
“แค่ก!”
ฟู้ถิงซีที่ถูกมองเป็นพื้นหลังมาโดยตลอดลองดึงดูดความสนใจของสองคนนี้ และแสดงออกถึงการคงอยู่ของตัวเอง
เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อดูสองสามีภรรยารำลึกความทรงจำกัน
มู่น่อนน่อนถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าในห้องยังมีคนอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง
เธอถมึงตาใส่เฉินถิงเซียว “จะให้ฉันมาในวันอื่นแทนหรือไม่”
คำตอบของเฉินถิงเซียวคือ ยัดปากกาเข้าไปในมือของมู่น่อนน่อนใหม่
“ผมหิวแล้ว เร็วหน่อย” เฉินถิงเซียวเอ่ยจบก็เดินอ้อมไปนั่งอีกด้าน เซ็นชื่อด้วยกันกับมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนยังคงไม่ขยับ
เฉินถิงเซียวแสร้งทำเป็นมองเธออย่างดุร้าย “ถ้ายังไม่ยอมเซ็นชื่ออีก ผมจะไม่ให้คุณเจอมู่มู่!”
“……” มู่น่อนน่อนมุมปากกระตุก รู้สึกว่าบางครั้งเฉินถิงเซียวก็ติ๊งต๊องน่าเบื่อเป็นพิเศษ
ฟู้ถิงซีก็นั่งลงและเริ่มจัดเอกสารเช่นกัน
…….
เอกสารที่ต้องเซ็นชื่อมีเยอะมาก ตอนที่เซ็นชื่อเสร็จก็ใกล้จะบ่ายโมงแล้ว
พวกเขาเซ็นชื่อเสร็จ ฟู้ถิงซีก็จากไป
ก่อนฟู้ถิงซีจะจากไป มู่น่อนน่อนก็ยื้อให้เขากินข้าวด้วยกัน
“ขอบคุณสำหรับความหวังดี ผมยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมาก ครั้งหน้าแล้วกัน ถ้าหากว่าคุณนายเฉินเข้าครัวด้วยตัวเอง…..”
เขายังเอ่ยไม่ทันจบ เฉินถิงเซียวก็คว้าหนังสือมาเล่มหนึ่งแล้วโยนใส่ฟู้ถิงซี “นายฝันไปเถอะ”
ฟู้ถิงซีหลบได้อย่างน่าหวาดเสียว ใช้น้ำเสียงซื่อตรงเป็นพิเศษฟ้องมู่น่อนน่อน “คุณดูสิครับ เขาปฏิบัติกับผมแบบนี้แล้ว ผมจะกล้าไปกินข้าวกับเขาที่ไหนกัน”
เขาเอ่ยจบแล้ว ก็เอ่ยว่า “ลาก่อน” ก่อนที่เฉินถิงเซียวจะมีโทสะหนึ่งวินาที หลังจากนั้นก็หิ้วกระเป๋าเอกสารจากไปอย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนมองประตูห้องทำงานที่ถูกปิดลง และหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว “คุณจะปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเกรงใจหน่อยไม่ได้หรือคะ”
“ผมปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่เกรงใจ เขายังกล้าก่อกวน ผมปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเกรงใจ พวกเขาจะไม่เหิมเกริมเลยหรือ” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวจริงจังมาก
มู่น่อนน่อนไม่มีอะไรจะพูด
ทั้งสองคนออกไปกินข้าวด้วยกัน
เมื่อทั้งสองคนโดยสารลิฟต์โดยสารลงไป ตอนที่เฉินถิงเซียวจูงมู่น่อนน่อนออกจากลิฟต์โดยสาร หญิงสาวฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่กี่คนก็จ้องมองตาค้าง
เฉินถิงเซียวหันหน้าไปมอง ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่กี่คนนั้นก็รีบถอนสายตากลับมาทันที พยักหน้าอย่างเคารพนบนอบ “ท่านประธาน”
สายตาของเฉินถิงเซียวยังคงกวาดมองมาอย่างเย็นชาอีกครั้ง จากนั้นก็เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ยังมีอะไรอีก?”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา ผ่านไปไม่กี่วินาทีถึงเข้าใจความหมายของเฉินถิงเซียว
พวกเธอโค้งตัวทำความเคารพไปทางมู่น่อนน่อนอย่างพร้อมเพรียง “คุณมู่”
“หึ!” เฉินถิงเซียวได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงเย็น
ท่าทางแบบนี้ของเขาน่ากลัวมาก ทำให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่กี่คนตกใจไปตามๆกัน
มู่น่อนน่อนดึงมือเขา เป็นการให้สัญญาณเขาว่าช่างมันเถอะ
เดิมก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จะมาจู้จี้จุกจิกคำเรียกชื่อไปทำไม
หนึ่งในนั้นเป็นเด็กสาวที่มีไหวพริบ ไม่ต้องให้ใครเตือนก็รีบเอ่ยเรียกทันที “สวัสดีค่ะคุณหญิง”
เด็กสาวคนอื่นๆเห็นสีหน้าเฉินถิงเซียวดีขึ้นเล็กน้อย ก็รีบเอ่ยเรียกตามว่า “สวัสดีค่ะคุณหญิง”
เฉินถิงเซียวสีหน้าแจ่มใสขึ้นเล็กน้อย จูงมู่น่อนน่อนจากไป
เมื่อออกจากบริษัทเฉินซื่อ มู่น่อนน่อนก้มหน้ามองมือของตัวเองกับเฉินถิงเซียวที่จับกันอยู่อย่างเหม่อลอยเล็กน้อย
นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นครั้งแรกที่เธอปรากฏตัวขึ้นที่บริษัทเฉินซื่อพร้อมกับเฉินถิงเซียวอย่างเปิดเผย
เมื่อขึ้นรถ มู่น่อนน่อนก็ถามเขาว่า “เรื่องในข่าว ในภายหลังจัดการกันอย่างไรหรือ”
“ก็จัดการแก้ไขแบบนั้นแหละ” เฉินถิงเซียวคาดเข็มขัดนิรภัย และโน้มตัวมาช่วยคาดให้กับมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนรู้ว่าเขาจะทำอะไร ก็ส่งเสียงปฏิเสธ “ฉันทำเอง”
“ไม่ให้โอกาสผมประจบเอาใจเจ้านายสักครั้งหรือ” มือของเฉินถิงเซียวยันอยู่บนพนักพิงเก้าอี้หลังมู่น่อนน่อน อีกมือหนึ่งก็ยันอยู่บนประตูรถ หลุบตาลงเล็กน้อย ถามเธอด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ที่ว่างภายในรถเดิมก็เล็กแคบ มู่น่อนน่อนถูกเขาขังเอาไว้ในอ้อมแขน จึงตอบสนองไม่ทันไปชั่วขณะ “เอาใจ…อะไร”
“คุณว่าจะเอาใจอย่างไรล่ะ” เฉินถิงเซียวเอ่ย ก้มหน้าจุมพิตลงบนติ่งหูเธอ
จุมพิตแผ่วเบาราวกับไม่มีอะไร เพียงแค่สัมผัสถูกเล็กน้อย ก็ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกสะท้านไปครู่หนึ่ง
เธอสั่นเล็กน้อย ขดตัวถอยหลัง “จริงจังหน่อยสิ”
“ตอนนี้ผมเป็นพนักงานของคุณแล้ว คนที่จะให้เงินเดือนผมก็คือคุณ ผมกำลังเอาใจเจ้านายของผม หวังว่าเจ้านายของผมจะให้เงินเดือนมากหน่อย เพื่อวางแผนการในการมีชีวิตรอด นี่ไม่ใช่เรื่องจริงจังตรงไหน”
เฉินถิงเซียวพูดอย่างมีระเบียบแบบแผน แต่เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินแล้วกลับรู้สึกว่าตัวเองถูกเกี้ยวพาราสี
เสิ่นเหลียงมีนิสัยใจร้อน คราวนี้จึงเริ่มด่าเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก “เธอรอฉันพูดจบก่อนสิ!”
“ได้ๆๆ เธอพูดให้จบสิ” เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเหลียงไม่สนใจคำพูดหลังจากนี้ของเธอแล้ว เธอหมุนแก้วในมือเล่น
มู่น่อนน่อนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เขาบอกว่า จะมอบบริษัทเฉินซื่อให้ฉัน”
“อะไรนะ มอบบริษัทเฉินซื่อให้เธอ?” เสิ่นเหลียงพูดโดยไม่รู้สึกว่ามีอะไร
ทว่าเมื่อผ่านไปสองวินาที เธอก็รู้สึกตัวขึ้นได้ว่ามู่น่อนน่อนพูดว่าอะไร จึงมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรุนแรง คว้ามือของมู่น่อนน่อนเอาไว้ “เธอพูดว่าอะไรนะ เธอพูดอีกรอบสิ?”
มู่น่อนน่อนเอ่ยซ้ำอีกรอบ “เฉินถิงเซียวบอกว่าจะมอบบริษัทเฉินซื่อให้ฉัน”
เสิ่นเหลียงอ้าปากกว้าง หลังจากนั้นก็รู้สึกตัวว่าท่าทางแบบนี้ไม่น่ามอง จึงดันคางตัวเองขึ้นให้ปากประกบกัน
เสิ่นเหลียงถมึงตาคู่นั้น เสียงที่เอ่ยพูดก็สั่นระริก “เจ้านายใหญ่พูดอย่างนี้จริงๆหรือ”
“จริง….” มู่น่อนน่อนพยักหน้า
“บริ…บริ บริษัทเฉินซื่อ….” เสิ่นเหลียงอ้ำอึ้ง พลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ฉันต้องตรวจสอบสักหน่อยว่าตอนนี้บริษัทเฉินซื่อมีมูลค่ามากเท่าไรกันแน่”
ล้วนทราบกันดีว่าบริษัทเฉินซื่อนั้นร่ำรวย แต่ไม่มีใครรู้ว่าบริษัทเฉินซื่อร่ำรวยขนาดไหนกันแน่
มู่น่อนน่อนมองเสิ่นเหลียงอย่างรังเกียจครู่หนึ่ง “เธอรู้ไหมว่าตอนนี้บนใบหน้าเธอเขียนเอาไว้ชัดเจนว่า ‘ฉันชอบเงิน ฉันมีอิทธิพล’ ไม่กี่คำนี้?”
“ใครไม่ชอบเงินกัน ฉันไม่เคยไม่ชอบเงินนะ” เสิ่นเหลียงคิดถึงอะไรบางอย่าง จึงเงยหน้าขึ้นมามองเธอทันที “สุภาษิตกล่าวเอาไว้ว่า ได้รับผลประโยชน์มาแล้วต้องแบ่งกันคนละครึ่ง ถึงตอนนั้นเธอไม่ต้องแบ่งให้ฉันครึ่งหนึ่งหรอก เธอแค่มีทรัพยากรดีอะไรก็ล้วนโยนให้ฉันก็พอแล้ว ให้ฉันสามารถเดินกร่างไปในวงการบันเทิงได้!”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้ว ก็จงใจเอ่ยว่า “ถ้าหากว่าเธออยากจะเดินกร่างในวงการบันเทิงจริงๆ ก็บอกกับกู้จือหยั่นสักคำก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
ในยุคสมัยที่มีดาราหน้าใหม่ที่เป็นกระแสไปทั่วทุกสารทิศ ผู้คนส่วนใหญ่ที่ละโมบโลภมากในความสำเร็จตรงหน้าล้วนอาศัยกระแสมาทำให้โด่งดัง เพราะแบบนี้มันง่ายมาก
ส่วนสิ่งที่เสิ่นเหลียงอยากเป็นก็คือนักแสดง
นักแสดงต้องดูฝีมือการแสดง ดังนั้นจึงโด่งดังช้า
บริษัทเสิ้งติ่งมีกู้จือหยั่นเป็นคนนั่งบัญชาการ จึงเป็นธรรมดาที่จะดันเสิ่นเหลียง ทว่าเสิ่นเหลียงไม่ยอมรับบทละครที่กำลังฮิต ดันเลือกแต่บทละครที่ตัวเองชื่นชอบ
เสิ่นเหลียงม้วนแขนเสื้อ แสร้งทำเป็นโกรธ “มู่น่อนน่อน เธออยากจะทะเลาะสินะ?”
เอ่ยจบ เธอก็เอ่ยต่อว่า “เธอกับกู้จือหยั่นไม่เหมือนกัน เธอเจริญ ฉันก็เจริญ ฉันกินของเธอ ใส่ของเธอ ใช้ของเธอ ฉันไม่มีความกดดันในจิตใจแม้แต่น้อย”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันสามารถช่วยพูดกับเฉินถิงเซียวให้เธอได้ แบบนี้ เธอก็ไม่ต้องกังวลว่าจะติดค้างอะไรกับกู้จือหยั่นแล้ว”
“พูดเป็นเล่นไป เลือกบทละครที่แสดงได้ มีเงินให้พอใจ ฉันก็พอใจมากแล้ว”
เสิ่นเหลียงวกกลับมาที่หัวข้อสนทนาเดิม “เจ้านายใหญ่พูดแบบนี้จริงๆหรือ เขาจะมอบบริษัทเฉินซื่อให้เธอจริงๆ?”
“อืม”
“เธอกล้ารับหรือ”
มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง เอ่ยความคิดที่อยู่ในใจออกมาอย่างซื่อสัตย์ว่า “ไม่กล้า”
“ฮ่าๆๆ….” เสิ่นเหลียงหัวเราะจนตัวงอ “ขี้ขลาด! ให้เธอ เธอก็ไม่กล้ารับ ฮ่าๆๆ!”
“ฉันไม่ใช่พวกที่เชี่ยวชาญการทำธุรกิจ ถ้าบริษัทเฉินซื่อตกอยู่ในมือของฉัน ไม่เกินสามปีก็เจ๊งแล้ว”
“สามปี? เธอให้เกียรติตัวเองเกินไปแล้วจริงๆ”
มู่น่อนน่อน “……”
เสิ่นเหลียงหัวเราะเสร็จแล้วก็ตบไหล่เธอเบาๆ “แต่ว่า เจ้านายใหญ่นั้นใจกว้างเสียจริง บริษัทเฉินซื่อก็ยังสามารถมอบให้เธอได้ แต่ว่าฉันไม่เชื่ออยู่บ้าง….”
“เขาพูดอย่างจริงจังนะ ทั้งยังให้ฉันไปหาเขาที่บริษัทเฉินซื่อในวันพรุ่งนี้ด้วย” มู่น่อนน่อนพิงเข้ากับพนักพิงเก้าอี้ราวกับหมดแรง “ฉันกล้าไปที่ไหนกัน เขาให้ฉันไปพรุ่งนี้ จะต้องให้ฉันเซ็นชื่อแน่นอน ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไรดี”
“ไม่มั้ง? สามารถจัดการขั้นตอนมากมายขนาดนั้นเสร็จภายในเวลาอันรวดเร็วได้? เธออาจจะคิดมากไป?”
“เป็นไปไม่ได้ เฉินถิงเซียวพูดคำไหนคำนั้น ไม่เคยพูดโกหกฉัน”
เสิ่นเหลียง “……” รู้สึกว่าถูกอวดแฟนเข้าเต็มๆ
“เธอรู้ไหมว่า ประโยคเมื่อครู่นี้ของเธอ ลอยเข้ามาในหูฉันที่เป็นคนโสดแล้วมันเสียดหูมากแค่ไหน?”
เสิ่นเหลียงหันหน้าไปมองเธอ “เรื่องนี้ยังจำเป็นต้องจบเรื่องอย่างไรอีก เขาให้เธอ เธอก็รับเอาไว้สิ ไม่แน่ว่าเธอรับบริษัทเฉินซื่อแล้ว เขาจะรู้สึกมั่นคงมาก”
“…..”
มองเสิ่นเหลียงที่ไร้ความน่าเชื่อถือมากขึ้นเรื่อยๆ มู่น่อนน่อนก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเอาเสียเลย
…..
วันรุ่งขึ้นในเวลาเดียวกัน สือเย่เคาะประตูบ้านมู่น่อนน่อน
“คุณหญิงครับ คุณชายให้ผมมารับคุณไปที่บริษัทเฉินซื่อครับ”
“รอฉันสักครู่นะคะ”
มู่น่อนน่อนหันไปหยิบเสื้อคลุมตัวหนึ่ง และไปบริษัทเฉินซื่อกับสือเย่
วันนี้เธอยังคงเดินเข้าบริษัทเฉินซื่อทางประตูใหญ่
ตอนที่เธอเข้าไป ก็โบกมือให้กับฝ่ายประชาสัมพันธ์สองสามคน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ฉันมาอีกแล้วค่ะ”
ส่วนฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่กี่คนนั้นก็ก้มหน้าไม่กล้ามองเธออย่างตัวสั่นงันงก
กลัวเธอขนาดนี้เลยหรือ?
เพียงเพราะเฉินถิงเซียวลงมารับเธอด้วยตัวเอง
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนชืดลง เมื่อวานคนเหล่านี้เยาะเย้ยเสียดสีเธอ ส่วนเฉินถิงเซียวแค่ลงมารับเธอด้วยตัวเอง ก็ทำให้พวกเธอหุบปากได้แล้ว
อำนาจของคุณชายใหญ่เฉินนั้น มิอาจดูเบาได้เลยจริงๆ
มู่น่อนน่อนเดินผ่านหน้าพวกเธอไป พวกเธอถึงได้กล้าเงยหน้าขึ้นมา
หนึ่งในฝ่ายประชาสัมพันธ์เอ่ยถามเสียงเบาว่า “ไปแล้ว?”
“อืม”
“ตกใจหมดเลย”
“เมื่อวานถูกหัวหน้าฝ่ายเรียกไปคุย นึกว่าจะต้องเสียงานแล้ว…”
“ใครจะไปรู้ว่าท่านประธานจะ….กับมู่น่อนน่อนคนนั้นจริงๆ”
……
เมื่อมาถึงห้องทำงานของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนก็พบกับฟู้ถิงซีที่ไม่ได้พบหน้ากันนานมากแล้ว
ฟู้ถิงซีมองมาทางเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณมู่”
เป็นเพราะไม่ได้พบกับฟู้ถิงซีนานมากเกินไป มู่น่อนน่อนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงจะนึกออกว่าเขาเป็นใคร
เธอพยักหน้าให้ฟู้ถิงซีน้อยๆ “ทนายความฟู้”
ตอนที่มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป ก็พบว่าบนโต๊ะทำงานเต็มไปด้วยเอกสารต่างๆ
เฉินถิงเซียวลุกขึ้นยืน ดันเก้าอี้ไปด้านหลังมู่น่อนน่อน และกดเธอให้นั่งลงบนเก้าอี้
“สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องให้คุณมู่…..” ฟู้ถิงซียังเอ่ยไม่จบ ก็ถูกเฉินถิงเซียวกวาดสายตาเย็นชามองมา
เขาดันแว่นตัวเอง อำพรางสีหน้าแข็งค้างบนใบหน้าครู่หนึ่ง และเอ่ยอย่างเป็นธรรมชาติว่า “สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเอกสารที่คุณนายเฉินต้องเซ็นชื่อครับ”
มู่น่อนน่อนกวาดตามองคร่าวๆเล็กน้อย ทั้งหมดล้วนเป็นสัญญาการโอนสิทธิ์
เหมือนกับที่เธอคาดเดาเอาไว้ เฉินถิงเซียวใช้เวลาหนึ่งวันในการเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้เรียบร้อย วันนี้ก็เรียกเธอมาเซ็นชื่อ
มู่น่อนน่อนหันไปมองเฉินถิงเซียว น้ำเสียงเจือไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน ดังนั้นฟังดูแล้วจึงแหลมสูงอยู่บ้าง “เฉินถิงเซียว คุณบ้าไปแล้ว!”
เฉินถิงเซียวเพียงแค่ยื่นปากกาไปตรงหน้าเธอ
พื้นฐานจิตใจของฟู้ถิงซีดีมากเป็นพิเศษ จึงเริ่มกล่าวถึงรายละเอียดในเอกสารทุกฉบับกับเธอราวกับรอบด้านไม่มีใคร โดยคล้ายกับไม่ได้ยินวาจาของมู่น่อนน่อนอย่างไรอย่างนั้น
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกมากุมหน้าผาก หันหน้าไปมองฟู้ถิงซี “ทนายความฟู้ รบกวนรอสักครู่นะคะ ฉันจะคุยกับเฉินถิงเซียวสักหน่อยค่ะ”
“ผมขอแนะนำว่าคุณนายเฉิน อย่าสิ้นเปลืองเวลาไปโน้มน้าวเขาเลยครับ ไม่สู้เซ็นชื่อให้เรียบร้อยแต่เนิ่นๆ งานผมก็จะได้เสร็จเร็วด้วยเช่นกัน” ใบหน้าของฟู้ถิงซีประดับไปด้วยรอยยิ้มบางๆอย่างเป็นมืออาชีพ “ถึงอย่างไรก็เหมือนกับที่คุณพูด เขาบ้าไปแล้ว คนบ้าฟังคำพูดของคนปกติไม่เข้าหูหรอกครับ”
พอได้ยินแบบนั้น เฉินถิงเซียวก็หรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ทั้งสองมองหน้ากันเงียบๆ และไม่ยอมพูดอะไรกันอยู่สักพัก
สักพัก เฉินถิงเซียวก็เป็นคนพูดขึ้นมาก่อน
“แล้วถ้าผมยกบริษัทเฉินซื่อให้คุณล่ะ”
มู่น่อนน่อนตัวแข็งทื่อ ในแววตาปรากฏความตกตะลึง
เธอคิดไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวจะพูดแบบนี้ออกมา
ที่จริงแล้ว ที่เธออยากจะพูดก็เป็นเรื่องนี้เหมือนกัน
เฉินถิงเซียวคนนี้ ดูไปแล้วเหมือนไม่ขาดอะไรเลย เหมือนไม่มีอะไรสามารถจู่โจมเขาได้
เธอไม่ปฏิเสธถึงความสามารถของเขา แต่จนถึงตอนนี้ ออร่ารอบตัวของเขาส่วนใหญ่จะมาจากอิทธิพลของบริษัทเฉินซื่อ
เธออดที่จะอยากทดสอบเฉินถิงเซียวไม่ได้
ถ้าอยากจะทดสอบก็ลองเรื่องใหญ่ๆ ไปเลย
เธอเปลี่ยนใจขึ้นมากะทันหัน และขอให้สือเย่ส่งเธอมาที่บริษัทเฉินซื่อ ก็เพื่อจะมาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่เธอไม่คิดว่าเฉินถิงเซียวจะพูดออกมาก่อน
อาจเป็นไปได้… ว่าเขาจะอ่านความคิดของเธอออก
แต่เฉินถิงเซียวเป็นคนเคร่งขรึมเกินไป ในตอนที่เขาไม่อยากให้คนอื่นอ่านความคิดของเขาออก เขาจะเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ
มู่น่อนน่อนมองเข้าไปในดวงตาของเขา แต่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เพราะว่าเฉินถิงเซียวพูดแบบนั้นออกมา มู่น่อนน่อนจึงต้องคิดหาวิธีตอบรับ
เธอยืดตัวตรง พยายามควบคุมน้ำเสียงของเธอให้สงบลง “ใจกว้างจังเลยนะคะ?”
“แม้แต่ผมก็เป็นของคุณ แค่ยกบริษัทเฉินซื่อที่ให้คุณจะเป็นอะไรไป” เฉินถิงเซียวจับมือเธอไว้ แล้วยกขึ้นมาประทับจุมพิตลงไป
คำพูดที่หวานแบบนี้ แต่พอหลุดออกจากปากของเขากลับไม่มีความหวานเลย แต่เหมือนการปฏิญาณตนมากกว่า
ทั้งเคร่งขรึมและจริงจัง
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า จุดที่น่ากลัวที่สุดของเฉินถิงเซียว ไม่เพียงแต่นิสัยที่ไม่แน่นอนของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเขาดูเหมือนจะสามารถอ่านเหตุการณ์ทุกอย่างออกได้ตลอดเวลา
เขาฉลาดมากเกินไป เขารู้วิธีจะทำให้คนคนหนึ่งได้รับความทุกข์ทรมานมากที่สุด และเขายังรู้วิธีทำให้คนซาบซึ้งใจมากที่สุดด้วย
แต่ด้วยความที่เขาอยากเป็นเจ้าของมากเกินไป จนบางครั้งก็รู้สึกหวาดระแวง
มู่น่อนน่อนแปลกใจมากจนลืมเก็บเอามือกลับไป
เฉินถิงเซียวดึงเธอเข้ามากอด แล้วโน้มตัวบดจูบริมฝีปากของเธอ ก่อนจะกระซิบที่หูของเธอ “พรุ่งนี้ในเวลานี้มาหาผมที่บริษัท”
……
จนออกจากบริษัทมา มู่น่อนน่อนยังคงอยู่ในอาการงุนงง
เฉินถิงเซียวให้เธอมาที่บริษัทเฉินซื่ออีกครั้งในวันพรุ่งนี้ นี่เขาคิดจะมอบบริษัทเฉินซื่อให้กับเธอจริงๆเหรอ?
เธอ… เธอแค่พูดเล่น ไม่ได้ต้องการบริษัทเฉินซื่อจริงๆ นะ
มู่น่อนน่อนรู้สึกกังวลเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าจะเล่นใหญ่เกินไปแล้ว
ตื๊ด——
โทรศัพท์สั่นอยู่สองสามครั้ง
เป็นเสียงเตือนข้อความเข้าจากใน WeChat
มู่น่อนน่อนเปิด WeChat จึงพบว่าเสิ่นเหลียงส่งข้อความมาหาเธอ
เสิ่นเหลียงส่งมาเป็นส่งข้อความเสียง
มู่น่อนน่อนกดฟัง
“งานของฉันเสร็จแล้ว เธอมีเวลาออกไปกินข้าวข้างนอกกันไหม”
“ได้สิ” หลังจากที่มู่น่อนน่อนตอบ ก็เตรียมจะเรียกรถแท็กซี่ไปตามนัด
สือเย่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน เขาขับรถไปหยุดจอดตรงหน้าเธอ
เขาลงจากรถและเปิดประตูเบาะหลังให้ “คุณนายน้อยจะไปไหนครับ ฉันจะพาไปเอง”
“เฉินถิงเซียวบอกให้คุณมาเหรอคะ?” มู่น่อนน่อนไม่ได้ขึ้นไปนั่งในรถ
“คุณชายรู้ว่าคุณไม่ได้ขับรถออกมาเอง ก็เลยให้ผมไปส่งคุณครับ”
“ตารางงานของเฉินถิงเซียวยุ่งจนถึงปีหน้า คุณที่เป็นผู้ช่วยของเขา ก็น่าจะยุ่งมากเช่นกัน ฉันนั่งแท็กซี่ไปเองได้ค่ะ”
“คุณนายน้อยครับ ได้โปรดขึ้นรถเถอะครับ” สือเย่พยักหน้าเล็กน้อย แต่ไม่มีท่าทีจะฟังเธอ
มู่น่อนน่อนจึงต้องขึ้นรถไป
ตลอดทางเธอเอาแต่คิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ และตอนนี้เธออยากจะหาใครสักคนที่จะคุยด้วยอย่างเร่งด่วน
แต่ในเวลานี้บนรถมีแต่เธอกับสือเย่ และสือเย่เป็นคนของเฉินถิงเซียว เธอจะคุยกับสือเย่ในเรื่องนี้ไม่ได้แน่นอน
ก่อนหน้านี้เธอเคยฟังคำพูดของสือเย่ ถึงได้หลงมัวเมา จนวิ่งไปที่บริษัทเฉินซื่อเพื่อคุยกับเฉินถิงเซียวแบบนั้น
สือเย่สังเกตได้ว่ามู่น่อนน่อนมองเขาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีจากกระจกมองหลัง เขาหดคอลงแล้วหันหน้าหนีอย่างรวดเร็ว
พอมาถึงสถานที่ที่มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงนัดหมายกันไว้ มู่น่อนน่อนก็ลงจากรถ แล้วตรงเข้าไปในร้านอาหารทันที
เสิ่นเหลียงจองห้องอาหารไว้แล้ว
ตอนที่มู่น่อนน่อนเดินเข้ามา เธอก็กำลังก้มหน้าดูเมนูอาหารอยู่
“น่อนน่อนมาดูนี่สิ ร้านนี้มีเมนูอาหารใหม่ที่น่าสนใจหลายเมนูเลย” เสิ่นเหลียงใช้เงินฟุ่มเฟือยมาก ทั้งเครื่องสำอาง กระเป๋า เสื้อผ้า และอาหารรสเลิศ
มู่น่อนน่อนเดินไปนั่งข้างเธอ
“ยี่ผึ่งเสว่ อาหารจานนี้มันคืออะไร” มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าจานนี้คืออะไร
“ชื่อมันน่าสนใจใช่ไหม เราลองสั่งมาลองกัน”
มู่น่อนน่อนเหลือบมองราคาเกือบสี่หลักด้านล่าง แล้วส่ายหัวไปมา “อย่าใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย”
“ไม่ได้ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายนะ ฉันใช้เงินของฉันเองไม่ถือว่าสุรุ่ยสุร่าย” เสิ่นเหลียงหันกลับมาอีกครั้ง “เธอเองก็สั่งอาหารด้วย! เร็วเข้าเถอะ ช่วงนี้ฉันถูกผู้จัดการคุมเข้ม ไม่ให้ กินอะไรอร่อยเลย เอาแต่บอกว่าฉันอ้วน”
มู่น่อนน่อนมองไปที่เสิ่นเหลียง แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา “ดูเหมือนว่าจะอ้วนขึ้นจริงๆ ด้วย”
“เดี๋ยวฉันตีให้เลยเอาไหม” เสิ่นเหลียงจับเมนูอาหาร แกล้งทำเป็นว่าตีใส่เธอ
มู่น่อนน่อนยกยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก กินเถอะ ถ้าเธออ้วนขึ้นมาจริงๆ เธอก็ต้องโดนผู้จัดการของเธอเคี่ยวเข็ญให้เธอลดน้ำหนักอยู่ดี”
เสิ่นเหลียงหยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วเคาะใส่หน้าผากเธอ “ไม่พูดอะไรดีๆ เลย”
มู่น่อนน่อนวางกระเป๋าของเธอลง “เร็วเข้า สั่งอาหารเสร็จฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอ”
ดวงตาของเสิ่นเหลียงเป็นประกาย เธอชอบฟังเรื่องสนุกที่สุดเลย
เธอเรียกพนักงานเข้ามาสั่งอาหาร
ก่อนจะหันไปถามมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าสงสัย “เรื่องอะไรเหรอ?”
มู่น่อนน่อนบอกเล่าเหตุการณ์ที่ดูน่าตื่นเต้นน้อยที่สุดออกมาก่อน“เฉินถิงเซียวขอฉันแต่งงาน”
“อ๋อ” เสิ่นเหลียงพยักหน้า สีหน้าของเธอนิ่งสงบมาก
จากปฏิกิริยาของเธอ เห็นได้ว่าเรื่องที่เฉินถิงเซียวขอมู่น่อนน่อนแต่งงานนั้นไม่ใช่ข่าวที่น่าตื่นเต้นอะไรมากเท่าไหร่
เสิ่นเหลียงเอียงศีรษะ แล้วดึงสองมือของเธอขึ้นมาแล้วมองไปทางซ้ายและขวา
จากนั้น เธอก็บีบนิ้วของมู่น่อนน่อนแล้วถามว่า “แล้วของล่ะ?”
“ของอะไร?”
“ก็แหวนไง!” เสิ่นเหลียงกะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ไหนบอกว่าขอแต่งงาน แหวนขอแต่งงานก็ไม่มี บริษัทเฉินซื่อก็ออกจะใหญ่โตขนาดนั้น ประธานบริษัทกลับไม่ยอมซื้อแหวนขอแต่งงาน ไม่มีแหวนแต่งงาน แล้วจะแต่งงานทำไม ไม่ต้องแต่งแล้ว!”
มู่น่อนน่อนไม่ได้สนใจเรื่องแหวนมากนัก
เธอเม้มปากพูดเรื่องที่สอง
“ฉันเพิ่งไปหาเฉินถิงเซียวมา และเพิ่งจากเขามา”
เสิ่นเหลียงทำกลอกตามองบนใส่เธอ แล้วพูดว่า “เขาไม่ได้ซื้อแหวนขอแต่งงานให้เธอ เธอก็ตกลงยอมแต่งงานกับเขาแล้วเหรอตอนนี้เธอยังรีบไปหาเขาอีก”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันตั้งใจจะไปเจรจาข้อตกลงกับเขา”
“ข้อตกลงอะไร?” น้ำเสียงตื่นเต้นของเสิ่นเหลียงหายไปนานแล้ว
สำหรับ “ข้อตกลง” ที่มู่น่อนน่อนพูดมา เธอไม่ได้คาดหวังอะไรแล้ว
“เกี่ยวกับบริษัทเฉินซื่อ แต่ฉันยังพูดไม่ทันจบ เขาก็พูดขึ้นมาก่อน”
เสิ่นเหลียงสูดหายใจเข้าลึก แล้วพูดว่า “ยังถือว่าเธอพอตะมีสมองอยู่บ้าง เธออยากได้หุ้นของบริษัทเฉินซื่อใช่ไหม แล้วเขาพูดว่ายังไง?”
“ไม่ใช่นะ ฉัน……”
จากเรื่องที่เฉินถิงเซียวไม่เตรียมแหวนขอแต่งงาน เสิ่นเหลียงก็รู้สึกว่าเฉินถิงเซียวทำไม่ถูกต้องแล้ว ก่อนที่มู่น่อนน่อนจะพูดจบ เธอก็พูดขัดจังหวะขึ้นมาซะก่อน “แม้แต่หุ้นบริษัทเขาก็ไม่ยอมยกให้เหรอ งั้นก็ไม่ต้องแต่งแล้ว!”
มู่น่อนน่อนทำท่าทางเหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ “ฉันต้องนัดหมายล่วงหน้าด้วยเหรอคะ”
“ค่ะ” หญิงสาวที่แผนกต้อนรับยังคงยิ้มรับ แต่ดวงตาของเธอยังคงดูถูกเหยียดหยามไม่หยุด
มู่น่อนน่อนเข้าใจความคิดของพวกเธอดี ในใจของพวกเธอ มู่น่อนน่อนเป็นแค่อดีตภรรยาที่อยากจะกลับมาคืนดีกับเฉินถิงเซียว
ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้เฉินถิงเซียวยังมี “คู่หมั้น” อย่างซูเหมียน และ “ลูกสาวที่มีกับคู่หมั้น”แล้ว แต่มู่น่อนน่อนยังคงหน้าด้านไม่ยอมตัดใจ
ในสายตาของคนภายนอก ตอนนี้มู่น่อนน่อนอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดและไม่อยู่ในฐานะที่เป็นผู้ถูกต้องโดยสิ้นเชิง
มู่น่อนน่อนแสร้งทำเป็นไม่เห็นสีหน้ารังเกียจของพวกเธอ แล้วถามต่อ “ถ้าฉันอยากจะเข้าไปเจอเขา ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะนัดเจอได้คะ?”
ผู้หญิงที่แผนกต้อนรับหัวเราะเยาะและพูดด้วยน้ำเสียงสะใจ “ตารางนัดหมายของท่านประธานถูกกำหนดไว้แน่นจนถึงปีหน้าเลยค่ะ ถ้าคุณนัดหมายตอนนี้ คุณคงจะได้พบเขาเป็นอีกครึ่งปีหลังจากนี้ค่ะ”
ครึ่งปีหลังจากนี้ถึงจะได้พบเขา
เสียงนี้ฟังดูแล้ว เหมือนครึ่งปีจะแค่ครึ่งวัน
“ต้องรอนานขนาดนั้นเลยเหรอคะ…” มู่น่อนน่อนพูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย เธอรู้อยู่แล้วว่าเฉินถิงเซียวงานยุ่งมาก แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะงานยุ่งถึงขนาดนี้
พนักงานต้อนรับพูดเสริมอีกประโยคหนึ่ง “ใช่ค่ะ แต่ครึ่งหลังจากนี้ ก็ไม่แน่ว่าคุณจะไม่สามารถนัดเจอท่านได้”
“อยากเจอเขาสักครั้งช่างยากลำบากจริงๆ” มู่น่อนน่อนพูดด้วยใบหน้าผิดหวัง
สือเย่ที่เพิ่งจอดรถแล้วเข้ามาจากด้านนอก ก็ได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อนพอดี
เปลือกตาของเขากระตุก และเขารู้ได้โดยสัญชาตญาณเลยว่าคุณนายน้อยที่น่าเคารพกำลังคิดจะก่อปัญหา
เขาเตรียมจะเดินเข้าไปหา แต่ถูกสายตาของมู่น่อนน่อนที่มองกลับมาที่เขาเหมือนจะบอกให้เขา “ไม่ต้องเข้ามายุ่ง”
สือเย่ต้องแสร้งทำเป็นไม่เห็นมู่น่อนน่อน แล้วเดินออกไปอีกครั้ง
ผู้หญิงที่แผนกต้อนรับไม่ได้สังเกตว่าสือเย่เข้ามาและออกไปแล้ว
“เพราะยังไงท่านประธานก็ไม่ใช่คนธรรมดานี่คะ” ผู้หญิงที่แผนกต้อนรับพูดกับมู่น่อนน่อนอยู่นาน จึงเริ่มหมดความอดทน “คุณมู่ ต้องการนัดหมายล่วงหน้าไหมคะ”
มู่น่อนน่อนแสร้งทำเป็นแปลกใจ แล้วพูดว่า “คุณรู้จักฉันจริง ๆ ด้วย?”
“ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองหู้หยางคงจะมีน้อยคนค่ะ ที่ไม่รู้จักคุณมู่” ผู้หญิงที่แผนกต้อนรับไม่สนใจแม้แต่จะเสแสร้งแกล้งทำแล้ว
“จริงเหรอคะ” มู่น่อนน่อนยกยิ้ม “งั้นพวกคุณทำงานต่อเถอะค่ะ ฉันไม่รบกวนเวลาพวกคุณแล้ว”
“คุณมู่จะไม่นัดหมายล่วงหน้าไว้ก่อนเหรอคะ”
“ไม่ล่ะค่ะ ฉันจะโทรหาเขาโดยตรงเลยดีกว่า” หลังจากที่มู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็ยิ้มให้ผู้หญิงที่แผนกต้อนรับ แล้วหันหลังกลับไปนั่งลงบนโซฟาเพื่อโทรหาเฉินถิงเซียว
แผนกต้อนรับไม่ได้สนใจคำพูดของมู่น่อนน่อน พอมู่น่อนน่อนหันหลังเดินจากไป พวกเธอก็เริ่มพูดซุบซิบนินทาทันที
“ฉันไม่เคยเห็นผู้หญิงที่หน้าด้านไร้ยางอายแบบนี้มาก่อนเลย!”
“เป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่ง แล้วยังกล้ามาหาท่านประธานของเราอีก ไม่รู้ว่าเธอเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“ใช่ ท่านประธานของเรามีลูกสาวแล้ว เธอยังไม่ยอมตายใจอีก”
“ทำลายความรักของคนอื่น…”
มู่น่อนน่อนเอียงหูแล้วแอบฟังเล็กน้อย
ปรากฏว่าตอนนี้คนเหล่านี้กำลังนินทาเรื่องของเธออยู่
มู่น่อนน่อนหัวเราะออกมา ไม่สนใจเลยสักนิด
เธอหาที่นั่งแล้วโทรหาเฉินถิงเซียวทันที
โทรศัพท์ดังขึ้นแค่สองครั้งอีกฝ่ายก็กดรับสายแล้ว
ทันทีที่เฉินถิงเซียวกดรับสาย เขาก็ถามขึ้นว่า “มีอะไรหรือเปล่า?”
ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เขารับโทรศัพท์จากเธอ เขาจะถามออกมาก่อนเสมอว่า“มีอะไรหรือเปล่า” กับ “เกิดอะไรขึ้น”
“ฉันอยู่ตรงชั้นล่างบริษัทเฉินซื่อค่ะ อยากจะเจอคุณสักครั้งช่างยากลำบากจริงๆ ตารางนัดหมายเต็มไปถึงครึ่งปีหน้า ฉันอยากจะนัดพบล่วงหน้า ก็นัดไม่ได้ ฉันควรทำยังไงดีคะ? “
เฉินถิงเซียวฟังน้ำเสียงเยาะเย้ยของมู่น่อนน่อนออก
เขาพูดโดยไม่เปลี่ยนน้ำเสียง รีบถามเธอว่า “แล้วสือเย่ล่ะ หายไปไหน”
“ฉันมาหาคุณ คุณถามถึงเขาทำไมคะ”
ตอนนี้เฉินถิงเซียวแน่ใจแล้วว่ามู่น่อนน่อนต้องการให้เขาลงมารับเธอเอง
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามู่น่อนน่อนต้องการจะทำอะไร แต่เธอมาหาเขา แล้วอยากให้เขาลงไปรับเธอ เขาก็จะลงไปรับด้วยตัวเอง
“รอผมเดี๋ยว”
พอเฉินถิงเซียวพูดจบ มู่น่อนน่อนก็ได้ยินเสียงเก้าอี้ถูกดึงออก
มู่น่อนน่อนรู้ทันทีเลยว่า เฉินถิงเซียวกำลังลงมาที่นี่เพื่อรับเธอ
เขาตอบตกลงอย่างง่ายดาย ไม่สนุกเลยจริงๆ
มู่น่อนน่อนกดวางสาย แล้วมองไปรอบๆ ด้านอย่างเบื่อหน่าย
เฉินถิงเซียวบอกให้เธอรอสักพัก แต่มู่น่อนน่อนนั่งรอเพียงไม่กี่นาที เธอก็เห็นเฉินถิงเซียวเดินออกมาจากลิฟต์แล้ว
มู่น่อนน่อนมองไปทางประตูลิฟต์อยู่ตลอด ดังนั้นเธอจึงเห็นทันทีที่เฉินถิงเซียวเดินออกมา
ส่วนเฉินถิงเซียวเองก็เห็นเธออย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เขาเห็นเธอ เขาก็ก้าวขายาว แล้วเดินไปหาเธออย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนกอดอก แล้วมองไปที่เขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ใบหน้าของเฉินถิงเซียวเองก็ไม่มีสีหน้าใด ๆ เขามองดูเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วเอื้อมมือออกไปเพื่อจูงมือเธอ “มาที่นี่คนเดียวเหรอ?”
มู่น่อนน่อนหลบเลี่ยง แต่ก็ยังถูกเฉินถิงเซียวจับตัวไว้ได้
เขาดึงมู่น่อนน่อนขึ้นมา แล้วพาเธอไปที่ลิฟต์
พอแผนกต้อนรับที่อยู่ด้านข้างเห็นแบบนี้ ก็ตกใจจนตาแทบจะถลนออกมา
มู่น่อนน่อนคิดว่าพวกเธอคงตกใจไม่มากพอ จึงหันกลับมาโบกมือให้พวกเธอ “ฉันขึ้นไปก่อนนะคะ ตั้งใจทำงานกันด้วยนะคะ”
แผนกต้อนรับหลายคนยกยิ้มแหยพร้อมกัน โดยเฉพาะพนักงานต้อนรับที่ทำการต้อนรับมู่น่อนน่อน ที่แทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
หลังจากเข้าไปในลิฟต์แล้ว เฉินถิงเซียวก็ถามเธอว่า “พวกเธอทำให้คุณลำบากใจเหรอ?”
มู่น่อนน่อนรู้ว่า “พวกเธอ” ที่เขาว่า หมายถึงพนักงานแผนกต้อนรับเหล่านั้น
“ไม่นี่คะ” ปฏิกิริยาของพวกเขาก็เป็นปฏิกิริยาของคนปกติ ไม่ได้ทำให้เธอลำบากใจอะไรจริงๆ
มู่น่อนน่อนตอบว่าไม่ เฉินถิงเซียวจึงไม่ถามอะไรอีก
ตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออก เฉินถิงเซียวก็ถามเธออีกครั้งว่า “คุณไปดูชุดแต่งงานมาหรือยัง”
“ยังค่ะ” มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วมองเขาอย่างเฉยเมย
เฉินถิงเซียวจับมือเธอแล้วบีบแน่น มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ แต่ก็พูดอะไร
“พรุ่งนี้ผมจะไปเลือกเป็นเพื่อนเอง”
“อ่อ”
มู่น่อนน่อนยังคงไม่มีท่าทางกระตือรือร้นเลยแม้แต่น้อย
ทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าประตูห้องทำงานของเฉินถิงเซียว
เขาเปิดประตูให้มู่มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปก่อน แล้วจึงเดินตามเข้ามาพร้อมกับปิดประตูตามหลัง
“จะดื่มอะไรไหม” เฉินถิงเซียวถามเธอ
“ขอน้ำอุ่นค่ะ”
เฉินถิงเซียวลุกขึ้น แล้วเดินไปเทน้ำอุ่นหนึ่งแก้วให้เธอ
มู่น่อนน่อนหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม แล้วเห็นเฉินถิงเซียวนั่งลงตรงหน้าเธอ ก่อนจะพูดว่า “คุณไม่ยุ่งเหรอคะ?”
เธอพูดต่อโดยไม่รอคำตอบจากเฉินถิงเซียว “ฉันได้ยินมาจากพวกเธอ ว่าตารางงานของคุณเต็มไปจนถึงปีหน้าเลย”
“ถึงแม้ตารางงานจะยุ่งยังไง แต่งานก็ไม่สำคัญเท่ากับคุณ” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวดูจริงจังมาก ดูไม่เหมือนว่าเขาจะพูดเอาใจเธอเล่นอะไรแบบนั้น
มู่น่อนน่อนที่กำลังจะดื่มน้ำชะงักไปทันที
เธอเหลือบมองไปที่เฉินถิงเซียว ถือแก้วน้ำไว้แนบริมฝีปาก ก่อนจะจิบน้ำแล้วพูดว่า “จริงเหรอคะ ฉันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“แน่นอน” เฉินถิงเซียวมองเธอนิ่ง ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความจริงจังและแน่วแน่ “อย่างน้อย มันก็สำคัญกว่าที่คุณคิดไว้มาก”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า แล้วพูดอย่างสบายอารมณ์ “แค่ลมปากพูด ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าสิ่งที่พูดจะทำได้จริงค่ะ”
มู่น่อนน่อนเดาไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครกล้ามีปัญหากับบริษัทเฉินซื่อ
ในเวลานี้เอง จู่ๆ กริ่งประตูก็ดังขึ้นมา
ก่อนที่มู่น่อนน่อนจะเปิดประตูออกไป เธอมองผ่านตาแมวและเห็นว่าเป็นสือเย่ เธอจึงเปิดประตูออก
“ผู้ช่วยสือ คุณมาที่นี่ทำไมคะ”
หลังจากเปิดประตู มู่น่อนน่อนก็เห็นทันทีว่าสือเย่พาบอดี้การ์ดมาด้วยอีกสองสามคน
“คุณชายสั่งให้ผมมาครับ” สือเย่ก้มหน้าพูดอย่างนอบน้อมพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนหันกลับไปข้างใดข้างหนึ่งแล้วพูดว่า “เข้ามาคุยข้างในเถอะค่ะ”
จากความรู้สึกของเธอ สือเย่เป็นคนที่น่าเชื่อถือ
“ผมไม่เข้าไปดีกว่าครับ คุณนายน้อย คุณชายสั่งให้ผมมารับคุณเพื่อไปดูชุดแต่งงานครับ ถ้าคุณสะดวก เราออกเดินทางไปกันได้เลยครับ”
หลังจากได้ยินคำพูดของสือเย่ มู่น่อนน่อนก็ตกตะลึงไปทันที
เธอยังคงจำสิ่งที่เฉินถิงเซียวพูดก่อนหน้านี้ได้ แต่เธอไม่คิดว่าเขาจะจัดการทุกอย่างได้รวดเร็วขนาดนี้
ดูเหมือนว่าเขาอยากจะแต่งงานกับเธอจนแทบจะรอไม่ไหวแล้ว
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามเขา “เฉินถิงเซียวอยู่ที่ไหนคะ?”
สือเย่ยังคงตอบอย่างนอบน้อม “คุณชายกำลังจัดการกับเรื่องอื่นอยู่ครับ”
มู่น่อนน่อนถามขึ้นมาอีกครั้ง “มู่มู่ อยู่ที่ไหนคะ”
“คุณหนูน้อยอยู่ที่บ้านคุณชายครับ” พอพูดถึงเฉินมู่ สือเย่ก็อดยิ้มไม่ได้
“ถ้าฉันบอกว่าไม่อยากไปดูชุดแต่งงานล่ะคะ?”
“งั้นผมจะให้พวกเขาเอาชุดมาให้คุณนายน้อยลองที่บ้าน คุณคิดว่ายังไงครับ?” น้ำเสียงและสีหน้าของสือเย่ดูจริงจังมากผิดปกติ เหมือนกับว่าเขาได้ผ่านการคิดอย่างรอบคอบ แล้วตอบกลับอย่างจริงจัง
“ผู้ช่วยสือ!” มู่น่อนน่อนเรียกด้วยน้ำเสีงที่เคร่งขรึม “คุณเองก็รู้ดีว่านี่มันไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องการแต่งงานของฉันกับเขา ยังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่ได้จัดการ ทำไมคุณถึงไม่เกลี้ยกล่อมเขาคะ ?”
ตอนที่สือเย่ถูกเฉินถิงเซียวสั่งให้จัดการเตรียมการเรื่องการแต่งงานของทั้งสองคน เขาก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เพราะมันกะทันหันเกินไป
และพวกเขาเคยแต่งงาน และจะกลับมาแต่งงานใหม่หลังจากที่เคยหย่าร้างกันไปแล้ว
ผลลัพธ์เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ต้องจัดการเตรียมการด้วยความระมัดระวัง
บางครั้ง ไม่ใช่ว่ารักกันแล้วต้องแต่งงานกัน
เขากับภรรยาแต่งงานกันหลังจบการศึกษา และด้วยความที่พวกเขาแต่งงานกันเร็วเกินไป ดังนั้นพอมีปัญหากับการแต่งงาน พวกเขาทั้งคู่จึงเหนื่อยจนปล่อยมือจากกันไป
ส่วนเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนต่างก็ผ่านอะไรด้วยกันมามากมาย เขาที่เป็นคนข้างกายยังรู้สึกเหนื่อยแทน และหวังว่าพวกเขาจะมีความสุข
แต่เฉินถิงเซียวเป็นคนยึดมั่นในความคิดของตัวเองมากเกินไป จนบางครั้งวิธีที่เขาจัดการกับเรื่องต่าง ๆ ก็ค่อนข้างสุดขั้วไปบ้าง
ในโลกของเฉินถิงเซียว เรื่องที่เขาอยากจะทำ เขาก็จะทำให้ได้
“คุณนายน้อยครับ แม้แต่คุณยังเกลี้ยกล่อมเขาไม่ได้ แล้วผมจะเกลี้ยกล่อมเขาได้ยังไงล่ะครับ”
คำพูดของสือเย่ ทำให้มู่น่อนน่อนพูดไม่ออก
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองขนาดนั้น น้อยครั้งที่จะฟังคำพูดของคนอื่น
“นิสัยของคุณชายแตกต่างจากคนทั่วไปเล็กน้อย แต่เรื่องที่เขาอยากจะทำไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้ ผมรู้ว่าพิธีการแต่งงาน สำหรับคุณกับคุณชายแล้ว มันก็เป็นแค่พิธีการหนึ่งเท่านั้น ที่คุณไม่พอใจคือท่าทีของเขา”
สือเย่พูดแทงใจดำมู่น่อนน่อนมาก
มู่น่อนน่อนนิ่งเงียบไปสักพัก
สือเย่สังเกตเห็นแบบนี้ จึงรีบพูดต่อ “คุณชายมีข้อบกพร่องทางนิสัย เรื่องนี้คุณเองก็รู้ดี แต่เป็นเพราะเขาถูกสะกดจิตจนสูญเสียความทรงจำไป ทำให้นิสัยของเขาแย่กว่าเดิมมาก แต่ยังไงเขาก็ยังรักคุณไม่เปลี่ยน ตรงจุดนี้ ในใจของคุณเองคงจะรู้ดี”
คำพูดของสือเย่ ดูเหมือนมู่น่อนน่อนจะเข้าใจแล้ว
ในคำพูดของเขามีเพียงสองความหมายแอบแฝง
หนึ่งคือ ยังไงเฉินถิงเซียวก็คนเดียวกัน และเขายังรักเธอไม่เปลี่ยนแปลง
สองคือ การแต่งงานครั้งนี้ ไม่แต่งก็ต้องแต่ง ไม่มีใครขัดแย้งเฉินถิงเซียวได้
พอเห็นมู่น่อนน่อนยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ สือเย่จึงพูดอย่างตรงไปตรงมา “ลองคิดดูในอีกมุมหนึ่งนะครับ หลังจากที่แต่งงานกันแล้ว คุณอยากจะทำอะไรกับเขา ก็แล้วแต่คุณไม่ใช่เหรอครับ”
เดิมทีมู่น่อนน่อนต้องขมวดคิ้วเพราะคำพูดประโยคแรกของสือเย่ แต่พอเธอได้ยินประโยคหลัง บนใบหน้าของเธอจึงมีแต่ความตกใจเท่านั้น
มู่น่อนน่อนตกตะลึง “ผู้ช่วยสือ คุณไม่ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแก้ไขปัญหาความรักมันน่าเสียดายมากจริงๆ ค่ะ”
สือเย่กระแอมเล็กน้อยเล็กน้อย
ช่างสร้างความลำบากใจให้เขาที่เป็นผู้ช่วยจริงๆ นอกจากจะต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายจากเจ้านายให้แล้วเสร็จ แล้วยังต้องช่วยเขาจัดการกับปัญหาด้านความรักอีก
ทำงานเป็นผู้ช่วยได้แบบเขา ยังจะมีใครทำได้อีก
บนใบหน้าของสือเย่แสดงอาการจนใจเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามมู่น่อนน่อนว่า “แล้วตอนนี้คุณนายน้อยมีเวลาไปดูชุดแต่งงานไหมครับ”
“ดูค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ “ตอนนี้เฉินถิงเซียวใจร้อนอยากจะแต่งงานกับฉัน อยากให้ฉันเข้ามาแบ่งทรัพย์สินกับเขา ทำไมจะไม่แต่งล่ะ”
……
มู่น่อนน่อนไปร้านออกแบบชุดแต่งงานพร้อมกับสือเย่
คำพูดของสือเย่ มีบทบาทในใจของเธออยู่บ้าง
เรื่องที่เฉินถิงเซียวต้องการจะทำ นั่นคือไม่ว่าจะใช้วิธีไหนเขาก็จะทำให้บรรลุเป้าหมายให้ได้
ผู้ชายคนนี้ จะพูดให้ฟังดูดีก็คงต้องบอกว่าเขาเป็นคนฉลาดมาก จะพูดให้ไม่น่าฟังคงต้องบอกว่าเขาเป็นคนที่มีแผนการเจ้าเล่ห์มากมาย
ความฉลาดแค่เล็กๆ น้อยๆ ของมู่น่อนน่อน พอมาอยู่ต่อหน้าเขามันไม่เพียงพอด้วยซ้ำ
แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ เธอจึงทำตามที่สือเย่พูด แต่งงานกับเขา แล้วจัดการเขาให้อยู่หมัด
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ในรถ หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างที่มีตึกรามบ้านช่องกำลังเคลื่อนไหว และเห็นบริษัทร่วมทุนผ่านขอบตาไป
ทันใดนั้นเอง เธอก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
จู่ๆ มู่น่อนน่อนก็พูดว่า “หยุดรถก่อนค่ะ”
สือเย่มองกลับมาที่มู่น่อนน่อน “มีอะไรหรือเปล่าครับคุณนายน้อย?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนนั้นกว้างมาก “ไปที่บริษัทเฉินซื่อค่ะ ฉันจะไปหาเฉินถิงเซียว”
สือเย่ไม่ได้ถามว่าเธอจะไปหาเฉินถิงเซียวทำไม ก็ขับรถตรงไปไปที่บริษัทเฉินซื่อทันที
เมื่อก่อนเธอกับเฉินมู่นั้น เคยไปหาเฉินถิงเซียวที่บริษัทเฉินซื่อมาก่อน แต่ทุกครั้งที่ไปพวกเธอจะนั่งลิฟต์ชัั้นพิเศษตรงชั้นลานจอดรถตรงขึ้นไปที่ห้องทำงานของเฉินถิงเซียวเลย
พอรถขับไปที่หน้าประตูทางเข้าบริษัทเฉินซื่อ มู่น่อนน่อนก็พูดขึ้นมาว่า “หยุดตรงประตูทางเข้าบริษัทเลยค่ะ ฉันจะเข้าไปทางนั้น”
สือเย่หันไปมองมู่น่อนน่อนผ่านกระจกมองหลังด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาหยุดจอดตรงหน้าประตูทางเข้าบริษัท
มู่น่อนน่อนไม่รอให้ยามเข้ามาเปิดประตูให้ เธอเปิดประตูเดินออกไปเอง
พอสือเย่เห็นว่าเธอลงจากรถอย่างรวดเร็ว เขาจึงพูดอย่างกังวลว่า “คุณนายน้อยรอผมก่อนครับ เดี๋ยวผมไปจอดรถก่อน”
มู่น่อนน่อนไม่เคยเดินเข้าบริษัทเฉินซื่อผ่านประตูด้านหน้า เพราะแผนกต้อนรับต้องไม่ยอมให้เข้าไปง่ายๆ แน่นอน
มู่น่อนน่อนพูดเพียงแค่ว่า “คุณขึ้นไปก่อนเลยค่ะ”
เธอเงยหน้าขึ้นมองตึกที่ตั้งของบริษัทเฉินซื่อ แล้วก้าวเข้าไปในบริษัทด้วยรองเท้าส้นสูง
แค่เธอเดินเข้าไป ผู้หญิงที่แผนกต้อนรับก็จำเธอได้ทันที
ใบหน้าของพวกเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างไม่สามารถปกปิดได้
“ขอโทษนะคะคุณลูกค้า ไม่ทราบว่านัดไว้หรือเปล่าคะ”
มู่น่อนน่อนยกยิ้มเบา ๆ แล้วพูดว่า “ในเมื่อไม่รู้จักฉัน แล้วรู้ได้ยังไงคะว่าฉันมาที่นี่เพื่อพบใครบางคน?”
พนักงานต้อนรับที่พูดก่อนหน้านี้ มีสีหน้าอับอายปรากฏขึ้นมา
แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ หญิงสาวแผนกต้อนรับจึงยกยิ้มแล้วถามว่า “ขอโทษนะคะคุณลูกค้า ไม่ทราบว่าคุณมาหาใครหรือเปล่าคะ”
“ใช่ค่ะ ฉันมาหาเฉินถิงเซียว ท่านประธานของพวกคุณ” หลังจากที่มู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็พูดเสริมว่า “เขายังอยู่ไหมคะ”
“อยู่ค่ะ… แต่ถ้าคุณต้องการจะพบท่านประธาน รบกวนนัดหมายล่วงหน้ามาด้วยนะคะ”
ดูท่าทางพนักงานต้อนรับสาวคงจะได้อ่านข่าวและเชื่อในข่าวที่เขียนแล้ว ดังนั้นพอมู่น่อนน่อนบอกว่าเธอมาหาเฉินถิงเซียว สายตาของพวกเธอจึงแสดงท่าทีรังเกียจออกมาทันที
เฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อน ก่อนจะยกยิ้มอย่างลึกลับ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหา เขาเปิดคลิปเสียงออกมาต่อหน้ามู่น่อนน่อน
“แต่งงานกับผมนะ?”
“อืม……”
น้ำเสียงของชายหนุ่มนุ่มนวลอย่างไม่น่าเชื่อ แต่มู่น่อนน่อนฟังออกว่านั่นคือเสียงของเฉินถิงเซียวจริงๆ
และเสียงตอบกลับที่เบาบางนั่น…
สีหน้าของมู่น่อนน่อนดูกระดากใจ เธอเหลือบมองไปที่เฉินถิงเซียวที่กำลังมองเธออยู่สักพักแล้ว จากนั้นก็มองที่โทรศัพท์มือถือของเขา ก่อนจะกำหมัดแน่น แล้วเอื้อมมือไปคว้ามาตอนที่เฉินถิงเซียวไม่ทันตั้งตัว
แต่ว่า จากการสังเกตของเฉินถิงเซียว ทำไมเขาจะมองไม่ออกว่ามู่น่อนน่อนอยากจะแย่งโทรศัพท์ไป
เขาหลบเลี่ยงมือของมู่น่อนน่อนอย่างรวดเร็ว และเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อ
แล้วเธอก็ถามเธอด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์ว่า “ได้ยินหรือยัง”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก แล้วพูดว่า “แบบนี้ไม่นับค่ะ!”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ถามเธอว่า “เสียงนี้เป็นเสียงคุณพูดเองใช่ไหม?”
“…” มู่น่อนน่อนนิ่งเงียบ เสียงนั้นเป็นเสียงของเธอจริงๆ และเธอก็พูดเองด้วย
แต่ในสถานการณ์แบบเมื่อคืนนี้ เธอไม่ได้ยินคำถามของเฉินถิงเซียวอย่างชัดเจน และเธอก็ไม่ได้ตอบคำถามของเขาด้วย
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปากและก่นด่า “เลวที่สุดเลย”
“คุณด่าได้ตามสบาย ยังไงคุณก็ตอบตกลงเองอยู่แล้ว” เฉินถิงเซียวไม่เพียงแต่ไม่โมโหตอนที่ถูกเธอด่า แต่ยังกล้าทำท่าทางกระดากอายแล้วเข้ามาจูบเธอ
มู่น่อนน่อนหันกลับมา แล้วตบหน้าผากของเฉินถิงเซียว ก่อนจะดันศีรษะของเขาออกไป
“ตอนนี้ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณค่ะ!”
เฉินถิงเซียวยกยิ้ม “ไม่เป็นไร ยังไงก็ต้องเจอหน้ากันทุกวันอยู่แล้ว”
มู่น่อนน่อนถูกเฉินถิงเซียวทำให้โมโห ชายผู้นี้รู้จักคำว่า “อับอาย” บ้างไหม?
ในเวลานี้เอง กริ่งประตูก็ดังขึ้นมา
“เดี๋ยวผมไปเปิดประตูเอง” เฉินถิงเซียวลุกขึ้นยืน แล้วเตรียมจะเดินไปเปิดประตู
ตอนที่มู่น่อนน่อนเดินออกมา เธอเห็นเฉินถิงเซียวกำลังจัดวางอาหารเช้าไว้บนโต๊ะ โลโก้บนกล่องบรรจุภัณฑ์เขียนไว้ว่า โรงแรมจีนติ่ง
น่าจะเป็นเฉินถิงเซียวที่โทรไปสั่งกับทางโรงแรมจีนติ่ง
ให้นำอาหารเช้ามาส่ง
เฉินถิงเซียวได้ยินเสียงฝีเท้าจึงมองกลับมาที่เธอ “มากินข้าวเช้ากัน”
มู่น่อนน่อนเดินไปนั่งลงเงียบๆ
ระหว่างรับประทานอาหารเช้า มู่น่อนน่อนแทบไม่พูดอะไรเลย
เฉินถิงเซียวซึ่งเป็นคนพูดน้อย แต่วันนี้กลับพูดมากเป็นพิเศษ และชวนเธอพูดเป็นครั้งคราว
แม้ว่ามู่น่อนน่อนจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจเขา แต่เธอก็ฟังที่เขาพูดทุกคำ
“ผมได้สั่งให้สือเย่ไปเตรียมการแล้ว ไม่กี่วันนี้คงจะเตรียมการเรียบร้อย ถึงตอนนั้นไปเลือกชุดแต่งงานกัน”
“ถ้าคุณอยากให้คุณเสิ่นไปด้วย คุณก็…”
มู่น่อนน่อนยังคงนิ่งเฉย แต่เฉินถิงเซียวยังคงไม่บอกรายละเอียดอะไรกับเธอ
หลังจากกินอาหารเช้าแล้ว เฉินถิงเซียวก็ออกไปทันที
มู่น่อนน่อนถึงมีเวลาโทรหาเสิ่นเหลียง
“น่อนน่อน ไม่เป็นไรใช่ไหม ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์เลย” เสียงจากปลายสายของเสิ่นเหลียงฟังดูเงียบงันเป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่าเธอรับสายตอนที่อยู่ในพื้นที่ว่าง
มู่น่อนน่อนถามเธอว่า “เธออยู่ที่ไหน”
“ฉันกำลังเร่งถ่ายโฆษณาอยู่ข้างนอก เมื่อเช้าเห็นข่าวบนอินเทอร์เน็ต โทรไปหาเธอก็ไม่ยอมรับสาย”
ในเวลานี้ เสียงที่ไม่คุ้นเคยดังมาจากฝั่งของเสิ่นเหลียง “พี่เสิ่นคะ จะเริ่มถ่ายแล้วค่ะ”
เสียงพูดดังมาแต่ไกล
มู่น่อนน่อนกลัวว่างานจะล่าช้า จึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ฉันไม่เป็นไร เธอไปทำงานก่อนเถอะ”
“ไม่นะ น่อนน่อน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากจะพูด” น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงเริ่มจริงจังขึ้น จากนั้นเขาก็นิ่งเงียบไปสักพัก
มู่น่อนน่อนเดาว่าเธอกำลังดูอยู่ว่ามีใครอยู่แถวๆ นี้ไหม เพื่อป้องกันไม่ให้ใครได้ยินคำพูดต่อไปของเธอ
“ก่อนหน้านี้ฉันดูแล้ว ข่าวแรกที่ออกมาคือช่วงเช้าตรู่ กู้จือหยั่นบอกฉัน ว่าเขากับสือเย่ได้จัดการกับเรื่องนี้แล้ว แต่ยังปิดไม่อยู่ นี่แสดงให้เห็นว่า มีผู้อยู่เบื้องหลังที่คอยสนับสนุนสื่อมวลชนพวกนั้น แต่จะเป็นใครยังไม่ชัดเจน ยังไม่เคยมีใครกล้าเป็นศัตรูกับบริษัทเฉินซื่อ”
นอกจากนี้น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงกลับเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อตะกี้มู่น่อนน่อนเหลือบอ่านข่าวคร่าวๆ แต่ไม่รู้ว่าตรงกลางจะมีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วย
“ไม่เป็นไร เธอไปทำงานก่อนเถอะ” มู่น่อนน่อนพูดให้เสิ่นเหลียงสบายใจ “ก่อนหน้านี้คนพวกนั้นไม่กล้าเป็นศัตรูกับบริษัทเฉินซื่อ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่อยาก ตอนนี้ถึงมีคนคอยสนับสนุนพวกเขาอยู่เบื้องหลัง เธอคิดว่าเฉินถิงเซียวจะจัดการไม่ได้เหรอ”
“มันก็จริง” ในสายตาของเสิ่นเหลียง ไม่มีอะไรที่เฉินถิงเซียวจัดการไม่ได้
หลังจากวางสายแล้ว มู่น่อนน่อนก็เปิดอินเทอร์เน็ตเพื่ออ่านข่าวใหม่อีกครั้ง
แม้แต่ในWeibo ก็ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่หนึ่งของการค้นหายอดนิยม และมีหัวข้ออีกหลายหัวข้อที่พูดถึงเธอกับเฉินถิงเซียว
แต่ว่า จุดสนใจของทุกคนยังคงอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียว และซูเหมียน
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามคน พาดหัวข่าวไปแล้วสาม ยังมีอีกหัวข้อหนึ่ง พวกเขากำลังพูดถึงเรื่องของเฉินมู่
เธอไม่สนใจสามหัวข้อแรกเลย เธอคลิกเข้าไปที่พาดหัวข่าวว่า “ลูกสาวของเฉินถิงเซียว”
“เฉินถิงเซียวมีลูกสาวแล้วจริงๆ เหรอ?”
“ฉันอิจฉาลูกสาวของเขาจริงๆ ฉันก็อยากมีพ่อที่ร่ำรวยแบบนี้บ้าง ดูท่าทางที่เฉินถิงเซียวอุ้มเธอก็รู้แล้วว่ารักเธอมากแค่ไหน นี่คงเป็นเจ้าหญิงตัวจริงที่เขาพูดกันสินะ ทั้งได้รับความรักจากทุกคนและร่ำรวยมหาศาล”
“จากท่าทางที่เฉินถิงเซียวอุ้มเธอจะเห็นได้ว่า เขาจงใจปิดกั้นใบหน้าลูกสาวไว้ นี่เป็นเพราะเขากลัวว่าคนอื่นจะเห็นเหรอ ตามเหตุผลแล้วงานเลี้ยงแบบเมื่อคืนนี้ คนของเฉินถิงเซียวน่าจะตรวจสอบอย่างคมเข้มเพื่อป้องกันนักข่าวแอบแฝงตัวเข้าไป แต่ตอนนั้นเขากลับปิดใบหน้าลูกสาวแน่นมาก ทั้งที่ไม่รู้ว่ามีนักข่าวอยู่ด้วย ทำไมเขาถึงกลัวคนอื่นเห็นหน้าลูกสาวของตัวเอง หรือเป็นเพราะลูกสาวของเขาจะหน้าตาไม่ดีกลัว.. .”
หลังจากที่มู่น่อนน่อนจะอ่านความคิดเห็นใน Weibo จบ เธอคลิกเข้าไปที่บัญชี Weibo ของบล็อกเกอร์คนนั้น
Weibo ของบล็อกเกอร์คนนี้เกือบทั้งหมดเป็นโพสต์ที่จุดชนวนความร้อนแรงของเหตุการณ์ที่โด่งดังในแต่ละเรื่อง และคอยพูดนำพาสิ่งไปในทางที่ผิด
นี่เป็นเพียงเป็นพวกบล็อกเกอร์ที่ปล่อยข่าวไม่ดีเพื่อหาผลประโยชน์คอยรับเงินแล้วปล่อยข่าวปลอมๆ สร้างความเสียหายให้กับคนดัง
และด้านล่างWeiboที่เขาบอกว่าเฉินมู่หน้าตาไม่ดี ก็มีเกือบหนึ่งหมื่นคอมเมนต์แล้ว
มู่น่อนน่อนคลิกอ่านความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่นำโด่งเลยคือด่าบล็อกเกอร์
“บล็อกเกอร์คุณอยากเกาะข่าวให้ตัวเองดังจนสมองมีปัญหาไปแล้วหรือไง”
“ผู้ใหญ่วิจารณ์ว่าเด็กขี้เหร่บนอินเทอร์เน็ต คุณไม่รู้สึกทุเรศตัวเองบ้างหรือไง?”
“ถึงแม้ลูกสาวของเฉินถิงเซียวจะน่าเกลียดที่สุดในโลก แต่การที่เธอมีพ่ออย่างเฉินถิงเซียวก็ถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดที่สุดแล้ว”
“โรคอิจฉาริษยาคนอื่นของบล็อกเกอร์อยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว ทำการยืนยันเสร็จสมบูรณ์”
“…ฉันคิดว่าที่บล็อกเกอร์พูดมาก็ถูก ถ้าเป็นเด็กสุขภาพดี ทำไมพาไปงานเลี้ยงแล้วไม่ยอมให้คนอื่นเห็นหน้าล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะลูกสาวหน้าตาไม่ดี แล้วกลัวคนอื่นเห็นหรือไง?”
มู่น่อนน่อนอ่านข้อคิดเห็นที่เขียนตามกัน ก่อนจะยิ้มเยาะ แล้วกดออกจากweibo
เธอนึกถึงสิ่งที่เสิ่นเหลียงเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ในครั้งนี้ที่ไม่สามารถระงับข่าวและความคิดเห็นบนอินเทอร์เน็ตได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องมีใครบางคนคิดจะมีปัญหากับเฉินถิงเซียว
แต่จะมีใครกันที่มีความสามารถ แล้วกล้ามีปัญหากับเฉินถิงเซียว?
ทั้งสองคนหอบหายใจแรง
ฝ่ามือใหญ่ของเฉินถิงเซียววางลงบนมือที่กำหมัดแน่นของเธอ แล้วค่อยๆ กุมมือเธอไว้อย่างอ่อนโยน และจับมือเธอไว้ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณแต่งงานกับผมได้ไหม”
“อืม…” ตอนนี้สติของมู่น่อนน่อนเหลือเพียงครึ่งเดียว ที่เธอตอบจึงเป็นการตอบสนองของจิตใต้สำนึกอย่างสมบูรณ์แบบ
วินาทีต่อมา เขาก็ประทับจุมพิตที่พรั่งพรูไปทั่วใบหน้าและเรือนร่างของเธอ
…….
แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง แสงแดดที่แยงตาลอดผ่านช่องผ้าม่านเข้ามา
ทั้งสองคนนอนกอดกันอยู่บนเตียงในห้องนอน
ในเวลานี้เอง โทรศัพท์ที่ข้างเตียงก็สั่นขึ้นมากะทันหัน ก่อนที่เสียงเรียกเข้าที่ปลุกจิตวิญญาณและทำลายความเงียบของเช้าวันนี้
มู่น่อนน่อนฝังทั้งหัวของเธอไว้ในผ้าห่ม แต่ก็ยังได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่ เธอไม่ได้ดึงผ้าห่มออก เพียงแต่เหยียดแขนเรียวของเธอออกไป เพื่อควานหาโทรศัพท์ที่อยู่ข้างเตียง
ที่แตกต่างไปจากเดิม คือครั้งนี้เธอยังความหาโทรศัพท์ไม่เจอ แต่เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็หยุดลงก่อน
มู่น่อนน่อนลืมตาขึ้นครึ่งหนึ่ง แล้วดึงผ้าห่มลง ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นมา เธอก็ได้ยินเสียงแหบแห้งของผู้ชายดังขึ้นมาข้างหูว่า “ยังเช้าอยู่ นอนต่ออีกหน่อยเถอะ”
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังพูด เขาก็ดึงผ้าห่มมาห่มให้เธอด้วย
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะมองไปตามเสียง ที่เห็นตรงหน้าคือใบหน้าที่หล่อเหลาคมคายของเฉินถิงเซียว
พอเห็นมู่น่อนน่อนเหล่มองมาที่เขา ท่าทางของเฉินถิงเซียวก็ยังง่วงนอนและขี้เกียจ แม้แต่สายตาของเขาก็อ่อนโยนขึ้นหลายส่วน
เขาจูบหน้าผากมู่น่อนน่อนเบา ๆ แล้วกอดเธอไว้ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง “นอนเถอะ”
เมื่อคืนที่ผ่านมามู่น่อนน่อนเหนื่อยจริงๆ ตอนนี้พอถูกเสียงที่ไพเราะและอ่อนโยนของเฉินถิงเซียวปลอบโยน เธอจึงหลับตาลงและผล็อยหลับไปอีกครั้ง
ตอนที่เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทันทีที่มู่น่อนน่อนลืมตาตื่น เธอก็ได้ยินเฉินถิงเซียวกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยเสียงเคร่งขรึม
เธอขยับร่างกายส่วนบนของเธอขึ้นมา แล้วเห็นว่าเฉินถิงเซียวกำลังสวมผ้าเช็ดตัวไว้รอบเอวเธอ ในมือจับโทรศัพท์ไว้แล้วเดินออกไปข้างนอก ในขณะที่พยายามลดเสียงลงเพื่อคุยกับคนที่อยู่อีกด้านของโทรศัพท์
เสียงของเขาเบามาก และกำลังจะออกไปข้างนอก มู่น่อนน่อนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดชัดเจนนัก
ได้ยินแค่บางคำและบางประโยคเท่านั้น
“ไร้ความสามารถ…นี้…เรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้…นาย…เขาไม่ใช่…”
มู่น่อนน่อนได้ยินคำพูดติดต่อกันเป็นระยะ แต่ไม่สามารถรวบรวมประโยคของเขาให้สมบูรณ์ได้
ในตอนนี้เฉินถิงเซียวเดินไปที่ประตูแล้ว เขาเดินออกไปข้างนอก ก่อนจะปิดประตูด้วยหลังมือแล้วเดินออกไป ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นว่ามู่น่อนน่อนตื่นนอนแล้ว
แต่เขาเพิ่งเอามือแตะลูกบิดประตู ก็หันกลับมามองที่เตียง ราวกับว่ากำลังพิสูจน์ด้วยว่ามู่น่อนน่อนยังหลับอยู่หรือเปล่า
เพราะแบบนี้ ดวงตาของทั้งสองจึงปะทะกันกลางอากาศ
เฉินถิงเซียวที่กำลังจะปิดประตูก็หยุดลง ก่อนจะกดวางสายโทรศัพท์ เดินกลับไปที่เตียง “ตื่นมาทำไมครับ นอนพักต่ออีกสักหน่อยเถอะ”
เธอมุดตัวเข้าไปในผ้าห่ม จู่ๆ เรื่องที่เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในสมอง…
ทั้งที่เธอกับเฉินถิงเซียวกำลังทะเลาะกัน กำลังพูดถึงลี่จิ่วเชียน ทำไมพวกเธอถึงม้วนตัวอยู่ด้วยกันในตอนท้าย?
“นอนพักต่อเถอะ” เฉินถิงเซียวลูบหัวเธอ แล้วช่วยห่มผ้าห่มให้เธอ
มู่น่อนน่อนดึงผ้าห่มคลุมศีรษะของเธอ ไม่มองเฉินถิงเซียวอีก
หลังจากที่เฉินถิงเซียวเดินออกไป มู่น่อนน่อนก็ลุกขึ้นนั่งโดยใช้ผ้าห่มคลุมตัว แล้วหันไปหยิบโทรศัพท์ที่โต๊ะข้างเตียง
มีสายที่ไม่ได้รับหลายสาย เป็นเสิ่นเหลียง และสือเย่ที่โทรมา
สือเย่โทรหาเธอ คงหนีไม่พ้นตามหาเฉินถิงเซียว
พอคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็อดที่จะหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้
สือเย่โทรหาเธอเพื่อตามหาเฉินถิงเซียว คงเป็นเพราะเขาไม่เห็นเฉินถิงเซียวที่บ้าน โทรหาก็ไม่รับสาย เขาจึงโทรหาเธอ
สือเย่คงเดาได้ว่าเฉินถิงเซียวใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งคืน
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วลุกจากเตียงเพื่อหาเสื้อผ้าที่จะใส่
หลังจากที่เธอแต่งตัวเสร็จแล้ว เฉินถิงเซียวก็เดินเข้ามา
เขาก็เห็นมู่น่อนน่อนแต่งตัวอย่างเป็นระเบียบกำลังนั่งดูโทรศัพท์อยู่บนเตียง แล้วชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไป “ทำไมถึงไม่นอนต่อ?”
เขานั่งลงข้างเตียง เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ของมู่น่อนน่อนมาแล้ววางลง
มู่น่อนน่อนโน้มตัวหลบมือของเขา แล้วหันหน้าจอโทรศัพท์มาหาเขาอีกครั้ง ก่อนจะกระตุ้นให้เขาอ่านเนื้อหาบนโทรศัพท์
พอเฉินถิงเซียวเห็นเนื้อหาบนโทรศัพท์ สีหน้าของเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลย แสดงว่าเขาได้เห็นเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เช้าแล้ว
เนื้อหาในโทรศัพท์เป็นเพียงเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับเขาและซูเหมียน
ในงานเลี้ยงเมื่อคืน มีนักข่าวแอบแฝงตัวเข้าไป แล้วยังถ่ายรูปเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนไว้มาก ทั้งรูปที่ยืนด้วยกันหรือนั่งด้วยกัน
แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้ใกล้ชิดกัน แต่เพราะมุมในการถ่ายภาพ เฉินถิงเซียวกับซูเหมียนจึงถูกถ่ายภาพออกมาเหมือนทั้งสองสนิทสนมกันมาก
ภาพถ่ายที่ดูอบอุ่นที่สุด คงเป็นภาพที่เฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่ออกมาจากซูเหมียน
โชคดีที่เฉินถิงเซียวระมัดระวังตัวมาก ตอนที่เขาอุ้มเฉินมู่มาจากซูเหมียน เขาพยายามปิดใบหน้าของเธอไว้
แม้แต่นักข่าวมืออาชีพก็ไม่สามารถถ่ายรูปใบหน้าของเฉินมู่ได้ ซึ่งก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเฉินถิงเซียวระมัดระวังมากแค่ไหน
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น นักข่าวก็เอาถ่ายภาพเหล่านี้มาแต่งเป็นเรื่องราวแล้วโพสต์ลงบนอินเทอร์เน็ต และถูกสำนักพิมพ์อื่นเอาไปโพสต์ต่อ จนตอนนี้ข่าวทั้งหมดถูกแพร่จนทั่วอินเทอร์เน็ต
เฉินถิงเซียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาวางบนเตียง แล้วมองไปที่มู่น่อนน่อนอย่างตั้งใจ และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “มู่น่อนน่อน คุณไม่ต้องดูข่าวไร้ประโยชน์พวกนี้หรอก ข่าวปลอมทั้งนั้น ผมจะรีบให้คนจัดการให้เร็วที่สุด คุณเตรียมพร้อมที่จะเป็นเจ้าสาวก็พอแล้ว”
“เจ้าสาวอะไรคะ” คำพูดก่อนหน้านี้ของเฉินถิงเซียวเธอพอจะฟังเข้าใจ แต่เธอไม่ค่อยเข้าใจประโยคหลัง
เธอจำไม่ได้ว่าเธอรับปากกับเฉินถิงเซียวว่าจะแต่งงานกับเขาตอนไหน
“เมื่อคืนคุณลืมคำตอบของตัวเองไปแล้วหรือไง?” เฉินถิงเซียวหรี่ตาลง แล้วพูดข่มขู่
มู่น่อนน่อนเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ “ฉันสัญญากับคุณตอนไหนคะ?”
ถ้าเธอตอบตกลงกับเฉินถิงเซียวจริง ๆ เธอจะจำไม่ได้ได้ยังไงกัน?
ไม่แน่ว่าอาจเป็นเฉินถิงเซียวขุดหลุมเพื่อให้เธอกระโดดลงอีกครั้งก็ได้
คำตอบแวบเข้ามาในสมองของมู่น่อนน่อน
แต่ว่า พอคำตอบมาถึงริมฝีปากของเธอก็ชะงักไป แล้วพูดอะไรไม่ออกไปเลย
ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่สุด
ยังมีอีกหลายสิ่งที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย และผู้เชี่ยวชาญที่สะกดจิตเฉินถิงเซียวคนนั้นยังหาไม่เจอ ตอนนี้เฉินถิงเซียวจำได้แต่เรื่องในอดีต แต่เขาไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลัง
แม้ว่าเขาจะรู้สึกรักเธอ แต่กลับไม่ได้ลึกซึ้งเท่ากับความรู้สึกของเฉินถิงเซียวในภายหลัง
“คุณตามหาคนที่สะกดจิตคุณเจอหรือยังคะ” มู่น่อนน่อนเปลี่ยนเรื่อง “คนคนนั้นมาหาเฉินจิ่งหยุ้นด้วยตัวเอง เขาคงไม่คิดแต่จะสะกดจิตคุณเท่านั้น แต่อาจมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่ด้วย …”
เธอเปลี่ยนเรื่องคุยได้ และเฉินถิงเซียวก็สามารถเพิกเฉยต่อคำพูดของเธอได้
เฉินถิงเซียวเอื้อมมือออกไปและเชยคางเธอขึ้นมา บังคับให้เธอมองมาที่เขา “ตอบผมมา”
“เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากันทีหลังค่ะ” มู่น่อนน่อนปัดมือของเขาออก แล้วก้าวถอยหลัง
เฉินถิงเซียวมองไปที่มือข้างที่ถูกสะบัดทิ้งอย่างไม่อยากจะเชื่อ จึงนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วพูดออกมาว่า “ทำไมคุณถึงอยากจะคุยเรื่องนี้กันทีหลัง?”
มู่น่อนน่อนปรับน้ำเสียงของเธอให้อ่อนลง แล้วพูดเกลี้ยกล่อมเฉินถิงเซียว “ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน เรื่องของเราค่อยคุยกันในภายหลังได้นี่คะ”
แต่เฉินถิงเซียวไม่ฟังที่เธอพูด
เฉินถิงเซียวจับข้อมือของเธอไว้แน่น แล้วมองไปที่มู่น่อนน่อนด้วยเสียงที่เคร่งขรึม “อะไรจะสำคัญไปกว่าการอยู่ด้วยกัน?”
“มีค่ะ” มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา “ความทรงจำของคุณสำคัญมาก และคุณจะสมบูรณ์ตอนที่คุณได้มันกลับคืนมา”
ถึงแม้สถานการณ์ปัจจุบันของเฉินถิงเซียวจะยังปกติ แต่ไม่ต่างจากเมื่อก่อน แต่ความทรงจำจะต้องเรียกคืนมาให้ได้
เฉินถิงเซียวยิ้มตอบ “มู่น่อนน่อน คุณกำลังบอกว่าตอนนี้ผมไม่ใช่คนอย่างนั้นเหรอ?”
ในสายตาของเขา เหตุผลที่มู่น่อนน่อนพูดมา มันไม่ใช่เหตุผล แต่เป็นเหตุผลที่เธอไม่อยากแต่งงานกับเขาเท่านั้นเอง
สำหรับเรื่องนี้มู่น่อนน่อนรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย “เฉินถิงเซียว คุณช่วยใจเย็น และฟังฉันอย่างมีเหตุผลหน่อยได้ไหมคะ?”
เฉินถิงเซียวหรี่ตามอง แล้วพูดเบา ๆ “ถ้าผมไม่สงบและไร้เหตุผล คุณคิดตอนนี้คุณยังยืนที่นี่ได้อยู่เหรอ?”
เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธแล้ว และโกรธมากด้วย
เพราะมู่น่อนน่อนสังเกตเห็นความเคร่งขรึมที่ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเขาอย่างแผ่วเบา เขาจึงไม่ค่อยแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อหน้าเธอ
มู่น่อนน่อนตัวสั่นเทา แผ่นหลังของเธอรู้สึกหนาวสั่นเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะมองลงไปที่เธอ “ในเมื่อคุณต้องการตรวจสอบผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตมากนัก งั้นผมจะบอกเบาะแสหนึ่งกับคุณ ตอนที่ผมไปหาลี่จิ่วเชียนกับคุณก่อนหน้านี้ คุณกำลังถูกเขาสะกดจิตอยู่”
เขาพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหัน มู่น่อนน่อนชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมา “ตอนที่คุณออกมาจากภูเขา ตอนที่คุณไปหาเขาเพื่อรักษาตัวครั้งนั้น”
หลังจากที่เฉินถิงเซียวพูดแบบนี้ มู่น่อนน่อนก็นึกขึ้นมาได้
ในครั้งนั้นเฉินถิงเซียวบอกว่าจะให้ลี่จิ่วเชียนรักษาเขา แต่การควบคุมจิตใจของเขาแข็งแกร่งมากเกินไป ทำให้ลี่จิ่วเชียนไม่ประสบความสำเร็จในการสะกดจิต
แต่ว่า ในตอนนั้นเธอกำลังสับสนงุนงง ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินถิงเซียวจับมือเธอแน่น…
มู่น่อนน่อนตกใจ “ฉันโดนเขาสะกดจิตเหรอคะ?”
“ผู้หญิงโง่!” เฉินถิงเซียวยื่นมือออกมาบีบใบหน้าของเธอไว้
ถึงจะถูกเฉินถิงเซียวต่อว่า แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่มีอารมณ์ที่จะสนใจ
อารมณ์ของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้าเธอก็เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งจากคำพูดของเฉินถิงเซียว “คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าลี่จิ่วเชียนเป็นจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตในตอนนั้น?”
ดูเหมือนว่าเฉินถิงเซียวจะนึกอะไรสนุกขึ้นสักอย่าง และยังคงบีบหน้าของเธอไว้แน่น
มู่น่อนน่อนปัดมือของเขาออก สีหน้าของเขาบึ้งตึง มู่น่อนน่อนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยให้เขาบีบอยู่อย่างนั้น
“เป็นไปได้ยังไง?” มู่น่อนน่อนยังคงไม่เชื่อว่าลี่จิ่วเชียนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิต
“ถ้าลี่จิ่วเชียนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิต แล้วทำไมเขาต้องช่วยเฉินจิ่งหยุ้นสะกดจิตคุณด้วย เขาไม่ได้ขาดแคลนเงินนี่นา…”
มู่น่อนน่อนคิดอยู่สักพัก แล้วพูดว่า “ไม่ค่ะ ถึงแม้ลี่จิ่วเชียนจะต้องการเงินจริง ๆ เขาก็ไม่จำเป็นต้องช่วยเฉินจิ่งหยุ้นเลย เขาช่วยคุณไม่ดีกว่าเหรอคะ? คุณเป็นประธานของตระกูลเฉิน คุณมีอำนาจสูงที่สุด”
เธอนิ่งวิเคราะห์แล้วพูดว่า “ฉันไม่คิดว่าความคิดของคุณจะเป็นความจริง”
“เขาไม่ได้ขาดแคลนเงิน แต่มีบางสิ่งที่สำคัญกว่าเงิน” เห็นได้ชัดว่าเฉินถิงเซียวมีบางอย่างแฝงอยู่ในคำพูดของเขา และดวงตาของเขาก็จับจ้องไปที่ร่างของมู่น่อนน่อน
“คุณมองมาแบบนี้ทำไมคะ” มู่น่อนน่อนพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณคงจะไม่ได้คิดว่า ลี่จิ่วเชียนรักฉัน เขาเลยสะกดจิตคุณเมื่อสามปีที่แล้วใช่ไหม”
“เหอะ!”
เฉินถิงเซียวยิ้มเยาะเย้ย “ไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้นี้”
“ในสายตาของคุณ คุณคิดว่าฉันเป็นเทพธิดาหรือไง ไม่ว่าใครก็ต้องชอบฉันทุกคน” เธอกับลี่จิ่วเชียนอยู่ด้วยกันมานานมากขนาดนี้ แต่เธอไม่รู้สึกว่าลี่จิ่วเชียนจะชอบเธอ หรือมีความรักระหว่างชายหญิงกับเธอ
ดังนั้น สมมติฐานนี้จึงไม่เป็นจริง
“คุณมั่นใจตัวเองมากไปหรือเปล่า มองดูตัวเองก่อน ทั้งโง่เขลาทั้งซื่อบื้อ คุณเหมือนเทพธิดาที่ไหนกัน” เฉินถิงเซียวเหลือบมองเธออย่างวิพากษ์วิจารณ์ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
มู่น่อนน่อนกำลังจะโกรธ แต่เฉินถิงเซียวก็พูดเสริมอย่างขึ้นมาช้าๆ “ถ้ามีคนสายตาไม่ดีเหมือนผม แล้วชอบคุณที่ทั้งโง่เขลาและซื่อบื้อขึ้นมาล่ะ”
เขายังจงใจเน้นสี่คำนั้นอย่างหนักแน่น
มู่น่อนน่อนอยากจะกัดเขามาก แต่เฉินถิงเซียวเหมือนจะเดาออก จึงก้าวถอยหลังไป “ถึงคุณจะไม่ใช่เทพธิดา ผมก็รู้สึกว่าใครก็อยากจะแย่งคุณไปจากผม”
ถึงแม้เฉินถิงเซียวจะเป็นคนเย่อหยิ่งไม่สนใจใคร แต่เรื่องความรู้สึกกลับไม่รู้ประสีประสาอะไรเลย
เขาไม่ค่อยแสดงความรู้สึกของเขา แต่จะใช้การกระทำเพื่อพิสูจน์ให้เธอเห็น
ไม่เคยพูดคำหวานอะไรพวกนั้น
มู่น่อนน่อนไม่ทันได้โต้ตอบไปสักพัก เธอมองเขาด้วยดวงตาที่แวววาว แล้วจ้องมาที่เขาด้วยอย่างไม่กะพริบตา
หัวใจของเฉินถิงเซียวเต้นแรง ก่อนจะพยุงใบหน้าเธอแล้วจูบลงไป
ในวัยของมู่น่อนน่อน ไม่ใช่วัยที่จะมาฟังคำหวานด้วยหู แต่พอเธอได้ยินเฉินถิงเซียวพูดแบบนี้ เธอก็ยังรู้สึกซาบซึ้งใจมาก
มันไม่ใช่คำบอกรักแบบโจ่งแจ้ง แต่กลับซาบซึ้งใจสุดๆ
ในช่วงงุนงง เธอรู้สึกว่ามือของเฉินถิงเซียวจะเอื้อมมือเข้าไปในเสื้อผ้าของเธอ
ชุดนอนของเธอหลวมโพรก เขาจึงล้วงเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
“เฉิน…”
มู่น่อนน่อนเอื้อมมือไปหยุดเขา แต่เสียงที่ทุ้มต่ำของเฉินถิงเซียวก็ดังก้องเข้ามาในหูของเธอ พร้อมกับยั่วยวน“ขอผมสัมผัสหน่อย”
การเคลื่อนไหวจากมือของมู่น่อนน่อนเริ่มเชื่องช้า เธอเหมือนจะปฏิเสธแต่ในใจกลับยอมรับมากกว่า
ทั้งสองจูบกันและล้มตัวลงบนโซฟา ก่อนจะกลิ้งตัวเป็นลูกบอล
เฉินถิงเซียวจูบเธอ ในขณะที่กำลังถอดเสื้อผ้าของเธอออก
แต่เดิมบนตัวของมู่น่อนน่อนมีชุดนอนอยู่บนตัวเพียงตัวเดียว แม้ว่ามู่น่อนน่อนจะถอยห่างออกไป แต่ถูกบีบจนถึงมุมโซฟา สุดท้ายก็ไม่สามารถรักษาเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายบนร่างกายออกได้
เฉินถิงเซียวไม่ได้จงใจจงใจเดินด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุด ดังนั้นทันทีที่เขาไปถึงประตูห้องครัว มู่น่อนน่อนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่อยู่ด้านหลังเธอแล้ว
“ออกไปรอก่อน” มู่น่อนน่อนพูดโดยไม่หันกลับมามอง
ผ่านไปสักพัก มู่น่อนน่อนหันกลับมามอง ก็ไม่มีร่างของเฉินถิงเซียวอยู่ข้างหลังเธอแล้ว เธอถอยหลังไปสองก้าว ก่อนจะมองเห็น เฉินถิงเซียวนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขา และไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
มู่น่อนน่อนมองย้อนกลับไป และน้ำในหม้อก็เดือดแล้ว
หลังจากที่เธอใส่เส้นบะหมี่ลงไป เธอก็เอื้อมออกไปหยิบเกลือ ตอนที่สายตาของเธอก็เห็นน้ำตาลทรายขาวในกล่องเครื่องปรุง ก็มีแผนร้ายทันที
เฉินถิงเซียวคิดว่าจะควบคุมเธออย่างสบายๆ หรือไง?
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนยังคงกว้างมาก แล้วเทน้ำตาลทรายขาวครึ่งกระป๋องลงในหม้ออย่างอารมณ์ดี
แม้ว่าพ่อและลูกอย่างเฉินถิงเซียวกับเฉินมู่จะเหมือนกัน แต่รสนิยมของพวกเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เฉินมู่เป็นเด็กน้อยชอบกินของหวานที่สุด ในขณะที่เฉินถิงเซียวเป็นคนเกลียดของหวานที่สุด
มู่น่อนน่อนหยิบช้อนคนอาหารในหม้อเพื่อให้แน่ใจว่าน้ำตาลครึ่งกระป๋องละลายแล้ว เธอจึงเติมน้ำซุปแล้วชิมมัน
เธอใช้ช้อนตักขึ้นมาจิบเล็กน้อย แล้วเดินไปข้าง ๆ ก่อนจะอาเจียนออกมา
หวานจนเลี่ยน แม้แต่เฉินมู่ก็กินไม่ลง
หลังจากยกบะหมี่มาให้แล้ว มู่น่อนน่อนก็ลังเลขึ้นมาอีกครั้ง เธอทำเกินไปไหม?
พอคิดถึงตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงเฉินถิงเซียวยอมให้ซูเหมียนนั่งข้างเขา ความลังเลในใจของเธอก็หายไปทันที
เธอเดินไปที่โต๊ะของเฉินถิงเซียว แล้ววางชามบะหมี่ลงตรงหน้าเขาจนเกิดเสียงดัง “ปัง” ก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “กินได้เลยค่ะ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมองเธอ ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมาและเริ่มกินบะหมี่
แต่ว่า ทันทีที่ใส่บะหมี่เข้าปาก เขาก็รักษาท่าทางการกินบะหมี่ และหยุดชะงักไป
มู่น่อนน่อนดึงเก้าอี้ข้างตัวแล้วนั่งลง เท้าคาง แล้วยิ้มเบาๆ “อร่อยไหมคะ?”
เฉินถิงเซียวกินบะหมี่เข้าไปอย่างไร้ความรู้สึก และพูดด้วยท่าทางปกติ “อร่อยมาก”
มู่น่อนน่อนตกใจ “จริงเหรอคะ?”
“อืม” เหมือนอยากจะพิสูจน์คำพูดของเขา เฉินถิงเซียวก็กินเข้าไปคำใหญ่อีกคำหนึ่งโดยไม่แสดงอาการลังเลบนใบหน้าของเขา
ถ้ามู่น่อนน่อนไม่ได้ชิมมาก่อน เธอคงสงสัยว่าชามบะหมี่ของเฉินถิงเซียวเป็นรสชาติปกติ
เธอเห็นสีหน้าของเฉินถิงเซียวไม่เปลี่ยนแปลงและกินบะหมี่ที่หวานเลี่ยนจนหมดชาม เธอนิ่งอึ้งไปทันที
เฉินถิงเซียวไม่เหลือซุปติดชามเลย
มู่น่อนน่อนมองดูชามเปล่า แล้วถามว่า “เอาอีกไหมคะ?”
เฉินถิงเซียววางตะเกียบลง ก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธ “ผมอิ่มแล้ว”
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นยืน แล้วหยิบชามกับตะเกียบไปเก็บที่ห้องครัว
เธอเอื้อมมือออกไปจุ่มซุปที่เหลือในชามขึ้นมาชิม
มันหวานจนเลี่ยนไม่ผิดนี่นา…
มู่น่อนน่อนเดินมาถึงประตูห้องครัวและมองเข้าไปในห้องนั่งเล่น พบว่าในห้องโถงไม่มีใครอยู่แล้ว
เธอเดินออกไปดู จึงได้ยินเสียงน้ำไหลในห้องน้ำ
เธอเดินตามเสียงเข้าไปแล้วเคาะประตูห้องน้ำ “เฉินถิงเซียว คุณอยู่ข้างในเหรอคะ”
เสียงน้ำข้างในดังขึ้นอีก
ผ่านไปสักพัก เฉินถิงเซียวก็เปิดประตู บนใบหน้าและเรือนร่างของเขามีน้ำเกาะติด สีหน้ายังคงเหมือนเดิม
“คุณเปิดน้ำแล้วทำอะไรอยู่ในนั้นตั้งนานคะ?” ในขณะที่มู่น่อนน่อนกำลังพูด เธอก็มองไปข้างหลังเขาด้วย
เฉินถิงเซียวเดินออกมา แล้วปิดประตูห้องน้ำตามไปด้วย “เข้าห้องน้ำ”
เธอไม่เชื่อว่าเฉินถิงเซียวจะเข้าห้องน้ำจริงๆ
ใครจะเปิดก๊อกน้ำเวลาเข้าห้องน้ำกัน?
หรือว่าเฉินถิงเซียวจะมีงานอดิเรกพิเศษขึ้นมาใหม่ ในช่วงที่เธอไม่รู้
เฉินถิงเซียวไม่รอให้มู่น่อนน่อนพูดจบ เขาก็เดินผ่านเธอตรงไปที่ห้องนั่งเล่น
หลังจากเห็นเขาเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว มู่น่อนน่อนก็ยื่นมือออกมาปิดริมฝีปากของเธอทันที
มู่น่อนน่อนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ รีบเดินไปด้านข้างแล้วเทน้ำมาหนึ่งแก้ว แล้วยื่นให้เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมองเธอ แต่ไม่ได้เอื้อมมือไปรับแก้วน้ำ
ทั้งสองมองหน้ากันไม่กี่วินาที ก่อนที่เฉินถิงเซียวจะพูดช้าๆ “คุณยังโกรธไหม?”
มู่น่อนน่อนไม่ตอบคำพูดของเขาตามตรง แต่ดันแก้วน้ำเข้าหาตัวเขาอีกครั้ง “ดื่มน้ำก่อนค่ะ”
เฉินถิงเซียวยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบเล็กน้อย
“คุณคิดว่า แค่กินบะหมี่ที่ฉันทำจะทำให้ฉันหายโกรธได้เหรอคะ?” น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เฉินถิงเซียวเกลียดของหวานมาโดยตลอด หลังจากที่เขากินบะหมี่ชามใหญ่ที่หวานจนเลี่ยนไป แล้ววิ่งไปที่ห้องน้ำ ก่อนจะเปิดน้ำเสียงดัง คงกลัวว่าเธอจะได้ยินเสียงเขาอ้วก
เขาถึงขั้นยอมกินเข้าไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ถ้าเป็นมู่น่อนน่อนคงกินไม่เข้า
“งั้นผมสามารถกินอีกชาม” ริมฝีปากของเฉินถิงเซียวยกขึ้นเล็กน้อย “หรือว่า คุณอยากให้ผมกินมากเท่าที่คุณต้องการ ขอแค่คุณยอมยกโทษให้”
มู่น่อนน่อนตกตะลึง
ที่จริงแล้ว เฉินถิงเซียวรู้อยู่ก่อนแล้ว
เขารู้ว่ามู่น่อนน่อนกำลังโกรธ เขาจึงยอมกินบะหมี่ตามที่มู่น่อนน่อนต้องการ ก็เพื่อให้เธอระบายความโกรธ
คนเราบางครั้งก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดที่สุด
ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอคุยโทรศัพท์กับเฉินถิงเซียว ก็แทบไม่อยากเจอเฉินถิงเซียวอีกเลย
แต่ตอนนี้ เขายอมลดตัวลงเล็กน้อย ยอมอ่อนให้เธอ จึงอดที่จะให้อภัยเขาอย่างใจอ่อนไม่ได้
มู่น่อนน่อนนิ่งคิดอยู่สักพัก แล้วถามเขาว่า “ฉันมีเรื่องจะถามคุณ”
“เรื่องอะไร?” เฉินถิงเซียวทำท่าทางตั้งใจฟัง เหมือนมู่น่อนน่อนถามอะไรเขาจะตอบทุกคำถาม
มู่น่อนน่อนมองเข้าไปในดวงตาของเขาแล้วถามว่า “คุณหาลี่จิ่วเชียนทำไม แค่เพราะเขามีประวัติที่สืบไม่ได้ ดังนั้นคุณถึงมุ่งเป้าหมายไปที่เขา”
เฉินถิงเซียวหัวเราะออกมา น้ำเสียงของเขาดูเคร่งขรึมเล็กน้อย “อย่าว่าแต่สืบประวัติเขาไม่ได้ แค่ที่คุณเอาแต่พูดถึงเขาไม่หยุด ผมก็มีความคิดที่จะจัดการกับเขาซะ !”
“ดังนั้น ที่คุณมุ่งเป้าหมายไปที่ลี่จิ่วเชียน เหตุผลส่วนใหญ่ ก็เพราะอคติของคุณที่มีต่อเขา?” มู่น่อนน่อนถามเขากลับ
เฉินถิงเซียวลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้าหามู่น่อนน่อน ก่อนจะพูดออกมาทีละคำ “นั่นไม่ใช่อคติ”
“ไม่ต้องพูดถึงเขาแล้ว” มู่น่อนน่อนรู้อยู่แล้ว ถ้าเป็นเรื่องของลี่จิ่วเชียน เธอกับเฉินถิงเซียวคุยกันไม่ได้นาน
“สิ่งที่ควรพูดก็พูดแล้ว ข้าวก็กินอิ่มแล้ว กลับไปเถอะค่ะ” มู่น่อนน่อนออกคำสั่งไล่แขก
เฉินถิงเซียวยกมือดึงเนกไทของเขาออก เขาไม่ชอบชีวิตที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้กับมู่น่อนน่อนอีกแล้ว
เขาหลับตาลง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมู่น่อนน่อนอย่างกะทันหัน แล้วเรียกชื่อเธออย่างเคร่งขรึม
“มู่น่อนน่อน”
“อะไรคะ?”
“แต่งงานกับผมเถอะ”
“หะ?”
มู่น่อนน่อนกระพริบตา แล้วถามเขา “พูดใหม่ได้ไหมคะ”
“ผมบอกว่า…” เฉินถิงเซียวเดินไปหาเธอ สองมือจับไหล่ของเธอ และพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “แต่งงานกับผม เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผม และอยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผย”
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกเสมอว่ายังมีบางอย่างที่เขายังไม่ได้ทำ ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้นี่เอง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ลี่จิ่วเชียนใช้เรื่องนี้เพื่อโต้กลับเขา
เขาไม่สนใจทะเบียนสมรส หรืองานแต่งงานอะไรพวกนั้น
แต่ว่า ตอนที่คนเหล่านี้พูดตอกย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าต่อหน้าเขา ตอนนี้เขากับมู่น่อนน่อนยังไม่ใช่คู่สามีภรรยาที่ถูกกฎหมาย
สิ่งนี้ทำให้เขาอารมณ์เสียมาก
เขาจะต้องปิดปากคนเหล่านั้นให้มิด แล้วจับมู่น่อนน่อนไว้ให้อยู่หมัด
หลังจากที่มู่น่อนน่อนกดวางสาย เธอโกรธมากจนแทบอยากจะโยนโทรศัพท์ทิ้ง
เธอบีบโทรศัพท์แน่น แล้วสบถออกมา “ถ้าแน่จริงคืนนี้ก็อย่ากลับมา!”
“เกิดอะไรขึ้น…” เสิ่นเหลียงเห็นท่าทางทั้งหมดของเธอตอนคุยโทรศัพท์ แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไรกับเธอ
“คืนนี้ฉันชวนเขาไปที่นั่น เขาบอกว่าเขาไม่ไป และบอกว่าเขาไม่อยากจะคุยกับฉัน” มู่น่อนน่อนนึกถึงน้ำเสียงของเฉินถิงเซียวทางโทรศัพท์เมื่อสักครู่นี้ จึงยกยิ้มอย่างเยือกเย็น
เสิ่นเหลียง “…”โกหกทั้งนั้น เธอไม่เชื่อว่าบอสใหญ่จะไม่อยากคุยกับมู่น่อนน่อน
เสิ่นเหลียงเห็นว่ามู่น่อนน่อนกำลังโกรธอยู่ เธอลังเลเล็กน้อย แต่ก็พูดออกไป “เขาแค่พูดเพราะโกรธ ฉันคิดว่าคืนนี้บอสใหญ่จะต้องไปหาเธอแน่นอน”
มู่น่อนน่อนยกยิ้มโดยที่ในแววตาไม่มีรอยยิ้ม “ทางที่ดีอย่ามา”
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนกลับถึงบ้าน ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว
หลังจากเธออาบน้ำเสร็จออกมา เธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
ไม่มีสายที่ไม่ได้รับ และไม่มีข้อความด้วย
เธอเดินไปเดินมาอยู่ในห้องพร้อมกับจับโทรศัพท์ไว้ในมือ
จู่ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางประตู หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เธอก็เดินไปที่ประตูแล้วเอื้อมมือออกไปเปิด
ชายร่างสูงกำลังยืนตัวตรงยืนอยู่ที่ประตู ร่างกายของเขายังคงสวมชุดสูทตามเดิมไม่เคยเปลี่ยน ทั้งราบเรียบและบาง แต่ออร่าของเขายังคงไม่ลดลง
ทั้งสองมองหน้ากันสักพัก เฉินถิงเซียวถึงจะก้าวเท้าเข้าไป
มู่น่อนน่อนเอื้อมมือไปขวางทาง “ไหนบอกว่าจะไม่มาไงคะ?”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวแข็งทื่อเล็กน้อย น้ำเสียงของเขายังคงเฉยเมยจนฟังไม่ออกว่ามีสิ่งผิดปกติใดๆ “มาเอาของใช้ของมู่มู่”
มู่น่อนน่อนยังคงไม่ยอมให้เขาเข้าไป และพูดอย่างเฉยเมย “คุณชายเฉินไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อของให้ลูกสาว ถึงกับต้องมาที่นี่เพื่อเอาของไป? บริษัทเฉินซื่อกำลังจะล้มละลายแล้วเหรอคะ?”
ดวงตาของเฉินถิงเซียวเบิกกว้างแล้วหรี่ตามอง สีหน้าของเขาบึ้งตึงลงเล็กน้อย ท่าทางเหมือนกำลังอดทนอยู่
หลังจากที่มู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็ตั้งใจจะปิดประตู
แต่เฉินถิงเซียวไม่ได้ให้โอกาสนี้กับเธอ
เขาใช้มือข้างหนึ่งขวางประตู ส่วนอีกข้างโอบเอวของเธอไว้ รวบรวมกำลังทั้งหมดไปที่มือข้างที่โอบเอวเธอ แล้วยกเธอขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน
ตามมาด้วยเสียงปิดประตูดัง “ปัง”
โลกทั้งใบเงียบสงัดไปทันที
ทั้งสองยืนอยู่ที่โถงทางเดิน แขนของเฉินถิงเซียวยังคงโอบเอวของเธอไว้ ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนนั้นใกล้มากจนแม้แต่เสียงหายใจของอีกฝ่ายก็ยังได้ยินชัดเจน
มู่น่อนน่อนพยายามดิ้นรนอยู่สักพัก แต่ก็ไม่สามารถหนีจากแขนของเฉินถิงเซียวได้ เธอจึงเริ่มโมโหเล็กน้อย
เธอยกเท้าขึ้นและหน้าขาของเขา “คุณปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
เฉินถิงเซียวไม่ขยับเลยสักนิด ในแววตาของเขาเป็นประกายอย่างได้ใจเล็กน้อย “พูดต่อสิ?”
“เฉินถิงเซียว!”
มู่น่อนน่อนยกมือขึ้นตีเขา แต่เขาจับข้อมือเธอไว้ด้วยไหวพริบที่รวดเร็ว
เธอไม่ได้มีเรี่ยวแรงเยอะเท่ากับเฉินถิงเซียว เธอจึงถูกเขาดึงไปกอดไว้จนไม่สามารถขยับตัวได้ ปล่อยให้เขาทำอะไรได้ตามใจชอบ
เฉินถิงเซียวก้มหน้าลงและเห็นคอเสื้อของมู่น่อนน่อนที่เปิดขึ้นเล็กน้อยตอนที่พยายามดิ้นออกจากเขา กลิ่นของครีมอาบน้ำที่สดชื่นบนร่างกายของเธอบอกเขาว่าเธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
“ถึงขั้นอาบน้ำเพื่อรอให้ผมมา ในที่สุดก็มีจิตสํานึกในฐานะคุณนายเฉินบ้างแล้ว” บนสีหน้าของเฉินถิงเซียวมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ คิ้วคมเริ่มคลี่ออกมา ตอนนี้ไม่เพียงแต่ดวงตาของเขาที่แสดงถึงความอารมณ์ดี แม้แต่เสียงและน้ำเสียงก็ดูอารมณ์ดีมากด้วย
“เมื่อก่อนทำไมฉันถึงไม่สังเกตเห็นมาก่อนว่าคุณหลงตัวเองได้ขนาดนี้” มู่น่อนน่อนโต้กลับ “อีกอย่างนะคะ ช่วยอย่าเรียกฉันว่าคุณนายเฉินด้วย ตอนนี้เราไม่ใช่สามีภรรยากันแล้ว คู่หมั้นของคุณชื่อซูเหมียน”
พอได้ยินเธอพูดถึงซูเหมียน รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินถิงเซียวก็ค่อยๆหุบลง
ในดวงตาของเขาเหมือนมีหมอกปกคลุม ความอารมณ์ดีก่อนหน้านี้ก็หายไปในพริบตา ราวกับว่าไม่เคยปรากฏมาก่อน
แขนที่โอบเอวของมู่น่อนน่อนไว้กระชับขึ้นทันที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณลองพูดอีกครั้งสิ”
เฉินถิงเซียวโกรธแล้ว
ตอนที่เขาโกรธขึ้นมาจริงๆ มู่น่อนน่อนก็กลัวเขาเช่นกัน
แต่ถ้าเป็นตอนที่ยังโกรธจนหัวร้อน มู่น่อนน่อนก็ไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้น
ยกตัวอย่างเช่นในตอนนี้
“ฉันบอกว่า ซูเหมียนต่างหากที่เป็นคู่หมั้นของคุณ! ฉันกับคุณ…อื้อ…”
ก่อนที่มู่น่อนน่อนจะพูดจบ ก็ถูกริมฝีปากของเฉินถิงเซียวปิดไว้ก่อน
นี่คือจูบที่เต็มไปด้วยความโกรธ ปราศจากความอ่อนโยนหรือความเสน่หาแม้แต่น้อย
พอเฉินถิงเซียวปล่อยเธอ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าริมฝีปากของเธอชาไปหมดเเล้ว
เฉินถิงเซียวหอบหายใจเล็กน้อย แล้วขยับหน้าเข้าใกล้ใบหูของเธอ ก่อนจะกระซิบพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างแปลกประหลาด “ยังจะพูดอีกไหม”
มู่น่อนน่อนรีบผลักเขาออกไปอย่างแรง ก่อนจะเซถอยหลังไปสองก้าว พร้อมกับชี้ไปที่ประตูแล้วพูดเสียงดัง “ออกไป!”
เฉินถิงเซียวเหยียดมือออกมา ก่อนจะใช้นิ้วชี้กดที่มุมริมฝีปากล่าง แล้วยกยิ้มมุมปาก บนใบหน้าที่แสนสุภาพบุรุษเพิ่มความชั่วร้ายเล็กน้อย
“คุณอารมณ์ดีก็เรียกผมมา อารมณ์เสียก็ให้ผมไป คุณคิดว่าคนอย่างผมเฉินถิงเซียวคนนี้เป็นใคร” หลังจากที่เฉินถิงเซียวพูดจบ และไม่สนใจใบหน้าที่โกรธของมู่น่อนน่อน ก่อนจะหันหลังแล้วเดินเข้าไปข้างใน
ช่วงนี้เขาอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ และคุ้นเคยกับการจัดวางสิ่งของในห้องเป็นอย่างดี
เขาเดินไปที่โซฟา แล้วนั่งลงอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหยิบกาต้มน้ำบนโต๊ะพร้อมกับเทน้ำชาให้ตัวเองเหมือนอยู่ในบ้านของตัวเอง
ในหัวใจของเขา เขาถือว่าบ้านของมู่น่อนน่อนเป็นบ้านของเขาจริงๆ
ตอนที่เฉินถิงเซียวจะดื้อดึงขึ้นมาเขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น มู่น่อนน่อนเองก็จนปัญญาเช่นกัน
เธอเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามของเฉินถิงเซียวอย่างอ่อนใจ ก่อนจะเอนกายพิงโซฟา แล้วกอดอกมองเขา เธอดูเกียจคร้าน และดูเหนื่อยล้ามาก
“คุณรอจนมู่มู่นอนหลับแล้วถึงมาเหรอคะ?”
เฉินถิงเซียวก็ตอบคำถามของเธออย่างจริงจังเช่นกัน “ใช่”
“ทำไมคุณไม่พามู่มู่มาด้วยคะ” เธอขอให้เฉินถิงเซียวมาหาเธอในคืนนี้เพียงเพื่อให้เขาพามู่มู่มาด้วย เธอไม่เชื่อว่าเฉินถิงเซียวจะไม่เข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร
ถึงแม้เฉินถิงเซียวจะไม่เข้าใจความหมายจากคำพูดของเธอจริงๆ เขาก็จะแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
เฉินถิงเซียวไม่ได้แก้ตัวให้ตัวเอง ก่อนจะพูดเล่นลิ้น “เธอหลับอยู่”
“…” มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเธอไม่สามารถสนทนากับเฉินถิงเซียวต่อแล้ว
เธอลุกขึ้นยืนแล้วตั้งใจที่จะกลับไปที่ห้องเพื่อนอนหลับ แต่เฉินถิงเซียวกลับเรียกเธอไว้ “คุณกินข้าวหรือยัง”
มู่น่อนน่อนนิ่งอึ้งไปสักพัก จากนั้นจึงเข้าใจความหมายในคำพูดของเขา จึงถามว่า “คุณหิวเหรอคะ?”
“อืม” เฉินถิงเซียวพยักหน้าอย่างจริงใจ ไม่มีออร่าเอาแต่ใจที่ปกคลุมเธอหายไปไหนแล้ว
มู่น่อนน่อนไม่อยากสนใจเขาแล้ว
แต่เธอรู้ดีอยู่ในใจ ถึงแม้เธอจะไม่สนใจเขา เขาก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เธอสนใจเขาอยู่ดี
มู่น่อนน่อนมองเขาด้วยความโกรธ “คอยดูเถอะ!”
เฉินถิงเซียวยืนตัวตรง และเหยียดหลังตรง ท่าทาง “เด็กดี”เหมือนกับเฉินมู่ที่กำลังรอกินข้าวอยู่
ตอนที่เฉินมู่อยู่ที่นี่ มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเฉินมู่เหมือนกับเฉินถิงเซียว
ตอนที่เฉินถิงเซียวอยู่ที่นี่ เธอกลับรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวเหมือนกับเฉินมู่
ที่สำคัญคือดวงตาของสองพ่อลูกเหมือนกันมากจริงๆ เธอเองก็ทำใจไม่สนใจเขาไม่ได้
ตอนที่มองเห็นมู่น่อนน่อนเข้าไปในครัว เฉินถิงเซียวยกยิ้มแล้วเดินตามไป
น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนไม่ได้เย็นมาก แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเธอ เสิ่นเหลียงกลับตัวสั่นสะท้านขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เสิ่นเหลียงควงแขนของมู่น่อนน่อน ก่อนจะพิงเธอเหมือนไม่มีกระดูก “น่อนน่อน เธออยู่กับบอสใหญ่มานาน ตอนที่พูดยังเกือบจะชั่วร้ายเหมือนกับเขาแล้ว”
มู่น่อนน่อนถูกคำพูดของเธอทำให้รู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมา “แต่เธอกลับเหมือนพวกบล็อกเกอร์ที่ปล่อยข่าวไม่ดีเพื่อหาผลประโยชน์คอยรับเงินแล้วปล่อยข่าวปลอมๆ สร้างความเสียหายให้กับคนดัง นับวันยิ่งสวยขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
เสิ่นเหลียงตบแขนเธอ
ตอนที่พวกเธอออกมาจากห้องจัดงานเลี้ยง จึงเห็นกู้จือหยั่นที่กำลังวิ่งหอบเข้ามา
พอเห็นมู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียง เขาก็หยุดลง แล้วหอบหืดพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พวกคุณ…ทำไม… ออกมา… มู่ … “
มู่น่อนน่อนหยุดคำพูดที่อยู่ด้านหลังของเขา แล้วพูดว่า “มู่มู่อยู่ข้างใน”
“ห๊ะ?” กู้จือหยั่นมองไปทางห้องจัดงานเลี้ยงด้วยความประหลาดใจ
วินาทีต่อมา เสิ่นเหลียงก็หยิบกระเป๋ามาฟาดใส่หัวเขา “ให้คุณดูแลเด็ก เด็กแค่คนเดียวคุณยังดูแลไม่ได้ น่อนน่อนก็บอกแล้วไม่ใช่หรือไง ถ้ามีอะไรให้โทรมา! เด็กหายไปคุณไม่รู้จักโทรมาหรือไง”
“โอ๊ย!”
คนที่ภายนอกยิ่งใหญ่น่าเคารพนับถือ คนที่ดาราสาวทุกคนต่างก็อยากผูกสัมพันธ์ด้วยอย่างประธานกู้ ในเวลานี้ เขากลับทำได้แค่กุมหัวปล่อยให้ผู้หญิงคนหนึ่งทุบตีเท่านั้น
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังไม่สามารถโต้กลับด้วย
มู่น่อนน่อนยืนมองนิ่งอยู่สักพัก พอเห็นมีคนเดินออกมาจากในงานเลี้ยง จึงดึงห้ามเสิ่นเหลียงไว้ “เอาล่ะ ไม่ต้องตีแล้ว”
กระเป๋าของผู้หญิงไม่ใหญ่มากนัก เพียงพอจะใส่มือถือกับกระจกบานเล็ก แล้วก็ลิปสติกสองแท่งเท่านั้น ใช้ตีคนก็ไม่เจ็บอะไรมาก
กู้จือหยั่นไม่ได้ต่อสู้กลับ เพราะเขาอยากทำให้เสิ่นเหลียงหายโกรธ
เสิ่นเหลียงหายโกรธลงเล็กน้อย แต่ในใจยังรู้สึกผิดต่อมู่น่อนน่อนเล็กน้อย
“ขอโทษด้วยนะ ถ้าไม่ใช่เพราะความคิดของฉัน มู่มู่คงไม่…”
มู่น่อนน่อนรีบพูดขัดจังหวะเธอไว้ก่อน “อย่าพูดอย่างนั้นสิ มู่มู่เป็นเด็กซุกซน และมีความคิดโตคนเด็ก ฉันจะโทษเธอได้ยังไงกัน”
เธอปลอบเสิ่นเหลียง แล้วหันไปถามกู้จือหยั่น “เกิดอะไรขึ้นคะ?”
มีคนเดินออกมาจากห้องจัดงานเลี้ยงเรื่อยๆ มู่น่อนน่อนจึงโบกมือให้พวกเขาคุยกัน พร้อมกับเดินไปด้วย
“มู่มู่บอกว่าเธอหิว ผมเลยโทรสั่งอาหารไปที่ห้อง แต่เธอยืนกรานที่จะกินซาลาเปา ผมก็เลยตั้งใจจะพาเธอออกไปกิน…แล้ว…”
แค่ดูแลเด็กคนหนึ่งยังดูแลไม่ดี กู้จือหยั่นเองก็รู้สึกละอายใจ “ในลิฟต์มีคนแน่น ตอนที่ประตูลิฟต์เปิดเธอแอบออกไปตามพวกเขาและวิ่งหนีไป … “
ปกติแล้วเฉินมู่จะเป็นเด็กดีมาก ถ้าในสถานการณ์ปกติเธอจะไม่วิ่งเล่นวิ่งเล่นไปที่อื่น
มู่น่อนน่อนนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วถามว่า “เธออยากจะออกมาหาฉันใช่ไหมคะ?”
กู้จือหยั่นพยักหน้า
“กลับกันก่อนเถอะค่ะ” มู่น่อนน่อนพูด แล้วเดินนำหน้าไปก่อน
“แล้วมู่มู่ล่ะ ตอนนี้ซูเหมียนยังใช้เธอเป็นโล่อยู่เลยนะ!” เสิ่นเหลียงยิ่งพูดยิ่งรู้สึกโกรธ ไม่สบอารมณ์เอามากๆ อย่าว่าแต่มู่น่อนน่อนเลย
“มีเฉินถิงเซียวอยู่ที่นี่ ไม่เป็นไรหรอก” เมื่อตะกี้มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นว่าตอนที่เฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่ เขาพยายามที่จะปกปิดการมองเห็นของเฉินมู่ไว้
แม้ว่าเธอกับเฉินถิงเซียวจะไม่เคยได้คุยกันว่าจะเปิดเผยตัวตนของเฉินมู่หรือไม่ แต่ทั้งคู่ก็ปกป้องเฉินมู่ไว้อย่างพร้อมใจกัน เพราะไม่ต้องการให้เธอปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน
เพราะว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวในตอนนี้นั้น ถ้าเปิดเผยถึงการมีอยู่ของเฉินมู่ไม่ส่งผลดีอะไร
มู่น่อนน่อนเองก็เคยคิดเกี่ยวกับปัญหานี้มาก่อน อาจเป็นเพราะเธอกับเฉินถิงเซียวล้วนให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ในครอบครัวมาก และทั้งคู่ต่างก็อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้เฉินมู่ และตงไม่สามารถทนได้ถ้าเฉินมู่ถูกทำร้ายจากโลกภายนอก
เด็กน้อยยังบริสุทธิ์และไร้เดียงสา แต่เธอกับเฉินถิงเซียวรู้ดีถึงความชั่วร้ายของโลกใบนี้
ในสายตาของคนภายนอก มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวหย่าร้างกันแล้วเมื่อสามปีก่อน มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นตรงกลาง อีกทั้งเธอเคยอาศัยอยู่กับลี่จิ่วเชียนระยะหนึ่งด้วย ตอนนี้เฉินมู่อายุสามขวบกว่า เรื่องทั้งหมดพอเอามารวมกันจะอธิบายไม่ใช่เรื่องง่าย หยิบออกมาสักเรื่อง ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่แล้ว
ยากที่จะรับประกันว่าจะมีคนเอาเฉินมู่มาสร้างปัญหา
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ ปกป้องเฉินมู่ให้ดี
ดังนั้น เมื่อตะกี้ตอนที่อยู่ในงาน เธอจึงไม่ทำอะไรเลย
ตอนที่มู่น่อนน่อนพูด ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความไว้วางใจในตัวเฉินถิงเซียว และเสิ่นเหลียงก็สบายใจตามไปด้วย
ทั้งสามคนขึ้นลิฟต์แล้วตรงออกจากโรงแรมไปทันที
ตอนที่มาถึงที่จอดรถ มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมจะโทรหาเฉินถิงเซียว
เธอนิ่งคิด สุดท้ายก็เลือกที่จะโทรหาสือเย่แทน
“คุณหญิงน้อย” สือเย่รับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนถามออกไปตรงๆ “ตอนนี้พวกคุณอยู่ที่ไหนคะ”
สือเย่หันศีรษะไปทางเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวเหมือนจะเดาได้ก่อนแล้วว่ามู่น่อนน่อนโทรมา และเขาก็กำลังจ้องมองสือเย่ด้วย
สือเย่ถูกเฉินถิงเซียวมองอยู่แบบนี้ เขาก็กดเปิดลำโพงโทรศัพท์อย่างรู้หน้าที่ และตอบคำถามของมู่น่อนน่อน “ตอนนี้พวกเรากำลังจะขึ้นลิฟต์เพื่อกลับไปแล้วครับ”
“บอกเฉินถิงเซียว ฉันจะรอเขาอยู่ที่บ้าน”
เฉินถิงเซียวได้ยินเสียงของมู่น่อนน่อน แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “บอกมู่น่อนน่อน ว่าฉันไม่ไป”
สือเย่เปิดลำโพง มู่น่อนน่อนจึงได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียวไปด้วย
เฉินมู่ที่อยู่ในอ้อมกอด ก็หลับไปแล้ว
มู่น่อนน่อนพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา “คุณบอกเฉินถิงเซียวด้วยว่า ถ้าคืนนี้เขาไม่มา เขาก็ไม่ต้องมาอีก”
เฉินถิงเซียว “บอกมู่น่อนน่อนด้วย คืนนี้ฉันไม่ไปแน่นอน!”
มู่น่อนน่อน “บอกเฉินถิงเซียวด้วย ถ้าแน่จริงก็อย่ามา!”
สือเย่ “…”
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียว ทำการพูดคุยผ่านโทรศัพท์ของสือเย่ และพวกเขาก็ทะเลาะกันตามสาย
สือเย่ถือโทรศัพท์ไว้ไม่มีโอกาสได้พูดอะไรเลย เขาจึงทำได้เพียงเป็นตัวกลาง นั่งฟังการทะเลาะวิวาทระหว่างเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อน
แม้จะเป็นการทะเลาะเบาะแว้ง แต่ก็เพียงแค่ไม่กี่คำ
“คุณจะไม่มาจริงๆ ใช่ไหม?”
“ไม่ไป!”
“…”
สือเย่ยื่นโทรศัพท์ให้เฉินถิงเซียวเงียบๆ แต่เฉินถิงเซียวไม่รับโทรศัพท์
“ไม่ต้องเอาโทรศัพท์ให้ฉัน ฉันไม่อยากคุยกับเธอ”
วินาทีถัดมา ก็มีเสียง “ตู๊ด” จากโทรศัพท์ที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายวางสายไปแล้ว
มือของสือเย่ที่ถือโทรศัพท์อยู่ชะงักไป และหันศีรษะไปทางเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวมองโทรศัพท์ด้วยใบหน้าบึ้งตึง “กล้าวางสายของฉันเหรอ?”
สือเย่พยักหน้า
“เหอะ” เฉินถิงเซียวยิ้มเยาะ ลิฟต์เพิ่งมาถึง เขาก็เอื้อมมือข้างหนึ่งเพื่อกดลิฟต์ แล้วเดินเข้าไป
เฉินมู่ในอ้อมแขนนอนหลับไม่ค่อยสนิท
เดิมทีเธอนอนพาดบนไหล่ของเฉินถิงเซียว จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียวกะทันหัน และพูดขึ้นว่า “คุณแม่?”
เมื่อตะกี้เธอผล็อยหลับไป แต่เหมือนได้ยินเสียงของมู่น่อนน่อน
เฉินมู่สะบัดหัวแล้วมองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นร่างของมู่น่อนน่อน ดังนั้นเธอจึงมองกลับไปที่เฉินถิงเซียวด้วยท่าทางงงงวย
เฉินถิงเซียวใช้ฝ่ามือใหญ่ของเขากดหัวเล็ก ๆ ของเฉินมู่ลงด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แค่ใช้แรงเล็กน้อย เขาก็กดหัวเล็ก ๆ ของเธอซบลงบนไหล่ของเขาตามเดิม
จากนั้นเขาก็พูดอย่างเย็นชาว่า “เธอไม่อยู่ที่นี่ นอนต่อได้แล้ว”
เฉินมู่น้อยใจมาก ตนเองตั้งใจจะมาหาเธอนะ?
เธอเบ้ปากของเธอบนไหล่ของเฉินถิงเซียว น้ำตาของเธอเอ่อคลออยู่ในดวงตา พยายามที่จะไม่ให้ไหลออกมา
คุณพ่อดุ หนูคิดถึงแม่
ดวงตาของเฉินถิงเซียวที่เดิมทีดำสนิทอยู่แล้ว เหมือนถูกย้อมด้วยน้ำหมึกจนสีเข้มมากขึ้น จ้องเขม็งไปทางลี่จิ่วเชียน “คนของผม ผมไม่ครอบครองไว้เอง จะให้ส่งให้คนอื่นหรือไง?”
ลี่จิ่วเชียนตกตะลึงไปสักพัก ก่อนจะยิ้มออกมา “คุณเฉินพูดมีเหตุผลครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ ยังมีคนรอผมอยู่ข้างนอก”
เฉินถิงเซียวรู้ว่าเขาจงใจพูดแบบนี้ จึงพูดขึ้นว่า “มีคนรออยู่” ไม่ได้หมายความว่ามู่น่อนน่อนกำลังรอเขาอยู่หรือไง
เฉินถิงเซียวไม่เคยเป็นคนดีอะไร และลี่จิ่วเชียนก็พูดถึงขนาดนี้แล้วถ้าเฉินถิงเซียวยังเกรงใจอีก เขาคงไม่ใช่เฉินถิงเซียวแล้ว
“งั้นก็ปล่อยให้เธอรอไป” เฉินถิงเซียวยิ้มเยาะ ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปทันที
ในตอนแรกลี่จิ่วเชียนยังไม่เข้าใจความหมายจากคำพูดของเฉินถิงเซียว
แต่วินาทีต่อมา หลังจากที่มีบอดี้การ์ดสองสามคนเดินเข้ามาจากข้างนอก ลี่จิ่วเชียนก็เข้าใจทันทีว่าเฉินถิงเซียวหมายความว่ายังไง
ความหมายชัดเจนมาก เฉินถิงเซียวตั้งใจจะให้บอดี้การ์ดจับตาดูเขาไว้ ไม่ให้เขาออกไป
ลี่จิ่วเชียนรู้สึกว่าเขามองเฉินถิงเซียวผู้ชายคนนี้ดีเกินไป
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ยากที่จะรักษาไว้ได้อีกต่อไป
“เฉินถิงเซียว กับน่อนน่อนคุณก็ไร้เหตุผลแบบนี้อย่างนั้นเหรอ?” ใครเขาขังคนตามอำเภอใจแบบนี้กัน?
เฉินถิงเซียวเมินเฉยต่อคำพูดของเขา แล้วพูดสั่งบอดี้การ์ด “หลังจากงานเลี้ยงจบ ส่งคุณลี่กลับด้วย”
หลังจากนั้น เฉินถิงเซียวล้วงมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกงสูท แล้วเดินออกไปช้าๆ
หลังจากประตูปิดลง บอดี้การ์ดก็พูดกับลี่จิ่วเชียนอย่างเรียบนิ่งว่า “คุณลี่ รบกวนส่งโทรศัพท์มาด้วยครับ”
ลี่จิ่วเชียน “…”
เฉินถิงเซียวคิดได้รอบคอบมาก
ลี่จิ่วเชียนหายใจเข้าลึก แล้วยื่นโทรศัพท์ให้บอดี้การ์ด
พวกบอดี้การ์ดทำตามคำสั่งของเฉินถิงเซียวก่อนหน้านี้ รีบกดหาหมายเลขโทรศัพท์ของมู่น่อนน่อน แล้วพิมพ์ข้อความส่งออกไป
พอเห็นแบบนี้ ลี่จิ่วเชียนจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณส่งอะไรไป?”
บอดี้การ์ดเหลือบมองเขา แต่ไม่พูดอะไร และไม่คืนโทรศัพท์ให้เขาด้วย
ลี่จิ่วเชียนกำหมัดแน่น แล้วคลายหมัดลงอีกครั้ง
……
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าโทรศัพท์ในกระเป๋าที่ถืออยู่สั่นเล็กน้อย
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดู พบว่าเป็นข้อความที่ลี่จิ่วเชียนส่งมาให้เธอ
“ผมมีธุระ ขอตัวกลับก่อน”
ประโยคง่ายๆ ดูไม่มีอะไรพิเศษ
มู่น่อนน่อนจ้องมองข้อความนี้สักพัก แล้วมองไปที่ทางเข้างานเลี้ยง
เธอเห็นเฉินถิงเซียวที่เดินเข้าไปในงานเลี้ยงพอดี ลี่จิ่วเชียนไม่ได้เดินตามหลังเขาเข้ามาด้วย
เสิ่นเหลียงเองก็เห็นเฉินถิงเซียว จึงถามมู่น่อนน่อน “คุณหมอลี่ล่ะ?”
“เขาบอกว่ามีธุระต้องกลับก่อน” มู่น่อนน่อนพูดโดยไม่หันกลับไปมอง
เสิ่นเหลียงพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “อะไรจะเร่งด่วนขนาดนั้น มาบอกลากันก่อนจะกลับก็ไม่มี”
เฉินถิงเซียวไม่ได้มองทางนี่ด้วยซ้ำ เขาเดินตรงเข้าไปนั่งข้างเฉินชิงเฟิง
มู่น่อนน่อนก้มหน้าลง กดหาหมายเลขโทรศัพท์ของลี่จิ่วเชียนในโทรศัพท์มือถือ แล้วกดโทรหาเขา
แต่เพิ่งโทรติดก็ถูกตัดสายทิ้งไปแล้ว
หลังจากนั้นเธอก็ได้รับข้อความว่า “กำลังขับรถ”
มู่น่อนน่อนมองไปที่เฉินถิงเซียวสักพัก จากนั้นก็ก้มหน้าลงครุ่นคิด
ถ้าเฉินถิงเซียวคิดจะทำอะไรกับลี่จิ่วเชียนจริงๆ เขาคงไม่พาลี่จิ่วเชียนไปต่อหน้าเธอ
ลี่จิ่วเชียนคงมีธุระต้องไปจัดการจริงๆ
อาจเป็นเพราะมีซูเหมียนอยู่ด้วย จึงแทบไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าเข้ามาใกล้เฉินถิงเซียวเลย
คนที่มาในงานคืนนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นคนดังในแวดวงธุรกิจ แต่ภูมิหลังทางตระกูลของซูเหมียนดีกว่าคนดังหรือนักธุรกิจเหล่านี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ามีปัญหากับเธอ
“ดึกมากแล้ว เรากลับกันเถอะ” มู่น่อนน่อนวางโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋า แล้วลุกขึ้นยืน
“จะกลับแล้วเหรอ?” เสิ่นเหลียงไม่ค่อยอยากกลับ ยังอยากดูเรื่องสนุกอีกสักพัก
มู่น่อนน่อนเหลือบมองไปทางเฉินถิงเซียวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันกลับมา “ฉันเป็นห่วงว่ากู้จือหยั่นจะไม่สามารถควบคุมมู่มู่ได้”
ทันทีที่พูดจบ มู่น่อนน่อนก็ได้ยินคนข้างๆ พูดว่า “นี่มันลูกของใครกัน”
“เด็กน้อยน่ารักมากเลย”
มู่น่อนน่อนกำลังจะหันไปมอง ก็ได้ยินเสียงเล็กที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
“คุณแม่ขา”
นี่มันเสียงของเฉินมู่นี่นา
มู่น่อนน่อนหันไปมอง จึงเห็นเฉินมู่ที่กำลังมองไปรอบๆ ในกลุ่มฝูงชน
“มู่มู่!” มู่น่อนน่อนเรียก ยังไม่ทันได้คิดอะไร เธอก็เดินเข้าไปหา
แต่ว่า มีคนเดินเข้าหาเฉินมู่เร็วกว่าเธอ แล้วยังดึงเข้าไปอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา
ซูเหมียนอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา ก่อนจะลูบศีรษะของเธอเบา ๆ แล้วถามอย่างอ่อนโยนว่า “มู่มู่มาที่นี่ด้วยเหรอจ๊ะ?”
เฉินมู่มองไปที่ซู่ซูเหมียนด้วยสายตาว่างเปล่า แล้วตะโกนออกมา “คุณแม่ขา”
จากนั้นเธอก็เริ่มมองไปรอบๆ เพื่อมองหามู่น่อนน่อน
เสิ่นเหลียงเห็นแบบนั้น จึงอดที่จะด่าออกมาอย่างอดไม่ได้ “ซูเหมียนหน้าไม่อายจริงๆ”
เสียงของเธอไม่ถือว่าเบา จึงดึงดูดความสนใจจากผู้คนรอบตัวเธอ
แต่ตอนนี้เสิ่นเหลียงไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว เธอกัดฟันกรอดด้วยสีหน้าบึ้งตึงแล้วเรียกออกมา “กู้จือหยั่น”
คอยดูว่าเธอกลับไปจะจัดการกับกู้จือหยั่นยังไง
ซูเหมียนปลอบเฉินมู่ด้วยเสียงอ่อนหวาน พยายามปิดสายตาของเฉินมู่ ไม่ให้เธอมองเห็นมู่น่อนน่อน ในขณะที่เกลี้ยกล่อมเธอ ก็อุ้มเฉินมู่ไว้ แล้วเดินตรงไปหาเฉินถิงเซียวอย่างรวดเร็ว
ในงานเลี้ยง ท่ามกลางฝูงชนที่แปลกหน้า เฉินมู่ซึ่งหามู่น่อนน่อนไม่เจอแต่จำซูเหมียนได้ จึงไว้วางใจซูเหมียนโดยไม่รู้ตัว
มู่น่อนน่อนยืนนิ่งอยู่กับที่ สองมือกำหมัดแน่น สีหน้าเคร่งขรึม
เสิ่นเหลียงด่ากู้จือหยั่นไม่ได้เรื่องอยู่ในใจ ก่อนจะถามอย่างไม่แน่นอน “ให้ฉันช่วยเธอไปมู่มู่คืนมาไหม”
พอเฉินถิงเซียวเห็นเฉินมู่ เขาก็ลุกขึ้นและเดินไปหาซูเหมียน
ในเวลานี้ เขาก็แย่งเฉินมู่จากอ้อมกอดของซูเหมียน
สีหน้าของเฉินถิงเซียวกับสีหน้าของมู่น่อนน่อนบึ้งตึงเหมือนกัน เขาอุ้มเฉินมู่มา แล้วกดศีรษะของเธอแล้วกดศีรษะของเธอฝังเข้าไปในหน้าอกของเขา
ดวงตาของแต่ละคนในงานแทบจะถลนออกมา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“เด็กคนนั้นกำลังเรียกซูเหมียนว่าแม่ใช่ไหม?”
“หรือว่าข่าวลือก่อนหน้านี้จะเป็นเรื่องจริง! พวกเขามีลูกด้วยกันแล้วจริงๆ ด้วย…”
คนพวกนั้นกำลังซุบซิบคุยกันเรื่องเฉินมู่ และยังมีคนทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจมาทางมู่น่อนน่อน
ทุกคนต่างก็คิดว่า มู่น่อนน่อนพยายามตามตื้อเฉินถิงเซียวเพื่อกลับมคืนดีกันตลอด เพื่อจะคืนดีกับเฉินถิงเซียวเธอยอมทำแทบจะทุกอย่าง
ตอนนี้ เฉินถิงเซียวไม่เพียงแต่ “ยอมรับ” ซูเหมียนเท่านั้น เขายัง “มีลูก” กับซูเหมียนแล้วด้วย
และมู่น่อนน่อนอดีตภรรยาที่อยากกลับมาคืนดีดูน่าสงสารมาก
อีกทั้งยังมีคนถึงกับจงใจเดินไปดูมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนยกริมฝีปากขึ้น แล้วยิ้มเยาะขึ้นมา “ไปกันเถอะ”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็พาเสิ่นเหลียงเดินออกไป
เสิ่นเหลียงบ่นพึมพำ “จะออกไปทั้งแบบนี้เลยเหรอ? ฉันอยากไปจัดการซูเหมียนเดี๋ยวนี้เลย”
เธอรู้สึกว่าซูเหมียนน่ารังเกียจยิ่งกว่ามู่หวั่นขีซะอีก
มู่น่อนน่อนพูดโดยไม่หันกลับมามอง “ไม่ต้องร้อนใจ”
“???” เสิ่นเหลียงพูดด้วยความตกใจ “ฉันเข้าใจได้ไหม ว่าเธอตกลงจะไปจัดการซูเหมียนฉัน?”
มู่น่อนน่อนแววตาเย็นชา “คนที่ไม่รู้จักขอบเขตของตัวเอง สุดท้ายแล้วกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง”
มู่น่อนน่อนตั้งสติได้แล้ว ก็ได้ยินประโยคนี้ของลี่จิ่วเชียนพอดี
เธอเหลือบมองเสิ่นเหลียง และเหลือบมองลี่จิ่วเชียนอีกครั้ง พร้อมถามกลับ “อะไรที่เรียกว่าถูกบ้างผิดบ้าง?”
ลี่จิ่วเชียนยิ้มตอบ “เมื่อครู่คุณเสิ่นถามผม ว่าผมสามารถมองออกว่าคนคนนั้นคิดอะไรในใจ จากพฤติกรรมของคนอื่นกับความรู้สึกว่าใช่หรือไม่ใช่”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้วพยักหน้า และถามกลับ “ได้ด้วยเหรอ?”
ลี่จิ่วเชียนจ้องมองมู่น่อนน่อนอยู่ชั่วครู่จากนั้นถึงได้พูดกับ “ในเชิงทฤษฎีแล้ว สามารถทำได้”
“งั้นคุณลองมองน่อนน่อนดูสิว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่?” เสิ่นเหลียงเกิดความสนใจขึ้นมาแล้ว
ในฐานะนักแสดงคนหนึ่ง สิ่งต้องทำคือการเอาคนที่มีชีวิตอยู่ในกระดาษสร้างให้เป็นตัวเป็นตนขึ้นมา เพื่อเสนอให้สู่สายตาของผู้คนอย่างสะดุดตา
นักจิตวิทยามองผ่านแววตา วิเคราะห์พฤติกรรมการกระทำ พร้อมทั้งวิเคราะห์จิตใจของคนอื่นออกมา
ส่วนนักแสดงนั้น จำเป็นต้องแสดงพฤติกรรมบางอย่างรวมถึงแววตาด้วย เพื่อเป็นการแสดงออกสิ่งที่อยู่ในใจของคนคนนี้
ในบางความหมายอื่นนั้น นี่ก็เป็นความหมายลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน
มู่น่อนน่อนเป็นคนเขียนบท ไม่ต้องพูดอะไรมาก ย่อมสนใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ลี่จิ่วเชียนเห็นสองสาวต่างสนใจถึงเพียงนี้ พลันเอาแก้วไวน์ในมือวางลงทันที เพื่อวิเคราะห์มู่น่อนน่อนอยู่สักพัก พลันพูดว่า “ท่านั่งของน่อนน่อนคือการนั่งเอียง ส่วนทิศทางสายตาของเธอมองไปทางเฉียง นั่นคือคุณเฉิน”
เพียงนิดเดียวก็รู้ไส้รู้พุง
ลี่จิ่วเชียนก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ยิ้มแย้มตอนมองมาที่มู่น่อนน่อน
เสิ่นเหลียงตะลึงเล็กน้อย พลันลากเสียงยาว และกล่าวเพียง “อ้อ” ออกมาจนสื่อความหมายเป็นนัย
มู่น่อนน่อนลูบจมูกของตนเอง เพราะถูกพวกเขาสองคนมองจนไม่เป็นตัวของตัวเอง
เธอขยับร่างกาย และไม่นั่งเอียงอีกแล้ว แต่ก็ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ จนรู้สึกไม่เป็นตัวของเองเลยเปลี่ยนหัวข้อแทน “งั้นคุณพูดเรื่องของเสี่ยวเหลียงสิ”
“นิสัยของคุณเสิ่นนั้นเป็นคนมีชีวิตชีวาสนุกสนาน” ลี่จิ่วเชียนพูดแบบนี้ออกไป จากนั้นก็มองไปที่เหนือเท้าของเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลี่ยงที่นั่งทับขาในเวลานี้ หนึ่งในปลายเท้าแตะที่พื้น ราวกับสามารถลุกยืนได้ตลอดเวลา
ลี่จิ่วเชียนพูดเสริมทันที “เป็นคนชอบความสนุกสนาน”
ปฏิกิริยาตอบสนองของเสิ่นเหลียงรีบเก็บขาทันที “ละเอียดมาก ต่อไปเวลาอยู่ต่อหน้าคุณ มือเท้าไม่กล้าปล่อยตัวตามสบายแล้ว”
“คุณเสิ่นก็พูดติดตลกไปเรื่อย นอกจากรับผู้ป่วยแล้ว เวลาปกติจะไม่จงใจสังเกตพฤติกรรมไปสำรวจคนอื่น” น้ำเสียงลี่จิ่วเชียนดูติดตลก พร้อมทั้งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นคนเข้าหาได้ง่าย
เมื่อก่อนเสิ่นเหลียงก็มีอคติกับเขา เพราะรู้สึกว่าการที่เขามาช่วยมู่น่อนน่อนเอาไว้คือมีแผนการอื่นอยู่ แต่ก็นานขนาดนี้แล้วก็ไม่เห็นว่าเขาทำเรื่องอะไรมาทำร้ายมู่น่อนน่อน แถมยังกล้าประจันหน้าต่อกรกับเฉินถิงเซียวอีกด้วย
ความรู้สึกของเธอที่มีต่อลี่จิ่วเชียน มันกลับตาลปัตรคนละเรื่องเลย
สุภาพบุรุษที่ทั้งฉลาดหลักแหลมและคล่องแคล่วอย่างลี่จิ่วเชียน ไปที่ไหนมีแต่คนชอบ
ตอนที่ทั้งสามคนกำลังคุยกันอย่างเมามัน จู่ ๆ เสิ่นเหลียงก็หยุดปากทันที
มู่น่อนน่อนทอประกายแววตาสงสัยออกมา “ทำไมเหรอ?”
เสิ่นเหลียงยื่นปากชี้ เพื่อส่งความหมายถึงด้านหลังมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนหันกลับไป ก็เห็นว่าเฉินถิงเซียวกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เดินประมาณสองสามก้าวก็ถึงด้านหน้า…ของพวกเธอแล้ว
คำว่าทางด้านหน้าของ “พวกเธอ” ก็เป็นเพราะว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้มองเธอด้วยซ้ำ แต่จับจ้องอยู่ที่ลี่จิ่วเชียน “คุณลี่”
ลี่จิ่วเชียนลุกพรวด พลันยิ้มให้ “คุณเฉินมีธุระกับผมเหรอครับ?”
“งั้นสิ? นี่คุณนึกว่าผมว่างมากนักเหรอ?” เฉินถิงเซียวสูดหายใจอย่างเย็นชา พร้อมทั้งแสดงออกอย่างอึมครึม
มู่น่อนน่อนไม่คิดเลยว่าเฉินถิงเซียวจะเชิญลี่จิ่วเชียนมางาน เพราะว่ามีธุระจริงๆ
แต่ว่า เมื่อมองเห็นการแสดงออกของเฉินถิงเซียวแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่เหมือนว่ามีธุระเลยมาหาลี่จิ่วเชียน ในทางกลับกันเหมือนมาจับผิด
กระทั่งเธอยังสงสัยเลย เฉินถิงเซียวอยากจะทำร้ายลี่จิ่วเชียนเหรอ
ลี่จิ่วเชียนลุกขึ้นยืน พลันใช้มือทำท่า “เรียนเชิญ” มาทางเฉินถิงเซียว
ทั้งสองคนเดินตามหลังกันออกไป
เสิ่นเหลียงเห็นท่าทางเป็นห่วงที่แสดงออกทางสีหน้าของเธอ พลันถามอย่างไม่เข้าใจทันที “ท่านประธานใหญ่มาหาหมอลี่ทำไมเหรอ?”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้าไปมา “ไม่รู้สิ”
เฉินถิงเซียวมีอคติกับลี่จิ่วเชียนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาก็แสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจนจนเห็นได้ชัด
ครั้งนี้เขาเรียกลี่จิ่วเชียนให้ไป “คุยธุระ” ต้องไม่ใช่การ” คุยธุระ” กันธรรมดาอย่างแน่นอน
แต่ว่า ลี่จิ่วเชียนคงไม่ให้ตัวเองเสียเปรียบไปหรอก
……
เฉินถิงเซียวกับลี่จิ่วเชียนเดินตามกันออกจากห้องบอลรูมจัดเลี้ยง และมุ่งหน้าเดินไปยังห้องที่สือเย่ได้จัดเตรียมไว้ให้เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเดินนำหน้าเข้าไปก่อน ส่วนลี่จิ่วเชียนเดินตามหลังมา
ตอนที่ลี่จิ่วเชียนเดินตามหลังเข้าไปนั้น เฉินถิงเซียวก็พับแขนเสื้อมาทางเขา
เขาเอนศีรษะเล็กน้อย และออกปากเรียกไป “คุณเฉิน?”
จังหวะนั้นเอง เฉินถิงเซียวก็หันศีรษะกลับไปพร้อมทั้งถีบขาออกไปทางเขาทันที จากนั้นก็จับลี่จิ่วเชียนทุ่มลงบนพื้น
ลี่จิ่วเชียนมองออกว่าเฉินถิงเซียวไม่เป็นมิตร แต่ไม่เคยคิดว่าลี่จิ่วเชียนกล้าลงมือกับเขาจริงๆ
เฉินถิงเซียวใช้พละกำลังมาก และพุ่งตัวเข้าหาอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งรุนแรง แม้ว่าลี่จิ่วเชียนจะมีการป้องกันอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังตั้งท่ารับมือไม่ทัน
ลี่จิ่วเชียนนอนกองอยู่ที่พื้น พลันขมวดคิ้วและหลับตาลง ผ่านไปแวบเดียว พลันกัดฟันและลุกขึ้นยืน เพื่อปัดฝุ่นที่อยู่บนตัว พลันยิ้มบางๆ ตอนมองมาเฉินถิงเซียว “นี่คือวิธีการของคุณเฉินในการจัดการเรื่องงั้นเหรอ?”
“เปล่า แค่รู้สึกว่าคุณไม่ได้ออกแรงมานาน เลยอยากจะทำให้คุณสมปรารถนา” เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็จัดการจัดแขนเสื้อตัวเอง และนั่งลงตรงโซฟาทันที
ลี่จิ่วเชียนไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฉินถิงเซียวจะให้เหตุผล…ออกมาแบบนี้
ฟังดูเหมือนคล้ายเหตุผลที่ไม่มีหลักการใดๆ เลยสักนิด แต่เฉินถิงเซียวใช้น้ำเสียงความจริงจังออกมา เพื่อให้ลี่จิ่วเชียนรู้สึกว่ามันมีหลักการอยู่บ้าง
จริงๆ เลย…
ลี่จิ่วเชียนถึงกลับหมดปัญญา “งั้นผมต้องขอบคุณคุณด้วยใช่ไหม?”
“เรื่องขอบคุณคงไม่ต้องหรอก” น้ำเสียงเฉินถิงเซียวพูดจาอย่างเอื่อยเฉื่อย พลางหยิบเอกสารหนึ่งฉบับโยนมาให้ทางด้านหน้าของลี่จิ่วเชียน “คุณลี่เป็นห่วงเรื่องสุขภาพของตัวภรรยาของผมมาก”
นั่นเป็นผลรายงานการตรวจร่างกาย เขียนชื่อมู่น่อนน่อนเอาไว้
ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวเคยพามู่น่อนน่อนไปตรวจร่างกายมาก่อน และในโรงพยาบาลมีข้อมูลเก็บไว้อยู่แล้วแต่ช่วงหลายวันที่มา เฉินถิงเซียวกลับพบว่าลี่จิ่วเชียนไปเอารายงานตรวจร่างกายของมู่น่อนน่อนออกมา
อีกทั้งการผลตรวจยังแสดงทุกอย่างอย่างละเอียดทุกข้อ
ในเอกสารนั้นได้เขียนผลตรวจร่างกายของมู่น่อนน่อนทุกรายการ รวมทั้งกลไกสภาพร่างกายด้วย ซึ่งเขียนได้อย่างชัดเจนและเข้าใจอย่างถ่องแท้
“คุณเฉินก็พูดเกินไป ตอนนี้น่อนน่อนไม่ใช่ภรรยาของคุณแล้ว ว่าที่ภรรยาของคุณคือซูเหมียน” ลี่จิ่วเชียนนั่งลงฝั่งตรงข้ามเฉินถิงเซียวอย่างมีชัย แถมยังยิ้มอยู่ตลอดเวลา
เฉินถิงเซียวหรี่ตาเล็กน้อย แถมทำสีหน้าเย็นเฉียบมองลี่จิ่วเชียน น้ำเสียงเย็นถึงขั้นหม่นหมอง “ลี่จิ่วเชียนคุณมีจุดประสงค์อะไร คุณย่อมรู้อยู่แก่ใจดี อย่าคิดปิดบังจากสายตาผมเลย”
“ผมก็แค่เป็นห่วงน่อนน่อนเท่านั้นเอง มันไม่ได้เหรอ?” รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของลี่จิ่วเชียนหุบลงเล็กน้อย “คุณเฉินคงไม่ใช่เหตุผลที่ว่าน่อนน่อนเป็นแม่ของลูกคุณ เลยไม่อนุญาตให้เธอมีสิทธิมีเพื่อนใช่ไหม? การเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมากเกินไป มันไม่ใช่เรื่องดีอะไร”
น้ำเสียงของลี่จิ่วเชียนค่อยๆ ผ่อนคลายลง ราวกับเป็นการเกลี้ยกล่อมเฉินถิงเซียวเช่นนั้น
คนอื่น ๆ ที่ดูการแสดงละครดีๆ จบแล้ว เมื่อเห็นมู่น่อนน่อนกับซูเหมียนเดินไปแล้ว ดังนั้นเลยไม่มีเหตุผลให้มุงดูอีกแล้ว
ยังมีคนอยู่อีกหนึ่งส่วนที่อยากจะพูดคุยกับเฉินถิงเซียวต่อ แต่เมื่อมองสีหน้าไม่สู้ดีของเขาแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าเขยิบเข้าหาอีกเลย
หลังจากคนพวกนี้สลายตัวไปแล้ว เฉินถิงเซียวหันหน้าไปทางเฉินชิงเฟิง
ตอนนี้เหลือแค่พวกเขาสองคน เวลาพูดจาก็ไม่ต้องคำนึงถึงอะไรแล้ว
เฉินชิงเฟิงมองเขาด้วยอาการเยาะเย้ย รอยยิ้มแปลกประหลาดอย่างผิดปกติ “พวกเราเป็นคนเหมือนกัน เวลาฉันไม่ได้สิ่งของอะไร แกก็ต้องไม่ได้เหมือนกัน”
เฉินชิงเฟิงเคียดแค้นมาชั่วชีวิต จนสุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเลย
เขาตั้งตัวเป็นศัตรูกับเฉินถิงเซียวมาตั้งแต่แรกแล้ว สำหรับความรู้สึกจงเกลียดจงชังและความอาฆาตพยาบาท เฉินถิงเซียวเต็มทนซึ่งไม่จำเป็นต้องซุกซ่อนเอาไว้อีกแล้ว
แต่ว่า เฉินถิงเซียวแค่พูดออกไปประโยคเดียว เฉินชิงเฟิงก็สามารถจบชีวิตทันที
“นานแค่ไหนแล้ว ที่คุณไปเจอกับป้ามา?” น้ำเสียงเฉินถิงเซียวแผ่วเบา ฟังดูก็เหมือนออกปากถามไปเรื่อย แต่สำหรับเฉินชิงเฟิงการได้ยินประโยคนี้มันกลายเป็นการโจมตีอันใหญ่หลวง
เฉินชิงเฟิงอยากเจอเฉินเหลียนอยู่แล้ว แต่เขาเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง จนสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเฉินถิงเซียว สภาพตนเองในเวลานี้คนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง ดังนั้นเลยไม่อยากให้เฉินเหลียนเจอหน้า
แม้ว่าเขาอยากเจอหน้าเฉินเหลียนมากก็ตาม แต่ก็แค่คิดเท่านั้นเอง ไม่มีทางเป็นคนออกตัวไปเจอหน้าเธอก่อนอย่างแน่นอน
เฉินชิงเฟิงจับที่วางมือของเก้าอี้รถเข็นเอาไว้แน่น พลันใช้สายตามองเฉินถิงเซียวอย่างจงเกลียดจงชัง สายตาโหดเหี้ยมราวกับต้องการฉีกเฉินถิงเซียวเป็นชิ้นๆ
เฉินถิงเซียวพอใจกับการแสดงออกของเฉินชิงเฟิง
“คุณคงอยากจะเจอหน้าเธอมากมั้ง วางใจได้เลย ผมจะพาคุณไปเอง” เฉินถิงเซียวโค้งตัวนั่งอยู่ด้านข้างเฉินชิงเฟิง พลันใช้น้ำเสียงกระซิบกระซาบ
สำหรับมุมมองของคนอื่นแล้ว การที่ทั้งสองคนมานั่งอยู่ด้วยกันเหมือนพ่อลูกกำลังคุยสัพเพเหระไปเรื่อย ตรงมุมไกลยังมีคนพูดถึงความรู้สึกอันดีของคู่พ่อลูกระหว่างเฉินถิงเซียวกับเฉินชิงเฟิงอยู่ด้วย
“เฉินถิงเซียว!”
ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนแม้ว่าจะทะเลาะกันถึงขั้นนี้แล้ว แต่เฉินชิงเฟิงก็ยังคำนึงถึงสภาพในตอนนี้ยังอยู่ในงานเลี้ยง แม้ว่าเขาโมโหเกลียดชังน้ำหน้าจนอยากจะฉีกเฉินถิงเซียวเป็นชิ้นๆ ยังคงกดเสียงเอาไว้ ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขาเป็นอริศัตรูกันตั้งแต่แรกแล้ว
ใบหน้าเฉินถิงเซียวพลันแสยะยิ้มอย่างเยาะเย้ย “เป็นคุณพ่อที่แสนดีของผมจริงๆ เลย”
กระทั่งตอนนี้ เฉินชิงเฟิงยังคงนึกถึงหน้าตาของตระกูลเฉิน
“มีเรื่องอะไรก็พุ่งเป้ามาที่ผมนี่ ไม่ต้องไปหาเฉินเหลียนหรอก พวกเราต่างแซ่เฉินกันทั้งนั้น การที่ล้มล้างตระกูลเฉิน มันไม่มีประโยชน์อะไรแม้กับคุณและผมเอง!”
เมื่อพูดถึงเรื่องของตระกูลเฉิน แววตาของเฉินชิงเฟิงยิ่งแปรเปลี่ยนเป็นเฉียบคมหนักกว่าเก่า และยิ่งมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม
คำพูดของเขามีการตักเตือนอย่างชัดเจน
ในอดีตช่วงเฉินชิงเฟิงเป็นคนคุมบังเหียนในตระกูลเฉิน เฉินถิงเซียวก็ไม่เคยสนใจเขาด้วยซ้ำ อย่าเพิ่งพูดถึงตอนนี้เลย
เฉินถิงเซียวเหมือนได้ยินเรื่องตลกอันแสนตลกขบขันที่แปลกประหลาดมาก เขายื่นมือออกไปประคองหน้าผากพลันก้มหน้าหัวเราะ จากนั้นจึงพูดว่า “ผมขอเตือนคุณหน่อยนะ ตอนนี้ตระกูลเฉินอยู่ในมือผมแล้ว อยากจะจัดการอย่างไร ก็เป็นเรื่องของผม ส่วนคุณนั้น…”
“ผมจะให้คุณมีชีวิตอยู่ตามอายุขัย ใช้ชีวิตให้เพลิดเพลินไปเถอะ” เฉินถิงเซียวพูดจบ จากนั้นก็จัดชุดสูทเล็กน้อย และยืดตัวขึ้น “แต่ตอนนี้ ควรถึงตาที่คุณไปหาเหล่าเพื่อนเก่าของคุณแล้วสิ”
ไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยปาก สือเย่ก็เป็นคนเข็นรถเข็นจากทางด้านหลัง เพื่อพาเฉินชิงเฟิงมุ่งหน้าไปยังฝูงชนเองทันที
สามปีที่ผ่านมา นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เฉินชิงเฟิงปรากฏตัว
ตอนที่เฉินถิงเซียวเข็นเขาเข้ามานั้น คนในงานต่างมองสภาพของเฉินชิงเฟิงในเวลานี้อย่างชัดเจน
ตระกูลเฉินเป็นตระกูลกลุ่มชนชั้นสูงอภิมหาเศรษฐีแนวหน้า อำนาจบารมีมากล้นคับฟ้า เฉินชิงเฟิงดื่มด่ำมาตั้งสิบกว่าปี แต่พอแก่ตัวลงกลับเกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้น
จิตใจของคนเราต่างมีความคิดไม่ดี ท่ามกลางคนที่อยู่ในเหตุการณ์ มีคนมากมายที่แสดงท่าทางสงสารจับจิตออกมาทางสีหน้า แต่ลึกๆ ในก้นบึ้งหัวใจนั้นกลับสมน้ำหน้าตั้งแต่แรกอยู่ก่อนแล้ว
พอพวกเขาเดินไป พลันมีคนเริ่มเข้ามาหาเรื่องคุยด้วย
“ไปหาคุณที่บ้านมาตั้งหลายครั้งแล้ว แต่คุณก็ไม่ยอมออกมารับแขก โชคดีที่คุณชายเฉินกตัญญูเช่นนี้ ที่พาคุณมาเจอหน้าเพื่อนๆ ไม่งั้นนะ พวกเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอหน้าคุณสักครั้ง”
“จริงด้วย ยังดีที่คุณชายเฉินมีความกตัญญู…”
“ร่างกายของคุณเป็นยังไงบ้าง?”
“ต่อไปต้องออกมาขยับแข้งขยับขาบ่อยๆ นะ”
“มีลูกชายที่แสนเป็นหน้าเป็นตาอย่างคุณชายเฉินแบบนี้ คุณอยู่บ้านคอยดูแลตัวเองในวัยเกษียณก็ดีมากจริงๆ …”
“กลุ่มพวกเราต่างอิจฉาคุณกันถ้วนหน้า!”
“……”
เฉินชิงเฟิงอดทนกับความเป็นห่วงอันจอมปลอมของคนเหล่านี้ มีที่เหลืออยู่ข้างเดียวก็ใกล้บีบจนแขนเสื้อขาด
ความเป็นห่วงเป็นใยอันแสนจอมปลอม กระทั่งยังพูดยกยอปอปั้นเฉินถิงเซียวอยู่ตลอด
เขาไม่เคยตระหนักถ่องแท้เหมือนเวลานี้เลย ว่าตัวเองไม่ใช่เฉินชิงเฟิงที่มีเกียรติคนนั้นอีกแล้ว ตอนนี้เขาก็แต่ตาแก่คนหนึ่งที่อาศัยรถเข็นในการเดินเหินเท่านั้นเอง
ตอนนี้เขาทำได้แค่ยืมอากาศของคนอื่นมาหายใจให้มีชีวิตไปวันๆ เท่านั้น
ทุกคนต้องการเป็นที่โปรดปรานของเฉินถิงเซียว แทบไม่มีคนเป็นห่วงสุขภาพของเขาจริงๆ
เฉินถิงเซียวยังไม่ยอมพูดอะไร พลันหยิบแก้วไวน์แดงมาจากพนักงานหนึ่งแก้ว และเอนตัวพิงไปทางด้านข้าง แทบไม่ได้สนใจกับกลุ่มคนเหล่านี้เลย
เฉินชิงเฟิงไม่ใช่สนใจเรื่องหน้าตาของตระกูลเฉินเหรอ?
เรื่องไปถึงขั้นนี้ หน้าตาของตระกูลเฉินก็ให้เขารักษาเองไว้ให้ดี
เฉินชิงเฟิงไม่มีวิธีแล้ว ทำได้แค่ต่อกรกับคนเหล่านั้นที่ถูกเฉินถิงเซียวบีบบังคับตนเอง
“โชคดี ถิงเซียวดูแลดีมาก”
“ต่อไปก็จะออกมาให้บ่อยขึ้น…”
แม้ว่าในใจของเฉินชิงเฟิงนั้นจะเกลียดแสนเกลียดเฉินถิงเซียวเป็นที่สุด ในเวลานี้กลับอดไม่ได้ที่ต้องฉีกยิ้มออกมา
เฉินถิงเซียวกำลังเอาเกียรติศักดิ์ศรีของเขาเหยียบย่ำลงในหลุมโคลน มันยิ่งทรมานยิ่งกว่าการถูกฆ่าให้ตายไปเสียอีก
ทว่า เขาก็ไม่ใช่คนที่ยอมอ่อนข้อง่าย ทำได้แค่อดทนเอาไว้
มู่น่อนน่อน ลี่จิ่วเชียนและเสิ่นเหลียงยืนอยู่มุมห้องบริเวณไม่สะดุดตานัก แถมคอยมองทุกการกระทำของเฉินถิงเซียวอยู่เงียบๆ
เสิ่นเหลียงยกแก้วไวน์แดงขึ้น พลันแตะแขนของมู่น่อนน่อนเอาไว้เพื่อสอบถาม “นี่ท่านประธานใหญ่ต้องการจะทำอะไรกันแน่?”
ก่อนหน้านี้เธอรู้แค่ว่าเฉินถิงเซียวต้องการจัดงานเลี้ยง แทบไม่ได้ถามสักคำว่าทำไมเฉินถิงเซียวจึงจัดงานเลี้ยงในครั้งนี้ขึ้นมา งานเลี้ยงฉลองสำหรับเธอแล้ว มันก็แค่การกินดื่มเฮฮาครื้นเครงกันเท่านั้นเอง
“ไปสนใจทำไมว่าเขาจะทำอะไร” มู่น่อนน่อนหันกลับไปนั่งบนเก้าอี้ทรงสูง และเรียกพนักงานเพื่อหยิบแก้วไวน์แดงมาหนึ่งแก้ว
ลี่จิ่วเชียนเองก็นั่งลงด้านข้างเธอทันที
เมื่อเขานั่งลงแล้ว สายตาของเสิ่นเหลียงก็พิจารณามองมาที่ตัวเขา
ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ที่เธอคอยสังเกตลี่จิ่วเชียนมาตลอด
ลักษณะนิสัยของลี่จิ่วเชียนนั้นดูบริสุทธิ์มาก แถมยังทำให้คนอื่นรู้สึกชัดเจนอย่างเต็มเปี่ยม และระหว่างการแสดงพฤติกรรมออกมานั้นเป็นคำมีนักจิตวิทยาให้คำกำกับเอาไว้ว่าเข้มงวด
ดูเป็นคนขัดแย้งกันอยู่เล็กน้อย
เพราะว่าลี่จิ่วเชียนเคยช่วยชีวิตมู่น่อนน่อนเอาไว้ในที่เกิดเหตุ ความรู้สึกมีอคติในใจของเสิ่นเหลียงพลันมลายหายไปบ้าง แต่กลับรู้สึกดีขึ้น
ซึ่งเธอมีความรู้สึกแปลกใจจนต้องถามลี่จิ่วเชียน “คุณลี่คะ พวกคุณเป็นนักจิตวิทยา คุณดูพวกพฤติกรรมของคนอื่นที่แสดงออกมา ก็สามารถคาดเดาได้อย่างง่ายดายใช่ไหมว่าคนคนนี้กำลังคิดทำอะไร?”
ตอนที่เสิ่นเหลียงถามนั้น ลี่จิ่วเชียนพลันหันด้านข้างเพื่อตั้งใจฟังในสิ่งที่เธอพูดออกมา
เธอพูดจบ ลี่จิ่วเชียนครุ่นคิดเพียงเล็กน้อยถึงได้พูดออกมา “คุณเสิ่นพูดเช่นนี้ มีทั้งถูกและไม่ถูกต้อง”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรเลย พลันมองต่ำลง สายตาจับจ้องไปยังท่อนแขนของมู่น่อนน่อนที่คล้องแขนลี่จิ่วเชียนอยู่
ลี่จิ่วเชียนค่อยๆ ช้อนตาขึ้น รอยยิ้มอันแสนอบอุ่นที่อยู่บนใบหน้ากับภาคภูมิใจแต่ไม่มีพลังการโจมตีสักนิด จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างง่ายๆ “คุณเฉิน”
น้ำเสียงอันเรียบเฉย ราวกับมีความรู้สึกอื่นๆ ปะปนอยู่
เฉินถิงเซียวคลี่ยิ้ม ความโค้งของมุมปากเย็นชาผิดปกติ
สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ตัวของมู่น่อนน่อน
ถ้าต้องการจะให้พูดออกมาไม่ได้ มู่น่อนน่อนยังคงหวาดกลัวเฉินถิงเซียวอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เฉินถิงเซียวในเวลานี้
แต่ว่า ชีวิตคนเรามักก้าวเดินไปด้านหน้าเสมอ
ฉะนั้น มู่น่อนน่อนเกี่ยวแขนลี่จิ่วเชียนเอาไว้ และเหนี่ยวเพิ่มแรงให้มากขึ้น เพื่อให้คนสองคนได้ใกล้ชิดมากขึ้นไปอีกขั้น
ซูเหมียนที่นั่งไม่พูดไม่จาอยู่ด้านข้างเฉินถิงเซียวอยู่ตลอด แต่กลับลุกขึ้นพรวดขึ้นมาอย่างกะทันหัน และเดินมายืนอยู่ข้างกายเฉินถิงเซียว และยิ้มแย้มพูดออกมา “ไม่คิดเลยว่าเฉินถิงเซียวจะเชิญคุณมาด้วยเหมือนกัน ถ้ารู้ตั้งแต่แรกฉันก็ควรจะไปทักทายกับคุณ จะได้ไม่ให้พวกคุณต้องเดินมา”
ซูเหมียนในวัยอายุ 30 ปีแล้ว ดูและช่างไม่แตกต่างกับซูเหมียนเมื่อสามปีที่แล้ว
เมื่อพูดแล้ว นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มู่น่อนน่อนพูดกับซูเหมียนในรอบสามปี
การที่ซูเหมียนสามารถเป็นเพื่อนกับเฉินจิ่งหยุ้นได้ ย่อมไม่ใช่ตัวละครธรรมดาแน่นอน
ซูเหมียนจงใจใช้คำพูดกลายเป็นว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนไปเชิญมู่น่อนน่อน การแสดงออกของเฉินถิงเซียวเมื่อครู่นี้คือจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามู่น่อนน่อนเป็นใครกัน และนี่เป็นการเปลี่ยนแนวคิดเพื่อบอกให้ทุกคนได้ทราบว่า การที่มู่น่อนน่อนมาในครั้งนี้ไม่ใช่มาดีแน่
อีกทั้ง เธอยังใช้น้ำเสียงแกมตัวเองเป็นนางเอกตอนพูดออกมา
สรุปแล้วซูเหมียนไม่ใช่ลูกสาวที่ถูกเลี้ยงดูแบบคนปกติทั่วไป เพราะเธอจัดการเรื่องราวได้อย่างเป็นผู้ใหญ่และระมัดระวังมากจนเห็นได้อย่างชัดเจน
เพียงแค่พูดลอยลมออกมาไม่กี่ประโยค แต่สามารถทำให้มู่น่อนน่อนอับอายได้
ยังไม่ทันให้มู่น่อนน่อนพูดตอบมา ลี่จิ่วเชียนก็หัวเราะตอบกลับไปแทน “คุณผู้หญิงท่านนี้คงยังไม่ทราบ เดิมคุณเฉินตั้งใจเรียนเชิญผมให้มาร่วมงานเลี้ยง แต่ว่าเป็นห่วงว่าน่อนน่อนจะเบื่อกับการอยู่คนเดียว เลยพาเธอมาด้วยครับ”
เมื่อครู่ซูเหมียนไม่เคยได้สังเกตลี่จิ่วเชียนสักเท่าไหร่ เพราะถึงอย่างไร นอกจากเฉินถิงเซียวแล้ว เธอยังไม่เคยมองผู้ชายคนอื่นเลย
แต่เมื่อได้ยินเสียงลี่จิ่วเชียนพูดขึ้นมา ถึงได้หันหน้าไปมองเขา
เธอใช้สายตากวาดตาพิจารณามองลี่จิ่วเชียน จนแววตาทอประกายอาการดูถูกออกมา
สำหรับเธอแล้ว แม้ว่าลี่จิ่วเชียนจะหน้าตาไม่เลวก็ตาม นิสัยก็ไม่ได้ย่ำแย่ แต่ยังทิ้งแถวเฉินถิงเซียวอยู่ไกลโข
ซูเหมียนยื่นมือขึ้นลูบผมตัวเองเล็กน้อย พลันยิ้มให้อย่างเป็นทางการ น้ำเสียงช่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง”
มู่น่อนน่อนจ้องมองทุกการกระทำของของซูเหมียน
ผู้หญิงที่มีภูมิหลังเช่นซูเหมียน เรื่องที่จะมาดูถูกเธอกับลี่จิ่วเชียน เธอสามารถเข้าใจได้
เพราะถึงอย่างไรก็มักมีคนใช้เรื่องฐานะทางบ้านกับสิ่งของภายนอกมาเปรียบเทียบกัน เพื่อแสดงความโดดเด่นของตนเอง แสดงตัวเองสูงส่งอยู่บนหิ้งเหนือกว่าคนอื่นอีกชั้น
มู่น่อนน่อนหัวเราะแห้งๆ และพูดสื่อความหมายเป็นนัย “สิ่งที่คุณหนูซูไม่รู้เรื่องนั้นมีอีกเยอะ มีเวลาก็คอยถามคุณเฉินบ้างนะคะ”
สัญญาการแต่งงานระหว่างซูเหมียนกับเฉินถิงเซียว ต่างเป็นข่าวลือหนาหูมาตลอด เมื่อครู่ตอนเธอนั่งอยู่ด้านข้างเฉินถิงเซียวนั้น สำหรับคนอื่นมองมาแล้ว นี่เป็นการนั่งที่เป็นการบอกถึงความสัมพันธ์ถึงคนสองคน
แต่มู่น่อนน่อนกับซูเหมียนต่างรู้อย่างชัดเจนดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
โดยปกติแล้ว อย่าไปเอ่ยถึงซูเหมียนว่าจะคุยกับเฉินถิงเซียวเลย ขนาดจะเจอหน้าเจอตากันยังไม่ง่ายเลย
คำพูดอันเหน็บแนมของมู่น่อนน่อน มีแค่ตัวของซูเหมียนที่จะเข้าใจ
รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของซูเหมียนแปรเปลี่ยนเป็นฝืนกลั้นแทน “พูดอีกก็ถูกอีก แต่ว่า ปกติฉันกับเฉินถิงเซียวทำงานยุ่งมาก คงไม่ต้องให้คนนอกมาวิตกกังวลกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้หรอกค่ะ”
เรื่องเล็กน้อยของคนนอกเหรอ?
มู่น่อนน่อนอ้าปาก แววตาต่างแสดงอาการเยาะเย้ยออกมา “โห? ปกติพวกคุณต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน แต่ฉันรอกินขนมในงานแต่งของพวกคุณอยู่นะ และก็ไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกกี่ปีกี่ชาติกันแน่”
คนที่มุงอยู่ข้างๆ ใครบ้างล่ะที่ไม่ได้ยินความหมายจงเกลียดจงชังในคำพูดของผู้หญิงสองคน
ทั่วทั้งเมืองหู้หยาง แม้ว่ามีผู้หญิงมากมายต่างตั้งหน้าตั้งตาคาดหวังในตำแหน่งคุณหญิงตระกูลเฉิน แต่ไม่เคยเห็นผู้หญิงมายืนประจันหน้าแขวะกลับไปมาต่อหน้าเขามาก่อนเลย
ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงสองคนนั้นต่างสนิทสนมกับเฉินถิงเซียวทั้งคู่
คนหนึ่งคืออดีตภรรยา อีกคนคือว่าที่ภรรยาในอนาคต
มันช่างเป็นฉากแสดงละครที่ดีจริงๆ
ซูเหมียนเหมือนจับสัมผัสได้ว่าคนพวกนั้นต่างมองฉากเด็ดของเธออยู่ จนหน้าถอดสี
แต่เธอยังคงยิ้มอยู่ พลันฝืนยิ้มให้มู่น่อนน่อนเล็กน้อย จากนั้นก็หันหน้าไปพูดกับเฉินถิงเซียวอย่างอ่อนโยน “ฉันมีเพื่อนมาอีกคน ฉันขอไปดูหน่อยนะคะ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจเธอเลย
ซูเหมียนคุ้นชินกับการถูกเฉินถิงเซียวเย็นชาใส่ตั้งนานแล้ว เธอแสดงออกตามปกติ และไม่มีท่าทางกระอักกระอ่วนแต่อย่างใด
หลังจากซูเหมียนเดินออกไปแล้ว มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองลี่จิ่วเชียนแวบหนึ่ง
แม้ว่าเธอไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ลี่จิ่วเชียนก็เข้าใจความหมายของเธอ พลันพยักหน้าเล็กน้อย และหันตัวเพื่อจะเดินไปพร้อมกับเธอ
เธอไม่สบายใจก็ไม่ให้ซูเหมียนได้ลอยตัวสบายใจเฉิบไปแน่ ความสนุกครื้นเครงก็ดูจนจบแล้ว เมื่อหมดเรื่องสนุกแล้วก็ควรถอยออกจากสนามได้แล้ว
แต่ว่า พวกเขาต้องการจะเดินออก เฉินถิงเซียวกลับไม่ให้พวกเขาไป
“ช้าก่อน”
จู่ ๆ น้ำเสียงเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้น มู่น่อนน่อนเหมือนได้ยินเสียงของเขาจึงหยุดฝีเท้าลงทันที
ลี่จิ่วเชียนตบมือเธอเพื่อเป็นการปลอบใจ พลันหันศีรษะกลับไปมองเฉินถิงเซียว “คุณเฉินมีธุระอยากจะช่วยชี้แนะเหรอครับ?”
“การที่ผมเชิญคุณลี่มางาน ก็ต้องมีธุระอย่างแน่นอน” คำพูดของเฉินถิงเซียวเป็นการพูดกับลี่จิ่วเชียน แต่สายตากลับมองไปที่ตัวของมู่น่อนน่อนอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อครู่ตอนที่มู่น่อนน่อนพูดกับเขานั้น คือการพูดต่อหน้าเขา ดังนั้นเขาเลยมองไม่เห็นว่าด้านหลังของมู่น่อนน่อนมีลักษณะเช่นไร
ทว่าในเวลานี้เอง มู่น่อนน่อนหันหลังให้เขา จนเขาเห็นว่ามู่น่อนน่อนใส่ชุดราตรีแหวกหลัง
เมื่อเอามาเปรียบเทียบชุดราตรีแหวกหลังกับผู้หญิงคนอื่นที่อยู่ในงานเลี้ยงแล้ว ถือว่ามู่น่อนน่อนใส่ถือว่ายังมิดชิด เพราะว่าด้านหลังของชุดราตรีเปิดหลังเป็นรูปตัว V แต่รูปตัว “V” คอลึกเว้าลงเบื้องหลังไปถึงหนึ่งในสองส่วน
ถือว่ายังไม่กล้าหาญมากนัก แต่ก็เผยให้เห็นความเซ็กซี่ที่อธิบายไม่ถูก
ใบหน้าของเฉินถิงเซียวพลันเย็นชาลงอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาพลันเย็นเฉียบในชั่วขณะ พลันใช้น้ำเสียงกระซิบทุ้มต่ำที่มีแต่คนสนิทเท่านั้นถึงฟังออกว่าเป็นการเก็บอารมณ์ความโกรธเคืองอยู่ “ก่อนหน้าที่จะคุยกับคุณลี่ ผมยังมีเรื่องที่สำคัญกว่า นั่นคือการได้พูดคุยกับคุณผู้หญิงที่อยู่ด้านข้างคุณ”
คำว่า “พูดคุย” ในตอนท้ายนั้น ฟังดูแล้วเมื่อการมันเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดออกมา
ลี่จิ่วเชียนไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่กลับหันไปสอบถามความเห็นของมู่น่อนน่อนแทน
“น่าเสียดายค่ะ วันนี้ฉันมาร่วมงานเป็นเพื่อนกับคุณลี่ ซึ่งไม่ได้มาคุยธุระกับคุณเฉิน มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันวันหลังแล้วกันนะคะ”
มู่น่อนน่อนพูดจบ พลันดึงลี่จิ่วเชียนให้เดินหนีทันที
เมื่อครู่ตอนที่มู่น่อนน่อนปฏิเสธคำร้องขอ “การพูดคุย” ของเฉินถิงเซียวนั้น บรรดาแขกเหรื่อที่อยู่ด้านข้างถึงกลับปาดเหงื่อแทนเธอ
ในขณะเดียวกันบ้างก็ยกย่องมู่น่อนน่อน
ฉะนั้น ตอนที่มู่น่อนน่อนเดินผ่านนั้น พวกเขาต่างหลีกทางให้มู่น่อนน่อนเองตามความรู้สึกทันที
เฉินถิงเซียวมองแผ่นหลังคนสองคนที่เคียงบ่าเคียงไหล่ ความรู้สึกที่แสดงออกทางสีหน้าไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป แต่มือที่อยู่ข้างลำตัวทั้งสองข้างต่างกำหมัดจนแน่น
มู่น่อนน่อน ดีมาก
พลันมีเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของเฉินชิงเฟิงที่อยู่ด้านข้างดังขึ้น “หึ”
“ฉันขอเข้าไปก่อนนะ”
สายตาของมู่น่อนน่อนจับจ้องมาที่ตัวของเฉินถิงเซียว ตอนที่เธอพูดออกมาก็ไม่ได้ละสายตาเลยด้วยซ้ำ แต่เสิ่นเหลียงรู้ดีว่า มู่น่อนน่อนกำลังพูดกับเธอ
“ขอตัวก่อนครับ” ลี่จิ่วเชียนพยักหน้าให้เสิ่นเหลียง และเดินไปพร้อมมู่น่อนน่อนเพื่อมุ่งหน้าไปทางเฉินถิงเซียว
เสิ่นเหลียงเบิกตาโต พลันมองมู่น่อนน่อนที่คล้องแขนลี่จิ่วเชียนตามจริง พลันเดินมุ่งหน้าไปทางเฉินถิงเซียว จนเธอเกิดอาการตัวแข็งทื่อ
เธอกระซิบพูดเกลี้ยกล่อม “น่อนน่อน?นี่แกจะทำอะไร?”
โดยปกติความจริงมู่น่อนน่อนเป็นคนที่โอนอ่อนเป็นพิเศษ แต่ตอนที่โดนยั่งอารมณ์ให้โกรธจริงๆ นั้น จึงเริ่มแสดงพฤติกรรมในทางตรงกันข้ามกันแทน
เห็นได้อย่างชัดเจน การทะเลาะกันของเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนในครั้งนี้มันไม่ใช่ธรรมดาเลย
ส่วนเฉินถิงเซียวให้ซูเหมียนนั่งอยู่ด้านข้างนั้น มู่น่อนน่อนก็โกรธขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว ดังนั้นถึงได้ลากลี่จิ่วเชียนให้เดินไปพร้อมกัน
เสิ่นเหลียงรู้สึกว่าพฤติกรรมเช่นนี้ความจริงแล้วมันค่อนข้างปัญญาอ่อนอยู่บ้าง
แต่พอคิดถึงตอนที่เฉินถิงเซียวเห็นพวกเขาสองคนเข้าไปหาแล้ว อาจจะแสดงอากัปกิริยาระเบิดอารมณ์ดั่งสายฟ้าฟาด และต้องรู้สึกเจ็บจี๊ดอยู่บ้าง
มู่น่อนน่อนได้ยินคำพูดของเสิ่นเหลียงแล้ว พลันหันไปยิ้มปลอบใจให้เธอ เพื่อส่งสื่อความหมายว่าเธอมีขีดจำกัด
เสิ่นเหลียงเห็นภาพนั้นแล้ว ได้แต่ยอมแพ้ พร้อมทั้งแฝงตัวเข้าไปท่ามกลางฝูงชนมุ่งหน้าไปทางนั้น เพื่ออยากไปดูเรื่องสนุกๆด้วย
เมื่อครู่มู่น่อนน่อนยืนอยู่มุมห้องพร้อมกับเสิ่นเหลียง คนที่อยู่ในงานมัวแต่สนใจในตัวเฉินถิงเซียว เลยไม่มีใครมองเห็นเธอ
ทว่าตอนนี้เธอเดินออกมาจากมุมห้องแล้ว แถมยังเดินตรงแน่วมุ่งหน้าไปทางเฉินถิงเซียว ดังนั้นจึงเรียกความสนใจจากคนที่อยู่ด้านข้าง
“ผู้หญิงคนนั้นคือใครกัน? สวยมาก?”
“ดูคุ้นตาจัง”
“ไอ้หยา นั้นมันไม่ใช่มู่น่อนน่อนอดีตภรรยาของคุณชายเฉินเหรอ? นี่พวกแกจำเธอไม่ได้ตอนที่เธอเข้ามาเหรอ?”
“คนที่เคยตกเป็นประเด็นข่าวคนนั้นอะนะ?”
“ฉันว่าผู้หญิงคนนี้หน้าด้านเกินทน หย่ากับท่านประธานเฉินไปสามปีแล้ว แถมคุณชายเฉินยังมีว่าที่ภรรยาคนใหม่แล้ว แล้วยังหน้าด้านหน้าทนจับไม่ยอมปล่อย…”
“คุณชายเฉินตั้งใจจัดงานเลี้ยงในครั้งนี้เป็นพิเศษ เพื่อพาพ่อของเขาออกงาน และเรียกว่าที่ภรรยาของเขามาด้วย นี่ไม่ใช่เป็นการออกหน้าให้เธอเหรอ?”
“งั้นฉันก็หมดโอกาสแล้วสิ?”
“ฉันว่านะ…”
มู่น่อนน่อนคล้องแขนลี่จิ่วเชียนเอาไง้ แถมเดินมุ่งหน้าโดยที่ไม่ละสายตาสักนิด
คำพูดเหล่านี้ที่พวกเธอพูดออกมา เธอได้ยินอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ
ผู้หญิงเหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่ในใจ เธอก็ย่อมรู้ดีเช่นเดียวกัน
การได้อยู่ในฐานะคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เธอชัดเจนกับเรื่องที่สุดแล้ว คำพูดของพวกเธอย่อมไม่ส่งผลกระทบกับเธอ
หลังจากที่ซูเหมียนนั่งอยู่ด้านข้างของเฉินถิงเซียวแล้ว และคอยกระซิบกระซาบพูดอะไรอยู่ตลอดเวลา
แม้ว่าอายุ 30 ปีแล้วก็ตาม แต่ซูเหมียนก็บำรุงดูแลผิวพรรณเป็นอย่างดีมาก และนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างมีมารยาทแถมสง่างามจนกลายเป็นภาพวิวที่สวยงามอย่างหนึ่ง
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรกับเธอมากนัก แต่สีหน้าก็มองไม่ออกถึงความกระวนกระวายใดๆที่อยู่บนใบหน้า อารมณ์เย็นชาก็ไม่แตกต่างไปจากกับปกติ
แค่ ตอนที่เขาเบนสายตามาจึงเห็นว่ามู่น่อนน่อนเดินคล้องแขนลี่จิ่วเชียนและมุ่งหน้าเดินมาหาเขา นัยน์ตาที่ไร้ความรู้สึกของเขาแต่เดิมนั้นหดตัวลงทันที
เดิมก็เป็นนัยน์ตาที่เข้มอยู่แล้ว แวบเดียวกลับดำมืดพัดโหมอยู่ด้านใน
ทั้งสองคนสบกันอยู่ห่าง ๆ จากนั้นก็เบนสายตาหนีไปเป็นปริยาย
มู่น่อนน่อนก้มศีรษะลง พลันคลี่ยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่แสดงความรู้สึก
ลี่จิ่วเชียนค่อยๆ เดินช้าๆ พลันถอนหายใจออก และใช้น้ำเสียงที่คนสองคนได้ยินเท่านั้น “จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้ไหม”
มู่น่อนน่อนตะลึงเล็กน้อย
เธอเข้าใจในความหมายของประโยคนั้นของลี่จิ่วเชียนดี
ลี่จิ่วเชียนกำลังถามเธอ ว่าต้องใช้วิธีปัญญาอ่านแบบนี้มากระตุกต่อมให้เฉินถิงเซียวโกรธไหม?
อาจจะเป็นเพราะผู้หญิงมักเสียสติไปกับอารมณ์แหละมั้ง
ก่อนหน้าเธอเคยพูดว่าเฉินถิงเซียวความคิดเหมือนเด็ก ตอนนี้เธอก็ไม่ใช่เหรอ
เธอเดินมาถึงจุดนี้แล้ว ย่อมมองไม่เห็นเหตุผลในการถอยกลับแล้ว
ความจริงแล้วระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวห่างกันไม่ไกลนัก แต่ว่าเธอกับลี่จิ่วเชียนเดินช้า ดังนั้นจึงใช้เวลานานในการเดิน
ในที่สุด เธอกับลี่จิ่วเชียนก็เดินมาอยู่ด้านหน้าของเฉินถิงเซียวแล้ว
มีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังล้อมรอบและพูดคุยอยู่กับเฉินถิงเซียวแล้ว แต่คนที่กำลังพูดคุยอยู่เหล่านั้น ต่างรักษาระยะห่างกับเฉินถิงเซียวโดยปริยาย เหมือนเกรงกลัวว่าจะเป็นการรบกวนเขาเช่นนั้น
หลังจากที่มู่น่อนน่อนเดินออกมาจากมุมนั้นแล้ว ทุกคนต่างมองมาที่เธอเช่นเดียวกัน สถานะของเธอจึงไม่เป็นความลับอีกแล้ว
พวกเขามองเห็นมู่น่อนน่อนเดินมาหา พลันหลีกไปอยู่ด้านข้างยังไม่มีการนัดหมายกัน เพื่อหลีกทางให้มู่น่อนน่อน
หลังจากที่มู่น่อนน่อนเดินเข้ามาใกล้แล้ว แถมเธอยังกล่าวขอบคุณให้คนที่หลีกทางให้เธออย่างสง่างามอีกต่างหาก
มู่น่อนน่อนเป็นคนหน้าตาสวยงาม ดังนั้นพออายุมากขึ้น รูปหน้าตาก็พัฒนาขึ้น แถมยังผ่านประสบการณ์มามาก ความงามของเธอนั้นยิ่งถูกขัดเกลาจนมีเสน่ห์ ยามเมื่อตั้งใจยิ้มให้ใครสักคน ยิ่งการชะแง้แลมองมากกว่าเดิม ยิ่งทำให้คนไม่สามารถมองข้ามได้เลย
คนที่เธอกล่าวขอบคุณกลับ ต่างตอบกลับมาอย่างสติเลื่อนลอย “ไม่เป็นไรครับ”
ยามเมื่อมู่น่อนน่อนหันหน้ากลับมาแล้ว ทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้าทันที และเดินผ่านไปยังพื้นที่อันแสนอันตรายที่พวกเขาไม่กล้าเข้าไปเหยียบ เมื่อยื่นอยู่ทางด้านหน้าของเฉินถิงเซียว พลันเผยอปากขึ้น พร้อมทั้งใช้น้ำเสียงดูเนิบนาบ “คุณเฉิน ไม่ได้เจอกันเสียนานนะคะ”
เฉินถิงเซียวที่นั่งหลังพิงเก้าอี้อยู่ พลันช้อนตามองเธอ นัยน์ตาดำคู่นั้นจับจ้องมองเขาเอาไว้ มุมปากเหมือนมีรอยยิ้มเล็ดลอดปรากฏออกมาให้เห็น
ยิ้มเหรอ?
เฉินถิงเซียวไม่ใช่คนจำพวกชอบยิ้มอะไร เรื่องที่ทำให้เขาดีใจจนหลุดยิ้มออกมานั้นน้อยมาก แต่ที่มากกว่านั้น คือการที่เขาโมโหที่สุดจนต้องยิ้มออกมา
ดูเหมือนว่าภาพที่อยู่ตรงด้านหน้าไม่มีอะไรที่ดีใจเป็นพิเศษ ที่ทำให้เขายิ้มออกนี่
มู่น่อนน่อนยิ้มตอบกลับ “ทำไมเหรอ? คุณเฉินรู้จักฉันเหรอคะ?”
พูดจบ เธอก็กดคางลง “ต้องการให้ฉันแนะนำตนเองสักหน่อยไหม?”
สือเย่ที่เพิ่งจะช่วยต้อนรับแขกเหรื่อ ตอนที่เขาเห็นมู่น่อนน่อนเข้ามานั้น ก็รีบเดินเข้ามาหาทันที
เมื่อเขาเดินมาถึงและมองเห็น จึงรู้สึกได้ว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนมันผิดปกติไป บวกกับคำพูดคำจาของมู่น่อนน่อน เขาได้แต่แอบร้องไห้อยู่ในใจ
เฉินถิงเซียวไม่ได้เป็นคนเอ่ยปากพูดก่อนในตอนแรก สือเย่เห็นแล้วยิ่งร้อนใจอยู่บ้าง ตอนที่เตรียมจะพูดนั้น แต่กลับถูกเฉินถิงเซียวทำตาแข็งใส่แทน
เฉินถิงเซียวใช้สายตาตักเตือนอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน เขาไม่อนุญาตให้สือเย่เข้ามายุ่ง
จากนั้น เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้น พลันมองมู่น่อนน่อนจากสูงลงต่ำ น้ำเสียงเย็นชาราวกับกำลังพูดอยู่กับคนแปลกหน้า “เรื่องแนะนำตัวคงไม่ต้องหรอก เมื่อครู่คิดออกแล้วว่าคุณคือใคร”
ตอนนี้มู่น่อนน่อนก็ยังคล้องแขนลี่จิ่วเชียนเอาไว้ เมื่อได้ยินคำพูดคำจาของเฉินถิงเซียวแล้ว เธอลงแรงอย่างไม่รู้ตัว จนแขนของลี่จิ่วเชียนถูกเธอรวบจนเจ็บ แต่เขาก็ยังขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา
ในตอนนี้ความสนใจของมู่น่อนน่อนอยู่บนตัวของเฉินถิงเซียวทั้งหมด แต่ไม่ได้สังเกตลี่จิ่วเชียนสักนิด
เมื่อครู่เฉินถิงเซียวเอาแต่นั่งอยู่ ส่วนเธอยืนอยู่ ทว่าอาจเป็นเพราะปัจจัยในการมองชะเง้อมอง ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกกดดันเป็นพิเศษ
แต่ตอนนี้เฉินถิงเซียวลุกขึ้นยืนแล้ว เธอจึงเงยศีรษะขึ้นเพื่อจะมองหน้าของเขาได้ ภายใต้การกดดันจากความสูง ออร่าที่ติดตัวอย่างเป็นธรรมชาติที่อยู่บนตัวเขาแผ่รัศมีออกมา
นั่นเป็นรัศมีของเฉินถิงเซียวเฉพาะตัว
ทั้งเย็นชา ทั้งเด็ดขาด
มู่น่อนน่อนร่นถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว “เหรอ? งั้นก็ดี”
มู่น่อนน่อนเหลือบมองไปอีกทาง แต่ยังปฏิเสธเสียงแข็ง “เขาไม่ได้มองมาทางฉันนี่”
เสิ่นเหลียงส่งเสียง “ชิ” และพูดออกมา “เขาไม่ได้มองแก หรือว่าเขากำลังมองฉันอยู่เหรอไง?”
“มั้ง” มู่น่อนน่อนตอบตามปกติ
เสิ่นเหลียง “…”
เฉินถิงเซียวมองมาทางมู่น่อนน่อนอย่างเดียว และเข็นเฉินชิงเฟิงไปทางด้านหน้าต่อเรื่อย ๆ
หลังจากที่เขาพูดสั่งการกับสือเย่ไปไม่กี่ประโยค ก็นั่งลงทันที
สือเย่กล่าวเปิดพิธีอยู่หลายประโยค เพื่อเป็นการกล่าวเปิดงาน
เขาพูดจบ จึงสังเกตเห็นมู่น่อนน่อนทันที
เขาหันตัวและกระซิบพูดกับเฉินถิงเซียว “คุณชาย นายหญิงน้อยก็มาร่วมงานด้วย”
“มาก็มาสิ ไม่เกี่ยวกับผมนี่” เฉินถิงเซียวหยิบแก้วแชมเปญขึ้นมา พลันมองต่ำลง น้ำเสียงเย็นชาสุดขั้ว
จนทำให้สือเย่พลันคิดถึงคำพูดหนึ่งขึ้นมา ผู้ร้ายปากแข็ง
เวลานี้ จู่ ๆ พลันมีเสียงฮือฮาดังขึ้น
แม้ว่าเสียงฮือฮาไม่เสียงดังเท่ากับตอนที่เฉินถิงเซียวมาถึง แต่ก็ไม่สามารถทำให้คนเพิกเฉยไปได้
“ใครเหรอนั่น?”
“ได้ข่าวว่าเป็นว่าที่ภรรยาของคุณชายเฉิน!”
“ถึงแม้ข่าวจะพูดแบบนี้ แต่คุณชายเฉินก็ไม่เคยตอบรับอย่างเป็นทางการ ทั้งสองคนไม่ได้จัดงานหมั้นหมายด้วยซ้ำ”
“จะเป็นไปได้ยังไง ข่าวว่ากันว่าทั้งสองคนมีลูกสาวด้วยกันคนหนึ่งแล้ว…”
“ไปฟังใครมาเหรอ นี่มันเรื่องจริงใช่ไหม?”
“……”
มู่น่อนน่อนเอียงหูฟัง เพื่อฟังที่ผู้หญิงหลายคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่
ตอนที่ได้ยินเนื้อหาที่พวกเธอกำลังคุยกันอยู่นั้น ก็พ่นลมหัวเราะอย่างเย็นชาออกมาทันที
เสิ่นเหลียงไม่ทันสังเกตว่าผู้หญิงคนเมื่อครู่นี้พูดเรื่องอะไรบ้าง แต่เห็นสีหน้าของมู่น่อนน่อนไม่มีความสงสัยใดๆ เลย จึงออกปากถามทันที “อะไรเหรอ?”
“ซูเหมียนเข้ามาในงานแล้ว” มู่น่อนน่อนวางแก้วแชมเปญที่อยู่ในมือลงด้านข้าง พร้อมทั้งจัดระเบียบชุดราตรีของตัวเองเล็กน้อย “ฉันไปเติมหน้า”
“ฉันไปกับแกด้วยนะ”
“ไม่ต้องเลย”
มู่น่อนน่อนเดินเข้าห้องน้ำแบบหัวเดียวกระเทียมลีบ
เธอยืนอยู่หน้ากระจก พร้อมทั้งค่อยๆ เติมหน้าอย่างตั้งใจ และมั่นใจว่าเติมหน้าได้สวยหมดจดแล้วจนไม่มีใครเทียบ ถึงได้เดินถือกระเป๋าออกจากห้องน้ำ
จังหวะนั้นเอง เมื่อเธอเดินออกไปก็เจอลี่จิ่วเชียนทันที
“น่อนน่อนเหรอ?”
ลี่จิ่วเชียนเห็นเธอก่อน และเอ่ยปากเรียกรั้งเธอเอาไว้ทันที
มู่น่อนน่อนหันกลับไป พร้อมทั้งตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “เพิ่งมาถึงเหรอคะ?”
“ครับ เพิ่งถึง เมื่อครู่ไม่เห็นคุณตอนอยู่ในห้องบอลรูม ยังคิดเลยว่าคุณคงไม่มานะเนี่ย” ลี่จิ่วเชียนสาวเท้ามาทางด้านหน้า เพื่อเดินให้ทันฝีเท้าของเธอ
จากนั้น เขาก็เดิมเสมอกับมู่น่อนน่อน และค่อยๆ เดินไปอย่างช้าๆ
“เมื่อครู่ไปห้องน้ำมาค่ะ”
มู่น่อนน่อนกับลี่จิ่วเชียนเดินเคียงข้างกัน เข้าไปในบอลรูมจัดงานเลี้ยง
ตอนที่พวกเขากลับเข้ามาในบอลรูมจัดเลี้ยงนั้น คนในงานก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ต่างจับกลุ่มกันพูดคุยกัน
ตรงไหนที่มีคนเยอะที่สุด แน่นอนว่าต้องอยู่ข้างๆ เฉินถิงเซียวอย่างแน่นอน
รอบตัวเฉินถิงเซียวมีคนล้อมรอบอยู่ไม่น้อยเลย คนที่นั่งของข้างเขาก็คือเฉินชิงเฟิง
เฉินชิงเฟิงยังคงนั่งอยู่บนรถเข็น พลางเม้มริมฝีปากไม่ยอมพูดยอมจา สีหน้าเคร่งขรึม มีคนเดินไปพร้อมทั้งกล่าวทักตามมารยาทว่า “คุณเฉิน” เขาก็ตอบรับพร้อมกับเฉินถิงเซียว
ลี่จิ่วเชียนมองมาทางมู่น่อนน่อน พลันยิ้มเล็กน้อย น้ำเสียงแทรกอาการเยาะเย้ยทันที “ขอแค่เป็นมนุษย์ปุถุชนทั่วไป ต่างมองถึงผลประโยชน์ว่าใครมีประโยชน์มากกว่ากัน จึงเห็นความจำเป็นในการสานสัมพันธ์”
อดีตตอนที่เฉินชิงเฟิงเป็นคนมีอำนาจในตระกูลเฉินนั้น คนเหล่านี้ต่างสานสัมพันธ์กับเฉินชิงเฟิง แต่ตอนนี้เฉินถิงเซียวดำรงตำแหน่งเป็นประธานของบริษัทเฉินซื่อ
พวกเขาคงลืมไปแล้วว่าหลังจากเกิดคดีลักพาตัวในปีนั้น แล้วพวกเขาพูดถึงเฉินถิงเซียวที่รอดชีวิตมาได้ว่าอย่างไรบ้าง
หัวใจของคนเราอ่อนแอก็อะไรทั้งสิ้น แต่ก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
“ฟังจากน้ำเสียงคุณแล้ว เหมือนจะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้อย่างถ่องแท้” มู่น่อนน่อนหันกลับไปมองลี่จิ่วเชียน พลันมีการสอบถามอยู่ในน้ำเสียงนั้นด้วย “ถึงอย่างไร ดูเหมือนคุณจะเข้าใจในตระกูลเฉินเป็นอย่างดี”
รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของลี่จิ่วเชียนแข็งทื่อทันที จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติตามเดิม “เหรอ?”
มู่น่อนน่อนจ้องมองเขาอยู่นาน จากนั้นถึงได้ถามกลับ “คำพูดที่คุณพูดก่อนหน้านี้มันจริงหรือเปล่า? ที่คุณพูดว่าเคยช่วยชีวิตฉัน ทำไมฉันจำอะไรไม่ได้เลย”
แม้ว่ามู่น่อนน่อนยอมเชื่อลี่จิ่วเชียนไปตามสัญชาตญาณได้ที่ไม่ได้ไตร่ตรองก่อน ทว่าการที่ลี่จิ่วเชียนสามารถหาตัวเธอกับเฉินถิงเซียวบนเขาเจอได้ในตอนแรก เรื่องนี้ถือว่าน่าสงสัยอยู่บ้าง
ลี่จิ่วเชียนไม่ได้ตอบคำถามของเธอทันที แต่ย้อนถามกลับแทน “นี่คุณกำลังสงสัยในตัวผมอยู่ใช่ไหม?”
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกไปหยิบน้ำผลไม้มาแก้วหนึ่งบนถาดที่พนักงานถือมา พลางจิบเล็กน้อยและพูดต่อ “คุณใช้เวลาอันสั้นในการหาตำแหน่งฉันกับเฉินถิงเซียวเจอ แสดงให้เห็นว่าคุณคอยให้คนจับตามองฉันอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าคุณทำเพื่อทดแทนบุญคุณ หรือคำนึงถึงความปลอดภัยของฉันก็ตาม คุณไม่รู้สึกว่ามันเกินไปไหม?”
มู่น่อนน่อนหันไปมองลี่จิ่วเชียน ด้วยแววตาคมเฉียบเชือดเฉือน
เธอไม่ใช่คนที่เชื่อใจลี่จิ่วเชียนจนโงหัวไม่ขึ้น
ก็เหมือนกับที่พวกของสือเย่คอยพร่ำพูดอยู่ตลอด ลี่จิ่วเชียนเป็นคนไม่มีประวัติความเป็นมา เขามีบุญกับเธอ แต่ว่าบนตัวเขาซ่อนความลับไว้เยอะแยะ ซึ่งมันคนละเรื่องกัน มู่น่อนน่อนแยกแยะอย่างชัดเจน
ลี่จิ่วเชียนยิ้มให้เธอเล็กน้อย ใบหน้าไม่มีอาการเขินอายที่ถูกมู่น่อนน่อนพูดจี้จุดสักนิด “ในเมื่อคุณไม่ยินดี ต่อไปผมจะไม่ทำเช่นนั้นอีก”
เมื่อเขาพูดจบ ก็เหลือบมองไปทางเฉินถิงเซียว น้ำเสียงแสดงความสนอกสนใจออกมา “แล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณและเฉินถิงเซียวเหรอ?”
มู่น่อนน่อนหันกลับมามองเขาอีกรอบ จึงเห็นซูเหมียนเดินมาหยุดทางด้านหน้าของเฉินถิงเซียวไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่และกำลังพูดคุยกับเฉินถิงเซียวอยู่
เฉินถิงเซียวที่กำลังนั่งอยู่ ส่วนซูเหมียนยืนคุยกับเขา เธอขวางทางเฉินถิงเซียวเอาไว้ ส่วนมู่น่อนน่อนจึงมองไม่เห็นสีหน้าความรู้สึกของเฉินถิงเซียวในเวลานี้แล้ว
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าซูเหมียนกับเฉินถิงเซียวกำลังพูดคุยอะไรกันอยู่บ้าง แต่กลับรู้สึกว่าตกใจอยู่บ้าง เพราะเฉินถิงเซียวตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่ซูเหมียนที่กำลังพูดคุยกับเขา
อดีตที่ผ่านมาสามปี สื่อมวลชนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันมาตลอดว่าซูเหมียนเป็นว่าที่ภรรยาของเฉินถิงเซียว ส่วนเฉินถิงเซียวนั้นก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธมาตลอด
ดังนั้น แท้จริงแล้วผู้คนต่างยอมรับกันแล้วว่าซูเหมียนเป็นว่าที่ภรรยาของเฉินถิงเซียวไปแล้ว
แม้ว่าไม่มีการหมั้นหมายกันเลย อย่างน้อยระหว่างคนสองคนก็มีความสัมพันธ์กัน
“ฉันพูดแล้วนะว่าอีนังจิ้งจอกต้องการใช้เต้าไต่หาท่านประธานใหญ่เพื่อเลื่อยขา…” เสิ่นเหลียงเดินเข้ามาหา จนคำว่า “เตียง” ยังไม่ได้พูดออกมาด้วยซ้ำ ตอนที่เห็นลี่จิ่วเชียนอยู่ด้านข้างมู่น่อนน่อนนั้น พลันเงียบปากทันที
ลี่จิ่วเชียนเหลือบมองเสิ่นเหลียง พลันพยักหน้าให้เล็กน้อยและยิ้มตอบอย่างมีมารยาท
เสิ่นเหลียงเองก็ยิ้มตอบตามมารยาท จากนั้นก็เขยิบเข้าหามู่น่อนน่อนพร้อมทั้งถามโดยใช้เสียงแค่สองคนได้ยินเท่านั้น “เกิดอะไรขึ้น ลี่จิ่วเชียนมาได้ยังไง?”
“เฉินถิงเซียวเชิญเขามานะสิ” มู่น่อนน่อนเผลอพูดออกมาอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว น้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย
แม้ว่าคำพูดของเธอนั้นจะพูดกับเสิ่นเหลียงก็ตาม แววตากลับจ้องมองไปทางที่เฉินถิงเซียวอยู่ตรงนั้นแทน
เสิ่นเหลียงหันกลับมา จึงเห็นซูเหมียนนั่งอยู่ด้านข้างเฉินถิงเซียว แม้ว่าทั้งสองคนไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวกันก็ตาม แต่การที่เฉินถิงเซียวให้ซูเหมียนมานั่งอยู่ด้านข้างเขานั้น มันก็สื่อความหมายเป็นนัยแล้ว
เสิ่นเหลียงอัดอั้นอยู่นาน พลันหลุดปากพูดสุภาษิตออกมา “หญิงก็ร้ายชายก็เลว!”
“มาตั้งนานขนาดนี้แล้ว ควรจะเข้าไปทักทายได้แล้วนะ” มู่น่อนน่อนพูดจบ พลางยื่นมือออกไปเกี่ยวแขนลี่จิ่วเชียน “ไปด้วยกันไหมคะ?”
ลี่จิ่วเชียนเหลือบมองสีหน้าเธอแวบหนึ่ง พลันพูดตอบแต่กลับไม่ได้ยิ้มตอบ “ได้ครับ”
####บทที่ 507 จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้ไหม
“ฉันขอเข้าไปก่อนนะ”
สายตาของมู่น่อนน่อนจับจ้องมาที่ตัวของเฉินถิงเซียว ตอนที่เธอพูดออกมาก็ไม่ได้ละสายตาเลยด้วยซ้ำ แต่เสิ่นเหลียงรู้ดีว่า มู่น่อนน่อนกำลังพูดกับเธอ
“ขอตัวก่อนครับ” ลี่จิ่วเชียนพยักหน้าให้เสิ่นเหลียง และเดินไปพร้อมมู่น่อนน่อนเพื่อมุ่งหน้าไปทางเฉินถิงเซียว
เสิ่นเหลียงเบิกตาโต พลันมองมู่น่อนน่อนที่คล้องแขนลี่จิ่วเชียนตามจริง พลันเดินมุ่งหน้าไปทางเฉินถิงเซียว จนเธอเกิดอาการตัวแข็งทื่อ
เธอกระซิบพูดเกลี้ยกล่อม “น่อนน่อน?นี่แกจะทำอะไร?”
โดยปกติความจริงมู่น่อนน่อนเป็นคนที่โอนอ่อนเป็นพิเศษ แต่ตอนที่โดนยั่งอารมณ์ให้โกรธจริงๆ นั้น จึงเริ่มแสดงพฤติกรรมในทางตรงกันข้ามกันแทน
เห็นได้อย่างชัดเจน การทะเลาะกันของเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนในครั้งนี้มันไม่ใช่ธรรมดาเลย
ส่วนเฉินถิงเซียวให้ซูเหมียนนั่งอยู่ด้านข้างนั้น มู่น่อนน่อนก็โกรธขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว ดังนั้นถึงได้ลากลี่จิ่วเชียนให้เดินไปพร้อมกัน
เสิ่นเหลียงรู้สึกว่าพฤติกรรมเช่นนี้ความจริงแล้วมันค่อนข้างปัญญาอ่อนอยู่บ้าง
แต่พอคิดถึงตอนที่เฉินถิงเซียวเห็นพวกเขาสองคนเข้าไปหาแล้ว อาจจะแสดงอากัปกิริยาระเบิดอารมณ์ดั่งสายฟ้าฟาด และต้องรู้สึกเจ็บจี๊ดอยู่บ้าง
มู่น่อนน่อนได้ยินคำพูดของเสิ่นเหลียงแล้ว พลันหันไปยิ้มปลอบใจให้เธอ เพื่อส่งสื่อความหมายว่าเธอมีขีดจำกัด
เสิ่นเหลียงเห็นภาพนั้นแล้ว ได้แต่ยอมแพ้ พร้อมทั้งแฝงตัวเข้าไปท่ามกลางฝูงชนมุ่งหน้าไปทางนั้น เพื่ออยากไปดูเรื่องสนุกๆด้วย
เมื่อครู่มู่น่อนน่อนยืนอยู่มุมห้องพร้อมกับเสิ่นเหลียง คนที่อยู่ในงานมัวแต่สนใจในตัวเฉินถิงเซียว เลยไม่มีใครมองเห็นเธอ
ทว่าตอนนี้เธอเดินออกมาจากมุมห้องแล้ว แถมยังเดินตรงแน่วมุ่งหน้าไปทางเฉินถิงเซียว ดังนั้นจึงเรียกความสนใจจากคนที่อยู่ด้านข้าง
“ผู้หญิงคนนั้นคือใครกัน? สวยมาก?”
“ดูคุ้นตาจัง”
“ไอ้หยา นั้นมันไม่ใช่มู่น่อนน่อนอดีตภรรยาของคุณชายเฉินเหรอ? นี่พวกแกจำเธอไม่ได้ตอนที่เธอเข้ามาเหรอ?”
“คนที่เคยตกเป็นประเด็นข่าวคนนั้นอะนะ?”
“ฉันว่าผู้หญิงคนนี้หน้าด้านเกินทน หย่ากับท่านประธานเฉินไปสามปีแล้ว แถมคุณชายเฉินยังมีว่าที่ภรรยาคนใหม่แล้ว แล้วยังหน้าด้านหน้าทนจับไม่ยอมปล่อย…”
“คุณชายเฉินตั้งใจจัดงานเลี้ยงในครั้งนี้เป็นพิเศษ เพื่อพาพ่อของเขาออกงาน และเรียกว่าที่ภรรยาของเขามาด้วย นี่ไม่ใช่เป็นการออกหน้าให้เธอเหรอ?”
“งั้นฉันก็หมดโอกาสแล้วสิ?”
“ฉันว่านะ…”
มู่น่อนน่อนคล้องแขนลี่จิ่วเชียนเอาไง้ แถมเดินมุ่งหน้าโดยที่ไม่ละสายตาสักนิด
คำพูดเหล่านี้ที่พวกเธอพูดออกมา เธอได้ยินอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ
ผู้หญิงเหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่ในใจ เธอก็ย่อมรู้ดีเช่นเดียวกัน
การได้อยู่ในฐานะคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เธอชัดเจนกับเรื่องที่สุดแล้ว คำพูดของพวกเธอย่อมไม่ส่งผลกระทบกับเธอ
หลังจากที่ซูเหมียนนั่งอยู่ด้านข้างของเฉินถิงเซียวแล้ว และคอยกระซิบกระซาบพูดอะไรอยู่ตลอดเวลา
แม้ว่าอายุ 30 ปีแล้วก็ตาม แต่ซูเหมียนก็บำรุงดูแลผิวพรรณเป็นอย่างดีมาก และนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างมีมารยาทแถมสง่างามจนกลายเป็นภาพวิวที่สวยงามอย่างหนึ่ง
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรกับเธอมากนัก แต่สีหน้าก็มองไม่ออกถึงความกระวนกระวายใดๆที่อยู่บนใบหน้า อารมณ์เย็นชาก็ไม่แตกต่างไปจากกับปกติ
แค่ ตอนที่เขาเบนสายตามาจึงเห็นว่ามู่น่อนน่อนเดินคล้องแขนลี่จิ่วเชียนและมุ่งหน้าเดินมาหาเขา นัยน์ตาที่ไร้ความรู้สึกของเขาแต่เดิมนั้นหดตัวลงทันที
เดิมก็เป็นนัยน์ตาที่เข้มอยู่แล้ว แวบเดียวกลับดำมืดพัดโหมอยู่ด้านใน
ทั้งสองคนสบกันอยู่ห่าง ๆ จากนั้นก็เบนสายตาหนีไปเป็นปริยาย
มู่น่อนน่อนก้มศีรษะลง พลันคลี่ยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่แสดงความรู้สึก
ลี่จิ่วเชียนค่อยๆ เดินช้าๆ พลันถอนหายใจออก และใช้น้ำเสียงที่คนสองคนได้ยินเท่านั้น “จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้ไหม”
มู่น่อนน่อนตะลึงเล็กน้อย
เธอเข้าใจในความหมายของประโยคนั้นของลี่จิ่วเชียนดี
ลี่จิ่วเชียนกำลังถามเธอ ว่าต้องใช้วิธีปัญญาอ่านแบบนี้มากระตุกต่อมให้เฉินถิงเซียวโกรธไหม?
อาจจะเป็นเพราะผู้หญิงมักเสียสติไปกับอารมณ์แหละมั้ง
ก่อนหน้าเธอเคยพูดว่าเฉินถิงเซียวความคิดเหมือนเด็ก ตอนนี้เธอก็ไม่ใช่เหรอ
เธอเดินมาถึงจุดนี้แล้ว ย่อมมองไม่เห็นเหตุผลในการถอยกลับแล้ว
ความจริงแล้วระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวห่างกันไม่ไกลนัก แต่ว่าเธอกับลี่จิ่วเชียนเดินช้า ดังนั้นจึงใช้เวลานานในการเดิน
ในที่สุด เธอกับลี่จิ่วเชียนก็เดินมาอยู่ด้านหน้าของเฉินถิงเซียวแล้ว
มีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังล้อมรอบและพูดคุยอยู่กับเฉินถิงเซียวแล้ว แต่คนที่กำลังพูดคุยอยู่เหล่านั้น ต่างรักษาระยะห่างกับเฉินถิงเซียวโดยปริยาย เหมือนเกรงกลัวว่าจะเป็นการรบกวนเขาเช่นนั้น
หลังจากที่มู่น่อนน่อนเดินออกมาจากมุมนั้นแล้ว ทุกคนต่างมองมาที่เธอเช่นเดียวกัน สถานะของเธอจึงไม่เป็นความลับอีกแล้ว
พวกเขามองเห็นมู่น่อนน่อนเดินมาหา พลันหลีกไปอยู่ด้านข้างยังไม่มีการนัดหมายกัน เพื่อหลีกทางให้มู่น่อนน่อน
หลังจากที่มู่น่อนน่อนเดินเข้ามาใกล้แล้ว แถมเธอยังกล่าวขอบคุณให้คนที่หลีกทางให้เธออย่างสง่างามอีกต่างหาก
มู่น่อนน่อนเป็นคนหน้าตาสวยงาม ดังนั้นพออายุมากขึ้น รูปหน้าตาก็พัฒนาขึ้น แถมยังผ่านประสบการณ์มามาก ความงามของเธอนั้นยิ่งถูกขัดเกลาจนมีเสน่ห์ ยามเมื่อตั้งใจยิ้มให้ใครสักคน ยิ่งการชะแง้แลมองมากกว่าเดิม ยิ่งทำให้คนไม่สามารถมองข้ามได้เลย
คนที่เธอกล่าวขอบคุณกลับ ต่างตอบกลับมาอย่างสติเลื่อนลอย “ไม่เป็นไรครับ”
ยามเมื่อมู่น่อนน่อนหันหน้ากลับมาแล้ว ทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้าทันที และเดินผ่านไปยังพื้นที่อันแสนอันตรายที่พวกเขาไม่กล้าเข้าไปเหยียบ เมื่อยื่นอยู่ทางด้านหน้าของเฉินถิงเซียว พลันเผยอปากขึ้น พร้อมทั้งใช้น้ำเสียงดูเนิบนาบ “คุณเฉิน ไม่ได้เจอกันเสียนานนะคะ”
เฉินถิงเซียวที่นั่งหลังพิงเก้าอี้อยู่ พลันช้อนตามองเธอ นัยน์ตาดำคู่นั้นจับจ้องมองเขาเอาไว้ มุมปากเหมือนมีรอยยิ้มเล็ดลอดปรากฏออกมาให้เห็น
ยิ้มเหรอ?
เฉินถิงเซียวไม่ใช่คนจำพวกชอบยิ้มอะไร เรื่องที่ทำให้เขาดีใจจนหลุดยิ้มออกมานั้นน้อยมาก แต่ที่มากกว่านั้น คือการที่เขาโมโหที่สุดจนต้องยิ้มออกมา
ดูเหมือนว่าภาพที่อยู่ตรงด้านหน้าไม่มีอะไรที่ดีใจเป็นพิเศษ ที่ทำให้เขายิ้มออกนี่
มู่น่อนน่อนยิ้มตอบกลับ “ทำไมเหรอ? คุณเฉินรู้จักฉันเหรอคะ?”
พูดจบ เธอก็กดคางลง “ต้องการให้ฉันแนะนำตนเองสักหน่อยไหม?”
สือเย่ที่เพิ่งจะช่วยต้อนรับแขกเหรื่อ ตอนที่เขาเห็นมู่น่อนน่อนเข้ามานั้น ก็รีบเดินเข้ามาหาทันที
เมื่อเขาเดินมาถึงและมองเห็น จึงรู้สึกได้ว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนมันผิดปกติไป บวกกับคำพูดคำจาของมู่น่อนน่อน เขาได้แต่แอบร้องไห้อยู่ในใจ
เฉินถิงเซียวไม่ได้เป็นคนเอ่ยปากพูดก่อนในตอนแรก สือเย่เห็นแล้วยิ่งร้อนใจอยู่บ้าง ตอนที่เตรียมจะพูดนั้น แต่กลับถูกเฉินถิงเซียวทำตาแข็งใส่แทน
เฉินถิงเซียวใช้สายตาตักเตือนอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน เขาไม่อนุญาตให้สือเย่เข้ามายุ่ง
จากนั้น เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้น พลันมองมู่น่อนน่อนจากสูงลงต่ำ น้ำเสียงเย็นชาราวกับกำลังพูดอยู่กับคนแปลกหน้า “เรื่องแนะนำตัวคงไม่ต้องหรอก เมื่อครู่คิดออกแล้วว่าคุณคือใคร”
ตอนนี้มู่น่อนน่อนก็ยังคล้องแขนลี่จิ่วเชียนเอาไว้ เมื่อได้ยินคำพูดคำจาของเฉินถิงเซียวแล้ว เธอลงแรงอย่างไม่รู้ตัว จนแขนของลี่จิ่วเชียนถูกเธอรวบจนเจ็บ แต่เขาก็ยังขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา
ในตอนนี้ความสนใจของมู่น่อนน่อนอยู่บนตัวของเฉินถิงเซียวทั้งหมด แต่ไม่ได้สังเกตลี่จิ่วเชียนสักนิด
เมื่อครู่เฉินถิงเซียวเอาแต่นั่งอยู่ ส่วนเธอยืนอยู่ ทว่าอาจเป็นเพราะปัจจัยในการมองชะเง้อมอง ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกกดดันเป็นพิเศษ
แต่ตอนนี้เฉินถิงเซียวลุกขึ้นยืนแล้ว เธอจึงเงยศีรษะขึ้นเพื่อจะมองหน้าของเขาได้ ภายใต้การกดดันจากความสูง ออร่าที่ติดตัวอย่างเป็นธรรมชาติที่อยู่บนตัวเขาแผ่รัศมีออกมา
นั่นเป็นรัศมีของเฉินถิงเซียวเฉพาะตัว
ทั้งเย็นชา ทั้งเด็ดขาด
มู่น่อนน่อนร่นถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว “เหรอ? งั้นก็ดี
“เขาจะไม่ไหวได้ไง ตั้งแต่เด็กเขาก็รู้จักเอาอกเอาใจคนแล้ว ถือว่าเป็นหัวหน้าแก๊งเด็กในหมู่บ้านของพวกเราเลยแหละ”
เสิ่นเหลียงพลันคิดถึงเรื่องราวในวัยเด็ก จนรอยยิ้มแสดงอาการหวนคิดถึงออกมาอยู่บ้าง
เสิ่นเหลียงตบไหล่เธอ “ไม่มีปัญหาหรอก ก็แค่1-2 ชั่วโมงเท่านั้นเอง”
“แล้วกู้จือหยั่นไม่ไปร่วมงานเหรอ?” มู่น่อนน่อนถามเธอ
เสิ่นเหลียงแสยะยิ้มให้แทน “วันไหนบ้างที่เขาไม่ได้ใช้ชีวิตเป็นเพลย์บอยอะ งานพบปะหรืองานเลี้ยงฉลองก็จัดอยู่ทุกวัน แค่ไม่ไปร่วมงานวันเดียวคงไม่มีเรื่องใหญ่อะไรหรอก”
ทว่าในเวลานี้มู่น่อนน่อนกลับคิดไปถึงเรื่องอื่นแทน
เรื่องที่เฉินถิงเซียวเป็นประธานที่อยู่เบื้องหลังของบริษัทเสิ้งติ่ง และไม่เคยถูกเปิดเผยเรื่องนี้มาก่อน ส่วนเรื่องที่เขากับกู้จือหยั่นเป็นมิตรกัน นอกจากคนใกล้ตัวแล้ว ก็มีคนรู้เรื่องนี้น้อยมาก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ การที่กู้จือหยั่นไม่ไปร่วมงานเลี้ยงของเฉินถิงเซียวถือว่าพอไปวัดไปวาได้
ตอนที่เธอได้สติกลับมานั้น เสิ่นเหลียงก็โทรศัพท์มาหากู้จือหยั่นทันที
แม้ว่าจะไม่ได้ยินว่ากู้จือหยั่นพูดอะไรก็ตาม มู่น่อนน่อนก็สามารถจินตนาการออกว่ากู้จือหยั่นตอบตกลงอย่างยินดี
แม้ว่าอุปนิสัยของกู้จือหยั่นจะดูยุ่งเหยิงไปบาง แต่ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเสิ่นเหลียงนั้น ใครก็สามารถมองออกทั้งนั้นแหละ
แค่คำพูดของเสิ่นเหลียง เขาก็รับพระบัญชาทันที และไม่มีการพูดคำว่าไม่ออกมาแม้แต่คำเดียว
ความรู้สึกที่ใสซื่อและมั่นคงอย่างชัดเจน มันเป็นวิธีการคบหากันของกู้จือหยั่นกับเสิ่นเหลียง
แม้ว่าเสิ่นเหลียงเหมือนกับเก็บงำเอาไว้ในใจก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ตอบตกลงกู้จือหยั่นอย่างจริงจัง แต่ดูการแสดงออกของกู้จือหยั่นแล้ว ก็ต้องหาวิธีให้เสิ่นเหลียงตอบตกลงอยู่ดี
ถ้าเสิ่นเหลียงไม่ยอมตกลงสักที มู่น่อนน่อนก็ยังสงสัยว่ากู้จือหยั่นคงวุ่นวายกับเสิ่นเหลียงไปตลอดชีวิต
ถือว่าเป็นเรื่องดี และก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร
หลังจากมู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงเลือกชุดราตรีเสร็จแล้ว กู้จือหยั่นก็มาถึงพอดี
เฉินมู่ก็ตื่นนอนเวลานี้พอดี
สาวน้อยที่มีอาการงัวเงียเพราะเพิ่งตื่นนอน พลันลูบคลำผมของมู่น่อนน่อนที่เพิ่งหนีบเสร็จอย่างแปลกใจ
มู่น่อนน่อนเอาใจให้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้า พร้อมทั้งอุ้มตัวเธอออกมา
วิธีการเอาใจเด็กอยู่เสมอของกู้จือหยั่น นั่นก็คือ–ลูกอม
ส่วนเฉินมู่นั้นเป็นเด็กที่ชอบกินลูกอมที่สุดแล้ว
เธอรับลูกอมอย่างหน้าตาแจ่มใส จากนั้นกู้จือหยั่นก็ปรบมือทันที “ไหนให้อาอุ้มหน่อยสิ?”
เฉินมู่ตกหลุมพรางของกู้จือหยั่นทันที พลันยื่นแขนเล็กๆ ออกมาและเอนร่างกายไปทางกู้จือหยั่น
กู้จือหยั่นยิ้มจนตาหยี เดี๋ยวก็ “ลูกรัก” อีกสักพักก็ “ลูกรัก” แสดงท่าทางราวกับเฉินมู่เป็นลูกสาวแท้ๆ ของเขาเช่นนั้นแหละ
ขนคิ้วของเฉินมู่ย่นเข้าหากันจนจะชิดกันอยู่แล้ว “ชื่อมู่มู่ค่ะ”
กู้จือหยั่นขำกับอาการของเธอ “ทำไมนิสัยถึงได้คล้ายกับถิงเซียวเลย ฮ่า ๆ ๆ …”
กู้จือหยั่นอุ้มเฉินมู่เอาไว้ทั้งพูดทั้งหัวเราะไปด้วย ทั้งสองคนเข้าขากันได้ไม่เลวเลย
“ฉันว่าแล้วว่าใช้งานได้แหละ” เสิ่นเหลียงยื่นมือออกมาพาดหัวไหล่ของมู่น่อนน่อน พลันมองตามสายตาของเธอไปมองกู้จือหยั่นกับเฉินมู่
มู่น่อนน่อนยิ้มให้ พลันเดินไปพูดตรงด้านหน้าของกู้จือหยั่น “คงไม่ทำให้คุณเสียเวลาใช่ไหมคะ?”
“ไม่หรอก ผมว่างมาก” หลังจากกู้จือหยั่นเดินเข้าประตูมาแล้ว รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าก็ยังไม่หุบยิ้มเลย
เมื่อครู่มู่น่อนน่อนได้อธิบายให้เฉินมู่ฟังแล้ว ก่อนหน้านี้เฉินมู่ก็รับปากเธอเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว ว่าจะเชื่อฟังคุณลุงกู้
ผู้ใหญ่สามคนกับเด็กหนึ่งคนออกจากบ้านพร้อมกัน
ตอนนี้เวลาใกล้จะหกโมงเย็นแล้ว แม้ว่างานเลี้ยงจะมีของกินก็ตาม แต่ก็กินไม่อิ่ม พวกเขาไปหาของกินแบบง่ายๆ กันในร้านอาหารในโรงแรมเจ็ดดาวที่เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยง
หลังจากกินอาหารเสร็จ กู้จือหยั่นก็ไปเปิดห้อง พร้อมทั้งพาตัวเฉินมู่เข้าไปรอพวกเธออยู่ในห้อง ถ้าเกิดมีเรื่องขึ้น เขาก็สามารถไปรับมู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงที่บอลรูมห้องจัดเลี้ยงได้ทันที
งานเลี้ยงเริ่มงานตอนสองทุ่ม มู่น่อนน่อนจึงลงไปก่อนงานจะเริ่ม
คนยังไม่ได้เยอะมาก มู่น่อนน่อนก็หามุมห้องที่คนมองข้ามเพื่อไปยืนอยู่ตรงนั้น
แขกเหรื่อต่างทยอยเข้างาน ใบหน้าที่คุ้นชินที่อยู่ในโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์เหล่านั้น ต่างปรากฏตัวที่นี่ทั้งหมด
ยิ่งคนที่อยู่ในงานเยอะเท่าไหร่ การที่มู่น่อนน่อนมายืนหลบมุมห้องมันยิ่งไม่ทำให้คนสังเกตเห็น
เสิ่นเหลียงที่มาร่วมสนุกไปกับมู่น่อนน่อน ก็อยู่ที่มุมห้องอยู่ตลอดเวลา แถมยังพูดถึงแขกเหรื่อที่เดินผ่านมู่น่อนน่อนอยู่ตลอดเวลา
“คนนั้นอะ มองผิวเผินเป็นคนจิตใจดี แต่ลับหลังยังเลี้ยงดูเมียน้อยไว้ตั้งหลายคน…”
“นักแสดงผู้หญิงที่ใส่ชุดสีแดงคนนั้นอะ เห็นหรือเปล่า ความจริงเธอแอบแต่งงานแล้วนะ”
“ยังมีคนทางนั้นอีกคน ตั้งใจเอาตัวเข้าแลกมาจนได้เป็นผู้กำกับน้องใหม่ไฟแรงเลยแหละ”
มู่น่อนน่อนฟังแล้วยิ่งออกรสออกชาติ “ฉันคิดว่าแกทำงานผิดทางแล้วแหละ แกควรจะไปเป็นนักข่าว”
เสิ่นเหลียงโบกแก้วแชมเปญที่อยู่ในมือทันที น้ำเสียงเริ่มดังขึ้นมาบ้าง “ในแวดวงการบันเทิงไม่มีความลับหรอก ตัวเองเป็นคนไม่ซื่อสัตย์เอง ไม่ว่าช้าเร็วยังไงก็ต้องถูกขุดขึ้นมา แต่ว่าตอนที่ทุกคนต่างไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกัน ก็ทำเป็นหูทวนลมแสร้งไม่รู้เท่านั้นเอง”
มู่น่อนน่อนตะลึงอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงถามเธอกลับ “มันไม่เหนื่อยมากบ้างเหรอ?”
เธอเป็นคนเขียนบทละคร ถือว่าทำงานอยู่เบื้องหลัง ซึ่งไม่เหมือนกับลักษณะงานของเสิ่นเหลียงเลย
“ยังดี ประเด็นหลังคือการปรับสภาพอารมณ์…”
เวลานั้นเอง บริเวณทางเข้างานก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้น
เสิ่นเหลียงลุกขึ้นยืน พร้อมทั้งเขย่งเท้าและชะเง้อมองไปทางด้านนอก “ท่านประธานใหญ่น่าจะมาแล้ว”
มู่น่อนน่อนก็มองตามสายตาของเธอ จึงเห็นเฉินถิงเซียวกำลังผลักให้เฉินชิงเฟิงเดินเข้ามาในงาน
เฉินถิงเซียวยังคงใส่สูทสีทึบตามความเคยชิน แววตาสดใสเปล่งประกาย แต่มู่น่อนน่อนมักรู้สึกว่าสีหน้าของเขาไม่สู้ดี สีริมฝีปากก็ดูสุขภาพไม่ดีเลย เหมือน…กำลังป่วยอยู่
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก เธอน่าจะคิดมากไปเองแหละ
ร่างกายของเฉินถิงเซียวบึกบึนทนทายาดอย่างกับเหล็กกล้า น้อยครั้งที่จะป่วยกับเขาสักครั้ง
เฉินชิงเฟิงนั่งอยู่บนรถเข็น ทรงผมก็ตัดอย่างดี แต่ด้วยความผอมแห้งเกิน เมื่อใส่สูทที่ตัดพอดีตัวแล้ว มันว่างเปล่าจนฝืนต่อไม่ไหว จนมองไม่เห็นรูปทรง แขนเสื้อข้างหนึ่งก็ว่างเปล่า
แม้ว่าเขาจะก้มหน้าไม่อยากเจอหน้าผู้คนก็ตาม ทว่าพฤติกรรมที่เขาประสานมือไว้แน่น จึงแสดงให้เห็นว่าเขาตื่นเต้นมาก
ยากเกินจินตนาการเหลือเกิน ชายหนุ่มที่มีอำนาจในมือในการบริษัทเฉินซื่อมานับสิบกว่าปี และใช้ชีวิตอยู่ในแวดวงธุรกิจมาครึ่งชีวิต แต่กลับตื่นเต้นเพราะงานเล็กๆ แค่นี้
หลังจากที่มีข่าวเฉินชิงเฟิงถูกลักพาตัวไปแพร่สะพัดออกมาเมื่อสามปีก่อน จนถึงตอนนี้ เขาเพิ่งออกมาให้เห็นหน้าคร่าตาเป็นครั้งแรก
ท่ามกลางเสียงฮือฮานั้น ก็รับรู้ได้ว่าทุกคนต่างตกใจไปตามๆ กัน
หรือเสียใจ หรือสมน้ำหน้าก็ได้
แขกเหรื่อพลันหลีกทางให้เป็นทางเดินตามความรู้สึกทันที เพื่อเว้นทางเดินให้กับเฉินถิงเซียว
สือเย่เดินตามหลังเฉินถิงเซียวด้วยหน้าตาเคร่งขรึม
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ตรงมุมห้อง ด้านหน้าของเธอยังมีคนยืนอยู่มากมาย เฉินถิงเซียวเข็นเฉินชิงเฟิงไปทางด้านหน้าโดยไม่มองด้านข้างเลย น่าจะไม่เห็นเธอหรอกน่า
แต่ว่า ความคิดแบบนี้ของเธอเพิ่งผุดขึ้นมา เฉินถิงเซียวที่กำลังเข็นเฉินชิงเฟิงเดินผ่านหน้าเธอไปแล้ว กลับหันกลับมา สายตาของเขามองผ่านกลุ่มฝูงชน และจ้องมองที่ตัวของมู่น่อนน่อน
คนอื่นๆ ต่างรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวเหมือนมองหาใครสักคนอยู่ ต่างก็มองมาทางมู่น่อนน่อนทันที
มู่น่อนน่อนเห็นแบบนั้น ก็รีบหันตัวกลับ แสร้งทำเหมือนกับคนอื่นๆ คือการมองไปอีกทาง
ทว่าอารมณ์ของเสิ่นเหลียงช่างต่างกันคนละขั้วกับมู่น่อนน่อนเลย เธอดึงแขนมู่น่อนน่อนอย่างดีใจ “ท่านประธานใหญ่กำลังมองมาทางแก เก่งจริง ห่างขนาดนี้ ยังเห็นแกเลย นี่มันสัมผัสที่ 6หรือเปล่าเนี่ย?”
เฉินถิงเซียวทำเป็นหูทวนลมไม่ยอมฟังคำพูดของสือเย่สักนิด
เขาเอนหลังพิง พร้อมทั้งพูดออกมาตามปกติ “งั้นนายพูดออกมาสิ จุดประสงค์อะไรกันที่ทำให้เขาดูแลมู่น่อนน่อนมาสามปีเต็ม แถมยังเรียกตัวเองเป็นว่าที่สามีของมู่น่อนน่อนอีก อีกทั้งตอนอยู่บนเขานั้น เขาก็สามารถหาตัวผมกับมู่น่อนน่อนได้ทันที ส่วนเรื่องจุดประสงค์นั้น…”
เขาหยุดและครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็หัวเราะแห้งออกมา “หึ!”
ทั้ง ๆ ที่เห็นอยู่แล้วว่าคิดไม่ซื่อกับมู่น่อนน่อน ซึ่งมันก็เพียงพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเฉินถิงเซียวแล้ว คงไม่ต้องไปเอ่ยถึงจุดประสงค์อื่นอีกแล้ว
สือเย่ถอนหายใจทันที และก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เฉินถิงเซียวคิดอะไรได้ พลันช้อนตามองมาทางสือเย่ “ช่วงนี้เจอคนคอยสะกดรอยตามมู่น่อนน่อนไหม?”
“ไม่มีครับ” สือเย่ส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน
เฉินถิงเซียวหลุบตาลงและไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ สักพัก ถึงได้พูดออกมาหนึ่งประโยค “จับตาดูทางฝั่งลี่จิ่วเชียนไว้ให้ดี”
ตอนแรก ลี่จิ่วเชียนหาที่พักของเขากับมู่น่อนน่อนเจอได้ตั้งแต่แรก นั่นก็หมายความว่า ลี่จิ่วเชียนได้ให้คนจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของมู่น่อนน่อนทุกอย่าง ไม่งั้นก็ไม่สามารถรับรู้ร่องรอยของมู่น่อนน่อนได้อย่างแม่นยำขนาดนั้น
หลังจากกลับมาจากเมืองหู้หยางแล้ว เขาก็ให้คนคอยปกป้องมู่น่อนน่อนอยู่แบบลับ ๆ แต่ทางฝั่งของลี่จิ่วเชียนกลับเงียบสนิทไม่มีการเคลื่อนไหวสักนิด
หลายปีที่ผ่านมานี้ ลี่จิ่วเชียนถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ฉลาดที่สุดเท่าที่พวกเขาเจอมา
เขารู้ว่าตอนที่ยังตรวจสอบฐานะของลี่จิ่วเชียนกับจุดประสงค์ไม่ได้นั้น ลี่จิ่วเชียนกลับแสดงท่าทางเป็นห่วงเป็นใยมู่น่อนน่อนอยู่มาก
แถมมู่น่อนน่อนยัง…
เฉินถิงเซียวหงุดหงิดพลันยื่นมือออกมานวดบริเวณหัวคิ้วทันที น้ำเสียงแสดงความเหนื่อยล้าออกมาเล็กน้อย “นายกลับบ้านเถอะ”
สือเย่ที่จิตใจจดจ่ออยู่กับการกลับบ้าน ทว่าเมื่อเห็นท่าทางเฉินถิงเซียวในแบบนี้แล้วนั้น เขาก็อดใจไม่ไหว “คุณชาย ผมจะกินข้าวเป็นเพื่อนคุณชายนะ”
“อย่าพูดมาก”
สือเย่ไม่กล้าพูดอะไรมาก จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที
ก่อนที่เขาจะกลับไปนั้น ยังเดินพะวงหน้าพะวงหลังเหลือบมองเฉินถิงเซียวอย่างไม่วางใจ
……
วันศุกร์ใกล้มาถึงเข้าไปทุกที
หลายวันก่อน มู่น่อนน่อนยังไม่ค่อยออกจากบ้านสักเท่าไหร่ เมื่อเขียนบทเสร็จก็ส่งให้ฉินสุ่ยซานดูทันที เมื่อมีเรื่องต้องคุยกันก็วิดีโอคอลทันที
ต้องขอบคุณเทคโนโลยีสมัยใหม่
“คืนนี้แกมางานเลี้ยงจริงๆ เหรอ? ฉันพาแกเข้าไปได้นะ”
หลายวันมานี้ฉินสุ่ยซานคุยงานจบ ปกติแล้วก็จะไม่พูดประโยคตามหลังเลย
“ฉันไม่ไปจริงๆ” มู่น่อนน่อนเองก็ไม่รู้ว่าทำไมฉินสุ่ยซานถึงได้ดื้อดึงกับเรื่องนี้ได้
“โอเค ถ้าแกเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน ก็โทรศัพท์มาหาฉันทันที” ฉินสุ่ยซานเห็นว่าเธอยังยืนกรานปฏิเสธ เลยไม่อยากฝืนเธอ
“ตกลง”
หลังจากกดวางวิดีโอคอลแล้ว มู่น่อนน่อนก็หยิบโทรศัพท์มา แต่ก็ไม่มีสายที่ไม่ได้รับสาย และไม่มีข้อความที่ยังไม่ได้อ่านเลย
นี่เฉินถิงเซียวช่างเก็บอารมณ์ไว้ได้จริงๆ นี่มันสามวันเต็มแล้ว เฉินถิงเซียวยังไม่ยอมติดต่อมาหาเธอเลย
ถ้าพูดว่าตอนที่เธอเพิ่งจะทะเลาะกับเฉินถิงเซียวนั้น มันก็แค่โมโหเล็กน้อยเท่านั้นเอง แต่หลังจากระเบิดอารมณ์ออกมาและผ่านไปสามวันแล้ว มู่น่อนน่อนก็โกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว
ถึงขั้นเฉินถิงเซียวไม่ยอมเป็นคนติดต่อเธอเองเลย งั้นก็ดูกันว่าทั้งสองคนใครจะเก็บอารมณ์ได้มากกว่ากัน
มู่น่อนน่อนที่ในมือถือโทรศัพท์อยู่จนหลุดภวังค์ไป จู่ ๆ โทรศัพท์ก็สั่นขึ้นมา
เธอใจเต้นทันที คิดว่าเฉินถิงเซียวโทรศัพท์เข้ามาหา พลันก้มหน้ามอง แต่กลับเป็นเสิ่นเหลียงโทรเข้ามาหาแทน
เธอกดรับสายทันที เสิ่นเหลียงจึงเอ่ยปากถามเธอ “ออกมาทำผมเร็ว ชุดราตรีที่จะออกงานเลี้ยงเลือกเอาไว้แล้วหรือยัง?”
เรื่องงานเลี้ยงที่เฉินถิงเซียวจัดขึ้น เหมือนว่าลือกระฉ่อนไปทั่วเมืองหู้หยางแล้ว
ส่วนเฉินถิงเซียวอาศัยปลุกกระแสเฉินชิงเฟิงในการจัดงานเลี้ยงฉลอง และไม่ได้ตั้งกฎอะไรขึ้นมา ขอแค่คนมีหน้ามีตาในเมืองหู้หยางก็สามารถเข้าร่วมงานได้
ส่วนคนในวงการบันเทิงเช่นเสิ่นเหลียงแล้ว มีคนไปร่วมงานจำนวนไม่น้อย
น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงฟังดูตื่นเต้น แม้ว่ามู่น่อนน่อนไม่อยากขัดขวางความสุขของเธอ แต่ก็ต้องพูดออกไปตรงๆ “ฉันน่าจะไม่ไป”
เวลานี้เสิ่นเหลียงจับพิรุธได้เป็นพิเศษ
“นี่แกทะเลาะกับท่านประธานงั้นเหรอ?”
“น่าจะใช่มั้ง”
“ทะเลาะกัน งั้นแกก็ต้องไปงานเลี้ยงแล้วแหละ! ฉันว่านะ มีผู้หญิงสวยมากหน้าหลายตายขนาดนั้นอยู่ในงาน แถมยังจะอาศัยลูกแกเพื่อทอดสะพานมาหาพ่อของลูกแกนั่นแหละ เรื่องทะเลาะกันก็ทะเลาะกันไป ต้องแยกแยะให้ออกว่าต้นเหตุเป็นยังไง? แกต้องคอยสอดส่องเขาไว้ด้วย!”
มู่น่อนน่อนไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อนเลย อาจจะเป็นเพราะว่าเธอเชื่อมั่นในตัวของเฉินถิงเซียวมากเกินไปแล้ว
เฉินถิงเซียวเป็นคนเย่อหยิ่งขนาดนั้น คนที่เขาไม่ชอบ อย่าพูดเลยว่าจะเอาเต้าไต่ปีนขึ้นเตียงเขา ขนาดก็อยู่ใกล้ๆ ใครยังทำไม่ได้เลย
“งั้นก็เอาตามนี้นะ อีกเดี๋ยวไปเลือกชุดราตรีแล้วก็ไปทำผมกัน!”
เสิ่นเหลียงพูดตัดบทอย่างรวบรัด และวางสายทันที
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง เสิ่นเหลียงก็มาเคาะประตูบ้านของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนไม่คิดเลยว่าเธอจะมาเร็วถึงเพียงนี้ พอเปิดประตูออกไปดู พลันพูดออกมาด้วยความตกใจทันที “เร็วขนาดนี้เชียว?”
“อยู่แถวนี้พอดีเลย” เสิ่นเหลียงรอบเส้นผมที่มุดเข้าไปอยู่ในคอเสื้อ พร้อมทั้งโบกมือทันที “อย่ายืนขวางทางสิ หลีกหน่อย”
“อะไรนะ?” มู่น่อนน่อนแปลกใจอยู่บ้าง แต่ยังคงหลบไปทางด้านข้างให้
มู่น่อนน่อนเขยิบไปทางด้านข้าง เสิ่นเหลียงหันตัวกลับและพูดกับคนที่อยู่ด้านหลัง “เข้ามาสิ”
เสิ่นเหลียงพูดจบ ก็เดินเข้ามาด้านในทันที
ด้านหลังของเธอมีดีไซเนอร์และทีมช่างแต่งหน้าอีกกลุ่มหนึ่ง แถมยังเอาชุดราตรีมาให้เธอเลือกสรรอีกด้วย
มู่น่อนน่อนถามเธอ “นี่แกคิดจะทำอะไรเนี่ย?”
“ก็เลือกชุดราตรีและก็แต่งหน้าไปด้วยเลย เสร็จแล้วก็ไปงานเลี้ยงเลย” เสิ่นเหลียงคลี่ยิ้มเป็นรูปครึ่งเสี้ยว และเป็นรอยยิ้มบางของมาตรฐานหญิงสาว
มู่น่อนน่อนที่ไม่อยากไปร่วมงานเลี้ยงอยู่แล้ว ทว่าเสิ่นเหลียงนั้นได้ลงทุนใช้ความคิด แถมยังเอาชุดราตรีที่สวยมากมาด้วย
ผู้หญิงไม่มีภูมิต้านทานกับเสื้อผ้าอันสวยงามตามสวรรค์ลิขิตอยู่แล้ว แถมจับแต่งหน้าทำผมสักหน่อย แล้วก็อยากออกไปเดินโชว์ความสวยงามข้างนอกแล้ว
หลายวันมานี้เธอไม่ค่อยออกจากบ้าน อยู่บ้านก็แสนจะเบื่อเต็มที
ช่างทำผมกับดีไซเนอร์ต่างเป็นคนในทีมของเสิ่นเหลียง ค่อนข้างเชื่อถือได้มาก
“เลือกชุดราตรีก่อนเลย” เสิ่นเหลียงพามู่น่อนน่อนมาเลือกชุดราตรี พลันใช้สายตามองสำรวจรอบบ้าน “มู่มู่ล่ะ?”
“หลับอยู่ เธอนอนกลางวันยาว” ตอนนี้เพิ่งจะสี่โมงเย็นเอง บางครั้งเฉินมู่ก็นอนยาวไปถึงเย็น
เมื่อเอ่ยถึงเฉินมู่ มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฉันพามู่มู่ไปงานเลี้ยงไม่ได้นะ ตอนนี้ยังไม่ได้ถูกเปิดเผยเรื่องมู่มู่”
เสิ่นเหลียงได้ยินตามนั้น ถึงกลับตะลึงทันที และออกปากถามกลับ “งั้นทำยังไงดี? หรือว่าให้เอาไปส่งที่ท่านประธานโดยตรงเลย ในวิลล่าก็มีบ่าวไพร่ตั้งเยอะแยะ”
“ไม่ได้ ตอนนี้ฉันทะเลาะกับเขาอยู่ ถ้าฉันเอาตัวมู่มู่ไปส่งคืน เขาคงคิดว่าฉันแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็นนะสิ” งานเลี้ยงใช่ว่าจำเป็นต้องไปนี่ เธอเป็นคนดูแลมู่มู่เองไม่มีวันจะเอาตัวมู่มู่ไปส่งคืนทางเฉินถิงเซียวนั้นแน่
เพื่อลูก เลือกที่ยอมทิ้งสิ่งของบางอย่าง นี่เป็นบทเรียนที่คนพ่อเป็นแม่ที่ไม่สามารถลดละไปได้อีกบทหนึ่ง
เสิ่นเหลียงได้ยินแล้วก็รู้สึกว่ามีหลักการ แถมเวลานั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะจัดการอย่างไรดี
จังหวะนั้นเอง แววตาของเสิ่นเหลียงก็ทอประกายทันที “ฉันคิดออกแล้ว ให้กู้จือหยั่นเป็นคนดูแลเฉินมู่แทนสิ ส่วนพวกเราสองคนก็ไปงานเลี้ยงกันไง!”
“กู้จือหยั่น?” มู่น่อนน่อนถึงกับสะอึกทันที “เขาจะไหวไหมเนี่ย?”
แม้ว่ากู้จือหยั่นจะรู้จักเอาอกเอาใจเด็กก็ตาม แต่ว่าเขาเป็นผู้ชายตัวโต มู่น่อนน่อนไม่ไว้ใจว่าเขาจะดูและสาวน้อยเป็นอย่างดี
เฉินมู่แสดงอาการแปลกใจที่สุดกับคำพูดของมู่น่อนน่อน “กินบุหรี่กินอิ่มด้วยเหรอคะ?”
เธอรู้ว่าบุหรี่คืออะไร แต่ก็แปลกใจว่าสูบบุหรี่มันกินได้ด้วยเหรอ
มู่น่อนน่อนยิ้มให้เล็กน้อยจากนั้นก็พูดออกมา “เพราะว่านั่นเป็นทักษะของพ่อหนูไงคะ ในทางกลับกันหนูแค่รู้ว่าพ่อหนูอิ่มแล้วก็พอแล้วค่ะ”
เฉินมู่พยักหน้าอย่างไม่รู้ความหมาย
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนกับเฉินมู่กินข้าวอิ่มแล้วและกลับมานั้น ในห้องมันเงียบเชียบผิดปกติ
มู่น่อนน่อนเปิดไฟ และสำรวจบริเวณโดยรอบ จนสุดท้ายสายตาจับจ้องไปที่ประตูห้องของเฉินถิงเซียว
ไม่ต้องผลักประตูเข้าไปดู เธอก็รู้ดีว่า เฉินถิงเซียวไม่ได้อยู่ในห้อง
เพราะว่า ในห้องกลิ่นอายของเฉินถิงเซียวมันหายไป
ตัวเธอเองก็ยังไม่ชัดเจนกับความรู้สึกแวบนั้น ในทางกลับกันเมื่อเดินเข้าประตูบ้านไปแล้วก็รู้สึกได้ทันที ว่าเฉินถิงเซียวไม่อยู่ที่นี่
เมื่อเดินเข้าประตูไปนั้น เธอก็ยังให้ความสนใจตรงหน้าประตูด้วย
ก้นบุหรี่กับเถ้าบุหรี่ที่อยู่ตรงนั้นมันไม่อยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่าเฉินถิงเซียวจะจัดการกวาดจนสะอาดขึ้นมาจริงๆ
เธอจินตนาการท่าทางเฉินถิงเซียวถือไม้กวาดและโค้งตัวลงไปกวาดพื้น
เธอไม่เคยเห็นเฉินถิงเซียวกวาดพื้นมาก่อนเลย ภาพภาพนี้ต้องอาศัยจินตนาการเท่านั้น
ส่วนเฉินมู่นั้น เมื่อเข้าประตูไปก็วิ่งไปผลักประตูห้องของเฉินถิงเซียวทันที “คุณพ่อคะ?”
เธอใช้มือตบลงบนบานประตูอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีคนตอบกลับเธอ เธอเลยส่งเสียงมาทางมู่น่อนน่อนพร้อมทำสายตาสงสัย “คุณแม่ คุณพ่อไม่ยอมเปิดประตูค่ะ”
เพราะเธอนึกว่าเฉินถิงเซียวยังอยู่ในห้อง
“น่าจะนอนหลับแล้วมั้ง” มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปหา พลันจูงมือเธอเข้าไปในห้องน้ำ “มู่มู่ก็ต้องนอนได้แล้วค่ะ”
เวลาก็ไม่ใช่ช่วงหัวค่ำแล้ว ก่อนหน้าที่เฉินมู่จะกินข้าวนั้นก็แสดงอาการให้เห็นว่าง่วงนอนแล้ว
ตอนที่เธอกำลังอาบน้ำให้เฉินมู่อยู่ เฉินมู่ก็เริ่มแสดงอาการสัปหงกหัวเหมือนเจ้าไก่น้อยที่กำลังจิกข้าว
หลังจากกล่อมเฉินมู่นอนแล้ว มู่น่อนน่อนก็ปิดประตู และความหาโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วหาเบอร์โทรศัพท์ของเฉินถิงเซียว นิ้วมือที่อยู่หน้าจอก็มีอาการลังเลอยู่สักพัก ในที่สุดก็ไม่ได้กดโทรหา
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นความผิดของเฉินถิงเซียว แล้วมีสิทธิ์อะไรที่ให้เธอเป็นคนออกหน้าก่อน
แม้ว่าเธอจะก้มหัวให้เฉินถิงเซียวเพื่อคืนดีกันแล้ว แต่ปัญหาที่มันค้ำคอระหว่างคนสองคนยังไม่ได้สะสางเลย
และก็ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวกำลังคิดอะไรอยู่…
……
เช้าตรู่ สือเย่ได้รับโทรศัพท์จากเฉินถิงเซียว พร้อมทั้งกำชับให้เขาไปที่วิลล่าเพื่อช่วยเอาของใช้ส่วนตัวพร้อมทั้งเสื้อผ้าสองชุด ไปให้เฉินถิงเซียวที่บริษัทด้วย
สือเย่รับโทรศัพท์จนพูดคุยเสร็จแล้ว จนเกิดความสงสัยอยู่ในใจ
คุณชายก็พักอยู่กับคุณหญิงน้อยอยู่ตลอด? ทำไมจู่ ๆ ต้องให้เขาเอาเสื้อผ้าไปที่บริษัทด้วยล่ะ?
ทะเลาะกันแล้วเหรอ?
เมื่อมาถึงบริษัท สือเย่ก็รู้ว่าสิ่งที่ตนเองคาดเอาไว้นั้นไม่มีผิดเพี้ยนไปเลย
ตลอดทั้งวัน บริษัทเฉินซื่อต่างตกอยู่ในสภาวะอัดอั้นท่ามกลางการถูกบีบจนเคร่งขรึมอยู่ตลอด
เฉินถิงเซียวอารมณ์ไม่ดี เวลาพูดจาออกมาก็ไม่ไว้หน้าใครเลย
ตอนถึงช่วงเวลาเลิกงานนั้น หลังจากที่สือเย่ได้รับข้อความที่ภรรยาส่งมาให้เร่งกลับบ้านไปกินข้าวถึงสามครั้งสามคราแล้วนั้น จึงได้ใช้ข้ออ้างในการส่งเอกสาร เพื่อไปยังห้องทำงานของเฉินถิงเซียว
“คุณชาย วันนี้ให้ผมขับรถไปส่งคุณกลับบ้านไหม?”
เฉินถิงเซียวพูดอย่างไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ “ไม่ต้อง”
“งั้นผมขอตัวกลับบ้านก่อนนะครับ?” สือเย่ลองถามดู
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้น ถึงเงยหน้าขึ้นมองเขา “เลิกงานเหรอ?”
สือเย่ผงกหัวรับเล็กน้อย พร้อมทั้งตอบกลับอย่างพินอบพิเทา “ใกล้จะสามทุ่มแล้วครับ”
เฉินถิงเซียวพูดอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “เมื่อก่อนนายก็ไม่รีบร้อนกลับบ้านไม่ใช่เหรอ”
“เมียรอกินข้าวอยู่ที่บ้านครับ” เมื่อเอ่ยถึงภรรยา สีหน้าของสือเย่พลันปรากฎรอยยิ้มขึ้นมาทันที
รอยยิ้มนั่นมันช่างทิ่มตาชะมัด
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลงเล็กน้อย พลันจ้องมองสือเย่อยู่สักพัก จู่ ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นทันทีและหยิบเสื้อโค้ทติดมือมาและเดินออกจากห้อง
ตอนที่เดินผ่านตัวของสือเย่นั้น เฉินถิงเซียวก็พูดอย่างปกติ “ไปเถอะ”
“คุณชายจะไปไหนครับ?” สือเย่รีบตามไปทันที
“ไปกินข้าวที่โรงแรมจีนติ่ง”
สือเย่ได้แต่ขับรถพาเฉินถิงเซียวไปโรงแรมจีนติ่ง
เขานึกว่าเอาตัวเฉินถิงเซียวไปส่งที่โรงแรมจีนติ่งก็สามารถกลับบ้านได้แล้ว แต่ว่า ตอนที่เขาเปิดประตูให้เฉินถิงเซียวนั้น เฉินถิงเซียวกลับพูดขึ้นมาลอย ๆ “ไปกินข้าวด้วยกัน”
“คุณชาย…” สือเย่อยากจะปฏิเสธ แต่เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปในโรงแรมจีนติ่งแล้ว ภายใต้แสงไฟส่องแผ่นหลังตังตรงกลับแผ่รัศมีความหดหู่ออกมาแทน
เขาไม่อยากกินข้าวกับเฉินถิงเซียวสักนิด แต่เขาอยากกลับไปกินข้าวกับลูกเมียที่บ้านต่างหาก
อายุมากขึ้นแล้ว ก็คิดถึงแค่ที่บ้านอย่างเดียว
แต่เฉินถิงเซียวออกคำสั่งลงมาแล้ว แล้วเขาจะทำยังไงได้ล่ะ?
ก็ต้องเสนอหน้าเดินเข้าไปอยู่ดี
วันนี้เฉินถิงเซียวสั่งอาหารเยอะ จนเต็มโต๊ะฟุ่มเฟือยเหลือเกิน
แต่อาหารพวกนี้กลับมีรสชาติจืดชืดทั้งหมด
แถมยังไม่ใช่รสชาติถูกปากของเฉินถิงเซียวเลย การที่ได้อยู่กับเฉินถิงเซียวมาตั้งหลายปี สือเย่ย่อมรู้ดีว่าเฉินถิงเซียวติดอาหารรสชาติเผ็ด
ผู้ชายตัวโตทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกัน แถมไม่พูดอะไรกันสักคำ ขนาดบรรยากาศมันยังดูเคอะเขินเลย
สือเย่เกิดอาการสงสัยขึ้นมา นี่เฉินถิงเซียวทะเลาะกับมู่น่อนน่อนเลยไม่ยอมกลับไปกินข้าวที่บ้าน ดังนั้นเลยไม่ให้เขากลับบ้านไปกินข้าวกับลูกกับเมีย จึงจงใจดึงเขามากินข้าวด้วยกันแทน
เฉินถิงเซียวสังเกตเห็นท่าทางของสือเย่ พลันเลิกคิ้วถามทันที “กินข้าวกับผมมันลำบากใจขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“เปล่าครับ” สือเย่รีบปฏิเสธทันควัน
จากนั้นก็ถอนหายใจออก พร้อมทั้งถามกลับอย่างกล้าบ้าบิ่น “คุณชายคุณ…ทะเลาะกับนายหญิงน้อยมาใช่ไหมครับ?”
เฉินถิงเซียวที่กำลังคีบกับข้าวอยู่นั้น เมื่อได้ยินคำพูดของสือเย่แล้ว มือที่กำลังคีบอยู่นั้นถึงกลับค้างเติ่งไปทันที
เขาดึงมือกลับ จากนั้นก็วางตะเกียบลงบนโต๊ะอาหาร สายตามองสือเย่ดั่งกองเพลิง
“ผมแค่พลั้งปากถามออกไปเอง ถ้าคุณชายยอมพูดออกมา ผมอาจจะช่วยแบ่งเบาคุณชายได้สักหน่อยนะ”
สือเย่พูดทุกอย่างออกมาจากใจจริง เขาเข้าใจเฉินถิงเซียวและย่อมเข้าใจมู่น่อนน่อนดี ว่าการที่ทั้งสองคนทะเลาะกัน ส่วนใหญ่ต้นเหตุจะมาจากเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวกลับไปยอมตอบคำถามของเขาทันที สือเย่ก้มหัวลงเล็กน้อย เพื่อรอเขาพูดออกมา
ชั่วครู่ พลันมีเสียงเฉินถิงเซียวค่อยๆ ดังขึ้น “นายว่าลี่จิ่วเชียน กำลังสร้างความสนใจให้มู่น่อนน่อนหรือเปล่า?”
“ประวัติความเป็นมาของคุณลี่ไม่ชัดเจนนัก ต้องมีจุดประสงค์อื่นกับนายหญิงน้อยแน่” เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย
“ขนาดนายเองยังรู้ว่าลี่จิ่วเชียนคิดไม่ซื่อกับมู่น่อนน่อน ส่วนมู่น่อนน่อนยังพูดว่าระหว่างเธอกับลี่จิ่วเชียนไม่มีอะไรเลยเถิด!” เฉินถิงเซียวพูดจบ ยังหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา
สือเย่ได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียวแล้ว พลันย่นคิ้วหากันเล็กน้อย “คุณชาย ผมคิดว่า จุดประสงค์ของคุณลี่ที่มีต่อนายหญิงน้อย แต่ไม่ใช่เชิงชู้สาว มีจุดประสงค์อื่นมากกว่า”
นิสัยแย่ๆ ของคุณชายแก้ไม่หายสักที เพราะมักจะรู้สึกว่าผู้ชายที่เข้าใกล้มู่น่อนน่อนทุกคน ต่างมีความคิดเชิงชูสาวมีใจให้มู่น่อนน่อนทั้งนั้น
ไม่มีความรู้สึกปลอดภัย แถมยังตะขิดตะขวงใจอยู่ตลอด แถมติดดื้อรั้นอีกต่างหาก
ปัญหาเหล่านี้ นานมากแล้ว ที่เขามองออกทุกอย่างอยู่บนตัวเฉินถิงเซียว
แต่ว่า นั่นเป็นเฉินถิงเซียวตอนอายุ 23 ปี
เขาเพิ่งมาทำงานเป็นลูกน้องให้เฉินถิงเซียว ความจริงแล้วเฉินถิงเซียวก็ไม่เชื่อมั่นเขาเลย
หลังจากนั้นผ่านเวลามายาวนาน เฉินถิงเซียวก็อายุเพิ่มมากขึ้น และยิ่งเปลี่ยนเป็นคนเก็บเนื้อตัวไม่ค่อยพูด เวลาที่ทำงานอยู่ โดยพื้นฐานเขาไม่เคยสร้างปัญหาด้วยเหตุผลไร้สาระ
แต่นิสัยแย่ๆ เหล่านี้ กลับเอามาใช้กับมู่น่อนน่อนแทน
ถ้าพูดกันถึงต้นตอ มันเชื่อมโยงกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเฉินถิงเซียวในสมัยเด็ก
หลังจากผ่านเรื่องนั้นมาแล้ว เฉินถิงเซียวก็จะสร้างเกาะป้องกันในใจอยู่บ้าง
บางครั้งก็เปลี่ยนไปดื้อรั้น ไม่มีความปลอดภัย เรื่องนี้สามารถเข้าใจได้
แต่พอนานวันเข้ายังเป็นแบบนี้อยู่ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลย
เธอหัวเราะจนพ่นลมอย่างเย็นชาออกมา “สำหรับคุณแล้ว ฉันมองผู้ชายคนอื่นหลายครั้งหน่อย ก็เท่ากับคิดอยากทำเรื่องบัดสีกับผู้ชายคนนั้นงั้นสิ?”
การแสดงออกของเฉินถิงเซียวเย็นชามากกว่าเธอ “อย่างน้อยลี่จิ่วเชียนก็อยากจะทำเรื่องบัดสีกับคุณแล้วกัน”
“นี่คุณต้องการให้ฉันพูดกับคุณสักกี่ครั้งกันนะ! ฉันกับลี่จิ่วเชียนบริสุทธ์ใจไม่เคยทำเรื่องบัดสีอะไรเลย!”
เหตุเพราะอาการโกรธเคือง มู่น่อนน่อนจึงพูดด้วยเสียงสูงปรี๊ด
“ตอนที่ความทรงจำเสื่อม คุณก็อยู่กับลี่จิ่วเชียนชายหนุ่มหญิงสาวอยู่ด้วยกันสองต่อสอง…”
ยังไม่ทันรอให้มู่น่อนน่อนโมโห ตัวเฉินถิงเซียวเองก็กำหมัดไว้แน่นขึ้นมาก่อนแล้ว สีหน้าแสดงอาการพายุเพชรหึงออกมา
มู่น่อนน่อนถึงกลับตะลึงชั่วครู่ เธอไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ ว่าในใจของเฉินถิงเซียวยังคงคิดบัญชีกับเรื่องนี้อยู่
แต่ เธอก็ได้อธิบายให้เฉินถิงเซียวไปแล้วไม่ใช่เพียงแค่รอบเดียว ทว่าเฉินถิงเซียวก็ยังคิดบัญชีอยู่ตลอด ไม่ใช่เพียงเท่านี้ แถมยังลองใจเธออีก
เฉินถิงเซียวเขาใส่อารมณ์โมโหพลาดฟาดงวงฟาดงาไปทั่ว แล้วทำไมมู่น่อนน่อนตนเองจะมีอารมณ์โกรธเคืองบ้างไม่ได้ล่ะ
เธอมิอาจยอมปล่อยผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า
มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ น้ำเสียงอดกลั้นความโกรธเคืองเอาไว้ “ตอนนี้เพิ่งรู้สึกเก็บมาคิดแล้วเหรอไง? คุณรู้สึกว่าฉันกับลี่จิ่วเชียนไม่บริสุทธิ์ใจงั้นสิ งั้นคุณกับซูเหมียนก็บริสุทธิ์ใจแล้วเหรอ? สามปีที่ผ่านมาฉันนอนอยู่บนเตียงอยู่ตลอด ส่วนคุณกับซูเหมียนอยู่ในฐานะว่าที่สามีภรรยากัน ไม่มีใครหน้าไหนในเมืองหู้หยางที่ไม่รู้ว่าคุณกับซูเหมียนเป็นว่าที่สามีและภรรยากันด้วยเหรอ?”
ยิ่งขุดคุ้ยพูดเรื่องเก่าในอดีต น้ำเสียงมู่น่อนน่อนยิ่งเย็นชาขึ้น
ในใจของเธอก็เคยมีความรู้สึกที่ไม่สุขใจซุกซ่อนเอาไว้บางๆ แต่เพราะว่าการแสดงออกของเฉินถิงเซียว ดังนั้นเธอเลยเชื่อมั่นเฉินถิงเซียว
ก่อนหน้านี้เธอเคยไปเที่ยวหาเสิ่นเหลียงนั้น ทางสื่อมวลชนก็ยังขุดเรื่องงานแต่งงานของเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนขึ้นมา แถมยังด่าเธอว่าอีเมียน้อยอีก
ตอนนั้นเธอถูกด่าทอจนกลายเป็นกระแสไป
หลังจากนั้นเฉินถิงเซียวได้จัดการเรื่องนี้ทันที ตอนนั้นเธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
ทว่า พฤติกรรมในครั้งนี้ของเฉินถิงเซียว มันกระตุ้นต่อมความโกรธของมู่น่อนน่อน
เมื่อก่อนคิดว่าไม่เคยโกรธสักนิด แต่รู้สึกสำคัญอะไรมากนัก ตอนนี้เมื่อหวนกลับไปคิดขึ้นมาแล้ว จนทำให้เธอรู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง
หากต้องการสร้างความรู้สึกระหว่างคนสองคนเอาไว้ จึงจำเป็นต้องพยายามอย่างต่อเนื่องระหว่างคนสองคน
แต่ถ้าต้องการจะหักหาญกัน มันช่างง่ายดายเหลือเกิน แค่ให้คนหนึ่งในนั้นคว้ามีดออกมา ซึ่งเพียงพอแล้วในการทำลายความรู้สึกอันแสนขื่นขมนี้ไป
ครั้งนี้ เฉินถิงเซียวเป็นคนคว้ามีดออกมาก่อน
ถ้าเป็นในอดีต มู่น่อนน่อนรู้ดีว่าเฉินถิงเซียวเป็นผู้ชายขี้งก จึงคอยเอาใจเพื่อให้ผ่านไปได้
ทว่าระหว่างคนสองคนนั้น การยอมอ่อนข้อให้และการเอาใจมันไม่สามารถเป็นอาวุธที่เอาไว้รักษาความรู้สึกเอาไว้ได้
ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ การยอมอ่อนข้อให้การเอาใจ อาจจะกลายเป็นบรรทัดฐานระหว่างพวกเขาแทน
ระยะนี้แม้ว่าทั้งสองคนจะดูเป็นมิตรกันมากก็ตาม แต่ช่องตรงกลางนั้นยังมีปัญหาอยู่มาก
ปัญหาเหล่านั้นก็กำลังอยู่ที่ปากปล่องระบาย เพียงแวบเดียวมันก็จะพรั่งพรูออกมา อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน
แววตาของเฉินถิงเซียวจับจ้องเธออย่างเอาเป็นเอาตาย พลางเม้มริมฝีปากเหมือนกับควบคุมอะไรอยู่
และก็ไม่รู้ว่าใช้เวลาผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว อารมณ์โกรธของเขาเปลี่ยนเป็นการหัวเราะออกมาแทน “เรื่องของผมกับซูเหมียนมันเกิดอะไรขึ้น? คุณย่อมรู้ดีแก่ใจไม่ใช่เหรอ?”
มู่น่อนน่อนถามยอกย้อนฝ่ายตรงข้ามกลับ “เรื่องของฉันกับลี่จิ่วเชียนมันเกิดอะไรขึ้น? คุณย่อมรู้ดีแก่ใจเหมือนกันนี่?”
“ผมไม่เคยรู้แจ้งมาก่อนเลย แต่ตอนนี้ผมรู้แจ้งทุกอย่างแล้ว! หึ!”
การเยาะเย้ยในตอนสุดท้ายนั้น ฟังดูแล้วมันทำให้คนตกใจอยู่มาก
มู่น่อนน่อนโมโหจนลุกพรวดขึ้นทันที พลางชี้ไปที่ประตู “ออกไป!”
เฉินถิงเซียวหรี่ตามองเล็กน้อย “นี่คุณไล่ผมออกไปเหรอ?”
มู่น่อนน่อนต้องการจะอ้าปากพูด พลันฉุกคิดได้ว่าเฉินมู่กำลังนอนหลับอยู่ จึงกระซิบพูดแทน “ดูเหมือนว่าความสามารถในการฟังของคุณยังปกติดีอยู่มากนะ!”
เฉินถิงเซียวกำหมัดไว้แน่น พลันผ่อนแรงและบีบจนแน่น เมื่อแน่นแล้วก็ผ่อนออก
จากนั้นก็ลุกพรวดขึ้น และหันตัวสาวเท้ายาวไปทางด้านนอกทันที
ปึง!
ประตูห้องถูกคนใช้ความรุนแรงในการปิด จนมีเสียงดังสะท้อนทะลุแก้วหู
บรรยากาศในห้องพลันกลับคืนเป็นปกติดังเดิมในเวลานั้น
มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งนิ่งอยู่ครู่เดียว ถึงได้หันหน้าไปมองทางประตู
สิ่งที่เข้ากระบอกตาก็คือบานประตูที่ปิดสนิท ในห้องนอกจากเธอแล้วก็ไม่มีบุคคลที่สองอยู่เลย
เฉินถิงเซียวไปแล้วจริงๆ ด้วย
มู่น่อนน่อนฟุบนั่งลงบนโซฟาทันที พลางยื่นมือขึ้นมาประคองหน้าผากเอาไว้ ผ่านไปชั่วครู่เธอถึงได้ลุกขึ้นและเดินไปยังห้องครัว
เฉินถิงเซียวออกไปแล้ว แต่เธอกับเฉินมู่ยังต้องกินข้าวต่อ
แต่ ตอนที่เธอทำกับข้าวอยู่นั้นจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนมีดบาดนิ้วตนเอง
มู่น่อนน่อนบีบนิ้วของตนเองเอาไว้แน่น พลันยื่นมือออกไปล้างน้ำที่เปิดน้ำจากก๊อกน้ำอย่างท้อแท้ใจอยู่เล็กน้อย จากนั้นจึงเดินไปหาพลาสเตอร์ปิดแผล
แผลค่อนข้างลึก ขนาดติดพลาสเตอร์แล้วยังรู้สึกเจ็บอยู่เลย
มู่น่อนน่อนหงุดหงิดใจ หลังหันผักแบบขอไปทีแล้ว จึงจัดการเอาผักเทลงในหม้อทันที
ตอนที่เธอกำลังทำอาหารอยู่นั้น เฉินมู่ก็ตื่นนอนพอดี
เฉินมู่เดินขยี้ตาและนั่งลงอยู่ด้านหน้าโต๊ะทานข้าวอย่างเชื่อฟัง เธอมองมู่น่อนน่อน และมองตำแหน่งที่อยู่ด้านข้างเธอ
มู่น่อนน่อนหาข้ออ้างให้ทันที “คุณพ่อไปทำโอทีที่บริษัทแล้วจ้ะ”
“อ้อ” ทำงานนี่เอง คุณพ่อต้องทำงานทุกวันเลย
เฉินมู่เด็กในคราบผู้ใหญ่ทำท่าเหมือนพยักหน้า พลันหยิบช้อนขึ้นมากินข้าว
เธอตักอาหารเข้าปากและจัดการเคี้ยวเล็กน้อย จากนั้นก็พ่นอาหารมาไว้ในชามแถมทำหน้าตาขื่นขม พลันบ่นพึมพำ “เค็มปี๋เลยค่ะ”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้น จึงรีบเทน้ำให้เฉินมู่ทันที จากนั้นตนเองก็ลองชิมอาหารดูบ้าง
เมื่อครู่ตอนที่เธอกำลังทำกับข้าวอยู่นั้น มัวแต่ตักข้าวและคีบกับข้าวให้เฉินมู่ เลยไม่ได้ชิมรสชาติก่อน
เมื่อใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากแล้ว เธอแค่กัดไปนิดเดียว ก็คายทิ้งทันที
เค็มปี๋จนถึงขั้นขมคอเลยแหละ
เฉินมู่กอดแก้วน้ำเอาไว้ พลันดื่มน้ำแก้วใหญ่จนเสียงดัง “อึกอักๆ” และกะพริบตามองมู่น่อนน่อน และถามเธอกลับ “เค็มไหมคะ”
“เค็มค่ะ” มู่น่อนน่อนวางตะเกียบลง “เราไปกินข้าวข้างนอกกันเถอะนะคะ”
เฉินมู่ปรบมือดีใจมาก “ไปค่ะ”
โชคดีที่ไม่ดึกมากมัก
มู่น่อนน่อนใส่เสื้อกันหนาวให้เฉินมู่หลายตัว จากนั้นจึงพาเธอเดินมาที่ประตูเพื่อจะออกจากบ้าน
แต่พอเปิดประตูมานั้น เธอก็เห็นเฉินถิงเซียวอยู่ข้างประตูแทน
บนตัวเขาใส่แค่กางเกงสแล็คและเสื้อเชิ้ตอยู่ มืออีกข้าวหนึ่งก็ล้วงกระเป๋ากางเกง อีกมือหนึ่งก็คีบบุหรี่เอาไว้ แผ่นหลังยืนพิงกำแพง และพอยท์ขาเอาไว้ข้างหนึ่ง ราวกับเป็นภาพอันแสนสวยงามภาพหนึ่ง
มู่น่อนน่อนเพิ่งคิดได้ ก่อนหน้าที่เขาจะออกจากบ้านนั้น ลืมเอาเสื้อกันหนาวออกมาด้วย
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เฉินถิงเซียวก็หันกลับมาทันที เขาเหลือบมองมู่น่อนน่อน พลันดับบุหรี่ที่อยู่ในมือทันทีตามสัญชาตญาณ
เฉินมู่วิ่งไปดึงมือของเขาอย่างดีใจทันที และแหงนหน้ามองเขา “คุณพ่อคะ!”
แต่เธอก็ย่นคิ้วและแสดงอาการรังเกียจออกมาทันที “เหม็นค่ะ”
ที่เธอพูดก็คือกลิ่นบุหรี่อยู่ติดอยู่บนตัวของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนเหร่ตามองอย่างไม่ได้ตั้งใจ จึงเห็นว่าที่พื้นมีก้นบุหรี่กองอยู่ลูกย่อมๆ และนับไม่ถูกว่ามันมีก้นบุหรี่กี่อันด้วยซ้ำ
เฉินถิงเซียวพูดอย่างไร้ความรู้ “ผมกลับมาเอาเสื้อโค้ท”
เมื่อเขาพูดจบ ก็หันตัวและเดินเข้าไปในห้องทันที
มู่น่อนน่อนเหลือบมองก้นบุหรี่ที่กองกับพื้นอยู่แวบหนึ่ง ก็แค่กลับมาเอาเสื้อโค้ทเหรอ หรือว่าไม่ได้ไปไหนเลยมากกว่า?
จังหวะนั้นเธอใจอ่อนทันที
ซึงมันรวดเร็วมาก เธอก็ใจแข็งขึ้นมาอีก รอตอนที่เฉินถิงเซียวคว้าเอาเสื้อโค้ทออกมาแล้ว มู่น่อนน่อนก็พูดลอยลมออกมาหนึ่งประโยค “ก่อนไป ช่วยจัดการกวาดก้นบุหรี่ตรงหน้าประตูก่อนแล้วค่อยไป”
เธอเหลือบมองสีหน้าไร้ความรู้สึกของเฉินถิงเซียวอย่างพอใจ แต่ก็มีความรู้สึกแข็งทื่ออยู่ชั่วแวบเดียว
จากนั้น เธอก็จูงมือเฉินมู่ไปทางด้านนอก “พวกเราไปกันเถอะ”
“คุณพ่อล่ะคะ?”
“เขาไม่หิว เพราะกินบุหรี่จนอิ่มแล้วค่ะ”
ลี่จิ่วเชียนมองมาทางเฉินมู่และยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง”
เฉินมู่เม้มริมฝีปากพลันยื่นอมยิ้มให้กับมู่น่อนน่อน “คุณแม่แกะให้หนูทีสิคะ”
มู่น่อนน่อนรับมา จากนั้นจึงเริ่มแกะให้เธอ พร้อมทั้งเอ่ยถามลี่จิ่วเชียนไปด้วย “ทำไมห้องทำงานของคุณถึงมีพวกลูกอมอยู่ในห้องด้วยล่ะ?”
“คนไข้ของผมนอกจากคนผู้ใหญ่แล้ว ยังมีเด็กๆ อีก” ลี่จิ่วเชียนพูดกำชับ และแสดงท่าทางต้องการถามเธอกลับ “พูดมาเถอะ ที่มาหาผมมีเรื่องอะไร”
มู่น่อนน่อนตะลึงเล็กน้อย “ฉันมาคุยกับคุณไม่ได้เลยเหรอคะ?”
“ก็หวังให้เป็นแบบนั้นนะ แต่คุณมาหาผมเพื่อจะหาเรื่องคุยกันเท่านั้นเองเลยเหรอ?” รอยยิ้มที่อยู่บนสีหน้าของลี่จิ่วเชียนยังคงยิ้มร่าเช่นเดิม แต่กลับแสดงความรู้สึกมองเห็นทุกอย่างทะลุปรุโปร่งผ่านทางสายตา
มู่น่อนน่อนได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “คุณพูดมาแบบนี้ฉันก็รู้สึกละอายใจอยู่นะ ฉันมีเรื่องจริงๆ ถึงต้องมาที่นี่”
เธอพูดจบ พลันหยิบบัตรเชิญที่อยู่ในกระเป๋าใบนั้นยื่นให้ลี่จิ่วเชียน
“วันศุกร์ที่จะถึงนี้ เฉินถิงเซียวจะจัดงานเลี้ยง หวังว่าคุณสามารถไปร่วมงานได้นะ”
ลี่จิ่วเชียนเหลือบมองบัตรเชิญแวบหนึ่ง ด้วยสีหน้าท่าทางไม่เปลี่ยนไปจากเดิม “เฉินถิงเซียวเขาให้คุณเอามาให้ผมเหรอ?”
แววตาของมู่น่อนน่อนทอประกายออกมา และคอยมองเธอแต่ไม่ได้พูดอะไร
“คุณก็รู้ดีว่าผมกับเฉินถิงเซียวไม่ถูกกัน ย่อมไม่มีทางที่จะเชิญผมไปร่วมงานเลี้ยงที่เขาจัดขึ้นมาแน่นอน ฉะนั้นเฉินถิงเซียวจึงให้คุณเอามาให้ผม”
ลี่จิ่วเชียนแสยะยิ้มออกมา ท่าทางเหมือนการหยอกล้ออยู่บ้าง “เฉินถิงเซียวไอ้หมอนี่ มันช่างตลกจริง ทั้ง ๆ ที่เกลียดแสนเกลียดผมจนไม่อนุญาตให้คุณมาเจอหน้าผม แต่ยังให้คุณเป็นคนมาส่งบัตรเชิญให้ผมด้วยตัวเองนี้ นี่ก็ไม่รู้ว่ามีความคิดแผลง ๆ อะไรอยู่อีก”
มู่น่อนน่อนเพิ่งค้นพบว่า ผู้ชายพวกนี้ที่เธอรู้จัก ไม่มีสักคนที่จะจัดการอะไรง่ายๆ ได้เลย
ลี่จิ่วเชียนซึ่งไม่มีที่มาที่ไปที่แน่ชัด แถมยังเป็นคนฉลาดเฉลียวเช่นกัน จากสภาพก็ไม่ได้จงใจคิดไม่ดีกับเธอเลย แต่มู่น่อนน่อนย่อมรู้ดี สิ่งที่ลี่จิ่วเชียนลงมือทำทุกเรื่องนั้น ไม่มีเรื่องใดที่ไม่มีเหตุและผล
ในทำนองเดียวกัน เฉินถิงเซียวใช่ว่าทำทุกเรื่องอย่างไม่มีเหตุและผล
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่สักพัก เหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้แล้ว จนหน้าถอดสีทันที
ลี่จิ่วเชียนสังเกตสีหน้าของเธอที่เปลี่ยนไป “มีอะไรเหรอ?”
“เปล่าค่ะ” มู่น่อนน่อนฝืนยิ้ม จนมุมปากมันดูเกร็งอยู่บ้าง “ฉันมีธุระต่อขอตัวกลับก่อนแล้วกันค่ะ เดี๋ยวเจอกันนะคะ”
“ผมไปส่งคุณเอง ขับรถมาใช่ไหม?” ลี่จิ่วเชียนลุกพรวด พลันหยิบเสื้อโค้ทที่วางพาดอยู่บนเก้าอี้ขึ้นมา เพื่อเตรียมไปส่งมู่น่อนน่อนทางด้านนอก
มู่น่อนน่อนพูดทันควัน “ไม่ต้องไปส่งหรอก ฉันขับรถมาเอง”
“งั้นผมเดินไปส่งพวกคุณ”
ลี่จิ่วเชียนไม่สนใจคำพูดของมู่น่อนน่อนสักนิด แถมยังพาตัวสองคนแม่ลูกมาส่งถึงที่รถจอดอยู่
จังหวะที่เดินกลับมานั้น พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ก็พูดติดตลกกับเขา “คุณหมอลี่ คุณมู่ตั้งใจมาหาคุณโดยตรงเลยนะเนี่ย”
“ใช่ครับ ตั้งใจมาหาผมโดยเฉพาะเลย มานั่งอยู่ไม่ถึงสิบนาทีก็กลับซะแล้ว” ลี่จิ่วเชียนตอบคล้อยตามน้ำกับคำพูดของเธอไป แต่ไม่มีอาการโกรธเคืองแต่อย่างใด
เมื่อเขากลับเข้ามาด้านในห้องทำงานแล้ว รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าก็จืดจางลงทันที
ยามเมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ด้านหลังโต๊ะทำงานแล้ว ลี่จิ่วเชียนก็แสยะยิ้มด้วยความเย็นชาออกมาแทน
สายตาของเขาจับจ้องอยู่บนบัตรเชิญ เพียงชั่วพริบตาเดียว จากนั้นก็เบนสายตาไปทางอื่นแทน
เฉินถิงเซียวนี่กำลังคิดยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวอยู่นี่หน่า
เขาไม่เพียงแต่กำลังลองใจมู่น่อนน่อน และเป็นการลองใจเขาเช่นกัน
ถึงขั้นคนเข้ามาเชื้อเชิญถึงที่แล้ว เขาย่อมออกสู้รบอย่างยินดี
……
ตลอดการเดินทางกลับบ้านของมู่น่อนน่อน เธอขับรถค่อนข้างเร็วอยู่พอควร
เฉินมู่นั่งอยู่เบาะหลัง และผล็อยหลับไปแล้วหลังจากได้กินอมยิ้ม
ตอนที่รถยนต์ขับมาถึงใต้ตึกหมู่บ้านนั้น รถยนต์ของเฉินถิงเซียวก็กำลังขับเข้ามาในเวลาเดียว
มู่น่อนน่อนเหลือบมองนาฬิกา ประมาณห้าโมงครึ่งพอดี
เฉินถิงเซียวเพิ่งจะเลิกงานและกลับมาพอดี
เธอเปิดประตูลงจากรถยนต์ สือเย่ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็กำลังเปิดประตูรถให้กับเฉินถิงเซียวพอดี ตอนที่เฉินถิงเซียวลงจากรถนั้น จึงเห็นมู่น่อนน่อนทันที
ทั้งสองคนมองหน้ากันโดยเว้นระยะห่าง สีหน้าต่างไม่สู้ดีเลย
สือเย่เหลือบมองมู่น่อนน่อน และเหลือบมองเฉินถิงเซียว พร้อมทั้งออกปากถามอย่างลองใจ “คุณชาย?”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวเคร่งขรึมเล็กน้อย “นายกลับบ้านไปเถอะ”
หลังจากที่สือเย่กลับไปแล้ว เฉินถิงเซียวถึงได้มุ่งหน้าเดินมาทางมู่น่อนน่อน “มู่มู่ล่ะ?”
น้ำเสียงและเสียงของเขาซึ่งเหมือนกับปกติไม่มีสิ่งใดผิดแปลกไป แต่ว่า นัยน์ตาของเขานั้นกลับเป็นการขายเขาเอง นัยน์ตาดำขลับกลับมีความดำมืดกระพือไปมา
“นอนหลับไปแล้ว”
มู่น่อนน่อนหันตัว จากนั้นก็เปิดประตูทางด้านเบาะหลัง พลันย่อตัวลงไปอุ้มเฉินมู่ออกมา
เธอเพิ่งยื่นมือออกไป ทว่ากลับถูกเฉินถิงเซียวคว้าข้อมือเอาไว้แทน “ผมอุ้มเอง”
เขาพูดจบ เขาก็พูดเสริมให้อีกประโยค “ช่วงนี้เธออ้วนขึ้นแล้ว”
“ใครเขาพูดว่าเด็กอ้วนกัน? นี่เป็นน้ำหนักเหมาะสม” มู่น่อนน่อนถลึงตาใส่เขาไปครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังคงถอยไปอยู่ข้างๆ เขาแทน
เฉินถิงเซียวปลดเข็มขัดนิรภัยที่อยู่บนคาร์ซีทออก พลันอุ้มเฉินมู่ออกมา
เฉินมู่นอนหลับสนิท ตอนที่ถูกเฉินถิงเซียวอุ้มขึ้นมานั้นก็ยังไม่ตื่นเลย
เฉินมู่พาดตัวอยู่บนไหล่ของเฉินถิงเซียว ท่อนแขนของเฉินถิงเซียวมีแรงอยู่มาก แถมยังใช้มือข้างเดียวกอดขางอๆ ของเธอเอาไว้ ก็สามารถอุ้มเฉินมู่ได้อย่างมั่นคงแล้ว
มู่น่อนน่อนเดินไปอยู่ทางด้านหลัง จากนั้นก็ปิดประตู และจัดการล็อกประตูรถและเดินตามหลังไป
ตอนที่เธอกำลังเดินตามหลังเฉินถิงเซียวไปนั้น เฉินถิงเซียวจึงกดลิฟต์รอ
เธอยืนห่างออกไปทางด้านหลังเฉินถิงเซียวครึ่งก้าว และขึ้นลิฟต์ไปพร้อมกับเขา
แม้ว่าระยะห่างของทั้งสองคนจะไม่ไกลกันนัก แต่เฉินถิงเซียวก็รู้สึกได้ว่า มู่น่อนน่อนจงใจเว้นระยะห่างกับเขา
เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แววตาพลันหม่นหมองลงกว่าเดิม
จนเข้าบ้านแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดคุยกันมากมาย
เฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่ให้เข้าไปนอนในห้อง ตอนที่เดินออกมานั้น ก็เห็นว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้ไปทำอาหาร แต่กลับนั่งอยู่ที่โซฟา พร้อมทั้งแสดงอาการต้องการจะพูดคุยกับเขายาวๆ
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปหา และนั่งลงฝั่งตรงข้ามของเธอ
มู่น่อนน่อนช้อนสายตาขึ้น และมองหน้าเขาอย่างไร้ความรู้สึก
เฉินถิงเซียวยังคงทำท่าควบคุมเกมเพื่อรักษาอาการเอาไว้ก่อน หากต้องการให้เขาเป็นคนเอ่ยปากเองก่อน มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย
มู่น่อนน่อนพูดอย่างหมดความอดทน “บัตรเชิญไปงานเลี้ยง ฉันเอาไปส่งให้ลี่จิ่วเชียนถึงมือแล้ว คุณพอใจหรือยังคะ?”
ปกติน้ำเสียงเธอจะอ่อนหวานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทว่าเมื่อจงใจใช้ลากเสียงยาวเท่านั้นแหละ ฟังแล้วก็เหมือนไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่
สีหน้าของเฉินถิงเซียวเย็นชาทันที พลางเอื้อมมือแห้งกร้านออกไปดึงเนคไทออก พฤติกรรมที่แสดงออกมาดูหงุดหงิดมาก
เขาโยนเนคไทไปอีกทาง และพูดน้ำเสียงเย็นเฉียบ “มีโอกาสได้เจอหน้าเขาอย่างเป็นทางการ คนที่ควรพอใจน่าจะเป็นคุณแล้วล่ะมั้ง?”
เขาถึงขั้นไม่เอ่ยชื่อของลี่จิ่วเชียนออกมาด้วยซ้ำ เมื่อออกปากเอ่ยชื่อแล้วรู้สึกโมโหตาม
นัยน์ตามู่น่อนน่อนหม่นหมองลงเล็กน้อย
ที่แท้ มันก็เหมือนกับสิ่งที่เธอคิดเอาไว้แล้วในตอนแรก เฉินถิงเซียวกำลังลองใจเธออยู่
เรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับเธอนั้น เขาไม่เคยใจกว้างอะไรมากมายนัก ดังนั้นเขาคงไม่มีทางให้เธอเอาบัตรเชิญไปให้ลี่จิ่วเชียนอย่างบริสุทธิ์ใจอย่างแน่นอน
เขาใช้วิธีการนี้ในการลองใจมู่น่อนน่อน
สำหรับเขาแล้ว เขาไม่ลงรอยกับลี่จิ่วเชียน มู่น่อนน่อนก็ไม่ควรจะไปมาหาสู่ลี่จิ่วเชียนอีก
ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องให้เฉินถิงเซียวพูดตรงๆ ออกมา ตอนนี้มู่น่อนน่อนก็สามารถคาดเคาความคิดที่อยู่ในใจของเฉินถิงเซียวออก
ตอนนี้เขาต้องรู้สึกว่า การที่เธอตอบตกลงที่เอาบัตรเชิญไปให้ลี่จิ่วเชียนด้วยตัวเองนั้น คงมีเยื่อใยกับลี่จิ่วเชียนอยู่ ถ้าเธอไม่เอาบัตรเชิญไปส่งให้ ในทางกลับกันก็สามารถพิสูจน์ความจริงใจของเธอได้
มู่น่อนน่อนรู้สึกตลกชะมัดเลย และยังรู้สึกสงสารอยู่บ้างในเวลาเดียวกัน
มู่น่อนน่อนจ้องมองสือเย่ไปเหมือนกับยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร และก็ไม่ได้รับจดหมายเชิญไปด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าสือเย่รู้อยู่แล้วว่ามู่น่อนน่อนได้มองออกแล้วว่านี่เป็นเจตนารมณ์ของเฉินถิงเซียวที่ได้สั่งให้ทำ
เขาก้มหน้าลงไปเล็กน้อย จำต้องกัดฟันเอ่ยออกมา “คุณหญิงกับคุณลี่มีความสนิทสนมกัน คุณเป็นคนออกหน้า เขาจะต้องไว้หน้าคุณแน่”
มู่น่อนน่อนเลิกคิ้วพลางเอ่ยออกมา “พูดเสียเหมือนกับว่าพวกนายออกหน้าแล้วลี่จิ่วเชียนจะไม่มีวันเข้าร่วมงานเลี้ยงยังไงอย่างนั้น เขาไม่ใช่คนใจแคบอย่างนั้นเสียหน่อย”
ถึงแม้ว่าลี่จิ่วเชียนกับเฉินถิงเซียวจะไม่ถูกกัน แต่ลี่จิ่วเชียนเป็นคนที่ใจกว้างคนหนึ่ง ขอเพียงแค่พวกเขาส่งจดหมายเชิญไป ลี่จิ่วเชียนก็จะต้องไปแน่ๆ
สือเย่ปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อตอนนั้นตอนที่เขาตามจีบภรรยาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยากที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า นั่นไม่ใช่เรื่องที่ยากที่สุดเลย
สิ่งที่ยากที่สุดเลยก็คือการมีเจ้านายที่มีนิสัยประหลาดคนหนึ่ง และคุณผู้หญิงของเจ้านายที่ทำอะไรผิดแผกไปจากแบบแผนที่กำหนดไว้คนหนึ่ง
มู่น่อนน่อนพูดมาอย่างนี้แล้ว แน่นอนว่าสือเย่ไม่มีทางจะพูดอ้อมค้อมกับมู่น่อนน่อนออกไปอีก เขาทอดถอนหายใจออกมาเบามากเสียจนยากที่จะสังเกตได้ “แท้ที่จริงแล้วนี่เป็นความต้องการของคุณชายครับ”
สือเย่พูดไปตามจริง มู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจอีก ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเอ่ยถามออกไป “ทำไมเขาถึงได้ให้ฉันเป็นคนไปส่งจดหมายเชิญ?”
ตามความรู้สึกนึกคิดของเฉินถิงเซียว ไม่ใช่ว่าควรจะไม่ให้เธอกับลี่จิ่วเชียนได้เจอกันหรอกเหรอ? ตอนนี้นึกไม่ถึงว่าจะยังให้เธอไปส่งจดหมายเชิญให้อีก
“ไม่ทราบครับ” เมื่อตอนนั้นเฉินถิงเซียวเพียงแค่มอบหมายเรื่องนี้มาเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้บอกเหตุผลมา
แน่นอนว่าสือเย่ไม่กล้าถามออกไปอยู่แล้วเช่นกัน
“ฉันทราบแล้ว” มู่น่อนน่อนรับจดหมายเชิญไป “ฉันจะเอาไปส่งด้วยตัวเองกับมือเลย นายกลับไปเถอะ”
มู่น่อนน่อนพาเฉินมู่ขึ้นรถ สือเย่ยืนอยู่ที่ข้างถนน รอให้รถของมู่น่อนน่อนขับไปแล้วถึงจะผันร่างเดินเข้าไปในตึกใหญ่ของบริษัทเฉินซื่อไป
เขาตรงไปขึ้นลิฟต์ไปยังห้องทำงานของเฉินถิงเซียว
ประตูห้องทำงานไม่ได้ปิด สือเย่เดินไปที่ข้างประตู ยื่นมือไปเคาะประตูไปสองที
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย เพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองเขาไปแวบนึง ส่งสัญญาณบอกให้เขาเข้ามา
ไม่รอให้เฉินถิงเซียวถามออกมา สือเย่ก็ได้เป็นฝ่ายเอ่ยออกไปก่อน “จดหมายเชิญผมได้เอาให้คุณหญิงเรียบร้อยแล้วครับ”
“เธอว่ายังไงบ้าง?” เฉินถิงเซียวก้มหน้าลงเปิดเอกสาร น้ำเสียงฟังไปแล้วดูไม่ใส่ใจอะไร ราวกับไม่ได้สนใจ
แต่สือเย่กลับฟังออกถึงความรู้สึกที่ต่างออกไปจากเดิมอยู่บ้างจากในน้ำเสียงของเขาออกมารางๆ
เขาครุ่นคิดไปแป๊บนึง แต่ก็เลือกที่จะพูดตามจริงออกไป “คุณหญิงบอกว่าเธอจะส่งไปให้คุณลี่ด้วยตัวเองกับมือเลย”
การเคลื่อนไหวในการเปิดเอกสารของเฉินถิงเซียวได้ช้าลงไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาสีดำสนิทเหมือนกับหมึกดำคู่นั้นได้เข้มขึ้นเสียจนเหมือนกับมีน้ำหมึกกำลังจะหยดออกมาจากข้างในยังไงอย่างนั้น
“นายพูดมาอีกที” เสียงของเขาดังชัดและเยือกเย็นออกมา ยังคงเป็นน้ำเสียงที่ไม่ได้เร็วไม่ได้ช้าจนเกินไปอยู่ แต่ในทุกๆคำล้วนเฉียบคมจนเหมือนกับแท่งน้ำแข็งที่ย้อยลงมาเลยทีเดียว
สือเย่นั้นถึงแม้ว่าใจยังมีความลังเลอยู่ แต่ก็ยังคงพูดซ้ำออกไปอีกครั้งด้วยความเร็วในการพูดที่เร็วมาก “คุณผู้หญิงบอกว่าเธอจะเอาไปส่งให้คุณลี่ด้วยตัวเองกับมือครับ”
ภายในห้องทำงานมีความเงียบไปอยู่สักพักนึง
แม้ว่าสือเย่จะไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าตรงๆของเฉินถิงเซียว ก็สามารถจินตนาการถึงสีหน้าในตอนนี้ของเฉินถิงเซียวออกมาได้ว่ามันไม่น่ามองมากแค่ไหน
แต่หลายวิผ่านไป เขาก็ได้ยินเพียงแค่เฉินถิงเซียวพูดประโยคหนึ่งออกมาเท่านั้น “ออกไปเถอะ”
สือเย่จึงได้เงยหน้าขึ้นมา เตรียมที่จะผันร่างออกไป
เพียงแต่ว่าตอนที่เขากรอกสายตามองไปโดยไม่ตั้งใจ ก็เห็นมือทั้งสองข้างของเฉินถิงเซียวได้กำหมัดแน่น มือข้างหนึ่งที่ได้วางอยู่บนเอกสาร ได้กำเอกสารหน้านั้นจนกลายเป็นก้อนเดียวกัน
ภายในใจของสือเย่ได้ตกใจกลัวขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าพูดมากมายอะไรออกมา แล้วผันร่างออกไปทันที
หลังจากที่เขาออกไป เพิ่งจะปิดประตูห้องทำงานลง ก็ได้ยินเสียง “ปังปัง” ดังออกมาจากด้านใน เหมือนกับกำลังทุบอะไรอยู่
มือทั้งสองของสือเย่กุมเข้าด้วยกันอยู่ที่ข้างหน้า ยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องทำงานไปด้วยความนอบน้อมสุดๆ เงี่ยหูฟังไปสักพักนึงอย่างตั้งอกตั้งใจ จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงอะไรจากด้านในแล้ว ถึงจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วไปที่ห้องทำงานของตัวเอง
เขาในตอนนี้ก็ได้รู้ตัวขึ้นมาแล้วว่าเฉินถิงเซียวให้เขาเอาจดหมายเชิญไปให้มู่น่อนน่อน ไม่ได้อยากจะให้มู่น่อนน่อนเอาจดหมายเชิญไปให้ลี่จิ่วเชียนจริงๆ
เฉินถิงเซียวเขาไม่ได้อยากให้มู่น่อนน่อนเป็นคนส่งไปให้
แต่มู่น่อนน่อนกลับอยากจะเอาไปส่งให้ด้วยตัวเอง…
……
สำหรับคลินิกจิตเวชของลี่จิ่วเชียน มู่น่อนน่อนได้คุ้นเคยเป็นอย่างดีแล้ว
เธอเอาจดหมายเชิญไป ขับรถพาเฉินมู่ไปด้วยกัน
ครึ่งทาง เธอได้เอารถไปจอดไว้ที่ริมถนน ถือโอกาสซื้อผลไม้เอาไปด้วยสักหน่อย
ถึงที่แล้ว ตอนที่เธอจูงเฉินมู่เข้าไป พนักงานประชาสัมพันธ์สาวรู้จักเธอ ไม่รอให้เธอได้พูดออกไป ก็ได้ถามเข้ามาทันที “คุณมู่มาหาคุณหมอลี่ของพวกเราเหรอคะ?”
“อืม เขายุ่งอยู่หรือเปล่า?” มู่น่อนน่อนยิ้มพลางถามออกไป
“วันนี้ยังดีที่แขกไม่ได้เยอะมาก จึงไม่ได้ยุ่งเท่าไหร่ค่ะ” พนักงานประชาสัมพันธ์สาวกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก “ฉันจะพาคุณเข้าไปเองค่ะ”
พนักงานประชาสัมพันธ์สาวพูดกับเธอไปพลาง พาเธอกับเฉินมู่ไปหาลี่จิ่วเชียนไปพลาง
เดิมทีมู่น่อนน่อนนึกว่าพนักงานประชาสัมพันธ์จะเพียงแค่พูดไปอย่างนั้นเท่านั้น แต่นึกไม่ถึงว่าลี่จิ่วเชียนจะไม่ได้ยุ่งจริงๆ
ตอนที่เธอกับเฉินมู่ไปนั้น ลี่จิ่วเชียนกำลังนั่งอ่านนิตยสารที่อยู่ที่ด้านหลังโต๊ะทำงาน มองไปแล้วดูว่างสบายมากเลย
“คุณหมอลี่ คุณดูสิว่าใครมา!” พนักงานประชาสัมพันธ์สาวเดินเข้ามาข้างหน้า เธอพูดจบเห็นลี่จิ่วเชียนเงยหน้าขึ้นมา เอี้ยวตัวให้ทางไปอยู่อีกด้านนึง อย่างนี้แล้ว ลี่จิ่วเชียนก็สามารถมองเห็นมู่น่อนน่อนที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอได้พอดี
เขาตะลึงงันไปเล็กน้อย ชะงักไปกว่าจะพูดออกมา “น่อนน่อน?”
“วันนี้ไม่ยุ่งเหรอ?” มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป เอาผลไม้ที่หิ้วอยู่ในมือวางลงไปบนโต๊ะทำงานของเขา “มาเยี่ยมคุณ เลยถือโอกาสเอาผลไม้มาสักหน่อย”
“มาแค่ตัวก็พอแล้ว เอาผลไม้มาทำอะไร? ผมขาดแคลนผลไม้นิดหน่อยพวกนี้ของคุณไว้กินเหรอ?” คำพูดของลี่จิ่วเชียนถึงแม้ว่าจะพูดไปอย่างนั้น แต่ก็ยังเก็บผลไม้เอาไว้
“แน่นอนว่าคุณไม่ได้ขาดแคลนมันอยู่แล้ว แต่ฉันไม่สามารถมามือเปล่าได้” มู่น่อนน่อนพูด แล้วนั่งลงฝั่งตรงกันข้ามกับเขา
ตรงหน้าโต๊ะทำงานของลี่จิ่วเชียน มีเก้าอี้อยู่สองตัว
หลังจากที่มู่น่อนน่อนนั่งลงไปแล้ว ก็ได้อุ้มเฉินมู่ไปนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวนึง “มู่มู่ เรียกคุณลุงลี่สิคะ”
มือเล็กทั้งสองข้างของเฉินมู่ได้ดันขอบโต๊ะทำงานไปเบาๆ ดวงตากลมกรอกไปตามเสียง สุดท้ายก็มาจรดอยู่ที่บนร่างของลี่จิ่วเชียน แล้วก็ส่งเสียงเรียกออกไปอย่างว่าง่าย “คุณลุงลี่”
ถึงแม้ว่าเธอกับลี่จิ่วเชียนจะเจอกันมาก่อนหลายครั้ง แต่ถึงยังไงก็ไม่ค่อยจะคุ้นเคยกันเท่าไหร่นัก
อยู่ตรงหน้าคนที่ไม่คุ้นเคย เธอได้เปลี่ยนเป็นเงียบไปเล็กน้อย
“มู่มู่ก็มาด้วย?”
เฉินมู่ตัวเล็ก ลี่จิ่วเชียนนั่งอยู่ สายตาได้รับการจำกัดเอาไว้ เมื่อกี้เขาจึงมองไม่เห็นเฉินมู่ตามมาด้วยเลย
“อืม มู่มู่มาเที่ยว” เฉินมู่พยายามยืดคอเงยหน้าขึ้นไปมองลี่จิ่วเชียนไปด้วยความลำบาก และได้ตอบกลับไปด้วยท่าทางจริงจัง
ลี่จิ่วเชียนถูกเธอทำให้รู้สึกตลกขึ้นมา ดึงลิ้นชักออกมาแล้วหยิบเอาอมยิ้มออกมาเม็ดนึงส่งไปให้เฉินมู่ “กินลูกอมมั้ย?”
นิ้วมือของเฉินมู่ขยับออกมาเล็กน้อย ดวงตามองจดจ่อเข้าไปแล้ว แต่ก็ยังหันหน้ามองไปทางมู่น่อนน่อนอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วขอความเห็นจากเธอ “คุณแม่”
มู่น่อนน่อนหลุดยิ้มออกมา แล้วถามเธอออกไป “มู่มู่อยากกินลูกอมเหรอ?”
เฉินมู่พยักหน้าออกมาติดๆกัน เธอชอบกินลูกอมที่สุด แต่ว่าคุณแม่บอกว่าไม่อาจรับของคนอื่นซี้ซั้วได้
มู่น่อนน่อนแตะหัวเธอไปด้วยความเอ็นดู “หยิบไปเถอะ คุณลุงลี่เอาให้หนูสามารถรับมันไปได้ หลายวันมานี้ไม่ได้กินลูกอมเลย วันนี้สามารถกินได้”
ได้รับการเห็นชอบจากมู่น่อนน่อน เฉินมู่จึงรีบยื่นมือออกไปรับลูกอมมาทันที แล้วเอ่ยเสียงหวานออกไป “ขอบคุณค่ะคุณลุงลี่”
มู่น่อนน่อนพลิกมือไปกุมมือของเฉินถิงเซียวเอาไว้
เฉินถิงเซียวหันหน้ามามองเธอ น้ำเสียงต่างไปจากสีหน้าที่แสดงออกมาของเขา ทุ้มต่ำแต่ก็ยังมีความอ่อนโยนแผ่ออกมา “เป็นอะไร?”
เขาไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้จริงๆ คลุมเครือกันระหว่างภาพของเฉินถิงเซียวเมื่อสามปีก่อนอยู่บ้าง
แม้ว่าจะอยู่ในอารมณ์ไม่ดี แต่ตอนที่เผชิญหน้ากับเธอ ก็จะยับยั้งอารมณ์ของตัวเองเอาไว้
มู่น่อนน่อนถามเขาออกไป “คุณวางแผนที่จะทำยังไงต่อไป?”
เฉินถิงเซียวประสานไปพร้อมกับฝีเท้าของเธอ ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง ริมฝีปากแสยะออกมาแต่กลับไม่เห็นรอยยิ้มเผยออกมา “ไม่ทำอะไร เขาอยู่บ้านเก่ามาสามปีแล้ว ผมพาเขาออกมาเจอคนสักหน่อย”
มู่น่อนน่อนไหนเลยจะไม่เข้าใจ เฉินถิงเซียวก็คืออยากจะทรมานเฉินชิงเฟิง
เรื่องที่เฉินชิงเฟิงยิ่งไม่อยากจะทำเท่าไหร่ เฉินถิงเซียวก็ยิ่งอยากให้เขาทำ
……
ความสามารถให้การดำเนินการของเฉินถิงเซียวสุดยอดมาก
วันที่สองหลังจากที่ไปเจอเฉินชิงเฟิงเสร็จ เฉินถิงเซียวก็ให้คนปล่อยข่าวออกไปว่าจะจัดงานเลี้ยง
สถานที่ของงานเลี้ยงได้เลือกจัดที่โรงแรมเจ็ดดาวแห่งหนึ่ง เป็นโรงแรมที่เมื่อก่อนเฉินชิงเฟิงชอบมาอยู่บ่อยๆ
งานเลี้ยงที่เขาให้มู่น่อนน่อนมาเข้าร่วมเมื่อตอนนั้น ก็อยู่ที่โรงแรมนี้ด้วยเหมือนกันพอดี
สือเย่พอได้ยินว่าเฉินถิงเซียวต้องการจะจัดงานเลี้ยงขึ้น ก็ได้ถามออกไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลสุดๆ “คุณชาย ทำไมจู่ๆคุณก็นึกอยากจะจัดงานเลี้ยงขึ้นมาครับ?”
เขายังจำได้ว่าครั้งที่แล้วเฉินถิงเซียวบอกว่าจะจัดงานเลี้ยง เฉินถิงเซียวจู่ๆก็นึกอยากจะเตรียมงานเลี้ยงขึ้นมา แต่ผลสุดท้ายยังไม่ทันงานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นเลย เฉินถิงเซียวก็ไปหามู่น่อนน่อนเสียแล้ว
สุดท้ายก็ยังคงเป็นสือเย่คอยอยู่จัดการแก้ปัญหาในตอนหลัง จัดการเรื่องงานเลี้ยงไปพลาง และก็ต้องจัดการงานที่บริษัทไปพลาง หลายวันนั้นยุ่งจนเท้าแทบไม่อยู่แตะพื้นเลย และเหลือทิ้งเงามืดไว้ให้สือเย่
ครั้งนี้เฉินถิงเซียวมีความคิดอยากจะจัดงานเลี้ยงขึ้นมาอีก สือเย่จะต้องอยากถามออกไปให้ชัดเจนก่อนอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว ดวงตาได้หรี่ลงเล็กน้อย มองไปทางสือเย่ด้วยใบหน้าที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมา
สือเย่รู้ดีว่าคำถามนี้ของตน ถามได้เกินความจำเป็นอยู่บ้าง จึงเอ่ยพูดออกไปด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ผมก็แค่…”
แต่เฉินถิงเซียวในตอนนี้กลับยิ้มเย็นเอ่ยขัดคำพูดของเขาออกมา “เฉินชิงเฟิงอุดอู้อยู่ในบ้านเก่ามาสามปีแล้ว ในฐานะที่เป็นลูกชายที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเขา ฉันจัดงานเลี้ยงมางานนึงเพื่อพาเขาออกมาครื้นเครงสนุกสนานสักหน่อย นายคิดว่าเป็นยังไง?”
“เพียงคนเดียว” คำนี้ เฉินถิงเซียวตั้งใจเน้นน้ำเสียงลงไป น้ำเสียงของเขาเบาและเนิบช้า ฟังไปแล้วยิ่งดูเหมือนว่าจะมีความรู้สึกมืดครึ้มเสียจนน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย
สือเย่ตื่นตระหนกสุดๆขึ้นมา พลางสั่นสะท้านออกมา
“ผมคิดว่า…ดีมากเลยครับ”
“ไปเถอะ” เฉินถิงเซียวยกมือขึ้นมาเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้เขาไปจัดการ
สือเย่รีบผันร่างเดินไปด้านนอกทันที เดินไปพลาง ปาดเช็ดเหงื่อเย็นที่ไหลอาบออกมาไปพลาง
คุณชายเดี๋ยวก็เสียความทรงจำเดี๋ยวก็ฟื้นความทรงจำกลับมาบ้างอีกครั้ง ทำเอาตัวเขาแปลกประหลาดไปหมดแล้ว นับวันจะคาดเดาไม่ออกขึ้นมาเรื่อยๆแล้ว
หลังจากที่สือเย่ออกไป เฉินถิงเซียวได้พิงเข้ากับพนักเก้าอี้ ไม่มีการเคลื่อนไหวอยู่นาน
กำหนดเวลาของงานเลี้ยงอยู่ที่เย็นวันศุกร์
มู่น่อนน่อนออกไปเจอกับฉินสุ่ยซานเพื่อคุยเรื่องบทละครกัน หลังจากที่คุยกันเสร็จแล้ว ฉินสุ่ยซานพูดถึงเรื่องงานเลี้ยงขึ้นมาด้วย
ฉินสุ่ยซานถามเธอ “คุณได้รับจดหมายเชิญของงานเลี้ยงแล้วหรือยัง?”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้าออกไป “ยังเลย”
หลังจากที่ออกมาจากบ้านเก่าเมื่อวันนั้น มู่น่อนน่อนสามารถมองความคิดของเฉินถิงเซียวออกรางๆ แต่เธอก็ไม่ได้ถามให้ละเอียดออกไปเช่นกัน
สองวันนี้เฉินถิงเซียวยุ่งอยู่กับงาน เธอยุ่งอยู่กับการเขียนบทละคร ทั้งสองคนถึงแม้ว่าจะอยู่ด้วยกันตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น แต่คำพูดที่พูดคุยกันไม่ได้เยอะเลย
เธอกับเฉินถิงเซียวอยู่ด้วยกันไปอย่างกลมเกลียวกันมากเช่นกัน เดิมทีเธอนึกว่าหลังจากวันนั้น เฉินถิงเซียวจะโวยวายจะย้ายมานอนด้วยกันที่ในห้องเธอ แต่เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น
เธอคาดเดาความคิดที่อยู่ภายในใจของเฉินถิงเซียวไม่ออกอยู่บ้าง
ไม่ว่าเฉินถิงเซียวจะมีความคิดอะไรกับเธอ หรือว่าเฉินถิงเซียวมีความคิดอะไรต่อเรื่องที่เขาต้องการจะทำในช่วงนี้บ้าง มู่น่อนน่อนก็คาดเดาไม่ออกเลย
เธอไม่ได้ถาม และแน่นอนว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้คุยกับเธออยู่แล้ว
เรื่องจำพวกนี้ แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่ใช่คนที่จะเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อนอยู่แล้ว
จะรอให้เขาพูด เดิมทีก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว
คิดถึงตรงนี้แล้ว มู่น่อนน่อนทอดถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา
ส่วนฉินสุ่ยซานกลับเข้าใจผิด คิดว่าเพราะมู่น่อนน่อนไม่ได้รับบัตรเชิญงานเลี้ยงจึงจิตใจหดหู่ไป
ฉินสุ่ยซานขยิบตาให้เธอ ยิ้มปลอบออกมา “ไม่เป็นไรนะ ฉันมีจดหมายเชิญของงานเลี้ยง ฉันพาเธอเข้าไปได้!”
มู่น่อนน่อนฉีกริมฝีปากออกมา หมดคำพูดไปชั่วขณะ เธอแสดงออกว่าอยากไปขนาดนั้นเลยเหรอ?
อันที่จริงเธอไม่ได้อยากเสียหน่อย
“ฉันดูเหมือนว่าอยากเข้าร่วมงานเลี้ยงมากเลยเหรอ?” มู่น่อนน่อนมองไปทางฉินสุ่ยซานอย่างไม่สบอารมณ์นัก
ฉินสุ่ยซานพยักหน้าออกมาเล็กน้อย “เหมือน”
มู่น่อนน่อนโกรธสุดๆแต่ก็ยิ้มออกมา “แล้วแต่เธอจะว่ายังไงแล้วกัน”
เนื้อหาของในวันนี้พวกเธอคุยกันได้ประมาณนึงแล้ว มู่น่อนน่อนจึงตัดสินใจที่จะกลับไปแล้ว
ตอนที่ออกมาจากสตูดิโอของฉินสุ่ยซาน มู่น่อนน่อนมองดูเวลาไปแป๊บนึง เพิ่งจะสี่โมงเอง
เพราะว่าวันนี้เธอมีธุระ จึงให้เฉินถิงเซียวพาเฉินมู่ไปบริษัท เฉินมู่อยู่ที่ในบริษัทก็ไม่มีอะไรให้น่าเล่น ถึงยังไงตอนนี้เธอก็ไม่มีธุระอะไรแล้วด้วย ไม่สู้ไปรับเฉินมู่กลับบ้านก่อนไม่ดีกว่าเหรอ
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ในรถ โทรหาเฉินถิงเซียว
พอติดต่อได้ ก็มีเสียงอ้อแอ้ของเฉินมู่ดังเข้ามา “คุณแม่!”
บนใบหน้าของมู่น่อนน่อนได้เผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “มู่มู่”
เฉินมู่ในวัยนี้ สมาธิไม่ได้จดจ่อนัก เธอส่งเสียงเรียกมู่น่อนน่อนออกมา แล้วก็ได้หันหน้าไปทำอย่างอื่น
ปลายสายหลังจากที่มีเสียงดังกรอบแกรบดังขึ้นมาสักพักนึง มู่น่อนน่อนก็ได้ยินเสียงตำหนิเบาๆของเฉินถิงเซียวดังขึ้นมาจากทางปลายสาย
“เก็บขึ้นมา”
หลังจากนั้นก็เป็นเสียงไม่พอใจของเฉินมู่ “หนูไม่เอา…”
ทางปลายสายเงียบไปสักพักนึง การคาดเดาของมู่น่อนน่อนก็คือเฉินถิงเซียวกำลังส่งสายตาข่มขู่ลูกสาวของเขาไปอีก
เพราะว่าวินาทีต่อมา ในสายก็มีเสียงยอมๆไปเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเหมือนกับผู้ใหญ่ตัวน้อยของเฉินมู่ดังขึ้นมา “เอาเถอะ”
“มีอะไร?”
มู่น่อนน่อนที่ได้เงี่ยหูฟังเสียงจากทางฝั่งนั้นมาโดยตลอด จนกระทั่งเสียงของเฉินถิงเซียวได้ดังชัดเจนออกมาจากในโทรศัพท์ เธออ้ำอึ้งอยู่แป๊บนึงถึงจะได้พูดออกไป “ฉันทำงานเสร็จแล้ว ฉันจะเข้าไปรับมู่มู่กลับไปแล้วกัน”
“อืม”
เฉินถิงเซียวเองก็ไม่ได้ถามออกมามากมายเช่นกัน แล้วก็วางสายไปเลย
ตอนที่มู่น่อนน่อนขับรถมา สือเย่ก็ได้พาเฉินมู่ออกมาแล้ว
สือเย่เป็นคนที่ระมัดระวังมากคนนึง เขาพาเฉินมู่ยืนรอมู่น่อนน่อนอยู่ตรงตำแหน่งที่ไม่เป็นที่สะดุดตาที่หนึ่ง
เฉินมู่พอเห็นมู่น่อนน่อน ก็ได้ก้าวขาเล็กสั้นวิ่งเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว “คุณแม่!”
มู่น่อนน่อนรับเธอเอาไว้ เงยหน้าขึ้นมองไปทางสือเย่
“คุณหญิง” สือเย่เดินเข้ามาหา พยักหน้ามาให้เธอเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบจดหมายเชิญงานเลี้ยงใบหนึ่งออกมาให้มู่น่อนน่อน “มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะไหว้วานคุณหญิงสักหน่อยครับ”
มู่น่อนน่อนมองจดหมายเชิญในมือเขาไปแวบนึง พลางถามออกไป “เรื่องอะไร?”
“รบกวนคุณหญิงช่วยเอาจดหมายเชิญนี้ไปให้คุณลี่จิ่วเชียนหน่อยครับ” น้ำเสียงของสือเย่จริงใจเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเพียงแค่กำลังไหว้วานมู่น่อนน่อนให้ช่วยเป็นธุระให้เขาสักหน่อยเท่านั้นจริงๆ
ภายในใจของมู่น่อนน่อนเหมือนอย่างกับกระจกก็ไม่ปาน เรื่องจำพวกนี้ ถ้าไม่ใช่ความต้องการของเฉินถิงเซียว สือเย่ไหนเลยจะมาให้เธอช่วย
สือเย่เป็นคนที่มีขอบเขตมากคนนึง เคารพนับถือต่อเธอกับเฉินถิงเซียวเป็นอย่างมาก ประสิทธิภาพในการทำงานของเขาก็ดีมากเลยด้วย การส่งจดหมายเชิญเรื่องจำพวกนี้มันก็ไม่ได้มีความยากเย็นอะไรเลยด้วย ถ้าไม่เพราะเฉินถิงเซียวแจ้งเจตนารมณ์ให้ไปทำอย่างนี้ สือเย่ไหนเลยจะมาหาให้เธอช่วยกัน?
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือไม่มีการแจ้งเจตนารมณ์จากเฉินถิงเซียวให้ไปทำอย่างนี้ สือเย่ก็ไม่กล้ามาให้เธอทำเรื่องเล็กๆน้อยๆจำพวกนี้หรอก
เฉินถิงเซียวปล่อยเฉินมู่ ดันเธอไปข้างๆมู่น่อนน่อน เดินเข้าไปข้างหน้าเพียงลำพัง เดินเข้าไปด้านในไปพลาง เปิดไฟภายในห้องไปพลาง
มู่น่อนน่อนผันร่างไปปิดประตู
ภายในห้องที่ถูกปิดเอาไว้สนิทจนไม่มีแสงส่องเข้ามา ได้สว่างขึ้นมาเสียอย่างกับตอนกลางวันขึ้นมาทันที
เฉินถิงเซียวได้เดินเข้าไปตรงหน้าเฉินชิงเฟิงก่อนเป็นคนแรก สีหน้าได้เยือกเย็นดุดันออกมา น้ำเสียงเยือกเย็นและเนิบช้าออกมา “ไม่ได้เจอกันนานเลย”
มู่น่อนน่อนจูงเฉินมู่ตามเข้าไป
การรับรู้ของเด็กน้อยรู้สึกไวเป็นอย่างมาก เฉินมู่หลังจากที่เห็นเฉินชิงเฟิง ก็กลัวจนเข้าไปหลบข้างหลังมู่น่อนน่อน เอาหน้าซ่อนไปที่หลังของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนตบหัวเธอไปเบาๆ เลิกตาขึ้นมองไปทางเฉินชิงเฟิง
เธอไม่ได้เจอเฉินชิงเฟิงมาสามปีเต็มๆ
มองผ่านเข้าไปแวบนึง ก็ได้ถูกสภาพของเฉินชิงเฟิงทำเอาตกใจขึ้นมา บนใบหน้าแสดงอาการตกตะลึงออกมา
เฉินชิงเฟิงแขนขาดไปข้างนึง นั่งอยู่บนรถเข็น มองไปแล้วดูผอมมาก เบ้าตาลึกลงไป ริมฝีปากแห้งกรัง เสื้อไหมพรมสวมโคร่งบนร่าง ตัวเขามองไปแล้วเพียงแค่หนังหุ้มกระดูกเอาไว้เท่านั้น
ถ้าเจอเฉินชิงเฟิงตามถนน มู่น่อนน่อนกล้ามั่นใจเลยว่า มีความเป็นไปได้มากว่าตนคงจะจำไม่ได้ว่าเขาเป็นเฉินชิงเฟิง
ความเปลี่ยนแปลงบนตัวของเฉินชิงเฟิงมันมากเกินไป อ่อนแอลง แก่ชรา มืดมนเสียจนน่ากลัว…
ไม่ได้มีจิตวิญญาณในฐานะที่เคยเป็นผู้กุมอำนาจของตระกูลมหาเศรษฐีชั้นนำอยู่อีกแล้ว แต่กลับใช้ชีวิตอยู่เหมือนกับหนูที่หลบอยู่ในท่อระบายน้ำไม่กล้าเจอใคร
“เป็นพวกแก!” เฉินชิงเฟิงหลังจากที่มองเห็นชัดว่าคนที่มาเป็นเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อน ดวงตาทั้งสองข้างได้เบิกกว้างออกมาทันที ลูกตาเหมือนกับว่าจะถลนออกมาจากเบ้าเลยก็ไม่ปาน น้ำเสียงทื่อๆเหมือนกับเลื่อยจนฟังไปแล้วทำให้รู้สึกไม่ดีขึ้นมา
“ไสหัวไป! ใครให้พวกแกเข้ามา ไสหัวออกไปให้หมด!”
เฉินชิงเฟิงชี้ออกไปทางประตู โกรธจัดจนเบ้าตาถลนจนตาแตกออกมา
เฉินถิงเซียวยิ้มเย็นออกมา นั่งลงตรงหน้าเฉินชิงเฟิง ขาทั้งสองข้างไขว้เข้าด้วยกัน น้ำเสียงเนือยๆเฉื่อยชาออกมา “วันนี้ผมตั้งใจพาภรรยากับลูกสาวมาเจอคุณโดยเฉพาะเลย นี่เพิ่งจะมาเอง คุณก็จะไล่พวกเราไปเสียแล้ว นี่เป็นวิธีการต้อนรับแขกของคุณเหรอ?”
เมื่อกี้เฉินมู่เพิ่งจะถูกเสียงตวาดเสียงดังเสียงนั้นของเฉินชิงเฟิงทำได้ตกใจไป หลบอยู่ที่ด้านหลังมู่น่อนน่อน ไม่ยอมเข้าไปข้างหน้าเสียให้ได้
มู่น่อนน่อนตบหัวเธอไปเบาๆ หยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความไปหาสือเย่ ให้สือเย่มาพาเฉินมู่ออกไป
สือเย่เดิมทีก็เฝ้าอยู่ที่ด้านนอกอยู่แล้ว เขาคุ้นเคยกับตระกูลเฉินดีเช่นกัน เพียงไม่นานก็ได้เข้ามารับเฉินมู่ไปแล้ว
หลังจากที่เฉินมู่ถูกรับไปแล้ว มู่น่อนน่อนก็เดินไปที่ข้างๆเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวจึงดึงเธอลงไปนั่ง
มือทั้งสองข้างของเฉินชิงเฟิงที่วางอยู่บนราวจับ ได้กำหมัดแน่น จ้องเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนเขม็ง
เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนทั้งสองคนนั่งเรียงกันอยู่ที่ตรงหน้าเขา บนใบหน้าไม่สะทกสะท้านและสงบนิ่งคล้ายๆกัน หลายเดือนมานี้เนื้อหนังบนร่างของมู่น่อนน่อนได้ฟื้นฟูกลับมาบ้างแล้ว นั่งอยู่ด้วยกันกับเฉินถิงเซียว ก็คือคู่ที่สวยหล่อกันทั้งคู่เลยคู่หนึ่ง
ความเกลียดชังและความไม่ยินยอมภายในใจของเฉินชิงเฟิงได้เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วเหมือนกับวัชพืช น้ำเสียงของเขาได้ประดับไปด้วยความแหบแห้งด้วยโรคฮิสทีเรีย “พวกแกไสหัวออกไปให้พ้นหน้าฉัน!”
“ใครก็ได้! ใครก็ได้เข้ามาที!”
ไม่ว่าเฉินชิงเฟิงจะแผดเสียงออกมายังไง ด้านนอกก็ไม่มีใครเข้ามาเลย
เฉินถิงเซียวมองเฉินชิงเฟิงที่ใกล้จะบ้าคลั่งขึ้นมาเต็มทีไปด้วยดวงตาที่เย็นชา พลางแสยะริมฝีปากออกมา “ตอนนี้คุณไม่มีความอดทนเลยสักนิดเดียว เกิดอารมณ์แปรปรวนขึ้นมาได้ง่ายขนาดนี้ เมื่อตอนนั้น คุณถึงกับปกปิดความจริงที่แม่ถูกลักพาตัวไปได้ถึงสิบกว่าปีเต็มๆเลยนะ”
มู่น่อนน่อนหันหน้ามองไปทางเฉินถิงเซียว
สีหน้าที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้มันเยือกเย็นสุดๆ บนร่างทั้งร่างได้แผ่ความรู้สึกอึมครึมจนน่ากลัวบ่งบอกว่าอย่าเข้ามาใกล้ออกมา
มู่น่อนน่อนมองออกว่าพอพูดถึงเรื่องแม่ขึ้นมา ภายในใจของเฉินถิงเซียวยังคงเกลียดแค้นอยู่
เขายังปล่อยวางไปไม่ได้
เมื่อตอนอายุน้อย การสูญเสียมากมายจะเกิดบาดแผลภายในใจ ใช้เวลาไปทั้งชีวิตเพื่อให้ทำมันให้ได้มันก็มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่สามารถขจัดมันไปได้เลย
เฉินถิงเซียวเป็นอย่างนี้ ตัวเธอเองไหนเลยจะไม่ใช่อย่างนี้กันล่ะ?
เธอสามารถไม่แคร์เซียวชู่เหอได้ แต่บางครั้งก็ยังอิจฉาคนอื่นอยู่
เฉินชิงเฟิงมองเฉินถิงเซียวไปด้วยใบหน้ามุ่งร้าย น้ำเสียงแหบแห้งเสียจนในลำคอมีเม็ดเล็กๆเหมือนเม็ดทรายกำลังขยับเคลื่อนอยู่ “แกคิดจะเอายังไง?”
“คำพูดนี้ควรจะถามคุณมากกว่านะ” เฉินถิงเซียวยิ้มเย็นออกมา โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงทุ้มต่ำ “คุณจนถึงตอนนี้ ไม่ได้รู้สึกเลยใช่มั้ยว่าว่าตัวเองทำอะไรผิดไป?”
“ฉันทำอะไรผิด? เมื่อตอนนั้นทุกอย่างที่ฉันทำลงไปก็เพื่อปกป้องเฉินเหลียนกับเฉิงหยู้ทั้งนั้น ฉันไม่ได้อยากจะทำอะไรแม่แกเลย! ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าคนพวกนั้นจู่ๆก็เปลี่ยนการตัดสินใจเดิมไป คนที่ผิดมันเป็นแก!”
“แกบีบให้ป้าแท้ๆของแกต้องเป็นบ้า ทำร้ายเฉิงหยู้จนตาย แกจะต้องได้รับผลกรรม!”
ร่างกายของเฉินชิงเฟิงเปลี่ยนเสียจนแย่มาก พูดสองท่อนประโยคที่ยาวแค่นี้ ก็กระหืดกระหอบเสียจนเหมือนกับจะขาดหายใจอยู่รอมร่อก็ไม่ปาน
ในดวงตาของเฉินถิงเซียวแสดงความเหยียดหยามแวบผ่านออกมา “ดังนั้นแล้วคุณก็เลยปลุกปั่นให้มู่หวั่นขีมาแก้แค้นพวกเรา?”
เฉินชิงเฟิงเบิกตากว้างมองไปทางเฉินถิงเซียวทันที ในดวงตาได้มีสายตาขลาดกลัวแวบออกมา “ฉันเปล่า!”
เขารู้วิธีการของเฉินถิงเซียว ในเวลาแบบนี้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตามก็ไม่อาจยอมรับออกไปว่าเขาปลุกปั่นมู่หวั่นขีให้ไปหามู่น่อนน่อนเพื่อแก้แค้นพวกเขาทั้งสองคนได้
“ไม่ต้องรีบปฏิเสธไปหรอก ผมไม่ได้จะทำอะไรคุณอยู่แล้ว” บนใบหน้าของเฉินถิงเซียวได้เผยรอยยิ้มที่ผิดแปลกไปออกมา
เดิมทีเฉินถิงเซียวไม่ใช่คนที่ชอบยิ้มอยู่บ่อยๆอยู่แล้ว พอยิ้มอย่างนี้ขึ้นมา มันกลับยิ่งทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมายิ่งกว่าเดิม
สีหน้าของเฉินชิงเฟิงได้เปลี่ยนไปในทันที “แก แกต้องการจะทำอะไร?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินถิงเซียวกดลึกมากขึ้น “สามปีมานี้คุณไม่เคยได้ออกจากบ้านเลย จะต้องอยากออกไปดูสักหน่อยแน่ๆเลย แน่นอนว่าผมจะต้องช่วยให้คุณได้สมปรารถนาอยู่แล้ว”
เฉินชิงเฟิงพอได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ตัวเขาก็เหมือนกับได้รับการโจมตีที่รุนแรงมากเข้ามาก็ไม่ปาน ทั้งร่างสั่นไปหมด “ฉันไม่อยากออกไป ฉันไม่อยากออกไป!”
สามปีมานี้เขาไม่ออกจากบ้านเลย นอกจากสาเหตุหนึ่งที่เป็นเพราะว่าเฉินเหลียนถูกบีบจนเป็นบ้าไป ซือเฉิงหยู้ถูกระเบิดตายจนเสียใจเกินที่จะรับไหวแล้ว ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง ก็คือเป็นเพราะว่าเขาไม่อยากให้คนอื่นเห็นสภาพในตอนนี้ของเขา
เขาเคยเป็นเฉินชิงเฟิงผู้ที่กุมอำนาจทั้งหมดของบริษัทเฉินซื่อ มีความร่ำรวยทรงเกียรติที่ส่องประกายจนทุกคนต่างพากันอิจฉา แต่ว่าเขาในตอนนี้…
สภาพครึ่งผีครึ่งคนนี้ถูกคนอื่นเห็นเข้า คนพวกนั้นจะต้องหัวเราะเยาะเขา เอาเขาไปพูดล้อเล่นกันอย่างแน่นอน! เขาไม่อาจให้คนพวกนั้นเอาเขาไปพูดล้อเล่นกันได้
แต่เพื่อไม่ให้คนพวกนั้นเอาเขาไปพูดล้อเล่นกัน วิธีที่ดีที่สุดของเขาก็คือไม่ออกจากบ้าน
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะมีอำนาจในการตัดสินใจเองได้” เฉินถิงเซียวลุกยืนขึ้นมา น้ำเสียงเย็นชาเสียจนไม่มีอารมณ์อะไรออกมาเลยสักนิดเดียว “เดิมทีพวกเราก็สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบได้”
เพียงประโยคเดียว เกริ่นไปแค่เล็กน้อยแต่ก็ได้ทำให้อีกฝ่ายได้รู้ความตั้งใจของตนแล้ว
เดิมทีพวกเขาก็สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบได้อยู่แล้วแท้ๆ
ถึงแม้ว่าจะฆ่าเฉินชิงเฟิงไป ก็ไม่สามารถขจัดความเกลียดชังที่อยู่ภายในใจของเฉินถิงเซียวไปได้
ถ้าเฉินชิงเฟิงสามารถอยู่ที่บ้านเก่าไปอย่างสงบเสงี่ยมได้ตลอด มันก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว
แต่ว่าเฉินชิงเฟิงไม่เพียงแต่จะไม่รู้จักกลับตัวกลับใจ ยังคิดจะแก้แค้นอีก
ในเมื่อเฉินชิงเฟิงอยากเล่น แน่นอนว่าเฉินถิงเซียวจะต้องให้โอกาสนี้กับเขาอยู่แล้ว
สิ่งที่เฉินชิงเฟิงรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจคืออะไร เฉินถิงเซียวรู้ชัดเจนทุกอย่าง
เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็ผันร่างยื่นมือออกไปทางมู่น่อนน่อน “ไปกันเถอะ”
มู่น่อนน่อนที่ฟังเขากับเฉินชิงเฟิงคุยกันไปเงียบๆตลอดการสนทนา ประคองมือของเขาลุกยืนขึ้น
เฉินถิงเซียวจูงเธอเดินไปข้างนอก
ด้านหลังมีเสียงแผดร้องเสียงแหบแห้งของเฉินชิงเฟิงดังเข้ามา “เฉินถิงเซียว! เฉินถิงเซียว!”
ออกจากห้องของเฉินชิงเฟิงมา มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นไปมองสีหน้าของเฉินถิงเซียว
เขามีใบหน้ามืดครึ้ม สายตาดุดัน ใบหน้ามองไปแล้วดูมีสีหน้าหม่นลงเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนไม่ได้รับการตอบกลับมาจากเฉินถิงเซียว
เธอเม้มริมฝีปากแน่นแล้วเช็ดคิ้วที่เฉินถิงเซียวเขียนให้กับเธอ แล้วเริ่มเขียนเองใหม่
เธอก็รู้อยู่ว่าไม่อาจเชื่อผู้ชายแมนทั้งแท่งที่ไม่มีพื้นฐานความชำนาญทางด้านศิลปะเลยสักนิดเดียวอย่างเฉินถิงเซียวคนนี้ได้
เธอถึงขนาดที่เคลือบแคลงในด้านการประเมินความสวยความงามของเฉินถิงเซียวเลยทีเดียว
เมื่อก่อนตอนที่เธอแต่งงานกับเฉินถิงเซียวใหม่ๆ สภาพที่ขี้เหร่ขนาดนั้น เฉินถิงเซียวก็สามารถจูบลงได้ เมื่อกี้เขาเขียนคิ้วเธอจนกลายเป็นอย่างนี้ก็สามารถจูบลงด้วยเหมือนกัน…
มู่น่อนน่อนมีความเคลือบแคลงใจว่าเฉินถิงเซียวจะมีปัญหาในด้านการประเมินความสวยความงามบางอย่าง
เธอเขียนคิ้วเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็แต่งตา สุดท้ายหลังจากที่ทำการล็อกเมคอัพเสร็จเรียบร้อยแล้ว เงาร่างของเฉินถิงเซียวก็ได้ปรากฏขึ้นมาที่หน้าประตู ถามเธอออกมาด้วยหน้าสงบนิ่ง “เมื่อกี้คุณเรียกผม?”
มู่น่อนน่อนลุกยืนขึ้นเดินเข้าไปที่ตรงหน้าเขา เลิกคิ้วมองเขาไป “คุณบอกว่าคุณเขียนคิ้วเป็น?”
เฉินถิงเซียวกระตุกริมฝีปากออกมาเล็กน้อย เงียบไปสองวิ แล้วเอ่ยออกมาอย่างซื่อตรงเป็นอย่างมาก “…ไม่เป็น”
ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าท่าทางซื่อตรงนี้ของเขาเพียงแต่แสดงออกมาเพื่อให้เธอหายโกรธเท่านั้น แต่ต้องบอกเลยว่ามันก็ยังได้ผลกับมู่น่อนน่อนอยู่
ผู้ชายที่ปกติจะหยิ่งจองหอง มายอมรับเรื่องที่ทำไม่เป็นออกมาต่อหน้าเธออย่างว่าง่าย มันก็ทำให้ใจอ่อนได้ง่ายมากเลย
มู่น่อนน่อนเดิมทีแล้วก็ไม่ได้โกรธอะไร จึงเอ่ยออกไป “ฉันเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
“งั้นก็ไปกันเถอะ” เฉินถิงเซียวพูด แล้วก็จูงมือเธอไป
มู่น่อนน่อนแข็งค้างไปเล็กน้อย แล้วก็ปล่อยให้เฉินถิงเซียวจูงมือเธอไป
พวกเขาคิดมาตั้งมากมาย ผ่านอะไรมามากมาย ท้ายที่สุดก็แค่เพื่อที่จะสามารถอยู่ด้วยกันได้
ถ้าผลสุดท้ายมันเหมือนกันหมด ทำไมยังจะต้องถูกความคิดที่ยุ่งเหยิงภายในใจเหล่านั้นส่งผลกระทบเข้ามาอีก
เฉินถิงเซียวเองก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในช่วงสองวันนี้ของมู่น่อนน่อน ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงจู่ๆก็คิดตกขึ้นมา แต่ผลสุดท้ายแค่เป็นสิ่งที่เขาต้องการก็พอแล้ว
……
ออกจากบ้านไป เฉินมู่ก็กวนจะให้มู่น่อนน่อนอุ้ม
อันที่จริงเฉินมู่กวนอยากจะให้อุ้มน้อยมาก บวกกับมู่น่อนน่อนกับเฉินมู่อยู่ด้วยกันได้ไม่นาน ขอเพียงแค่คำขอของเฉินมันไม่ได้มากเกินไป เธอก็จะตอบรับได้หมด
มู่น่อนน่อนกำลังจะโน้มตัวลงไปอุ้มเฉินมู่ เฉินถิงเซียวก็ยื่นมือเข้ามาดึงเธอเข้าไปด้านหลัง ใช้มือข้างเดียวอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา
เฉินมู่บึนปากออกมา “หนูจะเอาคุณแม่”
“ให้ฉันอุ้มเถอะ” มู่น่อนน่อนได้ยินก็อยากจะรับเฉินมู่ไป
เฉินถิงเซียวเอี้ยวตัวไปเล็กน้อย เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เธอหนัก ผมอุ้มดีกว่า”
“ฉันคิดว่ายังไหวอยู่…” ถึงแม้ว่าช่วงนี้เฉินมู่ตัวหนักขึ้นมาหน่อย แต่เธอก็ยังอุ้มไหวอยู่
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดกับเธอออกมาต่ออีก ได้เดินไปที่ลิฟต์แล้วกดลิฟต์ลง
ตอนที่ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกลงไป สือเย่ก็ได้ขับรถมารออยู่นานแล้ว
เห็นเฉินถิงเซียวสามคนพ่อแม่ลูกเดินเข้ามา สือเย่ก็ได้ลงจากรถไปเปิดประตูเบาะหลังรถให้กับพวกเขา
จากสถานที่ที่มู่น่อนน่อนอาศัยอยู่ไปบ้านเก่าตระกูลเฉิน ระยะทางค่อนข้างที่จะไกลหน่อย ขับรถไปในเวลานี้ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง
เฉินมู่นอนหลับอยู่บนรถ
ตอนที่มาถึงบ้านเก่าตระกูลเฉิน มู่น่อนน่อนก็ปลุกเฉินมู่
เฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่ลงจากรถ แล้วก็ยื่นแขนไปจูงมู่น่อนน่อนเอาไว้อีกที
เขายืนอยู่ที่ด้านนอกรถ ชุดสูทสุดเนี้ยบ แขนยาวยื่นเข้าไปข้างใน มองไปแล้วก็ดูมีภาพลักษณ์คุณชายผู้สูงศักดิ์ที่สุภาพเรียบร้อย
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าทำไมมองไปก็อยากจะหัวเราะอยู่บ้าง เธอเอามือของตัวเองไปวางลงบนมือของเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวจับเอาไว้แน่น ใช้แรงจูงเธอลงมาจากรถ
มู่น่อนน่อนลงไปจากรถ กำลังจะผละออกจากเฉินถิงเซียวไปจูงเฉินมู่ แต่สุดท้ายเฉินถิงเซียวก็แย่งจูงเฉินมู่เอาไว้เสียก่อน ส่วนมืออีกข้างนึงก็ยังจูงเธอเอาไว้อยู่
จากนั้น เฉินถิงเซียวก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ไปกันเถอะ”
สือเย่ยืนอยู่ที่ข้างๆรถ มองเฉินถิงเซียวสามคนพ่อแม่ลูกพวกเขาจูงมือกันเดินไปยังประตูใหญ่บ้านเก่าตระกูลเฉินด้วยความอบอุ่น บนใบหน้าได้เผยรอยยิ้มปลื้มใจออกมาด้วยเหมือนกัน
จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพไปเงียบๆส่งไปให้กู้จือหยั่น
เขาส่งไปทางวีแชท เพียงไม่นานกู้จือหยั่นก็ตอบข้อความเสียงกลับมาให้เขา
“สือเย่ ทุกวันนายโชว์ภรรยากับลูกนาย และอาหารที่ภรรยานายทำในสตอรี่ก็แล้วไป ตอนนี้นายยังส่งภาพสามคนพ่อแม่ลูกของเฉินถิงเซียวมาให้ฉันอีก นายยังคงคิดว่าทรมานฉันยังไม่อนาถพอใช่มั้ย? คนโสดมันไม่มีสิทธิมนุษยชนเลยเหรอ?!”
น้ำเสียงของกู้จือหยั่นเต็มไปด้วยความแค้นเคือง
สือเย่ตอบกลับไปด้วยความซื่อตรงเป็นอย่างมาก “ประธานกู้ ผมก็แค่อยากแบ่งปันความสุขกับคุณสักหน่อยเท่านั้นเอง”
กู้จือหยั่นเห็นภาพนั้นที่เขาส่งมาก็ยังไม่ได้มีการตอบสนองกลับมา ได้ยินสือเย่พูดมาอย่างนี้แล้ว เขาจึงได้มีการตอบสนองกลับออกไป “ถิงเซียวเขาหายดีแล้วจริงๆ?”
เมื่อวานเฉินถิงเซียวเป็นฝ่ายชวนเขาไปหามู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงด้วยกันเอง เขารู้สึกว่ามันแปลกๆ แต่เขาก็ไม่ทันได้ยืนยันความคิดนี้ว่ามันจริงหรือเปล่า
สือเย่คิดๆไป แล้วก็ได้เอ่ยออกมา “โดยทั่วไปก็นับว่าเกือบจะหายดีแล้ว”
……
มู่น่อนน่อนพวกเขาพอเข้าประตูไป ก็มีคนใช้เข้ามาต้อนรับ
“คุณชาย…คุณหนูน้อย…”
คนใช้เข้ามา ตอนที่เห็นมู่น่อนน่อน ก็มีความงงงวยออกมาชั่วขณะ
เมื่อสามปีก่อน คนใช้ในบ้านเก่าล้วนถูกเฉินจิ่งหยุ้นเปลี่ยนไปหมดแล้ว โดยพื้นฐานแล้วจึงไม่มีใครรู้จักมู่น่อนน่อนกัน
เฉินถิงเซียวมองไปทางคนใช้ด้วยใบหน้าที่ดุดัน พลางเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก “เรียก “คุณผู้หญิง” สามคำนี้กันไม่เป็นเหรอ?”
คนใช้เห็นอย่างนี้แล้ว จึงรีบโค้งตัวส่งเสียงเรียกเป็นเสียงเดียวกันอย่างร้อนรน “คุณผู้หญิง!”
ทุกคนระมัดระวังกันจนไม่แม้แต่จะส่งเสียงหายใจดังๆออกมากันเลย
เฉินถิงเซียวไม่สนใจพวกเธอ ตรงเข้าไปพามู่น่อนน่อนกับเฉินมู่ไปหาเฉินชิงเฟิง
สามปีก่อน เฉินถิงเซียวปล่อยข่าวปล่อยให้เฉินชิงเฟิงถูกตระกูลคู่อริลักพาตัวไป สุดท้ายโจรลักพาตัวก็ได้เพิ่มเงินขึ้นมาทันที เฉินถิงเซียวจึงเลือกที่จะแจ้งความไปในทันที
โจรลักพาตัวตัดแขนข้างหนึ่งของเฉินชิงเฟิง ถูกทรมาน สุดท้ายก็ถูกช่วยออกมาตอนที่ส่งตัวไปโรงพยาบาล ก็เหลือเพียงแค่ครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่แล้ว
หลังจากรักษาตัวออกจากโรงพยาบาลมา เฉินชิงเฟิงก็ทำได้แค่นั่งอยู่บนรถเข็น ต้องกลายเป็นคนพิการไปโดยสมบูรณ์
เนื่องด้วยสาเหตุทางด้านร่างกาย ลักษณะนิสัยของเฉินชิงเฟิงจึงเปลี่ยนไปมาก ไม่เคยออกจากบ้านเลย
คนใช้พาพวกเขามาที่หน้าห้องเฉินชิงเฟิง เคาะประตูไปเบาๆ “คุณท่าน คุณชายมาแล้วค่ะ”
ด้านในไม่มีการตอบสนองใดๆออกมา
เห็นได้ชัดว่าเฉินชิงเฟิงไม่คิดจะเจอเฉินถิงเซียว
คนใช้หันหน้ามา เอ่ยออกมาอย่างสองจิตสองใจ “คุณชาย…”
เฉินถิงเซียวเอ่ยออกไปด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ออกมา “ถอยไป”
คนใช้รีบผันร่างเดินออกไปประหนึ่งได้รับนิรโทษกรรมมาก็ไม่ปาน
เฉินถิงเซียวยื่นมือเข้าไปเปิดประตูทันที
ภายในห้องมืดสนิท หน้าต่างถูกปิดเอาไว้สนิท มีเพียงแค่ที่ตรงประตูที่ได้เปิดออก มีลำแสงทอดเข้าไป จึงสามารถมองเห็นคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นได้รางๆ
คนคนนั้นก็คือเฉินชิงเฟิงนั่นเอง
สภาพอากาศช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง เขาสวมไม่ได้เยอะเลย บนร่างได้คลุมผ้าห่มเอาไว้ผืนนึง
ประมาณว่าคงจะถูกเสียงเปิดประตูทำให้ตกใจ เขาจึงค่อยๆหันหน้ามองไปทางประตู
สายตาของเขาได้จรดไปที่บนร่างของเฉินถิงเซียวก่อน
ในตอนที่เขาเห็นมู่น่อนน่อน เห็นได้ชัดว่าสีหน้าได้เปลี่ยนไปเลย
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ข่าวที่ว่ามู่น่อนน่อนยังไม่ตายมาแล้ว แต่เมื่อเห็นพวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกมาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าตนโดยที่ไม่มีส่วนไหนบุบสลายเลยนั้น สำหรับเขาแล้ว มันเป็นการเยาะเย้ยที่ยิ่งใหญ่มาก
ตลอดชั่วชีวิตของเขานั้นได้พยายามไปทุกวิถีทาง แต่ผลสุดท้ายกลับไม่ได้อะไรกลับมาเลย
เฉินเหลียนได้เข้าไปอยู่ในสถานพักฟื้นด้วยสติที่ฟั่นเฟือน ซือเฉิงหยู้ก็ได้เป็นศพฝังอยู่ในเหตุระเบิดที่บนเกาะครั้งนั้น
ส่วนเขาก็ได้กลายมาเป็นคนพิการคนนึง หลบอยู่ในที่ที่มืดมิดไร้แสงสว่างแห่งนี้ พึ่งพาความแค้นภายในจิตใจพยายามฝืนใช้ชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละวัน
จากสิ่งที่เฉินชิงเฟิงทำลงไปเมื่อก่อนก็มองออกได้ว่าในใจของเขาเฉินเหลียนกับซือเฉิงหยู้ต่างก็ยึดครองตำแหน่งที่สำคัญมากด้วยกันทั้งคู่
ส่วนแม่ของเฉินถิงเซียว เพราะว่ารู้เรื่องเฉินเหลียนกับเฉินชิงเฟิงเข้า จึงได้มีการเผชิญหน้ากับเรื่องอย่างนั้นเข้า
แต่เดิมมู่น่อนน่อนก็เกือบจะลืมไปแล้วว่ายังมีเฉินชิงเฟิงคนนี้อยู่อีกคน
ตอนนี้มาพูดถึงเฉินชิงเฟิงกับเฉินถิงเซียวขึ้นมาอีกครั้ง คิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาอีกที มู่น่อนน่อนก็มีความรู้สึกแผ่นหลังเย็นยะเยือกขึ้นมา
“คุณวางแผนว่าจะกลับไปเมื่อไหร่…” มู่น่อนน่อนชะงักไปเล็กน้อย ไม่ได้คิดให้เรียบร้อยเลยว่าควรจะเรียกเฉินชิงเฟิงต่อหน้าเฉินถิงเซียวไปว่ายังไงดีเลยจริงๆ
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวนิ่งเรียบออกมา “พรุ่งนี้”
ตอนที่เขาพูดออกมา ดวงตาทั้งสองข้างได้จรดไปที่บนร่างของมู่น่อนน่อนนิ่ง เหมือนกับมีอะไรจะพูดกับเธอ
มู่น่อนน่อนหลุบตาลงเล็กน้อย ไม่ไปมองเขา
ผ่านไปครู่ใหญ่ๆ เสียงทุ้มต่ำของเฉินถิงเซียวก็ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง “พวกคุณไปกับผมด้วย”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นไปมองเขาด้วยใบหน้าประหลาดใจออกมา “ฉันกับมู่มู่?”
“ใช่” มุมขอบตาของเฉินถิงเซียวยกสูงขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มบางๆแต่กลับเต็มไปด้วยความปีติยินดีออกมาอีกด้วย
เฉินชิงเฟิงชั่วชีวิตนี้พยายามทุกวิถีทาง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่มีอะไรเลยสักอย่าง
แต่เขากลับมีทุกอย่าง
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบรับเฉินถิงเซียวออกไปโดยทันที เธอได้มองเขาไปด้วยสายตาสงบนิ่ง “ทำไม?”
เฉินถิงเซียวถามเธอ “คุณไม่อยากไป?”
สายตาของเขามุ่งมั่นตั้งอกตั้งใจสุดๆ มู่น่อนน่อนพูดปฏิเสธออกไปไม่ออก สุดท้ายก็เลือกที่จะพยักหน้าตอบตกลงออกไปอยู่ดี
……
เช้าวันต่อมา
ตอนที่มู่น่อนน่อนตื่นนอนออกมา ก็ได้พบว่าเฉินถิงเซียวได้นั่งอยู่ที่ตรงหน้าโต๊ะทำงานในห้องโถงใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
บนร่างของเขายังสวมชุดอยู่บ้านเอาไว้อยู่ ข้างๆได้วางกาแฟที่ยังปล่อยไอความร้อนออกมาอยู่
มู่น่อนน่อนมองกาแฟแก้วนั้น แล้วหันไปมองที่ตู้เย็นอีกที
เธอเดินเข้าไป ถามเฉินถิงเซียวออกไป “กาแฟคุณชงเองเหรอ?”
“อืม” เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมา สายตาอ่อนโยนออกมา “เอามาจากในตู้เย็น ครั้งหน้าจะซื้อใหม่ให้คุณ”
มู่น่อนน่อนลังเลพลางเอ่ยออกมา “นั่นเป็นกาแฟสำเร็จรูป…”
เฉินถิงเซียวแสยะริมฝีปากออกมาเล็กน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าคำพูดของเธอมันน่าตลกที่ตรงไหน ในน้ำเสียงได้ประดับไปด้วยท่าทางหัวเราะขบขันออกมา “บนห่อก็มีเขียนไว้”
เขาพูดจบ ก็ยังยกกาแฟขึ้นมาดื่มไปอีกคำ ไม่เห็นการรังเกียจออกมาเลยสักนิดเดียว
ในความทรงจำของมู่น่อนน่อน เฉินถิงเซียวจู้จี้จุกจิก แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยจะดื่มกาแฟสำเร็จรูปมาก่อน
แต่ว่าตอนนี้เขาดื่มกาแฟสำเร็จรูปซองแค่ไม่กี่หยวนที่ตัวเองชงไปอย่างไม่สะทกสะท้านอย่างนี้ ทำให้มู่น่อนน่อนเกิดความรู้สึกที่ตัวเองรู้สึกผิดกับเขาขึ้นมา
มู่น่อนน่อนถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “ครั้งหน้า คุณให้ผู้ช่วยสือช่วยคุณซื้อเมล็ดกาแฟมาให้ ฉันจะช่วยต้มกาแฟให้คุณเอง”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมาทันที ในดวงตาประหนึ่งน้ำหมึกดำได้มีแสงประกายเล็กๆแวบออกมา “จริงเหรอ?”
เหมือนกับเด็กที่ได้คำสัญญาที่ตัวเองต้องการมา ความรู้สึกดีใจได้ผุดขึ้นมาบนใบหน้า
มู่น่อนน่อนเห็นเขาอย่างนี้แล้ว ในใจก็หนักใจอยู่บ้าง “อืม”
ในใจของเธอ เฉินถิงเซียวก็คงจะเป็นคุณชายเฉินที่สูงส่งเหนือใครคนนั้น จู้จี้จุกจิกทั้งยังหยิ่งยโส
ท่าทางที่แค่ง่ายๆก็พึงพอใจแล้วอย่างนี้ของเขาในตอนนี้ แต่กลับทำให้มู่น่อนน่อนปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง
จนกระทั่งถึงตอนที่กินข้าวเช้า อารมณ์ของเฉินถิงเซียวก็ยังคงดีอยู่เหมือนเดิม
แสดงท่าทีออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ตอนที่เฉินมู่บอกว่าเธอไม่อยากกินไข่แดงของไข่ไก่ต้ม เฉินถิงเซียวก็รับไปกินมันไปเงียบๆ
กินข้าวแล้ว มู่น่อนน่อนได้พาเฉินมู่กลับห้อง “แม่ช่วยมัดผมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หนู”
วันนี้ต้องกลับไปตระกูลเฉินด้วยกันกับเฉินถิงเซียว สำหรับในบางแง่ความหมายนึงแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกได้กลับตระกูลเฉินอย่างเป็นทางการ
ดังนั้นแล้วมู่น่อนน่อนเลือกที่จะใช้ความคิดในการแต่งตัวให้กับตัวเองกับเฉินมู่สักหน่อย
เฉินมู่มีหน้าตาสวยผิวขาวนวล ใส่เสื้อผ้าอะไรก็ดูดีไปหมด
จัดแจงให้เฉินมู่เสร็จเรียบร้อยแล้ว มู่น่อนน่อนจึงกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งหน้า
เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสร็จเรียบร้อยก่อน จากนั้นก็ถึงจะนั่งลงแต่งหน้าตรงข้างหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
ตอนที่มู่น่อนน่อนเขียนคิ้ว ก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังมองตนอยู่
เธอหันหน้าไปตามความรู้สึก ก็เห็นเฉินถิงเซียวกำลังเอียงตัวพิงเข้ากับขอบประตู
เขากอดแขนทั้งสองข้างเอาไว้ มองเธอไปด้วยสีหน้าที่เหม่อลอย มองไปแล้วดูเหมือนกับว่าจะดูอยู่นานแล้ว
มือที่กำลังเขียนคิ้วอยู่ของมู่น่อนน่อนได้หยุดชะงักไป มองเขาไม่พูดอะไร ส่งสัญญาณให้เขาออกไป
ตอนนี้เธอไม่ได้แต่งหน้าตามปกติ มือไม้ไม่ค่อยจะชินอยู่บ้าง คิ้วก็ไม่อาจเขียนให้เสร็จในทันทีได้ ปกติตอนที่เขียนคิ้วเวลาออกจากบ้าน เขียนๆไปก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะมีอะไร
ถูกเฉินถิงเซียวมองการแต่งหน้า มักจะรู้สึกแปลกๆอยู่ตลอด
เฉินถิงเซียวไม่เพียงแต่จะไม่ไป แต่กลับยังเดินตรงเข้ามาหาเธอ
เขาเดินเข้าไปยืนนิ่งอยู่ที่ข้างหลังมู่น่อนน่อน สายตาจรดไปที่บนคิ้วที่เธอเพิ่งจะลากเส้นไปเมื่อกี้ พลางเอ่ยออกมาด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก “คุณสามารถวาดให้มันเท่ากันเองได้เหรอ? ให้ผมช่วยคุณเป็นไง?”
มู่น่อนน่อนนิ่งอึ้งไปแป๊บนึง จากในกระจก สามารถมองเห็นสีหน้าที่แสดงออกมาของเฉินถิงเซียวได้ชัดเจน
สีหน้าที่แสดงออกมาของเฉินถิงเซียวไม่เหมือนกับกำลังล้อเล่นอยู่เลยสักนิดเดียว
“คุณทำเป็น?” มู่น่อนน่อนแคลงใจอยู่บ้าง เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยเห็นเฉินถิงเซียววาดภาพเลย
เธอไม่เชื่อชายแท้ๆที่ไม่มีพื้นฐานความชำนาญทางด้านศิลปะเลยสักนิดคนหนึ่ง จะเขียนคิ้วเป็น
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วออกมา พลางพยักหน้าออกมาด้วยสีหน้ามั่นใจ “อืม”
มู่น่อนน่อนยื่นดินสอเขียนคิ้วไปให้เขาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เฉินถิงเซียวรับดินสอเขียนคิ้วมา แล้วสั่งออกไป “หันหน้ามา หลับตาลง”
มู่น่อนน่อนหลับตาลง ปล่อยให้เฉินถิงเซียวเขียนคิ้วให้เธอไป
ผ่านไปหลายนาที เสียงของเฉินถิงเซียวก็ได้ดังขึ้นมา “เสร็จแล้ว”
มู่น่อนน่อนกำลังจะลืมตาออกมา ก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่มที่บนริมฝีปากของตัวเอง
เธอได้ลืมตาออกมาทันที ตรงหน้าก็คือใบหน้าที่ขยายใหญ่ออกมาของเฉินถิงเซียวนั่นเอง
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งของเฉินถิงเซียวได้ค้ำยันอยู่ที่บนโต๊ะเครื่องแป้งด้านหลังเธอ ส่วนมืออีกข้างนึงประคองท้ายทอยของเธอให้เธอเงยหน้าขึ้นมา ส่วนเขาก็ได้โน้มตัวกดริมฝีปากเธอเอาไว้ จูบดูดดื่มเข้ามา
ด้านหลังเป็นขอบโต๊ะเครื่องแป้ง ข้างหน้าเป็นหน้าอกของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนไม่มีที่ให้ถอย มือทั้งสองข้างไม่รู้จะไปวางที่ไหนดี จึงกำชายเสื้อของเฉินถิงเซียวแน่นอย่างไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันยังไง
จูบนี้กับครั้งที่แล้วเมื่อเทียบกันแล้ว ดูเหมือนว่าจะอ่อนโยนขึ้นมาหน่อยนึง
เพียงแต่ว่าความอ่อนโยนมันไม่ได้ดำรงต่อไปได้นานนัก เขาก็เริ่มเปลี่ยนไปจนอุกอาจขึ้นมาเล็กน้อย
ในเวลานี้ด้านนอกก็ได้มีเสียงฝีเท้าเบาๆดังเข้ามา
เป็นเฉินมู่ที่เข้ามาหา
ถึงแม้ว่าจะไม่อยากปล่อยไปอย่างนี้เลย แต่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เฉินถิงเซียวจำต้องปล่อยเธอไป
ก่อนที่จะเหยียดตัวขึ้นไป เฉินถิงเซียวก็เหมือนกับจะไม่ยินยอมก็ไม่ปาน จึงได้กัดลงไปเบาๆบนคางของเธอ จากนั้นก็ถึงจะเหยียดตัวยืนตัวตรงขึ้นมา พลางจัดเสื้อผ้าให้มู่น่อนน่อนไปด้วย
สีหน้าของมู่น่อนน่อนแดงออกมาเล็กน้อย ในดวงตาแมวทั้งสองข้างส่องประกายออกมา ตัวเธอมองไปแล้วน่ากินสุดๆไปเลย
ลูกกระเดือกของเฉินถิงเซียวขยับออกมาเล็กน้อย เสียงทุ้มต่ำและแหบพร่าออกมา “ผมไปห้องน้ำแป๊บนึง คุณเตรียมตัวเสร็จแล้วก็ออกมานะ”
ตอนที่เขาพูด ยังยื่นมือไปทัดผมให้เธอ การกระทำเป็นไปอย่างอ่อนโยนและอาลัยรัก
เฉินถิงเซียวออกไป ก็พาเฉินมู่ไปด้วย
มู่น่อนน่อนเงี่ยหูฟังอยู่สักพักนึง รู้สึกได้ว่าด้านนอกไม่มีเสียงอะไรแล้ว จึงได้หันหน้าไปเผชิญเข้ากับโต๊ะเครื่องแป้ง
ตอนที่เธอมองเห็นคิ้วของตนที่หนาเสียจนเหมือนกับคิ้วของชินจังในกระจกไปชัดเจน ก็ตะโกนเสียงดังออกมาด้วยความโกรธจัด “เฉินถิงเซียว!”
เฉินมู่ที่ได้รับคำชมมากทั้งสองด้าน ก็หยิบพู่กันไปสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองต่ออย่างมีความสุขอีกครั้ง
มู่น่อนน่อนก็ได้กลับไปที่ห้องครัว
เฉินถิงเซียวเดินไปที่ตรงหน้าโต๊ะอาหารอาหารมองไปสักพักนึง ก็สังเกตเห็นได้ว่าบนโต๊ะอาหารได้วางอาหารที่เขาชอบเอาไว้หลายอย่าง
ตรงระหว่างคิ้วของเขาได้ขยับออกมาเล็กน้อย เดินเข้าครัวไปอย่างเบามือเบาเท้า
มู่น่อนน่อนยืนหันหลังให้เขา กำลังรอน้ำในหม้อเดือดขึ้นมาแล้วก็เทไข่เข้าไปคน
เมนูที่ทำของเย็นวันนี้คือซุปมะเขือเทศใส่ไข่
น้ำในหม้อเดือดแล้ว ในตอนที่เธอเตรียมที่จะเทไข่ไก่เข้าไป ก็รู้สึกได้ว่าด้านหลังมีคนเข้าใกล้เข้ามา
ไม่รอให้เธอหันหน้าไป บนเอวก็ได้มีแขนของผู้ชายข้างหนึ่งโอบรัดเอาไว้เสียแล้ว จากนั้นก็ใช้แขนอีกข้างหนึ่งคล้องเข้ามาด้วยติดๆ โอบกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขน
มู่น่อนน่อนจู่ๆก็ถูกเฉินถิงเซียวกอดเข้ามาอย่างนี้ ตกใจจนมือสั่นออกมา ไข่ไก่ในชามได้เทลงไปในหม้อจนหมดไปทันที
ไข่ไก่เดิมทีก็สุกเร็วอยู่แล้ว พอเทลงไปในหม้อก็เกาะตัวกันเป็นก้อน
มู่น่อนน่อนไม่ทันได้พูดอะไร ก็หยิบกระบวยมาคนน้ำซุปในหม้อเพื่อที่จะแก้ไขมันสักหน่อย
ไข่ไก่ถูกคนอย่างนี้ ก็ได้คนจนกลายมาเป็นซุปไข่ไปแล้ว
มู่น่อนน่อนปิดแก๊ส หันไปมองเฉินถิงเซียวเล็กน้อย “ปล่อยมือ!”
ชายที่กอดอยู่ข้างหลังไม่ฟังคำพูดที่เธอบอกว่าให้ปล่อย แต่กลับพูดประโยคหนึ่งออกมาแทน “กอดแป๊บนึง”
หัวของเฉินถิงเซียวฝังอยู่ในลำคอของเธอ เสียงฟังไปแล้วดูเบาเล็กน้อย และก็อู้อี้อยู่บ้าง
มู่น่อนน่อนชะงักไปเล็กน้อย คำพูดที่มาถึงที่ปากก็ได้กลืนกลับไป
เธอตักซุปในหม้อออกมา แล้วตบไปที่มือของเฉินถิงเซียวไปเบาๆ “คุณบอกว่าแค่กอดแป๊บนึงเท่านั้นนะ”
และเฉินถิงเซียวก็ได้ปล่อยเธอไปอย่างที่คิดจริงๆ
เขาเหยียดตัวตรงขึ้น เอี้ยวตัวเล็กน้อย แล้วยกซุปที่เมื่อกี้มู่น่อนน่อนตักเสร็จแล้วออกไป ตลอดการเคลื่อนไหวได้เป็นไปอย่างคล่องแคล่วน่ามองสุดๆ
คนที่บุคลิกดี ถึงแม้ว่าจะเพียงแค่เบียดเสียดอยู่ในครัวที่คับแคบเพื่อยกซุป ก็ยังคงดูไม่ธรรมดาอยู่ดี
มู่น่อนน่อนตามออกไป ก็ได้ยินเสียงเฉินถิงเซียว “มู่มู่ กินข้าว”
เฉินมู่ตอบกลับมาด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย “หนูวาดภาพอยู่”
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปไม่รู้ว่าพูดอะไรกับเธอบ้าง เฉินมู่ก็ได้วางพู่กันลงไปอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วลุกขึ้นเข้ามากินข้าว
มู่น่อนน่อนตอนที่เห็นเฉินมู่กินข้าว ในหัวจู่ๆก็มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้
เธอเงยหน้าขึ้นมองไปทางเฉินถิงเซียวทันที แล้วก็หันหน้ามองเฉินมู่ไปอีกที ตอนนี้ไม่สะดวกพูดเรื่องพวกนี้ออกไป
เฉินถิงเซียวรู้สึกได้ถึงสายตาของเธอ เลิกคิ้วออกมาเล็กน้อย เหมือนกับว่ามองออกถึงความคิดของเธอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากมายออกมา
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วเฉินมู่ก็ไปสร้างผลงานของเธอต่อ มู่น่อนน่อนถึงได้เอ่ยพูดออกมา “เมื่อกี้จู่ๆฉันก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ มู่หวั่นขีเธอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่บนเกาะเล็กเมื่อตอนนั้นได้ยังไง?”
เฉินถิงเซียวรู้ว่าคำพูดของเธอยังพูดไม่จบ จึงไม่ได้พูดแทรกออกไป ส่งสัญญาณบอกให้เธอพูดต่อ
“มู่หวั่นขีทุกครั้งที่เจอฉัน ก็บอกว่าอยากแก้แค้นให้กับซือเฉิงหยู้เสียทุกครั้งเลย แล้วเธอยังเคยบอกว่า ทำไมพวกเราถึงยังดีๆกันอยู่ แต่คนที่ตายกลับเป็นซือเฉิงหยู้แทน ตั้งแต่ต้นจนจบเธอไม่เคยพูดถึงเฉินมู่เลย”
มู่น่อนน่อนพูดมาถึงตรงนี้ ก็เลิกตาขึ้นมองเฉินถิงเซียวที่ยังคงฟังไปอย่างตั้งอกตั้งใจผิดปกติ แล้วพูดออกมาต่อ “หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ที่เกาะเมื่อตอนนั้น เฉินจิ่งหยุ้นก็ปิดข่าวทั้งหมดที่บนเกาะไป เมืองหู้หยางเองก็ไม่เคยมีสื่อเจ้าไหนรายงานข่าวออกมาเลย รวมไปถึงการตายของซือเฉิงหยู้ด้วยก็ได้เป็นเพียงแค่การเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุในการเดินทาง
สมมติว่าก่อนที่ซือเฉิงหยู้จะไปที่เกาะเล็กเมื่อตอนนั้น ได้เคยบอกเล่าแผนการของตัวเองกับมู่หวั่นขีไปแล้ว อย่างนั้นแล้วเธอก็จะต้องรู้สิว่าเมื่อตอนนั้นเป้าหมายที่พวกเราไปก็คือจะพาเฉินมู่กลับมา และแน่นอนว่าจะต้องรู้ถึงการมีอยู่ของเฉินมู่อยู่แล้ว…”
“แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยพูดถึงเฉินมู่มาก่อนเลย หลายครั้งก่อนหน้าฉันก็ไม่ได้คิดมากมาย นึกว่ามู่หวั่นขีจะเป็นคนที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องดีอยู่แล้ว”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็รอเฉินถิงเซียวพูดออกมา
เขาเงียบอยู่สักพักนึงแล้วเอ่ยพูดออกมา “ซือเฉิงหยู้เอามู่หวั่นขีมาอยู่ข้างกาย เพียงเพราะว่าเขาคิดว่ามู่หวั่นขีหน้าตาคล้ายชิงหนิง มีความรู้สึกมอบให้ไปบ้าง แต่เขาก็ไม่มีทางบอกเรื่องที่ตัวเองจะทำออกไปกับมู่หวั่นขีหรอก”
“ความหมายของคุณคือ คนที่บอกมู่หวั่นขีเกี่ยวกับสาเหตุการตายของซือเฉิงหยู้ ยังมีคนอื่นอีก?”
“อืม” เฉินถิงเซียวตอบออกมานิ่งๆ พลางหรี่ตาลงไปเล็กน้อย เหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
มู่น่อนน่อนนึกถึงครั้งที่แล้วขึ้นมา เรื่องที่มู่หวั่นขีตัดเบรกรถของลี่จิ่วเชียน สุดท้ายก็ถูกทางตำรวจจับกุมไปได้ แต่กลับถูกปล่อยออกมา
“คนที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นบนเกาะเล็ก จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ฉันสงสัยว่าคนที่บอกเรื่องนี้กับมู่หวั่นขี ก็คือคนที่ช่วยเธอไปครั้งที่แล้วคนนั้น”
ครั้งที่แล้ว มู่หวั่นขีสามารถถูกคนช่วยออกมาภายใต้สถานการณ์ที่มีหลักฐานครบครันได้ คนที่ช่วยเธอคนนี้จะต้องเป็นคนใหญ่คนโตอย่างแน่นอน
คนใหญ่คนโตจะรู้สาเหตุการตายของซือเฉิงหยู้ที่บนเกาะ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
และเมื่อตอนนั้นเฉินจิ่งหยุ้นก็ตั้งใจปิดข่าวเอาไว้ แน่นอนว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกมู่หวั่นขีเลย
เฉินจิ่งหยุ้นเป็นผู้หญิงที่มีความคิดคนหนึ่ง เรื่องที่ไม่มีค่าต้องทำไปโดยเปล่าประโยชน์ เธอไม่มีวันไปทำหรอก
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นถามเฉินถิงเซียว “ถ้าไม่ใช่เฉินจิ่งหยุ้น แล้วจะเป็นใครได้?”
เฉินถิงเซียวแสยะริมฝีปากออกมา ในน้ำเสียงได้ประดับไปด้วยความรู้สึกสนใจออกมา “คุณลองทายดู”
“เรื่องนี้…ให้ฉันทายยังไงกันล่ะ…” ภายในใจของมู่น่อนน่อนอันที่จริงก็มีความคิดขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยกล้าจะแน่ใจไปเท่าไหร่นัก
เฉินถิงเซียวเพียงแค่แวบตาเดียวก็มองความคิดของเธอออก “นึกถึงใครออกมาตรงๆได้เลย บางทีคนที่คุณทายอาจจะถูกก็ได้นะ?”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากออกมาเล็กน้อย ถามออกไปอย่างหยั่งเชิง “เป็นไปได้มั้ยว่าจะเป็นคนตระกูลเฉิน?”
เฉินถิงเซียวมองเธอเหมือนกับยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มออกมา สีหน้าท่าทางจดจ่อ เหมือนกับกำลังให้กำลังใจให้เธอพูดต่อไป
มู่น่อนน่อนกัดฟันพูดออกไปทีละคำ “พ่อของคุณ เฉินชิงเฟิง”
มุมปากที่จากเดิมได้แสยะขึ้นมาเล็กน้อยของเฉินถิงเซียว ก็ค่อยๆฉีกกว้างออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าเองก็ได้กดลึกขึ้นไปเยอะเลยเหมือนกัน
สีหน้าของมู่น่อนน่อนได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย “คุณก็สงสัยเขาเหมือนกัน?”
เมื่อกี้เธอเพียงแค่ใช้วิธีตัดช้อยส์ออกเท่านั้นเอง ข่าวที่ตระกูลเฉินปิดเอาไว้ได้ถูกแพร่ออกมา แน่นอนว่ามีเพียงแค่คนตระกูลเฉินกันเองเท่านั้นที่จะสามารถแพร่ออกมาได้
และท่ามกลางคนตระกูลเฉินเหล่านี้ที่เหลืออยู่ เฉินจิ่งหยุ้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนี้ คนที่เหลืออยู่ก็มีลูกพี่ลูกน้องไม่กี่คนของเฉินถิงเซียว
แต่เฉินถิงเซียวกับลูกพี่ลูกน้องไม่กี่คนนั้นของเขาไม่ได้สนิทสนมกันมาโดยตลอด ลูกพี่ลูกน้องพวกนั้นของเขายังอยากจะพึ่งพาเฉินถิงเซียวอยู่ที่บริษัทเฉินซื่อต่อไป เพื่อรักษาชีวิตที่สดใสเอาไว้ โดยทั่วไปแล้วไม่มีทางเป็นฝ่ายไปยั่วยุเฉินถิงเซียวเองอยู่แล้ว
และท่ามกลางคนที่เหลืออยู่ ความน่าสงสัยของเฉินชิงเฟิงมีมากที่สุดแล้ว
เพราะถึงยังไงความสัมพันธ์ของซือเฉิงหยู้กับเขาก็ไม่ธรรมดาเลย
“ถึงเวลากลับไปเยี่ยมเขาดูสักหน่อยแล้ว”
คำพูดของเฉินถิงเซียว บ่งบอกออกมาจากอีกด้านหนึ่งว่าความคิดของเขากับความคิดของมู่น่อนน่อนเหมือนกัน
บอกสาเหตุการตายของซือเฉิงหยู้ให้กับมู่หวั่นขี ให้มู่หวั่นขีเกลียดมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียว ทั้งยังตามหาเรื่องมู่น่อนน่อนไปทุกหนแห่ง และหยั่งเชิงว่ามู่น่อนน่อนยังคบอยู่กับเฉินถิงเซียวอยู่หรือเปล่า…
เพราะเรื่องแม่ของเฉินถิงเซียว เฉินชิงเฟิงคงจะรู้ดีว่าเฉินถิงเซียวไม่มีวันจะไปหาเขาอีก เขาเองก็ไม่มีโอกาสจะลงมือกับเฉินถิงเซียวด้วยเหมือนกัน ทำได้แค่เพียงยุแยงให้มู่หวั่นขีมาหาเรื่องพวกเขา
และความเกลียดชังภายในใจของมู่หวั่นขีเข้มข้นเสียขนาดนั้น เธอในตอนนี้ถึงแม้ว่าจะยังเพียงแค่กล้าหาเรื่องมู่น่อนน่อนเท่านั้น แต่ก็ไม่แน่ว่าวันหนึ่งวันใดสามารถไปเจอเฉินถิงเซียวเข้าได้ล่ะ?
นอกจากนี้ ตอนนี้เฉินชิงเฟิงถึงแม้ว่าจะเทียบเท่ากับคนไร้ค่าคนหนึ่งไปแล้ว แต่อูฐที่มันผอมตายก็ยังใหญ่กว่าม้าอยู่ดี ขอเพียงแค่มู่หวั่นขีอยากจะแก้แค้น เขาจะต้องสามารถหาวิธีไปช่วยมู่หวั่นขีได้อย่างแน่นอน
หลังจากที่มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงแยกกัน ก็พาเฉินมู่ไปที่ลานจอดรถ
ก็คงจะเป็นเพราะคำพูดของเสิ่นเหลียงพูดเข้ามาในใจเธอ เธอจึงสติหลุดลอยไปเล็กน้อย
เธอเพิ่งจะอุ้มเฉินมู่เข้าไปในรถแล้วคาดเข็มขัดนิรภัยให้ แล้วก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
มู่น่อนน่อนไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก คนสัญจรไปมาที่ในลานจอดรถมันก็ไม่ได้น้อยเลย
จนกระทั่งเธอปิดประตูเบาะหลังไปเรียบร้อยแล้ว ตอนที่หันหน้ากลับไป เห็นมู่หวั่นขีกำลังหิ้วกระเป๋า กอดแขนทั้งสองข้างเอาไว้อยู่ กำลังยืนมองเธออยู่ตรงที่ที่ห่างจากเธอออกมาเมตรนึง
อากาศช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง มู่น่อนน่อนได้สวมเสื้อไหมพรมบางๆเอาไว้แล้ว แต่มู่หวั่นขีเพียงแค่สวมเสื้อบางๆตัวเดียวกับกางเกงหนังที่สั้นเสียจนผิดปกติ ด้านล่างประกอบไปด้วยถุงน่องแบบโปร่งสีดำกับรองเท้าส้นสูง
มู่หวั่นขีเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ลิปสติกสีแดงสดบนริมฝีปากได้ทาออกมาจนหนาเตอะ เอ่ยปากพูดออกมาอย่างเนือยๆ “บังเอิญจังเลยนะ”
มู่น่อนน่อนมองเธอไปด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “งั้นเหรอ ฉันคิดว่าไม่บังเอิญเลยสักนิดเดียว”
สถานที่เธอกับเสิ่นเหลียงนัดกัน เป็นเพียงแค่ห้างที่ไม่ค่อยใหญ่มากแห่งหนึ่งเท่านั้น มู่หวั่นขีคนที่ชอบออกหน้าอวดประชันอย่างนี้ แน่นอนว่าไม่มีทางจะมาห้างเล็กๆแบบนี้ได้
นี่สามารถแสดงให้เห็นได้แค่เพียงว่ามู่หวั่นขีตามเธอมา
ส่วนตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น มู่น่อนน่อนก็ไม่แน่ใจ
“เมื่อก่อนประเมินเธอต่ำไปจริงๆ ตอนเด็กๆอยู่ที่ตระกูลมู่เธอเสแสร้งเสียจนดูโง่งมขนาดนั้นก็เพื่อจะเอาใจแม่แท้ๆของเธอใช่มั้ยล่ะ? น่าเสียนะ ไม่ว่าเธอจะทำอะไรไป แต่แม่แท้ๆของเธอกลับยังคงเป็นห่วงเป็นใยฉันที่สุดอยู่ดี ในใจของเธอคงเกลียดฉันอยู่ตลอดเลยล่ะสิ?”
มู่หวั่นขีพูดออกมา แล้วค่อยๆเดินเข้ามาก้าวหนึ่งอย่างช้าๆ เอ่ยออกมาด้วยสายตาที่ชั่วร้าย “ดังนั้นแล้ว หลังจากที่เธอโตขึ้นมา จึงคอยตั้งตนเป็นศัตรูกับฉันไปทุกหนทุกแห่งมาโดยตลอด! และยังทำร้ายเฉิงหยู้ของฉันจนตายไปด้วย!”
ทุกครั้งที่มู่หวั่นขีมาหาเธอ ต่างก็พูดถึงซือเฉิงหยู้ไปเสียทุกครั้ง พอพูดถึงซือเฉิงหยู้ มู่หวั่นขีก็เปลี่ยนไปจนเหมือนกับคนบ้าขึ้นมา
มู่น่อนน่อนไม่ได้ถูกผลกระทบจากมู่หวั่นขี เธอเอ่ยออกไปอย่างสงบนิ่ง “ในเมื่อเธอถามมาแล้ว งั้นฉันก็ขอบอกเธอเอาไว้เลยว่าถ้าจะต้องพูดว่าเกลียด คนที่ฉันเกลียดก็คงจะเป็นแม่เลี้ยงของเธอด้วยเหมือนกัน มีรักก็ต้องมีเกลียด”
มู่หวั่นขีได้ยินคำพูดของเธอ ก็ยิ้มเย็นออกมา “ไม่ต้องมาปากอย่างใจอย่างอย่างนี้หรอก เห็นได้ชัดว่าเธอนั้นเกลียดฉัน แต่กลับต้องการจงใจแสดงออกมาเสียดูมีจิตใจดีอีก สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดเลยก็คือท่าทางเสแสร้งนี้ของเธอ!”
กับคนอย่างมู่หวั่นขี พูดมากไปมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก มู่น่อนน่อนยอมแพ้ที่จะคุยกับเธอแล้ว
มู่น่อนน่อนผันร่างเตรียมจะขึ้นรถ แต่กลับถูกมู่หวั่นขีสาวเท้าก้าวใหญ่ๆเข้ามาดึงเธอเอาไว้
มู่น่อนน่อนแสดงสีหน้าโกรธออกมาเล็กน้อย พูดออกมาด้วยน้ำเสียงหมดความอดทนออกมา “มู่หวั่นขี เธอใกล้จะตกงานแล้วเหรอ? วันทั้งวันไม่ไปทำงาน พอฉันออกจากบ้านมาก็เอาแต่ตามฉัน มันสนุกเหรอ?”
มู่หวั่นขีบีบแขนเธอแน่น ฉีกริมฝีปากเผยรอยยิ้มวิตถารออกมา “แน่นอนว่ามันสนุกมาก เพียงแค่คิดว่าฉันตามเธอมาก็สามารถคิดหาวิธีฆ่าเธอเพื่อแก้แค้นให้กับซือเฉิงหยู้ได้ ฉันก็คิดว่ามันน่าสนุกมาก”
มู่น่อนน่อนคิดถึงเฉินมู่ที่ยังอยู่ในรถ ภายในใจก็ร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย
ยังดีที่หน้าต่างรถเป็นแบบกระจกที่มองเห็นแค่เพียงด้านเดียว กันเสียงได้ดีมากเช่นกัน ด้านในสามารถมองเห็นด้านนอกได้ แต่ด้านนอกมองไม่เห็นด้านใน
ดังนั้นแล้ว มู่หวั่นขีไม่สามารถมองเห็นเฉินมู่ที่อยู่ด้านในได้
“ถ้าว่างก็ให้ผู้จัดการของเธอช่วยเธอหาโรงพยาบาลดีๆดูหน่อยสิ จะได้ไม่ต้องเป็นบ้าไปก่อนที่ยังไม่ได้แก้แค้นฉันเลย”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็สลัดมือของมู่หวั่นขีออกไปทันที แล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูรถอีกด้านนึงแล้วนั่งเข้าไป
เธอกำลังจะขับรถ นึกขึ้นมาได้ว่าครั้งที่แล้วมู่หวั่นขีแอบเล่นกลอุบายที่บนรถของลี่จิ่วเชียน จึงไม่กล้าขับรถ
มู่หวั่นขีถูกมู่น่อนน่อนสลัดออกไป ก็ไม่ได้ออกไปโดยทันที
ในทันใดนั้น เธอก็มองไปที่เบาะหลังด้านในรถของมู่น่อนน่อน ผ่านทางหน้าต่างรถ สามารถมองเห็นได้รางๆว่าด้านในเหมือนกับว่าจะยังมีคนนั่งอยู่ด้วย
แต่เพราะเหตุผลทางสายตา จึงมองเห็นได้ไม่ชัดนัก
เธอจึงโน้มตัวเข้าไปตรงหน้าหน้าต่างรถทันที แนบเข้ากับกระจกดูเข้าไปข้างใน
รถของมู่น่อนน่อนไม่ได้แพงมาก วัสดุของกระจกรถก็ไม่ได้ดีมาก ดังนั้นแล้วเมื่อแนบเข้าไปบนหน้าต่างรถแล้ว ก็สามารถมองเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ด้านในได้รางๆ แต่ใบหน้ามองได้ไม่ชัดเจนนัก
“ทำอะไร!”
ไกลออกไปก็มีเสียงรปภ.ดังเข้ามา
มู่น่อนน่อนจึงได้พบว่ามู่หวั่นขียังไม่ไป
ร้ายดียังไงมู่หวั่นขีก็เป็นบุคคลสาธารณะ เห็นรปภ.เข้ามาแล้ว ก็ยืนตัวตรงแล้วเดินออกไป
ตอนที่รปภ.เดินเข้ามา มู่น่อนน่อนก็ลงจากรถพอดี
ผู้คนมักจะเป็นกันเองกับคนที่มีหน้าตาโดดเด่นเป็นพิเศษเสมอ
รปภ.เห็นมู่น่อนน่อน ก็เอ่ยถามออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “เมื่อกี้มีคุณผู้หญิงท่านหนึ่งพิงเข้ากับรถของคุณอย่างลับๆล่อๆ เธอไม่ได้ทำอะไรใช่มั้ยครับ?”
มู่น่อนน่อนรู้ว่าคนที่รปภ.พูดถึงคือมู่หวั่นขี จึงยิ้มพลางเอ่ยออกไป “ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ สามารถรบกวนให้ช่วยตรวจเช็กรถกับเบรกให้ฉันหน่อยได้มั้ยคะ?”
“ได้สิครับ”
รปภ.ช่วยมู่น่อนน่อนตรวจเช็กเบรกรถ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร มู่น่อนน่อนจึงขอบคุณแล้วก็ได้ขับรถออกไป
เสียงอ้อแอ้ของเฉินมู่ดังขึ้นมาจากเบาะหลังรถ “คุณแม่ คุณป้าคนนั้น…”
มู่น่อนน่อนมองเธอจากในกระจกมองหลัง แล้วถามเธอออกไป “คุณป้าคนนั้นมีอะไรเหรอ?”
ในมือของเฉินมู่กำตุ๊กตาไม้ที่เสิ่นเหลียงให้เธอมาเอาไว้แน่น พูดออกมาเบาๆ “เมื่อกี้เธอมองหนู”
มู่น่อนน่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “มู่มู่ของเราหน้าตาน่ารักเสียขนาดนี้ พวกเขาก็เลยชอบมองหนูไงคะ”
เฉินมู่ยิ้มออกมา ตาโตทั้งสองข้างได้ยิ้มหยีกลายเป็นรูปทรงพระจันทร์เสี้ยวออกมา “คุณแม่ก็น่ารักเหมือนกัน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนกดลึกมากขึ้น
เธอนึกขึ้นมาว่าเมื่อก่อนเฉินถิงเซียวเคยบอกว่านิสัยของเฉินมู่เหมือนเธอ
ตอนนี้ดูเหมือนว่านิสัยของเฉินมู่จะไม่เหมือนเธอเลยจริงๆ ตอนเธอเด็กๆไม่ได้ปากหวานเท่าเฉินมู่เลย
เพียงไม่นาน สีหน้าที่แสดงออกมาบนใบหน้าของเธอก็ได้นิ่งลง
มู่หวั่นขีครั้งนี้เริ่มตามเธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่?
คนอย่างมู่หวั่นขีไม่ว่าจะเป็นวิธีที่ต่ำช้าแค่ไหนก็ทำออกมาได้หมด แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้ทำลายเบรกรถของเธอไป
เป็นเพราะว่าวิธีแบบเดียวกันไม่สามารถใช้ซ้ำเป็นครั้งที่สองได้งั้นเหรอ?
แต่ว่าทุกครั้งที่มู่หวั่นขีเจอเธอ ล้วนแล้วแต่จะต้องมีท่าทีที่แทบอยากจะฉีกเธอเป็นชิ้นๆออกมาเสียทุกครั้ง คงจะไม่มีทางปล่อยทุกๆโอกาสที่มีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถฆ่าเธอได้ไปหรอก
ถึงแม้ว่าเป็นการตัดเบรกลูกไม้ที่เคยใช้มาก่อนแล้วจำพวกนี้ มู่หวั่นขีก็ไม่มีทางจะถือสาที่จะเอามาใช้อีกครั้ง
จนกระทั่งกลับมาถึงบ้าน มู่น่อนน่อนก็ยังไม่เข้าใจเลย
ก็คงจะเป็นเพราะว่าได้รับผลกระทบมาจากคำพูดเหล่านั้นของเสิ่นเหลียง ตอนที่มู่น่อนน่อนทำมื้อเย็น ครึ่งนึงทำอาหารที่เฉินถิงเซียวชอบกิน อีกครึ่งนึงก็ทำอาหารที่เฉินมู่ชอบกิน
เฉินถิงเซียวกลับมาเร็วมาก
หลังจากที่เขามาอยู่ที่บ้านของมู่น่อนน่อน ก็แทบจะไม่ได้ทำงานล่วงเวลาเลย มีงานที่ทำไม่เสร็จ ก็จะพากลับมาทำด้วย
ตอนที่เขากลับมา เฉินมู่ก็กำลังขีดเขียนอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา
เธอนั่งบนเก้าอี้ก็ยืดไปไม่ถึงโต๊ะ จึงยืนอยู่เก้าอี้ของเฉินถิงเซียวไป บนกระดาษที่อยู่ด้านหน้าได้ละเลงจนเละไปหมด
เห็นเฉินถิงเซียวกลับมา เฉินมู่ก็ได้แนะนำผลงานภาพวาดของตัวเองให้กับเขาไปอย่างกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก “คุณพ่อ นี่คือคุณพ่อ นี่คือคุณแม่ นี่คือหนู”
มู่น่อนน่อนได้ยกอาหารออกมาพอดี เฉินมู่เรียกเธอ “คุณแม่ มาดูภาพของหนู”
มู่น่อนน่อนวางอาหารลง แล้วเดินเข้าไป
มู่น่อนน่อนชี้ไปที่เส้นสีแดงเส้นหนึ่งที่วาดออกมาบนกระดาษ “นี่คือคุณแม่!”
มู่น่อนน่อนยิ้มออกมาอย่างใจเย็น “สวยจริงๆเลย”
เฉินมู่ชี้ไปที่เส้นสีเขียวเส้นหนึ่งให้เฉินถิงเซียวดู “นี่คือเฉินชิงเซียว”
“ทำไมเป็นสีเขียว?”
“ชิงเซียวสีเขียว!”
เฉินถิงเซียวลังเลไปสองวิ แล้วมองไปที่มู่น่อนน่อนแวบนึง พลางเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “สวยมาก”
ไม่รอให้เฉินถิงเซียวพูดออกมา กู้จือหยั่นก็ได้พูดไกล่เกลี่ยออกมาอย่างยิ้มระรื่น “ฉันไปทำธุระที่นั่นเลยบังเอิญเจอถิงเซียว แล้วก็ได้รู้ว่าเสิ่นเสี่ยวเหลียงกับเธอมากินข้าวกันที่นี่ เลยลากถิงเซียวมาด้วย”
“อืม” เฉินถิงเซียวยอมรับคำอธิบายของกู้จือหยั่นออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
มู่น่อนน่อนมองกู้จือหยั่นไปเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม
กู้จือหยั่นส่งสายตา “อย่าเปิดโปง” มาให้เธอ
เขาไหนเลยจะวิ่งแจ้นไปทำธุระที่บริษัทเฉินซื่อโดยที่ไม่มีธุระอะไร เป็นเฉินถิงเซียวที่เป็นฝ่ายโทรมาหาเขาเอง บอกว่าอยากจะนัดเขากินข้าว แต่ผลสุดท้ายเฉินถิงเซียวก็พาเขามาที่นี่
ส่วนเฉินถิงเซียวรู้ได้ยังไงว่ามู่น่อนน่อนพวกเธออยู่ที่นี่นั้น…
กู้จือหยั่นเองก็ไม่ได้ถามออกไปให้มากมาย สามารถมากินข้าวด้วยกันกับเสิ่นเสี่ยวเหลียงสักมื้อนึง เขาก็รู้สึกว่าตัวเองได้กำไรแล้ว
เฉินมู่ที่อยู่ข้างๆยื่นตุ๊กตาไม้ตัวหนึ่งที่อยู่ในมือยื่นไปให้เฉินถิงเซียวดูด้วยความตื่นเต้นดีใจ “คุณพ่อ ตุ๊กตา!”
นั่นเป็นตุ๊กตาที่เสิ่นเหลียงเพิ่งให้เธอมาเมื่อกี้นี้ ตุ๊กตาไม้ตัวหนึ่ง ร้องเพลงได้ งานหัตถกรรมที่เรียบง่ายมาก สำหรับผู้ใหญ่แล้วไม่ได้มีแรงดึงดูดอะไรเลย แต่เด็กน้อยนั้นคิดว่ามันแปลกใหม่
เฉินถิงเซียวถามเธอ “ใครให้?”
เฉินมู่ชี้ไปที่เสิ่นเหลียงเล็กน้อย เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มระรื่น “คุณน้าเสิ่นให้หนูมา”
เสิ่นเหลียงยิ้มแล้วแตะหัวของเฉินมู่ไปเบาๆ
พนักงานรินน้ำเสร็จแล้วก็ถามออกมา “ไม่ทราบว่าต้องการจะสั่งอาหารตอนนี้เลยมั้ยคะ?”
มู่น่อนน่อนเอ่ยออกมา “สั่งตอนนี้เลยเถอะ”
เธอพาเฉินมู่ออกมาค่อนข้างที่จะเช้านิดนึง คุยกับเสิ่นเหลียงเสียนานจนไม่ได้ตระหนักถึงเวลาเลย
ตอนนี้ได้ถึงเวลาอาหารเที่ยงไปแล้ว กู้จือหยั่นกับเฉินถิงเซียวมาแล้ว แน่นอนว่าจะต้องสั่งอาหารกันก่อน
พนักงานหยิบเมนูอาหารมา เฉินถิงเซียวก็ได้ดันเข้าไปตรงหน้ามู่น่อนน่อนไปทันที
มู่น่อนน่อนดันกลับไป “คุณสั่งก็พอแล้ว”
เสิ่นเหลียงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามเธอ มองทั้งหมดนี้อยู่ในสายตา เมื่อกี้เธอกับมู่น่อนน่อนเพียงแค่คุยกันเรื่องดินโคลนถล่มที่ในภูเขาเท่านั้น ยังไม่ได้พูดถึงเฉินถิงเซียวเลย
เห็นพฤติกรรมที่ทั้งสองคนดันเมนูอาหารกันไปในตอนนี้ เหมือนกับว่าจะค่อนข้างที่จะซับซ้อนเลย
เสิ่นเหลียงเตะกู้จือหยั่นไปทีนึงที่ใต้โต๊ะไปเงียบๆ
กู้จือหยั่นหันหน้ามองไปทางเสิ่นเหลียงด้วยใบหน้าที่อธิบายไม่ถูกออกมา เสิ่นเหลียงเชิดคางขึ้น ส่งสัญญาณให้เขามองเฉินถิงเซียว
กู้จือหยั่นส่ายหน้าออกมาเล็กน้อย เขาไม่ค่อยรู้ชัดเจนต่อเรื่องของเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนเท่าไหร่นักเหมือนกัน
เฉินถิงเซียวมองมู่น่อนน่อนไปแวบนึง แต่ก็ไม่ได้ดันเมนูอาหารกลับไปอีก แล้วได้เปิดเมนูขึ้นมาแล้วเริ่มสั่งอาหาร
หลังจากที่สั่งไปสองสามอย่างแล้ว ก็ได้ส่งเมนูอาหารไปให้กู้จือหยั่นอีกที
รอจนถึงตอนที่อาหารมาเสิร์ฟ มู่น่อนน่อนพบว่าในนั้นครึ่งนึงเป็นอาหารที่เธอชอบกินทั้งนั้นเลย
ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิด นั่นเป็นอาหารที่เฉินถิงเซียวสั่งให้เธอ
เฉินถิงเซียวในตอนนี้ได้ฟื้นความทรงจำกลับมามากขึ้นหน่อยนึงแล้ว เขาสามารถจำอาหารที่มู่น่อนน่อนชอบกินได้ ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากเลยเช่นกัน
ตอนที่กินข้าว สายตาของเสิ่นเหลียงได้มองวกไปมาที่บนร่างของทั้งสองคนนี้ไปเป็นครั้งคราว
เธอพบว่าเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนทั้งสองคนมองไปแล้วดูสนิทสนมกันกว่าเมื่อก่อนอยู่หน่อยนึง แต่ก็ยังแผ่ความไม่คุ้นเคยกันออกมาอีก
หลังจากที่กินข้าวกันแล้ว เฉินถิงเซียวได้เป็นฝ่ายเสนอออกมาเองว่าจะไปส่งมู่น่อนน่อนกับเฉินมู่กลับบ้านเอง
“ฉันไปส่งพวกเธอ”
“ฉันขับรถมาเอง”
แต่เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้ฝืนบังคับออกไปมากเกินไปเช่นกัน เพียงแค่กำชับไปว่าให้เธอขับรถอย่างระมัดระวัง แล้วก็กลับบริษัทไป
แน่นอนว่ากู้จือหยั่นจะต้องไปด้วยกันกับเขาด้วย
“เธอกับบอสใหญ่ ผ่านเรื่องครั้งนี้ไป ก็คงจะมีอันนั้นอยู่บ้างแล้วใช่มั้ย?” เสิ่นเหลียงพูด แล้วยังขยิบตาออกมา แล้วส่งสายตา “เธอเข้าใจดี” ไปให้มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนไม่เข้าใจ “อันนั้น?”
“อันนั้นไง!” เสิ่นเหลียงเห็นมู่น่อนน่อนยังมีใบหน้างงงวยออกมา จึงพูดเสริมออกมาประโยคนึง “ก็คือดึงระยะห่างเข้ามา เกิดความรู้สึกดีๆให้กันและกัน…ไม่สิ พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก ยังไงก็ตามคือเธอรู้สึกมั้ยว่าเขามีความสนิทสนมอะไรจำพวกนั้นกับเธอ?”
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดอยู่สักพักนึง จากนั้นก็พยักหน้าออกมาเล็กน้อย “มีมั้ง ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ร่วมกันกับฉัน”
“พักอยู่ร่วมกันกับเธอ? ตามที่ฉันเข้าใจคือหมายความว่าเขาย้ายไปอยู่กับเธอใช่มั้ย?”
เสิ่นเหลียงสมกับที่เป็นนักแสดงคนหนึ่ง ความเข้าใจในเนื้อหาการอ่านทำได้ยอดเยี่ยมมาก
“ใช่”
ได้รับคำยืนยันจากมู่น่อนน่อน เสิ่นเหลียงก็ช็อกค้างไปหมด “ตอนนี้พวกเธอกลับมาคืนดีกันแล้ว?”
กลับมาคืนดีกันเหรอ?
อันที่จริงก็ไม่นับว่าเป็นอย่างนั้นหรอก
มู่น่อนน่อนส่ายหน้าออกมา “เปล่า”
“ฉันได้ยินกู้จือหยั่นบอกมา ตอนที่อยู่ที่ในภูเขา บอสใหญ่เป็นคนเดียวที่เสี่ยงชีวิตไปตามหาเธอเลยนะ เธอไม่ได้รู้สึกอะไรเลยงั้นเหรอ? ถึงแม้ว่าเขาจะไร้หนทางที่จะฟื้นความทรงจำกลับมาได้ แต่เขาก็รู้เรื่องในอดีตทั้งหมดนะ อีกทั้งยังแคร์เธอด้วยเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเขาจะนึกขึ้นมาไม่ได้ตลอดไปเลย แต่พวกเธอก็สามารถสร้างความทรงจำกันขึ้นมาใหม่อีกไม่ใช่หรือไง…”
เสิ่นเหลียงยังคงพูดต่อออกมา แต่ความคิดของมู่น่อนน่อนมันได้ล่องลอยไปไกลแล้ว
เธอรู้ว่าคำพูดของเสิ่นเหลียงมันมีเหตุผลที่แน่นอนด้วยเหมือนกัน
สองวันนี้เธอก็ได้คิดเรื่องพวกนี้อยู่ซ้ำๆเหมือนกัน
เฉินถิงเซียวยังคงเป็นเฉินถิงเซียวคนนั้น ทำไมเธอถึงคิดว่าไม่เหมือนกันล่ะ?
เมื่อก่อนหน้านี้เธอคิดอยู่เสมอว่าเฉินถิงเซียวสามารถฟื้นความทรงจำกลับมาได้ พวกเขาจะสามารถย้อนกลับไปเมื่อครั้งวันวานได้
แต่ว่าความทรงจำในตอนนี้ของเฉินถิงเซียวได้เพิ่มเยอะขึ้นมาบ้างแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่ดีแล้วไม่ใช่เหรอ?
เสิ่นเหลียงเห็นมู่น่อนน่อนได้ยินคำพูดของตนแล้วก็ไม่มีการตอบสนองกลับมาเลย จึงถามออกไปเลยว่า “เธอพูดมาตรงๆเลยเถอะ ในใจของเธอตกลงแล้วกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ลังเลอะไร?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็แค่คิดว่าเฉินถิงเซียวยังคงเป็นเขาอยู่ และก็ไม่ใช่เขาด้วยเหมือนกัน ตอนนี้ฉันยังทำเหมือนอย่างเมื่อก่อนอย่างนั้นไม่ได้…”
ไม่รอให้มู่น่อนน่อนพูดจบ เสิ่นเหลียงก็ชำเลืองมองเธอ พลางเอ่ยออกมาด้วยความไม่ชอบใจ “ตอแหล! เธอลองคิดเรื่องเมื่อสามปีก่อนดู แล้วลองมองดูตอนนี้อีกที พวกเธอทั้งสองคนต่างก็ยังมีชีวิตดีๆกันอยู่ทั้งคู่ แล้วก็ยังมีมู่มู่ลูกสาวที่น่ารักเสียขนาดนั้นอยู่ เธอยังมีอะไรที่ไม่พอใจอีก?”
มู่หมิงหน่วนเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ฟังคำพูดของเสิ่นเหลียงเข้าไป
คนในตอนที่ครอบครองไปจนเยอะแล้ว มักจะคิดมากกว่าเดิมอยู่เสมอ
ในตอนเริ่มแรกสุด เฉินถิงเซียวในตอนที่เห็นเธอก็เหมือนกับเห็นคนแปลกหน้า มู่น่อนน่อนคิดเพียงแค่กลับไปยังวันวาน
แต่สถานการณ์ในตอนนี้ของเฉินถิงเซียวมันค่อยๆดีขึ้นมาช้าๆ แต่เธอกลับคิดมากกว่าเดิมขึ้นมาอีกแทน
เฉินมู่ที่อยู่ข้างๆคอยฟังพวกเธอพูดอยู่ตลอด ตอนนี้จู่ๆก็ได้พูดเข้ามาประโยคหนึ่ง “ตอแหล”
มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงหันหน้าไปมองเธออย่างพร้อมเพรียงกัน
เฉินมู่ยกนิ้วขาวนุ่มนิ่มของตัวเองขึ้นมา ใบหน้าแสดงความงงงวยออกมา
เธอเพียงแค่พูดตามเสิ่นเหลียงเท่านั้นเอง ไม่รู้เลยสักนิดเดียวว่าตอแหลมันหมายความว่าอะไร
เสิ่นเหลียงแหย่เธอเล่น “ใครตอแหลกัน?”
เฉินมู่มองเสิ่นเหลียงไปเล็กน้อย แล้วก็ได้มองมู่น่อนน่อนไปอีกที จากนั้นก็พูดเสียงดังฟังชัดออกมา “คุณพ่อ”
“ฮ่าๆๆ!”
เสิ่นเหลียงหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างไม่มีเกรงใจเลยแม้แต่นิดเดียว หัวเราะออกมาจนตัวงอไปหมด ตบโต๊ะแทบจะหัวเราะจนร้องไห้ออกมา “น่อนน่อน นิสัยของมู่มู่ได้เธอมาเลยนะ ขี้กลัวขนาดนี้เลย สัญชาตญาณการเอาตัวรอดเก่งสุดยอดไปเลยฮ่าๆๆ!”
มู่น่อนน่อนฉีกมุมปากออกมา หน่ายใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย “เสี่ยวเหลียง ภาพลักษณ์ไอดอลของเธอล่ะ ไม่กลัวว่าจะถูกปาปารัซซี่ถ่ายเข้าเหรอ?”
“ไม่กลัว…ฮ่าๆๆๆ!” เสิ่นเหลียงพูดออกมาสองคำ แล้วก็ได้หัวเราะออกมาต่อ
มู่น่อนน่อนจำต้องหันไปมองเฉินมู่ “รู้ว่าตอแหลหมายความว่าอะไรเหรอ?”
เฉินมู่ส่ายหน้าออกมาอย่างซื่อตรง “ไม่รู้ค่ะ”
แน่นอนว่าเธอไม่รู้อยู่แล้วว่าตอแหลมันหมายความว่าอะไร
มู่น่อนน่อนแตะหัวเธอไปเบาๆ “อย่าว่าคุณพ่ออย่างนี้”
ความสามารถทางการเรียนรู้ของเด็กน้อยสุดยอดเกินไป ผู้ใหญ่พูดอะไรออกไปนิดหน่อยก็สามารถจำได้แล้ว เธอกลัวจริงๆเลยว่าเย็นนี้เฉินถิงเซียวกลับบ้านมา เฉินมู่จะพูดออกมาต่อหน้าเฉินถิงเซียว…
เฉินถิงเซียววางกล่องลังลงบนโต๊ะ สีหน้าสงบนิ่ง
เขาสามารถเข้ามาอยู่ได้ต้องอาศัยการตามตื๊อไปอย่างไม่ยอมแพ้ทั้งนั้น สือเย่มีสิทธิ์อะไรที่จะถูกมู่น่อนน่อนเชิญเข้ามานั่งเล่นได้ง่ายๆกันล่ะ?
เฉินถิงเซียวส่งเสียงเฮอะออกมาเบาๆ แล้วก็ได้เงยหน้าขึ้นไปมองมู่น่อนน่อนแวบนึง แล้วถอนสายตากลับมา เปิดกล่องลังเอาเอกสารที่อยู่ด้านในออกมา
มู่น่อนน่อนไม่ได้เข้าไปทางเฉินถิงเซียว ตัดสินใจที่จะเข้าห้องไปดูเฉินมู่สักหน่อย
ตอนบ่ายเฉินมู่ไปนอนกลางวัน จนถึงตอนนี้ยังไม่ตื่น ตอนนี้ก็จะหกโมงเย็นไปแล้ว ต้องไปปลุกเธอขึ้นมาได้แล้ว ไม่อย่างนั้นตอนกลางคืนจะนอนไม่หลับอีก
เธอมองดูเวลา ถึงได้พบว่าวันนี้เฉินถิงเซียวกลับมาเร็วมาก
เธอเพิ่งจะเดินมาถึงประตูห้องของเฉินมู่ ประตูห้องก็ค่อยๆถูกคนเปิดมาจากด้านใน
เฉินมู่ยืนผมชี้ยุ่งไปหมดอยู่ที่หลังประตู หาวออกมาเบาๆแล้วส่งเสียงเรียกออกมา “คุณแม่”
“มู่มู่ตื่นแล้วเหรอ” มู่น่อนน่อนอุ้มเธอขึ้นมา ยื่นมือไปจัดผมให้เธอ แล้วอุ้มเธอไปล้างหน้าล้างตา
ตอนที่ผ่านตรงห้องโถงใหญ่เห็นเฉินถิงเซียว เฉินมู่ก็ส่งเสียงเรียกออกไป “คุณพ่อ”
เสียงค่อนข้างที่เบาอยู่บ้าง เสียงอู้อี้เพิ่งจะตื่นนอน
เฉินถิงเซียวได้ยินเสียง ก็เงยหน้าไปมองเฉินมู่ แล้วตอบออกมา “อืม”
อีกด้านนึงของห้องรับแขกได้เพิ่มโต๊ะทำงานกับชั้นวางหนังสือมาใหม่ เฉินมู่คาดว่าคงจะมองเห็นจุดที่ต่างออกไป ตอนที่เข้าห้องน้ำไป ยังมองไปทางเฉินถิงเซียวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ออกมาจากด้านในห้องน้ำ หลังจากที่มู่น่อนน่อนได้สวมเสื้อคลุมตัวนอกให้เฉินมู่แล้ว เฉินมู่ก็วิ่งไปทางเฉินถิงเซียวอย่างเริงร่า
ส่วนสูงของเธอยังขาดอีกหน่อยนึงถึงจะสูงเท่าโต๊ะทำงานได้
เธอยื่นมือที่อ้วนจ้ำม่ำทั้งสองข้างตะเกียงตะกายไปบนโต๊ะทำงาน เขย่งเท้าเงยหน้าขึ้นเสียสูงมากเพื่อไปดูเอกสารที่เฉินถิงเซียวจัดวางอยู่ “คุณพ่อ คุณพ่อกำลังทำอะไรอยู่…”
ประโยคแบบนี้อันที่จริงเธอพูดยังไม่ได้ชัดมากนัก แต่เฉินถิงเซียวเคยชินกับการฟังเธอพูดแล้ว จึงสามารถฟังออกได้ไปโดยปริยาย
เฉินถิงเซียวไม่แม้จะเงยหน้าขึ้นมา “ทำงาน”
เฉินมู่ถามไปด้วยความอยากรู้ “ทำงานอะไร?”
เฉินถิงเซียวเลิกตาขึ้นมา เห็นเฉินมู่กำลังตะเกียกตะกายอยู่ที่พื้นผิวโต๊ะไปอย่างยากลำบาก เงยหน้าขึ้นมองเธอ เพราะว่าใช้แรงมากเกินไป คิ้วของเธอเลยขมวดลาดเอียงกลายเป็นปม เม้มริมฝีปากแอบใช้แรงไปเงียบๆ
เฉินถิงเซียวจ้องมองเธอไปสองวิ ยื่นแขนข้ามผิวโต๊ะ ใช้มือทั้งสองข้างจับไปที่ใต้รักแร้ของเฉินมู่ แล้วยกเธอขึ้นมาวางลงบนโต๊ะทำงานทันที
ตอนที่เฉินมู่ถูกยกขึ้นมา ก็ยื่นมือไปจับแขนของเฉินถิงเซียวไปอย่างตื่นกังวล รอจนถึงตอนที่ถูกวางลงไปบนโต๊ะอย่างสวัสดิภาพแล้ว เธอจึงผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกออกมา “เฮ้อ!”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วออกมา “ถอนหายใจอะไร?”
“ไม่ได้ถอนหายใจ” เฉินมู่ส่ายหน้าปฏิเสธ ยื่นมือไปปัดเอกสารที่อยู่ตรงหน้าเขาไปอีกด้านหนึ่ง
เฉินถิงเซียวยื่นมือไปกดเอกสารเอาไว้ น้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนอย่างเคย “อย่ากระดุกกระดิก”
เฉินมู่ตกใจกลัวจนหดมือกลับไปทันที เบิกตากว้างมองเฉินถิงเซียวไปตาปริบๆ แล้วยังเอามือไปไว้ข้างหลังเงียบๆ เหมือนกับว่ากลัวเฉินถิงเซียวจะตีเธอก็ไม่ปาน
มู่น่อนน่อนอยู่ที่ไม่ไกลออกไปมองเห็นภาพเหตุการณ์นี้เข้า ก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
เจ้าเด็กฉลาดเป็นกรดคนนี้นี่นะ
เฉินมู่เงียบไปได้ไม่ถึงสิบวิ ก็เข้าไปตรงหน้าของเฉินถิงเซียวไปดูเอกสารที่อยู่ในมือของเขาไปอีกครั้ง ยื่นมือออกไปแตะดูด้วยความกระตือรือร้นที่อยากจะลองดู
พอเฉินถิงเซียวเลิกตาขึ้นมา เธอก็ไปหดมือกลับไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
เฉินมู่กำลังท้าทายหาเรื่องให้โดนอัดอยู่
เป็นอย่างนี้ไปซ้ำๆหลายครั้ง เฉินถิงเซียวหันหน้ามองไปทางมู่น่อนน่อน “มองพอแล้วก็พาลูกสาวคุณออกไป!”
มู่น่อนน่อนยืนตัวตรง พลางเอ่ยออกไปอย่างได้ใจสุดๆ “ฉันจะไปทำกับข้าว คุณดูมู่มู่ไปเถอะ อย่าทำให้เธอร้องไห้ล่ะ”
เฉินถิงเซียวย่นคิ้วออกมา เขาฟังออกได้ถึงอาการมีความสุขในความทุกข์ของคนอื่นจากในคำพูดของเธอ
มู่น่อนน่อนพูดจบก็เข้าห้องครัวไป เฉินถิงเซียวก้มหน้ามองไปทางเฉินมู่ เฉินมู่เองก็เลิกตาขึ้นมามองเขา
ผู้ใหญ่หนึ่งเด็กน้อยหนึ่งสบตากันอยู่สักพักหนึ่ง เฉินมู่ส่งเสียงเรียกเขาเสียงเบาออกมากับนิ้วมือ “คุณพ่อ”
น้ำเสียงของเฉินมู่พูดออกมาอย่างระมัดระวัง ไม่ได้แตกต่างไปจากน้ำเสียงที่มู่น่อนน่อนพูดกับเขาตอนที่เขาโกรธเมื่อก่อนหน้านี้เลย
ตรงกลางระหว่างคิ้วของเฉินถิงเซียวนิ่วเข้าด้วยกันแล้วก็ได้คลายออกไปอย่างนั้น เขาแตะหัวเฉินมู่ไปเบาๆ “หนูว่าง่ายๆหน่อย อย่ากระดุกกระดิก ฉันจะเอารถเร็วเป้าลี่ของหนูมาให้”
ดวงตาของเฉินมู่เป็นประกายออกมาทันที “ได้!”
เฉินถิงเซียวหารถเร็วเป้าลี่มาให้เฉินมู่เล่น
เฉินมู่รับรถเร็วเป้าลี่มา แล้วเล่นไปอย่างตั้งอกตั้งใจ ขาอวบเล็กทั้งสองข้างวางอยู่บนโต๊ะทำงานได้โยกไปมา ที่ปากก็พูดพึมพำออกมา เล่นไปจนตั้งอกตั้งใจมาก
ขนาดเฉินถิงเซียวมองเธออยู่สักพักใหญ่ เธอก็ไม่ได้สังเกตเห็นเลย
นี่คือลูกสาวของเขากับมู่น่อนน่อน
แต่น่าเสียดายที่เหมือนเขามากกว่าหน่อย ถ้าหน้าตาเหมือนกับมู่น่อนน่อนสักหน่อยก็จะดีกว่า
……
ตอนเย็น มู่น่อนน่อนได้รับสายของเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นกลับเมืองหู้หยางแล้ว
วันต่อมา มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงนัดกันไปกินข้าวข้างนอก
ตอนนี้เฉินถิงเซียวกับเฉินมู่ต่างอาศัยอยู่ด้วยกันกับเธอ เฉินถิงเซียวไปทำงานที่บริษัท แน่นอนว่าเธอจะต้องพาเฉินมู่ออกไปด้วยกัน
เสิ่นเหลียงถึงแม้ว่าภายนอกจะดูค่อนข้างที่จะไม่สนใจอะไร แต่ความจริงแล้วเป็นคนคิดละเอียดรอบคอบมากเลยเหมือนกัน
เธอรู้ว่ามู่น่อนน่อนจะพาเฉินมู่ออกไปด้วย ก็ยังพาของขวัญเล็กๆน้อยๆไปให้เฉินมู่ด้วย
มู่น่อนน่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น “เธอมีของเล่นเยอะแล้ว ซื้อเยอะไปเธอเล่นไม่ไหวหรอก”
เสิ่นเหลียงเอ่ยออกมาอย่างไม่แยแส “เด็กน้อยมีที่ไหนจะไม่ชอบของขวัญกัน ของเล่นเดิมทีแล้วก็คือสิ่งที่เอามาเล่นอยู่แล้ว เธอจะไม่ชอบที่เสื้อผ้าเธอเยอะขึ้นมาหรือเปล่า?”
มู่น่อนน่อนคิดว่าหมดหนทางที่จะโต้แย้งออกไป เธอไม่มีทางจะไม่ชอบที่เสื้อผ้าของตัวเองเยอะได้เลยจริงๆ
เสิ่นเหลียงเห็นสีหน้าของเธอผ่อนคลายมาบ้างแล้ว จึงเอ่ยออกไป “ถึงยังไงก็เป็นของเล่นกระจุ๊กกระจิ๊กที่ไม่ได้มีค่าอะไรอยู่แล้ว”
แท้ที่จริงแล้ว ของที่เสิ่นเหลียงซื้อมาไม่ใช่ของที่มีราคาแพงมากเป็นพิเศษจำพวกนั้น แต่มองไปแล้วกลับน่าสนใจมาก จึงมีความตั้งใจที่จะมอบให้อย่างเต็มเปี่ยม
ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องที่ภูเขาเมื่อก่อนหน้านี้กันไปเล็กน้อย
เสิ่นเหลียงฟังจบ ก็ได้พยักหน้าออกมาเล็กน้อยตามมา “คุณลุงก็สบายดีมากเลย”
มู่น่อนน่อนกำลังอยากจะพูดอะไรออกไป ก็เห็นสายตาเสิ่นเหลียงจรดมองไปที่ด้านหลังของเธอ
“มีอะไร?” มู่น่อนน่อนมองไปข้างหลังตามสายตาของเธอ ก็เห็นเฉินถิงเซียวกับกู้จือหยั่นเดินเข้ามาทางนี้
กู้จือหยั่นเดินเข้ามาแล้วก็ตรงเข้าไปนั่งที่ข้างๆเสิ่นเหลียงทันที ยืดแขนยาวไปพาดลงบนพนักโซฟาด้านหลังเสิ่นเหลียง เอียงหน้าไปถามเธอ “ยังไม่สั่งอาหารเลยเหรอ?”
เสิ่นเหลียงเอี้ยวหน้าไป จ้องเขม็งไปที่แขนของเขาแวบนึง
กู้จือหยั่นจึงเก็บแขนของตัวเองกลับมาทันที แล้ววางลงบนโต๊ะ
ตอนนี้ก็ได้มีพนักงานเข้ามาเสิร์ฟน้ำพอดี กู้จือหยั่นจึงยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ถือโอกาสปกปิดความอับอาย
การปฏิสัมพันธ์ของทั้งของคนอยู่สายตาของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงนั่งกันอยู่ริมหน้าต่าง เฉินมู่นั่งอยู่ตรงที่ติดผนังตรงนั้น มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ใกล้กับตรงริมทางเดินตรงนี้
เฉินถิงเซียวนั่งลงข้างๆมู่น่อนน่อน สีหน้าเรียบนิ่ง
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองเขา ไม่ต้องรอให้เธอพูดออกมา เฉินถิงเซียวก็ได้ตอบคำถามเธอออกมาอย่างรับรู้ได้ทันที “ออกมากินข้าว ระหว่างทางบังเอิญเจอจือหยั่น”
มู่น่อนน่อนมองดูนาฬิกาข้อมือไปเล็กน้อย จึงได้พบว่าเวลามันสายมากแล้ว ถึงเวลากินข้าวแล้ว
เธอเลิกตาขึ้นมองเฉินถิงเซียวไปด้วยสีหน้าที่เย็นชา “ที่นี่ใช้เวลาขับรถมาจากบริษัทเฉินซื่อประมาณสี่สิบนาที จากบริษัทเฉินซื่อใช้เวลาขับรถไปที่บริษัทเสิ้งติ่งครึ่งชั่วโมง พวกคุณไปบังเอิญเจอกันได้ยังไง?”
ข้ออ้างที่ทนคิดกลั่นกรองมากไม่ไหวนี้ของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนไหนเลยจะไปเชื่อเขาได้
เฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดของเธอแล้ว ก็ไม่ได้โกรธ แต่กลับเอ่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังออกมาแทน “ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ สามารถนอนห้องเดียวกับคุณได้หรือเปล่า?”
มู่น่อนน่อนถูกน้ำเสียงที่จริงจังสุดๆของเขาทำเอาช็อกไป
ราวกับว่าถ้าเธอพูดว่า “ได้” ไปคำนึงจริงๆ เขาก็เหมือนจะสามารถทำให้ชีวิตไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ยังไงอย่างนั้น
มู่น่อนน่อนคร้านจะพูดกับเขาอีก เดินเข้าไปจัดการกับของเล่นของเฉินมู่ จากนั้นก็เอาไปที่ห้องของเฉินมู่
อย่าพยายามจะพูดคุยเหตุผลกับผู้ชายคนนี้ พูดสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว
อีกทั้งบางครั้งเขาก็ยังทำตัวเป็นเด็กมากเลย
……
เฉินถิงเซียวพักอยู่ที่ห้องเช่าของมู่น่อนน่อนไปอย่างนี้
เช้าวันที่สองตอนที่เขาไปทำงาน ได้พากระเป๋าเดินทางไปอีก ตอนที่กลับมาตอนเย็น ก็ได้นำกระเป๋าเดินทางมาอีก
รองเท้า ผ้าขนหนู เนกไท…ทั้งหมดล้วนเป็นข้าวของของเขาทั้งนั้น
ในตู้รองเท้าที่อยู่ตรงทางเข้า ด้านบนหลายชั้นได้วางรองเท้าของมู่น่อนน่อนเอาไว้อยู่ ด้านล่างสองชั้นได้เจียดแบ่งเอาไว้วางรองเท้าหนังของเฉินถิงเซียว
รองเท้าหนังกับเสื้อสูทของเฉินถิงเซียว มองไปแล้วโดยรวมก็เป็นแบบเดียวกันทั้งนั้น แต่มู่น่อนน่อนรู้ว่าของพวกนี้ไม่ใช่ของแบบเดียวกัน ระหว่างรองเท้าแต่ละคู่มันมีข้อแตกต่างกันอยู่
เสื้อสูทเป็นแบรนด์เดียวกัน แต่กลับไม่ได้เป็นแบบเดียวกัน
มีเพียงแค่รูปแบบของเนกไทที่จะดูแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดขึ้นมาหน่อย เพราะถึงยังไงสีกับลวดลายก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
ในห้องน้ำก็ได้เพิ่มของใช้ของผู้ชายขึ้นมาเยอะมากเลยเช่นกัน
ห้องน้ำเดิมทีแล้วก็ไม่ได้ใหญ่ วางข้าวของของมู่น่อนน่อนกับเฉินมู่ได้พอดิบพอดี เพิ่มของใช้ในชีวิตประจำวันของผู้ใหญ่มาอีกคน เหมือนว่าจะแออัดอยู่บ้าง
มู่น่อนน่อนเห็นเฉินถิงเซียวจัดข้าวของของตัวเองอย่างเป็นระเบียบ มองไปแล้วก็เหมือนกับว่าเป็นสามีที่ออกไปทำงานนอกสถานที่กลับมาแล้วเอาข้าวของของตัวเองจัดวางที่ในบ้านนี้ไปใหม่อีกครั้ง
ถึงแม้ว่า “บ้าน” หลังนี้จะเป็นเพียงแค่บ้านที่มู่น่อนน่อนเช่ามาเท่านั้น
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ช่วยเขาด้วยเหมือนกัน เพียงแค่มองเขายุ่งอยู่ที่ข้างๆ
สภาพอากาศอันที่จริงมันก็หนาวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เฉินถิงเซียวพอเข้าบ้านมาก็ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกไปเลย สวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตสีกรมท่าแค่ตัวเดียว กระดุมที่แขนเสื้อได้ถูกปลดออก แขนเสื้อได้ถกขึ้นถึงท่อนแขน จัดเรียงรองเท้า ทำความสะอาดข้าวของไปอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร
ตอนนี้ ด้านนอกจู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวไปแวบนึง แล้วผันร่างไปเปิดประตู
ประตูห้องเปิดออก ด้านนอกมีคนสองคนสวมชุดทำงานของกรรมกรกำลังยกกล่องลังกล่องใหญ่มาใบหนึ่ง “สวัสดีครับ ไม่ทราบคุณคือภรรยาของคุณเฉินหรือเปล่าครับ? นี่เป็นโต๊ะทำงานที่คุณเฉินได้สั่งเอาไว้ รบกวนคุณช่วยเซ็นรับหน่อยครับ”
มู่น่อนน่อนตะลึงงันไป
เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเข้าไปชมเฉินถิงเซียวก่อนสักหน่อยว่าแม้แต่โต๊ะทำงานก็เตรียมเอาไว้เสร็จสรรพแล้ว หรือว่าจะเซ็นชื่อก่อนดี
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ มองเข้าไปทางในห้องไปแวบนึง ก็เห็นเฉินถิงเซียวออกมาจากห้องน้ำพอดี
มู่น่อนน่อนถอนสายตากลับมา ก้มหน้าเซ็นชื่อลงไป
คนงานส่งของเข้ามา “คุณนายมู่ ติดตั้งโต๊ะไว้ที่ไหนครับ?”
เฉินถิงเซียวได้ยินเสียงก็เดินออกมา แล้วชี้ไปด้านหน้าหน้าต่างที่ทอดยาวจรดพื้น “วางไว้ตรงนั้น”
มู่น่อนน่อนเลิกคิ้วออกมา น้ำเสียงไม่ดีนัก “แม้แต่ที่ก็ยังคิดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”
“อืม” เฉินถิงเซียวไม่ได้รับผลกระทบอะไรเนื่องจากน้ำเสียงของมู่น่อนน่อนเลย เขาเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปเลย “ทางนี้วางโต๊ะทำงานของผม อีกด้านนึงเหลือไว้ให้คุณกับเฉินมู่ใช้”
น้ำเสียงของเขาเป็นธรรมชาติเสียจนเหมือนกับว่าได้ทำเหมือนที่นี่ได้กลายเป็นบ้านไปแล้วจริงๆ
มู่น่อนน่อนพูดอะไรไม่ออก ทำเพียงแค่ไปดูคนงานติดตั้งโต๊ะทำงานของเขาอยู่ที่ข้างๆ
ก็คงจะเป็นเพราะว่าคำนึงว่าห้องไม่ได้ใหญ่มาก โต๊ะทำงานของเฉินถิงเซียวถึงแม้ว่าจะยังมาพร้อมกับชั้นวางหนังสือด้วย แต่ก็ไม่ได้ครองพื้นที่เยอะมาก
ห้องนี้เป็นห้องเก่าของเมื่อก่อน ถึงแม้ว่าการตกแต่งจะสวยประณีต แต่องค์ประกอบของห้องเรียบง่ายมาก ห้องรับแขกค่อนข้างจะใหญ่อยู่บ้างเล็กน้อย เมื่อเทียบกับลักษณะห้องใหม่ๆบางห้องของตอนนี้ดูแล้ว ห้องรับแขกของห้องนี้มันใหญ่จนไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง
มีพื้นที่ว่างเล็กๆพอดี ก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนก็คิดอยู่ว่าอยากจะซื้อโต๊ะทำงานสักตัวกลับมาด้วยเหมือนกัน แต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกเฉินถิงเซียวมาก่อนแล้วได้ไปก่อนแล้ว
คนงานติดตั้งโต๊ะทำงานเสร็จก็กลับไป
พวกเขาเพิ่งจะกลับออกไป ต่อจากนั้นก็มีคนมาเคาะประตูอีก
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ “คุณไปเปิดประตู”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดออกมาเช่นกัน ตรงเข้าไปเปิดประตูห้องทันที
สือเย่ยืนอยู่ที่ด้านนอกประตู ในมือกำลังหอบกล่องลังใบหนึ่งอยู่ “คุณผู้ชาย นี่คือข้อมูลที่คุณให้ผมเอามาให้ครับ”
ตอนก่อนจะเลิกงาน จู่ๆเฉินถิงเซียวก็สั่งให้เขาจัดแจงเอาเอกสารที่ยังไม่ได้จัดการในช่วงนี้ส่งไปที่บ้านของมู่น่อนน่อน
ระหว่างทาง ภายในใจของสือเย่ไม่สงบเลย
นึกไม่ถึงว่าคุณผู้ชายจะให้เขาเอาเอกสารส่งมาที่บ้านของคุณหญิง?
นี่ก็หมายความว่าความสัมพันธ์ของคุณผู้ชายกับคุณหญิงได้คืบหน้าขึ้นมาอีกขั้นอีกครั้ง ทั้งคู่ได้มาอยู่ด้วยกันแล้ว?
ไม่รอให้เฉินถิงเซียวยื่นมือไปรับกล่องลังมา สือเย่ก็ได้เอ่ยพูดออกมาทันทีว่า “คุณผู้ชาย ผมช่วยคุณเอาเข้าไปดีกว่าครับ”
อันที่จริงเขาอยากรู้เอามากๆเลยว่าระหว่างคุณผู้ชายกับคุณหญิง ในตอนที่เขาไม่รู้ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก
เฉินถิงเซียวส่งเสียงปฏิเสธออกมา “ไม่ต้อง”
“ไม่ต้องจริงๆเหรอครับ?” สือเย่หอบกล่องลังเอาไว้ไม่ปล่อย สีหน้าที่แสดงออกมามีความไม่ยอมแพ้อยู่บ้าง
ก็คงจะเป็นเพราะว่าคนมาถึงวัยกลางคนแล้ว ทั้งยังผ่านการหย่าร้างแต่งงานใหม่มาด้วยแล้ว ดังนั้นแล้วตอนนี้สือเย่จึงสนใจเรื่องของเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนมากเป็นพิเศษ
เมื่อสามปีก่อนเขากับภรรยาหย่ากัน แต่ว่าหลังจากที่ถูกเฉินจิ่งหยุ้นไล่ออกจากบริษัทเฉินซื่อไป เขาก็ได้แต่งงานใหม่กับอดีตภรรยาอีกครั้ง
เขาพึงพอใจกับชีวิตในตอนนี้ของตัวเองมาก เรื่องที่กังวลที่สุดเลยก็คือเรื่องที่เฉินถิงเซียวฟื้นความทรงจำกลับมา
มู่น่อนน่อนเห็นเฉินถิงเซียวไปเปิดประตูก็ยังไม่กลับมา ก็ได้ลุกขึ้นเดินเข้าไปด้วยความอยากรู้
พอเธอเดินเข้าไป ก็เห็นสือเย่ยื่นกล่องลังใบหนึ่งให้กับเฉินถิงเซียว
ตอนที่สือเย่เลิกตาขึ้นมาเห็นมู่น่อนน่อน บนใบหน้าได้เป็นประกายระยิบระยับชนิดที่หาได้ยากออกมา “คุณหญิง!”
มู่น่อนน่อนถามออกไปคำนึงว่า “เอาเอกสารมาส่งเหรอ?”
“ใช่ครับ!” สือเย่พยักหน้าตอบออกมา
มู่น่อนน่อนยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วพูดประโยคนั้นที่สือเย่อยากจะได้ยินออกมา “เข้ามานั่งก่อนสักหน่อยแล้วค่อยไปเถอะ”
“ได้ครับ…”
สือเย่ตอบรับออกมาคำนึง พร้อมกับก้าวเท้าเตรียมที่จะเดินเข้าไป ก็ได้ยินเสียงของเฉินถิงเซียวดังขึ้นมาเบาๆ “สือเย่ นายไม่ต้องกลับไปอยู่เป็นเพื่อนลูกเหรอ? นายรู้หรือเปล่าว่าการอยู่เป็นเพื่อนลูกมันสำคัญมากแค่ไหน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็น…”
จู่ๆเฉินถิงเซียวก็ได้หยุดชะงักไป เลิกคิ้วพลางเอ่ยออกไปว่า “ช่วงนี้นายยังทะเลาะกับภรรยาอีกแล้ว”
สือเย่อึ้งไปแป๊บนึง “คุณผู้ชาย…คุณรู้ได้ยังไงว่าผมกับภรรยาของผมทะเลาะกัน?”
แต่ไหนแต่ไรมาเฉินถิงเซียวไม่เคยถามเรื่องส่วนตัวของเขามาก่อนเลย แล้วรู้เรื่องที่เขากับภรรยาทะเลาะกันได้ยังไง
สายตาของเฉินถิงเซียวจรดลงไปที่บนเสื้อสูทที่บนร่างของเขา “เสื้อสูทหลายช่วงวันมานี้ของนายมันไม่เรียบเท่าเมื่อก่อน”
สือเย่ก้มหน้าลงมองเสื้อสูทบนร่างของตัวเอง ก่อนแต่งงานกับหลังแต่งงาน ล้วนเป็นภรรยาที่เป็นคนรีดเสื้อสูทให้เขาทั้งนั้น ตัวเขาเองรีดได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
หลายวันมานี้ เขาทะเลาะกับภรรยาจริงๆ
ภรรยาออกไปเที่ยวข้างนอกกับเพื่อนสนิท เขาต้องดูแลลูก แล้วยังต้องรีดเสื้อสูทเอง
ของพวกนี้มันก็เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆทั้งนั้น
ความสัมพันธ์ที่มีมาหลายปีขนาดนี้ของเขาและภรรยา ทะเลาะกันนิดหน่อยล้วนแล้วแต่จะเป็นอรรถรสทั้งนั้น
ความหมายทั้งในคำพูดและนอกคำพูดของเฉินถิงเซียว ต่างก็เป็นการไม่อยากให้เขาเข้าไปทั้งนั้น
อันที่จริงสือเย่เองก็มีความอยากรู้อยู่แวบนึงเหมือนกัน แต่ก็ได้เอ่ยออกมาอย่างชาญฉลาด “งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
หลังจากที่สือเย่ไป เฉินถิงเซียวก็ปิดประตูลงทันที
เขาผันร่าง แล้วก็สบเข้ากับสายตามองเข้ามาของมู่น่อนน่อน “ทำไมถึงไม่ให้ผู้ช่วยสือเข้ามานั่งสักหน่อย?”
“ก็ไม่ทำไม” เฉินถิงเซียวพูดจบก็เดินอ้อมมู่น่อนน่อนไปทางโต๊ะทำงาน
ในมือของเฉินมู่กอดตุ๊กตาเสือน้อยไว้ เธอได้เรียกอย่างมีความสุข:“แม่คะ!”
มู่น่อนน่อนย่อมไม่ใส่สีหน้าให้เฉินมู่อยู่แล้ว เธอยิ้มให้กับเฉินมู่ เฉินมู่ก็ได้หอบเจ้าเสือน้อยไว้แล้วเดินเข้าไปในบ้าน
หลังจากเฉินมู่เข้าไป มู่น่อนน่อนถึงสังเกตเห็นว่าเฉินมู่ยังได้สะพายกระเป๋าเล็กๆมาใบนึงด้วย
กระเป๋าใบเล็กมาก เป็นแค่กระเป๋าใส่ของเล่นใบนึง
เห็นสายตาของมู่น่อนน่อนจ้องอยู่ที่กระเป๋าของเฉินมู่ เฉินถิงเซียวได้ส่งเสียงอธิบาย:“ด้านในใส่ตัวต่อไม้ไว้”
มู่น่อนน่อนฟังแล้วหันมามองเฉินถิงเซียว ก็เห็นเขาได้หิ้วกระเป๋าเข้ามาแล้ว
ได้เดินเข้าไปอย่างหน้าตาเฉย
เฉินมู่คุ้นเคยกับบ้านของมู่น่อนน่อน เธอได้ไปนั่งบนโซฟาอย่างเป็นกันเองมาก เทของเล่นในกระเป๋าใส่บนโซฟาแล้วเริ่มเล่นขึ้นมา
มู่น่อนน่อนมองเธอแว๊บนึง จากนั้นได้ดึงเฉินถิงเซียวออกไปข้างนอก
มาถึงนอกห้อง เธอได้ปล่อยเฉินถิงเซียวแล้วพูด:“เฉินถิงเซียว คุณหยุดได้แล้ว!”
เฉินถิงเซียวทำสีหน้าให้จริงจัง และมองเธออย่างไม่รีบร้อน:“คุณไม่พักที่บ้าน ผมกับมู่มู่มาย้ายมาพักกับคุณที่นี่ มีอะไรไม่ถูกเหรอ?”
“คุณรู้ว่าฉันไม่ได้หมายถึงอันนี้”มู่น่อนน่อนเอามือก่ายหน้าผากอย่างค่อนข้างหงุดหงิด
เฉินถิงเซียวแกล้งเข้าใจความหมายของเธอบิดเบือน
“แล้วคุณหมายถึงอันไหน?”เฉินถิงเซียวถามเธออย่างมีความอดทน น้ำเสียงไม่มีความหงุดหงิดเลยสักนิด
มู่น่อนน่อนขยับริมฝีปากแล้วไม่มีอะไรจะพูด
จู่ๆเฉินถิงเซียวได้เดินมาข้างหน้าครึ่งก้าว หัวรองเท้าของเขาได้ชนกับหัวรองเท้าของเธอ พอก้มหน้าก็จะสามารถเห็นขนตางอนยาวที่เธอหลุบตาไว้
สรุป ระยะห่างของทั้งสองใกล้กันมาก
“ผมคือเฉินถิงเซียว คือเฉินถิงเซียวที่คุณรู้จักเมื่อสามปีก่อน และเป็นพ่อของมู่มู่ ถึงแม้ความทรงจำของผมไม่สมบูรณ์แบบ แต่ผมจำเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนหลังได้ชัดเจน ผมก็ยังเป็นผม คุณกำลังเกรงกลัวอะไรอยู่?”
เสียงของเขาทุ้มต่ำแต่อ่อนโยน แฝงด้วยพลังของการปลอบใจคน
เวลาห่างกันนานเกินไป มู่น่อนน่อนใกล้จะลืมไปแล้วว่าเฉินถิงเซียวก็มีด้านที่อ่อนโยนอยู่เหมือนกัน และใช้วิธีของเขาปลอบเธอด้วยความอดทน
มู่น่อนน่อนถูกเขาพูดแทงใจ ได้สีหน้าเปลี่ยนและปฏิเสธเสียงแข็ง:“ฉันไม่ได้เกรงกลัวอะไรสักหน่อย”
ตอนที่ออกมาจากในเขา เฉินถิงเซียวยังทำหน้าเย็นชาอยู่ จู่ๆตอนนี้เขาก็เปลี่ยนไปเหมือนเมื่อก่อน……
การเปลี่ยนแปลงนี้เร็วเกินไป มู่น่อนน่อนต้องใช้เวลาบรรเทาก่อน
พูดจากอีกด้านนึง ความรู้สึกในใจเธอก็ค่อนข้างซับซ้อน
ก่อนหน้านี้เธอเคยจินตนาการ ไม่ก็หานักสะกดจิตที่สะกดจิตให้เฉินถิงเซียวเจอ ให้ความทรงจำของเฉินถิงเซียวกลายเป็นสมบูรณ์แบบ หรือไม่ก็ให้เฉินถิงเซียวกลับมารักเธอใหม่อีกครั้ง
แต่ว่า จู่ๆเฉินถิงเซียวก็จำอะไรได้บ้างแล้ว
ในความทรงจำที่เขาจำได้นี้ เขามีใจให้มู่น่อนน่อนอยู่
แต่ว่า ตอนนั้นพวกเขายังไม่ได้ประสบเรื่องภายหลังเหล่านั้นด้วยกัน
เขาบอกเขาล้วนรู้หมด แต่เขาไม่มีความทรงจำเหล่านั้น ไม่มีความสมจริงที่ได้ประสบพบเจอมา มู่น่อนน่อนรู้สึกมันก็ยังขาดอะไรนิดหน่อยอยู่
คำที่“ใช่เหรอ”ของเฉินถิงเซียวพูดเป็นคำบรรยาย ดูเหมือนก็ไม่อยากได้คำตอบจากเธอเหมือนกัน
“เฉินซิงเซียว!”
จู่ๆด้านในมีเสียงของเฉินมู่ดังขึ้น
เฉินถิงเซียวยื่นมือลูบศีรษะเธอเบาๆ จากนั้นได้จูงมือของเธอไว้:“เข้าไปเถอะ มู่มู่กำลังหาพวกเราอยู่”
มู่น่อนน่อนอยากขัดขืนออกจากมือของเขาด้วยจิตใต้สำนึก แต่เขาจูงไว้แน่นเกิน ได้กุมมือเธอไว้อย่างกับคีม ขัดขืนยังไงก็ขัดขืนไม่ออกเลย
เธอหันไปมองเขา ก็เห็นสีหน้าเขาไม่มีอะไรผิดปกติเลย
มู่น่อนน่อนหดหู่ แต่เฉินมู่อยู่ในบ้าน จะทะเลาะกับเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้
เฉินมู่หิ้วกระเป๋าไว้พร้อมโดดลงมาจากโซฟา แล้ววิ่งมาที่ตรงหน้าเฉินถิงเซียว ขมวดคิ้วพูดว่า:“รถซิ่งของหนูล่ะคะ?”
ต่อหน้าเฉินมู่ เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้ปล่อยมือมู่น่อนน่อน เขาได้มองไปที่เฉินมู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย:“หนูเป็นคนใส่เองไม่ใช่เหรอ?พ่อจะไปรู้ได้ไง”
เฉินมู่ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น:“พ่อเป็นคนใส่!”
“พ่อไม่ได้ใส่ หนูเป็นคนใส่เอง”
“พ่อเป็นคนใส่!”
“ไม่ใช่”เฉินถิงเซียวยักคิ้วเล็กน้อย สีหน้าดูเคร่งขรึมขึ้น
เฉินมู่ขี้ขลาดอย่างรู้ทันเหตุการณ์สุดๆ:“ก็ได้ค่ะ!”
จากนั้นได้ถือกระเป๋าจะเดินไปที่ข้างโซฟา
เห็นร่างเงาเล็กๆที่หมดอาลัยตายอยากของเฉินมู่แล้ว มู่น่อนน่อนได้ถามเฉินถิงเซียวว่า:“คุณไม่ได้เป็นคนใส่จริงเหรอคะ?”
“เธอบอกจะเอารถซิ่งมาด้วย แต่กระเป๋าของเธอใส่ไม่ได้ ผมก็เลยใส่ไว้ในกระเป๋าสัมภาระ”เฉินถิงเซียวที่เมื่อกี๊เพิ่งแกล้งเฉินมู่ไป ตอนที่พูดคำพูดเหล่านี้ไม่รู้สึกละอายใจเลยสักนิด
มู่น่อนน่อนไม่รู้จะพูดอะไรดี เธอได้สลัดมือของเขาทิ้งและพูดอย่างเรียบเฉย:“ห้องนอนรับแขกคุณเคยนอนครั้งนึงแล้ว เอาสัมภาระเข้าไปเอง”
แววตาของเฉินถิงเซียวระยิบระยับ เขาได้พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมสุดๆ:“เตียงของห้องนอนรับแขกแข็งมาก”
มู่น่อนน่อนฟังแล้วอึ้งไปครู่นึง จากนั้นได้ถามเขาว่า:“หมายความว่ายังไงคะ?”
เฉินถิงเซียวยกมุมปากขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มอ่อนๆออกมา แต่กลับทำให้เขาดูแสงเปล่งประกายไปทั้งตัว
เขาเหมือนกลัวมู่น่อนน่อนจะไม่เข้าใจคำพูดของเขายังไงอย่างงั้น ยังได้แกล้งพูดให้ช้าลง:“ผมกำลังเรียกร้องให้แม่ของลูกผมนอนห้องเดียวกันอย่างอ้อมๆ”
นี่เรียกว่าเรียกร้องอย่างอ้อมๆ?
มู่น่อนน่อนเบะปาก:“เตียงของห้องนอนใหญ่ก็แข็งมากเหมือนกัน”
เฉินถิงเซียวพูดอย่างไหลลื่นเป็นธรรมชาติ:“ผมไม่ถือสา”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนโกรธเล็กน้อย เธอทำเสียงสูงเรียกชื่อเขา:“เฉินถิงเซียว!”
เฉินถิงเซียวยักคิ้วและไม่ได้พูดอะไรอีก แค่ถือกระเป๋าเข้าไปในห้องนอนรับแขก
ก่อนหน้านี้เขาเคยนอนที่ห้องนอนรับแขกครั้งนึง ก็ถือว่าค่อนข้างคุ้นเคยอยู่
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ข้างประตู เห็นเฉินถิงเซียวเปิดกระเป๋าและเอาของในกระเป๋าออกมา
กระเป๋าสัมภาระของเขาไม่ใหญ่ กระเป๋าครึ่งนึงได้ยัดด้วยของเล่นหลากหลายสีของเฉินมู่ อีกครึ่งนึงคือเสื้อผ้าของเขา
ดูคร่าวๆแล้ว เสื้อผ้าที่เขาเอามาล้วนเป็นโทนสีมืดหมด เป็นเสื้อเชิ้ตและสูทหมด
เขาเอาของเล่นออกมาก่อน จากนั้นค่อยเอาชุดสูทและเสื้อเชิ้ตออกมา
มู่น่อนน่อนยืนดูอยู่หน้าห้องไปพักนึง สุดท้ายอดถามไม่ได้:“เสื้อผ้าแค่สองชุด?”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมามองเธอ:“ลูกสาวคุณอะไรก็จะเอามาหมด ถ้าผมให้เอามาล่ะก็ เธออาจจะเอาของเล่นมาหมดเลย”
ความหมายของคำพูดที่แอบซ่อนไว้ลึกที่สุดในใจก็คือกำลังบอกว่า เพราะของที่เฉินมู่จะเอามามีเยอะมาก เขาก็เลยเอาเสื้อผ้ามาแค่สองชุด
พอวิเคราะห์แล้ว เหมือนในคำพูดเขามีส่วนประกอบของการแกล้งทำตัวน่าสงสาร
มู่น่อนน่อนรู้สึกตัวเองคงจะถูกเฉินถิงเซียวบีบจนบ้าไปแล้ว แค่คำนี้คำเดียวก็สามารถคิดเชื่อมโยงได้เยอะขนาดนี้
ตู้เสื้อผ้าของห้องนอนรับแขกว่างเปล่า และไม่มีไม้แขวนเสื้อเลย
มู่น่อนน่อนหันหลังเดินกลับมาที่ห้องตัวเอง ได้เอาไม้แขวนเสื้อหลายอันมาให้เฉินถิงเซียวแขวนเสื้อ
ตั้งแต่เด็กของใช้ชีวิตประจำวันของเฉินถิงเซียวจะมีคนคอยจัดเตรียมไว้ให้ตลอด ถึงหลังจากใช้ชีวิตอยู่กับมู่น่อนน่อน ก็เป็นคนที่จะทำอะไรหลายๆอย่างเอง แต่ของที่ใช้ล้วนหรูหรามาก
ไม้แขวนเสื้อที่มู่น่อนน่อนเอามาคือไม้แขวนเสื้อที่ธรรมดามาก ไม่สามารถค้ำจูนให้ชุดสูทของเขาอยู่ทรงได้ หลังจากเขาแขวนเสื้อเสร็จ ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนส่งเสียงพูด:“วันหลังคุณกลับไปเอาไม้แขวนเสื้อที่บ้านมาเอง หรือไม่ก็ออกไปซื้อ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมาทันที แววตาระยิบระยับเล็กน้อย:“ออกไปซื้อด้วยกัน?”
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมเขา:“คุณนี่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้รึไงคะ?
เฉินมู่พูดไปด้วย และยื่นมือจับมุมปากของมู่น่อนน่อนไปด้วย
นาทีนี้มู่น่อนน่อนคือนั่งยองๆอยู่ที่ตรงหน้าของเฉินมู่ เฉินมู่แค่ยื่นมือก็แตะโดนมุมปากที่เธอถูกกัดจนถลอกแล้ว
สีหน้าของมู่น่อนน่อนมีความอึดอัดแว๊บผ่าน เธอกำลังจะพูด ก็ได้ยินด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
เฉินถิงเซียวมา
เฉินมู่ได้รีบแบ่งปันเรื่องที่ตัวเองพบเห็นให้กับเฉินถิงเซียวฟัง:“พ่อคะ ปากของแม่ถลอกค่ะ!”
มู่น่อนน่อน:“……”
เฉินถิงเซียวมองมู่น่อนน่อนแว๊บนึง จากนั้นได้ตอบเฉินมู่อย่างบางเบาคำนึง:“อ้อเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”ขาสั้นๆของเฉินมู่ได้วิ่งไปดึงมือของเฉินถิงเซียวมาที่ตรงหน้าของมู่น่อนน่อน:“พ่อดูสิคะ ที่นี่……”
น้ำเสียงของเฉินมู่ค่อนข้างโอเวอร์ ได้ลากคำว่า“นี่”ยาวมาก
มู่น่อนน่อนได้จ้องเฉินถิงเซียวด้วยความไม่พอใจแว๊บนึง จากนั้นก็ได้ก้มไปอุ้มเฉินมู่ขึ้นมาแล้วเดินขึ้นไปชั้นบนเลย
“ปากของแม่……”
แขนเล็กๆของเฉินมู่ยังกอดอยู่ที่คอของมู่น่อนน่อน ยังกังวลเรื่องที่ปากของเธอถลอกอยู่
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เจ็บ”มู่น่อนน่อนเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
เธออุ้มเฉินมู่ไปห้องนอนที่ก่อนหน้านี้เธอเคยพัก
มู่น่อนน่อนเข้าไปปุ๊บ ก็รีบล็อคประตูทันที
เฉินมู่เห็นมู่น่อนน่อนล็อคประตูแล้ว ได้กระพริบตาปริบๆพร้อมมองเธอด้วยความสงสัย:“ทำไมต้องล็อคประตูด้วยคะ?”
“ถ้าไม่ล็อคประตู เดี๋ยวคนร้ายจะเข้ามาได้ค่ะ”
“คนร้ายอะไรคะ?”
“ก็คนร้ายที่จิตใจไม่ดีไงคะ”
เฉินมู่เอียงศีรษะ หน้าตาเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ อีกทั้งยังได้ขมวดคิ้วและพูดอย่างใสแบ๊ว:“มีพ่อ พ่อหนูเฉินซิงเซียว ตีคนร้าย”
คำนี้ของเธอพูดได้ไม่ค่อยปะติดปะต่อกัน ไม่ได้พูดจบในทีเดียว แต่ตรงกลางได้หยุดสองครั้ง เหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะพูดออกมายังไง
สมองแล่นอย่างไว แต่ความสามารถในการสื่อออกมายังเชื่องช้าอยู่
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่น่อนน่อนได้ยินเฉินมู่พูดคำพูดแบบนี้ เธอค่อนข้างแปลกใจ:“เหรอคะ?พ่อหนูตีคนร้ายเป็นเหรอคะ?”
“อืม……”เฉินมู่เหมือนจะนึกอะไรได้ แต่อยู่ใต้การจับตาดูของมู่น่อนน่อน สุดท้ายก็หาคำพูดเหมาะสมที่จะสื่อออกมาไม่ได้ ก็เลยตอบเสียงหนักไปคำนึงว่า:“อืม!”
เธอกำหมัดไว้ ร่างเล็กๆยืนอยู่ตรงหน้าของมู่น่อนน่อน แหงนหน้าเล็กน้อย ใบหน้าเล็กๆเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม
มู่น่อนน่อนถูกเธอหยอกจนขำ ได้ลูบศีรษะเธอ:“ใช่ หนูพูดถูกค่ะ”
จากนั้น เธอได้พาเฉินมู่มาเล่นของเล่นที่ข้างโซฟา
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ด้านนอกได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ตามมาด้วยเสียงของคนรับใช้:“คุณหนูน้อย ทานข้าวเที่ยงแล้วค่ะ”
มู่น่อนน่อนค่อนข้างประหลาดใจ ไม่ใช่เฉินถิงเซียวเหรอเนี่ย
เธอพูดเสียงสูง:“โอเค มาแล้วค่ะ”
พูดจบ เธอก็จูงมือเฉินมู่มาถึงที่หน้าห้องแล้วเปิดประตู
แต่พอเปิดประตูปุ๊บ คนที่ยืนอยู่หน้าห้องคือคนใช้ที่ไหนกัน คือเฉินถิงเซียวชัดๆ
เมื่อเทียบกับความประหลาดใจที่ปกปิดไม่อยู่ของมู่น่อนน่อน เฉินถิงเซียวดูสงบนิ่งเยอะเลย
“กินข้าว”
ใบหน้าเขาไม่มีสีหน้าที่เห็นได้ชัด น้ำเสียงก็ฟังอารมณ์อะไรไม่ออกเลย
มู่น่อนน่อนหายใจลึกๆทีนึง จากนั้นได้จูงมือเฉินมู่เดินอยู่ที่ข้างหน้า
……
อาหารเที่ยงคือคนรับใช้ที่บ้านเป็นคนจัดเตรียม อุดมสมบูรณ์มาก
มู่น่อนน่อนนึกถึงกับข้าวที่ตัวเองทำให้เฉินถิงเซียวในก่อนหน้านี้แล้วค่อนข้างธรรมดา
ที่โต๊ะอาหาร มู่น่อนน่อนกับเฉินมู่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน เฉินถิงเซียวนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของพวกเธอ
ข้างโต๊ะอาหารมีคนใช้เฝ้าอยู่ ทั้งห้องอาหารเงียบจนเข็มตกลงไปบนพื้นยังสามารถได้ยินเลย
แน่นอนว่าพอเฉินมู่เด็กน้อยตะกละคนนี้ทานข้าวเสร็จ ความเคลื่อนไหวของห้องอาหารก็เยอะขึ้นมาเลย
เฉินมู่ชอบกิน ตอนที่เพิ่งทานข้าวในทุกมื้อ เธอล้วนจะกินยังจริงจังมาก ผ่านไปสักพักพอทานอิ่มแล้ว ก็จะเริ่มเล่นเลย
เล่นตะเกียบ เล่นช้อนและเขี่ยอาหาร
ไม่ว่าของอะไร เธอมักจะสามารถหาความสนุกสนานที่เป็นแบบฉบับของเธอได้
พอเล่นเสร็จ เฉินมู่ก็จะลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปเล่นที่อื่นต่อ
เก้าอี้ค่อนข้างสูง เฉินมู่ได้ขอความช่วยเหลือจากมู่น่อนน่อน:“แม่คะ……”
มู่น่อนน่อนอุ้มเฉินมู่ลงจากเก้าอี้ เท้าของเธอแตะที่พื้นปุ๊บก็ได้วิ่ง“เตาะแตะๆ”ไปเลย
ทีนี้ ห้องอาหารได้เงียบสงบลงมาอย่างสิ้นเชิง
จู่ๆเฉินถิงเซียวได้พูดออกมาคำนึงว่า:“มู่มู่เหมือนคุณ”
มู่น่อนน่อนหันไปมองเขา เขาได้เสริมอีกคำนึงว่า:“นิสัย”
“ค่ะ”มู่น่อนน่อนตอบอย่างเรียบเฉยคำนึง จากนั้นก็ได้ก้มหน้าทานข้าวอย่างช้าๆ
ที่จริงเธอทานอิ่มแล้ว แต่เธอไม่อยากไปจากห้องอาหารตอนนี้ เหมือนจิตใต้สำนึกของเธออยากจะพูดคุยกับเฉินถิงเซียว
เมื่อเทียบกับช่วงก่อน เฉินถิงเซียวในวันนี้สามารถถือได้ว่าอ่อนโยนแล้ว
นึกถึงคำที่เฉินถิงเซียวพูดในก่อนหน้านี้ เขาจำครั้งที่มู่น่อนน่อนกับเขาขาอยู่ที่จีนติ่งได้……
ตอนนั้น ก่อนหน้านั้นพวกเขาก็มีใจให้แก่กันแล้ว
คาดคะเนจากสิ่งนี้ เฉินถิงเซียวในนาทีนี้ก็มีใจให้เธออยู่
ห้องรับแขกได้เข้าสู่ความเงียบ
เฉินถิงเซียวเหมือนจงใจหาประเด็นมาพูดยังไงอย่างงั้น เขาได้พูดอีกคำนึงว่า:“จือหยั่นพวกเขาจะกลับเมืองหู้หยางในวันพรุ่งนี้แล้ว”
ที่เขาพูดถึงคือกู้จือหยั่น กู้จือหยั่นจะกลับมาแล้ว งั้นเสิ่นเหลียงก็ย่อมต้องกลับมาด้วยเช่นด้วย
มู่น่อนน่อนพยักหน้าแล้วเงียบต่อ
เดิมทีเฉินถิงเซียวก็ไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้ว ทีนี้ก็ได้เงียบลง
ทั้งๆที่ทั้งสองรู้จักกันมานานขนาดนี้แล้ว แถมยังมีลูกด้วยกัน คนนึงแล้ว นาทีนี้กลับมีความห่างเหินที่อธิบายไม่ได้
มู่น่อนน่อนไม่รู้ทำไมถึงได้มีความรู้สึกแบบนี้
เดิมทีก็กินอิ่มแล้ว มู่น่อนน่อนวางตะเกียบลงแล้วเงยหน้ามองเฉินถิงเซียว:“ฉันจะกลับไปค่ะ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นทันที เขาหรี่ตาไว้ น้ำเสียงค่อนข้างอันตราย:“กลับไปไหน?”
“บ้านที่ฉันเช่าอยู่”มู่น่อนน่อนอธิบายกับเขาด้วยน้ำเสียงสันติภาพ:“ตอนนี้ฉันยังไม่อยากพักอยู่ที่บ้านคุณค่ะ”
แววตาเฉินถิงเซียวเศร้าหมองเล็กน้อย เขาได้แก้ไขคำพูดเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย:“เป็นบ้านของเรา”
มู่น่อนน่อนรู้จักนิสัยของเขาดี เธอก็ไม่อยากเถียงเรื่องแบบนี้กับเขา แค่พูดว่า:“ฉันกลับก่อนนะคะ”
เฉินถิงเซียวมองดูเธอ ไม่บอกว่าได้หรือไม่ได้
มู่น่อนน่อนถือว่าเขาได้ตอบตกลงแล้ว จึงลุกแล้วเดินออกไปข้างนอก
เฉินมู่เล่นอยู่ในห้องโถงจนเหนื่อยแล้ว นาทีนี้กำลังง่วงเหงาหาวนอนอยู่บนโซฟา
“ง่วงแล้วเหรอคะ?” มู่น่อนน่อนลูบศีรษะเธอ:“แม่จะไปแล้วนะคะ”
เฉินมู่เหมือนตื่นตัวขึ้นมาทันที ได้เบิกตากว้างพร้อมถามเธอว่า:“ไปไหนคะ?”
มู่น่อนน่อนอดขำไม่ได้:“พรุ่งนี้แม่ค่อยมาหาหนูใหม่นะคะ”
ช่วงนี้เฉินมู่รู้สึกชินแล้วที่มู่น่อนน่อนไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกันกับเธอ แต่ยังไงซะก็ยังไม่อยากให้แม่จากไปอยู่ดี:“อืม”
“เด็กดี แม่พาหนูไปเข้านอนนะคะ เดี๋ยวหนูหลับแล้วแม่ค่อยไป”ระหว่างที่มู่น่อนน่อนพูด ก็ได้พาเฉินมู่ขึ้นไปที่ห้องนอน
เฉินมู่นอนสะลึมสะลืออยู่บนเตียงใกล้จะหลับแล้ว ยังจับมือของเธอไว้และพูดพึมพำ:“แม่อย่าไป……”
มู่น่อนน่อนรอให้เธอหลับแล้ว ก็ได้จากไปเลย
เพียงแต่ คืนนั้นเฉินถิงเซียวก็ได้พาเฉินมู่และถือกระเป๋าสัมภาระไปหาถึงที่อีก
มู่น่อนน่อนมองดูกระเป๋าสัมภาระที่อยู่ในมือข้างซ้ายของเฉินถิงเซียว แล้วได้หันไปมองเฉินมู่ที่ถูกมือข้างขวาของเขาจูงอยู่ด้วยสีมึนงง:“นี่คุณทำอะไรคะ?”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเย็นชา:“ครอบครัวเดียวกันก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ”
สุดท้ายเสียงโต้แย้งของทั้งคู่ได้หายสาบสูญอยู่ในจูบนี้
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่แข็งกร้าวและเอาแต่ใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แถมแรงของเขาเยอะมาก มู่น่อนน่อนจะขัดขืนออกได้ยังไง
ก็ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ในที่สุดเฉินถิงเซียวถึงได้ปล่อยมือเธอ
มู่น่อนน่อนโกรธจนตัวสั่น เธอยกมือขึ้นอยากจะทุบตีไปที่เขา
แต่พอยกมือขึ้น วินาทีต่อมาก็ได้เอามือลงอีก
หลายปีมานี้ทั้งสองผ่านมาไม่ง่ายเลย เรื่องนี้ยังไม่ทันจบอีกเรื่องก็แทรกเข้ามาอีก ถึงจะโกรธมากแค่ไหน เธอก็ยังลงไม้ลงมือกับเฉินถิงเซียวไม่ได้อยู่ดี
มู่น่อนน่อนดึงมือตัวเองกลับ และได้ถามคำถามที่ก่อนหน้านี้เคยถามอีกรอบนึง:“คุณจำได้หมดแล้วใช่มั้ย?”
“ไม่ใช่”เฉินถิงเซียวตอบอย่างรวดเร็วมาก
มู่น่อนน่อนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เฉินถิงเซียวเหมือนจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของเธอ จึงได้พูดเสริมอีกคำว่า:“ไม่ใช่ทั้งหมด”
มู่น่อนน่อนเอียงศีรษะมองเขา เสียงเย็นชาเล็กน้อย:“จำอะไรขึ้นมาได้บ้างแล้ว?”
เฉินถิงเซียวขยับริมฝีปาก หยุดชะงักไปหลายวิถึงส่งเสียงออกมา:“จำตอนที่อยู่จีนติ่งคนอื่นวางยาผมและครั้งแรกของเราได้”
มู่น่อนน่อนอึ้ง สีหน้าค่อนข้างอึดอัด เธอเม้มปากแล้วถามโดยตรง:“ยังมีอีกล่ะ?”
“จำได้แค่นี้แหละ”เฉินถิงเซียวจ้องมองเธอไว้ แววตาลุ่มลึก จ้องมองเธออย่างไม่คลาดสายตา
มู่น่อนน่อนสบตากับเขาไปหลายวิ ก็ได้เคลื่อนย้ายสายตาออกแล้ว
เธอเชื่อว่าที่เฉินถิงเซียวพูดคือความจริง
เพราะเฉินถิงเซียวไม่จำเป็นต้องโกหก
จำครั้งแรกของพวกเขาได้……
นั่นก็หมายความว่า จำความรักของพวกเขาสองคนได้ ถึงว่าล่ะหลายวันนี้ถึงได้เอาใจใส่ขนาดนี้
พอมาคำนวณอย่างละเอียดแล้ว ที่จริงเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้ทำอะไรมาก แต่เมื่อเทียบกับเขาในก่อนหน้านี้ ถือว่าได้เอาใจใส่มากแล้ว
สำหรับเรื่องของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนได้เตรียมใจที่จะรอคอยตั้งนานแล้ว ความผิดปกติของเขาในหลายวันนี้ ถึงแม้ในใจเธอรู้สึกอยู่ลางๆว่าเขาจำอะไรได้ แต่กลับไม่กล้าไปคิดว่าเขาจำได้หมดเลยหรือเปล่า
คงจะเพราะชินกับเฉินถิงเซียวในแบบนี้แล้ว จึงไม่กล้าเพ้อฝันว่าเฉินถิงเซียวในเมื่อก่อนจะกลับมา
เพราะฉะนั้น ตอนที่เฉินถิงเซียวพูดออกมาว่าไม่ใช่ทั้งหมด มู่น่อนน่อนกลับยอมรับได้อย่างง่ายดาย
เธอมองนอกหน้าต่าง พร้อมถามเฉินถิงเซียวว่า:“ทำไมไม่บอกฉันคะ?ในเมื่อจำได้แล้ว ทำไมไม่บอกฉัน?”
เธอรอไปสักพัก ก็ไม่ได้คำตอบจากเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนหันหน้ามาก็เห็นเฉินถิงเซียวกำลังจ้องมองเธออยู่ สายตาเพ่งมองอยู่ที่บนตัวเธออย่างจดจ่อมาก
จนกระทั่งมู่น่อนน่อนหันหน้ามาสบตากับเขา จู่ๆเหมือนเขาถึงดึงสติกลับมายังไงอย่างงั้น แววตาลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ส่งเสียงออกมา
ไฟที่อยู่ในใจมู่น่อนน่อนได้ลุกขึ้นมาอีก
เธอกัดริมฝีปากแล้วพูด:“คุณไม่อยากพูดก็ช่าง รอให้คุณอยากพูดค่อยพูด เรามาคุยเรื่องของลี่จิ่วเชียนต่อ ไม่ว่าคุณคิดกับเขายังไง คุณคิดว่าเขามีจุประสงค์อะไร แต่เขาได้ช่วยชีวิตฉันไว้ จุดนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เขาเป็นผู้มีพระคุณของฉัน”
เดิมทีเธอคิดอยู่ตอนที่เฉินถิงเซียวฟื้นคืนความทรงจำจะต้องเพิกเฉยเขาหน่อย ให้เขาก็ได้รับรู้ความรู้สึกที่เธอเคยได้รับรู้หน่อย
แต่จู่ๆเฉินถิงเซียวได้ฟื้นคืนความทรงจำกลับมาได้บ้าง เวลาคับขันแบบนี้ พวกเขากลับมาทะเลาะกัน
พวกเขาได้ทะเลาะกันเพราะลี่จิ่วเชียน
ปกติเธอล้วนจะไปมองปัญหาอยู่ในจุดยืนของเฉินถิงเซียว เธอรู้เรื่องที่เขาเคยประสบพบเจอมาในสมัยยังเด็ก เข้าใจนิสัยด้านที่เศร้าหมองของเขา เพราะฉะนั้นในหลายๆเรื่องเธอสามารถเข้าใจเขาได้
แต่เรื่องของลี่จิ่วเชียน เธอจะไม่ยอมถอยแน่นอน
ไม่ว่าการโผล่มากะทันหันของลี่จิ่วเชียนในสามปีก่อน หรือว่าช่วยเธอเมื่อสามปีก่อน และเขาดูแลเธอมาสามปี……
เรื่องพวกนี้ ล้วนมีจุดที่ไม่สอดคล้องกับตรรกะ
เขาเหมือนจงใจช่วยเธอไป และซ่อนเอาไว้ไม่ให้คนพบเห็น
แต่กลับไม่ขัดขวางคนอื่นหาเธอเจอ ดูออกว่าเป็นเธอ กลับกันยังได้พาเธอมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหู้หยาง ไม่ได้จงใจหลีกเลี่ยงสถานที่นี้
ลี่จิ่วเชียน ตั้งแต่ต้นจนจบคนๆนี้ล้วนแฝงด้วยความแปลกประหหลาด
แต่ว่า เรื่องที่ลี่จิ่วเชียนช่วยเธอ ก็ไม่สามารถให้เธอใช้เจตนาร้ายที่ร้ายที่สุดไปคาดเดาลี่จิ่วเชียน
บางทีเขาอาจจะมีเหตุผลของตัวเอง และมีเหตุผลที่ตัวเองพูดไม่ได้
มู่น่อนน่อนยอมรับว่าตัวเองเป็นคนใจอ่อน ตั้งแต่เล็กจนโต อยู่ตระกูลมู่ไม่มีใครให้ความสำคัญกับเธอเลย เธอไม่ปรารถนาความรักใคร่ที่ไม่มีหวัง แต่มีคนยื่นมือมาช่วยเธอ ได้แสดงความตั้งใจดีต่อเธอ เธอก็จะจดจำไว้ในใจ
เธอรู้นิสัยของเฉินถิงเซียวดีมาก และดูออกตั้งนานแล้วว่าเฉินถิงเซียวกับลี่จิ่วเชียนไม่ถูกกัน
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเขา จู่ๆเฉินถิงเซียวได้เสนออกมาว่าจะไปตรวจไข้กับลี่จิ่วเชียน มู่น่อนน่อนก็รู้สึกผิดปกติแล้ว
แต่เรื่องของวันนี้และคำพูดที่เฉินถิงเซียวพูด ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าลี่จิ่วเชียนได้ถูกเฉินถิงเซียวจับตาเข้าแล้ว
เธอพูดมาเยอะขนาดนี้ เฉินถิงเซียวไม่มีปฏิกิริยาอะไรที่มากกว่าเลย
เขาสตาร์ทรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เขาไม่พูดจา มู่น่อนน่อนก็ย่อมไม่พูดจาอีก
เพียงแต่ รถขับไปขับมา เหมือนทิศทางไม่ค่อยถูก
มู่น่อนน่อนพบว่านี่ไม่ใช่ทางไปบ้านเธอเลย
เธอหันไปมองเฉินถิงเซียวและเตือนเขา:“คุณไปผิดทางแล้วค่ะ”
“ไม่ผิด”เฉินถิงเซียวตอบอย่างไม่หันหน้ามามอง
เขายังเพ่งมองด้านหน้าอีกเช่นเคย ดูแล้วจริงจังสุดๆ
เขาเป็นคนที่แต่ไหนแต่ไรทำเรื่องอะไรล้วนจดจ่อและใส่ใจมาก
มู่น่อนน่อนเพิ่มน้ำเสียงให้หนักขึ้น พร้อมพูดจาให้ช้าลง:“นี่ไม่ใช่ทางไปชุมชนที่ฉันพักค่ะ”
ครั้งนี้ เฉินถิงเซียวได้หันมามองเธอแว๊บนึงแล้วพูด:“นี่คือทางไปบ้านของเรา”
ไม่นานมู่น่อนน่อนก็เข้าใจว่าเฉินถิงเซียวจะพาเธอไปที่วิลล่า
มู่น่อนน่อนเม้มปากไว้ เงียบไปครู่ถึงได้พูดว่า:“ตอนนี้ฉันไม่อยากไปค่ะ”
เธอยังไม่ลืมหรอกนะว่าตอนนี้พวกเขากำลังทะเลาะกันอยู่
ถึงย้ายไปที่วิลล่าของเฉินถิงเซียว ทั้งสองอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน ไม่แน่อาจจะทะเลาะกันรุนแรงกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เฉินถิงเซียวไม่สนใจคำปฏิเสธของเธอ ไม่ได้ลดความเร็วของรถลงเลยสักนิด ยังคงขับไปยังทิศทางของวิลล่าต่อ
มู่น่อนน่อนเห็นเขาไม่สนใจเธอเลย จึงได้พูดเสียงดังว่า:“คุณไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไง!”
ในที่สุดเฉินถิงเซียวก็ได้เปิดปากพูดสักที
น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย:“เดี๋ยวก็ถึงแล้ว อย่าโวยวาย”
“ใครกันแน่ที่โวยวาย?”ถึงเฉินถิงเซียวที่ฟื้นคืนความทรงจำกลับมาได้ส่วนนึง เวลาไม่มีเหตุผลขึ้นมาก็ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
อยู่ในโลกของเฉินถิงเซียว ไม่มีเหตุผลให้พูดถึง
มีแค่เขาอยากทำอะไร กับเขาไม่อยากทำอะไรเท่านั้น
มู่น่อนน่อนรู้ว่าตัวเองพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงได้หันไปมองนอกหน้าต่าง ไม่มองหน้าเขาอีก
เห็นเขาทีไรก็รู้สึกหงุดหงิดทุกที
รถยนต์ได้จอดลงที่หน้าวิลล่า
มีบอดี้การ์ดจะเดินมาเปิดประตู แต่กลับถูกเฉินถิงเซียวห้ามเอาไว้
เฉินถิงเซียวลงจากรถแล้วเดินมาที่ข้างประตูของฝั่งข้างคนขับ พอเปิดประตูรถแล้วได้พูดอย่างเรียบเฉย:“ถึงแล้ว”
มู่น่อนน่อนมองเขาอย่างเย็นชาแว๊บนึง จากนั้นได้มือกอดอกเดินเข้าไปอย่างไว แกล้งทิ้งเฉินถิงเซียวไว้ข้างหลัง
เธอเพิ่งเดินเข้ามาในห้องโถง เฉินมู่ก็ได้วิ่งมาเลย “แม่คะ!”
มู่น่อนน่อนก้มหน้า กำลังอยากจะอุ้มเธอขึ้นมา ก็ได้ยินเฉินมู่“เอ๊ะ”คำนึง:“ทำไมปากของแม่ถึงได้ถลอกคะ?”
มู่น่อนน่อนมองลี่จิ่วเชียนแล้ว ได้หันไปมองเฉินถิงเซียวอีก
เมื่อครู่ตั้งแต่ต้นจนจบเฉินถิงเซียวล้วนมีสติ ย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่า“ความรู้สึก”ที่ลี่จิ่วเชียนพูดคืออะไร
แต่มู่น่อนน่อนกลับรู้ว่า“ความรู้สึก”ที่ลี่จิ่วเชียนพูดคืออะไร
เมื่อครู่ถ้าไม่ใช่เฉินถิงเซียวบีบมือของเธอจนเจ็บ นาทีนี้เธออาจจะถูกลี่จิ่วเชียนสะกดจิตแล้ว
ความรู้สึกแบบนั้นบอกไม่ค่อยถูก มีอยู่ครู่นึงที่มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ตัวเอง รอบด้านก็เงียบสงัดมาก สีขาว
โพลนไปหมด ไม่รู้จะไปที่ไหน และจะพูดอะไร
ลี่จิ่วเชียนจ้องเฉินถิงเซียวไว้อย่างไม่คลาดสายตา สีหน้าแววตาเคร่งขรึม
เฉินถิงเซียวพิงอยู่บนเก้าอี้ บนตัวมีกลิ่นไอของความเกียจคร้านฟุ้งกระจายอยู่ น้ำเสียงก็เลื่อนลอย:“แต่ผมก็เข้าใจคุณอยู่ เพราะยังไงซะคุณก็เป็นแค่จิตแพทย์ ถึงแม้การสะกดจิตกับจิตวิทยาก็ถือเป็นสายเดียวกัน แต่ถึงยังมันก็ไม่ได้เหมือนกันหมด”
สีหน้าของลี่จิ่วเชียนยังคงค่อนข้างแย่อยู่
เขายกมุมปากขึ้น และยิ้มได้ค่อนข้างฝืนใจมาก:“ทักษาทางวิชาการของผมแย่จริงๆ ขายหน้าแล้วครับ”
แต่ไหนแต่ไรลี่จิ่วเชียนเป็นคนที่สามารถเก็บอาการอยู่ มู่น่อนน่อนเคยเห็นเขาขัดแข้งขัดขาตัวเองอยู่หลายครั้ง และล้วนขัดแข้งขัดขาตัวเองต่อหน้าเฉินถิงเซียว
ความสามารถของเฉินถิงเซียวไม่ใช่คนทั่วไปที่จะสามารถสู้ได้จริงๆด้วย
เฉินถิงเซียวพูดด้วยสีหน้าเย็นชา:“ก็ตลกจริงๆอ่ะนะ”
ผู้ชายคนนี้พูดจาไม่เคยไว้หน้าคนอื่นเลย
มู่น่อนน่อนอดหันไปมองเขาแว๊บนึงไม่ได้
เขาลุกขึ้น มือสองข้างเสียบเข้าไปในกระเป๋ากางเกง สีหน้าไม่สนใจใยดีเลย
“ไปกันเถอะ”เขาพูดกับมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนอึ้งไปครู่นึงแล้วพูดว่า:“คุณไปก่อนเลยค่ะ”
เธอยังมีธุระกับลี่จิ่วเชียนต่อ ต้องถามเรื่องราวให้ชัดเจนก่อนถึงจะกลับ
เฉินถิงเซียวมองเธอแล้วหันไปมองลี่จิ่วเชียน ทันใดนั้นก็ได้หันมานั่งลงอีก:“มีธุระก็พูดเถอะ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าแววตาที่เฉินถิงเซียวมองเธอ เต็มไปด้วยความสงสัยและความไม่เชื่อใจ ราวกับว่าเธอจะไปมีอะไรลับลมคมในกับลี่จิ่วเชียนลับหลังเขายังไงอย่างงั้น……
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปาก น้ำเสียงค่อนข้างเย็นชา:“ถึงจะมีธุระก็เป็นธุระของฉันกับลี่จิ่วเชียน เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย?”
ช่วงนี้เธอถือว่าอดทนมากแล้ว เฉินถิงเซียวอาศัยความจำเสื่อมก็ทำกับเธออย่างตามใจชอบงั้นเหรอ
ตอนนี้ยังมาใช้สายตาแบบนี้จ้องมองเธออีก เธอย่อมทนไม่ได้อยู่แล้ว
ทันใดนั้นสีหน้าของเฉินถิงเซียวได้บูดบึ้งขึ้นมาทันที
“ไม่เกี่ยวกับผมงั้นเหรอ?”เฉินถิงเซียวหัวเราะอย่างเย็นชา:“มู่น่อนน่อน แน่จริงคุณพูดอีกรอบซิ?”
มู่น่อนน่อนพูดไหลลื่นอย่างเป็นธรรมชาติรอบนึง:“ไม่เกี่ยวกับคุณ”
พูดจบ ยังได้มองเฉินถิงเซียวอย่างท้าทายอีก
ชีวิตก็ต้องกล้าที่จะลองไม่ใช่เหรอ?
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอกล้าพูดจายั่วโมโหเขาอีกครั้ง ภายใต้สถานการณ์ที่เขาได้โกรธกริ้วขึ้นมาแล้ว
รู้สึกสะใจนิดๆ
เฉินถิงเซียวมองมู่น่อนน่อนอย่างหน้าเขียวหน้าดำ สีหน้าดูแย่สุดๆ
ลี่จิ่วเชียนส่งเสียงในเวลานี้:“ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ถึงให้คุณเฉินรู้ก็ไม่เป็นไรครับ”
มู่น่อนน่อนหันมามองเขา เขาได้ยกมุมปากขึ้น:“สามปีก่อน น่อนน่อนอยู่ออสเตรเลียกำลังรอคลอดอยู่ มีอยู่คืนนึง คุณเห็นคนกำลังชกต่อยกัน และได้แจ้งตำรวจใช่มั้ย?”
มู่น่อนน่อนฟังคำพูดของเขาจบแล้วมีสีหน้ามึนงง
ลี่จิ่วเชียนเดาว่าเธอคงจะลืมไปแล้ว รอยยิ้มของเขาแฝงด้วยความคาดหวัง:“อย่างไรก็ตามมันก็ผ่านไปนานมากแล้ว คุณจำไม่ได้ก็ปกติครับ แต่ผมขอบคุณๆมาก ตอนนั้นถ้าไม่ใช่คุณแจ้งตำรวจ ตอนนี้ผมคงไม่มีโอกาสมายืนคุยกับคุณอยู่ที่นี่แล้วครับ”
มู่น่อนน่อนเม้มปากแล้วพูด:“ขอโทษค่ะ”
เธอจำไม่ได้แล้วจริงๆ อาจจะเพราะนานมากแล้ว และอาจเพราะเป็นเรื่องเล็กๆที่ไม่คู่ควรแก่การพูดถึง แป๊บเดียวเธอก็ลืมไปแล้ว
แต่ลี่จิ่วเชียนสามารถจำได้ตลอด แถมยังยื่นมือช่วยเหลือเมื่อสามปีก่อน ก็นับได้ว่าเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกต่อกันและศีลธรรมคนนึงเลย
เธอนึกถึงตรงนี้ ก็ได้พูดอย่างค่อนข้างทอดถอนใจ:“สามปีก่อนถ้าไม่ใช่คุณช่วยฉันไว้ ตอนนี้ฉันก็ไม่สามารถยืนคุยกับคุณอยู่ที่นี่เหมือนกันค่ะ”
เฉินถิงเซียวที่เงียบกริบมาโดยตลอด จู่ๆกลับได้ลุกขึ้นในเวลานี้ เขาดึงมู่น่อนน่อนไว้แล้วเตรียมจะเดินออกไปเลย
“คุณทำอะไรคะ?ฉันยังพูดไม่จบเลย!”มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวเป็นอะไรไปอีก คิดจะทำอะไรก็ทำเหมือนเด็กคนนึงเลย
เธอพยายามลองขัดขืนดู พบว่าขัดขืนออกจากมือของเฉินถิงเซียวไม่ได้เลย
เขาจับไว้แน่นเกิน
หลังจากเฉินถิงเซียวดึงเธอขึ้นมา ก็ได้พูดกับลี่จิ่วเชียนว่า:“ถึงแม้รู้ว่าคุณลี่ยังโสดอยู่ แต่ก็รบกวนคุณลี่เข้าใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ด้วย ลูกอยู่บ้านคนเดียว คนเป็นพ่อเป็นแม่จะกังวลใจมาก วันนี้ก็ไม่พูดคุยกับคุณลี่แล้ว”
“ผมเข้าใจได้อยู่แล้ว”ลี่จิ่วเชียนยิ้มให้กับมู่น่อนน่อนแล้วพูดว่า:“น่อนน่อน เดี๋ยวเจอกันใหม่นะครับ”
“บ๊าย……”
คำว่า“บาย”ยังไม่ได้พูดออกมา มู่น่อนน่อนก็ถูกเฉินถิงเซียวดึงตัวไว้และเดินออกไปอย่างไวแล้ว
ออกมาจากคลินิกจิตวิทยาของลี่จิ่วเชียน มู่น่อนน่อนได้สลัดมือของเฉินถิงเซียวออกทันที เธอเปิดประตูเองแล้วนั่งเข้าไป จากนั้นได้ปิดประตูแรงจนเสียงดังสนั่น
“เฉินถิงเซียว คุณนี่ปัญญาอ่อนหรือเปล่า?”
มู่น่อนน่อนยื่นมือกำผมตัวเองอย่างหงุดหงิดแล้วพูด:“ฉันไม่รู้ทำไมคุณถึงไม่ชอบหน้าลี่จิ่วเชียน แต่เขาเป็นผู้มีพระคุณของฉัน ฉันไม่มีทางไม่คุยกับเขา ไม่เจอหน้าเขา เพียงเพราะคุณไม่พอใจหรอกนะ ยิ่งไปกว่านั้นเราสองคนก็ไม่เคยมีพฤติกรรมที่เกินเลยด้วย!”
“คุณช่วยเขาครั้งนึง เขาช่วยคุณครั้งนึง คุณสองคนก็แจ๊วกันพอดี ในเมื่อแจ๊วกันแล้ว ทำไมยังต้องเจอหน้ากันอีก?”เฉินถิงเซียวพูดไปด้วยพร้อมสตาร์ทรถไปด้วย น้ำเสียงเย็นชาจนไม่มีเยื่อใยเลยสักนิด
มู่น่อนน่อนมองเขาอย่างเหลือเชื่อ:“เฉินถิงเซียว!เมื่อก่อนคุณไม่ใช่คนที่เลือดเย็นขนาดนี้นะ!”
เฉินถิงเซียวหัวเราะอย่างเย็นชา:“เมื่อก่อนคุณก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่โง่เขลาแบบนี้เหมือนกัน!”
มู่น่อนน่อนหรี่ตาไว้เล็กน้อยพร้อมถามเขาว่า:“คุณไม่มีความทรงจำของช่วงที่อยู่กับฉัน คุณรู้ได้ยังไงว่าเมื่อก่อนฉันเป็นคนยังไง?”
พริบตาเดียวในรถได้เงียบสงบลงมาทันที เหลือแค่เสียงลมหายใจของทั้งสองที่สามารถได้ยินอย่างชัดเจน
มือที่เฉินถิงเซียวจับพวงมาลัยไว้อดกำแน่นไม่ได้ ตรงข้อนิ้วมือขาวซีดเล็กน้อย กรามได้ตึงเอาไว้ ริมฝีปากสวยเม้มเป็นเส้นตรง
น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนค่อนข้างยกตนข่มท่าน:“ทำไมไม่พูดแล้วล่ะ?”
สักพัก เสียงแหบพร่าเล็กน้อยของเฉินถิงเซียวได้ดังขึ้น:“ไม่อยากคุยกับผู้หญิงโง่เขลา”
“งั้นก็กล้ำกลืนคุณจริงๆที่กินกับข้าวที่ผู้หญิงโง่เขลาทำทุกวัน แถมยังมีลูกกับผู้หญิงโง่เขลาด้วย”มู่น่อนน่อนยังคงจ้องเขาไว้ แถมน้ำเสียงยังเย็นชาสุดๆ
“มู่น่อนน่อน!”เฉินถิงเซียวเหยียบเบรคด้วยความโกรธ!
เสียงที่เบรคกะทันหันแสบแก้วหูมาก
มู่น่อนน่อนมองหน้าเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย:“เฉินถิงเซียว คุณจำได้หมดแล้วใช่มั้ย?ฉันอยู่ในใจคุณดูโง่แค่ไหน สองวันนี้คุณแสดงออกมาชัดเจนขนาดนี้ คุณนึกว่าฉันยังดูไม่ออกหรือไง?ใช่ ฉันไม่ฉลาดเท่าคุณ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่มีสมองนะ!”
“ถ้าคุณมีสมอง ก็ไม่เห็นว่าลี่จิ่วเชียนคือผู้มีพระคุณมาโดยตลอดแล้ว?”น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้ดีไปกว่าเธอเลย:“เขาจงใจช่วยชีวิตคุณตัดหน้ากู้จือหยั่น คุณยังดูไม่ออกหรือไง?”
มู่น่อนน่อนไม่ยอมถอยเลยสักนิด:“ถึงจะอย่างนี้แล้วจะทำไม?เขาก็ยังได้ช่วยฉันไว้อยู่ดี ถึงฉันนอนอยู่ที่โรงพยาบาลมาสามปี เป็นเจ้าหญิงนิทรามาสามปี เขายังคงไม่ละทิ้งฉัน แค่จุดนี้ ไม่ว่าเขาจะมีจุดประสงค์อะไร เขาก็คือผู้มีพระคุณของฉันอยู่ดี ฉันติดค้างเขา!คุณคิดว่า……อืมมมมมมม……”
มู่น่อนน่อนยังพูดไม่จบก็ถูกคนอุดปากไว้แล้ว
เธออึ้งค้างและเบิกตากว้าง
ตรงหน้าคือใบหน้าหล่อเหลาที่ขยายใหญ่ของเฉินถิงเซียว เขาหลุบตาไว้เล็กน้อย มองอารมณ์ในแววตาไม่ชัด
เฉินถิงเซียวใช้มือข้างเดียวดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด มือข้างนึงโอบเอวเธอไว้ มืออีกข้างจับคางของเธอไว้ จูบได้ทั้งหนักและโหด
มู่น่อนน่อนได้ลิ้มลองถึงรสชาติของกลิ่นคาวเลือด ก็รู้เลยว่าริมฝีปากตัวเองถูกเขากัดจนถลอกอีกแล้ว
ถึงคนที่พูดน้อยแค่ไหน ตอนที่นิสัย คำพูดและการกระทำเกิดการเปลี่ยนแปลง คนที่ใกล้ชิดที่สุดล้วนสามารถสังเกตเห็นความผิดปกติได้อย่างง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงของเฉินถิงเซียวค่อนข้างชัดเจน
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
ตอนนี้ในใจเธอยังกังวลอีกเรื่องนึงอยู่
นั่นก็คือลี่จิ่วเชียน
เรื่องของลี่จิ่วเชียนยืดเยื้อมานานพอแล้ว ขืนยืดเยื้ออีกต่อไป เธอกลัวจะเกิดเรื่องอีก สู้ถามให้รู้ชัดโดยเร็วไปเลยดีกว่า
ทานอาหารเช้าเสร็จ มู่น่อนน่อนพูดเหมือนไม่ได้ตั้งใจ:“คุณกับมู่มู่จะไปตอนนี้เลยหรือเปล่าคะ?ฉันมีธุระต้องออกไปค่ะ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย:“คุณจะไปไหน?”
“ไปถามอะไรลี่จิ่วเชียนหน่อยค่ะ”มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ปิดบัง
เฉินถิงเซียวเงียบไปครู่นึง จู่ๆได้เปิดปากพูดคำนึง:“ผมไปด้วย”
“คุณไปทำไมคะ?”มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอย่อมไม่คิดอยู่แล้วว่าที่เฉินถิงเซียวไปเป็นเพราะว่าเธอไปเขาถึงได้ตามไปด้วย
เฉินถิงเซียวพูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย:“ไปหาหมอ”
……
รถยนต์ได้จอดลงที่หน้าศูนย์ให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาของลี่จิ่วเชียน
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่เบาะนั่งฝั่งคนขับ มู่น่อนน่อนนั่งอยู่เบาะนั่งข้างคนขับ
เธอมองผ่านกระจกรถแว๊บนึง ศูนย์ของลี่จิ่วเชียนน่าจะเพิ่งเปิดทำการ ยังสามารถเห็นพนักงานทำความสะอาดกำลังทำความสะอาดอยู่
ทั้งสองมาทำเรื่องทางการ ก็เลยไม่ได้ให้เฉินมู่มาด้วย เฉินถิงเซียวได้โทรให้คนมารับเธอกลับวิลล่าไปแล้ว
มู่น่อนน่อนเปิดประตูรถลงไป และได้หันมาทางเฉินถิงเซียว:“ฉันโทรหาลี่จิ่วเชียนก่อนค่ะ”
เฉินถิงเซียวกำลังจะพูด จู่ๆแววตาได้เคร่งขรึมขึ้นมา เขามองไปที่ข้างหน้าแล้วพูด:“ไม่ต้องโทรแล้ว”
มู่น่อนน่อนมองไปตามสายตาของเขา ก็เห็นลี่จิ่วเชียนกำลังขับรถมาทางนี้อย่างช้าๆ
“บังเอิญจังเลยครับ?พวกคุณมาด้วยกันเหรอครับ?”
ลี่จิ่วเชียนลงจากรถ ชุดสูทสีขาวทั้งตัวค่อนข้างแสงจ้าตา
เขาพูดจบ ก็ได้หันมาทางมู่น่อนน่อน:“น่อนน่อน จะมาทำไมไม่โทรบอกผมก่อนล่ะครับ ถ้าเกิดตอนที่คุณมาผมมีคนไข้อยู่ คุณไม่ใช่ต้องวิ่งเสียเที่ยวเลยเหรอ?”
มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วพูด:“ฉันกำลังจะโทรหาคุณ คุณก็มาพอดีเลยค่ะ อีกอย่างตอนนี้คุณก็ยังไม่มีคนไข้ไม่ใช่เหรอคะ”
ลี่จิ่วเชียนยิ้ม จากนั้นสายตาได้หล่นอยู่บนรถยนต์คันที่อยู่ด้านหลังของทั้งคู่
เขารู้ว่ามู่น่อนน่อนก็ได้ซื้อรถแล้วเหมือนกัน และข้างหลังของทั้งคู่มีรถอยู่แค่คันเดียว แถมยังเป็นรถเบนลี่ด้วย
รถเบนลี่คันนี้ย่อมเป็นของเฉินถิงเซียวอยู่แล้ว
นั่นก็หมายความว่า เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนมาด้วยกัน ไม่ได้มาเจอกันที่นี่โดยบังเอิญ
ลี่จิ่วเชียนดึงสายตากลับอย่างเป็นธรรมชาติมาก พร้อมยิ้มอ่อนๆ:“เชิญมากับผมครับ”
มาถึงออฟฟิศ ลี่จิ่วเชียนให้เลขารินน้ำชาให้เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อน ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม:“ผมคิดไม่ถึงเลยว่าคุณเฉินจะมารักษากับผมจริงๆ”
“คุณลี่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ในประเทศหาหมอจิตแพทย์ที่เก่งกว่าคุณไม่ได้แล้วครับ”ถึงแม้คำพูดของเฉินถิงเซียวเหมือนกำลังชื่นชม แต่น้ำเสียงกลับฟังไม่ออกเลยสักนิดว่ากำลังชื่นชมอยู่ สงบนิ่งจนราวกับกำลังบรรยายความจริงอย่างนึง
ราวกับกำลังบอกว่า:ถ้าไม่ใช่ว่าในประเทศหาหมอจิตแพทย์ที่เก่งกว่าคุณไม่ได้ ผมจะมาหาคุณเหรอ?
แต่ลี่จิ่วเชียนจะเข้าใจเป็นแบบนี้หรือเปล่า อันนี้ก็ไม่รู้แล้ว
รอยยิ้มบนใบหน้าของลี่จิ่วเชียนจางลงมาเยอะ เขาหยิบหนังสือออกมาแล้วพูดว่า:“คุณเฉินลองเล่าอาการคร่าวๆของคุณหน่อยครับ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้เปิดปากพูดทันที แต่ได้หันหน้าไปมองมู่น่อนน่อนแล้วพูด:“คุณเล่า”
“อาการของคุณ แต่คุณให้ฉันเล่า?”
เฉินถิงเซียวย้อนถามเธอ:“คุณรู้ดีกว่าผม ไม่ใช่เหรอ?”
มู่น่อนน่อนคิดดูดีๆแล้ว เหมือนจะเป็นแบบนี้จริงๆด้วย
เฉินถิงเซียวคือผู้เกี่ยวข้อง ความทรงจำของเขาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปหลายครั้ง ในฐานะที่เป็นคนใกล้ชิดของเขา กลับรับรู้ได้ชัดเจนกว่า
มู่น่อนน่อนหายใจลึกๆแล้วพูดว่า:“โอเคค่ะ งั้นฉันช่วยคุณเล่า”
จากนั้น เธอได้หันหน้าไปทางลี่จิ่วเชียนแล้วเริ่มเล่าด้วยสีหน้าจริงจัง:“เร็วสุดคือเมื่อสามปีก่อน เฉินถิงเซียวเคยถูกนักสะกดจิตสะกดจิตอย่างล้ำลึก ได้ลืมคนและความทรงจำของก่อนหน้านี้ไปหมด ก่อนหน้านี้อาการได้ดีขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ความทรงจำของเจ็ดแปดปีก่อนกลับได้หายไปอีกค่ะ…… ”
มู่น่อนน่อนพยายามให้ตัวเองสื่อสารออกมาให้เข้าใจง่าย เธอพูดจบก็ได้ถามลี่จิ่วเชียนว่า:“คุณเข้าใจหรือยังคะ?”
“ผมก็ต้องเข้าใจอยู่แล้วครับ”ลี่จิ่วเชียนชะงักไปครู่นึง ถึงได้พูดต่อ:“แต่ว่า เมื่อเทียบกับอาการป่วยของคุณเฉิน ที่ผมอยากรู้มากกว่าคือ ตอนนั้นใครเป็นคนสะกดจิตให้คุณเฉินครับ”
เฉินถิงเซียวส่งเสียงหัวเราะเยาะออกมา:“คุณอยากรู้ ผมก็ต้องบอกคุณงั้นเหรอ?คุณนึกว่าคุณคือใคร?”
น้ำเสียงยโสโอหังสุดๆ นี่แหละเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนกดมือของเขาไว้อย่างสงบเยือกเย็น ส่งสัญญาณให้เขาว่าเพลาๆหน่อย
เฉินถิงเซียวหันมามองเธอแว๊บนึง สีหน้าแววตาไม่ชัดเจน
ลี่จิ่วเชียนเคยเปิดหูเปิดตากับนิสัยของเฉินถิงเซียวตั้งนานแล้ว เขาได้เก็บสีหน้าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นโกรธจนแตกคอกัน
“ในเมื่อคุณเฉินไม่อยากพูด งั้นผมก็ไม่ฝืนใจครับ”ลี่จิ่วเชียนลุกขึ้นมา:“เรื่องสะกดจิตผมก็รู้แค่นิดหน่อย ไม่ถึงขั้นสามารถให้คุณหายดีหมด แต่สามารถช่วยคุณฟื้นฟูได้ครับ”
เฉินถิงเซียวยังไม่ได้ส่งเสียง กลับเป็นมู่น่อนน่อนที่ถามด้วยความตื่นเต้น:“คุณจะทำยังไงคะ?”
ลี่จิ่วเชียนเอาไฟแช็คออกมาอันนึงจากลิ้นชักของโต๊ะทำงาน จากนั้นได้พูดกับมู่น่อนน่อนด้วยรออยิ้ม:“ความจำเสื่อมและความทรงจำสับสนที่เกี่ยวข้องกับการสะกดจิต ก็ต้องใช้การสะกดจิตมาแก้ไขสิครับ”
“แช็ก”เสียงนึง ลี่จิ่วเชียนได้กดปุ่มเปิดปิดของไฟแช็ค ได้เก็บสีหน้าอารมณ์บนใบหน้าไว้หมดในทันที:“เฉินถิงเซียว จ้องมันไว้”
ลี่จิ่วเชียนถือไฟแช็คขึ้นมาให้สูง และบอกให้เฉินถิงเซียวจ้องเปลวไฟของไฟแช็คไว้
เฉินถิงเซียวให้ความร่วมมือเขามาก
“คุณชื่อเฉินถิงเซียว คุณเป็นประธานของบริษัทตระกูลเฉิน ปีนี้คุณอายุสามสิบ คุณคือ……”
เสียงของลี่จิ่วเชียนทุ้มต่ำและช้า ฟังแล้วไพเราะเสนาะหู
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ข้างเฉินถิงเซียว เดิมทีแค่จ้องมองไฟแช็คด้วยความแปลกใจ แต่เธอยิ่งจ้องยิ่งเหม่อลอยโดยไม่รู้ตัว จู่ๆรู้สึกโลกได้สงบลง เสียงของลี่จิ่วเชียนก็ได้สูญหายไป
เงียบสงบสุดๆ……
จู่ๆ มือของเธอรู้สึกเจ็บ
เธอดึงสติกลับมาทันที พบว่าเฉินถิงเซียวกำลังบีบมือของเธออยู่
เหมือนจงใจปลุกเธอตื่นยังไงอย่างงั้น หลังจากเธอดึงสติกลับมา เฉินถิงเซียวก็ได้ปล่อยมือเธอ ส่วนเขายังคงจ้องเปลวไฟของไฟแช็คอยู่
ลี่จิ่วเชียนยังคงพูดต่อ แถมได้ปล่อยปุ่มเปิดปิดของไฟแช็คที่กดไว้ออก ตอนที่เปลวไฟดับลง ไม่ได้ส่งเสียง“แช็ก”อีก
มู่น่อนน่อนหันไปมองเฉินถิงเซียว เขามองทิศทางของไฟแช็คด้วยสีหน้าเรียบเฉย สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่หน้าผากของลี่จิ่วเชียนได้มีเหงื่อซึมออกมาแล้ว
ลี่จิ่วเชียนเห็นเฉินถิงเซียวนิ่งอยู่ตั้งนานไม่ส่งเสียง จึงได้ส่งเสียงเรียกเขา:“เฉินถิงเซียว?”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมา น้ำเสียงมีความเยาะเย้ยที่ไม่ปกปิดเลย:“ผมยังนึกว่าที่คุณลี่บอกว่าเข้าใจนิดหน่อยจะแค่ถ่อมตัวเฉยๆ คิดไม่ถึงเลยว่าคุณลี่ไม่เพียงไม่ได้ถ่อมตัว กลับยังพูดเกินจริงอีก”
ลี่จิ่วเชียนพูดด้วยสีหน้าที่ดูแย่:“เมื่อกี๊คุณไม่มีความรู้สึกเลยเหรอครับ?”
เฉินถิงเซียวหัวเราะเย้ยหยัน:“ผมต้องมีความรู้สึกอะไรด้วยเหรอ?”
หลังจากเขานั่งลงมา ได้เห็นมู่น่อนน่อนจ้องมองเขาตลอด เขาเหม่อไปครู่นึงก็ไม่ได้พูดอะไร แค่ก้มหน้าก้มตาทานข้าว
มู่น่อนน่อนจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ อยู่ครึ่งค่อนวันถึงหยิบตะเกียบขึ้นมา
ระหว่างที่กินข้าว เธอคอยสังเกตเฉินถิงเซียวตลอด
เฉินถิงเซียวเหมือนไม่สังเกตเห็นยังไงอย่างงั้น เขาเอาแต่กินข้าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเธอเลย
จนกระทั่งทานข้าวเสร็จ เขาถึงมีความเคลื่อนไหว
เขาลุกขึ้นมาพูดอย่างใจเย็น:“ผมกลับก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมารับมู่มู่”
มู่น่อนน่อนอึ้งอยู่ครู่นึง จากนั้นได้พยักหน้าพร้อมพูดว่า:“ได้ค่ะ”
เขาได้หันไปมองเฉินมู่อีก:“มู่มู่ พ่อกลับแล้ว”
เฉินมู่ยังทำการต่อสู้กับน่องไก่ชิ้นสุดท้ายอยู่ ได้ยินเฉินถิงเซียวเรียกเธอ เธอไม่ได้หันไปมองเขาเลย แค่พูดคลุมเครือคำนึง:“บ๊ายบายค่ะ!”
เฉินถิงเซียวยักคิ้วเล็กน้อย จากนั้นได้ลุกจากโต๊ะแล้วเดินออกไป
หลังจากเขาไปแล้ว มู่น่อนน่อนนั่งลงมาครุ่นคิดอยู่ที่โต๊ะอาหารไปครู่นึง จนกระทั่งเฉินมู่มาดึงเธอ:“แม่คะ หนูดูการ์ตูนได้มั้ยคะ?”
ตอนนี้เฉินมู่พูดจาชัดเจนมากแล้ว
นี่ทำให้มู่น่อนน่อนนึกถึงตอนที่เจอเฉินมู่ในครั้งแรก ถึงเธอก็พูดชัดมาก แต่พูดน้อยเกินไป
เด็กๆถ้ามีผู้ใหญ่คอยพูดคุยกับด้วย ก็จะฝึกพูดได้เร็วยิ่งขึ้น
“ได้สิคะ”มู่น่อนน่อนลุกขึ้นมา แล้วจูงมือเธอมานั่งที่บนโซฟา
เธอช่วยเฉินมู่เปิดทีวี:“แม่ไปล้างจานก่อน หนูดูทีวีก่อนนะคะ เดี๋ยวแม่ล้างจานเสร็จค่อยพาหนูไปอาบน้ำเข้านอนนะ”
“ค่ะ”สามธิของเฉินมู่ได้จดจ่ออยู่ที่การ์ตูนแอนิเมชั่นหมดแล้ว สายตาทั้งคู่ได้จ้องอยู่ที่โทรทัศน์
มู่น่อนน่อนลูบศีรษะเธอเสร็จก็ได้เดินเข้าห้องครัวไป
ตอนที่เธอทำความสะอาดห้องครัวเสร็จแล้วเดินออกมาจากห้องครัว เฉินมู่ได้หลับคาโซฟาไปแล้ว
ปกติเวลานี้ เฉินมู่ได้เข้านอนแล้ว เธอก็คงจะง่วงตั้งนานแล้วแหละ
มู่น่อนน่อนอุ้มเธอกลับไปที่ห้องนอน ช่วยเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าและเช็ดหน้าเช็ดตาเสร็จก็ได้ให้เธอนอนต่อ
……
เช้าวันรุ่งขึ้น
มู่น่อนน่อนลุกจากเตียงมาต้มโจ๊กและนึ่งมันเทศ
มันเทศได้เอามาจากที่คุณลุง ลูกไม่ใหญ่ ผิวเรียบเนียน เป็นตัวเลือกที่ดีในการเอามาเป็นอาหารเช้า
หลังจากเอามันเทศนึ่งลงไปในหม้อ มู่น่อนน่อนก็ได้ลงไปซื้อซาลาเปาที่ใต้ตึก
วัตถุดิบในบ้านมีไม่เยอะ อาหารเช้าได้แค่กินโจ๊กและซาลาเปารองเท้าไปพลางๆ
ตอนที่เธอออกจากคอนโด ก็เห็นลานจอดรถมีรถที่คุ้นเคยจอดอยู่คันนึง
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปใกล้ แน่ใจว่าป้ายทะเบียนนั้นเป็นรถของเฉินถิงเซียว
นาทีต่อมา เฉินถิงเซียวได้เปิดประตูและลงมาจากในรถ
เขาออกมาจากเบาะนั่งฝั่งคนขับ แสดงว่าเขาเป็นคนขับรถมาเอง
เมื่อวานตอนเขาไปได้บอกอยู่ว่าวันนี้จะมารับเฉินมู่ มู่น่อนน่อนยังนึกว่าเขาจะมารับช่วงดึกเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะมาเช้าขนาดนี้
เห็นได้ชัดว่าเฉินถิงเซียวก็เห็นเธอแล้วเหมือนกัน เขาล็อคประตูเสร็จก็ได้ก้าวเท้าเดินมาหาเธอ
“คุณจะไปไหน?”
“ไปซื้อซาลาเปาค่ะ”มู่น่อนน่อนชี้ไปที่นอกประตูของชุมชน
จากนั้นเธอได้ถามอีกว่า:“ทำไมคุณถึงมาแต่เช้าเลยคะ?”
ในมือของเฉินถิงเซียวถือกุญแจไว้ เขาหลุบตาแล้วพูด:“ผมก็ยังไม่ได้ทานอาหารเช้าเหมือนกัน”
“คะ?”ยังไม่ได้ทานอาหารเช้าก็มาเลย รีบขนาดนี้เลยเหรอ?
เฉินถิงเซียวก็ไม่สนสีหน้าที่ตะลึงงันของมู่น่อนน่อน เขาได้ยกฝีเท้าเดินออกไปนอกชุมชนอย่างหน้าตาเฉย:“ไปกันเถอะ”
“ไปไหนคะ?”มู่น่อนน่อนได้เดินตามไป เธอถูกเฉินถิงเซียวทำเอาค่อนข้างประหลาดใจ
เฉินถิงเซียวหันหน้ามาพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย:“จะไปซื้อซาลาเปาไม่ใช่เหรอ?”
ที่แท้เมื่อกี๊เขาบอกว่ายังไม่ได้ทานข้าว นี่คือจะไปซื้อซาลาเปากับเธองั้นเหรอ
มู่น่อนน่อนเดินมาข้างหน้าสองก้าว แล้วรู้สึกผิดสังเกตอีก
เฉินถิงเซียวในตอนนี้จะยอมกินซาลาเปาร้านที่ลูกละหนึ่งหยวน?
ตั้งแต่เมื่อวาน เธอก็รู้สึกว่าเฉินถิงเซียวแปลกๆแล้ว ตอนนี้ดูท่าเธอคงไม่ได้ตาฝาดแน่
เธอจ้องแผ่นหลังของเฉินถิงเซียวแล้วเดินช้าลง
ร้านซาลาเปาอยู่หน้าชุมชนนี้เอง ตอนนี้มีลูกค้ายืนต่อแถวกันแล้ว
เฉินถิงเซียวที่ตัวสูงยืนอยู่ที่นั่น เด่นสะดุดตาสุดๆ
เขาได้จ้องเมนูที่ติดอยู่ตรงผนังไปครู่นึง จากนั้นก็ได้เข้าไปต่อแถวด้วยเลย
น้อยนักที่จะได้เห็นเฉินถิงเซียวที่ต่อแถวซื้อซาลาเปา
ตอนที่มู่น่อนน่อนเดินไป ถึงคิวของเฉินถิงเซียวพอดี
ก็ไม่รู้ว่าเถ้าแก่ดูออกหรือเปล่าว่าเป็นเฉินถิงเซียว ฟังเสียงเถ้าแก่เหมือนจะค่อนข้างหวาดกลัว:“คุณครับ จะรับซาลาเปาไส้อะไรครับ?”
เฉินถิงเซียวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“เอาอย่างละสองลูก”
เถ้าแกอึ้งไปครู่นึง:“พวกคุณกินกันกี่คนครับ?”
ซาลาเปาร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมาสิบกว่าปีแล้ว เฉพาะไส้ก็มีเป็นสิบกว่าไส้แล้ว
มู่น่อนน่อนรีบเดินไป:“ขอโทษค่ะ เขาแค่ล้อเล่นค่ะ เอาขนมจีบสองลูก ไส้หมูสองลูก และไส้ผักกาดขาวกับเห็ดหอม……”
มู่น่อนน่อนสั่งไส้ที่ตัวเองกับเฉินมู่จะกินเสร็จ ก็ได้หันไปถามเฉินถิงเซียวว่า:“คุณจะเอาไส้อะไรคะ?”
เฉินถิงเซียวสีหน้าเรียบเฉย:“อะไรก็ได้”
มู่น่อนน่อนฟังแล้วก็ได้ตัดสินใจแทนเฉินถิงเซียว:“งั้นก็เพิ่มไส้หมูอีกสองลูก และไส้ผักกาดขาวกับเห็ดหอมอย่างละลูกค่ะ”
ตอนที่เถ้าแก่เอาซาลาเปาใส่ถุงเสร็จยื่นมา มู่น่อนน่อนกำลังจะยื่นมือไปรับ ก็พบว่าเฉินถิงเซียวได้ยื่นมือไปรับซาลาเปาก่อนเธอแล้ว
มู่น่อนน่อนมองเขาด้วยความประหลาดใจแว๊บนึง ทันใดนั้นเขาได้พูดอย่างเรียบเฉย:“ผมหิวแล้ว”
“……ค่ะ”มู่น่อนน่อนไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเขา
ในใจยังเป็นห่วงว่าเฉินมู่นอนอยู่ที่บ้านคนเดียว ขากลับมู่น่อนน่อนจึงได้เดินค่อนข้างเร็ว
เธอเดินอยู่ข้างหน้า เฉินถิงเซียวหิ้วซาลาเปาไว้และเดินอยู่ข้างหลังเธอ
ในลิฟท์ มู่น่อนน่อนมองดูร่างเงาสองร่างที่สะท้อนอยู่บนผนังลิฟท์ เธอได้คิดอย่างค่อนข้างเหม่อลอย เหมือนภาพสามีภรรยาคู่นึงออกไปเดินเล่นในสุดสัปดาห์ แล้วซื้อซาลาเปากลับมาเป็นอาหารเช้าจังเลย
แต่เสียดายตอนนี้เธอกับเฉินถิงเซียวไม่ใช่แบบนั้น
ตอนที่มู่น่อนน่อนเปิดประตูเข้าไป เฉินมู่ได้ตื่นนอนแล้ว เธอกำลังกอดเจ้าเสือน้อยยืนเรียกแม่อยู่ที่หน้าห้องครัว
เมื่อก่อนตอนที่เฉินมู่พักอยู่กับเธอ ช่วงเช้าตอนที่เฉินมู่ตื่นขึ้นมา ปกติมู่น่อนน่อนมักจะทำอาหารเช้าอยู่ที่ห้องครัว เฉินมู่ถึงได้ติดนิสัยไปหาเธอที่ห้องครัว
“มู่มู่ ตื่นแล้วเหรอคะ”มู่น่อนน่อนรีบเปลี่ยนรองเท้า:“เมื่อกี๊แม่ไปซื้อซาลาเปา ตอนนี้เราไปล้างหน้าแปลงฟันกันก่อน เสร็จแล้วก็มาทานอาหารเช้ากันนะคะ”
“ค่ะ”เฉินมู่ขยี้ตา และได้ยื่นมือมาให้มู่น่อนน่อนอุ้มอย่างน่าเอ็นดู
ตอนที่มู่น่อนน่อนช่วยเฉินมู่อาบน้ำแปลงฟันเสร็จออกมา พบว่าเฉินถิงเซียวได้เอาซาลาเปาออกมาวางแยกใส่จานเรียบร้อยแล้ว
เธอไม่ได้พูดอะไร แค่อุ้มเฉินมู่เข้าไปนั่งในเก้าอี้
เฉินมู่ยื่นมือออกมาอย่างอยากลองชิมมาก:“ว้าว!ซาลาเปาลูกใหญ่จังเลย”
มู่น่อนน่อนเพิ่งล้างมือให้เฉินมู่ไป จึงไม่ได้สนใจเธอ ปล่อยให้เธอใช้มือจับอย่างตามใจชอบ
เธอพับแขนเสื้อให้เฉินมู่เสร็จ ก็ได้หันหลังเดินเข้าไปตักโจ๊กกับมันเทศ
มันเทศลูกเล็กทั้งหวานและมันหนึบหนับ เฉินมู่ชอบกินมาก
แต่มู่น่อนน่อนกลัวเธอจะย่อยได้ไม่ดี จึงให้เธอกินแค่สองลูกเล็กๆ
“ไม่ลองดูหน่อยเหรอคะ?เป็นมันเทศที่เอามาจากคุณลุงค่ะ”มู่น่อนน่อนมองไปที่เฉินถิงเซียว ระหว่างที่พูดก็ได้ยื่นมันเทศให้เฉินถิงเซียวลูกนึง
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้ปฏิเสธ ได้ยื่นมือรับเอาไว้
มู่น่อนน่อนหรี่ตาเล็กน้อยจ้องมองเขา เธอยังไม่ค่อยแน่ใจความคิดของตัวเอง
“คุณมาได้ยังไงคะ?”
มู่น่อนน่อนคิดไม่ถึงว่าคนที่มาจะเป็นเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวยังใส่ชุดสูทตอนที่แยกกันที่สนามบินของช่วงบ่ายอยู่ เขามองมู่น่อนน่อนแว๊บนึง จากนั้นได้ก้มไปอุ้มเฉินมู่ขึ้นมาแล้วตรงดิ่งเข้าไปในบ้าน
เดินไปสองก้าว รู้สึกได้ว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้เดินตามมา เขาถึงหันมามองเธอแล้วพูดว่า:“ทานข้าว”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้วก้มดูนาฬิกา นี่ถึงพบว่าหนึ่งทุ่มแล้ว
เฉินถิงเซียวได้อุ้มเฉินมู่มานั่งลงที่โซฟา มู่น่อนน่อนได้รีบปิดประตูแล้วตามไป
มู่น่อนน่อนถามเธอ:“มู่มู่หิวหรือเปล่าคะ?อยากทานอะไรคะ?”
เฉินมู่นั่งอยู่บนตักเฉินถิงเซียว และพูดอย่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ:“น่องไก่ค่ะ”
“น่องไก่เหรอคะ?เดี๋ยวแม่ดูก่อนนะคะว่ามีหรือเปล่า”มู่น่อนน่อนเดินไปที่ตู้เย็น
ตอนที่เธอออกจากบ้าน ก็กะไว้แล้วว่าประมาณครึ่งเดือนถึงหนึ่งเดือนถึงจะกลับมา เพราะฉะนั้นของในตู้เย็นแทบจะเคลียร์หมดเกลี้ยงแล้ว นอกจากเนื้อแช่งแข็งในช่องฟิต
แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามีน่องไก่อยู่หรือเปล่า
เธอไปเปิดตู้เย็นที่ห้องครัว ดูที่ช่องฟิตแล้วพบว่าข้างในยังมีน่องไก่อยู่จริงด้วย
เด็กชอบปีกไก่น่องไก่ ปกติตอนที่มู่น่อนน่อนซื้อก็จะซื้อไว้เยอะหน่อย ถึงช่วงนี้เฉินมู่ไม่ค่อยได้มาพักที่บ้านเธอก็ตาม
มือข้างนึงของมู่น่อนน่อนจับประตูตู้เย็นไว้ และได้ตะโกนไปที่ทิศทางของเฉินมู่:“มู่มู่ ตู้เย็นมีน่องไก่อยู่ หนูเล่นกับพ่อไปก่อนนะคะ แม่มาทำกับข้าว”
เฉินมู่ตอบคำนึงว่า:“โอเคค่ะ!”
มู่น่อนน่อนเอาเนื้อออกมาจากช่องฟิต จากนั้นก็ได้มองไปที่ห้องรับแขกอีกแว๊บนึง
เฉินถิงเซียวเปิดโทรทัศน์ ฟังเสียงแล้วเหมือนกำลังดูการ์ตูนแอนิเมชั่นอยู่
เฉินมู่กอดเจ้าเสือน้อยนั่งอยู่ข้างๆเขา จ้องโทรทัศน์ไว้อย่างจดจ่อ เฉินถิงเซียวนั่งไขว่ห้าง หลุบตาเล็กน้อยกำลังจ้องโทรทัศน์อยู่
ท่าทางของสองพ่อลูกเหมือนกันเป๊ะๆ
เฉินมู่จะคอยส่งเสียงหัวเราะออกมาเป็นพักๆ แต่เฉินถิงเซียวตั้งแต่ต้นจนจบล้วนแค่จ้องหน้าจอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วได้ไปทำกับข้าวที่ห้องครัว
ในบ้านไม่มีผักสด นอกจากเนื้อก็มีแค่มันฝรั่งไม่กี่ลูกกับเห็ดหูหนูแห้ง
มู่น่อนน่อนได้ทำน่องไก่ผัดซอสแดง เห็ดหูหนูผัดหมูแผ่น ผัดมันฝรั่งเส้น ซุปสาหร่ายกุ้งแห้ง
อาหารบ้านๆที่เรียบง่ายสุดๆ
ตอนที่มู่น่อนน่อนต้มน้ำซุป ก็ได้ตะโกนไปทางห้องรับแขก:“มู่มู่ กินข้าวแล้วค่ะ มาเอาถ้วยกับตะเกียบของหนูเร็ว”
ผ่านไปไม่นาน เธอก็รู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ เสียงฝีเท้าค่อนข้างหนัก
ทุกครั้งที่บอกว่าทานข้าว เฉินมู่ล้วนจะวิ่งไปเอาถ้วยชามที่ห้องครัวด้วยความดี๊ด๊า
คนที่ฝีเท้าค่อนข้างหนักนี้ ย่อมเป็นเฉินถิงเซียวอยู่แล้ว
เธอชะงักไปครู่นึง จากนั้นได้หันมาดู พบว่าเฉินถิงเซียวเดินเข้ามาจริงๆด้วย
เขาไม่ได้มองมู่น่อนน่อน แต่ได้เดินมาที่หน้าตู้เก็บชามอย่างเป็นธรรมชาติมาก เปิดตู้เก็บชามและเอาถ้วยออกมาจากด้านใน
ถ้วยของเฉินมู่คือใช้ถ้วยของเด็กโดยเฉพาะ เขาหยิบของเฉินมู่ก่อน จากนั้นก็ได้หยิบถ้วยสีขาวสองใบ
คงจะเพราะรู้สึกได้ว่ามู่น่อนน่อนกำลังจ้องมองเขาอยู่ จู่ๆเขาได้หันหน้ามา พอหันมาก็ได้สบตากับมู่น่อนน่อนพอดี
เดิมทีมู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตัวเองมองอย่างเปิดเผย แต่นาทีนี้ถูกเฉินถิงเซียวจ้องแบบนี้ เธอรู้สึกค่อนข้างอึดอัด
เธอยิ้มและหันไปดูซุปของตัวเองเงียบๆ
สาหร่ายกับกุ้งแห้งในน้ำซุปสาหร่ายล้วนไม่ต้องต้มเลย แค่ใส่ลงไปในถ้วย เอาน้ำร้อนราดใส่แล้วเพิ่มเกลือ น้ำส้มสายชูกับต้นหอมก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
เธอเทน้ำร้อนลงไปเสร็จ ข้างๆก็มีมือข้างนึงยื่นมาใช้มือข้างเดียวยกน้ำซุปขึ้น
มู่น่อนน่อนหันไปมอง เห็นมืออีกข้างของเขายังถือถ้วยเอาไว้ด้วย จึงได้พูดว่า:“ฉันยกเองค่ะ……”
เฉินถิงเซียวไม่สนใจเธอ มือข้างนึงถือถ้วยไว้ มืออีกข้างยกน้ำซุปไว้แล้วเดินออกไปอย่างชิวๆ
มู่น่อนน่อนได้แต่ปล่อยเขาไป ส่วนตัวเองก็ยกกับข้าวที่เหลือออกไป
หลังจากเฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างหน้าเอาซุปวางลงบนโต๊ะอาหารแล้ว ก็ได้ตะโกนว่า:“มู่มู่ กินข้าว”
เฉินมู่ยังคงนั่งดูทีวีอย่างใจจดใจจ่ออยู่ ในหูไม่ได้ยินเสียงของเฉินถิงเซียวเลย
เฉินถิงเซียวหรี่ตาเล็กน้อย จากนั้นได้ลุกเดินไป
เขาเดินไปหยิบรีโมทบนโต๊ะขึ้นมาแล้วปิดทีวีโดยตรง
เฉินมู่ที่กำลังดูอย่างเมามันอยู่ได้ฉุนขึ้นมาทันที เธอได้ยื่นมือโยนตุ๊กตาในมือออกไป พร้อมชี้เฉินถิงเซียวแล้วพูดจาเสียงดัง:“ทำไมต้องปิดทีวีของหนูด้วย!”
เนื่องจากโกรธ เสียงของเธอสูงขึ้นไม่น้อยเลย ฟังแล้วค่อนข้างแหลม
สำหรับเรื่องนี้เฉินถิงเซียวไม่สะทกสะท้านเลย เขาได้ยื่นมือชี้เจ้าเสือน้อยที่ถูกเธอโยนลงบนพื้นพร้อมพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ:“เก็บขึ้นมา”
“ไม่!”เฉินมู่ทำหน้ามุ่ยไว้แล้ว“หื้ม”ใส่เขาทีนึง ก็เตรียมไปเอารีโมทมาเปิดทีวี
มีหรือที่เฉินถิงเซียวจะดูการกระทำลับหลังของเธอไม่ออก ในขณะที่เธอยื่นมือ เขาก็ได้ยื่นมือมาหิ้วคอเสื้อของเธอไว้ หิ้วเธอจากโซฟาไปที่โต๊ะอาหาร
ตอนที่มู่น่อนน่อนยกกับข้าวจานสุดท้ายออกมา ภาพที่เห็นก็คือภาพนี้
ตอนที่เฉินมู่ถูกเฉินถิงเซียวหิ้วขึ้นมา ตระหนักได้อย่างเซนซิทีฟว่าเขาคงจะโกรธแล้ว จึงไม่กล้าส่งเสียงอีก เธอได้กำหมัดน้อยๆไว้แน่น เบะปากเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็ไม่กล้าร้องออกมา
มู่น่อนน่อนวางกับข้าวลงแล้วมองไปที่เฉินถิงเซียว:“มีอะไรคะ?”
เฉินมู่ที่เดิมทีเบะปากไว้ไม่กล้าร้องไห้ พอเห็นมู่น่อนน่อนปุ๊บ ก็ร้อง“งือๆๆ”ออกมาเลย:“แม่ หนูจะเอาแม่!”
เสียงร้องไห้เศร้ารันทดจนผิดหูผิดตา
ถ้าไม่ใช่ว่าเมื่อครู่มู่น่อนน่อนได้เดินผ่านมาเห็นกับตา เธอคงนึกว่าเฉินถิงเซียวกำลังทารุณเฉินมู่
แล้ว
เฉินถิงเซียวยัดเฉินมู่เข้าไปในเก้าอี้เด็ก พร้อมพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย:“วันนี้ถึงหนูเรียกคุณปู่ก็ไม่มีประโยชน์”
เสียงร้องไห้ของเฉินมู่ได้หยุดไปครู่นึง จากนั้นก็แหงนหน้าร้อง“ฮือๆๆ”ขึ้นมาอีก และเรียกอย่างเศร้ารันทด:“คุณปู่!หนูจะเอาคุณปู่”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวมืดลงมาทันที
มู่น่อนน่อน:“……”
เธอก็เพิ่งจะเคยเห็นเฉินมู่ดื้อแบบนี้เป็นครั้งแรก
เฉินถิงเซียวรินน้ำแก้วนึงแล้วยื่นมาที่ปากของเฉินมู่:“ดื่มน้ำสงบสติอารมณ์ก่อน”
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวอย่างจะร้องไห้ก็ไม่ใช่จะหัวเราะก็ไม่ใช่
มีการกล่อมเด็กแบบเขาด้วยเหรอ?
เธอทนดูต่อไปไม่ไหว เตรียมจะเดินไปอุ้มเฉินมู่ แต่กลับถูกเฉินถิงเซียวห้ามเอาไว้
เสียงร้องของเฉินมู่ได้เบาลงมา เธอมองหน้ามู่น่อนน่อนไว้อย่างกล้ำกลืน:“แม่……”
มู่น่อนน่อนกำลังจะพูด แต่กลับถูกเฉินถิงเซียวผลักเบาๆทีนึง เขาได้ทวนซ้ำอีกรอบ:“ดื่มน้ำ”
น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึม ร่างเล็กๆของเฉินมู่สั่นเทาเล็กน้อย ไม่นึกเลยว่าจะก้มหน้าไปดื่มน้ำจริงๆด้วย
เธอดื่มน้ำไปกรึ๊บใหญ่ เสร็จแล้วก็ได้ผลักแขนของเฉินถิงเซียวออก:“ไม่ดื่มแล้ว”
“สงบสติอารมณ์ได้รึยัง?”เฉินถิงเซียววางแก้วน้ำลงแล้วถามเธอ
เฉินมู่ยื่นมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าแล้วพูดด้วยเสียงสะอื้น:“สงบสติอารมณ์ได้แล้วค่ะ”
เฉินถิงเซียวได้ถามอีกว่า:“กินข้าวมั้ย?”
เฉินมู่แหงนหน้ามองเขาแล้วพยักหน้า:“กินค่ะ”
เฉินถิงเซียวหยิบถ้วยของเธอขึ้นมาตักข้าวแล้ววางลงที่ตรงหน้าเธอ จากนั้นได้คีบน่องไก่ให้เธอชิ้นนึง
เฉินมู่หยิบตะเกียบขึ้นมาทานข้าวอย่างเชื่อฟัง กัดไปแค่คำเดียว ก็ได้พูดสะอึกสะอื้นอีก:“ร้อน”
“งั้นก็รอแป๊บนึง เย็นแล้วค่อยกิน”
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ได้หยิบถ้วยมาตักข้าวต่อ
มู่น่อนน่อนเห็นเฉินถิงเซียวตักข้าวถ้วยนึงพร้อมวางมาที่ตรงหน้าเธอแล้วได้อึ้งค้างไว้
เหมือนเฉินถิงเซียวไม่รู้เลยว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไป เขาตักข้าวให้มู่น่อนน่อนถ้วยนึง และได้ตักให้ตัวเองถ้วยนึง
เครื่องบินได้จอดลงที่ท่าอาศยานนานาชาติเมืองหู้หยาง
สือเย่ได้สั่งให้บอดี้การ์ดมารับเครื่องไว้ล่วงหน้าแล้ว
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวเพิ่งออกจากสนามบิน ก็มีบอดี้การ์ดเดินมาหา
บอดี้การ์ดพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า:“คุณผู้ชาย คุณหญิงน้อย”
เฉินถิงเซียวหันมาถามมู่น่อนน่อนว่า:“คุณจะไปไหน?”
สองวันนี้เฉินถิงเซียวเย็นชากับเธอมาก มู่น่อนน่อนก็มีภูมิต้านทานขึ้นมาบ้างแล้ว
เธอตอบกลับด้วยสีหน้าเฉยเมย: “ไปดูมู่มู่ที่บ้านคุณค่ะ”
เฉินถิงเซียวฟังแล้วได้หันไปมองสือเย่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย:“ไปบริษัท”
เขาพูดจบ ก็ได้ยกฝีเท้าเดินไปที่รถคันนึง
บอดี้การ์ดได้ขับรถมาหลายคัน เห็นเฉินถิงเซียวจะไปบริษัท ก็ได้เป็นฝ่ายเดินไปช่วยเขาประตูรถ
สือเย่มองเงาของเฉินถิงเซียวแว๊บนึง จากนั้นถึงได้สั่งการบอดี้การ์ดอีกคนที่อยู่ข้างๆ:“ส่งคุณหญิงน้อยกลับไป”
มู่น่อนน่อนไม่สนว่าสือเย่พูดอะไร เธอได้วิ่งตามเฉินถิงเซียวไปแล้วถามว่า:“ของที่คุณลุงให้มา จะให้ฉันเอาไว้ที่บ้านคุณหน่อยมั้ยคะ?”
เฉินถิงเซียวกำลังจะเข้าไปในรถ ฟังคำพูดของเธอแล้วได้หยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นได้หันมามองหน้าเธอแว๊บนึง:“ไม่ต้อง คุณเอาไปหมดเลย”
เขาพูดจบ ก็ได้เข้าไปในรถโดยตรง
บอดี้การ์ดปิดประตูรถ หลังจากพยักหน้าให้มู่น่อนน่อนอย่างเคารพแล้วก็ได้ถอยออกไปเลย สือเย่เป็นคนมาขับรถไปบริษัทกับเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนมองดูรถขับไปไกล เธอสูดหายใจลึกๆทีนึงแล้ว ถึงหันไปขึ้นรถอีกคัน
นิสัยที่หาความแน่นอนอะไรไม่ได้ของเฉินถิงเซียว ทำให้คนคาดเดาไม่ได้เลยจริงๆ
บอดี้การ์ดได้ส่งมู่น่อนน่อนไปที่บ้านของเฉินถิงเซียวโดยตรง
ตอนที่เฉินมู่เห็นมู่น่อนน่อนแล้ว ดีใจจนวิ่งพุ่งเข้ามาที่อ้อมกอดเธอโดยตรง
“แม่คะ!”
สาวน้อยเฉินมู่เหมือนอ้วนขึ้นจริงๆด้วย ตอนที่มู่น่อนน่อนอุ้มเธอขึ้นมา รู้สึกหนักกว่าก่อนหน้านี้เยอะเลย
“แม่กับพ่อไม่อยู่ หนูได้ทานข้าวดีๆ นอนดีๆหรือเปล่าคะ?อื๊ม?”มู่น่อนน่อนอุ้มเธอขึ้นมานั่งบนโซฟา
มีคนรับใช้ยกน้ำมา มู่น่อนน่อนได้พูดเสียงต่ำคำนึง:“ขอบใจจ้า”
“อืมๆ!”เฉินมู่พูดเสียงดังเสร็จ ก็ได้ยื่นคอมองไปทางประตูที่มู่น่อนน่อนเพิ่งเข้ามา
มู่น่อนน่อนเองก็ได้มองไปตามสายตาของเธอ ผ่านไปสองวิ เฉินมู่ดึงสายตากลับแล้วแหงนหน้ามองมู่น่อนน่อน:“คุณพ่อล่ะคะ?”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนได้หงอยลงมาทันที แววตามีความเศร้าหมองแว๊บผ่าน:“คุณพ่อไปบริษัทแล้วค่ะ เขามีธุระต้องทำ”
“ค่ะ”เสียงของเฉินมู่ฟังแล้วค่อนข้างผิดหวัง แต่ไม่นานก็ได้มีชีวิตชีวาขึ้นมา
คุณพ่อไม่อยู่ไม่เป็นไร มีคุณแม่อยู่ก็พอแล้ว
……
มู่น่อนน่อนเล่นกับเฉินมู่ได้สักพักก็เตรียมตัวกลับแล้ว
ก่อนจะกลับ เฉินมู่ได้ดึงเธอวพร้อมบอกว่าจะไปกับเธอ
มู่น่อนน่อนยื่นมือมาลูบศีรษะเธอ:“เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะมาอีกนะคะ”
“ไม่เอา……”เฉินมู่ทำหน้ามุ่ย และดึงตัวเธอไว้ไม่ยอมปล่อยพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า
มู่น่อนน่อนเห็นแล้วสงสารจับใจ ทันใดนั้นได้ประนีประนอมอย่างไม่มีหลักการใดๆ:“งั้นแม่โทรบอกคุณพ่อก่อน โอเคมั้ยคะ?”
เฉินมู่รีบพยักหน้ารัวๆ:“ค่ะ”
ถึงแม้เธอยังเด็กอยู่ แต่ถ้าพูดเหตุผลกับเธออย่างมีความอดทน เธอก็จะฟังอยู่
ที่จริงเฉินมู่เป็นเด็กที่ค่อนข้างขาดความรัก สมัยเด็กๆคนที่อยู่ข้างกายเธอมักจะเป็นคนรับใช้ หรือไม่ก็คุณพ่อที่เคร่งขรึม ยังไงเด็กก็ชอบเพศหญิงที่สวยและอ่อนโยนกว่า
ในใจของเด็กๆทุกคนมักจะมีความพึ่งพาแม่อยู่ในสายเลือด
มู่น่อนน่อนอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน และได้หยิบมือถือออกมาโทรหาเฉินถิงเซียว
น้อยนักที่จะได้เห็น ครั้งนี้หลังจากโทรติด เสียงรอสายเพิ่งดังขึ้นสองที เฉินถิงเซียวก็ได้รับสายแล้ว
“มีธุระอะไร?”เสียงของเขาเย็นชาเหมือนที่ผ่านๆมา
“ตอนนี้ฉันอยู่ที่บ้านคุณ มู่มู่อยากกลับไปกับฉัน ฉันอยากให้เธอไปพักที่บ้านฉันสักสองสามวันค่ะ”ที่จริงมู่น่อนน่อนไม่ค่อยมั่นใจเลยว่าเฉินถิงเซียวจะตอบตกลง
เธอคอยคิดอยู่ในใจถ้าเฉินถิงเซียวปฏิเสธ ตัวเองจะต้องพูดยังไง
แต่สุดท้ายถ้อยคำที่เธอคิดเอาไว้ไม่ได้ใช้ เพราะเฉินถิงเซียวได้ตอบตกลงแล้ว
“ได้”ฟังอารมณ์จากน้ำเสียงเขาไม่ออก เขาได้ถามเธอต่อ:“ยังมีธุระอย่างอื่นมั้ย?”
คำพูดที่มาถึงปากของมู่น่อนน่อนได้ถูกกลืนลงไป เธออึ้งอยู่ครู่นึงถึงพูดว่า:“ไม่มีแล้วค่ะ”
“ผมจะไปประชุมแล้ว”
มู่น่อนน่อนย่อมฟังออกอยู่แล้วว่าเฉินถิงเซียวกำลังเตือนเธอว่าควรจะวางสายได้แล้ว อย่าเสียเวลาของเขา
ในเมื่อเฉินถิงเซียวยอมให้เธอพาเฉินมู่ไปพักที่บ้านแล้ว เธอก็ไม่พูดมากอีก
“คุณยุ่งเถอะ บ๊ายบายค่ะ”
เธอพูดจบ ก็อยากรอให้เฉินถิงเซียววางสายก่อนด้วยความเคยชิน
เฉินถิงเซียวที่เมื่อก่อนจะรอเธอวางสายก่อนคนนั้น ไม่ได้โผล่มานานมากแล้ว ตอนนี้เธอก็ชินกับการที่เฉินถิงเซียววางสายเธอก่อนแล้ว
แต่เธอพบว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้วางสายทิ้งในทันที
ในสายมีเสียงของสือเย่ดังขึ้น:“คุณผู้ชายครับ ประชุมกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วครับ”
มู่น่อนน่อนฟังถึงตรงนี้ก็ได้รีบวางสายทิ้ง
เธอเพิ่งเก็บมือถือ ก็เห็นเฉินมู่กำลังกระพริบตาปริบๆ พร้อมมองเธอด้วยความคาดหวัง
มู่น่อนน่อนหยิกแก้มของเธอ:“หนูลองทายดูซิคะว่าคุณพ่ออนุญาติหรือเปล่า?”
เฉินมู่พยักหน้าอย่างมึนๆ:“อนุญาติค่ะ!”
“ถูกต้องค่ะ!”มู่น่อนน่อนวางเธอลง:“หนูมีของอะไรที่อยากจะเอาไปมั้ยคะ?”
เฉินมู่เอียงศีรษะคิดไปครู่นึงแล้วพูดด้วยเสียงใสแบ๊ว:“เจ้าเสือน้อยค่ะ”
มู่น่อนน่อนรู้ว่าของที่เธอพูดถึงคือตุ๊กตาที่เฉินถิงเซียวซื้อให้เธอ
เฉินมู่มีเสื้อผ้าและของใช้ในชีวิตประจำวันอยู่ที่บ้านของมู่น่อนน่อนอยู่ พวกเธอเลยไม่จำเป็นต้องเอาอะไรไปเพิ่ม
มู่น่อนน่อนช่วยเฉินมู่เอาเจ้าเสือน้อยเสร็จ ก็ได้พาเฉินมู่ไปเลย
ตอนที่สองแม่ลูกออกจากบ้าน คือบอดี้การ์ดคนที่ส่งเธอกลับมาจากสนามบินไปส่งทั้งสองคน
ในห้องไม่มีคนอยู่เป็นอาทิตย์ ป่านนี้เริ่มมีฝุ่นแล้ว
มู่น่อนน่อนทำความสะอาดห้อง เฉินมู่จะคอยก่อนกวนอยู่ข้างๆ มู่น่อนน่อนก็เลยหาถุงมือและผ้ากันเปื้อนให้เฉินมู่
ใส่ซะเลย
แต่เฉินมู่เด็กเกินไป ใส่ถุงมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วดูตลกมาก
กลัวว่าเฉินมู่จะล้ม มู่น่อนน่อนได้ม้วนผ้ากันเปื้อนขึ้นมา
มู่น่อนน่อนหาหนังสือพิมพ์มาแผ่นนึง และทำเป็นหมวกแหลมๆให้เธอใส่
เฉินมู่ใส่วิ่งรอบห้องเลย เพราะมีเฉินมู่อยู่ ประสิทธิภาพในการทำงานของมู่น่อนน่อนได้ลดลงไปเยอะเลย
ดีที่ฝุ่นไม่เยอะ แค่ทำความสะอาดอย่างเรียบง่ายก็พอแล้ว
หลังจากมู่น่อนน่อนทำความสะอาดเสร็จ ก็ได้ถอดถุงมือและผ้ากันเปื้อนของตัวเองออก จากนั้นได้ไปถอดให้เฉินมู่
ตอนที่เธอช่วยเฉินมู่ถอดถุงมือและผ้ากันเปื้อน เฉินมู่ยังเชื่อฟังอยู่ แต่ตอนที่เธอจะถอดหมวกแหลมออก เฉินมู่ก็ได้จับเอาไว้ไม่ยอมให้เธอจับต้องเลย
มู่น่อนน่อนอดขำไม่ได้ เธอได้ถามลูกว่า:“หนูชอบอันนี้เหรอคะ?”
เฉินมู่พยักหน้ารัวๆ:“อืม”
“โอเค งั้นหนูใส่ไว้ก็ได้ค่ะ”เด็กๆชอบเล่น รู้สึกอะไรก็แปลกใหม่ไปหมด มู่น่อนน่อนก็เลยตามใจเธอ
เธอพูดจบ ยังได้ช่วยเฉินมู่ปรับหมวกแหลมให้ตรง
ดิ๊งด่อง——
“เสียงกริ่งประตูดังหรือเปล่าคะ?”มู่น่อนน่อนเพิ่งกลับมา ใครกันจะมาหาเธอไวขนาดนี้?
“หนูไปเปิดประตูเอง!”
เฉินมู่อาสาสมัครจะรับภารกิจไปเปิดประตูเอง ตอนที่วิ่งไปถึงครึ่งทาง หมวกแหลมที่อยู่บนหัวได้ตกลงมา เธอเก็บขึ้นมาแล้ววิ่งต่อ
พอวิ่งมาถึงข้างประตู เธอได้เปิดประตูด้วยความพยายาม พร้อมทั้งหัวเราะ“คิๆ”แล้วกระโจนไปหาคนที่มา
มู่น่อนน่อนเดินมาดู พบว่าคนที่มาคือเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนฟังแล้ว ได้มองดูรอบห้องแว๊บนึง
หลังจากแน่ใจแล้วว่าในห้องมีเตียงอยู่แค่เตียงเดียว จึงได้ถามเฉินถิงเซียวว่า:“หมายความว่ายังไงคะ?”
ในห้องมีเตียงอยู่แค่เตียงเดียว เธอไม่นอนบนเตียง จะให้ไปนอนที่โซฟาหรือไง?
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูด แค่ให้พนักงานเอาผ้าห่มเข้ามาเพิ่มอีกผืนนึง จากนั้นเขาได้หอบผ้าห่มไปวางที่โซฟา
ก็ไม่สนว่ามู่น่อนน่อนจะมีสีหน้ายังไง หลังจากที่เขาเอาผ้าห่มไปวางที่โซฟา ก็ได้หันหลังเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำเลย
มู่น่อนน่อนมองดูเฉินถิงเซียวเข้าไปห้องน้ำ ยืนอยู่กับที่ไปสักพักถึงดึงสติกลับมา เฉินถิงเซียวนี่คือจะนอนบนโซฟาเหรอ
ตอนที่อยู่ในเขา ทั้งคู่นอนด้วยกันตลอด ตอนนี้กลับจะนอนแยกห้องกับเธอ?
มู่น่อนน่อนค่อนข้างที่จะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ผ่านไปไม่นาน เฉินถิงเซียวก็ได้อาบน้ำเสร็จแล้ว เขาคลุมผ้าขนหนูไว้ที่ช่วงเอวผืนนึงก็ได้ออกมาเลย
มู่น่อนน่อนไม่ได้คุยกับเขา แต่ได้ลุกไปเข้าห้องน้ำโดยตรง
ตอนที่อาบน้ำไปถึงครึ่งทาง มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เธอยื่นหูไปฟัง ก็ได้ยินเสียงที่เฉินถิงเซียวเดินไปเปิดประตู
เธออาบน้ำเสร็จออกมา เฉินถิงเซียวได้เปลี่ยนมาใส่ชุดนอนเรียบร้อยแล้ว และกำลังนั่งเล่นโน๊ตบุ๊คอยู่ที่บนโต๊ะ
ห้องนอนไม่ใหญ่ เธอแค่หันไปมอง ก็สามารถเห็นบนเตียงมีชุดนอนผู้หญิงวางอย่างเรียบร้อยอยู่ชุดนึง
ดูสีแล้ว เหมือนจะเป็นชุดนอนคู่รักกับที่เฉินถิงเซียวใส่อยู่
เสียงของเฉินถิงเซียวได้ดังขึ้นในเวลานี้:“สือเย่เป็นคนซื้อมา”
มู่น่อนน่อนหันหน้ามา พบว่าเฉินถิงเซียวยังรักษาท่าทางของก่อนหน้านี้อยู่ สายตาได้จดจ่ออยู่ที่หน้าจอโน๊ตบุ๊ค มือสองข้างกำลังเคาะอยู่บนแป้นพิมพ์อย่างมีวินัย
ถ้าไม่ใช่ว่าที่นี่มีแค่เธอกับเฉินถิงเซียวอยู่สองคน เธอยังนึกว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้พูดคุยกับเธอเสียอีก
“ขอบคุณค่ะ”
มู่น่อนน่อนหยิบชุดนอนเข้าไปที่ห้องน้ำอีกครั้ง
พอออกมาจากห้องน้ำ เธอก็ได้โทรหาเสิ่นเหลียง
ก่อนหน้านี้ตอนที่มาถึงอำเภอ เธอโทรหาเสิ่นเหลียง ได้มีเสียงแจ้งเตือนว่าไม่อยู่ในพื้นที่ให้บริการ ไม่รู้ว่าตอนนี้สามารถโทรติดหรือยัง
หลังจากโทรออกไป เงียบไปสองวินาที ก็มีเสียง“ตู๊ด”เสียงนึง
ไม่นึกเลยว่าจะโทรติด!
เสียงรอสายดังไปหลายที เสิ่นเหลียงถึงรับสาย
น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงฟังแล้วค่อนข้างตื่นเต้น:“น่อนน่อน?เธอไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
“ฉันไม่เป็นไร แล้วเธอล่ะ?”มู่น่อนน่อนพูดไปด้วย และหันหลังเดินไปที่เตียงด้วย
เธอพิงอยู่ที่หัวเตียง ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันนี้ให้เสิ่นเหลียงฟังคร่าวๆ
เสิ่นเหลียงอยู่ในหมู่บ้าน สภาพพื้นที่ของที่นั่นไม่สะดวกที่จะให้เฮลิคอปเตอร์เข้าไป ตอนนี้ยังหาที่จอดเฮลิคอปเตอร์ไม่ได้ เลยยังเข้ามาไม่ได้
อีกอย่างถนนเส้นที่เข้าหมู่บ้านช่วงนั้นเสียหายหนักมาก ยังไม่สามารถซ่อมเสร็จภายในระยะเวลาอันสั้น
ขอแค่คนปลอดภัยดีก็โอเคแล้ว
มู่น่อนน่อนถือว่าวางใจได้สักที
ในช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้ เสิ่นเหลียงอาจจะยังออกมาไม่ได้ ฝั่งเธอยังมีกู้จือหยั่นคอยดูแลอยู่ มู่น่อนน่อนก็เลยไม่ได้พูดอะไรมาก ก็ไม่คิดที่จะรอเสิ่นเหลียงอยู่ที่ในอำเภอต่อ
“เจอกันที่เมืองหู้หยางนะ”
“อืม เดี๋ยวกลับไปเจอกัน”
มู่น่อนน่อนวางสายทิ้ง จากนั้นได้เงยหน้ามองไปยังทิศทางของเฉินถิงเซียว พบว่าเขายังนั่งอยู่ที่หน้าจอคอมอีก
สีหน้าที่เคร่งขรึมน่าจะสะสางเรื่องงานอยู่ ถึงจะใส่ชุดนอน แต่ความทรงพลังในตัวเขาก็ไม่ลดลงเลยสักนิด
เธอพูดเสียงสูง:“เฉินถิงเซียว ฉันจะนอนแล้วนะ”
เฉินถิงเซียวหันมามองเธอแว๊บนึง สีหน้าและน้ำเสียงของเขาเย็นชาพอๆกัน:“สวิตซ์ไฟอยู่บนหัวเตียง คุณจะให้ผมช่วยคุณปิดไฟด้วยหรือไง?”
มู่น่อนน่อนหายใจลึกๆทีนึง น้ำเสียงรวดเร็ว:“เปล่าค่ะ ฉันปิดเอง”
เธอพูดจบก็ได้ยื่นมือปิดไฟ แล้วนอนลงบนเตียง
พริบตาเดียวในห้องก็ได้เข้าสู่ความมืดมิด มีแค่โน๊ตบุ๊คที่อยู่ตรงหน้าเฉินถิงเซียวมีแสงสีฟ้าอ่อนๆฟุ้งกระจายอยู่
มู่น่อนน่อนหรี่ตาทำความคุ้นชินกับความมืดมิดในห้อง และมองไปยังทิศทางที่เฉินถิงเซียวอยู่
ที่จริงเมื่อกี๊เธออยากเกลี้ยกล่อมให้เขาพักผ่อน งานมันทำไม่หมดหรอก กลับไปค่อยจัดการก็มีค่าเท่ากัน
เพียงแต่ คำพูดของเฉินถิงเซียวได้ทำเอาเธอกลืนคำพูดของในใจกลับเข้าไปหมด
มู่น่อนน่อนพลิกไปพลิกมา และหลับไปอย่างสะลึมสะลือ
ตอนที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว
เธอลืมตาขึ้นมาปุ๊บ ก็เห็นเฉินถิงเซียวที่นอนอยู่บนโซฟาเลย
โซฟาของโรงแรมไม่ค่อยใหญ่ สู้ห้องเพรสซิเดนท์สูทที่ปกติเฉินถิงเซียวพักไม่ได้ เขานอนหันข้างอยู่บนโซฟา มือข้างนึงทับอยู่ใต้ศีรษะ มืออีกข้างวางอยู่ตรงทรวงอก ดูแล้วนอนไม่ค่อยสบายเลย
ผ้าห่มได้ตกลงไปที่พื้นกว่าครึ่งผืนแล้ว
มู่น่อนน่อนลุกจากเตียง แล้วเดินไปดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เฉินถิงเซียว
เธอเพิ่งห่มไปที่บนตัวของเฉินถิงเซียว เขาก็ได้ลืมตาขึ้นมาทันที พร้อมจับมือเธอไว้อย่างระแวดงระวังสุดๆ
ทั้งสองสบตากัน เฉินถิงเซียวจ้องมองเธอไปสองวิ หลังจากเห็นว่าเธอคือมู่น่อนน่อนถึงได้ปล่อยมือเธอ
มู่น่อนน่อนดึงมือกลับแล้วพูดว่า:“ผ้าห่มตกลงไปที่พื้นค่ะ”
เฉินถิงเซียวลุกขึ้นมานั่งบนโซฟา จากนั้นได้ดูผ้าห่มแว๊บนึงแล้วดึงไปข้างๆ พร้อมลงจากโซฟาแล้วเข้าไปในห้องน้ำโดยตรง
มู่น่อนน่อนหายใจลึกๆทีนึง แต่ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บ้านคุณลุง ก็ยังดีๆอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?
เธอรู้สึกได้ว่าช่วงที่อยู่บ้านคุณลุง ความสัมพันธ์ของเธอกับเฉินถิงเซียวใกล้ชิดสนิทสนมขึ้นไม่น้อยเลย
คิดไม่ถึงเลยว่าพอออกมาปุ๊บ ก็ได้เปลี่ยนเป็นอีกแบบเลย เปลี่ยนมาเย็นชาขนาดนี้
……
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ พวกเขาได้เดินทางไปนั่งเครื่องที่ตัวเมืองเพื่อกลับเมืองหู้หยาง
ในสนามบิน พวกเขาได้เจอกับลี่จิ่วเชียนและพักพวก
ลี่จิ่วเชียนคุยกับบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างหลังไปหลายคำ ก็ได้เดินมาหามู่น่อนน่อน:“น่อนน่อน บังเอิญจังเลย พวกคุณไฟลท์กี่โมงครับ?”
มู่น่อนน่อนพูดว่า:“ไฟลท์บ่ายโมงค่ะ”
ที่จริงไม่บังเอิญเลยสักนิด ที่นี่เป็นเมืองที่มีไฟลท์บินๆไปยังเมืองหู้หยางที่ใกล้กับอำเภอมากที่สุด
พวกเขาจะกลับเมืองหู้หยาง ต่างก็ต้องเลือกมาขึ้นเครื่องที่นี่
อีกอย่างสนามบินนี้เล็กมาก เจอคนรู้จักก็เป็นเรื่องปกติ
ลี่จิ่วเชียนยิ้ม:“พวกผมบินไฟลท์บ่ายสอง”
“คุณหญิงน้อยครับ”
ขณะนี้ สือเย่ได้เดินมา:“ตอนนี้เราเตรียมจะไปที่ห้องพักผ่อนแล้วครับ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าให้เขาเสร็จ ถึงหันมาพูดกับลี่จิ่วเชียนว่า:“ฉันกลับก่อนนะคะ เดี๋ยวกลับไปเจอกันค่ะ”
ลี่จิ่วเชียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม และใช้สายตาส่งมู่น่อนน่อนไปไกล
สือเย่เดินตามหลังมู่น่อนน่อน เขาลังเลไปครู่นึงถึงถามว่า:“คุณหญิงน้อยกับคุณลี่รู้จักกันได้ยังไงครับ?”
มู่น่อนน่อนฟังแล้วได้หยุดฝีเท้าลงมามองหน้าเขา
สือเย่พยักหน้าเล็กน้อย และพูดอย่างเคารพนอบน้อม:“คุณหญิงน้อยอย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น ตอนนั้นก่อนที่คุณหญิงน้อยจะไปเกาะกับคุณผู้ชาย คุณลี่ก็เคยมีข่าวกับคุณหญิงน้อย จู่ๆผมเพิ่งนึกขึ้นได้ ก็เลยอยากถามดูเฉยๆครับ”
มู่น่อนน่อนเองก็รู้ว่าสือเย่มีเจตนาที่ดี เธอครุ่นคิดไปครู่นึงก็ได้พูดว่า:“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเคยเจอเขาตอนไหน แต่สามปีก่อนตอนที่เขาปรากฎตัว ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้วสามารถฟังออกว่าเขารู้จักฉัน”
สือเย่พยักหน้าแล้วพูดว่า:“มีอยู่คำนึง ไม่รู้ว่าควรพูดหรือเปล่าครับ”
มู่น่อนน่อนยิ้ม:“อยากพูดก็พูดมาสิ”
“คุณลี่คนนี้เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ คุณหญิงน้อยระวังไว้หน่อยจะดีกว่าครับ”น้ำเสียงของสือเย่อ่อนโยนมาก
เขาไม่เหมือนเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวเกลียดลี่จิ่วเชียนจะแสดงออกมาอย่างตรงไปตรงมา ส่วนเขาได้คำนึงถึงลี่จิ่วเชียนเคยช่วยมู่น่อนน่อน ในใจของมู่น่อนน่อนย่อมรู้คุณข้าวแดงแกงร้อนของลี่จิ่วเชียนอยู่แล้ว
ก็เพราะมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนแบบนี้ ยิ่งเป็นการเตือนที่ปรารถนาดี ก็ยิ่งต้องอ่อนโยนและอ้อมค้อมหน่อย
มู่น่อนน่อนคิดๆแล้วรู้สึกว่าสือเย่พูดถูก
เดิมทีในใจเฉินถิงเซียวคิดอะไรอยู่ก็ยากที่จะคาดเดาอยู่แล้ว หลายวันนี้เฉินถิงเซียวสามารถพักอยู่ที่นี่อย่างเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม เธอเองก็ค่อนข้างประหลาดใจอยู่เหมือนกัน
บนตัวเขา มักจะมีจุดที่เธอไม่เข้าใจ
เฉินถิงเซียวได้พูดกับคุณลุงไปอีกหลายคำ จากนั้นคุณลุงได้ตบแขนเฉินถิงเซียวเบาๆ ขยับริมฝีปากไปหลายที ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่มู่น่อนน่อนดูไม่ออกว่าเขาพูดอะไรบ้าง
เวลานี้ จู่ๆเฉินถิงเซียวได้กวักมือมาที่เธอ
มู่น่อนน่อนได้รีบเดินไป
เธอเดินเข้าไปใกล้ คุณลุงก็ได้มองหน้าเธอพร้อมยิ้มแฉ่ง:“เธอชอบกิมจิที่ลุงทำไม่ใช่เหรอ?ลุงใส่กล่องให้เธอเอากลับไปกินหน่อย อากาศแบบนี้เอากลับไปน่าจะยังกินได้อยู่”
อากาศของปลายฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูกาลที่ต้องใส่เสื้อสเวตเตอร์แล้ว อาหารก็ไม่บูดเสียง่ายขนาดนั้น
มู่น่อนน่อนค่อนข้างซึ้ง:“คุณลุงนั่งแป๊บนึงนะคะ หนูไปทำเองค่ะ”
นอกจากวันแรกที่เธอมาที่นี่เป็นไข้แล้ว นับแต่นั้นมาเธอก็เป็นคนทำกับข้าวตลอด และรู้อยู่ว่ากิมจิของคุณลุงอยู่ไหน
“ได้ งั้นเธอไปเอากิมจิเองนะ ลุงไปขุดมันเทศที่นาให้พวกเธอ มันเทศอันนั้นไม่มียาฆ่าแมลง ไม่เหมือนที่ขายอยู่ในเมือง……”
ระหว่างที่คุณลุงพูด ก็เตรียมไปเอาจอบแล้ว
มู่น่อนน่อนรีบห้ามเขาไว้:“ไม่ต้องแล้วค่ะ……”
ท้องฟ้าที่เพิ่งจะสดใสขึ้นมา พื้นยังค่อนข้างแฉะและลื่นอยู่ โดยเฉพาะในพื้นดินโคลน
“แค่ไปขุดไม่กี่หัวให้เธอเอาไปเฉยๆ ที่ลุงก็ไม่มีของอย่างอื่นแล้ว……”คุณลุงย่อมไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อมของมู่น่อนน่อนอยู่แล้ว เขาได้แบกจอบไปในนาโดยตรง
มู่น่อนน่อนมองดูคุณลุงไปนาแล้ว ก็ได้กลับไปเอากิมจิในบ้าน
กิมจิใส่ไว้ในโอ่งใบใหญ่มาก ด้านในมีกิมจิโอ่งใหญ่ที่หอมมาก
เอากิมจิใส่กล่องเสร็จ ตอนที่ออกมา คุณลุงก็ได้กลับมาแล้ว
ทำไร่ทำนาอยู่ที่ชนบทมาทั้งชีวิต ถึงแม้อายุมากแล้ว แต่ร่างกายก็ไม่ได้มีโรคภัยไข้เจ็บอะไร การเคลื่อนไหวก็คล่องแคล่วกระฉับกระเฉงมาก
คุณลุงล้างมันเทศสดๆเสร็จแล้วเอาใส่ถุง จากนั้นได้เข้าไปทำอะไรที่ในห้องอีกพักนึง ตอนที่ออกมาได้ของเพิ่มมาอีกสองถุงใหญ่ๆ
มู่น่อนน่อนนึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนเคยเห็นประเด็นในเน็ต ที่เกี่ยวกับหลังจากฉลองวันตรุษจีนเสร็จ ลูกๆจากบ้านไป พ่อแม่จะยัดของกินต่างๆเข้าไปในกระเป๋าเดินทางให้ลูกๆ
พ่อแม่ของครอบครัวทั่วไปมักจะเป็นห่วงลูกอยู่ตลอดเวลา ฉลองตรุษจีนเสร็จต้องลาจากบ้าน ก็คิดที่จะเอาของทุกอย่างให้ลูกเอากลับไปกินที่ในเมืองอย่างละนิดอย่างละหน่อย
มู่น่อนน่อนไม่เคยได้รับความอบอุ่นแบบนี้จากเซียวชู่เหอ แต่กลับได้รับความอบอุ่นแบบนี้จากคนแก่ที่อยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่วันคนนี้
คุณลุงเอาของพวกนั้นใส่เข้าไปในถุงไนลอนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย พร้อมมัดถุงให้แน่นไปด้วยและพูดเองเออเองไปด้วย:“กลัวก็แต่พวกเธอจะเอากลับไปลำบาก ไม่งั้น ลุงยังมีของอีกเยอะแยะที่อยากให้พวกเธอเอากลับไป ของพวกนี้ลุงเป็นคนปลูกเองทั้งหมด ทั้งปลอดภัยและปลอดสารพิษ……”
มู่น่อนน่อนเดินไปช่วยเขาดึงปากถุงไว้อย่างเงียบๆ ไม่พูดจา และก็พูดไม่ออกด้วย
เพราะจัดของต่างๆเลยเสียเวลาไปสักพักใหญ่ๆ
ตอนที่จะจากไป ก็ใกล้จะถึงเวลาทานข้าวเที่ยงแล้ว
คุณลุงขมวดคิ้วยืนอยู่หน้าห้องรับแขกแล้วพูด:“หรือรอทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้วค่อยไปมั้ย นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว”
ถึงแม้เขาไม่ได้แสดงออกและไม่ได้พูดออกมา แต่มู่น่อนน่อนก็รู้สึกได้ถึงความอาลัยอาวรณ์ของเขาแล้ว
ชีวิตคนเรามักจะจากกันมากกว่าอยู่ด้วยกัน
เธอกับเฉินถิงเซียวไม่มีทางพักอยู่ที่นี่ตลอดไป ยังไงก็ต้องกลับไปชีวิตของตัวเอง
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นแล้วยื่นมือดึงแขนเสื้อของเฉินถิงเซียว น้ำเสียงปนด้วยการอ้อนวอน:“เฉินถิงเซียว”
เพราะไหนๆก็เที่ยงแล้ว เธออยากทานข้าวเที่ยงเป็นกับคุณลุงเสร็จแล้วค่อยไป แต่เฉินถิงเซียวอาจจะไม่เห็นด้วยเสมอไป
และเฉินถิงเซียวก็ไม่เห็นด้วยจริงๆด้วย
“พวกผมยังมีเรื่องมากมายที่ต้องสะสาง ก็ไม่อยู่ทานข้าวต่อแล้วครับ”เฉินถิงเซียวมองคุณลุงด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อย ลังเลไปหลายวิก็ได้พูดอย่างเคร่งขรึมว่า:“รักษาตัวด้วยครับ”
คุณลุงถอนหายใจทีนึง:“ได้ งั้นพวกเธอไปเถอะ ขาของลุงไม่ดี ไม่ส่งแล้วนะ”
เขาพูดจบ ก็ได้อุ้มแมวที่หมอบอยู่ใต้เท้าเขาขึ้นมา แล้วเข้าไปในห้องรับแขกพร้อมปิดประตู
มู่น่อนน่อนคัดจมูกอยากร้องไห้ เธอสูดหายใจลึกๆทีนึงและแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย ควบคุมน้ำตาไว้
เฉินถิงเซียวก้มมองเธอ พร้อมพูดด้วยเสียงเย็นชา:“ไปกันเถอะ”
มู่น่อนน่อนเดินออกไปไกลมาก ยังอดไม่ได้ที่จะหันกลับมามอง
จนกระทั่งเดินมาถึงที่ๆจอดเฮลิคอปเตอร์ ไม่เห็นบ้านสองชั้นที่เป็นอิฐเปื้อนคราบหลังนั้นอีก เธอถึงไม่หันกลับไปมองอีก
เขากับมู่น่อนน่อนนั่งอยู่แถวเดียวกัน ทั้งสองไม่มีใครพูดจาเลย
ตลอดทางได้มาถึงที่เมืองอย่างเงียบๆ
พอมีสัญญาณแล้ว เฉินถิงเซียวก็ได้โทรหาที่บ้านทันที
คนรับใช้รับสายวิดีโอคอลปุ๊บ มู่น่อนน่อนก็ได้เห็นหน้าเฉินมู่
ความดีอกดีใจที่ได้เห็นเฉินมู่ ทำให้ความห่อเหี่ยวของมู่น่อนน่อนได้จางหายไปบ้าง
มู่น่อนน่อนหยิบมือถือมาถามเธอว่า:“มู่มู่ คิดถึงแม่มั้ยคะ?”
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่ด้านหลังของมู่น่อนน่อน เฉินมู่เห็นเฉินถิงเซียวจากในวิดีโอแล้วได้ขมวดคิ้ว:“พ่อกับแม่ออกไปเที่ยว ก็ไม่พาหนูไปด้วยเลย……”
มู่น่อนน่อนอึ้งไปครู่นึง จากนั้นได้ยิ้มพร้อมพูดว่า:“พ่อกับแม่กำลังจะกลับแล้วค่ะ”
“ก็ได้ค่ะ”เฉินมู่เอาหน้าแนบไว้ที่หน้ากล้อง ใบหน้าของเธอเต็มจอเลย
มู่น่อนน่อนคุยกับเฉินมู่ไปครู่นึง ก็ได้หันมาถามเฉินถิงเซียวว่า:“คุณจะคุยกับมู่มู่มั้ยคะ?”
เฉินถิงเซียวพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย:“ไม่คุย”
ถึงแม้เขาได้ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด แต่เห็นได้ชัดว่านาทีนี้สีหน้าของเขาไม่ได้เหมือนอย่างที่เขาพูดเลย
ถ้าไม่อยากคุยกับเฉินมู่ เขาจะนั่งอยู่ด้านหลังเธอทำไม?
มู่น่อนน่อนคิดๆแล้วได้ยื่นมือถือมาที่ตรงหน้าเฉินถิงเซียว:“นี่ค่ะ”
เฉินถิงเซียวได้ดูหน้าจอมือถือแว๊บนึง ทั้งจอถูกใบหน้าของเฉินมู่เติมเต็มหมด เขายักคิ้วพร้อมพูดว่า:“เฉินมู่ แบบนี้ขี้เหร่จังเลย”
เฉินมู่ย่อมรู้อยู่แล้วว่า“ขี้เหร่”หมายความว่ายังไง เธอทำหน้ามุ่ยแล้วพูดเลียนแบบน้ำเสียงของเฉินถิงเซียว:“เฉินซิงเซียว แบบนี้ขี้เหร่จังเลย”
จู่ๆเฉินถิงเซียวได้ยกมุมปากขึ้น แววตาลึกๆมีรอยยิ้มแว๊บผ่านเสี้ยวนึง จากนั้นได้รับมือถือไปจากมือของมู่น่อนน่อน
เขาจ้องหน้าจออยู่หลายวิ จากนั้นได้ถามว่า:“หนูอ้วนขึ้นอีกแล้ว?”
มู่น่อน่อนจ้องเขาทีนึง:“อยู่ในสายวิดีโอคอล จะอ้วนกว่าตัวจริงอยู่แล้ว”
เฉินมู่กระพริบตาปริบๆ แล้วจับพุงตัวเอง:“เนื้อเยอะจังเลย”
“รู้ว่าหนูอ้วน ไม่ต้องตบพุงแล้ว”เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็ได้ยื่นมือถือให้มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนรับมือถือมาคุยกับเฉินมู่อีกหลายคำ ก็ได้วางสายวิดีโอคอลทิ้ง
หลายวันนี้อยู่ในเขา คนที่เป็นห่วงที่สุดก็คือเฉินมู่
หลังจากแน่ใจแล้วว่าเฉินมู่สบายดี เธอเองก็วางใจแล้ว
พวกเขาพักอยู่ที่โรงแรมสามดาวแห่งนึงในอำเภอ
พวกเขามากันเยอะเกิน ในกลุ่มพวกเขามีแค่มู่น่อนน่อนคนเดียวที่เป็นผู้หญิง
สุดท้ายแบ่งห้องเสร็จ แม้แต่สือเย่เองก็ได้ไปนอนเบียดอยู่ห้องเดียวกันกับลูกน้องที่เหลือ สุดท้ายเหลืออยู่แค่ห้องนอนห้องเดียว
มู่น่อนน่อนไม่มีความคิดเห็นอะไร เพราะช่วงที่อยู่ในเขาล้วนนอนกับเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเนี่ยสิที่สีหน้าไม่สมัครใจเลย
พอเข้ามาที่ห้อง เฉินถิงเซียวได้ถามเธอว่า:“คุณนอนที่ไหน?
อย่าว่าแต่ลี่จิ่วเชียนเลย แม้แต่ลูกน้องที่มาช่วยคนด้วยกันกับเขาพวกนั้น ในสายตาก็ยังเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เฉินถิงเซียวฐานะอะไร?
นั่นคือผู้ที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด คุณชายที่เติบโตขึ้นมาในตระกูลมหาเศรษฐีร่ำรวย
ก็ยังสามารถปรับตัว นั่งกินข้าวในสถานที่แบบนี้ได้
สองสามวันนี้มู่น่อนน่อนเห็นบ่อยแล้ว เลยเห็นเรื่องเหนือความคาดหมายเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว
เฉินถิงเซียวคีบผักดองขึ้นมา บังเอิญคีบติดหอมแดงมาด้วยชิ้นหนึ่ง เขาขมวดคิ้วจะคีบหอมแดงออก มู่น่อนน่อนเห็นเข้าก็รีบผลักชามเข้าไป: “อย่าทิ้ง เอามาให้ฉัน”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วและวางหอมแดงลงในชามของเธอ
ก็ไม่รู้ว่ามีข้อเสียแบบนี้ได้ยังไง หัวหอม ต้นหอม ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับหอม เขาจะไม่กิน
ฉากนี้ตกลงไปในสายตาของลี่จิ่วเชียน แววตาของเขาก็อดไม่ได้ที่จะลึกลงไปเล็กน้อย
เขารู้สึกว่าตัวเองนั่งอยู่ที่นี่เป็นส่วนเกินมาก
เฉินถิงเซียวจะต้องคิดว่าเขาโง่มากแน่ๆ
ลี่จิ่วเชียนหัวเราะเยาะตัวเองทีหนึ่ง ลุกขึ้นยืน และพาคนออกไป
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงฝีเท้า เงยหน้าขึ้นมอง มองลี่จิ่วเชียนและพวกเขาด้วยใบหน้าสงสัย พึมพำว่า: “ทำไมออกไปแล้วล่ะ?”
เฉินถิงเซียววางหัวหอมชิ้นหนึ่งในชามของเธอ: “กินข้าวของคุณเถอะ”
มู่น่อนน่อนขยับปาก สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
เธอกินน้อยกว่าพวกเฉินถิงเซียว ไม่นานก็กินอิ่มแล้ว
เธอถือชามเข้าไปในครัว แล้วก็ออกไปหาลี่จิ่วเชียน
เฉินถิงเซียวและคุณลุงยังคงนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะอาหาร มองออกไปจากในห้องโถง สามารถมองเห็นมู่น่อนน่อนและลี่จิ่วเชียนยืนคุยกันอยู่ได้พอดี
ทั้งสองคนยืนใกล้กันขนาดนี้ อยากได้รับอบอุ่น?
คุยกับลี่จิ่วเชียนสนุกขนาดนั้นเลย?
ทุกครั้งที่เฉินถิงเซียวมองดู สีหน้าก็ยิ่งขรึมมากขึ้นเล็กน้อย
คุณลุงมองเขาครู่หนึ่ง แล้วก็มองออกไปนอกประตู น้ำเสียงค่อนข้างสงสัย: “ชายหนุ่มคนนั้น มาแย่งภรรยากับนายเหรอ?”
เฉินถิงเซียวพูดอย่างไร้สีหน้า: “เขาไม่คู่ควรมาแย่งกับผมหรอก”
“ในเมื่อรู้ว่าเขาไม่คู่ควร แล้วทำไมนายยังทำหน้าอยากจะทะเลาะกับเขาแบบนี้อีกล่ะ?” คุณลุงส่ายหัว: “อย่าใจร้อนนักเลย น่อนน่อนแม่หนูคนนั้นดีมากเลยนะ จิตใจมั่นคงต่อนาย นายก็อย่าระแวงมากจนเกินไป… ”
เฉินถิงเซียวเงียบไปครู่หนึ่ง พูดเสียงเย็นชาว่า: “เธอเป็นผู้หญิงสองจิตสองใจ”
อยากจะแต่งงานกับเขาซ้ำอีกรอบ แล้วยังมีข่าวบันเทิงกับผู้ชายคนอื่น ข้างกายก็ยังมีลี่จิ่วเชียนที่ใส่ใจเธอมากขนาดนี้
เหอะ!
เขาไม่เห็นว่าผู้หญิงคนนี้จะจิตใจมั่นคงตรงไหน
คุณลุง: “……”
ด้านนอก
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ข้างๆลี่จิ่วเชียน คิดอยู่สักพัก ถึงจะพูดออกมาว่า: “ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงจงใจยั่วยุเฉินถิงเซียว แต่ฉันต้องขอบคุณคุณอย่างมากที่มาตามหาฉัน”
“มิตรภาพที่ผ่านความเป็นความตายด้วยกันมา แค่นี้ไม่นับอะไร” ลี่จิ่วเชียนหัวเราะออกมาทีหนึ่ง ก้มหน้ามองที่พื้น ค่อยๆพูดออกมา
มู่น่อนน่อนเม้มปาก ไม่พูดอะไรอีก
ประเด็นสำคัญก็เพราะว่า สิ่งที่เธออยากจะพูด ไม่เหมาะที่จะพูดที่นี่
ผ่านไปสักครู่ เธอก็พูดออกมาว่า: “กลับเมืองหู้หยาง ฉันเลี้ยงข้าวคุณนะ”
ลี่จิ่วเชียนตอบตกลงอย่างง่ายดาย: “ได้สิ”
มู่น่อนน่อนก็ยิ้มตามเช่นกัน: “ตกลงตามนี้ค่ะ”
“ฟ้าในที่สุดก็ปลอดโปร่งแล้ว” เสียงของคุณลุงดังเข้ามา
มู่น่อนน่อนเงยหน้า ก็เห็นบนท้องฟ้ามีพระอาทิตย์ปรากฏออกมาแล้วจริงๆ
ฝนตกเป็นเวลานานติดต่อกันหลายวัน นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นพระอาทิตย์
เวลานี้ ด้านหลังบ้านมีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา
มู่น่อนน่อนหันหน้าไป ก็เห็นสือเย่พาคนรีบเดินเข้ามาจากทางหลังบ้าน
สือเย่เห็นด้านหน้ามีคนอยู่หลายคน นัยน์ตาก็เป็นประกายตกใจ หลังจากกวาดสายตามองดูรอบหนึ่ง สายตาก็หยุดอยู่ที่มู่น่อนน่อน
เขารีบเดินไปตรงหน้ามู่น่อนน่อน เรียกด้วยความเคารพ: “คุณหญิงน้อย”
“ผู้ช่วยพิเศษสือ”
มู่น่อนน่อนยิ้มบางๆ ลางสังหรณ์ของเธอถูกต้องจริงๆด้วย
สือเย่มองดูมู่น่อนน่อน เห็นเธอไม่เป็นอะไร ถอนหายใจอย่างโล่งอกและถามว่า: “คุณผู้ชายล่ะครับ?”
มู่น่อนน่อนเอียงหัวมองเข้าไปในห้องโถงแวบหนึ่ง สรุปได้ว่า: “น่าจะล้างจานอยู่ด้านในน่ะ”
สือเย่มองตามสายตาของเธอเข้าไป สายตาก็ตกไปอยู่ที่บ้านหลังคาสีน้ำเงินสองชั้นที่สร้างหยาบๆ: “……”
“ฉันพาคุณเข้าไป” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็เดินตรงไปที่ห้องครัว
สือเย่ได้แต่เดินตามข้างหลังเธอ
เฉินถิงเซียวล้างจานอยู่ในครัวจริงๆ
เขายืนอยู่หน้าเตาฟืน พับแขนเสื้อขึ้นล้างจานอย่างช้าๆ จริงจังเหมือนตอนจัดการเอกสารตามปกติ
บนตัวเขาสวมเสื้อเชิ้ตที่ยับยู่ยี่ ผมก็ยุ่งเล็กน้อย ซึ่งห่างไกลจากเฉินถิงเซียวตามปกติที่พิถีพิถันเรื่องอาหารและเสื้อผ้ามาก
สือเย่ไม่กล้ายอมรับว่าเป็นเขานิดหน่อย เรียกออกมาอย่างลังเลทีหนึ่ง: “คุณผู้ชาย!”
“รอสักพัก ฉันล้างจานอีกรอบก่อน” เฉินถิงเซียวไม่ตกใจกับการมาของเขาเลยแม้แต่น้อย เขาไม่มองมาที่สือเย่สักนิด เทน้ำสกปรกในหม้อออก เติมน้ำใหม่อีกครั้ง แล้วล้างชามอีกรอบหนึ่ง
จากนั้น ถึงจะหันหน้ามามองสือเย่
เมื่อเห็นหน้าเต็มๆ สือเย่มั่นใจว่านี่คือคุณผู้ชายของเขา
เขาก้มหัวเล็กน้อย: “คุณผู้ชาย เฮลิคอปเตอร์จอดอยู่ที่สนามหญ้าด้านหลัง พร้อมออกไปได้ทุกเมื่อ”
เฉินถิงเซียวหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดมือแล้วถามเขาว่า: “บริษัทเฉินซื่อทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?”
สือเย่รายงานสถานการณ์กับเขาอย่างจริงจัง: “ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ พวกเขาคิดว่าคุณก็แค่เดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศ ไม่มีปัญหาอื่นอีก ก็แค่เอกสารที่กองสะสมบางส่วน”
“อืม” เฉินถิงเซียวตอบกลับนิ่งๆ วางผ้าขนหนูกลับไปบนเตาฟืน เหลือบตาขึ้นมองออกไปนอกประตู
ทางด้านนอก คุณลุงกำลังถือท่อสูบบุหรี่นั่งยองๆอยู่บนหินก้อนหนึ่ง ลี่จิ่วเชียนถือไฟแช็คช่วยเขาจุด คุณลุงแค่เหลือบมองเขาครู่หนึ่ง แล้วหยิบกล่องไม้ขีดไฟของตัวเองออกมา จุดบุหรี่
ก็ไม่รู้ว่าลี่จิ่วเชียนพูดอะไรกับเขา เขาเลิกคิ้วขยับปาก ไม่รู้ว่าพูดอะไร
เฉินถิงเซียวดึงสายตากลับมา ถามสือเย่ว่า: “เอาเงินมาแล้วใช่มั้ย?”
“เอามาครับ” สือเย่เข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของเฉินถิงเซียว หยิบถุงกระดาษคราฟท์ออกมาถุงหนึ่ง
มาสถานที่แบบนี้ แน่นอนว่าไม่ได้นำเงินสดสำรองมา นอกจากเงินสดในถุงกระดาษ เขายังเอามามากด้วย
เฉินถิงเซียวถือถุงกระดาษคราฟท์ และเดินไปทางคุณลุง
“เฉินถิงเซียว!” มู่น่อนน่อนรู้ว่าเขาจะไปทำอะไร รีบดึงเขาไว้: “คุณลุงจะโกรธเอานะ”
คุณลุงเป็นคนหัวดื้อ ถึงแม้จะใช้ชีวิตค่อนข้างลำบากยากจน แต่มู่น่อนน่อนรู้ว่าที่เขาขาดไม่ใช่เงิน แต่คือเพื่อนข้างกาย
เธอสัมผัสได้ว่า เธอและเฉินถิงเซียวพักอยู่ที่นี่สองสามวันนี้ คุณลุงมีความสุขมาก
“เขาไม่โกรธหรอก”
เฉินถิงเซียวมองมู่น่อนน่อนแวบหนึ่ง แล้วก็เดินออกไป
คุณลุงเห็นเฉินถิงเซียวเดินเข้ามา คิ้วที่เลิกสูงก็คลายลงมา
เฉินถิงเซียววางกระเป๋าเงินไว้ในมือของคุณลุง ไม่รู้ว่าพูดอะไร คุณลุงเงียบไปครู่หนึ่ง พยักหน้าแล้วก็รับเอาไว้
มู่น่อนน่อนหน้าตาประหลาดใจ ถามสือเย่ที่ยืนอยู่ข้างๆและมีสีหน้าประหลาดใจเช่นเดียวกัน: “สือเย่ จากที่คุณเข้าใจเฉินถิงเซียวดี คุณคิดว่าเขาพูดกับคุณลุงว่าอะไร?”
“ถ้าหากเป็นที่เมืองหู้หยาง อยู่ในวิลล่าของคุณผู้ชาย ผมสามารถเดาได้ว่าคุณผู้ชายพูดว่าอะไร…”
สือเย่นิ่งไปสักพัก เงยหน้าขึ้นก็เห็นใยแมงมุมเต็มหลังคา พูดเบาๆว่า: “คุณผู้ชายที่พักอยู่ในสถานที่แบบนี้สองสามวันอย่างปรับตัวได้ ผมเดาไม่ออกว่าเขาจะพูดว่าอะไร”
ระยะห่างที่มู่น่อนน่อนออกเดินทางจากเมืองหู้หยางมาหาเสิ่นเหลียง จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาประมาณไม่ถึงห้าวัน
จากเมืองหู้หยางมาที่นี่ เดินทางใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งหรือสองวัน อีกทั้งตอนนี้สภาพถนนย่ำแย่ เดินทางลำบากแน่นอน ก็ต้องใช้เวลาเดินทางเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย
ถ้าหากเดินทางใช้เวลาสองวัน ถ้าอย่างนั้นเวลาออกเดินทางของลี่จิ่วเชียน ก็ต้องเลื่อนขึ้นมาก่อนอีกอย่างน้อยสองวัน
เฉินถิงเซียวออกเดินทางวันที่สองหลังจากที่มู่น่อนน่อนออกเดินทาง วันที่สามมาถึง
จากการคาดเดา ลี่จิ่วเชียนก็คือในวันนั้นที่เฉินถิงเซียวมาถึง เริ่มออกเดินทางมาที่นี่
ในเวลาสั้นขนาดนี้ สามารถมั่นใจว่าเธออยู่ที่นี่ และมาตามหา ก็แสดงว่า——ลี่จิ่วเชียนเป็นไปได้มากที่จะแอบติดตามทุกความเคลื่อนไหวของเธอ
เธอใช้ชีวิตอยู่กับลี่จิ่วเชียนมาระยะหนึ่ง ต่อมาทั้งสองคนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ร่วมกัน แม้จะบอกว่าเป็นมิตรภาพที่ผ่านความเป็นความตายกันมา แต่มู่น่อนน่อนก็รู้สึกได้ว่า ลี่จิ่วเชียนไม่ได้คิดกับเธอแบบความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง
ผู้ชายคนหนึ่ง ติดตามทุกการเคลื่อนไหวของผู้หญิงคนหนึ่งตลอดเวลา ถ้าหากไม่ได้คิดกับผู้หญิงคนนี้แบบความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ก็จะต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่
สำหรับจุดประสงค์ของลี่จิ่วเชียน มู่น่อนน่อนยังคงเต็มใจที่จะคิดไปในทางที่ดี
ถึงยังไง ลี่จิ่วเชียนก็คอยช่วยเธอมาโดยตลอด
แม้ว่าเมื่อสามปีก่อนเขาจะปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน แต่กลับช่วยชีวิตเธอไว้
ถ้าไม่มีเขา เธอคงตายไปนานแล้ว
มู่น่อนน่อนถามเขาว่า: “ถนนด้านนอกเสียหายหนักมาก คุณเข้ามาได้ยังไง?”
“เฮลิคอปเตอร์” ลี่จิ่วเชียนพูดจบ ก็มองตรวจสอบเธอรอบหนึ่ง: “คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
มู่น่อนน่อนกำลังจะพูด ถึงจะสัมผัสได้ว่าบรรยากาศมีบางอย่างผิดปกติ
เธอหันหน้าไป ก็เห็นเฉินถิงเซียวจ้องเธออย่างเย็นชาอยู่ตรงหน้า
มู่น่อนน่อนหนาวสั่น เธอไปยั่วโมโหเขาตรงไหนอีกล่ะ?
เธอเม้มปาก นั่งลงข้างๆเฉินถิงเซียว ตอนที่หันไปมองอีกครั้ง พบว่าสีหน้าของเฉินถิงเซียวเหมือนว่าจะดีขึ้นมาเล็กน้อย เธอถึงจะถามลี่จิ่วเชียนว่า: “คุณกินข้าวเช้าแล้วหรือยัง?”
ลี่จิ่วเชียนกวาดสายตามองเธอและเฉินถิงเซียว ตอบว่า: “กินแล้ว”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าบรรยากาศมีบางอย่างแปลกๆ ไม่รู้จะพูดอะไร เลยถือโอกาสพูดบอกไปว่า: “เรายังไม่ได้กินเลย…”
เวลานี้ เฉินถิงเซียวที่ไม่พูดอะไรมาตลอดก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน: “คลินิกของคุณลี่ล้มละลายแล้วหรอครับ?”
สีหน้าของลี่จิ่วเชียนแข็งทื่อไปสองสามวินาที จากนั้นถึงจะพูดว่า: “เปล่าครับ ไม่รู้ว่าทำไมคุณเฉินถึงถามแบบนี้ล่ะครับ?”
เฉินถิงเซียวหัวเราะเหอะ น้ำเสียงทุ้มต่ำเย็นชามากขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย: “คุณลี่ว่างมาเป็นห่วงภรรยาของคนอื่น ผมก็นึกว่าเป็นเพราะคลินิกล้มละลายแล้ว เลยว่างจนไม่มีอะไรทำ”
มู่น่อนน่อนได้ยินคำว่า “ภรรยา” สองคำนี้ ก็เงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียวอย่างแปลกใจ
ลี่จิ่วเชียนถูกคำพูดของเฉินถิงเซียวทำให้จุกจนพูดไม่ออกอยู่สักพัก
เขายกมุมปากก่อน เผยรอยยิ้มที่ฝืนๆอย่างมาก: “ขอบคุณความห่วงใยของคุณเฉินนะครับ ห้องตรวจจิตเวชของผมเปิดปกติดี มีลูกค้าประจำมากมาย แต่ใครๆก็อยากใหญ่โต ถ้าคุณเฉินหวังดี ก็ช่วยแนะนำลูกค้าให้ผมสักหน่อย หรือคุณเฉินเอง จะมาดูแลธุรกิจของผมสักหน่อยก็ได้นะครับ”
ลี่จิ่วเชียนพูดถึงตอนท้าย น้ำเสียงก็ยิ่งเป็นธรรมชาติมากขึ้น ราวกับว่าสร้างพันธมิตรทางธุรกิจอยู่ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ
เพียงแต่ว่า…
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าประโยคสุดท้ายของเขา เหมือนจะมีความหมายอื่นแอบแฝง
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินถิงเซียวยิ่งเพิ่มมากขึ้น รัศมีบนตัวก็ยิ่งเยือกเย็นมากยิ่งขึ้น: “ผมกล้าไป คุณกล้ารับมั้ยครับ?”
“คุณเฉินอุตส่าห์มาหาผมได้ นั่นคือไว้วางใจในตัวผม และเป็นเกียรติของผม ต่อให้ผมไม่กล้ารับ ก็ต้องรับครับ” เสียงของลี่จิ่วเชียนฟังดูเหมือนตื่นเต้นดีใจเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเขาทีหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก
การสนทนาระหว่างชายทั้งสอง เต็มไปด้วยกลิ่นของสงคราม
ลี่จิ่วเชียนเห็นเฉินถิงเซียวไม่สนใจเขาแล้ว ก็เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นมู่น่อนน่อน
“น่อนน่อน คุณจะกินข้าวเช้าก่อนแล้วค่อยไปมั้ย?”
คำพูดของเขาแค่เอ่ยออกมา เฉินถิงเซียวก็มองไปที่เธอ
สีหน้าของเฉินถิงเซียวเย็นชาอย่างมาก เพียงแค่เหลือบมองเธอเบาๆ แล้วก็หันไปอีกทาง
ทั้งๆที่เขาไม่ได้พูดอะไร แต่มู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าเขาเหมือนพูดทุกอย่างหมดแล้ว
ลี่จิ่วเชียนและเฉินถิงเซียวไม่ถูกกัน ทุกครั้งที่ทั้งสองคนคุยกันต่างก็ทิ่มแทงกันและกัน
แม้ว่ามู่น่อนน่อนจะรู้สึกขอโทษเล็กน้อย แต่ก็ยังหาข้ออ้างมาปฏิเสธอย่างอ้อมๆ: “เกรงว่าจะไปด้วยกันกับคุณไม่ได้แล้ว พวกเรายังมีเพื่อนที่จะมาตามหาที่นี่ พวกเราต้องรอพวกเขามาหาด้วยกัน”
ลี่จิ่วเชียนสังเกตได้ว่า มู่น่อนน่อนพูดว่า“พวกเรา” ไม่ใช่“ฉันและเฉินถิงเซียว”
ดวงตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มออกมาจางๆ: “งั้นก็ดีเลย ผมจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนคุณรอเพื่อนของคุณมาด้วยกัน”
เขาพูดจบ ก็หันไปมองเฉินถิงเซียว ถามเองตอบเองว่า: “เพื่อนของน่อนน่อนก็คือเพื่อนของคุณเฉินด้วยใช่มั้ย? ผมเชื่อว่าเพื่อนของคุณเฉินคงจะไม่ชักช้าเกินไปหรอกนะ”
คำพูดยั่วยุของลี่จิ่วเชียน แม้แต่มู่น่อนน่อนก็ยังฟังออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฉินถิงเซียว
เธอไม่รู้ว่าทำไมลี่จิ่วเชียนถึงจงใจพูดแบบนี้เพื่อยั่วยุเฉินถิงเซียว แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถามพวกนี้
เธอหันไปมองสีหน้าของเฉินถิงเซียว พบว่าใบหน้าของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ถึงจะสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
กลัวคุณชายเฉินถิงเซียวโกรธขึ้นมา จะลุกมาต่อยกับลี่จิ่วเชียนเลย
สองคนนี้ถ้าตีกันขึ้นมาจริงๆ ที่นี่ก็ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งพวกเขาสองคนได้
ยิ่งไปกว่านั้น เธอก็คงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“กินข้าวเช้าได้แล้ว”
เสียงของคุณลุงดังมาจากห้องข้างๆ มู่น่อนน่อนหันหน้าไป ก็เห็นคุณลุงเดินมาถึงที่ประตูห้องโถงแล้ว มือข้างหนึ่งถือผัดผักกวางตุ้งหนึ่งชาม มีอีกข้างหนึ่งถืออีกผักดองหนึ่งชาม
เขาถือผักสองชามเดินตรงไปข้างๆลี่จิ่วเชียน วางผักสองชามลงบนโต๊ะ ขมวดคิ้วมองลี่จิ่วเชียนแวบหนึ่ง หันหลังกลับไปหยิบเก้าอี้ตัวกนึ่งมา และนั่งลงข้างๆ
ปกติคุณลุงอยู่คนเดียว ในห้องโถงมีเก้าอี้สามตัวพอดี ไม่กี่วันนี้ตอนที่พวกเขากินข้าว หนึ่งคนก็เก้าอี้หนึ่งตัวพอดีนั่งกินข้าวรอบโต๊ะ
สีหน้าเมื่อกี้ของคุณลุง ราวกับว่ากำลังโทษลี่จิ่วเชียนที่แย่งที่นั่งของเขา
คุณลุงเป็นคนหัวรั้น อาจจะไม่พอใจที่ลี่จิ่วเชียนไม่บอกกล่าวสักคำก็เข้ามาในบ้านของเขาแล้ว
มู่น่อนน่อนรีบลุกยืนขึ้นเอาเก้าอี้ของตัวเองวางไว้หน้าโต๊ะอาหาร: “หนูไปยกข้าวในครัวนะคะ”
“อืม” คุณลุงพยักหน้า แล้วหันหน้ามาเหลือบมองลี่จิ่วเชียนแวบหนึ่งอีกครั้ง
ต่อให้ลี่จิ่วเชียนจะตอบสนองช้าก็สูญเปล่า เมื่อกี้ชายชราคนนี้ขมวดคิ้วมองเขานั้นหมายถึงอะไร
มู่น่อนน่อนไปที่ห้องครัวยกข้าวต้มมาสองชาม หันหลังกลับก็เห็นเฉินถิงเซียวก็เข้ามาด้วย
ประตูห้องครัวเล็กไปหน่อย ตอนที่เฉินถิงเซียวเข้ามาเลยก้มตัวเล็กน้อย รับข้าวต้มสองชามในมือของมู่น่อนน่อนมา หันหลังกลับแล้วเดินออกไป
มู่น่อนน่อนหมุนตัวกลับมาหยิบอีกชามหนึ่ง เดินตามหลังเฉินถิงเซียว
ดังนั้น ลี่จิ่วเชียนจึงเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว
มู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวนั่งลงหน้าโต๊ะไม้ที่เก่าจนมองสีเดิมไม่ออกตัวหนึ่ง ร่วมกันกับชายชราในชนบทคนหนึ่ง กินข้าวต้มกับผักดองที่มองสีไม่ออกและผักกวางตุ้งหนึ่งชาม
คุณลุงเห็นมู่น่อนน่อนเข้ามา เหลือบมองเธอแวบหนึ่ง ถึงพูดกับเฉินถิงเซียวว่า: “มีน่ะก็มี แต่มันไม่ปลอดภัย”
เฉินถิงเซียวหันไปมองมู่น่อนน่อนครู่หนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก
สองสามวันต่อจากนี้ ยังคงฝนตกเหมือนเดิม สภาพถนนก็ไม่ดีขึ้น ดังนั้นต่อให้ในเมืองจะส่งคนมาซ่อมไฟฟ้าและเสาสัญญาณ ก็ไม่มีทางเข้ามาได้
เฉินถิงเซียวและมู่น่อนน่อนได้แต่พักอยู่ในบ้านของคุณลุงเท่านั้น
วันที่ฝนตกคุณลุงก็ไม่ต้องออกไปทำไร่ทำนา มักจะถือท่อสูบบุหรี่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกตรงหน้าประตูใหญ่มองดูฝนข้างนอก บางครั้งก็อุ้มแมว
ผักที่กินล้วนไปเก็บมาจากสวนผักทุกวัน
มู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวยืมพักอาศัยอยู่ในบ้านของคุณลุง เลยดูแลเรื่องเก็บผักและทำอาหารให้ไปโดยธรรมชาติ
เพียงแต่เธอยังไม่ค่อยรู้วิธีเผาฟืน ดังนั้นปกติล้วนเป็นคุณลุงจุดไฟ มู่น่อนน่อนทำอาหาร กินอาหารเสร็จเฉินถิงเซียวล้างจาน
เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมา มู่น่อนน่อนเอียงหูฟังว่าบนหลังคามีเสียงฝนตกหรือไม่
ฟังอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็หันไปมองเฉินถิงเซียว: “ฝนไม่ตกแล้ว”
เฉินถิงเซียวนอนราบอยู่ข้างๆเธอ ตาทั้งสองปิดเบาๆ ดูแล้วเหมือนว่าหลับอยู่ แต่มู่น่อนน่อนรู้ว่าช่วงสองสามวันนี้เขาหลับไม่ลึก ยิ่งกว่านั้นเขาคิ้วขมวดแน่น คนฉลาดแค่เห็นก็รู้ว่าเขาตื่นแล้ว
เป็นอย่างที่คิดไว้ ไม่กี่วินาทีต่อมา ผู้ชายที่อยู่ข้างๆค่อยๆลืมตาขึ้น ตอบรับด้วยเสียงที่แหบเล็กน้อย: “อืม”
มู่น่อนน่อนได้ยิน ก็ลุกขึ้นข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง ลงจากเตียงสวมเสื้อคลุมแล้วเดินไปที่หน้าประตู
ช่วงสองสามวันนี้เธอมีความทรงจำที่ยาวนาน ทุกๆวันตื่นนอนก็จะข้ามไปทางฝั่งเท้าของเฉินถิงเซียวเพื่อลงจากเตียง
มู่น่อนน่อนลงไปข้างล่าง เปิดประตูใหญ่เดินออกไป
บ้านหลังนี้สร้างอยู่บนภูเขา หน้าประตูมีแท่นที่เคลื่อนย้ายได้เล็กๆอันหนึ่ง ด้านหน้าขึ้นไปอีกเป็นป่าเขา
เวลานี้ ในป่าเขาเกิดหมอกขาวขึ้น
ฝนตกยาวนานมีหมอกหนาฟ้าก็จะสว่าง
ท้องฟ้าปลอดโปร่งแล้ว ไฟฟ้าและเสาสัญญาณก็จะได้รับการซ่อมแซม จะมีคนมาซ่อมแซมถนน และพวกกู้จือหยั่นก็จะสามารถหาพวกเขาจนเจอได้ในเวลาที่รวดเร็วที่สุด
พวกเขาจะต้องไปจากที่นี่แล้ว
เห็นได้ชัดว่าเป็นเวลาเพียงสองสามวันเท่านั้น แต่เมื่อมองย้อนกลับไป กลับเหมือนว่าผ่านไปนาน
มู่น่อนน่อนก้มหน้าลง ก็มองเห็นรองเท้าแตะพลาสติกสีดำที่สวมอยู่บนเท้า ขนาดของรองเท้าแตะนั้นใหญ่ไปหน่อย เวลาเธอสวมก็เลยเผยหลังเท้าที่ขาวเนียนออกมา
เธอสวมรองเท้าแตะและเหยียบลงบนโคลนสองสามครั้ง มีโคลนกระเด็นออกมา กระเด็นโดนขอบกางเกง
“แม่หนู หยิบตะกร้าสะพายหลังมานี่สิ”
เวลานี้ เสียงตะโกนของคุณลุงก็ดังขึ้น
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงก็มองออกไป เห็นคุณลุงยืนอยู่ในสวนผักสีเขียว โบกมือที่เต็มไปด้วยโคลนมาทางเธอ
ระยะทางค่อนข้างไกล มู่น่อนน่อนก็ไม่รู้ว่าคุณลุงกำลังทำอะไรอยู่ ตอบกลับเสียงสูงว่า: “อ้อ ไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”
มู่น่อนน่อนแบกตะกร้าสะพายหลังเดินเข้าไป เห็นคุณลุงนั่งยองๆอยู่ในสวนผัก ดึงอะไรบางอย่างออกมาจากกองโคลนที่พึ่งขุดออกมาใหม่
“คุณลุง คุณทำอะไรคะ?”
ฝนตกติดต่อกันหลายวันขนาดนี้ ดินโคลนในพื้นดินก็เปียกชุ่ม มู่น่อนน่อนดึงขากางเกงขึ้นมาถึงหัวเข่า เดินเข้าไปอย่างทุลักทุเล
โคลนเหนียวเกินไป รองเท้าแตะของมู่น่อนน่อนถูกปกคลุมเป็นชั้นหนาๆด้วยโคลน
ตอนที่รอเธอเดินไปถึงตรงหน้าของคุณลุง รองเท้าแตะคู่หนึ่งก็ถูกโคลนปกคลุมไปแล้วหลายรอบ หนักเป็นพิเศษ
คุณลุงโคลนเปื้อนเต็มมือ ยื่นก้อนกลมๆไปตรงหน้ามู่น่อนน่อน ยิ้มแหะๆ: “รู้จักสิ่งนี้มั้ย?”
มู่น่อนน่อนจ้องของสิ่งนั้นอยู่สองสามวินาที ถึงจะมั่นใจและตอบว่า: “มันคือมันเทศ”
คุณลุงหน้าตาตกใจ: “อันนี้หนูก็รู้จักหรอ?”
“รู้จักค่ะ เคยซื้อในซุปเปอร์มาร์เก็ต เพียงแต่ว่าไม่เคยเห็นตอนเพิ่งขุดขึ้นมาจากพื้นดินเลยค่ะ” มู่น่อนน่อนขณะพูด ก็นั่งยองๆ หยิบอันหนึ่งขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ดูอยู่นาน เธอก็กัดริมฝีปากแล้วพูดว่า: “เล็กไปหน่อย”
“ฉันจะลองขุดสองสามอันขึ้นมาดูแล้วกัน สามารถกินได้ก็ขุดกลับบ้านได้ สองสามอันนี้เอากลับไปทำข้าวต้มมันเทศ” คุณลุงพูด แล้วก็วางมันเทศที่ขุดออกมาลงในตะกร้าสะพายหลัง
มู่น่อนน่อนก็ช่วยเขาเก็บด้วยกัน
สุดท้ายเหลือมันเทศผิวเรียบเนียนอยู่อันหนึ่ง คุณลุงหยิบมีดมาปอกแล้วยื่นให้มู่น่อนน่อน: “ชิมสิ รูปร่างหน้าตาดีแบบนี้กินเข้าไปก็หวานกรอบเหมือนกัน”
มู่น่อนน่อนรับมากัดคำหนึ่ง ทั้งหวานทั้งกรอบจริงๆ
“หวานมั้ย?”
“อืม หวานมากเลยค่ะ”
มู่น่อนน่อนช่วยคุณลุงแบกตะกร้าสะพายหลัง คุณลุงถือเคียวเดินอยู่ข้างหน้า ทั้งสองคนก็คุยกันเรื่อยเปื่อย
ตอนที่ใกล้ถึงประตูบ้าน มู่น่อนน่อนตะโกนเข้าไปในบ้าน: “เฉินถิงเซียว มันเทศที่เราขุดมาหวานมากเลย!”
คำพูดของมู่น่อนน่อนพูดออกไปแล้ว แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจากเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนพูดอยู่คนเดียวว่า: “หรือว่ายังไม่ตื่น?”
เธอคิดไปด้วย เดินกลับมาพร้อมกันกับคุณลุงไปด้วย
เมื่อเดินถึงหน้าประตู เธอเห็นในบ้านเหมือนจะมีคนเพิ่มมากขึ้น
มู่น่อนน่อนอึ้งไปสักพัก สีหน้าบนใบหน้าของเธอจางลง
เป็นพวกกู้จือหยั่นมาตามหาล่ะมั้ง
คุณลุงหรี่ตามองเข้าไปในบ้าน: “ในบ้านมีคนมาเรอะ?”
“น่าจะเป็นเพื่อนของเรามาตามหาน่ะค่ะ” มู่น่อนน่อนเม้มปาก พูดเสียงนิ่งๆ
คุณลุงก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ผ่านไปไม่กี่วินาทีถึงจะตอบสนอง เอื้อมมือไปหยิบตะกร้าสะพายหลังที่เธอแบกอยู่ลงมา: “หนูไปดูเถอะ ฉันจะไปทำข้าวต้มมันเทศ”
มู่น่อนน่อนหันไปมอง ก็เห็นเพียงคุณลุงโค้งหลังงอ แบกตะกร้าไว้บนหลังเดินไปห้องครัว
มู่น่อนน่อนก็ไปที่ห้องโถง
ในห้องโถงไม่มีหน้าต่าง ตอนที่เข้ามาจากข้างนอก เป็นเพราะเนื่องจากแสงไฟสลับกัน ตอนแรกเลยมองไม่ค่อยเห็นคนด้านใน
มู่น่อนน่อนก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไป สักพักถึงจะเห็นสถานการณ์ด้านในชัดเจน
เฉินถิงเซียวนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง ส่วนชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา ดันไม่ใช่กู้จือหยั่น!
มู่น่อนน่อนแค่เข้ามา พวกเขาทั้งสองก็หันหน้ามองมาทางเธอ
เฉินถิงเซียวบนหน้าไม่มีสีหน้าใดๆ แววตาล้ำลึก มองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ส่วนชายอีกคน กลับยิ้มให้มู่น่อนน่อนเล็กน้อย: “น่อนน่อน”
ความตกใจบนหน้าของมู่น่อนน่อนยังไม่ทันหายไป: “ลี่…จิ่วเชียน คุณ… มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
ถูกต้อง ชายที่นั่งตรงข้ามกับเฉินถิงเซียว ก็คือลี่จิ่วเชียน
มู่น่อนน่อนรู้จากเฉินถิงเซียวว่า กู้จือหยั่นมาหาเสิ่นเหลียง เลยคาดเดามาตลอดว่าคนแรกที่มาตามหาน่าจะเป็นกู้จือหยั่น แต่ความเป็นไปได้ของสือเย่มีมากกว่าหน่อย
แม้ว่าเฉินถิงเซียวครั้งนี้ไม่ได้พาสือเย่มา แต่จากที่มู่น่อนน่อนเห็น สือเย่เป็นผู้ช่วยพิเศษที่ทำได้ทุกอย่าง มีความสามารถอย่างมหัศจรรย์ไม่มีเรื่องอะไรที่เขาทำไม่ได้
เธอไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เคยคิดเลย ว่าคนแรกที่มาหาจะเป็นลี่จิ่วเชียน
“แน่นอนว่าผมมาตามหาคุณนั่นแหละ” ลี่จิ่วเชียนยิ้มอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา ราวกับว่าเขาก็แค่ใสซื่อรู้ว่ามู่น่อนน่อนติดอยู่ที่นี่ ดังนั้นเลยพาคนมาตามหาเธอ
ลี่จิ่วเชียนพูดอย่างสบายๆ มู่น่อนน่อนกลับรู้สึกหนักใจเล็กน้อย
เรื่องเธอมาหาเสิ่นเหลียง นอกจากเฉินถิงเซียวรู้ ก็ไม่เคยบอกลี่จิ่วเชียนเลย
เธอไม่ปฏิเสธว่าลี่จิ่วเชียนมีความสามารถ แต่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้แผนการเดินทางของเธอ ก็ยังสามารถหาเธอเจอในเวลาสั้นๆขนาดนี้ นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเป็นไปได้
มู่น่อนน่อนลืมตา ก็พบกับแววตาลุ่มลึกของเฉินถิงเซียว
เม้มปาก หรี่ตาเล็กน้อยแล้วสักพักก็ลุกขึ้นมาอย่างกะทันหัน มานั่งบนเตียง
“ปึก!”
เฉินถิงเซียวเดิมทีก็คือก้มตัวลงมามองมู่น่อนน่อน ตอนที่มู่น่อนน่อนลุกขึ้นเลยกระแทกเข้ากับหน้าผากของเขา
มู่น่อนน่อนแตะหน้าผากตัวเองเงียบๆ เจ็บนิดหน่อย แต่ไม่นานก็หายไป
เฉินถิงเซียวเหยียดมือออก จับหน้าผากตัวเอง จ้องมู่น่อนน่อนด้วยใบหน้านิ่งขรึมราวกับน้ำลึก
มู่น่อนน่อนกลิ้งลงจากเตียงช้าๆ พูดด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่า: “ขอโทษที ไม่ระวังเลยชนคุณเข้า”
แม้ว่าเธอก็เจ็บนิดหน่อย แต่เฉินถิงเซียวดูจะเจ็บมากกว่า
ไม่ระวัง?
เฉินถิงเซียวเชื่อเธอก็แปลกแล้ว
เนื่องจากสภาพอากาศไม่ดี ทั้งสองคนนอนหลับเลยไม่ถอดเสื้อผ้า มู่น่อนน่อนสวมเสื้อคลุมของตัวเอง ก็เดินลงไปชั้นล่างเลย
คุณลุงที่รับช่วยเหลือพวกเขาคนนั้นตื่นเรียบร้อยแล้ว กำลังก่อไฟอยู่ในห้องครัว
มู่น่อนน่อนพูดออกมาว่า: “คุณลุง อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
คุณลุงเงยหน้าขึ้นมาจากกองไฟและควัน หรี่ตามองมาทางมู่น่อนน่อน: “เช้าขนาดนี้ก็ตื่นแล้ว ไม่นอนต่ออีกเสียหน่อยล่ะ?”
“ตื่นแล้วก็ลุกแล้วค่ะ คุณก็ตื่นเช้าขนาดนี้เหมือนกันไม่ใช่หรอคะ?” มู่น่อนน่อนพับแขนเสื้อขึ้น: “จะทำอาหารเช้าใช่มั้ยคะ? หนูช่วยนะคะ ต้องทำอะไรบ้างคะ?”
คุณลุงส่ายหัว: “ไม่ต้องหรอก”
แม่หนูคนนี้มองดูแล้วผิวพรรณขาวเนียนละเอียด จะทำงานใช้แรงงานพวกนี้ได้ที่ไหน
“ถ้างั้นคุณจุดไฟนะคะ หนูช่วยคุณทำอาหารได้ค่ะ” มู่น่อนน่อนเสยผมที่ข้างหู พูดด้วยรอยยิ้ม
คุณลุงเห็นเธอพูดขนาดนี้แล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก นั่งจุดไฟอยู่หน้าเตาฟืน บอกเธอว่าต้องทำอะไรบ้าง
ในชนบทมีอะไรก็กินอันนั้น ฤดูไหนกินผักอะไร มีบะหมี่กินบะหมี่ มีข้าวกินข้าว
คุณลุงขอให้มู่น่อนน่อนทอดไข่สามฟอง จากนั้นเทน้ำต้มบะหมี่
น้ำยังไม่ทันจะเดือด คุณลุงก็ลุกขึ้นมา หยิบเสื้อกันฝนจะเดินออกไปข้างนอก
มู่น่อนน่อนถามเขาว่า: “คุณจะไปทำอะไรคะ?”
“ที่พื้นดินข้างหน้ามีผักกวางตุ้ง ฉันจะไปเก็บมาต้มกิน” คุณลุงขณะพูด ก็จะเดินออกไปข้างนอก
มู่น่อนน่อนมองออกไปข้างนอกแวบนึง ฝนตกหนักขนาดนั้น พื้นด้านนอกล้วนเป็นโคลน เดินเหยียบไม่ระวังนิดเดียวจะล้มเอาได้
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย ดึงคุณลุงไว้: “ให้หนูไปละกันค่ะ”
“เธอไปอะไร ฉันจะไปเอง!” คุณลุงดื้อรั้น แค่คิ้วขมวด ก็เผยให้เห็นถึงความน่าเกรงขามของผู้สูงอายุ
ในเวลานี้ เฉินถิงเซียวลงมาจากชั้นบน
มู่น่อนน่อนเห็นเช่นนี้ ก็รีบชี้ไปที่เฉินถิงเซียวและพูดกับคุณลุงว่า: “ให้เขาไปละกันค่ะ”
เฉินถิงเซียวชี้มาที่ตัวเอง เลิกคิ้วเล็กน้อยและเดินเข้าไป: “ไปทำอะไร?”
“คุณลุงบอกว่าจะไปเก็บผักกวางตุ้งตรงพื้นที่ด้านหน้า เอากลับมาต้มบะหมี่ น้ำในหม้อก็จะเดือดแล้ว คุณรีบไปเถอะ”
มู่น่อนน่อนผลักเขาไปทางด้านนอกเล็กน้อย
น้ำเสียงใช้งานเขาเป็นธรรมชาติอย่างมาก
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเธอนิ่งๆแวบหนึ่ง รับเสื้อกันฝนจากมือของคุณลุงมา สวมใส่บนตัวแล้วก็เดินออกไป
มู่น่อนน่อนเห็นเขาเดินก้าวใหญ่ๆอยู่ในสายฝน ริมฝีปากเหยียดขึ้นเล็กน้อยยิ้มออกมา
เธอพบว่า เฉินถิงเซียวก็แค่พูดจาไม่น่าฟังกับเรื่องเล็กๆ แต่ถ้าลงมือทำ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยไม่ตั้งใจ
แม้ว่าจะแตกต่างไปจากอดีต แต่เฉินถิงเซียวก็ยังคงเป็นเฉินถิงเซียว
“เหอเหอ” จู่ๆคุณลุงที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะออกมาสองที ส่ายหัวแล้วนั่งกลับไปที่หน้าเตาฟืนจุดไฟต่อไป
มู่น่อนน่อนถามเขาว่า: “คุณลุง คุณหัวเราะอะไรคะ?”
คุณลุงแค่ยิ้ม ไม่พูดอะไร
เฉินถิงเซียวเก็บผักกลับมาอย่างรวดเร็ว
ใต้ชายคาของประตูหลังห้องครัวมีโอ่งเก็บน้ำ มู่น่อนน่อนหยิบผักไปล้างแล้วใส่ลงไปในหม้อ
อาหารเช้าก็คือบะหมี่ไข่
กินข้าวเสร็จ คุณลุงก็นั่งบนเก้าอี้โยกอยู่ข้างประตูใหญ่ อุ้มแมวสะลึมสะลือง่วงนอน
มู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวทั้งสองยืนอยู่ใต้ชายคาที่นอกประตู
“ฝนนี้ดูเหมือน แค่แปปเดียวคงจะไม่หยุดตกแน่ๆ” มู่น่อนน่อนมองสายฝนด้านนอก สีหน้ากังวลใจ
สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็เคร่งขรึมมากเช่นกัน: “แถวๆนี้ก็ไม่มีคนอื่น ทางหลวงถูกทำลาย นอกจากรอคนมาช่วย ไม่มีทางอื่น”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าแถวนี้ไม่มีคนอื่น?” มู่น่อนน่อนถามเขาด้วยความสงสัย
เฉินถิงเซียวเหลือบตาขึ้นเล็กน้อย: “เมื่อคืนออกไปดูมาสักพัก ไม่เห็นแสงไฟเลยสักนิด”
ที่แท้เมื่อคืนนี้เขาออกไป ก็เพื่อให้แน่ใจว่าแถวๆนี้ยังมีคนอื่นอีกหรือไม่
มู่น่อนน่อนเม้มปาก ถามเขาว่า: “จะต้องรอให้พวกเขามาหาเราจริงๆหรอ? ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรอ?”
เฉินถิงเซียวหันไปมองเธอ บนหน้าไม่แสดงสีหน้าใดๆ: “ผมเคยบอกแต่แรกแล้ว ให้คุณไม่มาจะดีกว่า”
“ก่อนที่จะมา ไม่ได้ตรวจสอบภูมิประเทศของที่นี่ เป็นความผิดพลาดของฉันเองจริงๆ แต่ความคิดของคุณมันถูกต้องทั้งหมดหรือไง?”
สีหน้าบนหน้าของมู่น่อนน่อนจางลง
เฉินถิงเซียวไม่แยแสกับคำพูดของเธอ หันไปมองเธอด้วยสีหน้าสบายๆ: “คุณแน่ใจหรอว่าในเวลาแบบนี้ ด้วยน้ำเสียงแบบนี้ อยากจะสนทนาหัวข้อนี้กับผู้มีพระคุณของคุณ?”
ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินถิงเซียวช่วยเธอ ไม่แน่ว่าตอนนี้เธออาจจะยังคงยืนอยู่ข้างถนน อาจจะกลับมาไม่ได้แล้ว
มู่น่อนน่อนเห็นเขาหมดความอดทนเล็กน้อย ก็ไม่พูดหัวข้อสนทนานี้อีกต่อไป
ทั้งสองคนยืนอยู่ใต้ชายคาสักพัก ตอนที่เฉินถิงเซียวกำลังจะหันหลังกลับเดินเข้าไป มู่น่อนน่อนก็ราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ยื่นมือออกไปดึงเขาไว้อย่างกะทันหัน: “เฉินถิงเซียว!”
เฉินถิงเซียวสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่น้ำเสียงหมดความอดทนเล็กน้อย: “มีเรื่องอะไรอีก?”
“คุณไม่ให้ฉันมาตรวจสอบสถานที่ เพราะฉันต้องจากไปนานมากใช่หรือไม่ รู้สึก…” มู่น่อนน่อนสังเกตสีหน้าของเขา นิ่งไปสักพักถึงจะผ่อนน้ำเสียงและพูดว่า: “อาลัยอาวรณ์ฉัน?”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวเปลี่ยนไปเล็กน้อย แววตาก็ลึกล้ำขึ้นมาเล็กน้อย
ทั้งสองคนสบตากันสองสามวินาที เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วขึ้น: “ความสามารถในการคิดไปเองเก่งใช้ได้”
มู่น่อนน่อนถามอย่างไม่ลดละ: “ถ้างั้นคุณก็บอกมาว่าเพราะอะไร? หรือว่าก็แค่เพราะ คุณคิดว่าฉันจะต้องหมุนรอบตัวคุณเท่านั้น นอกจากความอยากผูกมัดนั่นในใจคุณ ไม่มีเหตุผลอื่นสักนิดเลยหรอ?”
เฉินถิงเซียวเหมือนว่าจะขี้เกียจคุยกับเธอ สะบัดมือเธอออกและเข้าไปในบ้าน
มู่น่อนน่อนเอื้อมมือเท้าสะเอว เงยหน้าขึ้นและถอนหายใจยาวกับสายฝน
เฉินถิงเซียวก็แค่ปากแข็ง ต่อให้เขาจะมีนิสัยแปลกๆ ปากไม่ยอมรับ แต่เขาก็รีบมาช่วยเธอเป็นอย่างแรก อย่างที่เคยบอกเขาก็ห่วงใยเธอเช่นกัน
ความรู้สึกของเฉินถิงเซียวที่มีต่อเธอตอนนี้ อาจจะไม่ได้รุนแรงเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ค่อยๆลึกซึ้งมากขึ้นทีละขั้นๆ
นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ดี
และตอนนี้ที่สำคัญกว่านั้นคือ พวกเขาต้องออกไปจากที่นี่
ถ้าหากฝนตกติดต่อกันเป็นเวลาสิบกว่าวัน เธอและเฉินถิงเซียวจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดงั้นหรอ?
แม้ว่าเธอจะมีความสุขมากที่ได้มีเวลาอยู่กับเฉินถิงเซียวตามลำพัง แต่เวลาและสถานที่มันไม่ใช่
เฉินมู่ยังรอพวกเขาอยู่ที่บ้าน เฉินถิงเซียวยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขายังต้องดูแลบริษัทเฉินซื่อ ต่อให้ตอนที่เขาออกมาจะจัดการเรื่องของบริษัทไว้แล้ว แต่ยากที่จะไม่เกิดบางอย่างผิดพลาดขึ้น พวกเขาที่นี่แม้แต่สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี…
ขาดการติดต่อไปสิบกว่าวันโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย
ตอนที่มู่น่อนน่อนเข้ามาในบ้าน ก็ได้ยินเฉินถิงเซียวพูดคุยอยู่กับคุณลุง
“มีทางที่จะไปในเมืองทางอื่นอีกมั้ย?”
“สี่ทุ่ม ออกไปเดินรอบๆมา”
เฉินถิงเซียวตอบคำถามของเธอด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ไม่พูดอะไรเกินกว่านั้นสักคำ
มู่น่อนน่อนถามอีก: “ออกไปเดินรอบๆอะไร?”
เฉินถิงเซียวแตะที่โทรศัพท์มือถือสองสามที น่าจะกำลังทดสอบสัญญาณโทรศัพท์
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็วางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ มองไปที่มู่น่อนน่อน พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า: “ไปนอนข้างใน”
มู่น่อนน่อนได้ยิน ขยับเข้าไปข้างในอย่างเชื่อฟัง ขยับไปนอนตรงริมกำแพง
เตียงไม่ได้ใหญ่มาก รู้สึกว่าเมตรห้าก็ไม่ถึง
เฉินถิงเซียวนอนด้วยกันกับเธอ เธอต้องนอนชิดกำแพง
เฉินถิงเซียวปิดไฟฉายโทรศัพท์ นอนลงข้างๆมู่น่อนน่อน
เขาแค่ล้มตัวลงนอน เตียงที่แคบอยู่แล้วก็เบียดแน่นขึ้น
เธอด้านหนึ่งติดกำแพง อีกด้านหนึ่งติดกับเฉินถิงเซียว สามารถรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิร่างกายและลมหายใจของเขา
มู่น่อนน่อนกำขอบผ้าห่มอย่างประหม่าเล็กน้อย ไม่กล้าขยับสักนิดเดียว
กลางคืนบนภูเขาเงียบมาก ข้างหูได้ยินเสียงหายใจของเฉินถิงเซียวชัดเจน
ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
ทันใดนั้น เฉินถิงเซียวก็เรียกเธอออกมาทีหนึ่ง: “มู่น่อนน่อน”
“อืม?” มู่น่อนน่อนแค่ส่งเสียง ถึงพบว่าเสียงของตัวเองแหบเล็กน้อย
หลังจากนั้น เฉินถิงเซียวก็พูดออกมาสองคำด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า: “ผ้าห่ม”
มู่น่อนน่อนถึงจะนึกขึ้นได้ว่า เธอคนเดียวดึงผ้าห่มมาไว้ตรงหน้าตัวเอง พอได้ยินก็รีบดึงผ้าห่มไปทางด้านของเฉินถิงเซียว
ทั้งสองนอนบนเตียงเดียวกัน ใช้ผ้าห่มร่วมกัน ไม่มีหมอน ดมกลิ่นอับชื้นของไม้ผุ
มู่น่อนน่อนอาจจะเพราะก่อนหน้านี้นอนนานเกินไป ตอนนี้เลยนอนไม่หลับ
เธอลืมตาขึ้นในความมืด รู้สึกถึงการหายใจของเฉินถิงเซียวคงที่แล้ว นึกว่าในที่สุดเขาก็หลับไปแล้ว ถึงจะค่อยๆเอียงตัวไปด้านข้างเล็กน้อย เอื้อมมือออกไปช่วยห่มผ้าห่มให้เฉินถิงเซียว
“มู่น่อนน่อน ถึงแม้ตอนนี้ผมจะไม่ได้รู้สึกสนใจคุณ แต่ผมเป็นผู้ชายปกติคนหนึ่ง ถ้าขยับไปเรื่อยอีกผมไม่รับประกันนะว่าตัวเองจะหิวจนไม่เลือกกินหรือเปล่า”
เสียงของเฉินถิงเซียวดังขึ้น น้ำเสียงชัดเจนจนฟังไม่ออกถึงความง่วงเลยแม้แต่น้อย
มู่น่อนน่อนแข็งทื่อไปชั่วขณะ
เธอสงบสติใจ พูดอย่างประชดประชันว่า: “คุณชายเฉินไม่พูด ฉันก็เกือบจะลืมไปแล้วนะว่าคุณเป็นผู้ชายปกติคนหนึ่ง”
มู่น่อนน่อนหัวเราะหึออกมาทีนึง แล้วก็พลิกตัวหันหลังให้เฉินถิงเซียว
ไม่โกรธ ไม่โกรธ
เฉินถิงเซียวตอนนี้เป็นคนป่วย
ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคนป่วย
ท่องอยู่ในใจได้ผล อารมณ์ของมู่น่อนน่อนสงบลงอย่างรวดเร็ว และเพียงไม่นานก็หลับไป
กลางดึก เธอตื่นขึ้นเพราะร้อน
ผ้าขนหนูบนหน้าผากได้ไหลตกลงมา แห้งพอสมควรแล้วด้วย
ผ้าห่มที่เดิมทีก็ไม่ใหญ่มาก ถูกเธอห่มไว้คนเดียว เธอจึงดึงผ้าห่มไปทางด้านเฉินถิงเซียว ห่มให้เขา
ครั้งนี้ เฉินถิงเซียวกลับไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา
ดูเหมือนว่าจะหลับไปแล้วจริงๆ
ตอนนี้ เฉินถิงเซียวพลิกตัว หันหน้ามาทางฝั่งมู่น่อนน่อน เลยทำให้มู่น่อนน่อนห่มผ้าห่มให้เขาได้สะดวกพอดี
กลางคืนบนภูเขาอากาศหนาวมาก ถ้าเฉินถิงเซียวไม่ห่มผ้าห่ม พรุ่งนี้เช้าอาจจะเปลี่ยนเป็นเขาที่มีไข้แทน
มู่น่อนน่อนก็นอนตะแคง นอนเผชิญหน้ากับเขาในความมืด แม้ว่าจะมองเห็นหน้าไม่ชัด แต่ก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของเขา
เตียงเล็ก ผ้าห่มก็เล็ก ลมหายใจอุ่นๆของ~อยู่ตรงหน้า มู่น่อนน่อนไม่ได้อยู่ใกล้เขาขนาดนี้มานานแล้ว ความง่วงนอนก็เลยค่อยๆหายไปทีละน้อย
ในตอนที่เธอกำลังจะพลิกตัวหันหลังให้เฉินถิงเซียว ทันใดนั้นเขาก็เอื้อมมือมาโอบเอวเธอ มือและเท้าก็เข้ามาพัวพันไว้ กอดเธอเข้ามาในอ้อมแขนอยู่อย่างนั้น
มู่น่อนน่อนแข็งทื่อไปสักพัก
เธอถูกเฉินถิงเซียวกอดไว้ในอ้อมแขน ขยับก็ไม่กล้าขยับ
ผ่านไปสองสามนาที เธอถึงลองส่งเสียงทดสอบ: “เฉินถิงเซียว?”
ที่ตอบกลับเธอคือเสียงหายใจที่มั่นคงของเฉินถิงเซียว
นี่เขาเป็นคนเริ่มกอดเธอเองนะ จะมาว่าเธอไม่ได้…
นอนในอ้อมกอดที่อบอุ่นและคุ้นเคย รู้สึกสบายใจมาก ความง่วงก็เกิดขึ้นทั้งอย่างนั้น
……
วันรุ่งขึ้น
ตอนที่มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นฟ้าก็สว่างจ้าแล้ว
เพียงแต่ว่า เสียงฝนข้างนอก”ซ่าซ่า”บ่งบอกว่า อากาศไม่ได้ดีขึ้นเลย
เฉินถิงเซียวยังคงอยู่ในท่าโอบกอดเธอตั้งแต่เมื่อคืน เธอรู้สึกว่าเขากอดแน่นเกินไป ตอนนี้แม้แต่หายใจก็ยังลำบากเล็กน้อย
เธอเอื้อมมือออกไปอย่างแผ่วเบา อยากจะเอามือของเฉินถิงเซียวที่วางอยู่บนเอวของเธอออก
แต่ว่า มือของเธอเพิ่งจะจับข้อมือของเขา คนตรงหน้าก็ลืมตาขึ้นมาทันที
มู่น่อนน่อนเดิมทีก็กังวลว่าจะเผลอปลุกให้เขาตื่น ดังนั้นเธอจึงระวังเฉินถิงเซียวไว้ตลอด
เห็นเขาลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน มู่น่อนน่อนปล่อยมือออกทันทีราวกับร้อนตัว มองหน้ากันกับเขาอย่างไม่ขยับเขยื้อน
เฉินถิงเซียวไม่ได้ขยับตัว แค่ขยับแขนบนเอวของเธอเล็กน้อย ขมวดคิ้วแล้วถามว่า: “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“เมื่อคืนคุณ…” ในสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ว่า: “ยังไงคุณก็เป็นคนเริ่มขยับแขนก่อน”
เฉินถิงเซียวดึงแขนของตัวเองกลับมา ในน้ำเสียงมีความแหบจากการตื่นตอนเช้า: “เมื่อคืนผมหลับลึก คุณอยากจะพูดยังไงก็พูดได้”
น้ำเสียงนี้ จะไม่ยอมรับว่าเมื่อคืนเขาเป็นคนเริ่มขยับแขนก่อนสินะ?
งั้นก็ได้ ตอนที่เขาขยับแขนเมื่อคืน ก็ไม่ได้ตื่นจริงๆ จะจำไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ
มู่น่อนน่อนไม่ถือสาเขา ลุกขึ้นกะว่าจะก้าวผ่านตัวเขาไปเพื่อลงจากเตียง
แต่ว่า เธอเพิ่งจะก้าวขาออก ก็ล้มลงไปอย่างทรงตัวไม่อยู่
สายตาเห็นจะล้มลงบนเตียง เฉินถิงเซียวก็เอื้อมมือไปคว้าเอวของเธอไว้ ให้เธอล้มลงบนตัวเขา
มู่น่อนน่อน: “……”
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ทำอะไรเลย แต่มีความรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างบอกไม่ถูก
เฉินถิงเซียวซบอยู่บนตัวของเฉินถิงเซียว ยืดตัวถามเขาว่า: “ถ้าหากฉันบอกว่า…ฉันไม่ทันระวัง คุณจะเชื่อมั้ย?”
ใบหน้าที่หล่อเหลาของเฉินถิงเซียวไม่แสดงสีหน้าใดๆแม้แต่น้อย พูดอย่างเย็นชาหาที่เปรียบมิได้: “คุณคิดว่าผมจะเชื่อหรือเปล่า?”
มู่น่อนน่อนส่ายหัว
เฉินถิงเซียวจ้องเธอเป็นเวลาสองวินาที จู่ๆก็หัวเราะออกมา
มู่น่อนน่อนถามเสียงเบาๆว่า: “หัวเราะอะไร…”
เฉินถิงเซียวผลักเธอออกไปอีกด้าน ลุกขึ้นนั่ง จัดเสื้อผ้าตัวเองให้เป็นระเบียบอย่างช้าๆครู่หนึ่ง ถึงจะหันกลับไปมองเธออย่างสบายๆ: “ลูกไม้เก่าๆแบบนี้ ใช้ให้น้อยดีกว่า หากว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้จับคุณเอาไว้…”
คำพูดด้านหลัง เขาไม่พูดมู่น่อนน่อนก็รู้ว่าคืออะไร
แม้ว่าเธอจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าเมื่อกี้ตัวเองก็แค่ยืนไม่มั่นคงก็เท่านั้น แต่ก็รู้สึกว่าไม่สามารถโต้แย้งได้เลย
มู่น่อนน่อนนอนฟุบบนเตียง เเอาผ้าห่มดึงขึ้นเหนือหัว คลุมตัวเองเอาไว้เงียบๆ
รู้สึกถึงผู้ชายที่อยู่ข้างๆลุกลงจากเตียงไปแล้ว มู่น่อนน่อนถึงดึงผ้าห่มลงมา เผยศีรษะออกมา: “ต่อให้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คุณก็ยังจะคว้าฉันไว้แน่นอน ลูกไม้เก่าใช้ไม่เบื่อหรอก ใช้ได้ผลก็พอ”
เฉินถิงเซียวกำลังสวมรองเท้า ได้ยินเสียงของเธอก็หันกลับไปทันที แววตาคมกริบ
มู่น่อนน่อนสบตากับเขาโดยไม่แสดงความอ่อนแอใดๆ
เฉินถิงเซียวเหล่ตาเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ก้มตัวเข้ามา เข้าไปตรงหน้ามู่น่อนน่อน
หรือว่าเธอจะพูดจาแรงเกินไป เฉินถิงเซียวจะจัดการเธอ?
มู่น่อนน่อนตกใจจนหลับตาลงอย่างหมดอนาคต
วินาทีต่อมา ข้างบนหัวมีเสียงเยาะเย้ยของเฉินถิงเซียวดังเข้ามา: “มีความสามารถแค่นี้ ยังกล้ามาเสียงดังกับผม?”
เฉินถิงเซียวหงุดหงิดเพราะน้ำเสียงของมู่น่อนน่อนอย่างเห็นได้ชัด แสงเทียนแม้ว่าจะมืดสลัวเล็กน้อย แต่ทั้งสองคนก็อยู่ใกล้กันมาก มู่น่อนน่อนยังคงสามารถมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปกะทันหันของเฉินถิงเซียวได้อย่างชัดเจน
ทั้งสองคนสบตากันอยู่อย่างนี้พักหนึ่ง
เฉินถิงเซียวก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว เปิดปากพูดก่อน: “เป็นเพราะเฉินมู่”
มู่น่อนน่อนยิ้มกลับอย่างโมโห: “มู่มู่ยังเด็กอยู่ คุณหาแม่เลี้ยงที่ทั้งสวยทั้งอ่อนโยนและใจดีคนใหม่ก็ได้ ยังไงคุณก็ไม่ชอบฉัน ปล่อยฉันให้ไปตามยถากรรมละกัน ฉันจะได้ไม่ต้องกลับไปแย่งสิทธิการเลี้ยงดูมู่มู่กับคุณ”
เฉินถิงเซียวกลับไม่ได้พูดออกมาทันที ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
มู่น่อนน่อนเมื่อกี้พูดไปอย่างรู้สึกดีเท่าไหร่ ตอนนี้ก็รู้สึกประหม่ามากเท่านั้น
จู่ๆเฉินถิงเซียวก็เป่าเทียนดับ ในความมืดเธอมองไม่เห็นหน้าของเฉินถิงเซียว แต่กลับสัมผัสได้ถึงความกดอากาศต่ำที่แผ่ออกมาจากตัวเขา
วินาทีถัดมา เสียงของเขาดังมาจากในความมืด: “มู่น่อนน่อน ผมให้โอกาสคุณเรียบเรียงคำพูดใหม่อีกครั้ง”
มู่น่อนน่อนกำหมัดแน่น เม้มริมฝีปากและพูดว่า: “…ฉันหิวแล้ว”
ไม่ได้ตอบคำถามของเฉินถิงเซียวตรงๆ ถือได้ว่าเป็นการแสดงความอ่อนแอที่ตบตา
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรอีก หันหลังและเดินออกไปข้างนอก
มู่น่อนน่อนรีบเดินตามไป
ไม่รู้ว่าดวงตาของเฉินถิงเซียวมีฟังก์ชั่นมองเห็นตอนกลางคืนหรือเปล่า เดินอยู่ข้างหน้าฝ่าความมืดไปอย่างรวดเร็ว มู่น่อนน่อนทำได้เพียงย่างเท้าหนักบ้างเบาบ้างเดินตามไป
ตอนที่เดินลงบันไดก็เกือบจะก้าวพลาด
“อ๊า——”
เสียงตกใจของเธอเพิ่งจะร้องออกมา ก็รู้สึกว่ามีแขนข้างหนึ่งยื่นมาที่ตัวเธอ โอบรอบเอวของเธอไว้
มู่น่อนน่อนรีบคว้ามือเฉินถิงเซียวไว้แน่น เกาะไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้สะบัดเธอออก พาเธอลงไปด้านล่างทั้งอย่างนี้
ในห้องชั้นล่างมีโต๊ะไม้เก่าอยู่ตัวหนึ่ง ด้านบนจุดเทียนหนึ่งแท่ง วางชามอาหารไว้สองสามใบ แมวตัวหนึ่งนั่งยองอยู่ที่มุมโต๊ะ ชายชรากำลังคีบเนื้อชิ้นหนึ่งวางไว้ข้างหน้าแมว มองดูแมวกินเนื้อด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
ชายชราเห็นเฉินถิงเซียวพามู่น่อนน่อนลงมา รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งอ่อนโยนยิ่งขึ้น: “พวกเธอมากันแล้ว รีบมากินข้าวเร็ว”
หลังจากมู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวนั่งลงแล้ว ชายชราก็ถามเธอด้วยหน้าตาห่วงใยว่า: “ไข้ลดแล้วหรอ?”
มู่น่อนน่อนยิ้มบางๆ พูดเสียงนิ่มนวลว่า: “ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมากแล้วค่ะ ขอบคุณคุณลุงที่ให้ความช่วยเหลือนะคะ”
“งั้นก็ดีแล้ว” ชายชราก็ยิ้มตาม เอื้อมมือไปคีบเนื้อให้มู่น่อนน่อน: “กินข้าว”
ผัดผักสามอย่าง หนึ่งในนั้นดูเหมือนจะเป็นผักกวางตุ้ง อีกอันเป็นมันฝรั่งทอดกับหมูสไลด์ และอีกอันดูเหมือนจะเป็นผักดอง
อาหารประจำวันแบบง่ายๆ
มู่น่อนน่อนก้มตัวลงตักข้าวเข้าปาก พบว่าเป็นเบคอน
ชายชราเห็นเธอกินคำใหญ่ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า: “แม่หนูพอกินได้มั้ย? ชนบทของพวกเราก็ไม่มีอะไรอย่างอื่น มีแค่พวกผักกวางตุ้งเบคอนนี่แหละ เธอกินชั่วคราวไปก่อนนะ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า: “อร่อยมากค่ะ”
คุณลุงคนนี้ยินยอมรับเลี้ยงพวกเขานั้นก็ถือเป็นความกรุณาอย่างมากแล้ว และยังเชิญพวกเขากินข้าว แน่นอนว่าขอบคุณยังแทบไม่ทัน จะกล้าจู้จี้จุกจิกที่ไหน
มู่น่อนน่อนสามารถปรับตัวได้ทั้งหมด จึงหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวกินข้าวหน้าตาสงบ เหมือนตอนกินข้าวที่บ้านตามปกติไม่มีอะไรแตกต่าง
เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คุณชายเฉินซึ่งปกติเป็นคนจู้จี้จุกจิกมาก ไม่คิดเลยว่าจะสามารถปรับตัวได้
เวลาที่คนแก่กินข้าวจะชอบคุยเล่น
มู่น่อนน่อนพูดคุยเป็นเพื่อนเขาเป็นระยะๆ ก็รู้ถึงสถานการณ์โดยพื้นฐานของชายชรา
ภรรยาของเขาเสียชีวิตไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ลูกๆในบ้านก็ล้วนไปในเมืองกันหมด เขาอาศัยอยู่ในภูเขาตัวคนเดียวมาโดยตลอด
พอกินข้าวเสร็จ มู่น่อนน่อนก็จะไปล้างจาน ชายชราเป็นตายยังไงก็ไม่ยอมให้เธอล้าง
มู่น่อนน่อนไม่ได้ เลยผลักเฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างๆเล็กน้อย: “คุณไปล้าง”
เธอกับเฉินถิงเซียวทะเลาะกันมาก่อนหน้านี้ เดิมทีคิดว่าเฉินถิงเซียวคงจะไม่สนใจเธอแน่นอน คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะไปที่ห้องครัวล้างจานจริงๆ
ชายชราเห็นเฉินถิงเซียวไปล้างจาน ก็ไม่ได้ขวาง
รอเฉินถิงเซียวเดินไปห้องครัวแล้ว ชายชราถึงจะพูดกับมู่น่อนน่อนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า: “ความสัมพันธ์ของพวกเธอดีมากจริงๆ เหมือนฉันและภรรยาของฉันในตอนนั้นเลย”
มู่น่อนน่อนอึ้งไปสักพัก พูดว่า: “…หรอคะ?”
ไม่รู้ว่าคุณลุงคนนี้มองออกได้อย่างไร ว่าเธอกับเฉินถิงเซียวมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ชายชราพูดจบก็แค่มองเธออย่างยิ้มกริ่ม ไม่พูดอะไรเพิ่มอีก เริ่มไปแกล้งแมวอีกครั้ง
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นเดินไปห้องครัว
ห้องครัวในชนบทเรียบง่ายมาก เพราะเป็นการทำอาหารแบบเผาฟืน บนพื้นห้องครัวเลยมีฝุ่น บนคานหลังคาก็มีฝุ่นสะสม
มู่น่อนน่อนตัวเองเห็นแล้วยังรู้สึกตกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวจะยังสามารถยืนอยู่หน้าเตาฟืนล้างจานได้อย่างสงบ นี่ทำให้มู่น่อนน่อนเกือบจะสงสัยว่าเฉินถิงเซียวถูกเปลี่ยนตัวหรือเปล่า
ถึงยังไงเขาก็เป็นคุณชายผู้ร่ำรวยที่เติบโตมาอย่างหรูหราตั้งแต่เด็ก เมื่อก่อนเธอพาเขาไปเลี้ยงข้าว ร้านอาหารที่ไปดูธรรมดาไปสักนิด ก็ยังรู้สึกเหมือนกับว่าทำให้เขาได้รับความไม่เป็นธรรม
มู่น่อนน่อนเดินไปข้างๆเขาแล้วพูดว่า: “ให้ฉันล้างเถอะ”
“ยืนห่างๆหน่อย” เฉินถิงเซียวพูด แต่การเคลื่อนไหวในมือกลับไม่ได้หยุดลง
เขากำลังถือผ้าเช็ดทำความสะอาด เช็ดชามทีละใบทีละใบอย่างอดทน สีหน้ามองไม่ออกถึงความไม่เต็มใจหรือรังเกียจแม้แต่น้อย เหมือนกับท่าทางที่เขาทำงานตามปกติไม่แตกต่าง
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ข้างๆ มองเฉินถิงเซียวล้างจานอย่างอดทน ทั้งเช็ดให้สะอาดแล้ววางกลับไป
หลังจากเขาวางชามใบสุดท้ายเสร็จแล้ว ก็เดินมาตรงหน้ามู่น่อนน่อน เอื้อมมือไปแตะหน้าผากเธอ แล้วแตะตัวเองอีกรอบ ขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที
ยังร้อนอยู่นิดหน่อย
ลองใช้หน้าผากวัดอุณหภูมิ ที่จริงเป็นการกระทำที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก
มีช่วงเวลาสั้นๆครู่หนึ่ง มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวคนก่อนกลับมาแล้ว
เฉินถิงเซียวเช็คอุณหภูมิหน้าผากของเธอเสร็จแล้ว ก็เทน้ำเย็นครึ่งกะละมังมาวางไว้ข้างๆ พูดเสียงนิ่งๆว่า: “อีกสักพักยกขึ้นไปด้วยตัวเอง ตอนกลางคืนก็เปลี่ยนผ้าขนหนูเย็นแล้ววางทาบลงไปอีกสักหน่อย”
ในน้ำเสียงฟังไม่ออกถึงความเป็นห่วง แต่มู่น่อนน่อนก็พอใจแล้ว
เธอพยักหน้า: “อืม”
……
หลังจากล้างหน้าอย่างง่ายๆ มู่น่อนน่อนก็ยกกะละมังที่มีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่งขึ้นมาชั้นบน ใช้ผ้าขนหนูที่ตัวเองใช้ก่อนหน้านี้จุ่มน้ำเล็กน้อย นอนลงบนเตียงแล้ววางบนหน้าผากอีกครั้ง
เธอหลับตาลงและคิดเรื่องต่างๆ
ที่บ้านคุณลุงมีห้องไม่มากนัก เฉินถิงเซียวคืนนี้จะนอนด้วยกันกับเธอ หรือจะไปนอนกับคุณลุง
เธอคิดว่า เฉินถิงเซียวน่าจะยอมนอนกับเธอมากกว่า
คิดแบบนี้ เธอก็ผล็อยหลับไปอย่างสะลึมสะลือ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ามีคนกำลังหยิบผ้าขนหนูบนหน้าผากของเธอออก ลืมตาขึ้นดู ก็เห็นเฉินถิงเซียวนั่งอยู่ที่ข้างเตียงหยิบผ้าขนหนูบนหน้าผากของเธอออก หมุนตัวไปจุ่มในกะละมังจนเปียก บิดน้ำจนแห้งหยิบมาพับแล้วทาบลงบนหน้าผากของมู่น่อนน่อนใหม่อีกครั้ง
มู่น่อนน่อนขณะนี้เพิ่งรู้ว่าภายในห้องสว่างมาก มองตามแหล่งกำเนิดแสงไป พบว่าเป็นไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือของมู่ถิงเซียวเปิดไว้
แม้ว่าโทรศัพท์มือถือจะไม่สามารถโทรออกได้ แต่ยังสามารถส่องแสงสว่างได้
เธอเอียงหัว เฉินถิงเซียวเลยวางผ้าขนหนูไม่ถนัด ดุเสียงเบาๆออกมาทีหนึ่ง : “อย่าขยับ”
มู่น่อนน่อนรีบนอนราบอย่างรวดเร็ว ให้เฉินถิงเซียววางผ้าขนหนูให้เธอได้สะดวก
เฉินถิงเซียววางผ้าขนหนูเสร็จแล้ว ก็ไปหยิบโทรศัพท์มือถือ
มู่น่อนน่อนถามเขาว่า: “กี่โมงแล้ว? เมื่อกี้คุณไปไหนมา?”
เฉินถิงเซียวถือเหล้าขาวและผ้าขนหนูที่ชายชราเอาให้เขา กลับมาที่ห้อง
ตอนที่เขาเข้าไป มู่น่อนน่อนไม่รู้ลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ นั่งอยู่บนเตียงอย่างสะลึมสะลือ
เนื่องจากเพราะมีไข้ สีหน้าของเธอจึงแดงเล็กน้อย ขมวดคิ้ว ในดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาพร่ามัว
เฉินถิงเซียวเข้ามา เธอขมวดคิ้วอย่างแรง ถึงจะหรี่ตาจำเขาได้
รอเขาเดินเข้ามาใกล้ มู่น่อนน่อนถึงถามว่า: “คุณไปไหนมา?”
น้ำเสียงของเธอลากยาวเล็กน้อย ฟังดูแล้วค่อนข้างน่าสงสาร
เฉินถิงเซียวนั่งลงข้างเตียง บนตัวเธอสวมแค่เสื้อเชิ้ตตัวเดียวของเขา เขาเหลือบตาลงต่ำ ก็มองเห็นเรียวขาที่ขาวเนียนของเธอ
ไข้ขึ้นจนเบลอแล้วจริงๆ
เฉินถิงเซียวดึงผ้าห่มมาคลุมให้เธอ พูดเสียงเย็นชาว่า: “นอนลงไป”
มู่น่อนน่อนเม้มปาก ปฏิเสธว่า: “ไม่”
ตอนนี้เธอไข้ขึ้นจนสติเลอะเลือนเล็กน้อย ไม่สนว่าเฉินถิงเซียวจะพูดอะไร แค่รู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาดุมาก เธอจะไม่ทำตามอย่างเด็ดขาด
เฉินถิงเซียวจ้องเธอสองสามวินาที ราวกับมองความคิดในใจของเธอออก ขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงอ่อนลงหน่อย พูดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง: “นอนลงไป”
“อ่อ” มู่น่อนน่อนครั้งนี้กลับให้ความร่วมมืออย่างมาก
แต่เธอในตอนนี้ไม่สนน้ำเสียงหนักเบาแล้ว ได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียว ก็ล้มลงไปข้างหลังอย่างตัวตรง
โชคดีที่เฉินถิงเซียวคว้าเธอเอาไว้อย่างรวดเร็ว
เธอเป็นไข้จนร่างกายไม่มีแรง เฉินถิงเซียวประคองไหล่ของเธอ และวางเธอลงบนเตียงอย่างง่ายดาย
เอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเธอ ร้อนอย่างรุนแรง
เฉินถิงเซียวเปิดเหล้าขาวมองดูสักพัก แล้วก็วางกลับไป
เหล้าขาวสามารถลดอุณหภูมิร่างกายลงได้ แต่ใช้ให้น้อยจะดีกว่า
เฉินถิงเซียวเอาผ้าขนหนูเปียกวางลงบนหน้าผากของมู่น่อนน่อน ห่มผ้าห่มให้เธอ จากนั้นก็หันหลังกลับลงไปข้างล่าง
ชายชราอุ้มแมวนั่งอยู่หน้าประตู ในมือถือท่อสูบบุหรี่ที่ยาวมากด้ามหนึ่ง กำลังใส่ยาสูบไม่กี่แผ่นลงไปจุดไฟ
ที่เขาสูบเป็นบุหรี่ชนิดที่ปลูกขึ้นมาเอง ไม่ได้ผ่านการแปรรูป กลิ่นของยาสูบฉุนจนแสบจมูกเล็กน้อย
คิ้วของเฉินถิงเซียวขยับเบาๆเล็กน้อย และเดินไปนั่งลงตรงข้ามชายชรา
ชายชรายื่นท่อสูบบุหรี่ไปตรงหน้าเฉินถิงเซียว: “เอาหน่อยมั้ย?”
เฉินถิงเซียวตอบเสียงเรียบ: “ไม่เอาครับ”
“ภรรยานายเป็นไงบ้าง?” ชายชราดูเหมือนก็แค่ถามผ่านๆ หลังจากสูดเข้าไปทีหนึ่งอย่างเพลิดเพลิน ก็ถามออกมา
เฉินถิงเซียวสีหน้าไม่เปลี่ยน: “ไม่เป็นอะไรครับ”
“อ้อ พวกนายเป็นคนในเมือง มาทำอะไรที่นี่ล่ะ?” ชายชราเคาะหัวบุหรี่ เหลือบสายตาขึ้นมองเขา
เฉินถิงเซียวตอบอย่างง่ายๆ: “ธุระครับ”
ชายชราน่าจะมองออกว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนไม่ค่อยชอบพูด เลยไม่ถามอะไรมาก แต่เป็นเริ่มมองสังเกตเฉินถิงเซียว
ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ารูปร่างสูงมาก คิ้วเข้ม หล่อเหลาน่าหลงใหล เสื้อผ้าที่เนื้อผ้าหยาบกร้านเมื่อสวมอยู่บนตัวของเขา ก็ปกปิดความเป็นผู้ดีของเขาไม่ได้เลย แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนตื่นขึ้น ที่เข้าสู่สายตาก็คือความมืดครึ้ม
เธอลืมตาเพื่อปรับตัวครู่หนึ่ง ถึงจะมองเห็นเครื่องเรือนภายในห้องลางๆ
ด้านบนไม่ใช่เพดานที่เธอตื่นขึ้นมาแล้วเห็นทุกเช้า แต่เป็นคานหลังคาไม้แท้และกระเบื้องหลังคาสีน้ำเงิน
ในห้องก็ไม่มีของตกแต่งอื่นๆ เธอนอนอยู่บนเตียงมองออกไป ก็เห็นเพียงบางอย่างที่คล้ายกับตู้ ในห้องยังมีกลิ่นของไม้อับชื้นอีกด้วย
เมื่อประสาทสัมผัสกลับมา เธอถึงรู้สึกว่าบนหน้าผากมีผ้าขนหนูทาบอยู่
ผ้าขนหนูถูกอุณหภูมิร่างกายของเธออบจนเกือบแห้ง
เธอจำได้ เหมือนว่าเฉินถิงเซียวจะมาหาเธอแล้ว!
มู่น่อนน่อนพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง รู้สึกมึนหัวเล็กน้อย เธอรอสองสามวินาที ถึงจะลงจากเตียงแล้วเดินไปที่หน้าประตู
เปิดประตู ก็เห็นบันได ชั้นล่างมีเสียงพูดคุยของชายชราดังมาเป็นระยะๆ ในนั้นยังผสมกับเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่ง
มู่น่อนน่อนยืนฟังอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง ก็พบว่าชายชราพูดยาวๆท่อนหนึ่ง ชายหนุ่มถึงจะตอบสั้นๆมาคำหนึ่ง
แม้ว่าจะเป็นเพียงการตอบแบบสั้นๆ แต่มู่น่อนน่อนก็ฟังออกว่านี่คือเสียงของเฉินถิงเซียว
เธอรู้สึกดีใจมาก จะลงไปข้างล่าง
เดินไปข้างหน้าได้สองก้าว เธอถึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองตอนนี้สวมแค่เสื้อเชิ้ตตัวเดียวเท่านั้น เลยรีบกลับเข้าไปในห้อง หาสวิตช์ไฟที่ข้างประตูเจอ
เธอกดสวิตช์เปิดปิด แต่ในห้องกลับไม่มีไฟสว่างขึ้นมา
ไฟดับ
ช่วงสองสามวันมานี้ฝนตกหนัก ดินถล่มรุนแรง ไฟดับก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
ของในห้องเดิมทีก็มีไม่มาก เธอคลำหารอบๆก็ไม่มีเสื้อผ้าเลย
มู่น่อนน่อนได้แค่กลับไปที่เตียง รอให้เฉินถิงเซียวขึ้นมา
โชคดีที่เฉินถิงเซียวไม่ได้ปล่อยให้เธอรอนาน
เธอนั่งบนเตียงไม่ถึงสิบนาที ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าว่ามีคนเดินขึ้นมาชั้นบน
ฝีเท้ามั่นคง เป็นเฉินถิงเซียว
เป็นอย่างที่คิด ผ่านไปสักพัก เฉินถิงเซียวก็ผลักประตูเดินเข้ามา เขามือข้างหนึ่งถือเทียนแท่งหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งถือเสื้อผ้าของมู่น่อนน่อน
แสงเทียนสีเหลืองส้มส่องสว่างห้องที่มืดครึ้ม มู่น่อนน่อนเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นหน้าของเฉินถิงเซียว
เธอร้องออกมาด้วยความเซอร์ไพรส์: “เฉินถิงเซียว!”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร ถือเทียนเดินมาข้างเตียง วางเสื้อผ้าในมือลงบนเตียง เอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเธอเล็กน้อย
แน่ใจว่าหน้าผากของเธอไม่ร้อนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ถึงจะลุกยืนขึ้น
มู่น่อนน่อนถึงจะสังเกตเห็นเสื้อผ้าที่เฉินถิงเซียวสวมอยู่บนตัว
เขาสวมชุดทำงานสีเขียวทหาร คล้ายกับเสื้อผ้าที่คนในยุค90สวมใส่ในทีวี มองดูแล้วให้ความรู้สึกของยุคสมัย
แต่เฉินถิงเซียวก็คือเฉินถิงเซียว ต่อให้เสื้อผ้าขาดๆ ก็ยังคงเป็นคุณชายเฉินที่แผ่ออร่าผู้ดีไปทั่วร่าง
เฉินถิงเซียวมองต่ำ เห็นมู่น่อนน่อนจ้องมองตัวเองอย่างจดจ่อ ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า: “สวมซะ”
มู่น่อนน่อนเอื้อมมือไปหยิบเสื้อผ้ามา ได้กลิ่นควันกลิ่นหนึ่ง ก็เดาได้ว่าเสื้อผ้าชุดนี้เฉินถิงเซียวจะต้องช่วยเธอผึ่งไฟจนแห้งแน่ๆ
ยังไงเสียสถานที่แบบนี้ ก็ไม่มีเครื่องอบผ้า
มู่น่อนน่อนมองดูเสื้อผ้า แล้วก็มองเฉินถิงเซียว: “คุณหันไปสิ”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วมองเธอ: “ก่อนหน้านี้ที่คุณขอร้องให้ผมช่วยคุณอาบน้ำ ผมเห็นหมดทุกอย่างแล้ว”
“……”
เวลานี้ เฉินถิงเซียวก็เสริมเข้าไปอีกประโยคหนึ่งว่า: “ก็ไม่มีอะไรน่ามอง”
มู่น่อนน่อนเม้มปาก ถลึงตาใส่เขา ดึงผ้าห่มออกแล้วก็เริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้า
ส่วนเฉินถิงเซียวก็จ้องมองเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าตรงๆอยู่แบบนั้นจริงๆ ไม่แม้แต่ละสายตา
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าอุณหภูมิที่เพิ่งลดลงของตัวเอง สูงขึ้นมาอีกครั้ง
ถูกเฉินถิงเซียวมองดูจนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ หน้าของเธอก็ร้อนผ่าวราวกับลุกเป็นไฟ
มู่น่อนน่อนคิดว่า ไม่ว่าความทรงจำของคนคนหนึ่งจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ตอนที่หน้าไม่อายก็ยังคงหน้าไม่อาย
เธอพลิกตัวลงจากเตียง มองเขาอย่างยั่วยุ: “มองแล้วก็ต้องรับผิดชอบ”
เฉินถิงเซียวเหอะอย่างเย็นชาออกมา: “เพราะว่าคุณ ผมถึงติดอยู่ในสถานที่แบบนี้ คุณก็ต้องรับผิดชอบด้วยใช่หรือเปล่า? คุณรู้มั้ยว่าผมติดอยู่ที่นี่หนึ่งวัน บริษัทเฉินซื่อจะมีงานกองเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่?”
ความรู้สึกซาบซึ้งใจที่อยู่ในใจของมู่น่อนน่อนพวกนั้น ถูกคำพูดของเขาชะล้างหายไปในพริบตา
เธอกัดฟัน น้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก: “ถ้างั้นคุณก็อย่ามาสิ? คุณจะมาทำไม?”
มู่น่อนน่อนซบอยู่ในอ้อมแขนของเฉินถิงเซียว แขนข้างหนึ่งห้อยไปด้านหนึ่งอย่างหมดแรง แขนอีกข้างฝืนยกขึ้นมาคว้าที่ชายเสื้อของเขาไว้
แม้ว่าบนตัวของเฉินถิงเซียวจะเต็มไปด้วยโคลน แต่มู่น่อนน่อนก็ยังทนไม่ไหวที่จะคลอเคลียอยู่ในอ้อมแขนของเขา
ใจทั้งดวง ก็สงบนิ่งลงอย่างนั้น
หายากที่เฉินถิงเซียวจะไม่พูดจาไม่น่าฟัง ปล่อยให้เธอซบอยู่ในอ้อนแขน ไม่ได้ผลักเธอออก
ผ่านไปไม่กี่วินาที มู่น่อนน่อนถึงจะพูดออกมาว่า: “เดินไหว แต่ฉันขอพักสักแปปนึง”
ร่างกายของเธอแข็งเกินไป ต้องขยับตัวเล็กน้อยถึงจะได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินถิงเซียวก็มองลงมาที่เธอ
มู่น่อนน่อนก็เงยหน้ามองเขาเช่นกัน ริมฝีปากเหยียดโค้งขึ้น ส่งยิ้มให้เขา
รอยยิ้มที่อ่อนโยนแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
คิ้วของเฉินถิงเซียวยิ่งขมวดแน่นขึ้น เอื้อมมือไปแตะหน้าผากของมู่น่อนน่อน
มือของเขาเพิ่งจะสัมผัสโดนหน้าผากของมู่น่อนน่อน ก็ถูกความร้อนที่มาจากหน้าผากของเธอทำให้ต้องชักมือออก
เขาทาบลงบนหน้าผากของมู่น่อนน่อนเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิ จากนั้นก็ทาบลงบนหน้าผากของตัวเองรับรู้อุณหภูมิสักพัก พูดอย่างนิ่งๆว่า: “คุณเป็นไข้”
“งั้นเหรอ?” มู่น่อนน่อนพูดแล้วก็เอื้อมมือไปแตะหน้าผากของตัวเอง: “มิน่าล่ะฉันรู้สึกร้อนนิดหน่อย”
เสียงของเธออ่อนแอมาก เอียงศีรษะซบอยู่ในอ้อมแขนของเฉินถิงเซียว ไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย
คิ้วที่ขมวดของเฉินถิงเซียว ก็ไม่เคยคลายออกเลย
เขาใช้มือข้างหนึ่งพยุงมู่น่อนน่อนไว้ พูดเสียงเข้มว่า: “ยืนนิ่งๆ”
ทันใดนั้น เขาย่อตัวลง ดึงมือของมู่น่อนน่อน ให้เธอกอดคอของเขา
มู่น่อนน่อนทั้งร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงเลย กอดคอของเขาแล้วก็พิงบนหลังของเขาอย่างอ่อนปวกเปียก น้ำเสียงรู้สึกสับสนเล็กน้อย: “คุณจะแบกฉันงั้นหรอ? แต่ช่วงนี้ฉันดูเหมือนจะอ้วนขึ้นนิดหน่อย หนักหน่อยนะ…”
เฉินถิงเซียวไม่สนใจคำพูดไร้สาระของเธอ แบกเธอและเดินไปข้างหน้า
เขาเดินไปไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินมู่น่อนน่อนถามเขาว่า: “ฉันหนักหรือเปล่า?”
เฉินถิงเซียวตอบอย่างเย็นชา: “ไม่หนัก”
ไม่เพียงไม่หนัก แถมยังเบามาก
ถ้าหากเธออ้วนขึ้นสักหน่อย คงจะน่ามองกว่านี้
“อ้อ ถ้างั้นก็ดี…” เสียงตอนท้ายเบาเป็นพิเศษ จนถึงเสียงหาย
โชคดีที่สภาพทางหลวงส่วนนี้ ดีกว่าทางส่วนนั้นที่เฉินถิงเซียวเข้ามาสักหน่อย เลยเดินได้สะดวกกว่านิดหน่อย
แต่ก็ไม่ได้ดีไปมากเท่าไหร่
ถนนลูกรังในชนบท พอถึงวันที่ฝนตก เดินเหยียบลงไปล้วนมีแต่โคลน ย่างเท้าหนักบ้างเบาบ้าง ข้างหลังยังแบกคนไว้อีกคน ไม่ว่าเฉินถิงเซียวจะสมรรถภาพทางกายดีแค่ไหน เดินไปนานๆก็รู้สึกไม่ไหวเล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงบนหลังยังเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระเป็นครั้งคราวอีก
“ฉันหนักมั้ย?”
เฉินถิงเซียวจำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เธอถามคำถามนี้
เขาพูดเสียงเข้ม: “หนักมาก เพราะงั้นตั้งแต่นี้ไปคุณหุบปากจะดีที่สุดไม่ต้องพูดอะไรอีก”
“อ่อ” มู่น่อนน่อนที่เป็นไข้จนเบลอเชื่อฟังมาก ตอบกลับทีหนึ่งแล้วก็ไม่พูดอะไรอีกจริงๆ
ส่วนเฉินถิงเซียวก็รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิบนตัวของมู่น่อนน่อนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
จะให้เธอเป็นไข้แบบนี้ต่อไปไม่ได้ จะต้องหาสถานที่พักและหาหมอ
แต่ว่า…
เฉินถิงเซียวเหลือบตาขึ้นมอง ทางด้านหน้าไกลๆไม่เป็นป่าทึบก็เป็นดินโคลน
ไม่รู้ว่าเดินมานานแค่ไหน ในป่าตรงริมถนนมีเงาของบ้านเรือน
เฉินถิงเซียวมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็แบกมู่น่อนน่อนเดินเข้าไป
เป็นบ้านที่ใช้อิฐสีน้ำเงินสร้างขึ้นมาหลังหนึ่ง งานหยาบมาก แต่สำหรับพวกเขาในเวลานี้ ถือว่าเป็นที่พักอาศัยที่ยอดเยี่ยมแล้ว
ประตูบ้านเปิดอยู่
เฉินถิงเซียวแบกมู่น่อนน่อนเดินไปที่หน้าประตู ก็เห็นชายชราอายุกว่าครึ่งร้อยปีนั่งอยู่บนเก้าอี้ ถือปลาตัวหนึ่งกำลังเล่นกับแมวตัวหนึ่ง
ชายชราได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็เงยหน้าขึ้นมอง หรี่ตาและถามว่า: “มาทำอะไร?”
“เจอกับดินถล่ม ขอพักค้างคืนหน่อยครับ” เฉินถิงเซียวพูดอย่างกระชับรัดกุม
แต่ชายชราไม่เข้าใจภาษาจีนกลาง พูดได้แค่ภาษาถิ่นเท่านั้น
เฉินถิงเซียวล้มเหลวในการสื่อสารกับเขา
แต่โชคดีที่ชายชรามีจิตใจดี เห็นเขากับมู่น่อนน่อนตกระกำลำบากขนาดนี้ ก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา เลยเรียกพวกเขาทั้งสองให้เข้ามา
ที่พักของชายชราถึงแม้จะเรียบง่าย แต่ในบ้านกลับสะอาดเป็นพิเศษ
ชายชราพาเขาไปที่ห้องครัว ชี้ไปที่โอ่งเก็บน้ำ แล้วชี้ไปที่หม้อเหล็กขนาดใหญ่ บ่งบอกว่าถ้าพวกเขาจะอาบน้ำ ก็ต้องต้มน้ำ
ต้มน้ำถังหนึ่งให้พวกเฉินถิงเซียวแล้ว ชายชราก็ไปหาเสื้อผ้าของตัวเองมาสองชุดให้เฉินถิงเซียว จากนั้นก็กลับไปที่ห้องก่อนหน้านี้เล่นกับแมวต่อ
เฉินถิงเซียวมองไปทางที่ชายชราเดินจากไป วางมู่น่อนน่อนนั่งลงบนเก้าอี้ ตบหน้าเธอเบาๆ เรียกชื่อของเธอ: “มู่น่อนน่อน ตื่นสิ”
มู่น่อนน่อนพยายามลืมตาขึ้นมา เห็นคนตรงหน้าคือเฉินถิงเซียว แค่พูดประโยคเดียวว่า: “ง่วงจัง”
จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้ง และผล็อยหลับไปอย่างสบายใจ
วางใจเขาขนาดนี้เลย?
เฉินถิงเซียวสูดหายใจเข้าลึก ข่มขู่เธอ: “มู่น่อนน่อน ทางที่ดีคุณลืมตามาอาบน้ำเอง ไม่อย่างนั้นผมจะทิ้งคุณอยู่ที่นี่”
มู่น่อนน่อนที่ถูกเขาข่มขู่ค่อยๆฝืนลืมตาขึ้น: “คุณไม่ทิ้งฉันหรอก…ง่วงจัง…คุณช่วยฉันอาบ…”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวเปลี่ยนไปแล้วก็เปลี่ยนไป สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงประนีประนอม
ถ้ามู่น่อนน่อนสภาพแบบนี้ไม่อาบน้ำหาวิธีลดไข้อีก จะได้เป็นไข้ขึ้นสมองจริงๆ
ในความทรงจำตอนนี้ของเฉินถิงเซียว ไม่มีความทรงจำปรนนิบัติผู้หญิงอาบน้ำเลย
แต่ตอนที่เขาเอื้อมมือไปถอดเสื้อผ้าของมู่น่อนน่อนออก ช่วยเธออาบน้ำ การกระทำทั้งคล่องแคล่วและชำนาญ ราวกับว่าเคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อน…
เฉินถิงเซียวนิ่งไปเล็กน้อย
ผู้หญิงคนนี้มีพลังเวทมนตร์อะไร เมื่อก่อนเขาถึงเคยทำเรื่องแบบนี้ให้เธอ?
ค่อยๆล้างโคลนบนร่างกายของเธอออกไป ผิวขาวเนียนบนร่างของเธอก็ค่อยๆเผยออกมาทีละนิดๆ
ผิวของเธอขาวมาก ขาวเปล่งปลั่งจนแสบตาเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวรู้สึกร้อนขึ้นมาเล็กน้อย ขมวดคิ้วชำเลืองตาไม่มองเธออีก แต่สัมผัสที่มือกลับชัดเจนเป็นพิเศษ
เฉินถิงเซียวกัดฟันช่วยเธออาบน้ำจนเสร็จ เหลือบมองเสื้อผ้าที่ชายชราช่วยหยิบมาให้พวกเขาครู่หนึ่ง ถอดเสื้อคลุมสูทของเขาออกอย่างเงียบๆ และถอดเสื้อเชิ้ตของตัวเองออกแล้วสวมให้มู่น่อนน่อน
ระหว่างทางฝนไม่ตกมาก เสื้อคลุมสูทของเขาเต็มไปด้วยโคลน แต่เสื้อเชิ้ตถือว่ายังสะอาดอยู่
เขาอุ้มมู่น่อนน่อนไปที่ห้อง ตัวเองออกมาอาบน้ำเย็นอย่างเร่งรีบ เอาเสื้อผ้าของมู่น่อนน่อนมาซักแล้วถือไปตากไว้ที่ห้อง
เขาไม่รู้วิธีซักเสื้อผ้าด้วยมือ แต่ล้างโคลนออกจากเสื้อผ้าถือว่าพอทำได้
ห้องที่ชายชราจัดไว้ให้พวกเขาอยู่ชั้นสอง ตัวชายชราเองขาและเท้าไม่ค่อยดีเลยอยู่ที่ชั้นหนึ่ง
ตอนที่เฉินถิงเซียววางมู่น่อนน่อนในห้องและเดินออกมา ตรงบันไดก็เห็นชายชรากำลังถือราวจับบันไดปีนขึ้นบันไดมา
ชายชราในมือถือผ้าเช็ดตัวเปียกผืนหนึ่ง อีกมือหนึ่งถือเหล้าหนึ่งขวด
เฉินถิงเซียวถึงพบว่าชายชราขากะเผลกนิดหน่อย
เขาลงไปข้างล่าง เดินไปตรงหน้าชายชราและรับของมา: “ขอบคุณครับ”
ชายชราพูดอย่างช้าๆ: “เอาไปให้ภรรยานายลดไข้ อากาศแบบนี้ไม่มีที่หาหมอหรอก”
ครั้งนี้ เฉินถิงเซียวเหมือนพอจะฟังภาษาถิ่นของเขารู้เรื่องนิดหน่อย
เขาตอบนิ่งๆทีหนึ่ง: “อืม”
ชายชราพยักหน้า และเดินลงไปข้างล่างอีกครั้ง
ด้านหลังมีแมวตัวนั้นเดินตาม
เฉินถิงเซียวยืนนิ่งอยู่ที่เดิมครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็ก้าวเท้าเดินไปยังทิศที่มา
ลูกน้องเข้าใจทันที เฉินถิงเซียวจะไปทางหลวงอีกเส้นที่ถูกดินถล่มไปตั้งนานแล้ว เขาเดินนำทางอยู่ข้างหน้า แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเตือนเฉินถิงเซียวอีกครั้ง: “คุณชาย ถนนเส้นนั้นตอนนี้ไม่ปลอดภัยอย่างมาก เสียหายหนักมาก ตอนที่เราเข้าไปในหมู่บ้าน ก็ถูกปิดกั้นห้ามเข้าไปแล้ว”
ถ้าหากถนนเส้นนั้นถูกทำลายแต่แรก ถ้าอย่างนั้นตอนที่มู่น่อนน่อนเข้ามาในภูเขา เป็นไปได้มากที่จะไปทางถนนเส้นนั้น
เธอขาดการติดต่อตั้งแต่เมื่อวาน อาจจะติดอยู่ที่ไหนบนถนน หรืออาจจะ…
เฉินถิงเซียวคิดถึงตรงนี้ สีหน้าก็ย่ำแย่ขึ้นเล็กน้อย ฝีเท้าของเขา ก็ยิ่งก้าวเร็วขึ้น
ลูกน้องเร่งฝีเท้าเดินตามหลังเขา ถึงจะบังคับให้ตามฝีเท้าของเขาได้ทัน
เมื่อเฉินถิงเซียวเดินมาถึงทางเข้าทางหลวงที่ใช้เข้าภูเขาอีกเส้นหนึ่ง เห็นถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อถูกทำลายจนไม่เป็นรูปเป็นร่าง ก็กัดฟันแน่น หน้าตาเคร่งขรึม
ถนนนั้นไม่มีทางผ่านไปได้เลย
เฉินถิงเซียวยังไม่ทันเข้าไป ก็ได้ยินเสียง “โครม!” วินาทีต่อมา หินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งก็ตกลงมาอยู่ไม่ไกล กระแทกขอบถนนลงไปอีกครั้ง
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร ก็เดินไปทางนั้น
ลูกน้องรีบขวางเขาทันที: “คุณชาย ไปไม่ได้นะครับ!”
สือเย่เดิมทีก็จะมากับเขาด้วย แต่เฉินถิงเซียวไม่ให้เขามา
เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป มีหลายเรื่องในบริษัทที่ไม่ได้จัดการ เขาเลยให้สือเย่อยู่เฝ้าดูที่บริษัทเฉินซื่อ
ตอนที่มา ผู้ช่วยพิเศษสือก็กำชับพวกเขาโดยเฉพาะ ในกรณีฉุกเฉิน จะต้องหยุดยั้งเฉินถิงเซียวเอาไว้ให้ได้
แต่ว่า เฉินถิงเซียวใช่ว่าใครที่ไหนจะมาหยุดยั้งได้ง่ายๆ?
“ปล่อยมือ”
เฉินถิงเซียวเพียงแค่หันกลับไปเหลือบมองเขานิ่งๆ น้ำเสียงเย็นเยือกไร้ซึ่งอุณหภูมิ
ลูกน้องถูกสายตาของเขาทำให้ตกใจ อยากพูดแต่ก็ไม่กล้าพูด อยากขวางแต่ก็ไม่กล้าขวาง ได้แต่ปล่อยมือออก และมองเฉินถิงเซียวเดินเข้าไปตาไม่กระพริบ
ทางเข้าของทางหลวงเส้นนี้ ห่างจากทางหลวงเส้นนั้นที่พวกเขาพึ่งจะขับรถไปเมื่อกี้ไม่ไกล
เฉินถิงเซียวพึ่งจะเดินไปด้านหน้า เขาก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันดังมาจากทางด้านหลัง
ลูกน้องหันกลับไป ก็เห็นกู้จือหยั่นพาคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา เพียงแค่เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่อยู่บนตัวเลอะเต็มไปด้วยโคลน จนมองสภาพเดิมไม่ออกเลย
รถของเฉินถิงเซียวเมื่อกี้ก็ถูกทับอยู่บนถนนเส้นนั้น พวกกู้จือหยั่นมาจากถนนเส้นนั้น ขับรถคงจะเข้ามาไม่ได้แน่ น่าจะทิ้งรถและใช้มือปีนขึ้นมา ดังนั้นถึงได้มีสภาพตกระกำลำบากขนาดนี้
กู้จือหยั่นเห็นลูกน้องของเฉินถิงเซียว ก็รีบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ถามว่า: “เฉินถิงเซียวล่ะ?”
“คุณชายเขาต้องการที่จะไป…” ลูกน้องของเฉินถิงเซียวชี้สถานที่ที่เฉินถิงเซียวพึ่งจะหายไปเมื่อสักครู่นี้
กู้จือหยั่นมองตามไป ภาพที่เห็นก็คือทางหลวงสภาพพังยับเยิน มีเงาของเฉินถิงเซียวเสียที่ไหน
กู้จือหยั่นเดินเข้าไป ลองดูว่าจะเหยียบลงไปตรงไหน แต่เดินวนไปวนมาอยู่ตรงถนน ก็พบว่าเดิมทีก็ไม่มีที่ให้เดิน
เขาโกรธจนเตะหินตรงหน้าทีหนึ่ง พูดแช่งเบาๆ: “ไอ้บ้านี่! ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือไง!”
ถึงแม้จะเป็นห่วงเฉินถิงเซียวมาก แต่เขาก็เชื่อว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้สะเพร่าขนาดนั้น
เฉินถิงเซียวเดินจากตรงนี้ไป จะต้องมีความมั่นใจอย่างมาก
กู้จือหยั่นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ตัดสินใจไปที่หมู่บ้านก่อนเพื่อเช็คให้แน่ใจว่าเสิ่นเหลียงปลอดภัยดีหรือไม่
……
ทางหลวงได้รับความเสียหายอย่างหนัก มีถนนบางส่วนแตกขาดออกไป
ยังมีถนนบางส่วน หลังจากที่เฉินถิงเซียวเดินไปข้างหน้าแล้ว ด้านหลังก็มีดินโคลนและหินบางส่วนร่วงตกลงมาอีกครั้ง
เขาก้าวเดินอย่างยากลำบาก แต่กลับไม่เห็นวี่แววของเงารถยนต์เลย
คงจะไม่ถูกพัดตกลงไปล่างหน้าผาจริงๆหรอกนะ
ด้านหนึ่งของถนนติดกับภูเขา อีกด้านเป็นหน้าผา ไม่ได้สูงชันมาก แต่เป็นป่าทึบไร้ซึ่งผู้คน รถยนต์ถ้าตกลงไป คนในรถจะเป็นหรือตายก็ยากที่จะคาดเดา
เฉินถิงเซียวมองดูใต้หน้าผา ก็จำเรื่องที่มู่น่อนน่อนมาเคาะประตูห้องเขาก่อนจากไปขึ้นมาได้
เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ตอนนั้นถ้าเขาเปิดประตู ไม่ให้มู่น่อนน่อนไป ตอนนี้เธอก็จะไม่หายตัวไปใช่หรือไม่?
เฉินถิงเซียวก็ไม่รู้ว่าตัวเองเดินมานานแค่ไหนแล้ว เขาเดินไปด้วยสังเกตว่ามีรถหรือไม่ไปด้วย เรียกชื่อมู่น่อนน่อนไปด้วย
ข้างหน้าเป็นถนนดินโคลนเปียกแฉะ เงาคนสักคนก็ไม่มี
เฉินถิงเซียวสูดหายใจเข้าลึก ตะโกนลงไปใต้หน้าผา: “มู่น่อนน่อน!”
เดินมาไกลขนาดนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองเรียกชื่อมู่น่อนน่อนมากี่ครั้งแล้ว แต่กลับไม่ได้รับการตอบกลับเลย
เขาก็คิดว่าครั้งนี้จะเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีทางได้รับการตอบกลับจากมู่น่อนน่อน
ตอนที่เขากำลังจะหันหลังกลับเดินต่อไปข้างหน้า ข้างหลังก็มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้น
“ฉันอยู่ตรงนี้…”
เฉินถิงเซียวหยุดฝีเท้าอย่างแรง หันหน้ากลับไปทางที่เดินผ่านมาเมื่อกี้
“มู่น่อนน่อน? นั่นคุณหรอ?”
“…ฉันเอง”
มีเสียงตอบรับ
เสียงเหมือนว่าจะดังมาจากข้างทาง
เฉินถิงเซียวเดินไปตามเสียง ก้มตัวลงมองไปทางถนนที่ติดกับหน้าผา ก็เห็นมู่น่อนน่อนซึ่งถูกดินโคลนเลอะจนแม้แต่สภาพเดิมของเสื้อผ้าก็มองไม่ออก
เธอมือข้างหนึ่งคว้ากิ่งต้นไซเปรสหนาๆกิ่งหนึ่ง ข้างๆต้นไซเปรสเป็นหินก้อนหนึ่งที่ดูเหมือนพร้อมจะตกลงไปทุกเมื่อ ที่เธอเหยียบอยู่ใต้เท้าก็เป็นหินที่เกือบจะตกลงไปก้อนหนึ่งเช่นกัน
เธอดูแข็งทื่อมาก ไม่รู้ว่ายืนทนอยู่ท่านี้มานานแค่ไหน
“เฉินถิงเซียว!”
พริบตานั้นที่เห็นเฉินถิงเซียว เป็นครั้งแรกที่มู่น่อนน่อนได้สัมผัสถึงความรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาไหล
เธอเรียกชื่อเขาทีหนึ่ง ก็กัดริมฝีปากไม่พูดอะไรอีก
มีคำพูดมากมายที่อยากจะพูด แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
เฉินถิงเซียวยืนอยู่บนหินก้อนนั้น ก้มตัวลงยื่นมือส่งให้เธอ พูดเสียงนิ่งขรึมว่า: “ส่งมือมาให้ผม”
เกือบจะในทันที มู่น่อนน่อนวางมือของตัวเองไว้ในมือของเขา
แรงแขนของเฉินถิงเซียวช่างน่าตกใจ ออกแรงดึงเธอขึ้นมาทันที
หลังจากที่มู่น่อนน่อนถูกดึงขึ้นมา ทั้งร่างกายก็อ่อนยวบลงไปกองกับพื้น
เธอหลับตาและหายใจเข้าช้าๆ ถึงจะเล่าประสบการณ์ของเธอออกมา: “เมื่อวานฉันเช่ารถคันหนึ่งจากในเมืองขับเข้ามา ระหว่างทางเจอเข้ากับโคลนถล่ม รถขับผ่านไปไม่ได้ ก็เลยลงจากรถแล้วเดินไป…”
ผลก็คือยิ่งเธอเดินไปข้างหน้า ก็พบว่าถนนข้างหน้ายิ่งแย่มากขึ้น และเธออยากจะเดินกลับไป ถนนข้างหลังก็ถูกทำลายไปแล้ว
สุดท้ายตัวเธอเองก็เกือบตกหน้าผา
เธอยืนอยู่ท่าเดียวตรงนั้นทั้งคืน
อาจจะเป็นเพราะเคยผ่านเรื่องระเบิดบนเกาะเล็กๆมาแล้ว แม้ว่าเธอจะยืนอยู่ตรงนั้นทั้งคืนไม่มีใครมาช่วยเธอ ในใจเธอก็ไม่มีความกลัวแม้แต่นิดเดียว
เพียงแต่ นี่ล้วนเป็นความคิดก่อนหน้านี้
เมื่อตอนที่เธอได้ยินเฉินถิงเซียวเรียกชื่อเธอ เธอก็เข้าใจทันที ว่าเธอกำลังรอเฉินถิงเซียว
เพราะเธอรู้ ดังนั้นเธอถึงไม่กลัวอะไรเลย
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วแน่น ดึงเธอลุกขึ้นมาจากพื้น ถามออกมาว่า: “ยังเดินไหวมั้ย?”
มู่น่อนน่อนแข็งทื่อไปหมดทั้งตัว แทบจะยืนนิ่งๆไม่ไหว ถูกเขาดึงขึ้นมาก็เกือบจะล้มลง เฉินถิงเซียวตอบสนองไวรีบกอดเธอเข้ามาในอ้อมแขน โอบรอบเอวของเธอไว้แน่น ให้เธอยืมแรงทรงตัวให้อยู่
หลังจากที่คำถามของกู้จือหยั่นถามออกไป กลับไม่ได้รับคำตอบจากเฉินถิงเซียว แต่เป็นถูกเฉินถิงเซียวตัดสายทิ้งไปเลย
กู้จือหยั่นถือโทรศัพท์มาตรงหน้าและมองดูแวบหนึ่ง อุทานออกมา: “นิสัยแบบนี้นี่นะ!”
หลังจากที่เฉินถิงเซียววางสาย ก็กดโทรหามู่น่อนน่อน
โทรศัพท์โทรติดก่อน มีเสียงดังขึ้น แล้วจากนั้นก็แจ้งว่าไม่อยู่ในพื้นที่ให้บริการ
เฉินถิงเซียวโทรติดต่อกันอยู่หลายสาย ล้วนเป็นแบบนี้
เขาโทรหาสายภายในเรียกสือเย่เข้ามา
สือเย่เข้ามาอย่างรวดเร็ว: “คุณผู้ชาย มีธุระอะไรครับ?”
“จองตั๋วเครื่องบิน” เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็ยกมือขึ้นยับยั้งทันที: “ไม่ เตรียมเครื่องบินส่วนตัว”
สิ้นเสียง เขาก็ลุกขึ้น หยิบเสื้อคลุมและเดินออกไป
สือเย่เห็นเขาหน้าตาเคร่งขรึม ก็เดาได้ว่าอาจมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น จึงไม่ถามอะไรมาก แค่พูดด้วยความเคารพว่า: “ผมจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้ครับ”
เฉินถิงเซียวออกจากบริษัท ก็ขับรถตรงกลับบ้าน
เขาจัดกระเป๋าเดินทางอย่างลวกๆ เดินออกจากห้องมา ก็เห็นเฉินมู่กำลังเฝ้าอยู่หน้าประตูอย่างจดจ่อและถามเขาว่า: “คุณจะไปไหนคะ?”
เฉินมู่ไม่ได้เจอมู่น่อนน่อนมาหลายวันแล้ว เธอรู้ว่าถือกระเป๋าเดินทางก็คือจะต้องเดินทางไกล
เฉินถิงเซียวในมือถือคันลากกระเป๋าเดินทาง เขามองลงมาที่เฉินมู่เล็กน้อย: “ไปหาแม่ของหนู”
ในน้ำเสียงของเขา มีความนิ่งสงบและเฉยเมยที่ผู้ใหญ่ถึงจะมีกัน
เฉินมู่เอื้อมมือไปดึงชายเสื้อของเขา พูดเสียงเบาๆว่า: “หนูก็จะไปด้วย”
“หนูไปไม่ได้ มันไกลเกินไป” เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้ปัดมือเธอออกไป แค่อธิบายอย่างนิ่งๆ
“แต่ว่าหนูคิดถึงแม่ คุณคิดถึงเธอก็ไปหาเธอ หนูก็อยากไปหาเธอเหมือนกัน” เฉินมู่นานๆทีจะแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาอย่างชัดเจนขนาดนี้
เฉินถิงเซียวอึ้งเล็กน้อย สีหน้าที่แสดงออกกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน: “ฉันไม่ได้บอกว่าฉันคิดถึงเธอ”
“หึ!” เฉินมู่หงุดหงิดขึ้นมา มือเล็กๆกอดอกและหันหลังให้เขา
ตอนนี้เธอไม่สนใจว่าเฉินถิงเซียวคิดถึงมู่น่อนน่อนหรือไม่ เธอรู้เพียงแค่ว่าเฉินถิงเซียวไม่พาเธอไปหาแม่
เฉินถิงเซียวเอื้อมมือดึงเธอเข้ามาตรงหน้า กล่าวกับเธอ : “หนูอยู่ที่บ้านรอพวกเรากลับมานะ”
เสียงของเขาสงบเหมือนปกติตอนประชุมบริษัทไม่มีอะไรแตกต่าง แต่ถ้าสังเกตดีๆ ก็จะพบว่าเขาคลายคิ้วเล็กน้อย ยืนยันได้ว่าเขากลับไม่ได้รำคาญเฉินมู่
เฉินมู่ถึงแม้ไม่ค่อยเต็มใจ แต่ก็ยังพยักหน้า: “ก็ได้ค่ะ”
……
เฉินถิงเซียวพาคนขึ้นนั่งเครื่องบินส่วนตัว ไปตามหามู่น่อนน่อน
จุดประสงค์หลักของกู้จือหยั่นถึงแม้คือการไปหาเสิ่นเหลียง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ยังเป็นประธานคนปัจจุบันของบริษัทเสิ้งติ่งด้วย ถ้าเขาไม่เข้าไป แน่นอนว่าก็จะมีลูกน้องไปที่นั่นเพื่อจัดการเรื่องให้
ทีมงานกองถ่ายล้วนเป็นคนของบริษัทเสิ้งติ่ง และตอนนี้เขาจะเข้าไป แน่นอนว่าก็ต้องเข้าไปในฐานะประธานบริษัทเสิ้งติ่ง ได้แต่พาลูกน้องนั่งเครื่องบินไปด้วยกันเท่านั้น
เขาและเฉินถิงเซียวไปถึงหมู่บ้านเล็กๆในระยะเวลาใกล้ๆกัน
เฉินถิงเซียวลงจากเครื่องบิน ก็ขับรถข้ามคืนไปยังหมู่บ้านเล็กๆแห่งนั้น
ตอนที่เขาไปถึงหมู่บ้านเล็กๆแห่งนั้น เป็นตอนบ่ายของวันที่สอง
สภาพจิตใจในหมู่บ้านไม่ได้ร้ายแรงเท่าที่รายงานบนอินเทอร์เน็ตขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้มองโลกในแง่ดีมากนัก
เพราะว่าบ้านเรือนในหมู่บ้านสร้างใกล้กับภูเขา ดังนั้นมีบ้านไม่น้อยที่ติดกับภูเขา
ตอนที่โคลนถล่ม ดินถล่ม หินและโคลนไหลลงมา แล้วยังมีน้ำท่วมตรงไปยังบางบ้านที่ติดอยู่กับภูเขาอีก ทำให้บ้านเรือนได้รับความเสียหายอย่างหนัก และยังมีผู้บาดเจ็บล้มตาย
ส่วนบ้านที่อยู่ห่างจากภูเขาไกลสักหน่อย ถึงแม้จะได้รับผลกระทบ แต่ผลกระทบไม่มาก โดยพื้นฐานสามารถละเลยได้
ส่วนเสิ่นเหลียงและทีมงานกองถ่ายพากเรา พักอยู่ในสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกลจากภูเขา ดังนั้นทีมงานกองถ่ายเลยไม่เป็นอะไร
เพียงแต่ว่า เพราะเสาสัญญาณสร้างขึ้นบนยอดเขา ดินถล่มเลยทำลายเสาสัญญาณ โทรศัพท์มือถือไม่มีสัญญาณไม่สามารถโทรออกได้ คนอื่นไม่สามารถติดต่อเธอได้ เธอก็ไม่สามารถติดต่อกับผู้อื่นได้เช่นกัน
ตอนที่เสิ่นเหลียงเห็นเฉินถิงเซียว ตาทั้งสองข้างเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ: “บอสใหญ่!”
เฉินถิงเซียวมาได้ยังไง?
เฉินถิงเซียวเวลานี้ไม่มีเวลาไปสนใจคนอื่นอยู่แล้ว เดินเข้าไปตรงหน้าเสิ่นเหลียงด้วยใบหน้าที่ตึงเครียด ถามว่า: “มู่น่อนน่อนติดต่อหาเธอหรือเปล่า?”
เสิ่นเหลียงพยักหน้า: “ติดต่อมาค่ะ”
เฉินถิงเซียวได้ยินแบบนี้ ในดวงตาก็เกิดแสงวาบขึ้นอย่างกะทันหัน คว้าไหล่ของเสิ่นเหลียงไว้แน่น น้ำเสียงค่อนข้างร้อนรน: “เมื่อไหร่?”
“สอง…สองวันก่อน…” เสิ่นเหลียงถูกปฏิกิริยาตอบสนองของเฉินถิงเซียวทำให้ตกใจ เลยพูดจาติดขัดเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวมาที่หมู่บ้านนี้ใช้เวลาหนึ่งวัน ส่วนมู่น่อนน่อนออกเดินทางเมื่อสองวันก่อน ถ้าหากมาถึง ก็คงมาถึงนานแล้ว
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย หันหลังกลับจะเดินจากไป
เสิ่นเหลียงรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ รีบถามเขาต่อไปว่า: “บอสใหญ่ ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นคะ?”
เธอนึกย้อนไปถึงก่อนหน้านี้ มู่น่อนน่อนบอกว่าจะมาตรวจสอบสถานที่ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากและถามขึ้นว่า: “น่อนน่อน…เธอมาหาฉันแล้วหรอคะ?”
เฉินถิงเซียวหันหน้ามามองเธอครู่หนึ่ง น้ำเสียงนิ่งเรียบ: “สองวันก่อนก็ออกเดินทางแล้ว”
เสิ่นเหลียงสีหน้าซีดขาว: “คุณไปตามหาเธอใช่มั้ยคะ? ฉันก็จะไปด้วยเหมือนกัน”
“คุณอยู่ที่นี่รอกู้จือหยั่นมา” เฉินถิงเซียวตัดสินใจแทนเธออย่างเย็นชาและง่ายดาย ไม่ให้เสิ่นเหลียงคัดค้านแต่อย่างใด พูดจบก็เดินจากไป
เสิ่นเหลียงก็รู้ว่าการหาคนในสถานที่แบบนี้ เฉินถิงเซียวเก่งกว่าเธอมาก
ต่อให้เธอไปแล้ว ก็อาจจะทำได้แต่เพิ่มความวุ่นวาย เลยได้แค่ต้องอยู่ในหมู่บ้านรอกู้จือหยั่นมา
แต่ว่า แม้ว่าเฉินถิงเซียวจะออกไปตามหาคนด้วยตัวเอง ก็ไม่สามารถทำให้เสิ่นเหลียงรู้สึกสบายใจเท่าไหร่
ก่อนหน้าที่มู่น่อนน่อนบอกว่ามาตรวจสอบสถานที่ แม้ว่าเธอจะตั้งตารอ แต่ก็ไม่คิดว่ามู่น่อนน่อนจะมาจริงๆ ถึงยังไงเธอก็ได้ปฏิเสธไปอย่างชัดเจนเรียบร้อยแล้ว
คิดไม่ถึงเลยว่ามู่น่อนน่อนจะมาจริงๆ แล้วยังเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก…
ก่อนหน้านี้ฝนที่ตกติดต่อกันมาหลายวัน วันนี้กลับหยุดลงกระทันหัน
ฝนคือหยุดแล้ว แต่ว่าสภาพถนนกลับย่ำแย่เป็นพิเศษ
รถของเฉินถิงเซียวขับออกไปไม่ไกลมาก ก็ติดอยู่ในโคลนแล้ว
ลูกน้องลงจากรถเพื่อดูสภาพถนน เฉินถิงเซียวก็ลงมาด้วยกันกับเขา
ทางหลวงถูกสร้างขึ้นรอบภูเขา ทั้งสองพึ่งจะลงจากรถ เฉินถิงเซียวก็ได้ยินเสียง “ครึกครึก”
เขาเงยหน้า ก็เห็นบนภูเขามีดินโคลนและต้นไม้ที่หักไหลลงมา
เฉินถิงเซียวคว้าลูกน้องข้างๆถอยออกมาหลายก้าว
ทั้งสองคนเพิ่งจะถอยไปข้างหลัง ดินโคลนและหินพวกนั้นก็ไถลลงมา ด้วยความเร็วที่มองเห็นชัดเจน ท่วมรถของเฉินถิงเซียวอย่างรวดเร็ว
บนภูเขายังมีดินโคลนและหิน รวมทั้งต้นไม้ทั้งต้นไหลลงมา
ทางหลวงถูกตัดขาดแล้ว
เฉินถิงเซียวมองดูทางหลวงที่ถูกทำลาย สีหน้าย่ำแย่อย่างมาก บนตัวแผ่รังสีมืดมน
ถ้าหาก เมื่อวานนี้มู่น่อนน่อนขับรถเข้าไปยังหมู่บ้าน และเจอเข้ากับดินถล่มบนถนนเช่นกัน…
สายตาของเฉินถิงเซียวจ้องมองตรงที่ถูกดินโคลนและหินทับถมอีกครั้ง มีแค่ไฟท้ายรถยนต์เท่านั้นที่โผล่ออกมา
เขาหันหน้าไปมองลูกน้องที่อยู่ข้างๆด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ถามเสียงเย็นชาว่า: “ยังมีถนนเส้นอื่นอีกมั้ย?”
ลูกน้องรีบตอบว่า: “ยังมีอีกเส้นหนึ่ง เพียงแต่ว่าถนนเส้นนั้นมันขาดไปตั้งนานแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่เข้าหมู่บ้าน ก็เป็นเพราะว่าถนนเส้นนั้นขาด พวกเราถึงเลือกถนนเส้นนี้”
วันนั้นตอนที่เขาอยู่ในบ้านของมู่น่อนน่อน เขาก็เคยคุยกับมู่น่อนน่อนไปแล้ว มากที่สุดห้ามเกินห้าวัน
แต่เมื่อครู่นี้เธอพูดในโทรศัพท์ว่าอะไรนะ?
อีกสิบกว่าวันถึงจะกลับมา
เหอะ เธอไม่ได้สนใจคำพูดของเขาเลย
สือเย่ไม่รู้เรื่องราวระหว่างนั้น เมื่อได้ยินคำพูดที่อยู่ดีๆ เฉินถิงเซียวก็พูดออกมา เขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และเขาเองก็ไม่กล้าจะเปิดปากพูดด้วย
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินถิงเซียวก็สุดลมหายใจเข้าและพูดว่า “ปล่อยข่าวออกไป คืนนี้จัดงานเลี้ยงที่โรงแรมจีนติ่ง”
สือเย่ตอบรับทันที “ครับ”
เฉินถิงเซียวแทบจะไม่เคยเป็นคนพูดว่าจะจัดงานเลี้ยงเลย จากสถานะของเขาแล้ว ถ้าเกิดว่ามีการจัดงานเลี้ยง ก็จะมีคนมากมายมาร่วมงาน
สือเย่สามารถนึกภาพออกแล้ว ในงานเลี้ยงคงจะคึกคักมาก
แต่ เมื่อครู่นี้คุณชายบอกว่าให้จัดงานเลี้ยงในคืนนี้?
สือเย่มองดูเวลาอย่างเงียบๆ
นี่ก็ 6 โมงเย็นแล้ว ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่โรงแรมจีนติ่งมีคนเยอะมาก ถ้าต้องการทานข้าวหรือไปนอน ทางโรงแรมจีนติ่งมีห้องอาหารและห้องพักเตรียมไว้สำหรับเฉินถิงเซียวอยู่แล้ว
แต่สำหรับการจัดเลี้ยงในห้องโถง มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายขนาดนั้น
เพราะเฉินถิงเซียวไม่เคยเข้าร่วมงานแบบนี้มาโดยตลอด ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าจะให้เขาไปจัดงานเลี้ยงแบบนี้ ดังนั้นทางโรงแรมจีนติ่งก็ไม่มีทางจองห้องโถงไว้ให้เฉินถิงเซียวแน่นอน
โรงแรมจีนติ่งก็เป็นสิ่งที่เฉินถิงเซียวสร้างมากับมือ แต่คนที่ดูแลมาโดยตลอดก็คือกู้จือหยั่น ดังนั้นเรื่องพวกนี้ก็มักจะเป็นกู้จือหยั่นที่เป็นคนจัดงาน
เมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าอยากจะจัดงานเลี้ยงในคืนนี้ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก…
สือเย่กำลังจะเปิดปากพูด เขาก็ได้ยินเฉินถิงเซียวพูดว่า “พรุ่งนี้แล้วกัน”
สือเย่โล่งอกไปที “ครับ ผมจะสั่งคนไปจัดการให้”
เฉินถิงเซียวพิงอยู่ตรงเก้าอี้ จากนั้นเขาก็เหม่อลอย
ตลอดทั้งวัน แค่เขาคิดว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้อยู่ในเมืองหู้หยาง และไม่ได้อยู่ในขอบเขตอิทธิพลของเขา แต่อยู่ห่างจากเขาไปไกลแสนไกลหลายกิโลเมตร เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ แล้วก็มองอะไรไม่เข้าตาไปหมด
ปกติตอนที่มู่น่อนน่อนอยู่ในสายตาของเขา เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร
เป็นเพราะเคยชินกับสิ่งนี้เหรอ?
เฉินถิงเซียวยื่นมือไปนวดขมับ
ก็คุยกันแล้วว่าไม่เกินห้าวัน แต่สุดท้ายเธอก็เอาคำพูดของเขาฟังหูซ้ายทะลุหูขวา
……
ตอนกลางคืนที่กลับไป สือเย่รู้ว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้อยู่ในบ้าน เขาก็เลยขับตรงไปที่บ้านของเฉินถิงเซียว
ถึงแม้ว่าบ้านของมู่น่อนน่อนจะอยู่บนถนนเส้นนี้เหมือนกัน แต่ว่าถ้าจะไปที่บ้านของมู่น่อนน่อน ระหว่างทางก็ต้องเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ หนึ่งซอย
ช่วงนี้เฉินถิงเซียวมักจะไปทานข้าวทีมู่น่อนน่อนบ่อยๆ เขาก็เลยคุ้นเคยกับถนนทางไปบ้านของมู่น่อนน่อนเป็นอย่างดี
ตอนที่รถขับผ่านซอยถนน เสี่ยงของเฉินถิงเซียวที่อยู่ด้านหลังก็ดังขึ้น “เข้าไปในซอย”
สือเย่เงยหน้าด้วยความประหลาดใจ เขาก็มองเห็นเฉินถิงเซียวที่กำลังขมวดคิ้วจากกระจกมองหลังรถ
สือเย่ถามออกไปว่า “คุณหญิงไม่อยู่บ้าน ก็จะไปที่นั่นเหรอครับ?”
เฉินถิงเซียวมองเขาด้วยสายตาที่เยือกเย็นจากกระจกมองหลังรถ “ใครบอกว่าฉันจะไปที่บ้านเธอ?”
สือเย่ชะงักไป เขารู้สึกหมดคำพูดแล้ว
จากนั้น เขาก็ขับรถไปตามที่เฉินถิงเซียวบอก จนไปถึงที่ที่มู่น่อนน่อนอาศัยอยู่ เขาหยุดอยู่พักนึงตรงใต้ตึก จนกระทั่งเฉินถิงเซียวบอกให้ไปได้ เขาถึงจะกลับรถ และขับออกไป
ในคืนนั้น เมืองหู้หยางฝนตกหนักอีกครั้ง
ฝนตกหนักจนไปถึงเช้าวันที่สอง
ตอนที่สือเย่ขับรถไปรับเฉินถิงเซียว เขาก็พูดว่า “ตอนนี้ก็ปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว การที่ฝนตกหนักขนาดนี้ เป็นเรื่องที่เจอได้ยากมาก”
เฉินถิงเซียวเงยหน้ามอง จ้องมองไปยังฝนและหมอกที่อยู่ภายนอกหน้าต่าง ก่อนจะขมวดคิ้ว
เฉินถิงเซียวในวันนี้ ไม่ได้เหมือนเมื่อวานที่มองอะไรก็ไม่เข้าตา ตอนนี้จิตใจของเขาดูกระสับกระส่ายมากขึ้น
สือเย่เอากาแฟไปให้เขา เพิ่งจะวางไว้ข้างมือของเฉินถิงเซียว แต่ก็ถูกเฉินถิงเซียวผลักทิ้งไป
กาแฟตกอยู่บนโต๊ะ แก้วแตกจนละเอียด และก็เกิดเสียงดังแสบหู
บนมือของเฉินถิงเซียวก็โดนกาแฟสาดใส่ กาแฟไหลลงมาจากมือของเขาทีละหยด บริเวณที่โดนกาแฟลวก ก็แดงขึ้นมาในทันที
สือเย่เพิ่งจะเดินไปได้แค่สองก้าว เขาก็รีบไปเอาผ้าขนหนูในห้องพักผ่อนมาวางไว้บนมือของเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถามว่า “คุณชาย ไม่เป็นอะไรนะครับ?”
เฉินถิงเซียวมองไปยังเศษแก้วกาแฟที่แตกอยู่บนพื้น สีหน้าของเขาดูแย่มาก
“ผมจะรีบจัดการให้ครับ” ในขณะที่สือเย่พูด เขาก็วิ่งออกไปเอาอุปกรณ์เข้ามาทำความสะอาดเศษแก้วที่แตก
ในตอนนั้น โทรศัพท์ของเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้น
หัวใจเฉินถิงเซียว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยในเวลานั้น
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก็พบว่าคนที่โทรมาก็คือกู้จือหยั่น ซึ่งเขามีความรู้สึกที่โล่งอก
เขารับสายด้วยใบหน้าที่ราบเรียบ “มีธุระอะไร?”
“งานเลี้ยงอะไรของคืนนี้น่ะฉันจะเตรียมไว้หมดแล้ว นายไปเองแล้วกันนะ ฉันไม่ไปหรอก ฉันมีธุระจะต้องออกไปนอกสถานที่” เมื่อฟังน้ำเสียงของกู้จือหยั่น ก็รู้สึกว่ามันแตกต่างจากน้ำเสียงที่ปกติจะฟังดูผ่อนคลาย ซึ่งมันดูจริงจังและดูเป็นกังวล
ทำไมช่วงนี้คนพวกนี้ต่างก็พากันไปนอกสถานที่
มู่น่อนน่อนก็คนหนึ่ง ตอนนี้กู้จือหยั่นก็ไปเป็นไปอีกคนหนึ่ง
เฉินถิงเซียวถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ตอนแรกเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาย เป็นละครที่บริษัทเพิ่งจะรับเข้ามา พวกเขาไปถ่ายทำกันบนภูเขาทางทิศตะวันตก แต่ว่าช่วงนี้ฝนตกตลอดเลย ข่าวรายงานว่ามีโคลนถล่มที่นั่น แล้วก็ติดต่อคนในกองถ่ายไม่ได้เลย ฉันก็เลยจะไปดูด้วยตัวเอง”
หลายปีมานี้กู้จือหยั่นก็เป็นคนที่ดูแลบริษัทเสิ้งติ่งมาตลอด เขาเป็นประธานบริษัทอย่างเปิดเผย และเขาเองก็ดูแลจัดการเรื่องในหลายส่วน
ตอนนี้เฉินถิงเซียวจำเป็นต้องไปดูแลบริษัทตระกูลเฉิน ก็เลยไม่มีเวลามาดูแลบริษัทเสิ้งติ่ง ถ้าเกิดไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องความเป็นความตายของบริษัทเสิ้งติ่งจริงๆ กู้จือหยั่นก็จะไม่ไปหาเฉินถิงเซียวเด็ดขาด
เมื่อสามปีก่อนหน้านี้ เฉินถิงเซียวก็ไม่เคยมาดูแลบริษัทเสิ้งติ่งเลย กู้จือหยั่นรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ด้วยตัวคนเดียว จนเขาก็มีประสบการณ์
เฉินถิงเซียวพูดอย่างราบเรียบว่า “ก็ส่งคนไปก็ได้นี่ นายไม่จำเป็นต้องไปเอง”
เสียงของกู้จือหยั่นฟังดูเกร็งเล็กน้อย “ไม่เสิ่นเสี่ยวเหลียงก็อยู่ในนั้นด้วย ฉันต้องไปที่นั่น วันนี้ทั้งวันฉันไม่ได้ติดต่อกับเธอเลย ฉันต้องไปที่นั่น เมื่อเห็นเธอไม่เป็นอะไรฉันถึงจะรู้สึกสบายใจ”
หลังจากที่เขาพูดจบ ไม่นานก็มีเสียงของเฉินถิงเซียวดังขึ้น เขาคิดว่าเฉินถิงเซียวไม่อยากจะพูดอะไร เขาจึงพูดว่า “ฉันไม่คุยกับนายแล้วนะ ฉันขึ้นเครื่องตอนกลางคืน จะไปหาเธอคืนนี้เลย…”
เขาที่ยังไม่ทันได้พูดจบ เฉินถิงเซียวก็ตัดบทเขา
“นายบอกว่าเสิ่นเหลียงอยู่ในกองละครนั้นเหรอ หมู่บ้านภูเขาเล็กๆ ทางทิศตะวันตก ถ้าไปจากเมืองหู้หยาง ยังจะต้องเดินทางอีกสองวันเหรอ?”
กู้จือหยั่นประหลาดใจเล็กน้อย “นายรู้ได้ยังไง?”
เฉินถิงเซียวไม่สนใจเรื่องของบริษัทแล้ว ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่สามารถคาดเดาเรื่องนี้ได้
“มู่น่อนน่อนก็ไปที่นี่ เธอบอกว่าจะไปเยี่ยมเธอ เธอเริ่มออกเดินทางตอนเช้าเมื่อวานนี้ วันนี้น่าจะอยู่ที่กองละครแล้ว” เสียงของเฉินถิงเซียวดังมาจากโทรศัพท์ เสียงของเขาฟังดูเงียบสงบมากผิดปกติ
เมื่อกู้จือหยั่นได้ยิน เขาก็ตกตะลึง เขาก็พูดคำหยาบออกมา และถามเขาว่า “นายติดต่อมู่น่อนน่อนไห้ไหม? คืนนี้นายจะไปด้วยกันไหม?”
“เฉินถิงเซียว ไฟท์บินของฉันคือวันพรุ่งนี้ 7 โมงเช้านะ”
หลังจากมู่น่อนน่อนพูดจบ ในห้องก็เงียบสนิท เธอท้ายเธอก็แอบเอาหูไปแนบฟังอย่างห้ามใจไม่ไหว
ข้างในมีแต่ความเงียบสงบ ไม่มีเสียงอะไรเลย
ในห้องเก็บเสียงได้เป็นอย่างดี แต่ว่าถ้าเอาหน้าแนบอยู่ตรงประตูแบบนี้ ถ้าคนข้างในเดินมาทางนี้ เธอก็จะได้ยินเสียงเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนถอนหายใจอย่างไร้หนทาง ดูเหมือนว่าเฉินถิงเซียวก็ไม่อยากจะสนใจเธออยู่ดี
ผู้ชายคนนี้จริงๆเลย…ปลอบยากกว่ามู่มู่อีก
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปเคาะประตูอีกครั้งก่อนจะพูดว่า “ถ้าคุณยังไม่ออกมา ฉันจะไปแล้วนะ?”
ในที่สุดในห้องก็จะมีเสียงเกิดขึ้น
เฉินถิงเซียวพูดออกมาด้วยความโมโห “ถ้าจะไปก็รีบไป!”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก ไปก็ไป!
ตอนที่เธอหันหลังจากไป ประตูห้องหนังสือก็ถูกเปิดออกจากคนที่อยู่ข้างใน
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ที่หน้าประตู ก่อนจะมองไปยังทางเดินที่ไม่มีใครอยู่เลย สีหน้าของดูอึมครึมมาก
จะไปก็ไปสิ ทำไมต้องมาบอกเขาด้วย
เพราะถ้าเกิดว่าเขาอดทนไม่ไหวเขาก็อาจจะบังคับให้เธออยู่ที่นี่ต่อไปจริงๆ มันก็เป็นเพราะเธอรนหาที่เอง
……
วันถัดมาก
เฉินถิงเซียวตื่นขึ้นมา ตอนที่เขาผูกเนคไทที่กระจกเต็มตัว เขาก็อดใจไม่ไหวยกมือขึ้นมาดูเวลา
มีเวลาอีกสิบนาทีกว่าจะ 7 โมง
ตอนนี้มู่น่อนน่อน น่าจะต้องขึ้นเครื่องที่สนามบินแล้ว
เมื่อคิดได้แบบนี้ สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็ดูอึมครึ้มมากกว่าเดิม
ท่าทีในการจัดเนคไทของเขาดูเหมือนเครื่องจักรและดูแข็งทื่อเล็กน้อย
หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จ สือเย่ก็ขับรถมารับเขาแล้ว
ในช่วงนี้หลังจากที่เฉินถิงเซียวเริ่มจะคุ้นเคยกับสิ่งนี้ สือเย่ก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านของเฉินถิงเซียวอีกต่อไป ซึ่งเขาทำหน้าที่ขับรถมารับเขาไปบริษัททุกวัน
สือเย่เปิดประตูให้เฉินถิงเซียวอย่างให้เกียรติ “คุณชาย”
เฉินถิงเซียวเดินไปข้างหน้า ตอนที่เขากำลังจะขึ้นรถ หางตาของเขาก็เห็นเนคไทของสือเย่ เขาขมวดคิ้ว “เนคไทของนายไม่เข้ากับหยุดของนายเลย”
สือเย่ “???” ทำไมอยู่ดีๆ คุณชายถึงมาสนใจเรื่องสีเนคไทของเขา
หลังจากที่เฉินถิงเซียวพูดจบเขาก็ไม่ได้ขึ้นรถในทันที เขายังคงยืนจ้องเขาอยู่ตรงหน้าประตูแบบนั้น
สือเย่ครุ่นคิด ก่อนจะก้มลงมองและพูดว่า “พรุ่งนี้ผมจะเปลี่ยนเส้นใหม่ครับ”
เฉินถิงเซียวก็ยังคงไม่ขยับ
สีหน้าของสือเย่นิ่ง เขามองสำรวจไปที่เฉินถิงเซียว ก่อนที่เขาจะยื่นมือไปดึงเอาเนคไทออก
ในตอนนั้น เฉินถิงเซียวก็ยอมเข้าไปนั่งในรถ
สือเย่บ่นในใจ ถึงแม้ว่าปกติคุณชายจะเป็นคนที่จู้จี้จุกจิกมาก แต่เขาก็จะไม่จู้จี้จุกจิกกับเรื่องการแต่งกายของเขาถึงขนาดนี้
ในตอนที่เขาไม่รู้เรื่อง เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
จากนั้น สิ่งที่สือเย่คาดไม่ถึงก็คือ นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่าไหร่
เขาเดินไปอีกฝั่งเพื่อไปนั่งตำแหน่งคนขับ ในตอนนี้เขากำลังจะออกรถ เฉินถิงเซียวที่นั่งอยู่ข้างหลังเงียบๆ ก็พูดว่า “ในรถใช้น้ำของปรับอากาศกลิ่นไหนเนี่ย ทำไมเหม็นแบบนี้”
สือเย่พูด “ก็ใช้กลิ่นนี้มาตลอดนะครับ ครั้งก่อนคุณชายยังบอกว่าหอมอยู่เลย…”
เฉินถิงเซียวตอบกลับไปอย่างราบเรียบว่า “เหรอ?”
สือเย่สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเฉินถิงเซียวนานแล้ว ในตอนนั้นเขาก็เลยไม่กล้าพูดอะไรออกมา เขาเอาฝามาปิดที่น้ำหอมปรับอากาศ จากนั้นก็โยนเข้าไปในถังขยะ
ตอนที่กำลังขับรถ เฉินถิงเซียวก็พูดขึ้นมาอีกกว่า “ขับรถมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมยังขับรถได้ไม่นิ่งเลย นี่ก็ถือว่าเป็นความสามารถอีกอย่าง”
ตอนแรกเขารังเกียจสีเนคไทของเขา ต่อมาก็เป็นกลิ่นของน้ำหอมปรับอากาศในรถ ส่วนตอนนี้ก็รังเกียจที่เขาขับรถได้ไม่นิ่งพอ…
สือเย่เพิ่งจะเข้าใจ เฉินถิงเซียวไม่ได้อยู่ดีๆ ก็มาสนใจสีเนคไทของเขา และก็ไม่ได้เกลียดที่เขาขับรถได้ไม่นิ่งพอ แต่เป็นเพราะว่า ตอนนี้เฉินถิงเซียวมองอะไรก็ไม่เข้าตาเป็นหมด
ทำไมถึงมองอะไรไม่เข้าตาไปหมด?
แน่นอนว่าเป็นเพราะอารมณ์ไม่ดี!
ทำไมถึงอารมณ์ไม่ดี? งั้นก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณหญิงแน่นอน!
ถ้าเกิดว่าเป็นเพราะมู่น่อนน่อน จนเฉินถิงเซียวมีท่าทีที่ไม่ปกติแบบนี้ มันก็เข้าใจได้
เมื่อเขาเข้าใจแล้ว สือเย่ก็รู้สึกโล่งมาก ไม่ว่าเฉินถิงเซียวจะจู้จี้จุกจิกแค่ไหน เขาก็จะรับมือด้วยความใจกว้าง
เมื่อไปถึงที่บริษัท นอกจากเฉินถิงเซียวจะมองเขาไม่เข้าตาแล้ว แม้แต่พวกผู้จัดการตำแหน่งสูงๆ เขาก็รู้สึกไม่เข้าตาเหมือนกัน
ในตลอดทั้งวัน ทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข
สือเย่แอบคิดเอาเอง ครั้งนี้เกิดอะไรขึ้นอีก ถึงทำให้เฉินถิงเซียวอารมณ์ไม่ดีได้ขนาดนี้?
ตอนที่เลิกงาน สือเย่ก็ถามไปว่า “วันนี้คุณชายจะไปทานข้าวที่คุณหญิงใช่ไหมครับ?”
“ทานข้าวอะไรกัน ฉันบอกเหรอว่าจะเลิกงาน?” เฉินถิงเซียวนั่งบนหลังโต๊ะทำงาน เขาเงยหน้าที่ไร้อารมณ์ขึ้นมาก่อนจะพูดว่า “วันนี้ทำงานล่วงเวลา”
สือเย่พยักหน้าเล็กน้อย “ครับ รับทราบครับ”
หลังจากที่เขาออกมาจากห้องประธาน สือเย่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
งานของในวันนี้ก็ทำเสร็จเกือบจะหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำงานล่วงเวลาเลย แต่ว่าเฉินถิงเซียวเป็นหัวหน้าห้องเขา เฉินถิงเซียวบอกว่าจะทำงานล่วงเวลา แล้วเขาจะทำยังไงได้?
ครั้งก่อนเป็นเพราะเรื่องเสิ่นชูหาน เฉินถิงเซียวและมู่น่อนน่อนเลยทำสงครามเย็นใส่กัน
ครั้งนี้เป็นเพราะอะไรอีก?
ในขณะที่สือเย่กำลังเดินกลับไปที่ห้องทำงาน เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูข่าวด้วย
บนอินเตอร์เน็ตไม่มีข่าวฉาวของคุณหญิงกับผู้ชายคนอื่น
ความคิดของคุณชาย ยากที่จะคาดเดาจริงๆ
สือเย่เพิ่งจะกลับไปถึงห้องทำงานของตัวเอง เขาก็ได้คำสั่งจากเฉินถิงเซียว
“มานี่หน่อย” หลังจากที่เขาสั่งอย่างเย็นชา เขาก็วางสายไป
สือเย่นึกว่ามีเรื่องรีบร้อนอะไร ก็เลยรีบไปหาเขา
“คุณชายเรียกหาผมมีเรื่องอะไรครับ?”
“โทรไปหามู่น่อนน่อน ถามว่าเธออยู่ที่ไหน” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวฟังดูจริงจังเหมือนตอนที่คุยเรื่องงานกับสือเย่เลย น้ำเสียงไม่มีการเปลี่ยนไปเลย
สือเย่เม้มริมฝีปาก เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดไรดี
ภายใต้สายตาของเฉินถิงเซียว เขาก็เลยต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหามู่น่อนน่อน
โทรศัพท์ดังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะมีคนรับสาย
สือเย่เปิดเสียงลำโพงอย่างรู้ตัว เพื่อที่จะให้เฉินถิงเซียวได้ยินเสียงของมู่น่อนน่อน
“ผู้ช่วยสือ” เสียงของมู่น่อนน่อนดังออกมาจากในโทรศัพท์ ซึ่งน้ำเสียงนั้นแอบแฝงไปด้วยความอ่อนโยน
สือเย่ถามคำถามที่เฉินถิงเซียวให้เขาถามเมื่อคู่นี้ในทันที “ตอนนี้คุณหญิงอยู่ที่ไหนครับ?”
มู่น่อนน่อนบอกที่อยู่กับเขา ก็จะถามเขาว่า “ทำไมเหรอ? เกิดอะไรขึ้นกับเฉินถิงเซียวเหรอ?”
เมื่อสือเย่ได้ยิน เขาก็หันไปมองทางเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวมองไปที่เขาด้วยใบหน้าที่ราบเรียบ และแสดงท่าทีให้เขารู้ว่าเขาสามารถพูดอะไรก็ได้
“ไม่ครับ แต่เมื่อครู่นี้ตั้งใจว่าจะโทรศัพท์ให้กับลูกค้าคนหนึ่ง ก็เลยไปกดโดนเบอร์ของคุณอย่างไม่ตั้งใจ ก็เลยถามครับ”
แม้ว่าเหตุผลนี้จะฟังไม่ขึ้นเลย แต่ในเวลาปกติสือเย่มักจะเป็นคนที่มีความน่าเชื่อถือ มู่น่อนน่อนก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก เธอเชื่อสิ่งที่เขาพูดออกมา
มู่น่อนน่อนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ฉันนั่งเครื่องบินออกจากเมืองหู้หยางตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว น่าจะอีกสิบกว่าวันถึงจะกลับไป ยังไงก็รบกวนคุณพูดเตือนให้เฉินถิงเซียวทานข้าวด้วยนะ
สือเย่รับปากทันที “ครับผม คุณหญิงไม่ต้องกังวลมากนะครับ”
ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก
“คุณชาย…”
หลังจากวางสาย สือเย่ก็หันไปมองทางเฉินถิงเซียว ในขณะที่เขากำลังจะพูดเขาก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของเฉินถิงเซียวดูแย่กว่าเดิมอีก
เฉินถิงเซียวเองก็ไม่รู้ว่าได้ยินที่สือเย่เรียกเขาหรือเปล่า เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากนั้น เขากลัวพวกเรามาอย่างเงียบๆ “เธอไม่ได้สนใจคำพูดที่ฉันพูดเลย”
หลังจากที่มู่น่อนน่อนตัดสินใจว่าจะไปเยี่ยมเธอ เธอก็ซื้อตั๋วเครื่องบินและศึกษาเส้นทาง
ที่เสิ่นเหลียงอยู่ฝนเอาแต่ตก มู่น่อนน่อนเลยซื้อกระเป๋าเดินทางกันน้ำใบใหม่ จากนั้นก็ซื้อของกินทีเสิ่นเหลียงชอบเอาไว้เยอะๆ จากนั้นเธอก็ยังได้ซื้อพวกของใช้ในชีวิตประจำวันให้กับเธอด้วย
เมื่อลองมาคิดดูอย่างละเอียด เหมือนว่าที่ผ่านมาเสิ่นเหลียงจะเป็นคนที่ห่วงใยเธอมาโดยตลอด เธอก็ไม่เคยทำเรื่องอะไรเพื่อเสิ่นเหลียงเลย
พอมาคิดดูแบบนี้ เธอก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง
มู่น่อนน่อนจองตั๋วเครื่องบินถัดจากวันนี้สองวัน
หลังจากที่จองเวลาออกเดินทางเรียบร้อยแล้ว มู่น่อนน่อนก็ตัดสินใจว่าจะบอกเรื่องนี้กับเฉินถิงเซียว ว่าเธอจะเดินทางไกล
ในคืนนั้น ตอนที่เฉินถิงเซียวมาทานอาหารเย็น มู่น่อนน่อนก็บอกเรื่องนี้กับเขา
หลังจากที่เฉินถิงเซียวได้ยิน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง “ที่ไหน?”
สถานที่ที่เสิ่นเหลียงกำลังถ่ายทำคือหมู่บ้านบนภูเขาเล็กๆ มู่น่อนน่อนบอกที่อยู่อย่างชัดเจน เฉินถิงเซียวก็ค้นหาสถานที่ในหัวสมอง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าสถานที่ตรงนั้นคือที่ไหน
“ก็คือหมู่บ้านเล็กๆ เนี่ยแหละ อยู่ไกลจากเมืองหู้หยางค่อนข้างเยอะ ก็เลยอาจจะเสียเวลาในการเดินทาง ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะกลับมาตอนไหน”
ในขณะที่มู่น่อนน่อนพูด เธอก็ตักซุปให้เฉินถิงเซียวด้วย
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว “มู่มู่ล่ะ? จะไม่สนใจแล้ว?”
“ก็ยังมีคุณอยู่นี่? คุณดูแลเธอเป็นอย่างดีเลย” มู่น่อนน่อนคิดแบบนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเฉินถิงเซียวในอดีต หรือเฉินถิงเซียวในปัจจุบัน ต่างก็ดูแลเฉินมู่ได้เป็นอย่างดี
ก็อาจจะเป็นเพราะว่า เธอไม่ได้ตั้งความหวังไว้กับเฉินถิงเซียวสูงนัก
เฉินถิงเซียววางตะเกียบลง ก่อนจะเงยหน้ามองเธอ ด้วยสายตาที่ลึกลับ “มู่น่อนน่อน คุณไม่เป็นกังวลเลยหรอ?”
มู่น่อนน่อนชะงักไป “กังวลเรื่องอะไร?”
“ตอนนี้ผมยังหรือฟื้นความทรงจำไม่ได้เลย มู่มู่อยู่ที่บ้านผม ส่วนคุณก็จะทิ้งพวกเราแล้วก็ไปในสถานที่ห่างไกล คุณคิดว่าผมจะไม่ไปมีผู้หญิงคนอื่นจริงๆใช่ไหม หรือคิดว่าจะสามารถแย่งสิทธิ์ในการเลี้ยงดูเฉินมู่กับผมได้?”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเย็นชา อารมณ์ของเขาก็ยากที่จะอธิบาย
มู่น่อนน่อนนิ่งไปครู่หนึ่ง
เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่เธอก็ไม่เข้าใจสิ่งที่เฉินถิงเซียวพูดมันหมายความว่าอะไร
เธอเงยหน้ามองตรงไปที่เขา “คุณช่วยพูดให้ชัดเจนหน่อยได้ไหม”
“ผมพูดได้ชัดเจนแล้ว”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวฟังดูเหมือนจะโกรธ แต่ว่าสีหน้าของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไป ที่สำคัญเขาก็ไม่ได้วางตะเกียบและเดินจากไปทันที
แต่ว่าหลังจากที่เขาพูดจบเขาก็เริ่มทานข้าวยังช้าๆ
เขาก้มหน้าทานข้าว เมื่อมองทางมุมที่มู่น่อนน่อนอยู่ สามารถมองเห็นได้เพียงแค่หน้าผากและคิ้วที่ขมวดของเขา
มู่น่อนน่อนลองถามออกไป “คุณไม่อยากให้ฉันไปเหรอ?”
เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจเธอ
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว “คุณไม่พูดอะไรเลย แล้วฉันจะรู้ได้ไงว่าคุณต้องการจะสื่อว่าอะไร?”
เฉินถิงเซียววางตะเกียบลง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก
มู่น่อนน่อนก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เผื่อไปห้ามเขาไว้ “คุณคิดว่าฉันไม่ควรจะไปเสียเวลาบนตัวคนอื่นและเรื่องอื่นๆ ใช่ไหม?”
คิ้วของเฉินถิงเซียวกระตุก แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
มู่น่อนน่อนคิดว่าตัวเองเดาความคิดของเฉินถิงเซียวถูกต้องแล้ว
“เฉินถิงเซียว ฉันจะบอกคุณก็ได้ ว่าฉันเป็นห่วงคุณมาก แต่ก็เป็นห่วงมู่มู่มากๆ เช่นกัน ในใจของฉันพวกคุณสำคัญมากกว่าใคร แต่เสี่ยวเหลียงก็สำคัญกับฉันมากเหมือนกัน นอกจากคนรักกับลูกแล้ว ก็ยังมีเพื่อนและการทำงาน ฉันไม่สามารถจะหมุนรอบตัวคุณเพียงคนเดียวได้หรอกนะ”
ตลอดที่ผ่านมา เธอไม่เคยเห็นว่าเฉินถิงเซียวเป็นทั้งหมดชีวิตของเธอ
ตรงจุดนี้ อาจจะเกี่ยวข้องกับประสบการณ์การเติบโตของเธอ
เมื่อเฉินถิงเซียวได้ยิน เขาไม่แม้แต่จะมองเธอเลย เขาตอบอย่างเย็นชาว่า “แล้วแต่”
จากนั้น เฉินถิงเซียวก็สะบัดมือเธอออกและเดินจากไป
ปัง!
ประตูห้องโดนผลักอย่างแรง
ในห้องที่เงียบสงบ เหลือเพียงแค่มู่น่อนน่อนคนเดียว
เธอกลับไปนั่งตรงโต๊ะอาหาร ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมาทานข้าวต่อ แต่เธอก็รู้สึกไม่หิวเลย เธอก็เลยวางตะเกียบลง จากนั้นเธอก็ตกอยู่ภวังค์ของความคิด
หลังจากที่เฉินถิงเซียวออกไปจากบ้านมู่น่อนน่อน เขาก็เดินไปที่ลิฟต์ด้วยใบหน้าที่เย็นชา
ผู้หญิงคนนั้นจริงๆเลย…
ตอนแรกก็ทำท่าทีเหมือนขยันขันแข็ง แต่ช่วงนี้ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ใส่ใจเขาเลย
ตอนนี้ก็ยิ่งไปกว่านั้นอีก เธอยังจะทิ้งเขาและมู่มู่ไว้ ส่วนตัวเองก็หนีไปที่อื่น
ตอนที่ประตูลิฟต์เปิด เฉินถิงเซียวก็นึกถึงคำพูดที่มู่น่อนน่อนพูดเมื่อครู่นี้
ฉันไม่จะสามารถหมุนรอบตัวคุณเพียงแค่คนเดียว
มีผู้หญิงมากมายที่อยากจะหมุนรอบตัวเขาแต่พวกเธอก็ไม่มีโอกาส แต่มู่น่อนน่อนสิ เธอพูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำ ก็แสดงว่าเธอก็ไม่ได้เห็นความสำคัญของเขามากขนาดนั้น
เฉินถิงเซียวยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ เขาเดินกลับไปที่หน้าประตูห้องมู่น่อนน่อนอีกครั้ง ก่อนจะยื่นมือไปเคาะประตู “ตึกตึก”
มู่น่อนน่อนได้ยินว่ามีคนมาเคาะประตูข้างนอก เธอก็เลยรีบลุกขึ้นเดินไปตรงประตู
คงไม่ใช่เฉินถิงเซียวที่กลับมาอีกครั้งใช่ไหม?
เธอมองในตาแมวประตู เธอพบว่าเป็นเฉินถิงเซียวที่ไปแล้วกลับมาจริงๆ
นิสัยของเฉินถิงเซียวเธอรู้ดี เขาไม่ใช่คนที่จะยอมก้มหัวอย่างง่ายดาย ที่สำคัญยิ่งเป็นเฉินถิงเซียวในตอนนี้ก็ยิ่งยาก
มู่น่อนน่อนคิดแบบนี้ สุดท้ายเธอก็เปิดประตูอยู่ดี
เธอยืนอยู่ขอบประตู เธอไม่ได้พูดอะไร เธอรอให้เฉินถิงเซียวเป็นคนพูดก่อน
ทั้งสองคนยืนจ้องหน้าตรงหน้าประตูแบบนี้ ก่อนที่เฉินถิงเซียวจะพูดด้วยใบหน้าที่เย็นชา “ไปนานแค่ไหน? ผมต้องการทราบคำตอบที่ชัดเจน”
มู่น่อนน่อนคิด ก่อนจะพูดว่า “สิบวัน”
สถานที่ที่เสิ่นเหลียงถ่ายทำอยู่ห่าไกลมาก เมื่อเธอนั่งเครื่องบินไปถึง เธอก็ต้องนั่งรถไฟและรถยนต์ต่อไปอีก ซึ่งก็ต้องใช้เวลาหลายวันในการเดินทางบนท้องถนน น่าจะใช้ประมาณสี่ถึงห้าวัน
เธอตั้งใจจะไปเยี่ยมเธอ ดังนั้นเธอไม่สามารถจะนอนเพียงคืนเดียวแล้วกลับมา
เฉินถิงเซียวไม่คิดอะไรทั้งนั้น เขาพูดออกมาโดยตรง “นานไป”
มู่น่อนน่อนชะงักไป ก่อนจะอธิบายว่า “แค่เดินทางก็ต้องใช้เวลาสี่ถึงห้าวันแล้ว ไปสิบวันก็ไม่ถือว่านานนะ”
เฉินถิงเซียวจ้องไปที่เธอด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “มากที่สุดห้าวัน”
มู่น่อนน่อน “…” ห้าวันมันก็มีเวลาให้เธอได้เจอหน้ากับเสิ่นเหลียงแค่วันเดียวเท่านั้น
เสิ่นเหลียงอยู่ในวงการมานานขนาดนี้ เธอก็ไม่เคยจะไปเยี่ยมเธอในที่ทำงานเลย
เฉินถิงเซียวไม่ให้มู่น่อนน่อนมีโอกาสได้เถียงอะไรทั้งนั้น สีหน้าของเขาเหมือนกำลังข่มขู่เธอ “ตามนี้แหละ ถ้าเกินห้าวัน ก็รับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเอง”
“เฉินถิงเซียว!”
มู่น่อนน่อนทำได้แค่เรียกชื่อเขาออกมา เขาไม่ให้โอกาสเธอในการพูดเลย เขาเดินจากไปทันที
ครั้งนี้ เฉินถิงเซียวไปจริงๆ
ถ้าเกินห้าวัน ก็รับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเอง
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าคำขอของเฉินถิงเซียวมันฟังดูไร้สาระมากๆ
เขาทำเหมือนเป็นพวกเผด็จการเลย เธอก็บอกเขาไปแล้วว่าต้องเสียเวลาในการเดินทางประมาณสี่ถึงห้าวัน แต่สุดท้ายเขาก็ให้เวลาเธอเพียงแค่ห้าวัน
มู่น่อนน่อนก็ไม่สามารถจะพูดกับเขาด้วยเหตุผลเพราะเขาไม่ยอมฟัง
เขาไม่เคยฟังคำพูดของเธอ ส่วนเธอก็จะต้องเอาคำข่มขู่ของเขาเก็บเอาไว้ในใจเหรอ?
มู่น่อนน่อนตัดสินใจ ครั้งนี้เธอจะไม่ให้เฉินถิงเซียวมามีผลกระทบต่อตัวเธอ
……
วันก่อนออกเดินทาง มู่น่อนน่อนก็ไปที่บ้านของเฉินถิงเซียวเพื่อไปเยี่ยมมู่มู่
วันนั้นเป็นวันเสาร์พอดี
เมื่อมู่น่อนน่อนเข้าไป เขาได้ถามคนรับใช้ คนรับใช้บอกว่าเฉินถิงเซียวอยู่ในห้องหนังสือ
มู่น่อนน่อนอยู่ในบ้านของเฉินถิงเซียวตลอดครึ่งบ่าย แล้วเธอก็ไม่เห็นเฉินถิงเซียวเดินออกมาจากห้องหนังสือเลย ถ้าเขาต้องการอะไรเขาก็จะโทรศัพท์ไปหาคนรับใช้บอกให้เอาขึ้นไปให้
มู่น่อนน่อนรู้ ว่าเฉินถิงเซียวกำลังโกรธเธออยู่ เขาก็เลยไม่อยากจะเจอหน้าเธอเลย
ก่อนจะจากไป เธอก็ยังคงขึ้นไปข้างบนเพื่อเคาะประตูห้องหนังสือของเฉินถิงเซียว
หลังจากที่มือถือสั่นไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเงียบลง
แต่ก็เงียบได้ไม่นาน สักพักก็สั่นเป็นครั้งคราว
มู่น่อนน่อนนึกว่า เรื่องที่เธอและเฉินถิงเซียวขึ้นเทรนการค้นหาพร้อมกัน วันนี้น่าจะไม่เป็นกระแสแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนส่งข้อความส่วนตัวและแอดถึงเธอเยอะขนาดนี้
มู่น่อนน่อนเปิดดูในหน้าแชทส่วนตัว เธอยังไม่ทันได้เปิดเข้าไปอ่าน เธอก็เห็นว่ามีคนกำลังด่าเธอ
“หน้าไม่อาย…”
“มือที่สาม!”
การที่โดนด่าตั้งแต่เช้า ต่อให้มู่น่อนน่อนจะไม่ได้อารมณ์เสียยังไง แต่สุดท้ายก็ต้องรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี
เธอกลับมาที่หน้าการแจ้งเตือนข้อความ คลิกที่การแจ้งเตือนข้อความแรก และพบว่ามีหัวข้อใหม่ที่กำลังมาแรง
หัวข้อการค้นหายอดนิยมนี้มันคุ้นเคยมา
#มู่น่อนน่อน มือที่สาม#
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว แต่เธอก็ยังจำได้ว่าตัวเองกำลังอุ่นนมอยู่ เธอก็เลยเมนมออกมาก่อน จากนั้นก็นั่งดูweiboบนโต๊ะอาหาร
ทางสื่อขุดข่าวที่เฉินถิงเซียวมีการหมั้นหมายกับซูเหมียนก่อนหน้านี้ออกมา ยังไม่มีหลักฐานว่ามีเรื่องการหมั้นหมายของเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนจริงๆ ทุกคนต่างก็ตราหน้าเรียกมู่น่อนน่อนว่า “มือที่สาม”
ตอนแรกก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว แต่ก็ยังจะเอามาสร้างกระแสกันได้
คนทำงานในวงการบันเทิงบางคน เพื่อให้ได้รับความสนใจจากทุกคน เขาก็ใช้อักษรในการแสดงความสามารถได้อย่างยอดเยี่ยม
มู่น่อนน่อนดูฮอตคอมเมนท์ข้างล่างใต้weiboที่กำลังติดเทรนมีทั้งคนที่ร่วมแสดงความคิดเห็น แล้วก็มีทั้งคนที่เป็นผู้ชม
โชคดีที่ ชาวเน็ตส่วนใหญ่ก็ยังมีเหตุผล
มู่น่อนน่อนมองผ่านๆ จากนั้นเธอก็วางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ
ครอบครัวเธอทั้งสามคน การที่ได้มานั่งทานข้าวอาหารเช้าด้วยกันอย่างสงบครั้งแรกแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มู่น่อนน่อนตัดสินใจว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ รอให้ทานอาหารเช้าเสร็จแล้วค่อยพูด
มู่น่อนน่อนลุกขึ้น เธอตั้งใจจะไปปลุกเฉินถิงเซียวและเฉินมู่ให้ตื่น
เธอเพิ่งจะเดินไปถึงหน้าประตูห้องเฉินถิงเซียว เธอกำลังยกมือขึ้นแต่ยังไม่ทันได้เคาะประตู ประตูห้องก็ถูกคนเปิดจากข้างใน
มือของมู่น่อนน่อนค้างอยู่กลางอากาศอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเธอก็ขยับมือเบาๆ “อรุณสวัสดิ์”
เฉินถิงเซียวพูดออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “อรุณสวัสดิ์”
จากนั้นเขาก็เอียงตัว และเดินอ้อมตัวมู่น่อนน่อนไปเข้าห้องน้ำ
มู่น่อนน่อนจึงไปปลุกเฉินมู่
เฉินมู่ต้องเปลี่ยนแค่เสื้อผ้า แล้วก็ล้างหน้าแปลงฟันก็พอแล้ว
เธอกับเฉินมู่นั่งรออยู่บนโต๊ะอาหารพักหนึ่ง จากนั้นเฉินถิงเซียวก็เดินออกมา
สีหน้าของเขาดูแย่มาก หลังจากออกมาจากห้องน้ำเขาก็หันไปมองทางมู่น่อนน่อนด้วยสายตาที่ราบเรียบ “ผมไปก่อนนะ เดี๋ยวสายๆ จะมีคนมารับมู่มู่”
หลังจากเขาพูดจบ เขาก็หยิบเอาเสื้อสูทและเตรียมจะออกไป
เมื่อมู่น่อนน่อนเห็น เธอก็รีบเรียกเขาไว้ “เฉินถิงเซียว!”
เฉินถิงเซียวไม่ได้หันมามองเธอ เขาเดินตรงไปที่ประตู
มู่น่อนน่อนจึงต้องเดินไปเพื่อบังเข้าไว้ “ทานอาหารเช้าก่อนแล้วค่อยไปเถอะ”
เมื่ออยู่ใกล้เขาขนาดนี้ มู่น่อนน่อนก็พบว่าสีหน้าของเขานั้นดูแย่มากกว่าปกติเยอะเลย
เขายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู ก่อนจะตอบอย่างราบเรียบว่า “ต้องมีเรื่องให้ไปจัดการน่ะ”
“ไม่ว่าจะเรื่องด่วนแค่ไหน ยังไงก็ต้องทานข้าวเช้าก่อน” ในขณะที่เธอพูด เธอก็ดึงเขาไปที่โต๊ะอาหาร
ในตอนแรกเฉินถิงเซียวไม่ขยับเลย เขาหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ หลังจากที่เขาเห็นโทรศัพท์ของมู่น่อนน่อนที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร เขาก็เลยเดินตามเธอไป
ไม่รู้ว่ามู่น่อนน่อนรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่ระหว่างที่ทานอาหารเช้าอยู่ เฉินถิงเซียวก็เอาแต่สนใจ…โทรศัพท์มือถือของเธอ
โชคดีที่เธอไม่มีนิสัยติดเล่นโทรศัพท์หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ
หลังจากที่มู่น่อนน่อนทานข้าวเสร็จ เธอก็ถามเขาว่า “ทำไมคุณต้องเอาแต่จ้องไปที่โทรศัพท์ของฉัน?”
“ไม่มีอะไร ผมไปก่อนนะ”
ครั้งนี้เฉินถิงเซียวไปจริงๆ
หลังจากที่เขาจากไปแล้ว มู่น่อนน่อนก็เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ เธอยังไม่ได้บอกเรื่องเทรนการค้นหากับเฉินถิงเซียวเลย
แต่ว่า ตอนที่เธอเข้าไปดูในweiboอีกครั้ง เธอก็พบว่าเทรนการค้นหาในหัวข้อ “มู่น่อนน่อนมือที่สาม” ไม่อยู่แล้ว
แม้แต่เรื่องที่เธอและเฉินถิงเซียวขึ้นเทรนการค้นหาพร้อมกัน ก็หายไปด้วย
หรือว่าที่เมื่อครู่นี้เฉินถิงเซียวเอาแต่จ้องไปที่โทรศัพท์ของเธอ เพราะว่าเขารู้เรื่องเทรนการค้นหาในweibo เลยกลัวว่าเธอจะจับโทรศัพท์จนไปเจอสิ่งนี้เข้า?
การจัดการที่รวดเร็วแบบนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นฝีมือของเฉินถิงเซียว
เมื่อครู่นี้ที่เขารีบร้อนจะออกไป ที่บอกว่ามีเรื่องต้องไปจัดการ ก็คือจะไปจัดการเรื่องนี้เหรอ?
มู่น่อนน่อนคิด การที่จะยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้
เฉินมู่พิงอยู่บนโต๊ะอาหาร ก่อนจะเอียงหัวถามเธอว่า “คุณแม่ คุณแม่ยิ้มอะไรคะ?”
มู่น่อนน่อนลูบหัวเธอ “เพราะว่าเกิดเรื่องที่มีความสุขเกิดขึ้น ดังนั้นแม่ก็เลยยิ้ม”
“อ่อ” เฉินมู่พยักหน้า ก่อนที่เธอจะลงจากเก้าอี้ และวิ่งไปเล่นข้างๆ
เฉินถิงเซียวบอกว่าจะส่งคนมารับเฉินมู่ มู่น่อนน่อนก็รอแต่ก็ไม่มีใครมา เธอเองก็มีธุระที่จะต้องออกไปข้างนอก เธอเลยตัดสินใจจะขับรถไปส่งเฉินมู่ไว้ที่บ้านเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา เฉินมู่มองไปที่เธอด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้น “ไปเที่ยว?”
มู่น่อนน่อนหวีผมหน้าม้าให้กับเธอ ก่อนที่จะจูงมือเธอออกเดินออกไป “ส่งหนูกลับไปที่บ้านคุณพ่อ”
“หึ! ไม่เอา!” เฉินมู่สะบัดแขนของเธอออก ก่อนที่จะกอดแขนของตัวเองไว้แน่น เธอไม่ให้มู่น่อนน่อนจับมือเธอ
น้อยครั้งที่เฉินมู่จะแสดงนิสัยแบบนี้ออกมา มู่น่อนน่อนเลยถามเธออย่างระมัดระวัง “เป็นอะไรไป?”
เฉินมู่บึนปากจนเชิดหน้าไปบนฟ้า ก่อนที่เธอจะพูดด้วยความโมโหว่า “คุณแม่ไม่ได้อยู่ที่นั่น!”
ใจของมู่น่อนน่อนสั่นไหว น้ำเสียงของเธอฟังดูไร้หนทาง “คุณแม่ก็ไปเยี่ยมหนูทุกวันนี่?”
เธอเกลี้ยกล่อมเฉินมู่อยู่พักใหญ่ เฉินมู่เลยยอมกลับไปที่บ้านเฉินถิงเซียว
หลังจากไปส่งเฉินมู่แล้ว ระหว่างทางกลับ มู่น่อนน่อนก็ได้รับโทรศัพท์จ้าเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงถ่ายละครอยู่ข้างนอก ส่วนใหญ่เธอจะยุ่งมาก ในช่วงกลางวันเธอแทบจะไม่มีเวลาโทรมาหาเธอเลย
มู่น่อนน่อนถามเธอ “ไม่ถ่ายละครหรอ?”
“ฝนตก ไม่สามารถเริ่มถ่ายทำได้” น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงฟังดูเป็นกังวลเล็กน้อย
“เมื่อวานที่เมืองหู้หยางฝนก็ตก ตกหนักมากด้วย แต่ว่าวันนี้ฟ้าสว่างแล้ว” มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าที่สดใสที่อยู่ข้างนอกหน้าต่าง
“ที่ฉันฝนตกมาหลายวันแล้ว เสื้อผ้าที่ซักไปก็ไม่แห้ง ส่วนเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ใส่ก็เปียกหมดเพราะน้องฝนรั่วลงมา นี่ฉันก็เกือบจะไม่มีเสื้อผ้าใส่แล้ว…”
เสิ่นเหลียงบ่นกับเธออยู่พักใหญ่ สุดท้ายเธอก็พูดว่า “อีกไม่กี่วันฟ้าก็น่าจะสว่างแล้ว”
……
เพราะเสิ่นเหลียงเอาแต่บ่นให้มู่น่อนน่อนฟังว่าที่เธอเอาแต่ฝนตก ต่อจากนั้นไม่กี่วัน มู่น่อนน่อนก็เอาแต่ดูสภาพอากาศในเมืองที่เสิ่นเหลียงไปถ่ายทำ
แต่ท้องฟ้าก็ไม่เปิดสักที หลังจากนั้นไม่กี่วัน เมืองที่เสิ่นเหลียงกำลังถ่ายทำอยู่ก็ฝนตกไม่หยุด ที่สำคัญก็คือฝนตกทั้งวันทั้งคืนแบบไม่มีหยุดเลย
มู่น่อนน่อนโทรไปหาเสิ่นเหลียง เธอก็พูดเพียงแค่ว่ายังไม่ได้เริ่มถ่ายทำ ถ่ายทำได้เพียงแค่ฉากที่มีฝนตกเท่านั้น
มู่น่อนน่อนถามว่า “ในเมื่อถ่ายทำไม่ได้ ทางกองละครไม่ให้วันหยุดพวกเธอหรอ?”
“ผู้กำกับเป็นศิลปินเก่า เขาเป็นคนที่เข้มงวดมาก เขาอยากให้ตัวละครหลักแบบพวกเรารู้จักกันมากขึ้น ก็เลยไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยให้พวกเราหยุดเลย” น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงฟังดูเบื่อหน่ายมาก
มู่น่อนน่อนพูด “งั้นเดี๋ยวฉันไปเยี่ยมเธอเอง เธออยากได้อะไรบ้าง เดี๋ยวฉันเอาไปให้เธอเอง”
เสิ่นเหลียงปฏิเสธทันที “อากาศแบบนี้เธอจะมาเยี่ยมทำไมกัน เธอไม่ต้อง…”
“ถ้าเธอไม่พูด ฉันนึกอะไรออกฉันก็จะเอาอันนั้นไปแล้วกันนะ เธอก็รอฉันไปหานั่นแหละ”
มู่น่อนน่อนได้ตัดสินใจแล้ว ว่าจะไปเยี่ยมเสิ่นเหลียง
เฉินถิงเซียวปฏิเสธได้อย่างเด็ดขาด มู่น่อนน่อนก็เลยไม่ได้พูดอะไรต่อ
มู่น่อนน่อนไปส่งเฉินถิงเซียวและเฉินมู่ขึ้นรถตรงชั้นล่าง เมื่อออกจากอาคาร เธอแค่เหยียบลงไปที่พื้น น้ำก็ท่วมขึ้นมาถึงข้อเท้าของพวกเขา
มู่น่อนน่อนใส่รองเท้าแตะลงมา แค่เหยียบลงไปน้ำก็ท่วมเต็มขาของเธอ
เธอชักเท้ากลับไป ก่อนจะหันไปมองทางเฉินถิงเซียว “ฝนตกหนักเกินไป ถ้ากลับไปก็คงจะไม่ปลอดภัย”
เฉินมู่ยืนอยู่ข้างๆ อาคาร ใบหน้าเธอดูตกใจมาก “ว้าว! ฝนตกหนักมาก!”
เฉินถิงเซียวมองออกไปข้างนอก เขาเห็นว่าฝนยังมีท่าทีตกลงมาเรื่อยๆ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เขาไม่ได้พูดอะไร มู่น่อนน่อนก็ถือว่าเขาตอบตกลง
“ฝนตกหนักเกินไป วันนี้ไม่ต้องกลับแล้ว” หลังจากมู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็ลูบที่หัวของเฉินมู่ “มู่มู่ พวกเราขึ้นไปกันเถอะ”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็ดันเฉินมู่ไปทางเฉินถิงเซียว
เฉินมู่จับมือของเฉินถิงเซียวไว้ “คุณพ่อ ขึ้นไปกันเถอะค่ะ”
เฉินถิงเซียวก้มลงมองเฉินมู่ ก่อนที่จะมองไปทางมู่น่อนน่อน สุดท้ายเขาก็ยอมเดินไปทางขึ้นลิฟต์ และตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อ
เมื่อกลับเข้าไปในห้อง มู่น่อนน่อนก็เอาผ้าห่มไปปูเตียง
บ้านที่เธอเช่าอยู่ใหญ่พอสมควร เธอและเฉินมู่ใช้กันคนละหนึ่งห้องนอน นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหนึ่งห้องนอนแขก
แต่ เธอเพิ่งจะย้ายมาได้ไม่นาน แล้วก็ไม่เคยมีใครนอนค้างที่นี่มาก่อน ดังนั้นเตียงนอนในห้องรับแขกก็เลยยังไม่ได้ปู
มู่น่อนน่อนรู้จักนิสัยของเฉินถิงเซียวเป็นอย่างดี เธอก็ไม่กล้าทำอะไรที่ดูคลุมเครือ เธอเอาผ้าไปเช็ดบนเตียง ก่อนจะปูเตียง
เธอยังไม่ทันจะปูเตียงเสร็จ เฉินถิงเซียวก็เดินเข้ามา “มู่มู่บอกว่าจะให้คุณไปอาบน้ำให้เธอ”
มู่น่อนน่อนกำลังสวมผ้าปูอยู่ เธอพูดในขณะที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง “ให้เธอรอเดี๋ยว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เตียงนอนขนาด 180 เซนติเมตร ผ้าปูก็เลยค่อนข้างใหญ่ มู่น่อนน่อนจับมุมของผ้าห่มเอาไว้ ตอนที่กำลังจะยัดเข้าไปในบอกว่าปลอกผ้าห่ม เธอเผลอปล่อยมืออย่างไม่ทันตั้งตัว มันก็เลยดูยุ่งเหยิงไปหมด
เธอคลำอยู่นานกว่าจะหามุมของผ้าห่มเจออีกครั้ง
ทันใดนั้น เฉินถิงเซียวก็เดินมาทางเธอ จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปเอามุมผ้าห่มอีกด้านหนึ่งขึ้นมา
มู่น่อนน่อนมองไปที่เขาด้วยความตะลึง “นี่คุณ…”
เฉินถิงเซียวเม้มริมฝีปาก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่รังเกียจ “ปล่อยมือ”
มู่น่อนน่อนปล่อยมือทันที จากนั้นเธอก็เห็นเฉินถิงเซียวสะบัดผ้าห่มให้ตรง แล้วก็สวมปลอกผ้าห่มกับผ้าห่มเข้าด้วยกัน
เมื่อก่อนเธอไม่เคยเห็นเฉินถิงเซียวใส่ปลอกผ้าห่มเลย
นี่เป็นครั้งแรก
มู่น่อนน่อนประหลาดใจมาก ก่อนที่เธอจะถามออกไปว่า “คุณใส่ปลอกผ้าห่มเป็นหรอ”
จากที่เธอรู้มา การใช้ชีวิตของเฉินถิงเซียว ไม่น่าจะทำเรื่องแบบนี้เป็น แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะทำออกไป
เฉินถิงเซียวยืดตัวตรง สีหน้าของเขาดูราบเรียบ “คนเรา ปกติก็มีความแตกต่างกันตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตัวเองโดนดูถูก
แต่เธอเคยชินกับท่าทีที่ดูเย่อหยิ่งของเฉินถิงเซียวแล้ว เธอก็เลยไม่ได้รู้สึกอะไร
ก็เป็นอย่างที่พูดจริงๆนั่นแหละ คนเรา นอกจากการเกิดออกมา ก็จะมีของบนตัวบางอย่าง ที่แตกต่างกันออกไป
มู่น่อนน่อนพูดกับเขาด้วยสีหน้าที่เป็นปกติ “เดี๋ยวฉันไปเอาอุปกรณ์ล้างหน้าแปลงฟันให้คุณก่อนนะ”
เฉินถิงเซียวมองดูแผ่นหลังของเธอ ก่อนจะขมวดคิ้ว
เขารู้สึกว่า อยู่ดีๆ มู่น่อนน่อนก็กลายเป็นคนที่ใจเย็นมากๆ?
……
มู่น่อนน่อนไปเอาอุปกรณ์ล้างหน้าแปลงฟันให้กับเฉินถิงเซียว จากนั้นเธอก็ไปอาบน้ำให้กับเฉินมู่
เธอเติมน้ำ ก่อนที่จะเอาสบู่สำหรับเด็กที่เฉินมู่ใช้โดยเฉพาะออกมา
เฉินมู่เล่นฟองในน้ำ ทันใดนั้นเธอก็พูดว่า “คุณแม่ด้วยกันค่ะ”
“หนูอาบก่อนเลย เดี๋ยวแม่ค่อยอาบ”
หลังจากมู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็เห็นว่าเฉินมู่กำลังส่ายหัวอย่างแรง
เธอเข้าใจได้ว่า สิ่งที่เฉินมู่ต้องการจะสื่อไม่ใช่ให้มาอาบน้ำด้วยกัน เธอเลยถามอย่างใจเย็นว่า “หืม? หนูจะพูดอะไร?”
เฉินมู่เอียงคอ ก่อนจะเริ่มนับที่นิ้วมือ “กับหนู กับคุณพ่อ พวกเราด้วยกัน”
ทุกครั้งที่เธอพูดถึงคนคนหนึ่ง เธอก็จะนับนิ้วมือหนึ่งนิ้ว ท่าทางของเธอดูตั้งใจมาก
มู่น่อนน่อนถอนหายใจออก ก่อนจะพูดว่า “ตอนนี้แม่งานยุ่ง จะต้องอยู่คนเดียวก่อน หนูอยู่กับคุณพ่อไปก่อนแล้วกันนะ รอให้คุณแม่งานไม่ยุ่งแล้ว คุณแม่จะกลับไปอยู่กับพรุ่งนี้นะ”
เฉินมู่ยังเด็กเกินไป มีหลายเรื่องที่เธอยังไม่เข้าใจ อายุแบบเธอ ก็ทำได้แค่พูดปลอบเท่านั้น
“อืม” เฉินมู่พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ จากนั้นเธอก็ถามอย่างตั้งใจอีกว่า “คุณแม่จะงานไม่ยุ่งเมื่อไหร่”
“ไม่รู้” เธอจะไปรู้ได้ยังไงว่าเธอจะทำให้เฉินถิงเซียวหลงรักเธอได้ตอนไหน หรือทำให้ความทรงจำของเขากลับมาตอนไหน?
เฉินมู่ยิ้มตาหยี “ฮิฮิ หนูก็ไม่รู้”
หลังจากมู่น่อนน่อนอาบน้ำให้เฉินมู่ เธอก็อุ้มเธอกลับไปที่ห้อง จากนั้นไม่นานเธอก็หลับไป
วันนี้ฝนตกอุณหภูมิมักจะลดลง หลังจากที่มู่น่อนน่อนห่มผ้าให้เธอแล้ว เธอก็เอาผ้าห่มผืนเล็กห่มให้กับเธออีกชั้น
ตอนที่เธอออกมาจากห้องของเฉินมู่ มู่น่อนน่อนก็หันไปมองทางห้องเฉินถิงเซียวอย่างอดใจไม่ไหว
ห้องของเฉินถิงเซียวปิดสนิท เธอยืนอยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง ตอนที่เธอกำลังจะเอาเสื้อผ้าไปอาบน้ำ ประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออก
เฉินถิงเซียวยืนอยู่หน้าประตูด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ ผมของเขายังเปียกอยู่เล็กน้อย สีหน้าของเขาแอบแฝงไปด้วยความโกรธ “ไม่มียาสระผม”
บนตัวของเขายังใส่เสื้อเชิ้ตไว้อยู่ บนเสื้อเชิ้ตก็มีรอยน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมันให้ความรู้สึกเหมือนว่าเขาจะดูเด็กลง
เห็นชัดๆ ว่านี่คือใช้หนุ่มวัยสามสิบ!
“เดี๋ยวฉันไปเอามาให้คุณ”
ตอนที่มู่น่อนน่อนกำลังพูด ในน้ำเสียงเขาเธอก็แอบแฝงด้วยความดีใจ
สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็ดูแย่ในทันที
มู่น่อนน่อนเข้าไปเอายาสระผมในห้องนอนของเธอมาให้เขา ตอนที่เธอเอาไปให้เฉินถิงเซียว เธอก็รู้สึกลังเลขึ้นมา
นี่เป็นของที่เธอเคยใช้ เฉินถิงเซียวจะรู้สึกรังเกียจหรือเปล่า?
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง ต่อให้เขาจะรู้สึกรังเกียจ เขาก็จำเป็นต้องใช้ของที่เธอเคยใช้อยู่ดี
ตอนที่เธอยืนยาสระผมให้กลับเฉินถิงเซียว เธอมีความเชื่อมั่นมาก “ยาสระผม”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะรับยาสระผมแล้วเดินกลับเข้าไป
เสียงปิดประตูดัง “ปัง” เขาทำเหมือนกลัวว่ามู่น่อนน่อนจะแอบมอง
ก่อนหน้านี้ มู่น่อนน่อนอยากที่จะให้ความทรงจำของเฉินถิงเซียวกลับมาไวๆ ทุกครั้งที่เฉินถิงเซียวทำท่าทีเหมือนจะปฏิเสธเธอ เธอก็จะรู้สึกทรมานมาก
แต่หลังจากที่เธอคิดได้แล้ว เธอก็พบว่าการกระทำของเฉินถิงเซียวบางอย่างในตอนนี้ก็ค่อนข้างจะคล้ายกับเมื่อก่อน มันก็เลยดูสนุกดี
เธอตบไปที่ประตูห้องของเฉินถิงเซียวจนเกิดเสียงดัง “ปังปัง” “ ถ้าอาบน้ำเสร็จแล้ว อย่าลืมคืนให้ฉันด้วยนะ!”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ทำตัวเป็นเด็กจริงๆเลย
……
วันถัดมา
เพราะจำได้ว่าเฉินถิงเซียวจะต้องไปทำงาน มู่น่อนน่อนเลยตื่นเช้ากว่าปกติ
ฝนหยุดตกแล้ว
เธอเปิดหน้าต่าง จากนั้นก็ได้กลิ่นอายของความอบอุ่น ดอกไม้และดินในสวน ชุ่มไปด้วยน้ำฝนที่ตกลงเมื่อคืน จนมีร่องน้ำเล็กๆ เกิดขึ้น
สิ่งนี้ก็แสดงให้เห็นว่า เมื่อคืนฝนตกหนักมากจริงๆ
หลังจากที่มู่น่อนน่อนเปิดหน้าต่างในห้องรับแขก เธอก็เดินเข้าไปทำอาหารเช้าในครัว
เป็นเรื่องยากที่พวกเขาทั้งสามคนจะอยู่พร้อมหน้ากัน มู่น่อนน่อนเลยรู้สึกอารมณ์ดีมาก และเธอก็ทำอาหารเช้าเพิ่มขึ้นอีกสองเมนู
ในระหว่างที่กำลังอุ่นนมอยู่ มู่น่อนน่อนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเปิดดูweibo
เธอไม่ใช่เด็กสาวติดอินเตอร์เน็ต แต่เมื่อวานเธอและเฉินถิงเซียวดีขึ้นเทรนการค้นหาพร้อมกัน เธอก็เลยอยากจะเปิดดูweiboอย่างไม่รู้ตัว
เธอเพิ่งจะเข้าไปในweibo เธอก็ต้องตกใจกับข่าวใหม่จนมือชาไปหมด
หลังจากที่มู่น่อนน่อนได้คำตอบของเฉินถิงเซียว เธอก็ไม่ได้ถามอะไรอีก เธอวางสายทันที
ส่วนเฉินถิงเซียวก็เอาแต่จ้องโทรศัพท์ที่วางสายไปแล้ว เขามองอยู่พักใหญ่ ก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วก็วางโทรศัพท์ลง
……
ตอนที่เฉินถิงเซียวเลิกงาน เขากลับไปที่บ้านพักของตัวเองก่อน เพื่อที่จะได้พาเฉินมู่ไปหามู่น่อนน่อนพร้อมกัน
ตอนที่พ่อลูกทั้งสองคนมาถึง มู่น่อนน่อนยังทำกับข้าวไม่เสร็จ
เธอกำลังเตรียมจะทำสตูว์
ในสตูว์ได้ใส่เห็ดเข้าไป ก็เลยมีกลิ่นหอมออกมา
เมื่อเฉินมู่เข้าไป เธอก็ได้กลิ่นหอมทันที เธอก็เลยวิ่งเข้าไปในห้องครัว “หอมจังเลยค่ะ!”
น้ำเสียงของเธอนุ่มนวลมาก แล้วก็เสียงดังนิดหน่อย แต่ว่าฟังแล้วก็ไม่ดูเกินจริง
เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินเสียงของเธอ เธอก็เลยเดินออกมาจากห้องครัว
“มู่มู่?” เธอคิดไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวจะพาเฉินมู่มาด้วย
“คุณแม่!” เฉินมู่วิ่งเข้าไปกอดขาของมู่น่อนน่อนไว้ “หนูคิดถึงคุณแม่จังเลย!”
เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินเธอก็รู้สึกใจละลายหมดแล้ว เธออุ้มเฉินมู่ขึ้นมา “แม่ก็คิดถึงมู่มู่!”
เฉินมู่เม้มริมฝีปาก ก่อนจะเบิกตากลมโต และมองไปทางห้องครัว “อะไรคะทำไมหอมจังเลย!”
มู่น่อนน่อนยิ้ม ก่อนจะอุ้มเธอเข้าไปในห้องครัว ในขณะที่เดินเข้าไปเธอก็พูดว่า “อาหารที่คุณแม่ทำเอง เดี๋ยวจะหอมกว่านี้อีก…”
ในห้องครัวมีเก้าอี้เตรียมไว้แล้ว เก้าอี้ตัวนั้นเตรียมมาเพื่อเฉินมู่โดยเฉพาะ บางทีเธอก็อยากจะไปล้างถ้วยล้างจานอะไรบ้าง เธอก็จะเอามาเหยียบ
มู่น่อนน่อนวางเธอไว้บนพื้น จากนั้นเธอก็วิ่งไปเอาเก้าอี้มา และก็วางไว้ตรงข้างหน้าเตาแก๊ส ก่อนที่เธอจะขึ้นไปเหยียบ
เก้าอี้อยู่ใกล้กับเตาแก๊สมากเกินไป มู่น่อนน่อนก็เลยอุ้มเธอขึ้น จากนั้นก็เอาเก้าอี้ดันออกไปข้างนอกเล็กน้อย และก็ให้เฉินมู่กลับไปยืนเหมือนเดิม
เธอเปิดฝาหม้อ ก่อนจะให้เฉินมู่ดมกิน
“หอมไหม?”
“หอม หอมมากค่ะ!” เฉินมู่มองไปที่หม้อด้วยตาแวววาว มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาในทันที เหมือนว่าเธอจะเอื้อมมือเข้าไปในหม้อในวินาทีต่อไป
มู่น่อนน่อนจึงรีบปิดฝาหม้อ ก่อนจะอุ้มเฉินมู่ขึ้นมาอีกที
ในตอนนั้น เธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้เลยถามเฉินมู่ว่า “เฉินชิงเซียวล่ะ?”
“เฉินชิงเซียวฮาฮา…” เฉินมู่รู้สึกว่ามันสนุกดีที่มู่น่อนน่อนเรียกว่า “เฉินชิงเซียว” เหมือนกับเธอ เธอก็เลยพูดตามแล้วก็หัวเราะไม่หยุด
มู่น่อนน่อนลูบหัวของเธอ จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอก
เมื่อครู่นี้เธอเอาแต่สนใจเฉินมู่ จนเกือบลืมไปแล้วว่าที่นี่ยังมีเฉินถิงเซียวอยู่ด้วย
เธอเดินออกมาจากในห้องครัว เธอก็เห็นเฉินถิงเซียวกำลังนั่งอยู่บนโซฟา เอาเอียงตัวเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปหยิบแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า จากนั้นเขาก็หยิบเหยือกน้ำและเทน้ำให้กับตัวเอง
มู่น่อนน่อนมีนิสัยที่ชอบวางเหยือกน้ำกับแก้วน้ำไว้บนโต๊ะ
เฉินถิงเซียวเทน้ำให้กับตัวเอง หลังจากดื่มน้ำแล้วเขาก็วางแก้วไว้ที่เดิม เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วก็มีท่าทีที่ดูเย็นชา
คนปกติทั่วไป เวลาเทน้ำให้ตัวเองก็จะดูเป็นเรื่องปกติ
แต่พอเรื่องปกติไปอยู่บนตัวเฉินถิงเซียว มันก็ทำให้เขาดูโดดเด่นมากขึ้น แลดูติดดินมากเกิน
“เฉินชิงเซียว!”
เฉินมู่วิ่งออกมาจากด้านหลังของมู่น่อนน่อน ก่อนที่เธอจะวิ่งตรงไปทางเฉินถิงเซียว
เธอหยิบจานแก้วน้ำที่วางอยู่ในจานบนโต๊ะด้วยความสงสัย ก่อนจะยื่นไปตรงหน้าเฉินถิงเซียว และก็กระพริบตาพร้อมกับพูดว่า “หนูก็จะดื่มน้ำ”
เฉินถิงเซียวมองไปที่เธอ ก่อนจะยื่นมือไปหยิบเหยือกน้ำพร้อมกับไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา
เฉินมู่ถือแก้วได้เอียงมาก เฉินถิงเซียวยื่นมือไปช่วยเธอไปยุ่งไว้ “ถือแถเวให้ตรงๆ หน่อย”
“ค่ะ” เฉินมู่พยายามจะถือแก้วให้ตรง แต่แก้วก็ยังเอียงอยู่เล็กน้อย
เฉินถิงเซียวเริ่มค่อยๆ ยอมรับในตัวเฉินมู่แล้ว และยอมรับความเป็นเด็กในประจำวัน เขาก็เลยไม่ได้บังคับให้เธอแก้ไขอะไร
เขาเทน้ำให้เฉินมู่ครึ่งแก้ว จากนั้นเขาก็วางเหยือกน้ำไปไว้ที่เดิม “ดื่มสิ”
ถึงแม้จะพูดว่าน้ำครึ่งแก้ว แต่ที่จริงแล้วมันมีน้ำแค่เศษหนึ่งส่วนสี่ของแก้วทั้งใบ
เฉินมู่เม้มริมฝีปาก ทำหน้าไม่พอใจ “น้อยไปค่ะ มีแค่นี้เอง…”
เฉินถิงเซียวยังไม่ได้กระพริบตา เขาพูดออกมาเพียงแค่ว่า “ดื่ม”
เฉินมู่หยุดนิ่งในทันที จากนั้นเธอก็ยกแก้วน้ำไปไว้ตรงปากอย่างระมัดระวัง
ในตอนที่เธอดื่มน้ำอยู่ เธอก็คอยแอบดูเฉินถิงเซียวเป็นระยะ
แล้วเธอก็พบว่าตอนที่เธอกำลังแอบมองเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวก็กำลังมองเธออยู่เหมือนกัน เธอตัวสั่นในทันที จากนั้นเธอก็รีบดื่มน้ำในแก้วจนหมดอย่างร้อนรน
หลังจากดื่มจนหมด เธอก็ยื่นแก้วน้ำไปตรงหน้าเฉินถิงเซียวเพื่อขอคำชื่นชม “คุณพ่อคะ หนูดื่มหมดแล้ว”
“จะให้รางวัลอีกแก้วนะ” ในขณะที่เฉินถิงเซียวพูดอยู่ เขาก็ยื่นมือไปหยิบเหยือกน้ำ
เฉินมู่เบิกตาโต จากนั้นเธอก็หันตัววิ่งหนีออกไป “หนูไม่ดื่มแล้ว”
เฉินถิงเซียวเห็นเด็กน้อยวิ่งออกไปแล้ว เขาก็เลยเก็บมือกลับไปไว้ที่เดิม จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองคุณแม่ของเด็กน้อยที่ไม่รู้ว่ามองมานานเท่าไหร่แล้ว
มู่น่อนน่อนเห็นว่าเฉินถิงเซียวกำลังมองเธอ เธอก็ยิ้มให้กับเขา “เดี๋ยวกับข้าวก็เสร็จแล้วนะ”
เฉินถิงเซียวยิ้มเยือกเย็นอย่างอธิบายไม่ถูก
ตอนที่เพิ่งจะเข้ามา ในสายตาของมู่น่อนน่อนก็มีแต่เฉินมู่ ไม่ทันได้สนใจเขาเลย
ที่จริงแล้วมู่น่อนน่อนก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่ารอยยิ้มที่เยือกเย็นของเฉินถิงเซียวมันหมายความว่ายังไง
แต่ว่าวันนี้เฉินมู่อยู่ที่นี่ด้วย เธอไปทำกับข้าวแล้วค่อยมาพูดกันดีกว่า
ตอนที่ทานข้าว เฉินมู่ไปเอาถ้วยของตัวเองในที่ห้องครัว
สิ่งที่ทำให้มู่น่อนน่อนตกใจก็คือ เฉินมู่ที่เดินเข้าไปหยิบถ้วยของตัวเองก่อนแล้ว จากนั้นเฉินถิงเซียวก็ตามไปหยิบถ้วยของตัวเอง
คุณชายเฉินอยู่ที่ตรงนี้ เขาไม่เพียงแต่จะเทน้ำให้กับตัวเอง นี่เขายังไปหยิบถ้วยด้วยตัวเอง…
มู่น่อนน่อนเองก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย
ตอนนี้เธอได้เอาเฉินถิงเซียวคนในอดีตที่คอยช่วยเธอล้างถ้วยล้างจานไปวางไว้อีกที่นึงแล้ว
ในตอนนี้ทานข้าวกัน นอกจากจะมีเพียงแค่เฉินมู่ที่เอาแต่พูดนั่นพูดนี่ไม่หยุด เฉินถิงเซียวและมู่น่อนน่อนก็ไม่ได้พูดอะไรเลย
แต่ว่า ตอนที่กำลังทานข้าวกันอยู่ ทันใดนั้นก็มีฝนตกหนัก
ที่สำคัญฝนก็ตกหนักมากๆ ฝนกระเด็นกระทบกระจกหน้าต่าง จนเกิดเป็นเสียงดัง
เฉินมู่เกาะอยู่ตรงหน้าต่าง แล้วก็ไปจับหยอดน้ำที่กันด้วยกระจก เธอหันไปพูดกับเฉินถิงเซียวที่อยู่ด้านข้าง “ผมตกแล้ว”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร
เฉินถิงเซียวพูดเสียงดังขึ้นด้วยความไม่พอใจ “เฉินชิงเซียว ฝนตกแล้ว!”
ในน้ำเสียงของเฉินถิงเซียวแอบแฝงไปด้วยความเย็นชาเล็กน้อย แล้วก็แอบแฝงไปด้วยความเบื่อหน่าย “ได้ยินแล้ว”
ทำไมเด็กน้อยถึงมีคำพูดเยอะแยะมากมาย
เฉินมู่ได้รับการตอบรับจากเฉินถิงเซียว เธอก็วิ่งไปทางห้องครัวด้วยความพอใจ
เฉินถิงเซียวมองดูร่างกายของเธอที่กระโดดโลดเต้น เขาก็ขมวดคิ้ว
ความคิดของเด็กน้อยนี่มันแปลกจริงๆ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ดีใจขนาดนั้น
มู่น่อนน่อนออกมาจากห้องครัวหลังจากเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว เธอเห็นเฉินถิงเซียวยืนมองฝนอยู่ตรงข้างหน้าต่าง
เธอมองดูฝนข้างนอกหน้าต่างที่ตกหนัก ก่อนที่เธอจะพูดออกไปว่า “ฝนตกหนักมากเลย นี่ก็ดึกแล้ว คืนนี้ค้างที่ฉันซักคืนเถอะ”
นี่ไม่ใช่น้ำเสียงที่เอาไว้ต่อรองกัน แต่นี่เป็นน้ำเสียงที่ดูเป็นห่วงเป็นใย
เฉินถิงเซียวหันไปมองเธอ มู่น่อนน่อนก็พบว่าคำพูดของเธอนั้นทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิดได้ เธอก็เลยรีบกัดปากแล้วพูดว่า “ที่บ้านของฉันมีอยู่หลายห้องนอน ไม่อย่างงั้นฉันไปนอนกับเฉินมู่ก็ได้ ห้องนอนหลักฉันจะยกให้คุณนอน”
เฉินถิงเซียวดึงสายตากลับ ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาว่า “ไม่ต้อง”
“นอกจากรูปภาพ ก็ไม่มีอะไรที่เป็นความจริง”
“ตอนนี้คนที่ทำงานในวงการบันเทิงแสดงความเป็นมืออาชีพหน่อยได้ไหม ทุกครั้งก็จะมีแค่รูปภาพไม่กี่รูปแล้วก็เขียนใส่ความคนอื่น…”
“ฉันตามเข้ามาจากเทรนการค้นหายอดนิยม เกิดอะไรขึ้น? ทั้งสองคนกลับมาแต่งงานกันอีกครั้งแล้วเหรอ?”
“ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เฉินถิงเซียวก็หล่อมากจริงๆ”
เมื่อมู่น่อนน่อนเห็นคอมเมนท์นี้ เธอก็กลับไปหน้าหลัก เพื่อจะดูรูปภาพรูปนั้น
ถึงแม้ว่ารูปภาพจะไม่คมชัดมากนัก แต่เฉินถิงเซียวที่สวมชุดสูทไว้ รูปที่ถ่ายออกมาดูมีโครงสร้างที่ชัดเจอ และเขาก็ดูโดดเด่นมากกว่าใคร
ส่วนเธอนั้น ก็ใส่เสื้อผ้าที่ดูสบาย เมื่อเทียบกับเฉินถิงเซียวแล้ว เธอก็ดูธรรมดามากๆ
มู่น่อนน่อนบันทึกข้อความบนweiboไว้ เธอตั้งใจจะส่งให้เฉินถิงเซียวดู
คิดไปคิดมา เธอก็บันทึกรูปคอมเม้นท์ที่ชมว่าเฉินถิงเซียวมีรูปร่างหน้าตาที่หล่อส่งให้เขาด้วย
หลังจากเธอบันทึกรูปภาพหมดแล้ว เธอก็รู้สึกเสียใจนิดหน่อย
เพื่อปกปิดความคิดเล็กคิดน้อยของเธอ มู่น่อนน่อนก็เลยส่งข้อความไปหาเขาอีกว่า “พวกเราขึ้นเทรนการค้นหาพร้อมกันเลย คนตัดสินใจดูแล้วกันว่าจะจัดการยังไง”
สิ่งนี้มันดูเกินความจำเป็นมากเกินไป
……
บริษัทตระกูลเฉิน
“คุณชาย”
สือเย่เอาโน๊ตบุ๊คเดินมา ตรงหน้าเฉินถิงเซียว “คุณกับคุณหญิงขึ้นเทรนการค้นหาพร้อมกันเลย”
เฉินถิงเซียวหยุดงานในมือ ก่อนจะเงยหน้ามองไปที่เขา “เทรนการค้นหาอะไร?”
สือเย่ชะงักไป ก่อนจะพูดว่า “ด้านบนเขียนกันว่า ความรักที่คุณหญิงมีให้คุณยังคงอยู่ แล้วก็อยากจะแต่งงานกับคุณอีกครั้ง”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เงยหน้ามองไปทางเฉินถิงเซียว จากหน้าเขาก็เฝ้าดูท่าทีของเฉินถิงเซียวอย่างระมัดระวัง
เฉินถิงเซียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ตอนนี้คนที่ทำงานในวงการบันเทิง ทำงานกันแบบนี้แล้วหรอ?”
สือเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาถึงเข้าใจในสิ่งที่เฉินถิงเซียวต้องการจะสื่อ
“ความหมายของคุณชายคือ…” จะไม่สนใจเทรนการค้นหาอันนี้เหรอ?
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว “ในเมื่อบนข่าวก็เขียนความจริง จะไปยุ่งกับพวกเขาทำไม?”
ผู้หญิงอย่างมู่น่อนน่อน ก็อยากจะแต่งงานกับเขาอีกครั้งมาโดยตลอดนี่!
สือเย่ “…”
ตอนนี้เขาไม่กล้าคิดอะไรแล้ว ถ้าเกิดว่าวันนึงความทรงจำของเฉินถิงเซียวกลับมา แล้วเขานึกถึงการกระทำของเขาในช่วงเวลานี้เขาจะมีท่าทียังไง
สือเย่เช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก “งั้นผมขอตัวไปก่อนนะครับ”
เฉินถิงเซียวยกมือขึ้น เพื่อบอกให้เขาออกไป
ในตอนนั้น โทรศัพท์เขาก็สั่นแจ้งเตือน
ตอนที่เธอยื่นมือไปเอาโทรศัพท์ โทรศัพท์ก็สั่นแจ้งเตือนอีกครั้ง
เป็นการสั่งแจ้งเตือนข้อความส่วนตัว
ยังไม่ต้องอ่านเนื้อหา เธอก็รู้ว่ามู่น่อนน่อนเป็นคนส่งข้อความมาหาเขา
เฉินถิงเซียวยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู ซึ่งก็เป็นรูปที่มู่น่อนน่อนได้บันทึกหน้าจอไว้
เมื่อครู่นี้เค้าไม่ได้ดูเนื้อหาในweibo เขาก็เลยดูรูป บันทึกหน้าจอที่มู่น่อนน่อนส่งมาให้เขาอย่างละเอียด
และอีกรูปนึงก็เป็นรูปของคอมเม้นท์ที่เธอบันทึกหน้าจอไว้
เฉินถิงเซียวมองเห็นข้อความในคอมเม้นท์ เขาก็ยกยิ้มริมฝีปาก เผยรอยยิ้มที่มีเลศนัยออกมา
……
หลังจากที่มู่น่อนน่อนกลับไปถึงที่บ้าน เธอก็เปิดดูweibo เธอพบว่าเทรนการค้นหายังอยู่ และที่สำคัญความนิยมก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ในเวลาแบบนี้ เฉินถิงเซียวควรจะรีบลบเทรนการค้นหาแบบนี้ทิ้งไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงยังปล่อยไว้แบบนี้?
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรไปหาเฉินถิงเซียว
ยังไม่ทันที่จะโทรติด เธอก็กดตัดสายอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็โทรไปหาสือเย่แทน
สือเย่รับสายอย่างรวดเร็ว
“คุณหญิง”
คำเรียกของสือเย่ที่เรียกเธอ ก็กลับไปเหมือนเมื่อก่อนอีกครั้ง
มู่น่อนน่อนครุ่นคิด ก่อนจะถามออกไปว่า “ผู้ช่วยสือ คุณเห็นเทรนการค้นหาบนโลกออนไลน์หรือยัง?”
“เห็นแล้วครับ”
หลังจากสือเย่พูดจบ เขาก็ถอนหายใจออกมา “ผมถามคุณชายแล้วครับ เขาบอกว่าไม่ต้องไปสนใจ”
ถึงแม้ว่ามู่น่อนน่อนจะไม่ได้พูดมาตรงๆ แต่เขารู้ว่ามู่น่อนน่อนต้องการจะถามอะไร เขาก็เลยพูดออกไปตรงๆ
“ไม่ต้องสนใจ? ทำไมไม่ต้องสนใจ?”
ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวไม่ต้องการให้ทางสื่อถ่ายรูปที่เห็นว่าพวกเขาอยู่ด้วยกัน จนเขาไม่ให้เธอลงลิฟต์ไปพร้อมกับเขา แล้วตอนนี้ทั้งสองก็ขึ้นเทรนการค้นหาพร้อมกัน แต่เขากลับจะไม่สนใจเนี่ยนะ
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า ตอนนี้เธอเริ่มจะไม่เข้าใจความคิดของเฉินถิงเซียวมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งไม่สามารถใช้ความเคยชินของเฉินถิงเซียวในอดีตมาเป็นเกณฑ์ คาดเดาการกระทำของเขาในตอนนี้ได้เลย
สือเย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่เอาคำพูดของเฉินถิงเซียวพูดให้เธอฟัง เขาพูดอย่างคลุมเครือว่า “คุณชายแค่บอกว่าไม่ต้องสนใจ…”
มู่น่อนน่อนรับรู้ถึงความคลุมเครือในคำพูดของสือเย่
ถ้าเป็นเรื่องอย่างอื่น เธอก็คงไม่ตามหาความจริงแล้ว
แต่ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเฉินถิงเซียว แล้วเธอเองก็รู้สึกสงสัยมาก ก็เลยถามเขาต่อไป “ทำไมเฉินถิงเซียวถึงพูดว่าไม่ต้องไปสนใจ?”
สือเย่ถอนหายใจออก “…คุณชายพูดว่า ข้อความบนweiboเป็นความจริง เลยไม่ต้องเข้าไปสนใจ”
มู่น่อนน่อน “…ฉันเข้าใจแล้ว”
หลังจากวางสาย มู่น่อนน่อนก็นอนอยู่บนโซฟา ตอนนี้เธอยังรู้สึกมึนงงอยู่
จากนั้นเธอก็อ่านข้อความบนเทรนการค้นหาอีกครั้ง
สายตาที่เธอมองเฉินถิงเซียว เห็นด้วยเหรอว่าความรักที่เธอยังมีต่อเขายังไม่หายไป?
อดีตความรักอะไรกัน! เธอกับเฉินถิงเซียวไม่เคยเลิกกันด้วยซ้ำไป
มู่น่อนน่อนเปิดดูข้อความในweibo ก่อนที่จะนึกขึ้นได้แล้วก็ไปเปิดดูบนweiboของตัวเอง
weiboของตัวเอง ของเธอกลายเป็นสถานที่อันตรายแล้ว
มีแฟนคลับนิรนามถามเธอในWeibo “น่อนน่อน คุณอยากจะแต่งงานกับคุณชายเฉินอีกครั้งจริงหรือ?”
มีคนเยาะเย้ยเธอ “หลังจากหายไปสามปี ทันทีที่เธอกลับมาก็มีเรื่องซุบซิบเกิดขึ้นเลย ผู้หญิงคนนี้คงอยากจะโด่งดังมากใช่ไหม”
เธอไม่อยากที่จะโด่งดัง แต่เรื่องการกลับไปแต่งงานใหม่อีกครั้งเป็นเรื่องจริง
ถ้าในตอนแรกเธอแค่คิดว่าอยากจะให้ความทรงจำของเฉินถิงเซียวกลับมา ตอนนี้เธอก็มีความคิดอย่างอื่นแล้ว
แม้จะไม่มีความทรงจำเหล่านั้น ถ้าเริ่มใหม่อีกครั้ง เฉินถิงเซียวจะยังตกหลุมรักเธอหรือไม่?
แม้ว่าเฉินถิงเซียวจะรู้สึกเฉยๆ กับเธอในตอนนี้ แต่เธอก็เริ่มมีความหวัง ในระหว่างที่ความทรงจำของเฉินถิงเซียวยังไม่กลับมา เขาก็จะต้องตกหลุมรักเธอ
ทันทีที่มีความคิดนี้ออกมา ในจิตใจของมู่น่อนน่อน ก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เธอปฏิบัติต่อเฉินถิงเซียวเหมือนกับเฉินถิงเซียวคนเดิม ดังนั้นภายในใจเธอก็ยังจะรู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆ
ถ้าเกิดว่าเธอทำเหมือนเฉินถิงเซียวคนนี้ เป็นเฉินถิงเซียวที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน มันจะทำให้เขายอมรับในตัวเธอง่ายขึ้นใช่ไหม?
มู่น่อนน่อนคิดว่านี่อาจจะเป็นปัญหาหลักที่เกิดขึ้น
หลังจากที่เธอคิดได้แล้ว เธอก็โทรไปหาเฉินถิงเซียวทันที
หลังจากที่โทรติด เสียงก็ดังอยู่หลายที แต่ก็ไม่มีคนรับสายเลย
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ มู่น่อนน่อนก็คงจะอดใจไม่ไหวเอาเฉินถิงเซียวในอดีตมาเปรียบเทียบกับเฉินถิงเซียวในปัจจุบันอีกครั้ง
แต่เมื่อครู่นี้เธอคิดได้แล้ว เฉินถิงเซียวที่ไม่ยอมรับสายสักที เธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
ในตอนที่โทรศัพท์กำลังจะตัดสายเอง ในที่สุดเฉินถิงเซียวก็กดรับสาย
หลังจากที่เขารับสายแล้ว เขาก็ไม่พูดอะไร มู่น่อนน่อนก็ไม่สนใจ เธอถามออกไปทันทีว่า “คืนนี้จะยังมาทานอาหารเย็นเหมือนเดิม ใช่ไหม?”
เฉินถิงเซียวรู้สึกประหลาดใจ แม้ว่ามู่น่อนน่อนจะไม่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขา แต่เมื่อฟังจากเสียงของเธอแล้ว เขาก็ได้ยินน้ำเสียงของความกระตือรือร้นที่ไม่เหมือนปกติ
เขาชะงักไป ก่อนจะตอบเธอว่า “อืม”
ในน้ำเสียงของมู่น่อนน่อนมีความสุขแอบแฝงอยู่ “แล้ววันนี้คุณอยากจะทานอะไร เดี๋ยวฉันจะไปซื้อกับข้าว”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว ก่อนจะตอบด้วยเสียงเรียบ “ได้หมด”
มู่น่อนน่อนในวันนี้ดูกระตือรือร้นผิดปกติ
มู่น่อนน่อนหรี่ตาลงเพื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็เพิ่งจะนึกออกว่า เมื่อสามปีที่แล้วมู่หวั่นขีพยายามขับรถชนเธอ
มู่หวั่นขีอยากจะขับรถชนเธอจนตาย แต่ก็ไม่สำเร็จ เฉินถิงเซียวเลยโกรธมากๆ ก็เลยให้คนไปเอาตัวมู่หวั่นขีมาก จากนั้นก็ใช้วิธีที่โหดร้ายที่สุดในการทรมานมู่หวั่นขี
เขาไม่ได้ต้องการจะเอาชีวิตของมู่หวั่นขี แต่เขาต้องการจะให้เธอทรมานเหมือนตายทั้งเป็น
ในสถานการณ์นั้น แค่นึกถึงเรื่องราวในตอนนั้นมู่น่อนน่อนก็รู้สึกขยะแขยงเล็กน้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ต้องพบเจอด้วยตัวเองอย่างมู่หวั่นขี
เมื่อเห็นท่าทีตอบสนองของมู่หวั่นขี ก็เห็นแล้วว่า เธอกลัวเฉินถิงเซียวมากจริงๆ
ถ้าพูดให้ถูกต้องหน่อย เธอรู้สึกเกรงกลัวมากๆ
มู่หวั่นขีจับกระเป๋าไว้แน่น จนนิ้วมือของเธอเริ่มจะซีด ในแววตาที่เต็มไปด้วยความกลัว มีความหวาดระแวงแอบแฝงอยู่
จากนั้น เธอและเฉินถิงเซียวก็สบตากันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็รีบหลบสายตาอย่างรวดเร็ว เธอขยับขาของเธอ เหมือนเธออยากจะลุกขึ้นและเดินออกจากที่นี่ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงไม่ขยับตัว
มู่น่อนน่อนดึงสายตากลับ ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและมองไปทางเฉินถิงเซียว จากนั้นเธอถามเขาว่า “ทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้”
เฉินถิงเซียวตอบเพียงสั้นๆ ว่า “ผ่านมาน่ะ”
เฉินถิงเซียวไม่ยุ่งเรื่องของบริษัทเสิ้งติ่งมาโดยตลอด งานที่จัดขึ้นในวงการบันเทิงแบบนี้ เขาก็ไม่เคยมาเข้าร่วมเลย
ที่เขาบอกว่าเขาผ่านมา มันผ่านมาได้พอดีเลย
มู่น่อนน่อนไม่ได้พูดสิ่งที่เธอคิดในใจ
“งั้น…”
เธอครุ่นคิด ในขณะที่เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เฉินถิงเซียวก็ตัดบทเธอทันที “ผมมีธุระจะคุยกับคุณ”
หลังจากเขาพูดจบ เขาก็ไม่ได้สนใจท่าทีของมู่น่อนน่อนเลย เขาหันเดินออกไปทันที
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ที่เดิม เธอไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ เฉินถิงเซียวถึงมาหาเธอ
ต่อให้จะมาหาเธอเพราะมีธุระจริงๆ เมื่อครู่นี้ที่เธอส่งข้อความไปหาเขา เฉินถิงเซียวก็ควรจะโทรศัพท์มาถามเธอทันทีเลยไม่ใช่เหรอ?
แต่สุดท้ายเขาก็เดินมาหาเธอเอง แล้วก็พูดเพียงไม่กี่ประโยคก็จากไป
แปลกจริงๆ
เมื่อเฉินถิงเซียวจากไป มู่หวั่นขีก็กลับมาเป็นปกติ
เธอมองไปยังทางที่เฉินถิงเซียวจากไป จากนั้นก็หันกลับมามองที่มู่น่อนน่อน
น้ำเสียงของเธอฟังดูอึมครึ้ม “นี่เธอยังคบกับเฉินถิงเซียวอยู่เหรอ?”
“เกี่ยวอะไรกับเธอ” มู่น่อนน่อนยิ้มอย่างเย็นชา ก่อนที่จะเดินจากไป
เธอเพิ่งจะก้าวได้เพียงก้าวเดียว เธอก็ถูกมู่หวั่นขีห้ามไว้
นิ้วมือของมู่หวั่นขีผอมจนเหลือแต่กระดูก มู่น่อนน่อนรู้สึกเจ็บที่เธอมาจับแขนไว้
มู่น่อนน่อนหันไปมอง ก่อนที่จะขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เมื่อกี้นี้เฉินถิงเซียวก็พูดแล้วว่ามาหาฉันเพราะมีธุระ ถ้าเกิดว่าฉันยังไม่ยอมไปหาเขา…”
เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ เธอก็จงใจหยุดพูด
เป็นไปอย่างที่คิด เมื่อพูดถึงเฉินถิงเซียว มู่หวั่นขีก็ดูอ่อนแอลงทันที
ดูเหมือนว่าสิ่งที่เฉินถิงเซียวทิ้งไว้ มันยังคงตราตรึงอยู่ในใจเธอ
มู่หวั่นขีจ้องมองเธอด้วยท่าทางเคร่งขรึม จากนั้นก็สะบัดมือออกอย่างแรง และพูดอย่างดุร้ายว่า “ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบอะไร เธอเดินจากไปทันที
มู่หวั่นขีจ้องไปยังทิศทางที่เธอเดินจากไป ก่อนที่เธอจะกำมือทั้งสองไว้แน่น
เธอกับซือเฉิงหยู้ต้องแยกจากกัน แต่นี่มู่น่อนน่อนกลับยังมาคบหาอยู่กับเฉินถิงเซียวอีก?
นี่มันไม่ยุติธรรมเลย!
ทำไมเวลามู่น่อนน่อนพบเจอกับอุปสรรคอะไรมากมายถึงไม่ตาย แล้วนี่ไม่ว่าเธอจะอยากได้อะไรเธอก็ได้ทั้งหมด!
ถ้าเกิดว่ามู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวยังคบกันอยู่จริงๆ ถ้าเธอคิดที่จะแก้แค้นก็คงจะยากแล้ว
ถ้าเธอแค่จัดการกับมู่น่อนน่อน ยังไงเธอก็จะหาโอกาสจนได้
แต่นี่พวกเขายังคบกันอยู่ ยังไงเฉินถิงเซียวก็จะปกป้องมู่น่อนน่อน โอกาสที่เธอจะลงมือก็น้อยมาก
ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะต้องคิดอย่างรอบคอบแล้ว
……
มู่น่อนน่อนออกจากจุดพักผ่อน เธอหันมองซ้ายขวา จากนั้นเธอก็เห็นเฉินถิงเซียวที่ยืนพิงกำแพงอยู่
มือทั้งสองข้างของเขาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง สีหน้าของเขาดูราบเรียบ ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะมายืนรอเธอที่นี่
คนที่ทำให้เฉินถิงเซียวยอมรอได้ มีอยู่ไม่กี่คน
ยิ่งเป็นเฉินถิงเซียวในตอนนี้แล้ว
อารมณ์ของมู่น่อนน่อนดีขึ้นเยอะมากๆ
“เฉินถิงเซียว”
เธอเดินไปตรงหน้าเขา ก่อนที่จะเรียกชื่อเขาออกมา
เฉินถิงเซียวเงยหน้ามองไปที่เธอ ก่อนที่เขาจะหันเดินไปอีกทาง เขาก้าวเดินออกไปอย่างมั่นคง มู่น่อนน่อนเดินตามไม่ทัน
มู่น่อนน่อนเลยรีบเดิน จนตามเขาทัน “คุณบอกว่ามีธุระจะคุยกับฉันไม่ใช่เหรอ? มีธุระอะไรเหรอ?”
เฉินถิงเซียวตอบอย่างราบเรียบว่า “ไม่มีอะไร”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก อยู่ๆ เธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ด้วยความสามารถในการพูดคุยของทั้งสอง ตอนนี้พวกเขาก็เดินมาจนถึงหน้าประตูลิฟต์แล้ว
เฉินถิงเซียวเอื้อมมือไปกดลิฟต์ เมื่อหันไปเขาก็เห็นว่ามู่น่อนน่อนยังอยู่ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย และพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “อย่าเดิมตามผม”
มู่น่อนน่อนต้องการจะลงลิฟต์ไปพร้อมกับเขา
แต่เมื่อเฉินถิงเซียวพูดแบบนี้ ก็ดูเหมือนว่าเขาจะรังเกียจเธอมาก แล้วเธอต้องการที่จะลงไปพร้อมกับเขา
เธอสูดลมหายใจเข้า ก่อนจะพูดว่า “ฉันไม่ได้จะเดินตามคนไป ฉันก็จะลงลิฟต์เหมือนกัน”
ในตอนนั้น ลิฟต์ก็มาถึงพอดี
ประตูลิฟท์เปิดออก ข้างในไม่มีคนอยู่เลย
มู่น่อนน่อนมองไปที่เขา เธอเตรียมที่จะเดินเข้าไปในลิฟต์ แต่เมื่อเธอกำลังจะก้าวเข้าไป เธอก็ถูกเฉินถิงเซียวห้ามไว้
มู่น่อนน่อนชะงักไป “ทำไม?”
“คุณรอรอบถัดไป” หลังจากเฉินถิงเซียวพูดจบ เขาก็เดินผ่านตัวเธอเข้าไปในลิฟต์
มู่น่อนน่อนทำหน้าไม่ถูก “ทำไมฉันต้องรอรอบถัดไปด้วย?”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว ก่อนจะยกคางขึ้นลงเพื่อบอกให้เธอหันไปมองด้านหลัง
มู่น่อนน่อนหันกลับไป เธอก็เห็นนักข่าวหลายคนเดินมาทางนี้ แต่เนื่องจากว่าอยู่ห่างกันค่อนข้างเยอะ นักข่าวพวกนั้นก็เลยไม่ทันสังเกตเห็นมู่น่อนน่อน
เฉินถิงเซียวกลัวว่าทางสื่อจะถ่ายรูปตอนที่พวกเขาเดินอยู่ด้วยกันเหรอ?
สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกดีใจมากนะ
ไม่อยากโดนนักข่าวแอบถ่าย กับเฉินถิงเซียวไม่อยากให้ถ่ายรูปตอนที่พวกเขาเดินอยู่ด้วยกัน มันต่างกันนะ
ตอนที่มู่น่อนน่อนหันกลับไป ประตูลิฟต์ก็ปิดลงแล้ว เฉินถิงเซียวใช้ลิฟต์ลงไปข้างล่างแล้ว
เธอทำได้เพียงแค่รออีกพักนึง
……
แม้ว่าเฉินถิงเซียวจะไม่ได้ลงลิฟต์ไปพร้อมกับมู่น่อนน่อน แต่ภาพถ่ายก่อนหน้าของทั้งสองคนในเฟรมเดียวกันที่ทางเข้า ก็ ถูกโพสต์ลงบนโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว
และชื่อของทั้งคู่ก็ขึ้นเทรนการค้นหาอย่างรวดเร็ว
#มู่น่อนน่อน เฉินถิงเซียว#
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่โดดดังอยู่แล้ว ส่วนมู่น่อนน่อนชื่อของเธอเพิ่งจะถูกพาดหัวข่าวเมื่อไม่กี่วันก่อน เมื่อนำชื่อทั้งสองนี้มารวมกัน จำนวนการเข้าชมและการอ่านก็เพิ่มขึ้น
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ในรถ เธอกดเข้าไปดูที่เทรนการค้นหา
ภาพบนสุดของWeibo คือภาพของเธอและเฉินถิงเซียวในเฟรมเดียวกัน ในรูปถ่ายเธอและเฉินถิงเซียวอยู่กันมาก เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปในสถานที่โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ส่วนมู่น่อนน่อนถูกรายล้อมไปด้วยนักข่าวกลุ่มหนึ่ง สิ่งที่บังเอิญมากก็คือ เธอกำลังเงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียว
ภาพนี้ ถูกการตีความอย่าง “ล้ำลึก” โดยบล็อกเกอร์บันเทิงชั้นนำคนนี้
บทความของบล็อกเกอร์คนนี้ค่อนข้างยาว และสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อก็คือ ประโยคที่ว่า “หลังจากห่างกันไปสามปี ความรักที่มู่น่อนน่อนมีให้คุณชายเฉินยังคงอยู่”
“วันก่อนยังพูดกันอยู่เลยว่าผู้หญิงคนนี้กำลังจะกลับไปคบกับคนรักคนแรกของเธอไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ถึงบอกว่าความรักที่เธอมีให้อดีตสามียังคงอยู่”
“เธอมีความรักแบบนี้ให้อีกกี่คน”
สองความคิดเห็นสุดฮอตบนWeibo ที่มียอดไลค์มากที่สุด ล้วนเป็นความคิดเห็นที่ต้องการเกาะกระแสเท่านั้น
ด้านหลังมีชาวเน็ตตัวจริงหลายคน ที่ตั้งคำถามกับทางบล็อกเกอร์
เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินนักข่าวเรียกชื่อเธอ เธอก็ก้มหน้าลง ก่อนจะวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับดึงฉินสุ่ยซานไปด้วย
แต่ ก็มีนักข่าวบางคนวิ่งตามเธอไป
“แน่ใจนะว่าคือมู่น่อนน่อน?”
“น่าจะใช่!”
“เธอจะมาที่นี่ทำไม? คนที่อยู่ข้างๆ เธอคือใคร?”
มู่น่อนน่อนไม่สนใจสิ่งที่นักข่าวและปาปารัสซี่ที่อยู่ข้างหลังพูดกัน เธอดึงฉินสุ่ยซานและวิ่งออกไปทันที
แต่ ในสถานที่มีแต่เก้าอี้ ตอนที่พวกเธอจะออกไปก็ไม่สะดวกมากนัก
มู่น่อนน่อนทำได้แค่วิ่งไปตรงระหว่างช่องว่างของเก้าอี้อย่างยากลำบาก
นักข่าวและปาปารัสซี่พากันล้อมเธอไว้ และเธอกับฉินสุ่ยซานจึงทำได้แค่วนอยู่ในรอบๆ สถานที่จัดงานเท่านั้น
ในสถานที่นั้นตกอยู่ในความโกลาหลเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนใช้โอกาสนี้กระซิบบอกฉินสุ่ยซานว่า “แยกกันหนีนะ”
ในเวลานี้ ถ้าเธอและฉินสุ่ยซานอยู่ด้วยกัน มันจะทำให้ทั้งคู่หนีออกไปได้ยาก
ฉินสุ่ยซานพยักหน้าทันที “อืม”
หลังจากที่ทั้งสองแยกจากกัน มู่น่อนน่อนที่อยู่คนเดียวก็สะดวกมากขึ้น
เธอวิ่งไปที่ทางเข้าของสถานที่จัดงานอย่างรวดเร็ว ตอนที่กำลังจะออกไป เธอก็เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามา
และคนที่เดินนำหน้าอยู่ ก็คือเฉินถิงเซียวนี่!
เฉินถิงเซียวถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน และเขากำลังเดินเข้ามาทางเธอ
เขามาที่นี่ได้ยังไง?
แม้ว่าแนถิงเซียวจะเป็นเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังของบริษัทเสิ้งติ่ง แต่เขาไม่เคยสนใจเรื่องในบริษัทอยู่แล้ว และก็ไม่เข้าร่วมงานพวกนี้ด้วย
แม้ว่าเขาจะเข้าร่วมงาน เขาก็จะเข้าร่วมแค่งานเชิงพาณิชย์บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเฉินเท่านั้น
เพราะเธอตกใจเกินไป มู่น่อนน่อนจึงหยุดวิ่งที่ทางเข้าโดยไม่รู้ตัว ปาปารัสซี่และนักข่าวจึงรีบไล่ตามเธอและล้อมเธอไว้ทัน
มู่น่อนน่อนยังสวมหน้ากากไว้ เธอเอื้อมมือไปบังแสงจ้าที่ส่องประกายอยู่ตรงหน้าเธอ
“คุณคือมู่น่อนน่อนใช่ไหม ถอดหน้ากากออกได้ไหมคะ”
“โปรดยอมรับการสัมภาษณ์ของฉันด้วยค่ะ…”
“…”
นักข่าวรีบยื่นไมโครโฟนไปให้มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนถูกกดดันจนต้องถอยหลังติดกำแพง
นักข่าวกลุ่มนี้ให้ความสนใจกับมู่น่อนน่อนอยู่ เลยไม่ได้สังเกตว่าเฉินถิงเซียวก็อยู่ที่นี่ด้วย
หลังจากที่เฉินถิงเซียวนำคนกลุ่มนั้นเข้ามาใกล้ พวกเขาถึงรู้ว่าเฉินถิงเซียวมาถึงแล้ว
นักข่าวทุกคนต่างก็ตื่นเต้นกันมากๆ
เฉินถิงเซียวและมู่น่อนน่อน แทบจะไม่เคยออกงานพร้อมกันในที่สาธารณะแบบนี้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลังจากที่พวกเขาหย่าร้างกัน
แค่ได้รูปพวกเขาสองคนในเฟรมเดียวกัน จากนั้นก็เอากลับไปเขียนเป็นรายงานยาวๆ แค่รูปภาพเดียวก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนแล้ว ที่สำคัญเพิ่มยอมผู้ชมได้จำนวนไม่น้อยเลย
นักข่าวไม่ได้ล้อมมู่น่อนน่อนไว้แล้ว พวกเขาทั้งหมดหยิบกล้องขึ้นมาเพื่อถ่ายรูปมู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวที่อยู่ในเฟรมเดียวกัน
มู่น่อนน่อนยืนพิงกำแพงข้างประตู ส่วนนักข่าวพวกนี้ ต่างก็ก็ถอยกลับไปเพื่อหามุมและถ่ายรูป
ไม่นาน เสียงไฟกระพริบและเสียงถ่ายรูปก็ดังขึ้นในทันที
มู่น่อนน่อนมองไปทางเฉินถิงเซียว ซึ่งเธอก็ได้สบตาของเฉินถิงเซียวโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
สายตาของเขาไม่ได้หยุดอยู่ที่ร่างของมู่น่อนน่อน เหมือนกับว่าเขาไม่รู้ว่าเธอคือมู่น่อนน่อน
สายตาของเขาเลื่อนผ่านใบหน้าของเธอไปโดยตรง ก่อนที่เขาจะกระซิบบางอย่างกับคนรอบๆ ตัวเขา จากนั้นจึงยกเท้าขึ้นและเดินเข้าไปในงาน
ส่วนนักข่าวที่ยังคงถ่ายรูปอยู่ ก็ถูกยามขับไล่ออกไปอย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนเหลือบมองเข้าไปในงาน เธอพบว่าเฉินถิงเซียวกำลังนั่งอยู่ตรงที่แถวสุดท้าย ดูเหมือนว่าเขาจะมาเข้าร่วมงานแถลงข่าวภาพยนตร์จริงๆ
เธอมองไปที่ประตูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็หันหลังเดินออกไป ตอนนี้เธอไม่สะดวกที่จะปรากฏตัวอยู่ข้างๆ เฉินถิงเซียว
เธอเดินออกไปข้างนอก ก่อนจะไปหาจุดพักผ่อนและนั่งลง เธอหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาแล้วส่งข้อความถึงเฉินถิงเซียว “คุณมาที่นี่ทำไม”
เฉินถิงเซียวไม่ตอบเธอ
แต่โชคดีที่มู่น่อนน่อนคุ้นเคยกับเฉินถิงเซียวที่เย็นชาเช่นนี้แล้ว
เธอเลยโทรหาฉินสุ่ยซาน
เธอมากับฉินสุ่ยซาน และแน่นอนว่าเธอก็ต้องกลับไปพร้อมกับฉินสุ่ยซาน ทั้งสองคนเพิ่งแยกจากกัน เธอไม่รู้ว่าฉินสุ่ยซานหายไปไหน
มู่น่อนน่อนโทรหาฉินสุ่ยซานสองครั้ง ก่อนที่ฉินสุ่ยซานจะรับสาย
“น่อนน่อน เธออยู่ที่ไหน” เสียงของฉินสุ่ยซานฟังดูหอบเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนมองไปรอบๆ ในขณะที่พูดว่า “ฉันอยู่ในจุดพักผ่อน เธออยู่ไหน จะมาที่นี่ไหม”
“ทำไมเธอถึงไปอยู่ที่จุดพักผ่อนได้ มันไกลมากเลย ฉันไม่ไปหาเธอแล้ว”
“อืม งั้นเดี๋ยวฉันกลับเอง”
ฉินสุ่ยซานไม่มาที่นี่แล้ว มู่น่อนน่อนคิดที่จะกลับไป
เธอเล่นโทรศัพท์ สายตาของเธอจับจ้องไปที่โทรศัพท์
เฉินถิงเซียวยังไม่ตอบเธอ
มู่น่อนน่อนถอนหายใจออก เธอกำลังจะลุกขึ้นเดินออกไป แต่เสียงที่คุ้นเคยก็ดังเข้ามาในหูของเธอ
“ไม่ว่าจะไปไหนก็เจอเธออยู่ดี”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น เธอเห็นมู่หวั่นขียืนขึ้นจากโซฟาที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นเธอก็เดินไปหาเธอ
วันนี้มู่หวั่นขีก็น่าจะมาเข้าร่วมงานบางอย่าง เธอแต่งหน้าสวยมาก และก็แต่งตัวเป็นทางการ แค่มองก็รู้ว่าเธอแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบกับมู่หวั่นขีที่นี่
พูดได้เพียงว่าโลกใบนี้แคบจริงๆ
มู่น่อนน่อนนั่งบนโซฟานิ่งๆ เธอเลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “เหมือนกัน”
มู่หวั่นขียิ้ม ก่อนจะนั่งลงข้างๆ เธอ น้ำเสียงของเธอฟังดูอ่อนโยนจนประหลาด “ฉันได้ยินมาว่า เฉินถิงเซียวอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?”
มู่น่อนน่อนหันกลับไปมองเธออย่างรวดเร็ว “คุณจะทำอะไร?”
“ฉันจะทำอะไรได้”
ดูเหมือนว่ามู่หวั่นขีจะเพลิดเพลินกับความประหม่าของมู่น่อนน่อน เธอยกขาไขว่ห้าง ก่อนจะแสดงท่าทีที่น่ากลัวออกมา “ฉันรู้ดีว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนยังไง ยังไงฉันก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่แล้ว แค่ถามเฉยๆ แค่เป็นห่วงความสัมพันธ์ของพวกเธอน่ะ”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย และทุกคำที่มู่หวั่นขีพูดในตอนนี้ มันทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจเอามากๆ
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “ความสัมพันธ์ของฉันกับเฉินถิงเซียวมันมีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณเหรอ”
“ฉันแค่อยากรู้ว่าตอนนี้พวกเธอมีความสุขกันไหม ถ้าเธอไม่มีความสุข ฉันก็จะมีความสุข ถ้าพวกเธอมีความสุข ฉันก็จะเสียใจมากๆ”
มู่หวั่นขีพูดอย่างสบายๆ เธอยกนิ้วขึ้นเพื่อดูเล็บของเธอที่เพิ่งจะทำเสร็จ “แต่ ครั้งก่อนที่เห็นเธอกับคนที่มีนามสกุลลี่ ก็แสดงว่าเฉินถิงเซียวไม่ต้องการเธออีกต่อไปแล้ว เธอก็แค่ผู้หญิงที่ถูกผู้ชายทอดทิ้ง น่าเห็นใจจริงๆ เลยนะ”
มู่น่อนน่อนกำลังจะพูดบางอย่าง เธอยังไม่ได้ทันได้พูด เธอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้
หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนเรียกชื่อเธอ
“มู่น่อนน่อน”
เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคย
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ เธอเห็นเฉินถิงเซียวกำลังเดินเข้ามาหาเธอ
กลุ่มคนที่ตามเขาไว้ก่อนหน้านี้ เธอไม่รู้ว่าพวกเขาหายไปไหนแล้ว เขาเดินมาหาเธอเพียงคนเดียว สายตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างของมู่น่อนน่อน
ดวงตาสีดำที่เหมือนกับหมึก ดูเหมือนจะมีอารมณ์อื่นๆ แอบแฝงอยู่
เพียงแต่ว่า เพราะว่าดวงตาเขาดำเกินไป จึงทำให้เธอแยกแยะได้ยาก
เขามีรูปร่างสูงโปร่ง ไม่นานเขาก็เดินไปถึงตัวมู่น่อนน่อน
เขามองไปที่มู่น่อนน่อนก่อน จากนั้นจึงหันมามองที่มู่หวั่นขี
มู่น่อนน่อนก็จ้องมองไปที่มู่หวั่นขี
เธอเห็นอย่างชัดเจนว่า ตอนที่เฉินถิงเซียวจ้องมองไปที่มู่หวั่นขี ตัวเธอสั่นมากๆ
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวดูเหมือนจะจงใจมุ่งเป้าไปที่ลี่จิ่วเชียน
เธอพูดอย่างหงุดหงิด “คุณเก่งที่สุด พอใจหรือยัง”
อย่างไรก็ตาม เรื่องความคิดของมู่หวั่นขี เขาพูดถูกทุกอย่าง
มู่หวั่นขีต้องการฆ่าพวกเขาเพื่อล้างแค้นให้กับซือเฉิงหยู้
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว “คุณคิดว่าผมพูดผิดใช่ไหม?”
“ลี่จิ่วเชียนเคยมีเรื่องอะไรกับคุณหรือเปล่า ทำไมคุณถึงได้พุ่งเป้าไปที่เขาแบบนี้” เฉินถิงเซียวที่อยู่ตรงหน้าเธอ เขาแสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจน
เฉินถิงเซียวเยาะเย้ย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดี “นี่คุณกำลังช่วยพูดแก้ต่างให้เขาเหรอ เป็นคู่หมั้นของเขา จนมีความรู้สึกที่ดีต่อเขาแล้วเหรอ?”
น้ำเสียงของเขาฟังดูอันตรายเล็กน้อย มู่น่อนน่อนไม่กล้าพูดอะไรในตอนนี้ แต่สิ่งที่จำเป็นต้องพูดเธอก็ควรจะพูด
น้ำเสียงของเธออ่อนลง “เพราะยังไงเขาก็เคยช่วยฉันไว้”
เฉินถิงเซียวจ้องเธอด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง เขาจ้องจนมู่น่อนน่อนรู้สึกอึดอัด
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถามขึ้นทันที “คุณรู้จักลี่จิ่วเชียนมากแค่ไหนกัน”
มู่น่อนน่อนถามด้วยความสงสัย “ทำไมเหรอ”
ถ้าให้พูดความจริง เธอไม่ค่อยรู้เรื่องลี่จิ่วเชียนมากนัก
“คุณกับเขารู้จักกันได้ยังไง นอกจากจะรู้ว่าเขาเป็นนักจิตวิทยาที่กลับมาจากต่างประเทศแล้ว คุณยังรู้อะไรอีกไหม” เฉินถิงเซียวมองเธอด้วยท่าทางที่จริงจัง “เมื่อดูจากข้อมูลแล้ว นอกจากตอนที่คุณตั้งท้องอยู่ คุณก็อาศัยอยู่ในเมืองหู้หยางตลอด”
เมื่อเฉินถิงเซียวพูดคำว่า “ตั้งท้อง” ดวงตาของเขาเป็นประกายเล็กน้อย
ในช่วงเวลานี้ เขาได้อ่านเนื้อหาทั้งหมดที่สือเย่เอามาให้เขา และเขาเองก็เกือบจะเข้าใจเรื่องราวที่ผ่านมาของเขาและมู่น่อนน่อนแล้ว
มู่น่อนน่อนเข้าใจแล้ว ว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้มาที่นี่เพื่อรับประทานอาหาร แต่เขามาเพื่อตั้งคำถามกับเธอ
ในเมื่อเฉินถิงเซียวถามมา เธอก็ไม่ได้จะปิดบังอะไร “ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว เขาน่าจะรู้จักฉันตั้งนานแล้ว ส่วนฉันเพิ่งรู้จักเขาเมื่อสามปีก่อน ก่อนที่เราจะเดินทางไปที่เกาะ”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่มีแล้วเหรอ?”
มู่น่อนน่อนส่ายหัวและถามเขาว่า “ตกลงคุณจะทำอะไรกันแน่?”
เฉินถิงเซียวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาว่า “อยู่ให้ห่างจากคนที่ไม่ทราบที่มาที่ไปอย่างพวกเขา”
ไม่ทราบที่มาที่ไป หมายถึงลี่จิ่วเชียนนี่?
“แม้ว่าที่มาที่ไปของเขาจะน่าสงสัย แต่เขาก็เคยช่วยชีวิตฉันไว้ และมันเป็นไปไม่ได้ที่ฉันและเขาจะไม่ติดต่อกัน” มู่น่อนน่อนกล่าวอย่างจริงจัง
เฉินถิงเซียวยิ้มเยาะเย้ย ก่อนที่เขาจะไม่พูดกับเธออีก เขาก้มหน้าลงทานข้าว
เฉินถิงเซียวกลับไปหลังจากทานอาหารเสร็จ
ก่อนที่เขาจะออกไป มู่น่อนน่อนก็ได้เอาขนมไปให้เฉินถิงเซียว และขอให้เขาเอากลับไปให้เฉินมู่
ของพวกนี้เป็นของที่เธอตั้งใจเตรียมให้เฉินมู่เป็นพิเศษ
ตอนที่เธอพยักหน้า และเอาของยื่นให้เฉินถิงเซียว เธอเห็นคิ้วของเฉินถิงเซียวขมวดคิ้วแน่น “ไม่ใช่ว่าที่บ้านผมไม่มีคนใช้”
“คนใช้ก็ส่วนคนใช้ ฉันเป็นแม่ของเฉินมู่ มันไม่เหมือนกัน” ในขณะที่มู่น่อนน่อนพูด เธอก็ยื่นกล่องที่อยู่ในมือให้เขา
แม้ว่าสีหน้าของเฉินถิงเซียวจะไม่ค่อยดีนัก แต่เขาก็ยังเอื้อมมือออกไปและรับไว้
มู่น่อนน่อนส่งเขาที่หน้าประตู เขาหันมองกลับไปที่เธอ เหมือนเขามีอะไรจะพูด แต่สุดท้ายเขาก็จากไปพร้อมกับเสียงถอนหายใจที่เย็นเยียบ
มู่น่อนน่อนมองแผ่นหลังของเขา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย เธอไปทำให้เขาโมโหตอนไหนอีก?
หลังจากปิดประตู มู่น่อนน่อนก็นึกถึงคำพูดของเฉินถิงเซียว ก่อนจะเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับความคิดบางอย่าง
คำพูดของเฉินถิงเซียวได้เตือนสติเธอ ครั้งก่อนที่เธอได้พบกับลี่จิ่วเชียน เธอก็อยากจะถามลี่จิ่วเชียนแล้วว่ารู้จักเธอได้อย่างไร แต่เพราะลี่จิ่วเชียนไม่ต้องการพูดในตอนนั้น เธอก็เลยไม่ได้ถาม
ในไม่ช้าก็เร็วยังไงเธอก็ต้องถามเรื่องนี้
มู่น่อนน่อนเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ เธออยากจะหาเวลาเพื่อไปถามเรื่องนี้กับลี่จิ่วเชียนโดยเร็วที่สุด
……
วันรุ่งขึ้น ฉินสุ่ยซานก็ได้นัดมู่น่อนน่อนออกไปอีกครั้ง
คราวนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นงานแถลงข่าวภาพยนตร์ใหม่ของเพื่อนเธอ
เมื่อมู่น่อนน่อนไปถึงที่นั่น เธอก็เพิ่งรู้ว่าเพื่อนของเธอก็คือสวุมู่หัน
บางทีอาจเป็นเพราะบทบาทในภาพยนตร์ สวุมู่หันจึงไว้หนวดเคราเล็กน้อย ซึ่งทำให้เขาดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย แถมยังดูเป็นลูกผู้ชายมากขึ้นอีกด้วย
ความประทับใจของมู่น่อนน่อนที่มีต่อเขายังคงอยู่เมื่อสามปีที่แล้ว
เมื่อลองเปรียบเทียบอย่างละเอียด ดูเหมือนว่าสวุมู่หันจะไม่ต่างจากเมื่อสามปีที่แล้ว
งานแถลงข่าวส่วนใหญ่จะมีนักข่าวและสื่อต่างๆ มา ฉินสุ่ยซานปลอมตัวพร้อมกับมู่น่อนน่อน ก่อนจะให้เธออยู่ร่วมกับนักข่าว เพื่อจะได้ไม่มีคนมาสนใจ
มู่น่อนน่อนดึงหน้ากากที่ปิดครึ่งหน้าของเธอไว้ ก่อนจะถามฉินฉินสุ่ยซานด้วยเสียงต่ำๆ “ทำไมต้องทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ด้วย สามปีที่ผ่านมานี้เธอยังจีบสวุมู่หันไม่ติดอีกเหรอ”
เพราะมีหน้ากากบังไว้ มู่น่อนน่อนเลยมองไม่เห็นใบหน้าของฉินสุ่ยซาน แต่เธอก็เห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของเธอ
ฉินสุ่ยซานรีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “อะไรกัน ใครกำลังจะจีบเขา! ฉันไม่ได้จีบนะ อย่าพูดมั่วซั่วสิ”
“อือ เธอไม่ได้จีบเขาเลย ก็แค่แอบมาเข้าร่วมงานแถลงข่าวภาพยนตร์ของเขาเท่านั้นเอง” หลังจากมู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็ไม่สนว่าฉินสุ่ยซานจะจ้องเขม็งเธอแค่ไหน เธอขมวดคิ้วและพูดว่า “แต่ การที่เธอมาเข้าร่วมงานแถลงข่าวภาพยนตร์ของสวุมู่หัน แล้วเธอจะดึงฉันมาด้วยทำไม”
“ยังไงเธอก็ว่างอยู่แล้ว มาเป็นเพื่อนฉันไม่ได้เหรอ” ฉินสุ่ยซานหันหน้าไปจ้องที่เธอ
มู่น่อนน่อนถอนหายใจออก ให้กับน้ำเสียงที่คุ้นเคยของฉินสุ่ยซาน “คุณฉิน เธอยังอยากจะถ่ายทำเรื่องเมืองพังภาค2อยู่ไม่ใช่เหรอ เธอไม่ต้องให้ฉันรีบเขียนบทเลยเหรอ?
“นั่นก็ไม่ได้รีบจนจะเอาภายในวันสองวันนี้” หลังจากฉินสุ่ยซานพูดจบ เธอก็ยิ้มให้เธออย่างประจบสอพลอ “จริงๆ แล้วฉันสงสัยมาตลอด ก่อนหน้านี้คุณทำยังไงถึงทำให้เฉินถิงเซียวทุ่มเทให้กับคุณแค่คนเดียว”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วและถามเธอว่า “ก่อนหน้านี้?”
“ตอนนี้เฉินถิงเซียวมีคู่หมั้นคนใหม่แล้วไม่ใช่เหรอ แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ ทำไมพวกเธอถึงเลิกกัน แต่เมื่อสามปีที่แล้ว เขาทุ่มเทให้เธอแค่คนเดียวจริงๆ”
ฉินสุ่ยซานกล่าวในขณะที่ให้ความสนใจกับใบหน้าของมู่น่อนน่อน แค่เห็นว่าใบหน้าของมู่น่อนน่อนผิดปกติ เธอก็สามารถหยุดหัวข้อได้ในทันที
แต่สีหน้าของมู่น่อนน่อนไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เธอเลยพูดจนจบอย่างสบายใจ
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
สิ่งที่ฉินสุ่ยซานพูดนั้นก็ถูกต้อง ในตอนนี้เฉินถิงเซียวได้ “เปลี่ยนใจ” ไปแล้ว
ถ้าเธอไม่พูดถึงเรื่องนี้ มู่น่อนน่อนก็เกือบลืมไปว่าเฉินถิงเซียวมีคู่หมั้นซูเหมียนที่เปิดเผยต่อสาธารณะด้วย
เมื่อสามปีที่แล้วเธอเคยเจอซูเหมียน
ซูเหมียนเป็นเพื่อนของเฉินจิ่งหยุ้น บนตัวของเธอมีออร่าที่อยู่เหนือกว่าทุกคนและความเย่อหยิ่งที่เหมือนกับเฉินจิ่งหยุ้น
“เธอพูดเองนี่ว่าเฉินถิงเซียวเปลี่ยนใจไปแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าเขาเปลี่ยนใจ แสดงว่าเขาก็ไม่ได้ทุ่มเทให้ฉันแค่คนเดียวแล้ว” น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนราบเรียบ และก็ไม่ได้ยินอารมณ์ใดๆ ที่แอบแฝงอยู่
ฉินสุ่ยซานหยุดไม่ได้ถามอะไรอีก
มู่น่อนน่อนนึกถึงเมื่อสามปีก่อน ตอนที่ฉินสุ่ยซานปลอมตัวไปเป็นคนใช้ในบ้านเฉินถิงเซียว เมื่อเธอทะเลาะกับเฉินอินหย่า เธอก็มักจะพูดถึงสวุมู่หัน
เธอหันไปมองที่ฉินสุ่ยซาน และถามว่า “แล้วเธอล่ะ เมื่อสามปีที่แล้วเธอไม่ได้สนใจเฉินถิงเซียวเลยนี่ คนที่เธอชอบก็คือสวุมู่หัน ทำไมเธอต้องปลอมตัวไปเป็นคนใช้บ้านของเฉินถิงเซียว?”
“ฉันพูดว่าฉันชอบสวุมู่หันตอนไหนกัน” ฉินสุ่ยซานเหมือนแมวเหยียบโดนหางของตัวเอง(ร้อนตัว) เมื่อเธอตื่นเต้น เสียงของเธอก็จะสูงขึ้น
แน่นอนว่ามันดึงดูดความสนใจของนักข่าวคนอื่นๆ
มู่น่อนน่อนรู้สึกใจคอไม่ดี
เธอเลยรีบดึงฉินสุ่ยซาน ตอนที่เธอกำลังจะวิ่ง นักข่าวที่มีสายตาแหลมคมก็จำเธอได้
“มู่น่อนน่อน!”
มู่น่อนน่อนทานข้าว แล้วก็หันไปมองเฉินถิงเซียว
ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะไม่ได้มองไปที่เธอ แต่ก็รับรู้ถึงสายตาของเธอที่ต้องมา
เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า “ถ้ามีอะไรก็พูด”
“มู่มู่ไปอยู่กับคุณ คุณรู้สึกคุ้นเคยไหม?” มู่น่อนน่อนวางตะเกียบลง ก่อนที่จะถามออกไป
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง เขาถามกลับไปว่า“ถ้าผมบอกว่าไม่คุ้นเคย คุณจะรับตัวเธอกลับมาไหม?”
มู่น่อนน่อนถามอย่างลังเลว่า “…ไม่คุ้นเคยจริงๆ เหรอ?”
ครั้งนี้เฉินถิงเซียวตอบคำถามของเธออย่างจริงจัง
“เมื่อเทียบกับคุณแล้ว เด็กน้อยคนนั้นทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยได้ง่ายกว่าคุณ”
เวลาเขาพูดให้ความรู้สึกเหมือนมีบางอย่างซ่อนอยู่ในคำพูดของเขา
โชคดีที่มู่น่อนน่อนรู้สึกคุ้นเคยกับการพูดแบบนี้ของเขานานแล้ว
ความหมายในคำพูดของเขาก็คือ…เขาเข้ากับเฉินมู่ได้ง่ายกว่า?
มู่น่อนน่อนถามเขา “การเข้ากับฉันมันยากมากเลยเหรอ?”
เมื่อก่อน เธอก็เคยคิดว่าหลังจากที่มีลูกแล้ว เฉินถิงเซียวจะเป็นคุณพ่อในรูปแบบไหนกัน
เธอคิดว่า เฉินถิงเซียวที่มีนิสัยเย็นชาแบบนี้ น่าจะไม่สามารถเข้ากับเด็กน้อยได้
แต่ในความเป็นจริงยืนยันแล้วว่า เขาเข้ากับเด็กน้อยไม่ได้จริงๆ แต่ว่า สิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้เฉินมู่เลิกชอบเขา หรือไม่อยากเข้าใกล้เขา
“เดี๋ยวสักพักคุณก็อยากแต่งงานกับผมมีครั้ง เดี๋ยวสักพักคุณก็ไม่พัวพันกับคนรักคนแรกของคุณ มันวุ่นวายมากๆ”
ตอนที่เฉินถิงเซียวพูดคำพูดพวกนี้ เขาไม่เงยหน้าขึ้นมาเลย เขาพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนกับว่าเขาเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจมานานแล้ว
มู่น่อนน่อนรู้ว่าเขายังพูดไม่จบ เธอก็เลยเงียบและรอให้เขาพูดประโยคหลังออกมา
“เด็กน้อยคนนั้นไม่เหมือนกับคุณ แค่ให้ลูกอมเธอซักสองเม็ดหรือเปิดการ์ตูนให้เธอดู เธอก็เชื่อฟังมากๆแล้ว” หลังจากเฉินถิงเซียวพูดจบ เขาก็เงยหน้ามองไปที่เธอ
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ในแววตาของเขาก็ยังมีความรู้สึกรังเกียจที่มีต่อเธออย่างเห็นได้ชัด
มู่น่อนน่อนขยับปาก ก่อนที่จะอธิบายให้เขาฟังอย่างอดทน “ฉันรู้จักกับเสิ่นชูหานมานานแล้ว ฉันเคยชอบเขา แต่…”
เธอยังไม่ทันได้พูดจบ เธอก็ได้ยินเสียงพูดที่เย็นชาของเฉินถิงเซียว “เหอะ ยอมรับแล้วสิ?”
“คุณฟังฉันให้จบก่อนได้ไหม?” นิสัยเขาที่ชอบพูดตัดบทคนอื่น เมื่อไหร่เขาจะแก้นิสัยนี้สักที?
เฉินถิงเซียวยกยิ้มมุกปาก สีหน้าของเขาดูราบเรียบ “ถ้าปล่อยให้คุณพูดจนจบ ข้าวมื้อนี้ก็คงทานต่อไปไม่ได้แล้ว”
มู่น่อนน่อนสงสัย “หมายความว่ายังไง?”
เฉินถิงเซียวพูดด้วยใบหน้าที่ดูจริงจัง “ที่แท้คุณก็ไม่ได้ตั้งใจจะเรียกให้ผมมาทานข้าวนี่เอง แต่คุณตั้งใจเรียกผมให้มาฟังเรื่องคนรักคนแรกของคุณเพื่อยั่วโมโหผม”
มู่น่อนน่อนพูดประหลาดใจ “…ฉันจงใจไปยั่วโมโหคุณตอนไหนกัน?”
“ผมไม่อยากจะได้ยินคำว่าเสิ่นชูหานออกมาจากปากของคนอีก ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป คุณก็หุบปากซะ” เขาพูดเน้นย้ำทีละคำ น้ำเสียงเขาก็ฟังดูเข้มงวดมาก
มู่น่อนน่อนตกใจจนรีบเงียบทันที
หลังจากที่เฉินถิงเซียวพูดจบ เขาก็ก้มหน้าลงทานข่าวต่อ
เขาทานอาหารได้เยอะมาก เหมือนเมื่อก่อนเลย เขาจะคีบกับข้าวทุกเมนูทีละน้อย จากนั้นก็จะทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา
แม้แต่ทานข้าว เขาก็มีท่าทีที่ดูจริงจังเหมือนกับตอนที่กำลังทำงานเลย
อือ ไม่อยากจะได้ยินคำว่าเสิ่นชูหานออกมาจากปากของเธอ คือเขาหึงเหรอ?
ในใจมู่น่อนน่อนคิดแบบนี้ แต่เธอก็ไม่มั่นใจเลย
และเธอก็ไม่กล้าไปถามเฉินถิงเซียวเพื่อความมั่นใจ ว่าเขาหึงหรือเปล่า
ถึงแม้ว่าเขาจะความจำเสื่อม แต่เขาก็ไม่ค่อยชอบเสิ่นชูหาน ดูเหมือนว่าเมื่อก่อนเขานั้นจะไม่ชอบเสิ่นชูหานเอามากๆ เลย
หลังจากที่เฉินถิงเซียวทานจนจะอิ่มแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองมู่น่อนน่อนที่ยังจ้องเขาอยู่
และข้าวในถ้วยตรงหน้าของเธอไม่ลดน้อยลงเลย
เฉินถิงเซียวยกเปลือกตาขึ้นและถามเธอด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “จ้องผมแบบนี้แล้วจะอิ่มเหรอ?”
มู่น่อนน่อนมองตรงไปที่เขา ก่อนจะถามว่า “ถ้าฉันพูดถึงชื่อเขาคุณก็จะโกรธ แต่ถ้าฉันไม่อธิบายให้คุณฟัง คุณก็จะโกรธกว่าเดิมหรือเปล่า?”
เฉินถิงเซียวพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “เรื่องที่ผมอยากจะรู้ จำเป็นต้องให้คุณมาอธิบายให้ฟังเหรอ?”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก แล้วก็พยักหน้า
ใช่สิ ถ้าเฉินถิงเซียวอยากจะรู้เรื่องอะไร เขาก็แค่ทำการตรวจสอบก็ได้แล้ว
อีกอย่าง ข้างกายเขาก็ยังมีสือเย่ที่ทำงานได้ดีมากๆ
เขาพูดแค่เพียงประโยคเดียว สือเย่ก็จะจัดการเรื่องทุกอย่างให้ และเอาเรื่องทุกอย่างที่เขาอยากรู้ไปให้เขา
แต่ ในเมื่อเขารู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมู่น่อนน่อนและเสิ่นชูหานแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่ชอบเสิ่นชูหานมากขนาดนั้น นั่นก็แสดงว่า ในจิตใต้สำนึกของเขานั้น ก็ยังเป็นห่วงเธอมาก
ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนก็ตัดสินใจทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
ถ้า…
ถ้าความทรงจำของเฉินถิงเซียวยังไม่กลับมาสักที ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแค่วิธีทางเดียวแล้ว
วิธีนั้นก็คือ ทำให้เฉินถิงเซียวตกหลุมรักเธออีกครั้ง
สิ่งนี้อาจจำเป็นต้องใช้เวลา แต่ยังไงสักวันนึงเขาก็จะต้องหลงรักเธออีกครั้ง ไม่ใช่เหรอ?
ในช่วงเวลานี้ ไม่มีท่าทีว่าความทรงจำของเฉินถิงเซียวจะกลับคืนมาเลย แล้วก็ไม่มีข่าวคราวของนักสะกดจิตนามสกุลหลี่เลย มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่สบายใจเลย เธอเอาแต่กังวลกับเรื่องนี้
เฉินถิงเซียวเห็นว่ามู่น่อนน่อนไม่ยอมพูดสักที เขาคิดว่าเธอโกรธที่เขาพูดมาครู่นี้ เขาจึงหันไปมองที่เธอก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย เขาถามเธอว่า “ทำไมต้องส่งมู่มู่ไปอยู่กับผม?”
มู่น่อนน่อนถาม “คุณไม่ชอบเธอเหรอ?”
“ผมสงสัยอยู่ว่าสือเย่กำลังโกหกผมหรือเปล่า เมื่อก่อนผมชอบผู้หญิงที่ในสมองคิดอะไรอ้อมไปอ้อมมาแบบนี้จริงเหรอ?” ในแววตาของเฉินถิงเซียวมีความโมโหแอบแฝงอยู่
น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนก็ไม่ได้น่าฟังนัก “อะไรที่เรียกว่าผู้หญิงที่ในสมองคิดอ้อมไปอ้อมมา? ถ้าอยากจะชมฉันว่าฉลาดก็พูดมาตรงๆ เลย”
เฉินถิงเซียวไม่อยากจะพูดเรื่องนี้กับเธอต่อไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงจะโดนเธอพาออกนอกเรื่องแน่ๆ
เขาพูดเข้าเรื่องทันที “เดือนที่แล้ว คุณอยู่กับลี่จิ่วเชียนและก็เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ขึ้นหนึ่งครั้ง และสาเหตุที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ก็เพราะว่ามีคนตัดสายเบรก”
ตอนที่เขาพูดอยู่ เขาจ้องตรงไปที่ดวงตาของมู่น่อนน่อน เพื่อไม่ให้เธอมีโอกาสหลบหลีกหรือพูดโกหก
หลังจากความประหลาดใจที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ เธอก็พยักหน้า “ใช่ มันเป็นอย่างนั้นแหละ”
เรื่องนี้เธอไม่เคยเล่าให้เฉินถิงเซียวฟัง เฉินถิงเซียวน่าจะเป็นคนที่ไปตรวจสอบเอง
ท้ายที่สุดแล้วเฉินถิงเซียวก็เป็นคนที่ฉลาดและรอบคอบ ที่มู่น่อนน่อนเอาเฉินมู่ไปอยู่กับเขา และยังรับปากอีกว่าจะไม่รับเธอกลับมา ตอนแรกมันก็น่าสงสัยอยู่แล้ว เขาก็เลยไปตรวจสอบเรื่องนี้
พื้นที่ในการใช้ชีวิตของมู่น่อนน่อนก็มีแค่นั้น เรื่องผิดปกติที่เกิดขึ้นบนตัวเธอ ก็สามารถตรวจสอบได้อย่างง่ายดาย
เฉินถิงเซียวมองตรงไปที่ตาของเธอ ก่อนจะพูดอย่างไม่เร่งรีบว่า “ผู้หญิงที่ชื่อมู่หวั่นขีเป็นคนทำ เธอเป็นพี่สาวคนละแม่กับคุณ เธอก็ไม่ถูกกับคุณมาโดยตลอด ที่สำคัญเธอก็เป็นคู่หมั้นของผมในตอนแรก คนที่เธอรักก็คือซือเฉิงหยู้”
หลังจากพูดจบ เขาก็จ้องมองไปที่มู่น่อนน่อน
ในเมื่อเขาพูดมาขนาดนี้แล้ว มู่น่อนน่อนก็ไม่มีเรื่องอะไรที่จะปิดบังเขาได้อีก
“อืม” เธอพยักหน้าและพูดว่า “เธอรักซือเฉิงหยู้มากๆ เธอคิดว่า ที่ซือเฉิงหยู้ต้องตาย ก็เพราะคุณกับฉันเป็นคนทำ ดังนั้นเธอก็เลยหาโอกาสแก้แค้นให้กับซือเฉิงหยู้มาโดยตลอด”
เฉินถิงเซียวหัวเราะอย่างเยือกเย็น น้ำเสียงของเขาดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “จะแก้แค้นยังไง? จะฆ่าพวกเราให้ตายเหรอ?”
จากนั้น เขาก็พูดอีกว่า “ลี่จิ่วเชียนก็ไม่ได้มีความสามารถอะไร คนชั่วอย่างมู่หวั่นขี สุดท้ายก็ถูกประกันตัวออกไป”
เซียวชู่เหอเห็นความตั้งใจในแววตาของมู่น่อนน่อน เธอพูดอย่างยากลำบาก “ไม่เกลียดกันก็ดีแล้ว หลายปีมานี้…เธอไปอยู่ที่ไหนกัน? สบายดีไหม?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเธอไม่มีอะไรจะพูดกับเธอ แต่เห็นได้ชัดว่าเซียวชู่เหอไม่คิดอย่างนั้น เธอทำเหมือนว่าอยากจะคุยกับเธอมากๆ
เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินที่เธอพูด เธอก็เลยมองสำรวจไปที่เธอ
แม้ว่าเซียวชู่เหอจะไม่ได้เป็นห่วงเธอมาตั้งแต่เด็ก แต่เธอก็ได้สืบทอดรูปลักษณ์หน้าตาของเซียวชู่เหอมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
เซียวชู่เหอเป็นคนสวย อย่างน้อยเมื่อสามปีที่แล้ว เธอก็ยังเป็นสาววัยกลางคนที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม เซียวชู่เหอที่อยู่ข้างหน้าเธอนั้น เมื่อเทียบกับสามปีที่แล้ว เธอดูแก่ขึ้นเยอะมาก รอยตีนกาที่หางตาของเธอก็เริ่มปรากฏขึ้น หลังของเธอก็งอเล็กน้อย และท่าทางของเธอก็ไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อน
มู่น่อนน่อนมองไปที่เซียวชู่เหออย่างเงียบๆ และพูดอย่างราบเรียบว่า “ฉันสบายดี แล้วคุณล่ะ?”
เมื่อเซียวชู่เหอได้ยินแบบนี้ เธอก็คิดว่ามู่น่อนน่อนยังคงห่วงใยเธอ
เธอมองไปที่เธออย่างมีความสุข ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะส่ายหน้าอีกครั้ง “แค่เธอสบายดีก็ดีแล้ว ฉันก็ถือว่าดี…”
ถือว่าดี?
ก็แสดงว่ามีช่วงเวลาที่ไม่ดี?
จากการแต่งตัวของเซียวชู่เหอ รวมถึงสภาพจิตใจของเธอ ที่จริงก็สามารถรู้ได้ว่าการใช้ชีวิตของเธอในปัจจุบันเป็นยังไงบ้าง
สามปีที่ผ่านมา เธอคงไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายเหมือนเมื่อก่อน
มู่น่อนน่อนเข้าใจความคิดของเซียวชู่เหอโดยประมาณแล้ว
เมื่อใดก็ตามที่เซียวชู่เหอมีชีวิตที่ไม่สมปรารถนา หรือมีชีวิตที่ไม่ดี เธอก็จะนึกถึงมู่น่อนน่อน
“ฉันต้องไปซื้อของบางอย่าง คงจะไม่มีเวลาพูดคุยกับคุณนายมู่” หลังจากที่มู่น่อนน่อนพูดจบ ไม่ให้โอกาสเซียวชู่เหอได้พูดอะไรอีก เธอก็หันกลับไปเลือกซื้อสินค้าแล้ว
เพียงแต่ว่า เซียวชู่เหอไม่ได้เดินจากไป แต่กลับเดินตามเธออยู่ไม่ไกลนัก
บางครั้งที่มู่น่อนน่อนหันกลับไป เซียวชู่เหอก็จะเผยรอยยิ้มที่เกรงๆ ให้กับเธอ
เธอไม่เหมือนกับเซียวชู่เหอเมื่อหลายปีก่อนเลย
มู่น่อนน่อนรู้สึกสะเทือนใจ
แต่ไม่นาน ความรู้สึกสะเทือนใจก็กลับคืนสู่ความสงบ
เพราะว่าเธอนึกถึงมู่หวั่นขี
มู่หวั่นขีเกลียดเธอขนาดนั้น และเซียวชู่เหอก็เอ็นดูมู่หวั่นขีมากๆ
เธอให้โอกาสเซียวชู่เหอมาก็หลายครั้ง แต่ทุกครั้งเซียวชู่เหอก็เลือกที่จะทิ้งเธอ
เธอสงสัยว่า เซียวชู่เหออาจจะถูกยุยงจากมู่หวั่นขี เธอก็เลยจงใจมาเข้าใกล้เธอแบบนี้
เรื่องช่วยมู่หวั่นขีทำร้ายเธอ เมื่อก่อนเซียวชู่เหอก็ทำมาหลายครั้งแล้ว เธอก็คุ้นเคยกับสิ่งนี้เป็นอย่างดี
ยิ่งคิด จิตใจของมู่น่อนน่อนก็ยิ่งรู้สึกหนาว
เธอเลือกของที่ตัวเองต้องใช้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะไปจ่ายเงินและออกจากห้างสรรพสินค้าทันที
ตอนที่มู่น่อนน่อนไปชั้นจอดรถใต้ดิน เธอก็เห็นเซียวชู่เหออีกครั้ง
“น่อนน่อน” เซียวชู่เหอยืนอยู่ข้างรถของเธอ และเธอก็เรียกชื่อของเธอ
มู่น่อนน่อนมองไปที่เธอด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “มู่หวั่นขีเป็นคนบอกให้คุณมาที่นี่เหรอ?”
เซียวชู่เหอชะงักไป ก่อนจะรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกับหวั่นขีเลย ฉันเป็นคนเห็นข่าวเอง ก็เลยรู้ว่าเธอกลับมาที่เมืองหู้หยางแล้ว วันนี้ฉันก็ออกมาซื้อของด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอเธอที่นี่”
มู่น่อนน่อนผิดหวังกับเซียวชู่เหอมาหลายครั้ง ดังนั้นเธอก็เลยไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเธอ
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปจับประตูรถ ก่อนจะพูดว่า “ไม่ว่ามู่หวั่นขีจะเป็นคนบอกให้คุณมาที่นี่หรือไม่ แต่คุณต้องเข้าใจหน่อยนะ พวกเราไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรต่อกันแล้ว และฉันก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลมู่”
หลังจากเธอพูดจบ เธอก็เปิดประตูรถและเข้าไปนั่งข้างใน
ในตอนนั้นเอง อยู่ๆ เซียวชู่เหอก็ห้ามเธอไว้ เธอพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “น่อนน่อน ทำไมเธอถึงได้ใจร้ายแบบนี้ ถ้าฉันบอกเธอว่า ตลอดสามปีนี้มู่หวั่นขีเอาแต่ทรมานฉัน เธอจะไม่โทษตัวเองแม้แต่น้อยเลยเหรอ?”
มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง
เธอคิดไม่ถึงเลย ว่ามู่หวั่นขีจะเอาความเกลียดที่มีต่อเธอ ย้ายไปอยู่บนตัวเซียวชู่เหอ
เพราะว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเซียวชู่เหอแย่มากๆ เรื่องนี้มู่หวั่นขีก็รู้ดี
เธอกับเซียวชู่เหอมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน ถึงแม้มู่หวั่นขีจะทรมานเซียวชู่เหอ มันก็คงไม่มีผลกระทบกับมู่น่อนน่อนอยู่แล้ว มู่หวั่นขีควรจะเข้าใจเรื่องนี้
มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถอธิบายได้ก็คือ มู่หวั่นขีได้รับผลกระทบจากการตายของซือเฉิงหยู้จนแยกแยะไม่ออก แค่เป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับมู่น่อนน่อน เธอก็จะเอาคืนทั้งหมด
“โทษตัวเอง?” มู่น่อนน่อนยิ้มเยาะเย้ย “นั่นเป็นลูกสาวที่คุณเอ็นดูตั้งแต่เด็กจนโตเลยนะ การที่เธอทำแบบนั้นกับคุณ คุณไม่รู้สึกเสียใจเหรอ?”
เธอจงใจพูดเน้นย้ำคำว่า “ลูกสาว”
สีหน้าของเซียวชู่เหอเปลี่ยนไปเล็กน้อย “น่อนน่อน เมื่อก่อนเธอไม่ได้เป็นคนแบบนี้ ตอนเด็กๆ เธอเข้าใจฉันเป็นอย่างดี ว่าทำไมฉันถึงดีต่อมู่หวั่นขี ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่รู้นี่ ที่สำคัญ…”
“พอแล้ว” มู่น่อนน่อนพูดตัดบทเธอ
ในเวลาแบบนี้ เซียวชู่เหอยังคงเอาแต่เรียกหา “หวั่นขี” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอยังมีความรู้สึกที่ดีต่อมู่หวั่นขี
เธอฟังเหตุผลและข้อแก้ตัวของเซียวชู่เหอจนชินแล้ว พูดซ้ำไปซ้ำมากับคำพูดเดิมๆ
“แค่เริ่มพูดก็ถามเลยว่าฉันจะโทษตัวเองไหม แล้วสามปีที่ผ่านมานี้คุณเคยมาตามหาฉันบ้างไหม? คุณไม่เคยเอ็นดูฉันเหมือนกับลูกสาวคนหนึ่งเลย แล้วคุณมีสิทธิ์มาคิดว่าฉันจะโทษตัวเองได้ยังไง? ตอนนี้ฉันอยากจะปรบมือยินดีแทบจะแย่! คุณนายมู่ คุณไม่เข้าใจฉันเสียเลย”
หลังจากมู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็ปัดมือของเซียวชู่เหอออกมา ก่อนที่เธอจะเข้าไปในรถ และขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว
เซียวชู่เหอยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เธอมองดูมู่น่อนน่อนที่ค่อยๆ หายไป ในแววตาของเธอเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนออกมาซื้อของ สภาพจิตใจของเธอก็ไม่ได้ถือว่าดีมาก แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้น
แต่หลังจากที่ได้เจอกับเซียวชู่เหอ สภาพจิตใจของเธอก็ย่ำแย่มากๆ
เธอเป็นคนใจกว้างแบบนั้นไม่ได้ เซียวชู่เหอก็ยังมีผลกระทบกับเธออยู่
ตอนกลางคืนที่เฉินถิงเซียวมาทานข้าว เขาก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของมู่น่อนน่อนดูไม่ปกติ
เขาถอดเอาเสื้อสูทวางไว้บนไม้แขวนที่อยู่หน้าประตู ก่อนจะเดินไปทางโต๊ะอาหาร
มู่น่อนน่อนเห็นว่าเขานั้นเข้ามา สายตาเธอก็จับจ้องไปที่ด้านหลังของเขา เพื่อทำให้มั่นใจว่าเขามาเพียงแค่คนเดียว มู่น่อนน่อนถามเขาอย่างไม่เข้าใจ “มู่มู่ล่ะ?”
เฉินถิงเซียวนั่งลงบนโต๊ะอาหาร และมองไปยังอาหารบนโต๊ะ ก่อนจะตอบอย่างราบเรียบว่า “อยู่บ้าน”
มู่น่อนน่อนนึกถึงเรื่องวันนี้ที่เธอไปเจอกับเซียวชู่เหอมา เธอก็เลยไม่ได้พูดอะไรอีก
เฉินมู่อยู่กับเฉินถิงเซียว น่าจะดีกว่าอยู่กับเธอเยอะ
เธอไม่ได้ถามอะไรอีก จากนั้นเธอก็หันกลับเข้าไปในห้องครัวเพื่อยกน้ำซุปออกมา
ตอนที่เธอยกน้ำซุปออกมา เธอก็พบว่าเฉินถิงเซียวกำลังเดินเข้ามาในห้องครัว
มู่น่อนน่อนถามเขาว่า “จะทำอะไร?”
เฉินถิงเซียวตอบแค่ว่า “เอาถ้วย”
มู่น่อนน่อนอ้าปากเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย
เธอไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม เฉินถิงเซียวบอกว่าจะเข้ามาเอาถ้วย?
ครั้งก่อนที่อยู่ที่นี่ เฉินถิงเซียวให้ความร่วมมือกับเฉินมู่เขาก็เลยเข้าไปเอาถ้วยด้วยตัวเอง แล้วครั้งนี้เป็นเพราะอะไรกัน?
มู่น่อนน่อนเอาซุปไปวางที่โต๊ะเรื่องความตะลึง เฉินถิงเซียวก็ได้หยิบถ้วยและตะเกียบสองชุดออกมาแล้ว
เขาเป็นคนที่แขนขายาว หลังจากที่เขาเอาถ้วยและตะเกียบหนึ่งชุดวางไว้ตรงหน้าตัวเอง จากนั้นเขาก็เอาอีกหนึ่งชุดมาวางไว้ตรงหน้ามู่น่อนน่อน
หลังจากที่เขาวางถ้วยแล้ว เขาเลิกคิ้วมองไปทางมู่น่อนน่อน “จะไม่พูดขอบคุณหน่อยเหรอ?”
มู่น่อนน่อนตอบอย่างอึ้งๆ “ขอบคุณนะ”
“อืม” เฉินถิงเซียวตอบรับอย่างราบเรียบ จากนั้นเขาก็นั่งลงและเริ่มทานข้าว
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ามันไม่ปกติ
ผ่านไปพักหนึ่ง เธอก็เพิ่งจะคิดได้ว่า ท่าทีทั้งหมดของเฉินถิงเซียวเมื่อครู่นี้ มันคล้ายกับเวลาปกติที่เธอเกลี้ยกล่อมเฉินมู่
มู่น่อนน่อนพยักหน้า แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่าเสิ่นเหลียงไม่เห็นท่าทางของเธอในตอนนี้ เธอจึงพูดออกไปว่า “ฉันเป็นคนโทรให้เขาเอง”
“เธอโทรไปหาเขา แล้วเขาก็มารับเธอเลยเนี่ยนะ? ถ้าพูดว่าเขาไม่มีความรู้สึกอะไรกับเธอเลยแม้แต่น้อย ฉันไม่เชื่อหรอก…”
ในตอนนั้น เสียงผู้ช่วยของเสิ่นเหลียงก็ดังขึ้นจากในโทรศัพท์ “พี่เหลียง เดี๋ยวจะต้องไปขึ้นเครื่องแล้ว”
เสิ่นเหลียงตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เธอเดินไปก่อนเลย”
จากนั้นก็พูดกับคนในสายว่า “น่อนน่อน ฉันไปขึ้นเครื่องก่อนนะ ถ้าไปถึงตรงนั้นแล้วฉันต้องนั่งรถไฟและรถยนต์ต่ออีก ฉันคิดว่าน่าจะไม่มีเวลาติดต่อเธอไปเลย รอให้ตอนที่ฉันกลับมา ไม่แน่นะบอสใหญ่อาจจะความทรงจำกลับมาแล้ว”
“เดินทางปลอดภัยนะ ถ้าว่างฉันจะไปเยี่ยมที่กองละคร”
“มันไกลเกินไป อีกอย่างก็เดินทางไม่สะดวก เธอไม่ต้องไปหรอก”
“พอได้แล้ว รีบไปขึ้นเครื่องเถอะ”
มู่น่อนน่อนเร่งให้เสิ่นเหลียงวางสาย จากนั้นเธอก็โบกรถที่ข้างถนน
ในบ้านมีแต่ความว่างเปล่า มู่น่อนน่อนเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ยกแล็ปท็อปและโน๊ตบุ๊คไปที่หน้าต่าง เพื่อเตรียมจะทำงาน
ถึงแม้ว่าเธอจะดูเรื่องเมืองพังไปหลายรอบแล้ว แต่เธอก็ยังต้องใส่ใจกับรายละเอียดอีกเยอะ เพื่อไม่ให้ปรากฏข้อบกพร่องที่ชัดเจนเกินไป จนผู้ชมค้นพบสิ่งนี้
ในสายอาชีพนี้ ครึ่งหนึ่งจำเป็นต้องแข่งขันกับตัวเอง อีกครึ่งหนึ่งก็จำเป็นต้องแข่งขันกับทางผู้ชม
การเขียนบทการประชุมทางธุรกิจขนาดเล็กๆ หรือการดำเนินการเพื่อปราบปรามโจร บางทีก็อาจจะต้องตรวจสอบข้อมูลหลายสิบหน้า และสิ่งที่คุณต้องการในตอนสุดท้าย ก็จะมีเพียงหน้าเดียวหรือสองหน้าเท่านั้น
แม้ว่าส่วนแรกจะถูกนำมาใช้เป็นพื้นฐานแล้ว แต่ที่จริงแล้วการเขียนภาคสองก็ไม่ต่างจากการเขียนเรื่องใหม่เลย ต้องเขียนเรื่องราวใหม่ๆ แล้วเอาเรื่องราวเก่าๆ เข้ามาสอดแทรก เชื่อมต่อกันจนกลายเป็นเรื่องเดียวกัน
มู่น่อนน่อนใช้แล็ปท็อปเปิดเรื่องเมืองพัง แล้วก็พิมพ์เรื่องราวลงในโน๊ตบุ๊ค
เวลาที่เธอเหนื่อย เธอก็จะหยิบมือถือขึ้นมาและดูข่าวออนไลน์
ข่าวก่อนหน้านี้ของเธอกับเสิ่นชูหาน หายไปนานแล้ว ส่วนใหญ่แล้วไม่มีสื่อใหญ่ๆ สื่อไหนที่จะยังคงเก็บข่าวนี้ไว้
ส่วนบริษัทสื่ออื่นๆ ที่ไม่ได้มีอำนาจมาก ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจอยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนดูตั้งแต่ต้นจนจบ นอกจากข่าวอื้อฉาวของดาราแล้ว รวมถึงข่าวโปรโมทละครเรื่องใหม่ ก็ไม่มีข่าวอะไรที่น่าสนใจเลย
เธอดูข่าวทั้งหน้าจนหมด เธอก็กลับไปที่ด้านบน แล้วก็กดรีเฟรชอย่าเคยชิน จากนั้นเธอก็เห็นว่ามีพาดหัวข่าวใหม่ปรากฏขึ้น
“ตะลึง: ประธานบริษัทเฉินซื่อแอบไปสถานีตำรวจกลางดึก จากนั้นก็พาหญิงสาวคนหนึ่งกลับไปด้วย สงสัยว่าจะเป็นรักครั้งใหม่…”
มู่น่อนน่อนกดเข้าไปอ่าน ภาพที่อยู่ในข่าวเห็นได้ชัดว่าเป็นภาพที่ถูกถ่ายจากที่ไกลแล้วซูมเข้ามา รูปภาพดูค่อนข้างจะเบลอ
พื้นหลังในรูปก็คือด้านนอกของสถานีตำรวจ ข้างกายของเฉินถิงเซียวที่สูงโปร่งมีหญิงสาวที่ผมกระเซิงอยู่ด้วย
ใบหน้าของเฉินถิงเซียวไม่ได้ชัดมากนัก แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้เขามักจะปรากฏตัวบนสื่ออยู่บ่อยครั้ง ต่อให้ไม่เห็นใบหน้า แต่ออร่าที่แพร่ออกมาจากบนตัวเขาก็ทำให้คนจำเขาได้อย่างง่ายดาย
แล้วหญิงสาวที่ผมกระเซิงอยู่ข้างกายเขา…
หลังจากที่มู่น่อนน่อนซูมดูรูปภาพ เธอก็มองดูอยู่หลายที เธอไม่อยากจะเชื่อว่าในรูปนั้นคือตัวเธอเอง
ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นใบหน้าโดยตรง และเห็นเพียงแค่เธอกำลังกอดแขนของเฉินถิงเซียวไว้ รวมถึงผมที่ยุ่งกระเซิงเหมือนกับเส้นฟาง เห็นแค่นี้ก็รู้สึกไม่อยากจะมองต่อแล้ว
คอมเม้นต์ด้านล่างมีความคิดเห็นที่คล้ายคลึงกับเธอ
“นี่คุณบอกฉันว่าผู้หญิงคนนี้คือรักใหม่ของคุณชายเฉินเหรอ? สายตาของคุณชายเฉินได้แค่นี้เหรอ?”
“ฮาฮาฮาผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนคนที่มีปัญหาทางสมองเลย”
มู่น่อนน่อนหัวเราะแห้งๆ เธอน่ะสิที่ป่วย
เมื่อเลื่อนลงไปเรื่อยๆ
“ไม่เห็นหน้าเลย ไม่แน่นะอาจจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณชายเฉินก็ได้?”
“ตอบคอมเม้นต์บน ไม่มีทางเป็นไปได้ ในข่าวลือต่างก็บอกว่าคุณชายเฉินเป็นคนที่มีนิสัยเย็นชามาก ยังไงเขาก็ไม่มีทางทำตัวสนิทสนมกับลูกพี่ลูกน้องแบบนี้”
“ไม่ใช่สิ คุณชายเฉินมีคู่หมั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วก็ไม่ได้ข่าวเลยว่าเขาทะเลาะกับคู่หมั้นคนนั้น!”
“ขนาดสามีภรรยายังสามารถหย่าร้างกันได้เลย แล้วนี่ก็เป็นแค่คู่หมั้นเท่านั้น”
มู่น่อนน่อนก็เพิ่งจะนึกเรื่องบางอย่างออก ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวและซูเหมียนอยู่ในสถานะ “คู่หมั่นคู่หมาย”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจมากขึ้น
ข่าวเพิ่งจะถูกเปิดเผยออกมา เธอก็ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวรู้เรื่องนี้หรือยัง
ไม่แน่บางทีเฉินถิงเซียวอาจจะคิดว่า เธอเป็นคนปล่อยข่าวพวกนี้ให้กับสื่อใดสื่อหนึ่ง
มู่น่อนน่อนหาโทรศัพท์ตัวเอง ก่อนจะกดโทรไปหาเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวที่อยู่ในสายพูดอย่างเย็นชาว่า “ว่า”
เขาเย็นชามากจริงๆ
มู่น่อนน่อนพูดว่า “เมื่อคืนตอนที่คุณไปรับฉันออกมาจากสถานีตำรวจ พวกเราโดนสื่อแอบถ่าย ตอนนี้ก็เป็นข่าวแล้ว ข่าวน่าจะเพิ่งถูกปล่อยออกมา”
อีกทางด้านหนึ่งเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเสียงของเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้น “ผมรู้แล้ว”
เธอรู้สึกได้ว่าหลังจากเฉินถิงเซียวพูดจบเขาก็จะวางสายทันที เธอก็เลยรีบตะโกนออกไปว่า “เฉินถิงเซียว”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเห็นได้ชัดว่าดูไม่พอใจมาก “มีธุระอะไรอีก?”
“ตอนกลางคืนคุณจะมาทานข้าวไหม?” หลังจากมู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็พูดเสริมไปอีกว่า “ถ้าคุณอยากทานอะไรก็บอกฉันได้เลยนะ”
เฉินถิงเซียวตอบรับอย่างราบเรียบว่า “อืม”
มู่น่อนน่อนรู้สึกตกใจเล็กน้อย เธอคิดไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวจะตอบรับในทันที
หลังจากที่เฉินถิงเซียววางสายไป เขาก็ส่งข้อความไปหามู่น่อนน่อน ในข้อความนั้นมีชื่ออาหารอยู่หลายอย่าง
เมื่อครู่นี้ที่เธอถามว่าเฉินถิงเซียวจะมาทานข้าวเย็นไหม เธอถามเขาทางอ้อมเพื่อขอคำตอบ
ถ้าเกิดว่าเฉินถิงเซียวยังรู้สึกไม่พอใจกับข่าวของเธอกับเสิ่นชูหาน ยังไงเขาก็จะไม่มีทางมาทานอาหารเย็นที่นี่ แต่เขาตอบตกลงแล้วว่าจะมาทานอาหารเย็นที่นี่ ก็แสดงว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจกับเรื่องนี้แล้ว
เดิมทีมันก็เป็นแค่เรื่องหลอกลวง
เพราะว่าเฉินถิงเซียวจะมาทานอาหารเย็นที่นี่ ในตอนเย็น มู่น่อนน่อนก็เลยขับรถออกไปซื้อกับข้าว
เธอไปที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในใจกลางเมือง
ตั้งแต่ที่ออกมาจากที่จอดรถ เธอก็รู้สึกว่ามีคนกำลังเฝ้าดูเธออยู่
จนกระทั่งเธอเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า ความรู้สึกนั้นก็ชัดเจนมากขึ้น
เธอมองไปด้านหลังด้วยความหวาดระแวง เธอก้าวเข้าไปตรงกลางของชั้นวางแถวหนึ่ง จากนั้นเธอก็รีบเดินไปซ่อนที่มุมทางเดิน
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ตรงมุมทางเดินไม่นานนัก ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านมา เธอเหมือนกำลังหาใครบางคนอยู่
เมื่อหญิงสาวคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ มู่น่อนน่อนก็เห็นใบหน้าของเธออย่างชัดเจน
คือเซียวชู่เหอนี่เอง!
เซียวชู่เหอมองไม่เห็นเธอ เธอหันตัวและกำลังคิดที่จะแอบเดินจากไป
แต่ ก็ไม่ทันเสียแล้ว
“น่อนน่อน!”
เซียวชู่เหอตะโกนเรียกเธอ ก่อนจะรีบมายืนบังอยู่ตรงหน้าเธอ
เธอมองสำรวจไปทางมู่น่อนน่อน ในแววตาของเธอมีความดีใจแอบแฝงอยู่ “เป็นเธอจริงๆ ด้วย!”
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองไปที่เซียวชู่เหอ เธอก็ตอบรับด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “คุณนายมู่”
เมื่อเซียวชู่เหอได้ยินแบบนั้น สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที “น่อนน่อน ไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้ แต่ในใจของเธอก็ยังเกลียดฉันอยู่…”
เกือบจะในทันที มู่น่อนน่อนตอบกลับเธออย่างหนักแน่น “ไม่นะ”
เซียวชู่เหอเงยหน้ามองไปที่เธอ ในแววตาของเธอมีความงงงวยแอบแฝงอยู่
“ตอนแรกก็ไม่ได้เป็นอะไรอยู่แล้ว พูดไม่ได้ว่าเกลียดหรอก ถ้าเกิดว่าฉันเกลียดคุณจริงๆ ฉันเกรงว่าคุณอาจจะไม่สามารถยืนพูดคุยกับฉันได้อย่างปกติอย่างตอนนี้แล้ว”
สภาพจิตใจของมู่น่อนน่อนในตอนนี้ ดูราบเรียบเหมือนกับน้ำเสียงของเธอในการพูดเลย
เธอรู้สึกเฉยชากับเซียวชู่เหอแล้ว ถ้าเกิดว่าเธอไม่ปรากฏตัวขึ้นมา บางทีมู่น่อนน่อนอาจจะลืมไปแล้วว่ายังมีเธอคนนี้อยู่บนโลกใบนี้
ปฏิกิริยาของมู่น่อนน่อนยังคงช้าเล็กน้อยในขณะนี้
เธอจ้องไปที่เฉินถิงเซียว เธอถึงรู้ตัวว่าเฉินถิงเซียวกำลังด่าเธออยู่
เธอกัดริมฝีปาก น้ำเสียงของเธอฟังดูรีบร้อน “ถ้าเกิดว่าคุณไม่ไปรับฉัน นอกจากการคลานออกมาแล้วฉันจะทำอะไรได้?”
ที่จริงมันไม่ใช่แบบนี้
ถ้าเกิดว่าเฉินถิงเซียวไม่ไปรับเธอ ยังไงเสิ่นเหลียงก็จะไปประกันตัวเธอออกมาอยู่ดี
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่กับเฉินถิงเซียวมานานแล้วหรือเปล่า มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตัวเองก็เริ่มใช้วิธีแบบนี้แล้ว
“ถ้ารู้แล้วก็ดี” หลังจากเฉินถิงเซียวพูดจบ เขาก็ใช้สายตามองสำรวจไปบนร่างกายของเธอ
ตอนที่สายตาของเขามองไปยังหน้าอกของเธอ ดวงตาของเขาก็สั่นไหว จากนั้นเขาก็รีบหลบสายตายังรวดเร็ว ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าครั้งหน้ายังดื่มจนทำให้ตัวเองไปอยู่ในสถานีตำรวจอีก ก็คลานกลับมาเองแล้วกัน!”
มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นสายตาของเขา เธอจึงก้มลงมองตัวเองด้วยความสงสัย เธอถึงเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองได้อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญข้างในเธอก็ไม่ได้ใส่อะไรไว้
ก็ว่าทำไมสายตาเมื่อครู่นี้ของเฉินถิงเซียวถึงดูแปลกๆ
เธอรีบยกมือขึ้นมาบังร่างกายตัวเอง จากนั้นก็รู้สึกว่าไม่จำเป็น พอเอามือยกลงไปเธอก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง แต่พอเอามือขึ้นมาบังไว้มันก็รู้สึกไม่ถูกต้องเหมือนกัน
เธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูดคุย เธอถามแปลว่า “ใครเป็นคนอาบน้ำให้ฉัน?”
ในตอนที่มู่น่อนน่อนพูดคำพูดนี้ ท่าทีของเธอก็ดูไม่ปกติเลย
เฉินถิงเซียวรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงยิ้มออกมาก่อนจะพูดว่า “คุณคิดว่าเป็นผมเหรอ?”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนดูเขินอายเล็กน้อย แต่เมื่อครู่นี้เธอคิดแบบนี้จริงๆ
เมื่อก่อนเฉินถิงเซียวก็อาบน้ำให้เธอบ่อย
แต่เขากลับตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้แต่คนอาบน้ำให้เธอ
เฉินถิงเซียวก็ไม่รอให้เธอได้พูดอะไรอีก เขาเดินอ้อมผ่านตัวเธอไป แล้วก็ออกจากห้องเธอไปโดยตรง
มู่น่อนน่อนหันกลับมา และมองดูล่างของเฉินถิงเซียวที่ค่อยๆหายไป เธอวิ่งไปปิดประตู ก่อนจะเดินกลับไปนอนบนเตียงด้วยความหงุดหงิด
เฉินถิงเซียวที่เป็นแบบนี้ มันน่ารำคาญจริงๆ
มู่น่อนน่อนเอาผ้าห่มคลุมไปที่หัว ก่อนจะคิดบางอย่าง รอให้ความทรงจำของเฉินถิงเซียวกลับมาก่อน เธอก็จะทรมานเขาแบบนี้เหมือนกัน
เธอคิดแบบนี้ด้วยความงัวเงีย ก่อนที่จะหลับไป
……
วันที่สองตอนเช้า ตอนที่มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมา เธอก็รู้สึกว่าบนเตียงมีบางอย่างกำลังขยับอยู่
เธอจึงหันไปมอง เมื่อหันไปมองเธอก็เห็นดวงตาที่กลมโตของเฉินมู่ ดวงตามสีดำสนิทของเธอดูสวยมาก
“มู่มู่!” มู่น่อนน่อนอุ้มเฉินมู่ขึ้นมาด้วยความดีใจ
“คิคิ…” เฉินมู่ยิ้มและกอดคอของมู่น่อนน่อนไว้ ก่อนจะถามว่า “ทำไมคุณแม่อยู่ที่นี่คะ”
เมื่อคืนตอนที่เธอนอนหลับไป เธอไม่เห็นคุณแม่
เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่เธอดื่มจนเมา และยังไปที่สถานีตำรวจ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกผิดเล็กน้อย
เธอเม้มริมฝีปาก “แม่เหรอ แม่แอบมาตอนกลางดึกน่ะ”
“หา?” เฉินมู่รู้สึกสงสัย จากนั้นเธอก็พยักหน้า “อ่อ แอบมา”
มู่น่อนน่อนเห็นว่าบนตัวของเฉินมู่ยังใส่ชุดนอนอยู่ เธอก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุยทันที ก่อนที่เธอจะพูดว่า “เดี๋ยวแม่พาไปล้างหน้าแปลงฟันนะ”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง แม่ลูกทั้งสองมู่น่อนน่อนและเฉินมู่ก็ล้างหน้า ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าลงไปชั้นล่าง เฉินถิงเซียวนั่งรออยู่บนโต๊ะอาหารแล้ว
ในมือของเขามีหนังสือพิมพ์อยู่หนึ่งฉบับ เขาได้ยินเสียงมู่น่อนน่อนและเฉินมู่เดินเข้ามา เขาก็ไม่ได้หันไปมองพวกเธอ เขายังคงสนใจกับหนังสือพิมพ์ในมือ
มู่น่อนน่อนก็นึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ เรื่องที่เธอและเสิ่นชูหานโดดแอบถ่ายจนเป็นข่าว
เธอก็เลยไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะเริ่มทานอาหารเช้าอย่างเงียบๆ
เฉินมู่อยู่เงียบๆ ไม่ไหว เธอทานข้าวไปด้วย แล้วก็ยื่นมือไปเอาหนังสือพิมพ์ในมือของเฉินถิงเซียวด้วยความสงสัย “คุณพ่อคะ กำลังดูอะไรอยู่คะ?”
เฉินถิงเซียวยกหนังสือพิมพ์ในมือขึ้นสูงกว่าเดิม เพื่อหลบมืออันเล็กๆของเฉินมู่
“อ่านหนังสือพิมพ์” น้ำเสียงที่ราบเรียบของเค้าดังออกมาจากข้างหลังหนังสือพิมพ์
“อ่อ” ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเป็นหนังสือพิมพ์อะไร แต่ว่าเฉินมู่ได้รับคำตอบแล้ว เธอก็เลยพยักหน้าด้วยความพอใจ
จากนั้นเธอก็ไม่ดื้อไม่ซน นั่งทานข้าวอย่างเชื่อฟัง
แต่มู่น่อนน่อน ยังคงมองไปทางเฉินถิงเซียวด้วยความสงสัย
วันนี้ตอนเช้าเธอถึงจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นในเมื่อคืนนี้ได้ทั้งหมด
พูดให้ถูกก็คือ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างทางที่เธอกลับสถานีตำรวจไปยังบ้านของเฉินถิงเซียว
เมื่อเธอนึกถึงในเรื่องนี้ เธอก็รู้สึกอายมาก
ช่วงนี้เธอเอาแต่ตามติดตัวเฉินถิงเซียว ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติ
แต่ว่า ถ้าเธอจำไม่ผิด ก่อนเมื่อคืน เธอกับเฉินถิงเซียวยังคงทำสงครามเย็นใส่กัน
ซึ่งอาจจะเป็นเธอคนเดียวที่คิดว่าตัวเองกำลังทำสงครามเย็นกับเฉินถิงเซียว ส่วนเฉินถิงเซียวก็คงจะไม่อยากจะเจอหน้าเธอเลย
เมื่อนึกถึงตรงนี้ มู่น่อนน่อนไม่เพียงแต่จะไม่มีอารมณ์แอบมองเฉินถิงเซียวแล้ว แม้แต่อารมณ์จะทานข้าวเธอก็ไม่มี
อาหารในจานของเธอไม่ลดน้อยลงเลย เธอทำเพียงแค่ดื่มนมจนหมดแก้ว จากนั้นเธอก็ลูบหัวของเฉินมู่ “แม่ทานอิ่มแล้ว แม่จะไปแล้วนะ มู่มู่ต้องเป็นเด็กนี้”
เฉินมู่เงยหน้ามองไปที่เธอ “คุณแม่จะไปไหนคะ?”
มู่น่อนน่อนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ไปทำงาน ช่วงนี้คุณแม่งานยุ่งมาก หนูก็เป็นเด็กดีอยู่กับคุณพ่อนะ”
เฉินมู่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ค่ะ”
เธอมีความคิดเกี่ยวกับการทำงานที่ค่อนข้างจะคลุมเครือ แต่เธอก็สามารถเข้าใจความหมายในคำพูดของมู่น่อนน่อน
หลังจากที่มู่น่อนน่อนพูดปลอบเฉินมู่แล้ว เธอก็หันไปมองทางเฉินถิงเซียว เธอเห็นว่าเขายังคงถือหนังสือพิมพ์ไว้ เธอจึงเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “เมื่อวานขอบคุณคุณมากที่รับฉันกลับมา ฉันไปก่อนนะ”
หลังจากเธอพูดจบ เธอไม่ได้ลุกขึ้นทันที เธอนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้พักหนึ่ง
เมื่อเธอมั่นใจว่ายังไงเฉินถิงเซียวก็จะไม่เอาหนังสือพิมพ์ออกเพื่อมามองเธอ เธอก็เลยลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
ตอนที่มู่น่อนน่อนเดินจากไป เฉินถิงเซียวก็โยนหนังสือพิมพ์ที่อยู่บนมือไว้ข้างๆ
เฉินมู่เอาปากวางบนขอบจาน ก่อนจะใช้ส้อมเขี่ยไข่ดาวเข้าไปในปาก ดวงตาคู่นั้นของเธอก็มองขึ้นไปที่เฉินถิงเซียว
เมื่อเธอเห็นว่าใต้ตาของเฉินถิงเซียวมีรอยสีดำอยู่ชัดเจน เธอก็เลยหัวเราะออกมา “คุณพ่อมีขอบตาดำเหมือนหมีแพนด้าเลย”
มุมปากของเฉินถิงเซียวแข็งทื่อเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เอาไข่ดาวในจานตัวเองให้กับเฉินมู่ “ทานเยอะๆ หน่อยนะ”
เฉินมู่มองหน้าเขาอย่างสงสัยในขณะรับประทานอาหาร
ใครใครก็บอกว่าดวงตาของเฉินมู่เหมือนกับเขา แต่ไม่ว่าเขาจะมองยังไงเขาก็รู้สึกว่าเฉินมู่คล้ายกับน่อนน่อนมากกว่า
เฉินมู่เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เขาก็เลยไม่ได้พูดตรงๆ เหมือนกับที่ทำต่อมู่น่อนน่อน เขาทำเพียงแค่หันไปมองอีกข้าง โดยที่ไม่สบตากับเธอ
เมื่อคืนหลังจากที่กลับไปที่ห้อง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร เขาก็เลยนอนไม่หลับทั้งคืน
ถ้าเกิดว่าเมื่อครู่นี้เขาไม่เอาหนังสือพิมพ์มาบังหน้าตัวเองไว้ ถ้ามู่น่อนน่อนเห็นขอบตาดำเหมือนหมีแพนด้าของเขา เขาก็ไม่รู้ว่าเธอจะคิดไปไกลมากแค่ไหน
……
หลังจากที่มู่น่อนน่อนออกมาจากบ้านของเฉินถิงเซียว เธอก็โทรไปหาเสิ่นเหลียงทันที
เสิ่นเหลียงรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว เสียงพื้นหลังของในสายเหมือนกำลังจะอยู่ในสนามบิน จากนั้นก็มีการประกาศเกี่ยวกับข้อมูลเที่ยวบิน
มู่น่อนน่อนถามเธอ “เธออยู่ที่สนามบินแล้วเหรอ?”
“อืม เดี๋ยวฉันก็จะขึ้นเครื่องแล้ว” เสิ่นเหลียงพูด ก่อนจะยื่นแก้วน้ำในมือให้กับผู้ช่วย จากนั้นก็เดินไปอยู่อีกข้างและถามด้วยเสียงเบา “เมื่อคืนบอสใหญ่เป็นคนไปรับเธอกลับใช่ไหม? เขารับเธอกลับไปที่บ้านโดยตรงใช่ไหม?”
เมื่อคืนตอนที่เธอไปในสถานีตำรวจเพื่อรับตัวมู่น่อนน่อนกลับ ทางตำรวจก็บอกกับเธอว่า มีคนมารับตัวมู่น่อนน่อนไปแล้ว ที่สำคัญเธอก็โดนตำรวจหญิงคนหนึ่งมาขอลายเซ็นด้วย
สีหน้าของเฉินถิงเซียวแย่มากๆ เขาอุ้มมู่น่อนน่อนขึ้น ก่อนจะจับเธอโยนเข้าไปในรถ
ท่าทีของเขาดูไม่อ่อนโยนเลย มู่น่อนน่อนรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยจากการล้ม
เธอรู้สึกเจ็บก็เลยค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง เธออยากจะพิงหลังไปบนเก้าอี้ แต่เบาะหลังของรถไม่มีที่วางแขนทั้งสองข้างเหมือนเก้าอี้ ดังนั้นพอเธอเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้ เธอก็ลื่นไถลลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อร่างกายไหลลงไป มู่น่อนน่อนก็ใช้มือจับตรงเบาะเก้าอี้ไว้ ก่อนจะพยายามพิงอีกครั้ง
เธอทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง ท่าทีที่ไม่รู้จักเหนื่อยของเธอมันดูซื่อบื้อ
ท่าทีของเธอทั้งหมดอยู่ในสายตาของเฉินถิงเซียว
สือเย่ยืนอยู่ข้างประตูรถ เขามองไปที่มู่น่อนน่อน ก่อนจะมองไปที่เฉินถิงเซียวที่มีใบหน้าไม่พอใจและอยากจะจับมู่น่อนน่อนโยนออกไปตลอดเวลา เขาไอออกมา เพื่อเตือนสติเขา “คุณชาย ขึ้นรถเถอะครับ”
เฉินถิงเซียวเม้มริมฝีปาก ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกรังเกียจ แต่เขาก็ยอมเข้าไปนั่ง
มู่น่อนน่อนยังคงทำท่าทางเมื่อครู่นี้
เฉินถิงเซียวเข้าไปนั่งในรถ เขาพิงไปที่ประตูรถ เพราะอยากจะรักษาระยะห่างกับมู่น่อนน่อน
สือเย่ขับรถอยู่ข้างหน้า เขาคำนึงถึงสถานการณ์ของมู่น่อนน่อน เขาพยายามขับรถให้มั่นคงที่สุด แต่มู่น่อนน่อนก็ยังคงไม่สามารถรักษาสมดุลไว้เธอยังคงเซไปเซมา และเธอยังชนเข้ากับกระจกรถที่แข็งแรงด้วย
เสียงดัง “ตึก” แค่ได้ยินเสียงก็รู้สึกเจ็บ
เขาเหลือบมองกระจกมองหลังด้วยความกังวลเล็กน้อย เฉินถิงเซียวยังคงนั่งอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าที่เฉยเมย เขาดูไม่สนใจมู่น่อนน่อนที่เซไปเซมาอยู่ด้านข้าง
สือเย่ถอนหายใจออก
หลังจากที่มู่น่อนน่อนดื่มจนเมา นอกจากที่เธอจะกลายเป็นคนอารมณ์ร้อนและชอบสร้างปัญหา อย่างอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไร เธอไม่ได้อ้วกออกมา
แต่ว่า ต่อให้เธอจะไม่อ้วก แต่เธอก็ไม่ทนไม่ไหวกับการเซไปเซมาอยู่ตลอดเวลาแบบนี้
“แหวะ…”
มู่น่อนน่อนเอามือปิดปากไว้ แล้วทำท่าจะอ้วก
สีหน้าของเฉินถิงเซียวดูตึงขึ้นมาในทันที “มู่น่อนน่อน คุณจะทำอะไรเนี่ย?”
“รู้สึกอยากจะ…” เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินเสียงของเขา เธอก็เลยเอียงตัวก็ไปหาเขา แต่เพราะเธอทรงตัวไม่อยู่ เธอก็เลยล้มลงไปอยู่บนร่างกายของเขา
จากนั้น เธอก็พูดต่อว่า “อยากจะอ้วก”
เฉินถิงเซียวยื่นมือไปดันร่างกายของเธอที่ล้มลงมา เขาชะงักไปก่อนจะพูดว่า “จอดรถ!”
สือเย่รีบจอดลงทันที
มู่น่อนน่อนอยู่บนอ้อมแขนของเขา เมื่อเธอได้กลิ่นอายที่คุ้นเคย เธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างพึงพอใจ ก่อนจะใช้หัวดันไปบนหน้าอกของเขา และก็หลับตาลง
เมื่อเฉินถิงเซียวเห็นแบบนั้น เขาก็ผลักเธอไปหนึ่งทีด้วยความโกรธ “มู่น่อนน่อน ถ้าจะอ้วกก็ลงรถไปอ้วก”
“ไม่อยาก…ไม่อยากอ้วกแล้ว…” มู่น่อนน่อนพูดตะกุกตะกัก ก่อนที่เธอจะเอาหัวดันบนเสื้อผ้าเขาอีกครั้ง จากนั้นเธอก็ค่อยๆ หายใจอย่างสม่ำเสมอ
“ถ้าไม่อยากอ้วกแล้ว ก็นั่งดีๆ”
หลังจากเฉินถิงเซียวพูดจบ เขาก็เห็นว่ามู่น่อนน่อนไม่ขยับตัวเลย เขาจึงยื่นมือไปดันตัวเธอ
เขาถึงพบว่ามู่น่อนน่อนหลับไปแล้ว
มู่น่อนน่อนที่นอนหลับไปแล้วไม่เหมือนกับมู่น่อนน่อนที่เห็นเป็นประจำ ดวงตาทั้งคู่ของเธอมีเสน่ห์มาก ปกติเวลาที่เธอลืมตา ความรู้สึกแรกที่แวบเข้ามาก็คือ เธอคือผู้หญิงสวยคนหนึ่ง
ส่วนเธอที่นอนหลับไปแล้ว ตอนที่เธอหลับตา ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเด็ก ซึ่งดูเด็กกว่าอายุจริงๆ ของเธออยู่มากเลย
ส่วนสือเย่ที่ขับรถอยู่ด้านหน้า ก็เห็นว่าเขาไม่มีท่าทีอะไรเลยหลังจากที่เฉินถิงเซียวเรียกเขา เขาจึงเรียกเขาในทันที “คุณชาย?”
เฉินถิงเซียวค่อยๆ เงยหน้าขึ้น และพูดว่า “ไม่มีอะไรแล้ว”
เมื่อสือเย่ได้ยิน เขาก็ขับรถต่อไป
เฉินถิงเซียวมองไปที่มู่น่อนน่อนอยู่พักใหญ่ สุดท้ายเขาก็อดทนไม่ไหว เขาจึงเอื้อมมือออกไปทัดผมที่บังหน้าให้กับเธอ
เขารับรู้ได้ ว่าท่าทางของเขานั้นดูเป็นธรรมชาติมาก
เมื่อก่อน เขามักจะทำเรื่องที่ใกล้ชิดกันแบบนี้กับมู่น่อนน่อนบ่อยๆ เหรอ?
ถึงแม้ว่าสือเย่จะเล่าเรื่องของเขาและมู่น่อนน่อนให้เขาฟังแล้ว แต่สิ่งนี้มันก็ทำได้แค่ให้เขามีความรู้สึกดีๆ ต่อมู่น่อนน่อน และยอมรับเธอได้ง่ายขึ้น แต่กลับไม่สามารถทำให้เขารักเธอได้ภายในเวลาสั้นๆ
ความพยายามของมู่น่อนน่อนเขารับรู้ได้…
……
รถจอดลงหน้าบ้านพักของเฉินถิงเซียว
เมื่อรถจอดสนิท ก็มีบอดี้การ์ดมาเปิดประตูรถให้กับเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวอุ้มมู่น่อนน่อนลงจากรถ และเดินเข้าไปในบ้านพัก
มีคนรับใช้เข้ามาต้อนรับ “คุณชาย…”
ขาของเฉินถิงเซียวยังคงไม่หยุดเดิน เขาออกคำสั่งว่า “หาคนคนหนึ่งมาช่วยเธออาบน้ำ”
ในตอนนั้น เฉินมู่หลับไปแล้ว เขาเดินได้เบามากๆ
ห้องก่อนหน้านี้ของมู่น่อนน่อนยังคงอยู่ที่เดิม เค้าอุ้มเธอเข้าไปในห้องที่เธอเคยอยู่
เมื่อคนใช้เดินเข้ามา เฉินถิงเซียวก็ลุกขึ้น และพูดว่า “อาบน้ำให้เธอด้วย แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย”
คนใช้ค่อยๆ ตอบรับ “ค่ะ”
เฉินถิงเซียวเดินออกไป กลับไปที่ห้องของตัวเอง
หลังจากที่เขากลับไปที่ห้องเขาก็ไปอาบน้ำและมานอนอยู่บนเตียง เขาพลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ
เขาลุกขึ้น ก่อนจะยื่นมือไปนวดขมับ และเขาก็เปิดไฟหัวเตียง เขานั่งอยู่แบบนั้นพักหนึ่ง จากนั้นเขาก็เลิกผ้าห่มลงจากเตียง
หลังจากเปิดประตูห้องนอน เขาก็เดินออกไปห้องนอก และหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องมู่น่อนน่อน
เขายืนอยู่หน้าประตูห้องมู่น่อนน่อน เฉินถิงเซียวยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะจับไปที่ลูกบิดประตู และเปิดประตูเข้าไป
คนใช้น่าจะกลัวว่ามู่น่อนน่อนจะตื่นขึ้นมากลางดึก เธอจึงเปิดไฟหัวเตียงไว้หนึ่งดวงด้วยความใส่ใจ
แสงไฟสลัว เลยทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด
เฉินถิงเซียวเดินไปยืนอยู่ข้างเตียง มู่น่อนน่อนเอียงหัวนอนหลับสนิท คิ้วของเธอขมวดเล็กน้อย
ตอนที่เขาได้สติ เขาก็พบว่านิ้วมือของเขา ไปวางไว้บนคิ้วของเธอแล้ว
เขาชะงักไป นิ้วมือเขาแข็งทื่อ เขาจึงนวดไปตรงระหว่างคิ้วของเธอเบาๆ
แต่ แต่ท่าทางของเขาไม่ได้ทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากนัก ดวงตาของมู่น่อนน่อนกระตุกหลายที ก่อนที่เธอจะลืมตาขึ้น
เขาคาดไม่ถึงว่าอยู่ๆ มู่น่อนน่อนจะตื่นขึ้นมาแบบนี้ เขาจึงยืนนิ่งๆ ไปชั่วขณะ
สองสายตามองกันและกัน ในห้องก็เงียบเอามากๆ
มู่น่อนน่อนพูดพึมพำ “ฉันกำลังฝันอยู่ใช่ไหม?”
หลังจากที่ทรมานมาทั้งคืน เธอไปที่สถานีตำรวจ ระหว่างทางที่กลับมาก็รู้สึกทรมานไม่น้อยเลย ก่อนหน้านี้เธอไปอาบน้ำ อาการเมาของมู่น่อนน่อนจึงหายไปหมดแล้ว
แต่ว่า หลังจากที่เธอตื่นมากลางดึกก็ได้เจอกับเฉินถิงเซียวยืนอยู่ข้างเตียง มันก็ดูไม่ปกติเอาเสียเลย
เฉินถิงเซียวมองไปที่เธอ จากนั้นเขาก็หันตัวเดินออกไป แผ่นหลังของเขาดูหงุดหงิดมาก
มู่น่อนน่อนชะงักไป ก่อนที่เธอจะรีบลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นก็ใช้ความเร็วที่เธอไม่เคยมีมาก่อน พุ่งไปยืนอยู่ตรงหน้าเฉินถิงเซียว และก็ยืนบังเขาไว้
เมื่อเขาเห็นหญิงสาวที่ยืนกางแขนบังเขาอยู่ตรงข้างหน้า สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
เขาถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “คุณคิดจะทำอะไร?”
มู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าท่าทางในตอนนี้ของเธอดูค่อนข้างจะแปลก เธอก็เลยเอามือลง และถามเขาด้วยเสียงเบา “คุณไปรับฉันกลับมาจากที่สถานีตำรวจเหรอ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็ดูไม่พอใจมากกว่าเดิม “ไม่งั้นเป็นเป็นใครละ? เมาขนาดนั้น คุณคิดว่าคุณคลานออกมาจากสถานีตำรวจเองเหรอ?”
ในน้ำเสียงของเขามีความโกรธแอบแฝงอยู่โดยที่เขาไม่ทันได้สังเกต
ไม่รู้ว่าเขาโกรธที่ไปมู่น่อนน่อนไปสร้างปัญหาข้างนอก แล้วให้เขาไปจัดการ
หรือว่าโกรธที่เธอไปดื่มข้างนอกจนเมาขนาดนั้น
สรุปเลย ตลอดทั้งคืนนี้ จิตใจของเขาก็อยู่ไม่สงบเลย
เมื่อเห็นว่าตำรวจเอาแต่จ้องเธอ มู่น่อนน่อนก็เลยต้องเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปทางตำรวจ ก่อนจะถามว่า “ทำไมคุณต้องมองฉันแบบนั้นด้วย”
ทางตำรวจถามว่า “เมื่อกี้นี้คุณกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับเฉินถิงเซียวเหรอ?”
ในตอนนั้นมู่น่อนน่อนยังไม่ได้สติมากนัก เธอก็เลยยอมรับไปทันที “ใช่แล้ว”
ตำรวจจึงถามต่อทันที “เฉินถิงเซียวที่เป็นประธานบริษัทเฉินซื่อ? คุณชื่อมู่น่อนน่อน?”
“อืมอืม” เพราะว่าตำรวจถามสองคำถาม มู่น่อนน่อนก็เลยตอบ “อืม” ไปสองครั้ง
ดวงตาของตำรวจก็เปล่งประกายในทันที
เพราะว่าตื่นเต้น เขาก็เลยโน้มตัวไปข้างหน้า เลยทำให้ระยะห่างระหว่างเขากับมู่น่อนน่อนน้อยลง
เขาพูดเน้นย้ำทีละคำ และถามมู่น่อนน่อนอย่างจริงจังว่า “งั้นคุณ…ก็คือคนเขียนบทเรื่องเมืองพังใช่ไหม?”
มู่น่อนน่อนจ้องมองไปทางตำรวจอยู่พักหนึ่ง คงจะรู้สึกว่าเครื่องแบบบนตัวเขานั้นดูมีอำนาจมาก เธอก็เลยพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “อืม”
เมื่อตำรวจได้ยินว่าเธอพูดแบบนี้ เขาก็กำหมัดแล้วทุบใบบนโต๊ะด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็ถามเธอต่อว่า “คุณมู่ ผมมีเรื่องจะถาม เรื่องเมืองพังตอนสุดท้ายของภาคแรก ทำไมเว่ยซิงเฉินถึงโดนจับเขาคุก เพราะเขาไปก่อคดีมาจริงๆ เหรอ หรือว่ามีคนตั้งใจจะใส่ร้ายเขา?”
มู่น่อนน่อนพูดพึมพำว่า “เรื่องเมืองพังตอนสุดท้าย?”
“ใช่แล้ว!” ทางตำรวจมองไปที่เธอด้วยใบหน้าที่คาดหวัง
“พวกคุณก็ดูเรื่องเมืองพังเหรอ ขอบคุณที่สนับสนุนนะ” มู่น่อนน่อนยิ้มเป็นพิธีให้กับทางตำรวจ
เรื่องเมืองพังเป็นละครระทึกขวัญ ที่มีองค์ประกอบการสอบสวนคดีอาญาร่วมอยู่เล็กน้อย แต่เนื่องจากเธอมีความรู้ในเรื่องนี้ไม่เพียงพอ เธอจึงค้นหาข้อมูลมากมาย แต่เธอก็กังวลอยู่เสมอว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ ดังนั้น เธอจึงพยายามหลีกเลี่ยงการเขียนเกี่ยวกับการสอบสวนคดีอาญา ส่วนใหญ่ก็เลยจะละเลยส่วนนี้ไป
“ไม่ใช่ คุณช่วยบอกผมหน่อย ว่าทำไมเว่ยซิงเฉินถึงโดนจับเข้าคุก!” สีหน้าของตำรวจดูร้อนรน
มู่น่อนน่อนจ้องไปที่เขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ตอนที่เว่ยซิงเฉินต้องเข้าคุก ก่อนหน้านั้นก็ได้เล่าไปแล้ว ถ้าเกิดว่าคุณตั้งใจติดตามเรื่องนี้จริงๆ คุณก็น่าจะรู้เรื่องนะ”
ในตอนนั้น ตำรวจหญิงคนนึงก็เดินผ่านมาพอดี เหมือนว่าเธอจะเอาเอกสารมาให้ตำรวจคนนี้
เมื่อเธอเห็นมู่น่อนน่อน ตำรวจหญิงคนนั้นก็ถามว่า “คดีอะไร?”
“คดีเล็กๆ น้อยๆ” หลังจากตำรวจพูดจบ เขาก็หันไปถามมู่น่อนน่อนต่อ “คุณมู่ ที่คุณพูดผมเข้าใจ คุณก็รู้ว่าช่วงแรกมีอุปสรรคอยู่มากมาย แล้วก็มีเส้นเรื่องอยู่หลายเส้น ไม่ว่าจะเอาเส้นเรื่องไหนมาอธิบายมันก็อธิบายได้อย่างเจ็บปวด ซึ่งมันมีการโต้เถียงกันเยอะมาก ผมก็เลยอยากจะทราบคำตอบอย่างเป็นทางการ”
ตอนที่ตำรวจหญิงคนนั้นกำลังจะเดินจากไป เมื่อได้ยินเขาพูดประโยคนี้ เธอก็เลยเข้ามาร่วมด้วย “พวกคุณกำลังพูดคุยเรื่องเมืองพังเหรอ?”
ทางตำรวจแนะนำให้เธอรู้จักด้วยความตื่นเต้น “คุณมู่ คนเขียนบทละครเรื่องเมืองพัง”
ตำรวจหญิงเบิกตาโตด้วยความตกใจ และเธอก็นั่งลงข้างๆ เขา “ฉันก็มีคำถามเหมือนกัน…”
จากนั้นก็มีคนอื่นตามมาเรื่อยๆ ทุกคนล้อมรอบมู่น่อนน่อนและถามนั่นถามนี่
ในช่วงนี้มู่น่อนน่อนกำลังเตรียมตัวกับละครเรื่องเมืองพังภาค2 เธอก็เลยดูเรื่องเมืองพังตั้งแต่แรกจนจบไปหลายครั้ง ดังนั้นเธอจึงรู้เรื่องเนื้อหาและรายละเอียดทุกส่วนอย่างชัดเจน
คำถามของพวกเขา เธอก็ให้คำตอบได้ทั้งหมด
แต่ว่า เรื่องที่พวกเขาอยากจะรู้ว่าทำไมพระเอกอย่างเว่ยซิงเฉินถึงโดนจับเข้าคุก เธอไม่ได้พูดถึงเลย
นี่คือจุดขายหลักของละครเรื่องเมืองพังภาค2 ยังไงเธอก็จะไม่เล่าให้พวกเขาฟัง
ตอนที่เฉินถิงเซียวมาถึง เขาก็เห็นถึงสถานการณ์แบบนั้น
มีตำรวจกลุ่มหนึ่งมายืนล้อมตัวมู่น่อนน่อนไว้ ก่อนจะถามคำถามอย่างกระตือรือร้น
มู่น่อนน่อนเองก็ตอบข้อสงสัยของพวกเขาอย่างอดทน
เมื่อเฉินถิงเซียวเห็นภาพนั้น เขาก็เกือบจะสงสัยว่ามู่น่อนน่อนแค่สร้างเรื่องทั้งหมดขึ้นเพื่อหลอกเขา เธอก็เลยจงใจมาที่สถานีตำรวจ
แต่ภายในใจของเขาก็รู้ดีว่า เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
คนที่มาพร้อมกับเฉินถิงเซียว ก็ยังมีสือเย่
ตำรวจที่เป็นคนลงบันทึกประจำวันให้กับมู่น่อนน่อน เขาเป็นคนแรกที่เห็นเฉินถิงเซียวและสือเย่ เขาไอออกมาก่อนจะพูดว่า “จะมาล้อมกันไว้ทำไม? ไม่มีงานให้ทำกันเหรอ?”
ตำรวจกลุ่มนั้นจึงได้แยกกันเดินจากไป
ตอนที่มู่น่อนน่อนหันกลับมา เห็นเฉินถิงเซียว ดวงตาของเธอก็เปล่งประกายทันที
เธอลุกขึ้นยืน และอยากจะเดินไปหาเฉินถิงเซียว
แต่ว่า เพียงแค่เธอลุกขึ้น เธอก็รู้สึกมึนหัวทันที เธอยืนโซเซก่อนที่จะล้มไปทางข้างหน้า
เฉินถิงเซียวก้าวไปรับตัวเธอไว้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเขาเข้าใกล้เธอ เขาก็ได้กินแอลกอฮอล์มาจากบนตัวเธอ
มู่น่อนน่อนรับรู้ถึงกลิ่นอายบนตัวของเขาที่คุ้นเคย เธอจึงเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้กับเขา ก่อนจะยื่นมือไปจับคอเสื้อของเขาไว้ “คุณมาจริงๆด้วย”
ในตอนที่เธอพูด ก็มีกลิ่นแอลกอฮอล์ออกมาด้วย
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะผลักมู่น่อนน่อนไปนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทีที่รังเกียจ จากนั้นก็หันหน้าไปพูดกับสือเย่ “ไปจัดการซะ”
“ครับ”
สือเย่ตอบรับ ก่อนจะไปจัดการเรื่องทั้งหมด เพื่อประกันตัวมู่น่อนน่อนออกมา
หลังจากจัดการเรื่องทั้งหมดเสร็จ เฉินถิงเซียวก็หันไปพูดอย่างเย็นชากับมู่น่อนน่อน “ยังไม่ไปอีกเหรอ? อยากให้ผมพยุงคุณหรอ?”
มู่น่อนน่อนที่ยังไม่ได้สติ เธอก็เชื่อฟังหัวใจของตัวเอง ก่อนจะพยักหน้ารับ “อืม”
“เหอะ!” เฉินถิงเซียวยิ้มอย่างเยือกเย็น ก่อนจะเดินออกไปข้างนอกทันที
“เฮ้ย!” มู่น่อนน่อนลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินโซเซเพื่อตามเฉินถิงเซียวให้ทัน
แต่ว่า ใจเธอต้องการจะทำแบบนั้นแต่ร่างกายกลับไม่ตอบสนอง
เธอรู้สึกมึนหัวมาก ตอนที่เธอเดินก็โซซัดโซเซ
สือเย่เห็นแบบนั้น เขาก็เลยอยากจะเดินไปพยุงเธอ
ใครจะไปคิด ว่าเฉินถิงเซียวที่เดินนำหน้าอยู่ ก็เหมือนจะมีดวงตาอยู่ด้านหลัง เขาหยุดเดินแต่ก็ไม่ได้หันกลับมา ก่อนจะพูดออกไปว่า “ห้ามพยุงเธอ”
มือของสือเย่ที่ยื่นออกไปได้ครึ่งหนึ่ง เขาก็ค่อยๆ ดึงมือกลับมา ก่อนจะพูดกับมู่น่อนน่อนด้วยเสียงเบาๆ “คุณหญิง คุณระวังด้วยนะครับ ค่อยๆ เดินนะครับ”
“ไม่ได้” มู่น่อนน่อนเดินไวขึ้น “เฉินถิงเซียวไปไหนแล้ว ฉันจะต้องรีบเดินไปหาเขา”
ร่างสูงใหญ่ที่เดินอยู่ข้างหน้าชะงักไปครู่หนึ่ง และเขาก็เดินช้าลงอย่างคาดไม่ถึง
มู่น่อนน่อนเดินโซเซจนตามเขาทัน จากนั้นก็จับมือเฉินถิงเซียวไว้แน่น
เฉินถิงเซียวปล่อยมือของตัวเองลง แต่เขาก็ไม่ได้สะบัดมือเธอทิ้ง
ผู้หญิงที่ดื่มจนเมา เขาไม่รู้ว่าเธอไปเอาแรงที่มากมายแบบนี้มาจากไหน
เขาหันหน้าไป ก็เจอกับมู่น่อนน่อนที่กำลังยิ้มอย่างซื่อบื้อ “จับตัวคุณได้แล้ว”
เธอพูดได้ค่อนข้างช้า ก็เลยให้ความรู้สึกซื่อบื้อแอบแฝงอยู่
ไม่ใช่แค่เวลาที่เธอพูดที่มีความรู้สึกซื่อบื้อแอบแฝงอยู่ แม้แต่ท่าทีของเธอในตอนนี้ก็มีความรู้สึกซื่อบื้อแอบแฝงอยู่เหมือนกัน
เฉินถิงเซียวสะบัดมือเธอออกไปไม่ได้ เขาจึงต้องยอมเดินไปข้างหน้าโดยที่เธอยังเกาะแขนของเขาไว้
มู่น่อนน่อนรู้สึกมึนหัวมากๆ เธอก็เลยใช้มือทั้งสองข้างกอดไปที่แขนของเขา เธอเอนร่างกายเกือบทั้งหมดไปพิงอยู่บนร่างกายของเขา แล้วก็ใช้พลังของเขามาช่วยในการเดินไปข้างหน้า
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่าความอดทนของเขาใกล้จะถึงขีดสุดในวินาทีต่อไปนี้
แต่ พอถึงวินาทีต่อไป เขาก็เกลี้ยกล่อมตัวเองบอกว่าให้อดทนอีกหนึ่งวินาที
และเขาก็เดินไปแบบนี้ โดยที่มีมู่น่อนน่อนกอดอยู่ตรงแขนจนไปถึงลานจอดรถ
สือเย่เดินไปข้างหน้าเพื่อเปิดประตูรถให้เขา
เฉินถิงเซียวยื่นมือออกไป เขาอยากจะดึงมือของมู่น่อนน่อนออก
แต่…เขากลับดึงมือของมู่น่อนน่อนออกมาไม่ได้
เฉินถิงเซียวหลับตาลง ในน้ำเสียงของเขาแอบแฝงไปด้วยความโกรธ “นี่คุณจะกอดแขนผมไว้แบบนี้จนถึงวันฉลองปีใหม่เลยเหรอ?”
มู่น่อนน่อนหรี่ตาลง เธอดูเหมือนใกล้จะหลับแล้ว “ทำไมต้องฉลองวันปีใหม่กับแขนของคุณด้วย ฉันจะฉลองวันปีใหม่กับคุณ”
เมื่อคนคนนั้นเห็นว่าเสิ่นเหลียงยกโทรศัพท์ขึ้นมาแจ้งความ เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร “จะแจ้งความเพื่อทำให้พวกเรากลัวเหรอ? เธอคิดว่าฉันจะกลัวเหรอ? หา?”
เสิ่นเหลียงโทรออกไปหาตำรวจจริงๆ เธอไม่ได้สนใจเขา เธอบอกที่อยู่กับทางตำรวจไป
“ไอ้บ้าเอ้ย ยัยบ้าผู้หญิงคนนี้โทรหาตำรวจจริงๆ” ในขณะที่เขาพูด เขสก็ตรงเข้ามากระชากผมของเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงมองโซฟาที่อยู่ด้านข้างไว้แต่แรก เธอวางมู่น่อนน่อนลงไปบนโซฟา แล้วเธอก็ถอยหลังไปเรื่อยๆ เพื่อล่อให้เขาคนนั้นเข้ามาใกล้
มู่น่อนน่อนที่เมาในตอนแรก เมื่อโดนเสิ่นเหลียงผลักลงไป เธอก็มีสติขึ้นมาในทันที
เธอหรี่ตาขึ้นมามอง แล้วก็เห็นว่าเสิ่นเหลียงอยู่ไม่ไกลจากเธอ และรอบข้างเธอก็มีคนอยู่กลุ่มหนึ่ง
ในตอนนั้น คนพวกนั้นก็ทำเพียงแค่ข่มขู่ให้เสิ่นเหลียงกลัว และก็ไม่ได้ทำอะไร
แต่ว่า มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไร เธอนึกว่าเสิ่นเหลียงถูกคนอื่นรังแก ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้สนใจว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกันอยู่ เธอลุกขึ้นยืนด้วยร่างกายที่โซเซ จากนั้นก็หยิบขวดเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา และเดินตรงไป
ในตอนนั้นสภาพมู่น่อนน่อนก็คือคนเมาคนหนึ่ง เธอถือขวดเหล้าไว้ด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ ซึ่งสภาพของเธอก็ดูแย่มาก
คนที่อยู่รอบข้างเมื่อเห็นท่าทีของเธอ ต่างก็พากันเดินถอยหลัง ดูเหมือนพวกเขาจะกลัวมู่น่อนน่อนเล็กน้อย
“แกก้มลงและเรียกฉันว่าพ่อสามครั้ง ฉันจะทบทวนดูว่าจะปล่อยแกไปดีไหม แต่ถ้าแก…”
ตอนที่มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป คนคนนั้นกำลังข่มขู่เสิ่นเหลียง มู่น่อนน่อนยกขวดเหล้าขึ้น ก่อนจะฟาดลงไปบนหัวคนคนนั้น
คนคนนั้นโดนมู่น่อนน่อนฟาดหัวจนตาลายไปหมด ก่อนที่เขาคนนั้นจะกุมหัวและตะโกนออกมา “ใครมันมาฟาดหัวฉัน!”
มู่น่อนน่อนโยนขวดเหล้าทิ้ง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอเอาแรงมาจากไหนเธอยกเก้าอี้แล้วโยนไปที่ชายคนนั้น
ชายคนนั้นไม่ทันได้ตั้งตัว ก็เลยโดนเก้าอี้ฟาดจนล้มลงไปอยู่กับพื้น
มู่น่อนน่อนหยิบส้อมบนโต๊ะอาหารที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา ก่อนจะเดินไปข้างหน้าและเอาเท้าเหยียบไปบนตัวของเขา “แกเป็นใคร? ถือกล้ามาบอกให้เสี่ยวเหลียงเรียกแกว่าพ่อ? กู้จือหยั่นยังต้องเรียกเธอว่าบรรพบุรุษเลย แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร? หืม? แกพูดมาสิ แกพูดมาสิว่าแกเป็นใคร?”
เสิ่นเหลียงที่อยู่ด้านข้างก็ยืนมองด้วยความตกใจ
มู่น่อนน่อนเมาจริงๆหรือแกล้งเมากันแน่?
ครั้งก่อนที่เห็นมู่น่อนน่อนดื่มจนเมา เหมือนว่าจะผ่านมานานมากแล้ว
ในตอนนั้นพวกเธอยังอายุน้อย มู่น่อนน่อนพาเธอไป “สร้างเรื่อง” ไว้ไม่น้อยเลย
สีหน้าของคนที่ถูกมู่น่อนน่อนเหยียบอยู่บนพื้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขาเอามือจับไปที่ศีรษะและตะโกนพูดออกมา “พวกแกจะยืนมองอยู่ทำไม? ยังจะไม่เข้ามาช่วยฉันอีก?”
เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยิน เธอก็ยกยิ้มอย่างเยือกเย็น สายตาที่แหลมคมเหมือนกับมีดของเธอจ้องมองไปที่ทุกๆคน เธอจับส้อมไว้แล้วก็ชี้ไปทางพวกเขา “ใครก็ห้ามเข้ามา ฉันเป็นโรคประสาท ถ้าเกิดว่าฉันเผลอทำอะไรพวกแกไป ยังไงฉันก็ไม่โดนจับเข้าคุกอยู่ดี”
หลังจากที่คนพวกนั้นโดนมู่น่อนน่อนข่มขู่ไป พวกเขาก็กลัวและไม่กล้าเดินเข้าไป
ในตอนนั้น ทางผู้จัดการร้านก็พาตำรวจเข้ามา
“พวกเขานี่แหละที่ทะเลาะกันในนี้”
ที่จริงเมื่อครู่นี้ทางผู้จัดการร้านก็สังเกตเห็นพวกเสิ่นเหลียงและคนกลุ่มนี้แล้ว เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายมีคนอยู่เยอะกว่า ทางผู้จัดการจึงได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด โดยการไม่โทรเรียกตำรวจให้เข้ามา
สถานีตำรวจอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ และก็มักจะลาดตระเวนแถวนี้อยู่แล้ว อีกอย่างก็สนิทกับพวกเขาอยู่แล้ว ก็เลยเข้ามาในทันที
เมื่อเสิ่นเหลียงได้ยินว่าตำรวจมา เธอก็เดินไปข้างหน้าและดึงมู่น่อนน่อนกลับมา
ตอนนี้มู่น่อนน่อนก็ได้สติมากกว่าครึ่งแล้ว เธอผลักเสิ่นเหลียงออก “เธอเป็นใครเนี่ย อย่าเข้ามานะ”
ในขณะที่เธอพูด เธอก็ส่งสัญญาณบางอย่างทางสายตาให้กับเสิ่นเหลียง เพื่อให้เสิ่นเหลียงแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเธอ
พรุ่งนี้เสิ่นเหลียงก็ต้องเข้าไปถ่ายทำในกองละครบนภูเขาแล้ว ถ้าเกิดว่าวันนี้เธอต้องไปที่สถานีตำรวจ พรุ่งนี้ก็จะต้องเกิดข่าวแน่นอน
เสิ่นเหลียงยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง มู่น่อนน่อนก็ดึงคนที่เธอจัดการไปตรงหน้าของตำรวจ
คนที่เธอไปทำร้ายร่างกาย รูปร่างไม่ได้สูงมาก และดูผอมจนจะเหมือนกับลิงอยู่แล้ว ตั้งนั้นเธอก็เลยมีแรงที่จะลากเขาขึ้นมา
ตำรวจมองไปยังมู่น่อนน่อนที่มีกลิ่นเหล้าติดตัวแต่กลับไม่มีบาดแผลเลย ก่อนจะหันกลับไปมองชายคนนั้นที่ไม่มีกินเหล้าติดตัวแต่มีบาดแผลเต็มตัว เขาพูดด้วยใบหน้าที่ดูแปลกใจ “ไปลงบันทึกประจำวันกับผม”
มู่น่อนน่อนจึงต้องไปสถานีตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวันพร้อมกับผู้ชายคนนั้น
……
เมื่อไปถึงสถานีตำรวจ มู่น่อนน่อนก็ให้ความร่วมมือในการลงบันทึกประจำวันเป็นอย่างดี
“ชื่อนามสกุล?”
“มู่น่อนน่อน”
“อายุ?”
“26”
“อาชีพ?”
มู่น่อนน่อนครุ่นคิด ก่อนจะพูดว่า “นักเขียนบท”
เธอมีใบหน้าที่ดูงดงาม แล้วเธอก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ดังนั้นตำรวจจึงแสดงท่าทีที่อ่อนโยนต่อเธอ
ตำรวจพลิกสมุดจดบันทึกไปอีกหน้าหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังหน่อย”
“ฉันดื่มมากเกินไป ตอนที่เดินไม่ทันได้มอง มือก็เลยไปโดนใส่เขา เขาก็เริ่มด่าทอ คุณก็รู้ว่าเวลาคนดื่มจนเมามักจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ ถ้าเขาด่าแค่ฉันก็ไม่เป็นอะไร แต่เขายังมาด่าถึงครอบครัวของฉัน…”
ในช่วงแรกเป็นความจริง แต่ช่วงหลังเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา
เธอไม่ได้มีความสามารถในการแสดงเหมือนกับเสิ่นเหลียง แต่ถ้าให้เธอแต่งเรื่องขึ้นมา เธอก็คิดได้เยอะแยะมากมายเลย
เพราะเป็นแค่คดีความที่พบเจอมากมาย ตำรวจก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
ตำรวจพูดว่า “เดี๋ยวทางเราจะตรวจสอบกันอีกที ถ้าถึงตอนนั้น…”
ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เธอโน้มตัวไปข้างหน้า ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าตำรวจ ได้ถามด้วยใบหน้าที่ลึกลับ “ฉันจะถูกขังเอาไว้ใช่ไหม?”
ตำรวจพยักหน้า ก่อนจะมองไปที่เธอด้วยความสงสัย “อืม”
ถ้าเขามองไม่ผิด ดูเหมือนว่าบนใบหน้าของหญิงสาวคนนี้จะแสดงท่าทีที่ดู…ตื่นเต้น?
“แล้วฉันยังต้องหาคนมาประกันตัวด้วยใช่ไหม?” หลังจากมู่น่อนน่อนพูดจบ “งั้นฉันขอโทรศัพท์ก่อนนะ”
เธอหยิบเอาโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะหรี่ตาหาเบอร์โทรของเฉินถิงเซียว แล้วกดโทรออก
ในตอนนั้นก็เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวในโทรศัพท์ ฟังดูงัวเงียเล็กน้อย
น้ำเสียงของเขายังคงไพเราะเหมือนเดิม แต่คำพูดที่เขาพูดออกมาก็ยังคงไม่น่าฟังนัก
“มู่น่อนน่อน นี่คุณกำลังจะทำอะไรอีก?”
ในตอนนั้นมู่น่อนน่อนยังคงมีอาการเมาอยู่เล็กน้อย เธอนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ “เฉินถิงเซียว ฉันอยู่ที่สถานีตำรวจ คุณจะมาประกันตัวฉันไหม?”
น้ำเสียงของเธอฟังดูไม่ได้แตกต่างจากปกติ เพียงแต่ว่าเธอพูดช้าลงนิดหน่อย รวมถึงคำพูดที่เธอพูดออกมา มันก็ฟังดูน่าสงสารอยู่เล็กน้อย
ส่วนทางเฉินถิงเซียวก็ยังคงจัดการเอกสารอยู่ในห้องหนังสือ เมื่อเขาได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อน เขาก็ชะงักไป เขาก็เลยถามอีกครั้งเพื่อยืนยัน “คุณอยู่ที่ไหน?”
“สถานีตำรวจ ตำรวจของที่นี่ดุมากเลย…”
ตำรวจที่ดุมากที่นั่งอยู่ตรงข้ามมู่น่อนน่อน “…”
เฉินถิงเซียวหลับตาลง ก่อนจะมองไปยังเวลาที่อยู่มุมขวาล่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์
เวลาสี่ทุ่ม ในเวลาแบบนี้ เธออยู่ที่สถานีตำรวจ และยังบอกให้เขาไปประกันตัวเธอ…
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่าความอดทนในตลอดชีวิตของเขานั้น ถูกใช้ไปกับมู่น่อนน่อน
“แล้วทำไมผมต้องไปประกันตัวคุณด้วย? มู่น่อนน่อน ความสามารถในการสร้างเรื่องของคุณ มันเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่ได้…”
“ฉันเป็นคนของคุณนะ ถ้าคุณไม่มาประกันตัวฉัน แล้วใครจะมาประกันตัวฉัน คุณรีบมานะ ฉันจะรอคุณที่นี่”
หลังจากที่มู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาไว้ตรงหน้า ก่อนจะหรี่ตาลง แล้วเธอกดไปที่ปุ่มสีแดงเพื่อวางสาย
เธอวางสายไปแล้ว แล้วเธอก็พบว่าตำรวจที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอนั้นมองมาที่เธอด้วยสีหน้าที่ดูแปลกๆ
หลังจากโทรติดแล้ว เสียงก็ดังแค่สองครั้ง จากนั้นก็มีคนกดรับสาย
เฉินถิงเซียวรับโทรศัพท์และไม่ได้พูดในทันที
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเขากำลังรอให้เธอเป็นคนพูดก่อน
มู่น่อนน่อนถอนหายใจออกเล็กน้อย ก่อนจะเป็นคนเริ่มพูดก่อน “เฉินถิงเซียว เรามาเจอกันและพูดคุยกันหน่อยไหม”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวดูราบเรียบ และดูเฉยเมยมาก “ผมยุ่งมาก”
“ต่อให้ยุ่งแค่ไหนยังไงก็ต้องทานข้าวใช่ไหม? มาขอคุยกันตอนทานข้าวได้ไหม?” มู่น่อนน่อนบอกกับตัวเองในใจว่า เฉินถิงเซียวคือคนป่วย การที่เธอยอมความและยอมประนีประนอมในตอนนี้ รอให้เฉินถิงเซียวอาการดีขึ้นแล้ว ค่อยมาเอาคืนทีหลัง
เฉินถิงเซียวไม่ให้ความร่วมมือเลย และเขาก็พูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “เวลาทานข้าวก็ต้องทานข้าวอย่างเดียว ไม่ได้คุยเรื่องอื่น”
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปาก เธอวางสายด้วยความโกรธ เธอยืนเท้าสะเอวอยู่ข้างถนนเพื่อสงบสติอารมณ์
ในอีกด้านหนึ่ง เฉินถิงเซียวมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ที่กลับไปยังหน้าหลักแล้ว ก่อนที่เขาจะเหอะออกมาอย่างเย็นชา
หญิงสาวอย่างมู่น่อนน่อน กล้าวางสายเขาเลยเหรอ!
เธอรักเขามาก และต้องการจะแต่งงานกับเขาใหม่ไม่ใช่เหรอ?
ตอนนี้เธอกลับกล้าวางสายของเขา!
เป็นเพราะช่วงนี้เขาอ่อนโยนกับเธอมากเกินไปเหรอ? ก็เลยทำให้เธอกลายเป็นแบบนี้?
เฉินถิงเซียวโยนโทรศัพท์ไว้ข้างๆ สีหน้าของเขาก็ดูเย็นชามาก
……
ในร้านอาหารหม้อไฟ
มู่น่อนน่อนและเสิ่นเหลียงนั่งตรงข้ามกัน ตรงด้านหน้าของพวกเธอมีขวดเบียร์หลายขวดที่เปิดแล้ว
มู่น่อนน่อนเอาขวดเปล่าในมือวางกลับที่เดิม ก่อนจะหยิบเบียร์อีกขวดหนึ่งเทลงในแก้ว
หลังจากเติมเบียร์เต็มแก้ว มู่น่อนน่อนก็ยกขึ้นดื่ม
เมื่อเสิ่นเหลียงเห็นเช่นนี้ เธอก็รีบลุกขึ้นและเอื้อมมือไปห้ามเธอ “น่อนน่อน วันนี้ฉันให้เธอออกมาดื่มและทานหม้อไฟเป็นเพื่อนฉัน ไม่ใช่ให้เธอออกมาดื่มย้อมใจ”
มู่น่อนน่อนจับแก้วเหล้าของเธอแน่น ก่อนจะเงยหน้าและดื่มจนหมดแก้ว
เสิ่นเหลียงเห็นว่าไม่สามารถเอาชนะเธอได้ เธอก็เลยยอมแพ้
เธอนั่งกลับไป ก่อนจะมองไปทางมู่น่อนน่อนอย่างโกรธเคือง “ชั่งเถอะ ถ้าเธอรู้สึกไม่มีความสุขขนาดนั้น ก็ดื่มเถอะ ถ้าดื่มมากไป เดี๋ยวฉันจะส่งเธอกลับเอง เพราะยังไงพรุ่งนี้ฉันก็ต้องเข้าไปที่กองละคร อีกหลายเดือนกว่าจะได้ออกมา”
ที่วันนี้เธอชวนมู่น่อนน่อนออกมาดื่มและทานหม้อไฟเป็นเพื่อนเธอ ก็เพราะว่าละครเรื่องใหม่ที่เธอรับกำลังจะเริ่มถ่ายทำแล้ว พรุ่งนี้เธอจะต้องเข้าไปในกองละครแล้ว ว่ากันว่าจะต้องเข้าไปถ่ายทำในสถานที่ห่างไกลจากตัวเมือง
การถ่ายทำครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาหลายเดือนเลย และแน่นอนว่ายังไงเธอก็ต้องออกมาทานข้าวกับมู่น่อนน่อนก่อน
มู่น่อนน่อนถามเธอว่า “คราวนี้จะไปถ่ายทำที่ไหน?”
เมื่อเสิ่นเหลียงพูดถึงการถ่ายทำ ดวงตาของเธอเป็นประกาย “ต้องไปถ่ายทำที่ภูเขาทางทิศตะวันตก ใช้เวลาถ่ายทำหลายเดือนเลย สภาพไม่ค่อยดีนัก แต่บทดีมาก ฉันชอบมากๆ มีการถ่ายทำบนภูเขา หาซื้อข้าวกล่องไม่ได้ด้วยซ้ำไป ถ้าถึงตอนนั้นไม่แน่อาจจะต้องทานเปลือกต้นไม้แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ประโยคครึ่งหลัง เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องตลก
แต่ที่ตั้งอยู่ทางภูเขาทิศตะวันตก สภาพก็คงจะเลวร้ายมากจริงๆ
มู่น่อนน่อนยิ้มและพูดอย่างจริงจังว่า “ทานข้าวกล่องไม่ได้ แต่ก็คงจะโทรหาได้ ถ้าถึงตอนนั้นฉันจะไปเที่ยวหาเธอที่กองละครเอง ตอนที่เธออยู่ที่นั่นถ้าขาดอะไร เดี๋ยวฉันจะเป็นคนเอาไปให้เธอเอง”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอยกแก้วไปชนกับเสิ่นเหลียง “ฉันขอให้เธอเป็นที่รักและประสบความสำเร็จนะ”
มู่น่อนน่อนดึงมือกลับ ก่อนจะยกศีรษะขึ้นดื่มอีกแก้วหนึ่ง
เสิ่นเหลียงขมวดคิ้วและมองไปที่เธอ จากนั้นก็มองลงไปที่แก้วของตัวเอง เธอดื่มไปแค่นิดหน่อย ก่อนจะวางแก้วเหล้าลง
ดูจากท่าทีของมู่น่อนน่อน ดูเหมือนว่าเธอจะเมาแล้ว
เสิ่นเหลียงพยายามห้ามเธออย่างสุดความสามารถแล้ว มู่น่อนน่อนก็พยักหน้าให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี “ฉันจะดื่มอีกแก้ว”
จากนั้น ตอนที่เสิ่นเหลียงกำลังทานอะไรบางอยู่ เธอก็ยกขวดเหล้าดื่มในทันที
รูปลักษณ์ภายนอกและออร่าของเสิ่นเหลียงและมู่น่อนน่อนค่อนข้างจะโดดเด่น ตอนที่ทั้งสองเพิ่งจะนั่งลงก็มีคนหันมามองทางนี้แล้ว ยิ่งเป็นตอนที่มู่น่อนน่อนยกขวดเหล้าขึ้นมาดื่มทีละขวด รอบข้างก็เริ่มหันมามองทางนี้แล้ว
เสิ่นเหลียงยื่นมือไปปิดหน้าตัวเองไว้ เธอรู้สึกไม่มีหน้าจะไปเจอใครแล้ว
ถึงแม้ว่าจะเป็นเบียร์ แต่การที่มู่น่อนน่อนดื่มแบบนี้ มันก็ทำให้เมาได้เร็วมาก
จนสุดท้าย เสิ่นเหลียงก็รู้ว่าห้ามมู่น่อนน่อนไม่ได้แล้ว เธอก็เลยไม่ได้ห้ามเธออีก
เธอสนใจแค่เรื่องทำให้ตัวเองอิ่มท้อง เพราะถ้าทานจนอิ่มก็จะมีแรงแบกมู่น่อนน่อนกลับไป
รอตอนที่เสิ่นเหลียงทานจนอิ่มแล้ว มู่น่อนน่อนก็นอนฟุบอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เธอถือขวดเหล้าเอาไว้ในขณะที่ไม่มีสติแล้ว
เสิ่นเหลียงตบไปที่ไหล่ของมู่น่อนน่อนเบาๆ ก่อนจะเรียกชื่อเธอมา “น่อนน่อน?”
คนที่ดื่มจนเมามักจะมีการตอบสนองที่ค่อนข้างช้า มู่น่อนน่อนยกศีรษะขึ้น ก่อนจะหรี่ตามองไปทางเสิ่นเหลียง จากนั้นก็ตอบรับว่า “หืม?”
ตอนนี้เธอเมามากๆ
เสิ่นเหลียงเรียกพนักงานให้มาเก็บเงิน จากนั้นเธอก็พยุงมู่น่อนน่อนเดินออกไปข้างนอก
ถึงแม้ว่ามู่น่อนน่อนจะดูค่อนข้างผอม แต่รูปร่างเธอไม่ถือว่าเตี้ย เสิ่นเหลียงจึงใช้แรงเยอะมากในการพยุงเธอ
เธอต้องขอบคุณผู้จัดการของตัวเธอด้วย ที่เอาแต่บอกให้เธอไปออกกำลังกาย มันเลยทำให้เธอมีพลกำลังที่ดีขนาดนี้ จนสามารถพยุงคนเมาอย่างมู่น่อนน่อนได้
ตอนที่เสิ่นเหลียงพยุงมู่น่อนน่อนไปถึงหน้าประตู ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก
แม้ว่าเสิ่นเหลียงจะพยายามหลีกเลี่ยงแล้ว แต่เธอก็ห้ามมู่น่อนน่อนไม่ได้…
มู่น่อนน่อนเมาจนเลอะเลือน ปากเธอก็เอาแต่เรียกชื่อของเฉินถิงเซียว เมื่อเธอยกมือขึ้น มือเธอจึงไปโดนใส่ใบหน้าของคนในกลุ่มนั้น
เสียง “เพียะ” ดังอย่างชัดเจน
เสิ่นเหลียงชะงักไป จากนั้นเธอก็ได้สติอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เธอจะขอโทษแทนมู่น่อนน่อน “ขอโทษค่ะ เพื่อนของฉันเมาแล้ว เธอไม่ได้ตั้งใจนะ”
“ถ้าคำขอโทษมีประโยชน์ แล้วจะมีตำรวจไว้ทำไม? อายุก็ยังน้อยเวลาเดินไปไหนมาไหนไม่พกลูกกะตามาด้วยเหรอ? เธอ…” คุณคนนั้นพูดประโยคที่ค่อนข้างจะเก่า จากนั้นก็เริ่มด่าเธอในทันที
เสิ่นเหลียงไม่ใช่คนที่จะเก็บอะไรไว้ในใจ แต่เพราะว่าเธอยังพยุงมู่น่อนน่อนอยู่ และเธอก็เห็นว่าอีกฝ่ายมีจำนวนคนที่เยอะกว่า เธอจึงทำได้เพียงแค่ยกยิ้มให้พวกเขา
คนปกติในสถานการณ์แบบนี้ ส่วนใหญ่ก็จะว่าไม่กี่ประโยคก็จบเรื่องกันไป
แต่ว่า คนที่พูดไม่ดีคนนั้นก็ยังพูดต่อไปเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น
เสิ่นเหลียงกัดฟัน เธอพยายามจะอดทนและใช้น้ำเสียงที่ดูเป็นมิตรพูดว่า “ขอโทษนะคะ เพื่อนของฉันดื่มมากไป เมื่อกี้นี้ก็เลยไปโดนใส่หน้าของคน ถ้าเกิดว่าคุณไม่พอใจอะไรตรงไหน หรือต้องการจะให้รับผิดชอบยังไง พวกเรายินดีที่จะให้ความร่วมมือ”
“ให้ความร่วมมือ?” สายตาของคนคนนั้นจ้องมองไปที่ใบหน้าของเสิ่นเหลียง น้ำเสียงที่เขาใช้พูดก็ดูมีนัยยะอย่างเห็นได้ชัด
เสิ่นเหลียงอยู่ในวงการบันเทิงมาตั้งหลายปี ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในรูปแบบไหนเธอก็เคยพบเจอมาหมด คนประเภทไหนที่เธอไม่เคยเจอบ้าง?
เธอพยายามจะอดกลั้นอารมณ์ไว้ ก่อนที่จะพูดว่า “คุณต้องการอะไร?”
เสิ่นเหลียงรู้สึกโชคดีมาก ที่วันนี้เธอไม่ได้แต่งหน้าออกมาจากบ้าน การแต่งตัวก็ดูเรียบง่าย เลยมีภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากในจอ ดังนั้นถ้าไม่ใช่คนที่สนิทกับเธอก็จะจำเธอไม่ได้
คนคนนั้นหันกลับมา และพูดอย่างมีเลศนัยว่า “ยังไงพวกเธอก็มาทานข้าวที่นี่ จะรีบกลับไปทำไมกัน? อยู่ทานข้าวเป็นเพื่อนพวกพี่สักมื้อสิ เรื่องนี้ก็ถือว่าจบกัน ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะหาว่าพวกเรากำลังรังแกผู้หญิงสองคน ถ้าเป็นอย่างนั้นคงจะแย่มาก ใช่ไหมล่ะ?”
เสิ่นเหลียงยกริมฝีปาก ก่อนจะมองไปที่เขาด้วยรอยยิ้มที่เสแสร้ง คนพวกนี้เห็นเธอเป็นเพื่อนทานเพื่อนดื่มเพื่อนเล่นเหรอ?
คนเราเวลาอยู่บนโลกนี้ ก็มักจะเจอพวกขยะอยู่บ้าง
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นพวกเราแจ้งความดีกว่า ปล่อยให้คุณตำรวจจัดการเรื่องนี้” ในขณะที่เสิ่นเหลียงพูด เธอก็ได้ยกโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรแจ้งความ
มู่น่อนน่อนนั่งตรงข้ามกับเสิ่นเหลียง ซึ่งมันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ “ก็คงไม่แน่หรอก”
เสิ่นเหลียงถาม “แล้วจากนี้เธอคิดจะทำอะไรต่อไป?”
“ฉันอยากสงบสติอารมณ์สักสองวัน ตอนที่ไปเยี่ยมมู่มู่ฉันค่อยหาทางไปคุยกับเขาอีกที ที่เขาเป็นแบบนี้ ก็เป็นเพราะว่าเขาไม่มีความทรงจำในช่วงหลายที่ผ่านมา และก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักฉัน ฉันคงจะโกรธเขาแบบนี้ไปตลอดไม่ได้หรอก”
มู่น่อนน่อนถอนหายใจออก เธอค่อยๆ หลับตาลง น้ำเสียงของเธอฟังดูเศร้าเล็กน้อย “ถ้าฉันโกรธเขาจริงๆ เขาก็คงจะไม่มาง้อฉันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
ในน้ำเสียงของเธอมีความคับข้องใจเล็กน้อยที่ตัวเธอเองก็ไม่ทันได้สังเกต
เสิ่นเหลียงไม่รู้จะพูดอะไรดี เธอรู้สึกว่าสถานการณ์ของมู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียว มันค่อนข้างน่าปวดหัว
……
หลังจากที่มู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวจากกันอย่างไม่มีความสุข เฉินถิงเซียวไม่ได้เจอมู่น่อนน่อนมาสองสามวันแล้ว
ช่วงนี้มู่น่อนน่อนมักจะมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาบ่อยมาก แต่จู่ๆ ก็ไม่ได้เจอเธอมาแล้วสองสามวัน เลยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
สือเย่เองก็สังเกตเห็น ช่วงนี้หลังจากเลิกงานเฉินถิงเซียวก็กลับบ้านทันที เขาไม่ได้ไปหามู่น่อนน่อนเพื่อทานอาหารเย็น
เฉินมู่ก็ถูกส่งตัวกลับไปที่เฉินถิงเซียว
หรือว่า ระหว่างพวกเขาสองคนอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ในขณะที่เขาไม่รู้ตัว?
สือเย่ถือกองเอกสารไปวางไว้ตรงหน้าเฉินถิงเซียว “คุณชาย อันนี้เป็นเอกสารเร่งด่วน”
เฉินถิงเซียวนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะในห้องทำงานด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ เขาวางมือทั้งสองไว้บนที่เท้าแขนของเก้าอี้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่รู้ว่าเขานั้นกำลังมองไปทางไหน
แต่ หลังจากที่ได้ยินคำพูดของสือเย่ เขาก็ยังคงตอบว่า “อืม”
สือเย่รู้สึกสงสัยในใจ แต่ก็ไม่ได้ถามออกมา
ในขณะที่เขากำลังจะออกไป อยู่ๆ เฉินถิงเซียวก็เรียกเขาไว้ในทันที
“สือเย่”
“คุณชาย มีอะไรครับ”
สือเย่มองกลับไปที่เฉินถิงเซียวในทันที ก่อนจะถามเขาด้วยความเคารพ
“นายกับภรรยาของนาย…” เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วมากกว่าเดิม
ดูเหมือนเขาจะหงุดหงิดเล็กน้อย เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไปว่า “พวกนายทะเลาะกันบ้างไหม”
สือเย่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เฉินถิงเซียวจะถามคำถามแบบนี้ แต่เขาไม่ได้แสดงสีหน้าออกมา “แน่นอนว่าต้องทะเลาะกันบ้าง”
ดูเหมือนว่าเฉินถิงเซียวจะสนใจคำถามนี้มาก เขาเงยหน้ามองไปที่เขา และถามอย่างจริงจังว่า “แล้วหลังจากการทะเลาะกันล่ะ?”
“เธอก็ไม่สนใจผม ผม…ผมก็ไม่สนใจเธอ” นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินถิงเซียวถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของสือเย่ และเขาก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อยที่จะพูดออกมา
ดวงตาของเฉินถิงเซียวหรี่ลงเล็กน้อย “แล้วควรจะทำยังไง?”
เฉินถิงเซียวอาจไม่ทันได้สังเกต ตอนที่เขาพูดเรื่องนี้ ระหว่างคิ้วของเขามีความสับสนแอบแฝงอยู่อย่างเห็นได้ชัด
สือเย่เข้าใจทุกอย่างเป็นอย่างดี และเขาก็มั่นใจแล้วว่าเฉินถิงเซียวนั้นกำลังทะเลาะกับมู่น่อนน่อน
ถ้าจะเรียกว่าทะเลาะกันก็ไม่น่าจะใช่ เป็นไปได้มากที่เฉินถิงเซียวอาจจะพูดอะไรไม่น่าฟังเพียงฝ่ายเดียว และทำให้มู่น่อนน่อนโมโห จนทั้งสองก็ต้องทำสงครามเย็นต่อกัน
“ถ้าไม่ใช่ปัญหาเรื่องหลักการ ผมจะเป็นคนไปขอคืนดีกับเธอก่อน ความรู้สึกของผู้หญิงนั้นละเอียดอ่อนมาก บางทีก็แค่อารมณ์เสียเท่านั้น”
สือเย่รู้สึกว่า การที่เฉินถิงเซียวเป็นคนเริ่มถามคำถามพวกนี้กับเขา ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
ปัญหาเรื่องหลักการ?
เมื่อนึกถึงหนังสือพิมพ์แผ่นนั้น เฉินถิงเซียวก็พูดอย่างเย็นชาว่า “เสิ่นชูหานคนนั้นคือคนรักคนแรกของมู่น่อนน่อนจริงๆ เหรอ?”
ตอนนี้เขาความจำเสื่อม แต่เขาก็รู้ทุกอย่างที่เขาควรรู้
ก่อนที่เขากับมู่น่อนน่อนจะอยู่ด้วยกัน เขาไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย แต่มู่น่อนน่อน กลับมีคนรักคนแรกด้วย
สือเย่เริ่มมีเหงื่อออกที่หน้าผากของเขา
นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากจะตอบมาก
ถ้าไม่พูดความจริง เฉินถิงเซียวก็จะโกรธ แต่ถ้าพูดความจริง เฉินถิงเซียวก็จะยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก
เฉินถิงเซียวเป็นคนฉลาด เมื่อเห็นว่าสือเย่ลังเลและไม่พูดอะไรอยู่นาน เขาก็เข้าใจในทันที
เขาตอบอย่างเย็นชา “ฉันเข้าใจแล้ว นายออกไปเถอะ”
สือเย่ค่อยๆ ถอนหายใจออก ตอนที่เขากำลังจะออกไป อยู่ๆ เขาก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้
“คุณชาย นักสะกดจิตที่คุณเคยบอกให้ผมหาก่อนหน้านี้ ผมหาคุณหมอที่มีชื่อเสียงเจอหลายท่าน คุณดู…”
เมื่อสือเย่พูดถึงตรงนี้ เขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของเฉินถิงเซียว
เมื่อพูดถึงเหตุการณ์นี้ ใบหน้าของเฉินถิงเซียวก็ดูเยือกเย็นในทันที “หาคนไปทดลองกับนักสะกดจิตก่อน ถ้าพวกเขาสามารถปิดกั้นความทรงจำของผู้คนได้ ค่อยให้พวกเขาเข้ามาหาฉัน”
สือเย่พยักหน้าเล็กน้อย “รับทราบครับ”
“นอกจากนี้ มีอีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะบอกคุณชาย”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ถ้ามีอะไรก็พูดให้จบภายในครั้งเดียว”
“มันเป็นเรื่องของลี่จิ่วเชียน เขาจบปริญญาเอกด้านจิตวิทยา และอาศัยอยู่ต่างประเทศ เมื่อสามปีที่แล้วเขากลับมาที่จีนและได้รับเชิญจากกองสืบสวนคดีอาญา…”
สือเย่ยังไม่ทันจะพูดจบ เฉินถิงเซียวก็ขัดจังหวะเขา “พูดใจความสำคัญมา”
“ลี่จิ่วเชียนอาศัยอยู่ต่างประเทศ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ช่วงเวลาที่เขาอยู่ในประเทศค่อนข้างจะสั้น ดังนั้นเลยไม่ค่อยมีชื่อเสียงภายในประเทศ ในแง่มุมหนึ่ง เรื่องจิตวิทยาและการสะกดจิตก็เหมือนเป็นสิ่งเดียวกัน คุณชายอยากลองให้เขารักษาไหมครับ?”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก น้ำเสียงของเขาก็เบามาก “นายคิดว่าฉันจะไปให้เขารักษาไหมล่ะ?”
ยิ่งเวลาที่ไม่แสดงท่าที ก็จะยิ่งเป็นเวลาที่โกรธมากๆ
เฉินถิงเซียวกำลังโกรธ
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ยังไงสือเย่ก็จะไม่แสดงความคิดเห็นที่ว่า ให้เฉินถิงเซียวไปให้ลี่จิ่วเชียนรักษา
เพราะเมื่อก่อนเฉินถิงเซียวให้ความสำคัญกับมู่น่อนน่อนมาก และการที่เขาไม่จัดการลี่จิ่วเชียนทิ้งก็ถือว่าเขามีเมตตามากแล้ว
เหตุผลหลักเป็นเพราะตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมู่น่อนน่อนเปราะบางมากๆ สือเย่ก็แค่ต้องการให้เฉินถิงเซียวหายไวๆ เขาก็เลยนึกถึงวิธีนี้
สือเย่ไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาจึงก้มศีรษะและเดินออกไป
เฉินถิงเซียวยื่นมือไปนวดที่ขมับ เมื่อเขาปล่อยมือ สีหน้าของเขาก็ดูแย่เล็กน้อย
……
ในช่วงสองวันนี้มู่น่อนน่อนจะรอให้เฉินถิงเซียวไม่อยู่บ้าน แล้วเธอถึงจะไปเยี่ยมมู่มู่
และเวลาที่ไปก็ไม่แน่นอน บางทีอาจจะเป็นช่วงเช้า หรือบางทีอาจจะเป็นช่วงบ่าย ซึ่งก็จะคลาดกันกับเฉินถิงเซียวพอดิบพอดี
เธอไม่ได้ตั้งใจจะหลีกเลี่ยงเฉินถิงเซียว เหตุผลหลักก็เพราะว่า เธอไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับเฉินถิงเซียวยังไง?
ถ้าเจอเฉินถิงเซียวเธอควรจะพูดอะไรดี?
แล้วจะคืนดีกันยังไง?
แต่ สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยก็คือ ตอนที่เธอไปหามู่มู่ บอดี้การ์ดพวกนั้นไม่ได้ห้ามเธอ
ในตอนนั้นเฉินถิงเซียวโกรธมากจนไล่เธอออกไป เธอคิดว่าเฉินถิงเซียวจะไม่ปล่อยให้เธอได้เจอหน้ามู่มู่อีก
แต่โชคดีที่เขาไม่ได้ทำแบบนั้น
วันนี้ตอนบ่ายเธอตั้งใจจะไปที่บ้านเฉินถิงเซียวเพื่อพบมู่มู่
ระหว่างทาง เธอตั้งใจซื้อเค้กชิ้นเล็กๆ ให้กับมู่มู่
แต่ วันนี้เธอแค่เดินไปที่หน้าประตู เธอก็ถูกบอดี้การ์ดห้ามเอาไว้
“ขออภัยครับ คุณมู่ คุณเข้าไปไม่ได้”
มู่น่อนน่อนอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “ทำไม?”
“คุณชายสั่งไว้ครับ อย่าทำให้พวกเราลำบากกันเลย”
ที่แท้เฉินถิงเซียวก็เป็นคนสั่งนี่เอง
เมื่อสองวันก่อน เธอสามารถเข้าไปหามู่มู่ได้โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ เป็นเพราะเฉินถิงเซียวลืมบอกพวกเขาไว้ เธอก็เลยเข้าไปข้างในได้?
เมื่อลองคิดทบทวนดูดีๆ ความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ค่อนข้างสูง
มู่น่อนน่อนหันหลังเดินออกไป ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรหาเฉินถิงเซียว
บอดี้การ์ดถูกเฉินถิงเซียวเตะเข้าเต็มๆ จนเขาทำได้แค่ก้มหน้าลงและไม่กล้าพูดอะไร
คุณชายบอกให้ไล่ผู้หญิงคนนั้นออกไปไม่ใช่เหรอ?
ตอนนี้พวกเขาได้ทำตามคำสั่งของเฉินถิงเซียวแล้ว แต่สุดท้ายเฉินถิงเซียวกลับไม่พอใจ
ความคิดของคุณชายยากที่จะเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ
บอดี้การ์ดเหลือบไปมองเฉินถิงเซียวอย่างระมัดระวัง ก่อนจะถามว่า “คุณชายหมายความว่า…”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว ก่อนจะยกมือขึ้น ทำท่าบอกให้เขาไม่ต้องพูด และบอกให้เขาก้าวถอยหลังไป
หลังจากที่บอดี้การ์ดออกไปแล้ว เฉินถิงเซียวก็ยืนอยู่ที่เดิม เขาจ้องมองไปที่ทางเข้าประตูอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก่อนจะเดินออกไปด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง
ตรงประตูบ้านพักมีแต่ความว่างเปล่า จะมีร่างของมู่น่อนน่อนได้ยังไง
มือทั้งสองข้างของเฉินถิงเซียวกำหมัดไว้แน่น ระหว่างคิ้วของเขามีความโกรธแอบแฝงอยู่
……
ระหว่างทางที่มู่น่อนน่อนขับรถกลับ เธอก็ได้รับสายจากเสิ่นชูหาน
เสิ่นชูหานเองก็รู้เรื่องข่าวใหม่เช่นกัน
เขาปลอบมู่น่อนน่อน “เรื่องนี้คุณไม่ต้องกังวลนะ ผมจะให้คนไปจัดการเอง”
ตอนนี้ตระกูลเสิ่นตกไปอยู่ในมือของเสิ่นชูหานแล้ว ตัวเขาเองเป็นคนที่ทะเยอทะยานมาก ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาบริษัทเสิ่นซื่อพัฒนาไปเร็วมาก เขาได้เปิดตัวห้างสรรพสินค้าอย่างอลังการ และห้างนี้ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าชั้นนำของเมืองหู้หยาง ซึ่งตัวเขาเองก็มีความสามารถมากพอในการจัดการกับข่าว
มู่น่อนน่อนรู้อยู่แก่ใจ ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดจากสื่อเหล่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่เสิ่นชูหานต้องมารับผิดชอบ
เสิ่นชูหานยินดีที่จะเป็นคนที่จัดการกับเรื่องนี้ และมู่น่อนน่อนก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก
เธอพูดด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน “ขอบคุณนะ”
เดิมทีเธอไม่ต้องการให้เสิ่นชูหานมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากเกินไป แต่เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มันก็หมดซึ่งหนทางแล้วจริงๆ
ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน บางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ และบางครั้งก็เป็นการยากที่จะแบ่งแยกความสัมพันธ์อย่างชัดเจน โดยที่ตัดขาดกันไปเลย
ตอนที่ต้องรับมือกับสิ่งต่างๆ มักจะเป็นเรื่องยากที่จะหาวิธีที่สมบูรณ์แบบที่สุดได้
เสิ่นชูหานพูดอย่างจริงจังว่า “เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับผมด้วย ถ้าผมไม่ไปหาคุณ คงไม่โดนสื่อพวกนั้นถ่ายรูปและเอาไปสร้างเรื่องวุ่นวายแบบนี้ เป็นผมเองที่คิดทบทวนเรื่องนี้ไม่รอบคอบ”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากเล็กน้อย เธอไม่รู้จะพูดอะไรในตอนนั้นดี
ในตอนนั้นดูเหมือนว่าเขารับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของมู่น่อนน่อน เสิ่นชูหานรีบพูดทันทีว่า “บริษัทเสิ่นซื่อก็อยู่ในช่วงที่กำลังพัฒนา ภาพลักษณ์ส่วนตัวของผมก็สำคัญมากเช่นกัน ถึงแม้ครั้งนี้ทางสื่อจะถ่ายรูปผมกับผู้หญิงคนอื่นๆ ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องจัดการแบบนี้เช่นเดียวกัน”
มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ฉันรู้”
ที่จริงแล้ว ถ้าจะต้องมองในมุมนี้ ยังไงเธอก็เป็นคนที่ทำให้เสิ่นชูหานเดือดร้อน
เสิ่นชูหานพูดต่อจากคำพูดของเธอว่า “ผมยังมีธุระต่อ ผมวางสายก่อนนะ”
หลังจากวางสาย มู่น่อนน่อนกำลังจะวางโทรศัพท์ลง ลี่จิ่วเชียนก็โทรเข้ามา
ลี่จิ่วเชียนถามเธออย่างตรงไปตรงมา “ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน? เรื่องข่าวตกลงมันยังไงกันแน่? เธอจัดการได้ไหม?”
มู่น่อนน่อนรู้อยู่แล้ว ว่าลี่จิ่วเชียนโทรมาถามเรื่องนี้
เธอหัวเราะและพูดว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวมีคนจัดการให้”
อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “เสิ่นชูหาน?”
ลี่จิ่วเชียนเป็นที่เฉียบคมมาก เธอสามารถคาดเดาได้ว่าคนที่จัดการกับเรื่องนี้ก็คือเสิ่นชูหาน มู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
มู่น่อนน่อนพูดกึ่งติดตลกกึ่งจริงจังว่า “คุณหมอลี่ฉลาดมาก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่สามารถปิดเธอได้เลย”
“ฉันแค่วิเคราะห์เรื่องนี้ตามตรรกะพื้นฐาน” ลี่จิ่วเชียนชะงักไป ก่อนจะพูดต่อว่า “ถ้าเฉินถิงเซียวเป็นคนจัดการ ข่าวนี้อาจจะหายไปในทันทีที่ปรากฎ และก็คงไม่จะไม่ขึ้นพาดหัวข่าวตั้งแต่เช้าขนาดนั้น?”
มู่น่อนน่อนพูดอะไรไม่ออก
เธอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านพักของเฉินถิงเซียวก่อนหน้านี้ เธอก็รู้สึกเศร้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ฉันกำลังขับรถอยู่ ไว้ค่อยคุยกันนะ”
คำพูดของมู่น่อนน่อน เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ต้องการพูดถึงเฉินถิงเซียว
ลี่จิ่วเฉินก็เข้าใจเป็นอย่างดี เธอจึงไม่ได้พูดถึงเฉินถิงเซียวอีกเลย
“ขับรถระมัดระวังนะ”
“อืม”
มู่น่อนน่อนโยนโทรศัพท์ไปข้างๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับผมของเธอด้วยความหงุดหงิด เธอขับรถเร็วขึ้นเล็กน้อย
เธอขับรถเข้าไปในชุมชน เธอเพิ่งจะจอดรถ เธอก็เห็นคนคุ้นเคยคนหนึ่งลงมาจากรถอีกคันในลานจอดรถ
มู่น่อนน่อนเปิดประตูรถและเดินไปหาเธอ ก่อนจะตะโกนเรียกเธอ “เสี่ยวเหลียง?”
เสิ่นเหลียงหันหน้ากลับมา ก่อนจะยื่นมือออกไปกอดไหล่เธอ จากนั้นก็มองสำรวจเธออย่างละเอียด “เธอกลับมาแล้วเหรอ? ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ฉันเห็นข่าวแล้ว บอสใหญ่เขาว่าอะไรเธอไหม?”
เช้าวันนี้ เธอตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์ของมู่น่อนน่อน หลังจากตื่นนอนและเปลี่ยนเสื้อผ้าเธอก็ไปดูรถกับมู่น่อนน่อน เลยไม่มีเวลาดูข่าว
จนกระทั่งเธอได้แยกกับมู่น่อนน่อน หลังจากที่มู่น่อนน่อนขับรถไปหาเฉินถิงเซียว เธอก็เพิ่งจะเห็นข่าวของมู่น่อนน่อนกับเสิ่นชูหาน
ในตอนนั้นมู่น่อนน่อนคงอยู่ที่บ้านของเฉินถิงเซียวแล้ว
ต่อให้เธอโทรไปเตือนมู่น่อนน่อนยังไง ก็คงไร้ประโยชน์ เธอจึงขับรถตรงไปที่บ้านของมู่น่อนน่อนเพื่อรอเธอ
มู่น่อนน่อนถามเสิ่นเหลียงด้วยท่าทางจริงจัง “เธอคิดว่าเขาจะทำอะไรฉันเหรอ?”
เสิ่นเหลียงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ใช้สายตาทำให้เธอตกใจกลัว?”
มู่น่อนน่อน “…”
ดวงตาของเสิ่นเหลียงกลอกไปมา ก่อนจะลองถามเธอว่า “เขาคงไม่ได้ไล่เธอออกมาหรอกใช่ไหม?”
มู่น่อนน่อนยกริมฝีปากขึ้น ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนกับรอยยิ้มออกมา จากนั้นเธอก็เดินนำหน้า ตรงไปทางประตูลิฟต์
“ท่าทีของเธอแบบนี้หมายความว่ายังไง?” เสิ่นเหลียงเดินตามหลังเธอไป “เขา เขา เขา… เขาคงไม่ได้ไล่เธอออกมาจริงๆ ใช่ไหม”
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปในลิฟต์ ก่อนจะจ้องไปยังเลขชั้นที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากนั้นก็ตอบอย่างแผ่วเบาว่า “อืม”
เสิ่นเหลียงยังคงไม่เชื่อ “เธอล้อฉันเล่นหรือเปล่า?”
“หลักๆ เป็นเพราะฉันตบเขา” ทันทีที่มู่น่อนน่อนพูดจบ ดวงตาของเสิ่นเหลียงก็เบิกกว้าง
เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจัดระเบียบภาษาของเธอ และพูดว่า “เดี๋ยวนะ ขอให้ฉันตั้งสติก่อน เธอตบบอสใหญ่ แล้วเขาก็สั่งคนให้พาตัวเธอออกไป เรื่องราวเป็นแบบนี้ถูกไหม?”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า “อืม”
ในขณะนั้นประตูลิฟต์ก็เปิดออกพอดี มู่น่อนน่อนจึงเดินออกไป
เสิ่นเหลียงเดินตามไป “ฉันไม่กล้านึกถึงท่าทีของบอสใหญ่ตอนที่โดนตบเลย มันต้องน่ากลัวมากแน่ๆ อย่างไรก็ตาม เธอตบหน้าเขา แต่เธอก็ยังสามารถยืนอยู่ที่นี่ได้อย่างปลอดภัย อยู่ๆ ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นข้อยกเว้นสำหรับเขา”
มู่น่อนน่อนหยุด และถามเสิ่นเหลียงด้วยความสงสัย “ในสายตาของเธอเฉินถิงเซียวน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ? แม้ว่าเขาจะเป็นคนอารมณ์ร้อน และโหดร้าย แต่เขาไม่ใช่คนที่ทำร้ายคนที่ไม่รู้เรื่อง…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ มู่น่อนน่อนก็หยุดลงอย่างกะทันหัน
เพราะเธอนึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้เฉินถิงเซียวมักจะสร้างปัญหาไปทั่ว และก็ไม่มีเหตุผลเลย
เสิ่นเหลียงเห็นว่าท่าทีของเธอดูไม่ปกติ เธอก็เลยไม่ได้พูดอะไรอีก
เมื่อเข้าไปในห้อง มู่น่อนน่อนเทน้ำหนึ่งแก้วให้กับเสิ่นเหลียง “อารมณ์ในตอนนี้ของเขาแย่กว่าเมื่อก่อนอีก ฉันกับเสิ่นชูหานถูกเขียนข่าวมั่วๆ แบบนั้น เฉินถิงเซียวก็ดูโกรธมาก และเขาก็ได้พูดจาไม่ดีกับฉัน ในตอนนั้นฉันโกรธมาก ก็เลยทำแบบนั้นไป”
เสิ่นเหลียงดูจริงจังมาก เธอพูดว่า “ถ้าเธอมองจากอีกมุมหนึ่ง ที่เขาโกรธ ก็แสดงว่าเขาใส่ใจเธอมาก เธอคิดว่านี่เป็นเรื่องจริงไหม”
“เฉินถิงเซียว!”
มู่น่อนน่อนถูกเขาลากไปได้สักพัก ถึงจะเริ่มต่อต้าน
เฉินถิงเซียวไม่สนใจแรงต่อต้านของเธอเลย
เขาดึงเธอไปด้วย จนดึงเธอออกไปจากประตู
มู่น่อนน่อนสู้แรงเขาไม่ได้ จึงเริ่มโมโหขึ้นมาเหมือนกัน
เธอเปิดปากพูด “เฉินถิงเซียว คุณมันไม่มีเหตุผล คุณโง่หรือไง ถึงได้เชื่อเนื้อหาในข่าวนั่น คุณลืมฉันไปก็ช่างเถอะ ฉันไม่โทษคุณ แต่ตอนนี้คุณกลับมาอารมณ์เสียใส่ฉันเพราะข่าวไร้สาระพวกนั้น ฉัน ฉันจะโกรธคุณจริงๆ แล้วนะ!”
พอพูดถึงท่อนหลัง มู่น่อนน่อนก็ไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่
คิดอะไรออกก็พูดตามนั้น
จากโซฟาไปที่ประตูมันเป็นระยะทางที่ใกล้มาก และมู่น่อนน่อนเองก็ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวได้ฟังที่เธอพูดหรือเปล่า
พอไปถึงประตู เฉินถิงเซียวก็ดึงเธอออกจากประตู และกำลังเตรียมจะสะบัดมือเธอ
เขาสะบัดมือออก แต่เขาสะบัดมือของมู่น่อนน่อนไม่ออก
เขาขมวดคิ้วและมองลงไปที่มู่น่อนน่อนอย่างอารมณ์เสีย “มู่น่อนน่อน คูณจะหน้าด้านไปถึงเมื่อไหร่?”
มู่น่อนน่อนถลึงตามองเขา ท่าทางขมขื่นมาก ก่อนจะกัดฟันพูด “ไม่รู้!”
พอเสียงนั้นพูดออกไป เธอจึงใช้มืออีกข้างหนึ่งคล้องคอของเฉินถิงเซียว แล้วดึงเขาลงมา
เฉินถิงเซียวไม่ทันได้ตั้งตัว จึงถูกเธอดึงลงไปหา จนอยู่ในระดับที่มู่น่อนน่อนสามารถจูบเขาได้พอดี
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น และจูบปากเขาทันที
ไม่ต้องเสียแรงอะไรมากเลย
เมื่อก่อนตอนที่คบกับเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวมักจะเข้าหาเธอก่อน
ประสบการณ์ทั้งหมดของเธอมาจากเฉินถิงเซียวทั้งหมด และเฉินถิงเซียวเป็นคนสอนพื้นฐานให้เธอทุกอย่าง
ที่เธอจู่โจมเขาก่อน แทบจะนับครั้งได้เลย
เธอจูบอย่าเก้ๆ กังๆ พอจุมพิตริมฝีปากของเฉินถิงเซียว เธอก็จูบเขาสองสามครั้ง แล้วจึงกัดริมฝีปากเขาอย่างโมโห
เธอใช้มือข้างหนึ่งจับเฉินถิงเซียวไว้แน่น ดังนั้นเธอจึงสัมผัสได้ว่าเฉินถิงเซียวกำลังอยู่ในอาการแข็งทื่อ
วินาทีถัดมา เขาก็เป็นคนนำเอง
มู่น่อนน่อนอยู่ในอ้อมกอดของเขา ทิ้งตัวลงในอ้อมแขนของเขา ลมหายใจของกันและกันปะทะกัน…
นานแค่ไหนที่พวกเขาไม่ได้ใกล้ชิดกันขนาดนี้?
มันนานมาก นานมากแล้วจริงๆ
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกไป แล้วโอบรอบเอวของเฉินถิงเซียวไว้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นรับเล็กน้อย
เขาพยายามยับยั้งการเคลื่อนไหวของมือ จึงทำได้เพียงจูบอย่างดุดันและครอบครองมากขึ้น
“เพล้ง”
คนใช้ที่เดินผ่านมาเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ที่ประตูจูบกันอย่างดูดดื่ม ก็ตกใจจนจานในมือหล่นแตกบนพื้น
เสียงมันดังเล็กน้อย ปลุกมู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวออกมาจากอารมณ์ดูดดื่มก่อนหน้านี้
มู่น่อนน่อนได้สติกลับมาทันที พอเห็นว่ามีคนอื่นอยู่ที่นั่นด้วย เธอจึงรีบยกมือผลักเฉินถิงเซียวออกไป
เฉินถิงเซียวเหมือนจะไม่เต็มใจที่จะจบแค่นี้ ตอนที่แยกจากกัน เขาจึงกัดริมฝีปากของเธออย่างแรงไปครั้งหนึ่ง
ทันทีที่เขาปล่อย มู่น่อนน่อนก็ถอยหลังไปสองก้าวอย่างรวดเร็ว
เฉินถิงเซียวเห็นคราบเลือดที่มุมริมฝีปากของเธอ จึงเลียที่มุมปากของเขาไม่หยุด ตรงจัดนั้นของเธอ เขาเป็นคนกัดเอง
มู่น่อนน่อนยังได้ลิ้มรสเค็มเล็กน้อย ทำให้เธอรู้ว่าเฉินถิงเซียวกัดมุมปากของเธอจนแตก
นอกจากนี้ ยังมีคราบเลือดอยู่ที่มุมปากของเฉินถิงเซียว เธอถึงได้ว่าเธอเพิ่งกัดมุมปากเขาแตกเหมือนกัน ใบหน้าของเธอจึงแดงขึ้น ดวงตาสีดำของเฉินถิงเซียวมองเธอนิ่ง ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วมองมู่น่อนน่อนอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “ตอนที่คุณจูบเสิ่นชูหาน คุณก็ดุเดือดแบบนี้เหรอ?”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนไป หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็กระดิกนิ้ว เพียงรู้สึกว่านิ้วของเธอเย็นมาก
เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเฉินถิงเซียวพูดแบบนี้
พวกเขาทั้งหมดต่างก็พูดว่า เฉินถิงเซียวเป็นคนที่เย็นชาและน่ากลัวมาก
แต่ว่า พวกเขากลับลืมไป ยิ่งผู้ชายที่ปีป่ายขึ้นจากหุบเหวนั้น จะเข้าใจและรู้สึกอยากจะรักษาไว้ให้ดี
ก่อนหน้านี้ ถึงแม้เฉินถิงเซียวยังหึงเสิ่นชูหาน แต่เขาก็ไม่ควรพูดคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเช่นนี้
พวกเขาเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ และรู้ว่าอะไรเจ็บปวดที่สุด แม้จะโกรธและควบคุมไม่ได้ที่สุด พวกเขาจะห่วงใยความรู้สึกของกัน และเข้าใจกันและกัน ไม่เลือกพูดคำพูดที่ทำร้ายจิตใจที่สุดออกมา
ดวงตาของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนจากความตกใจเป็นความซึมเศร้า เฉินถิงเซียวสามารถเห็นได้ชัด ในใจยังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้
เขาละเมอไปเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปากของเธอแน่น นิ่งเงียบไปเล็กน้อย “ฉันกระดี๊กระด๊ามากกว่านี้อีกค่ะ คุณอยากลองไหม?”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอยิ้มน้อยๆ แล้วยกมือขึ้นวางลงบนใบหน้าของเฉินถิงเซียว
“เพี๊ยะ!”
เสียงที่คมชัดนั้นรุนแรงผิดปกติ
เฉินเอียงหน้าเล็กน้อย และครึ่งหน้าของเขาแดงเล็กน้อย
แม้ว่าจะถูกมู่น่อนน่อนตบ แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายใบหน้าที่สมบูรณ์แบบของเขาไป
มือของมู่น่อนน่อนรู้สึกชาเล็กน้อย เธอถามเขาอย่างเย็นชาว่า “คุณรู้สึกถึงความกระดี๊กระด๊าของฉันไหมคะ”
เฉินถิงเซียวหันกลับมาด้วยสีหน้าเย็นชา แววตาคู่นั้นเหมือนแช่ไปด้วยน้ำแข็ง “ก่อนหน้านี้ที่ผมบอกว่าคุณไร้ยางอาย ผมคงประเมินคุณต่ำเกินไป คุณมันมากกว่าไร้ยางอาย คุณมันไม่กลัวอะไรเลยสักนิด”
น้ำเสียงของเขาไม่ได้ฟังดูเย็นชานัก แต่ก็ดูน่ากลัวมากพอกัน
มู่น่อนน่อนเริ่มรู้สึกเสียใจทีหลังขึ้นมา
เธอตบเฉินถิงเซียวไปได้อย่างไรกัน?
แต่ว่า สิ่งที่เขาพูดออกมามันก็ทำร้ายจิตใจเกินไป
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปากของเธอแน่น น้ำเสียงของเธอเหมือนขวดแก้วที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ “คุณจะเอายังไง”
เฉินถิงเซียวโกรธจนแสยะยิ้มออกมา เขาพยักหน้าให้มู่น่อนน่อน แล้วหันกลับมาสั่งเสียงเย็นชาว่า “โยนผู้หญิงคนนี้ออกไปเดี๋ยวนี้!”
ไม่นาน บอดี้การ์ดจะเข้ามา แล้วโยนมู่น่อนน่อนทิ้งไปนอกบ้านทันที
มู่น่อนน่อนนิ่งอึ้งเล็กน้อย เฉินถิงเซียวจะเอาจริงเหรอ?
เห็นได้ชัดว่าพวกบอดี้การ์ดกลัวเฉินถิงเซียวมากกว่า มู่น่อนน่อน พวกเขายกมู่น่อนน่อนออกไปจากประตูบ้าน แล้วโยนเธอออกไป
มู่น่อนน่อนถูกโยนลงพื้น แต่เธอไม่รู้สึกเจ็บอะไรมาก เธอแค่งุนงงเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวให้คนโยนเธอออกมาจริงๆ เหรอเนี้ย?
มู่น่อนน่อนค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้น สะบัดเศษฝุ่นบนร่างกายของเธอออก และคิดในแง่ดี อย่างน้อยเธอก็ตบเขาไปแล้ว จริงไหม?
ถ้าคิดดูดีๆ ดูเหมือนว่าเธอจะได้กำไรมากกว่า
หลังจากที่พวกบอดี้การ์ดไล่มู่น่อนน่อนออกไป พวกเขาก็กลับไปรายงานเฉินถิงเซียวว่า “คุณชายครับ พวกเราโยนเธอออกไปแล้วครับ”
เฉินถิงเซียวมองไปที่พวกบอดี้การ์ดเงียบ ๆ แล้วถามพวกเขาว่า “นายโยนเธอยังไง”
บอดี้การ์ดตอบอย่างระมัดระวัง “โยนลงไปที่พื้นครับ”
พอพูดจบ เฉินถิงเซียวก็ยกขาขึ้นมาเตะเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองอย่างอธิบายไม่ถูก “สั่งให้นายโยนเธอ นายก็โยนจริงๆ ถ้าสั่งให้นายไปตายนายจะไปไหม?
เสิ่นชูหานได้ให้คำถามที่น่าปวดหัวกับมู่น่อนน่อนแล้ว
เรื่องความรู้สึก มีความชัดเจนที่สุดมาตลอด
มู่น่อนน่อนคิดอยู่สักพัก แล้วพูดว่า “เสิ่นชูหาน คุณลองคิดในอีกมุมหนึ่ง ถ้าตอนนี้ฉันคบกับคุณและเฉินถิงเซียวเป็นคุณ คุณจะอยากให้ฉันเป็นเพื่อนกับเขาต่อไปไหม”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเสิ่นชูหานจางหายไปอย่างรวดเร็ว
เขาไม่สามารถรักษารูปลักษณ์ที่สง่างามของเขาในช่วงก่อนหน้านี้ได้อีกต่อไป สีหน้าของเขาดูหดหู่ลงเล็กน้อย
ลูกกระเดือกของเขากลิ้งไปมา แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้าในคืนที่มืดมิด เสียงของเขาแหบแห้งลงเล็กน้อย “ผมรู้สึกอิจฉา เฉินถิงเซียวจริงๆ”
มู่น่อนน่อนไม่พูดกับเขาต่อ เธอยื่นเสื้อสูทให้เขาอีกครั้ง “คืนนี้ขอบคุณที่ช่วยค่ะ”
เสิ่นชูหานไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเพียงแต่เอื้อมมือไปหยิบเสื้อสูทที่มู่น่อนน่อนยื่นให้
พอเห็นเสิ่นชูหานรับเสื้อสูทคืนแล้ว มู่น่อนน่อนก็หันไปอีกด้านหนึ่ง
เสิ่นชูหานมองไปที่แผ่นหลังของมู่น่อนน่อน ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันหลังเดินจากไปในทิศทางตรงกันข้ามกับมู่น่อนน่อน
……
พอมู่น่อนน่อนกลับมาถึงบ้าน เธอก็แทบหมดแรงแล้ว
ตลอดทางกลับมีสัญญาณไฟจราจรมากมาย และพอกลับถึงบ้านก็ดึกมากแล้ว
เธอลากสังขารร่างกายที่อ่อนล้าไปที่ห้องน้ำ หลังจากอาบน้ำเสร็จออกมา เดิมทีคิดว่าจะหลับได้อย่างรวดเร็ว แต่เธอกลับมีอาการนอนไม่หลับเป็นครั้งแรก
ตอนที่คนเราเหนื่อยล้า มักจะมองโลกในด้านลบได้ง่าย
ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ทั้งขึ้นและลง
ไม่ว่าจะเป็นทั้งการแต่งงาน การงาน ความรัก ครอบครัว…
จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบเลยสักเรื่อง
มู่น่อนน่อนพลิกตัวไปมาตลอดทั้งคืน และตื่นแต่เช้ารุ่ง และขอให้เสิ่นเหลียงพาไปดูรถ
ถ้าไม่เปรียบเทียบกับคนรวยอย่างเฉินถิงเซียว ตอนนี้เธอถือว่ามีฐานะพอประมาณ เพียงพอที่จะซื้อรถเพื่อใช้ในการเดินทางบ้าง
หลังจากเลือกรถเสร็จแล้ว มู่น่อนน่อนก็ขับรถตรงไปที่บ้านของเฉินถิงเซียวทันที
ในเวลานี้ เฉินถิงเซียวไม่น่าจะอยู่บ้าน เธอแค่จะไปหาเฉินมู่
พอเธอมาถึงบ้านพักของเฉินถิงเซียว เธอถึงได้รู้ว่าเฉินถิงเซียวยังอยู่ที่บ้าน
หลังจากที่มู่น่อนน่อนเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้ไม่ใช่วันทำงาน แต่เป็น…วันหยุดสุดสัปดาห์
เธอยืนอยู่ที่ประตูห้องโถง มองดูชายที่นั่งเกียจคร้านอยู่บนโซฟา สีหน้าของเธอจึงชะงักไปสักพัก
เธอมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นร่างของเฉินมู่ เธอจึงเดินไปถามเขาว่า “มู่มู่อยู่ที่ไหนคะ?”
เฉินถิงเซียวทำท่าเหมือนไม่เห็นเธอ และไม่สนใจเธอเลย
บรรยากาศรอบตัวของเฉินถิงเซียวน่าหวาดกลัวเล็กน้อย แต่จริงๆ แล้วเขาเห็นแก่ตัวมาก
มู่น่อนน่อนนึกว่าเขาจะยังไม่พอใจเรื่องเมื่อวานอยู่
เธอนั่งลงข้างเฉินถิงเซียว แล้วหันศีรษะไปมองเขา “ฉันมีเรื่องที่ต้องไปทำ แน่นอนว่าต้องส่งมู่มู่มาหาคุณ เพราะยังไงคุณก็เป็นพ่อของเธอ”
ตรงจุดนี้ เธอไม่รู้สึกว่าเธอผิดตรงไหน
เธอรักเฉินมู่ ยอมทำเพื่อเฉินมู่ทุกอย่าง แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะต้องเสียสละอาชีพของเธอมาเป็นเงื่อนไข
เธอต้องเป็นมู่น่อนน่อนก่อน ถึงจะดูแลเฉินมู่ได้
เธอต้องวางแผนชีวิตของตัวเองด้วย เธอต้องเป็น มู่น่อนน่อนให้ดีก่อน ถึงจะเป็นแม่ที่ดีของเฉินมู่ได้
เฉินถิงเซียวยิ้มเยาะ แล้วลุกขึ้นยืน “มันก็ใช่ รำลึกความหลังกับรักแรก มันต้องสำคัญกว่าลูกสาวอยู่แล้ว”
มู่น่อนน่อนตะลึงอยู่สักพัก แล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “หมายความว่ายังไงคะ”
เฉินถิงเซียวปาหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะกาแฟต่อหน้าเธอ “นักเขียนบทยอดนิยมกับรักแรกหวนคิดถึงความหลังครั้งเก่า หวนคืนกลับมา แล้วสร้างเรื่องโรแมนติก คุณมู่คิดอย่างไรกับการพาดหัวข้อข่าวนี้”
คุณมู่……
เรียกได้เหินห่างขนาดนี้ ดูเหมือนเขาจะโกรธมากจริงๆ
มู่น่อนน่อนเหลือบมองเขา ก่อนจะเอื้อมมือหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาดู
ด้านหน้าหนังสือพิมพ์เป็นรูปของเสิ่นชูหานที่กำลังสวมเสื้อคลุมให้เธอ ตอนที่เธอถูกนักข่าวรุมล้อมเมื่อคืนนี้
ตอนที่เสิ่นชูหานสวมเสื้อผ้าของเธอ เธอมองขึ้นไปที่เขาด้วยความประหลาดใจ
ในข่าวนี้ เธอเห็นเขาตีความออกมาว่า “สายตาที่แสดงถึงความรู้สึกรักใคร่” “ควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ได้” เป็นต้น
มู่น่อนน่อนเหลือบมองดูเนื้อหาเล็กน้อย และพบว่าผู้เขียนข่าวนี้ เสียพลังสมองในการแต่งเรื่องมากๆ
ในข่าวยังระบุถึง ก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนเคยแย่งคู่หมั้นของมู่หวั่นขีด้วย
เธอยอมแต่งงานเข้าตระกูลเฉินแทนมู่หวั่นขี ไม่ใช่ความลับอะไร ถ้าอยากจะรู้ ลองตรวจสอบดูก็ได้
ส่วนเธอเมื่อก่อนเคยชอบเสิ่นชูหาน แต่เรื่องนี้ไม่มีใครรู้
กลุ่มเพื่อนของมู่น่อนน่อนนั้นแคบมาก นอกจากมู่หวั่นขีที่ว่างงานถึงบอกกับนักข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ คงไม่มีใครจะน่าเบื่อทำเรื่องแบบนี้แล้ว
มู่หวั่นขีทำได้ทุกอย่างจริงๆ
เธอไม่ทิ้งโอกาสที่จะสร้างปัญหาให้มู่น่อนน่อนเลย
ในขณะที่มู่น่อนน่อนกำลังอ่านข่าว เฉินถิงเซียวกำลังมองหน้าเธออยู่
เขาเห็นมู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว แต่ไม่นานสีหน้าของเธอก็เป็นปกติ และเธอก็ไม่รีบร้อนที่จะอธิบาย
สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็บึ้งตึงอีกครั้ง ระหว่างคิ้วของเขามีรังสีแห่งความชั่วร้ายปรากฏขึ้น
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขามักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังจะพุ่งออกมาจากอกของเขา
จนแทบจะทนไม่ไหว
หลังจากอ่านข่าวเสร็จแล้ว มู่น่อนน่อนก็หันไปมองเฉินถิงเซียว
แต่ผลก็คือ ทันทีที่เธอหันไป ก็สบตาเข้ากับใบหน้าที่บึ้งตึงของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว
เธอว่างหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ แล้วเม้มปากพูดว่า “คุณชายมู่ไม่รู้ว่าข่าวสารทุกวันนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเองเหรอคะ คุณเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเขียนด้วยเหรอคะ”
มู่น่อนน่อนพูดถึงตรงนี้ เธอก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “มองไม่ออกเลยนะคะ ว่าคุณชายเฉินจะซื่อได้ขนาดนี้”
เธอเรียก “คุณชายเฉิน” พอเฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว เขาก็รู้สึกบาดหูมาก สีหน้าของเขาจึงดูไม่ดีไปด้วย
มู่น่อนน่อนมองเขาอย่างไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมา
ทันใดนั้นเอง เฉินถิงเซียวยื่นมือออกไปบีบคางของเธอไว้ “มู่น่อนน่อน คุณคิดว่าที่ผมยอมให้คุณมาปรากฏตัวอยู่รอบๆ ตัวผมได้ คุณจะทำตัวไร้ยางอายได้นะ คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน”
แรงมือของเขาค่อนข้างหนัก มู่น่อนน่อนรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่เธอเพียงแค่ขมวดคิ้วไม่ส่งเสียงอะไร
พอเฉินถิงเซียวเห็นแบบนี้ แรงมือของเขาก็ยิ่งหนักขึ้น “ทำไมถึงไม่พูด หืม?”
มู่น่อนน่อนชี้ไปที่มือของเขาที่จับคางของเธอไว้ เพื่อบอกว่าเธอเจ็บจนพูดไม่ออก
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว แล้วสะบัดมือของเขาออก
ทันทีที่เขาปล่อย มู่น่อนน่อนก็เอื้อมมือไปนวดคางของเธอ เธอนึกว่าเฉินถิงเซียวจะกดคางของเธอให้หักไปเลยซะอีก
เฉินถิงเซียวมองเธอกัดริมฝีปากแล้วสูดหายใจเข้าเบาๆ ก่อนจะหันหน้าไปอีกข้าง
ในเวลานี้เอง มู่น่อนน่อนอยากจะอธิบายให้เขาฟัง “เมื่อก่อนฉันเคยชอบเสิ่นชูหานจริงๆ ค่ะ แต่ว่า…”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ เฉินถิงเซียวเรียกหยุดอย่างเย็นชา “หุบปาก ผมไม่อยากฟัง คุณออกไปได้แล้ว”
ประโยคแรกยังไม่น่าฟังขนาดนี้ เขาก็ไม่อยากฟังประโยคหลังแล้ว
เขาไม่อยากฟังผู้หญิงคนนี้พูดถึงผู้ชายคนอื่น
“ฉัน……”
แน่นอนว่ามู่น่อนน่อนไม่ยอมให้เฉินถิงเซียวจากไปทั้งที่ยังไม่ได้ฟังจนจบ แต่ทันทีที่เธอพูด เฉินถิงเซียวก็ลากเธอออกไปอย่างรุนแรง
มู่หวั่นขีต้องการจะฆ่าเธอ
ถึงแม้ตอนนี้มู่หวั่นขีจะทำอะไรเธอไม่ได้ ถ้ามู่หวั่นขีรู้เรื่องของเฉินมู่ มู่น่อนน่อนไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่ามู่หวั่นขีจะทำอะไรเฉินมู่บ้าง
ดังนั้น การปล่อยให้เฉินมู่อยู่กับเฉินถิงเซียวจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึก ยืนเอนตัวพิงผนังด้านข้าง แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาเฉินถิงเซียว
โทรศัพท์ดังขึ้นสักพัก ก่อนที่อีกด้านจะกดรับสาย
เฉินถิงเซียวกดรับสาย แต่ไม่ได้พูดในทันที
มู่น่อนน่อนเรียกชื่อเขา “เฉินถิงเซียว?”
เฉินถิงเซียวพ่นเสียงออกมาหนึ่งคำอย่างเย็นชา “มีอะไรก็พูดมา”
เสียงของเขาฟังดูเย็นชามาก แต่มู่น่อนน่อนสัมผัสถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา
มู่น่อนน่อนนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง เดาว่าเฉินถิงเซียวอาจอารมณ์เสียเพราะเธอส่งเฉินมู่ไปที่บ้านของเขา
มู่น่อนน่อนพูดด้วยความจริงใจ “ขอโทษด้วยนะคะ ที่ฉันส่งมู่มู่ไปที่บ้านของคุณโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า”
“ส่งมาแล้วอย่าคิดจะรับกลับไปได้อีก” เสียงต่ำของเฉินถิงเซียวฟังดูนิ่งเฉยมาก ไม่มีอารมณ์ใดๆ แอบแฝง
ช่วงนี้ มู่น่อนน่อนคุ้นเคยกับเฉินถิงเซียวที่เป็นแบบนี้แล้ว
เธอตอบกลับ “ได้ค่ะ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบเธอในทันที
หลังจากเงียบไปสักพัก เขาก็วางสายไป
มู่น่อนน่อนยกโทรศัพท์ออกมาดู แล้วยิ้มอย่างขมขื่น
ผู้ชายคนนี้ บางครั้งก็เย็นชา…จนไม่รู้จะทำยังไงถึงจะดี
มู่น่อนน่อนเก็บโทรศัพท์ แล้วเดินกลับไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีนัก
งานเลี้ยงประเภทนี้ค่อนข้างเหนื่อย เธอตั้งใจจะเข้าไปบอกกับฉินสุ่ยซานแล้วรีบกลับบ้าน
ในเวลานี้ มีร่างสูงเดินเข้ามาหาเธอ
“น่อนน่อน”
พอได้ยินเสียง มู่น่อนน่อนก็เงยหน้าขึ้นมอง ชะงักไปสักพักแล้วเรียกชื่อเขาออกมาอย่างถูกต้อง
“เสิ่นชูหาน”
คนที่เดินเข้ามาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเสิ่นชูหานนั่นเอง
ความทรงจำสุดท้ายของเธอเกี่ยวกับเสิ่นชูหาน แทบจะเลือนลางไปหมดแล้ว
ที่เธอจำได้ คือเสิ่นชูหานตอนอายุสิบกว่าปี
ดังนั้น สำหรับเสิ่นชูหานที่อยู่ตรงหน้าเธอ ที่จริงก็กลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว
เสิ่นชูหานสวมสูทสีน้ำเงินเข้มที่ถูกตัดเย็บมาอย่างดี ทำให้เขาดูสง่างามมาก
เขาดูตื่นเต้นเล็กน้อย “เป็นคุณจริงๆ ด้วย”
เขาเดินไปหามู่น่อนน่อน แล้วยื่นมือออกไปหาเธอ แต่แค่พริบตาเดียว เขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบปล่อยมือลงข้างตัว ด้วยท่าทางหมดแรง
“ไม่กี่วันก่อนมีข่าวออกมา บอกว่าคุณกลับมาแล้ว ผมยังไม่อยากเชื่อ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณจริงๆ” หลังจากเสิ่นชูหานพูดจบ เขาถอนหายใจแล้วพูดอีกครั้ง “คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณจริงๆ”
เขาพูดซ้ำ “เป็นคุณจริงๆ ด้วย” พูดแบบนั้นอยู่หลายครั้ง
สามปีผ่านไป หลังจากที่เดินผ่านความตายมาครั้งหนึ่งแล้ว มุมมองความคิดของมู่น่อนน่อนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
ถ้ามู่หวั่นขีไม่ได้โยนการตายของซือเฉิงหยู้มาไว้ที่เธอ เธออาจจะเต็มใจยกยิ้มและให้อภัยมู่หวั่นขี
อย่าว่าแต่เสิ่นชูหานเลย
เสิ่นชูหานไม่ได้เป็นหนี้อะไรเธอแล้ว
“เป็นฉันจริงๆ ค่ะ” มู่น่อนน่อนขยับริมฝีปาก แล้วพูดยิ้มๆ “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”
เสิ่นชูหานพูดตาม “ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
มู่น่อนน่อนสังเกตได้ ว่ามือของเสิ่นชูหานที่วางอยู่ด้านข้างกำหมัดแน่น แล้วคลายลงอีกครั้ง
นั่นคือปฏิกิริยาตอนที่คนประหม่า
มู่น่อนน่อนมองเขาด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน ก่อนจะหยุดแล้วพูดว่า “ยังมีเพื่อนรอฉันอยู่ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“ครับ” เสิ่นชูหานพยักหน้าอย่างแข็งเกร็ง ก่อนจะยืนมองตามเธออยู่ที่เดิม
มู่น่อนน่อนเดินไปข้างหน้า แต่ก็รู้สึกว่าสายตาของเสิ่นชูหานยังคงมองเธออยู่ จึงอดที่จะเร่งเดินไม่ได้
พอเธอกลับเข้าไปในงานอีกครั้ง เธอไม่เห็นฉินสุ่ยซาน ดังนั้นเธอจึงต้องโทรหาฉินสุ่ยซาน
โชคดีที่ฉินสุ่ยซานรับสายเร็วมาก
“ฉันรู้สึกเหนื่อยแล้ว อยากขอกลับก่อน”
“ได้ กลับไปพักก่อนก็ได้ แต่ระวังพวกนักข่าวด้วยนะ”
ถ้าฉินสุ่ยซานไม่เตือน มู่น่อนน่อนก็เกือบจะลืมไปเลย
“เข้าใจแล้ว เธอเองก็รีบกลับด้วยล่ะ” เธอวางสายแล้วเดินออกไป
เธอเดินออกไปข้างนอก ถึงนึกขึ้นได้ว่าคืนนี้เธอยังไม่ได้เจอเสิ่นเหลียงเลย
พอคิดถึงเรื่องนี้ เสียงของเสิ่นเหลียงก็ดังขึ้นมา “น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมา แล้วเห็นกู้จือหยั่นกับเสิ่นเหลียงกำลังเดินมาทางนี้พอดี
“ไม่คิดว่าเธอจะมางานนี้ด้วย ถ้าฉันรู้ว่าเธอจะมา ฉันจะไปหาเธอแล้วมาด้วยกันยังดีซะกว่า” ทันทีที่เสิ่นเหลียงเดินเข้ามา เธอก็บ่นไม่หยุด “ต้องโทษตาบ้ากู้จือหยั่นคนนั้นคนเดียวเลย ขับรถไปไหนก็ไม่รู้ ตอนนี้ถึงมาถึงงาน…”
กู้จือหยั่นที่เดินตามหลังมา “ผมผิดอีกแล้วเหรอ คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าถนนเส้นนั้นรถติด ให้ผมเปลี่ยนไปเส้นอื่น”
เสิ่นเหลียงหันกลับมาแล้วมองมาที่เขาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
กู้จือหยั่นนิ่งเงียบไปทันที
เสิ่นเหลียงหันกลับมาถามมู่น่อนน่อน “เธอมาที่งาน แล้วเสี่ยวมู่มู่ล่ะ?”
“ส่งไปที่บ้านของเฉินถิงเซียว” มู่น่อนน่อนพูดจบ แล้วมองดูเวลา “เธอเข้าไปข้างในเถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวงานจะจบก่อน”
“อืม” เสิ่นเหลียงพยักหน้า จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาถามเธอ “จะกลับตอนนี้เลยเหรอ”
“อืม ฉันจะกลับก่อนแล้ว”
มู่น่อนน่อนโบกมือให้ แล้วเดินออกไปทันที
พอคิดถึงคำแนะนำของฉินสุ่ยซาน เธอก็ระมัดระวังเป็นพิเศษตอนที่เดินออกไปข้างนอก
แต่ก็ยังหนีไม่พ้นนักข่าวที่รุมเข้ามาอยู่ดี
ขณะที่เธอกำลังจะจากไป นักข่าวกลุ่มหนึ่งก็รุมล้อมเธอไว้
“สวัสดีค่ะ คุณเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “เมืองพัง” ใช่ไหมคะ?
“ในช่วงสามปีมานี้คุณไปไหนมาคะ แล้วไปทำอะไร”
“จะมี “เมืองพังภาค2” ไหมคะ แล้วคุณจะร่วมงานกับใคร?
“คุณเป็นคนเขียน “เมืองพัง” ขึ้นมาเองจริงๆ เหรอครับ?
“สามปีที่ผ่านมาเป็นเหมือนกับข่าวลือ ว่าคุณไปแอบแต่งงานมีลูกที่ต่างประเทศจริงหรือเปล่าคะ?”
ในบรรดานักข่าวพวกนี้ มีบางคนให้ความสนใจกับงานของเธอ ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างก็ให้ความสนใจกับชีวิตส่วนตัวของเธอ
มู่น่อนน่อนไม่ได้ถูกนักข่าวห้อมล้อมมาเป็นเวลานาน จึงรู้สึกอึดอัดอยู่พักหนึ่ง
แสงไฟจากแฟลชทำให้ดวงตาของเธอแสบมาก
ในเวลานี้เอง ก็มีเสื้อสูทพาดลงบนไหล่ของเธอ
หลังจากนั้น รปภ.ก็ก้าวไปข้างหน้า แล้วกีดกันพวกนักข่าวออกไป “อย่ามารวมกันที่นี่ครับ โปรดให้ความร่วมมือด้วย…”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมอง จึงพบว่าเป็นเสิ่นชูหาน
เสิ่นชูหานโอบไหล่ของเธอ แล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ”
ทั้งสองเดินออกไป โดยพวกนักข่าวยืนอยู่สองข้าง
มู่น่อนน่อนถอดเสื้อสูทออก แล้วส่งคืนให้เสิ่นชูหาน “ขอบคุณค่ะ”
เสิ่นชูหานไม่ได้เอื้อมมือไปรับมัน แค่ถามเธอว่า “ไม่หนาวเหรอ?”
“ไม่หนาวค่ะ” มู่น่อนน่อนส่ายหน้า
อันที่จริงมันอากาศเย็นหน่อยๆ แต่เธอรู้สึกว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่
สีหน้าของเสิ่นชูหานหดหู่เล็กน้อย “เพราะว่าผมชอบคุณ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงปฏิเสธผมให้ไกลแบบนี้ใช่ไหมครับ แม้แต่เพื่อนก็ให้กันไม่ได้?”
ด้วยนิสัยที่เด็ดขาดของมู่น่อนน่อน เธอต้องตอบออกไปตรงๆว่า “ใช่” แน่นอน
แต่เสิ่นชูหานไม่ได้ให้โอกาสนี้กับเธอ
เขารีบพูดต่อ “ผมรู้ว่าคุณรักเฉินถิงเซียวมาก ผมไม่ได้คิดเกินเลยกับคุณแล้ว ผมแค่อยากเป็นเพื่อนกับคุณ ผมหวังว่าคุณจะให้โอกาสผมได้เป็นเพื่อนกับคุณ . “
มู่น่อนน่อนถอยหลังไปครึ่งก้าว ใบหน้าของเธอซีดเล็กน้อย “ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ อาการบาดเจ็บของเขาใกล้จะหายดีแล้ว”
มู่หวั่นขีหัวเราะ แต่สิ่งที่เธอพูดออกมานั้นกลับท้าทายมาก “ถ้าอย่างนั้นเธอคงต้องขอบคุณฉันจริงๆ ที่ตัดแค่สายเบรก”
มู่น่อนน่อนกำหมัดแน่น นิ้วมือของนางก็ซีดขึ้นเล็กน้อย
เธอมองหน้ามู่หวั่นขีด้วยสายตาที่เย็นชา และเสียงของเธอก็เย็นชาด้วยเช่นกัน “ถ้าอย่างนั้นคุณก็อธิษฐานไว้ด้วย ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคุณจะปกป้องคุณได้ตลอดชีวิต”
แววตาบ้าคลั่งแวบขึ้นมาในดวงตาของมู่หวั่นขี ก่อนที่เธอจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ชั่วร้าย “ทำไมจะต้องปกป้องฉันไปชั่วชีวิตด้วย เธอคิดว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดชีวิตเหรอ ขอแค่แก้แค้นให้เฉิงหยู้ได้ ฉันจะมีชีวิตนานแค่ไหนก็ไม่สำคัญแล้ว”
มู่น่อนน่อนได้ยินแบบนั้น รูม่านตาของเธอก็หดเล็กลง และเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น “มู่หวั่นขี การตายของซือเฉิงหยู้เกี่ยวอะไรกับพวกฉันด้วย เขาเป็นคนฝังระเบิดไว้บนเกาะเอง ฉันก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายด้วย”
“ผู้เคราะห์ร้ายเหรอ เหอะ!”
มู่หวั่นขีส่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา ริมฝีปากสีแดงสดของเธอยกขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่ถูกข่มอารมณ์ไว้ “เธอเป็นผู้เคราะห์ร้าย แล้วทำไมเธอถึงยังมีชีวิตอยู่ แต่เฉิงหยู้กลับต้องตาย ทำไมเธอกับเฉินถิงเซียวยังมีชีวิตทั้งคู่ มีเพียงเฉิงหยู้เท่านั้นที่ตายไป!”
หลังจากที่มู่หวั่นขีพูดจบ สีหน้าของเธอก็เริ่มดุร้ายน่ากลัว
อารมณ์ของเธอไม่คงที่เล็กน้อย เสียงของเธอก็สูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว เธอพูดเสียงแหลม “เธอบอกฉันสิว่าทำไม ทำไมไม่ใช่เธอที่ตาย แต่เป็นเฉิงหยู้!”
เสียงของมู่หวั่นขีดังจนเริ่มดึงดูดความสนใจของคนอื่นแล้ว
มู่น่อนน่อนมองท่าทางบ้าคลั่งของเธอด้วยสายตาที่เย็นชา มู่หวั่นขีได้สูญเสียพื้นฐานการพิจารณาว่าอะไรถูกอะไรผิดไปแล้ว
ในสายตาของเธอ ไม่ว่ามู่น่อนน่อนกับเฉิงถิงเซียวจะทำผิดหรือเปล่า การตายของซือเฉิงหยู้ก็เป็นความผิดของพวกเขา
ตั้งแต่ยังเด็ก มู่หวั่นขีใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเหมือนเจ้าหญิงของตระกูลมู่
เซียวชู่เหอตามใจเธอทุกอย่าง และเพราะเซียวชู่เหอ มู่น่อนน่อนก็ทำตามคำพูดของมู่หวั่นขีมาตลอด
เป็นเพราะความยอมให้ของพวกเธอที่ทำให้มู่หวั่นขีกลายเป็นแบบทุกวันนี้
พอมู่หวั่นขีเรื่องเจอที่ไม่น่าพอใจ เธอมักจะโยนความผิดให้คนอื่น ไม่เคยคิดโทษตัวเอง
มู่น่อนน่อนตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นั่นเป็นเพราะกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง!”
อารมณ์ของมู่หวั่นขีเหมือนจะควบคุมไม่ได้แล้ว เธอมองไปที่มู่น่อนน่อนด้วยดวงตาที่เย็นชา จากนั้นก็ยกมือขึ้นเพื่อจะตบหน้าเธอ
แต่ว่า มู่น่อนน่อนจับตาดูความเคลื่อนไหวของมู่หวั่นขีมาตลอด เธอสูงกว่ามู่หวั่นขีเล็กน้อย และจับข้อมือของมู่หวั่นขีไว้ทัน
มือของมู่หวั่นขีถูกสกัดไว้ ทำให้เธอมีท่าทางโกรธมากขึ้น “มู่น่อนน่อน ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!”
มู่น่อนน่อนไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยมือ แต่กลับดึงเธอเข้าหาอย่างแรง
มู่หวั่นขีถูกดึงจนเซไปสองก้าวและเกือบจะล้มลง
มู่น่อนน่อนพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “คนที่ไม่มีทางสำนึกผิด ไม่ช้าก็เร็ว เธอจะต้องได้รับผลกรรมที่ตามมาแน่นอน”
“นี่เธอ…” มู่หวั่นขีกำลังจะพูด แต่เหอซินเยว่ผู้จัดการของเธอไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน “หวั่นขี”
เหอซินเยว่พูดขัดคำพูดของมู่หวั่นขี แล้วเอื้อมมือออกไปดึงมู่หวั่นขี แต่มู่น่อนน่อนกลับไม่ยอมปล่อยมือ
ครั้งที่แล้วเหอซินเยว่ก็ไปโรงพยาบาลด้วยกัน ดังนั้นเธอจึงรู้จักมู่น่อนน่อนด้วย
เมื่อตะกี้เธอเพิ่งได้ยินว่าคนเขียนบท “เมืองพัง” มาร่วมงานคืนนี้ด้วย ยังคิดจะพามู่หวั่นขีไปทำความรู้จักกับผู้เขียนบท “เมืองพัง” แต่เธอคิดไม่ถึงว่ามู่น่อนน่อนจะเป็นคนเขียนบท “เมืองพัง”
เหอซินเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองไปทางมู่น่อนน่อน “คุณมู่คะ ช่วยปล่อยมือด้วยค่ะ”
“ดูแลนักแสดงของคุณให้ดี ไม่อย่างนั้น ถึงตอนนั้นตายไปพร้อมกับเธอตอนไหนยังไม่รู้เลย” มู่น่อนน่อนสะบัดมือของมู่หวั่นขีทิ้ง คำพูดประโยคหลังเธอพูดเสียงเบามาก
เหอซินเยว่พยุงมู่หวั่นขี แล้วยิ้มเยาะเย้ย “อาการบาดเจ็บของผู้ชายคนนั้นหายดีแล้วเหรอคะ ถึงแม้บางครั้งหวั่นขีจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่คุณจะทำอะไรกับเธอได้?”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอเหลือบมองมู่น่อนน่อนอย่างดูถูก แล้วจากไปพร้อมกับมู่หวั่นขี
ฉินสุ่ยซานเพิ่งคุยกับผู้กำกับเสร็จ และสังเกตเห็นการท่าทางของมู่น่อนน่อน แต่เธอไม่สามารถแยกร่างออกมาได้ ดังนั้นดังนั้นตอนนี้เธอเพิ่งจะเดินเข้ามา
เธอเอ่ยถามมู่น่อนน่อน “มีอะไรหรือเปล่า”
มู่น่อนน่อนส่งยิ้มให้เธอ แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร เธอไปยุ่งต่อเถอะ ฉันรับมือเองได้”
“ได้ ถ้าจัดการเองไม่ได้ ให้รีบไปเรียกฉันนะ” ฉินสุ่ยซานพยักหน้าให้เธอ แล้วหันกลับไปคุยงานต่อ
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมองไปทางที่มู่หวั่นขีเดินจากไป
เหอซินเยว่พามู่หวั่นขีออกจากฝูงชน เหมือนจะพาเธอไปเข้าห้องน้ำ
ไปห้องน้ำจะต้องไปด้วยกันสองคนเลยหรือไง?
มู่น่อนน่อน่มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง แล้วเดินตามไป
เธอเดินผ่านฝูงชนไป แล้วรีบตามมู่หวั่นขีกับเหอซินเยว่ไป
ด้านหน้ามีเสียงตะโกนอย่างอารมณ์เสียของมู่หวั่นขีดังขึ้นมา “ปล่อยฉันนะ ฉันเดินไปเองได้”
เหอซินเยว่ปล่อยมือ “หวั่นขี เธอต้องอดทนบ้าง ที่นี่มีคนเยอะมาก มันจะน่าขายหน้ามากถ้าเธอมีปัญหากับมู่น่อนน่อน ฟังฉันสิ…”
“เพี๊ยะ!”
ก่อนที่เหอซินเยว่จะพูดจบ มู่หวั่นขีก็ยกมือขึ้นและตบหน้าเธออย่างแรง
“นี่เธอกำลังสอนให้ฉันอยู่หรือไง เธอมีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนฉัน ฉันใจดีกับเธอมากไปใช่ไหม” มู่หวั่นขีพูดจบ แล้วตบหน้าของเหอซินเยว่อีกครั้ง
“จำไว้ให้ขึ้นใจ ฉันจะทำอะไร เธอก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่ง” มู่หวั่นขียกมือกอดอก เธอเหมือนยังโกรธไม่หาย จึงยกเท้าเตะเธออย่างแรงอีกครั้ง
เหอซินเยว่เกือบจะล้มลงกับพื้น แต่กลับไม่พูดอะไรสักคำ
สักพัก เหอซินเยว่ก็หยิบกล่องยาออกมาจากกระเป๋าของเธอ เทยาสองเม็ดออกมา แล้วยื่นให้มู่หวั่นขี “หวั่นขี รีบกินยาก่อน”
“ฉันบอกเธอกี่ครั้งแล้ว ว่าฉันไม่ได้มีปัญหาทางจิต ตอนนี้ฉันปกติดีแล้ว ไม่ต้องกินยาแล้ว!” มู่หวั่นขีมองไปที่เธอ แล้วหันหลังเดินจากไป
เหอซินเยว่หยิบยาขึ้นมาจากพื้น แล้วมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง เหมือนกำลังดูให้แน่ใจว่าไม่มีนักข่าวอยู่แถวนี้
พอแน่ใจว่าไม่มีนักข่าวอยู่แถวนี้ เธอจึงรีบเดินตามมู่หวั่นขีไป
หลังจากที่ทั้งสองออกไปแล้ว มู่น่อนน่อนถึงเดินออกมาจากด้านข้าง
มู่น่อนน่อนนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เจอกับมู่หวั่นขีหลายครั้งที่ผ่านมา และหลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว เธอก็พบสิ่งผิดปกติ
สมัยก่อนเธอกับมู่หวั่นขีไม่ถูกกัน มู่หวั่นขีพูดเยาะเย้ยเธอทุกครั้งที่พบกัน แต่เธอกลับไม่เหมือนตอนนี้ แค่พูดสองสามคำก็สูญเสียการควบคุมอารมณ์ไป และทำท่าทางเหมือนจะฉีกเธอออกเป็นชิ้นๆ
ที่แท้ ตอนนี้มู่หวั่นขีก็มีปัญหาทางจิต ถึงได้สูญเสียการควบคุมอารมณ์ง่ายเป็นพิเศษ
ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ไม่มีใครสามารถแน่ใจได้ว่าเธอจะทำอะไรบ้าง
มู่น่อนน่อนหันหลังกลับ แล้วเดินเข้าไปในงานช้าๆ แต่ความคิดของเธอกลับลอยไปไกลแล้ว
ตอนนี้มู่หวั่นขีพุ่งเป้าหมายมาที่เธอแล้ว และลี่จิ่วเชียนเป็นคนแรกที่ต้องรับเคราะห์เพราะเธอ
และมู่หวั่นขีตอนนี้ยังไม่กล้าทำอะไรเฉินถิงเซียว แต่ถ้าเธอรู้เรื่องการมีอยู่ของเฉินมู่ เธอกลัวว่า…
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว และเรียกชื่อเธอ “มู่น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนพูดขัดขึ้นมา เธอสบตาเขา และพูดอย่างจริงจังว่า “เฉินถิงเซียว ฉันรู้จักคุณดีกว่าที่คุณคิดไว้”
“ตอนนี้คุณรู้สึกกับฉัน หรือกับมู่มู่แล้ว ยังไม่มีความผูกพัน คุณกำลังพยายามยอมรับพวกเรา แค่นี้ก็ดีมากแล้ว อย่าเพิ่งใจร้อน ค่อยๆ เดินเข้าหาพวกเราทีละก้าวนะคะ”
เฉินถิงเซียวเองก็กำลังพยายามเช่นกัน เขาพยายามที่จะยอมรับเธอกับเฉินมู่
แต่เห็นได้ชัด ว่าผลลัพธ์มันไม่ค่อยดีนัก
นี้อาจเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ก่อนหน้านี้ของเฉินถิงเซียว
ในช่วงวัยรุ่นของเขา เพราะแม่ของเขา ทำให้โลกของเขามืดมนลงไป
มันไม่ง่ายเลยจริงๆ
จะเดินเข้าไปในหัวใจของเขา มันไม่ง่ายเลย
และเขาเป็นคนที่ชอบควบคุมเรื่องทุกอย่างไว้ในอุ้งมือ
จากนั้น ความทรงจำของเขาดูวุ่นวาย ความทรงจำของเขากลับไปอยู่ในช่วงวัยยี่สิบต้นๆ
ในตอนนั้นเขายังไม่รู้จักมู่น่อนน่อนกับเฉินมู่
เขาอาจจะยอมรับตัวตนของเขาในฐานะประธานของบริษัทเฉินซื่อ ยอมรับความจริงของคดีลักพาตัวแม่ของเขา แต่มู่น่อนน่อนกับเฉินมู่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเขาโดยสิ้นเชิง
เพราะพวกเธอสองคน คนหนึ่งเป็นภรรยาของเขา อีกคนเป็นลูกสาวของเขา ล้วนแต่เป็นคนที่สนิทกับเขามากที่สุด
อ้อ จะให้พูดให้เจาะจงกว่านี้ ตอนนี้เธอก็เป็นแค่อดีตภรรยาของเขาเท่านั้นเอง
ตอนที่เฉินถิงเซียวอยู่กับพวกเธอ จริง ๆ แล้วเขาก็รู้จะทำตัวยังไง นี่คือสิ่งที่ มู่น่อนน่อนรู้สึกได้
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าคำพูดของเธอ เฉินถิงเซียวจะฟังหรือเปล่า
เขามองไปทางมู่น่อนน่อนสักพัก แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: “ตามใจคุณ”
พอพูดเสร็จเขาก็หันหลังเดินออกไป
……
หลังจากที่เฉินมู่ตื่น มู่น่อนน่อนก็พาเธอกลับไปด้วยทันที
พอเฉินมู่กลับถึงบ้านก็รู้สึกดีขึ้นมาก มู่น่อนน่อนทำอาหารให้กิน แล้วก็เกลี้ยกล่อมให้เฉินมู่เข้านอน
และอาจเป็นเพราะกำลังป่วย เฉินมู่จึงติดคนมากเป็นพิเศษ
มู่น่อนน่อนกล่อมเธออยู่สักพัก แต่พอเธอกำลังจะเดินออกไป เฉินมู่ก็จะคว้ามือเธอไว้ “คุณแม่อย่าไปไหนนะคะ”
“ได้จ้ะ แม่ไม่ไป คืนนี้แม่จะนอนกับเธอ” มู่น่อนน่อนต้องเอนกายลงบนเตียงเพื่อกล่อมเธออีกครั้ง
เฉินมู่ดวงตาเป็นประกายอย่างดีใจ “ค่ะ”
เฉินมู่เพิ่งผล็อยหลับไป โทรศัพท์มือถือของมู่น่อนน่อนก็ดังขึ้นมา
มู่น่อนน่อนรีบปิดเสียง แล้วค่อยๆ เปิดประตูย่องออกไปจากห้อง
คนที่โทรมาคือฉินสุ่ยซาน
ตอนกลางวันเพิ่งเจอกันไป แต่โทรกลับมาเร็วขนาดนี้ มีอะไรสำคัญอะไรหรือเปล่า?
ทันทีที่กดรับสาย เสียงของฉินสุ่ยซานก็ดังเข้ามาตามสาย “คืนพรุ่งนี้มีงานเลี้ยง เราไปร่วมงานกัน”
“งานเลี้ยงอะไร”
เธอไม่พูดเริ่มต้นและสรุปท้าย มู่น่อนน่อนยังไม่รู้เลยว่างานเลี้ยงอะไร
“เป็นงานเลี้ยงประกาศรางวัลเล็กๆ มีคนในวงการไปร่วมงานเยอะพอตัว แล้วยังมียังมีนักลงทุนอยู่ด้วย ยังไงต่อไปเธอก็ต้องอยู่ในวงการนี้ ไปทำความคุ้นเคยกับฉันไว้ก่อน”
มู่น่อนน่อนรู้ดี ว่าฉินสุ่ยซานกำลังพาเธอไปเพื่อดึงดูดนักลงทุน
ที่จริงแล้วไปแสดงตัวสักนิดก็เป็นเรื่องดี
เหมือนกับที่ฉินสุ่ยซานพูดไว้ ต่อไปนี้เธอต้องทำมาหากินอยู่ในวงการนี้ ต้องมีเส้นสายไว้บ้าง จึงต้องทำความรู้จักกับคนอื่นบ้างเป็นธรรมดา แล้วเธอต้องสร้างพรสวรรค์ในแวดวงให้มากขึ้น
มู่น่อนน่อนเห็นด้วย “ได้สิ แล้วไปกี่โมง”
หลังจากวางสายแล้ว มู่น่อนน่อนถึงนึกขึ้นได้ว่ามีเฉินมู่อยู่ด้วย
ถ้าเธอไปงานเลี้ยง แล้วเฉินมู่จะทำยังไง?
จะฝากคนอื่นดูแลเฉินมู่ เธอก็ไม่ไว้ใจ
เสิ่นเหลียงเองก็คงไปเข้าร่วมงานในคืนพรุ่งนี้ด้วย
สุดท้ายก็คงต้องพึ่งเฉินถิงเซียวแล้วล่ะ
เป็นไปไม่ได้ว่าเพื่อเฉินมู่แล้ว เธอจะไม่ไปร่วมงาน
งานประกาศรางวัลแบบนี้ จะต้องมีนักข่าวแน่นอน อย่าว่าแต่เธอที่ไม่คิดจะพาเฉินมู่ไปด้วย ถ้าเฉินถิงเซียวรู้เรื่องนี้ เขาก็ไม่มีทางยอมให้พาเฉินมู่ไปด้วยแน่นอน
ดูเหมือนว่าถ้าถึงเวลานั้น คงต้องส่งไปที่บ้านของเฉินถิงเซียวเท่านั้น
……
เวลาเริ่มงานเลี้ยงมอบรางวัลคือสามทุ่มตรง
มู่น่อนน่อนพาเฉินมู่ไปส่งที่บ้านของเฉินถิงเซียวล่วงหน้า แล้วไปทำผมเล็กน้อย ก่อนจะไปที่สถานที่จัดงานเลย
ฉินสุ่ยซานยืนรอเธออยู่ที่ประตูหน้างาน
พอเห็นมู่น่อนน่อน ดวงตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมา “ที่เขาพูดกันว่าสวยอย่างเป็นธรรมชาตินี่คงเป็นแบบเธอสินะ ขนาดไม่แต่งหน้ายังสวย พูดตามตรงนะ เธอไม่ลองพิจารณาไปเป็นนักแสดงบ้างเหรอ?”
วันนี้มู่น่อนน่อนใส่ชุดราตรีสีขาว ปกปิดรูปร่างมาก ไม่เผยไหล่หรือหน้าอกออกมาให้ใครเห็น เป็นชุดที่สไตล์การออกแบบธรรมดามาก
เธอทำผมเล็กน้อย และแต่งหน้าแบบเรียบง่าย
“ถ้าฉันเข้าสู่วงการบันเทิง ใครจะเป็นคนเขียน เมืองพังภาค2 ล่ะ?” มู่น่อนน่อนพูดหยอกล้อฉินสุ่ยซาน
ฉินสุ่ยซานยกยิ้มแล้วตบไหล่เธอเบาๆ โดยไม่พูดอะไร ก่อนจะจับมือเธอแล้วเดินเข้าไปข้างในงาน
ภายในงานมีผู้คนเริ่มทยอยมากันเป็นจำนวนมาก บางคนเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยซึ่งมักจะเห็นอยู่บนจอทีวีบ่อยๆ ส่วนบางคนก็เป็นหน้าใหม่ที่เพิ่งได้เจอ
ส่วนใหญ่จะเป็นคนในวงการ แต่บางส่วนก็เป็นนักลงทุน
ฉินสุ่ยซานมีเส้นสาย และคนรู้จักจำนวนมาก
ทันทีที่เธอเดินเข้ามา ผู้คนต่างพากันกล่าวทักทายเธอ
“คุณฉินก็มางานนี้ด้วยเหรอครับ ไม่ได้เจอกันนาน สวยขึ้นกว่าเดิมอีกแล้วนะครับ!”
“ขอบคุณค่ะ…”
ฉินสุ่ยซานตอบกลับอย่างมีมารยาท
พอเห็นมู่น่อนน่อนที่ยืนอยู่ข้างเธอ เขาก็อดที่จะถามไม่ได้ว่า “คุณฉินก็พานักแสดงใหม่ในสังกัดมาด้วยเหรอครับ นี่คุณคิดจะปั้นนักแสดงใหม่ขึ้นมาเองเลยหรือเปล่า”
มู่น่อนน่อนหน้าตาโดดเด่น คนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะพากันมองเธออย่างสนใจ จึงไม่แปลกที่ใครจะมีคนพูดอย่างนั้น
ฉินสุ่ยซานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วพูดว่า “คุณอย่าพูดเลยค่ะ ฉันจะมีเงินและเรี่ยวแรงมาฝึกฝนเด็กใหม่ที่ไหนกัน คนคนนี้คือมู่น่อนน่อน ผู้เขียนบทเรื่อง “เมืองพัง”ค่ะ”
พอผู้ชายคนนั้นได้ยิน ก็มีแววประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “เมืองพัง”เหรอครับ?”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าเล็กน้อย “สวัสดีค่ะ ดิฉันมู่น่อนน่อน เป็นคนเขียนบทเรื่อง “เมืองพัง” ค่ะ”
“สวัสดีครับ…” ผู้ชายคนนั้นยื่นมือไปทางมู่น่อนน่อน “ไม่คิดว่าคนเขียนบท “เมืองพัง”จะยังสาวและสวยขนาดนี้เลยนะครับ”
ฉินสุ่ยซานกับเธอคุยกับคนคนนั้นอีกเล็กน้อย แล้วก็พากันไปทักทายคนอื่นในงานต่อ
ไม่นาน ข่าวที่ว่านักเขียนบท “เมืองพัง” ก็มาร่วมงานด้วย ก็ถูกแพร่กระจายข่าวไปทั่วงาน
หลังจากนั้นก็มีผู้คนเดินเข้ามาหาฉินสุ่ยซานไม่ขาดสาย โดยถือโอกาสมาดูมู่น่อนน่อนตรงๆ
มู่น่อนน่อนรู้ดีอยู่ในใจ ว่าคนพวกนี้นอกจากจะสนใจเธอเพราะเธอเป็นคนเขียนบทเรื่อง “เมืองพัง” แล้ว ยิ่งอยากรู้อยากเห็น เรื่องที่เธอเป็น “อดีตภรรยา” ของเฉินถิงเซียวด้วย
พวกที่เข้ามาแลกนามบัตรกับเธอ มีบางคนเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ บางคนเป็นนักลงทุน แล้วยังมีนักแสดงบางคนด้วย
พอจะต้องรับมือก็ไม่ยาก
“อ๊ะ นี่มันมู่น่อนน่อน คนเขียนบท “เมืองพัง” ผู้โด่งดังของเรานี่นา”
ในเวลานี้เอง เสียงพูดที่แฝงไปด้วยแววจิกกัดก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังมู่น่อนน่อน
ไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมอง มู่น่อนน่อนก็สามารถบอกได้ว่าเสียงนี้เป็นของใคร
เพียงเพราะว่า เสียงนี้มันช่างคุ้นเคยจริงๆ
มู่น่อนน่อนไม่เหลียวหลังมอง มู่หวั่นขีก็เดินไปรอบๆ ตัวเธอ แล้วพูดอย่างเชื่องช้า “นี่ไม่เจอกันนานแค่ไม่นาน ก็ไม่รู้จักฉันแล้วเหรอ เพื่อนของเธอที่ชื่อลี่อะไรสักอย่างนั่น อาการบาดเจ็บของเขาหายดีแล้วหรือยัง” ?”
วันนี้มู่หวั่นขีสวมชุดราตรีสีดำเว้าตรงหน้าอก การแต่งหน้าของเธอยังคงสวยเข้มเหมือนเคย ในแววตาที่เธอมองมู่น่อนน่อน แฝงไปด้วยความเกลียดชังที่เก็บซ่อนไว้ไม่ได้
หรือบางทีเธออาจจะไม่คิดจะปิดบังด้วยซ้ำ
เธอจำโครงสร้างเรื่อง “เมืองพัง” ได้ แต่เธอจำรายละเอียดบางอย่างได้ไม่ชัดเจน
ตอนนี้จะเขียนภาคสอง เธอต้องทบทวนเนื้อหาภาคแรกอีกครั้ง
ตลอดช่วงบ่าย มู่น่อนน่อนดู “เมืองพัง” ด้วยแท็บเล็ตของเธอ
แม้แต่ตอนที่เธอทำอาหาร เธอก็วางแท็บเล็ตไว้บนเคาน์เตอร์ หั่นผักไปด้วย ดูไปด้วย
ทันใดนั้น เธอก็ได้ยินเสียง “ปัง” ดังขึ้นมานอกประตู
ใบหน้าของมู่น่อนน่อนตกใจ และหลังจากกดหยุดเล่น แล้วก้าวเดินไปที่ประตู
ก่อนที่เธอจะเอื้อมมือไปเปิดประตู ประตูก็ถูกเปิดเข้ามาจากด้านนอก
มีชายแปลกหน้าในชุดเอี๊ยมทำงานยืนอยู่ที่หน้าประตู
มู่น่อนน่อนมีสีหน้าเย็นชา แล้วถามว่า “คุณเป็นใคร?”
ผู้ชายคนนั้นมองมู่น่อนน่อนด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน เขาพูดด้วยเสียงอ้ำๆ อึ้งๆ “ผมเป็นพนักงานไขกุญแจครับ… “
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเย็นชาลง “ฉันไม่ได้โทรให้คนมาไขกุญแจนี่คะ”
ในเวลานี้ ใบหน้าของชายหนุ่มที่คุ้นเคยก็พูดขึ้นมา“ฉันเรียกเขามาเปิดเอง”
ผู้ชายที่ไขกุญแจก้าวถอยหลัง ใบหน้าที่หยิ่งทระนงของเฉินถิงเซียวก็ปรากฏขึ้นมาในสายตาของมู่น่อนน่อน
“เฉินถิงเซียว?” มู่น่อนน่อนยกยิ้มอย่างโมโห “คุณไม่มีอะไรทำ ให้คนมาไขกุญแจบ้านฉันทำไมคะ คุณเคาะประตูไม่เป็นหรือไง หรือไม่อย่างนั้น คุณก็โทรให้ฉันมาเปิดประตูให้ก็ได้ไม่ใช่เหรอคะ!”
มู่น่อนน่อนยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวมองเธออย่างเย็นชา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ผมไม่ได้เคาะประตู ไม่ได้โทรหาคุณหรือไง?”
หลังจากได้ยินแบบนั้น มู่น่อนน่อนก็รีบหันหลังกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอในห้อง
เธอหาโทรศัพท์มือถือของเธอเจอบนโต๊ะกาแฟในห้องนั่งเล่น มีสายที่ไม่ได้รับหลายสาย ซึ่งทั้งหมดเป็นเฉินถิงเซียวที่โทรมา
ที่แท้เฉินถิงเซียวก็โทรมาหาเธอแล้ว…
คงเป็นเพราะเธอเอาแต่ดู “เมืองพัง” ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์
เธอหันกลับมา แล้วพบว่าเฉินถิงเซียวเดินตามเธอเข้ามาในห้อง และตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่บนโซฟา
เขาคลายเนกไท และเอนกายพิงโซฟา แล้วมองมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
มู่น่อนน่อนวางโทรศัพท์ลง หันหลังกลับไปเทน้ำใส่แก้วให้เขา
เฉินถิงเซียวจิบน้ำ ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “คุณทำอะไรอยู่?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดตามความจริงว่า “ดูหนังอยู่ค่ะ”
เฉินถิงเซียวยิ้มเยาะ แต่ไม่พูดอะไร
มู่น่อนน่อนเหลือบมองไปทางประตูอีกครั้ง และพอมั่นใจว่ามีเพียงเฉินถิงเซียวที่อยู่ที่นี่ เธอจึงถามเสียงดังว่า “มู่มู่ล่ะคะ อยู่ที่ไหน ทำไมไม่มาด้วยกัน”
พอพูดถึงเฉินมู่ สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็เคร่งขรึมลง “เป็นหวัด ผมเพิ่งกลับมาจากบริษัท แล้วจะมารับคุณไปดูเธอ”
มู่น่อนน่อนขยับริมฝีปาก คำพูดอยู่ตรงริมฝีปาก แต่เธอก็กลืนเข้าไปอีกครั้ง
เด็กมีภูมิต้านทานต่ำ เป็นเรื่องปกติที่เด็กจะเป็นหวัดง่าย
ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ไม่ใช่ความผิดของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเองก็เป็นผู้ป่วยอยู่ใช่หรือไง?
“คุณรอฉันเดี๋ยวนะคะ ฉันขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” มู่น่อนน่อนพูด เธอลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องทันที
ไม่นานมู่น่อนน่อนก็รีบเดินออกมา
ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิกำลังพอดี ไม่หนาวเกินไปและไม่ร้อนเกินไป ข้างบนเธอใส่เสื้อสเวตเตอร์สีขาว และกระโปรงข้างล่าง มันดูเรียบง่ายและอบอุ่นมาก
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วพูดเร่งเร้าเฉินถิงเซียว “ไปกันเถอะ”
เฉินถิงเซียวลุกขึ้นยืน ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วก้าวออกไป
ทั้งสองเดินเข้าไปในลิฟต์พร้อมกัน
เฉินถิงเซียวเหลือบไปมองเธอเล็กน้อย เห็นเธอเม้มปากแน่น ท่าทางดูกังวลใจมาก
“พาไปหาหมอแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร เด็กเป็นหวัดก็เรื่องธรรมดา” คำพูดของเฉินถิงเซียวเหมือนกำลังปลอบโยนมู่น่อนน่อนอยู่
แต่คำพูดของเขาไม่ส่งผลกับมู่น่อนน่อนเลย เธอพยักหน้าลวกๆ
ใบหน้าของเฉินถิงเซียวเริ่มบึ้งตึง เขาจึงไม่พูดอะไรอีก
……
ยี่สิบนาทีต่อมา ทั้งสองก็มาถึงบ้านพักของเฉินถิงเซียว
หลังจากลงจากรถแล้ว มู่น่อนน่อนก็รีบเดินเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
เธอเคยอาศัยอยู่ในบ้านของเฉินถิงเซียวมาก่อน ดังนั้นเธอจึงคุ้นเคยกับบ้านพักของเขามาก พอเธอเดินเข้าไปในห้องโถง เธอวิ่งตรงขึ้นบันไดไปชั้นบน และพุ่งตรงไปที่ห้องของเฉินมู่ทันที
เฉินมู่กำลังให้น้ำเกลืออยู่ มีขวดน้ำเกลือขนาดเล็กแขวนอยู่ข้างเตียง เธอนอนนิ่งอยู่บนเตียง หลับไปแล้ว
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป แล้วกระซิบเรียกเบาๆ “มู่มู่?”
ดวงตาของเฉินมู่เงาดำและเป็นประกาย ขนตาของเธอยาว แต่ไม่งอน เมื่อเธอนอนหลับ ขนตาก็ปกลงมาถึงมาถึงชั้นใต้ตาของเธอ
ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกผ้าห่มคลุมไว้ ตอนที่เธอหายใจปีกจมูกของเธอก็ขยับเบาๆ
ดูน่าสงสารมาก
เฉินมู่นอนหลับไม่ลึก มู่น่อนน่อนเพียงแค่กระซิบเรียกเธอ เธอก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว
นางกลอกตาไปมาอย่างงุนงง พอเห็นมู่น่อนน่อน เธอก็ยิ้มออกมา “คุณแม่”
ในขณะที่เธอพูด เธอก็เอื้อมมือออกไปอยากให้มู่น่อนน่อนอุ้ม
มู่น่อนน่อนเห็นจึงว่าเฉินมู่อยากให้ทำอะไร พอเห็นเฉินมู่เอื้อมมือขึ้นมา เธอก็เอื้อมมือออกไปกดมือเธอลง “อย่าขยับสิลูก มือลูกยังมีเข็มอยู่นะจ๊ะ”
พอได้ยินคำพูดดังกล่าว เฉินมู่ก็หันศีรษะแล้วเหลือบมองไปที่หลังมือของตัวเอง เธอเบะปากและน้ำตาก็ไหลออกมาทันที แต่เธอไม่ร้องไห้ออกเสียง
พอเห็นเธอเป็นแบบนี้ หัวใจของมู่น่อนน่อนก็บีบแน่นมาก
มู่น่อนน่อนลูบศีรษะเธอ “ไม่เป็นไรจ้ะ มู่มู่จะหายป่วยเร็วๆ นี้แน่นอน”
เฉินมู่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ค่ะ”
เธอใช้มืออีกข้างที่ไม่มีเข็มจับมือของมู่น่อนน่อนไว้แน่น “คุณแม่ขา อย่าไปไหนนะคะ”
“แม่ไม่ไปจ้ะ แม่จะอยู่กับลูกที่นี่” มู่น่อนน่อนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เฉินมู่ไม่ได้เจอเธอแค่หนึ่งเดียวกับคืนหนึ่ง จึงพูดคุยกันเล็กน้อย แล้วผล็อยหลับไปในไม่ช้า
มู่น่อนน่อนช่วยลูบหลังเธอ ก่อนจะหันหลังกลับ และเห็นเฉินถิงเซียวที่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ตอนนี้กลับมายืนอยู่ข้างหลังเธอแล้ว
เธอถูกเฉินถิงเซียวทำให้ตกใจมาก จึงพูดอย่างโกรธเคือง “คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบคำถามของเธอ ดวงตาของเขาจ้องไปที่ใบหน้าของเฉินมู่ “หลับไปแล้ว”
“ค่ะ” มู่น่อนน่อนลุกขึ้นเดินออกไป แล้วกระซิบพูดกับเขา “เธอเป็นหวัดได้ยังไงคะ”
เฉินถิงเซียวพูดอย่างเฉยเมย “เมื่อคืนนี้ เธอเดินเท้าเปล่าออกจากห้องกลางดึกมาหาผมบอกจะหาแม่”
เขานอนไม่ลึก กลางดึกได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวข้างนอก พอเขาออกมา เขาพบว่าเฉินมู่กำลังยืนเท้าเปล่าอยู่ที่ประตูหน้าห้องของเขา เธอร้องไห้สะอื้นไห้เงียบ ๆ จะหาแม่ของเธอ
กลางดึกแบบนี้เขาจะไปหาแม่ให้เธอจากที่ไหน?
สุดท้าย ไม่มีทางเลือกอื่น เฉินถิงเซียวทำได้เพียงพาเธอไปนอนด้วยที่ห้องของเขา
ถึงจะเป็นแบบนี้ เธอก็ยังเป็นหวัดอยู่ดี
แต่ว่า ช่วงเช้าตอนที่มู่น่อนน่อนโทรมา เฉินมู่ยังคงนอนหลับอยู่ และตอนนั้นเฉินถิงเซียวไม่รู้ว่ามู่มู่ได้เป็นหวัดแล้ว
มู่น่อนน่อนได้ยินคำพูดของเขา เธอเดินออกไปนอกห้อง แล้วปิดประตูลง ก่อนจะหันกลับมาพูดกับเฉินถิงเซียวว่า “พอเธอตื่นขึ้นมาฉันจะพาเธอกลับไปค่ะ”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวเย็นชามากพอเขาได้ยินแบบนี้ “คุณหมายความว่ายังไง”
“ตอนนี้มู่มู่ต้องการการดูแลจากฉันค่ะ ฉันต้องพาเธอกลับไปด้วย” หลังจากที่มู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็ยกยิ้มเล็กน้อย “หรือจะให้ฉันอยู่ต่อคะ?”
ก่อนที่เฉินถิงเซียวจะพูด มู่น่อนน่อนก็พูดปฏิเสธออกมาซะก่อน “คุณไม่ต้องการให้ฉันอยู่ต่อแน่นอน”
มู่น่อนน่อนเหลือบมองความคิดเห็น พบว่าส่วนใหญ่จะถามถึง “เมืองพังภาค2”
นอกจากนี้ยังมีความคิดเห็นก่อกวน พอโพสต์ออกมาคนอื่นก็วิจารณ์ทันที
มู่น่อนน่อนปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือ แล้วไปล้างจาน ตั้งใจจะโทรหาเฉินถิงเซียว เพื่อจะถามว่าเฉินมู่เป็นยังไงบ้าง
เธอเพิ่งเก็บภาชนะบนโต๊ะอาหารเสร็จ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
เป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นหน้า
ทุกวันนี้มีเบอร์โทรที่ไม่คุ้นหน้าจำนวนมากโทรมาหาเธอ มู่น่อนน่อนเพียงแค่มองเล็กน้อย แล้วกดรับสาย “สวัสดีค่ะ”
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์มีเสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยดังเข้ามา “ใช่มู่น่อนน่อนหรือเปล่า?”
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงนี้ก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า “ฉินสุ่ยซาน?”
“ใช่คุณจริงๆ ด้วย” น้ำเสียงของฉินสุ่ยซานไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจได้ “ข่าวของเธอดังมากในตอนนี้ ฉันนึกว่ามันเป็นแค่ข่าวลือ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณจริงๆ”
ในตอนนั้นฉินสุ่ยซานมั่นใจในบทละครของมู่น่อนน่อนมาก
ตอนที่การถ่ายทำ “เมืองพัง” เสร็จ เดิมทีคิดจะชวนมู่น่อนน่อนมาร่วมงานเลี้ยงปิดกล้อง แต่ว่าตอนนั้นเธอติดต่อมู่น่อนน่อนไม่ได้เลย
ตอนงานเลี้ยงปิดกล้องติดต่อเธอไม่ได้ ต่อมา ตอน “เมืองพัง”ออกอากาศ แล้วโด่งดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ฉินสุ่ยซานก็ติดต่อมู่น่อนน่อนไม่ได้เช่นกัน
มู่น่อนน่อนเหมือนหายตัวไปจากโลกนี้ และไม่ได้ข่าวอีกเลย
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ฉินสุ่ยซานก็ติดตามข่าวของมู่น่อนน่อนเช่นกัน พอเธอเห็นบัญชี Weibo ของมู่น่อนน่อนมีการอัปเดต เธอก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นมู่น่อนน่อนเป็นคนโพสต์เอง
ดังนั้น เธอจึงรอดูอยู่สองสามวัน หลังจากมั่นใจว่าเป็นมู่น่อนน่อนตัวจริงแล้ว เธอถึงได้ติดต่อมาหามู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนรู้สึกสนิทกับฉินสุ่ยซานมาก เธอจึงยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นฉันจริงๆ กลับมาได้พักใหญ่แล้ว”
“งั้นเรามาเจอกันสักหน่อยไหม” ฉินสุ่ยซานพูด
“ได้สิ ช่วงนี้ฉันก็ว่างอยู่แล้ว”
ฉินสุ่ยซานเป็นคนที่มีความสามารถมาก พอได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อน เธอก็พูดออกมาตามตรง “ถ้าเธอไม่ว่าอะไร วันนี้มาเจอกันได้หรือเปล่า”
มู่น่อนน่อนก็เห็นด้วย “ได้”
……
มู่น่อนน่อนกับฉินสุ่ยซานนัดกันที่ร้านอาหารระดับสูงแห่งหนึ่ง
ร้านนี้เปิดโดยคนในวงการบันเทิง และมักจะมีคนในวงการบันเทิงมากินข้าวที่นี่
พอเทียบกับสามปีที่แล้ว ฉินสุ่ยซานดูโดดเด่น และสวยขึ้นมาก
ทันทีที่เธอเห็นมู่น่อนน่อน เธอก็รีบเดินเข้าไปหา แล้วสังเกตมู่น่อนน่อนอย่างระมัดระวัง “ทำไมรู้สึกว่าผ่านไปสามปี เธอดูไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากเลย”
มู่น่อนน่อนพูดอย่างจริงใจ “เธอสวยกว่าเมื่อก่อนนะ”
“ฉันเบื่อที่จะฟังคำพูดพวกนี้แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะแสร้งทำเหมือนคนพวกนั้นด้วย พอเจอหน้าก็พูดประจบประแจงฉันแล้ว” ฉินสุ่ยซานพูดด้วยท่าทางขนลุก
พอพูดจบ เธอก็จูงมือมู่น่อนน่อนมานั่งลง
ทั้งสองเริ่มถามสารทุกข์สุกดิบกันและกันทันที
“สามปีมานี้เธอไปอยู่ที่ไหนมา เหมือนกับหายสาบสูญไปจากโลกนี้ ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย” ฉินสุ่ยซานจำได้ว่าตอนนั้นทุกคนตามหาเธอจนแทบจะพลิกแผ่นดินแต่ก็ตามหาไม่เจอ จึงอดที่จะส่ายหน้าไปมาไม่ได้
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ฉันนอนอยู่บนเตียงตลอดสามปีเลย”มู่น่อนน่อนพูดสรุปเรื่องราวในสามปีนี้สั้นๆ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ดวงตาของฉินสุ่ยซานเบิกกว้าง “นอนอยู่บนเตียงตลอดสามปี!”
“อยากรู้เรื่องมากเหรอ?” มู่น่อนน่อนเลิกคิ้วมองเธอ “ฉันไม่บอกหรอก”
ฉินสุ่ยซานส่งเสียง “ชิ”แล้วรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ก่อนจะพูดว่า “รู้ว่า “เมือนพัง” โด่งดังแล้วล่ะสิ แฟนๆ ต่างก็ตั้งตารอภาคสองกันอยู่ เธอคิดว่าไง?”
มู่น่อนน่อนเขย่าแก้วน้ำตรงหน้าเธอ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่คิดยังไง”
ฉินสุ่ยซานมองไปที่มู่น่อนน่อนสักพัก แล้วพูดอย่างประนีประนอม “พูดมาได้เลย ต้องการส่วนแบ่งเท่าไหร่”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอซื้อบทของมู่น่อนน่อน เธอก็รู้ทันทีว่ามู่น่อนน่อนไม่ใช่พวกที่ใครจะเอาเปรียบได้ง่ายๆ
มู่น่อนน่อนเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง
“เมืองพัง” โด่งดังมาก หลังจากการออกอากาศแล้วสองปี ยังมีแฟนๆ ละครคิดถึงอยู่อีกมาก
ฉินสุ่ยซานเป็นโปรดิวเซอร์ และมู่น่อนน่อนเป็นผู้เขียนบท ใครจะไม่อยากใช้ประโยชน์จากความโด่งดังนี้ มาสร้างละครในชุดนี้เพื่อทำเงินจำนวนมากกันล่ะ
มู่น่อนน่อนเพิ่งจะพูดว่า “ไม่คิดยังไง” เพื่อรอให้ฉินสุ่ยซานเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นมาก่อน
มู่น่อนน่อนยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ดูอ่อนโยนมากเป็นพิเศษ “ก็อยู่ที่ว่าเธอจะใจกว้างแค่ไหน”
ฉินสุ่ยซานกระตุกยิ้มมุมปาก มู่น่อนน่อนกำลังขุดหลุมกับดักเพื่อให้เธอกระโดดลงไป
มู่น่อนน่อนไม่ได้บอกว่าเธออยากได้เงินเท่าไหร่ แต่รอให้ฉินสุ่ยซานเริ่มพูดขึ้นมาก่อน นี่คือให้สิทธิ์ในการริเริ่มไว้ในมือของตัวเอง
เมื่อก่อนเธอก็เคยคิดว่ามู่น่อนน่อนเป็นคนเจ้าเล่ห์ แต่ตอนนี้ยิ่งเจ้าเล่ห์มากขึ้นไปอีก
“ฉันสงสัยว่าเธอคงจะไม่ได้นอนอยู่ในโรงพยาบาลมาสามปี แต่เจ้าไปบำเพ็ญเซียนมาใช่ไหม ทำไมเธอถึงเจ้าเล่ห์มากขึ้นเรื่อยๆ เลยล่ะ” ฉินสุ่ยซานพูดอย่างใส่อารมณ์
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากเล็กน้อย แล้วพูดออกมาเสียงดัง “ฉันถือว่าเป็นคำชมที่คุณฉินให้กับฉันนะคะ”
ฉินสุ่ยซานกระตุกยิ้มมุมปาก จากนั้นก็ยืดตัวตรง น้ำเสียงของเธอก็จริงจังขึ้นเป็นพิเศษ “เพื่อแสดงความจริงใจของฉัน ฉันสามารถแบ่งคุณออกเป็นตัวเลขนี้สำหรับ “เมืองพัง” ในรอบนี้
เธอพูด พร้อมกับยกมือขึ้น
มู่น่อนน่อนใจกระตุก แล้วพูดอย่างไม่แน่ใจ “เท่าไหร่นะ?”
ฉินสุ่ยซานก็เชิดคางขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดอย่างจริงจัง “ห้าล้าน”
มือของมู่น่อนน่อนที่จับแก้วไว้สั่นเทาเล็กน้อย
ห้าล้าน เกินความคาดหมายของเธอไปมากจริงๆ
ถึงแม้ “เมืองพัง” จะทำเงินให้ฉินสุ่ยซานเป็นจำนวนมาก แต่เธอก็เซ็นสัญญากับมู่น่อนน่อน ทำการซื้อลิขสิทธิ์ขาดเป็นจำนวนหนึ่งล้านหยวน
และเพื่อจะเซ็นสัญญาร่มงานกับมู่น่อนน่อนเรื่อง “เมืองพังภาค2” ฉินสุ่ยซานยินดีที่จะแบ่งผลกำไรให้ตั้งห้าล้าน
นี่ถือเป็นการแสดงความจริงใจมากที่สุดแล้ว
มู่น่อนน่อนไม่ได้พูดในทันที ทำให้ฉินสุ่ยซานเริ่มไม่มั่นใจว่าเธอกำลังคิดอะไร
ถึงแม้มู่น่อนน่อนจะอายุน้อยกว่าเธอไม่กี่ปี แต่เธอก็เป็นแค่เด็กสาวที่เพิ่งเข้าวงการเท่านั้นเอง แต่บางครั้งความคิดของมู่น่อนน่อนก็ลึกลับและเข้าใจยากเล็กน้อย
แต่ว่า มู่น่อนน่อนก็มีข้อดี นั่นคือความจริงใจ
ด้วยเหตุนี้ ฉินสุ่ยซานจึงไม่พูดวกไปวนมากับเธอ บอกจำนวนที่แสดงถึงความจริงใจที่สุดที่เธอสามารถให้ได้ออกมา
ทั้งสองมองหน้ากันสักพัก ก่อนที่ฉินสุ่ยซานจะพูดขึ้นก่อน “นี่คือจำนวนที่แสดงถึงความจริงใจของฉัน เธอลองคิดดูก็แล้วกัน”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบคำถามของเธอโดยตรง แต่ถามว่า “แล้ว “เมืองพังภาค2” เธอตั้งใจจะเซ็นสัญญากับฉันยังไง”
ฉินสุ่ยซานยกยิ้มกว้าง “ขอแค่เธอยอมขายให้ฉัน ทุกอย่างก็คุยง่าย”
มู่น่อนน่อนยกยิ้ม แล้วพยักหน้า “ตกลง”
ฉินสุ่ยซานเป็นคนจริงจังกับงาน ตั้งแต่แรกมู่น่อนน่อนก็ไม่เคยคิดที่จะขาย “เมืองพังภาค2” ให้กับผู้อื่นอยู่แล้ว
ถึงแม้คนอื่นอาจจะให้เงินมากกว่าที่ฉินสุ่ยซาน แต่ว่า จะต้องถ่ายทำได้ไม่ดีเท่าทีมงานของฉินสุ่ยซานแน่นอน
อย่างน้อย เธอขายให้ฉินสุ่ยซาน บทละครจะไม่ไร้ค่าเมื่ออยู่ในมือของเธอ
มู่น่อนน่อนพูดถึงโครงเรื่อง “เมืองพังภาค2” กับฉินสุ่ยซานอีกครั้ง แล้วพวกเธอก็แยกทางกันหลังจากกินข้าวกลางวันร่วมกันแล้ว
ในตอนบ่าย ฉินสุ่ยซานได้โอนเงินห้าล้านเข้าบัญชีของมู่น่อนน่อน
หลังจากที่มู่น่อนน่อนได้รับเงินแล้ว เธอก็เริ่มคิดโครงเรื่องของภาคสอง และทำการค้นหา “เมืองพัง” ทางอินเทอร์เน็ตมาดูทันที
ถึงแม้เฉินมู่จะสะอึกสะอื้นไปด้วยพูดไปด้วย แต่เฉินถิงเซียวก็สามารถฟังเข้าใจความหมายในคำพูดของเธอได้อย่างน่าประหลาด
เฉินมู่ต้องการให้ครอบครัวของพวกเธอสามคนอยู่ด้วยกัน แต่การแสดงออกของเธอมีจำกัด ดังนั้นจึงไม่สามารถพูดอย่างที่ใจคิดได้
เฉินถิงเซียวพูดว่า “ทำไมฉันจะไม่ให้เธอมาล่ะ เธอไม่อยากมาเอง”
พอได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียว เฉินมู่ที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ก็มองหน้าเขาอย่างจริงจัง
เฉินมู่พูดอย่างดื้อดึง “เธออยากมา”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วมองเธอ “อย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมเธอถึงไม่มาล่ะ”
เขาคิดว่าเด็กน้อยคนนี้น่าสนใจมาก เมื่อตะกี้ยังร้องไห้หนักมากขนาดนั้น ตอนนี้เธอกลับไม่ร้องไห้แล้ว ถึงไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด แต่เธอก็ยังโต้เถียงกับเขาอย่างไม่ยอมแพ้
เฉินมู่สับสนกับคำพูดของเฉินถิงเซียว เธอหน้าบึ้ง แล้วพูดอย่างโมโห “เธออยากมา!!”
“โอเค” เฉินถิงเซียวสูดหายใจเข้าลึก “เธออยากมาด้วย”
ในเวลานี้เอง ลิฟต์ก็ลงมาถึงชั้นหนึ่ง เฉินถิงเซียวก็อุ้มเธอเดินออกจากลิฟต์ไป
เขาวางเฉินมู่ลง แล้วจูงมือเธอเดินออกไป
ทันใดนั้นเอง เฉินมู่ก็สะบัดมือออก แล้วหันหลังวิ่งไปทางลิฟต์
เฉินถิงเซียวมองไปที่มือของตัวเองที่ว่างเปล่า แล้วเดินตามไป
เฉินมู่กำลังเขย่งกดลิฟต์ แต่มือของเธอเอื้อมไม่ถึงปุ่มกดลิฟต์ เหลืออีกแค่นิดเดียวก็จะถึงแล้ว
เฉินถิงเซียวก้มตัวลง ก่อนที่เขาจะเหยียดแขนยาวออกไป แล้วคว้าเฉินมู่ขึ้นมา แบกไว้บนไหล่ของเขาแล้วเดินออกไป
“ปล่อยนะ!” เฉินมู่ดีดดิ้นขาไปมา “ปล่อยหนูลงเดี๋ยวนี้นะ”
เฉินถิงเซียวพาเธอไปที่ลานจอดรถโดยไม่พูดอะไร
เขาใช้มือข้างหนึ่งกดกุญแจรถ แล้วเปิดประตูด้วยมือเดียว ก่อนจะยัดเธอเข้าไปในรถ
เบาะหลังของรถมีเบาะนั่งสำหรับเด็กที่น่าจะติดตั้งไว้นานแล้ว
เฉินถิงเซียววางเธอลงเบาะนั่งสำหรับเด็ก แล้วรัดเข็มขัดนิรภัย พอเห็นเฉินมู่ยังดูโมโหมาก สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมลง “นั่งดีๆ อย่าดิ้น อย่าร้อง!”
เฉินมู่หดไหล่ด้วยความตกใจ แล้วเหลือบมองเขาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ามองเขาอีก
เธอยังคงกลัวเขามาก
เฉินถิงเซียวปิดประตูรถอย่างพึงพอใจ แล้วเดินไปเปิดประตูด้านหน้าเข้าไปนั่งเพื่อขับรถออกไป
ตอนที่เขาสตาร์ทรถ เขาเหลือบไปมองที่เฉินมู่ผ่านกระจกมองหลัง พอเห็นเธอกำลังก้มหน้าก้มตาเล่มเข็มขัดนิรภัย เขาก็มองไปทางด้านหน้าอีกครั้ง
ปกติจะใช้เวลาขับรถเพียงยี่สิบนาที วันนี้เขาขับรถถึงบ้านช้าไปอีกสิบนาที
รถมาหยุดจอดที่ประตูบ้าน พอออกมาเปิดประตูรถไปดูเฉินมู่ ก็พบว่าเธอหลับไปแล้ว
เฉินถิงเซียวโน้มตัวเข้าไปอุ้มเธอขึ้นมา แล้วพูดด้วยเสียงที่เบาว่า “กินอิ่มแล้วก็นอน”
สือเย่เพิ่งอาศัยอยู่ในบ้านของเฉินถิงเซียว พอเห็นเฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่ไว้ในอ้อมแขนก็ต้องตกใจเล็กน้อย
หลังจากตกใจ เขาก็นึกถึงสิ่งที่เฉินถิงเซียวพูดครั้งล่าสุดขึ้นมา เขาก็อดที่จะรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้ “คุณชายครับ คุณพามู่มู่กลับมาได้ยังไงกันครับ”
เฉินถิงเซียวแอบขโมยเฉินมู่กลับมาหรือเปล่า?
เฉินถิงเซียวเดินเข้ามาโดยไม่เหลือบตามองเขาเลย “เธอยืนยันที่จะกลับมาพร้อมกับฉันเอง”
แม้ว่าตอนเพิ่งออกจากลิฟต์มา เฉินมู่อยากจะวิ่งกลับ แต่พอออกมากับเขาแล้ว เฉินมู่ก็ยอมตามเขามาอย่างสมัครใจ
เฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่ไปที่ห้องของเธอ
หลังจากที่เขาวางเฉินมู่ลงบนเตียง เขาก็ต้องหยุดชะงักไป
ไม่มีใครบอกเขาว่านี่คือห้องของเฉินมู่ เขากลับอุ้มเฉินมู่เข้ามาในห้องนี้ได้โดยสัญชาตญาณ
เขามองไปที่เฉินมู่สักพัก แล้วหันหลังเดินออกไป
สือเย่ยืนอยู่หน้าประตู
เฉินถิงเซียวสั่งเขา “ไปเรียกสาวใช้มา”
สือเย่พยักหน้าเล็กน้อย แล้วลงไปชั้นล่าง ก่อนจะเรียกสาวใช้ให้มาดูแลเฉินมู่
เฉินถิงเซียวไปที่ห้องทำงาน
สือเย่เดินตามมาอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เฉินถิงเซียวนั่งลง เขาก็จำคำถามที่มู่น่อนน่อนถามเขาก่อนหน้านี้ได้
เขาเงยหน้าขึ้นมองสือเย่ แล้วถามว่า “เรื่องผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิต ได้ความว่ายังไงบ้าง”
“คนที่ทำอาชีพด้านการสะกดจิตมีไม่มาก และผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตระดับแนวหน้า ก็มีพฤติกรรมแปลกมากด้วย…” สือเย่หยุดพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปกะทันหัน
“อีกอย่าง ผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตระดับสูงแบบนี้ มักจะจะมีนิสัยพิสดารเล็กน้อย หลังจากที่พวกเขารักษาผู้ป่วยแล้ว พวกเขาจะสะกดจิตผู้ป่วยอีกครั้ง เพื่อให้ผู้ป่วยลืมหน้าตาของพวกเขาไป”
พอสือเย่พูดจบ เขาก็หันไปมองสีหน้าของเฉินถิงเซียวอย่างระมัดระวัง
เฉินถิงเซียวหรี่ตาเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาเย็นชาจนทิ่มแทงเข้าถึงกระดูก “จะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของคนที่ถูกเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตคนนั้นเลย?”
สือเย่พยักหน้าอย่างรู้สึกผิด จึงก้มหน้าลงไม่พูดอะไรอีก ถือว่ายอมรับกับสิ่งที่เขาพูด
“เหอะ”
สักพัก เฉินถิงเซียวก็ยิ้มเยาะออกมา แล้วพูดว่า “น่าสนใจจริงๆ ตามหาต่อไป ฉันไม่เชื่อ ว่าเขาจะซ่อนตัวได้ตลอดชีวิต!”
“ครับ”
……
พอไม่มีเฉินมู่ บ้านก็ดูเงียบเหงามาก
มู่น่อนน่อนทำอาหารเช้าเสร็จ และกำลังจะเรียกเฉินมู่มากินข้าว แต่นึกขึ้นได้ว่าเฉินถิงเซียวพาเฉินมู่ไปเมื่อคืนนี้
ไม่คุ้นเคยเลยจริงๆ
มู่น่อนน่อนอ่านข่าวบันเทิง ในขณะที่กินข้าวเช้าไปด้วย
ถึงจะผ่านไปแล้วสองสามวัน ยังคงมีข่าววิพากษ์วิจารณ์ Weibo ที่เธอเคยโพสต์ไว้ก่อนหน้านี้
“มู่มู่ ผู้เขียนบท “เมืองพัง” ที่หายตัวไปเมื่อสามปีก่อน ได้โพสต์ Weibo เมื่อไม่กี่วันก่อน ทำให้เกิดกระแสฮือฮาขึ้นมา นอกจากแฟนๆ แล้ว ยังมีผู้เกี่ยวข้องในวงการต่างก็ติดตามการเคลื่อนไหวของนักเขียนบทมู่มู่ด้วย แล้วยังมีคนชอบดูข่าวซุบซิบ ไม่รู้ว่าจะยังจำกันได้หรือเปล่า ว่าคนเขียนบทคนนี้คือ มู่น่อนน่อน อดีตภรรยาของคุณชายเฉิน…”
“อีกประเด็นที่สำคัญคือ หลังจากที่มู่น่อนน่อนหายตัวไป ข่าวลือเรื่องของเธอทางอินเทอร์เน็ตก็หายไปด้วย และก่อนที่เธอจะหายตัวไปได้ข่าวว่าเธอมีแฟนใหม่แล้ว ชาวเน็ตบางคนคาดเดาว่าในช่วงสามปีที่เธอหายตัวไปอาจจะเกี่ยวกับแฟนใหม่ที่เธอคบ หรือไม่ก็…”
รายงานที่ไม่มีประโยชน์ประเภทนี้ อ่านเพื่อความบันเทิงก็พอจะได้
มู่น่อนน่อนอ่านข่าวจนจบ
เนื้อหาทั้งหมดถูกแต่งขึ้นมาเอง ไม่มีความจริงเลยสักนิด มันเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด
นักข่าวสมัยนี้เขียนข่าว ล้วนแต่พึ่งพาจินตนาการของตัวเองหรือไงกัน?
แฟนใหม่?
เธอไปเอาแฟนใหม่มาจากไหน?
มู่น่อนน่อนพยายามคิดทบทวนอย่างละเอียด ในตอนนั้นเหมือนว่าลี่จิ่วเชียนจะหาเธอเจอ แล้วถูกนักข่าวถ่ายรูปได้แล้วบอกว่าเธอมีแฟนใหม่แล้ว
ต่อมาเธอก็ถูกซือเฉิงหยู้ลักพาตัวไป
หลังจากอ่านข่าวจบ มู่น่อนน่อนก็ไม่ลืมที่จะอ่านความคิดเห็นด้านล่าง
“จริงเหรอเนี่ย ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “เมืองพัง” คืออดีตภรรยาของเฉินถิงเซียวอย่างนั้นเหรอ เธอจ้างคนเขียนแทนหรือเปล่า?”
“คุณนักเขียนอย่าพูดอะไรเปล่าประโยชน์ พวกเราแค่อยากรู้ว่า“เมืองพังภาค2” จะมาเมื่อไหร่คะ? ตอนจบของภาคแรกมีพิรุธค้างคาเยอะมาก ต้องมีภาคสองแน่เลยใช่ไหมคะ?”
“จะแฟนใหม่หรือสามีเก่าอะไรก็ช่างเถอะ ฉันแค่อยากรู้ว่าภาคสองของ “เมืองพัง” จะถูกถ่ายทำหรือเปล่า”
“เราไม่ได้ดู”เมืองพัง” แค่อยากจะรู้ว่าคนที่ชื่อมู่อะไรนี่ อยากดังมากเลยใช่ไหม ช่วงนี้เห็นข่าวเธอบ่อยมาก ซื้อให้ข่าวดังเสียไปเท่าไหร่แล้ว”
ด้านล่างของความคิดเห็นล่าสุด มีความคิดเห็นตอบกลับเยอะมาก
“ตัวเองไม่ได้ดู ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะไม่ได้ดู”
“เธออยากดัง? ถึงเธอไม่อยากดัง เธอก็ดังอยู่แล้ว”
“ฉันว่าคุณต่างหากที่อยากดัง ตั้งใจจะมาให้ด่าใช่ไหม ฉันจะได้สนองให้…”
มู่น่อนน่อนเดินกลับมาที่ครัว แล้วแอบมองดูสองพ่อลูกที่อยู่ข้างนอก
พอเห็นว่าเฉินถิงเซียวยังไม่ยอมขยับ เฉินมู่ก็ชี้ไปทางห้องครัวแล้วพูดเร่งเขา “คุณพ่อเร็วๆ สิคะ”
เฉินถิงเซียวลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปที่ห้องครัวด้วยสีหน้าบึ้งตึง
มู่น่อนน่อนรีบหันกลับมาแล้วเดินไปที่ขอบโต๊ะทำอาหาร แกล้งทำเป็นว่ากำลังยุ่ง
ไม่นาน เฉินถิงเซียวก็เดินเข้ามา
มู่น่อนน่อนแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง แล้วถามด้วยแววตางุนงง “มีอะไรหรือเปล่าคะ”
เฉินถิงเซียวมีใบหน้าบึ้งตึง แล้วถามเธอเสียงดัง “ชามอยู่ที่ไหน?”
มู่น่อนน่อนชี้ไปที่ตู้เก็บของข้างหลังเธอ
ตู้เก็บของอยู่ข้างหลังเธอ เฉินถิงเซียวเดินมาเปิดตู้ ห้องครัวเดิมทีก็ไม่ใหญ่มาก พื้นที่เล็กแคบ มู่น่อนน่อนหันกลับมาก็ชนเข้ากับเฉินถิงเซียวพอดี
เธอรอให้เฉินถิงเซียวหยิบชามแล้ว จึงออกไปพร้อมกับเขา
เฉินมู่เห็นเฉินถิงเซียวหยิบชามออกมา เธอจึงทำเหมือนตอนที่มู่น่อนน่อนให้กำลังใจเธอ รีบยกนิ้วโป้งให้ แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “คุณพ่อเก่งมากค่ะ!”
เฉินถิงเซียวใช้ชีวิตมาครึ่งชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกเด็กน้อยเอ่ยชม
แต่ก็ไม่ได้ดีใจมากเท่าไหร่
เขาเม้มริมฝีปาก แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “กินข้าว”
โชคดีที่เฉินมู่คุ้นเคยกับท่าทางเย็นชาของเฉินถิงเซียวมานานแล้ว ถึงแม้เฉินถิงเซียวจะไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว เฉินมู่ก็ยากที่จะมองออก
เด็กกินได้น้อย เฉินมู่จึงเป็นคนกินอิ่มก่อนเสมอ
พอกินข้าวเสร็จ เธอก็วิ่งไปเล่นของเล่นด้านข้างทันที
ตอนนี้จึงเหลือเพียงมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวที่นั่งเผชิญหน้ากันที่โต๊ะอาหารเท่านั้น
บรรยากาศดูกลมกลืนกันอย่างหาได้ยาก มู่น่อนน่อนถามเขาขึ้นมาก่อน “เบาะแสเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตคนนั้น มีข่าวบ้างไหมคะ?”
“ไม่มี” เฉินถิงเซียวพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง
สีหน้าของมู่น่อนน่อนซีดลงเล็กน้อย เธอครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วพูดว่า “ขนาดคุณยังหาไม่พบ ก็หมายความว่าเขาจงใจหลบหนีเราจริงๆ”
จากนั้นเฉินถิงเซียวก็มองขึ้นไปที่เธอ
ถึงแม้เขาจะไม่ได้พูด แต่มู่น่อนน่อนก็สามารถอ่านสายตาของเขาได้ เขากำลังแสดงท่าทีให้เธอพูดต่อ
“เฉินจิ่งหยุ้นหาผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตระดับแนวหน้าทั่วโลก ค่าตอบแทนก็คงไม่น้อย สมมติว่าเฉินจิ่งหยุ้นให้ค่าตอบแทนจำนวนมากกับเขา แต่ตอนนี้เขาก็ยังซ่อนตัวจากพวกเรา นั่นหมายความว่าเขาอาจจะไม่ได้คาดหวังเรื่องค่าตอบแทน เพราะเงินค่าตอบแทนที่คุณให้ ต้องมากกว่าที่เฉินจิ่งหยุ้นสามารถให้ได้อย่างแน่นอน”
หลังจากที่มู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นเพื่อดูปฏิกิริยาของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียววางตะเกียบลง แล้วเอนหลัง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พูดต่อ”
“นั่นก็หมายความว่าผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตคนนั้น อาจจะสะกดจิตคุณเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง…”
ครั้งนี้ ก่อนที่มู่น่อนน่อนจะพูดจบ เฉินถิงเซียวก็พูดขัดเธอซะก่อน “จุดประสงค์บางอย่าง? ยกตัวอย่างเช่น?”
มู่น่อนน่อนนิ่งคิดอยู่สักพัก แล้วพูดว่า “ถ้าลองวิเคราะห์ดูดีๆ ผู้เชี่ยวชาญการสะกดจิตคนนี้อาจจะมีความแค้นเคืองอะไรกับคุณ?”
เฉินถิงเซียวเหมือนได้ยินเรื่องตลกๆ ในดวงตาของเขามีแววตาเยาะเย้ย “คุณรู้ไหมว่าคนที่มีความแค้นกับผม ผมจัดการกับพวกเขายังไง”
มู่น่อนน่อนกำหมัดของเธอแน่นเล็กน้อย “คุณคิดว่า ถ้าผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตคนนั้นไม่มีความแค้นกับคุณจริงๆ วิธีแก้แค้นของเขายังไม่โหดพอเหรอคะ?”
การให้คนคนหนึ่งลืมอดีต ลืมคนรัก ลืมลูกๆ ลืมเพื่อน ๆ ของเขาไป แบบนี้ยังไม่โหดร้ายอีกเหรอ?
“ชีวิตของผม ไม่แตกต่างไปจากเดิมเพราะเหตุนี้” ดวงตาของเฉินถิงเซียวเย็นชามาก
คนที่ลืมมักไม่รู้สึกอะไร แต่คนที่เจ็บปวดที่สุด กลับเป็นคนที่ถูกลืม
“กินข้าวกันเถอะ” มู่น่อนน่อนไม่อยากคุยเรื่องนี้กับเขาต่อ
ถ้าหัวข้อนี้ดำเนินต่อไป ก็มีแต่ไม่มีความสุข
มู่น่อนน่อนก้มหน้าลง แล้วกินข้าวต่ออย่างเงียบๆ
เฉินถิงเซียวรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของมู่น่อนน่อนกำลังเศร้าโศกมาก
จากแววตาของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนที่กำลังก้มหน้าลง เขามองเห็นเพียงขนตางอนยาวของเธอ ใบหน้าของเธอเรียบนิ่ง เธอคงกำลังเสียใจอยู่
เขาจึงไม่พูดอะไรอีก ทั้งสองนั่งกินข้าวกันอย่างเงียบๆ
หลังอาหารเย็น เฉินถิงเซียวเตรียมจะกลับไป
เฉินมู่ที่กำลังเล่นของเล่น พอเห็นเฉินถิงเซียวเดินไปที่ประตู แล้วเบิกตาโตรีบวิ่ง “ตึงตึงตึง”ไปหาเขา
“คุณพ่อขา จะไปไหนคะ” เฉินมู่พูด พร้อมกับชี้ไปที่นอกหน้าต่าง “ข้างนอกมืดแล้วนะคะ”
เฉินถิงเซียวมองลงมาที่เธอ “กลับบ้าน”
เฉินมู่ยังตัวเล็กมาก เขามองลงมาที่เธอเหมือนจะเมื่อยคอเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงก้าวถอยหลังเล็กน้อย
เฉินมู่คว้ามุมเสื้อผ้าของเขามาจับไว้ แล้วหันไปมองมู่น่อนน่อน “คุณแม่ขา”
น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนเหมือนกับสีหน้าของเธอ เธอพูดเสียงเรียบ “คุณพ่อจะกลับแล้วจ้ะ ลูกอย่าดึงเสื้อคุณพ่อไว้สิลูก”
“ไม่เอานะคะ” เฉินมู่ขมวดคิ้ว เธองอแงออกมาทันที “หนูไม่เอา ไม่ให้กลับนะ!”
เฉินมู่แทบไม่เคยงอแงแบบนี้เลย
บางครั้ง ตอนที่เด็กงอแงไม่ได้หมายความว่าเธอจะต้องไม่ใช่เด็กดีหรือดื้อรั้นไม่ฟังคำพูดของผู้ใหญ่
ที่เธองอแง เพราะเธอมีความต้องการของเธอเอง
ถึงแม้เธอจะยังเด็กมาก แต่เธอก็เป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง
เธอกับเฉินถิงเซียวแทบไม่เคยแยกจากกัน แต่ช่วงนี้กลับเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง ดังนั้นเธอจึงอยากอยู่ด้วยกันกับเฉินถิงเซียว
อยากอยู่กับพ่อ นี่ไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่มากมายอะไรเลย
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก แล้วมองไปทางเฉินถิงเซียว “คุณพาลูกกลับบ้านไปนอนด้วยสักคืนเถอะค่ะ หลังจากนั้นถ้าคุณไม่มีเวลา ให้สือเย่พามาส่ง หรือให้ฉันไปรับเธอเองก็ได้”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็ก้มตัวลงแล้วพูดกับเฉินมู่ว่า “ถ้าลูกไม่ยอมให้คุณพ่อไป ลูกก็กลับไปกับคุณพ่อ ถ้าลูกคิดถึงแม่ค่อยกลับมาหาแม่ดีไหมจ๊ะ”
เฉินมู่ขมวดคิ้วแน่น “คุณแม่ก็ไปด้วยสิคะ”
“แม่ไม่ไปจ้ะ ถ้าลูกคิดถึงแม่ แม่จะไปหาลูกจ้ะ” มู่น่อนน่อนลูบหัวเธอ “เป็นเด็กดีด้วยนะจ๊ะ”
เฉินมู่ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเธอไม่พอใจเล็กน้อย
เธอมองไปที่เฉินถิงเซียว จากนั้นก็มองไปที่มู่น่อนน่อน จากนั้นเธอก็ก้มหน้าลง สีหน้าบูดบึ้งไม่พูดอะไรอีก
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปเปิดประตู “คุณกลับไปเถอะค่ะ เสื้อผ้าของมู่มู่และของใช้ประจำวันมีอยู่ในบ้านของคุณครบทุกอย่าง ที่บ้านคุณมีคนใช้ พวกเขาจะดูแลมู่มู่เอง”
เพราะอย่างนี้ เธอถึงได้วางใจปล่อยให้เฉินถิงเซียวพาเฉินมู่กลับไปด้วย
เฉินถิงเซียวไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เขาขมวดคิ้ว แล้วพาเฉินมู่ออกไป
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ที่ประตู แล้วมองดูทั้งสองเดินเข้าไปในลิฟต์ ก่อนจะปิดประตูและกลับเข้าไปในห้อง
เฉินถิงเซียวพาเฉินมู่เข้าไปในลิฟต์
พอเขากดปุ่มชั้นที่จะลง เขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากข้างๆ เขา
เขาหันไปมอง ก็พบว่าเฉินมู่กำลังยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา
คิ้วของเฉินถิงเซียวขมวดขึ้น เขาพูดอย่างเย็นชา “ทำไมถึงร้องไห้?”
เฉินมู่เหลือบมองเขา แล้วร้องไห้ออกมา
“แง…แงแงแง…”
คนตัวเล็กร้องไห้น้ำตานองหน้า จมูกและตาแดงไปหมด แล้วยังปาดน้ำตาไม่หยุด
เสียงร้องของเฉินมู่ดังก้องไปทั่วทั้งลิฟต์
สายตาของเฉินถิงเซียวเริ่มหมดความอดทน เขาเอื้อมมือออกไปแล้วอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา
บางทีเมื่อก่อนเขาคงเคยอุ้มเฉินมู่มาก่อน ดังนั้นพอเขาอุ้มเธอ ท่าทางชำนาญของเขาทำให้เขาเองยังต้องตกใจเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวพยายามทำให้น้ำเสียงของเขาดูอ่อนโยนมากที่สุด “หยุดร้องไห้ได้แล้ว”
เฉินมู่ร้องไห้หนักมาก แล้วพูดสะอึกสะอื้น “ทำไมคุณแม่ไม่มาด้วยคะ…คุณ…ไม่ให้เธอมา…”
สือเย่ได้ยินดังนั้น ก็พูดขึ้นว่า “ทราบแล้วครับ”
แต่ว่า พอเขาวางสายแล้วหันกลับมา ก็เห็นเฉินถิงเซียวมองมาที่เขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
สายตาของเฉินถิงเซียวคมกริบ ทำให้สือเย่รู้สึกเหมือนถูกจับได้ว่าทำผิด
เขาพูดเสียงเบา “…คุณชาย”
เฉินถิงเซียวไม่ขยับเขยื้อน ก่อนจะถามว่า “เธอพูดอะไรกับนาย?”
ถึงแม้เขาจะทำงานกับเฉินถิงเซียวมาเป็นเวลานาน แต่เขาก็ยังรู้สึกตกใจกับความฉลาดเฉลียวของเฉินถิงเซียวอยู่ดี
เขาแน่ใจว่า เมื่อตะกี้เฉินถิงเซียวไม่เห็นว่าคนที่โทรมาคือมู่น่อนน่อน แต่ก็ยังเดาได้ว่าคนที่โทรมาคือมู่น่อนน่อน
“คุณหญิงน้อยบอกว่า ถ้าคืนนี้คุณชายไม่ไปทานอาหารกับพวกเธอ ให้ผมไปพาคุณหนูน้อยมาหาคุณชายครับ” ในเมื่อเฉินถิงเซียวเดาได้แล้วว่าคนที่โทรมาคือมู่น่อนน่อน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดออกไปตามตรง
“หึ!”
เฉินถิงเซียวยิ้มเยาะออกมา แล้วยิ้มตื้นๆ ออกมา “ผู้หญิงคนนั้นได้ใหม่ลืมเก่า เธอหาคนรักคนต่อไปได้แล้ว ตอนนี้เธอต้องการยัดเยียดเฉินมู่มาให้กับฉันอย่างนั้นเหรอ”
“คุณชายครับ คุณ… คิดมากไปหรือเปล่าครับ”สือเย่คิดไม่ออกจริงๆ ว่าเฉินถิงเซียวคิดอย่างนั้นได้ยังไง
มันช่างคาดไม่ถึงจริงๆ
“ฉันเพิ่งบอกกับเธอเมื่อคืนนี้ ว่าฉันจะไปกินข้าวด้วยคืนนี้ แต่ผลสุดท้ายล่ะ วันนี้เธอกลับพาลูกสาวของฉัน ไปกินข้าวกับผู้ชายคนอื่น!”
พอเฉินถิงเซียวพูดประโยคหลัง เขาโยนแฟ้มเอกสารในมือของเขาลงบนโต๊ะอย่างแรง “ด้านหนึ่งคิดจะกลับมาแต่งงานกับฉันใหม่ แต่อีกด้านกลับไปออกเดทกับผู้ชายคนอื่น เธอใจกล้ามากจริงๆ”
สือเย่ลังเลอยู่สักพัก แล้วตัดสินใจช่วยมู่น่อนน่อนพูดแก้ตัว “ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ คุณลี่เป็นคนที่เคยช่วยชีวิตคุณหญิงน้อยไว้ เธอความจำกลับมาแล้ว จะเลี้ยงข้าวตอบแทนคุณลี่ ก็เป็นเรื่องปกติ…”
เฉินถิงเซียวคนก่อนมีบางครั้งก็ไม่มีเหตุผล แต่ก็มีแนวคิดในการตัดสินใจที่ไม่เหมือนคนปกติ
และเฉินถิงเซียวในตอนนี้ เป็นคนขึ้มโนไปเอง
มู่น่อนน่อนแค่ไปกินข้าวกับลี่จิ่วเชียน แต่เฉินถิงเซียวกลับคิดว่ามู่น่อนน่อนจะเปลี่ยนใจไปหาคนอื่น
สมองของเขากลับจินตนาการไปไกล จนสือเย่ตามแทบไม่ทัน
หลังจากฟังคำพูดของสือเย่ เฉินถิงเซียวก็นิ่งคิดไปสักพัก
สือเย่เห็นแบบนี้ จึงพูดต่อ “นอกจากนี้ คุณลี่ยังเทียบกับคุณชายไม่ได้ด้วยซ้ำ”
สือเย่ทำงานกับเฉินถิงเซียวมาหลายปีแล้ว เขาเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าสักวันจะต้องมาพูดประจบประแจงเฉินถิงเซียวแบบนี้
โชคดีที่คำพูดของสือเย่ได้ผลกับเฉินถิงเซียวเล็กน้อย
“อย่างนั้นเหรอ” หลังจากที่เฉินถิงเซียวพูดจบ เขาก็โบกมือไล่ “ออกไปทำงานเถอะ”
สือเย่ได้ยินแบบนี้ จึงรีบเดินออกไป
เฉินถิงเซียวเอนหลังพิงเก้าอี้ แล้วขมวดคิ้วครุ่นคิด
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าจะไม่ไปหามู่น่อนน่อนเพื่อกินข้าวด้วยคืนนี้ แต่ก็ยังลังเลอยู่เล็กน้อย
คนเราต่างก็มีการติดอาหาร หลังจากได้กินอาหารที่มู่น่อนน่อนเป็นคนทำ เขาก็ไม่อยากกินอาหารที่คนใช้ที่บ้านทำแล้ว
มู่น่อนน่อนกลับคาดเดาได้ว่าคืนนี้เขาอาจจะไม่มา
ดูท่า เธอจะเข้าใจนิสัยของเขาดีไม่น้อย
ทำให้มู่น่อนน่อนยิ่งคิดว่าเขาจะไม่ไป เขายิ่งอยากจะไป
……
ในตอนเย็น มู่น่อนน่อนทำอาหารจนเต็มโต๊ะ โดยส่วนใหญ่เป็นเมนูที่เฉินถิงเซียวชอบกินทั้งนั้น
อีกเดี๋ยวถ้าสือเย่มารับเฉินมู่ มั่นใจว่าเฉินถิงเซียวจะไม่มา เธอจะห่ออาหารให้สือเย่เอากลับไปให้เฉินถิงเซียวด้วย
ตอนนี้เฉินถิงเซียวโกรธเอาแต่ใจตัวเอง เธอจะถือสาเขาไม่ได้
เพราะยังไง เขาก็เป็นคนป่วย
เธอจะถือสาคนป่วยได้ยังไงกัน
ตอนใกล้จะถึงสองทุ่ม เธอทำอาหารเสร็จ กริ่งประตูก็ดังขึ้นมา
มู่น่อนน่อนเดินไปเปิดประตู พอเห็นเฉินถิงเซียวยืนอยู่ข้างนอกประตู เธอตกตะลึงเป็นเวลาสามวินาที ก่อนจะเซถอยหลังไปครึ่งก้าวและหลีกทางให้เขาเดินเข้ามา
พอเขาเข้ามา มู่น่อนน่อนถึงได้สติกลับมา เธอหยิบรองเท้าแตะจากตู้รองเท้ามาวางไว้ตรงหน้าเฉินถิงเซียว
เธอซื้อรองเท้าแตะมาตอนบ่ายของวันนี้ เธอตั้งใจซื้อมาโดยเฉพาะ โดยซื้อมาตามขนาดเท้าของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเหลือบไปมอง เป็นรองเท้าแตะใหม่
เขาไม่พูดอะไรมาก แล้วก้มตัวไปสวมมัน
มันใส่ได้พอดิบพอดี เธอคงจะซื้อมาให้เขาโดยเฉพาะ
หัวใจของเฉินถิงเซียว รู้สึกสบายใจเล็กน้อย
เขาใส่รองเท้าแตะ แล้วทำเหมือนเดินอยู่ในบ้านตัวเอง เดินตรงไปที่ห้องอาหาร
มู่น่อนน่อนเดินตามหลังเขามา แล้วพูดว่า “ฉันนึกว่าคืนนี้คุณจะไม่มาซะแล้ว”
เฉินถิงเซียวหันกลับมาชำเลืองมองเธอ แล้วพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ถ้าผมไม่มา คุณอยากจะเรียกใครมา”
ตอนที่เขาอารมณ์ไม่ดี คำพูดของเขาสามารถฆ่าคนตายได้เลย
มู่น่อนน่อนเคยเจอมาแล้ว
ถูกเฉินถิงเซียวพูดจนสะอึก มู่น่อนน่อนก็จัดการได้อย่างง่ายดาย “ดังนั้น คุณกลัวว่าฉันจะเรียกใครมาแทน คุณก็เลยมาด้วยตัวเองอย่างนั้นเหรอคะ?”
“มู่น่อนน่อน นี่คุณ…” ก่อนที่เฉินถิงเซียวจะพูดจบ เขาก็ถูกเด็กน้อยขัดขึ้นมาซะก่อน
พอเฉินมู่ได้ยินเสียงของเฉินถิงเซียว เธอก็รีบวิ่งออกมา แล้วพุ่งตัวเข้าหาเฉินถิงเซียวทันที
แน่นอนว่า เธอยังเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด เพราะความสูงไม่พอ จึงกอดถึงแค่ขาของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวก้มหน้าลง แล้วสบตาเข้ากับดวงตาที่กลมโตสดใสของเด็กหญิงตัวน้อย
เฉินมู่ยิ้มได้หวานมาก และเสียงของเธอก็พูดอย่างออดอ้อน “คุณพ่อขา”
ใบหน้าที่เย็นชาของเฉินถิงเซียวเริ่มละลายไปเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
เขามองไปที่เฉินมู่สักพัก แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อ้วนขึ้นอีกแล้วใช่ไหมเรา?”
มู่น่อนน่อน “…”
ช่างเถอะ อย่าหวังว่าจะได้ยินอะไรดีๆ จากปากของเฉินถิงเซียวเลย
มู่น่อนน่อนลูบหัวเฉินมู่ แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “มู่มู่ คุณพ่อเขาชมที่หนูน่ารักจ้ะ”
เฉินมู่ปล่อยขาของเฉินถิงเซียว คิ้วทั้งสองขมวดเป็นรูปเลข “แปด” ในภาษาจีน เธอทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ “เขาว่าหนูอ้วน!”
“…” เฉินมู่ถึงกับเข้าใจความหมายจากคำพูดของเฉินถิงเซียวได้ด้วย
เฉินมู่เบ้ปาก “อ้วนไม่ดี”
หนังแอ๊คชั่นที่เธอดูไม่ได้เปล่าประโยชน์ เธอเข้าใจคำศัพท์จำนวนมากมาย
เฉินถิงเซียวยกยิ้มมุมปาก แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม: “อ้วนดีแล้ว น่ารักดี”
เฉินมู่เอียงศีรษะ แล้วมองไปที่เฉินถิงเซียวสักพัก “อ๋อ”
จากนั้น เธอก็กอดขาของเฉินถิงเซียวไว้อีกครั้ง “คุณพ่อขา อุ้ม”
สำหรับการออดอ้อนของเฉินมู่ เฉินถิงเซียวเหมือนไม่แยแสเลย “ไม่เรียกว่าเฉินชิงเซียวแล้วเหรอ”
เฉินมู่นึกว่าเขาอยากให้เธอเรียกเขาว่าเฉินชิงเซียว เธอจึงตะโกนเรียกอย่างใจดี “เฉินชิงเซียว”
น้ำเสียงยังคงจริงจังมาก
เฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่ขึ้นมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
มู่น่อนน่อนกลั้นยิ้ม เห็นเฉินถิงเซียวพ่ายแพ้ลงในมือของเฉินมู่ เธอรู้สึกชอบใจมาก
เฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่ไว้ แล้วนั่งลงที่โต๊ะอาหารเหมือนเจ้านาย
หลังจากที่เฉินมู่กับมู่น่อนน่อนอยู่ด้วยกัน ตอนกินข้าวเธอจะไปหยิบชามกับตะเกียบของตัวเอง
พอเห็นมู่น่อนน่อนยกอาหารออกมาจากในครัว เธอจึงพยายามไถลออกจากอ้อมกอดของเฉินถิงเซียว แล้ววิ่งไปที่ห้องครัวเพื่อเอาชามกับตะเกียบออกมาเอง
เธอหยิบชามกับตะเกียบออกมา แล้ววางไว้บนโต๊ะอย่างเรียบร้อย พอเห็นเฉินถิงเซียวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เธอจึงเดินไปดึงมือเขา “ไปเอาชามกับตะเกียบเองถึงจะเป็นเด็กดีค่ะ”
เฉินถิงเซียว “…”
มู่น่อนน่อนกำลังจะหยิบชามออกมา พอเห็นพฤติกรรมของเฉินมู่แล้ว เธอก็วางชามกลับเงียบๆ
ปล่อยให้เฉินถิงเซียวทำตัวเป็นเด็กดีเถอะ
มู่น่อนน่อนกำลังจะพูด แต่ถูกลี่จิ่วเชียนขัดขึ้นมาซะก่อน
“ผมรู้ว่าคุณอยากจะถามอะไร แต่จุดประสงค์หลักของวันนี้คือคุณชวนผมมากินข้าว” ลี่จิ่วเชียนมองมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าคุณต้องการถามคำถามพวกนั้นจริงๆ คุณก็ถามก่อนได้”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า เธอควรจะเก็บคำพูดก่อนหน้านี้ของเธอกลับมา
เธอไม่ชอบคุยกับคนฉลาดเอาซะเลย
เพราะคนฉลาดสามารถเดาได้ทันทีว่าคุณกำลังคิดอะไร อยากจะถามอะไร และต้องการจะทำอะไร
ในเมื่อเธอทำการเปิดเผยความจริงกับลี่จิ่วเชียนแล้ว นั่นหมายความว่ายอมบอกว่าเธอจำทุกอย่างได้แล้ว เธออยากจะถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้ว และลี่จิ่วเชียนรู้จักเธอได้ยังไง
แต่ว่า ลี่จิ่วเชียนอุตส่าห์พูดถึงขนาดนี้แล้ว เธอจึงไม่ถามอะไรเขาอีก
อาหารมื้อนี้กลายเป็นการกินข้าวระหว่างเพื่อน
ไม่พูดถึงความสงสัยที่อยู่ในใจของมู่น่อนน่อน ทั้งสองคนกำลังทานอาหารกันอย่างมีความสุข
แต่ว่า เรื่องราวต่างๆ มักจะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ใจคิด
ในตอนที่พวกเขาใกล้จะกินเสร็จแล้ว ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาจากข้างนอก
มู่น่อนน่อนแค่ชำเลืองมองเล็กน้อย แต่ไม่ได้มองอย่างละเอียด
ส่วนเฉินมู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอ กลับสายตาแหลมคมมองเห็นเฉินถิงเซียวที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนอย่างรวดเร็ว
เฉินมู่ร้องเรียนออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ “เฉินชิงเซียว”
แต่ตอนนี้เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ทานอาหารสำหรับเด็ก ออกไปไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงโยกตัวไปมาอย่างร้อนใจ
ทันทีที่เฉินถิงเซียวก้าวเข้าไปในร้านอาหาร เขาก็ขมวดคิ้วและหยุดชะงักเล็กน้อย “มีคนเรียกชื่อฉัน”
สือเย่ที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา จึงต้องหยุดตามเขาไปด้วย
เขาพยายามฟัง แต่พบว่าเขาไม่ได้ยินใครเรียกชื่อเฉินถิงเซียวเลย
เดิมทีคนที่เดินนำอยู่ข้างหน้าก็ระมัดระวังตัวมากอยู่แล้ว พอเขาสังเกตเห็นว่าเฉินถิงเซียวหยุดเดิน เขาก็ไม่กล้าที่จะเดินต่ออีก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงหยุดและรอเฉินถิงเซียวเท่านั้น
สือเย่กำลังจะเรียกเฉินถิงเซียว เขาก็เห็นว่าเฉินถิงเซียวกำลังมองไปที่สถานที่แห่งหนึ่ง
สือเย่มองตามสายตาของเฉินถิงเซียวไป จึงเห็นเฉินมู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทานอาหารสำหรับเด็กด้วยท่าทางตื่นเต้น และมู่น่อนน่อนกำลังนั่งอยู่ข้างๆ
ถ้ามันมีแค่นั้นก็ช่างเถอะ
แต่ตรงข้ามมู่น่อนน่อนกลับมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่
สือเย่หันไปมองดูท่าทางของเฉินถิงเซียวอย่างระมัดระวัง แต่กลับไม่พบความผิดปกติ จากนั้นเขาก็ดึงสายตากลับมา แล้วยืนอยู่ข้างหลังเฉินถิงเซียวด้วยท่าทางเคารพ ก่อนจะพูดว่า “นั่นมันคุณหญิงน้อยกับคุณหนูน้อยนี่ครับ คุณชายจะเข้าไปหาไหมครับ”
ก่อนหน้านี้เขาเรียกมู่น่อนน่อนว่า “คุณหญิงน้อย” และเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้สั่งให้เขาเปลี่ยนคำพูด ดังนั้นเขาจึงขี้เกียจที่จะเปลี่ยนคำเรียกของเขา
“ไม่เห็นว่าเธอกำลังกินข้าวกับผู้ชายคนอื่นด้วยสีหน้าดีใจอยู่เหรอ?” เฉินถิงเซียวพูดเยาะเย้ย “อย่าเข้าไปรบกวนเธอ”
คำว่า “ผู้ชายคนอื่น” เขาพูดเน้นเสียงอย่างชัดเจน
นี่เขาหึงแล้ว? โกรธแล้วเหรอ ?
สือเย่เดาใจไม่ถูก
ถ้าหากเป็นเฉินถิงเซียวในอดีต เขาแน่ใจได้เลยว่าเฉินถิงเซียวจะต้องโกรธมาก
แต่เฉินถิงเซียวในตอนนี้เขาก็ไม่แน่ใจ
หลังจากที่เฉินถิงเซียวพูดจบ เขาก็เดินไปที่ห้องอาหารโดยไม่หันหลังกลับไปมองอีก
ตอนที่มู่น่อนน่อนเห็นเฉินถิงเซียว เธอแอบพูดในใจว่าแย่แล้ว
ถึงแม้ความสัมพันธ์ของเธอกับลี่จิ่วเชียนจะบริสุทธิ์ แต่เฉินถิงเซียวไม่คิดอย่างนั้นแน่นอน
เฉินถิงเซียวเคยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนมาก่อนแล้ว
ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวกำลังคิดยังไง แต่มู่น่อนน่อนรู้ว่าเขาโกรธแล้ว
“มีอะไรเหรอครับ?”
ลี่จิ่วเชียนหันกลับแล้วมองตามสายตาเธอไป พอดีกับที่เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปที่ห้องอาหาร
เมื่อตะกี้เฉินมู่ตะโกนเรียกว่า “เฉินชิงเซียว” แต่เขาฟังไม่ชัด และเขาไม่รู้ว่าเธอกำลังเรียกเฉินถิงเซียว
พอเห็นเฉินถิงเซียว เขาถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ลี่จิ่วเชียนแซวมู่น่อนน่อน “พวกคุณนี่ชะตาตรงกันจริงๆ ขนาดมากินข้าวยังมาเจอกันได้”
“ใช่สิ” มู่น่อนน่อนยิ้มแห้ง เธอรู้สึกว่าลี่จิ่วเชียนกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอยู่
……
พอมู่น่อนน่อนกับลี่จิ่วเชียนกินข้าวเสร็จ กลุ่มของเฉินถิงเซียวก็ยังไม่ออกมา
ส่วนเฉินมู่ที่เห็นเฉินถิงเซียว แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่สนใจเธอ จึงรู้สึกหดหู่ใจมาก แม้จะใช้ไอศกรีมมาง้อ เธอก็ไม่ได้ดีใจมากเท่าไหร่
มู่น่อนน่อนถอนหายใจเล็กน้อย
“พวกคุณจะรอเฉินถิงเซียวอยู่ที่นี่เหรอครับ?” ลี่จิ่วเชียนเอ่ยถาม
มู่น่อนน่อนเหลือบมองเฉินมู่แล้วพยักหน้า “อืม”
“ช่วงบ่ายผมยังมีคนไข้อีกหลายราย ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” หลังจากลี่จิ่วเชียนพูดจบ เขาก็หันหลังเดินจากไป
มู่น่อนน่อนสั่งชาผลไม้ แล้วนั่งรอเฉินถิงเซียวออกมาเป็นเพื่อนเฉินมู่
ความล่าช้าในการออกมาของเฉินถิงเซียว ทำให้มู่น่อนน่อนสงสัยว่าเฉินถิงเซียวอาจจะออกไปแล้ว
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดโทรไปหาเฉินถิงเซียว แต่เฉินถิงเซียวไม่รับสาย
มู่น่อนน่อนต้องส่งข้อความไปหาเขาแทน “มู่มู่กำลังรอคุณอยู่”
ความจริงก็คือเฉินมู่อยากจะเจอเขาจริงๆ
เฉินถิงเซียวยังคงไม่ตอบเธอ
มู่น่อนน่อนรออีกสักพัก แต่ก็ยังไม่เห็นเฉินถิงเซียวเดินออกมา
ความสงสัยในใจของมู่น่อนน่อนยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เธอพาเฉินมู่ไปที่ประตูห้องอาหารโดยตรง ก่อนจะเคาะประตูห้องสัญญาณสองครั้ง แล้วผลักประตูเข้าไป
ในห้องอาหาร ไม่มีเงาของเฉินถิงเซียวกับสือเย่อยู่แล้ว?
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วแล้วถาม “เฉินถิงเซียวอยู่ที่ไหน?”
มู่น่อนน่อนไม่ใช่คนร่าเริง ถ้าไม่ยิ้มจะดูเย็นชามาก
คนที่อยู่ในห้องอาหารเดาว่าเธออาจจะเป็นคู่ควงคนใดคนหนึ่งของเฉินถิงเซียว แต่มีคนพูดขึ้นมาว่า “คุณชายเฉินออกไปตั้งนานแล้วครับ”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากแน่น แล้วกัดฟันพูด “ขอบคุณที่บอกค่ะ”
จากนั้นเธอก็เดินออกไป แล้วปิดประตูให้พวกเขาด้วย
เธอก้มหน้าลง จึงสบตากับดวงตาที่กำลังสงสัยของเฉินมู่
“คุณพ่อล่ะคะ” ไม่ได้บอกว่าจะรอคุณพ่อออกมาเหรอ แล้วพ่ออยู่ไหนล่ะ?
มู่น่อนน่อนไม่รู้จะอธิบายกับเธอยังไง เฉินถิงเซียวไม่อยากเห็นพวกเธอ…ไม่ใช่สิ เฉินถิงเซียวอาจจะไม่อยากเห็นเธอแค่คนเดียว
มู่น่อนน่อนอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา “เรากลับบ้านกันก่อนนะจ๊ะ”
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว ระหว่างทางกลับ เฉินมู่ก็เริ่มง่วงขึ้นมาอีกครั้ง
พอกลับถึงบ้าน เฉินมู่ก็หลับไปแล้ว
มู่น่อนน่อนอุ้มเธอวางลงบนเตียง และเพื่อไม่ให้เธอสะดุ้งตื่น เธอจึงเบามือให้มากที่สุด
แต่เฉินมู่ตัวกลม น้ำหนักน่าจะประมาณยี่สิบกิโลกรัมแล้ว มู่น่อนน่อนอุ้มกลับมาตลอดทาง ตอนนี้มือของเธอก็เริ่มเมื่อยแล้ว แค่วางเฉินมู่ลงบนเตียง เธอก็เสียแรงไปมากแล้ว
มู่น่อนน่อนมองไปที่ใบหน้าที่ดูเหมือนเฉินถิงเซียวมาก ก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วลูบจมูกของเธอเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นมา “เจ้าตัวอ้วน”
พอออกมาจากห้องของเฉินมู่ มู่น่อนน่อนก็โทรหาสือเย่
เสียงของสือเย่ยังคงเต็มไปด้วยความเคารพ “ครับคุณหญิงน้อย”
มู่น่อนน่อนนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วถามออกมาตรงๆ ว่า“ในร้านอาหารเมื่อตะกี้ เฉินถิงเซียวเห็นฉันกับลี่จิ่วเชียนกินข้าวด้วยกัน เขาโกรธแล้วใช่ไหมคะ”
สือเย่เหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งหลังโต๊ะทำงาน กำลังพลิกอ่านเอกสาร ก่อนจะหันไปอีกด้าน แล้วกระซิบพูด “น่าจะใช่ครับ…”
มู่น่อนน่อนนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วพูดว่า “ถ้าเขากลับจากเลิกงานคืนนี้ ฉันรบกวนคุณให้มารับมู่มู่ด้วยนะคะ”
ถ้าเฉินถิงเซียวโกรธจริงๆ คืนนี้เขาคงไม่มาหาเธอแน่นอน
แต่เฉินมู่คิดถึงเขามาก และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ปฏิเสธตัวตนของเฉินมู่ มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า ถ้าพาเฉินมู่ไปพักที่บ้านของเฉินถิงเซียวสักคืน คงไม่เป็นไร
มู่น่อนน่อนถามเธอ “ลูกถามถึงคุณน้าเสิ่นกับคุณลุงกู้ใช่ไหมจ๊ะ”
“ค่ะ” เฉินมู่พยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“พวกเขากลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วจ้ะ”
หลังจากที่มู่น่อนน่อนพูดจบ เธอจึงเห็นความผิดหวังปรากฏบนใบหน้าของเฉินมู่
เด็ก ๆ มักจะชอบความครึกครื้น
แล้วอีกอย่าง เฉินมู่ไม่เคยมีเพื่อนเล่นที่อยู่ในวัยเดียวกัน ทั้งวันจึงได้แต่เล่นของเล่นหรือดูการ์ตูนเท่านั้น
ถึงแม้มู่น่อนน่อนจะเล่นกับเธอได้ แต่โลกของเด็กๆ ก็ยังต้องการเพื่อนเล่นและความสนุกมากกว่านี้
มู่น่อนน่อนทนดูเธอเสียใจไม่ได้ จึงพูดว่า “คุณพ่อบอกว่าคืนนี้จะมาหาลูกจ้ะ”
“คุณพ่อจะมาเหรอคะ?” เฉินมู่ทวนคำพูดของมู่น่อนน่อน นัยน์ตาเป็นประกายดีอกดีใจ
“ใช่จ้ะ” มู่น่อนน่อนพยักหน้า ก่อนจะหยิบกระดาษทิชชูเช็ดมุมปากให้เฉินมู่ แล้วพูดว่า “ดังนั้นนะจ๊ะ ตอนนี้ลูกต้องตั้งใจกินข้าว ตอนเย็นลูกจะได้เจอเฉินชิงเซียวแล้ว”
เฉินมู่คงจะนึกสนุกพอได้ยินมู่น่อนน่อนเรียกเฉินชิงเซียวเหมือนกับเธอ เธอจึงหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า”
หลังจากที่เฉินมู่กินอิ่มแล้ว เธอก็เดินไปเล่นคนเดียว
อาจเป็นเพราะเฉินมู่เล่นคนเดียวมาตลอด เฉินมู่เล่นคนเดียวก็สนุกได้
มู่น่อนน่อนมองดูเธออยู่สักพัก แล้วเดินไปทำความสะอาดห้องครัว
ในเวลานี้เอง โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นมา
พอเห็นหมายเลขผู้โทรบนหน้าจอ มู่น่อนน่อนก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกดรับสาย
มู่น่อนน่อนกดรับสาย แล้วพูดออกมา “ลี่จิ่วเชียน”
ในน้ำเสียงของลี่จิ่วเชียนแฝงเสียงหัวเราะเล็กน้อย “ช่วงนี้ยุ่งนิดหน่อย ไม่มีเวลาโทรหาคุณเลย เป็นยังไงบ้างครับ”
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงพลิกเอกสาร มู่น่อนน่อนจึงถามเขาว่า “คุณไปทำงานเช้าขนาดนี้เลยเหรอคะ?”
ลี่จิ่วเชียนพูดกึ่งตลกกึ่งจริงจังว่า “สำหรับคนโสด จะทำงานหรือไม่ก็ไม่ต่างกันครับ”
มู่น่อนน่อนได้ยินแบบนี้ ก็อดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้
ไม่ว่ายังไง คนที่ช่วยชีวิตเธอก็คือลี่จิ่วเชียน งานเลี้ยงย้ายบ้าน เธอกลับไม่ได้นึกถึงลี่จิ่วเชียนเลย
“คนไข้หญิงของคุณเข้าแถวรอคุณ คงจะยาวไปถึงสนามบินแล้วมั้งคะ” ลี่จิ่วเชียนมีชื่อเสียงมาก นอกจากคนไข้จริงบางส่วนแล้ว ยังมีผู้ป่วยสาวบางส่วนที่จงใจขอนัดให้เขาช่วยรักษา เพราะมีวัตถุประสงค์แอบแฝง
ลี่จิ่วเชียนได้ยินแบบนั้น ก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “ผมอยากจะให้คุณนัดผมมากกว่า”
มู่น่อนน่อนจึงยอมเออออห่อหมกตามคำพูดของเขา แล้วพูดว่า “นัดคุณกินข้าว งั้นก็ไม่ต้องรอช้า วันนี้เลยไหมคะ”
ลี่จิ่วเชียนผงะไปเล็กน้อย “จริงเหรอครับ?”
“อืม เดี๋ยวฉันส่งตำแหน่งร้านไปให้นะคะ”
หลังจากที่มู่น่อนน่อนพูดจบ เฉินมู่ก็เรียกเธอออกไปข้างนอก
เธอคุยกับลี่จิ่วเชียนอีกไม่กี่คำก็วางสายไป เธอรีบเดินออกไปหาเฉินมู่
ลูกแก้วที่เฉินมู่เล่นกลิ้งเข้าไปในซอกโซฟา เธออยากให้มู่น่อนน่อนช่วยเอามันออกมาให้เธอ
……
ตอนกลางวัน มู่น่อนน่อนก็พาเฉินมู่ออกจากบ้านไป
เพื่อแสดงความจริงใจในเลี้ยงข้าว มู่น่อนน่อนจึงพาเฉินมู่ไปก่อนครึ่งชั่วโมง
เธอสั่งของว่างเล็กๆ น้อยๆ ให้เฉินมู่ก่อน แล้วนั่งรอลี่จิ่วเชียนมาตามนัด
ก่อนหน้านี้เธอความทรงจำเสื่อม ทำให้เธอกับลี่จิ่วเชียนใกล้ชิดกันมาก
แต่ตอนนี้เธอฟื้นความจำแล้ว เธอจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วได้ทั้งหมด
เมื่อสามปีที่แล้ว ลี่จิ่วเชียนปรากฏตัวขึ้นมากะทันหัน เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใครด้วยซ้ำ
รอจนเธอจะได้รู้ว่าลี่จิ่วเชียนเป็นใคร ก็เกิดเรื่องพวกนั้นขึ้นมาซะก่อน…
และลี่จิ่วเชียนก็ช่วยชีวิตเธอไว้
ตอนนี้เธอยิ่งสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของลี่จิ่วเชียนมากขึ้นไปอีก
มู่น่อนน่อนไม่ได้รอนานมาก ลี่จิ่วเชียนก็เดินทางมาถึง
“ผมนึกว่าผมมาถึงเป็นคนแรกซะอีก”
ลี่จิ่วเชียนยกยิ้มและนั่งลงตรงหน้าเธอ แววตาของเขามองไปที่เฉินมู่ “ลูกสาวของคุณเหรอครับ?”
“อืม เธอชื่อเฉินมู่ค่ะ” มู่น่อนน่อนยกยิ้ม แล้วลูบศีรษะเฉินมู่ “ทักทายคุณลุงลี่สิลูก”
เฉินมู่ยังมีอาหารอยู่ในปาก ดังนั้นเธอจึงกล่าวทักทายอย่างไม่ชัดเจนว่า “สวัสดีค่ะคุณลุงลี่…”
“เด็กดี” ลี่จิ่วเชียนยกยิ้มจนตาหยี ทำท่าทางเหมือนไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์
ท่าทางแบบนี้ของลี่จิ่วเชียน เหมือนที่มู่น่อนน่อนได้เห็นเมื่อสามปีก่อน
ถึงแม้ลี่จิ่วเชียนจะดูเป็นคนบริสุทธิ์ แต่เขาก็ปรากฏตัวขึ้นมากะทันหันเกินไป ถึงแม้เขาจะมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตมู่น่อนน่อนไว้ แต่เธอก็อดที่จะระวังตัวไม่ได้
“วันนี้เป็นอะไรครับ ทำไมเอาแต่มองผมตลอดเวลาแบบนี้?” ลี่จิ่วเชียนพูดอย่างนึกสนุก “หรือว่าคุณจะตัดใจจากเฉินถิงเซียว แล้วมาคบกับผม ผมเต็มใจมากเลยล่ะ”
มู่น่อนน่อนเลิกคิ้วขึ้น “คุณอยากเป็นคนรับเลี้ยงดูลูกเมียคนอื่นต่อหรือไง?”
ลี่จิ่วเชียนยกยิ้ม แล้วไม่พูดหัวข้อนี้ต่อ จึงถามว่า “เฉินถิงเซียวเป็นยังไงบ้างครับ”
“ยังดีค่ะ” สำหรับเธอแล้ว เฉินถิงเซียวยอมคุยกับเธอ ก็ถือว่าดีมากแล้ว
“งั้นก็ดีแล้วครับ” ลี่จิ่วเชียนพยักหน้า เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “ถ้าคุณต้องการ คุณพาเขาไปที่ที่ทำงานของผมได้ ผมจะช่วยแนะนำทางจิตวิทยาเขาดู เผื่อจะมีประโยชน์อะไรบ้าง”
มู่น่อนน่อนสีหน้านิ่ง “ขอบคุณนะคะ”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็ส่งเมนูให้ลี่จิ่วเชียน “สั่งอาหารกันก่อนเถอะค่ะ”
ลี่จิ่วเชียนหยิบเมนูขึ้นมา แล้วดูอย่างละเอียด
ตอนที่เขาก้มตาลง และมองดูเมนูอย่างตั้งใจ เขาก็ไม่ต่างจากผู้ชายธรรมดาทั่วไป
ถ้าต้องพูดว่ามีอะไรที่พิเศษ ก็คงจะเป็นที่เขาใจดีเป็นพิเศษ ความรู้สึกนี้แผ่กระจายออกมาจากภายในสู่ภายนอก
เขามีอารมณ์ขันเล็กน้อย แต่ก็นิ่งสงบ เป็นผู้ชายหัวกะทิที่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้หญิงมาก
มีอาชีพที่ประสบความสำเร็จ เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการอาชีพ และมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
ถ้าเทียบกับเฉินถิงเซียว ก็ยังดูธรรมดาไปบ้าง
แต่ว่า ถ้าเป็นแค่คนธรรมดา จะช่วยชีวิตเธอจากเกาะได้ยังไง?
เธอเคยคุยกับเสิ่นเหลียงมาก่อน ตอนนั้นเฉินถิงเซียวได้รับบาดเจ็บสาหัส เฉินจิ่งหยุ้นรีบพาเฉินถิงเซียวออกไปรักษา แล้วยังพาทีมค้นหาและกู้ภัยกลับไปด้วย ต่อมา กู้จือหยั่นก็รีบไปตามหา แต่ก็หาเธอไม่เจอ
แล้วลี่จิ่วเชียนหาเธอเจอตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วพาเธอไปตั้งแต่เมื่อไหร่?
มู่น่อนน่อนมองไปที่ลี่จิ่วเชียนด้วยความละเมอ
“ถ้าคุณยังมองผมแบบนี้ ผมจะนึกว่าคุณจะเปลี่ยนใจ และตกหลุมรักผมแล้ว” ลี่จิ่วเชียนเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองมาที่เธอ
มู่น่อนน่อนได้สติกลับมาทันที เธอถามอย่างใจเย็นว่า “สั่งอาหารเสร็จหรือยังคะ?”
ลี่จิ่วเชียนพยักหน้า สายตาของเขาเคร่งขรึมมากขึ้น “ครับ”
พออาหารถูกเอามาเสิร์ฟ ทั้งสองพูดคำตอบคำ ทำให้บรรยากาศดูอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
ลี่จิ่วเชียนก็พูดขึ้นมาทันที “เกิดเรื่องขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
ถึงแม้เขาจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่มู่น่อนน่อนก็รู้ดี ว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร
“หลังจากที่ฉันไปหาคุณ วันนั้นระหว่างทางกลับบ้าน ฉันไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า มีคนเอาระเบิดมาระเบิดที่ห้าง…” มู่น่อนน่อน สรุปสถานการณ์ในวันนั้นสั้นๆ แล้วพูดว่า “บางทีคงจะเป็นเพราะเสียงระเบิดกระตุ้น ก็เลยทำให้ฉันจำทุกอย่างได้”
บางครั้ง คนเราก็ชอบคุยกับคนฉลาด
เพราะคุยกับคนฉลาดสามารถช่วยลดการใช้เซลล์สมองได้มาก ไม่ต้องพูดวกไปวนมา เขาก็สามารถเดาทุกอย่างได้แล้ว
สีหน้าของลี่จิ่วเชียนไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เขาเพียงแค่พูดเบา ๆ “ยินดีด้วยนะครับ”
กู้จือหยั่นยังพูดไม่ทันจบ ก็ร้องออกมาซะก่อน
เพราะเสิ่นเหลียงเตะเขาอีกครั้ง
ครั้งนี้เธอเตะแรงกว่าครั้งก่อนหน้านี้ กู้จือหยั่นกลั้นไม่อยู่จึงส่งเสียงร้องออกมา
กู้จือหยั่นกอดขาตัวเองไว้แล้วกระโดดไปมา เสิ่นเหลียงเชิดคางขึ้นถลึงตามองเขา “ใครโง่? หืม?”
กู้จือหยั่นทนความเจ็บปวดที่ขาของเขา แล้วตอบอย่างใจเย็นว่า “คุณหนู ผมโง่เอง”
“เชอะ!” เสิ่นเหลียงยิ้มเยาะ ก่อนจะหันกลับมา แล้วแนบหูไปที่ประตู อยากได้ยินเสียงข้างใน
แต่ระบบกันเสียงของห้องนั้นดีมาก ทำให้เสิ่นเหลียงไม่ได้ยินอะไรเลย จึงยืดตัวตรงอย่างโมโห แล้วหันหลังเดินจากไป
……
ภายในบ้าน
หลังจากที่เสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นออกไป บรรยากาศในห้องก็เงียบลงทันที
เดิมทีนึกว่า เมื่อตะกี้มีเสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นอยู่ด้วย ก็น่าอึดอัดอยู่แล้ว แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าพอพวกเขากลับไป เธอจะอึดอัดใจมากกว่าเดิม
เธอไม่ใช่แค่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะวางมือไว้ตรงไหน
ไม่เหมือนเฉินถิงเซียว ที่ยังทำตัวปกติ นั่งกินข้าวอย่างสบายใจ
แต่จู่ๆ เฉินถิงเซียวก็ถามเธอขึ้นมา “ฝีมือการทำอาหารของคุณดีแบบนี้มาตลอดเลยเหรอ?”
เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นี่เฉินถิงเซียวชมเชยฝีมือการทำอาหารของเธออย่างไม่ปกปิด
แต่ว่า คนที่ทำอาหารเป็น พอถูกคนชื่นชมฝีมือการทำอาหาร ในใจก็รู้สึกถึงอันตราย
เพราะว่า พอมีคนชมเชยฝีมือการทำอาหารของคุณ นั่นหมายความว่าคนที่ชมเชยคุณ มีความคิดที่จะให้คุณทำอาหารต่อไป
มู่น่อนน่อนไม่รู้จะตอบคำถามนี้ยังไง เธอจึงพูดว่า “ฉันทำอาหารได้มาตลอดค่ะ”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไรอีก เขาหันไปกินข้าวต่อ
มู่น่อนน่อนเพิ่งกินข้าวกับพวกเสิ่นเหลียงไปรอบหนึ่ง ตอนนี้อิ่มไปบ้างแล้ว ยังไม่รู้สึกหิว
เธอคีบผักขึ้นมาและกินเข้าไปช้าๆ และรู้สึกว่าอาหารเริ่มเย็นแล้ว
เธอลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “ฉันไปอุ่นอาหารให้ดีกว่าค่ะ มันเย็นแล้ว”
เฉินถิงเซียวไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง “ไม่ต้อง”
เขายังคงก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป
นอกจากหัวหอมแล้ว เฉินถิงเซียวกินได้ทุกอย่าง หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ เขาก็ไม่ใช่คนเลือกกินอะไร
คนรับใช้ในบ้านเขามีมากมาย พ่อครัวก็มีความเป็นมืออาชีพ มู่น่อนน่อนไม่คิดว่าทักษะการทำอาหารของเธอจะน่าทึ่งถึงขนาดนั้น
แต่ว่า ไม่ว่าจะเป็นเฉินถิงเซียวในอดีต หรือเฉินถิงเซียวในตอนนี้ เหมือนว่าเขาจะชอบกินอาหารที่เธอเป็นคนทำมาก
“ทำไมคุณถึงชอบกินอาหารที่ฉันทำคะ” มู่น่อนน่อนคิดแบบนี้ แล้วถามออกมาตามที่ใจคิด
“ลองเดาดูสิ” คำพูดที่เหมือนล้อเล่น แต่เฉินถิงเซียวกลับพูดคำพวกนี้ด้วยสีหน้าจริงจัง
แล้วจะให้เดายังไง?
มู่น่อนน่อนขี้เกียจจะเดา เธอลุกขึ้นแล้วเก็บภาชนะที่เสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นเคยใช้แล้ว ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าตรงหน้าเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวถิงเซียวกินอาหารตามขั้นตอน เขาจะคีบกินอาหารทุกจาน
เพราะแบบนี้ จึงเป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะว่าเขาชอบอาหารจานไหนมากกว่า
ช่างเป็นผู้ชายที่สุขุมมากจริงๆ
มู่น่อนน่อนนึกดีใจ เพราะผู้ชายสุขุมคนนี้ อยู่ตรงหน้าเธอเขาไม่ได้สุขุมเลย
จู่ๆ ผู้ชายที่นั่งตรงข้ามเธอก็เงยหน้าขึ้นมองเธอ “ให้ผมได้กินข้าวดีๆ หน่อยได้ไหม?”
“หะ?” มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนี้ขึ้นมากะทันหัน
“ถึงแม้คุณจะตั้งตารอที่จะให้ผมค้างคืนที่นี่เป็นพิเศษ แต่ผมขอกินข้าวก่อน ไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงของเขาเบาในสามคำสุดท้าย
คำพูดที่เหลวไหล แต่เขากลับพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจังแบบนี้
ถ้าบอกว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้ตั้งใจ ฆ่าให้ตายมู่น่อนน่อนก็ไม่เชื่อ
นี่เฉินถิงเซียวเคยสนุกกับการหยอกล้อเธอ ก็เลยคิดจะแกล้งเธอเพื่อความสนุกอีกเหรอ?
ดังนั้น เขาถึงได้ยังพูดแบบนี้สินะ?
“เชิญคุณกินตามสบายนะคะ” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วหันหลังเดินกลับห้องไป
พอได้ยินเสียงปิดประตูดัง “ปัง” เฉินถิงเซียวก็วางตะเกียบลงและมองไปที่ประตูที่เพิ่งปิดลงไป
เขาพบว่า มู่น่อนน่อนผู้หญิงที่อยากจะแต่งงานกับเขาใหม่คนนี้ น่าสนใจมากเลยทีเดียว
แต่น่าสนใจตรงไหน เขาก็อธิบายไม่ถูก
แค่รู้สึกอยากจะพูดกับเธอ รู้สึกว่าเธอทำอาหารได้อร่อยมาก ตอนที่เธอมาหาเขา เขาก็อดที่จะหยอกล้อเธอไม่ได้ ถ้าเธอไม่มา เขาก็รู้สึกโกรธอยู่บ้าง
เขาคิดว่า คงเป็นเพราะเขาถูกมู่น่อนน่อนเข้ามายุ่งด้วยตลอด ทำให้เขาสับสนเล็กน้อย
……
มู่น่อนน่อนเดินไปเดินมาอยู่ในห้องนอนของเธอ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน มีเสียงเตือนข้อความบนโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้นมา
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเปิดอ่านข้อความ สิ่งแรกที่เห็นคือรายชื่ออาหาร
มีข้อความทิ้งท้ายข้อความว่า “เมนูของวันพรุ่งนี้ แปดโมงผมจะมาถึง”
น้ำเสียงที่เป็นธรรมชาตินี้ ทำให้มู่น่อนน่อนนิ่งอึ้งเล็กน้อย
พอมานึกดูดีๆ ตอนที่เธอกับเฉินถิงเซียวพบกันครั้งแรก เหมือนว่าจะเป็นเพราะว่าเขาชอบกินอาหารที่เธอทำ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนค่อยๆ พัฒนาใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะพูดยังไง นี่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี
เฉินถิงเซียวไม่ได้ปฏิเสธเธอ เธอจึงมีความอดทนที่จะใช้เวลาอยู่กับเฉินถิงเซียวไปตลอด
พอคิดได้แบบนี้ อารมณ์ของมู่น่อนน่อนก็ดีขึ้นมาก
เธอส่งข้อความกลับไปให้เฉินถิงเซียว “ห้ามมาสายเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะเอาอาหารทั้งหมดไปเลี้ยงสุนัขจรจัด”
ในเวลานี้ เฉินถิงเซียวเพิ่งเดินเข้าไปในลิฟต์
หลังจากได้รับข้อความของมู่น่อนน่อน เฉินถิงเซียวก็ยิ้มออกมา
ผู้หญิงคนนี้ พอไว้หน้าให้ก็ได้ใจเกินควรจริงๆ
เขาอุตส่าห์มีอารมณ์ตอบมู่น่อนน่อน “คุณลองทำดูได้”
มู่น่อนน่อนได้รับข้อความจากเฉินถิงเซียว และจินตนาการถึงสีหน้าของเฉินถิงเซียวตอนที่ส่งข้อความมาให้เธอ จะมีสีหน้ายังไง
เขาจะต้องสีหน้าเย็นชา ไม่แยแสอะไรแน่ๆ
มู่น่อนน่อนไม่ตอบข้อความของเฉินถิงเซียวอีก เธอวางโทรศัพท์ลงแล้วเปิดประตูออกไป จึงเห็นแต่ห้องนั่งเล่นที่ว่างเปล่า
ห้องอาหารและห้องนั่งเล่นเชื่อมต่อกัน โต๊ะอาหารว่างเปล่าไร้ผู้คนมานานแล้ว เหลือไว้แต่จานชามและตะเกียบที่เฉินถิงเซียวเคยใช้
ชามและตะเกียบวางไว้อย่างเรียบร้อย เป็นความคุ้นเคยของเฉินถิงเซียว หลังจากกินข้าวเสร็จเขาจะเก็บตะเกียบและชามให้เรียบร้อย
คืนพรุ่งนี้จะมากินข้าว แล้วยังส่ง “เมนูอาหารที่อยากกินมาเป็นแถว” มาให้เธอ นี่คิดว่าที่นี่เป็นร้านอาหารหรือไง?
มู่น่อนน่อนทำความสะอาดภาชนะบนโต๊ะอาหารพร้อมกับฮัมเพลงไปด้วย
……
เช้าวันรุ่งขึ้น มู่น่อนน่อนถูกเฉินมู่ปลุกตื่น
เฉินมู่ตบประตูจากด้านนอก “คุณแม่ขา”
มู่น่อนน่อนมองดูเวลา ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้ว
เมื่อคืนเธอฝันติดต่อกันทั้งคืน จนถึงช่วงกลางดึก เธอถึงได้ผล็อยหลับสนิทไป
“แม่มาแล้วจ้ะ” มู่น่อนน่อนลุกจากเตียง แล้วเดินไปเปิดประตูห้อง
เฉินมู่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยผมยุ่งเหยิง น้ำเสียงของเธอออดอ้อน “คุณแม่ขา หนูหิว…”
“เดี๋ยวแม่ไปทำอาหารเช้าให้ลูกนะจ๊ะ” มู่น่อนน่อนอุ้มเธอขึ้นมา แล้วเดินไปทางห้องน้ำ “แต่ว่า ก่อนจะทำอาหารและกินข้าว เราต้องล้างหน้า แปรงฟันซะก่อน”
หลังจากที่มู่น่อนน่อนกับเฉินมู่ล้างหน้ากันเสร็จ มู่น่อนน่อนก็เปิดกล่องโยเกิร์ตให้ลูกสาว ก่อนจะไปทำอาหารเช้า
เธอทอดไข่ดาว และอุ่นของว่างเล็กน้อย
พอทั้งสองกินอาหารเช้ากันเสร็จ เฉินมู่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วชี้ไปที่เก้าอี้ข้างๆ เธอ “คุณน้าเสิ่นล่ะคะ?”
นี่เธอยังคงคิดถึงเสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นเมื่อคืนนี้
ถึงแม้เธอจะเตรียมจิตใจไว้แล้ว แต่พอได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนก็ยังรู้สึกปวดใจไปสักพัก
แต่ว่า เธอก็รีบปรับอารมณ์ให้สงบลงอย่างรวดเร็ว
“มู่มู่หลับอยู่ค่ะ ฉันพาไปดูไหมคะ” มู่น่อนน่อนหันหน้าไป แล้วถามเสียงต่ำ
เฉินถิงเซียวพยักหน้าให้
มู่น่อนน่อนพูดกับเสิ่นเหลียง “กินกันไปก่อนเลยนะ”
หลังจากพูดจบ เธอก็พาเฉินถิงเซียวไปที่ห้องนอนของเฉินมู่
ห้องนอนของเฉินมู่ เดิมทีก็เป็นห้องนอนเด็ก ทาสีห้องด้วยสีชมพูอ่อนน่ารักมาก
เฉินมู่นอนกอดตุ๊กตากระต่ายสีชมพูไว้ และกำลังนอนหลับสนิท ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอแดงเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไป แล้วหยิกแก้มของเธออย่างอดใจไม่ไหว
แต่ว่า ตอนที่มือของเขาเอื้อมไปสัมผัสใบหน้าของเฉินมู่ มู่น่อนน่อนก็ตบฝ่ามือของเขาดัง “เพี๊ยะ”
เขาหันกลับไปมอง และดูท่าทางจะโกรธเล็กน้อยที่มู่น่อนน่อนตีเขา
มู่น่อนน่อนถามเขาอย่างโมโหเล็กน้อย “คุณกำลังจะทำอะไรคะ?”
เฉินมู่นอนหลับไปแล้ว เมื่อตะกี้เขาคิดจะทำให้เฉินมู่ตื่นหรือไง?
คิดอะไรเป็นเด็กไปได้!
“อย่ามายุ่ง” เฉินถิงเซียวพูดสามคำนี้ออกมา แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก
มู่น่อนน่อนเดินตามหลังออกไป ตอนที่เขาออกไป เขาก็ปิดประตูอย่างแผ่วเบา
หลังจากที่เฉินถิงเซียวออกจากห้องของเฉินมู่ เขาก็กำลังจะเดินไปที่ประตู
มู่น่อนน่อนก้าวไปข้างหน้าสองก้าว แล้วจับมือเขาไว้ “จะกลับแล้วเหรอคะ?”
“ไม่อย่างนั้นจะให้ยังไง คุณจะให้ผมค้างคืนหรือไง” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวฟังไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน คิ้วของเขานิ่ง เหมือนจะปิดกั้นคนอื่นให้ห่างจากตัวเองให้ไกลที่สุด
มู่น่อนน่อนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง แล้วจับมือเขาแน่นขึ้น
เธอเชิดคางขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มของเธอเหมือนกำลังท้าทายเล็กน้อย “คำถามแบบนี้คุณยังต้องถามอีกเหรอคะ คุณน่าจะชัดเจนในใจอยู่แล้วนะคะ”
หลังจากที่มู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็มองไปที่เขาด้วยสายตาร้อนแรง
ดูน่าหลงใหลมากพอตัวเลย
เฉินถิงเซียวหรี่ตามอง แล้วเพ่งมองมาที่เธอ ในขณะที่กำลังจะพูด เขาก็มองไปทางข้างหลังของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นสายตาของเขา จึงนึกขึ้นได้ ว่ามีคนอื่นอยู่ในบ้านด้วย
เธอหันไปมองตามสายตาของเฉินถิงเซียว จึงเห็นเสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นที่กำลังมีท่าทีร้อนตัวอยู่พอดี
มู่น่อนน่อนยืนตัวแข็งทื่อ
ที่เธอพูดกับเฉินถิงเซียวเมื่อตะกี้นี้ เสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นได้ยินทุกคำไม่มีตกค้าง
ช่วงนี้เพื่อเข้าใกล้เฉินถิงเซียว เธอได้ทิ้งศักดิ์ศรีไว้สุดขอบแล้ว
แต่ว่า นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า เธอจะหน้าด้านจนให้คนอื่นที่ไม่ใช่เฉินถิงเซียวมาเห็นเธอในท่าทางแบบนี้ได้…
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกมาปิดหน้าตัวเองไว้ เธอรู้สึกเหมือนไม่มีหน้าไปเจอคนอื่นแล้ว
เฉินถิงเซียวก้มลงมอง แล้วเห็นท่าทางหงุดหงิดของมู่น่อนน่อนพอดี ในดวงตาของเขามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบางๆ
มู่น่อนน่อนในเวลานี้แทบไม่กล้ามองหน้าใคร จะมีเวลามาสนใจได้ยังไงว่าเฉินถิงเซียวกำลังมีสีหน้ายังไง
เธอไม่มีหน้าจะเจอใครแล้ว และไม่มีกะจิตกะใจจะหาวิธีเข้าใกล้เฉินถิงเซียวด้วย เธอจึงรีบพูดขึ้นมา “กินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับเถอะค่ะ”
เธอไม่ได้สนใจว่าเฉินถิงเซียวจะตามมาด้วยหรือเปล่า หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็กลับไปที่โต๊ะอาหารเย็นทันที
ก่อนจะหยิบขวดไวน์ต่างประเทศที่เสิ่นเหลียงเปิดก่อนหน้านี้ เทลงในแก้วครึ่งแก้ว แล้วหยิบแก้วไวน์ขึ้นดื่ม
เสิ่นเหลียงซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามมู่น่อนน่อน กลั้นยิ้มแล้วคีบอาหารให้เธอ“ดื่มให้น้อยหน่อย กินอะไรบ้าง”
มู่น่อนน่อนถลึงตามองมา เสิ่นเหลียงรีบหันหน้าหนีอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้เอง เก้าอี้ข้างๆ ก็ถูกดึงออก ตามมาด้วย ร่างสูงของเฉินถิงเซียวที่นั่งลงข้างๆ เธอ
ออร่าของเฉินถิงเซียวรุนแรงมาก ทันทีที่เขานั่งลง มู่น่อนน่อนก็อดที่จะยืดตัวตรงไม่ได้
โต๊ะอาหารไม่ได้ใหญ่มาก เฉินถิงเซียวที่รูปร่างสูงใหญ่ พอนั่งลงแบบนี้ ทำให้เขาอยู่ใกล้กับมู่น่อนน่อนมาก
มู่น่อนน่อนสามารถรับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นในร่างกายของเขาได้เลย
เธอเอื้อมมือไปแตะแก้วไวน์ด้วยความรู้สึกอยู่ไม่สุขเล็กน้อย
แต่ว่า มือที่ยื่นออกไปของเธอ ยังไม่ทันแตะถึงแก้วไวน์ เฉินถิงเซียวก็เอื้อมมือออกไปและจับแก้วไว้ก่อน
มู่น่อนน่อนหันไปมอง จึงเห็นเฉินถิงเซียววางแก้วไวน์ของเธอไว้ที่อีกด้านหนึ่ง วางไว้ในจุดที่มู่น่อนน่อนเอื้อมมือไม่ถึง
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น ใช้สายตาถามเขาว่า : จะทำอะไรคะ ?
“อยากจะให้ผมค้างคืนไม่ใช่หรือไง?” เฉินถิงเซียวยกยิ้ม สีหน้าของเขาต่างจากปกติเล็กน้อย “ผมไม่อยากค้างคืนกับผู้หญิงขี้เมา”
มู่น่อนน่อนชะงักงัน “…”
เธอก็แค่พูดเล่น เฉินถิงเซียวจริงจังกับมันจริงๆ เหรอ?
ไม่ใช่สิ เฉินถิงเซียวเป็นคนบ้าสะอาดเล็กน้อย และมีหลักการของตัวเอง เขาจะไม่ค้างคืนกับผู้หญิงคนอื่นง่ายๆ อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ในตอนนี้เฉินถิงเซียวยังไม่มีความรู้สึกรักใคร่ระหว่างชายหญิงกับเธอเลย เขาจะยอมค้างคืนจริง ๆ เหรอ?
เธอมั่นใจได้เลย คำที่เขาพูดว่า “ค้างคืน” นั้นไม่ใช่ “ค้างคืน” แบบที่เธอเข้าใจแน่นอน
เขาคงจะ… แค่ทำให้เธอกลัวสินะ?
ถึงแม้จะเป็นการ “ค้างคืน” แบบที่เธอคิด ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…
จะว่าไปแล้ว ทั้งสองก็ถือว่าเป็นคู่สามีภรรยากันมานานแล้ว
เฉินถิงเซียวพูดเพียงคำเดียว ความคิดของมู่น่อนน่อนกลับแพร่กระจายไปอย่างรุนแรง
จนกระทั่งเสียงของเฉินถิงเซียวดังขึ้น “กินข้าว”
พอเธอก้มลงมอง เธอก็เห็นเฉินถิงเซียวคีบผักลงในชามของเธอแล้ว จากนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้นมอง แล้วเห็นดวงตาของเขาที่มีความหมายแอบแฝงอยู่
ในเวลานี้เอง กู้จือหยั่นก็ลุกขึ้นยืนทันที “มันดึกมากแล้ว พวกคุณค่อยๆ กินช้าๆ นะครับ พวกเราขอตัวกลับก่อน”
ตอนที่เขาพูด เขาก็ผลักเสิ่นเหลียงที่อยู่ข้างๆ ไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเหลียงยังไม่อยากกลับ แต่ถูกเขาบังคับลากกลับ
เรี่ยวแรงของเธอไม่เท่ากับกู้จือหยั่น จึงถูกดึงให้ยืนขึ้น “งั้นพวกเราไปก่อนนะ… น่อนน่อน ถ้ามีอะไรก็โทรหาฉันได้นะ”
เฉินถิงเซียวในตอนนี้ ทำให้เสิ่นเหลียงรู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย
กู้จือหยั่นพาเธอออกไป แล้วพูดว่า “ถิงเซียวก็อยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือไงคุณ ถ้าน่อนน่อนมีเรื่องอะไร ถิงเซียวจะช่วยเธอจัดการเอง ไม่จำเป็นต้องโทรหาคุณหรอก”
เขาเดินเร็วเล็กน้อย เสิ่นเหลียงจึงทำได้เพียงเดินตามอย่างรวดเร็ว
เสิ่นเหลียงพูดอย่างไม่พอใจ “ถ้าบอสใหญ่รังแกน่อนน่อน เธอโทรหาฉัน ฉันจะได้ช่วยเธอโทรแจ้งตำรวจไง”
กู้จือหยั่นพูดอย่างโมโห “เธอยังจะโทรหาคุณทำไม ไม่โทรไปหาตำรวจเองล่ะ”
“จริงด้วย” เสิ่นเหลียงพยักหน้าเห็นด้วย รู้สึกว่าสิ่งที่เธอพูดก่อนหน้านี้เหมือนพูดเรื่องไร้สาระ
ในตอนนี้ทั้งสองได้มาถึงประตูแล้ว
กู้จือหยั่นยื่นมือออกไป แล้วลูบหัวเธอเบาๆ “เด็กโง่”
“ว่าใครโง่กัน หือ?” เสิ่นเหลียงหันไปถลึงตามองเขา ก่อนจะยกเท้าขึ้นและเตะขาของกู้จือหยั่น
กู้จือหยั่นสูดหายใจลึกเพื่อกลั้นความเจ็บปวด แต่พอมองไปที่ใบหน้าของเสิ่นเหลียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ เขาก็พยักหน้าเห็นด้วย “ผมโง่เองครับ ผมโง่เอง”
ทั้งสองเดินออกไปนอกประตู กู้จือหยั่นปิดประตูและทำท่าทางจะจากไป
เสิ่นเหลียงรีบคว้ามือของเขามาจับไว้ด้วยท่าทางเป็นห่วง “จะไหวจริงๆเหรอ บอสใหญ่จะรังแกน่อนน่อนหรือเปล่า ไม่ได้ ยังไงฉันก็วางใจไม่ลง…”
เธอพูดแล้วตั้งใจจะเคาะประตูอีกครั้ง
กู้จือหยั่นรีบคว้าเธอไว้ “ไม่ต้องห่วง ถิงเซียวแค่ปากแข็งเท่านั้นเอง ก่อนหน้านี้ผมโทรหาเขา เขายังบอกว่าจะไม่มาที่นี่อยู่เลยไม่ใช่หรือ”
“แต่เขาบอกว่าเขามาหามู่มู่”
“จะเยี่ยมมู่มู่มาตอนไหนก็ได้ แต่กลับมาในเวลานี้ พวกผู้หญิงอย่างพวกคุณนี่โง่จริงๆ …อ๊ะ!”
ฟังดูแล้ว น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวดูเหมือนจะได้ใจเล็กน้อย
กู้จือหยั่นรู้สึกว่า ความรู้ของเขาที่มีต่อเฉินถิงเซียวนั้นยังตื้นเขินเกินไป คิดไม่ถึงเลยว่าภายใต้ใบหน้าเย็นชานั้นจะมีวิญญาณแห่งความขี้อวดซ่อนอยู่ด้วย
แต่เห็นแก่มิตรภาพอันลึกซึ้งระหว่างทั้งสอง กู้จือหยั่นคิดว่าเขายังคงต้องเตือนเฉินถิงเซียวสักหน่อย
“ถิงเซียว นายรู้จักคำพูดยอดนิยมบนอินเทอร์เน็ตไหม”
“ไม่รู้” เห็นได้ชัดว่าเฉินถิงเซียวไม่อยากจะฟังสิ่งที่เขาจะพูดหลังจากนี้
กู้จือหยั่นไม่สนใจที่จะถูกเฉินถิงเซียวพูดขัด เขายังคงพูดต่อ “ประโยคที่ว่าก็คือ แกล้งเมียสะใจ ง้อเมียยากยิ่งกว่า”
เฉินถิงเซียวถามอย่างเย็นชา “ประโยคนี้มันเกี่ยวอะไรกับฉัน?”
น้ำเสียงของเขาทั้งอันตรายและเย็นชา และถึงแม้กู้จือหยั่นจะโง่แต่ก็รู้ว่าควรจะตอบยังไง
“ไม่เกี่ยวกับนายหรอก…แหะแหะ” ตอนนี้ไม่เกี่ยว ต่อไปต้องเกี่ยวแน่
เฉินถิงเซียวยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา กู้จือหยั่นไม่ลืมจุดประสงค์หลักที่มาที่นี่ จึงพูดต่อ “เดี๋ยวฉันส่งที่อยู่ของน่อน… เอ่อ มู่น่อนน่อนมาให้ คืนนี้นายไปด้วยนะ”
เฉินถิงเซียวปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ไป”
กู้จือหยั่น “…”
ถึงแม้เฉินถิงเซียวจะบอกว่าไม่ไป แต่หลังจากที่กู้จือหยั่นวางสาย เขาก็ยังคงส่งที่อยู่ของบ้านที่มู่น่อนน่อนพักอยู่ไปให้
ถ้าในอนาคตเฉินถิงเซียวฟื้นความทรงจำของเขา อย่าโทษเขาว่าเขาไม่ช่วยนะ เรื่องที่เขาสามารถช่วยเฉินถิงเซียวได้ ก็มีเพียงแค่นี้เท่านั้น
แต่ว่า พอเขานึกภาพตอนที่เฉินถิงเซียวความทรงจํากลับมาแล้วเสียใจกับเรื่องที่เคยทำไป กู้จือหยั่นก็แอบรู้สึกสะใจเล็กน้อย และรู้สึกรอคอยเล็กน้อย
……
มู่น่อนน่อนโทรหาเฉินถิงเซียวสองครั้ง แต่เฉินถิงเซียวไม่รับสาย
ในตอนแรกเธอคิดว่าเฉินถิงเซียวคงกำลังประชุมอยู่
แต่เธอนึกถึงท่าทีล่าสุดของเฉินถิงเซียวที่มีต่อเธอ และคิดว่าเฉินถิงเซียวคงไม่อยากที่จะรับสายของเธอ
ดังนั้น เธอจึงโทรหากู้จือหยั่น ขอให้กู้จือหยั่นลองโทรหาเฉินถิงเซียวให้ที
เธอรอแล้วรอเล่า แต่ก็ไม่เห็นกู้จือหยั่นโทรกลับมาสักที เธอเดาว่าเฉินถิงเซียวคงจะรับสายของกู้จือหยั่นและกำลังคุยกับกู้จือหยั่นอยู่
แม้ว่าจะเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวไม่ยอมรับโทรศัพท์ของเธอจริงๆ ด้วย…
มู่น่อนน่อนเอนหลังลงไป แล้วล้มตัวลงบนโซฟา
หลายวันมานี้เธอก็เหนื่อยเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะโทรหาเฉินถิงเซียว
ที่สำคัญคือคำพูดที่ว่า “คิดเพ้อฝันไปเอง” ของเขาในวันนั้น มันกระทบกระเทือนจิตใจของเธอเล็กน้อย
“คุณแม่คะ”
เฉินมู่วิ่งออกจากห้องโดยอุ้มตุ๊กตากระต่ายสีชมพูไว้ แล้ววิ่งตัวไปที่โซฟา เอนตัวพิงขอบโซฟา มองมาที่มู่น่อนน่อนอย่างใจจดใจจ่อ “กระต่ายค่ะ”
มู่น่อนน่อนถามลูกสาว “ชอบไหมจ๊ะ?”
กระต่ายสีชมพูตัวนี้ถูกซื้อมาเมื่อวาน ตอนที่เธอออกไปซื้อของ
เฉินมู่พยักหน้ารัวๆ “อืม”
มู่น่อนน่อนเอื้อมมือไปลูบผมของเธอ
ในเวลานี้เอง กู้จือหยั่นก็โทรเข้ามาพอดี
มู่น่อนน่อนลุกจากโซฟาทันที แล้วรีบถามออกไป “เป็นไงบ้างคะ”
“ถิงเซียวรับโทรศัพท์แล้ว แต่เขา…”
พอได้ยินกู้จือหยั่นพูดอ้ำๆ อึ้งๆ มู่น่อนน่อนก็พอจะเดาผลลัพธ์ได้
“เขาจะไม่มาใช่ไหมคะ”
“อืม……”
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมาก คืนนี้มากินข้าวด้วยกันนะคะ ฉันจะโทรเรียกเสี่ยวเหลียงมาด้วย”
“ได้ ได้ครับ คืนนี้ผมจะไป” ขอแค่มีเสิ่นเหลียง อย่าว่าแต่มากินข้าวเลย แม้จะเป็นงานเลี้ยงที่ไปแล้วตายเขาก็ยอม
มู่น่อนน่อนพูดคุยกับกู้จือหยั่นอีกเล็กน้อย แล้ววางสายไป
เหมือนจะรู้สึกได้ว่ามู่น่อนน่อนกำลังรู้สึกหดหู่ใจ เฉินมู่ก็รีบตะโกนออกมา “คุณแม่ขา…”
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกไป แล้วหยิกแก้มเฉินมู่เบาๆ “พวกเราต้องออกไปซื้อของ ซื้อเนื้อ ซื้อผัก มาทำอาหาร แล้วเรียกพวกคุณน้าเสิ่นมากินข้าวกับเรานะจ๊ะ”
ดวงตาของเฉินมู่เป็นประกายขึ้นมาทันที “กินเนื้อกับลูกอมด้วยนะคะ”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า “พรุ่งนี้ลูกถึงจะกินขนมได้จ้ะ”
เฉินมู่ชอบกินลูกอม และมู่น่อนน่อนได้กำหนดไว้ให้เธอกินลูกอมได้แค่วันเว้นวันเท่านั้น
เฉินมู่เบะปาก สีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “แต่วันนี้”
มู่น่อนน่อนอุ้มเธอขึ้นมา “วันนี้กินเนื้อจ้ะ”
“ก็ได้ค่ะ” ถึงจะไม่เต็มใจ แต่ได้กินเนื้อก็พอใจมากแล้ว
……
มู่น่อนน่อนพาเฉินมู่ไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อวัตถุดิบทำอาหารจำนวนมาก
เธอย้ายที่อยู่ และการเลี้ยงอาหารค่ำ ก็ถือเป็นการเริ่มต้นใหม่
เดิมทีที่เธอวางแผนไว้ มีเพียงเธอกับเฉินถิงเซียว เสิ่นเหลียงและกู้จือหยั่นเท่านั้น
ตอนนี้เฉินถิงเซียวไม่ได้ จึงมีเพียงพวกเธอสามคนเท่านั้น
แม้จะมากันแค่สามคน แต่มู่น่อนน่อนก็ยังทำอาหารไว้มากมาย
แล้วยังเตรียมไวน์ไว้ด้วย
เสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นมาเดินเข้ามาติดๆ กัน
ช่วงบ่าย มู่น่อนน่อนพาเฉินมู่ออกไปซื้อของด้วย ทำให้เฉินมู่ไม่ได้นอนหลับกลางวัน
พอทานอาหารเย็นเสร็จ เฉินมู่ก็เริ่มง่วงนอน
มู่น่อนน่อนรีบป้อนข้าวให้เฉินมู่ แล้วพาเฉินมู่เข้าห้องไปนอน
เฉินมู่ไม่ค่อยเกี่ยงเรื่องที่นอน จึงหลับไปทันทีที่ถึงเตียง
พอมู่น่อนน่อนแน่ใจว่าเธอหลับแล้ว จึงวางตุ๊กตากระต่ายสีชมพูไว้ในอ้อมแขนของเธอ ก่อนจะออกจากห้องไป
เสิ่นเหลียงถามเธอด้วยเสียงเบา “หลับแล้วใช่ไหม?”
“ใช่” มู่น่อนน่อนพยักหน้า แล้วพูดว่า “ระบบกันเสียงของบ้านดีมาก เสียงดังบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก”
วันนี้เธอเปิดทีวีในห้องนั่งเล่นไว้ แล้วกลับไปที่ห้องของเธอ ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
เสิ่นเหลียงหยิบแก้วขึ้นมา แล้วเทไวน์ให้เธอ “ดื่มไวน์หน่อยสิ”
มู่น่อนน่อนทำมือให้เทนิดเดียว “เทน้อยหน่อย”
สุดท้ายเสิ่นเหลียงก็เทให้เธอครึ่งแก้ว
ตอนที่เธอกับเสิ่นเหลียงกำลังชนแก้ว กริ่งประตูก็ดังขึ้นมา
มู่น่อนน่อนดื่มไวน์ แล้วเหลือบมองไปที่ประตู
เสิ่นเหลียงเตะขากู้จือหยั่นใต้โต๊ะ กู้จือหยั่นก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวผมไปเปิดประตูเองครับ”
กู้จือหยั่นเปิดประตูแล้วเห็นเฉินถิงเซียวยืนอยู่ข้างนอกประตูด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
กู้จือหยั่นชะงักไปเล็กน้อย “ถิงเซียวนายมาแล้วเหรอ”
เฉินถิงเซียวหรี่ตาและสำรวจใบหน้าของเขา “นายมาทำอะไรที่นี่?”
สายตาที่เหมือนกำลังมองชายชู้ ทำให้กู้จือหยั่นขนลุกไปทั้งตัว
“ฉันไม่ได้เป็นแค่เพื่อนของนายคนเดียวนะ ฉันกับน่อนน่อนก็เป็นเพื่อนกันด้วย โอเค?”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเขา ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไป
กู้จือหยั่นปิดประตู แล้วเดินตามหลังเขาไป พร้อมกับบ่นพึมพำกับตัวเอง “นี่ขนาดความจำเสื่อม ยังขี้หึงขนาดนี้…”
หลังจากดื่มไวน์ไปครึ่งแก้ว มู่น่อนน่อนก็มองไปทางประตู เพื่อจะดูว่าใครมา
พอเธอเห็นเฉินถิงเซียว เธอก็อ้าปากด้วยความตกใจเล็กน้อย พอเฉินถิงเซียวเข้ามาใกล้ เธอก็พูดว่า “เฉินถิงเซียว คุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ?”
ก่อนหน้านี้บอกว่าจะไม่มาไม่ใช่เหรอ?
การพูดกลับไปกลับมาไม่ใช่นิสัยของเขา
เฉินถิงเซียวมองหน้าเธออย่างเย็นชา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อันตรายมาก “ผมไม่ควรมาเหรอ?”
“ไม่…” มู่น่อนน่อนรีบลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปดึงเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เธอ
มู่น่อนน่อนดึงมือของเขา เฉินถิงเซียวจับฝ่ามือของเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย แล้วรู้สึกว่ามือของเธอนุ่มนิ่มเหมือนไม่มีกระดูก
ถึงแม้มู่น่อนน่อนจะจูงมือพาเขาไปที่เก้าอี้และนั่งลง แล้วปล่อยมือไป แต่เฉินถิงเซียวรู้สึกว่าสถานที่ที่เธอจับ ยังรู้สึกชาเล็กน้อย
เหมือนมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน
มู่น่อนน่อนหยิบชามกับตะเกียบให้เฉินถิงเซียวเพิ่ม แล้วถามเขาด้วยเสียงต่ำว่า “คุณกินข้าวมาหรือยังคะ”
เฉินถิงเซียวสังเกตเห็นความกังวลในดวงตาของเธอ แต่คำพูดที่พูดออกมา กลับพูดเพียงแค่ว่า “ผมมาหามู่มู่”
มู่น่อนน่อนนั่งลงบนโซฟา มองดูเฉินมู่ที่เข้าๆ ออกๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เจอเฉินถิงเซียวมาหลายวันแล้ว
มู่น่อนน่อนจิตใจหดหู่เล็กน้อย ยังไงมันก็ต่างไปจากเมื่อก่อนแล้ว
เมื่อก่อน ตอนที่เธอกับเฉินถิงเซียวไม่ได้อยู่ด้วยกัน เฉินถิงเซียวก็จะโกรธ ที่เธอไม่เริ่มติดต่อหาเขาเอง
แต่ตอนนี้ฉันยุ่งมาหลายวันแล้วไม่ได้ติดต่อไปหาเขาเลย เขาก็จะไม่โทรมาถามเลยสักครั้ง
จิตใจหดหู่ก็จริง มู่น่อนน่อนก็ยังหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรหาเฉินถิงเซียวทันที
โทรศัพท์โทรติดแล้ว แต่ไม่มีใครรับสาย
มู่น่อนน่อนโทรไปสองครั้งติดต่อกัน แต่ไม่มีใครรับสาย
ในใจของเธอรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เฉินถิงเซียวคงไม่ได้บล็อกเบอร์เธอไปแล้วหรอกนะ
……
ตึกบริษัทเฉินซื่อ
ในห้องประชุม เฉินถิงเซียวนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน และคณะกรรมการระดับสูงก็นั่งลงรองลงไป
เฉินถิงเซียวมองไปที่แฟ้มเอกสารในมือ คิ้วของเขาขมวดแน่น
คนข้างล่างไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไร
สือเย่ยืนอยู่ข้างหลังเขา ยืนก้มหน้าก้มตา เหมือนทำอะไรผิดมา
ในเวลานี้เอง โทรศัพท์มือถือของเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้นมา
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือที่ดังทำลายบรรยากาศเงียบสงบในห้องประชุมไปทันที
สายตาของบรรดาคณะกรรมการระดับสูงที่อยู่ด้านล่าง ทุกคนต่างก็พากันมองไปที่โทรศัพท์มือถือของเฉินถิงเซียว
สือเย่ที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา แอบเหลือบตามอง เขาจึงเห็นชื่อของผู้โทรปรากฏขึ้นมาบนโทรศัพท์อย่างชัดเจน “ผู้หญิงหน้าด้าน”
สือเย่คิดเพียงวินาทีเดียว ก็รู้ว่านี่เป็นชื่อเรียกที่เฉินถิงเซียวใช้เรียกมู่น่อนน่อน
หน้าด้าน……
ไม่รู้ว่าใครหน้าด้านกว่ากัน
เฉินถิงเซียวไม่ได้รับสายในทันที เขาเอาแต่จ้องไปที่โทรศัพท์มือถือที่ยังดังไม่หยุด
เมื่อก่อนถ้าเฉินถิงเซียวเห็นว่ามู่น่อนน่อนโทรมาจะรีบกดรับสายทันที แต่ตอนนี้มันกลับแตกต่างกันลิบลับ
จนโทรศัพท์วางสายไปอัตโนมัติ เฉินถิงเซียวก็ยังไม่ยอมรับสายอยู่ดี
สือเย่ไม่เข้าใจว่าเฉินถิงเซียวคิดอะไรอยู่
ถ้าเฉินถิงเซียวไม่รู้สึกอะไรกับมู่น่อนน่อนเลย ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้โอกาสมู่น่อนน่อนโทรมาหาเขา
แต่ถ้ารู้สึกอะไรกับเธอ ทำไมถึงไม่รับสายล่ะ?
หรือว่าเขาคิดจะใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ?
สือเย่ตกตะลึงกับความคิดของตัวเอง
เฉินถิงเซียวคนก่อน ไม่มีทางใช้แผนการที่ซับซ้อนวุ่นวายแบบนี้ ถ้าเขาชอบก็จะแย่งมาอย่างเอาแต่ใจ ถ้าไม่ชอบก็จะผลักออกไปให้ไกลจากตัวเอง
นี่เฉินถิงเซียวความทรงจําขาดหาย แต่อีคิวเพิ่มขึ้นอย่างนั้นเหรอ?
โทรศัพท์เงียบเสียงลง หน้าจอก็ดับลง เฉินถิงเซียวจึงถอนสายตากลับมา แล้วมองเอกสารที่อยู่ข้างหน้าเขาอีกครั้ง
แต่ไม่นาน โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
โทรมาอีกแล้วเหรอ?
เขาก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าผู้หญิงหน้าด้านคนนั้น จะโทรมาได้สักกี่ครั้ง
แต่ว่า ยังไม่ทันที่เขาจะสามารถทดสอบได้ว่ามู่น่อนน่อนจะโทรมาได้อีกกี่ครั้ง เขากลับพบว่าตัวเองแทบอยากจะรับสายแล้ว
หลายวันมานี้มู่น่อนน่อนไม่ได้มาหาเขาเลย และไม่ได้ติดต่อมาหาเขาเลยด้วย
นี่เป็นการกระทําของผู้หญิงที่อยากจะแต่งงานกับเขาใหม่จริงๆ เหรอ?
ถ้าหากเธออยากจะแต่งงานกับเขาใหม่จริงๆ เธอไม่ควรจะฉวยโอกาสทุกโอกาสเพื่อมาเอาใจเขาเหรอ
แต่มู่น่อนน่อนคนนี้ กลับมาทำก๋วยเตี๋ยวให้เขากินแค่ชามเดียว
วันต่อมาเป็นเขาที่ไปหาเธอ แต่เธอกลับพูดบางอย่างที่น่าฟังออกมา แล้วไม่สนใจเขาอีก?
ผู้หญิงคนนี้ทำไมถึงเป็นแบบนี้!
พอเฉินถิงเซียวคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดที่จะยิ้มเยาะไม่ได้
คนที่นั่งใกล้เฉินถิงเซียว ได้ยินเสียงยิ้มเยาะของเขา ก็เหงื่อไหลและขนลุกซู่
ช่วงนี้อารมณ์ของท่านประธานดูแปลกมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาต่างก็กลัวการประชุมมาก
ถึงแม้จะประชุม พวกเขาก็ไม่กล้าพูดคุยแบบสบายๆ
เฉินถิงเซียวจ้องโทรศัพท์อยู่นาน จากนั้นจึงตัดสินใจเอื้อมมือไปกดรับสาย
ช่างเถอะ เห็นแก่ที่มู่น่อนน่อนยอมโทรหาเขาก่อน เขาจะยกโทษให้เธอ แล้วรับสายของเธอก็แล้วกัน
แต่ว่า มือของเขายื่นไปได้ครึ่งทาง เสียงโทรศัพท์ก็หยุดลงกะทันหัน
มู่น่อนน่อนวางสายไปแล้วอย่างนั้นเหรอ
ส่วนสือเย่ที่ยืนอยู่ข้างหลังเฉินถิงเซียว และเห็นการกระทำของเฉินถิงเซียวทั้งหมดอยู่ในสายตา ในใจแอบร้องออกมาว่าซวยแล้ว
และเป็นไปตามที่คาด มือของเฉินถิงเซียวที่ค้างกลางอากาศกำหมัดแน่น แล้วดึงมือกลับ ก่อนจะลุกขึ้นยืน หยิบแฟ้มเอกสารที่อยู่ข้างหน้าเขาโยนมันออกไป พูดอย่างเย็นชาว่า “ของแบบนี้ ยังจะกล้าเอามาให้ผมดู มาเก็บกลับไปทำใหม่ซะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังเดินออกไปอย่างอารมณ์เสีย
สือเย่รีบหยิบโทรศัพท์มือถือของเฉินถิงเซียวขึ้นมา แล้วเดินตามเฉินถิงเซียวไป
พอเข้าไปในห้องทำงานของท่านประธาน เฉินถิงเซียวก็หยิบแก้วน้ำบนโต๊ะแล้วยกดื่ม ก่อนจะดึงเนกไทลง ก่อนจะเดินไปมาที่หน้าโต๊ะทำงาน
ดูไปแล้วเหมือนจะโกรธ แต่ก็ร้อนใจมากเช่นกัน
สือเย่ยืนอยู่ข้างๆ พอเฉินถิงเซียวหยุดนิ่ง สือเย่ก็เดินเข้าไปยื่นโทรศัพท์ให้เขา “คุณชายครับ โทรศัพท์ของคุณครับ”
เฉินถิงเซียวจ้องไปที่โทรศัพท์สักพัก แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “โยนทิ้งไปซะ”
สือเย่ “…”
แต่ว่า เฉินถิงเซียวพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาจึงจำต้องโยนโทรศัพท์มือถือของเจ้านายทิ้งลงในถังขยะข้างโต๊ะ
หลังจากโยนโทรศัพท์ทิ้ง สือเย่ก็มองไปที่เฉินถิงเซียว “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมออกไปทำงานแล้วนะครับ”
เฉินถิงเซียวโบกมือให้เขาออกไปได้
หลังจากสือเย่ออกไปข้างนอก เฉินถิงเซียวก็ดึงเนกไทของเขาออก แล้วนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะ
แต่กลับกลายเป็นว่า พอเขานั่งลง โทรศัพท์ที่อยู่ในถังขยะก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
มู่น่อนน่อนโทรมาอีกแล้วเหรอ?
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็ก้มลงไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากถังขยะ
แต่ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอกลับไม่ใช่ “ผู้หญิงหน้าด้าน”
เฉินถิงเซียวสีหน้าบูดบึ้ง แล้วกดรับสาย “กู้จือหยั่น นายโทรหาฉันเจอทางที่ดีควรจะเป็นธุระสำคัญ ไม่อย่างนั้น…”
เขาพูดไม่จบ ก่อนจะส่งเสียงเหอะออกมาอย่างเย็นชา
การพูดแค่ครึ่งเดียว ทำให้ฟังดูน่ากลัวมาก
ผ่านไปครึ่งทางมันดูน่ากลัวยิ่งขึ้น
กู้จือหยั่นไม่รู้ว่าเขาไปทำให้เฉินถิงเซียวอารมณ์เสียตั้งแต่เมื่อไหร่
อารมณ์ของเฉินถิงเซียวนั้นไม่แน่ไม่นอน ครั้งที่แล้วเขาอุตส่าห์พยายามจนเฉินถิงเซียวยอมตกลง ที่จะให้เขาไปกินและดื่มที่บ้านของตนเอง แต่แค่พริบตาเดียว เฉินถิงเซียวก็กลับมาเป็นแบบนี้อีกแล้ว…
พอคิดได้แบบนี้ กู้จือหยั่นก็สบายใจขึ้น
กู้จือหยั่นตรงเข้าหัวข้อ “น่อนน่อนย้ายบ้านแล้ว เธอบอกว่าจะเชิญทุกคนไปกินเลี้ยง นายจะไปด้วยกันไหม”
มู่น่อนน่อนเพิ่งโทรหาเขา แล้วบอกว่าเฉินถิงเซียวไม่รับสายของเธอ ขอให้เขาช่วยโทรหาดู เขาคิดไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวจะรับสายของเขาจริงๆ
ถ้าเป็นการใช้คำที่นิยมใช้บนอินเทอร์เน็ต เฉินถิงเซียวกำลังหาที่ตาย
น่อนน่อน? เรียกซะสนิทสนมกันถึงขนาดนี้!
เฉินถิงเซียวถามอย่างเย็นชา “คุณสนิทสนมกับมู่น่อนน่อนมากหรือไง”
กู้จือหยั่นมีไหวพริบเร็วมาก เขาสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของเฉินถิงเซียวผิดปกติไป จึงรีบพูดอธิบายเพื่อที่จะเอาตัวรอดอย่างรวดเร็ว “…ไม่สนิท แต่ที่รักของฉันสนิทกับเธอมาก”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วขึ้น “นายแต่งงานไปตอนไหน?”
กู้จือหยั่นรู้สึกว่า เฉินถิงเซียวกำลังพูดแทงใจดำเขามาก
ระหว่างเขากับเสิ่นเหลียง ไม่สามารถพูดได้ว่ามีปัญหา แต่กลับเหมือนมีบางอย่างขวางกั้นระหว่างพวกเขาไว้
กู้จือหยั่นกุมหน้าอกของตัวเอง “…ยังไม่ได้แต่งงาน แค่เรียกให้หัวใจได้ชุ่มชื่น”
เฉินถิงเซียวยังคงพูดแทงใจดำเขาต่อ “การแต่งงานมันดีตรงไหน มู่น่อนน่อนเอาแต่ไล่ตามฉัน อยากจะแต่งงานกับฉันใหม่”
มู่น่อนน่อนกดออกจากWeibo และตัดสินใจตรวจสอบว่ายังมีเงินเหลืออยู่ในบัญชีของเธอหรือเปล่า
เธอตรวจสอบ จึงพบว่าเธอยังมีเงินหลายแสนหยวนในบัญชี
เงินพวกนี้สำหรับเสิ่นเหลียงกับเฉินถิงเซียวแล้ว อาจไม่ได้มากมายอะไร แต่สำหรับเธอ มันก็ไม่น้อยแล้ว
จนถึงเธอเขียนบทละครเรื่องต่อไปเสร็จ เพียงพอที่เธอกับเฉินมู่จะใช้แล้ว
ในตอนนี้เองเสิ่นเหลียงก็เปิดประตูและเข้ามา “เธอกำลังทำอะไรอยู่?”
“จัดของน่ะ” มู่น่อนน่อนเอาบัตรประจำตัวใหม่ของเธอออกมาให้เธอดู
เมื่อตะกี้เสิ่นเหลียงอยู่ในห้อง จึงไม่รู้ว่าสือเย่มาที่นี่เพื่อส่งของให้มู่น่อนน่อน “ใครเป็นคนเอามาให้เหรอ?”
“ฉันขอให้ผู้ช่วยพิเศษช่วยจัดการให้น่ะ” มู่น่อนน่อนพูดพลางเอาบัตรเอทีเอ็มธนาคารกลับเข้าไปในกระเป๋า “ฉันจำได้ว่าในบัตรเอทีเอ็ม แต่ฉันจำไม่ได้ว่ามีเท่าไหร่ ฉันเพิ่งเช็กดู มันมีเพียงพอให้ฉันกับมู่มู่ใช้ได้นานทีเดียว”
พอเสิ่นเหลียงได้ยินเธอพูดแบบนี้ เธอรู้ได้ทันทีว่ามู่น่อนน่อนคิดจะย้ายออกไปจากที่นี่
เสิ่นเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “อยู่กับฉันก็ไม่เป็นไรนี่นา พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ จะเกรงใจทำไมกัน?”
“ฉันรู้ความหวังดีของเธอ แต่ฉันต้องเลี้ยงดูมู่มู่ ฉันมีชีวิตของตัวเองที่ต้องเดิน ยังไม่ถึงขั้นไร้หนทางที่จะเดิน ที่จริงแล้วตอนนี้ทุกอย่างก็พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว”
เสิ่นเหลียงเพิ่งตื่นนอน ผมของเธอดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย มู่น่อนน่อนเอื้อมมือไปช่วยสางผมให้เธอ “อยู่บ้านคนเดียวก็อย่าเอาแต่สั่งอาหารข้างนอกมากิน ให้กู้จือหยั่นมาทำอาหารให้เธอกิน”
เสิ่นเหลียงรีบคัดค้านทันที “เธอพูดอะไรเนี่ย กู้จือหยั่นทำอาหารไม่เป็น…”
“ไม่ปฏิเสธนี่นา หรือว่าเธอสองคน…อืม?” มู่น่อนน่อนลูบคางตัวเองไปมา เหมือนกำลังจะพูดอะไรแล้วก็ไม่พูด
“ฉันไม่รู้” เสิ่นเหลียงส่ายหน้าไปมา รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็จางลง “ถึงแม้กู้จือหยั่นกับฉันจะไม่ได้คบกัน แต่เราก็เป็นเพื่อน เป็นคนสนิทกัน เธอไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก”
เสิ่นเหลียงพูด แล้วยังกระแทกไหล่ของมู่น่อนน่อนเบาๆ ด้วย
พอเห็นว่ามู่น่อนน่อนยังคงจ้องมองเธออยู่ เธอก็ยิ้มออกมา แล้วพูดว่า “อย่างน้อยฉันก็รวยกว่าเธอ ฉันมีบ้าน มีรถ มีกระเป๋า และเสื้อผ้าแบรนด์เนม ฉันมีทุกอย่างที่อยากได้ เธอควรกังวลตัวเองมากกว่า”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าอย่างจริงจังแล้วพูด “อืม สิ่งที่เธอพูดมาก็มีเหตุผล”
เสิ่นเหลียงเป็นผู้หญิงที่มีความคิดเป็นของตัวเอง
เธอกับเสิ่นเหลียงสามารถเป็นเพื่อนกันมานานหลายปีขนาดนี้ เพราะมีส่วนหนึ่งที่มีความคล้ายคลึงกัน
พวกเธอเชื่อว่า ความรักไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
ความหมายของการมีชีวิตอยู่ ควรจะกว้างขวางมากกว่านี้
แต่ว่า เพื่อความรักต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟพวกเธอก็ยอม
เสิ่นเหลียงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าอยากจะย้ายออก ฉันให้ผู้จัดการของฉันช่วยหาบ้านให้ หล่อนเก่งเรื่องพวกนี้ เธอต้องดูแลลูกคงหาที่พักไม่ค่อยสะดวก”
มู่น่อนน่อนตอบ “ก็ได้”
…
ตอนเที่ยง มู่น่อนน่อนเปิดดูweiboของเธออีกครั้ง
เธอพบว่า Weibo ที่โพสต์เมื่อเช้านี้ มีการแชร์และไลค์เกินหมื่นครั้ง และมีข้อความแสดงความคิดเห็นหลายหมื่นข้อความ
ในบรรดากลุ่มผู้ที่แชร์สเตตัส มีผู้กำกับและดาราในวงการบันเทิงหลายคน และเน็ตไอดอลอีกบางส่วน
เสิ่นเหลียงเดินเข้ามา สีหน้าดูเสียดาย “คุณเข้าดูweiboเหรอ ทำไมไม่บอกฉันเลยล่ะ ฉันจะได้เป็นคนแชร์คนแรก”
มู่น่อนน่อนลำบากใจ “ฉันก็แค่เข้าไปลองโพสต์สเตตัสดูเท่านั้นเอง”
เสิ่นเหลียงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา แล้วแชร์สเตตัสใหม่ที่มู่น่อนน่อนโพสต์บน Weibo
“V เสิ่นเหลียง: รู้สึกว่ารอมาครึ่งชีวิต แต่โชคดีที่ในที่สุดเธอก็กลับมา คำถามก็คือ คุณนักเขียนบทเขียนที่รัก “เมืองพัง 2” เขียนเสร็จหรือยังคะ? [หัวใจ]//@มู่มู่: ขอบคุณสำหรับความชื่นชอบของทุกท่านที่มีต่อ “เมืองพัง””
มู่น่อนน่อนที่กำลังดู Weibo จึงเห็นเสิ่นเหลียงแชร์ Weibo ของเธอพอดี แล้วคลิกที่รูปประจำตัวของเสิ่นเหลียง ก่อนจะกดติดตามเสิ่นเหลียง
พอกดแล้วถึงพบว่า พวกเธอได้ติดตามซึ่งกันและกันแล้ว
แสดงให้เห็นว่า เสิ่นเหลียงติดตามเธอมานานแล้ว
ตอนที่เธอสร้างบัญชี Weibo นี้ขึ้นมา เธอไม่ได้ติดตามเสิ่นเหลียง และขอให้เสิ่นเหลียงไม่ต้องติดตามเธอ
เพราะชื่อเสียงของเธอในตอนนั้นก็ไม่ค่อยดีนัก ส่วนเสิ่นเหลียงอยู่ในช่วงโด่งดัง มีละครหรือผลงานออกมาอยู่เสมอ ไม่ถึงขนาดโด่งดังมาก แต่ก็อยู่ในระดับมีชื่อเสียงพอประมาณ
เธอกลัวจะส่งผลกระทบต่อการงานของเสิ่นเหลียง
มู่น่อนน่อนเอ่ยถามเธอ“เธอติดตามweiboของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ”
“แน่นอนว่าต้องเป็นตอนที่เมืองพังออกอากาศน่ะสิ แฟนๆ ละครของเธอเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หัวข้อสนทนาทั้งหมดบนอินเทอร์เน็ตก็มีแต่เกี่ยวข้องกับเมืองพัง มีบางส่วนที่เกิดจากการซื้อความนิยมที่ทางผู้ผลิตสร้างขึ้นมา แต่อีกส่วนก็เป็นเพราะชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นกันเอง…”
เมื่อพูดถึงสถานการณ์ในขณะนั้น เสิ่นเหลียงมีท่าทางตื่นเต้นมากกว่ามู่น่อนน่อนซะอีก
ก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนเข้าไปเช็กข่าวทางอินเทอร์เน็ตแล้ว หลังจากถ่ายทำเสร็จ “เมืองสาบสูญ” เปิดฉายในปีถัดมา
หรือก็คือปีต่อมาหลังจากที่เธอกับเฉินถิงเซียวประสบอุบัติเหตุระเบิดบนเกาะไป
จนถึงตอนนี้มันก็ผ่านมาสองปีแล้ว
“ในช่วงสองปีมานี้บรรดาโปรดิวเซอร์และผู้กำกับหลายคนอยากร่วมงานกับเธอ ต่อไปบทละครของเธอก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ออกแล้ว ในอนาคตของคุณได้ น้ำขึ้นให้รีบตัก แต่เธอต้องเลือกผู้ร่วมงานด้วยนะ… “
เสิ่นเหลียงอยู่ในวงการนี้นานกว่ามู่น่อนน่อน เธอจึงอดที่จะบอกมู่น่อนน่อนถึงประสบการณ์บางอย่างของเธอเองไม่ได้
ที่จริงแล้วในใจของมู่น่อนน่อนกำลังคิดถึงฉินสุ่ยซานอยู่
ถ้าฉินสุ่ยซานติดต่อมาหาเธอ เธออาจจะยังร่วมงานกับฉินสุ่ยซานตามเดิม
ในตอนนั้นฉินสุ่ยซานให้ความช่วยเหลือเธอในช่วงทุกข์ร้อนไว้ ตอนนี้เธอจึงยินดีที่จะร่วมงานกับฉินสุ่ยซานอีกครั้ง
อีกทั้ง เธอยังเชื่อในความสามารถของฉินสุ่ยซานด้วย
ถ้าเขียน “เมืองพัง2” ออกมา เธอจะต้องร่วมงานกับฉินสุ่ยซานแน่นอน
…
มู่น่อนน่อนโพสต์สเตตัสในweibo ยังตกเป็นข่าวด้วย
หลายวันมานี้ มู่น่อนน่อนก็ได้รับโทรศัพท์จำนวนมาก
คนที่ติดต่อมา ส่วนใหญ่จะอยากร่วมงานกับมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนปฏิเสธทุกคนอย่างนุ่มนวล
เพราะตอนนี้นอกจากเธอกำลังรอฉินสุ่ยซานติดต่อมาหาเธอแล้ว เธอยังยุ่งอยู่กับการย้ายบ้านด้วย
เสิ่นเหลียงมีญาติพี่น้องที่อพยพย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศ ทิ้งบ้านไว้หนึ่งหลัง เพราะทำใจขายไม่ลง แต่ก็กลัวว่าบ้านจะมีฝุ่นถ้าไม่มีใครอาศัยอยู่เป็นเวลานาน พวกเขาจึงขอให้เสิ่นเหลียงช่วยพวกเขาเช่าออกไป
เดิมทีเสิ่นเหลียงมอบหมายให้ผู้จัดการของเธอไปจัดการเรื่องนี้ แต่ผู้จัดการยังไม่เคยปล่อยให้เช่าออกไป
ในเมื่อบ้านยังไม่ได้เช่าออกไป เสิ่นเหลียงจึงเช่าให้กับมู่น่อนน่อนไป
เสิ่นเหลียงกับผู้จัดการพามู่น่อนน่อนไปดูบ้าน
บ้านอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีสภาพแวดล้อมที่งดงาม และทำเลก็ดีมากด้วย
ที่สำคัญที่สุดคือ ตำแหน่งของบ้าน มันอยู่ระหว่างทางจากบ้านของเฉินถิงเซียวไปบริษัทเฉินซื่อด้วย
เรียกได้ว่าสะดวกมากๆ
การตกแต่งภายในสวยมาก เฟอร์นิเจอร์ครบครัน
เสิ่นเหลียงเปิดผ้าม่าน แล้วถามมู่น่อนน่อน “เป็นยังไงบ้าง โอเคไหม”
“ดีมากเลย” มู่น่อนน่อนพอใจกับบ้านหลังนี้มาก
“เธออยู่ที่นี่ก่อนได้เลยนะ ส่วนค่าเช่า ให้แค่นิดหน่อยก็พอแล้ว เดิมทีบ้านของพวกเขาก็ไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงิน พวกเขาแค่อยากให้มีคนอยู่ในบ้าน เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้บ้าน”
ถึงแม้เสิ่นเหลียงจะพูดแบบนั้น แต่มู่น่อนน่อนก็ยังจ่ายค่าเช่าให้ตามราคาในท้องตลาด
ด้วยความที่เป็นบ้านพร้อมอยู่ มู่น่อนน่อนจึงย้ายเข้ามาอยู่ภายในสองวันได้เลย
เด็กน้อยมักจะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมใหม่
ทันทีที่เฉินมู่เข้ามาในบ้าน เธอก็มองไปรอบๆ แล้ววิ่งไปทั่วด้วยความสงสัย
มู่น่อนน่อนพยักหน้าให้สือเย่ แล้วพูดว่า “ลาก่อนค่ะ”
สือเย่รีบเดินตามเฉินถิงเซียวไป “คุณชายครับ ผมมาแล้วครับ”
พอเขาไล่เขาออกไป เฉินถิงเซียวก็มาถึงทางเข้าลิฟต์แล้ว แต่ยังไม่ได้กดลิฟต์
สือเย่ก้าวไปข้างหน้าและกดลิฟต์ ก่อนจะพูดออกมา “คุณชายครับ”
เฉินถิงเซียวยิ้มเยาะ “ฉันไม่เคยเห็นผู้หญิงหน้าด้านอย่างมู่น่อนน่อนมาก่อนเลยจริงๆ”
สือเย่ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดแก้ไขกับเฉินถิงเซียว “คุณชายครับ นอกจากคุณหญิงน้อยแล้ว ดูเหมือนคุณชายจะไม่รู้จักผู้หญิงอื่นเลยนะครับ”
เฉินถิงเซียวในอายุยี่สิบต้นๆ นอกจากเฉินจิ่งหยุ้นแล้ว เขาก็ไม่รู้จักผู้หญิงคนไหนเลยจริงๆ
หลังจากเจอมู่น่อนน่อน ผู้หญิงที่เฉินถิงเซียวรู้จักก็มีเพียงไม่กี่คน
เฉินถิงเซียวหันหน้ามองไปที่สือเย่ด้วยสายตาที่เย็นชา “ฉันให้นายพูดแล้วหรือไง?”
“ไม่ครับ” สือเย่ก้มหน้าลง แล้วพูดด้วยความเคารพ
ติ๊ง—
ลิฟต์ที่จะลงมาถึงพอดี
เฉินถิงเซียวส่งเสียงหึอย่างเย็นชา แล้วเดินเข้าไปในลิฟต์ทันที
สือเย่รีบเดินตามเข้าไป
เขาเพิ่งเดินเข้าไปในลิฟต์ ก็พบกับสายตาที่เย็นชาของเฉินถิงเซียว
เขาชะงักไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวหมายความว่าอะไร เขาจึงลองถอยออกจากลิฟต์ดู
ในขณะนี้เอง เฉินถิงเซียวมองเขาอย่างว่างเปล่า แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชาเพียงสามคำ “เดินบันได”
พูดเสร็จเขาก็กดปุ่มปิดประตูลิฟต์
สือเย่ยืนอยู่คนเดียวด้านนอกลิฟต์ ความรู้สึกสับสนและงุนงง
ผ่านมาเกือบสิบปี พอมองย้อนกลับไป สือเย่ก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย ตอนนั้นเขาทนอารมณ์ของเฉินถิงเซียวมาได้ยังไงกัน?
แต่ว่ายังไงก็ผ่านมาแล้วสิบกว่าปี ตอนนี้ก็ได้แต่ทนต่อไปแล้วล่ะ
เขาคิดในแง่ดี บางทีคุณชายอาจจะฟื้นคืนความทรงจำของเขาในไม่ช้านี้ก็ได้?
……
พอสือเย่กับเฉินถิงเซียวออกไป เสิ่นเหลียงก็เดินออกมา
เมื่อตะกี้เธอกับสือเย่แอบซ่อนอยู่หลังประตูห้องครัว และบทสนทนาระหว่างเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อน เธอได้ยินทุกอย่างโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
เสิ่นเหลียงตบบ่าเธอ แล้วพูดปลอบใจ “อย่าถือถือสาคำพูดของบอสใหญ่เลย เธอก็คิดซะว่าตอนนี้เขาป่วย บางทีอีกไม่นานเขาอาจจะหายดีก็ได้”
“ฉันไม่เป็นไร” มู่น่อนน่อนหันมามอง แล้วส่ายหน้าให้เธอ “เมื่อก่อนเฉินถิงเซียวทำเพื่อฉันมาตลอด และตอนนี้ถึงเวลาที่ฉันจะทำอะไรให้เขาบ้างแล้วเหมือนกัน”
เสิ่นเหลียงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เพื่อเขา เธอก็ห้ามทำให้ตัวเองเสียใจเด็ดขาดนะ”
“ไม่หรอก”
มู่น่อนน่อนนึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้น ก่อนจะหัวเราะออกมา “เฉินถิงเซียวเป็นคนรักความสะอาด ก่อนหน้านี้มู่มู่คีบอาหารให้เขา เขายังยอมกินมันเข้าไป พ่อกับลูกเชื่อมโยงจิตใจกันจริงๆ เขาไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับมู่มู่เลย..”
“แล้วเธอล่ะ?” เสิ่นเหลียงนึกถึงคำพูดที่เฉินถิงเซียวพูดก่อนหน้านี้ “คิดเพ้อฝันไปเอง” แล้วอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้
สีหน้าของมู่น่อนน่อนดูอึดอัดเล็กน้อย “กับฉันเขาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรเลย”
เสิ่นเหลียงฟังไม่เข้าใจ “ฮะ?”
“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว” มู่น่อนน่อนรีบเปลี่ยนเรื่อง “ฉันพามู่มู่ไปอาบน้ำนอนก่อนนะ”
เสิ่นเหลียงรีบถามอย่างไม่ยอมแพ้ “เอ๊ะ เธอยังพูดไม่จบเลย พูดให้ชัดเจนกว่านี้หน่อย ท่านประธานรู้สึกยังไงกับเธอเหรอ?”
มู่น่อนน่อนแค่ส่งยิ้มให้เธอ แล้วพาเฉินมู่เข้าไปอาบน้ำ
เธอเตรียมน้ำอาบให้เฉินมู่ พร้อมกับคิดถึงเรื่องเมื่อวานไปด้วย
เมื่อวานเธอไปที่บ้านของเฉินถิงเซียว หลังจากทำบะหมี่ให้เขาเสร็จ แล้วยังแอบจูบเขาด้วย
ด้วยนิสัยของเฉินถิงเซียว ถ้าเขาไม่รู้สึกอะไรกับเธอจริงๆ แล้วยังเกลียดเธอเป็นพิเศษ ในวันนี้เขาจะไม่มาหาเธอแล้วนั่งกินข้าวร่วมกับเธออย่างกลมกลืนแบบนี้แน่ๆ
ถึงแม้เขาจะบอกว่า เขามาเพื่อมารับเฉินมู่ แต่พอบวกลบคูณหารกันแล้วเท่ากับมาหาเธอ
วันนั้นเธอแอบขโมยจูบเฉินถิงเซียว แต่เฉินถิงเซียวยังสามารถนั่งกินข้าวกับเธอได้อย่างสงบ ไม่ได้หมายความว่าเขาเองก็มีความรู้สึกต่อเธอเหมือนกันเหรอ?
ถ้าหากเฉินถิงเซียวไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ ด้วยนิสัยของเขาแล้ว มู่น่อนน่อนแอบจูบเขา เธอจะมายืนอยู่ที่นี่โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้เหรอ?
แน่นอนว่าไม่
ถ้าเฉินถิงเซียวจะเกลียดคนคนหนึ่ง เขามีหลายวิธีที่จะทำให้ชีวิตของอีกฝ่ายนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าตายทั้งเป็น
สำหรับมู่น่อนน่อนแล้ว นี่ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี
ขอแค่เฉินถิงเซียวมีความรู้สึกกับเธอ ไม่เกลียดเธอ และไม่กีดกันการเข้าใกล้เขาจากเธอ โอกาสที่จะได้คืนดีกับเขาก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว
……
มู่น่อนน่อนขอให้สือเย่ช่วยเธอจัดการเกี่ยวกับเอกสารและบัตรประจำตัวประชาชน สือเย่จัดการให้เธออย่างรวดเร็ว
เขาช่วยมู่น่อนน่อนยื่นเอกสารทำบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมกับบัตรกดเงินของธนาคารและอื่นๆ หลังจากจัดการเสร็จ เขาก็ส่งไปให้มู่น่อนน่อนด้วยตัวเอง
มู่น่อนน่อนรู้ว่าประสิทธิภาพการทำงานของสือเย่นั้นสูงมาก แต่เธอคิดไม่ถึงว่ามันจะเร็วขนาดนี้
มู่น่อนน่อนหยิบซองเอกสารที่สือเย่ยื่นให้ แล้วพูดว่า “รบกวนแล้วค่ะ”
สือเย่อดยิ้มออกมาไม่ได้ “ไม่เป็นไรครับ ง่ายกว่าช่วยงานคุณชายมากเลยครับ”
มู่น่อนน่อนประหลาดใจ แต่ก็เห็นด้วยทันที “ตอนนี้เขาค่อนข้างจะอารมณ์ร้อนค่ะ”
สือเย่ส่ายหน้าไปมา “ผมต้องขอตัวไปที่บริษัทก่อนนะครับ”
พอสือเย่กลับไป มู่น่อนน่อนก็ถือเอกสารเข้าห้องไป
เธอเปิดซองเอกสารออกมา สิ่งที่อยู่ในนั้นคือบัตรประจำตัวประชาชน หนังสือเดินทาง บัตรเครดิตธนาคารและอื่นๆ ของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนตรวจดูจนครบ แล้วหยิบใส่ไว้ในกระเป๋าเงินของเธอ
ตอนนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตที่จะช่วยสะกดจิตเฉินถิงเซียวยังไม่ได้เบาะแสอะไรเลย ทางสือเย่ก็ส่งคนไปตามหาเขาเช่นกัน
ตอนนี้เธอทำอะไรได้ไม่มาก ทำได้เพียงว่ากันไปทีละก้าวเท่านั้น
ภารกิจเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้ คือหาที่อยู่อาศัย จะอยู่ที่บ้านของเสิ่นเหลียงไปแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง
มู่น่อนน่อนคิดถึงweiboของเธอขึ้นมา
เธอลองกดรหัสผ่านอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็เข้าไปได้สักที
พอเข้าweibo ก็มีข้อความที่ยังไม่ได้อ่านเป็นจำนวนมาก โทรศัพท์ยังคงสั่นไม่หยุด ทำให้มือของเธอรู้สึกชาไปด้วย
มู่น่อนน่อนวางโทรศัพท์ไว้ข้าง ๆ แล้วปล่อยให้มันสั่นไปเรื่อยๆ
ผ่านไปสักพัก พอโทรศัพท์เงียบลง มู่น่อนน่อนก็เอื้อมมือไปหยิบขึ้นมา
มีทั้งข้อความส่วนตัวและข้อความแจ้งเตือนนับไม่ถ้วน แล้วยังมีแท็กชื่อเธอในweiboเป็นจำนวนมาก
เธออ่านจนตาลาย
มู่น่อนน่อนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
ในตอนนั้น เธอขายบทละครให้ฉินสุ่ยซาน ไม่ได้คิดว่ามันจะโด่งดังมากขนาดไหน
ในตอนนั้นเธอแค่คิดว่า ไม่ให้ฉินสุ่ยซานขาดทุนก็พอแล้ว
แต่บังเอิญ “เมืองพัง” ได้รับความนิยมกว่าที่คิด
มู่น่อนน่อนกดดูข้อความแจ้งเตือนและข้อความส่วนตัว ก่อนจะโพสต์สเตตัสลงใน Weibo
“ขอบคุณสำหรับความชื่นชอบของทุกท่านที่มีต่อ “เมืองพัง””
เป็นข้อความใน Weibo ที่ธรรมดามาก ไม่มีความหมายอะไรซับซ้อน
ทันทีที่ Weibo ของเธอถูกโพสต์ลงไป ก็มีคนแชร์และแสดงความคิดเห็นในทันที
“คนเขียนบทเองเหรอ?”
“มู่มู่เองเหรอ”
“เป็นคุณนักเขียนบทละครเรื่องเมืองพังจริงๆ ใช่ไหมคะ?”
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในชีวิตนี้ ฉันจะรอจนได้เจอคุณนักเขียนบทอัปเดตสเตตัสจริงๆ นี่หมายความว่า “เมืองพัง2” เขียนเสร็จแล้วใช่ไหมคะ?
“…… ”
จำนวนความคิดเห็นและการแชร์ยังคงเพิ่มมากขึ้น
มู่น่อนน่อนไม่ได้อ่านเลยหลังจากอ่านไปสองสามข้อความ เธอพบว่าอ่านยังไงก็อ่านไม่จบ
เธอเพิ่งลบข้อความส่วนตัวและข้อความแจ้งเตือน แล้วมีข้อความแจ้งเตือนและข้อความส่วนตัวที่ยังไม่ได้อ่านเพิ่มใหม่เข้ามาอีก
แต่ว่า พอเห็นแฟนๆ จำนวนมากยังคงนึกถึงเธอ ยังคอยติดตามเธอ เธอรู้สึกดีใจมาก และซาบซึ้งใจมาก
ร่างนุ่มนิ่มเข้ามาอยู่ในแขนของเขา และเฉินถิงเซียวก็เอื้อมมือไปอุ้มเฉินมู่ไว้ทันที
เฉินมู่เอาแขนโอบรอบคอของเฉินถิงเซียวไว้ ดวงตาของเธอเป็นประกาย
เธอชี้นิ้วไปทางห้องครัว “คุณพ่อคะ กินข้าวกันค่ะ”
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เฉินถิงเซียวจะมาที่บ้านของเสิ่นเหลียงเพื่อมาหาเธอ แต่เธอรู้ว่าการที่เฉินถิงเซียวมาที่นี่ ต้องมีจุดประสงค์ของเขาแน่ๆ
เฉินมู่ดูมีความสุขมาก ถึงแม้จะมีเรื่องอะไรจริงๆ มู่น่อนน่อนก็จะไม่ถามเฉินถิงเซียวในตอนนี้
เธอกำลังจะพูด เสิ่นเหลียงที่ได้ยินเสียงก็พูดตัดหน้าเธอไปซะก่อน “สะ สวัสดีค่ะบอสใหญ่…ไม่เจอกันนานเลยนะคะ”
หลังจากเจอกันที่โรงแรมจีนติ่งครั้งที่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นเหลียงได้เจอกับเฉินถิงเซียว
ในระหว่างช่วงเวลานี้มีอะไรเกิดขึ้นมากมาย พอได้เจอกับเฉินถิงเซียวอีกครั้ง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะไม่ประหลาดใจ
“ยืนตรงนี้กันทำไมคะ เข้ามาข้างในก่อนสิคะ” เสิ่นเหลียงยืนอยู่ข้างมู่น่อนน่อน พอพูดจบ เธอก็ผลักมู่น่อนน่อนเดินเข้าไป
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียวเล็กน้อย “เข้ามาสิคะ”
สือเย่กระซิบข้างหูเฉินถิงเซียว “คุณชายครับ เข้าไปข้างในสิครับ”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็ก้าวเดินเข้าไป
พอเขาเข้ามา เฉินมู่ก็พยายามจะไถลลงจากตัวเขา แล้วจูงมือเขาเดินไปที่โต๊ะอาหาร
พอเดินมาถึงตรงหน้าโต๊ะอาหาร เธอยังช่วยเฉินถิงเซียวดึงเก้าอี้ออกมาด้วย
“คุณพ่อนั่งค่ะ กินข้าวกัน”
แต่ว่า เก้าอี้ทั้งใหญ่และหนักมาก เฉินมู่พยายามดึงสุดแรง แต่ก็ดึงเก้าอี้ออกมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เฉินถิงเซียวก้มหน้าลง แล้วมองดูใบหน้าเล็กๆ ของเฉินมู่ที่แดงก่ำเพราะใช้แรงเยอะ มุมปากของเม้มแน่น ท่าทางตั้งอกตั้งใจอย่างหนัก
สือเย่เคยบอกไว้ว่าลูกสาวของเขาน่ารักมาก
แต่เขาคิดว่า คำว่า “น่ารัก” เป็นความรู้สึกของตัวเองมากกว่า
ในเวลานี้ เขาก็มีความรู้สึก ว่าเด็กน้อยคนนี้น่ารักมาก
เขาขยับมือ ตั้งใจจะช่วยเฉินมู่ แต่พอเห็นท่าทางตั้งอกตั้งใจของเธอ กลับหยุดนิ่งไป
มู่น่อนน่อนนั้นตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามา เธอก็คอยจับตามองเขาตลอด จึงเห็นการกระทําของเขาทั้งหมดโดยไม่มีเล็ดลอดจากสายตา
ผู้ชายคนนี้ทำไมถึงชอบเห็นคนอื่นลำบากขนาดนั้นนะ?
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป แล้วดึงมือเฉินมู่ขึ้นมา “มู่มู่ ไม่เป็นไรจ้ะ คุณพ่อนั่งเองได้”
เฉินมู่เงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าของเธอดูงุนงงเล็กน้อย เธอปัดหน้าม้า แล้วตบตรงเก้าอี้ ดึงมือเฉินถิงเซียว ส่งสัญญาณให้เขานั่งลง
เฉินถิงเซียวจึงนั่งลงไป
เสิ่นเหลียงกลัวเฉินถิงเซียวมาโดยตลอดอยู่แล้ว
หลังจากที่เธอรอให้เฉินถิงเซียวนั่งลง เธอก็เลือกตำแหน่งที่ห่างจากเฉินถิงเซียวที่สุดแล้วนั่งลง
โต๊ะอาหารไม่ได้ใหญ่มาก หลังจากที่สือเย่กับเสิ่นเหลียงนั่งลง ที่นั่งที่เหลืออยู่ก็มีแค่ข้างๆ เฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนนั่งลงข้างเฉินถิงเซียวโดยให้เฉินมู่นั่งตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
เด็กน้อยยังไม่เข้าใจเรื่องเวลาที่ชัดเจน แต่เพราะไม่เจอเฉินถิงเซียวมาสองวัน มันจึงเป็นเวลาที่นานมากสำหรับเฉินมู่แล้ว
เด็กน้อยแสดงความดีใจออกมาอย่างตรงไปตรงมา
มู่น่อนน่อนคีบอาหารให้เธอ เธอก็ใช้ตะเกียบที่มีเมล็ดข้าวติดอยู่คีบกับข้าวในชามของตัวเอง แล้ววางลงในชามของเฉินถิงเซียว ก่อนจะยิ้มอย่างน่ารัก “คุณพ่อกินนี่สิคะ”
เฉินถิงเซียวมีนิสัยรักสะอาดเล็กน้อย
ถึงแม้ตอนที่เขาอยู่กับมู่น่อนน่อน เขาจะไม่ค่อยแสดงออกชัดเจนมาก แต่ก็สังเกตได้ไม่ยาก
เฉินถิงเซียวมองไปที่ชิ้นเนื้อที่มีเมล็ดข้าวติดอยู่ แล้วมองที่เฉินมู่ที่มีสีหน้าตั้งตารอ คิ้วของเขาขมวดขึ้นเป็นปม
มู่น่อนน่อนเริ่มรู้สึกกังวลใจ ในขณะที่เธอกำลังจะพูด เธอก็ต้องแปลกใจที่เห็นเฉินถิงเซียวเอาเมล็ดข้าวบนชิ้นเนื้อออก แล้วคีบเนื้อชิ้นนั้นเข้าปากไป
แต่ว่า ตอนที่เขาเคี้ยว ท่าทางของเขาดูแข็งทื่อมาก
มู่น่อนน่อนอยากจะหัวเราะเล็กน้อย แต่การที่เฉินถิงเซียวยอมที่จะให้ความร่วมมือกับเฉินมู่มันก็ดีมากแล้ว ถ้าเธอกล้าที่จะหัวเราะออกมา เฉินถิงเซียวคงโกรธและไม่ยอมให้ความร่วมมืออีกแน่นอน
พอเห็นเฉินถิงเซียวกินชิ้นเนื้อเข้าไปแล้ว เฉินมู่ก็ก้มหน้ากินข้าวย่างอย่างมีความสุข
มู่น่อนน่อนทำกับข้าวแค่สามอย่างกับซุปหนึ่งอย่าง โชคดีที่ตอนเธอหุงข้าว เธอตั้งใจจะทำข้าวผัดพรุ่งนี้เช้า เธอจึงหุงข้าวเยอะเป็นพิเศษ
ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวเคยกินแต่บะหมี่ที่มู่น่อนน่อนทำ แต่ตอนนี้หลังจากกินอาหารที่เธอทำ ถึงได้รู้ว่าฝีมือการทำอาหารของเธอถูกปากเขาจริงๆ
สามอย่างกับซุปหนึ่งอย่าง ถูกกินจนหมด และเหลือทิ้งไว้แต่จานเปล่า
หลังจากกินข้าวเสร็จ เสิ่นเหลียงกับสือเย่ก็รับหน้าที่ทำความสะอาดอย่างรู้หน้าที่
ในห้องอาหารจึงเหลือแค่ครอบครัวของเฉินถิงเซียวทั้งสามคน
เฉินถิงเซียวนั่งนิ่งบนเก้าอี้ สีหน้านิ่งสงบ กลับมาเป็นคุณชายตระกูลเฉินผู้สูงศักดิ์เช่นเคย
มู่น่อนน่อนช่วยเฉินมู่เช็ดปาก
หลังจากนั้นเฉินมู่ก็ไถลลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปเล่นทันที
ที่โต๊ะอาหาร เหลือเพียงมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนถามขึ้นมาก่อน “ทำไมจู่ๆ คุณถึงมาที่นี่คะ?”
น้ำเสียงเรียบนิ่งของเฉินถิงเซียว ฟังไม่ออกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน “มารับเฉินมู่”
“รับมู่มู่?” มู่น่อนน่อนรีบหันไปมองเฉินถิงเซียว น้ำเสียงของเธออดที่จะพูดประชดเล็กน้อยไม่ได้ “คุณมารับเธอกลับไปทำไมคะ ใส่อารมณ์ให้เธอเห็น หรือทำลายข้าวของให้เธอตกใจกลัว?”
เฉินถิงเซียวพูดเสียงเรียบ “มู่น่อนน่อน”
น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นกว่าเมื่อตะกี้ ผสมไปด้วยอารมณ์โกรธเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนขยับริมฝีปาก แต่ไม่ได้พูดอะไร
เห็นได้ชัดว่าเฉินถิงเซียวยังพูดไม่จบ เธอรอให้เฉินถิงเซียวพูดจบก่อน
ผลลัพธ์คือ เฉินถิงเซียวพูดออกมาเสียงเรียบว่า“ด้วยท่าทีแบบนี้ของคุณ คุณยังคิดจะแต่งงานกับผมใหม่? ”
มู่น่อนน่อน “…”
ที่จริงแล้วเธอไม่เข้าใจจริงๆ ในสมองของเฉินถิงเซียวถูกเติมอะไรเข้าไปบ้าง
แต่พอมาคิดดูอีกครั้ง ความทรงจำของเฉินถิงเซียวเหลือเพียงช่วงวัยยี่สิบต้นๆ นั่นหมายความว่าเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อเธอเลย
สือเย่อาจจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ให้กับเฉินถิงเซียวฟังแล้ว
ตอนนี้เธอกับเฉินถิงเซียวอยู่ในสถานะหย่าร้างกันแล้ว และตอนนี้เธอกลับเสนอตัวมาก เฉินถิงเซียวจะคิดแบบนี้ก็ไม่แปลก
พอคิดในอีกมุมหนึ่ง คำพูดของเฉินถิงเซียวก็ถูกแล้ว
เธออยากจะแต่งงานกับเฉินถิงเซียวใหม่
อยากช่วยให้เขาฟื้นความทรงจำกลับมาได้ และกลับมาอยู่กับเขาอีกครั้ง
พวกเขาผ่านอุปสรรคอะไรมามากมาย ก็แค่อยากจะอยู่ด้วยกันเท่านั้นเอง
พอมู่น่อนน่อนคิดได้แบบนี้ เธอจึงรู้สึกสบายใจมากขึ้น “ใช่คะ ฉันแค่อยากจะแต่งงานกับคุณอีกครั้ง แม้แต่ในความฝันก็ยังคาดหวังไว้แบบนั้น”
เมื่อวานเธอฟื้นความจำขึ้นมากะทันหัน ตอนที่ต้องเผชิญกับเรื่องทั้งหมดนี้ ในใจของเธอรู้สึกไม่ยุติธรรมเล็กน้อย
พอได้เห็นผู้ชายที่ควรจะเป็นคู่รักที่รักใคร่กัน กลับมองเธอเหมือนคนแปลกหน้า ในใจของเธอรู้สึกทรมานมาก
แต่ว่า ความรักไม่สามารถใช้ความเป็นธรรมและความอยุติธรรมมาวัดได้
ขอแค่ได้อยู่ด้วยกันก็พอแล้ว
เฉินถิงเซียวหัวเราะออกมา “คิดเพ้อฝันไปเอง”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่สักพักก็กลับมาเรียบนิ่งตามเดิม
มู่น่อนน่อนยกริมฝีปากขึ้น แล้วส่งยิ้มให้เขา “ถ้าคนเราไม่คิดเพ้อฝัน แล้วเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไรคะ”
เฉินถิงเซียวจ้องหน้าเธอเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “สือเย่ กลับ”
หลังประตูห้องครัว สือเย่กับเสิ่นเหลียงกำลังแอบฟังบทสนทนาของทั้งสองอยู่ เขาก็รีบกระโดดออกมาทันที
เขาจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วรีบพูดกับมู่น่อนน่อนว่า “คุณหญิงน้อยครับ ผมขอตัวกลับแล้วนะครับ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อเย็นครับ”
ถึงแม้มู่น่อนน่อนจะถามอะไรจากเฉินถิงเซียวไม่ได้ แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกหดหู่ใจมากเท่าไหร่
เธอเชื่อ การที่เฉินถิงเซียวจะหาผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตแบบนี้ได้ มันไม่ใช่เรื่องยากเลย
……
เฉินถิงเซียวกลับมาถึงบ้าน ก่อนจะยื่นเสื้อคลุมตัวนอกให้คนรับใช้ แล้วนั่งลงบนโซฟา
เขาเงยหน้ามองขึ้นไปที่โคมไฟคริสทัลเหนือศีรษะ ก่อนจะมองไปรอบด้าน
ในบ้านที่ใหญ่โตตอนนี้กลับว่างเปล่า มีแค่พวกบอดี้การ์ดกับพวกคนรับใช้เท่านั้น
เขาหยิบมือถือออกมา แล้วปัดนิ้วไปที่หน้าข้อความโดยไม่รู้ตัว
ในกล่องข้อความมีเพียงข้อความเดียวเหลืออยู่
มู่น่อนน่อนส่งมาเมื่อคืนนี้ เนื้อหาข้างในเขียนแค่คำว่า ราตรีสวัสดิ์ เท่านั้น
ตอนที่เขาได้รับข้อความ เขาคิดแค่ว่าผู้หญิงคนนั้นน่าเบื่อมาก และคิดจะบล็อกเบอร์โทรเธอ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำใจบล็อกเบอร์เธอไม่ลงสักที
หลังจากนั้นคงเป็นเพราะง่วงเกินไปจึงผล็อยหลับไป
“คุณชายครับ”
เสียงของสือเย่ ดึงเฉินถิงเซียวให้หลุดออกจากภวังค์ความคิด
เฉินถิงเซียวกดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสือเย่
เขาไม่ได้พูดอะไร แค่เลิกคิ้วขึ้น บ่งบอกให้สือเย่มีอะไรจะพูดก็พูดมา
สือเย่ถามอย่างระมัดระวัง “คืนนี้คุณชายอยากกินอะไรครับ”
ช่วงนี้เฉินถิงเซียวอยู่ในสถานการณ์พิเศษ สือเย่ก็เลยเข้ามาอยู่ในบ้านของเฉินถิงเซียว
โชคดีที่เฉินถิงเซียวยังเชื่อใจเขามาก
แต่ว่า ผู้ช่วยอย่างเขามีทำงานครอบคลุมทุกเรื่องจริงๆ เป็นทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาของเฉินถิงเซียวในที่ทำงาน แต่ปัจจัยสี่ (ปัจจัยสี่ของจีน ประกอบด้วย เสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และการเดินทาง) ของอีกฝ่าย เขาก็ยังต้องจัดการให้ทั้งหมด
เพราะเรื่องเมื่อคืนนี้ คนรับใช้ในครัวจึงไม่กล้าทำอาหารเองเหมือนปกติ
เพราะกลัวว่าเฉินถิงเซียวจะไม่ถูกปาก แล้วอาละวาดขึ้นมา จึงต้องขอให้สือเย่มาถามเฉินถิงเซียวก่อน
เฉินถิงเซียวพูดอย่างเฉยเมย “ฉันจ้างพวกเขามา เพื่อให้พวกเขามาทำอาหารไม่ใช่หรือไง เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ยังต้องมาถามฉันด้วยเหรอ?”
สือเย่คิดในใจ สำหรับเขาแล้วคงเป็นแค่เรื่องเล็ก แต่สำหรับพวกคนรับใช้เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก
สือเย่ถามออกไปอย่างกล้าหาญว่า “คุณชาย อยากกินอาหารที่คุณหญิงน้อยทำใช่ไหมครับ?”
แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่ได้โต้แย้งเหมือนที่ผ่านมา เขาถามกลับว่า “นายหมายถึงมู่น่อนน่อน?”
สือเย่จับรายละเอียดเล็กน้อยนี้ได้ จึงตอบว่า “ใช่ครับ”
“เหอะ”
เฉินถิงเซียวยิ้มเยาะ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “เมื่อคืนนี้ยังเสนอตัวมาทำอาหารถึงที่นี่ ตอนนี้มันกี่โมงแล้วยังไม่เห็นเงา เธอเป็นแบบนี้ยังคิดจะแต่งงานกับฉันใหม่ ฝันไปเถอะ”
“…”
สือเย่ปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก
ในสมัยนั้นตอนที่เขาเริ่มทำงานกับเฉินถิงเซียว โดยเป็นผู้ช่วยพิเศษของเฉินถิงเซียว เขาเพิ่งเรียนจบมา ในเวลานั้นบริษัทเสิ้งติ่งยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ก็เริ่มทำกำไรได้แล้ว
เฉินถิงเซียวเป็นนักธุรกิจที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ วิธีการทำงานของเขาเฉียบขาดมาก
ความคืบหน้าของบริษัทเสิ้งติ่ง ใช้สายตาก็สามารถมองเห็นได้
แต่ว่า ในเวลานั้นเฉินถิงเซียวที่อยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ มีอารมณ์รุนแรงมาก
สือเย่ในตอนนั้นก็เพิ่งเรียนจบยังทำอะไรไม่เป็น ไม่เหมือนตอนนี้ที่ทำทุกอย่างได้อย่างรอบคอบ แต่ก็ถูกเฉินถิงเซียวดุด่ามาไม่น้อย
ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะไม่พอใจอยู่บ้างที่ถูกเจ้านายที่อายุน้อยกว่าดุด่า แต่พอเห็นถึงความสามารถของเฉินถิงเซียว จะให้เขาไม่ยอมรับก็ไม่ได้
สือเย่คุ้นเคยกับความรอบคอบ ระมัดระวัง และตัดสินใจเฉียบขาดของเฉินถิงเซียวแล้ว
แต่ว่า จู่ๆ นิสัยของเฉินถิงเซียวก็เปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนตอนที่เขาเพิ่งอายุยี่สิบต้นๆ …
หลังจากผ่านไปหลายปี สือเย่ไม่รู้ว่าจะรับมือกับเฉินถิงเซียวที่เป็นแบบนี้ยังไง
ตนเองจะบอกเฉินถิงเซียวดีไหม ที่จริงแล้วเมื่อคืนนี้ เป็นเขาที่โทรไปขอให้มู่น่อนน่อนมาช่วย
ตนเองจะบอกเฉินถิงเซียวดีไหม ว่าเมื่อก่อนเป็นเขาที่ตามติดมู่น่อนน่อนอย่างใกล้ชิด คอยประคบประหงมดูแลอย่างดี
ที่จริงแล้ว เขาก็เคยแอบพูดถึง แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
เฉินถิงเซียวไม่ฟังเลยสักนิด
หลังจากที่เฉินถิงเซียวพูดจบ แล้วไม่ได้ยินสือเย่ตอบกลับ จึงมองด้วยสีหน้าเฉยเมย “ทำไมนายไม่พูดอะไรเลย หรือว่าฉันพูดไม่ถูก” “คุณชายพูดถูกครับ” สือเย่ยืดตัวตรง แล้วตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
เห็นได้ชัดว่าเฉินถิงเซียวพึงพอใจต่อคำพูดของสือเย่มาก ก่อนจะถามขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วทำไมเธอถึงยังไม่มาทำอาหารอีก?”
นี่คุณชายคิดว่าคุณหญิงน้อยเป็นแค่คนทำอาหารจริงๆ เหรอครับ?
สือเย่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา พูดเพียงแค่ว่า “คุณหญิงน้อยยังต้องดูแลมู่มู่ ไม่ได้มาทำอาหารให้คุณชายก็เป็นเรื่องปกติครับ”
เฉินถิงเซียวนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วพูดว่า “ลูกสาวของฉันเหรอ?”
พอสือเย่พูดถึงเฉินมู่ น้ำเสียงก็แฝงไปด้วยรอยยิ้ม “ใช่ครับ คุณชายเป็นคนเลี้ยงดูมู่มู่มาเองกับมือ น่ารักมากเลยล่ะครับ”
เฉินถิงเซียวเด็กน้อยที่เขาเห็นในห้องโถงตอนเที่ยงของเมื่อวานนี้ ดูตัวเล็กนุ่มนิ่มขนาดนั้น รู้สึกว่าแค่นิ้วเดียวก็สามารถกดตัวเธอไว้ได้แล้ว
น่ารักไหมเขาไม่รู้ รู้แต่ว่าเธอตัวเล็กมาก
“ในเมื่อฉันเป็นคนเลี้ยงดูมาจนโต แล้วมู่น่อนน่อนมีสิทธิ์อะไรกลับมาพาเธอไปง่ายๆ แบบนี้”
เฉินถิงเซียวพูด แล้วรีบลุกขึ้นยืน
สือเย่เดาไม่ถูกว่าตอนนี้เฉินถิงเซียวกำลังคิดอะไรอยู่ “…คุณชาย?”
“นายรู้ว่ามู่น่อนน่อนพักอยู่ที่ไหนใช่ไหม”
สือเย่พยักหน้า “รู้ครับ”
แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวคิดจะทำอะไร
“ไปกันเถอะ” หลังจากที่เฉินถิงเซียวพูดจบ เขาก็เริ่มก้าวเดินนำหน้า
สือเย่เดินตามหลัง “คุณชายครับ จะไปไหนครับ?”
เฉินถิงเซียวไม่หันไปมองเขา แต่พูดอย่างเฉยเมยว่า “ไปพาเด็กน้อยที่ฉันเลี้ยงมาจนโตกลับคืนมา”
สือเย่ “…” ดูเหมือนความหวังดีของเขาจะทำให้เกิดปัญหาซะแล้วสิ
……
“มู่มู่ มาเอาชามของลูกจ้ะ เราจะกินข้าวกันแล้ว”
มู่น่อนน่อนทำอาหารจานสุดท้ายอยู่ในครัว แล้วเรียกให้เฉินมู่เข้ามาหยิบชาม
“มาแล้วค่ะ!” น้ำเสียงตอบรับที่น่ารักน่าชังของเฉินมู่ดังขึ้นมา ก่อนที่เด็กน้อยจะวิ่งเข้าไปในครัว
มู่น่อนน่อนยื่นชามและตะเกียบให้เธอ “เอาไปวางไว้บนโต๊ะนะจ๊ะ”
มู่มู่ตอบอย่างกระฉับกระเฉง “ได้ค่ะ”
มู่มู่ “ตึงตึงตึง” ถือชามแล้ววิ่งออกไป “แปะแปะ” ก่อนจะวางลงบนโต๊ะอาหาร
มู่น่อนน่อนเปิดฝาออกเพื่อดูว่าน้ำซุปได้ที่หรือยัง แล้วได้ยินเสียงเฉินมู่เรียกเธอดังมาจากข้างนอก “คุณแม่ขา มีคนมาเคาะประตูค่ะ”
“คุณน้าเสิ่นล่ะลูก”
“คุณน้ายังอยู่ในห้องน้ำค่ะ”
มู่น่อนน่อนคนซุปในหม้อ “เดี๋ยวแม่ไปเปิดประตูเองจ้ะ”
“หนูไปเปิดให้ค่ะ” เฉินมู่รีบอาสาอย่างตื่นเต้น และไม่รอคำตอบจากมู่น่อนน่อน เธอก็รีบวิ่งไปเปิดประตูทันที
มู่น่อนน่อนรีบวางทัพพีในมือลง แล้วเดินออกไปข้างนอก “มู่มู่ แม่เปิดประตูเองจ้ะ”
ตอนที่เธอเดินออกไป เฉินมู่ได้เปิดประตูแล้วเรียบร้อย
“มู่…”
เฉินมู่เงยหน้าขึ้น แล้วมองไปที่ชายร่างสูงที่ยืนอยู่นอกประตู ก่อนที่ดวงตาจะเป็นประกาย “เฉินชิงเซียว”
มู่น่อนน่อนอยากจะส่งเสียงเรียกให้หยุด แต่ก็สายไปเสียแล้ว
เฉินมู่วิ่งออกไปแล้ว… เธอกอดขาของเฉินถิงเซียวไว้
และความสูงของเธอ ก็ได้แค่กอดถึงขาของเฉินถิงเซียวเท่านั้น
เฉินถิงเซียวหันกลับไปมองที่สือเย่ นี่น่ะเหรอที่นายเรียกว่าน่ารัก?
หลังจากนั้น เขาก็ก้มหน้าลงมองมู่มู่ แล้วเลิกคิ้วขึ้น “เธอเรียกฉันว่าอะไรนะ?”
“ฮิฮิ” เฉินมู่หัวเราะออกมาเล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียง “คุณพ่อขา!”
เฉินถิงเซียวยืนตัวแข็งทื่อ เด็กสาวท่าทางเจ้าเล่ห์ตรงหน้า เป็นลูกสาวเขาจริงๆ เหรอ?
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่น่อนน่อน เขาสงสัยว่ามู่น่อนน่อนเป็นคนสอนให้เป็นแบบนี้
มู่น่อนน่อนเหมือนจะอ่านความคิดของเฉินถิงเซียวออก เธออุ้มเฉินมู่ขึ้นมาแล้วยัดเข้าไปในอ้อมแขนของเฉินถิงเซียว “มู่มู่ไม่ได้เจอคุณมาสองวันแล้ว คงจะคิดถึงคุณมากค่ะ”
จู่ๆเฉินจิ่งหยุ้นก็เสียการควบคุมอารมณ์ไป สีหน้าที่แสดงออกมาได้เปลี่ยนมาเป็นดุร้ายน่ากลัวออกมา “ออกไปเดี๋ยวนี้! ไสหัวออกไป!”
ในความทรงจำของมู่น่อนน่อน เฉินจิ่งหยุ้นเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความสมบูรณ์แบบมากคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่ไม่มีทางยั้งสติไม่อยู่ทำตัวเสียกิริยาออกมาต่อหน้าคนอื่นแน่
แต่เฉินจิ่งหยุ้นในตอนนี้ไหนเลยจะยังมีท่าทีอวดเบ่งเที่ยวระรานชาวบ้านอย่างเมื่อก่อนอยู่อีก ตัวเธอเหมือนกับว่าใกล้จะพังทลายเต็มทีแล้ว
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย พลางส่งเสียงถามเธอออกไป “เฉินจิ่งหยุ้น เธอเป็นอะไรไป?”
เฉินจิ่งหยุ้นมองมาทางมู่น่อนน่อนทันที สายตาค่อยๆกลับมาแจ่มใสขึ้นมา
ในทันใดนั้น เธอก็ได้ส่งเสียงถามมู่น่อนน่อนออกไป “เธอมาหาฉัน ก็เพื่อเฉินถิงเซียว?”
มู่น่อนน่อนคิดว่าเฉินจิ่งหยุ้นดูไปแล้วแปลกๆอยู่บ้าง แต่เธอไม่คิดจะไปใส่ใจเฉินจิ่งหยุ้น เพียงแค่ถามเธอออกไป “เธอให้ใครมาสะกดจิตให้เฉินถิงเซียว? คนคนนั้นอยู่ที่ไหน? หน้าตาเป็นยังไง?”
“ไม่รู้” เฉินจิ่งหยุ้นกลับมาสงบลง จากนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าซีดเซียว “ขอเตือนเธอเอาไว้อย่าง คบอยู่กับเฉินถิงเซียว เธอจะต้องนึกเสียใจภายหลังแน่ เขาจะต้องไม่ใช่คนที่สามารถมอบความสุขให้กับใครได้แน่”
คำพูดนี้เฉินจิ่งหยุ้นได้พูดออกมาเสียจนน่างงงวยอธิบายไม่ถูกอยู่บ้าง มู่น่อนน่อนคิดว่าเฉินจิ่งหยุ้นนั้นกำลังยุแยงเธอกับเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้ว ในดวงตาใสกระจ่างได้พาดผ่านไปด้วยความเยือกเย็นที่เย็นยะเยือกออกมา “ความสุขของเฉินถิงเซียวเหมือนกับว่ามันจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอนะ แต่ในทางตรงกันข้ามกันกลับเป็นเธอที่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง กลับทำเรื่องที่ผิดต่อเฉินถิงเซียวไปไม่น้อยเลย แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยใส่ใจเขามาก่อนเลย แล้วมีสิทธิ์อะไรไปว่าเขาอีก?”
เฉินจิ่งหยุ้นมองสำรวจมู่น่อนน่อน มักจะรู้สึกว่าลักษณะท่าทางของมู่น่อนน่อน ดูเหมือนว่าจะมีจุดที่เหมือนกับเฉินถิงเซียวเลยทีเดียว
ครั้งที่แล้วเธอเกือบจะถูกเฉินถิงเซียวบีบคอตาย ดังนั้นแล้วจึงเกลียดชังมู่น่อนน่อนมากยิ่งขึ้น
เธอส่งเสียงเฮอะเสียงเย็นออกมา “ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด ตอนนี้เธอมาขอร้องฉัน? นี่คือน้ำเสียงขอร้องคนอื่นของเธอ?”
“เธอผิดแล้ว ฉันไม่ได้กำลังขอร้องเธอ” มู่น่อนน่อนไม่มีขลาดกลัวเลยแม้แต่น้อย “เฉินถิงเซียวต้องกลายมาเป็นอย่างนี้ ล้วนแล้วแต่จะเป็นเพราะเธอทั้งนั้น ในเมื่อเธออยากให้เขารักษาความมั่งคั่งของตระกูลเฉินเอาไว้ ก็ต้องภาวนาให้เขาสุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บไม่ไข้ ไม่อย่างนั้นถึงตอนนั้นแล้วตำแหน่งคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินของเธอก็คงรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว”
“มู่น่อนน่อน เธอไม่ลองดูตัวเองสักหน่อยว่ามีสถานะอะไร ก็กล้าใช้น้ำเสียงอย่างนี้มาพูดกับฉัน? คนที่มันหลงตัวเองเกินไปต่างก็ไม่มีจุดจบดีๆเลยสักคนเธอไม่รู้เหรอ?”
เฉินจิ่งหยุ้นเหมือนกับว่าจู่ๆก็นึกเรื่องที่มีความสุขอะไรขึ้นมาได้ก็ไม่ปาน รอยยิ้มบนใบหน้าได้กดลึกมากขึ้นไปไม่หยุด
“ตอนนี้เฉินถิงเซียวยังนึกเรื่องในอดีตขึ้นมาไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ? เขานึกเรื่องในอดีตขึ้นมาไม่ได้ แน่นอนว่าจะต้องจำความรู้สึกที่มีต่อเธอไม่ได้ด้วยเช่นกัน นี่เธอรีบแต่งงานใหม่กับเขาโดยเร็ว เป็นคุณหญิงตระกูลเฉินแล้วถึงจะมาหาฉัน”
เห็นมู่น่อนน่อนไม่พูดอะไรออกมา เฉินจิ่งหยุ้นก็ยิ่งรู้สึกว่าการคาดเดาของตนมันถูกต้อง
รอยยิ้มบนใบหน้าของเธออดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนมาได้ใจขึ้นมา “แต่ว่านะ เธออย่าคิดเพ้อฝันที่จะแต่งงานกับเขาใหม่อีกครั้งเพื่อเป็นคุณหญิงตระกูลเฉินได้แล้ว ฉันหาผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิตชั้นยอดของโลกมาสะกดจิตให้เฉินถิงเซียวเลยนะ เธอนึกว่าผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิตจำพวกนี้เพียงแค่อุปโลกน์ชื่อเสียงจอมปลอมกันขึ้นมาเหรอ? ฮ่าๆๆ!”
จู่ๆเฉินจิ่งหยุ้นก็เงยหน้าหัวเราะเสียงดังออกมา ท่าทางที่แสดงออกมาดูบ้าคลั่งอยู่บ้าง “ชั่วชีวิตนี้เขาอย่าได้คิดที่จะจำเรื่องในอดีตขึ้นมาได้เลย ความรู้สึกที่เขามีต่อเธอก็ไม่มีทางกลับมาอีกเหมือนกัน เขามันเป็นสัตว์ประหลาดที่โหดเหี้ยมไร้หัวใจ!”
มู่น่อนน่อนกำมือทั้งสองข้างแน่นอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าขาวเนียนบีบเกร็งแน่น เธอกัดมุมปากออกมา เอ่ยเสียงเย็นออกไป “ไม่ ฉันคิดว่าอย่างเธอ ที่ไม่แยแสต่อการตายของแม่ตัวเองเลยสักนิด ทั้งๆที่รู้ดีอยู่แล้วว่าฆาตกรที่ฆ่าแม่เป็นใคร แต่กลับเพื่อการที่จะมีเงินมีอำนาจจึงไม่กล้าพูดออกมา…”
พูดถึงตรงนี้แล้ว มู่น่อนน่อนชะงักไป บีบเอาคำพูดไม่กี่คำออกมาจากระหว่างริมฝีปาก “เธอต่างหากที่เป็นสัตว์ประหลาด! สัตว์ประหลาดเลือดเย็น!”
“เธอหุบปากไป!” เฉินจิ่งหยุ้นมีสีหน้าตื่นตกใจออกมา “เธอรู้อะไรบ้าง?”
มู่น่อนน่อนเชิดคางขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงเบามาก “เรื่องที่เธอกลัวว่าฉันจะรู้ ฉันรู้หมด”
เธอพูดจบ มองสีหน้าที่เปลี่ยนไปในทันทีของเฉินจิ่งหยุ้นไปด้วยความพึงพอใจ แล้วผันร่างออกไปโดยทันที
มู่น่อนน่อนหลังจากที่รู้เรื่องคดีเมื่อตอนนั้นของแม่ของเฉินถิงเซียวแล้ว ก็เคยสงสัยว่าเฉินจิ่งหยุ้นใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
เฉินจิ่งหยุ้นจะต้องไม่ใช่คุณหนูพันชั่งที่สวยแต่ไร้สมองที่ได้รับการเลี้ยงดูมาจากบ้านคนมีเงินธรรมดาๆอย่างแน่นอน เธอมีสมองและก็มีความคิด
เด็กสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันมักจะแก่เกินอายุมากกว่าเด็กผู้ชาย สิบเอ็ดปีก็เป็นอายุที่มีการบันทึกความทรงจำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และก็มีสามัญสำนึกที่แน่นอนแล้ว
เฉินจิ่งหยุ้นถึงแม้ว่าจะไม่เห็นอะไรที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้นมากับตา แต่ก็จะต้องสังเกตเห็นอะไรมาแน่ๆ
ตอนเด็กๆอาศัยอยู่ที่ต่างประเทศมาอย่างยาวนาน ห่างเหินกับเฉินถิงเซียว ไม่เชื่อที่เฉินถิงเซียวบอกว่ายังมีผู้ร้ายตัวจริงอีกที่เป็นคนฆ่าแม่มาตลอด ทั้งหมดนี้สรุปคิดรวมกันดูแล้ว ก็เหมือนกับว่าเป็นการจงใจทำ
เฉินถิงเซียวมองไปแล้วดูเป็นคนที่เย็นชาคนหนึ่ง แต่ว่าอันที่จริงเขาก็เอาใจใส่ต่อคนที่เขาแคร์เลยทีเดียว
แต่เฉินจิ่งหยุ้น เธอไม่แคร์คนอื่นเลยสักนิด เธอแคร์เพียงแค่ตัวเองเท่านั้น
เฉินจิ่งหยุ้น ก็เหมือนกับเฉินชิงเฟิงอีกคนหนึ่ง
เพียงแต่ว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงแค่การคาดเดาของมู่น่อนน่อนเท่านั้น
เห็นปฏิกิริยาเมื่อกี้นี้ของเฉินจิ่งหยุ้น มู่น่อนน่อนรู้ว่าเธอคาดเดาเรื่องบางอย่างได้ถูกต้องไปโดยบังเอิญมาก
อธิเช่น เฉินจิ่งหยุ้นในตอนที่แม่ของเธอถูกลักพาตัวไปเมื่อตอนนั้น มีความเป็นไปได้มากเลยว่าจะได้ยินอะไรมองเห็นอะไรเข้า แต่เธอก็เก็บเงียบเอาไว้
คงจะเป็นเพราะว่ามีคนข่มขู่เธอ เธอตระหนักได้ว่าถ้าตนพูดออกมาจะสูญเสียชีวิตของการเป็นคุณหนูพันชั่งไป ก็เลยเลือกที่จะเงียบไว้
การเงียบจำพวกนี้ทำให้เธอยิ่งโตขึ้น ก็ยิ่งเห็นแก่ตัว
สุดท้าย ก็อยากจะควบคุมเฉินถิงเซียวอยู่ในกำมือ อยากให้เฉินถิงเซียวช่วยเธอรักษาความมั่งคั่งของตระกูลเฉินให้คงอยู่ต่อไป ให้เธอมีทุนทำหน้าที่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฉินต่อไป
“มู่น่อนน่อน หยุดอยู่ตรงนั้น มาพูดให้ชัดเจน!”
เสียงกรีดร้องของเฉินจิ่งหยุ้นดังขึ้นอยู่ที่ด้านหลัง
มู่น่อนน่อนคร้านจะไปสนใจเฉินจิ่งหยุ้น เดินตรงไปข้างหน้าเลยทันที
เฉินจิ่งหยุ้นไม่ชอบมู่น่อนน่อนมาโดยตลอด คิดว่ามู่น่อนน่อนเหมือนกับผู้หญิงที่เข้าหาเฉินถิงเซียวคนอื่นๆ ที่ต่างก็มีเป้าหมายที่ต้องการสมบัติของตระกูลเฉินกันทั้งนั้น แน่นอนว่าไม่มีทางจะคิดเลยว่าเฉินถิงเซียวจะเอาเรื่องที่เป็นความลับไปบอกมู่น่อนน่อนได้
แต่คำพูดที่มู่น่อนน่อนพูดออกมาเมื่อกี้นี้ ดูเหมือนว่าจะรู้เรื่องของตระกูลเฉินชัดเจนไปทุกเรื่องเลย
เฉินเหลียนบ้าไปแล้ว ซือเฉิงหยู้เองก็ได้ตายไปในเหตุระเบิดคราวนั้นไปแล้ว เหลือเพียงแค่เฉินชิงเฟิงอยู่คนนึงที่เป็นอัมพาตไปเรียบร้อยแล้ว
ผู้ที่มีส่วนร่วมกับคดีลักพาตัวเมื่อตอนนั้น และความลับที่ไม่อาจแพร่งพรายออกไปที่สุดของตระกูลเฉิน ต่างก็ควรจะถูกฝังลึกๆอยู่ใต้ดินให้หมด
เฉินถิงเซียวบ้าไปแล้วเหรอ?
นึกไม่ถึงว่าจะเอาเรื่องพวกนี้ของตระกูลเฉินบอกมู่น่อนน่อนไป!
เฉินจิ่งหยุ้นสีหน้าเขียวคล้ำออกมา มือทั้งสองข้างกำแน่นเข้าด้วยกัน มองจ้องไปทางมู่น่อนน่อนที่เดินอยู่ไกลออกไป สายตามืดครึ้มออกมา
……
ระหว่างทางกลับไป มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิตชั้นยอดของโลกในเน็ตดู
เธอเองก็ไม่หวังว่าจะสามารถเสิร์ชได้อะไรที่มันมีประโยชน์มา ก็แค่อยากจะทำความเข้าใจให้มากขึ้นสักหน่อย
แต่ผลสุดท้ายผลลัพธ์ที่เสิร์ชเจอ ก็เพียงแค่บอกว่าคุณหมอสะกดจิตที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ต่างก็เป็นคนต่างชาติกันทั้งนั้นเลย
ที่ในประเทศการสะกดจิตในเขตพื้นที่นี้ ยังไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรมากนัก และผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิตชั้นยอด แน่นอนว่าทำได้เพียงแค่ต้องอยู่ที่ต่างประเทศถึงจะสามารถหาเจอได้
เรื่องพวกนี้พวกสือเย่เขาก็คงจะรู้ด้วยเหมือนกัน
เฉินจิ่งหยุ้นใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศมาตั้งแต่เด็ก หาผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิตมาสักคนนึงแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเลย
แต่เฉินถิงเซียวมีทั้งพลังอำนาจ อยากจะหาผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิตที่ช่วยเฉินจิ่งหยุ้นคนนั้นให้เจอ ก็คงจะไม่ยากหรอกมั้ง?
มู่น่อนน่อนยิ้มออกมา ยิ้มออกมาเสียดูจนใจเป็นอย่างมาก “ทักษะการแสดงของเธอมันเกินจริงเสียขนาดนี้ ผู้คนเขายอมรับกันเหรอ?”
“ชีวิตมั้ยล่ะ ก็ต้องใช้วิธีการพูดเกินจริงสักหน่อยเพื่อมาสื่อถึงความรู้สึกที่อยู่ภายในใจ”
เธอพูดจบ จู่ๆขยิบตาเอ่ยออกมา “เธออยากจะลองพิจารณาดูสักหน่อยมั้ย บทละครต่อไปเตรียมบทบาทให้ฉันสักบทนึง? จำพวกที่เธอสร้างมันออกมาตามความต้องการฉัน ทำให้ฉันมีชื่อเสียงโด่งดังชั่วข้ามคืนไปเลย”
ในปากของเสิ่นเหลียงยังมีโฟมอยู่ ตอนที่พูดคำว่า “ชื่อเสียงโด่งดังชั่วข้ามคืน” คำนี้ออกมา ยังชูแปรงสีฟันขึ้นไปในอากาศโบกไม้โบกมือทำท่าทำทางออกมาสองที
ท่าทางมีความสุข เหมือนกับเด็กคนหนึ่ง
มู่น่อนน่อนตกอยู่ในภวังค์ไปเล็กน้อย
สามปี เหมือนกับไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย
“ได้สิ สร้างบทให้เธอโดยเฉพาะ แต่ไม่รับปากว่าจะสามารถมีชื่อเสียงโด่งดังชั่วข้ามคืนได้ แต่มันจะต้องเหมาะกับเธอแน่” น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนจริงจังมาก
นักแสดงคนหนึ่ง เจอบทบาทที่เหมาะสมกับตัวเองมันก็ไม่ง่ายแล้ว
เสิ่นเหลียงยิ้มพลางเอ่ยออกไป “งั้นก็ตกลงตามนี้”
……
เสิ่นเหลียงหยุดพักผ่อนจริงๆ
มู่น่อนน่อนจะไปหาเฉินจิ่งหยุ้น แน่นอนว่าไม่สามารถพาเฉินมู่ไปด้วยได้
ดังนั้นแล้ว เฉินมู่ทำได้แค่เพียงอยู่เล่นกับเสิ่นเหลียงอยู่ที่บ้านไปอีก
ดีที่เฉินมู่กับเสิ่นเหลียงอยู่ด้วยกันจนค่อนข้างที่จะสนิทกันแล้ว พาเธอไปดูทีวีด้วยกันสักหน่อย และยังสามารถช่วยดูให้มู่น่อนน่อนได้อีกสักพักนึงด้วย
มู่น่อนน่อนกำชับกับเสิ่นเหลียงไปสักหน่อยว่าต้องป้อนน้ำให้เฉินมู่ อย่าให้เธอกินขนมเยอะ แล้วก็ออกจากบ้านไป
วันนี้เป็นวันทำงาน มู่น่อนน่อนตรงไปที่บริษัทเฉินซื่อเพื่อไปหาเฉินจิ่งหยุ้น
เพียงแต่ว่าตอนที่เธอกำลังถามอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ พนักงานประชาสัมพันธ์สาวได้บอกเธอว่า “ท่านรองประธานลาหยุดยาว”
“ลาหยุดยาว? เธอจะจู่ๆก็มาลาหยุดยาวไปกะทันหันได้ยังไงกันน่ะ?” นึกไม่ถึงว่าเฉินจิ่งหยุ้นจะลาหยุดยาวไปในช่วงเวลาแบบนี้ ไม่ว่าจะฟังดูยังไงก็รู้สึกว่ามันผิดปกติไปหมดเลย
พนักงานประชาสัมพันธ์สาวเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยความรู้สึกขอโทษขอโพยออกมา “ขอโทษค่ะ พวกเราเองก็ไม่รู้ชัดด้วยเหมือนกัน”
“ขอบคุณค่ะ” มู่น่อนน่อนเอ่ยขอบคุณออกไป เดินออกไปข้างนอกไปพลาง โทรหาสือเย่ไปพลาง
ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าสือเย่กับเฉินถิงเซียวในตอนนี้กำลังอยู่ในตึกใหญ่หลังนี้ แต่ว่าบริษัทเฉินซื่อไม่ใช่ที่ที่สามารถเข้าไปซี้ซั้วได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังต้องขึ้นไปที่ห้องทำงานผู้บริหารที่ชั้นบนสุดเพื่อไปหาเขาอีก
เธอสนใจเพียงแค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร ไม่ได้สังเกตเห็นคนที่อยู่ด้านนอกไปชั่วขณะหนึ่ง
ตอนที่รับสาย เธอก็ได้ชนเข้ากับกำแพงคน
เสียงดัง “ผลั่ก” มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าจมูกของตัวเองเจ็บจนไม่เหมือนกับว่าเป็นของตัวเองแล้ว
เธอปิดจมูกของตัวเองเอาไว้ เงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาที่เอ่อไปด้วยน้ำตา ก็ได้เห็นใบหน้าเย็นชาที่ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมานั้นของเฉินถิงเซียวเข้า
มู่น่อนน่อนตะลึงงันไปเล็กน้อย แล้วค่อยๆวางโทรศัพท์ลงไปช้าๆแล้วส่งเสียงเรียกออกไป “เฉินถิงเซียว?”
“เฮอะ!” เฉินถิงเซียวยิ้มเย็นออกมา “ดูท่าแล้วคงประเมินเธอต่ำไป นึกไม่ถึงว่าจะตามกันมาถึงบริษัท”
มู่น่อนน่อน “…” เธอไม่ได้จะมาดักรอเขาเลยจริงๆ
ช่างเถอะ ถึงแม้ว่าเธอจะบอกว่าเธอไม่ได้มาหาเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวเกรงว่าคงจะไม่มีวันเชื่อเธอแน่
มู่น่อนน่อนตรงเข้าไปยังสือเย่ ถามเขาออกไปเสียงเบา “เฉินจิ่งหยุ้น ไม่ได้มาทำงานที่บริษัทแล้ว?”
สือเย่รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากตรงหน้าตัวเอง เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองเฉินถิงเซียว ทำเพียงแค่กัดฟันพูดกับมู่น่อนน่อนออกไป “เธอลาหยุดยาว”
มู่น่อนน่อนถามออกไปอีกว่า “เธออยู่บ้าน? อาศัยอยู่ที่บ้านเก่าเหรอ?”
สือเย่ถูกสายตานั้นมองจ้องจนรู้สึกไม่ดีไปทั้งร่าง แต่ก็ทำได้แค่เพียงตอบคำถามของมู่น่อนน่อนไป “คงจะใช่ครับ”
มู่น่อนน่อนรับรู้ได้ถึงความรู้สึกไม่ดีของสือเย่
เธอเบือนหน้าหันไปมองเฉินถิงเซียว ก็เห็นว่าเขาได้ถอนสายตากลับไปจากร่างของสือเย่ไปอย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ แล้วเดินตรงไปที่หน้าลิฟต์
“คุณหญิงน้อย ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวขึ้นไปข้างบนก่อนนะครับ?” ตอนที่สือเย่พูดนั้น สายตาได้มองไปยังทิศทางที่เฉินถิงเซียวได้เดินออกไปอยู่ตลอด มองไปแล้วดูกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุขออกมาเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนพยักหน้าออกมา “ฉันไปหาเธอที่บ้านเก่า นายไปก่อนเถอะ”
วินาทีต่อมา มู่น่อนน่อนก็เห็นสือเย่วิ่งไปทางเฉินถิงเซียวอย่างรวดเร็วอย่างกับสายลมก็ไม่ปาน
มู่น่อนน่อนแตะจมูกตัวเองไปด้วยสีหน้าแปลกๆ
สือเย่ตามเฉินถิงเซียวมาตั้งหลายปี แล้วยังแก่กว่าเฉินถิงเซียวอยู่หลายปีอีก นับได้ว่ารู้จักเฉินถิงเซียวดีเลยทีเดียว แต่นึกไม่ถึงว่าจะยังกลัวเขาขนาดนี้อยู่
สือเย่ตามเฉินถิงเซียวไปอย่างรีบร้อน กดลิฟต์ แล้วยืนอยู่ที่ข้างหลังเฉินถิงเซียวไปอย่างนอบน้อม
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไรเลยสักประโยคเดียว แต่บนร่างกลับแผ่กลิ่นอายที่รุนแรงออกมา
เหมือนกับว่าจะไม่พอใจอยู่บ้าง…
ติ้ง——
ประตูลิฟต์เปิดออก สือเย่รอให้เฉินถิงเซียวเข้าไปแล้ว ถึงจะตามหลังเข้าไป
ในพื้นที่ที่ปิดไป สือเย่รู้สึกว่าความกดอากาศมันได้กดต่ำลงกว่าเดิม
เขาเป็นคนทนไม่ไหวขึ้นมาก่อน แล้วเป็นฝ่ายเอ่ยออกไปว่า “คุณหญิงน้อยเธอมาหาท่านรองประธาน เธอไม่รู้ว่าท่านรองประธานได้ลาหยุดยาวไปแล้ว เมื่อกี้ก็เลยถึงได้มาถามผม”
เขาพูดจบ ก็คอยสังเกตปฏิกิริยาของเฉินถิงเซียวไปอย่างระมัดระวัง
ลิฟต์เปิดออก เฉินถิงเซียวเดินออกจากลิฟต์ไป จ้องเขาเขม็งไปอย่างเย็นยะเยือก “คุณหญิงน้อย?”
“คือ…คุณมู่” สือเย่รีบเปลี่ยนคำพูดออกไปทันที
ไม่รู้เหมือนกันว่าเฉินถิงเซียวพอใจกับวิธีการพูดของสือเย่หรือเปล่า เพียงแค่ส่งเสียงฮึดฮัดทางจมูกออกมาเบาๆ แล้วถามออกมา “เธอมาหาเฉินจิ่งหยุ้นไปทำไม?”
สือเย่ฉีกยิ้มออกมา พูดออกมาเสียจนซื่อตรงผิดปกติ “แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะเรื่องของคุณไงครับคุณชาย”
แต่ใครจะรู้ว่าเฉินถิงเซียวเงียบไปสักพักหนึ่ง พลางพูดออกมาประโยคหนึ่งอย่างเนิบช้า “เพื่อที่จะแต่งงานใหม่กับฉันอีกครั้ง ก็ช่างพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้จริงๆเลย”
สือเย่ได้ยินแล้ว ก็เกือบจะสำลักน้ำลายของตัวเองไปเสีย
นี่ถ้าเป็นเฉินถิงเซียวเมื่อก่อน ไหนเลยจะพูดคำพูดจำพวกนี้ออกมาได้กัน รู้ว่ามู่น่อนน่อนเป็นห่วงเขาขนาดนี้ ก็ดีใจมีความสุขสุดๆไปตั้งนานแล้ว
……
มู่น่อนน่อนโบกรถไปที่บ้านเก่าตระกูลเฉิน
หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา เธอก็เคยมาที่บ้านเก่าอยู่ครั้งนึง
ช่วงเวลาสามปี ไม่ได้ทำให้บ้านเก่าที่หรูหราไม่ธรรมดาหลังนี้ได้แต่งแต้มไปด้วยร่องรอยตามกาลเวลา แต่กลับยิ่งแผ่ความเงียบสงัดออกมาแทน
มู่น่อนน่อนลงจากรถไป เดินไปที่ปากประตูทางเข้า ก็มีการ์ดมาขวางเธอเอาไว้ “คุณเป็นใคร?”
“ฉันชื่อว่ามู่น่อนน่อน ฉันมาหาคุณหนูใหญ่มู่ของพวกนาย” มู่น่อนน่อนสีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลย เอ่ยพูดออกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
การ์ดได้ยินอย่างนั้นแล้วก็มองสำรวจมู่น่อนน่อนไปอย่างละเอียด
รูปร่างของมู่น่อนน่อนซูบผอมอยู่บ้าง แต่เธอก็มีพื้นฐานดีมาตั้งแต่เกิดแล้ว หน้าตาโดดเด่น อยู่กับเฉินถิงเซียวมานานขนาดนั้น ออร่าจึงไม่ธรรมดาเลยเช่นกัน
การ์ดนึกว่ามู่น่อนน่อนคงจะเป็นคุณหนูพันชั่งจากตระกูลร่ำรวยตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ก็คงจะเป็นเพื่อนของเฉินจิ่งหยุ้นด้วยเหมือนกัน
ไปถามดูก่อนสักหน่อยดีกว่า
การ์ดเอ่ยพูดออกมา “คุณรอแป๊บนึงนะครับ”
เขากับการ์ดอีกคนนึงพูดอะไรกันออกมาเสียงเบาสองสามคำ การ์ดคนนั้นก็เข้าไปข้างในไป
ผ่านไปได้ไม่นาน เฉินจิ่งหยุ้นก็ออกมา
เธอสวมชุดเดรสสีดำล้วนตลอดทั้งตัว ทั้งร่างมองไปแล้วดูซูบโทรมอยู่บ้าง ราวกับว่าป่วยหนักอยู่เลย
เฉินจิ่งหยุ้นยกมือขึ้นมา ส่งสัญญาณเป็นเชิงให้การ์ดพวกนั้นถอยออกไปไกลๆหน่อย
รอจนถึงปากประตูทางเข้าเหลือเพียงแค่เธอกับมู่น่อนน่อนสองคนแล้ว เธอจึงยิ้มเย็นพลางเอ่ยพูดออกไป “มู่น่อนน่อน เธอมาหาฉันทำไม? คิดจะมาดูฉันเพื่อความตลกงั้นเหรอ? น่าเสียดายที่ต้องทำให้เธอผิดหวังแล้ว ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เหลืออะไร แต่ฉันก็ยังเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฉินอยู่ ยังคงเสพสุขไปกับความรุ่งโรจน์ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ดี”
มู่น่อนน่อนยังไม่ได้พูดอะไรออกไป เฉินจิ่งหยุ้นพูดซี้ซั้วออกมามากมาย
มู่น่อนน่อนตาโตหดเล็กลงไปเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นชา “เธอรุ่งโรจน์หรือเปล่า ฉันไม่มีความสนใจที่อยากจะรู้ ฉันเพียงแค่ถามเธอว่าใครเป็นคนสะกดจิตให้เฉินถิงเซียว?”
มู่น่อนน่อนไม่รู้เหมือนกันว่าคำพูดของตนมันไปกระตุ้นที่ตรงไหนของเฉินจิ่งหยุ้นเข้า สีหน้าเธอเปลี่ยนไปมากเลย แหกปากพูดเสียงแหลมออกมา “แกออกไป!”
หลังจากที่มู่น่อนน่อนเดินออกไปแล้ว สือเย่ก็ไปที่ห้องทำงานของเฉินถิงเซียว
สือเย่มองสภาพของห้องออกไปรอบๆ ประคองเก้าอี้ขึ้นมาจากพื้นไปเงียบๆ แล้วดันเข้าไปด้านหลังของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวนั่งลงไป สีหน้าเขียวปั้ด
น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือกออกมา “มู่น่อนน่อนผู้หญิงคนนั้น นายเรียกมา?”
ภายในใจของสือเย่กระตุกขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ครับ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมองเขา สายตาดุดัน “ฉันไม่สนว่าเมื่อก่อนระหว่างฉันกับเธอเคยเกิดอะไรขึ้นมา แต่ต่อจากนี้ไปไม่มีคำอนุญาตจากฉัน ฉันไม่อนุญาตให้เรียกผู้หญิงคนนั้นมาที่บ้านฉันอีก”
สือเย่อ้าปากออกมาเล็กน้อย คำพูดที่อยากจะพูดพอมาถึงที่ตรงปากก็ได้เปลี่ยนไป แล้วจึงตอบรับออกไปอย่างว่าง่าย “ครับ ผมเข้าใจแล้ว”
ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนทำอะไรกับเฉินถิงเซียวลงไป แต่เห็นท่าทางเฉินถิงเซียวโมโหขนาดนี้ สือเย่รู้ว่าตอนนี้จะต้องว่าตามคำพูดของเฉินถิงเซียวไป
นิสัยใจคอของเฉินถิงเซียว เขาเข้าใจดีที่สุดแล้ว
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้นแล้ว จึงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “ออกไปซะ”
สือเย่ผันร่างออกไป ตอนที่ปิดประตูลงไป ก็เห็นเฉินถิงเซียวหยิบตะเกียบขึ้นมากินบะหมี่
สือเย่ที่กำลังปิดประตูได้หยุดชะงักไปเล็กน้อย
เมื่อกี้ยังพูดอยู่เลยไม่ใช่เหรอว่า ไม่มีคำอนุญาตจากเขา ต่อจากนี้ไปก็อย่าให้มู่น่อนน่อนมาที่บ้าน?
พูดเสียหนักแน่นขนาดนั้น แต่ตอนนี้กลับกำลังกินบะหมี่ที่มู่น่อนน่อนทำอยู่?
ดังนั้นแล้ว เขาจะต้องเรียกมู่น่อนน่อนมาที่บ้านของเฉินถิงเซียวอีกหรือเปล่า?
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนขับรถไปที่บ้านของเสิ่นเหลียง เสิ่นเหลียงกับเฉินมู่ทั้งสองคนยังดูการ์ตูนกันอยู่อย่างสนุกนาน
เวลาก็ปาไปสิบเอ็ดโมงกว่าไปแล้ว ทั้งสองคนดูกันจนหัวเราะเสียงดังกันขึ้นมา มองไปแล้วดูสดใสสุดๆไปเลย
เสิ่นเหลียงได้ยินเสียงเปิดประตู จึงหันหน้ามองไปทางที่มู่น่อนน่อนอยู่ “น่อนน่อน เธอกลับมาแล้ว”
“ยังดูทีวีกันอยู่” มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป แล้วนั่งลงไปข้างๆเฉินมู่
เฉินมู่เอี้ยวหน้ามองเธอมาแวบนึง แล้วส่งเสียงเรียกไปอย่างขอไปทีสุดๆ “คุณแม่”
ต่อจากนั้นก็ได้หันหน้าไปดูการ์ตูน
มู่น่อนน่อนหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เธอไม่มีเสน่ห์น่าดึงดูดมากเท่าการ์ตูนอย่างที่คิดจริงๆด้วย
เสิ่นเหลียงอ้อมจากทางด้านหลังร่างของเฉินมู่เข้ามา แล้วนั่งลงไปที่ข้างๆมู่น่อนน่อน พลางเอ่ยเสียงเบาออกไป “มู่มู่หลอกล่อง่ายมากเลย”
“ลำบากแล้ว” มู่น่อนน่อนเอ่ยเสียงเบาออกมา
เสิ่นเหลียงถือโอกาสถามออกไปประโยคนึง “บอสใหญ่เป็นยังไงบ้าง?”
“ถึงแม้ว่าจะสูญเสียความทรงจำไปก็ยังเป็นคุณชายเฉินอยู่ เจ้าอารมณ์สุดๆไปเลย” มู่น่อนน่อนนึกถึงเรื่องที่เฉินถิงเซียวทำลงไปก่อนหน้านี้เหล่านั้นขึ้นมา ก็เอือมระอาอยู่บ้างเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนพูดกับเสิ่นเหลียงออกไปง่ายๆสองประโยค แล้วก็พาเฉินมู่ไปนอน
เวลามันดึกมากแล้ว อันที่จริงเฉินมู่เพียงแค่ดูมีชีวิตชีวาไปเท่านั้นเอง เธอง่วงตั้งนานแล้ว เพียงแต่พยายามฝืนอย่างหนักที่จะดูการ์ตูน
เฉินมู่นอนหลับไปเร็วมาก
กล่อมเฉินมู่หลับไป มู่น่อนน่อนจึงได้ไปล้างหน้าแปรงฟันที่ห้องน้ำ
ตอนที่ออกมา เธอกึ่งๆพิงเข้าไปหัวเตียง มองจ้องเฉินมู่อยู่นาน
เฉินมู่กับเฉินถิงเซียวหน้าคล้ายกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาคู่นั้นแล้ว
นึกไปถึงเฉินถิงเซียวแล้ว มู่น่อนน่อนก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจออกมาอีกเล็กน้อย
วันนี้เกิดเรื่องขึ้นมามากมาย ไม่ให้เวลาให้มู่น่อนน่อนได้ตอบสนองออกไปเลย ก็ได้ถูกบีบให้ต้องยอมรับสภาพปัจจุบันของตัวเอง และสภาพปัจจุบันของเฉินถิงเซียวไปเสียแล้ว
เห็นสภาพอย่างนั้นของเฉินถิงเซียว ภายในใจของเธอมันทุกข์ใจมาก แต่ว่าตอนนี้กลับไม่ใช่เวลาที่จะมาทุกข์ใจ
เฉินมู่ต้องการเธอ เฉินถิงเซียวก็ต้องการเธอด้วยเช่นกัน
เมื่อก่อนล้วนเป็นเฉินถิงเซียวที่คอยวางแผนเรื่องทั้งหมดเอาไว้เสร็จสรรพ แต่ครั้งนี้ ก็ให้เธอช่วยเขา
มู่น่อนน่อนหลุบตาลง หยิบโทรศัพท์มา หาเบอร์ของเฉินถิงเซียวในรายชื่อผู้ติดต่อ แล้วส่งข้อความไปให้เขา “ฝันดี”
หลังจากที่ข้อความส่งออกไปแล้ว เธอก็ได้มองโทรศัพท์ไปอย่างเหม่อลอย
ผ่านไปหลายนาที จู่ๆโทรศัพท์เธอก็สั่นขึ้นมา
มู่น่อนน่อนใจเต้นขึ้นมา หันไปมองโทรศัพท์ด้วยความตื่นเต้นขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่ก็พบแค่เพียงข้อความที่โอเปอเรเตอร์ส่งเข้ามาเท่านั้น
ค่อยๆเป็นค่อยๆไปแล้วกัน
……
วันต่อมา
มู่น่อนน่อนติดต่อกับสือเย่ไปแป๊บนึง บอกเรื่องการสะกดจิตที่ได้สอบถามมาจากลี่จิ่วเชียนออกไปเล็กน้อย
สือเย่ก็ได้บอกเรื่องที่เฉินจิ่งหยุ้นพาเฉินถิงเซียวไปสะกดจิตกับมู่น่อนน่อนไปด้วยเช่นกัน
มู่น่อนน่อนหลังจากที่ได้ยินแล้ว ก็เงียบไปหลายวิ จากนั้นก็เอ่ยออกมา “เธอพยายามทุกวิถีทางเลยจริงๆ”
เฉินจิ่งหยุ้นเกลียดเธอขนาดนี้เลยเหรอ?
อันดับแรกคืออยากจะให้เธอตาย ต่อมาก็พาเฉินถิงเซียวไปรับการสะกดจิตปิดล็อกความทรงจำ
ถึงแม้ว่าเฉินจิ่งหยุ้นจะไม่ได้ลงมือกับมู่น่อนน่อนไปตรงๆ แต่ทั้งหมดนี้ที่เฉินจิ่งหยุ้นทำไป มันล้วนแล้วแต่จะเป็นละครปาหี่ที่ฆ่าคนอย่างเลือดเย็นทั้งนั้นเลย
มู่หวั่นขีเผยความอยากที่จะฆ่ามู่น่อนน่อนไปเสียออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แต่วิธีของเฉินจิ่งหยุ้นมันเลิศล้ำกว่าหน่อย ตีไปที่ตำแหน่งสำคัญของมู่น่อนน่อนเพื่อให้จอดสนิทไปในทันที
เพียงแต่ว่าเฉินจิ่งหยุ้นก็ยังคำนวณผิดพลาดอยู่ดี
มู่น่อนน่อนไม่มีทางปล่อยให้เธอทำสำเร็จ เธอจะต้องทำให้เฉินถิงเซียวดีขึ้นมาให้ได้
“แน่ใจเหรอว่าเฉินจิ่งหยุ้นไม่ได้พูดโกหก? เธอไม่เคยเห็นหน้าของคุณหมอหลี่คนนั้นมาก่อนจริงๆ หรือว่านั่นมันเป็นเพียงแค่ข้ออ้างหนึ่งของเธอเท่านั้น?”
เฉินจิ่งหยุ้นเป็นผู้หญิงฉลาดคนหนึ่ง เธอทำอะไรก็ระมัดระวังเป็นอย่างมาก
เมื่อตอนนั้นเธอหาคุณหมอสะกดจิตคนนั้น มาปิดล็อกความทรงจำของเฉินถิงเซียว เรื่องนี้มันจะต้องทำไปโดยรักษาความลับเอาไว้อย่างแน่นหนา
ในเมื่อเป็นเรื่องที่ไม่อยากจะถูกคนอื่นรู้ เธอจะยอมตกลงให้เขามาสะกดจิตให้กับเฉินถิงเซียวไปโดยที่เธอไม่แม้แต่จะเคยเห็นหน้าคุณหมอสะกดจิตคนนั้นได้ยังไงกันล่ะ?
ในเมื่อเฉินจิ่งหยุ้นกลัวว่าเรื่องมันจะเปิดเผยออกมา แน่นอนว่าจะต้องคิดวิธีการที่รอบคอบสุดๆมา และจะต้องกำจุดอ่อนของคุณหมอสะกดจิตคนนั้นเอาไว้ในมือสักหน่อยไว้ล่วงหน้าแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้คุณหมอสะกดจิตคนนั้นทรยศกันขึ้นมา
สือเย่ชะงักไปเล็กน้อย แล้วพูดออกมาเพียงแค่ประโยคเดียวออกมา “…คงจะไม่ได้โกหกหรอกรับ”
เฉินจิ่งหยุ้นเมื่อตอนนั้นแม้แต่ชีวิตก็ยังได้รับถึงภัยคุกคามไปหมด จะยังพูดโกหกออกมาได้ยังไง
แต่ว่าตอนนั้นเฉินถิงเซียวพยายามจะบีบคอเฉินจิ่งหยุ้นให้ตาย เรื่องนี้ สือเย่กำลังคิดชั่งน้ำหนักอยู่ในใจไปแป๊บนึง ก็เลือกที่จะไม่พูดออกไปดีกว่า
“อืม” ปากของมู่น่อนน่อนถึงแม้ว่าจะพูดไปอย่างนี้ แต่ภายในใจของเธอหมายมั่นแล้วว่าจะไปหาเฉินจิ่งหยุ้นสักหน่อย
วางสายไป มู่น่อนน่อนหันหน้าไป ก็เห็นเฉินมู่กับเสิ่นเหลียงที่ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังนั่งจ้องเธอตาปริบๆอยู่ที่บนโซฟา
มู่น่อนน่อนตะลึงงันไปแป๊บนึง แล้วยิ้มพลางเอ่ยออกไป “อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์” เฉินมู่เพิ่งตื่น เสียงบางๆ เสียงอ้อแอ้เล็กๆน่ารักมากเลย
“อาหารเช้าทำเสร็จแล้ว ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็กินได้แล้ว” มู่น่อนน่อนพูด จากนั้นก็เดินเข้าไปอุ้มเฉินมู่เข้าห้องน้ำไป
เฉินมู่ล้างหน้าเสร็จ ก็วิ่งออกมาที่ห้องรับประทานอาหาร
มู่น่อนน่อนล้างมือเสร็จ จากนั้นก็เอ่ยกับเสิ่นเหลียงออกมา “อีกเดี๋ยวฉันจะออกไปข้างนอกสักหน่อย จะไปหาเฉินจิ่งหยุ้น”
“หาหล่อนไปทำไม?” เสิ่นเหลียงเยาะหยันออกมา “คุณหนูใหญ่มู่คนนั้น หล่อนเป็นถึงพี่สาวที่มีความต้องการจะควบคุมทุกอย่างที่สุดยอดมากคนหนึ่ง เธอไปหาหล่อน หล่อนจะสามารถมีท่าทีดีๆกับเธอได้เหรอ?”
มู่น่อนน่อนยิ้มออกมาเล็กน้อย ในดวงตาได้เผยความเยือกเย็นออกมา “พูดเสียเหมือนกับว่าฉันจะแสดงท่าทีดีๆให้กับหล่อนอย่างนั้นแหละ”
“จุ๊ๆ น้ำเสียงนี้ของเธอไม่ค่อยจะเหมือนมู่น่อนน่อนที่ฉันรู้จักเลยนะ” เสิ่นเหลียงเอียงหัวมองเธอ ในน้ำเสียงได้ประดับไปด้วยการยั่วเย้าอยู่เล็กน้อย
“พวกเรารู้จักกันมาตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว แน่นอนว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว ตอนนี้ฉันเป็นแม่ของมู่มู่ และก็เป็นภรรยาของเฉินถิงเซียวด้วย…”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย “เกือบจะลืมไปเลยว่าเฉินจิ่งหยุ้นได้ช่วยให้ฉันกับเฉินถิงเซียวหย่ากันไปแล้ว”
เสิ่นเหลียงส่งเสียง “เอ๊ะ” ออกมา แตะแขนของตัวเองไปอย่างโอเวอร์ “น่อนน่อน น้ำเสียงนี้ของเธอนับวันจะยิ่งเหมือนกับพ่อของมู่มู่ไปเรื่อยแล้วนะ ฟังแล้วมันช่างทำให้คนอื่นเขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเลย”
มู่น่อนน่อนกลับไปที่ห้องครัวอีกครั้ง มือทั้งสองข้างค้ำเคาน์เตอร์ครัวเอาไว้ สูดหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็เริ่มติดไฟต้มน้ำ
เมื่อก่อนหน้านี้เธอทำอาหารให้เฉินถิงเซียวกิน เขาไหนเลยจะยอมเอาให้คนอื่นลง?
มู่น่อนน่อนสงบอารมณ์ลง แล้วต้มบะหมี่ต่อ
แต่ทว่า ครั้งนี้มู่น่อนน่อนได้ทำบะหมี่แห้งให้กับเฉินถิงเซียว
ตอนที่เธอยกออกไป เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้อยู่ในห้องโถงใหญ่แล้ว
เธอถามสือเย่ออกไป “เฉินถิงเซียวล่ะ?”
“คุณชายไปห้องทำงานแล้วครับ” สือเย่ชี้ไปที่ชั้นบน
มู่น่อนน่อนมองไปทางชั้นบนไปแวบนึง พลางเอ่ยออกไป “งั้นฉันยกขึ้นไปให้เขา”
สือเย่แสดงใบหน้าประหลาดใจออกมา “คุณมู่ คุณ…”
เขานึกไม่ถึงว่ามู่น่อนน่อนจะมีความอดทนขนาดนี้
“ผู้ช่วยพิเศษสือเมื่อก่อนไม่ได้เรียกฉันว่าคุณมู่เสียหน่อย” มู่น่อนน่อนเอี้ยวหน้าไปมองเขา เอ่ยออกมาด้วยมุมปากที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
สือเย่เรียกออกไปอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไหร่นัก “คุณหญิงน้อย?”
“ฉันขึ้นไปก่อนนะ” มู่น่อนน่อนพยักหน้าออกมาเล็กน้อย นับว่าเป็นการยอมรับออกไปว่าตนฟื้นความทรงจำกลับมาแล้ว
ใบหน้าของสือเย่เผยสีหน้ายินดีออกมา แต่พอนึกไปถึงสถานการณ์ของเฉินถิงเซียว ก็อดไม่ได้ที่จะมีความกังวลอยู่บ้างขึ้นมาอีก
เมื่อก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวมองดูเหมือนจะดีขึ้นมาบ้างเสียที แต่ผลสุดท้ายตอนนี้ก็มากลายเป็นแบบนี้ไปอีก ส่วนมู่น่อนน่อนกลับจู่ๆก็ฟื้นความทรงจำกลับมาได้อีก
คิดเสียว่าทางไปสู่ความสุขมันมักจะเต็มไปด้วยอุปสรรคแล้วกัน
……
มู่น่อนน่อนยกมือขึ้นไปเคาะประตูห้องทำงานของเฉินถิงเซียว
คนที่อยู่ด้านในไม่ได้ส่งเสียงออกมา
มู่น่อนน่อนจึงเปิดประตูเข้าไปโดยทันที
เพียงแต่ว่า พอเธอผลักประตูออก ก็มีของชิ้นหนึ่งปลิวเข้ามา มู่น่อนน่อนอี้ยวตัวไปเล็กน้อย หลบของที่เฉินถิงเซียวเขวี้ยงเข้ามาอย่างฉิวเฉียด
รอจนของชิ้นนั้นตกลงพื้น มู่น่อนน่อนเพ่งมองเข้าไป ถึงได้พบว่าของชิ้นนั้นเป็นแก้วกาแฟใบหนึ่ง ตกลงพื้นแต่ก็ไม่ได้แตกออก
ต่อจากนั้น เสียงตะโกนร้องออกมาด้วยความโมโหของเฉินถิงเซียวก็ได้ดังตามขึ้นมาติดๆ “ออกไป!”
มู่น่อนน่อนถูกเขาแผดเสียงใส่จนนิ่งอึ้งไปแป๊บนึง แล้วจึงได้ปิดประตูเดินเข้าไปหาเขา
ปัง!
ถาดรองวางลงบนโต๊ะหนังสือ เกิดเสียงปะทะกันขึ้นมาเล็กน้อย
ในตอนที่มู่น่อนน่อนเดินเข้ามาสายตาของเฉินถิงเซียวได้จรดไปที่ร่างของมู่น่อนน่อนอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
มู่น่อนน่อนยกบะหมี่แห้งออกมาจากถาดรอง วางลงไปตรงหน้าเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวแสยะริมฝีปาก แต่กลับมองไม่เห็นรอยยิ้มออกมา “ทำเป็นแค่ต้มบะหมี่?”
มู่น่อนน่อนตอบไปอย่างตั้งอกตั้งใจ “ไม่ใช่ ฉันยังทำอาหารอย่างอื่นได้เยอะมาก คุณสามารถลองชิมดูก่อนได้”
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว ครั้งนี้จึงได้ยิ้มออกมาจริงๆ เพียงแต่รอยยิ้มนั้นมันไม่ได้ไปถึงดวงตาเลย “ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ฉันจะต้องกินของที่เธอทำให้ได้?”
“ไม่ได้คิดอย่างนั้นเสียหน่อย” มู่น่อนน่อนไม่ได้หลุบตาลงเล็กน้อย มองไปแล้วก็ดูอารมณ์ดี
เฉินถิงเซียวยื่นมือไปหยิบตะเกียบขึ้นมาจากในจานอาหารมาคนไปสองที แล้วทำตะเกียบตกไป “บะหมี่เละไปแล้ว ไปทำมาอีกชาม”
มู่น่อนน่อนคิดว่าท่าทางที่เขาจงใจกลั่นแกล้งคนอื่นนั้นมันไร้เดียงสามากเลย
เมื่อก่อนเฉินถิงเซียวดีกับเธอสุดๆ ตอนนี้มาเป็นอย่างนี้ แน่นอนว่าทำให้เธอปรับตัวไม่ได้อยู่บ้าง
แต่ว่า ภายในใจของมู่น่อนน่อนรู้ดีเป็นอย่างมากด้วยว่าตอนนี้เฉินถิงเซียวเพียงแค่ภายในใจไม่มีความรู้สึกปลอดภัยเลยก็เท่านั้น
ในความเป็นจริงของทั้งหมดที่วางอยู่ที่ตรงหน้าเขา ล้วนแล้วแต่จะไม่ตรงกับสิ่งที่อยู่ในความทรงจำของเขาเลย
เขาจะปรับตัวไม่ได้ จะเปลี่ยนมาจนโมโหง่ายควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ขี้หงุดหงิดขึ้น
แต่ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีแล้วเฉินถิงเซียวก็เจ้าอารมณ์เอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่แล้ว
เพราะว่าเคยคิดแทนเฉินถิงเซียวอย่างเอาใจเขามาใส่ใจเรามาก่อน มู่น่อนน่อนก็เลยไม่ได้โกรธ
เธอหลุบตาลง โน้มตัวเข้าไป ยื่นมือไปเก็บตะเกียบที่ตกอยู่บนโต๊ะทำงานของเฉินถิงเซียวขึ้นมา คีบบะหมี่จากในจานขึ้นมา
เฉินถิงเซียวเห็นภาพอย่างนี้แล้ว ก็หรี่ตาลงมองไปทางมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนโค้งริมฝีปากออกมา ยิ้มไปให้เขา ดวงตาแมวส่องประกายงดงามดึงดูดใจคู่หนึ่งมองไปรอบๆ
เฉินถิงเซียวจิตใจว่อกแว่ก คิ้วขมวดลึกขึ้นเรื่อยๆ
ในทันใดนั้น มู่น่อนน่อนก็ได้ยื่นมือออกไปบีบคางของเฉินถิงเซียวเอาไว้ แล้วก็ได้คีบบะหมี่ที่อยู่มือยัดเข้าไปในปากของเขา
เฉินถิงเซียวได้ถูกการกระทำของมู่น่อนน่อนทำเอาตกตะลึงไปโดยสมบูรณ์ เบิกตากว้างออกมาอย่างเห็นได้ยาก เหม่อลอยออกมาเล็กน้อย
รอจนถึงตอนที่มู่น่อนน่อนดึงตะเกียบออกมา เขาก็เริ่มเคี้ยวขึ้นมาทันที
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา นี่ไม่ใช่ว่ากินลงไปอย่างว่าง่ายเหรอ?
ในตอนที่เฉินถิงเซียวมีการตอบสนองออกมา เมื่อกี้มู่น่อนน่อนทำอะไรกับเขาไป สีหน้าจึงมืดครึ้มออกมาทันที
เขาเหยียดตัวลุก “พรวด” ขึ้นมา กัดฟันเอ่ยออกมา “เธอออกไป! ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”
ผู้หญิงคนนี้ทำตามอำเภอใจสุดๆไปเลย
แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าทำอย่างนี้กับเขาเลย
“ยังดีๆอยู่ ทำไมถึงต้องให้ฉันไสหัวออกไปด้วย” มู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้โกรธขึ้นมาเลย จัดแจงเสื้อผ้าบนร่างตัวเอง เดินออกไปข้างนอกไปอย่างช้าๆอย่างใจเย็น
เพียงแต่ว่าเธอเดินไปได้ไม่ถึงสองก้าว จู่ๆก็หันกลับเดินเข้ามาอยู่ที่ตรงหน้าของเฉินถิงเซียวอีกที
ในนาทีก่อนที่เฉินถิงเซียวจะระเบิดออกมา เธอได้ยื่นมือไปกดลงบนไหล่ของเขา เขย่งเท้าจูบลงไปที่มุมปากของเขาไปเบาๆทีนึง
สถานการณ์ตึงเครียด
การเคลื่อนไหวมู่น่อนน่อนเป็นไปอย่างลื่นไหลทั้งยังเป็นธรรมชาติ
เธอจูบเสร็จแล้วก็ได้ถอยออกไปสองก้าวอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าเป็นรอยยิ้มเหนือกว่าเผยออกมา แล้วชี้ไปที่บะหมี่แห้งที่อยู่บนโต๊ะ “อย่าลืมกินบะหมี่ให้หมด”
เธอพูดจบ ก็เดินนวยนาดออกไปข้างนอก
เฉินถิงเซียวใบหน้ามืดครึ้มออกมา เห็นเงาร่างของเธอหายไปจากด้านนอกประตู ยกเท้าเตะเก้าอี้คว่ำลงไป จนเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมา
ด้านนอก มู่น่อนน่อนกำลังจะปิดประตูลง ก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากด้านในห้องขึ้นมา เปิดประตูออกเพื่อแง้มประตูออกมานิดนึง
ทะลุผ่านช่องระหว่างประตู เธอเห็นเฉินถิงเซียวมีสีหน้าบึ้งตึงแววตามืดครึ้มอยู่ที่ภายในห้อง และเก้าอี้ที่ถูกเขาเตะไปทีนึงก็ไปไกลมาก
มู่น่อนน่อนปิดประตูห้องทำงานลงไปด้วยสีหน้าซีดลงเล็กน้อย
ถ้าเธอออกมาช้าอีกหน่อย สิ่งที่เฉินถิงเซียวเตะไปคงจะไม่ใช่เก้าอี้ แต่เป็นเธอแทนใช่มั้ย?
ด้วยนิสัยขี้โมโหของเฉินถิงเซียวแล้ว มันก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้แบบนี้เกิดขึ้น
ตอนที่เธอรู้จักเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวก็ได้รู้จักปิดซ่อนความรู้สึกของตัวเองได้มากแล้ว ช่วงเวลาส่วนใหญ่จึงไม่ได้แสดงความโกรธออกมาเลย
แต่เฉินถิงเซียวในตอนนี้ โกรธได้ง่ายมากเลยจริงๆ และก็ยังอารมณ์เสียออกมาได้ง่ายมาก
เมื่อเทียบกันดูแล้ว เฉินถิงเซียวที่อายุประมาณยี่สิบปี ดูเหมือนว่าจะไม่สุขุมเลย
มู่น่อนน่อนเจอสือเย่ที่ปากทางทางขึ้นลงบันได
เขาถามมู่น่อนน่อนออกมาอย่างหืดหอบ “คุณหญิงน้อย เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ?”
เมื่อกี้นี้เฉินถิงเซียวอาละวาดเสียงดังไปหน่อย สือเย่จึงเป็นกังวลว่าเฉินถิงเซียวจะทำเรื่องทำร้ายอะไรมู่น่อนน่อนขึ้นมา
ช่วงประมาณยี่สิบปีเป็นช่วงที่วัยรุ่นเลือดร้อน เฉินถิงเซียวในตอนนี้ไม่มีทางจะเห็นใจมู่น่อนน่อนแน่
“ไม่เป็นไร เขาแค่ทะเลาะกับตัวเองน่ะ” มู่น่อนน่อนพูดออกไป พลางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
สือเย่ฉีกมุมปากออกไปเล็กน้อยอย่างหมดคำพูด ตอนนี้ในตอนที่เขาเผชิญหน้ากับเฉินถิงเซียว ก็ต้องตอบสนองออกไปอย่างระมัดระวังไปหมด แต่มู่น่อนน่อนดันยังยิ้มออกมาได้อีก
พูดจากอีกมุมหนึ่งแล้ว นี่ก็ได้ยืนยันความคิดที่อยู่ในใจของเขาแล้ว ไม่ว่าเฉินถิงเซียวจะเปลี่ยนไปเป็นยังไง มู่น่อนน่อนสำหรับเขาแล้ว มักจะพิเศษอยู่เสมอ
สือเย่เห็นมู่น่อนน่อนเดินลงไปชั้นล่าง จึงถามเธอออกไป “คุณหญิงน้อยจะไปตอนนี้เลย?”
“อืม มู่มู่ยังอยู่ที่บ้านเสี่ยวเหลียง ฉันต้องไป เฉินถิงเซียวทางนี้คงต้องรบกวนคุณแล้ว มีเรื่องอะไรก็โทรหาฉัน” เฉินมู่กับเฉินถิงเซียวเธอต้องดูแลหมดทั้งคู่
เฉินถิงเซียวในตอนนี้ก็เหมือนกับระเบิดที่จะเดินไปอย่างไม่มีกำหนดเวลาลูกหนึ่ง ไม่มีเวลาตายตัวว่าจะระเบิดขึ้นมาตอนไหน ดังนั้นแล้วเฉินมู่ไม่อาจจะอยู่ที่บ้านได้
สือเย่ตามหลังเธอไป “งั้นผมจะให้คนไปส่งคุณนะครับ”
มู่น่อนน่อนปฏิเสธออกไป “ไม่ต้อง ฉันขับรถมา”
เสิ่นเหลียงได้ยินแล้ว จึงถามออกไปด้วยสีหน้าประหลาดใจออกมา “ตีหนูเหรอ? พ่อของหนูเขาตีหนูเหรอ?”
คำพูดเมื่อกี้คำนั้นของเธอ อันที่จริงก็พูดออกไปอย่างนั้นเท่านั้นเอง
ถึงแม้ว่าเธอจะคิดว่าเฉินถิงเซียวคนนั้นจะน่ากลัว แต่ว่าจะมองดูยังไงก็ไม่คิดว่าเฉินถิงเซียวจะตีลูกสาวที่มีอายุสามขวบกว่าๆของตัวเองได้
เจ้าก้อนตัวเล็กขนาดนี้ นิ้วมือแตะลงไปสักทีก็ต้องทำไปเบาๆ เขายังลงมือตีลงได้อีก?
เฉินมู่ก้มหน้าลงไป คีบเนื้อซี่โครงชิ้นหนึ่งมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งหยิบขึ้นมากัดแทะ พลางส่งเสียงตอบรับออกไปอย่างไม่ชัดเจน “อืม”
“คุณพ่อตีหนูได้ยังไง?” แน่นอนว่ามู่น่อนน่อนจะต้องไม่เชื่อว่าเฉินถิงเซียวจะลงไม้ลงมือกับเฉินมู่อยู่แล้ว
เมื่อก่อนหน้านี้ได้อาศัยอยู่ด้วยกันกับเฉินถิงเซียวในหลายวันนั้น ตอนที่เฉินมู่ทำให้เขาโกรธ อย่างมากเขาก็แค่ชักสีหน้าออกมา
“เขาอย่างนี้…”
เฉินมู่ยกมือขึ้นเตรียมจะไปแตะที่หน้าตัวเอง พบว่าในมือของตัวเองกำลังถือซี่โครงอยู่ แล้วก็วางตะเกียบที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่งลง พลางยื่นมือไปหยิกหน้าของตัวเอง
“เขา…ตีหนูอย่างนี้” คำพูดที่อยู่ท่อนหลัง เธอเน้นน้ำเสียงการพูดให้หนักขึ้นเหมือนกับผู้ใหญ่ตัวน้อย
พูดจบ ก็ไม่ลืมที่จะกัดแทะเนื้อซี่โครงของเธอต่อไปอีก
สาวน้อยฟันแข็งแรงดี มักจะชอบกัดแทะกระดูกอยู่ตลอด
ตอนนี้ แม้แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้ แล้วก็ได้หัวเราะตามขึ้นมา
“งั้นครั้งหน้าแม่เจอคุณพ่อ จะช่วยหนูตีเขาให้เอง!” มู่น่อนน่อนยิ้มออกมาพลางพูดกับเธอ
เฉินมู่พยักหน้าออกมาเล็กน้อย “กลับบ้าน”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนหม่นลงเล็กน้อย
เธอจึงมีการตอบสนองขึ้นมาในตอนหลัง เฉินมู่คิดถึงเฉินถิงเซียวขึ้นมาแล้ว
ถึงแม้ว่าตอนที่อยู่บ้านเมื่อตอนเที่ยง เฉินถิงเซียวจะระเบิดอารมณ์ใหญ่โตขึ้นที่บ้าน แต่เฉินมู่เป็นเด็กน้อย เด็กน้อยมักจะลืมเร็วอยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบคำพูดของเฉินมู่ออกไป
เฉินมู่เหมือนจะเพียงแค่พูดไปอย่างนั้นเอง พูดจบก็ได้กินข้าวต่อไปอย่างว่านอนสอนง่าย
“เรื่องเมื่อกี้นี้ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ”
เสิ่นเหลียงได้พูดหัวข้อบทสนทนาเมื่อกี้นี้ออกมาต่ออีกครั้ง “ครั้งนั้นที่โรงแรมจีนติ่ง ฉันเห็นบอสใหญ่คลุกข้าวให้มู่มู่ แล้วยังเทน้ำซุปใส่ชามสองชามไปมาเพื่อให้เย็นลง เมื่อตอนนั้นฉันคิดว่าบอสใหญ่ดูอ่อนโยนมากเลย”
แต่ตอนหลัง เฉินถิงเซียวพอได้เอ่ยพูดออกมา ก็ได้กลับไปเป็นแบบเดิมอีกครั้ง
คุณชายใหญ่มู่ก็คงจะเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง แต่ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ เขาก็จะยังเป็นเฉินถิงเซียวที่ทำให้คนอื่นหวาดกลัวจนหัวใจเต้นรัวขึ้นมาคนนั้นอยู่ดี
มู่น่อนน่อนจินตนาการภาพนั้นอยู่ในหัวไปแป๊บนึง
เธอกับเฉินถิงเซียวตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ล้วนเป็นเธอที่เป็นคนดูแลเฉินมู่ทั้งนั้น ไม่เคยเห็นเฉินถิงเซียวดูแลเฉินมู่ตอนกินข้าวยังไงมาก่อนเลย
เพียงแต่ว่า เมื่อคิดไปถึงสถานการณ์ของเฉินถิงเซียวในตอนนี้ หัวใจของมู่น่อนน่อนก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลขึ้นมาอีก
รอจนกินข้าวกันเสร็จแล้ว เธอต้องโทรหาสือเย่เพื่อถามถึงสถานการณ์ของเฉินถิงเซียวสักหน่อย
ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวว่าเฉินถิงเซียวจะส่งผลกระทบถึงเฉินมู่ มู่น่อนน่อนในตอนนี้ก็อยากจะไปหาเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวยังไม่ทันได้โทรไปหาสือเย่ สือเย่ก็ได้โทรเข้ามาเธอ
เห็นสายของสือเย่แล้ว ก้นบึ้งภายในใจของมู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะบีบรัดแน่นขึ้นมา
มู่น่อนน่อนวางตะเกียบลง เดินเข้าไปรับสายที่ที่ด้านหนึ่ง
“ผู้ช่วยพิเศษสือ มีอะไรคะ?”
น้ำเสียงของสือเย่ไม่ค่อยจะดีอยู่บ้าง “คุณชายเขากำลังระเบิดอารมณ์ออกมา เมื่อกี้ตอนที่กินข้าว เขาบอกว่าอาหารรสชาติผิดไป…”
ระเบิดอารมณ์ออกมาเพราะว่าอาหารรสชาติผิดไป?
ความทรงจำของเฉินถิงเซียวในตอนนี้หยุดอยู่ที่ประมาณอายุยี่สิบปีล่ะมั้ง?
นึกไม่ถึงว่าเขาเมื่อตอนนั้นจะเป็นคุณชายเจ้าอารมณ์ขนาดนี้
“ตอนนี้ยังปัดของทิ้งอยู่อีกเหรอ?” มู่น่อนน่อนถามออกมา
“ไม่ได้ปัดของทิ้ง…” สือเย่มองคนใช่ที่ยืนอยู่ที่ในห้องโถงใหญ่ไปแวบนึง พลางเอ่ยออกไป “อีกเดี๋ยวก็คงจะโยนคนทิ้งไปแน่”
มู่น่อนน่อนเงียบไปสักพักนึง พลางเอ่ยออกไป “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
เธอวางสายเดินเข้าไป เสิ่นเหลียงเอ่ยถามเธอเสียงเบาออกไป “สายของสือเย่โทรเข้ามา?”
“อืม ฉันก็คงจะต้องไปสักหน่อย” มู่น่อนน่อนพูดจบ สายตาจรดไปที่ร่างของเฉินมู่
ทุกครั้งเฉินมู่ต่างก็กินข้าวเสร็จก่อนอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ได้วิ่งออกไปเล่นอีกด้านหนึ่งแล้ว
เสิ่นเหลียงถือแก้วน้ำเอาไว้ในมือ “ไปเถอะ ฉันช่วยเธอดูมู่มู่ให้เอง ตอนนี้เธอชอบเล่นกับฉันมากเลยทีเดียว”
“ช่วงบ่ายเธอนอนนานมาก ตอนเย็นก็คงจะเล่นนานหน่อย พรุ่งนี้เธอมีงานหรือเปล่า?” มู่น่อนน่อนไม่กลัวว่าจะรบกวนเสิ่นเหลียง แต่กลัวว่าจะทำให้เสิ่นเหลียงเสียการเสียงาน
“ไม่มีนะ งานอะไร ตอนนี้ฉันคิดเพียงแค่ว่าจะกินดื่มเที่ยวเล่นไปให้สนุกเท่านั้นเอง” เสิ่นเหลียงนอนพิงเข้ากับบนเก้าอี้ ตัวเธอมองดูเกียจคร้านเป็นพิเศษ
มู่น่อนน่อนรู้สึกจนใจอยู่บ้าง “ฉันพูดจริงจังนะ”
เสิ่นเหลียงยิ้มออกมาเล็กน้อย นั่งตัวตรง พลางถามเธอออกไป “ฉันไม่มีงานจริงๆ เธอไปเถอะ อยากจะขับรถฉันไปหรือเปล่า?”
“อยาก” กลับมาจะต้องค่อนข้างดึกแน่ๆ เลย ขับรถไปก็สะดวกดี
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนขับรถไปที่วิลล่าของเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวกำลังทรมานคนใช้พวกนั้นอยู่ที่ในบ้าน
เขาให้คนใช้พวกนั้นไปทำอาหารในครัวรายคน
ส่วนคนใช้พวกนี้ที่ที่บ้านเชิญมา ไม่ใช่คนที่จะทำอาหารไปทั้งหมด ดังนั้นแล้วฝีมือการทำอาหารต่างก็ต่างกันทั้งนั้นเลย
มู่น่อนน่อนตอนที่เข้าไป เฉินถิงเซียวกำลังวิพากษ์วิจารณ์อาหารของคนใช้ ไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิดเดียว
“ของจำพวกนี้เธอทำออกมาได้ยังไง?”
“ฝีมืออย่างเธอคือคิดจะวางพิษใครให้ตายกัน?”
นอกจากเสียงของเฉินถิงเซียวแล้ว ภายในห้องโถงก็ไม่มีเสียงอื่นดังขึ้นมาอีก เงียบเสียจนแม้แต่เข็มเล่มนึงตกลงไปบนพื้นก็สามารถได้ยินได้
ดังนั้นแล้ว ตอนที่มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป เสียงฝีเท้าจึงดึงดูดสายตาเป็นพิเศษ
คนใช้เห็นมู่น่อนน่อน จึงส่งสายตาบอกให้มาช่วยหน่อยไปให้เธอกันไปคนแล้วคนเล่า
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากออกมา และก็รู้สึกจนใจอยู่บ้างเช่นกัน
ถ้าเป็นเมื่อก่อน บางทีเธออาจจะช่วยพวกเธอได้จริงๆ แต่ตอนนี้เธอลำพังตัวเองก็ยังไปไม่รอดเลย
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่บนเก้าอี้ เอียงหัวเล็กน้อย คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงเนือยๆออกมา “เป็นเธอ”
อาหารที่เย็นแล้วโต๊ะหนึ่ง ไม่เคยแตะมาก่อนเลย
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย “คุณอยากกินอะไร ฉันจะทำให้คุณ?”
เฉินถิงเซียวมองเธอเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มออกมา “ตั้งใจเดินทางมาทำอาหารให้ฉันเป็นพิเศษ? รักฉันขนาดนี้เลย?”
มู่น่อนน่อนคร้านจะไปสนใจเฉินถิงเซียว “ไม่พูดฉันจะทำไปตามใจชอบแล้วนะ”
เธอพูดจบ ก็ตรงไปที่ห้องครัว
ดึกมากแล้ว ทำได้แค่เพียงต้มบะหมี่เท่านั้นแหละ
สือเย่โทรมาหาเธอได้ คาดว่าคงจะเป็นเพราะว่า “รู้ว่าเรื่องมันช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้วแต่ก็ยังมีความหวังอยู่”
ภายในใจของมู่น่อนน่อนไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไหร่นัก ว่าเฉินถิงเซียวจะยังชอบกินอาหารที่เธอทำอยู่อีกหรือเปล่า แต่ก็ทำได้แค่เพียงลองดูไปก็เท่านั้น
เพียงไม่นานเธอก็ทำบะหมี่เนื้อหม่าล่าชามหนึ่งเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็ยกออกไป
กลิ่นหอมของน้ำมันพริกลอยฟุ้งออกมา ทำให้เฉินถิงเซียวต้องชำเลืองมองไป
มู่น่อนน่อนเอาบะหมี่วางลงตรงหน้าเฉินถิงเซียว “กินเถอะ”
“แค่ชามเดียว?” เฉินถิงเซียวเลิกตาขึ้นไป ส่งสัญญาณเป็นเชิงให้เธอดูอาหารอื่นๆที่อยู่บนโต๊ะอาหาร
อาหารหลากหลายสไตล์เมนูอื่นๆมองดูสวยงาม วัตถุดิบเองก็เป็นของระดับสูงด้วยเช่นกัน
“บะหมี่ชามหนึ่งไม่พอ?” มู่น่อนน่อนแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจความหมายของในคำพูดของเขา เอ่ยพูดออกไป “รอให้คุณกินเสร็จแล้ว ฉันจะต้มให้คุณอีกชามนึง”
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลง ผู้หญิงคนนี้จงใจบิดเบือนความหมายจากในคำพูดของเขา ไม่กลัวเขาเลยสักนิด
เขายิ้มเย็นออกมา ชี้นิ้วไปทางคนใดคนหนึ่งไปลวกๆ “เธอ เข้ามากินให้หมด”
คนใช้มองมู่น่อนน่อนไปเป็นเชิงขอโทษ ทำได้แค่เพียงกินบะหมี่ชามนั้นไปอย่างเชื่อฟัง
แต่ฝีมือการทำอาหารของมู่น่อนน่อนดี คนใช้คนนั้นสุดท้ายแล้วก็ดื่มน้ำซุปไปจนเกลี้ยง
เฉินถิงเซียวมองไปทางมู่น่อนน่อนอย่างท้าทาย
มู่น่อนน่อนฉีกยิ้มมุมปากออกมา “ฉันจะไปทำให้คุณอีกชามนึง”
ตอนที่มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงรีบกลับไปนั้น พอเปิดประตูออกก็เห็นว่าโทรทัศน์ที่ในห้องโถงใหญ่ได้เปิดดูอยู่
มู่น่อนน่อนส่งเสียงเรียกออกมา “มู่มู่?”
เฉินมู่ลุกยืนขึ้นมาจากบนโซฟา คางกับบนใบหน้าเต็มไปด้วยเศษมันฝรั่งทอดกรอบ ผมยุ่งไปหมด มือยังถือรีโมตเอาไว้
เธอเห็นมู่น่อนน่อนดวงตาก็เป็นประกายออกมา พลางส่งเสียงเรียกออกมาด้วยความเซอร์ไพรซ์ “คุณแม่”
เฉินมู่ตัวเล็ก เมื่อกี้นี้เธอนั่งอยู่บนโซฟา ถูกพนักโซฟาขวางเอาไว้ มู่น่อนน่อนไม่สามารถมองเห็นเธอได้
เธอวิ่งลงมาจากบนโซฟา เท้าเปล่าวิ่งเข้ามายังมู่น่อนน่อน ที่มือก็ยังถือรีโมตเอาไว้แน่น
มู่น่อนน่อนทำตัวให้เข้ากับส่วนสูงของเธอ ย่อตัวนั่งลงเช็ดเศษขนมบนใบหน้าของเธอ แล้วอุ้มเธอขึ้นมา “หนูกำลังทำอะไรอยู่?”
“ทีวี” เฉินมู่ชูรีโมตในมือโบกไปมา ชี้ไปทางทีวีที่อยู่ข้างหลัง
เสิ่นเหลียงเดินเข้าไปที่ตรงหน้าโซฟาดู เห็นขนมอยู่เต็มโซฟาไปหมด ด้านบนยังมีแผ่นมันฝรั่งและลูกอมโปรยอยู่ ข้างๆกันมีโยเกิร์ตขวดหนึ่งวางเอาไว้อยู่
เสิ่นเหลียงเห็นสภาพที่เกิดขึ้นนั้นแล้ว ก็ได้หัวเราะออกมาไม่หยุด “ฮ่าๆๆ! พระเจ้า มู่มู่หาขนมของฉันเจอได้ยังไง แล้วยังฉีกออกเองอีก! นี่มันสุดยอดเกินไปแล้ว”
มู่น่อนน่อนอุ้มเฉินมู่เดินเข้ามา เห็นความยุ่งเหยิงที่บนโซฟา จึงเกิดความรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ขึ้นมาเล็กน้อย
“ของพวกนี้หนูเอามาเองหมดเลย?” มู่น่อนน่อนเอาเฉินมู่ไปยืนบนโซฟาให้ดี ให้สายตาของเธออยู่ตรงกับตน
สีหน้าที่แสดงออกมาของมู่น่อนน่อนมองดูจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย เฉินมู่คงจะรู้สึกได้ถึงสีหน้าไม่ค่อยดีของแม่ บิดมือเล็กไขว้ไปที่ด้านหลัง กะพริบตาปริบๆออกมา พลางเอ่ยเสียงเบาออกมา “อืม”
เสิ่นเหลียงดันร่างของมู่น่อนน่อนออกไปเบาๆ “เธอกลัวเธอแล้ว”
“หนูลองดูสิ ทำโซฟาของคุณน้าเสิ่นสกปรกแล้วใช่มั้ย?” มู่น่อนน่อนชี้ไปที่เศษขนมที่อยู่เต็มโซฟาแล้วถามเธอออกไป
เฉินมู่มองตามมือของมู่น่อนน่อนไป พลางพยักหน้าไปอย่างตกตะลึง
โทนเสียงของมู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะอ่อนลงเล็กน้อย “ครั้งหน้าจะทำให้มันสกปรกเต็มโซฟาไปหมดไม่ได้นะ อยากจะช่วยคุณน้าเสิ่นทำความสะอาดด้วยใช่มั้ย?”
เฉินมู่ตอบรับออกไปอย่างน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก “อยาก”
มู่น่อนน่อนเห็นท่าทางน่าเอ็นดูของเฉินมู่แล้ว จู่ๆก็แสบจมูกขึ้นมา
เธอจึงหันหลังกลับไปทันที น้ำตาได้เอ่อล้นออกมาจากในเบ้าตา
มู่น่อนน่อนสงบจิตใจให้มั่นคงขึ้นมา ทำให้เสียงของตนฟังดูแล้วเหมือนกับว่าเป็นปกติออกมา “มู่มู่ช่วยคุณน้าเสิ่นทำความสะอาดโซฟา แม่จะไปห้องน้ำหน่อย”
เธอพูดจบ ก็เดินไปห้องน้ำด้วยความรีบร้อน
มู่น่อนน่อนพอเข้าห้องน้ำไป ก็ปิดประตูห้องน้ำลงไปทันที พิงเข้ากับบานประตู ไถลลงพื้นไปช้าๆ พลางยกมือขึ้นมาปิดหน้ากลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้
ด้านนอกประตู เฉินมู่เห็นมู่น่อนน่อนจู่ๆก็ผันร่างไปที่ห้องน้ำแล้วปิดประตูลง จึงชี้ไปที่ประตูห้องน้ำไปอย่างไม่รู้ว่าจะรับมือยังไงอยู่บ้างพลางมองไปทางเสิ่นเหลียง “คุณแม่?”
แน่นอนว่าเมื่อกี้เสิ่นเหลียงจะต้องฟังออกอยู่แล้ว เสียงร้องไห้จากในน้ำเสียงของมู่น่อนน่อน
เธอยิ้มพลางเอ่ยกับเฉินมู่ออกไป “คุณแม่อยู่ที่ห้องน้ำ เดี๋ยวก็ออกมาแล้ว มู่มู่มาช่วยคุณป้าทำความสะอาดโซฟาก่อน”
เสิ่นเหลียงหยิบผ้าขนหนูมา ตอนที่ทำความสะอาดด้วยกันกับเฉินมู่ เฉินมู่ยังมองไปทางห้องน้ำไปเป็นครั้งคราว
ท่าทางมองไปตาปริบๆ มองไปแล้วดูน่าเอ็นดูมากเลย
เสิ่นเหลียงเดินไปยังที่หน้าประตูห้องน้ำ แล้วเคาะประตูไป “น่อนน่อน ยังโอเคอยู่หรือเปล่า?”
ด้านในเพียงไม่นานก็มีเสียงของมู่น่อนน่อนดังเข้ามา “ไม่เป็นไร ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้เลย”
มู่น่อนน่อนลุกยืนขึ้นมา เดินเข้าไปที่ตรงหน้าอ่างล้างมือ ล้างหน้า มองตัวเองที่เบ้าตาแดงก่ำที่อยู่ในกระจกไปเงียบๆ
เมื่อกี้เพิ่งจะเห็นท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนั้นของเฉินมู่ไป จู่ๆมู่น่อนน่อนก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมามากเป็นพิเศษ
เป็นลูกสาวของเธอ ไม่มีความสุขเลยสักนิดเดียว
ตั้งแต่ที่เฉินมู่เกิดมา เธอก็ไม่สามารถมองดูเฉินมู่ดีๆได้เลย และก็ไม่สามารถปกป้องเธอให้ดีได้เลยด้วย
พอเกิดมาแล้ว เฉินมู่ก็ถูกคนสับเปลี่ยนไป รอจนถึงตอนที่พวกเขามีโอกาสได้ไปรับเฉินมู่มาสักที ก็ได้เกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงอย่างนั้นขึ้นมาอีก
สามปีนะ
สามปีที่เดิมทีแล้วควรจะได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาโดยแม่ เธอไม่เคยจะได้มีส่วนร่วมมาก่อนเลย
เมื่อกี้ตอนที่เฉินมู่เพิ่งจะเรียกเธอว่าแม่ เธอถึงกับรู้สึกผิดขึ้นมา
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น พลางหลับตาสูดหายใจลึกๆเข้าไป
ตอนที่ลืมตาออกมาอีกทีนึง ในดวงตาของเธอได้แจ่มใสและแน่วแน่ออกมาแล้ว
……
มู่น่อนน่อนเปิดประตูห้องน้ำออกมา ก็เห็นเสิ่นเหลียงกำลังนำเฉินมู่ทำความสะอาดโซฟากันอยู่
“อย่างนี้ ค่อยๆนะ ค่อยๆเช็ดลงไปทีละนิดๆ”
“เช็ดลงไป!”
“เก่งมาก!”
หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กน้อยเช็ดของอยู่บนโซฟา ภาพมองดูกลมกลืนทั้งยังอบอุ่นขึ้นมาด้วย
มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นว่าเฉินมู่ยังเท้าเปล่าอยู่ จึงก้าวเท้าเดินไปหยิบถุงเท้ามาคู่หนึ่งจากในห้อง แล้วก็ได้นำรองเท้าแตะขนปุยออกมาด้วยอีกที
เฉินมู่พอเห็นมู่น่อนน่อนแล้ว ก็ชูผ้าขนหนูในมือขึ้นมาพลางเอ่ยพูดออกมาว่า “คุณแม่ หนูเช็ดแล้ว”
“อืม” มู่น่อนน่อนยิ้มให้กับเธอ “สวมถุงเท้าก่อน”
“ได้” เฉินมู่ยังจำท่าทางจริงจังของมู่น่อนน่อนเมื่อก่อนหน้านี้ได้อยู่ นึกว่าตัวเองทำผิดแล้วทำให้เธอโกรธขึ้นมา จึงว่าง่ายเป็นพิเศษ
มู่น่อนน่อนช่วยเธอสวมถุงเท้าให้เรียบร้อย เฉินมู่ยิ้มให้เธอออกมาไม่หยุด มองไปแล้วดูโง่งมอยู่บ้าง
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปแตะหัวของเธอ “แม่ไม่ได้โกรธ แต่หนูทำของอยู่เต็มโซฟาไปหมด มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ต่อจากนี้ไปจะทำอย่างนี้อีกไม่ได้นะ”
เฉินมู่พยักหน้าออกมา
สองสามคนพากันเก็บกวาดโซฟาให้เรียบร้อย แล้วได้เก็บขนมที่เฉินมู่ยังไม่กินพวกนั้นกลับไปที่เดิมอีกที จนปาไปเย็นเลย
มู่น่อนน่อนลงครัวทำมื้อเย็นให้เฉินมู่กับเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงมีนิสัยร่าเริงขี้เล่น การหยอกล้อเด็กน้อยเล่นไม่จำเป็นต้องเรียนเลยสักนิด ทั้งหมดก็เป็นต้นแบบของการแสดงโดยสมบูรณ์
เด็กน้อยส่วนใหญ่ต่างก็ชอบคนที่หน้าตาสวยกันอยู่แล้ว ปล่อยให้คนสวยคนนี้ยังคงเล่นเป็นเพื่อนเธออยู่ จะยิ่งรู้สึกชอบมากขึ้นกว่าเดิม
ความสัมพันธ์ของเฉินมู่กับเสิ่นเหลียง ทั้งหมดได้รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนยกอาหารออกมา ส่งเสียงเรียกพวกเธอออกไปเสียงดัง “เสี่ยวเหลียง มู่มู่ กินข้าวได้แล้ว”
“มาแล้ว” เสิ่นเหลียงจูงเฉินมู่วิ่งมาที่ตรงหน้าโต๊ะอาหาร
เฉินมู่วิ่งตามมา วิ่งไปพลางพูดออกมาพลาง “อิอิๆ…พวกเรามากันแล้ว!”
ทั้งสองคนนั่งลงตรงหน้าโต๊ะอาหาร
มู่น่อนน่อนยกซุปเมนูสุดท้ายขึ้นมาเสิร์ฟ สายตามองไปทางเสิ่นเหลียง น้ำเสียงหยอกล้อออกไป “เสิ่นเหลียงเด็กน้อย ไม่ทราบว่าเธอกับเด็กน้อยเฉินมู่ล้างมือกันแล้วหรือยัง?”
เสิ่นเหลียง “…ยัง”
ตอนที่กินข้าว มู่น่อนน่อนคีบผักไปในชามเพื่อคลุกกินคู่กับข้าวให้กับเฉินมู่
เสิ่นเหลียงเห็นภาพอย่างนั้นแล้ว เหมือนกับว่าจู่ๆจะนึกอะไรขึ้นมาได้ก็ไม่ปาน จึงเงยหน้าขึ้นไปพูดกับมู่น่อนน่อน “มีครั้งนึงที่ฉันเห็นเฉินถิงเซียวกับเสี่ยวมู่มู่กินข้าวด้วยกันที่โรงแรมจีนติ่ง เขา…”
ได้ยินคำว่า “เฉินถิงเซียว” สามคำนี้ขึ้นมา เฉินมู่ได้เงยหน้าขึ้นมาทันที เบิกตากว้างออกมา “เฉินชิงเซียว พ่อของหนู”
“หา?” เสิ่นเหลียงรู้สึกมึนงงขึ้นมาเล็กน้อย
“เธอจะเรียกเฉินถิงเซียวว่าเฉินชิงเซียว” มู่น่อนน่อนพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ก็อดที่จะอยากหัวเราะออกมาเสียไม่ได้
นิสัยที่หยิ่งยโสอย่างนั้นของเฉินถิงเซียว วันหนึ่งจะยอมศิโรราบในมือของคนอื่นที่นอกจากเธอด้วย
ทั้งยังเป็นเจ้าก้อนแป้งน้อยที่อายุเพียงแค่สามขวบกว่าๆเท่านั้นเอง
เสิ่นเหลียงได้ยินแล้ว ก็ได้หัวเราะ “พรืด” ออกมาด้วยเหมือนกัน “คนอย่างบอสใหญ่ สามารถให้มู่มู่เรียกเขาว่าเฉินชิงเซียวได้ คงไม่ได้ตีเธอหรอกมั้ง?”
เมื่อกี้เฉินมู่เพิ่งจะได้ยินตอนที่เสิ่นเหลียงเอ่ยถึงเฉินถิงเซียวขึ้นมา ก็ฟังไปอย่างตั้งอกตั้งใจอย่างมาก
คำพูดของเสิ่นเหลียง เธอฟังกึ่งเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้าออกมาเหมือนกับว่ามีเรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้นจริงๆออกมาด้วย “ตี”
มู่น่อนน่อนพูดถึงตรงนี้แล้วก็หยุดชะงักไปเล็กน้อยอีกที ในหัวมีภาพผุดออกมามากมายเกินไปขึ้นมาทันที เธอรับมันมาอย่างขาดๆหายๆ
“ลี่จิ่วเชียนทำไมถึงได้ช่วยฉัน?”
“มู่มู่…เฉินถิงเซียว…”
เสิ่นเหลียงไม่ได้ส่งเสียงรบกวนเธอออกมา เพียงแค่มองเธออยู่ข้างๆไปด้วยใบหน้าตึงเครียดออกมา
ตอนนี้พยาบาลก็ได้เรียกคุณหมอมาแล้ว
คุณหมอรีบร้อนเข้ามา “ฟื้นแล้ว? ความรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”
ความคิดของมู่น่อนน่อนเห็นได้ชัดว่าไม่ได้อยู่ตรงนี้ จึงไม่ได้ตอบคำพูดของคุณหมอออกไปเช่นกัน
เสิ่นเหลียงส่งเสียงถามออกไป “เพิ่งฟื้น เพื่อนของฉันเธอเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา?”
เธอรับสายแล้วรีบตามมาเลย ไม่ได้รู้เลยว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ในสายเพียงแค่บอกว่ามู่น่อนน่อนอยู่ที่โรงพยาบาล เธอขับรถมาด้วยความรู้สึกกังวลกลัวมาตลอดทาง
คุณหมอตอบออกมาว่า “ตอนที่ส่งเข้ามาอยู่ในสภาพที่สลบอยู่ แต่ปัญหาไม่ได้ใหญ่โตอะไร เพียงแค่สมองกระทบกระเทือนไปเล็กน้อยเท่านั้น”
“สมองกระทบกระเทือนยังไม่ใช่เรื่องใหญ่อีก?” เสิ่นเหลียงมีสีหน้าเก็บงำความโกรธเอาไว้ในใจ โทนเสียงก็เยือกเย็นออกมาบ้างเล็กน้อยเช่นกัน
คุณหมอดันแว่นขึ้นมาเล็กน้อย ชะงักไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยออกไป “การที่สมองกระทบกระเทือนเล็กน้อยแบบนี้เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป ถ้าพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการอีกสักสองสามวันแล้วก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้เลย”
ได้ยินคุณหมอพูดออกมาอย่างนี้ เสิ่นเหลียงถึงได้ยิ้มออกมาอย่างขอโทษขอโพย “อย่างนี้นี่เองสินะ ขอบคุณนะคะ แต่ว่าเมื่อก่อนเธอได้รับบาดเจ็บที่สมองมาก่อน ครั้งนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่มั้ย?”
“ดังนั้นแล้วจึงต้องอยู่พักรักษาตัวเพื่อดูอาการที่โรงพยาบาลอีกสักสองสามวัน” คุณหมอพูดจบแล้ว เคลื่อนสายตาไปทางมู่น่อนน่อน เรียกชื่อของเธอไปด้วยเสียงอ่อนโยน “มู่น่อนน่อน?”
“หา?” มู่น่อนน่อนได้สติกลับมา
คุณหมอถามเธอออกมา “ตอนนี้คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้าง? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้าออกมา ท่าทางดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ไม่มี”
สายตาของเธอจรดไปที่ร่างของเสิ่นเหลียง เธอมองจ้องมู่น่อนน่อนอยู่หลายวิ แล้วเอ่ยถามออกมา “มู่มู่ล่ะ?”
เสิ่นเหลียงถูกเธอถามมาอย่างนี้ จึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าเฉินมู่ยังนอนหลับอยู่ที่บ้าน
เธอได้รับสาย พอได้ยินว่ามู่น่อนน่อนอยู่โรงพยาบาล ก็รีบร้อนตามมาเลย
มู่น่อนน่อนเพิ่งจะออกมาจากโรงพยาบาลได้ไม่ถึงสองเดือน เสิ่นเหลียงได้ยินว่าอยู่ที่โรงพยาบาล ก็รู้สึกอ่อนไหวมากเกินไปหน่อย ปกติก็อยู่คนเดียวอยู่แล้ว ก็เลยลืมไปโดยปริยายว่าที่บ้านยังมีเจ้าหนูน้อยกำลังนอนอยู่อีกคนหนึ่ง
“นอน…นอนอยู่ที่บ้าน” เสิ่นเหลียงเอ่ยออกมาอย่างกระดากใจ
มู่น่อนน่อนได้ยินอย่างนั้นแล้ว ก็เลิกผ้าห่มออกแล้วเตรียมที่จะลงไปจากเตียง เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล “งั้นตอนนี้พวกเราก็กลับกันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน คุณหมอบอกว่าเธอต้องพักดูอาการที่โรงพยาบาลอีกสักสองสามวัน” เสิ่นเหลียงรีบขวางเธอเอาไว้ทันที
มู่น่อนน่อนผลักเสิ่นเหลียงออกไป “ฉันไม่เป็นไร”
ร่างกายของเธอเอง ตัวเองสามารถรู้สึกได้ มันสบายดีมากๆเลย ไม่มีปัญหาอะไรเลยสักนิดเดียว
ตอนนี้ด้านนอกมีตำรวจนอกเครื่องแบบสองคนเข้ามา
ตำรวจสองคนนั้นเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นได้มองมาทางมู่น่อนน่อน “มู่น่อนน่อนฟื้นแล้ว?”
มู่น่อนน่อนเลิกตามองเข้าไป ตำรวจจึงหยิบบัตรตำรวจของตัวเองออกมา พลางเอ่ยออกมาว่า “เหตุระเบิดที่ห้างก่อนหน้านี้ ต้องการให้คุณให้ความร่วมมือในการทำบันทึกประจำวันสักหน่อยนะครับ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าอย่างให้ความร่วมมือออกมา “ได้ค่ะ”
ตำรวจหันหน้ามองไปทางคุณหมอ “อาการเธอเป็นยังไงบ้าง?”
คุณหมอเล่าอาการของมู่น่อนน่อนให้กับตำรวจไปตามความเป็นจริง
เสิ่นเหลียงมีการตอบสนองช้ากว่าคนอื่นไปเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยถามออกไปด้วยความกลัวจนใบหน้าถอดสี “ระเบิดอะไร?”
“คนร้ายแจ้งตำรวจมาเอง บอกว่าเขาจะไประเบิดห้าง ตอนที่พวกเราอพยพกลุ่มคนออกไป คุณมู่ก็เข้าห้างมา นี่เป็นความประมาทของฉัน แต่โชคดีที่การผลิตของระเบิดของคนร้ายทำได้ชุ่ยไป ความอันตรายจึงไม่ได้รุนแรงเลย…”
สีหน้าของเสิ่นเหลียงซีดออกมา “…ความวิปริตผิดมนุษย์อะไรก็มีหมดจริงๆ”
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปยิ้มให้กับเสิ่นเหลียงไปเล็กน้อย “ฉันไม่เป็นไร”
เธอพูดจบ ก็หันหน้าไปพูดกับตำรวจ “คุณตำรวจ รบกวนช่วยรีบหน่อย ลูกของฉันอยู่ที่บ้านคนเดียว ฉันไม่วางใจเท่าไหร่”
ตำรวจเหมือนกับว่าจะประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย “แต่งงานแล้วเหรอเนี่ย?”
เขาถามจบ ก็เหมือนกับว่าจะรับรู้ได้ว่าคำถามนี้มันปุบปับมากเลย ในดวงตาได้เผยความอับอายแวบออกมา แต่เพียงไม่นานก็ได้เข้าประเด็นไปอย่างรวดเร็ว
ตำรวจทำบันทึกเสร็จแล้วก็เดินออกไป
มู่น่อนน่อนเป็นห่วงเฉินมู่อยู่ที่บ้านคนเดียว แน่นอนว่าไม่มีทางจะอยู่ที่โรงพยาบาลแน่
หมอยังบอกว่าให้เธอพักรักษาตัวเพื่อดูอาการที่โรงพยาบาลอีกสักสองสามวัน มู่น่อนน่อนจำต้องใช้คำว่า “อีกสองสามวันก็มาตรวจดูอาการ” เพื่อเอามาเป็นคำแก้ตัว แล้วออกจากโรงพยาบาลไป
ระหว่างทางกลับไป เสิ่นเหลียงถึงได้มีโอกาสได้ถามมู่น่อนน่อนไปเสียที “น่อนน่อน ที่เมื่อก่อนหน้านี้เธอพูดถึงเรื่องที่พวกเธอไปหาซือเฉิงหยู้ที่เกาะ เธอจำขึ้นมาได้หมดแล้วใช่มั้ย?”
คำถามนี้ ก่อนหน้านี้เสิ่นเหลียงก็ได้ถามมารอบนึงแล้วเหมือนกัน แต่ว่าเมื่อตอนนั้นมู่น่อนน่อนมีท่าทางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และไม่สนใจที่จะตอบเธอกลับมาเลยด้วย
มู่น่อนน่อนพยักหน้าตอบรับออกมาก่อน ก่อนที่เสิ่นเหลียงจะพูดออกมา เธอก็ได้ส่ายหน้าออกไปอีกครั้ง
“นี่ทั้งพยักหน้า และทั้งส่ายหน้าออกมาอีก ตกลงเธอฟื้นความทรงจำกลับมาแล้วหรือเปล่ากันแน่ ฉันกังวลจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว” เสิ่นเหลียงทอดถอนหายใจออกมา
“เรื่องในอดีตฉันนึกขึ้นมาได้แล้ว…” มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อยพลางถามเธอออกไป “เรื่องต่อจากนั้นฉันไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่ามันเคยเกิดขึ้นมาก่อนจริงๆหรือเปล่า ฉันสลบไปสามปีจริงๆ? เฉินถิงเซียวเขา…ก็สูญเสียความทรงจำด้วยเหมือนกัน?”
“จริงๆ มันเป็นเรื่องจริงทั้งหมด” เสิ่นเหลียงตื่นเต้นดีใจขึ้นมาจนร้องขึ้นมาเสียงดัง “เธอนึกขึ้นมาได้จริงๆ! มันดีมากจริงๆเลย!”
เสิ่นเหลียงหลังจากที่ดีใจแล้ว ก็ได้ถามมู่น่อนน่อนออกไปอย่างไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นักไปอีกที “ฉันถามเธอหน่อยว่าพวกเรารู้จักกันได้ยังไง? แล้วเธอแต่งงานให้กับเฉินถิงเซียวไปได้ยังไง?”
“ตอนเธออยู่ม.6 ถูกคนอื่นรังแก ฉันทำให้คนพวกนั้นหวาดกลัวหนีกันไป”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็เห็นเสิ่นเหลียงพยักหน้าออกมา จึงได้พูดต่อออกมา “ส่วนเฉินถิงเซียว ฉันแต่งงานกับเขาแทนมู่หวั่นขี”
พูดถึงมู่หวั่นขีขึ้นมา สีหน้ามู่น่อนน่อนได้นิ่งไปเล็กน้อย
เสิ่นเหลียงถามเธอออกมา “เป็นอะไรไป?”
มู่น่อนน่อนนึกถึงครั้งที่แล้วขึ้นมา เธอกับลี่จิ่วเชียนเกิดอุบัติเหตุทางรถ สายตาแสดงความหวาดกลัวออกมาเล็กน้อย “เธอโยนการตายของซือเฉิงหยู้มาอยู่ในความรับผิดชอบของฉันกับเฉินถิงเซียว เธออยากให้พวกเราตาย”
เสิ่นเหลียงได้ยินเธอว่ามาอย่างนี้ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อยด้วยเช่นกัน
“มู่หวั่นขีบ้ามานานแล้ว หลายปีมานี้ถ่ายหนังกับละครสัพเพเหระมาบ้าง มีประวัติที่ดำมืดนับไม่ถ้วน แต่แฟนคลับก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว รูปแบบพฤติกรรมมันแปลกประหลาดอยู่บ้าง ฉันสงสัยว่าเธออาจจะถูกการตายของซือเฉิงหยู้กระตุ้นให้เป็นบ้าขึ้นมาแล้ว จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมามันก็ไม่แน่นอนทั้งนั้น ระวังเอาไว้หน่อยก็ดี”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าออกมาเล็กน้อย “อืม”
ถึงแม้ว่าเสิ่นเหลียงจะไม่พูดออกมา มู่น่อนน่อนเองก็รู้ว่าต้องระวังด้วยเหมือนกัน
เพราะถึงยังไงมู่หวั่นขีก็ได้จ่ายเงินออกไป และพอจ่ายเงินไปก็ต้องโอบอุ้มไปด้วยปณิธานที่แน่วแน่ว่าจะต้องฆ่าเธอได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว
อุบัติเหตุทางรถเมื่อครั้งที่แล้วเธอไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น นั่นเป็นความโชคดีของเธอ
มู่หวั่นขีจะต้องไม่มีทางยอมแพ้ไปอย่างนี้แน่ แต่ก็รับประกันไม่ได้ว่าครั้งหน้าจะยังโชคดีอย่างนี้อยู่หรือเปล่า
ยังมีสิ่งที่ทำให้รู้สึกแปลกก็คือเมื่อตอนนั้นมู่หวั่นขีได้มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเสียจนไม่อาจปฏิเสธได้แล้ว แต่ยังถูกคนอื่นพาออกมา…
เรื่องนี้ เมื่อเทียบกับเมื่อตอนนั้นที่เธอคิดจะชนมู่น่อนน่อนให้ตายแล้ว ลักษณะนิสัยก็ยิ่งเลวร้ายขึ้นกว่าเดิม
เมื่อตอนนั้นซือเฉิงหยู้สามารถช่วยมู่หวั่นขีออกมาได้ มันก็ง่ายมากเลยเช่นกัน
แต่ครั้งนี้ นึกไม่ถึงว่าจะยังมีคนสามารถช่วยมู่หวั่นขีออกมาได้ จะเป็นใครกันน่ะ?
ใครกันที่สามารถมีความสามารถมากมายขนาดนี้ได้ มันมีเหตุผลที่จำเป็นจะต้องช่วยมู่หวั่นขีออกมาอีกน่ะเหรอ?
ในระหว่างที่มู่น่อนน่อนสลบไปสามปี ฟื้นขึ้นมาก็ได้สูญเสียความทรงจำไปอีก ตอนนี้จู่ๆก็ฟื้นความทรงจำขึ้นมา เหมือนกับเวลากำลังเล่นสนุกกับเธออยู่ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านมาสามปีแล้ว
เรื่องทั้งหมดมันประดังเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้มันเยอะจนเธอรับมือไม่ไหวขึ้นมาแล้วบ้าง เรียกสติกลับมาไม่ได้อยู่ชั่วขณะหนึ่ง
พนักงานขายจำต้องรับเงินในมือของมู่น่อนน่อนมา
เธอทอนเงินห้าหยวนส่งไปในมือของมู่น่อนน่อน สีหน้าดูแข็งตึงออกมาเล็กน้อย “ค่อยๆเดิน โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ”
มู่น่อนน่อนรับเงินมา เคลื่อนสายตาออกไปโดยไม่ตั้งใจ ก็เห็นมือของพนักงานขายแตะไปที่บริเวณใบหูเล็กน้อย
พนักงานขายเป็นเด็กสาววัยรุ่นผมสั้นคนหนึ่ง เมื่อกี้ตอนที่เธอยกมือขึ้นไปแตะที่ใบหู มู่น่อนน่อนก็เห็นว่าในใบหูของเธอเหมือนกับว่ามีอะไรอุดอยู่เลย
นึกโยงไปถึงตอนที่เพิ่งเข้าห้างมา คนในห้างก็น้อยมากเป็นพิเศษ…
ก้นบึ้งภายในใจของมู่น่อนน่อนเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
เธอได้มองพนักงานขายไปอีกที พลางผันร่างรีบร้อนเดินออกไป
เมื่อกี้ตอนที่เธอเข้าห้างมา เพียงแค่รู้สึกว่าคนในห้างมันน้อยมากเท่านั้น
ในตอนนี้เธอได้ออกมาจากร้านขนมปัง ก็ได้ค้นพบว่าภายในห้างมีคนอยู่เพียงแค่ไม่กี่คนกระจัดกระจายอยู่เป็นหย่อมๆเท่านั้น เงียบเชียบเสียจนดูผิดปกติไปบ้าง
มู่น่อนน่อนเดินไปที่หน้าบันได คิดว่าจะขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อลงไปที่ชั้นหนึ่ง
เธอเพิ่งจะยืนอยู่บนบันไดเลื่อน ก็ได้ยินเสียง “ติ๊ง” ดังชัดขึ้นมาจากทางด้านหลัง
ที่หน้าบันไดของห้าง สิ่งที่อยู่ตรงกับบันไดเลื่อนนั้นเป็นลิฟต์
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปโดยอัตโนมัติ ก็เห็นชายสวมชุดสีดำคนหนึ่งเดินออกมาจากลิฟต์ แล้วเดินขึ้นบันไดเลื่อนไป
ชายชุดดำก็เห็นมู่น่อนน่อนด้วยเช่นกัน
เขาสวมหมวกแก๊ปใบหนึ่ง มู่น่อนน่อนมองเห็นสีหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจนนัก แต่สามารถรู้สึกได้ว่าเขากำลังมองเธออยู่
ภายในใจของมู่น่อนน่อนรู้สึกไม่สบายใจอย่างรุนแรงขึ้นมา
เธอมองไปรอบๆ พบว่ารอบๆเงียบสงัด
แสงไฟภายในห้างส่องสว่าง ร้านค้าที่อยู่รอบๆก็เปิดไฟสว่างไสวออกมาเช่นกัน แต่ไม่มีใครเลยสักคนเดียว
เธอนึกถึงที่ในร้านขนมปังร้านนั้นขึ้นมาได้ เด็กสาวที่ไม่ค่อยจะเหมือนพนักงานขายเท่าไหร่นักคนนั้น เหมือนกับจะเร่งให้เธอรีบๆไปอยู่ตลอด
ส่วนท่าทางระมัดระวังของเด็กสาวคนนั้น มองไปแล้วดูค่อนข้างที่จะเหมือนกับว่าเป็น…ตำรวจ!
ภายในห้างเงียบขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นการเคลียร์พื้นที่เอาไว้
เมื่อกี้ตอนที่เธอเข้ามา ก็คงจะกำลังเคลียร์พื้นที่กันอยู่
เธอเป็นคนเขียนบทละครสืบสวนสอบสวน กับสถานการณ์จำพวกนี้มันไม่ได้ผิดหูผิดตาเลย
ในสถานที่ที่มีคนหลั่งไหลเข้ามารวมตัวกันอย่างห้างจำพวกนี้ จู่ๆก็เคลียร์พื้นที่ ปกติแล้วล้วนแล้วแต่จะเป็นการรักษาความปลอดภัยทั้งนั้น
ไม่ใช่ว่ามีคนดังมาแล้ว ก็จะมีคนที่คิดจะก่ออาชญากรรมขึ้นมาที่นี่
ภายในใจของมู่น่อนน่อนมีความคิดจำพวกนี้แวบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่บนใบหน้ากลับไม่ได้แสดงอาการออกมา
มือข้างหนึ่งเธอถือเค้กเอาไว้ มืออีกข้างค้ำยันอยู่บนราวจับบันไดเลื่อน ชายชุดดำที่อยู่ด้านหลังคนนั้น ก็รักษาท่าทางที่เหมือนกับเธอแล้วขึ้นบันไดเลื่อนลงมาชั้นล่างด้วยเหมือนกัน
ชายชุดดำที่อยู่ข้างหลังคนนั้น ไม่เป็นตำรวจ ก็เป็นคนที่จะก่อเหตุที่นี่คนนั้น
บันไดเลื่อนลงมาถึงชั้นหนึ่ง
มู่น่อนน่อนตอนที่ลงจากบันไดเลื่อน ก็แสร้งทำเป็นหันหน้าไปมองผู้ชายคนนั้นไปแวบนึงอย่างไม่ได้ใส่ใจไปอีกที
ชายชุดดำคนนั้นยังคงอยู่บนบันไดเลื่อนไปอย่างช้าๆ ท่าทางดูไม่ได้เร็วเกินไปและก็ไม่ได้เชื่องช้าเกินไป มู่น่อนน่อนกำลังจะหันหน้าไป จู่ๆก็พบว่าชายชุดดำคนนั้นได้ถอดหมวกแก๊ปบนหัวของตัวเองออก พลางฉีกยิ้มมาให้เธอ
รอยยิ้มนั้นมันดูมืดครึ้มทั้งยังดูบ้าคลั่งอีกด้วย
ภายในใจของมู่น่อนน่อนกระตุกขึ้นมาทันที พลางรีบก้าวเดินเข้าไปข้างหน้า วิ่งออกไปทางประตูทางเข้าห้างไปอย่างรวดเร็ว
ตรงชั้นหนึ่งของห้างกว้างขวางมาก แต่บันไดเลื่อนห่างออกมาจากประตูห้างไกลมาก เหมือนกับไม่ว่าเธอจะวิ่งเร็วแค่ไหนก็ยังมีระยะห่างจากประตูทางเข้าอีกยาวไกลอยู่ตลอดเลย
ในตอนนี้ ภายในห้างได้มีเสียงดังผ่านโทรโข่งดังขึ้นมา “สวีลี่ชิง ตอนนี้นายโดนล้อมเอาไว้แล้ว ขอเพียงแค่ตอนนี้นายหยุดไปเสีย พวกเราจะผ่อนปรนความผิดนายให้!”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น พบว่ารอบๆไม่รู้ว่ามีกลุ่มตำรวจปรากฏตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ชายชุดดำที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงออกมา “ใครมันจะอยากให้พวกแกผ่อนปรนโทษให้กัน ฉันอยากจะให้พวกแกชิบหายไปด้วยกัน!”
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ว่าเสียงนั้นเหมือนกับว่าจะอยู่ที่ข้างๆใบหูของเธอ เธอหันหน้ากลับไป ก็เห็นชายชุดดำไม่รู้ว่าถอดเสื้อคลุมตัวนอกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มัดระเบิดอยู่ตามลำตัว
ชายชุดดำเห็นมู่น่อนน่อนหันหน้ามา จึงเอ่ยเสียงเหี้ยมออกมา “พวกแกอพยพกลุ่มคนไปแล้วมันยังไงกัน? ไม่ใช่ว่ายังตกอยู่คนนึง ลากสาวสวยคนหนึ่งมาฝังพร้อมกับฉันก็ไม่ขาดทุนเหมือนกันนะ”
เขาพูดออกมา พลางยื่นมือไปดึงเส้นบางเส้นที่อยู่บนร่างตัวเองเอาไว้…
เสียงของตำรวจได้ดังออกมาจากโทรโข่งอีกครั้ง “หมอบลง! รีบหมอบลงเร็ว!”
มู่น่อนน่อนเบิกตากว้างออกมา เอาเค้กในมือโยนไปทางชายชุดดำ หันหน้าพุ่งกระโจนเข้าไปข้างหน้าอย่างกุลีกุจอ
ข้างหูได้ยินเสียงดังสนั่นดัง “ตูม” ขึ้นมา
มู่น่อนน่อนคิดว่าหูของตัวเองถูกการสะเทือนจนชาไปหมด โลกทั้งใบต่างกำลังเกิดเสียงดังหึ่งๆขึ้นมา
“…หกปีแล้ว ชิงหนิงอยู่คนเดียวก็โดดเดี่ยวมากแล้ว พวกเราควรจะไปหาเธอได้แล้ว”
“ไป!”
“…”
“ไม่มีประโยชน์ ใต้สนามกอล์ฟฉันฝังระเบิดเอาไว้หมดแล้ว พวกเราไปหาชิงหนิงด้วยกัน…”
“ดูแลมู่มู่ให้ดี ไม่ต้องสนใจฉัน”
“…”
จู่ๆความทรงจำก็พุ่งออกมา
นาทีก่อนที่มู่น่อนน่อนจะสลบไป สิ่งที่แวบขึ้นมาในหัว เป็นภาพเหตุการณ์การระเบิดที่บนเกาะเมื่อสามปีก่อนครั้งนั้น
“เจ้าตัวยังมีชีวิตอยู่เหรอ?”
“เจ้าหน้าที่ช่วยปฐมพยาบาลอยู่ที่ไหน?”
“…”
โลกหลังจากที่เกิดเสียงอึกทึกขึ้นมาในชั่วเวลาสั้นๆ ก็ได้กลับมาเงียบดังเดิม
……
——น่าเกลียดเกินไปแล้ว
——คุณเป็นใคร?
——เธอไม่รู้ว่าใครที่ตัวเองแต่งด้วย?
——แน่นอนว่าฉันจะต้องรู้อยู่แล้วว่าคนที่ฉันแต่งด้วยคือเฉินถิงเซียว!
——ที่แท้ก็เป็นภรรยาของพี่ชาย ฉันเป็นเฉินเจียฉินลูกพี่ลูกน้องของเฉินถิงเซียว คืนวันแต่งงาน สันนิษฐานว่าเธอเองก็คงไม่ยอมเฝ้าไอ้คนไร้ค่าคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน
ผู้ชายมีดวงตาเข้มประหนึ่งน้ำหมึกคู่หนึ่ง คมกริบแต่ก็ลึกซึ้งเสียจนอ่านยาก กลิ่นอายเยือกเย็นออกมา…
“เฉินถิงเซียว!”
มู่น่อนน่อนลืมตาออกมาทันที สิ่งที่เข้ามาอยู่ในสายตาเป็นเพดานสีขาวล้วน
เธออยู่ที่ไหน?
เฉินถิงเซียวล่ะ?
เธอได้พลิกตัวนั่งขึ้นมาทันที ทำเอาพยาบาลที่เปิดประตูเข้ามาตื่นตกใจกันไปหมด
พยาบาลเดินเข้ามา “คุณฟื้นแล้ว? ฉันจะไปเรียกคุณหมอมาเดี๋ยวนี้”
พยาบาลพอเปิดประตูเข้ามาแล้ว กลุ่มพวกเสิ่นเหลียงก็รีบพากันเข้ามา
“พยาบาล ผู้ป่วยที่ชื่อว่ามู่น่อนน่อนคนนั้น กำลังอยู่ที่ห้องผู้ป่วยหมายเลขนี้ใช่หรือเปล่า?”
“ใช่แล้ว เธอเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ฉันกำลังจะไปเรียกคุณหมอมาตรวจดูอาการให้เธออยู่เลย”
“ขอบคุณค่ะ” เสิ่นเหลียงรีบเอ่ยขอบคุณออกไป แล้วเปิดประตูเข้าไปดูมู่น่อนน่อน
เสิ่นเหลียงเดินเข้ามาที่ข้างเตียง ประคองไหล่ของมู่น่อนน่อนมองขึ้นมองลง พลางถามออกไปด้วยความเป็นห่วง “น่อนน่อน เธอไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
มู่น่อนน่อนขยับมือและเท้าไปเล็กน้อย พลางพูดพึมพำออกมา “เหมือนว่าจะไม่เป็นอะไรนะ”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เสิ่นเหลียงผ่อนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกออกมาอย่างเห็นได้ชัด “แต่ว่าต้องให้คุณหมอตรวจดูอาการอีกสักหน่อยแล้วค่อยว่ากันอีกที”
มู่น่อนน่อนไม่ฟังคำพูดของเสิ่นเหลียงเลย เธอเงียบอยู่หลายวิ ในทันใดนั้นเองก็ได้เงยหน้าขึ้นไปถามเสิ่นเหลียง “เฉินถิงเซียวล่ะ?”
“หา?” เสิ่นเหลียงช่วงนี้ได้เคยชินกับสภาพสูญเสียความทรงจำของมู่น่อนน่อนไปแล้ว มู่น่อนน่อนที่สูญเสียความทรงจำมีความรู้สึกที่จืดจางต่อเฉินถิงเซียว ปกติแล้วไม่มีทางที่จะใช้น้ำเสียงจำพวกนี้มาถามเธอ
เสิ่นเหลียงถามออกไปอย่างไม่แน่ใจ “เธอหาเฉินถิงเซียวไปทำไม?”
“เขาไม่เป็นไรใช่มั้ย?” มู่น่อนน่อนยกมือขึ้นมายันหน้าผากเอาไว้ “ในหัวมันยุ่งเหยิงขึ้นมาเล็กน้อย พวกเราไปหาซือเฉิงหยู้ที่เกาะ ต้องรับมู่มู่กลับมาหรือเปล่า? เหมือนกับว่าจะเกิดการระเบิดขึ้นมา…”
เสิ่นเหลียงปิดปากไม่พูดออกมาก่อน มองไปทางมู่น่อนน่อนอย่างไม่กล้าที่จะเชื่อ
น้ำเสียงของเธอเบามาก พลางถามออกไปอย่างหยั่งเชิง “น่อนน่อน เธอจำขึ้นมาได้หมดแล้ว?”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วออกมา “ฉัน…”
เธอก้มหน้ามองตัวเองไปเล็กน้อย ท่าทางดูปกติดี ในหัวมันว่างเปล่าไปสักพักนึง ถึงจะเอ่ยออกไปต่อว่า “ลี่จิ่วเชียนช่วยฉันเอาไว้…”
ลี่จิ่วเชียนถามเธอ “นั่งเถอะ ดื่มอะไรสักหน่อยมั้ย?”
“อะไรก็ไม่ต้องหรอก พวกเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าโทนเสียงของตัวเองมันรีบร้อนเกินไป จึงเอ่ยเสริมออกไปว่า “มู่มู่ยังนอนกลางวันอยู่ที่บ้าน ฉันต้องรีบกลับไปเร็วหน่อย”
“อืม” ลี่จิ่วเชียนพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจออกมา
เขานั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงกันข้ามมู่น่อนน่อน สีหน้าแสดงความจริงจังออกมาเล็กน้อย “ทำไมจู่ๆถึงได้ถามเรื่องการสะกดจิตขึ้นมาได้ มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
มู่น่อนน่อนลังเลไปแป๊บนึง
ลี่จิ่วเชียนมองเห็นความลังเลของเธอ เขาแสยะริมฝีปากออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยออกมา “เอาเถอะ คุณอยากถามอะไรก็ถามมาก็พอ”
“การสะกดจิตมันสามารถปิดล็อกความทรงจำของคนได้เหรอ?”
“ตัวการสะกดจิตนั้นก็เป็นวิธีที่จะทำการชักนำทางจิตวิทยาให้กับผู้ป่วยที่มีอาการบ่งพร่องทางจิตอย่างหนึ่ง จะทำการสะกดจิตไปตามความต้องการของผู้ป่วย ก็คือปรากฏการณ์ ideomotorจำพวกหนึ่งด้วยเช่นกัน”
ลี่จิ่วเชียนพูดมาถึงตรงนี้แล้ว ก็หยุดชะงักไปเล็กน้อย
เห็นมู่น่อนน่อนฟังเสียดูตั้งอกตั้งใจ เขาจึงพูดต่อออกมา “จะให้เจาะจงโดยละเอียดว่าเป็นปรากฏการณ์ ideomotorอะไรผมก็ไม่รู้ชัด แต่จิตใจของคนมันซับซ้อนมากและยากที่จะควบคุมด้วยเช่นกัน ดังนั้นแล้วจึงไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ที่จะปิดล็อกความทรงจำของคนอื่นอย่างที่คุณว่ามาไปได้”
คำพูดของลี่จิ่วเชียน มันเท่ากับว่าเป็นการยืนยันในอานุภาพของการสะกดจิตได้เลย
มู่น่อนน่อนถามออกไปด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ถ้าหากว่าปิดล็อกความทรงจำของคนอื่นไป จะสามารถทำให้คนนั้นฟื้นความทรงจำกลับมาได้อีกหรือเปล่า? หรือไม่ก็ ทำให้ความทรงจำของคนนั้นเกิดอาการแย่ลง ยุ่งเหยิงไปหมดหรือเปล่า?”
ในทันใดนั้นลี่จิ่วเชียนก็ได้ยิ้มออกมา สายตาจรดลงไปที่หน้าของเธอนิ่ง พลางสบตากับเธอ “ทุกอย่างมันก็มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น ก็เหมือนกับคุณที่หลังจากสลบไปสามปี แต่กลับฟื้นขึ้นมาอย่างกับปาฏิหาริย์”
มู่น่อนน่อนพูดออกไป “ความหมายของคุณคือมีความเป็นไปได้ที่จะฟื้นความทรงจำกลับมาเอง?”
“พูดอย่างนี้กับคุณดีกว่า” ลี่จิ่วเชียนครุ่นคิดไปแป๊บนึงแล้วเอ่ยออกมาว่า “การสะกดจิตอันที่จริงก็ไม่ได้สุดยอดอย่างที่คนอื่นเขาว่าขนาดนั้นหรอก เพราะถึงยังไงก็เป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์ ideomotorอย่างหนึ่ง คนที่ถูกสะกดจิตถ้าตัวเองไปล้มล้างการทำปรากฏการณ์ ideomotorต่อตัวเองแล้ว อย่างนั้นแล้วการสะกดจิตก็คงจะเริ่มไม่เกิดผลไป”
“ก็เหมือนกับการปิดล็อกความทรงจำที่คุณว่ามาเมื่อกี้ คนที่ถูกสะกดจิตจำพวกนี้ จะถูกคุณหมอสะกดจิตทำปรากฏการณ์ ideomotorให้เขาไปซ้ำๆ บอกเขาเรื่องที่เขาควรจะต้องลืมพวกนั้น แต่ถ้าข้างๆมีคนพูดถึงเรื่องที่เขาลืมพวกนั้นขึ้นมาซ้ำๆ หรือไม่ก็มีคนและเรื่องที่สามารถกระตุ้นเขาขึ้นมาได้ การฟื้นคืนความทรงจำมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วแล้ว”
“งั้นนอกจากการฟื้นความทรงจำกลับมา ยังมีอาการอื่นอีกหรือเปล่า?” คำพูดที่ลี่จิ่วเชียนพูดออกมาเธอเข้าใจ แต่เฉินถิงเซียวในตอนนี้ไม่ได้ฟื้นความทรงจำกลับมา แต่เป็นอาการอีกอย่างนึงแทน
“ความทรงจำเกิดแย่ลงและยุ่งเหยิงไป ล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น” ลี่จิ่วเชียนพิงเข้ากับข้างหลังไปเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนท่าให้สบายมากขึ้น “ก็เหมือนกับคุณฟื้นขึ้นมา แต่กลับเหมือนกับสูญเสียความทรงจำไป เรื่องอะไรก็ตาม ต่างก็มีปัจจัยที่ไม่แน่นอนทั้งนั้น แต่ถ้าความทรงจำของคนที่ถูกสะกดจิตแย่ลง นั่นก็เป็นไปได้ว่าเป็นเพราะว่าขั้นตอนการสะกดจิตล้ำลึกมาก แล้วก็ฟื้นความทรงจำกลับมาอย่างรวดเร็วอีก ดังนั้นแล้วทำอะไรที่มากไปหรือน้อยไปมันก็ไม่ดีทั้งนั้น มันก็เลยจะทำให้เกิดความทรงจำที่ยุ่งเหยิงขึ้นมา”
สิ่งเหล่านี้ที่ลี่จิ่วเชียนพูดออกมา ถือได้ว่าตรงกับอาการของเฉินถิงเซียวสุดๆไปเลย
คิดถึงตรงนี้แล้ว เธอก็ขมวดคิ้วถามออกไป “งั้นถ้าความทรงจำยุ่งเหยิงแล้ว ควรจะต้องทำยังไง?”
“ผมไม่ใช่หมอสะกดจิต คำถามนี้ ผมจนปัญญาที่จะตอบคุณได้ บางทีคุณอาจจะควรหาคุณหมอที่สะกดจิตให้เขาคนนั้นให้เจอ ถึงจะมีวิธีแก้ไขปัญหาได้”
คำพูดของลี่จิ่วเชียน ได้สื่อออกมาชัดเจนมากแล้ว
มู่น่อนน่อนจึงค้นพบขึ้นมาว่า เมื่อกี้ตัวเองรีบร้อนที่จะถามเรื่องสะกดจิตออกไปให้ชัดเจน แต่กลับทำให้ลี่จิ่วเชียนคาดเดาอะไรขึ้นมาได้
สบเข้ากับสายตารู้แจ้งของลี่จิ่วเชียนเข้า เธอมีความรู้สึกไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
ลี่จิ่วเชียนถามออกไปอย่างสงบเยือกเย็น “เป็นเฉินถิงเซียวเหรอ?”
ลี่จิ่วเชียนอธิบายให้กับเธออย่างตั้งอกตั้งใจมาตั้งมากมายขนาดนี้ แน่นอนว่าเธอจะต้องไม่มีเหตุผลที่จะต้องปิดบังอยู่แล้ว “อืม”
พูดจบ เธอก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก จึงได้เอ่ยพูดกับลี่จิ่วเชียนออกไป “เรื่องนี้ คุณต้องเก็บเป็นความลับ จะบอกคนอื่นไม่ได้นะ”
“คุณยังไม่เชื่อใจผมอีกเหรอ?” ลี่จิ่วเชียนเอียงหัว เอ่ยออกมาพร้อมแสร้งทำเป็นผิดหวังออกมา
ก้นบึ้งภายในใจของมู่น่อนน่อนรู้สึกโล่งอกขึ้นมา แล้วเอ่ยออกมากึ่งๆจริงจัง “มิตรภาพที่เหนียวแน่น แน่นอนว่าเชื่อใจคุณมากที่สุดแล้ว จริงสิ คุณมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิตที่รู้จักบ้างมั้ย? แบบคนที่สามารถสะกดจิตคนอื่นจนสูญเสียความทรงจำไปได้จำพวกนั้น”
“ใช่เฉินถิงเซียวจริงๆ?” บนใบหน้าลี่จิ่วเชียนเผยความประหลาดใจออกมา “ชีวิตของคุณกับเฉินถิงเซียวช่างมีสีสันมากเลยจริงๆ”
มู่น่อนน่อนเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่จนใจ “นี่คุณกำลังพูดแดกดันกันอยู่เหรอ?”
“แน่นอนว่าเปล่า” ลี่จิ่วเชียนแสดงสีหน้าจริงจังออกมา “เรื่องผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิต ผมจะช่วยจับตาดูให้คุณสักหน่อย ถึงแม้ว่าการสะกดจิตกับจิตวิทยานับว่าเป็นฝ่ายเดียวกัน แต่ถึงยังไงก็ไม่ใช่ขอบเขตเดียวกัน จะให้ผมพูดออกมาเลย ผมก็พูดไม่ออกหรอก”
“รบกวนคุณแล้ว” ภายในใจของมู่น่อนน่อนเกิดความรู้สึกขอโทษขอโพยขึ้นมาเล็กน้อย
เธอเหมือนกับว่ากำลังรบกวนคนอื่นอยู่เสมอ
ลี่จิ่วเชียนได้ยิ้มออกมา “เรื่องเล็กน้อย”
มู่น่อนน่อนไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก เพียงแค่ยิ้มกลับไป
คำที่แสดงถึงความรู้สึกขอบคุณเพิ่มมากขึ้น มันก็ไม่ดีเท่าวันใดวันหนึ่งที่สามารถตอบแทนกลับไปได้อย่างมีประโยชน์จริงๆ
……
มู่น่อนน่อนออกไปจากคลินิกของลี่จิ่วเชียน แล้วโบกรถกลับไปที่บ้านเสิ่นเหลียง
เธอเพิ่งจะขึ้นรถได้ไม่นาน ก็ได้รับสายจากเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงถามเธอ “เธอกลับมาหรือยัง? มู่มู่ตื่นแล้ว บอกว่าอยากจะกินเค้กอะไรนั่น เธอจะพูดกับเธอเอง”
มู่น่อนน่อนได้ยิน จึงเอ่ยออกไปพลางหลุดยิ้มออกมา “อยู่ระหว่างทางกลับ เธอเอาโทรศัพท์ให้มู่มู่”
“คุณแม่” เฉินมู่เพิ่งจะตื่นได้ไม่นาน เสียงอ้อแอ้ออกมา อ่อนนุ่มเสียเหมือนกับเค้กหวานๆที่เพิ่งออกมาจากเตาใหม่ๆ
“มู่มู่อยากกินเค้กที่คุณพ่อซื้อให้หนูครั้งที่แล้วใช่มั้ย? อีกเดี๋ยวแม่จะกลับไป แล้วซื้อเค้กกลับไปให้หนู”
เมื่อก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวเคยซื้อเค้กก้อนเล็กๆให้เฉินมู่มาก่อน ดูสวยงาม และหวานมาก รสชาติเหมาะกับเด็กน้อย
ปกติเฉินมู่จะชอบกินเค้ก มู่น่อนน่อนกลัวว่าเธอจะฟันผุ จึงให้เธอกินน้อยมาก
วางสายไปแล้ว มู่น่อนน่อนได้ให้คนขับรถเปลี่ยนเส้นทางไปยังห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ๆ
ห้างไม่ได้ใหญ่มาก มองไปแล้วดูเหมือนจะเป็นห้างที่สร้างใหม่ คนก็ไม่ได้เยอะมากเหมือนกัน
มู่น่อนน่อนหาจุดขนมปังอยู่ชั้นสอง แล้วก็เจอเค้กก้อนเล็กๆแบบที่เฉินมู่ชอบกิน
บนใบหน้าเธอเผยความยินดีออกมา แล้วก็ยิ้มพลางเอ่ยออกไปกับพนักงานขายว่า “รบกวนช่วยห่อเค้กก้อนนี้ให้ฉันด้วยค่ะ”
แต่ทว่า พนักงานขายราวกับว่าจะไม่ได้เป็นมิตรเท่าไหร่นัก ฝืนยิ้มมาให้เธอเล็กน้อย แล้วช่วยห่อเค้กก้อนเล็กๆให้มู่น่อนน่อนไปอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วยื่นให้เธอไป
มู่น่อนน่อนหยิบเงินไปพลาง ถามออกไปพลาง “เท่าไหร่คะ?”
พนักงานขายเหมือนกับไม่ได้ยินคำพูดของเธอก็ไม่ปาน จึงหันหน้ากลับมามองเธอ “ห้ะ?”
เธอสังเกตเห็นเค้กในมือมู่น่อนน่อน จึงเอ่ยออกไป “ไม่เอาเงิน ให้คุณไปเลย รีบไปสิ”
ไม่เก็บเงิน?
มู่น่อนน่อนคิดว่าพนักงานขายคนนี้ดูแปลกไปหมดเลย ถึงขนาดที่มองไปแล้วก็ดูไม่เหมือนพนักงานขายเลยสักนิด
มู่น่อนน่อนย่นคิ้วออกมาเล็กน้อย แล้วเอาเงินร้อยหยวนใบหนึ่งยื่นไปที่บนเคาน์เตอร์ “รบกวนช่วยทอนเงินด้วยค่ะ”
พนักงานขายมีสีหน้ากังวลออกมาเล็กน้อย แต่ก็ยังก้มลงไปในลิ้นชักเพื่อทอนเงินให้มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนรับมานับดู จึงพบว่าพนักงานขายให้เธอมาหกสิบหยวน
เธอหยิบแบงก์สิบหยวนออกมาใบหนึ่งแล้วยื่นไปให้พนักงานขาย “เค้กสี่สิบห้า คุณทอนให้ฉันห้าหยวนก็พอแล้ว”
เสิ่นเหลียงจะต้องไปตามการแจ้งเตือนที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งก่อน ก็เลยถึงได้ให้กู้จือหยั่นมาที่นี่
กู้จือหยั่นพาพวกเธอไปที่บ้านของเสิ่นเหลียง
“ในตู้เย็นมีโยเกิร์ตผลไม้ ผักและเนื้อมีหมด แล้วก็ยังมีขนมที่กินเล่นได้อยู่ที่ทางนี้”
กู้จือหยั่นเหมือนกับอยู่ที่บ้านตัวองก็ไม่ปาน ได้นำมู่น่อนน่อนไปดูตู้เย็นและตู้สำหรับเก็บของอย่างคล่องแคล่วคุ้นเคยเป็นอย่างดี แล้วยังเปิดห้องมาบอกพวกเธอว่าห้องอาบน้ำอยู่ที่ไหน พักอยู่ในห้องนอนห้องไหน
“ถ้ามีเรื่องอะไรก็สามารถโทรหาฉันได้เลย เย็นนี้เสิ่นเสี่ยวเหลียงจะกลับมาค่อนข้างดึกเลย”
กู้จือหยั่นพูดจบ พอหันหน้าไปก็เห็นมู่น่อนน่อนยิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซื้ง
กู้จือหยั่นเกาหัวออกมาเล็กน้อยด้วยความเขินอาย “ถึงยังไงถ้ามีอะไรที่ต้องการก็บอกมาได้เลย”
มู่น่อนน่อนเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “ขอบคุณ”
“ไม่ต้องเกรงใจ เธอเป็นเพื่อนของเสิ่นเสี่ยวเหลียงมั้ยล่ะ แล้วยังเป็นภรรยาของถิงเซียวด้วยอีก มันเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
มู่น่อนน่อนเองก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าใครเคยพูดเอาไว้ว่าที่บ้านของกู้จือหยั่นได้เป็นแก๊งมาเฟียไปแล้ว ต่อมาในภายหลังกู้จือหยั่นโตขึ้นมาหน่อยนึง พ่อของเขาก็เริ่มชำระล้างให้สะอาด แล้วเดินทางถูกกฎหมาย
ก็คงจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางครอบครัว กู้จือหยั่นเลยเป็นคนที่มีใจนักเลงต่อเพื่อนฝูงเป็นอย่างมากคนหนึ่งเลย
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้เกรงใจอีก จึงได้ตอบรับออกไป “อืม”
“เรื่องถิงเซียว เธอก็อย่าไปกังวลมากเกินไป ยังไงมันก็จะต้องมีวิธีอยู่แล้ว” กู้จือหยั่นถึงแม้ว่าจะกำลังปลอบเธออยู่ แต่หัวคิ้วก็ได้ขมวดออกมาเล็กน้อยด้วยเช่นกัน ดูเหมือนว่าจะกังวลอยู่บ้างเหมือนกัน
หลังจากที่กู้จือหยั่นออกไปแล้ว มู่น่อนน่อนก็ได้หยิบเอาผักและเนื้อออกมาจากในตู้เย็นนิดหน่อย แล้วก็ต้มบะหมี่หมูฝอยกับผัก
เฉินมู่ก็หิวมานานแล้ว จึงได้กินเร็วไปบ้าง
มู่น่อนน่อนให้ความสนใจกับเฉินมู่ไปพลาง ระวังไม่ให้เธอกินเร็วเกินไปจนสำลัก แล้วคิดถึงเรื่องของเฉินถิงเซียวไปพลาง
ก่อนหน้านี้สือเย่ได้บอกเธอว่า เฉินถิงเซียวเป็นเพราะว่าถูกเฉินจิ่งหยุ้นพาไปให้คนสะกดจิตปิดล็อกความทรงจำเอาไว้ จึงได้เกิดภาพลวงที่ “สูญเสียความทรงจำ” ให้คนอื่นได้เห็นกัน
ต่างอาชีพกันความรู้ความเข้าใจแตกต่างกัน ถึงแม้ว่าจะเคยได้ยินมาการสะกดจิตมาก่อน แต่เห็นอาการของเฉินถิงเซียวแล้ว มู่น่อนน่อนพบว่ามันได้นอกเหนือไปจากความรู้ความเข้าใจของเธอไปแล้ว
มู่น่อนน่อนเสิร์ชคำจำกัดความของการสะกดจิตในเน็ตดู
ถ้าบอกว่าการสะกดจิตเป็นปรากฏการณ์ ideomotorขั้นหนักมากจำพวกหนึ่ง นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้แตกต่างกับจิตวิทยาเลยใช่มั้ย?
ลี่จิ่วเชียนไม่ใช่ว่าจบปริญญาเอกทางด้านจิตวิทยามาหรือไง?
เขาจะต้องเข้าใจแน่ว่าการสะกดจิตมันเกิดขึ้นมาได้ยังไง
คิดมาถึงตรงนี้แล้ว มู่น่อนน่อนจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาลี่จิ่วเชียน
ตอนที่รับสาย เธอได้ยินลี่จิ่วเชียนที่อยู่ทางปลายสายพูดออกมาเสียงเบาก่อนว่า “ขอโทษนะ ผมขอรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ”
เขาก็คงจะปิดโทรศัพท์เอาไว้แล้วพูดออกมา เสียงฟังไปแล้วเบามากเลย
ทางปลายสายก็ได้มีเสียงของอีกคนหนึ่งดังขึ้นมาอีกที “ไม่เป็นไร”
ต่อมาก็มีเสียงเก้าอี้เคลื่อนก็ได้ดังขึ้น จากนั้นเสียงของลี่จิ่วเชียนก็ได้ดังออกมาจากโทรศัพท์อย่างชัดเจนออกมา “น่อนน่อน”
“คุณมีคนไข้เหรอ? รบกวนคุณแล้ว” คำพูดของมู่น่อนน่อนได้ประดับไปด้วยความรู้สึกขอโทษ
ในเสียงของลี่จิ่วเชียนได้ประดับไปด้วยความหมายเชิงเย้าหยอกออกมา “ไม่เป็นไร คนไข้ไม่สือสาอะไรที่จะให้ผมรับสายสำคัญก่อน”
ฟังไปแล้วเหมือนกับเป็นคำพูดที่สนิทสนมกัน แต่จากที่เขาพูดออกมา มันทั้งไม่ได้พูดมาเล่นๆและทั้งยังชัดเจนออกมาด้วย
มู่น่อนน่อนได้ถามเขาออกไปตรงๆ “คุณรู้เรื่องการสะกดจิตหรือเปล่า?”
“การสะกดจิต? รู้นิดหน่อย มีอะไร?” ลี่จิ่วเชียนรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว รู้ว่าเธอไม่มีทางจะถามคำถามนี้ออกมาโดยที่ไม่มีเหตุผล ในน้ำเสียงจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงความเป็นห่วงเป็นใยออกไปมากยิ่งขึ้น
“ก็แค่อยากจะถามหน่อยว่าการสะกดจิตมันสามารถ…”
“คุณแม่หนูกินอิ่มแล้ว”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นเฉินมู่ยกชามเปล่าของตัวเองยื่นมาให้เธอดู
ลี่จิ่วเชียนที่อยู่ทางปลายสายก็ได้ยินเสียงของเฉินมู่เช่นกัน จึงเอ่ยออกไปอย่างเอาใจใส่ “อีกเดี๋ยวผมมีเวลาว่าง ถ้าคุณสะดวกก็สามารถเข้ามาหาผมโดยตรงได้เลย”
มู่น่อนน่อนเองก็คิดว่าการพูดรวบรัดออกไปสั้นๆคงพูดไปได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นักเหมือนกัน เธอจึงตอบรับไป “ได้ค่ะ”
เฉินมู่มีความเคยชินที่จะต้องนอนกลางวัน
มู่น่อนน่อนเดินออกมาหลังจากที่ล้างจานเสร็จแล้ว ก็เห็นเฉินมู่ฟุบหลับอยู่ที่บนโซฟา
มู่น่อนน่อนอุ้มเธอกลับห้องไปพอออกมาก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังเข้ามาจากทางข้างนอก
หรือว่าเสิ่นเหลียงจะกลับมาแล้วงั้นเหรอ?
และก็เป็นอย่างที่คิด หลังจากที่เปิดประตูออกมา คนที่เข้ามาก็คือเสิ่นเหลียงนั่นเอง
“เสี่ยวเหลียง” มู่น่อนน่อนส่งเสียงเรียกเธอ พลางถามออกไป “กู้จือหยั่นบอกว่าเธอจะกลับดึก”
“ส่วนของฉันถ่ายเสร็จแล้ว เลยรีบกลับมาเลย” เสิ่นเหลียงถอดรองเท้าไปพลางพูดไปพลาง
เธอเปลี่ยนรองเท้า แล้วเดินตรงเข้ามา “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เมื่อตอนนั้นมู่น่อนน่อนเพียงแค่บอกว่าจะมาอยู่สักสองสามวัน เสิ่นเหลียงจึงไม่ได้ถามอะไรไปมากมาย
“เป็นเฉินถิงเซียว เขาเกิดเรื่องขึ้นมา”
มู่น่อนน่อนเอาเรื่องเฉินถิงเซียวเล่าให้กับเสิ่นเหลียงไปแบบง่ายๆ
เสิ่นเหลียงนิ่งช็อกไป แล้วพูดออกมาอย่างอึ้งๆ “ยังมีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วย ถ้านี่เป็นเรื่องจริงล่ะก็ อย่างนั้นแล้วคนที่สะกดจิตให้กับบอสใหญ่คนนั้นจะต้องสุดยอดมากแน่ๆเลย!”
“จะว่ายังไงดีล่ะ?” ความเข้าใจต่อการสะกดจิตของมู่น่อนน่อนในตอนนี้ ยังหยุดอยู่ที่การสะกดจิตเป็นการกระตุ้นประสาทสัมผัสทางจิตวิทยาให้กับตัวเองในระดับที่ลึกซึ้งมากอย่างหนึ่งเท่านั้น
“เมื่อก่อนหน้านี้มีคนคนหนึ่งส่งบทมาให้ฉันบทหนึ่ง คือเกี่ยวกับการสะกดจิตเลย ว่ากันว่าถ้าป้องกันจิตใจหนักแน่นมาก คนที่ภายในใจหนักแน่น มันยากมากที่จะถูกสะกดจิต คนจำพวกนี้ถึงแม้ว่าจะถูกสะกดจิตไปแล้ว แต่ถ้าเกิดว่ามีโอกาสที่เหมาะสมขึ้นมา ก็มีความเป็นไปได้ที่จะฟื้นกลับมา…”
เสิ่นเหลียงพูดมาถึงตรงนี้ ก็ได้ขมวดคิ้วคิดพลางเอ่ยออกมา “แล้วก็ยังมีอะไรอีกฉันลืมไปแล้ว เพราะว่าพล็อตเรื่องเมื่อตอนนั้นมันไม่ค่อยดี ผู้จัดการก็เลยไม่ได้รับให้ฉัน”
มู่น่อนน่อนคิด เฉินถิงเซียวก็ควรจะนับได้ว่าเป็นคนที่ภายในจิตใจหนักแน่นด้วยเหมือนกันล่ะมั้ง?
เขาคนนั้น คงจะยากที่จะถูกของอะไรมาทำให้โอนอ่อนตาม คงจะค่อนข้างที่จะมั่นใจในตัวเองเลยเหมือนกัน
แต่เฉินถิงเซียวในตอนนี้เกิดภาวะความทรงจำยุ่งเหยิงจำพวกนั้นขึ้นมา ตกลงแล้วมันเป็นเพราะอะไรกันแน่นะ?
มู่น่อนน่อนเอ่ยออกไปด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันต้องออกไปข้างนอกสักหน่อย”
เธอต้องไปหาลี่จิ่วเชียนเพื่อทำความเข้าใจก่อนสักหน่อย แล้วคิดหาทุกวิถีทางเพื่อให้เฉินถิงเซียวดีขึ้น
ความทรงจำของเฉินถิงเซียวในตอนนี้หยุดอยู่ที่เจ็ดแปดปีที่แล้ว ในความทรงจำของเขา มู่น่อนน่อนกับเฉินมู่สำหรับเขาแล้วก็คือคนแปลกหน้ากันโดยแท้จริง
“ไปไหน? มู่มู่ล่ะ?” เสิ่นเหลียงถามจบ ก็ได้มองหาเงาร่างของเฉินมู่ออกไปรอบๆบ้าน
“ฉันไปหาลี่จิ่วเชียนสักหน่อย เขาเป็นจิตแพทย์ ก็คงจะมีความรู้ความเข้าใจต่อการสะกดจิตอยู่บ้าง” มู่น่อนน่อนมองไปทางห้องนอน แล้วเอ่ยออกไป “มู่มู่กำลังนอนกลางวันอยู่ เธอช่วยฉันดูสักหน่อยนะ เธอเป็นเด็กดีมาก ตื่นขึ้นมาแล้วเธอก็โทรมาหาฉัน”
เสิ่นเหลียงพยักหน้า “โอเค”
ปรึกษากับเสิ่นเหลียงเสร็จเรียบร้อยแล้ว มู่น่อนน่อนก็หยิบกระเป๋าออกจากบ้านไป ตรงเข้าไปโบกรถไปที่คลินิกจิตเวชของลี่จิ่วเชียน
ก็คงเป็นเพราะว่าลี่จิ่วเชียนได้แจ้งเอาไว้ก่อนแล้ว พอมู่น่อนน่อนเข้าไป พนักงานต้อนรับสาวก็ได้ยิ้มพลางเอ่ยเรียกเธอออกมา “คุณมู่ มาหาคุณหมอลี่ใช่มั้ยคะ?”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าออกมา “ค่ะ ตอนนี้เขามีผู้ป่วยอยู่หรือเปล่า?”
พนักงานต้อนรับสาวเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีค่ะ คนไข้คนก่อนของเขาเพิ่งจะออกไปค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ ฉันขอตัวเข้าไปหาเขาก่อนนะคะ” มู่น่อนน่อนพูดออกมา แล้วก้าวขาเดินเข้าไปด้านใน ไปหาลี่จิ่วเชียน
นี่เป็นครั้งที่สองของมู่น่อนน่อนที่ได้มาที่คลินิกจิตเวชของลี่จิ่วเชียน
ห้องทำงานของเขาเหมือนกับบ้านของเขาเลย ต่างก็มีการตกแต่งและโทนสีที่ดูอบอุ่นมากทั้งนั้นเลย ไม่เหมือนกับห้องทำงานของจิตแพทย์คนหนึ่งเลยสักนิด
มู่น่อนน่อนเคาะประตูเข้าไป ลี่จิ่วเชียนเลิกตาขึ้นมองเห็นเธอ แล้วก็ได้เอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “มาเร็วจังเลย?”
“เวลาของคุณมีค่า คุณบอกว่าว่าง แน่นอนว่าฉันจะต้องรีบมาสิ” มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วเดินเข้าไป
มู่น่อนน่อนตบหัวของเฉินมู่ไปเบาๆ พลางเอ่ยปลอบออกไปเบาๆ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
เสียงของพวกเขาทางนี้ ได้ดึงดูดความสนใจของเฉินถิงเซียวเข้ามา
เฉินถิงเซียวเพิ่งจะมองมาทางนี้ สือเย่จึงได้เดินเข้าไป
สือเย่ถามออกไปด้วยใบหน้าเป็นห่วงเป็นใยอย่างมาก “คุณชาย คุณไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ?”
เฉินถิงเซียวมองไปทางสือเย่ไปด้วยใบหน้ายิ้มเสแสร้งออกมา “ฉันเหมือนกับไม่เป็นไรเหรอ?”
สือเย่ถูกเขาทำเอาจุกไป พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
แต่เพียงไม่นานเขาก็ได้มีการตอบสนองกลับมา เฉินถิงเซียวไม่รู้จักมู่น่อนน่อน แต่กลับไม่ได้แสดงออกมาว่าไม่รู้จักเขา
“คุณชาย คุณรู้ว่าผมเป็นใครหรือเปล่า?” สือเย่ตัดสินใจที่จะทำการยืนยันกับเฉินถิงเซียวให้แน่ใจสักหน่อย
เฉินถิงเซียวมองเขาไปด้วยสีหน้าที่กำลังมองคนโง่ “สือเย่ นายแต่งงานจนสมองโง่งมไปหมดแล้วเหรอ? ฉันไม่ได้เสียความทรงจำไปเสียหน่อย ฉันจะไปไม่รู้จักนายได้ยังไง”
นี่ไม่ใช่เสียความทรงจำไปแล้วหรือไง?
แต่สถานการณ์ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะหนักกว่าเสียความทรงจำเยอะเลย
เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้คุณชายบอกพูดว่าเขาแต่งงาน?
เรื่องที่เขาแต่งงานมันเป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อนไปแล้ว
เมื่อตอนนั้นเขาเพิ่งจะเรียนจบ เงินดาวน์บ้านก็ใกล้จะครบแล้ว จึงได้ขอภรรยาแต่งงาน
เรื่องเมื่อหลายปีก่อนมานี้ เฉินถิงเซียวทำไมจู่ๆถึงได้เอ่ยขึ้นมาอีกกัน?
สือเย่เตะชิ้นส่วนแก้วที่แตกออกตรงหน้าออกไป พลางเอ่ยออกไปกับเฉินถิงเซียว “คุณชายครับ เรื่องที่ผมแต่งงานนั้นมันเป็นเรื่องเมื่อแปด เก้าปีก่อนแล้วนะครับ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่มองจ้องเขาไปด้วยสีหน้าที่ย่ำแย่
สือเย่ค่อยๆเข้าใจขึ้นมาได้รางๆ เฉินถิงเซียวมองไปแล้วดูเหมือนกับว่าความทรงจำจะเกิดความยุ่งเหยิงขึ้นมา
เขาแต่งงานมันเป็นเรื่องเมื่อแปด เก้าปีก่อนไปแล้ว แต่เฉินถิงเซียวกลับจู่ๆก็มาพูดถึงเรื่องที่เขาแต่งงานขึ้นมา
หรือว่าความทรงจำในตอนนี้ของเฉินถิงเซียว มันจะหยุดอยู่ที่ตอนที่เขาเพิ่งแต่งงานเมื่อตอนนั้นงั้นเหรอ?
สือเย่ถูกการคาดเดาที่บ้าบิ่นนี้ของตัวเองทำเอาช็อกไป
สือเย่ได้ถามหยั่งเชิงออกไปอีกครั้ง “คุณยังรู้จักมู่มู่หรือเปล่าครับ?”
“มู่มู่อะไร?” เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมองเขา ในสายตาไม่แสดงอารมณ์ออกมาเลยสักนิดเดียว
ถ้าไม่เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นเฉินถิงเซียว สือเย่จะต้องสงสัยแล้วว่าเขากำลังแกล้งทำเป็นบ้าใบ้อยู่แน่
มู่น่อนน่อนเดิมทีแล้วอยากจะอุ้มเฉินมู่ออกไป แต่หลังจากที่เธอได้ยินบทสนทนาของสือเย่กับเฉินถิงเซียวเข้า แล้วก็ได้หยุดฝีเท้าลง
บทสนทนาของเฉินถิงเซียวกับสือเย่ ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ
เฉินมู่เองก็ได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียวด้วยเช่นกัน เธอพูดกับมู่น่อนน่อนออกไปด้วยเสียงเบา “คุณพ่อเรียกหนู”
ดวงตาของเธอเบิกกว้างออกมา ใสบริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปน จ้องมองมู่น่อนน่อนมาอย่างเอาจริงเอาจัง อยากจะหาคำยืนยันออกมาจากปากของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนทอดถอนหายใจออกมา แล้วอุ้มเฉินมู่เดินเข้าไปที่ตรงหน้าเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวพอเห็นมู่น่อนน่อนแล้ว ก็มีสีหน้าไม่ดีนักออกมา “เธอกลับมาอีกทำไมกัน?”
มู่น่อนน่อน “…”
สือเย่รีบพูดออกไป “คุณชาย นี่ก็คือมู่มู่ เป็นลูกสาวของคุณครับ”
สายตาของเฉินถิงเซียวจรดอยู่ที่ร่างของเฉินมู่ ในทันใดนั้นก็ได้ถอนสายตากลับมองไปทางสือเย่ “นายบอกฉันว่านี่เป็นลูกสาวกับภรรยาของฉัน?”
สือเย่พยักหน้าออกมาเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวโกรธจัดขึ้นมา“พวกนายออกไปให้หมด! ออกไปเดี๋ยวนี้!”
เพราะว่าโกรธ เสียงของเขาจึงดังมาก เฉินมู่ยังเล็ก ถูกทำให้กลัวจนหดตัวไปเล็กน้อย
เธอจ้องมองเฉินถิงเซียวไปด้วยเบ้าตาที่แดงก่ำ เบะปากออกมาพลางส่งเสียงเรียกออกมาด้วยความรู้สึกน้อยใจ “คุณพ่อ…”
เฉินถิงเซียวไม่แม้แต่จะมองเธอ “บอกให้พวกนายออกไปไม่ได้ยินหรือไง?”
เฉินมู่ได้ร้องไห้ออกมาทันที น้ำตาก็ไหลลงมาเหมือนกับไข่มุกที่ขาดออกจากกัน “เฉินชิงเซียว นิสัยไม่ดี!”
เธอพูดจบ ก็ซบไหล่ของมู่น่อนน่อนร้องไห้ออกมาด้วยความเศร้าเสียใจ
ร้องไห้ไปพลาง แล้วยังพูดไปพลาง “ไม่ต้องการเขาแล้ว นิสัยไม่ดี…ฮือๆๆ…”
คอของมู่น่อนน่อนบีบรัดแน่นไปบ้างเล็กน้อย เฉินมู่ร้องไห้ออกมาเสียจนภายในใจเธอเศร้าเสียใจขึ้นมา
สภาพของเฉินถิงเซียวในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของใครก็ไม่ฟังทั้งนั้น เธอเองก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน
เธออุ้มเฉินมู่ออกไป ปลอบอยู่นานสักพักนึง
“ไม่ต้องร้อง หนูลืมไปแล้วเหรอ? เมื่อกี้คุณพ่อเพิ่งจะป่วยมานะ เขาไม่ได้ตั้งใจหรอก”
เฉินมู่สูดจมูก พลางพูดสะอึกสะอื้นออกมา “ปวดท้อง”
ตอนที่เธอพูดออกมา ยังยกมือไปวางลงบนท้องไปอย่างไม่รู้ตัว การกระทำเล็กๆนั้นมันน่ารักสุดๆไปเลย
“ใช่ คุณพ่อก็แค่ปวดท้องมากเกินไป ก็เลยถึงได้ระเบิดอารมณ์ออกมามั่วๆ หนูอย่าไปโกรธเขาเลย” มู่น่อนน่อนลูบหัวของเธอ อธิบายออกไปกับเฉินมู่อย่างใจเย็น
“เฮอะ!”
เฉินมู่กอดแขนแล้วส่งเสียงเฮอะออกมา “โทษเขานั่นแหละ”
มู่น่อนน่อนรู้ว่าเฉินมู่ก็แค่พูดออกมาอย่างนั้นเท่านั้นเอง ลูกสาวของเธอก็เป็นสาวน้อยที่ดื้อรั้นคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน
รอจนถึงตอนที่เฉินมู่กลับมาสงบลงดังเดิมแล้ว สือเย่ก็ได้ออกมาจากด้านในด้วยเช่นกัน
มู่น่อนน่อนส่งเฉินมู่ให้กับสาวใช้ไป แล้วถามออกไปว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
สือเย่มองไปรอบๆเล็กน้อย แล้วก็ได้เดินไปยังที่ที่ไม่มีใครอยู่อีกด้านหนึ่ง
มู่น่อนน่อนตามไป
“ผมคิดว่าคุณชายมีอาการความทรงจำเกิดความยุ่งเหยิงขึ้นมา ความทรงจำของเขากลับไปเมื่อเจ็ด แปดปีที่แล้ว ตอนที่ผมเพิ่งจะแต่งงาน เมื่อตอนนั้นเขายังไม่รู้จักคุณ และก็ไม่มีมู่มู่ด้วยเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะบอกเขาไปว่าตอนนี้มันเป็นช่วงเจ็ด แปดปีให้หลังมาแล้ว เขาก็คงยอมรับมันไม่ได้ไปสักพักนึง”
สือเย่พูดมาถึงตรงนี้ ก็ได้หยุดลง มองปฏิกิริยาของมู่น่อนน่อนไป
มู่น่อนน่อนคิดว่ามันเหนือจินตนาการไปบ้าง
แต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ มีเรื่องไหนบ้างที่มันไม่ใช่เรื่องที่เหนือจินตนาการ?
พอคิดมาอย่างนี้แล้ว เธอเองก็สามารถเข้าใจได้
เธอพยักหน้าออกไปเล็กน้อย “ช่วงนี้ ฉันจะพามู่มู่ไปอยู่ที่อื่นก่อน”
สือเย่พยักหน้ารับรู้ออกมา “ได้ครับ ผมจะช่วยคุณกับมู่มู่หาที่พักให้เรียบร้อย”
สือเย่เป็นคนที่รอบคอบมากเลยคนหนึ่ง ตอนนี้เฉินถิงเซียวเป็นอย่างนี้ แน่นอนว่าเขาจะต้องจัดเตรียมให้มู่น่อนน่อนกับเฉินมู่เอาไว้ให้ดี
“เรื่องนี้ไม่ต้องหรอก” มู่น่อนน่อนปฏิเสธข้อเสนอของเขา พลางเอ่ยออกไป “ก็คงจะต้องรบกวนให้คุณผู้ช่วยพิเศษสือช่วยฉันทำบัตรประชาชนพวกนี้ให้ฉันสักหน่อยก็พอแล้ว ช่วงสองสามวันนี้ฉันสามารถไปพักอยู่ที่บ้านของเสี่ยวเหลียงก่อนได้”
เธอไม่ค่อยอยากจะพึ่งเฉินถิงเซียวไปทุกเรื่องเท่าไหร่นัก
ตอนนี้ถึงแม้ว่าสือเย่จะเป็นคนออกหน้าเอง แต่ถ้าสืบเสาะให้ถึงรากแล้ว ก็ยังต้องจ่ายเงินของเฉินถิงเซียวอยู่ดี ยังต้องพึ่งพาความสัมพันธ์ของเฉินถิงเซียวเพื่อรับเอาผลประโยชน์มา
เสิ่นเหลียงบอกเธอ เมื่อก่อนหน้านี้เธอทำงานเป็นนักเขียนบท จะต้องมีเงินฝากอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าเอกสารรับรองของเธอยังไม่ได้ปรับแก้ให้สมบูรณ์
สือเย่ก็ไม่ได้ฝืนบังคับมู่น่อนน่อน พยักหน้าตอบรับไป
มู่น่อนน่อนติดต่อไปหาเสิ่นเหลียง สือเย่ส่งคนไปส่งมู่น่อนน่อนกับเฉินมู่ไปที่บ้านของเสิ่นเหลียง
ตอนที่พวกเธอไป คนที่รออยู่ที่ข้างทางไม่ใช่เสิ่นเหลียง แต่กลับเป็นกู้จือหยั่น
มู่น่อนน่อนเพียงแค่ประหลาดใจเล็กน้อย ส่งเสียงเรียกออกไปด้วยสีหน้าที่เป็นธรรมชาติ “กู้จือหยั่น”
พูดจบ เธอก็ได้พูดกับเฉินมู่อีกว่า “มู่มู่ เรียกเขาสิ”
เฉินมู่ความจำดี เพิ่งจะเจอกันมาครั้งเดียว แต่ก็จำกู้จือหยั่นได้
เธอส่งเสียงเรียกออกไปอย่างว่าง่าย “คุณลุงกู้”
กู้จือหยั่นเหมือนกับเล่นกลมาหลอกลวงคนอื่นเลยก็ไม่ปาน ไม่รู้ว่าได้แปลงมาเป็นอมยิ้มหมีน้อยมาจากที่ไหน ยื่นไปให้เฉินมู่
“ชอบหรือเปล่า?”
“ชอบ” เฉินมู่ชอบลูกอมเป็นอย่างมาก จึงรับไปด้วยความดีใจ พลางเอ่ยเสียงหวานออกไป “ขอบคุณคุณลุงกู้”
เมื่อเทียบกับเฉินถิงเซียวแล้ว กู้จือหยั่นคนนี้ยังไม่แต่งงานและยังไม่ได้เป็นพ่อคน แต่กลับรู้จักหลอกล่อเด็กเป็นกว่าเสียอีก
มู่น่อนน่อนถามออกไปอย่างอดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา “คุณกับเฉินถิงเซียวรู้จักกันได้ยังไง?”
กู้จือหยั่นเอ่ยออกไปด้วยคำพูดที่สั้นกะทัดรัดแต่ได้ใจความ “ทะเลาะวิวาท”
“คุณกับเฉินถิงเซียว?”
“เปล่า เขามองดูฉันถูกคนอื่นต่อย”
มู่น่อนน่อน “…” นี่สิถึงจะเหมือนกับสิ่งที่เฉินถิงเซียวจะทำออกมา
การ์ดถูกสีหน้าที่แสดงออกมาของเฉินถิงเซียวทำเอากลัวจนมือสั่นไปหมด “ผมกำลังเตรียมที่จะประคองคุณลงจากรถ ไปโรงพยาบาลครับ”
เขาพูด แล้วก็ได้ถอยห่างออกไปเล็กน้อย ทำให้เฉินถิงเซียวสามารถมองเห็นประตูทางเข้าโรงพยาบาลได้
“มาโรงพยาบาลทำไม? ใครใช้ให้นายส่งฉันมาที่โรงพยาบาล? หืม?” ว่า “หืม” ตัวสุดท้าย มันช่างฟังดูน่ากลัวเสียจนหมือนกับว่าเป็นเครื่องรางที่จะทำให้ตายเร็วขึ้นของยมราชเลยไม่มีผิด
การ์ดได้เงียบกริบกันไปหมด ไม่กล้าพูดอะไรออกไป และก็ไม่กล้าถอยออกไปด้วยเช่นกัน ทำเพียงแค่มองไปทางมู่น่อนน่อนอย่างขอความช่วยเหลือ
มองตามสายตาของการ์ดไป เฉินถิงเซียวจึงได้พบว่ามู่น่อนน่อนก็อยู่ภายในรถด้วย
“เธอจะส่งฉันไปโรงพยาบาล?” เฉินถิงเซียวหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วมองเธอ ยื่นมือออกไปก็ได้บีบคางเธอเอาไว้ พลางเอ่ยถามออกไปด้วยเสียงที่เย็นยะเยือก “เธอส่งฉันไปโรงพยาบาลทำไม? ใครมอบความกล้าให้กับเธอกัน?”
น้ำเสียงประณามความผิดออกมาอย่างรุนแรงนี้ ได้ทำให้มู่น่อนน่อนแข็งค้างไปครู่นึ่งเลย
เฉินถิงเซียวที่เป็นอย่างนี้ ไม่คุ้นเคยเลย
“คุณดูเหมือนว่าป่วย ดูไม่สบายมาก ฉันก็เลยให้พวกเขาส่งคุณมาที่โรงพยาบาล” มู่น่อนน่อนพูดไปพลางมองสำรวจเขาอย่างระมัดระวังไปพลาง
สายตาของเขาล้ำลึกมาก เป็นความดำมืดที่เข้มข้นประหนึ่งน้ำหมึกอะไรทำนองนั้น ปกติตอนที่ไม่ยิ้มก็ดูมืดมนอยู่บ้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาในตอนนี้ที่กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธจัดเลย
แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่รู้เลยว่าความโกรธของเขามันเกิดมาจากไหน
ช่วงหลายวันมานี้ พวกเขาอาศัยอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน เธอไม่เคยเห็นท่าทางอย่างนี้ของเฉินถิงเซียวมาก่อนเลย
เฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดของเธอ ตรงระหว่างคิ้วนิ่วเข้าหากัน แรงที่กำลังบีบคางเธออยู่นั้นก็ได้ลงหนักขึ้นกว่าเดิม
มู่น่อนน่อนเจ็บจนหายใจพะงาบๆออกมาด้วยความกลัว พลางเอ่ยออกไป “เฉินถิงเซียว คุณช่วยปล่อยมือก่อนได้มั้ย”
“เธอรู้จักฉัน?” เฉินถิงเซียวไม่เพียงแต่จะไม่คลายมือออกไป แต่สายตายังเปลี่ยนเป็นคมกริบขึ้นมาด้วยเช่นกัน แล้วยังประดับไปด้วยการสือหาความจริงออกมา “เธอเป็นใคร?”
“ฉัน…” มู่น่อนน่อนอยากจะบอกชื่อของตัวเองออกไปทันที แต่ตอนนี้ก็ได้ค้นพบจุดที่ผิดปกติของเฉินถิงเซียวขึ้นมา
เธอถามเฉินถิงเซียวไปอย่างไม่กล้าที่จะเชื่อ “คุณไม่รู้จักฉัน?”
ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งสองคนเมื่อสามปีก่อนต่างฝ่ายต่างก็ได้สูญเสียความทรงจำกันไป แต่ว่าช่วงนี้ทั้งสองคนก็ได้อาศัยอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน จะเกิดสถานการณ์ที่จู่ๆก็มาไม่รู้จักเธอขึ้นมาได้ยังไงกัน?
มู่น่อนน่อนยื่นมือใช้แรงไปขยับมือของเขาที่กำลังบีบอยู่ที่คางของเธออยู่ออกไป จากนั้นก็เข้าไปตรงหน้าเฉินถิงเซียว ชี้มาที่ตัวเอง พูดกับเขาออกไปด้วยใบหน้าที่จริงจัง “คุณตั้งใจมองฉันให้ดีๆ ไม่รู้จักฉันจริงๆ?”
เฉินถิงเซียวกระตุกมุมปากออกมา คำพูดที่ได้พูดออกมาได้ประดับไปด้วยการเยาะหยัน “เหอะ เธอนึกว่าหน้าตาดูเจริญตากว่าผู้หญิงทั่วๆไปหน่อย ฉันก็ควรจะต้องรู้จักเธอ?”
มู่น่อนน่อน “…”
ใครสามารถบอกเธอได้บ้างว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
เฉินถิงเซียวคงไม่ได้…สมองมีปัญหาหรอกมั้งใช่มั้ย?
มู่น่อนน่อนมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตอนเช้าตอนที่ออกจากบ้านมามองดูแล้วก็ยังดูเหมือนคนปกติอยู่เลย…
ช่วงนี้ เขาเองก็อารมณ์แย่ลงหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีจุดที่แตกต่างไปจากคนทั่วไปอะไรเลยนะ
เธอคิดๆไปแล้ว พลางเอ่ยปรึกษาหารือกับเฉินถิงเซียวออกไป “ฉันอธิบายให้คุณได้ไม่ชัดเจนไปสักพักนึง และฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้คุณเป็นอะไรไปกันแน่ เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเราไปตรวจที่โรงพยาบาลกันก่อนสักหน่อย โอเคมั้ย?”
เฉินถิงเซียวเอ่ยออกมาด้วยความเย็นชา “คนที่ควรจะต้องตรวจเป็นเธอมากกว่าล่ะมั้ง”
“ฉัน…”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมองไปทางการ์ดที่ขับรถอยู่ที่ข้างหน้า พลางเอ่ยออกไป “กลับไป”
“ครับ” การ์ดตอบรับออกมา แล้วสตาร์ทรถเตรียมที่จะกลับไป
ตอนนี้เฉินถิงเซียวกลับเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน “เดี๋ยวก่อน”
การ์ดรีบหยุดรถลงทันที
เฉินถิงเซียวหันหน้าไป มองไปทางมู่น่อนน่อนที่กำลังลอบมองเขาอยู่เป็นครั้งคราวอยู่ที่ข้างๆ หลุดพ่นออกไปสองคำอย่างเย็นชา “ลงไป”
“คุณบอกให้ฉันลงจากรถ?” มู่น่อนน่อนสงสัยว่าตัวเองได้ยินผิดไป
เฉินถิงเซียวเพียงแค่มองเธอไปอย่างเย็นชา “หรือว่าจะยังมีคนอื่นอีกหรือไง?”
มู่น่อนน่อนใจสั่นรัวด้วยความกลัวขึ้นมาเล็กน้อย แน่นอนว่าปฏิกิริยาจะช้าลงหน่อย
ก็คือเพียงไม่กี่วิที่กำลังใจสั่นด้วยความกลัวอยู่นี้ เฉินถิงเซียวก็ได้เปิดประตูรถเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วผลักเธอลงไปทันที
การกระทำของเฉินถิงเซียวหยาบคายอย่างมาก ในสายตาได้ประดับไปด้วยความรังเกียจ ราวกับว่าเธอเป็นขยะที่ไม่เข้าตาก็ไม่ปาน
มู่น่อนน่อนถูกผลักลงจากรถ ร่วงตกลงไปบนพื้น
เธอกำลังตื่นตระหนกอยู่บนพื้น แล้วได้ยินเสียงแตรรถจากที่ไม่ไกลออกไป เธอถึงได้ตกใจฟื้นคืนสติกลับมาได้ขึ้นมาทันที ลุกยืนขึ้นเดินเข้าไปนั่งลงที่ข้างถนน
ถึงแม้ว่าจะถูกเขาผลักลงจากรถมาจะรู้สึกอับอายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเศร้าเสียใจเลย
ก็คงจะมีสาเหตุเป็นเพราะว่าความทรงจำไม่ได้ฟื้นคืนมา และไม่มีความสัมพันธ์ที่ผูกมัดกัน
มู่น่อนน่อนแตะกระเป๋าเสื้อของตัวเองไปเล็กน้อย โชคดีที่ตอนก่อนที่จะออกจากบ้านมาได้เอาโทรศัพท์มาด้วย
วันนี้สือเย่ยังโทรมาหาเธอด้วย เธอจึงต่อสายไปหาสือเย่
“คุณมู่” ในน้ำเสียงของสือเย่มีความประหลาดใจขึ้นมาจางๆ
“คุณผู้ช่วยพิเศษสือ เฉินถิงเซียว…เขาเกิดเรื่องแล้ว”
มู่น่อนน่อนเอาเรื่องเมื่อกี้นี้เล่าให้กับสือเย่ออกไปรอบหนึ่ง
สือเย่ฟังจบ ก็ได้พูดออกไป “คุณมู่ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ผมจะมารับคุณก่อน”
บนตัวของมู่น่อนน่อนไม่ได้พกเงินมา สือเย่เป็นฝ่ายเสนอว่าจะมารับเธอออกมาเอง เธอเองก็ไม่ได้เกรงใจ แล้วก็ได้บอกที่อยู่กับสือเย่ออกไป
สือเย่มาได้รวดเร็วมาก ก็คงเป็นเพราะว่ารีบซิ่งมา
เขาจอดรถอยู่ที่ข้างหน้ามู่น่อนน่อน “คุณมู่ ขึ้นรถครับ”
หลังจากที่มู่น่อนน่อนขึ้นรถไป จึงได้ถามออกไป “เฉินถิงเซียวเมื่อก่อนเขาเคยป่วยโรคอะไรมาก่อนหรือเปล่า? เมื่อก่อนเคยมีสถานการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นมาก่อนมั้ย?”
“ไม่มีครับ” สือเย่มีสีหน้าเคร่งขรึมออกมา “วันนี้พวกเราเพิ่งรู้ว่าคุณชายสูญเสียความทรงจำไปเป็นเพราะว่าถูกพี่สาวของเขาพาไปสะกดจิตปิดกั้นความทรงจำ ผมคิดว่าที่ตอนนี้คุณชายเป็นอย่างนี้ไป คงจะเกี่ยวข้องกับการสะกดจิต”
“สะกดจิต?” คำคำนี้ในชีวิตนี้ไม่นับว่าพบเจอได้น้อย แต่คนที่สามารถปิดกั้นความทรงจำได้ นี่เป็นครั้งแรกที่มู่น่อนน่อนได้ยินมาเลย
สือเย่ขมวดคิ้วพลางเอ่ยออกมา “ถ้าภาวะที่ตอนนี้คุณชายเป็นอยู่ตอนนี้ มันเกี่ยวข้องกับการสะกดจิตจริงๆ อย่างนั้นแล้วก็จะต้องไปหาผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตคนนั้นให้เจอก่อน”
จู่ๆมู่น่อนน่อนก็นึกถึงเฉินมู่ขึ้นมา สีหน้าได้เปลี่ยนไปทันที “เมื่อกี้นี้เขาเพิ่งจะไม่รู้จักฉัน จะเป็นไปได้หรือเปล่าว่าจะไม่รู้จักเฉินมู่ด้วย?”
สือเย่ได้ยิน ก็ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับเพิ่มความเร็วของรถให้เร็วขึ้น
ตอนที่มู่น่อนน่อนกับสือเย่รีบไล่มาถึงวิลล่า ภายในวิลล่าได้วุ่นวายไปหมดแล้ว
คนใช้และการ์ดต่างก็กำลังยืนอยู่ในลานบ้านกัน
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป ถามคนใช้หนึ่งในนั้น “เฉินถิงเซียวล่ะ?”
สาวใช้เอ่ยออกมาด้วยอาการที่ยังคงรู้สึกหวาดผวาอยู่ “คุณชายอยู่ด้านในค่ะ เขาไล่พวกเราออกมา”
มู่น่อนน่อนมองออกไปรอบๆ ไม่เห็นเงาร่างของเฉินมู่จึงถามออกไป “มู่มู่ล่ะ?”
สาวใช้มองตำแหน่งที่อยู่ข้างๆไปเล็กน้อย กลัวจนหน้าถอดสีออกมา “เมื่อกี้คุณหนูน้อยยังอยู่ตรงนี้อยู่เลย!”
มู่น่อนน่อนไม่มีเวลาให้มาคิดมากมาย จึงก้าวเท้าวิ่งไปข้างใน
เฉินมู่จะต้องเข้าไปหาเฉินถิงเซียวแน่ๆเลย
เธอเพิ่งจะเดินไปถึงที่หน้าประตูห้องโถง จึงมองเห็นว่าความไม่เป็นระเบียบระเกะระกะอยู่เต็มพื้นด้านใน
ส่วนเฉินถิงเซียว ก็ได้นั่งอยู่บนโซฟาตัวนั้นที่มีความสมบูรณ์ที่สุดเพียงหนึ่งเดียวภายในห้องโถง
ตอนนี้มู่น่อนน่อนไม่มีความคิดจะไปสนใจเขา มองไปรอบๆเพื่อตามหาเฉินมู่
“คุณแม่…”
เสียงเบาๆได้ดังเข้ามา มู่น่อนน่อนมองไปตามเสียง ที่ต้นบอนไซขนาดใหญ่ต้นนึง
ส่วนสูงของเฉินมู่เพิ่งจะถึงระดับความสูงของกระถางต้นไม้ของต้นบอนไซต้นนั้นเท่านั้นเอง เธอโผล่หัวเล็กๆออกมา ในดวงตาได้อาบไปด้วยน้ำตา
มู่น่อนน่อนรู้สึกเจ็บปวดใจสุดๆ สาวเท้าเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา
เฉินมู่ที่จากเดิมเพียงแค่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ไม่ได้ร้องไห้ออกมา ตอนที่ถูกมู่น่อนน่อนอุ้มขึ้นมา ปากคว่ำออกมา แล้วได้ร้องไห้ออกมาทันที “คุณแม่”
เฉินจิ่งหยุ้นในตอนนี้ก็ไม่มีความคิดที่จะพูดอ้อมค้อมออกไปเช่นกัน จึงพูดสิ่งที่ตัวเองรู้ออกไปทั้งหมด
“เมื่อตอนนั้นฉันเจอเขาที่เมืองM ผู้เชี่ยวชาญทางการสะกดจิตคนนั้นแซ่หลี่ เป็นชายที่พูดภาษาจีนได้คนหนึ่ง…” พูดถึงตรงนี้แล้ว เธอพบว่าเธอรู้ข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญการสะกดจิตคนนั้นน้อยมาก
สือเย่ถามเธอออกไปต่อว่า “ชื่ออะไร พักอยู่ที่ไหน แล้วก็อายุเท่าไหร่?”
“ไม่รู้” เฉินจิ่งหยุ้นไม่รู้เรื่องพวกนี้ ทำได้แค่เพียงส่ายหน้าออกมาไม่หยุด
“เมื่อตอนนั้นคุณหมอหลี่คนนั้นส่งคนมารับพวกเรา ฉันไม่รู้ว่าเขาพักอยู่ที่ไหน เขาสวมแมสก์ มองไม่เห็นหน้า ไม่รู้อายุของเขาด้วยเหมือนกัน…”
สือเย่ได้ยินคำพูดของเธอแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะย่นคิ้วออกมา “คุณหนูเฉิน เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว คุณไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังอีกแล้ว ตรงจุดนี้ตัวคุณก็รู้ดี”
ความสัมพันธ์ของเฉินจิ่งหยุ้นกับเฉินถิงเซียวพัฒนากันมาถึงขั้นนี้ ขอเพียงแค่เฉินจิ่งหยุ้นมีสมองสักหน่อย ก็ไม่ควรจะมีอะไรมาปิดบังพวกเขาอีก
เฉินจิ่งหยุ้นได้ยินแล้ว ก็ร้อนรนขึ้นมาบ้างเช่นกัน “สิ่งที่ฉันพูดไปมันเป็นความจริงทั้งนั้น เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว ฉันยังมีเหตุผลอะไรไปหลอกลวงพวกนายอีก”
สือเย่หันหน้ามองไปทางเฉินถิงเซียว “คุณชาย คุณคิดว่า…”
เฉินถิงเซียวก้มลงมองไปทางเฉินจิ่งหยุ้น ในดวงตาของเฉินจิ่งหยุ้นได้เผยความหวาดกลัวออกมา อดไม่ได้ที่จะหดตัวไปข้างหลัง
ตอนนี้เธอกลัวเฉินถิงเซียวจริงๆ
เฉินถิงเซียวพูดออกไปด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ “เธอออกไปเถอะ ทางที่ดีก็อย่าให้ฉันเห็นหน้าเธออีก”
สีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นได้เปลี่ยนมาซีดเผือดออกมาทันที แต่ก็รู้ว่าพูดมากไปมันก็ไร้ประโยชน์ จึงได้ลุกยืนขึ้นมาจากบนพื้น เดินโซเซออกไป
พอเธอเดินออกไป เฉินถิงเซียวได้เอ่ยสั่งออกไป “ไปสืบมา”
“ครับ” สือเย่ตอบรับออกมา แล้วเดินออกไป
ข้อมูลที่เฉินจิ่งหยุ้นให้มามันน้อยเกินไป ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิตที่พูดภาษาจีนได้ที่มีแซ่หลี่คนหนึ่ง
ข้อมูลหนึ่งที่เรียบง่ายอย่างนี้ จะบอกว่าง่ายมันก็ง่าย จะบอกว่ายากมันก็ยาก
สามารถสะกดจิตให้คนอื่นปิดกั้นความทรงจำเอาไว้ได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีระดับความสามารถที่โดดเด่นเหนือใครในสาขาอาชีพนี้แน่ๆ
ผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครอย่างนี้ ในสาขาอาชีพนี้ มันจะต้องเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยแน่ๆ แต่เฉินถิงเซียวมีกำลังและมีอิทธิพลมาก สืบขึ้นมาแล้วมันก็ไม่นับว่ายากเช่นกัน
แต่พูดจากอีกมุมหนึ่งแล้ว เฉินจิ่งหยุ้นเองก็นับว่าเป็นคนที่ระมัดระวังเลยคนหนึ่ง หลังจากเรื่องนั้นเธอจะต้องสืบเรื่องผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตคนนั้นมาแล้วเหมือนกัน แต่จากคำพูดของเธอสามารถคาดเดาได้ว่าเธอเองก็สืบหาข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตคนนั้นไม่ได้ด้วยเหมือนกัน
……
มู่น่อนน่อนเนื่องจากสายนั้นที่สือเย่ได้โทรมาหาเธอ จึงจำต้องเตรียมมื้อเที่ยงเอาไว้ล่วงหน้าเอาไว้ก่อน
เฉินถิงเซียวตอนเที่ยงไม่กลับมากินข้าว เธอก็ทำอาหารตามรสชาติที่ถูกปากตนกับเฉินมู่เอาก็พอแล้ว
แต่เฉินถิงเซียวจะกลับมากินมื้อเที่ยง มู่น่อนน่อนจงต้องทำเมนูที่เขาชอบกินสักหน่อย
ตอนที่เธอทำอาหารเสร็จ เฉินถิงเซียวยังไม่กลับมา
ก่อนหน้านี้เธอถ่ายรูปให้กับเฉินมู่ไปหลายรูปเลย ในวิลล่ามันมีเครื่องปริ้นภาพถ่ายอยู่พอดี เธอจึงปริ้นออกมา
ถือโอกาสที่เฉินถิงเซียวยังไม่กลับมา เธอจึงหยิบภาพพวกนั้นออกมา วางลงไปบนพื้นพรม มองดูไปด้วยกันกับเฉินมู่
ภาพพวกนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเฉินมู่ อีกส่วนหนึ่งเป็นภาพคู่ของเฉินมู่กับมู่น่อนน่อน แล้วก็ยังมีภาพเดี่ยวของมู่น่อนน่อนอยู่ด้วยเหมือนกัน
ตอนที่เธอกับเฉินมู่ดูภาพกัน เฉินถิงเซียวก็กลับมา
เฉินมู่ตาดี เห็นเฉินถิงเซียวเข้ามา ก็กวักมือไปทางเขาราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย “เฉินชิงเซียว มาดู”
เฉินถิงเซียวชำเลืองมองเฉินมู่ไป เฉินมู่ยิ้มให้กับเธอไปอย่างประจบเอาใจ “อิอิ”
พูดจบ เธอจึงไต่ขึ้นมาจากบนพื้นพรมอย่างปราดเปรียว กระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของมู่น่อนน่อน แล้วหันหน้าไปหัวเราะ “อิอิ” ไปทางเฉินถิงเซียวอีกทีนึง การกระทำต่อเนื่องกันเป็นไปอย่างลื่นไหลอย่างมาก ดูทำตามอำเภอใจอยู่บ้างเหมือนกัน
เด็กน้อยไวต่อความรู้สึก เธอรู้สึกได้ว่าเฉินถิงเซียวคงไม่เกิดโทสะต่อมู่น่อนน่อนขึ้นมาหรอก เธอก่อเรื่องแล้วเข้าไปหลบอยู่ข้างหลังมู่น่อนน่อนจะต้องรอดแน่
แล็เป็นไปอย่างที่คิด เฉินถิงเซียวเพียงแค่มองเธอไปแวบนึง แล้วเบนสายตาออกไป
“กับข้าวทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณไปกินข้าวก่อนเถอะ” มู่น่อนน่อนเพียงแค่มองเขาตอนที่เข้ามาไปแค่แวบเดียวเท่านั้น ในตอนนี้กำลังดูภาพไปอย่างตั้งอกตั้งใจ
ลูกสาวของเธอหน้าตาดีจริงๆ ภาพถ่ายดูดีเหมือนกับตัวจริงเลย
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว ไม่ได้ไปกินข้าว แต่ได้ยื่นมือไปแย่งภาพในมือของมู่น่อนน่อนมาแทน
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นไป เอ่ยออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ “บนพื้นตั้งเยอะแยะขนาดนี้ คุณไม่รู้จักหยิบขึ้นมาถือเอาไว้เอง”
เฉินถิงเซียวใช้นิ้วสองสามนิ้วคีบมุมภาพถ่ายเอาไว้ ยื่นออกไปตรงหน้ามู่น่อนน่อน พลางถามเธอออกไป “คุณเป็นคนถ่าย?”
“ไม่งั้นล่ะ? คุณเคยถ่ายภาพกับมู่มู่เหรอ?”
มู่น่อนน่อนเดิมทีแล้วเพียงแค่พลั้งปากถามออกไปเฉยๆ ผลสุดท้ายพอเสียงพูดของเธอได้หลุดออกมา ก็ได้ยินเฉินถิงเซียวตอบกลับมาว่า “ไม่เคย”
“คุณ…” มู่น่อนน่อนอยากจะพูดกับเขาไปสักหน่อย แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดไปเพราะนึกขึ้นมาได้ว่างานเขายุ่งเสียขนาดนั้น สามารถดูแลเฉินมู่ได้มันก็ดีมากแล้ว จึงได้ปิดปากเงียบไป
มู่น่อนน่อนถ่ายภาพให้กับเฉินมู่ไปหลายภาพ แล้วพิมพ์ออกมากองใหญ่ อยู่เต็มพื้นพรมไปหมด
เฉินถิงเซียวเห็นภาพที่มากมายขนาดนี้แล้ว ในหัวก็มีภาพที่กระจัดกระจายไปหมดแวบออกมา
เหมือนกับว่ามีภาพของมู่น่อนน่อนอยู่เยอะมากเลย…อยู่ภายในห้องห้องหนึ่ง…
แต่เพียงไม่นานภาพที่แวบออกมา ก็ได้เปลี่ยนกลายเป็นภาพอื่นขึ้นมาอีกที
เฉินถิงเซียวยื่นมือออกไปประคองหัวของตัวเอง ร่างส่ายไปมาเล็กน้อย ร่วงลงไปนั่งบนพื้นพรม
มู่น่อนน่อนนิ่งอึ้งไปแป๊บนึง วางเฉินมู่ลงไปข้างๆ แล้วเดินเข้าไปข้างๆเฉินถิงเซียว
“เฉินถิงเซียว คุณเป็นอะไรไป?” มู่น่อนน่อนพูดจบ นึกขึ้นมาได้ว่าสภาพของเขาตอนนี้เหมือนกับที่ห้องทำงานเมื่อก่อนหน้านี้ครั้งนั้นมากเลย
คิ้วของเฉินถิงเซียวบิดกลายเป็นเกลียวแน่น บนหน้าผากอาบไปด้วยเหงื่อ เขาเกร็งกรามล่างออกมา มองไปแล้วดูเจ็บปวดมากเลย
มีประสบการณ์ครั้งที่แล้วมาแล้ว มู่น่อนน่อนรู้ว่าตัวเองช่วยเขาไม่ได้อยู่แล้ว จึงไม่ได้ลงมือไป เพียงแค่โน้มตัวไปมองเขา พลางถามออกไป “ฉันให้คนส่งคุณไปโรงพยาบาลเอามั้ย?”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบเธอ ยังคงนอนอยู่บนพื้นพรมไปอย่างนั้น
เฉินมู่เห็นสภาพอย่างนี้ของเฉินถิงเซียว แล้วก็ได้ลุกขึ้นวิ่งเข้าไป คุกเข่านั่งลงข้างๆเขา ส่งเสียงเรียกออกไปอย่างระมัดระวัง “คุณพ่อ?”
มู่น่อนน่อนถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าเฉินมู่ยังอยู่ที่นี่
เฉินถิงเซียวก็คงจะทำให้เฉินมู่กลัวขึ้นมา
มู่น่อนน่อนรีบอุ้มเฉินมู่ขึ้นมาทันที พลางเอ่ยปลอบออกไป “คุณพ่อป่วย ส่งไปโรงพยาบาลให้คุณหมอดูให้ก็จบแล้ว”
“ป่วย?” เฉินมู่ใช้มือกุมท้องตัวเองเอาไว้ แสดงท่าทีเข้าใจขึ้นมาได้โดยทันที “คุณพ่อปวดท้อง”
ก็คงจะเป็นเพราะว่าเมื่อก่อนหน้านี้เฉินมู่เคยปวดท้องมาก่อน ก็เลยนึกว่าเฉินถิงเซียวจะปวดท้องขึ้นมาเหมือนกัน
มู่น่อนน่อนพูดกล่อมออกไปเบาๆซ้ำอีกครั้ง “ใช่ คุณพ่อปวดท้อง”
หลังจากนั้นเธอก็เรียกคนใช้มา หลังจากที่อุ้มเฉินมู่ออกไปแล้ว ก็ได้เรียกการ์ดเข้ามาอีกที แล้วช่วยประคองเฉินถิงเซียวขึ้นรถส่งไปโรงพยาบาล
เพราะถึงยังไงก็พักอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน มู่น่อนน่อนก็ตัดสินใจเลือกที่จะตามเฉินถิงเซียวไปโรงพยาบาลด้วยคน
เธอนั่งอยู่ที่เบาะหลังกับเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวในตอนนี้ได้อยู่ในสภาพกึ่งๆไร้สติไปเรียบร้อยแล้ว เดิมทีก็นั่งไม่สนิทอยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนจำต้องประคองเขาเอาไว้ ให้เขาพิงเข้ากับบนร่างของเธอ
ไม่ง่ายเลยที่จะไปถึงที่หน้าประตูทางเข้าโรงพยาบาล หลังจากที่รถจอดสนิทลงแล้ว การ์ดเปิดประตูเบาะหลังรถออกแล้วประคองเฉินถิงเซียวลงจากรถไป
แต่ว่ามือของการ์ดเพิ่งจะแตะไปที่เฉินถิงเซียว จู่ๆเขาก็ได้ลืมตาออกมา
การ์ดได้ตกใจขึ้นมาแป๊บนึง พลางเอ่ยเรียกออกไป “คุณชาย?”
สายตาของเฉินถิงเซียวแสดงความสับสนออกมาก่อนเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็ได้กลับมาใสกระจ่างออกมา
เขานั่งตัวตรง แล้วเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่ดุร้าย “นายจะทำอะไร?”
ในชั่วเวลาสั้นๆ ความกดอากาศภายในห้องทำงานก็ได้ต่ำลงหลากหลายระดับ
เฉินถิงเซียวเลิกตาขึ้นมา ชำเลืองมองเฉินจิ่งหยุ้นไปอย่างเย็นชา ก่อนพูดเสียงต่ำออกไป “ออกไป!”
ในดวงตาประหนึ่งน้ำหมึกคู่นั้นของเขา ได้ปรากฏความเหี้ยมโหดมืดครึ้มออกมา
แต่ไหนแต่ไรมาเฉินจิ่งหยุ้นไม่เคยเจอท่าทีอย่างนี้ของเฉินถิงเซียวมาก่อน เธอกลัวจนถอยหลังออกไปสองก้าวติดๆกัน ลืมพูดไปชั่วขณะ
เฉินถิงเซียวยิ้มเย็นออกมา จู่ๆก็ลุกยืนขึ้นมาแล้วเดินมาหยุดอยู่ที่ตรงหน้าเฉินจิ่งหยุ้น ยื่นมือไปบีบคอของเฉินจิ่งหยุ้นไปด้วยความรุนแรง
การเคลื่อนไหวของเฉินถิงเซียวกะทันหันเกินไป แม้แต่สือเย่เองก็ไม่สามารถเก็บกลั้นเสียงร้องตกใจออกมาได้ “คุณชาย!”
เขารักษาแรงที่ลำคอของเฉินจิ่งหยุ้นเอาไว้อย่างมั่นคงมองไปแล้วดูไม่ได้เบาเลย เพราะว่าทั้งใบหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นได้แดงจนเขียวคล้ำออกมาเล็กน้อย
เธอจับแขนของเฉินถิงเซียวเอาไว้ อยากจะปัดแขนของเขาออกไป แต่มือของเฉินถิงเซียวกลับเหมือนกับว่าได้เชื่อมอยู่ที่บนคอของเธอไปก็ไม่ปาน ไม่ว่าเธอจะตบไปยังไงจับไปยังไง เขาก็ไม่ขยับเลยสักนิดเดียว
เธอพยายามฝืนพูดออกมาจากในลำคอด้วยความยากลำบาก “ป…ปล่อย…”
“ตอนเด็กๆ ไม่ใช่ว่าเธอคิดว่าฉันเป็นปีศาจตนหนึ่งหรือไง? แต่นึกไม่ถึงว่าเธอจะกล้าหลอกฉันครั้งแล้วครั้งเล่า เธอรู้จุดจบของการยั่วโทสะของปีศาจหรือเปล่า?”
เฉินถิงเซียวจ้องมองเฉินจิ่งหยุ้นไปด้วยสีหน้าเยือกเย็น ในดวงตาไม่มีความอบอุ่นอะไรเลยสักนิดเดียว
สือเย่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเจอท่าทางดุร้ายขนาดนี้ของเฉินถิงเซียวมาก่อนเหมือนกัน อย่างนี้ต่อไปเฉินถิงเซียวจะต้องบีบคอเฉินจิ่งหยุ้นตายจริงๆแน่
“คุณชายครับ คุณรีบปล่อยมือไปเร็วเข้า คุณจะบีบคอคุณหนูเฉินตายเอานะครับ!” สือเย่รู้นิสัยแปลกๆของเฉินถิงเซียว ในช่วงเวลาแบบนี้เลยไม่กล้าแตะต้องเขาด้วยเหมือนกัน กล้าเพียงแต่คอยพูดกล่อมอยู่ข้างๆเท่านั้น
สือเย่ไม่กล้าเรียกรปภ.ขึ้นมาด้วยเหมือนกัน เรื่องจำพวกนี้ ไม่อาจเผยแพร่ออกไปให้คนอื่นรู้เข้าได้
เห็นเฉินจิ่งหยุ้นได้เริ่มที่จะใกล้หมดสติไปเต็มทีแล้ว สือเย่เหมือนกับว่าจู่ๆก็นึกอะไรขึ้นมาได้ก็ไม่ปาน จึงได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายไปหามู่น่อนน่อน
สิ่งที่น่ายินดีเลยก็คือ เพียงไม่นานก็รับสาย
ในสายได้มีเสียงมู่น่อนน่อนดังขึ้นมา “ฮัลโหล?”
“คุณมู่ ผมสือเย่นะครับ รบกวนคุณช่วยพูดกับคุณชายสักสองสามคำหน่อยครับ”
“พูดอะไร? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“พูดอะไรก็ได้ครับ”
สือเย่พูดจบ ก็ยื่นโทรศัพท์ไปข้างๆหูของเฉินถิงเซียว “คุณชายครับ สายของคุณมู่ครับ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจสือเย่ ในดวงตาของเขาได้แสดงสายตาฆ่าฟันออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เขาอยากจะบีบคอเฉินจิ่งหยุ้นให้ตายจริงๆ
แต่ไหนแต่ไรมาเฉินถิงเซียวไม่ใช่คนที่จะมีเมตตาอะไรอยู่แล้ว มือของเขาจึงไม่ได้สะอาดอยู่แล้ว
สือเย่ร้อนรนขึ้นมา แล้วได้โพล่งออกไป “เป็นสายของมู่น่อนน่อนครับ! เธอคงมีเรื่องด่วนจะคุยกับคุณ คุณรับหน่อยครับ?”
ราวกับว่าถูกคำว่า “มู่น่อนน่อน” สามคำนี้สะกิดใจเข้า เฉินถิงเซียวเหมือนกับว่าในที่สุดก็ได้สติกลับมาก็ไม่ปาน ผันหน้ามองไปทางสือเย่ พลางเอ่ยเสียงเย็นออกไป “มู่น่อนน่อน?”
สือเย่พยักหน้าออกมา “ใช่ครับ มู่น่อนน่อน”
สือเย่เปิดแฮนด์ฟรี มู่น่อนน่อนที่อยู่ทางปลายสายก็ได้ยินบทสนทนาของเขากับเฉินถิงเซียวด้วยเช่นกัน
แม้ว่าจะกั้นโทรศัพท์กันอยู่คนละฝ่าย มู่น่อนน่อนเองก็สามารถรู้สึกได้ว่าเฉินถิงเซียวในตอนนี้ผิดแปลกไปบ้าง
ดังนั้นแล้วเธอจึงส่งเสียงเรียกเพื่อเป็นการหยั่งเชิงออกไปในโทรศัพท์ “เฉินถิงเซียว?”
ได้ยินเสียงเธอ เฉินถิงเซียวได้ตกใจขึ้นมาเล็กน้อย จึงยื่นมือไปเอาโทรศัพท์มา แน่นอนว่าได้ปล่อยเฉินจิ่งหยุ้นไปโดยอัตโนมัติ
เฉินจิ่งหยุ้นไม่มีการประคองตัวเอาไว้ ก็ได้ร่วงลงพื้นไปทันที
สือเย่รีบเข้าไปประคองเฉินจิ่งหยุ้นเข้าไปนอนบนโซฟา ไม่มีเวลาไปคิดถึงเฉินจิ่งหยุ้น ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่ร่างของเฉินถิงเซียวไปหมด
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ที่เดิม ถือโทรศัพท์ส่งเสียงเรียกออกไป “มู่น่อนน่อน”
น้ำเสียงของเขาฟังไปแล้วไม่ได้แตกต่างอะไรจากตอนปกติเลย แต่กลับเผยความแปลกไปออกมารางๆ
มู่น่อนน่อนนึกถึงบทสนทนาของเฉินถิงเซียวกับสือเย่เมื่อกี้นี้ขึ้นมาได้ พลางถามออกไป “เฉินถิงเซียว เมื่อกี้คุณทำอะไรอยู่?”
เมื่อกี้ทำอะไรอยู่?
เฉินถิงเซียวก้มลงมองมือของตัวเองไปแวบนึง แล้วได้เงยหน้าขึ้นมองไปทางเฉินจิ่งหยุ้นที่กำลังนอนอยู่บนโซฟาด้วยสภาพกึ่งๆไม่ได้สติไปแล้ว เขาขมวดคิ้วแน่นออกมา สีหน้าก็ได้ดีขึ้นมาแล้ว
เขาถามออกมา “เมื่อกี้เพิ่งจะจัดการเอกสารไป คุณมีเรื่องอะไรจะคุยกับผม?”
“ฉัน…” โทรศัพท์เป็นสือเย่โทรมาหาเธอ เธอไหนเลยจะมีเรื่องอะไรที่จะคุยกับเฉินถิงเซียวกันน่ะ
แต่ว่าเรื่องมันมาถึงตรงนี้แล้ว เธอทำได้เพียงแค่แต่งเหตุผลไปมั่วๆอันนึงขึ้นมา “ฉันจะถามคุณว่าตอนเที่ยงจะกลับมากินข้าวหรือเปล่า”
เฉินถิงเซียวเงียบไปสักพักหนึ่ง พลางถามออกไป “คุณอยากให้ผมกลับไปกินข้าว?”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบคำถามของเขาไปตรงๆ “แล้วคุณจะกลับมามั้ยล่ะ?”
“ดูสถานการณ์ก่อน”
“อ้อ”
“ไม่มีอะไรแล้วผมวางก่อน”
“อืม”
แต่มู่น่อนน่อนรออยู่นาน ก็ไม่เห็นเฉินถิงเซียววางสายไปเลย
มู่น่อนน่อนถามเขาออกไป “คุณไม่ใช่ว่าจะวางสายแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เฉินถิงเซียวเพียงแค่ตอบกลับมาคำนึงอย่างเย็นชา “คุณวางไปก่อน”
มู่น่อนน่อนจำต้องวางสายไป มักจะรู้สึกอยู่ตลอดว่าเฉินถิงเซียวในวันนี้แปลกๆไปหมดเลย
เฉินถิงเซียวหยิบโทรศัพท์มาอยู่ที่ตรงหน้า แน่ใจว่าโทรศัพท์ได้วางสายไปแล้ว ถึงจะเอาโทรศัพท์คืนให้กับสือเย่ไป
สือเย่ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกออกมา ในช่วงเวลาคอขาดบาดตาย ก็ยังคงเป็นมู่น่อนน่อนที่สามารถสั่นคลอนเฉินถิงเซียวเอาไว้อยู่หมัด
ในตอนนี้เฉินถิงเซียวจึงได้มีกะจิตกะใจไปดูเฉินจิ่งหยุ้น
เฉินจิ่งหยุ้นกึ่งๆนอนอยู่บนโซฟา ตอนนี้ได้ฟื้นคืนสติกลับมาบ้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังคงรู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง
ในตอนที่เธอเห็นเฉินถิงเซียวเดินเข้ามาหาตน ภายในดวงตาได้ปรากฏสายตาหวาดกลัวออกมา ถอยออกไปข้างหลังไปพลาง พูดพึมพำออกมาพลาง “อย่าเข้ามา…นายอย่าเข้ามา…”
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปตรงหน้าโซฟา มองเธอจากด้านบนไล่ลงไป “มีเรื่องอะไร บอกมาให้ชัดเจนในครั้งเดียว”
“ฉันว่า ฉันพูดออกไปหมดแล้ว…” เฉินจิ่งหยุ้นในตอนนี้ได้หวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมด ไหนเลยจะยังมีท่าทีหยิ่งยโสของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินอยู่อีก
“เป็นฉันที่หลอกลวงนายไป ซูเหมียนไม่ใช่แม่แท้ๆของมู่มู่…”
“อันที่จริงกู้จือหยั่นเป็นเพื่อนสนิทของนาย สือเย่เป็นลูกน้องที่นายไว้วางใจมากที่สุด มู่น่อนน่อนเป็นผู้หญิงที่นายรักที่สุด…”
“เป็นฉันที่ส่งนายไปอเมริกา หาผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิตมา ปิดล็อกความทรงจำก่อนหน้านี้ทั้งหมดของนายเอาไว้…นี่เป็นความผิดของฉันทั้งหมด ฉันสำนึกผิดแล้ว ฉันสำนึกผิดหมดแล้ว ถิงเซียวนายยกโทษให้ฉันสักครั้งเถอะนะ ฉันขอร้องนายล่ะ ขอร้องล่ะ”
เฉินจิ่งหยุ้นร่วงลงจากโซฟา นั่งลงบนพื้นไปอย่างจนตรอก ดึงกางเกงของเฉินถิงเซียวเอาไว้ ขอร้องวิงวอนเขาออกมา
เธอถูกโอ๋มาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่กินสิ่งที่สวมใส่สิ่งของที่ใช้ อะไรๆก็ล้วนแล้วแต่จะดีที่สุดทั้งนั้น
แต่ไหนแต่มารอบตัวก็ล้วนแล้วแต่จะเป็นการ์ดและคนใช้อยู่กันเป็นกลุ่ม เธอยังเคยรู้สึกยินดีปรีดามาก่อนที่ตอนเด็กเธอไม่ถูกลักพาตัวไปด้วย
เธอใช้ชีวิตมาอย่างราบรื่นทุกอย่าง นอกจากน้องชายคนนี้ ที่ไม่เคยฟังคำพูดเธอเลย แตกต่างจากเธอ
เมื่อตอนนั้นเธอคิดเพียงแค่ว่าวิธีการของเธอถูกต้องแล้ว แต่ว่าเธอไม่ได้สนใจกมลสันดานของเฉินถิงเซียวเลย
เขาเป็นปีศาจตนหนึ่งจริงๆ เมื่อตอนนั้นเขาถูกลักพาตัวไปตอนที่ส่งกลับมาอีกที ก็ไม่เหมือนกับเด็กปกติทั่วไปคนหนึ่งเลย ดังนั้นแล้วตั้งแต่เด็กเธอก็ไม่ชอบเขาเลย
แต่ความสามารถเขาโดดเด่น เธออยากจะพึ่งพาเขาเพื่อรักษาความรุ่งโรจน์ของตระกูลเฉินเอาไว้ให้คงอยู่ต่อไป
เพียงแต่ว่าเธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเฉินถิงเซียวคิดอยากจะฆ่าเธอ
เมื่อกี้เธอเกือบ…ตายในมือของเฉินถิงเซียวแล้ว
ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ปีศาจในใจเขาก็ได้เติบโตมาพร้อมกับเขาด้วย
เฉินจิ่งหยุ้นรู้ว่าเธอไม่มีวันควบคุมเฉินถิงเซียวเอาไว้ได้เลย
เฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดของเธอแล้ว ในดวงตาก็ได้มีพลังทำลายล้างมารวมตัวกันอีกครั้ง
สือเย่ที่อยู่ข้างๆจึงรีบเข้ามาถามเฉินจิ่งหยุ้นออกมาก่อนที่เฉินถิงเซียวจะระเบิดโทสะออกมาอีกครั้ง “ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิตคนไหนครับ?”
ตอนที่กินข้าว เฉินถิงเซียวกลับไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นกัน
แต่มู่น่อนน่อนมักจะรู้สึกว่าวันนี้เฉินถิงเซียวแปลกๆไป
จนกระทั่งมาถึงตอนกลางคืน หลังจากที่มู่น่อนน่อนกล่อมเฉินมู่นอนหลับไปแล้วเดินออกมา ก็เห็นเฉินถิงเซียวยืนอยู่ที่หน้าประตู
มู่น่อนน่อนไม่มีเตรียมรับมือมาก่อนชั่วขณะ ก็ได้ถูกทำให้ตื่นตกใจไปหมด
เธอสูดหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วก็ได้มองไปทางเฉินถิงเซียวอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณยืนอยู่ที่นี่ไปทำไม?”
ใบหน้าเย็นชาออกมา แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงพูดออกไป เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูไปอย่างนี้ และไม่รู้ด้วยเหมือนกันว่าคิดจะทำอะไร
“ตามผมมา”
เฉินถิงเซียวทิ้งคำพูดสามคำนี้ออกมา แล้วผันร่างออกไป
มู่น่อนน่อนแสดงใบหน้างงงวยออกมา แต่ก็ยังเลือกที่จะตามไป
มาถึงห้องทำงานแล้ว เฉินถิงเซียวก็หยิบปากกาบันทึกเสียงด้ามหนึ่งออกมา
เฉินถิงเซียวกดปุ่มเล่นไปต่อหน้าเธอ
ปากกาบันทึกเสียงด้ามนี้ เป็นด้ามที่เฉินจิ่งหยุ้นเอาให้เฉินถิงเซียวฟังก่อนหน้านี้ด้ามนั้นนั่นเอง
ด้านในมีเสียงบทสนทนาที่คุ้นเคยดังออกมา
มู่น่อนน่อนนึกไม่ถึงว่าเฉินจิ่งหยุ้นจะบันทึกเสียงเอาไว้ ถึงแม้ว่าวิธีมันจะอยู่ในระดับต่ำไปหน่อย แต่ด้วยนิสัยที่เอาแน่เอานอนไม่ได้นี้ของเฉินถิงเซียวแล้ว ใครจะไปรู้ล่ะว่าหลังจากที่เขาได้ยินบันทึกเสียงจำพวกนี้ไปแล้วจะคิดอะไรขึ้นมาบ้าง
ตอนเที่ยงตอนที่เฉินถิงเซียวกลับมา มู่น่อนน่อนเธอทำให้เฉินจิ่งหยุ้นโกรธจนกลับไป เฉินถิงเซียวเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นึกว่าเรื่องนี้มันจะจบไปแล้วเสียอีก
แต่นึกไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวจะรอเธออยู่ที่ตรงนี้
เนื้อหาที่อยู่ในบันทึกเสียงได้เล่นจนจบไปแล้ว เฉินถิงเซียวกอดอก มองจ้องเธอไปอย่างสงบเยือกเย็น
เขาไม่พูดอะไรออกมา บนใบหน้าไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมาด้วยเช่นกัน
มู่น่อนน่อนคาดเดาไม่ถูกว่าภายในใจของเขากำลังคิดอะไรอยู่ ก็ต้องมองจ้องไปไม่พูดอะไรออกมา
“จำนวนแบบไหนที่จะสมใจคุณ?” เฉินถิงเซียวเอ่ยถามออกไปด้วยความเย็นชา
มู่น่อนน่อนนึกคำพูดที่ตัวเองเคยพูดขึ้นมา พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลงเล็กน้อย ก้าวเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ปลายรองเท้าของเขาได้ชนเข้ากับปลายรองเท้าของมู่น่อนน่อนเป็นที่เรียบร้อย
ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันเกินไป มู่น่อนน่อนสามารถรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่เย็นยะเยือกจากบนร่างของเฉินถิงเซียวได้เลย
เธออยากจะถอยออกไปข้างหลังสักก้าวหนึ่ง ท่ามกลางการจับตามองของเฉินถิงเซียว เท้าของเธอก็เหมือนกับเกิดรากขึ้นมาก็ไม่ปาน ไม่กล้าจะขยับไปเลยสักนิด
ดวงตาดำสนิทของเฉินถิงเซียวได้หรี่ลงอย่างอันตราย น้ำเสียงดังขึ้นมาที่บนหัวของเธอไปอย่างไม่หนักไม่เบา “เปลี่ยนมาพูดอีกอย่างนึง คุณคิดว่าผมมีค่าเท่าไหร่?”
มู่น่อนน่อนได้พูดออกไปด้วยสมองที่ปลอดโปร่งอย่างมาก “ไม่…ไม่สามารถประเมินค่าได้เลย”
เพียงแต่ด้วยความประหม่า เสียงของเธอจึงพูดติดอ่างไปบ้าง
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วออกมาเล็กน้อย ราวกับคาดไม่ถึงอยู่บ้างว่ามู่น่อนน่อนจะพูดมาอย่างนี้
เห็นเฉินถิงเซียวเอาแต่ไม่พูดอะไรออกมา ภายในใจของมู่น่อนน่อนจึงอยู่ไม่สุขขึ้นมาบ้างอีกที
หรือว่าคำพูดของเธอมันปลอมจนเห็นได้ชัดเจนเกินไป เฉินถิงเซียวก็เลยไม่เชื่องั้นเหรอ?
แต่ว่า การกระทำต่อจากนั้นของเฉินถิงเซียว ได้ทำให้เธอหายสงสัยไป
จู่ๆเขาก็ยื่นมือไปแตะลงบนริมฝีปากของมู่น่อนน่อนไปเบาๆ แล้วใช้นิ้วลูบไล้
ในทันใดนั้นมู่น่อนน่อนก็ได้ยินเสียงที่เฉินถิงเซียวจงใจกดต่ำลง “พูดได้น่าฟังอย่างนี้ ปากจะต้องหวานมากแน่ๆ”
เสียงของเขาเดิมทีก็ทุ้มต่ำมากอยู่แล้ว ตอนที่จงใจกดต่ำออกมา ก็ยิ่งแสดงความเซ็กซี่ของผู้ชายที่สุกงอมเต็มที่แล้วเผยออกมามากขึ้น
มู่น่อนน่อนลำตัวแข็งค้างไป ปล่อยให้นิ้วมือของเฉินถิงเซียวกดลงบนริมฝีปากของเธอไปอย่างนั้น ทั้งๆที่ประดับไปด้วยการกระทำเย้าหยอกออกมา แต่เฉินถิงเซียวทำออกมาแล้วมันกลับไม่ได้รู้สึกไม่จริงจังเลยสักนิดเดียว
มู่น่อนน่อนนิ่งอึ้งไปสิบกว่าวิเต็มๆ กว่าจะมีปฏิกิริยากลับมาในทันที ปัดมือของเฉินถิงเซียวมือออก ถอยออกไปข้างหลังก้าวหนึ่ง “คุณเฉิน ช่วยระวังสถานะของคุณด้วยนะคะ อย่ามาทำอย่างนี้อยู่เรื่อยสิคะ”
“อ้อ” เฉินถิงเซียวตอบออกไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาได้ยินหรือไม่ได้ยินกันแน่ จากนั้นก็ได้อธิบายกับเขาออกไปต่อ “คำพูดพวกนั้นที่อยู่ในบันทึกเสียง เพียงแค่พูดไปเพื่อยั่วโมโหพี่สาวคุณเท่านั้นเอง คุณอย่าไปคิดจริงจังเลย”
เฉินถิงเซียวตอบออกมาโดยที่ไม่พูดออกมาว่าเห็นด้วยหรือว่าไม่เห็นด้วย “อืม”
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึกๆไปด้วยความอดทน
ช่างเถอะ ก็คาดเดาว่าคนคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ไม่ออกอยู่เรื่อยอยู่แล้ว จึงไม่ไปสนใจมันแล้ว
หลังจากที่มู่น่อนน่อนออกไป เฉินถิงเซียวบิดนิ้วไปเบาๆ มุมปากเผยรอยยิ้มออกมา
……
เฉินจิ่งหยุ้นในช่วงหลายวันนี้ใช้ชีวิตผ่านไปได้ไม่ดีนัก
ตั้งแต่วันนั้นหลังจากที่เธอเอาบันทึกเสียงไปหาเฉินถิงเซียวแล้ว เฉินถิงเซียวก็เริ่มทำการยึดรวมอำนาจทั้งหมดในบริษัทไป
หลายปีนี้การตัดสินนโยบายเล็กใหญ่และทิศทางลมของในบริษัท ล้วนแล้วแต่จะมีเฉินถิงเซียวเป็นคนคุมหางเสือเอาไว้
ส่วนผู้ถือหุ้นเหล่านั้น ต่างก็เข้าใจกันทั้งนั้น ภายใต้การชักนำของเฉินถิงเซียว มันถึงจะสามารถทำให้พวกเขาทำเงินได้เยอะมากขึ้น
เมื่อสามปีก่อนหน้านั้น เฉินถิงเซียวไม่เคยได้บ่งบอกชัดเจนมาก่อนว่ามีความคิดที่จะยึดอำนาจทั้งหมดเอาไว้เอง ผู้ถือหุ้นเหล่านั้นแน่นอนว่าไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาเลยเช่นกัน
แต่ตอนนี้เฉินถิงเซียวคิดจะยึดครองอำนาจเอาไว้เอง ผู้ถือหุ้นเหล่านั้นแน่นอนว่าจะต้องเกิดการเปลี่ยนฝักเปลี่ยนฝ่ายไปทางเฉินถิงเซียวขึ้นมาทีละคน
ในแวดวงธุรกิจ ไม่มีมิตรและศัตรูอะไรอย่างสมบูรณ์ มีเพียงแค่ผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น
ในชั่วเวลาสั้นๆสถานการณ์ในบริษัทเฉินซื่อของเฉินจิ่งหยุ้นได้เปลี่ยนเป็นเปราะบางขึ้นมา
เธอยังคงเป็นรองประธานบริษัทอยู่ แต่กลับไม่มีอำนาจในการออกสิทธิ์ออกเสียงเลย และไม่มีอำนาจที่แท้จริงเลยสักนิดเดียว
ปกติแล้วเรื่องที่จัดการโดยผ่านมือเธอ ก็เป็นเพียงแค่รายการสัญญาที่ไม่ได้สำคัญอะไรทั้งนั้นเลย
เธอถูกขจัดอำนาจทั้งหมดไปโดยสมบูรณ์ กลายเป็นคนที่จะมีก็ได้ไม่มีก็ได้คนหนึ่งในบริษัทเฉินซื่อ
เฉินจิ่งหยุ้นคิดพิจารณารอบด้านแล้ว สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะไปหาเฉินถิงเซียวอยู่ดี
เพียงแต่ว่าตอนที่เธอไปถึงที่ประตูทางเข้าห้องทำงานแล้ว ก็ถูกเลขาของเฉินถิงเซียวขวางเอาไว้ “ท่านรองประธาน มีผู้บริหารระดับสูงหลายท่านกำลังรายงานการทำงานอยู่ด้านในครับ”
“จะให้ฉันรออยู่ข้างนอกงั้นเหรอ?” เฉินจิ่งหยุ้นกวาดสายตามองเข้าไป เลขาไม่พูดอะไรออกมาทันที แต่กลับไม่ได้ปล่อยให้เข้าไปเช่นกัน
ในตอนนี้ ผู้บริหารระดับสูงหลายท่านที่มาหาเฉินถิงเซียวเพื่อรายงานการทำงานที่ด้านในได้เดินออกมากันแล้ว
พวกเขาเห็นเฉินจิ่งหยุ้น ก็ได้เรียกตามกันออกมา “ท่านรองประธาน”
เฉินจิ่งหยุ้นพยักหน้าออกมาด้วยสีหน้าเหมือนเคย แล้วก็ก้าวเดินเข้าไป
พอปิดประตูลง เธอก็เดินเข้าห้องทำงานของเฉินถิงเซียวไปด้วยความโกรธจัด “ถิงเซียว!”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร มองไปทางเฉินจิ่งหยุ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์
เฉินจิ่งหยุ้นที่จากเดิมแสดงท่าทีคุกคามออกมา พอถูกเขามองมาอย่างนี้ ความหยิ่งทะนงได้เลือนหายไปครึ่งหนึ่งทันที
“ถิงเซียว ตอนนี้นายหมายความว่าอะไรกัน คิดจะขจัดอำนาจทั้งหมดของฉันไปเหรอ? ผู้ถือหุ้นพวกนั้นสิ่งที่พวกเขาหวังมีเพียงแค่ผลประโยชน์ทั้งนั้น พวกเขาเชื่อถือได้เหรอ? ฉันเป็นญาติที่เกี่ยวข้องทางสายเลือดของนายนะ ฉันสิถึงจะเป็นคนคู่ควรให้นายเชื่อใจมากที่สุด!”
สือเย่เข้ามาส่งเอกสาร พอผลักประตูเข้ามาก็ได้ยินคำพูดนี้ของเฉินจิ่งหยุ้นเข้า
เขาตระหนักได้ว่ามาผิดเวลา จึงคิดจะถอยออกไป
แต่เฉินถิงเซียวก็ได้เห็นเขาเรียบร้อยแล้ว จึงส่งเสียงออกไป “เอาเข้ามา”
สือเย่จำต้องเอาเอกสารมาส่งให้ตรงหน้าโต๊ะทำงานของเฉินถิงเซียว
มีคนนอกอยู่ เฉินจิ่งหยุ้นจึงไม่ได้พูดคำที่ได้พูดออกมาเมื่อกี้นี้ต่ออีก
เธอเตรียมที่จะรอให้สือเย่ออกไปก่อน แล้วค่อยพูดออกไปต่อ แต่ตอนที่สือเย่กำลังจะไปนั้น กลับถูกเฉินถิงเซียวเรียกเอาไว้ “เดี๋ยวก่อน”
เฉินถิงเซียวกับสือเย่พูดคุยกัน ทิ้งเฉินจิ่งหยุ้นเอาไว้อีกด้านหนึ่งไม่ไปสนใจ
เฉินจิ่งหยุ้นข่มกลั้นความโกรธเอาไว้ รอให้เฉินถิงเซียวกับสือเย่พูดคุยกันจบ
เพียงแต่ รอตอนที่สือเย่กับเฉินถิงเซียวคุยธุระกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉินถิงเซียวพูดออกมาคำนึงว่า “เชิญท่านรองประธานออกไปด้วย”
การกระทำเหล่านั้นที่เฉินถิงเซียวได้ทำที่ในบริษัทช่วงนี้ สือเย่เองก็รู้เช่นกัน
เขาเดินตรงไปตรงหน้าเฉินจิ่งหยุ้น เชิญเธอออกไปอย่างอ้อมค้อมเป็นอย่างมาก “ท่านรองประธาน คุณชายยังมีงานต้องจัดการอยู่ครับ”
เฉินจิ่งหยุ้นไม่แม้แต่จะมองสือเย่เลยสักนิดเดียว เดินตรงเข้าไปตรงหน้าเฉินถิงเซียว หยิบเอกสารที่อยู่ด้านหน้าเขาโยนออกไปอีกด้านนึง “คำพูดที่ฉันพูดไปเมื่อกี้นี้นายได้ยินหรือเปล่า?”
รอจนตอนที่เฉินถิงเซียวได้ปรากฏตัวขึ้นมาที่ห้องทำงาน ก็เป็นเรื่องหลังจากสี่สิบนาทีไปแล้ว
ในระหว่างนั้นเฉินจิ่งหยุ้นได้โทรไปหาเฉินถิงเซียว แต่เฉินถิงเซียวก็ไม่รับสาย
พอเฉินถิงเซียวเข้ามา เฉินจิ่งหยุ้นก็เดินเข้าไปตรงหน้าเขาแล้วถามออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “นายไปไหนมา?”
“ประชุม” เฉินถิงเซียวเดินอ้อมเธอไป เดินตรงเข้าไปด้านหลังโต๊ะทำงาน
เฉินจิ่งหยุ้นกลอกสายตาไป พลางเอ่ยถามเป็นเชิงหยั่งเชิงออกไป “เมื่อกี้นายเพียงแค่ไปประชุม?”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเธอ สีหน้ามองไปแล้วก็ดูคาดเดาไม่ได้อยู่บ้าง “มีธุระอะไรก็ว่ามา”
เฉินจิ่งหยุ้นเองก็ไม่ได้เคลือบแคลงใจขึ้นมาเช่นกัน ในความคิดของเธอเฉินถิงเซียวตลอดมานี้ ก็มีท่าทางที่คาดเดาไม่ถูกอย่างนี้เสมอ เธอชินแล้ว
เธอก้าวเท้าเดินเข้าไปตรงหน้าโต๊ะทำงานของเฉินถิงเซียว “ฉันไม่ได้เจอมู่มู่มาหลายวันมากแล้ว คิดถึงเธอขึ้นมานิดหน่อย วันนี้เลยไปที่บ้านนายมาเที่ยวนึง มีบางอย่างที่อยากให้นายฟังดูสักหน่อย”
พูดไปแล้ว เธอก็หยิบปากกาบันทึกเสียงด้ามหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า ในขณะเดียวกันที่วางลงไปตรงหน้าเฉินถิงเซียวก็ได้กดเล่นไปด้วย
ในบันทึกเสียงได้มีเสียงรบกวนดังขึ้นมาอยู่สักพักนึงก่อน จากนั้นก็มีเสียงบทสนทนาของผู้หญิงสองคนดังขึ้นมา
“แกอยู่ข้างๆถิงเซียว ไม่ใช่ว่าหวังที่จะเอาอำนาจและเงินของเขาหรือไง? แกต้องการเงินเท่าไหร่ถึงจะยอมไปจากเขา?”
“ในเมื่อฉันหวังที่จะได้อำนาจและเงินของเขา แล้วจะออกไปจากเขาเพียงเพราะว่าคุณเอาเงินมาให้แค่ไม่กี่ตังค์ได้ยังไงกันล่ะ? อยู่ข้างๆเขาเป็นแม่ของลูกเขาไปไม่ใช่ว่ามันดูมีอนาคตที่ก้าวไกลกว่าอีกไม่ใช่หรือไง?”
“แต่ว่า คุณคิดจะใช้เงินเท่าไหร่มาทำให้ฉันออกไปจากเฉินถิงเซียว? ถ้าจำนวนมันถูกใจฉัน ฉันจะลองพิจารณาดูสักหน่อยก็ได้”
เสียงของผู้หญิงสองคนนี้ได้แบ่งแยกเอาไว้ชัดเจนว่าเป็นใคร เฉินจิ่งหยุ้นรู้ว่าเฉินถิงเซียวสามารถฟังออกได้
เธอปิดบันทึกเสียงไป พลางถามเสียงเข้มออกไป “ถิงเซียว นายก็ได้ยินแล้ว นี่เป็นคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของมู่น่อนน่อน ขอเพียงแค่ฉันจ่ายเงินออกไปสักหน่อย หล่อนก็สามารถออกไปจากนายได้แล้ว ผู้หญิงอย่างนี้ เป็นผู้หญิงแบบที่นายต้องการเหรอ?”
ในความคิดของเฉินจิ่งหยุ้น ผู้ชายคนหนึ่งได้ยินผู้หญิงพูดคำพูดจำพวกนี้ออกมา ภายในใจก็จะเกิดความรู้สึกเกลียดชังกันทั้งนั้น
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฉินถิงเซียวที่เป็นประธานของบริษัทเฉินซื่อเลย มีอำนาจการตัดสินใจที่สูงที่สุดในบริษัทเฉินซื่อ
ผู้ชายอย่างนี้ จะไปทนไหวได้ยังไง ผู้หญิงของตัวเองเพียงแค่ชอบทรัพย์สมบัติและอำนาจของตัวเองเท่านั้น
เฉินจิ่งหยุ้นคิดคำนวณผลได้ผลเสียทุกอย่างอยู่ในใจเอาไว้เสียดิบดี แต่ว่าเธอก็ลืมไปว่าแต่ไหนแต่ไรมาเฉินถิงเซียวไม่ใช่คนประเภทเดียวกับเธอเลย
เดิมทีแล้วเธอนึกว่าหลังจากที่เฉินถิงเซียวได้ฟังบันทึกเสียงแล้ว จะต้องเกิดความรังเกียจต่อมู่น่อนน่อนขึ้นมาอย่างแน่นอน
แต่เฉินถิงเซียวเพียงแค่ถามออกมาประโยคนึงเท่านั้น “เธอคิดจะจ่ายเงินออกไปเท่าไหร่ เพื่อทำให้มู่น่อนน่อนออกไปจากฉัน?”
มองออกว่าเฉินจิ่งหยุ้นไม่ได้รู้เรื่องที่มู่น่อนน่อนได้สูญเสียความทรงจำไปแล้วเลย
สีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ถิงเซียว นายหมายความว่าอะไร?”
บนใบหน้าของเฉินถิงเซียวยังคงไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา แต่เฉินจิ่งหยุ้นกลับรู้สึกอันตรายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ถ้าคำถามนี้เธอตอบไม่ดี ก็คงมีเรื่องที่โหดร้ายยิ่งกว่ารอเธออยู่
เฉินถิงเซียวแสยะริมฝีปากออกมาเล็กน้อย ตรงระหว่างคิ้วกับดวงตาต่างก็เผยความเยือกเย็นออกมา “ฉันถามเธอก่อน เธอก็ตอบคำถามฉันก่อน”
“ฉันก็แค่หลอกหล่อนดูเท่านั้นเอง นึกไม่ถึงว่าหล่อนจะข่มอามณ์เอาไว้ไม่อยู่ขนาดนี้” เฉินจิ่งหยุ้นในตอนนี้ก็ได้ปล่อยความหัวหมอออกไปอีก ไม่กล้าตอบคำถามเขาไปตรงๆ
เสียงของเฉินถิงเซียวจู่ๆก็ผ่อนเบาลงหลายส่วน “เธอไม่ชอบมู่น่อนน่อน นี่คือเหตุผลที่เมื่อตอนนั้นที่เกาะเกิดการระเบิดขึ้นมา เธอเลยไม่ได้ให้ทีมค้นหากู้ภัยช่วยเธอ ใช่มั้ย?”
“เมื่อตอนนั้นฉันเพียงแค่กังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของนายเท่านั้นเอง เมื่อตอนนั้นนายบาดเจ็บสาหัสมาก นายเป็นน้องชายแท้ๆของฉัน แน่นอนว่าฉันจะต้องสนใจนายก่อนอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อตอนนั้นพวกกู้จือหยั่นไม่ใช่ว่าไปช่วยมู่น่อนน่อนกันแล้วหรือไง ตอนนี้หล่อนก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยไม่ใช่เหรอ?”
เดิมทีแล้วเฉินจิ่งหยุ้นก็ยังมีความร้อนตัวกลัวความผิดอยู่บ้าง แต่พูดถึงตอนท้ายแล้ว เธอก็ไม่เพียงแต่จะไม่ได้รู้สึกร้อนตัวกลัวความผิดขึ้นมาเท่านั้น แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองมีเหตุผลมากเลย
จู่ๆเฉินถิงเซียวก็ยิ้มออกมา เพียงแต่รอยยิ้มนั้นมันเย็นยะเยือกเหมือนกับสีหน้าที่แสดงออกมาของเขาเลย
“แต่เมื่อก่อนหน้านี้เธอก็เคยบอกไม่ใช่หรือไงว่าฉันกับกู้จือหยั่นไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน ในเมื่อไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันแล้ว ทำไมเขาถึงต้องไปช่วยมู่น่อนน่อน?”
“มู่น่อนน่อนกับกู้จือหยั่นพวกเขามีความสัมพันธ์กันไง ความสัมพันธ์ของดาราคนนั้นกับมู่น่อนน่อนไม่ใช่ว่าดีมากเลยหรือไง?”
ก้นบึ้งภายในใจของเฉินจิ่งหยุ้นรู้สึกไม่สงบขึ้นมา แต่ก็อยากจะทำการสู้ครั้งสุดท้ายเผื่อจะโชคดีหลีกเลี่ยงความโชคร้ายไปได้อีกที
“เฉินจิ่งหยุ้น เธอคิดว่าฉันเป็นคนโง่” คำพูดนี้ของเฉินถิงเซียว พูดออกมาเป็นประโยคบอกเล่า
สีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นได้ขาวซีดออกมาทันที “ถิงเซียว…”
ทุกๆข้ออ้างและเหตุผลของเธอ มองดูแล้วมันมีช่องโหว่อยู่เต็มไปหมด
ในดวงตาของเฉินถิงเซียวเผยความทนไม่ไหวออกมาเล็กน้อย เขาก้มหน้าลงไปดูเอกสารที่อยู่ตรงหน้า พลางเอ่ยออกไปอย่างไม่ใส่ใจ “ฉันเคยให้โอกาสเธอแล้ว แต่เธอกลับไม่พูดความจริงออกมาเลย ออกไปเสียเถอะ”
ในน้ำเสียงของเขาไม่มีการตำหนิและความโกรธออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับน้ำเสียงที่เขาใช้พูดกับลูกน้อง…ไม่สิ น้ำเสียงที่เขาพูดกับสือเย่ก็ยังดีกว่าน้ำเสียงในตอนนี้เสียอีก
เฉินจิ่งหยุ้นอยากจะอธิบายให้กับตัวเองออกไปสักหน่อย แต่พอได้อ้าปากพูดออกไป กลับรู้สึกว่าภายในลำคอเหมือนกับมีอะไรบางอย่างอุดอยู่ก็ไม่ปาน แม้แต่คำพูดเดียวก็ยังพูดไม่ออกเลย
เธอผันร่างออกไป หลังจากที่ปิดประตูห้องทำงานลง ก็ได้ยกมือขึ้นมาปิดหน้าเอาไว้
เบ้าตาแสบขึ้นมา มีน้ำตาไหลออกมา
เธอเป็นคุณหนูใหญ่ผู้หยิ่งทะนงของตระกูลเฉิน เธอเป็นการดำรงอยู่ที่ถูกผู้มีชื่อเสียงจำนวนนับไม่ถ้วนต้องแหงนมองกัน เธอไม่อาจร้องไห้ออกมาได้…
ภายในห้องทำงานของประธานบริษัท
สายตาของเฉินถิงเซียวจรดมองลงไปที่บนปากกาบันทึกเสียงที่อยู่บนโต๊ะทำงาน
เมื่อกี้เฉินจิ่งหยุ้นเดินออกไปด้วยความรีบเร่ง จึงไม่ได้เอาปากกาบันทึกเสียงด้ามนี้ไปด้วย
เฉินถิงเซียวยื่นมือไปหยิบมา แล้วฟังบันทึกเสียงที่อยู่ข้างในไปอีกครั้งนึง
ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เขายิ้มเย็นออกมา แล้ววางบันทึกเสียงลงไปข้างๆ
……
เรื่องที่เฉินจิ่งหยุ้นมาหากันถึงบ้าน ไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรให้กับมู่น่อนน่อนเลย
เฉินจิ่งหยุ้นเกลียดเธอขนาดนั้น แต่เธอกลับไม่รู้เลยว่าทำไมเฉินจิ่งหยุ้นถึงได้เกลียดเธอ
ในช่วงเวลาแบบนี้ การสูญเสียความทรงจำสำหรับเธอแล้ว เหมือนกับว่าเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งเลยเหมือนกัน
เธอไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหาร เฉินมู่ขับรถของเล่นของเธอมาที่ห้องครัว
ช่วงนี้เฉินมู่ได้เปลี่ยนมาติดเธอเป็นพิเศษ
เธอได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว จึงหันหน้ามองไปทางเฉินมู่ “หนูเข้ามาได้ยังไง?”
เฉินมู่นั่งอยู่ในรถของเล่น กะพริบตาปริบๆพลางเอ่ยออกมา “หนูอยากช่วยคุณแม่”
“ได้เลย”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ได้หยิบม้านั่งเล็กๆมาวางที่ตรงหน้าของอ่างน้ำเล็กๆ หยิบผักกวางตุ้งกับมะเขือเทศมา แล้วให้เธอล้างอยู่ที่ตรงนั้น
ตอนที่มู่น่อนน่อนทำอาหาร เฉินมู่ก็ได้มองอยู่ที่ข้างๆ
เธอเห็นมู่น่อนน่อนใส่อะไรลงไปในหม้อ ก็ได้พูดออกมาว่าอยากกินอันนั้น มองดูแล้วดูตะกละตะกลามมากเลย
เป็นเจ้าตัวตะกละน้อย
ตอนที่ยกอาหารมาเสิร์ฟ เธอหยิบชามของเฉินมู่ออกมา ให้เฉินมู่ยกไปที่ห้องรับประทานอาหารด้วยตัวเอง
เฉินมู่ทำตามคำพูดของเธอไปด้วยท่าทีที่มีความสุข หลังจากที่วางชามลงไปบนโต๊ะอาหารแล้ว ยังมองเธอไปด้วยใบหน้าที่แสดงท่าทีร้องขอรางวัลออกมาอีกด้วย “หนูวางเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
มู่น่อนน่อนคีบปีกไก่ไปให้เธอชิ้นหนึ่ง “รางวัลเป็นปีกไก่ทอดชิ้นหนึ่ง”
ตอนที่เฉินถิงเซียวกลับมา สิ่งที่เห็นก็คือภาพเหตุการณ์อย่างนี้
เฉินมู่ยกชามเล็กๆของตัวเองมา กัดแทะปีกไก่ไปจนน้ำมันเต็มปากไปหมด มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพเฉินมู่สามร้อยหกสิบองศาต่อเนื่องไม่หยุดอยู่ที่ข้างๆ
เฉินถิงเซียวเอาเสื้อสูทตัวนอกที่อยู่มือส่งไปให้คนใช้ แล้วเดินตรงเข้าไป
หางตาของเฉินมู่เหลือบเห็นเฉินถิงเซียวแล้ว ส่งเสียงเรียกออกไปอย่างไม่จริงจังนัก “คุณพ่อ”
“อืม”
เฉินถิงเซียวตอบรับออกไปคำนึง แล้วก็หันหน้ามองไปทางมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าสายตาที่เฉินถิงเซียวมองเธอนั้นมันแปลกๆไปเล็กน้อย
เฉินมู่กระโดดลงจากโซฟา แล้ววิ่งไปยังเฉินจิ่งหยุ้น
มู่น่อนน่อนมองอยู่ข้างๆ บนใบหน้าไม่ได้มีอารมณ์พิเศษอะไรเลย
เธอเพียงแค่มองสำรวจเฉินจิ่งหยุ้นไปหลายที แล้วก็ได้สั่งคนใช้ให้ไปเอาชามาเสิร์ฟ
ถึงแม้ว่าเฉินจิ่งหยุ้นจะไม่ใช่แขกที่ได้เชิญมาเอง แต่นั่นก็ยังเป็นแขก
ถึงแม้ว่ามู่น่อนน่อนจะไม่รู้ว่าทำไมเฉินจิ่งหยุ้นถึงได้เกลียดเธอ แต่เฉินมู่ก็เป็นคนแซ่เฉิน
มองออกว่าเฉินจิ่งหยุ้นเองก็มีความรู้สึกจริงๆต่อเฉินมู่อยู่บ้างเหมือนกัน เฉินจิ่งหยุ้นไม่ได้ปฏิบัติตัวไม่ดีต่อเฉินมู่ในขณะที่เกลียดเธออยู่เลย
ดังนั้นแล้ว เธอจึงไม่ขัดขวางเฉินมู่กับเฉินจิ่งหยุ้นที่จะใกล้ชิดกัน
เฉินมู่กระโดดลงจากโซฟา แล้วก็วิ่งเข้าไปหาเฉินจิ่งหยุ้น
เฉินจิ่งหยุ้นกอดเฉินมู่เข้ามาในอ้อมแขน แล้วจูบลงไปบนใบหน้าของเธอ “มู่มู่ คิดถึงป้าหรือเปล่า”
“คิดถึง”
เฉินจิ่งหยุ้นยิ้มแล้วอุ้มเธอขึ้นมา พูดคุยกับเธอ
ตอนนี้คนใช้ได้ยกชาเข้ามา “คุณหนูเฉิน เชิญดื่มชาค่ะ”
เฉินจิ่งหยุ้นวางเฉินมู่ลงไปข้างๆ เลิกตาขึ้นมองไปทางมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้หลบเลี่ยงไป ได้เผชิญเข้ากับสายตาของเฉินจิ่งหยุ้นไปตรงๆ
สายตาของทั้งสองคนได้บรรจบกันที่กลางอากาศ มู่น่อนน่อนไม่มีความขลาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เฉินจิ่งหยุ้นแสยะยิ้มเย็นออกมา
มู่น่อนน่อนหันหน้าไป ส่งแท็บเล็ตที่อยู่ในมือไปให้คนใช้ “พามู่มู่ขึ้นไปเล่นข้างบน” เธอพูดจบ ก็ได้พูดกับเฉินมู่ไปอีกทีนึงว่า “แม่กับคุณป้ามีเรื่องต้องคุยกัน หนูขึ้นไปเล่นข้างบนก่อนแป๊บนึง อีกเดี๋ยวแม่จะขึ้นไปหา”
“อืม” เฉินมู่พยักหน้าออกมาเล็กน้อย แล้วก็ได้ถูกคนใช้พาออกไป
พอเฉินมู่เดินออกไปแล้ว เฉินจิ่งหยุ้นก็ไม่ได้ปิดซ่อนออกมาอีก บนใบหน้าแสดงท่าทีเหยียดหยามออกมาอย่างไม่มีปิดบังเลยแม้แต่น้อย “มู่มู่ได้นิสัยถิงเซียวมา ใจกว้างเป็นมิตรกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นคนแบบไหนก็เข้าตาไปหมด”
เมื่อสามปีก่อนเธอไม่ชอบมู่น่อนน่อน สามปีต่อมาเธอก็ยังไม่ชอบมู่น่อนน่อนอยู่
“งั้นเหรอ?” มู่น่อนน่อนฉีกยิ้มมุมปากออกมา สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลย “คุณหนูเฉินพูดอะไรฉันไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่ แต่ว่าฉันก็รู้ว่าระหว่างคุณหนูเฉินกับเฉินถิงเซียวมีความเข้าใจผิดกันอยู่ คุณไปหาเขาไม่ใช่ว่าก็จบแล้ว”
วันนั้นท่าทีที่เฉินถิงเซียวมีต่อเฉินจิ่งหยุ้น มู่น่อนน่อนมองเห็นได้อย่างชัดเจน
สองพี่น้องคู่นี้เห็นได้ชัดว่าไม่ลงรอยกัน
ตอนนี้เฉินถิงเซียวไม่ฟังคำพูดของเฉินจิ่งหยุ้นเลยสักนิด
เฉินจิ่งหยุ้นจำต้องมาหาเธอ
คนเราก็เป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น มักจะชอบรังแกคนที่อ่อนแกกว่าแต่กลัวคนที่แข็งแรงกว่ากัน
เฉินจิ่งหยุ้นนึกว่าเธอจะอ่อนกว่าเฉินถิงเซียวได้เท่าไหร่กัน?
อันที่จริงเฉินจิ่งหยุ้นกับมู่น่อนน่อนก็ได้ติดต่อพูดคุยกันน้อยมากเลยด้วย ดังนั้นแล้วจึงไม่ได้รู้จักมู่น่อนน่อนดีมากนัก
ได้ยินคำพูดที่ภายนอกฟังดูอ่อนโยนดีแต่ภายในใจกลับมาความคิดชั่วร้ายแฝงเอาไว้อยู่ของมู่น่อนน่อน เฉินจิ่งหยุ้นรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ก็ยิ่งโกรธขึ้นมามากขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน
“ระหว่างฉันกับถิงเซียวมีความเข้าใจผิดกัน นั่นก็ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเธอหรือไง?” เฉินจิ่งหยุ้นชำเลืองมองเธอไปอย่างเย็นชา แล้วก็ได้เพิ่มน้ำหนักของน้ำเสียงให้หนักขึ้น “คนฉลาด จะต้องรู้จักทำอะไรหรือพูดอะไรให้เหมาะสม ไม่ชวนให้คนอื่นเขาเกลียดกันสักหน่อย แล้วออกจากถิงเซียวไปเอง”
มู่น่อนน่อนนอนพิงเข้ากับโซฟา น้ำเสียงเนือยๆออกมา “คำพูดนี้คุณพูดกับเฉินถิงเซียวเองเถอะค่ะ”
“มู่น่อนน่อน!” เฉินจิ่งหยุ้นโกรธจนลุกยืนขึ้นจากบนโซฟาทันที “แกอย่ามาทำเป็นพูดดีๆแล้วไม่ยอมทำตาม แล้วต้องให้ใช้กำลังมาบังคับนะ”
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าไปลึกๆ แสร้งทำเป็นเอ่ยออกไปด้วยความสงสัย “เรื่องที่คุณหนูเฉินมาที่บ้านวันนี้ เฉินถิงเซียวไม่ได้รู้เรื่องเลยใช่มั้ยคะ?”
สองพี่น้องแห่งตระกูลเฉินคู่นี้ถึงแม้ว่าจะไม่ลงรอยกัน แต่ก็มีจุดที่เหมือนกันอยู่
อธิเช่นต่างก็ชอบสั่งคนอื่นด้วยกันทั้งคู่
เหมือนกับคนอื่นเขาควรจะถูกพวกเขาควบคุม เชื่อฟังคำพูดของพวกเขากันทั้งนั้น
ก้นบึ้งภายในใจของมู่น่อนน่อนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย แต่ภายนอกยังคงรักษารอยยิ้มสงบนิ่งเอาไว้อยู่
เฉินจิ่งหยุ้นจ้องมองเธอไปด้วยสีหน้าที่ย่ำแย่ “แกให้คนไปแจ้งถิงเซียว?”
“ไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าคุณหนูเฉินคุณเป็นพี่สาวแท้ๆของเขา คุณมาที่บ้าน แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องแจ้งเฉินถิงเซียวกันอยู่แล้ว” อันที่จริงเธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนพวกนั้นจะแจ้งเฉินถิงเซียวไปหรือเปล่า
แต่ เห็นได้ชัดว่าเฉินจิ่งหยุ้นนั้นเชื่อคำพูดของเธอ
ก้นบึ้งภายในใจของเฉินจิ่งหยุ้นนั้นยังมีความขลาดกลัวเฉินถิงเซียวอยู่บ้าง ถามมู่น่อนน่อนออกไปอย่างไม่ยินยอม “แกอยู่ข้างๆถิงเซียว ไม่ใช่ว่าหวังที่จะเอาอำนาจและเงินของเขาหรือไง? แกต้องการเงินเท่าไหร่ถึงจะยอมไปจากเขา?”
เฉินจิ่งหยุ้นไม่ชอบมู่น่อนน่อนมาโดยตลอด คิดว่ามู่น่อนน่อนหวังเงินและอำนาจของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนยิ้มหยันออกมา “ในเมื่อฉันหวังที่จะได้อำนาจและเงินของเขา แล้วจะออกไปจากเขาเพียงเพราะว่าคุณเอาเงินมาให้แค่ไม่กี่ตังค์ได้ยังไงกันล่ะ? อยู่ข้างๆเขาเป็นแม่ของลูกเขาไปไม่ใช่ว่ามันดูมีอนาคตที่ก้าวไกลกว่าอีกไม่ใช่หรือไง?”
เธอพูดจบ ก็เหมือนกับว่าอยากรู้อยากเห็นเอามากๆขึ้นมาอีก จึงส่งเสียงถามเฉินจิ่งหยุ้นออกไป “แต่ว่า คุณคิดจะใช้เงินเท่าไหร่มาทำให้ฉันออกไปจากเฉินถิงเซียว? ถ้าจำนวนมันถูกใจฉัน ฉันจะลองพิจารณาดูสักหน่อยก็ได้”
มู่น่อนน่อนใช้น้ำเสียงเย้าหยอกเฉินจิ่งหยุ้นเล่นออกไปอย่างเห็นได้ชัดขนาดนี้ ทำให้เฉินจิ่งหยุ้นโกรธจนสั่นไปหมด
“ขอให้แกอวดดีอย่างนี้ให้ตลอดแล้วกัน!” เฉินจิ่งหยุ้นกัดฟันแล้วพูดทิ้งท้ายเอาไว้คำนึง แล้วก็เดินแกว่งแขนออกไป
พอเฉินจิ่งหยุ้นเดินออกไปแล้ว มู่น่อนน่อนจึงผ่อนลมหายใจออกมายาวๆด้วยความโล่งอก
เธอพิงเข้ากับโซฟาแล้วทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง ตอนที่กำลังคิดว่าจะขึ้นไปหาเฉินมู่นั้น ก็ได้ยินการเคลื่อนไหวที่ด้านนอกประตู
เลิกตาขึ้นมองไปทางประตูทางเข้า ก็เห็นเฉินถิงเซียวกำลังสาวก้าวใหญ่ๆเดินเข้ามาทางเธอ
มู่น่อนน่อนมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย คนใช้ได้โทรไปหาเฉินถิงเซียวเพื่อเรียกเขากลับมาจริงๆ
เฉินถิงเซียวเดินตรงเข้ามาอยู่ตรงหน้าเธอ ลดสายตาลงถามเธอออกมา “เฉินจิ่งหยุ้นล่ะ?”
“ไปแล้ว” มู่น่อนน่อนเบ้ปากออกมาเล็กน้อย “ถูกฉันทำให้โกรธจนกลับไปแล้ว”
พูดจบ มู่น่อนน่อนก็มองไปทางเฉินถิงเซียวด้วยใบหน้าของผู้บริสุทธิ์
เฉินถิงเซียวเพียงแค่เลิกคิ้วเล็กน้อยออกมา ไม่ได้พูดอะไรมากมายออกมา จากนั้นก็ผันร่างเดินออกไปข้างนอกอีกครั้ง
มู่น่อนน่อนลุกยืนขึ้นมา “นี่คุณจะกลับแล้ว?”
เฉินถิงเซียวไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา ฝีเท้าได้เดินไปเร็วกว่าเดิม
สีหน้าของมู่น่อนน่อนนิ่งค้างออกมา
เมื่อกี้เธอจงใจบอกไปว่าเฉินจิ่งหยุ้นนั้นเธอได้โกรธจนกลับไปแล้ว ก็เพราะว่าอยากจะลองใจเฉินถิงเซียวดูสักหน่อยว่าตกลงแล้วเฉินจิ่งหยุ้นมีสถานะแบบไหนกันแน่
ตอนนี้ดูเหมือนว่า…
เฉินถิงเซียวนี้เป็นคนที่เกรี้ยวกราดกับทุกคนแบบไม่เลือกหน้าเลยจริงๆ เขาไม่สนเลยว่าเธอกับเฉินจิ่งหยุ้นเกิดอะไรขึ้น
งั้นเขากลับมาทำไมกัน?
……
ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวได้รับสายจากสาวใช้ ได้ยินว่าเฉินจิ่งหยุ้นมาหามู่น่อนน่อน ก็กังวลว่ามู่น่อนน่อนจะได้รับอันตรายขึ้นมา จึงขับรถกลับมาเลยทันที
เพราะถึงยังไงเมื่อตอนนั้นเฉินจิ่งหยุ้นก็สามารถใจร้ายไม่ยอมช่วยมู่น่อนน่อนได้ลงคอ ตอนนี้จงใจถือโอกาสตอนที่เขาไม่อยู่ไปหามู่น่อนน่อนที่บ้าน แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะต้องการจับมือคืนดีกับมู่น่อนน่อนแน่
เฉินจิ่งหยุ้นก็คือต้องการจะมาหาเรื่องมู่น่อนน่อน
แต่ผลสุดท้ายพอกลับมาดู มู่น่อนน่อนไหนเลยจะมีสภาพเหมือนกับโดนทำร้ายมา
เฉินถิงเซียวเข้ามานั่งในรถ คลายเนกไทออกไปเล็กน้อย แล้วขับรถไปยังบริษัทเฉินซื่อ
เขาเข้าบริษัทเฉินซื่อไป เพิ่งจะออกมาจากลิฟต์ ก็มีเลขาเข้ามาบอกเขาว่าเฉินจิ่งหยุ้นกำลังรอเขาอยู่ที่ห้องทำงานของเขา
เฉินถิงเซียวยิ้มอย่างคลุมเครือออกไป “รอนานแล้ว?”
เลขาพูด “เพิ่งมาครับ”
“ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่ามีประชุมหรือไง? ตอนนี้เริ่มประชุมกันเลยแล้วกัน” เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็เดินตรงไปยังห้องประชุม
เลขายืนอยู่ตรงที่เดิมด้วยใบหน้าทำอะไรไม่ถูก นี่ท่านประธานตั้งใจจะให้ท่านรองประธานรอ?
ทั้งบริษัทเฉินซื่อ ไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวกับเฉินจิ่งหยุ้นเป็นพี่น้องแท้ๆกัน
ตอนนี้สถานการณ์นี้มันเป็นความสัมพันธ์แตกหักกันแล้ว?
เมื่อก่อนเฉินถิงเซียวกับเฉินจิ่งหยุ้นก็ไม่ลงรอยกันอยู่เหมือนกัน แต่ก็มีเพียงแค่คนตระกูลเฉินเท่านั้นที่รู้ คนนอกไม่ได้รู้เรื่องราวภายในชัดเจนกัน
เลขาเพียงแค่ยืนอยู่ตรงที่เดิมไปสักพักนึง แล้วไปเก็บของที่จำเป็นต้องใช้ในการประชุมมา
เฉินจิ่งหยุ้นรอแล้วรอเล่า ก็ไม่เห็นเฉินถิงเซียวกลับมาเลย หรือว่าเขาจะไปหามู่น่อนน่อนแล้วจริงๆงั้นเหรอ?
ถึงแม้ว่าจะสูญเสียความทรงจำไป มู่น่อนน่อนสำหรับแล้วก็ยังสำคัญขนาดนั้นอยู่?
ว่าไปแล้ว กู้จือหยั่นมาที่ห้องทำงานของเฉินถิงเซียวเป็นครั้งแรก
เขามองที่ตรงนี้ไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไปแตะที่ตรงนั้นตรงนี้ จากนั้นก็เอ่ยออกไป “สไตล์การตกแต่งของที่นี่ ไม่ได้ต่างจากห้องทำงานที่บริษัทเสิ้งติ่งของนายเลยนะเนี่ย”
“มีเรื่องอะไรก็ว่ามา” เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปนั่งลงที่ด้านหลังโต๊ะทำงาน น้ำเสียงเรียบนิ่งอย่างมาก
กู้จือหยั่นจึงได้ผันร่างออกไป สาวเท้าก้าวใหญ่ๆเดินเข้าไปที่ตรงหน้าโต๊ะทำงานของเฉินถิงเซียว มือทั้งสองข้างได้ยันอยู่บนโต๊ะทำงาน มองจ้องเขาพลางเอ่ยออกไป “ถิงเซียว นายฟื้นความทรงจำกลับมาแล้วใช่มั้ย?”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากไป
ทั้งสองคนสบตากันอยู่สักพักนึง เฉินถิงเซียวถึงได้ส่งเสียงพูดออกไป “แล้วนายคิดว่าไงล่ะ?”
“วันนั้นที่โรงแรมจีนติ่ง นายไม่ชอบของขวัญในการพบหน้ากันที่ฉันให้กับมู่มู่ที่เป็นกล่องเงินสดกล่องหนึ่ง เมื่อก่อนนายก็ไม่ชอบฉันอย่างนี้มาโดยตลอดแต่ก็บีบคั้นฉันอยู่ไม่หยุดอีก…”
กู้จือหยั่นพูดไปแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มบ่นออกมาอีกครั้ง
เฉินถิงเซียวได้พูดคำหนึ่งจากในคำพูดที่เขาเอ่ยออกมาอีกรอบนึง “บีบคั้น?”
สีหน้าของกู้จือหยั่นเปลี่ยนไป กลืนน้ำลายแล้วเอ่ยพูดออกมา “ไม่…ไม่ใช่บีบคั้น แต่เป็นความรักทะนุถนอม…”
เฉินถิงเซียวส่งเสียงเฮอะเสียงเย็นออกมา มีท่าทีไม่เชิงยอมรับแต่ก็ไม่ได้คัดค้านด้วยเช่นกันออกมา
“นายฟื้นความทรงจำกลับมาแล้วจริงๆ” กู้จือหยั่นแทบจะร้องไห้ออกมา “แม่งเอ๊ยฉันดักรอนายมาสามปี นายไม่มีการตอบสนองมาเลยสักนิดเดียว ตอนนี้ได้อยู่กับน่อนน่อนมาแค่ไม่นานเท่าไหร่ ก็ฟื้นความทรงจำกลับมาแล้ว นายจะทำตามใจชอบขนาดนี้เลยเหรอ?”
กู้จือหยั่นพูดเสียจนดูเจ็บปวดเสียใจ แต่ว่าเฉินถิงเซียวก็ไม่แยแสเลยสักนิดเดียว “นายกับคุณเสิ่นเป็นอะไรกัน?”
“ฉันกับเสิ่นเสี่ยวเหลียงเป็นอะไรกัน นายไม่รู้?”
“ตอนนี้ยังนึกไม่ออก” เฉินถิงเซียวพูดออกมา
กู้จือหยั่นนิ่งอึ้งไปสักพักนึง แล้วถามออกไป “นี่นายมีอาการเป็นยังไงกัน?”
เฉินถิงเซียวอธิบายง่ายๆออกไป “บางครั้งก็มีภาพบางอย่างแวบเข้ามา”
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?” เมื่อก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่โรงแรมจีนติ่ง เขารู้สึกได้ว่าเฉินถิงเซียวฟื้นความทรงจำกลับมาแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นสถานการณ์อย่างนี้
“ไม่รู้” เฉินถิงเซียวพูดออกไปตามความจริง
“แล้วน่อนน่อนล่ะ? เมื่อตอนนั้นพวกนายได้เกิดอุบัติเหตุด้วยกัน เธอไม่ฟื้นความทรงจำกลับมาเลยสักนิด?”
“เมื่อตอนนั้นเธอบาดเจ็บหนักกว่าฉัน ตอนนี้ไม่มีสัญญาณว่าจะฟื้นความทรงจำกลับมาเลย คุณหมอบอกว่าความเป็นไปได้ที่เธอจะฟื้นความทรงจำกลับมานั้นต่ำมาก” เฉินถิงเซียวพูดถึงท่อนหลังแล้ว น้ำเสียงก็ดิ่งต่ำลงเล็กน้อย
พูดถึงเรื่องเมื่อตอนนั้นขึ้นมา สีหน้าที่แสดงออกมาของกู้จือหยั่นก็ได้เคร่งขรึมขึ้นมา
“เมื่อตอนนั้นนายเกิดเรื่องขึ้นที่เกาะเล็ก เฉินจิ่งหยุ้นนำคนไปช่วยนาย สุดท้ายก็เพียงแค่พานายไป ตอนที่ฉันตามไปในตอนหลัง ก็ไม่เจอน่อนน่อน เฉินจิ่งหยุ้นเองก็ไม่ให้ฉันเจอนายเลยด้วย”
เฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดนั้นแล้ว ก็ได้เลิกตาขึ้นมาทันที สีหน้าคาดเดาไม่ถูกออกมา “เธอไม่ได้ช่วยมู่น่อนน่อน?”
“เธอคิดที่จะจับคู่นายกับซูเหมียนมาโดยตลอด จะไปช่วยมู่น่อนน่อนได้ยังไง พิษที่ร้ายแรงที่สุดก็หัวใจผู้หญิงนี่ล่ะนะ” กู้จือหยั่นเห็นสีหน้าของเฉินถิงเซียวผิดไป เดิมทีก็ยังอยากจะพูดอะไรออกไปอีก แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปอีก
ระหว่างช่วงสามปีนี้ เขากับเสิ่นเหลียงต่างก็คิดว่ามู่น่อนน่อนไม่อยู่แล้ว
เฉินถิงเซียวก็เสียความทรงจำไปอีก เชื่อคำพูดของเฉินจิ่งหยุ้นไปโดยสมบูรณ์ แล้วก็ลืมมู่น่อนน่อนไปด้วย
กู้จือหยั่นเองก็อดไม่ได้ที่จะกระอักกระอ่วนขึ้นมาบ้างเล็กน้อย “สามปีนี้พวกเราต่างก็คิดกันว่าชั่วชีวิตนี้คงจะเป็นอย่างนี้ไปตลอดแล้ว แต่น่อนน่อนก็ยังมีชีวิตอยู่ นายก็ค่อยๆฟื้นความทรงจำขึ้นมาอย่างช้าๆอีก เรื่องทั้งหมดมันก็ได้พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น…”
บนใบหน้าของเฉินถิงเซียวไม่ได้มีความผันผวนใดๆออกมา ไม่รู้ด้วยว่าได้ยินคำพูดของกู้จือหยั่นไปหรือเปล่า
เขากลับถามกู้จือหยั่นอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาแทน “เมื่อตอนนั้นเฉินจิ่งหยุ้นพาฉันไปรักษาตัวที่เมืองM นายรู้หรือเปล่าว่าโรงพยาบาลอะไร?”
กู้จือหยั่นคิดๆไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยออกมา “ไม่รู้ เธอพานายไปอเมริกาอยู่สักพักนึง เมื่อตอนนั้นพวกเรายุ่งอยู่กับการตามหาน่อนน่อน จึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้เลย”
เฉินถิงเซียวได้ยินอย่างนั้นแล้ว ก็หลุบตามองต่ำลง ไม่ขยับเลยสักนิดเดียว ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
กู้จือหยั่นถามเขาออกไปอย่างข้องใจ “เป็นอะไรไป?”
เฉินถิงเซียวยื่นมือไปเปิดเอกสารชุดหนึ่งออกมา “บริษัทเสิ้งติ่งคงจะมีหลายเรื่องที่ต้องทำ”
กู้จือหยั่นแตะจมูกไปเล็กน้อย นี่เฉินถิงเซียวกำลังไล่เขาอยู่
ตอนก่อนที่จะออกไป กู้จือหยั่นก็ไม่ลืมที่จะพูดออกไปว่า “งั้นฉันกลับบริษัทเสิ้งติ่งก่อน เดี๋ยวค่อยไปดื่มกันที่โรงแรมจีนติ่งด้วยกันนะ”
เฉินถิงเซียวเพียงแค่พูดออกมาคำนึงเบาๆ “ไม่ไป ที่บ้านมีลูก”
กู้จือหยั่นกระตุกมุมปากออกมา เขาที่ไม่มีลูกถูกเยาะเย้ยเข้าเสียแล้ว
เขาคิดๆไปแล้วเอ่ยออกมาว่า “งั้นฉันไปดื่มที่บ้านนาย?”
กู้จือหยั่นมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเฉินถิงเซียว แต่ว่านิสัยร่าเริงมีความคิดที่เหนือการควบคุมกว่าเขาอยู่บ้าง
ในตอนนี้เขากำลังมองเฉินถิงเซียวไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง มองไปแล้วก็ดูหวั่นๆอยู่บ้างเหมือนกัน
“อืม” เฉินถิงเซียวเหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วก็ได้พูดออกมาอีกว่า “จะเรียกคุณเสิ่นมาด้วยก็ได้”
กู้จือหยั่นดีใจจนตบลงไปที่ต้นขาไปทันที “โอเค! ฉันจะพาเหล้าไปเอง!”
……
ภายในห้องโถง
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่บนโซฟากับเฉินมู่ อยู่ดูการ์ตูนเป็นเพื่อนเธอ
เมื่อวานเธอบอกเอาไว้แล้วว่าวันนี้จะดูการ์ตูนเป็นเพื่อนเฉินมู่ แน่นอนว่าไม่สามารถผิดคำพูดได้อยู่แล้ว
ในมือเธอกอดแทบเล็ตมาด้วยเครื่องนึง ด้านบนเป็นหน้าการค้นหาของเมืองพัง
ค้นหาไปมั่วๆ ก็มีข้อมูลขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วน
นี่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าตอนที่เมืองพังได้โพสต์ลงออนไลน์เมื่อตอนนั้น ร้อนแรงมากขนาดไหน
ยอดการแสดงความคิดเห็นและระดับความร้อนแรงต่างก็สูงมาก
มู่น่อนน่อนกำลังดูเป็นเพื่อนเฉินมู่อยู่อย่างเพลิดเพลิน หางตาเหลือบไปเห็นสาวใช้คนหนึ่งได้เดินเข้ามาจากข้างนอกด้วยความรีบร้อน
สาวใช้รีบร้อนเดินเข้ามาทางมู่น่อนน่อน ไม่รอให้เธอเอ่ยปากพูดออกมา มู่น่อนน่อนก็ได้พูดออกไปก่อนว่า “มีอะไร?”
สาวใช้พูดออกมาด้วยใบหน้าที่เผยความลำบากใจออกมา “คุณหนูเฉินมาค่ะ”
คุณหนูเฉิน?
มู่น่อนน่อนเพียงแค่สงสัยอยู่ครู่หนึ่ง ก็คาดเดาออกมาได้ว่าเธอหมายถึงเฉินจิ่งหยุ้น
เธอกำลังจะพูดออกไป ก็เห็นว่ามีคนเดินเข้ามาจากข้างนอก
เฉินจิ่งหยุ้นอยู่ในชุดสูทผู้หญิงสีขาวที่ดูสะอาดเรียบร้อยตลอดทั้งตัว ตัดเย็บอย่างพอเหมาะพอดี เค้าโครงดูกำลังดีเลยทีเดียว ทำให้เธอที่เดิมทีก็ดูหยิ่งยโสอยู่บ้างแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะยโสโอหังเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
เธอกวาดตามองไปรอบๆ แล้วจรดสายตาไปที่ร่างของมู่น่อนน่อน
ในดวงตาเธอมีความเยือกเย็นแวบผ่านออกมา เดินตรงเข้ามายังมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนค่อยๆลุกยืนขึ้นมา เห็นคนใช้ที่อยู่ข้างๆผันร่างเตรียมจะเดินออกไป เธอเดาว่าคนใช้คิดจะไปโทรหาเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนได้หยุดเอาไว้ “เรื่องเล็กนิดเดียว ไม่ต้องแจ้งเฉินถิงเซียวหรอก”
วันนั้นตอนที่อยู่ที่บ้านเก่าตระกูลเฉิน มู่น่อนน่อนก็มองออกแล้วว่าเฉินจิ่งหยุ้นเกลียดเธอเข้ากระดูก
วันนี้เฉินจิ่งหยุ้นมาหากันถึงที่บ้าน ก็ไม่มีอะไรให้น่าประหลาดใจเลย
เฉินจิ่งหยุ้นกับเฉินถิงเซียวต่างก็ทำงานกันอยู่ที่บริษัทเฉินซื่อ เฉินจิ่งหยุ้นจะมาหาเฉินถิงเซียว ก็ตรงเข้าไปหาที่บริษัทเลยก็ได้แล้ว
เฉินจิ่งหยุ้นมาที่นี่ แน่นอนว่าจะต้องมาหาเธอ
คนใช้ได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อน ดูเหมือนว่าจะไม่รู้ว่าจะรับมือยังไงดีขึ้นมาเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนเห็นท่าทางนี้ของเธอ ก็ไม่ได้ไปฝืนบังคับ “แล้วแต่เธอ”
คนใช้จึงพยักหน้าออกมาเล็กน้อย แล้วผันร่างเดินออกไป
เฉินจิ่งหยุ้นเดินเข้ามา เพียงแต่สายตาได้กวาดผ่านจากร่างของมู่น่อนน่อนไปตกอยู่ที่ร่างของเฉินมู่ “มู่มู่”
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป หยิบรีโมตขึ้นมากดหยุดเอาไว้ก่อน พลางเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “มู่มู่ คุณป้าเรียกหนู”
เฉินมู่เงยหน้ามองไปทางมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนชี้ไปยังจุดที่เฉินจิ่งหยุ้นอยู่
เฉินมู่จึงได้มองไปตามนิ้วมือของมู่น่อนน่อน ตอนที่เห็นเฉินจิ่งหยุ้น เธอก็ยิ้มด้วยความดีใจออกมา “คุณป้า”
“ขอป้าอุ้มหน่อย” เฉินจิ่งหยุ้นย่อตัวนั่งลงกับพื้น ยื่นมือออกไปทางเฉินมู่
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลงไปเล็กน้อย ในดวงตาได้เผยรอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจออกมา “ความหมายโดยผิวเผินของคำนี้ฟังไม่เข้าใจ?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่พอใจขึ้นมามากขึ้นกว่าเดิม มีความรู้สึกที่ทั้งหมดกำลังอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
เธอเชิดคางขึ้นมาเล็กน้อย การยอมจำนนนั้นที่อยู่ในน้ำเสียงได้หายไปตั้งนานแล้วเหมือนกัน
เธอมองเฉินถิงเซียวไปนิ่งๆ น้ำเสียงเย็นชาออกมาเล็กน้อย “อะไรที่เรียกว่าคบคนโน้นคนนี้ไปทั่ว?”
“อย่างเช่น ลี่จิ่วเชียน” ความเร็วในการพูดของเฉินถิงเซียวได้ผ่อนช้าลงไปเล็กน้อย แต่ฟังไปแล้วกลับอันตรายยิ่งขึ้น
มู่น่อนน่อนโกรธมากแต่กลับยิ้มออกมา พลางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยออกมา “แล้วซูเหมียนล่ะ? ซูเหมียนจะเป็นอะไรอีก?”
“ดังนั้นคุณก็เลยยอมรับแล้ว?”
“ยอมรับอะไร?”
“ลี่จิ่วเชียน”
คำพูดที่ทั้งสองคนพูดมาได้อ้อมไปอ้อมมา แล้วก็อ้อมไปที่ตัวของลี่จิ่วเชียนอีกที
“เฉินถิงเซียว พวกเราทั้งสองคนตอนนี้นอกจากความสัมพันธ์ที่เป็นพ่อแม่ของมู่มู่แล้ว ระหว่างพวกเราก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ถูกกฎหมายยอมรับ” มู่น่อนน่อนพยายามพูดคุยกับเฉินถิงเซียวด้วยเหตุผล “ตอนนี้ฉันอยู่ด้วยกันกับพวกคุณ บางเรื่องไม่ต้องให้คุณพูด ฉันก็รู้อยู่แล้ว แต่คุณ…”
เฉินถิงเซียวดูเหมือนว่าจะไม่มีความคิดที่จะพูดคุยอะไรกับเธอให้มากมายอีก จึงตัดคำพูดของเธอไปโดยทันที “เข้าใจแล้วก็ดี”
“คุณช่วยให้ฉันพูดให้จบก่อนได้มั้ย?” มู่น่อนน่อนดิ้นออกมาด้วยความหงุดหงิดอยู่แป๊บนึง แล้วก็ได้สลัดออกมาได้อย่างง่ายดาย
ใบหน้าของเธอได้เงยหน้ามองไปยังเฉินถิงเซียวด้วยความประหลาดใจ
มือทั้งสองข้างของเฉินถิงเซียวเก็บเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง พิงเข้ากับขอบโต๊ะหนังสือไปด้วยท่าทางที่ดูเนือยๆ พลางเอ่ยออกมานิ่งๆว่า “ผมจะฟังก็แต่คำพูดที่มีประโยชน์เท่านั้น อย่างนี้แล้วมันก็จะประหยัดเวลาของทั้งสองฝ่ายด้วย”
มู่น่อนน่อนย้อนถามกลับออกไป “เวลาของคุณคือเวลา แล้วของฉันมันไม่ใช่?”
“ถ้าคุณคิดว่าเวลาของตัวเองมันมีค่ามาก ตอนนี้คุณก็ควรจะกลับไปนอนได้แล้ว” เฉินถิงเซียวเอี้ยวหน้าไปมองเธอ สีหน้าไม่แยแสมองไปแล้วกลับดูมีสีหน้าที่ไม่มีความผิดปรากฏออกมาอีกด้วย
เฉินถิงเซียวนี่ไม่มีเหตุผลสักนิดนึงเลย
ในทางตรงกันข้ามกันมู่น่อนน่อนก็ดันหาคำที่จะมาหักล้างออกไปไม่ได้เสียอย่างนั้น
หางตาชำเลืองไปเห็นกาแฟที่ตนเพิ่งจะวางลงไปบนโต๊ะทำงานเมื่อกี้นี้ แล้วเธอก็มองไปทางเฉินถิงเซียว พลางยื่นมือไปยกกาแฟแก้วนั้นขึ้นมา แล้วกระดกดื่มไปจนหมดในรวดเดียว
กาแฟขมนิดหน่อย ยังไม่ทันได้เพิ่มนมเพิ่มน้ำตาลลงไป ขมจนภายในลำคอของเธอมันมีรสฝาดไปหมด
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากข่มกลั้นรสชาติขมฝาดนั้นเอาไว้ เอาแก้วกาแฟที่ว่างเปล่าวางลงบนโต๊ะหนังสือไปเสียงดัง “ปัง” แล้วมองไปทางเฉินถิงเซียวอย่างท้าทาย “ฉันไปนอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์”
เฉินถิงเซียวมองเธอเดินออกไปด้วยสีหน้าที่มืดครึ้ม แล้วถึงจะก้มลงมองแก้วกาแฟที่ว่างเปล่าใบนั้น เขายื่นนิ้วมือออกไป นิ้วมือแตะเบาๆไปบนที่จับของแก้วกาแฟไปสองที มุมปากก็ได้แสยะยิ้มออกมาทันที
เมื่อกี้ เธอโกรธแล้ว?
แต่ว่าวิธีการแก้แค้นของเธอมันช่างเบามากจริงๆเลย เขาไม่มีแม้แต่ความรู้สึกที่โดนแก้แค้นมาเลยสักนิดเดียว นึกไม่ถึงเลยว่าจะน่าสนใจอยู่บ้าง
มู่น่อนน่อนกลับมาที่ห้องด้วยอารมณ์โกรธที่ปะทุออกมา
เธอปิดประตูลง ผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด แล้วไปที่ข้างๆเตียงเพื่อไปดูเฉินมู่ก่อนสักหน่อย
พบว่าเฉินมู่นอนหลับสนิทอยู่เหมือนเดิม เธอจึงลุกขึ้นเข้าห้องอาบน้ำไป
ยืนอยู่ที่หน้าอ่างล้างมือ เธอยื่นมือออกไปแตะที่มุมปากของตัวเองไปเบาๆ ตรงนั้นเหมือนราวกับว่าจะยังมีความร้อนของจูบเมื่อกี้นี้หลงเหลืออยู่
คิดไม่ตกเลยว่าเฉินถิงเซียวกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ และคิดจะทำอะไรอีกกัน
แต่ท่าทางที่หยิ่งทะนงของเขา ก็ชวนให้เกลียดพอแล้ว
มู่น่อนน่อนออกจากห้องอาบน้ำมา แต่ก็ไม่ได้นอนลงไปบนเตียงโดยทันที
เธอหยิบโทรศัพท์ไปขลุกอยู่ที่ในโซฟา ส่งวีแชทไปหาเสิ่นเหลียง “เธอแน่ใจนะว่าเมื่อก่อนฉันรักกับเฉินถิงเซียวจริงๆใช่มั้ย?”
เสิ่นเหลียงก็คงกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่พอดี เพียงไม่นานเธอก็ได้ตอบกลับมา “แน่ใจสิ”
มู่น่อนน่อนเหมือนกับว่าในที่สุดก็เจอช่องทางระบายอารมณ์ออกไปแล้วก็ไม่ปาน จากนั้นก็เริ่มบ่นกับเสิ่นเหลียงออกไป “แต่ว่าตอนนี้ฉันคิดว่าเขาน่าเกลียดมากเลย หยิ่งจนเหมือนกับพระราชา การพูดจาแทบจะสามารถทำให้คนอื่นเขาโมโหได้เลย…”
เสิ่นเหลียงเห็นเธอคุยออกมายาวเหยียดอย่างนั้นแล้ว ก็ได้ตอบกลับไปประโยคนึง “ยกตัวอย่างมาสักตัวอย่างนึง”
“นึกไม่ถึงว่าเขาจะให้ฉันอย่าออกไปคบคนโน้นคนนี้ก่อนที่เขาจะฟื้นความทรงจำกลับมา ฉันเหมือนกับเป็นคนนอกลู่นอกทางอย่างนั้นเหรอ? ฉันสามารถเข้าใจแรงจูงใจของคำพูดนี้ที่เขาพูดออกมาได้อยู่หรอก แต่ว่าเขาพูดมาอย่างนี้มันก็เกินไปหน่อยหรือเปล่า…”
เสิ่นเหลียงเอาคำพูดท่อนนี้ของมู่น่อนน่อนคิดวิเคราะห์ไปสองรอบซ้ำไปซ้ำมา แล้วเอ่ยออกไปอย่างคิดพิจารณาไปซ้ำๆ “ตอนนี้ฉันมีความรู้สึกเหมือนถูกป้อนอาหารหมามาให้ชามหนึ่งขึ้นมา”
มู่น่อนน่อน “…”
“บอสใหญ่เขาเห็นได้ชัดเลยว่ามีความรู้สึกต่อเธอ แต่ว่านะ เขายังไม่ได้ฟื้นความทรงจำกลับมาอย่างสมบูรณ์…พูดอย่างนี้มันก็ดูซับซ้อนอยู่บ้าง มันก็เหมือนกับสัญชาตญาณของสัตว์อย่างหนึ่ง ที่จะประกาศผูกขาดอำนาจการปกครองต่อข้าวของและอาณาเขตของตัวเองก่อน…”
เสิ่นเหลียงพูดจบ ก็ถามเธอออกไป “ฉันพูดมาอย่างนี้ เธอสามารถเข้าใจได้หรือเปล่า?”
“มีความรู้สึกต่อฉัน ก็ไม่ควรจะอ่อนโยนกันสักหน่อยเหรอ?”
“วิธีการแสดงออกของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน” เสิ่นเหลียงถามเธอออกไปต่ออย่างใจเย็น “แล้วความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาล่ะ? ไม่มีความรู้สึกสักนิดเลยเหรอ?”
มู่น่อนน่อนเงียบลง
ผ่านไปหลายวิ เธอได้ส่งไปให้เสิ่นเหลียงประโยคนึง “ฝันดี”
เสิ่นเหลียงตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “เธอยังไม่ตอบคำถามของฉันเลยนะ?”
มู่น่อนน่อนเพียงแค่ตอบมาประโยคเดียวว่า “ฉันนอนแล้ว”
จากนั้น ก็ได้ทิ้งโทรศัพท์ไปที่ข้างๆ
เธอนอนลงไปบนเตียงอย่างเบามือเบาเท้า แล้วก็ห่มผ้าห่มให้เฉินมู่ไปอย่างระวัง ลืมตานอนไม่หลับ
มีความรู้สึกต่อเฉินถิงเซียวงั้นเหรอ?
คนเรามีความรักมันมีความเกี่ยวข้องกับความทรงจำ
ถึงแม้ว่าจะไม่มีความทรงจำ แต่มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวอยู่ด้วยกันตลอดทั้งวันทั้งคืน บอกว่าไม่มีความรู้สึกอะไรเลยสักนิดเดียว มันก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน
บางครั้งก็มีอาการใจเต้นรัวขึ้นมาในชั่วพริบตาด้วยเหมือนกัน
แต่อาการใจสั่นจำพวกนี้มันเป็นความรู้สึกที่ไม่แท้จริง และยังไม่มีความรู้สึกปลอดภัยด้วยอีก
ไม่มีความทรงจำมาเป็นที่พึ่งเพื่อให้คงอยู่ได้ ความรู้สึกและอาการใจเต้นรัวพวกนั้นจู่ๆก็ได้เกิดขึ้นมาพร้อมกัน ก็เหมือนกับตึกสูงที่ไม่มีรากตึก พอทิ่มลงไปทีนึงก็ได้พังทลายลงไปทันที
ไม่พวกเขาทั้งสองคนต่างก็ฟื้นความทรงจำกลับมาทั้งคู่
ก็กลับไปรักกันใหม่อีกครั้ง
……
ตอนเช้าตรู่ เฉินถิงเซียวเพิ่งจะมาถึงประตูทางเข้าบริษัท กู้จือหยั่นไม่รู้ว่าโผล่หัวมาจากที่ตรงไหน
กู้จือหยั่นสวมเสื้อสเวตเตอร์สีฟ้าตัวหนึ่ง ด้านในมีเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวหนึ่งอยู่ มองดูแล้วเหมือนกับหนุ่มน้อยวัยยี่สิบต้นๆคนหนึ่ง
เขาขวางอยู่ที่ข้างหน้าเฉินถิงเซียว ยิ้มพลางเอ่ยออกมาว่า “ถิงเซียว อรุณสวัสดิ์นะ”
เฉินถิงเซียวหลุบตาลง “มีธุระ?”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าฉันไม่มีธุระ จะมาหานายไปทำไมกัน?” ตอนที่กู้จือหยั่นพูดออกมา สายตาวนเวียนอยู่ที่บนร่างของเขาอยู่ตลอดไม่ถอนออกไปไหน ในดวงตาแสดงการสืบหาความจริงออกมาอย่างไม่มีปิดบังเลยแม้แต่น้อย
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว ก็ได้กวาดตามองเขาไปนิ่งๆ แล้วพูดออกมาสองคำ “ตามมา”
กู้จือหยั่นนิ่งอึ้งอยู่ตรงที่เดิม แต่เพียงไม่นานก็ได้สติกลับมาแล้วเดินตามเข้าไป
เขาตามเฉินถิงเซียวตรงไปที่ห้องทำงานผู้บริหาร
แต่ว่าตอนที่ออกมาจากลิฟต์ ก็ได้เจอกับเฉินจิ่งหยุ้น
กู้จือหยั่นยิ้มอย่างมีนัยยะออกมา “คุณหนูเฉิน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
เฉินจิ่งหยุ้นเห็นกู้จือหยั่น สีหน้าก็เปลี่ยนไป
เธอไม่ได้สนใจกู้จือหยั่น แต่กลับหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวไม่แม้แต่จะมองเธอเลย มุ่งตรงผ่านข้างๆร่างของเธอไป เดินไปยังห้องทำงาน
กู้จือหยั่นเดินตามอยู่ข้างหลังของเฉินถิงเซียว ยังไม่ลืมที่จะหันหน้าไปเลิกคิ้วเพื่อเป็นเชิงอวดเบ่งออกมาให้กับเฉินจิ่งหยุ้น
เฉินจิ่งหยุ้นโกรธจนสั่นไปหมด มือทั้งสองข้างกำแน่น สีหน้าดูย่ำแย่สุดๆ
ในตอนนี้โทรศัพท์ของเธอก็ได้ดังขึ้นมา
เฉินจิ่งหยุ้นรับสายมา เอ่ยพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ย่ำแย่สุดๆออกไปคำนึง “ว่ามา”
ไม่รู้ว่าคนที่อยู่อีกด้านนึงพูดอะไรมา เฉินจิ่งหยุ้นจึงได้หัวเราะเสียงเย็นออกมา “ฉันเข้าใจแล้ว”
มู่น่อนน่อนเดินไปยังด้านหลังของโซฟา เข้าไปจูบลงบนใบหน้าของเฉินมู่ไปทีนึง
“คุณแม่” เฉินมู่หันหน้าไปมองเธอเล็กน้อย ส่งเสียงเรียกเธอไปอย่างขอไปที แล้วก็ได้หันหน้ามองไปทางทีวีอีกครั้ง
การ์ตูนมันช่างมีพลังวิเศษดึงดูดใจมากจริงๆ
มู่น่อนน่อนเดินไปนั่งลงข้างๆเฉินมู่ และก็ได้ดูไปด้วยกันกับเธอ
เธอดูอยู่สักพักนึง ก็ได้พบว่าการ์ตูนของเด็กๆในตอนนี้สนุกมากเลยทีเดียว
เฉินถิงเซียวรู้นิสัยของเฉินมู่ พอเธอดูการ์ตูนแล้วก็ติดเอามากๆเลย แล้วก็ไม่ได้สนใจเธอ
จนกระทั่งตอนที่เขากลับห้องไปอาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เห็นมู่น่อนน่อนที่นั่งดูการ์ตูนอยู่ข้างๆเฉินมู่ด้วยใบหน้าที่ตั้งอกตั้งใจ สีหน้าที่แสดงออกมาบนใบหน้าของเขาก็ได้นิ่งค้างไปเล็กน้อยโดยที่หาได้ยากเลยทีเดียว
เฉินถิงเซียวมองดูเวลาเล็กน้อย สาวเท้าก้าวใหญ่ๆเดินเข้าไปตรงหน้าของสองแม่ลูกคู่นั้น ยื่นมือออกไปหยิบรีโมตขึ้นมาปิดทีวี
ในทันใดนั้น เขาได้เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเย็นชา “ไปอาบน้ำนอน”
เฉินมู่เบ้ปากออกมาเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะไม่พอใจ แต่เพราะว่าคนที่ปิดทีวีของเธอไปเป็นเฉินถิงเซียว เธอโกรธอยู่ในใจแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา ส่งเสียง “อ้อ” ไปคำนึง แล้วไถลตัวลงจากบนโซฟาไป
แต่ว่ามู่น่อนน่อนนั้นต่างกันออกไป
เธอลุกยืนขึ้นมา แล้วเอ่ยออกไปอย่างมีไฟโกรธขึ้นมาแล้วบ้าง “ทำไมจู่ๆคุณก็ปิดทีวีไป!”
เมื่อกี้เธอเห็นจุดที่น่าดูเข้าพอดี แต่จู่ๆคนคนนี้ก็เดินเข้ามาปิดทีวีไป!
เหมือนกับว่าจู่ๆก็เข้าใจความรู้สึกของเด็กน้อยที่ถูกผู้ใหญ่เข้ามาปิดทีวีกะทันหันพวกนั้นขึ้นมาแล้วบ้าง
เมื่อเทียบกับอารมณ์ที่เปิดเผยออกมาสู่ภายนอกของมู่น่อนน่อนแล้ว เฉินถิงเซียวนั้นเงียบสงบกว่าเยอะเลย
เขาถามมู่น่อนน่อนออกไป “กี่โมงแล้ว?”
มู่น่อนน่อนมองดูเวลาไปเล็กน้อย “เก้าโมงครึ่ง”
เฉินถิงเซียวได้ผันร่างขึ้นตึกไปทันที
มู่น่อนน่อนเข้าใจความหมายของในคำพูดของเขา
ความหมายของเขาคือเก้าโมงครึ่งไปแล้ว ควรจะขึ้นไปอาบน้ำนอนได้แล้ว
เหตุผลเธอเข้าใจดี เพียงแต่ว่าเขาช่วยเปลี่ยนวิธีที่ดีกว่านี้สักหน่อยได้หรือเปล่า หรือไม่ก็บอกให้ชัดเจนกว่านี้สักหน่อย
เขาปฏิบัติต่อเฉินมู่ก็ดีอยู่หรอก เพียงแต่ว่าบางครั้งวิธีการจัดการเรื่องบางเรื่องมันก็หยาบกระด้างเกินไป
รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังดึงชายเสื้อของตัวเองอยู่ มู่น่อนน่อนเบือนหน้าไปก็เห็นเฉินมู่ยิ้มออกมาด้วยใบหน้าประจบประแจง “คุณแม่ หนูยังอยากดูการ์ตูนอยู่”
“…” ควรจะบอกเฉินมู่ยังไงดี อันที่จริงเธอก็ยังอยากดูการ์ตูนอยู่อีกสักพักนึงเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้มันก็ได้เวลาที่ควรจะนอนแล้วจริงๆ
มู่น่อนน่อนคิดๆไปแล้วก็ย่อตัวนั่งลงไปพูดคุยกับเธอด้วยน้ำเสียงปรึกษาหารือ “พรุ่งนี้พวกเราค่อยดูกันใหม่โอเคมั้ย วันนี้ดึกมากแล้ว แม่ง่วงมากแล้ว คืนนี้หนูนอนเป็นเพื่อนแม่ก่อน พรุ่งนี้แม่ค่อยดูการ์ตูนเป็นเพื่อนหนูอีกที ดีมั้ย?”
เฉินมู่พยักหน้าออกมาอย่างเหมือนกับเข้าใจแต่ก็ไม่ได้เข้าใจออกมา “ก็ได้ค่ะ”
“ลูกน้อยบ้านฉันเก่งที่สุดเลย!”
ถึงแม้ว่าจะได้อยู่ร่วมกับเฉินมู่ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็นมาหลายวันแล้ว แต่ระดับการเกลี้ยกล่อมได้ง่ายของเฉินมู่นั้นยังเหนือความคาดหมายของเธออยู่บ้าง
……
มู่น่อนน่อนพาเฉินมู่ขึ้นบ้านไป อาบน้ำด้วยกันกับเธอ เฉินมู่ตรงเข้าไปนอนที่ในห้องของเธอไม่ไปไหน
มู่น่อนน่อนแน่นอนว่าจะต้องใจอ่อนอยู่แล้ว จึงได้ให้เฉินมู่นอนด้วยกันกับเธอ
เฉินมู่ขึ้นไปบนที่นอนได้ไม่นาน ก็ได้นอนหลับไป
มู่น่อนน่อนจึงได้ลุกขึ้น เตรียมที่จะลงไปรินน้ำมาสักหน่อย
ตอนที่เดินผ่านห้องทำงานของเฉินถิงเซียว ก็ได้ค้นพบว่าในช่องระหว่างประตูด้านในได้มีแสงไฟสว่างออกมา
เฉินถิงเซียวยังทำงานอยู่?
มู่น่อนน่อนเพียงแค่หยุดเดินไปสักพักนึง แล้วตัดสินใจที่จะก้าวเท้าเดินออกไป
ในตอนนี้จู่ๆประตูห้องทำงานก็ถูกคนเปิดออกมาจากด้านใน
เงาร่างสูงชะลูดของเฉินถิงเซียวก็ได้ปรากฏอยู่ที่ประตูทางเข้า
เขามองมู่น่อนน่อนไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “คุณมาอยู่ตรงนี้ทำไมกัน?”
บนร่างของเขาได้อยู่ในชุดอยู่บ้าน สีหน้ามองไปแล้วดูซีดเซียวไม่แข็งแรงอยู่บ้าง
นี่ได้ทำให้มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเมื่อวันนั้นขึ้นมา สภาพที่ดูเจ็บปวดนั้นของเฉินถิงเซียวที่ในห้องทำงาน
“ฉัน…ลงไปเอาน้ำ” มู่น่อนน่อนลังเลไปแป๊บนึง คำว่า “คุณยังโอเคอยู่หรือเปล่า” คำนั้นมาถึงที่ปากแล้วก็ได้กลืนกลับลงคอไป เพียงแค่พูดออกไปประโยคนึงว่า “คุณต้องการดื่มหรือเปล่า?”
เดิมทีเพียงแค่ถามออกไปตามมารยาทเท่านั้น แต่เฉินถิงเซียวเองก็ไม่เกรงใจเลย “ผมเอากาแฟ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าออกมาเล็กน้อย แล้วลงไปช่วยรินน้ำให้ตัวเองแก้วนึง แล้วถือโอกาสไปชงกาแฟให้เฉินถิงเซียวด้วยแก้วนึง
ตอนที่เธอยกกาแฟขึ้นมา จึงได้พบว่าประตูห้องทำงานกำลังเปิดเอาไว้ครึ่งนึง
คงจะเป็นเฉินถิงเซียวที่ตั้งใจเปิดประตูรอเอาไว้ให้เธอ
เธอยกถาดรองเดินเข้ามา ก็เห็นเฉินถิงเซียวนั่งอยู่ที่ตรงหน้าโต๊ะหนังสือ เปิดเอกสารที่อยู่ในมือไปด้วยใบหน้าจดจ่อพลางย่นคิ้วออกมาเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป วางกาแฟลงไปที่ข้างๆตัวเขา สังเกตเห็นถึงสีหน้าของเขายังคงแย่มากอยู่เหมือนเดิม จึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกไปคำนึงว่า “คุณก็รีบๆพักผ่อนเร็วๆหน่อยด้วยหมือนกัน”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมองเธอ สีหน้าของเขาสงบนิ่งอย่างมาก
ท่ามกลางการจับตามองของเขา มู่น่อนน่อนก็เกิดความรู้สึกที่ว่าตัวเองยุ่งเรื่องคนอื่นมากไปอย่างหนึ่งขึ้นมา
เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้พูดคำพูดจำพวกนี้ออกไปง่ายๆ ฟังไปแล้วก็ดูเหมือนกับว่าเธอจะเป็นห่วงเป็นใยเขามากเป็นพิเศษก็ไม่ปาน
มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่บ้างเล็กน้อย “ฉันขอตัวออกไปก่อนนะ”
เธอผันร่างเตรียมจะเดินออกไป แต่กลับถูกเฉินถิงเซียวดึงข้อมือเอาไว้
ก้นบึ้งภายในใจของมู่น่อนน่อนรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อย ในน้ำเสียงอาบย้อมไปด้วยความโกรธไปด้วย
“เฉิน…อุ๊บ…”
เธอยังไม่ทันได้พูดชื่อของเฉินถิงเซียวออกมา ก็ได้ถูกปิดริมฝีปากเอาไว้เสียก่อน
ริมฝีปากของเฉินถิงเซียวอบอุ่นกว่าของเธอ ความรู้สึกเห็นได้ชัดว่าได้ทำให้หัวใจเธอสั่นไหวขึ้นมา
ทั้งสองคนต่างก็ลืมตาออกมา รักษาท่าทางของการสัมผัสกันของริมฝีปากทั้งสอง คุณมองฉันฉันมองคุณ
มู่น่อนน่อนนิ่งแข็งไปหลายวิ แล้วก็ได้ผลักเฉินถิงเซียวออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่มือของเธอเพิ่งจะแตะไปที่เขา ก็รู้สึกได้ว่าเอวของตัวเองถูกแขนข้างหนึ่งโอบรัดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
แขนของชายหนุ่มมีกำลังที่หนักแน่นมั่นคงโอบรัดเอวของเธอเอาไว้แน่น ใช้แรงรัดเธอเข้าสู่ในอ้อมแขนของเขา มืออีกข้างหนึ่งได้กุมข้อมืออีกข้างนึงของเธอแน่น
ร่างของทั้งสองคนได้แนบเข้าด้วยกันแน่น แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน การหายใจของทั้งสองคนต่างก็เร็วขึ้น
ท่ามกลางเสียงการหายใจที่ชัดเจนออกมา สีหน้าของมู่น่อนน่อนได้แดงออกมาทันที เอี้ยวหน้าออกไปหลบเลี่ยงริมฝีปากของเฉินถิงเซียว พลางเอ่ยอย่างเขินอายจนพาลโกรธออกมา “คุณปล่อยฉันไปเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะถือเสียว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
เสียงเธอสั่นออกมาเล็กน้อย ใบหน้าได้แดงออกมา ชวนให้ดูน่าสงสารออกมาเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวไม่เพียงแต่จะไม่ยอมปล่อยเธอไป แต่กลับก้มหน้าจงใจจูบลงไปที่ริมฝีปากของเธอไปเล็กน้อย “แต่ถ้าผมอยากให้มันเกิดอะไรขึ้นมาล่ะ?”
น้ำเสียงของเขาได้กำเริบเสิบสานออกมา และก็ได้มีความสงบนิ่งแน่วแน่อยู่หลายส่วนเผยออกมา
มู่น่อนน่อนขยับไปไหนไม่ได้เลย ร่างกายแข็งค้างเสียเหมือนกับก้อนหิน “เฉินถิงเซียว รังแกผู้หญิงคนนึงคุณมีความรู้สึกภาคภูมิใจมากเลย?”
“ผู้หญิงคนอื่นผมไม่รู้ แต่ถ้าเป็นคุณแล้ว ผมไม่เพียงจะมีความรู้สึกภาคภูมิใจ แต่ยัง…” เขาจงใจหยุดไปแป๊บนึง แล้วมองความโกรธที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของมู่น่อนน่อนไปด้วยความพึงพอใจ แล้วพูดเสริมสองคำข้างหลังไปให้สมบูรณ์ “ตื่นเต้นมากด้วย”
มู่น่อนน่อนไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “ตื่นเต้นมาก” ขึ้นมาก่อนเป็นอันดับแรก
จนกระทั่งเธอได้รู้สึกว่า…
มู่น่อนน่อนตื่นตกใจขึ้นมา เธอแม้แต่การหายใจก็ได้เปลี่ยนเป็นระมัดระวังเป็นอย่างมากขึ้นมา
เฉินถิงเซียวคนคนนี้นิสัยใจคอแปลกประหลาด มักจะเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นประจำ ไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน มู่น่อนน่อนคาดเดาไม่ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
เธอกลืนน้ำลาย เอ่ยออกไปประหนึ่งยอมรับชะตากรรมก็ไม่ปาน “คุณคิดจะเอายังไงกันแน่?”
ในน้ำเสียงมีความหมายว่าต้องการจะยอมแพ้ออกมาเล็กน้อย
แรงที่เฉินถิงเซียวรัดกุมเธออยู่นั้นได้คลายลงไปเล็กน้อย พลางเอ่ยออกมาว่า “เพียงแค่อยากจะคุยกับคุณเรื่องหนึ่ง ก่อนที่ผมจะฟื้นความทรงจำกลับมา คุณห้ามออกไปคบหาคนโน้นคนนี้ไปทั่วเด็ดขาด”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วออกมา “หมายความว่าอะไร?”
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้น ก็หรี่ตาลงแล้วถามว่า “เช่น? ”
“นอกจากเหตุผลใหญ่ๆ สามข้อนั้นแล้ว ก็ยังมีความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่าง ก็คือการสะกดจิต” คำสุดท้าย น้ำเสียงของหมอเข้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว แสดงให้เห็นถึงความน่าเกรงขาม
“สะกดจิต? ” เฉินถิงเซียวหน้าเข้มงวดขึ้นเล็กน้อย มีแสงสว่างปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
สองคำนี้ไม่ธรรมดาในชีวิตคนเราเท่าไหร่นัก
“”มีนักจิตวิทยาบางคนที่มีระดับการสะกดจิตระดับหนึ่ง แต่พวกเขาทั้งหมดช่วยผู้ป่วยจิตบำบัดไว้ได้……” พอหมอพูดแบบนี้แล้ว สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไป “แต่ไม่จำกัดเพียงเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่สามารถแก้ปัญหาทางจิตได้เท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนพฤติกรรมและนิสัยของผู้ถูกสะกดจิตและแม้กระทั่งผนึกความทรงจำเอาไว้”
พอเขาพูดจบ ทันใดนั้นก็ยืนขึ้นและพูดว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องนี้เท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่ก็ได้ยินแค่ข่าวลือ คุณลองถามคนทำงานที่เกี่ยวข้องดูก็ได้ ผมกลับบ้านก่อนนะครับ”
เมื่อหมอพูดจบเขาก็ลุกขึ้นและรีบออกไป
แต่เมื่อเขาเดินไปที่ประตู เขาก็ถูกผู้คุ้มกันหยุดไว้
ลูกน้องเดินเข้ามาหาเฉินถิงเซียวแล้วก็เอ่ยถาม “คุณผู้ชาย?”
เฉินถิงเซียวชูมือขึ้น “ปล่อยเขาไป”
……
มู่น่อนน่อนนั่งรออยู่ในรถจนหิวแล้ว เฉินถิงเซียวถึงได้พาหมอกลุ่มหนึ่งออกมาจากโรงพยาบาล แถมในมือยังถือถุงพลาสติกสีขาวมาด้วย
เฉินถิงเซียวให้บอดี้การ์ดขึ้นรถคันอื่น แต่เขาเดินตรงไปที่หน้ารถ เปิดประตู โยนถุงพลาสติกในมือไปที่เบาะหลัง แล้วนั่งที่เบาะคนขับ
มู่น่อนน่อนนั่งพิงเก้าอี้ พร้อมกับหันหน้าไปมองเขา
เขาพบว่าการสีหน้าของเขาไม่ต่างจากเมื่อก่อน และไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์เลย และเธอไม่สามารถเดาได้ว่าเขาเพิ่งทำอะไรในนั้น
เธอหันหน้าและมองออกไปนอกหน้าต่าง
เธอแค่อยากจะกลับบ้านเร็วๆ เท่านั้น
ไม่รู้เหมือนกันว่าเฉินมู่อยู่บ้านคนเดียวทำอะไร
รถเคลื่อนตัวช้าๆ และห้องโดยสารก็เงียบมากจนได้ยินเสียงหายใจของกันและกันเท่านั้น
“อยากกินอะไร?”
ทันใดนั้นเสียงที่ทุ้มต่ำของเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้นภายในห้องโดยสาร มันกะทันหันเล็กน้อย
“คำถามนี้ฉันควรเป็นคนถามคุณไม่ใช่เหรอ? ”มู่น่อนน่อนก้มหน้าดูเวลา ก็พบว่าเป็นเวลาทุ่มหนึ่งแล้ว
เวลานี้ถ้าจะกลับไปทำอาหารที่ผ่าน ก็ถือว่าช้าไปหน่อย
ดังนั้น เธอก็เลยพูดเสริม “คุณอยากจะไปกินข้าวของนอกเหรอ? ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร เขาจอดรถหน้าร้านอาหารร้านหนึ่ง แล้วก็ใช้การกระทำในการบอกเธอว่า เขาวางแผนจะกินข้าวนอกบ้านจริงๆ
มู่น่อนน่อนตามเขาลงรถไปแลกเปลี่ยนคำว่า “มู่มู่อยู่บ้านคนเดียวนะ”
เฉินถิงเซียวหันกลับมามองเธอ ในสายตาเขาเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า “ไม่ต้องบอกก็รู้”
ช่างมันเถอะ เธอไม่สนใจหรอกว่าเฉินถิงเซียวจะทำอะไร เธอจะกลับไปก่อน
ถึงแม้ว่าที่ว่าจะมีคนใช้เยอะ แต่ว่าเธอก็ยังรู้สึกไม่วางใจ
พอรู้สึกได้ว่าคนด้านหลังไม่เดินตามมา เฉินถิงเซียวก็หันหน้าไป แค่มองก็รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ แล้วก็เลยพูดว่า “ตอนนี้รถติด จะกลับไปอย่างน้อยก็ใช้เวลาชั่วโมงหนึ่ง คุณไม่หิวเหรอ?”
“ฉันไม่……”
มู่น่อนน่อนยังไม่ทันจะพูดจบ เสียงทองของเธอก็ร้องดัง “จ๊อกๆ ”
การตบหน้าที่รวดเร็วและตรงไปตรงมาขณะนี้ ค่อนข้างที่จะน่าอายไปหน่อย
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ที่เดิมเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม กวักมือเรียกเธอให้รีบไป
มู่น่อนน่อนก็เลยต้องรีบยกเท้าตามเขาไป
ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกัน เฉินถิงเซียวยื่นเมนูไปตรงหน้าเธอ
มู่น่อนน่อนมองเขาอย่างประหลาดใจ นี่เฉินถิงเซียวก็มีเวลาที่เป็นสุภาพบุรุษเหมือนกันเหรอ?
มู่น่อนน่อนไม่ได้รับ “คุณสั่งเถอะ”
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย รับเมนูกลับไปแล้วก็เริ่มสั่งอาหาร
มู่น่อนน่อนถอนหายใจอยู่ในใจ ที่แท้เฉินถิงเซียวก็มีช่วงเวลาที่ทำแบบนี้เหมือนกันงั้นเหรอ?
ถ้าเกิดว่าเป็นลี่จิ่วเชียน เขาต้องวางเมนูไว้ตรงหน้าเธออย่างแน่นอน
พอนึกถึงลี่จิ่วเชียน ความคิดของมู่น่อนน่อนก็บินไปไกลยังไม่สามารถควบคุมได้
เขางานยุ่งขนาดนั้น ตอนนี้น่าจะกินข้าวนอกบ้านทุกวัน บางทีเขาอาจจะอยู่ในห้องให้คำปรึกษาของเขาอยู่ก็ได้
ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะกำลังหน้าเมนูอยู่ แต่ว่าความสนใจของเขาก็ถูกแบ่งไปให้กับมู่น่อนน่อนด้วย
เหมือนเป็นความเคยชินของจิตใต้สำนึก จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะสนใจเธอ
ตอนที่เขาตั้งสติกลับมาอีกครั้งนั้น ก็เพราะว่าตัวเองกำลังจ้องมู่น่อนน่อนอยู่
โชคดีที่มู่น่อนน่อนกำลังเหม่อลอยอยู่ ก็เลยไม่รู้ว่าเขาก็มองตัวเอง
ช่วงนี้เขาได้ความทรงจำบางอย่างฟื้นคืนมา แต่ว่ามันค่อนข้างที่จะแตกเป็นเสี่ยง บางเรื่องก็เกี่ยวกับแม่ แต่ว่าส่วนมากก็จะเกี่ยวกับมู่น่อนน่อน
แต่ว่าถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เฉินถิงเซียวก็สามารถสัมผัสได้ว่า เมื่อก่อนนี้เขาแคร์เธอมาก
ถึงแม้ว่าสือเย่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่จากคำพูดของเขาแล้ว เฉินถิงเซียวสามารถสัมผัสได้ว่า ผู้หญิงที่ชื่อมู่น่อนน่อนตรงหน้าเขาตอนนี้ สำคัญกับเขามาก
แต่ว่า เขากลับมู่น่อนน่อนสูญเสียความทรงจำไป ส่งผลให้สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาเข้ากันได้ก็คือเฉินมู่เพียงเท่านั้น
ในกระดูกของเฉินถิงเซียวถือว่าเขาเป็นคนที่หวาดระแวง ต่อให้เขายังไม่รื้อฟื้นความทรงจำได้ทั้งหมด แต่ว่าเขาก็ตระหนักได้ถึงความแตกต่างของมู่น่อนน่อน แน่นอนว่าเขาไม่สามารถปล่อยเธอไปได้อย่างง่ายดาย
และยิ่งไปกว่านั้น เธอคือแม่ของลูกของเขา
เพราะว่ารู้สึกได้ถึงสายตาของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนก็เงยหน้าขึ้นมองเขา
แต่ว่าเฉินถิงเซียวกลับหรี่ตาลงตอนที่เธอจะมองเขา
มู่น่อนน่อนเม้มปาก เมื่อกี้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเฉินถิงเซียวกำลังมองเธออยู่จริงๆ
หรือว่าตาฝาดเหรอ?
ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ ก็ไม่มีใครพูดอะไร
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่ามีอะไรที่ควรพูด
ส่วนเฉินถิงเซียวปกติก็เป็นคนที่พูดน้อยอยู่แล้ว
บรรยากาศอึดอัด มู่น่อนน่อนก็หยิบโทรศัพท์ออกมา
แต่ว่า ตอนที่เธอหยิบโทรศัพท์ออกมานั้น เฉินถิงเซียวที่ไม่ได้มองเธอมาโดยตลอด ก็กลับหันมามองเธอ
สายตาของเขาเงียบสงบ เขาไม่ได้พูดอะไรเลยแต่กลับให้ความรู้สึกกดดัน
มู่น่อนน่อนก็เลยต้องวางโทรศัพท์ลง
โชคดีที่ผ่านไปไม่นาน อาหารก็มาเสิร์ฟ
สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ทุกจานเป็นอาหารที่มีรสชาติค่อนข้างจืด
มู่น่อนน่อนถามอย่างลองเชิง “คุณชอบกินอาหารเผ็ดไม่ใช่เหรอ?”
หรือว่าวันนี้เปลี่ยนรสชาติอาหารที่ถูกปากแล้ว?
แต่ว่า วินาทีถัดมา เมื่อพนักงานเอาพริกแยกมาไว้สำหรับจิ้ม ความคิดนี้ก็ถือว่าถูกต้อง
หลังจากนั้นมู่น่อนน่อนก็พบว่า เฉินถิงเซียวสั่งตามรสชาติที่เธอชอบ
การค้นพบนี้ทำให้เธอรู้สึกกระสับกระส่าย
เฉินเจียฉิน เสิ่นชูหานรู้สึกว่าการที่จู่ๆ เฉินถิงเซียวดีขนาดนี้ ต้องไม่ใช่เรื่องที่น่าจะหลายใจอย่างแน่นอน
ตอนนี้เอง เฉินถิงเซียวก็เงยหน้าขึ้นมองเธอ สายตาลึกซึ้ง “อืม”
คำง่ายๆ เพียงคำเดียว แต่ว่ากลับให้ความรู้สึกหยอกล้ออย่างบอกไม่ถูก
เฉินถิงเซียวคล้อยตามรสชาติที่ถูกปากของเธอ……
มู่น่อนน่อนนั่งกินอาหารอย่างอึดอัด เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หลังจากนั้นก็เฉินถิงเซียว สีหน้าของเขาดูสงบนิ่ง ดูสบายใจกว่ามู่น่อนน่อนมาก
ทางที่ขับกลับนั้นรถไม่ติด การเดินทางไม่มีสิ่งกีดขวาง และไม่นานก็ถึงบ้าน
ตอนที่มู่น่อนน่อนไปถึงบ้าน เฉินมู่กำลังกอดตุ๊กตาเสือตัวน้อยนั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขก สายตาจ้องเขม่นไปที่ทีวี
“มู่มู่”มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเรียกเธอ เธอก็แค่ตอบว่า “อืม” ไม่แม้แต่หันหน้ากลับมาด้วยซ้ำ แล้วก็มุ่งความสนใจเข้าไปในทีวี
ความเงียบงันเต็มไปในอากาศ
มู่น่อนน่อนแคะนิ้วพร้อมกับสบตาเฉินถิงเซียว แล้วก็พ่ายแพ้ต่อสายตาที่ลึกซึ้งของเฉินถิงเซียว
เธอหันหน้าหนีก่อน พร้อมกับเม้มปากและพูดว่า “แล้วแต่คุณว่าแล้วกัน”
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะว่าหมอเข้ามาแล้ว
หมอทักทายด้วยความสุภาพก่อน “คุณเฉิน”
หลังจากนั้น ถึงได้ส่งรายงานสรุปให้เฉินถิงเซียว
“ร่างกายของคุณมู่ฟื้นฟูได้ไม่เลวเลย การทำงานของร่างกายทั้งหมดมักจะเป็นปกติ แต่เรายังต้องใส่ใจกับการพักฟื้น……” หมอพูดจบ ก็ชะงักไปแล้วเอ่ยถามว่า “คุณมู่ไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกจริงๆ เหรอคะ? ”
พอสิ้นเสียงของหมอ ก็รู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องไม่ค่อยปกติเท่าไหร่
เธอเงยหน้าขึ้นมา ก็พบว่าเฉินถิงเซียวกำลังจ้องมองเธอ แววตาของเขาดูหม่นหมองเล็กน้อย
“ขอโทษด้วยค่ะ คุณเฉิน ฉันไม่ได้มีเจตนาร้าย ปกติแล้วถ้าสถานการณ์อย่างคุณมู่เนี่ย หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้ว น่าจะมีอาการอะไรตกค้างบางอย่าง……”
ตอนที่หมอผู้หญิงพูดประโยคนี้ สายตาก็มองไปที่มู่น่อนน่อนอย่างไม่รู้ตัว
อาการของมู่น่อนน่อนถือว่าไม่ปกติ ในฐานะที่เป็นหมอก็ต้องรู้สึกสงสัยเป็นธรรมดา
ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนที่ไม่ควรเข้าไปยั่ว แต่ว่าเธอก็อดไม่ได้ที่จะถามประโยคนี้ออกมา
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ามันก็สามารถเข้าใจได้ที่หมอจะถามแบบนี้ ถึงยังไงเธอก็ยังคงมีอาการค้างอยู่จริงๆ
ความจำเสื่อม ถือว่าเป็นอาการที่คงเหลือของเธอไม่ใช่เหรอ?
แต่ว่าเห็นได้ชัดว่า เฉินถิงเซียวไม่ได้คิดแบบนั้น
เฉินถิงเซียวหัวเราะอย่างเย็นชา แววตาดุร้าย “มีอาการคงเหลือรึเปล่า ตัวเองมีตาแล้วมองไม่เห็นงั้นเหรอ? ”
หมอผู้หญิยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ว่าถูกหมออีกคนหนึ่งดึงออกไป กลัวว่าเธอพูดอะไรไปแล้วจะไปทำให้เฉินถิงเซียวคับข้องใจเข้า
ถึงแม้ว่าจะมองไม่ออกว่ามู่น่อนน่อนมีอาการคงเหลือรึเปล่า แต่ว่ามองออกว่าตอนนี้เฉินถิงเซียวรู้สึกไม่มีความสุขแล้ว
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้อย่างเห็นได้ชัด
เธอไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เฉินถิงเซียวถึงไม่มีความสุข แต่ว่าก็ไม่กล้าถาม
หมอผู้หญิงพวกนั้นเล่าอาการของมู่น่อนน่อนให้เฉินถิงเซียวฟังอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ออกไป
ตอนนี้เอง มีลูกน้องคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เฉินถิงเซียว แล้วก็กระซิบบางอย่างที่ข้างหูของเขา
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้วก็พูดว่า “พาเขาเข้ามา”
ยังมีคนมาอีกเหรอ?
มู่น่อนน่อนเห็นว่าลูกน้องคนนั้นเดินออกไป แล้วก็เอียงคอมองไปที่ประตู
ผ่านไปไม่นาน ลูกน้องคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับหมอผู้ชายเสื้อกาวน์สีขาว
หมอผู้ชายคนนั้นดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเด็กน้อยแต่ก็ยังทำให้คนรู้สึกสงบได้ อายุประมาณ 50 ปี ดูดีมีสง่าราศี
เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินถิงเซียว สีหน้าจริงจัง “คุณคือคุณเฉิน?”
ผู้ชายคนนี้ ก็คือผู้เชี่ยวชาญด้านสมองที่สือเย่กลับมาให้เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวค่อยๆ ยืนขึ้น “ผมชื่อเฉินถิงเซียว”
“ขอโทษด้วยค่ะ พอดีผมเพิ่งผ่าตัดเสร็จ พรุ่งนี้เช้าจะต้องผ่าตัดอีกครั้งหนึ่ง พวกเราเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”เขาเดินไปอีกฝั่งหนึ่งและนั่งลง
สีหน้าของเขาดูแน่วแน่และมั่นใจ คิดว่าน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้
เขาเลยนะขึ้นมองมู่น่อนน่อน “ดูท่าทางคุณมู่จะฟื้นฟูได้ไม่เลวเลย”
มู่น่อนน่อนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ผู้เชี่ยวชาญธานีรู้จักเธอด้วย
แต่พอมาคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าไม่ได้มีอะไร เพราะยังไงเขาก็คือคนที่เฉินถิงเซียวนัดล่วงหน้า
“ก็โอเคค่ะ”มู่น่อนน่อนค่อยๆ คลี่ยิ้ม
“ก่อนหน้านี้หลังจากที่คุณสือติดต่อผมมานั้น ผมก็วิเคราะห์อาการของคุณมู่อย่างละเอียด ก่อนหน้านี้คิดอยากจะหาเวลามาเจอคุณมู่ แต่ไม่คิดเลยว่าพวกคุณจะมาหาผมก่อน”
คุณหมอมองมู่น่อนน่อนอย่างใจจดใจจ่อ
คนที่ฟื้นตัวอย่างมู่น่อนน่อนมีไม่มากนัก คนในวงการแพทย์ยอมต้องให้ความสนใจอยู่แล้ว
หลังจากที่หมอพูดจบก็หันมามองเฉินถิงเซียว แล้วก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “สาเหตุของความจำเสื่อม แบ่งคร่าวๆ ได้เป็น 3 ประเภท ประเภทแรกคือการบาดเจ็บทางร่างกายอย่างรุนแรงต่อสมอง ประเภทที่สองคือการบาดเจ็บทางจิตใจ และประเภทที่สามคือการสูญเสียความจำที่เกิดจากยาบางชนิด ในกรณีของคุณมู่ ถือว่าอยู่ในประเภทแรก”
เขาพูดมาถึงตรงนี้แล้วก็ชะงักไป ของสะพานไฟมองมู่น่อนน่อนอย่าพูดต่อ “ผมเคยดูไฟล์สแกนพักสมองของคุณมู่ในขั้นตอนการรักษาต่างๆ เป็นเรื่องปกติที่อาการบาดเจ็บรุนแรงปานกลางจะทำให้ความจำเสื่อม ในขั้นตอนนี้ ร่างกายของคุณจะหายดี ส่วนความทรงจำที่หายไปจะกลับคืนมาเมื่อใด มันเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับอัตราความเป็นไปได้……”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที
ถึงแม้จะไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมา แปลว่ามู่น่อนน่อนก็ฟังออกว่าเขาต้องการที่จะซื้ออะไร
หมายความว่า เธอจะเป็นความทรงจำได้หรือไม่ ต้องดูที่ดวงตาของเธอ
ถ้าเกิดว่าสามารถฟื้นความทรงจำได้ง่าย หมอไม่มีทางพูดคำพูดที่คลุมเครือแบบนี้หรอก
ถึงแม้ว่าจะเตรียมใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ว่ามู่น่อนน่อนก็ยังคงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เธอเงียบ ต่อมาก็ได้ยินเขาพูดว่าจะสั่งยาเพื่อช่วยในการรักษา
หลังจากนั้นเฉินถิงเซียวก็พูดอะไรกับหมอบางอย่าง เธอก็ไม่สนใจฟัง
จนตอนที่เธอออกมาจากห้อง ฉันได้พบว่าเธอออกมาคนเดียว
เธอหันกลับไป คนที่อยู่ด้านหลังของเธอคือลูกน้องของเฉินถิงเซียว แต่ว่ากลับไม่เห็นเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนเอ่ยปากถาม “เฉินถิงเซียวล่ะ? ”
ลูกน้องที่อยู่ด้านหลังของเธอตอบด้วยความเคารพว่า “คุณผู้ชายยังมีธุระอีกนิดหน่อยครับ”
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้มีอารมณ์จะไปสนใจว่าเฉินถิงเซียวมีเรื่องอะไร เธอแค่ออกมาจากโรงพยาบาลพร้อมกับลูกน้องของเฉินถิงเซียว แล้วก็นั่งรอเขาอยู่บนรถ
……
หลังจากที่มู่น่อนน่อนออกไป ภายในห้องก็เหลือแค่เฉินถิงเซียวกลับมาอีก 2 คน
เฉินถิงเซียวเอาซองเอกสารที่วางอยู่ข้างๆ อีกซองหนึ่งส่งให้กับหมอ “คุณดูอันนี้หน่อยครับ”
คุณหมอรับส่งเอกสารไปด้วยความสงสัย เปิดออกดู แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียว “นี่คือประวัติการรักษาของเฉินถิงเซียว?”
“อืม” เฉินถิงเซียวตอบกลับนิ่งๆ แล้วก็พิงโซฟา เป็นสัญลักษณ์ว่าให้เขาอ่านก่อน
หมอไม่ค่อยเข้าใจว่าเฉินถิงเซียวหมายความว่ายังไง แต่ก็จำเป็นต้องอ่านจนหมด
“หลังจากที่เขาอ่านแล้ว ก็เห็นว่าเฉินถิงเซียวยังคงมีสีหน้าแบบเดิม เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ดูท่าทาง ตอนนั้นอาการบาดเจ็บของคุณเฉินจะเบากว่าคุณมู่อยู่มาก ดูจากประวัติการรักษาแล้วเนี่ย ตอนนั้นคุณเฉินไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิตอะไร แต่ว่าคุณมู่เกือบจะเสียชีวิตได้เลย การมีชีวิตอยู่ต่อได้นั้นไม่ง่ายเลย ตอนนี้เธอสามารถฟื้นฟูได้ขนาดนี้ ถือว่าโชคดี”
เฉินถิงเซียวได้ยินสิ่งที่เขาพูดแล้ว สีหน้าก็หมองหม่นลงในทันที ดวงตาเขาเย็นชา ทำให้คนดูหวาดผวา
หมอเม้มปาก สีหน้าดูไม่สบายใจ
เขาเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านสมองที่ดีที่สุดในประเทศ และได้ติดต่อกับคนดังมากมายนับไม่ถ้วน แต่ชายตรงหน้าเขามีออร่ามากกว่าใครๆ ที่เขาเคยติดต่อมาก่อน
เขาจำได้ว่าก่อนจะมาที่นี่ มีคนเตือนเขาว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนที่ไม่ควรไปยั่วเลย……
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงที่ทุ้มต่ำของเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้นภายในห้อง “ดูจากอาการแล้ว ผมความจำเสื่อมเพราะความเสียหายทางสมองหรือไม่? ”
“คุณก็ความจำเสื่อมเหรอ? ” หมออึ้งไป “จะไม่ตัดความเป็นไปได้นี้ออก แต่ก็จะไม่ตัดความเป็นไปได้อื่นออกเหมือนกัน”
“ของขวัญที่คุณกู้ได้เจอกับมู่มู่”มู่น่อนน่อนตอบ แล้วก็หันไปยิ้มให้กับกู้จือหยั่น
กู้จือหยั่นยิ้มอย่างพึงพอใจ
เฉินถิงเซียวชั่งน้ำหนักตู้เซฟในมือของตัวเอง แล้วก็หันไปมองกู้จือหยั่น อย่าพูดเบาๆ ว่า “ตอนนี้มู่มู่ยังไม่มีแนวคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องเงิน”
กู้จือหยั่นใบหน้าดูแปลกใจ “นายยังไม่ทันดูเลย รู้ได้ยังไงว่าข้างในเป็นเงิน? ”
“ไม่อย่างนั้นข้างในคืออะไร? ” ไข่ใต้น้ำเสียงที่เรียบเฉยของเฉินถิงเซียว แฝงไปด้วยความไม่ชอบที่ชัดเจน
แต่ว่าคนที่คุ้นเคยกับเขาจะฟังออก
กู้จือหยั่นหน้าตาจริงจังทันที “นาย……”
เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่นิดเดียว หันหน้าไปมองมู่น่อนน่อน “ไปเป็นเพื่อนผมที่นึง”
“ไปที่ไหนเหรอ?”
เธอยังไม่ทันเข้าใจเลยว่าทำไมจู่ๆ เฉินถิงเซียวถึงมาที่นี่ได้ ก็ถูกเฉินถิงเซียวเรียกร้องไปที่หนึ่งกับเขา……
เฉินถิงเซียวยืนตัวแสบในมือให้กับสือเย่ในทันทีพร้อมกับสั่งว่า “นายไปส่งมู่มู่กลับไปก่อน”
สือเย่ตอบกลับด้วยความเคารพ “ครับ”
และในทันที เฉินถิงเซียวก็หันกลับมามองเฉินมู่แล้วพูดว่า “กลับไปกับลุงสือเย่ พวกเรายังมีธุระอื่นอีกอาจจะกลับช้าหน่อย รอพวกเราที่บ้านนะ”
เฉินมู่ก็พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
เฉินถิงเซียวสูง188เซนติเมตร เฉินมู่พึ่งจะอายุสามขวบ ยืนเป็นก้อนกลมๆ อยู่ต่อหน้าเขา ความสูงของทั้งสองคนต่างกันมากกว่าหนึ่งเมตร
แม้ว่าจะไม่ใช่ภาพที่อบอุ่น แต่เมื่อมองจากมุมมองของคนอื่นแล้ว ภาพลูกสาวตัวน้อยที่พยักหน้าให้พ่อของเธออย่างไม่รู้ตัวก็ดูน่ารักมากเป็นพิเศษ
แต่ว่าเห็นได้ชัดว่าเฉินถิงเซียวไม่สนใจที่จะสานต่อภาพความรักนี้ต่อไป พอเขาพูดจบ เขาดึงมู่น่อนน่อนแล้วก็เดินออกไป
เดิมทีมู่น่อนน่อนยังอยากตักเตือนอะไรบางอย่างกับเฉินมู่ แต่ว่าพูดอะไรไม่ทัน
เธอได้แต่หันหน้าไปแล้วพูดกับเฉินมู่ว่า “กลับบ้านกับลุงสือเย่อย่าเชื่อฟังนะ เดี๋ยวแม่กับพ่อก็รีบกลับมาแล้ว บ๊ายบาย?”
คำว่า “บ๊ายบาย” 2 คำหลังนั้นแฝงไปด้วยกล่อมเบา
เฉินมู่ท่าทางดูมันงง แต่ว่ายังคงโบกมือให้กับมู่น่อนน่อนอย่างเชื่อฟัง
มู่น่อนน่อนถูกเฉินถิงเซียวพาออกมาจากโรงแรมจีนติ่ง
พอออกมาจากโรงแรมจีนติ่ง มู่น่อนน่อนก็สะบัดมือของเฉินถิงเซียวออก “ฉันเดินเองได้ ไม่ต้องมาจับมือถือแขนหรอก”
จู่ๆ ก็มาที่นี่แล้วก็บอกให้เธอไปยังสถานที่หนึ่งเป็นเพื่อนเขา เมื่อกี้ตอนที่ได้เจอกับเฉินมู่ ไม่ได้เจอกันทั้งวัน ตาแมวแต่กอดก็ไม่ยอมกอดเฉินมู่เลย
เฉินถิงเซียวหรี่ตามองดูเบอร์ของตัวเอง แล้วก็ไม่พูดอะไรพร้อมกับเปิดประตูขึ้นไปนั่งตำแหน่งคนขับ
มู่น่อนน่อนก็เปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ
“จะไปไหนกันแน่?”เธอคาดเข็มขัดไปด้วยพร้อมกับเอ่ยถามเขาไปด้วย
ครั้งนี้เฉินถิงเซียวตอบคำถามของเธอต่อหน้า “โรงพยาบาล”
“ไปทำอะไรที่โรงพยาบาล?คุณไม่สบายตรงไหนเหรอ?”พอมู่น่อนน่อนถามจบก็รู้สึกว่าคำถามของตัวเองไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นัก ถ้าเกิดว่าเฉินถิงเซียวรู้สึกไม่สบาย ก็คงจะไม่ได้ให้เธอไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนเขาหรอกมั้ง?
ยังไงต่อให้คิดไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ก็ไม่ต้องถามดีกว่า
……
ทั้งสองคนนั่งเงียบตลอดทางทางแล้วก็ไปถึงที่โรงพยาบาล
ตอนที่เราจากรถนั้น มือทั้งสองข้างของมู่น่อนน่อนเสียบเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ เดินอยู่ด้านหลังเฉินถิงเซียว เดินรักษาระยะห่างกับเขา
ยังไม่ทันจะเข้าไปในโรงพยาบาล เฉินถิงเซียวก็หันหน้ามา พร้อมกับมองเธอด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “มู่น่อนน่อน เท้าของคุณติดอยู่ที่พื้นเหรอ? ”
มู่น่อนน่อนตอบอย่างอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก “คุณจะมาสนใจฉันทำไม ต่างคนก็ต่างเดินไปสิ ฉันตัวโตขนาดนี้ไม่มีทางหายหรอก”
ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าทำไมวันนี้เฉินถิงเซียวต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับข้าวของของเธอ ยุ่งเกี่ยวกับการเดินของเธอด้วย
เฉินถิงเซียวมองหน้าเธอด้วยแววตาที่มืดมน เขายืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ก้าวยาวเดินตรงไปข้างหน้า
เธอจงใจเดินเร็วมาก และฝีเท้าข้างหลังเดินเร็วมากตามความถี่ของเธอ
พอเธอเดินช้า คนที่อยู่ด้านหลังก็เดินช้าตามเธอเหมือนกัน
สรุปก็คือ เฉินถิงเซียวให้ความร่วมมือกับฝีเท้าของเธอ เดินตามหลังของเธอ
เธอสามารถรู้สึกได้ว่าเฉินถิงเซียวไม่เพียงแต่รักษาความเร็วเท่านั้น แต่ว่ายังเอาแต่จ้องมองมาที่เธออีกด้วย
สายตาของเขาลึกซึ้งมาก เหมือนกับว่ามีสารอะไรบางอย่าง ทำให้เธอรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
มู่น่อนน่อนก็เลยถอยหลังมาก้าวหนึ่ง แล้วก็เดินด้านข้างเขา
เฉินถิงเซียวยกมุมปากขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นัก ถ้าเกิดว่าไม่ตั้งใจสังเกตก็จะมองไม่เห็น
ทั้งสองคนเข้าลิฟต์ไปด้วยกัน
เฉินถิงเซียวยื่นมือไปกดปุ่ม ตอนที่เขาดึงมือกลับมานั้น ก็ผ่านหูของเธอไปพอดี เธอรู้สึกได้ถึงออร่าที่หนาวเหน็บที่ออกมาจากร่างกายของเขา
ในลิฟตฺนั้นระหว่างทางไม่ได้แวะจอดชั้นไหนเลย จนไปถึงชั้นที่เฉินถิงเซียวกดเอาไว้ ลิฟต์ถึงได้เปิดประตูออก
มู่น่อนน่อนเดินออกมาจากลิฟต์ ก็พบว่าโรงพยาบาลนี้ไม่มีคนเลย
เหมือนกับว่าคาดเดาความคิดของเธอได้ เสียงของเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้น “คนน้อยจะสะดวกกว่า”
ความหมายก็คือ เขาติดใต้โต๊ะ แล้วก็จองโรงพยาบาลเองอย่างนั้นเหรอ?
คุณผู้ชายเฉินนี่ช่างใช้เงินสิ้นเปลืองจริงๆ
หลังจากที่พวกเขาออกจากลิฟต์แล้วเดินไปได้ไม่ไกล ก็มีลูกน้องมาต้อนรับพวกเขา “คุณผู้ชาย”
เฉินถิงเซียวถามด้วยเสียงที่เรียกเฉย “จัดการเรียบร้อยหมดแล้วหรือยัง?”
ลูกน้องกลับด้วยความเคารพ “ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมแล้วครับ”
มู่น่อนน่อนพ่อไปที่เฉินถิงเซียวด้วยความสงสัย
แต่ว่าไม่นาน ความสงสัยในดวงตาของเธอก็หายไป
เธอนึกถึงท่าทางที่เจ็บปวดของเฉินถิงเซียวในห้องอ่านหนังสือวันนั้น วันนี้เฉินถิงเซียวมาตรวจร่างกายหรือเปล่า?
ความคิดนี้เพิ่งจะออกมา แค่ได้ยินเสียงเฉินถิงเซียวตั้งขึ้นมาจากด้านข้าง “พาเธอไปเถอะ”
เธอ?
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมา ก็พบว่ามีบุคลากรทางการแพทย์สวมชุดกาวน์สีขาวกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ครึ่งหนึ่งเป็นหมอกับพยาบาลผู้หญิง
พอเฉินถิงเซียวพูดออกมา หมอผู้หญิงก็เดินเข้ามาหาเธอ
“คุณมู่ เชิญตามพวกเรามาค่ะ”
มาตรวจให้เฉินถิงเซียวไม่ใช่เหรอ?
น่าจะบอกว่าสีหน้าของมู่น่อนน่อนนั้นชัดเจนเกินไป เฉินถิงเซียวพูดว่า “แค่ตรวจร่างกายธรณี”
พอเขาพูดจบ ก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้หมอคนนั้นพามู่น่อนน่อนไปตรวจร่างกาย
หลังจากที่หมอคนนั้นได้รับคำสั่งจากเฉินถิงเซียว ก็ไม่สนใจว่ามู่น่อนน่อนจะยินยอมหรือไม่ เข้ามาพาเธอไปทันที
“สุขภาพของฉันแข็งแรงดีมาก ฉันไม่จำเป็นต้องไปตรวจร่างกาย!”มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวช่างแปลกประหลาดเกินไปแล้ว
ต่อให้เขาหวังดีจริงๆ แต่ว่าจะบอกกับเธอก่อนสักคำเลยไม่ได้เหรอ?
ถ้าบอกล่วงหน้าสักนิด เขาจะเป็นยังไงเหรอ?
แต่ว่าเรื่องราวมาจนถึงตอนนี้แล้ว มู่น่อนน่อนทำได้เพียงแค่ให้หมอผู้หญิงพวกนั้นตรวจร่างกายของเธอไป
ตอนที่มู่น่อนน่อนตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้วนั้น ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว
ตอนที่เธอออกมานั้น ก็เห็นว่าเฉินถิงเซียวนั่งอยู่บนโซฟา พร้อมกับพริกกองกระดาษในมือของเขา
พอเดินเข้าไปใกล้ เธอถึงได้พบว่าสิ่งที่เฉินถิงเซียวถือไว้ในมือก็คือผลการตรวจร่างกายในด้านต่างๆ ของเธอ
มู่น่อนน่อนเดินไปอยู่ข้างๆ เขาและนั่งลง พร้อมกับหันหน้าไปถามว่า “ทำไมคุณถึงได้มาให้ฉันตรวจร่างกาย? ”
“เพื่อป้องกันเธอจากโรคติดต่อต่างๆ แล้วจะเอามาติดมู่มู่”เฉินถิงเซียวไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ เสียงของทุ้มต่ำตามจนฟังไม่ได้ยินอารมณ์ใดๆ ในนั้น
มู่น่อนน่อนเบะปาก เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “คุณเฉินนี้ช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ นะคะ เหตุผลง่ายๆ แบบนี้ ยังสามารถพูดกับคุณนายมู่ได้อย่างจริงจังขนาดนี้”
เฉินถิงเซียวเพิ่งจะอ่านผลตรวจใบสุดท้ายจบ
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมามองมู่น่อนน่อน สีหน้าดูจริงจังมากที่สุด “คุณมู่เองก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ นะ ทั้งๆ ที่โกรธขนาดนี้ยังสามารถยิ้มออกมาได้อีก”
มู่น่อนน่อน:“……”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ชะงักไปในทันที
เสิ่นเหลียงสังเกตเห็นสีหน้าของมู่น่อนน่อน แล้วก็คาดเดาได้ว่าเธอน่าจะไม่เชื่อก็เลยถามว่า “ตอนนี้เธอรู้สึกยังไงกับบอสใหญ่เหรอ?”
“ไม่ได้รู้สึกอะไร” นอกจากขี้เบื่อกับไร้เดียงสา เธอก็รู้สึกว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้มีอะไรพิเศษ
เสิ่นเหลียงทำเสียง “จุ๊ๆ ” สองครั้ง “ถ้าอย่างนั้นเธอวางแผนจะทำยังไง? เธอคงอยู่กับเขาตลอดไปไม่ได้หรอกนะ”
พอพูดถึงตรงนี้แล้ว เสิ่นเหลียงก็ชะงักไป เราก็ช่วยเธอวิเคราะห์ตอบว่า “ฉันสามารถบอกกับเธอได้อย่างแน่นอนว่า ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของเธอกับบอสใหญ่นั้นดีมาก ฉันรู้สึกว่าตอนนี้เธอสามารถเลือกได้ 2 ทาง ทางได้ก็คือ เธอกับเขาหรือฟื้นความทรงจำเราก็รักกันต่อไป ส่วนอย่างที่ 2 ถ้าเกิดว่าเธอกับเขาไม่สามารถรื้อฟื้นความทรงจำได้ และไม่รักกันต่อไปแล้วล่ะก็ ไม่ช้าก็เร็วเธอก็ต้องคิดถึงอนาคตของตัวเอง……”
พอพูดถึงตรงนี้แล้ว มู่น่อนน่อนเข้าใจเองก็พอแล้ว เสิ่นเหลียงไม่ได้มีความจำเป็นต้องพูดเยอะ
“เรื่องนี้ฉันก็เคยคิดมาเหมือนกัน”
มู่น่อนน่อนหันกลับไปมองเฉินมู่ แล้วก็พบว่าเธอหลับไปแล้ว ก็เลยยื่นมือไปอุ้มเธอขึ้นมา
เธอกอดเฉินมู่ไว้ในอ้อมแขน เฉินมู่ยกเปลือกตาขึ้นแล้วเหลือบมองเธอ เอาหน้าถูอ้อมแขนที่เธอไว้วางใจเราก็หลับไป
เสิ่นเหลียงเอนตัวเข้ามาแล้วก็ทำด้วยเสียงเบา “หลับไปแล้วเหรอ?”
“อืม”มู่น่อนน่อนตอบคําถาม:“เธอจะกินข้าวหรือจะนอนก็แล้วแต่ทำให้ทุกคนไว้ใจได้ ไม่งอแงเลยแม้แต่นิดเดียว”
เสิ่นเหลียงอดไม่ไหวที่จะยื่นมือไปลูบหน้าของเฉินมู่ “เป็นเด็กดีมากเลย”
มู่น่อนน่อนเปลี่ยนมาใช้อีกมือหนึ่ง ทำให้เฉินมู่หลับสบายขึ้นหน่อย แล้วก็เลยนะพร้อมกับพูดกับเสิ่นเหลียง “ชอบก็มีสักคนหนึ่งสิ”
“ก่อนที่จะอายุ 30 ฉันจะไม่คิดเรื่องแต่งงานหรือแม้แต่นิดเดียว”รอยยิ้มบนใบหน้าของเสิ่นเหลียงจางโรคในทันที “ไม่ต้องพูดถึงฉัน พูดถึงเธอเถอะ”
“เรื่องเมื่อกี้ที่เธอพูด ฉันเองก็เคยคิดมาแล้ว ฉันเคยคิดเกี่ยวกับสิทธิในการเลี้ยงดูของเฉินมู่”มู่น่อนน่อนสีหน้าจริงจังพร้อมกับพูดว่า “ถ้าเกิดว่าตอนนี้ฉันแยกสิทธิ์ในการเลี้ยงลูกกลับเฉินถิงเซียวล่ะก็ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ต้องเป็นไปทีละขั้นทีละตอน ตอนนี้ฉันต้องไปหางานทำ”
ถ้าเกิดว่าเธอจะแยกสิทธิ์ในการเลี้ยงดูเฉินมู่ เรื่องแรก ก็คือเธอต้องมีอิสระทางด้านการเงิน
แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่สวยก็คือ ชีวิตของตัวเธอเองยังคงวุ่นวายอยู่เลย
พอได้ยินมู่น่อนน่อนพูดแบบนี้ เสิ่นเหลียงก็นึกขึ้นมาได้ บทละครที่มู่น่อนน่อนเคยขายให้ฉินสุ่ยซานเรื่องนั้น
“เมื่อก่อนเธอเคยเขียนบทละคร ชื่อว่า ‘เมืองพัง’ เมืองพัง’ ได้ออกอากาศเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ขายดีมาก มีแฟนหลายคนไปเรียกร้องใน Weiboของเธอให้มีภาค 2”
เสิ่นเหลียงพูด แล้วก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา เปิดหน้าWeiboของมู่น่อนน่อน แล้วก็เปิดความเห็นจากแฟนๆ ของเธอให้เธอดู
มู่น่อนน่อนมองดูIDแล้วก็บ่นว่า “มู่มู่งั้นเหรอ?”
ถึงแม้ว่าจะจำไม่ได้ว่าตอนนั้นอารมณ์ไหนถึงใช้นามปากกานี้ แต่เธอรู้ว่านามปากกานี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องเฉินมู่
เสิ่นเหลียงเปิดคอมเม้นของแฟนๆ ให้มู่น่อนน่อนดู
“ นี่มัน 2 ปีมาแล้ว คนเขียนบทคุณวางแผนที่จะปล่อยภาค 2 หรือไม่?”
“‘เมืองพัง’มีหลุมมากมายที่ยังไม่ได้เติมลงไป คนเขียนบทออกมาคุยกับพวกเราหน่อยเถอะ!”
“ตามคนเขียนบทให้ออกมาเขียน‘เมืองพัง’ภาค 2”
“โพสต์Weiboล่าสุดเมื่อ 3 ปีที่แล้ว รู้สึกได้ว่าเธอน่าจะไม่ออกมาเขียนบท‘เมืองพัง’ ตอนที่ 2 อีกแล้ว……”
คอมเมนท์ของแฟนๆ ที่ใหม่ที่สุด ก็คือ 1 วันก่อนหน้านี้
มู่น่อนน่อนพลิกไปด้านหน้า แล้วก็พบว่าโพสต์ที่ใหม่ที่สุดของตัวเองคือ 3 ปีก่อนจริงๆ
“เห็นแล้วใช่ไหม นี่คือแฟนคลับ‘เมืองพัง’ของเธอ ถ้าเกิดว่าเธอกลับมาเขียนตอนที่ 2 ต้องมีโปรดิวเซอร์และผู้กำกับตามหาเธออย่างมากมายอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่นิยายในอินเทอร์เน็ต แต่ว่าก็ได้รับรางวัลมากมายในอุตสาหกรรมนี้ และนักลงทุนก็ทำเงินได้มากมาย……”
เสิ่นเหลียงคิดแล้วรู้สึกเจ็บใจเล็กน้อย “ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นเธอขายไปในราคาเท่าไหร่ แค่รู้สึกว่าน่าจะสูญเสีย”
ตอนนั้นจู่ๆ มู่น่อนน่อนก็เผาคฤหาสน์และหนีไป แล้วก็เลยขายบทละครเรื่องนี้ เสิ่นเหลียงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอขายไปในราคาเท่าไหร่
แต่ว่ามู่น่อนน่อนกลับไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนเหมือนกับเสิ่นเหลียง
เธอหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาแล้วก็ค้นหาคำว่า ‘เมืองพัง’ในอินเทอร์เน็ต
พอเห็นเนื้อหาของ‘เมืองพัง’เธอก็รู้สึกคุณเคย เมื่อเห็นชื่อของตัวละครในเรื่องนี้ ทิศทางในการตั้งตัวละครก็ปรากฏขึ้นอย่างอัตโนมัติในหัวของเธอ
นี่มันทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ
เธอต้องพยายามกลับไปไตร่ตรองดู ไม่ได้ว่าเธออาจจะสามารถเขียนภาค 2 ขึ้นมาจริงๆ ก็ได้
มู่น่อนน่อนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถามว่า “เธอรู้ไหมว่าใครเป็นคนซื้อภาค 1 ไป?”
เสิ่นเหลียงตอบ “ฉินสุ่ยซาน โปรดิวเซอร์รายใหม่ในวงการบันเทิง ตัวตนของเธอสูงขึ้นอย่างมากในไม่กี่ปีที่ผ่านมา นี่เธอเตรียมจะเขียนภาค 2 แล้วอย่างนั้นเหรอ? เธอบอกฉันได้ไหมว่าทำไมสุดท้ายแล้วเว่ยซิงเฉินถึงได้ถูกจับกุม?”
มู่น่อนน่อนมองหน้าเสิ่นเหลียงด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ “ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ยังไงตอนนี้ฉันก็จำไม่ค่อยได้ว่าเนื้อหามันเป็นยังไงบ้าง”
เสิ่นเหลียง:“……”
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนเตรียมจะกลับออกจากโรงแรมจีนติ่ง เฉินมู่ก็ตื่นแล้ว
มู่น่อนน่อนถามเธอ “ให้แม่อุ้มหรือว่าหนูจะเดินเอง?”
“หนูเดินเองค่ะ”เฉินมู่ขยี้ตาของตัวเอง แล้วก็ลงไปยืนที่พื้นยังเชื่อฟัง พร้อมกับถุงมือของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงก็เดินออกไปข้างนอกพร้อมกัน
พอออกมาจากห้องส่วนตัว ก็เห็นกู้จือหยั่นเดินมาทางนี้ แถมด้านหลังของเขาก็ยังมีลูกน้องตามมาคนหนึ่ง ชื่ออะไรบางอย่างแล้วก็เดินเข้ามา
พอเดินเข้ามาแล้ว มู่น่อนน่อนฉันได้พบว่าลูกน้องที่อยู่ด้านหลังของกู้จือหยั่นกำลังถือตู้เซฟมาอยู่
ไม่รอให้กู้จือหยั่นพูดอะไร เสิ่นเหลียงขมวดคิ้วแล้วก็ขวางเขาเอาไว้ “นี่นายทำอะไรอีกเนี่ย
“ฉันให้ของขวัญที่ได้เจอกับเสี่ยวมู่มู่ไง” กู้จือหยั่นพูด แล้วก็หันไปรับเซฟกล่องนั้น พร้อมกับส่งให้มู่น่อนน่อน “เพราะว่าเวลาค่อนข้างที่จะรีบร้อน ก็เลยไม่ได้เตรียมการมาอย่างดี”
มีหลายคนกำลังมองอยู่ มู่น่อนน่อนก็ทำได้แค่ยื่นมือออกไปรับ “ขอบคุณนะคะ”
แต่ว่า พอมู่น่อนน่อนยื่นมือออกไปรับ ก็รู้สึกเหมือนมือจะจมลงและไม่สามารถทำให้คงที่ได้
เธอรู้สึกอยากจะถามกู้จือหยั่น ว่าข้างในนี้ใส่อะไร
แถมยังใช้ตู้เซฟในการใส่มาอีก น่าจะเป็นข้าวของที่แพงใช่ไหม?
มันคงไม่ใช่ทองคำแท่งหรือเงินสดหรอกใช่ไหม?
ถึงแม้ว่าไม่อยากจะเชื่อ แต่มู่น่อนน่อนก็คิดว่าความเป็นไปได้นั้นสูงมาก
ไม่ใช่ว่าเธอเข้าใจผิดอะไรเกี่ยวกับผู้ชายที่ต่อมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยหรอกนะ แต่ว่ากู้จือหยั่นทำให้เธอรู้สึกแบบนั้นจริง……
กู้จือหยั่นพูดว่า “หนักนิดหน่อย เดี๋ยวผมให้คนช่วยคุณเอากลับไปแล้วกัน”
มู่น่อนน่อนกำลังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แล้วก็เห็นว่ามีคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของกู้จือหยั่น เสียงของเขาดังขึ้นมา “คนถือของมาแล้ว”
กู้จือหยั่นหันไปตามสายตาของเธอ ก็เห็นกับเฉินถิงเซียวที่กำลังก้าวยาวเดินมาที่นี่
ด้านหลังของเฉินถิงเซียวก็มีสือเย่ที่กำลังเดินตามมา
กู้จือหยั่นหัวเราะ “คิคิ” “ถิงเซียว”
เฉินถิงเซียวเพียงแค่เหลือบมองเขาเท่านั้น แต่ว่าสายตาไม่จับจ้องที่ใบหน้าของเธอเลย เขาหันไปมองมู่น่อนน่อนในทันที
เฉินมู่เห็นว่าเฉินถิงเซียวมาแล้ว ก็ร้องเรียกอย่างดีใจเป็นพิเศษ “พ่อคะ!”
“อืม”เฉินถิงเซียวตอบรับ แล้วก็หันกลับไปมองที่มู่น่อนน่อน
แล้วเขาก็เห็นตู้เซฟที่อยู่ในมือเธอ พร้อมกับขมวดคิ้วและถามว่า “นี่มันอะไรกัน?”
ตอนที่เขาพูดนั้น ก็ยื่นมือมาดึงตู้เซฟในมือของมู่น่อนน่อนไป
มันเป็นท่าทางที่เป็นธรรมชาติมาก
มู่น่อนน่อนเข้าใจได้ว่า เฉินมู่เป็นเพื่อนตัวน้อยที่ดูที่ใบหน้าของคนอื่น
เด็กน้อยส่วนใหญ่จะใกล้ชิดกับผู้หญิงมากกว่า
เสิ่นเหลียงเป็นคนในวงการบันเทิง หน้าตาต้องดูดีเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว เฉินมู่สามารถรู้สึกดีกับเธอได้อย่างง่ายดาย
เสิ่นเหลียงอุ้มเฉินมู่ไปนั่งลง เราก็หันไปมองกู้จือหยั่น ยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ประธานกู้มีเวลาว่างมากเหรอคะ?”
กู้จือหยั่นแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจในสิ่งที่เสิ่นเหลียงพยายามจะสื่อ “ยุ่งมากเลยครับ สภาวันนี้เสี่ยวมู่มู่มาด้วย ผมก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหาเวลาว่างให้ได้”
อยากจะไล่เขาไปอย่างนั้นเหรอ?ไม่มีทางหรอก
มู่น่อนน่อนมองเสิ่นเหลียงแล้วก็หันมามองกู้จือหยั่น เธอยิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เธอหันหน้าไป ก็เห็นว่าเฉินมู่กำลังมองหน้าเธอด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
มู่น่อนน่อนเอ่ยปากเรียกเธอ “มู่มู่?”
สีหน้าของเฉินมู่ดูเป็นกังวลมากกว่าเดิม เธอบิดตัวออกมาจากเสิ่นเหลียง เหมือนกับว่าอยากจะลงมา
เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่เหรอ?
เสิ่นเหลียงก็สัมผัสได้ว่าเฉินมู่อยากจะลง ก็เลยปล่อยมือและวางเธอลงที่พื้น
ทันทีที่เท้าของเฉินมู่เหยียบที่พื้น ก็วิ่งไปหามู่น่อนน่อน แล้วก็พุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของเธอทันที
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ามันค่อนข้างน่าขำ
เธออุ้มเฉินมู่ขึ้นมา พยายามกดความรู้สึกอยากขำของตัวเอง แล้วก็กระซิบถามเฉินมู่ “เป็นอะไรไปเหรอ?”
เฉินมู่มองเสิ่นเหลียงอย่างระมัดระวัง แล้วก็หันไปกอดคอของมู่น่อนน่อนเอาไว้แน่นพร้อมกับกระซิบบอกว่า “คุณป้าแปลกๆ ”
“ใครกัน?”มู่น่อนน่อนอึ้งไป แล้วก็เอ่ยปากถามเธอ:“คุณป้าที่เพิ่งกอดเมื่อกี้นี้เหรอ?”
เฉินมู่บิดนิ้ว แล้วก็พยักหน้าด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
มู่น่อนน่อนอ้าปาก ไม่เข้าใจเหตุผล
เสิ่นเหลียงมองหน้าเฉินมู่ด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น ถามกับทางมู่น่อนน่อน “เธอพูดว่าไงเหรอ?”
มู่น่อนน่อนกระพริบตา ยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า
และในทันที เธอก็ก้มหน้าและกระซิบถามเฉินมู่ “ทำไมถึงบอกว่าป้าเสิ่นเป็นแปลกๆ ด้วยล่ะ ไม่คิดว่าเธอสวยมากเลยเหรอ?”
เฉินมู่หันไปมองเสิ่นเหลียง แล้วก็ได้สบตากลับดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเสิ่นเหลียงพอดี
แล้วเธอก็ซบเข้าไปในอ้อมแขนของอีกครั้ง พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเด็กน้อย “สวย”
“แล้วทำไมถึงได้บอกว่าเธอเป็นป้าแปลกๆ ด้วยล่ะ? เธอชอบหนูมากเลยหนูรู้ไหม? ”มู่น่อนน่อนลูบผมของ เธอ แล้วก็พยายามโน้มน้าว
“พ่อบอกว่า……เป็นแปลกๆ ”คำพูดระหว่างนั้นของเฉินมู่ค่อนข้างที่จะเสียงเบา มู่น่อนน่อนได้ยินไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นักแต่มันก็ไม่ได้ขัดขวางเธอจากการเข้าใจความหมายของทางประโยคของเฉินมู่
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้วไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี
เธอเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นเหลียง “ก่อนหน้านี้เธอเคยเจอเฉินถิงเซียวด้วยเหรอ? ”
“เคยสิ ครั้งที่แล้วตอนที่เขาพาเสี่ยวมู่มู่ไปกินข้าวที่โรงแรมจีนติ่งไง ฉันก็เลยเจอเขาโดยบังเอิญ” เสิ่นเหลียงตอบ แลวก็กะพริบตาให้เฉินมู่ “เสี่ยวมู่มู่เองก็อยู่ด้วย แล้วก็ยังทักทายป้าด้วยนะ”
พอมู่น่อนน่อนฟังคำพูดของเสิ่นเหลียงจบแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเอามือก่ายหน้าผาก
เฉินถิงเซียวนี่จริงๆ เลย……
มู่น่อนน่อนก้มหน้าลง แล้วก็พูดกับเฉินมู่ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ป้าเสิ่นไม่ได้ป้าที่แปลกนะ เธอรู้จักกับแม่ เป็นเพื่อนของแม่ เป็นป้าที่ดี แล้วเธอก็ชอบหนูมากด้วย”
เฉินมู่จ้องมู่น่อนน่อนตาโต ท่าทางเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
มู่น่อนน่อนกุมมือเล็กๆ ของเธอ “ป้าเสิ่นชอบหนูขนาดนั้น หนูจะไม่ไปชมเธอหน่อยเหรอ? ”
เฉินมู่กะพริบตา แล้วก็หันไปมองเสิ่นเหลียง พูดกับพูดอะไรบางอย่าง “ป้าสวยมากเลยค่ะ”
“ว้าว——”
เสิ่นเหลียงอุทานออกมา แล้วก็ถามมู่น่อนน่อน “เธอสอนหลานเหรอ? ”
มู่น่อนน่อนโบกมือ พร้อมกับส่ายหน้าเป็นความหมายว่าเธอไม่ได้เป็นคนสอนให้เฉินมู่พูดแบบนี้
เสิ่นเหลียงยิ้มให้กับเฉินมู่อย่างลึกลับ “มู่มู่เป็นเด็กดีมาก ป้าเตรียมของขวัญไว้ให้หนูด้วย”
พอได้ยินคำว่า “ของขวัญ” ดวงตาของเฉินมู่ก็เป็นประกายขึ้นมาในทันที
เสิ่นเหลียงยื่นมือออกไปหาเฉินมู่ “หนูมานี่ก่อน ป้าจะให้หนูดูแค่คนเดียวเท่านั้น”
เฉินมู่มองมู่น่อนน่อนด้วยแววตาที่คาดหวัง
มู่น่อนน่อนก็วางเธอลงพื้น “ไปเถอะ”
เฉินมู่วิ่งไปหาเสิ่นเหลียงด้วยความดีใจ เสิ่นเหลียงก็แกล้งทำท่าทางลึกลับแล้วก็ให้ของขวัญกับเฉินมู่ภายใต้ผ้าคลุม
“มู่มู่ หนูซ่อนไว้ตรงนี้นะ อย่าให้แม่เห็นนะ”
“อืม”
เฉินมู่ให้ความร่วมมือกับเสิ่นเหลียงดีมาก เธอหันไปมองยังที่ที่มู่น่อนน่อนอยู่ แล้วก็ยื่นมือน้อยๆ ออกไป บดบังสายตาของมู่น่อนน่อน
แต่ว่า มู่น่อนน่อนเห็นของขวัญที่เสิ่นเหลียงซื้อมาให้เฉินมู่แล้ว
เป็นตุ๊กตาที่สาวน้อยส่วนใหญ่จะชอบ และขวดอวยพรที่สีสันที่สวยงาม
มันไม่ได้ถือว่าเป็นของขวัญที่พิเศษมากเท่าไหร่ แต่ว่าเฉินมู่กลับยิ้มจนตาหยี เห็นได้ชัดว่าเธอชอบมันมาก
“อันนี้หมุนแล้วจะเปลี่ยนสีได้ด้วยนะ แบบนี้……”
“สวยมากเลย!”
เฉินถิงเซียวยุ่งขนาดนั้น เดาว่าคงไม่มีเวลามาอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับเฉินมู่
เธอเริ่มจะเข้าใจบ้างแล้ว ว่าทำไมเฉินถิงเซียวถึงยอมให้เธอเข้ามาอยู่กับพวกเขา
เฉินมู่หยิบขวดอธิษฐานไปให้มู่น่อนน่อนดูด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “แม่คะ ดูสิ!”
“สวยขนาดนี้เลยเหรอ? พวกเราต้องขอบคุณป้าเสิ่นหน่อยใช่ไหม? ”มู่น่อนน่อนพยักหน้าอย่างให้ความร่วมมือมาก
“ขอบคุณค่ะ”เฉินมู่วิ่งไปตรงหน้าเสิ่นเหลียง แล้วก็พูดขอบคุณเสียงหวาน แถมยังจุ๊บแก้มเธออีก
เสิ่นเหลียงทรุดตัวลงบนเก้าอี้ในทันที ทำท่าทางอ่อนแอและพูดว่า “จู่ๆ ก็ปวดหัว ต้องให้มู่มู่จุ๊บถึงจะหาย”
เฉินมู่พุ่งตัวเข้าไปจุ๊บด้วยความไม่รู้
กู้จือหยั่นที่อยู่ด้านข้างมองด้วยความอิจฉา
เขากระแอมและพูดว่า “สั่งอะไรกันเถอะ”
เขาพูดเสร็จแล้วก็ยื่นเมนูไปตรงหน้าของเฉินมู่ “มู่มู่กินอะไรก็สั่งอันนั้นแหละ”
เฉินมู่มองหน้าเขา แล้วก็ยื่นเมนูไปตรงหน้าของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนยิ้มพร้อมกับช่วยสั่งน้ำผลไม้กับเฟรนฟรายให้กับเฉินมู่ แล้วก็สั่งกาแฟอีกแก้วหนึ่งให้ตัวเอง หลังจากนั้นก็ยื่นเมนูไปตรงหน้าเสิ่นเหลียง
น่าจะเพราะว่ากู้จือหยั่นก็อยู่ในห้องส่วนตัวนี้ด้วย เพราะฉะนั้นอาหารที่พวกเขาสั่งก็มาถึงเร็วมาก แทบจะไม่ต้องรอเลย
เฉินมู่นั่งอยู่บนเก้าอี้เด็ก แล้วก็กินเฟรนฟรายอย่างตั้งใจ
มู่น่อนน่อนก็เล่าให้พวกเสิ่นเหลียงฟังเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้
กู้จือหยั่นได้ยินดังนั้น ก็ซุบซิบถามมู่น่อนน่อน “ถิงเซียวแตกหักกับพี่สาวของตัวเองจริงๆ เหรอ?”
“ถือว่าใช่ก็ได้ ฉันเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นะ”เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้น เหมือนกับว่าเฉินถิงเซียวแตกหักฉินจิ่งหยุ้นจริงๆ แต่ว่ายังไงก็เป็นพี่ชายกับน้องสาวแท้ๆ มันยากที่จะบอกว่าพวกเขาจะคืนดีกันภายหลังหรือไม่
กู้จือหยั่นฟังคำพูดของเธอ ใบหน้าก็ดูมีความสุข “รอไปเถอะ ถ้าเกิดว่าถิงเซียวฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้เมื่อไหร่ เฉินจิ่งหยุ้นไม่มีทางอยู่ดีหรอก”
อยู่ดีๆ เขาก็พูดประโยคนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีหัวมีหาง มู่น่อนน่อนอึ้งไปแล้วก็ถามว่า “หมายถึงอะไร?”
เสิ่นเหลียงเอาเท้าเตะกู้จือหยั่นใต้โต๊ะอาหาร “คุณควรกลับไปได้แล้ว คุณยุ่งขนาดนั้น……”
ถึงแม้ว่ากู้จือหยั่นจะไม่เต็มใจ แต่ว่าก็ลุกขึ้นเดินออกไป
พอเขาเดินออกไปแล้ว เสิ่นเหลียงก็ดึงเธอมาด้านข้างแล้วก็เอ่ยปากถาม “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้บอสใหญ่เป็นยังไงกับเธอบ้าง?”
“ก็ไม่เป็นยังไงหรอก”มู่น่อนน่อนคิดอยู่ครู่หนึ่ง:“แค่อยู่อย่างสงบสุขก็ดีมากแล้ว”
เสิ่นเหลียงพยักหน้าเราถามว่า “เธอเกลียดเขามากเลยเหรอ”
“พูดไม่ถูก แค่รู้สึกว่าไม่ใช่คนแปลกหน้า”
มู่น่อนน่อนเม้มปาก สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย เธอเงยหน้าขึ้นมองเฉินมู่ แล้วก็กระซิบถามเสิ่นเหลียง “ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของฉันกับเฉินถิงเซียวเป็นยังไงบ้างเหรอ?”
“แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของพวกเธอคือรักกันดีมาก ไม่อย่างนั้นจะมีเสี่ยวมู่มู่ที่น่ารักขนาดนี้ได้ยังไงกัน”เสิ่นเหลียงพูด แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอามือเท้าคางและมอง “น่ารักมากเลย”
เมื่อวานตอนเย็นเฉินถิงเซียวพูดว่า ตอนที่พวกเธอจะออกไปข้างนอกนั้นจะมีคนมารับพวกเธอ
มู่น่อนน่อนก็นึกว่าจะเป็นคนขับรถหรือบริการอะไรแบบนั้น แต่ไม่คิดเลยว่าเฉินถิงเซียวจะส่งสือเย่มาให้ไปส่งพวกเธอ
สือเย่เห็นว่าเธอจูงมือเฉินมู่ออกมา ก็ยิ้มพร้อมกับทักทาย “คุณมู่”
หลังจากนั้นก็หันไปมองหน้าเฉินมู่ พร้อมกับยิ้มน่ะพูดว่า “มู่มู่”
เฉินมู่ยังจำสือเย่ได้ เธอเอ่ยปากเรียกด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน “คุณลุงสือเย่”
มู่น่อนน่อนไม่คิดว่าจะเป็นสือเย่ ก็เลยถามอย่างตรงไปตรงมา “ผู้ช่วยสือ ทำไมถึงเป็นคุณได้ล่ะ ?”
“น่าจะเพราะว่าหุ่นผู้ชายค่อนข้างที่จะเชื่อใจผม” สือเย่ยิ้มจางๆ ดูสุขุมมาก
มู่น่อนน่อนลองกลับไปคิดดู ยังไงก็ต้องพาเฉินมู่ออกไปข้างนอกด้วย แน่นอนว่าเฉินถิงเซียวก็ต้องส่งคนที่เขาไว้ใจได้เพื่อไปส่งพวกเธอ
พอเธอคิดแบบนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าทุกอย่างกระจ่าง
มู่น่อนน่อนพยักหน้าเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนคุณแล้วนะคะ”
สือเย่ยิ้ม พร้อมกับเปิดประตูรถด้วยความเคารพ
มู่น่อนน่อนอุ้มเฉินมู่ขึ้นรถไป
……
สถานที่ที่เสิ่นเหลียงนัดมู่น่อนน่อนให้ไปเจอกันนั้น ก็คือโรงแรมจีนติ่ง
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว นัดเจอที่โรงแรมจีนติ่งจะค่อนข้างปลอดภัยหน่อย
พอสือเย่มาส่งพวกเธอที่โรงแรมจีนติ่งเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับไป กลับไปรายงานให้เฉินถิงเซียวฟังที่บริษัทเฉินซื่อ
เพราะว่าเฉินถิงเซียวประกาศเรื่องการมีตัวตนอยู่ของเฉินมู่ ทำให้หลายวันมานี้เฉินจิ่งหยุ้นมาหาเฉินถิงเซียวไม่หยุดหย่อน
สือเย่ผลักประตูห้องทำงานของท่านประธานออก ก็ได้ยินเสียงที่แหลมคมของเฉินจิ่งหยุ้น “เกิดอะไรขึ้นกับสัญญานี้ที่ฉันเซ็นไป? อย่าคิดว่ามีเพียงแค่เท่านั้นที่มีสิทธิ์ตัดสินใจ บริษัทเฉินซื่อก็เป็นของฉันครึ่งหนึ่ง!”
หลังจากนั้น สือเย่ก็ได้ยินเสียงเฉินถิงเซียวโทรหาเลขา “เข้ามาเชิญรองประธานเฉินออกไปหน่อย”
“ถิงเซียว แกอย่ามาทำตัวเกินไปหน่อยนะ!”
เฉินจิ่งหยุ้นโมโหจนปลาเอกสารลงไปที่พื้น ยังไม่ทันรอให้เลขาของเฉินถิงเซียวเข้ามาไล่ เธอก็เพิ่งออกไปด้วยความโมโห
สือเย่ถอยไปยืนอยู่ริมประตูและก้มหน้าลง ให้เฉินจิ่งหยุ้นได้ออกไปก่อน
เฉินจิ่งหยุ้นสังเกตเห็นสือเย่ที่ยืนอยู่ข้างประตู แล้วก็หัวเราะเยาะพร้อมกับพูดว่า “ถอยไปไอ้หมาเกะกะ!”
หลังจากนั้นก็รีบร้อนเดินออกไป
สือเย่ปิดประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานของเฉินถิงเซียว :“คุณผู้ชาย”
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้ได้รับผลกระทบจากเฉินจิ่งหยุ้น เขายังคงอ่านเอกสารตรงหน้าอย่างตั้งใจ
พอได้ยินเสียงของสือเย่ เขาก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ได้แต่ถามว่า “ส่งพวกเธอเรียบร้อยแล้วเหรอ?”
“ครับ”สือเย่ก้มหน้าพร้อมกับตอบคำถามของเขา
ตอนนี้เอง เฉินถิงเซียวถึงได้เงยหน้าขึ้นมาและถามเขา “ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองที่นายเคยติดต่อก่อนหน้านี้ ได้ข่าวคราวอะไรบ้างหรือยัง?”
สือเย่ได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เข้มงวดขึ้นในทันที “มีข่าวคราวแล้วครับ เย็นนี้เขาพอจะมีเวลา ผมนัดไปให้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวพอถึงเวลาคุณตรงไปที่นั่นเลยก็ได้ครับ”
“อืม”
เฉินถิงเซียวตอบรับแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
แต่สือเย่ก็ยังคงไม่ออกไป
ถ้าเป็นเวลาปกติ พอสือเย่รายงานเสร็จแล้ว ก็จะออกไปข้างนอกด้วยตัวเอง
เฉินถิงเซียวเงยหน้ามองเขา “ยังมีเรื่องอะไรอีกเหรอ?”
สือเย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็สอบถามความสงสัยในใจของตัวเอง “คุณผู้ชาย นี่คุณ……เริ่มฟื้นความทรงจำแล้วเหรอครับ?”
เขาไม่ได้สงสัยอะไรไร้สาระนะ
สิ่งสำคัญก็เพราะว่าเฉินถิงเซียวให้เขาไปรับมู่น่อนน่อนกับเฉินมู่ มันผิดปกติ
มันผิดปกติมากจนทำให้เขาต้องคาดเดา
เฉินถิงเซียวค่อยๆ หรี่ตาลง แววตาดูมืดมน แต่ว่าไม่นานมันก็หายไปอย่างรวดเร็ว “จำขึ้นมาได้นิดหน่อย แต่ว่ามันเป็นเศษเล็กเศษน้อยมาก”
ความทรงจำที่แตกแยกและไม่สมบูรณ์นั้นยากที่จะปะติดปะต่อ
สือเย่มีสีหน้าดูดีอกดีใจ
แต่ว่าสีหน้าของเฉินถิงเซียวกลับมืดมนมากกว่าเดิม
เขาลุกขึ้นแล้วก็เดินไปริมหน้าต่าง หลังจากนั้นก็ค่อยๆ พูดว่า “มู่น่อนน่อนนั้นความจําเสื่อมเพราะสรีรวิทยา เธอหมดสติไปทั้งหมด 3 ปี แม้ว่าร่างกายของเธอจะหายเป็นปกติแล้ว แต่ว่าอาการความจำเสื่อมของเธอมันมีเหตุผลอย่างสมเหตุสมผล ฉันเคยไปพบจิตแพทย์และตรวจอย่างละเอียดมาก่อน แต่ว่าตอนนั้นฉันไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงขนาดนั้น”
ความหมายก็คือ เขาความจำเสื่อม จะตัดสาเหตุว่าเป็นคนทำออกไปไม่ได้
แน่นอนว่าสือเย่เข้าใจความหมายที่เฉินถิงเซียวพยายามจะสื่อ
ก่อนที่เฉินถิงเซียวกับเฉินจิ่งหยุ้นจะวางไพ่กัน เฉินถิงเซียวได้ให้สือเย่ไปสึกเกี่ยวกับเรื่องเมื่อ 3 ปีก่อนของมู่น่อนน่อนอย่างชัดเจนแล้ว ดังนั้นเฉินถิงเซียวก็จะรู้เกี่ยวกับอาการป่วยของมู่น่อนน่อนอย่างชัดเจน
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่ทำอะไรอย่างระมัดระวัง ก่อนที่เขาจะไปวางไพ่กับเฉินจิ่งหยุ้น เขาก็ได้สื่อเกี่ยวกับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้มาเรียบร้อยแล้ว
แต่ว่า ต้องสืบเกี่ยวกับมู่น่อนน่อนละเอียดหน่อย
……
มู่น่อนน่อนพาเฉินมู่เข้าไปที่โรงแรมจีนติ่ง กู้จือหยั่นก็เดินเข้ามาหาพวกเธอในทันที
“น่อนน่อน!”
ถึงแม้ว่ากู้จือหยั่นกำลังเรียกชื่อของมู่น่อนน่อนอยู่ แต่ว่าสายตาของเขากลับมองไปที่เฉินมู่
มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นถึงสายตาของเขา ก็ดึงเฉินมู่ไปที่ด้านหลังของตัวเอง “คุณกู้”
“แฮ่ๆ ”กู้จือหยั่นสังเกตเห็นถึงการกระทำของเธอ แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างก็เขิน “เสิ่นเสี่ยวเหลียงกำลังรอพวกคุณอยู่ในห้องส่วนตัว”
พอเขาพูดจบก็หันไปมองเฉินมู่ แล้วก็คลี่ยิ้มที่อ่อนโยนมากออกมา “หนูคือมู่มู่ใช่ไหม ลุงคือคุณลุงกู้นะ!”
เฉินมู่ก็ยืนหน้าออกมาจากหลังของมู่น่อนน่อน แล้วก็กระซิบตอบว่า “อืม”
กู้จือหยั่นยิ้มหน้าบานจนเป็นดอกไม้ ไม่รู้ว่าไปเอาอมยิ้มสีรุ้งมาจากตอนไหน เขายื่นให้กับเฉินมู่ น้ำเสียงก็อ่อนโยนมากกว่าเดิม “กินลูกอมไหม”
ถ้าเกิดว่าไม่ใช่เพราะว่ามู่น่อนน่อนรู้อยู่แล้วว่ากู้จือหยั่นไม่ได้ยากจน เธอคงจะนึกว่ากู้จือหยั่นเป็นคุณลุงที่จะลักพาตัวเด็กไปขายซะแล้ว
ตอนที่เฉินมู่เห็ดอมยิ้มใส่ลงนั้น ดวงตาคู่โตก็มองตรงไปในทันที
ไม่มีเด็กน้อยคนไหนไม่ชอบกินลูกอมหรอก
เฉินมู่ชูมือเล็กๆ ขึ้นมา แล้วก็ดึงกลับไปอีกครั้ง
เธอหันไปมองมู่น่อนน่อน แล้วก็พูดเบาๆ “แม่คะ”
เฉินมู่กำลังใช้วิธีของเธอ ในการขอความคิดเห็นจากมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเม้มปากยิ้ม คำศัพท์อุ้มเธอขึ้นมา “ลูกอมที่ลุงกู้ให้ มู่มู่เอาไปได้ แต่ว่าต้องพูดขอบคุณก่อนนะ”
เฉินมู่มองกู้จือหยั่น แล้วก็ยื่นมือไปรับลูกอมนั้นอย่างรวดเร็ว ทำกับพูดว่า “ขอบคุณค่ะคุณลุงกู้”
อารมณ์ที่เบิกบานของกู้จือหยั่นถูกเขียนไว้บนใบหน้าของเขาหมดแล้ว
“มู่มู่ ลุงไม่ได้มีแค่ลูกอมนะ ลุงยังมีของกินอร่อยๆ อีกเยอะเลย เฟรนฟรายแล้วก็ลูกอมทุกชนิด……”
หลังจากนั้นกู้จือหยั่นก็ยังพูดอะไรมากมาย แต่ว่าเฉินมู่จำได้แค่เฟรนฟรายกลับลูกอมเท่านั้น
เธอก้มหน้ามองดูลูกอมสายรุ้งในมือของตัวเอง แล้วก็ยิงที่อกของมู่น่อนน่อนอย่างพึงพอใจ เห็นได้ชัดว่าเธอขาดความสนใจในสิ่งที่กู้จือหยั่นพูด
กู้จือหยั่นเห็นดังนั้นก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนพูดออกมาได้ทันเวลาว่า “พวกเราไปหาเสี่ยวเหลียงกันก่อนเถอะ มู่มู่ยังเด็กอยู่ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอกินไม่ได้”
กู้จือหยั่นพยักหน้า แล้วก็พาพวกเธอเข้าไปที่ห้องส่วนตัวที่เสิ่นเหลียงรออยู่
พอเสิ่นเหลียงเห็นว่ามู่น่อนน่อนกับเฉินมู่เข้ามา ก็วิ่งเข้าไปพร้อมกับดวงตาที่สดใส “มู่มู่ให้ป้ากอดหน่อยเร็วฎ
เฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ยื่นมือไปหาเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงก่อนเฉินมู่ด้วยใบหน้าที่มีความสุข “มู่มู่ให้ป้ากอดด้วย ไม่เขินคนแปลกหน้าเหรอ? น่ารักมากเลย……”
เสิ่นเหลียงอดไม่ได้ที่จะจุ๊บลงไปบนใบหน้าของเธอ
กู้จือหยั่นที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้น ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และหันหน้าไปทางอื่นอย่างเงียบๆ
อาหารเช้ามื้อนี้ ทำให้มู่น่อนน่อนอิ่มมาก
เธอไม่ค่อยสนใจคำพูดของเฉินถิงเซียวเท่าไหร่หรอก แต่ว่าหลังจากที่เฉินมู่กินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ผลักจานมาตรงหน้าของเธอให้เธอดู
มู่น่อนน่อนก็เลยจำเป็นต้องกินจนหมด
ความอยากอาหารของเธอช่วงนี้เริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ว่ายังกินได้น้อยกว่าผู้หญิงปกติทั่วไป
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เฉินถิงเซียวก็ไปที่บริษัท
มู่น่อนน่อนก็เล่นของเล่นเป็นเพื่อนเฉินมู่
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินมู่อยู่ที่บ้านเก่านั้น ก็จะมีคนใช้คอยเล่นเป็นเพื่อนเธอ แต่ว่าคนใช้สุดท้ายแล้วก็จะมีความภาวะพะวงอยู่ดี ไม่เหมือนกับมู่น่อนน่อนที่สามารถเล่นกับเฉินมู่ได้อย่างมีความสุขขนาดนี้
สิ่งที่เด็กน้อยต้องการมากที่สุดก็คือการอยู่ข้างๆ การเล่นเป็นเพื่อนเด็กน้อย ทำให้ง่ายที่จะให้เกิดความรู้สึกใกล้ชิด
และยิ่งไปกว่านั้น เฉินมู่ก็ชอบมู่น่อนน่อนอยู่แล้วด้วย
เฉินถิงเซียวไม่ได้กลับบ้านมากินมื้อเที่ยงด้วย ตอนบ่ายตอนที่เฉินมู่จะงีบหลับตอนกลางวันนั้น ก็งอแงให้มู่น่อนน่อนอยู่เป็นเพื่อนเธอ
มู่น่อนน่อนก็เลยต้องหลับกลางวันเป็นเพื่อนเฉินมู่
เฉินมู่เมื่อมีคนมานอนเป็นเพื่อน ก็เลยนอนไปนานมาก
เฉินมู่หลับสนิทและลึกมาก ทำให้มู่น่อนน่อนก็นอนหลับนานเป็นเพื่อนเธอเหมือนกัน
จนเธอได้ยินเสียงเปิดประตูดัง “แกร๊ก”ก็ลืมตาตื่นขึ้นมาในทันที
สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือเฉินมู่ที่นอนอยู่ด้านข้างของตัวเอง
เฉินมู่กำลังนอนกอดแขนของมู่น่อนน่อนอยู่และหลับสนิทมาก มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมองประตู
ในเวลานี้แสงจากท้องฟ้าได้มืดลง และไฟในห้องก็จะลงเล็กน้อย
เธอค่อยๆ ขมวดคิ้วเข้าหากัน หลังจากปรับแสงในห้องเรียบร้อยแล้ว ถึงได้พบเฉินถิงเซียวที่ยืนอยู่ตรงประตูที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง
เฉินถิงเซียวยังคงสวมใส่ชุดสูทที่ใส่ตอนออกจากบ้านไปเมื่อเช้า ชุดสูทมีความคมและสง่างามซึ่งทำให้เขาสูงและเพรียวบางเป็นพิเศษ
มู่น่อนน่อนมองจนเหม่อลอย แล้วค่อยๆ พลิกตัวลุกขึ้นจากเตียงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างเตียง
แน่ใจว่าเธอไม่ได้ปลุกให้เฉินมู่ตื่นขึ้นมาด้วย เธอถึงได้เดินออกไปข้างนอกอย่างสบายใจ
เฉินถิงเซียวเห็นว่าเธอออกมาแล้ว ก็เดินออกไปข้างนอกเหมือนกัน
พอปิดประตูห้องแล้ว มู่น่อนน่อนก็เดินตามเฉินถิงเซียวไป มองดูเวลา ก็เพราะว่านี่เป็นเวลา 5 โมงกว่าแล้ว ไม่น่าล่ะเฉินถิงเซียวถึงได้กลับมาแล้ว
เมื่อเธอหลับ โทรศัพท์ถูกปิดเสียง และเธอก็พบสายที่ไม่ได้รับและข้อความ
สายที่ไม่ได้รับกับข้อความที่ได้ส่งมานั้นมาจากเสิ่นเหลียง
น่าจะเป็นเพราะว่าเสิ่นเหลียงโทรหาเธอแล้วไม่มีคนรับสาย ก็เลยส่งข้อความหาเธอแทน
เนื้อหาในข้อความนั้นง่ายมาก “พรุ่งนี้ช่วงบ่ายว่างไหม? หาสถานที่นัดมาเจอกันหน่อยดีกว่า”
มู่น่อนน่อนรีบตอบกลับไป “โอเค”
ตอนที่นายหน้าขึ้นมามองเฉินถิงเซียวอีกครั้งหนึ่งนั้น ก็เพราะว่าเขายืนอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ และกำลังจ้องมองมาที่เธอ
มู่น่อนน่อนถูกเขามองจนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง แล้วก็เลยถามเขาว่า “ตอนเย็นอยากกินอะไรเหรอ?”
เฉินถิงเซียวตอบด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ “ลองทายสิ”
สองคำที่ดูเหมือนล้อเล่น แต่เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมาก
มู่น่อนน่อนเม้มปาก ไม่พูดอะไรอีก แล้วก็ลงไปชั้นล่างไปที่ห้องครัว
โชคดีที่เมื่อตอนกลางวัน เธอได้ถามพวกคนรับใช้มาถึงความชอบในการกินของเฉินถิงเซียว
ผู้ชายคนนี้จริงๆ เลย เอาแต่ขุดหลุมรอเธอตลอดเวลา
……
อาหารเย็นนั้นหลากหลายมาก
มู่น่อนน่อนทำอาหารถึง 7-8 อย่าง ส่วนใหญ่จะทำตามรสชาติที่เฉินถิงเซียวชอบ
นอกจากนี้อีก 2-3 อย่างมู่น่อนน่อนทำรสชาติที่ค่อนข้างจืด แล้วก็ซุปอีก 2 อย่าง แล้วก็อาหารเด็กของเฉินมู่อีกชุดหนึ่ง เนื้อสัตว์และผักเข้ากันได้ดี และการจัดจานก็ดูน่ารัก
เฉินมู่หยิบช้อนขึ้นมา สีหน้าดูอดใจรอไม่ไหว “น่ารักมาก!อร่อยมาก”
มู่น่อนน่อนหัวเราะ “ลูกยังไม่ทันกินเลยนะ”
เธอยกชามโตขึ้นมา ลองจับดู แล้วก็รู้สึกว่าเริ่มอุ่นได้ที่แล้ว ก็เลยเอาวางไว้ด้านข้างเฉินมู่ “กินซุปหน่อย”
เฉินมู่ใช้ช้อนตักซุปมาชิม หลังจากนั้นก็ยกกินจากชามเลย
มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วก็ตักใส่ถ้วยเล็กให้กับเธอ
ซุปในมือของเธอยังกลอนอยู่ เธอก็สัมผัสได้ว่าเฉินถิงเซียวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกำลังมองมาที่เธอ
เธอเงยหน้าขึ้น แล้วก็มองกลับไปที่เฉินถิงเซียว ก็เลยพบว่าสิ่งที่เฉินถิงเซียวกำลังมองอยู่นั้นก็คือซุปในมือที่เธอตักให้กลับเฉินมู่
มู่น่อนน่อนอึ้งไป แล้วก็เอ่ยปากถาม “คุณ……อยากกินซุปไหม?”
เธอนึกว่า จากนิสัยของเฉินถิงเซียวแล้ว น่าจะส่งสายตาให้กับเธอเพื่อให้เธอตระหนักได้เอง
ไม่คิดว่าเฉินถิงเซียวจะกลับตอบมาว่า “อืม”พร้อมกับวางตะเกียบในมือลง แล้วก็นั่งรอเธอตักซุปให้เขาอยู่ตรงนั้น
มู่น่อนน่อนอ้าปากค้าง เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้พูดอะไร
เธอตักซุปให้กับเฉินถิงเซียว หลังจากที่ส่งให้เขาแล้ว ก็มาลองสัมผัสดูว่าซุปของเฉินมู่นั้นเย็นลงหรือยัง
มู่น่อนน่อนลองสัมผัสดูแล้วก็รู้สึกว่าร้อน เธอก็เลยเป่า
ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า แต่เธอรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวยังคงมองมาที่เธออยู่
เธอเงยหน้าขึ้นมา แล้วก็พบว่าเฉินถิงเซียวกำลังมองเธออยู่
เธอก็ตักซุปให้เขาแล้วไง เขายังจะเอาอะไรอีก?
หรือว่าเขาต้องการให้เธอทำเหมือนกับที่ทำให้เฉินมู่ วัดอุณหภูมิของซุป แล้วถ้าเกิดว่ามันยังร้อนอยู่ก็ให้ช่วยเป่าให้เขาอย่างนั้นเหรอ?
มู่น่อนน่อนรู้สึกหวาดกลัวกับความคิดของตัวเอง
ถึงแม้ว่าการกระทำบางอย่างของเฉินถิงเซียวจะดูไร้เดียงสา แต่ว่าเขาก็ไม่ใช่เด็กน้อยจริงๆ
น่าจะเป็น……เพราะว่าเธอคิดมากเกินไปเอง
ตอนที่กินข้าวเย็นใกล้เสร็จแล้วนั้น มู่น่อนน่อนก็ได้รับข้อความจากเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงส่งเวลาและสถานที่นัดเจอให้กับมู่น่อนน่อน แถมยังถามเธอว่าสามารถพาเฉินมู่ไปด้วยได้ไหม
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า ในเมื่อเธอจะอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกับเฉินถิงเซียว เรื่องแบบนี้ก็ควรจะบอกให้เขารู้ไว้หน่อย
เธอคิดอยู่ครู่นึง แล้วก็เงยหน้าพร้อมกับพูดกับเฉินถิงเซียว “พรุ่งนี้ช่วงบ่ายฉันจะออกไปข้างนอกหน่อยนะ”
เฉินถิงเซียวรับผ้าเช็ดมือที่คนใช้ยื่นให้ เขาเช็ดมือไปด้วยพร้อมกับถามเธอไปด้วย “ไปไหนเหรอ?”
“เรื่องแบบนี้ก็ต้องรายงานด้วยเหรอ?”มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีความจำเป็นต้องบอกรายละเอียดกับเขา
เฉินถิงเซียววางผ้าเช็ดมือลง เราก็เงยหน้ามองหน้าเธอพร้อมกับค่อยๆ พูดว่า “ผมอยู่ที่บริษัท คุณก็ต้องผ่ามู่มู่ไปด้วย แน่นอนว่าผมจำเป็นต้องรู้ว่าคุณมีแผนจะไปที่ไหน”
“ฉันพามู่มู่ไปด้วยได้งั้นเหรอ?”มู่น่อนน่อนไม่คิดเลยว่าเฉินถิงเซียวจะอนุญาตให้เธอพาเฉินมู่ออกไปข้างนอกด้วย
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ตำหนิ “คุณไม่ได้คิดจะให้เธอไปด้วย แล้วอยากจะให้เธออยู่บ้านคนเดียวอย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่……”มู่น่อนน่อนรีบส่ายหน้าในทันที:“คุณเองก็รู้จัก ฉันจะออกไปหาเสิ่นเหลียง”
“พรุ่งนี้ตอนที่ออกไป เดี๋ยวจะมีคนไปส่ง”เฉินถิงเซียวพูดคำนี้เสร็จก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องกินข้าวไป
เฉินมู่กินอาหารเสร็จอิ่มแล้ว ก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ แววตาดูล่องลอยไปไกลสุดขอบฟ้า
มู่น่อนน่อนเรียกเธอ “มู่มู่?”
เฉินมู่ไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว “อืม”
มู่น่อนน่อนเดินไปนั่งลงตรงข้ามเธอแล้วก็ค่อยๆ พูดว่า “พ่อของหนูบอกว่า พรุ่งนี้หนูสามารถออกไปเล่นกับแม่ได้!”
“ออกไปเล่นเหรอ?”เฉินมู่เหมือนกับว่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นมา:“หนูอยากออกไปเที่ยวเล่น!”
ตอนที่เฉินมู่อยู่ที่บ้านเก่านั้น ปกติเฉินถิงเซียวก็ต้องไปทำงาน ขอบเขตของกิจกรรมต่างๆ ของเฉินมู่ก็มีแต่อยู่ในบ้านเก่าเท่านั้น เธอก็อยากออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้างเหมือนกัน
ดังนั้น ครั้งก่อนเธอถึงได้ถูกซูเหมียนหลอกให้ออกไปข้างนอกง่ายๆ ขนาดนั้น
มู่น่อนน่อนรูปผมของเธอ “พรุ่งนี้จะพาหนูออกไปเที่ยว!”
……
บ่ายวันที่ 2 พอถึงเวลาออกเดินทาง มู่น่อนน่อนออกมานอกประตู ก็เห็นสือเย่ที่ยืนรออยู่หน้ารถตั้งนานแล้ว
มู่น่อนน่อนระมัดระวังเฉินมู่ไปด้วย แล้วก็บีบยาสีฟันเพื่อให้ตัวเองแปรงฟันไปด้วย
เฉินมู่แปรงฟันคุดเดียว แล้วก็ใช้น้ำนิดหนึ่งพร้อมกับแปรงต่อ และก็บ้วนทิ้ง
เด็กน้อยยืนอยู่บนเก้าอี้ แล้วก็ยืนแปรงฟันอยู่หน้ากระจก มู่น่อนน่อนที่มองดูอยู่นั้นใจอ่อนยวบจนกลายเป็นแอ่งน้ำ
เป็นเด็กดีจริงๆ
พอคิดในอีกแง่มุมหนึ่ง ที่เฉินมู่เป็นเด็กดีขนาดนี้ ก็เป็นความดีความชอบของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะฟุ้งซ่าน
สำหรับตัวของเฉินมู่ เฉินถิงเซียวทุ่มเทมากกว่าเธอเยอะ
ถ้าเกิดว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนเผด็จการและหยิ่งผยองมากกว่านี้ เขาก็คงไม่ให้เธอย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่เพียงเพราะว่าเฉินมู่ชอบเธอหรอก
เขาสามารถไม่ต้องสนใจเธอก็ได้ และไม่ต้องให้โอกาสเธอก็ได้
“แม่ แม่ต้องบ้วนออกด้วยนะ แบบนี้ไง……”
เสียงของเฉินมู่ดึงความคิดถ้ากลับมา
เธอก้มหน้าลง แล้วก็เห็นเฉินมู่อมน้ำไว้ในป่า แล้วก็บ้วนออกมา
หลังจากนั้น เฉินมู่ก็ทำตาโตและก็ถามเธออย่างจริงจัง “บ้วนแบบนี้ค่ะ แม่ทำเป็นไหม?”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าอย่างให้ความร่วมมือ “ เป็นสิ”
“ถ้าอย่างนั้นบ้วนออกมาเลย”เหมือนกับว่าเฉินมู่ไม่เชื่อคำพูดของเธอ เอาแต่จ้องเธอไม่หยุด
มู่น่อนน่อนก็เลยจำเป็นต้องให้ความร่วมมือกับเธอ ล้างปากตามวิธีที่เธอบอกเมื่อกี้นี้
หลังจากนั้นเฉินมู่ก็ตบแขนของเธอเบาๆ “เยี่ยมมากค่ะ”
“……” มู่น่อนน่อนตะลึงไป หลังจากนั้น เธอก็ทำท่าทางดีใจ “จริงเหรอ? มู่มู่ยังเยี่ยมกว่าฉันอีก!”
เฉินมู่ถูกชมจะรู้สึกเก้อเขิน ก็หัวเราะออกมา 2 ครั้ง แล้วก็กระโดดลงจากเก้าอี้ ออกไปจัดการกับกิ๊บตัวเล็กๆ ของเธอต่อ
มู่น่อนน่อนก็แปรงฟันและล้างหน้าเสร็จด้วยความรวดเร็ว แล้วก็ออกไปมัดผมให้เฉินมู่
เฉินมู่มีข้อเรียกร้องเกี่ยวกับการมัดผมของเธอมาก
มู่น่อนน่อนถามเธอ “หนูอยากมัดผมแบบไหนเหรอ?”
“ถักเปีย……ทรงเจ้าหญิง……ตรงนี้ยาวๆ ตรงนี้ต้องเป็นแบบนี้……”
เฉินมู่พูดไปด้วย พร้อมกับยื่นมืออ้วนๆ ของเธอมาทำนู่นทำนี่ที่หัวของเธอ
สุดท้าย มู่น่อนน่อนก็ไม่เข้าใจว่าเธออยากจะได้ทรงผมแบบไหนกันแน่
ในตอนท้าย เฉินมู่ก็ถามเธอด้วยน้ำเสียงที่สุขุม “แม่รู้หรือยังคะว่าหนูอยากได้ทรงผมแบบไหน?”
มู่น่อนน่อนตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “รู้สิ”
ผมขอเฉินมู่ทั้งดำและลื่น มีหน้าม้า ส่วนผมด้านหลังก็ยาวพอดีไหล่
มู่น่อนน่อนถักเปียเส้นเล็กๆ 2 เส้นไว้บนหัวแล้วปล่อยให้ห้อยลงมา ผมอีกครึ่งหนึ่งก็ปล่อยไว้ด้านหลัง
พอมัดผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ให้เฉินมู่เลือกกิ๊ฟมา 2 ตัว แล้วก็ติดเอาไว้ด้านบนของเปีย
พอติดกิ๊บเสร็จเรียบร้อยแล้ว มู่น่อนน่อนก็หวีผมให้กับเธอพร้อมกับพูดว่า “เรียบร้อยแล้ว!”
เฉินมู่ที่นั่งเรียบร้อยไม่ได้ขยับเลย พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบผมของตัวเอง “สวยหรือยังคะ?”
“หนูดูเองสิ”มู่น่อนน่อนตอบ แล้วก็อุ้มมู่มู่ไปยังหน้ากระจก
เฉินมู่มองดูกระจก ยื่นมือไปลูบที่เปียของตัวเอง แล้วก็รูปไปที่กิ๊บติดผม หลังจากนั้นก็อุทานออกมาอย่างเกินจริง “สวยค่ะ!”
มู่น่อนน่อนช่วยเธอตัดใจอีกหน่อย “มู่มู่ของพวกเราสวยที่สุดเลย”
เฉินมู่หันหน้ากลับมามองเธออย่างเขินอาย แล้วก็พูดเบาว่า “แม่ก็สวยเหมือนกัน”
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เฉินมู่จะเอาแต่เรียกเธอว่า “พี่สาวสุดสวย” แต่ว่าครั้งนี้ มู่น่อนน่อนกลับฟังแล้วรู้สึกมีความสุขที่สุดและซาบซึ้งใจมากที่สุด
สิ่งที่ตามมาก็คือความเศร้าเล็กน้อย
เธอไม่สามารถอยู่กับเฉินถิงเซียวได้ตลอดไป ถ้าถึงเวลาที่ต้องแย่งสิทธิ์ในการดูแลเฉินมู่เมื่อไหร่ เธอต้องไม่ชนะเฉินถิงเซียวอย่างแน่นอน
เฉินถิงเซียวก็ไม่มีทางเฉินมู่ให้กับเธอ
มู่น่อนน่อนเก็บอารมณ์ของตัวเอง แล้วก็จูงมือเฉินมู่เดินออกมาจากห้อง “พวกเราลงไปกินข้าวเช้ากันเถอะ”
……
ในห้องอาหาร เฉินถิงเซียวนั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว
คนรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างก็เงียบ และบรรยากาศในห้องอาหารก็เย็นยะเยือกเช่นกัน
เฉินมู่นั้นความรู้สึกว่องไวมาก พอเข้ามาแล้วก็มีท่าทีหวาดกลัว เอาแต่ยืนติดอยู่กับมู่น่อนน่อน
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะอาหาร ท่าทางเหมือนกับว่าคนอื่นติดหนี้เขายังไงอย่างนั้น
มู่น่อนน่อนกะซิบพูดกับเฉินมู่ว่า “เข้าไปเรียกพ่อเร็ว แล้วก็ปีนโต๊ะขึ้นไปจุ๊บเค้า พูดว่ารักเขาด้วย”
เฉินมู่ได้ยินดังนั้น ก็ส่ายหัวเป็นเจ้าเข้าในทันที
มู่น่อนน่อนนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ ที่เสิ่นเหลียงบอกทางโทรศัพท์ว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนน่ากลัว
ดูท่าทางเฉินมู่ก็คงจะกลัวเขาไม่น้อยเลย
มู่น่อนน่อนให้กำลังใจเธอ “ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าเกิดว่าเขากล้าดุหนู เดี๋ยวแม่จะช่วยสั่งสอนเขาให้เอง”
เฉินมู่เหมือนจะเข้าใจคำว่า “สั่งสอน”เธอขยับเข้าไปใกล้เฉินถิงเซียวสองก้าวเหมือนจะเชื่อแต่ก็ไม่เชื่อ แล้วก็หันหน้ากลับมามู่น่อนน่อนอีกครั้งหนึ่ง
มู่น่อนน่อนมอบรอยยิ้มที่ให้กำลังใจให้กับเธอ
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินมู่กว้างขึ้นเล็กน้อย เธอเดินก้าวเล็กๆ เข้าไปหาเฉินถิงเซียว หันหน้าไปมองใบหน้าของเฉินถิงเซียว แล้วก็ลองเรียกเขาเบาๆ “พ่อคะ”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเธอ สายตาจ้องไปที่เปียบนหัวของเธอ แล้วก็ตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “อืม”
หลังจากนั้น เขาก็เริ่มทานอาหารเช้า
มู่น่อนน่อนถึงได้เพิ่งสังเกตเห็นว่า เฉินถิงเซียวยังไม่ได้แต่อาหารเช้าเลยแม้แต่นิดเดียว
หรือว่านี่เฉินถิงเซียวกำลังรอให้เธอกลับเฉินมู่ลงมาอยู่เหรอ?
ในใจของมู่น่อนน่อนเต็มไปด้วยความสงสัย แล้วก็นั่งลงที่หน้าโต๊ะอาหาร
เฉินมู่เป็นเด็กที่เชื่อฟัง เธอจำในสิ่งที่มู่น่อนน่อนบอกให้ทำได้
เธอเห็นว่าเฉินถิงเซียวไม่ค่อยสนใจเธอเท่าไหร่ ก็เลยพยายามปีนขึ้นไปบนตัวของเฉินถิงเซียว
เธอปีนขึ้นไปนั่งบนตักของเฉินถิงเซียว แล้วก็กับเสื้อผ้าเขาเพื่อปีนขึ้นไปแล้วก็ “จุ๊บ” ลงบนแก้มของเขา “พ่อคะ หนูรักพ่อค่ะ”
พอพูดจบ เธอก็จ้องหน้าเฉินถิงเซียวด้วยความอยากรู้อยากเห็น เหมือนกับว่าเราปฏิกิริยาของเขาอยู่
มู่น่อนน่อนก็มองดูสิ่งมหัศจรรย์จากด้านข้างเหมือนกัน
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเธอกับเฉินถิงเซียวอยู่ด้วยกันแบบไหน แต่สำหรับตอนนี้แล้ว ในสิ่งที่เธอรู้ มีเพียงแค่เฉินมู่เท่านั้นที่กล้าอวดดีต่อหน้าเฉินถิงเซียว
ตอนที่เฉินมู่ปีนขึ้นมาบนตัวของเฉินถิงเซียวนั้น เพราะเขากลัวว่าเธอจะล้มลงไป ก็เลยวางมีดกับส้อมลง แล้วก็เอาแขนโอบรอบตัวเล็กๆ ของเฉินมู่เอาไว้
แล้วพอได้ยินเฉินมู่พูดว่า “พ่อคะ หนูรักพ่อ”เขาก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเป็นพิเศษ
เขายื่นมือไปอุ้มเฉินมู่แล้ววางไว้ที่เก้าอี้ข้างๆ เขา ชี้ไปที่จานอาหารสีชมพูของเธอ พร้อมกับพูดด้วยเสียงที่ทุนต่ำ “กินให้หมด”
เฉินมู่เอ็งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ทำไปเมื่อกี้ได้ผลหรือเปล่า แต่เหมือนกับว่าพ่อไม่ได้โกรธแล้ว
เธอพยักหน้าอย่างมีความสุขมาก:“อืม!”
มู่น่อนน่อนมองเห็นอย่างชัดเจนว่า ที่จริงแล้วเฉินถิงเซียวไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบกับสิ่งที่เฉินมู่ “สารภาพรัก” มากเท่าไหร่นัก
แต่ว่ามันมองออกได้ไม่ยากเลยว่า เฉินถิงเซียวนั้นรักและโอ๋เฉินมู่มากๆ
และในตอนนี้เอง จู่ๆ เฉินถิงเซียวก็เงยหน้าขึ้นมองมู่น่อนน่อน ดวงตาของเขามองตั้งแต่จานอาหารตรงหน้าของเธอไล่ไปจนถึงใบหน้าของเธอ น้ำเสียงทุ้มต่ำจนฟังไม่ออกว่าเขากำลังรู้สึกอะไรอยู่ “คุณก็ต้องกินให้หมดเหมือนกัน”
“ฉันเหรอ?”มู่น่อนน่อนชี้นิ้วมาที่ตัวเอง สีหน้าเธอดูไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นัก
เมื่อกี้เฉินถิงเซียวเพิ่งพูดกับเฉินมู่จบ แล้วก็หันมาพูดกับเธออย่างนั้นเหรอ?
เฉินมู่เป็นเด็กน้อยอายุ 3 ขวบ แต่ว่าเธออายุ 26 แล้วนะ……
เฉินถิงเซียวแค่ตอบว่า “อืม” อย่างเรียบง่าย แล้วก็หันไปพับแขนเสื้อให้กับเฉินมู่พร้อมกับพูดว่า “ใช้ส้อมไม่ง่ายเท่าไหร่ จะใช้มือก็ได้นะ”
เฉินมู่ได้ยินดังนั้น ก็รีบเอามือหยิบผลไม้ชิ้นเล็กๆ แล้วฟ้าใส่ปากในทันที หลังจากนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ แล้วก็พยักหน้าให้กับมู่น่อนน่อนพร้อมกับพูดว่า “แม่ก็ต้องกินให้หมด มู่มู่เองก็กินหมดเหมือนกัน”
มู่น่อนน่อน:“……”
วินาทีต่อมา ปลายสายก็มีเสียงไอของเสิ่นเหลียง “ฉันสำลักน้ำ รอแป๊บหนึ่งนะ……”
ตอนแรกเสิ่นเหลียงเทน้ำเตรียมจะดื่ม แต่พอได้ยินคำถามของมู่น่อนน่อนนั้น ก็สำลักน้ำในทันที
ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าตอนนี้มู่น่อนน่อนความจำเสื่อม แต่ว่าในความทรงจำของเธอนั้น มู่น่อนน่อนต่างหากที่เป็นคนที่อยู่ข้างหมอนของเฉินถิงเซียว คนที่รู้จักเฉินถิงเซียวดีที่สุดควรจะเป็นมู่น่อนน่อนสิถึงจะถูก
อยู่ดีๆ ก็ถูกมู่น่อนน่อนถามคำถามนี้ เสิ่นเหลียงก็เลยตกใจ
เสิ่นเหลียงดื่มน้ำลงไปอย่างใจเย็น แล้วค่อยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุยกับมู่น่อนน่อน
“น่อนน่อน เมื่อกี้เธอพูดว่ายังไงนะ?”
“เมื่อกี้ฉันถามเธอ……ว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนยังไง”มู่น่อนน่อนน่าจะ คาดเดาความคิดของเสิ่นเหลียงได้ เธอเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าตัวเองถามคำถามนี้แล้วดูแปลกๆ
“อืม……ฉันคิดก่อนนะ……”เสิ่นเหลียงชะงักไป แล้วก็สรุปเพียงไม่กี่คำให้กับเธอ “รวย หล่อ เย็นชา น่ากลัว”
นี่คือภาพจำที่เสิ่นเหลียงมีต่อเฉินถิงเซียวในขณะที่ได้ติดต่อกัน
เรื่องความรวยกับความหล่อนั้น แค่เป็นคนที่มีตาก็สามารถมองเห็นได้จากตัวของเฉินถิงเซียวแล้ว
เย็นชาก็ถือว่านิดหน่อย
ส่วนเรื่องน่ากลัว……
ก็ถือว่ามีนิดหน่อยแล้วกัน
มู่น่อนน่อนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “แค่นี้เหรอ มีอีกไหม?”
“ไม่มีแล้ว”เสิ่นเหลียงถอนหายใจออกมา “พอพูดขึ้นมาแล้ว คนที่ควรจะรู้จักบอสใหญ่ดีที่สุดควรจะเป็นเธอสิถึงจะถูก”
“ทำไมเธอถึงเรียกเขาว่าบอสใหญ่ล่ะ?” มู่น่อนน่อนยังอ่านเอกสารพวกนั้นไม่ทันจบ ก็เลยไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวคือหัวหน้าที่อยู่เบื้องหลังบริษัทเสิ้งติ่ง
เสิ่นเหลียงต่อ “เพราะว่าเขาคือหัวหน้าที่อยู่เบื้องหลังของบริษัทเสิ้งติ่งไง”
มู่น่อนน่อน:“……”
เพราะว่าเวลาค่อนข้างที่จะดึกแล้ว มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้อยากจะคุยอะไรกับเสิ่นเหลียงมากมาย
ตอนที่วางสายนั้น เสิ่นเหลียงก็ถามด้วยความสงสัย “ทำไมจู่ๆ วันนี้เธอถึงมาถามเรื่องนี้กับฉันล่ะ? เกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับบอสใหญ่อย่างนั้นเหรอ?”
ตอนนี้เฉินถิงเซียวก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกับกู้จือหยั่นเท่าไหร่นะ กู้จือหยั่นก็ไม่ค่อยรู้สถานการณ์ของเฉินถิงเซียวในปัจจุบัน
ไม่ว่ากู้จือหยั่นเจอเรื่องอะไรมาก็จะคิดว่าต้องบอกเสิ่นเหลียงเป็นคนแรก เรื่องที่ตัวเขาเองยังไม่รู้ เสิ่นเหลียงก็ต้องไม่รู้อย่างแน่นอน
อีกด้านหนึ่งก็คือ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มันเกิดขึ้นอย่างค่อนข้างที่จะกะทันหัน ต่อให้มู่น่อนน่อนคิดได้ว่าจะบอกเสิ่นเหลียงก็ไม่มีโอกาสได้บอกหรอก
“ตอนนี้ฉัน……”มู่น่อนน่อนชะงักไป แล้วก็พยายามหาวิธีพูดที่เหมาะสม “กับเฉินถิงเซียวอยู่ใต้หลังคาเดียวกันแล้ว”
ทันใดนั้นระดับเสียงของเสิ่นเหลียงก็สูงขึ้นในทันที “เธอรื้อฟื้นความทรงจำได้แล้วเหรอ? หรือว่าบอสใหญ่รื้อฟื้นความทรงจำได้แล้ว
ขนาดผ่านทางโทรศัพท์ มู่น่อนน่อนยังสามารถคาดเดาได้ว่าตอนนี้สีหน้าของเสิ่นเหลียงจะเซฮร์ไพรส์ขนาดไหนกัน
มู่น่อนน่อนหัวเราะ “เปล่าหรอก”
เธอก็อยากจะรื้อฟื้นความทรงจำเหมือนกัน แต่ว่าความจริงนั้นมันไม่ได้คืบหน้าเลย
เธอกับเฉินถิงเซียวเป็นคู่สามีภรรยาที่ตกทุกข์ได้ยากจริงๆ ถูกทิ้งระเบิดบนเกาะด้วยกัน แล้วก็สูญเสียความทรงจำด้วยกัน
พอพูดแบบนี้แล้ว เหมือนกับว่าเธอกับเฉินถิงเซียวมีความรักต่อกันมากมายเลยนะ
“ถ้าเกิดว่าเธอไม่ยุ่ง พวกเราหาเวลามาเจอกันดีกว่า”เธอก็มีเรื่องบางเรื่องอยากจะถามเสิ่นเหลียงอยู่พอดีเหมือนกัน
เสิ่นเหลียงตอบในทันที “OK”
……
วันถัดมา
มู่น่อนน่อนถูกตกด้วยเสียงฝีเท้าดัง “ตึงๆ ”จากด้านนอกประตู
เสียงฝีเท้าไม่ได้หนักมาก ความถี่ว่องไวมาก สามารถฟังออกได้อย่างง่ายดายว่าเจ้าของเสียงฝีเท้านั้นคือใคร
แล้วก็เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ มู่น่อนน่อนเพิ่งจะพยุงตัวให้ลุกขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยพลังของเฉินมู่ “แม่คะ ตื่นได้แล้ว!”
พอเฉินมู่ตะโกนเสร็จ ก็ยื่นมือมาเคาะประตู
เคาะทั้งหมด 3 ครั้งอย่างมีระเบียบ
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ OK ลุกเดี๋ยวนี้แหละ”
“อืม” เฉินมู่ตอบอย่างกระฉับกระเฉงแล้วก็วิ่งออกไป
มู่น่อนน่อนเงี่ยหูฟัง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดัง “ตึงๆๆ ”ค่อยๆ ไกลออกไป ถึงได้ยิ้มแล้วก็ลุกขึ้นจากเตียง
เฉินมู่เรียกมู่น่อนน่อนเสร็จแล้ว ก็วิ่งไปที่หน้าห้องของเฉินถิงเซียวแล้วก็เริ่มเคาะประตู “เฉินชิงเซียว ตื่นได้แล้ว”
ผ่านไป 2 วินาที เฉินถิงเซียวก็เปิดประตูออกมา
ในขณะเดียวกัน มู่น่อนน่อนก็เปิดประตูห้องออกมาพอดี
สายตาของเธอมองไปรอบๆ แล้วก็เจอเฉินมู่ที่อยู่หน้าประตูห้องของเฉินถิงเซียว
พอคิดขึ้นได้ว่าตัวเองยังสวมใส่ชุดนอนอยู่ มู่น่อนน่อนก็เตรียมจะปิดประตูแล้วเดินกลับเข้าไป
และในตอนนี้เอง เธอก็ได้ยินเสียงที่เย็นชาของเฉินถิงเซียวดังขึ้น “เฉินมู่ พ่อให้โอกาสลูกได้พูดใหม่”
ก่อนหน้านี้ถ้าเป็นในเวลานี้ เฉินมู่จะเรียกเขาอย่างเชื่อฟังด้วยคำว่า “พ่อ”
แต่ว่า ตอนนี้เฉินมู่ขี้เล่นขึ้น เธอมุ่งเข้าไปหามู่น่อนน่อนอย่างรวดเร็ว
ก้อนกลมๆ พุ่งไปในอ้อมแขนของมู่น่อนน่อนในทันที ดึงข้อมือของเธอไว้แล้วก็ดึงเธอเข้าไปในห้อง “แม่ขา รีบเข้ามาเร็ว เฉินชิงเซียวมาแล้ว……”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวหรี่ตามองเธอ ใบหน้าไม่ได้มีสีอะไรเป็นพิเศษ แต่ว่ามู่น่อนน่อนสามารถอ่านประโยคที่ว่า “ถ้าเกิดว่ากล้าปกป้องเธอตายแน่”ออกมาจากใบหน้าของเขาได้
มู่น่อนน่อนลังเลอยู่ไม่กี่วินาที แล้วก็ดึงเฉินมู่เข้ามาในห้องพร้อมกับล็อกประตู
เสียงปิดประตูนั้นพอเฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว มันดูเยอะยิ่งเป็นพิเศษ
เขาจ้องไปที่ประตูที่เปิดอยู่ ผ่านไปนาน ก็หัวเราะออกมา แล้วก็หันหลังเดินขึ้นชั้นบนไป
……
ภายในห้อง
หลังจากที่มู่น่อนน่อนปิดประตูแล้ว ก็เอาหูแนบประตูฟังเสียงจากภายนอก
เฉินมู่ก็ทำท่าทางเหมือนกับเธอ เอาหูแนบกับประตู
มู่น่อนน่อนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เธอดึงสติกลับมา แล้วก็เห็นว่าเฉินมู่การเลียนแบบเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมา
เธอโน้มตัวลงตรงหน้าเฉินมู่แล้วพูดว่า “หนูไม่กลัวว่าเฉินชิงเซียวจะจัดการหนูเหรอ?”
เฉินมู่ต้องเธออยู่ 2 วินาทีอย่างตะลึง แล้วก็เหมือนกับว่าเพิ่งจะเข้าใจความหมายของเธอ หนูน้อยยักไหล่ แล้วก็เบิกตาโพลงพร้อมกับพูดด้วยเสียงเล็กๆ “กลัวค่ะ”
มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วก็ดึงเธอมากอดไว้ “ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวหนูก็ไปออดอ้อนเขา จุ๊บเขาทีหนึ่งก็โอเคแล้ว”
เฉินมู่ก็พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ
มู่น่อนน่อนลูบผมที่ยุ่งเหยิงของเธอ “เดี๋ยวฉันไปเอาแปรงสีฟันของหนูมาให้ แล้วพวกเรามาแปรงฟันพร้อมกันโอเคไหม?”
“เดี๋ยวหนูไปเอาเองค่ะ” พอเฉินมู่พูดจบ ก็เปิดประตูห้องและวิ่งออกไป
มู่น่อนน่อนก็มองไปยังประตูของเฉินถิงเซียว พบว่าเขาไม่อยู่ตรงนั้น ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
แต่ว่า เธอรู้สึกว่านิสัยที่เจ้าคิดเจ้าแค้นของเฉินถิงเซียว ไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ อย่างแน่นอน
เฉินมู่หยิบแปรงสีฟันของตัวเองมาอย่างรวดเร็ว
เธอไม่ได้หยิบแค่แปรงสีฟันมาเท่านั้น แถมยังเอาผ้าเช็ดตัวกับกิ๊บติดผมมาอีกด้วย
เฉินมู่ยิ้มพร้อมกับวิ่งเข้ามา แล้วก็เอาของที่ตัวเองกอดไว้ที่หน้าอกยื่นให้มู่น่อนน่อน พร้อมกับเอาให้มู่น่อนน่อนดูทีละชิ้นๆ ด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ดูกิ๊บติดผมรูปสตอเบอรี่ของหนูสิ แถมยังมีกระต่ายด้วย สีแดงอีก……”
มู่น่อนน่อนมองดูเธอแนะนำกิ๊บติดผมของตัวเองอย่างอดทน แล้วก็พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปล้างหน้าแปรงฟันกันก่อนดีไหม? แล้วก็ออกมาสีผม แล้วค่อยติดกิ๊บแสนสวยโอเคไหม?”
ไม่คิดเลยว่าเฉินมู่จะตอบรับอย่างให้ความร่วมมือ“ได้ค่ะ!”
มู่น่อนน่อนลูบผมของเธอ แล้วก็อุ้มเธอเข้าห้องน้ำไป
มู่น่อนน่อนส่งแปรงสีฟันที่บีบยาสีฟันเรียบร้อยแล้วให้กลับเฉินมู่: “มู่มู่ของพวกเราแปรงฟันเองเป็นไหม?”
“เป็นค่ะ!”เฉินมู่รับแปรงสีฟันมา จุ่มลงไปในแก้วที่เติมน้ำเอาไว้ แล้วก็อ้าปากพร้อมกับแปรงฟัน
ท่าทางการแปรงฟันของเฉินมู่ดูมีความชำนาญมาก แล้วก็ว่างไว
เฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา ใช้ท่าอุ้มเจ้าหญิงเหมือนกับที่อุ้มมู่น่อนน่อนเมื่อกี้นี้
เฉินมู่ม้วนตัวกลม เห็นได้ชัดว่าถูกอุ้มท่าเจ้าหญิงแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ เหมือนกับว่านอนราบไปทั้งตัว
เธอใช้ขาสั้นๆ ถีบขึ้นมา เฉินถิงเซียวก็เลยอุ้มเธอตรงๆ
ใช้อุ้มเฉินมู่ด้วยข้างเดียว แล้วก็ใช้อีกมือหนึ่งที่ว่างอยู่ผลักประตูห้องอ่านหนังสือให้เปิดออก
เขาเดินเข้าไป มองดูห้องที่ระเกะระกะไปหมด เขาจ้องเขม็งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็วางเฉินมู่ไว้ด้านข้าง หลังจากนั้นก็โน้มตัวลงเก็บข้าวของ
เหมือนกับว่าเฉินมู่รังเกียจที่ห้องรกเกินไป เธอเดินเขย่งปลายเท้าไปที่ขอบโซฟา บิดตัวและปีนขึ้นไปบนโซฟาอย่างเรียบร้อย ลูบตุ๊กตาเสือตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน แล้วก็มองไปที่เฉินถิงเซียว
เด็กน้อยดูคล่องแคล่ว ผ่านไปแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น เธอก็ถามกับเฉินถิงเซียวด้วยสีหน้าที่สงสัย “พ่อคะ นี่กำลังทำอะไรอยู่เหรอ?”
เฉินถิงเซียวตอบโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ “ของตกอยู่ที่พื้น ก็เลยเก็บขึ้นมา”
“อ้อ เดี๋ยวหนูช่วยเก็บ”เฉินมู่ไถลตัวลงมาจากโซฟาอย่างตื่นเต้น เราก็วิ่งมาอยู่ข้างๆ เฉินถิงเซียว พร้อมกับช่วยเขาเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่ที่พื้นอย่างรวดเร็ว
แต่ว่า เธอไม่ได้หยิบขึ้นมาแล้ววางซ้อนกันไว้อย่างเรียบร้อยเหมือนที่เฉินถิงเซียวทำ เธอเอามันมาอุ้มไว้ จนกลายเป็นก้อน สุดท้ายก็ยื่นไปตรงหน้าเฉินถิงเซียว แล้วก็พูดด้วยหน้าตาที่ภาคภูมิใจ “อันนี้หนูเก็บเอง!”
เฉินถิงเซียวรับมา แล้วก็ลูบหัวของเธอ “ลูกไปเล่นเถอะ”
เฉินมู่ทำปากมุ่ย “ก็ได้ค่ะ”
เธอก็รู้สึกว่าเก็บข้าวของไม่สนุกเหมือนกัน
เธออายุเท่านี้ ชอบเล่นของเล่นเล็กๆ ที่มีสีสันน่ารักสดใส เธอไม่มีความสนใจในเอกสารกระดาษสีขาวที่มีตัวอักษรสีดำแบบนี้แหละ
ตอนที่เฉินถิงเซียวเก็บเอกสารขึ้นมาและเก็บเข้าที่เดิมอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังเข้ามาจากด้านนอก
เฉินถิงเซียวน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “ใคร?”
มู่น่อนน่อนที่อยู่ด้านนอกชะงักไป ก่อนที่จะพูดว่า “ฉันเอง มู่มู่อยู่ข้างในหรือเปล่า? ฉันอุ่นนมมาให้เธอ เธอควรจะอาบน้ำนอนได้แล้ว”
เฉินถิงเซียวถึงได้ตระหนักได้ว่า นี่กำลังจะสี่ทุ่มแล้ว
เขาหันหน้าไปมองเฉินมู่ เฉินมู่กำลังทำหูตั้งฝั่งสิ่งที่มู่น่อนน่อนกำลังพูดอยู่
เธอนั่งอยู่บนโซฟาอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ค่อยๆ หันหน้ามา ตาทั้งสองข้างล่อกแล่กไปมา เห็นได้ชัดว่าถูกดึงดูดความสนใจด้วยเสียงของมู่น่อนน่อนที่อยู่ด้านนอก
เฉินถิงเซียวหัวเราะเบาๆ แล้วก็เอ่ยปากถามเธอ “ได้ยินไหม? ใครกำลังเรียกหนูอยู่?”
เธอเอานิ้วไปแตะที่มุมปาก ใบหน้าดูมีความสุข “แม่กำลังเรียกหนูอยู่ มีนมด้วย”
แววตาของเฉินถิงเซียวดูประหลาดใจ “ไม่เรียกน้าแล้วเหรอ?”
“พ่อบอกว่าแม่”เฉินมู่พูดเร็วเกินไปหน่อย ก็เลยข้ามคำว่า “เป็น” ไปเลย
“พ่อบอกว่าเป็นแม่”กลายเป็นพูดว่า “พ่อบอกว่าแม่”
พอเธอพูดจบก็กระโดดลงจากโซฟาทันที “หนูไปเปิดประตูก่อนนะ!”
เฉินถิงเซียวมองดูเธอวิ่งไปที่ประตูด้วยความรวดเร็ว ยืนเขย่งเท้าและพยายามเปิดประตู ก็ไม่ได้สนใจเธออีกต่อไป
เขาหยิบซองเอกสารที่อยู่ตรงหน้าเขา แล้วก็เดินไปด้านหลังโต๊ะทำงาน พร้อมกับใส่ซองเข้าไปในชักด้านล่างและล็อกลิ้นชัก
ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ก็เห็นเฉินมู่เปิดประตูห้องอ่านหนังสือเรียบร้อยแล้ว แถมยังเรียกว่า “แม่”ด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน
มู่น่อนน่อนถือนมอุ่นมาแก้วหนึ่ง หลังจากได้ยินคำพูดของเฉินมู่ เธอก็ตะลึงไปในทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เหมือนกับว่าเธอตื่นขึ้นมาจากความฝัน แล้วก็ถามเฉินมู่อย่างไม่อยากจะเชื่อ “หนูเรียกฉันว่าอะไรนะ? ”
“แม่”เหมือนกับว่าเฉินมู่น่าจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของมู่น่อนน่อน ใบหน้าในหน่อยก็เริ่มตั้งตรง
ความเซอร์ไพรส์นี้มันมาอย่างกะทันหันไปหน่อย มู่น่อนน่อนรู้สึกเซอร์ไพรส์จนตั้งตัวไม่ทัน
“ฉัน……ฉันอุ่นนมร้อนมาให้หนู……”มู่น่อนน่อนคุณจะติดขัดเล็กน้อย ได้แต่โน้มตัวลงแล้วก็ส่งนมร้อนให้กับเฉินมู่
เฉินมู่ตาเป็นประกาย แล้วก็ยื่นมือไปรับนมจากมู่น่อนน่อน พร้อมกับยกแก้วขึ้นดื่ม
มู่น่อนน่อนกังวลว่าเธอจะถือแก้วไม่ไหว ก็เลยยื่นมือไปช่วยเธอประคองแก้วหนุ่มนม
เฉินมู่ดื่มนมให้ไปอย่างเชื่อฟังดัง “อึกอึก”จนหมด
เธอชูแก้วขึ้นให้มู่น่อนน่อนดู “หนูลืมหมดแล้ว!”
หัวใจของมู่น่อนน่อนอ่อนยวบลงในทันที “มู่มู่เก่งมากเลย! คืนพรุ่งนี้เดี๋ยวเอานมร้อนมาให้หนูอีกทีไหม?”
“ดีค่ะ!”
เฉินมู่ชูแก้วพร้อมกับหันไปมองเฉินถิงเซียวอย่างมีความสุข
สายตาของมู่น่อนน่อนก็มองตามเฉินมู่ไปเหมือนกัน ก็ได้เห็นกับเฉินถิงเซียวที่ไม่รู้ว่าเดินมาตรงประตูตั้งแต่เมื่อไหร่
ตอนนี้ เขายืนพิงกรอบประตูอยู่ ยืนกอดอกแล้วก็มองเฉินมู่ได้อยากตายเฉยเมย
เพราะว่าเมื่อกี้ได้รับการชื่นชมจากมู่น่อนน่อน เฉินมู่ก็เลยมองหน้าเฉินถิงเซียวด้วยความรอคอย “พ่อดูสิคะ!หนูยืมจนหมดเลย!”
เฉินมู่เพิ่งจะดื่มนมหมด ริมฝีปากยังมีคราบสีขาวเหมือนหนวดติดอยู่เลย
เฉินถิงเซียวยกริมฝีปาก แล้วก็ยื่นมือออกไปเช็ดคราบนมที่ริมฝีปากของเธอ น้ำเสียงของเขาซ่อนไปด้วยเสียงหัวเราะเล็กน้อย “ขอบคุณหรือยัง?”
เฉินมู่หันหน้าไปมองมู่น่อนน่อนแล้วพูดว่า “ขอบคุณค่ะแม่!”
ก่อนหน้านี้ที่เฉินมู่เรียกเธอว่าแม่ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกเซอร์ไพรส์เล็กน้อย
ไม่มีทางที่จู่ๆ เฉินมู่จะฉุกคิดขึ้นมาได้เองแล้วเรียกเธอว่าแม่หรอก เฉินถิงเซียวต้องพูดอะไรบางอย่างแน่นอน
ยิ่งอ่านไปเถอะยิ่งรู้สึกว่า เฉินถิงเซียวคนนี้ช่างเป็นคนที่ซับซ้อนและเข้าใจยากจริงๆ
เขาหยิ่งผยอง แต่บางทีก็ดูไร้เดียงสา หรือว่าบางทีก็รู้สึก……ใกล้ชิด
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน
……
มู่น่อนน่อนอาบน้ำให้เฉินมู่เสร็จ กล่อมเธอนอนเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมา ก็ได้เจอกับเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวก็อาบน้ำเสร็จแล้ว สวมชุดอยู่บ้านที่ดูอ่อนนุ่ม ออร่าที่รุนแรงของเขาก็ลดลงเป็นอย่างมาก
มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ขอบคุณนะ”
ที่เฉินมู่เปลี่ยนคำเรียก ต้องเป็นเพราะว่าเฉินถิงเซียวสอนมาอย่างแน่นอน
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมเฉินถิงเซียวถึงได้ทำแบบนี้ แต่ว่ามู่น่อนน่อนก็ยังรู้สึกขอบคุณเขา
ดูเหมือนว่าเฉินมู่จะชอบเธอ แต่ว่าถ้าเทียบกับเฉินถิงเซียวที่อยู่กับเฉินมู่ตลอดเวลาแล้วนั้น เฉินมู่ก็ต้องชอบเฉินถิงเซียวเมื่อก่อนอยู่แล้ว
นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยเลย
ดังนั้น ความจริงแล้วเฉินมู่ก็ค่อนข้างที่จะเชื่อฟังคำพูดของเฉินถิงเซียว
ประตูห้องนอนของเฉินมู่ยังปิดไม่สนิท เฉินถิงเซียวยื่นมือไปโดนประตู พอมองไปด้านในก็เห็นว่า เฉินมู่นอนกอดตุ๊กตาพร้อมกับหลับปุ๋ย ถึงได้ละสายตากลับมา
เฉินถิงเซียวกลับมามองมู่น่อนน่อน แล้วพูดเบาว่า “คนที่ไร้เดียงสาเท่านั้นถึงจะพูดว่าขอบคุณได้”
พอพูดจบ เขาก็ไม่สนใจว่ามู่น่อนน่อนจะรู้สึกยังไง หันหลังแล้วก็เดินออกไปในทันที
มู่น่อนน่อนยืนตะลึงอยู่ที่เดิม
นี่เฉินถิงเซียวเจ็บใจที่ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าเขาไร้เดียงสาอย่างนั้นเหรอ?
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าความรู้ความเข้าใจของเธอได้ถูกรีเฟรชใหม่แล้ว
ว่ากันว่า “คนที่สูงส่งจะไม่ถือสากับความผิดของคนที่ต่ำกว่า”ไม่ใช่เหรอ
แล้วทำไมคนที่ส่งยางเฉินถิงเซียว ถึงได้ถือสากับคำพูดทุกคำที่เธอพูดไว้ในใจแล้วก็ไม่ยอมปล่อยไปเลยล่ะ
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังหาโอกาสย้อนคำพูดกลับมาหาเธออีก เหยียบย่ำเธอไปเลย
มู่น่อนน่อนกลับมาที่ห้องของตัวเอง ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเหลือเชื่อ
ดังนั้น เธอก็เลยกดโทรหาเสิ่นเหลียง
น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงยังคงเต็มไปด้วยพลังเหมือนเดิม “น่อนน่อน!”
“เสี่ยวเหลียง ฉันมีเรื่องอยากจะถามเธอหน่อย”
“เรื่องอะไร ว่ามาได้เลย”ไปสายมีเสียงเสิ่นเหลียงกำลังเทน้ำอยู่
มู่น่อนน่อนใช่ต้องอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ใช้วิธีการตั้งคำถามแบบอนุรักษนิยม “เฉินถิงเซียว เขาเป็นคนยังไงเหรอ? ”
“พรืด……แค่กแค่ก……”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบกลับมู่น่อนน่อนแต่อย่างใด สีหน้าของเขาดูเจ็บปวดต่างจากปกติ เขาเพียงแค่รั้งมือของมู่น่อนน่อนเอาไว้
ดูเหมือนที่ทำแบบนี้มันช่วยลดความเจ็บปวดในตัวเขาลงไปได้
มู่น่อนน่อนเห็นดังนั้นก็ลองเรียกหยั่งเชิงเขาไปว่า: ” เฉินถิงเซียว? ”
เมื่อกี้ก่อนที่เธอออกไป เฉินถิงเซียวก็ยังดูปกติดีอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้ได้ล่ะ?
เฉินถิงเซียวก็ยังคงเงียบเหมือนเดิม ลมหายใจหนักหน่วงขึ้น เหมือนพยายามกดความเจ็บปวดรวดร้าวไว้จนถึงที่สุด
” คุณปล่อยฉันก่อนสิ ฉันต้องไปเรียกคนมาพาคุณไปโรงพยาบาลนะ! ” มู่น่อนน่อนไม่ได้แกะมือออกจากเฉินถิงเซียว แต่มันกลับทำให้เธอเหงื่อแตกไปตามๆ กัน
สีหน้าที่ขาวซีดของเฉินถิงเซียว มันช่างดูเปราะบางและอ่อนแอ และไม่รู้ว่าเขาเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาบีบมือเธอ
มู่น่อนน่อนไม่ละความพยายามที่จะใช้มืออีกข้างตีเรียกสติของเขา: ” เฮ้? เฉินถิงเซียว? ”
ไม่นึกเลยว่า เฉินถิงเซียวจะยื่นมืออีกข้าง และล็อกมือเธอไว้เหมือนอีกข้างหนึ่ง
เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา และพูดด้วยเสียงเบามากๆ ออกมาสามคำ: ” หนวกหูเกินไปแล้ว…. ”
มู่น่อนน่อนถลึงตาใส่เขาด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
มือทั้งสองข้างของเธอถูกเฉินถิงเซียวยึดเอาไว้ ครึ่งตัวของเขากดอยู่บนขาของเธอ มันทำให้เธอไม่สามารถดึงตัวออกมาได้โดยสิ้นเชิง
โทรศัพท์ก็ไม่ได้เอามาด้วย แถมข้างนอกยังไม่มีคนใช้ผ่านมาอีกต่างหาก
ตั้งแต่ที่เข้ามาอยู่วันนี้ เธอก็ไม่เคยเห็นคนใช้ขึ้นมาชั้นสองเลย ถ้าเธอเดาไม่ผิด เฉินถิงเซียวคงมีขอบเขตความเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูง โดยปกติก็เลยไม่อนุญาตให้คนใช้ขึ้นมาชั้นบน
เพราะไม่อย่างนั้น เมื่อกี้เธอก็คงไม่กลับขึ้นมาเก็บจานชามของเขาหรอก
มู่น่อนน่อนรีบหันไปที่ประตูแล้วตะโกนว่า: ” มีใครอยู่ไหม? เฉินถิงเซียวเป็นลมล้มลง! คุณชายของพวกคุณเป็นลมใดสติไปแล้ว! ”
ตอนที่เธอเพิ่งเข้ามา เมื่อเห็นสภาพของเฉินถิงเซียวเป็นแบบนั้นแล้ว จึงไม่ทันได้ปิดประตู
คนใช้ที่อยู่ชั้นล่างควรจะได้ยินเสียงของเธอสิ?
มู่น่อนน่อนไม่รอให้คนใช้ขึ้นมา เธอรอจนกระทั่งเฉินถิงเซียวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวและชัดเจนว่า: ” ถ้าคุณยังเสียงดังอีก ผมจะโยนคุณออกไปข้างนอก ”
มู่น่อนน่อนก้มหน้า แล้วยกมือทั้งสองข้างที่ถูกกุมไว้แน่น พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์: ” ตามนั้น คุณต้องปล่อยฉันก่อน ”
วินาทีต่อมา เฉินถิงเซียวก็ปล่อยมือของเธอ
เมื่อมือของมู่น่อนน่อนเป็นอิสระแล้ว แถมยังถูกร่างของมู่น่อนน่อนขาไว้อีก มันทำให้ขาของเธอชาเป็นอย่างมาก
เธอพยายามลุก แต่ก็ลุกไม่ขึ้น จึงทำได้แค่นั่งกับพื้นแล้วยืดขาออกมาช้าๆ เพื่อรอให้ขาหายชาจึงจะลุกขึ้นมาได้
เฉินถิงเซียวอาการเริ่มดีกว่าเธอมากแล้ว
หลังจากที่เขาปล่อยเธอแล้ว ก็เอามือยันพื้นแล้วลุกขึ้นมา จากนั้นก็กลับไปทำหน้าที่ดูเย็นชาและดุดันเหมือนปกติอย่างรวดเร็ว แต่บนหน้าผากก็ยังมีเม็ดเหงื่อที่ยังไม่แห้งดี แต่เขากลับดูไม่รู้สึกรู้สาอะไร
เขามองมู่น่อนน่อนจากข้างบน: ” คุณออกไปได้แล้ว ”
มู่น่อนน่อนเม้มปาก นิ่วหน้ามองเขา: ” คุณชายเฉิน ถ้าเป็นคนปกติ ตอนนี้อย่างน้อยควรจะต้องพูดขอบคุณฉันนะคะ ”
เฉินถิงเซียวฉีกยิ้ม แต่ในดวงตาไม่เห็นรอยยิ้มใดๆ ขอกลับตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูเย็นชา: ” เผอิญ ผมไม่ใช่คนปกติ ”
มู่น่อนน่อนหมดคำจะพูด
ยิ่งอยู่ก็ยิ่งไม่เข้าใจ ว่าตอนนั้นเธออยู่กับผู้ชายแบบนี้ไปได้ยังไงกัน
จะดูยังไงก็เป็นคนที่ไม่มีมารยาท แถมยังเป็นคนที่เย่อหยิ่งอวดดีอีก!
มู่น่อนน่อนไม่ขี้เกียจจะใช้คำพูดให้สิ้นเปลืองกับเขาไปมากกว่านี้ เธอลุกขึ้นมาด้วยความยากลำบาก เพราะขาก็ยังชาอยู่ เอาจริงเอามือยันหัวเข่าเอาไว้เพื่อให้มันอุ่นขึ้นนิดหน่อย
เพียงเสี้ยววิ จู่ๆ เธอก็ถูกใครบางคนอุ้มจนตัวลอยขึ้นไปกลางอากาศ
มู่น่อนน่อนยังไม่ทันได้เตรียมตัวที่ถูกเขาอุ้มขึ้นมา มันฉุกละหุกจนทำให้เธอต้องกรีดร้อง เมื่อตั้งตัวได้จึงเอามือโอบไปที่คอของเฉินถิงเซียว
เธอถลึงตาค้อนเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวกวาดสายตามองเธอ ก็สบถลมหายใจผ่านจมูก สายตาดูมีเลศนัย เหมือนเด็กน้อยที่มีแผนร้ายในหัว
ทำตัวเป็นเด็กอีกแล้ว!
มู่น่อนน่อนเกร็งตัวแล้วตะเบ็งเสียง: ” หญิงชายไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน คุณปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้เลย ”
” เคยมีลูกด้วยกันแล้วต้องคนนึง ยังจะมาพูดว่าหญิงชายไม่ควรลงเนื้อต้องตัวกันกับผมอีกเหรอ? ” เฉินถิงเซียวอุ้มเธอเดินออกไปข้างนอก น้ำเสียงที่ใช้ดูขอไปที แต่มีความจริงใจอยู่ในนั้น
มู่น่อนน่อนรู้สึกโมโห เธอไม่นึกว่าเฉินถิงเซียวจะทำตัวหน้าไม่อายแบบนี้
ขณะที่เฉินถิงเซียวกำลังอุ้มเธอออกไปข้างนอก
ยังไม่ทันที่เขาจะได้ยกเท้าเพื่อปิดประตู ก็เห็นเฉินมู่อุ้มโมเดลตุ๊กตาเสือน้อยจากชั้นล่างขึ้นมาชั้นบนด้วยความเริงร่า
เฉินมู่ยืนอยู่ตรงหัวบันได ” ฟู่วๆๆ ” หายใจด้วยความหอบ ดวงตากลมโตนั้นเห็นว่าร่างของเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนหมุนไปหมุนมา
จากนั้นเด็กน้อยจึงวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ: ” หนูก็อยากให้อุ้มด้วย ”
มู่น่อนน่อนหน้าแดง แล้วกระซิบไปที่ข้างหูของเฉินถิงเซียวว่า: ” ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ ”
กลิ่นหอมรัญจวนของหญิงสาวลอยออกมาจากข้างใบหู ให้ความรู้สึกเหมือนหนอนแมลงตัวน้อยที่ไต่ขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ มันทำให้ทั้งตัวของเขาของอ่อนปวกเปียกขึ้นชั่วขณะ
หลังจากนั้น แขนของเขาข้างหนึ่งที่ใช้อุ้มมู่น่อนน่อนก็ควบคุมไม่อยู่ จึงทำให้ตัวของมู่น่อนน่อนไหลร่วงลงมา
แต่โชคดีที่มู่น่อนน่อนรู้ตัวทัน จึงใช้แขนคล้องคอของเขาเอาไว้ เฉินถิงเซียวที่เห็นว่าตัวเธออะไรลงไป ก็ใช้แขนรั้งเอวเธอเพื่อให้ล้มลงไปที่พื้น
ท่าทางของพวกเขาทั้งสองดูใกล้ชิดกันมาก มู่น่อนน่อนใช้มือโอบคอเขา และเฉินถิงเซียวก็ใช้แขนข้างหนึ่งรั้งเอวเธอเช่นกัน เท้าของเธอยกขึ้นกลางอากาศไม่ได้แตะพื้น
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าในตอนนี้ รบกวนจากผู้ชมเขาที่มีแรงแขนจนน่าทึ่ง หรือควรจะชกผู้ชายที่ทำตัวเป็นเด็กไม่มีเหตุผลอย่างเขาซักหมัดดี
จะ
ให้ชมเขาก็พูดไม่ออก แต่จะให้ต่อยเขาเธอก็ทำได้แค่คิด
จริงๆ แล้วเธอก็ไม่กล้าลงไม้ลงมือกับเฉินถิงเซียวเสียด้วยสิ
” คนที่บอกว่าหญิงชายไม่ควรแต่เนื้อต้องตัวกันก็คือคุณมู่ แต่ตอนนี้คนที่โอบผมไม่ยอมปล่อยก็คือคุณมู่คนเดิมนะครับ ”
เฉินถิงเซียวพูดไปก็เหลือบตามองมู่น่อนน่อน ทั้งสองมองหน้ากัน: ” คุณมู่ช่างเป็นผู้หญิงที่ประหลาดเสียจริง ”
มู่น่อนน่อนกัดฟันกรอด จากนั้นก็ปล่อยมือจากของเขา แล้วผลักเขาออก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยกขาแล้วเหยียบเข้าที่เท้าเขาแรงๆ หนึ่งที ก่อนจะพูดเสียงเย็น: ” ถ้างั้นคุณก็จำไว้ให้ดี ว่ายังมายั่วโมโหผู้หญิงประหลาดอย่างฉัน ”
เธอจงใจย้ำคำว่า” ประหลาด ” อย่างชัดเจน
เรื่องทั้งหมด เกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่สิบวินาที มู่น่อนน่อนก็หันตัวเตรียมที่จะไป เฉินมู่ก็วิ่งมาจากปากบันไดมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาพอดี เด็กน้อยก็เลยไม่ทันได้สังเกตว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น
ถึงแม้เฉินมู่จะสังเกตเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ได้ แต่เด็กน้อยก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันคืออะไร
เฉินมู่เอ่ยเรียกเสียงหวาน: ” อามู่ ”
ทั้งที่เห็นว่าเด็กน้อยถอดแบบออกมาจากเฉินถิงเซียวชัดๆ แต่ดูยังไงเฉินมู่ก็ยังดูเหมือนทูตสวรรค์ตัวน้อยอยู่ดี
มู่น่อนน่อนก้มตัวลงไปจุ๊บแก้มของเฉินมู่ ” มู่มู่เด็กดี ”
จากนั้นก็รีบออกจาก ” จุดเกิดเหตุ ” อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่ามู่น่อนน่อนไปแล้ว เฉินมู่จะเดินตามเธอไป แต่ก็นึกในสิ่งที่ตัวเองต้องการตอนแรกได้
เด็กน้อยเขย่งเท้า พร้อมชูมือขึ้นให้เฉินถิงเซียวอุ้ม: ” พ่อค้าอุ้มหนูหน่อย อุ้มเหมือนอามู่เมื่อกี้…. ”
เฉินถิงเซียวยืนกอดอก แล้วถามเด็กน้อย: ” อามู่หรือคุณแม่? ”
เฉินมู่ตอบทันควัน: ” อามู่ ”
เฉินถิงเซียวพูดเสียงเรียบ ” งั้นไม่อุ้ม ”
เฉินมู่ย่นจมูก พร้อมเปลี่ยนคำเรียก: ” คุณแม่ “
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วแล้วมองหน้าเธอ” เธอพูดว่าอะไรนะ? ”
น้ำเสียงเย็นชาที่เขาส่งออกมาดูเป็นนัยกดขี่เธอเบาๆ
สีหน้ามู่น่อนน่อนหยุดชะงัก เม้มปากก้มหน้า แล้วพลิกเอกสารดูต่อไป
ในเอกสารพวกนี้ บันทึกเรื่องราวของเธอกับเฉินถิงเซียวเมื่อก่อนเอาไว้
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนเธอไม่มีเคล้าว่าจะจำได้เลยสักนิด พอกลับมานั่งอ่านก็เหมือนกับตัวเองกำลังอ่านเรื่องราวของคนอื่น ไม่ได้เกิดความรู้สึกอะไรขึ้นแต่อย่างไร
ขณะที่เธอดูเอกสารก็อดไม่ได้ที่จะแอบสังเกตเฉินถิงเซียว
ทั้งทางที่มันก็เป็นแค่บะหมี่เนื้อชามนึงเท่านั้นเอง แต่กลายเป็นอาหารมื้อหลักของเฉินถิงเซียวเสียหน้าตาเฉย ท่าทางที่เขากินมันดูเอร็ดอร่อยเสียเหลือเกิน
ถ้านอกจากอารมณ์เดี๋ยวร้ายเดี๋ยวดี เฉินถิงเซียวก็จัดได้ว่าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน
มันยากที่จะจินตนาการเหลือเกิน ว่าเรื่องราวระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวจะมากมายขนาดนี้
จู่ๆ มู่น่อนน่อนก็นึกถึงมู่หวั่นขีขึ้นมา
ก่อนหน้านี้มู่หวั่นขีเคยเอ่ยถึงชื่อของใครบางคนมาก่อน คนคนนั้นก็คือ: ซือเฉิงหยู้
ถ้ามู่น่อนน่อนติดต่อกับมู่หวั่นขีเกี่ยวกับเรื่องของซือเฉิงหยู้ ก็คงจะเป็นเมื่อสามปีก่อน
ดังนั้นเธอก็เลยเริ่มเอกสารจากหลังไปหน้า
จากนั้น มู่น่อนน่อนก็เห็นเกี่ยวกับเหตุระเบิดบนเกาะเล็ก เมื่อสามปีก่อน
เมื่อกวาดดินสอไล่สายตาตามเนื้อความคร่าวๆ แล้ว
บนนั้นแค่บอกว่าซือเฉิงหยู้ได้ทำการติดตั้งระเบิดบนเกาะ เพื่อที่จะทำให้เธอกับเฉินถิงเซียวต้องตาย แต่ทำไมถึงกับต้องวางระเบิดเลยล่ะ แล้วทำไมเธอกับเฉินถิงเซียวถึงต้องไปที่เกาะนั้นด้วย ข้อมูลไม่ได้ระบุเอาไว้
มู่น่อนน่อนพยายามเฟ้นหาข้อมูลแล้ว แต่ก็ไม่แน่ใจสักทีว่าสถานะของซือเฉิงหยู้คือใคร ก็เลยเอ่ยปากถามเฉินถิงเซียว: ” ซือเฉิงหยู้กับคุณเป็นอะไรกันเหรอ? ”
เวลานี้เฉินถิงเซียวได้กินบะหมี่เสร็จแล้ว ก็กำลังเช็ดมือด้วยผ้าขนหนูอย่างไม่รีบร้อน
เขาไม่หันหน้ามาเลยสักนิด แต่ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ : ” เป็นลูกชายของป้าผมเอง ”
” ถ้างั้นก็แสดงว่า ซือเฉิงหยู้เป็นลูกพี่ของคุณใช่ไหม? ” วินาทีที่มู่น่อนน่อนกำลังใจจดใจจ่ออยู่ ก็ถามขึ้นมาอีกว่า: ” เขาตายในอุบัติเหตุครั้งนั้นด้วยไหม? ”
ดูเหมือนคำถามนี้ของเธอจะปัญญาอ่อนเกินไปแล้ว เฉินถิงเซียวก็เลยขี้เกียจจะสนใจเธอ
จริงๆ แล้วสิ่งที่มู่น่อนน่อนอยากจะถามก็คือ การตายของซือเฉิงหยู้มันเกี่ยวอะไรกับมู่หวั่นขีต่างหาก
มู่น่อนน่อนคิดไปคิดมา ก็เปลี่ยนวิธีการถาม: ” ลูกพี่ของคุณ เป็นคนรักกับพี่สาวต่างแม่ของฉันใช่ไหม? ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบ เพียงแต่เดินไปอยู่ข้างๆ เธอ แล้วหยิบเอกสารสองฉบับส่งให้เธอดู
บนนั้นเป็นประวัติของซือเฉิงหยู้ เช่นเหตุผลที่เขาแต่งงานกับมู่หวั่นขี
แต่ถ้าว่าหลังจากที่คิดอยู่นาน สือเย่ได้ซ่อนเอกสารที่เกี่ยวกับชีวิตของซือเฉิงหยู้แยกเอาไว้อีกชุดหนึ่ง
แต่หลังจากได้ดูแล้ว มู่น่อนน่อนก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง ว่าทำไมมู่หวั่นขีถึงเกลียดเธอขนาดนั้น
แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเพราะเรื่องนี้เรื่องเดียว เธอจึงถามขึ้นมาว่า: ” เอกสารพวกนี้คุณดูหมดแล้วเหรอ? ”
” อืม ” เฉินถิงเซียวตอบกลับมาสั้นๆ แววตาสะท้อนความรู้ซึ้งบางอย่างออกมา
เมื่อเขาพูดจบก็เอื้อมมือมากดไว้บนเอกสาร และมองไปที่มู่น่อนน่อนด้วยสีหน้ายิ้มทีบึ้งที
ที่มู่น่อนน่อนถามคำถามนี้กับเขา เพียงแค่อยากเอาเอกสารพวกนี้ไปดูอย่างละเอียดอีกทีก็เท่านั้น
เห็นได้ชัดว่า เฉินถิงเซียวใช้การกระทำเป็นตัวบอกเธอ ว่าไม่ให้เธอเอาไป
ถึงให้เธอเอาไปดูได้ แต่ก็คงไม่ปล่อยให้เธอง่ายๆ หรอก
มู่น่อนน่อนมองเขาด้วยสีหน้าที่จริงจัง และพยายามใช้น้ำเสียงเพื่อเจรจาต่อรองกับเขา: ” ก็คุณดูเสร็จแล้ว ให้ฉันเอาไปดูบ้างได้ไหมล่ะ? ”
แต่ในเวลานี้เฉินถิงเซียวก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสียอย่างนั้น: ” พรุ่งนี้เช้าจะกินอะไร? ”
มู่น่อนน่อนงงเล็กน้อย ไม่นานก็ตอบกลับไป: ” คุฯล่ะอยากกินอะไร? ”
ในใจเธอก็อดไม่ได้ที่จะช็อก เฉินถิงเซียวเป็นคนที่จะรังแกเธอเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เนี่ยนะ
แค่เรื่องตอนเย็นที่เธอทำกับข้าวสองอย่าง เขาถึงขนาดที่จะต้องแค้นเธอเลยเหรอ?
ช่างเป็นผู้ชายที่ไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่นิดเดียวเลยจริงๆ
สิ่งนี้ทำให้มู่น่อนน่อนรู้แล้วว่า ผู้ชายอย่างเฉินถิงเซียวไม่ได้เป็นเพียงแค่คนที่เย็นชาไม่มีเหตุผล แต่จริงๆ ก็เป็นคนชอบคิดเล็กคิดน้อยเหมือนกัน
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตัวเองควรจะตอบในสิ่งที่ทำให้เฉินถิงเซียวพอใจ
แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเฉินถิงเซียวจะถามเธอแบบได้คืบจะเอาศอกอย่างนี้: ” แล้ววันต่อไปล่ะ? ”
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าแล้วกัดฟันตอบ: ” ถ้าฉันอยู่ที่นี่ทั้งวัน คุณอยากกินอะไรฉันก็จะพยายามทำให้คุณเท่าที่ฉันทำได้ ”
สีหน้าเฉินถิงเซียวบอกถึงความพอใจ เขาปล่อยมือจากเอกสารที่กดเอาไว้ จากนั้นก็ช้อนตาขึ้นมาแล้วพูดว่า: ” เอาไปสิ ”
มู่น่อนน่อนรู้อยู่ลึกๆ ว่า ตัวเองไม่มีทางเอาชนะเฉินถิงเซียวได้
ถึงแม้จะ ” ชดใช้ ” ไปหมดแล้ว มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้เกรงใจ เธอลุกขึ้นและหอบเอกสารกองโตนั้นออกไป
ตอนที่ออกไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะยกเท้ามาเกี่ยวประตูให้ปิดสนิท
เฉินถิงเซียวหยิบเอกสารที่อยู่ข้างล่างอีกฝั่ง และหยิบแฟ้มข้อมูลที่เป็นความลับฉบับหนึ่งขึ้นมา
นี่คือเอกสารลับ ที่สือเย่ส่งมาให้ก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้เอามันวางรวมกับเอกสารกองอื่น จึงเห็นได้ชัดว่าเอกสารฉบับนี้มีความสำคัญและมีความพิเศษในตัวของมัน
เอกสารได้ถูกปิดผนึกเอาไว้ไม่ได้ถูกฉีกมาก่อน
วินาทีที่เฉินถิงเซียวอ่านแล้วความบนเอกสาร เขาก็ค่อยๆ แยกมันออกช้าๆ
บนตัวเอกสารหลายฉบับนั้นดูเก่ามาก ให้ความรู้สึกโบราณหน่อยๆ
ยิ่งเฉินถิงเซียวอ่านไปเรื่อยๆ สีหน้าที่เย็นชาแต่เดิมนั้นได้เปลี่ยนไปเย็นชายิ่งกว่าเก่า
ทำไมเฉินจิ่งหยุ้นในตอนนั้นถึงพูดแบบนั้นกับเขา?
ว่าแม่ตายในอุบัติเหตุ และพ่อก็ต้องพิการเพราะอุบัติเหตุครั้งนั้น คุณปู่ก็ต้องการเป็นบ้าเพราะอุบัติเหตุเช่นกัน?
เหอะ!
มือทั้งสองข้างของเฉินถิงเซียวกำแน่นขึ้นทันที และกวาดสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมดลงพื้น ในหัวของเขาเกิดแสงเงาขึ้นมาจนนับไม่ถ้วน เหมือนมันมีอะไรบางอย่างจะเจาะออกมาจากทรวงอกของเขา
ทันใดนั้นความเจ็บปวดได้แผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของร่างกาย ปวดหัวจนแทบระเบิด
เฉินถิงเซียวเดินโซเซไปได้สองก้าว ร่างกายก็โครงเครงจนกระทั่งเขาล้มลงไปบนพื้น
ในหัวเป็นภาพรางๆ ปรากฏเป็นเสียงและภาพของผู้คนจำนวนมาก
” เขาจะลืมเรื่องเมื่อก่อนทั้งหมดจริงๆ เหรอ? ”
” วางใจเถอะน่า….. ”
” หมอหลี่ ถ้าคุณทำได้ จำนวนเงินที่ตอบแทนไม่ใช่ปัญหา ”
” ผมไม่ได้ร้อนเงิน ”
ภาพในหัวได้เปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว
” ไม่มีประโยชน์หรอก ฉันฟังให้ชนวนระเบิดเอาไว้ทั้งใต้สนามกอล์ฟหมดแล้ว พวกเราต้องไปหาที่หลบภัย…. ”
” ดูแลมู่มู่ให้ดีๆ ไม่ต้องสนใจฉัน ”
“……… ”
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่าในหัวของตัวเองมันมีอะไรบางอย่างแทรกเข้ามาเสียดื้อๆ จนแทบจะระเบิดออกมาแล้ว
เขาเอื้อมมือขึ้นไปพยุงโต๊ะเพื่อที่จะยันตัวลุกขึ้นมา แต่ร่างกายของเขามันอ่อนแรงเสียจนไม่สามารถทำได้…..
ทันใดนั้น ประตูก็ถูกใครบางคนผลักออก เห็นเป็นเงาเลือนรางเดินพุ่งเข้ามา: ” เฉินถิงเซียว! เป็นอะไรน่ะ? ”
มู่น่อนน่อนนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้นี้หลังจากออกห้องหนังสือมาไม่ได้เก็บชามของเฉินถิงเซียวกลับมาด้วย หลังจากนึกได้ว่าหลังจากนี้ตัวเองต้องอยู่กับเฉินถิงเซียวไปอีกนาน ก็เลยจะกลับมาช่วยเขาเก็บสักหน่อย
แต่พอเปิดประตูเข้ามา ภาพที่เห็นก็คือข้าวของในห้องกระจัดกระจายเรี่ยราด ซึ่งตัวเฉินถิงเซียวเองก็นอนเหงื่อแตกเหงื่อแตนและล้มลงไปกองอยู่บนพื้น
มู่น่อนน่อนพยายามเอื้อมมือไปพยุงตัวเฉินถิงเซียวให้ลุกขึ้นมา แต่เขาเป็นคนที่มีร่างสูงใหญ่ มู่น่อนน่อนจึงพยุงไม่ไหว เธอก็เลยนั่งลงไปกับพื้น แล้วยกศีรษะของเฉินถิงเซียวมาประคองไว้: ” เฉินถิงเซียว? ”
ผมของเฉินถิงเซียวตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะยื้อแขนของมู่น่อนน่อนไว้: ” คุณเป็นใคร ”
มู่น่อนน่อนรีบตอบไปในทันที: ” ฉันก็คือมู่น่อนน่อนน่ะสิ คุณเป็นอะไรไป? ”
มู่น่อนน่อนถามเฉินมู่: ” หนูลงมาจากไหนจ๊ะ? ”
” ลงมาจากบันไดชั้นบนค่ะ ” เฉินมู่ชี้ไปบนเพดานแล้วพูด
มู่น่อนน่อนเพิ่งจะสังเกตว่ามันได้ของคฤหาสน์หลังนี้ทั้งสูงและยาวมาก เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินมู่เธอรีบหันขวับไปมองเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเห็นว่ามู่น่อนน่อนกำลังจ้องตัวเองอยู่ ก็ทำที่ไม่รู้ไม่ชี้ เขาขมวดคิ้ว และไม่รู้ว่าหยิบลูกอมเม็ดหนึ่งมาจากไหนพร้อมกับส่งให้เฉินมู่
จากนั้นก็พูดเสียงเรียบ ” รางวัล ”
เฉินมู่อมลูกอมไว้ในปาก รู้สึกพอใจพร้อมกับวิ่งหนีไปแล้ว
ไหนๆ ก็โดนเฉินมู่เจอตัวแล้ว เฉินถิงเซียวก็เดินทอดน่องเข้ามาข้างใน แล้วถามมู่น่อนน่อน: ” เมื่อก่อนเธอเคยทำอาหารด้วยเหรอ? ”
มู่น่อนน่อนมองหน้าเขา แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา: ” ไม่รู้สิ ”
เธอเสียความทรงจำไปแล้ว เธอจะจำเรื่องมาก่อนได้ยังไง?
คำตอบของเธอทำให้เฉินถิงเซียวสำลัก
มู่น่อนน่อนคิดไปคิดมา จึงถามเขาว่า: ” คุณนึกทุกอย่างออกแล้วหรือไง? ”
” ไม่งั้นจะให้เป็นยังไงล่ะ? ” พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็เปลี่ยนไปดูไม่ค่อยดีนัก ระหว่างคิ้วดูมีกลิ่นอายของความเคร่งขรึม
แต่มู่น่อนน่อนกลับไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นแต่อย่างใด แต่กลับมีความรู้สึกถึง ” การเป็นผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุข ” ส่งออกมา
มู่น่อนน่อนหั่นผักพลางพูดไปว่า: ” ฉันประสบอุบัติเหตุเมื่อสามปีก่อน คุณก็ความจำเสื่อมเมื่อสามปีก่อนเหมือนกัน ถ้างั้นอุบัติเหตุที่เราเจอมันคือที่เดียวกันหรือเปล่า? ”
” ชายคู่หมั้น”ที่ชื่อลี่จิ่วเชียนเป็นสถานะปลอมๆ ก่อนหน้านี้เขาคุยเรื่องนั้นกับเธอ ก็คงต้องยกเลิกไป
เฉินถิงเซียวไม่ได้ยืนยันคำตอบ: ” ไปสืบเดี๋ยวก็รู้เองแหละ ”
มู่น่อนน่อนชะงักมือแล้ว ชายตามองเขา
เฉินถิงเซียวอาจจะพอมีแนวโน้มที่จะเจออยู่บ้าง แม้ว่าผ่านไปสามปีแล้ว เดี๋ยวถ้าอยากจะสืบหาเรื่องพวกนี้ก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
ไม่ผิดไปจากที่ลี่จิ่วเชียนพูดเลยจริงๆ เธอตอบตกลงเงื่อนไขของเฉินถิงเซียว จริงๆ ก็เป็นเพราะมันได้ประโยชน์มากกว่าปฏิเสธยังไงล่ะ
เธอจะได้คอยอยู่ข้างๆ เฉินมู่ และยังได้รู้เรื่องราวของตัวเธอในอดีตด้วย
มู่น่อนน่อนไม่พูดอะไรต่อ
ในเรื่องพวกนี้ ใจของเฉินถิงเซียวหนูขีดจำกัดดี ไม่ต้องให้เธอพูดเยอะ
เฉินถิงเซียวรู้สึกเหมือนกำลังสนุก และคอยยืนมองเธอทำอาหารในครัวอยู่เป็นนานสองนาน
ตอนที่มู่น่อนน่อนจะไปหยิบชามก็เกือบจะชนเข้ากับตัวเขา จึงพูดด้วยอารมณ์กระฟัดกระเฟียด: ” คุณอย่ายืนขวางมือขวางเท้าฉันได้ไหม ”
เฉินถิงเซียวยืนกอดอก: ” บ้านของผม ผมจะอยู่ตรงไหนก็ได้ ”
น้ำเสียงงี่เง่านี้นี่มัน……
มู่น่อนน่อนไม่ไหวที่เขาทำตัวน่าเบื่อ เธอเบื่อที่จะสนใจเขาแล้ว
………
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป มู่น่อนน่อนทำกับข้าวเสร็จพอดี
มาถึงเวลากินข้าว เฉินถิงเซียวพบว่า อาหารสามสี่ชามตรงหน้าดูเป็นอาหารที่มีหน้าตาน่ารักน่าชัง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำให้เฉินมู่แน่นอน
นอกนั้นที่เหลือสองจานที่เป็นกับข้าวและน้ำซุป น่าจะเป็นกับข้าวสำหรับเขาและมู่น่อนน่อน
เฉินถิงเซียววางตะเกียบลงอีกฝั่ง: ” มู่น่อนน่อน! ”
” หือ? ” มู่น่อนน่อนตอบอย่างใจลอย เธอยิ้มตาหยีแล้วคีบอาหารให้เฉินมู่ ” ลองกินอันนี้ดูสิจ๊ะ มันคือ ‘ เจ้ากระต่ายน้อย ‘ ใช่ไหมนะ? ”
เฉินถิงเซียวยื่นมือกุมขมับตัวเอง น้ำเสียงดูโมโหขึ้นไปอีกขั้น ” ในตู้เย็นไม่มีของทำกับข้าว หรือเธอคิดว่าเราล้มละลายว่างั้น? ขัดสนขนาดถึงกับต้องกินกับข้าวแค่สองจานเนี่ยนะ? ”
มู่น่อนน่อนไม่ได้เงยหน้ามอง แถมยังตอบอย่างไม่ใส่ใจอีกว่า ” คุณไม่อยากกินก็ไปให้คนใช้ทำไปสิ ฉันก็ไม่ได้บังคับให้คุณต้องกินสักหน่อย ”
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้น ก็หน้านิ่วคิ้วขมวด เขายังไม่ทันได้พูด คนใช้ก็เข้ามาบอกว่า ” ผู้ช่วยสือมาแล้วครับ ”
เฉินถิงเซียวมองมู่น่อนน่อน จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วลุกออกไป
เมื่อเขาเดินออกไปแล้ว มู่น่อนน่อนจึงเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปยังทางที่เขาเดินออกไป
ผู้ชายคนนี้ก็ไม่น่ากลัวอะไรนี่นา
ภายในห้องหนังสือ
สือเย่ก็พาคนเข้ามา พร้อมแบกเอกสารกองโตเอาไว้รอเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเข้ามาแล้ว เมื่อเห็นเอกสารมากมายก็ถึงกับตกตะลึงไปสักพัก
ก่อนหน้านี้เขาสั่งให้สือเย่ สืบหาเรื่องราวของเขามาก่อน เช่นเรื่องระหว่างเขากับมู่น่อนน่อน แล้วจัดแจงเป็นเอกสารมาให้เขา
แต่ไม่นึกว่ามันจะเยอะขนาดนี้
เฉินถิงเซียวใช้มือเคาะขอเอกสารเบาๆ และถามว่า ” อยู่ในนี้หมดเลยเหรอ? ”
สือเย่ตอบกลับด้วยความสุภาพ: ” อันนี้คือส่วนที่ค่อนข้างสำคัญครับ ถ้าคุณชายต้องการข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้ อาจจะต้องใช้เวลาในการจัดการครับ ”
เฉินถิงเซียวพลิกเอกสารในมือดูหน้าสองหน้า ก็ตอบไปว่า ” เข้าใจแล้ว ”
หลังจากที่สือเย่ออกไปแล้ว เฉินถิงเซียวก็เลยดูเอกสารนั้นอยู่ภายในห้องหนังสือ
เรื่องราวในนั้นมันช่างคาดไม่ถึง ดูเหมือนเขากำลังนั่งอ่านเรื่องราวของคนอื่นอยู่
เขาน่าเบื่อขนาดนั้นเลยเหรอ ปลอมตัวเป็นรุ่นน้องแล้วไปหลอกมู่น่อนน่อนเนี่ยนะ?
ไหนจะมู่น่อนน่อนก็น่าเบื่อพอกัน ทำเป็นแอ๊บอยู่นั่นแหละ?
ถ้าไม่แอ๊บจะดูดีซะที่ไหน….อืม แต่ก็แค่ดูสบายตากว่าผู้หญิงคนอื่นนิดหน่อยเท่านั้นเอง
พอได้นั่งอ่านแล้ว เฉินถิงเซียวก็ไม่ออกจากห้องหนังสืออีกเลย
ที่ห้องอาหารชั้นล่าง
เฉินมู่กินข้าวอิ่มแล้วก็ไปวิ่งตามอำเภอใจ เพราะไม่เห็นว่าเฉินถิงเซียวลงมา มู่น่อนน่อนก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
เฉินถิงเซียวจะไม่มากินข้าวเรื่องจริงๆ เหรอ?
ขี้งอนอะไรเบอร์นั้น?
มู่น่อนน่อนหาคนใช้แล้วถาม : ” เฉินถิงเซียวล่ะคะ? ”
คนใช้ตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ: ” คุณชายอยู่ห้องหนังสือค่ะ ”
มู่น่อนน่อนลังเลไปสักพัก ก็ตัดสินใจขึ้นไปชั้นบนเพื่อหาเฉินถิงเซียว
เมื่อเธอเดินไปถึงหน้าประตูห้องหนังสือแล้ว ก็ยกมือขึ้นของประตู
ผ่านไปครู่ใหญ่ ภายในห้องก็มีเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มตอบกลับมา : ” มีอะไร? ”
มู่น่อนน่อนตอบกลับ: ” ฉันเอง ”
ไม่นานนัก ก็มีเสียงก้าวเดินใกล้เข้ามา จากนั้นประตูก็ถูกคนข้างในเปิดออก
เฉินถิงเซียวยืนอยู่หน้าประตู ไม่ได้แสดงเป็นเชิงว่าให้เธอเข้าไป เพียงแค่ถามเสียงเนือยๆ : ” มีอะไร? ”
มู่น่อนน่อนถามลองเชิงไปว่า: ” คุณไม่กินข้าวเหรอ? ”
เฉินถิงเซียวเหมือนกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง ไม่กี่วินาทีต่อมาก็ตอบว่า: ” ต้มบะหมี่เนื้อชามนึง ”
” บะหมี่เนื้อ? ” ที่เขากำลังใช้ให้เธอไปต้มบะหมี่ให้เขาอยู่ใช่ไหม?
เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เฉินถิงเซียวก็พูดเพิ่มขึ้นมาอีกประโยค: ” เผ็ดนิดเดียว ”
พอเขาพูดจบ ก็ใช้คางชี้มู่น่อนน่อน เป็นเชิงว่า ไปได้แล้ว
มู่น่อนน่อนรู้ตัวก็เดินหันตัวลงไปชั้นล่าง แต่ก็หันหน้ากลับมา: ” เฉินถิงเซียว คุณเห็นฉันเป็นอะไร ที่ฉันทำอาหารให้มู่มู่ก็เป็นเพราะฉันเต็มใจ คุณมีสิทธิ์อะไรสั่งให้ฉันทำอาหารให้คุณ? ”
” ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าคุณให้ผมหาเรื่องในอดีตหรือไง? อยากดูไหมล่ะ? ” เฉินถิงเซียวถอยหลังไปเล็กๆ เผยให้เห็นว่าภายในห้องหนังสือก็มีเอกสารกองใหญ่ตั้งอยู่
เอกสารพวกนั้นน่ะตรงกับสายตาของมู่น่อนน่อนพอดี
มู่น่อนน่อนถาม: ” มันคืออะไรน่ะ? ”
เฉินถิงเซียวฉีกยิ้ม ภายในรอยยิ้มนั้นดูมีเลศนัย: ” เธออยากดูไหมล่ะ ”
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันตัว แล้วเดินลงไปชั้นล่างเพื่อทำบะหมี่ให้เฉินถิงเซียวโดยไม่พูดไม่จา
นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่ดูเย็นชาอย่างเฉินถิงเซียวจะกินเผ็ดกับเขาด้วย
มู่น่อนน่อนอยากจะใส่พริกขี้หนูลงไปให้เขาสักหนึ่งกำมือ แต่คิดไปคิดมาก็ช่างมันเถอะ
เธอยกชามบะหมี่ขึ้นไป แล้ววางลงตรงหน้าเฉินถิงเซียวยังไม่ค่อยเต็มใจนัก: ” บะหมี่ของคุณน่ะ ”
เฉินถิงเซียวไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็นั่งลงกินบะหมี่ข้างๆ
แต่พอเขากินได้แค่คำเดียว ก็ต้องตะลึง
นี่คือรสชาติที่คุ้นเคย
เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหน้ามู่น่อนน่อน
พอดีกับมู่น่อนน่อนที่กำลังพลิกเอกสารไปมา เมื่อเห็นเนื้อหาของหน้าแรกแล้ว เธอก็หันมามองเฉินถิงเซียว: ” อย่างกับเด็กแน่ะ “
มู่น่อนน่อนแค่กวาดสายตาดูรอบๆ ห้องเท่านั้น ก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง
เฉินมู่ไม่รอช้ารีบถอดรองเท้าแล้วปีนขึ้นไปนั่งอยู่ข้างๆ มู่น่อนน่อน
เมื่อก่อนในสายตาของมู่น่อนน่อนที่มองเฉินมู่เห็นว่าเด็กคนนี้น่ารักจนทนไม่ไหว แต่เมื่อเธอรู้ว่าเฉินมู่คือลูกสาวแท้ๆ ของตัวเอง ไม่ว่าจะยังไงก็รู้สึกจนทนไม่ไหวหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก
มู่น่อนน่อนลูบหัวของเด็กน้อย แล้วก้มหน้าลงไปหอมเธอสักฟอด
เฉินมู่ลืมตาโต และเงยหน้าขึ้นจุ๊บมู่น่อนน่อนหนึ่งที
เมื่อเด็กน้อยจุ๊บเสร็จก็หัวเราะ” คิกคัก ” ประมาณว่ารู้สึกสนุกกับสิ่งที่ทำมาก
มู่น่อนน่อนก็จุ๊บเจ้าตัวเล็กคืนอีกครั้ง เฉินมู่ก็ปีนป่ายขึ้นไปบนตัวเธอ
ทั้งสองนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่เตียง เฉินมู่ถูกมู่น่อนน่อนจั๊กจี้จนต้องหัวเราะ” คิกคัก”ออกมา
เมื่อเฉินมู่เล่นจนเหนื่อยแล้ว มู่น่อนน่อนก็จับมือน้อยๆ นั้นวางลงข้างๆ
แต่เหมือนรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังมองอยู่ มู่น่อนน่อนก็ยันตัวขึ้นมา ก็เห็นเฉินถิงเซียวที่ยืนจังก้าอยู่ตรงประตู ซึ่งไม่รู้ว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นมานั่ง แล้วลากเฉินมู่ให้ลุกขึ้นมา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับเธอว่า ” คุณพ่อมาแล้ว ”
” คุณพ่อ! ”
เฉินมู่ตะโกนเรียกออกมาด้วยความดีใจ รีบพลิกตัวไหลลงมาจากเตียง จากนั้นก็วิ่งไปกอดขาเฉินถิงเซียว
เฉินมู่ตัวเล็กตัวน้อยขนาดนั้น จึงดูเหมือนตุ๊กตาแปะอยู่บนขาของเฉินถิงเซียว มันทั้งดูแปลกประหลาดแต่ก็มีความอบอุ่นอยู่ในนั้น
เฉินถิงเซียวก้มหน้าลงก็เห็นเฉินมู่มองเขาตาปริบๆ จึงโค้งตัวแล้วอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมา
เฉินมู่เอามือคล้องคอเขา แล้วพยายามดมกลิ่นบนตัวของเขา
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว ” ลูกดมอะไร? ”
” ไม่เห็นจะมีกลิ่นเปรี้ยวๆ เลย ” เฉินมู่พูดด้วยความงุนงง
เฉินถิงเซียวอุ้มเด็กน้อยแล้วนั่งลงอีกฝั่ง แล้วถามอย่างมีน้ำอดน้ำทน ” อะไรเปรี้ยวๆล่ะ? ”
มู่น่อนน่อนพอจะรู้แล้วว่าเฉินมู่กำลังจะพูดอะไร จึงจะพูดห้าม
” ถ้าคุณพ่อกินน้ำส้มสายชู (หึง) มันก็จะเปรี้ยวไงคะ ”
” มู่มู่! ”
แต่เธอก็ยังช้ากว่าเฉินมู่หนึ่งก้าว
เฉินมู่พูดจบ ก็ยังทำหน้าเหมือนได้รู้เรื่องแปลกใหม่มาแล้วพูดต่อว่า ” อามู่บอกว่าพ่อกินน้ำส้มสายชู (หึง) ”
มู่น่อนน่อน: ” …… ”
เฉินถิงเซียวมองมู่น่อนน่อนด้วยแววตาที่ดูสนใจอะไรบางอย่าง แต่ก็ยากที่จะคาดเดาอารมณ์ของเขาตอนนี้
มู่น่อนน่อนทำเป็นสนใจเสื้อผ้าตัวเอง ก่อนจะนั่งนิ่งตัวตรงอยู่ข้างเตียง ทำเป็นก้มหน้าก้มตาเหมือนจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น แล้วไม่มองหน้าเฉินถิงเซียว
วินาทีนั้น เธอก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเฉินถิงเซียวเอ่ยขึ้นมาเนือยๆ : ” ไม่ใช่คุณอา แต่คือแม่ ”
” แม่เหรอ? ”
เฉินมู่ทำยู่ปาก แล้วดึงเนกไทของเฉินถิงเซียว เราพูดด้วยน้ำเสียงต่อต้านที่จริงจัง: ” คุณอาไม่ใช่แม่สักหน่อย ”
คำพูดของเด็กน้อยทำให้เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะตกใจ
ถึงแม้เฉินมู่จะอายุสามขวบกว่าแต่ก็ไม่สามารถมองว่าเธอเป็นเด็กที่ไม่ประสีประสาได้
เธอมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว
จะให้เด็กน้อยยอมรับสถานะใหม่ของมู่น่อนน่อน ก็ต้องใช้เวลาและวิธีที่เหมาะสม
ไม่ควรรีบร้อนจนเกินไป
มู่น่อนน่อนรู้สึกคิดหวังอยู่ชั่วขณะ ก็ทำใจให้สงบลงมาได้
ถ้าสามปีก่อนเธอตายไปแล้วจริงๆ ตอนนี้อย่าว่าแต่จะให้เฉินมู่เรียกเธอว่าแม่เลย แค่หน้าของเฉินมู่เธอก็คงไม่มีวันได้เจอ
อีกอย่าง ในช่วงสามปีที่ผ่านมารอบตัวของเฉินมู่ก็มีแค่เฉินถิงเซียวกับซูเหมียน เธอกับเฉินมู่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน จะให้เฉินมู่เปลี่ยนคำเรียกในทันที ก็คงจะดูโลภไปหน่อย
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นยืน: ” มู่มู่จ๊ะ เย็นนี้หนูอยากกินอะไร? เดี๋ยวอาทำให้กินเอง ”
หลังจากย้ายไปย้ายมาจนเย็น ตอนนี้ก็ใกล้มื้อเย็นเข้าไปแล้ว
เฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่นั่งอยู่บนโซฟา มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป แล้วย่อตัวลงข้างโซฟา สายตาจะได้เห็นเฉินมู่ในระดับที่พอดี
เฉินมู่นั่งพิงอยู่บนแผงอกของเฉินถิงเซียว แล้วตอบด้วยสีหน้าสบายอารมณ์ ” อยากกินที่เป็นเนื้อๆ ”
มู่น่อนน่อนลูบหน้าของเด็กน้อย ” เอาสิ ”
พูดจบก็อดไม่ได้ที่จะจุ๊บลงไปที่แก้มเด็กน้อยหนึ่งที
จุ๊บเสร็จ เธอจึงช้อนสายตา ก็ปะทะเข้ากับดวงตาที่ดูนิ่งขรึมของเฉินถิงเซียว
ลูกตาสีเข้มราวกับน้ำหมึก ในนั้นสั่นสะท้านเหมือนคลื่นใต้น้ำเตรียมจะทะลักออกมา ราวกับว่าจะสูบคนเข้าไป
มู่น่อนน่อนชะงักอยู่กับที่
ทั้งสองอยู่ในระยะสายตาที่ห่างกันแค่คืบ เธอรับรู้ได้ว่าใบหน้าของเฉินถิงเซียวเริ่มขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งลมหายใจของเฉินถิงเซียวรดลงบนใบหน้าของเธอ……
” ทั้งสองคนจะจูจุ๊บกันเหรอ? ”
เสียงของเฉินมู่ทำให้ดึงสติของทั้งสองกลับมาได้
มู่น่อนน่อนเหมือนสะดุ้งตื่นในทันที แล้วถอยกรูดโดยพลัน
เธอยืนขึ้น แล้วพูดจาลนลาน ” ฉันจะลงไปดูว่าพอจะทำอะไรให้มู่มู่กินได้บ้าง ”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วออกไปอย่างรีบร้อน
เฉินมู่ถูฝ่ามือไปมา รีบหันไปมองหน้าเฉินถิงเซียว
เมื่อเห็นสีหน้าของพ่อที่จ้องเธอ ดูไม่ค่อยดีนัก
เฉินมู่ก็หดคอ ทำนั่งนิ่งว่านอนสอนง่าย แล้วเรียกพ่อด้วยน้ำเสียงเอาอกเอาใจ: ” พ่อขา ”
” อื้ม ” ไม่พูดอะไร แค่ใช้น้ำเสียงสั้นๆ ตอบกลับ
เฉินมู่เอียงหัวซ้ายทีขวาที เหมือนกำลังพยายามให้ตัวเองแน่ใจว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้โกรธอยู่ ยิ้มจนตาหยีแล้วพูดว่า: ” เมื่อกี้พ่อกับอามู่จะจุ๊บเป็นใช่ไหมล่ะ…. ”
เฉินถิงเซียวมองเฉินมู่ด้วยสีหน้าสะกดอารมณ์: ” เปล่า ”
เฉินมู่ทำทีเล่นใหญ่เอามือข้างหนึ่งปิดปาก แล้วเอาอีกข้างชี้นิ้วโยกไปโยกมาทางเฉินถิงเซียว: ” ใช่! ”
เฉินถิงเซียวเหมือนอดทนจนถึงขีดสุดแล้ว ก็เอามือจับคอเสื้อของเด็กน้อยเอาไว้ ในขณะที่เด็กน้อยกำลังลงจากตัวของเขา แล้วพูดว่า: ” ถ้างั้นว่าไม่เคยจุ๊บกันเหรอ? ”
” อื้ม ” เฉินมู่เดินตามหลังเขา ไม่นานเด็กน้อยก็ลืมเรื่องทั้งหมดที่เพิ่งเกิดไป
เฉินถิงเซียวตัวสูงชะลูดและขายาว และจงใจเดินเร็วๆ
เฉินมู่เดินตามหลังของเขามา บันไดค่อนข้างสูงทำให้เธอรู้สึกกลัวมาก จึงพยายามทรงตัวกับราวบันได เอาหน้าหันไปยังทางลง แล้วนั่งเพื่อไถลก้นลงขั้นต่อไปเรื่อยๆ
ไม่เห็นว่าเฉินถิงเซียวเดินไปถึงโถงใหญ่แล้ว เด็กน้อยก็เอามือกอดอกแล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวด: ” เฉินชิงเซียว อุ้มหน่อยสิ! ”
เฉินถิงเซียวหันกลับมามองเด็กน้อย: ” ทางเดินของตัวเองก็ต้องเดินด้วยตัวเอง ”
เฉินมู่จะไปรู้อะไร กับคำว่า” ทางของตัวเอง ” เธอแค่เข้าใจว่าเฉินถิงเซียวให้เธอ ” เดินด้วยตัวเอง ”
เด็กน้อยแบบปาก จากนั้นก็เอาหลังหันเข้าหาบันได สักพักก็หันหน้ากลับมาเหมือนเดิม จากนั้นก็ค่อยๆ ใช้มือใช้เท้าดันตัวลงบันไดมา
ระหว่างทางคนใช้ก็จะเข้ามาอุ้มเด็กน้อย แต่เธอรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ : ” ไม่ต้องอุ้มค่ะ เดี๋ยวหนูเดินเอง ”
………..
เฉินถิงเซียวก็ตรงไปยังห้องครัว
เขาซื้อคฤหาสน์หลังนี้มาปีสองปีแล้ว เหตุผลหลักก็เพราะเขาไม่ชอบอยู่บ้านหลังเดิม ทุกครั้งที่อยู่บ้านก็มักจะรู้สึกแปลกๆ
ก่อนหน้าที่จะย้ายมาอยู่ติดกับลี่จิ่วเชียน เหตุผลหลักคือรู้สึกแปลกใจในตัวมู่น่อนน่อน คฤหาสน์หลังนี้ใหญ่เกินไปแล้ว แค่เขากับเฉินมู่อยู่ก็ดูโล่งเกินไปหน่อย
แต่ตอนนี้กลายเป็นที่ที่มีประโยชน์ต่อการใช้สอย
เมื่อเขาเดินไปถึงประตูทางเข้าห้องครัวก็หยุดที่เท้า และไม่ได้เข้าไป
มู่น่อนน่อนหันหลังใส่เขา ในมือเธอกล่องใส่เนื้อ ดูเหมือนเธอกำลังพยายามแยกประเภทเนื้ออยู่ สีหน้าดูเอาจริงเอาจัง
ผมที่ยาวสลวยถูกมัดเป็นหางม้าอยู่ข้างหลัง แขนเสื้อถูกพับขึ้นมา เผยให้เห็นแขนเรียวยาว
เธอวางกล่องหนึ่งในนั้นลง ในเขย่งเท้าเพื่อจะขึ้นไปหาของในบนชั้น พยายามชูมือขึ้นเหนือศีรษะ ทำให้เสื้อผ้าถูกดึงแล้วลอยขึ้นเผยให้เห็นเอวเล็กอย่างชัดเจน
ทำให้คนที่ได้เห็นใจเป็นแปลกๆ
เฉินถิงเซียวทำหน้านิ่ง ก่อนจะเอามือกดลงไปที่อกข้างซ้าย พร้อมใบหน้าที่เคร่งขรึม
เวลานี้ ด้านหลังเขาก็มีเสียงเฉินมู่ดังขึ้นมา
” คุณพ่อคะ! ”
เฉินถิงเซียวหันหน้ากลับไป ก็เห็นใบหน้าที่กระตือรือร้นของเฉินมู่: ” คุณพ่อคะ หนูลงมาเองได้แล้วนะ ”
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงเอะอะ จึงหันกลับมามอง สายตาก็โฟกัสไปที่เฉินมู่ และมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาจากหางตา
มู่น่อนน่อน งอปาก ยิ้มด้วยสีหน้าที่ดูแข็งเกร็ง ” ฉันรู้ดีว่าคุณเฉนเป็นคนที่ร่ำรวยและมั่งคั่ง แต่ฉันไม่ต้องการให้คุณต้องใช้จ่ายสิ้นเปลืองแบบนี้ ”
เธอไปอยู่ที่นั่นกับลี่จิ่วเชียนมาช่วงหนึ่ง ถึงของที่ใช้ในชีวิตประจำวันแต่ไม่มากเท่าไหร่ แต่ของแต่ละชิ้นที่เพิ่มมาก็ใช้เงินซื้อไม่น้อย
ของพวกนั้นยังใช้ได้ทั้งหมด ทำไมถึงต้องทิ้งด้วยล่ะ
เฉินถิงเซียวมองหน้าเธอ ทำเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำที่เดาอารมณ์ไม่ถูก: ” ไม่ใช้เงินของผม? ถ้างั้นคุณก็คงพอใจกับการใช้เงินของคนหลอกลวงอย่างลี่จิ่วเชียนน่ะสิ แบบนั้นคงสบายใจกว่าสินะ? ”
” คุณเฉิน อย่าพูดสรุปในเรื่องที่คุณไม่รู้ความจริงแน่ชัดมาก่อนดีกว่านะคะ เพราะคุณอาจจะทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นได้! ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวคิดเองเออเองเกินไปแล้ว
ลี่จิ่วเชียนกล่าวโทษอะไรถึงเขาเลย แต่เขาถึงกับต้องพุ่งเข้าไปที่ลี่จิ่วเชียนแบบนี้เลยเหรอ?
หรือที่ผ่านมาผู้ชายอวดดีคนนี้ ใช้ใจในการทำเรื่องทุกอย่างเลยเหรอ?
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ไม่ให้ช่องกับเฉินถิงเซียวได้พูด ก็เสริมขึ้นมาว่า ” อีกอย่าง ฉันจะใช้เงินใครก็ไม่ใช่เรื่องของคุณ ”
เธอใช้เงินของลี่จิ่วเชียนก็จริง แต่เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ใช้เธอก็จดบันทึกไว้ทั้งหมด รวมถึงค่าเข้าพักโรงพยาบาลสามปีก่อนหน้านี้ด้วย เธอยังเก็บบัญชีไว้อยู่เลย
ไม่ว่าเธอจะทำเรื่องอะไรเธอก็รู้ขีดจำกัดของตัวเองดี
เฉินถิงเซียวได้ยินที่เธอพูด สีหน้าของเขาก็ดูนิ่งลง
ผู้หญิงที่ไม่หัดแยกแยะดีเลวคนนี้นี่มัน!
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงคำพูดที่ฟังไม่เข้าหูของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนก็ไม่รอให้เขาเปิดปากพูด เธอพูดจบก็รีบสาวเท้าออกไปข้างนอก
เสียงของเฉินถิงเซียวที่ได้ยินตามหลังมาคือเสียงตะโกนด้วยความโมโห ” มู่น่อนน่อน! ”
มู่น่อนน่อนกำหมัด ในใจก็ได้แต่คิดว่ายกนี้ตัวเองชนะแล้ว ” V ”
เมื่อออกไปข้างนอก มู่น่อนน่อนก็เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ลี่จิ่วเชียนฟัง
ลี่จิ่วเชียนยิ้มและพูดย้ำกับเธอ ” ไม่เป็นไรหรอก ของของคุณ เดี๋ยวผมเก็บไว้ให้คุณเอง ”
คำพูดนี้จังหวะพอดีกับที่เฉินถิงเซียวเพิ่งจะเดินออกมา จึงได้ยินเข้า
เขาจึงเดินตรงข้อมือ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์แล้วมองไปยังมู่น่อนน่อน: ” ไม่ใช่จะกลับไปเอาของหรือไง? ”
” ฮ้ะ? ” แล้วเมื่อกี้ไม่ได้พูดเรอะ ว่าไม่ให้กลับไปเอาของน่ะ?
เฉินถิงเซียวทำสีหน้าเร่งเร้าเธอ: ” ยังไม่รีบไปอีก? ”
มู่น่อนน่อนดึงสติได้ก็ย่างเท้าตามเขาไป
เมื่อเธอก้าวขาไปได้สองสามก้าวก็หันไปมองลี่จิ่วเชียน
ลี่จิ่วเชียนยิ้มให้เธอ แล้วเดินตามไปด้วย
………
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ในห้องโถงของบ้านลี่จิ่วเชียน เธอมองเฉินถิงเซียวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ที่เห็นเขากำลังชี้นิ้วสั่งให้ลูกน้องเข้าไปช่วยเธอขนของภายในบ้าน
บริษัทเฉินซื่อเป็นกิจการใหญ่ระดับข้ามชาติขนาดนั้น,ประธานอย่างเฉินถิงเซียวต้องว่างขนาดนี้เลยเหรอ?
หรือว่าบริษัทเฉินซื่อจะข้ามขั้นแล้ว?
เธอก็บอกไปแล้วว่าไม่ได้มีของอะไรเยอะแยะ เฉินถิงเซียวก็ยังจะให้คนมาช่วยเธอย้ายอีก
เมื่อเห็นว่ากลุ่มลูกน้องของเขาที่ยืนนิ่งไม่รู้จะจัดเก็บยังไงอยู่ในห้อง มู่น่อนน่อนก็ทนดูต่อไปไม่ไหวจึงพูดว่า ” ฉันคนเดียวก็ได้แล้ว อีกอย่างมันเป็นของใช้ส่วนตัว…. ”
เธอคงไม่เท่าพวกเขาที่ไม่รู้จะลงมือยังไง เพราะเธอไม่มีของอะไรจะให้ย้ายจริงๆ
เฉินถิงเซียว ยืนกวาดสายตาอยู่ตรงหน้าประตู เห็นได้ชัดว่าห้องนี้มีเพียงร่องรอยของมู่น่อนน่อนคนเดียวที่อาศัยอยู่
เขาทำเป็นถามแบบขอไปที: ” ลี่จิ่วเชียนล่ะอยู่ห้องไหน? ”
ขณะที่มู่น่อนน่อนเก็บของอยู่ ก็ตอบด้วยท่าทีสบายๆ “เขาก็อยู่ห้องของตัวเองน่ะสิ ”
เฉินถิงเซียวไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เมื่อให้มู่น่อนน่อนจัดการของของตัวเองให้เรียบร้อยแล้วก็ออกไป ของพวกนั้นก็ถูกลูกน้องของเฉินถิงเซียวขนไปไว้ในลิฟต์
มู่น่อนน่อนถามเฉินถิงเซียว: ” ไม่ได้อยู่ตรงข้ามเหรอ? ”
เฉินถิงเซียวกวาดสายตามองเธอ แล้วตอบด้วยอารมณ์ที่สงบนิ่ง ” เล็กเกิน อยู่ไม่ไหว ”
มู่น่อนน่อนเม้มปากหมดคำจะพูด
ภายในบริเวณบ้านที่มีคุณภาพสูงแห่งนี้เป็นลักษณะสองชั้นทั้งหมด มันไม่ได้ดูเล็กเลยด้วยซ้ำ
อีกอย่างเฉินถิงเซียวเพิ่งจะย้ายได้มาไม่นาน ก็จะเปลี่ยนบ้านอีกแล้วเหรอ…..
ก็เป็นคนมีเงินนี่นะ
ในที่สุดรถก็ขับมาจอดที่หน้าคฤหาสน์แห่งหนึ่ง
มู่น่อนน่อนยืนอยู่หน้าประตูห้องคฤหาสน์ ในที่สุดตอนนี้เธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเฉินถิงเซียวถึงบอกว่าบ้านและห้องแถวนั้น มันถึงได้เล็กจนอยู่ไม่ได้
คฤหาสน์ทั้งสี่ชั้นมีสวนดอกไม้ มีร้านบ้านที่กว้างใหญ่ พร้อมทั้งคนใช้และบอดี้การ์ดเป็นกลุ่ม
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูแล้ว คนใช้และบอดี้การ์ดต่างยืนกันเป็นแถวสองฝั่งแล้วโค้งตัวลง ” คุณชาย! ”
มู่น่อนน่อนเหลือบตามองเฉินถิงเซียวแล้วเดินตามหลังเข้าไปข้างใน
ทั้งสองยังไม่ทันเดินเข้าโถงใหญ่ ก็มีเจ้าตัวน้อยแก้มกลมวิ่งออกมาจากข้างใน
เฉินถิงเซียวที่ยืนอยู่ข้างหน้า มู่น่อนน่อน เมื่อเขาเห็นว่าเจ้าตัวน้อยแก้มกลมวิ่งเข้ามาแล้ว ก็หยุดก้าวเดิน จากนั้นก็เอื้อมมือเตรียมที่จะรับเด็กน้อยไว้…….
แต่ถ้าว่าเจ้าตัวน้อยแก้มกลมกลับวิ่งแฉลบข้างผ่านเขาไป ไม่กี่วิต่อมาก็โผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของมู่น่อนน่อน
” อามู่! ”
เด็กหญิงตัวน้อยกะพริบตาดวงโตนั้นปริบๆ เรียกชื่อเธอเจื้อยแจ้ว
เฉินมู่มักจะกระตือรือร้นทุกครั้งที่เห็นเธอเสมอ เช่นเดียวกับเมื่อก่อนที่มู่น่อนน่อนก็รู้สึกดีใจและเบิกบาน
แต่ครั้งนี้ เธอกลับรู้สึกปวดใจจนอยากจะร้องไห้
” มู่มู่…….. ”
มู่น่อนน่อนกอดเด็กน้อยแน่น ดวงตาแดงก่ำ
เธอจะบอกเฉินมู่ยังไงดี ว่าเธอไม่ใช่” อามู่ ” แต่เธอคือ ” แม่” ต่างหาก
เฉินถิงเซียวเก็บมือที่ยื่นออกมาตอนแรกกลับไป ก็หันหน้าที่ดูเคร่งขรึมนั้นมามองมู่น่อนน่อนที่กำลังกอดเฉินมู่อยู่พร้อมดวงตาที่แดงก่ำจวนจะร้องไห้ออกมา
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย คนใช้ที่ยืนอยู่อีกฝั่งจะเดินเข้ามาช่วย ก็ถูกสายตาเขาห้ามไว้
ผ่านไปสักพัก ก็เป็นเฉินมู่ที่โพล่งขึ้นมาก่อนว่า ” แน่นเกินไปแล้วค่ะคุณอา ”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้นก็รีบปล่อยเฉินมู่
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามปรับอารมณ์ให้คงที่ จากนั้นจึงอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา
เมื่อหันหน้าเรื่องความไม่ตั้งใจ ก็ไปปะทะเข้ากับสีหน้าที่ไร้อารมณ์ของเฉินถิงเซียวที่กำลังจ้องมองพวกเธออยู่
” เฉินชิงเซียว “เมื่อเฉินมู่เห็นเฉินถิงเซียวก็ชูมือน้อยที่ดูอ้วนๆ ไปทางเขาเป็นเชิงอยากให้อุ้ม
เฉินถิงเซียวเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อกี้นี้ เฉินมู่โผตัวเข้าไปให้มู่น่อนน่อนกอด ก็ทำหน้าขรึม แล้วเบือนหน้าหนีพร้อมเดินเข้าไปข้างใน
เฉินมู่กะพริบตาปริบๆ ขมวดคิ้วพลางหันหน้ามามองมู่น่อนน่อน แล้วถามด้วยความงุนงง ” เขาโกรธเหรอ? ”
มู่น่อนน่อนถูกท่าทางของเด็กน้อยที่ขมวดคิ้วจนดูแก่แดดแก่ลมทำให้ขำ: ” เขาไม่ได้โกรธ เขาหึงน่ะ (หึงในภาษาจีน) ”
เมื่อกี้ที่มู่น่อนน่อนเดินตามเฉินถิงเซียวอยู่ข้างหลัง แน่นอนว่าท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ของเฉินถิงเซียวทำให้รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง พอมาตอนนี้เธอถึงนึกขึ้นมาได้
เฉินมู่ขมวดคิ้วอยู่อย่างนั้น แล้วทำหน้ารังเกียจ ” ทำไมต้องกินน้ำส้มสายชู มันเปรี้ยวจะตาย ”
มู่น่อนน่อนเห็นด้วยพร้อมพูดว่า ” ก็ใช่น่ะสิ น้ำส้มสายชูมันเปรี๊ยวเปรี้ยวเนอะ ”
ขณะที่เธอกำลังคุยกับเฉินมู่ ก็พลางอุ้มเด็กน้อยแล้วเดินเข้าไปข้างในด้วย
เฉินมู่เป็นเด็กช่างพูด พอได้พูดแล้วก็พูดกันไม่จบไม่สิ้น
มู่น่อนน่อนก็อดทนฟัง ถึงได้รู้ว่าพัฒนาการพูดของเฉินมู่นั้นแข็งแรงมาก และคำศัพท์ที่ใช้ก็มากด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน คนใช้สาวก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ามู่น่อนน่อน และพูดด้วยความเคารพ: ” คุณมู่ คุณชายให้ดิฉันพาคุณไปดูห้องนอนค่ะ ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าน้อยๆ ” ขอบใจจ้ะ ”
คนใช้สาวพามู่น่อนน่อนไปยังชั้นสอง เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็ทำท่าผายมือเชิญให้เข้า : ” ถึงแล้วค่ะ เชิญค่ะ ”
มู่น่อนน่อนแค่ยืนและสังเกตโดยรอบคร่าวๆ เธอก็มีสีหน้าที่ตกใจเล็กน้อย: ” นี่คือห้องนอนของฉันเหรอ? ”
สาวใช้ยิ้มน้อยๆ แล้วตอบกลับ: ” ใช่ค่ะ เดี๋ยวคุณก็ดูว่าต้องการอะไรเพิ่มไหม ก็สามารถบอกพวกเราได้ตลอดเวลาเลยนะคะ ”
สาวใช้พูดจบ ก็เดินออกไป
มู่น่อนน่อนก็พาเฉินมู่เดินเข้าไป
ห้องนอนใหญ่มาก ข้างในมีกระจกบานใหญ่ มีระเบียง และยังมีห้องแต่งตัวเล็กแยกออกมาอีก
มู่น่อนน่อนพยักหน้าให้กับลี่จิ่วเชียน
ก่อนที่ลี่จิ่วเชียนจะออกไป ก็มองไปยังเฉินถิงเซียวแววตาที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้ จากนั้นจึงจะหันตัวแล้วเดินออกไป
หลังจากที่ลี่จิ่วเชียนสาวเท้าออกจากห้องไปไม่กี่ก้าว สือเย่ก็พาบอดี้การ์ดออกไปด้วย
เมื่อมู่น่อนน่อนหลุดจากภวังค์แล้ว ก็พบว่าทั้งห้องโถงเหลือเพียงแค่เธอกับเฉินถิงเซียวสองคนเท่านั้น
เฉินถิงเซียวนั่งพิงไปกับโซฟา และจ้องไปยังเธอด้วยอารมณ์ที่คาดเดาไม่ได้ ดวงตาดำขลับนี้ทำให้คนที่ได้เห็นต่างคิดไม่ตก เขาจ้องเธออยู่อย่างนั้นโดยไม่กะพริบตา มันดูมีพลังและน่าเกรงขาม แรงกดดันนี้มันช่างทรงพลานุภาพเหลือเกิน
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะลูบแขนของตัวเองป้อยๆ และลองเชิงโดยการเรียกเขาขึ้นมา ” คุณเฉน ”
เฉินถิงเซียว ยื่นมือแล้วชี้ไปที่ผลการเทียบDNAที่เคยหล่นอยู่ตรงหน้าเฉินจิ่งหยุ้น และพูดขึ้นมาโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ” ดูเองสิ ”
โชคดีที่ก่อนหน้านี้ เฉินจิ่งหยุ้นนั่งอยู่ตรงข้ามเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนก็ได้ยินในสิ่งที่พวกเขาเพิ่งจะคุยกันไปแล้ว ก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินอยู่บ้าง
แต่ ผลเทียบของDNA ที่เห็นในครั้งนี้ ก็ทำให้เธอตกใจอยู่ดี
นี่เธอเป็นแม่ของเฉินมู่จริงๆ สินะ
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองไปยังเฉินถิงเซียว
เธอเคยตั้งท้องแล้วมีลูกด้วยกันหนึ่งคนกับผู้ชายคนนี้เหรอเนี่ย
นี่มัน……….ดูปาฏิหาริย์เกินไปหรือเปล่า
เฉินถิงเซียวเห็นว่าเธอใช้ตามองเขา ก็เลยถามขึ้นมา ” ดูเข้าใจแล้วหรือไง? ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า แล้วถามอีกว่า ” ผลตรวจDNAครั้งก่อน…….ถูกคุณเฉินคนนั้นปลอมแปลงเหรอ? ”
เฉินถิงเซียวแค่อยากคิ้ว ไม่ได้ตอบเธอออกมาตรงๆ เหมือนจะเป็นการยอมรับอ้อมๆ
เขาจดจ้องไปยังมู่น่อนน่อน แล้วใช้น้ำเสียงที่ออกเป็นเชิงคำสั่งว่า ” ให้เวลาคุณสามวัน…. ”
มาพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็หยุดชะงัก ” ไม่ ผมให้เวลาคุณครึ่งชั่วโมง ออกไปจัดการความสัมพันธ์ของคุณกับชายนามสกุลที่อยู่ข้างนอกบ้านให้เรียบร้อยด้วย ”
เฉินถิงเซียวไม่รู้ว่า มู่น่อนน่อนกับลี่จิ่วเชียนเคยสารภาพต่อสาธารณะแล้ว ลี่จิ่วเชียนก็เป็นคนยอมรับก่อนว่าไม่ใช่คู่หมั้นของมู่น่อนน่อน
” หมายความว่ายังไง? ”
ประโยคที่เฉินถิงเซียวพูดนั้น เมื่อแยกออกมาเป็นคำแต่ละคำ เธอเข้าใจความหมายของมันดี แต่พอเอามารวมกันแล้วเธอไม่เข้าใจความหมายของมันเลยสักนิด
เฉินถิงเซียวเชิดหน้าขึ้นมอง ดูเหมือนเขาจะรู้สึกผิดหวังในตัวมู่น่อนน่อน อดไม่ได้ที่จะพูดอธิบายออกมา ” คุณคือแม่แท้ๆ ของมู่มู่ และแกชอบคุณมาก คุณต้องเข้ามาใช้ชีวิตอยู่กับพวกเรา ”
คำพูดของเขาฟังดูมีเหตุผล แต่ให้ความรู้สึกเป็นคนที่ฟังดูต่ำต้อยลงมา เมื่อคำพูดนี้เข้าไปในหูของมู่น่อนน่อนก็รู้สึกเศร้าใจแปลกๆ
” ทำไมฉันต้องเข้ามาใช้ชีวิตร่วมกับพวกคุณด้วย? สถานะสามีภรรยาของเราก็ถูกคุณเฉินปลดออกไปแล้ว ตอนนี้พวกเราก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องอยู่ด้วยกันอีกแล้ว ถึงตอนนี้พวกเราจะยังคงมีสถานะว่ามีภรรยา แต่ฉันว่าสำหรับสถานการณ์ของเราสองคนในตอนนี้ ก็ไม่เห็นสมควรที่ต้องอยู่ด้วยกัน ”
คำตอบของมู่น่อนน่อน เกินความคาดหมายของเฉินถิงเซียว
แววตาของเขาผุดอารมณ์โกรธขึ้นมารางๆ และพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ” ที่คุณมู่พูดก็มีเหตุผล แสดงว่าตอนที่คุณพูดคำพูดนี้ออกมา ก็คงจะชัดเจนแล้วว่า หลังจากนี้คุณไม่สามารถเจอมู่มู่ได้อีกต่อไป ”
มู่น่อนน่อน ” ครืด ” ลุกขึ้นมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงโกรธจัด ” เฉินถิงเซียว! ”
ผู้ชายคนนี้ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด
เผด็จการจนทำให้คนอื่นจำเป็นต้องอ่อนตาม
” ถ้าคุณมู่คิดรอบคอบดีแล้ว ตอนนี้ก็สามารถออกไปจัดการเรื่องความสัมพันธ์ของคุณกับคุณลี่ได้เลยครับ ถ้าคุณจัดการไม่ได้ เห็นแก่ที่เคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน ผมจะเป็นตัวแทนจัดการให้ ”
เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็ยกมือขึ้นมา และเหลือบตาไปดูเวลาบนหน้าปัด ” ตอนนี้สองนาฬิกายี่สิบเก้านาที สองนาฬิกาห้าสิบเก้านาที คุณต้องให้คำตอบกับผม ”
มู่น่อนน่อนอ้าปากค้าง ยังไม่ทันจะได้พูด ก็ได้ยินเฉินถิงเซียวพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า ” คุณไม่มีสิทธิ์มาต่อรองอะไรกับผม ที่ให้คนมาอยู่กับพวกเรา แค่เพราะมู่มู่ชอบวิธีการเลี้ยงดูของคุณ คุณก็สามารถปฏิเสธได้ ”
น้ำเสียงเฉินถิงเซียวในประโยคนี้ ฟังดูเย็นชา ไม่มีเค้าความอบอุ่นเหมือนก่อน
เมื่อเห็นว่ามู่น่อนน่อนยังยืนอยู่ที่เดิม เฉินถิงเซียวก็ไม่ลืมที่จะพูดทวนเวลาให้กับเธอ ” สองนาฬิกาสามสิบเอ็ดนาที คุณยังมีเวลาอีกยี่สิบแปดนาทีนะ ”
ถ้าเทียบกับการบังคับขู่เข็ญให้คนอื่นไปทำเรื่องบางอย่าง ดูจากคำพูดที่ออกมาจากปากเฉินถิงเซียวแล้ว มันช่างดูคลับคล้ายคับคากัน
มู่น่อนน่อนจึงทำได้แค่หันตัวแล้วออกไปหาลี่จิ่วเชียน
ลี่จิ่วเชียนยืนพิงระเบียงทางเดินด้านนอกและสูบบุหรี่ เมื่อเห็นว่ามู่น่อนน่อนเดินเข้ามา เขาก็กดบุหรี่เข้าไปในกระถางต้นไม้ ” เป็นอะไรไป? ”
เมื่อเทียบกับเฉินถิงเซียวแล้ว ลี่จิ่วเชียนดูเป็นมิตรกับมู่น่อนน่อนมากกว่าเสียอีก
เธอไม่ได้อ้อมค้อมอะไร : ” เฉินถิงเซียวให้ฉันจัดการความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับคุณให้เรียบร้อย จากนั้นก็ให้ย้ายเข้าไปอยู่กับเขาแล้วมู่มู่ ฉันไม่มีทางเลือก ไม่งั้นก็จะไม่ได้เจอมู่มู่อีก ”
ลี่จิ่วเชียนตะลึง แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางแปลกใจอะไร เพียงแค่ถามกลับไปว่า ” แล้วคุณคิดยังไง? ”
” นิสัยของเฉินถิงเซียวแย่ขนาดนั้น ฉันล่ะสงสัยตัวเองตอนนั้นจริงๆ ว่าทำไมถึงแต่งงานกับเขา! ” มู่น่อนน่อนยกมือขึ้นกุมศีรษะของตัวเองเอาไว้ พร้อมความรู้สึกกระวนกระวาย
ลี่จิ่วเชียนคิดอยู่พักหนึ่ง ก็พูดออกมาอย่างไม่รีบร้อน ” เฉินถิงเซียวคนนั้นเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น เขาบอกว่าจะไม่ให้คุณเจอมู่มู่ ก็คงไม่ให้โอกาสคุณเจอมู่มู่อีกจริงๆ แล้วคุณก็อยากจำเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้ไม่ใช่เหรอ? บางทีการที่คุณใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา อาจจะนึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็ได้นะ? ”
มู่น่อนน่อนมองลี่จิ่วเชียนด้วยความตกตะลึง ” นี่คุณกำลังเกลี้ยกล่อมให้ฉันตอบตกลงเฉินถิงเซียวอยู่เหรอ? ”
” จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ” ลี่จิ่วเชียนยิ้มที่มุมปาก จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า ” อีกอย่างคุณก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่ เฉินถิงเซียวน่ะ เป็นคนที่ใครก็ยากจะคาดเดาได้ แล้วคุณก็คงทิ้งมู่มู่ไม่ลงหรอก ดังนั้นการที่คนตอบตกลงเขาไปก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ”
มู่น่อนน่อนรู้ว่าคำพูดของลี่จิ่วเชียนฟังดูมีเหตุผล แต่ในใจก็ยังรู้สึกทรมานอยู่ดี
” เขากำลังใช้อำนาจกับฉัน ” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ได้แต่หัวเราะเยาะตัวเอง ” จะเรียกว่าใช้อำนาจก็ไม่ได้ เพราะฉันไม่มีทางเลือกมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ”
เธอสลบไสลไปสามปี เฉินถิงเซียวก็ดูแลเฉินมู่มาสามปีแล้วเช่นกัน
ตอนนี้เฉินถิงเซียวเสนอความต้องการนี้ขึ้นมา ถึงแม้จะดูเป็นการบีบบังคับมู่น่อนน่อน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำความเข้าใจไม่ได้
เฉินถิงเซียวรักเฉินมู่มาก แต่มู่น่อนน่อนก็เป็นแม่แท้ๆ ของเฉินมู่ และเธอก็มีหน้าที่ที่ต้องคอยดูแลและอยู่ข้างๆ เฉินมู่อยู่แล้ว
ลี่จิ่วเชียนได้ยินดังนั้น ก็มองหน้าเธอโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ จากนั้นก็ยิ้มและเบนสายตา: ” ถ้าคิดดีแล้วก็เข้าไปเถอะ ”
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันตัวเดินกลับเข้าไป
ลี่จิ่วเชียนมองตามหลังของเธอ มันสีหน้าของเขาดูนิ่งไปโดยสิ้นเชิง คิ้วและดวงตาดูนิ่งไม่แสดงออก และก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
……..
เมื่อมู่น่อนน่อนกลับเข้ามาในห้องโถงแล้ว ก็ต้องตกตะลึงเพราะดูเหมือนท่านั่งของเฉินถิงเซียวไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลย
เฉินถิงเซียวเห็นว่าเธอเข้ามาแล้ว ก็ก้มหน้าลงมองเวลา ใช้เวลาไปแค่ยี่สิบนาที ดูเหมือนว่าแรงอัดฉีดในตัวของคุณมู่จะมีไม่น้อย ”
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้า บนใบหน้าไม่แสดงอารมณ์อะไร ” งั้นดิฉันขอถามหน่อยว่าต้องย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของคุณเมื่อไหร่เหรอคะ? ”
น้ำเสียงนี้ดูห่างเหินใช้ได้
ตาของเฉินถิงเซียวหรี่ลงทั้งสองข้าง ” ตอนนี้ ”
มู่น่อนน่อนใจคอห่อเหี่ยว กัดฟันกรอด ” ได้ แต่ฉันต้องการเวลากลับไปเก็บของ ”
” ไม่ต้องเก็บหรอก ” เฉินถิงเซียวยืนขึ้น แจงเสื้อผ้าของตัวเอง: ” ของที่คุณต้องการ เดี๋ยวผมจะให้คนเตรียมให้คุณเอง “
ไม่เพียงแค่นั้น คนที่ตกใจเมื่อรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่เช่นกันอย่างเสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่น ก็แสดงถึงน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความหวังดี
แต่น้ำเสียงของผู้หญิงคนนี้ในตอนนี้ ไม่ได้ต่างกันกับน้ำเสียงของมู่หวั่นขีเลย
ไม่ว่าจะเป็นมู่หวั่นขีหรือผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ มู่น่อนน่อนก็สามารถรู้ถึงความในห้องน้ำเสียงที่ได้ยินคือ ” คนควรตายไปตั้งนานแล้ว ”
ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนหล่อนจะเกลียดเธอมาก
มู่น่อนน่อนจำไม่ได้ว่ามันเป็นใคร ไปเห็นว่าหล่อนกับเฉินถิงเซียวดูมีความคล้ายกันอยู่บ้าง แลดูมีอำนาจบาตรใหญ่ ก็พอจะเดาได้ว่าเธอก็คือสมาชิกในตระกูลเฉินเช่นเดียวกัน
มู่น่อนน่อนพยักหน้าน้อยๆ พูดออกมาด้วยท่าทีไม่เย่อหยิ่งแต่ก็ไม่เป็นมิตร ” คุณเฉิน ”
เฉินจิ่งหยุ้นอีกนิดคงถูกเสียงที่เธอใช้เรียกว่า ” คุณเฉิน ” ทำเอาหล่อนแทบหยุดหายใจ
ในใจความหล่อน มู่น่อนน่อนก็คือคนที่ตายไปแล้ว ไม่ว่าตอนนี้จะยังอยู่ดีมีสุขยังไง ก็ยังโดนเฉินถิงเซียวตามหากลับมาจนได้
เธอทั้งตกใจ ทั้งโกรธ แล้วก็กลัวเป็นอย่างมาก
” ถิงเซียว เป็นพี่ชายของนาย ในตัวของเรามีเลือดที่เป็นเชื้อสายเดียวกัน ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ฉันก็ทำเพื่อนาย และเพื่อตระกูลเฉินของเรา ”
เรื่องเกิดมาจนถึงตอนนี้ เฉินจิ่งหยุ้นไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดแล้ว
หล่อนแค่หวังว่า ในใจของเฉินถิงเซียวน่าจะยังสำคัญอยู่บ้าง
แต่ใบหน้าของเฉินถิงเซียวไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของรอยยิ้ม แต่ก็ไม่ดูโกรธอะไรมากมาย เขายกมือขึ้นมาเล็กน้อย เป็นเชิงบอกให้คนใช้พาเฉินมู่ออกไป
ก่อนหน้านี้เฉินมู่ก็เอาแต่จดจ่ออยู่กับของเล่น เด็กน้อยจึงจะเพิ่งสังเกตเห็นว่ามู่น่อนน่อนมาถึงแล้ว
เมื่อเห็นมู่น่อนน่อน ดวงตาของเฉินมู่ที่กลมโตและดำขลับราวกับเมล็ดองุ่นก็เปล่งประกายออกมา ก็กระโดดขึ้นยืนเตรียมที่จะไปหามู่น่อนน่อน
” อามู่! ”
คนใช้ทำหน้าลำบากใจก่อนจะมองไปที่เฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนพูดกับเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ” ตอนนี้ฉันมีธุระที่ต้องทำ หนูไปเล่นกับคุณน้าคนอื่นก่อนนะ เดี๋ยวน้าอยู่ตรงนี้สักพักจะไปหา ดีไหมจ๊ะ? ”
เฉินมู่ได้ยินดังนั้นก็ทำหน้ายู่ เห็นได้ถึงความไม่สบอารมณ์ แต่เด็กน้อยก็พูดขึ้นว่า ” ก็ได้ค่ะ ”
เด็กน้อยที่พูดจารู้เรื่องเลยเชื่อฟัง มักจะทำให้ผู้คนรู้สึกเอ็นดูเสมอ
เมื่อเฉินมู่ถูกอุ้มออกไป บรรยากาศภายในห้องโถงก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมกว่าเดิม
สือเย่ส่งผลตรวจDNAทั้งสองฉบับให้กับเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวทิ้งมันลงตรงหน้าเฉินจิ่งหยุ้น ” พี่สาวแท้ๆ ของผม ไหนลองอธิบายสิ ว่าทำไมคุณถึงบอกผมมาตลอดว่าซูเหมียนเป็นแม่แท้ๆ ของมู่มู่
ถึงเฉินจิ่งหยุ้นจะรู้มาก่อนแล้วว่า ครั้งนี้เฉินถิงเซียวเอาจริงเอาจัง แต่ก็ไม่นึกเลยว่าเขาจะพูดออกมาตรงๆ แบบนี้ แล้วยังพูดต่อหน้ามู่น่อนน่อนอีก
เฉินจิ่งหยุ้นกำมือทั้งสองข้างแน่น สีหน้าดูแทบไม่ได้มากกว่าเดิม แล้วน้ำเสียงก็ดูตื่นตนขณะพูด” ตอนนั้นฉัน…..คิดว่ามู่น่อนน่อน…. ตายไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เด็กจะอยู่โดยไม่มีแม่ แต่นายก็ต้องการภรรยานี่ ทุกสิ่งทุกอย่างฉันทำเพื่อนายทั้งนั้น นายต้องเชื่อใจฉันนะ ”
ในตอนเริ่มแรก มันพูดออกมาได้อย่างยากลำบาก แต่ยิ่งพูดออกคำพูดก็ฟังดูไหลลื่นมากขึ้น
เฉินจิ่งหยุ้นเริ่มแรกยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น แต่หลังๆ พอยิ่งพูดมาก็ยิ่งดูเด็ดเดี่ยวและมั่นคง
เมื่อเทียบกับความตื่นเต้นเฉินจิ่งหยุ้นแล้ว เฉินถิงเซียวดูเย็นชากว่ามาก
เขามองเฉินจิ่งหยุ้นด้วยสายตาที่เย็นชา ใบหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรมากมายเช่นเดิม แต่มุมปากได้แสยะขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนกำลังยิ้มเยาะ ” ผมจำได้ ก่อนหน้านี้ผมเคยถามคุณว่าได้โกหกผมหรือเปล่า ตอนนั้นไม่เห็นว่าคุณจะพูดออกมาแบบนี้เลยนี่? ”
ใบหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นดูแข็งทื่อ
หล่อนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองเฉินถิงเซียว ” ก็ตอนนั้นเลยสงสัยฉันไปแล้ว? ตอนนี้นายก็เจอตัวมู่น่อนน่อนแล้วไม่ใช่เหรอ? หรือว่าที่ผ่านมานายไม่เคยเชื่อฉันเลยสักครั้ง? ”
” ถ้าผมไม่เคยเชื่อคุณ ผมก็คงไม่โดนคนหลอกปั่นหัวขนาดนี้มาสามปีหรอก? ”
ในที่สุดใบหน้าของเฉินถิงเซียวก็ผุดอารมณ์ขึ้นมาอย่างชัดเจน ดวงตาดำขลับอดไม่ได้ที่จะเผยแววตาความผิดหวังออกมา และพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ” ผมไม่รู้ว่าเมื่อก่อนผมกับคุณเรามีความสนิทสนมกันยังไง แต่ผมเคยให้โอกาสคุณแล้ว เฉินจิ่งหยุ้น ”
เขาแค่เกิดช้ากว่าเฉินจิ่งหยุ้นสองนาที ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้ เขาไม่เคยเรียกเฉินจิ่งหยุ้นว่าพี่เลยสักครั้ง ”
เฉินจิ่งหยุ้นรู้สึกเหมือนโดนคนสูบพลังไปจนหมด หล่อนยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่พูดอะไรออกมาซักประโยค
หล่อนรู้สึกว่าตัวเองคงรู้จักเฉินถิงเซียวไม่มากพอ
แต่หล่อนพอจะฟังคำพูดที่เด็ดเดี่ยวของเฉินถิงเซียวออก
หล่อนจำเรื่องในตอนเด็กดีได้ดี นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้หล่อนกับเฉินถิงเซียวมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างเปราะบาง
แต่ว่าหล่อนก็พยายามที่จะซ่อมแซมความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับเฉินถิงเซียวแล้ว
หล่อนแค่รู้สึกว่า ควรจะหาภรรยาที่เหมาะสมกว่านี้ให้กับเฉินถิงเซียวสักคน หล่อนผิดตรงไหน?
ไม่ หล่อนไม่ผิดเลยสักนิด
เป็นเพราะเฉินถิงเซียวโง่และดึงดันต่างหาก!
เฉินจิ่งหยุ้นใส่หัว พูดออกมาพร้อมความไม่พึงใจ” ถิงเซียว นายโดนผีสิงหรือไง! ”
หล่อนดีดตัวขึ้นมายืน แล้วชี้นิ้วไปทางมู่น่อนน่อนก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธจัด ” ผู้หญิงคนนี้มันดีตรงไหน? หล่อนไม่เหมาะสมกับนายด้วยซ้ำ!สามปีก่อนนายก็เป็นแบบนี้ สามปีต่อมานายความจำเสื่อมไปแล้วทำไมยังเป็นอย่างนั้นอยู่ นาย….. ”
สายตาของเฉินถิงเซียวดูหมดน้ำอดน้ำทน จนแทบไม่อยากจะชายตามองหล่อนเสียด้วยซ้ำ
สือเย่ส่งสายตาให้กับบอดี้การ์ด ก็มีคนมาพาตัวเฉินจิ่งหยุ้นออกไป
บริษัทเฉินซื่อคือกิจการของตระกูล คนที่มีอำนาจในการควบคุมก็จะมีอำนาจในการสั่ง
ตอนนี้ผู้มีอำนาจการบริหารสูงสุดในบริษัทเฉินซื่อก็คือเฉินถิงเซียว แน่นอนว่าสถานะในตระกูลเฉินเขาก็ต้องมีอำนาจมากที่สุด ถึงแม้สถานะของเฉินจิ่งหยุ้นจะต่ำกว่าเขาเล็กน้อย แต่หล่อนก็ไม่ใช่ผู้สืบทอดอยู่ดี
พูดง่ายๆ คือ เฉินจิ่งหยุ้นจำเป็นจะต้องฟังความเห็นของเฉินถิงเซียว แต่เพียงแค่ว่าหลายปีมานี้เฉินถิงเซียวไม่ได้ใส่ใจอะไรก็เท่านั้นเอง
หลังจากที่เฉินจิ่งหยุ้นออกไป ภายในห้องโถงก็เหลือแค่เฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนกับลี่จิ่วเชียนสามคนเท่านั้น
เฉินถิงเซียวชายตามองไปยังลี่จิ่วเชียน ดวงตาดำขลับดูเคร่งขรึม ” คุณลี่ เรื่องที่ภรรยาของผมกลายเป็นคู่หมั้นของคุณ คุณควรจะอธิบายหน่อยไม่ใช่หรือไง? ”
ลี่จิ่วเชียนฉีกยิ้ม ทำทีทะเล้น ” ภรรยาของคุณ? พี่สาวที่ฉลาดหลักแหลมของคุณทำการใหญ่จนเต็มที่ แล้วเธอไม่ได้จดทะเบียนหย่าแทนคุณหรือยังไง? ”
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่น่อนน่อนก็รับรู้ได้ว่าบรรยากาศและอุณหภูมิภายในห้องเย็นลงไปหลายองศา
เธอยกมือขึ้นมาลูบแขนตัวเอง พอเงยหน้าไปก็ปะทะเข้ากับใบหน้าที่อึมครึมของเฉินถิงเซียว จึงทำได้แค่ก้มหน้างุดๆ
เธอรู้สึกได้ว่าลี่จิ่วเชียนกำลังยั่วโมโหเฉินถิงเซียว แต่เฉินถิงเซียวดันโมโหขึ้นมาจริงๆ
” หย่าแล้วมันจะทำไม? เธอก็ยังคงเป็นแม่ของลูกผม ” เฉินถิงเซียวหรี่ตาเล็กน้อย ” คุณลี่ผู้ฉวยโอกาส ยังหาเหตุผลมาพูดได้เต็มปากเต็มคำ น้อยครั้งที่ผมจะเจอคนแบบนี้ ”
” คุณเฉนช่างอารมณ์ขันเสียจริง ผมเองก็เพิ่งเคยเห็นคนที่ถูกพี่สาวแท้ๆ หลอกจนสภาพน่าสมเพชแบบนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน เรื่องแบบนี้ก็ไม่เห็นว่ามีมาบ่อยๆ นะครับ “น้ำเสียงที่ลี่จิ่วเชียนพูดมีความขบขันปนอยู่ เหมือนกำลังคุยหยอกเล่นอยู่กับเพื่อนอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งสองต่างพูดจากฟาดฟันกัน ให้ในโถงใหญ่บรรยากาศเปลี่ยนไปเป็นความตึงเครียด
เฉินถิงเซียวยิ้มเย็น ” ถ้างั้นจะให้ทำยังไง ต้องเป็นคนไร้ญาติขาดมิตรอย่างคุณลี่สินะ ถึงจะไม่โดนหลอกง่ายๆ ”
” เหอะ ”
เสียงหัวเราะของลี่จิ่วเชียนในครั้งนี้ คือเสียงที่เค้นส่งมาจากลำคอ ฟังออกมาแล้วดูเหมือนเขาจะโกรธจนแทบทนไม่ไหว
มู่น่อนน่อนหันไปมองเขา ก็เห็นว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปจนแทบดูไม่ได้
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เป็นเสียง” ครืด ” ขึ้นมาขณะที่ลุกขึ้น จากนั้นก็หันหน้าไปพูดกับมู่น่อนน่อนว่า ” คุณคุยกับเขาไปแล้วกัน ผมขอไปเดินสูดอากาศสักหน่อย ”
ถึงแม้เขาจะพยายามกดอารมณ์ความโกรธของตัวเองแล้ว แต่รอยยับบนหน้าที่แสดงถึงอารมณ์ของเขามันฟ้องอย่างชัดเจน
วันที่มู่หวั่นขีถูกปล่อยตัวออกมา ก็เป็นวันที่ลี่จิ่วเชียนตัดไหมแล้วออกจากโรงพยาบาลพอดี
มู่น่อนน่อนพาลี่จิ่วเชียนไปตัดไหมที่แผลเสร็จ ก็จัดการเอกสารเรื่องออกจากโรงพยาบาลเสร็จ ก็ไปเก็บของที่ห้องพักผู้ป่วย เธอก็เจอเข้ากับมู่หวั่นขี
มู่หวั่นขีก็ยังคงแต่งหน้าจัดเหมือนเดิม เดือนแรกของฤดูใบไม้ร่วง เธอสงสัยเป็นเดรสกระโปรงบางสีดำ นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาในห้องพักผู้ป่วยด้วยสีหน้าอึมครึม
เมื่อเห็นว่ามู่น่อนน่อนเดินเข้ามาแล้ว เธอก็ลุกขึ้นด้วยท่าทีอืดอาด ” จะเตรียมออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ? ไม่คิดจะให้โอกาสฉันได้ขอโทษขอโพยหน่อยหรือไง เห็นฉันเป็นคนนอกไปได้ ”
เมื่อเธอพูดจบก็ยื่นมือออกมา แล้วหันไปมองตัวแทนที่อยู่ข้างหลัง
คนที่เป็นตัวแทนก็รีบเอากระเช้าผลไม้ส่งมาให้ แล้วเอากระเช้าผลไม้วางไปที่มือของมู่หวั่นขี
มู่หวั่นขีก็เอากระเช้าผลไม้อันนั้นยื่นไปตรงหน้ามู่น่อนน่อน ” รับไปสิ คำขอโทษสำหรับพวกเธอ ”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงขอไปที ไม่ได้มีความจริงใจแม้แต่น้อย
เธอตั้งใจจะมาขอโทษเสียที่ไหน เห็นอยู่ทนโท่ว่าจะมาสร้างปัญหาให้มู่น่อนน่อนมากกว่า
มู่น่อนน่อนพยายามทำหน้านิ่ง และพูดออกไป ” เธอออกมาได้ยังไง? ”
” แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะพวกเขาบอกให้ฉันออกมาน่ะสิ ” มู่หวั่นขีเดินไปข้างหน้าสองก้าว จากนั้นก็โยนตะกร้าผลไม้ในมือลงพื้น แล้วเอี้ยวตัวไปข้างหน้า ขนาบไปข้างหูของมู่น่อนน่อน และพูดเน้นคำชัดเจน” ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ อย่าหวังว่าแกจะได้ใช้ชีวิตสงบสุขเลย! ”
มู่น่อนน่อนกัดปากแม่ง เชิดหน้ารับไม่มีท่าทีจะถอย ” ถ้างั้นก็จัดมาเลย! ”
” เหอะ! ” มู่หวั่นขีทำเสียงเย็น ” วางใจเถอะ นี่มันแค่อาหารเรียกน้ำย่อยของเธอเท่านั้น ”
เมื่อเธอพูดจบ ก็ยิ้มแล้วกลับไปยืนตรงดังเดิม ” ไว้เจอกันครั้งหน้านะ ”
น้ำเสียงที่พูดออกมาดูผ่อนคลายไร้ซึ่งความเกลียดชัง แต่ดูสนิทสนม
มู่หวั่นขีเพิ่งพอใจที่เห็นสีหน้าของมู่น่อนน่อนดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย คนกลางและบอดี้การ์ดที่ติดตามเธอมาด้วย ก็เริ่มพากันเดินออกไป
มู่น่อนน่อนหลับตาและพยายามสูดหายใจลึกๆ พอจะเดินออกไปข้างนอก ลี่จิ่วเชียนก็เข้ามา พร้อมกับกำลังผลักประตูเข้ามาพอดี
เขาเป็นคนที่ช่างสังเกตและระมัดระวังตัวอยู่แล้ว เมื่อเข้ามาก็ไปสะดุดตาเข้ากับกระเช้าผลไม้ที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น
จึงเงยหน้าขึ้นมองมู่น่อนน่อน เมื่อเห็นว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล จึงอดไม่ได้ที่จะถาม ” เป็นอะไรไป? ใครมางั้นเหรอ? ”
” มู่หวั่นขี ” มู่น่อนน่อนกัดปากแน่น ” ไม่นึกว่าเธอจะออกมาได้เร็วขนาดนี้ ”
ลี่จิ่วเชียนได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว ” จะเป็นไปได้ยังไง? เธอเป็นแค่นักแสดงธรรมดาไม่ใช่เหรอ? หรือว่าจะมีแบล็กหลังที่มีอำนาจมาก ”
” เสี่ยวเหลียงบอกว่า เธอคือพี่สาวต่างแม่ของฉัน ฉันกับเธอมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน ฉันเคยสืบเรื่องของบริษัทมู่ซื่อแล้ว บริษัทก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก ฉันรู้สึกว่าต้องไม่ใช่คนในครอบครัวที่คอยช่วยเหลือเธอแน่นอน ”
สิ่งที่มู่น่อนน่อนสามารถรู้ได้ก็มีแค่เท่านี้ ถ้ามีเวลาเธอคงต้องตามหาตัวเสิ่นเหลียงถ้ารู้สถานการณ์ตอนนี้ให้มากกว่าเดิม
เธอคิดและจดจ้องถึงมันอย่างไม่ละสายตา แล้วเธอต้องเงยหน้าพร้อมพูดกับลี่จิ่วเชียน ” เราอย่าพึ่งพูดถึงเรื่องนี้ ไปกันเถอะ ”
………
รถของลี่จิ่วเชียนถูกชนจนพังยับ หลังจากทั้งสองออกจากโรงพยาบาลจึงต้องเรียกรถแท็กซี่แทน
เพียงแต่ว่า เมื่อรถแท็กซี่ขับออกไปได้ไม่ไกล ก็ถูกรถสีดำหลายคันจอดเอาไว้
ภายในรถสีดำก็มีบอดี้การ์ดตัวสูงใหญ่หลายคนลงมา แล้วเดินตรงมาเปิดประตูรถแท็กซี่ออก
คนขับรถที่เห็นดังนั้น ก็พูดออกไปด้วยความตกใจว่า ” พวกแกเป็นใคร? จะทำอะไร? ฉันแจ้งตำรวจแล้วนะ…. ”
บอดี้การ์ดไม่สนคำพูดของคนขับรถด้วยซ้ำ พวกเขาลากคนขับรถลงไปทันที
เมื่อคนขับรถเห็นพวกเขากรูกันเข้ามา ก็ไม่กล้ามีปากมีเสียง จึงกลิ้งลงจากรถแล้วรีบวิ่งหนีไป
บอดี้การ์ดพวกนั้นเปิดประตูหลังของรถ และพูดกับมู่น่อนน่อนด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ ” คุณมู่ เชิญไปกับพวกเราด้วยครับ ”
มู่น่อนน่อนหันไปมองลี่จิ่วเชียน สายตาเธอมองไปที่ใบหน้าขาวซีดของเขาเพียงสองวินาที ก็หันไปมองพวกบอดี้การ์ดและพูดว่า ” ฉันไปกับพวกคุณได้ แต่คุณจะต้องบอกฉันว่าใครส่งคุณมา? ”
ลี่จิ่วเชียนต้องมารับกรรมเพราะเธอไปแล้ว ทั้งที่แผลนี้ก็ยังไม่หายดีก็ยังจะเกิดเรื่องขึ้นอีก เธอไม่อยากให้เขามาพัวพันอีกแล้ว
เมื่อลี่จิ่วเชียนที่อยู่อีกฝั่งได้ยินที่เธอพูด เพื่อเขากำลังจะอ้าปากเอ่ยคำใดออกมา มู่น่อนน่อนก็ทำหน้านิ่งแล้วยกมือกดไปที่แขนเขา
คนพวกนี้ไม่ใช่คนที่มู่หวั่นขีสั่งมาแน่นอน เพราะมู่หวั่นขีเพิ่งเจอกันไปเมื่อกี้
แต่ก็อาจจะไม่ใช่คนที่เฉินถิงเซียวส่งมาด้วย เพราะถ้าเฉินถิงเซียวมาหาเธอ ก็คงจะให้สือเย่โทรหาเธอโดยตรงหรือให้สือเย่ส่งคนมาหาเธอ
แต่ว่านอกจากสองคนนี้แล้ว มู่น่อนน่อนก็นึกไม่ออกว่าจะเป็นใครได้อีก
จะต้องรีบฟื้นคืนความจำให้ได้ ตอนนี้เธอถูกกระทำมามากพอแล้ว
การถูกกระทำดูเหมือนจะยากลำบากเสียเหลือเกิน
” ถ้าไปเดี๋ยวก็รู้เอง ” บอดี้การ์ดพูดจบ ก็คว้าแขนเตรียมจะดึงตัวมู่น่อนน่อนออกไป
แน่นอนว่าลี่จิ่วเชียนจะไม่ยอมปล่อยให้เธอโดนเอาตัวไปอย่างแน่นอน
ในขณะที่อยู่เส้นยาแดงผ่าแปดนั้น ก็มีรถหลายคันขับเข้ามาจอดอยู่ริมถนนอย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนมองหาหน้าต่างรถ ก็เห็นว่าคนที่เป็นหัวหน้านำลงมาคือสือเย่
มู่น่อนน่อนรีบตะโกนติดๆ กันออกไป” ผู้ช่วยสือ! ”
สือเย่ก็รีบพาคนกรูเข้ามาเช่นกัน เดิมทีจะจัดการกับพวกที่พยายามจะเอาตัวมู่น่อนน่อนไปให้เรียบร้อย
สือเย่เดินมาหน้ารถ แล้วพูดอย่างสุภาพ ” คุณมู่ มีเรื่องที่ต้องให้คนไปกับพวกเราครับ ”
” ได้สิ ” มู่น่อนน่อนไม่ได้พยายามหลบเลี่ยงไปแต่อย่างใด และรีบตอบตกลงทันที
ลี่จิ่วเชียนที่อยู่อีกครั้งในเวลานั้นก็พูดออกมาว่า ” ผมไปกับคุณด้วยนะครับ ”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้น ก็เชยตามองสือเย่
สือเย่ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็พยักหน้าเป็นนัยว่าอนุญาต
ลี่จิ่วเชียนคนนี้ช่างน่าสงสัย ดูไม่มีที่มาที่ไป
แต่ยังไงเขาก็ช่วยมู่น่อนน่อน ตอนนี้ก็ยังเป็นคนที่อยู่ร่วมกันกับมู่น่อนน่อนอีก ให้เขาได้รู้สถานะที่แท้จริงของมู่น่อนน่อนก็ยังดี
……….
มู่น่อนน่อนกับลี่จิ่วเชียนถูกสือเย่พาไปยังคฤหาสน์ตระกูลเฉิน
เมื่อยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์ตระกูลเฉิน ภายในใจของมู่น่อนน่อนก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยบางอย่าง
มู่น่อนน่อนหันหน้ามาถามสือเย่ ” เมื่อก่อนฉันเคยมาที่นี่ด้วยเหรอ? ”
” เมื่อก่อนคุณมู่กับคุณชายเป็นสามีภรรยากัน แน่นอนว่าคุณก็ต้องเคยมาที่คฤหาสน์ตระกูลเฉินแห่งนี้ ” สือเย่พูดจบ ก็สาวเท้าเดินนำทางไป
ในห้องโถงใหญ่ เฉินถิงเซียวกับเฉินจิ่งหยุ้นสองคนนั่งประจันหน้ากัน บรรยากาศดูเคร่งขรึมแปลกๆ
เฉินมู่นั่งเล่นของเล่นอยู่บนโซฟาอีกฝั่ง ในมือถือเป็นโมเดลเสือตัวน้อย ในอีกมือก็ถือเป็นหุ่นยนต์ ปากก็พึมพำตามประสา
สือเย่พาเธอเข้าไปแล้ว ก็มุ่งตรงไปยืนอยู่หน้าเฉินถิงเซียว ” คุณชายครับ ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้น สายตามองผ่านตัวลี่จิ่วเชียนไปแล้วหยุดอยู่ที่มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนรู้จักแค่เฉินถิงเซียวไม่ได้รู้สึกคุ้นหน้าเฉินจิ่งหยุ้นแต่อย่างใด ดังงั้นก็เลยมองเธอผ่านๆ
แต่เฉินจิ่งหยุ้นกลับไม่นิ่งเฉยขนาดนั้น
สามปีก่อน เธอคิดว่ามู่น่อนน่อนได้ตายไปแล้วจริงๆ แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนได้ยินข่าวว่ามู่น่อนน่อนชีวิตอยู่ ก็ไม่ค่อยเชื่อเสียเท่าไหร่
จนกระทั่งเธอรู้สึกว่า เฉินถิงเซียวหาคนเทียบDNAเฉินมู่กับมู่น่อนน่อนและหยิบยกข้อมูลมาจากฐานข้อมูลDNAด้วย
และอีกด้านหนึ่ง แล้วก็จัดแจงให้คนไปสืบหาข้อมูลของมู่น่อนน่อน
หากมู่น่อนน่อนยังมีชีวิตอยู่ เธอก็คงจบเห่อย่างแน่นอน
แต่ว่า คนของเธอดันช้าไปก้าวหนึ่ง
สีหน้าที่ซีดเผือดของเฉินจิ่งหยุ้นมองไปยังมู่น่อนน่อน ความตื่นกลัวและความตกตะลึงภายในใจผสานเข้าด้วยกันสายตาก็จดจ้องไปที่เธอด้วยความตื่นตระหนก ” มู่น่อนน่อน แกยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอ! ”
ประโยคนี้ มู่น่อนน่อนไม่ได้ยินเป็นครั้งแรก
และดูเหมือนทุกคนก็ตกใจที่เห็นว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียว ดูจริงจังและขึงขังจนทำให้เฉินจิ่งหยุ้นกลัว
เธอเรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่ลุกลน ” ถิงเซียว! ”
” เรื่องนี้ถูกกำหนดไว้แล้ว เรื่องไหนที่ไม่ควรยุ่งก็อย่ายื่นมือเข้ามายุ่ง ” เฉินถิงเซียวสงสายตาที่สะท้อนไปถึงภายในใจใส่เธอ
สีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นตอนนี้เปลี่ยนไปโดยพลัน เท้าของเธอสะดุดโซซัดโซเซ ตุปัดตุเป๋ไปข้างหลังสองก้าว แล้วเอามือพยุงโต๊ะทำงานเพื่อให้ตัวเองยืนนิ่งได้
ถึงแม้เธอกับเฉินถิงเซียวตอนเด็กจะไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่
แต่พวกเขาก็เป็นพี่น้องฝาแฝดกัน ถึงจะมีบางครั้งที่มีพูดกันไม่ชัดเจนแต่ทั้งคู่ก็ต่างรู้กัน
เช่นในเวลานี้ ความหมายโดยนัยของเฉินถิงเซียวคือ เขารู้อยู่แล้วว่าเธอเล่นกลอุบายบางอย่างกับการเปรียบเทียบDANฉบับนี้
เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็ออกไปพร้อมกับสือเย่
บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างหลังเฉินจิ่งหยุ้นเห็นว่านายของตัวเองไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย ก็ส่งเสียงเรียก ” คุณผู้หญิง ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ? ”
เฉินจิ่งหยุ้นไม่สนใจพวกเขา แต่เอาผลรายงานDNAนั้นขึ้นมาดู
เธอจ้องไปที่” มู่น่อนน่อน ” สามตัวนี้ ด้วยสายตาที่คมดั่งมีด
เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน ครึ่งเก่าเล็กๆ นั้นแทบไม่เหลืออยู่เลย มู่น่อนน่อนดันไม่ตายเสียอย่างงั้น?
เฉินจิ่งหยุ้นกำมือแน่น เกลียดจนกัดฟันกรอด ทุกครั้งมันต้องเป็นนังผู้หญิงคนนี้ที่ทำลายเรื่องดีๆ ในชีวิตเธอ!
ผ่านไปนานมาก เธอถึงจะสงบอารมณ์ของตัวเองได้ แล้วพูดต่อว่า ” ไปสืบเรื่องของผู้หญิงที่ชื่อว่ามู่น่อนน่อนมา ”
……..
มู่น่อนน่อนให้คนขับรถไปส่งเธอที่โรงพยาบาล
ตลอดทางเธอเอาแต่คิดเรื่องผลตรวจของDNA
แต่จะคิดยังไงก็หาเหตุผลของเรื่องนี้ออกมาไม่ได้
เสิ่นเหลียงคงไม่หลอกเธอหรอก ตอนนั้นเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้ดูโกรธอะไร จะกลับให้คนรีบพาเธอออกไป
หรือว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในอย่างอื่น?
เราออกจากโรงพยาบาลแล้ว เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มู่น่อนน่อนความจำเสื่อม จึงมีอาการร้อนใจเช่นนี้
ถ้าเธอไม่ได้ความจำเสื่อมก็คงดี
ถ้าไม่ได้ความจำเสื่อม ปัญหาทั้งหมดที่มีตอนนี้คงไม่มีตั้งแต่แรก
เธอก็คงจะรู้ว่าตัวเองมีหรือไม่มีลูกสาว รู้ว่าตัวเองเคยผิดใจกับใคร แล้วก็รู้ว่าตัวเองเคยรักใครมาก่อน
คงไม่ต้องคิดหนักอยู่กับการเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำเช่นนี้
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ในสวนดอกไม้สักพัก ก็ลุกขึ้นเดินไปยังห้องพักผู้ป่วยของลี่จิ่วเชียน
เธอพักประตูเข้าไป ก็เห็นกับตำรวจที่ใส่เครื่องแบบหลายคนยืนอยู่ในนั้น
ลี่จิ่วเชียนนั่งพิงอยู่ตรงหัวเตียง แล้วหน้ามาทางประตู
เมื่อเห็นว่าเป็นมู่น่อนน่อนที่เข้ามา เขาก็เอ่ยขึ้นมาว่า ” กลับมาแล้วเหรอ ”
” อืม ”
มู่น่อนน่อนตอบรับสั้นๆ ก่อนจะเดินเข้ามา ลี่จิ่วเชียนก็อธิบายกับเธอ ” ตำรวจเข้ามาสอบถามเรื่องอุบัติเหตุรถยนต์น่ะ ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า แล้วเทน้ำให้ลี่จิ่วเชียน
ตำรวจก็สอบปากคำเบื้องต้นไปด้วย เป็นคำถามปกติทั่วไป
” คุณลี่ คุณเคยผิดใจอะไรกับใครหรือเปล่า? ”
” ไม่มีครับ ”
” เคยผิดใจอะไรกับใคร แต่ตัวเองไม่รู้ตัวหรือเปล่าครับ ”
” ความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยนะ….. ”
ตำรวจพยายามซักถาม แต่ดูเหมือนข้อมูลจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ยังไม่ตำรวจนั้นก็หันมาถามทางมู่น่อนน่อน ” ตอนที่เรื่องเกิด คุณมู่ก็อยู่ในรถด้วยใช่ไหมครับ? ”
มู่น่อนน่อนให้ความร่วมมือกับตำรวจ ตอบด้วยสีหน้าที่จริงจัง ” ใช่ค่ะ ฉันนั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับ ”
ตำรวจก็ถามคำถามเดียวกันขึ้นมา ” คุณมู่เคยผิดใจอะไรกับใครไหมครับ? ”
มู่น่อนน่อนคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง นึกถึงคนที่พึ่งรู้จักในช่วงนี้
นอกจากลี่จิ่วเชียนก็คงจะเป็นพวกเสิ่นเหลียง
ถ้าพูดถึงคนที่ผิดใจละก็…….
มู่น่อนน่อนก็นึกถึงมู่หวั่นขีทันที
สายตานั้นของมู่หวั่นขีที่เกลียดเธอเข้ากระดูกดำ มู่น่อนน่อนก็นึกย้อนกลับไปคิดจนถึงตอนนี้ ก็รู้สึกเหมือนเห็นภาพรางๆ
เมื่อเธอกำลังจะพูด ก็ได้ยินลี่จิ่วเชียนพูดขึ้นว่า ” เพื่อนผมเพิ่งหายจากการพักฟื้น เรื่องก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่ก็ลืมไปหมดแล้ว และดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่ ”
เมื่อตำรวจได้ยินอย่างนั้น ก็ไม่ถามอะไรมาก
เขาดูมารู้จักมักจี่กับลี่จิ่วเชียน ตอนที่กำลังจะออกไป ก็ไม่ลืมที่จะกำชับ ” มีเรื่องอะไรก็ติดต่อพวกเรามาได้ ดูแลร่างกายกันด้วยล่ะ ”
หลังจากที่ตำรวจไปแล้ว มู่น่อนน่อนก็ถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ” คุณรู้จักตำรวจด้วยเหรอ? ”
” เมื่อก่อนเคยช่วยมาทำงานเป็นทีมสอบสวนน่ะ เลยรู้จักอยู่หลายคน ”
ลี่จิ่วเชียนตอบมาคำเดียว มู่น่อนน่อนก็ไม่อยากถามอะไรมาก
มู่น่อนน่อนกลับรู้สึกทึ่งเล็กๆ ” คุณเก่งขนาดนี้ ถ้าอยู่ต่างประเทศต้องไปได้ไกลมากแน่เลย? ”
ลี่จิ่วเชียนพูดไปตามอารมณ์ ” ใช่น่ะสิ คงจะเป็นเพราะผมไม่มีความทะเยอทะยานในหน้าที่การงานละมั้ง ”
……
พอถึงตอนกลางคืน มู่น่อนน่อนก็ออกไปซื้ออาหารเย็นให้ลี่จิ่วเชียน
เมื่อเธอออกจากโรงพยาบาล ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งลงมาจากรถ แล้วสาวเท้ามาถึงเธอ
ด้วยสายตาที่ขมุกขมัว ทำให้เธอดูไม่ออกว่าคนคนนั้นคือใครในทันที
จนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นเดินมาก็ใกล้ มู่น่อนน่อนถึงรู้ว่าเป็นมู่หวั่นขี
มู่หวั่นขีสวมเดรสสีดำทั้งตัว และแต่งหน้าจัดเหมือนครั้งที่แล้ว
เหมือนเธอจะเปล่งเสียงออกมาจากใต้ไรฟันว่า ” มู่น่อนน่อนแกไม่เป็นไรเลยสักนิดสินะ! ”
มู่หวั่นขีไม่สามารถระงับอารมณ์โกรธเกลียดที่เธอมีต่อมู่หวั่นขี
ถ้ามู่น่อนน่อนเดาไม่ออก ก็คงจะโง่เต็มที
มือของมู่น่อนน่อนที่อยู่ข้างๆ กำแน่นไม่รู้ตัว ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเล็กน้อย ” เธอเป็นคนตัดสายเบรกรถของลี่จิ่วเชียนใช่ไหม? ”
” ก็ใช่น่ะสิ ฉันตัดเอง “มู่หวั่นขีไม่แม้แต่จะแถข้างๆ คูๆ แต่ยอมรับออกมาโต้งๆ
วินาทีต่อมา เธอก็ยื่นมือไปบีบคางของมู่น่อนน่อนเอาไว้ ราวกับว่าเธอเกลียดมู่น่อนน่อนจนอยากจะฉีกเป็นชิ้นๆ ” แต่ทำไมเธอยังยืนครบสามสิบสองอยู่ตรงนี้ได้นะ? หือ? ฉันนึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะโชคดีอะไรขนาดนี้! ”
คางของมู่น่อนน่อนถุงบีบจนเธอเริ่มรู้สึกเจ็บ
เธอขมวดคิ้ว และสะบัดมือของมู่หวั่นขีออก ” เธอเห็นชีวิตคนเป็นอะไรกัน? ”
มู่หวั่นขียิ้มเยาะ ” ฉันจะไปสนใจชีวิตอะไรของเธอทำไมกัน รอก่อนเถอะ มู่น่อนน่อน! ฉันจะไม่ยอมให้เธออยู่ดีแน่! ”
เมื่อเธอพูดจบ ก็หันตัวแล้วสาวเท้าจากไป
เมื่อมู่น่อนน่อนเห็นว่าเธอหายไปแล้ว ก็หยิบโทรศัพท์โทรหาตำรวจ
………….
เมื่อกลับถึงห้องพักผู้ป่วยอีกครั้ง สายตาที่มู่น่อนน่อนมองลี่จิ่วเชียนเต็มไปด้วยความอายแก่ใจ
ลี่จิ่วเชียนเป็นแค่หมอคนหนึ่ง ปกติก็จะสุภาพอ่อนโยนต่อผู้คน และไม่เคยผิดใจกับใครมาก่อน
อุบัติเหตุรถยนต์ครั้งนี้ มู่หวั่นขีจงใจพุ่งมาที่ตัวเธอ แล้วยังต้องดึงลี่จิ่วเชียนเข้ามาพัวพันด้วยอีก
เมื่อมู่น่อนน่อนเอาเนื้อในจานแบ่งให้ลี่จิ่วเชียนครั้งที่สามแล้ว ลี่จิ่วเชียนก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า ” ทำไมกัน ตั้งแต่กลับมาแล้ว เธอดูแปลกๆ นะ? ”
มู่น่อนน่อนถอนหายใจ ” ขอโทษนะ เรื่องที่เกิดครั้งนี้ มันเป็นเหตุมาจากฉันเอง ”
ลี่จิ่วเชียนได้ยินที่พูด ก็ทำหน้าจริงจัง นิ่งๆไป ” ดูเหมือนว่าคุณจะผิดใจกับคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตเสียด้วยสินะ ”
” ก็ใช่น่ะสิ ”
มู่หวั่นขีต้องสะกดรอยตามเธอไปแน่ๆ ถึงจะรู้ว่าเธอกับลี่จิ่วเชียนอยู่ด้วยกัน ก็เลยหารถของลี่จิ่วเชียนเจอ
เพียงแต่ถ้ารู้สึกสังหรณ์ใจสักนิด ก็คงไม่พาชีวิตของลี่จิ่วเชียนไปเสี่ยงด้วยแน่ๆ
ตอนนี้มู่หวั่นขีแทบจะทำตัวมันหมาบ้าไปแล้ว เพียงแค่ทำให้มู่น่อนน่อนตาย เธอก็ไม่สนใจว่าจะต้องทำให้คนที่ไม่มีความผิดตายตามไปด้วย
ดูเหมือนว่า เธอจะต้องกลับไปหาเสิ่นเหลียงแล้วคุยเรื่องก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้น
เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าตัวเองทำความผิดอะไรร้ายแรงมากันแน่ ถึงทำให้มู่หวั่นขีโกรธเกลียดเธอขนาดนี้
……
หลังจากที่มู่น่อนน่อนแจ้งตำรวจไปแล้ว ทางตำรวจก็ให้คนไปตามหามู่หวั่นขีเพื่อสอบปากคำ
มู่หวั่นขีรอบคอบและระมัดระวังมาก ใช้เวลาหลายวันจึงจะสามารถเอาผิดกับมู่หวั่นขีได้
แต่ที่ทำให้ทุกคนแปลกใจมากที่สุด ไม่รู้ว่าใครคอยปกป้องเธออยู่ ผ่านไปไม่กี่วันเธอก็ออกมาได้แล้ว
เมื่อเธอหันไปมองก็เห็นว่า เฉินถิงเซียวลดหน้าต่างรถทุกบานลง
ลมพัดเข้ามาจากหน้าต่างที่ถูกเปิดออก พร้อมกับความเย็นสบาย ไม่นานนักกลิ่นบุหรี่ภายในรถก็ถูกพัดออกไปจนหมด
ใจของมู่น่อนน่อนสั่นเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ามามองเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวก็ยังคงขับรถต่อไปข้างหน้าโดยไม่สนใจอะไร ใบหน้ายังคงดูไร้อารมณ์เหมือนเดิม ท่าทีที่แสดงออกดูเย็นชาปราศจากอารมณ์ความรู้สึก
เขาคงจะรู้สึกร้อนนิดหน่อยล่ะมั้ง
ผ่านไปไม่นานนัก รถของเฉินถิงเซียวก็จอดลง
เมื่อรถหยุดนิ่งแล้ว ก็มีลูกน้องมาเปิดประตูแทนเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนกลับเปิดประตูรถลงด้วยตัวเอง
สือเย่เดินออกมาต้อนรับ ” คุณชาย ”
ดูเหมือนว่าเขาจะยืนรออยู่นานมากแล้ว เมื่อเห็นมู่น่อนน่อน เขาก็พยักหน้าแล้วเรียกเธอ ” คุณมู่ ”
จากนั้น เขาก็เดินไปยืนอยู่ข้างหลังถิงเซียว ขณะที่เขาพูดอะไรบางอย่างด้วยเสียงเบาๆ กับเฉินถิงเซียว ก็เดินเข้าไปข้างในด้วยกัน
มู่น่อนน่อนก็เดินขนาบข้างไปด้วย มือของเธอกำแน่นเพราะความตื่นเต้น
ถ้าตามพวกเขาเข้าไปในห้องทำงานห้องหนึ่ง หมอกับเฉินถิงเซียวคุยกันไม่กี่ประโยค ก็ได้รับรายงานประเมินDNAมา
หมอได้อธิบายเป็นภาษาทางการแพทย์อยู่ยกใหญ่ มู่น่อนน่อนฟังไม่ออกกันสักนิด
เฉินถิงเซียวกวาดสายตามองไปยังมู่น่อนน่อน นิ้วเรียวยาวนั้นก็เคาะลงบนที่วางแขนของเก้าอี้สองที และพูดออกมาด้วยท่าทีไม่รีบร้อน ” พูดผลออกมาเลย ”
หมอหยุดพูดด้วยความลนลาน ก่อนที่จะพูดออกมาว่า ” คุณผู้หญิงมู่กับคุณหนูไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดต่อกันครับ ”
” ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดงั้นเหรอ? ” มู่น่อนน่อนมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย หรือว่าเสิ่นเหลียงจะหลอกเธอ?
จิตใต้สำนึกมีเสียงสะท้อนกลับจนทำให้เธอต้องหันกลับไปมองเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวพี่นั่งอยู่ตรงนั้นมีใบหน้าที่ดูเคร่งขรึม มือที่ขยับเมื่อกี้นี้หยุดนิ่ง ท่าทางที่ดูผ่อนคลายของเขาเมื่อกี้ได้หายไป
ไม่กี่วิต่อมา เขาก็หันไปมองทางสือเย่อย่างรวดเร็ว ” ให้คุณมู่ออกไป ”
น้ำเสียงของเขาดูเย็นชากว่าปกตินิดหน่อย จนไม่ได้สังเกตถึงความรีบเร่งที่ต่างจากเดิม
สือเย่เองก็ถูกผลของDNAทำให้ตกใจอยู่บ้าง ผลการเทียบDNA ในครั้งนี้ พูดได้ว่าไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน ทำไมถึงไม่มีสายเลือดที่เกี่ยวพันกันล่ะ?
ถึงแม้ภายในใจของเขาจะรู้สึกสับสน แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เงียบขรึมของเฉินถิงเซียวแล้ว ก็เรารู้ได้ว่าเขาตอบสนองอย่างรวดเร็ว และออกความเห็นให้เอาตัวมู่น่อนน่อนออกไป
” คุณมู่ เชิญครับ ” สือเย่หันไปยังมู่น่อนน่อน และทำมือเป็นสัญลักษณ์ว่า ” เชิญ ”
มู่น่อนน่อนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
เสิ่นเหลียงไม่มีทางหรอกเธอแน่
มีตรงไหนผิดพลาดหรือเปล่า?
เหมือนกับอุบัติเหตุของเธอกับลี่จิ่วเชียน หรือว่าจะมีคนคิดแผนอะไรจนมันเกิดเป็นข้อผิดพลาดแบบนี้?
หรือใครมันกล้าเล่นตุกติกอะไรต่อหน้าเฉินถิงเซียวกันนะ?
มู่น่อนน่อนไม่ได้เดินออกไปข้างนอกทันที แต่พูดออกมาด้วยสีหน้าที่สับสน ” คุณเฉน! ”
ท่าทีของคุณเฉนก็กลับมาดูผ่อนคลายเหมือนตอนแรก แต่เขาก็ไม่สนใจเธอเท่าไหร่ แต่ก็กลับพูดกับสือเย่แทน ” ยังไม่ได้ยินที่ฉันพูดอีกเหรอ? ”
มู่น่อนน่อนไม่อยากจะเชื่อว่าเสิ่นเหลียงจะหลอกเธอ เธอจึงพยายามที่จะอธิบาย ” ฉันว่าเรื่องนี้อาจจะมีอะไรที่เข้าใจกันผิด คุณ…… ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ต้องการจะฟังคำที่เธอพูดตั้งแต่แรกแล้ว เขาเพียงแค่ก้มหน้ามองดูผลการตรวจDANแผ่นนั้น
มู่น่อนน่อนเห็นดังนั้นแล้ว ก็ไม่รู้ว่าความโกรธมันผุดมันจากไหน จึงตะคอกใส่เขาเสียงดัง ” เฉินถิงเซียว! ”
เหมือนชายหนุ่มชะงักไปสักครู่ แต่ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง
มู่น่อนน่อนยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ได้ยินเสียงสือเย่พูดขึ้นมานิ่งๆ ” คุณมู่ เชิญมากับผมด้วยครับ ”
มู่น่อนน่อนจึงทำได้แค่เดินตามสือเย่ออกไปข้างนอก
ฝีเท้าของสือเย่ไวมาก ขณะที่เธอเดินไปเธอก็พูดว่า ” ผู้ช่วยสือ ผลตรวจการเทียบDNAมีบางอย่างผิดพลาดหรือเปล่า? คุณกับเสี่ยวเหลียงก็เป็นเพื่อนกัน คุณน่าจะรู้ทุกอย่างสิ ”
” ผลตรวจเสี่ยวเหลียงฉบับนี้ ไม่มีข้อผิดพลาดอะไร ใจของคุณชาย รู้ดี ”
สือเย่พาตัวมู่น่อนน่อนเดินไปยังประตูหลัง ตอนนี้พวกเขาออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว
พอสือเย่ออกมาแล้ว ก็เรียกรถออกมาแล้วยืนรอ ขณะนี้รถคันนั้นได้มาถึงแล้ว
เขาได้ทำตามที่เฉินถิงเซียวสั่งไว้ ว่าให้ส่งมู่น่อนน่อนขึ้นรถ เสร็จแล้วก็กลับไปยังห้องทำงานห้องเดิมก่อนหน้านี้
เมื่อเขาเข้าไปแล้ว ก็เห็นว่าภายในห้องทำงานมีคนเพิ่มขึ้นมาหลายคน
เฉินถิงเซียวก็ยังคงดูสบายๆ อยู่อย่างนั้น ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับสีหน้าที่ดูเย็นชา
เฉินจิ่งหยุ้นถ้ากระเถิบตัวขึ้นมาข้างหน้า แล้วแย่งผลตรวจในมือของDNAมา: ” นี่นายหมายความว่ายังไง? นายคิดว่าฉันหลอกนายเหรอ? นายยอมเชื่อคนอื่นแต่ไม่เชื่อฉันเนี่ยนะ? ”
สีหน้าเธอโกรธจัด พูดจบแล้วก็เอาผลตรวจDNAนั้น โยนลงไปบนโต๊ะทำงานของหมอ
หมอได้ขอตัวออกไปตั้งแต่แรกแล้ว ภายในห้องจึงเหลือแค่เฉินถิงเซียวกับเฉินจิ่งหยุ้นสองพี่น้อง และบอดี้การ์ดของเฉินจิ่งหยุ้นหลายคนที่พามาด้วย
สือเย่ชะงัก ก่อนจะเดินเข้าไป : ” คุณชาย ”
เฉินถิงเซียวจึงยืนขึ้นมา จัดแจงเสื้อผ้าของตัวเอง และพูดกับสือเย่ว่า” ไปกันเถอะ ”
แน่นอนว่าเฉินจิ่งหยุ้นจะไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ
ครั้งที่แล้วที่บริษัทเฉินซื่อก็เคยเจอหน้าครั้งหนึ่ง ตอนแรกเธอก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร
หลังจากที่กลับไปลองนึกดูแล้ว ก็นึกออกว่าก่อนหน้านี้สือเย่ค่อยๆ เป็นผู้ช่วยที่อยู่ข้างเฉินถิงเซียวมาโดยตลอด
จากที่เธอเห็น ลูกน้องพวกนี้ต่างก็เอาเงินเพื่อทำงานทั้งนั้น ไม่นึกเลยว่าผ่านไปสามปี สือเย่จะยังกลับมารับใช้เฉินถิงเซียวอยู่
แน่นอนว่าในใจเธอไม่สามารถสงบลงได้
สือเย่จำเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้อย่างชัดเจน ถ้าเขาพูดเรื่องนี้กับเฉินถิงเซียวขึ้นมาละก็ หากเฉินถิงเซียวดันเชื่อ ชีวิตเธอได้จบเห่แน่
แต่ว่า เฉินถิงเซียวดันไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ นอกจากก่อนหน้านี้สองวัน ที่มีลูกน้องมาบอกเธอว่า เฉินถิงเซียวกำลังหาโรงพยาบาลที่จะเทียบDNAอยู่
มู่น่อนน่อนตายไปแล้ว
เพียงแค่เฉินถิงเซียวจำเรื่องราวเมื่อก่อนไม่ได้ ในสภาวะที่คนตายไม่สามารถพูดอะไรเช่นนี้ เธอจะไปกลัวอะไร?
สือเย่เหลือบสายตามองเล็กน้อย แล้วพูดเสียงเย็น ” คุณเฉิน ”
” นายแค่ฟังคำพูดของคนพวกนี้ ถึงกับต้องย้ายบ้านเลยเหรอ? แต่ฉันที่เป็นพี่สาวแท้ๆ ของนาย ซูเหมียนคือลูกแท้ๆ ของฉันเอง นายควรทำแบบนี้กับพวกเรานะ! ”
เฉินจิ่งหยุ้นเริ่มโกรธจัด ดูเหมือนจะถูกเฉินถิงเซียวแทงใจดำเข้าให้แล้ว
เฉินถิงเซียวไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน และพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ” ถ้างั้นคุณก็บอกผมสิว่า มู่น่อนน่อนเป็นคนยังไง? ”
” ก็เป็นผู้หญิงที่หวังแต่จะเกาะคนมีอำนาจ เพ้อฝันไปวันๆ เท่านั้นเอง ” เฉินจิ่งหยุ้นพูดถึงมู่น่อนน่อนด้วยท่าทีเหยียดหยาม
เฉินถิงเซียวยื่นมือออกมา แล้วดึงเนกไทของตัวเอง แววตาดูนิ่งสนิทลงกว่าเดิม
คนที่คุ้นเคยกับเขาก็จะรู้ดี เวลาที่เฉินถิงเซียวโกรธ จะทำท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ให้ดูเตะตาขึ้นมา
เฉินถิงเซียวยิ้มเย็น ” แต่มีคนพูดว่าเธอคือแม่แท้ๆ ของมู่มู่ ”
เฉินจิ่งหยุ้นเหมือนตัวเองเพิ่งจะได้ยินคำพูดที่น่าขันสิ้นดี ก่อนจะกดรอยยิ้มหัวเราะเยาะ แล้วชี้นิ้วไปทางสือเย่ ” เขาเป็นคนพูดใช่ไหม? หรือว่าจะเป็นพวกกู้จือหยั่นที่พูด ”
เฉินถิงเซียวเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาอย่างไม่รีบร้อน ” พวกคุณต่างมีเหตุผลเป็นของตัวเอง ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ให้ซูเหมียนกับมู่มู่ตรวจDNAไปเลย ให้ความจริงเป็นคนพูด แล้วผมจะคืนความบริสุทธิ์ให้คุณ คุณจะได้ไม่ต้องน้อยอกน้อยใจยังไงล่ะ ”
ประโยคสุดท้าย เสียงของเฉินถิงเซียวเบาลง
เฉินจิ่งหยุ้นชะงัก ไม่กี่วิต่อมาก็ตอกกลับ” เรื่องนี้ต้องตรวจDNA อีกที่ไหนกัน มู่มู่ก็คือลูกสาวของซูเหมียนไง ”
เฉินถิงเซียวไม่สนว่าเธอจะพูดอะไร ก่อนจะลุกขึ้นช้าๆ ” เมื่อถึงเวลาผม จะให้คนมาจัดการเรื่องนี้เอง “
ตอนนั้นมู่น่อนน่อนพึ่งจะฟื้นขึ้นมา ร่างกายอ่อนแอ ความทรงจำก็ว่างเปล่า
ความตื่นตระหนกนั้น ไม่สามารถมีใครไปเข้าใจเธอได้หรอก
ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ถ้าเกิดว่ามีคนใกล้ตัวของเธอปรากฏตัวขึ้น และมีความสัมพันธ์กับเธอแบบที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ถ้ายังงั้น เธอก็ต้องรู้สึกว่าคนคนนั้นพึ่งพาได้ และเชื่อใจเขา
จุดนี้ จุดเริ่มต้นของลี่จิ่วเชียนคือความหวังดี
แต่ว่า ถ้าเกิดว่าไปวิเคราะห์กันอย่างละเอียดแล้ว คำพูดนี้มันค่อนข้างเหมือนเป็นการต้องบังคับให้มาอยู่ด้วยกันมากไปหน่อย
แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือลี่จิ่วเชียนอาการดีขึ้นและรีบออกจากโรงพยาบาล เรื่องพวกนั้นยังไม่ต้องรีบร้อนเลย
ดังนั้น มู่น่อนน่อนก็เลยพยักหน้า และถามเขา “ยังจะกินซุปอีกไหม? ”
ลี่จิ่วเชียนยิ้มแล้วก็ส่งชามให้กับเธอ “อืม”
มู่น่อนน่อนรับชามมา แล้วก็ก้มหน้าเทซุปให้เขาอีก
เส้นผมหลุดออกมาเกะกะใบหน้าของเธอ เธอยื่นมือไปเอาผมทัดหู ท่าทางที่เรียบง่ายนี้ทำให้เธอดูสุภาพและอ่อนน้อม
ลี่จิ่วเชียนละสายตากลับมา หลุบตาลง ปกปิดอารมณ์ในสายตาของตัวเอง
ที่จริงแล้วตอนแรกที่เขาบอกว่าตัวเองคือคู่หมั้นของมู่น่อนน่อน มันไม่ได้มีเหตุผลที่ซับซ้อนอะไรหรอก
เหตุผลที่เขาพูดเมื่อกี้นี้ มันเป็นส่วนน้อยเท่านั้น เหตุผลที่ใหญ่กว่านั้น คือเขาอยากจะลองทดสอบว่ามู่น่อนน่อนสูญเสียความทรงจำจริงรึเปล่า
และสิ่งที่เกิดขึ้นในภายหลังก็แสดงให้เห็นว่า มู่น่อนน่อนเธอ……สูญเสียความทรงจำจริงๆ
มู่น่อนน่อนเทซุปเสร็จแล้วก็ส่งให้กับเขา
ลี่จิ่วเชียนรับไปและพูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน “ขอบคุณ”
“กับฉันทำไมต้องเกรงใจขนาดนั้นด้วย”มู่น่อนน่อนนั่งลงข้างๆ เขา “ไม่ใช่คู่หมั้น พวกเราก็เป็นเพื่อนกัน เพื่อนที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ใช่ไหม? ”
ลี่จิ่วเชียนได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะออกเสียง
เขาเอื้อมมือไปปิดริมฝีปากของเขา พยายามจะหยุดเสียงหัวเราะของตัวเอง เหมือนกับว่าหัวเราะจนพอใจแล้ว ถึงได้ตอบเบาๆ ว่า “ใช่”
“ตลกเหรอ? เอาซุปคืนมาเลยนะ!”มู่น่อนน่อนเจ็บปวดและอยากจะแย่งซุปจากลี่จิ่วเชียนคืน
ลี่จิ่วเชียนยังมีแผลเย็บที่หัว แต่ว่าการเคลื่อนไหวของมือเขาไม่ได้ช้าลงเลย เขาขวางมือของมู่น่อนน่อนเอาไว้ “ตอนนี้ฉันเป็นคนป่วยนะ”
มู่น่อนน่อนถึงได้ดึงมือกลับมา
ถึงแม้ว่าเธอจะสูญเสียความทรงจำ แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่มีสมอง
ลี่จิ่วเชียนมีเรื่องให้น่าสงสัยมากมาย แต่ว่าตอนนี้ไม่ควรถามอะไรมาก
ตอนที่เธอนอนเป็นผักอยู่นั้น ลี่จิ่วเชียนคอยเฝ้าเธอทั้งหมดสามปี คิดว่าลี่จิ่วเชียนไม่น่าจะเป็นคนที่ไม่ดี
ลี่จิ่วเชียนกินซุปจนเสร็จ แล้วเธอก็เอาชามไปล้าง
พอล้างชามเสร็จออกมา โทรศัพท์ก็ดังขึ้นพอดี
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็พบว่าเป็นเบอร์แปลก
หัวใจของเธอเต้นแรง แอบเดาว่าอาจจะเป็นผลที่มาจากเฉินถิงเซียว โทรมาหาเธอ
เธอเหลือบมองลี่จิ่วเชียน
ตอนนี้หัวของลี่จิ่วเชียนได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้เขากำลังหลับตางีบอยู่
มู่น่อนน่อนถือโทรศัพท์ออกจากห้องผู้ป่วยไป แล้วก็รับสาย “ฮัลโหล? ”
หลังจากนั้น ก็มีเสียงที่ทุ้มต่ำของชายคนหนึ่งดังขึ้นที่ปลายสาย
“คุณมู่”
มู่น่อนน่อนฟังออกในทันที ว่านี่คือเสียงของเฉินถิงเซียว
เสียงของเฉินถิงเซียวนั้นน่าฟังมาก เสียงที่ทุ้มต่ำแบบนั้น ฟังแล้วดูนุ่มนวล น่าจดจำใจมาก
เธอนึกว่าถ้าผลออกมาแล้ว สือเย่จะเป็นคนบอกเธอ แต่ไม่คิดเลยว่าเฉินถิงเซียวจะเป็นคนโทรมาหาเธอเอง
มู่น่อนน่อนแอบปลื้มใจเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะไม่ใช่ผู้ชายที่วางตัวหยิ่ง แต่ว่าเขาทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาเหนือกว่า
มู่น่อนน่อนเม้มปาก กลืนน้ำลาย และตอบว่า “คุณเฉิน สวัสดีค่ะ”
“ผล DNA ออกมาแล้ว คุณอยู่ที่ไหนเหรอ? ”
เฉินถิงเซียวเป็นคนพูดง่ายๆ และชัดเจน มู่น่อนน่อนค่อข้างจะคุ้นชินกับวิธีการพูดของเขาแล้ว
“ฉันอยู่ที่โรงพยาบาล……”มู่น่อนน่อนพูดถึงตรงนั้น แล้วก็ผลักประตูเบาๆ เหลือบมองผ่านช่องประตู ก็พบว่าลี่จิ่วเชียนยังคงมีท่าทางเหมือนตอนแรก เธอก็เลยปิดประตูลง
“ไปทำอะไรที่โรงพยาบาล?”
ไม่รู้ว่ามู่น่อนน่อนคิดไปเองรึเปล่า แต่ว่าเธอรู้สึกเหมือนกับว่าเสียงของเฉินถิงเซียวสูงขึ้น เหมือนกับ……กำลังตื่นเต้นอยู่
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย และตอบว่า “เพื่อนฉันเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย อยู่ที่โรงพยาบาล คุณเอาที่อยู่มาสิ เดี๋ยวฉันไปหา”
ผู้ชายที่อยู่ปลายสายนั้นละเลยคำพูดของเธอไปเลย น้ำเสียงดูแข็งกร้าวเล็กน้อย “ที่อยู่คุณ”
มู่น่อนน่อนไม่อยากจะทะเลาะกับเฉินถิงเซียวเรื่องนี้ ก็เลยส่งที่อยู่ให้กับเขา
เธอพึ่งพูดจบ เฉินถิงเซียวก็ตัดสายไปในทันที
จริงๆ เลย……คนแปลกหน้าที่ดูไม่มีท่าทางเป็นสุภาพบุรุษเลย
มู่น่อนน่อนต้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่พักหนึ่ง สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเสื้อไป
ตอนที่กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งนั้น ก็เห็นว่าลี่จิ่วเชียนลืมตาขึ้นมาแล้ว
พลังงานของเขาไม่ค่อยดีนัก เหมือนกับว่าที่พูดคุยกับเธอเมื่อกี้ทำให้เขาหมดแรงแล้ว และตอนนี้ดูเหมือนว่าเริ่มเหลาะแหละ
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเข้าหากัน “ฉันมีธุระนิดหน่อยเดี๋ยวออกไปข้างนอกก่อนนะ”
ตาที่หรี่อยู่ครึ่งหนึ่งของลี่จิ่วเชียนลืมขึ้นเล็กน้อย แล้วก็ถามออกมาอย่างยากลำบาก “ใครมาหาเธอเหรอ? ”
มู่น่อนน่อนลังเลอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “คือ……”
ลี่จิ่วเชียนกลับตัดบทของเธอก่อน “รีบไปรีบกลับ ระวังความปลอดภัยด้วย เรื่องครั้งนี้มันไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น น่าจะมีคนจงใจพุ่งเป้ามาที่ฉัน ไม่ก็เธอ”
น้ำเสียงของเขาช้า แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ได้ทำให้คนสบายใจเลย
“เข้าใจแล้ว”มู่น่อนน่อนพยักหน้า
หลังจากนั้นเธอก็เดินไปหยิบโทรศัพท์ลี่จิ่วเชียนขึ้นมา แล้วก็เอาไปวางตรงที่เขาน่าจะหยิบถึง “ถ้าเกิดว่ามีอะไรก็โทรหาฉันนะ”
ลี่จิ่วเชียนยิ้มเล็กน้อย “อืม”
ก่อนหน้านี้มีตำรวจเข้ามาสอบถาม แต่เพราะว่าลี่จิ่วเชียนยังอยู่ในห้องไอซียู ก็เลยไม่ได้พูดอะไรมากมาย
ตอนนี้ลี่จิ่วเชียนออกมาแล้ว ตำรวจก็อาจจะมาใหม่อีกครั้ง
ไม่ว่าจะพุ่งเป้าหมายมาที่เธอ หรือว่าที่ลี่จิ่วเชียน แน่นอนว่าคนคนนั้นต้องได้มีการไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า แล้วก็จับจ้องพวกเขามาตั้งแต่แรกแล้ว
……
ก่อนที่มู่น่อนน่อนจะออกไปก็ไปหาคุณหมออีกครั้ง ถึงจะลงไปข้างล่าง
เธอพึ่งจะออกมาจากโรงพยาบาล ก็ได้ยินรถที่จอดอยู่ไม่ไกลส่งเสียงดัง
รถสีดำดูเตี้ยมากและ มีราคาแพง
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปในทันที
เธอกำลังจะเปิดประตูด้านหลังขึ้นไปนั่ง ก็พบว่าคนที่ขับรถก็คือเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนดึวมือกลับมาในทันที แล้วก็โค้งตัวพร้อมกับเรียก “คุณเฉิน?”
“ขึ้นรถ”
ในมือของเฉินถิงเซียวกำลังคีบบุหรี่อยู่ เศษขี้เถ้าที่สะสมอยู่บนก้นบุหรี่ เขาสะบัดขี้เถ้าออกไป และคนทั้งหมดก็ดูไม่มีระเบียบเลย
ทั้งไม่มีระเบียบและดูอันตราย เหมือนราชสีห์ในยามหลับใหล
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าการเปรียบเทียบนี้เข้ากันได้ดีมาก เพราะว่าพอได้ยินคำว่า “ขึ้นรถ”ของเฉินถิงเซียวนั้น เธอก็ทำตามคำสั่งของเขาโดยอัตโนมัติ
เธอเปิดประตูรถฝั่งด้านข้างคนขับ เธอไม่กล้าไปนั่งเบาะหลัง แล้วให้เฉินถิงเซียวกลายเป็นคนขับหรอก
ห้องโดยสารเงียบสงัด และยังมีกลิ่นควันบุหรี่หลงเหลืออยู่
มู่น่อนน่อนถามเบาๆ “คุณเฉิน ได้อ่านผลDNAรึยังคะ? ”
“ยัง”เฉินถิงเซียวตอบได้สั้นและกระชับมาก กลัวดอกพิกุลจะร่วง
มู่น่อนน่อนพึ่งหายจากอาการป่วยหนัก บางทีก็รู้สึกไวต่อกลิ่น กลิ่นควันในรถทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย และเธอก็เอื้อมมือไปปิดจมูก
หลังจากนั้น เธอก็ได้ยินเสียงลดกระจกรถลง
มู่น่อนน่อนกลับมามองภาพเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทันใดนั้น ก็มีประกายขึ้นมาในหัวของเธอ และเธอก็เงยหน้าขึ้นมองลี่จิ่วเชียนในทันที “จิ่วเชียน นายเป็นจิตแพทย์ งานวิจัยของนายในด้านนี้ต้องละเอียดและลึกซึ้งมากใช่ไหม? ”
พอพูดถึงเรื่องวิชาชีพ สีหน้าของลี่จิ่วเชียนก็จริงจังและเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที
“มีความเฉพาะทางในวิชาชีพศัลยกรรม แต่สำหรับผู้ป่วยโรคจิตเวช ส่วนใหญ่แล้ว เราสามารถทำหน้าที่นำทางและมีหน้าที่เสริมเท่านั้น สุดท้ายแล้ว ผู้ป่วยก็ต้องพึ่งพาตัวเอง”
ลี่จิ่วเชียนเรียกพนักงานเสิร์ฟให้เติมน้ำในแก้วของเขาก่อนจะพูดต่อ: “ทำไมจู่ๆ มาถามเรื่องนี้ล่ะ”
มู่น่อนน่อนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดว่า “เมื่อก่อนฉันเคยไปตรวจที่โรงพยาบาลมาแล้วไม่ใช่เหรอ? หมอบอกว่า ร่างกายของฉันฟื้นฟูดีมากแล้ว แต่ตอนนี้ฉันไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นความจำเลย นายเป็นจิตแพทย์ มีวิธีไหม? ”
ลี่จิ่วเชียนได้ยินดังนั้น ก็ตกอยู่ในห้วงความคิดในทันที
มู่น่อนน่อนมองเขาด้วยใบหน้าที่คาดหวัง
ถ้าเกิดว่าลี่จิ่วเชียนสามารถช่วยเหลือเธอได้ ละทำให้เธอจำเรื่องในอดีตได้ มันน่าจะดีไม่น้อยเลย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลี่จิ่วเชียนก็ให้คำตอบที่ปิดบังคลุมเครือกับเธอ “เธอความจำเสื่อมเพราะว่าสมองถูกทำลาย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องจิตวิทยา จะลองดูก็ได้ แต่ว่าไม่แน่ว่าอาจจะไม่มีผลอะไร”
แววตาของมู่น่อนน่อนฉายประกายความดีใจ “โอเค”
แม้ว่าจะมีความหวังเพียงเล็กน้อย แต่เธอก็อยากจะลองดู
“กินข้าวกันเถอะ”ลี่จิ่วเชียนยิ้มและคีบอาหารมาให้เธอ
……
กินข้าวเสร็จก็ออกจากร้านไป ข้างนอกฝนตกแล้ว
เมืองหู้หยางเป็นเหมือนที่ฝนตกชุก
ในต้นฤดูใบไม้ร่วง ฝนได้กลายเป็นเรื่องธรรมดา
ฝนไม่ตกหนัก แต่ว่าเมฆมากจะทำให้คนรู้สึกอึดอัด
มู่น่อนน่อนกับลี่จิ่วเชียนสองคนกลับมาที่รถ ผมก็เปียกเล็กน้อย
ลี่จิ่วเชียนขับรถไปด้านหน้า แล้วก็พูดคุยกับมู่น่อนน่อนไปเรื่อยๆ
วันฝนตก รถขับช้ามาก
ตอนที่เลี้ยวนั้น ลี่จิ่วเชียนเหยียบเบรก แต่ก็พบว่ารถไม่ได้ช้าลง แต่กลับเร็วขึ้นอีกต่างหาก
ไม่ว่าลี่จิ่วเชียนจะพยายามเหยียบเบรกแรงขนาดไหน แต่ว่าเบรกก็ไม่มีประโยชน์เลย รถไม่ได้หยุดลง
สีหน้าของลี่จิ่วเชียนเปลี่ยนไปในทันที ในขณะที่บีบแตรไปด้วย เขาก็ตะโกนออกมา “เบรกพัง น่อนน่อน กระโดดลงจากรถเร็ว!”
มู่น่อนน่อนเองก็พบว่าเบรกรถพังแล้ว รถไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป รถคันอื่นสังเกตเห็นความผิดปกติของรถคันนี้และหลีกเลี่ยงออกไป
มู่น่อนน่อนดึงเข็มขัดนิรภัย “จะโดดก็โดดด้วยกัน!”
ลี่จิ่วเชียนได้ยินคำพูดของเธอ แต่ว่าสีหน้ากลับไม่ได้ดูซาบซึ้งแต่อย่างไร แต่กลับตะคอกออกมาด้วยความโมโห “กระโดด! ชีวิตเธอฉันเป็นคนช่วยเอาไว้ จะเกิดอุบัติเหตุอะไรไม่ได้เด็ดขาด”
สถานการณ์เร่งด่วน มู่น่อนน่อนก็ไม่มีเวลาไปเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งในคำพูดของเขา เธอกัดฟันและเปิดประตูรถ หาโอกาสที่เหมาะเจาะและก็กระโดดลงมา
เธอใช้เทคนิคบางอย่างเมื่อเธอกระโดดลงจากรถ แม้ว่าร่างกายของเธอจะช้ำ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นมาจากพื้น ตอนที่เงยหน้าขึ้นมา ก็พบว่ารถของลี่จิ่วเชียนชนกับราวกันข้างถนน
เธอวิ่งเข้าไปหาลี่จิ่วเชียนในทันที
มู่น่อนน่อนแนบไปกับหน้าต่างรถแล้วก็เอ่ยปากเรียกชื่อเขา “ลี่จิ่วเชียน นายเป็นยังไงบ้าง?”
ลี่จิ่วเชียนนั่งอยู่บนที่นั่งคนขับด้วยเลือดที่เต็มหัว ดวงตาของเขาหย่อนยานเล็กน้อย ราวกับว่าเขาจะหมดสติเมื่อใดก็ได้
แต่ว่าเขาก็ยังพยายามอย่างหนักเพื่อมองมู่น่อนน่อนอีกครั้ง หลังจากนั้นก็หมดสติไป
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ออกมาเรียกรถพยาบาลด้วยความตื่นตระหนก คนใจดีข้างๆ พูดว่า “ไม่ต้องรีบร้อน พวกเราได้โทรเรียกรถพยาบาลให้คุณแล้ว……”
มู่น่อนน่อนพูดอย่างอ่อนแอ “ขอบคุณค่ะ”
มีโรงพยาบาลอยู่ใกล้ๆ และรถพยาบาลมาถึงอย่างรวดเร็ว
……
ลี่จิ่วเชียนถูกส่งเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
มู่น่อนน่อนรอดูผลอยู่ด้านนอก ทุกนาที ทุกวินาทีต่างเป็นความทรมาน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ประตูห้องผ่าตัดถูกเปิดออก แล้วหมอก็เดินออกมาจากด้านใน
มู่น่อนน่อนรีบเดินขึ้นไปทันที “คุณหมอคะ เขาเป็นยังไงบ้างคะ? ”
คุณหมอถอดหน้ากากอนามัยออก “เย็บไม่หลายเข็ม ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต แต่จะต้องสังเกตเป็นระยะเวลาหนึ่งและต้องส่งไปยังห้องไอซียูก่อน”
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ”มู่น่อนน่อนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ลี่จิ่วเชียนถูกเข็นออกมา บนหัวถูกผูกไว้ด้วยผ้าพันแผล อยู่ในสภาวะกึ่งโคม่า
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป แล้วเอ่ยปากเรียก “จิ่วเชียน?”
ลี่จิ่วเชียนขยับริมฝีปาก แต่ว่าไม่ได้ออกเสียงอะไร
หลังจากที่มู่น่อนน่อนเห็นเขาเข้าไปในห้องไอซียู ถึงได้ติดต่อคนในครอบครัวของลี่จิ่วเชียน
แต่ว่า พอถึงเวลานี้ เธอถึงได้รู้ตัวว่าเธอไม่ได้รู้จักลี่จิ่วเชียนดีเลย
นอกจากการที่ลี่จิ่วเชียนเป็นจิตแพทย์ และชื่อลี่จิ่วเชียนนั้น เรื่องอื่นเธอก็ไม่รู้อะไรเลย
แล้วอีกอย่าง ลี่จิ่วเชียนก็ไม่เคยพูดถึงครอบครัวของเขามาก่อน
จุดนี้ สถานการณ์ของลี่จิ่วเชียนกับเธอค่อนข้างจะคล้ายกัน
ตอนที่เธอฟื้นขึ้นมาบนเตียงผู้ป่วยนั้น ไม่มีญาติอยู่ข้างกาย ลี่จิ่วเชียนก็ไม่เคยพูดถึงญาติเหมือนกัน
ถึงแม้ว่าจะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมลี่จิ่วเชียนถึงไม่เคยพูดถึงญาติของตัวเองมาก่อน แต่ว่ามู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่า เขาต้องมีเหตุผลของเขาเองอย่างแน่นอน
พอคิดแบบนี้แล้ว เธอก็รู้สึกสงสารและเห็นอกเห็นใจเขา
ลี่จิ่วเชียนออกมาหลังจากใช้เวลาหนึ่งวันในห้องไอซียู
มู่น่อนน่อนต้มซุปไว้ให้เขา
ลี่จิ่วเชียนพิงหัวเตียง มองมู่น่อนน่อนเอาซุปมาให้เขา ก็ยิ้มและพูดว่า “มีคุณธรรมมากเลย”
มู่น่อนน่อนเหลือบมองเขา “สู้นายไม่ได้หรอก นายนี่ช่างไม่เห็นแก่ตัวเอาซะเลย เอาแต่เป็นห่วงคนอื่นอยู่เรื่อย”
เธอวางซุปไว้บนโต๊ะตรงหน้าเขา
ลี่จิ่วเชียนหยิบช้อนขึ้นมา แล้วก็ค่อยๆ กินซุปลงไปช้าๆ ดูไม่มีชีวิตชีวาอะไร
มู่น่อนน่อนเห็นว่าเขาเป็นแบบนี้ ก็ทนไม่ได้และพูดว่า “โชคดีที่นาย……ไม่งั้นฉันคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”
ลี่จิ่วเชียนยิ้ม เหมือนกับว่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง และก็พูดว่า “มีเรื่องอยากพูดกับเธอ ถ้าเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังในช่วงเวลานี้ มันอาจจะง่ายกว่าสำหรับเธอที่จะยกโทษให้ฉัน”
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองเขา “อะไรเหรอ? ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของลี่จิ่วเชียนจางลง พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ฉันไม่ใช่คู่หมั้นของเธอ”
มู่น่อนน่อนกำลังเตรียมจะปิดฝาหม้อ
พอได้ยินคำพูดของลี่จิ่วเชียน การกระทำของเธอก็หยุดลงในทันที ผ้าไปสองวินาที หลังจากปิดหม้อเก็บความร้อนอย่างช้าๆ เธอพูดอย่างสบายๆ ว่า “อ้อ”
“ไม่โกรธเหรอ? หรือเพราะว่าโกรธมาก ก็เลยไม่อยากคุยกับฉันแล้ว?”ถึงแม้ว่าลี่จิ่วเชียนจะพูดแบบนี้ แต่ว่าสีหน้าของเขายังคงดูสงบและผ่อนคลาย
หลังจากที่มู่น่อนน่อนไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็พูดว่า “ถ้าเกิดว่านายมีเจตนาที่จะโกหกฉันจริงๆ ก็ไม่มีทางปล่อยให้ฉันได้ไปมาหาสู่กับพวกเสี่ยวเหลียงหรอก แล้วอีกอย่าง นายก็ช่วยฉันเอาไว้ เฝ้าฉันอยู่สามปี บุญคุณของนายฉันชดใช้ตลอดชีวิตก็ยังไม่หมดเลย”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลี่จิ่วเชียนก็พยักหน้า
มู่น่อนน่อนดันชามไปตรงหน้าเขา แล้วพูดว่า “แต่ว่า ทำไมนายถึงบอกว่านายเป็นคู่หมั้นฉันล่ะ? ”
ลี่จิ่วเชียนถามกลับ “ในสถานการณ์แบบตอนนั้น ถ้าเกิดว่าฉันไม่บอกว่าเป็นคู่หมั้นของเธอ เธอจะเชื่อใจฉัน แล้วออกจากโรงพยาบาลกับฉันไหม? ”
คนที่สูญเสียความทรงจำทั้งหมด หมายความว่าไม่มีความรู้สึกปลอดภัย หมอและพยาบาลในโรงพยาบาลก็ต่างคิดว่าเธอกับลี่จิ่วเชียนเป็นคู่รักกัน ลี่จิ่วเชียนก็เลยจำเป็นต้องยอมรับแบบนั้น
จนถึงเวลาหกโมงเย็น ลี่จิ่วเชียน ถึงได้หยุดทำงาน
เขาเก็บของไปด้วย แล้วก็ถามมู่น่อนน่อนไปด้วย “วันนี้ไม่ต้องกลับไปทำกับข้าวที่บ้านแล้ว อยากกินอะไรล่ะ?”
“อะไรก็ได้”มู่น่อนน่อนไม่ค่อยสนใจ ในใจกังวลแต่แค่เรื่องตัวDNA
ลี่จิ่วเชียนพยักหน้า:“โอเค”
ก่อนออกเดินทาง ผู้ช่วยของลี่จิ่วเชียนก็ได้ช่วยเช็กกำหนดการต่อไปของเขา
มู่น่อนน่อนถึงได้รู้ว่า ลี่จิ่วเชียนนั้นยุ่งแค่ไหน ไม่แปลกเลยว่าทำไมวันปกติถึงได้ทำงานเลิกค่ำขนาดนั้น
ทั้งสองคนมาถึงรถ มู่น่อนน่อนก็เอ่ยปากถามเขา “นายยุ่งขนาดนี้ทุกวันเลยเหรอ? ”
“วันนี้เลิกงานตรงเวลา ไม่ถือว่ายุ่ง”ลี่จิ่วเชียนสตาร์ทรถไปด้วย พร้อมกับพูดกับเธอไปด้วย
มู่น่อนน่อนหันหน้ามา แล้วก็มองห้องบำบัดของลี่จิ่วเชียนผ่านทางหน้าต่างรถ
บ้านเดี่ยวสามชั้น ตั้งอยู่ในความสงบเงียบท่ามกลางบรรยากาศที่วุ่นวาย ขนาดค่อนข้างเล็ก แต่ก็มีคนมาหาหมอมากมาย
แต่ว่าบ้านหลังนี้ มันน่าจะแพงมากเลย
ลี่จิ่วเชียนนี่รวยจริงๆ
เธอนึกถึงเมื่อตอนกลางวัน ที่ได้เจอผู้หญิงที่ชื่อมู่หวั่นขีที่โรงแรมจีนติ่ง
หลังจากนั้นก็ได้เจอพวกเฉินถิงเซียว เธอก็เลยไม่ได้มีโอกาสถามเสิ่นเหลียงเกี่ยวกับเรื่องของมู่หวั่นขี
มู่หวั่นขีกับเสิ่นเหลียงเป็นศิลปินเหมือนกัน ต้องหาเจออะไรบางอย่างในอินเทอร์เน็ตอย่างแน่นอน
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วก็พิมพ์คำว่า “มู่หวั่นขี” เข้าไปในเบราว์เซอร์
ข่าวและข้อมูลจำนวนมากก็โผล่ขึ้นมา
“มู่หวั่นขีใจกล้า ใส่เสื้อผ้าซีทรู……”
“……รูปภาพจากกองถ่ายละครเรื่องใหม่ของมู่หวั่นขีหลุดออกมา”
“ทำไมมู่หวั่นขียังไม่ออกจากวงการบันเทิง”
“มู่หวั่นขียังมีความหวังจะได้แสดงเป็นตัวละครหญิงที่แสดงเป็นเด็กสาวที่ก๋ากั่นและปราดเปรียว……”
“……”
สื่อบางแห่งยกย่องมู่หวั่นขี แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นการตลาดแบบทีม เพราะต้นฉบับเหล่านี้ส่วนใหญ่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกัน
แต่ความคิดเห็นของชาวเน็ตเกือบทั้งหมดเหยียบย่ำเธอและด่าเธอ
ถึงอย่างนั้นมู่หวั่นขีก็ยังอยู่ได้ดีในวงการบันเทิง
มู่น่อนน่อนเจอWeiboของมู่หวั่นขี ดูจำนวนแฟนคลับของเธอมากกว่าสิบล้าน Weibo โพสต์แต่ละรายการมีมากกว่าหมื่นความคิดเห็นและหลายหมื่นไลค์
นี่มันก็หมายความว่า ถึงแม้ว่าชื่อเสียงของมู่หวั่นขีจะถูกทำร้ายแค่ไหน แต่ว่าความนิยมของเธอก็ยังสูงมาก
เธออ่านข้อมูลส่วนตัวของมู่หวั่นขี การบรรยายสรุปครอบครัวระบุเพียงสั้นๆ ว่าครอบครัวเปิดบริษัท
ที่บ้านเปิดบริษัทของตัวเองอย่างนั้นเหรอ?
มู่น่อนน่อนไม่ได้รู้สึกว่า เธอโตมาในครอบครัวที่มีฐานะดี
แต่ว่าสถานการณ์ของเธอในตอนนี้ ก็สามารถจินตนาการถึงสถานการณ์ของตัวเองที่บ้านได้
หลังจากฟื้นขึ้นมาจากการนอนเป็นผักอยู่สามปี รอบข้างไม่มีญาติเลย มีเพียงแค่ลี่จิ่วเชียนเท่านั้น
แค่นี้มันก็อธิบายได้ว่า ตัวตนของเธอในตระกูลมู่นั้นจะมีหรือไม่มีก็ได้
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็หันไปมองลี่จิ่วเชียนที่อยู่ด้านข้าง อดไม่ได้ที่จะแอบค้นหาชื่อของเขาในอินเทอร์เน็ต
ทันทีที่ผลการค้นหาออกมา มู่น่อนน่อนโดนดึงดูดโดยโพสต์ชื่อ “นักจิตวิทยาที่หล่อที่สุดที่คุณเคยเห็นหล่อแค่ไหนกัน? ”
“ไม่พูดเยอะ มาดูภาพข้างบนกัน ไม่ได้ป่วยอะไร แต่พอเจอจิตแพทย์หล่อๆ แบบนี้ ฉันอยากจะเป็นไข้ใจจริงๆ เลย! ”
ภาพต่อมาที่อยู่ด้านล่าง ไม่ได้ชัดเจนมากนัก แต่ว่าใบหน้าที่โดดเด่นของเขาก็สามารถทำให้รู้ได้เลยว่าเขาก็คือลี่จิ่วเชียน
มู่น่อนน่อนไม่ได้อ่านกระทู้หลักจนจบ แล้วก็เลื่อนไปด้านล่างเพื่อดูคอมเมนท์
คอมเมนท์ด้านล่างต่างพากันชื่นชมลี่จิ่วเชียน
“รีบส่งที่อยู่มาให้ฉันเร็ว ฉันจะไปหาหมอ”
“ปีหน้าจะสอบเข้ามหาลัยแล้ว ความกดดันค่อนข้างสูงมาก ขอที่อยู่โรงพยาบาลหน่อย”
“ฉันเองก็อยากได้……”
“จิตแพทย์คนนี้ ไม่ได้แค่หน้าตาดี แถมยังจบปริญญาเอกด้านจิตวิทยามาด้วย! แถมยังได้ยินว่าเขาโสดอีก!”
มู่น่อนน่อนเห็นคอมเมนท์นี้ ก็กลับมาที่กระทู้ ก็เห็นข้อมูลเสริมด้านหลัง
“จบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศที่มีชื่อเสียง มีชื่อเสียงมากในด้านจิตวิทยาทั้งในและต่างประเทศ……ทั้งหล่อทั้งเก่ง……”
มู่น่อนน่อนหันไปมองลี่จิ่วเชียนด้วยความประหลาดใจ
และในตอนนี้ ลี่จิ่วเชียนก็พึ่งจอดรถสนิท
“ถึงแล้ว”
เขาหันหน้ามา แล้วก็เห็นว่ามู่น่อนน่อนกำลังจ้องหน้าตัวเองด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ
ลี่จิ่วเชียนก็มองเธอ “เป็นอะไรไป? ”
พอเขาพูดจบ สายตาก็มองไปที่โทรศัพท์ของมู่น่อนน่อน หลังจากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา สีหน้าดูทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ฉันเคยถามผู้ช่วยอยู่ ว่าทำไมช่วงนี้ถึงมีเด็กมาที่คลินิกเยอะ ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง”
มู่น่อนน่อนยื่นโทรศัพท์ไปตรงหน้าเขาอย่างใจกว้าง “พวกเธอกำลังชมนายอยู่นะ”
ลี่จิ่วเชียนแค่หัวเราะออกมาเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ทั้งสองคนลงมาจากรถ พึ่งจะก้าวเข้าไปในร้านอาหารได้ก้าวเดียว ก็มีรถสีดำคันหนึ่งค่อยๆ ขับเข้ามาอย่างช้าๆ
รถสีดำคันนั้นจอดลงด้านข้างรถของลี่จิ่วเชียน
กระจกลดค่อยๆ ลดลง มู่หวั่นขีก็ยื่นหน้าที่แต่งหน้าหนาเข้มออกมา
สามปีหลังจากที่ซือเฉิงหยู้เสียชีวิตไป เธอใช้ชีวิตอย่างเมามายในช่วงหกเดือนแรก เธออยากจะไปอยู่เป็นเพื่อนซือเฉิงหยู้นับครั้งไม่ถ้วน
สิ่งที่ยังสนับสนุนให้เธอมีชีวิตอยู่นั้น ก็คือความเชื่อที่จะล้างแค้นให้กับซือเฉิงหยู้
เธอนึกว่ายัยชั้นต่ำมู่น่อนน่อนนั้นตายไปตั้งนานแล้ว
แต่ใครจะไปรู้ว่า มู่น่อนน่อนนั้นจะโชคลาภชีวิตยิ่งใหญ่ กลับไม่ตายซะอีก
สามปีที่ผ่านมา เธอพยายามคิดหาวิธีแก้แค้นเฉินถิงเซียว แต่ว่าแม้แต่โอกาสที่จะได้เข้าใกล้เฉินถิงเซียวยังไม่มีเลย
ในเมื่อมู่น่อนน่อนยังคงมีชีวิตอยู่ ก็คงต้องลงมือกับมู่น่อนน่อนแล้วล่ะ
มู่หวั่นขีคิดแบบนี้ แล้วริมฝีปากก็มีรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธอทำงานอย่างหนักหน่วงในการถ่ายทำ สภาพร่างกายของเธอแย่ลงเรื่อยๆ และผิวของเธอก็ไม่ค่อยดีขึ้นมากนัก
ทุกวันฉันต้องพัฟแป้งหนามากเพื่อปกปิดใบหน้าที่แห้งและไร้เลือดฝาดของเธอ
พอแต่งหน้าหนาเกินไป เวลายิ้มก็จะดูหน้าตาน่าเกลียดเล็กน้อย
มู่หวั่นขีเงยหน้าขึ้นมองดูกล้องที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นเท่าไหร่นัก ก็พบว่าตรงนี้มันเป็นจุดอับพอดี กล้องวงจรปิดไม่สามารถถ่ายถึงได้
แต่ว่าเธอก็ยังคงรอบคอบมาก สวมหมวกและเสื้อคลุม แล้วก็ลงจากรถมาพร้อมกับคีมและกรรไกร เดินไปยังรถของลี่จิ่วเชียน
……
ในร้านอาหาร
มู่น่อนน่อนพึ่งจะสั่งอาหารเสร็จ ก็ได้รับรูปภาพที่เสิ่นเหลียงส่งมาให้
รูปภาพที่เสิ่นเหลียงส่งมาให้นั้น ก็คือรูปภาพตอนที่พวกเธอสองคนอยู่ด้วยกันเมื่อก่อน
เธอในรูปภาพนั้น ดูอ่อนวัยกว่าตอนนี้มาก แถมสีหน้าก็ยังดูดีกว่าตอนนี้อีกด้วย
“ดูอะไรอยู่เหรอ?”ลี่จิ่วเชียนเงยหน้าขึ้นมองเธอ
มู่น่อนน่อนยื่นโทรศัพท์ไปตรงหน้าเขา “เสี่ยวเหลียงส่งรูปมาให้ฉัน”
ลี่จิ่วเชียนรับไปดู แล้วก็เปิดรูปถัดไป ก็เห็นรูปภาพที่มู่น่อนน่อนเคยแต่งหน้าให้ดูอัปลักษณ์ แววตาของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที พร้อมกับพูดว่า “ดูเหมือนว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอมีสีสันมากเลยนะ”
“หมายความว่ายังไง? ”มู่น่อนน่อนรับโทรศัพท์กลับมาดู พอเห็นรูปภาพนั้น ก็ตกใจเป็นอย่างมาก
อย่าว่าแต่มู่น่อนน่อนในตอนนี้เลย ต่อให้เธอเป็นแค่คนที่ดูอยู่เฉยๆ ก็ตาม ก็คงจะสงสัยชีวิตในสมัยก่อนของตัวเองเหมือนกัน
มีพี่สาวต่างแม่ที่เกลียดตัวเองเข้ากระดูก คนในครอบครัวก็ไม่สนใจเธอเลยแม้แต่นิดเดียว แถมเมื่อก่อนยังจงใจแต่งหน้าเป็นตัวตลกอีก แถมประธานของบริษัทเฉินซื่อยังเป็นพ่อของลูกเธออีก……
เรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นกับเธอจริงๆ อย่างนั้นเหรอ?
มู่น่อนน่อนมองดูรูปภาพนั้น แล้วก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยพร้อมกับพึมพำว่า “จริงๆ ด้วย……มันดูมีสีสันอยู่นะ”
เสิ่นเสี่ยวยี่ลูบข้อมือของตัวเอง “ไม่ชินกับคำเรียกที่พวกเธอเรียกกันเลยจริงๆ เดี๋ยวก็เรียกคุณมู่ เดี๋ยวก็เรียกคุณเฉิน……”
เธอส่ายหน้า:“ขนาดละครยังไม่กล้าแสดงแบบนี้เลย”
มู่น่อนน่อนหัวเราะและพูดว่า “มันก็ไม่ได้มีอะไรซะหน่อย ตอนนี้ฉันกับคุณเฉินไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันจากคนแปลกหน้าเลยด้วยซ้ำ”
เสิ่นเหลียงนึกถึงสิ่งที่มู่น่อนน่อนพูดเมื่อกี้นี้ว่าเฉินถิงเซียวฉลาดมาก
“เฉินถิงเซียวฉลาดที่ไหนกัน ฉลาดจนไม่เหมือนคนแล้ว……”เสิ่นเหลียไม่อยากจะพูดเรื่องของเฉินถิงเซียวกับเธออีกต่อไปแล้ว ก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุย “ฉันมีรูปเมื่อก่อน เดี๋ยวกลับไปจะส่งให้เธอดู ดูสิว่าเธอจะนึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาได้หรือเปล่า”
“ได้สิ”มู่น่อนน่อนพยักหน้า “ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณอะไรกัน พวกเรารู้จักกันมาหลายปีขนาดนี้!”เสิ่นเหลียงเขย่ากุญแจรถในมือ “ไม่ให้ฉันไปส่งจริงๆ เหรอ?”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก รีบกลับไปเถอะ”
มู่น่อนน่อนไม่ให้เสิ่นเหลียงไปส่งเธอ เสิ่นเหลียงก็เลยต้องกลับก่อน
พอรถของเสิ่นเหลียงขับออกไป มู่น่อนน่อนถึงได้เรียกรถของตัวเอง
เดิมทีเธออยากจะกลับบ้านเลย แต่ว่าระหว่างทางนั้นรถติด คนขับรถขับไปได้ครึ่งทางก็เลยเปลี่ยนไปใช้ถนนอีกเส้นทางหนึ่ง ต้องผ่านห้องบำบัดทางจิตของด้วย
มู่น่อนน่อนก็เลยลงจากรถที่หน้า ห้องบำบัดทางจิต
เธอเข้าไป พนักงานต้อนรับก็ยิ้มพร้อมกับเอ่ยปากถามว่า “สวัสดีค่ะ ได้จองไว้หรือเปล่าคะ?”
“เปล่าค่ะ ฉันมาหาคน” พอมู่น่อนน่อนพูดจบ ก็มองเข้าไปด้านใน
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่ห้องบำบัดของลี่จิ่วเชียน การตกแต่งนั้นดูอบอุ่นมาก ตกแต่งเป็นสไตล์เดียวกับที่บ้าน ดูใหม่มาก
พนักงานต้อนรับอึ้งไป แล้วก็ถามอย่างมีมารยาท “ไม่ทราบว่าคุณมาหาใครเหรอคะ?”
มู่น่อนน่อนเอ่ยปากตอบ “ลี่จิ่วเชียน”
แววตาของพนักงานต้อนรับเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาอดไม่ได้ที่จะเคราะห์มู่น่อนน่อน “คุณมาหาคุณหมอลี่? รบกวนสอบถามว่าคุณชื่ออะไรคะ?”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะเต็มไปด้วยความสุภาพและเกรงใจ แต่ว่าน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยการสำรวจ
ก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนเคยได้ยินลี่จิ่วเชียนพูดว่า ห้องที่ปรึกษาของเขานั้นเล็กมาก ถ้าเกิดว่าเธอไม่มีอะไรทำก็มาหาเขาได้
แต่ว่าดูตอนนี้แล้ว ลี่จิ่วเชียนน่าจะค่อนข้างยุ่ง จะมาหาเขาเพื่อรักษาก็ต้องนัดล่วงหน้า
“ถ้าเกิดว่าเขายุ่งอยู่ก็ช่างเถอะค่ะ ยังไงก็ไม่ได้มีเรื่องด่วนอยู่แล้ว”เธอก็แค่ผ่านมาก็เลยมาเยี่ยม ในเมื่อลี่จิ่วเชียนกำลังยุ่งอยู่ เธอก็คงอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว
พนักงานต้อนรับได้ยินดังนั้น ก็ไม่ได้พูดอะไร
ตอนนี้เอง ด้านในก็มีเสียงฝีเท้า ควบคู่ไปกับเสียงสนทนากันดังออกมา
มู่น่อนน่อนหันหน้าไป ก็เห็นว่าลี่จิ่วเชียนกำลังเดินออกมากับคนอีก 2 คน
ถัดจากเขาคือหญิงวัยกลางคน และถัดจากหญิงวัยกลางคนคือเด็กชายวัยรุ่น
อาจเป็นพ่อแม่พาลูกไปพบจิตแพทย์
ลี่จิ่วเชียนเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นมู่น่อนน่อน เห็นได้ชัดว่าเขาอึ้งไป หลังจากพูดกับผู้ปกครองอยู่สองประโยค แล้วก็สั่งให้ผู้ช่วยส่งเธอกลับ เขาก็เดินเข้ามาหามู่น่อนน่อน
ลี่จิ่วเชียนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ และถามด้วยความเอาใจใส่ “ทำไมจู่ๆ ถึงมาหาฉันล่ะ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
พนักงานต้อนรับเห็นท่าทางใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของลี่จิ่วเชียน เธอก็ซื่อบื้อไปเลยในทันที
หมอที่ยังหนุ่มและมีอนาคตไกลอย่างคุณหมอลี่ ไม่ได้โสดอย่างนั้นเหรอ?
ยังไม่ทันรอให้มู่น่อนน่อนได้พูดอะไร ลี่จิ่วเชียนก็ยื่นมือไปโอบไหล่ของเธอ “พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
มู่น่อนน่อนไม่ค่อยคุ้นชินที่เขาเป็นแบบนี้ พอเข้าไปในห้องทำงานของเขา เธอก็ถอยออกมา เอาแขนของเขาออกจากไหล่ของตัวเอง
ลี่จิ่วเชียนเองก็ไม่ได้ถือสา แล้วก็เทน้ำให้เธอดื่ม
“ขอบคุณนะ” มู่น่อนน่อนรับน้ำมา “ที่จริงแล้วฉัน……ก็แค่ผ่านมา ก็เลยแวะมาเยี่ยมเท่านั้นเอง”
ลี่จิ่วเชียนถามอย่างไม่ได้ตั้งใจ “แล้วไปไหนมา?”
“ไปกินข้าวกับเพื่อนมา” ประโยคนี้จริงครึ่งไม่จริงครึ่ง
ตอนนี้มู่น่อนน่อนไม่ได้มีเพื่อนอะไร ลี่จิ่วเชียนก็คาดเดาได้ในทันที “กับคุณเสิ่นเหรอ?”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า “อืม”
เธอยื่นมือไปจับแก้วน้ำ เอานิ้วชี้วนไปรอบๆ เห็นได้ชัดว่าท่าทางเธอเหมือนมีอะไรอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดออกมา
ลี่จิ่วเชียนสังเกตเธอเงียบๆ มู่น่อนน่อนเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่เธอเชื่อใจ จะโกหกไม่เป็น ปิดบังอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองไม่ได้
ลี่จิ่วเชียนนั่งลงตรงข้ามเธอ แล้วก็ถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ “แค่กินข้าวกันเหรอ? ไม่ไปช้อปปิ้งเหรอ? ครั้งนี้ไม่ได้เจอปาปารัสซี่อีกแล้วใช่ไหม?”
เรื่องที่เขาที่แล้วมู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงไปเดินเล่นกันแล้วเจอปาปารัสซี่นั้น มู่น่อนน่อนเคยเล่าให้เขาฟังอยู่
มู่น่อนน่อนไตร่ตรองแล้วก็พูดว่า “จิ่วเชียน นาย…… ก่อนหน้านี้เคยรู้จักกับคุณเฉินหรือเปล่า?”
สีหน้าของลี่จิ่วเชียนชะงักไป แล้วก็ถามว่า “ใครพูดอะไรกับเธองั้นเหรอ?”
เขาถามออกมาอย่างตรงไปตรงมา ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าพูดอะไรไม่ถูก
เขาดูใจกว้างมาก
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าการที่ตัวเองสงสัยในตัวเขา เธอดูเป็นคนร้ายขึ้นมาเลย
ลี่จิ่วเชียนเห็นว่าเธอไม่พูดอะไร ก็พูดอย่างจริงจังมาก “คุณเสิ่นเล่าอะไรให้เธอฟังใช่ไหม?”
มู่น่อนน่อนเม้มปาก “เธอพูดอะไรกับฉันบางเรื่องจริงๆ ”
ลี่จิ่วเชียนเหมือนกับว่าได้คาดไว้อยู่แล้ว เขาเองก็ไม่ถามว่าเรื่องอะไร ได้แต่ถามว่า “แล้วเชื่อเธอไหม?”
“ฉันรู้สึกว่าเธอไม่เหมือนกับว่ากำลังโกหกฉันอยู่”มู่น่อนน่อนเชื่อเสิ่นเหลียง
“ก็แค่นั้นไง”ลี่จิ่วเชียนยิ้ม “ในเมื่อเธอรู้สึกว่าเชื่อได้ ถ้าอย่างนั้นคุณเสิ่นก็ต้องเป็นคนที่เชื่อถือได้สิ”
คำพูดของลี่จิ่วเชียน ทำให้มู่น่อนน่อนสับสนมากขึ้นไปอีก
เธอรู้สึกว่า การคบค้าสมาคมระหว่างเธอกับลี่จิ่วเชียน มันไม่เหมือนคู่หมั้นกันเลย แต่ว่ามันกลับเหมือนเพื่อนที่ไว้ใจได้มากกว่า
การใช้ชีวิตร่วมกันก็ไม่ต่างจากการแบ่งปันเพื่อนร่วมห้อง การใช้ชีวิตประจำวันก็ไม่มีตรงไหนที่คลุมเครือเลย
มู่น่อนน่อนลังเล แล้วก็ถามคำถามที่อยู่ในใจออกมา “พวกเราเป็นคู่หมั้นกันจริงๆ เหรอ?”
ลี่จิ่วเชียนได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็ดูจางลงมาก แต่ว่าน้ำเสียงกลับดูขี้เล่นผิดปกติ “เธอรู้สึกว่าพวกเราเหมือนคู่หมั้นกันไหมล่ะ?”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า “ไม่เหมือน”
ลี่จิ่วเชียนได้ยินดังนั้น ทันใดนั้นก็ยิ้มขึ้นมา
หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้น แล้วก็ถามมู่น่อนน่อน “เดี๋ยวจะกลับด้วยกัน หรือว่าจะกลับตอนนี้? ถ้าเกิดว่าจะกลับตอนนี้ เดี๋ยวฉันจะเรียกรถให้”
เขาเปลี่ยนเรื่องอย่างง่ายดายและหยาบกระด้างแบบนี้ มู่น่อนน่อนก็ต้องมองออกอย่างแน่นอน
เธอรู้สึกว่าคำถามของเขาเมื่อกี้นี้ ต้องมีบางอย่างอยู่ในคำพูดอย่างแน่นอน
ลี่จิ่วเชียนคือคนที่เธอเจอเป็นคนแรกหลังจากที่เธอฟื้นขึ้นมา
สำหรับเธอในตอนนี้แล้ว ลี่จิ่วเชียนน่าจะเป็นคนที่เธอสนิทสนมมากที่สุด
แต่ว่า ตอนนี้เธอกลับรู้สึกยังไม่ชัดเจนว่า ลี่จิ่วเชียนกลับเป็นคนที่ซับซ้อนมากที่สุด
ลี่จิ่วเชียนตบไหล่ของเธอเบาๆ แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ปลอบโยน “ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ”
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ได้แค่พยักหน้าและพูดว่า “เดี๋ยวตอนเย็นค่อยกลับพร้อมน้อยแล้วกัน”
ยังไงตอนนี้เธอรีบกลับไปก็ไม่มีอะไรให้ทำ
ลี่จิ่วเชียนก็โทรเรียบคนมาเสิร์ฟชายามบ่ายให้เธอ แล้วก็ยกห้องพักผ่อนข้างๆ ให้เธอ
ตลอดทั้งช่วงบ่าย ลี่จิ่วเชียนก็มีคนไข้ตลอด
มู่น่อนน่อนได้ยินแค่เสียงสนทนาที่แผ่วเบา แต่ว่าได้ยินไม่ชัดเจนว่าพ่อเขาพูดอะไรกัน
แต่ว่า เธอก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก ยังไงมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่น
####บทที่388 มีก็ได้ไม่มีก็ได้
จนถึงเวลาหกโมงเย็น ลี่จิ่วเชียน ถึงได้หยุดทำงาน
เขาเก็บของไปด้วย แล้วก็ถามมู่น่อนน่อนไปด้วย “วันนี้ไม่ต้องกลับไปทำกับข้าวที่บ้านแล้ว อยากกินอะไรล่ะ?”
“อะไรก็ได้”มู่น่อนน่อนไม่ค่อยสนใจ ในใจกังวลแต่แค่เรื่องตัวDNA
ลี่จิ่วเชียนพยักหน้า:“โอเค”
ก่อนออกเดินทาง ผู้ช่วยของลี่จิ่วเชียนก็ได้ช่วยเช็กกำหนดการต่อไปของเขา
มู่น่อนน่อนถึงได้รู้ว่า ลี่จิ่วเชียนนั้นยุ่งแค่ไหน ไม่แปลกเลยว่าทำไมวันปกติถึงได้ทำงานเลิกค่ำขนาดนั้น
ทั้งสองคนมาถึงรถ มู่น่อนน่อนก็เอ่ยปากถามเขา “นายยุ่งขนาดนี้ทุกวันเลยเหรอ? ”
“วันนี้เลิกงานตรงเวลา ไม่ถือว่ายุ่ง”ลี่จิ่วเชียนสตาร์ทรถไปด้วย พร้อมกับพูดกับเธอไปด้วย
มู่น่อนน่อนหันหน้ามา แล้วก็มองห้องบำบัดของลี่จิ่วเชียนผ่านทางหน้าต่างรถ
บ้านเดี่ยวสามชั้น ตั้งอยู่ในความสงบเงียบท่ามกลางบรรยากาศที่วุ่นวาย ขนาดค่อนข้างเล็ก แต่ก็มีคนมาหาหมอมากมาย
แต่ว่าบ้านหลังนี้ มันน่าจะแพงมากเลย
ลี่จิ่วเชียนนี่รวยจริงๆ
เธอนึกถึงเมื่อตอนกลางวัน ที่ได้เจอผู้หญิงที่ชื่อมู่หวั่นขีที่โรงแรมจีนติ่ง
หลังจากนั้นก็ได้เจอพวกเฉินถิงเซียว เธอก็เลยไม่ได้มีโอกาสถามเสิ่นเหลียงเกี่ยวกับเรื่องของมู่หวั่นขี
มู่หวั่นขีกับเสิ่นเหลียงเป็นศิลปินเหมือนกัน ต้องหาเจออะไรบางอย่างในอินเทอร์เน็ตอย่างแน่นอน
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วก็พิมพ์คำว่า “มู่หวั่นขี” เข้าไปในเบราว์เซอร์
ข่าวและข้อมูลจำนวนมากก็โผล่ขึ้นมา
“มู่หวั่นขีใจกล้า ใส่เสื้อผ้าซีทรู……”
“……รูปภาพจากกองถ่ายละครเรื่องใหม่ของมู่หวั่นขีหลุดออกมา”
“ทำไมมู่หวั่นขียังไม่ออกจากวงการบันเทิง”
“มู่หวั่นขียังมีความหวังจะได้แสดงเป็นตัวละครหญิงที่แสดงเป็นเด็กสาวที่ก๋ากั่นและปราดเปรียว……”
“……”
สื่อบางแห่งยกย่องมู่หวั่นขี แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นการตลาดแบบทีม เพราะต้นฉบับเหล่านี้ส่วนใหญ่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกัน
แต่ความคิดเห็นของชาวเน็ตเกือบทั้งหมดเหยียบย่ำเธอและด่าเธอ
ถึงอย่างนั้นมู่หวั่นขีก็ยังอยู่ได้ดีในวงการบันเทิง
มู่น่อนน่อนเจอWeiboของมู่หวั่นขี ดูจำนวนแฟนคลับของเธอมากกว่าสิบล้าน Weibo โพสต์แต่ละรายการมีมากกว่าหมื่นความคิดเห็นและหลายหมื่นไลค์
นี่มันก็หมายความว่า ถึงแม้ว่าชื่อเสียงของมู่หวั่นขีจะถูกทำร้ายแค่ไหน แต่ว่าความนิยมของเธอก็ยังสูงมาก
เธออ่านข้อมูลส่วนตัวของมู่หวั่นขี การบรรยายสรุปครอบครัวระบุเพียงสั้นๆ ว่าครอบครัวเปิดบริษัท
ที่บ้านเปิดบริษัทของตัวเองอย่างนั้นเหรอ?
มู่น่อนน่อนไม่ได้รู้สึกว่า เธอโตมาในครอบครัวที่มีฐานะดี
แต่ว่าสถานการณ์ของเธอในตอนนี้ ก็สามารถจินตนาการถึงสถานการณ์ของตัวเองที่บ้านได้
หลังจากฟื้นขึ้นมาจากการนอนเป็นผักอยู่สามปี รอบข้างไม่มีญาติเลย มีเพียงแค่ลี่จิ่วเชียนเท่านั้น
แค่นี้มันก็อธิบายได้ว่า ตัวตนของเธอในตระกูลมู่นั้นจะมีหรือไม่มีก็ได้
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็หันไปมองลี่จิ่วเชียนที่อยู่ด้านข้าง อดไม่ได้ที่จะแอบค้นหาชื่อของเขาในอินเทอร์เน็ต
ทันทีที่ผลการค้นหาออกมา มู่น่อนน่อนโดนดึงดูดโดยโพสต์ชื่อ “นักจิตวิทยาที่หล่อที่สุดที่คุณเคยเห็นหล่อแค่ไหนกัน? ”
“ไม่พูดเยอะ มาดูภาพข้างบนกัน ไม่ได้ป่วยอะไร แต่พอเจอจิตแพทย์หล่อๆ แบบนี้ ฉันอยากจะเป็นไข้ใจจริงๆ เลย! ”
ภาพต่อมาที่อยู่ด้านล่าง ไม่ได้ชัดเจนมากนัก แต่ว่าใบหน้าที่โดดเด่นของเขาก็สามารถทำให้รู้ได้เลยว่าเขาก็คือลี่จิ่วเชียน
มู่น่อนน่อนไม่ได้อ่านกระทู้หลักจนจบ แล้วก็เลื่อนไปด้านล่างเพื่อดูคอมเมนท์
คอมเมนท์ด้านล่างต่างพากันชื่นชมลี่จิ่วเชียน
“รีบส่งที่อยู่มาให้ฉันเร็ว ฉันจะไปหาหมอ”
“ปีหน้าจะสอบเข้ามหาลัยแล้ว ความกดดันค่อนข้างสูงมาก ขอที่อยู่โรงพยาบาลหน่อย”
“ฉันเองก็อยากได้……”
“จิตแพทย์คนนี้ ไม่ได้แค่หน้าตาดี แถมยังจบปริญญาเอกด้านจิตวิทยามาด้วย! แถมยังได้ยินว่าเขาโสดอีก!”
มู่น่อนน่อนเห็นคอมเมนท์นี้ ก็กลับมาที่กระทู้ ก็เห็นข้อมูลเสริมด้านหลัง
“จบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศที่มีชื่อเสียง มีชื่อเสียงมากในด้านจิตวิทยาทั้งในและต่างประเทศ……ทั้งหล่อทั้งเก่ง……”
มู่น่อนน่อนหันไปมองลี่จิ่วเชียนด้วยความประหลาดใจ
และในตอนนี้ ลี่จิ่วเชียนก็พึ่งจอดรถสนิท
“ถึงแล้ว”
เขาหันหน้ามา แล้วก็เห็นว่ามู่น่อนน่อนกำลังจ้องหน้าตัวเองด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ
ลี่จิ่วเชียนก็มองเธอ “เป็นอะไรไป? ”
พอเขาพูดจบ สายตาก็มองไปที่โทรศัพท์ของมู่น่อนน่อน หลังจากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา สีหน้าดูทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ฉันเคยถามผู้ช่วยอยู่ ว่าทำไมช่วงนี้ถึงมีเด็กมาที่คลินิกเยอะ ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง”
มู่น่อนน่อนยื่นโทรศัพท์ไปตรงหน้าเขาอย่างใจกว้าง “พวกเธอกำลังชมนายอยู่นะ”
ลี่จิ่วเชียนแค่หัวเราะออกมาเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ทั้งสองคนลงมาจากรถ พึ่งจะก้าวเข้าไปในร้านอาหารได้ก้าวเดียว ก็มีรถสีดำคันหนึ่งค่อยๆ ขับเข้ามาอย่างช้าๆ
รถสีดำคันนั้นจอดลงด้านข้างรถของลี่จิ่วเชียน
กระจกลดค่อยๆ ลดลง มู่หวั่นขีก็ยื่นหน้าที่แต่งหน้าหนาเข้มออกมา
สามปีหลังจากที่ซือเฉิงหยู้เสียชีวิตไป เธอใช้ชีวิตอย่างเมามายในช่วงหกเดือนแรก เธออยากจะไปอยู่เป็นเพื่อนซือเฉิงหยู้นับครั้งไม่ถ้วน
สิ่งที่ยังสนับสนุนให้เธอมีชีวิตอยู่นั้น ก็คือความเชื่อที่จะล้างแค้นให้กับซือเฉิงหยู้
เธอนึกว่ายัยชั้นต่ำมู่น่อนน่อนนั้นตายไปตั้งนานแล้ว
แต่ใครจะไปรู้ว่า มู่น่อนน่อนนั้นจะโชคลาภชีวิตยิ่งใหญ่ กลับไม่ตายซะอีก
สามปีที่ผ่านมา เธอพยายามคิดหาวิธีแก้แค้นเฉินถิงเซียว แต่ว่าแม้แต่โอกาสที่จะได้เข้าใกล้เฉินถิงเซียวยังไม่มีเลย
ในเมื่อมู่น่อนน่อนยังคงมีชีวิตอยู่ ก็คงต้องลงมือกับมู่น่อนน่อนแล้วล่ะ
มู่หวั่นขีคิดแบบนี้ แล้วริมฝีปากก็มีรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธอทำงานอย่างหนักหน่วงในการถ่ายทำ สภาพร่างกายของเธอแย่ลงเรื่อยๆ และผิวของเธอก็ไม่ค่อยดีขึ้นมากนัก
ทุกวันฉันต้องพัฟแป้งหนามากเพื่อปกปิดใบหน้าที่แห้งและไร้เลือดฝาดของเธอ
พอแต่งหน้าหนาเกินไป เวลายิ้มก็จะดูหน้าตาน่าเกลียดเล็กน้อย
มู่หวั่นขีเงยหน้าขึ้นมองดูกล้องที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นเท่าไหร่นัก ก็พบว่าตรงนี้มันเป็นจุดอับพอดี กล้องวงจรปิดไม่สามารถถ่ายถึงได้
แต่ว่าเธอก็ยังคงรอบคอบมาก สวมหมวกและเสื้อคลุม แล้วก็ลงจากรถมาพร้อมกับคีมและกรรไกร เดินไปยังรถของลี่จิ่วเชียน
……
ในร้านอาหาร
มู่น่อนน่อนพึ่งจะสั่งอาหารเสร็จ ก็ได้รับรูปภาพที่เสิ่นเหลียงส่งมาให้
รูปภาพที่เสิ่นเหลียงส่งมาให้นั้น ก็คือรูปภาพตอนที่พวกเธอสองคนอยู่ด้วยกันเมื่อก่อน
เธอในรูปภาพนั้น ดูอ่อนวัยกว่าตอนนี้มาก แถมสีหน้าก็ยังดูดีกว่าตอนนี้อีกด้วย
“ดูอะไรอยู่เหรอ?”ลี่จิ่วเชียนเงยหน้าขึ้นมองเธอ
มู่น่อนน่อนยื่นโทรศัพท์ไปตรงหน้าเขา “เสี่ยวเหลียงส่งรูปมาให้ฉัน”
ลี่จิ่วเชียนรับไปดู แล้วก็เปิดรูปถัดไป ก็เห็นรูปภาพที่มู่น่อนน่อนเคยแต่งหน้าให้ดูอัปลักษณ์ แววตาของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที พร้อมกับพูดว่า “ดูเหมือนว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอมีสีสันมากเลยนะ”
“หมายความว่ายังไง? ”มู่น่อนน่อนรับโทรศัพท์กลับมาดู พอเห็นรูปภาพนั้น ก็ตกใจเป็นอย่างมาก
อย่าว่าแต่มู่น่อนน่อนในตอนนี้เลย ต่อให้เธอเป็นแค่คนที่ดูอยู่เฉยๆ ก็ตาม ก็คงจะสงสัยชีวิตในสมัยก่อนของตัวเองเหมือนกัน
มีพี่สาวต่างแม่ที่เกลียดตัวเองเข้ากระดูก คนในครอบครัวก็ไม่สนใจเธอเลยแม้แต่นิดเดียว แถมเมื่อก่อนยังจงใจแต่งหน้าเป็นตัวตลกอีก แถมประธานของบริษัทเฉินซื่อยังเป็นพ่อของลูกเธออีก……
เรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นกับเธอจริงๆ อย่างนั้นเหรอ?
มู่น่อนน่อนมองดูรูปภาพนั้น แล้วก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยพร้อมกับพึมพำว่า “จริงๆ ด้วย……มันดูมีสีสันอยู่นะ”
มู่น่อนน่อนเห็นท่าทางเคร่งขรึมของเฉินถิงเซียว ก็พอจะเดาดได้แล้วว่ามันคือเรื่องอะไร
เธอไม่ได้พูดอะไร ได้แต่เงยหน้ามองเสิ่นเหลียง
ร่างกายของเฉินถิงเซียวมีแรงกดขี่ออกมาอย่างรุนแรง เสิ่นเหลียงก็ทำได้เพียแค่กัดฟัน “ให้น่อนน่อนกับมู่มู่จำกันได้ เพราะว่าน่อนน่อนคือแม่แท้ๆ ของมู่มู่”
เรื่องนี้เสิ่นเหลียงพึ่งจะบอกมู่น่อนน่อนไปเมื่อกี้นี้ ดังนั้นมู่น่อนน่อนก็เลยไม่ได้ประหลาดใจเท่าไหร่
แต่ว่าสายตาของเธอก็จับจ้องไปที่เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวก็หันหน้ามองมาที่เธอเหมือนกัน ทั้งสองคนสบตากันในอากาศอยู่สองวินาที แล้วก็หลบตากันอย่างรวดเร็ว
เฉินถิงเซียวหัวเราะอย่างเย็นชา แล้วก็ถามเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “แล้วอะไรอีก? ”
เสิ่นเหลียงก็ทำได้แค่พูดในสิ่งที่บอกมู่น่อนน่อนเมื่อกี้นี้อีกครั้งหนึ่ง “พวกคุณเป็นสามีภรรยากัน”
พอพูดจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของเฉินถิงเซียวอย่างระมัดระวัง
เฉินถิงเซียวมักเป็นคนที่ต่อให้มีความสุขก็ไม่แสดงออกเสมอ ในขณะนี้ ใบหน้าของเขาไม่มีอารมณ์ที่ชัดเจน และการปรากฏที่เงียบนั้นคาดเดาไม่ได้
เสิ่นเหลียงรู้สึกกังวลนิดหน่อย แล้วก็ค่อยๆ ยื่นมือไปดึงมุมเสื้อของมู่น่อนน่อนเบาๆ
ถ้าเกิดว่าเป็นมู่น่อนน่อน เฉินถิงเซียวก็จะฟัง
ต่อให้ตอนนี้ทั้งสองคนความจำเสื่อม แต่ว่าเฉินถิงเซียวก็ได้ให้สือเย่ไปสืบเรื่องของมู่น่อนน่อน ไม่ใช่แค่นี้ แถมยังย้ายมาอยู่ตรงข้ามห้องของมู่น่อนน่อนอีกด้วย
นี่มันหมายถึงอะไร?
หมายถึง ต่อให้ทั้งสองคนสูญเสียความทรงจำ แต่ว่าสำหรับเฉินถิงเซียวแล้วมู่น่อนน่อนก็ยังเป็นคนที่พิเศษอยู่
โซ่ตรวนระหว่างคนบางคนอาจถูกลิขิตไว้ล่วงหน้า แม้ว่าพวกเขาจะหลงทางไปครึ่งทางและลืมกันและกัน แต่ก็ยังดึงดูดกันและกัน
เสิ่นเหลียงรู้สึกว่า น่าจะเป็นเหตุผลนี้
มู่น่อนน่อนได้รับสายตาขอความช่วยเหลือจากเสิ่นเหลียง ก็เม้มปาก และพูดด้วยสีหน้าที่สงบว่า “เรื่องนี้ถึงแม้ว่าฟังดูแล้วจะไร้สาระ แต่ว่าฉันก็เชื่อว่าเสี่ยวเหลียงไม่ได้โกหก……”
ตอนที่เธอพูดประโยคนี้นั้น แววตาของเฉินถิงเซียวถึงแม้ว่าจะไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เขาก็ค่อยๆ หันมามองเธอ เห็นได้ชัดว่ากำลังฟังในสิ่งที่เธอพูดอยู่
แค่ฟังที่เธอพูดก็พอแล้ว
หลังจากชะงักไป มู่น่อนน่อนก็มองไปที่เฉินมู่
เฉินมู่กำลังตั้งแต่ดูการ์ตูนอยู่ ไม่ได้รับผลกระทบจากบรรยากาศที่จริงจังและหนักแน่นของพวกผู้ใหญ่เลย แถมยังดูไปด้วยพร้อมกับยิ้มไปด้วย
สีหน้าของมู่น่อนน่อนก็อ่อนโยนลงเล็กน้อย เสียงก็อ่อนโยนลงเหมือนกัน แล้วก็พูดต่อว่า “ให้ฉันกับมู่มู่ตรวจ DNA กันก็ได้นะ มันดูเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดแล้ว”
พอพูดจบ สายตาของทุกคนก็มองไปที่เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวนั่งด้วยสีหน้าที่มืดมนอยู่ตรงนั้น มองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่
มือทั้งสองข้างที่วางอยู่ใต้โต๊ะของมู่น่อนน่อนกำแน่นอย่างช่วยไม่ได้
เรื่องที่เสิ่นเหลียงพูด แม้แต่เธอยังรู้สึกว่ามันแปลกๆ แล้วจะนับประสาอะไรกับเฉินถิงเซียวกันล่ะ
เฉินถิงเซียวคือประธานของบริษัทเฉินซื่อ แถมยังมีคู่หมั้นแล้วอีกด้วย……เรื่องแบบนี้พูดไปก็น่าจะยากที่จะเชื่อ
ทันใดนั้น มู่น่อนน่อนก็คิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วก็ถามเฉินถิงเซียว “คุณก็ความจำเสื่อมเหรอ? ”
ตั้วแต่ตอนที่เสิ่นเหลียงพูดเรื่องพวกนี้นั้น เธอก็เอาแต่สนใจเรื่องของเฉินมู่
เพราะว่าเธอชอบเฉินมู่มาก ดังนั้นก็เลยสนใจเกี่ยวกับแค่เรื่องที่ว่าเฉินมู่อาจจะเป็นลูกสาวของเธอ สำหรับเรื่องที่เธอกับเฉินถิงเซียวเป็นสามีภรรยากันนั้น เธอไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลย……
อย่างไรซะสำหรับเธอแล้ว เฉินถิงเซียวก็เป็นแค่คนแปลกหน้าที่พึ่งจะรู้จักกัน
เดิมทีนึกว่าเฉินถิงเซียวจะไม่สนใจเธอ แต่ไม่คิดว่าเขาจะพูดเตือนแบบนี้ “ทุกคนก็เป็นคนฉลาด ผมเชื่อว่าทุกคนควรจะรู้ว่า อะไรควรพูดกับภายนอก อะไรไม่ควรพูด”
มู่น่อนน่อนก็อึ้งไป แล้วก็เข้าใจในทันที “ฉันเข้าใจ”
เฉินถิงเซียวคือประธานของบริษัทเฉินซื่อ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขามันต่างก็ต้องเกี่ยวข้องกับบริษัทเฉินซื่อ
ถ้าเกิดว่าคนภายนอกรู้ว่าเฉินถิงเซียวสูญเสียความทรงจำไปเมื่อสามปีก่อน มันจะส่งผลกระทบต่อหุ้นของ
ใบหน้าของเฉินถิงเซียวเต็มไปด้วยสีหน้าที่พึงพอใจ “เรื่องนี้ ผมจะให้คนไปจัดการ ถ้าเกิดว่าได้ผลมาแล้ว ผมจะให้คนติดต่อคุณมู่ไป”
พอเขาพูดจบก็หันกลับมามองมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนอึ้งไป ไม่คิดว่าเขาจะตกลงเร็วขนาดนี้ แล้วก็รีบพยักหน้าทันที “ได้ค่ะ”
เฉินถิงเซียวเห็นดังนั้น ก็เลิกคิ้ว แล้วก็จ้องมาที่ใบหน้าของเธอ
มู่น่อนน่อนงุนงเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว น้ำเสียงดูหงุดหงิดเล็กน้อย “คุณมู่ไม่ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ จะให้ผมติดต่อกับคุณทางจิตเหรอครับ? ”
“……”
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ออกมาด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย แล้วก็แลกเบอร์กับสือเย่
ที่จริงแล้วตอนที่สือเย่สืบเกี่ยวกับข้อมูลของมู่น่อนน่อน ก็สืบหาเบอร์โทรของมู่น่อนน่อนได้อยู่แล้ว
สือเย่รู้สึกว่าการที่เฉินถิงเซียวให้มู่น่อนน่อนทิ้งเบอร์โทรศัพท์เอาไว้นั้น มันลึกซึ้งเล็กน้อย
ทันใดนั้น เฉินถิงเซียวก็พูดเสริมอีกประโยคหนึ่ง “ถ้าเกิดว่าคุณมู่ไม่ใช่แม่แท้ๆ ของมู่มู่ แล้วพวกคุณวางแผนจะทำยังไงกันต่อ? ? พลังงานและเวลาของผมมีจำกัด ไม่ใช่ทุกคนที่จะเสียเวลาของผมไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ”
เสิ่นเหลียงได้ยินดังนั้น ก็ยื่นมือไปชี้ที่หัวของตัวเอง แล้วก็ค่อยๆ พูดทีละคำ “ถ้าเกิดว่าฉันพูดโกหก ฉันเอาหัวตัวเองมาเป็นประกันเลย!”
เสิ่นเหลียงตอบอย่างแน่ใจมาก เฉินถิงเซียวได้แต่มองเธอนิ่งๆ
เขาหันไปมองมู่น่อนน่อน แล้วก็พูดอย่างมีสมาธิแน่วแน่ว่า “แล้วคุณมู่ล่ะครับ? ”
มู่น่อนน่อนอึ้งไปเล็กน้อย เธอต้องรับผิดชอบอะไรล่ะ?
เรื่องนี้มันเหมือนจะเป็นเรื่องของเธอกับเฉินถิงเซียวนะ
มู่น่อนน่อนโกรธแต่ก็ยิ้มออกมา “ถ้าเกิดว่ามู่มู่คือลูกสาวของฉัน แล้วคุณเฉินวางแผนจะทำยังไงล่ะคะ? ”
เฉินถิงเซียวหัวเราะ “ต่อให้เป็นลูกสาวของคุณ ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป”
ความหมายของเขานั้นชัดเจนมาก ว่าต่อให้มู่น่อนน่อนเป็นแม่แท้ๆ ของเฉินมู่ เขาก็ไม่มีวันยกเฉินมู่ให้เธอ
มู่น่อนน่อนหัวใจรัดแน่น แต่ก็รู้ดีว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาใส่ใจเรื่องนี้
เธอหันไปมองเฉินมู่ หัวใจอ่อนยวบ
……
อาหารมื้อนี้นอกจากเฉินมู่กับเฉินถิงเซียวสองพ่อลูกกินอย่างดีแล้ว อีกสามคนที่เหลือก็กินไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
ทุกคนต่างก็มีเรื่องในใจให้คิด
คนกลุ่มหนึ่งออกมาจากโรงแรมจีนติ่ง
เสิ่นเหลียงมองมู่น่อนน่อน “เดี๋ยวฉันไปส่งเธอกลับ”
“ฉันก็ไม่ใช่เด็กน้อยนะ ฉันเรียกรถกลับไปเองได้”พอมู่น่อนน่อนพูด สายตาก็เผลอไปมองเฉินถิงเซียว
สายตาของเธอจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเขาเพียงวินาทีเดียว แล้วก็หันไปมองเฉินมู่
มือทั้งสองข้างของเฉินมู่กำลังพยายามปีนขึ้นรถ เขาสั้นพยายามเตะไปมา แต่ว่าเธอก็ยังขึ้นไม่ได้
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ด้านหลังของเฉินมู่ เหมือนกับว่าไม่ได้คิดจะยื่นมือไปประคองเธอเลย
เหมือนกับว่าเฉินมู่เริ่มอารมณ์เสียแล้ว ก็เลยหันหน้าไปมองเขา แล้วตะคอกว่า “พ่อคะ!”
“ครั้งก่อนขึ้นไปยังไง? ”เฉินถิงเซียวไม่ใช่แค่ไม่อุ้มเธอ แต่ว่ายังเอามือกอดอกไว้ ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครสนุกๆ อยู่
เฉินมู่ย่นจมูก พยายามปีนขึ้นรถต่ออย่างไม่เต็มใจ
ในตอนนี้เอง เฉินถิงเซียวก็พูดออกมาอย่างสบายๆ “เดี๋ยวตอนเย็นจะเอาไอติมให้กิน”
เฉินมู่ที่เดิมทีปีนขึ้นรถไม่ได้นั้น ก็พลิกตัวเข้าไปได้ในทันที และก็นั่งบนที่นั่งอย่างรวดเร็ว เบิกตากว้างพร้อมกับมองไปที่เฉินถิงเซียวเพื่อให้แน่ใจ “กินไอติมเหรอคะ? ”
เสิ่นเหลียงที่อยู่ด้านข้างก็เห็นการโต้ตอบระหว่างเฉินถิงเซียวสองพ่อลูก ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “คิคิ”ออกมา พร้อมกับอุทานออกมาว่า “ร้ายแบบนี้ เหมือนเธอเลยนะ? ”
“ไม่รู้ อาจจะเหมือน คุณเฉินก็ได้” มู่น่อนน่อนดึงสายตากลับมา แล้วก็หันไปมองเสิ่นเหลียง “ฉันรู้สึกว่าคุณเฉินดูฉลาดดีนะ”
มู่น่อนน่อนมองแผ่นหลังของมู่หวั่นขี ผ่านไปนานก็ยังไม่ได้พูดอะไร
เสิ่นเหลียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ในที่สุดก็ไปแล้ว”
เธอหันกลับมา เห็นว่ามู่น่อนน่อนยังคงมองไปยังทิศทางที่มู่หวั่นขีหายไป แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นห่วง “น่อนน่อน เธอไม่เป็นไรใช่ไหม? ”
ตอนนี้มู่น่อนน่อนไม่เหมือนกับเมื่อก่อน เธอจำอะไรไม่ได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะตกใจเพราะว่ามู่หวั่นขีก็ได้
เสิ่นเหลียงรู้สึกว่า เธอยังไม่รอบคอบพอ
มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับมา แล้วถามเสิ่นเหลียง “เธอชื่อมู่หวั่นขี เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเหรอ? ”
เสิ่นเหลียงเห็นว่าเธอสงบขนาดนี้ ก็เลยสบายใจ แล้วตอบว่า “พี่สาวต่างแม่ของเธอ”
“แม่ของฉันเป็นแม่เลี้ยงของเธอเหรอ? ”แววตาของมู่น่อนน่อนดูแปลกไปเล็กน้อย
เสิ่นเหลียงพยักหน้า “อืม”
มู่น่อนน่อนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ปกติแล้วแม่เลี้ยงจะไม่ค่อยดีกับลูกติดของสามี มู่หวั่นขีดูท่าทางจะเกลียดฉันมาก หรือว่าแม่ของฉันปฏิบัติกับเธอไม่ดีงั้นเหรอ? ”
เสิ่นเหลียงปากกระตุก เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
เซียวชู่เหอยังดีกับมู่หวั่นขีมากกว่าลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองอีก จะปฏิบัติกับเธอไม่ดีได้ยังไงกัน?
ภายใต้สายตาที่สงสัยของมู่น่อนน่อน เสิ่นเหลียงก็ตอบว่า “เปล่า พูดได้ไม่ค่อยชัดเจนหรอก แต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุด……”
มู่น่อนน่อนเหมือนกับรู้ว่าเธอจะพูดอะไรต่อ ก็เลยตัดบทเธอ “แต่ว่าลี่จิ่วเชียนบอกว่าเขาคือคู่หมั้นของฉัน ฉันรู้สึกว่าเขาไม่ได้โกหกฉัน ถ้าเกิดว่าเขาเป็นคู่หมั้นของฉัน แล้วฉันจะไปเป็นสามีภรรยากับเฉินถิงเซียวได้ยังไงกัน? ฉันไม่ได้บอกว่าเธอโกหกฉันนะ ฉันแค่รู้สึกว่า……”
“คุณน้ามู่”
ทันใดนั้นเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยเฉินมู่ก็ดังขึ้น
มู่น่อนน่อนหันกลับไป ก็เห็นเฉินถิงเซียวกับเฉินมู่กำลังเดินเข้ามา
ใบหน้าของเฉินมู่ดูกระตือรือร้นมาก พยายามออกแรงดึงเฉินถิงเซียวให้เดินมาทางนี้ ขาสั้นๆ ก้าวอย่างไว
ข้างหลังคือเฉินถิงเซียว เขาดูใจเย็นกว่ามาก เขาถูกเฉินมู่ลากอย่างช้าๆ เดินมาที่นี่
มู่น่อนน่อนเห็นเฉินมู่แล้วก็รู้สึกประหลาดใจ “มู่มู่ หนูมาที่นี่ได้ยังไง? ”
“มากินข้าวค่ะ”เฉินมู่เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของมู่น่อนน่อนแล้วก็ปล่อยมือเฉินถิงเซียวในทันที เงยหน้าขึ้นมองมู่น่อนน่อนแล้วก็ตอบคำถามอย่างเชื่อฟัง
พอเสิ่นเหลียงเห็นเฉินถิงเซียว ก็ถอยไปข้างหลังโดยอัตโนมัติ
เฉินถิงเซียวเองก็สังเกตเห็นเสิ่นเหลียงเหมือนกัน
เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้เสิ่นเหลียงบอกว่าซูเหมียนไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเฉินมู่ ไม่คิดว่าเธอจะรู้จักมู่น่อนน่อนด้วยเหมือนกัน
สิ่งต่าง ๆ เริ่มน่าสนใจมากขึ้น
มู่น่อนน่อนนึกถึงคำพูดของเสิ่นเหลียงเมื่อกี้นี้ แล้วตอนที่เห็นเฉินมู่อีกครั้ง อารมณ์ของเธอก็เริ่มซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย
เฉินมู่คือลูกสาวของเธอจริงๆ รึเปล่า?
เธอเคย……เป็นสามีภรรยากับเฉินถิงเซียวอย่างนั้นเหรอ?
พอคิดแบบนี้ สายตาของเธอก็เผลอหันไปมองเฉินถิงเซียว
เธอมองไปที่เฉินถิงเซียวอย่างระมัดระวัง
ไม่ว่าจะมองยังไงก็รู้สึกว่า เฉินถิงเซียวไม่เหมือนกับคนที่น่าจะมีความสัมพันธ์กับเธอได้
แล้วอีกอย่าง เธอยังรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้มีตรงไหนที่ดึงดูดเธอเลย
เหมือนกับว่าสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่น่อนน่อน เฉินถิงเซียวก็เงยหน้าขึ้นมองมู่น่อนน่อนเหมือนกัน
ดวงตาของเขาลึก และดวงตาของเขาเย็นชาและเฉียบแหลมเมื่อมองผู้คน
เฉินมู่ก็เหมือนกับเขา แต่ว่าน่ารักกว่าเยอะ
สือเย่ที่พึ่งจะจอดรถเสร็จ เห็นว่าเสิ่นเหลียงกับมู่น่อนน่อนก็ต่างอยู่ที่นี่ หลังจากมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า: “คุณเสิ่น คุณมู่”
มู่น่อนน่อนก็พยักหน้าให้กับสือเย่ ก็ถือว่าเป็นการทักทายแล้ว
เสิ่นเหลียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “สือเย่?”
เธอไม่รู้ว่าสือเย่ไปเป็นลูกน้องของเฉินถิงเซียวอีกครั้งแล้ว
ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะให้สือเย่กลับมาทำงานเป็นลูกน้องของเขาอีกครั้ง หมายความว่าตอนนี้เฉินถิงเซียวไม่ได้เชื่อใจเฉินจิ่งหยุ้นขนาดนั้นแล้วใช่ไหม?
วันนี้ในเมื่อทุกคนต่างอยู่ที่นี่แล้ว ก็พูดเรื่องนี้ไปเลยดีไหม?
เสิ่นเหลียงคิดได้แบบนี้ ก็ส่งสายตาให้กับสือเย่
สือเย่รับทราบ แล้วก็ก้าวไปด้านหน้า เดินไปหยุดอยู่ด้านข้างเฉินถิงเซียวแล้วก็กระซิบพูดว่า “คุณผู้ชาย ก่อนหน้านี้ผมได้จองห้องส่วนตัวไว้แล้วครับ”
“อืม”เฉินถิงเซียวตอบรับ แล้วก็จูงมือเฉินมู่เดินไป
เฉินมู่บิดมือของเขาพร้อมกับหมุนตัว สะบัดมือของเฉินถิงเซียว แล้วก็เข้าไปจูงมือของมู่น่อนน่อน “หนูอยากอยู่กับคุณน้ามู่”
เฉินถิงเซียวเม้มปาก มองไม่ออกว่าชอบหรือว่าโกรธ
“ตามใจ”
คำง่ายๆ เพียงสองคำ แล้วเฉินถิงเซียวก็หันหลังเดินออกไป
ซึ่งหมายความว่าไม่มีการคัดค้าน
“คุณน้ามู่ ไปกันค่ะ……”เฉินมู่ดึงมือมู่น่อนน่อนอย่างตื่นเต้น แล้วก็เดินตามเฉินถิงเซียวไป
สำหรับเฉินมู่แล้วมู่น่อนน่อนไม่เคยมีการต่อต้าน ไม่นานก็ถูกเฉินมู่ลากไปถึงห้องส่วนตัว
พอเห็นว่าครอบครัวสามคนเข้าไปในห้องส่วนตัว เสิ่นเหลียงก็ดึงสือเย่ไปด้านข้าง “คุณไปเป็นลูกน้องของบอสใหญ่อีกครั้งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เมื่อไม่กี่วันก่อนฉันยังเห็นคุณอยู่ที่บริษัทเสิ้งติ่งอยู่เลย”
สือเย่ตอบ “เป็นเรื่องไม่กี่วันก่อนนี่เองครับ”
“ถ้ายังงั้นคุณได้พูดกับบอสใหญ่ เรื่องระหว่างเขากับน่อนน่อนไหม? ” เสิ่นเหลียงถามด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น
“ตอนนี้ยังครับ แต่ว่าคุณผู้ชายได้สั่งให้ผมไปสืบหาข้อมูลของคุณหญิงน้อย แต่สงสัยว่าข้อมูลของคุณหญิงน้อยได้ถูกคนอื่นมาแตะต้องเรียบร้อยแล้ว”
เสิ่นเหลียงไม่ใช่คนนอก สือเย่ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเธอ
“ใครมาแตะต้อง? ” หลังจากที่เสิ่นเหลียงได้เจอกับมู่น่อนน่อนอีกครั้งนั้น นอกจากดีใจกับอารมณ์เสียว่าจะทำยังไงให้เธอกับเฉินมู่ได้รู้จักกันนั้น ก็แน่นอนว่าไม่ทันได้ระวังเรื่องนี้เลย
สีหน้าของสือเย่ดูจริงจัง “น่าจะเป็นเฉินจิ่งหยุ้น และก็อาจจะเป็นลี่จิ่วเชียนก็ได้เหมือนกัน”
“ลี่จิ่วเชียน ผู้ชายที่เรียกตัวเองว่าเป็นคู่หมั้นของน่อนน่อนอย่างนั้นเหรอ? ”เสิ่นเหลียงมีความรู้สึกต่อลี่จิ่วเชียนค่อนข้างมาก
สือเย่เห็นดังนั้น ก็เอ่ยปากถาม “คุณยังจำเรื่องเมื่อสามปีก่อน ที่คุณหญิงน้อยเคยมีข่าวกับผู้ชายคนหนึ่งได้ไหม? ”
“จำได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่แล้ว” ตอนนั้นเสิ่นเหลียงยุ่งมาก ก็เลยไม่ค่อยแน่ใจเรื่องของมู่น่อนน่อนเท่าไหร่นัก
สือเย่ขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิม “ผู้ชายที่มีข่าวว่าคบกับคุณหญิงน้อยในตอนนั้น ก็คือลี่จิ่วเชียน ตอนนั้นคุณผู้ชายได้ให้ผมไปสืบประวัติของเขา แต่หลังจากนั้นซือเฉิงหยู้ก็สร้างเรื่องขึ้นก่อน เรื่องนี้ก็เลยถูกดองเอาไว้”
“ถ้าพูดแบบนี้แสดงว่า สามปีมานี้ ลี่จิ่วเชียนเคยตามหาน่อนน่อน ความหมายก็คือ ลี่จิ่วเชียนรู้จักน่อนน่อนจริงๆ ”
“ไม่มีใครจะช่วยผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและหมดสติมาเป็นเวลาสามปี ”
เสิ่นเหลียงกับสือเย่เงียบ
เสิ่นเหลียงกัดริมฝีปาก และพูดว่า “ตอนนี้เรื่องที่สำคัญ ก็คือให้พวกเขาจำกันได้”
“ให้ใครจำกันได้?”
เสียงที่ทุ้มต่ำของเฉินถิงเซียวดังขึ้น
เสิ่นเหลียงกับสือเย่ก็หันหน้าไปพร้อมกันในทันที ก็เห็นว่าเฉินถิงเซียวยืนด้วยหน้าตาจริงจังอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนแล้ว
หลังจากที่สือเย่อึ้งไปแป๊บหนึ่ง เขาก็เรียกเบาๆ “คุณผู้ชาย”
สายตาของเฉินถิงเซียวเหลือบมองระหว่างใบหน้าของทั้งสองคน หลังจากนั้นก็ออกคำสั่งว่า “เข้ามา”
สือเย่กับเสิ่นเหลียงสบตากัน แล้วก็เข้าไปด้านใน
เฉินถิงเซียวค่อยๆ เปิดโทรศัพท์ออกช้าๆ แล้วก็เปิดการ์ตูนไว้ตรงหน้าเฉินมู่
พอเฉินมู่ได้โทรศัพท์ ก็เริ่มดูการ์ตูนอย่างสนุกสนาน ตั้งใจเป็นพิเศษ
หลังจากจัดแจงเฉินมู่ให้เข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้ว เฉินถิงเซียวก็หันกลับมามองพวกเขา เสียงของเขาทุ้มลงเล็กน้อย “พูดมา”
เฉินถิงเซียวนั่งพิงเก้าอี้ ขาทั้งสองข้างไขว่ห้าง อิริยาบถสบายๆ คิ้วคม ดูไม่โกรธเคือง
เสิ่นเหลียงขับรถไปรับมู่น่อนน่อนไปที่โรงแรมจีนติ่ง
พอขึ้นรถ มู่น่อนน่อนก็ถามเสิ่นเหลียงทันที “มีอะไรเหรอ? ทำไมสีหน้าถึงดูไม่ดีเลย?”
มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงไม่ค่อยได้ติดต่อกันบ่อยเท่าไหร่นัก แต่ก็มองออกว่าเสิ่นเหลียงเป็นคนมีชีวิตชีวา
แต่ว่าในตอนนี้ สีหน้าของเสิ่นเหลียงนั้นตึงเครียด และดูเหมือนว่าจะประหม่าเล็กน้อย
เสิ่นเหลียงส่ายหน้า “ประหม่านิดหน่อยน่ะ”
เธอคิดไปคิดมา แล้วก็พูดเสริมอีก “ฉันมีเรื่องสำคัญจะพูดกับเธอ เดี๋ยวเธอ……ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยพูดแล้วกัน”
มู่น่อนน่อนเห็นดังนั้น ก็พยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรมากมาย
ทั้งสองคนก็เข้าไปที่โรงแรมจีนติ่งด้วยกัน
เสิ่นเหลียงยื่นเมนูไปตรงหน้ามู่น่อนน่อน “ดื่มอะไรหน่อยไหม? หิวรึเปล่า? ”
ที่จริงแล้วมู่น่อนน่อนไม่หิวแล้วก็ไม่กระหายน้ำด้วย แต่พอเห็นท่าทางประหม่าของเสิ่นเหลียง ก็เลยสั่งกาแฟมาแก้วหนึ่ง
เสิ่นเหลียงลองถามดู “ช่วงนี้เธอจะนึกเรื่องเมื่อก่อนขึ้นได้บ้างไหม? ”
“ไม่เลย” สีหน้าของมู่น่อนน่อนดูนิ่งเรียบ
เธอไปตรวจมาเมื่อไม่กี่วันก่อน หมอบอกว่าร่างกายของเธอหายดีแล้ว
ส่วนเรื่องความจำ เธอจำไม่ได้เลย และหมอก็ช่วยอะไรไม่ได้
ไม่มีความทรงจำเลยแม้แต่นิดเดียว ในใจของมู่น่อนน่อนก็รู้สึกหวาดกลัว เหมือนกับว่าร่างกายลอยอยู่กลางอากาศ รู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริง
บางครั้งเธอก็สงสัยว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
เสิ่นเหลียงเม้มปาก แล้วก็ยื่นโทรศัพท์ไปตรงหน้าของมู่น่อนน่อน “มีความทรงจำอะไรกับคนๆ นี้ไหม? ”
สิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์คือภาพถ่าย และชายในภาพไม่ใช่คนอื่น แต่ว่าเป็นเฉินถิงเซียว
“ฉันรู้จักเขา เฉินถิงเซียว”มู่น่อนน่อนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เธอเอารูปเขาให้ฉันดูทำไมเหรอ? ”
เสิ่นเหลียงละเลยประโยคหลังของเธอไป และพูดด้วยความตกใจ “เธอรู้จักเขาเหรอ? ถ้ายังงั้นเธอยังบอกว่าเธอยังจำอะไรไม่ได้อยู่อีกเหรอ? ”
“ประธานบริษัทบริษัทเฉินซื่อ ใครเคยอ่านข่าวการเงินก็รู้จักเขาหมดแล้วไม่ใช่เหรอ? ” มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเสิ่นเหลียงจะจู้จี้เกินไปแล้ว
เสิ่นเหลียงถาม “แค่นี้เหรอ? ”
“อืม……”มู่น่อนน่อนลังเลยอยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อวานเขาย้ายเข้ามาอยู่ที่คอนโดเดียวกับพวกเรา แล้วก็มีลูกสาวอีกคนหนึ่ง”
“คอนโดของพวกเธอเหรอ? ” เสิ่นเหลียงรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นเครื่องทวนคำพูด ทุกครั้งที่มู่น่อนน่อนพูด เธอก็จะพูดซ้ำอีกครั้งด้วยความตกใจ
มู่น่อนน่อนเห็นว่าเธอประหลาดใจขนาดนี้ ก็พูดตามความจริง “แล้วอีกอย่าง……ก็อยู่ตรงข้ามห้องของพวกเราด้วย”
“อะไรนะ? ” เสิ่นเหลียงยื่นมือออกมาลูบผมของตัวเอง รู้สึกมึนงงไปเล็กน้อย
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
ทั้งสองคนต่างสูญเสียความทรงจำไม่ใช่เหรอ?
เสิ่นเหลียงพยายามตั้งสติให้มั่นคง “ก็หมายความว่าพวกเธอเคยเจอกันแล้วใช่ไหม? ”
“ใช่ไง เมื่อวานพวกเขายังมากินข้าวที่ห้องพวกเราอยู่เลย……”มู่น่อนน่อนนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อคืน ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
แล้วก็เอ่ยปากย้ำเสิ่นเหลียงอีกครั้ง “เรื่องนี้เธอห้ามพูดออกไปเด็ดขาดเลยนะ”
“เธอเห็นลูกสาวเขาแล้วใช่ไหม? น่ารักไหม? ”เสิ่นเหลียงหยิบแก้วน้ำขึ้นมาเขย่าไปมา ปกปิดอารมณ์ในหัวใจของตัวเอง
พอพูดถึงเฉินมู่ มู่น่อนน่อนก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมา “น่ารักมาก”
เสิ่นเหลียงยกน้ำขึ้นมาจิบ ราวกับว่ากำลังตัดสินใจบางอย่าง เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมาก: “นั่นคือลูกสาวของเธอ”
หนึ่งวินาที สองวินาที……
มีความเงียบแปลก ๆ บนโต๊ะอาหาร
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ถึงจะได้เสียงของตัวเองกลับมา
“เสี่ยวเหลียง……นี่เธอกำลังล้อฉันเล่นอยู่ใช่ไหม? ”หลังจากที่มู่น่อนน่อนประหลาดใจอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ว่าเธอก็ไม่ได้เชื่อคำพูดของเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงก็รู้ว่ามู่น่อนน่อนไม่มีทางเชื่อเธอในทันทัหีอก
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “เปล่า สิ่งที่ฉันพูดมันคือเรื่องจริง”
มู่น่อนน่อนเห็นว่าท่าทางของเสิ่นเหลียงเหมือนกับว่าไม่ได้กำลังหลอกเธออยู่ แต่ว่าเรื่องนี้มันฟังแล้วดูเหลวไหล
เฉินมู่คือลูกสาวของเฉินถิงเซียวกับคู่หมั้นของเขา แล้วจะเป็นลูกสาวของเธอได้ยังไงกัน?
เธอกับเฉินถิงเซียว?
แล้วอีกอย่าง เธอก็มีคู่หมั้นของเธอลี่จิ่วเชียน
หรือว่าลี่จิ่วเชียนกำลังหลอกเธออยู่อย่างนั้นเหรอ?
“เฉินมู่คือลูกสาวของฉันงั้นเหรอ? ” มู่น่อนน่อนเม้มปาก หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย เธอก็พูดว่า: “ความหมายของเธอก็คือ ก่อนหน้านี้ฉันกับเฉินถิงเซียวเป็น……”
เสิ่นเหลียงเติมคำต่อมาในทันที “สามีภรรยา”
พลั่ก!
มู่น่อนน่อนบังเอิญทำถ้วยกาแฟตกตรงหน้าเธอ และกาแฟสีน้ำตาลก็เลอะเป็นจุดดำบนผ้าปูโต๊ะตาหมากรุกสีเบจ
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่น่อนน่อนถึงได้เรียกเสียงของตัวเองกลับมาได้ “ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกว่าเธอไม่ได้โกหก แต่ว่าเรื่องที่เธอพูดนั้นมันค่อนข้าง……”
เธอยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงที่คมชัดตัดบทขึ้นมาก่อน
“มู่น่อนน่อน?”
ทันใดนั้นเสียงแหลมของรองเท้าส้นสูงเหยียบพื้นก็ดังขึ้น
เสิ่นเหลียงเงยหน้าขึ้น ก็เห็นมู่หวั่นขีกำลังเดินก้าวยาวเข้ามา
สายตาของเธอล็อกไปที่มู่น่อนน่อน ความเกลียดชังเต็มอยู่ในดวงตาของเธอ
เสิ่นเหลียงอดไม่ได้ที่จะอุทานคำหยาบออกมา “เชอะ! เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
มู่น่อนน่อนหันกลับมา ก็เห็นผู้หญิงที่แต่งหน้าจัดหนักเดินเข้ามาหาเธออย่างดุดัน
ตอนที่มู่หวั่นขีเห็นใบหน้าของมู่น่อนน่อนนั้น ก็เบิกตาโพลงขึ้นมาในทันที เดิมทีเธอก็แต่งตาเข้มมากอยู่แล้ว ทำให้ใบหน้าของเธอดูดุร้ายมากกว่าเดิม
“นี่เธอยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอ? ยังมีชีวิตอยู่? ” มู่หวั่นขีเดินมาอยู่ตรงหน้า แล้วก็ยื่นมือออกมาคว้าเสื้อของมู่น่อนน่อนเอาไว้ ความเกลียดชังในดวงตาของเธอดูเหมือนจะเล็ดลอดออกมา
มู่น่อนน่อนจำไม่ได้ว่าเธอคือใคร แต่ความรู้สึกขยะแขยงในกระดูกของเธอทำให้เธอรู้ว่า ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเธอเคยมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับเธอมาก่อน
เสิ่นเหลียงยืนขึ้น พร้อมกับยื่นมือมาผลักมู่หวั่นขีออก “มู่หวั่นขี เธอจะทำอะไร!”
มู่หวั่นขีไม่ทันป้องกัน แถมแรงของเสิ่นเหลียงก็ค่อข้างเยอะ ทำให้เธอถูกผลักจนล้มลงไปที่พื้น
แต่ว่าสายตาของมู่หวั่นขียังคงจับจ้องไปที่มู่น่อนน่อน พร้อมกับเสียงที่แหลมคม “เฉินถิงเซียวไม่ตาย เธอก็ยังไม่ตาย! ทำไมพวกแกยังไม่ตายกัน แต่ว่าคนที่ตายกลับเป็นเขา!”
มู่น่อนน่อนไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูด แต่ว่าเธอสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังที่มู่หวั่นขีมีต่อเธอ
เสิ่นเหลียงเห็นว่ามู่หวั่นขีกำลังโกรธมาก “ซือเฉิงหยู้รนหาที่ตายเอง ไม่มีใครติดหนี้เขา และไม่มีใครติดหนี้เธอด้วย!”
มู่หวั่นขีไม่สนใจเสิ่นเหลียงเลย สายตาของเธอยังคงจับจ้องไปที่มู่น่อนน่อนเหมือนกับงูพิษ “พวกแกจะไม่มีใครมีชีวิตได้อย่างราบรื่นทั้งนั้น พวกแกต้องชดใช้”
เสิ่นเหลียงยืนบังอยู่ตรงหน้ามู่น่อนน่อน “มู่หวั่นขี ถ้าเธอประสาทก็ไปรักษาตัวเอง อย่ามาเป็นบ้าอยู่ที่นี่!”
ตอนนี้เอง ผู้จัดการของมู่หวั่นขีก็รีบตามเข้ามา
“หวั่นขี นี่เธอทำอะไรเนี่ย!” ผู้จัดการรีบเข้ามาดึงมู่หวั่นขีให้ลุกขึ้นมาจากพื้น “เธอไม่กลัวถูกถ่ายรูป แล้วเอาไปแบล็คเมล์อีกครั้งเหรอ”
“ก็ปล่อยให้พวกมันแบ็คเมล์ไปสิ พวกนั้นนอกจากจะพ่นน้ำลายในอินเทอร์เน็ตแล้วยังจะทำอะไรฉันได้อีก”มู่หวั่นขีลุกขึ้นจากพื้นด้วยใบหน้าที่ไม่แยแส
ผู้จัดการรีบจัดเสื้อผ้าให้เธอในทันที
เพราะว่าอยู่ในวงการบันเทิงเหมือนกัน ผู้จัดการของมู่หวั่นขีเองก็รู้จักเสิ่นเหลียง แล้วก็เอ่ยปากทักทาย “คุณเสิ่น”
เสิ่นเหลียงยิ้มอย่างฝืนๆ “ดูแลศิลปินตัวเองให้ดีด้วยนะคะ”
ผู้จัดการยิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ดึงมู่หวั่นขีแล้วเดินออกมา
ก่อนที่มู่หวั่นขีจะไป ก็หันกลับมามองมู่น่อนน่อน สายตาเต็มไปด้วยความดุร้าย
เฉินถิงเซียวรับอาหาร แล้วก็มองที่รายการ
แล้วก็พบว่าในใบรายการนั้นมีอาหารเด็กอยู่ชุดหนึ่ง
พนักงานส่งอาหารเห็นว่าเฉินถิงเซียวรับอาหารไปแล้ว หลังจากพูดคำว่า “ทานให้อร่อย” ก็กลับไปในทันที เขายังต้องไปส่งออเดอร์อื่นต่อ
เฉินถิงเซียวไม่ได้ปิดประตูในทันที แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองประตูห้องตรงข้ามที่ปิดสนิท
นอกจากผู้หญิงที่ชื่อมู่น่อนน่อน ไม่มีคนอื่นที่สามารถสั่งอาหารมาให้เขากับเฉินมู่ได้ในเวลานี้หรอก
เธอเป็นผู้หญิงที่เอาใจใส่และอ่อนโยนมาก
เฉินถิงเซียวยกริมฝีปากขึ้น รอยยิ้มล้นเอ่อในดวงตาของเขา
เขากับเฉินมู่กินข้าวกันตั้งนานแล้ว เขาหยิบกล่องอาหารขึ้นมาแล้วอยากจะโยนทิ้ง
แต่ว่าทันใดนั้นก็มีภาพใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้หญิงคนนั้นปรากฏขึ้นมา เขาก็ยื่นมือไปเก็บมันกลับมา พร้อมกับเอาอาหารในมือไปแช่ไว้ในตู้เย็น
ก่อนที่จะนอน เขาก็ไปดูเฉินมู่อีกครั้ง ถึงจะกลับห้องของตัวเอง
……
“เฉินถิงเซียว นายกลับมาแล้ว”
มีเสียงตื่นเต้นของผู้หญิงดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบา เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ในลานคฤหาสน์หลังหนึ่ง
คฤหาสน์นั้นล้อมรอบไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม เหมือนกับถูกสร้างอยู่บนไหล่เขา
ผู้หญิงที่พึ่งเรียกเขาเมื่อกี้นี้ ก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง “มองอะไร? รีบมากินข้าวสิ”
เขาเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นผู้หญิงร่างผอมบางกำลังเดินเข้ามาหาเขา
ผู้หญิงคนนั้นสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว ก้าวเดินอย่างแผ่วเบา ดูวัยรุ่นมาก
หญิงสาวคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเฉินถิงเซียวก็เห็นใบหน้าของเธออย่างชัดเจน
เฉินถิงเซียวเรียกเบาๆ “มู่น่อนน่อน?”
“ฉันทำผัดผักกับเนื้อตุ๋นไว้ให้……แต่ว่าช่วงนี้คุณงานยุ่งเกินไป ฉันก็เลยใส่พริกไม่เยอะ คุณต้องกินเบาๆ หน่อย……”
มู่น่อนน่อนเดินเข้ามาจับข้อมือของเขาเอาไว้ มองเขาด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองดูสนิทกันมาก
จู่ๆ ภาพก็เปลี่ยนไป
เขาไม่อยู่ในลานบ้านอีก และมู่น่อนน่อนก็ไม่อยู่แล้ว
เขามองไปรอบๆ และพบว่ามันคืออยู่ในห้องนอน
มีเสียงน้ำในห้องน้ำดัง “จ๊อกๆๆ ”
แต่ไม่นานเสียงน้ำก็หยุดลง
มู่น่อนน่อนเดินออกมาพร้อมกับห่อผ้าขนหนู ใบหน้าที่ขาวซีดของเธอแดงเพราะน้ำร้อน และแม้แต่ไหล่และแขนที่เปลือยเปล่าก็ยังเปล่งประกายด้วยสีชมพูพีชอ่อนๆ
เหมือนกับว่าสัมผัสได้ถึงสายตาของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนก็ยื่นมือมาบังอย่างเขินอาย “ลืมเอาชุดนอนเข้าไปด้วย……”
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปหาเธออย่างไม่สามารถควบคุมได้ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและแหบพร่า “ไม่ต้องใส่แล้ว ยังไงอีกเดี๋ยวก็ต้องถอดอยู่ดี”
หลังจากนั้น ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาจะมีจิตสำนึกของตัวเอง โยนมู่น่อนน่อนลงบนเตียงในทันที
ถึงแม้ว่ามู่น่อนน่อนจะเขินอาย แต่ว่าก็ไม่ได้ขัดขืน
เขาดึงผ้าเช็ดตัวของเธอออก แล้วก็คลุมเอาไว้
ผมยาวเหมือนน้ำตกกระจายอยู่บนหมอน ผิวของเธอบอบบางและขาว ดวงตาแมวคู่หนึ่งเปล่งประกายด้วยหยดน้ำ และเธอก็เรียกชื่อเขาเบาๆ
“ฉินถิงเซียว……ช้า……”
“ช้าไม่ไหวแล้ว……”
“เฉินชิงเซียว!”
เฉินถิงเซียวเบอกตาโพลงขึ้นมาในทันที แล้วก็เห็นเฉินมู่อยู่ตรงหัวของตัวเอง
เฉินมู่ก้มหน้ามองเฉินถิงเซียว “ตื่นได้แล้วค่ะ หนูหิวมากเลย”
พร้อมกับคำพูดของเธอ ท้องก็ร้องครวญครางสองครั้ง
เฉินถิงเซียวดึงเสื้อด้านหลังของเฉินมู่ แล้วก็ยกเธอไปไว้ด้านข้าง พร้อมกับลุกขึ้นนั่ง
ที่แท้ก็เป็นแค่ความฝัน
ครั้งก่อนตอนที่เขาส่งมู่น่อนน่อนกลับไปนั้น ก็รู้สึกว่าเขาคิดว่ามู่น่อนน่อนน่าสนใจ
ความฝันนี้ ทำให้เขาเข้าใจว่า เขารู้สึกยังไงกับมู่น่อนน่อนกันแน่
นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“พ่อ”
เฉินถิงเซียวรู้สึกได้ว่ามีคนดึงผ้าห่มของเขาอยู่
พอก้มหน้าไปดู ก็พบว่าเฉินมู่กำลังจะเปิดผ้าห่มของเขาออก
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที เขายื่นมือไปจับผ้าห่มเอาไว้ แล้วก็ยกเฉินมู่ลงจากเตียงพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ตอนนี้ หนูเดินออกไปรอพ่อข้างนอกก่อน”
เฉินมู่:“อ้อ”
พอเธอออกไป เฉินถิงเซียวก็ล็อกประตู แล้วก็เข้าไปในห้องน้ำ
……
กว่าเฉินถิงเซียวจะจัดแจงตัวเองเสร็จและออกมานั้น ก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว
เฉินมู่ผมเผ้ายุ่งเหยิง นั่งพึมพำกับของเล่นอยู่ที่หน้าประตูห้องเขา
เฉินถิงเซียวพาเธอไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนที่หวีผมให้เธออยู่นั้น ก็เกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย
เขาจ้องไปที่ผมที่สลวยของเฉินมู่อยู่หลายวินาที แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ผมคลุมไหล่ได้สวยงามมาก”
เฉินมู่พูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น “อยากมัดผมเปีย”
เฉินถิงเซียวพูดด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “ผมเปียไม่สวย”
เฉินมู่หันกลับไปมองเขา บิดนิ้วพร้อมกับทำท่าทางเหมือนกับว่า “หนูมองออก” พร้อมกับพูดเสียงดังว่า “พ่อถักเปียไม่เป็น!”
เฉินถิงเซียว:“……”
กิ๊ง——
“ไปเปิดประตูก่อนนะ”เฉินถิงเซียวลุกขึ้นไปเปิดประตู
คนที่มานั้นก็คือสือเย่ แถมยังเอาอาหารเช้ามาด้วย
“คุณลุงสือเย่” เฉินมู่เห็นอาหารเช้าดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาในทันที เธอรีบวิ่งเข้าไปกอดขาของสือเย่
สือเย่ยิ้ม “สวัสดีตอนเช้ามู่มู่”
หลังจากที่เขาเอาอาหารมาให้ทั้งสองคนแล้ว จู่ๆ เฉินถิงเซียวก็พูดขึ้นมาว่า “ไปสืบเกี่ยวกับเรื่องมู่น่อนน่อนมาหน่อย”
เฉินมู่มีความรู้สึกต่อสามคำที่ว่า “มู่น่อนน่อน” พอได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมา “หืม? ”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร แล้วก็ป้อนนมให้เธอดื่ม
ความสนใจของเด็กน้อยสามารถเบี่ยงเบนได้อย่างง่ายดายมาก
……
หลังจากเฉินถิงเซียวย้ายมาอยู่ที่นี่นั้น ก็ไม่ได้จ้างคนรับใช้ ก็เลยต้องพาเฉินมู่ไปบริษัทด้วย
ตอนที่ออกจากบ้านนั้น เขาก็ได้เจอมู่น่อนน่อนที่พึ่งกลับมาจากการไปซื้ออาหารมา
เฉินมู่ใบหน้าดูตื่นเต้น “คุณน้ามู่”
“สวัสดีตอนเช้าจ้ะมู่มู่”
มู่น่อนน่อนยิ้มให้เฉินมู่ แล้วก็หันหน้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เห็นว่าเฉินถิงเซียวกำลังมองเธออยู่อย่างไม่กะพริบตา
มู่น่อนน่อนใบหน้าดูตกใจ แล้วก็พยักหน้าให้เฉินถิงเซียว พร้อมกับเอ่ยปากเรียก “คุณเฉิน”
“อืม”เฉินถิงเซียวตอบรับอย่างเย็นชา แล้วก็พาเฉินมู่เข้าลิฟต์ไป
หลังจากที่พวกเขาไปแล้ว มู่น่อนน่อนก็ส่ายหน้า เฉินถิงเซียวช่างเป็นคนที่เข้าใจยากจริงๆ
เมื่อคืนเธอสั่งอาหารให้กับพวกเขา เฉินถิงเซียวน่าจะเอาให้เฉินมู่กินแล้วสินะ
มู่น่อนน่อนรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองจะให้ความสนใจกับสองพ่อลูกนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะชอบเฉินมู่มาก……
ช่างเถอะ ไม่อยากคิดเยอะแล้ว
หลังจากมู่น่อนน่อนถึงบ้าน ก็ได้รับสายจากเสิ่นเหลียง
“น่อนน่อน ฉันมีเรื่องสำคัญอยากจะพูดกับเธอ”น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงดูจริงจังมาก
“เมื่อไหร่ ที่ไหน? ”หลังจากสัมผัสประสบการณ์ครั้งก่อนในห้างแล้ว มู่น่อนน่อนก็ระมัดระวังตัวมาก
หลังจากที่เธอออกจากโรงพยาบาล เธอก็ไม่ดูหนังหรือว่าละครเลย ดังนั้นก็เลยไม่รู้ว่าเสิ่นเหลียงเป็นศิลปิน
เสิ่นเหลียงพูด “เดี๋ยวฉันไปรับ”
เสิ่นเหลียงวางสาย แล้วก็ขับรถไปหามู่น่อนน่อน
เธอคิดอยู่ทั้งคืน ก็รู้สึกว่าควรจะเล่าเรื่องในอดีตให้มู่น่อนน่อนฟัง
มู่น่อนน่อนมีสิทธิที่จะต้องรู้ ว่าเธอมีลูกสาว
ลี่จิ่วเชียนคนนั้นไม่รู้ว่าเขามีแผนการอะไรอยู่ แต่รู้สึกว่ามันต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เฉินถิงเซียวนั่งพิงเก้าอี้ น้ำเสียงดูไม่ใส่ใจเป็นอย่างมาก “ไม่ต้องสนใจพ่อ ลูกกินไปเลย”
เฉินมู่แฉเขาอย่างไรความปรานี “แต่เหมือนว่าพ่อกำลังโกรธ……”
เธอพูดไปด้วย ขณะหยิบซี่โครงจากจานอาหารค่ำส่งเข้าปากเขาไปด้วย
ซี่โครงนี้คือสิ่งที่มู่น่อนน่อนึ่งจะคีบให้เธอ
เฉินมู่ใช้ตะเกียบไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ก็เลยใช้มือ กัดจนปากมันไปหมด
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเธอ เอื้อมมือออกไปม้วนแขนเสื้อขึ้น
เฉินมู่ยื่นซี่โครงอีกครึ่งชิ้นที่เหลือของตัวเองไปตรงหน้าเฉินถิงเซียว ท่าทางดูไม่อยากจะให้ “เนื้อเนื้อ น่ากินๆ ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร ได้แค่หันหน้าไปทางอื่น ปฏิเสธแบบไร้เสียง
เฉินมู่เห็นว่าเขาไม่กิน ก็รีบเก็บกลับมาในทันที แล้วก็กล่าวอย่างคลุมเครือว่า “ให้พี่สาวสุดสวยให้พ่อกิน”
คำว่า “คีบ”ถูกเธอละทิ้งไป
เฉินถิงเซียวแก้ไขให้เธอ “คุณน้า”
เฉินมู่ทำตามคำแนะนำ “คุณน้าสุดสวย”
มู่น่อนน่อนเห็นการโต้ตอบระหว่างพ่อกับลูกสาว ปากก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมา
ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะละเอียดรอบคอบไม่พอ แต่ว่าเขาก็ตั้งใจดูแลเฉินมู่อย่างดี
แต่ว่า เฉินมู่คือเด็กน้อยที่ไว้หน้าคนอื่น คำเรียกของเธอหนีไม่พ้นคำว่า “สวย” คำนี้
เฉินมู่กินซี่โครงในมือจนเสร็จ แล้วก็ดูดนิ้วพร้อมกับหันไปมองมู่น่อนน่อน ใบหน้าไร้เดียงสา “คุณน้าสุดสวยเอาเนื้อให้พ่อหน่อยค่ะ”
บรรยากาศดูกระอักกระอ่วนขึ้นในทันที
มู่น่อนน่อนไม่มีทางรู้สึกว่า เฉินถิงเซียวคือคนที่ปล่อยให้คนอื่นคีบอาหารให้ได้มั่วซั่ว
น่าจะเพราะว่าความรู้สึกของระยะห่างค่อนข้างจะชัดเจน มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า แค่การที่ตัวเองนั่งกินข้าวกับเฉินถิงเซียวก็แปลกพอแล้ว อย่าพูดถึงการคีบอาหารให้เขาเลย
“พ่อของหนูอยากกินอะไร เขาก็คีบเองได้ หนู……”
เดิมมู่น่อนน่อนอยากจะผ่อนคลายบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนนี้ ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ เฉินถิงเซียวจะพูดขึ้นมา “มู่มู่ พ่ออยากกินซี่โครง”
ถึงแม้ว่าคำพูดของเขาจะพูดกับเฉินมู่ แต่ว่ามู่น่อนน่อนกลับรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังพูดอยู่กับตัวเอง
บรรยากาศยิ่งกระอักกระอ่วนขึ้นไปกันใหญ่
“หา? ” เฉินมู่มองมือที่มันเยิ้มของตัวเอง ใบหน้าของเด็กน้อยดูทำอะไรไม่ถูก “สกปรก”
ทันใดนั้นลี่จิ่วเชียนก็พูดขึ้นมา “ความสัมพันธ์ระหว่างคุณเฉินกับลูกดีมากเลยนะครับ คิดว่า คุณน่าจะรักแม่ของเด็กมากเลยนะครับ”
ดวงตาของเฉินถิงเซียวมีหมอกหนาทึบขึ้นมาในทันที พร้อมกับพูดอย่างเย้ยหยัน “ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของคุณลี่กับคุณมู่ จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักนะครับ”
สีหน้าของลี่จิ่วเชียนไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ว่าไม่ได้มีท่าทีเหมือนกับว่าจะยอมแพ้ “ดูไม่ออกเลยนะครับ ว่าคุณเฉินมีงานอดิเรกชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นด้วย”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเขานั้นมืดมิด “ไม่เท่ากับการที่คุณลี่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นหรอกครับ”
ลี่จิ่วเชียนสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาโกรธมากแต่กลับยิ้มออกมา “ที่คุณเฉินพูดก็ถูก”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ไปสนใจลี่จิ่วเชียนอีก หันหน้าไปมองเฉินมู่ ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าเสียงก็เบากว่าเดิมลงมาก “กินอิ่มรึยัง? ”
เฉินมู่สัมผัสได้ว่าบรรยากาศดูไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ก็พยักหน้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง “กินอิ่มแล้วค่ะ”
“ถ้ายังงั้นก็กลับได้แล้ว”เฉินถิงเซียวยื่นมือไปอุ้มเธอขึ้นมา แล้วก็หันไปมองลี่จิ่วเชียนไปมู่น่อนน่อน “ขอบคุณสำหรับการต้อนรับนะครับ”
พอเห็นว่าเฉินถิงเซียวออกมาแล้ว มู่น่อนน่อนถึงได้เอ่ยปากถามลี่จิ่วเชียนด้วยสีหน้าที่แปลกประหลาด “นายกับคุณเฉินเป็นอะไรกัน? เมื่อก่อนเคยไม่พอใจกันงั้นเหรอ? ”
ตอนที่เฉินถิงเซียวเข้ามาในบ้านนั้น ผู้ชายทั้งสองคนนี้ก็ยังดูปกติดีมากอยู่เลย
เธอก็แค่เข้าไปตักอาหารในครัว ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้?
แล้วอีกอย่าง แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยเห็นลี่จิ่วเชียนใช้น้ำเสียงที่แหลมคมแบบนี้พูดกับใครมาก่อนเลย เห็นได้ชัดว่าเขากำลังโกรธ
ลี่จิ่วเชียนคลี่ยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก กินข้าวกันเถอะ”
มู่น่อนน่อนมองออกว่าลี่จิ่วเชียนไม่อยากจะเจาะลึกเข้าไปในหัวข้อนี้
ยิ่งเขาเป็นแบบนี้ มู่น่อนน่อนยิ่งรู้สึกว่า เมื่อก่อนลี่จิ่วเชียนน่าจะรู้จักกับเฉินถิงเซียว หรือไม่ก็เคยมีเรื่องขัดแย้งอะไรกับเฉินถิงเซียว
เขาไม่อยากพูด เธอก็ไม่ถามมาก
สายตาของเธอไปตกอยู่ที่จานของเฉินมู่ ในนั้นมีซี่โครงอยู่แค่ชิ้นเดียวเอง
ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวบอกว่าพวกเขายังไม่ได้กินข้าวกัน
เฉินถิงเซียวทำอาหารไม่เป็นอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้เธอก็เคยไปที่บ้านของพวกเขา เหมือนกับว่าไม่มีคนใช้ที่สามารถทำอาหารให้พวกเขาได้ด้วย
กลางคืนยาวนานขนาดนี้ เฉินมู่จะไม่กินอะไรไม่ได้นะ
หรือว่าอีกเดี๋ยวเธอแบ่งอาหารไปให้พวกเขาหน่อยดีไหม?
ไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้น ลี่จิ่วเชียนก็จะยิ่งโกรธ
ต่อให้ลี่จิ่วเชียนไม่ได้แสดงออกมา แต่ว่าในใจของเขาก็ต้องรู้สึกไม่ดีอย่างแน่นอน
ในเวลาแบบนี้ เธอควรจะอยู่ฝั่งลี่จิ่วเชียนสิถึงจะถูก
“ทำไมไม่กินล่ะ?”
เสียงของลี่จิ่วเชียนดึงความคิดของมู่น่อนน่อนกลับมา
“ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”มู่น่อนน่อนยืนขึ้น หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากโต๊ะอาหารแล้วก็ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ
ลี่จิ่วเชียนสังเกตเห็นท่าทางเล็กน้อยของเธอ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไร
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ไปเข้าห้องน้ำ หลังจากล็อกประตูแล้ว ก็เปิดแอพสั่งอาหาร
คนอย่างเฉินถิงเซียว ต้องไม่เคยสั่งอาหารด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าสั่งอาหารแบบเดลิเวอรี่คืออะไร
เธอเลือกร้านอาหารที่ดูชั้นสูงหน่อย สั่งอาหารชุดหนึ่งสำหรับเด็กและชุดหนึ่งสำหรับผู้ใหญ่ กรอกเลขที่บ้านของเฉินถิงเซียวเข้าไป แล้วก็ถอนหายใจยาวออกมา
เฉินมู่ไม่จำเป็นต้องหิวแล้ว
……
เฉินถิงเซียวพาเฉินมู่กลับไปที่ห้องตรงข้าม
พอเข้าบ้านมา เฉินมู่ก็ขยันขันแข็ง หยิบรองเท้าของเธอกับเฉินถิงเซียวออกมาให้
ปากยังคงพึมพำ “นี่คือของเฉินชิงเซียว นี่คือของมู่มู่……”
ทันใดนั้น เธอก็ดึงกางเกงของเฉินถิงเซียวอย่างตื่นเต้นและพูดว่า “พ่อคะ คุณน้าสุดสวยก็นามสกุลมู่ พ่อนามสกุลเฉิน หนูก็มู่ เธอก็มู่……พวกเรานามสกุลมู่เหมือนกัน”
เฉินถิงเซียว:“……”
เขาโน้มตัวลง แล้วก็ยกเฉินมู่ขึ้นมาด้วยมือเดียว
เฉินถิงเซียววางเธอบนตู้รองเท้า แล้วก็ถามเธอด้วยใบหน้าที่จริงจัง “เกลียดคุณลุงลี่คนนั้นไหม? ”
ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมพ่อต้องจริงจังขนาดนั้น เฉินมู่ที่เป็นผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ ก็เอามือไขว้ไว้ด้านหลัง แล้วก็ส่ายหน้าอย่างจริงจัง “คุณลุงลี่ชมว่าหนูเยี่ยม”
เฉินถิงเซียวหน้าตามืดมน “ชมลูกก็ไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีนะ”
เฉินมู่มองเขาตาโตพร้อมกับกะพริบตาปริบๆ “อะไรคือคนดี? ”
พ่อลูกมองหน้ากันสักพัก และสุดท้ายก็จบสิ้นการมองตากันเพราะว่าเฉินมู่เริ่มง่วง
เฉินถิงเซียวพูดอย่างสูญเสียความมั่นใจเล็กน้อยว่า “ช่างเถอะ”
เขาอาบน้ำให้เฉินมู่ แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกับพาเธอขึ้นเตียง หลังจากนั้นก็นั่งตกอยู่ในภวังค์คนเดียวอยู่ในห้องนั่งเล่น
ทั้งๆ ที่พึ่งเคยเจอลี่จิ่วเชียนเป็นครั้งแรก แต่ทำไมเขาถึงได้เกลียดลี่จิ่วเชียนขนาดนั้น
พอเห็นว่าลี่จิ่วเชียนกับมู่น่อนน่อนนั่งอยู่ด้วยกัน ก็รู้สึกขวางหูขวางตา
ตอนแรกเขาคิดว่าเขาเกลียดเพราะว่าตัวของลี่จิ่วเชียนเอง แต่ว่าเฉินมู่กลับไม่ได้เกลียดเขา
เขาเชื่อในสัญชาตญาณของเด็ก
กิ๊ง——
ด้านนอกมีเสียงกดกริ่ง
เฉินถิงเซียวมองดูเวลา นี่มันสี่ทุ่มกว่าแล้ว
ดึกขนาดนี้ ใครยังจะมาได้อีก?
ตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มเลี้ยงเฉินมู่ด้วยตัวเอง ก็รู้สึกว่าสี่ทุ่มก็เป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว
เขาเดินไปเปิดประตูห้อง
พนักงานส่งอาหารยื่นอาหารให้เขากล่องหนึ่ง “คุณเฉิน อาหารของคุณครับ”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว “ผมไม่ได้สั่ง”
พนักงานได้ยินดังนั้นก็พูดว่า “แต่ว่านี่มันเขียนที่อยู่ของคุณไว้นะครับ หรือว่าเพื่อนของคุณสั่งให้? ”
เมื่อกี้เฉินถิงเซียวก็หิวน้ำเหมือนกัน ยื่นมือไปรับขวดน้ำ แล้วก็ดื่มลงไปหนึ่งอึก
พอเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นสีหน้าของมู่น่อนน่อนที่เหมือนมีอะไรอยากจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด เขาก็ก้มหน้าลงมองขวดน้ำ เหมือนกับว่าพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้นก็เอ่ยปากถามเฉินมู่ “น้ำจากไหนเนี่ย? ”
เฉินมู่ชี้ไปที่ห้องน้ำ ใบหน้าดูใสซื่อ “น้ำจากตรงนั้นค่ะ ตรงนั้นมีน้ำเยอะมากเลย พ่อยังอยากดื่มอีกไหมคะ? ”
วันปกติเฉินมู่อยู่ที่บ้านได้รับการปฏิบัติเหมือนกับเจ้าหญิงน้อย คนใช้ล้อมรอบตัวเธอ เธอจะรู้ที่ไหนกันว่าน้ำอะไรดื่มได้ดื่มไม่ได้
เฉินถิงเซียวเม้มปาก สีหน้าดูมืดมน “ต่อไปห้ามไปเอาน้ำตรงนั้นมาดื่มอีกเข้าใจไหม? ”
เฉินมู่เบะปาก “ทำไมล่ะคะ? พี่สาวสุดสวยบอกว่ามันอร่อยมากเลยนะ”
มู่น่อนน่อนก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่า เมื่อกี้เฉินมู่ก็ใช้น้ำแก้วนี้เอาน้ำให้เธอดื่มเหมือนกัน……
ถ้ายังงั้นเธอกับเฉินถิงเซียวก็เท่ากับว่า……จูบกันทางอ้อมอย่างนั้นเหรอ?
ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวก็คิดถึงเรื่องนี้เหมือนกันรึเปล่า เขาหันมามองเธอด้วยสายตาคลุมเครือ
มู่น่อนน่อนรีบหันหน้าไปทางอื่นทันที “คือว่า……คู่หมั้นของฉันน่าจะใกล้กลับมาแล้ว ฉันไปรอเขาก่อนนะ”
พอพูดจบ เธอก็เร่งรีบเดินออกไปในทันที
ที่เธอไม่รู้ก็คือ ตอนที่เธอกำลังพูดอยู่นั้น สายตาของเฉินถิงเซียวเอาแต่มองมาที่ริมฝีปากของเธอตลอด
……
มู่น่อนน่อนออกมาจากประตูบ้านของเฉินถิงเซียว ก็เอาหัวพิงกำแพงแล้วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ทำไมตอนยืนอยู่ต่อหน้าเฉินถิงเซียวถึงได้ตื่นเต้นขนาดนั้น
ก็แค่กินน้ำแก้วเดียวกันไม่ใช่เหรอ?
ทำไมเธอรู้สึกเหมือนว่าหัวใจของเธอมันจะหลุดออกมาอยู่แล้ว
ปกติขนาดอยู่กับลี่จิ่วเชียนทั้งวันทั้งคืนเธอยังไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย
แล้วอีกอย่าง เฉินถิงเซียวที่เป็นผู้ชายนิสัยเย็นชาสุดชีวิต แถมยังมีลูกสาวนอกสมรสอีก เขาดีกว่าลี่จิ่วเชียนตรงไหนกัน?
พอผ่านไปครู่หนึ่ง มู่น่อนน่อนก็สงบลง แล้วก็เห็นลี่จิ่วเชียนเดินออกมาจากลิฟต์
ลี่จิ่วเชียนเห็นเธอก็รีบก้าวยาวเข้ามาทันที พร้อมกับถามด้วยความเป็นห่วง “ไปไหนมา? เมื่อกี้กลับบ้านแล้วเห็นว่าโทรศัพท์กับกุญแจเธอยังอยู่ที่นั่น ฉันก็เลยไปถามที่ร้านสะดวกซื้อ”
ลี่จิ่วเชียนกับมู่น่อนน่อนต่างก็เป็นคนที่หน้าตาโดดเด่น การเข้าออกของทั้งสองคนในคอนโด เจ้าของร้านสะดวกซื้อตรงหน้าประตูคอนโดต่างก็รู้จักเขา
มู่น่อนน่อนนึกถึงน้ำแก้วนั้น แล้วก็หลบตาด้วยความรู้สึกผิด “ลืมเอากุญแจมาด้วย เมื่อกี้อยู่ที่บ้านเพื่อนบ้าน”
ลี่จิ่วเชียนยกยิ้มมุมปาก “ประมาทขนาดนั้นเหรอ? ดูท่าทางแล้วเธอไม่มีฉันไม่ได้นะเนี่ย”
ตอนนี้เอง ห้องด้านข้างก็เปิดออก
มู่น่อนน่อนกับลี่จิ่วเชียนหันหน้าไปพร้อมกัน ก็เห็นเฉินถิงเซียวใส่ชุดอยู่บ้านสีดำทั้งชุดและยืนอยู่ตรงทางเดิน
ลี่จิ่วเชียนที่กำลังจะยื่นมือไปจูงมู่น่อนน่อนนั้นก็หยุดลงในทันที “คุณเฉิน”
“ที่แท้คุณเฉินก็เป็นเพื่อนบ้านคนใหม่ของเรานั่นเอง”
ไม่รู้ว่ามู่น่อนน่อนเข้าใจผิดไปเองรึเปล่า เธอรู้สึกว่าน้ำเสียงของลี่จิ่วเชียนไม่ได้มีความตกใจ แถมยังดูเหมือนคาดการณ์เอาไว้แล้วยังไงยังงั้น
เฉินถิงเซียวยืนกอดอกอยู่ตรงนั้น พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ไม่คิดว่าจะกลายเป็นเพื่อนบ้านของพวกคุณ แปลกใจมากเลย”
“หวังว่าจะมีโอกาสได้รวมตัวกันนะครับ พวกเรากลับบ้านไปกินข้าวกันเถอะ”ลี่จิ่วเชียนพูด แล้วก็ยิ้มให้มู่น่อนน่อนอย่างอ่อนโยน พร้อมกับจูงมือของเธอ
มู่น่อนน่อนกำมือของเธอ ลี่จิ่วเชียนทำได้เพียงแค่กุมหลังมือของเธอเอาไว้เท่านั้น
นี่คือการปฏิเสธทางกายภาพ ทุกครั้งที่ลี่จิ่วเชียนได้สัมผัสกับเธอ ร่างกายของเธอจะปฏิเสธทางกายภาพโดยอัตโนมัติ
เมื่อก่อนในเวลาแบบนี้ ลี่จิ่วเชียนก็ปล่อยมืออย่างเป็นสุภาพบุรุษ
แต่ว่าครั้งนี้ ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะต่อสู้ ไม่เพียงแค่ไม่ปล่อยมือของมู่น่อนน่อน แถมยังจับแน่นกว่าเดิมอีก
เฉินถิงเซียวเหลือบมองมือของทั้งสองคน แววตาที่ดำมืดก็มีอารมณ์ที่แปลกประหลาด พร้อมกับพูดว่า “บังเอิญจังเลย พวกเราก็ยังไม่ได้กินข้าว”
มู่น่อนน่อนถามด้วยความประหลาดใจ “ดึกขนาดนี้ยังไม่ได้กินข้าวอีกเหรอคะ? ”
นี่จะสามทุ่มแล้ว พวกเขายังไม่ได้กินข้าวกันอีกงั้นเหรอ
เฉินถิงเซียวที่เป็นผู้ชายโตขนาดนี้น่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าเฉินมู่เด็กขนาดนี้จะไปรับได้ยังไง
“อืม” เฉินถิงเซียวตอบรับเรียบๆ ไม่มีร่องรอยของการโกหกเลย
“งั้นมากินด้วยกันไหมล่ะคะ? ฉันทำอาหารไว้แล้ว”
มู่น่อนน่อนพึ่งจะพูดจบ เฉินถิงเซียวก็ตอบในทันที “โอเค”
น้ำเสียงของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เพราะว่าตอบรับอย่างรวดเร็ว ทำให้คนรู้สึกเหมือนว่าเขาแทบจะทนรอไม่ไหวแล้วยังไงยังงั้น
พอเฉินถิงเซียวพูดจบ ก็หันหน้าไปเรียกในห้อง “มู่มู่ กินข้าวได้แล้ว”
เฉินมู่ใส่รองเท้าแตะและวิ่งเข้ามา “กินแล้วไม่ใช่เหรอคะ? ”
เฉินถิงเซียวจูงมือเธอ แล้วก็พูดอย่างเป็นธรรมชาติ “นั่นมันอาหารกลางวัน”
“แต่ว่า ลุงสือเย่บอกว่าก่อน……”เฉินมู่ยังอยากจะโต้แย้งกับเขาอยู่ เฉินถิงเซียวก็เลยตัดบทเธอ “คุณลุงลี่กับคุณน้ามู่เชิญพวกเราไปกินข้าว ลูกยังจะพูดอะไรอีก? ”
เฉินมู่พูดอย่างเชื่อฟัง “ขอบคุณค่ะคุณลุงลี่ คุณน้า……เฉิน……”
ตอนที่พูดคำว่า “คุณน้ามู่” เห็นได้ชัดว่าเธอลังเล
คนที่หน้าตาดีก็เป็นพี่สาวทั้งนั้นแหละ จะให้เรียกว่าน้าได้ยังไง?
เธอมองเฉินถิงเซียว แล้วก็หันไปมองมู่น่อนน่อน ใบหน้าดูมึนงง
……
เฉินถิงเซียวพาเฉินมู่ไปกินข้าวที่บ้านของลี่จิ่วเชียน
ตอนที่มู่น่อนน่อนตักข้าวนั้น ลี่จิ่วเชียนก็ไปหยิบชาม
เด็กเล็กมักชอบเข้าไปร่วมสนุกด้วย เฉินมู่ก็อยากจะเข้าไปช่วยหยิบชามด้วยเหมือนกัน
ลี่จิ่วเชียนส่งตะเกียบให้กับเฉินมู่ “หนูช่วยอาหยิบตะเกียบไป ดีไหม? ”
“ได้ค่ะ” เฉินมู่ยิ้มจนตาหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว แล้วก็เอาตะเกียบไปวางไว้บนโต๊ะ
ลี่จิ่วเชียนเดินเข้ามาและลูบหัวของเธอ “เยี่ยมมากเลย”
เฉินมู่ยิ้มให้กับเขา แล้วก็เดินไปหยุดอยู่ข้างๆ เฉินถิงเซียวพร้อมกับปีนเก้าอี้ขึ้นไปนั่ง
บ้านของมู่น่อนน่อนไม่มีเก้าอี้เด็ก เฉินมู่ก็เลยต้องนั่งเก้าอี้ธรรมดา
เฉินมู่ปีนอย่างส่ายๆ เฉินถิงเซียวก็ช่วยประคองเธอ หลังจากนั้นก็ถามว่า “เมื่อวานพ่อบอกลูกว่ายังไง? ”
“ว่าไงนะ? ” เฉินถิงเซียวเคยพูดอะไรกับเธอตั้งเยอะแยะ เธอเป็นเด็กเล็กขนาดนี้จะไปจำได้เยอะแยะอะไรขนาดนั้น
เฉินถิงเซียวเตือนเธอ “ห้ามพูดกับป้าแปลกหน้า”
เฉินมู่พยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าว “จำได้ค่ะ”
“เหตุผลเดียวกัน ห้ามพูดกับลุงแปลกหน้าด้วย”ตอนที่เฉินถิงเซียวพูดประโยคนี้ ก็เหล่มองลี่จิ่วเชียน
ทั้งสองคนสบตากัน ต่างไม่มีใครยอมหลีกทาง
มู่น่อนน่อนถืออาหารออกมา แล้วก็ได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียวเมื่อกี้พอดี
เธอรู้สึกได้อย่างว่องไวทันทีว่าบรรยากาศบนโต๊ะนั้นผิดปกติ
ผู้ชายทั้งสองคนยังคงจ้องตากันไม่หยุด สายตาไม่ค่อยเป็นมิตร ความเป็นศัตรูระหว่างกันนั้นมันชัดเจนมาก มู่น่อนน่อนยากที่จะเพิกเฉย
เธอมองเฉินมู่ แล้วเห็นว่าเฉินมู่กำลังถือตะเกียบขึ้นมาเล่นคนเดียว ถึงได้เอ่ยปากพูดว่า “กินข้าวได้แล้ว”
พอเธอพูด ชายสองคนมองออกไปพร้อมกันราวกับว่าพวกเขาได้นัดหมายไว้
ลี่จิ่วเชียนคีบอาหารให้มู่น่อนน่อน “กินเยอะๆ หน่อย ต่อไปไม่ต้องรอฉันกินข้าวดึกขนาดนี้นะ”
“ฉันกินคนเดียวไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่”มู่น่อนน่อนพูดไปด้วยแล้วก็คีบอาหารให้เฉินมู่ไปด้วย
เฉินถิงเซียวมองดูคนตรงข้ามสองคนด้วยสีหน้าที่คาดเดาไม่ได้ ไม่ได้ขยับตะเกียบเลย
เฉินมู่หันไปถามเขาอย่างใส่ใจว่า “พ่อคะ อยากกินอะไร? ”
เฉินมู่สะบัดมือของเฉินถิงเซียวออก และวิ่งมุ่งหน้าไปทางมู่น่อนน่อนทันที
เธอวิ่งเข้าไปหาแล้วกอดขาของมู่น่อนน่อนเอาไว้ จากนั้นก็เงยหน้าจ้องมองเธอ “คุณก็อยู่ที่นี่หรือคะ”
“ใช่จ๊ะ ฉันก็พักอยู่ฝั่งตรงข้าม” มู่น่อนน่อนพูดไป ก็นั่งคุกเข่าลงและจัดการอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา และชี้ไปทางประตูที่อยู่ด้านหลัง
เธอเพิ่งจะทำกับข้าวเสร็จไม่นาน และรอให้ลี่จิ่วเชียนกลับมากินข้าวด้วยกัน แต่ลี่จิ่วเชียนก็ยังไม่กลับมาสักที เลยคิดว่าจะไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อสักหน่อย
ผลที่ได้คือ พอเปิดประตูออกมาก็เห็นกลุ่มของเฉินถิงเซียวทันที
เฉินถิงเซียวเหลือบมองไปยังด้านหลังของมู่น่อนน่อน
ตอนที่เธอออกมานั้น ประตูบ้านก็ยังไม่ได้ปิดเลย เมื่อมองลอดช่องประตูที่แง้มอยู่ก็เห็นการตกแต่งบ้านอันอบอุ่น และกลิ่นกับข้าวหอมๆ
สีหน้าของเฉินถิงเซียวหม่นหมองลงอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็เบนสายตามามองเฉินมู่ และเรียกเตือนออกไป “มู่มู่”
เฉินมู่ชำเลืองมองตาเฉินถิงเซียวแวบหนึ่งอย่างระแวดระวัง และก็ลื่นตัวลงมาจากมู่น่อนน่อนอย่างไม่ยินยอม และเดินเตาะแตะกลับไปยืนอยู่ด้านหน้าของเฉินถิงเซียว
เธอเดินกลับไปนั้น ยังคว้านิ้ว–มือของเฉินถิงเซียวเอาไว้อย่างเอาใจ
เฉินถิงเซียวฝ่ามือใหญ่มาก เธอก็แค่คว้านิ้วของเขาเอาไว้นิ้วหนึ่งเท่านั้น
เธอสนิทสนมกับเฉินถิงเซียวที่สุด และรับสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเฉินถิงเซียวที่กำลังโกรธขึ้นมาแล้ว
แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจว่าทำไมคุณพ่อถึงได้โกรธเรื่องอะไรก็ตาม แต่ว่าเวลานี้ทำได้แค่เชื่อฟังเพื่อต่อสู้กลับ
คุณพ่อไม่เคยตี แต่เรื่องโกรธก็ทำให้คนตกใจมาก…
มู่น่อนน่อนเห็นท่าทางเป็นเด็กน้อยของเฉินมู่ จนปวดใจเล็กน้อย และรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวรุนแรงกับเฉินมู่มากเกินไป
เด็กก็ยังเด็กเกินไป ไม่สามารถต้องทำแบบนี้ทุกครั้งไป ควรจะให้คำแนะนำถึงจะถูกต้องสิ
แต่ว่าเธอกับเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้สนิทกัน ไม่ว่ามีวิธีคิดอะไรก็ทำได้แค่กลืนลงคอไป
เฉินถิงเซียวจ้องมองมู่น่อนน่อนด้วยแววตาไร้ความรู้สึก และเดินจูงมือเฉินมู่หันตัวกลับ จากนั้นก็พูดกับสือเย่ “เปิดประตู”
หลังจากที่สือเย่เปิดประตูให้แล้ว ก็ให้เฉินถิงเซียวกับมู่น่อน่อนเข้าไปก่อน เขาอยู่รั้งท้าย และพยักหน้าให้มู่น่อนน่อนเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนฉุกคิดขึ้นมาได้ทันทีว่าเขาคือผู้ชายที่คุยกับเธอเมื่อตอนกลางวัน เลยตอบกลับทันที “คุณเองเหรอคะ ที่ช่วยหาบ้านให้กับคุณเฉิน?”
“ใช่ครับ” สือเย่หลุบตาต่ำ และยื่นนามบัตรให้ด้วยความเคารพ “สวัสดีครับ ผมชื่อสือเย่”
มู่น่อนน่อนรับนามบัตรมา พร้อมทั้งมองอยู่แวบหนึ่งอย่างมีมารยาทแล้วเก็บลงไป “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อมู่น่อนน่อนค่ะ”
นัยน์ตาสือเย่ทอประกายเล็กน้อย “ต่อไปคุณมู่ก็จะเป็นเพื่อนบ้านกับคุณชายของผมแล้ว ยังไงก็ต้องขอคำชี้แนะจากคุณมู่ด้วยนะครับ”
มู่น่อนน่อนตะลึงเล็กน้อย “คุณสือก็เกรงใจเกินไปแล้ว”
รอจนสือเย่เดินเข้าไปแล้ว มู่น่อนน่อนถึงได้ทำหน้าสงสัยแล้วหันตัวเดินกลับไปปิดประตู และมุ่งหน้าเดินทางลิฟต์
เฉินถิงเซียวพาลูกสาวของเขามาด้วย และย้ายมาพักอยู่ที่หมู่บ้านนี้อย่างกะทันหันเลยเหรอ?
แม้ว่าสภาพแวดล้อมของหมู่บ้านนี้ ถือว่าหรูหรามีระดับ แต่คนมีเงินอย่างเฉินถิงเซียวแบบนั้นควรจะพักในวิลล่าที่กว้างขวางที่มีบ่าวไพร่ล้อมหน้าล้อมหลังไม่ใช่หรอกเหรอ?
ทำไมถึงได้ย้ายมาพักอยู่ที่นี่อย่างกะทันหันล่ะ?
มู่น่อนน่อนเกิดอาการสงสัย หลังจากออกไปซื้อของจากซูเปอร์มาเก็ตแล้วกลับมาแล้วนั้น ถึงนึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่ตนเองออกจากบ้านนั้นลืมเอากุญแจและโทรศัพท์เอาออกมาด้วย
ลี่จิ่วเชียนก็ไม่รู้ว่าจะกลับบ้านมาตอนไหน เธอทำได้แค่ยืนรออยู่หน้าประตูเท่านั้นเอง
เวลานั้นเอง ประตูฝั่งตรงข้ามก็เปิดออกมา
สือเย่ช่วยสองพ่อลูกจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมจะกลับบ้านอยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนพูดทักทายอย่างมีมารยาท “คุณสือ”
ไม่รอให้สือเย่ตอบกลับเลย พลันมีศีรษะเล็กๆ โผล่ออกมาจากด้านหลัง “พี่สาวคนสวยเหรอคะ?”
เฉินมู่พาดตัวอยู่ด้านข้างประตู พร้อมทั้งเบิกตาโตแววตาดำขลับทอประกาย พร้อมทั้งจ้องมองมู่น่อนน่อนด้วยความตื่นเต้น
มู่น่อนน่อนยิ้มให้เธอ “มู่มู่”
เฉินมู่ถามเธอกลับด้วยความแปลกใจ “ทำไมพี่ถึงนั่งอยู่ตรงประตูล่ะคะ?”
“พี่ลืมเอากุญแจออกมา เลยเข้าบ้านไม่ได้”
“หือ?” เฉินมู่เหมือนตอบสนองกลับไม่ทัน พลันเงยหน้ามองสือเย่
สือเย่ลูบผมของเธอ “ไม่มีกุญแจก็เปิดประตูไม่ได้ เลยเข้าบ้านไม่ได้ค่ะ”
“อ๋อ” เฉินมู่พยักหน้า จากนั้นก็เปิดประตูแล้ววิ่งมาทางมู่น่อนน่อน และจูงมือเธอมุ่งหน้ามายังประตูบ้านของตนเอง “งั้นพี่สาวคนสวยก็ไปบ้านหนูเถอะค่ะ”
“… ไม่ต้องหรอกจ้า เดี๋ยวก็มีคนมาเปิดประตูให้พี่แล้วมั้ง?”
เฉินมู่ยังคงดื้อรั้นมาก “ไปเถอะค่ะ”
มู่น่อนน่อนถูกเฉินมู่ฉุดเขามาบ้านเธอ
พอเฉินมู่เข้าประตูมา ก็ตะโกนเสียงดังลั่นเหมือนได้สมบัติมา “เฉินชิงเซียวพี่สาวคนสวยมาแล้วค่ะ!”
เธอพูดจบ ก็จัดแจงหารองเท้าแตะที่อยู่ในตู้รองเท้าที่อยู่ด้านข้างให้เฉินมู่
ในตู้ใส่รองเท้ามีแค่รองเท้าแตะของเธอกับเฉินถิงเซียว เธอเอามาเปรียบเทียบอยู่เล็กน้อย จากนั้นก็เอารองเท้าแตะของเฉินถิงเซียวเอามาให้มู่น่อนน่อน “ให้พี่ใส่อันนี้ค่ะ”
พูดจบ เธอก็รู้สึกว่าจัดการได้ยังไม่ดีพอ เลยหาที่มันเข้าคู่กัน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองมู่น่อนน่อน และทำหน้าตาคาดหวังอยู่เช่นนั้น
มู่น่อนน่อนอดยิ้มไหวจนต้องลูบแก้มของเธอ “ขอบใจจ้า”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เฉินมู่เริ่มอายจนวิ่งหนีไปเลย
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ตรงทางเดินปากประตู และสำรวจบริเวณโดยรอบ
ตัวบ้านซึ่งเหมือนกับลี่จิ่วเชียนทั้งหมด เป็นแบบดูเพล็กซ์ ตกแต่งสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน อบอุ่นมาก มองออกเลยว่าเฟอร์นิเจอร์ในบ้านเป็นของใหม่ทั้งหมด
เธอได้แต่ลังเลว่าจะเปลี่ยนรองเท้าเข้าไปดีไหม
แม้ว่าเฉินมู่เป็นคนเชื้อเชิญเธอให้เข้ามา แต่ว่าเฉินถิงเซียวเหมือนจะติดเกลียดเธออยู่หน่อยๆ
เธอก้มศีรษะลง จากนั้นก็มองรองเท้าแตะที่เฉินมู่เอามาให้เธอ
เธอย่างเท้าออกไป จนเท้าแตะบริเวณด้านข้างของรองเท้าแตะเพื่อเปรียบเทียบดูสักหน่อย รองเท้าแตะของผู้ชายมันยาวกว่าเท้าของเธออีกเป็นคืบ
การที่มาใส่รองเท้าแตะของผู้ชายสักคน ถือว่าไม่มีมารยาทเป็นอย่างมาก
ดังนั้น มู่น่อนน่อนจึงเอารองเท้าแตะกลับไปวางที่เดิม และเดินเท้าเปล่าเข้าไปในบ้าน
ไม่รู้ว่าเฉินมู่ไปเทน้ำมาให้จากไหน และวิ่งหน้าตั้งด้วยความดีใจพุ่งมาทางเธอ “พี่สาวคนสวย นี่น้ำของพี่ค่ะ”
เธอค่อนข้างเดินเร็ว เธอเดินมา น้ำที่อยู่ในแก้วมันก็กระฉอกออกมานอกแก้ว
มู่น่อนน่อนรีบเดินไปรับน้ำเอาไว้ทันที
แก้วน้ำใบใหญ่ กระฉอกออกจนเหลือประมาณสองอึกได้
ท่ามกลางแววตาเฉินมู่ที่คาดหวัง เธอก็จัดการดื่มน้ำจนหมดเกลี้ยง
เฉินมู่ดีใจมาก “อร่อยไหมคะ?”
แม้ว่ารสชาติของน้ำมันจะติดแปลกๆ อยู่หน่อย มู่น่อนน่อนก็ยังพยักหน้าให้ “อร่อยค่ะ”
“เดี๋ยวหนูไปเติมน้ำให้เฉินชิงเซียวแก้วหนึ่ง” เฉินมู่พูดไปด้วยก็ดึงแก้วกลับ และวิ่งเข้า…. ห้องน้ำไปทันที
มู่น่อนน่อนเอียงคอตาม ก็เห็นเฉินมู่กำลังเหยียบอยู่บนเก้าอี้ และใช้แก้วรอน้ำทางด้านล่างจากก๊อกน้ำ
หรือว่า…รสชาติแปลกๆ นั่นคือ….
“มู่มู่เมื่อกี้ลูกพูดว่าอะไรนะ?”
พลันมีเสียงเฉินถิงเซียวมาจากด้านหลัง น้ำเสียงเฉยเมยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะผู้ชายคนนี้จริงๆ
มู่น่อนน่อนหันหลังขวับไปทันที ก็เห็นเฉินถิงเซียวใส่เสื้อคลุมอาบน้ำเดินลงมาจากชั้นบน
ตอนที่เธอมองมาทางเขานั้น เขาก็เห็นเธอเช่นเดียวกัน
ฝีเท้าของเฉินถิงเซียวค้างเติ่งทันที สีหน้าที่ไร้ความรู้สึกอยู่ตลอด แต่พอมาเห็นมู่น่อนน่อนแล้ว การแสดงออกก็เปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย
เมื่อดวงตาสองคู่ประสานกัน แววตาของเขานั้นช่างเฉียบคมเกินไป จนมู่น่อนน่อนเริ่มเบนสายตาก่อน พลันเอ่ยทักเสียงทุ้มต่ำ “คุณเฉิน”
เฉินถิงเซียวก็เดินมายืนตรงด้านหน้าของเธอ น้ำเสียงยังคงเย็นชาดั่งเดิม “มู่มู่ล่ะ?”
เธอคิดว่า เขาจะเอ่ยปากถามว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้
“มู่มู่เธอไป…” มู่น่อนน่อนยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงเฉินมู่ดังขึ้น “เฉินชิงเซียว หนูเทน้ำมาให้พ่อค่ะ”
ทั้งสองคนหันหน้ากลับมา ก็เห็นเฉินมู่เดินเตาะแตะอยู่บนรองเท้าแตะ “เตาะแตะ เตาะแตะ” วิ่งมาทางด้านหน้า และจัดการยื่นน้ำให้ราวกับเป็นสมบัติให้ “นี่ค่ะ”
สือเย่ไม่ได้ออกไปทันที
เฉินถิงเซียวถามเขากลับ “ยังมีเรื่องอะไรอีก?”
สือเย่พูดด้วยท่าทางจริงจัง “คุณชาย เอกสารของทั้งสองคนนี้ไม่ครบ โดยเฉพาะของลี่จิ่วเชียน สถานะของเขาต้องไม่ธรรมดาแน่นอน”
ก่อนหน้าที่พวกเขาจะออกเดินทางไปยังเกาะเล็กๆ ในปีนั้น ลี่จิ่วเชียนกับมู่น่อนน่อนก็ถูกปาปารัสซีแอบถ่าย เฉินถิงเซียวเลยให้เขาเคยไปสืบเรื่องผู้ชายที่ชื่อว่าลี่จิ่วเชียน
ในตอนนั้น ข้อมูลที่เขาสืบมาได้ก็น้อยมากจนเห็นได้ชัด
ลี่จิ่วเชียนผู้ชายคนนี้ก็เหมือนกับโผล่ออกมาจากอากาศ สถานะดูธรรมดาและสะอาดมาก แต่กลับทำให้คนเกิดความสงสัย
ทว่าก็ไม่สามารถคาดเดาจุดประสงค์ของเขาได้
“จริงเหรอ?” เฉินถิงเซียวชำเลืองมองเขา และรีบหยิบดูข้อมูลของมู่น่อนน่อนอีกครั้ง “แต่ทำไมผมรู้สึกว่าสถานะของมู่น่อนน่อนมันไม่ธรรมดามากกว่าล่ะ”
สือเย่คุ้นชินกับเฉินถิงเซียว เลยไม่พลาดกับแววตายินดีที่ปรากฏขึ้นในดวงตาของเฉินถิงเซียวนั้นได้
“ครับ สถานะของคุณมู่เองก็ไม่ธรรมดาจริงๆ” มู่น่อนน่อนเป็นแม่บังเกิดเหล้าของลูกของเขา เป็นภรรยาของเขา แล้วสถานะมันยังจะธรรมดาอยู่ไหมล่ะ?
แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจน เฉินถิงเซียวแสดงความสนใจต่อมู่น่อนน่อนมาก
หรือนี่จะเป็น….พรหมลิขิตที่เขาเล่ากันต่อๆ มา
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว พลันเลิกคิ้วขึ้น “ยังมีความหมายอื่นอยู่ในคำพูดเหรอ?”
สือเย่โค้งคอลงด้วยความเคารพ และไม่กล้าพูดต่อ
เฉินถิงเซียวราบกับไม่อยากจะพูดอะไรกับเขาอีก “ออกไปได้”
หลังจากที่สือเย่ออกไป เฉินถิงเซียวเริ่มตกอยู่ในภวังค์ไปบ้าง
จนเฉินมู่คว้าข้อมูลจากด้านหน้าของเขาไปวาดรูปมั่วๆ เขาถึงได้สติกลับมา
เธอหยิบเอกสารแผ่นนั้นไปปู ปากก็พูดไม่หยุด “หนูวาดเฉินชิงเซียว”
เฉินถิงเซียวเหลือบตามอง ก็เห็นว่าเป็นข้อมูลส่วนตัวของมู่น่อนน่อน พลางยื่นมือออกไปหยิบกลับมา เพื่อไม่ให้เธอวาดรูป
แม้ว่าเฉินมู่ปกติจะเป็นเด็กที่เชื่อฟังมาก แต่พอถูกรบกวนเวลาเล่นอยู่ ก็จะโกรธทันที
เธอทำปากคว่ำและมองมาทางเฉินถิงเซียว “หึ!เอาคืนมาให้หนู!”
เฉินถิงเซียวพลันใช้มือเอากระดาษข้อมูลของลี่จิ่วเชียนคนนั้นวางตรงด้านหน้าของเฉินมู่ แทน “ใช่แผ่นนี้วาดรูปนะ มันยังว่างอยู่อีกครึ่งหนึ่ง”
เฉินมู่อ้าปากเล็กๆ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงใจกว้าง “ให้อภัยพ่อแล้วค่ะ”
พูดจบ ก็ก้มหน้าวาดรูปต่อ
เฉินถิงเซียวถูกเธออารมณ์เสียใส่ เป็นแค่เจ้าก้อนกลมเล็กๆ เท่านี้ อยากจะจัดการแต่ไม่สามารถลงมือทำได้ สุดท้ายได้แค่ยื่นมือออกไปลูบศีรษะของเธอแทน
แต่เพราะเหตุนี้เองจึงทำให้เกิดความสงสัยในตัวเฉินมู่
“โอ๊ย อย่าแตะต้องหนูสิ!” ขนตาของเฉินมู่ย่นเข้าหากันจนเป็นปม ดูเหมือนว่ากำลังโกรธอยู่
เฉินถิงเซียวเปลี่ยนเรื่องทันที “หนูบอกว่าวาดรูปพ่ออยู่ไม่ใช่เหรอ ไหนพ่อดูสิ?”
เฉินมู่รีบเอากระดาษมาอยู่ตรงด้านหน้าของเขาอย่างลิงโลด “คุณพ่อดูนี่ค่ะ นี่คือคุณพ่อค่ะ”
เฉินถิงเซียวมองเส้นเขียวๆ แดงๆ ที่เป็นวงอยู่ด้านบน พลันเอาแท็บเล็ตออกมาด้วยท่าทางปกติ “ดูการ์ตูนไหม?”
เฉินมู่พยักหน้าอย่างกับเจ้าไก่น้อยที่กำลังจิกเขา “ดูค่ะ!”
เฉินมู่นั่งกอดแท็บเล็ตดูการ์ตูนอยู่บนโซฟา เฉินถิงเซียวก็เริ่มกลับมาทำงานต่อ
……
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน สือเย่ก็กลับมาแล้ว
ในมือของเขามีทะเบียนบ้านมาด้วย
“คุณชาย ของที่คุณต้องการครับ”
เขาเอาทะเบียนบ้านมาพร้อมทั้งกุญแจยื่นให้เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเห็นทะเบียนบ้านมาพร้อมทั้งกุญแจยื่นอยู่ต่อหน้าเขา และทำสีหน้าคาดเดาไม่ได้มองมาทางสือเย่ “ไปเอาเงินมาจากไหน?”
สือเย่ลังเลอยู่สักพัก “เงินของคุณครับ”
ในอดีต เฉินถิงเซียวเชื่อมั่นใจเขามาก เฉินถิงเซียวเคยให้การ์ดเขาไว้หนึ่งใบ
เฉินจิ่งหยุ้นยังไม่เข้าใจในตัวเฉินถิงเซียว ดังนั้นเลยไม่รู้ว่าในมือของสือเย่ยังมีการ์ดแบบนี้อยู่อีกหนึ่งใบ
จากนั้นเฉินถิงเซียวก็เกิดเรื่องขึ้น เฉินจิ่งหยุ้นก็จัดการเลิกจ้างเขา การ์ดใบนี้ยังอยู่ในมือเขา ในที่สุดก็เอามาใช้งานได้สะดวกอีกครั้ง
ที่พักอาศัยของมู่น่อนน่อน ถือว่าเป็นหมู่บ้านหรูหราแห่งหนึ่ง
คนที่พักอาศัยก็มีเงินทั้งนั้น
แต่ว่า จะมีเงินแค่ไหนก็ไม่อาจเทียบเคียงตระกูลเฉินได้
และสิ่งที่เฉินถิงเซียวไม่ขาดแคลนเลยก็คือเงิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมู่น่อนน่อนแล้ว เฉินถิงเซียวยอมจ่ายทันที
สือเย่ก็เข้าใจเฉินถิงเซียวเรื่องนี้ดีมาตั้งแต่แรก รู้ว่าเฉินถิงเซียวต้องการพักเป็นเพื่อนบ้านกับมู่น่อนน่อน และก็ไม่มีการออมมือสักนิด จัดการเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะสมทันที
เฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดของสือเย่แล้ว ก็ไม่ได้พูดมากอะไร แค่ลุกขึ้นแล้วมุ่งหน้าเดินไปทางโซฟา
เฉินมู่ที่ดูการ์ตูนอยู่ก่อนหน้านี้ผล็อยหลับไปแล้ว และกำลังนอนห่มเสื้อโค้ตของเฉินถิงเซียวและหลับอยู่บนโซฟาพอดี
เฉินถิงเซียวห่มเสื้อโค้ตให้เฉินมู่ พร้อมกับอุ้มเธอขึ้นมาจากโซฟา
แม้ว่าการกระทำของเขาจะเบามือมากก็ตาม แต่เฉินมู่ก็ตื่นแล้ว
เธอลืมตาครึ่งหนึ่ง และเรียกอย่างออดอ้อน “คุณพ่อ”
“อื้อ ไปกินข้าวกันนะ” เฉินถิงเซียวยื่นมือออกไปลูบเส้นผมของเธอ
ตอนที่เพิ่งจะตื่น เฉินมู่ก็เริ่มออดอ้อนเล็กน้อย และพูดจางุ้งงิ้ง “จะกินเฟรนช์ฟรายส์…”
สือเย่ที่ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่เดินตามอยู่ด้านหลัง เมื่อได้ยินเสียงของเฉินมู่แล้วยังรู้สึกใจอ่อนยวบยาบเลย
แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่ทำตาม และปฏิเสธคำร้องของเฉินมู่อย่างเสียงแข็ง “ไม่ได้ค่ะ”
เฉินมู่เริ่มตื่นขึ้นมาอีกนิด และเริ่มออกอาการโมโหกลับ “จะกิน”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวยังคงเย็นชาอยู่ “ไม่ได้”
เฉินมู่ทำปากคว่ำ และเริ่มแสดงสีหน้ารังเกียจ “เฉินชิงเซียวปีศาจตัวโต”
เฉินถิงเซียวส่งเสียงงึมงำกลับ “ลูกก็เป็นเจ้าปีศาจตัวน้อย”
เฉินมู่กะพริบตาปริบๆ จากนั้นน้ำตาก็พรั่งพรูออกมา “แง้ ฮือ ๆ …หนูไม่ใช่ปีศาจ ปีศาจมันน่าเกลียด หนูคือ…มู่มู่”
เฉินถิงเซียวก้มหน้ามองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าลิฟต์ไปอย่างใจเย็น
ผู้ชายที่มีลูกแล้วต่างใจอ่อนทั้งนั้น จนสือเย่ทนไม่ไหว อยากจะช่วยเขาโอ๋เด็กน้อย
ปรากฏว่าในเวลานั้นเอง เขาก็เห็นเฉินมู่หยุดร้องไห้ และปากน้ำตาที่อยู่บนหน้าของตนเอง และจัดการสูดจมูก และหันหน้าไปอีกทางที่ไม่ต้องเห็นเฉินถิงเซียว
ดูเหมือนว่า …คุณชายเอาใจเด็กไม่เป็น
แต่ว่า การปรับอารมณ์ตนเองของเฉินมู่ถือว่าแกร่งกล้ามาก
……
กลุ่มของเฉินถิงเซียวไม่ได้กลับไปทันที แต่กลับหาร้านอาหารกินข้าวแทน
อีกเดี๋ยวสือเย่ก็ยังต้องไปส่งพวกเขากลับ จึงกินข้าวด้วยกันเลย
เหตุที่เห็นหน้าสือเย่มาทั้งวัน เฉินมู่เลยเป็นมิตรต่อเขามาก ตอนกินข้าว ก็ยังเอากับข้าวให้สือเย่
เฉินถิงเซียวเห็นภาพนั้น ก็ส่งเสียงห้ามปรามทันที “มู่มู่ต้องกินเอง”
เฉินมู่ตอบโต้กลับ “คุณอาก็ต้องกินด้วย”
เฉินถิงเซียวคีบหัวหอมให้เธอชิ้นหนึ่ง “คุณอาเขาคีบกับข้าวเองได้”
สือเย่พูดทันที “ไม่เป็นไรครับ”
เฉินมู่ไม่กินหัวหอม พร้อมทั้งใช้มือหยิบเอาหัวหอมชิ้นนั้นออกมาอย่างรังเกียจ
เฉินถิงเซียวเอากลับไปวางที่เดิม “อย่าเลือกกินอาหารสิ”
สือเย่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “คุณชายมู่มู่ก็เหมือนกับคุณ คุณเองก็ไม่กินหัวหอมไม่ใช่เหรอครับ?”
เฉินถิงเซียวตะลึงเล็กน้อย
เฉินมู่ฉวยจังหวะนี้ ในการเอาเลือกหัวหอมเอามาโยนใส่ในถ้วยของเฉินถิงเซียว พลางกะพริบตาให้ และยิ้มหวานหยดย้อย “คุณพ่อ กินสิคะ”
เฉินถิงเซียว “…”
สุดท้าย เฉินถิงเซียวเองก็ไม่ได้กินหัวหอมชิ้นนั้น
สิ่งของที่กินไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปบังคับตนเอง
อาจจะเป็นเพราะปัจจัยเรื่องที่สือเย่ทำให้เฉินมู่ ไม่ต้องกินหัวหอม ตอนที่ออกมาจากร้านอาหารนั้น เฉินมู่เอาแต่เรียก “คุณอาสือเย่คะ” “คุณอาสือเย่ขา” อย่างไม่หยุดหย่อน เรียกจนสนิทสนมเหลือเกิน
สือเย่ขับรถไปส่งพวกเขายังหมู่บ้านของมู่น่อนน่อน มีคนกลุ่มหนึ่งเพิ่งเดินมาถึงประตูบ้าน และประตูบ้านฝั่งตรงข้ามก็เปิดออกมาในเวลานี้พอดี
มู่น่อนน่อนจ้องมองผู้ใหญ่สองคนและเด็กหนึ่งคนที่กำลังยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม และตะลึงอยู่แวบเดียว ถึงได้ตั้งสติทัน “คุณเฉิน? นี่พวกคุณ…”
เฉินมู่กระโจนไปหามู่น่อนน่อน “พี่สาวคนสวย!”
ตอนที่สือเย่จะออกไปนั้น พลันหันกลับมามองเฉินถิงเซียวอย่างอดใจไม่ไหว
ประจวบเหมาะกับเห็นเฉินถิงเซียวกำลังนั่งปอกไข่ต้มให้เฉินมู่อยู่
ก่อนหน้าที่จะเจอกับมู่น่อนน่อน คำว่า “เอาใจใส่” กับ “ดูแลคน” คำพวกนี้ มันไม่เกี่ยวพันกับเฉินถิงเซียวเลยสักนิด
ทว่าเวลานี้ ตอนที่เฉินถิงเซียวดูแลเฉินมู่อยู่นั้น เห็นได้ชัดว่าคล่องแคล่ว และเป็นธรรมชาติที่สุด
นอกจากอำนาจของราชานักธุรกิจและคุณชายสูงส่งในตระกูลมหาเศรษฐีที่อยู่บนตัวของแล้ว และก็มีความหนักแน่นในฐานะของคนเป็นพ่อที่เพิ่มขึ้นมา
แม้ว่าเอามาเปรียบเทียบกับคนส่วนใหญ่แล้ว เฉินถิงเซียวจะยอดเยี่ยมและประสบความสำเร็จอย่างเพียบพร้อมแล้ว แต่เขาก็ยังคงเปลี่ยนแปลงไป
ก็แค่ ความเที่ยงตรงของโชคชะตา มันกลับปรากฏขึ้นในหนทางฝั่งอยุติธรรมตั้งแต่แรก
สือเย่ไม่ได้อยู่นาน แค่หันมามองไม่กี่วินาทีก็เดินจากไป
เรื่องของมู่น่อนน่อน เขาเคยได้ยินกู้จือหยั่นพูดถึงอยู่
เขาออกจากโรงแรมจีนติ่ง ทั้งขับรถออก และโทรศัพท์หากู้จือหยั่นไปด้วย เพื่อสอบถามที่อยู่ของมู่น่อนน่อน
สือเย่ขับรถไปยังหมู่บ้านที่มู่น่อนน่อนพักอาศัยอยู่
เขาจอดรถอยู่ข้างถนน ฝั่งตรงข้ามทางเข้าของหมู่บ้าน
เขาไม่ได้ลงจากรถทันที แต่กลับนั่งอยู่ในรถอยู่สักพัก ก็เห็นว่ามู่น่อนน่อนเดินออกมาจากหมู่บ้านนั่นแล้ว
วันนี้เธอใส่เสื้อสเวตเตอร์สีขาวกับกางเกงยีน แม้จะผอมกะหร่องก็ตาม แต่ก็เห็นว่ามีชีวิตชีวาไม่เลวทีเดียว
หลังจากเกิดเหตุระเบิดขึ้นบนเกาะเล็กๆ ในปีนั้น สือเย่กับกู้จือหยั่นต่างก็คิดว่ามู่น่อนน่อนคงไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว
แต่เวลานี้เห็นมู่น่อนน่อนยืนมีชีวิตอยู่ตรงนั้น สือเย่ก็รู้สึกว่าลำคอตีบจนเกิดอาการลำบากใจอยู่บ้าง
เขาพยายามตั้งสติ จากนั้นก็เปิดประตูรถและเดินลงไป และมุ่งไปทางมู่น่อนน่อนทันที
“สวัสดีครับคุณ?” สือเย่เอ่ยปากถามมู่น่อนน่อนเป็นการลองเชิง
มู่น่อนน่อนหันกลับมามองเธอ “สวัสดีค่ะ มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”
สายตาของสือเย่หยุดค้างอยู่ที่ใบหน้าของมู่น่อนน่อนอยู่แวบเดียว จากนั้นก็เริ่มเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว และทำน้ำเสียงมีมารยาทที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรก “คือแบบนี้ครับ ผมอยากสอบถามสักหน่อย ช่วงนี้ที่หมู่บ้านนี้มีขายบ้านบ้างไหมครับ?”
“เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้เรื่องเลยค่ะ คุณสามารถไปติดต่อที่ฝ่ายขายได้โดยตรง เดี๋ยวฉันเอาโทรศัพท์ของฝ่ายขายให้คุณนะคะ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าเป็นคนใจดี พลันหยิบโทรศัพท์เพื่อค้นหาเบอร์โทรของฝ่ายขาย และบอกกับสือเย่
สือเย่เมมเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ และพูดออกมาจากใจ “ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็หันตัวเดินจากไปทันที
ส่วนสือเย่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม และมองแผ่นหลังของมู่น่อนน่อนที่หายไปท่ามกลางฝูงชน ถึงได้ดึงสายตากลับมา
คุณหญิงเฉินไม่รู้จักเขาจริงๆ แล้ว…
นอกจากร่างกายที่ผอมแห้ง ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากจากเมื่อก่อนเลย แต่ว่านิสัยอ่อนโยนขึ้นเป็นกองเลย
เมื่อก่อนดูเหมือนว่ามู่น่อนน่อนเป็นคนอ่อนโยนมาก แต่กลับแผ่รัศมีไหวพริบเฉียบแหลมคมจากนิสัยออกจากมาตัวอยู่ตลอด ราวกับสามารถหักมุมทำร้ายเธออยู่ได้ตลอดเวลา
อาจจะเป็นเพราะว่าความทรงจำอันหนักหน่วงนั้นมันได้หายไป จนทำให้เธอเป็นคนง่ายๆ ขึ้นเยอะ
สือเย่ได้แต่ส่ายหน้าไปมา และเรียกสติจากความคิดกลับมา
เฉินถิงเซียวให้เขาไปสืบเรื่องของมู่น่อนน่อน ถ้าเกิดรู้เรื่องนี้เข้า หรือพบเจอกับมู่น่อนน่อนเข้าแล้วล่ะ
เขารู้สึกว่า เรื่องที่สองนี้มีความเป็นไปได้มาก
ตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาของเฉินถิงเซียว คนที่ใกล้ชิดที่สุดก็คือเฉินจิ่งหยุ้น
เฉินจิ่งหยุ้นจะไปพูดถึงมู่น่อนน่อนได้อย่างไรกัน
ถ้าเฉินถิงเซียวความทรงจำกลับคืนมา และรู้เรื่องที่เฉินจิ่งหยุ้นเห็นมู่น่อนน่อนจะตายต่อหน้าต่อตาแต่ไม่ยอมลงมือเข้าช่วย ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะจัดการกับเฉินจิ่งหยุ้นอย่างไร
……
ในปีที่มู่น่อนน่อนแต่งงานกับเฉินถิงเซียวนั้น ตอนที่ไปยังวิลล่ากลางหุบเขากับเฉินถิงเซียวเป็นครั้งแรกนั้น สือเย่ก็ได้สืบเรื่องเธออย่างทุกซอกทุกมุม
ผ่านมา 3-4 ปี ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาทำเรื่องนี้ซ้ำอีกครั้ง
คนที่ส่งเขาให้คนทำเรื่องนี้ ก็ยังเป็นเฉินถิงเซียวคนเดิม
เรื่องนี้มันทำให้เขามีความรู้สึกมึนงง วงล้อแห่งโชคชะตาเหมือนหมุนวนกลับมาตอนที่มู่น่อนน่อนเพิ่งจะแต่งงานกับเฉินถิงเซียวเลย
แม้ว่าสือเย่จะรู้ไส้รู้พุงมู่น่อนน่อนจนหมดเปลือก แต่ว่าห่างมาตั้งสามปี ยังไงก็จำเป็นต้องสืบซ้ำอีกรอบ
แต่ผลสืบออกมานั้น มันทำให้สือเย่ตกใจมาก
ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องขึ้นเมื่อสามปีก่อน มู่น่อนน่อนมีชื่อเสียงโด่งดังมากในโลกสังคมออนไลน์ แต่เวลานี้กลับไม่มีร่องรอยให้ตรวจสอบเลยสักนิด
ยังมีเรื่องที่เธอกับเฉินถิงเซียว และเรื่องไปคลอดลูกที่ต่างประเทศนั้น ก็ไม่สามารถสืบค้นได้ทั้งหมด
นอกจากว่าเธอเป็นลูกสาวของตระกูลมู่ เรียนจบวิทยาลัยทางด้านภาพยนตร์ ประสบอุบัติเหตุเมื่อสามปีก่อน รวมทั้งเอกสารง่ายๆ ที่สามารถหาได้ทั่วไป อันอื่นต่างสืบค้นไม่ได้เลย
ถ้าสือเย่เป็นคนไม่รู้เรื่องนี้ เกรงว่าคงจะเชื่อเอกสารฉบับนี้ไปแล้ว
แต่ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ สิ่งที่เขาสามารถทำได้นั้นมีแค่เอาเอกสารปกติทั่วไปฉบับนี้เอาไปให้เฉินถิงเซียว
ข้อมูลของมู่น่อนน่อนมีคนเล่นตุกติก แม้ว่าเขาจะบอกเฉินถิงเซียว ว่ามู่น่อนน่อนเป็นภรรยาและผู้หญิงคนที่เขาหลงรักมากที่สุด ไม่แน่ว่าเฉินถิงเซียวจะหลงเชื่อ
ระดับความหนักแน่นที่อยู่ในใจของเฉินถิงเซียวนั้น ผิดไปจากคนปกติทั่วไป อยากให้เขาเชื่อมั่นกับคำพูดของคนคนหนึ่งโดยที่ไม่มีปากเสียงตอบโต้กลับ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ยังไงก็ต้องเริ่มต้นไปทีละก้าว
ตอนบ่าย สือเย่ก็เอาเอกสารข้อมูลที่ตรวจสอบมาได้นำไปยังบริษัทเฉินซื่อ
ตอนที่เข้าไปนั้น กลับถูกพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ขวางเอาไว้ทันที
“คุณผู้ชายคะ คุณมาหาใครหรือคะ?”
สามปีที่ผ่านมานี้ พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ของบริษัทเฉินซื่อก็เปลี่ยนคนไปหลายรอบแล้ว จนพวกเธอไม่รู้จักสือเย่แล้ว
สือเย่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ผมเป็นผู้ช่วยพิเศษคนใหม่ของท่านประธานครับ”
พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ก็ยังคงไม่ปล่อยเขาไป “บัตรพนักงานล่ะคะ?”
จนสุดท้าย สือเย่ได้แต่โทรศัพท์หาเฉินถิงเซียวทันที เพื่อให้เขาอนุญาตให้เข้าไป
เมื่อเดินมาถึงประตูลิฟต์ เขาก็เพิ่งรู้ว่าลิฟต์ยังอยู่ที่ชั้นสิบกว่า ยังต้องรออยู่สักพัก
ในที่สุดก็รอจนลิฟต์ลงมานั้น คนที่เดินออกมาจากลิฟต์ ก็คือเฉินจิ่งหยุ้น
สือเย่ก้มหน้าเล็กน้อย และเรียกเป็นการทักทาย “ประธานเฉิน”
เฉินจิ่งหยุ้นชำเลืองมองสือเย่อยู่แวบหนึ่ง รู้สึกคุ้นหูคุ้นตาอยู่บ้าง แต่คิดไม่ออกว่าเขาคือใคร เลยไม่ได้พูดอะไร
สือเย่เข้ามายังห้องทำงานของเฉินถิงเซียวอย่างราบรื่น
วันนี้เฉินถิงเซียวพาเฉินมู่มาที่บริษัทด้วย
ตอนที่สือเย่เข้ามานั้น ก็เห็นว่าเฉินถิงเซียวกับเฉินมู่ทั้งสองคน ทั้งคนโตและเด็กน้อยกำลัง “ทำงาน” กันอยู่บนโต๊ะ
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่บนเก้าอี้ท่านประธาน บริเวณด้านหน้าก็มีเอกสารหนาๆ กองไปทั่ว
ส่วนเฉินมู่นั้น นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานด้านข้างของเขา มือกำลังถือพู่กัน ส่วนอีกมือก็กดกระดาษวาดรูปเอาไว้ และกำลังวาดรูปขีดเขียนอะไรมั่วๆ ลงในกระดาษ
จากภาพมองดูแล้วน่าขำชะมัด แต่ก็ถือว่ากลมกลืนกันมาก
สือเย่เคาะประตูเข้าไป จากนั้นก็เดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าของเฉินถิงเซียวทันที “คุณชาย นี่คือของที่คุณต้องการครับ”
หลังจากที่เขาเอาข้อมูลของมู่น่อนน่อนวางลงแล้ว เฉินถิงเซียวก็มือจากงานที่ทำอยู่ในมือทันที และเริ่มดูข้อมูลของมู่น่อนน่อน
เอกสารบางๆ ที่มีอยู่แค่สองแผ่น แวบเดียวเฉินถิงเซียวก็เปิดจนครบหมดแล้ว
จากนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมาทางสือเย่ “เอกสารว่าที่สามีของเขาล่ะ?”
สือเย่ได้ยินแล้ว ก็ยื่นข้อมูลของลี่จิ่วเชียนที่มีอยู่แผ่นเดียวให้ทันที “นี่ครับ”
ข้อมูลของลี่จิ่วเชียน ยังน้อยกว่าของมู่น่อนน่อนอีก แค่กระดาษ A 4 แผ่นเดียว แถมมีแค่ครึ่งหน้าอีก
นัยน์ตาดำขลับของเฉินถิงเซียว พลันทอประกายความยินดีออกมา เขาแค่ให้สือเย่ไปสืบเรื่องมู่น่อนน่อน ไม่คิดเลยว่าสือเย่จะสืบเรื่องข้อมูลของลี่จิ่วเชียนมาพร้อมกันเลย
ดูจากเรื่องนี้แล้ว สือเย่เคยเป็นผู้ช่วยพิเศษของเขาจริงๆ ในอดีตแน่
เฉินถิงเซียววางเอกสารที่อยู่ในมือลง พลันเอียงศีรษะเล็กน้อย และออกคำสั่งอย่างไม่ใส่ใจ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งให้คุณไปทำ คืนนี้ผมต้องการจะเข้าพักเป็นเพื่อนบ้านของพวกเขา”
สือเย่ถึงกลับตกใจยกใหญ่
แม้ว่าไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็ยังพยักหน้าเล็กน้อย “เข้าใจแล้วครับ”
เสิ่นเหลียงยิ้มจนปากถึงรูหูจนหุบไม่ลงแล้ว กระทั่งยังอยากจะเอื้อมมือไปลูบใบหน้าของตนเอง
แต่เธอก็อดทนเอาไว้ได้
เพราะว่าเฉินถิงเซียวยังอยู่ตรงด้านหน้าด้วย
“ค่ะ หนูก็น่ารักมากค่ะ” เสิ่นเหลียงคงได้รับผลกระทบจากเฉินมู่ไปด้วย พอพูดจาออกมาเลยบีบเสียงตนเองลง น้ำเสียงตอนท้ายมีเสียงสูงขึ้น มีความหมายเอาใจอยู่เล็กน้อย
ยากมากนักที่เฉินมู่จะยิ้มอย่างเขินอายออกมา “คริ ๆ”
จากนั้นก็ยื่นมือออกไปจับหน้าตนเอง ตอนที่จับหน้าตนเองนั้น ก็อดใจวางตะเกียบลงไม่ไหว
ถือว่าเป็นเจ้าตัวน้อยนักกินตัวยงจริงๆ เลย
ตอนที่เฉินถิงเซียวคลุกเข้าและยื่นมาทางด้านหน้าของเฉินมู่นั้น เขาก็สังเกตเห็น “แววตาที่ถ่ายทอดความรู้สึกผ่านกัน” ของเฉินมู่กับเสิ่นเหลียงพอดี
เฉินถิงเซียวไม่แสดงอาการสงสัยเลยสักนิด ถ้าเขาเดินออกไปไม่กี่วินาที ผู้หญิงคนนี้ก็จะอุ้มตัวเฉินมู่หนีไปทันที
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นชากว่าเมื่อครู่เป็นไหน ๆ “มีธุระอะไรอีกไหม?”
“…. คะ?” เมื่อครู่พวกเขายังพูดกันอยู่ดีๆ ว่าเคยรู้จักกันมาก่อนอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?
ทว่าตอนนี้น้ำเสียงของเฉินถิงเซียว ต้องการไล่เธอไปซะงั้น?
ทันใดนั้น วินาทีต่อมาเธอก็ได้ยินเฉินถิงเซียวพูด “ไม่มีธุระอะไร คุณก็ไปได้แล้ว”
“ท่านประธานใหญ่ ฉัน…” ยากนักที่เสิ่นเหลียงจะมาเจอกับเฉินถิงเซียวสักครั้ง และไม่อยากจากไปแบบนี้แน่นอน
ก่อนหน้านี้ ตอนเธอรู้ว่ามู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวต่างสูญเสียความทรงจำทั้งคู่ ในใจก็คิดจะไม่บอกกับมู่น่อนน่อนในเรื่องระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียว
แต่ว่า พอเธอมาเห็นเฉินมู่แล้ว
เฉินมู่เป็นลูกสาวแท้ๆ ของมู่น่อนน่อน เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธออยู่ในร่างกาย
แม้ว่ามู่น่อนน่อนจะมีพรหมลิขิตกับเฉินถิงเซียวอยู่แค่นี้ก็ตาม แต่ว่ามู่น่อนน่อนกับเฉินมู่ก็ต้องยอมรับความเป็นแม่ลูกกัน
มู่น่อนน่อนเองก็มีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าตัวเองมีลูกสาว
เฉินมู่เองก็มีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าใครคือแม่บังเกิดเกล้าของเธอ
เด็กหน้าตาน่ารักขนาดนี้ เธอก็ควรได้รับทุกอย่างที่คู่ควร รวมถึงความรักของแม่ด้วย
เฉินถิงเซียวเห็นว่าเสิ่นเหลียงยังไม่ยอมไป เลยพูดจาข่มขู่ออกมา “คุณเป็นบุคคลสาธารณะ ไม่คำนึงภาพพจน์ตัวเองสักหน่อยเลยเหรอ?”
ไม่รอให้เสิ่นเหลียงมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับ เฉินถิงเซียวก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ราวกับเตรียมโทรหายาม
เสิ่นเหลียงกัดฟัน จากนั้นก็ใช้มือทุบลงบนโต๊ะอาหาร แถมน้ำเสียงจริงจังมาก “ฉันขอพูดแค่ประโยคเดียวแล้วจะออกไป”
เฉินถิงเซียวเงยหน้ามองเธอ
เสิ่นเหลียงกลืนน้ำลายลงคอ และพูดต่อ “แม่ที่ให้กำเนิดเฉินมู่ไม่ใช่ซูเหมียน พี่สาวคุณกำลังโกหกคุณอยู่”
เมื่อเห็นสีหน้าของเฉินถิงเซียวที่ยิ่งเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่เธอสามารถพูดได้มากที่สุดในเวลานี้ก็ทำได้เพียงเท่านี้
เมื่อก่อนเพราะมู่น่อนน่อน เฉินถิงเซียวถึงได้เกรงใจเธออยู่บ้าง
แต่ว่าตอนนี้ เสิ่นเหลียงไม่กล้ารับประกันได้เลยว่าเธอจะอยู่ที่นี่ต่อไป แต่หลังจากที่ยั่วโมโหเฉินถิงเซียวแล้ว เขาจะลงมือทำอะไรบ้าง
เสิ่นเหลียงพูดจบ ก็หันตัวและเดินสาวเท้าออกมาอย่างรวดเร็ว
เฉินมู่ที่เพิ่งรู้ตัวภายหลังก็เงยหน้าขึ้น เธอมองยังตำแหน่งที่เสิ่นเหลียงกำลังยืนอยู่ จากนั้นก็ยกนิ้วอวบอ้วนเล็กๆ ชี้และพูดออกมา “พี่สาวคนสวยล่ะคะ?”
มุมปากของเธอยังมีเม็ดข้าว และคราบอาหารที่เปรอะเปื้อนอยู่บริเวณมุมปาก
เฉินถิงเซียวเอื้อมมือออกไปช่วยเช็ดให้เธอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เฉินมู่ไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ จึงเกิดอาการอยู่ไม่นิ่ง และหันซ้ายหันขวาเพื่อต้องการหาเสิ่นเหลียง
ฝ่ามือใหญ่ของเฉินถิงเซียวยื่นออกไป และจัดการตรึงศีรษะเล็กๆ ของเธอเอาไว้ เพื่อเป็นการบังคับให้เฉินมู่สบตาเขา
เฉินมู่อ้าปากเล็กน้อย พร้อมทั้งกะพริบตามองเขา “พี่สาวคนสวยไปไหนแล้วคะ?”
เฉินถิงเซียวพูดแก้คำเธอ “นั่นไม่ใช่พี่สาวคนสวย”
เฉินมู่ย่นคิ้ว “เธอสวยนะคะ”
หัวคิ้วของเฉินถิงเซียวค่อยๆ เลิกขึ้นเล็กน้อย “เธอเป็นคุณน้าที่แปลกประหลาด”
ตอนแรกเขาก็ไม่ได้รู้สึกปฏิเสธอะไรกับเสิ่นเหลียง แต่พอเสิ่นเหลียงเอาแต่จับจ้องเฉินมู่แล้ว
ผู้หญิงตอนนี้แปลกประหลาดจริงๆ เลย ถ้าไม่ใช่พุ่งมาหาเขา ก็พุ่งมาที่ลูกเขาแทน
“เธอสวย…”
เฉินมู่อยากจะโต้กลับ แต่กลับถูกคำพูดของเฉินถิงเซียวพูดแทรกแทน “พูดตามนะ เธอคือ คุณน้า คน แปลกประหลาด”
ความอยากรู้อยากเห็นของเฉินมู่ถือว่าแรงกล้ามาก พร้อมทั้งพูดตามอย่างเชื่อฟัง “คุณน้า คน แปลกประหลาด”
นัยน์ตาเฉินถิงเซียวแสดงความพอใจออกมา “ต่อไปพอเจอกับคุณน้าแปลกประหลาดพวกนี้แล้ว ต้องอยู่ให้ห่างพวกเธอหน่อย และไม่ต้องไปพูดคุยกับเธอนะ”
เฉินมู่พยักหน้าทำเป็นรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
ผลไม้หลังอาหารก็เสิร์ฟขึ้นโต๊ะแล้ว เฉินถิงเซียวป้อนเฉินมู่ไปได้ไม่กี่คำ นัยน์ตาของเฉินมู่ก็เริ่มต่อต้านแล้ว พลางยื่นมือทั้งสองข้างออกมาต้องการให้เฉินถิงเซียวอุ้ม
ปกติแล้วเฉินมู่เชื่อฟังมาก แต่ตอนอยากจะเข้านอนเท่านั้นแหละ ที่เริ่มงอแงเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวอุ้มตัวเธอขึ้นมา จากนั้นก็จัดท่าที่นอนสบายให้เธอคอยนอนหลับอยู่ในอ้อมอกของตนเอง
เขาถึงได้มีเวลากินข้าว
อาหารเย็นชืดหมดแล้ว เฉินถิงเซียวแค่กินไปสองสามคำ ก็พาเฉินมู่กลับขึ้นห้องทันที
เฉินมู่นอนหลับสนิท เฉินถิงเซียวเช็ดหน้าให้เธอ และเปลี่ยนชุดนอนเพื่อให้เธอนอนหลับ
ตอนที่เขาเตรียมเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ โทรศัพท์ส่วนตัวก็ดังขึ้น
เป็นเบอร์แปลกๆ
เป็นเบอร์โทรศัพท์ของสือเย่ที่เป็นผู้ช่วยพิเศษคนนั้นโทรศัพท์หาเขา
เฉินถิงเซียวปิดเสียงโทรศัพท์ และเหลือบตาหันไปมองเฉินมู่ที่นอนอยู่บนเตียง เมื่อเห็นว่าเธอหลับสนิท และไม่มีการขยับเขยื้อนสักนิด จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอกอย่างเบาๆ
พอเดินออกมานอกประตู เขาก็กดรับสายทันที
เมื่อโทรศัพท์กดรับสาย สือเย่ก็เรียกตามความเคยชิน “คุณชาย”
เฉินถิงเซียงก็สังเกตคำเรียกของเขาได้ แต่ถามกลับอย่างไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ “คิดดีแล้วเหรอไวขนาดนี้เชียว?”
สือเย่เคร่งขรึมอยู่สักพัก จากนั้นก็พูดออกมา “ขอแค่คุณชายต้องการผม ผมก็จะกระโดดลงกองเพลิงโดยไม่ปริปากพูดสักคำ งานในมือของผม ผมได้จัดการหมดแล้ว พรุ่งนี้สามารถไปรายงานตัวที่บริษัทเฉินซื่อได้เลยครับ”
เขาไม่ได้ตอบรับเฉินถิงเซียวในทันที ก็เพราะว่าเขาจำเป็นต้องใช้เวลาในการสะสางงานที่อยู่ในมือ
กู้จือหยั่นก็ยินยอมปล่อยเขาไป แต่เขาก็มีความรับผิดชอบของตัวเองพอ ไม่จัดการงานให้เสร็จ ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
เฉินถิงเซียวครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาไม่คิดเลยว่าสือเย่สามารถทำงานได้เก่งขนาดนี้ แถมยังละเอียดรอบคอบมาก
ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็พูดว่า “พรุ่งนี้เช้า มาที่โรงแรมจีนติ่งเลยแล้วกัน”
สือเย่ส่งเสียงตอบรับ “ครับ”
……
เช้าวันรุ่งขึ้น ตอนที่เฉินถิงเซียวพาเฉินมู่มากินข้าวเช้านั้น สือเย่ก็มาถึงโรงแรมจีนติ่ง
ตอนที่สือเย่เห็นเฉินมู่นั้น ใบหน้าปรากฏอาการตกใจจนเห็นได้ชัดทันที
เฉินมู่รู้สึกว่ามีคนมองมาทางเธอ ก็หันหน้าไปมองสือเย่ทันที
อาจจะเป็นเพราะว่าคนที่มีลูกก็มีความรู้สึกเหมือนกัน พอเห็นเด็กน้อยหน้าตาน่ารักน่าชัง ก็ต้องจ้องมองอย่างไม่รู้ตัว และยิ้มให้เขาอย่างอดใจไม่ไหว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เฉินมู่เป็นลูกสาวของเฉินถิงเซียว
สือเย่จ้องมองเฉินถิงเซียวตั้งแต่วัยรุ่นที่เติบโตมาด้วยความมืดหม่น จนเติบโตเป็นชายหนุ่มที่มีกลยุทธ์ที่หนักแน่นถึงเพียงนี้ จนก้นบึ้งหัวใจผสานความรู้สึกต่างๆ นับร้อยอยู่รวมกัน
เด็กเล็กส่วนใหญ่มีประสาทอ่อนไหวมาก เธอสามารถรับรู้ถึงความใจดีหรือความชั่วร้ายที่มีจากตัวของคนอื่นได้
สือเย่ยิ้มให้เธอ เธอก็ยิ้มตอบสือเย่
เฉินถิงเซียวถามกลับทั้ง ๆ ที่ไม่เงยหน้าด้วยซ้ำ “กินข้าวมาหรือยัง?”
สือเย่ได้สติ และรีบพูดทันที “กินมาแล้วครับ”
เฉินถิงเซียวทดสอบอุณหภูมิของนมให้เฉินมู่ และพูดอย่างไม่ยี่หระ “ช่วยผมสืบเรื่องคนคนหนึ่งหน่อยสิ”
สือเย่ได้ยินแล้ว ก็ถามกลับอย่างเคารพนบนอบ “คุณชายอยากให้ผมไปสืบเรื่องใครหรือครับ?”
เฉินถิงเซียวถึงได้หันหน้ากลับมามองเขา “มู่น่อนน่อน”
สือเย่เงยหน้าขึ้นมาทันควัน แววตาไม่สามารถปกปิดอาการหวาดหวั่นไว้ได้เลย
เฉินถิงเซียวย่อมจับจุดสังเกตอาการผิดปกติของเขาได้ “ทำไม? มีปัญหาหรือไง?”
วินาทีนั้น สือเย่คิดว่าความทรงจำของเฉินถิงเซียวกลับคืนมาแล้ว
แต่ว่าแววตาที่เฉินถิงเซียวมองมายังเขายังคงแปลกหน้าดั่งเมื่อก่อน
สือเย่ชะงักอยู่เล็กน้อย จากนั้นถึงตอบกลับ “….เปล่าครับ”
เฉินจิ่งหยุ้นกับซูเหมียนรู้จักกันตอนที่เรียนอยู่ที่เมืองนอก ผ่านมาหลายปีแล้วไม่เคยทะเลาะกันเลยและถือว่าเป็นความรู้สึกจากใจจริง
ตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ในเขตแดนระเบิดอารมณ์ใส่กัน ดังนั้นเวลาพูดจาออกมาเลยดูไม่น่าฟังเลย
เฉินจิ่งหยุ้นโมโหจนถึงขีดสุดจนหัวเราะเยาะกลับ “ตอนนี้แกกำลังโทษฉันอยู่ใช่ไหม?”
ซูเหมียนเม้มริมฝีปากเอาไว้ น้ำเสียงเริ่มเย็นชาบ้าง “ฉันเปล่า”
บรรยากาศอึมครึมไปถึงขั้นสูงสุด สถานการณ์ไม่สามารถควบคุมได้แล้ว บรรดาบ่าวไพร่พวกนั้นก็ไม่กล้าเข้าใกล้
เฉินจิ่งหยุ้นถูกเฉินถิงเซียวใส่อารมณ์มา ก็เลยรู้สึกว่าซูเหมียนชักสีหน้าใส่เธอ
เธอทำหน้าตาเศร้าสร้อยตอนที่มองมาทางซูเหมียน “ซูเหมียน สามปีนี้ฉันได้สร้างโอกาสให้แกมาไม่น้อย รวมทั้งการโกหกหลอกลวงเฉินถิงเซียว แต่ตัวแกเองกลับไร้ประโยชน์! มู่น่อนน่อนที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านมาอยู่กับเขาได้ไม่นาน จนทำให้เขาหลงหัวปักหัวปำ แต่แกใช้เวลามาสามปี เขากลับไม่มีความรู้กับแกสักนิด ฉันแนะนำให้แกปล่อยวางไปเถอะ!”
ซูเหมียนเป็นคนที่เก่งแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่มาพลาดท่าให้เฉินถิงเซียวถึงที่ ตอนนี้ยังโดนเฉินจิ่งหยุ้น เอามาเปรียบเทียบกับคนที่แม้แต่เศษซากกระดูกถูกฝังอยู่ในทะเลยังไม่มีด้วยซ้ำ เธอจะอดกลั้นกับความโกรธนี้ได้อย่างไรกัน
“เฉินจิ่งหยุ้นคำพูดนี้แกอัดอั้นอยู่ในใจมานานมากแล้วใช่ไหม?” ซูเหมียนหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา “แกไม่ต้องเป็นห่วงไป ฉันจะบอกเรื่องราวในอดีตของเฉินถิงเซียวให้เขารู้ดีหรือเปล่านะ?”
เฉินจิ่งหยุ้นได้ยินแล้ว รูม่านตาหดตัวลงทันที จากนั้นสีหน้าก็ปรากฏอาการถากถางกลับ “แกไม่ทำหรอก แกอย่าลืมนะ แกก็กำลังโกหกเขาอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะพูดยังไงฉันก็เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขา แม้ว่าเขาจะจำเรื่องราวในอดีตได้ แกว่าเขาจะมาหาเรื่องฉันก่อน หรือว่าจะไปหาแกก่อนดีนะ?”
“แก…”
“หนักแน่นหน่อย อย่าเพิ่งระเบิดอารมณ์เกินเหตุ พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปี ต่างรู้ใจซึ่งกันและกัน ตอนนี้ก็เหมือนยืนอยู่ปากเหวด้วยกัน เราไม่สามารถเกิดข้อขัดแย้งภายในได้ แกพูดว่าใช่ไหม?”
สักพัก ซูเหมียนก็ตอบรับกลับมา “ใช่”
……
เฉินถิงเซียวพาเฉินมู่มาที่โรงแรมจีนติ่ง
สามปีนี้เฉินจิ่งหยุ้นไม่อนุญาตให้เขาไปมาหาสู่กับกู้จือหยั่น และไม่อนุญาตให้เขามาใช้จ่ายเงินที่โรงแรมจีนติ่งของกู้จือหยั่น
ไม่ใช่เพราะว่าเขาเชื่อฟังคำพูดของเฉินจิ่งหยุ้นมาก แต่เขาขี้เกียจหาเรื่องรำคาญใส่หัว
ตอนนี้เขารู้สึกว่าเฉินจิ่งหยุ้นนับวันยิ่งน่าเบื่อขึ้นเรื่อย ๆ เลยไม่อยากไปพักที่บ้านตระกูลเฉินอีกแล้ว
คืนนี้ต้องหาที่พักค้างคืนก่อนสักคืน
เมื่อเดินเข้าโรงแรมจีนติ่ง เขาก็ค้นพบว่าสไตล์การตกแต่งของโรงแรมจีนติ่งไม่เลวเลย ถือว่ามีรสนิยมพอตัว
เฉินถิงเซียวเปิดห้องชุดหนึ่งห้อง หลังจากจัดการวางสิ่งของเรียบร้อยแล้ว ก็พาเฉินมู่ไปกินข้าวในร้านอาหาร
มัวแต่วุ่นวายมาทั้งคืนแล้ว เวลากินข้าวก็ปาเข้าไปสองทุ่มกว่า
อย่าพูดเลยว่าเฉินมู่เป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง ขนาดเขาเองก็ยังหิวเลย
เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ เฉินมู่ก็ลุกยืนบนเก้าอี้เด็กอย่างทนไม่ไหว และเริ่มคว้าตะเกียบเพื่อเตรียมลงมือคีบอาหาร
เฉินถิงเซียวเริ่มพูดเสียงแข็ง “นั่งลง”
เฉินมู่ได้แต่คว่ำปากยิ้มกลับและนั่งลงทันที และพูดอย่างน้อยใจ “หนูหิวมากเลยค่ะ…”
เฉินถิงเซียวตักข้าวแต่ไม่ยอมพูดจาอะไร หลังจากที่คีบอาหารใส่ชามของเธอและคลุกให้เธอแล้ว ก็หยิบเอาผ้าเช็ดปากมาสอดลงใต้ลำคอของเธอ จากนั้นถึงได้ยื่นชามข้าวมายังด้านหน้าของเธอ
การกระทำทุกอย่างช่างดูคล่องแคล่องและคุ้นเคยมาก
ผู้หญิงหลายๆ คนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ถึงกับกระซิบพูดถึงเฉินถิงเซียวขึ้นมาทันที
หลายปีที่ผ่านมานี้เฉินถิงเซียวเห็นหน้าค่าตาอยู่ในข่าวมาหลายครั้ง จนมีคนจำเขาได้แล้ว แต่ไม่มีคนกล้าตีสนิทไปคุยด้วย
เมื่อเฉินมู่ยังมีอายุได้ไม่กี่เดือนตอนยังดื่มนมอยู่นั้น ก็แสดงความชอบที่ไม่ค่อยปกติออกมา ซึ่งคว้าอะไรได้ก็ตามก็จับยัดใส่ปากทันที
ส่วนเรื่องกินข้าวนั้น เธอจึงคนวางใจได้เลย
เฉินถิงเซียวมองท่าทางการกิน “ตะกละตะกลาม” ของเฉินมู่ จนหัวคิ้วผูกเป็นโบเล็กน้อย “ค่อยๆ กิน”
เฉินมู่สนใจคำพูดของเขาที่ไหนกัน เมื่อหยิบตะเกียบได้ก็จัดการคุ้ยข้าวเอาปากอย่างเต็มที่ทันที
เวลานั้นน้ำซุปยังไม่ได้เสิร์ฟ เฉินถิงเซียวได้แต่ยื่นแก้วน้ำมาให้ตรงหน้าเธอ เพื่อป้อนน้ำให้เธอดื่ม
ตอนที่เสิ่นเหลียงตามคนในกองถ่ายเข้ามานั้น ก็เห็นฉากนี้เข้าพอดี
ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะอาหาร มือหนึ่งก็ถือแก้วน้ำ อีกมือก็เอาทิชชูเอาไว้ แม้ว่าภาพนั้นจะไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา ทว่าดวงตาดำขลับกลับจับสังเกตเด็กสาวตัวน้อยที่กำลังกินข้าวอยู่
คนรอบข้างเสิ่นเหลียงเองก็สังเกตเห็นเฉินถิงเซียวด้วย
“นั่นไม่ใช่ท่านประธานของบริษัทเฉินซื่อเหรอ?”
“เขาก็มากินข้าวที่นี่เหรอ เด็กสาวคนนี้เป็นใครกัน? ลูกสาวนอกสมรสของเขาเหรอ?”
“น่าจะใช่แหละ ดูแล้วก็หน้าตาคล้ายกันอยู่นะ…”
“ตระกูลเฉินยีนดีจริงๆ เลย เฉินถิงเซียวหน้าตาหล่อขนาดนั้น ลูกสาวของเขาก็น่ารักมากด้วย…”
การถกเถียงของพวกเขาเริ่มเบี่ยงหัวข้อไปจากประเด็นหลัก เมื่อหันกลับมาก็เห็นว่าเสิ่นเหลียงไม่ยอมเดิน พลันเลยส่งเสียงเตือนเธอ “เสิ่นเหลียง ดูอะไรอยู่เหรอเนี่ย? ไปกันเถอะ”
เสิ่นเหลียงตั้งสติกลับมาได้ จากนั้นก็พูดอย่างรีบร้อนออกมาหนึ่งประโยค “พวกคุณเดินไปกันก่อน ฉันมีธุระนิดหน่อย”
“งั้นได้ พวกเราเดินไปก่อนแล้วกันนะ คุณก็เร็วๆ หน่อยแล้วกัน”
รอให้พวกเขาเดินไปกันแล้ว เสิ่นเหลียงก็มองสำรวจโดยรอบ และมุ่งหน้าเดินมาทางเฉินถิงเซียว
หลายปีก่อน โรงแรมจีนติ่งกับบริษัทเสิ้งติ่งกู้จือหยั่นเป็นคนเข้ามาบริหารงาน แต่เพราะว่าเหตุผลนี้เอง เสิ่นเหลียงเลยไม่ต้องกังวลกับการถูกปาปารัสซีแอบถ่ายอยู่ที่นี่
ในทางกลับกันกู้จือหยั่นก็จะช่วยเธอจัดการปัญหาอยู่แล้ว
เสิ่นเหลียงเดินมุ่งหน้าไปยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะอาหารของเฉินถิงเซียวทันที
“กินช้าๆ หน่อย ไม่มีคนมาแย่งลูกหรอกน่า” เฉินถิงเซียวกำลังใช้เสียงสุขุมพูดกับเฉินมู่
เสิ่นเหลียงกระแอมเสียง เพื่อให้โล่งคอ จากนั้นก็เรียก “ท่านประธานใหญ่”
เธอพูดจบ สายตาของอดใจเหล่มองเฉินมู่ไม่ไหว
นั่นเป็นลูกสาวของมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียว เฉินมู่เหรอ?
น่า…น่ารักมาก!
จมูกน่ารัก ดวงตาก็ช่างน่ารัก ท่าทางกินก็ยังน่ารักที่สุดเลย!
เฉินถิงเซียวได้ยินเสียงเลยหันขวับไปทางเสิ่นเหลียง
ดูคลับคล้ายคลับคลาอยู่ แต่เรียกชื่อไม่ออก ถึงอย่างไรผู้ชายที่ต้องการจะตีสนิทกับเขาช่างมากมายเหลือเกิน
แต่ว่า ผู้หญิงคนนี้เหมือนว่าจะไม่เหมือนผู้หญิงที่เข้าหาเขาคนก่อนๆ เลย เพราะว่าดวงตาของเธอเอาแต่จับจ้องมาที่ตัวของเฉินมู่อยู่ตลอดเวลา
เฉินถิงเซียววางแก้วน้ำในมือลง น้ำเสียงเอ่ยปากถามกลับอย่างเย็นชาใส่ “คุณเรียกผมว่าอะไรนะ?”
แสนยากเย็นเหลือเกินที่เสิ่นเหลียงจะเบนสายตาออกมาจากตัวของเฉินมู่ได้ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปสามปีที่ไม่ได้พูดคุยกับเฉินถิงเซียวเลย แต่ว่าอาการที่มีศักดิ์ศรีค้ำคออยู่ จนทำให้สัญชาตญาณของเธอถึงกับหลังตรงทันที และทำท่าทางยืนตรงเหมือนตรงตามมาตรฐานของเด็กนักเรียนเป๊ะ
เสิ่นเหลียงเอ่ยคำเรียกอย่างซื่อตรงออกมาอีกครั้ง “ท่านประธานใหญ่!”
นัยน์ตาของเฉินถิงเซียวทอประกายความรู้สึกครุ่นคิดออกมา จากนั้นก็ถามกลับทันที “คุณคือนักแสดงที่อยู่ใต้สังกัดของบริษัทเสิ้งติ่งใช่ไหม?”
“ค่ะ” เสิ่นเหลียงส่งเสียงตอบรับ พลันอดใจไม่ไหวที่จะเบนสายตากลับมาตัวของเฉินมู่อีกครั้ง “ลูกสาวของคุณน่ารักจริงๆ ค่ะ”
“ผมไม่ได้ประกาศมาก่อนเลยว่าตัวผมเองมีลูกสาว ดูเหมือนว่าคุณเองก็ไม่ได้มีอาการตกใจอะไร” อาจจะเพราะว่าเสิ่นเหลียงไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นพวกนั้นที่แสดงสีหน้าคิดทุเรศกับเขาและแสดงทางสีหน้าออกมา เขาจึงยินยอมที่จะพูดกับเธอมากขึ้น
สีหน้าของเสิ่นเหลียงแข็งทื่อ เมื่อคิดถึงมู่น่อนน่อน เธอถอนหายใจเล็กน้อย “เพราะว่าพวกเรารู้จักกันมาก่อนค่ะ”
แววตาของเฉินถิงเซียวพลันเปลี่ยนเป็นคมกริบเต็มเปี่ยมขึ้นมาทันที
เสิ่นเหลียงกลืนน้ำลายลงคอ “ที่ฉันพูดออกมามันคือความจริง”
แม้ว่าจะผ่านมาแล้วสามปี นัยน์ตาของท่านประธานใหญ่ยังคงน่าหวาดกลัวอยู่เช่นเดิม!
“คุณพ่อ เอาอีกค่ะ!”
น้ำเสียงของเฉินมู่ทำลายบรรยากาศทันที
เฉินถิงเซียวหันศีรษะกลับไป และจัดการคลุกข้าวให้เฉินมู่ต่ออย่างไม่พูดไม่จา
เฉินมู่หันข้างมามองเสิ่นเหลียง เสิ่นเหลียงเองก็มองเธอเช่นเดียวกัน
จากนั้น เฉินมู่ก็หันมายิ้มตาหยีให้และเรียกกลับทันที “พี่สาวคนสวย”
เสิ่นเหลียงรู้สึกว่าตัวเองตกหลุมรักกับความน่ารักน่าชังจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว
เฉินถิงเซียงยิ้มแห้งๆ ออกมา จากนั้นก็เดินก้าวเท้าเข้ามาในประตูใหญ่
เฉินจิ่งหยุ้นลงจากรถตามมาด้านหลัง ก็เห็นรถยนต์ของซูเหมียน
งี่เง่าชะมัด!
เฉินถิงเซียวรักเฉินมู่มาก คนมีตาก็สามารถมองออกกันทั้งนั้นแหละ
ในทางกลับกันถ้าซูเหมียนดีพอ ซึ่งเมื่อวานพาเฉินมู่ออกไปจนเกือบจะหายตัวไปแล้ว วันนี้ยังมาที่บ้านตระกูลเฉินอีก
นี่ใม่ใช่การจงใจหาเรื่องใส่ตัวจากเฉินถิงเซียวหรอกเหรอ?
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไป บรรดาบ่าวไพร่ก็เริ่มเดินมาดักหน้าพร้อมกับรับเสื้อโค้ตของเขาไว้ทันที
ไม่ต้องรอให้เขาออกปาก ก็มีบ่าวไพร่เริ่มพูดเขากับเขา “คุณหนูน้อยอยู่ในห้องครัวกับคุณหนูซู”
บ่าวไพร่ในบ้านต่างรู้ดี ทุกวันที่เฉินถิงเซียวเลิกงานมาและสนใจเป็นสิ่งแรก ก็คือการไปดูเฉินมู่
เฉินถิงเซียวเดินมุ่งหน้าไปทางห้องครัวทันที
ตอนที่เข้าเดินเข้าไปนั้น ซูเหมียนกำลังปอกผลไม้อยู่บนท็อปเคาน์เตอร์ครัว
เธอปอกผลไม้ไปด้วย และพูดคุยกับเฉินมู่ไปด้วย
“กินผลไม้เยอะๆ จะได้สวยขึ้นนะ…”
เฉินมู่นั่งอยู่บนท็อปเคาน์เตอร์ครัวขาสั้นๆ ทั้งสองข้างแกว่งสลับกันไปมา และก็ไม่รู้ว่าเธอนั้นฟังอยู่หรือเปล่า พลางยื่นมือตุ้ยนุ้ยออกไปหยิบแตงโมชิ้นหนึ่งยัดเข้าปาก
เธอเพิ่งเอาแตงโมยัดใส่ปากไป พลันหันศีรษะไปมองเฉินถิงเซียว
“เฉินชิงเซียว” ปากของเฉินมู่ยังคงถือแตงโมที่ยังกินไม่หมด น้ำเสียงอู้อี้ และจ้องมองเฉินถิงเซียวที่ยื่นมือเพื่อแสดงความหมายต้องการกอดเธอ
เฉินถิงเซียวเขยิบเข้าใกล้ พลางยื่นมือออกไปอุ้มเธอขึ้นมา และยื่นมือออกไปเช็ดน้ำแตงโมที่มุมปากเธออย่างรังเกียจ น้ำเสียงเริ่มแสดงอาการเบื่อหน่ายที่ไม่ค่อยได้เห็น “เรียกคุณพ่อสิคะ”
เฉินมู่ส่งเสียงเรียกดังฟังชัด “คุณพ่อ!”
ทุกครั้งที่เขากลับมา เฉินมู่ก็จะทำแบบนี้กับทุกครั้งไป
สำหรับเรื่องการท้าทายอำนาจของพ่อที่เป็นประธานบริษัท ถือว่าเป็นเรื่องเพลิดเพลินอย่างไม่มีวันเบื่อของเฉินมู่เลยแหละ
“ถิงเซียว”
เฉินถิงเซียวได้ยินเสียงแล้วก็เงยหน้ามาทางซูเหมียน
ซูเหมียนวางอาหารที่อยู่ในมือลง จากนั้นก็ยิ้มหวานตอนมองเขา
เฉินถิงเซียวหัวเราะออกมาอย่างไม่แสดงความหมายใด จากนั้นก็อุ้มเฉินมู่และเดินออกไปทันที
เขาไม่ได้โกรธเคืองตามที่ซูเหมียนได้จินตนาการคาดคิดเอาไว้เลย นัยน์ตาของซูเหมียนทอประกายความยินดีออกมา
ที่แท้ เธอใช้เฉินมู่เป็นจุดสำคัญนั้นถือว่าถูกต้องแล้ว
ตอนเด็กเฉินมู่ก็ยังดี เพราะไม่สามารถพูดและไม่สามารถเดินเองได้ ดูแล้วเป็นเด็กทั่วไปคนหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับมาดูใหม่อีกที่ช่างเหมือนกับมู่น่อนน่อนผู้หญิงคนนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
ด้วยเพราะเหตุนี้ ซูเหมียนมองเฉินมู่แล้วก็ยิ่งรำคาญขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น ในใจของเธอก็เกิดความคิดว่าต้องจัดการเฉินมู่ให้สิ้นซาก
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เธอก็แค่ลองใจดูว่าตกลงแล้วเฉินถิงเซียวให้ความสำคัญกับเฉินมู่ขนาดไหนก็เท่านั้นเอง
เฉินมู่มีความสำคัญมากกับเฉินถิงเซียว เธอสามารถเอาใจเฉินมู่จนเป็นที่โปรดปรานได้ แล้วค่อยทำให้เฉินถิงเซียวยอมรับในตัวเธอ
รอวันที่เธอแต่งงานเข้ามาอยู่ในตระกูลเฉิน จนตั้งท้องลูกของเฉินถิงเซียวแล้ว…
เรื่องเฉินมู่คนนั้น เธอสามารถคิดหาวิธี ในการจัดการเด็กคนนั้นให้สิ้นซากไป
ซูเหมียนรู้สึกว่าแผนการอันนี้ของตนเองช่างวิเศษสมบูรณ์อย่างไร้ที่ติ
……
เฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่ไปยังห้องหนังสือ
เขาเอาเฉินมู่ วางลงบนโต๊ะทำงาน เฉินมู่ก็เอี้ยวร่างกายเล็กไปหยิบเอาที่ใส่ปากกาขึ้นมา
“อย่าแตะต้องนะ!” เฉินถิงเซียวส่งเสียงเคร่งขรึมออกมา จนทำให้เฉินมู่หดมือกลับทันที พร้อมทั้งเงยหน้ามองเขาอย่างคาดหวังทันที
เฉินถิงเซียวดึงเก้าอี้ออกมาหนึ่งตัว
ตอนที่เขานั่งลงนั้น สายตาก็เสมอกับเฉินมู่พอดี พร้อมทั้งแสดงท่าทางเคร่งขรึมและจริงจังมาก พร้อมทั้งพูดคุยเหมือนตอนที่กำลังเจรจาเรื่องเซ็นสัญญาเลย
“ชอบแม่ไหม?”
ตอนนี้เฉินมู่รู้ความหมายของคำว่า “ชอบ” ว่าหมายถึงอะไรแล้ว
เธอกะพริบตาปริบๆ และจ้องมองมาทางเฉินถิงเซียวอยู่หลายครั้ง และยังพยักหน้าด้วยใบหน้าเล็กๆ ด้วยท่าทางจริงจัง
ปฏิกิริยาตอบสนองของเธอนอกเหนือความคิดของเฉินถิงเซียว
เขากอดอกและเอนหลังพิงไปด้านหลัง และเปลี่ยนวิธีถามทันที “แม่กับพี่สาวคนสวย หนูเลือกใครคะ?”
ดวงตาของเฉินมู่พลันทอประกายขึ้นมาทันที จากนั้นก็ยักไหล่ขึ้น และแสดงท่าทางเขินอายออกมา น้ำเสียงดีใจอย่างลิงโลดที่ไม่สามารถซ่อนเร้นเอาไว้ได้ “พี่สาวคนสวยค่ะ!”
คำตอบของเธอ ถือว่าทำให้เฉินถิงเซียวแปลกใจอยู่บ้าง
แม้ว้าซูเหมียนจะไม่ได้ใช้เวลากับเฉินมู่มากนัก แต่อย่างไรถือว่ามาหาเธออยู่บ่อยครั้ง ไม่คิดเลยว่าเธอจะเลือกเฉินมู่
เฉินถิงเซียวยื่นมือออกไปเล็กน้อยเพื่อปัดผมหน้าม้าที่ยุ่งเหยิงอยู่ตรงหน้าผาก และเอ่ยปากถามหน้าตาเฉย “พี่สาวคนสวยกับพ่อ หนูเลือกใครคะ?”
และแทบไม่มีอาการลังเลแต่อย่างใด เฉินมู่ก็ตอบเสียงดังลั่น “คุณพ่อ!”
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว ได้แต่หลุบตาต่ำ ก็เห็นเฉินมู่ที่เงยหน้าและยิ้มหวานให้เขา
ก้นบึ้งหัวใจของเฉินถิงเซียวอ่อนระทวยทันที จากนั้นก็พลันคิดถึงภาพที่บังเอิญเจอลูกน้องคนหนึ่งกำลังเดินจูงมือลูกเดินเที่ยวเล่นที่เกิดขึ้นมาไม่นานนี้
เวลานั้นเขาจำได้ว่าลูกน้องที่ดูแลเด็กคนนั้นชื่ออะไรนะ
เหมือนว่า… เจ้าหวานใจตัวน้อยเหรอ?
งั้นก็ชื่อเจ้าหวานใจตัวน้อยนะเหรอ?
เฉินมู่แบบนี้ถึงจะเรียกว่าเจ้าหวานใจตัวน้อยต่างหาก
เฉินถิงเซียวใช้แขนดึงเล็กน้อย ก็ยื่นมือออกไปดึงเฉินมู่เข้ามาอยู่ในอ้อมอก และใช้น้ำเสียงเหมือนเป็นพูดคุยเจรจา “งั้นพวกเราไปเป็นเพื่อนบ้านกับพี่สาวคนสวยเป็นไง?”
เฉินมู่รีบพยักหน้าทันควัน “ค่ะ!”
เฉินถิงเซียวหัวเราะเบาๆ “ลูกไม่รู้ด้วยซ้ำคำว่าเพื่อนบ้านมันหมายความว่ายังไง”
จากนั้น เฉินถิงเซียวก็พาเฉินมู่ไปยังห้องของเธอเพื่อช่วยเธอเก็บสัมภาระ
ตอนที่เก็บสัมภาระมาได้ครึ่งหนึ่งนั้น เฉินถิงเซียวก็หยุดมืออย่างกะทันหัน
ทำไมเขาถึงได้คุ้นเคยกับการทำเรื่องพวกนี้นะ เหมือนว่าในอดีตเขาเคยทำเรื่องนี้มาแล้ว
ตอนที่เขาเอากระเป๋าสัมภาระ พร้อมทั้งเดินจูงมือเฉินมู่ลงมา เฉินจิ่งหยุ้นกำลังให้ซูเหมียนขึ้นไปชั้นบนเพื่อเรียกพวกเขาให้ลงมากินข้าว
ซูเหมียนเห็นว่าเฉินถิงเซียวถือกระเป๋าสัมภาระลงมา จนหน้าแข็งทื่อไปทันที “เก็บกระเป๋าสัมภาระทำไม? คุณจะไปไหนคะ?”
เฉินถิงเซียวเตรียมจะอ้าปากพูด ก็คิดอะไรขึ้นมาได้และก้มหน้าเหลือบมองเฉินมู่
จากนั้น เขาก็ใช้สายตาอันแสนเย็นยะเยือกกวาดตามองซูเหมียน แถมไม่พูดอะไรทั้งนั้น และจัดการอุ้มเฉินมู่ขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว และลากกระเป๋าเดินทางมุ่งหน้าด้านไปยังด้านนอก
ซูเหมียนหน้าตาถอดสีทันที พลางหันตัวมุ่งหน้าไปหาเฉินจิ่งหยุ้นที่อยู่ในห้องครัว
ตอนที่เฉินจิ่งหยุ้นวิ่งตามนั้น เฉินถิงเซียวก็อุ้มเฉินมู่ขึ้นไปนั่งในรถแล้ว
เฉินจิ่งหยุ้นวิ่งเข้ามาหา และพยายามใช้แรงทุบกระทบ “ถิงเซียว แกจะไปไหน!”
เฉินถิงเซียวลดกระจกลง “ไปหาที่สงบๆ สักหน่อย”
พูดจบ เขาก็เลื่อนกระจกขึ้น และขับรถออกไป ทิ้งเฉินจิ่งหยุ้นที่กำลังกรีดร้องอย่างคนบ้าคลั่งเอาไว้ทางด้านหลัง
“ถิงเซียว! เฉินถิงเซียว! แกกลับมาเดี๋ยวนี้!”
เฉินจิ่งหยุ้นโมโหจนปวดหัว จากนั้นก็หันกลับเข้าประตูพร้อมกับสั่งกำชับกับบอดี้การ์ด “รีบไปตามเขากลับมาให้ฉัน!”
เธอไม่สามารถปล่อยให้เฉินถิงเซียวหลุดรอดสายตาของเธอไปได้
พอเฉินถิงเซียวหลุดไปจากสายตาของเธอแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะรับประกันว่าสิ่งที่ควบคุมไม่ได้จะเกิดขึ้น
บางที่เขาอาจจะจำเรื่องราวในอดีตได้ บางทีอาจจะเชื่อคำพูดของพวกกู้จือหยั่น…
ซูเหมียนเองก็ไม่คิดเลยว่าเฉินถิงเซียวจะเย็นชาถึงเพียงนี้ เธอพลันพูดปลอบโยนเฉินจิ่งหยุ้นทันที “จิ่งหยุ้นแกอย่าเพิ่งใจร้อน ถิงเซียวเขา…”
“หุบปากไปเลย!” สีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นดูย่ำแย่มากและตะคอกกลับมาเสียงเข้ม “ทุกอย่างมันเป็นเพราะว่าแกทำเรื่องขึ้นมาทั้งนั้น! เมื่อวานนี้แกเกือบทำให้มู่มู่หายตัวไปแล้ว เฉินถิงเซียวก็โมโหอยู่แล้ว วันนี้แกดันเสนอหน้ามาที่บ้านตระกูลเฉินอีก!”
ฐานะทางบ้านของซูเหมียนก็ไม่ได้ย่ำแย่สักนิด ตั้งแต่เด็กจนโตก็มีคนคอยเอาอกเอาใจเธออยู่รอบตัว สามารถพูดได้เต็มปากว่าเติบโตมาท่ามกลางคาบช้อนเงินช้อนทองมาด้วยซ้ำ
นอกจากการมาพ่ายแพ้เฉินถิงเซียวที่นี่แล้ว เธอก็ไม่เคยถูกใครใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับเธอเลย
เธออดกลั้นอารมณ์ขุ่นเคืองเอาไว้ “ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะให้ถิงเซียวเขายอมรับในตัวฉันเร็วๆ หรอกเหรอ? ฉันรอมาสามปีแล้ว! จะมีผู้หญิงสักที่คนที่สามารถรอได้สามปี นี่ฉันอายุปาเข้าไปสามสิบแล้วนะ!”
ตอนที่เฉินถิงเซียวกลับมาถึงบริษัทเฉินซื่อ ก็เห็นว่าเฉินจิ่งหยุ้นอยู่ในห้องทำงานท่านประธาน เรียบร้อยแล้ว
ตอนที่เขาเดินเข้าไปนั้นเฉินจิ่งหยุ้นกำลังนั่งอยู่บนโซฟา ท่าทางโกรธเคืองแสดงออกทางสีหน้าและเห็นได้ชัดว่ามารออยู่หลายชั่วโมงแล้ว
เฉินถิงเซียวเดินเข้าประตูมา เธอก็เอ่ยปากถามทันที “แกไปไหนมา?”
“ฉันไปไหนมาต้องมารายงานให้คุณรู้ด้วยเหรอ?” เฉินถิงเซียวชำเลืองมองเธอแค่แวบเดียว ก็เดินมุ่งหน้าไปนั่งเก้าอี้ของท่านประธานที่อยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานทันที
ไม่ได้ใส่ใจเฉินจิ่งหยุ้นเลยด้วยซ้ำ
เฉินจิ่งหยุ้นโมโหอยู่ไม่น้อย พลันผุดลุกขึ้นแล้วเดินลงส้นไปยังด้านหน้าของเขาด้วยอารมณ์โกรธจนพุ่งปรี๊ด “ถิงเซียว เราเป็นพี่น้องกัน เรามีความสัมพันธ์ซึ่งเลือดมันข้นกว่าน้ำ ควรเชื่อมั่นซึ่งกันและกันและสนับสนุนอีกฝ่ายสิ”
“เชื่อมั่นซึ่งกันและกันเหรอ?” เฉินถิงเซียวได้ยินแล้วมันเป็นเรื่องตลกทั้งเพ จนถามเธอกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “คุณเคยโกหกผมไหม?”
แววตาคมกริบของเฉินถิงเซียวจับจ้องมองเธอ นัยน์ตาทอประกายความตื่นตระหนกปรากฏให้เห็นเล็กน้อย และพยายามรักษารอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าเอาไว้ และหลอกถามกลับ “ใครพูดอะไรกับแกมา?”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบ เอาแต่จ้องเธอแทน
เฉินจิ่งหยุ้นที่ถูกเขาจับจ้องจนตัวสั่นไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะว่าหวาดกลัวเรื่องที่โกหกไว้จะถูกเปิดเผยออกมา จนทำให้เธอไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ที่ไหนดี
ทำไมเธอต้องรู้สึกผิดและหวาดกลัวด้วยนะ?
สิ่งที่ทำทุกอย่างในตอนแรก ก็เป็นการทำเพื่อเฉินถิงเซียวทั้งนั้น เพื่อตระกูลเฉินทั้งสิ้น!
เมื่อฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ สีหน้าที่ปรากฏอยู่บนหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นเริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไรกับแก แกก็อย่าไปเชื่อพวกเขา การที่ตระกูลเฉินของพวกเราเดินมาถึงวันนี้ได้ มีสายตาเท่าไหร่ที่จับจ้องมายังพวกเรา หวังให้พวกเราสองพี่น้องเริ่มทะเลาะกันเอง ส่วนพวกเขาก็นั่งรอรับผลประโยชน์อย่างเดียว!”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ยินคำพูดประโยคจากปากของเธอเพียงครั้งเดียว และพูดออกมาอย่างไร้ความรู้สึก “เหรอ?”
เฉินจิ่งหยุ้นพูดอยย่างหนักแน่นมาก “ใช่สิ!”
เฉินถิงเซียวไม่มองเธออีกเลย พลางก้มหน้าเปิดคอมพิวเตอร์ “ฉันจะทำงานแล้ว คุณออกไปเถอะ”
เฉินจิ่งหยุ้นไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่ว่าเฉินถิงเซียวจะเชื่อกับคำพูดของเธอ ทำได้แค่หันตัวและเดินออกไปเท่านั้น
หลังจากออกมาจากห้องทำงานของประธานบริษัทแล้ว สีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นก็เกิดความสงสัยขึ้นมา
สามปีที่ผ่านมานี้เฉินถิงเซียวก็ยังดีๆ อยู่แท้ๆ แถมยังคิดเรื่องในอดีตไม่ได้เลยสักนิด และไม่เคยไปมาหาสู่กับพวกของกู้จือหยั่นเลย แม้ว่าจะไม่ได้สนิทสนมกับเธอสักเท่าไหร่ แต่ถือว่าเชื่อฟังเธอดี
ทว่าระยะนี้ เธอค้นพบว่าเฉินถิงเซียวยิ่งควบคุมได้ยากขึ้นทุกที
ตกลงว่ามันเกิดปัญหาขึ้นตรงจุดไหนกันนะ?
เฉินจิ่งหยุ้นทั้งคิดและเดินกลับไปยังห้องทำงานของตนเอง จากนั้นก็กดโทรศัพท์ทางไกลออกไป
โทรศัพท์มีเสียงรอสายอยู่หลายครั้งถึงกดรับสาย
เมื่อโทรศัพท์มีการกดรับสายแล้ว เฉินจิ่งหยุ้นก็พูดใส่ด้วยอารมณ์กราวเกรี้ยว “คุณหมอหลี่ ช่วงนี้น้องชายของฉันเริ่มแสดงอาการไม่ยอมให้ฉันควบคุมแล้ว ฉันพูดอะไรไปเขาแทบไม่ฟังฉันเลย ฉันสงสัยว่าการสะกดจิตของคุณมันเกิดปัญหาขึ้นแล้วแหละ!”
เสียงปลายสายเงียบสนิท
ผ่านไปสักครู่ ถึงมีเสียงค่อนข้างแหบพร่าเล็กน้อยของผู้ชายดังกลับมา “การสะกดจิตไม่ใช่อาการวิกลจริต แม้ว่าการสะกดจิตก็เพื่อให้เขาคอยทำตามความคิดและวิธีการตามเดิมของตนเอง คุณต้องการให้เขาคอยเชื่อฟังคำพูดของคุณ อยากควบคุมเขา งั้นก็ต้องอาศัยความสามารถของตัวคุณเองแล้วแหละ”
น้ำเสียงของคุณหมอหลี่ไม่ได้แสดงอารมณ์ผิดปกติออกมาสักนิด ทว่าเฉินจิ่งหยุ้นกลับรู้สึกว่าเขากำลังหัวเราะเยาะตนเองอยู่
เฉินจิ่งหยุ้นกำหมัดไว้แน่น และพูดด้วยสีหน้าน่าเกลียดเหลือเกิน “นี่คุณกำลังหัวเราะเยาะว่าฉันไม่มีปัญญาอยู่ใช่ไหม?”
คุณหมอหลี่พูดอย่างเรียบเฉยไม่มีอาการร้อนรนแต่อย่างใด “ในสามปีนี้ คนที่ทำให้เขาเชื่อมั่นก็มีเพียงคุณคนเดียว แต่คุณกลับเอาไพ่ที่ดีที่สุดที่อยู่ในมือเล่นได้ทุเรศชะมัด แต่ก็ถือว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่งนะ”
“คุณ…”
เฉินจิ่งหยุ้นเป็นคนหยิ่งจองหองมาโดยตลอด น้อยครั้งนักที่จะเห็นหัวใคร เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็ต้องเกิดอาการกราดเกรี้ยวออกมาอย่างแน่นอน
แต่ว่าพอมาคิดดูแล้ว เรื่องของเฉินถิงเซียวยังต้องอาศัยคุณหมอหลี่ต่อ เลยได้แต่อดกลั้นอารมณ์โกรธเคืองเอาไว้
เธอหลับตาลง และควบคุมอารมณ์อยู่สักพัก ถึงได้ตอบกลับไปอีกครั้ง “คุณหมอหลี่มีโอกาสไหมที่น้องชายของฉันจะจดจำเรื่องราวในอดีตขึ้นมาได้?”
“คำถามนี้ของคุณไม่สามารถหาคำตอบที่ชัดเจนได้”
“ความหมายของคุณคือ เขาอาจจะจำเรื่องราวในอดีตได้งั้นเหรอ?” สีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นเปลี่ยนไปถนัดตา “ตอนแรกพูดว่าไม่มีทางที่จะเกิดข้อผิดพลาดได้ไม่ใช่เหรอ?”
“งั้นก็มีแค่คุณที่คิดว่าไม่มีทางที่จะเกิดข้อผิดพลาดได้ ผมยังต้องทำงานต่อ ลาก่อนนะ คุณหนูเฉิน”
คุณหมอหลี่พูดจบ ก็ตัดสายทิ้งทันที
“คุณหมอหลี่? ฮัลโหล? ฮัลโหล?” เฉินจิ่งหยุ้นไม่อยากจะเชื่อว่าอีตาคุณหมอไร้ความสามารถคนนี้จะกล้าที่ตัดสายเธอทิ้ง
เธอโมโหจนเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งทันที และเดินอย่างกังวลใจวนไปมาอยู่ในห้องทำงาน
ไม่ได้การแล้ว ไม่สามารถมานั่งรอคอยความฉิบหายแบบนี้ได้แล้ว ไม่สามารถให้เฉินถิงเซียวนึกเรื่องอดีตขึ้นมาได้
ขอแค่ไม่ให้เขาไปเจอกับคนที่เขาไปมาหาสู่ในอดีต เขาต้องฉุกคิดเรื่องในอดีตไม่ได้แน่ ๆ
ผ่านมาแล้วสามปี ก็ดำเนินเรื่องมาแบบนี้ไม่ใช่หรอกเหรอ?
เฉินจิ่งหยุ้นยิ่งคิด ก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดของตนเองนั้นถูกต้องแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เฉินจิ่งหยุ้นกดโทรศัพท์ภายใน เพื่อเรียกให้คนขับรถของเฉินถิงเซียวขึ้นมาหา
เฉินจิ่งหยุ้นถามกลับ “สองวันนี้ ถิงเซียวไปที่ไหนมาบ้าง?”
คนขับรถก้มหน้าลง และพูดออกมาด้วยท่าทีลังเล “ไม่ได้ไปที่ไหนมาครับ”
เฉินจิ่งหยุ้นได้ยินแล้ว ก็ทำเสียงเย็นชาใส่ “เขาไปหาแซ่กู้คนนั้นที่บริษัทเสิ้งติ่งมาหรือเปล่า?”
คนขับรถรีบตอนทันควัน “….ครับ”
น้ำเสียงของเฉินจิ่งหยุ้นชำเลืองมองเขาเป็นการตักเตือน “เฝ้าจับตาดูให้มากขึ้นอีกนิด”
……
เพราะว่าก่อนหน้านี้ซูเหมียนพาตัวเฉินมู่ออกไปจนเกือบหายตัวไปแล้ว เฉินถิงเซียวก็ไม่ทำโอที พอถึงเวลาเลิกงานก็ออกจากบริษัทเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน
เขาเพิ่งย่างเท้าออกจากตึกบริษัทเฉินซื่อ เฉินจิ่งหยุ้นก็เดินตามหลังเขามาติดๆ เลย
“ถิงเซียว”
เธอรีบสะกดรอนตามมาอย่างรวดเร็ว และเรียกชื่อเฉินถิงเซียวเอาไว้
เฉินถิงเซียวหันศีรษะกลับไป และจ้องมองเธออย่างเย็นชา “มีธุระเหรอ”
เฉินจิ่งหยุ้นเดินดักหน้าขึ้นมา พร้อมทั้งเกี่ยวแขนเฉินถิงเซียวเอาไว้ และแสดงท่าทางสนิทสนม “กลับบ้านพร้อมกันนะ”
สีหน้าอันแปลกประหลาดของเฉินถิงเซียวเหลือบมองมาทางเธอ และพลันดึงแขนของตนเองกลับมา จากนั้นก็ก้าวเดินฉับ ๆ มุ่งหน้าไปที่รถของตนเอง
เฉินจิ่งหยุ้นเมื่อเห็นเหตุการณ์แล้ว สีหน้าไม่ค่อยดีเลย แต่ก็ไม่แสดงอาการกระโตกกระตากออกมา ทำได้แต่เดินตามไป
คนขับรถเปิดประตูรถยนต์ให้กับเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวเพิ่งนั่งเข้ามา เฉินจิ่งหยุ้นก็ตามขึ้นรถมาติดๆ
เฉินถิงเซียวย่นคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดมากอะไร
เขาก้มหน้าลง และหยิบเอกสารขึ้นมาดูหนึ่งฉบับ
เฉินจิ่งหยุ้นที่อยู่ด้านข้างเริ่มแสดงอาการเขินอายออกมาเล็กน้อย
เธอเพิ่งจะรู้ตัวว่า ตนเองกับเฉินถิงเซียวนอกจากความคิดเห็นจะไม่ลงรอยกันจนทะเลาะกันขึ้นมา จนมาถึงขั้นหาหัวข้อพูดกันไม่ได้แล้ว
การที่ได้รับรู้เรื่องนี้ทำให้ก้นบึ้งหัวใจของเธอเกิดอาการวิตกกังวลอย่างหนักหน่วง
เธอคิดแล้วคิดอีก จากนั้นจึงอ้าปากพูดออกมา “ถิงเซียว….”
“ฉันต้องดูเอกสาร อย่ามารบกวนฉัน” เฉินถิงเซียวแทบไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ น้ำเสียงไม่แยแสทำเหมือนกำลังคุยอยู่กับคนแปลกหน้า
คำพูดของเขาพูดมาถึงระดับนี้แล้ว เฉินจิ่งหยุ้นนก็ไม่อยากจะคุยกับเขาเพื่อให้ตนเองหมดสนุก
รถยนต์จอดอยู่ตรงประตูของคฤหาสน์ตระกูลเฉิน
เฉินถิงเซียวลงจากรถ พลันสังเกตเห็นบริเวณลานจอดรถด้านหน้าประตู มีรถยนต์สีขาวคันหนึ่งจอดอยู่
นั่นเป็นรถยนต์ของซูเหมียน
ซูเหมียน มาที่บ้านตระกูลเฉินอยู่บ่อยครั้ง ก็เพราะว่าเฉินมู่ ก่อนหน้านี้เขาก็แค่ไม่สนใจทำเป็นมองไม่เห็นเท่านั้นเอง
ปกติเขาเป็นคนที่มีความจำดีมาก เมื่อเห็นบ่อยครั้งเข้า ก็จำได้เองว่าเป็นรถยนต์ของซูเหมียน
เมื่อวานนี้เขาก็พูดอยู่หยก ๆ ว่าต่อไปไม่ต้องการให้ ซูเหมียนมาที่ตระกูลเฉินอีกนี่
นี่เธอไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเขาเลยเหรอไง?
เฉินถิงเซียวเหมือนเป็นคนนอก แถมจ้องมองเฉินจิ่งหยุ้นที่โต้แย้งกลับด้วยท่าทางซีดเซียวไร้เรี่ยวแรงด้วยสายตาเย็นชา
เฉินจิ่งหยุ้นที่อยู่ในสายตาเย็นชาไร้ความรู้สึกนั้น ตอนหลังก็อยากจะพูดแก้ตัวออกมา แต่กลับถูกตัดบทไปดื้อๆ เลย
“พูดจบแล้วเหรอ?” เฉินถิงเซียวพูดจาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
เฉินจิ่งหยุ้นขยับปาก แต่กลับพูดไม่ออก
เฉินถิงเซียวทำเสียงเย็นชาใส่ พลันหันตัวกลับและเดินมุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือทันที
เขาปิดประตูห้องหนังสือ จากนั้นก็เดินก้าวฉับ ๆ ไปยืนบริเวณด้านหน้าของหน้าต่างจรดพื้น
นอกหน้าต่างเป็นค่ำคืนฝนพรำอันเย็นเฉียบ ไฟถนนในลานมืดสลัว กิ่งไม้เกี่ยวพันกัน จนเป็นเงาที่หนาทึบ
ฝนพรำลงมา ลมก็เริ่มพัดกระหน่ำ
เฉินถิงเซียวจ้องมองนอกหน้าต่างอยู่สักพัก ทันใดนั้นก็เห็นภาพที่มู่น่อนน่อนกับลี่จิ่วเชียนยืนเคียงข้างกัน
ภาพ ๆนั้น มันช่างทิ่มแทงตา…เหลือเกิน
……
หลังจากที่มู่น่อนน่อนและลี่จิ่วเชียนกลับมาถึงบ้านแล้ว จากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำอุ่น และเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
ตอนที่เธอออกมานั้น ลี่จิ่วเชียนก็ได้ต้มซุปขิงให้เธอหนึ่งถ้วย
ลี่จิ่วเชียนยกน้ำขิงเอามาวางต่อหน้าเธอ และพูดว่า “ติดเผ็ดหน่อยนะ”
มู่น่อนน่อนหยิบช้อนขึ้นมา ทันใดนั้นในสมองก็มีเรื่องบางอย่างแวบเข้ามา
เหมือนว่า…ก่อนหน้านี้ก็มีคนต้มน้ำขิงให้เธอ…
จนเกิดอาการปวดหัวตึบ ๆ ออกมาเล็กน้อย ช้อนที่อยู่ในมือหล่นลงถ้วยจนดังสะท้อนกลับมา “เคร้ง” เธอหลับตาลง พลันใช้มือทั้งสองข้างกุมหน้าผากเอาไว้
“เป็นอะไรไป?” ลี่จิ่วเชียนจ้องมองมองอากัปกิริยาผิดปกติของเธอ และรีบเอนตัวไปมองเธอ น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนเริ่มอ่อนแอลงเล็กน้อย “ปวดหัวนิดหน่อย…”
ได้ยินแล้ว นัยน์ตาทอประกายเล็กน้อย “คิดอะไรออกเหรอ?”
“ไม่ใช่หรอก…”
ความรู้สึกเจ็บปวดจี๊ดมันมาไวและไปไวเสมอ เธอได้แต่ส่ายหน้าไปมา พลันหันศีรษะไปถามลี่จิ่วเชียนมันที “เมื่อก่อนคุณเคยต้มน้ำขิงให้ฉันใช่ไหม?”
ลี่จิ่วเชียนพูดออกมาหนึ่งประโยคที่เต็มไปด้วยความสนใจมาก “คุณลองเดาดูสิ?”
มู่น่อนน่อนหุบยิ้มทันที ลี่จิ่วเชียนเป็นคนระมัดระวังละเอียดรอบคอบมาตลอด น้อยครั้งมากที่จะพูดล้อเล่นกับเธอแบบนี้
เธอยิ้มให้ “คุณก็รู้ว่าฉันจำอะไรไม่ได้เลย”
“เรื่องพวกนั้นมันไม่สำคัญอะไร” ลี่จิ่วเชียนพูดจบ ก็พูดเร่งรัดเธอ “รีบดื่มเร็วเข้าเถอะ”
มู่น่อนน่อนดื่มน้ำขิงหมดแล้ว เนื่องด้วยเวลาก็ดึกมากแล้ว จึงรีบไปต้มบะหมี่ออกมาสองชาม เพื่อเป็นอาหารเย็นของคนสองคน
ตอนที่กำลังกินบะหมี่กันอยู่นั้น มู่น่อนน่อนก็นึกถึงเฉินถิงเซียวกับเฉินมู่ขึ้นมา จากนั้นก็เอ่ยปากถามออกไปอย่างเรื่อยเปื่อย “คุณเฉินคนนั้นดูแล้วเป็นคนเข้าหายาก แต่ก็ใจดีกับลูกสาวของเขามาก”
ลี่จิ่วเชียนมือที่ถือตะเกียบอยู่ถึงกลับค้างเติ่งชั่วครู่ และถามกลับด้วยน้ำเสียงปกติ “คุณคิดว่าเขาเป็นคนยังไง?”
“ถ้าในฐานะความเป็นพ่อ ดูแล้วเขารักลูกสาวของเขามาก แต่ว่านิสัยแปลกๆ อยู่หน่อย” มู่น่อนน่อนพูดไป และยังพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของตัวเองด้วย
“เหรอ” ลี่จิ่วเชียนส่งเสียงตอบรับ แต่ไม่ได้พูดอะไร
มู่น่อนน่อนช้อนตาขึ้นมา ก็เห็นใบหน้าของลี่จิ่วเชียนทำหน้าครุ่นคิดอย่างเงียบขรึม
“คุณเป็นอะไรไป?” น้อยครั้งมากที่มู่น่อนน่อนจะเห็นลี่จิ่วเชียนเผยท่าทางแบบนี้ออกมา จึงเอ่ยปากถามต่อ “คุณเป็นอะไรไป? งานไม่เป็นตามที่คิดไว้เหรอ?”
“เปล่า” ได้แต่ยิ้มและส่ายหน้า “กินข้าวต่อกันเถอะ”
มู่น่อนน่อนก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ต่อ นัยน์ตาลี่จิ่วเชียนครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง
มองจากเรื่องที่เกิดขึ้นมาในวันนี้แล้ว ทั้งสองคนต่างจำอีกฝ่ายไม่ได้
……
เช้าวันรุ่งขึ้น
เฉินถิงเซียวก็เหมือนกับทุกวัน คือการนั่งรถมุ่งหน้าไปทำงานที่บริษัทเฉิงซื่อ
แต่ว่า เมื่อรถยนต์ขับมาได้ครึ่งทาง เฉินถิงเซียวก็ออกคำสั่งกับคนขับรถทันที “ขับรถไปบริษัทเสิ้งติ่ง”
เพราะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ทางคนขับรถไม่กล้าจะถามอะไรมากนัก ได้แต่ตอบรับทันที “ครับ”
ผ่านไปไม่นาน รถยนต์ก็มาจอดอยู่ข้างถนนฝั่งตรงข้ามประตูทางเข้าของบริษัทเสิ้งติ่ง
เฉินถิงเซียวชำเลืองมองไปทางประตูทางเข้าของบริษัทเสิ้งติ่ง จากนั้นก็ออกคำสั่งกับคนขับรถ “เข้าไปเถอะ ไปพบกู้จือหยั่นแล้วบอกเขาด้วยว่าฉันต้องการพบเขา”
คนขับรถลงจากรถและเดินออกไปทันที
ไม่นานนัก เขาก็พากู้จือหยั่นเดินมาหา
ด้านหลังของกู้จือหยั่นยังมีผู้ชายเดินตามหลังมาอีกหนึ่งคน
ผู้ชายคนนั้นมีหน้าตาเคร่งขรึม ดูแล้วคงเป็นคนที่ทำงานอย่างรอบคอบและหนักแน่นคนหนึ่ง
ตอนที่เห็นเฉินถิงเซียว กู้จือหยั่นยังคงแสดงท่าทีไม่อยากเชื่อ “เฉินถิงเซียว นายมาหาฉันเหรอเนี่ย?”
ก่อนนี้ที่เขาไปหาเฉินถิงเซียวในทุกๆ ครั้ง ครั้งไหนบ้างที่ไม่โดนเฉินถิงเซียวไล่ตะเพิดกลับมาเลย ไม่คิดเลยว่าพอมาวันหนึ่งเฉินถิงเซียวจะเป็นคนเสนอหน้าเข้ามาหาเขาเอง
คนเรามักถูกความจริงล้อเล่นอยู่ตลอด อีกทั้งคอยลดระดับคำร้องของตนเองอยู่ไม่ขาดสาย
เมื่อก่อนเขารู้สึกว่าเฉินถิงเซียวไม่มาหาเขาและไปกินข้าวกับเขาถือว่าไร้จิตใจมาก แต่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับการแค่เจอหน้ากันสักครั้ง…
เฉินถิงเซียวดึงสายตากลับมา และส่งเสียงตอบรับ “อื้อ”
กู้จือหยั่นเปิดประตูและเข้าไปนั่งในรถ จากนั้นก็หันตัวไปมองสือเย่แวบหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มขยับตัว และพูดกับเฉินถิงเซียว “ให้สือเย่เข้ามาด้วยใช่ไหม? นายอาจจะจำเขาไม่ได้แล้ว เขาเป็นผู้ช่วยพิเศษคนก่อนของนาย อยู่กับนายมาตั้งหลายปี”
หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับเฉินถิงเซียวในปีนั้นแล้ว เฉินจิ่งหยุ้นก็เลิกจ้างสือเย่ทันที
สือเย่ถูกให้ออกจากงาน จึงไปทำงานที่บริษัทเสิ้งติ่ง เป็นลูกน้องของกู้จือหยั่นทันที
เฉินถิงเซียวสายตาจับจ้องมาที่ตัวของผู้ชายเคร่งขรึมคนนั้นอีกครั้ง และพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็นด้วยซ้ำ
กู้จือหยั่นที่มักถูกเฉินถิงเซียวปฏิเสธให้เข้าพบมาตลอด รู้สึกว่าปลาบปลื้มใจและอยู่ไม่เป็นสุข เขาไม่กล้าจะเชื่อจนพูดออกมา “นาย…ความจำฟื้นกลับมาแล้วใช่ไหม?”
เฉินถิงเซียวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เปล่า”
“งั้นนายมาหาฉันมีเรื่องอะไร?” น้ำเสียงของกู้จือหยั่นหวาดระแวง เขารู้สึกว่าวันนี้ตนเองเหมือนนางสนมที่ถูกคำสั่งให้เข้าไปอยู่ในตำหนักเย็นแต่กลับถูกองค์ฮ่องเต้เรียกเข้าเฝ้าแบบนั้น
เฉินถิงเซียวถามต่อทันที “เมื่อก่อนพวกเราสนิทกันมากใช่ไหม?”
“ใช่สิ” กู้จือหยั่นถอนหายใจโล่งอก “นายมันพวกขี้โมโห นอกจากฉันจะทนนายได้แล้ว แล้วจะมีใครหน้าไหนยอมเป็นเพื่อนกับนาย จริงๆ เลย…”
เมื่อพูดมาได้ครึ่งประโยค เขาก็รู้สึกว่าอุณหภูมิและบรรยากาศอัดอั้นที่อยู่ในรถเริ่มลดอุณหภูมิลง
แม้ว่าเฉินถิงเซียวจะสูญเสียความทรงจำไปแล้ว แต่เรื่องนิสัยไม่มีการเปลี่ยนไปสักนิด
เขาหัวเราะเบาๆ “งั้นก็พูดตรงๆ กับนายเลยแล้วกัน นอกจากฉันแล้ว สือเย่เองก็เป็นคนที่นายสนิทสนมที่สุดแล้ว ถึงอย่างไรเขาเป็นลูกน้องของนายที่ทำงานให้นายมาตั้งหลายปีแล้ว”
เขาพูดจบ ก็ผลักสือเย่ที่นั่งอยู่ข้างๆ “สือเย่ นายว่าพูดถูกต้องใช่ไหม”
หลังจากที่เขาถูกเฉินจิ่งหยุ้นเลิกจ้างแล้ว สามปีที่ผ่านมานอกจากการเจอเฉินถิงเซียวในข่าวแล้ว นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอกับตัวจริง
เพราะว่าสถานะของเขาช่างใหญ่โตพิเศษมาก แทบไม่มีโอกาสได้เจอกันเลย คำว่าบังเอิญเจอยังไม่มีเลย
เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ สือเย่ก็พยักหน้าด้วยความรู้สึกต่างๆ ที่ถาโถมมา “ครับ”
สายตาของเฉินถิงเซียวกวาดตามองที่มาร่างกายของทั้งสองคนไปมา จากนั้นก็หยิบเอานามบัตรออกมาหนึ่งใบ และยื่นให้สือเย่ “ตอนนี้ฉันขาดผู้ช่วยพิเศษไปหนึ่งคน คิดดีๆ แล้วก็โทรศัพท์หาฉันแล้วกัน”
กู้จือหยั่นเบิกตาโตทำหน้าตกอกตกใจ วันนี้เฉินถิงเซียวไม่ใช่ว่าตั้งใจมาเขาเหรอ?
ทำไมตอนนี้กลายเป็นว่ายื่นนามบัตรให้สือเย่แทนล่ะ?
สือเย่รับนามบัตรไปอย่างปลาบปลื้ม
เฉินถิงเซียวดึงมือกลับ และพูดออกมาอย่างเรียบเฉย “ตอนนี้ฉันต้องไปบริษัทแล้ว”
นี่เป็นการออกคำสั่ง เพื่อให้กู้จือหยั่นกับสือเย่ลงจากรถ
กู้จือหยั่นกับสือเย่มองหน้ากัน แม้ว่ายังไม่เข้าใจว่าเฉินถิงเซียวหมายความว่าอะไร แต่ก็คุ้นชินจนกับนิสัยจนรู้ไส้รู้พุงพร้อมทั้งทำตามเฉินถิงเซียว เพื่อให้ทั้งสองคนลงจากรถอย่างเชื่อฟัง
เฉินถิงเซียวมองเงานอกรถของทั้งสองคนผ่านกระจกรถ นัยน์ตาทอประกายความคิดบางอย่างออกมาแวบหนึ่ง
สามปีก่อนตอนที่เขาฟื้นขึ้นมา คนที่อยู่ข้างกายของเขามีอยู่แค่คนเดียวก็คือเฉินจิ่งหยุ้น พร้อมทั้งสูญเสียความทรงจำไป แน่นอนว่าเขาเองก็เลือกที่จะเชื่อเฉินจิ่งหยุ้นที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขา
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นระช่วงนี้ มันทำให้เขารู้สึกว่า เฉินจิ่งหยุ้นไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้น
สีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอกลับไม่รู้เรื่องนี้เลย
ซึ่งแผนการที่เธอกับซูเหมียนได้วางแผนเอาไว้ ถึงอย่างไรตอนนี้เฉินถิงเซียวก็จดจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ เลยจัดการโกหกมาโดยตลอด ให้เขาได้นึกว่ามารดาผู้ให้กำเนิดเฉินมู่ก็คือซูเหมียน
อาศัยว่าเธอคอยช่วยเหลือซูเหมียน ซึ่งซูเหมียนเองก็ไม่จำเป็นต้องลงมืออะไรกับเฉินมู่เลยด้วยซ้ำ
“ซูเหมียนเธอคงประมาทเลินเล่อจนไม่ทันระวังในเวลานั้น…อีกอย่างตอนนี้มู่มู่ก็ถูกแกพาตัวกลับมาบ้านแล้วไม่ใช่เหรอ? ฉันก็ดูแล้วเธอก็สุขสบายดีอยู่นี่…”
เรื่องนี้สรุปว่าซูเหมียนเหตุผลไม่เพียงพอ แม้ว่าสัญชาตญาณของเฉินจิ่งหยุ้นอยากจะออกตัวพูดแทนซูเหมียน ทว่ายังพูดไม่ทันจบ เธอก็เห็นสีหน้าอันเย็นชาของเฉินถิงเซียว ทำได้แค่หยุดปากพูดทันที
เวลานี้เอง จู่ ๆ โทรศัพท์ของเฉินจิ่งหยุ้นก็ดังขึ้นมา
“จิ่งหยุ้น มู่มู่กลับถึงบ้านแล้วใช่ไหม? วันนี้ฉันพาเธอออกไป แต่เธอซนจนวิ่งหนีไปเอง ตอนนี้ฉันยังหาตัวเธอไม่เจอเลย…” ซูเหมียนยังพูดไม่ทันขาดคำ ก็ร้องไห้ฟูมฟายสะอึกสะอื้นออกมา
เฉินจิ่งหยุ้นเงยหน้าขึ้นชำเลืองมองเฉินถิงเซียว จากนั้นก็พูดกำชับอีกประโยค “กลับมาแล้วแหละ”
น้ำเสียงของซูเหมียนแสดงความดีใจออกมาอย่างไม่มีการปิดบังเลย “จริงเหรอ? ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!”
เฉินจิ่งหยุ้นวางสายโทรศัพท์ หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ถึงได้พูดกับเฉินถิงเซียว “มีอะไรก็พูดกันต่อหน้าเลยดีกว่า อีกเดี๋ยวซูเหมียนจะมาถึงแล้ว เธอเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของมู่มู่ เกิดเรื่องแบบนี้เข้าในใจของเธอเองก็คงรับสภาพไม่ไหวเช่นกัน…”
เฉินถิงเซียวได้แต่ทำหน้าไร้ความรู้สึกตอนที่ชำเลืองมองมาเธอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ซูเหมียนมาถึงเร็วมาก
ดูเหมือนว่าเธอจะอายมาก เพราะว่าเสื้อผ้าหน้าผมต่างเปียกปอนไปทั่วทั้งตัว เครื่องสำอางที่อยู่บนหน้าก็เยิ้มลงมา อาการใบหน้าซีดเผือดยิ่งให้เฉินจิ่งหยุ้นสงสารจับใจ
เพราะว่าเธอกับซูเหมียนเป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปี เมื่อเห็นท่าทางของซูเหมียนเป็นแบบนี้ จึงรีบสั่งการคนรับใช้ทันที “รีบไปชงชาร้อนๆ มาเร็ว เอาผ้าขนหนูมาด้วย”
“ไม่ต้องหรอก” ซูเหมียนได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างกระวนกระวายใจ ช่วงที่มองเฉินถิงเซียว ดวงตาทอประกายออกมา จากนั้นก็มุ่งหน้าเดินไปหาเขาทันที
เธอยื่นมือออกไปเพื่อต้องการสัมผัสมือของเฉินถิงเซียว แต่เฉินถิงเซียวกับก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าวเพื่อเป็นการหลบ
“ถิงเซียว หาตัวมู่มู่เจอแล้วใช่ไหม? ฉันไม่ดีเอง…ฉันประมาทเลินเล่อไป …” ซูเหมียนพูดไป เบ้าตาก็แดงรื้นขึ้นมา
ในเบ้าตาของเธอเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา แต่เธอก็ยังคงอดกลั้นไม่ยอมให้น้ำตาไหลลงมา ท่าทางที่แสนเจ็บปวดทรมานดูแล้วมันมาจากความรู้สึกจริงใจอันลึกซึ้ง
เฉินถิงเซียวจ้องมองเธอด้วยสายแข็งกร้าว แววตาช่างคมกริบเชือดเฉือนเปี่ยมล้น
การที่ถูกดวงตาดำขลับของเขาจับจ้องอยู่ จนซูเหมียนมีความรู้สึกว่าตนเองถูกมองอย่างทะลุปรุโปร่งไปแล้ว
เธอกะพริบตา ราวกับน้ำตาขาดตอนจนหยดเป็นเม็ดไหลลงมา “ถิงเซียว มู่มู่อยู่ที่ไหน? ฉันอยากเจอหน้าเธอ”
ความหนาวเหน็บในแววตาของเฉินถิงเซียวยิ่งหนักข้อขึ้นกว่าเดิม พลันมีน้ำเสียงอันแสนเย็นยะเยือกหลุดโพล่งออกมา “คุณคู่ควรพอไหม?”
ซูเหมียนหน้าถอดสีทันที “ถิงเซียว คุณ…ไม่ยอมให้อภัยฉันใช่ไหม?”
จู่ ๆ เฉินถิงเซียวยกมือขึ้น และกวักไปทางบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ด้านหลัง
วินาที่ต่อมา บอดี้การ์ดก็ยื่นเช็คมาหนึ่งใบพร้อมกับปากกามาให้ทันที
เฉินถิงเซียวรับปากกาเอาไว้ จากนั้นก็เขียนตัวเลขอันยาวเหยียดลงบนเช็คใบนั้น จากนั้นก็เขวี้ยงให้ซูเหมียน “ต่อไปเฉินมู่กับคุณไม่มีความเกี่ยวพันใดๆ ทั้งสิ้น และรบกวนคุณอย่าได้เข้ามาที่ตระกูลเฉินอีกเลย”
เช็คที่ลอยละล่องจนกระทบลงบนตัวของซูเหมียน จากนั้นก็หล่นลงไปกองกับพื้น
ซูเหมียนไม่อยากจะเชื่อกับการมองเช็คที่หล่นไปกองที่พื้น เธอไม่คิดเลยว่าเฉินถิงเซียวจะไร้เยื่อใยถึงขั้นนี้
ไม่ ไหนแต่ไร้ความปรานี
นี่หมายความชัดว่ากำลังดูหมิ่นเธออยู่
เธอลงทุนลงแรงที่อยากจะแต่งงานกับเฉินถิงเซียว ที่หวังเอาไว้ไม่ใช่เงินเหรอไง?
เธอเองก็ไม่ได้ขาดเงินสักนิด!
เฉินจิ่งหยุ้นเองก็รู้สึกโกรธกับการกระทำของเฉินถิงเซียวอยู่ไม่น้อย พลางชี้นิ้วสั่นเทาไปหาเขาและพูดขึ้นมา “ถิงเซียว! แกทำแบบนี้กับซูเหมียนแกยังเป็นคนอยู่ไหม! แกขอโทษเธอซะ!”
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่ไม่ใช่ให้ใครหน้าไหนมาออกคำสั่งอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาก็ยังเป็นคู่ปรับกับคุณท่านเฉินมาก่อน อย่าได้พูดถึงเฉินจิ่งหยุ้นเลย
สำหรับคำพูดของเฉินจิ่งหยุ้นนั้น เขาก็เหมือนทำเป็นหูทวนลม และหันตัวเดินมุ่งหน้าไปห้องอาหารทันที
คนรับใช้ไม่สามารถรับมือกับเฉินมู่ไหว มักจะอนุญาตให้เฉินมู่กินไอศกรีมได้ตามใจอยาก
ตอนที่เฉินถิงเซียวเดินไปที่ห้องอาหารนั้น ก็ได้ยินคนรับใช้กลุ่มหนึ่งกำลังรุมล้อมรอบตัวเฉินมู่ และต้องการที่จะแย่งไอศกรีมที่อยู่ในมือของเธอ และพยายามพูดเกลี้ยกล่อมอยู่ตลอด
เฉินถิงเซียวเดินเข้ามา ก็ได้แต่เรียกด้วยน้ำเสียงปกติ “มู่มู่”
เฉินมู่ที่เพิ่งกินไอศกรีมอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อได้ยินเสียงนี้ มือเล็กถึงกับสั่นเล็กน้อย พลางรีบเอากล่องไอศกรีมที่กินจนเหลือก้นกล่องที่อยู่ในมือเอาไปซ่อนไว้ด้านหลัง จากนั้นก็เงยหน้าตีสีหน้ายินดี และเรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน “คุณพ่อ”
เฉินถิงเซียวยืนกอดอกอยู่ และจ้องมองเธอจากที่สูงอยู่ตรงด้านหน้าของเธอ และหลุบตาต่ำจ้องมองเธอ
เฉินมู่เม้มริมฝีปากเล็กๆ เอาไว้ และทำตาโตสีหน้าไร้เดียงสาออกมา แต่ก็เร็วมากที่พ่ายแพ้ให้กับสายตาคาดโทษของเฉินถิงเซียว
เธอรู้ตัวจากนั้นก็เอากล่องไอศกรีมยื่นมาให้ทางด้านหน้า เพื่อให้เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “เมื่อครู่พ่อบอกให้หนูกินแค่ไหนนะคะ?”
เฉินมู่พูดด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว “ครึ่งกล่องค่ะ…”
เฉินถิงเซียวเผยอปากถามเธอกลับ “งั้นหนูกินไปเท่าไหร่แล้วคะเนี่ย?”
“หนูกิน…ไปตั้งเยอะขนาดนี้แล้วค่ะ” เฉินมู่เขย่งเท้า และก็ชูกล่องไอศกรีมที่อยู่ในมือขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะมีอาการหวาดกลัวเล็กน้อย
“อาทิตย์หน้าไม่อนุญาตให้กินแล้วนะ” เฉินถิงเซียวยื่นมือออกไปหยิบไอศกรีมมาจากมือของเธอและจัดการวางลงด้านข้าง และยื่นมือออกไปอุ้มเธอขึ้นมา “ถึงเวลาเข้านอนแล้วค่ะ”
คฤหาสน์เก่าของตระกูลเฉินมีขนาดใหญ่มาก แถมยังออกแบบได้อย่างชาญฉลาดมาก
ห้องอาหารกับโถงใหญ่ไม่ได้ติดกัน ดังนั้นเฉินถิงเซียวสามารถหลบหลีกซูเหมียนได้ และส่งตัวเฉินมู่กลับห้องได้
หลังจากที่กล่อมให้เฉินมู่หลับไปแล้ว เฉินถิงเซียวก็ออกมาจากห้อง เพื่อเดินไปยังห้องโถงใหญ่
เฉินจิ่งหยุ้นยังคงอยู่ในห้องโถงใหญ่ ส่วนซูเหมียนไม่อยู่แล้ว
“ฉันให้คนไปส่งซูเหมียนกลับไปแล้ว” เฉินจิ่งหยุ้นมองเห็นเขาเดินลงมา ก็ผุดลุกขึ้นทันที
เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจเธอ ทำได้แค่หันหน้าไปสั่งกำชับบ่าวไพร่เอาไว้ “ต้มมาม่าให้สักชามและเอาไปส่งที่ห้องหนังสือให้ด้วย”
พูดจบ เขาก็เดินขึ้นชั้นบนไป
การที่เขาแสดงท่าทีเพิกเฉยกับเฉินจิ่งหยุ้น ทำได้แค่ระงับอารมณ์ที่ต้องการตะโกนออกมาเอาไว้ “ถิงเซียว ฉันหวังว่ามีเวลาแกก็ไปนั่งจับเข่าคุยกับซูเหมียนให้ดี ๆ ซะ”
เฉินถิงเซียวหันหน้ากลับมามองเธอ พลันให้คำตอบที่ไม่ได้ถาม “กินข้าวหรือยัง?”
เฉินจิ่งหยุ้นไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้ถามคำถามนี้ขึ้นมา “กินแล้วสิ”
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว มุมปากกระตุกรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา “ผมยังไม่ได้กิน”
“เมื่อกี้แกไม่ได้ให้บ่าวไพร่ไปต้มมาม่าให้แกกินหรือไง?” น้ำเสียงของเฉินจิ่งหยุ้นพลันลดระดับลงอย่างไม่รู้ตัว
“คุณเป็นพี่สาวฝาแฝดท้องเดียวกับผม พวกเราเป็นญาติกันทางสายเลือด ดังนั้นสามปีที่ผ่านมานี้ ตอนที่ผมตื่นขึ้นมา ผมเลือกที่จะเชื่อคุณ คุณพูดว่าซูเหมียนเป็นแฟนสาวคนก่อนของผม ผมก็เชื่อคุณ คุณพูดว่าผมกับกู้จือหยั่นทางบริษัทเสิ้งติ่งไม่มีความสนิทชิดเชื้อกันมาก่อน ผมก็เชื่อคุณอีก”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวปกติมาก แต่ไม่อาการกล่าวโทษหรือไม่ยินดีเลยสักนิด แต่ทุกคำพูดของเขา มันทำให้สีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นยิ่งดูไม่ได้ขึ้นกว่าเดิม
หลังจากหยุดชะงักไปชั่วครุ่ เฉินถิงเซียวก็จ้องมองมาที่เฉินจิ่งหยุ้นด้วยอาการยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม “ผมเชื่อมั่นในตัวพี่สาว แต่ไม่ได้เป็นห่วงผมด้วยซ้ำว่าจะกินข้าวแล้วหรือยัง แต่กลับกลายเป็นห่วงความรู้สึกของคนอื่นมากกว่า คุณนี่มันเห็นแก่ตัวชะมัดเลย”
“ถิงเซียว แก…” สีหน้าเฉินจิ่งหยุ้นเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และเธอก็พยายามให้ตนเองสงบสติอารมณ์ลง “ฉันเป็นเพื่อนสนิทกับซูเหมียนมาตั้งหลายปี แกก็รู้อยู่แล้ว ฉันก็แค่”
ก้นบึ้งหัวใจเฉินถิงเซียวพลันมีความรู้สึกแปลกประหลาดตีพุ่งขึ้นมา เหมือนว่า….อดใจไว้ไม่ได้?
เขารู้สึกว่าในความคิดที่อยู่ในใจของตนเองในเวลานี้มันช่างตลกชะมัด
ผู้หญิงคนนี้ไม่มีตรงไหนที่พิเศษอะไรเลย ทำไมเวลาเขาแค่มองเธอเปียกฝนก็รู้สึกทนไม่ได้แล้ว
รอจนเขาได้สติกลับมานั้น ก็รู้ว่าตัวเองได้ถือร่มลงจากรถแล้ว
เขารีบวิ่งเหยาะๆ มาหาทันที เพื่อไล่ตามมู่น่อนน่อน
“คุณมู่” ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเรียกมู่น่อนน่อนแค่นั้นเอง เขารู้สึกทนไม่ได้แล้วจนต้องยกมุมปากหัวเราะเยาะให้ตัวเอง แต่นัยน์ตาไม่มีรอยยิ้มปรากฏให้เห็น
มู่น่อนน่อนใช้กระเป๋าบังศีรษะเอาไว้และวิ่งไปทางหมู่บ้าน แต่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่อยู่ด้านหลัง ทว่ากลับไม่คิดเลยว่าเฉินถิงเซียวจะวิ่งตามมา
“คุณเฉิน คุณมาได้ยังไงคะ?”
เสียงมู่น่อนน่อนเพิ่งจะสิ้นเสียง ก็ได้ยินมีเสียงชายหนุ่มอันคุ้นเคยที่ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
“น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนชำเลืองมองเฉินถิงเซียวแค่เพียงแวบเดียว พอหันศีรษะไปอีกทางก็เห็นลี่จิ่วเชียนแล้ว
“ลี่จิ่วเชียน? แล้วทำไมคุณถึงออกมาล่ะคะ?”
ลี่จิ่วเชียนใส่เสื้อผ้าชุดพ่อบ้านอันอ่อนโยนทั้งชุด ในมือก็กางร่มชายตาหมากรุกออกมา และวิ่งเหยาะ ๆ หน้าตั้งมุ่งหน้ามาหาเธอ
ทว่าทางด้านหลังกลับมีเสียงทุ้มต่ำเย็นเฉียบของเฉินถิงเซียวดังขึ้นมา “เพื่อนคุณเหรอ?”
“เอ่อ… ว่าที่สามีค่ะ” มู่น่อนน่อนเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงได้ลังเลกับเรื่องนี้อยู่แวบหนึ่งนะ
เพิ่งจะพูดจบ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าบรรยากาศที่อยู่รอบตัวเริ่มอุณหภูมิลดระดับลง
เธอหันไปมองเฉินถิงเซียวด้วยความสงสัย
แต่ว่า ใบหน้าของเฉินถิงเซียวไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด และไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกของเขาในเวลานี้ได้
ชั่วขณะเมื่อครู่นี้ เธออาจจะรู้สึกผิดไปเองก็ได้มั้ง
เวลานี้เอง ลี่จิ่วเชียนก็เดินมาถึงด้านหน้าของทั้งสองคน
สายตาของเขากวาดตามองมู่น่อนน่อนกับเฉิงถิงเซียวทั้งสองคนไปมา แววตาปกปิดเอาไว้อย่างลึกซึ้ง
จากนั้น เขากวักมือไปทางมู่น่อนน่อน “น่อนน่อน มานี่เร็ว”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้ว ก็ก้าวเท้าเตรียมเดินไปอยู่ใต้ร่มของลี่จิ่วเชียน
แต่พอเธอย่างเท้าออกเพียงก้าวเดียว ก็รู้สึกว่าข้อมือของตนเองถูกคนคว้าเอาไว้แล้ว
เธอหันไปมองทางด้านข้าง ก็เห็นว่าข้อมือของตนเองนั้นมีมือของผู้ชายอีกข้างติดมาด้วย
ฝ่ามือของชายหนุ่มทั้งหนาและใหญ่แถมมีพลังอีกด้วย พละกำลังที่คว้าข้อมือของเธอเอาไว้ก็ไม่ได้รุนแรงหรือเบามากนัก มือของเขาร้อนผ่าวเล็กน้อย ความร้อนผ่าวนั้นช่างทำให้คนตกใจเหลือเกิน ราวกับต้องการจะทะลุเข้าผิวของเธอแล้วซึมผ่านเข้ามาในเลือดจนเข้ากระดูกอยู่เช่นนั้น
“คุณเฉิน คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” มู่น่อนน่อนพยายามขัดขืน แต่ไม่สามารถสะบัดมือของเฉินถิงเซียวได้
เมื่อมองดูแล้วเขาก็ไม่ได้ใช้แรงสักเท่าไหร่ แต่กลับสะบัดออกยากมาก
คุณเฉินท่านนี้ดูแล้วก็เข้ากับคนยากขนาดนั้น แต่ตอนนี้กลับมาคว้าเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อยเธองั้นเหรอ?
เฉินถิงเซียวใช้สายตามองต่ำมาที่เธอ สีหน้าของหญิงสาวซีดขาวกว่าคนปกติทั่วไป เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับคนทั่วไปก็ดูป่วยเล็กน้อย มีแค่ดวงตาสวยสง่าเหมือนแมวคู่นั้น ที่ช่างเย้ายวนใจอย่างบอกไม่ถูก
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่าตนเองคงประสาทไปแล้วจริงๆ
เมื่อก่อนตอนที่ได้ยินผู้หญิงคนนี้พูดถึงว่าที่สามีของตนเองแล้ว ก็รู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
และที่น่าตลกไปใหญ่ก็คือวินาทีที่มู่น่อนน่อนเดินไปเมื่อครู่นั้น สัญชาตญาณของเขาพลันยื่นมือออกไปคว้าเธอเอาไว้
ขนาดตนเองยังไม่รู้เลยว่าเป็นเพราะว่าอะไร
สายตาของลี่จิ่วเชียนจับจ้องอยู่ที่มือของเฉินถิงเซียวที่จับมู่น่อนน่อนเอาไว้แน่น แต่ก็เบนสายตาไปชั่ววินาที และมองมาทางใบหน้าของเฉินถิงเซียว “คุณผู้ชายท่านนี้ รบกวนปล่อยเธอด้วยครับ”
เฉิงถิงเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยอมปล่อยมู่น่อนน่อนไป
พอมู่น่อนน่อนถูกปล่อยมือ ก็เดินเข้ามายืนใต้ร่มของลี่จิ่วเชียนทันที
ลี่จิ่วเชียนเอนร่มที่อยู่ในมือไปทางเธอเล็กน้อย มู่น่อนน่อนยิ้มให้เขา พลันเงยหน้าพูดกับเฉินถิงเซียว “คุณเฉินคะ นี่คือว่าที่สามีของฉันค่ะลี่จิ่วเชียน”
จากนั้น เธอก็พูดกับลี่จิ่วเชียนต่อ “วันนี้ไปเดินเที่ยวกับเสี่ยวเหลียง เลยไปเจอลูกสาวของคุณเฉินที่ห้างฯพอดี….”
เธออธิบายเรื่องนี้อย่างง่ายๆ ตั้งแต่ต้นจนจบให้ลี่จิ่วเชียนฟัง
ลี่จิ่วเชียนฟังจบแล้ว พลางยิ้มให้เธออย่างปลอบโยน จากนั้นก็หันมาทางเฉินถิงเซียวและพูดขึ้นว่า “ขอบคุณ คุณเฉินด้วยครับ ที่มาส่งว่าที่ภรรยาของผม”
เฉินถิงเซียวเองสีหน้าไร้ความรู้สึกตั้งแต่แรกอยู่แล้วแต่ไม่พูดอะไรสักคำ มีแค่นัยน์ตาอันลึกซึ้งเท่านั้นที่เหลือบมองมู่น่อนน่อนอยู่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น จากนั้นก็หันตัวเดินจากไปทันที
เขาถือร่มสีดำเข้ม เงาร่างกายสูงโปร่งซ่อนเร้นท่ามกลางสายฝนพรำ เมื่อมองดูแล้วก็เห็นว่าช่างโดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวอยู่บ้าง
มู่น่อนน่อนบ่นพึมพำ “ช่างเป็นคนที่นิสัยแปลกประหลาดจริงๆ”
จู่ ๆ ก็มีลมพัดตีขึ้นมาระลอกหนึ่ง เสื้อผ้าของมู่น่อนน่อนเปียกปอนไปทั่วตัว หนาวจนปากสั่นกึกๆ
ลี่จิ่วเชียนสังเกตเห็นอากัปกิริยาตอบสนองกลับของเธอ พลันเงื้อมือขึ้นมาโอบหัวไหล่ของเธอเอาไว้ และพูดเสียงทุ้มต่ำ “กลับกันเถอะ”
“อืม” มู่น่อนน่อนส่งเสียงตอบรับ พลันหันไปด้านข้างเพื่อมองมือของเขาที่พาดลงบนหัวไหล่ของตนเอง แถมขยับหนีไปด้านข้างอย่างไม่บอกไม่กล่าว
เธอยังไม่คุ้นชินกับการที่ลี่จิ่วเชียนมาแตะต้องตัว
และก็ไม่รู้ว่าลี่จิ่วเชียนเองก็สัมผัสอาการขัดขืนของเธอได้หรือไม่ วินาทีต่อมาก็ปล่อยมือลงทันที
……
ตอนที่เฉินถิงเซียวกลับมาถึงรถนั้น เฉินมู่เพิ่งจะตื่นขึ้นมาพอดี
เธอนอนกอดกล่องนมเปล่า พลางเงยหน้าจ้องมองหลังคารถอย่างเบลอๆ
เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวเข้ามาแล้ว เธอก็เบนสายตาไปทางเขา พลางเรียกอย่างออดอ้อน “คุณพ่อ”
เฉินถิงเซียวปิดประตูรถ และหันไปมองเฉินมู่
เฉินมู่เองก็กะพริบดวงตาดั่งลูกองุ่นสีดำมองมาทางเขา
ทั้งสองคนพ่อลูกอยู่ในตัวรถ ต่างมองหน้ากันไปมา มองเช่นนั้นกันอยู่สักพัก
จู่ ๆ เฉินถิงเซียวก็ย่นคิ้วเข้าหากัน
ผู้หญิงแซ่มู่คนเมื่อครู่นี้ ต้องมีปัญหาอะไรแน่ ๆ
เพราะมักจะทำให้เขาเกิดความคิดซับซ้อนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวออกมาแต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้เขารู้สึกว่าเฉินมู่กับผู้หญิงคนนั้นหน้าตาละม้ายคล้ายกันจริงๆ
เฉินถิงเซียวทำหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ขับรถกลับบ้านทันที
เฉินมู่พูดคุยเจื้อยแจ้วไปตลอดทาง
ตอนที่พวกเขามาถึงด้านหน้าประตูใหญ่ของวิลล่าตระกูลเฉิน ก็มีคนรับใช้ถือร่มและช่วยเปิดประตูรถให้พวกเขา
เฉินถิงเซียวอุ้มตัวเฉินมู่ขึ้นมาและเดินเข้าประตูทันที
ในห้องโถงเฉินจิ่งหยุ้นกำลังนั่งอยู่บนโซฟา พร้อมทั้งแสดงท่าทางสอบสวนกลับมา
เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวกำลังอุ้มตัวเฉินมู่เข้ามานั้น พลันส่งเสียงในลำคอ และพูดจาออกมาด้วยสีหน้าที่ดีไม่ได้เลย “ยังดีที่แกรู้แล้วว่าต้องกลับมา!”
น้ำเสียงของเฉินจิ่งหยุ้นเย็นชามาก เสียงก็ดังขึ้นเล็กน้อย
เฉินมู่ที่เป็นแค่เด็กเล็ก ตกใจจนกอดคอเฉินถิงเซียวเอาไว้แน่น และยังเอนศีรษะซบกับไหล่ของเขา แถมยังหลับตาไม่กล้าจะมองไปทางเฉินจิ่งหยุ้นเลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าปกติเธอจะซน แต่ว่าเมื่อเห็นผู้ใหญ่โกรธจริงๆ ขึ้นมากับตาของตัวเอง ก็ยังกลัวอยู่
เฉินถิงเซียวสัมผัสได้ถือปฏิกิริยาเพียงเล็กน้อยของเธอ พลางยื่นมือออกไปลูบหลังของเธอเป็นการปลอบใจ จากนั้นก็วางตัวเธอลงบนพื้น “อนุญาตให้ลูกไปกินไอศกรีมครึ่งกล่องได้ ไปเลยค่ะ”
พอได้ยินว่ากินไอศกรีมเท่านั้นแหละ ดวงตาของเฉินมู่พลันทอประกายออกมาอย่างลิงโลด
เฉินถิงเซียวเหลือบมองคนรับใช้ที่คอยเฝ้าประกบอยู่ข้างหลัง จากนั้นคนรับใช้ผู้หญิงก็เดินนำหน้า และจับมือเฉินมู่เดินมุ่งหน้าไปยังห้องครัว “คุณหนูน้อย เราไปกินไอศกรีมกันนะคะ”
เฉินจิ่งหยุ้นเพิ่งจะรู้ตัวว่าพฤติกรรมของตนเองเมื่อครู่นี้ ทำให้เฉินมู่ตกใจ
สีหน้าของเธอเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข แต่ว่าก็ยังทำคอแข็งพูดต่อไป “ทำไมแกถึงได้มั่นใจขนาดนั้นด้วย การประชุมในวันนี้มันมีความสำคัญมากแค่ไหนแกย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ทำไมถึงพูดว่าเลื่อนแล้วต้องเลื่อนไปเลย…”
เฉินถิงเซียวหัวเราะแห้งๆ ออกมา แววตาอันคมกริบจ้องมองมาที่เฉินจิ่งหยุ้น “วันนี้เฉินมู่เกือบหายตัวไปอยู่แล้ว คุณรู้หรือเปล่า?”
เฉินจิ่งหยุ้นพอได้ยินถึงกลับตกตะลึงทันที “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ได้ยินพวกคนรับใช้พูดว่า เป็นเพราะซูเหมียน….”
เฉินถิงเซียวแสดงสีหน้าเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็งออกมา น้ำเสียงก็เย็นเฉียบจนคนหวั่นใจ “ซูเหมียนพาตัวเฉินมู่ออกไปจนเกือบหายตัวไปอยู่แล้ว เรื่องนี้ ผมจะคิดบัญชีกับคุณดี หรือว่าจะไปคิดบัญชีกับซูเหมียนดี?”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ได้มองไปทางเฉินมู่อีกที
เฉินมู่โอบลำคอของเฉินถิงเซียว เอียงหน้ามาเรียกเสียงหวานออกมา “พี่สาวคนสวย”
“อืม” มู่น่อนน่อนตอบไปคำนึง น้ำเสียงได้เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “มู่มู่ต่อจากนี้ไปจะวิ่งซนอีกไม่ได้นะ”
เฉินถิงเซียวจึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ได้ขนาดนี้
เขานึกขึ้นมาได้ว่าวันนั้นเมื่อตอนที่รอไฟแดงอยู่ที่ทางแยก เฉินมู่เองก็ได้เรียกเธอว่า “พี่สาวคนสวย” ด้วยเหมือนกัน
สามปีนี้ มีผู้หญิงไม่น้อยเลยที่เปลี่ยนวิธีในการเข้าหาเขา เรียกหาความรู้สึกของการมีตัวตนอยู่
ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ถึงได้ไม่มีความรู้สึกสนใจต่อคนที่เรียกว่า “คนสวย” พวกนั้นเลยสักนิด ในสายตาก็คิดว่าพวกเธอก็สวยเหมือนๆกันหมด
ขนาดซูเหมียนแม่แท้ๆของเฉินมู่เอง เขาก็ไม่มีความสนใจขึ้นมาเลยสักนิด
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาให้คนไปทำการเทียบDNAของตัวเองกับเฉินมู่ไปแล้ว เขาไม่มีทางเชื่อแน่ว่าตนเคยคบกับซูเหมียน
หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเทียบกับตอนที่เจอกันครั้งก่อนแล้ว เปลี่ยนแปลงไปเยอะเลย มองไปแล้วเจริญตาขึ้นเยอะเลยเหมือนกัน
ครั้งก่อนเขาเพียงแค่เห็นแวบๆ จำได้แค่เพียงว่าเป็นผู้หญิงที่ผอมเสียจนหนังหุ้มกระดูก สีหน้าซีดเซียวเสียจนเหมือนกับผี ขี้เหร่สุดๆไปเลย
ตอนนี้มองไปแล้วมีเนื้อขึ้นมานิดนึง
แต่ว่า…
สายตาของเฉินถิงเซียวจรดไปที่ข้อมือผอมบางเปลือยเปล่าที่โผล่ออกมาข้างนอกของมู่น่อนน่อน เขาสงสัยว่าตนเพียงแค่บีบไปเบาๆทีนึง ก็คงจะสามารถบีบจนกระดูกข้อมือเธอแหลกไปได้เลย
สายตาของเฉินถิงเซียวคมกริบเกินไป ประหนึ่งว่ามีความหมายบางอย่างแฝงอยู่ในสายตาคู่นั้นก็ไม่ปาน มู่น่อนน่อนถูกเขามองจนทั้งร่างอยู่ไม่สุขขึ้นมา
เธอจำต้องเอ่ยถามออกไปเพื่อเบี่ยงเบนหัวข้อบทสนทนา “คุณเฉิน คุณ…ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในสาย ทำไมถึงรู้ว่ามู่มู่หาพี่สาวคนหนึ่งมาช่วยโทรศัพท์ให้เธอกัน?”
เฉินถิงเซียวถอนสายตากลับมา มองไปทางใบหน้าของเธอ น้ำเสียงเรียบนิ่งไม่แยแส “คนที่เป็นเพศเดียวกันที่สูงกว่าเธอ เธอก็เรียกว่าพี่สาวหมด”
ความจริงแล้วขอเพียงแค่เฉินมู่เห็นคนที่เป็นเพศเดียวกันที่ตัวเองคิดว่าสวย ไม่ว่าจะมีอายุเท่าไหร่ก็จะเรียก “พี่สาวคนสวย” ทั้งนั้น
“อย่างนี้นี่เอง…” มู่น่อนน่อนพยักหน้ารับรู้ออกมา
โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าจู่ๆก็สั่นขึ้นมา มู่น่อนน่อนหยิบออกมาดู พบว่าเป็นเสิ่นเหลียงโทรเข้ามา
เธอถือโทรศัพท์เอาไว้ไม่ได้รับสาย เงยหน้าไปพูดกับเฉินถิงเซียวไปอย่างรีบร้อน “คุณเฉิน ฉันไม่ได้ต้องการค่าตอบแทนอะไรเลยจริงๆ ต่อจากนี้ไปก็จะต้องดูลูกให้ดีๆนะคะ เธอยังเด็กมาก ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
เธอพูดจบ ก็ได้มองไปทางเฉินมู่อีกที แล้วก็ได้ก้าวเดินออกไป
เธอเดินไปพลาง หยิบโทรศัพท์ออกมารับสายของเสิ่นเหลียงไปพลาง
“ขอโทษนะ ลืมโทรกลับหาเธอไปเลย” เมื่อกี้เธอเล่นอยู่กับเฉินมู่ จึงลืมเรื่องนี้ไปเลย
เธอเองก็เพิ่งจะค้นพบว่าตัวเองชอบเด็กน้อยขนาดนี้
“ไม่เป็นไร เธอถึงบ้านแล้วหรือยัง?”
“ตอนนี้กำลังจะกลับ…”
มู่น่อนน่อนเพิ่งจะวางสายเสิ่นเหลียงไป สายของลี่จิ่วเชียนก็ได้โทรเข้ามาอีก
ทางลี่จิ่วเชียนนั้นสงบนิ่งอย่างมาก “อยู่ที่ไหน?”
มู่น่อนน่อนมองดูเวลาไปเล็กน้อย ก็ได้พบว่าเป็นเวลาหกโมงกว่าไปแล้ว จึงได้เอ่ยถามออกไป “ฉันอยู่ที่ข้างนอกกำลังจะเรียกรถกลับอยู่ นายกลับบ้านไปเรียบร้อยแล้ว?”
ลี่จิ่วเชียนส่งเสียง “อืม” แล้วเอ่ยออกไป “ส่งที่อยู่มาให้ฉัน ฉันไปรับเธอเอง”
“ไม่ต้องหรอก นายพักผ่อนสักหน่อย ฉันจะเรียกรถกลับไปเดี๋ยวนี้…” มู่น่อนน่อนรู้ว่าถ้าพูดต่อไป ตัวเองจะต้องเปลี่ยนความคิดของลี่จิ่วเชียนไม่ได้แน่ๆ จึงได้วางสายไปทันที
ในตอนนี้เป็นชั่วโมงเร่งด่วน ไม่น่าขับรถเท่าไหร่นัก
แต่ก็ได้เจอกับความซวยซ้ำซ้อนเข้า มู่น่อนน่อนยังไม่ทันได้เรียกรถมาได้ บนฟ้าก็มีฟ้าแลบออกมา แล้วก็เริ่มมีฝนตกลงมา
คงจะเป็นฝนฟ้าคะนองรอบสุดท้ายของปลายฤดูร้อน รุนแรงมาก ฝนเม็ดใหญ่ปะทะเข้ามาจนหน้ารู้สึกเจ็บขึ้นมา
เสื้อผ้าบางๆบนร่างของมู่น่อนน่อนเพียงไม่นานก็ได้ถูกฝนจนเปียกโชกออกมา จึงหาป้ายโฆษณามาป้ายนึงแล้วเข้าไปหลบอยู่ข้างใต้แต่กลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ในตอนนี้โทรศัพท์ก็ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง
มู่น่อนน่อนหรี่ตามองไปเล็กน้อย เป็นเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกชื่อเบอร์หนึ่ง
นั่นเป็นเบอร์ที่เฉินถิงเซียวโทรมาเมื่อก่อนหน้านี้ แต่เธอไม่ได้บันทึกเอาไว้
เธอลังเลอยู่สักพักนึง จากนั้นจึงเลือกที่จะรับสายไปดีกว่า
“คุณเฉินยังมีธุระอีกเหรอ?”
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่ม ตามมาพร้อมกับเสียงฝนที่หนาแน่นโจมตีมาที่แก้วหูของเธอ “ขึ้นรถ มานั่งที่ที่นั่งข้างคนขับ ที่นี่จอดรถไม่ได้”
เสียงพูดหลุดออกมา มู่น่อนน่อนก็ได้ยินเสียง “ปิ๊น” ดังขึ้นมา
เธอเงยหน้าขึ้นไปดู ก็เห็นรถยนต์คนสีดำคันหนึ่งได้ขับมาที่ตรงหน้าเธอพอดี คงเป็นเพราะว่าเห็นว่าเธอไม่ไปสักที จึงได้บีบแตรออกมาอีกที
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปากออกมา ถือกระเป๋าขึ้นบังเอาไว้บนหัว รีบเดินเข้าไป เปิดประตูตรงที่นั่งคนขับแล้วเข้าไปนั่ง
ทันทีที่เธอนั่งลง ก็ได้ยินเสียงอ้อแอ้ของเฉินมู่ที่ดังขึ้นมาจากทางข้างหลัง “พี่สาวคนสวย!”
มู่น่อนน่อนหันหน้าไป ก็เห็นเฉินมู่นั่งอยู่ในคาร์ซีทของเด็กอยู่ที่เบาะหลัง ในปากคาบนมเอาไว้กล่องนึง ยิ้มออกมาจนดวงตาเป็นพระจันทร์เสี้ยวออกมา
เธอยิ้มแล้วส่งเสียงเรียกออกไป “มู่มู่”
เฉินถิงเซียวขับรถไปข้างหน้า ได้ยินคำพูดนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองมู่น่อนน่อนแวบนึง
นอกจากจะมองไปแล้วดูเจริญตากว่าผู้หญิงคนอื่นนิดนึงแล้ว ทำไมเฉินมู่ถึงได้ชอบเธอถึงขนาดนี้กัน?
เฉินมู่ที่นั่งเบาะหลังคนเดียวได้ชูนมที่อยู่ในมือขึ้นมา แล้วพูดกับมู่น่อนน่อนออกไป “พี่สาวดื่ม”
ความคิดของเด็กน้อยเรียบง่ายมาก ชอบคนคนหนึ่ง ก็จะยอมแบ่งปันของเล่นและของกินให้กับเธอ
“พี่สาวไม่ดื่ม มู่มู่ดื่มเถอะ”
เฉินมู่พอได้ยินเธอพูดมาอย่างนี้แล้ว ก็กอดนมดื่มต่อดังเอื๊อกๆออกมา
มู่น่อนน่อนหันหน้าไป พลางเอ่ยออกไปกับเฉินถิงเซียวด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยความรู้สึกขอโทษ “ขอโทษนะคะ คุณเฉิน ทำรถคุณเปียกแล้ว…”
คนปกติในช่วงเวลาแบบนี้ ก็ควรจะพูดออกมาว่า “ไม่เป็นไร” ออกมาสักคำ
แต่เฉินถิงเซียวเพียงแค่ตอบรับออกไปนิ่งๆเท่านั้นว่า “อืม”
อืม?
หมายความว่าอะไร?
ถึงแม้ว่าข้างนอกจะกำลังฝนตก แต่อุณหภูมิก็ไม่ได้ลดต่ำลงอยู่สักพักนึงเลยเหมือนกัน ดังนั้นแล้วภายในรถก็เลยยังเปิดแอร์อยู่
เสื้อผ้าของมู่น่อนน่อนเปียกไปหมด แอร์เป่ามาจึงอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นขึ้นมา
ในตอนนี้ ผู้ชายที่อยู่ข้างๆก็ได้โยนเสื้อสูทตัวนอกของตัวเองเข้าไป แล้วก็ปิดแอร์ไปด้วย
คุณภาพของเสื้อสูทตัวนอกดีมาก การตัดเย็บกับการออกแบบต่างก็งดงามประณีตอย่างมาก ด้านบนยังมีกลิ่นอายเยือกเย็นที่เป็นเอกลักษณ์บนร่างของผู้ชายอยู่ด้วย
มู่น่อนน่อนถือเสื้อสูทพร้อมกับแข็งค้างไปสักพักนึง ก่อนจะหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว “คุณเฉิน…”
เฉินถิงเซียวเพียงแค่ถามเธอออกมา “คุณพักอยู่ที่ไหน?”
น้ำเสียงของเขาเด็ดขาดและแน่วแน่มากเกินไป ส่งผลให้มู่น่อนน่อนบอกที่อยู่ไปทันที
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้นแล้ว เซ็ทค่าการนำทาง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
มู่น่อนน่อนมองเค้าโครงหน้าด้านข้างที่ดูหมดจดของเขา ลังเลอยู่สักพักนึง เสื้อคลุมของเขาห่อหุ้มอยู่บนร่าง
ร่างกายของเธอในตอนนี้แย่กว่าคนปกติอยู่เล็กน้อย ก็เลยรู้สึกหนาวอยู่บ้างจริงๆนั่นแหละ
ถ้ากลับไปป่วย ลี่จิ่วเชียนจะต้องโกรธแย่
เฉินมู่ดื่มนมอยู่ที่เบาะหลังก็ได้นอนหลับไปแล้ว เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร มู่น่อนน่อนนั้นแม้แต่เสียงการหายใจก็ได้ผ่อนเบาลงไปหมด
ภายในรถได้ตกอยู่ในความเงียบ แต่ก็มีความรู้สึกกลมกลืนอย่างน่าประหลาดบางอย่างขึ้นมาอีก
เหมือนกับว่าภาพฉากนี้ในอดีตมันได้เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็ไม่ปาน
ตอนที่มู่น่อนน่อนกำลังเหม่อลอยอยู่นั้น ที่ข้างหูก็ได้ยินเสียงนิ่งๆของเฉินถิงเซียวดังขึ้นมา “ถึงแล้ว”
เธอได้สติกลับมาทันที เอาเสื้อคลุมที่อยู่บนร่างออกไป “รบกวนคุณเฉินแล้ว”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร มองเธอลงจากรถพุ่งเข้าไปในสายฝน เงาร่างบอบบางมองไปแล้วดูเปราะบางผิดปกติ
มือที่วางอยู่ที่บนพวงมาลัยรถได้กำแน่นไปโดยไม่รู้ตัว
เฉินมู่เอาโทรศัพท์ให้ไปอย่างว่าง่าย “พี่สาว โทรศัพท์”
มู่น่อนน่อนรับโทรศัพท์ไป วางไปที่ข้างใบหู ส่งเสียงเรียกไปคำนึง “คุณเฉิน”
เธอพูดจบ ถึงตระหนักได้ว่าเมื่อกี้ตนได้เปิดเผยไปว่าตนรู้เรื่องตัวตนของเขาไปตามจิตใต้สำนึกเรียบร้อยแล้ว
เฉินถิงเซียวเหมือนกับไม่ได้แปลกใจเลยสักนิดเดียวที่มู่น่อนน่อนรู้ตัวตนของเขา เพียงแค่เอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ “คุณผู้หญิงท่านนี้ รบกวนช่วยบอกที่อยู่ผมด้วย ผมจะไปรับเธอเดี๋ยวนี้”
เสียงของเขาฟังไปแล้วสุขุมมากเลย ประดับไปด้วยน้ำเสียงคำสั่งเชิงออกคำสั่งของผู้ที่อยู่ระดับสูงเอาไว้ ทำให้คนอื่นยอมทำตามคำสั่งไปโดยไม่รู้ตัว
มู่น่อนน่อนตอบกลับไป “ได้ค่ะ”
เสียงของเธอเพิ่งจะหลุดออกไป เฉินถิงเซียวก็ได้วางสายไป
มู่น่อนน่อนประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่ต้องบอกลาเฉินมู่เลยสักคำเลยเหรอ?
วางสายไปโต้งๆอย่างนี้เลย?
……
ณ บริษัทเฉินซื่อ
เลขาหอบเอาข้อมูลเข้าไปในห้องทำงานประธานบริษัท เห็นเฉินถิงเซียววางสาย ลุกยืนขึ้นหยิบเสื้อคลุมตัวนอกขึ้นมามีท่าทีที่เตรียมจะออกไปข้างนอกเข้าพอดี
เลขารีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป เอ่ยออกไปอย่างระมัดระวัง “ท่านประธาน หลังจากสิบโมงมีประชุมสำคัญอยู่นะครับ”
“เอาไว้ก่อน” เฉินถิงเซียวไม่แม้แต่จะมองเขา เดินตรงออกไปข้างนอก
ท่านประธานใหญ่บอกว่าต้องการเลื่อนออกไปแล้ว เลขาก็ต้องไม่มีอะไรจะพูดอยู่แล้ว
เลขาเดินตามเฉินถิงเซียวไปข้างนอกด้วยกัน แล้วเอ่ยถามออกไป “เลื่อนไปถึงเมื่อไหร่ครับ?”
“ตอนที่ฉันกลับมา” เฉินถิงเซียวหยุดฝีเท้าลง เหล่มองเลขาไปแวบนึง ตรงระหว่างคิ้วย่นออกมาเล็กน้อยบ่งบอกถึงความทนไม่ไหวของในตอนนี้
กลุ่มเลขาและผู้ช่วยของเขากลุ่มนี้ ไม่มีใครถูกใจเขาเลยสักคนเดียว
เลขาถูกสายตาของเขามองเข้ามาแล้ว ก็ได้หุบปากเงียบไปทันที หายใจแรงๆก็ยังไม่กล้าหายใจออกมาเลย
คนขับรถเห็นเฉินถิงเซียวกำลังจะออกไปข้างนอก จึงได้เดินตามเข้าไป
เฉินถิงเซียวเอ่ยออกไปอย่างไม่แยแส “ไม่ต้องตาม ฉันจะขับรถไปเอง”
“แต่ว่าคุณผู้หญิงบอกว่า…”
“นายฟังเธอหรือว่าจะฟังฉัน?” เฉินถิงเซียวได้ยินอย่างนั้นแล้ว ก็ได้หันหน้าไป หรี่ตามองไปทางคนขับรถ “รับเงินของฉัน อย่าไปฟังคำพูดของคนอื่น?”
คนขับรถเห็นสีหน้าของเฉินถิงเซียวผิดไป จึงได้เอ่ยอธิบายออกไปทันที “ไม่..ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ท่านประทาน…”
เฉินถิงเซียวเดิมทีก็ไม่ได้สนใจฟังคำพูดไร้สาระของเขาอยู่แล้ว ตรงเข้าไปผลักเขาออกแล้วขึ้นรถไป
เขาสตาร์ทรถไปพลาง ต่อสายไปหาเฉินจิ่งหยุ้นไปพลาง
เมื่อกี้ตอนที่อยู่ในสายเขาไม่ได้ถามผู้หญิงที่โทรหาเขาคนนั้นเลยว่าทำไมถึงได้อยู่กับเฉินมู่ได้
ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องถามออกไปเขาเองก็สามารถคาดเดาออกอยู่บ้าง
ทันทีที่กดรับสายไป เสียงไม่พอใจของเฉินจิ่งหยุ้นก็ได้ดังขึ้นมาจากทางปลายสาย “ถิงเซียว ฉันกำลังจะโทรหานายอยู่พอดีเลย การประชุมกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ตัวนายล่ะ?”
หลังจากที่เฉินถิงเซียวฟื้นขึ้นมาเมื่อสามปีก่อน เฉินจิ่งหยุ้นก็เข้าไปทำงานในบริษัทเฉินซื่อด้วย
ในช่วงเวลาแบบนี้ เฉินถิงเซียวไหนเลยจะไปสนใจอะไรกับการประชุม
ถึงแม้ว่าเขาจะมีชื่อเสียงในเรื่องของการบ้างาน
แต่ระหว่างงานกับลูกสาว อะไรที่สำคัญกับเขากว่ากัน ในใจเขาย่อมรู้ดี
เสียงของเขาเยือกเย็นอย่างมาก “แต่จากนี้ไปอย่าให้ซูเหมียนเข้ามาเหยียบตระกูลเฉินอีกแม้แต่ครึ่งก้าว ฉันจะเห็นแก่หน้าเธอ บอกเธอก่อน ถ้าฉันเห็นเธออยู่ที่ตระกูลเฉินอีก อย่ามาหาว่าฉันไม่เกรงใจแล้วกัน”
“ถิงเซียวนายพูดอะไรกันห๊ะ? ฉันถามว่าตอนนี้นายอยู่ไหน? กำลังจะ…” เฉินจิ่งหยุ้นไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวไปโกรธอะไรมา จู่ๆถึงได้โทรมาพูดเรื่องพวกนี้กับเธอ
เฉินถิงเซียวไม่สนใจว่าเฉินจิ่งหยุ้นจะพูดอะไรเลย ได้วางสายไปทันที
หลังจากที่วางสายไป เฉินถิงเซียวได้พบว่าข้างหน้ารถติด ผ่านไปไม่ได้สักพักนึงเลย
เขาต้องหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาผู้หญิงคนนั้นไปอีกครั้ง
……
มู่น่อนน่อนกับเฉินมู่กำลังรออยู่ที่ในร้านอาหารอยู่สักพักนึงแล้ว ก็ไม่เห็นเฉินถิงเซียวจะมาเลย แต่กลับได้รับสายของเขามาแทน
“ทางผมรถติดนิดหน่อย รบกวนให้คุณช่วยรออีกสักแป๊บนึงนะครับ ถ้าไม่สะดวกจริงๆ ก็สามารถพาเธอไปส่งที่โรงพักก่อนได้เลย”
ในน้ำเสียงของชายหนุ่มฟังไม่ออกถึงความรู้สึกเป็นกังวลเลยสักนิดเดียว สงบนิ่งเสียงจนไม่เหมือนกับพ่อที่มาหาลูกคนหนึ่งเลย
มู่น่อนน่อนเอ่ยออกไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ฉันสะดวกมาก”
เด็กเล็กขนาดนี้ เฉินถิงเซียวใจแข็งพอที่จะให้เธอส่งไปสถานีตำรวจ
วางสายไป มู่น่อนน่อนก็ได้พาเฉินมู่ออกจากร้านอาหารไป
ประเด็นสำคัญเลยก็คือเด็กน้อยนั่งไม่อยู่แล้ว ชอบอยู่ไม่นิ่งเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
ทางเฉินถิงเซียวรถติดอยู่นาน รอจนตอนที่เขามาแล้ว มู่น่อนน่อนก็ได้พาเฉินมู่ไปสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้ๆแถวนั้นไปเรียบร้อยแล้ว
ตอนที่มู่น่อนน่อนกับเฉินมู่กำลังนั่งยองๆมองดูมดย้ายบ้านอยู่ที่ขอบๆพงหญ้าในสวนอยู่นั้นเอง ด้านหลังก็มีเสียงทุ้มต่ำอันไพเราะของผู้ชายดังเข้ามา “มู่มู่”
เฉินมู่มองมดย้ายบ้านไปอย่างตั้งอกตั้งใจ จดจ่อไปมากเกินไปจึงไม่ได้ยินเฉินถิงเซียวเรียกเธอเลย
แต่มู่น่อนน่อนก็ได้เป็นคนหันหน้าไปก่อน
เธอหันหน้าไป ก็เห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่กำลังสาวเท้าก้าวใหญ่ๆเดินมาทางนี้ สายตาของเขาเพ่งความสนใจไปที่ร่างของลูกชิ้นน้อยที่อยู่ข้างๆ
เมื่อก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงเดินช็อปปิ้งกันเสร็จก็เย็นมากแล้ว ก็ยังได้พาเฉินมู่ไปกินข้าวอีก รอเฉินถิงเซียวอยู่นานขนาดนี้ ในตอนนี้ก็ได้ตกกลางคืนไปแล้ว
ไฟถนนในสวนสาธารณะในตอนนี้ได้สว่างขึ้นมาพอดี ใบหน้าดุดันเสียจนดูเย็นชาออกมาเล็กน้อยของชายหนุ่มอยู่ภายใต้การส่องสว่างของแสงไฟ เห็นได้ชัดว่าอ่อนโยนลงเยอะเลย
เดิมทีแล้วเฉินถิงเซียวก็เป็นผู้ชายที่หน้าตาหล่ออยู่แล้ว พอมองดูอย่างนี้แล้ว จึงยิ่งเพิ่มให้ภาพทิวทัศน์สวยงามจนทำให้จิตใจเบิกบานมากยิ่งขึ้น
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะมองตาค้างไป
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปใกล้ โค้งตัวลงไปเล็กน้อย แขนยาวทั้งสองข้างยืดออกไป แล้วก็ย่อตัวนั่งลงยองๆบนพื้นอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา
เฉินมู่เกิดความสงสัยขึ้นมาก่อนแป๊บนึง จากนั้นตอนที่เห็นคนที่อุ้มเธอชัดเจนแล้วว่าเป็นเฉินถิงเซียว ส่งเสียงเรียกออกไปด้วยความดีใจ “เฉินชิงเซียว!”
มู่น่อนน่อนตกตะลึงขึ้นมา เม้มปากยิ้มออกมา
เฉินถิงเซียวหรี่นัยน์ตาสีดำลงเล็กน้อย น้ำเสียงไม่ดีนัก “เรียกพ่อ”
เฉินมู่ดูดลงบนไปบนใบหน้าของเขาอย่างคนเจ้าเล่ห์อย่างมาก “คุณพ่อ!”
ในดวงตาของเฉินถิงเซียวได้มีความอ่อนโยนแวบผ่านออกมาเล็กน้อยเสียจนยากที่จะสังเกตเห็นได้
ลูกชิ้นน้อยนี้ก็ไม่รู้ว่าได้นิสัยจากใครมา ทุกครั้งจะต้องจงใจเรียกชื่อของเขาท้าทายอำนาจเขา รอจนสีหน้าเขาเปลี่ยนไป เธอถึงได้ยอมเรียกพ่อออกมาทันที
เขาแน่ใจมากว่า นิสัยของลูกชิ้นน้อยไม่ได้ได้มาจากเขา และก็ไม่ได้ได้มาจากซูเหมียนด้วยเช่นกัน
เฉินถิงเซียวแตะหัวเธอ กวาดมองไปมาอยู่ที่บนร่างของเฉินมู่ไปอย่างละเอียด เมื่อแน่ใจแล้วว่าเธอปลอดภัยดี จึงได้หันหน้าไปมองผู้หญิงที่เงียบมาโดยตลอดที่กำลังยืนมองอยู่ข้างๆคนนั้น
เพียงแค่มองไปแวบเดียว เขาก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับเขาอย่างมาก
แต่เขาก็นึกไม่ออกเลยว่าไปเคยเจอเธอมาจากที่ไหน
มู่น่อนน่อนเพียงแค่ถูกเฉินถิงเซียวจ้องมาอย่างนี้ ในใจก็เกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นมา จึงส่งเสียงพูดออกไป “ในเมื่อคุณก็มารับมู่มู่แล้ว งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
ถึงแม้ว่าคำพูดของเธอจะพูดไปอย่างนี้ แต่ว่าเท้าของเธอกลับไม่ขยับไปเลย
ไม่ใช่ว่าเธอไม่ไป แต่เป็นเพราะเฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเลยไม่กล้าไป
เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงได้กลัวผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งได้ขนาดนี้ แต่ว่าข้อมูลที่ถ่ายทอดออกมาในหัวของเธอก็เป็นอย่างนี้
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอไม่สามารถไปได้
“ขอบคุณคุณมากที่ดูแลมู่มู่ อยากได้ค่าตอบแทนอะไรหรือเปล่า?”
ในที่สุดเฉินถิงเซียวก็ได้พูดออกมา ถึงแม้ว่าจะเป็นคำขอบคุณ แต่ว่าเห็นใบหน้าไร้อารมณ์ของเขาแล้ว มันทำให้มู่น่อนน่อนไม่ได้รู้สึกถึงการถูกขอบคุณเลยสักนิดเดียว
มู่น่อนน่อนส่ายหน้าออกไป “ไม่ต้องหรอกค่ะ ไม่ว่าเป็นใครที่เจอเรื่องแบบนี้ก็ไม่มีทางจะไม่สนกันได้หรอก จากนี้ไปคุณต้องดูแลลูกให้ดีนะคะ”
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา พลางยื่นมือออกไปลูบผมเธอเบาๆ แล้วถามเธอออกไปว่า “หนูยังจำฉันได้?”
เด็กน้อยพยักหน้าออกมา ยื่นมือพุ่งเข้ามาในอ้อมแขนของเธอ เอ่ยออกมาอย่างน่าสงสารว่า “หาเฉินชิงเซียว”
มู่น่อนน่อนถูกกอดที่มาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอางงงวยไปเล็กน้อย
ลูกชิ้นตัวน้อยๆที่อยู่ในอ้อมแขน กำลังกอดรอบลำคอเธอแล้วมองเธอมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไว้วางใจ
เด็กน้อยตอนนี้สนิทกับคนอื่นได้ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?
หญิงสาวส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีแรงต้านทานต่อของน่ารักๆกันเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กน้อยน่ารักที่น่ารักสุดๆเลย
เด็กน้อยพูดเร็วเกินไป มู่น่อนน่อนฟังไม่เข้าใจเลยว่าเธอพูดอะไรอยู่ จึงได้ถามไปประโยคนึง “หนูพูดถึงใครอยู่เหรอจ๊ะ?”
“เฉินชิงเซียว” เฉินมู่พูดออกมารอบนึงด้วยความจริงจัง
มู่น่อนน่อนอึ้งไปแป๊บนึง ตอนที่มีการตอบสนองขึ้นมาได้ว่าเธอกำลังพูดว่าเฉินถิงเซียว หลุดหัวเราะ “พรืด” ออกมา “หนูชื่ออะไร?”
“มู่มู่” เฉินมู่พูดออกไปอย่างตรงไปตรงมา
มู่น่อนน่อนเห็นเฉินมู่ซื่อตรงอย่างนี้แล้ว ถามอะไรไปก็ตอบ ก็อดไม่ได้ที่รู้สึกกังวลอยู่บ้าง
ลูกสาวที่เลี้ยงดูมาจากในตระกูลมหาเศรษฐีอย่างตระกูลเฉินอย่างนั้น ทำไมถึงได้ซื่อตรงขนาดนี้ ควรจะหัวแหลมสักหน่อยสิถึงจะถูก
มู่น่อนน่อนอุ้มเธอขึ้นมา ถามเธอออกไป “หนูมาด้วยกันกับคุณพ่อ?”
เฉินมู่ส่ายหน้า
มู่น่อนน่อนรู้สึกถึงความลำบากใจขึ้นมาเล็กน้อย เธอจะต้องพาเฉินมู่ไปหาเฉินถิงเซียวที่ไหนกันล่ะ?
คงจะต้องไปบริษัทเฉินซื่อ
แต่ว่าบริษัทเฉินซื่ออยู่ที่ไหนเธอไม่รู้เลย
ถึงแม้ว่าจะไปแล้วมันก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเจอเฉินถิงเซียวได้
ในตอนนี้ พวกเธอได้ผ่านร้านอาหารร้านนึงพอดี บนป้ายโฆษณาด้านนอกร้านอาหารมีภาพเฟรนช์ฟรายส์
เฉินมู่ชี้ไปที่เฟรนช์ฟรายส์ด้วยดวงตาที่ส่องประกายออกมา ปากก็ได้พูดออกมาตรงๆ “เฟรนช์ฟรายส์!”
มู่น่อนน่อนมองออกว่าเธออยากกินเฟรนช์ฟรายส์ ในตอนนี้ก็ได้ถึงเวลากินข้าวแล้วด้วย มู่น่อนน่อนจึงอุ้มเธอเข้าไป
ตอนนี้เธอเองก็ไม่รู้ด้วยว่าจะไปหาเฉินถิงเซียวกับคนอื่นในตระกูลเฉินได้ยังไง จึงได้พาเฉินมู่ไปกินข้าวก่อนเลยทันที
มู่น่อนน่อนสั่งเฟรนช์ฟรายส์ให้เฉินมู่มาชุดนึง แล้วก็สั่งข้าวผัดกับน้ำซุปมาอีก
มู่น่อนน่อนไม่เคยดูแลเด็กมาก่อน หยิบช้อนมาเพื่อที่จะป้อนข้าวให้เฉินมู่ แต่ผลก็คือเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวก็เห็นเฉินมู่ถือตะเกียบมาพุ้ยข้าวเข้าปากด้วยตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว
มือซ้ายของเธอกำจนกลายเป็นหมัดเล็กๆวางอยู่บนโต๊ะกินข้าว มือขวาถือตะเกียบด้วยท่ามาตรฐาน อ้าปากยื่นเข้าไปที่ขอบถ้วย พุ้ยข้าวเข้าปากไปอย่างรวดเร็ว
แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ยังอายุน้อยอยู่ ข้าวที่พุ้ยเข้าปากไป ครึ่งหนึ่งได้หกกระจายไปบนพื้น ที่ขอบปากยังมีเม็ดข้าวอยู่เต็มไปหมด
มู่น่อนน่อนถูกความน่ารักทำให้หลงเข้าให้แล้ว บนใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เรียกพนักงานเอาถ้วยเล็กๆมาตักซุป ใช้ช้อนคน อีกเดี๋ยวซุปก็จะเย็นลงบ้าง แล้วก็ให้เฉินมู่ดื่ม
เมื่อก่อนเธอเห็นเด็กน้อยของคนอื่นกินข้าวคำใหญ่ก็รู้สึกว่าน่ารักมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวเฉินมู่เองที่หน้าตาเหมือนกับตุ๊กตาที่อยู่ในภาพเลยไม่มีผิด เธอคิดว่าตัวเองไม่ต้องกินข้าว เพียงแค่มองเฉินมู่ก็สามารถอิ่มได้แล้ว
มู่น่อนน่อนลองชิมดูสักหน่อย รู้สึกว่าซุปมันอุ่นลงแล้ว จึงได้ตักป้อนไปที่ปากของเฉินมู่ พลางเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลออกไป “ค่อยๆกินช้าๆหน่อย แล้วดื่มซุปสักหน่อย”
เฉินมู่สูดไปคำนึงอย่างไว้หน้ากันอย่างมาก ก็ได้ดื่มน้ำซุปไปจนหมด แล้วไปกินข้าวต่อ
มู่น่อนน่อนนั่งมองอยู่ข้างๆเฉินมู่อยู่นาน ข้าวของตัวเองยังไม่ได้กินอะไรเลย
รอจนเฉินมู่กินไปได้ประมาณหนึ่งแล้ว มู่น่อนน่อนถึงได้ให้พนักงานยกเฟรนช์ฟรายส์มาเสิร์ฟ
เด็กน้อยต่างก็ชอบของกินเล่นจำพวกนี้กันทั้งนั้น แต่ไม่สามารถกินเยอะได้ เฉินมู่กินข้าวอิ่ม กินเฟรนช์ฟรายส์ได้ไม่เท่าไหร่ ตอนหลังก็ได้หยิบเฟรนช์ฟรายส์มาจิ้มซอสมะเขือเทศกินเล่นไปหมด
เห็นเธอกินจนอิ่มหมีพีมันแล้ว มู่น่อนน่อนจึงถามเธอ “พวกเราไปหาพ่อของหนูที่ไหน?”
อันที่จริงมู่น่อนน่อนเพียงแค่ถามไปงั้นๆเท่านั้นเอง และก็ไม่คิดด้วยว่าเฉินมู่จะรู้
ต่อจากนั้น เฉินมู่ก็ได้ยื่นตุ๊กตาตัวเล็กๆที่ตัวเองอุ้มอยู่ตลอดตัวนั้นไปให้มู่น่อนน่อน “โทรสิ”
มู่น่อนน่อนมองตุ๊กตาที่เธอยื่นมาให้ไปแวบนึง เป็นตุ๊กตาลูกเสือตัวน้อยสีฟ้าจางๆตัวหนึ่ง น่ารักมาก
เธอรับมา ถามเฉินมู่ออกไป “ใช้อันนี้เหรอ?”
“อืม” เฉินมู่รีบพยักหน้าออกมาทันที มองเธอมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
มู่น่อนน่อนมองตุ๊กตาเสือน้อยที่อยู่ในมือ สีหน้าดูลำบากใจออกมา
ในใจเธอคิดว่าบางทีปกติที่บ้านเฉินถิงเซียวคงเคยใช้เสือน้อยตัวนี้มาแกล้งเฉินมู่เล่นมาก่อน…
เธอคิดอย่างนี้ และก็ได้บีบบนเสือน้อยไปสองทีไปโดยไม่รู้ตัว แต่ผลสุดท้ายกลับแตะไปโดนของแข็งๆชิ้นนึง
มู่น่อนน่อนได้บีบเข้าไปอีกทีนึง เมื่อแน่ใจแล้วว่ามีของอยู่ในตุ๊กตา ก็ได้ยื่นมือไปดึงซิปที่อยู่ข้างหลังตุ๊กตา ควักบล็อกไม้อันนึงออกมาจากในใยฝ้าย
ด้านบนบล็อกไม้สลักชื่อกับเบอร์โทรศัพท์เอาไว้อย่างชัดเจน
“เฉินชิงเซียว?” มู่น่อนน่อนอ่านชื่อที่อยู่ด้านบนออกมา
เฉินมู่พอได้ยินเสียงเธอ ก็ได้เอียงหัวพูดออกมา “พี่สาวกำลังเรียกคุณพ่อของหนู”
มู่น่อนน่อนถือบล็อกไม้เล็กๆเอาไว้แล้วถามเฉินมู่ออกไป “อันนี้เป็นของที่พ่อของหนูยัดเข้าไป?”
“อืม เบอร์ของคุณพ่อ” เฉินมู่พยักหน้าออกมาไม่หยุดอย่างมีความสุข
มู่น่อนน่อนใจสั่นรัวอยู่สักพักนึง
เธอนึกถึงคนหน้าตาดีที่ปรากฏออกมาแวบๆในวันที่ออกจากโรงพยาบาลวันนั้น
ยากที่จะจินตนาการออกมาได้ว่าผู้ชายที่ทรงพลังดุดันคนหนึ่งอย่างนั้น จะสามารถทำเรื่องเล็กๆที่ใส่ใจขนาดนี้ได้อีกทั้งยังสลักคำว่า “เฉินชิงเซียว” อยู่ที่ข้างบนด้วย
จากตรงนี้สามารถมองออกได้ว่า เฉินถิงเซียวรักใคร่เอ็นดูลูกสาวของเขามากเลยทีเดียว
เธอนึกว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนที่เย็นชาคนหนึ่งเสียอีก
มู่น่อนน่อนมองออกไปข้างนอกร้านอาหาร
สักพักใหญ่ๆขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่มีใครมาหาเฉินมู่เลย
มู่น่อนน่อนจำต้องกดเบอร์ของ “เฉินชิงเซียว” ออกมา ภายใต้สายตาคาดหวังของเฉินมู่
หลังจากที่เธอกดเบอร์ออกไปแล้ว ก็ไม่ได้ต่อสายออกไปทันที
ไม่รู้ว่าทำไม เธอถึงได้รู้สึกหัวใจเต้นรัวอย่างอธิบายออกมาไม่ได้บางอย่างขึ้นมา
เหมือนกับว่าจะเป็น…ความตื่นเต้น?
เฉินมู่ตอนนี้ก็ได้กินอิ่มแล้ว เห็นมู่น่อนน่อนถือโทรศัพท์ จึงเข้าไปถามด้วยความอยากรู้ “โทรไปแล้วเหรอ?”
“กำลังจะโทร” มู่น่อนน่อนยื่นมือไปแตะผมของเฉินมู่ แล้วต่อสายออกไป
ในขณะเดียวกันที่ได้ต่อสายออกไป มู่น่อนน่อนก็ได้เปิดแฮนด์ฟรีไปด้วย
ได้ยินเสียง “ตู๊ด” จากการต่อสายแล้ว หัวใจของมู่น่อนน่อนก็ได้เต้นแรงตามมาด้วย
ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกจำพวกนี้ ในวันออกจากโรงพยาบาลวันนั้นตอนที่ได้เจอเฉินถิงเซียวเป็นครั้งแรก ก็เคยปรากฏขึ้นมาก่อนด้วยเช่นกัน
เฉินมู่ได้ยินเสียง “ตู๊ด” นึกว่าจะรับสายแล้ว จึงส่งเสียงเรียกออกไป “คุณพ่อ?”
มู่น่อนน่อนเผลอยิ้มออกมา “พ่อของหนูยังไม่รับสาย รออีกเดี๋ยวนึงนะ”
“อ้อ” เฉินมู่ตอบออกมาคำนึง มองจ้องหน้าจอโทรศัพท์ตาปริบๆ สายตาเฝ้ารอคอยนั้น มองจนหัวใจของมู่น่อนน่อนแทบจะละลายไปเลย
หลังจากที่เสียงดังออกมาสี่ครั้งแล้ว ก็ได้มีเสียงทุ้มต่ำน่าฟังของผู้ชายดังเข้ามา “ใครครับ?”
เส้นเสียงของเขาต่ำเล็กน้อย แผ่เยือกเย็นออกมา
เฉินมู่ฟังเสียงของเฉินถิงเซียวออก ได้กอดโทรศัพท์ร้องตะโกนออกไปด้วยความตื่นเต้น “คุณพ่อ!”
“มู่มู่?” ไม่เหมือนกับเมื่อกี้นี้ คำว่า “มู่มู่” เสียงนี้มีความรู้สึกผสมปนเปออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เป็น มู่มู่ คุณพ่ออยู่ที่ไหนน่ะ…” พอเฉินมู่ได้เริ่มพูดขึ้นมาแล้ว พูดพล่ามออกมาไม่หยุด
เฉินถิงเซียวที่อยู่ทางปลายสายฟังเงียบๆอยู่สักพักนึง เมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นเสียงของเฉินมู่ฟังไปแล้วดูปกติมาก จึงเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำออกไป “เอาโทรศัพท์ไปให้พี่สาวมาคุยกับพ่อ”
ในใจของมู่น่อนน่อนประหลาดใจอยู่เล็กน้อย เฉินถิงเซียวไปรู้ได้ยังไงว่าเป็นพี่สาวคนหนึ่งช่วยลูกสาวของเขาโทรได้กัน?
เสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นได้ยินคำพูดของลี่จิ่วเชียน ต่างก็ตะลึงงันกันไปหมด
ทั้งสองคนหันมองหน้ากัน มองเห็นความตื่นตะลึงจากในดวงตาของกันและกัน
เสิ่นเหลียงรู้จักมู่น่อนน่อนตอนที่อยู่ม.ปลาย ก่อนหน้านั้น มู่น่อนน่อนไปไหนมาไหนตามลำพังอยู่ตลอด เหมือนกับไม่มีเพื่อนอะไรเลยด้วย
แต่น้ำเสียงของลี่จิ่วเชียนฟังไปแล้วก็ไม่เหมือนกับพูดโกหกเลยสักนิดเดียว
ลี่จิ่วเชียนพูดออกมาต่อ “ส่วนผมกับเธอรู้จักกันได้ยังไง ผมคิดว่า นี่มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบอกคุณเสิ่นเลย”
ตอนที่เขาพูดนั้น สายตาก็ยังคงมองจ้องอยู่ที่ประตูลิฟต์ สงบนิ่งไม่แยแสเสียไม่เข้าท่าเลย แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับประดับไปด้วยพละกำลังที่หนักแน่น”
“คุณลี่ คุณ…”
เสิ่นเหลียงกำลังอยากจะพูดอะไรออกไป ก็ได้ถูกเสียงการมาถึงจุดหมายของลิฟต์ได้ขัดขึ้นมาเสียก่อน
ลี่จิ่วเชียนหันหน้ามองไปทางเสิ่นเหลียง เอ่ยพูดออกไปนิ่งๆ “ถึงแล้ว”
ทั้งสามคนออกไปจากลิฟต์
เสิ่นเหลียงเดินเข้ามาที่ตรงหน้าลี่จิ่วเชียน ขวางทางเขาเอาไว้ “ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าคุณกำลังโกหกอยู่หรือเปล่า”
“ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณเป็นเพื่อนของเธอ ผมก็คงไม่มีทางให้โอกาสให้คุณได้มาตั้งคำถามกับผมได้หรอก” บนใบหน้าของลี่จิ่วเชียนแสดงความไม่แยแสอะไรอีก ภายในดวงตาได้ปกคลุมไปด้วยความมืดครึ้ม มองไปแล้วเหมือนกับโกรธอยู่
สีหน้าของเสิ่นเหลียงได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ในเมื่อคุณรู้แล้วว่าเธอมีเพื่อน ทำไมตอนที่เจอเธอ ไม่ติดต่อพวกเรา?”
“ทำไมต้องติดต่อพวกคุณ? ผมมีความรับผิดชอบหรือหน้าที่อะไร?” ลี่จิ่วเชียนแสยะริมฝีปากออกมา เผยรอยยิ้มเยาะหยันออกมา
“คุณ…”
ไม่รอให้คำพูดตรงท่อนหลังของเสิ่นเหลียงได้พูดออกมา ก็ได้ถูกกู้จือหยั่นดึงเข้าไปข้างหลังเสียก่อน
สีหน้าของกู้จือหยั่นเองก็ไม่ได้ดีนัก “อย่างน้อย พวกเรากับน่อนน่อนก็เป็นเพื่อนที่จริงใจต่อกัน แล้วคุณล่ะ?”
ลี่จิ่วเชียนมองข้ามคำถามของกู้จือหยั่นไปทันที ยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา “ตอนบ่ายผมยังมีนัดกับผู้ป่วยอีกหลายราย ขอไม่ส่งนะครับ”
เขาพูดจบ ก็ได้สาวก้าวใหญ่ๆเดินไปยังลานจอดรถ
กู้จือหยั่นหันหน้ามองไปทางเสิ่นเหลียง เห็นเธอแสดงความกังวลออกมาเต็มใบหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงพูดออกไป “ไม่อย่างนั้นพวกเราไปรับน่อนน่อนกลับมากันไม่ดีกว่าเหรอ?”
“น่อนน่อนไม่มีทางจะไปกับพวกเราหรอก ไม่ว่าลี่จิ่วเชียนกับน่อนน่อนจะรู้จักกันได้ยังไง แต่ฉันก็มองออกว่าเขาดีกับน่อนน่อนมากจริงๆ ไม่มีทางที่จะทำเรื่องที่เป็นอันตรายกับน่อนน่อนหรอก”
เสิ่นเหลียงหยุดชะงักไปเล็กน้อย แล้วก็ได้เอ่ยพูดออกไป “ยิ่งไปกว่านั้น ลี่จิ่วเชียนได้ดูแลน่อนน่อนมาสามปี พวกเรามารับน่อนน่อนไปอย่างนี้ มันจะโหดร้ายไปมั้ย”
ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของกู้จือหยั่นก็ได้ดังขึ้นมา
เขากดรับสายขึ้นมา และก็ไม่รู้ว่าทางปลายสายพูดอะไรมา เขาได้เอ่ยตอบไปว่า “อืม ก็ส่งมาให้ฉันตอนนี้เลยเถอะ”
“มีอะไรกัน?” เสิ่นเหลียงถามเขาออกไปด้วยความอยากรู้
กู้จือหยั่นตอบกลับไปว่า “ฉันให้คนไปสืบข้อมูลของลี่จิ่วเชียน”
ตอนที่ทั้งสองคนกลับมาที่รถแล้ว กู้จือหยั่นก็ได้รับจดหมายจากลูกน้องที่ส่งมาให้
เขาดูไปพลาง อ่านออกเสียงออกมาพลาง “ลี่จิ่วเชียน จบปริญญาเอกด้านจิตวิทยาอาชญาวิทยา เคยได้รับการว่าจ้างจากทีมสืบสวนคดีอาชญากรรมแห่งหนึ่งเพื่อทำการให้คำปรึกษาลักษณะทางจิตวิทยาของอาชญากร…”
อ่านจนถึงช่วงสุดท้ายแล้ว กู้จือหยั่นก็อดไม่ได้ที่จะพิจารณา ลี่จิ่วเชียนในมุมมองที่แตกต่างออกไป “ประวัติใสสะอาด เป็นคนมีพรสวรรค์คนหนึ่งเลยทีเดียว”
“อืม” เสิ่นเหลียงเองก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าตามออกมา
แต่ความสงสัยภายในใจเองก็ได้มีมากขึ้นเรื่อยๆ
……
วันเวลาของมู่น่อนน่อนผ่านไปอย่างเรียบๆดั่งน้ำ
ตอนกลางวันลี่จิ่วเชียนไปทำงานที่ห้องตรวจ มู่น่อนน่อนก็อยู่ที่บ้านคนเดียว ขอบเขตของกิจกรรมก็น้อยมาก
ก็คงจะเป็นเพราะว่าชีวิตได้ผ่านไปค่อนข้างที่จะสะดวกสบายเลยทีเดียว ร่างกายของเธอก็ดีขึ้นเรื่อยๆ มองดูแล้วถึงแม้ว่าจะยังผอมอยู่ แต่ก็ดีกว่าตอนที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อก่อนหน้านี้เยอะเลย
หลังจากที่เสิ่นเหลียงได้ขอเบอร์โทรของเธอไปแล้ว ก็มักจะโทรมาหาเธออยู่เป็นประจำ
วันนี้ ลี่จิ่วเชียนก้าวออกจากบ้านไป ตอนหลังเธอก็ได้รับสายของเสิ่นเหลียงมา
“น่อนน่อน ออกมาช็อปกันมั้ย ฉันจะไปรับเธอเอง”
อันที่จริงมู่น่อนน่อนไม่ค่อยจะชอบออกนอกบ้านเท่าไหร่นัก แต่เสิ่นเหลียงก็กระตือรือร้นเกินไป เธอจำต้องตอบรับไป
เสิ่นเหลียงมาเร็วมาก มู่น่อนน่อนถึงกับเคลือบแคลงใจเสิ่นเหลียงอยู่บ้างว่ามาถึงแบบตรงเวลาพอดิบพอดี หรือว่ารอให้ลี่จิ่วเชียนออกจากบ้านไป แล้วถึงได้มาหาเธอกันแน่
พอเธอขึ้นรถไป เสิ่นเหลียงก็แสร้งทำเป็นถามออกไปโดยไม่ตั้งใจ “เธอกับคุณลี่อยู่ร่วมกันเป็นยังไงบ้าง?”
มู่น่อนน่อนคาดเข็มขัดไปพลาง ตอบกลับไปพลาง “ก็ดี”
เธอคิดว่าเธอกับลี่จิ่วเชียนไม่เหมือนคู่หมั้นที่จะแต่งงานกันเลยสักนิดเดียว แต่กลับเหมือนกับรูมเมทที่เช่าห้องอยู่ด้วยกันเสียมากกว่า กินข้าวด้วยกัน การพูดคุยกันในวันปกติเองไม่เยอะเลย
แต่แบบอย่างการอยู่ร่วมกันอย่างนี้ ทำให้เธอรู้สึกเป็นอิสระ
“อย่างนี้นี่เอง…” เสิ่นเหลียงชะงักไปเล็กน้อย มองเธอไปด้วยความลังเลอยากจะพูดอะไรออกไปแต่ก็ไม่กล้า สุดท้ายแล้วก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไปเลย
ทั้งสองคนไปห้างด้วยกัน
เสิ่นเหลียงนั้นชอบช็อปปิ้งมากเลย ลากมู่น่อนน่อนไปลองเสื้อผ้าไปหลายตัว
ทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่น เพียงแต่ตอนที่ออกจากห้างไป ก็ได้เจอกับนักข่าว
สามปีมานี้ อาชีพในการเป็นนักแสดงของเสิ่นเหลียงก็ได้รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ได้เป็นนักแสดงหญิงชั้นแนวหน้าไปเรียบร้อยแล้ว มักจะมีนักข่าวมาคอยดักรอเธออยู่โดยเฉพาะเป็นประจำ
“รีบวิ่งเร็ว!” เสิ่นเหลียงดึงมู่น่อนน่อนวิ่งกลับไป
“เป็นอะไรไป?” มู่น่อนน่อนถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก็เลือกที่จะวิ่งตามไปด้วยกันกับเธอ
เสิ่นเหลียงจำต้องอธิบายกับเธอออกไป “พวกเขามาไล่ตามฉัน ฉันเป็นนักแสดง ช่วงนี้…ค่อนข้างที่จะดังนิดหน่อย”
ช่วงนี้มู่น่อนน่อนนอกจากจะดูข่าวบ้างเป็นครั้งคราว ไม่ได้คอยเฝ้าจอรอดูละครอยู่เลย ดังนั้นแล้วก็เลยไม่รู้ว่าเสิ่นเหลียงเป็นนักแสดงคนหนึ่ง
ภายในห้างเดิมทีก็มีคนเยอะอยู่แล้ว นักข่าววิ่งไล่ตามเสิ่นเหลียงมา เพียงชั่วพริบตาเดียวที่แห่งนั้นก็ได้เกิดความโกลาหลขึ้นมาเล็กน้อย
นี่จึงได้ทำให้มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงพลัดหลงจากกัน
รอจนตอนที่มู่น่อนน่อนหันกลับไปหา ไหนเลยจะยังมีเงาร่างของเสิ่นเหลียงอยู่อีก
เธอหามุมมุมหนึ่งไปโทรหาเสิ่นเหลียง
เพียงไม่นานก็รับสาย
น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงดูเป็นกังวลออกมาเล็กน้อย “น่อนน่อน ฉันอยู่ที่ลานจอดรถ เธออยู่ที่ไหนกัน?”
“ฉันยังอยู่ในห้าง” มู่น่อนน่อนได้ยินเธอพูดมาอย่างนี้แล้ว ก็ได้ผ่อนหายใจอย่างโล่งอกออกมาด้วยเช่นกัน
เสิ่นเหลียงพูดออกมาว่า “เธอรีบมาเถอะ ฉันรอเธออยู่ที่ในรถนะ”
“ไม่ต้องหรอก เธอไปก่อนเลย ฉันกลับเองได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้นักข่าวพวกนั้นมาหาเธออีก…”
แน่นอนว่าเสิ่นเหลียงไม่ยอมกลับไปเองก่อนอยู่แล้ว แต่สุดท้ายแล้วก็ถูกมู่น่อนน่อนใช้เหตุผลว่ากลับบ้านแล้วจะโทรหาเธอมาพูดกล่อมให้เธอเห็นด้วยขึ้นมา
มู่น่อนน่อนวางสายไป ผันร่างกลับไปก็เห็นเด็กน้อยคนหนึ่งที่กำลังอุ้มตุ๊กตาตัวเล็กเอาไว้ตัวหนึ่ง ยืนมองเธออยู่ในมุมที่ไม่ไกลออกไป
เด็กผู้หญิงตัวน้อยสวมเสื้อลายแถบสีฟ้าขาวของทหารเรือ ท่อนล่างเป็นกางเกงขาสั้นสีฟ้าที่ยาวถึงเข่าพอดี พร้อมกับดวงตากลมสีดำสนิทคู่หนึ่ง ใบหน้าbabyfatที่จ้ำม่ำ ผมสีดำแผ่อยู่บนไหล่ บนหน้าผากมีหน้าม้าปกคลุมอยู่บางๆ…
เธอกำลังมองมู่น่อนน่อนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ รูปร่างเล็กมองดูแล้วน่ารักสุดๆไปเลย
มู่น่อนน่อนเทียบส่วนสูงของเธอดู คาดเดาว่าเธอคงจะอายุประมาณสาม สี่ขวบ
มู่น่อนน่อนมองซ้ายมองขวาไปเล็กน้อย พบว่าไม่มีผู้ใหญ่อยู่เลย จึงเดินเข้าไปนั่งยองๆลงไปที่ตรงหน้าเธอ แล้วถามเธอไปว่า “เด็กน้อย พ่อแม่ของหนูล่ะ?”
พอมองจากที่ใกล้ๆแล้ว มู่น่อนน่อนถึงได้รู้สึกว่าเด็กคนนี้คุ้นตามาก
ในหัวได้เกิดความคิดบางอย่างแวบเข้ามา ใบหน้าเล็กที่อ้วนจ้ำม่ำที่อยู่ตรงหน้าได้ทับซ้อนเข้าด้วยกันกับใบหน้าที่เธอเห็นในวันที่ออกจากโรงพยาบาลวันนั้น
คงไม่ใช่หรอกมั้ง…
นี่เป็นลูกสาวของเฉินถิงเซียว?
ชื่อว่าอะไรแล้วนะ เหมือนจะเป็น “mumu” อะไรเนี่ยแหละ
เฉินมู่เอียงหัวมองมู่น่อนน่อนอยู่หลายวิ แล้วก็ได้ยิ้มตาหยีออกมาทันที “พี่สาวคนสวย…”
มู่น่อนน่อนใจสั่นรัวออกมา ก้อนแป้งน้อยคนนี้ยังจำเธอได้?
เธอจำได้ว่าวันนั้นเจ้าก้อนแป้งน้อยก็เรียกเธอมาอย่างนี้เหมือนกัน
เสิ่นเหลียงมองไปทางห้องครัว “ฉันไปช่วยเป็นลูกมือให้น่อนน่อน นายก็อยู่ให้สงบเสงี่ยมสักหน่อย”
กู้จือหยั่นถูกเสิ่นเหลียงเตือนมาจนหัวเราะไม่ออกร้องไห้ออกมาไม่ได้ แล้วก็ทิ้งเขาให้รออยู่ในห้องโถงไปอย่างโดดเดี่ยวตามลำพัง
ภายในห้องครัว มู่น่อนน่อนกำลังล้างผักอยู่
ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากทางข้างหลัง หันหน้าไปก็เห็นเสิ่นเหลียง “คุณเสิ่น คุณเข้ามาได้ยังไงกันคะ?”
เสิ่นเหลียงยู่ปากอออกมา “เมื่อก่อนเธอเรียกฉันว่าเสี่ยวเหลียงนะ…”
มู่น่อนน่อนมองเธอ บนใบหน้าเผยสีหน้าแสดงความเสียใจออกไป
เสิ่นเหลียงเห็นเธอเป็นอย่างนี้แล้ว จึงได้เอ่ยออกไปทันที “ไม่พูดเรื่องนี้กันแล้ว ฉันช่วยเธอล้างผักเอง”
“ไม่ต้องหรอก ฉันจัดการเองก็พอแล้ว…”
“ฉันช่วยเธอจะได้เร็วสักหน่อย ฉันหิวมากแล้ว”
……
มู่น่อนน่อนทำอาหารเสร็จแล้วก็ได้ยกขึ้นมาที่โต๊ะ ในตอนที่กำลังจะกินกับพวกเขาอยู่นั้นเอง ก็ได้ยินเสียงเปิดประตู
เธอเบือนหน้าไปมองทางประตู ก็เห็นลี่จิ่วเชียนได้เปลี่ยนรองเท้าเดินเข้ามาทางห้องรับประทานอาหาร
ในมือของเขายังถือกุญแจรถอยู่ ตอนที่เลิกตาขึ้นมองเห็นทั้งสามคนที่อยู่ในห้องรับประทานอาหาร ก็ได้ตะลึงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
แต่เพียงไม่นานก็กลับมาเป็นตามธรรมชาติ
สายตาของเขามองผ่านจากบนหน้าของเสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นไป สุดท้ายก็ได้จรดอยู่ที่บนใบหน้าของมู่น่อนน่อน และก็ได้ประดับรอยยิ้มออกมาจางๆ พลางเอ่ยออกไปอย่างอ่อนโยน “ที่บ้านมีแขก?”
คำพูดนี้ฟังดูแล้วสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก
“อืม” มู่น่อนน่อนลุกยืนขึ้นมา “นายกลับมาได้ยังไงกัน?”
ลี่จิ่วเชียนเพียงแค่ยิ้มไปให้เธอเล็กน้อย ไม่ได้อธิบายอะไรออกไป
เขาเดินไปอยู่ที่ข้างๆของมู่น่อนน่อน “ไม่แนะนำเพื่อนสักหน่อยเลยเหรอ?”
มู่น่อนน่อนมองเขาไปแวบนึง แล้วก็ได้หันหน้ามองไปทางเสิ่นเหลียงอีกที “นี่คือเสิ่นเหลียง”
“สวัสดีคุณเสิ่น ผมคือลี่จิ่วเชียน” ลี่จิ่วเชียนยื่นมือไปทางเสิ่นเหลียง บนใบหน้าได้เผยรอยยิ้มไปอย่างพอเหมาะพอดี
เสิ่นเหลียงยื่นมือออกไป “สวัสดี คุณลี่”
เธอพูดไปพลาง มองสำรวจลี่จิ่วเชียนไปเงียบๆไปพลาง
หน้าตานั้นถือว่าด้อยกว่าเฉินถิงเซียวไปนิดนึง แต่มองดูแล้วหน้าตาดูใจดีมากเลย ก็คงจะเป็นคนที่มีนิสัยใจคอไม่เลวเลยคนหนึ่ง
จะต้องโดดเด่นเหนือใครอย่างเฉินถิงเซียวแน่นอน มันจะยากเกินไปแล้ว
แค่ลี่จิ่วเชียนดูแลมู่น่อนน่อนมาสามปี มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายทั่วๆไปสามารถทำได้อยู่แล้ว
ลี่จิ่วเชียนพยักหน้าออกมาเล็กน้อย แล้วเอาสายตาจรดไปที่ร่างของกู้จือหยั่น “คุณกู้ก็มาด้วย”
กู้จือหยั่นชำเลืองมองมือที่ลี่จิ่วเชียนเพิ่งจับเสิ่นเหลียงไปเมื่อกี้นี้ คิ้วเลิกขึ้น น้ำเสียงไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก “ใช่แล้ว คุณลี่ไม่ต้อนรับ?”
“คุณเป็นเพื่อนของน่อนน่อน ผมจะต้องยินดีต้อนรับคุณอยู่แล้ว” ลี่จิ่วเชียนหลุบตาลงไปมองมู่น่อนน่อน สายตาดูสุขุมเยือกเย็น
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ค่อยจะถูกต้องนัก ถึงได้ถามลี่จิ่วเชียนออกไป “ยังไม่ได้กินข้าวใช่มั้ย ฉันจะไปตักข้าวให้นาย”
“ฉันไปเอง” ลี่จิ่วเชียนยื่นมือไปวางลงบนบ่าของมู่น่อนน่อนไปเบาๆ พูดจบก็ได้ผันร่างเดินไปยังห้องครัว
พอลี่จิ่วเชียนเดินออกไป เสิ่นเหลียงก็ได้แอบกระทืบเท้ากู้จือหยั่นอยู่ใต้โต๊ะไปทีนึง
กู้จือหยั่นเจ็บจนช็อกขึ้นมา
ตอนที่เขาหันหน้ากลับไปมองเสิ่นเหลียง เสิ่นเหลียงก็กำลังจ้องเขาอยู่
กู้จือหยั่นจึงไม่ได้พูดอะไรออกไปโดยทันที
……
อาหารมื้อนี้กินกันไปอย่างสมัครสมานสามัคคีกันเลยทีเดียว
นอกจากกู้จือหยั่นที่มองลี่จิ่วเชียนไปอย่างขัดตาแล้ว มู่น่อนน่อน เสิ่นเหลียง และลี่จิ่วเชียนทั้งสามคนก็ยังคงพูดคุยกันได้ไม่เลวเลยทีเดียว
กินข้าวกันเสร็จแล้วลี่จิ่วเชียนไม่ได้ไปเลยทันที ได้ช่วยมู่น่อนน่อนเก็บกวาดจานชามก่อน
ท่าทางที่สมัครสมานสามัคคีและมองตาก็รู้ใจกันของทั้งสองคน มองดูแล้วเหมือนกับคู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันมานาน
เสิ่นเหลียงมองไปจนเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนไปหมด
เคยชินกับการเห็นมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวอยู่ด้วยกัน ตอนนี้มาเห็นมู่น่อนน่อนกับผู้ชายอีกคนอยู่ด้วยกัน ภายในใจมันยังไม่ชินอยู่บ้าง
รอจนมู่น่อนน่อนกับลี่จิ่วเชียนเข้าห้องครัวกันไปหมดแล้ว กู้จือหยั่นถึงได้เอ่ยปากพูดออกมาว่า “เสิ่นเสี่ยวเหลียง เธออายุปูนนี้แล้วก็อย่าทำเหมือนกับเด็กสาวพวกนั้น จะดูใครก็อย่าดูแค่ภายนอก โดยเฉพาะผู้ชาย!”
แน่นอนว่าเสิ่นเหลียงย่อมรู้อยู่แล้วว่าคนที่กู้จือหยั่นหมายถึงก็คือลี่จิ่วเชียน
เธอส่งเสียงเฮอะแล้วพูดออกไปว่า “บางคน มีอะไรคิดอยู่ในใจ สิ่งที่เห็นในดวงตามันก็จะเป็นสิ่งนั้น”
กู้จือหยั่นสูดหายใจเข้าลึกๆ มองไปทางห้องครัว เข้าไปข้างใบหูของเธอพูดกระซิบเสียงเบาออกไปด้วยความจริงจัง “เสิ่นเสี่ยวเหลียง! ถึงแม้ว่าถิงเซียวกับน่อนน่อนในตอนนี้ทั้งสองคนต่างก็สูญเสียความทรงจำกันไปทั้งคู่ แต่พวกเขายังมีมู่มู่อยู่นี่! มู่มู่ถึงยังไงก็เป็นลูกสาวแท้ๆของน่อนน่อน นี่เป็นเรื่องที่เธอควรจะต้องรู้!”
“แต่ว่าตอนนี้เฉินถิงเซียวไม่รู้จักใครทั้งนั้น ถึงแม้ว่าให้น่อนน่อนรู้ว่ามู่มู่เป็นลูกสาวของเธอไปมันจะสามารถทำอะไรได้อีก? เฉินถิงเซียวจะไม่คิดว่าเธอเป็นคนบ้าไปเหรอ? โดยเฉพาะพี่สาวเวรนั่นของเขา…”
เสิ่นเหลียงพูดถึงเฉินจิ่งหยุ้นขึ้นมาก็โมโหขึ้นมา
เมื่อตอนนั้นเฉินจิ่งหยุ้นตามหาเฉินถิงเซียวเจอ ก็ได้ถอนเรื่องทีมค้นหาและกู้ภัยไป เสิ่นเหลียงเองก็รู้
หลังจากที่เฉินถิงเซียวฟื้นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น กู้จือหยั่นไปหาเขา เขาก็ไม่เชื่อกู้จือหยั่นเลย
คนที่เฉินถิงเซียวไว้วางใจที่สุดในตอนนี้เป็นเฉินจิ่งหยุ้น
ส่วนเสิ่นเหลียง สามปีนี้นอกจากได้มองเห็นเฉินถิงเซียวจากที่ไกลๆตามงานเป็นครั้งคราว เดิมทีก็ไม่มีโอกาสได้คุยกับเฉินถิงเซียวเลย
กู้จือหยั่นเก็บสายตากลับไป พลางเอ่ยออกไป “ฉันคิดว่าเรื่องนี้มันไม่สามารถปิดบังไปได้ตลอดหรอก”
“ถ้าไม่เพราะตระกูลเฉินมีเรื่องให้น่าหงุดหงิดเยอะขนาดนั้น ตอนนี้น่อนน่อนไม่แน่ว่าอาจจะยังอยู่ดีๆอยู่ก็ได้” เสิ่นเหลียงพูดจบ ก็ได้คิดว่าคำพูดนี้ของตัวเองได้พูดออกมาเสียน่าเบื่อขึ้นมาอีกที จึงได้เสริมออกมาอีกประโยคนึง “เรื่องในอนาคตไว้ค่อยคุยกันเถอะ ไม่แน่ว่าอาจจะมีวันไหนสักวันนึงที่พวกเขาจะนึกกันขึ้นมาได้เองแหละ”
เสียงพูดของเสิ่นเหลียงเพิ่งจะได้หลุดออกมา ลี่จิ่วเชียนก็ได้ออกมาจากในครัว
เสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นพอเห็นเขาออกมา ก็ได้นั่งกันตัวตรง ปิดปากแน่นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน
“คุณเสิ่นกับคุณกู้ปกติงานยุ่งหรือเปล่า?” ลี่จิ่วเชียนเดินเข้าไปตรงหน้าทั้งสองคนไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง จากสีหน้าแล้ว มองไม่ออกว่าเมื่อกี้เขาได้ยินบทสนทนาของพวกเขาหรือเปล่า
ทุกคนต่างก็เป็นคนฉลาดกันทั้งนั้น คำพูดนี้ของลี่จิ่วเชียนพูดมาได้โดยไม่เปิดเผยความคิดของตัวเองออกไป อันที่จริงแล้วก็เป็นการกำลังขับไล่แขกที่ไม่ต้อนรับอยู่นั่นเอง
“ยุ่งนิดหน่อย กำลังวางแผนว่าจะไปอยู่” เสิ่นเหลียงได้ยืนขึ้นมาทันที
ลี่จิ่วเชียนได้ยินอย่างนั้นแล้ว ก็ได้ส่งเสียงพูดออกไป “ผมจะไปส่งพวกคุณเอง”
“พวกเธอจะไปกันแล้ว?” มู่น่อนน่อนที่ตามมาจากทางข้างหลังได้ยินคำพูดของพวกเขาเข้าพอดี
“อืม” เสิ่นเหลียงยืนขึ้นแล้วเดินเข้าไปตรงหน้ามู่น่อนน่อน “ทิ้งเบอร์โทรให้ฉัน ว่างๆฉันจะพาเธอออกไปเที่ยว”
เสิ่นเหลียงกับมู่น่อนน่อนแลกเบอร์โทรศัพท์กัน แล้วก็กลับไป
มู่น่อนน่อนไปส่งที่หน้าประตู ก็ได้ถูกเสิ่นเหลียงผลักเข้าไป “เธอกลับไปก่อนเถอะ ให้คุณลี่ไปส่งพวกเราก็พอแล้ว ครั้งหน้าจะมาเล่นกับเธออีก บ๊ายบาย”
พอประตูห้องปิดลง สีหน้าของทั้งสามคนที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยากจะเข้าใจออกมา
ทั้งสามคนเข้าลิฟต์ไปด้วยกัน
เสิ่นเหลียงมองตัวเลขที่ลดลงไปไม่หยุด ในน้ำเสียงได้ประดับไปด้วยความจริงจังที่หาได้ยากออกมา “คุณลี่รู้จักกับน่อนน่อนได้ยังไง?”
เมื่อกี้นี้เธอก็เคยตระหนักมาก่อนว่าเสื้อผ้าที่สวมอยู่บนร่างของลี่จิ่วเชียนเป็นแบรนด์ใหญ่ที่ไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะแบรนด์หนึ่งของต่างประเทศ นาฬิกาที่อยู่บนมือก็เป็นรุ่นลิมิเต็ดด้วยเหมือนกัน มองดูแล้วไม่ได้ขาดแคลนเงินทองเลย ทั้งร่างได้แผ่กลิ่นอายสงบนิ่งไม่สะทกสะท้านออกมา เป็นผู้ชายที่มีประสบการณ์คนหนึ่ง
ผู้ชายอย่างนี้ไปอยู่ท่ามกลางหมู่คน ถึงแม้ว่าเสิ่นเหลียงจะเห็นคุณชายจากตระกูลที่ร่ำรวยและดาราตัวท็อปมาจนชินแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองแล้วมองอีก
เธอรู้จักมู่น่อนน่อนมาหลายปี แวดวงสังคมของมู่น่อนน่อนเธอรู้ดีเสียจนไม่มีใครรู้ดีไปกว่านี้แล้ว ไม่เคยมีการปรากฏตัวของลี่จิ่วเชียนบุคคลผู้นี้มาก่อนเลย
สีหน้าที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของลี่จิ่วเชียนไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไร ได้เอ่ยออกมานิ่งๆ “รู้จักกันก่อนที่คุณเสิ่นจะรู้จักเธอเสียอีก”
ลี่จิ่วเชียนออกมาจากห้องนอน ก็ได้ยินการเคลื่อนไหวที่ในห้องครัว
เขาหันหน้าไปมองห้องที่อยู่ข้างๆ ก้าวเท้าเดินไปยังห้องครัว
มู่น่อนน่อนกำลังผูกผ้ากันเปื้อนยืนหั่นผลไม้อยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ในครัว
ได้ยินเสียงฝีเท้าข้างหลัง เธอหันหน้าไป ก็เห็นลี่จิ่วเชียนยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่ห่างจากเธอไปสองก้าว ยิ้มออกมาจางๆแล้วมองเธอ
มู่น่อนน่อนยิ้มกลับไปให้ “อรุณสวัสดิ์”
“กำลังทำอะไรอยู่?” ลี่จิ่วเชียนเดินเข้ามาใกล้อีกนิด พิงเข้ากับขอบเคาน์เตอร์ครัว ไปดูของที่วางอยู่ที่ข้างๆ
บนใบหน้าของมู่น่อนน่อนแสดงความมีความสุขออกมา “ตื่นเช้า ก็เลยมาดูที่ห้องครัวสักหน่อย แต่ผลสุดท้ายก็มาพบว่าตัวเองทำอาหารเป็น”
เมื่อคืนวาน เธอกับลี่จิ่วเชียนไปเดินซูเปอร์กัน ซื้อของกลับมาเยอะเลย
ตอนที่ซื้อส่วนประกอบในการทำอาหาร เธอก็ได้พบว่าตัวเองเลือกอาหารมาอย่างนึง ในหัวก็ได้ปรากฏวิธีการทำอาหารเมนูนั้นขึ้นมา
เช้าวันนี้พอตื่นขึ้นมา เธอก็ได้เตรียมที่จะมาลองดูที่นี่สักหน่อย นึกไม่ถึงว่าเธอจะทำเป็นจริงๆ
นี่มันก็ไม่ได้ต่างไปจากการคาดเดาเมื่อก่อนหน้านี้ของเธอมากนัก
ฐานะทางบ้านของเธอธรรมดามาก ตัวเองทำอาหารเป็น นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเมื่อก่อนตัวเองคงจะอยู่คนเดียว ก็คงจะค่อนข้างที่จะยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองได้พอสมควร
สายตาของลี่จิ่วเชียนหยุดอยู่ที่บนใบหน้าของเธอไปสักพักนึง “ไม่ต้องลำบากขนาดนี้หรอก ตอนนี้เธอยังเป็นคนป่วยอยู่ เดี๋ยวฉันจะเชิญคุณป้าสักคนมาทำอาหารให้”
“ไม่ได้ลำบากเลย ร่างกายของตัวฉันเองฉันรู้หรอก ตอนนี้ฉันรู้สึกดีมาก” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็เอาผลไม้ที่หั่นเสร็จแล้วจัดใส่จานไปให้เรียบร้อย “เสร็จแล้ว สามารถกินมื้อเช้ากันได้แล้ว”
มู่น่อนน่อนเอาอาหารเช้ามาวางลงบนโต๊ะอาหาร ก็ได้ยินลี่จิ่วเชียนพูดออกมาว่า “อีกเดี๋ยวฉันจะไปทำงาน ตอนเที่ยงจะกลับมาพาเธอไปกินมื้อเที่ยงกัน”
มู่น่อนน่อนก็ได้ปฏิเสธไปโดยไม่แม้แต่จะคิดเลยด้วยซ้ำ “ไม่ต้องหรอก ฉันทำเองก็ได้แล้ว”
ลี่จิ่วเชียนราวกับว่านึกไม่ถึงว่าเธอจะปฏิเสธออกมาอย่างรวดเร็วอย่างนี้ จึงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แล้วก็ได้ส่ายหน้าออกมา “ฉันกลับมาดีกว่า”
มู่น่อนน่อนพูดออกมา “ไม่ต้องจริงๆ ท่าทางระมัดระวังอย่างนี้ของนาย จะทำให้ฉันคิดว่าฉันไม่ได้เสียความทรงจำ แต่ได้กลายมาเป็นคนพิการที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้วนะ”
ลี่จิ่วเชียนยิ้มออกมา ไม่ได้พูดอะไรออกไปมากมายอีก
……
ลี่จิ่วเชียนกินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็ไปทำงาน มู่น่อนน่อนก็ได้จัดการทำความสะอาดครัวไปสักหน่อย ลงมาชั้นล่างไปทิ้งขยะ
เธอโยนขยะเข้าไปในถังขยะ หันหน้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เห็นคนสองคนกำลังทำลับๆล่อๆอยู่ตรงที่ไม่ไกลออกไป
เห็นรูปร่างเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
ผู้หญิงแต่งตัวครบเครื่อง ผู้ชายนั้นปกติอย่างมาก
มู่น่อนน่อนมองไปด้วยความสงสัยอยู่หลายวิ ในใจเกิดความลังเลว่าจะต้องเรียกรปภ.มาหรือเปล่า
ตอนนี้ผู้หญิงที่แต่งตัวครบเครื่องคนนั้นได้วิ่งเข้ามาทางเธอ
ผู้หญิงยังสวมรองเท้าส้นสูงอยู่ วิ่งมาเสียรวดเร็วขนาดนี้ มู่น่อนน่อนเห็นก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา
ผู้หญิงวิ่งเข้ามา ตรงเข้ามากอดมู่น่อนน่อนเอาไว้แน่น “น่อนน่อน! เป็นเธอจริงๆด้วย! ฉันก็ยังนึกว่ากู้จือหยั่นจะโกหกฉันเสียอีก!”
มู่น่อนน่อนไม่เข้าใจเลยสักนิดว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตัวแข็งทื่อถูกเธอกอดเอาไว้ ผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆกว่าจะเอ่ยถามออกไป “คุณผู้หญิงท่านนี้…”
“คุณผู้หญิงท่านนี้อะไรกัน ฉันคือเสิ่นเหลียงไง!”
เสิ่นเหลียงปล่อยมู่น่อนน่อนออก มองสำรวจเธอไปอย่างละเอียด “ทำไมถึงได้ผอมอย่างนี้ได้กัน?”
มู่น่อนน่อนป่วยหนักเพิ่งจะฟื้นตัวกลับมา มองดูซีดเซียวและก็ยังซูบผอมไป
มู่น่อนน่อนเอ่ยถามออกไปเป็นเชิงหยั่งเชิง “เธอชื่อ…เสิ่นเหลียง?”
“ใช่แล้ว ฉันคือเสิ่นเหลียง…” เสิ่นเหลียงพูดออกมาก็มีการสะอึกสะอื้นออกมา
คำพูดตรงข้างหลังยังไม่ทันได้พูดออกมาจนจบ ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นเสียงสะอึกสะอื้นออกมา
หลังจากนั้น เธอก็ได้นั่งยองๆลงบนพื้นแล้วร้องไห้ออกมา
ร้องไห้เสียจนดูเสียอกเสียใจอย่างมาก
“เสิ่นเสี่ยวเหลียง”
กู้จือหยั่นที่ยืนอยู่ข้างๆไม่ได้ส่งเสียงพูดออกมาโดยตลอด เห็นเสิ่นเหลียงเป็นอย่างนี้แล้ว ก็ได้นั่งลงยองๆเพื่อจะปลอบเธอไปด้วยสีหน้าตะลีตะลาน
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ที่อีกด้านนึง ตื่นตกใจรับมือไม่ถูกขึ้นมาเล็กน้อย “คุณเสิ่น…”
คุณเสิ่นคนนี้เหมือนกับว่าจะรู้จักเธอ แต่ว่าภาพจำที่เธอมีต่อคุณเสิ่นไม่มีเลยสักนิดเดียวจริงๆ เธอถึงกับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเลยทีเดียว
เสิ่นเหลียงได้ยินเธอเรียกตัวเองว่า “คุณเสิ่น”แล้ว ก็ยิ่งรู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมา “คุณเสิ่นอะไรกัน เธอป่วยหนักเพิ่งจะฟื้นตัวมาก็สามารถเปลี่ยนท่าทีมาแตกหักไม่รู้จักใครกันมาทันทีเลยนะ!”
เสิ่นเหลียงร้องไห้ออกมาจนเครื่องสำอางเลอะไปหมด ละเลงไปทั้งใบหน้า
สุดท้ายแล้ว มู่น่อนน่อนจำต้องพาพวกเขาทั้งสองคนขึ้นมาข้างบน
เสิ่นเหลียงเข้าห้องน้ำไปจัดแจงตัวเองสักหน่อย ตอนที่กลับเข้าไปที่ห้องโถง ก็ได้กลับมาสงบลงเป็นปกติแล้ว
มู่น่อนน่อนกำลังรินน้ำให้พวกเขา
เสิ่นเหลียงไม่แม้แต่จะกะพริบตา มองจ้องมู่น่อนน่อนไปอย่างไม่คลาดสายตา
ก่อนที่จะมา กู้จือหยั่นได้บอกถึงสถานการณ์ของมู่น่อนน่อนมาบ้างแล้ว
เมื่อตอนนั้นเดิมทีแล้วเธอไม่ได้คิดอะไรมากมาย ขอเพียงแค่มู่น่อนน่อนยังมีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว
แต่ว่าตอนนี้เห็นมู่น่อนน่อนยังมีชีวิตอยู่ยืนอยู่ที่ตรงหน้าเธอแบบเป็นๆ ตอนที่รู้ว่าเธอลืมเรื่องทั้งหมดในอดีตไป ในใจของเสิ่นเหลียงก็ยังรู้สึกทุกข์ใจสุดๆอยู่ดี
ตอนที่มู่น่อนน่อนยกน้ำเข้ามา ก็เห็นเสิ่นเหลียงกำลังจ้องมองเธอมาด้วยเบ้าตาที่แดงก่ำ
มู่น่อนน่อนยื่นน้ำแก้วนึงไปให้เธอ เอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “เธอยังโอเคอยู่หรือเปล่า?”
เสิ่นเหลียงรับพยักหน้าออกมาทันที มองเธอไปตาปริบๆ “แล้วเธอล่ะ?”
มู่น่อนน่อนถูกท่าทางมองมาตาปริบๆนี้ของเธอทำให้รู้สึกตลกขึ้นมา “ฉันเองก็สบายดีเหมือนกัน ร่างกายในตอนนี้ก็แข็งแรงมาก เพียงแต่ฉันในตอนนี้…”
“ฉันรู้หมดแล้ว จำไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เพราะถึงยังไงวันเวลาต่อจากนี้ไปก็ยังอีกยาวไกล ยังสามารถสร้างความทรงจำให้มากขึ้นอีกได้” น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงซื่อตรงและจริงใจ
เสิ่นเหลียงได้ยอมรับเรื่องที่มู่น่อนน่อนเสียความทรงจำไปได้แล้ว
เจ้าตัวยังมีชีวิตอยู่ ก็ดีแล้ว
ท่าทางของเสิ่นเหลียง ทำให้มู่น่อนน่อนเชื่อออกมาได้โดยอัตโนมัติว่าเมื่อก่อนเสิ่นเหลียงกับเธอจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากแน่ๆเลย
เธอนึกว่าเสิ่นเหลียงจะพูดพวกเรื่องในอดีตกับเธอ แต่ผลสุดท้ายเสิ่นเหลียงก็ไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย
เสิ่นเหลียงเพียงแค่ถามพวกสถานการณ์ความเป็นอยู่ในช่วงนี้ของเธอมาเท่านั้น
อันที่จริงเธอฟื้นขึ้นมาได้ไม่นานเท่าไหร่เอง นอกจากลี่จิ่วเชียนแล้ว เธอเองก็รู้จักแค่กู้จือหยั่นกับเสิ่นเหลียงเท่านั้น และมันก็ไม่ได้มีเรื่องอื่นให้น่าพูดคุยกันนัก
เสิ่นเหลียงให้ความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกันมากกับเธอ
ตั้งใจหาเรื่องมาพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย เพียงไม่นานก็มาถึงตอนเที่ยงแล้ว
เห็นพวกเขาดูเหมือนยังไม่คิดที่จะกลับไปกัน จึงส่งเสียงพูดออกไป “พวกเธออยู่กินข้าวกันที่นี่เถอะ”
เสิ่นเหลียงได้ตอบรับออกมาทันที “ได้เลย”
เธอพูดจบ ก็ได้เกาหัวไปอย่างเขินอายออกมาเล็กน้อย เหมือนกับจะตอบไปเร็วเกินไป…
อันที่จริงเธอนั้นมัวแต่โอ้เอ้ไม่ยอมไปอยู่ตลอด
เมื่อก่อนเธอได้ยินกู้จือหยั่นบอกว่าคนที่ช่วยมู่น่อนน่อนเอาไว้เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ดูแลมู่น่อนน่อนมาสามปีโดยที่ไม่แยกห่างไปไหน เธออยากเจอผู้ชายคนนั้นสักหน่อย
“งั้นฉันขอตัวไปเตรียมก่อนสักหน่อยนะ” มู่น่อนน่อนพูดแล้วลุกยืนขึ้นมา เดินไปห้องครัวด้วยฝีเท้าที่อ่อนช้อย
พอเธอเดินออกไป เสิ่นเหลียงก็ได้หันหน้าไปถามกู้จือหยั่น “ก่อนหน้านี้นายบอกว่าเมื่อวานนายไปหาบอสใหญ่มา? เขามีปฏิกิริยายังไง?”
“เหมือนกับเมื่อก่อนเลย” กู้จือหยั่นทอดถอนหายใจออกมา ตอบกลับมาอย่างอ่อนแรง
เสิ่นเหลียงเองก็กดขมับของตัวเองไปด้วยความหงุดหงิดใจไปอย่างช่วยไม่ได้ “อยู่ดีๆทำไมถึงได้กลายเป็นอย่างนี้ไปได้นะ? เขาลืมน่อนน่อนไปโดยสมบูรณ์ แล้วยังมีคู่หมั้นอีก…ผู้ชายมันแน่เอานอนไม่ได้เลย!”
กู้จือหยั่นส่งเสียงค้านออกไป “เธอจะว่าเขาก็ว่าเขาไปสิ ฉันไม่เหมือนเขาเสียหน่อย…”
เสิ่นเหลียงไม่มีกะจิตกะใจจะไปเถียงกับเขา เหมือนกับว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าจึงจริงจังออกมา แล้วเอ่ยเตือนออกมา “นายอย่าได้เอ่ยถึงเฉินถิงเซียวขึ้นมาต่อหน้าน่อนน่อน แม้แต่คำเดียวก็ห้ามเอ่ยถึง!”
เฉินถิงเซียวในตอนนี้ก็จำมู่น่อนน่อนไม่ได้เหมือนกัน ถ้าต้องให้มู่น่อนน่อนนึกถึงเฉินถิงเซียวขึ้นมาได้ แต่เฉินถิงเซียวกลับคบอยู่กับผู้หญิงคนอื่น อย่างนั้นแล้วจะทำร้ายจิตใจของมู่น่อนน่อนเอามากเลยนะ
สำหรับตรงจุดนี้แล้ว อันที่จริงกู้จือหยั่นก็ได้เจอมากับตัวแล้ว
นึกถึงไปถึงเมื่อก่อนหน้านี้ที่เฉินถิงเซียวบอกว่าหลังจากนี้ไปจะเพิ่มเขาลงบัญชีดำ เขาก็รู้สึกปวดตับขึ้นมา “รู้แล้ว”
ซูเหมียนนึกไม่ถึงว่าทันทีที่เฉินถิงเซียวเอ่ยปากพูดจะพูดเรื่องนี้ออกมา สีหน้าจึงเปลี่ยนไปโดยทันที “หมายความว่าอะไรคะ?”
“คำพูดง่ายๆแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจ เฉินมู่ไม่สามารถให้เธอมาดูแลได้หรอก” เฉินถิงเซียวย่นคิ้วออกมาเล็กน้อย น้ำเสียงเยือกเย็นออกมายิ่งกว่าเดิม
ความอดทนของเขาได้หายไปทีละนิดๆ
“ไม่ว่าจะพูดยังไง ฉันก็เป็นคู่หมั้นของคุณนะ และก็เป็นแม่แท้ๆของมู่มู่ คุณมาพูดอย่างนี้กับฉันได้ยังไง!” ซูเหมียนถูกเขายั่วให้รู้สึกโมโหขึ้นมา ระดับเสียงยกสูงขึ้น ไม่มีท่าทางใจเย็นสง่างามของตอนปกติอยู่เลยสักนิดเดียว
เธอทนมาพอแล้ว ผ่านมาสามปีไปแล้ว
ถึงแม้ว่าจะเป็นก้อนน้ำแข็ง ก็ควรจะละลายไปได้แล้ว
แต่ว่าเฉินถิงเซียวกลับเหมือนกับก้อนหิน ท่าทีที่มีต่อเธอยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิดเดียว
“อย่างแรก เรื่องคู่หมั้น เฉินจิ่งหยุ้นเป็นคนพูดมาเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน อย่างที่สอง ถ้าเธอไม่ใช่แม่แท้ๆของเฉินมู่ เธอคิดว่าตอนนี้เธอจะยังสามารถนั่งคุยกับฉันอยู่ที่ตรงนี้ได้เหรอ?”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเย็นชาจนเกือบจะโหดร้ายไปเลย
ซูเหมียนใบหน้าซีดออกมา พูดไม่ออกอยู่นาน จากนั้นก็ถือกระเป๋าลุกขึ้นเดินออกไป
ทันทีที่เธอเดินไปถึงที่ประตูทางเข้า ก็เจอกับเฉินจิ่งหยุ้นที่กำลังเข้าประตูมาพอดี
เฉินจิ่งหยุ้นรีบรั้งเธอเอาไว้ทันที “ซูเหมียน? นี่เธอจะไปไหน? ดึกขนาดนี้แล้วก็พักที่นี่เสียเลยเถอะ”
ซูเหมียนหันไปมองทางข้างในอย่างระมัดระวัง แล้วก็ลากเฉินจิ่งหยุ้นเดินไปที่ตรงมุมที่ไม่มีใครเลยที่ข้างนอกประตู
ภายใต้แสงไฟริมถนนสีเหลืองนวล เฉินจิ่งหยุ้นมองเห็นซูเหมียนเบ้าตาแดงก่ำออกมา สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“จิ่งหยุ้น ฉันทนเฉินถิงเซียวไม่ไหวแล้วจริงๆ เขายังคงเป็นก้อนหินไม่เปลี่ยนไปเลย…”
ซูเหมียนได้เอาคำพูดของเฉินถิงเซียวเมื่อครู่นี้เล่าให้กับเฉินจิ่งหยุ้นไป
เฉินจิ่งหยุ้นลังเลตัดสินใจออกมาไม่ได้ ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ซูเหมียนถอนหายใจออกมาด้วยความอดกลั้นเป็นอย่างมาก “เมื่อตอนนั้นเธอไม่ควรจะพาเฉินมู่กลับมาเลย เฉินถิงเซียวดีกับเธอมากกว่าฉันเสียอีก!”
“อย่าพูดอย่างนั้น เฉินมู่เป็นลูกสาวแท้ๆของถิงเซียวนะ” ในใจของเฉินจิ่งหยุ้น ความสัมพันธ์ของคนทางสายเลือดสำคัญมาก
เฉินถิงเซียวจำเรื่องเมื่อก่อนไม่ได้ เฉินจิ่งหยุ้นนึกว่าการที่เธอบอกเฉินถิงเซียวไปว่าซูเหมียนเป็นแม่แท้ๆของเฉินมู่ไปแล้ว อย่างน้อยเฉินถิงเซียวก็จะมีความรู้สึกที่พิเศษกับซูเหมียนมาบ้างสักนิด
แต่นึกไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับเฉินมู่เลย แต่กับซูเหมียนกลับยังเย็นชาอย่างนี้อยู่เหมือนเดิม
สามปีมานี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิดเดียว
ด้วยเหตุนี้เอง เฉินจิ่งหยุ้นถึงได้จงใจปล่อยข่าวกับสื่อออกไปว่าซูเหมียนเป็นคู่หมั้นของเฉินถิงเซียว
ซูเหมียนถึงแม้ว่าจะไม่พอใจกับการแถลงออกไปนี้ของเฉินจิ่งหยุ้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาให้มากมาย เพียงแค่เอ่ยพูดออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายอยู่บ้างเล็กน้อย “วันนี้ฉันเหนื่อยนิดหน่อย ขอตัวกลับก่อน”
“ฉันให้คนขับรถไปส่งเธอ แล้วฉันจะคิดหาวิธีดู” เฉินจิ่งหยุ้นพูดออกไป จากนั้นก็ยื่นมือออกไปตบไหล่ของซูเหมียน
……
ส่งซูเหมียนไปแล้ว เฉินจิ่งหยุ้นถึงได้เข้ามา
เฉินถิงเซียวกำลังกินอาหารเย็นอยู่ ข้างๆเขามีเก้าอี้สำหรับทานอาหารของเด็กวางไว้ตัวนึง เฉินมู่กำลังกอดถ้วยเล็กๆสีฟ้าจางๆกินผลไม้อยู่
เธอเห็นเฉินจิ่งหยุ้นเดินเข้ามา ส่งเสียงเรียกเสียงอ้อแอ้ออกไป “คุณป้า~”
“มู่มู่กำลังกินผลไม้อยู่เหรอเนี่ย~” เฉินจิ่งหยุ้นยิ้มพลางเดินเข้าไป
เฉินมู่ยื่นมือไปถือส้อม จิ้มแตงโมชิ้นนึงยื่นไปตรงหน้าของเฉินจิ่งหยุ้น “คุณป้ากิน”
เฉินจิ่งหยุ้นมองผลไม้ในถ้วยที่ถูกเฉินมู่จิ้มจนเละเทะไปหมด และก็ไม่รู้ด้วยว่าได้ละเลงน้ำลายลงไปเท่าไหร่ เฉินจิ่งหยุ้นเกิดความลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
เธอยิ้มแล้วกุมมืออวบเล็กของเฉินมู่เอาไว้ เอาผลไม้ยื่นไปทางปากของเฉินมู่ “มู่มู่กินเองเลย กินเยอะๆ จะได้สวยๆ”
เฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างๆได้ยินคำพูดของเฉินจิ่งหยุ้น ได้หันหน้าไปมองเธอเล็กน้อย ส่งเสียงพูดออกไปเบาๆ “มู่มู่ ให้พ่อกินแอปเปิลสักชิ้นนึงสิ”
เฉินมู่ได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียว ดวงตาก็เป็นประกายออกมา เอาแตงโมยัดเข้าปากของตัวเองไป หาแอปเปิลมาชิ้นนึงจิ้มขึ้นมาอย่างแม่นยำแล้วยื่นไปที่ปากของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวอ้าปากกินมันลงไป “ที่เหลือต้องกินเองให้หมด”
เฉินมู่เหมือนกับได้รับการให้กำลังใจมา จึงได้ทิ้งส้อมไปแล้วใช้มือจับไปเลยทันที
เฉินจิ่งหยุ้นอยากจะส่งเสียงห้าม แต่ก็ถูกเฉินถิงเซียวขัดออกมา “เธอยังไม่ได้กินข้าวใช่มั้ย?”
“ยัง”
เฉินถิงเซียวเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “งั้นก็ไปกินเถอะ ไม่ต้องสนใจมู่มู่”
ตอนที่เฉินจิ่งหยุ้นเข้าห้องรับประทานอาหารไป ก็มีคนใช้เอาอุปกรณ์ในการรับประทานอาหารมาวางเอาไว้ที่ฝั่งตรงกันข้ามของเฉินถิงเซียวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เฉินมู่กินผลไม้ที่อยู่ในถ้วยไปจนหมดอย่างรวดเร็ว แล้วก็ดึงแขนเสื้อของเฉินถิงเซียว ชูถ้วยขึ้นสูง “คุณพ่อหนูกินหมดแล้ว”
ของที่อยู่ในปากของเธอยังกินไปไม่หมด ใบหน้าที่เดิมทีก็อวบอ้วนอยู่แล้วก็ยิ่งกลมออกมายิ่งกว่าเดิม
เฉินถิงเซียวเห็นก็รู้สึกสนใจ จึงได้ยื่นมือไปหยิกหน้าของเธอ
“ไอ้หยา ทำอะไร…” เฉินมู่ยื่นมือไปตีมือของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเก็บมือกลับมา แล้วก็มีคนใช้ถือทิชชูมาเพื่อเช็ดน้ำผลไม้ที่อยู่ตามขอบปากให้เฉินมู่
เฉินมู่ไม่ได้ให้ความร่วมมือเท่าไหร่นัก แต่ได้ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปทางเฉินถิงเซียว อยากให้เฉินถิงเซียวอุ้มเธอออกไปจากเก้าอี้ทานอาหารของเด็ก
“ฉันจัดการเอง” เฉินถิงเซียวรับทิชชูจากมือของคนใช้มา ช่วยเช็ดตรงขอบปากให้เฉินมู่ แล้วอุ้มเธอมาวางลงบนขา
“นั่งให้ดี”
หาได้ยากที่เฉินมู่จะนั่งดีๆอย่างว่าง่าย และก็ไม่ได้ขยับซนไปด้วย
เฉินถิงเซียวกินข้าวต่อ
เฉินจิ่งหยุ้นที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามเห็นปฏิสัมพันธ์ของสองพ่อลูกคู่นี้แล้ว ก็ได้เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย “นายก็อย่าตามใจเธอเกินไปสิ เด็กเล็กอย่าตามใจจนเสียนิสัย”
เฉินมู่กำลังศึกษาลำคอของเฉินถิงเซียวไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ตอนที่เฉินถิงเซียวกินข้าว ลำคอก็ขยับ เฉินมู่ยื่นมือไปสัมผัสด้วยความอยากรู้
เฉินถิงเซียวจับมือที่ขยับซุกซนของเธอเอาไว้ หลุบตาลงมองเธอไปเชิงเตือน เฉินมู่จึงรีบพิงเข้ากับอ้อมแขนของเขาไม่ส่งเสียงอะไรออกมาอย่างเป็นเด็กดี
ต่อจากนั้น เฉินถิงเซียวเงยหน้ามองไปทางเฉินจิ่งหยุ้น น้ำเสียงไม่แยแสอะไร “ตามใจจนเสียนิสัยตรงไหนกัน?”
เฉินจิ่งหยุ้นถูกคำพูดของเขาทำเอาสำลักไป มองดูท่าทางที่ไร้อารมณ์ของเฉินถิงเซียว แล้วก็มองดูเฉินมู่ที่กำลังพิงอยู่ในอ้อมแขนเงียบน่ารักน่าเอ็นดู เธอก็ได้เม้มริมฝีปากออกมา หมดคำที่จะพูด
รอจนตอนที่เฉินถิงเซียวกินข้าวเสร็จแล้ว ก็ได้พบว่าหัวเล็กๆของเฉินมู่ได้ผงกกำลังจะนอนหลับเต็มทีเหมือนกับลูกไก่ที่กำลังจิกข้าวออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่ค่อยๆย่องขึ้นไปข้างบน เอาเธอวางลงไปบนเตียง
ทันทีที่ได้วางลงไป เฉินมู่ก็ได้ส่งเสียงงึมงำออกมา เฉินถิงเซียวยื่นมือไปตบหลังของเธอไปเบาๆ เธอจึงได้หลับไปอย่างสงบอีกครั้ง
ลูกชิ้นน้อยนอนอยู่บนเตียง นอนเสียเหมือนกับลูกหมูตัวน้อยตัวหนึ่ง
เฉินถิงเซียวนึกถึงตอนที่เริ่มฟื้นขึ้นมาแรกๆ จำอะไรไม่ได้เลย สำหรับลูกสาวคนนี้เองก็ไม่เคยจะเป็นห่วงเป็นใยอะไรนัก ลูกสาวเป็นเด็กที่คนใช้เลี้ยงดูจนเติบโตมา
จนกระทั่งมีอยู่วันนึง เขาเลิกงานกลับมา เจ้าลูกชิ้นน้อยกระโจนเข้ามาอย่างกระง่อนกระแง่นเข้ามาจูบเขา…
บางทีนี่ก็อาจจะเป็นความมหัศจรรย์ทางสายเลือด
เขาจำไม่ได้ว่าเมื่อก่อนตัวเองไปคบกับซูเหมียนได้ยังไง กับซูเหมียนก็ไม่ได้มีความรู้สึกดีๆอะไรเลยด้วย แต่สำหรับเฉินมู่แล้วนั้น สำคัญมาก
เมื่อแน่ใจแล้วว่าเฉินมู่นอนหลับไปแล้ว เฉินถิงเซียวจึงค่อยๆปิดประตูออกไปอย่างเบามือเบาเท้า
ทันทีที่ออกมาก็เห็นเฉินจิ่งหยุ้น เห็นได้ชัดว่าเฉินจิ่งหยุ้นได้รออยู่นานแล้ว
“ถิงเซียว ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”
เฉินถิงเซียวเอามือทั้งสองข้างสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ตัวเขามองไปแล้วดูมีท่าทีสบายๆอยู่บ้างเล็กน้อย “ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับซูเหมียน เธอไม่จำเป็นจะต้องพูดแล้ว ฉันฟังมาจนเอียนแล้ว”
“ซูเหมียนไม่ดีตรงไหนกัน รักนายอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แล้วก็ยังเป็นแม่แท้ๆของเฉินมู่อีก อีกอย่างอายุเธอก็มากแล้วด้วย…”
เฉินถิงเซียวขัดเธอออกมา “เธอเองก็อายุมากแล้ว เอาตัวเองแต่งออกไปก่อนเถอะ”
“ถิงเซียว นาย…
ได้ยินคำพูดของกู้จือหยั่นแล้ว เฉินถิงเซียวเพียงแค่ส่งเสียงพูดออกไปนิ่งๆ “พูดจบแล้ว?”
เห็นเฉินถิงเซียวกำลังจะไป กู้จือหยั่นจำต้องเดินตามเข้าไป “ถิงเซียว นายฟังฉันพูดให้จบก่อนสิ อย่าฟังฉันพูดแค่ประโยคสองประโยคแล้วก็จะไปเสียทุกครั้งสิ”
“เวลาของฉันมันมีค่ามาก ไม่อยากจะมาเสียเวลาอยู่กับเรื่องไร้สาระ” เฉินถิงเซียวพูดไปพลาง เดินไปที่หน้ารถไปพลาง
เขาในตอนนี้จึงได้หันมองไปทางกู้จือหยั่น “นายตามมาคืออยากจะตามกลับไปที่ตระกูลเฉินด้วยคน?”
กู้จือหยั่นผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยพูดออกไปด้วยความหงุดหงิดใจ “นายแม่งถูกคนอื่นเข้ามาสิงร่างไปแล้วหรือไงวะ!”
เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจเขาอีก หันหน้าไปสั่งการ์ดที่อยู่ข้างหลัง เอ่ยพูดออกไปอย่างไร้อารมณ์ใดๆออกมา “หลังจากนี้ก็เอาคุณผู้ชายท่านนี้ไปใส่ไว้ในบัญชีดำของบริษัทเฉินซื่อด้วย”
เขาพูดจบก็โค้งตัวเข้าไปนั่งในรถ
รถคันสีดำแล่นออกไป กู้จือหยั่นยืนกระทืบเท้าด้วยความโกรธอยู่ตรงที่เดิม “เฉินถิงเซียว!”
บางครั้งเขาก็คิดว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้เสียความทรงจำ แต่เป็นโดนของเข้าแล้ว
เมื่อก่อนเฉินถิงเซียวถึงแม้ว่านิสัยใจคอจะไม่ได้ดีอะไรนัก แต่อย่างน้อยก็เป็นคนที่สุขุมเป็นอย่างมาก เฉินถิงเซียวในตอนนี้กลับไม่ฟังอะไรเลยสักนิดเดียว
ปัง!
เสียงประตูรถเปิดออก และก็ได้ปิดลงดังเข้ามาจากทางข้างหลัง
มาพร้อมกับเสียงรองเท้าส้นสูงดังตึก ตึก
กู้จือหยั่นหันหน้าไป ก็เห็นใบหน้าที่เหมือนกับเฉินถิงเซียวใบหน้านั้นของเฉินจิ่งหยุ้น แต่กลับเป็นใบหน้าที่ทำให้รู้สึกน่ารังเกียจเป็นอย่างมาก
เฉินจิ่งหยุ้นกอดแขนทั้งสองข้างเอาไว้ ท่าทางดูสง่าสูงส่ง น้ำเสียงเหยียดหยาม “นายอีกแล้ว”
สีหน้าของกู้จือหยั่นก็ได้เยือกเย็นตามไปด้วย “เฉินจิ่งหยุ้น เธอไปทำอะไรกับถิงเซียวมาใช่มั้ย?”
“ตลกเถอะ! ถิงเซียวเป็นน้องชายของฉัน ฉันจะไปทำอะไรเขา? มันเป็นเพราะว่าเขาได้รับบาดเจ็บมาหนักมาก ได้รับบาดเจ็บไปที่สมองมันจึงทำให้สูญเสียความทรงจำไป สามปีมาแล้ว เขานึกอะไรขึ้นมาไม่ได้เลยสักนิด นี่มันก็คือลิขิตสวรรค์ ต่อจากนี้ไปนายก็อย่ามาหาเขาอีกเลย”
คำพูดที่ได้ประดับไปด้วยการเตือนของเฉินจิ่งหยุ้นได้พูดออกมาจบ ส่งเสียงเฮอะเสียงเย็นออกไป จากนั้นก็ผันร่างเดินไปในรถ
เมื่อกี้นี้ตอนที่เธออยู่ในรถเตรียมที่จะขับรถออกไป ก็เห็นกู้จือหยั่นกับเฉินถิงเซียว
เธอรอจนเฉินถิงเซียวไปแล้ว ถึงจะลงจากรถมาพูดคำพูดเหล่านี้กับกู้จือหยั่น
กู้จือหยั่นคนนี้ช่างมีความอุตสาหะจริงๆเลย สามปีมานี้เฉินถิงเซียวจำเขาไม่ได้เลย แต่เขาก็ยังหาโอกาสมาเข้าหาเฉินถิงเซียวอยู่
แต่มันจะไปมีประโยชน์อะไรกันล่ะ?
เฉินถิงเซียวเดิมทีแล้วก็จำพวกเขากลุ่มนี้ไม่ได้เลย
คิดถึงตรงนี้แล้ว บนใบหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นได้เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา แล้วได้ขับรถออกไป
……
ภายในรถ
เฉินถิงเซียวพิงเขากับเบาะรถหลับตาพักผ่อนไปสักพักนึง จู่ๆก็ได้ลืมตาออกมากะทันหัน ถามคนขับรถออกไปว่า “เดือนนี้กู้จือหยั่นมาดักรอฉันที่หน้าประตูทางเข้าบริษัทครั้งที่เท่าไหร่แล้ว?”
“…สิบกว่าครั้งล่ะมั้งครับ” อันที่จริงคนขับรถก็จำได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก ทำได้เพียงให้คำตอบที่คลุมเครือออกไปอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก
เฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากมาย
จนกระทั่งรถมาจอดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าวิลล่าตระกูลเฉิน คนขับรถถึงได้ส่งเสียงเตือนเฉินถิงเซียวออกไป “คุณชายครับ ถึงแล้วครับ”
พอรถจอดสนิท การ์ดที่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูก็เข้ามาเปิดประตูรถให้เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวจึงได้เดินไปยังประตูทางเข้าห้องโถง จากนั้นก็ได้ยินเสียงของเด็กน้อยพูดจ้อแจ้ออกมาไม่หยุด
“คุณอันนี้…ไม่สิ…ปราสาทหลังใหญ่ของหนู…” เสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
เฉินถิงเซียวเดินเข้าห้องโถงไป เห็นเฉินมู่เจ้าลูกชิ้นน้อยคนนั้นกำลังนั่งอยู่บนพื้น ข้างกันก็ได้โอบล้อมไปด้วยคนใช้ที่ต่อปราสาทด้วยกันกับเธอ
ที่ปากของเธอยังพูดเสียงกระซิบอะไรบางอย่าง พูดออกมาเร็วมาก คนใช้ที่อยู่ข้างกันแสดงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงงงวยกันออกมา ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่
ในตอนนี้ซูเหมียนก็ได้ยกผลไม้เดินเข้ามา “มู่มู่ ลุกขึ้นมากินผลไม้”
เฉินมู่ก้มหน้าตั้งอกตั้งใจต่อปราสาทของตัวเอง พูดออกมาชัดเจนว่า “หนูไม่อยากกิน”
สีหน้าของซูเหมียนไม่มีความท้อแท้ใจออกมา ชี้ไปที่ปราสาทที่อยู่ตรงหน้าเฉินมู่ แล้วสั่งคนใช้ออกไป “เก็บของพวกนี้ไปเสีย”
เธอพูดจบ ก็ย่อตัวนั่งลงไปอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา แล้วพาไปวางลงบนโซฟา
เฉินมู่ยังอยากจะหนีไป ซูเหมียนแสดงสีหน้าขรึมออกมา “นั่งลง!”
เฉินมู่ถูกซูเหมียนทำเอาตกใจกลัวไป ใบหน้าเล็กอ้วนกลมนุ่มนิ่มแข็งค้างไป เบ้าตาแดงออกมาทันที บึนปากกอดแขนทั้งสองข้าง
เบือนหน้าออกไปอีกข้างนึง “เฮอะ!”
พอเบือนหน้าไปนี้เอง เธอก็เห็นเฉินถิงเซียว
ตอนที่เห็นเฉินถิงเซียวดวงตาของเธอก็ได้ส่องประกายออกมาทันที หยดน้ำตาที่อยู่ในดวงตากำลังส่องประกายวิบวับออกมา ต่อจากนั้นก็ได้ยิ้มออกมาทันที ขาสั้นๆโคลงเคลงอยู่ที่ขอบโซฟาไปสองที จากนั้นก็พลิกตัวบิดร่างลงไปจากโซฟาอย่างคล่องแคล่ว วิ่งเข้าไปหาเฉินถิงเซียว“เฉินชิงเซียว!!”
เฉินมู่เพิ่งจะฉลองวันเกิดครบสามปีไปได้ไม่นาน ทักษะการพูดนับว่าดีกว่าหมู่เด็กที่อยู่ในวัยเดียวกันอยู่หน่อยนึง แต่ว่าตอนที่เธออ่านชื่อของเฉินถิงเซียว มักจะออกเสียงไม่ถูกอยู่เสมอ
สีหน้าบนใบหน้าของเฉินถิงเซียวยังคงเรียบนิ่ง แต่ในดวงตาดำสนิทเหมือนหมึกดำของเขามีประกายความอบอุ่นออกมา
เขาคุกเข่าลงไป อ้าแขนออกรับลูกบอลอ่อนนุ่มน้อยที่พุ่งเข้ามาหาเขา
เฉินมู่โอบลำคอของเขาเอาไว้ ยื่นมือเจ้าเนื้อเล็กๆไปเล่นผมของเขาตามความเคยชิน
เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เล็ก ทุกครั้งที่เขาอุ้มเธอ เธอก็จะจับผมของเขา แต่ว่าเธอก็ไม่ได้ลงแรงมามากนัก ก็แค่คิดว่าจับแล้วสนุกดีเท่านั้น
เมื่อกี้ซูเหมียนไม่ได้สังเกตเห็นเฉินถิงเซียว ตอนนี้เห็นเฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่เดินเข้ามา จึงได้มีการตอบสนองออกมา ส่งเสียงเรียกออกไป “ถิงเซียว กลับมาแล้ว”
เฉินถิงเซียวกวาดสายตามองเธอไปเล็กน้อย สายตาเรียบนิ่งไม่แยแส ไม่ได้ต่างกับสายตาที่ใช้มองลูกน้องมองคนแปลกหน้าในตอนปกติเลย
เขาตรงเข้าไปอุ้มเฉินมู่ขึ้นไปนั่งบนโซฟา ให้เธอนั่งลงบนขาของเขา ดวงตาสงบนิ่ง อบรมสั่งสอนเธอไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เรียกพ่อ”
เฉินมู่เองก็เรียนรู้จากท่าทางของเขา เรียกออกมาอย่างจริงจัง “พ่อ”
“อืม” เฉินถิงเซียวตอบรับมาคำนึง ยื่นมือออกไปลูบหัวเธอ
ต่อจากนั้น เฉินมู่ก็เรียกออกมาอีกว่า “เฉินชิงเซียว!”
เบ้าตาของเธอยังคงแดงออกมาเล็กน้อย ขลุกตัวเป็นก้อนเล็กๆอยู่บนขาของเขา ยิ้มอย่างได้ใจสุดๆ
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่าในหัวของตัวเองมีอะไรแวบออกมา แต่มันกลับเหมือนกับไม่มีอะไรเลยด้วยอีก
เฉินมู่เห็นเฉินถิงเซียวมองจ้องเธออยู่ตลอด นึกว่าเฉินถิงเซียวจะโกรธ จึงผลักมือของเขา ไถลลงจากบนขาของเขาไปด้วยความว่องไว
เฉินถิงเซียวกลัวว่าเธอจะหกล้มลง ตอนที่เธอไถลลงจากบนขาของเขา เขาก็ยังยื่นมือไปช่วยจับเธอเอาไว้ด้วย
เด็กน้อยไหนเลยจะสังเกตเห็นถึงรายละเอียดยิบย่อยพวกนี้ เฉินมู่พอตกลงพื้นแล้ว ก็ได้วิ่งไปไกลอย่างรวดเร็ว
มีคนใช้สองคนตามไปอย่างมีจิตสำนึกอย่างมาก
สายตาของเฉินถิงเซียวหยุดที่ร่างของเธอ จนกระทั่งเงาร่างของเฉินมู่ได้หายไป ถึงจะถอนสายตากลับมา
เจ้าลูกชิ้นน้อยลูกนั้นเป็นอย่างนี้ไปเสียทุกครั้ง ทุกครั้งที่พอยั่วโมโหเขาเข้าแล้ว ก็จะลอบหนีไปอย่างรวดเร็วหาที่ที่ตัวเองคิดว่าเป็นที่ลับๆซ่อนตัวเอาไว้
ซูเหมียนมองการตอบสนองนี้ของเฉินถิงเซียวอยู่ในสายตา สีหน้าย่ำแย่ออกมาเล็กน้อย
แต่เพียงไม่นานสีหน้าของเธอก็ได้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง พยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองดูนุ่มนวลเป็นธรรมชาติออกมา “ถิงเซียว คุณกินข้าวแล้วหรือยัง?”
เฉินถิงเซียวไม่ได้แสดงสีหน้าดีๆออกไปให้เธอ น้ำเสียงทุ้มต่ำประดับไปด้วยความเยือกเย็นห่างเหิน “ในเมื่อเธอไม่รู้ว่าจะดูแลเด็กยังไง ก็อย่ามาหาเฉินมู่ที่วิลล่าอีก”
กู้จือหยั่นกลับมานั่งลงที่โต๊ะที่อยู่ข้างๆกัน ลี่จิ่วเชียนถึงได้หันไปถามมู่น่อนน่อนด้วยความเป็นห่วงมาก “ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
“ไม่เป็นไร เมื่อกี้คุณกู้ท่านนั้นไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร” มู่น่อนน่อนหันหน้ามองไปทางกู้จือหยั่น
ใครจะรู้ว่ากู้จือหยั่นก็กำลังมองเธออยู่พอดีเช่นกัน สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว สั่งอาหารกันเถอะ” ลี่จิ่วเชียนไม่ได้คุยประเด็นนี้ต่อไปอีก
กู้จือหยั่นที่อยู่อีกด้านนึงนั้น กินข้าวไปพลาง มองไปทางมู่น่อนน่อนไปพลาง
แม่กู้ที่อยู่ข้างๆจู่ๆก็ได้ส่งเสียงพูดออกมา “จือหยั่น แกรู้หรือเปล่าว่าท่าทางแกตอนนี้มันเหมือนกับอะไร?”
“อะไร?” กู้จือหยั่นถามออกไปด้วยจิตใจล่องลอย
แม่กู้มองมู่น่อนน่อนไปแวบนึง โน้มเข้าไปพูดข้างๆใบหูของกู้จือหยั่นอย่างมีลับลมปมนัย “ตอนนี้แกเหมือนกับ “สามีที่จับได้ว่าเมียมีชู้” เลย”
กู้จือหยั่นหันหน้าไป มองจ้องแม่กู้ไปหลายวิ ก่อนจะเอ่ยพูดออกไปด้วยความจริงจังเป็นอย่างมาก “ไม่ ผมเป็นเพื่อนของ “สามี” คนนั้นต่างหาก”
“หา?” แม่กู้ตะลึงงันอยู่นาน กว่าจะถามออกไปเป็นเชิงหยั่งเชิง “นั่นเป็นเมียของเพื่อนแก?”
“อืม” กู้จือหยั่นตอบมาคำนึง นึกถึงเฉินถิงเซียวขึ้นมา จากนั้นก็ทอดถอนหายใจออกมา พลางส่ายหน้าออกมาไม่หยุด
คิดๆไปแล้ว เขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเตรียมที่จะโทรหาเสิ่นเหลียง บอกว่าเขาเจอมู่น่อนน่อนแล้ว
แต่ว่า มู่น่อนน่อนในตอนนี้เป็นอะไรไปเขาไม่ได้รู้ให้ชัดเลย โทรหาเสิ่นเหลียงไป เสิ่นเหลียงไม่ใช่ว่ารังแต่จะต้องร้อนใจไปเปล่าๆไปด้วยหรือไง
ค่อยทำเรื่องมู่น่อนน่อนให้ชัดเจนก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วค่อยว่ากันอีกทีดีกว่า
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนกับลี่จิ่วเชียนกินข้าวกันเสร็จแล้ว โต๊ะที่อยู่ข้างๆโต๊ะนั้นยังกินข้าวกันอยู่
มาถึงที่ลานจอดรถ ทั้งสองคนถึงได้ขึ้นรถกันไป ลี่จิ่วเชียนจึงพูดออกไป “โทรศัพท์ของฉันเหมือนกับว่าจะวางอยู่ที่ในร้าน ฉันไปเอาก่อน เธออยู่รอฉันอยู่ที่ในรถ”
“อืม” มู่น่อนน่อนไม่ได้มีความเคลือบแคลงใจอะไรเลยสักนิดเดียว เอ่ยออกไป “ไปเถอะ ฉันจะรอนาย”
ลี่จิ่วเชียนลงจากรถ เลี้ยวไปโค้งนึงก็มาถึงประตูหลังของร้าน
กู้จือหยั่นกำลังจุดบุหรี่อยู่ เห็นลี่จิ่วเชียนเดินเข้ามา จึงถามออกไป “สูบบุหรี่หรือเปล่า?”
“ขอบคุณ” ลี่จิ่วเชียนรับบุหรี่ที่กู้จือหยั่นส่งมาให้เขา
กู้จือหยั่นพ่นควันบุหรี่ออกมา ตึงหน้า ถามออกไปตรงๆ “นายเป็นใคร? ทำไมถึงหามู่น่อนน่อนเจอได้? สามปีนี้นายเอาเธอไปซ่อนไว้ที่ไหน?”
ลี่จิ่วเชียนยื่นนามบัตรของตัวเองให้เขาไป “ลี่จิ่วเชียน”
กู้จือหยั่นรับมาอ่านดูเล็กน้อย สายตาอ่านผ่านๆไปที่บนคำว่า “คลินิกรักษาทางจิตเวช” เหล่านี้ไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ได้ยัดนามบัตรเข้าไปในกระเป๋ากางเกงไป
“นายยังไม่ตอบคำถามของฉัน” กู้จือหยั่นนั้นสำหรับเรื่องที่ลี่จิ่วเชียนทำงานอะไร เขาไม่ได้สนใจเลยสักนิดเดียว ตอนนี้เขาเพียงแค่อยากรู้เรื่องของมู่น่อนน่อนเท่านั้น
เพื่อเฉินถิงเซียวและก็เพื่อเสิ่นเหลียง เขามีความรับผิดชอบและหน้าที่ที่จะต้องรู้เรื่องของมู่น่อนน่อน
“ฉันไม่ได้ซ่อนเธอ เธอได้รับบาดเจ็บหนักมากจากอุบัติเหตุเมื่อครั้งนั้น ทำการผ่าตัดทั้งใหญ่และเล็กไปหลายครั้ง สลบไปสามปี ช่วงนี้เพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ลืมไปหลายเรื่อง ฉันหวังว่าพวกนายจะไม่มารบกวนเธอคนที่พวกนายเรียกกันว่าเป็น “อดีตเพื่อน” นะ ร่างกายของเธอยังไม่ฟื้นตัวดี”
สีหน้าของลี่จิ่วเชียนจริงจัง ในน้ำเสียงแสดงออกถึงความจริงแท้เชื่อถือได้ออกมา
หลังจากที่เกิดเรื่องเมื่อตอนนั้น ตอนที่เฉินถิงเซียวกลับประเทศมา ก็ได้ฟื้นตัวขึ้นมาได้ประมาณหนึ่งแล้ว
ดังนั้นแล้วกู้จือหยั่นจึงนึกไม่ถึงว่ามู่น่อนน่อนจะบาดเจ็บหนักขนาดนี้ สลบไปสามปีเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา
“มู่น่อนน่อนเติบโตมาที่เมืองหู้หยาง เพื่อนของเธอไม่เยอะ เธอไปรู้จักนายตั้งแต่เมื่อไหร่?” ปากของลี่จิ่วเชียนแข็งพูดจาระมัดระวังมาก กู้จือหยั่นก็เลยต้องสอบถามออกไปจากอีกด้านหนึ่งแทน
“ตรงจุดนี้ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณกู้นัก แต่เธอเป็นคนที่ฉันช่วยมา ฉันต้องรับผิดชอบให้ร่างกายเธอแข็งแรง พวกนายสามารถไปเยี่ยมเธอได้ แต่ช่วยอย่าไปรบกวนเธอ ไม่อยากจะให้ส่งผลกระทบต่อร่างกายของเธอ ถ้าไม่มีธุระอื่นนอกจากนี้แล้ว ฉันขอตัวก่อน”
ลี่จิ่วเชียนพูดมาเสียดูเกรงอกเกรงใจกันขนาดนี้ แต่น้ำเสียงกลับแข็งกร้าวเป็นอย่างมาก
ความหมายของเขาชัดเจนมาก มู่น่อนน่อนเขาเป็นคนช่วยเธอมา เขาไม่ขัดขวางการติดต่อกันของพวกกู้จือหยั่นกับมู่น่อนน่อน แต่ก็ไม่ให้พวกเขาคุยเรื่องในอดีตกับมู่น่อนน่อน
คนคนนี้ช่างเป็นคนพาลไร้เหตุผลจริงๆเลย!
แต่ว่า…
กู้จือหยั่นนึกถึงสถานการณ์ของเฉินถิงเซียวในตอนนี้ขึ้นมา จับผมตัวเองไปด้วยความหงุดหงิด ยกเท้าขึ้นไปเตะกำแพงไปทีนึง
ต่อมา เขาก็ได้เจ็บจนกุมเท้ากระโดดไปมาด้วยขาข้างเดียวอยู่กับที่
……
ตอนที่ลี่จิ่วเชียนกลับมาที่รถ มู่น่อนน่อนก็ได้เริ่มมีสภาพที่ใกล้จะหลับเต็มทนไปเรียบร้อยแล้ว
ได้ยินเสียงปิดประตู มู่น่อนน่อนจึงได้ลืมตาออกมา
ลี่จิ่วเชียนเห็นเธอลืมตาออกมา จึงได้เอ่ยถามเธอออกไปทันที “ง่วงมากเลย?”
“ยังโอเคอยู่” มู่น่อนน่อนเห็นเขาโยนโทรศัพท์ออกไปอีกด้านนึง จึงเอ่ยถามออกไป “ทำไมนายไปนานขนาดนี้?”
ลี่จิ่วเชียนมีสีหน้าเป็นปกติ “ถือโอกาสไปเข้าห้องน้ำด้วย”
ในระหว่างที่มู่น่อนน่อนพยักหน้าออกมา ก็ได้มีท่าทางอึกอักเหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ไม่กล้า
“มีเรื่องอะไรก็พูดมา” ลี่จิ่วเชียนเห็นท่าทางอ้ำๆอึ้งของเธอแล้ว มุมปากก็ได้ยกขึ้นเล็กน้อย
ได้ยินลี่จิ่วเชียนพูดมาอย่างนี้แล้ว มู่น่อนน่อนก็ไม่ลังเลอีก แล้วเอ่ยถามออกไป “เมื่อกี้คุณกู้คนนั้น…ฉันรู้จักเขาจริงๆหรือเปล่า?”
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละมั้ง เธอคิดว่าไงล่ะ?” ลี่จิ่วเชียนสตาร์ทรถไปพลาง ถามเธอไปพลาง
“นายไม่รู้จักเขาเหรอ?” มู่น่อนน่อนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เธอนึกว่าลี่จิ่วเชียนจะรู้จักกู้จือหยั่นเสียอีก
ลี่จิ่วเชียนเอ่ยออกมาพร้อมกับยิ้มออกมาเบาๆ “ฉันไม่รู้จักเขา และก็ไม่แน่ใจด้วยว่าเธอจะรู้จักเขา อย่างที่เธอคิด ความสัมพันธ์ของพวกเราเมื่อก่อนมันไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน”
มู่น่อนน่อนในช่วงนี้ได้คิดว่าความสัมพันธ์ของเธอกับลี่จิ่วเชียนก็คงจะไม่ได้เป็น “คู่หมั้น” ปกติทั่วไปที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันขนาดนั้นมาโดยตลอด แต่นึกไม่ถึงว่าลี่จิ่วเชียนจะสังเกตเห็นความคิดในใจของเธอได้
เธอเอ่ยออกไปด้วยความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “นาย…รู้ได้ยังไง…”
“เพราะว่า ฉันใช้ตรงนี้มองเธอไง ดังนั้นแล้วเธอคิดอะไรฉันก็รู้หมด” ลี่จิ่วเชียนชี้ไปตรงตำแหน่งหน้าอกของตัวเอง
คำพูดของเขาถึงแม้ว่าจะพูดกับเธอ แต่ว่าสายตาของเขาไม่ได้มองมาที่เธอ
มู่น่อนน่อนหันหน้าไป ก็เห็นเพียงแค่ใบหน้าด้านข้างของเขาเท่านั้น
ตอนนี้จู่ๆลี่จิ่วเชียนก็ได้หันหน้ามามองเธอ “ถ้าคิดว่ามันซาบซึ้งใจมาก เธอสามารถบอกฉันมาตรงๆได้เลย”
มู่น่อนน่อนได้ยินอย่างนั้นแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ฉันซาบซึ้งใจมากเลย”
ลี่จิ่วเชียนแสยะปาก หัวเราะแบบไม่มีเสียงออกมา
……
หลังจากที่กู้จือหยั่นกลับไปแล้ว พิจารณาดูรอบด้านแล้วภายในใจก็รู้สึกไม่สบายใจไปหมด
จึงได้ขับรถไปดักรอเฉินถิงเซียวอยู่ที่บริษัทเฉินซื่อ
เฉินถิงเซียวคนบ้างานคนนั้น ไม่ว่าจะวันทำงานหรือว่าสุดสัปดาห์ ก็อยู่ที่บริษัทตลอด ตอนที่ต้องการจะไปหาเขา มาดักรอเขาอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าบริษัทเฉินซื่อไม่มีพลาดแน่นอน
ตอนที่ใกล้จะถึงแปดโมงเย็น กู้จือหยั่นถึงจะได้เห็นเฉินถิงเซียวเดินออกมาจากประตูทางเข้าบริษัทเฉินซื่อเสียที
“ถิงเซียว!”
กู้จือหยั่นเรียกเขาไปคำนึง แล้วก็วิ่งเข้าไปหาเขา
เฉินถิงเซียวเห็นกู้จือหยั่น ตรงระหว่างคิ้วก็ได้ขมวดออกมาเล็กน้อย แอบมีความทนไม่ไหวขึ้นมาเล็กน้อย “ทำไมถึงเป็นนายอีกแล้ว? มาหาฉันมีธุระอะไร? หรือว่าคิดจะให้ฉันลงทุนให้นาย? ฉันเคยบอกไปแล้วไงว่าฉันไม่สนใจบริษัทเสิ้งติ่ง”
กู้จือหยั่น “…”
เมื่อสามปีก่อน หลังจากที่เฉินถิงเซียวฟื้นขึ้นมา ก็เหมือนกับมู่น่อนน่อนในวันนี้ ลืมทุกคนและเรื่องทั้งหมดไป รวมถึงมู่น่อนน่อนด้วย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาประธานกู้ที่แอบอ้างชื่อมาและได้ถูกคุณชายใหญ่เฉินกดขี่บีบคั้นมาอย่างยาวนานคนนี้ด้วย
“ฉันพูดไปกี่รอบแล้วว่าบอสหลังม่านของบริษัทเสิ้งติ่งก็คือนาย!” กู้จือหยั่นจำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ตนต้องมาอธิบายเรื่องนี้ให้กับเฉินถิงเซียวในช่วงสามปีมานี้
ลี่จิ่วเชียนสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์มู่น่อนน่อน จึงเอ่ยปลอบออกไป “เดี๋ยวก็นึกขึ้นมาได้แล้ว”
มู่น่อนน่อนถูกเขาปลอบเข้ามา
ในทันใดนั้นเองเธอก็ถามออกไปเหมือนกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เพื่อนที่ผ่านมาของฉันล่ะ?”
เธอฟื้นขึ้นมานานขนาดนี้แล้ว ก็ไม่เห็นว่ามีเพื่อนมาหาเธอเลย
เธอไม่มีเพื่อนเหรอ?
สีหน้าของลี่จิ่วเชียนไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เหมือนกับว่าไม่ได้ประหลาดใจเลยสักนิดที่เธอถามออกมาอย่างนี้ “เมื่อก่อนพวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพื่อนของเธอฉันไม่ค่อยจะรู้จักอะไรเท่าไหร่นัก”
มู่น่อนน่อนคิดมาโดยว่าความสัมพันธ์ของเธอกับลี่จิ่วเชียนไม่ได้สนิทอะไรกันขนาดนั้น ได้ยินเขาพูดมาอย่างนี้ เธอเองก็ไม่ได้สงสัยเคลือบแคลงใจอะไร
ลี่จิ่วเชียนบอกเธอว่า เธอเกิดอุบัติเหตุที่ต่างประเทศ
คุณหมอแจ้งว่าตอนที่ลี่จิ่วเชียนไป ลี่จิ่วเชียนก็มาเยี่ยมเธอแค่คนเดียว
และโทรศัพท์ของมู่น่อนน่อนมันได้หายไปแล้ว ส่วนบัญชีโซเชียลอื่นๆเธอก็จำบัญชีและรหัสผ่านไม่ได้เลย
พอคิดมาอย่างนี้แล้ว อารมณ์ของมู่น่อนน่อนก็ได้ดิ่งลงอีกครั้ง
“อย่าไปคิดให้มากมายไปเลย ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติก็พอแล้ว” ลี่จิ่วเชียนตบไหล่เธอไปเบาๆ “หิวแล้วหรือยัง? ฉันพาเธอออกไปกินข้าว”
“อืม” มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นไป ส่งยิ้มให้เขา
เธอสามารถรู้สึกได้ว่าความรู้สึกระหว่างเธอกับลี่จิ่วเชียนไม่ได้ลึกซึ้ง แต่ลี่จิ่วเชียนก็อยากจะดูแลเธอให้ดีด้วยใจจริง
ในสถานการณ์อย่างนี้ของเธอในตอนนี้ ไม่อาจจะมีการไปมาหาสู่กันอย่างคู่รักปกติอย่างนั้นกับลี่จิ่วเชียนได้ ทำได้แค่เพียงแต่เริ่มต้นจากการเป็นเพื่อนกันไปก่อน
นี่เป็นเรื่องที่เธอได้ตกลงกับลี่จิ่วเชียนเอาไว้เรียบร้อยแล้วก่อนที่จะออกจากโรงพยาบาล
……
ลี่จิ่วเชียนขับรถพาเธอไปร้านอาหารมังสวิรัติที่อยู่ไม่ไกล
มู่น่อนน่อนนอนหลับมาสามปี ท้องไส้อ่อนแอ ระบบต่างๆในร่างกายยังอยู่ในช่วงการฟื้นสภาพกลับมาอยู่ กระเพาะของเธอเองก็ไม่ค่อยจะดีนัก ต้องพยายามกินอาหารพวกผักผลไม้ที่มีการปรุงแต่งน้อยๆสักหน่อย
หลังจากที่เข้ามานั่งกันแล้ว ลี่จิ่วเชียนก็พูดกับเธอว่า “ร้านอาหารร้านนี้เมื่อก่อนฉันเคยมากินครั้งนึง รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว เธอน่าจะชอบ”
เขาพูดจบ ก็ส่งเมนูอาหารมาให้เธอ “เธอสั่งก่อน ฉันจะไปห้องน้ำ”
“อืม” มู่น่อนน่อนหยิบเมนูอาหารขึ้นมาดู
สไตล์อาหารมีเยอะมาก มู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้อยากจะกินอะไรมากเป็นพิเศษ ก็เลยดูช้าไปบ้าง
อีกทั้ง เธอคิดว่าอาหารของที่นี่แพงไปหน่อย…
ตอนนี้ด้านนอกร้านอาหารมีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
“นั่งในห้องส่วนตัวหรือว่าในห้องโถง?”
“ห้องโถงแล้วกัน ห้องส่วนตัวอุดอู้ไปหน่อย…”
“เพราะถึงยังไงที่นี่คนก็ไม่เยอะ นั่งที่ในห้องโถงเอาก็พอ”
คนกลุ่มนั้นพูดคุยกัน แล้วเดินเข้ามานั่งลงที่โต๊ะข้างๆพวกมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนหันหน้าเหลือบมองไปยังโต๊ะข้างๆโต๊ะนั้นไปโดยไม่ตั้งใจ ก็ได้สบเข้ากับสายตาของชายคนหนึ่งเข้าพอดี
ชายคนนั้นมองดูแล้วยังหนุ่มมาก ผิวขาว รูปลักษณ์หน้าตาหล่อเหลา มองไปแล้วก็คือผู้ชายจำพวกที่ชวนให้ผู้หญิงชื่นชอบกันเป็นพิเศษ พูดจาลื่นไหลจำพวกนั้น
เสื้อผ้าที่สวมอยู่บนร่างถึงแม้ว่าจะเรียบง่าย แต่ก็เป็นเนื้อผ้าชั้นยอด แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นคุณชายลูกท่านหลานเธอแห่งตระกูลร่ำรวยแน่
สายตาของชายคนนั้นตอนที่สบเข้ากับเธอ ดวงตาทั้งสองข้างก็ได้เบิกกว้างออกมาทันที ยื่นมือไปชี้เธอแล้วพูดไม่ออกอยู่นาน ลุกขึ้นเดินพุ่งเข้าไปหาเธอ
เนื่องจากตื่นเต้นเกินไป ตอนที่เขาลุกขึ้นก็เกือบจะชนโต๊ะคว่ำไป ขอบโต๊ะกระทบลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังเสียดหูออกมา
“มู่…มู่…เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” กู้จือหยั่นพูดติดอ่างไปชั่วขณะ กว่าจะเรียกชื่อของเธอออกมาได้ในที่สุด “มู่น่อนน่อน เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง! เธอกลับมาที่เมืองหู้หยางตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หนึ่งสัปดาห์ก่อน แม่ของกู้จือหยั่นบอกว่าเจอร้านมังสวิรัติที่อร่อยมากเป็นพิเศษร้านหนึ่ง อยากหาเวลาพาเขามา
วันนี้เขาไม่มีธุระอะไรพอดี ก็เลยได้ตามกันมาด้วยกัน
เดิมทีแล้วเขาไม่ได้เต็มใจมาเท่าไหร่นัก เพราะถึงยังไงสองปีมานี้ก็ถูกเร่งเร้าให้แต่งงานมาตลอด พวกญาติห่างๆของบ้านพวกนี้ก็เร่งให้เขาหาแฟนอยู่ทุกวี่ทุกวันก็เรื่องนึงแล้ว ยังถึงขนาดที่ยังอยากให้เขาไปนัดบอดอีก
แต่ว่าตอนนี้เขารู้สึกโชคดีมากที่วันนี้ตนได้ตามมาด้วย
ทันทีเพิ่งจะได้นั่งลงไป ตอนที่เห็นมู่น่อนน่อนอยู่ที่โต๊ะข้างๆ เขาสงสัยไปหมดว่าตัวเองเกิดภาพหลอนขึ้นมาหรือเปล่า
เพราะถึงยังไงตอนที่เกิดเรื่องขึ้นมาเมื่อตอนนั้น เขาได้พาคนไปตามหาบนเกาะเล็กๆอยู่นานมาก
แรกเริ่มสุดเขาได้หาไปเดือนนึง ในภายหลังเรื่องนี้ได้ถูกเสิ่นเหลียงรู้เข้า เสิ่นเหลียงได้ใช้เงินที่เก็บเอาไว้ไปจนหมดเกลี้ยง ตามหาอยู่ครึ่งปีเต็มๆ ก็ยังหาไม่เจอ
เกาะเล็กๆได้ถูกพวกเขาพลิกหากันไปทุกหนทุกแห่งแล้ว ก็ยังไม่เจอเงาของมู่น่อนน่อน
“คุณรู้จักฉัน?” มู่น่อนน่อนมองกู้จือหยั่นไปด้วยความประหลาดใจ
เธอไปรู้จักกับคนอย่างกู้จือหยั่นอย่างนี้ได้ยังไง?
กู้จือหยั่นมองดูแล้วก็คือลูกท่านหลานเธอจากตระกูลที่ร่ำรวย
ถึงแม้ว่าเธอจะลืมเรื่องในอดีตไปหมดแล้ว แต่เมื่อกี้ตอนที่เธอดูเมนูอาหารก็คิดว่าอาหารพวกนี้แพงมาก ตรงจุดนี้ก็เพียงพอที่จะอธิบายได้แล้วว่าเธอเกิดมาจากครอบครัวที่ธรรมดามาก ใช้ชีวิตที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลย
อย่าว่าแต่ผู้ชายที่ชื่อว่าเฉินถิงเซียวที่เห็นในทีวีเมื่อวานนี้คนนั้นเลย ถึงแม้ว่าผู้ชายที่แค่เห็นก็รู้เลยว่าเป็นผู้รากมากดีคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ เธอก็ห่างไกลจากเขาเป็นอย่างมาก
“อะ…อะไรนะ?” กู้จือหยั่นเห็นสายตาที่ไม่รู้จักกันของมู่น่อนน่อนก็ได้ย่นคิ้วเอ่ยถามออกไป “ฉันคือกู้จือหยั่นไง! เกิดอะไรขึ้น? ไม่รู้จักฉัน?”
กู้จือหยั่นจึงได้สังเกตได้ว่ามู่น่อนน่อนผอมเกินไปแล้ว สภาพเหมือนกับเพิ่งหายมาจากการป่วยหนัก ทั้งร่างดูอ่อนแอเป็นอย่างมาก
มู่น่อนน่อนพึมพำชื่อของเขาออกมา “กู้จือหยั่น…”
ตอนนี้ลี่จิ่วเชียนก็ได้กลับมาแล้ว
เขายืนอยู่ที่ข้างหลังกู้จือหยั่น น้ำเสียงไม่ดีนัก “คุณผู้ชายท่านนี้คุณเข้ามาใกล้เธอเกินไปแล้ว”
ตอนที่กู้จือหยั่นเข้ามาก่อนหน้านี้ เนื่องจากว่าตื่นเต้นจนเกินไป มือหนึ่งได้ค้ำไว้บนโต๊ะ โน้มเข้าไปพูดกับมู่น่อนน่อน เข้าประชิดไปใกล้ไปหน่อย จากมุมมองของคนอื่นที่มองเข้ามาก็เหมือนกับต้องการจะมาหาเรื่องมู่น่อนน่อนอยู่เลย
กู้จือหยั่นหันหน้ามองไปทางลี่จิ่วเชียน จากนั้นก็เอ่ยออกไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก “นายเป็นใครกันน่ะ?”
เมื่อกี้นี้ท่าทางที่ดูไม่รู้จักกันเลยของมู่น่อนน่อนนั้นได้ทำให้กู้จือหยั่นจิตใจห่อเหี่ยวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้มามีผู้ชายที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นโผล่หัวมาอีก กู้จือหยั่นจึงมีน้ำเสียงไม่ดีเป็นธรรมดา
ลี่จิ่วเชียนมองไปทางมู่น่อนน่อน “ฉันเป็นเพื่อนของเธอ นายเป็นใคร?”
“นายเป็นเพื่อนของเธอ? ทำไมฉันถึงไม่รู้จักนาย?” กู้จือหยั่นเหยียดตัวขึ้นตรง กอดแขนทั้งสองข้าง มองไปทางลี่จิ่วเชียนอย่างท้าทาย
มุมปากของลี่จิ่วเชียนยกขึ้นเล็กน้อย ไม่เอากู้จือหยั่นมาอยู่ในสายตา “บังเอิญจังเลย ฉันเองก็ไม่รู้จักนายด้วยเหมือนกัน”
“นาย…” สีหน้าของกู้จือหยั่นนิ่งงันไป หันหน้ามองไปทางมู่น่อนน่อน “น่อนน่อน หลายปีมานี้เธอไปอยู่ที่ไหนมา?”
“ฉัน…” มู่น่อนน่อนกำลังจะพูดอะไรออกไป ก็ได้ถูกลี่จิ่วเชียนขัดไปเสียก่อน
ลี่จิ่วเชียนมองไปยังกู้จือหยั่นด้วยใบหน้าที่ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกไป “ท้องไส้เธออ่อนแอมาก ถึงเวลากินข้าวก็ต้องกิน มีธุระอะไรก็ค่อยคุยกันอีกทีหลังกินข้าวเสร็จ?”
คิ้วของกู้จือหยั่นย่นเข้าหากันแน่น ไม่ได้พูดอะไร
ชายหนุ่มทั้งสองคนสบตากัน ในดวงตาได้ปรากฏความหมายลึกซึ้งที่มีเพียงแค่พวกเขาที่สามารถเข้าใจกันได้เท่านั้นออกมา
“โอเค” กู้จือหยั่นหันหน้าไปพูดกับมู่น่อนน่อน “น่อนน่อน พวกเรากินข้าวเสร็จแล้วไปหาที่คุยกันสักหน่อยนะ”
กู้จือหยั่นกลับมายังโต๊ะเมื่อก่อนหน้านี้ของเขา แม่กู้ถามเขา “จือหยั่น เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?”
“เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานคนหนึ่งครับ” กู้จือหยั่นพูดจบก็ได้พูดขัดคำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาของแม่กู้ออกมาอีกที “เก็บคำพูดที่คุณแม่คิดจะพูดกลับไปได้เลย ผมกับเธอไม่มีทางพัฒนาไปเป็นแฟนกันได้”
ที่ข้างนอก เขาเป็นชายโสดชั้นยอด อยู่ที่บ้านเขาก็คือคนโสดแก่ๆที่หมูรังเกียจหมาไม่รักคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ความรู้สึกอึดอัดแบบนั้น มาอย่างรวดเร็วแล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองนอกหน้าต่างรถนั้น รถยนต์สีดำที่อยู่ข้างๆคันนั้นได้ขับออกไปไกลแล้ว
เลขทะเบียนรถยนต์คันนั้นค่อนข้างพิเศษ คิดว่าเจ้าของรถยนต์คันนั้นคงจะรวยน่าดู
เธอคิดถึงชายหนุ่มที่เห็นแวบๆเมื่อสักครู่ และก็อดนึกถึงสิ่งที่ชายหนุ่มคนนั้นพูดไม่ได้
——เฉินมู่ ในสายตาของหนูที่บอกว่าสวยทำให้พ่อสงสัยว่าหนูเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อหรือเปล่า
ตอนนี้เธอดูน่าเกลียดมากเลยเหรอ
อีกอย่าง มีพ่อที่ไหนกันที่พูดกับลูกสาวตัวเองแบบนั้น
ดูแล้วคงเป็นผู้ชายที่เคร่งขรึมและเย็นชา คำพูดคำจารุนแรงขนาดนั้น ไม่รู้ว่าลูกสาวแบบไหนกันที่จะสามารถอดทนกับคนอย่างเขาได้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มู่น่อนน่อนก็หันหน้าไปมองลี่จิ่วเชียนที่กำลังจดจ่อกับการขับรถ
เมื่อเปรียบเทียบกันแบบนี้แล้ว ลี่จิ่วเชียนถือว่าเป็นผู้ชายที่ไม่เลวเลยทีเดียว
คนที่มีรักและภักดี แถมยังนิสัยดีอีกต่างหาก
“มองผมทำไม” หางตาลี่จิ่วเชียนเหลือบเห็นมู่น่อนน่อนกำลังจ้องมองเขา
มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วกล่าว:“รู้สึกว่าคุณดีมาก”
ลี่จิ่วเชียนที่ดูเหมือนจะคิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดคำแบบนี้ได้ แววตาจึงเป็นประกาย:“เหรอ”
……
รถยนต์ได้ขับเข้าไปสู่ชุมชนหนึ่งที่มีบรรยากาศสวยงาม
“คุณลงจากรถแล้วไปรอผมก่อน ผมจอดรถเสร็จแล้วจะตามมา” ลี่จิ่วเชียนพลางพูดพลางโน้มตัวไปช่วยมู่น่อนน่อนปลดล็อกเข็มขัดนิรภัย
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกมาบังเขาอย่างอัตโนมัติ แล้วทำท่าป้องกันตัว :“เดี๋ยวฉันทำเอง”
มือที่ลี่จิ่วเชียนยื่นออกมาจึงได้ค้างชะงักอยู่กลางอากาศ
สักพักเขาพยักหน้าขึ้น:“ครับ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกอึดอัด รีบปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วลงจากรถ
เธอยืนอยู่ข้างทาง มองดูลี่จิ่วเชียนนำรถไปจอด คิ้วที่เรียวสวยขมวดขึ้น
ก่อนหน้านี้เธอแค่รู้สึกว่าความสัมพันธ์เมื่อก่อนของตัวเองกับลี่จิ่วเชียนนั้นอาจแค่ไม่ได้ลึกซึ้ง แต่ว่าเมื่อสักครู่ที่ลี่จิ่วเชียนต้องการจะช่วยเธอปลดเข็มขัดนิรภัยนั้น หัวใจของเธอกลับเกิดความรู้สึกต่อต้าน
แล้วก็ทำท่าป้องกันตัวอย่างอัตโนมัติ
บางครั้ง ร่างกายคนเราตอบสนองได้เร็วกว่าและตรงไปตรงมากว่าสมองจริง ๆ
“กำลังคิดอะไรอยู่”
เสียงของลี่จิ่วเชียนได้ดึงความคิดของมู่น่อนน่อนกลับมา
เธอรีบเงยหน้าขึ้น ถึงได้พบว่าลี่จิ่วเชียนได้จอดรถเสร็จแล้วก็เดินเข้ามาแล้ว
“ไม่ได้คิดอะไร แค่รู้สึกแดดร้อนนิดหน่อย” มู่น่อนน่อนเอื้อมมือมาบังหน้าผาก
อากาศตอนนี้ไม่ถือว่าร้อนมาก แต่ว่าก็ไม่ได้เย็นสดชื่น
ลี่จิ่วเชียนไม่ได้สงสัยอะไร แล้วพาเธอมุ่งเดินเข้าไปที่ตึกอาคาร
ในชุมชนมีความเขียวชอุ่มขจี อาคารของตึกก็ไม่สูงมาก ประมาณเจ็ดแปดชั้นเท่านั้น การก่อสร้างของอาคารก็ไม่ได้ติดกัน ทำให้เห็นได้ชัดว่าชุมชนมีความสงบและดูกว้างขวาง
ลี่จิ่วเชียนที่อยู่ด้านหน้าทำการเปิดประตู จากนั้นก็ยืนไปด้านข้าง:“เชิญครับ”
ด้านในเป็นห้องดูเพล็กซ์ สว่าง กว้างขวาง การตกแต่งก็ดูอบอุ่นมาก แต่นอกจากเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นแล้ว ก็ไม่มีการตกแต่งอย่างอื่นแต่อย่างใด ดูแล้วรู้สึกวังเวง
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป พบว่าของด้านในทั้งหมดนั้นยังใหม่เอี่ยม กลิ่นอายของชีวิตนั้นจืดชืด
ลี่จิ่วเชียนก้าวเดินตามเธอ และรักษาระยะห่างกับเธอหนึ่งก้าว:“รู้สึกว่าห้องเป็นไง”
ระยะห่างหนึ่งก้าว ไม่ทำให้ดูห่างเหิน และก็ไม่ทำให้ดูใกล้ชิดเกินไป
มู่น่อนน่อนพยักหน้าแล้วกล่าวถาม :“คุณไม่ได้พักอยู่ที่นี่เหรอ”
“เปล่าครับ” ลี่จิ่วเชียนเดินมาที่หน้าผนังกระจกใส มองพันธุ์พืชด้านนอกที่เขียวขจี น้ำเสียงก็เปลี่ยนกระฉับกระเฉงขึ้น: “บรรยากาศที่นี่ดีมาก เหมาะกับการพักรักษาสำหรับคุณ”
มู่น่อนน่อนซาบซึ้งในใจ:“ขอบคุณนะ”
ลี่จิ่วเชียนยิ้มแต่ไม่พูดใด ๆ และเดินไปที่ด้านหน้าทีวี หยิบรีโมทชี้ไปทางทีวี :“รู้ไหมว่านี่คืออะไร”
มู่น่อนน่อนสีหน้าชะงักเล็กน้อย:“……ทีวี”
ถึงแม้ว่าเธอจะลืมเรื่องราวในอดีต แต่ก็ไม่ถึงขั้นลืมความรู้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน……
ใบหน้าของลี่จิ่วเชียนยิ้มลึกขึ้น:“แค่หยอกเล่นนิดหน่อย อย่าโกรธนะ”
เขาเปิดทีวีขึ้นมา แล้วก็ทำการเปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ
และเปิดไปเจอช่องข่าวเศรษฐกิจ
“ช่วงเช้าวันนี้ เฉินถิงเซียวประธานแห่งบริษัทเฉินซื่อ……”
ลี่จิ่วเชียนทำท่าจะเปลี่ยนช่อง ได้หยุดชะงักขึ้น
เขาหันหน้าไปมองมู่น่อนน่อน เห็นเธอกำลังมองหน้าจอทีวีด้วยความตกใจ
หน้าจอทีวีในเวลานี้ปรากฏภาพของเฉินถิงเซียวที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมเชิงพาณิชย์ สวมด้วยชุดสูทสีดำทั้งตัว ใบหน้าท่าทางสุขุมมั่นใจ และเปล่งประกายรัศมีของความเป็นราชา
เมื่อเห็นมู่น่อนน่อนดูอย่างตั้งใจ ลี่จิ่วเชียนราวกับว่ากลัวเป็นการรบกวนเธอก็ไม่ปาน จึงเคลื่อนไหวอย่างเบาๆ วางรีโมทลงไปที่ตู้ แล้วกล่าวสีหน้าที่เป็นธรรมชาติ:“เป็นอะไรไป”
“ฉันเคยเห็นเขา เมื่อสักครู่ตอนที่นั่งรถกลับมา ตอนที่ติดสี่แยกไฟแดง รถของเขาคือรถที่อยู่ข้างๆพวกเราคันนั้น” มู่น่อนน่อนนึกถึงคู่แววตาในเวลานั้น ยังคงเกิดความหวาดกลัว
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองหน้าจอทีวี
และก็อยากจะมองดูเขานาน ๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ
ตัวจริงของเขาดูดีกว่าในทีวี
“เหรอ” ลี่จิ่วเชียนน้ำเสียงดูเฉยเมย
กล้องที่จับภาพในข่าวได้เบนไปถ่ายคนอื่นแล้ว
“เขายังมีลูกสาวหนึ่งคน หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมาก!” มู่น่อนน่อนนึกถึงเด็กน้อยที่ชี้มาทางเธอแล้วเรียกขึ้น “พี่สาวคนสวย” ทำให้หัวใจอ่อนโยน และก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ชายหนุ่มที่ชื่อเฉินถิงเซียวเหมือนจะเรียกเธอว่า“มู่มู่” ก็ไม่รู้ว่าชื่อมู่นั้นเป็นมู่คำไหนกัน!
เป็นพ่อประสาอะไร ชื่อนี้ตั้งมักง่ายเกินไป
“พักนี้มีสื่อเปิดเผยว่าเฉินถิงเซียวมีลูกสาวที่อายุสามขวบจริง แต่ก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน” ลี่จิ่วเชียนพลางพูดพลางสังเกตปฏิกิริยาของมู่น่อนน่อน
แต่ว่าใบหน้าของมู่น่อนน่อน นอกจากความสงสัยและความประหลาดใจแล้ว ก็ไม่มีปฏิกิริยาอื่น
หรือจะลืมทุกอย่างแล้วจริง ๆ แม้แต่นิดเดียวก็จำไม่ได้เลยหรือ
“ทำไมถึงถูกสื่อให้ความสนใจล่ะ ทางบ้านของพวกเขาทำอะไรเหรอ” ข่าวสั้นเมื่อสักครู่ ก็ไม่ได้บอกรายละเอียดมากมายอย่างใด
ลี่จิ่วเชียนซ่อนอารมณ์ไว้แล้วกล่าวขึ้น:“ตระกูลเฉินเป็นตระกูลที่ร่ำรวยระดับต้นๆ ทรัพย์สินเทียบกับประเทศได้เลย ”
มู่น่อนน่อนเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “รวยขนาดนี้เลยเหรอ”
“ใช่สิ” ลี่จิ่วเชียนเหมือนจะเจออะไรสนุกๆ จึงพูดเรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลเฉินและเฉินถิงเซียวให้มู่น่อนน่อนฟังต่อ
มู่น่อนน่อนฟังอย่างตั้งใจ
ตั้งแต่ต้นจนจบ นอกจากใบหน้าที่ประหลาดใจและอยากรู้อยากเห็นแล้ว ก็ดูไม่ออกถึงอารมณ์อื่น ๆ แต่อย่างใด
เมื่อก่อนเขาเคยแต่ได้ยินว่า คนที่สมองถูกกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ จะทำให้ความจำเสื่อมได้ คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแบบนี้จริง ๆ
“คุณบอกว่าเขามีคู่หมั้น ยังไม่แต่งงาน แต่ว่าเขามีลูกสาวหนึ่งคนนะ ฉันได้ยินเขายอมรับเองกับหู!” มู่น่อนน่อนส่ายหน้า น้ำเสียงรังเกียจเล็กน้อย:“ดูแล้วชีวิตรักของเขานั้นจะชุ่มฉ่ำเสียจริง”
ลี่จิ่วเชียนยื่นมือมาแตะที่ริมฝีปาก กระแอมเสียงในลำคอแล้วกลั้นยิ้ม จากนั้นแสร้งทำเป็นกล่าวอย่างจริงจัง :“เรื่องที่เขามีลูกสาวจะพูดไปเรื่อยไม่ได้……”
“ฉันรู้ คนแบบเฉินถิงเซียวเนี่ย มีเงินมีอำนาจ ไม่อยากให้คนอื่นไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของเขา ฉันไม่นำเรื่องของเขาไปพูดหรอก อีกอย่างนอกจากคุณแล้ว ฉันจะพูดกับใครได้อีก……”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ มู่น่อนน่อนรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
นอกจากลี่จิ่วเชียน เธอก็ไม่รู้จักใครคนอื่นอีก
ที่ลี่จิ่วเชียนบอกว่าตัวเองเป็นคู่หมั้นของมู่น่อนน่อนนั้น เพียงแค่ต้องการจะลองทดสอบดูเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่ามู่น่อนน่อนจะถามเขากลับว่าจริงเหรอ
ในฐานะการเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรู้พื้นฐานทั่วไป เขาสงสัยว่ามู่น่อนน่อนอาจจะ——ความจำเสื่อม!
ใบหน้าของลี่จิ่วเชียนไม่มีท่าทีผ่อนคลาย มีเพียงใบหน้าที่เคร่งขรึม:“คุณหมอครับ รบกวนช่วยทำการตรวจเธอทั้งหมดอย่างละเอียดด้วยนะครับ”
ในห้องผู้ป่วย แพทย์ได้เห็นปฏิกิริยาการตอบสนองของมู่น่อนน่อนเมื่อสักครู่ สีหน้าจึงตึงเครียดขึ้นมาทันใด
ไม่นานแพทย์ก็ได้ตรวจร่างกายของมู่น่อนน่อนทันที จากนั้นเรียกลี่จิ่วเชียนเข้าไปในห้องทำงาน
“คุณลี่ครับ คุณมู่คู่หมั้นของคุณ ตอนนี้นอกจากร่างกายอ่อนแอแล้วก็ไม่มีปัญหาอย่างอื่น แต่เนื่องจากอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก จึงส่งผลให้เกิดการสูญเสียความทรงจำ……”
ลี่จิ่วเชียนนั่งฟังคำพูดของแพทย์อย่างเงียบๆจนจบ เมื่อกล่าวขอบคุณแล้วก็กลับไปที่ห้องผู้ป่วย
มู่น่อนน่อนที่กำลังนอนพิงอยู่บนหัวเตียง จับรีโมททีวีทำการเปลี่ยนช่อง พยาบาลที่เปลี่ยนยาให้เธออยู่ข้างๆได้กล่าวเบาๆว่าอิจฉาเธอที่มีคู่หมั้นที่ไม่ทอดทิ้งเธอ
พยาบาลได้เปลี่ยนยาให้กับมู่น่อนน่อนเสร็จ เมื่อหันมาก็เห็นลี่จิ่วเชียนยืนอยู่ที่ริมประตู ใบหน้าจึงแดงก่ำแล้วเอ่ยขึ้น:“คุณลี่”
คุณลี่คนนี้ไม่เพียงแต่มีหน้าตาที่หล่อเหลา นิสัยยังดีอีก อีกทั้งยังรักจริงขนาดนี้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะทุกคนต่างซาบซึ้งใน “ความรัก” ที่เขามีต่อมู่น่อนน่อน ก็คงจะมีพยาบาลไม่น้อยที่ตามจีบเขาแล้ว
หลังจากที่พยาบาลออกไป ลี่จิ่วเชียนก็เดินมานั่งที่ข้างเตียง จากนั้นจ้องมู่น่อนน่อนอย่างเงียบๆ
มู่น่อนน่อนนอนอยู่บนเตียงมาสามปี ดูซูบผอมจนเหลือเพียงหนังติดกระดูก ใบหน้าที่ป่วยจนขาวซีดแลดูเหมือนไม่มีเลือดฝาด
ปฏิกิริยาการตอบสนองของมู่น่อนน่อนค่อนข้างช้า รู้สึกเหมือนว่าลี่จิ่วเชียนกำลังมองเธอ เธอจึงค่อยๆหันหน้าไปมองลี่จิ่วเชียน
เธอมองใบหน้าแววตาของลี่จิ่วเชียน แล้วรู้สึกแปลกหน้าไม่คุ้นเคย
มู่น่อนน่อนเอ่ยปากถามเขาขึ้นอย่างระมัดระวัง:“พวกเธอบอกว่าคุณชื่อลี่จิ่วเชียนเหรอ”
เหล่าพยาบาลเมื่อสักครู่เป็นคนบอกเธอ ว่าเธอนอนอยู่บนเตียงมาสามปีแล้ว และก็เป็นชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าที่ชื่อลี่จิ่วเชียนนั้นที่คอยเฝ้าดูเธอมาโดยตลอด ไม่ทอดทิ้งไม่เหินห่าง
แต่ลี่จิ่วเชียนกลับบอกว่าเขาคือคู่หมั้นของเธอ
แต่ว่าเธอกลับจำไม่ได้สักนิดเดียว
อย่าว่าแต่จำไม่ได้ที่ตัวเองมีคู่หมั้นชื่อลี่จิ่วเชียนเลย แม้แต่ชื่อของเธอเอง เธอก็ยังจำไม่ได้
เธอสูญเสียความจำทั้งหมดและอดีตที่ผ่านไป
ในสมองมีแต่ความว่างเปล่า ว่างเปล่าจนทำให้เธอรู้สึกกลัว
“อืม” ลี่จิ่วเชียนตอบกลับอย่างเงียบๆ แล้วก็จ้องมองเธอด้วยสายตาเชิงสำรวจ และก็ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
นิ้วมือของมู่น่อนน่อนที่วางอยู่ข้างตัวได้กำผ้าปูที่นอนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว:“พวกเธอยังบอกอีกว่า คุณเป็น……คู่หมั้นของฉัน……”
ลี่จิ่วเชียนพยักหน้า:“ใช่”
ผ่านไปไม่กี่วินาที มู่น่อนน่อนส่ายหน้าด้วยความสับสน แล้วก็ตอบกลับไป:“ไม่ใช่”
ถ้าหากว่าลี่จิ่วเชียนเป็นคู่หมั้นของเธอจริง ๆ แต่ทำไมหัวใจของเธอถึงไม่รู้สึกสนิทคุ้นเคยกับเขาสักนิดเดียว
ความรู้สึกอาจสามารถหายไปกับความทรงจำได้ แต่ว่าทำไมความคุ้นเคยแม้แต่สักนิดเดียวก็ไม่มี
และเขานั้นขึ้นชื่อว่าคนที่สนิทที่สุดเลยเชียวนะ
ลี่จิ่วเชียนแววตาประกายความตื่นเต้น :“คุณคิดว่าผมกำลังโกหกคุณเหรอ”
“คุณ……” มู่น่อนน่อนนึกถึงคำพูดของพยาบาล จึงส่ายหน้ารัวๆ แล้วกล่าวอย่างลังเล: “เปล่า พวกเราอาจจะ……ความสัมพันธ์เมื่อก่อนคงไม่ได้ลึกซึ้งมั้ง……ไม่อย่างนั้น ฉัน……”
ในเมื่อลี่จิ่วเชียนสามารถเฝ้าเธอมาถึงสามปีในขณะที่เธอป่วยหนัก ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือว่าเป็นคนที่มีความรักมีน้ำใจ เธอเชื่อว่าเขาไม่ได้โกหกเธอ
เธอที่ไม่รู้สึกคุ้นเคยสนิทกับเขาสักนิดเดียว อาจเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ค่อยดี
“ใช่ ความสัมพันธ์ของพวกเราเมื่อก่อนไม่ค่อยดี แต่ว่านั่นมันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว พวกเราสามารถทำความรู้จักกันใหม่ เริ่มต้นกันใหม่ได้” ลี่จิ่วเชียนยื่นมือมาหาเธอพร้อมแววตาอมยิ้ม: “สวัสดีครับ ผมลี่จิ่วเชียนครับ”
รอยยิ้มของเขาจริงใจและมีเสน่ห์ ทำให้มู่น่อนน่อนวินาทีนี้เชื่อเขาอย่างสนิทใจแล้วจริง ๆ :“สวัสดีค่ะ ฉัน……”
ลี่จิ่วเชียนเปล่งเสียงเตือนเธอ:“มู่น่อนน่อน”
“สวัสดีค่ะ ฉันมู่น่อนน่อนค่ะ” มู่น่อนน่อนเสริมประโยคด้านหลังให้สมบูรณ์ ดวงตาที่ยิ้มแย้มประหนึ่งดวงดาวที่พร่างพราวสดใส
ลี่จิ่วเชียนกุมมือที่ผอมแห้งหนังหุ้มกระดูกของเธอ แล้วเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าเธออ่อนแอและผอมโซมากจนดูไม่เหลือ “ความงาม” ผอมจนดูเป็นผู้หญิงน่ากลัว แต่ในเวลานี้เธอกลับน่ามองเป็นพิเศษ
……
มู่น่อนน่อนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาอีกครึ่งเดือน หลังจากที่สามารถทานอาหารบางอย่างได้เป็นปกติแล้ว ลี่จิ่วเชียนถึงได้รับตัวเธอออกจากโรงพยาบาล
เป็นช่วงเวลาเดือนกันยายน
อากาศช่วงฤดูใบไม้ผลิเริ่มเย็นลงแล้ว
มู่น่อนน่อนสวมชุดสเวตเตอร์สีเทากับเสื้อเชิ้ตสีขาวข้างใน ผมนุ่มตรงยาวประบ่า เธอดูอ่อนหวานและอ่อนโยน
เธอนั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับ รถที่ขับแล่นอยู่มีลมพัดโชยเข้ามา เธอหลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก
มีกลิ่นอายอากาศที่คุ้นเคย ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกมีความสุข
ใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มหันมามองลี่จิ่วเชียนจากนั้นกล่าว:“ลี่จิ่วเชียน ฉันต้องเติบโตมาจากเมืองนี้อย่างแน่นอน ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับอากาศที่นี่มาก”
“เหรอครับ” ลี่จิ่วเชียนหันหน้ามา แล้วสายตาก็หยุดอยู่บนใบหน้าเธอสองวินาที จากนั้นก็หันหน้าไป
ยามนี้ รถยนต์กำลังจะขับผ่านสี่แยกไฟแดง
ลี่จิ่วเชียนหยุดรถรอสัญญาณไฟจราจร
มู่น่อนน่อนหันหน้ามองไปทางนอกหน้าต่างรถ
ข้างๆของพวกเขาเป็นรถยนต์สุดหรูสีดำคันหนึ่ง กระจกรถด้านหลังในเวลานี้ได้ลดระดับลง
เสียงจอแจของเด็กน้อยลอยดังออกมา:“เฉิน……! ฉันไม่เล่นกับเธอแล้ว! ฮึ……”
อาจเป็นเพราะอายุที่ยังเล็ก น้ำเสียงที่พูดเร็วของเธอ ทำให้ได้ยินไม่ชัดเจนว่าเธอพูดอะไร
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเด็กน้อยที่อายุสามสี่ขวบกำลังปีนอยู่ที่ข้างหน้าต่างรถโดยที่มือถือลูกโป่งไว้ กำลังทำหน้างอนและต้องการที่จะปีนออกมาจากนอกหน้าต่างรถ
ผมเด็กน้อยดกดำดูแล้วคงอ่อนนุ่มน่าดู ผมหน้าม้าก็ตรงเรียบ คู่ดวงตาดำโต ทำปากมุ่ยที่ดูแล้วช่างน่ารักมาก ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกเอ็นดู
เมื่อเห็นเธอจะปีนออกด้านนอก ในใจมู่น่อนน่อนก็เกิดอาการลนลาน
เวลานี้ มีมือใหญ่ที่เห็นข้อนิ้วอย่างชัดเจนเอื้อมมาจากด้านหลังของเด็กน้อย แล้วจับเข้าที่ท้องของเธอ จากนั้นอุ้มเธอลงไปเบาๆ
ทันใดนั้นเด็กน้อยกลับยื่นมือที่นุ่มนิ่มราวกับเต้าหู้ออกมา แล้วชี้มาทางมู่น่อนน่อน:“พี่สาวคนสวย……”
ผู้ชายที่อุ้มเธอไว้ได้เงยหน้ามองมาทางมู่น่อนน่อนแวบหนึ่ง:“เฉินมู่ ในสายตาของหนูที่บอกว่าสวยทำให้พ่อสงสัยว่าหนูเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อหรือเปล่า”
นั่นเป็นผู้ชายที่รูปงามมาก โครงหน้าเพอร์เฟค โดยเฉพาะคู่ดวงตาที่ดำขลับดุจหมึกคู่นั้น และใบหน้าที่ลุ่มลึกและเฉียบคม แค่เพียงชำเลือง ก็ทำให้คนรู้สึกตัวสั่นสะท้าน
มู่น่อนน่อนเกิดอาการตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว และก็รีบดึงสายตากลับ
แต่ว่าหัวใจของเธอกลับบีบรัดและเกร็งขึ้นในเวลานี้
เธอเอื้อมมือมาทาบที่ทรวงอก ใบหน้าซีดเผือด
ไฟเขียวสว่างขึ้น ลี่จิ่วเชียนเร่งเครื่องรถ และสังเกตเห็นความผิดปกติของมู่น่อนน่อน:“เป็นอะไรเหรอ”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า:“เปล่า”
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูเบาๆได้ขัดความคิดของเฉินจิ่งหยุ้น
เฉินจิ่งหยุ้นเก็บอารมณ์ทางสีหน้าขึ้น:“เข้ามา”
บอดี้การ์ดได้ผลักประตูเข้ามา แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม:“คุณหนูเฉิน ได้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้วครับ”
“ไม่ต้องรอให้ถึงตอนกลางคืนแล้ว ออกเดินทางตอนนี้เลย”
เฉินจิ่งหยุ้นออกคำสั่ง ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เข้ามาเคลื่อนย้ายเฉินถิงเซียว
เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ส่งตัวเฉินถิงเซียวขึ้นไปบนเครื่องบิน ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเฉินถิงเซียวเหมือนมีสัญญาณว่าจะฟื้นขึ้นมา
“คุณหนูเฉิน ตุณชายเฉินน่าจะอีกไม่นานก็คงจะฟื้นขึ้นมา”
คุณหมอบอกเรื่องนี้กับเฉินจิ่งหยุ้นด้วยใบหน้าที่ดีใจ แต่กลับไม่เห็นความดีใจบนใบหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นสักนิดเดียว
เธอเพียงกล่าวประโยคเบาๆ:“รับทราบแล้วค่ะ”
เฉินจิ่งหยุ้นไล่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์คนอื่น ๆ ออกไป เหลือหนึ่งในนั้นไว้เพียงคนเดียว แล้วกล่าวกำชับ:“ความเป็นไปที่เขาจะฟื้นขึ้นมาในช่วงนี้นั้นบ่อยขึ้น จงเพิ่มปริมาณยาให้เขา ก่อนที่จะไปอเมริกา อย่าให้เขาได้ฟื้นตื่นขึ้นมา”
ความจริงแล้วอาการบาดเจ็บของเฉินถิงเซียวดูไม่ได้สาหัสขนาดนั้น
หนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านี้ เฉินถิงเซียวนั้นสามารถฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว แต่เป็นเพราะเฉินจิ่งหยุ้นสั่งให้คนวางยาเฉินถิงเซียว จึงทำให้เขาไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้
คำพูดของกู้จือหยั่นก่อนหน้านี้ได้ทิ่มแทงหัวใจของเฉินจิ่งหยุ้น
ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเฉินถิงเซียวจะจืดชืด แต่ว่าในใจเธอก็รู้ดี หากเฉินถิงเซียวฟื้นขึ้นมาแล้วรู้ว่าเธอไม่ได้ส่งคนไปช่วยค้นหามู่น่อนน่อน จะต้องโกรธแค้นเธออย่างแน่นอน
เธอจะต้องไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
แต่โชคดีตรงที่เธอสามารถติดต่อกับนักสะกดจิตที่เชี่ยวชาญมีชื่อเสียงที่สุดในโลก
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินจิ่งหยุ้นก็ยกริมฝีปากขึ้น แววตาประกายความมุ่งมั่นแน่วแน่
……
เครื่องบินได้จอดลงที่ลานจอดส่วนตัวในประเทศM เฉินจิ่งหยุ้นได้ติดต่อทางฝั่งนักสะกดจิต และฝั่งนั้นก็ได้ส่งคนมารับแล้ว
ชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาได้เดินมาที่ด้านหน้าของเฉินจิ่งหยุ้น:“ขออนุญาตถามว่าใช่คุณคุณหนูเฉินหรือเปล่าครับ”
“ใช่ค่ะฉันเอง”
เมื่อยืนยันตัวตนกันแล้ว พวกเขาก็พาเฉินถิงเซียวกับเฉินจิ่งหยุ้นจากไปพร้อมกัน
ในใจของเฉินจิ่งหยุ้นยังคงไม่เชื่อใจนักสะกดจิตผู้เชี่ยวชาญคนนั้นสักเท่าไหร่ :“พวกคุณเป็นลูกน้องของผู้เชี่ยวชาญคนนั้นเหรอ”
ชายหนุ่มที่เป็นคนขับรถได้กล่าวอย่างเฉยเมยว่า:“คุณหนูเฉินยังคงไม่เชื่อใจเจ้านายของพวกเราหรือครับ แต่ไม่ว่าอย่างไรคุณก็ต้องเชื่อเขา ถึงแล้วครับ เชิญคุณหนูเฉินลงจากรถได้เลยครับ”
เฉินจิ่งหยุ้นกัดฟันแล้วเดินลงจากรถ
ด้านหน้าเป็นวิลล่าทรงกลมสีดำที่มีสไตล์แปลกๆ
เฉินจิ่งหยุ้นเกิดความอยากถดถอยขึ้นในใจ ทั้งวิลล่านี้ รวมไปถึงลูกน้องสองคนที่ผู้เชี่ยวชาญส่งมารับนั้นดูแปลกประหลาดเกินไป
คนที่อยู่ด้านหลังเปล่งเสียงเร่งรัดเธอ:“คุณหนูเฉิน เชิญครับ”
ตอนที่เฉินจิ่งหยุ้นมานั้นไม่ได้พาลูกน้องมาด้วย เพียงเพราะว่าต้องการให้คนที่รู้เรื่องนี้นั้นยิ่งน้อยก็ยิ่งดี
ไม่ว่าจะอย่างไร ก็จะต้องลองสักตั้ง
เฉินจิ่งหยุ้นยกเท้าเดินเข้าไปด้านใน
พวกเขาพาเธอเดินเข้าไปข้างใน
ผ่านระเบียงทางเดินจนกระทั่งเข้าไปในห้องว่างห้องหนึ่ง
ในห้องมีการเปิดไฟไว้ มีผนังด้านหนึ่งที่ทั้งแถบเป็นตู้ชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่ ด้านหน้าตู้เป็นโต๊ะหนังสือที่ทำมาจากไม้ ด้านหน้าโต๊ะหนังสือมีร่างของชายหนุ่มที่สูงใหญ่นั่งอยู่
ชายหนุ่มสวมแว่นตาใส่ผ้าปิดปากไว้ และทั้งร่างสวมใส่ด้วยชุดสูทสีดำล้วน ทำให้ดูลึกลับมาก
ลูกน้องเดินเข้ามาที่ด้านหน้าของชายหนุ่มอย่างนอบน้อม:“MR.Li ได้พาคนมาถึงแล้วครับ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ แล้วลุกขึ้นเดินมาที่ด้านหน้าของเฉินจิ่งหยุ้น ยื่นมือมาหาเธออย่างสุภาพ:“สวัสดีครับ คุณหนูเฉิน”
เขานั้นพูดภาษาจีน
เฉินจิ่งหยุ้นยื่นมือออกไป แล้วถามหยั่งเชิง:“คุณหลี่?”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม:“เริ่มต้นกันได้แล้ว”
“คุณหลี่ ปกติแล้วคุณสวมหน้ากากตลอดเวลาเหรอคะ” เฉินจิ่งหยุ้นค่อนข้างระแวดระวัง ผู้เชี่ยวชาญคนนี้ดูแล้วเด็กเกินไป
“พาคุณหนูเฉินออกไปดื่มน้ำชา” ชายหนุ่มออกคำสั่ง ลูกน้องของเขาจึงได้เชิญแกมบังคับเฉินจิ่งหยุ้นออกไป
ประตูถูกปิดลง สายตาของชายหนุ่มตกกระทบไปที่เรือนร่างของเฉินถิงเซียว
เขาถอดแว่นออก ในแววตาประกายความสนใจ แล้วพึมพำ :“ดูน่าสนุกแฮะ”
……
“เมื่อเร็วๆนี้ มีปาปารัสซี่ถ่ายติดรูปการเดินทางของเฉินถิงเซียวประธานแห่งบริษัทเฉินซื่อ ในรูปเขาดูสนิทสนมกับสาวน้อยคนหนึ่งมากประหนึ่งว่าเป็นลูกสาว……”
ในห้องวีไอพี ทีวีกำลังนำเสนอข่าวบันเทิง
พยาบาลที่กำลังเปลี่ยนยาให้กับผู้ป่วยที่อยู่บนเตียง เมื่อได้ยินข่าวนี้ก็เริ่มซุบซิบกันอย่างเงียบๆ
“ข่าวจริงหรือเปล่าเนี่ย ที่ว่าเฉินถิงเซียวมีลูกสาว”
“ก่อนหน้านี้เพิ่งจะมีข่าวว่ามีคู่หมั้นไม่ใช่เหรอ เด็กนั้นจะใช่ลูกที่เกิดจากเขากับคู่หมั้นหรือเปล่า”
หนึ่งในพยาบาลชี้ไปทางผู้ป่วยหญิงที่นอนอยู่บนเตียงแล้วกล่าวเตือนสติ:“……เธอระวังหน่อย อย่าฉีดลึกเกินไป……”
พยาบาลอีกคนกล่าวอย่างไม่พอใจ :“ฉีดลึกหน่อยเธอก็ไม่รู้สึกหรอก คนป่วยที่นอนติดเตียงมาสามปี เกรงว่าคงจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้วมั้ง”
“อย่าพูดแบบนี้…….มาฉันทำเอง”
พยาบาลกำลังจะนำเข็มฉีดยาฉีดเข้าไปในข้อมือของผู้ป่วย ก็รู้สึกว่าข้อมือที่ถูกเจาะฉีดมาเป็นเวลานานแรมปีจนเขียวช้ำไปหมดนั้นเหมือนกับมีการขยับเขยื้อน
“เมื่อกี้นี้ฉันตาฝาดไปหรือเปล่า”
พยาบาลอีกคนกล่าวถามเธอ:“อะไรเหรอ”
เวลานี้ เสียงผู้หญิงที่อ่อนแอแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินได้ดังขึ้น:“พวกคุณ……คือ……”
พยาบาลสองคนต่างก้มมองหญิงสาวที่อยู่บนเตียงพร้อมกัน:“คุณฟื้นแล้วเหรอ!”
มู่น่อนน่อนกะพริบตาขึ้น เนื่องจากนอนมาสามปี การพูดจาจึงค่อนข้างลำบาก
ยังไม่ทันรอให้เธอได้พูดขึ้นอีกครั้ง พยาบาลทั้งสองคนก็ได้วิ่งออกไปแล้ว
“ฉันจะไปโทรศัพท์บอกคุณลี่!”
“ฉันจะไปบอกคุณหมอ!”
……
ลี่จิ่วเชียนที่เพิ่งจะเดินออกมาจากลิฟต์ ก็มีพยาบาลที่วิ่งเข้ามาแจ้งข่าวกับเขาด้วยความดีใจ:“คุณลี่ คู่หมั้นของคุณฟื้นแล้ว ฟื้นเมื่อกี้นี้เอง!”
สามปีก่อน โรงพยาบาลมีผู้ป่วยหญิงคนหนึ่งได้เข้ามาทำการรักษา สามปีผ่านไปแล้วก็ยังนอนไม่ฟื้น แต่ว่าชายหนุ่มที่ชื่อลี่จิ่วเชียนไม่ว่าฝนจะตกลมจะแรงอย่างไรก็ไม่สามารถหยุดการมาเยี่ยมดูผู้ป่วยหญิงคนนี้ได้ และเขาก็ไม่เคยทอดทิ้งเธอ
ถึงแม้ว่าลี่จิ่วเชียนจะไม่เคยบอกความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับผู้ป่วยหญิงคนนั้นว่าเป็นอะไรกัน แต่พยาบาลเหล่านี้ต่างรู้สึกว่าผู้ป่วยหญิงคนนั้นเป็นคู่หมั้นของลี่จิ่วเชียน
ลี่จิ่วเชียนได้ยินดังนั้นแววตาก็ประกายรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงกลับไม่รู้สึกประหลาดใจ:“จริงเหรอครับ”
พยาบาลเห็นลี่จิ่วเชียนเป็นแบบนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัยขึ้น เขาควรจะดีใจมากไม่ใช่เหรอ
“ผมจะดูไปเธอก่อน” ลี่จิ่วเชียนเฉยเมยกับความสงสัยของพยาบาล และก็เดินตรงเข้าไปในห้องผู้ป่วย
ในห้องผู้ป่วยมีแพทย์หลายคนที่กำลังตรวจดูอาการของมู่น่อนน่อน
ลี่จิ่วเชียนเดินเข้าไป เห็นมู่น่อนน่อนที่ใบหน้าซูบผอมนอนมึนงงอยู่บนเตียง จึงเปล่งเสียงกล่าวขึ้น:“มู่น่อนน่อน ในที่สุดคุณก็ฟื้นแล้ว”
ผู้ป่วยหญิงที่นอนอยู่บนเตียงได้เงยหน้าขึ้นมองลี่จิ่วเชียน คู่ดวงตาที่เดิมทีงดงามสดใสประหนึ่งดวงตาแมวแต่ตอนนี้ไร้ซึ่งราศีหันมามองลี่จิ่วเชียน น้ำเสียงแหบแห้งจนแทบจะไม่ได้ยิน :“คุณเรียกฉันเหรอ”
ลี่จิ่วเชียนได้ยินเสียงของเธอ สีหน้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
แววตาของเขาเป็นประกายเล็กน้อย ยื่นมือชี้มาที่ตัวเอง :“คุณรู้จักผมไหม ผมเป็นใคร”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า:“คุณเป็นใคร”
ลี่จิ่วเชียนหรี่ตาลง แล้วยกริมฝีปากขึ้น:“คู่หมั้นของคุณ”
มู่น่อนน่อนจ้องมองเขาอยู่สองสามวินาที แล้วแววตาผุดความสงสัย:“จริงเหรอ”
เฉินถิงเซียวได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไป จึงเป็นธรรมดาที่เฉินจิ่งหยุ้นจะเข้ามาจัดการเรื่องอื่น
เมื่อเฉินจิ่งหยุ้นได้ออกคำสั่ง ก็เป็นธรรมดาที่มีบอดี้การ์ดเข้ามาจับตัวสือเย่ไว้
สือเย่ไม่อยากจะเชื่อว่าเฉินจิ่งหยุ้นจะใจคอโหดเหี้ยมเช่นนี้:“คุณหนูเฉิน คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้! ต่อให้มู่น่อนน่อนจะไม่ใช่คุณหญิงน้อย แต่นั่นก็ชีวิตคนทั้งคนเลยนะ!”
เฉินจิ่งหยุ้นนั้นเกลียดมู่น่อนน่อนเข้ากระดูกดำ เมื่อได้ยินคำพูดของสือเย่ ใบหน้าของเธอก็เยือกเย็นขึ้น:“นายพูดถูก เป็นคนก็มีย่อมมีชีวิต แต่ชีวิตของมู่น่อนน่อนก็ขึ้นอยู่กับตัวของเธอเอง!”
สือเย่เฝ้าดูตลอดเส้นทางที่มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวเดินมาด้วยกัน เห็นๆอยู่ว่าครอบครัวทั้งสามคนกำลังจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน แต่กลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
ขอบเขตการระเบิดนั้นอยู่แถวบริเวณนี้ ถ้าหาต่อไปจะต้องเจอมู่น่อนน่อนอย่างแน่นอน
แต่ถ้าตอนนี้เฉินจิ่งหยุ้นล้มเลิกการค้นหามู่น่อนน่อน โอกาสรอดของมู่น่อนน่อนแม้แต่สักนิดเดียวก็จะไม่มี
สือเย่ก็เป็นชายที่มีลูกมีภรรยา ยามปกตินั้นเป็นคนเข้มแข็ง แต่ยามนี้เบ้าตากลับแดงก่ำ:“คุณหนูเฉิน คุณทำแบบนี้ คุณผู้ชายจะต้องเกลียดคุณ ทำแบบนี้มีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์พี่น้องของพวกคุณทั้งสองคนยิ่งห่างเหิน”
เฉินจิ่งหยุ้นสีหน้าซีดเผือด:“เรื่องพี่น้องของพวกเรา ไม่ใช่เรื่องที่นายจะมาเสือก!”
ก็เพราะการมีชีวิตอยู่ของผู้หญิงอย่างมู่น่อนน่อน ความสัมพันธ์ของเธอกับเฉินถิงเซียวถึงได้ห่างเหินสั่นคลอน
มู่น่อนน่อนไม่อยู่เสียได้ก็ยิ่งดี!
สุดท้ายสือเย่ก็ถูกคนของเฉินจิ่งหยุ้นบีบบังคับให้ขึ้นเรือไป
เขาอยู่บนเรือได้หาโอกาสหยิบโทรศัพท์มา แล้วโทรหากู้จือหยั่น
กู้จือหยั่นก็รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นบนเกาะ คนนั้นก็ออกจากประเทศแล้ว
เมื่อรอให้เฉินจิ่งหยุ้นและพรรคพวกขึ้นมาถึงบก ก็เจอเข้ากับกู้จือหยั่น
กู้จือหยั่นเดินมาที่ด้านหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นแล้วกล่าวถามเธอ :“ถิงเซียวเป็นอย่างไรบ้าง”
“มันเกี่ยวกับคุณอย่างไรมิทราบ น้องชายของฉัน ฉันดูแลได้” เฉินจิ่งหยุ้นเป็นเพราะเรื่องโรงแรมจีนติ่งในครั้งก่อน จึงทำให้ไม่ไว้หน้ากู้จือหยั่น
กู้จือหยั่นหรี่ตาลง สีหน้าเย็นชาเล็กน้อย:“ทางที่ดีคุณควรจะภาวนาให้ถิงเซียวลืมไปว่าบนโลกใบนี้ยังมีคนที่ชื่อมู่น่อนน่อน ไม่อย่างนั้นเมื่อเขาฟื้นขึ้นมา ก็คงเป็นวันจุดจบของคุณ”
เฉินจิ่งหยุ้นชะงักไปเล็กน้อย เธอรู้ดีว่าเฉินถิงเซียวนั้นแคร์มู่น่อนน่อนมาก แต่เธอก็ไม่รู้สึกว่าเฉินถิงเซียวจะไม่สนใจใยสัมพันธ์ความเป็นพี่เป็นน้องกันของพวกเขา
“ฉันเป็นพี่สาวของถิงเซียว ความเป็นพี่เป็นน้องไม่มีสิ่งอื่นทดแทนได้” เฉินจิ่งหยุ้นเชิดคางขึ้น ใบหน้าหยิ่งผยอง
กู้จือหยั่นไม่อยากจะเสียเวลาเสวนากับเธออีก:“ปล่อยตัวสือเย่ออกมาเดี๋ยวนี้”
ถึงแม้ว่าเฉินจิ่งหยุ้นกับกู้จือหยั่นจะบาดหมางกัน แต่ว่าเมืองหู้หยางก็ใหญ่แค่นั้น ก้มหน้ามองไม่เห็นแต่เงยหน้าขึ้นมาก็ต้องเห็นหน้ากันอยู่ดี จึงไม่อาจจะทำน่าเกลียดไปมากกว่านี้
ครั้นแล้ว เธอจึงได้ให้คนปล่อยตัวสือเย่
เฉินจิ่งหยุ้นปล่อยตึวสือเย่แล้ว ก็พาคนและเฉินถิงเซียวไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลท้องถิ่น
สองวันมานี้สือเย่นั้นไม่สามารถหลับตาได้ลง คนทั้งคนดูเหนื่อยล้ากระเซอะกระเซิง :“ประธานกู้ครับ”
กู้จือหยั่นถามเขาอย่างจริงจัง:“เหตุการณ์ในตอนนั้นเป็นอย่างไร”
“พูดแล้วเรื่องมันยาว ตอนนี้ผมเป็นห่วงที่สุดคือคุณหญิงน้อย คุณผู้ชายถูกคุณหนูเฉินรับตัวไป จะต้องให้เขาได้รับการรักษาอย่างดีที่สุด แต่ว่าคุณหญิงน้อยโอกาสรอดอาจจะ……”
ได้ยินคำพูดของสือเย่ กู้จือหยั่นขมวดคิ้วแน่น :“ขึ้นเรือก่อน”
พวกเขาขึ้นเรือเสร็จ กู้จือหยั่นราวกับคิดอะไรออกก็ไม่ปาน ได้ถามขึ้น :“มู่มู่ล่ะ”
“ถูกคุณหนูเฉินนำตัวไปแล้ว เพราะถึงอย่างไรเธอก็เป็นพี่สาวแท้ๆของคุณผู้ชาย……” สำหรับจุดจุดนี้แม้แต่กู้จือหยั่นเองก็จนปัญญา
เฉินมู่ถูกเฉินจิ่งหยุ้นพาตัวไป ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
กู้จือหยั่นสูดลมหายใจเข้าลึก:“เอาเถอะ”
ไม่ว่าอย่างไร คนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว
เรือของกู้จือหยั่นเพิ่งจะเริ่มออกเดินทาง ก็เห็นเรือสองลำกำลังขับมาจากด้านหน้า
กู้จือหยั่นถามสือเย่:“นั่นเป็นเรืออะไร”
สือเย่มองดูสัญลักษณ์ครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้น:“นั่นเป็นเรือของหน่วยกู้ภัย ที่เพิ่งจะแยกย้ายออกมาพร้อมกันเมื่อสักครู่นี้เอง”
……
ตอนที่ลงจากเรือนั้น กู้จือหยั่นมองดูบนเกาะที่ถูกทำลายจนเละเทะไปหมด แล้วในใจก็บีบรัดขึ้น
กู้จือหยั่นกัดฟันแล้วกล่าวขึ้น:“จงพลิกผืนแผ่นดินตรงนี้และค้นหาตัวมู่น่อนน่อนให้เจอ!”
“ครับ!”
ลูกน้องออกไปค้นหาคน กู้จือหยั่นกับสือเย่เองก็ไม่ได้ทำตัวว่างตามสบาย
พวกเขาอยู่บนเกาะค้นหาเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ และก็เพิ่มจำนวนคนในการค้นหาอย่างไม่หยุดหย่อน จนพลิกเกาะหาจนทั่วแล้ว อย่าว่าแต่มู่น่อนน่อนเลย แม้แต่หนูที่มีชีวิตรอดสักตัวเดียวก็หายังไม่เจอ
ทั้งสองคนมีความมุมานะเพียรพยายาม ต่อให้มู่น่อนน่อนจะไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็จะต้องหาตัวเธอให้เจอ
อยู่ต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ
แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ พวกเขาค้นหามากว่าหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเดือน สามเดือน……
สุดท้ายก็ไม่เจอแม้แต่เงาหรือว่าร่างของมู่น่อนน่อน
……
เฉินถิงเซียวได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลท้องถิ่นมาระยะหนึ่งแล้ว จากนั้นก็ถูกส่งตัวไปที่ประเทศM
ก่อนที่จะไปประเทศM กู้จือหยั่นได้ไปเยี่ยมเฉินถิงเซียวหนึ่งครั้ง
บนตัวของเฉินถิงเซียวถูกสอดเต็มไปด้วยท่อ นอกจากใบหน้าที่ขาวซีดแล้ว ก็ไม่มีอย่างอื่นที่แตกต่างอะไรกับการนอนหลับธรรมดา
กู้จือหยั่นนั่งอยู่ข้างหัวเตียง :“ผมพยายามแล้ว ผมกับสือเย่พลิกทั่วทั้งเกาะแล้ว ก็ยังหาตัวมู่น่อนน่อนไม่เจอ……คุณก็รีบตื่นมาเสียทีเถอะ เคยคุ้นชินกับการโดนคุณกดดัน ตอนนี้ไม่ค่อยคุ้นชินกับสภาพนี้เลย……”
กู้จือหยั่นคุยพึมพำกับเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวก็ยังไม่ฟื้นตื่นขึ้นมา
ตอนที่ออกมานั้น เห็นเฉินจิ่งหยุ้นที่กำลังจะผลักประตู ด้านหลังของเธอยังมีบอดี้การ์ดสองสามคน
เธอเห็นกู้จือหยั่นออกมา แววตาจึงบึ้งตึง เห็นได้ชัดว่าไม่ต้อนรับการมาของเขา
สิ่งที่กู้จือหยั่นรำคาญที่สุดก็คือการชอบทำตัวหยิ่งผยองลำพองว่าตัวเองนั้นสูงส่งร่ำรวยของเฉินจิ่งหยุ้น
แต่ว่าในสถานการณ์แบบนี้ตอนนี้ เขาก็ไม่สามารถที่จะชักสีหน้าใส่เฉินจิ่งหยุ้นได้ จึงได้แต่กล่าวด้วยถ้อยคำดี ๆ:“ดูแลถิงเซียวกับเสี่ยวมู่มู่ให้ดี ๆ”
เฉินจิ่งหยุ้นที่กอดแขนทั้งสองข้างไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงแดกดัน:“ต้องให้คุณบอกด้วยเหรอ”
กู้จือหยั่นยิ่งมองหน้าเธอก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด จึงเดินอ้อมเธอแล้วจากไป
เฉินจิ่งหยุ้นหันหลังไปมองกู้จือหยั่นครู่หนึ่ง แล้วกำชับบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆว่า:“จะออกเดินทางไปประเทศMคืนนี้ รีบไปจัดการซะ”
“ครับ” บอดี้การ์ดรับคำสั่งแล้วก็จากไป
เฉินจิ่งหยุ้นผลักประตูเข้ามา แล้วยืนอยู่ที่ข้างเตียงมองดูเฉินถิงเซียวอยู่สักพัก เหมือนกับได้ตัดสินใจแล้ว หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรออกไปยังต่างประเทศ
“สวัสดี คุณหนูเฉิน”
“ฉันให้คุณติดต่อกับนักสะกดจิตคนนั้น แน่ใจนะว่าได้ผล”
“คุณหนูเฉินโปรดวางใจได้เลย นักสะกดจิตคนนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงระดับโลก คนธรรมดาทั่วไปส่วนใหญ่ไม่สามารถที่จะได้เจอตัวเขา เขาเป็นมืออาชีพแท้จริงอย่างแน่นอน!”
“อย่างนั้นก็ดี”
เฉินจิ่งหยุ้นวางสายลงแล้วกุมโทรศัพท์อย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เบนสายตาทอดมองไปยังตัวของเฉินถิงเซียวอีกครั้ง
“ถิงเซียว พี่ทำเพื่อหวังดีต่อนาย ผู้หญิงอย่างมู่น่อนน่อนนั้นมีอะไรดี เมื่อนายฟื้นขึ้นมาก็จะกลายเป็นคนใหม่ที่สมบูรณ์แบบ นายคือความภาคภูมิใจของตระกูลเฉิน พวกเราจะต้องทำให้ตระกูลเฉินรุ่งเรืองยิ่งขึ้น……”
เฉินจิ่งหยุ้นเป็นผู้หญิงที่มีความทะเยอทะยาน
เธอมีความสามารถโดดเด่น แต่ในด้านธุรกิจ เฉินถิงเซียวยังคงเหนือกว่า
เรื่องที่เธอจัดการไม่ได้ ก็จะให้เฉินถิงเซียวเป็นคนจัดการ
สิ่งที่เธอทำทุกอย่างเพียงเพื่อต้องการให้ตระกูลเฉินเจริญรุ่งโรจน์ต่อไป
เฉินถิงเซียวในฐานะผู้นำของบริษัทเฉินซื่อ ทุกอย่างที่มีควรจะต้องให้สมกับฐานะและหน้าตาของเขา
ซือเฉิงหยู้ใบหน้ายิ้มแย้มดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิ ท่าทางและน้ำเสียงนั้น ดูไม่แตกต่างจากตอนที่มู่น่อนน่อนเจอกับเขาครั้งแรก
ในใจของมู่น่อนน่อนนั้นเข้าใจดีที่สุด ว่าภายใต้ใบหน้าที่ราบเรียบของซือเฉิงหยู้นี้ ซ่อนเขี้ยวเล็บยาวที่ดุร้ายของสัตว์ประหลาดไว้
เขาเตรียมพร้อมทำลายทุกสิ่งตลอดเวลา
มู่น่อนน่อนจ้องลึกซือเฉิงหยู้ครู่หนึ่ง จากนั้นหันมามองเฉินถิงเซียว แล้วกล่าวเบาๆ:“ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“เกิดอะไรขึ้น” เฉินถิงเซียวก้มหน้ามองเธอ ตอนที่กุมมือของเธอนั้น รู้สึกถึงความเย็นวาบจากมือของเธอราวกับเพิ่งชักออกมาจากน้ำ ฝ่ามือยังเปียกชุ่มด้วยหยดเหงื่อ
เฉินถิงเซียวค่อยๆขมวดคิ้วขึ้น แล้วหันไปมองทิศทางที่มู่น่อนน่อนวิ่งมาเมื่อสักครู่แวบหนึ่ง เขามองไม่เห็นคนอื่น
นี่ก็แปลว่าสือเย่ได้พาเด็ก ๆ ขึ้นเรือไปอย่างราบรื่นแล้ว อย่างนั้นอะไรกันที่ทำให้มู่น่อนน่อนตื่นกลัวได้เพียงนี้
ซือเฉิงหยู้เอื้อมมือมาขยับหมวกแก๊ปที่อยู่บนศีรษะ แล้วกล่าวถามด้วยน้ำเสียงบางเบา:“ในเมื่อรับเด็กไปแล้วก็ควรจะคืนชิงหนิงมาให้ผมเสียที”
เมื่อสักครู่ซูชิงหนิงมีโอกาสที่จะหนีไป แต่เธอกลับไม่หนี และยังเดินตามมู่น่อนน่อนมา เพียงแค่เดินตามอยู่ด้านหลังของมู่น่อนน่อนเท่านั้น
ซูชิงหนิงเดินตรงมาที่ด้านหน้าของซือเฉิงหยู้ ยิ้มหวานแล้วเรียกขึ้น :“เฉิงหยู้”
“มานี่สิ” ใบหน้าของซือเฉิงหยู้ก็ผุดรอยยิ้มขึ้น ดูอ่อนโยนและสง่างาม ไร้ร่องรอยความดุดัน
มู่น่อนน่อนอาศัยจังหวะที่ซือเฉิงหยู้จดจ่ออยู่ที่ตัวของซูชิงหนิง จับเข้าที่ฝ่ามือของเฉินถิงเซียว หันหลังให้กับซือเฉิงหยู้แล้วพูดโดยไม่มีเสียงให้กับเฉินถิงเซียว : ระเบิด
เฉินถิงเซียวอ่านริมฝีปากของเธอออก การแสดงออกบนสีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้เห็นชัดเจนแต่อย่างใด ๆ มีเพียงดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อย ที่เผยให้เห็นความคิดของเขาในยามนี้
เห็นได้ชัดเจนว่าคำพูดของมู่น่อนน่อนไม่ได้ทำให้เฉินถิงเซียวแปลกใจมากแต่อย่างใด
มู่น่อนน่อนหันไปมองซือเฉิงหยู้ เห็นเขากำลังจ้องซูชิงหนิงอย่างเสน่หา
เขาจับมือของซูชิงหนิงไว้ โดยที่ไม่พูดจาใด ๆ แต่กลับสามารถทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกซาบซึ้ง
หรือบางทีในก้นบึ้งจิตใจที่บ้าคลั่งของซือเฉิงหยู้ อาจมีเพียงผู้หญิงที่ชื่อซูชิงหนิงคนนี้เท่านั้นที่สามารถทำให้เขาสงบลงได้
“ถิงเซียว ลำบากแล้ว เธอเหมือนกับชิงหนิงไม่มีผิด” ซือเฉิงหยู้หันกลับมามองเฉินถิงเซียวฉับพลัน รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งยิ้มยิ่งลุ่มลึก: “หกปีแล้ว ชิงหนิงคนเดียวคงจะโดดเดี่ยวเดียวดาย พวกเราควรจะไปหาเธอ”
ซือเฉิงหยู้ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แววตาของเขาดูแปลกผิดปกติและพึงพอใจ
เวลานี้ เฉินถิงเซียวได้ร้องดังขึ้นทันใด :“ไปกันเถอะ!”
เสียงยังไม่ทันจบ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกเฉินถิงเซียวดึงแล้ววิ่งไปทางทะเล
ซือเฉิงหยู้ที่อยู่ด้านหลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง :“ไม่มีประโยชน์หรอก ผมฝังลูกระเบิดใต้สนามกอล์ฟไว้หมดแล้ว พวกเราทุกคนไปหาชิงหนิง……”
คำพูดท้ายๆถูกเสียงระเบิดที่ดังสนั่นนั้นกลบลง
สำหรับความทรงจำสุดท้ายของมู่น่อนน่อนที่มีต่อซือเฉิงหยู้ ได้หยุดอยู่ในฝุ่นควันจากการระเบิด ภาพใบหน้าที่เรียบสงบของเขา มุมปากที่อมยิ้มยืนอยู่ลานพื้นหญ้า
สนามกอล์ฟที่เห็นๆอยู่ว่าอยู่ไม่ไกลห่างจากน้ำทะเลเท่าไหร่ แต่ในเวลานี้กลับเหมือนวิ่งอย่างไรก็ไม่ไปไม่ถึงจุดหมายเสียที
มีพื้นดินและหมู่มวลหญ้าที่ถูกระเบิดกระเทือนเข้าที่ลำตัวของพวกเขาทั้งคู่ มู่น่อนน่อนพลางวิ่งพลางพูดขึ้น:“ดูแลมู่มู่ให้ดี ๆ ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน”
กำลังแรงของมู่น่อนน่อนสู้เฉินถิงเซียวไม่ได้ ท่ามกลางวินาทีแห่งความเป็นความตายนี้ ชั่วโมงที่ต้องใช้ชีวิตวิ่งแข่งกับเวลา เธอมีแต่จะเป็นภาระให้กับเฉินถิงเซียว
เสียงตูมตามดังอยู่ด้านหลัง
เฉินถิงเซียวยังคงใบหน้าสงบ
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ว่าเฉินถิงเซียวจะเอื้อมมือมากอดเธอ เธอจึงใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักเขาออกไป
มู่น่อนน่อนใช้แรงทั้งหมดที่มี ผลักร่างของเฉินถิงเซียวจนกระเด็นล้มไปด้านหลัง ด้านหลังของเขานั้นเป็นน้ำทะเล ตกลงไปโอกาสรอดเป็นไปได้สูง
เฉินถิงเซียวเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ดวงตาคู่นั้นที่ไร้ความรู้สึกมาแต่ไหนแต่ไร ประกายความลนลานและความกลัว
มู่น่อนน่อนอยากจะเผยรอยยิ้มให้กับเขา แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว……
……
สือเย่ที่รออยู่บนเรือ เห็นมู่น่อนน่อนยังไม่กลับมา จึงตัดสินใจลงเรือแล้วออกไปตามหา
แต่ว่าเมื่อเขากำลังจะลงจากเรือนั้น ก็ได้ยินเสียงดังสนั่นกระแทกเข้ามาในใบหู
ด้านหลังเขามีลูกน้องคนหนึ่งกล่าวขึ้น :“ตรงนั้นมีการระเบิด!”
“คุณผู้ชาย!” สือเย่พึมพำแล้วจะวิ่งลงจากเรือ
แต่แล้วเรือกลับมีการเคลื่อนขยับตัวขึ้น
สือเย่รีบเดินไปที่ห้องควบคุมเรือ :“นายทำบ้าอะไร”
กัปตันเรือที่สีหน้าตกใจกลัว:“เกิดการระเบิดขึ้น แน่นอนว่าต้องรีบออกจากที่นี่ให้โดยเร็วที่สุด!”
“มัดตัวไว้” สือเย่ออกคำสั่ง จึงมีคนไปมัดตัวเขาไว้
และสือเย่ก็รีบวิ่งลงไปจากเรือ
สถานที่หลักๆของการระเบิดคือสนามกอล์ฟ
ตอนที่พวกเขาวิ่งไปถึงนั้น เกือบครึ่งหนึ่งของเกาะนี้เละตุ้มเป๊ะด้วยแรงระเบิดครั้งนี้ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝุ่นควันจนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นหาคนจากตรงไหนดี
สือเย่ได้ติดต่อหน่วยกู้ภัย
โชคดีที่หน่วยกู้ภัยนั้นมาอย่างฉับไว จึงเริ่มทำการค้นหาคนในวงกว้าง
ในขณะเดียวกัน คนที่มาด้วยนั้นยังมีเฉินจิ่งหยุ้น
เมื่อเฉินจิ่งหยุ้นมาถึงสถานที่เกิดเหตุ ก็ใส่อารมณ์สือเย่ทันที:“ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ นายติดตามถิงเซียวตลอดเวลา ทำไมเขาเกิดเรื่องแต่นายกลับไม่เป็นอะไรเลย!”
สือเย่ก้มหน้า ใบหน้าเฉื่อยชา:“สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือรีบหาตัวคุณผู้ชายกับคุณหญิงน้อยให้พบ”
“คุณหญิงน้อยคนไหน มู่น่อนน่อนเหรอ” เมื่อเฉินจิ่งหยุ้นได้ยินชื่อของมู่น่อนน่อน สีหน้าก็ดูแย่ขึ้น: “ฉันว่าแล้ว ด้วยความสามารถของถิงเซียวต้องไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอย่างแน่นอน จะต้องมีคนถ่วง……”
สือเย่ที่เงียบมาโดยตลอด เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินจิ่งหยุ้น ก็อดไม่ได้จึงได้กล่าวขึ้นอย่างเย็นชา:“คุณหนูเฉินยังไม่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องราว อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปเองจะดีที่สุด”
“นาย……” เฉินจิ่งหยุ้นคิดไม่ถึงว่าสือเย่จะกล้าต่อปากต่อคำ
เมื่อสือเย่พูดจบก็ไม่สนใจเธออีก และออกไปตามหาคนพร้อมกับหน่วยกู้ภัย
เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศ ทำให้การค้นหานั้นค่อนข้างลำบาก
ในช่วงบ่ายของวันที่สองของการระเบิด พวกเขาถึงได้เจอตัวซือเฉิงหยู้กับซูชิงหนิง
ทั้งคู่ไม่มีสัญญาณชีพจรแล้ว
หัวใจสือเย่เต้นตึกตัก คุณผู้ชายกับคุณหญิงน้อยคงไม่เป็นอะไรมั้ง
คืนนั้น พวกเขาก็หาตัวเฉินถิงเซียวเจอ
แต่ว่าลมหายใจของถิงเซียวนั้นรวยริน
หน่วยกู้ภัยที่ได้ติดตามไปด้วยได้รีบให้การปฐมพยาบาลช่วยเหลือ สือเย่จึงรีบกล่าวถามขึ้น :“คุณผู้ชาย ท่านได้ยินผมพูดไหม”
เฉินถิงเซียวขยับริมฝีปากเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
สือเย่โน้มตัวเข้าไปฟังใกล้ ๆ ก็ได้ยินเขาพูดอย่างไม่มีสติว่า “มู่……”
คำพูดท้ายๆนั้นได้ยินไม่ชัดเจน
แต่ว่าสือเย่ก็เข้าใจดี ว่าคำพูดของเฉินถิงเซียวนั้นหมายถึงอะไร
สือเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง:“ผมรู้ครับ ผมจะต้องตามหาคุณหญิงน้อยให้เจอ”
เมื่อพาเฉินถิงเซียวขึ้นเรือแล้ว สือเย่จะพาคนทำการหามู่น่อนน่อนต่อไป
แต่ตอนที่หันหลังนั้น กลับได้ยินเสียงของเฉินจิ่งหยุ้นพูดกับหน่วยกู้ภัยว่า:“คนที่พวกเราต้องการหานั้นได้หาเจอแล้ว ลำบากพวกท่านแล้ว”
สือเย่สาวเท้าก้าวยาวเข้าไป :“คุณหนูเฉิน!ยังมีคุณหญิงน้อยที่ยังหาไม่เจอ”
เฉินจิ่งหยุ้นยิ้มอย่างดูแคลน:“คุณหญิงน้อยบ้าบออะไรกัน ถิงเซียวมีคุณหญิงน้อยที่ไหนกัน”
เธอพูดจบก็สั่งกำชับลูกน้อง:“ผู้ช่วยสือเองก็ลำบากแล้ว พวกนายพาผู้ช่วยสือกลับขึ้นเรือไปพักผ่อนได้แล้ว”
นี่ก็สามารถดูออกได้ว่า ความคิดถึงคำนึงหาที่ซือเฉิงหยู้มีต่อซูชิงหนิงนั้นลึกซึ้งมาก
ซือเฉิงหยู้เจ้าเล่ห์สุดๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าซูชิงหนิงนั้นเป็นตัวปลอม
แต่ต่อให้รู้ว่าซูชิงหนิงเป็นตัวปลอม ซือเฉิงหยู้ก็ยังคงปฏิบัติต่อซูชิงหนิงราวกับเป็นตัวจริงอยู่ดี
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มู่น่อนน่อนก็เบาใจลง
แต่ก็ยังคงนอนไม่หลับทั้งคืน
……
วันต่อมา
ซือเฉิงหยู้ส่งคนมาบอกว่าต้องการเชิญเฉินถิงเซียวไปตีกอล์ฟ
สิ่งอำนวยความสะดวกบนเกาะนั้นครบถ้วน มีทั้งสนามตีกอล์ฟ
ตอนที่พวกมู่น่อนน่อนไปถึงนั้น ซือเฉิงหยู้ได้ถือไม้ตีกอล์ฟยืนตีกอล์ฟอยู่คนเดียวภายใต้แสงอาทิตย์ที่เจิดจ้า
ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านหลัง เขาจึงหันไปโบกไม้โบกมือให้กับเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนก็อยากตามเฉินถิงเซียวไปด้วย แต่ถูกเฉินถิงเซียวห้ามไว้:“พวกคุณรอผมอยู่ที่นี่”
เมื่อเขาพูดจบก็หันไปมองสือเย่แวบหนึ่ง
สือเย่หันไปพยักหน้าให้กับเฉินถิงเซียว
เขาติดตามเฉินถิงเซียวมานานหลายปี เขาย่อมเข้าใจโดยปริยาย
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวตีกอล์ฟกับซือเฉิงหยู้อย่างเงียบ ๆ อยู่ไกล ๆ ดูเหมือนกับว่าทั้งคู่จะไร้การสนทนากัน
สายตามองดูทั้งคู่ที่ยิ่งตีก็ยิ่งไกลออกไป มู่น่อนน่อนจึงเดินกระสับกระส่ายอยู่ที่เดิมไปมา
ทันใดนั้นสือเย่เปล่งเสียงขึ้น:“คุณหญิงน้อย ท่านอย่าได้เป็นกังวลไปเลย คุณผู้ชายมีการวางแผนการไว้แล้ว”
มู่น่อนน่อนใบหน้าชะงักงัน :“แผนการอะไร”
สือเย่หันไปมองทางซือเฉิงหยู้แวบหนึ่งอย่างระแวดระวัง แล้วก้มหน้ามองนาฬิกาบนข้อมือ จากนั้นก็พามู่น่อนน่อนจากไปอย่างเงียบๆ
มู่น่อนน่อนพลางเดินพลางถามสือเย่:“เฉินถิงเซียวมีแผนการอะไร”
สือเย่รีบกล่าวเบาๆอย่างรวดเร็ว:“ซือเฉิงหยู้นั่งเรือมา เมื่อคืนพวกเราได้ส่งคนไปตรวจสอบสถานการณ์บนเรือแล้ว ระยะทางจากที่นี่ไปที่บนเรือนั้นใกล้ที่สุด อีกสักพักก็จะสามารถขึ้นไปบนเรือ”
“หมายความว่าอย่างไร เฉินถิงเซียวส่งคนไปขโมยลูกที่วิลล่าของซือเฉิงหยู้เหรอ” มู่น่อนน่อนพูดจบก็หันไปมองรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง
ยังไม่ทันรอให้สือเย่ทำการอธิบาย มู่น่อนน่อนก็เห็นบอดี้การ์ดสองคนที่คุ้นเคยกำลังอุ้มเด็กทารกสองคนเดินมาทางนี้
ท่าทางของชายหนุ่มรูปร่างใหญ่ที่อุ้มทารกนั้นไม่ได้มาตรฐาน หนึ่งในเด็กทารกนั้นกำลังส่งเสียงร้องไห้ ส่วนอีกคนหนึ่งกลับลืมตาแป๋วมองนุ่นมองนี่ด้วยความสงสัย ไม่ส่งเสียงร้องใด ๆ
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป ยื่นสองมือที่สั่นเทาออกไปด้วยความรู้สึกที่ทั้งโศกและดีใจ และไม่รู้ว่าจะรับเด็กคนไหนก่อนดี น้ำตาราวกับมุกที่เชือกขาดแล้วร่วงไหลลงไม่หยุด
เฉินมู่เกิดมาก็ถูกพวกเขาอุ้มไป ท่าทางการอุ้มลูกของมู่น่อนน่อนจึงไม่ค่อยถนัดนัก แต่ก็ยังดีกว่าบอดี้การ์ดสองคนนั้น
เธอรับเด็กทารกที่ไม่ส่งเสียงร้องนั้นมา แล้วน้ำตาก็ยิ่งไหลหลั่งพรั่งพรู
ทารกที่ใกล้จะสามเดือน นั้นดูน่ารักขึ้นมาก ผมเผ้าดกดำ ผิวขาวอมชมพู ดวงตากลมดำเหมือนกับลูกองุ่น เธอเห็นมู่น่อนน่อนที่ร้องไห้ กลับส่งเสียงหัวเราะอ้อๆแอ้ๆขึ้น และเอื้อมมือไปจับใบหน้าเธออย่างไม่รู้ตัว
มู่น่อนน่อน:“แม่รู้……ว่าหนูคือมู่มู่”
สือเย่กล่าวขึ้น :“คุณหญิงน้อยครับ จะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ พวกเราไปที่เรือกันก่อนเถอะ”
มู่น่อนน่อนหันไปมองทางสนามกอล์ฟที่อยู่ด้านหลังครู่หนึ่ง แล้วก็อุ้มทารกเดินตามสือเย่ไป
เธอไม่รู้ว่าคนของเฉินถิงเซียวพาตัวเด็กทารกสองคนมาได้อย่างไร แต่ว่าคนที่อยู่บนเรือนั้นล้วนเป็นลูกน้องของเฉินถิงเซียว
กะลาสีเรือก็ถูกลูกน้องของเฉินถิงเซียวควบคุมไว้แล้ว
ยามนี้มู่น่อนน่อนถึงได้มีโอกาสมองเด็กทารกสองคนอย่างละเอียดจริงจัง
เธอตกใจที่พบว่าเด็กอีกคนนั้นเป็นเด็กผู้ชาย
คนที่เธออุ้มเมื่อสักครู่นั้นเป็นเฉินมู่!
“มู่มู่” มู่น่อนน่อนอุ้มเธอเข้ามาในอ้อมกอดแล้วหอมอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมปล่อยมือ
มู่น่อนน่อนแตะที่มือของเธอ จับที่เท้าของเธอ……จับตรงนั้นทีตรงนี้ที ดีใจอย่างกับอะไรก็ไม่รู้
เฉินมู่ก็ไม่งอแง จ้องมู่น่อนน่อนอย่างร่าเริง ส่งเสียงอ้อๆแอ้ๆอย่างมีความสุข
ผ่านไปสักพัก เฉินมู่ก็เริ่มเบะปากร้องไห้
มู่น่อนน่อนอุ้มเธอแล้วโอ๋เบาๆ จากนั้นถามขึ้น :“หิวแล้วเหรอลูก”
ตอนที่มานั้น เธอกับเฉินถิงเซียวได้เตรียมของไว้มากมาย ทั้งนมผงและผ้าอ้อมเสื้อผ้าต่าง ๆ……
เธอไปชงนมให้กับเฉินมู่ ก็ไม่ยอมปล่อยเธอลง
เมื่อชงนมเสร็จแล้ว เฉินมู่ก็ดื่มนมอย่างน่าเอ็นดู จากนั้นก็นอนหลับใหลไป
เวลานี้มู่น่อนน่อนถึงได้ถามสือเย่:“เฉินถิงเซียวยังไม่มาเหรอ”
สือเย่ก็ขมวดคิ้วเบาๆ:“ยังครับ”
มู่น่อนน่อนก้มหน้ามองเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดแล้วเม้มปาก จากนั้นกล่าว:“ฉันจะไปดูสักหน่อย”
เธอพลางพูดพลางยื่นเด็กให้กับสือเย่
สือเย่เคยมีลูกกับอดีตภรรยา จึงอุ้มเด็กได้อย่างคล่องแคล่ว
เขารับเด็กมา แล้วกล่าวอย่างกังวล:“คุณหญิงน้อยครับ ให้ผมไปแล้วกันนะ”
มู่น่อนน่อนจึงถามเขาว่า :“พวกนายสามารถพาเด็กสองคนนี้มาได้ คนของซือเฉิงหยู้จะต้องถูกพวกนายจัดการแล้วใช่ไหม”
สือเย่พยักหน้า มู่น่อนน่อนกล่าวต่อ :“ตอนนี้บนเกาะมีเพียงเฉินถิงเซียวกับซือเฉิงหยู้ ปลอดภัยมาก”
สือเย่รู้สึกว่าคำพูดของมู่น่อนน่อนมีเหตุผล เข้าใจความเป็นห่วงของมู่น่อนน่อน จึงไม่ได้รั้งเธอไว้อีก
……
มู่น่อนน่อนกลับไปที่สนามกอล์ฟอีกครั้ง พบว่าเฉินถิงเซียวกับซือเฉิงหยู้ทั้งคู่ยังคงจดจ่อกับการตีกอล์ฟ
ซือเฉิงหยู้ราวกับไม่ได้กังวลว่าเฉินถิงเซียวจะใช้โอกาสนี้ให้สือเย่ไปตามหาตัวเด็ก
ตรงจุดนี้ทำให้มู่น่อนน่อนเกิดความสงสัย
ซือเฉิงหยู้เจ้าเล่ห์ขนาดนี้ จะประมาทเช่นนี้ได้อย่างไร
มู่น่อนน่อนไม่ได้ปรากฏตัว แต่ยืนมองพวกเขาอยู่ไกล ๆ
เวลานี้ด้านหลังมีเสียงวิ่งดังขึ้นเป็นระยะ ๆ
ยังมีคนอื่นอีกเหรอ
มู่น่อนน่อนหันกลับไปมองด้วยความสงสัย ก็เห็นซูชิงหนิงที่วิ่งมาทางนี้ด้วยใบหน้ารีบร้อน
มู่น่อนน่อนหันไปมองเฉินถิงเซียวแวบหนึ่ง แล้วถึงได้เดินไปทิศทางของซูชิงหนิง:“ชิงหนิง ทำไมคุณยังอยู่บนเกาะ ฉันคิดว่าคุณขึ้นเรือไปกับพวกเขาแล้วเสียอีก”
“คุณหญิงน้อย ฉันรู้สึกว่าบนเกาะมันแปลกๆ รีบจากไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่า” บนหน้าผากของซูชิงหนิงมีคราบเหงื่อซึมออกมา เห็นได้ชัดเจนว่าได้วิ่งมาอย่างรีบร้อน
มู่น่อนน่อนสีหน้าชะงักงัน:“แปลกยังไง”
ซูชิงหนิงสีหน้าเปลี่ยน แววตาประกายความกลัว:“ฉันเป็นห่วงว่าคุณผู้ชายยังคงต้องการความช่วยเหลือจากฉัน ดังนั้นเมื่อสักครู่จึงไม่ได้ตามพวกเขาไป ตอนที่ฉันเดินลงจากตึกนั้น พบว่าในห้องชั้นใต้ดินนั้น……มีระเบิด”
สามคำสุดท้ายนั้น เห็นได้ชัดว่าซูชิงหนิงพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ
มู่น่อนน่อนหน้าถอดสี หันหลังแล้ววิ่งไปทางเฉินถิงเซียว
ซูชิงหนิงเรียกเธออยู่ด้านหลัง:“คุณหญิงน้อย!”
เวลานี้ ในหัวสมองของมู่น่อนน่อนเต็มไปด้วยความว่างเปล่า จึงไม่ได้ยินเสียงของใครทั้งนั้น
เธอรู้อยู่แล้วว่าคงไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้น
เธอรู้อยู่แล้วว่าคนบ้าอย่างซือเฉิงหยู้ไม่มีทางให้พวกเขาสมหวังได้อย่างง่ายๆ
เฉินถิงเซียวที่เพิ่งจะตีกอล์ฟลงหลุม รู้สึกถึงบางอย่างจึงได้หันหลังไปมอง
“มู่น่อนน่อน?”
เธอตอนนี้ควรจะอยู่บนเรือแล้วไม่ใช่เหรอ วิ่งกลับมาอีกทำไม!
มู่น่อนน่อนได้วิ่งมาถึงด้านหน้าของเฉินถิงเซียว และมองไปทางซือเฉิงหยู้อย่างระแวดระวัง
ซือเฉิงหยู้เอียงศีรษะมามองเธอ กล่าวด้วยน้ำเสียงเบา ๆ:“น่อนน่อนมาแล้วเหรอ”
ตอนแรกที่รู้ว่าเฉินถิงเซียวหาผู้หญิงหนึ่งคนมาเพื่อเปลี่ยนแปลงโฉมเป็นซูชิงหนิงนั้น มู่น่อนน่อนก็เคยตกใจและเกิดความสงสัย
ต่อมาเมื่อรู้ว่าซูชิงหนิงนั้นเต็มใจ ในใจเธอก็เกิดความคิดที่สับสนวุ่นวาย
ความรู้สึกแบบนั้นราวกับการใช้ผู้หญิงอีกคนหนึ่งไปแลกกับลูกสาวของตัวเอง
ชีวิตไม่มีสูงต่ำจนรวย แต่ว่าคนเรามักจะเห็นแก่ตัวเสมอ
เห็นมู่น่อนน่อนเงียบอยู่นานสองนาน ซูชิงหนิงจึงยิ้มแล้วปลอบใจเธอ:“คุณหญิงน้อย คุณอย่าได้คิดว่าติดค้างอะไรฉันเลย นี่เป็นสิ่งที่ฉันเต็มใจ นี่ทำให้ฉันได้รู้สึกว่าการมีชีวิตของตัวเองนั้นยังมีค่า ถ้าหากว่าไม่ใช่คุณผู้ชาย ฉันคงตายไปนานแล้ว”
ถึงแม้มู่น่อนน่อนจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก แต่เมื่อเทียบกับเฉินถิงเซียว สิ่งร้ายๆที่เธอเจอมันเทียบไม่ได้เลยแม้แต่เศษเสี้ยวของเขา
เธอก้มหน้า เงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวขึ้น:“ขอบคุณนะ”
เธอคิดแล้วได้กล่าวเตือนซูชิงหนิง:“ซือเฉิงหยู้คนนั้นเจ้าเล่ห์มาก หากถึงเวลานั้นคุณจะต้องระมัดระวังตัวให้มากนะ”
……
เมื่อเครื่องบินมาถึงเกาะนั้น เป็นช่วงเวลาเช้าตรู่ของการนัดหมายของวันที่สามที่นัดกับซือเฉิงหยู้พอดี
หลังจากที่มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวมาถึงแล้วนั้น ซือเฉิงหยู้ก็ยังมาไม่ถึง
คนของเฉินถิงเซียวได้ค้นตรวจดูทั่วรอบเกาะ นอกจากคนรับใช้สองสามคนในบ้านแล้ว ไม่มีอะไรอื่นใดอีก
มู่น่อนน่อนมองท้องทะเลที่สีฟ้าครามสดใส ถามเฉินถิงเซียวด้วยจิตใจที่กระสับกระส่าย:“เขาจะเปลี่ยนใจกะทันหันแล้วไม่มาไหม”
เฉินถิงเซียวกะพริบดวงตาเบาๆ :“ไม่หรอก ผมรู้จักเขาดี”
คนสองคนที่คบกันมานานหลายปี ย่อมต้องมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน
และส่วนที่คล้ายคลึงกันระหว่างเขากับซือเฉิงหยู้ ก็คือการแน่วแน่กับบุคคลและก็เรื่องงาน
ซูชิงหนิงสำหรับซือเฉิงหยู้แล้ว เป็นคนที่พิเศษมาก
ซือเฉิงหยู้รู้สึกว่ามู่หวั่นขีมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับซูชิงหนิงมาก ดังนั้นถึงได้อยู่ด้วยกันกับมู่หวั่นขี และตามใจเอาใจมู่หวั่นขีทุกอย่าง
แม้แต่มู่หวั่นขีเขายังสามารถอดทนได้ อย่าว่าแต่แบบคนจำลองที่เฉินถิงเซียวเตรียมไว้อย่างสมบูรณ์แบบเลย
ซือเฉิงหยู้จะต้องมาอย่างแน่นอน
มู่น่อนน่อนเดินตามเฉินถิงเซียว รอคอยการมาของซือเฉิงหยู้อย่างใจจดใจจ่อและลนลาน
พวกเขารอตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตกดิน จนในที่สุดซือเฉิงหยู้ก็มาพร้อมกับความมืด
ซือเฉิงหยู้นั้นได้นั่งเรือมา พาคนมาไม่น้อย
ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันในห้องโถงของวิลล่า
เกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ถูกซือเฉิงหยู้ซื้อไว้แล้ว และได้สร้างลานจอดเครื่องบินและวิลล่าสุดหรู
ลูกน้องของซือเฉิงหยู้ยืนเรียงกันเป็นแถวอยู่ทั้งสองข้าง โดยเว้นที่ตรงกลางเป็นทางไว้
ซือเฉิงหยู้เดินค่อยๆออกมา สายตาของเขาทอดไปยังตัวของเฉินถิงเซียว แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนปกติเช่นอย่างเคย:“เรือค่อนข้างช้า ทำให้คุณรอนานแล้ว ถิงเซียว”
เฉินถิงเซียวสีหน้าบึ้ง:“ลูกผมล่ะ”
ซือเฉิงหยู้ทำการปรบมือ จึงเห็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินอุ้มเด็กทารกเข้ามา
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ด้านหลังเฉินถิงเซียว เมื่อเห็นหญิงวัยกลางคนคนนั้นอุ้มเด็กทารกเข้ามา ก็อดไม่ได้ที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าแล้วงึมงำขึ้น:“มู่มู่……”
เฉินถิงเซียวดึงรั้งเธอไว้ สายตายังคงจ้องไปทางซือเฉิงหยู้ :“ผมจะเชื่อได้อย่างไรว่านั่นเป็นลูกสาวของผม”
“เหอะๆ!” ซือเฉิงหยู้หัวเราะขึ้น :“คุณยังคงฉลาดเหมือนเดิม”
ซือเฉิงหยู้พูดจบ ก็มีหญิงวัยกลางคนอีกคนอุ้มเด็กทารกเดินออกมา
มู่น่อนน่อนสีหน้าตกใจ วินาทีถัดไปก็ได้ยินเสียงซือเฉิงหยู้ดังขึ้นอย่างช้า ๆ :“ทายสิ คนไหนลูกสาวคุณ”
เมื่อเสียงสิ้นสุดลง ลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านหลังของซือเฉิงหยู้ได้ยื่นปืนหนึ่งกระบอกมาให้เขา
ซือเฉิงหยู้เป่าเข้าที่ปากกระบอกปืน ถือปืนแล้วเล็งไปตัวเด็กทารกสองคนนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าแลดูอ่อนโยน:“ได้ยินมาว่าพ่อแม่กับลูกนั้นจะมีกระแสจิตส่งถึงกัน ผมเชื่อว่าพวกคุณจะต้องทายถูกอย่างแน่นอน”
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปาก :“ซือเฉิงหยู้ พวกเขาเป็นแค่เด็กน้อย พวกเขายังเป็นเพียงทารกที่ไม่สามารถพูดหรือเดินได้เลยนะ!”
ถึงแม้ซือเฉิงหยู้จะไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด แต่ความหมายของเขานั้นได้ชัดเจนในตัว ถ้าหากว่าเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนเลือกทารกใดทารกหนึ่ง ทารกอีกคนก็จะต้องถูกเขายิงทิ้ง……
ช่างอำมหิตผิดมนุษย์จริง ๆ
“น่อนน่อน คุณอย่าไปดูถูกคนอื่นว่าตัวเล็กสิ จะต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน จะต้องเคารพในกฎกติกาของเกม ไม่อย่างนั้น……” ซือเฉิงหยู้พูดมาถึงตรงนี้ก็ได้หยุดชะงักไปชั่วครู่ สีหน้าค่อยๆเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น : “พวกคุณสักคนก็อย่าหวังว่าจะได้!”
“เฉิงหยู้”
ทันใดนั้นจู่ ๆ มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมาจากด้านหลัง
มู่น่อนน่อนหันหลังไปพร้อมกับพวกเขา แล้วก็เห็นซูชิงหนิงเดินลงมาจากบนตึก
ซูชิงหนิงผมตรงยาวถึงเอว สวมชุดรวดกระโปรงสีขาว อ่อนโยนและงดงาม
สายตาของเธอตกกระทบไปที่ตัวของซือเฉิงหยู้อย่างแน่วนิ่ง:“ไม่เจอกันตั้งหลายปี คุณเปลี่ยนไปเยอะเลยนะคะ”
เธอพลางพูดพลางเดินตรงมาหาซือเฉิงหยู้
มู่น่อนน่อนสังเกตเห็น วินาทีที่ซือเฉิงหยู้มองซูชิงหนิงนั้น มีท่าทีการแสดงออกที่เปลี่ยนไปฉับพลัน
ตกใจ ประหลาดใจ ตื่นเต้น ดีใจ……หลากหลายอารมณ์ประกายแวบผ่านใบหน้าของเขา
“ชิง……ชิงหนิง?” “ปัง” เสียงปืนในมือของเขาตกลงกระแทกพื้น
ซูชิงหนิงเดินผ่านฝูงคนมาถึงด้านหน้าของเฉิงหยู้:“ฉันเอง”
ซือเฉิงหยู้มองใบหน้าใบนี้ของซูชิงหนิง เป็นใบหน้าเดียวกันกับซูชิงหนิงที่อยู่ในความทรงจำของเขา เขาที่ไม่อยากแม้แต่จะกะพริบตา
ซูชิงหนิงยื่นมือไปจับมือของซือเฉิงหยู้ น้ำเสียงอ่อนโยน “เฉิงหยู้ คุณกับถิงเซียวทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ ฉันไม่รู้ว่าพวกคุณมีอะไรเข้าใจผิดกัน แต่ว่าเด็กนั้นไม่รู้เรื่องอะไร คุณคืนเด็กให้พวกเขาไปเถอะนะ ดีไหม”
มู่น่อนน่อนกุมมือตัวเองด้วยความตื่นเต้น ปลายเล็บที่กำขึ้นได้ทิ่มแทงอยู่ที่ฝ่ามือ แต่เธอกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บ
ซือเฉิงหยู้ราวกับถูกซูชิงหนิงสะกดจิตไว้ พยักหน้าให้เบาๆ
แววตามู่น่อนน่อนประกายความดีใจขึ้น แต่ว่าความดีใจของเธอนั้นยังไม่ทันได้แสดงออกมา ก็ได้ยินซือเฉิงหยู้กล่าวขึ้น :“ชิงหนิง พวกเราไม่ต้องรีบร้อน เล่นเกมกับผมก่อน เป็นเกมที่สนุก เมื่อจบเกมแล้ว ผมจะพาคุณกลับบ้านนะ”
ซือเฉิงหยู้พูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียว:“ถิงเซียว วันนี้ผมเดินทางมาเหนื่อยมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเล่นต่อแล้วกันนะ”
เมื่อพูดจบเขาก็พาคนเดินออกไป
บนเกาะนี้สร้างวิลล่าไว้หลายหลัง ซือเฉิงหยู้จึงพาคนอื่น ๆไปพักที่วิลล่าอื่น
ทันทีที่ซือเฉิงหยู้จากไป ซูชิงหนิงก็ล้มฟุบลงไปกองอยู่กับพื้น
มู่น่อนน่อนเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปพยุงเธอขึ้นมา
ซูชิงหนิงจับแขนของมู่น่อนน่อนไว้ แล้วกล่าวด้วยจิตใจที่สั่นระรัว:“ฉันรู้สึกว่าเขาดูออกว่าฉันเป็นตัวปลอม”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกตกใจ ยังไม่ทันที่เธอจะถามเฉินถิงเซียว เสียงของเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้น:“เขารู้อยู่แล้วว่าคุณเป็นตัวปลอม”
มู่น่อนน่อนมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา: “คุณพูดว่าอะไรนะ ซือเฉิงหยู้รู้ว่าเธอเป็นซูชิงหนิงตัวปลอม อย่างนั้นทำไมเขายังนำมู่มู่ตัวจริงมาแลกเปลี่ยนล่ะ”
เธอรู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
เฉินถิงเซียวจึงได้แต่เอ่ยปากเตือนสติเธอ:“มู่หวั่นขี”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นทันใด :“ความหมายของคุณคือ……”
“ใช่” เฉินถิงเซียวไม่รอให้เธอได้พูดจบ ก็พูดขัดจังหวะเธอ แล้วมองเธออย่างลึกซึ้ง: “ในใจของคนเราล้วนมีความคิดถึงคำนึงหา”
มู่น่อนน่อนนึกถึงความเอาใจอย่างอ่อนโยนและความรักความเอ็นดูที่ซือเฉิงหยู้มีต่อมู่หวั่นขี ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพราะมู่หวั่นขีมีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับซูชิงหนิง
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้น กล่าวเพียงเบาๆ :“ใช่สิ พวกเขาต้องการเงินสดเพียงห้าสิบล้านเท่านั้น ปีนั้นพวกเขาอยากได้ตั้งหนึ่งร้อยล้าน”
เฉินชิงเฟิงที่หวาดกลัวมากเกินไป จึงพูดออกมาตะกุกตะกักไม่ชัดเจน :“ใช่ๆ……พวกเขาต้องการเงินสดเพียงห้าสิบล้านเท่านั้นเอง ลูกให้พวกเขาไปเถอะนะ……”
เฉินถิงเซียวคือฟางเส้นสุดท้ายที่จะสามารถช่วยพวกเขาได้ เขาจึงได้แต่คว้าเฉินถิงเซียวเอาไว้แน่น
“อย่างนั้นทำไมตอนนั้นคุณถึงไม่ยอมออกหนึ่งร้อยล้านไปล่ะ” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวน่ากลัวดุจกับอสูรที่คลานออกมาจากขุมนรก
“ถิงเซียว……ถิงเซียว ฉันเป็นพ่อของแกนะ แกช่วยพ่อหน่อยเถอะ……” ความคิดเดียวของเฉินชิงเฟิงในตอนนี้ก็คือการขอร้องเฉินถิงเซียว
“ตอนนั้นหากคุณนึกถึงและเห็นแก่การเป็นสามีภรรยาสักนิด แม่ของผมก็คงจะไม่มีจุดจบเช่นนั้น! เฉินชิงเฟิง นี่คือกรรมตามสนอง!”
คำพูดแต่ละคำของเฉินถิงเซียวล้วนเล็ดลอดมาจากช่องไรฟันของเขา เมื่อเขาพูดจบก็วางสายโทรศัพท์ดัง “ปัง”
ยามนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
คนรับใช้ต่างถูกไล่ออกไปหมด ในห้องโถงไม่มีการเปิดไฟ ทำให้ดูมืดสลัว
ห้องโถงที่ขนาดใหญ่ นอกจากเฉินถิงเซียวกับสือเย่ที่ยืนอยู่เงียบๆด้านหลังเขาแล้ว ก็มีเพียงเฉินจิ่งหยุ้นที่เป็นลมหมดสติไป
เฉินถิงเซียวอยู่ในท่าเดียว นั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อน ราวกับกำลังจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความมืดที่กำลังคลานมาถึง
สักพัก สือเย่จึงเรียกขึ้นด้วยความเป็นห่วง :“คุณผู้ชายครับ”
ไม่รู้ว่ามู่น่อนน่อนได้เดินลงมาจากตึกตั้งแต่เมื่อไร
เธอก้าวเบาๆเดินเข้าไป สือเย่รีบปิดท่อนแขนที่โจรลักพาตัวนั้นส่งมา:“คุณหญิงน้อย”
มู่น่อนน่อนรับสั่ง:“ประคองคุณหนูเฉินกลับไปที่ห้อง ที่นี่มีฉันอยู่”
สือเย่จึงพาเฉินจิ่งหยุ้นกับท่อนแขนนั้นจากไป
มู่น่อนน่อนนั่งลงข้างๆเฉินถิงเซียว
ท้องฟ้ามืดค่ำลง ในห้องที่ไม่มีการเปิดไฟ เธอนั้นมองไม่เห็นใบหน้าของเฉินถิงเซียวแล้ว
มู่น่อนน่อนยื่นมือประคองใบหน้าของเขา แล้วหันใบหน้าของเขามา จากนั้นจ้องประสานหน้ากับเขา :“เฉินถิงเซียว”
เฉินถิงเซียวหันหน้ามา แล้วใช้แรงจับมู่น่อนน่อนเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด แต่ก็ไม่ลืมที่จะหลีกเลี่ยงรอยบาดแผลที่ยังไม่สมานบนไหล่ของเธอ
มู่น่อนน่อนเอื้อมมือมาตบที่ไหล่ของเฉินถิงเซียวเบาๆ เวลาเช่นนี้ คำปลอบโยนมากมายก็ไร้ประโยชน์
เธอสัมผัสถึงลมหายใจของเฉินถิงเซียวนั้นเต็มไปด้วยแรงกดดัน ที่กำลังรดแรงๆอยู่บนต้นคอของเธอ
“แม่ของผมเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและงดงาม เธอแสนดีกว่าใคร ๆ” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวแหบแห้งอย่างเจ็บปวดทรมาน
เบ้าตาอมู่น่อนน่อนเปียกซึมเล็กน้อย:“ฉันรู้”
เธอรู้ว่าแม่ของเฉินถิงเซียวเป็นผู้หญิงที่เก่งมาก เธอเป็นผู้หญิงจากครอบครัวนักวิชาการ คิดว่าได้แต่งงานกับชายคนที่ใช่ แต่สุดท้ายกลับต้องมาเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจแบบนั้น
ช่างไม่ยุติธรรมเลยจริง ๆ
คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่กลับต้องมารับความเจ็บปวดทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ทำไมพวกเขาถึงลงมือได้ลง”
มู่น่อนน่อนมองไม่เห็นใบหน้าของเฉินถิงเซียว แต่กลับสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เจ็บปวดและหมดหนทางในคำพูดของเขา
หลายปีผ่านไป แม่ของเขาจิ่งชูเหมือนกับหนามที่ตำอยู่ในใจของเขา ที่ฝังลึกอยู่ข้างใน ที่แค่สะกิดก็จะเกิดความเจ็บปวด
ถึงแม้ตอนนั้น แม่ของเฉินถิงเซียวจะเสียชีวิตจากการถูกลักพาตัวจริง ๆ เฉินถิงเซียวก็คงจะไม่เจ็บปวดเช่นนี้
มู่น่อนน่อนไม่สามารถตอบคำถามของเฉินถิงเซียวได้
คำถามนี้ของเขานั้นไม่สามารถหาคำตอบได้
เธอไม่ใช่เฉินชิงเฟิง และก็ไม่ใช่เฉินเหลียน ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถคาดเดาได้เกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขาทำในตอนนั้น ว่าจิตใจกำลังคิดอะไรกันอยู่
แม้แต่เธอที่เป็นคนนอกของเรื่องราวยังรู้สึกยากที่จะยอมรับ เธอไม่อาจจินตนาการความเจ็บทรมานของเฉินถิงเซียวในตอนนี้ว่ามีมากมายเพียงใด
เธอโอบเฉินถิงเซียวไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น:“คุณยังมีฉัน ยังมีมู่มู่ พวกเราครอบครัวเดียวกันไม่นานก็จะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ถ้าหากว่าคุณแม่ที่อยู่บนฟ้ารู้ว่าคุณมีชีวิตที่มีความสุข เธอจะต้องดีใจมากอย่างแน่นอน เธอรักคุณมาก”
ทันทีที่คำพูดเธอจบลง เธอก็สัมผัสถึงของเหลวอุ่นๆร่วงหล่นมาที่ลำคอของเธอ
มู่น่อนน่อนไม่กล้าที่จะขยับตัว และก็ไม่สามารถพูดต่อได้อีก
……
วันรุ่งขึ้น
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวออกเดินทางไปยังเกาะที่ซือเฉิงหยู้กล่าวถึง
เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่ล้อมรอบด้วยน้ำทะเล ทิวทัศน์สวยงามสุดๆ ถ้าบินจากเมืองหู้หยางใช้เวลาบินหนึ่งคืนหนึ่งวันเต็ม
ก่อนเดินทาง มู่น่อนน่อนเห็นพาดหัวข่าวหน้าใหม่ว่า
“เฉินชิงเฟิงที่ถูกลักพาตัวได้ถูกค้นพบกลางดึกเมื่อคืน ได้ถูกนำตัวส่งรักษาที่โรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน และพ้นขีดอันตรายแล้ว”
มู่น่อนน่อนอ่านข่าวดูคร่าวๆแล้วก็ปิดหน้าเว็บข่าวลง จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์ เงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียวที่นั่งอยู่ตรงข้าม
เมื่อคืนเธอกับเฉินถิงเซียวนั่งอยู่ที่ห้องโถงอยู่นานสองนาน ต่อมาเธอก็หลับใหลไป ตื่นมาอีกทีก็อยู่บนเครื่องบินแล้ว
เฉินถิงเซียวยังคงเหมือนเดิมปกติ รูปร่างสูงยาวสวมชุดสูท ในมือถือกองเอกสารไว้ ใบหน้าที่ก้มลงดูเย็นชา ไม่เห็นความเศร้าหมองแต่อย่างใด
ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของผู้ชายคนนี้ช่างน่าทึ่งจนน่าตกใจ
“ดูเหมือนว่าผมจะน่าดึงดูดกว่าอาหารเช้าเลยนะ” เฉินถิงเซียววางกองเอกสารในมือลง เงยหน้าขึ้นมองเธอ : “คุณจ้องผมสองนาทีแล้ว อาหารเช้ายังไม่ได้ทานสักคำ”
มู่น่อนน่อนชะงัก ก้มหน้าหยิบซาลาเปาขึ้นมาทานคำหนึ่งแล้วกล่าว :“ไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณมีเครื่องบินส่วนตัว”
ครั้งนี้เครื่องบินที่พวกเขานั่งคือเครื่องบินส่วนตัวของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวก้มหน้าลงแล้วดูเอกสารต่อ:“หากชอบกลับไปจะซื้อให้คุณหนึ่งลำ”
มู่น่อนน่อนทานซาลาเปาเข้าไปสองลูกแล้วไม่ขยับตัวอีก นั่งอยู่ข้างๆดูเอกสารพร้อมกับเขา
เฉินถิงเซียวดูเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับเกาะ รวมไปถึงการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของซือเฉิงหยู้ในครึ่งปีที่ผ่านมา
ซือเฉิงหยู้เขียนที่อยู่ให้กับเขา เขานอกจากจะส่งคนคอยเฝ้าติดตามซือเฉิงหยู้แล้ว ยังได้ส่งคนไปดูลาดเลาบนเกาะนั้นก่อน
แต่บนเกาะนั้นนอกจากมีบ้านไม่กี่หลังและคนรับใช้เพียงไม่กี่คนที่คอยเฝ้าบ้านแล้ว ก็ไม่เจอเฉินมู่
มู่น่อนน่อนยกมุมปากขึ้น กล่าวด้วยใบหน้าที่กังวล :“ซือเฉิงหยู้นั้นเจ้าเล่ห์มาก ฉันมักจะรู้สึกว่ามันไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้น”
“เชื่อมั่นตัวผมไหม” เฉินถิงเซียววางเอกสารในมือลง เอื้อมมือมาดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอด
มู่น่อนน่อนพยักหน้ารับ แล้วกล่าวออกมาทีละคำ:“ไม่ว่าจะเวลาไหน ฉันก็เชื่อมั่นในตัวคุณเสมอ”
เฉินถิงเซียวช่วยเธอปัดเส้นผมรอบใบหูของเธอ :“อย่างนั้นก็อย่าคิดมาก”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า แล้วหันหน้ามองออกไปยังนอกหน้าต่าง แต่ความกังวลใจนั้นกลับไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วลุกยืนขึ้น :“ฉันจะไปดูคุณหนูซูสักหน่อย”
เฉินถิงเซียวดูเหมือนจะรู้ว่าเธอกังวลใจ จึงไม่ได้พูดอะไร เพียงพยักหน้าแล้วปล่อยเธอไป
ตอนที่มู่น่อนน่อนเข้าไปนั้น ก็เห็นซูชิงหนิงนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ท่าทางสงบงดงาม
มู่น่อนน่อนได้เรียกขึ้น :“คุณหนูซู”
ซูชิงหนิงหันหน้ามามองเธอ :“คุณหญิงน้อย”
“ขออภัยค่ะ ฉันไม่รู้ว่าชื่อเดิมของคุณคืออะไร” มู่น่อนน่อนคิดไม่ออกจริง ๆว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่จะเต็มใจยอมเปลี่ยนแปลงโฉมเป็นผู้หญิงอีกคน นั้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง
ซูชิงหนิงที่ใบหน้าเรียบเฉย:“ชื่อเดิมชื่ออะไรนั้นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือคุณผู้ชายได้ช่วยฉันไว้ และการมีชีวิตของฉันบังเอิญสามารถช่วยพวกคุณตามหาตัวคุณหนูน้อย”
สีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นเปลี่ยนขึ้นกะทันหัน และร้องเรียกด้วยความตกใจ:“พ่อ พ่อจริง ๆ เหรอคะ” เธอพูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียว:“ถิงเซียว พ่อโทรมา”
“เหรอ” เฉินถิงเซียวเดินเข้ามา นั่งลงบนโซฟาที่อยู่ตรงหน้าเธอ
เฉินจิ่งหยุ้นคิดว่าเฉินถิงเซียวอยากฟังเสียงสนทนาของเฉินชิงเฟิง จึงเปิดลำโพงขึ้น
เสียงของเฉินชิงเฟิงดังลอยมาจากโทรศัพท์ น้ำเสียงลนลาน:“จิ่งหยุ้น พ่อถูกลักพาตัว พวกเขาต้องการสามร้อยล้าน พวกเขาได้สามร้อยล้านพ่อก็จะถูกปล่อยตัว……ลูกช่วยพ่อรวบรวมเงิน……”
เฉินชิงเฟิงพูดยังไม่ทันจบ โทรศัพท์ก็ถูกคนแย่งไป น้ำเสียงคนที่แย่งมาพูดนั้นแปลกและแหบแห้ง เห็นได้ชัดว่าโจรลักพาตัวนั้นได้ใช้เครื่องดัดเสียง:“ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง หากไม่เห็นสามร้อยล้าน ก็รอมาเก็บศพเขาได้เลย! จำไว้ ห้ามแจ้งความเด็ดขาด”
เฉินจิ่งหยุ้นรีบกล่าวขึ้นทันใด:“ได้ๆ สามร้อยล้าน ฉันรู้แล้ว ฉันจะรีบหาสามร้อยล้านมาให้ได้ คุณอย่า……ตู๊ด ๆ ๆ”
เธอยังไม่ทันพูดจบ โทรศัพท์ก็ถูกวางสายไปแล้ว
“คุณพ่อถูกลักพาตัวไปจริงเหรอ ถ้าหากพี่ไม่ใช่บังเอิญกลับมา ไม่ใช่บังเอิญรับสายโทรศัพท์จากโจรลักพา นายไม่คิดที่จะบอกกับพี่ใช่ไหม และก็ไม่คิดที่จะไปช่วยคุณพ่อด้วยใช่ไหม”
น้ำเสียงของเฉินจิ่งหยุ้นเดือดดาล :“เฉินถิงเซียว ทำไมนายถึงเลือดเย็นอย่างนี้ ไม่ว่านายกับพ่อจะมีความแค้นกันมากแค่ไหน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อบังเกิดเกล้าของพวกเรานะ!”
สำหรับคำตำหนิติโทษของเฉินจิ่งหยุ้น สีหน้าการแสดงออกของเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
แววตาของเขาจ้องมาทางเฉินจิ่งหยุ้น แต่คำพูดนั้นกลับพูดกับสือเย่:“ได้ยินหรือยัง เธอต้องการสามร้อยล้านเพื่อไปช่วยคุณพ่อของเธอ ยังไม่รีบไปจัดการอีก”
“ครับ” สือเย่ตอบรับคำแล้วก็ออกไป
“ถิงเซียว นาย……เมื่อกี้พี่แค่เป็นห่วงคุณพ่อมากเกินไป” เฉินจิ่งหยุ้นคิดไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวจะให้เธอสามร้อยล้านอย่างง่ายดาย
เฉินถิงเซียวทำเพียงยกริมฝีปากอย่างมีเลศนัย และไม่ได้พูดอะไร
เวลานี้เฉินเจียฉินที่สะพายกระเป๋านักเรียนเดินเข้ามาจากด้านนอก
เฉินเจียฉินเทอมนี้เรียนอยู่ในโรงเรียนประจำ เป็นโรงเรียนทหาร เป็นโรงเรียนที่เข้มงวดกวดขันมาก อยู่ในโรงเรียนเขาต้องมอบโทรศัพท์ให้กับผู้ดูแล จนกระทั่งวันนี้ที่ปิดเทอม เขาถึงได้เห็นข่าว
“พี่ถิงเซียว พี่จิ่งหยุ้น!”
เฉินเจียฉินเดินเข้าประตูมา ก็เห็นเฉินจิ่งหยุ้นกับเฉินถิงเซียว:“ผมเห็นข่าวว่าคุณลุงถูกลักพาตัวไป และพี่ยังหาตัวพี่ชิงหนิงเจอด้วย!”
เฉินจิ่งหยุ้นได้ยินเฉินเจียฉินพูดถึง “ชิงหนิง” จึงหันหน้าไปถามเฉินถิงเซียว:“ชิงหนิงคือใคร”
เฉินถิงเซียวลุกยืนขึ้นแล้วมองเฉินเจียฉินด้วยสีหน้าที่จริงจัง:“นายมากับพี่ พี่มีเรื่องต้องการจะคุยกับนาย”
“พี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ” ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวมู่น่อนน่อนบ่อย ๆ ดังนั้นในจิตใต้สำนึกของเฉินเจียฉิน เขาคิดว่าข่าวส่วนใหญ่นั้นเป็นข่าวปลอม
เฉินถิงเซียวยื่นผลการวินิจฉัยโรคของเฉินเหลียนให้กับเฉินเจียฉิน:“ดูนี่ก่อน”
เฉินเจียฉินรับไปดู เห็นข้างบนนั้นเขียนชื่อ“เฉินเหลียน”ไว้ ตะลึงอยู่ชั่วครู่แล้วถึงได้อ่านต่อ
เมื่อดูถึงหน้าหลัง ๆ แล้ว เขาก็ถึงกับผงะและเงียบลงไป
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้พูดปลอบใจเขาแต่อย่างใด เพียงแค่ใช้น้ำเสียงที่สุขุมเยือกเย็นบอกกล่าวกับเขา:“คุณป้ารักคุณลุงมาก ๆ ช่วงนี้เธออารมณ์ไม่ค่อยดี จนกระทั่งมีคนรับใช้เห็นเธอไปชนกระแทกกำแพงเพื่อฆ่าตัวตาย พวกเราถึงได้ตระหนักถึงความรุนแรงของเรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงได้จัดคนส่งเธอไปที่โรงพยาบาล”
เฉินเจียฉินเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำ :“ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน”
เฉินถิงเซียวสังเกตเห็นหมัดที่กำแน่นของเฉินเจียฉิน
ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง :“อารมณ์ของเธอแปรปรวน พี่ได้ให้คนส่งไปที่โรงพยาบาลแล้ว ที่นั่นมีคุณหมอที่เชี่ยวชาญ พี่เชื่อว่าจะสามารถรักษาเธอได้อย่างแน่นอน หากมีเวลาว่างก็สามารถไปเยี่ยมดูเธอได้”
เป็นเรื่องยากสำหรับเฉินถิงเซียวที่จะอดทนพูดจามากมายแบบนี้กับคนอื่นที่นอกเหนือจากมู่น่อนน่อน
เฉินเจียฉินสำหรับเขาแล้ว ต่างจากสมาชิกคนอื่นในตระกูลเฉิน
ก็เหมือนกับที่คุณท่านเฉินได้กล่าวเอาไว้ เฉินเจียฉินเป็นเด็กที่ใสซื่อ เฉินถิงเซียวเฝ้าดูการเจริญเติบโตของเขา สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะบอกความจริงเหล่านั้นให้กับเขาทราบ
ส่วนเรื่องราวของเฉินเหลียนกับเฉินชิงเฟิง
การเสียชีวิตของซือหมิงหวน
ความจริงที่โหดร้ายเหล่านี้ ก็ให้มันเป็นความลับ
เฉินเจียฉินปาดน้ำตา:“พี่ ขอบคุณครับ เรื่องของคุณลุง……”
เฉินถิงเซียวขัดจังหวะเขา :“นั่นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่”
เฉินถิงเซียวจัดคนส่งเฉินเจียฉินไปเยี่ยมเฉินเหลียน แล้วก็ส่งเขากลับไปที่โรงเรียน
ช่วงนี้ตระกูลเฉินมีเรื่องมากมาย เฉินเจียฉินอยู่ที่โรงเรียนจะเป็นการดีที่สุด
เมื่อจัดการเรื่องเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว เฉินถิงเซียวก็นั่งอยู่ในห้องหนังสือสักพักก่อนจะออกไป
มองลงจากชั้นสอง ยังคงเห็นเฉินจิ่งหยุ้นนั่งเฝ้าโทรศัพท์อยู่ที่ชั้นหนึ่ง
เฉินถิงเซียวหันหลังกลับเข้าไปในห้อง และก็เป็นไปอย่างที่คิด มู่น่อนน่อนนั่งเอียงข้างพิงอยู่ที่หัวเตียงอย่างเหม่อลอย
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู มู่น่อนน่อนถึงได้เงยหน้าขึ้น :“กลับมาแล้วเหรอ”
ในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์สั้นๆ มู่น่อนน่อนซูบผอมลงไปมาก คางของเธอแหลมขึ้น ใบหน้าซีดเผือด
เฉินถิงเซียวยื่นมือแล้วใช้นิ้วเชยคางของเธอขึ้น ไม่กล้าใช้แรงเยอะ กล่าวด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง :“หากคุณผอมแบบนี้ต่อไป ผมก็จะไม่พาคุณไปด้วยแล้ว”
“เฉินถิงเซียว……” สีหน้ามู่น่อนน่อนเปลี่ยนเล็กน้อย ดึงมือของเขาไว้
เฉินถิงเซียวกลับพูดถึงเรื่องอื่นขึ้น :“เสี่ยวฉินกลับมาที่บ้าน”
มู่น่อนน่อนสีหน้าชะงัก:“คุณ……”
เหมือนกับรู้ว่ามู่น่อนน่อนจะถามอะไร เฉินถิงเซียวจึงกล่าวขึ้น :“ผมไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า
เธอครุ่นคิด เฉินถิงเซียวกับซือเฉิงหยู้ถูกกำหนดให้เป็นคนละประเภทกัน
หลังจากที่ซือเฉิงหยู้รู้ภูมิหลังของตัวเอง จึงคิดแต่จะหาวิธีดึงคนอื่นให้ตกนรกทุกข์ทรมานไปพร้อมกัน ส่วนเฉินถิงเซียวกลับทำใจไม่ได้ที่จะให้เฉินเจียฉินรับรู้ความจริงเหล่านั้น
ไม่ได้เกิดมาเป็นคนประเภทเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าซือเฉิงหยู้จะใช้วิธีแบบไหน ก็ไม่สามารถทำให้เฉินถิงเซียวกลายเป็นคนประเภทเดียวกันกับเขาได้
……
สือเย่ช่วยเฉินจิ่งหยุ้นรวบรวมเงินจนครบสามร้อยล้าน
ระหว่างนั้น โจรลักพาตัวได้โทรศัพท์มาหา บอกว่าอยากได้เป็นเงินสดส่วนหนึ่ง ทองคำแท่งอีกส่วนหนึ่ง……
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร และรับสั่งให้สือเย่ไปทำตาม
โจรลักพาตัวได้โทรกลับมาอีกครั้ง เฉินจิ่งหยุ้นถูกพวกเขาบีบจนหมดความอดทน:“ครั้งนี้พอใจหรือยัง พวกเราได้เตรียมของตามที่พวกคุณต้องการไว้แล้ว”
แต่ดูเหมือนโจรลักพาตัวจะรู้สึกสนุกก็ไม่ปาน :“เอาอย่างนี้แล้วกัน เพิ่มเงินสดอีกห้าสิบล้าน ผมจะปล่อยตาแก่นั่น!”
เฉินจิ่งหยุ้นคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายนั้นจะเพิ่มจำนวนเงินอย่างกะทันหัน จึงพยายามที่จะเจรจาต่อรองกับพวกเขา:“พวกเราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ……”
แต่ว่าโจรลักพาตัวกลับไม่ยอม:“ก่อนตะวันตกดิน หากไม่เจอเงิน ผมจะให้คนส่งแขนของเขาข้างหนึ่งไปให้พวกคุณ”
โจรลักพาตัววางสายลง เฉินจิ่งหยุ้นวิ่งไปที่ด้านหน้าของเฉินถิงเซียวแล้วกล่าวขึ้น :“ถิงเซียว ตอนนี้จะทำอย่างไรดี”
เฉินถิงเซียวกล่าวเบาๆ:“กระเพาะของพวกเขามีแต่จะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ไม่รู้จักพอหรอก แจ้งความเถอะ”
เฉินจิ่งหยุ้นก็รู้สึกว่าคำพูดของเฉินถิงเซียวมีเหตุผล โจรลักพาตัวมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่กล้าแจ้งความ ถึงได้เอาแต่เรียกร้องต่อรอง
แต่ว่า พวกเขาที่เพิ่งจะแจ้งความไป ยังไม่ทันตะวันตกดิน ก็ได้รับแขนข้างหนึ่งของเฉินชิงเฟิง
เฉินจิ่งหยุ้นตกใจจนเป็นลมหมดสติไป
โจรลักพาตัวจึงได้โทรมาในเวลานี้
โทรศัพท์จากฝั่งนั้นมีเสียงที่หวาดกลัวของเฉินชิงเฟิงดังขึ้น :“ถิงเซียว พวกเขาต้องการเงินสดแค่ห้าสิบล้านเท่านั้น ช่วยๆพ่อเถอะนะ พ่อยังไม่อยากตาย!”
คนที่ถูกแย่งโทรศัพท์คว้าโทรศัพท์กลับคืนไป และยังผลักซือเฉิงหยู้อีกด้วย :“คุณแย่งโทรศัพท์คนอื่นทำไม!”
แต่ซือเฉิงหยู้กลับทำเหมือนไม่ได้ยิน บ่นพึมพำกับตัวเองทำท่าจะร้องไห้ก็ไม่ใช่จะหัวเราะก็ไม่เชิง และก็วิ่งออกไปด้านนอก
“เป็นบ้าหรือเปล่าคนนี้!”
“ก็แหงแหละ สังคมแบบนี้ คนบ้ามีมากมาย”
……
ซือเฉิงหยู้วิ่งออกไปข้างถนน และก็ขึ้นรถเพื่อจะขับไปที่บ้าน
แต่กลับถูกลูกน้องของเขาขวางไว้ :“คุณชายซือครับ ถ้าหากว่าท่านกลับไปบ้านตระกูลเฉินตอนนี้ เฉินถิงเซียวไม่มีทางปล่อยท่านไปแน่”
“หลีกไป” ซือเฉิงหยู้อย่างกับคนบ้าก็ไม่ปาน ผลักลูกน้องออก แล้วก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านตระกูลเฉิน
สองสามวันมานี้ เขามีโอกาสที่จะหนีออกนอกประเทศ
แต่ว่าเป้าหมายของเขายังไม่บรรลุ เขาไม่มีทางจะออกนอกประเทศได้
เลือดที่ไหลอยู่บนตัวของเขาเหมือนกันกับเฉินถิงเซียว
เหตุใดต้องเป็นเขาที่ต้องไม่เห็นเดือนเห็นตะวันไปตลอดชีวิต ส่วนเฉินถิงเซียวกลับมีชีวิตที่ปกติและยังมีสุขภาพที่แข็งแรง
ทำไมเฉินถิงเซียวถึงได้มีชีวิตที่ดีกว่าเขา มีความสุขมากกว่าเขา
ยิ่งเปรียบเทียบกับเฉินถิงเซียว เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน ในใจก็ยิ่งไม่พอใจและเคียดแค้นมากยิ่งขึ้น
ต้องทำลายชีวิตของเฉินถิงเซียว ทำลายทุกอย่างของเฉินถิงเซียว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จุดจบของเฉินถิงเซียวก็จะต้องเป็นเหมือนกับเขา เขาก็รู้สึกสะใจอย่างมีความสุขจนแทบจะบ้าตาย
แต่ว่าเฉินถิงเซียวกลับหาตัวชิงหนิงเจอ
ชิงหนิงนั้นเป็นของเขา!
ซือเฉิงหยู้ราวกับบินมาตลอดทางจนถึงบ้านตระกูลเฉิน
ในบ้านเก่าตอนนี้ล้วนเป็นคนของเฉินถิงเซียว เมื่อซือเฉิงหยู้มาถึงหน้าบ้าน ก็มีบอดี้การ์ดไปแจ้งให้เฉินถิงเซียวทราบ
ซือเฉิงหยู้ลงจากรถก็วิ่งมุ่งเข้าไปในบ้านเก่า
แต่เขาก็ถูกบอดี้การ์ดขัดขวางไว้ที่หน้าประตู :“คุณชายซือ”
ความตื่นเต้นบ้าบิ่นในดวงตาของซือเฉิงหยู้นั้นแทบจะทะลักออกมา แต่เมื่อเขาถูกขัดขวาง เขาก็ยิ่งโมโหขึ้นจนผิดปกติ:“ผมต้องการพบเฉินถิงเซียว ถ้าหากว่าเขายังต้องการลูกสาวของเขา ก็จงปล่อยผมเข้าไป ไม่อย่างนั้นแค่ผมโทรศัพท์กริ๊งเดียวก็สามารถทำให้เด็กน้อยนั่นหายไปจากโลกนี้ได้!”
เวลานี้ สือเย่ได้เดินเข้ามา
เขามองมาทางซือเฉิงหยู้ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ :“ปล่อยเขาเข้ามา”
บอดี้การ์ดจึงได้ปล่อยตัวเขา ซือเฉิงหยู้จึงรีบเดินเข้ามา แล้วก็คว้าจับเสื้อของสือเย่ไว้ :“ชิงหนิงอยู่ไหน ผมต้องการเจอเธอ!”
สือเย่ถูกซือเฉิงหยู้กระชากไว้แบบนี้ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเป็นทางการว่า :“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณชายซือดีที่ต้องการเจอคุณหนูซู แต่สำหรับเรื่องที่จะเจอคุณหนูซูได้อย่างไรนั้น ผมคิดว่าคุณชายซือคงน่าจะรู้ดีแก่ใจ”
ซือเฉิงหยู้ได้ยินดังนั้น ก็ทำเสียงฟึดฟัด แล้วสะบัดสือเย่ทิ้งไป
สือเย่เซหลังไปสองสามก้าวก่อนจะยืนนิ่ง ใบหน้าท่าทางยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
เขาจัดระเบียบเสื้อให้เข้าที่ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม:“คุณผู้ชายให้เวลาคุณเพียงสามวัน”
“ไม่ต้องสามวันหรอก” ซือเฉิงหยู้ยกริมฝีปากขึ้น เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่มีเลศนัย: “ขอปากกาและกระดาษให้ผมด้วย”
สือเย่ลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นให้คนนำกระดาษกับปากกามาให้ซือเฉิงหยู้
ซือเฉิงหยู้ได้เขียนที่อยู่ลงบนกระดาษ:“สามวันให้หลัง เจอกันที่ตรงนี้ เขาพาชิงหนิงมา ผมจะพาลูกสาวของเขามารอเขา อย่าคิดเล่นตุกติก ไม่อย่างนั้นเมื่อเมื่อถึงเวลานั้นใครก็อย่าหวังที่จะมีชีวิตรอดกลับไป!”
เขาพูดจบก็เขียนที่อยู่ลงในกระดาษแล้วยัดใส่ในมือของสือเย่ แล้วมองไปทางหน้าต่างบนชั้นสองแวบหนึ่ง จากนั้นหันหลังแล้วจากไป
สือเย่หยิบกระดาษในมือออกมาดู พบว่าเป็นภาษาอังกฤษแถวยาวเหยียด
เขาเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางหน้าต่างชั้นสอง
หน้าต่างถูกเปิดออก ร่างของเฉินถิงเซียวปรากฏขึ้น แล้วรับสั่งอย่างหนักแน่น:“เอาขึ้นมา”
เมื่อสักครู่เขากับมู่น่อนน่อนยืนมองซือเฉิงหยู้อยู่ที่ริมหน้าต่างโดยตลอด
หัวใจของมู่น่อนน่อนบีบรัดขึ้น ตอนที่ซือเฉิงหยู้ปรากฏตัว
เธอกลัวว่าวิธีนี้จะใช้กับซือเฉิงหยู้ไม่ได้
แต่สุดท้าย เมื่อเห็นซือเฉิงหยู้เขียนที่อยู่ เธอถึงได้เบาใจลง
สือเย่เดินมาถึงหน้าประตู ยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆสองที ก่อนเดินเข้ามา จากนั้นโค้งคำนับแล้วยื่นกระดาษที่อยู่ไปให้เฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนเอียงศีรษะดูแวบหนึ่ง แล้วก็เปิดคอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาที่อยู่นี้
“หาเจอแล้ว อยู่ใกล้ ๆ กับเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในกรีซ ตรงนั้นมีเกาะส่วนตัวมากมายที่มีไว้สำหรับขาย……”
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลง และประสานเข้ากับดวงตาที่เปล่งประกายของมู่น่อนน่อนพอดี
แววตาของเธอมีความมุ่งมั่น คาดหวัง และความกังวล ทุกอารมณ์ที่ผสมปนเปเข้าด้วยกัน และนั่นทำให้เธอดูเหมือนมีพลังมากขึ้น
นานมากแล้วที่เขาไม่เห็นมู่น่อนน่อนเป็นแบบนี้
เฉินถิงเซียวโน้มตัวมาประทับรอยจูบที่หน้าผากของเธอทีหนึ่ง เอื้อมมือสัมผัสที่ผมของเธอ:“ไปด้วยกันนะ ไปรับมู่มู่กลับมา”
แววตามู่น่อนน่อนยิ่งเป็นประกาย มีหยดน้ำตาซึมอยู่ในนั้น แล้วพยักหน้า
เฉินถิงเซียวที่ยิ้มยากก็เผยรอยยิ้มจางๆออกมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงออกคำสั่ง :“ก่อนอื่น สองวันนี้คุณต้องพักผ่อนให้มาก ๆ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า:“อืม”
……
เฉินถิงเซียวออกมาจากห้อง สือเย่ที่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้องตลอดเวลาก็ได้เดินตามไป
“ส่งคนไปจับตาเฝ้าดูซือเฉิงหยู้ให้ดี ถ้าหากว่ามีความเคลื่อนไหวให้แจ้งผมทันที” เฉินถิงเซียวพลางเดินออกไปด้านนอกพลางสั่งกำชับเขา
“ครับ คุณผู้ชาย ผลการวินิจฉัยโรคของคุณนายซือออกมาแล้วครับ เชิญท่านดูได้เลยครับ”
เฉินถิงเซียวรับผลการวินิจฉัยนั้นมาดู
เมื่อดูเสร็จแล้ว ก็ถามสือเย่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย :“เป็นบ้าจริงเหรอ”
“ครับ” สือเย่ก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตากับเฉินถิงเซียว
เขารู้สึกว่า เฉินถิงเซียวตอนนี้ดูแตกต่างไปจากเดิม ดูเหมือนจะเย็นชามากขึ้นกว่าแต่ก่อน
เฉินถิงเซียวยื่นผลการวินิจฉัยให้สือเย่ : “อย่างนั้นก็ส่งเธอไปในสถานที่ที่เธอควรไป”
สือเย่นึกถึงเฉินเจียฉินขึ้นมา จึงเกิดอาการลังเลครู่หนึ่ง :“คุณผู้ชาย……”
เฉินเจียฉินนั้นเป็นลูกชายของเฉินเหลียนกับซือหมิงหวน ความสัมพันธ์ของเฉินเจียฉินกับเฉินถิงเซียวนั้นค่อนข้างดี เขาก็เลยอยากจะเตือนสติเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวจึงหันกลับมาขัดจังหวะเขาอย่างเย็นชา น้ำเสียงเฉยเมย:“ฟังไม่เข้าใจหรือไง อย่างนั้นผมพูดตรง ๆแล้วกัน ส่งเธอไปที่โรงพยาบาลจิตเวช”
ในเมื่อเฉินถิงเซียวพูดขนาดนี้ สือเย่จึงทำได้เพียงพยักหน้ารับ:“ผมรับทราบแล้วครับ”
เฉินถิงเซียวกับสือเย่ลงจากตึกมาก็เห็นเฉินจิ่งหยุ้นนั่งอยู่บนโซฟาในห้องโถง
เฉินจิ่งหยุ้นเดินทางไปทำงานนอกสถานที่เมื่อสองสามวันก่อน วันนี้เพิ่งจะกลับมา
เห็นได้ชัดเจนว่าเธอเห็นข่าวแล้ว เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวเธอก็ถามจับผิดขึ้นทันที :“ข่าวพวกนั้นคืออะไร อีกอย่างที่นี่มีบอดี้การ์ดมากมายขนาดนี้ นายกำลังคิดจะทำอะไร คุณพ่อล่ะ ถูกลักพาตัวจริง ๆตามที่ข่าวลงไหม แล้วผู้หญิงที่นายพากลับมาด้วยนั้นคืออะไร”
เธอถามขึ้นรัวๆ แต่ก็ไม่ได้คำตอบจากเฉินถิงเซียว
เธอที่กำลังโมโห ก็ได้ยินโทรศัพท์ในห้องโถงดังขึ้น
สายตาเฉินจิ่งหยุ้นจ้องไปทางสือเย่:“ไปรับสาย”
สือเย่ไม่ขยับ เขาเป็นคนของเฉินถิงเซียว เป็นธรรมดาที่จะไม่ฟังคำสั่งของเฉินจิ่งหยุ้น
“นาย……แน่มาก!” เฉินจิ่งหยุ้นถูกสือเย่ทำให้อารมณ์ฉุน และจำใจต้องไปรับสายด้วยตัวเอง
เฉินจิ่งหยุ้นรับสายขึ้น:“ที่นี่บ้านตระกูลเฉิน ต้องสายคุยสายกับใคร”
ในโทรศัพท์มีเสียงของเฉินชิงเฟิงดังลอยออกมา:“จิ่งหยุ้น พ่อเอง เป็นพ่อเอง ช่วยพ่อช่วย……”
“ซูชิงหนิง?”
มู่น่อนน่อนชะงักไปหลายวินาที ก็นึกขึ้นได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร
เธอเป็นเพื่อนบ้านของซือเฉิงหยู้ในวัยเด็ก และเป็นคู่หมั้นของซือเฉิงหยู้เช่นกัน
แต่ว่าเฉินเจียฉินเคยบอกกับเธอว่า ตอนที่ซูชิงหนิงออกไปถ่ายภาพยนตร์ในฉากหิมะ และพบกับหิมะถล่ม มีชีวิตอยู่ไม่พบคน ตายก็ไม่พบศพ
เฉินถิงเซียวหาเธอพบได้อย่างไร
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร จูงเธอเดินไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะอาหาร
“ซู…” มู่น่อนน่อนยังไม่เข้าใจความหมายของเฉินถิงเซียว
ตามสิ่งที่เฉินเจียฉินเคยพูด ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินถิงเซียวกับซูชิงหนิงนั้นไม่เลว แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เธอไม่ควรจะทักทายซูชิงหนิงหรอกหรือ
ซูชิงหนิงนั่งลงตาม “คุณเฉิน”
เฉินถิงเซียวถามเธอ “ข้อมูลที่ผมให้คุณล้วนอ่านหมดแล้ว?”
“อ่านหมดแล้วค่ะ” ซูชิงหนิงพยักหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงนุ่มนวลราวกับขนนก
มู่น่อนน่อนนั่งมองอยู่นาน ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “คุณคือซูชิงหนิงจริงๆหรือคะ”
ซูชิงหนิงลูบใบหน้าตัวเอง “คุณหญิงน้อยคิดว่าฉันเหมือนไหมคะ”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า “ฉันไม่เคยเจอซูชิงหนิงค่ะ”
ซูชิงหนิงยิ้มบางๆ มองดูแล้วสง่างามและอ่อนโยน “ทั่วทั้งร่างฉันผ่านการศัลยกรรมมา”
มู่น่อนน่อนตะลึงมองซูชิงหนิงอ้าปากค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก จากนั้นก็หันขวับไปมองเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวยกมือ เอ่ยกับซูชิงหนิงว่า “คุณสามารถออกไปได้แล้ว”
“ค่ะ คุณชาย” ซูชิงหนิงลุกขึ้นยืน และค่อยๆเดินออกไป
เมื่อเธอออกไป มู่น่อนน่อนก็ถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่คะ คนคนนี้ไม่ใช่ซูชิงหนิงตัวจริง แต่เป็นตัวปลอม?”
เฉินถิงเซียวคีบอาหารแทนเธอ อธิบายอย่างไม่ใส่ใจว่า “อืม ผมหาคนที่รูปร่างพอๆกับชิงหนิงมาคนหนึ่ง และหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งมาเปลี่ยนเธอให้เป็นชิงหนิง”
มู่น่อนน่อนนึกถึงท่าทางของ “ซูชิงหนิง” คนนั้น มองดูแล้วเป็นธรรมชาติมาก ทั้งยังมีบุคลิกที่ดีมาก ไม่เหมือนกับผู้หญิงที่ทำศัลยกรรมมา
เธอไม่เคยพบกับซูชิงหนิงตัวจริง ดังนั้นจึงอาศัยการประเมินของเธอว่าเหมือนกับซูชิงหนิงคนเดิมคนนั้นหรือไม่
ยังมี การศัลยกรรมจำเป็นต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูร่างกายยาวนาน แต่บนใบหน้าซูชิงหนิงคนนี้ไม่มีรอยแผลแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าในอดีตเคยผ่าตัดศัลยกรรมมาก่อน ทั้งยังฟื้นฟูร่างกายได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย
นั่นก็หมายความว่า ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้วเฉินถิงเซียวก็เริ่มป้องกันซือเฉิงหยู้แล้ว
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา “คุณจะใช้เธอมารับมือกับซือเฉิงหยู้หรือคะ”
“เพียงแค่เป็นปุถุชนคนธรรมดา ทุกคนล้วนมีจุดอ่อน” เฉินถิงเซียวยัดตะเกียบใส่มือเธอ “กินข้าว”
มู่น่อนน่อนจับตะเกียบเอาไว้ ก้มหน้าเริ่มกินข้าว
เธอกินได้น้อยและช้ามาก เฉินถิงเซียวกระตุ้นเธออยู่ข้างๆ
มู่น่อนน่อนไม่มีความอยากอาหารจริงๆ เธอเม้มริมฝีปาก มองไปทางเฉินถิงเซียวด้วยสีหน้าลำบากใจ “คุณมีธุระก็ไปทำเถอะค่ะ ไม่ต้องสนใจฉัน ฉันไม่ได้กินข้าวไม่เป็น ฉัน…”
เธอยังเอ่ยไม่ทันจบ เฉินถิงเซียวก็รับเอาตะเกียบของเธอไป “ผมจะป้อนคุณ”
สุดท้ายมู่น่อนน่อนก็ถูกเขาบีบบังคับให้กินลงไปเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าเธอกินไม่ลงแล้วจริงๆ เฉินถิงเซียวถึงได้ปล่อยเธอไป
เมื่อกลับไปที่ห้อง เขาก็ช่วยอาบน้ำให้มู่น่อนน่อน จากนั้นก็ไปยังห้องใต้ดิน
หน้าประตูห้องใต้ดินมีคนเฝ้าอยู่ บอดี้การ์ดเห็นเฉินถิงเซียวเดินมา ก็มีท่าทางลังเล “คุณชาย”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเขาครู่หนึ่ง ไม่ได้ถามอะไรมาก แต่เดินตรงเข้าไปด้านใน
“ดอกไม้ดอกนี้ใหญ่มาก ปลาหนึ่งตัว สองตัว…อ๊ะ…น่ากลัวจังเลย… หมิงหวนล่ะ? ยังมีเสี่ยวฉิน…”
เพิ่งจะเดินไปถึงหน้าประตู เฉินถิงเซียวก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของผู้หญิง
ตอนที่เฉินถิงเซียวเข้าไป ก็เห็นบนศีรษะของเฉินเหลียนมีผ้าก๊อซพันอยู่ ผ้าก๊อซสีขาวถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดง เส้นผมที่ยามปกติดูแลอย่างประณีตก็ยุ่งราวกับฟางข้าว พูดพึมพำกับตัวเองด้วยท่าทางบ้าๆบอๆ
เฉินถิงเซียวเดินไปถึงด้านหน้าเธอ มองเธออยู่ครู่หนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าเธอจะมองไม่เห็นเขา เพียงแค่กอดแจกันดอกไม้เอาไว้แล้วพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเอง
เฉินถิงเซียวถามสือเย่ “เธอเป็นอะไรไป”
สือเย่ตอบว่า “ตอนที่ฟื้นขึ้นมาก็มีสภาพแบบนี้ครับ ใครก็ไม่รู้จักทั้งนั้น”
เขาเอ่ยจบแล้วก็สังเกตปฏิกิริยาของเฉินถิงเซียวด้วยความระมัดระวัง
สุดท้ายเฉินถิงเซียวเพียงแค่ยกริมฝีปากยิ้มเยาะ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยว่า “ส่งไปตรวจสอบที่โรงพยาบาลเพื่อยืนยันสักหน่อย”
ก่อนหน้านี้เฉินชิงเฟิงถูกเฉินถิงเซียวต่อยจนเลือดออกจากภายใน ยังต้องทำการผ่าตัด ตอนนี้ยังอยู่ในสภาพกึ่งตื่นกึ่งหมดสติ แต่หลังจากที่เห็นเฉินถิงเซียวแล้ว เขาก็มีสติเต็มที่ขึ้นมาทันที
“แก…แก…” เฉินชิงเฟิงยื่นมือชี้มาทางเฉินถิงเซียว ใช้เวลาอยู่นานก็ยังเอ่ยประโยคออกมาไม่สมบูรณ์
เฉินถิงเซียวโค้งตัวมองเขาจากที่สูง สีหน้าโหดเหี้ยม “ตอนนั้นโจรลักพาตัวเรียกเงินเพิ่มเท่าใด”
เฉินชิงเฟิงรู้ว่าสิ่งที่เฉินถิงเซียวเอ่ยถึงคือ ในปีนั้นที่โจรลักพาตัวจับมารดาของเฉินถิงเซียวไปเรียกร้องเงินเพิ่มเท่าไร
เฉินชิงเฟิงมีประสบการณ์กับความป่าเถื่อนของเฉินถิงเซียวแล้ว จึงตกใจจนตัวสั่นระริก “หนึ่ง…หนึ่งพันล้าน…”
“หนึ่งพันล้าน” เฉินถิงเซียวเอ่ยซ้ำอีกรอบ นัยน์ตามีประกายคลุ้มคลั่งพาดผ่าน “เพียงแค่เพราะหนึ่งพันล้านคุณก็ไม่ช่วยเธอ! เพราะว่าเดิมคุณก็อยากให้เธอตาย! คุณมันไม่สมควรได้รับการให้อภัย!”
เพล้ง!
เฉินถิงเซียวชกหมัดเข้ากับโคมไฟขนาดเล็กที่อยู่ข้างเตียงแตก
“ฝาครอบโคมไฟที่แตกบาดถูกมือของเฉินถิงเซียว แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มประหลาดออกมา น้ำเสียงเนิบนาบราวกับพึมพำ “หลายปีมานี้ คุณล่วงเกินคนไปไม่น้อยสินะ เพียงแค่ไม่รู้ว่าผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว พวกเขาจะเรียกหนึ่งล้านหรือว่าร้อยล้านหรือว่าพันล้าน”
……
เช้าวันรุ่งขึ้น หน้าหนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่ล้วนถูกตระกูลเฉินครอบครองเอาไว้
ข่าวแรกคือ “ประธานบริษัทตระกูลเฉินคนก่อนถูกคนลักพาตัวไปโดยไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย” ถูกเผยออกมา ต่อมาสื่อมวลชนก็รายงานพาดหัวข่าวต่อไปอย่างรวดเร็วอีกว่า “เฉินถิงเซียวประธานบริษัทตระกูลเฉินในตอนนี้นำตัวแฟนสาวคนใหม่กลับไปยังคฤหาสน์ ดูเหมือนว่าจะมีข่าวดีในเร็วๆนี้”
เมื่อแยกกันอ่านสองข่าวนี้แล้ว ล้วนมีเรื่องราวที่น่าตกตะลึงมากกว่าเรื่องที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อนำทั้งสองข่าวมารวมกัน ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ไม่น้อย
ไม่ว่าจะไปที่ไหนล้วนมีคนพูดคุยเรื่องตระกูลเฉิน
“ตระกูลเฉินนี่มันอะไรกัน เป็นเพราะหาเงินได้มากเกินไป ดังนั้นคนตระกูลเฉินล้วนอับโชคหรือ”
“คุณลองคิดดู ภรรยาของเฉินถิงเซียวก็ถูกฆ่าหลังจากโดนลักพาตัวไปสินะ? คุณท่านเฉินก็ล้มจนกลายเป็นคนโง่ ตอนนี้เฉินชิงเฟิงก็ถูกลักพาตัวไปอีกแล้ว…”
“แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นคุณหญิงน้อยของตระกูลเฉินสินะ? ถูกเฉินถิงเซียวพากลับไปที่คฤหาสน์แล้ว…”
“มีความเป็นไปได้นะ ดูเหมือนว่าจะมีบุคลิกดีมาก”
“….”
คนที่เดินอยู่บนถนนหยิบโทรศัพท์มือถือมาสนทนาข่าวที่เพิ่งจะมีการรายงานเมื่อเช้า
จู่ๆ ก็มีผู้ชายที่สวมหมวกแก็ป ผ้าปิดปาก และชุดทหารโผล่ออกมาจากที่ไหนไม่รู้ แย่งโทรศัพท์มือถือไป
บนหน้าจอโทรศัพท์คือรูปของเฉินถิงเซียวที่พาผู้หญิงคนหนึ่งเข้าไปในบ้านเก่าตระกูลเฉิน
รูปภาพถ่ายถูกใบหน้าตรงของหญิงสาว ผู้หญิงคนนั้นคล้องแขนเฉินถิงเซียว ยิ้มแย้มเบิกบาน
ซือเฉิงหยู้ที่เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยจนถึงกระดูกในรูปนั้นแล้ว ก็เอ่ยเรียกชื่อเธอเสียงสั่นว่า “ชิงหนิง!”
เฉินชิงเฟิงที่ถูกเฉินถิงเซียวต่อยก็ถุยเลือดทิ้งออกมา ประโยคที่สมบูรณ์ประโยคหนึ่งก็พูดไม่ออก
“แก…” เขาอ้าปาก ก็มีเลือดรินไหลออกมาจากในลำคอ
“ถิงเซียว หลานอย่าชกอีกเลย หลานจะชกเขาตายได้นะ…” เฉินเหลียนก้าวเข้ามาดึงเฉินถิงเซียวเอาไว้ แต่กลับถูกเขาสะบัดออก จึงล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง
เฉินเหลียนยันร่างกายลุกขึ้นมานั่ง พลางลูบบริเวณทรวงอก “ถิงเซียว น้ารู้ว่าพวกเราผิดอย่างไร้เหตุผล แต่ว่า…”
จู่ๆเฉินถิงเซียวก็ปล่อยเฉินชิงเฟิงแล้วหันหน้ามามองเธอด้วยสายตาเย็นชา น้ำเสียงเจือไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวอยู่หลายส่วน “รู้ไหมว่าซือหมิงหวนตายได้อย่างไร”
เฉินเหลียนได้ยินเขาเอ่ยแบบนี้แล้ว นัยน์ตาก็มีประกายสงสัยพาดผ่าน “เรื่องของซือหมิงหวน…ไม่ใช่อุบัติเหตุหรือ”
เธอหันหน้าไปมองเฉินชิงเฟิง “พี่คะ เรื่องของหมิงหวน พี่เป็นคนทำหรือคะ”
เฉินชิงเฟิงนอนอยู่บนพื้น อากาศออกจากปากมากกว่าอากาศที่เข้าไป จึงไม่มีแรงจะมาตอบคำถามของเฉินเหลียน
เฉินเหลียนกุมหน้าร้องไห้เงียบๆด้วยความเจ็บปวด “ฉันไม่เคยคิดจะทำร้ายหมิงหวน ฉันไม่อยากทำร้ายใครทั้งนั้น แต่ในปีนั้นพวกเราทำผิดไปเรื่องหนึ่ง พูดโกหก เมื่อทำผิดแล้ว ในภายหลังก็ทำผิดต่อมาเรื่อยๆ ต้องใช้คำโกหกมากมายเพื่อแก้ไข…”
เฉินถิงเซียวไม่มีจิตใจจะมานั่งฟังเฉินเหลียนสำนึกผิดที่นี่
บนโลกใบนี้ มีบางความผิดที่สามารถให้อภัยได้ แต่บางความผิดพลาด แม้ว่าคุณจะใช้ทั้งชีวิตก็ไร้ซึ่งหนทางในการแก้ไข
มารดาของเขา ชีวิตของซือเฉิงหยู้
มีอาชญากรบางคน ที่ถูกกำหนดเอาไว้ว่าไม่สามารถให้อภัยได้
เฉินถิงเซียวลุกขึ้น เดินออกไปโดยไม่หันกลับมา
เขาเปิดประตูห้องใต้ดิน สือเย่และบอดี้การ์ดเฝ้าอยู่ที่ด้านนอก
เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวออกมา พวกเขาก็เรียกด้วยความเคารพพร้อมกันว่า “คุณชาย”
“ช่วยหาหมอให้ผมคนหนึ่ง อย่าให้เขาตาย” เฉินถิงเซียวเอ่ยด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
สือเย่มองเข้าไปด้านในครู่หนึ่ง “ครับ”
ต่อมา ด้านในก็มีเสียงปังดังขึ้นอย่างกะทันหัน
เฉินถิงเซียวไม่ได้หันหน้ากลับไป สือเย่ที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขามองเข้าไปด้านในครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “คุณนายซือฆ่าตัวตายโดยการพุ่งชนกำแพงครับ”
ความรู้สึกบนใบหน้าเฉินถิงเซียวไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เขาเพียงแค่เอ่ยเรียบๆว่า “ไปดูสิว่าตายหรือไม่”
สือเย่รู้ว่าก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับเฉินเหลียน แต่คิดไม่ถึงว่าในวันนี้พวกเขาจะเดินมาถึงจุดนี้
เขาเงยหน้ามองเฉินถิงเซียวครู่หนึ่ง เฉินถิงเซียวมีสีหน้าเย็นชา บนใบหน้าไม่มีความรู้สึกใดเผยออกมา เย็นชาราวกับไม่ใช่คน
สือเย่ใจสั่น เดินเข้าไปอังลมหายใจของเฉินเหลียน
หลังจากนั้น เขาก็กลับมาอยู่ข้างกายเฉินถิงเซียว “ยังมีลมหายใจครับ”
“อย่าให้พวกเขาตาย” เฉินถิงเซียวเอ่ยจบแล้วก็ก้าวเท้าจากไป
ความตายสำหรับพวกเขานั้นง่ายดายเกินไปแล้ว
สำหรับเฉินถิงเซียว ก็ยากที่จะคลี่คลายความแค้นในหัวใจเช่นกัน
……
เฉินถิงเซียวไปอาบน้ำที่ห้องอื่น เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วถึงได้กลับไปหามู่น่อนน่อนที่ห้อง
ทว่าตอนที่เขากลับมาถึงห้องก็พบว่าในห้องไม่มีใคร
เฉินถิงเซียวหน้าเปลี่ยนสี สีหน้าเย็นชาในเสี้ยววินาที เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันตรายว่า “มู่น่อนน่อนล่ะ”
บอดี้การ์ดตอบทันทีว่า “คุณหญิงน้อยไปเยี่ยมคุณท่านเฉินครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินถิงเซียวก็หมุนตัวเดินไปยังตึกที่คุณท่านเฉินพักอยู่
ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว อากาศเย็นเล็กน้อย
ตอนที่เฉินถิงเซียวไปถึง ก็เห็นมู่น่อนน่อนกับคุณท่านเฉินนั่งเคียงไหล่กันอยู่ใต้ชายคาบ้านสองคน
คุณท่านเฉินยังคงมีท่าทางเหมือนเดิม นั่งทึ่มทื่อโคลงศีรษะอยู่บนเก้าอี้รถเข็น สีหน้าเฉยเมย
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ข้างกายเขา กำลังเอ่ยสนทนากับเขาเบาๆ
และไม่รู้ว่าคุณท่านเฉินจะได้ยินหรือไม่ เพียงแค่ในบางครั้งก็ยิ้มออกมา ทว่ามองดูแล้วเหมือนกับว่ากำลังยิ้มโง่ๆ
เฉินถิงเซียวเห็นมู่น่อนน่อนแล้วก็ก้าวเท้ายาวเข้าไปหาเธอ
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ว่ามีคนมา เมื่อหันหน้าไปก็เห็นเขา จึงเรียกชื่อเขา “เฉินถิงเซียว”
เฉินถิงเซียวเดินมาถึงหน้าเธออย่างรวดเร็ว เขามีสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงก็เจือไปด้วยโทสะ “ไม่ใช่ว่าให้คุณพักผ่อนดีๆในห้องหรือ”
“นอนไม่หลับ จึงมาเยี่ยมคุณปู่ ฉันกลับมาจากซิดนีย์ ก็ไม่ได้มาเยี่ยมคุณปู่เลย” มู่น่อนน่อนจับมือคุณท่านเฉินไว้
ผู้เฒ่าที่ไม่เคยมีโทสะ แต่ยังคงมีบุคลิกที่น่าเกรงขามกลับกลายเป็นมีสภาพแบบนี้ มองดูแล้วทำให้คนรู้สึกทุกข์ทรมานอยู่บ้าง
เฉินถิงเซียวมองคุณท่านเฉินครู่หนึ่ง เอ่ยสั่งบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านข้าง “เข็นคุณปู่เข้าไป”
หลังจากนั้น เขาก็ดึงมู่น่อนน่อนให้ลุกขึ้นแล้วเดินกลับห้อง
“ฉันยังอยากจะอยู่อีกสักหน่อย…” มู่น่อนน่อนไม่ยอมเดินตามเขาไป อดไม่ได้ที่จะหันไปมองคุณท่านเฉิน
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไรแล้วอุ้มเธอขึ้นมาทันที
บริเวณหัวเลี้ยว เขาหันหน้ากลับไปมองทิศทางของคุณท่านเฉินครู่หนึ่ง
บางทีการที่คุณปู่เป็นแบบนี้ในตอนนี้ อาจจะเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง
……
เมื่อกลับไปถึงห้อง เฉินถิงเซียววางมู่น่อนน่อนลงบนเตียง “พักผ่อนให้ดี ผมจะเฝ้าคุณ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ว่า นับตั้งแต่ที่เธอถูกซือเฉิงหยู้จับตัวไปแล้วได้รับบาดเจ็บ เฉินถิงเซียวก็เปลี่ยนเป็นคนที่ระมัดระวังในเรื่องเล็กๆน้อยๆมากเกินไป ทั้งยังหวาดระแวงอยู่บ้าง
“ฉันได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจริงๆ” หลายวันมานี้ มู่น่อนน่อนอธิบายเรื่องนี้กับเขาไปหลายครั้งแล้ว
เฉินถิงเซียวเพียงแค่มองเธอครู่หนึ่ง ยื่นมือไปเหน็บชายผ้าห่มแทนเธอแล้วนั่งลงบนเตียงโดยไม่พูดอะไร ท่าทางราวกับว่าหากเธอไม่นอน เขาก็จะเฝ้าอยู่ที่นี่ไปตลอด
มู่น่อนน่อนจนปัญญา จึงทำได้เพียงแค่หลับตาลง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็พบว่าตัวเองยังคงนอนไม่หลับจึงลืมตาขึ้น พบว่าเฉินถิงเซียวยังคงจ้องมองเธอนิ่งเหมือนกับก่อนหน้านี้
เมื่อเห็นมู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมา เฉินถิงเซียวก็หรี่ตาลงอย่างอันตราย
มู่น่อนน่อนจึงทำได้เพียงแค่หลับตาแล้วพูดกับเขา “คุณจะเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดหรือคะ คุณไม่ไปหาซือเฉิงหยู้?”
“พรุ่งนี้เขาจะเป็นฝ่ายมาหาถึงที่” เฉินถิงเซียวเอ่ยจบแล้วก็เลิกคิ้วเล็กน้อย “ตอนนี้นอนได้แล้วสินะ”
“ฉันนอนไม่หลับ” มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจลึก “ฉันเพียงแค่นึกถึงเรื่องที่มู่มู่ยังคงอยู่ในมือของซือเฉิงหยู้ ฉันก็นอนไม่หลับ”
เธอมีประสบการณ์แล้วว่าซือเฉิงหยู้มีความวิปริตมากเพียงใด เมื่อเขาเป็นบ้าขึ้นมาก็ไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น
ตอนนี้เมื่อเธอหลับตาลง ในสมองก็จะปรากฏภาพเหตุการณ์ที่ซือเฉิงหยู้กระทำการอย่างโหดร้ายต่อมู่มู่ต่างๆนาๆ
ในใจของเธอไม่กล้ามีแม้กระทั่งความรู้สึกว่าจะโชคดีสักเล็กน้อย
หลายวันมานี้เฉินถิงเซียวเฝ้าเธออย่างใกล้ชิด แม้ว่าภายนอกเธอจะให้ความร่วมมือในการกินยานอนหลับเพื่อรักษาตัว แต่เธอแทบจะนอนไม่หลับทั้งคืน
เธอมักจะหลับตาทั้งที่สมองแจ่มใสในยามค่ำคืน นึกถึงมู่มู่ทั่วทั้งร่างก็จะรู้สึกเหน็บหนาว
ไม่สามารถโอบกอดความหวังต่อคนที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปในนรกได้
เฉินถิงเซียวขบกรามแน่น มือที่วางอยู่บนเตียงก็เกร็งเขม็ง แต่น้ำเสียงของเขายังสงบเยือกเย็นเป็นอย่างมาก “ตอนกลางคืนจะพาคุณไปพบใครคนหนึ่ง”
“ใครคะ” มู่น่อนน่อนลืมตา
“ตอนกลางคืนคุณก็จะรู้เอง”
……
ช่วงอาหารมื้อเย็น มู่น่อนน่อนลงไปกินข้าวที่ชั้นล่าง
เมื่อมู่น่อนน่อนเดินไปถึงห้องอาหาร เธอก็พบว่าที่หน้าโต๊ะอาหารมีคนอยู่คนหนึ่งแล้ว
และยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้หญิงคนนี้เห็นเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนเดินเข้ามาก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “สวัสดีค่ะ ฉันคือซูชิงหนิง”
มู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวหันหน้าไปมองกู้จือหยั่น
กู้จือหยั่นเดินไปนั่งอีกด้านหนึ่งของเตียงผู้ป่วย พลางเอ่ยว่า “ตอนนั้นสถานการณ์ชุลมุนวุ่นวาย สือเย่ตามเฉินถิงเซียวมาส่งเธอที่โรงพยาบาล ฉันนำคนตามซือเฉิงหยู้ไป แต่ว่าตามไม่ทัน”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้วก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
เธอดันตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่ง เฉินถิงเซียวยื่นมือมาประคองเธอ
หลังจากที่ฤทธิ์ยาชาผ่านไป ความเจ็บปวดบริเวณบาดแผลก็เห็นได้ชัดอย่างผิดปกติ
แม้ว่าเฉินถิงเซียวจะประคองเธอด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงสะเทือนถึงบาดแผลของมู่น่อนน่อน เจ็บมาก หน้าผากเธอมีเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นมา แต่ความรู้สึกบนใบหน้ากลับไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
เธอไม่สามารถแสดงอาการเจ็บปวดออกมาได้ แบบนั้นจะทำให้เฉินถิงเซียวเจ็บปวดมากกว่าเธอ
แต่เฉินถิงเถียวที่อยู่ต่อหน้ามู่น่อนน่อนนั้นเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบ
เขาหลุบตาลง หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อเย็นๆบนหน้าผากให้มู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
หลังจากมู่น่อนน่อนนั่งเรียบร้อยแล้ว ก็เอ่ยถามว่า “จำเป็นต้องหาซือเฉิงหยู้ให้พบ ลูกไม่ได้อยู่ในมือของเฉินชิงเฟิงนานแล้ว แต่ถูกซือเฉิงหยู้นำตัวไป ตอนนี้ซือเฉิงหยู้ไม่มีสติในการพูดคุย ไม่สามารถอาศัยความคิดของคนปกติคนหนึ่งมาสันนิษฐานความคิดของเขาได้…เขาเพียงแค่ต้องการให้ทุกคนตกนรกไปกับเขา…”
มู่น่อนน่อนเอ่ยถึงตรงนี้ก็เอ่ยต่อไปไม่ไหวแล้ว หน่วยตารื้นไปด้วยหยาดน้ำตา
ถ้าหากว่าเด็กอยู่ในมือของเฉินชิงเฟิง เฉินชิงเฟิงเพียงแค่ต้องการควบคุมเฉินถิงเซียว จะไม่ทำเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อเด็ก
แต่ซือเฉิงหยู้นั้นไม่เหมือนกัน อะไรเขาก็ไม่ต้องการ เพียงแต่ต้องการให้ทุกคนทุกข์ทรมานไปกับเขา
เขาสามารถกระทำสิ่งใดต่อเด็กก็ได้ตามสภาพจิตใจ
ลำคอมู่น่อนน่อนราวกับถูกใยฝ้ายขวางเอาไว้ เจ็บปวดอย่างผิดปกติ กระทั่งหายใจก็ยังลำบาก
บรรยากาศภายในห้องลดลงถึงจุดเยือกแข็ง ใครก็ไม่พูดอะไรทั้งนั้น
เฉินถิงเซียวสีหน้าเศร้าหมอง หมุนตัวไปรินน้ำให้มู่น่อนน่อนแก้วหนึ่ง ยื่นไปที่ข้างปากเธอด้วยความระมัดระวัง ป้อนให้เธอดื่มลงไป
เขาป้อนน้ำให้มู่น่อนน่อนแล้ว ก็หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดมุมปากให้เธอ เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ผมมีวิธีที่จะหาซือเฉิงหยู้ให้พบ เรื่องนี้ยกให้ผม คุณพักผ่อนรักษาตัวให้ดี ก่อนที่บาดแผลคุณจะหาย ผมจะต้องพาลูกกลับมาได้แน่นอน”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้วก็มองไปทางเฉินถิงเซียวอย่างตกตะลึง
เฉินถิงเซียวจับมือเธอเอาไว้ พลางเอ่ยว่า “เชื่อผม”
…
บาดแผลของมู่น่อนน่อนสมานตัวได้ดีมาก สี่วันหลังจากนั้นก็ออกจากโรงพยาบาล
เมื่อออกจากโรงพยาบาล มู่น่อนน่อนก็พบว่ารถขับตรงไปยังบ้านเก่าตระกูลเฉิน
หลายวันมานี้เธอไม่ค่อยได้ถามเรื่องคดีความของมารดาเฉินถิงเซียวในปีนั้น เธอไม่รู้ว่าจะเอ่ยอย่างไร เฉินถิงเซียวก็ไม่พูดถึง
ตอนนี้เฉินถิงเซียวพาเธอกลับมายังคฤหาสน์ คิดว่าจะเริ่มจัดการเรื่องนี้แล้ว
เมื่อลงจากรถ มู่น่อนน่อนก็เห็นสือเย่ที่หน้าประตูคฤหาสน์
สือเย่นำบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ที่ประตู เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา ก็เอ่ยด้วยความเคารพ “คุณชาย คุณหญิงน้อย”
บาดแผลของมู่น่อนน่อนยังไม่ได้ตัดด้าย เธอเดินช้ามาก
ตอนที่ใกล้จะถึงห้อง ในที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “มีข่าวคราวของซือเฉิงหยู้ไหมคะ”
เฉินถิงเซียวโค้งตัวจุมพิตลงบนหน้าผากเธอแผ่วเบา น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก “คุณไปพักผ่อนก่อน ผมจะไปจัดการธุระเล็กน้อย กลางคืนค่อยบอกคุณ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า “อืม”
เฉินถิงเซียวประคองมู่น่อนน่อนให้เอนตัวลงนอนแล้วก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาหาหมายเลขโทรศัพท์ของซือเฉิงหยู้ ส่งข้อความไปว่า “อยากรู้ที่อยู่ของชิงหนิงไหม”
หน้าจอโทรศัพท์มือถือแสดงผลว่าส่งข้อความสำเร็จแล้ว หว่างคิ้วเฉินถิงเซียวก็ปรากฏกลิ่นอายโหดเหี้ยมออกมา
ไม่รู้ว่าสือเย่ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร
เฉินถิงเซียวเอ่ยถามว่า “พวกเขาล่ะ?”
สือเย่รู้ว่าเขาถามถึงเฉินชิงเฟิงและเฉินเหลียน
เขาพยักหน้าเล็กน้อย “เพิ่งจะส่งลงไปยังห้องใต้ดินครับ”
เฉินถิงเซียวยิ้มเย็น ก้าวเท้าลงไปยังห้องใต้ดิน
ห้องใต้ดินของบ้านเก่าตระกูลเฉินไม่มืดสลัวและอับชื้นเลยแม้แต่น้อย กลับตกแต่งอย่างมีรสนิยม เอาไว้ใช้เก็บวางสิ่งของเก่าๆบางอย่าง
สือเย่ก้าวนำไปเปิดประตูห้องใต้ดินแทนเขา บอดี้การ์ดพากันโค้งตัวแล้วเอ่ยว่า “คุณชาย”
เฉินชิงเฟิงและเฉินเหลียนนั่งอยู่กลางห้อง โดยมีบอดี้การ์ดคุมตัวเอาไว้
หลายวันมานี้มู่น่อนน่อนพักอยู่ที่โรงพยาบาล เฉินถิงเซียวก็เฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาลตลอด ไม่ได้กลับมาที่คฤหาสน์ ส่วนเฉินชิงเฟิงและเฉินเหลียนก็ถูกขังเอาไว้ตลอด
ครึ่งชีวิตก่อนหน้านี้ของเฉินชิงเฟิงก็ถือว่าราบรื่น เมื่อถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองมีความผิด ถูกเฉินถิงเซียวขังเอาไว้นานขนาดนี้ โทสะในใจก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเขาเห็นเฉินถิงเซียว ก็เอ่ยเสียงดังว่า “เฉินถิงเซียว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ฉันก็เป็นพ่อแท้ๆของแก! มีลูกชายที่ไหนที่ปฏิบัติต่อพ่อตัวเองแบบนี้บ้าง?”
เฉินถิงเซียวทำราวกับว่าไม่ได้ยิน ยกมือขึ้นเล็กน้อย ขณะออกคำสั่งว่า “ออกไปให้หมด”
แม้ว่าสือเย่จะไม่วางใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังนำบอดี้การ์ดออกไปจากห้องใต้ดิน
ไม่กี่วันมานี้ที่เฉินชิงเฟิงถูกขัง ความอดทนก็หมดลงไปแล้ว บุคลิกสง่างามและความน่าเกรงขามทั้งหมดที่มีอยู่ในยามปกติล้วนหายไป “ฉันพูดกับแก แกได้ยินไหม!”
เฉินถิงเซียวนั่งลงในฝั่งตรงข้ามกับพวกเขา น้ำเสียงฟังไม่ออกถึงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ราวกับว่าเป็นเพียงแค่การพูดคุยสบายๆอย่างไรอย่างนั้น “พูดเรื่องราวในปีนั้นมาเถอะ”
ท่าทางแบบนี้ของเขากลับทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวมากกว่าเดิม
เฉินชิงเฟิงรู้ว่านี่คือความสงบก่อนที่พายุฝนจะมาเยือน เขาหวาดกลัวขึ้นมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่นิ่ง “เรื่องในปีนั้น…ก็ไม่สามารถโทษฉันทั้งหมดได้…ฉันเพียงแค่ให้คนพวกนั้นลักพาตัวจิ่งชูไปข่มขู่เล็กน้อย หลังจากนั้นก็ให้ปล่อยไป ใครจะไปรู้ว่าคนพวกนั้นมีใจคิดไม่ซื่อ สุดท้ายก็ทำเรื่องแบบนั้นออกมา…”
ทุกคำพูดทุกประโยคของเฉินชิงเฟิงล้วนเป็นการแก้ตัวให้กับตัวเอง
เฉินชิงเซียวยังคงรักษาท่าทางการนั่งเดิมเอาไว้ กระทั่งนัยน์ตาก็ไม่กระพริบเลยแม้แต่น้อย ราวกับรูปปั้นที่สงบนิ่งไร้สุ้มเสียง
“จริงๆนะ ถิงเซียวแกต้องเชื่อฉัน ฉันจะใจร้ายขนาดนั้นได้อย่างไร? ไม่ว่าจะพูดอย่างไรฉันกับจิ่งชูก็เป็นสามีภรรยากันมาหลายสิบปี ฉันจะทำได้…”
เฉินชิงเฟิงเห็นว่าเฉินถิงเซียวไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ก็ปลอบตัวเองอย่างคิดว่าเฉินถิงเซียวอาจจะฟังคำพูดของเขาเข้าหูแล้ว จึงคิดจะแก้ตัวให้ตัวเองต่อ
แต่ในตอนนั้นเองที่ เฉินถิงเซียวหัวเราะเสียงต่ำออกมา “คุณใช้ชีวิตโดยไม่รู้จักละอายใจมาหลายปีขนาดนี้ ตอนนี้คิดอยากจะแก้ตัวให้ตัวเองขึ้นมาแล้ว?”
“ถิงเซียว…”
เฉินถิงเซียวไม่มองเขาแม้แต่น้อย แต่เบนสายตาไปยังเฉินเหลียน “ถึงตาคุณแล้ว”
ตั้งแต่ที่เฉินถิงเซียวปรากฏตัวขึ้นนั้น น้ำตาของเฉินเหลียนก็รินไหลไม่หยุด
“ฉันเดาได้ตั้งนานแล้วว่าจะต้องมีวันนี้…” เฉินเหลียนเอ่ยประโยคนี้จบก็กุมหน้าร้องไห้เงียบๆด้วยความเจ็บปวด
เฉินถิงเซียวมองเธอด้วยสีหน้าเฉยชา “พูดจาดีๆไม่เป็นหรือ”
เฉินเหลียนหยุดร้องไห้ ปาดน้ำตาและเอ่ยพูดใหม่ว่า “ในตอนนั้น พวกเราเพียงแค่คิดอยากจะส่งจิ่งชูให้จากไปเท่านั้น ครั้งนี้เดิมก็คิดจะลักพาตัวเธอแค่คนเดียว แต่คิดไม่ถึงว่าไม่ว่าพวกเขาจะทุบตีและด่าว่าอย่างไร หลานก็ไม่ยอมปล่อยมือ พวกเขาจึงต้องลักพาตัวหลานไปด้วย…หลังจากนั้นคนพวกนั้นก็ปล้นชิงทรัพย์…”
เฉินถิงเซียวฟังถึงตรงนี้แล้ว ก็ลุกขึ้นยืนตวาดเสียงดังอย่างมีโทสะว่า “หุบปาก!”
เฉินเหลียนถูกเขาทำให้ตกใจจนเงียบเสียงทันที
เฉินถิงเซียวเดินตรงไปหยุดอยู่หน้าเฉินชิงเฟิง ชกหมัดหนึ่งใส่อย่างรุนแรงจนเขาล้มลงไปกองกับพื้น หลังจากนั้นก็ยื่นมือไปกระชากปกคอเสื้อเขาขึ้นมา…
คุณหมอซับเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากตัวเองเล็กน้อยแล้วเอ่ยอย่างตัวสั่นงันงกว่า “บาดแผลลึกเกินไป จึงต้องฉีดยาชาครับ”
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว สีหน้าก็ไม่ได้ดีขึ้น ยังคงมีท่าทางพร้อมที่ระเบิดออกมาได้ทุกเวลา “อีกนานเท่าไรถึงจะฟื้นคืนสติ”
“ต้องดูสภาพร่างกายของแต่ละคนครับ น่าจะเร็วๆนี้…” คุณหมอรู้สึกว่าหน้าผากตัวเองชื้นเหงื่อเย็นๆอีกแล้ว
เฉินถิงเซียวยังคงไม่พอใจในคำตอบของคุณหมอ “เร็วๆนี้นั้นเร็วแค่ไหน”
“ก็คือ…” คุณหมอถูกเฉินถิงเซียวทำให้ตกใจจนอ้ำๆอึ้งๆไม่กล้าพูดจา กลัวว่าตัวเองจะพูดอะไรผิดไปแล้วถูกพญายมที่อยู่ตรงนั้นจัดการเข้า
กู้จือหยั่นที่รีบตามมาก็เห็นเหตุการณ์นี้เข้า
เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวมีท่าทางจะลงไม้ลงมือ กู้จือหยั่นก็รีบวิ่งเข้ามา “น่อนน่อนเป็นอย่างไรบ้าง”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเต็มไปด้วยความตึงเครียด “ยังไม่ฟื้น”
กู้จือหยั่นหันหน้าไปถามคุณหมอ เมื่อได้ยินคำพูดคุณหมอแล้ว เขาก็ขึงตาใส่เฉินถิงเซียวอย่างไม่สบอารมณ์ “น่อนน่อนไม่ได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิต ก็แค่แผลบาดเจ็บลึกไปหน่อย จึงต้องฉีดยาชา นายก็ไม่ถึงขั้นต้องข่มขู่คุณหมอแบบนี้นะ”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองกู้จือหยั่นครู่หนึ่ง คล้ายกับว่ากำลังครุ่นคิดถึงระดับความน่าเชื่อถือในคำพูดของกู้จือหยั่น
ผ่านไปสองวินาที เขาก็โค้งตัวเข็นมู่น่อนน่อนไปยังห้องพักผู้ป่วย
“ฉันจะช่วยนาย” กู้จือหยั่นคิดจะยื่นมือมาจับที่จับ
เพียงแต่มือของเขายังไม่ทันจะเข้าไปใกล้ก็ถูกเฉินถิงเซียวปัดออกเสียแล้ว “อย่าแตะ”
กู้จือหยั่นเม้มริมฝีปาก เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ฉันแค่จะช่วยนายเข็น…”
เฉินถิงเซียวไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย สนใจแค่ตัวเองที่เข็นมู่น่อนน่อนไปยังห้องพักผู้ป่วย
แน่นอนว่ามู่น่อนน่อนต้องพักอยู่ในห้องพักผู้ป่วย VIP เป็นธรรมดา
กู้จือหยั่นเดินตามเข้าไป ก็เห็นเฉินถิงเซียวอุ้มมู่น่อนน่อนไปวางบนเตียงด้วยความระมัดระวัง สีหน้าเคร่งเครียดราวกับว่ากำลังเจรจาสัญญาสิบล้านอยู่
กู้จือหยั่นนึกถึงตอนที่ตัวเองมาถึง นอกจากคุณหมอและเจ้าหน้าที่พยาบาลแล้ว ก็ไม่เห็นคนอื่นอีก จึงถามว่า “นายให้พวกเขาจัดการห้องพักผู้ป่วย VIP ที่ชั้นนี้ให้ว่างทั้งหมด?”
เฉินถิงเซียวช่วยเหน็บชายผ้าห่มให้มู่น่อนน่อนเรียบร้อยแล้วหันมามองกู้จือหยั่น พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “หนวกหูเกินไปแล้ว นายออกไป”
“ฉัน…” กู้จือหยั่นถูกประโยคนี้ของเขาทำให้สะอึกจนพูดไม่ออก
เฉินถิงเซียวก็ไม่สนใจว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่หมุนตัวไปนั่งอยู่ข้างเตียง รอมู่น่อนน่อนฟื้นขึ้นมา
กู้จือหยั่นไม่ได้ออกไป แต่ว่าเสียงที่ใช้พูดก็เบาลงหลายระดับ “นายอย่ามีท่าทางเหมือนกับจะเดินทางไปจัดงานฌาปนกิจจะได้ไหม น่อนน่อนเพียงแค่ได้รับบาดเจ็บ ไม่ใช่ว่ามีอันตรายถึงชีวิต นายนี่จริงๆเลย…”
เฉินถิงเซียวกวาดตามองเขา กู้จือหยั่นก็รีบทำท่าทางรูดซิปปากทันที แสดงให้เห็นว่าเขาจะปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีก
เขาจ้องเฉินถิงเซียวอยู่หลายวินาที จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง กู้จือหยั่นก็ถือถุงผ้าเข้ามาและนำพยาบาลเข้ามาด้วยคนหนึ่ง
เขาโยนถุงผ้าที่อยู่ในมือใส่เฉินถิงเซียว “เปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย จากนั้นก็ให้พยาบาลพันแผลให้สักหน่อย”
“ไม่ต้อง” เฉินถิงเซียวไม่ได้รับถุงผ้าเอาไว้ เพียงแต่ตั้งใจสังเกตสภาพอาการของมู่น่อนน่อน
“นายอยากให้ตอนที่น่อนน่อนฟื้นคืนมาเห็นนายมีสภาพแบบนี้?” สายตาของกู้จือหยั่นพิจารณามองไปบนร่างของเฉินถิงเซียวรอบหนึ่ง พลางส่ายหน้า “ผู้หญิงนะ เป็นคนที่เห็นแต่รูปร่างหน้าตา สภาพที่น่าเกลียดของนายในตอนนี้ น่อนน่อนฟื้นขึ้นมาแล้วจะต้องรู้สึกว่าระคายตาแน่…”
เขายังเอ่ยไม่ทันจบ ก็เห็นเฉินถิงเซียวเก็บถุงผ้าขึ้นมา หันหน้ามาทางกู้จือหยั่น “ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
กู้จือหยั่นคิดไม่ถึงว่าเขาพูดมั่วๆไปไม่กี่ประโยคก็มีผลต่อเฉินถิงเซียว “ไปสิ ฉันจะช่วยนายดูน่อนน่อน”
เฉินถิงเซียวมองเขาครู่หนึ่ง จู่ๆก็โค้งตัวเขยิบเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียงถอยไปด้านหลัง
กู้จือหยั่นมองเก้าอี้ตัวนั้นถูกเฉินถิงเซียวเคลื่อนย้ายให้ห่างจากเตียงสองเมตรแล้วถึงได้หยุด
เขาเบิกตากว้างด้วยท่าทางตกตะลึง แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่ข้างเตียงแล้วจะสามารถทำอะไรมู่น่อนน่อนได้อย่างนั้นหรือ
เฉินถิงเซียวชี้ไปที่เก้าอี้ “นั่งตรงนี้”
สัญชาตญาณที่เกิดจากการถูกเฉินถิงเซียวกดขี่เป็นเวลานานทำให้กู้จือหยั่นเดินไปนั่งอย่างเชื่อฟัง
เฉินถิงเซียวถึงได้หมุนตัวเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทางด้านใน
รอจนประตูด้านในปิดลงแล้ว กู้จือหยั่นก็หันไปมองนางพยาบาลที่เดินตามเขาเข้ามา “ในมุมมองของอาชีพคุณ คุณคิดว่าเฉินถิงเซียวบ้าไหม”
นางพยาบาลตะลึงไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายเฉินหล่อมาก…”
กู้จือหยั่น “…”
บนร่างของเฉินถิงเซียวล้วนเป็นบาดแผลภายนอก เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาก็ถูกกู้จือหยั่นกดให้นั่งลงบนเก้าอี้เพื่อพันแผล
บาดแผลของเขาเพิ่งจะพันเสร็จ มู่น่อนน่อนก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว
มู่น่อนน่อนสีหน้าขาวซีดราวกับหิมะ ตอนที่พูดจาก็เสียงเบามาก ต้องเขยิบเข้าไปใกล้ถึงจะได้ยิน
เฉินถิงเซียวจับมือเธอเอาไว้ เขยิบหูเข้าไปใกล้ริมฝีปากเธอด้วยความระมัดระวัง
“คุณไม่เป็นอะไรนะ…”
เฉินถิงเซียวจับมือเธอแน่น น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “ไม่เป็นไร”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้วก็โค้งริมฝีปากยิ้ม นัยน์ตาสวยสง่าที่ยามปกติงดงามเจิดจ้า ก็เป็นเพราะว่าอ่อนเพลียเกินไปจึงไร้ชีวิตชีวา ทั่วทั้งร่างดูแล้วบอบบางราวกับตุ๊กตาที่เมื่อแตะถูกก็จะล้มลง
เฉินถิงเซียวขยับลำคออย่างยากลำบาก นัยน์ตาแดงก่ำ กัดฟันเอ่ยว่า “มู่น่อนน่อน หลังจากนี้ถ้าหากว่าคุณยังกล้าทำเรื่องอย่างการทำร้ายตัวเองอีก ผมจะตัดขาของคุณ!”
มู่น่อนน่อนรู้สึกมาตลอดว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ความจริงแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะถูกต้องไปเสียทั้งหมด
เพราะว่า วาจาโหดร้ายที่เฉินถิงเซียวพูดกับเธอนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นจริงๆ
ตอนโกรธดุร้ายขนาดนั้น ดุร้ายราวกับสิงโตตัวใหญ่ตัวหนึ่ง แต่กลับไม่เคยยื่นกรงเล็บมาทางเธอเลย
มู่น่อนน่อนไม่พูดอะไร เพียงแค่ยิ้ม
เฉินถิงเซียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่อนุญาตให้ยิ้ม”
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนไม่ได้ลดลงไป เอ่ยอย่างกินแรงอยู่บ้างว่า “อย่าดุร้ายขนาดนั้น ฉันเพียงแค่…อยากปกป้องคุณ…”
แม้ว่าเธอจะฉลาด และมีเงินมีอำนาจสู้เฉินถิงเซียวไม่ได้ พละกำลังของเธอเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ดูมีเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิด แต่เธอก็อยากจะทำเรื่องที่ตัวเองสามารถทำแทนเขาได้บ้าง
เฉินถิงเซียวมีวิธีที่ตัวเขาใช้รักเธอ ส่วนเธอก็มีความยืนหยัดแน่วแน่ของตัวเธอเองเช่นกัน
เฉินถิงเซียวเพียงแค่มองเธอนิ่งๆโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ปกป้องตัวเองให้ดี นั่นก็เป็นการปกป้องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผมแล้ว สิ่งที่ผมพูดไป คุณไม่สามารถทำหูทวนลมได้”
มู่น่อนน่อนคิดถึงสิ่งที่เฉินถิงเซียวเคยพูด
…ขอเพียงแค่คุณไม่เป็นอะไร ผมก็จะไม่เป็นอะไร แต่เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นกับคุณ นั่นก็คือสิ่งที่จะเอาชีวิตผม
แต่ว่า เธอไม่สามารถมองเฉินถิงเซียวถูกซือเฉิงหยู้ข่มขู่แบบนั้นเพราะตัวเองได้
เธอไม่สามารถสนใจแต่ตัวเองทั้งหมดได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนเหล่านั้นเคยได้รับความเอาใจใส่จากเฉินถิงเซียว ทั้งหมดล้วนทำเรื่องที่ผิดต่อเฉินถิงเซียว เธอนึกขึ้นมาแล้วก็รู้สึกปวดใจ และอยากจะทำดีกับเขาเพิ่มอีกนิด
ในใจมู่น่อนน่อนมีความคิดมากมาย แต่สุดท้ายก็ยังคงพยักหน้า “อืม”
เอ่ยจบแล้ว เธอก็ถามต่อว่า “ซือเฉิงหยู้ล่ะคะ”
กู้จือหยั่นที่เดินเข้ามาจากด้านนอก ก็ตอบคำถามแทนเฉินถิงเซียว “หนีไปแล้ว”
ตอนนั้นสถานการณ์ชุลมุนวุ่นวาย เฉินถิงเซียวสนใจเพียงแค่อาการบาดเจ็บของมู่น่อนน่อน จึงไม่มีกำลังจะไปสนใจซือเฉิงหยู้
ในตอนนี้เองที่ลูกน้องวิ่งมาถึงข้างกายซือเฉิงหยู้ “คุณชายซือ หากเป็นแบบนี้ต่อไป คนของพวกเราจะสู้เขาไม่ได้เลยนะครับ”
ซือเฉิงหยู้ถอนสายตาที่ตกอยู่บนร่างของเฉินถิงเซียวกลับมา ยังไม่ทันเอ่ยพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงไซเรนรถตำรวจดังมาจากด้านนอก
ต่อมา สือเย่และกู้จือหยั่นก็นำคนวิ่งบุกเข้ามา
แค่ดูสือเย่ก็เห็นเฉินถิงเซียวในทันที “คุณชาย!”
ซือเฉิงหยู้สีหน้าทะมึน โบกมือขึ้น พลางเอ่ยว่า “แยกย้าย”
ก่อนจากไป เขายังคิดจะพาตัวมู่น่อนน่อนไปด้วย แต่เฉินถิงเซียวบุกฝ่ากลุ่มคนเข้ามา
คนที่สือเย่กับกู้จือหยั่นพามาด้วยล้วนตามเข้ามา สถานที่เกิดเหตุจึงชุลมุนวุ่นวายมากกว่าปกติในทันที
มู่น่อนน่อนสูญเสียเลือดมากเกินไป ใบหน้าขาวซีด คราวนี้จึงมีอาการเวียนศีรษะตาลายอยู่บ้าง
เธอรู้สึกได้ว่ามีคนช่วยตัวเองกดปากแผลบริเวณไหล่ มือข้างนั้นดูเหมือนว่าจะสั่นระริก
ต่อมาก็มีเสียงเรียกของเขาดังขึ้น “มู่น่อนน่อน!”
เสียงนี้เธอคุ้นเคยมากที่สุด เป็นเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนเงยหน้า มองใบหน้าของเฉินถิงเซียวได้ไม่ชัดเจนอยู่บ้าง
เสียงของมู่น่อนน่อนอ่อนแรงเล็กน้อย “อย่าไปทำเรื่องที่ซือเฉิงหยู้ให้คุณไปทำพวกนั้น…เขาต้องการจะ…ทำลาย…คุณ…”
เดิมซือเฉิงหยู้ก็มีชีวิตที่สมบูรณ์ แต่ในตอนที่ได้รับรู้เรื่องราวในชีวิตของตัวเองก็เลือกที่จะยินยอมให้ตัวเองจมดิ่งอยู่ในนั้น ทำให้ชีวิตของตัวเองชุลมุนวุ่นวาย ตอนนี้ยังคิดจะดึงเฉินถิงเซียวลงไปด้วย…
หรือจะพูดว่า ตอนนี้ซือเฉิงหยู้ต้องการให้ทุกคนทุกข์ทรมานเหมือนกับเขา
ซือเฉิงหยู้บ้าไปแล้วจริงๆ
เฉินถิงเซียวน้ำเสียงแหบพร่าผิดปกติ “ไม่ต้องพูดแล้ว ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”
เขายื่นมือไปคลายเชือกที่อยู่บนร่างมู่น่อนน่อนออกแล้วอุ้มเธอขึ้นมา
มู่น่อนน่อนตาปรืออิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของเขา ทำจมูกฟุดฟิด พลางถามเขาว่า “คุณได้รับบาดเจ็บหรือคะ ฉันได้กลิ่นคาวเลือด…”
“ผมเปล่า เป็นคุณที่ได้รับบาดเจ็บ” เฉินถิงเซียวเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยคุยกับเธอ
“แต่ว่าบนร่างของคุณ…” เลือดที่บาดแผลของมู่น่อนน่อนยังคงรินไหล เธอจึงทนไม่ไหวแล้วสลบไป
“ไม่ต้องพูดแล้ว”
สือเย่รีบก้าวเข้ามาหา “คุณชาย”
เขาเห็นเสื้อผ้าบนร่างของเฉินถิงเซียวล้วนฉีกขาด บริเวณแขนก็มีบาดแผลเล็กใหญ่ จึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “คุณชาย…ไม่อย่างนั้น…ให้ผมทำแทนไหมครับ?”
“ไม่ต้อง” เฉินถิงเซียวเดินตรงผ่านเขาไป โดยไม่หยุดชะงักเลยแม้แต่น้อย
สือเย่ก้าวขึ้นไปเปิดประตูรถเบาะด้านหลังแทนเฉินถิงเซียว และเดินอ้อมไปด้านหน้าเพื่อขับรถ
ในกระจกมองหลัง เขาเห็นเฉินถิงเซียวอุ้มมู่น่อนน่อนเอาไว้โดยไม่ขยับเขยื้อน
เฉินถิงเซียวก้มหน้าลง สายตาจับจ้องอยู่บนใบหน้าของมู่น่อนน่อน จึงทำให้คนมองเห็นสีหน้าของเขาได้ไม่ชัด
ตอนนี้เองที่สือเย่ได้ยินเฉินถิงเซียวเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ขับเร็วหน่อย”
“ครับ” สือเย่รีบถอนสายตากลับมา
……
สือเย่ขับรถมาถึงโรงพยาบาลที่อยู่ภายใต้บริษัทตระกูลเฉิน
มู่น่อนน่อนถูกส่งเข้าห้องผ่าตัด เฉินถิงเซียวยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่หน้าประตู
สือเย่ลองเอ่ยถามว่า “คุณชาย บาดแผลบนร่างคุณ ผมจะให้คนมาพันแผลสักหน่อยนะครับ?”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร
สือเย่เข้าใจเฉินถิงเซียว จึงเข้าใจได้ว่า ถ้าหากมู่น่อนน่อนยังไม่ถูกส่งออกมาอย่างปลอดภัย ก็เป็นไปไม่ได้ที่เฉินถิงเซียวจะจากไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงเย็นเยียบของเฉินถิงเซียวลอยมา “ไปที่คฤหาสน์สักรอบ อย่าให้ใครออกจากคฤหาสน์ได้แม้แต่คนเดียว”
สือเย่ชะงักไปเล็กน้อยแล้วรับคำ “ครับ”
หลังจากนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็ว
…..
บ้านเก่าตระกูลเฉิน
เฉินชิงเฟิงอาศัยช่วงเวลาที่วุ่นวายหลบหนีออกมาจากคลังสินค้าที่ถูกทิ้งให้ร้างแห่งนั้น เขาไม่ได้ตรงไปยังสนามบิน แต่กลับโทรศัพท์หาเฉินเหลียนแทน
แต่ไม่รู้ว่าเฉินเหลียนกำลังทำอะไรอยู่จึงไม่ได้รับโทรศัพท์
เขาจึงทำได้เพียงแค่กัดฟันแล้วกลับไปยังบ้านเก่าตระกูลเฉิน
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวไม่ได้หย่ากัน ตอนนี้มู่น่อนน่อนได้รับบาดเจ็บ เฉินถิงเซียวดูแล้วยังเป็นห่วงเธอมาก ตอนนี้จะต้องไม่มีกะจิตกะใจจะมาสนใจเขา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจเฉินชิงเฟิงก็สงบลงบ้าง
เขากลับไปที่บ้านเก่าตระกูลเฉิน เพื่อพาเฉินเหลียนไปยังต่างประเทศด้วยกัน ระยะทางยาวไกล เขาไม่เชื่อว่าเฉินถิงเซียวจะยังสามารถหาเขาพบได้
เมื่อถึงคฤหาสน์ เขาก็เข้าประตูไป พบว่าภายในคฤหาสน์เงียบอย่างน่าประหลาด
เขาเอ่ยเรียก “เฉินเหลียน!”
จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากที่ไม่ไกลนักอย่างเลือนราง จึงเดินตามเสียงนั้นไป เขาถึงได้เห็นเฉินเหลียนที่กำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัวกับเหล่าคนรับใช้
“พี่คะ พี่กลับมาแล้ว” เฉินเหลียนหันหน้ามายิ้มให้เขา
เฉินชิงเฟิงเดินเข้าไป คว้าหมับเข้าที่มือเธอแล้วเดินออกไปด้านนอก “รีบไปกับพี่เร็วเข้า!”
เฉินเหลียนไม่ยอมไปกับเขา เอ่ยถามเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นคะ”
“ถิงเซียวรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว” เฉินชิงเฟิงใบหน้าเคร่งขรึม เอ่ยเสียงเบากับเธอ
เฉินเหลียนหน้าเผือดสี มองไม่ทางเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “อะไรนะคะ พี่พูดว่า…ทั้งหมด?”
“พวกเรารีบไปกันเถอะ เขาโหดเหี้ยมอำมหิต จะต้องไม่ปล่อยพวกเราไปแน่ๆ” เฉินชิงเฟิงมองไปรอบๆอย่างร้อนรน และดึงมือเฉินเหลียนออกไปด้านนอกอีกครั้ง
เฉินเหลียนส่ายหน้า “ฉันไม่ไป”
“ถ้ายังไม่ยอมไปก็จะ…”
สือเย่ที่นำคนเข้ามาด้วยตัดบทเฉินชิงเฟิง “คุณเฉินจะไปไหนหรือครับ”
เฉินชิงเฟิงเอ่ยเยาะว่า “นายจะยุ่งเรื่องฉันไปไหน? ก็แค่สุนัขตัวหนึ่งที่ถิงเซียวเลี้ยงเอาไว้ นายมีคุณสมบัติอะไรมายุ่งเรื่องของฉัน”
สีหน้าของสือเย่ไม่มีคลื่นความรู้สึกใดแม้แต่น้อย “มีคนบางคนที่กระทั่งสุนัขก็ยังเทียบไม่ได้นะครับ”
ต่อมา สือเย่ก็ส่งสายตาให้กับลูกน้องที่อยู่ด้านหลัง ให้พวกเขาไล่คนรับใช้ทั้งหมดในคฤหาสน์ออกไป
“ถิงเซียวอยู่ที่ไหน” เฉินเหลียนสะบัดมือเฉินชิงเฟิง เดินมาถึงด้านหน้าสือเย่ พลางเอ่ยถาม
สือเย่ไม่ตอบคำถามเธอ เพียงแค่เอ่ยสั่งว่า “ส่งคุณเฉินกับคุณนายซือกลับไปพักผ่อนที่ห้อง”
พูดว่าส่ง แต่ความจริงแล้วคือบังคับตัวส่งกลับไปที่ห้องแล้วขังเอาไว้
ครึ่งชีวิตก่อนหน้านี้ของเฉินชิงเฟิงก็นับว่าเรียกลมได้ลม เรียกฝนได้ฝน “พวกแกคุมขังคนอย่างผิดกฎหมาย ฉันจะแจ้งตำรวจ!”
สือเย่ยิ้ม น้ำเสียงประชดประชัน “คุณเฉินไม่รู้สินะครับว่ามีตำรวจสืบสวนนายหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวคุณนายในปีนั้นคอยติดตามคดีในปีนั้นมาตลอด คุณชายเพียงแค่เปิดเผยรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับคดีความในปีนั้นให้เขาเพียงเล็กน้อย…”
เฉินชิงเฟิงนั้นให้ความสำคัญกับหน้าตาและอำนาจมาโดยตลอด เมื่อถูกสือเย่เอ่ยด้วยแบบนี้ สีหน้าเขาก็มืดมนในทันที
เขารู้ว่า ถ้าตัวเองตกอยู่ในเงื้อมมือของเฉินถิงเซียวแล้ว จะต้องมีจุดจบที่ไม่ดีอย่างแน่นอน
……
เฉินถิงเซียวยืนอยู่นอกห้องผ่าตัด รู้สึกเหมือนว่าผ่านไปนานถึงหนึ่งศตวรรษ ประตูห้องผ่าตัดถูกเปิดออกอีกครั้ง
คุณหมอเพิ่งจะออกมา เฉินถิงเซียวก็ก้าวพรวดไปหยุดอยู่ที่ด้านหน้าเขา ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “เธอเป็นอย่างไรบ้าง”
บนร่างเฉินถิงเซียวยังคงสวมชุดที่ขาดๆโดยไม่ได้เปลี่ยน ทั้งยังมีบาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บ สภาพดูแล้วน่าอนาถอยู่บ้าง แต่สายตาของเขากลับยังคงทำให้คนสั่นสะท้านได้เช่นเคย
คุณหมอเอ่ยเสียงสั่นอย่างไม่สามารถสังเกตเห็นได้ “พวกเราทำการผ่าตัดเย็บบาดแผลให้กับคุณมู่เรียบร้อยแล้ว เธอ…”
มู่น่อนน่อนถูกเข็นออกมาแล้ว
เฉินถิงเซียวพุ่งเข้าไป เมื่อเห็นมู่น่อนน่อนนอนหลับตา ใบหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียง นัยน์ตาก็มีประกายคลุ้มคลั่งพาดผ่าน “ทำไมเธอถึงยังไม่ฟื้น?”
มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจลึก แทบจะเอ่ยถามซือเฉิงหยู้ด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “ลูกสาวของฉันอยู่ที่ไหน”
ตอนนี้ซือเฉิงหยู้กลายเป็นคนบ้าไปแล้ว
ถ้าหากว่าเฉินมู่ถูกซือเฉิงหยู้กับเฉินชิงเฟิงร่วมมือกันซ่อนเอาไว้ เธอก็ไม่กล้าคิดว่าคนที่บ้าคลั่งอย่างซือเฉิงหยู้จะทำอะไรกับเฉินมู่
เฉินมู่ยังเล็กขนาดนั้น
ซือเฉิงหยู้ที่ได้ยินก็เผยสีหน้าเข้าใจออกมาทันที “ซาลาเปาน้อยคนนั้นน่ะหรือ”
มู่น่อนน่อนตึงเครียด หัวใจราวกับถูกคนบีบเอาไว้ กระทั่งหายใจก็ยังรู้สึกว่ายากอยู่บ้าง “คุณรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน?”
“แน่นอนว่าผมรู้ เพราะผมเป็นคนขโมยเด็กคนนั้นไป…” เขาเอ่ยถึงตรงนี้ ก็เอ่ยปฏิเสธกับตัวเองว่า “ก็ไม่ถูก ความคิดนี้เป็นสิ่งที่ผมเสนอให้กับเฉินชิงเฟิง เด็กก็เป็นเขาที่ส่งคนไปขโมยออกมา แต่ว่าสุดท้ายก็ถูกผมพาตัวไป สำหรับที่ว่าเด็กอยู่ที่ไหน…”
เสียงของเขาชะงักไป ยื่นมือไปลูบใบหน้าของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนหันหน้าหนีไปอีกด้านด้วยความรังเกียจ คิดจะหลบการแตะต้องจากเขา แต่ตอนนี้เธอถูกมัดอยู่บนเก้าอี้ จะเบนหน้าหนีก็หนีไม่รอดจากมือของซือเฉิงหยู้
ซือเฉิงหยู้ถูกการหลบหลีกของเธอทำให้โมโห จึงบีบคางเธอเอาไว้ทันที “อยากรู้ที่อยู่ของเด็ก นอกจากพวกคุณสามีภรรยาจะเล่นเกมส์เป็นเพื่อนผมดีๆ ถ้าหากว่าผมอารมณ์ดีแล้ว…”
จู่ๆก็มีเสียงปังดังขึ้น ประตูใหญ่ของคลังสินค้าถูกคนผลักให้เปิดออก
ถัดมา เสียงทุ้มต่ำของเฉินถิงเซียวก็ลอยมา “ซือเฉิงหยู้!”
ซือเฉิงหยู้และมู่น่อนน่อนหันไปมองยังทิศทางของประตูคลังสินค้าพร้อมกัน
เฉินถิงเซียวยังคงสวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงสูท มองดูแล้วมีท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการตะลอน เส้นผมยุ่งเหยิง แขนเสื้อเชิ้ตมีรอยย่นจากการถูกม้วนขึ้นไปถึงต้นแขน ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกที่บีบคั้นผู้คน
สายตาของเขาตกลงบนมือของซือเฉิงหยู้ที่บีบคางของมู่น่อนน่อน นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อย เอ่ยเสียงเข้มว่า “นายปล่อยเธอเสีย”
ซือเฉิงหยู้ได้ยินแล้วก็ปล่อยมือทั้งอย่างนั้นแล้วลุกขึ้น มองไปทางเฉินถิงเซียวด้วยท่าทางอารมณ์เบิกบาน “เป็นไปตามที่นายปรารถนา”
มู่น่อนน่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงกังวล “เฉินถิงเซียว”
เฉินถิงเซียวเบนสายตาไปมองเธอ ก็เห็นว่าคางของเธอบวมแดงเล็กน้อย นั่นคือจุดที่ซือเฉิงหยู้เพิ่งจะบีบไป
เขามีแววตาทะมึน หันหน้าไปมองซือเฉิงหยู้ “ฉันมาแล้ว ปล่อยมู่น่อนน่อนเสีย”
ซือเฉิงหยู้นั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย แย้มรอยยิ้มบางๆ “ฉันเคยพูดด้วยหรือว่าถ้านายมาแล้วจะปล่อยผู้หญิงของนาย? ฉันจำได้ว่า ฉันพูดเพียงแค่ ถ้าหากนายต้องการคุยกับเธอก็ให้มาด้วยตัวเอง”
เฉินถิงเซียวมีสีหน้าสงบนิ่ง เอ่ยว่า “นายเสนอเงื่อนไขมา”
“ฉันเสนอหรือ” ซือเฉิงหยู้มีท่าทีสนใจขึ้นมา “เห็นแก่ที่พวกเราเป็นพี่น้องกัน ฉันจะมอบมู่หวั่นขีให้นายแล้วกัน แม้ว่าสมองจะมีปัญหาไปสักหน่อย แต่ความสามารถบนเตียงนั้นยอดเยี่ยม”
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากด่าเสียงดัง “ซือเฉิงหยู้ คุณบ้าไปแล้ว!”
“ผมคุยกับเฉินถิงเซียวอยู่ คุณอย่าสอดปาก” ซือเฉิงหยู้หันหน้ามามองมู่น่อนน่อนครู่หนึ่ง
ทันใดนั้นก็มีบอดี้การ์ดถือกริชมาแนบกับลำคอของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนร้อนใจจนหน่วยตาแดงระเรื่อ แต่กลับไม่มีน้ำตาสักหยด “เฉินถิงเซียว ซือเฉิงหยู้เขาบ้าไปแล้ว คุณไม่ต้องสนใจเขา!”
เฉินถิงเซียวไม่มองมู่น่อนน่อนสักแวบเดียว เพียงแค่เอ่ยเสียงเรียบๆว่า “ได้ นายเสนอเงื่อนไขอะไรมาฉันล้วนรับปาก”
“เห็นแก่ความจริงใจของนาย แน่นอนว่าฉันจะให้โอกาสนายแสดงความสามารถ” ซือเฉิงหยู้พูดแล้วปรบมือ
ต่อมา มู่หวั่นขีก็ถูกคนคุมตัวออกมา
มู่หวั่นขีหลับตาอยู่ ดูออกว่าสลบไปแล้ว
“ทำให้ฟื้นขึ้นมา” ซือเฉิงหยู้เอ่ยเรียบๆประโยคหนึ่ง
ต่อมา เขาก็ยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา “ตอนนี้สิบเอ็ดโมง นายกับมู่หวั่นขีไปจดทะเบียนที่การปกครองอำเภอ และให้สื่อมวลชนเปิดเผยออกมา ฉันก็จะปล่อยน่อนน่อน เป็นอย่างไร?”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้าให้เฉินถิงเซียว “ไม่!”
ในที่สุดเฉินถิงเซียวก็มองมาทางเธอ แต่ว่าก็เป็นการกวาดสายตามองผ่านครู่เดียวเท่านั้น และเบนสายตาจากไป “ฉันรับปากนาย”
“ฉันไม่อนุญาต!”
มีอีกเสียงหนึ่งดังลอยมาจากนอกประตู
ทุกคนล้วนหันหน้าไปมอง ก็เห็นเฉินชิงเฟิงที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางเร่งรีบ
“เฉิงหยู้ แกอย่าก่อเรื่องวุ่นวาย แกให้ถิงเซียวแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้แล้ว แกจะให้พวกเราตระกูลเฉินเงยหน้าอยู่ในเมืองหู้หยางต่อไปได้อย่างไรกัน”
ซือเฉิงหยู้แย้มรอยยิ้มประหลาด “ก็ได้ ไม่ให้ถิงเซียวแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ อย่างนั้นก็เปิดเผยเรื่องของคุณกับน้องสาวที่รักของคุณต่อสื่อมวลชน คุณเลือกมาอย่างหนึ่ง?”
“แก…” เฉินชิงเฟิงคิดไม่ถึงว่าซือเฉิงหยู้จะพูดแบบนี้ จึงโกรธจนหน้าเขียว
ในตอนนี้เองที่มู่หวั่นขีฟื้นคืนสติขึ้นมา
เธอมองไปรอบๆด้วยท่าทางมึนงง สุดท้ายสายตาก็ตกลงบนร่างของซือเฉิงหยู้ “เฉิงหยู้…”
ซือเฉิงหยู้หันหน้าไปมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนผิดปกติ ยื่นมือไปลูบศีรษะเธอ “ไม่ต้องกลัว คุณไม่ได้อยากจะแต่งเข้าตระกูลไฮโซมาโดยตลอดหรือ คุณพอใจเฉินถิงเซียวไหม”
“อะไรนะ” มู่หวั่นขีมองซือเฉิงหยู้ด้วยสีหน้าตะลึงงัน “คุณกำลังพูดอะไรคะ ฉันไม่แต่งกับใครทั้งนั้น ฉันเพียงแค่อยากอยู่กับคุณ”
เธอเอ่ยแล้วโผเข้าไปทางซือเฉิงหยู้
ราวกับว่าซือเฉิงหยู้คาดการณ์เอาไว้ได้ตั้งแต่ต้นแล้ว จึงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ให้มู่หวั่นขีโผเข้าหาอากาศ เธอจึงล้มลงกับพื้น
เธอเงยหน้ามองซือเฉิงหยู้
ซือเฉิงหยู้เพียงแค่เอ่ยเรียบๆสองคำว่า “เชื่อฟัง”
มู่หวั่นขีส่ายหน้า “ฉันไม่…”
ตำแหน่งที่มู่น่อนน่อนถูกมัดเอาไว้อยู่ด้านหลังทุกคน นอกจากเฉินถิงเซียว ความสนใจของคนอื่นๆล้วนอยู่ที่ซือเฉิงหยู้และมู่หวั่นขี
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวครู่หนึ่งแล้วนั่งตัวตรง อาศัยช่วงเวลาที่คนถือกริชแนบคอเธอไม่ทันระวังลุกขึ้นยืนทันที
คมกริชจึงบาดลึกลงบนไหล่ของเธอ เลือดรินไหลทะลักออกมา
“มู่น่อนน่อน!”
เฉินถิงเซียวสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ยกเท้าวิ่งมาทางเธอ
แต่ว่าคนที่ซือเฉิงหยู้นำมาด้วยนั้นมีมากเกินไป เขาวิ่งมาได้ครึ่งทางก็ถูกขวางเอาไว้แล้ว
เฉินถิงเซียวนั้นอดทนมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้ แต่ตอนนี้อดทนไม่ไหวแล้ว จึงลงมือกับบอดี้การ์ดของซือเฉิงหยู้
ซือเฉิงหยู้ได้ยินเสียงก็หันหน้ามา จึงเห็นว่าเสื้อเชิ้ตสีขาวบนร่างของมู่น่อนน่อนเปียกชุ่มไปด้วยเลือดแล้วครึ่งหนึ่ง
มู่น่อนน่อนสูญเสียเลือดไปเยอะมาก สีหน้าซีดเผือด สายตาที่มองไปยังซือเฉิงหยู้ก็ไม่ปิดบังถึงความรังเกียจ “ซือเฉิงหยู้ คุณอย่าคิดจะใช้ฉันมาบีบบังคับเฉินถิงเซียว? ถ้าหากว่าฉันตาย คุณจะมีเบี้ยอะไรไปสู้กับเขาอีก?”
ซือเฉิงหยู้มีสีหน้าทะมึน แต่ในไม่ช้าเขาก็ยกริมฝีปากขึ้น “คุณตายไปแล้วก็ยังมีลูกสาวของเขา”
“อย่างนั้นหรือ” มู่น่อนน่อนก็ยิ้มเช่นกัน “ซือเฉิงหยู้ ทำไมคุณถึงได้โง่ขนาดนี้ หรือคุณคิดว่าฉันโง่ยิ่งกว่ากัน ถ้าหากว่าสามารถใช้เฉินมู่มาข่มขู่เฉินถิงเซียวได้ คุณจะลักพาตัวฉันมาทำอะไร คุณก็ใช้เฉินมู่มาข่มขู่เขาเสียเลยสิ”
มู่น่อนน่อนเอ่ยจบแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็กว้างมากกว่าเดิม แต่ละคำนั้นคมกริบราวกับมีด “ถ้าหากว่าคุณยังบีบบังคับเขาอีก ก็เก็บศพฉันแทนแล้วกัน”
สีหน้าของซือเฉิงหยู้ดูแย่เป็นอย่างมาก
เขาไม่ได้พูดอะไร แต่หันหน้าไปมองเฉินถิงเซียวที่กำลังต่อสู้อยู่กับบอดี้การ์ดอีกด้านหนึ่ง
ซือเฉิงหยู้พาบอดี้การ์ดมาด้วยสามสี่สิบคน ตอนนี้ล้มลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทั่วทั้งร่างของเฉินถิงเซียวล้วนเต็มไปด้วยบาดแผล แต่กลับยิ่งลงมือรุนแรงมากยิ่งขึ้น
กู้จือหยั่นเพิ่งจะขับรถมาจอดในลานจอดรถของบริษัทตระกูลเฉิน ยังไม่ทันจะขึ้นไปก็เห็นเฉินถิงเซียวและสือเย่เดินมาทางลานจอดรถด้วยท่าทางรีบร้อน
ทั้งสองคนมีสีหน้าจริงจัง
กู้จือหยั่นเดาว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วแน่นอน
กู้จือหยั่นปิดประตูรถ เดินไปทางพวกเขา “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
ในใจเขากำลังคาดเดาว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเรื่องของมู่น่อนน่อนหรือไม่
เฉินถิงเซียวเห็นกู้จือหยั่นก็ไม่พูดอะไร แต่เดินตรงไปที่รถของเขา
สือเย่ที่เดินอยู่ด้านหลังก็อธิบายให้กู้จือหยั่นฟัง “คุณหญิงน้อยถูกคุณชายเจียจับไปแล้วครับ”
กู้จือหยั่นยื่นมือไปขยี้เส้นผมตัวเอง “พูดชื่อมา!”
คุณชายคนนี้ คุณหญิงคนนั้นของตระกูลเฉิน บางครั้งกู้จือหยั่นก็ฟังแล้วรู้สึกรำคาญ
สือเย่ตะลึงค้างไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยใหม่อีกครั้ง “ซือเฉิงหยู้จับตัวมู่น่อนน่อนไปแล้วครับ!”
“อะไรกัน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ไม่ทราบครับ” สือเย่เอ่ยจบแล้วก็หันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว แต่กลับพบว่าเฉินถิงเซียวขับรถออกไปแล้ว
สือเย่เห็นสถานการณ์แล้วก็จะขับรถตัวเองตามไป
กู้จือหยั่นลากเขามาที่รถของตัวเอง “พวกเราไปด้วยกัน”
สุดท้าย รถของเฉินถิงเซียวขับเร็วเกินไป กู้จือหยั่นจึงตามเขาไม่ทัน
ตอนที่เขาตามออกไปนั้นมีเงารถของเฉินถิงเซียวเสียที่ไหนกัน?
……
มู่น่อนน่อนถูกซือเฉิงหยู้พาตัวมาที่คลังสินค้าที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้แห่งหนึ่งในเขตชานเมือง ด้านในมีคนของซือเฉิงหยู้อยู่มาก
คลังสินค้าเก่าโทรมมาก มีแม้กระทั่งสินค้าที่มีตราสินค้าที่หลายปีก่อนถึงจะมี เป็นสิ่งที่มีในตอนที่เธอยังเด็กมากๆประเภทนั้น
มู่น่อนน่อนยังคงถูกมัดเอาไว้
ซือเฉิงหยู้เห็นเธอมองไปรอบด้านแล้วก็ก้าวเข้ามาเอ่ยว่า “คลังสินค้าแห่งนี้ผมตกแต่งด้วยความประณีต”
ในคราแรกมู่น่อนน่อนไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของซือเฉิงหยู้ แต่ก็รู้ว่าซือเฉิงหยู้มีเจตนาไม่ดีอย่างแน่นอน
ซือเฉิงหยู้ดูเหมือนว่าจะพอใจในตัวผู้ฟังอย่างมู่น่อนน่อน จึงโบกมือให้กับคนที่อยู่ด้านหลัง
ต่อมาก็มีบอดี้การ์ดนำเก้าอี้สองตัวเข้ามา หนึ่งในนั้นวางเอาไว้หลังซือเฉิงหยู้ อีกตัวหนึ่งวางไว้หลังมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนถูกบอดี้การ์ดกดให้นั่งลงบนเก้าอี้ และถูกมัดเอาไว้กับเก้าอี้
ซือเฉิงหยู้ไม่ได้นั่งลง
เขาลุกขึ้นเดินไปในคลังสินค้ารอบหนึ่ง ตอนที่หันหน้ามา แววตาของเขาก็มีประกายความบ้าคลั่ง “ผมรวบรวมเอกสารคดีลักพาตัวในปีนั้นมามากมาย ถึงจะสามารถตกแต่งสภาพคลังสินค้าให้เหมือนกับในปีที่เกิดเรื่องได้ นี่สิ้นเปลืองแรงผมไปไม่น้อย อีกครู่หนึ่งตอนที่ถิงเซียวมาถึงที่นี่ จะต้องรู้สึกตื้นตันใจมากแน่ๆ?”
นัยน์ตามู่น่อนน่อนมีประกายความสงสัยพาดผ่านไปในชั่วพริบตา หลังจากนั้นเธอก็เบิกตากว้าง เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา “คุณตกแต่งคืนสภาพคลังสินค้าให้เหมือนกับตอนที่เฉินถิงเซียวและมารดาของเขาถูกลักพาตัวมาในปีนั้น?”
หางเสียงเธอสั่นเล็กน้อยอย่างไม่อาจสังเกตได้
“ใช่แล้ว อย่าดูถูกสถานที่เก่าโทรมแห่งนี้ ผมต้องจ่ายเงินไปไม่น้อยเลย! แต่ว่าโชคดีที่ผมพอใจในผลลัพธ์” ซือเฉิงหยู้เดินมาถึงด้านหน้ามู่น่อนน่อน รอยยิ้มบนใบหน้านั้นเจิดจ้ามาก
มู่น่อนน่อนส่ายหน้าติดๆกัน “ทำไมคุณถึงต้องทำแบบนี้ด้วย แม้ว่าคุณกับเฉินถิงเซียวจะเป็นพี่น้องที่มีบิดาคนเดียวกันแต่ต่างมารดากัน คนที่ผิดก็คือเฉินชิงเฟิง ไม่ใช่เฉินถิงเซียว! เขาไม่ได้ผิดต่อคุณ”
คดีลักพาตัวในปีนั้นตามติดเฉินถิงเซียวมาตลอด
หลายปีมานี้เขาตามหาคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังคดีลักพาตัวมาโดยตลอด มารดาของเขา เป็นอุปสรรคเลวร้ายชั่วชีวิตเขา
การที่ซือเฉิงหยู้ตกแต่งคืนสภาพคลังสินค้าแห่งนี้ให้เหมือนกับสถานที่เกิดคดีในปีนั้น ก็เพราะอยากจะกระตุ้นเฉินถิงเซียว
ถ้าหากว่าเป้าหมายของซือเฉิงหยู้มีเพียงแค่อยากจะกระตุ้นเฉินถิงเซียว เห็นเฉินถิงเซียวทุกข์ทรมาน เช่นนั้นเขาก็ประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“อ่อ? กระทั่งคุณก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ ดูท่าถิงเซียวจะเล่าทุกเรื่องให้คุณฟังจริงๆ” ซือเฉิงหยู้หันหน้าไป สายตาโหดเหี้ยม แต่น้ำเสียงนั้นราวกับเด็กที่ตื่นเต้นเมื่อพบเจอเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นคุณลองพูดมาสิว่าคุณแม่ของผมคือใครกัน?”
ซือเฉิงหยู้ที่อยู่เบื้องหน้ามู่น่อนน่อนนั้นดูแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง
เขาเหมือนกับเป็นบ้าไปแล้ว
เมื่อเห็นมู่น่อนน่อนรีรอไม่พูดจา ซือเฉิงหยู้ก็ยกริมฝีปากยิ้ม “หือ? ดูท่าเฉินถิงเซียวจะรู้สึกอับอายมาก ดังนั้นจึงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคุณ”
ในที่สุดซือเฉิงหยู้ก็เดินมานั่งลงตรงข้ามกับมู่น่อนน่อน แววตาประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าอย่างนั้นก็ให้ผมเป็นคนบอกคุณแล้วกัน คุณแม่ของผม เธอก็คือเฉินเหลียน”
สองคำสุดท้าย ซือเฉิงหยู้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบามาก
แต่เมื่อดังขึ้นในหูของมู่น่อนน่อน กลับรู้สึกว่าน่าตกตะลึงมาก
นัยน์ตาของมู่น่อนน่อนหดตัว สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “คุณพูดว่าอะไรนะ”
“ผมบอกว่า คุณแม่ผู้ให้กำเนิดผมมีชื่อว่าเฉินเหลียน คุณรู้จักเฉินเหลียนไหม” ซือเฉิงหยู้โน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย เขยิบเข้ามาใกล้ด้านหน้ามู่น่อนน่อน “ป้าของเฉินถิงเซียว แม่ของเสี่ยวฉิน น้องสาวแท้ๆของ…เฉินชิงเฟิง”
สมองของมู่น่อนน่อนดังวิ้งๆ ในสมองขาวโพลนเป็นเวลานาน ซือเฉิงหยู้ที่อยู่ด้านหน้ากำลังพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอค้นพบว่าตัวเองไม่ได้ยินอะไรแล้ว
เฉินเหลียนกับเฉินชิงเฟิง…
นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน!
“จะต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรแน่นอน…” ผ่านไปเนิ่นนานกว่ามู่น่อนน่อนจะหาเสียงตัวเองเจอ จึงเอ่ยพึมพำออกมา
ซือเฉิงหยู้หัวเราะ คล้ายกับว่าเพลิดเพลินเมื่อเห็นสีหน้าไม่อยากจะเชื่อและท่าทางตื่นตระหนกของมู่น่อนน่อนเป็นอย่างมาก
ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็เอ่ยยิ้มๆว่า “อย่างนั้นความเข้าใจผิดนี้ก็ใหญ่หลวงมากแล้ว ใหญ่หลวงเสียจนทำให้พวกเขาร่วมมือกันวางแผนสร้างความสะเทือนให้กับคนทั้งเมือง จนกระทั่งวันนี้ก็ยังเป็นคดีความ ลัก พา ตัว ที่ยังไม่ถูกผู้คนลืมเลือน!”
ซือเฉิงหยู้เอ่ยพูดเน้นเสียงออกมาทีละคำในเรื่องคดีความ
มู่น่อนน่อนขบริมฝีปากแน่น “ที่คุณจับตัวฉันมาในวันนี้ก็แค่อยากจะบอกฉันเรื่องนี้?”
เธอยังรู้สึกว่าไม่อยากจะเชื่อ
เธอไม่สามารถเชื่อได้ว่า คดีลักพาตัวที่เฉินถิงเซียวกับคุณแม่ของเขาประสบพบเจอในครั้งนั้น จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องความลับที่บิดเบี้ยวและน่าอับอาย…
ถ้าหากว่าสิ่งที่ซือเฉิงหยู้พูดมาเป็นความจริง
นำเรื่องของเฉินเหลียนกับเฉินชิงเฟิงมาสรุปอย่างเป็นเหตุเป็นผล รวมถึงความเป็นไปได้ว่ามารดาของเฉินถิงเซียวจะสังเกตเห็นถึงเรื่องของพวกเขาสองพี่น้อง ดังนั้นถึงได้ถูกสองพี่น้องร่วมมือกันทำร้ายจนตาย
“ยากที่จะยอมรับมันสินะ? รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ?” ซือเฉิงหยู้เอ่ยจบแล้วก็เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆๆ! ตั้งแต่เล็กผมก็รู้แล้วว่าระหว่างพวกเขาสองคนมีพิรุธ! ไม่ว่าอะไรผมก็รู้หมด ฮ่าๆๆ…”
ตอนที่เขายังเล็กก็เคยเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันในสภาพที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย แต่เขาไม่กล้าพูดอะไร ไม่กล้าบอกคนอื่น
จนกระทั่งปีที่แล้ว เขาพบว่ากรุ๊ปเลือดของตัวเองเหมือนกับเฉินชิงเฟิง เขาจึงไปทำการเปรียบเทียบ DNA…
โชคชะตามอบการถือกำเนิดที่ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าน่าอับอายให้แก่เขา
เสียงหัวเราะของซือเฉิงหยู้บ้าคลั่ง เห็นได้ชัดว่าเขาแตกสลายไปนานแล้ว
แรกเริ่มสุด มู่น่อนน่อนชอบที่เขาเป็นนักแสดงที่ตั้งใจต่อหน้าที่การงานในการแสดงบทบาทผ่านหน้าจอให้ทุกคนได้ดู
ในภายหลังเมื่อได้ทำความรู้จักกับซือเฉิงหยู้คนนี้อย่างจริงจังแล้ว เธอก็เริ่มรู้สึกว่าซือเฉิงหยู้คนนี้แสดงออกมาได้สมบูรณ์แบบมากเกินไป
ยิ่งสมบูรณ์แบบอย่างหาจับตัวได้ยาก ก็ยิ่งประหลาดจนยากจะคาดเดา
ประโยคนี้ใช้กับซือเฉิงหยู้แล้วเหมาะสมมาก
วันนี้มู่น่อนน่อนได้รับข่าวสารมากเกินไป สมองจึงยุ่งเหยิงอยู่บ้าง
เธอมองใบหน้าที่บ้าคลั่งของซือเฉิงหยู้ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเอ่ยถึงเรื่องลูกสาวของเธอ หัวใจก็ถูกห้อยต่องแต่งในทันที
กู้จือหยั่นที่อยู่อีกฟากของสายโทรศัพท์ได้ยินเฉินถิงเซียวเอ่ยแบบนี้แล้ว ในใจก็เอ่ยว่าไม่ดีแล้ว จึงอ้ำๆอึ้งๆว่า “เหอะๆ นายไม่ได้ไปโรงแรมกับน่อนน่อนหรือ ฉันยังมีธุระ วางก่อนล่ะ…”
น้อยครั้งที่กู้จือหยั่นจะวางสายโทรศัพท์ของเฉินถิงเซียวก่อน
กู้จือหยั่นโยนโทรศัพท์มือถือทิ้งไป และต่อสายภายในหาเลขา กำชับเสียงเข้มว่า “ลบข่าวที่เกี่ยวข้องกับภรรยาเก่าของคุณชายเฉินบนอินเทอร์เน็ตออกให้หมด หลังจากนี้ถ้าหากว่าเห็นข่าวแบบนี้อีก ก็จัดการทิ้งเสียตั้งแต่กลางทาง”
คราวที่แล้ว ตอนที่มู่น่อนน่อนจูบกับเฉินถิงเซียวในรถก็ถูกปาปารัสซี่ถ่ายเอาไว้ได้จนเป็นข่าวขึ้นมา กู้จือหยั่นนึกว่ามู่น่อนน่อนสวมเขาให้เฉินถิงเซียว
แต่ในคราวนี้เขากลับนึกว่าคนที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับมู่น่อนน่อนหน้าประตูโรงแรมในรูปภาพคือเฉินถิงเซียว ดังนั้นถึงได้โทรศัพท์ไปสัพยอกเฉินถิงเซียว
แต่คำพูดของเฉินถิงเซียวนั้นชัดเจนมากว่านั่นไม่ใช่เขากับมู่น่อนน่อน
คราวนี้มู่น่อนน่อนสวมเขาให้กับเฉินถิงเซียวจริงๆหรือ
จากนิสัยของเฉินถิงเซียว เขาไม่เป็นบ้าก็แปลกแล้ว
กู้จือหยั่นครุ่นคิดดูแล้ว ก็รู้สึกว่าปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้ ต้องไปหาเฉินถิงเซียว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็หยิบเสื้อคลุมขึ้นมาแล้วออกไปข้างนอก
……
หลังจากนั้นไม่กี่นาที มู่น่อนน่อนก็โทรศัพท์ไปหาเฉินถิงเซียวอีกครั้ง
ครั้งนี้โทรศัพท์ไม่ได้สายไม่ว่าง ในไม่ช้าก็ถูกคนกดรับแล้ว
“เฉินถิงเซียว”
“อืม”
เธอเรียกชื่อเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวก็ตอบรับ
ในใจของมู่น่อนน่อนนั้นกระสับกระส่าย เธอไม่มั่นใจว่าเฉินถิงเซียวจะเห็นประเด็นข่าวร้อนแล้วหรือไม่ “ฉันมีเรื่องจะอธิบายกับคุณ”
“มาหาผมที่บริษัทตระกูลเฉิน อธิบายต่อหน้า” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเรียบเฉย “วางโทรศัพท์เถอะ”
มู่น่อนน่อนตะลึงค้างไปครู่หนึ่ง ถึงรู้สึกอย่างเลือนรางว่า เฉินถิงเซียวอาจจะรู้เรื่องประเด็นข่าวร้อนแล้ว
ตอนนี้เองที่เถ้าแก่ยกซาลาเปามาให้มู่น่อนน่อน “คุณผู้หญิง ซาลาเปาของคุณครับ”
“ขอบคุณค่ะ” มู่น่อนน่อนจะมีเวลามาสนใจกินซาลาเปาได้อย่างไร เมื่อจ่ายเงินแล้วก็ลุกขึ้นเดินจากไป
ตอนนี้เป็นช่วงเช้าที่การใช้รถสาธารณะในเวลาเร่งด่วนยังไม่ผ่านไป มู่น่อนน่อนยืนอยู่ริมถนนอยู่นานก็ยังเรียกรถไม่ได้
จู่ๆก็มีรถสีดำคันหนึ่งมาจอดลงตรงหน้ามู่น่อนน่อน
มีคนที่ลักษณะเหมือนกับบอดี้การ์ดลงมาจากรถสองคน คนหนึ่งเดินไปเปิดประตูรถที่อยู่ด้านหลัง
ต่อมา ใบหน้าคุ้นตาของซือเฉิงหยู้ก็ปรากฎสู่สายตามู่น่อนน่อน
หลังจากที่ซือเฉิงหยู้ลงจากรถ ก็จัดแต่งชุดสูทบนร่างของตัวเองแล้วเลิกคิ้วยิ้มๆ “น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่เอ่ยอะไร
“มาหาคุณเพราะมีธุระ คุณต้องไปกับผมสักรอบ” ซือเฉิงหยู้เดินมาถึงด้านหน้าเธอ รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่จางหายไป
มู่น่อนน่อนรู้สึกประหลาดใจ เพียงแต่ว่าไม่รอให้เธอมีปฏิกิริยาตอบสนอง บอดี้การ์ดสองคนที่อยู่ด้านหลังซือเฉิงหยู้ก็ก้าวเข้ามาคนหนึ่งซ้ายคนหนึ่งขวาตรึงมู่น่อนน่อนเอาไว้แล้วพาเธอไปในรถ
มู่น่อนน่อนร้องเรียก “พวกคุณทำอะไรน่ะ! ช่วยด้วยค่ะ!”
หลังจากบอดี้การ์ดยัดเธอเข้าไปในรถแล้ว ก็ใช้เชือกมัดเธอเอาไว้ เห็นได้ชัดว่ามีการเตรียมการตั้งแต่แรก
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแทบจะไม่สังเกตเห็นเรื่องนี้
ซือเฉิงหยู้ก็ตามขึ้นไปบนรถเช่นกัน
บอดี้การ์ดสองคนนั่งอยู่ด้านหน้า คนหนึ่งขับรถ อีกคนนั่งในตำแหน่งข้างคนขับ
เมื่อคนทั้งหมดขึ้นไปนั่งบนรถแล้ว รถยนต์ก็เคลื่อนตัว
ระหว่างทางที่รถขับอยู่ เธอตะโกนขอความช่วยเหลือก็ไม่มีประโยชน์ คนที่อยู่ข้างนอกไม่ได้ยิน
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองซือเฉิงหยู้ เอ่ยเสียงเย็นว่า “ซือเฉิงหยู้ คุณจะจับฉันไปทำอะไร ฉันเคยล่วงเกินคุณ? หรือว่าจับฉันไปเพื่อช่วยระบายอารมณ์แทนมู่หวั่นขี”
“คุณพูดถึงหวั่นขีหรือ เรื่องของผู้หญิงอย่างพวกคุณ ผมจะเขาไปเกี่ยวข้องได้อย่างไร อย่าคิดว่าผมทุเรศแบบนั้น” บนใบหน้าของซือเฉิงหยู้มีรอยยิ้มอ่อนโยน เขาพูดพลางยื่นมือมาลูบใบหน้าของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนหันหน้าหนีไปอีกทางทันที เพื่อหลบมือของซือเฉิงหยู้ “อย่ามาแตะฉัน!”
“ได้ ไม่แตะต้องคุณ” ซือเฉิงหยู้ดึงมือกลับมา รอยยิ้มบนใบหน้าจางไปเล็กน้อย “อยากเจอลูกสาวคุณไหม”
มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับมาทันที รอยยิ้มบนใบหน้าของซือเฉิงหยู้ชืดลงไปทันที “ถ้าอย่างนั้นก็อยู่นิ่งๆหน่อย”
…..
เฉินถิงเซียวเข้าอินเทอร์เน็ตอ่านข่าวอยู่ครู่หนึ่ง
โดยเฉพาะรูปที่ปาปารัสซี่แอบถ่ายมู่น่อนน่อนกับผู้ชายคนนั้น เฉินถิงเซียวดูไปหลายรอบ
สือเย่ก็เพิ่งจะเห็นข่าวนี้เช่นกัน เมื่อเคาะประตูเข้ามา ก็ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องนี้กับเฉินถิงเซียวอย่างไรดี แต่กลับพบว่าเฉินถิงเซียวกำลังอ่านข่าวอยู่
สือเย่ลอบปาดเหงื่อบนหน้าผาก ตอนที่กำลังจะเอ่ยปากพูด เขาก็ได้ยินเฉินถิงเซียวเอ่ยถามขึ้นว่า “ผู้ชายคนนี้มีฐานะทางสังคมอย่างไร”
“คนคนนี้ชื่อลี่จิ่วเชียน อายุ 28 ปี ว่ากันว่าเป็นดร.ที่กลับมาจากต่างประเทศ ได้รับเชิญให้เข้าร่วมทำงานกับทีมตำรวจสืบสวน เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาชญาวิทยา…” ตอนที่สือเย่เห็นข่าวนี้ ก็ให้คนไปตรวจสอบคนคนนี้จนหมด
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร เพียงแค่หันหน้าไปมองสือเย่เงียบๆ
สายตาของเขาเขียนเอาไว้ชัดเจนว่า “สืบค้นเจอแต่เรื่องที่ไม่มีประโยชน์”
สือเย่ก้มหน้าลงต่ำด้วยความละอายใจ “นอกจากเรื่องพวกนี้ เรื่องอื่นๆก็ยังสืบไม่พบชั่วคราวครับ”
สายตาเฉินถิงเซียวอึมครึมเล็กน้อย “ประวัติครอบครัว เส้นสายความสัมพันธ์กับผู้คน ล้วนสืบไม่พบ?”
“ไม่เลยครับ ราวกับว่าคนคนนี้โผล่ออกมาท่ามกลางความว่างเปล่า และอาจจะเป็นไปได้ว่าการรักษาความลับในสายงานอาชีพเขาสูงมาก” แม้ว่าสือเย่จะพูดเช่นนี้ แต่ในใจเขาทราบชัดเจนดีว่าคนที่ตระกูลเฉินสืบหาข้อมูลไม่ได้ จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
เฉินถิงเซียวหลุบตามองโทรศัพท์มือถือครู่หนึ่ง
ระยะเวลาห่างจากช่วงที่เขาคุยโทรศัพท์กับมู่น่อนน่อนใกล้จะหนึ่งชั่วโมงแล้ว มู่น่อนน่อนยังไม่มา
“คุณออกไปเถอะ” เฉินถิงเซียวสั่งสือเย่
สือเย่ได้ยินแล้ว ก็พยักหน้าให้กับเฉินถิงเซียวแล้วหมุนตัวเดินออกไป
เฉินถิงเซียวโทรศัพท์หามู่น่อนน่อนอีกครั้ง
เสียงโทรศัพท์ดังอยู่สองครั้งก็มีคนรับสายแล้ว
เสียงที่ดังจากอีกฟากของโทรศัพท์นั้นไม่ใช่เสียงของมู่น่อนน่อน แต่กลับเป็นเสียงอันคุ้นหูของชายหนุ่ม “ถิงเซียว พวกเรามาเล่นเกมส์สนุกกันสักเกมส์”
“ซือเฉิงหยู้?” เฉินถิงเซียวลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที น้ำเสียงบูดบึ้ง
สือเย่เพิ่งจะเดินไปถึงข้างประตู ได้ยิน “ซือเฉิงหยู้” จากปากของเฉินถิงเซียวก็หันหน้ากลับมาทันที
ซือเฉิงหยู้เอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ไม่ต้องตะลึงขนาดนั้น ฉันเพียงแค่เชื้อเชิญให้นายกับน่อนน่อนมาเล่นเกมส์ด้วยกันเกมส์หนึ่งเท่านั้นเอง เยือกเย็นหน่อย”
มือที่ตกอยู่ข้างกายเฉินถิงเซียวกำหมัดแน่น กัดฟันเอ่ยว่า “ให้มู่น่อนน่อนรับโทรศัพท์ของฉัน?”
ซือเฉิงหยู้เอ่ยยิ้มๆว่า “อยากจะพูดกับเธอ ก็มาหาเธอด้วยตัวเอง นายมาคนเดียวนะ…ติ๊ด…”
เฉินถิงเซียวคำรามด้วยความโมโห “ซือเฉิงหยู้!”
แต่เสียงที่ตอบกลับมา มีเพียงแค่เสียงสัญญาณไม่ว่างของโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไป
หลังจากซือเฉิงหยู้ตัดสายโทรศัพท์เขาแล้ว ก็โยนโทรศัพท์มือถือของมู่น่อนน่อนออกไปทางบานหน้าต่างรถต่อหน้าเธอ
“คุณ…” มู่น่อนน่อนเอ่ยออกมาคำหนึ่ง แต่ก็กลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไป
“นึกว่าการแสร้งทำเป็นหย่าของพวกคุณต่อโลกภายนอกจะสามารถปิดบังทุกคนได้หรือ เฉินชิงเฟิงเป็นคนโง่ แต่ผมไม่ใช่”
ซือเฉิงหยู้จุดบุหรี่ด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย สูดเข้าไปคำหนึ่ง และหันมาพ่นควันบุหรี่ใส่มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว ไอออกมา เธอได้ยินเสียงที่แสดงความสนใจอย่างสุดซึ้งของซือเฉิงหยู้ดังผ่านควันบุหรี่ “เกมส์เริ่มแล้ว”
มู่น่อนน่อนชะงัก เอียงหูฟังว่าลี่จิ่วเชียนจะตอบคำถามอย่างไร
แต่รออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่ได้ยินคำตอบของลี่จิ่วเชียน
มู่น่อนน่อนหันหน้าไป ก็เห็นลี่จิ่วเชียนพิจารณามองมู่หวั่นขีด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่รู้ว่ากำลังมองดูอะไรอยู่
มู่หวั่นขีเห็นนัยน์ตาของลี่จิ่วเชียนจ้องมองเธอแล้วก็รู้สึกตัวพอง นึกว่าลี่จิ่วเชียนชื่นชอบความงามของเธอ จึงอดไม่ได้ที่จะเชิดคางขึ้น และหันกลับไปมองมู่น่อนน่อนครู่หนึ่งด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
สายตานี้ของมู่หวั่นขีทั้งภูมิใจทั้งยั่วยุ
มู่น่อนน่อนมุมปากกระตุก หมุนตัวจะเดินจากไป
เธอได้ยินเสียงของมู่หวั่นขีดังขึ้นอีกครั้ง “คุณมองพอแล้วสินะ? แม้ว่าฉันจะสวยกว่ามู่น่อนน่อน แต่ฉันมีแฟนแล้ว ฉันอนุญาตให้คุณใจเต้นกับฉัน แต่คุณอย่าเพ้อฝันว่าฉันจะตอบรับคุณ”
มู่น่อนน่อนเกือบจะสำลักน้ำลายตัวเอง
เมื่อคบกับซือเฉิงหยู้ มู่หวั่นขีก็ยิ่งมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆแล้วจริงๆ
ต่อมาก็เป็นเสียงของลี่จิ่วเชียน “ขอโทษด้วยครับ คุณผู้หญิง คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมเพียงแค่อยากจะเตือนคุณว่า นัยน์ตาขาดชีวิตชีวาของคุณดูแล้วพลังพร่อง ร่างกายพร่องเป็นอย่างมาก แต่งหน้าหนาก็ปิดบังไม่มิด ผมไม่ได้เหยียดหยามนะ อาชีพหญิงสาวขายบริการ เพียงแค่รู้สึกว่าอันดับแรกร่างกายต้องแข็งแรง…”
มู่หวั่นขีเดือดดาลจนด่าออกมา “คุณพูดอะไรน่ะ! ประสาทหรือไง หญิงสาวขายบริการอะไร ไม่ใช่สักหน่อย ฉันเป็นดารา! เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เลยจริงๆ ผู้หญิงอย่างมู่น่อนน่อนจะหาผู้ชายแบบไหนได้ ก็เป็นแค่คนหน้าตาน่าเกลียดเท่านั้น ฮึ!”
มู่น่อนน่อนคิดไม่ถึงว่าลี่จิ่วเชียนจะพูดกับมู่หวั่นขีแบบนี้
เธอหันหน้ากลับมาก็เห็นลี่จิ่วเชียนที่เพิ่งจะถูกมู่หวั่นขีด่ามา ยืนสงบนิ่งผ่อนคลายอยู่ตรงนั้น
อาจจะเป็นเพราะรู้สึกถึงสายตาของเธอ ลี่จิ่วเชียนจึงหันมาขยิบตาให้กับมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนมุมปากกระตุกด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
มู่หวั่นขีเห็นการกระทำเล็กๆน้อยๆของลี่จิ่วเชียน ก็หันหน้ามามองมู่น่อนน่อน “เธอภูมิใจมากนักหรือ คอยเถอะดู!”
มู่หวั่นขีเอ่ยจบแล้วก็พากลุ่มเพื่อนของเธอจากไปด้วยความโมโห
ลี่จิ่วเชียนเดินมาถึงข้างกายเธอด้วยสีหน้าเศร้าโศก “เป็นดารานี่เอง รู้แต่แรกจะได้บันทึกบทสนทนาเมื่อครู่นี้เอาไว้ ไม่แน่ว่าจะขายได้ราคาดี”
มู่น่อนน่อนทำลายจินตนาการของเขา “คุณคิดมากไปแล้ว เสียงบันทึกที่มู่หวั่นขีด่าคนนั้นไม่มีราคานานแล้ว”
ชื่อเสียงในวงการบันเทิงของมู่หวั่นขีนั้นมีแต่เรื่องไม่ดี ดังนั้นการที่เธอด่าคนก็ไม่ได้มีอะไรน่าประหลาดใจ จึงไม่นับว่าเป็นประเด็นร้อนอีกแล้ว
ลี่จิ่วเชียนคล้ายกับว่าเอ่ยไปอย่างนั้น จึงไม่ได้สืบหาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพียงแค่ถามเธอว่า “เธอก็แซ่มู่? พวกคุณเป็นญาติกัน?”
“เธอเป็น…” มู่น่อนน่อนเพิ่งจะเอ่ยขึ้น แต่ก็รู้สึกได้ตามสัญชาตญาณว่าตัวเองกำลังจะตอบคำถามเขา
เธอรีบปิดปากฉับแล้วกลืนคำพูดกลับลงไป ดึงเขาเดินไปที่มุมหนึ่งของกำแพง “พูดมาสิว่ารู้จักฉันได้อย่างไร ทำไมถึงรู้ว่าฉันมีลูกคนหนึ่ง?”
ลี่จิ่วเชียนมือเท้าสะเอว ท่าทางเหมือนพวกอันธพาล “ผมไม่บอกหรอก นอกจากว่าคุณจะนึกขึ้นมาได้เอง”
มู่น่อนน่อนสะบัดเขาทิ้งไป เรียกรถเอาไว้คันหนึ่งแล้วจากไป
เธอรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างของลี่จิ่วเชียนคนนี้มีกลิ่นอายแปลกประหลาดประเภทหนึ่ง
เขาถูกรับเชิญให้มาทำงานจากทีมตำรวจสืบสวนได้ ก็หมายความว่าสถานะของเขาจะต้องขาวสะอาดแน่นอน แต่เป็นเพราะเขาปรากฏตัวขึ้นได้ประหลาดมากเกินไป มู่น่อนน่อนจึงยากที่จะไว้วางใจเขา
……
มู่น่อนน่อนกลับไปยังที่พักแล้วก็เริ่มเก็บกวาดข้าวของของตัวเอง
เมื่อเข้าไปในห้องนอน เธอก็ค้นพบว่านอกจากใช้ห้องน้ำแล้ว ลี่จิ่วเชียนก็ไม่ได้แตะต้องสิ่งของอื่นๆของเธอ นับว่ายังรู้ตัวอยู่บ้าง
แต่เธอจะไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว
ลี่จิ่วเชียนคนนั้นประหลาดมากเกินไป เธอกลัวว่าวันไหนเขามีจิตใจผิดปกติขึ้นมาแล้วจะแอบเข้ามาในบ้านเธออีก
มู่น่อนน่อนจัดการสิ่งของของตัวเอง ติดต่อเจ้าของห้องเรียบร้อยแล้วก็จากไป
พักอาศัยอยู่ข้างนอกสองวัน เธอก็หาห้องได้แล้ว
ยังคงเป็นหนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องรับแขก แต่ว่าเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีกว่า ราคาสูงกว่า เธอจงใจเปลี่ยนกุญแจทางเข้าเป็นพิเศษ
เช้าวันรุ่งขึ้น ในตอนที่เธอเปิดประตูเตรียมจะออกไปซื้อของนั้น ก็เห็นเพื่อนบ้านเปิดประตูห้องเดินออกมา
ทั้งสองคนสบสายตากัน อากาศหยุดนิ่งไปสามวินาที
ลี่จิ่วเชียน “บังเอิญขนาดนี้เชียว? อรุณสวัสดิ์”
มู่น่อนน่อน “ทำไมคุณยังตามฉันมาอีก?”
ทั้งสองคนแทบจะเอ่ยขึ้นในเวลาเดียวกัน
“ทำไมถึงว่าผมตามคุณมาล่ะ ห้องนี้เพื่อนผมให้ผมยืมพัก ผมคิดว่าคุณตามผมมาเสียอีก!” ดูเหมือนว่าวันนี้ลี่จิ่วเชียนจะไปทำงานที่ทีมตำรวจสืบสวน เขาสวมชุดสูทสีน้ำเงินกรมท่ามีลายเข้ารูป มองดูแล้วเรียบร้อยเป็นอย่างมาก
มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจลึก หมุนตัวเดินลงจากตึกไป
ไม่รู้ว่าลี่จิ่วเชียนกำลังคิดอะไรอยู่ จึงไม่ได้ชวนเธอสนทนาอีก
ทั้งสองคนลงลิฟต์โดยสารไปด้วยความสงบโดยไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน หลังออกจากชุมชนแล้วก็แยกย้ายกัน
เมื่อวานมู่น่อนน่อนเพิ่งจะย้ายเข้ามา ในห้องยังไม่สามารถทำอาหารได้ จึงหาร้านขายซาลาเปาเพื่อกินอาหารเช้า
ธุรกิจร้านขายซาลาเปานั้นไม่เลว คนเยอะเกินไปจนต้องเข้าแถว มู่น่อนน่อนรอซาลาเปาไป พลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเล่นอินเทอร์เน็ต
สนใจประเด็นร้อนมากไป จึงก้าวเท้าเข้าไปในวงการบันเทิงครึ่งหนึ่ง มู่น่อนน่อนจึงมีความเคยชินที่เวลาไม่มีอะไรทำก็ติดตามเรื่องซุบซิบนินทา
ผลลัพธ์ก็คือประเด็นร้อนในวันนี้มีเธออีกแล้ว
แม้ว่าจะไม่ใช่ประเด็นร้อนอันดับหนึ่ง แต่ก็อยู่ในสิบลำดับแรก
หัวข้อประเด็นร้อนคือ “ภรรยาเก่าของคุณชายเฉินเปลี่ยนแฟนหนุ่มคนใหม่อีกแล้ว”
ในใจของมู่น่อนน่อนมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
เธอกดเข้าไปดู เห็นด้านบนของเว่ยป๋อเป็นข้อความที่เจ้าของเว่ยป๋อคนหนึ่งโพสต์ออกมา
“สองวันก่อนที่หน้าประตูโรงแรมแห่งหนึ่ง มีชาวเน็ตถ่ายรูปภรรยาเก่าของคุณชายเฉินเดินออกมาจากโรงแรมกับแฟนหนุ่มคนใหม่ สามารถกล่าวได้ว่าคุณมู่คนนี้มีนิสัยเจ้าชู้หลายใจ…”
ภาพประกอบด้านล่างถ่ายในตอนที่เธอดึงลี่จิ่วเชียนไปยังมุมหนึ่งของกำแพงที่หน้าประตูโรงแรมตอนเช้าเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เพื่อสอบถาม
เธอดึงลี่จิ่วเชียนออกมาจากประตูโรงแรม เมื่อถ่ายออกมาก็กลายเป็นออกมาจากโรงแรมด้วยกัน
ส่วนตอนที่เธอสนทนากับลี่จิ่วเชียน ลี่จิ่วเชียนก็หันหลังให้กับกล้องจนเกือบจะบังมู่น่อนน่อนเอาไว้ทั้งหมด รูปนี้เมื่อถ่ายออกมาก็ดูคลุมเครือเป็นอย่างมาก คล้ายกับว่าทั้งสองคนกำลังทำเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้กันอยู่
ทว่าทั้งสองรูปล้วนถ่ายไม่โดนใบหน้าตรงๆของทั้งสองคน
มู่น่อนน่อนโยนโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ
หลังจากนั้นก็รู้สึกตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาเฉินถิงเซียว ผลก็คือเฉินถิงเซียวกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
……
บริษัทตระกูลเฉิน ห้องทำงานประธานบริษัท
เฉินถิงเซียวประชุมเสร็จแล้ว ก็นึกขึ้นได้ว่าสองวันแล้วที่ไม่ได้โทรศัพท์หามู่น่อนน่อน ขณะที่กำลังจะโทรศัพท์หามู่น่อนน่อนนั้น โทรศัพท์ของกู้จือหยั่นก็โทรเข้ามาเสียก่อน
เขาจึงทำได้เพียงแค่รับสายโทรศัพท์
เฉินถิงเซียวเอ่ยปากก็ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไร “มีเรื่องก็รีบพูดหน่อย”
เขารีบร้อนจะโทรศัพท์หามู่น่อนน่อน
กู้จือหยั่นส่ายหน้าถอนหายใจใส่โทรศัพท์ “ได้ๆๆ ฉันจะรีบพูด นัดกินข้าววันนี้ไม่ก็พรุ่งนี้”
เอ่ยจบแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “จริงๆเลย นายยังมีเวลาไปสร้างอารมณ์สุนทรีย์กับน่อนน่อนที่โรงแรม คุยกับฉันแค่สองประโยคก็รู้สึกว่าสิ้นเปลืองเวลาแล้วหรือ มีแฟนแล้วก็ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์!”
เฉินถิงเซียวเอ่ยเสียงเย็นชานิ่งๆว่า “ฉันไปสร้างอารมณ์สุนทรีย์กับมู่น่อนน่อนตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“อ่อ…” เจ้าหน้าที่ตำรวจเผยสีหน้าเข้าใจขึ้นมาในทันที อันดับแรกคือรูปภาพใบนั้นมีสิ่งที่ทำให้เข้าใจผิดมากเกินไปแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเชื่อคำพูดของเขา
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็หันหน้าไปให้คำแนะนำอย่างจริงใจกับมู่น่อนน่อน “แม่หนูน้อย ระหว่างคู่รัก การทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ พวกเราก็ยุ่งมาก คุณรู้ไหมว่าการที่คุณทำแบบนี้มันสิ้นเปลืองกำลังตำรวจ?”
มู่น่อนน่อนไม่อยากจะเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเชื่อคำพูดของลี่จิ่วเชียน เธอโบกมือพลางเอ่ยว่า “ไม่ใช่นะคะ คุณตำรวจ คุณฟังฉันก่อน…”
เจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บสมุดบันทึก “เวลาก็ไม่เช้าแล้ว รีบกลับไปเถอะ หลังจากนี้หากพบเจอปัญหาอะไร ค่อยมาหาพวกเรานะ รีบกลับไปเถอะ”
“ฉัน…” มู่น่อนน่อนยังอยากจะพูดอะไร แต่ก็ถูกลี่จิ่วเชียนดึงให้ลุกขึ้น
หลังจากนั้น ลี่จิ่วเชียนก็เอ่ยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยสีหน้าจริงจังว่า “สร้างความเดือดร้อนให้กับพวกคุณแล้ว”
“คนไม่มีเรื่องก็ดี ดูแลแฟนสาวของคุณให้ดี ครั้งหน้าไม่สามารถทำเรื่องเหลวไหลแบบนี้ได้อีก” เจ้าหน้าที่ตำรวจเอ่ยจบแล้ว ก็กล่าวต่อว่า “ทางด้านทีมตำรวจสืบสวนรอให้คุณลี่มารายงานตัวเพื่อเริ่มงานนานแล้ว”
ลี่จิ่วเชียนเอ่ยอย่างคล้อยตามว่า “พรุ่งนี้ผมจะไปรายงานตัว ขอบคุณครับ”
มู่น่อนน่อนที่อยู่ข้างๆยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ก็ถูกลี่จิ่วเชียนลากออกมาจากสถานีตำรวจแล้ว
เธอสะบัดมือของลี่จิ่วเชียนไม่หลุด
มู่น่อนน่อนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “คุณเป็นใครกันแน่?”
“ลี่จิ่วเชียน จบการศึกษาปริญญาเอกสาขาอาชญาวิทยาจากต่างประเทศ ได้รับเชิญให้ไปเป็นที่ปรึกษาทางด้านจิตวิทยาของทีมตำรวจสืบสวนแห่งเมืองหู้หยาง”
คราวนี้น้ำเสียงและสีหน้าท่าทางของเขาค่อนข้างจริงจัง แต่มู่น่อนน่อนยังคงชักสีหน้าใส่เขา
“อ่อ? ได้รับเชิญให้กลับมาทำงานเป็นที่ปรึกษาทางด้านจิตวิทยาในประเทศ ก็สามารถแอบเข้าไปอาบน้ำในบ้านและแตะต้องของของคนอื่นได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือคะ”
“อย่าถือสาขนาดนั้นเลย อย่างมากผมก็ให้คุณขยับเขยื้อนของของผมบ้าง”
“เหอะ!” มู่น่อนน่อนหัวเราะเสียงเย็นแล้วหันหน้าเดินจากไป
เธอเข้าใจขึ้นมากะทันหันบ้างแล้วว่า บางครั้งที่เฉินถิงเซียวถูกตัวเองทำให้โมโหจนเพียงแค่อยากจะยิ้มเยาะนั้นมีความรู้สึกอย่างไร
เธอเดินอยู่ด้านหน้า ลี่จิ่วเชียนก็เดินตามอยู่ด้านหลัง
เขาตัวสูงขายาวจึงก้าวเท้าได้ยาว มู่น่อนน่อนเดินเร็วมาก แต่เขากลับเดินสบายๆ “แตะต้องของของคุณนั้นเป็นผมที่ผิดเอง นั่นก็เป็นเพราะว่าผมคิดว่าพวกเราเป็นเพื่อนกัน ใช่ไหมครับ?”
“ฉันไม่มีเพื่อนแบบคุณ”
“อย่าพูดจาเด็ดขาดขนาดนี้สิครับ”
มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับมาทันที ลี่จิ่วเชียนก็หยุดเท้าทันที “อะไรหรือ จู่ๆก็คิดอยากจะเป็นเพื่อนกับผมแล้ว?”
มู่น่อนน่อนแบมือตรงหน้าเขา “โทรศัพท์มือถือ ถ้าไม่ให้ฉันล่ะก็ พวกเราสามารถเข้าไปที่สถานีตำรวจได้อีกรอบในทันที”
“ให้คุณ” ลี่จิ่วเชียนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาคืนเธอ
มู่น่อนน่อนรับมาแล้วดูโมเม้นท์ในวีแชท ยืนยันว่าเขาไม่ได้ส่งรูปภาพใบนั้นออกไป ก็ไปดูที่อัลบั้ม เมื่อลบรูปใบนั้นเรียบร้อยแล้วก็หมุนตัวเดินหน้าต่อไป
ลี่จิ่วเชียนเดินตามมาติดหนึบราวกับขนมหนิวผีถัง “ผมเพิ่งจะกลับประเทศ ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและผู้คน ในฐานะที่คุณเป็นเพื่อนก็ควรจะต้อนรับผมสักหน่อยใช่หรือไม่”
มู่น่อนน่อนไม่สนใจเขา แต่เดินตรงเข้าไปในโรงแรมแห่งหนึ่ง ลี่จิ่วเชียนก็ตามเข้าไปด้วยเช่นกัน
ตอนที่มู่น่อนน่อนทำการเช็คอินก็เอ่ยกับพนักงานต้อนรับว่า “ฉันไม่รู้จักคนคนนี้ เขาตามฉันมาตลอดทาง”
พนักงานต้อนรับมองไปทางลี่จิ่วเชียน เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อว่าคนที่รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาตรงไปตรงมาเช่นเขาจะทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้
แต่เพื่อเป็นการป้องกันเรื่องที่จะเกิด พนักงานต้อนรับก็ยังคงให้พนักงานรักษาความปลอดภัยขวางลี่จิ่วเชียนเอาไว้
มู่น่อนน่อนหยิบคีย์การ์ดห้องแล้วหันไปมองเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็รูดการ์ดเดินเข้าไปในลิฟต์โดยสาร
ลี่จิ่วเชียนเห็นเธอเดินเข้าไปในลิฟต์โดยสารแล้วถึงได้เผยสีหน้าท่าทางกลัดกลุ้มออกมาต่อหน้าพนักงานต้อนรับ “เธอเป็นแฟนสาวของผม เราทะเลาะกัน โรงแรมของพวกคุณก็อยู่ห่างจากสถานีตำรวจไม่ไกล ถ้าหากว่าผมเป็นคนแบบนั้น เธอคงจะแจ้งตำรวจไปนานแล้ว”
พนักงานต้อนรับครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็รู้สึกว่าเป็นเหตุผลนี้ สีหน้าจึงอ่อนลงเช่นกัน
ลี่จิ่วเชียนเห็นเหตุการณ์แล้ว นัยน์ตาก็มีประกายมืดมนพาดผ่านไป แต่ก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“ช่วยเปิดห้องให้ผมหน่อย ขอเป็นห้องที่อยู่ตรงข้ามกับแฟนสาวของผม”
ตอนที่พนักงานต้อนรับลงทะเบียนบัตรประจำตัวประชาชนก็ยังเปรียบเทียบรูปภาพอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อยืนยันได้แล้วว่าเป็นคนเดียวกันถึงได้เปิดห้องให้เขา
……
มู่น่อนน่อนที่ไปถึงห้องพักก็อาบน้ำแล้วเอนตัวลงบนเตียง ตอนนี้เป็นเวลารุ่งสางแล้ว
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา คิดจะโทรศัพท์หาเฉินถิงเซียว แต่ก็กังวลว่าเขาจะหลับไปแล้ว
ระยะนี้เขายุ่งขนาดนั้น
เธอจึงทำได้เพียงแค่ล้มเลิกความคิดที่จะโทรศัพท์หาเฉินถิงเซียว
วุ่นวายมาตลอดทั้งคืน เธอเหนื่อยมาก แต่เมื่อหลับตาลงก็รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย
เธอจึงทำได้เพียงแค่ลุกขึ้นมานั่ง เปิดโทรทัศน์ พิงร่างอยู่ที่หัวเตียงดูโทรทัศน์ในสภาพที่ง่วงเหงาหาวนอนตลอดทั้งคืน
รอจนด้านนอกฟ้าสว่างแล้ว เธอก็อาบน้ำลวกๆและเตรียมตัวจะคืนห้องกลับไป
แต่ใครจะไปรู้กันว่า เมื่อเธอเปิดประตูก็เห็นใบหน้ายิ้มแย้มใสซื่อไร้พิษภัยของลี่จิ่วเชียน
“อรุณสวัสดิ์มู่น่อนน่อน” เขาพิงร่างอยู่ที่กรอบประตูห้องตรงข้าม เอ่ยทักทายมู่น่อนน่อนด้วยท่าทางสบายใจปลอดโปร่ง
มู่น่อนน่อนที่ไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืน นัยน์ตาทั้งเจ็บทั้งปวด เธอหรี่ตาลง อารมณ์ที่คิดจะขึงตาใส่เขาก็ไม่มี เพียงแค่กัดฟันเดินไปทางลิฟต์โดยสาร
ลี่จิ่วเชียนก็ตามไป “ไปกินข้าวด้วยกันไหม ที่โรงแรมมีบุฟเฟต์ตอนเช้า”
“ไม่มีอารมณ์” มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปในลิฟต์โดยสาร เงยหน้ามองกล้องวงจรปิดครู่หนึ่งแล้วพิงร่างเข้ากับผนังลิฟต์รอให้ลิฟต์เคลื่อนตัวลงไปชั้นล่าง
ลี่จิ่วเชียนก็คล้ายกับว่าหมดแรง จึงไม่เอ่ยพูดอะไรกับเธออีก
แต่ว่า เขาไม่พูดกับมู่น่อนน่อน ในใจของมู่น่อนน่อนก็เกิดความสงสัยขึ้นมา
เธอนึกถึงเรื่องที่ลี่จิ่วเชียนพูดเมื่อคืน ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเขาว่า “คุณเคยเจอฉันมาก่อน?”
เมื่อเห็นมู่น่อนน่อนยินยอมที่จะสนทนากับเขา เขาก็มีท่าทางคึกคักขึ้นมาทันที “ใช่แล้ว อ่อนโยนกว่าตอนนี้มากเลย”
มู่น่อนน่อนมองลี่จิ่วเชียนด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “จำคนผิดแล้วล่ะมั้ง?”
“คุณมองตาผมสิ” จู่ๆลี่จิ่วเชียนก็เขยิบตัวเข้ามาใกล้เธอ
“คุณทำอะไรน่ะ” มู่น่อนน่อนสีหน้าตกตะลึง
ลี่จิ่วเชียนหรี่ตาลงขณะถามเธอ “คุณคิดว่าตาผมบอดหรือ”
มู่น่อนน่อน “…”
ติ๊ง…
ตอนนี้เองที่ประตูลิฟต์โดยสารเปิดออก
มู่น่อนน่อนย่อตัวลอดใต้แขนเขาวิ่งออกไป
เธอตรงไปคืนห้องที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ตอนที่ใกล้จะเดินถึงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เธอก็เห็นเงาร่างอันคุ้นเคย จึงรีบหยุดเท้าทันที
มู่หวั่นขีที่คืนห้องอยู่ตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์นั้นเห็นมู่น่อนน่อนเข้าแล้ว
มู่หวั่นขีอยู่ด้วยกันกับผู้หญิงคนอื่นๆอีกหลายคน เธอกอดอกเดินมาด้านหน้ามู่น่อนน่อน “นี่ไม่ใช่ภรรยาเก่าของคุณชายเฉินที่เพิ่งจะคบหากับแฟนหนุ่มใหม่ไปไม่กี่วันก่อนหน้านี้หรอกหรือ”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว “เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย”
“เธอยังด่าคนเป็นด้วย” ลี่จิ่วเชียนเดินตามมาจากด้านหลัง น้ำเสียงตะลึงเล็กน้อย
เบื้องหน้าคือมู่หวั่นขีที่เกลียดเธอเข้ากระดูก เบื้องหลังก็เป็นคนประสาทที่สลัดอย่างไรก็สลัดไม่หลุด มู่น่อนน่อนรู้สึกว่านัยน์ตาของตัวเองปวดร้าวมากขึ้น
เธอเดินอ้อมมู่หวั่นขีตรงไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ “คืนห้องค่ะ ขอบคุณ”
สนทนากับพวกเขามากขึ้นประโยคหนึ่ง เธอก็รู้สึกว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่น้อยลงไปหลายปี
ตอนนี้เองที่เธอได้ยินเสียงจงใจยั่วยุของมู่หวั่นขีดังขึ้นมาจากด้านหลัง “คุณคือแฟนใหม่ของมู่น่อนน่อนหรือ แม้ว่าจะสู้เฉินถิงเซียวไม่ได้ แต่รูปร่างหน้าตาก็ไม่เลว ทำไมถึงได้ชอบผู้หญิงที่เคยแต่งงานมาแล้วกัน”
ลี่จิ่วเชียนยิ้ม ยังคงลักษณะที่ไม่มีพิษมีภัย เขาเปิดวีแชทของเธอต่อหน้าเธอ
มู่น่อนน่อนเห็นเขาเปิดวีแชทของเธอ เธอสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
ลี่จิ่วเชียนเปิดแวดวงเพื่อนของเธอ เริ่มอีดิทข้อความ เขาโพสต์รูปที่กำลังจะส่ง และอีดิทเป็นข้อความที่น่ารังเกียจว่า พี่จิ่วหุ่นเป๊ะปัง!
มู่น่อนน่อน “………”
ผู้ชายประหลาดคนนี้อาจจะเป็นคนสติไม่สมประกอบ
“ไม่พูดเหรอ ไม่มีความเห็นอะไรหน่อยเหรอ ถ้าไม่มีความเห็นอะไรงั้นผมส่งไปนะ” ลี่จิ่วเชียนเห็นเธอเอาแต่เงียบ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งสดใสขึ้น
มู่น่อนน่อนรีบส่งเสียงห้ามเขา “เดี๋ยวก่อน!”
“โอ้ ไม่ให้ผมส่งเหรอ” นิ้วของลี่จิ่วเชียนยังแตะอยู่ข้างปุ่ม “ส่ง” แต่เขาไม่ได้ส่งไปในแวดวงเพื่อน
“คุณคิดจะทำอะไรกันแน่ ถ้ามีเรื่องอะไรเรามาคุยกันจริงๆ จังๆ ดีไหม” แม้ในตอนนี้เธอจะอยู่ในการค้นหายอดนิยมอยู่บ่อยๆ ก็นับว่าเป็นคนดังครึ่งหนึ่งในโลกอินเตอร์เน็ต แต่ถ้าไม่ได้ใส่ใจเธอเป็นพิเศษ ก็จะไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเธอเลย
ลี่จิ่วเชียนคนนี้รู้จักชื่อของเธอ รู้ความสัมพันธ์ของเธอกับเฉินถิงเซียว แถมยังแอบเข้าบ้านของเธอ ต้องมีจุดประสงค์บางอย่างแน่
“ได้สิ มานี่ พวกเรามานั่งคุยกันดีๆ” ลี่จิ่วเชียนจัดเก็บโพสต์ แล้วทิ้งโทรศัพท์มือถือไปข้างหลัง ท่าทีจริงจังอย่างมาก
มู่น่อนน่อนยืนข้างประตูไม่ขยับ “คุณแต่งตัวให้ดีก่อน”
ตรงปากประตูหน้าห้องเธอมีกล้องวงจรปิด ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเข้ามายุ่งวุ่นวาย
ลี่จิ่วเชียนฟังคำพูดของเธอ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้”
หลังจากนั้น เขาเดินผิวปากเข้าไปในห้องนอนมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมองดูเขาเข้าไป
ให้คนแปลกหน้าเข้าไปในห้องนอนของเธอ มันน่าขยะแขยงยิ่งกว่าการกินแอปเปิ้ลแล้วกัดโดนหนอนเสียอีก
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผ่านวันนี้ไปต้องย้ายบ้านใหม่!
ไม่ถึงสองนาที ลี่จิ่วเชียนออกมาจากห้องของเธอ
สวมเสื้อแขนสั้นสีขาวดำและกางเกงขายาว ท่าทางเหมือนอยู่บ้าน ร่างกายที่เต็มไปด้วยแผลเป็นถูกซ่อนไว้ ลำพังมองแค่ใบหน้าของเขา ก็ให้ความรู้สึกดั่งแสงแดดอบอุ่น
ลี่จิ่วเชียนนั่งลงบนโซฟาอย่างเป็นกันเอง “ยังยืนที่ประตูทำไม เข้ามาคุยกันสิ”
“ฉันจะอยู่ตรงนี้ ฉันชอบหน้าประตู” มู่น่อนน่อนไม่ได้ปิดประตู ยืนหน้าประตูอยู่แบบนั้น ท่าทางเหมือนว่าจะไม่มีทางย้ายไปไหน
ลี่จิ่วเชียนเหมือนจะชะงักไปครู่หนึ่ง เอนตัวพิงไปด้านหลัง กางสองแขนออก วางไว้บนพนักโซฟาด้วยท่าทีสบายๆ อย่างเป็นธรรมชาติ
เขามองไปรอบๆ ห้อง เหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง “แล้วลูกคุณล่ะ หลังจากคุณกับเฉินถิงเซียวหย่ากัน ลูกถูกเฉินถิงเซียวแย่งไปเหรอ”
มู่น่อนน่อนได้ยินเขาพูดถึงลูก สีหน้าพลันเปลี่ยนฉับพลัน “คุณเป็นใครกันแน่”
เกี่ยวกับเฉินมู่ มีเพียงคนรอบข้างเท่านั้นที่รู้ คนอื่นไม่มีใครรู้แน่ชัด
“ระวังตัวจังเลย กลัวผมเหรอ” ลี่จิ่วเชียนเผยยิ้ม มุมปากยกขึ้น จับจ้องมองเธอ ดูเหมือนเจตนาไม่ดี
“คุณไม่มีเงิน เป็นผู้หญิงที่เคยหย่า คิดว่าผมจะทำอะไรคุณหรือไง” ลี่จิ่วเชียนมองเธอหัวจดเท้า “อ้อ รูปร่างหน้าตาก็ใช้ได้ คุณจะให้ผมข่มขืนก่อนแล้วค่อยฆ่าไหมล่ะ”
คำพูดพวกนี้ฟังดูแล้วน่าขนลุก
แต่ทว่า มู่น่อนน่อนแปลกใจมากที่รู้สึกว่าเขาจะไม่ทำอย่างนั้น
มู่น่อนน่อนไม่พูด แค่จ้องเขา
ลี่จิ่วเชียนแสดงสีหน้าเศร้าใจ “แต่ผมไม่ลงมือกับผู้หญิง คงทำให้คุณผิดหวังแล้วล่ะ”
มู่น่อนน่อนแค่ยิ้มอย่างหงุดหงิด “คุณมาจากไหน”
เธอสงสัยอย่างจริงจังว่าชายคนนี้ออกมาจากโรงพยาบาลจิตเวช
เมื่อลี่จิ่วเชียนได้ยิน สีหน้าพลันจริงจังขึ้นมา ก่อนจะพูดออกมาสามคำ “ออสเตรเลีย”
ออสเตรเลีย?
หลังจากมู่น่อนน่อนเผาวิลล่าของเฉินถิงเซียว ได้ไปออสเตรเลียด้วยความช่วยเหลือของเสิ่นชูหาน นี่เป็นครั้งเดียวที่เธอไปออสเตรเลีย
และก่อนหน้านี้ลี่จิ่วเชียนยังถามเธอด้วยว่า “คุณไม่รู้จักผมเหรอ”
เธอมองลี่จิ่วเชียนอย่างละเอียด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลทางจิตวิทยาหรือไม่ เธอรู้สึกคุ้นหน้าลี่จิ่วเชียนจริงๆ
ยังไม่ทันที่เธอจะนึกได้ว่าสองคนรู้จักกันหรือไม่ เธอก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าเป็นกลุ่มขึ้นข้างหลัง
เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น “คุณตำรวจ ตรงนี้ค่ะ”
มู่น่อนน่อนหันไปมอง และเห็นว่ามีคุณป้าคนหนึ่งนำตำรวจมาทางนี้
เมื่อคุณป้าคนนั้นเห็นมู่น่อนน่อนก็พูดอย่างเป็นห่วงว่า “คุณคะ คุณไม่เป็นอะไรนะ”
มู่น่อนน่อนรู้จักคุณป้าคนนี้ เป็นคนที่อาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ กัน บางครั้งออกไปแล้วเจอก็จะทักทาย
คุณป้าอาศัยอยู่คนเดียว และไม่ค่อยเล่นอินเตอร์เน็ต โดยธรรมชาติแล้วจึงไม่รู้พวกเรื่องราวของมู่น่อนน่อน แค่เห็นว่ามู่น่อนน่อนก็อยู่ตัวคนเดียว อาจจะรู้สึกว่าหัวอกเดียวกัน จึงใจดีกับเธอเป็นพิเศษ
มู่น่อนน่อนส่งเสียงเรียกเธอ “คุณป้า”
คุณป้าเดินเข้ามาหาเธอ เอียงหน้าเข้าไปมองแล้วเห็นลี่จิ่วเชียนนั่งอยู่บนโซฟากำลังมองมาทางนี้ เธอจึงรีบดึงมู่น่อนน่อนออกมา “คุณไม่เป็นอะไรนะ ก่อนหน้านี้ฉันเห็นว่ามีคนเปิดประตูเข้าไป ก็ไม่ได้สังเกต ตอนที่ฉันลงไปตรงมุมทางโค้งเห็นว่ารถของคุณไม่อยู่ เมื่อกลับมาเห็นคุณเข้าไปพอดี จะเรียกคุณก็ไม่ทัน ว่ามีขโมยเข้าไป ฉันเลยโทรเรียกตำรวจ……”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า รู้สึกซาบซึ้งใจมาก “ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ ขอบคุณคุณป้ามากนะคะ”
“ผู้ชายคนนั้น……” คุณป้าชี้เข้าไปข้างใน
มู่น่อนน่อนเอียงหน้ามอง ลี่จิ่วเชียนมองเธออย่างเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก “ฉันไม่รู้จักเขาค่ะ”
……
หลังจากนั้น ลี่จิ่วเชียนก็ถูกตำรวจพาไป
แต่เพื่อลงบันทึก มู่น่อนน่อนจึงตามไปด้วย
“ชื่ออะไร”
“ลี่จิ่วเชียน”
“ทำอาชีพอะไร”
“ดร.ด้านจิตวิทยาอาชญาวิทยา เพิ่งกลับมาจากออสเตรเลีย ยังไม่ได้ทำงาน”
ตำรวจฟังถึงตรงนี้ ปากกาก็เขียนลงไป
เพราะข้อหาบุกรุกเข้าบ้านคนอื่นนั้นผิดกฎหมายระดับทั่วไป เมื่อนำลี่จิ่วเชียนมาที่สถานีตำรวจแล้ว ดังนั้นลี่จิ่วเชียนกับมู่น่อนน่อนจึงอยู่ในห้องโถง
มู่น่อนน่อนได้ยินถึงตรงนี้พลันชะงักไปครู่หนึ่ง
เธอหันขวับไปมองลี่จิ่วเชียน ลี่จิ่วเชียนเหมือนจะรู้สึกถึงสายตาของเธอ จึงหันไปกะพริบตาให้เธอ
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่จดบันทึกให้มู่น่อนน่อนก็ได้ยินคำพูดของลี่จิ่วเชียนด้วย เขาลุกขึ้นไปหาตำรวจอีกคนที่จดบันทึกให้ลี่จิ่วเชียนและกระซิบบางอย่างกับเขา
หลังจากนั้น ตำรวจคนนั้นพลันสีหน้าตกใจไปเล็กน้อย
ตำรวจกระแอมไอเบาๆ เมื่อเปิดปากพูดอีกครั้ง ก็เปลี่ยนเป็นสุภาพมากขึ้น “คุณลี่ ทำไมคุณถึงมาปรากฏตัวอยู่ในห้องของคุณมู่”
“ก็เพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอมานาน แค่ล้อเล่นน่ะ” ลี่จิ่วเชียนทำหน้ายิ้ม เหมือนพูดตามความจริง
มู่น่อนน่อนหันไปถลึงตาจ้องเขา
ลี่จิ่วเชียนเหลือบมองมู่น่อนน่อน ก่อนจะเอารูปถ่ายก่อนหน้านี้ให้ตำรวจดู “นี่ดูสิ ผมกับเธอเป็น “เพื่อน” เธอเป็นแบบนี้เพราะผมกลับมากะทันหันโดยไม่บอกเธอ แต่ในใจนั้น……”
ตอนที่ลี่จิ่วเชียนพูดคำว่า “เพื่อน” เน้นเสียงหนักมาก แถมยังพยักหน้าให้ตำรวจ ส่งสายตาประมาณว่า “คุณเข้าใจใช่ไหม
ที่เฉินถิงเซียวพูดนั้นมู่น่อนน่อนไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว
ทันใดนั้นเฉินถิงเซียวก็พูดว่า “ช่วงนี้ผมจะยุ่งมาก มีเรื่องอะไรก็ติดต่อกู้จือหยั่น”
“ยุ่งอะไรเหรอ” มู่น่อนน่อนค่อนข้างเหนือความคาดหมาย “เพราะเรื่องที่บริษัทเฉินซื่อราคาหุ้นตกเหรอ”
เฉินถิงเซียวหันหน้าไปมองเธอทันที มู่น่อนน่อนรอคำตอบของเขา ปรากฏว่าเขากลับโน้มตัวลงมาจูบเธอ
“เฉิน……” มู่น่อนน่อนเอนหนีไปข้างหลัง พยายามเลี่ยงการจูบของเขา
เฉินถิงเซียวถอยกลับเล็กน้อย ยกมือขึ้นดึงเนคไท พูดอย่างมีความหมาย “เตียงในห้องพักของโรงแรมจีนติ่ง ทั้งหมดผมส่งคนไปสั่งกลับมาจากต่างประเทศ ให้ความรู้สึกสบายกายอย่างถึงที่สุด อยากลองไหม”
มู่น่อนน่อนหน้าแดงเรื่อ ผลักเขาออกทันที “ฉันกลับแล้ว!”
เฉินถิงเซียวถูกเธอผลักลงไปบนโซฟาโดยไม่ได้มีการป้องกันตัว
เขานอนลงไปบนโซฟา พูดด้วยน้ำเสียงขี้เกียจระคนร้ายอาจ “ไม่ลองจริงเหรอ”
ที่ตอบเขาคือเสียงประตูกระแทกปิดดังลั่น
มู่น่อนน่อนไปแล้ว สีหน้าของเฉินถิงเซียวจึงค่อยๆ คลายลง
เขาพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง ล้วงเอากล่องบุหรี่ออกมาจากตัว แล้วจุดไฟ
……
มู่น่อนน่อนขับรถกลับบ้านด้วยความโกรธเคือง
เธอยังคิดอยู่เลยว่าเฉินถิงเซียวมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ปรากฏว่าก็ไร้ยางอายเป็นปกติเท่านั้นเอง
มู่น่อนน่อนนึกขึ้นได้ว่าผลไม้ในตู้เย็นหมดแล้ว จึงหยุดระหว่างทางเพื่อซื้อผลไม้กลับไป
เธอหอบผลไม้กลับมาถึงที่พัก เมื่อเปิดประตูเข้าไป ทุกอย่างยังคงเป็นปกติ
เพียงแต่ เมื่อเธอเอาผลไม้ใส่ตู้เย็นแล้วหยิบเอากล้วยออกมาผลหนึ่ง จู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งพันผ้าเช็ดตัวของเธอออกมาจากห้องนอนของเธอเอง
มู่น่อนน่อนตกใจจนก้าวถอยหลังไปสองก้าว “คุณ……คุณๆๆ เป็นใคร”
แม้ว่าเธอจะพยายามรักษาความสงบบนใบหน้าแล้ว แต่การพูดตะกุกตะกักมันทรยศเพราะความกลัวของเธอในตอนนี้
ดึกแล้ว เธอผู้หญิงคนเดียวกลับมาถึงบ้าน แล้วเห็นคนแปลกหน้าออกมาจากห้องนอนของตัวเอง ท่าทางเหมือนกับเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แถมร่างกายส่วนล่างยังพันด้วยผ้าเช็ดตัวของเธอด้วย……
ต่อให้เธอเป็นสาวเจ้าปัญหาที่เคยผ่านการต่อสู้ แต่ก็ยังมีความกังวลอยู่นิดหน่อย
ชายหนุ่มก้าวขายาวเดินตรงเข้ามาตรงหน้าเธอ ก้มหน้ามองเธอ “ไม่รู้จักผมเหรอ”
ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ สูงกว่าเธอมาก สูงพอๆ กับเฉินถิงเซียว คิ้วคมดั่งดาบดูองอาจกล้าหาญ
บนร่างกายมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ที่ตรงกันข้ามกับลักษณะคือ ร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ดูค่อนข้างน่ากลัว
บนตัวมีหยดน้ำเกาะพราว ระบายไอน้ำเย็น เห็นได้ชัดว่าเพิ่งอาบน้ำเย็นมา
ชายคนนี้แอบเข้าบ้านเธอตอนดึก และอาบน้ำเย็นในห้องน้ำของเธอ แถมผู้ชายโรคจิตนี่ยังใช้ผ้าเช็ดตัวของเธอด้วย!
มู่น่อนน่อนเกิดการแจ้งเตือนดังขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ เมื่อเขาเข้ามาใกล้ เธอรีบวิ่งกลับหลังไปเอามีดที่ห้องครัว พลันสีหน้าระแวดระวังอย่างยิ่ง “คุณอย่าเข้ามา!”
ความสูงของชายหนุ่มเท่าๆ กับเฉินถิงเซียว ร่างกายกำยำแข็งแรงเหมือนเป็นครูสอนศิลปะการต่อสู้ ถ้าต่อสู้กันเธอเอาชนะเขาไม่ได้แน่
ดวงตาของมู่น่อนน่อนจับจ้องเขาเขม็ง กลัวว่าเขาจะลงมือทำร้ายเธอ มืออีกข้างของเธอล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือ
ชายหนุ่มเห็นการเคลื่อนไหวของเธอ จึงกระตุกยิ้มมุมปาก และพูดกับตัวเอง “ดูเหมือนว่าจะไม่รู้จักผมจริงๆ งั้นผมจะแนะนำตัวเอง ผมคือลี่จิ่วเชียน”
เขาพูดอย่างนั้นแล้วยื่นมือข้างหนึ่งไปหามู่น่อนน่อน รอยยิ้มบนใบหน้าไม่จางหาย ดูเหมือนไม่มีพิษมีภัย
ไม่มีพิษมีภัยกับผีน่ะสิ
คนปกติที่ไหนจะเป็นเหมือนลี่จิ่วเชียน ที่แอบเข้ามาอาบน้ำกลางดึกในบ้านของผู้หญิงที่อยู่ตัวคนเดียว
มู่น่อนน่อนแตะโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เธอเบี่ยงตัวเล็กน้อยโดยไร้เสียง ให้ลี่จิ่วเชียนไม่เห็นเธอหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง และยังคงไม่ได้พูดอะไรสักคำ
แต่ทว่า การเคลื่อนไหวของชายหนุ่มนั้นรวดเร็วกว่าที่เธอคิด
มู่น่อนน่อนไม่เห็นการเคลื่อนไหวของเขาเลย แค่รู้สึกเจ็บที่ข้อมือ มีดในมือก็ถูกเขาแย่งไปแล้ว
เขาจับมือของเธอ ออกแรงดึงเธอเข้าหาเขา มู่น่อนน่อนไม่ได้แข็งแรงมากอย่างเขา ได้แต่ถูกเขาดึงเข้าไป
ทันทีที่มู่น่อนน่อนเข้าใกล้เขา ตามสัญชาตญาณของร่างกาย เธองอเข่าแล้วกระทุ้ง “ตรงนั้น” ของร่างกายเขาอย่างรุนแรง
“ซี๊ด……” ลี่จิ่วเชียนเจ็บปวดจนสูดปาก
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาเจิดจ้าไม่รู้ว่าคือการยิ้มหรือโกรธ “คุณเป็นผู้หญิงคนแรกที่สามารถหาช่องโหว่ของผมได้”
มู่น่อนน่อนไหนเลยจะสนใจการหาไม่หาช่องโหว่อะไรนั่น ฉวยโอกาสวิ่งออกไปข้างนอก วิ่งไปด้วยล้วงหาโทรศัพท์มือถือของตัวเองไปด้วย
ปรากฏว่า ในกระเป๋ากางเกงกลับว่างเปล่า
เธอหันกลับไปอย่างรวดเร็ว ลี่จิ่วเชียนกอดอกขณะที่มืออีกข้างถือโทรศัพท์มือถือของเธอ
ลี่จิ่วเชียนชูโทรศัพท์มือถือ “คุณกำลังหาโทรศัพท์มือถือของคุณอยู่เหรอ”
เขาพูดจบ ก็เอาโทรศัพท์มือถือมาดู เลื่อนดูเบอร์โทรที่เธอมี แถมยังดูไปอ่านชื่อออกเสียงไปด้วย “เฉินถิงเซียว ผู้ช่วยสือ กู้จือหยั่น เสี่ยวเหลียง สุ่ยซาน……ข้างในนี้ มีสองชื่อที่คุ้นๆ นะ”
เขาพูดอย่างนั้นแล้วเงยหน้าไปมองมู่น่อนน่อน ดวงตามีแววประปลาดใจ
มู่น่อนน่อนก็เข้าใจในเวลานี้เอง ลี่จิ่วเชียนไม่ใช่โจรโรคจิตทั่วไปที่บุกเข้าบ้านมาขโมยของ ถ้าเขาต้องการทำร้ายเธอ จะไม่ให้โอกาสเธอได้วิ่งหนีเลย
เขาทักษะรวดเร็วมาก และยังฉวยเอาโทรศัพท์มือถือของเธอไปโดยที่เธอไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
มู่น่อนน่อนยืนใกล้ประตู มองเขาอย่างใจเย็นที่สุด “คุณเป็นใครกันแน่ มาหาฉันทำไม”
“ลี่จิ่วเชียนไง ครั้งก่อนแยกกันด้วยความรีบร้อนเกินไปจึงไม่มีเวลาบอกชื่อของผมให้กับคุณ” เขาพูดไปพลางหันหลังแล้วถ่ายเซลฟี่ด้วยโทรศัพท์มือถือของเธอ “แต่คุณไม่ต้องแนะนำตัวเองกับผมหรอกนะ ผมรู้ว่าคุณชื่อมู่น่อนน่อน เฉินถิงเซียวคือสามีเก่าของคุณ……”
มู่น่อนน่อนยิ่งระแวดระวังตัวหนักขึ้น “คุณรู้จักฉันได้ยังไง”
“คุณอยู่ในการค้นหายอดนิยมไม่เว้นแต่ละวัน ถึงไม่อยากรู้ก็คงไม่ได้หรอก” ลี่จิ่วเชียนพูดพลางดูรูปถ่าย “ไม่เลว ผมค่อนข้างขึ้นกล้องนะ คุณเองก็ขึ้นกล้องเหมือนกัน รูปนี้โอเค ผมจะส่งขึ้นแวดวงเพื่อน…….”
เดี๋ยวนะ รูป……
ลี่จิ่วเชียนเพิ่งเซลฟี่ ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาพันแค่ผ้าเช็ดตัวของเธอผืนเดียว แถมยังถ่ายติดเธอด้วย!
และเขายังจะเอารูปนี้ส่งไปในแวดวงเพื่อนอีก!
มู่น่อนน่อนหลับตาลง ก้าวกว้างไปข้างหน้า “คุณถ่ายรูปอะไร เอาโทรศัพท์มือถือคืนฉันมา!”
“เดี๋ยวสิ ยังไม่ได้ส่งไปในแวดวงเพื่อนเลย……” ลี่จิ่วเชียนชูโทรศัพท์มือถือขึ้นสูง มู่น่อนน่อนเตี้ยกว่าเขา ไม่มีทางเอาโทรศัพท์มือถือมาได้
เขามีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันรอบตัว มู่น่อนน่อนไม่กล้าแตะต้องเขา
มู่น่อนน่อนนับว่ามองออกแล้ว ผู้ชายคนนี้มาหาเธอโดยเฉพาะ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าเป้าหมายคืออะไร แต่เธอควรไปก่อนดีกว่า
เห็นมู่น่อนน่อนกำลังจะไป ลี่จิ่วเชียนจึงตะโกนเรียกเธอ “ไม่เอาโทรศัพท์มือถือแล้วเหรอ ไม่กลัวว่าผมจะส่งไปในแวดวงเพื่อนหรือไง”
“แล้วแต่คุณ” มู่น่อนน่อนเดินไปถึงประตูแล้ว และเปิดประตูออก
มู่น่อนน่อนสงสัยอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกลับไปหาฉินสุ่ยซาน
ขณะนี้กำลังเป็นเวลาอาหารเย็น ห้องอาหารจึงเต็มไปด้วยผู้คน
มู่น่อนน่อนกลับมาถึงโต๊ะแล้วนั่งลง หันหน้ากลับไปมองผ่านฝูงชนยังทิศทางของห้องอาหารวีไอพีที่เฉินถิงเซียวเข้าไป
ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวบอกว่าทานข้าวอยู่ข้างนอก เธอยังคิดว่าเขาอยู่กับกู้จือหยั่น ที่แท้ก็เพิ่งมา
แต่ถ้าเฉินถิงเซียวนัดทานข้าวกับกู้จือหยั่น แน่นอนว่ากู้จือหยั่นจะต้องมาถึงก่อนเวลา
ถ้าอย่างนั้น ที่เฉินถิงเซียวนัดคือใคร
ผ่านไปไม่นานนัก เมื่อคนคุ้นเคยคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องอาหาร สายตามู่น่อนน่อนมองตามเขา เห็นว่าสถานที่ที่เขาไปคือทิศทางของห้องอาหารวีไอพีที่เฉินถิงเซียวเพิ่งเข้าไป จึงอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าประหลาดใจ
พื้นที่ห้องโถงกับห้องอาหารนั้นแยกออกจากกัน บริเวณห้องอาหารวีไอพีจะเงียบกว่า
“เหมือนคุณจะค่อนข้างเหม่อตลอดเลยนะ คุณกำลังมองอะไรอยู่” ฉินสุ่ยซานที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอหันหน้ามองตามสายตาของเธอไป และได้เห็นว่าเฉินชิงเฟิงเข้าไปในห้องอาหารวีไอพีห้องหนึ่งพอดี
ฉินสุ่ยซานสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาฉับพลัน แต่ก็ยังกระซิบอย่างระมัดระวังมากว่า “นั่นมันเฉินชิงเฟิงไม่ใช่เหรอ พ่อสามีเก่าของคุณน่ะ!”
“ใช่ค่ะ” มู่น่อนน่อนส่งเสียงตอบ ความคิดล่องลอยไปไกลแล้ว
เฉินถิงเซียวนัดทานข้าวกับเฉินชิงเฟิงงั้นเหรอ
ทั้งสองคนในตอนนี้ความสัมพันธ์ไม่ลงรอยกันเหมือนน้ำกับไฟ ทำไมเวลานี้ถึงนัดออกมาทานข้าวกันตามลำพังได้
หรือว่า “ข่าวลือ” นั่นเฉินถิงเซียวให้คนปล่อยออกมาจริง ฉะนั้นเฉินชิงเฟิงจึงต้องมาเจรจากับเฉินถิงเซียว?
“คุณรู้ไหม ตอนนี้ฉันอยากแจ้งกับนักข่าวเป็นพิเศษเลย” ฉินสุ่ยซานพูดจบแล้วส่ายหน้า “ต่อให้ฉันแจ้งนักข่าวไป เป็นไปได้ว่าอาจจะไม่มีนักข่าวกล้ามาสัมภาษณ์พ่อสามีเก่าคุณหรอก”
“พ่อของสามีเก่าอะไร คุณอย่าพูดเหลวไหล” สาเหตุหลักเลยคือฟังแล้วค่อนข้างรู้สึกแปลกๆ
ฉินสุ่ยซานเงียบ มองไปยังมู่น่อนน่อนด้วยตาไม่กะพริบ
“อะไรล่ะ” มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง “ถ้าคุณชอบเรียกแบบนี้จริงๆ ก็ไม่มีปัญหา……”
ทันใดนั้นฉินสุ่ยซานก็พูดเนือยๆ ออกมาหนึ่งประโยค “บอกตามตรงนะ ที่จริงฉันไม่เชื่อว่าคุณกับเฉินถิงเซียวจะหย่ากันจริงๆ”
“ฮะ?” มู่น่อนน่อนกะพริบตาปริบๆ “จริงเหรอ ท่าทางคุณเหมือนรู้จักเฉินถิงเซียวดีเลยนะ…….”
“ความรู้สึก! ความรู้สึกน่ะเข้าใจไหม คนบางคนมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่เหมือนคนประเภทที่เป็นคนเลวมีเมียน้อย และเฉินถิงเซียวก็ดูจะเป็นคนประเภทที่ใจมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ฉันจึงสงสัยว่าพวกคุณไม่ได้หย่ากัน แต่เป็น……”
ฉินสุ่ยซานพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็นิ่งไป
มู่น่อนน่อนถูกฉินสุ่ยซานทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เลิกคิ้วถามว่า “แต่เป็นอะไร”
ฉินสุ่ยซานเพิ่มคำต่อไปนี้ทีละคำ “คุณทิ้งเขา!”
“แค่ก……” มู่น่อนน่อนสำลักน้ำที่ตัวเองเพิ่งดื่มเข้าปาก “คุณอย่าพูดครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ได้ไหม”
ฉินสุ่ยซานเบิกตากว้าง “คุณทิ้งเขาจริงเหรอ”
เธอแค่พูดเล่นเฉยๆ หรือว่าเธอเดาได้
“พรุ่งนี้คุณต้องขึ้นเครื่องบิน ทานเสร็จแล้วกลับไปพักผ่อนเร็วหน่อย ถ้าจะนินทาอีกแบบนี้ ทำไมคุณไม่ไปเป็นปาปารัสซี่ซะเลยล่ะ……”
“ถ้าฉันเป็นปาปารัสซี่ จะจับตาดูคุณขุดคุ้ยข่าวคุณทุกวันเลย!”
“………”
ทั้งคู่เพิ่งทานข้าวเสร็จ ฉินสุ่ยซานก็ถูกผู้ช่วยของเธอโทรมาเรียกให้ไป
มู่น่อนน่อนสังเกตไปยังทิศทางของห้องอาหารวีไอพีที่เฉินถิงเซียวอยู่ตลอดเวลา และไม่เห็นเขาออกมาเลย
มู่น่อนน่อนลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะตัดสินใจเดินไปดู
“หนึ่ง สอง สาม……”
ก่อนหน้านี้ตอนที่มู่น่อนน่อนตามหลังเฉินถิงเซียวได้มีการนับไว้ด้วย มันคือห้องอาหารวีไอพีห้องที่หก
เธอยืนอยู่หน้าประตูห้องอาหารวีไอพี พิงชิดผนังข้างกรอบประตู กำลังจะแนบหูฟัง ก็เห็นบริกรเดินเข้ามา เธอจึงรีบหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาแกล้งทำเป็นคุยโทรศัพท์
เธอแกล้งโทรศัพท์ไปพลางสังเกตอีกทางด้วยว่ามีคนอื่นมาอีกหรือไม่
รอกระทั่งทางเดินไร้ผู้คน เมื่อเธอเก็บโทรศัพท์มือถือและกำลังจะแนบหูฟัง ก็ได้ยินเสียง “แอ๊ด” ประตูถูกคนจากด้านในเปิดออก
มู่น่อนน่อนตัวแข็งทื่อ ยังไม่ได้ดูให้ชัดเจนว่าคนที่มาเป็นใคร ก็รู้สึกถึงมือข้างหนึ่งกดลงบนไหล่ของตัวเอง จากนั้นเธอก็ถูกผลักไปข้างๆ
“ปัง” ประตูห้องพิเศษถูกปิด
เธอเอียงศีรษะและก็เห็นเฉินถิงเซียวจ้องตัวเองด้วยสีหน้าขุ่นมัว
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าบรรยากาศค่อนข้างกระอักกระอ่วน ต้องพูดอะไรบ้างๆ
เธอถามด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “คุณมีเรื่องอะไรเหรอ”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร จูงมือเธอไปยังลิฟต์อีกฝั่ง
เขาย่างสามขุมก้าวเดินอย่างรวดเร็ว มู่น่อนน่อนตามการก้าวเดินของเขาไม่ทันเลย จนแทบถูกเขาลากไป
สีหน้าของเฉินถิงเซียวไม่ดี ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายอันตราย ทำให้มู่น่อนน่อนไม่กล้าพูด
เฉินถิงเซียวพามู่น่อนน่อนตรงไปถึงยังห้องพักเอ็กซ์คลูซีฟของโรงแรมจีนติ่งแล้ว ถึงได้ปล่อยมือของเธอ
มู่น่อนน่อนนวดข้อมือตัวเองที่ถูกบีบจนเจ็บ เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินเฉินถิงเซียวถามด้วยเสียงขุ่นว่า “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่”
มู่น่อนน่อนรีบพูด “ฉันมาทานข้าวกับฉินสุ่ยซาน”
เฉินถิงเซียวสีหน้าเย็นชา “ผมถามคุณหน่อย ทำไมมายืนหน้าประตูห้องอาหารวีไอพี คุณตั้งใจจะทำอะไร”
“ฉันเห็นคุณกับคุณพ่อของคุณเดินตามกันเข้าไปในห้องอาหารวีไอพี ก็เลย……”
คำว่าคุณพ่อของคุณที่มู่น่อนน่อนพูดทำให้เฉินถิงเซียวโกรธจัด เขาขัดจังหวะคำพูดของเธอด้วยสีหน้าดุร้าย น้ำเสียงเย็นชาไม่พอใจ “คุณพ่อของคุณ?”
มู่น่อนน่อนรีบเปลี่ยนคำพูด “เฉินชิงเฟิง……”
ตอนแรกที่เธอ “แต่งงาน” กับเฉินถิงเซียว เฉินชิงเฟิงเคยมาหาเธอครั้งเดียว
ในตอนนั้น เธอแค่รู้สึกว่าเฉินชิงเฟิงเป็นคนที่โลกส่วนตัวสูงมีระยะห่างกับคนอื่น ในฐานะเป็นพ่อคน เขาอาจจะมีปัญหาของตัวเอง
แต่ต่อมาจากเหตุการณ์ต่างๆ ในที่สุดก็ล้มล้างความคิดภายในใจของเธอโดยสมบูรณ์
ในแง่ของความเป็นญาติและความสัมพันธ์ใกล้ชิด มู่น่อนน่อนเป็นคนใจอ่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่อย่างนั้นคงไม่อดทนอยู่ในตระกูลมู่มานานหลายปี ถึงเพิ่งหมดใจโดยสิ้นเชิง
เกี่ยวกับเรื่องที่เฉินชิงเฟิงมีลูกนอกสมรส ในมุมของมู่น่อนน่อนนั้นมันเป็นบาปที่ให้อภัยไม่ได้ หากสมมุติว่าที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับต้นกำเนิดของซือเฉิงหยู้นั้นเป็นเรื่องจริง
เฉินถิงเซียวก้มหน้า เห็นมู่น่อนน่อนมองเขาเหมือนกลัวว่าเขาจะโกรธ ในแววตามีร่องรอยหมดหนทาง จึงน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย แต่การพูดนั้นรุนแรงมาก “ต่อไปถ้าพบเฉินชิงเฟิง ให้เดินเลี่ยงไปซะ”
“อือ” มู่น่อนน่อนตอบพอเป็นพิธี และถามว่า “คุณคุยอะไรกับเขาเหรอ”
“เรื่องส่วนตัวนิดหน่อย” เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็หันไปนั่งบนโซฟา
เขาลดสายตาลง ยกขาไขว่ห้าง ท่าทางเหมือนไม่อยากพูดอะไรอีก
ผู้ชายคนนี้ถ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่อยากบอกเธอ ก็จะแสดงท่าทีแบบนี้ออกมา เกี่ยวกับจุดนี้ มู่น่อนน่อนรู้จักเขาดี
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปนั่งลงข้างเขา “เรื่อง “ข่าวลือ” มันคืออะไรเหรอ คุณให้คนปล่อยออกไปใช่ไหม”
ในเมื่อเขาไม่อยากพูดอะไร เธอยังสามารถถามได้
“ไม่ใช่” แน่นอนว่าเขาไม่ได้ให้คนปล่อยข่าว เขาแค่อีเมล์ไปให้นักข่าวเท่านั้น
เฉินชิงเฟิงกระตุกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มลึกลับจนเกินคาดเดา “ถิงเซียวติดตามเรื่องของแม่เขา เรื่องของคุณปู่กระตุ้นความสงสัยของเขา ไม่ช้าก็เร็วเขาจะรู้เรื่องของเรา แน่นอนว่าผมต้องป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ”
เฉินเหลียนได้ยินเขาพูดอย่างนั้น ราวกับว่าได้กินผลของความมั่นใจ จึงผ่อนลมหายใจยาวโล่งอก ในใจรู้สึกผ่อนคลายลงมาบ้าง “ฉันกลัวแทบตายจริงๆ นะ”
เฉินชิงเฟิงยื่นมือไปตบๆ ไหล่ของเฉินเหลียน “วางใจ เขาฉลาดแค่ไหน ก็สู้ผมไม่ได้หรอก”
เฉินเหลินขมวดคิ้ว ยังคงมีความกังวลอยู่เล็กน้อย
……
ตั้งแต่เริ่มถ่ายทำ 《เมืองพัง》 ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี
ก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนจะอยู่กับทีมงาน สาเหตุหลักเป็นเพราะบทละครของตัวเองถูกสร้างเป็นซีรีส์ครั้งแรก แม้จะเป็นแค่ซีรีส์ออนไลน์ แต่เธอรู้สึกเห่อมาก ทันทีที่ว่างก็จะไปกองถ่าย
ช่วงนี้เธอไม่ได้ไปกองถ่ายมากนัก
《เมืองพัง》ถ่ายทำมาเกือบเดือนแล้ว เนื้อหาครึ่งแรกถ่ายทำเสร็จแล้ว ส่วนครึ่งหลังต้องไปถ่ายทำในสถานที่อื่น
เพราะต้องไปถ่ายทำนอกเมือง ในกองถ่ายมีคนมากมาย ต้องใช้เวลาในการจัดการ ทีมงานจึงหยุดสองวัน
ฉินสุ่ยซานที่พักผ่อน นัดมู่น่อนน่อนมาทานข้าวด้วยกัน
ช่างบังเอิญเมื่อสถานที่ที่เลือกคือโรงแรมจีนติ่ง
มู่น่อนน่อนตอบรับคำชวนของเธอด้วยความยินดี
แม้ว่าฉินสุ่ยซานจะเป็นฝ่ายนัดเธอ แต่ฉินสุ่ยซานกลับไปถึงช้ากว่าเธอ
มู่น่อนน่อนรอไปสิบนาที ฉินสุ่ยซานถึงเพิ่งมา
“ขอโทษนะ รถติดนิดหน่อย” ฉินสุ่ยซานพูดอย่างค่อนข้างเสียใจ
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ฉันก็เพิ่งถึง”
ทั้งสองคนสั่งอาหารเรียบร้อย และพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับกองถ่าย
ทันใดนั้น ฉินสุ่ยซานเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ถามเธอว่า “ช่วงนี้มีข่าวลือหนึ่งคุณเคยได้ยินบ้างไหม”
“ข่าวลืออะไร” มู่น่อนน่อนไม่ได้ใส่ใจ ฉินสุ่ยซานนั้นพื้นฐานครอบครัวไม่เลว ทั้งยังคร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิง มีหลายช่องทางที่จะได้ยินข่าวของพวกบรรดาไฮโซหรือคนดัง เธอจึงไม่ได้แปลกใจแล้ว
ฉินสุ่ยซานพูดอย่างมีลับลมคมในว่า “เกี่ยวกับตระกูลเฉิน”
มู่น่อนน่อนสีหน้านิ่งไปทันที ส่งเสียงถามว่า “ข่าวลืออะไร”
เธอไม่ได้เจอเฉินถิงเซียวมาหลายวันแล้ว เธอโทรหาเฉินถิงเซียว เขาก็มักจะยุ่ง
เวลาที่เฉินถิงเซียวโทรมาหาเธอ ทุกครั้งคุยกันไปไม่กี่คำก็บอกว่ามีงานยุ่งอยู่
ดังนั้น ช่วงนี้เธอจึงติดต่อกับเฉินถิงเซียวน้อยมาก และไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกด้วยเช่นกัน จึงไม่ได้ยินข่าวลืออะไรเลย
“มีคนบอกว่า เฉินชิงเฟิงเลี้ยงเมียน้อยอยู่ข้างนอกมาตลอด แถมยังมีลูกด้วย” น้ำเสียงฉินสุ่ยซานกลายเป็นดูหมิ่น “ที่ผ่านมาทุกคนยังคิดว่าเฉินชิงเฟิงเป็นผู้ชายที่รักเดียวใจเดียว หลังจากภรรยาเสียชีวิต หลายปีดีดักก็ไม่แต่งงาน และไม่เคยมีข่าวลือเรื่องอื้อฉาว……”
มู่น่อนน่อนสีหน้านิ่งอึ้ง แต่ในไม่ช้าก็กลับมาเป็นปกติ “มันเป็นแค่ข่าวลือไม่ใช่เหรอ อาจจะเท็จก็ได้”
“ก็จริง เพราะยังไงตอนนี้ทุกคนก็ชอบปั้นน้ำเป็นตัว ศิลปินคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก ครั้งหนึ่งเธอเดินอยู่บนถนนแล้วเกิดปวดท้องจนนั่งยองลงไปกับพื้น เป็นผลให้ปาปารัสซี่ถ่ายรูป แล้วบอกว่าเธอเห็นแฟนเก่ามีแฟนใหม่จึงนั่งยองๆ กับพื้นร้องไห้……”
มู่น่อนน่อน “……….”
“แต่เรื่องนี้ก็ยังกระทบต่อบริษัทเฉินซื่อค่อนข้างมาก สองวันนี้หุ้นเริ่มตกแล้ว”
ฉินสุ่ยซานสนใจเรื่องลูกนอกสมรสของเฉินชิงเฟิงอย่างเห็นได้ชัด เธอพูดจบก็ถามมู่น่อนน่อนว่า “ฉันไม่ได้เจอเฉินชิงเฟิงหลายครั้งนัก คุณคิดว่าเขาเป็นคนแบบไหน เหมือนว่ามีลูกนอกสมรสอยู่ข้างนอกไหม”
มู่น่อนน่อนส่ายโคลงแก้วเครื่องดื่มโดยไม่รู้ตัว ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “มีปฏิสัมพันธ์ด้วยน้อยมาก ก็เลยไม่ค่อยรู้แน่ชัดนักว่าเขาเป็นคนแบบไหน……”
ดีที่ฉินสุ่ยซานไม่ได้เจาะลึกเรื่องนี้ พูดไปเรื่อยๆ ก็เริ่มพูดคุยกับเธอเรื่องอื้อฉาวและความรักความสัมพันธ์ของคนดังคนอื่นๆ
มู่น่อนน่อนฟังไปอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย
เธอฟังฉินสุ่ยซานพูดไปพลาง ใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเองค้นหาข่าวออนไลน์ของบริษัทเฉินซื่อไปพลาง
อย่างที่คาดไว้เมื่อเจอว่าสื่อรายงานว่าเฉินชิงเฟิงถูกสงสัยว่ามีลูกนอกสมรสอยู่ข้างนอก
สามารถมองออกได้ว่าสื่อเหล่านี้ยังคงมีจิตสำนึกที่คำนึงถึงชีวิตคนอื่นอยู่มาก เพราะเพิ่มคำว่า “สงสัย” เข้าไปด้วย
ถ้าคำพูดของเฉินเหลียนเป็นความจริง ก็แสดงว่าเป็นคนที่เฉินชิงเฟิงรักใคร่ชอบพอมายาวนานจริง
ความคิดเห็นบนอินเทอร์เน็ตมีทั้งแง่บวกและแง่ลบ
“ฉันคิดว่าต้องมีคนทำกับบริษัทเฉินซื่อแน่ๆ~”
“คอมเมนท์บนน่ะ คุณรู้ไหมว่าตระกูลเฉินเป็นตระกูลแบบไหน ไหนเลยจะมีใครกล้าทำอะไรบริษัทเฉินซื่อ”
“เฉินถิงเซียว: นี่ผมตายแล้วเหรอ”
“ถ้าเป็นเรื่องจริง ชู้รักของเฉินชิงเฟิงต้องพังแน่”
“ข่าวนี้ออกมาสองวันแล้วนะ ไม่เห็นบริษัทเฉินซื่อจะจัดการเลย หรือว่าเป็นเรื่องจริง……”
ดูมาถึงคอมเมนท์นี้ ในใจมู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะเริ่มสงสัย
หรือว่าเป็น “ข่าวลือ” ที่เฉินถิงเซียวปล่อยออกมา
บอกว่า “ข่าวลือ” อันที่จริงก็ไม่นับว่าเป็น “ข่าวลือ” เพราะท้ายที่สุดแล้วเฉินชิงเฟิงมีลูกนอกสมรสจริงๆ
มู่น่อนน่อนวางโทรศัพท์มือถือลง เงยหน้ามองไปยังฉินสุ่ยซาน “ข่าวลือนี้ออกมานานหรือยัง”
“หลายวันแล้ว” ฉินสุ่ยซานพูดจบ ก็มองมู่น่อนน่อนด้วยรอยยิ้มกริ่ม “คุณยังสนใจเรื่องของตระกูลเฉินอยู่มากเลยนะเนี่ย ตอบมาตามตรง คุณไม่ได้รู้สึกอะไรกับเฉินถิงเซียวแล้วจริงเหรอ”
มู่น่อนน่อนยิ้มอย่างไม่แสดงอาการ “ก็แค่สงสัยนิดหน่อยเท่านั้นแหละ”
“คุณไม่ได้ปฏิเสธ” ฉินสุ่ยซานยิ่งยิ้มมากกว่าเดิม
มู่น่อนน่อนเลิกคิ้ว ฉินสุ่ยซานจึงรีบพูดว่า “เอาล่ะๆ พูดเรื่องงานดีกว่า พรุ่งนี้กองถ่ายจะออกเดินทางไปถ่ายทำอีกจังหวัดแล้ว คุณอยากตามไปไหม”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า พูดติดตลกว่า “ฉันไม่ไปดีกว่า ยังไงบทละครก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ฉันไปก็ต้องใช้ห้องพิเศษเพิ่มหนึ่งห้อง แถมยังทานข้าวกล่องเพิ่มอีก”
ฉินสุ่ยซานกลอกตาอย่างหยาบคาย “ต้องขอบคุณคุณจริงๆ คิดเลยว่าจะประหยัดเพื่อกองถ่ายด้วย”
……
ฉินสุ่ยซานพูดคุยกับมู่น่อนน่อนเรื่อง “ข่าวลือ” ตลอดเวลาใจเธอค่อนข้างไม่สามารถวางเรื่องนี้ลงได้เลย
เมื่อพูดคุยกันมาได้ครึ่งทาง ขณะที่เธอไปเข้าห้องน้ำ ยังอดไม่ได้ที่จะโทรหาเฉินถิงเซียว
สายถูกเชื่อมต่อ มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงอึกทึกดังมาจากฝั่งเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนดูเวลาครู่หนึ่ง ตอนนี้หนึ่งทุ่ม เธอส่งเสียงถามออกไปว่า “กำลังงานยุ่งเหรอ”
“เปล่า ทานข้าวอยู่ข้างนอก” เมื่อสิ้นเสียงของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันมั่นคงของเขา “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไร” เฉินถิงเซียวทานข้าวอยู่ข้างนอก มู่น่อนน่อนจึงไม่มีแผนจะถามอะไรมากนัก
มู่น่อนน่อนวางสาย แล้วออกจากห้องน้ำ เดินข้ามผ่านทางเดินไปที่ห้องโถง แล้วก็เห็นเฉินถิงเซียวออกมาจากลิฟต์เพียงลำพัง
สภาพอากาศของต้นเดือนกันยายนยังร้อนอยู่มาก แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่ได้รู้สึกถึงความร้อนเลย บนกายยังคงเป็นชุดสูทเรียบร้อย
เฉินถิงเซียวออกมาจากลิฟต์โดยไม่แสดงสีหน้า ร่างกายแผ่ออร่าเย็นชาที่พาให้คนไม่กล้าเข้าใกล้ ช่วงขายาวเดินตรงเข้าไปยังห้องอาหารวีไอพีห้องหนึ่ง
เดิมทีมู่น่อนน่อนอยากส่งเสียงเรียกเขา แต่เขาเดินเร็วเกินไปและดูรีบร้อนมาก มู่น่อนน่อนไม่ทันได้เรียกเขา ได้แค่ตามหลังเขาไป
เธอเห็นเฉินถิงเซียวเข้าไปในห้องอาหารวีไอพีแล้ว เมื่อประตูปิด เธอสังเกตเห็นว่าในห้องไม่มีคนอื่น
เฉินถิงเซียวนัดทานข้าวกับใครกัน
เฉินถิงเซียวหลับตาลงอย่างสบายอารมณ์และถามว่า “สือเย่บอกคุณเหรอ”
มู่น่อนน่อนกำลังจะพูด ก็ได้ยินเสียงเฉินถิงเซียวพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงอะไรบางอย่าง “เขามีเบอร์คุณเหรอ กู้จือหยั่นก็มือเบอร์คุณด้วยไหม”
“………..” ตอนนี้เหมือนจะไม่ใช่เวลามาพูดถึงเรื่องนี้นะ
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก และพูดอย่างหมดหนทาง “เอาเถอะ คุณไม่อยากพูดก็ช่าง”
เธอพูดแบบนี้ เป็นคำพูดที่เจือความไม่พอใจในน้ำเสียง ปรากฏว่าเฉินถิงเซียวตอบกลับตรงๆ ว่า “อืม”
มู่น่อนน่อนโยนเครื่องเป่าผมลงบนโซฟาอย่างโมโห “คุณเป่าผมเองไปเลย!”
เฉินถิงเซียวลืมตา แล้วดึงมู่น่อนน่อน น้ำเสียงจริงจังมาก “คุณเป็นผู้หญิงซึ่งควรทำเรื่องพวกนี้ จะทิ้งขว้างครึ่งๆ กลางๆ ได้ยังไง”
“แล้วไง?” มู่น่อนน่อนถลึงตาใส่เขา
เฉินถิงเซียวดึงเธอเข้าอ้อมแขน “ก็ไม่แล้วไง แต่ยังต้องลงโทษหน่อย”
มู่น่อนน่อนเชิดหน้าอย่างไม่ยอม
วินาทีต่อมา ทันใดนั้นเฉินถิงเซียวก็เอาเธอวางลงบนโซฟา แล้วยื่นมือไปจั๊กจี้เธอ
“อ๊า——”
ชั่วขณะนั้นมู่น่อนน่อนไม่ทันได้ป้องกันตัว จึงกรีดร้องเพราะการกระทำของเฉินถิงเซียว เห็นท่าไม่ดีจึงคิดจะพลิกตัวขึ้นแล้ววิ่งหนี
แต่เธอนั้นไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวยื่นมือผลักเธอกลับไป
เขารู้จุดอ่อนไหวบนตัวของเธอดีกว่าตัวเธอเองอีก ทันทีที่เขาลงมือ มู่น่อนน่อนก็หยุดหัวเราะไม่ได้เลย
“เฉินถิงเซียว คุณปล่อยนะ……ฮ่าฮ่าฮ่า……”
ช่วงแรกๆ มู่น่อนน่อนยังพอรับไหว ช่วงหลังๆ เริ่มร้องขอความเมตตา
เมื่อเธอหัวเราะจนน้ำตาไหล ในที่สุดเฉินถิงเซียวก็ปล่อยและประคองเธอขึ้น
เฉินถิงเซียวเช็ดน้ำตาที่หางตาให้เธอ แล้วถามเธอว่า “ลงโทษไม่ได้ผลเหรอ”
มู่น่อนน่อนปัดมือเขา “คุณอย่ามาพูดกับฉัน! อ่อนมาก!”
“ผมอ่อนเหรอ” เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว “งั้นมาลองอีกครั้ง”
มู่น่อนน่อนฉวยโอกาสตอนที่เขาเผลอ ลุกขึ้นวิ่งหนีไป เธอวิ่งเข้าไปในห้องนอนและล็อคประตู “คืนนี้คุณนอนข้างนอกไปเลย!”
เฉินถิงเซียวหน้าคล้ำทันที “มู่น่อนน่อน!”
ได้ยินน้ำเสียงที่กำลังอดกลั้นความโมโหของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนก็ชอบใจมาก
อย่างไรก็ตาม เป็นไปไม่ได้ที่มู่น่อนน่อนจะปล่อยให้เฉินถิงเซียวนอนข้างนอก สุดท้ายก็ยังปล่อยเขาเข้าไป
เพียงแต่ กระทั่งตอนที่กำลังจะหลับ มู่น่อนน่อนก็คิดได้ลางๆ เหมือนว่าเฉินถิงเซียวยังไม่ได้ตอบคำถามเธอเลย
ความสามารถในการเปลี่ยนเรื่องของเฉินถิงเซียว ยิ่งเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ เลยจริงๆ
……
วันต่อมา
ตอนที่มู่น่อนน่อนตื่น เฉินถิงเซียวไม่ได้อยู่ข้างๆ แล้ว
คิดถึงเรื่องเมื่อวานขึ้นมา ตอนนี้มู่น่อนน่อนไม่ค่อยวางใจในตัวเฉินถิงเซียวเลย
เธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง โทรหาเฉินถิงเซียว
ขณะรอสายถูกเชื่อมต่อ เธอยังค่อนข้างไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย แต่ดีที่เฉินถิงเซียวรับสายเร็วมาก
“ตื่นแล้วเหรอ” ทางฝั่งเฉินถิงเซียวเงียบมาก ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบา ไม่มีเสียงอื่นแม้แต่น้อย
มู่น่อนน่อนถามเขา “คุณอยู่ห้องทำงานเหรอ”
“อืม” เฉินถิงเซียวส่งเสียงตอบ เสียงพลิกเอกสารดังมา
“งั้นคุณทำงานเถอะ ฉันไม่รบกวนคุณแล้ว”
มู่น่อนน่อนวางสายไปก่อน
……
เฉินถิงเซียววางมือถือลง สายตากลับไปสู่รายงานผลการตรวจดีเอ็นเอที่เขาเพิ่งอ่านไปครึ่งทาง
เสียงเขาพลิกเอกสารที่มู่น่อนน่อนได้ยินเมื่อครู่ ความจริงแล้วเป็นเสียงที่เขาพลิกดูรายงานผลการตรวจดีเอ็นเอ
เขาดูช้ามาก เมื่อดูมาถึงตอนท้าย ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะเย็นชาด้วยน้ำเสียงต่ำๆ
สือเย่ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน เห็นเฉินถิงเซียวพลิกเอกสารดูแล้วหัวเราะกับตัวเอง ขนบนร่างกายก็ต่างพากันลุกเกลียว
เขาลดสายตาลง ไม่กล้าดูรายงานผลทดสอบดีเอ็นเอตรงหน้าเฉินถิงเซียว
ผลตรวจดีเอ็นเอนี้ เป็นเมื่อเช้าเฉินถิงเซียวสั่งให้เขาไปเอามา
เขาไม่กล้าเปิดดูข้างใน ไม่มีทางเดาได้ว่าผลทดสอบดีเอ็นเอนี้เป็นของใคร แต่ก็เดาได้ลางๆ ว่าเกี่ยวข้องกับตระกูลเฉิน
สือเย่ผงกศีรษะเล็กน้อย และพูดว่า “คุณผู้ชาย ถ้าคุณไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ผมขอตัวออกไปก่อนนะครับ”
เฉินถิงเซียวดันผลรายงานการทดสอบดีเอ็นเอไปตรงหน้าเขา “เอานี่ส่งไปที่บ้านเก่า”
สือเย่ยื่นมือไปหยิบขึ้นมา “ระบุผู้รับเป็นใครครับ”
เกี่ยวข้องกับตระกูลเฉินอย่างที่คาดไว้
เฉินถิงเซียวเอนหลังพิงเก้าอี้ น้ำเสียงค่อนข้างเลื่อนลอย “ตามใจ”
ตามใจ?
สือเย่ไม่ได้ถามมากอีก หันหลังแล้วเดินออกไป
……
ตกเย็น ทันทีที่เฉินชิงเฟิงเข้าประตูบ้าน ก็มีคนรับใช้มาต้อนรับ รับเสื้อโค้ตในมือของเขาไป และพูดว่า “คุณท่าน ก่อนหน้านี้มีคนส่งพัสดุส่งด่วนมาชิ้นหนึ่ง ด้านบนไม่ได้ระบุผู้ส่งและผู้รับ คุณจะเปิดมันตอนนี้เลยไหม”
ตอนนี้คุณท่านเฉินอยู่ในสภาพไม่ได้สติ โดยธรรมชาติแล้วเฉินชิงเฟิงจึงกลายเป็นผู้นำตระกูลคนใหม่ของตระกูลเฉิน ในบ้านมีเรื่องอะไร ตามปกติแล้วจึงต้องรายงานเขา
พัสดุส่งด่วน?
เฉินชิงเฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงว่า “เอามา”
คนรับใช้ได้ยินดังนั้นจึงหันหลังเดินไปเอาพัสดุส่งด่วนมาให้
เฉินชิงเฟิงฉีกพัสดุส่งด่วนเปิดออก ล้วงหยิบเอาซองน้ำตาลออกมา
เขาชั่งน้ำหนักดูครู่หนึ่ง มันหนักนิดหน่อย ข้างในมีเอกสารอยู่
เขาเปิดซองน้ำตาลออก สอดมือไปหยิบเอกสารข้างใน
เพียงแต่ เอกสารข้างในเพิ่งโผล่แค่มุม สีหน้าเฉินชิงเฟิงก็ขุ่นมัวทันที
มือของเขาแข็งทื่ออยู่กับที่ พูดด้วยสีหน้าคล้ำว่า “ออกไปให้หมด!”
คนรับใช้เดาไม่ออกว่าทำไมเฉินชิงเฟิงถึงเปลี่ยนท่าทีรวดเร็วเช่นนี้ แต่ไม่กล้าถามมาก ทุกคนต่างรีบร้อนเดินออกไป
ขณะที่พวกคนรับใช้ทุกคนกำลังออกไป เฉินชิงเฟิงก็พูดอีกครั้งว่า “เดี๋ยวก่อน”
“คุณท่าน ยังมีเรื่องอะไรอีกเหรอ” คนรับใช้ที่เดินรั้งท้ายหันหน้ากลับมา
เฉินชิงเฟิงน้ำเสียงขุ่น “ไปเรียกคุณผู้หญิงมา”
คนรับใช้รู้ว่าคุณผู้หญิงที่เขาพูดถึงก็คือเฉินเหลียน
ไม่นานเฉินเหลียนก็มา
“พี่คะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ” เฉินเหลียนรู้ว่าปกติถ้าเฉินชิงเฟิงไม่มีเรื่องอะไรจะไม่เรียกเธอมา ครั้งนี้รีบร้อนเรียกเธอมา แน่นอนว่าต้องมีเรื่องด่วน
เฉินชิงเฟิงยื่นซองน้ำตาลให้เธอด้วยสีหน้าหนัก “ดูนี่”
เฉินเหลียนประหลาดใจเล็กน้อย รับซองกระดาษแล้วดึงเอาเอกสารข้างในออกมา แค่ดูแวบแรก เธอก็มีสีหน้าตกใจมาก “นี่คือ……”
เฉินชิงเฟิงแววตาเข้มขึ้น “เป็นถิงเซียว เขารู้แล้ว”
เฉินเหลียนตัวสั่นไปหมด น้ำเสียงแปร่งพูดออกมาว่า “นี่ นี่ๆๆ เป็นไปได้ยังไง! เขา……เขารู้ได้ยังไง จะเป็นคนอื่นหรือเปล่า”
“คนที่รู้ว่าเฉิงหยู้เป็นลูกนอกสมรสของผม นอกจากเขายังมีใครอีก เขากำลังยั่วโมโหผม!” เฉินชิงเฟิงหัวเราะเยาะ ในแววตาเต็มไปด้วยประกายโหดเหี้ยม “ต่อให้เขารู้แล้วยังไง ผมมีเล่ห์กลสุดท้ายอยู่ในมือ เขาจะทำอะไรผมได้”
“พี่คะ……ถิงเซียวเขา……เขาฉลาดมาก พวกเรา……” เฉินเหลียนตัวสั่นราวกับล่อนแกลบ “ไม่นะ……”
เฉินชิงเฟิงสงบกว่าเธอ เขายื่นมือไปจับไหล่ของเธอ “ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกสาวเขาอยู่ในมือผม ตราบใดที่เขายังต้องการลูกสาว ก็ไม่สามารถทำอะไรกับเราได้ โดยธรรมชาติแล้วจะไม่กล้าพูดเรื่องนี้ออกไปแน่”
“ทำไมลูกสาวของถิงเซียวถึงอยู่ในมือคุณได้” หลังปีใหม่เฉินเหลียนกลับไปประเทศM จึงไม่รู้ว่าต่อมาเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
มู่น่อนน่อนเช็ดน้ำฝนที่อาบทั่วใบหน้า ถือดอกไม้ไปหน้าหลุมศพแล้วคุกเข่าลง และวางช่อดอกไม้ไว้หน้าหลุมศพ
เธอมองที่หลุมศพสักพัก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณแม่คะ ฉันคือน่อนน่อน อยู่กับเฉินถิงเซียวมานานแล้ว ต้องขอโทษเป็นอย่างมากที่เพิ่งมาเยี่ยมคุณในวันนี้นะคะ”
เธอพูดจบก็คำนับศีรษะหน้าหลุมศพสามครั้ง
เฉินถิงเซียวลดสายตาลงมองเธอที่กำลังคำนับศีรษะสามครั้ง แล้วถอดเสื้อโค้ตคลุมศีรษะเธอ ดึงเธอขึ้น ถามเธอสีหน้านิ่ง “มาหาเจอได้ยังไง”
มู่น่อนน่อนชี้ไปยังกู้จือหยั่นที่เพิ่งวิ่งหอบแฮ่กมาถึงในเวลานี้ “เขาพาฉันมา”
เฉินถิงเซียวดึงเสื้อโค้ตที่คลุมศีรษะมู่น่อนน่อนมาด้านหน้า ให้แน่ใจว่าเสื้อโค้ตสามารถบดบังสายฝนให้เธอลืมตาได้ ก่อนจะยื่นมือไปเช็ดน้ำฝนบนใบหน้าให้เธอ
“น่อนน่อน ผมสงสัยจริงๆ ว่าคุณเคยเป็นนักกีฬามาก่อน ทำไมวิ่งเร็วแบบนี้” กู้จือหยั่นมือหนึ่งถือร่ม มือหนึ่งเท้าหลังเอว
เขาเดินเข้ามา ยื่นร่มให้เฉินถิงเซียว จากนั้นจึงเดินไปคำนับหน้าหลุมศพ ก่อนจะหันมาถามว่า “คุณมาเยี่ยมคุณป้าก็บอกน่อนน่อนหน่อยไม่ได้เหรอ ทำให้เธอต้องตามหาคุณไปทุกที่”
เมื่อเฉินถิงเซียวได้ยิน ก็ก้มหน้ามองมู่น่อนน่อน
เขาถือร่มไว้เหนือศีรษะมู่น่อนน่อน ยื่นมือไปดึงเสื้อที่คลุมศีรษะลงมาสวมบนร่างกายเธอ แล้วจัดเสื้อโค้ตให้แนบชิดตัวเธอ
เสื้อเชิ้ตสีขาวที่มู่น่อนน่อนใส่ หลังจากเปียกฝน มันจึงดูดซับมาก
กู้จือหยั่นเห็นดังนั้นจึงรีบพูดว่า “พวกคุณมีเรื่องอะไรก็คุยกันไปก่อน ผมจะลงเขาไปก่อนแล้วกัน”
กู้จือหยั่นตากฝนจากไป เหลือเพียงเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเพิ่งมีโอกาสได้เงยหน้าขึ้นไปสำรวจเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวดูไม่แตกต่างจากปกติ นอกจากเปียกฝนจนดูสภาพย่ำแย่ไป ไม่มีตรงไหนที่ผิดปกติ
มู่น่อนน่อนคิดครู่หนึ่ง ในปีนั้นตอนที่เกิดอุบัติเหตุ เป็นฤดูหนาว ไม่ใช่ฤดูร้อน ดังนั้นวันนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นวันครบรอบวันตายของแม่ของเฉินถิงเซียว
มันต้องมีเรื่องอื่นที่กระทบจิตใจเฉินถิงเซียว
เขาถึงได้ดั้นด้นมาถึงที่นี่คนเดียว
ผ่านไปนาน กระทั่งน้ำเสียงแหบแห้งของเฉินถิงเซียวดังขึ้น “เดิมทีวางแผนไว้ว่าตอนที่ไปรับคุณกับเฉินมู่กลับมาจากซิดนีย์ จะมาเยี่ยมคุณแม่ผมด้วยกัน แต่เฉินมู่หายไป ผมกลัวว่าท่านรู้เข้าแล้วจะเสียใจ”
น้ำเสียงของเขากดต่ำ สายตามองต่ำ กลิ่นอายแห่งความหม่นหมองและอดกลั้นแผ่ออกมา
มู่น่อนน่อนไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง จึงเข้าไปกอดเขาเอาไว้
มือของเฉินถิงเซียวจับไหล่ของเธอเบาๆ แล้วผลักเธอออกอย่างรวดเร็ว พาเธอไปหน้าหลุมศพ พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบว่า “คุณแม่ครับ นี่คือ ภรรยาของผม มู่น่อนน่อน เรายังมีลูกสาวหนึ่งคนด้วยชื่อเฉินมู่ จะพาเธอมาเยี่ยมคุณในภายหลังนะครับ”
ทั้งทั้งที่เป็นประโยคเรียบง่ายแต่กลับสะเทือนใจมาก มู่น่อนน่อนได้ยินแล้วอยากร้องไห้
เธอหันหน้าไปอีกทาง เช็ดน้ำตาเงียบๆ
เมื่อเฉินถิงเซียวพูดจบ จึงกอดไหล่มู่น่อนน่อน “ไปเถอะ”
……
หลังจากลงมาจากภูเขา มู่น่อนน่อนโทรหาสือเย่ บอกว่าหาเฉินถิงเซียวพบแล้ว ให้เขาวางใจ
หลังจากมู่น่อนน่อนวางสาย เดิมทีเธออยากโน้มน้าวเฉินถิงเซียว ว่าคราวหน้าจะไปไหนต้องบอกสือเย่เอาไว้
ทว่า เห็นเฉินถิงเซียวหลับตาท่าทางเหนื่อยล้ามาก จึงกลืนคำพูดที่มาถึงริมฝีปากกลับลงไป
เขายังนึกได้ว่าต้องส่งข้อความกลับหาเธอ นั่นก็นับว่าไม่เลว
พวกเขากลับมาถึงในเมืองแล้วจึงแยกกับกู้จือหยั่น และตรงไปยังคอนโดของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเข้าห้องน้ำไปเตรียมน้ำร้อนโดยไม่พูดอะไร มู่น่อนน่อนยืนอยู่ตรงประตูห้องน้ำมองดูเขา
เฉินถิงเซียวเหมือนจะรู้สึกได้ จึงหันหน้าไปมองเธอและส่งเสียงออกมาว่า “เข้ามา”
หลังจากมู่น่อนน่อนเข้าไป เขาก็ถอดเสื้อผ้าบนตัวเธอ
“ฉันทำเอง……” มู่น่อนน่อนรีบยกมือกอดตัวเองอย่างรวดเร็ว
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว น้ำเสียงจริงจัง “คุณถอดเอง ไม่สู้ให้ผมถอดให้คุณเร็วกว่า”
มู่น่อนน่อนสำลักกับคำพูดของเขา
เฉินถิงเซียวฉวยโอกาสนี้ถอดเสื้อผ้าให้เธออย่างรวดเร็ว แล้วโยนเธอลงในอ่าง
มู่น่อนน่อนแอบคิด มันเร็วกว่าที่เธอถอดเองอย่างที่ว่าเลย
ตัวเฉินถิงเซียวเปลี่ยนเป็นชุดคลุมแล้วออกไป
มู่น่อนน่อนอาบน้ำเสร็จอย่างรวดเร็ว เมื่อใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปข้างนอก ก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวในครัว
ตอนที่เธอเข้าไปในครัว เห็นเฉินถิงเซียวกำลังมองโทรศัพท์มือถือ พร้อมกับใส่บางอย่างลงไปในซุป
“คุณกำลังทำอาหารอะไรอยู่เหรอ” มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปอย่างอยากรู้อยากเห็น
เฉินถิงเซียวไม่ได้หันหน้ากลับมา สายตาเอาจริงเอาจังอยู่กับโทรศัพท์มือถือ “ซุปขิง”
มู่น่อนน่อนเหลือบมองโทรศัพท์มือถือ พบว่าเขากำลังค้นหาวิธีทำซุปขิงบนอินเทอร์เน็ต
“คุณรีบไปอาบน้ำร้อนเถอะ ฉันทำเอง” เธอไม่เชื่อว่าเฉินถิงเซียวจะทำอาหารได้สำเร็จ
เฉินถิงเซียวคว้าคอเสื้อของเธอแล้วดึงให้ถอยหลัง พูดน้ำเสียงบางเบา “ผมเอง”
มู่น่อนน่อน “………”
เฉินถิงเซียวยืนกรานแบบนี้ มู่น่อนน่อนก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่อยู่ข้างๆ ดูเขาทำอาหาร
อาจเพราะความจริงเขาเป็นคนฉลาด ต่อให้เป็นผู้ชายที่ไม่เคยทำอาหารมาก่อน ทำซุปขิงตามวิธีทางอินเทอร์เน็ตออกมารสชาติก็ยังปกติมาก
มู่น่อนน่อนดื่มอึกหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น เห็นเฉินถิงเซียวกำลังจับจ้องมองเธอ และถามออกมาหนึ่งคำประโยค “รู้สึกยังไงบ้าง”
“ไม่เลว” มู่น่อนน่อนพยักหน้า แล้วดื่มอีกอึกหนึ่ง
เฉินถิงเซียวลูบศีรษะของเธอ “ดื่มเยอะๆ ผมไปอาบน้ำแล้ว”
มองดูเฉินถิงเซียวเข้าห้องน้ำไปแล้ว มู่น่อนน่อนจึงแลบลิ้นออกมา แล้วใช้มือพัดไม่หยุด
ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นความตั้งใจของเฉินถิงเซียว ในที่สุดมู่น่อนน่อนก็ดื่มไปหนึ่งชามใหญ่
หลังจากดื่มไปหนึ่งชามใหญ่ ชีวิตนี้มู่น่อนน่อนไม่อยากดื่มซุปขิงอีกเลย
เฉินถิงเซียวอาบน้ำเสร็จออกมา ก็เห็นมู่น่อนน่อนถือเครื่องเป่าผมเฝ้าหน้าประตูห้องน้ำแล้ว
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว “ทำอะไร”
“ช่วยเป่าผมให้คุณ” มู่น่อนน่อนยกเครื่องเป่าผมในมือ พร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน
เฉินถิงเซียวปฏิเสธอย่างเย็นชา “ไม่ต้อง คุณไปพักผ่อนเถอะ”
“อ้าว?” มู่น่อนน่อนชะงักไป เธอแค่เปียกฝนเท่านั้น ไม่ใช่ไม่เคยเปียก ไหนเลยจะอ่อนแอขนาดนั้น
มู่น่อนน่อนดึงเขาตรงไปห้องนั่งเล่น กดเขาลงบนโซฟา “ฉันจะเป่าผมให้คุณ ไม่เป่าผมเดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ปฏิเสธอีก
มู่น่อนน่อนใช้มือลองลม ก่อนจะเริ่มเป่าผมให้เขา
รู้สึกว่าเฉินถิงเซียวผ่อนคลายลงทั้งกายใจแล้ว เธอจึงส่งเสียงถามเขาว่า “ทำไมวันนี้คุณถึงไปสุสานล่ะ”
เฉินถิงเซียวพูดเนือยๆ มาหนึ่งประโยคว่า “ไปเยี่ยมคุณแม่ผม ต้องดูฤกษ์ด้วยเหรอ”
มู่น่อนน่อนสำลัก พูดว่า “ไม่ใช่……”
เฉินถิงเซียวปากแข็งยิ่งกว่าอะไร เรื่องที่เขาไม่อยากพูด ใครก็อย่าคิดจะง้างปากของเขาเลย
เธอยังคิดว่าการใช้ความอ่อนโยนเข้าช่วย จะสามารถทำลายกำแพงในจิตใจของเขาได้
อ้อ เธอเกือบลืมไปเลย เดิมทีเฉินถิงเซียวก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วๆ ไปอยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนนึกไปถึงท่าทีของเขาตอนที่ยืนอยู่คนเดียวตรงหน้าสุสาน พลันสะเทือนใจเล็กน้อย เธอถอนหายใจและพูดว่า “ฉันแค่เป็นห่วงคุณ สือเย่บอกว่าวันนี้คุณสูบบุหรี่หมดกล่องในเวลาเพียงไม่นาน”
มู่น่อนน่อนสามารถคิดถึงเรื่องเหล่านี้ได้ แล้วทำไมเขาจะคิดไม่ได้ล่ะ
แม้เขาจะเตรียมใจเป็นอย่างดีกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว แต่เมื่อเขาลอกเอาสิ่งบดบังที่อยู่ภายนอกออกทีละน้อย เมื่อความลับที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับความจริงปรากฏขึ้น เขายังคงรู้สึกว่ามันค่อนข้างไม่น่าเชื่อ
เพราะท้ายที่สุดแล้วล้วนเป็นญาติซึ่งเลือดข้นกว่าน้ำ
เฉินเหลียนดีต่อเขามาโดยตลอด ซือเฉิงหยู้เคยเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดของเขา เฉินชิงเฟิงก็เป็นพ่อที่ทิ้งความทรงจำที่มีความสุขในวัยเด็กของเขา
เขาเย็นชาแต่ไม่เลือดเย็น เมื่อทุกสิ่งชี้ไปยังความจริงที่เป็นไปได้ เขาจึงเกิดความลังเลไปชั่วขณะ
เขาไม่ได้มั่นใจในทันที และกำลังรอ บางทีเรื่องราวอาจเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางอื่น
แต่ว่า แม้แต่มู่น่อนน่อนยังคิดอะไรที่ลึกซึ้งขนาดนั้นได้ แล้วเรื่องนี้ยังจะสามารถเปลี่ยนทิศทางได้อีกเหรอ
หลายปีมานี้ มีคนมากพอที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
มันควรต้องได้รับการแก้ไขเสียที
……
หลังจากสือเย่พบเฉินถิงเซียวแล้วออกไปเมื่อเช้า ก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
เขาลองโทรหาเฉินถิงเซียว ปรากฏว่าเฉินถิงเซียวไม่รับ
เขารู้ว่าเฉินถิงเซียวไม่มีเหตุผลในเรื่องที่เกี่ยวกับมู่น่อนน่อน เมื่อเช้ายังสูบบุหรี่ไปตั้งมาก ทั้งคู่ต้องทะเลาะกันรุนแรงมากแน่นอน
ยิ่งคิดยิ่งกังวล เขาจึงจำต้องโทรหามู่น่อนน่อน
เมื่อมู่น่อนน่อนเห็นสายขึ้นแสดงว่าเป็นสือเย่ จึงค่อนข้างแปลกใจ “สือเย่? มีเรื่องอะไรเหรอ”
“คุณหญิงน้อย คุณผู้ชายมาหาคุณหรือเปล่าครับ”
สือเย่ติดนิสัยเรียกมู่น่อนน่อนว่า “คุณหญิงน้อย” มู่น่อนน่อนแก้ให้เขาหลายครั้งแล้ว เขาก็ยังคงเรียกแบบนี้ มู่น่อนน่อนจึงปล่อยเลยตามเลย
“เขาควรอยู่บริษัทไม่ใช่เหรอ ทำไมจะมาหาฉันล่ะ” มู่น่อนน่อนกำลังตรวจสอบข้อมูลหน้าคอมพิวเตอร์ ได้ยินเขาพูดอย่างนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เขาไม่ได้อยู่บริษัทเหรอ”
สือเย่ได้ยินเธอพูดแบบนี้ก็ยิ่งกังวล
“เอ่อคือ……” สือเย่อยากถามว่าพวกเขาทะเลาะกันใช่หรือไม่ แต่ก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างยากที่จะพูด
“คุณมีอะไรจะพูดก็พูดมาตรงๆ เถอะ” มู่น่อนน่อนผลักคอมพิวเตอร์ตรงหน้าออกเล็กน้อย แล้วคุยโทรศัพท์กับสือเย่อย่างจริงจัง
สือเย่กัดฟันก่อนจะถามว่า “คุณ……ทะเลาะกับคุณผู้ชายหรือเปล่าครับ”
การเป็นผู้ช่วยในแบบเขา เกรงว่าจะมีไม่เยอะ
นอกจากต้องคอยใส่ใจเฉินถิงเซียวเกี่ยวกับที่ที่กำลังอยู่ กำหนดการ และชีวิต ยังต้องใส่ใจด้านอารมณ์ความรู้สึกด้วย……
มู่น่อนน่อนปฏิเสธทันที “ใครจะไปกล้าทะเลาะกับเขา! ไม่ได้มีเรื่องอะไรค่ะ”
ไหนเลยเธอจะกล้าทะเลาะกับเฉินถิงเซียว ส่วนใหญ่เวลาที่เธอหาเรื่องเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวแค่เหลือบมองก็หยุดเธอได้แล้ว
ทะเลาะกันน่ะเหรอ ไม่มีทาง
“ไม่งั้นเหรอครับ” คราวนี้สือเย่เริ่มประหลาดใจ “เมื่อเช้า คุณผู้ชายสูบบุหรี่ในห้องทำงานหมดทั้งกล่องเลยนะครับ”
ที่แท้ที่เฉินถิงเซียวสูบบุหรี่หนัก ไม่ใช่เป็นเพราะทะเลาะกับมู่น่อนน่อน
ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ มู่น่อนน่อนก็นั่งไม่ติดทันที จนต้องลุกจากเก้าอี้ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เธอคุยโทรศัพท์ไปพลางหยิบกระเป๋าตัวเอง เดินไปถึงประตูและเปลี่ยนรองเท้า ก่อนจะตรงออกไปข้างนอก
น้ำเสียงของสือเย่เคร่งขรึม “ผมก็ไม่ทราบครับ คุณผู้ชายออกไปเมื่อเช้า ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลยครับ”
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่มีวินัยในตนเองสูง ทำอะไรก็ล้วนแล้วแต่เอาจริงเอาจังและมุ่งมัน ไม่เคยเลิกงานครึ่งวันแล้วหายออกไปกะทันหัน
แน่นอนว่า ถ้าหากออกไปเพราะมู่น่อนน่อน อันนี้ไม่นับรวม
“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะออกไปตามหาเขา”
มู่น่อนน่อนวางสาย ลงไปชั้นล่างแล้วขับรถออกไป
ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเฉินถิงเซียวแน่ ถึงได้สูบบุหรี่ทั้งกล่องจนหมด
ตอนเช้าที่ออกไปยังดีๆ อยู่เลย ทำไมไปบริษัทแล้วเป็นแบบนี้
มู่น่อนน่อนขับรถไปพลางโทรหาเฉินถิงเซียวไปพลาง
เฉินถิงเซียวไม่รับสาย แต่ส่งข้อความกลับมาหาเธอ มีแค่สามคำธรรมดาๆ “มีอะไร”
มู่น่อนน่อนถามว่าเขาอยู่ที่ไหน เขาก็ไม่ตอบ
มู่น่อนน่อนไปที่คอนโดของเฉินถิงเซียวก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงไปโรงแรมจีนติ่ง……
เธอไปตามหาทุกที่ที่เธอสามารถหาได้ จนสุดท้ายจึงโทรไปหากู้จือหยั่น
“น่อนน่อน มีอะไรเหรอ” กู้จือหยั่นรู้ในภายหลังว่าผู้ชายที่จูบมู่น่อนน่อนในรถคือเฉินถิงเซียว สำหรับประเด็นที่เข้าใจมู่น่อนน่อนผิด เขายังคงแอบเสียใจเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อรับสายของมู่น่อนน่อน น้ำเสียงจึงกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
มู่น่อนน่อนถามตรงๆ “คุณได้เจอเฉินถิงเซียวไหม”
แม้เฉินถิงเซียวจะตอบข้อความเธอกลับ แต่ล่าสุดไม่รับสายของเธอเลย มู่น่อนน่อนจึงรู้สึกไม่สบายใจ
จากคำบอกเล่าของสือเย่ เห็นได้ชัดว่าเป็นไปได้ ที่เฉินถิงเซียวกำลังอารมณ์ไม่ดี
“ไม่มีนะ! ตอนนี้ผมเจอคุณชายเฉิน ก็เหมือนพลเรือนเจอจักรพรรดิ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาลงพื้นที่มาสืบราชการลับ ไหนเลยผมจะสามารถเจอเขาได้ล่ะ!”
พูดถึงเรื่องนี้ กู้จือหยั่นก็รู้สึกโกรธ
มู่น่อนน่อนถอนหายใจ “ฉันรู้แล้ว”
เห็นมู่น่อนน่อนกำลังจะวางสาย กู้จือหยั่นจึงรีบถามว่า “มีอะไรเหรอ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา”
“ไม่รู้ ก็คือไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ที่ที่ควรหาก็หาหมดแล้ว ยังหาเขาไม่เจอเลย” น้ำเสียงมู่น่อนน่อนค่อนข้างอ่อนแรง
เธอคิดว่าตัวเองรู้จักเฉินถิงเซียวดีแล้ว แต่ในเวลาแบบนี้ถึงได้พบว่า อันที่จริงเธอไม่ได้รู้จักเขาดีพอ
“อืม…….” กู้จือหยั่นไตร่ตรองสักพัก ก่อนจะพูดว่า “ยังมีอีกที่ คุณต้องไม่เคยไปหาแน่!”
มู่น่อนน่อนถามทันที “ที่ไหน”
กู้จือหยั่น “สุสาน!”
……
หลังจากที่มู่น่อนน่อนกับกู้จือหยั่นนัดพบกันตรงประตูเสิ้งติ่ง ก็ไปยังสุสานของแม่เฉินถิงเซียวด้วยกัน
ตลอดมาเฉินถิงเซียวยังไม่เคยพาเธอไปที่นั่นเลย
ระหว่างทางมู่น่อนน่อนเห็นร้านดอกไม้ จึงซื้อดอกไม้หนึ่งช่อ
กู้จือหยั่นที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ เมื่อเห็นเธอซื้อจึงพูดว่า “ตั้งใจดีจัง”
สองคนไปสุสานด้วยกัน กู้จือหยั่นไม่ได้ขับรถ
มู่น่อนน่อนกระตุกยิ้มบาง
เมื่อทั้งคู่ถึงสุกสาน จู่ๆ ฝนก็เริ่มตก
ยังดีที่มู่น่อนน่อนมีร่มสำรองอยู่ในรถ
กู้จือหยั่นจะพาเธอขึ้นไป ทั้งคู่จึงถือร่มคันเดียวขึ้นไปด้วยกัน
ช่วงเวลานี้ ภายในสุสานเงียบมาก ตลอดทางไม่เห็นคนมาไหว้สักการะ
สุสานถูกสร้างขึ้นบนเนินเขา หลังจากมู่น่อนน่อนขึ้นไป จึงได้เห็นร่างสูงโปร่งยืนตระหง่านในระยะไกล
“นั่นเฉินถิงเซียว!” มู่น่อนน่อนพูดอย่างนั้นแล้วจึงวิ่งไปหาเขา
กู้จือหยั่นวิ่งถือร่มตามหลัง “ฝนตกอยู่นะ คุณวิ่งทำไม! อยู่ตรงหน้าแล้ว แค่เดินไปก็ได้!”
มู่น่อนน่อนไม่ฟังเขาเลย เขาได้แต่ถือร่มวิ่งตามมู่น่อนน่อนไป
ปรากฏว่า เขาพบว่าตัวเองตามมู่น่อนน่อนไม่ทัน……
“เฉินถิงเซียว” มู่น่อนน่อนวิ่งไปพร้อมกับดอกไม้ในอ้อมแขน
ฝนตกหนักมาก เสื้อผ้าบนตัวเฉินถิงเซียวชุ่มน้ำไปหมด ผมสีดำเปียกโชก เส้นผมขมวดหยิก ดูค่อนข้างยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันตรงไหน
เห็นเฉินถิงเซียวยืนอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัย มู่น่อนน่อนก็ไม่มีเวลามามัวพูดอะไร เธอหันไปมองยังหลุมศพ
ฝนตกหนักมากเสียจนดวงตาของเธอแทบลืมไม่ขึ้น
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปาก พูดต่อว่า “ฉันถึงขั้นคิดว่า ที่พวกเขาแอบสับเปลี่ยนเฉินมู่ไป มันต้องเกี่ยวกับที่พวกเขาพยายามปกปิด!”
ครั้งนี้ คำตอบของเธอคือความเงียบจากปลายสายไปเป็นระยะเวลานาน
ผ่านไปสักพักหนึ่งมู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ยินเสียงเฉินถึงเซียว จึงพูดขึ้นว่า “เฉินถิงเซียว คุณเป็นอะไร”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเข้มขึ้น “ผมรู้แล้ว จำที่ผมบอกเมื่อคืนได้ไหม เรื่องนี้คุณไม่ต้องยุ่งอีก”
เขาพูดจบก็วางสายไปทันที
มู่น่อนน่อนมองหน้าจอมือถือที่ย้อนกลับมาที่หน้ารายชื่อผู้ติดต่อ เกิดอาการค่อนข้างฟุ้งซ่าน
ทำไมเฉินถิงเซียววางสายไปแบบนี้
เมื่อก่อนเขาจะให้เธอวางสายก่อน
………..
เฉินถิงเซียววางสายของมู่น่อนน่อนไปแล้ว กำมือถือในมือแน่น จนนิ้วขึ้นข้อขาว
สือเย่เข้ามาพร้อมกับหอบเอกสารมาด้วยปึกหนึ่ง เห็นเฉินถิงเซียวยืนอยู่ตรงหน้าต่างกระจกบานยาวโดยสัมผัสได้ถึงความเย็นชา
เขาวางเอกสารลงบนโต๊ะทำงานของเฉินถิงเซียว ก่อนจะเรียกเขา “คุณผู้ชาย”
“มีบุหรี่ไหม”
เฉินถิงเซียวไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่เขากลับถามสือเย่ เพราะถึงอย่างไรในห้องทำงานนี้ก็มีเพียงเขากับสือเย่แค่สองคน
ตัวสือเย่ไม่ได้สูบบุหรี่มากนัก แต่พกบุหรี่ตลอดเวลา
เขาหยิบเอากล่องบุหรี่ออกมา ดึงหนึ่งมวนให้เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวไม่ได้รับบุหรี่ที่เขาส่งมา แต่เอาทั้งกล่องไป ส่วนมืออีกข้างก็จุดไฟแช็กไปด้วย
เฉินถิงเซียวลดสายตาลง ดึงบุหรี่ขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปาก และพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “ออกไป”
สือเย่ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเตือนเฉินถิงเซียวว่า “อีกสิบนาทีจะมีการประชุมนะครับ……”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร แต่สือเย่รู้ว่าเขาได้ยิน
หน้าที่ของเขาก็คือทำในส่วนของตัวเองให้ดี ส่วนอื่นๆ เขาควบคุมไม่ได้
หลังจากสือเย่ออกไป เฉินถิงเซียวยืนอยู่ตรงหน้าต่างกระจกบานยาวพร้อมกับสูบบุหรี่ มวนต่อมวน
สิบนาทีต่อมา สือเย่ก็มาเตือนเฉินถิงเซียวอีกครั้งว่าจะเริ่มประชุมแล้ว
ทันทีที่เข้าประตู เขาก็ไอเพราะควันบุหรี่ที่คลุ้งไปทั่วห้อง
เฉินถิงเซียวยังยืนอยู่ตรงหน้าต่าง สือเย่เดินเข้าไปพูดด้วยความเคารพว่า “คุณผู้ชาย การประชุมจะเริ่มแล้วครับ”
สือเย่หลือบไปเห็นก้นบุหรี่ตกลงทั่วพื้นตรงหน้าเฉินถิงเซียว กล่องบุหรี่ว่างเปล่าก็อยู่บนพื้นด้วย
เฉินถิงเซียวไม่ได้ติดบุหรี่ ทำไมจู่ๆ ถึงสูบหนักแบบนี้
หรือว่าเขาทะเลาะกับคุณหญิงน้อยอีกแล้ว
ครั้งนี้คงกระทบกระทั่งกันรุนแรง ถึงได้สูบบุหรี่หนักขนาดนี้
ขณะที่สือเย่กำลังคิดไปทั่ว เฉินถิงเซียวก็หันหลังและย่างสามขุมออกไปแล้ว
สือเย่รีบนำข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการประชุมตามหลังเฉินถิงเซียวไป
ผู้บริหารระดับสูงทั้งหมดมาถึงแล้ว
“ท่านประธาน นี่เป็นแผนงานที่ปรับปรุงล่าสุดของเรา คุณลองดู……”
เฉินถิงเซียวยื่นมือไปรับมา เมื่อกวาดตามองดูเสร็จแล้วจึงเอนหลังพิง โดยไม่พูดอะไรสักคำ ดวงตาดำเข็มลึกล้ำ ไม่มีใครมองออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ผู้บริหารระดับสูงที่ส่งแผนงานคิดว่าเฉินถิงเซียวไม่พอใจ จึงหน้าซีดทันที ส่วนที่เหลือก็มองหน้ากันไม่กล้าส่งเสียง
สือเย่เหล่ตาเหลือบมองเฉินถิงเซียว เขารู้ว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้หงุดหงิดเพราะเขาไม่พอใจกับแผนงานใหม่ แต่กำลังคิดเรื่องต่างๆ อยู่
ในห้องประชุมเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าพูด
ผ่านไปนาน กระทั่งเฉินถิงเซียวเลื่อนสายตาขึ้น “พวกคุณไม่มีอะไรจะพูดเหรอ งั้นเลิกประชุม”
เขาพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องประชุมไป
ทันทีที่เฉินถิงเซียวไป คนที่เหลือในห้องประชุมก็เริ่มซุบซิบกัน
สือเย่กำลังจะตามไป ก็ถูกผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งเรียกไว้ “ผู้ช่วยสือ ท่านประธานมีท่าทีแบบนี้ คือพอใจกับแผนงานใหม่นี้ หรือว่าไม่พอใจเหรอ”
สือเย่ยิ้มเล็กน้อย เขาไหนเลยจะรู้
สื่อเย่มีความสามารถในการจัดการเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เขาจึงเสนอว่า “ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ ถ้าอย่างนั้นให้ผมช่วยเอาไปให้ท่านประธานดูอีกครั้งเอาไหมครับ”
เช่นนั้นผู้บริหารระดับสูงถึงได้ยิ้มออก “งั้นก็คงต้องรบกวนผู้ช่วยสือแล้ว”
“เป็นงานในส่วนของผมอยู่แล้ว” สือเย่ออกไปพร้อมกับเอกสาร
ตอนที่เขาถึงห้องทำงาน เห็นเฉินถิงเซียวอยู่ด้านหลังห้องทำงาน ถือโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าเคร่งขรึมไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร
สือเย่เดาว่าเฉินถิงเซียวมีเรื่องในใจ ดังนั้นเขาจึงวางเอกสารไว้แล้วออกไป
ตอนที่ออกไป สือเย่ยังพึมพำในใจว่า ครั้งนี้คุณผู้ชายกับคุณหญิงน้อยเหมือนว่าจะทะเลาะกันรุนแรงมาก
เฉินถิงเซียวมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ที่จริงไม่ได้ทำอะไร แค่จิตใจไม่สงบเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จู่ๆ เฉินถิงเซียวก็ลุกขึ้นพรวด หยิบเสื้อโค้ตแล้วเดินออกไป
สือเย่เพิ่งชงกาแฟเสร็จและกำลังเอามาให้ที่ห้องประธาน เห็นเฉินถิงเซียวเดินออกมาข้างนอก จึงรีบส่งเสียง “คุณผู้ชายจะไปไหนครับ”
“ไม่ต้องตามฉันมา” เฉินถิงเซียวพูดโดยไม่หันกลับมามอง
…………
เขาขับรถตรงกลับไปที่บ้านเก่า
เช้าวันธรรมดาไม่มีใครอยู่บ้าน
“คุณผู้ชายกลับมาแล้วเหรอครับ”
“คุณผู้ชายสวัสดีค่ะ”
คนรับใช้เอ่ยทักทายเขาตลอดทาง
เขาเดินตรงไปยังห้องของเฉินเหลียน เมื่อถึงประตูก็ยกมือขึ้นเปิดเข้าไป
เฉินเหลียนได้ยินเสียง เมื่อหันมาจึงเห็นว่าเป็นเฉินถิงเซียว ดวงตาเกิดแววประหลาดใจ “ถิงเซียว เธอมาได้ยังไง”
“มีธุระกับคุณ” เฉินถิงเซียวยืนหน้าประตูไม่ได้เข้าไป สีหน้าเหี้ยมเกรียม
เฉินเหลียนดูจะค่อนข้างกลัวเขา สีหน้าเริ่มแข็งเกร็ง “มีธุระก็เข้ามาพูดสิ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้เข้าไป เขายืนอยู่หน้าประตู สีหน้าเย็นชาจนน่ากลัว “ใครคือแม่แท้ๆ ของซือเฉิงหยู้”
สีหน้าของเฉินเหลียนไม่ได้เปลี่ยนแปลง ส่ายหน้าและพูดว่า “ฉันไม่แน่ใจ”
“ไม่แน่ใจจริงเหรอ” เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปข้างใน สายตาล็อกอยู่ที่ตัวเธอ ทำให้เฉินเหลียนรู้สึกถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงอย่างที่สุด
จิตใต้สำนึกสั่งให้เฉินเหลียนถอยหลังไปสองก้าว แต่น้ำเสียงยังนับว่านิ่งอยู่ “ฉันไม่รู้จริงๆ”
เฉินถิงเซียวมองเธอไม่กี่วินาที ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก แล้วยื่นมือไปจับไล่ของเฉินเหลียน พร้อมกับเปลี่ยนเป็นเสียงนุ่ม “ทำไมคุณป้ากลัวผมขนาดนี้ ผมแค่สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เลยลองถามดูเท่านั้นเอง ยังไงซะผมกับซือเฉิงหยู้ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกันมาเกือบสามสิบปี……”
เฉินเหลียนดูจะตกใจกับการเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วของเฉินถิงเซียว เธอชะงักไปก่อนจะพูดไป “ฉันรู้ เรื่องนี้เธอกับเฉิงหยู้คงจะยอมรับไม่ได้ง่ายๆ……”
“ไม่ยอมรับแล้วยังไง สุดท้ายก็ครอบครัวเดียวกัน” ซือเฉิงหยู้ชักมือกลับ เอามือล้วงกระเป๋ากางเกง น้ำเสียงกลับสู่ความเฉยเมยตามปกติอีกครั้ง “ถ้าคุณป้าว่างก็ไปเดินเล่นที่บริษัทเฉินซื่อได้ ไม่ได้ไปมาหลายปีแล้วนี่”
ดวงตาเฉินเหลียนเกิดแววประหลาดใจ “ได้”
“ผมยังมีธุระ ขอตัวก่อน” เฉินถิงเซียวพูดอย่างนั้นแล้วหันหลังเดินออกไป
เฉินเหลียนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉันจะไปส่งเธอ”
เฉินเหลียนเดินมาส่งเขาออกจากบ้านเก่า เมื่อกลับถึงรถ เฉินถิงเซียวก็แบมือออก ข้างในเป็นเส้นผมยาวของผู้หญิง
มันคือตอนที่เขาจับไหล่ของเฉินเหลียนก่อนหน้านี้ แล้วหยิบเส้นผมออกมาจากเสื้อของเธอ
เฉินถิงเซียวเอาแก้วน้ำในมือยัดใส่มือของมู่น่อนน่อน “พวกเขาไม่จำเป็นต้องมั่นใจว่าคุณได้ยินความลับของพวกเขาจริงหรือไม่ ตราบใดที่รู้สึกว่ามีคนคุกคามพวกเขา พวกเขาก็จะทำทุกทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย”
มือของมู่น่อนน่อนเย็นมาก
เฉินถิงเซียวเอามือของเธอมากุมไว้ “กลัวเหรอ”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่จู่ๆ ก็ถามด้วยเสียงที่สะอื้นเล็กน้อยว่า “จะเกิดเรื่องกับเฉินมู่หรือเปล่า”
พวกเฉินชิงเฟิงทำทุกทางเพื่อบรรลุเป้าหมายแบบนี้ มู่น่อนน่อนไม่กล้าคาดหวังให้พวกเขามีความสงสารต่อเด็ก
เฉินถิงเซียวรีบบอกเธออย่างเฉียบขาดว่า “ไม่หรอก พวกเขาต้องการให้ผมถวายชีวิตเพื่อตระกูลเฉิน จึงจะไม่มีทางลงมือกับเฉินมู่”
เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยิน สีหน้าก็ดีขึ้นเล็กน้อย ก้มหน้าลงไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
เฉินถิงเซียวเองก็ไม่พูด แค่จับมือเธอไว้เงียบๆ
ผ่านไปสักพักหนึ่ง มู่น่อนน่อนถึงได้ส่งเสียงออกมาว่า “ฉันไม่เข้าใจเลย พวกเขาต้องการซ่อนอะไรกันแน่ ถึงได้ทำเรี่องมากมายขนาดนี้!”
เฉินถิงเซียวถามเธอว่า “ยังจำเรื่องก่อนที่คุณปู่จะเกิดเรื่องได้ไหม ที่ให้คุณช่วยมาบอกแทนเขาว่าให้ผมไปหาเขาน่ะ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า “จำได้”
“ตอนนั้นคุณปู่บอกว่า ตราบใดที่หลังปีใหม่ผมไปอาศัยอยู่ที่บ้านเก่า เขาจะบอกผมทุกอย่างที่ผมอยากรู้” แววตาของเฉินถิงเซียวเปลี่ยนเป็นรุนแรงผิดปกติ “รวมถึงความจริงเกี่ยวกับคดีลักพาตัวเมื่อปีนั้นด้วย”
ตลอดมาเฉินถิงเซียวไม่เคยบอกมู่น่อนน่อนเรื่องนี้
สาเหตุหลักเป็นเพราะ เขาไม่อยากให้มู่น่อนน่อนรู้เรื่องของตระกูลเฉินมากเกินไป มันจะเป็นการทำร้ายเธอ
สมองของมู่น่อนน่อนประมวลผลอย่างรวดเร็ว
“เพราะฉะนั้น พวกคุณพ่อของคุณคือกำลังปกปิดความจริงในเรื่องตอนนั้นเหรอ พยายามฆ่าปิดปากทุกคนที่อาจจะรู้ความจริงงั้นเหรอ”
เมื่อมู่น่อนน่อนพูดถึงตรงนี้ก็นิ่งไป คิ้วสวยขมวดมุ่น “พวกเขาคิดว่าฉันแอบได้ยินที่พวกเขาคุยกัน คุณปู่ต้องการบอกความจริงกับคุณ ฉะนั้นฉันกับคุณปู่จึงล้วนแต่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้”
เฉินถิงเซียวตอบเธอด้วยความเงียบ
ความเงียบเท่ากับการยืนยัน
ผ่านไปนาน กว่ามู่น่อนน่อนจะพูดออกมาเงียบๆ ว่า “วันปีใหม่ฉันเห็นคุณป้าคุณกับคุณพ่อคุณเข้าห้องไปด้วยกัน ถ้าพวกเขาต้องการซ่อนความจริงเกี่ยวกับคดีลักพาตัวในปีนั้น นี่ไม่ใช่ว่าสามารถอธิบายได้หรอกเหรอว่าพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกัน คุณป้าของคุณก็มีส่วนร่วมในคดีตอนนั้นด้วย?”
เฉินถิงเซียวเหมือนจะเหนื่อยล้าเล็กน้อย เขายกมือขึ้นกดๆ ตรงระหว่างคิ้ว และหลับตาลงเอนตัวพิงโซฟา น้ำเสียงกดต่ำและเย็นชา “คุณปู่ของคุณเคยบอกว่า ได้เห็นป้าของผมในที่เกิดเหตุ”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก “ยังมีเรื่องอีกเท่าไรกันแน่ที่คุณปิดบังฉัน”
แต่เธอก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาใส่ใจเรื่องนี้
“เพราะคุณปู่ของฉันเห็นคุณป้าของคุณ เพราะงั้นถึงได้ถูกคุณพ่อของคุณพาไปอยู่ ‘บ้านพักคนชรา’ ที่ต่างประเทศ แบบนี้ทุกอย่างก็ลงล็อก”
มู่น่อนน่อนเสนอว่า “หรือไม่งั้นเอาแบบนี้ เราไปหาคุณปู่ฉันเพื่อถามในเรื่องนี้กัน”
ทว่า เฉินถิงเซียวปฏิเสธข้อเสนอของเธอ “ไม่ต้องหรอก”
“แต่…”
มู่น่อนน่อนยังอยากพูดอะไรอีก แต่เฉินถิงเซียวขัดจังหวะคำพูดของเธอเสียก่อน “เวลานี้มันดึกแล้ว เตรียมเข้านอนเถอะ”
มู่น่อนน่อนมองออกว่าเฉินถิงเซียวไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก จึงไม่พูดแล้ว
เพราะถึงอย่างไรสมัยก่อนเฉินถิงเซียวก็เป็นคนที่ค่อนข้างสนิทกับเฉินเหลียน และแม่ของเฉินถิงเซียวยังเป็นเพื่อนสนิทของเฉินเหลียนด้วย ถ้าคดีลักพาตัวในตอนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเฉินเหลียนจริง งั้น…
แต่ทำไมพวกเขาต้องทำแบบนั้นกับเฉินถิงเซียวและแม่ของเขาล่ะ
จะว่าไปแล้วสำหรับแม่ของเฉินถิงเซียวนั้น คนหนึ่งคือสามีใกล้ชิดของเธอ อีกคนคือเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ
สองคนนี้จะร่วมมือกันทำร้ายเธอจริงเหรอ
เฉินถิงเซียวลุกขึ้น เห็นมู่น่อนน่อนยังคงนั่งอยู่บนโซฟา เขาจึงเอื้อมมือไปดึงเธอขึ้น เป็นการกระทำที่ไม่อ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย
มู่น่อนน่อนร้องตกใจ เฉินถิงเซียวยื่นมือไปแนบริมฝีปากของเธอ ส่งสัญญาณไม่ให้เธอพูด
สีหน้าของเขาจริงจังและเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยมี “มู่น่อนน่อน เรื่องนี้คุณไม่ต้องยุ่งอีก ห้ามไปหาคุณปู่ และห้ามไปถามข้อมูลจากทางอื่น และยิ่งไปหาเฉินเหลียนหรือเฉินชิงเฟิงไม่ได้ทั้งนั้น”
มู่น่อนน่อนแน่นอนว่าไม่เห็นด้วย
แต่สีหน้าของเฉินถิงเซียวน่าหวาดหวั่นเกินไป มู่น่อนน่อนอดกลั้นไว้อยู่นาน ก่อนจะได้แค่เค้นออกมาหนึ่งประโยค
“คุณไม่มีเหตุผลเลย”
เฉินถิงเซียวพูดต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบว่า “งั้นตอนนี้ผมจะให้เหตุผลกับคุณ ตราบใดที่คุณไม่เป็นอะไร ผมก็ไม่เป็นอะไร ถ้าคุณเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เช่นนั้นก็เท่ากับเอาชีวิตของผมด้วย”
ในน้ำเสียงของเขาไม่มีความแปรปรวนเป็นพิเศษ แต่ทุกถ้อยคำผ่านเข้าหูของเธออย่างชัดเจน ตีเข้าที่แก้วหูของเธอ ทำให้เธอไม่ตอบสนองเป็นเวลานาน
เฉินถิงเซียวเห็นว่าผ่านไปนานแล้วเธอก็ไม่ตอบสนอง จึงเลิกคิ้วถามว่า “ได้ยินที่ผมพูดชัดไหม”
มู่น่อนน่อนสีหน้าเลื่อนลอยเล็กน้อย หยั่งเชิงถามว่า “ได้ยินชัดแล้ว แต่ไม่เข้าใจความหมาย คุณอยากพูดอีกรอบไหม”
เมื่อเฉินถิงเซียวได้ยินก็หรี่ตามองเล็กน้อย “คุณอยากฟังอีกเหรอ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า
เฉินถิงเซียวกระตุกยิ้ม มู่น่อนน่อนคิดว่าเขายังจะพูดอีกรอบจริงๆ จึงเงี่ยหูฟังอีกรอบ
ผลที่ได้ วินาทีต่อมา เฉินถิงเซียวอุ้มเธอขึ้น ตรงไปยังห้องน้ำ
มู่น่อนน่อนโวยวายอยู่ในอ้อมแขนของเขา “คุณบอกว่าจะพูดอีกรอบไม่ใช่เหรอ”
“ผมไม่เคยบอก” เฉินถิงเซียวตอบด้วยน้ำเสียงบางเบา
มู่น่อนน่อนทุบหน้าอกเขาสองครั้งด้วยความไม่พอใจ “แล้วทำไมคุณถึงถามฉันว่าอยากฟังเหรอ”
“แค่ถามเอง”
“……….”
…….
เพราะเมื่อคืนคุยกับเฉินถิงเซียวนานเกินไป เข้าวันรุ่งขึ้นขณะที่เฉินถิงเซียวไปบริษัท มู่น่อนน่อนจึงยังไม่ตื่น
กระทั่งเมื่อเธอตื่น ก็สายจนตะวันโด่งแล้ว
เธอแผ่หลาบนเตียงสักพัก
ความลับที่เฉินชิงเฟิงกับเฉินเหลียนต้องการปกปิดมาโดยตลอด คือความจริงเกี่ยวกับคดีลักพาตัวของเฉินถิงเซียวกับแม่ของเขา
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดสักพัก ทันใดนั้นก็เกิดความคิดบางอย่างแวบเข้ามา ตอนนี้เฉินถิงเซียวไม่ควรสืบแค่วิธีการวางแผนลักพาตัว ที่เฉินถิงเซียวต้องสืบควรเป็นที่ว่าเหตุใดพวกเขาถึงวางแผนลักพาตัว เพราะอะไรต้องลงมือกับเขาและแม่ของเขา
ความจริงที่พวกเขาต้องการปกปิดอาจไม่ใช่แค่การลักพาตัว แต่เป็นเหตุผลที่พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกันวางแผนลักพาตัวต่างหาก
มู่น่อนน่อนคิดมาถึงตรงนี้ ก็รีบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวรับสายเร็วมาก “ตื่นแล้วเหรอ”
มู่น่อนน่อนรีบพูดอย่างร้อนใจว่า “เฉินถิงเซียว ฉันเพิ่งคิดทบทวนดูอีกครั้ง ฉันคิดว่าตอนนี้ที่สำคัญกว่าก็คือ หาสาเหตุที่พวกเขาวางแผนลักพาตัวในตอนนั้น พวกเขาเป็นคนที่ใกล้ชิดกับคุณและแม่ของคุณ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเปลี่ยนเป็นใจคอโหดเหี้ยมได้ แน่นอนว่าต้องปกปิดความลับอะไรไว้ ฉันสงสัยว่าที่พวกเขาทำกับคุณปู่ จะเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่ทำกับคุณและคุณแม่ของคุณ!”
เมื่อเฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อน ก็ไม่มีเสียงไปเป็นเวลานาน
จนมู่น่อนน่อนต้องเรียกเขา “เฉินถิงเซียว คุณฟังที่ฉันพูดอยู่รึเปล่า”
“ฟังอยู่” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวกดต่ำเล็กน้อย
เขาไม่ได้เป็นคนที่แสดงอารมณ์ แต่คนที่รู้จักเขาสามารถดูออกว่าการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ในน้ำเสียงของเขาได้
สีหน้าของเฉินเหลียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย “คุณมู่ คุณไร้สาระเลอะเทอะ”
“จริงเหรอ ฉันรู้สึกว่าคุณนายซือต่างหากที่กำลังไร้สาระเลอะเทอะ” มู่น่อนน่อนเลื่อนสายตาขึ้นมอง สีหน้าค่อนข้างเย็นชา “ฉันไม่รู้ว่าคุณคิดยังไงกับลูกชายของคุณ ฉันคิดกับเสี่ยวฉินเป็นน้องชาย เราต่างบริสุทธิ์ใจ ถ้าไม่ใช่เพราะซือเฉิงหยู้ตามหาฉัน ฉันก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของเขาเสียชีวิตแล้ว ในเวลานี้ คุณคนที่เป็นแม่และภรรยา ดูจะไม่เศร้าเท่าไรเลยนะ ยังมีความคิดมาหาเรื่องฉันอีก หายากจริงๆ”
มู่น่อนน่อนมีความประชดประชันอยู่ในน้ำเสียงชัดเจน เฉินเหลียนเองก็ฟังออก
สีหน้าของเฉินเหลียนเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ทว่ายังคงไม่พูดอะไรมากนัก “เรากำลังพูดเรื่องปัจจุบัน ไม่ต้องลากไปเรื่องอื่น”
มู่น่อนน่อนสีหน้าเย็นชา “งั้นก็ไม่ต้องพูด”
“คุณ…” เฉินเหลียนโกรธจนหายใจหอบ “ฉันรู้แล้วว่าทำไมถิงเซียวถึงหย่ากับคุณ ผู้หญิงที่ไร้เหตุผลและไม่รู้หนังสือเช่นคุณ มันไม่คู่ควรกับถิงเซียวเลย”
มู่น่อนน่อนอยู่บ้านตระกูลมู่มานานเกินไปเลยเก็บกด คนอื่นยิ่งพูดยิ่งไม่น่าฟัง แต่เธอกลับยิ่งสงบ “คุณพูดมีเหตุผล คุณมีความการศึกษา คุณสามารถกลับไปคุยกับเสี่ยวฉินได้ ให้เขาตัดขาดการติดต่อกับฉันไปซะ ดูซิว่าเขาจะตกลงหรือเปล่า”
ครั้งนี้เฉินเหลียนถูกมู่น่อนน่อนทำให้โกรธจัดแล้วจริงๆ จนเรียกเสียงดังลั่น “มู่น่อนน่อน!”
“คุณคิดว่าตัวเองมีเหตุผลงั้นเหรอ ถ้าคุณดีต่อเสี่ยวฉิน ก็จงกลับไปบอกเขา หลังจากนี้ให้เขาเลิกติดต่อกับฉัน อย่าออกมาเล่นกับฉันอีก เพื่อไม่ให้กระทบกับการศึกษา”
ชัดเจนว่าเฉินเหลียนมาหาเรื่อง เพราะนานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้เรียกเฉินเจียฉินให้ออกมาเล่นด้วยกัน
นอกจากนี้ เฉินเจียฉินก็เป็นเด็กที่มีความคิดเป็นของตัวเอง ตัวเขาเรียนอะไรนั้นมีแผนในใจอยู่แล้ว
แน่นอนว่าเฉินเหลียนจะไม่ไปพูดเรื่องพวกนี้กับเฉินเจียฉิน เดิมทีพวกเขาสองคนในตอนนี้ยังมีเรื่องที่ผิดใจกันอยู่ ดังนั้นเธอถึงได้มาหามู่น่อนน่อน
คำพูดของมู่น่อนน่อนทำให้เธอหาข้อโต้แย้งมาได้ ในที่สุดก็ได้แต่ชี้หน้าด่าเธอ “ไร้เหตุผลสิ้นดี!”
มู่น่อนน่อนเอียงศีรษะ มองเฉินเหลียนอย่างขบขัน “ในที่สุดคุณนายซือก็อดจะด่าฉันไม่ได้งั้นเหรอคะ”
เฉินเหลียนโกรธจนสะบัดมือเดินจากไป
มู่น่อนน่อนมองตามหลังของเธอที่ไกลออกไป แล้วสีหน้าก็เย็นชาลงทีละน้อย
เธอรู้สึกว่าเฉินเหลียนไร้เหตุไร้ผลจริงๆ
หรือว่าเพราะช่วงนี้เฉินเจียฉินไม่สนใจเฉินเหลียนแต่มาเล่นกับเธอ ดังนั้นเฉินเหลียนเลยอิจฉาหรือเปล่า
ข้อสันนิษฐานนี้ถึงแม้ว่าจะดูเป็นไปได้ แต่รู้สึกว่าอย่างไรมันก็ดูจะไม่มีน้ำหนักเลย
รถแท็กซี่ที่มู่น่อนน่อนนัดไว้เวลานี้มาถึงแล้ว
เธอขึ้นไปนั่งบนรถ และยังคงคิดเรื่องก่อนหน้านี้
เธอนึกถึงคืนวันปีใหม่ เธอเห็นเฉินเหลียนกับเฉินชิงเฟิงแอบลับๆ ล่อๆ เข้าไปในห้อง ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว บางทีเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับซือเฉิงหยู้
เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วเรื่องที่ซือเฉิงหยู้เป็นลูกนอกสมรสของเฉินชิงเฟิงก็ยังไม่กระจ่าง
เดิมทีเฉินถิงเซียวไปประเทศMเพียงเพื่อพิสูจน์ต้นกำเนิดของซือเฉิงหยู้ แต่ปรากฏว่าซือหมิงหวนดันเกิดอุบัติเหตุอีก แต่ทำไมพวกเขาต้องทำร้ายคุณท่านเฉินด้วยล่ะ
ในบรรดาหลานๆ แม้ว่าคุณท่านเฉินจะรักเฉินถิงเซียวที่สุด แต่เขาก็ดีกับซือเฉิงหยู้และคนอื่นๆ ไม่น้อย ให้ทุกอย่างที่ควรให้
ต่อให้เขารู้ว่าซือเฉิงหยู้เป็นลูกนอกสมรสของเฉินชิงเฟิง ก็จะไม่เป็นอะไร
ซือเฉิงหยู้แค่เปลี่ยนจากหลานตาเป็นหลานปู่เท่านั้น แม้คุณท่านเฉินจะโกรธ แต่มั่นใจว่าสามารถยอมรับเขาได้
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเรื่องของคุณท่านชานเฉินนั้นแปลกประหลาดมาก
ระหว่างทาง เธอให้คนขับขับตรงไปยังบ้านของเฉินถิงเซียว
……
เฉินถิงเซียวกลับดึกเช่นปกติ
แต่ครั้งนี้มู่น่อนน่อนไม่ได้หลับ และรอเขาอยู่ในห้องนั่งเล่นตลอด
ตอนที่เฉินถิงเซียวกลับมา มู่น่อนน่อนกำลังดูรายการวาไรตี้ในโทรศัพท์มือถือบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่น
มีช่วงหนึ่งในระหว่างนั้นเป็นการหารายการที่เสิ่นเหลียงไปเป็นแขกรับเชิญ
คอมเมนท์ในนั้นบอกว่าทักษะวาไรตี้ของเสิ่นเหลียงนั้นดีมาก
เฉินถิงเซียวเปิดประตูเข้ามา เห็นมู่น่อนน่อนนั่งอยู่บนโซฟา อันดับแรกคือชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงก้าวกว้างเดินเข้ามา
ตัวโซฟาคือพนักพิงอยู่หลังประตู เฉินถิงเซียวเดินเข้าไป สองมือวางหลังโซฟา แล้วก้มตัวลงไปจูบแก้มมู่น่อนน่อน น้ำเสียงของเขาเจือความดีใจ “ไม่เจอกันสองวันคิดถึงผมแล้วเหรอ”
มู่น่อนน่อนปิดคลิปวิดีโอ เอาโทรศัพท์มือถือวางไว้ข้างๆ แล้วตบๆ ตรงที่นั่งข้างตัว “มานั่งนี่สิ”
เฉินถิงเซียวเดินเข้ามานั่งข้างเธอ “มีเรื่องอะไรเหรอ”
“วันนี้ฉันเจอคุณป้าของคุณ มันทำให้ฉันนึกถึงเรื่องคืนวันปีใหม่ขึ้นมาได้ ฉันเห็นเธอกับคุณพ่อของคุณแอบลับๆ ล่อๆ เข้าไปในห้อง แต่ฉันไม่ได้ยินว่ามีเรื่องอะไร ตอนนี้คิดขึ้นมาแล้ว ฉันคิดว่าตอนนั้นพวกเขาอาจจะคุยกันเรื่องซือเฉิงหยู้…”
มู่น่อนน่อนพูดถึงตรงนี้ก็นิ่งไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นไปมองเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวลูบศีรษะของเธอ สีหน้าไม่แสดงความรู้สึก แค่พูดเสียงเคร่งขรึมว่า “พูดต่อสิ”
มู่น่อนน่อนพูดต่อไปว่า “วันต่อมาคุณปู่ก็เกิดเรื่อง ถ้าแค่เพราะเรื่องของซือเฉิงหยู้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำร้ายคุณปู่เลย มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น”
ดวงตาคมเข้มของเฉินถิงเซียวดิ่งลึก พาให้คนมองไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่
มู่น่อนน่อนดึงมือของเขา “คุณคิดว่ายังไงคะ”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฉินถิงเซียวถึงได้พูดว่า “คุณคิดว่าเพราะเรื่องของซือเฉิงหยู้ พวกเขาถึงได้ลงมือกับคุณปู่เหรอ”
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดก่อนจะพูดว่า “ในทางทฤษฎีสามารถพูดอย่างนั้นได้ แต่ฉันรู้สึกว่าเหตุผลนี้ไม่มีน้ำหนัก ที่คุณปู่เกิดเรื่องยังคงแปลกประหลาดอยู่มาก”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็จ้องมองเฉินถิงเซียวด้วยสายตามั่นคง
เฉินถิงเซียวหันหน้าไปรินน้ำแบ่งให้ทั้งตัวเองและมู่น่อนน่อน จากนั้นถึงพูดอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “คุณไม่เคยคิดเหรอว่าที่พวกเขาทำให้อุบัติเหตุเกิดกับคุณปู่ ไม่ใช่เพื่อจัดการคุณปู่ แต่อาจเพราะเมื่อวันปีใหม่พวกเขาเห็นคุณ คิดว่าคุณรู้ความลับของพวกเขา ดังนั้นจึงโยนความผิดใส่ร้ายคุณ”
มู่น่อนน่อนชะงักไป ไม่ได้ยื่นมือไปรับน้ำที่เฉินถิงเซียวส่งให้
ตลอดมาเธอคิดว่าพวกเขาต้องการจัดการคุณท่านเฉินเป็นหลัก โดยตัวเธอนั้นแค่ง่ายต่อการใส่ร้าย
เพราะถึงอย่างไรตอนนั้นที่อยู่บ้านตระกูลเฉิน มีแค่เธอคนเดียวที่ไม่ได้แซ่เฉิน จึงเป็นตัวเลือกอันเหมาะสมที่สุดในการโยนความผิดให้
ตอนนั้นมู่น่อนน่อนคิดว่าคนของตระกูลเฉินอยากเอาเธอเข้าคุก ถ้าเธอเป็นคนที่พวกเฉินชิงเฟิงต้องการจัดการ เมื่อเธอเข้าคุกไปแล้วยังสามารถรอดชีวิตออกมาได้อีกเหรอ
ผลลัพธ์ของเธออาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าคุณท่านเฉิน
ความหนาวยะเยือกแล่นขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แผ่ซ่านลามไปทั่วทั้งแขนและขาของเธอ
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “แต่ว่า คืนนั้นฉันไม่ได้ยินอะไรเลยนะ”
เฉินถิงเซียวแค่ลูบศีรษะเธอเงียบๆ
สิ่งที่เขาไม่ได้พูดให้จบก็คือ สาเหตุที่พวกเฉินชิงเฟิงคิดวิธีแบบนี้มาจัดการกับมู่น่อนน่อน ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง พวกเขาต้องการทดสอบความสำคัญของมู่น่อนน่อนในใจเขา
ถ้าตอนนั้นเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องมู่น่อนน่อน ทำให้พวกเฉินชิงเฟิงได้ตระหนัก ว่ามู่น่อนน่อนสำคัญต่อเฉินถิงเซียวมากแค่ไหน พวกเฉินชิงเฟิงอาจคิดหาวิธีลงมือกับตัวมู่น่อนน่อนโดยตรง
เฉินเจียฉินชำเลืองมองมู่น่อนน่อน จากนั้นก็เดินขึ้นหน้าไป มู่น่อนน่อนได้แค่เดินตามไปเท่านั้นเอง
ตอนเธอเดินผ่านด้านข้างของเฉินเหลียนนั้น จากนั้นก็พยักหน้าทักทายเล็กน้อย “คุณนายซือ”
เฉินเหลียนถึงได้รู้ว่ามู่น่อนน่อนก็อยู่ที่นี่ด้วย
เหมือนว่าเธอเองก็จำมู่น่อนน่อนไม่ได้ว่าคือใครกัน เธอมองมู่น่อนน่อนและอึ้งอยู่สักพักถึงได้พูดว่า “คุณคือ…”
“ฉันคืออดีตภรรยาของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนค่ะ” มู่น่อนน่อนจ้องตาเฉินเหลียน และพร้อมอย่างเชื่องช้า
ใบหน้าของเฉินเหลียนแสดงสีหน้าตกใจเล็กน้อย “ที่แท้คือคุณนี่เอง”
“ฉันมีธุระต่อ คงอยู่คุยเป็นเพื่อนกับคุณนายซือไม่ได้แล้ว” มู่น่อนน่อนยกเท้าเดินมุ่งหน้าไป และรีบตามเฉินเจียฉินไป
ตอนที่เธอตามหาตัวเฉินเจียฉินเจอนั้น เขากำลังยืนอยู่ข้างน้ำพุ และยืนหลังตรง แต่กลับก้มหน้าคอตกหนัก
มู่น่อนน่อนเดินดักมาทางด้านหน้า ก็เห็นว่าพื้นตรงด้านหน้าของเขานั้นต่างมีคราบหยดน้ำ ราวกับน้ำตา
มู่น่อนน่อนดึงทิชชูออกมาหนึ่งแผ่นและยื่นให้กับเขา
เฉินเจียฉินไม่ได้รับเอาไว้ แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นแทน “หลายปีมานี้ผมติดต่อพ่อได้น้อยครั้งมาก ครั้งนี้เขาจัดนิทรรศการภาพวาด ก็เป็นเพราะว่าทะเลาะกับแม่มาถึงได้ตัดสินใจทันที…พ่อของผมเป็นคนที่นิสัยดีมาก ไม่ใส่อารมณ์กับใครเลย… ต้องเป็นเพราะว่าแม่ทำเรื่องที่เกิดเหตุไปอย่างแน่นอน…”
“แต่พอผมไปถามพวกเขาว่าทำไมถึงทะเลาะกัน เธอก็ไม่ยอมบอกผม เธอต้องทำเรื่องไม่ดีมากมาแน่ พ่อของผมถึงได้โกรธจนถึงขั้นหนีออกจากบ้านไป…”
มู่น่อนน่อนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะผ่านเข้าไปสู่ความรู้สึกในใจได้ลึกอีกขั้น
ซือหมิงหวนทะเลาะกับเฉินเหลียน จนถึงขั้นหนีออกจากบ้านไป ส่วนสาเหตุที่ทะเลาะกันนั้นเฉินเหลียนกลับไม่ยอมพูดออกมา
เฉินถิงเซียวเดินทางไปเมืองMเพื่อหาเฉินเหลียนก็เพราะชีวิตความเป็นมาของซือเฉิงหยู้ เขาวางแผนจะพูดคุยกับซือหมิงหวนสักหน่อย แต่ผลที่ได้คือซือหมิงหวนประสบอุบัติเหตุรถชนเสียนี่
นี่คือเหตุและผลก็เป็นแบบนี้ ภายนอกดูเหมือนว่ามันไม่เชื่อมโยงกันจนเห็นชัดเจน
“อย่าร้องไห้เลย” มู่น่อนน่อนทำได้แค่หยิบทิชชูช่วยเช็ดน้ำตาให้เขา “ไม่ว่าจะอย่างไรเธอก็เป็นแม่ของนาย เธอเป็นห่วงนายมาก ระหว่างพวกนายมีเรื่องที่เข้าใจผิดกัน รอให้ทุกคนต่างใจเย็นลงแล้วค่อยกลับมาพูดกัน”
เฉินเจียฉินทำได้แค่หยิบทิชชูมาเช็ดหน้าตนเอง แต่ไม่ยอมตอบกลับคำพูดของมู่น่อนน่อน
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเฉินเจียฉินยังคงกล่าวโทษเฉินเหลียนอยู่
เขาโทษว่าเฉินเหลียนไปทะเลาะกับซือหมิงหวน จากนั้นซือหมิงหวนก็โมโหจนหนีออกจากบ้านไป จากนั้นก็เกิดอุบัติเหตุรถชนขึ้น
ตอนนี้เฉินเจียฉินกำลังดื้อรั้นอยู่ ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไรมาเขาก็ฟังไม่เข้าหูทั้งสิ้น
มู่น่อนน่อนพูดปลอบใจเขาอยู่สักพัก จากนั้นก็พาเขาไปตัดผม
เฉินเจียฉินที่ตัดผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่ากระฉับกระเฉงขึ้นเยอะ
จากนั้นทั้งสองคนก็ออกมาเดินเที่ยวเล่น
มู่น่อนน่อนดึงเขาเข้าห้างสรรพสินค้า “อยากจะซื้ออะไรฉันซื้อให้นายเอง บทละครของพี่ขายได้แล้ว ตอนนี้มีเงินแล้วจ้า”
เห็นได้ชัดว่าเฉินเจียฉินอารมณ์ไม่ดีเลย เขาคลำนู่นคลำนี่อย่างไม่สนใจอะไร จู่ ๆ ก็ถามมา “คุณกับพี่ชาย หย่ากันจริง ๆ เหรอ?”
มู่น่อนน่อนคิดพร้อมกันว่าจู่ ๆ เฉินเจียฉินถึงถามคำถามนี้ เธอถึงตะลึงและพูดออกมา “อืม”
เฉินเจียฉินหันหน้าไปมองเธอ พร้อมด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เพราะว่าเรื่องลูกใช่ไหม? ผมรู้สึกว่าพี่ชายไม่เหมือนคนที่เอาเด็กไปซ่อนไว้เลย ผมเชื่อใจเขา”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบเขาทันที
เฉินเจียฉินเป็นเด็กที่มีความคิดเป็นของตนเอง เห็นเรื่องราวต่าง ๆ มามากมายกว่าเด็กธรรมดาทั่วไป และกล้าแสดงความเห็นออกมาได้อย่างเต็มที่
เดิมถือว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งเลย
แต่ทว่า เขาเป็นคนของตระกูลเฉิน
เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ ถ้าเขาเกิดไม่ใช่คนในตระกูลเฉิน ไม่แน่ก็คงไม่มีเขาในเวลานี้หรอก
มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลันหันหน้าไปมองเขา “ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครกัน?”
เฉินเจียฉินเหมือนถูกคำถามยากๆ คำถามนี้ของมู่น่อนน่อนมาหยุดเอาไว้ เขาถลำลึกกับความคิด
มู่น่อนน่อนตบไหล่ของเขาเอาไว้ “ไม่พูดเรื่องนี้กันแล้วนะ วันนี้ก็ทำเหมือนมาเป็นเพื่อนฉันแล้วกัน เราเดินเที่ยวกัน เอาให้ทั้งวันไปเลย ดีไหม?”
“อื้อ”
บิดาของเขาเสียชีวิตไปแล้ว ลูกสาวของมู่น่อนน่อนก็หายไปแล้ว
น่าจะรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนเจ็บปวดน่าสงสารเหมือนกับเขา จากนั้นภาพต่อไป ในทางกลับกันกลายมาเป็นเฉินเจียฉินเปลี่ยนมาปลอบใจมู่น่อนน่อนให้สบายใจแทน
……
ทั้งสองคนเที่ยวเล่นกันอยู่ข้างนอกทั้งวัน จนถึงเวลากินข้าวเย็น ทั้งสองคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน
วันนี้มู่น่อนน่อนไม่ได้ขับรถออกมา เลยเดินไปส่งเฉินเจียฉิน จากนั้นเธอจึงกดเรียกรถ Grab ทางอินเทอร์เน็ตแทน
แต่เป็นเพราะว่าการจราจรอันคับคั่ง แต่ยังต้องเข้ารอคิว
เธอนัดรถได้ ก็หยิบโทรศัพท์ออกดูTimeline ของเพื่อน ๆ ใน Wecht
ผลที่ได้ถือเธอไปเจอ Timelineของเฉินเจียฉิน
รูปภาพของเฉินเจียฉินใน Timeline นอกจากการถ่ายรูปกับข้าวแล้ว ก็ยังโพสต์รูปคู่ของทั้งสองคน แถมเขียนโพสต์เอาไว้ “วันนี้สบายใจมาก ต้องมาหาผมพาผมไปเที่ยวบ่อย ๆ นะ”
มู่น่อนน่อนกดถูกใจให้เขา ตอนที่เริ่มรีเฟรชใหม่นั้น ก็เห็นคอมเม้นท์ของฉินถิงเซียวที่มาเขียนเม้นท์อยู่ในรูปใน Timeline ของเฉินเจียฉินเป็นจุด full stop
แม้ว่าจะกั้นแค่หน้าจอโทรศัพท์ก็ตาม แต่มู่น่อนน่อนก็รู้สึกได้ว่า “full stop” ของเฉินถิงเซียวที่แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
โชคดีที่เธอมองออกถึงนิสัยของเฉินถิงเซียว เขาเป็นคนขี้เหนียว
กำลังบ่นเรื่องเฉินถิงเซียวไม่จบ พอจบปุ๊บเฉินถิงเซียวก็โทรศัพท์เข้ามาหาทันที
ประโยคแรกที่เฉินถิงเซียวพูดก็คือ “คุณไปเที่ยวกับเสี่ยวฉินมาทั้งวันเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
ผ่านไปแวบเดียว เฉินถิงเซียวตอบกลับมาอย่างเฉยเมย “อ้อ”
มู่น่อนน่อน “???”
เวลานั้นเอง เฉินถิงเซียวพูดกำชับมาอีกประโยค “รีบกลับนะ”
“ฉันรู้แล้วค่ะ”
ทั้งสองคนพูดกันไม่กี่ประโยค จากนั้นก็วางสาย
มู่น่อนน่อนเบะปาก ผู้ชายคนนี้ตั้งใจโทรศัพท์เข้ามาหา เหมือนว่าไม่ได้พูดอะไร
การพูดคุยในโทรศัพท์ไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำไป
รถที่เธอนัดมานั้นยังไม่มา
จู่ ๆ ด้านหลังของเธอก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมา “คุณมู่”
พอได้ยินคนเรียกชื่อตนเองโดยที่ไม่ทันระวังตัว มู่น่อนน่อนตกใจเล็กน้อย พลันหันไปมองเฉินเหลียน เธอถึงได้ถอนหายใจโล่งอก
เธอสงบสติอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นก็ตั้งสติได้จนออกปากถามกลับ “คุณนายซือมาหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ? ”
“ใช่” เฉินเหลียนพยักหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงอ้อยอิ่งพอตัว “ฉันหวังว่าคุณมู่ อย่าได้มาพาเสี่ยวฉินของเราออกไปเที่ยว เขาเป็นเด็กและการเรียนก็สำคัญมาก”
พูดเสียเป็นทางการขนาดนี้ แต่มันก็แค่ไม่อยากให้เธอได้มาสนิทสนมกับเฉินเจียฉิน
คำพูดของเฉินเหลียน พูดจาถือว่าไพเราะกว่าเฉินจิ่งหยุ้นมากนัก แต่ก็ไม่สามารถปกปิดคำพูดมีดโกนอาบน้ำผึ้งเอาไว้ได้
“คุณนายซือเป็นห่วงเสี่ยวฉันขนาดนี้ เขารู้ยัง? ถ้าเขารู้ว่าคุณมาพูดกับฉันด้วยคำพูดเหล่านี้แล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะคิดว่าอย่างไรดี” มู่น่อนน่อนรู้สึกขยะแขยงเฉินเหลียนมาก
คนที่อยู่ในตระกูลเฉินตั้งมากมาย เธอต่างรู้สึกขยะแขยงทั้งหมด
“คุณมู่ นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่อย่างเรา รบกวนคุณอย่าได้บอกเสี่ยวฉิน” น้ำเสียงของเฉินเหลียนไม่เปลี่ยนไปเลย แสดงทัศนคติไม่ช้าหรือเร็วออกมาอย่างชัดเจน
อายุของเฉินเหลียนอายุมากกว่าเฉินจิ่งหยุ้นไปหนึ่งรอบ จึงสุขุมหนักแน่นเก็บอาการเอาไว้ได้
เฉินจิ่งหยุ้นเย่อหยิ่งมาก แทบไม่ไว้หน้ามู่น่อนน่อนเลย พูดจาออกมาก็ไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด
มู่น่อนน่อนมองตาเฉินเหลียน พร้อมทั้งพูดจาอย่างช้าๆ “คุณนายซืออาศัยการนับญาติแล้วคุณเป็นผู้อาวุโสนะ อายุฉันกับเสี่ยวฉินก็ห่างกันไม่มากนัก ต่อหน้าคุณฉันก็แค่เด็กคนหนึ่ง ฉันไม่ใช่คนมีชื่อเสียงอะไร”
เธอพูดจบ ก็ยิ้มให้เฉินเหลียนทันที
ซือเฉิงหยู้ได้ยินแล้ว เลยถามกลับ “คุณมีช่องทางการติดต่อกับเขาไหม?”
มู่น่อนน่อนอึ้งไปสักพัก “มี”
หลังจากที่เธอกลับมาแล้วนั้นก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกับเฉินเจียฉินเลย บางครั้งเฉินเจียฉินก็ส่งข้อความผ่าน Wechat มาหาเธอ ทั้งสองคนก็แค่ทักทายกันตามปกติก็เท่านั้นเอง
เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับซือหมิงหวน ในใจเธอก็คอยเป็นห่วงเฉินเจียฉินอยู่ตลอด แต่ทว่าไม่สามารถไปหาเฉินเจียฉินได้
ถึงอย่างไรตอนนี้เธอ “ไม่ใช่ภรรยาของเฉินถิงเซียวแล้ว” แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าซือหมิงหวนประสบอุบัติเหตุรถชนจนเสียชีวิต
ตอนนี้ซือเฉิงหยู้เป็นคนออกหน้ามาหาเธอเองเลย และเป็นเหตุผลให้เธอได้ไปหาเฉินเจียฉินได้อย่างสมเหตุสมผล
ซือเฉิงหยู้พยักหน้า น้ำเสียงดูขอบคุณเล็กน้อย “รบกวนคุณแล้วนะ”
“ถ้ารู้ว่าเสี่ยวฉินเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องให้คุณมาพูดหรอก ตัวฉันจะไปหาเขาด้วยตนเองเลย” น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนดูเย็นชาและห่างเหิน
ซือเฉิงหยู้ก็ไม่รู้ว่าฉุกคิดอะไรได้ การแสดงออกเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็แค่ยิ้มให้
……
หลังจากที่ซือเฉิงหยู้กลับไปแล้ว มู่น่อนน่อนก็โทรศัพท์หาเฉินถิงเซียวทันที
เฉินถิงเซียวที่กำลังเตรียมจะประชุมอยู่นั้น เมื่อเห็นว่ามู่น่อนน่อนโทรศัพท์เข้ามาหา ก็หยิบโทรศัพท์และลุกขึ้นและเดินออกไปทันที
เฉินถิงเซียวเดินออกมาจากห้องประชุม จากนั้นก็ถามเธอด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ทำไมเหรอ?”
“เมื่อกี้ซือเฉิงหยู้มาหาฉันแล้ว”
“เขามาหาคุณทำไมกัน?” เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นชาลงทันที เห็นได้ชัดว่าเขาก็เหมือนกับมู่น่อนน่อน และมีการหวาดระแวงต่อซือเฉิงหยู้อย่างเต็มเปี่ยม
“เขาพูดถึงเรื่องอาเขยของคุณ ให้ฉันพอมีเวลาก็เข้าไปคุยเป็นเพื่อนเสี่ยวฉินหน่อย” มู่น่อนน่อนบอกคำพูดของซือเฉิงหยู้ที่พูดกับเธอให้เฉินถิงเซียวฟังด้วย
เฉินถิงเซียวที่อยู่ปลายสายเงียบงันอยู่ชั่วครู่ จากนั้นถึงได้มีเสียงตอบกลับมา “งั้นคุณยินยอมไปหรือเปล่า?”
“ฉันก็ต้องยอมสิ” มู่น่อนน่อนพูดเว้นจังหวะ “ความจริงแล้ว ฉันรู้สึกว่าเสี่ยวฉินเขาชอบคุณมาก บางครั้งคุณมีเวลาก็สามารถเข้าไปพูดปลอบโยนเขาได้”
แม้ว่าเธอกับเฉินเจียฉินรู้จักกันจะเพียงแค่เวลาระยะอันสั้นแค่นั้น ทั้งสองคนต่างมีความรู้สึกต่อกัน แต่ว่าเธอรู้อยู่เต็มอกว่าในใจของเฉินเจียนฉินนั้น ตำแหน่งของเฉินถิงเซียวต้องเป็นตำแหน่งที่พิเศษที่สุด
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ผมไม่มีเวลา คุณเข้าไปหาเขาเถอะ เดี๋ยวผมจะประชุมแล้ว วางสายแล้วนะ”
“อืม”
มู่น่อนน่อนกดวางสายโทรศัพท์ มือที่กำโทรศัพท์เริ่มคิดจินตนาการเตลิดไป เฉินถิงเซียวคงไม่โทษตัวเองใช่ไหม?
ในตอนนั้นซือหมิงหวน รีบไปตามที่ได้นัดหมายกับเฉินถิงเซียวเอาไว้ และประสบอุบัติเหตุตรงถนนหน้าประตูทางเข้าร้านกาแฟที่ทั้งสองคนนัดหมายกันเอาไว้ และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที
เมื่อฟังดูแล้วก็รู้สึกว่าอยู่เหนือการคาดเดาได้ ทว่ามันกลับเป็นความจริงไปเสียนี่
เมื่อมองจากทัศนคติของเฉินถิงเซียวแล้ว เฉินถิงเซียวไม่คิดว่าอุบัติเหตุรถชนในครั้งนั้นจะเป็นเรื่องอุบัติเหตุจริงๆ …
ช่างเถอะ เรื่องที่คิดไม่ออกก็อย่าไปเพิ่งคิดถึงมันเลย
คืนนี้เอง มู่น่อนน่อนก็ส่งข้อความผ่านทางWechatให้เฉินเจียฉิน
“เสี่ยวฉิน กำลังทำอะไรอยู่เหรอ?”
ผ่านไปหลายนาที เฉินเจียฉินถึงได้กลับมา “ทำการบ้านอยู่”
มู่น่อนน่อนเหลือบมองปฏิทิน ถึงได้รู้ว่าอีกไม่กี่วันก็จะเข้าเดือนกันยายนแล้ว พวกของเฉินเจียฉินจะเปิดเรียนแล้ว
“ยังมีอีกเยอะไหมที่ยังทำไม่เสร็จ? พรุ่งนี้มีเวลาพอจะไปทานข้าวด้วยกันไหม?”
“อื้อ”
มู่น่อนน่อนเห็นคำว่า “อื้อ” ของเฉินเจียฉิน ถึงกลับหมดคำพูด
เด็กคนนี้โดยปกติแล้วเวลาคุยกันใน Wechat นั้นก็จะพูดมากหน่อย พูดไม่เคยหยุดหายใจเลย แต่ตอตตนี้ใกล้จะเหมือนเฉินถิงเซียวที่พูดแล้วกลัวดอกพิกุลจะร่วงไปทุกที
จากนั้น มู่น่อนน่อนก็ส่งเวลาและสถานที่ไปให้เฉินเจียฉิน
……
เช้าวันต่อมา มู่น่อนน่อนมายังร้านอาหารที่ได้จองไว้ก่อนอย่างตรงเวลาแล้ว
ร้านอาหารร้านนี้เมื่อก่อนเธอกับเฉินเจียฉินเคยมากินด้วยกันแล้ว
เฉินเจียฉินเองก็เป็นคนตรงต่อเวลามาก มู่น่อนน่อนเพิ่งจะก้าวเท้าถึง เขาก็ตามมาถึงติดๆ
สีหน้าของเฉินเจียฉินไม่ค่อยดีเลย ใบหน้าซีดเผือดไม่สีเลือดเลย ผมหยักศกเล็กน้อยตามธรรมชาติก็ยาวจนปิดดวงตาไปครึ่งหนึ่งแล้ว มองดูแล้วเหมือนวัยรุ่นที่อารมณ์ดูอึมครึมหน่อยๆ
เขาสะพายกระเป๋า ใส่เสื้อแขนสั้นสีขาวและกางเกงห้าส่วนสีเทา เห็นแล้วว่าผมกะหร่องมาก
เขาชะเง้อมองตรงประตู ก็เห็นมู่น่อนน่อนนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง
“พี่น่อนน่อน” เฉินเจียฉินนั่งลงฝั่งตรงข้ามของมู่น่อนน่อน
เขาถอดกระเป๋าสะพายออกและวางไว้ด้านข้าง จากนั้นก็เงยหน้ามองมาทางมู่น่อนน่อน
แต่ด้วยเพราะว่าผมหยักศกหน่อยๆ ของเขามันยาวเกินไป จนมู่น่อนน่อนมองเห็นดวงตาของเขาไม่ชัดเจนเลย แค่รู้สึกว่าตอนนี้เขาไร้เรี่ยวแรงไม่กระปรี้กระเปร่าเลย เหมือนหมาหน้าหงอยที่ทำหน้าเศร้าอยู่ ดูแล้วช่างน่าสงสารและทำให้คนเจ็บปวดแทน
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้เจอหน้าเขามาสักระยะแล้ว
เขายิ้มให้เฉินเจียฉิน และถามกลับ “ตรงเวลามาก แต่ว่าผมของนายควรจะตัดได้แล้วนะ”
“สองวันนี้มัวแต่วุ่นวายกับทำการบ้าน รออีกสักสองสามวัน ก่อนหน้าจะเปิดเรียนวันหนึ่งค่อยไปตัดผม” เฉินเจียฉินลูบคลำผมของตนเอง และพูดอย่างเขินอาย
มู่น่อนน่อนลองถามกลับ “อีกเดี๋ยวฉันไปตัดผมเป็นเพื่อนนายเอง”
เฉินเจียฉินยังคงเชื่อฟังคำสั่งของมู่น่อนน่อนอยู่มาก และพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อืม”
“สั่งอาหารกันเถอะ” มู่น่อนน่อนเอาเมนูอาหารผลักมาตรงด้านหน้าของเขา
เฉินเจียฉินสั่งอาหารไปสองอย่าง ที่เหลือมู่น่อนน่อนเป็นคนสั่ง
แต่ว่า เฉินเจียฉินไม่ได้กินสักเท่าไหร่ เมื่อก่อนเป็นเด็กที่กินจุ ตอนนี้ยังกินไม่ได้ครึ่งของมู่น่อนน่อนเลยด้วยซ้ำ
มู่น่อนน่อนมองเห็นกับตา จนปวดร้าวจนหัวใจแทน
มู่น่อนน่อนคีบกับข้าวให้กับเขา และถามกลับ “กินอีกสักหน่อยไหม?”
“ไม่อยากกินแล้วแหละ” เฉินเจียฉินเอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ได้ งั้นเราไม่กินแล้วนะ ไปหาร้านตัดผมให้นายกันเถอะ” มู่น่อนน่อนเรียกพนักงานมาเช็กบิล เพื่อเตรียมจะพาเฉินเจียฉินไปตัดผม
ทั้งสองคนเดินออกจากร้านอาหาร ก็ถูกบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งขวางทางเอาไว้
สายตาของพวกเขามองมาที่ตัวของเฉินเจียฉิน หนึ่งในนั้นเดินออกมาด้านหน้าและเรียนเฉินเจียฉินว่า “คุณชายเจีย”
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองเฉินเจียฉินทันที
เฉินเจียฉินขมวดหัวคิ้วเอาไว้ น้ำเสียงดูเย็นชายากที่จะเห็นได้ “พวกนายสะกดรอยตามฉันทำไม? ฉันไม่ได้ไปตายสักหน่อย เดี๋ยวสักพักฉันจะกลับไปเอง!”
ตอนที่เขาพูดออกมานั้นไร้ความรู้สึกใด ๆ กลิ่นอายความเย็นชาช่างละม้ายเฉินถิงเซียวบ้าง
มู่น่อนน่อนได้ยินเขาพูดเช่นนี้แล้ว พลันหันหน้าไปมองเขาทันที
เธอย่อมรู้ดีว่าคนเหล่านี้น่าจะเป็นคนทางตระกูลเฉินจัดการส่งตัวมาให้คุ้มครองเฉินเจียฉิน
แต่กลุ่มบอดี้การ์ดกลับไม่ได้พูดอะไร
เฉินเจียฉินหันหน้าไปมองมู่น่อนน่อน “พี่น่อนน่อน เราไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนเดินไปทางด้านหน้า กลุ่มบอดี้การ์ดที่ขวางทางอยู่ก็รีบหลีกทางให้ทั้งสองคนทันที
มู่น่อนน่อนรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่กลุ่มบอดี้การ์ดกลุ่มนี้หลีกทางให้กับพวกเขา แต่พอเธอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าเฉินเหลียนเดินมุ่งหน้ามาทางนี้
เฉินเหลียนรีบสาวเท้ามุ่งหน้าเดินมาทางด้านนี้ ในแววตาของเธอมีแค่เฉินเจียฉินเท่านั้นเอง แถมยังไม่ได้สังเกตมู่น่อนน่อนด้วยซ้ำ
“เสี่ยวฉิน ทำไมลูกถึงออกจากบ้านมาคนเดียวล่ะ? ลูกไม่รู้หรือยังไงว่าแม่เป็นห่วงลูกมากขนาดไหนกัน” เฉินเหลียนเดินเข้ามาหา และค่อยๆ ประเมินเขาอย่างละเอียด เหมือนเป็นการมองว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรจำพวกนั้น
“ร่างกายของผมครบ 32 สมองก็ปกติดี ตอนนี้ก็อายุ 15 ปีแล้ว ในบางประเทศถือว่าบรรลุนิติภาวะไปแล้ว ทำไมถึงออกจากบ้านคนเดียวไม่ได้ล่ะ?”
มู่น่อนน่อนฟังความหมายออก น้ำเสียงของเฉินเจียฉินเป็นการแขวะกลับอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการชี้เฉพาะมายังเฉินเหลียนที่เป็นแม่บังเกิดเกล้าแท้ๆ
เฉินเหลียนที่ใบหน้าซีดเผือดอยู่ก่อนแล้ว พลันใบหน้าขาวโพลนหนักกว่าเก่า “แม่แค่เป็นห่วงลูกเท่านั้นเอง’
“ผมสบายดี ไม่จำเป็นต้องมาคอยเป็นห่วง คุณกลับไปได้แล้ว” เฉินเจียฉินพูดจบ ก็หันหน้ามามองมู่น่อนน่อนทันที
เฉินถิงเซียวระมัดระวังตัวขนาดไหน มู่น่อนน่อนรู้ดีที่สุดแล้ว
ถ้าเธอยอมรับว่าเป็น “แฟนหนุ่มคนใหม่” ถึงเวลานั้นเฉินถิงเซียวต้องค้นเธอตาหลับตาเหลือกแน่
คำว่าแฟนหนุ่มกับ “แฟนหนุ่มคนใหม่” มันเหินห่างกันเห็นได้ชัด
มู่น่อนน่อนรับมือกับนักข่าวเสร็จแล้ว วันนี้ก็ไม่กล้าจะไปที่สตูดิโอ ซิตี้อีก ตอนที่โทรศัพท์หาฉินสุ่ยซานนั้น ฉินสุ่ยซานก็เอาข่าวมาหยอกเธอเล่นอีกครั้ง
“ข่าวดังที่พาดหัวข่าวเรื่องแกสองสามวันติด มันทำให้กองถ่ายของเราประหยัดค่าโฆษณาไปได้ไม่น้อยเลย”
มู่น่อนน่อนตอบกลับด้วยเมตตาจิต “เป็นแบบนี้ ถึงตอนนั้น 《เมืองพัง》ถ่ายออกมาแล้วโกยเงินเข้า หรือว่าแกจะแบ่งโบนัสพิเศษให้ฉันสักหน่อยดีไหม?”
ฉินสุ่ยซานตอบกลับอย่างไม่ถูกใจ “ละครยังถ่ายไม่จบเลย แกก็นึกถึงแต่เรื่องแบ่งเงินแล้วเหรอเนี่ย? นี่แกเห็นแก่เงินไปแล้วเหรอ? ”
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ “ใครกันที่ไม่ชอบเงิน ยิ่งเยอะมันยิ่งดีเลย”
เธอพูดคุยกับฉินสุ่ยซานไปด้วย และเดินไปยังลานจอดรถด้วย
เธอเพิ่งจะหารถตนเองเจอ จากนั้นก็กดปลดล็อก จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกคุ้นหูจากทางด้านหลัง “มู่น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนหันกลับมา ก็ห็นเฉินจิ่งหยุ้นที่ใส่ชุดสีขาวทั้งชุด
“เรียกฉันหรือคะ? มู่น่อนน่อนใช้นิ้วมือชี้มาที่ตนเอง”
เฉินจิ่งหยุ้นเผยอปากพูด ด้วยน้ำเสียงเย็นชาใส่ “ที่นี่ยังมีคนอื่นอยู่อีกไหมล่ะ?”
“มีธุระก็พูดมา ร้อนตับจะแตก ฉันรีบกลับบ้านอยู่นะ” มู่น่อนน่อนหมุนกุญแจรถอยู่ในมือ พลันเอนพิงกับรถยนต์ และใช้มือบังแสงแดดเอาไว้
สภาพอากาศสิ้นเดือนสิงหาคมมันร้อนมาก
“แม้ว่าแกหย่าขาดกับเฉินถิงเซียวแล้ว แต่แกก็เคยเป็นภรรยาของเฉินถิงเซียว รบกวนช่วยรักษาภาพพจน์หน่อย แกเสียหน้าก็เป็นเรื่องของแกไป อยากได้คิดที่อาศัยความดังของถิงเซียว และดึงเขาให้เสียหน้าไปด้วย”
เฉินจิ่งหยุ้นพูดจาอย่างเป็นจริงเป็นจน จนทำให้มู่น่อนน่อนเกือบจะเชื่อแล้วว่าเธอเป็นพี่สาวที่ดีที่รักน้องชายคนหนึ่ง
มู่น่อนน่อนหรี่ตาลง ใบหน้าประดับรอยยิ้มอยู่เล็กน้อย และพูดอย่างเนิบนาบ “สิ่งที่คุณกำลังเป็นห่วงอยู่ เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องที่เฉินถิงเซียวต้องขายหน้า แต่คุณกลัวว่าจะส่งผลกระทบมายังชื่อเสียงของตระกูลเฉินด้วย จนส่งผลกระทบมาถึงตัวคุณเองด้วยล่ะมั้ง”
เฉินจิ่งหยุ้นรีบพูดตัดบทเธออย่างด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “แกหุบปากไปเลย เรื่องของพี่น้องอย่างพวกเรา ยังไม่ถึงขั้นที่คนอย่างแกจะเสนอหน้ามาพูด!”
มู่น่อนน่อนแสยะยิ้มให้ “เหรอ? งั้นเรื่องส่วนตัวของฉัน งั้นก็ยังไม่ถึงขึ้นที่คุณจะเสนอหน้ามาพูดได้เช่นกัน”
“ถ้าแกไม่ใช่มัวแต่คอยเกาะความดังของถิงเซียวอย่างน่ารังเกียจมาโดยตลอด แกคิดว่าฉันจะยินยอมมาสนใจว่าแกจะไปอยู่กับใคร ทำอะไรที่ไหนไหมล่ะ! ผู้หญิงที่ดี ก็ต้องรักษาภาพพจน์เอาไว้บ้างถึงจะถูก”
สีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นดูหมิ่นจนเห็นได้อย่างชัดเจน
มู่น่อนน่อนไม่รู้สึกโมโหเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกขำขันมากกว่า
เธอรู้ถึงความหมายของเฉินจิ่งหยุ้นเป็นอย่างดี เฉินจิ่งหยุ้นที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะว่าทุกครั้งที่เธอตกเป็นพาดหัวข่าวก็อาศัยความดังของเฉินถิงเซียวทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งนี้ดันมาถูดถ่ายรูปในรถตอนที่กำลังจูบกันอีก จนทำให้เฉินถิงเซียวถูกคนวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา
เรื่องนี้ เธอเองก็ไม่เคยคิดเช่นเดียวกัน
แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า เธอจะยอมรับการสั่งสอนจากเฉินจิ่งหยุ้นนะ
“คุณคิดว่าคุณเป็นแม่ฉันเหรอไง? ที่ฉันทำอะไรก็แล้วแต่ต้องให้คนอย่างคุณมาคอยสั่งสอนอยู่เสมอ? ส่วนเรื่องที่ฉันไปเกาะชื่อเสียงของเฉินถิงเซียวหรือเปล่า เขารู้ดีอยู่แก่ใจ ถ้าตัวเขาไม่รู้เรื่องเขาก็มาหาฉันเอง เขาจำเป็นต้องให้คุณช่วยออกหน้าจัดการปัญหานี้แทนเขาเลยหรือไง?”
เห็นกับว่าสีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นดูย่ำแย่มากขึ้นเรื่อย ๆ การแสดงออกทางสีหน้าที่ไม่แยแสของมู่น่อนน่อนรีบเก็บอาการทันที และพูดอย่างจริงจังเล็กน้อย “ฉันเข้าใจดีว่าคุณเห็นแก่ตัว และเข้าใจดีว่าคุณชอบไปยุ่งเรื่องของชาวบ้าน ถ้าคุณยังคิดว่าตัวเองเป็นพี่สาวของเฉินถิงเซียวจริงๆ คุณก็ไปเป็นห่วงเฉินถิงเซียวให้เยอะๆ สักหน่อย”
แม้ว่าเฉินจิ่งหยุ้นเฉินถิงเซียวจะเป็นฝาแฝดกัน แต่ความสายสัมพันธ์กลับไม่ดีเอาซะเลย
คดีถูกลักพาตัวในตอนเด็ก เฉินถิงเซียวเห็นกับตาว่าแม่ของเขาถูกข่มเหงต่อหน้าต่อตา ก่อนที่คนจะเข้ามาช่วยก็ฆ่าตัวตายไปในชั่ววินาทีนั้น หลังจากนั้นแล้ว พี่สาวฝาแฝดของเขาแท้ๆ แต่กลับไม่เคยปลอบใจเขาเลยสักครั้ง แต่กลับรังเกียจเขาแทน เพราะรู้สึกว่าเขาเป็นเด็กที่นิสัยแปลกประหลาด
เฉินถิงเซียวไม่พูดถึงรายละเอียดอย่างนี้กับเธอ มู่น่อนน่อนเองก็แค่คาดเดาจากคำพูดที่เขาพูดออกมาเท่านั้นเอง
เฉินจิ่งหยุ้นเป็นคนเห็นแก่ตัวมากตั้งแต่เด็ก และรู้ดีว่าสิ่งใดที่มีประโยชน์กับตนเองอย่างชัดเจน
สำหรับน้องชายอย่างเฉินถิงเซียวคนนี้ เกรงว่าคงใช้ประโยชน์กับความรู้สึกมากกว่า
เธอเป็นลูกสาวของตระกูลเฉิน ตัวเธอเองย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าความสามารถไม่สามารถเทียบเคียงกับเฉินถิงเซียวได้ มีแค่เฉินถิงเซียวเท่านั้นสามารถบริหารบริษัทตระกูลเฉินได้เป็นอย่างดี และสามารถประคับประคองความงดงามของมหาเศรษฐีคลื่นลูกใหม่น่าจับตามองของตระกูลเฉินไว้ได้
ถือว่ามู่น่อนน่อนมองออก พวกคนในตระกูลเฉิน นอกจากเจ้าเด็กเฉินเจียฉินนั่น ความคิดของคนอื่นต่างก็เหมือนกับเฉินจิ่งหยุ้น
พวกเขาคิดว่าเฉินถิงเซียวเป็นเครื่องมือในการกอบโกยเงิน
เฉินจิ่งหยุ้นถึงกลับหน้าดำหน้าแดงกับคำพูดของเธอ “มู่น่อนน่อน แกอย่ามั่นหน้ามากนัก!”
“ฉันจะมั่นหน้าหรือเปล่า คุณย่อมรู้อยู่แก่ใจดี” มู่น่อนน่อนชูมือขึ้นและปาดเม็ดเหงื่อบริเวณหน้าผากของตนเองทันที จนเหงื่อมันไหลเต็มมือ
อุณหภูมิกลางแจ้งสูงมาก เธอเพิ่งจะยืนขึ้นไม่กี่นาทีเอง เหงื่อก็ผุดออกมาตั้งมากมาย
“ฉันขอตัวก่อน” เธอกับเฉินจิ่งหยุ้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันมาอีกแล้ว เลยเปิดประตูรถและขึ้นรถทันที
ตอนที่เธอขับรถผ่านด้านข้างของเฉินจิ่งหยุ้นไปนั้น เลยสังเกตเห็นสีหน้าหม่นหมองของเฉินจิ่งหยุ้น
ดูแบบนี้แล้ว ช่างละม้ายคล้ายคลึงเฉินถิงเซียวมาก
ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องฝาแฝดกัน ทั้งสองคนหน้าตาเหมือนกันมาก แถมนิสัยก็ไม่ทิ้งห่างกันเลย
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนขับรถกลับไปนั้น ก็เห็นว่าใต้ตึกของอพาร์เม้นท์ของตนเองก็มีรถหรูมาจอดหนึ่งคัน
เธอจัดการจอดรถไว้เรียบร้อยแล้ว พลันชำเลืองมองไปที่รถหรูคันนั้นครั้งหนึ่ง ก้นบึ้งหัวใจเต้นโครมคราม รถหรูหราขนาดนี้มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่ลูกบ้านที่พักอยู่ที่นี่ คงไม่ใช่ว่ามาหาเธอใช่ไหมเนี่ย?
ตอนที่เธอปลดเข็มขัดนิรภัยออกและลงจากรถ คนที่อยู่บนรถหรูคันนั้นก็เปิดประตูลงจากรถเช่นเดียวกัน
มู่น่อนน่อนหยุดเท้าอยู่กับที่ และหันไปมองคนที่ลงจากรถคันนั้น
ผู้ชายที่ลงจากรถ ใส่เสื้อผ้าสีดำทั้งชุด แถมเรียกเธออย่างอ่อนโยน “น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนตะลึงเล็กน้อย และตอบกลับไป “คุณชายซือมาหาฉันมีธุระอะไรเหรอ?”
สีหน้ามู่น่อนน่อนทำหน้าระแวดระวัง ซือเฉิงหยู้มาหาเธอทำไมกัน?
วันนี้ช่างเป็นวันพิเศษมากสำหรับเธอเลยจริงๆ ตอนแรกก็ถูกนักข่าวรุมล้อม จากนั้นก็เฉินจิ่งหยุ้น สักพักก็มาเจอซือเฉิงหยู้เข้าอีก
คนพวกนี้เขาเลือกวันมาหาเธอได้อย่างพร้อมเพรียงกันจริงๆเหรอเนี่ย?
ซือเฉิงหยู้ใช้หลังฝ่ามือเปิดประตูรถ จากนั้นก็เดินตรงดิ่งมาอยู่ตรงด้านหน้าของมู่น่อนน่อนทันที น้ำเสียงดูจริงจังมาก “คุณไม่ต้องระมัดระวังขนาดนั้นเลย วันนี้ที่ผมมา มีธุระให้คุณช่วยหน่อย”
“ขนาดราชาภาพยนตร์ซือยังไม่ได้รับความยุติธรรม แล้วคุณคิดว่าฉันจะสามารถช่วยสร้างความยุติธรรมให้คุณได้ไหมเนี่ย?” มู่น่อนน่อนถอยหลังไปสองก้าวตามสัญชาตญาณ
คำพูดคำจาอันเสียดสีของมู่น่อนน่อน แต่ซือเฉิงหยู้ไม่ได้สนใจสักนิดเลย
เขาถอนหายใจออก และพูดว่า “พ่อของผมเสียชีวิตไปแล้ว เสี่ยวฉินก็เสียใจมาก เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่คนเดียว ผมหวังว่าถ้าคุณมีเวลา ก็สามารถไปคุยเป็นเพื่อนกับเขาหน่อย”
มู่น่อนน่อนตะลึงทันที
ซือหมิงหวนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ความจริงแล้วในใจเธอนั้นก็ยังเป็นห่วงเฉินเจียฉินอยู่บ้าง
เธอไม่คิดเลยว่าซือเฉิงหยู้จะมาหาเธอเองเลย
“คุณเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเขานี่ มีคุณอยู่เป็นเพื่อนด้วยก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ” แม้ว่าในใจของเธอนั้นรู้อยู่แก่ใจว่าซือเฉิงหยู้กับเฉินเจียฉินนั้นไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกันจริงๆ แต่ก็ต้องพูดแบบนี้ออกมา
ซือเฉิงหยู้ส่ายหน้าไปมา “จุดประสงค์หลักของผมในวันนี้ มีแค่เรื่องของเสี่ยวฉิน คุณไม่ต้องหวั่นไหวมากเกินไป ผมรู้ว่าคุณกับเสี่ยวฉินมีความสนิทสนมกัน ถึงได้ตั้งใจมาคุณ”
มู่น่อนน่อนลองประเมินซือเฉิงหยู้อยู่สักพัก พร้อมทั้งไม่เห็นสีหน้าที่แสดงความผิดปกติออกมาทางสีหน้าของเขาเลยจริงๆ จึงได้พยักหน้าและพูดตอบ “ไว้วันอื่นฉันจะไปหาเขา”
มู่น่อนน่อนมองลงด้านล่างไปเรื่อย ๆ ก็เห็นว่ารูปภาพประกอบที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งเป็นรูปเมื่อวานที่เธอกับเฉินถิงเซียวจูบกันอย่างดูดดื่มอยู่ในรถ
เวลานั้นเองเธอรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวจูบเธออย่างดุดัน แต่ตอนนี้พอมาเห็นรูปแล้ว ถือว่า…มันดูหนักหน่วงดุดันจริงๆ
เสิ่นเหลียงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเธอเมื่อเห็นว่าเธอนั้นได้เห็นรูปภาพแล้ว ถึงกลับถอนหายใจทันที “แกบอกความจริงกับฉันมา แกกับบอสใหญ่เลิกกันตอนไหนเหรอ? หรือว่าไม่ได้เลิกกันเลย? ถ้าพวกแกไม่ได้เลิกกันแกทำแบบนี้มันก็เกินเหตุไปแล้วนะ!”
มู่น่อนน่อนโดนเธอพูดใส่ถึงกลับอึ้งกิมกี่ “เราไม่ได้เลิกกัน”
เสิ่นเหลียงที่ได้ยินเธอพูดออกมาเช่นนี้ เลยใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะอาหารเสียงดังลั่น แถมแสดงอากัปกิริยาที่ไม่อยากจะเชื่อ “พวกแกไม่ได้เลิกกันแล้วแกดันมาทำเรื่องแบบนี้อีก จนถูกพวกสื่อฯถ่ายรูปมา นี่แกไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้วใช่ไหม!”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเสิ่นเหลียงเข้าใจเรื่องนี้ผิดไปเยอะเลย จึงเตรียมอธิบายให้เธอฟัง “ไม่ใช่นะ ความหมายของฉันคือ…”
เสิ่นเหลียงยื่นมือออกมาและทำมือโบกปฏิเสธต่อหน้าเธอ เพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่าเธออย่าได้อธิบายอีกเลย และพูดแทรกคำพูดของเธอแทน “เรื่องนี้มันออกข่าวไปแล้ว บอสใหญ่ตอนนี้ก็คงรู้เรื่องแล้ว แกก็รีบจัดการเก็บของ และรีบหนีให้รอดชีวิตไปเถอะ”
มู่น่อนน่อน “….”
เสิ่นเหลียงเห็นว่าเธอไม่ได้มีอาการขยับเขยื้อนใด เลยไม่ลืมที่จะเร่งรัดเธอ “รีบไปเร็ว ยังจะมามัวอึ้งอยู่อีกทำไมกัน?”
“ผู้ชายคนนี้ก็คือเฉินถิงเซียว” มู่น่อนน่อนยกมือขึ้นเพื่อท้าวหน้าผากของตนเองเอาไว้ และหลุบตาลงเพื่อมองคอมเม้นท์ที่เขียนอยู่ในโทรศัพท์
ในคอมเม้นท์ต่างพูดกันไปต่างๆ นานา มีสีสันเป็นอย่างมาก
“ดูสไตล์จากเสื้อผ้าที่ชายคนนี้ใส่ น่าจะยังอายุน้อยมาก อาจจะเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ก็เป็นได้”
“หาเด็กอายุน้อยขนาดนี้ ก็คงเอามาเยาะเย้ยเฉินถิงเซียวละมั้ง?”
“พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ผู้หญิงนั่นกับคุณชายเฉินคนนั้นตกลงว่าทำไมถึงหย่ากันล่ะ? เป็นเพราะว่าผู้ชายทำไม่ไหวเหรอ?”
รีโพสต์แรก “ตรงนี้มีคนซื่อสัตย์อยู่ด้วย ทุกคนมารุมเขาเร็ว”
รีโพสต์อันที่สอง “คนปกติที่ไม่เคยออกสื่อต่อสายตาประชาชนมาตั้งสิบกว่าปี แถมยังอนุญาตให้คนอื่นพูดถึงเข้าด้วย คุณชายเฉินนี่ต้องประสาทไปแล้วแน่….”
รีโพสต์อันที่สาม “ฮ่า ๆ ๆ เจ้าของกระทู้ยังกล้าจะพูดอีก เดี๋ยวไม่เกินสามวินาทีทางฝั่งตระกูลเฉินก็ออกมาประกาศศึกแน่”
“เฮ้อ …” มู่น่อนน่อนถอนหายใจออกมา คนเหล่านี้ประสาทกันไปแล้ว!
ต่างมีข่าวลือถึงเฉินถิงเซียวหนาหูมาโดยตลอด “ทั้งหน้าตาขี้เหร่และไม่มีมนุษยธรรม” ซึ่งมันไม่เป็นความจริงเลยสักนิด ตอนนี้ก็ถูกคนเหล่านี้เอาพูดกันสนุกปาก
มู่น่อนน่อนกำลังจะตอกกลับคนเหล่านี้นั้น โทรศัพท์ก็ถูกเสิ่นเหลียงแย่งคืนกลับไปทันที
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็มองโทรศัพท์ที่เสิ่นเหลียงชูขึ้นแกว่างด้านหน้าของเธอ “น่อนน่อนแกมองมองให้ชัดๆ นะ หมวกแก๊ป เสื้อสเวตเตอร์ฮู้ดสีเขียว นี่มันเป็นสไตล์การแต่งตัวของบอสใหญ่เหรอไง? นอกจากใส่เสื้อผ้าสีดำ สีขาว หรือสีเทา ฉันก็ไม่เคยเห็นเขาใส่เสื้อผ้าสีอื่นเลย นี่แกเกลี้ยกล่อมใครกันอยู่!”
ความจริงแล้ว ตอนที่เธอเห็นเฉินถิงเซียวในเวลานั้น ผ่านไปนานสักพักยังตั้งสติไม่ได้เลย
มู่น่อนน่อนยักไหล่ให้ และพูดกลับอย่างไม่ยี่ระ “งั้นต้องทำยังไงถึงจะเชื่อว่า ผู้ชายคนนั้นคือเฉินถิงเซียว? งั้นฉันพาแกไปพิสูจน์ต่อหน้าเขาเลยเอามั้ย?”
แม้ว่าเสิ่นเหลียงจะไม่ค่อยเชื่อว่าคนที่อยู่ในรูปคือเฉินถิงเซียว แต่เธอเชื่อมั่นในตัวของมู่น่อนน่อน
“บอสใหญ่จริงๆ เหรอ?”
“จริงสิ”
เมื่อเห็นน้ำเสียงและการแสดงออกของมู่น่อนน่อนหนักแน่นเต็มเปี่ยม เสิ่นหยางถึงพยักหน้าให้ “’ งั้นได้ เชื่อแกแล้ว”
“แต่ ทำไมเขาถึงแต่งตัวแบบนั้นล่ะ?”
“เมื่อวานนี้เขาเพิ่งจะบินกลับมาจากเมืองM และก็ไปหาฉันที่สตูดิโอ ซิตี้ แต่กลัวว่าจะถูกแอบถ่ายและไม่อยากให้มันยุ่งยาก เลยจัดการแต่งตัวแบบนั้นไป” แต่ผลที่ได้คือการแต่งตัวแบบนั้นไปยิ่งทำให้วุ่นวายหนักกว่าเดิมเสียอีก
เสิ่นเหลียงได้ยินแล้ว รีบเสนอและถามกลับทันที “งั้นแกมีรูปอยู่ไหม?”
มู่น่อนน่อนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “มีสิ”
มันยากมากที่จะเห็นเฉินถิงเซียวแต่งตัวออกมาแบบนี้ ยังไงก็ต้องถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกเสียหน่อย
เมื่อวานตอนกลับมาที่อพาร์ทเม้นนั้น ตอนที่ทั้งสองคนกำลังรอลิฟต์อยู่นั้น มู่น่อนน่อนก็แอบถ่ายรูปอยู่หลายใบ
เธอเปิดค้นหารูปภาพเพื่อเอาให้เสิ่นเหลียงดู
เสิ่นเหลียงมองดูรูปภาพแล้ว ได้แต่ส่ายหน้าไปมา “ฉันรู้สึกก็นะ บอสใหญ่มีนิสัยที่หนักแน่นเกินไป อย่าพูดว่าใส่เสื้อสเวตเตอร์มีฮู้ดเลย ฉันรู้สึกว่าเขาใส่เสื้อผ้าชุดสีชมพูลายกระต่าย ก็ยิ่งทำให้คนตกใจมากเลยแหละ”
“ไม่มั้ง อันนี้มันน่ารักจะตาย” มู่น่อนน่อนรีบแย่งโทรศัพท์กลับมา แถมพูดอย่างไม่พอใจอีก
เสิ่นเหลียงส่งเสียง “ยี้” ออกมา และยักไหล่ตามอย่างเกินเหตุ “ขนหัวลุกไปทั้งตัวแล้ว”
ทั้งสองคนนั่งดื่มน้ำชาเสร็จแล้วและออกมาจากร้านมาพร้อมกัน ก็เห็นบรรดานักข่าวกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไกลนักวิ่งมุ่งหน้าเข้ามาหา เป้าหมายก็เห็นได้อย่างชัดเจนมาก นั่นคือการวิ่งพุ่งเข้ามาหามู่น่อนน่อนนั่นเอง
มู่น่อนน่อนอึ้งอยู่แวบหนึ่ง จากนั้นก็ดึงเสิ่นเหลียงให้กลับเข้าไปด้านในของร้านอาหาร
“เสี่ยวเหลียง แกออกไปทางอีกประตูหนึ่ง เป้าหมายของพวกเขาคือฉัน”
เสิ่นเหลียงถามเธอกลับ “แกล่ะ?”
“ฉันยังหลบได้อยู่น่าจะหลบได้ไม่ถึงสิบห้านาที ในร้านคงไม่ยอมอยู่เฉยไม่ออกมาช่วยหรอก แกรีบไปก่อนเลย”
เสินเหลียงพยักหน้า จากนั้นก็ดึงหมวดลง จากนั้นก็ออกไปอีกประตู
เธอเพิ่งจะก้าวเท้าออกไปหยก ๆ พวกนักข่าวก็กรูตามหลังเข้ามาทันที
มู่น่อนน่อนนั่งลงบนโซฟา กลุ่มนักข่าวเหล่านั้นก็พุ่งตัวมาอยู่ด้านหน้าของเธอ
จนไมโครโฟนจะทิ่มหน้าของเธออยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วทันที และเอนศีรษะหนีเล็กน้อย “ตอนนี้ฉันก็หนีไปไหนไม่ได้แล้ว พวกคุณถอยหลังไปนิดหนึ่งได้ไหม เดี๋ยวถ้ามีทำให้หน้าฉันเสียหายใครจะเป็นคนออกค่าผ่าตัดทำหน้าให้ฉัน?”
คำพูดของมู่น่อนน่อนไม่มีการเกรงใจสักนิด นักข่าวพวกนั้นทำได้แค่ถอยหลังไปเล็กน้อย
“คุณมู่ ในข่าวผู้ชายที่อยู่กับคุณบนรถ เป็นแฟนใหม่ของคุณใช่ไหม?”
“ตอนนี้พวกคุณพัฒนาไปถึงขั้นไหนกันแล้ว?”
“ก่อนหน้านี้คุณยังคิดจะกลับไปคืนดีกับคุณชายเฉินไหม? หรือเป็นเพราะว่าคุณชายเฉินปฏิเสธคุณ คุณด้วยเสียใจเศร้าโศก เลยออกไปหาแฟนหนุ่มคนใหม่ทันทีเลย?”
“สามารถบอกเรื่องของแฟนหนุ่มคนใหม่ได้บ้างไหม?”
คำถามของนักข่าวถามกันมาเป็นชุด ทุกคำถามต่างพุ่งมาที่มู่น่อนน่อนอยู่เรื่อย ๆ
มู่น่อนน่อนนั่งกอดอก และเลิกคิ้วตอบ “เรื่องของแฟนหนุ่มทำไมฉันต้องบอกพวกคุณด้วย คุณอยากจะขุดคุ้ยเรื่องคนในครอบครัวของฉันเหรอ?”
“คุณมู่ รบกวนคุณช่วยตอบคำถามของผมที่ ว่าตอนนี้คุณตัดสินใจแล้วใช่หรือไม่ในการจะล้มเลิกความคิดในการกลับไปคืนนี้กลับคุณชายเฉิน?”
มู่น่อนน่อนเปลี่ยนเป็นเอนหลังพิงให้สบายกว่าเดิม จากนั้นก็ตอบคำถามอย่างเป็นกันเอง “คุณคิดว่ายังไงล่ะ?”
“คุณมู่ คุณไม่ยอมตอบคำถามที่แน่ชัด หรือว่านี่คุณจะเป็นการบอกว่ายังไม่ล้มเลิกความคิดกับคุณชายเฉิน ส่วนผู้ชายคนที่อยู่รถและจูบกันคุณนั้น เป็นแค่ตัวสำรองของคุณใช่ไหม?”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นและมองหน้านักข่าวคนที่ถาม “รถผุพังเท่านั้นแหละที่จำเป็นต้องมีล้อสำรอง คุณอยากจะด่าฉัน หรือว่าอยากจะด่าคุณชายเฉินกันแน่?”
สีหน้านักข่าวคนนั้นถึงกับนิ่งไปทันที เรื่องนี้ไปดึงคุณชายเฉินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เกิน เขารีบอธิบายทันควัน “ไม่ใช่ครับ คุณมู่ความหมายของผมคือ….”
“ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้คิด” มู่น่อนน่อนแสดงสีหน้ายิ้มให้เล็กน้อย “ขอบคุณพวกคุณทุกคนมาที่สนใจในตัวฉันมาตลอด ฉันจะพยายามต่อไป แต่ฉันหวังว่าทุกคนจะสนใจในตัวผลงานของฉันมากกว่า”
นักข่าวต่างมองออกว่ามู่น่อนน่อนไม่ใช่คนหัวอ่อน และไม่สามารถที่จะบีบเคล้นกันง่ายดายขนาดนั้น คำถามต่อจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเรื่องปกติไปแทน
มู่น่อนน่อนตอบคำถามของพวกเขาอย่างมากประสบการณ์และเฉียบขาด ส่วนใหญ่แล้วเป็นการหลีกเลี่ยงได้อย่างชาญฉลาด
เธอยอมรับว่าผู้ชายที่เธอจูบในรถเป็นแฟนหนุ่ม แต่ก็ระวังมากเป็นพิเศษและไม่ได้ยอมรับว่าเป็น “แฟนหนุ่มคนใหม่”
เฉินถิงเซียวจะไปสนใจอะไรกับหลักฐานของกู้จือหยั่น เขารีบตัดสายทิ้งทันที
แต่กู้จือหยั่นก็ไม่ได้ตายใจไปง่ายๆ แบบนี้
แม้ว่าเฉินถิงเซียวจะกดดันเขามาตลอดก็ตาม แต่ในทุกปีช่วงสิ้นปีจ่ายเงินโบนัส เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้สนใจเขาเลย
เมื่อพุ่งมาประเด็นนี้ แม้ว่าเฉินถิงเซียวไม่มีมนุษยธรรม เขาก็ยังคิดว่าเฉินถิงเซียวเป็นพี่น้องของเขาอยู่ดี
เฉินถิงเซียวเพิ่งเดินมาถึงห้องทำงานและนั่งลง ก็มีเสียงข้อความแจ้งเตือนดังขึ้นมาจากโทรศัพท์
เฉินถิงเซียวชำเลืองมอง ก็เห็นว่าคนที่ส่งมานั้นคือกู้จือหยั่น เลยขี้เกียจจะไปกดดูว่ากู้จือหยั่นส่งอะไรมาหาเขา พลันโยนไปทางด้านข้างไปแยแส และเริ่มลงมือทำงานทันที
กู้จือหยั่นรออยู่นานก็ไม่เห็นข้อความหรือเฉินถิงเซียวโทรหาเขากลับ เลยเดาได้ว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้อ่านข่าวที่เขาส่งไปให้แน่
กู้จือหยั่นยังไม่ยอมลดละเลยจัดการโทรศัพท์หาสือเย่ทันที
สือเย่ที่กำลังกดปรินซ์งานอยู่หนึ่งฉบับนั้น ก็กดรับสายและถามกลับทันที “ประธานกู้ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”
“เดี๋ยวผมจะส่ง Linkไปให้นายทาง Wechat นะ นายเปิดดูแล้วเอาไปให้เฉินถิงเซียวดูที แต่ว่านายต้องทำให้เขาสงบสติอารมณ์ให้ได้นะ”
“อะไรนะครับ?” สือเย่ฟังความหมายที่กู้จือหยั่นพูดออกมาแบบไม่เข้าใจเลยสักนิด
ตอนที่เขาจะถามกลับนั้น โทรศัพท์ก็มีเสียงกดตัดสายไปแล้ว สือเย่ตอบกลับ “ฮัลโหล” ไปสองครั้ง จากนั้นก็กดวางสายและไปดูข้อความใน Wechat แทน
ข้อความออนไลน์ใน Wechat เห็นได้ชัดว่าเป็นข่าวที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน ประจวบเหมาะกับกู้จือหยั่นที่เป็นคนเข้ามาพอดี
สือเย่กดเปิดอ่าน ก็เห็นว่าเป็น Link หนึ่ง
จากนั้น กู้จือหยั่นก็ส่งข้อความมาสองข้อความ
“ต้องให้เฉินถิงเซียวดูให้ได้”
“ต้องทำให้เขาสงบสติอารมณ์ไว้ให้ได้!”
สือเย่สับสนอยู่ในใจ เรื่องอะไรกันที่ทำให้กู้จือหยั่นจริงจังถึงเพียงนี้
สือเย่เปิดดูมองผ่านๆ ก็เห็นพาดหัวข่าวตัวหนามาก จนเขาอดไม่ได้ที่จะกระดกมุมปากขึ้น
“สงสัยว่าอดีตภรรยาเก่าของคุณชายเฉินมีแฟนใหม่ และจูบกันอย่างดูดดื่มในรถยนต์”
เมื่อมองด้านล่างแล้ว ก็มีรูปภาพประกอบอีกหลายรูปด้วย
ในรูปมีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังจูบกันอย่างดูดดื่มอยู่ในรถยนต์
ชายหนุ่มใส่เสื้อสเวตเตอร์มีฮู้ดสีเขียว ใส่หมวกแก๊ปจนปิดบังมองไม่เห็นใบหน้า ใบหน้าด้านข้างของผู้หญิงมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นมู่น่อนน่อน
สือเย่คุ้นชินกับคนสองคนนี้มา พอเห็นเข้าก็จำได้ว่าคนที่อยู่ในรูปคือมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวอย่างแน่นอน
เสื้อผ้าที่เฉินถิงเซียวสวมใส่นั้น เมื่อวานนี้เขาเป็นคนลงไปช่วยเฉินถิงเซียวเลือกเองกับมือ แถมยังใส่พอดีตัวเป๊ะ
สือเย่หยิบโทรศัพท์และเดินเข้าไปหาเฉินถิงเซียวทันที
เขายืนเคาะประตูด้านหน้าห้องทำงานของท่านประธาน
พลันมีเสียงสุขุมของเฉินถิงเซียวดังออกมาจากด้านใน “เข้ามา”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาคือสือเย่ พลันขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีเรื่องอะไร?”
“คือมีเรื่องบางอย่าง ที่ต้องการให้คุณดูสักหน่อยครับ” สือเย่พูดไปด้วย พร้อมทั้งเอาโทรศัพท์ของตนเองยื่นมาทางด้านหน้าของเฉินถิงเซียว
เนื้อหาที่แสดงอยู่ในโทรศัพท์นั้น เป็นรูปภาพที่มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวกำลังจูบกันอย่างดูดดื่มอยู่ในรถยนต์
เฉินถิงเซียวมองลงด้านล่าง ก็เห็นพาดหัวข่าวอย่างชัดเจน
เฉินถิงเซียวแสยะยิ้มให้อย่างเย็นชา “อดีตภรรยาของคุณชายเฉิน?”
เขากับมู่น่อนน่อนตอนนี้ก็เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ช่วงนี้ข่าวที่เขียนในโลกอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นข่าวเกี่ยวกับมู่น่อนน่อน ส่วนใหญ่แล้วก็จะพาดหัวเอาไว้ว่า “อดีตภรรยาของคุณชายเฉิน”
สือเย่ที่ยืนอยู่ด้านข้างถามกลับทันที “คุณชาย คุณว่าจะจัดการอย่างไรดี?”
ผ่านไปแวบเดียว น้ำเสียงของฉินถิงเซียวก็ดังขึ้นมา “ต่อไปฉันไม่อยากเห็นพาดหัวข่าวที่เกี่ยวกับมู่น่อนน่อน ที่เขียนว่าอดีตภรรยาของฉันให้มันแทงตาแบบนี้”
สือเย่ “….”
หรือว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การแก้ข่าวให้ถูกต้อง หรือว่าเป็นการเก็บข่าวพวกนี้เอาไว้ใช่ไหม?
สือเย่ยังคิดไม่ออกว่าต้องพูดอะไรดี โทรศัพท์ของเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้นมาทันที
เฉินถิงเซียวชำเลืองมอง ก็เห็นว่าเป็นกู้จือหยั่นเจ้าหมอตัวแสบนั่น
เขาคิดถึงคำพูดที่กู้จือหยั่นพูดกับเขาไว้ก่อนหน้านี้ ก็เกาได้ว่ากู้จือหยั่นเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว
เมื่อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็ยังคงกดรับสายโทรศัพท์ทันที
แต่พอกู้จือหยั่นรับโทรศัพท์แล้ว ก็รีบพูดดักหน้าเขาไว้ทันที พร้อมทั้งพูดปลอบใจเขาด้วย “ถิงเซียว นายก็อย่าโกรธให้มากนักเลย ระยะนี้ก็มีคำพูดหนึ่งที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในโลกออนไลน์ คืออยากจะใช้ชีวิตให้ผ่านไปให้ได้ งั้นก็ทำให้เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ซะ เรื่องพรรค์นี้….”
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้กดตัดสายเขาทิ้ง ทำได้แค่กำชับสือเย่เอาไว้ “ตอนนี้ช่วยไปนัดผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมองให้กับกู้จือหยั่นหน่อย หาที่ดีที่สุดมาเลยนะ”
เสือเย่ไม่คัดค้านกับคำสั่งของฉินถิงเซียวเลย เขาคลี่ยิ้มออก “ครับ….”
กู้จือหยั่นเองก็ได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียวด้วย
เขาเหมือนกำลังบ้าคลั่งอยู่ปลายสาย “เฉินถิงเซียว รูปนั่นฉันให้คนไปตรวจสอบมาแล้ว มันไม่ได้แต่งเลยนะ ทำไมนายถึงไม่เชื่อฉันล่ะ? นี่นายไปโดนคุณไสยตัวไหนมาเหรอ”
“นายนั่นแหละที่ถูกคุณไสยมา” เฉินถิงเซียวกดตัดสายทันที จากนั้นก็จัดการบล็อกเบอร์โทรศัพท์ของกู้จือหยั่นทันที
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนกำลังจะออกจากบ้านนั้น ก็รับโทรศัพท์ของเสิ่นเหลียงของ “มาชาชาตอนเช้ากันหน่อยนะ”
“ตอนนี้แกมีเวลาเหรอ? ฉันสะดวกหมด” ประเด็นสำคัญคือเสิ่นเหลียงยุ่งกว่าเธอมาก เวลาของเธอดูมีอิสระมากอยู่หน่อย ดังนั้นแค่เสิ่นเหลียงต้องการจะนัดเธอ เธอก็เลยจัดเวลาทันที
เสิ่นเหลียงตอบกลับมา “มีสิ”
ทั้งสองคนนัดไปเจอกันร้านชาที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักของมู่น่อนน่อนนัก
ตอนที่มู่น่อนน่อนเดินเข้ามานั้น เสิ่นเหลียงยังมาไม่ถึง เธอรออยู่ประมาณสิบกว่านาที เสิ่นเหลียงปรากฏตัวขึ้นและใส่แว่นตากันแดดสีดำพร้อมทั้งหมวกแก๊ปปิดหน้า
รอจนเธอนั่งลง มู่น่อนน่อนก็เอ่ยปากถามเขา “ทำไมจู่ ๆ ถึงได้นัดฉันมาดื่มชาในตอนเช้าล่ะ?”
เสิ่นเหลียงที่ไม่มีงานทำสามารถนอนได้ทั้งวัน และไม่ตื่นแต่เช้าเพื่อมานัดเธอให้ออกมาดื่มชาในตอนเช้าแบบนี้
“ช่วงนี้แกอะไรนะ ยังดีกับบอสใหญ่อยู่ไหม?” การแสดงออกของเสิ่นเหลียงดูแปลกอยู่บ้าง
มู่น่อนน่อนย่อมจับสังเกตได้ถึงน้ำเสียงแปลกพิกลของเสิ่นเหลียง และตอบกลับ “เราสองคนก็ยังอยู่ดีกันอยู่นะ”
เสิ่นเหลียงดูไม่เชื่อจนเห็นได้ชัด “เหรอ?”
“อื้อ” มู่น่อนน่อนพยักหน้าให้ และใช้สายตาประเมินเสิ่นเหลียงอย่างไม่แสดงอาการ
เสิ่นเหลียงทำท่าอย่างรู้อย่างเห็นแค่นั้น ราวกับอยากจะพูดอะไรออกมาแต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี
มู่น่อนน่อนไม่ค่อยชินกับการแสดงออกแบบนี้ของเสิ่นเหลียงเลย พลางเม้มริมฝีปากและพูดออกมา “พอแล้ว มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เลยนะ มัวแต่อ้ำ ๆ อึ้งๆ อยู่มันดูอึดอัดชะมัด”
“งั้นฉันพูดตรงๆ เลยนะ!” เสิ่นเหลียงนั่งตัวตรงอย่างเกินเหตุ จนตัวตรงแน่ว พลันพูดออกมาโดยที่ไม่หายใจเลยด้วยซ้ำ “แกกับบอสใหญ่เลิกกันแล้วและไปมีผู้ชายคนอื่นแต่กลับไม่ยอมบอกฉัน!”
มู่น่อนน่อนถึงกลับเบลอไปชั่วขณะ ถึงได้จับประเด็นของประโยคนี้ได้ “ฉันเลิกกับเฉินถิงเซียว? แล้วไปมีผู้ชายคนอื่นเหรอ?”
“ใช่!” การแสดงออกของเสิ่นเหลียงช่างเคร่งขรึมมาก “อาศัยที่ฉันมีประสบการณ์เคยนอนเตียงเดียวกันกับแกมาแล้ว แถมยังเป็นเพื่อนสนิทที่เคยใส่เสื้อผ้าชุดเดียวกัน แถมยังมาได้ข่าวความสัมพันธ์ของแกในช่วงนี้จากสื่ออีกด้วย ฉันรู้สึกเสียใจมากนะ”
เมื่อเห็นหน้าตาถือโทษโกรธความแถมพูดด้วยหน้าตาขึงขัง มู่น่อนน่อนก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “แกไปฟังใครเขาพูดมา? ข่าวอะไรที่เขียนออกมาแบบนี้ได้นะ? ฉันจะไปฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทกลับ”
สีหน้าไร้ความรู้สึกของเสิ่นเหลียงควานหาโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วยื่นให้ตรงด้านหน้าของมู่น่อนน่อน “ดูเองเลย”
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เมื่อชำเลืองมองแล้ว ถึงกลับตกตะลึงทันที
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองมาทางเสิ่นเหลียงอย่างตกตะลึง “พาดหัวข่าวเขียนว่าฉันมีแฟนใหม่ แถมยังจูบดูดดื่มอยู่ในรถอีกเหรอเนี่ย?”
“ด้านหลังยังมีรูปอยู่” เสิ่นเหลียงนั่งกอดอก พร้อมตีหน้าเย็นชาใส่
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็หันหน้ากลับไปทำอาหารต่อ
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปหา จากนั้นก็กอดเธอจากทางด้านหลัง ตอนที่พูดออกมาก็มีลมหายใจอุ่นๆ พ่นรดบนกระหม่อมของเธอด้วย “ทำของอะไรอร่อยๆ เหรอ?”
“ของชอบคุณทั้งหมดเลย” มู่น่อนน่อนที่ถูกเขากอดอยู่ จนทำให้ขยับตัวไม่ถนัด เลยใช้ข้อศอกในการกระทุ้งเขาเล็กน้อย “ปล่อยนะ อย่ามาเกะกะตอนฉันทำกับข้าวอยู่สิ”
มันช่างยากมากกับการที่เฉินถิงเซียวจะเชื่อฟังจนยอมปล่อยมู่น่อนน่อน และมองเธอทำกับข้าวอยู่ด้านข้าง
เขาหันศีรษะออกไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ตอนที่เพิ่งมาก็รีบร้อนมาก เลยไม่ได้สนใจเรื่องเวลาเลย
เมื่อเขากลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อดูนาฬิกา ก็เห็นว่าหนึ่งทุ่มกว่าไปแล้ว
นี่เขานอนขนาดนี้เลยเหรอ
พอตอนเดินกลับมาที่ห้องครัว มู่น่อนน่อนก็หยิบชามเตรียมตักข้าวแล้ว
เฉินถิงเซียวหยิบเอากับข้าวหลายอย่างที่วางอยู่ตรงอ่างล้างหน้าจัดวางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็กลับเข้าไปในห้องครัวเพื่อยกข้าวออกมา
ก่อนที่มู่น่อนน่อนจะมานั่งลงที่โต๊ะอาหารนั้น ก็อดไม่ได้จนต้องแอบอมยิ้มขึ้นมา
“หัวเราะอะไร?” เฉินถิงเซียวเหลือกตาขึ้น มองมาทางเธอ
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ก็แค่รู้สึกว่าตอนนี้คุณเป็นพ่อบ้านมาก”
เฉินถิงเซียวเกิดอาการไม่พอใจกับคำพูดคำจาของเธอเลย “เมื่อก่อนผมไม่เป็นพ่อบ้านเหรอไง? ”
เมื่อก่อน?
เมื่อก่อนเฉินถิงเซียวเป็นคุณชายเต็มขั้น หยิ่งจองหองที่สุดเลย
ตอนที่พวกเขาอยู่ที่วิลล่านั้น เขาเคยเข้ามาในห้องครัวเมื่อไหร่กัน
มู่น่อนน่อนได้แต่เม้มริมฝีปากและยิ้มตรงมุมปาก ไม่ยอมตอบกลับ
เพราะให้เธอไปพูดจาโกหกมดเท็จ มันก็เป็นไปไม่ได้
เฉินถิงเซียวส่งเสียงงึมงำในลำคอ และเริ่มกินข้าวทันที
……
ช่วงโพล้เพล้งีบหลับไปสักพัก พอตกค่ำ มู่น่อนน่อนก็เกิดอาการนอนไม่หลับ
เธอนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงอยู่สักพัก จากนั้นก็ถามเฉินถิงเซียวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่เขาอยู่ที่เมืองM
“พวกของเสี่ยวฉินจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอคะ?” เฉินถิงเซียวพูดไว้ก่อนแล้ว ว่าเขาจะกลับมาก่อนคนอื่น
เฉินถิงเซียวยื่นมือออกไปโอบเธอเข้าสู่อ้อมอก “ออกเดินทางวันนี้ พรุ่งนี้ก็มาถึงแล้ว”
“เรื่องพ่อของเขา มันเป็นแค่อุบัติเหตุจริง ๆ ใช่ไหม?” มู่น่อนน่อนก็เหมือนกับเฉินถิงเซียว ที่ยังคงสงสัยในเรื่องนี้
เฉินถิงเซียวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งมาแบบนี้”
มู่น่อนน่อนได้ยินน้ำเสียงที่มีความหมายเป็นอื่น เลยถามกลับ “แล้วคุณล่ะ? คุณคิดเห็นยังไง?”
“แล้วคุณรู้สึกว่าผมจะคิดเห็นอย่างไรล่ะ?” เฉินถิงเซียวก้มหน้าลง พลันยื่นมือออกมาบีบปลายจมูกของมู่น่อนน่อนเอาไว้
มู่น่อนน่อนปัดมือของเขาออก แต่เขากลับใช้นิ้วมือปีดขนตาของเธอ พลางถอนหายใจออกมา “ยาวขนาดนี้เชียว?”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ลืมตา พลันหรี่ตาเพื่อหลบหลีกมือของเขา “คุณยาวกว่า ไปเล่นของตัวเองเลยไป”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเริ่มหยอกล้อเล็กน้อย “ตรงไหนยาวเหรอ?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตนเองถูกเฉินถิงเซียวทำให้เสียนิสัยไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่เป็นประโยคที่ฟังแล้วก็ไม่มีอะไรสองแง่สองง่าม แต่พอเธอฟังในสิ่งที่เขาพูดออกมามันกลับไปเป็นแบบนั้นไปเสียนี่
เฉินถิงเซียวเอนตัวลง เพื่อจ้องมองเธอ และถามกลับอย่างจริงจัง “ไม่ยอมพูดแล้วเหรอ? คุณกำลังคิดอะไรอยู่ ผมแค่พูดว่าขนตาของผมยาวไม่เท่าคุณเท่านั้นเอง….”
มู่น่อนน่อนกดเขาลงเตียงนอนทันที “นอนเลย!”
“รุนแรงขนาดนี้เลย”
“ยังมีรุนแรงกว่านี้อีก หรือคุณจะไปนอนบนโซฟา” หน้าด้านชะมัด!
เหมือนว่าเฉินถิงเซียวกำลังต่อปากต่อคำกับเธอ และพูดออกมาเฉยเมย “ห้องรับแขกไม่มีแอร์ มันร้อนมาก”
มู่น่อนน่อนขี้เกียจจะสนใจเขาอีกแล้ว เลยจัดการเอาผ้าห่มมาคลุมโปง และนอนหลับไปเลย
……
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น สือเย่ก็มารับตัวเฉินถิงเซียวไป
วันนี้พวกเขาเฉินชิงเฟิงกลับมายังเมืองหู้หยาง เธอกับเฉินถิงเซียวก็ต้องกลับมาแสดงละคร “คู่สามีภรรยาที่หย่าร้าง” แล้ว
ด้านล่างของอพาร์ทเม้นท์ สือเย่เห็นเฉินถิงเซียวเดินมาหา ก็ลงจากรถไปเปิดประตูให้เขาทันที พร้อมทั้งพูดด้วยความเคารพ “สวัสดีตอนเช้าครับคุณชาย”
เฉินถิงเซียวก็ตอบกลับมาอย่างที่ไม่เคยทำ “Morning”
จากนั้นก็ย่อตัวลงเพื่อเข้าไปนั่งด้านในรถยนต์
สือเย่ถึงกลับตะลึงอยู่ท่ามกลางสถานการณ์นั้นทันที
ซึ่งปกติแล้ว เขาพูดทักทายกับเฉินถิงเซียวอะไรก็ตาม เฉินถิงเซียวก็ตอบกลับมาคือ “อื้อ” หรือว่าแค่พยักหน้าเท่านั้นเอง
แต่วันนี้กลับตอบกลับเขาด้วยคำว่า “Morning” ดูจากอาการแล้ววันนี้เฉินถิงเซียวอารมณ์ดีมากจริงๆ
สือเย่ปิดประตูรถ จากนั้นก็เดินอ้อมไปอีกทางเพื่อไปยังที่นั่งคนขับ
เขามองผ่านกระจกหลัง ก็เห็นใบหน้าเฉินถิงเซียวชุ่มชวยกระฉับกระเฉง
สือเย่ถึงกลับอดใจส่ายหน้าไม่ไหว นี่แหละคือพลังแห่งความรัก
ทั้งสองคนเดินเข้าไปด้านในของบริษัทเฉินซื่อ
แม้ว่าเฉินถิงเซียวจะแหกหน้าเฉินชิงเฟิงไปแล้วก็ตาม แต่สีหน้าอันสงบเสงี่ยมก็ยังต้องรักษาไว้หน้าอยู่
เฉินมู่ยังอยู่ในมือของเฉินชิงเฟิง เฉินถิงเซียวไม่กล้าลงมือกระโตกกระตาก
ส่วนบริษัทเฉินซื่อก็ต้องอาศัยการบริหารงานจากเฉินถิงเซียว เฉินชิงเฟิงไม่กล้าจะทำอะไรกระโตกกระตากเช่นเดียวกัน
ทั้งสองคนต่างรักษาระยะกันอยู่ ยังไม่มีใครคิดจะเริ่มลงมือในเวลานี้
มู่น่อนน่อนใส่ใจเรื่องของเฉินมู่มาก เฉินถิงเซียวเองรับรู้เรื่องนี้อยู่ในใจอย่างชัดเจนดี
ถ้าไม่มีความมั่นใจอย่างเต็มที่แล้ว เขาทำได้แค่อยู่ที่บริษัทเฉินซื่อต่อไป เพื่อช่วยเฉินชิงเฟิงบริหารบริษัทเฉินซื่อต่อ และเป็นตัวแทนของเขาในการเป็นคลื่นลูกใหม่หน้าจับตามองของมหาเศรษฐีชั้นนำ
คนอื่นดูภายนอกว่าตระกูลมีมหาเศรษฐีคลื่นลูกใหม่หน้าจับตามอง แต่กลับไม่รู้ว่าภายในนั้นมันเน่าเฟะไปหมดแล้ว
นี่ก็เป็นเหตุผลที่หลายปีมานี้เฉินถิงเซียวไม่ยอมกลับไปที่บ้านเก่า
แม้ว่าเฉินชิงเฟิง หรือว่าญาติพี่น้องคนอื่นในตระกูลเฉิน ทุกคนต่างอาศัยบริษัทเฉินซื่อในการรักษาสถานะและชื่อเสียงเอาไว้ ดังนั้นทุกคนต่างสามารถลงมือทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้ในเป้าหมายของตนเอง
เฉินถิงเซียวเพิ่งเข้าลิฟต์มา โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เมื่อหยิบออกมาดู ก็เห็นว่ากู้จือหยั่นเป็นคนโทรเข้ามา
โทรเข้ามาหาเขาตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้ คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของบริษัทเสิ้งติ่งทางนั้นแน่
เฉินถิงเซียวกดรับโทรศัพท์ และเอ่ยปากถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
น้ำเสียงของกู้จือหยั่นเริ่มผิดปกติเล็กน้อย แถมยังพูดอ้ำ ๆ อึ้งๆ อีกต่างหาก “นายกลับประเทศมาหรือยัง?”
เฉินถิงเซียวตอบกลับ “กลับมาแล้ว”
สือเย่เดินตามหลังเขาเข้ามา ตอนที่ประตูลิฟต์ปิดลง ในลิฟต์ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้แล้ว
รอจนเมื่อเวลาออกจากลิฟต์แล้ว เฉินถิงเซียวถึงได้โทรศัพท์กลับไปหากู้จือหยั่น
เฉินถิงเซียวเดินมุ่งหน้ามาทางห้องทำงาน และพูดว่า “เมื่อครู่ในลิฟต์ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ มีธุระอะไรก็พูดมาเลย”
กู้จือหยั่นที่อยู่ฝั่งนั้นเงียบไปชั่วครู่ ถึงได้ยินน้ำเสียงความสงสัยของเขาออกมา “นายไปเจอกับมู่น่อนน่อนแล้วหรือยัง?”
กู้จือหยั่นพูดมาถึลขั้นนี้แล้ว เฉินถิงเซียวจะเดาไม่ออกได้อย่างไรว่าที่กู้จือหยั่นโทรมาหาเขาก็เพื่อจะพูด เรื่องที่ต้องเกี่ยวข้องกับมู่น่อนน่อนแน่
เฉินถิงเซียวหยุดฝีเท้าทันที หัวคิ้วขมวดจนเป็นปม น้ำเสียงสุขุมตาม “มู่น่อนน่อนเธอเป็นอะไรไป?”
กู้จือหยั่นที่อยู่ปลายสายก็จับความรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของเฉินถิงเซียวมีการเปลี่ยนแปลงไป เขาอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นาน จนใกล้เวลาที่เฉินถิงเซียวหมดอารมณ์ในการอดทนแล้ว คำก็ใช้คำพูดที่เร็วจี๋ในการพูดกับเขา “ฉันรู้ว่านายสนใจมู่น่อนน่อนมาก แต่ว่าผู้หญิงก็งี้แหละ บางทีก็เป็นแบบนั้น แต่ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะเหมือนกับเสิ่นเสี่ยวเหลียงของฉันนี่…”
เฉินถิงเซียวทนไม่ไหวกับการแสดงท่าทางของกู้จือหยั่นที่ยืดยาวเหมือนกับผ้าขี้ริ้ว จากนั้นก็พูดแทรกเขาทันที “รีบพูดประเด็นมา”
วินาทีนั้น กู้จือหยั่นก็ตอบกลับไป “มู่น่อนน่อนมีผู้ชายคนอื่นแล้ว”
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที….
เฉินถิงเซียวที่อยู่ปลายสายเป็นน้ำเสียงเย็นชา “ฉันจะให้สือเย่ช่วยนายลงทะเบียนหาผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมองให้”
กู้จือหยั่นถึงกลับตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นถึงได้สติกลับมา “เฮ้อ ทำไมแกไม่เชื่อ ที่ฉันพูดมันคือความจริง ฉันมีหลักฐาน!”
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกไปผลักหน้าอกกำยำของเฉินถิงเซียวอย่างไม่พอใจ “ใครให้คุณแต่งตัวแบบนี้ … จนฉันเกือบจะจำคุณไม่ได้อยู่แล้วเชียว …ฮ่า ๆ …”
เมื่อพูดมาถึงท่อนท้ายประโยค มู่น่อนน่อนก็ถึงกลับอดกลั้นอาการหัวเราะออกมาไม่ไหว
เพราะว่าเธอไม่เคยเห็นเฉินถิงเซียวแต่งตัวแบบนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ
เฉินถิงเซียวนิสัยเย็นชา ปกติแล้วลักษณะท่าทางก็ไม่ให้ใครเข้ามาถึงตัวได้ นอกจากมู่น่อนน่อนจะเห็นเขาแต่งชุดนอนกับชุดลำลองที่ใส่อยู่บ้านแล้ว เวลาที่เหลือก็คือใส่สูทตลอดทั้งนั้น
เสื้อสูท เสื้อเชิ้ต เนคไท ราวกับเป็นสัญลักษณ์ของเฉินถิงเซียวไปแล้ว
เฉินถิงเซียวในหัวสมองของเธอ ต่างเป็นการแต่งตัวที่เรียบร้อยทั้งตัว ลักษณะท่าทางเย็นชาเคร่งขรึม
พอมาเห็นเฉินถิงเซียวแต่งกายชุดลำลองแบบนี้แล้วในเวลาฉุกละหุก แถมยังเป็นสีที่สะดุดตาแบบนี้ด้วย เธอถึงกลับตั้งตัวไม่ทันจริงๆ เลย
มู่น่อนน่อนเก็บอาการอย่างเต็มพิกัดแล้ว ทว่าเมื่อเธอชำเลืองมองเฉินถิงเซียว ก็อดหัวเราะเอาไว้ไม่ได้
จนกระทั่งทั้งสองคนมาถึงลานจอดรถและขึ้นรถแล้ว มู่น่อนน่อนก็ยังหัวเราะไม่หยุด
เฉินถิงเซียวตีหน้าเย็นชาใส่อยู่ตลอด จนมู่น่อนน่อนขึ้นรถแล้ว วินาทีที่ปิดประตูรถนั้น เขาก็ยื่นมือยาวออกไป พลางเหนี่ยวตัวของมู่น่อนน่อนเข้าหา จากนั้นก็จูบเธออย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน
เขาจับท้ายทอยของเธอเอาไว้และบรรจงจูบอยู่สักพัก ถึงได้ยอมปล่อยเธอออก แถมยังใช้น้ำเสียงเหมือนคุณครูที่กำลังถามหาเหตุผลของคนทำผิด “พอผมลงจากเครื่องก็มุ่งหน้ามาหาคุณทันที พอเจอหน้ากันแล้วคุณก็มาเยาะเย้ยใส่ผมเหรอ? หือ?”
ในจินตนาการของเขานั้น น่าจะเป็นฉากที่โผเข้าอ้อมกอดถึงจะถูก แต่ผู้หญิงคนนี้ ผลตอบแทนคือการมาหัวเราะเยาะเขาเสียนี่
ทางด้านสตูดิโอ ซิตี้มีดารามากมาย และก็มีนักท่องเที่ยวกับพวกสื่อมวลชนที่มาตามติดข่าวอยู่ที่นี่ด้วย ถ้าเขาไม่กังวลว่าจะถูกถ่ายรูปเข้า ถึงได้จอดซื้อเสื้อผ้าและเปลี่ยนยกเซทตรงกลางทางหรอก
สิ่งที่เขาต้องการก็คือเสื้อผ้าที่ไม่เหมือนเดิม สือเย่ก็เลือกชุดนี้ให้กับเขาทันที….
เขาย่อมรู้ดีว่า นอกจากเรื่องการทำงานที่สามารถไว้เนื้อเชื่อใจสือเย่ได้แล้ว เรื่องอื่นไม่สามารถพึ่งพาได้เลย
มู่น่อนน่อนกลั้นเสียงหัวเราะจนศีรษะโยกไปมา “ไม่นะ…”
เฉินถิงเซียวก้มหน้าลง พลางขบเม้มบนริมฝีปากของเธอราวกับเป็นการความโกรธออกมา
เขาไม่สามารถควบคุมพละกำลังได้มากนัก จนมู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเจ็บขึ้นมาเล็กน้อยจนต้องสะบัดออก เฉินถิงเซียวราวกับไม่คิดจะยอมปล่อยออก แถมยังรัดเธอเอาไว้แน่นกว่าเดิม และจูบอย่างลึกล้ำอย่างแข็งข้อขึ้นเรื่อย ๆ
ความรู้สึกของมู่น่อนน่อนรู้สึกไม่ดีเลย เธอรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวจูบราวกับขโมยจูบ มันทั้งเร่งร้อนและโหดร้าย
ตอนที่เขายอมปล่อยตัวนั้น ริมฝีปากของเธอทั้งบวมแดงแจ๋
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกไปดึงปีกหมวกแก๊ปของเขาลงเล็กน้อยอย่างไม่สบอารมณ์ เพื่อเป็นการปกปิดใบหน้าของเขาทั้งหมด “หึ!”
เธอถลึงตาใส่เขา จากนั้นก็กลับมานั่งลงตรงตำแหน่งคนขับรถ และก็มุ่งหน้าขับออกไป
พอมู่น่อนน่อนเริ่มขับรถ เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้ทำตัวรุ่มร่ามอีกเลย
……
มู่น่อนน่อนขับรถกลับมายังที่พักอาศัยของเธอทันที
เธอให้เฉินถิงเซียวเข้าบ้านไปก่อน จากนั้นก็หยิบรองเท้าแตะคู่หนึ่งที่อยู่ในตู้รองเท้าให้กับเขา “เปลี่ยนเองนะ”
จากนั้นเธอก็หันตัวกลับไปเพื่อต้องการปิดประตู เวลานั้นเองบริเวณก็ถูกรัดไว้แน่น และรู้สึกถึงแผ่นอกกำยำของชายหนุ่มที่แนบชิดเข้าหา อิงแอบแนบติดกับแผ่นหลังของเธอ
ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเข้าประตูมายังไม่ทันได้เปิดแอร์เลย ในห้องก็ร้อนอยู่แล้ว พอมาเจอเฉินถิงเซียวมากอดแบบนี้เข้า มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าร่างกายทั้งตัวมันร้อนดั่งไฟเผา
มู่น่อนน่อนพยายามแกะมือของเฉินถิงเซียวที่บริเวณเอวของเธอออก แต่มันก็ไม่สำเร็จ ทำได้แค่พูดไปอย่างเบื่อหน่าย “เฉินถิงเซียว คุณปล่อยฉันก่อน ฉันจะไปเปิดแอร์”
เฉินถิงเซียวได้ยินแต่ก็ยอมปล่อยเธอออก แต่พอเธอพลิกตัวหันกลับมา ก็ถูกเฉินถิงเซียวกดตราตรึงกับบานประตูแทน
เขาก้มศีรษะลง จากนั้นก็จูบเธออีกครั้ง
แต่รู้สึกว่าความสูงของทั้งสองจะมีปัญหามากพอตัว พอก้มตัวลงมันเลยไม่ค่อยสบายตัว เขาเลยอุ้มมู่น่อนน่อนขึ้นมา เพื่อให้ระดับความสูงของทั้งสองคนเสมอภาคกัน
“คุณปล่อยฉันนะ! ร้อนจะตาย!” จะมีใครจะเหมือนกับเขาในลักษณะนี้
เฉินถิงเซียวขบริมฝีปากของเธอเอาไว้ พร้อมทั้งพูดด้วยเสียงแปร่งพร่า “ยังร้อนไม่พอ”
มู่น่อนน่อนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉินถิงเซียวอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เวลาที่เฉินถิงเซียวดื้อรั้นหัวแข็งอยากจะทำอะไรขึ้นมา เธอก็แค่ทำตามน้ำไปเท่านั้นเอง
เฉินถิงเซียวอุ้มเธอเข้าห้องนอนทันที
มู่น่อนน่อนทำเสียงอ่อนเสียงหวาน “คุณนั่งเครื่องบินมาตั้งสิบกว่าชั่วโมงแล้วไม่เหนื่อยบ้างเลยเหรอ? คุณพักผ่อนสักหน่อยไหม ฉันจะไปซื้อกับข้าวแล้วเดี๋ยวกลับมาทำอาหารเย็นให้นะ”
“ผมไม่เหนื่อย” เฉินถิงเซียวพูดจบ จากนั้นจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมองมู่น่อนน่อน ด้วยแววตาอันตราย “นี่คุณกำลังสงสัยในพละกำลังของผมอยู่ใช่ไหม?”
“เปล่าค่ะ”
“ผมจะพิสูจน์ให้คุณดู”
“ฉันไม่อยากดู”
“ไม่อยากดูเหรอ? งั้นคุณหันหลังให้ผมก็แล้วกัน”
“……”
ข้อเท็จจริงสามารถพิสูจน์ได้ว่า มู่น่อนน่อนยังคิดอย่างคนไร้เดียงสาจริงๆ
หลังจากที่เฉินถิงเซียวอุ้มเธอเข้าห้องนอนไปแล้ว
เฉินถิงเซียวปล่อยตัวเธอลง จากนั้นก็เปิดฝักบัวให้ “อาบน้ำก่อน”
เขานั่งเครื่องบินมาสิบกว่าชั่วโมง แถมยังเหม็นกลิ่นเหงื่อไปทั้งตัว
มู่น่อนน่อนพยายามบ่ายเบี่ยง “ฉันไม่อยากอาบน้ำ”
“คุณช่วยอาบน้ำให้ผมก็ได้นะ” เฉินถิงเซียวเริ่มถอดเสื้อผ้าออก
สุดท้าย ตอนจบของมู่น่อนน่อนไม่มีกระจิตกระใจอยู่กับเนื้อกับตัวเลย…..
เฉินถิงเซียวปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ และเริ่มโอบกอดเธอเข้าสู่อ้อมกอดอีกครั้ง พลางบรรจงจุมพิตลงหน้าผากของเธออย่างแผ่วเบา “เหนื่อยก็นอนพักสักหน่อยนะ”
อาจจะเป็นเพราะว่าน้ำเสียงของเฉินถิงเซียวอ่อนโยนเหลือเกิน จนทำให้มู่น่อนน่อนหลับตาลงและผล็อยหลับไปจริงๆ
จนรู้สึกว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดนั้น หายใจสม่ำเสมอแล้ว เฉินถิงเซียวค่อยๆ เอนตัวผุดนั่งและเหลือบมองเธอ จนเห็นว่ามู่น่อนน่อนหลับสนิทไปแล้ว
เขายื่นมือออกมาเพื่อลูบเส้นผมให้มู่น่อนน่อน จากนั้นก็ดึงแขนออก และลุกออกจากเตียงเดินไปยังห้องรับแขกทันที
ซึ่งมันไม่เหมือนคอนโดของเขาที่เย็นชืดเวิ้งว้าง อพาร์ทเม้นท์ของมู่น่อนน่อนอบอุ่นจนเห็นได้อย่างชัดเจน ในห้องรับแขกก็จัดสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างน่ารัก เมื่อมองดูแล้วเหมือนกับเอาไว้ให้เด็กเล็กเล่น
เฉินถิงเซียวเดินออกไป และยื่นมือออกไปหยิบหนึ่งในเจ้าหมีตัวน้อย พลางหลุบตาต่ำจ้องมองอยู่หลายวินาที และวางกลับไป จากนั้นก็ใส่หมวกและหยิบกระเป๋าสตางค์ออกจากบ้านไป และซื้อบุหรี่ในร้านขายของชำที่อยู่ด้านหน้าประตูของหมู่บ้านจัดสรร
จากนั้นก็ยืนสูบบุหรี่อยู่ด้านใต้ตึกข้างถังขยะและสูบติดต่อกันอยู่หลายมวน ตอนที่จะกลับไปยังห้องพักของมู่น่อนน่อนนั้น กำลังจะก้าวเท้าออก เหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ และหันกลับไปร้านขายของชำเพื่อซื้อหมากฝรั่งมาทันที
มู่น่อนน่อนยังคงหลับอยู่ เฉินถิงเซียวไปล้างมือในห้องน้ำ
เฉินชิงเฟิงต้องการจะควบคุมเขาให้อยู่มือ เฉินมู่ก็อยู่ในอุ้งมือของเขา ถ้าเขาเจรจากับเฉินชิงเฟิง เพื่อให้เฉินชิงเฟิงส่งตัวเฉินมู่กลับคืนมา เฉินชิงเฟิงต้องได้คืบจะเอาศอกอย่างแน่นอน
รอจนวันที่เขาถูกเฉินชิงเฟิงควบคุมไว้ได้ทั้งหมดแล้ว เรื่องลักพาตัวที่เขาอยากจะตรวจสอบในปีนั้น มันก็ช่างยากเกินไป
เขาตรวจสอบมาตั้งหลายปีขนาดนี้ มันไม่ง่ายเลยที่รู้สึกว่าตนเองใกล้ความจริงเข้าไปเรื่อย ๆแล้ว และจะปล่อยแบบนี้ไปเหรอ?
ทว่า มู่น่อนน่อนอยากจะเจอกับเฉินมู่มาก เขาย่อมรู้ดีกว่าใคร
เฉินถิงเซียวก้มหน้าลง พลางล้างฟองสบู่ที่อยู่บนมือจนสะอาด จากนั้นก็เดินออกจากห้องน้ำมายังข้างเตียง
เขามองมู่น่อนน่อนอยู่สักพัก จากนั้นก็กลับขึ้นเตียง และดึงเธอมากอดให้อยู่อ้อมอก
……
ตอนที่เฉินถิงเซียวตื่นขึ้นมานั้น ตำแหน่งข้างๆ ก็ว่างเปล่าไปเสียแล้ว
มู่น่อนน่อนไปไหนเนี่ย?
เขารีบพลิกตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เร็วขนาดที่ไม่ใส่รองเท้าด้วยซ้ำ และเปิดประตูห้องนอนออกมาทันที
อพาร์ทเม้นท์ของมู่น่อนน่อนเล็กน้อย หนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องรับแขก ห้องครัวกับห้องรับแขกมันเป็นห้องเดียวกัน
พฤติกรรมของเฉินถิงเซียวช่างรุนแรงไปนิด จนมู่น่อนน่อนที่อยู่ในห้องครัวก็ยังได้ยินเลย
เธอหันตัวกลับไปมองทางเฉินถิงเซียว และยิ้มให้พร้อมทั้งพูดว่า “ตื่นแล้วเหรอ? อีกเดี๋ยวก็จะกินข้าวได้แล้วนะ”
ปล่อยให้เฉินถิงเซียวโกรธจนใกล้จะปะทุควันออกหูอยู่แล้ว เฉินถิงเซียวก็ยังคงแสดงท่าทางตามสบายสงบ “แต่ว่าตอนนี้ผมไม่รู้สึกว่าบริษัทเฉิงซื่อมีประโยชน์กับผมเลย”
เฉินชิงเฟิงส่งเสียงงึมงำอย่างเย็นชาใส่ “ที่แกใช้แกกินอยู่ทุกอย่าง และชื่อเสียงของแก สิ่งไหนที่ไม่ใช่ตระกูลเฉินหยิบยื่นให้แกกัน!”
“ผมไม่อยากได้พวกนี้ แม้ว่าจะไม่มีตระกูลเฉิน ผมก็คือเฉินถิงเซียวคนเดิม ส่วนคุณล่ะ? ไม่มีตระกูลเฉิน คุณเป็นใครกันแน่?” คำพูดของเฉินถิงเซียวพูดตรงจี้ใจดำ ราวกับต้องการแหกหน้าของเฉินชิงเฟิง
“แกคิดว่าปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม?” เฉินชิงเฟิงพูดจบ ก็แสยะยิ้มกลับเล็กน้อย “แกลองลงมือกับบริษัทเฉินซื่อดูไหมล่ะ”
บรรยากาศในห้องอาหารเปลี่ยนเป็นความตึงเครียดขึ้นมาทันที
ทั้งสองคนสบตากัน ผ่านไปสักพัก จนเฉินถิงเซียวพูดประโยคหนึ่งออกมาจากไรฟันด้วยอารมณ์โมโห “ลูกสาวผมอยู่ที่ไหน?”
“ลูกสาวแกอยู่ที่ไหนฉันจะไปรู้ได้ยังไงกัน? เธอถูกแกซ่อนเอาไว้ไม่ใช่เหรอ?” อาการแสยะยิ้มเฉินชิงเฟิงปรากฏอยู่บนใบหน้า ทว่ารอยยิ้มเช่นนั้นไม่แสดงความหมายเป็นนัยที่อยู่ซ่อนลึกอยู่ในดวงตา
มือที่วางอยู่ใต้โต๊ะของเฉินถิงเซียวกำหมัดเอาไว้แน่น หัวคิ้วพลันปรากฏกลิ่นอายของการดูหมิ่นเล็กน้อยออกมา
ในความทรงจำของเฉินชิงเฟิงนั้น เฉินถิงเซียวในวัยเด็กความจริงแล้วมีแต่คนชอบ แต่หลังจากที่มารดาเสียชีวิตไปแล้ว สองคนพ่อลูกก็ยิ่งห่างเหินกันขึ้นเรื่อย ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายปีนี้ ออร่าบนตัวของเฉินถิงเซียวยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นลูกชายแท้ๆ ของตนเอง เวลาส่วนใหญ่เขากลับมองเขาไม่ออกแถมยากแก่การคาดเดาใจได้
ด้วยเหตุปัจจัยเช่นนี้ บางครั้งเฉินชิงเฟิงก็เริ่มกลัวเฉินถิงเซียวเล็กน้อย
แต่ว่าข้อบกพร่องถึงขั้นที่ทำให้เอาชีวิตของเฉินถิงเซียวได้ นั่นก็คือการให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากเกินไป
เขาแค่จับจุดข้อบกพร่องของเฉินถิงเซียวเรื่องนี้เอาไว้ได้ งั้นก็สามารถควบคุมเฉินถิงเซียวให้อยู่ในกำมือได้แล้ว
เฉินชิงเฟิงถึงมาถึงเรื่องนี้ ความรู้สึกที่แสดงออกมาทางสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นลึกซึ้งทันที “หลานสาวของฉันต้องเป็นเจ้าตัวเล็กที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู มีเวลา ก็พากลับมาที่บ้านเก่าให้ฉันดูหน่อย ถึงอย่างไรก็เป็นสายเลือดของตระกูลเฉิน ความบาดหมางระหว่างเรา ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลย”
พูดจบ เขาก็จ้องมองเฉินถิงเซียวอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและจากไป
คนรับใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกห้องอาหาร เมื่อเห็นเฉินชิงเฟิงที่เดินออกมาแล้ว ก็เรียกเพื่อแสดงความเคารพ “คุณเฉิน”
วินาที่ต่อมา ในห้องอาหารก็เกิดเสียงจานชามของกระทบกับพื้นจะมีเสียงแตกละเอียดดังลั่นอยู่สักพัก
เสียงนั้นดังลั่นจนแสบแก้วหู
คนรับใช้เดินเข้ามาอย่างตื่นตระหนกทันที ก็เห็นว่าเฉินถิงเซียวก้มหน้าอยู่ พลางงอตัวลง และมือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นอยู่บนโต๊ะอาหาร อีกทั้งรัศมีความรุนแรงแผ่ออกมาบนตัว
บนพื้นมีเศษอาหารเลอะเทอะไปทั่ว มีทั้งอาหารที่ยังกินไม่หมดรวมถึงเศษจานชามที่แตกละเอียด มองแวบเดียวก็รู้ว่าเฉินถิงเซียวนั้นกวาดทุกอย่างลงมาอยู่ที่พื้น
คนรับใช้เดินนำหน้าขึ้นมาอย่างระแวดระวัง และไม่กล้ามาจะถามอะไรมาก “คุณชายเฉินคะ เดี๋ยวฉันขอจัดการเก็บกวาดที่นี่สักหน่อยค่ะ…”
เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจเธอเลยด้วยซ้ำ
คนรับใช้มองออกว่าเฉินถิงเซียวไม่มีกระจิตกระใจที่จะสนใจเธอเลยด้วยซ้ำ จึงตัดสินใจเองในการเรียกคนรับใช้อีกสองคนที่เข้ามาทำความสะอาดในห้องอาหารทันที
เฉินถิงเซียวก้มศีรษะลง นัยน์ตาแสดงอาการกระหายเลือดและโหดเหี้ยม
คำพูดของเฉินชิงเฟิงที่เพิ่งพูดออกมานั้น ดูผิวเผินแม้ว่าจะปฏิเสธว่าเขาได้ให้คนไปลักพาตัวเฉินมู่ไป ทว่าประโยคสุดท้ายนั่นก็เป็นชัดเจนแล้วว่ามันเป็นการข่มขู่เขาอยู่
คำพูดคำจาของเฉินชิงเฟิงก็เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ถ้าพวกเขาสองคนอยู่รอดปลอดภัยโดยไม่มีอันตรายใดๆ เฉินมู่ก็จะไม่เป็นไรด้วย
ในทางกลับกัน เขาจะปฏิบัติตัวอย่างไรกับเฉินมู่ เรื่องนี้ก็ยากที่จะพูดได้
ท่าทางเด็ดขาดมั่นใจว่าสามารถเอาอยู่ได้ นั่นก็เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนที่สุดแล้ว
ว่าเฉินมู่ถูกเฉินชิงเฟิงให้คนมาลักพาตัวไป จุดประสงค์ของเขาก็คือต้องการใช้เฉินมู่มาข่มขู่เฉินถิงเซียว
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฉินชิงเฟิงจะเหินห่างเย็นชาใส่กันมากก็ตาม แต่ก็ไม่เคยยุ่มย่ามเรื่องของอีกฝ่าย
เขากลับไม่คิดเลยว่า เฉินชิงเฟิงจะสนใจในตัวของเฉินมู่ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
เฉินชิงเฟิงสามารถลงมือทำเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เฉินถิงเซียวก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมในเรื่องที่ซ่อนเร้นที่เกิดขึ้นกับมารดาในเวลานั้น
ส่วนเรื่องคุณท่านเฉินเอง ก็ต้องมีอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่อย่างแน่นอน
แต่พอเรื่องที่มันเกินขึ้นตามกันมา
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่า คำว่า “สุดวิสัย” มีความเป็นไปได้มากกว่ามีต้นตอมาจากคดีลักพาตัวในปีนั้นอย่างแน่นอน
……
ซึ่งไม่รู้ว่าซือเฉิงหยู้กับเฉินเจียฉินไปเกลี้ยกล่อมเฉินเหลียนให้เปลี่ยนใจยังไง คืนนั้น เฉินเหลียนตัดสินใจว่าจะเดินทางกลับไปยังเมืองหู้หยางกับพวกเขาในเช้าวันรุ่งขึ้น
แต่ว่า เฉินถิงเซียวไม่สนใจสาเหตุในนั้นเลย
เขากับสือเย่ขึ้นเครื่องบินกลางดึกในคืนวันนั้น และเดินทางล่วงหน้ากลับมาเมืองหู้หยางทันที
เฉินถิงเซียวกลับมาถึงเมืองหู้หยาง ก็มุ่งหน้าไปหามู่น่อนน่อนทันที
ทว่า เขาไปยังที่พักของมู่น่อนน่อนแต่กลับว่างเปล่า
มู่น่อนน่อนไม่อยู่บ้าน เขาได้แต่โทรศัพท์ไปหาเธอ
เมื่อมีการกดรับสาย เขาก็ถามทันที “อยู่ที่ไหน?”
ระยะนี้มู่น่อนน่อนค่อนข้างยุ่งมาก เวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ที่กองถ่ายละคร บ้างก็ไปเที่ยวดูลาดเลากองถ่ายอื่นกับฉินสุ่ยซาน
ตอนที่เฉินถิงเซียวโทรศัพท์มาหาเธอนั้น เธอกับฉินสุ่ยซานเพิ่งกลับจากการไปดูลาดเลาของกองถ่ายอื่นมาและเพิ่งจะกลับมาถึงกองถ่าย 《เมืองพัง》
มู่น่อนนอนได้ยินในสิ่งที่เขาพูด พลันถามกลับอย่างตกใจ “คุณกลับมาแล้วเหรอ!”
น้ำเสียงของเธอนั้นแม้เพียงอาการยินดีเล็กน้อยก็ไม่สามารถเล็ดลอดไปจากหูของเฉินถิงเซียวได้ อาการคิ้วผูกโบเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง พลันมีอาการยิ้มปรากฏออกมาเล็กน้อย “อยู่ที่ไหนเหรอ เดี๋ยวผมไปหาคุณ”
มู่น่อนน่อนสำรวจบริเวณโดยรอบ จากนั้นก็วิ่งไปยังมุมตึกเพื่อพูดต่อ “ฉันอยู่ที่กองถ่าย เดี๋ยวฉันกลับไปหาคุณแล้วกันนะ”
เฉินถิงเซียวเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ในสตูดิโอ ซิตี้มีสายตาสอดส่องมากมาย การที่เฉิงถิงเซียวมามันดูไม่สะดวกเลย
แต่เฉินถิงเซียวก็มองผ่านข้อเสนอของเธอไปอย่างดื้อๆ พลันตัดสินใจเองทันที “รอผมนะ”
“คุณจะมาที่นี่มันไม่…. ฮัลโหล?” มู่น่อนน่อนพลันยกโทรศัพท์ประจันหน้า เลยรู้ว่าเฉินถิงเซียววางสายไปแล้ว
อีกด้านหน้า เฉินถิงเซียวกดวางสายแล้ว ก็ออกคำสั่งกับสือเย่ทันที “ไปสตูดิโอ ซิตี้”
สือเย่กลับรถเปลี่ยนทางทันที พลันบึ่งรถมุ่งหน้าไปยังสตูดิโอ ซิตี้
……
เมื่อมาถึงสตูดิโอ ซิตี้ เฉินถิงเซียวก็ให้สือเย่กลับไปก่อน
เพราะว่ามู่น่อนน่อนน่าจะขับรถมาเอง ตอนกลับไปเขาก็จะอาศัยนั่งรถของมู่น่อนน่อนไปได้ก็ได้แล้ว
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามู่น่อนน่อนอยู่ที่ไหน รู้แค่ว่ารอเธออยู่แถวๆ ทางเข้าของสตูดิโอ ซิตี้เท่านั้นเอง
เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ข้างทางบนฟุตบาท พลันกดส่งข้อความให้กับมู่น่อนน่อน “ผมถึงแล้ว อยู่ตรงประตูทางเข้า”
เมื่อมู่น่อนน่อนได้รับข้อความแล้ว ก็วิ่งออกมาทันที
ฉินสุ่ยซานเห็นภาพแล้ว ถึงกับถามเธอทันที “น่อนน่อน วันนี้แกกลับเร็วขนาดนี้เชียวเหรอ?”
มู่น่อนน่อนทั้งวิ่งออกไปด้านนอก และหันศีรษะกลับมาพูดกับเธอ “มีธุระนิดหน่อย ขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะ”
“ได้ งั้นแกไปเถอะ”
“บายล่ะ”
หลังจากที่มู่น่อนน่อนออกมาแล้ว ก็มองสำรวจโดยรอบ ก็ไม่เห็นเฉินถิงเซียว
จู่ ๆ ก็มีผู้ชายที่ใส่เสื้อสเวตเตอร์สีเขียวแขนสั้นมุ่งหน้ามาทางเธอ
ชายหนุ่มใส่หมวกแก๊ปสีดำ ตรงปีกหมวดนั้นต่ำจนปิดบังใบหน้าเอาไว้มาก ท่อนล่างใส่กางเกงลำลองสีดำ การแต่งการของทั้งตัวดูเหมือนว่าสบายสุดๆ เลย
แม้ว่าจะมองหน้าไม่ชัด แต่ก็สัมผัสได้ถึงรัศมีอันเฉียบคมที่แผ่ออกมาจากร่างกายของชายคนนั้นได้
มันช่างคุ้นๆ อยู่เล็กน้อย….
จนเมื่อผู้ชายคนนั้นเดินมาอยู่ตรงด้านหน้าของเธอ มู่น่อนน่อนถึงไม่กล้าจะเชื่อกับสายตาตนเองถึงกลับเบิกตาโตใส่ “เฉิน…เฉิน…”
เธอตกใจอยู่นานถึงขั้นเรียกชื่อเขาไม่ออก
เฉินถิงเซียวดึงหมวดขึ้น พลางเลิกคิ้วให้เธอ น้ำเสียงดูรังเกียจอย่างไม่มีอาการปิดบัง “ผมไปต่างประเทศแค่ 7-8 วันเอง คุณก็พูดติดอ่างไปแล้วเหรอเนี่ย?”
ด้วยปัจจัยที่ซือหมิงหวนเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงโด่งดัง การที่เขาประสบอุบัติเหตุถูกรถชนจึงมีอิทธิพลต่อสังคมอย่างแน่นอน ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้สรุปคดีความว่าเป็นเหตุมาจากการอุบัติเหตุทางการจราจร
สุดท้ายแล้วอุบัติเหตุทางรถยนต์ก็สรุปสำนวนคดีให้เป็นอุบัติเหตุแค่นั้น
หลังจากสำนวนออกมาแล้วว่าเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ ก็เริ่มจัดงานศพของซือหมิงหวนทันที
หลังจากที่กลุ่มของเฉินชิงเฟิงมาถึงเมืองMแล้ว เรื่องของซือหมิงหวน ก็ไม่จำเป็นต้องให้เฉินถิงเซียวเข้ามาจัดการอีกแล้ว
ในที่สุดเขาก็มีเวลาว่างสักที
ก่อนที่เริ่มพิธีงานศพ สือเย่ก็กลับมาจากข้างนอก จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังห้องของเฉินถิงเซียวทันที
เฉินถิงเซียวใส่เสื้อสีดำกางเกงดำท่าทางเคร่งขรึมทั้งชุด พลางนั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทางสุขุมเคร่งขรึม
สือเย่เดินเข้ามาหา พลางพูดอย่างให้ความเคารพ “คุณชาย”
เฉินถิงเซียวไม่ได้เงยหน้ามองเขา ก็แค่ถามกลับเท่านั้นเอง “ตรวจสอบเรื่องไปถึงขั้นไหนแล้ว?”
สือเย่ตอบกลับ “ผมตรวจสอบแล้ว ซึ่งผลที่ได้ก็เหมือนกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดูเหมือนว่าจะเป็นอุบัติเหตุทางจราจรจริงๆ”
ขนาดเฉินมู่ยังถูกลักพาตัวไปทั้งที่ยังไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ เฉินถิงเซียวจึงมีเหตุผลข้อกังขาว่าเรื่องอุบัติเหตุทางรถชนของซือหมิงหวนมันไม่ใช่แค่อุบัติเหตุแค่นั้น
ก๊อก ก๊อก!
ด้านนอกประตูมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
จากนั้นก็มีเสียงของคนรับใช้ดังขึ้น “คุณชายเฉิน ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องไปศาลาจัดงานศพแล้ว”
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้วก็ลุกขึ้นจากโซฟาทันที พลันจัดเสื้อเชิ้ตสีดำที่อยู่บนร่างกายของตนเองทันที พลางพูดกับสือเย่ว่า “ไปกันเถอะ”
……
เมื่อมาถึงศาลาจัดงานศพแล้ว คนในตระกูลซือต่างมากันครบแล้ว
ซือเฉิงหยู้ยืนต้อนรับแขกผู้คนที่มาแสดงความไว้อาลัยเป็นเพื่อนกับเฉินเหลียน
เฉินเหลียนใช้เวลาแค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้น ผอมโซลงไปเยอะ ขนาดแต่งหน้าหนาจัดก็ไม่สามารถปกปิดอายุมากที่แสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน แถมยังผอมโซหมดเรี่ยวแรงอย่างมาก
เฉินถิงเซียวพยักหน้าเล็กน้อย พลางพูดอย่างสุขุม “ขอแสดงความเสียใจด้วย”
เฉินเหลียนไม่ได้พูดอะไร ทำได้แค่พยักหน้าเท่านั้นเอง ท่วงท่าเช่นนี้ของเธอดูเหมือนหม่นหมองลงไปถนัดตา
หัวคิ้วของเฉินถิงเซียวเลิกขึ้นเล็กน้อย พลางประเมินเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไป
เมื่อเดินเข้าไป เขาก็เห็นเฉินเจียฉินที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น
หลายปีที่ผ่านมานี้แม้ว่าเฉินเจียฉินจะถูกปล่อยทิ้งปล่อยขว้างมาโดยตลอด แต่ว่าเลือดข้นกว่าน้ำ ปีนี้เขาอายุ15ปีแล้ว รู้ซึ่งคำว่าเสียชีวิตว่ามันหมายถึงอะไร
เขาได้สูญเสียบิดาไปตลอดกาล
เฉินถิงเซียวเดินมานั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้างของเขา พลางยื่นทิชชูให้กับเขา
เฉินเจียฉินเงยหน้าขึ้น ดวงตาบวมฉึ่งและแดงก่ำ จมูกแดงแจ๋ พลันส่งเสียงสะอึกสะอื้นแหบพร่าเรียกเขา “พี่ชาย”
แค่ออกปากเรียกเขาเพียงเท่านี้ น้ำตาของเฉินเจียฉินก็ไหลพรากออกมาทันที
แม้ว่าเขาจะเม้มปากอย่างฝืนกลั้น ก็สามารถเห็นถึงอาการเสียงสะอึกสะอื้นที่พยายามอดกลั้นอยู่ในลำคอ
“อื้อ” เฉินถิงเซียวส่งเสียงตอบรับ พลางยื่นทิชชูยัดใส่มือของเขา
คนเรามีเรื่องมากมายที่ไม่สามารถควบคุมได้ และก็ไม่สามารถเลือกได้
คำพูดปลอบใจ ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ ล้วนเป็นสิ่งที่ชี้ชัดถึงช่วงเวลาที่อ่อนแอหมดกำลัง
เฉินเจียฉินกำทิชชูที่เฉินถิงเซียวยื่นมาให้เขาไว้แน่น พลางก้มหน้าลงต่ำสุด เพื่อไม่อยากให้เฉินถิงเซียวเห็นใบหน้าของตนเอง แต่ว่าเฉินถิงเซียวก็ยังมองเห็นหยดน้ำตาที่ไหลพรากออกมาเป็นเม็ดที่หยดแหมะลงบนพื้น
เฉินถิงเซียวทำได้แค่ตบหลังของเขา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
……
หลังจากงานพิธีศพของซือหมิงหวนเสร็จสิ้นแล้ว กลุ่มของเฉินถิงเซียวก็เดินทางกลับมายังเมืองหู้หยางทันที
ช่วงกลางวันของเมื่อวานก่อนออกเดินทาง ทุกคนก็กำลังนั่งกินข้าวกลางวันอยู่ในห้องโถง
จังหวะนั้นซือเฉิงหยู้ก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาทันที “แม่ กลับไปเมืองหู้หยางก็พวกเราเถอะนะ”
คนอื่นเมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ก็หันไปทางเฉินเหลียนกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
มีเพียงเฉินถิงเซียวเท่านั้น ที่ทำอย่างกับหูทวนลมไม่ได้ยินและก้มหน้าก้มตากินข้าวของตนเองต่อไปตามปกติ ราวกับว่าไม่สนใจสิ่งใดที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารทั้งสิ้น
เฉินเหลียนตะลึงไปชั่วครู่ แต่กลับไปได้เอ่ยปากตอบอย่างทันท่วงที
เฉินชิงเฟิงรีบพูดสมทบทันที “ใช่ หมิงหวนก็ไม่อยู่แล้ว เฉิงหยู้กับเสี่ยวฉินก็อยู่ในประเทศ คุณมาอยู่คนเดียวซึ่งที่นี่ก็หมดคนพึ่งพิงได้ ไม่สู้กลับไปยังเมืองหู้หยางกับพวกเราเถอะ”
ทุกคนต่างรอคำตอบของเฉินเหลียน
เฉินเหลียนวางส้อมและมีดที่อยู่ในมือลง พลางตอบกลับอย่างเสียงเบา “ไม่ต้องหรอก ฉันอยู่ที่เมืองMจนเคยชินแล้วแหละ อยู่ที่นี่ต่อไปดีกว่า”
น้ำเสียงของเธอเพิ่งจะพูดเสร็จ เฉินเจียฉินก็วางแก้วน้ำที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะเสียงดังโครมคราม จนมีเสียง “ปึง” ดังลั่น
เวลานี้เอง ขนาดเฉินถิงเซียวถึงกลับหันไปเหล่มองเฉินเจียฉินกันอย่างพร้อมเพรียง
ช่วงนี้สีหน้าของเฉินเจียฉินก็ย่ำแย่มาก ใบหน้าเรียวเล็กอันงดงามก็เหี่ยวแห้งมาก
เขามองเฉินเหลียนด้วยสายตาเย็นชาเล็กน้อย “ตามใจคุณเลย ในทางกลับกันคุณก็ไม่เลยสนใจไยดีพวกเราอยู่แล้ว’
เฉินชิงเฟิงไหวพริบดี พลางพูดเสียงแข็ง “เสี่ยวฉิน!”
เฉินเจียฉินแทบไม่ได้มองเฉินชิงเฟิงสักนิด พลางลุกขึ้นและสาวเท้ายาวเดินออกไปจากห้องอาหารทันที
“แม่ แม่ก็ยังเก็บไปคิดเลย เสี่ยวฉินเขายังเด็กนัก เดี๋ยวผมจะไปดูเขาเอง” ซือเฉิงหยู้กระซิบพูดปลอบโยนข้างหูของเฉินเหลียน จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเดินตามเฉินเจียฉินทันที
เฉินเหลียนอยู่นิ่งอยู่หลายวินาที พลันลุกขึ้นยืน “ฉันอิ่มแล้ว พวกคุณค่อยๆ กินกันไปนะ”
ราวกับฉากละครทะเลาะกัน พวกเขาสามคนแม่ลูกเดินไปจากโต๊ะอาหารทีละคน จนเหลือแค่เฉินชิงเฟิงกับเฉินถิงเซียวที่นั่งประจันหน้ากันอยู่
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ได้ส่งผลมาถึงเฉินถิงเซียวเลย เขายังคงกินข้าวอย่างมีมารยาทต่อไป
เฉินชิงเฟิงเห็นภาพแล้ว พลางขมวดคิ้วตอนที่มองมายังเขาอย่างไม่พอใจ “ถิงเซียว แกกับเสี่ยวฉินมีความสนิทสนมกันดี กลับไปช่วยไปเกลี้ยกล่อมเขาหน่อย”
เฉินถิงเซียวไม่ตอบหรือปฏิเสธทันที ได้แค่ตอบว่า “ซือเฉิงหยู้เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขานี่”
“พี่ชายแท้ๆ” ซึ่งเฉินถิงเซียวพูดเน้นย้ำสามคำ อย่างหนักแน่น
เมื่อเฉินชิงเฟิงได้ยินแล้ว สีหน้าถึงกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาจ้องมองเฉินถิงเซียวอยู่เล็กน้อย จากนั้นก็พูดตอบ “นี่แกรู้เรื่องนี้แล้วเหรอ?”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร
เสียงดัง “โครม” เฉินชิงเฟิงใช้ฝ่ามือฟาดลงบนโต๊ะอาหาร พร้อมทั้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว “เฉินถิงเซียว ฉันกำลังถามแกอยู่นะ”
เฉินถิงเซียวหลุบตาต่ำ พร้อมทั้งพูดอย่างเย็นชาใส่ “ผมรู้หรือไม่รู้เรื่องนี้มันสำคัญด้วยเหรอ? แม่ของผมถูกคุณปิดบังมาตลอดชีวิต เรื่องนี้ขนาดคุณปู่เองก็เพิ่งจะมารู้ทีหลังเหรอ? คุณนี่มันเก่งจริงๆ”
เฉินชิงเฟิงพูดอย่างหน้าดำหน้าแดงใส่ “นั่นมันเป็นอุบัติเหตุ”
“เรื่องถูกลักพาตัวไปในปีนั้นมันเป็นเรื่องสุดวิสัย เรื่องคุณปู่ก็เป็นสุดวิสัยเช่นเดียวกัน ส่วนเรื่องซือเฉิงหยู้ที่เกิดมาอย่างลับๆ นี่ก็เป็นเหตุสุดวิสัย อุบัติเหตุทางรถของอาเขยก็เป็นเรื่องสุดวิสัย….” เฉินถิงเซียวหยุดพัก น้ำเสียงพูดออกมาอย่างเยาะเย้ย “ชีวิตของคุณในครึ่งชีวิตนี้ต่างก็รายล้อมด้วยเรื่องสุดวิสัยทั้งสิ้น ช่างเป็นการใช้ชีวิตที่ล้มเหลวจริงๆ”
ราวกับเฉินชิงเฟิงโมโหจนเสียสติไปแล้ว พลางชี้มาที่เขาพร้อมทั้งตะโกนใส่ “เฉินถิงเซียว แกคิดว่าฉันไม่กล้ายึดตำแหน่งประธาน CEOบริษัทเฉินซื่อให้ลงจากตำแหน่งใช่ไหม?”
เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับอารมณ์โกรธของเฉินชิงเฟิงแล้ว เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเฉินถิงเซียวดูสงบผิดปกติ
เขาพูดอย่างไม่รีบร้อนหรือชักช้าแต่อย่างใด “งั้นก็ลองดูสักหน่อยไหมล่ะ คุณยึดตำแหน่งประธาน CEOบริษัทเฉินซื่อลงจากตำแหน่งจะเร็วกว่า หรือว่าให้ผมทำให้บริษัทเฉินซื่อล้มละลายอันไหนมันจะไวกว่ากัน”
เฉินชิงเฟิงยินยอมยกบริษัทเฉิงซื่อให้กับเฉินถิงเซียวตั้งแต่แรกนั้น ประเด็นสำคัญก็เป็นเพราะว่าเฉินถิงเซียวมีพรสวรรค์ทางด้านธุรกิจกว่าคนอื่นจริงๆ
บริษัทเฉินซื่ออยู่ในมือของเขา ก็มีปัญหาที่หนักหนามาก แค่ยกให้เฉินถิงเซียวถึงสามารถทำให้บริษัทเฉิงซื่อยกระดับขึ้นไปอีกขั้น
แต่ว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเฉินถิงเซียวจะมีวิธีการคิดเช่นนี้
เขาไม่กล้าจะเชื่อพลางจ้องมองมาทางเฉินถิงเซียว “ทำให้บริษัทเฉิงซื่อมันล้มละลายไปเลยมันดีกับแกตรงไหน! แกอย่าลืมนะว่าแกแซ่เฉิน! แกกับพวกเรา กับบริษัทเฉิงซื่อหล่อหลอมรวมตัวเป็นสิ่งเดียวกัน มันได้อย่าง เสียอย่าง!”
เมื่อเฉินถิงเซียวกลับมาถึงยังห้องพักแล้ว พลางเอาคำพูดของเฉินเหลียนกลบฝังอยู่ในหัวสมอง
ไม่มีข้อบกพร่องตรงไหน แถมยังพูดได้อย่างเห็นภาพ แต่มักรู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ดูไม่ถูกต้อง
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่า เขายังจำเป็นที่ต้องไปเจอกับซือหมิงหวนดูสักครั้ง
ซือหมิงหวนกับเฉินเหลียนเป็นสามีภรรยากันตั้งแต่อายุยังน้อย แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ความรู้สึกกลับย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ
ในความทรงจำซือหมิงหวนเป็นคนที่ทั้งอ่อนโยนและช่างพิถีพิถันมาก เป็นศิลปินที่ความโรแมนติกเป็นพิเศษเฉพาะตัว และมีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เพราะต้องอยู่เป็นเพื่อนกับเฉินเหลียน ส่วนเขานั้นไม่ค่อยคิดอะไรมากกับหน้าที่การงานของตนเอง
ในทางกลับกันในหลายปีนี้ มัวแต่หมกมุ่นกับวนเวียนเกี่ยวกับการจัดนิทรรศการภาพวาด จนกระทั่งไม่กลับมาที่ตระกูลเฉินในช่วงวันตรุษจีนเลย
เฉินถิงเซียวตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จากนั้นก็ลงมาชั้นล่างเพื่อสอบถามเบอร์โทรศัพท์ของซือหมิงหวนกับคนรับใช้
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ที่บ้านของเฉินเหลียน ความสัมพันธ์ระหว่างซือหมิงหวนก็ดูไม่เลวพอตัว แต่หลังจากที่เขากลับไปยังเมืองหู้หยางแล้ว ทั้งสองคนติดต่อกันน้อยครั้งมาก และในเวลานี้ก็ไม่มีการไปมาหาสู่กันเลย
เขากดโทรศัพท์ไปหาซือหมิงหวนทันที
เสียงรอสายดังอยู่หลายครั้งถึงมีการกดรับสาย
“สวัสดีครับ?” น้ำเสียงของซือหมิงหวนอ่อนโยนมาก เรื่องนี้ซือเฉิงหยู้ก็เป็นเหมือนเขาเช่นกัน
เฉินถิงเซียวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อาเขย ผมเอง”
น้ำเสียงของซือหมิงหวนเริ่มตกใจเล็กน้อย “ถิงเซียวเหรอ?”
“ผมเอง ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนครับ มีเวลาพอมานั่งคุยกันสักหน่อยไหมครับ?” ความทรงจำเกี่ยวกับซือหมิงหวนของเฉินถิงเซียวซึ่งมันหยุดอยู่หลายปีก่อน แต่เขารู้ดีว่าซือหมิงหวนไม่มีวันปฏิเสธคำร้องขอเรื่องนี้ของเขาแน่
ซือหมิงหวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ถึงได้ตอบกลับมา “ได้แน่นอน แต่ว่าฉันไม่กลับไปที่เมืองหุ้ยหยางนะ”
“ผมอยู่ที่ เมืองMอยู่ในบ้านของคุณ”
เสียงปลายสายเงียบงันอยู่ชั่วครู่
เฉินถิงเซียวไม่ได้ซักไซ้เร่งรัดซือหมิงหวนแต่อย่างใด ทำได้แค่รอคอยคำตอบจากเขาอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
“ตกลง งานนิทรรศการภาพวาดของฉันทางนี้วันนี้จะเสร็จงานช่วงตอนบ่าย คืนนี้ฉันจะกลับบ้าน แต่ว่าเรื่องนี้คุณอย่าให้อาของคุณรู้เรื่องก็แล้วกัน”
“ผมรู้เรื่องแล้ว”
ซือหมิงหวนกลับมาคืนนี้ เวลาช่างเหมาะเจาะพอดี
หลังจากวางสายแล้ว เฉินถิงเซียวหรี่ตาลงเล็กน้อย ในหัวสมองพลันครุ่นคิดกับคำพูดประโยคนั้นของซือหมิงหวน “อย่าให้อาคุณรู้เรื่อง”
คำพูดนี้เมื่อเอามาวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เนื้อหาภายในมันช่างมากมายเหลือเกิน
ไม่ให้เฉินเหลียนรู้เรื่องด้วย ซือหมิงหวนจะยินยอมที่จะพูดคุยกับเฉินถิงเซียวแทน
ส่วนเฉินถิงเซียวเองก็ไม่พูดเรื่องที่ต้องการจะพูดออกมาเลยด้วยซ้ำ
เห็นได้อย่างชัดเจนมากกว่าซือหมิงหวนรู้เรื่องว่าเฉินถิงเซียวต้องการมาคุยกับเขาว่าเป็นเรื่องอะไร
นี่คือความเข้าใจโดยปริยายระหว่างคนฉลาดเฉลียวที่มีต่อกัน
……
เวลาย่ำค่ำ หลังจากที่เฉินถิงเซียวโทรศัพท์มาหาซือหมิงหวนหนึ่งครั้ง ก็นัดเจอกันที่ร้านกาแฟร้านหนึ่งในตัวเมือง
ตอนที่เฉินถิงเซียวมาถึง เป็นเวลา 6 โมงเย็นพอดี
เขาสั่งกาแฟมาแก้วหนึ่ง พร้อมทั้งนั่งเลือกนั่งริมหน้าต่างที่สามารถเห็นตำแหน่งที่จอดรถตรงประตูพอดี เพื่อรอให้ซือหมิงหวนมาหา
หลังจากเขารอเกือบครึ่งชั่วโมงนั้น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นระงมอยู่หลายเสียง
จากนั้นก็มีสีฝีเท้าและเสียงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนกดังขึ้นระงมไปทั่ว
“พระเจ้า เกิดอุบัติเหตุรถชนกัน!”
“คนเป็นไงบ้าง?”
“รีบเรียกรถพยาบาลเร็ว”
เฉินถิงเซียวย่นคิ้วเล็กน้อย ตอนแรกก็ไม่สนใจสักเท่าไหร่
จู่ ๆ เขาก็เหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ พลันผุดลุกและมุ่งหน้าเดินออกไปทางด้านนอกทันที
เขาแหวกกลุ่มคนเข้าไป และไปยืนอยู่ด้านหน้าของคนที่โดนรถชนคนนั้น
คนที่ถูกชนเป็นชายวัยกลางคน เสื้อเชิ้ตสีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดจนแดงไปทั่ว เหลือแค่ช่วงคอเสื้อเท่านั้นที่มีสีขาวหลงเหลืออยู่เล็กน้อย ใบหน้าทั้งหน้าถูกชนจนไม่สามารถเห็นใบหน้าเดิมได้สักเท่าไหร่
เฉินถิงเซียวคุกเข่าลง พลางยื่นมือออกไปปาดคราบเลือดที่อยู่บนหน้าของเขา จนพอสามารถเห็นใบหน้าที่ชัดเจนเดิมของเขาได้
ผู้ชายคนนี้ ก็คือ ซือหมิงหวน!
การกระทำของเฉินถิงเซียวค้างเติ่งอยู่กับที่ และเปล่งเสียงเรียก “อาเขย? ซือหมิงหวน?”
ผู้ชายที่นอนอยู่กับพื้นขยับนิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็หมดลมหายใจไป
คนที่อยู่ข้างๆ พลางหยิบกระเป๋าสตางค์ของซือหมิงหวนขึ้นมา จากนั้นก็พูดตอนเห็นเอกสารที่อยู่ในนั้น “ผู้ชายคนนี้ชื่อซือหมิงหวน”
“พระเจ้า เขาเป็นจิตรกรคนนั้นเหรอเนี่ย?”
“ลูกสาวของฉันอยากจะไปดูงานนิทรรศการภาพวาดของเขาสักครั้งมาตลอดเลย!”
เวลานี้เอง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาทันที
“ทุกคนรบกวนหลีกทางหน่อย ช่วยหลีกทางให้หน่อยครับ”
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรีบไล่คนที่มุงดูอยู่รอบๆ ออกไป ถึงได้เดินมาเรียกเฉินถิงเซียว “คุณผู้ชายท่านนี้ รบกวนคุณช่วยลุกขึ้นมาหน่อย อย่าเกะกะการทำงานของพวกเราเลย”
เฉินถิงเซียวลุกขึ้นด้วยหน้าตาเย็นชา พลางก้าวถอยหลังไปด้านข้างด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
เขามองทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เอามือเข้าไปอังบริเวณจมูกของซือหมิงหวน จากนั้นก็พูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ด้านข้าง “หมดลมหายใจแล้ว”
……
เฉินถิงเซียวตามเจ้าหน้าที่ตำรวจไปยังสถานี ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งเฉินเหลียนให้ทราบ
ตอนที่เฉินเหลียนมาถึงนั้น ร่างกายเหมือนวิญญาณหลุดลอยไป “หมิงหวนล่ะ? หมิงหวนอยู่ที่ไหน?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจรีบเดินดักหน้าขวางเฉินเหลียนเอาไว้ “คุณนายซือ ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ”
เฉินเหลียนเห็นเฉินถิงเซียว ก็เดินมุ่งหน้ามาหาเขา “ถิงเซียว อาเขยของแกเขาเป็นอะไรไป? ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้?”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้น พลางจ้องมองผู้หญิงที่ร้องไห้ไม่หยุดจนดวงตาแดงก่ำจนบวมเป่ง พลันตอบกลับ “ผมไปดูเขาเป็นเพื่อนคุณเอง”
ตอนที่เฉินเหลียนเห็นศพของซือหมิงหวนนั้น ก็เป็นลมล้มพับสลบไปทันที
เฉินถิงเซียวที่ยืนอยู่ด้านหน้าศพของซือหมิงหวนนั้น มีความรู้สึกหนักใจเหลือเกิน
แม้ว่าซือหมิงหวนจะไม่ใช่พ่อบังเกิดเหล้าของซือเฉิงหยู้ แต่เขาก็เป็นบิดาแท้ๆ ของเฉินเจียฉิน
เฉินเจียฉินกับซือหมิงหวนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก
เรื่องของซือหมิงหวนยังอยู่ระหว่างการสอบสวน ว่าอุบัติเหตุในครั้งนี้มีคนบงการทำให้เกิดเรื่องขึ้นหรือว่าเป็นอุบัติเหตุจริงๆ กันแน่ แต่ก็ไม่สามารถสรุปเหตุดังกล่าวได้ในเวลานี้
เฉินถิงเซียวให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกอย่าง เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้ได้
รอจนจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว เวลาก็เป็นกลางดึกแล้ว
เวลาในประเทศนั้นคือยังกลางวันอยู่
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่ขอบแปลงดอกไม้ด้านนอกสถานีตำรวจ พลางโทรศัพท์หามู่น่อนน่อน
โทรศัพทมีเสียงรอสายสองครั้งจากนั้นมู่น่อนน่อนก็กดรับสาย
น้ำเสียงอันอ่อนโยนดังออกมาจากปลายสาย “เฉินถิงเซียว? ”
“เรื่องของซือเฉิงหยู้ ผมถามเธอแล้ว”
“แล้วเธอตอบว่ายังไงเหรอ?”
เฉินถิงเซียวเอาคำพูดของเฉินเหลียนบอกกับมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเงียบงันอยู่สักพัก จากนั้นก็ถามเขากลับ “คุณรู้สึกว่าจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า? ”
มองออกอย่างชัดเจนว่า มู่น่อนน่อนไม่เชื่อกับการที่พูดออกมาแบบนี้
แต่ว่าเวลานี้ก็ไม่ใช่เวลามาเสาะหาความจริงกับเรื่องนี้
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวแหบพร่าลง “อาเขยประสบอุบัติเหตุรถชนจนเสียชีวิตไปแล้วนะ”
มู่น่อนน่อนคิดตามอยู่ชั่วครู่ จากนั้นถึงคิดออกว่า อาเขยของเฉินถิงเซียว ก็คือพ่อของเฉินเจียฉิน
มู่น่อนน่อนถามกลับ “คุณบอกเสี่ยวฉินหรือยัง?”
“มีคนแจ้งไปแล้วแหละ” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวแสดงอาการเหนื่อยล้าออกมาเล็กน้อย
“ตอนนี้ที่ เมืองM ก็เป็นเวลาดึกดื่น คุณต้องดูแลตัวเองดีๆ มีเวลาก็พักสักหน่อยนะ” ห่างกันไกลมากขนาดนี้ ทำได้แค่พูดกำชับเขาเท่านั้นเอง
หลังจากมู่น่อนน่อนวางสายแล้ว สือเย่ก็โทรศัพท์มาหาทันที
เรื่องที่สือเย่พูดกับเธอ ก็คือข่าวที่ซือหมิงหวนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิต
สือเย่ก็ได้ยินข่าวมาจากลูกน้องของเฉินชิงเฟิงอีกที
แต่มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าซือหมิงหวนกำลังรีบไปตามนัดที่ได้นัดหมายกับเฉินถิงเซียวเอาไว้จนเกิดอุบัติเหตุรถชน ดังนั้นในเวลานี้เลยคิดว่าเป็นเพียงแค่รถชนกันตามปกติทั่วไปเท่านั้นเอง
จนตอนท้าย มู่น่อนน่อนพูดออกมา “สือเย่ คุณก็ไปเมืองMกับพวกเขาเถอะ คุณพ่อของเฉินถิงเซียวน่าจะไปเมืองMกับเสี่ยวฉิน ฉันอยู่ที่เมืองหู้หยางคนเดียวได้ไม่มีปัญหาอะไร ในทางกลับกันการที่เฉินถิงเซียวไปอยู่ต่างประเทศคนเดียว มันไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่”
ความจริงแล้วสือเย่ก็อยากไปเมืองMพร้อมกับเฉินถิงเซียว เมื่อได้ยินมู่น่อนน่อนพูดออกมาเช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่คำนึงถึงอะไรอีกแล้ว พลันเดินทางขึ้นเครื่องบินมุ่งหน้าไปยังเมืองMพร้อมกับพวกของเฉินชิงเฟิงทันที
เฉินถิงเซียวมองไปที่เครื่องหมายคำถามบนนั้น ก่อนที่เขาจะยกยิ้มมุมปาก
นิ้วยาวของเขาแตะไปที่บนหน้าจอไม่กี่ครั้ง: เข้านอนได้แล้ว
มู่น่อนน่อนที่อยู่อีกด้านหนึ่ง เอาแต่อ่านข้อความสองข้อความที่เฉินถิงเซียวส่งมา
ข้อความทั้งสองนั้นรวมกันแล้วมีแค่ไม่กี่ตัวอักษร เขานี่เป็นคนที่หวงตัวอักษรจริงๆ
“งั้นพรุ่งนี้คุณโทรหาฉันนะ รีบกลับมาไวๆ ฉันจะไปนอนแล้ว”
มู่น่อนน่อนส่งข้อความไป และเธอได้รับคำตอบจากเฉินถิงเซียวว่า “ราตรีสวัสดิ์”
เฉินถิงเซียวเก็บโทรศัพท์มือถือ เขาไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะออกไปหาเฉินเหลียน
เหตุผลที่เขาเลือกมาที่เมืองMในเวลากลางคืน เพื่อจะได้ไม่ถูกเฉินชิงเฟิงจับได้เร็วขนาดนั้น
ถ้าเขาเลือกที่จะมาที่เมืองMในตอนกลางวัน เฉินชิงเฟิงจะรู้ว่าเขาไม่ได้ไปที่บริษัท แล้วเขาจะรู้โดยทันทีว่าเขามาที่เมืองMเพื่อตามหาเฉินเหลียน
เขามาในทันที อีกไม่นานเฉินชิงเฟิงก็น่าจะรู้ว่าเขามาที่เมืองMแล้ว แต่จะต้องใช้เวลามากกว่า 10 ชั่วโมงในการบินจากเมืองหู้หยางมาที่เมืองM แม้ว่าเฉินชิงเฟิงจะมาที่นี่ แต่เขาก็คงมาถึงที่นี่หลังจาก 10 กว่าชั่วโมงนี้
เขามีเวลามากกว่า 10 ชั่วโมงในการ “พูดคุย” กับเฉินเหลียน ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อน
ในห้องโถงเงียบมาก และเฉินเหลียนก็ไม่อยู่
เฉินถิงเซียวถามคนใช้ว่า “คุณนายของพวกเธออยู่ที่ไหน”
คนใช้ตอบด้วยความเคารพ “คุณนายกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องค่ะ”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองขึ้นไปชั้นบน แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่บ้านของเฉินเหลียนมาหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังจำห้องของเฉินเหลียนได้
เขาขึ้นไปชั้นบน และเดินไปที่ประตูห้องของเฉินเหลียน เขายกมือขึ้นแล้วเคาะประตู “คุณป้าครับ”
คนในห้องไม่ตอบสนอง เฉินถิงเซียวยกริมฝีปากขึ้น จากนั้นเขาก็หันหลังจากไปโดยที่ไม่มีรอยยิ้มใดๆ
ผ่านไปสักพักใหญ่ เฉินเหลียนก็ลงมาข้างล่าง
“ถิงเซียว เมื่อกี้แกมาหาฉันเหรอ?” เฉินเหลียนมีใบหน้าที่รู้สึกผิด “ฉันเผลอหลับไปในห้องน่ะ ฉันได้ยินว่ามีคนมาเรียกฉันในตอนสะลึมสะลือ ฉันคิดว่าฉันกำลังฝันไป”
“ถ้าป้าเหนื่อย ก็พักผ่อนเยอะๆ นะครับ”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวดูราบเรียบ ซึ่งไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหน แต่ดวงตาของเขาไม่เคยละจากเฉินเหลียนเลย
ดูเหมือนเฉินเหลียนจะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อถูกเขามอง เธอฝืนยิ้มออกมา “ไม่ขนาดนั้น ก็แค่อายุเยอะแล้ว แล้วช่วงนี้ก็เป็นหน้าร้อน ก็เลยสูญเสียพลังงานบ่อยๆ น่ะ”
“งั้นคุณป้าควรดูแลสุขภาพให้เยอะๆ นะครับ ป้ายังไม่ทันได้ดูพี่ใหญ่ได้แต่งงานเลย และยังไม่ทันได้อุ้มหลานเลย อย่าเป็นเหมือนคุณปู่นะครับ”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวทุ้มต่ำ แต่เขาจงใจพูดช้าๆ เพื่อให้คำพูดนี้ฟังดูมืดมนเล็กน้อย
เฉินเหลียนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็เปลี่ยนเรื่องไปถามถึงคุณท่านเฉิน “พ่อของฉันเป็นยังไงบ้าง? ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
เฉินถิงเซียวเอียงศีรษะเล็กน้อย นิ้วมือยาวของเขาก็แตะไปที่ที่วางแขนบนโซฟา และคำพูดที่เขาพูดออกมาดูเหมือนจะไม่ใส่ใจอะไรเลย “ในเมื่อคุณป้าเป็นห่วงเขาขนาดนั้น ทำไมไม่กลับไปอยู่กับคุณลุงล่ะ? พี่ใหญ่กับเสี่ยวฉินก็อยู่ในประเทศ”
“ลุงกับป้าก็กำลังคุยเรื่องนี้กันอยู่…” เฉินเหลียนหลับตาลง เพื่อจะได้ไม่มองเฉินถิงเซียว
ทั้งสองพูดคุยกัน ในเรื่องที่ไม่ได้สำคัญมากนัก
เฉินถิงเซียวเฝ้าสังเกตท่าทีของเฉินเหลียน เขาพบว่าทุกครั้งที่เธอมองมาที่เขา เธอจะรีบหลบสายตาบางครั้งก็เปลี่ยนท่านั่งเป็นครั้งคราว
เฉินเหลียนเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลเฉิน เธอจึงมีครูสอนเรื่องมารยาทมาตั้งแต่เด็ก เธอดูสง่างามอยู่เสมอ แต่พฤติกรรมของเธอในเวลานี้
ล้วนแสดงถึงความตึงเครียดและความวิตกกังวลในใจของเธอ
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่าถึงเวลาแล้ว
หลังจากที่เฉินเหลียนพูดจบ เฉินถิงเซียวก็ไม่พูดอะไรเลย
ห้องโถงเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อเฉินเหลียนเอื้อมมือไปแตะแก้วน้ำที่อยู่ข้างหน้าเธอเป็นครั้งที่สาม เฉินถิงเซียวก็พูดอย่างราบเรียบว่า “คุณป้า ที่ผมมาที่เมืองMในครั้งนี้ เพราะผมมีเรื่องจะถามป้าครับ”
ดูเหมือนว่าเฉินเหลียนจะตื่นกลัวมาก เธอรีบดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว “เรื่องอะไร?”
หลังจากพูดจบ เธอก็รู้ว่าตอนนี้เธออึดอัดเกินไป ดังนั้นเธอจึงต้องเอื้อมมือไปจับแก้วน้ำ และจิบช้าๆ
เฉินถิงเซียวหยิบรายงานผลการตรวจDNAออกมา จากนั้นเขาก็วางลงบนโต๊ะต่อหน้าเธอ
เฉินเหลียนชำเลืองมองไปที่เขา ก่อนที่เธอจะค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบรายงานผลการตรวจDNA
ใบหน้าของเธอซีดลงทีละนิด และในที่สุดใบหน้าของเธอก็แสดงถึงความตื่นตระหนก ตอนที่เธอพูดอีกครั้ง เธอก็พูดตะกุกตะกักในทันที “อันนี่…ถิงเซียว…อันนี้…”
เฉินถิงเซียวมองดูความตื่นตระหนกของเฉินเหลียนด้วยดวงตาที่เย็นชา น้ำเสียงของเขาก็เคร่งขรึมมากขึ้นในทันที “คุณป้า จะไม่อธิบายหน่อยเหรอ? ทุกคนต่างก็รู้ ว่าตอนนั้นคุณป้ากับคุณลุงเรียนอยู่ด้วยกันที่ต่างประเทศ แล้วก็คลอดซือเฉิงหยู้ออกมาตอนอายุ 18 ปี แต่ทำไม พ่อโดยกำเนิดของซือเฉิงหยู้ ถึงเป็นพี่ชายของคุณ”
ในสองประโยคสุดท้าย เฉินถิงเซียวจงใจพูดเน้นย้ำ
ในตอนเที่ยงเด็ก เฉินชิงเฟิงและแม่ของเขาดูรักกันมาก
แต่ว่า เมื่อเฉินถิงเซียวโตขึ้น และมองย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเด็ก เขาก็รู้สึกว่า การที่พวกเขาดูรักกันมากมันเป็นเรื่องไม่จริง
ผู้ใหญ่ก็แสดงเก่งมาก และก็หลอกลวงเป็นด้วย
เป็นเวลานาน ที่เฉินเหลียนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ และทั่วทั้งห้องโถงก็เต็มไปด้วยความเงียบที่น่ากลัว
เฉินเหลียนตั้งสติและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “เฉิงหยู้…เป็นลูกชายของพี่ชายจริงๆ แต่แกต้องเชื่อนะ ว่าเขารักแม่ของแกจริงๆ…”
เฉินถิงเซียวทำแต่ยิ้มเย้ยหยันและไม่พูดอะไร
เฉินเหลียนเองก็รู้ว่าการพูดแบบนี้ไม่สามารถโน้มน้าวเฉินถิงเซียวได้
ผ่านไปพักหนึ่ง เฉินเหลียนก็กล่าวต่อว่า “ตอนนั้นฉันท้องจริงๆ แต่ลูกของฉันคลอดก่อนกำหนด และหลังจากที่คลอดออกมาไม่นานก็เสียชีวิต ในขณะนั้นพ่อของแกก็รับช่วงบริษัทเฉินซื่อต่อ และเขาก็มีกิจกรรมทางสังคมมากมาย เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงผู้หญิงที่ชอบเข้ามาช่วยโอกาส แม้ว่าเขาต้องการจะส่งผู้หญิงคนนั้นออกไปให้พ้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว นั่นก็คือเลือดเนื้อของเขา และลูกของฉันก็เพิ่งเสียชีวิต ฉันเลยเอาเด็กมาเลี้ยงดู…”
ประโยคนี้ฟังดูไร้ข้อบกพร่องใดๆ
และก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี
เฉินถิงเซียวไม่ได้บอกว่าเขาเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่เขาเพียงแค่ถามว่า “ซือเฉิงหยู้รู้เรื่องนี้หรือไม่?”
“เขา…น่าจะรู้แล้ว” สีหน้าของเฉินเหลียนดูลังเลเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวถามว่า “คุณลุงก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?”
สีหน้าของเฉินเหลียนกลับมาเป็นปกติ และเธอก็พูดเบาๆ ว่า “ใช่ หมิงหวนก็รู้เช่นกัน”
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลง “ลุงไม่อยู่บ้าน เขาไปไหนที่ไหนเหรอ?”
เฉินเหลียนยิ้มและพูดว่า “ช่วงนี้เขากำลังจัดนิทรรศการศิลปะ เขาออกไปเดือนกว่าๆ แล้ว”
เมื่อเธอพูดจบ คนใช้ก็เข้ามา “คุณนาย อาหารพร้อมแล้วค่ะ”
“เอาล่ะ ไปทานข้าวกันก่อนเถอะ แกก็น่าจะหิวเหมือนกัน” เฉินเหลียนลุกขึ้นพูดอย่างอ่อนโยน
เธอกลายเป็นภรรยาของศิลปินผู้สง่างามอีกครั้ง ใบหน้าของเธอไม่มีร่องรอยของความตื่นตระหนกอยู่เลย
เฉินถิงเซียวหลับตาลง และตามเธอไปที่ในห้องอาหาร
บนโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ มีเพียงพวกเขาสองคนที่กำลังทานกันอยู่ และไม่มีใครพูดอะไรออกมา บรรยากาศดูค่อนข้างตึงเครียด
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินถิงเซียวก็วางตะเกียบลง “ผมทานเสร็จแล้ว”
เฉินเหลียนมองเฉินถิงเซียวที่เดินออกจากห้องอาหารไป สีหน้าของเธอก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปทันที
ตอนที่สือเย่ออกไปเพื่อจองตั๋วเครื่องบินให้กับเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวก็เหลือบมองไปทางห้องครัว จากนั้นเขาก็โทรไปหากู้จือหยั่น
“ถ้าไม่ใช่เพราะจะเลี้ยงข้าวฉัน ก็ไม่ต้องพูดอะไร” ครั้งก่อนกู้จือหยั่นได้บังเอิญเจอกับเฉินถิงเซียวที่โรงแรมจีนติ่งก็เท่านั้นเอง
เฉินถิงเซียวกลับไปดูแลบริษัทเฉินซื่อต่อ และก็ให้เขาดูแลโรงแรมจีนติ่งและบริษัทเสิ้งติ่งอยู่คนเดียว
เรื่องที่จะโยนทั้งหมดให้เขาดูแลนั้นเขาก็ไม่ว่าอะไร แต่ยังไงเขาก็มีหุ้นส่วนอยู่ในบริษัทด้วย
เฉินถิงเซียวใช้งานเขาได้ถนัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก่อนถ้ามีเวลาพวกเขาก็จะไปทานข้าวด้วยกันหรือไปดื่มด้วยกัน แต่ตอนนี้ ถ้าเขาไม่มีธุระอะไรก็ไม่มีทางติดต่อเขามาแน่นอน
กู้จือหยั่นพยายามตัดขาดความสัมพันธ์กับเฉินถิงเซียวมานับครั้งไม่ถ้วน
เฉินถิงเซียวไม่สนใจสิ่งที่กู้จือหยั่นพูดด้วยซ้ำ เมื่อก่อนกู้จือหยั่นมักจะข่มขู่เขาว่าจะไปโดนตึก
เฉินถิงเซียวพูดกับตัวเองว่า “คืนนี้ฉันจะบินไปที่เมืองM โดยเร็วที่สุดน่าจะใช้เวลาประมาณ3-4วันถึงจะกลับมา ฉันไม่ได้อยู่ในเมืองหู้หยาง ยังไงก็ช่วยฉันดูแลมู่น่อนน่อนด้วย”
กู้จือหยั่นเป็นคนเก่งแต่ปาก แต่เขาไม่กล้าวางสายของเฉินถิงเซียวอยู่ดี
เขาถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “นายไปเมืองMทำไม ไปทำงานเหรอ?”
เฉินถิงเซียวพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “มีธุระน่ะ นายช่วยฉันดูแลมู่น่อนน่อนก็พอแล้ว”
“ได้ได้ได้!” กู้จือหยั่นกลับมาถามอีกรอบ “มีอะไรร้ายแรงนักหนา ทำไมต้องให้ฉันดูแลน่อนน่อนแทนนายด้วย มีเรื่องอะไรที่ไม่ได้บอกฉันใช่ไหม?”
กู้จือหยั่นไม่ใช่คนนอก เขามีมิตรภาพที่ลึกซึ้งกับเฉินถิงเซียว ดังนั้นเฉินถิงเซียวก็ไม่อ้อมค้อมอะไร เขาบอกสิ่งที่สำคัญที่สุดกับเขา “ซือเฉิงหยู้กับฉันเป็นพี่น้องแท้ๆ ที่มีพ่อเดียวกัน”
“หือ?” ท่าทีของกู้จือหยั่นดูตื่นเต้นมาก “อะไรกันเนี่ย? ไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่ไหม? ซือเฉิงหยู้เป็นลูกชายของป้านายนี่? เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของนาย แล้วเสี่ยวฉินล่ะ?”
กู้จือหยั่นมีความคิดที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
เฉินถิงเซียวเพิกเฉยต่อคำถามของเขาโดยตรง น้ำเสียงของเขาเบาลงเล็กน้อย “ยังไงก็ต้องรบกวนนายด้วยนะ”
“ไปเถอะ ไปเถอะ ไม่ต้องทำท่าเกรงใจขนาดนั้น ฉันรู้สึกกลัว อีกอย่างนะ ต่อให้นายไม่บอกกับฉัน แค่ที่น่อนน่อนสนิทกับเสี่ยวเสิ่นของฉัน แน่นอนว่ายังไงฉันต้องดูแลเธออยู่แล้ว…”
“อืม”
เฉินถิงเซียววางสาย สายตาของเขาเหลือบไปมองรายงานระบุผลตรวจDNAที่วางอยู่บนโต๊ะอีกครั้ง เขามองไปที่นั่นอยู่นานแสนนาน เขาวางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ก่อนจะลุกขึ้นและไปที่ห้องครัว
ในครัว มู่น่อนน่อนกำลังหั่นพริกหยวกอยู่พอดี
เฉินถิงเซียวเป็นคนชอบทานรสจัด ตอนนี้มู่น่อนน่อนไม่ค่อยได้ทำอาหารให้บ่อยนัก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีโอกาสได้ทำอาหารให้เขา ดังนั้นเธอจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ถูกปากเขา
ฝีเท้าของเฉินถิงเซียวเบามาก เขาพิงประตูและมองดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่ามู่น่อนน่อนหั่นพริกหยวกเสร็จแล้ว เขาก็เดินไปหยิบจานก่อนจะยื่นให้กับเธอ
มู่น่อนน่อนกำลังจะหันหลังไปหยิบจานมา เธอก็เห็นว่ามีคนกำลังยื่นจานให้เธอ
เธอหยิบจานแล้วหันไปมองเฉินถิงเซียว “คุณเข้ามาทำไม?”
“หิวแล้ว” เฉินถิงเซียวพูดเบาๆ
แต่สายตาของเขาจับจ้องไปที่รูปร่างของมู่น่อนน่อน
“หิวแล้ว จะมองมาที่ฉันทำไม ไปที่โต๊ะอาหารสิ ใกล้จะเสร็จแล้ว” มู่น่อนน่อนพูดในขณะที่ใช้ศอกดันเขาไปด้วย เธอต้องการผลักเขาออกไปข้างนอก
เฉินถิงเซียวไม่ขยับ เขาเอื้อมมือไปกดไหล่เธอไว้ แล้วพูดอย่างราบเรียบว่า “ผมอยากมองคุณให้นานกว่านี้หน่อย”
มู่น่อนน่อนชะงักไป จู่ๆ ชายคนนี้ก็พูดอย่างตรงไปตรงมา มันทำให้เธอรู้สึกไม่ชินเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวยังไม่ไปไหน มันทำให้มู่น่อนน่อนเริ่มรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
“คุณพาสือเย่ไปที่เมืองMด้วยสิ เขาทำงานกับคุณมาหลายปีแล้ว เขาจัดการทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
และที่ต่างประเทศก็คงจะไม่ต่างจากเมืองหู้หยาง…” อันที่จริงตอนที่อยู่ในห้องรับแขก เธอก็อยากจะพูดเรื่องพวกนี้
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ และแอบแฝงไปด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “คุณกำลังดูถูกฉัน หรือสือเย่กันแน่?”
มู่น่อนน่อนไม่อยากจะพูดคุยกับผู้ชายที่เย่อหยิ่งและมั่นใจคนนี้อีกแล้ว
ตั๋วเครื่องบินที่สือเย่จองให้เฉินถิงเซียวเป็นตอนกลางคืนคือ 6 โมงเย็น
เฉินถิงเซียวเดินทางไปสนามบินตอน 4 โมงเย็น
เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย มู่น่อนน่อนเลยไม่ได้ไปส่งเขา
หลังจากเฉินถิงเซียวจากไป มู่น่อนน่อนก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในกองละครกับในบ้าน
ถ้าเธอมีเวลาเธอก็จะไปที่กองละคร นอกจากนั้นเธอก็จะเอาเวลามาวิจัยเกี่ยวกับบทละครเรื่องใหม่
……
ตอนที่เฉินถิงเซียวไปถึงเมืองM ก็เป็นเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว
ตอนที่เขาไปที่บ้านของเฉินเหลียนพร้อมสัมภาระ เฉินเหลียนกำลังมองดูช่างฝีมือที่กำลังซ่อมแซมสวนของบ้านที่เพิ่งจ้างใหม่อยู่
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง เขาก็ตะโกนเรียกด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “คุณป้าครับ”
เมื่อเฉินเหลียนได้ยินเสียง ตอนที่เธอหันไปมองเฉินถิงเซียว เธอก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะได้สติกลับมา “ถิงเซียว? ทำไมจู่ๆ ถึงมาที่นี่ล่ะ?”
แม้ว่าเธอจะพยายามแสดงท่าทีให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุดแล้ว แต่เฉินถิงเซียวก็ยังคงรับรู้ได้ว่าเธอนั้นรู้สึกตื่นตระหนก
เฉินเหลียนและแม่ของเขาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาตั้งแต่เด็ก และทั้งสองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
คนสองคนที่สามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ คงต้องมีอะไรที่เหมือนกัน
แม้ว่าเขาจะรู้มาจากปากของมู่เจิ้งซิวว่า เคยเห็นเฉินเหลียนในตอนที่เกิดเหตุการณ์ลักพาตัว เฉินถิงเซียวรู้สึกไม่ชอบเฉินเหลียนเพียงเล็กน้อย แต่เขาไม่คิดว่าเฉินเหลียนจะทำอะไรแบบนั้น
เฉินเหลียนเป็นเด็กดีมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และเธอก็เป็นที่รักของคุณท่านเฉิน เธอเป็นคนไม่ได้คิดอะไรมาก ดังนั้นไม่น่าจะทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นได้ลงคอ
นอกจากนี้ ก็ยังไม่มีแรงจูงใจอะไรด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเธอจะไม่มีแรงจูงใจให้ทำ แต่เธอก็น่าจะรู้อะไรบางอย่าง
เฉินถิงเซียววางกระเป๋าในมือของเขา จากนั้นเขาก็รีบเดินไปหาเฉินเหลียน ดวงตากลมลึกคู่หนึ่งเปล่งประกายไปด้วยแสงสว่าง เหมือนเขาต้องการรู้ทุกอย่างจากเฉินเหลียน “คุณป้าคิดว่า ที่ผมมาหาคุณป้าที่นี่ เพราะเรื่องอะไร?”
หลังจากที่แม่ของเขาเสียชีวิต เฉินถิงเซียวก็มาอาศัยอยู่กับเฉินเหลียนตั้งแต่นั้นมา แต่เฉินเหลียนก็ไม่ได้มองว่าเขาเป็นเด็กคนหนึ่ง
ไม่มีเด็ก 10 กว่าขวบคนไหน ที่มีความคิดที่ลึกซึ้งแบบเฉินถิงเซียว
ตั้งแต่นั้นมา เฉินเหลียนรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจเด็กคนนี้เลย
สีหน้าของเฉินเหลียนแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง แล้วเธอก็พูดว่า “ถ้าแกไม่พูด ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าแกมาหาฉันเพราะเรื่องอะไร แกมาจากเมืองหู้หยางใช่ไหม? นั่งเครื่องบินมานานขนาดนั้น คงจะเหนื่อยแย่เลย ไปพักผ่อนก่อนเถอะ ห้องของแกฉันเก็บไว้เสมอ”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็หันกลับไปและบอกคนใช้ว่า “ช่วยถิงเซียวยกสัมภาระขึ้นไป และพาเขาไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน”
ทันใดนั้น ก็มีคนใช้คนหนึ่งเดินเข้าไปช่วยเฉินถิงเซียวถือสัมภาระทันที “คุณชาย เชิญทางนี้”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเฉินเหลียนด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง ก่อนที่เขาจะหันหลังและเดินตามคนรับใช้เข้าไปในห้อง
คนใช้พาเฉินถิงเซียวไปที่ห้องก่อนจะออกไป เฉินถิงเซียวปิดประตู เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อเตรียมโทรหามู่น่อนน่อน เมื่อเขามองดูเวลา เขาพบว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว
เวลาที่เมืองMและในประเทศแตกต่างกัน ในประเทศตอนนี้จะเป็นเวลาช่วงกลางคืนแล้ว ซึ่งเวลานี้มู่น่อนน่อนน่าจะหลับไปแล้ว
เฉินถิงเซียวก็เลยไม่ได้โทรหามู่น่อนน่อน แต่เขาส่งข้อความไปว่า “ถึงแล้ว”
หลังจากส่งข้อความ เขาก็วางโทรศัพท์ลง จากนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นแจ้งเตือนเขาว่ามีข้อความใหม่
เป็นข้อความของมู่น่อนน่อนที่ตอบกลับมาว่า “คุณเพิ่งถึงเหรอ? ทานข้าวหรือยัง? ได้เจอคุณป้าของคุณไหม? คุณจะพูดกับเธอยังไง?”
มู่น่อนน่อนไปซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้ออาหาร จากนั้นเธอก็ขับรถไปที่คอนโดของเฉินถิงเซียว
ผลตรวจความเป็นพ่อของซือเฉิงหยู้และเฉินชิงเฟิงออกมาในวันนี้ แม้ว่ามู่น่อนน่อนจะสามารถยืนยันผ่านเฉินถิงเซียวได้ว่าทั้งสองต้องเป็นมีความสัมพันธ์แบบพ่อ-ลูก แต่ในใจเธอก็ยังรู้สึกประหม่า
เธอนึกถึงคำพูดของเสิ่นชูหาน ตระกูลเฉินนั้นซับซ้อนกว่าที่คิด
นี่เธอได้ประสบพบเจอด้วยตัวเอง
เมื่อเธอไปที่คอนโดของเฉินถิงเซียว คนที่ไปรับผลการตรวจDNAยังมาไม่ถึง
เฉินถิงเซียวกำลังนั่งอยู่บนโซฟา ในมือเขาถือบุหรี่ไว้ แต่ไม่ได้จุดไฟ
เฉินถิงเซียวไม่ค่อยสูบบุหรี่ อย่างน้อยเฉินถิงเซียวในอดีตก็ไม่เคยติดบุหรี่
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เฉินถิงเซียวก็เอาบุหรี่ในมือไปวางไว้ที่โต๊ะกาแฟตรงหน้าเขา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางของมู่น่อนน่อน “รถติดเหรอ?”
ดวงตาของเขาก็ไปสะดุดกับสิ่งของในมือของเธอ เขาสะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินไปหาเธอ และช่วยยกทุกสิ่งที่อยู่ในมือของเธอออก
“คุณไปซื้อของพวกนี้มาจะทำอะไร?” เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว น้ำเสียงของเขาไม่ค่อยดีนัก และสีหน้าของเขาก็ดูไม่พอใจเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนรู้ว่าทำไมเฉินถิงเซียวถึงดูไม่พอใจ เธอเลยพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นว่า “เมื่อคืนตอนที่คุณพ่อของคุณมาที่นี่ ข้อแก้ตัวที่ฉันบอกเขาก็คือฉันมาทำอาหารให้คุณทานเพื่อเอาชนะใจคุณ แน่นอนว่าฉันต้องแกล้งทำให้สมจริงหน่อยสิ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร แต่ใบหน้าเขาก็ดูเย็นชามาก เขานำของที่มู่น่อนน่อนซื้อไปไว้ในตู้เย็นทีละชิ้น
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ที่ประตูห้องครัว เธอมองเขาก้มลงเอาของเก็บเข้าไปข้างใน เธออดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเขา “ท่าทีของคุณเย็นชาเหมือนตู้เย็นเลยนะ”
เฉินถิงเซียวหันหน้าไปและชำเลืองมองเธอ และพูดเบาๆ ว่า “ผมก็เย็นชาเหมือนภูเขาน้ำแข็งได้เหมือนกันนะ คุณอยากสัมผัสดูไหม?”
“ไม่” มู่น่อนน่อนรีบส่ายหัวอย่างรวดเร็ว
เฉินถิงเซียวปิดประตูตู้เย็นและเดินไปหาเธอโดยไม่ยิ้ม
มู่น่อนน่อนก้าวถอยหลังทันที
สีหน้าของเฉินถิงเซียวดูแย่กว่าเดิม และเขาก็คว้ามือของมู่น่อนน่อนไว้ “จะหลบทำไม?”
มู่น่อนน่อนบอกความจริง “ฉันกลัวว่าคุณจะตีฉัน”
“เหอะ” เฉินถิงเซียวเย้ยหยัน “ถ้าทุกครั้งที่คุณทำให้ผมโกรธแล้วผมจะตีคุณ คุณก็คงจะตายไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นครั้งแล้ว”
“ฉันทำให้คุณโมโหบ่อยเหรอ?” มู่น่อนน่อนแปลกใจกับคำว่า “หนึ่งหมื่นครั้ง” ของเขา
น้อยครั้งที่ทั้งสองคนจะต่อปากต่อคำกันแบบนี้ มู่น่อนน่อนชอบความรู้สึกนี้มาก
เฉินถิงเซียวแสร้งทำเป็นดุ “คุณคิดว่ายังไงละ?”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากก่อนจะหัวเราะออกมา ในขณะที่เธอกำลังจะพูด เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น
ทั้งสองมองหน้ากัน พวกเขารู้ว่าคนที่ไปเอาผลตรวจDNAความเป็นพ่อลูกมาถึงแล้ว
มู่น่อนน่อนตีที่มือเขา “ฉันจะไปเปิดประตู”
เฉินถิงเซียวปล่อยเธอ จากนั้นก็เดินไปที่โซฟาและนั่งลง
มู่น่อนน่อนเปิดประตู และเธอพบว่าคนที่ยืนอยู่ข้างนอกคือสือเย่
สือเย่ไม่แปลกใจที่เห็นมู่น่อนน่อน แต่เขามักจะเรียกออกมาด้วยความเคยชินว่า “คุณหญิง”
“เข้ามาเร็ว” มู่น่อนน่อนยืนอยู่ข้างๆ หลังจากรอให้สือเย่เข้ามา เธอก็ปิดประตู
สือเย่ถือซองกระดาษไว้ เขาเดินไปหาเฉินถิงเซียวอย่างรวดเร็ว “คุณชาย นี่คือผลการตรวจ”
เฉินถิงเซียวเปิดซองกระดาษ และเอารายงานการประเมินข้างในออกมา เขาเปิดดูทีละหน้า และก็หยุดที่คำว่า “มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด”
เขาก้มลงมองสักครู่ จากนั้นก็ยื่นให้มู่น่อนน่อน
ตอนที่เขาเปิดดู มู่น่อนน่อนก็นั่งอยู่ข้างๆ เขา
มู่น่อนน่อนรับไว้ ใบหน้าของเธอไม่สามารถซ่อนความตกใจของเธอไว้ได้ “คิดไม่ถึงว่าซือเฉิงหยู้จะเป็นลูกนอกสมรสของพ่อคุณ”
ในห้องตกอยู่ในความเงียบแบบแปลกๆ ไปในชั่วขณะหนึ่ง
มู่น่อนน่อนวางผลการประเมินในมือลง จากนั้นก็หันไปมองเฉินถิงเซียว “ถ้าซือเฉิงหยู้เป็นลูกนอกสมรสของพ่อคุณ แล้วใครคือแม่โดยกำเนิดของซือเฉิงหยู้?”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบคำถามของเธอ แต่กล่าวว่า “ป้าของผมแต่งงานเร็วมาก เธอให้กำเนิดซือเฉิงหยู้ตอนอายุ 18 ปี สามีของเธอคือซือหมิงหวนซึ่งเขาเป็นศิลปิน พวกเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก หลังจากทั้งสองคนแต่งงานกัน พวกเขาก็ไปตั้งรกรากที่ต่างประเทศ”
มู่น่อนน่อนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก? งั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ต้องดีเป็นพิเศษใช่ไหม?”
“ใช่ ตอนที่ผมอาศัยอยู่ในบ้านของพวกเขา ผมเห็นว่าลุงรักป้าของผมมาก” เมื่อเฉินถิงเซียวพูดจบ เขาก็ขมวดคิ้ว
“แล้วช่วงตรุษจีนปีที่แล้ว ทำไมครอบครัวของป้าคุณถึงกลับมากันทั้งหมด แต่ป้าของคุณไม่กลับมา?” ตั้งแต่ในช่วงวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้ว มู่น่อนน่อนก็อยากถามคำถามนี้แล้ว
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เฉินเจียฉินเคยพูดไว้
“เสี่ยวฉินเคยบอกฉันว่า เขารู้สึกว่าพ่อแม่ของเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ดี แต่เด็กก็อาจจะไม่เข้าใจความรักของผู้ใหญ่ แต่การที่พ่อแม่รักกันหรือไม่ เขาจะต้องสัมผัสได้แน่ๆ ยิ่งกว่านั้นในช่วงอายุของเขานี้มันอ่อนไหวต่อสิ่งเหล่านี้มาก ฉันเชื่อว่าเขาไม่ได้โกหก”
หากเฉินเหลียนและซือหมิงหวนเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก และพวกเขาก็มีลูกคนแรกตอนอายุ 18 ปี พวกเขาจะต้องเป็นคนสองคนที่รักกันมาก
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ดูแปลกมาก
“ถ้าซือเฉิงหยู้เป็นลูกของพ่อคุณ แล้วลูกของป้าคุณอยู่ที่ไหน?”
หลังจากที่มู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็จมอยู่ในความคิดของตัวเอง
ทันใดนั้น เฉินถิงเซียวก็พูดออกมาว่า “ความทรงจำในวัยเด็กของผม พ่อแม่ของผมรักกันมาก”
“ซือเฉิงหยู้โตกว่าคุณสองปี หากตอนที่พ่อของคุณยังเด็กและได้ทำผิดพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจจนมีซือเฉินหยู้มา เขาก็ไม่จำเป็นต้องส่งให้ป้าของคุณเลี้ยงดู หากปู่ของคุณรู้เรื่องนี้ เขาจะไม่ยอมให้คุณป้าเอาไปเลี้ยงดูแน่ๆ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ คุณปู่ไม่รู้ว่าพ่อของคุณมีลูกนอกสมรส?”
เฉินถิงเซียวนึกถึงคำพูดที่ปู่ของเขาพูดกับเขาในช่วงวันส่งท้ายปีเก่า เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ไม่แน่นอน”
มู่น่อนน่อนคิดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง
ในตอนนั้น เฉินถิงเซียวก็พูดขึ้นทันทีว่า “สือเย่ จองตั๋วเครื่องบินคืนนี้ให้ฉันด้วย ฉันจะไปเมืองM”เฉินเหลียนอาศัยอยู่ในเมืองM
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่น่อนน่อนก็มองไปที่เขา “คุณจะไปหาป้าของคุณเหรอ?”
“ใช่” ท่าทีของเฉินถิงเซียวดูเข้มงวดผิดปกติ “เรื่องนี้มีเพียงคุณป้าคนเดียวที่จะสามารถไขข้อสงสัยทั้งหมดได้”
ทางเฉินชิงเฟิง เขาไม่สามารถรู้อะไรจากเขาได้เลย
แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจน ว่าเรื่องที่ซือเฉิงหยู้เป็นลูกนอกกฎหมายของเฉินชิงเฟิง จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวในตอนนั้นและเฉินมู่ที่ถูกขโมยไปหรือไม่ แต่พวกเขาทำได้แค่ตรวจสอบจากข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมด
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเฉินชิงเฟิง ยังไงก็ต้องตรวจสอบ
มู่น่อนน่อนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ฉันอยากไปกับคุณ”
เห็นได้ชัดว่าเฉินถิงเซียวไม่มีท่าทีที่จะพาเธอไปที่เมืองMด้วย “รอผมกลับมา ถ้ามีอะไรให้ติดต่อสือเย่ ไม่ก็จือหยั่น”
มู่น่อนน่อนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เฉินถิงเซียวยกข้อมือขึ้นและมองดูเวลา เขาพูดขัดจังหวะสิ่งที่เธอกำลังจะพูด “ตอนนี้ 11 โมงแล้ว เดี๋ยวผมจะเดินทางไปที่สนามบินเลย คุณแน่ใจนะว่าจะไม่ทำอาหารเที่ยงให้ผมทาน?”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก “ฉันจะทำเดี๋ยวนี้เลย”
ในเมื่อเฉินถิงเซียวได้ตัดสินใจว่าจะไม่พาเธอไปด้วย เธอจึงไม่ไป
เฉินถิงเซียวมองมู่น่อนน่อนที่เข้าไปในครัว จากนั้นเขาก็หันไปมองสือเย่ “ตอนที่ฉันไม่อยู่ ส่งคนไปจับตาดูที่ตระกูลเฉินให้ดี”
สือเย่กล่าวด้วยความเคารพ “ครับ”
มู่น่อนน่อนหัวเราะ ก่อนจะเรียกพนักงานเสิร์ฟมา จากนั้นยื่นเมนูให้เสิ่นเหลียง “สั่งอาหาร”
เสิ่นเหลียงก็ไม่ได้เกรงใจอะไร เธอไม่คำนึงถึงราคาด้วย เธอสั่งอาหารหลายอย่างที่พวกเธอทั้งสองคนต่างก็ชอบ
หลังจากสั่งอาหารแล้ว เสิ่นเหลียงก็ถามเธอว่า “เมื่อคืนนี้ เธอสองคนเป็นยังไงบ้าง?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกประหลาดใจ “เธอรู้ได้ยังไงว่าเฉินถิงเซียวออกมาตามหาฉัน?”
“ฉันรู้จักเธอขนาดนี้ ทันทีที่เธอออกไป คุณชายเขาก็ตามเธอออกไปเลย แน่นอนว่าเขาต้องไปหาเธออยู่แล้ว และที่สำคัญเธอก็คงรอเขาอยู่ข้างนอก”
หลังจากเสิ่นเหลียงพูดจบ เธอก็หัวเราะออกมาก่อนจะพูดว่า “เธอคงไม่รู้สินะ หลังจากที่เธอออกไป คุณชายเขาก็ชมว่าเธอสวยมาก…ฉันจะเลียนแบบวิธีการพูดของเขาในเมื่อคืน เธอดูนะ”
เสิ่นเหลียงกระแอมในลำคอ จากนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อให้ดูเย็นชา ยกริมฝีปากและมองไปด้านข้าง เธอกดเสียงแล้วพูดเลียนแบบเฉินถิงเซียว “นั่นเป็นอดีตภรรยาของผม สวยใช่ไหมละ?”
ทันทีที่พูดจบ เสิ่นเหลียงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า ตอนนั้นที่ฉันได้ยินแบบนี้ฉันก็อยากจะหัวเราะจริงๆ แต่คนที่ชื่อซูเหมียนก็ดูเก่งมากๆ นะเพราะเธอไม่ได้ไม่พอใจในทันที… ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า “เพื่อนของเฉินจิ่งหยุ้น แน่นอนว่าคงจะไม่ได้มีบทบาทที่ธรรมดาแน่นอน”
“ฉันคิดว่าบางครั้งคุณชายก็เท่อยู่นะ” หลังจากเสิ่นเหลียงพูดจบ เธอก็พูดด้วยท่าทีที่เป็นกังวลอีกครั้ง “แต่ ฉันคิดว่ายังไงซูเหมียนก็ต้องไปหาคุณชายอีกครั้งในภายหลังแน่ๆ เรื่องราวยังไม่มีท่าทีจะเกิดขึ้นเลย แต่เธอก็มีท่าทีมั่นใจในตัวเองมาก”
“อืม ฉันรู้” มู่น่อนน่อนถอนหายใจออก “ไม่ง่ายเลยนะที่จะได้มานั่งทานข้าวด้วยกัน อย่าเอาแต่พูดถึงเรื่องไร้สาระพวกนี้เลย”
เมื่อคืนเธอและเฉินถิงเซียวได้แสดงละครต่อหน้าเฉินจิ่งหยุ้นและซูเหมียนแล้ว
เฉินจิ่งหยุ้นอาจเกลียดเธอมากกว่าเดิม และเธอคงจะรีบยัดเยียดซูเหมียนให้เฉินถิงเซียวอย่างแน่นอน
เสิ่นเหลียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เธอก็ยังถามออกไป “มีข่าวคราวของเฉินมู่บ้างไหม?”
มู่น่อนน่อนส่ายหัว “ไม่เลย”
เสิ่นเหลียงก็ถอนหายใจตามไปด้วย “จะเกลียดหรือแค้นอะไรนักหนา แล้วทำไมต้องขโมยเด็กไปด้วย? ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานเลย”
ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ เสิ่นเหลียงก็จะเอาดุด่าแบบนี่
ในขณะที่มู่น่อนน่อนกำลังจะพูด เธอก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง เธอจึงหันมองไปข้างหลัง และเธอก็เห็นแสงสีขาววูบวาบอยู่หลังม่าน
สีหน้ามู่น่อนน่อนตึงเครียด เธอพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “มีปาปารัสซี่อยู่”
“บัดซบ ฉันไม่มีแต่งหน้าด้วย” เสิ่นเหลียงหยิบหมวกแก๊ปขึ้นมาสวมบนหัวของเธออย่างรวดเร็ว แล้วก็ดึงผมมาปกปิดใบหน้าส่วนใหญ่ ก่อนจะมองไปรอบๆ และถามว่า “อยู่ตรงไหน?”
มู่น่อนน่อนชี้ไปที่นอกม่าน “เมื่อกี้อยู่ตรงนั้น ส่วนตอนนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน”
“คนพวกนี้แค่มีโอกาสนิดหน่อยก็ไม่เว้นเลย ฉันเป็นแค่นักแสดงที่ไม่มีชื่อเสียง จะมาแอบถ่ายฉันทำไม?” ใบหน้าของเสิ่นเหลียงดูกังวล
ไหนบอกว่าจะเดินในเส้นทางที่ใช้ความสามารถไง?
มู่น่อนน่อนกระแอมไอ และพูดด้วยความเขินอายว่า “บางทีอาจจะกำลังถ่ายฉันอยู่”
เสิ่นเหลียง: “…ดูไม่ออกเลยว่าเธอจะหลงตัวเองด้วย?”
น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนจริงจังมาก “เพราะยังไงฉันก็เคยขึ้นเทรนการค้นหามาหลายครั้งแล้ว”
เสิ่นเหลียงคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพบว่ามันสมเหตุสมผล “ถ้าอย่างนั้นคงจะถ่ายไม่โดนฉันหรอก?”
ท่ามกลางสายตาที่คาดหวังของเสิ่นเหลียง มู่น่อนน่อนก็พูดปลอบใจเธอว่า “อาจจะ?”
ในตอนบ่าย มู่น่อนน่อนพบว่าเธอขึ้นเทรนการค้นหาอีกครั้ง
#อดีตภรรยาคุณเฉินสังสรรค์กับเพื่อสนิทในร้านอาหาร#
หัวข้อแบบนี้ก็ยังสามารถขึ้นเทรนการค้นหาได้ด้วยเหรอ?
หรือเธอจะเป็นอย่างในตำนานที่บอกไว้ว่าเธอมีร่างกายที่สามารถขึ้นเทรนการค้นหาได้อยู่แล้ว?
แต่คำว่า “คุณเฉิน” ในเทรนการค้นหานี้ พิสูจน์แล้วว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้มีร่างกายที่สามารถขึ้นเทรนการค้นหาได้ แต่เป็นเพราะเฉินถิงเซียวเธอถึงได้เป็นที่สนใจขยาดนี้
เนื่องจากภาพเป็นภาพที่แอบถ่ายมา ภาพเลยไม่ชัด ส่วนเสิ่นเหลียงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอก็ถือว่าโชคดีมากที่ภาพถ่ายออกมาไม่ชัด
“ที่จริงฉันคิดว่าอดีตภรรยาของคุณเฉินดูดีเลยนะ…”
“เธอเป็นนักเขียนบทที่ชื่อมู่มู่? จะไปเป็นนักเขียนบททำไมหน้าตาแบบนี้สามารถเป็นดาราได้เลย”
“ไม่มีใครคิดว่าผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามเธอดูคุ้นๆ เหรอ? ดูเหมือนเธอจะเป็นดาราจริงๆ”
“เป็นเรื่องปกติ ตอนนี้มู่มู่ก็ถือว่าเป็นครึ่งหนึ่งของวงการบันเทิงไปแล้ว การที่เธอรู้จักกับดาราไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
“…”
มู่น่อนน่อนยังไม่ทันได้อ่านคอมเมนท์ในweiboมากนัก เสิ่นเหลียงก็โทรมาหาเธอทันที
เสิ่นเหลียงพูดในโทรศัพท์ด้วยความโกรธ “ปาปารัสซี่พวกนั้นกำลังถ่ายรูปเธอจริงๆ ด้วย! ไม่มีใครจำได้ว่าเป็นฉัน! ตอนนี้ฉันรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับชีวิตแล้วนะ ไม่ว่ายังไงฉันก็เป็นนักแสดงที่มีแฟนคลับกว่า 9 ล้านคนเลยนะ…”
แฟนคลับของเสิ่นเหลียงเพิ่มขึ้นจาก 8 ล้านคนเป็น 9 ล้านคนแล้ว
มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่มีใครจำได้ก็ดีแล้ว”
เธอขึ้นเทรนการค้นหามาหลายครั้งแล้ว ดังนั้นเธอจึงชินกับสิ่งนี้
แต่ แต่คอมเมนท์ของชาวเน็ตที่มีต่อเธอมันไม่ดีนัก เสิ่นเหลียงอยู่ในช่วงขาขึ้น ถ้าเธอต้องมาขึ้นเทรนการค้นหาเพราะเธอ สิ่งนี้มันจะทำร้ายเสิ่นเหลียงได้
ความหมายในคำพูดของมู่น่อนน่อน เสิ่นเหลียงเข้าใจดี
เสิ่นเหลียงพูดอย่างหงุดหงิด “เธอทำแบบนี้มันดูน่าเบื่อมากเลย ฉันไม่ได้สนใจสักหน่อย”
“ฉันสนใจนี่” ตอนนี้เธอมีชีวิตที่อยู่วุ่นวายมาก เธอจึงหวังว่าเสิ่นเหลียงจะอยู่ดีมีสุข
……
เรื่องที่มู่น่อนน่อนขึ้นเทรนการค้นหา ฉินสุ่ยซานจึงรู้เรื่องนี้เช่นกัน
เธอโทรมาเยาะเย้ยมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนไปดูที่Weiboของตัวเอง และพบว่าเธอมีแฟนคลับเพิ่มขึ้น
เธอนึกถึงเวลาที่เฉินถิงเซียวปรากฎตัวในนาม “XN” ผู้ก่อตั้งบริษัทเสิ้งติ่ง เขาก็มีแฟนคลับที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ถ้าเฉินถิงเซียวเข้าสู่วงการบันเทิงจริงๆ เขาคงจะโด่งดังมากๆ อย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เธอยังไม่ได้โทรหาเฉินถิงเซียว
เรื่องเมื่อคืน แม้ว่ามู่น่อนน่อนจะโกรธที่เฉินถิงเซียวไม่ยอมรับสายเธอ แต่หลังจากทุกอย่างผ่านไป เธอก็รู้สึกได้ว่า บนความสัมพันธ์นี้ เฉินถิงเซียวนั้นดูเหมือนจะมีความรู้สึกปลอดภัยที่น้อยกว่าเธอ
ในขณะเดียวกันเธอก็จะได้ถามเขาด้วยว่าเขาได้เส้นผมของเฉินชิงเฟิงมาไหม
มู่น่อนน่อนกดโทรหาเฉินถิงเซียว
หลังจากโทรออก ในสายก็ดังอยู่ไม่กี่ครั้ง ก่อนที่เฉินถิงเซียวจะกดรับสาย
เสียงของเฉินถิงเซียวยังทุ้มต่ำเช่นเคย “ผมได้เส้นผมมาแล้ว และได้สั่งคนให้เอาไปตรวจDNA เพื่อพิสูจน์ความเป็นพ่อลูกแล้ว”
มู่น่อนน่อนคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดเรื่องนี้ในทันทีที่เขารับสาย
ในเมื่อเขาพูดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว มู่น่อนน่อนจึงต้องถามไถ่เขาว่า “คุณรู้สึกประหม่าไหม?”
“ทำไมผมต้องประหม่าด้วย?” เฉินถิงเซียวชะงักไป ก่อนจะพูดว่า “มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มีที่มามีที่ไปสามารถตรวจสอบได้ การที่ไปตรวจ
DNA พิสูจน์ความเป็นพ่อลูก ก็เพื่อเป็นสิ่งที่ยืนยันเท่านั้น”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของเฉินถิงเซียว ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถคาดเดาได้ตั้งแต่แรก
“คุณรู้ตั้งนานแล้วเหรอ?”
“ผมแต่เคยสงสัยมาก่อน แต่เพราะผมคิดว่ามันไร้สาระเกินไป ผมก็เลยไม่ได้ตรวจสอบอย่างลึกซึ้ง” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวยังคงสงบมาก
มู่น่อนน่อนคิด ตอนที่เฉินถิงเซียวคาดเดาถึงเรื่องนี้ในครั้งแรก อารมณ์ความรู้สึกของเขาคงจะไม่สงบขนาดนี้
มู่น่อนน่อนถามเขาว่า “ผลจะออกมาเมื่อไหร่?”
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์เงียบไปครู่หนึ่ง และมู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าน้ำเสียงของเฉินถิงเซียวนั้นเคร่งขรึมมากขึ้น “เร็วที่สุดก็พรุ่งนี้”
……
ตอนเที่ยงวันถัดไป มู่น่อนน่อนไปที่คอนโดของเฉินถิงเซียว
เนื่องจากเธอเคยบอกกับเฉินชิงเฟิงไปแล้ว ว่าเธออยากทำอาหารให้เฉินถิงเซียวเพื่อเอาชนะใจของเขา แล้วก็อยากจะรู้ว่าเฉินมู่เป็นอย่างไรบ้าง อย่างนั้นเธอก็ต้องแกล้งทำให้เหมือนหน่อย
หลังจากการลักพาตัวในปีนั้น เฉินถิงเซียวก็มีความขัดแย้งกับเฉินชิงเฟิงมาเป็นเวลานาน
ในตอนนั้น เขาไม่ได้คิดถึงสิ่งที่ผิดปกติเกี่ยวกับคดีลักพาตัวในครั้งนั้น แต่เขาแค่รู้สึกว่าเฉินชิงเฟิงต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้เช่นกัน
ตั้งแต่ตอนนั้นพ่อลูกทั้งสองก็เริ่มห่างกันไปเรื่อยๆ
จากนั้นเฉินชิงเฟิงก็ส่งเฉินถิงเซียวไปต่างประเทศ และหลังจากได้อาศัยอยู่กับครอบครัวของเฉินเหลียน ความสัมพันธ์ของเขากับเฉินชิงเฟิงก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง
ตอนที่เขากลับมาที่ในประเทศอีกครั้ง เขาก็ได้สร้างบ้านพักไว้ด้านนอก และก็ได้ก่อตั้งบริษัทเสิ้งติ่งขึ้น แต่ความขัดแย้งและความเหินห่างระหว่างเขากับเฉินชิงเฟิงก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“อืม” ตอนที่เฉินถิงเซียวมองสำรวจที่เฉินชิงเฟิง เฉินชิงเฟิงก็มองสำรวจที่เขาเช่นกัน
ทั้งสองไม่เหมือนกับพ่อลูกแท้ๆ กันเลย ตรงกันข้ามกันตอนนี้ความห่างเหินของพวกเขามันมากขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุด สายตาของเฉินถิงเซียวก็หยุดลงที่ดวงตาของเฉินชิงเฟิง ก่อนที่เขาจะพูดอย่างราบเรียบว่า “มาหาผมมีธุระอะไรเหรอครับ?”
“ก็ไปอยากไปดูที่ที่แกอยู่” น้ำเสียงของเฉินชิงเฟิงก็ไม่ได้ต่างเขามากนัก
ในช่วงแรกๆ เฉินชิงเฟิงก็ยังลองพยายามทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฉินถิงเซียวดีขึ้น แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งสองก็แทบจะไม่ได้ติดต่อกันเลย
“จริงเหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นห่วงผมละ” เฉินถิงเซียวมองเขาด้วยรอยยิ้มเอือมระอา
สิ่งที่เฉินชิงเฟิงไม่ชอบมากที่สุด ก็คือท่าทีของเฉินถิงเซียวที่ทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ในเมื่อกลับมาแล้ว ก็ไปเยี่ยมคุณปู่ของแกด้วยสิ”
“ครับ ไปทานข้าวเที่ยงด้วยกัน” เฉินถิงเซียวลุกขึ้นยืน หลังจากพูดจบเขาไปที่ที่คุณท่านเฉินอาศัยอยู่
……
หลังจากที่คุณท่านเฉินออกจากโรงพยาบาลแล้ว เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้มาเยี่ยมเขาบ่อยมากนัก
เหตุผลหลักคือเฉินถิงเซียวยุ่งมาก และอีกเหตุผลก็คือเขาไม่เต็มใจที่จะกลับไปยังบ้านตระกูลเฉิน
เฉินถิงเซียวเดินไปที่หน้าประตูห้องของคุณท่านเฉิน เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะผลักประตูแล้วเดินเข้าไป
ทันทีที่คนใช้ที่ดูแลคุณท่านเฉินเห็นเฉินถิงเซียว เธอก็กระซิบกับคุณท่านเฉินว่า “คุณท่านเฉินคะ คุณชายมาเยี่ยมค่ะ”
คุณท่านเฉินนั่งอยู่บนรถเข็น และบนขาของเขาก็ที่มีผ้าห่มบางๆ วางอยู่ เขาจ้องมองที่หน้าต่างอย่างเหม่อลอย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขากำลังมองอะไรอยู่
สำหรับคำพูดของคนใช้ เขาไม่มีท่าทีตอบสนองใดๆ
คนใช้เหลือบมองไปที่เฉินถิงเซียว ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย และร้องเรียกเขาด้วยความเคารพ “คุณชาย”
“ออกไป”
หลังจากที่คนใช้ออกไป เฉินถิงเซียวก็เดินไปนั่งลงตรงหน้าคุณเฉิน “คุณปู่ ผมมาเยี่ยมครับ ผมคือถิงเซียว”
เสียงของเขาดึงดูดความสนใจของคุณท่านเฉิน
คุณท่านเฉินหันศีรษะมองไปที่เขา ในแววตาเขาไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ เขาเพียงแค่จ้องมองไปที่เขาแค่นั้น ก่อนที่เขาจะบ่นพึมพำออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ริมฝีปากของเฉินถิงเซียวเม้มจนเป็นเส้นตรง เขาขมวดคิ้วและแสดงท่าทีที่สงสัยออกมา ก่อนที่เขาจะพูดอย่างเคร่งขรึม “คุณปู่ อยากจะบอกอะไรกับผมครับ?”
สิ่งที่คุณท่านเฉินได้พูดกับเขาในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าคดีลักพาตัวในปีนั้นต้องมีเงื่อนงำซ่อนอยู่
และสิ่งที่คุณท่านเฉินต้องการบอกเขา มันคงไม่ใช่เพียงแค่ความลับที่ซ่อนอยู่ในคดีลักพาตัวแน่นอน
เรื่องอะไรกันที่ทำให้เฉินชิงเฟิงและคนอื่นๆ กลัวได้ขนาดนี้
ในคดีลักพาตัวเมื่อหลายปีก่อน รวมถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคุณท่านเฉินในหลายปีต่อมา คุณน้าเฉินเหลียนมีบทบาทอย่างไรกันแน่?
ในท้ายที่สุด คุณท่านเฉินก็ไม่ได้ให้คำตอบใดๆ แก่เขา
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่กับคุณท่านเฉินสักครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและออกไป
คนใช้ยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกประตู และเมื่อเธอเห็นเฉินถิงเซียวออกมา เธอก็พูดด้วยความเคารพว่า “คุณชาย”
“คุณปู่มีอาการแบบนี้มาตลอดเลยเหรอ?” เฉินถิงเซียวหยุดเดิน และถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
คนใช้ตัวสั่นเทาทันที ก่อนที่เธอจะพูดว่า “อาการของคุณท่านเป็นแบบนี้มาตลอด แต่ก็มีการตรวจร่างกายเป็นประจำทุกเดือน คุณหมอบอกว่าคุณท่านสุขภาพแข็งแรง”
เมื่อเฉินถิงเซียวได้ยิน เขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ดูแลเขาดีๆ”
“ค่ะ”
……
เฉินถิงเซียวอยู่รับประทานอาหารกลางวันที่บ้าน
คนในตระกูลเฉินมีหลายคน แต่ในวันทำงานจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่บ้าน
ตอนที่ทานอาหาร ก็มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นซึ่งก็คือเฉินถิงเซียวและเฉินชิงเฟิง
เฉินถิงเซียวรับเหล้ามาจากคนรับใช้ ก่อนที่เขาจะเงยหน้าไปมองที่เฉินชิงเฟิง “ดื่มเหล้าหน่อยสิ”
เฉินชิงเฟิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาดูประหลาดใจมาก “แกอยากดื่มกับฉันไหม?”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาหยิบแก้วเหล้ามาจากเฉินชิงเฟิง ก่อนจะเทเหล้าลงในแก้วของเขา จากนั้นก็ยื่นให้กับเขา
เฉินชิงเฟิงมองมาที่เขาสองสามวินาที สุดท้ายเขาก็ยอมรับแก้วไว้
เฉินถิงเซียวหยิบแก้วเหล้าที่อยู่ข้างหน้าเขาขึ้นมา ก่อนจะดื่มจนหมดแก้ว จากนั้นเขาก็คว่ำแก้วลง เพื่อแสดงให้เฉินชิงเฟิงดูว่า เขาดื่มหมดแล้ว
เฉินชิงเฟิงไม่ได้ดื่มจนหมดแก้วเหมือนเฉินถิงเซียว เขาแค่จิบไปเล็กน้อย “อายุมากแล้ว คงสู้หนุ่มสาวอย่างพวกแกไม่ได้ ฉันต้องดื่มเหล้าช้าๆ”
“แค่อายุห้าสิบกว่าๆ เอง คุณก็เริ่มทะนุถนอมชีวิตของคุณแล้วเหรอ?” เฉินถิงเซียวยิ้มอย่างมีเลศนัย ซึ่งสามารถคาดเดาอารมณ์ของเขาได้อย่างมาก
วิธีการพูดคุยระหว่างเขาและเฉินชิงเฟิงเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด แต่เฉินชิงเฟิงก็ไม่ได้โกรธมากนัก
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฉันยังรอจะได้ดื่มน้ำชาของลูกสะใภ้น่ะ” เฉินชิงเฟิงถามโดยไม่ตั้งใจ “ผู้หญิงที่จิ่งหยุ้นแนะนำให้ แกไปเจอมาแล้วใช่ไหม?”
“ไปเจอมาแล้ว” เฉินถิงเซียวพูดในขณะที่เติมเหล้าลงในแก้วของเฉินชิงเฟิง
เฉินชิงเฟิงหยิบขึ้นมาก่อนจะดื่ม “รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร เขาเอาแต่จองมองไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่
เฉินชิงเฟิงขมวดคิ้วก่อน จากนั้นก็ยื่นมือออกเพื่อจับที่หน้าผาก ดูเหมือนเขาจะรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “เป็นเพราะแก่แล้วจริงๆ ดื่มไปแค่นี้ก็รู้สึกเวียนหัวแล้ว”
“เหล้า…” เฉินชิงเฟิงพูดได้แค่คำนี้เท่านั้น จากนั้นเขาก็หมดสติฟุบลงบนโต๊ะเสียงดัง “ตึก”
เฉินถิงเซียวนั่งเงียบๆ เป็นเวลาสามวินาที จากนั้นเขาก็หยิบผ้าเปียกที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมา ก่อนจะเช็ดผงยาบนเล็บมือซ้ายออก จากนั้นเขาก็เดินไปหาเฉินชิงเฟิงช้าๆ และดึงเส้นผมของเขาออกมา
แม้ว่าจะเป็นวิธีชั้นต่ำ แต่มันก็ได้ผลมากๆ
……
มู่น่อนน่อนนัดทานอาหารเย็นกับเสิ่นเหลียง
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เสิ่นเหลียงเป็นห่วงเธอก็เลยติดต่อเธอไป แต่เธอก็กลับไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ ดังนั้นเธอควรเลี้ยงข้าวเธอเพื่อเป็นการไถ่โทษ
ทางกองละครของเสิ่นเหลียงมีวันหยุดพอดี และเมื่อมู่น่อนน่อนบอกว่าจะเลี้ยงข้าวเธอ เธอก็ตกลงด้วยความดีใจ
มู่น่อนน่อนได้จองร้านอาหารที่มีความเป็นส่วนตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว และเธอก็ไปรอเสิ่นเหลียงก่อน
ก่อนที่เสิ่นเหลียงจะมา มู่น่อนน่อนได้สั่งน้ำแตงโมให้เธอ
น้ำแตงโมเพิ่งจะมาเสิร์ฟ เสิ่นเหลียงก็มาถึงพอดี
เธอเดินไปหามู่น่อนน่อนก่อนจะนั่งลง จากนั้นเธอก็เอื้อมมือไปจัดผมของตัวเอง “ทำไมมันร้อนแบบนี้เนี่ย”
มู่น่อนน่อนยืมน้ำแตงโมที่เพิ่งจะมาเสิร์ฟให้เธอ “ดื่มสิ เพิ่งจะเสิร์ฟเลย”
“รักเธอจังเลย” เสิ่นเหลียงมอบจูบที่ดูเกินจริงให้เธอ จากนั้นเธอก็ดื่มน้ำแตงโมในแก้วจนหมด
มู่น่อนน่อนเพิ่งสังเกตว่าเสิ่นเหลียงนั้นไม่ได้แต่งหน้า
“วันนี้เธอออกมาข้างนอกโดยที่ไม่ได้แต่งหน้า ไม่กลัวโดนแอบถ่ายเหรอ?” เสิ่นเหลียงเป็นคนที่ห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองมาก ปกติแล้วเธอจะไม่ออกไปข้างนอกถ้าไม่ได้แต่งหน้า
หลังจากที่เสิ่นเหลียงดื่มน้ำแตงโมหมดแล้ว เสิ่นเหลียงก็เอียงตัวลงบนโซฟาอย่างพึงพอใจ “ตอนนี้ฉันเลือกเดินในเส้นทางของการใช้ความสามารถ ต่อให้ฉันจะไม่แต่งหน้าแต่ฉันก็สวยอย่างเป็นธรรมชาติ ดังนั้นฉันเลยไม่ได้กังวลอะไร”
เฉินจิ่งหยุ้นไม่ชอบมู่น่อนน่อนอยู่แล้ว แต่เมื่อเธอเห็นภาพนี้ เธอก็ก้าวไปทางด้านหน้าด้วยความดุดัน
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงของเฉินจิ่งหยุ้นที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่เฉินถิงเซียวกลับกัดริมฝีปากของเธอไว้แน่น และเขาก็ยังพูดอย่างคลุมเครือว่า “ถ้าคุณกล้าผลักผมออกก็ลองดู”
มู่น่อนน่อนไม่กล้า
สิ่งที่เฉินถิงเซียวถนัดมาตลอดก็คือการข่มขู่เธอ
เขาเป็นผู้ชายที่หยิ่งผยองและไม่สนโลก
เฉินถิงเซียวลืมตาขึ้นช้าๆ เขาเห็นว่าเฉินจิ่งหยุ้นเดินมาถึงข้างหน้าเขาแล้ว จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปเพื่อผลักมู่น่อนน่อนออกอย่างรุนแรง
เขาควบคุมแรงของเขาไว้ มู่น่อนน่อนแค่ถูกผลักถอยหลังเพียงสองก้าวเท่านั้น
หลังจากที่ผลักมู่น่อนน่อนออกไป เฉินถิงเซียวก็ยื่นมือออกไปเพื่อจัดเสื้อผ้าอย่างเฉยเมย ก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เดาอารมณ์ไม่ออก “มู่น่อนน่อน นี่คุณจะตามตอแยผมไปอีกนานแค่ไหน”
คำพูดแบบนี้เมื่อคนอื่นได้ยิน คงอาจจะรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวไม่ชอบมู่น่อนน่อนเลย
แต่เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยิน เธอกลับรู้สึกว่าเขาได้ใจเล็กน้อย
เมื่อผลักเธอออกไป เฉินถิงเซียวคงได้ใจมากใช่ไหม?
มู่น่อนน่อนทำได้เพียงร่วมมือกับเขา “คงจะตามตอแยคุณไปตลอดชีวิตนั่นแหละ”
ดวงตาของเฉินถิงเซียวเปล่งประกาย มู่น่อนน่อนที่คุ้นเคยเขาเป็นอย่างดี เธอสังเกตเห็นความได้ใจของเขาแล้ว
เมื่อเฉินจิ่งหยุ้นที่อยู่ข้างๆ ได้ยินสิ่งนี้ เธอก็โกรธมาก “มู่น่อนน่อน ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน เธอรู้จักยางอายหน่อยได้ไหม!”
มู่น่อนน่อนหันไปมองที่เฉินจิ่งหยุ้น ก่อนจะยิ้มอย่างไม่เป็นอันตราย “แม้ว่าเฉินถิงเซียวกับฉันจะแยกจากกันแล้ว แต่เพราะความเคารพ ฉันก็ยังต้องการเรียกคุณว่าพี่สาวเหมือนเดิม นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของฉันและเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวก็อายุ 27 ปีแล้ว นี่พี่สาวนี่พี่จะต้องมาดูแลเรื่องส่วนตัวของเขาด้วยเหรอ? นี่มันเกินไปหน่อยไหม?”
ยิ่งเฉินจิ่งหยุ้นมองไปที่มู่น่อนน่อนมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจเธอมากเท่านั้น “นี่เธอยังคิดว่าตัวเธอเป็นเป็นคุณนายแห่งตระกูลเฉินอยู่อีกเหรอ? เรื่องระหว่างฉันกับเฉินถิงเซียว เธอไม่มีสิทธิ์มายุ่งวุ่นวายด้วยซ้ำ?”
“ไม่นะ เพราะฉันรู้อยู่แล้วว่าตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นคุณนายแห่งตระกูลเฉินแล้ว ก็เลยคิดที่จะเอาหัวใจของเฉินถิงเซียวกลับมา”
หลังจากมู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็หันไปมองที่เฉินถิงเซียว ก่อนจะหรี่ตาลงและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันคิดว่าอดีตสามีของฉัน น่าจะรับรู้แล้วว่าฉันต้องการให้เขากลับมามากแค่ไหน?”
เธอรู้ว่าเฉินถิงเซียวชอบดวงตาของเธอมากที่สุดโดยเฉพาะตอนที่เธอหัวเราะ และตอนที่เธอมองเขาอย่างตั้งใจ
เธอจ้องไปที่เฉินถิงเซียวเพียงไม่กี่วินาที เฉินถิงเซียวก็ยื่นมือไปดึงเน็คไทลง ดวงตาของเขากลมลึก แต่เขาก็เก็บสีหน้าของเขาได้เป็นอย่างดี เขามีท่าทีที่ดูเฉยเมย “การเป็นสามีภรรยากันมันก็คงจะมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อกัน เรื่องของวันนี้ ผมจะไม่เอาเรื่องกับคุณแล้วกัน”
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะขยับยิ้มมุมปากของเธอ
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวฟังดูใจกว้างจริงๆ
เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินที่เฉินถิงเซียวพูด เธอก็เหลือบไปที่เฉินจิ่งหยุ้น จากนั้นก็พูดว่า “มันดึกมากแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนนะ”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอหันไปมองเฉินถิงเซียว “เฉินถิงเซียว ลาก่อน”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเธอด้วยท่าทีที่เฉยเมย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ทันทีที่มู่น่อนน่อนจากไป เฉินจิ่งหยุ้นก็อดไม่ได้ที่จะสั่งสอนเฉินถิงเซียว แต่เมื่อเธอนึกขึ้นได้ว่าซูเหมียนยังอยู่ที่นี่ เธอก็ทำได้เพียงแค่อดทนไว้ ก่อนจะพูดเสนอว่า “ถิงเซียว ไปส่งซูเหมียนกลับแทนฉันหน่อย”
ถ้าจะเรียกว่านี่คือการเสนอ ควรจะเรียกว่าคำสั่งจะดีกว่า
เฉินจิ่งหยุ้นเป็นคนที่ไม่ยอมคน และสำหรับน้องชายคนนี้แล้ว เธอก็ยังมีความคิดที่อยากจะควบคุมเขา
“ก็บอกไปแล้วนี่ ว่าให้สือเย่ไปส่งเธอกลับ เวลาของผมมีค่ามาก ไม่ใช่ปล่อยให้มันสูญเปล่าไปแบบนี้” เฉินถิงเซียวเหลือบมองเฉินจิ่งหยุ้น จากนั้นเขาก็หันหลังและเดินไปที่รถของเขา
เฉินจิ่งหยุ้นรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวทำให้เธอเสียหน้า สีหน้าของเธอจึงดูแย่มากๆ
เธออดไม่ได้ที่จะหันมองไปยังทิศทางที่มู่น่อนน่อนเดินจากไป
เธอรู้สึกเสมอว่าท่าทีของเฉินถิงเซียวที่มีต่อมู่น่อนน่อนนั้นแปลกมาก แต่เธอไม่สามารถอธิบายออกมาได้
เฉินจิ่งหยุ้นจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง ก่อนจะหันไปมองทางซูเหมียน “ซูเหมียน ขอโทษด้วยนะที่ทำให้เธอต้องมาเจออะไรแบบนี้”
ซูเหมียนยิ้ม ก่อนจะพูดปลอบเธอ “ฉันชื่นชอบน้องชายของเธอมาก ฉันไม่เคยเจอผู้ชายแบบเขามาก่อน ในสายตาของเขาไม่มีใคร และก็หยิ่งผยองมากด้วย”
“ก็เป็นเพราะแม่จากไปตั้งแต่ยังเด็กน่ะ เขาจึงเป็นแบบนี้ ตอนที่เขาเด็กๆ เขาไม่ได้เป็นแบบนี้” เมื่อเฉินจิ่งหยุ้นพูดถึงวัยเด็กของเฉินถิงเซียว เธอก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย
ซูเหมียนก็เป็นเช่นเดียวกับเฉินจิ่งหยุ้น พวกเธอต่างก็มีฐานะทางครอบครัวที่ดี และรอบข้างก็มีคนที่ยอดเยี่ยมตามจีบอยู่มากมาย
เธอเคยพบเจอผู้ชายที่หวังผลประโยชน์จากเธอมามากมาย การที่เธอได้มาเจอผู้ชายแบบเฉินถิงเซียว มันทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นมาก
ผู้ชายอย่างเฉินถิงเซียว ผู้หญิงที่ฉลาดเลือกยังไงก็ต้องการจะครอบครองเขาอยู่แล้ว
เธอตั้งตารอวันที่เฉินถิงเซียวจะถูกเธอครอบครอง วันนั้นเธอคงจะรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
……
ระหว่างทางกลับ มู่น่อนน่อนก็ยังคงสาปแช่งเฉินถิงเซียวอยู่ในใจ
เขาเอาแต่ข่มขู่เธอทุกครั้งเลย
ทำตัวเป็นเด็กไปได้!
ตอนนี้มู่น่อนน่อนนึกถึงสิ่งที่เฉินถิงเซียวพูดก่อนหน้านี้ และเธอก็เข้าใจความหมายของคำพูดของเฉินถิงเซียวแล้ว เขารู้สึกว่ามู่น่อนน่อนละเลยเขา
หลังจากกลับมาที่เมืองหู้หยาง และหลังจากตกลงกับเฉินถิงเซียวว่าจะแยกกันอยู่ชั่วคราว เวลาเธอไม่มีธุระอะไรเธอก็ไม่ไปหาเฉินถิงเซียวเลย
ที่สำคัญพวกเขาทั้งสองตกลงกันตั้งแต่แรกว่าจะแสร้งทำเป็นแยกจากกัน
เห็นได้ชัดว่าเขาก็เห็นด้วย แต่ตอนนี้กลับเป็นเขาที่โทษว่าเธอละเลยต่อเขา
นิสัยที่คาดเดาอะไรไม่ได้แบบนี้ของเขา เอาใจยากกว่าผู้หญิงเสียอีก
เมื่อเธอกลับถึงบ้าน เฉินถิงเซียวก็โทรมาหาเธอราวกับว่าเขาได้ตั้งเวลาไว้
เดิมทีมู่น่อนน่อนอยากจะทำให้เขาตกใจ แต่พอเธอนึกถึงตอนที่เฉินถิงเซียวไม่รับสายเธอ และเธอก็กังวลตลอดทั้งคืน สุดท้ายเธอเลยกดรับสาย
เฉินถิงเซียวถามเธอ “ถึงแล้วใช่ไหม?”
“เพิ่งมาถึง” มู่น่อนน่อนตอบ เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เธอถูกเขาข่มขู่เพื่อให้แสดงละครฉากนั้น เธอเลยพูดอย่างโกรธเคือง “คุณเฉินถิงเซียว ฉันคิดว่าคุณมีพรสวรรค์ในการเป็นผู้กำกับ”
เฉินถิงเซียวเงียบไปสองวินาที ราวกับว่าเขาได้ครุ่นคิดทุกอย่างแล้ว เขาจึงพูดว่า “ผู้กำกับเหรอ? ผมไม่สนใจ”
เธอกำลังเยาะเย้ยเขา แต่เขากลับไม่เข้าใจ
“ชั่งเถอะ ไม่เป็นไร ฉันจะไปอาบน้ำแล้ว คุณอย่าลืมเรื่องการตรวจDNAละ ต้องรีบหน่อยนะ” หลังจากที่มู่น่อนน่อนพูดจบ น้ำเสียงของเธอก็เศร้าเล็กน้อย “เขาว่ากันว่าเด็กทารกโตเร็วมาก ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นในแต่ละวัน”
ถ้าเธอเจอเฉินมู่ เธอจะจำเฉินมู่ได้หรือไม่?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกเศร้าอีกครั้ง
เฉินถิงเซียวตอบอย่างราบเรียบ “ผมไม่รู้ แต่ไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนไปแบบไหนยังไงเธอก็เป็นลูกสาวของผมเฉินถิงเซียวอยู่ดี”
เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยิน เธอก็ยิ้มออกมา
……
วันถัดมา
เฉินถิงเซียวกลับมาที่บ้าน เพื่อไปหาเฉินชิงเฟิง
เมื่อวานเฉินชิงเฟิงไปที่คอนโดของเขา แต่เขาไม่ได้เจอเฉินถิงเซียวเลย และเขาก็ไม่รู้สึกโกรธมากนัก
เพราะอย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฉินถิงเซียวมันก็เฉยชาต่อกันมาตลอด
เขาคิดไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวจะกลับมาที่บ้านเพื่อมาหาเขา
เมื่อเฉินชิงเฟิงเห็นเฉินถิงเซียว ความประหลาดใจเผยอยู่บนใบหน้าของเขาอย่างเห็นได้ชัด “ทำไมวันนี้อยู่ดีๆ ถึงกลับมาละ?”
“เมื่อวานคุณไปหาผมที่คอนโดเหรอ?” เฉินถิงเซียวพูด ในขณะที่มองสำรวจเฉินชิงเฟิงอย่างใจเย็น
เฉินถิงเซียวเดินออกจากห้องอาหาร และเดินตรงไปที่ลานจอดรถ
เขาเห็นรถที่เขาซื้อให้มู่น่อนน่อนในทันที เขาเดินตรงไปที่รถของมู่น่อนน่อน ก่อนจะเปิดไปและนั่งลงในตำแหน่งข้างคนขับ
มู่น่อนน่อนกำลังดูบางอย่างบนโทรศัพท์มือถือของเธอ แต่เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวเธอก็ไม่ได้เงยหน้า “มาแล้วเหรอ”
เฉินถิงเซียวเอียงตัวไปข้างๆ เล็กน้อย “โกรธเหรอ?”
มู่น่อนน่อนวางโทรศัพท์ลง แล้วหันมองไปที่เขา ก่อนจะพูดเรียบๆ ว่า “ไม่”
แน่นอนว่าเฉินถิงเซียวไม่เชื่อเธอ มันเหมือนเขาจะอธิบาย แต่ก็ดูไม่เป็นทางการ “ตอนที่ผมเลิกงาน เฉินจิ่งหยุ้นโทรหาผม และบอกว่าเฉินชิงเฟิงไปหาผมที่คอนโด เธอบอกถ้าไม่อยากกลับไปก็ให้ไปทานข้าวเป็นเพื่อนเธอ”
เขาเลิกงานเร็วมาก ต่อให้เขาไม่กลับไปยังไงเฉินชิงเฟิงก็สงสัยเขาอยู่ดี เขาคิดว่าจะดีกว่าถ้าไปทานอาหารเย็นกับเฉินจิ่งหยุ้น ซึ่งมันจะทำให้เฉินชิงเฟิงไม่ระแคะระคาย
เรื่องที่เกิดหลังจากนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร มู่น่อนน่อนสามารถคาดเดาได้
เฉินจิ่งหยุ้นหลอกให้เฉินถิงเซียวไปทานข้าวด้วย และเธอก็ได้แนะนำเพื่อนที่ดีของเธอให้รู้จักกับเฉินถิงเซียว
เมื่อมู่น่อนน่อนฟังจนจบ เธอก็ไม่ได้มีท่าทีตอบสนองอะไรมากนัก “ลงรถไปเถอะ ฉันจะกลับแล้ว”
ในขณะที่เธอพูด เธอก็สตาร์ทรถไปด้วย
เฉินถิงเซียวหยุดเธอไว้ “มู่น่อนน่อน คุณกำลังโกรธ”
“ใช่ ฉันกำลังโกรธ ฉันโกรธมากจนไม่อยากเจอคุณในตอนนี้” มู่น่อนน่อนหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่าง น้ำเสียงของเธอแอบแฝงไปด้วยความโกรธที่ไม่สามารถปกปิดได้
การใช้ชีวิตอยู่กับคนอย่างเฉินถิงเซียว นอกจากเขาจะมีอารมณ์ที่ไม่แน่นอนแล้ว สิ่งที่ดีกว่านั้นก็คือ มู่น่อนน่อนไม่ต้องกังวลว่าเขาจะเปลี่ยนใจไปจากเธอ
เฉินถิงเซียวมีนิสัยเย่อหยิ่ง ถ้าชอบใครก็จะชอบแค่คนนั้น ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ เขาเป็นคนที่ชัดเจนในความรู้สึกของตัวเอง
มู่น่อนน่อนไม่ได้กังวลว่าในขณะที่เขาอยู่กับเธอ เขาจะแอบไปมีคนอื่น
แต่ที่เธอโกรธเพราะ เธอไม่สามารถติดต่อเขาได้ตลอดทั้งคืน
เธอไม่เชื่อว่าเฉินถิงเซียวจะไม่มีเวลาโทรหาเธอ
เรื่องของเฉินมู่ก็ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว และเธอไม่สามารถจินตนาการได้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเฉินถิงเซียวอีกคนเธอจะเธอยังไง
ในรถตกอยู่ในความเงียบสงบอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเฉินถิงเซียวก็หัวเราะออกมา
มู่น่อนน่อนมองไปที่เขาอย่างโกรธเคือง “หัวเราะอะไร?”
“คุณหึงเหรอ?” เฉินถิงเซียวเอามือข้างหนึ่งจับไปที่หลังเก้าอี้ของเธอ ส่วนอีกมือหนึ่งข้างก็ดันอยู่ตรงหน้าต่างรถ มันดูเหมือนเขากำลังล้อมเธอให้อยู่ในอ้อมแขนของเขา
ตอนที่มู่น่อนน่อนเข้าไปในห้องอาหาร เธอรู้สึกสับสนนิดหน่อย แต่หลังจากที่เธอออกมา เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก แต่เธอโกรธที่เขาไม่รับสายเธอทั้งคืนมากกว่า
“คุณไม่รับโทรศัพท์ฉันทั้งคืน แค่ต้องการให้ฉันมาเห็นคุณนั่งดื่มกับผู้หญิงคนอื่น และทำให้ฉันหึงเหรอ?”
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกไปจับผมของเธอ น้ำเสียงของเธอดูเบื่อหน่ายเล็กน้อย “คุณไม่คิดว่าตัวเองดูเด็กน้อยเหรอ?”
ทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็รู้สึกว่าบรรยากาศในรถแปลกๆ ราวกับว่าอุณหภูมิในนี้มันลดลง
เสียงของเฉินถิงเซียวทุ้มต่ำและลึกซึ้งมาก “มู่น่อนน่อน คุณกล้าพูดว่าผมทำตัวเด็กน้อยเหรอ?”
มู่น่อนน่อนถอนหายใจและมองดูเขา “คุณรู้ไหมว่าฉันติดต่อคุณไม่ได้ทั้งคืน รู้ไหมว่าฉันกังวลแค่ไหน?”
ในรถไม่มีไฟ มีเพียงไฟถนนสีเหลืองสลัวๆ ที่ส่องเข้ามาจากทางหน้าต่างรถเท่านั้น แต่พวกเขาก็สามารถเห็นใบหน้าของกันและกันได้อย่างชัดเจน
เฉินถิงเซียวพูดเย้ยหยัน “หลังจากที่คุณกลับมาที่เมืองหู้หยาง คุณก็เอาแต่ไปที่กองละครไม่ก็เอาแต่พยายามตรวจสอบเรื่องเหล่านั้น คุณยังจำได้ไหมว่าคุณเป็นผู้หญิงของผมเฉินถิงเซียว?”
มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง “หมายความว่ายังไง?”
ตั้งแต่ที่เฉินมู่หายตัวไป และหลังจากที่ทั้งสองกลับมาที่เมืองหู้หยางและได้แยกกันอยู่ มู่น่อนน่อนก็เอาแต่ทุ่มเทให้กับงานและเรื่องในตระกูลเฉิน
ทุกครั้งที่เธอมองหาเขา มันเป็นเพราะเรื่องบางอย่าง และไม่มีครั้งไหนเลยที่เป็นเพราะเธอคิดถึงเขา
สิ่งนี้ทำให้เฉินถิงเซียวรู้สึกว่า เขาดูเหมือนจะไม่มีพื้นที่ในหัวใจของมู่น่อนน่อนเลย
เขาก็ยอมรับว่าการกระทำของเขาในคืนนี้ มันค่อนข้างดูเด็กน้อย แต่เขาแค่อยากให้เธอสนใจเขามากกว่านี้ และทำให้เธอรู้ว่า นอกจากเฉินมู่แล้ว เธอก็ยังมีเขาอยู่
“คิดดูเอาเอง” หลังจากที่เฉินถิงเซียวพูดจบ เขาก็เปิดประตูรถและลงจากรถไป
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าเธอต้องคิดถึงอะไร
น้ำเสียงของเธอก็แย่เป็นพิเศษเช่นกัน “เฉินถิงเซียว ถ้าคุณมีอะไรก็พูดออกมาให้ชัดเจนเลย”
เฉินถิงเซียวเปิดประตูรถได้แค่ครึ่งเดียว เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ เขาก็ชะงักไป จากนั้นเขาก็ลงจากรถทันที
เฉินถิงเซียวเดินจากไปด้วยความโกรธอย่างรวดเร็ว มู่น่อนน่อนต้องวิ่งถึงจะตามเขาทัน
มู่น่อนน่อนนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เธอได้เส้นผมของซือเฉิงหยู้มาแล้ว เธอจึงรีบลงจากรถและวิ่งตามเขาไป
มู่น่อนน่อนดึงมือของเขาเอาไว้ เธอหอบเล็กน้อยแล้วมองไปรอบๆ ก่อนจะพูดว่า “ฉันได้เส้นผมของซือเฉิงหยู้มาแล้ว คุณก็ลองหาโอกาสเพื่อเอาเส้นผมของพ่อคุณดู จากนั้นเราก็เอาไปตรวจDNAกัน”
ในขณะที่เธอพูด เธอก็หยิบผมของซือเฉิงหยู้ที่เธอบรรจุไว้ในถุงพลาสติกใบเล็กๆ ออกมา ก่อนจะมอบให้เฉินถิงเซียว
ถึงแม้ว่าสีหน้าของเฉินถิงเซียวจะดูมืดมน แต่เขาเอื้อมมือออกไปและรับสิ่งนั้นไว้
เมื่อเห็นเขาหยิบมันขึ้นมา มู่น่อนน่อนก็กล่าวว่า “งั้นฉันไปก่อนนะ”
เธอเพิ่งจะหันกลับมา เธอก็ถูกเฉินถิงเซียวดึงไว้ สีหน้าของเขายังคงดูมืดมน และน้ำเสียงของเขาก็ค่อนข้างเอาแต่ใจ “คุณจูบผมก่อนสิ แล้วค่อยกลับ”
“หือ?” มู่น่อนน่อนนิ่งไปสักพัก จู่ๆ เขาก็ขอให้เธอจูบเขาเพื่ออะไรกัน?
มู่น่อนน่อนเหลือบมองไปที่ประตูโรงแรมจีนติ่ง ทันใดก็เธอเห็นเฉินจิ่งหยุ้นและซูเหมียนเดินออกมาพอดี
มู่น่อนน่อนพูดอย่างกังวลใจ “พี่สาวของคุณมาแล้ว”
ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เธอและเฉินถิงเซียวอยู่ในสถานะ “แยกทาง” แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แยกจากกัน แต่เธอก็ไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ในที่สาธารณะได้
เฉินถิงเซียวจับแขนของเธอแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเขากลัวว่าเธอจะหนีไป
เขามองลงมาที่มู่น่อนน่อน ด้วยท่าทางที่คาดเดาไม่ได้ “เธอแนะนำผมให้รู้จักกับผู้หญิงคนอื่น ในฐานะภรรยาของผม คุณจะไม่แสดงความเป็นเจ้าของหน่อยเหรอ? เธอเป็นนักเขียนบทไม่ใช่เหรอ? การขโมยจูบทำไม่เป็นเหรอ?”
มู่น่อนน่อน : “…แต่ฉันไม่อยากขโมยจูบคุณนี่”
“นี่คุณ…” เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วด้วยความโกรธ จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงและโน้มตัวไปข่มขู่เธอด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ถ้าคุณไม่จูบผม ผมจะไปบอกเฉินจิ่งหยุ้นทันทีว่าเรานอกจะยังไม่ได้แยกจากกันแล้ว พวกเราก็ได้ทะเบียนสมรสแล้วด้วย”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ามันแปลกๆ อยู่ตลอด
สิ่งที่เธอกับเฉินถิงเซียวต้องทำตอนนี้คือการตามหาเฉินมู่ และสืบคดีของแม่เขา พวกเขาทั้งสองคนต่างเป็นฝ่ายเดียวกัน ทำไมเขาถึงใช้สิ่งนี้มาข่มขู่เธอ?
แต่สิ่งที่ช่วยไม่ได้ก็คือ เธอมั่นใจว่าเฉินถิงเซียวนั้นเป็นคนที่ทำในสิ่งที่เขาพูด
เธอหันไปมองอีกครั้ง และเธอก็เห็นว่าเฉินจิ่งหยุ้นและซูเหมียนกำลังเดินมาทางนี้ด้วย เธอตัดสินใจอย่างยากลำบาก จากนั้นเธอก็ยื่นมือออกไปและผลักเฉินถิงเซียวไปที่เสาไฟอย่างรุนแรง เธอจับเสื้อผ้าของเขาไว้ ก่อนจะเขย่งปลายเท้าของเธอขึ้นเพื่อไปจูบเขา
นี่คือการขโมยจูบ
ตอนที่เธอเขียนบท เธอก็เขียนประมาณนี้
เธอใช้แรงมากไปหน่อย หลังของเฉินถิงเซียวเลยกระแทกกับเสาไฟโดยตรง และก็ยังจะส่งเสียงครวญครางออกมาเล็กน้อย
เฉินจิ่งหยุ้นและซูเหมียนเดินมาพอดี พวกเธอเห็นภาพนี้ ซึ่งพวกเธอก็เห็นว่ามู่น่อนน่อนกำลังขโมยจูบของเฉินถิงเซียว
ในเมื่อมู่น่อนน่อนไม่ได้พูดอะไร เสิ่นเหลียงก็ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน
เสิ่นเหลียงพามู่น่อนน่อนไปนั่งข้างกู้จือหยั่น
ถัดจากกู้จือหยั่นคือเฉินถิงเซียว ถัดจากเฉินถิงเซียวก็คือผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้น ถัดจากผู้หญิงคนนั้นก็คือเฉินจิ่งหยุ้น และถัดจากเฉินจิ่งหยุ้นก็คือสือเย่
ผู้หญิงคนนั้นกำลังพูดคุยกับเฉินจิ่งหยุ้น และมีบางครั้งที่เธอเอนตัวไปทางเฉินถิงเซียวเพื่อพูดอะไรบางอย่าง
เฉินถิงเซียวคาบบุหรี่อยู่ในปาก และเขาก็ไม่ได้สนใจผู้หญิงคนนั้นมากนัก
มู่น่อนน่อนถอนสายตาจากพวกเขา เพราะเธอรู้สึกว่าเสิ่นเหลียงกำลังดันแขนของเธอ
เธอหันไปมองทางเสิ่นเหลียง เสิ่นเหลียงชี้ไปที่โทรศัพท์มือถือของเธอ
วินาทีถัดมา เธอก็ได้รับข้อความจากเสิ่นเหลียง
“ผู้หญิงคนนั้นชื่อซูเหมียน เป็นเพื่อนสมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ เหมือนพ่อแม่ของเธอจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง และฐานะทางครอบครัวก็ไม่เลวเลย เฉินจิ่งหยุ้นต้องการจับคู่เฉินถิงเซียวกับซูเหมียน”
ซูเหมียน
มู่น่อนน่อนเอ่ยชื่อในใจ
ชื่อไพเราะมากเลย
ในห้องเงียบสงบมาก ทุกคนต่างก็ถือแก้วของตัวเองเพื่อดื่ม และพูดคุยกัน
มู่น่อนน่อนหลับตาลง เธอไม่ได้มองไปที่เฉินถิงเซียว
อันที่จริงนี่เป็นเรื่องปกติมาก
ตอนนี้เฉินถิงเซียวโสดในสายตาของคนนอก อย่างไรตระกูลเฉินก็ต้องหาผู้หญิงคนอื่นให้เขาอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น จากสถานะปัจจุบันและภูมิหลังครอบครัวของเฉินถิงเซียว ผู้หญิงที่ตระกูลเฉินหาให้เขานั้นจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น
ต้องเป็นตระกูลที่เหมาะสมกัน มีรูปลักษณ์หน้าที่สวยงาม และมีความสามารถที่โดดเด่น
ผู้หญิงแบบนี้ ถึงจะคู่ควรกับสถานะของตระกูลเฉิน
เพียงแต่เธอไม่คิดว่า มันจะมาแบบกะทันหันแบบนี้
เสิ่นเหลียงเห็นว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นเวลานาน ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปหาเธอ และถามเธอด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “เธอไม่มีอะไรจะพูดเหรอ?”
“ไม่มี” มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ และกระซิบตอบเธอข้างหู “ฉันจะพูดอะไรได้?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เสิ่นเหลียงก็ขมวดคิ้ว
ก็จริง จากสถานการณ์ปัจจุบันของเฉินถิงเซียวและมู่น่อนน่อนแล้ว มู่น่อนน่อนจะใช้สถานะอะไรและจุดยืนอะไรเพื่อพูด?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เสิ่นเหลียงก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน
มู่น่อนน่อนเป็นภรรยาแท้ๆ แต่ในเวลานี้เธอกลับต้องมามองดูคนอื่นที่พยายามจะหาผู้หญิงให้กับเฉินถิงเซียว
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องยุ่งๆ ของตระกูลเฉิน มู่น่อนน่อนก็คงไม่ต้องทรมานตัวเองแบบนี้
สำหรับเสิ่นเหลียงแล้ว กู้จือหยั่นก็เป็นเพียงสุนัขตัวเล็กๆ ที่เอาแต่กระดิกหางเพื่อเอาใจเธอ
เขาหยิบผลไม้มา ก่อนจะถามเสิ่นเหลียง “เสิ่นเสี่ยวเหลียง คุณจะทานผลไม้ไหม?”
“ไม่ ตอนนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ไม่ต้องมาพูดอะไรกับฉัน แค่เห็นผู้ชายแบบพวกคุณฉันก็รู้สึกรำคาญ” เสิ่นเหลียงจงใจพูดเสียงดัง
ตอนแรกเธอก็มาที่นี่เพื่อทานอาหารกับทีมงานในกองถ่าย แต่สุดท้ายเธอก็เห็นกู้จือหยั่นและเฉินถิงเซียว รวมถึงคนอื่นๆ
จากนั้นเธอก็โทรหากู้จือหยั่น
เวลากู้จือหยั่นอยู่ต่อหน้าเสิ่นเหลียง เขาก็แทบจะควักหัวใจของเขาออกมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ รวมถึงได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้เสิ่นเหลียงฟัง
เขาบอกกับเธออย่างหมดเปลือก ว่าเป็นพี่สาวของเฉินถิงเซียว เฉินจิ่งหยุ้นที่แนะนำผู้หญิงคนนี้ให้เขารู้จัก ทุกคนก็เลยเข้ามาเพื่อพูดคุยกัน
เมื่อเสิ่นเหลียงได้ยินว่าเฉินจิ่งหยุ้นเป็นคนแนะนำผู้หญิงคนนั้นให้รู้จักกับเฉินถิงเซียว เธอจึงเดินตามเข้ามา แต่เธอคิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอจึงโทรหามู่น่อนน่อนทันที
คำพูดของเธอไม่สามารถดึงดูดความสนใจของเฉินถิงเซียวได้เลย
แต่ตอนที่มู่น่อนน่อนพูด เฉินถิงเซียวก็เหลือบมองไปที่เธอทันที
มู่น่อนน่อนยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันจะไปห้องน้ำ”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็ลุกขึ้นและออกไป
ทันทีที่เธอเดินออกไป เฉินจิ่งหยุ้นก็ลุกขึ้นเพื่อเดินตามเธอออกไป
เฉินถิงเซียวดับบุหรี่ในมือของเขา และพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “นี่พี่จะไปสานสัมพันธ์กับอดีตน้องสะใภ้เหรอ?”
เมื่อเฉินจิ่งหยุ้นได้ยินเช่นนี้ สีหน้าเธอก็ดูแย่มาก
“ถิงเซียว ระวังคำพูดของตัวเองด้วย” ซูเหมียนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ เธอแนะนำซูเหมียนให้เฉินถิงเซียวรู้จัก เพราะเธอต้องการจับคู่พวกเขาจริงๆ
เมื่อเฉินถิงเซียวได้ยินเช่นนี้ เขาก็ยกยิ้มมุมปาก และมองไปทางซูเหมียนที่อยู่ด้านข้าง “นั่นคืออดีตภรรยาของผม สวยใช่ไหมละ?”
ตลอดทั้งคืน เฉินถิงเซียวก็มีใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก ในตอนนั้นในที่สุดเขาก็ยิ้ม ซูเหมียนจ้องมองไปที่เขา และเธอก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ “หือ?”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วอย่างเย้ยหยันและก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ซูเหมียนยังไม่ทันได้พูดอีกครั้ง เฉินจิ่งหยุ้นก็พูดด้วยใบหน้าที่ดูไม่ดีนัก “เฉินถิงเซียว พูดให้มันดีๆ”
“ผมก็กำลังพูดให้มันดีๆ อยู่นี่ไง ผมคิดว่าอดีตภรรยาของผมสวยมาก”
เฉินถิงเซียวเอนหลังพิงโซฟา ก่อนจะหันไปมองทางกู้จือหยั่น “นายคิดว่ามู่น่อนน่อนสวยไหม”
กู้จือหยั่นกลืนน้ำลายลงคือ เขาควรจะพูดว่าสวย? หรือจะพูดว่าไม่สวย?
เมื่อเฉินจิ่งหยุ้นเห็นคำพูดของเฉินถิงเซียวมันเกินเลย เธอเลยดุออกไป “พอแล้ว!”
ซูเหมียนรีบดึงแขนของเฉินจิ่งหยุ้นไว้ “จิ่งหยุ้น ไม่ต้องโกรธ ไม่เป็นอะไร”
เฉินจิ่งหยุ้นจึงเหอะใส่ ก่อนจะนั่งลง
เฉินถิงเซียวจึงยืนขึ้น และทำท่าปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่บนร่างกายของเขา โดยเฉพาะตรงแขนที่ซูเหมียนได้สัมผัส เขาทำท่าปัดหลายทีเลย
ซูเหมียนมองดูการท่าทีของเขา และดูเหมือนว่าสีหน้าของเขาจะไม่สามารถระงับไว้ได้ สีหน้าของเขาดูแข็งทื่อเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวไม่แม้แต่จะมองเธอ เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า “มันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ผมต้องไปทำงาน ผมขอตัวกลับก่อนนะ”
เฉินจิ่งหยุ้นพูดเสียงดัง “ดึกขนาดนี้แล้ว ซูเหมียนเป็นผู้หญิงกลับบ้านคนเดียวคงจะไม่ปลอดภัย นายไปส่งเธอกลับสิ”
“สือเย่ ไปส่งคุณหนูซูกลับด้วย” หลังจากที่เฉินถิงเซียวพูดจบ เขาก็ออกไปโดยไม่มองใครเลย
ในที่สุดเฉินจิ่งหยุ้นก็ทนไม่ไหว เธอตะโกนชื่อเขาอย่างโกรธเคือง “เฉินถิงเซียว!”
เฉินถิงเซียวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและเดินออกไป
“นี่มันมากเกินไปแล้วนะ!” เฉินจิ่งหยุ้นโกรธมาก จนเธอต้องหายใจถี่ๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าอารมณ์ของเธอในขณะนี้ไม่สงบเลย
ในทางกลับกันซูเหมียนที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอ กลับดูสงบกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ซูเหมียนเทน้ำให้เธอ เธอมีสีหน้าที่ดูมั่นคงมาก “น้องชายของเธอก็เหมือนเธอ เขามีบุคลิกที่ดี แต่อารมณ์ของเขาร้ายกว่าเธอเล็กน้อย ฉันชอบมากมันท้าทายดี”
เมื่อเฉินจิ่งหยุ้นได้ยินที่เธอพูด สีหน้าของเธอก็ดูดีขึ้นเล็กน้อย “เขาก็อารมณ์ร้ายแบบนี้นี่แหละ ถ้ารู้จักกันไปเรื่อยๆ มันก็จะดีขึ้น”
เมื่อซูเหมียนได้ยิน เธอก็ยิ้มและพยักหน้า “อืม”
เสิ่นเหลียงที่อยู่ด้านข้างเธอได้ยินบทสนทนาระหว่างหญิงสาวทั้งสองคน มันทำให้เธอต้องกลอกตา
เสิ่นเหลียงเชิดคางขึ้นเล็กน้อย และพูดอย่างเกียจคร้านว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องมีโอกาสได้รู้จักสิ ดูเหมือนว่าคุณเฉินจะไม่สนใจคุณหนูซูเลยนะ”
ซูเหมียนหันศีรษะและเหลือบมองไปที่เธอ แต่ก็ไม่พูดอะไร
เฉินจิ่งหยุ้นกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของซูเหมียน คงอาจจะบอกสถานะของเสิ่นเหลียงให้เธอฟังนั่นเอง
เมื่อซูเหมียนได้ยิน เธอก็แค่ยิ้มให้เสิ่นเหลียง และรอยยิ้มนั้นก็ดูเหยียดหยามมาก
เสิ่นเหลียงกำลังจะต่อว่าพวกเธอ แต่กู้จือหยั่นก็ยืนขึ้น เขาหันไปทางเฉินจิ่งหยุ้นด้วยท่าทางที่ดูเย็นชา “คุณเฉิน ตอนที่คุณกลับไปรบกวนจ่ายเงินด้วย แม้ว่าผมจะสนิทกับถิงเซียว แต่ต่อให้จะเป็นพี่น้องกันได้แท้ๆ ก็ควรจะเคลียร์บัญชีให้ชัดเจน”
เฉินจิ่งหยุ้นเกิดมาร่ำรวย ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนก็มักจะมีคนตามใจเธอ เธอไม่คิดเลยว่ากู้จือหยั่นจะไม่ไหวหน้าเธอขนาดนี้ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที สุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงกัดฟันและพูดว่า “ฉันรู้”
กู้จือหยั่นพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะดึงตัวเสิ่นเหลียงให้เดินออกไป
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น และยิ้มอย่างไม่เต็มใจ
ท่าทีนี้เป็นของจริง เธอไม่ได้เสแสร้ง
เมื่อเธอคิดว่า เฉินมู่อาจจะถูกเฉินชิงเฟิงพาตัวไป เธอก็ไม่สามารถจะยิ้มได้อีก
เฉินชิงเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “เธอไปทำอาหารเถอะ ฉันมีธุระกับถิงเซียวน่ะ ในบริษัทเขายุ่งมากและไม่มีเวลาว่างเลย ช่วงนี้เขาก็ไม่ค่อยกลับไปที่บ้านด้วย ฉันเลยต้องมาหาเขาที่นี่…”
มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นช่องโหว่จากคำพูดของเฉินชิงเฟิงอย่างรวดเร็ว
เพราะเฉินชิงเฟิงรู้ว่าเฉินถิงเซียวยุ่งอยู่ในบริษัทและไม่มีเวลาว่างเลย นั่นก็หมายความว่าเขารู้ว่าเฉินถิงเซียวยังอยู่ในบริษัท
เฉินชิงเฟิงไม่มีกุญแจบ้านของเฉินถิงเซียว ดังนั้นตอนนี้เขามาทำอะไรในบ้านของเฉินถิงเซียว?
เพื่อที่จะมายืนรอที่หน้าประตูจนกว่าเฉินถิงเซียวจะกลับมาเหรอ?
ไม่สิ เห็นได้ชัดว่าเฉินชิงเฟิงมาเพื่อดักรอเฉินถิงเซียว
ถ้าเฉินถิงเซียวกลับมาเร็วกว่าปกติ ดังนั้นเฉินชิงเฟิงก็ย่อมจะรู้ว่ามู่น่อนน่อนได้นัดกับเฉินถิงเซียวไว้
“เดี๋ยวฉันไปเทน้ำให้ค่ะ” มู่น่อนน่อนพูด ก่อนจะปิดประตู แล้วหันกลับไปรินน้ำให้เฉินชิงเฟิง
เฉินชิงเฟิงไม่พูดอะไรมาก เขาเดินไปนั่งที่โซฟา
มู่น่อนน่อนเทน้ำให้เฉินชิงเฟิง เธอตั้งใจจะกลับไปที่ห้องครัว ในเวลานั้นเฉินชิงเฟิงก็พูดขึ้นทันทีว่า “ตอนที่ฉันออกมาฉันลืมเอาโทรศัพท์มาด้วย ขอยืมโทรศัพท์ของเธอหน่อยได้ไหม?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกใจสั่นเล็กน้อย
เธอตั้งใจว่าจะเข้าไปในครัวเพื่อส่งข้อความถึงเฉินถิงเซียว และบอกให้เขาอย่าเพิ่งกลับมา
เฉินชิงเฟิงเป็นคนเจ้าเล่ห์จริงๆ
มู่น่อนน่อนมองกลับไปที่เขา “แน่นอน ได้อยู่แล้ว”
โชคดีที่มู่น่อนน่อนมีนิสัยชอบล็อคซอฟต์แวร์ที่ใช้งานบ่อยๆ บนโทรศัพท์ของเธอ
“ฉันขอปลดล็อคก่อน” มู่น่อนน่อนพูด ในขณะที่ก็ลบรายชื่อผู้ติดต่อในช่วงนี้ออก
เฉินชิงเฟิงกำลังนั่งอยู่ เธอยืนอยู่ข้างหน้าเขา และเขาก็มองไม่เห็นว่าเธอกำลังทำอะไรกับโทรศัพท์อยู่
จากนั้นเธอก็ยื่นโทรศัพท์ให้เฉินชิงเฟิง
เฉินชิงเฟิงรับโทรศัพท์มา ก่อนจะกดโทรออก แต่ไม่มีใครรับสาย
เขามองไปทางมู่น่อนน่อนอย่างขอโทษ “เธอวางโทรศัพท์ไว้ที่นี่ได้ไหม เดี๋ยวเขาน่าจะโทรกลับหาฉันทีหลัง”
ในตอนนี้มู่น่อนน่อนเข้าใจเจตนาของเฉินชิงเฟิงแล้ว
เขาแค่ต้องการให้เธอไม่สามารถติดต่อหาเฉินถิงเซียว
สีหน้าของมู่น่อนน่อนดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย “ได้ค่ะ”
“ขอบคุณ” ในขณะที่เฉินชิงเฟิงพูด เขาก็กดปุ่มล็อคหน้าจอของโทรศัพท์ต่อหน้าเธอ และวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะอย่างนุ่มนวล
มู่น่อนน่อนจ้องโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในครัว
เธอไม่ได้หั่นผักด้วยจิตใจที่เหม่อลอย เฉินถิงเซียวฉลาดมากขนาดนั้น ต่อให้เขาจะกลับมา เขาก็น่าจะเห็นรถของเฉินชิงเฟิง
เฉินชิงเฟิงไม่จำเป็นต้องเอาโทรศัพท์มือถือมาด้วย แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ขับรถมาโดยเด็ดขาด
เธอกำลังทำอาหารอย่างช้าๆ ในตอนแรกอาหารที่สามารถทำให้เสร็จในเวลา 2 ทุ่ม แต่สุดท้ายก็ทำเสร็จในเวลา 3 ทุ่ม
ซึ่งเฉินถิงเซียวก็ยังไม่ได้กลับมา
มู่น่อนน่อนก็ถอนหายใจออกด้วยความโล่งอก
หลังจากมู่น่อนน่อนจัดอาหารเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินออกจากครัวไปที่ห้องโถง
“คุณลุงเฉิน ฉันจะกลับแล้วนะคะ” เธอเดินไปพูดต่อหน้าเฉินชิงเฟิง
เธอทำอาหารเป็นเวลาสองชั่วโมง และเฉินชิงเฟิงก็นั่งอยู่ในห้องโถงเป็นเวลาสองชั่วโมง
ซึ่งก็ไม่ได้พูดอะไรเป็นเวลาสองชั่วโมง เสียงของเขาฟังดูแหบเล็กน้อย “เธอจะไม่รอให้ถิงเซียวกลับมาก่อนเหรอ?”
“ต่อให้รอเขากลับมา ยังไงเขาก็จะไล่ฉันออกไปอยู่ดี” มู่น่อนน่อนหลับตาลง เพื่อไม่ให้เขาเห็นความรู้สึกในดวงตาของเธอ
ในเมื่อเธอพูดแบบนี้แล้ว เฉินชิงเฟิงก็ไม่ได้ห้ามเธออีกต่อไป
เฉินชิงเฟิงยื่นโทรศัพท์ให้เธอ “อืม งั้นเธอกลับไปก่อนเถอะ”
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนออกจากคอนโด และเข้าไปในลิฟต์ เธอก็ถอนหายใจออกมายาวๆ ด้วยความโล่งอก
ดูเหมือนว่าเธอและเฉินถิงเซียวจะประมาทเกินไป
อย่างไรก็ตาม เฉินชิงเฟิงก็คงจะรู้สึกลำบากใจมาก
ในตอนแรกเขาใช้เด็กมาเพื่อทดสอบมู่น่อนน่อน แต่เขาไม่เคยคิดว่าตอนนี้มู่น่อนน่อนจะใช้สิ่งนี้มาเป็นเหตุผลที่เธอเข้าใกล้เฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนกลับไปที่รถ ก่อนที่เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อโทรหาเฉินถิงเซียว
โทรศัพท์โทรออกไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครรับสาย
มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวบอกว่าเขาจะกลับมาทานอาหารเย็น ตามปกติแล้ว เขาน่าจะกลับบ้านก่อน 2 ทุ่ม ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าที่เฉินถิงเซียวไม่กลับบ้านเพราะเขารู้แล้วว่าเฉินชิงเฟิงมาหาเขา ก็เลยไม่กลับบ้าน
แต่ตอนนี้เขาไม่รับสายของเธอเลย
เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?
มู่น่อนน่อนเลยโทรไปหาสือเย่
แต่เรื่องบังเอิญก็คือ สือเย่ก็ไม่รับสาย
มู่น่อนน่อนขับรถไปที่บริษัทเฉินซื่อ
เธอรออยู่ที่หน้าประตูซักพัก แต่เธอก็ไม่เห็นเฉินถิงเซียวออกมา
เขาไปไหนกัน?
มู่น่อนน่อนมองดูเวลา นี่ก็เกือบจะ 5 ทุ่มแล้ว
หลังจากที่เธอได้โทรหาเขาครั้งล่าสุด นี่ก็เป็นเวลานานมากแล้ว ตามปกติ เขาก็น่าจะโทรกลับแล้ว
ในตอนนั้น โทรศัพท์มือถือของมู่น่อนน่อนก็ดังขึ้น
เมื่อเธอหยิบออกมา เธอพบว่าคนที่โทรหาเธอก็คือเสิ่นเหลียง
ช่วงนี้เสิ่นเหลียงยุ่งมาก และมู่น่อนน่อนก็ไม่ได้เจอเธอมาหลายวันแล้ว
มู่น่อนน่อนรับสาย “เสี่ยวเหลียง”
“น่อนน่อน เธออยู่ที่ไหน” น้ำเสียงของเธอเหมือนกำลังพยายามระงับความโกรธไว้
มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติในน้ำเสียงของเสิ่นเหลียง ก่อนจะพูดออกมาว่า “ฉันอยู่ที่บริษัทเฉินซื่อ มีอะไรเหรอ?”
“เธอมาดูที่โรงแรมจีนติ่งเองแล้วกัน ฉันจะรอเธออยู่ที่นี่”
เสิ่นเหลียงวางสายทันทีหลังจากพูด
มู่น่อนน่อนรู้สึกงงเล็กน้อย มีเรื่องอะไรทำให้เธอโกรธได้ขนาดนี้?
มู่น่อนน่อนขับรถไปที่โรงแรมจีนติ่ง หลังจากเข้าไปเธอก็เห็นเสิ่นเหลียงนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟาตรงล็อบบี้
เธอเดินไปหาเสิ่นเหลียง “เสี่ยวเหลียง?”
เสิ่นเหลียงเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองที่เธอ จากนั้นเธอก็เก็บโทรศัพท์ ก่อนจะดึงเธอไปที่ทางเข้าลิฟต์ “ฉันจะพาเธอไปดูว่าคนไร้ความรับผิดชอบอย่างเฉินถิงเซียวกำลังทำอะไรอยู่!”
“เฉินถิงเซียว?” เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินชื่อเฉินถิงเซียว ดวงตาของเธอก็เป็นประกาย “เธอเห็นเขาเหรอ?”
เสิ่นเหลียงยิ้มและพูดออกมาว่า “ฉันเห็นเขา”
มู่น่อนน่อนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว
เสิ่นเหลียงพามู่น่อนน่อนขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องอาหารส่วนตัวห้องหนึ่ง
ทันทีที่ทั้งสองเข้ามา ทุกคนในห้องก็มองไปที่พวกเขา
มู่น่อนน่อนเห็นเฉินถิงเซียวนั่งอยู่ตรงกลางฝูงชนและ…หญิงสาวแปลกหน้าที่อยู่ข้างๆ เขา
มู่น่อนน่อนผงะไปครู่หนึ่งแล้วหันไปมองที่เสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงเลิกคิ้วขึ้น และทำท่าบอกให้เธอเดินเข้าไปเอง
ในห้องมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น “เสิ่นเสี่ยวเหลียง เธอพาน่อนน่อนมาด้วยเหรอ”
มู่น่อนน่อนมองตามเสียงไป เธอพบว่ากู้จือหยั่นก็อยู่ที่นี่ด้วย
ไม่เพียงแต่กู้จือหยั่นเท่านั้น รวมถึงสือเย่และเฉินถิงเซียวก็อยู่ที่นี่ด้วย
ก็ว่าทำไมเฉินถิงเซียวและสือเย่ถึงไม่รับสายของเธอ
สือเย่เหลือบมองมู่น่อนน่อนไม่กี่วินาที ก่อนจะรีบหลบสายตา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะทำเรื่องอะไรที่ผิดมา
ส่วนเฉินจิ่งหยุ้นก็จ้องมองเธอด้วยความประหลาดใจอยู่สักครู่ ก่อนจะหลบสายใจ และหันไปคุยกับหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ เฉินถิงเซียว
มีเพียงแค่กู้จือหยั่นเท่านั้นที่เดินมาหาเธอ “น่อนน่อนมานั่งนี่สิ พวกคุณอย่ายืนเลย”
เมื่อเทียบกับความโกรธของเสิ่นเหลียงแล้ว มู่น่อนน่อนดูสงบกว่ามาก
เธอดึงเสิ่นเหลียง “พวกเราไปนั่งกันเถอะ”
“น่อนน่อน” เสิ่นเหลียงมองเธออย่างไม่เห็นด้วย
มู่น่อนน่อนส่ายหัวให้กับเธอ
“จริงเหรอ?” ซือเฉิงหยู้มองไปที่เธอด้วยรอยยิ้มจางๆ “บังเอิญจังเลยนะ ผมก็มาเข้าห้องน้ำเหมือนกัน”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก แต่ก็ไม่ยิ้ม
ซือเฉิงหยู้ทำเพียงแค่หัวเราะ ก่อนจะเหลือบมองเธอ จากนั้นก็เดินไปข้างหน้า
มู่น่อนน่อนเดินตามเขาไป เธอพยายามหาเส้นผมบนไหล่ของเขา แต่ก็หาไม่เจอเลย
ซือเฉิงหยู้เป็นคนที่เป็นระเบียบมาก
มู่น่อนน่อนไม่มีวิธีทางอื่น วันนี้เธอต้องหาเส้นผมของซือเฉิงหยู้ให้ได้
เพื่อยืนยันว่าซือเฉิงหยู้และเฉินชิงเฟิงมีความสัมพันธ์แบบพ่อลูกจริงหรือไม่ และบางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับการตามหาเฉินมู่ ดังนั้นเธอจะไม่ละทิ้งโอกาสนี้
อย่างไรก็ตาม ซือเฉิงหยู้เป็นคนที่ระมัดระวังตัวมาก เขาได้เคยไปตรวจ DNA ด้วยตัวเองแล้ว และเขาคงจะรู้ผลลัพธ์แล้ว
หากมู่น่อนน่อนดึงผมของเขาโดยตรง มันจะทำให้เขาเกิดความสงสัยอย่างแน่นอน
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกไป แต่สุดท้ายก็ต้องดึงมือกลับมา
มู่น่อนน่อนมองดูซือเฉิงหยู้เข้าไปในห้องน้ำ ในใจเธอรู้สึกเป็นกังวลมาก
ในตอนนั้น มีเด็กอายุประมาณ 7-8 ขวบที่ถือโทรศัพท์อยู่เดินผ่านมู่น่อนน่อนไป
มู่น่อนน่อนห้ามเขาไว้ “เด็กน้อย ช่วยฉันหน่อยได้ไหม?”
ใครจะไปคิดว่าเด็กคนนี้จะมีใบหน้าที่หวาดระแวง “ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่จะไม่ขอความช่วยเหลือจากเด็ก จุดประสงค์ของคุณคืออะไร?”
มู่น่อนน่อน “…” เด็กสมัยนี้ฉลาดขนาดนี้เลยเหรอ?
เด็กน้อยหันมามองมู่น่อนน่อนอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดว่า “ชั่งเถอะ คุณดูสวยมาก และดูไม่เหมือนคนชั่วเลย คุณบอกมาเถอะ คุณจะให้ผมทำอะไร?”
“ขอบคุณนะ” มู่น่อนน่อนขยับปากและกระซิบข้างหูเขา “ฉันแพ้พนันมาน่ะ แล้วพวกเขาต้องการให้ฉันไปดึงเส้นผมของผู้ชายคนนี้”
ตอนที่มู่น่อนน่อนพูด เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเปิดรูปของซือเฉิงหยู้ให้เขาดู
เมื่อเด็กเห็นภาพของซือเฉิงหยู้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย “นี่คือนักแสดงหนังใช่ไหม? ผมเคยดูหนังของเขามาก่อน ผมรู้จักเขา เขาอยู่ในห้องน้ำเหรอ? ผมจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
ก่อนที่มู่น่อนน่อนจะพูดจบ เด็กคนนั้นก็วิ่งเข้าไปในห้องน้ำชายแล้ว
มู่น่อนน่อนจึงต้องหันหลังเดินเข้าไปในห้องน้ำ
เมื่อเธอออกมา เธอก็เห็นเด็กน้อยและซือเฉิงหยู้ยืนอยู่ที่ประตูห้องน้ำ
“คุณถ่ายรูปกับผมหน่อยได้ไหม? ผมชอบดูหนังของคุณมาก”
“ได้สิ”
จากนั้นเด็กน้อยก็หยิบมือถือออกมา และถ่ายรูปกับซือเฉิงหยู้
เด็กน้อยอายุประมาณ 7-8 ขวบรูปร่างไม่สูงมาก ซือเฉิงหยู้สูงประมาณ 1.8 เมตร เขาจึงต้องนั่งยองๆ เพื่อถ่ายรูปกับเขา
เด็กคนนั้นถ่ายรูปเรียบร้อย ในขณะที่ซือเฉิงหยู้กำลังจะยืนขึ้น จู่ๆ เขาก็เอื้อมมือไปดึงเส้นผมบนหัวของเขา “โห? คุณมีผมงอกด้วยเหรอ?”
เขาดึงผมออกมาก่อนจะโยนทิ้งลงไปบนพื้น ในตอนนั้นเขาเหลือบเห็นมู่น่อนน่อนออกมาพอดี เขาเลยกระพริบตาให้เธอ
มู่น่อนน่อนเบิกตาโต เด็กสมัยนี้ฉลาดขนาดนี้แล้วเหรอ?
ซือเฉิงหยู้มองไม่เห็นมู่น่อนน่อน เขาได้พูดคุยกับเด็กน้อยและเดินจากไป
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป และหยิบเส้นผมที่เด็กคนนั้นโยนลงไปที่พื้น เธอห่อมันด้วยทิชชู่อย่างระมัดระวัง และยัดมันเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของเธอ จากนั้นเธอก็เหลือบมองไปทางซือเฉิงหยู้และเด็กคนนั้น ก่อนที่เธอจะเดินกลับห้องโถงของร้านอาหาร
เมื่อเธอไปที่ห้องโถง เธอก็เห็นว่าเด็กคนนั้นแยกกับซือเฉิงหยู้แล้ว เธอจึงไปจ่ายเงินด้วยความสบายใจ ก่อนจะเดินออกจากร้านอาหารไป
หลังจากที่เธอจากไป ซือเฉิงหยู้ก็ออกมาจากห้องอาหารส่วนตัว ก่อนจะเหลือบมองไปยังที่ที่เธอเคยนั่ง เขามีสีหน้าที่ไม่สามารถคาดเดาได้
……
มู่น่อนน่อนได้เส้นผมของซือเฉิงหยู้มาแล้ว จากนั้นเธอก็โทรหาเฉินถิงเซียวทันที
โทรศัพท์โทรติดอย่างรวดเร็ว แต่คนที่รับสายไม่ใช่เฉินถิงเซียว แต่เป็นสือเย่
สือเย่พูดก่อนที่มู่น่อนน่อนจะพูดว่า “คุณชายกำลังประชุมอยู่ครับ ผมจะเอาโทรศัพท์ไปให้เขาเดี๋ยวนี้ครับ”
มู่น่อนน่อนชะงักไป ก่อนจะพูดว่า “ขอบคุณ”
ในโทรศัพท์มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเปิดประตู และตามด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำของสือเย่ “คุณชายครับ โทรศัพท์ของคุณครับ”
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากโทรศัพท์ “เกิดอะไรขึ้น?”
มู่น่อนน่อนอดใจรอไม่ไหวที่จะพูดว่า “ฉันได้เส้นผมของซือเฉิงหยู้มาแล้ว”
ตัวเธอเองก็ไม่เคยคิดว่าเธอจะได้เส้นผมของซือเฉิงหยู้มาได้อย่างราบรื่นแบบนี้
เฉินถิงเซียวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกมาว่า “คุณได้มายังไง?”
มู่น่อนน่อนเล่าถึงขั้นตอนที่เธอไปเอาเส้นผมมาให้เฉินถิงเซียวฟัง
เฉินถิงเซียวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ถ้านอนเย็นคุณไม่มีธุระอะไร ก็ไปรอที่คอนโดผมแล้วกัน เดี๋ยวคืนนี้ผมจะกลับเร็วหน่อย”
มู่น่อนน่อนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามเขาว่า “คุณจะกลับมาทานข้าวไหม?”
เฉินถิงเซียว “อืม”
……
มู่น่อนน่อนขับรถไปที่คอนโดของเฉินถิงเซียว ในระหว่างทางเธอก็ได้แวะที่ซูเปอร์มาร์เก็ต
นอกจากจะซื้อกับข้าวแล้ว มู่น่อนน่อนก็ยังซื้อโยเกิร์ตและขนมปังอีกด้วย
เฉินถิงเซียวยุ่งมากจนไม่มีเวลาทาน บางทีเวลาที่เขาหิวหลังจากกลับจากเลิกงาน เขาจะได้มีอะไรมาทานรองทอง
มู่น่อนน่อนถึงตรงชั้นล่างคอนโดของเฉินถิงเซียว เธอเดินเอาของไปเก็บอยู่หลายครั้งกว่าจะเอาของไปครบ
เธอจัดของลงในตู้เย็นอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นเธอก็เริ่มเตรียมทำอาหารสำหรับมื้อเย็น
เธอไม่แน่ใจว่าเฉินถิงเซียวจะกลับมาตอนไหน แต่เขาบอกว่าเขาจะกลับมาทานอาหารเย็น ดังนั้นเขาก็น่าจะกลับบ้านมาก่อน 2 ทุ่ม
มู่น่อนน่อนเริ่มทำอาหารตอน 6 โมงเย็น
เธอรู้สึกสงสารเฉินถิงเซียว ดังนั้นเธอจึงเตรียมซุปและได้ทำอาหารหลายอย่างที่เขาชอบให้เขา
ก่อนที่เธอจะทำอาหารเสร็จ เธอได้ยินเสียงกริ่งประตูดังขึ้น
มู่น่อนน่อนวางช้อนลงก่อนจะมองดูเวลา เพิ่งจะ 1 ทุ่มเอง เฉินถิงเซียวกลับมาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?
มู่น่อนน่อนเดินไปที่ประตู และมองผ่านตาแมวออกไป เมื่อเธอเห็นว่าใครที่ยืนอยู่ข้างนอก ในหัวสมองของเธอก็มีแต่ความว่างเปล่าในทันที
คนที่ยืนอยู่นอกประตูไม่ใช่ใคร ซึ่งก็คือเฉินชิงเฟิงที่เธอและเฉินถิงเซียวได้พูดคุยกันเมื่อวานนี้
ในตอนนั้นเฉินชิงเฟิงกดกริ่งประตูอีกครั้ง มู่น่อนน่อนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่เธอจัดการกับอารมณ์ตัวแล้ว เธอก็เปิดประตู
“คุณลุงเฉิน?” มู่น่อนน่อนแสดงสีหน้าแปลกใจ
เฉินชิงเฟิงก็มีท่าทีประหลาดใจอย่างมาก “น่อนน่อน?”
มู่น่อนน่อนเปิดประตู ก่อนจะก้าวถอยหลัง เพื่อให้มีที่ว่างพอสำหรับให้เฉินชิงเฟิงเดินเข้ามา
มู่น่อนน่อนก้มศีรษะลง และพูดอย่างระมัดระวังว่า “คุณมาหาเฉินถิงเซียวใช่ไหมคะ? เขายังไม่กลับมา”
“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่?” เฉินชิงเฟิงเดินเข้าไป ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้อง แล้วหันกลับไปมองเธอ
ในเวลานั้นซุปที่มู่น่อนน่อนกำลังทำอยู่ในครัว ก็ส่งกลิ่นหอมออกมา เฉินชิงเฟิงเดินเข้าไปดูด้วยความสงสัย “เธอกำลังทำอาหารอยู่หรือเปล่า?”
“ฉันแอบไปทำกุญแจห้องของเขามา เมื่อก่อนเขาชอบทานอาหารที่ฉันทำ ฉันเลยคิดว่าจะมาทำอาหารให้เขา เผื่อว่าเขาจะอารมณ์ดี แล้วเขาจะให้ฉันเจอลูก…”
ยิ่งมู่น่อนน่อนพูดมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งก้มหัวลงเรื่อยๆ
เธอไม่รู้ว่าเฉินชิงเฟิงจะเชื่อข้ออ้างที่ไร้สาระของเธอหรือไม่
แม้จะดูห่างเหินไปบ้าง แต่ก็ยังดูสมเหตุสมผล
มู่น่อนน่อนก้มศีรษะลง เธอไม่ได้มองท่าทีของเฉินชิงเฟิงเลย เธอทำเพียงแค่กำมือของเธอไว้แน่นด้วยความประหม่า
หลังจากนั้นไม่นาน เธอได้ยินเฉินชิงเฟิงพูดว่า “คงลำบากเธอแย่เลย”
อำนาจและตัวตนที่ตระกูลเฉินให้เขา ล้วนแล้วแต่ต้องการให้เขาเสียสละและชดใช้
บนโลกนี้ไม่มีความยุติธรรมทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้มีความอยุติธรรมไปเสียทั้งหมด
ยิ่งเขาได้รับเยอะมากเท่าไหร่ ก็ต้องเสียสละมากขึ้นเท่านั้น
เฉินถิงเซียวโน้มตัวลงไปให้มู่น่อนน่อนผูกได้ง่ายขึ้น นัยน์ตาสีดำของเขาจ้องมองไปที่ใบหน้าของมู่น่อนน่อน แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “เป็นห่วงฉันเหรอ?”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบเขาทันที แต่กลับผูกเนกไทให้เขาดีๆ แล้วจัดทรงอยู่สักพัก จากนั้นก็ถึงเงยหน้าขึ้นพูดว่า: “ฉันเป็นห่วงนายมาตลอด ดังนั้นนายจะต้องรักสุขภาพตัวเองให้มากๆนะ”
“อืม” เฉินถิงเซียวพยักหน้า
ต่อมา เขาก็ยื่นมือไปชี้ที่ปากตัวเอง เพื่อให้มู่น่อนน่อนจุ๊บเขาก่อนไปทำงาน
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า เธอยังไม่ได้แปรงฟันเลย ไม่อยากจุ๊บเขา
เฉินถิงเซียวไม่สนใจอะไรมาก เขาเชยคางเธอขึ้นมาแล้วจุ๊บไปที่ปากทันที
ตอนที่ปล่อยเธอออก แววตาเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ: “เป็นจูบที่มีกลิ่นมาก”
มู่น่อนน่อนทุบไปที่ตัวเขาแรงๆ
เขาไม่หลบปล่อยให้เธอทุบตัวเองไป จากนั้นเขาก็ค่อยออกไปทำงาน
มู่น่อนน่อนเดินไปที่หน้าต่าง มองดูรถของเขาขับออกไป ตอนที่กลับหลังหันเตรียมไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องอาบน้ำ ก็ถึงนึกขึ้นได้ว่าเฉินถิงเซียวยังไม่ได้กินอาหารเช้า
เมื่อก่อนตอนที่พวกเขาอยู่ในคฤหาสน์บนเขานั้น เฉินถิงเซียวก็จะกินข้าวเช้าก่อนแล้วค่อยออกไปทำงานตลอด
ตอนนี้เขาพักอยู่คนเดียว คอนโดก็ไม่มีคนรับใช้อีก ไม่รู้ว่าตอนเช้าที่ไปทำงานได้กินข้าวเช้าบ้างไหม
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดแล้ว ก็ส่งข้อความให้สือเย่ ให้เขาซื้อข้าวเช้าให้เฉินถิงเซียวด้วย
เฉินถิงเซียวไปทำงานที่บริษัท แล้วเธอก็แต่งตัวแต่งหน้า เตรียมไปโรงถ่ายละคร
มู่น่อนน่อนล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ก็ขับรถกลับไปที่พักของตัวเอง
ทำอาหารเช้าให้ตัวเองง่ายๆ เธอกินไปด้วยแล้วเลื่อนดูเวยป๋อของซือเฉิงหยู้ไปด้วย ดูว่าจะได้การเดินทางของเขาจากในนี้หรือเปล่า
เธอดูเวยป๋อของซือเฉิงหยู้อยู่นานมากก็หาไม่เจอ
เมื่อก่อน ซือเฉิงหยู้จะลงเวยป๋อตลอด คอมเมนต์ส่วนใหญ่ด้านล่างก็ชื่นชมเขามาตลอด
มู่น่อนน่อนกดเปิดเวยป๋อหนึ่งเข้าไป เห็นด้านล่างส่วนใหญ่ด่าเขาทั้งหมด
ตั้งแต่ซือเฉิงหยู้ยกเลิกสัญญากับบริษัทเสิ้งติ่ง ความนิยมของเขาก็ลดลงทันที เหลือเพียงคนที่ชอบบ้างและเกลียดบ้าง
ระหว่างนั้นเขากับมู่หวั่นขีคบกัน เป็นสาเหตุที่แฟนคลับส่วนใหญ่กลายเป็นแอนตี้แฟนไปทันที
แฟนคลับของซือเฉิงหยู้มีเยอะมาก หลายปีมานี้เขารักษาบุคลิกตัวเองในบริษัทเสิ้งติ่งมาดีตลอด ข่าวอื้อฉาวในช่วงนั้นที่ออกมาเยอะมาก แล้วยังมาอยู่กับมู่หวั่นขีคนแบบนี้อีก ไม่มีบริษัทเสิ้งติ่งคอยสนับสนุนเขาแล้ว ก็ต้องมีแฟนคลับส่วนใหญ่กลายเป็นแอนตี้แฟนคลับเป็นธรรมดา
ขนาดมู่น่อนน่อน แค่พูดในมุมมองของแฟนคลับคนหนึ่ง แค่นี้ก็เพียงพอต่อการให้เธอเป็นแอนตี้แฟนของซือเฉิงหยู้ไปจนตายได้เลย
เมื่อก่อนซือเฉิงหยู้ดังจริง งั้นตอนนี้เขาก็คงดังในแบบที่ถูกแอนตี้
ถูกแอนตี้ไปทั้งตัว แต่กลับยังคงโด่งดังอยู่
ช่วงนี้ซือเฉิงหยู้โพสต์ลงเวยป๋อ ก็มีแค่โฆษณาที่เขาเป็นพรีเซนเตอร์อยู่ และยังมีการประกาศละครเรื่องใหม่
เห็นรูปที่เขาลง เหมือนว่าจะเป็นละครโบราณเลยนะ
มู่น่อนน่อนเปิดคอมเมนต์ด้านล่างออกมาอ่าน เห็นด้านล่างมีคนคอมเมนต์ว่า: “วันนี้ไปโรงถ่ายละครเห็นนักแสดงซือ เลยแอบถ่ายรูปมาด้วยแต่ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ดีใจมากเลย……”
คอมเมนต์นี้มีคนมาคอมเมนต์ต่อท้ายอยู่เยอะมาก
“เป็นโรงถ่ายละครเมืองหู้หยางใช่ไหม?”
“ใช่ แต่ไม่รู้ว่าละครเรื่องนี้ถ่ายนานไหม มีความคาดหวังอยากบังเอิญเจอนักแสดงซืออีกครั้ง……”
“อิจฉาจังเลย ฉันก็อยากเจอนักแสดงซือตัวจริง”
“ก็แค่ขยะมีอะไรให้น่าดูกัน!”
ด้านล่างก็มีแต่คำด่าซือเฉิงหยู้ มู่น่อนน่อนก็ขี้เกียจดู แต่แค่บันทึกรูปที่มีแฟนคลับคนนั้นถ่ายเอาไว้
ตอนที่เธอขับรถไปโรงถ่ายละคร ก็เอารูปนั้นให้ฉินสุ่ยซานดู: “ดูออกไหมว่าอยู่ที่ไหน?”
โรงถ่ายละครในเมืองหู้หยางใหญ่ขนาดนั้น มู่น่อนน่อนก็ไม่ค่อยคุ้นทางด้วย ก็เลยต้องถามฉินสุ่ยซาน
ฉินสุ่ยซานก็มองออกว่าคนคนนั้นคือซือเฉิงหยู้ เลยถามว่า: “เธอจะไปหาซือเฉิงหยู้เหรอ?”
“ไม่ใช่ มีเรื่องต้องจัดการน่ะ อยากไปดูตรงนั้นหน่อย” มู่น่อนน่อนไม่ได้พูดความจริงไป
“อ้อ ที่ตรงนี้คือ……” ฉินสุ่ยซานบอกตำแหน่งกับมู่น่อนน่อนไป
มู่น่อนน่อนบอกลาฉินสุ่ยซานแล้ว ก็ไปยังสถานที่ที่ซือเฉิงหยู้ถ่ายละครทันที
ตอนที่ไปถึง มู่น่อนน่อนก็ถึงเห็นว่าอยากบังเอิญเจอซือเฉิงหยู้ที่นี่มันยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรอีก เพราะว่า——คนเยอะมากจริงๆ
ถ้าเป็นแบบนี้ อยากเจอซือเฉิงหยู้ ไปหามู่หวั่นขียังจะเร็วกว่านี้อีก
มู่น่อนน่อนยืนรออยู่ด้านนอกอยู่นานมาก ก็ไม่เจอซือเฉิงหยู้สักที
วิธีนี้คงไม่ได้ผลสินะ คงต้องไปตามหามู่หวั่นขีถึงจะได้เจอซือเฉิงหยู้สินะ
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปในด้านในด้วย แล้วก็คิดวิธีการตามหามู่หวั่นขีไปด้วย
เธอนึกถึงเมื่อวานที่บังเอิญเจอมู่หวั่นขีที่ร้านอาหาร หรือว่าไปดูตรงนั้นอีกที?
มู่น่อนน่อนคิดถึงตรงนี้ ก็ขับรถไปที่ร้านอาหารเมื่อวานทันที
เธอนั่งลงตรงโต๊ะที่วางไม่ใกล้จากประตูมาก หลังจากที่สั่งอาหารแล้ว ก็จ้องไปที่หน้าประตูอยู่ตลอด
แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นจริง ซือเฉิงหยู้กับมู่หวั่นขีมาที่ร้านอาหารนี้อีกครั้งจริงๆ
สไตล์การแต่งตัวของมู่หวั่นขีไม่เคยเปลี่ยนแปลง ยังคงใส่เดรสยาวโอ่อ่า แล้วตัวก็แนบติดซือเฉิงหยู้ไม่ห่างไปไหน และพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนละห้อย
ซือเฉิงหยู้มองเธอด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน ปล่อยให้มู่หวั่นขีแนบตัวเองอย่างนั้น เขาทั้งไม่รำคาญและไม่รังเกียจเลยสักนิด แถมยังยิ้มกว้างไปอีก
รอยยิ้มของเขา ทำเอาจิตใจของมู่หวั่นขีอ่อนระทวยไปด้วย แววตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที
เมื่อก่อน มู่น่อนน่อนไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนที่มู่หวั่นขีชอบผู้ชายคนหนึ่งจะเป็นยังไง
แต่ตอนนี้เธอเห็นว่า ไม่ว่ามู่หวั่นขีจะร้ายกาจยังไง แต่ยังไงหล่อนก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ดี
ตอนที่ผู้หญิงคนหนึ่งรักผู้ชายคนหนึ่งจริงๆ ก็คงเป็นแบบนี้กันหมด
ทั้งสองไปที่ห้องทานอาหารส่วนตัวทันที
มู่หวั่นขีเดินไปที่ห้องก่อน ตอนที่ซือเฉิงหยู้เดินตามหลังเข้าห้องไป ทันใดนั้นก็หันหน้ามองไปที่มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนรับเบือนหน้าหนี ตอนที่เขาหันหน้ากลับมา เธอเอามือเท้าคางแล้วแกล้งเล่นโทรศัพท์
ผ่านไปสักพัก รอมู่น่อนน่อนหันกลับไปดู ก็เห็นว่าซือเฉิงหยู้เข้าห้องนั้นไปแล้ว
เมื่อกี้ซือเฉิงหยู้น่าจะเห็นเธอแล้วล่ะ
เห็นก็เห็นไปสิ ยังไงเป้าหมายวันนี้ของเธอก็เพื่อเอาเส้นผมของซือเฉิงหยู้
หลังจากอาหารที่มู่น่อนน่อนสั่งมาเสิร์ฟแล้ว เธอก็ตั้งใจกินช้าๆ
ในที่สุดซือเฉิงหยู้ก็ออกมาจากห้องสักที แล้วไปเข้าห้องน้ำ
มู่น่อนน่อนรีบตามหลังไปทันที
เธอกลัวว่าจะตามซือเฉิงหยู้ไม่ทัน จึงตั้งใจวิ่งตามไปเร็วๆ
แต่ว่า ตอนที่เธอเลี้ยวนั้น ซือเฉิงหยู้กลับหายไปแล้ว
ตอนนี้เอง ด้านหลังก็มีคนแตะไหล่เธอเบาๆ
เธอรีบหันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นซือเฉิงหยู้คาบบุหรี่ไว้ที่ปาก
เขามองเธอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า: “เธอมาหาฉันเหรอ?”
มู่น่อนน่อนอึ้งไปสักพัก จากนั้นก็เป็นปกติ: “ไม่นี่ ฉันแค่มาเข้าห้องน้ำน่ะ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวสนใจผิดจุด
แม้เธอจะไปเจอเสิ่นชูหานก็จริง แต่ตอนนี้ที่ควรสนใจต้องเป็นผลตรวจดีเอ็นเอฉบับนี้ไม่ใช่เหรอ?
มู่น่อนน่อนรู้สึกเหนื่อยใจ: “อืม”
“ไม่ฟังที่ฉันพูดเลยหรือไง?” เฉินถิงเซียววางผลตรวจดีเอ็นเอไว้ข้างๆ แล้วมองเธอด้วยแววตาเย็นชา
“พวกเรายังไม่ต้องพูดเรื่องนี้หรอก” ตอนนี้มู่น่อนน่อนแค่อยากรู้เรื่องผลตรวจดีเอ็นเอ ว่าเป็นของซือเฉิงหยู้กับเฉินชิงเฟิงจริงหรือเปล่า
เฉินถิงเซียวกลับแสดงออกอย่างจริงจัง: “ไม่อธิบายเรื่องนี้มาให้รู้เรื่อง ฉันจะไม่ยอมคุยเรื่องอื่นกับเธออีก”
“ใช่ ฉันไปเจอเสิ่นชูหานมาจริง แต่นั่นก็เพื่อเรื่องนี้ไง” มู่น่อนน่อนอธิบายกับเขาอย่างอดทน: “พวกเราแค่คุยกันสักพัก กินข้าวสักมื้อ ไม่ได้ทำ…….”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวบึ้งตึงมากขึ้น: “ยังไปกินข้าวด้วยเหรอ?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรซื่อตรงขนาดนี้ จะอธิบายละเอียดทำไมเนี้ย
“ก็แค่ข้าวมื้อเดียวเอง” มู่น่อนน่อนเม้มปากบาง สำรวจดูปฏิกิริยาของเฉินถิงเซียวอย่างระมัดระวัง
“เหอะ” เฉินถิงเซียวแสยะยิ้มเย็นชา: “ครั้งก่อนไปร่วมงานเลี้ยงกับเขา ครั้งนี้ไปกินข้าวด้วยกัน ครั้งหน้าล่ะ? พวกเธอจะทำอะไรด้วยกันอีก?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวพูดแรงเกินไปแล้ว
เธออยากรู้ความลับที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเฉินจากเสิ่นชูหานมาตลอด และเสิ่นชูหานบอกเธอแล้ว เธอแค่เลี้ยงข้าวเขาตอบแทนเอง
“ฉันกับเขาไม่มีอะไรกันจริงๆนะ พวกเรา……”
เฉินถิงเซียวตัดจบคำอธิบายของมู่น่อนน่อน: “สนิทกันเร็วจังเลยนะ ความสัมพันธ์ของเธอกับมันพัฒนาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ!”
“เฉินถิงเซียว ถ้านายเป็นแบบนี้อีก ฉันจะโกรธจริงๆแล้วนะ!” ที่มู่น่อนน่อนรับไม่ได้คืน เฉินถิงเซียวหึงโดยไร้ความหมายแบบนี้อยู่เรื่อย
เฉินถิงเซียวพูดอย่างเย็นชาว่า: “ฉันโกรธแล้วนะ”
มู่น่อนน่อน: “……”
เธอรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวทำตัวเหมือนเด็ก
“เอาล่ะ พวกเรามาพูดเรื่องผลตรวจดีเอ็นเอเถอะ” มู่น่อนน่อนยื่นมือไปจับมือเขาไว้
เธอคว้ามือเฉินถิงเซียวไว้ แต่กลับถูกเฉินถิงเซียวจับมือไว้แทน
รู้สึกฝ่ามืออบอุ่นมาก สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็ดีขึ้นกว่าเมื่อกี้มาก
เขามองมู่น่อนน่อน แล้วพูดว่า: “เธอเคยคิดไหมว่า ทำไมเสิ่นชูหานรู้ความสัมพันธ์ของฉันกับซือเฉิงหยู้?”
ความสัมพันธ์ของเฉินถิงเซียวกับซือเฉิงหยู้ไม่เคยประกาศออกมาเลย
ดังนั้นเสิ่นชูหานน่าจะไม่รู้ความสัมพันธ์ของเฉินถิงเซียวกับซือเฉิงหยู้สิ
แต่ว่า เสิ่นชูหานกลับรู้ว่าซือเฉิงหยู้เป็นคนของตระกูลเฉิน
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดแล้วพูดว่า: “หรือว่า เขาบังเอิญรู้เรื่องนี้เหรอ?”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วขึ้น: “ทำไมเขาถึงเจอความบังเอิญทั้งหมดคนเดียว ทำไมไม่ไปซื้อหวยล่ะ ไม่แน่อาจจะถูกห้าร้อยล้านก็ได้”
คำพูดของเฉินถิงเซียว บางครั้งก็แอบแรงอยู่เหมือนกัน
มู่น่อนน่อนถามอย่างสงสัย: “แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?”
เฉินถิงเซียวสีหน้าเย็นชาขึ้นมา: “มีคนตั้งใจให้เสิ่นชูหาน ให้เขาเอาผลตรวจดีเอ็นเอนี้มาให้พวกเรา”
มู่น่อนน่อนรู้สึกที่เฉินถิงเซียวพูดมามีเหตุผล
“งั้นคนคนนี้เป็นใครกันล่ะ?” มู่น่อนน่อนยังคิดว่าได้ผลตรวจดีเอ็นเอนี้มา คิดว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะดีขึ้น แต่ไม่คิดว่าเรื่องราวจะซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วเป็นปม ไม่ได้พูดอะไรอีก
มู่น่อนน่อนมองผลตรวจดีเอ็นเอนั้นสักพัก แล้วก็พูดว่า: “ผลตรวจดีเอ็นเอนี้ มีผลจริงเหรอ? หนึ่งในนั้นคือซือเฉิงหยู้จริงเหรอ?”
เฉินถิงเซียวมองไปที่ผลตรวจดีเอ็นเอนั้นอีกครั้ง แต่ไม่ได้พูดเลยทันที
ตอนที่ขึ้นปีใหม่ที่บ้าน เฉินเจียฉินได้ยินเขากับซือเฉิงหยู้พูดคุยกัน ก็บอกเขาว่า ช่วงนั้นซือเฉิงหยู้เข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ
ต่อมาเฉินถิงเซียวก็สั่งคนให้ไปตรวจสอบเรื่องนี้ ก็พบว่าซือเฉิงหยู้ไปตรวจดีเอ็นเอจริง แต่ไม่ได้เก็บประวัติไว้
ซือเฉิงหยู้ระมัดระวังมาก จัดการได้สะอาดไม่มีที่ติ ไม่เหลือร่องรอยไว้ให้ตรวจสอบเลย
แม้จะไม่ได้ผลตรวจดีเอ็นเอนี้ เฉินถิงเซียวก็พอจะเดาออกแล้วล่ะ
แต่ว่า ต่อมามู่น่อนน่อนเกิดเรื่องขึ้น เขาเลยไม่มีโอกาสได้พิสูจน์สิ่งที่ตัวเองคาดเดา
ผ่านไปนานมาก เฉินถิงเซียวก็ถึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า: “จะเป็นของซือเฉิงหยู้กับเขาหรือเปล่า แค่ตรวจดีเอ็นเอแล้วมาเปรียบเทียบกันก็รู้แล้วล่ะ”
จากคำพูดของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนฟังออกได้ว่า เขาสงสัยเรื่องนี้มานานแล้ว
มู่น่อนน่อนคิดแล้วก็พูดว่า: “ฉันไปเอาเส้นผมของซือเฉิงหยู้ให้ไหม ช่วงนี้ฉันอยู่ในกองถ่าย ไปโรงถ่ายละครบ่อยๆ โอกาสที่จะได้เจอซือเฉิงหยู้ก็มีเยอะกว่าด้วย”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร มู่น่อนน่อนก็รู้ว่าเขาจะต้องปฏิเสธคำแนะนำของเธอ
มู่น่อนน่อนเลยพูดก่อนที่เขาจะพูดว่า: “เอาเป็นว่าตกลงตามนี้แล้วกัน ไม่ยอมรับคำปฏิเสธ เอาล่ะ นอนได้แล้ว”
เธอพูดจบ ก็รีบนอนลงไปทันที จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาคลุมหัวตัวเองไว้แล้วปิดไว้แน่น
เฉินถิงเซียวเห็นผ้าห่มที่คลุมหัวเธอไว้ เขาก็ยื่นมือไปดึง: “ไม่ต้องปิดแล้วล่ะ”
มู่น่อนน่อนดึงผ้าออกไปหน่อยๆ เผยแค่หน้าผากออกมา
เฉินถิงเซียวหัวเราะ ยื่นมือไปแล้วดึงผ้าห่มออกทันที เขานอนเบียดเธอจากด้านหลัง แล้วกอดเธอไว้แน่นในอ้อมกอด
มู่น่อนน่อนจึงต้องขยับออกไปข้างๆ
เธอขยับไปข้างๆ เฉินถิงเซียวก็เหมือนกับหมากฝรั่งตามเธอไปด้วย ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมปล่อยออกเลย
“ไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้ ฉันร้อน”
แม้จะเปิดแอร์แล้วก็ตาม แต่ยังไงนี่ก็เป็นหน้าร้อน อุณหภูมิร่างกายของเฉินถิงเซียวก็สูงมากด้วย อย่างกับมีเตาผิงมาอยู่ใกล้เลย
เฉินถิงเซียวพูดแค่คำเดียว มู่น่อนน่อนก็เชื่อฟังเหมือนแมวแล้วหยุดดิ้นทันที
เขาว่า: “ฉันจะไปบริษัทพรุ่งนี้เช้าเจ็ดโมง”
ตอนนี้ก็ตีสองกว่าแล้ว เฉินถิงเซียวจะไปบริษัทพรุ่งนี้เช้าเจ็ดโมงอีก แล้วยังต้องตื่นขึ้นมาก่อนด้วย นั่นก็หมายความว่าคืนนี้เขานอนไม่ถึงห้าชั่วโมงด้วยซ้ำ
สำหรับพวกเขาสองคนแล้ว การได้นอนกอดกันเงียบๆแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
หลังจากที่เฉินมู่ถูกคนลักพาตัวไปแล้ว มู่น่อนน่อนก็นอนไม่หลับมาตลอด
กลางคืนก็มักจะสะดุ้งตื่นขึ้นมา เวลานอนก็ไม่ตรงเวลาไปอีก
ตอนที่ฟ้าใกล้จะสว่าง เฉินถิงเซียวขยับนิดเดียว มู่น่อนน่อนก็ตื่นแล้ว
“เธอนอนต่อก็ได้ ไม่ต้องสนใจฉันหรอก” เฉินถิงเซียวรู้สึกได้ว่ามู่น่อนน่อนก็ตื่นขึ้นมาด้วย ก็เลยจุ๊บไปที่ใบหน้าเธอเบาๆ
เขาลุกขึ้น มู่น่อนน่อนก็ลุกขึ้นตามด้วย
ตอนที่เฉินถิงเซียวเอาเนกไทออกมาจากตู้เสื้อผ้า มู่น่อนน่อนก็คืบคลานไปปลายเตียงแล้วรับเนกไทในมือเขามา
เธอช่วยเขาผูกเนกไทไปด้วย แล้วพูดกำชับไปด้วยว่า: “อย่าหักโหมเกินไป ดูแลตัวเองด้วย”
แม้เมื่อคืนจะนอนไม่ถึงห้าชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ไม่เจอความเหนื่อยบนใบหน้าของเฉินถิงเซียวเลย ทั้งตัวเขาดูจะสดใสขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เธอนึกถึงเรื่องที่เฉินถิงเซียวถูกยิง
แม้จะมีหลายครั้งที่เธอคิดว่าร่างกายของเฉินถิงเซียวทำมาจากเหล็ก แต่ในใจเธอรู้ดีว่า ถ้าเฉินถิงเซียวละทิ้งตำแหน่งในตอนนี้ไป เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
เขาก็แค่อดทนแข็งแกร่งกว่าคนปกติเท่านั้นเอง
ตอนนี้มู่น่อนน่อนไม่ได้ชอบเสิ่นชูหานอีกแล้ว แต่เธอก็ฟังออกได้ว่าคำพูดที่เขาพูดมาทั้งหมดนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดจากใจจริงของเขาทั้งนั้น
เธอรอเสิ่นชูหานพูดจนจบ ถึงเริ่มพูดว่า: “ต่อไปก็เป็นตัวของตัวเองเถอะ ส่วนฉัน มีแค่เฉินถิงเซียวก็พอแล้ว”
“เธอแน่ใจเหรอว่าจะเดินกับเฉินถิงเซียวไปจนถึงบั้นปลายของชีวิตได้?” เสิ่นชูหานไม่เห็นด้วยกับการที่เธอคบกับเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดแล้ว ก็พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า: “ยังไงฉันก็ไม่เคยคิดจะคบกับใครนอกจากเฉินถิงเซียวอยู่แล้ว”
นี่ถือว่าเป็นความคิดที่จริงใจที่สุดของเธอ
เธอไม่คิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกับชายอื่นได้เลย ดังนั้น แม้ตอนนี้จะยากสาหัสเพียงใด ก็ต้องอดทนสู้ต่อไปให้ได้
เสิ่นชูหานหัวเราะ: “ฉันเข้าใจแล้วล่ะ”
หลังจากนั้น ทั้งสองก็คุยกันต่อเรื่อยๆ
เรื่องส่วนใหญ่ที่คุยกัน ก็มีแต่เสิ่นชูหานที่พูดอยู่คนเดียว มู่น่อนน่อนรับผิดชอบแค่ฟังเท่านั้น
พอฟังจบและกินข้าวเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ออกมาจากห้องเตรียมออกจากร้านอาหาร
หน้าประตูร้านอาหาร ก็บังเอิญเจอซือเฉิงหยู้กับมู่หวั่นขีเข้าพอดี
มู่หวั่นขียังคงไม่พอใจกับการที่มู่น่อนน่อนปฏิเสธตัวเอง ถ้าได้โอกาสก็ต้องมีประชดประชันกันอยู่แล้ว
สายตาเธอมองไปที่มู่น่อนน่อนกับเสิ่นชูหานสองคน ต่อมาก็พูดเสียงสูงว่า: “เหอะ อ่อยเฉินถิงเซียวคนเดียวยังไม่พอ ถ่านไฟเก่ากับเสิ่นชูหานก็ปะทุขึ้นมาแล้วเหรอ?”
มู่น่อนน่อนเพิ่งได้ผลตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอจากเสิ่นชูหาน ตอนนี้ก็มาเจอกับซือเฉิงหยู้อีก สายตาเธอก็มองไปที่ซือเฉิงหยู้โดยธรรมชาติ
มู่หวั่นขีเห็นมู่น่อนน่อนจ้องมองซือเฉิงหยู้ ก็รีบขวางตรงหน้าซือเฉิงหยู้เอาไว้: “ดูอะไรของเธอ? ได้คืบจะเอาศอกงั้นเหรอ? หน้าไม่อายจริงๆเลย”
ซือเฉิงหยู้ก็ทักทายมู่น่อนน่อนอย่างไม่สนใจ: “น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนก็เรียกเขาอย่างเป็นทางการ: “คุณซือ”
แต่กลับเป็นเสิ่นชูหาน มองซือเฉิงหยู้อย่างสนอกสนใจ
เป็นเพราะสาเหตุจากฐานะและวงการ โอกาสที่เสิ่นชูหานกับซือเฉิงหยู้จะได้เจอกันนั้นน้อยมาก
ที่เขาได้ผลตรวจดีเอ็นเอนี้มาด้วยความบังเอิญล้วนๆ ดังนั้นจึงรู้สึกสงสัยในตัวซือเฉิงหยู้มาก
ลูกนอกสมรสของเฉินชิงเฟิง
เป็นแค่ลูกนอกสมรสจริงๆเหรอ?
“เฉินหยู้!” มู่หวั่นขีเห็นซือเฉิงหยู้พูดกับมู่น่อนน่อน ก็ตะคอกเขาอย่างไม่พอใจ
ซือเฉิงหยู้ก้มหัวลง มองมู่หวั่นขีด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน: “ไม่ว่ายังไง น่อนน่อนก็เป็นน้องสาวเธอนะ ถึงแม้ละคร《เมืองพัง》ของน่อนน่อน เธอจะไม่มีโอกาสได้ร่วมงานด้วย อย่างน้อยก็ยังบทละครอื่นรอเธออยู่นะ?”
คำพูดของซือเฉิงหยู้ ทำให้มู่หวั่นขีเหมือนแมวที่โดนลูบขนแล้วรีบเชื่อฟังทันที
มู่น่อนน่อนหรี่ตาลง ถึงว่ามู่หวั่นขีไปออดิชันที่กองถ่าย《เมืองพัง》 เป็นเพราะซือเฉิงหยู้นี่เอง
เมื่อก่อนซือเฉิงหยู้ก็แสดงภาพยนตร์แนวลึกลับเงื่อนงำแบบนี้เหมือนกัน เขามีสายตาเฉียบคมเป็นของตัวเอง
แต่ว่า ซือเฉิงหยู้ให้มู่หวั่นขีไปออดิชันที่กองถ่ายของ《เมืองพัง》 เป็นเพราะเขาชอบบทละครเรื่อง《เมืองพัง》 หรือเป็นเพราะอยากหลอกใช้มู่หวั่นขีให้มู่น่อนน่อนไม่สบายใจกันแน่ เรื่องนี้เอาแน่เอานอนไม่ได้
มู่น่อนน่อนเคยเห็นด้านร้ายของซือเฉิงหยู้มาแล้ว
มู่น่อนน่อนไม่อยากสนทนากับพวกเขาต่อไป จึงกระซิบบอกเสิ่นชูหานเบาๆว่า: “พวกเราไปกันเถอะ”
ต่อมา เธอก็ก้าวขาเดินจากไปทันที
……
มู่น่อนน่อนไม่ได้กลับบ้าน แต่ขับรถไปที่พักของเฉินถิงเซียวทันที
เธอมีกุญแจคอนโดของเฉินถิงเซียว
ตอนที่เปิดประตูเข้าไป ในห้องมืดสนิทไม่มีแสงเลย เฉินถิงเซียวยังไม่กลับมา
มู่น่อนน่อนเปิดไฟ แล้วเดินสำรวจแต่ละห้อง
โต๊ะทำอาหารในครัวเริ่มมีฝุ่นเกราะแล้ว แสดงว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้ทำอะไรในบ้านนานแล้ว
เฉินถิงเซียวทำอะไรไม่เป็นอยู่แล้วด้วย
ในตู้เย็นก็มีแต่น้ำเปล่ากับเหล้า นอกนั้นก็ไม่มีอาหารอย่างอื่นอีกเลย
ไม่เหมือนบ้านที่มีคนอาศัยอยู่เลย
มู่น่อนน่อนรออยู่นานสองนาน จนกระทั่งห้าทุ่ม เฉินถิงเซียวก็ยังไม่กลับมาอีก
มู่น่อนน่อนเลยไปอาบน้ำปิดไฟ แล้วไปนอนที่เตียงเขา
จนกระทั่งตีหนึ่ง เฉินถิงเซียวถึงจะกลับมา
พอเขาเข้าไป เปิดไฟ ก้มหน้าเห็นรองเท้าผู้หญิงวางอยู่หน้าประตู
ผู้หญิงที่เข้าบ้านเขาได้ นอกจากมู่น่อนน่อนจะมีใครอีกล่ะ?
เขากระตุกยิ้มมุมปาก ความเหนื่อยล้าจากการทำงานก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง เขาโยนเสื้อสูทที่พาดไว้บนแขนออกไป ปลดคอเสื้อไปด้วย แล้วเดินไปที่ห้องด้วย
ไฟในห้องไม่ได้เปิดไว้ แต่เฉินถิงเซียวชินกับเฟอร์นิเจอร์ในห้องนอนตัวเองดี เขาเดินย่องไปที่หัวเตียง แล้วก็เปิดไฟหัวเตียง
มู่น่อนน่อนห่มผ้าไว้แน่นแล้วนอนตะแคงอยู่บนเตียงเขา ผมสีดำยาวสลวยนั้นพาดอยู่เต็มหมอน
เลิกงานกลับมา เห็นมู่น่อนน่อนนอนอยู่บนเตียงเขา
นี่มันเป็นภาพที่เกิดขึ้นแค่ในฝันเท่านั้น
ลูกกระเดือกเฉินถิงเซียวขยับขึ้นลง เขาโน้มตัวลงไปใกล้มู่น่อนน่อน ยื่นมือไปปัดผมที่บังหน้าเธอออก แล้วประทับริมฝีปากลงไปบนหน้าผากเธอเบาๆ
ตั้งแต่กลับจากเมืองหู้หยาง มู่น่อนน่อนก็นอนไม่ค่อยหลับเลย
ไม่ว่าเฉินถิงเซียวจะระมัดระวังมากแค่ไหน เธอก็สะดุ้งตื่นได้
เธอลืมตาขึ้นมา หันหน้าไปเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเฉินถิงเซียว
“กลับมาแล้วเหรอ” น้ำเสียงที่เพิ่งตื่นของเธอแหบและงัวเงียเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวนั่งลงบนหัวเตียง ลูบใบหน้าของเธอเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า: “อืม รอนานเลยใช่ไหม?”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า ยื่นมือไปอยากจะดูเวลาในนาฬิกาข้อมือที่วางไว้บนหัวเตียง
เฉินถิงเซียวเห็นว่าเธอจะทำอะไร ก็รีบคว้ามืออ่อนนุ่มของเธออย่างไหว แล้วพูดว่า: “จะตีสองแล้วล่ะ”
“ตอนนี้นายทำงานจนถึงดึกขนาดนี้เลยเหรอ?” มู่น่อนน่อนพูดไปด้วย แล้วลุกขึ้นนั่งไปด้วย
เฉินถิงเซียวพยุงไหล่เธอไว้: “ไม่หรอก”
ปฏิเสธได้อย่างฉับพลัน มู่น่อนน่อนรู้ดีว่าเขาพูดโกหก
มู่น่อนน่อนไม่ได้หลอกง่ายขนาดนั้น เธอหันหน้าไปมองเขา: “ฉันไม่เชื่อที่นายพูดหรอก ฉันต้องถามสือเย่สักหน่อยแล้ว”
“ยุ่งแค่ช่วงนี้น่ะ เดี๋ยวช่วงนี้เสร็จแล้วก็มีเวลาว่างแล้วล่ะ” เฉินถิงเซียวหัวเราะ มองดูใบหน้าสวยภายใต้แสงไฟสลัว ก็อดไม่ได้ขยับเข้าไปจุ๊บหนึ่งที
เป็นจูบที่ไม่นานมาก: “นอนก่อนเลย ฉันไปอาบน้ำก่อนนะ”
“ฉันรอนาย มีเรื่องจะพูดกับนายน่ะ” มู่น่อนน่อนนึกถึงเรื่องผลตรวจดีเอ็นเอฉบับนั้นอยู่ตลอดเวลา อยากจะรีบบอกเรื่องนี้กับเฉินถิงเซียวโดยเร็ว
เฉินถิงเซียวอึ้งสักพัก แล้วพยักหน้าตอบว่า: “อืม”
มู่น่อนน่อนเอาผลตรวจดีเอ็นเอที่เสิ่นชูหานให้ตัวเองออกมา เธอเอาไว้ในลิ้นชักในตู้หัวเตียง
ตอนที่เฉินถิงเซียวออกมาจากห้องอาบน้ำ เธอก็ยื่นผลตรวจดีเอ็นเอนี้ให้เขา
“อะไรเหรอ?” เฉินถิงเซียวรับเอกสารนั้นมา แค่มองแวบเดียว คิ้วก็ขมวดกันเป็นปมแล้ว
เขานั่งลงข้างเตียง อ่านผลตรวจดีเอ็นเออย่างละเอียด
ตอนที่มู่น่อนน่อนดู ก็รีบเปิดดูผลสรุปด้านหลังทันที
แต่เฉินถิงเซียวดูเหมือนจะเข้าใจเรื่องนี้ เขาดูอยู่นานมาก ถึงเงยหน้าขึ้นมาถามมู่น่อนน่อน: “ใครให้เธอมา?”
น้ำเสียงเขาจริงจังมาก เหมือนรู้ว่าผลตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอนี้เป็นของใครกับใคร
มู่น่อนน่อนพูดไปตามจริง: “เสิ่นชูหานให้ฉันมา”
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว ก็หรี่ตาลงทันที น้ำเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อย: “เธอไปเจอเสิ่นชูหานอีกแล้วเหรอ?”
มู่น่อนน่อนฟังที่เสิ่นชูหานพูด จิตใจก็สั่นไหวอย่างมาก
ซือเฉิงหยู้ไปตรวจสอบดีเอ็นเอ จากนั้นก็เริ่มหาเรื่องเฉินถิงเซียวเรื่อยๆ
ถ้าจะให้เดาอีกคนในผลตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอนี้คือใคร มู่น่อนน่อนก็มีตัวเลือกในใจแล้วล่ะ
แต่ว่า เธอรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลย
เสิ่นชูหานเห็นสีหน้ามู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปมา ก็เลยพูดว่า: “ฉันว่าเดาไม่ยากนะ เธอน่าจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วล่ะ”
มู่น่อนน่อนพึมพำ: “จะเป็นไปได้ยังไงกัน?”
เสิ่นชูหานมองเธอเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร
มู่น่อนน่อนเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามเขาว่า: “นายได้ผลตรวจดีเอ็นเอนี้มาจากไหน?”
“บนโลกใบนี้ไม่มีความลับตลอดกาล เรื่องชั่วที่เคยทำไว้ ยังไงก็ต้องปรากฏขึ้นในสักวัน” ตอนที่เสิ่นชูหานพูดนั้น สีหน้าก็เย็นชาลงเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนนึกถึงสิ่งที่เฉินถิงเซียวบอกกับตัวเอง เรื่องตัวตนของเสิ่นชูหาน
ทุกคนต่างก็ไม่อาจเลือกการเกิดของตัวเองได้
มู่น่อนน่อนนนึกถึงซือเฉิงหยู้
เมื่อก่อนซือเฉิงหยู้กับเฉินถิงเซียวก็ดูสนิทกันดี แต่ว่า พอเขารู้ว่าตัวเองกับเฉินถิงเซียวไม่ได้มีความสัมพันธ์ลูกพี่ลูกน้องกัน แต่เป็นพี่น้องกันจริงๆ เขาจะเผชิญหน้ากับเฉินถิงเซียวยังไง?
ใช่แล้ว อีกคนในผลตรวจดีเอ็นเอที่มู่น่อนน่อนเดานั้น ก็คือเฉินชิงเฟิง
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่มีผล เหตุก็ย่อมติดตามได้
ตอนนั้นที่กลับบ้านช่วงปีใหม่ เฉินชิงเฟิงจะให้ซือเฉิงหยู้ไปทำงานที่บริษัทเฉินซื่อ ยังบอกว่าให้เฉินถิงเซียวกับซือเฉิงหยู้ดูแลกันและกัน
ก่อนหน้านั้น ตอนที่มีข่าวด้านลบของซือเฉิงหยู้กระจายออกมา เฉินชิงเฟิงก็มาหาเฉินถิงเซียว
ตอนนั้น มู่น่อนน่อนก็รู้สึกได้ถึง ความห่วงใยที่เฉินชิงเฟิงมีต่อซือเฉิงหยู้ เทียบกับเฉินถิงเซียวแล้วเกินเลยไปมาก
ถ้าซือเฉิงหยู้เป็นลูกนอกสมรสของเฉินชิงเฟิงจริง งั้นเรื่องนี้ก็อธิบายได้แล้วล่ะ
มู่น่อนน่อนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองคาดเดานั้นมันถูกต้อง
“ดึกแล้ว จะไม่เลี้ยงอาหารฉันหน่อยเหรอ?” เสียงของเสิ่นชูหานขัดจังหวะความคิดของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนพูดไปด้วย ลงรถไปด้วยว่า: “ได้สิ ออกไปกินข้าวด้านนอกกัน เดี๋ยวฉันขับรถตัวเองไป”
เสิ่นชูหานเรียกเธอไว้: “ไปกินที่บ้านเธอไม่ได้เหรอ?”
ในสถานการณ์ที่รู้ว่าเสิ่นชูหานมีใจกับเธอ เธอไม่มีทางเชิญเขาไปกินข้าวที่บ้านแน่นอน
มู่น่อนน่อนเงียบ เป็นการปฏิเสธที่ไม่มีเสียง
เสิ่นชูหานก็หัวเราะตัวเอง: “เป็นฉันเองที่ ผิดก้าวเดียวผิดไปตลอด”
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนี้กะทันหัน
……
เพื่อแสดงถึงความจริงใจของตัวเอง มู่น่อนน่อนเลือกร้านอาหารหรู เพื่อเลี้ยงอาหารเสิ่นชูหาน
“ใจกว้างจังเลยนะ คิดไม่ถึงเลยนะเนี้ย” เสิ่นชูหานหยอกล้อเธอ
มู่น่อนน่อนหัวเราะ: “นายเลือกที่จะไม่กินก็ได้นะ”
ตอนที่สั่งอาหาร มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเสิ่นชูหานจ้องตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เธอสั่งอาหารอย่างรวดเร็วด้วยความสบายใจ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น
“เฉินถิงเซียวพูดเรื่องของฉันกับเธอแล้วสินะ?”
คำพูดของเสิ่นชูหาน ทำให้มู่น่อนน่อนต้องหันไปมองเขา
“ใช่แล้ว ฉันเป็นแค่ลูกที่เกิดจากผู้ชายแปลกหน้าด้านนอก ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแท้ๆตัวเองเป็นใคร การอยู่ของฉันเป็นแค่ผ้าปิดความอาย มีไว้แค่ปิดความจริงที่ว่าพ่อเลี้ยงฉันเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ”
เรื่องนี้แม้จะฟังเฉินถิงเซียวพูดแล้ว แต่พอมาฟังเสิ่นชูหานพูดเอง มู่น่อนน่อนก็รู้สึกสับสนมาก
มู่น่อนน่อนเม้มปากบาง แล้วพูดว่า: “ไหนว่าจะกินข้าวไง? ทำไมพูดเรื่องนี้ล่ะ?”
เสิ่นชูหานมองเธอ: “เธอให้ฉันพูดจบเถอะ”
มู่น่อนน่อนไม่พูดอะไรอีก เขาจะพูดก็ปล่อยเขาพูดไปแล้วกัน
“เพราะเรื่องที่พ่อเลี้ยงมีลูกไม่ได้ ดังนั้นแม่ฉันเลยไปหาผู้ชายด้านนอก ภายนอกพวกเขาดูรักกัน ที่จริงทะเลาะกันบ่อยมาก อยากรู้เรื่องตัวตนของฉันมันเป็นเรื่องที่ง่ายมากเลย……”
เสิ่นชูหานรู้มาแต่เด็กแล้วว่า ตัวเองไม่มีเชื้อสายของตระกูลเสิ่น ต่อไปมรดกของตระกูลเสิ่นก็ไม่มีในส่วนของเขาเหมือนกัน คนตระกูลเสิ่นไม่ได้รักเขามากขนาดนั้น
ดังนั้น ตอนเขาอยู่ด้านนอกก็ต้องแสร้งทำตัวอ่อนโยนมีมารยาท ก็เพื่อให้คนอื่นๆชอบเขา สนใจในตัวเขา
ขณะเดียวกัน เขาก็ทำเพื่อหาภรรยาที่มีครอบครัวและฐานะที่ดีแต่งงาน
มู่น่อนน่อนชอบเขา แถมยังชอบเขามาตลอด เขารู้เรื่องนี้ดี
เขาชอบความรู้สึกที่มู่น่อนน่อนชอบตัวเอง ดังนั้นก็ทำดีกับมู่น่อนน่อนบ้างเป็นบางครั้ง ให้เธอชอบเขาตลอดไป
แต่ว่า สุดท้ายเธอกลับแต่งงานกับเฉินถิงเซียวแทน
แต่งงานกับผู้ชายที่ ‘ทั้งขี้เหร่ทั้งไม่มีมนุษยธรรม’ เหมือนกัน
เขานึกถึงแม่ตัวเอง จากนั้นก็เริ่มเกลียดมู่น่อนน่อนขึ้นมา
ในหมู่ผู้หญิงที่ชอบเขานั้น ตระกูลมู่ก็ถือว่ามีชาติตระกูลที่ไม่เลว มู่หวั่นขีก็เป็นที่รักของมู่ลี่เหยียน ต่อไปถ้าเขาได้แต่งงานกับมู่หวั่นขี มู่ลี่เหยียนจะต้องเตรียมสินสอดสำหรับเจ้าสาวไว้เยอะแน่
แต่ว่า เขาก็ไม่คิดว่าชีวิตของมู่หวั่นขีจะวุ่นวายได้ขนาดนี้
ตอนที่เขาเรียนก็มีสาวๆชอบเขาไม่น้อย แต่หนึ่งในผู้หญิงมากมายที่ชอบเขา มีเพียงมู่น่อนน่อนที่แตกต่างออกไป
เธอชอบเขาด้วยใจจริง แต่กลับเอาความรู้สึกนี้เก็บลึกไว้ในใจกลัวเขาจะรู้
เขาฉลาดกว่าใคร รู้ว่าตัวเองอยากได้อะไร ดังนั้นเขารู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางเลือกมู่น่อนน่อนผู้หญิงแบบนี้มาเป็นภรรยาตัวเองแน่นอน
ชีวิตก็คงเป็นแบบนี้ ผิดก้าวเดียวผิดไปตลอด มักจะเริ่มรู้สึกเสียดายตอนที่นึกถึงเรื่องในอดีต
เสิ่นชูหานจับแก้วน้ำตรงหน้าไว้ แล้วพูดอย่างจริงจังว่า: “น่อนน่อน ฉันชอบเธอจริงๆนะ ฉันแค่รู้สึกตัวช้าไป”
ยิ่งเป็นคนที่ไม่มีหัวใจ ก็ยิ่งหวั่นไหวได้ง่าย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทุกสิ่งที่เขาทำ ทุกคนที่เขาเข้าหา ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายทั้งนั้น
แต่มีเพียงมู่น่อนน่อน เขาทำเป็นไม่สนใจความรู้สึกที่เธอมีต่อเขามาหลายปี เพียงแค่อยากให้เธอชอบตัวเองแบบนี้ตลอดไป
เรื่องผ่านมานานขนาดนี้แล้ว พอได้ยินเสิ่นชูหานพูดแบบนี้อีกครั้ง มู่น่อนน่อนก็เริ่มรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนไม่ได้อยากมานั่งรำลึกถึงเรื่องในอดีตกับเขา เธอเงียบอยู่สักพัก จากนั้นก็พูดว่า: “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ต้องพูดแล้วล่ะ กินข้าวมื้อนี้เสร็จแล้ว พวกเราก็ยังคงเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”
เรื่องในอดีตอย่าไปนึกถึงเลย ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป
ยังไงคนเราก็ต้องเดินหน้าต่อไปอยู่แล้ว
วิธีการจัดการเรื่องในอดีตที่ดีที่สุดก็คือ ปล่อยวางให้มันผ่านไป
“นั่นสิ เรื่องในอดีตก็ผ่านไปแล้ว” เสิ่นชูหานพูดถึงตรงนี้ ก็กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย: “แต่ฉันอยากให้เธอรู้ว่า เมื่อก่อนฉันไม่เพียงแต่เคยชอบเธอ ต่อไปนี้ฉันก็จะชอบเธอตลอดไปด้วย”
มู่น่อนน่อนชะงักในขณะที่กำลังดื่มน้ำอยู่
“เฉินถิงเซียวมาหาฉัน เขาว่าเขาช่วยฉันกอบกู้บริษัทเสิ่นซื่อกลับมาได้ แต่เงื่อนไขที่เขาว่ามานั้น คือไม่ให้ฉันมาหาเธออีก”
เสิ่นชูหานพูดไปด้วย และคอยสังเกตสีหน้าของมู่น่อนน่อนไปด้วย: “แต่ฉันปฏิเสธไปแล้ว เงื่อนไขที่เขาว่ามานั้นน่าสนใจมาก แต่ถ้าฉันยอมรับเงื่อนไขของเขา งั้นตอนนี้ฉันก็คงไม่สามารถมานั่งบอกชอบเธอตรงนี้ได้แล้ว ตอนนี้ฉันเพิ่งรู้ตัวว่า ชีวิตของคนเรามีเรื่องมากมายที่ไม่อาจเอาเงินทองและอำนาจมาเปรียบเทียบได้”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าวันนี้เสิ่นชูหานไม่ปกติตั้งนานแล้ว
ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะรวบรวมความกล้ามาสารภาพรักกับเธอ
มู่หวั่นขีมาออดิชันบทละครของ《เมืองพัง》 หล่อนคงจะไม่รู้ว่าผู้แต่ง《เมืองพัง》ก็คือมู่น่อนน่อนสินะ
แต่หลังจากเรื่องสองวันมานี้ มู่หวั่นขีก็น่าจะรู้แล้วล่ะ
……
ตอนที่กลับไป มู่น่อนน่อนเพิ่งออกมาจากโรงถ่ายละคร รถครอบครัวคันสีขาวจอดอยู่ตรงหน้าเธอ
เสียงเปิดประตูรถดังขึ้น มู่หวั่นขีที่สวมแว่นกันแดดเดินลงมาจากรถ
อากาศของเดือนแปด มู่หวั่นขีเพื่อให้เห็นรูปร่างสัดส่วนของตัวเองได้ชัดเจน ยังคลุมเสื้อแจ็คเก็ตหนังไว้ที่ไหล่ ดูสู้ตายมาก
มู่หวั่นขีกอดอก เดินไปตรงหน้ามู่น่อนน่อน เชิดคางขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดด้วยท่าทีที่หยิ่งยโสว่า: “ฉันได้ยินแม่เธอบอกว่า เธออยู่ที่โรงถ่ายละคร”
มู่น่อนน่อนไม่ได้พูดอะไร แค่มองมู่หวั่นขีนิ่งๆ
มู่หวั่นขีโมโหที่มู่น่อนน่อนทำท่าไม่สนใจตัวเอง แต่พอนึกถึงเป้าหมายของตัวเอง ก็อดทนเอาไว้ได้: “《เมืองพัง》เธอเขียนขึ้นมาเองเหรอ?”
“ใช่” มู่น่อนน่อนอยากดูว่ามู่หวั่นขีคิดจะทำอะไรอีก
มู่หวั่นขีถอดแว่นกันแดดออก: “ความสัมพันธ์ของเธอกับผู้จัด《เมืองพัง》ดูไม่เลวเลยนะ? ฉันชอบบทละครเรื่องนี้มาก ไม่เอานางเอกก็ได้ ขอตำแหน่งนางรองก็ได้ เรื่องอดีตของพวกเรา ฉันก็จะถือว่าเป็นโมฆะไป เธอก็จะได้กลับไปตระกูลมู่”
โมฆะงั้นเหรอ?
มู่น่อนน่อนแสยะยิ้มเย็นชา: “อะไรคือเป็นโมฆะ ฉันเคยทำอะไรเธอเหรอ? ส่วนเรื่องกลับตระกูลมู่ ฉันขอให้ฉันกลับไปฉันก็ไม่กลับหรอกนะ”
มู่หวั่นขีไม่คิดว่ามู่น่อนน่อนจะไม่รู้จักสำนึกขนาดนี้
เธอโกรธจนสีหน้าบึ้งตึงไปหมด: “นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ฉันจะให้เธอ เห็นเธอโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวด้านนอก ฉันจะให้โอกาสเธอกลับไปที่ตระกูลมู่ แต่เธอกลับไม่รู้จักสำนึกงั้นเหรอ!”
มู่น่อนน่อนจะไม่รู้ความคิดของมู่หวั่นขีได้ยังไง
โอกาสที่มู่หวั่นขีบอกว่าให้เธอกลับไปตระกูลมู่ได้นั้น ก็แค่อยากให้มู่น่อนน่อนกลับไปตระกูลมู่ ให้เธอแกล้งทำตัวโง่เหมือนเมื่อก่อน ยอมรับใช้มู่หวั่นขีต่อไป
มู่หวั่นขีคิดวางแผนมาเสียดิบดี แต่มู่น่อนน่อนกลับไม่โง่หลงกลเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“ฉันเป็นคนไม่สำนึกบุญคุณแบบนี้แหละ เธอเอาโอกาสนี้ให้คนอื่นเถอะนะ”
“เธอ……”
มู่น่อนน่อนเดินอ้อมมู่หวั่นขี แล้วเดินจากไปทันที
……
มู่น่อนน่อนรู้จักคนตระกูลมู่ดี รู้ว่าเรื่องนี้มู่หวั่นขีไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆแน่
เป็นไปตามที่คิดเลย วันต่อมาเธอก็ได้รับสายจากมู่ลี่เหยียน
มู่ลี่เหยียนมีข้อดีเรื่องเดียว ก็คือตามใจลูกชายลูกสาวจนเคยตัว
แน่นอน นอกจากมู่น่อนน่อน
“ในเมื่อกลับเมืองหู้หยางแล้ว ทำไมไม่กลับมาบ้านล่ะ?” มู่ลี่เหยียนทำเหมือนความจำเสื่อมอย่างไงอย่างนั้น เหมือนลืมเรื่องที่ว่าประกาศตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับมู่น่อนน่อนไปแล้ว
มู่น่อนน่อนก็ไม่คิดจะให้มู่ลี่เหยียนทำเป็นข้ามผ่านเรื่องนี้ไป เธอเลยพูดเตือนมู่ลี่เหยียนว่า: “ในเมื่อคุณมู่ลืมไปแล้ว งั้นดิฉันก็ขอเตือนคุณแล้วกัน พวกเราตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกันแล้ว”
มู่ลี่เหยียนไม่สนใจคำพูดของมู่น่อนน่อนด้วยซ้ำ: “ถ้าเธอยังอยากกลับตระกูลมู่ ฉันจะยกโทษเรื่องทุกอย่างให้แก”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้วก็อยากหัวเราะออกมาดังๆ
“ฉันทำอะไรผิดต่อคุณกัน คุณถึงต้องยกโทษให้ฉัน?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า ทั้งชีวิตนี้ของเธอไม่มีทางเข้าใจความคิดของคนตระกูลมู่ได้เลย
ทั้งที่เธอถูกหลอกใช้มาตลอด แถมยังโดนทิ้งมาตลอดด้วย
แต่พอคนตระกูลมู่พูดออกมานั้น กลับกลายเป็นว่าเธอทำอะไรผิดต่อพวกเขา ตอนนี้พวกเขายังใจกว้างยอมยกโทษให้เธอ แถมยังอนุญาตให้เธอกลับบ้านได้
เสียงของมู่ลี่เหยียนเย็นชาขึ้นมา: “แกทำอะไรลงไป แกรู้ดีอยู่แก่ใจ ไม่ว่ายังไง พวกเราตระกูลมู่ก็มีพระคุณต่อแก ตอนนี้แกควรกลับมาตอบแทนบุญคุณแล้วล่ะ”
“คุณมู่คะ ถ้าคุณมีเวลาก็ไปหาหมอทางโรคสมองดูนะคะ ไปตรวจดูสิ ว่าในสมองมีปัญหาอะไรหรือเปล่า” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ตัดสายไปทันที
เธอเทน้ำแล้วดื่มไปทั้งแก้วรวดเดียว จากนั้นก็พ่นลมหายใจออกยาวๆ แล้วนั่งลงบนโซฟา
ในบ้านไม่มีวัตถุดิบอะไรเลย เธอตัดสินใจออกไปซื้อของ
มู่น่อนน่อนขับรถไปซูเปอร์มาร์เก็ตข้างๆ ตอนที่กลับมา ก็เห็นหน้าคอนโดมีรถหรูจอดอยู่หนึ่งคัน
แม้จะเป็นรถหรู แต่เทียบกับของเฉินถิงเซียวไม่ได้หรอก แต่ถ้าเทียบกับเขตพื้นที่นี้แล้ว ดูจะโดดเด่นกว่าคันอื่นๆ
ตอนนี้เอง โทรศัพท์เธอก็มีข้อความเด้งขึ้นมา
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็เห็นเสิ่นชูหานส่งข้อความมา
“ขึ้นรถ ฉันมีของจะให้เธอ”
มู่น่อนน่อนอ่านข้อความเสร็จ ก็เงยหน้าขึ้นมองรถหรูคันนั้น จากนั้นก็เดินไปหา เปิดประตูรถเข้าไปดู ก็เห็นผู้ชายนั่งสูบบุหรี่อยู่ และผู้ชายคนนั้นก็คือเสิ่นชูหานนั่นเอง
“นายมาทำไม?” มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วมองเขา
เสิ่นชูหานดับบุหรี่ในมือ: “มาหาเธอมีเรื่องจะคุยน่ะ”
ในรถมีกลิ่นควันโขมงเต็มไปหมด ทำเอามู่น่อนน่อนรู้สึกไม่สบายตัว เธอบีบจมูกไว้แล้วปัดควันตรงหน้าตัวเอง แล้วมองเขาด้วยแววตาที่สงสัย
เธอก็ถึงรู้สึกได้ว่าวันนี้เสิ่นชูหานดูแปลกๆไป
ที่เขี่ยบุหรี่มีก้นบุหรี่อยู่เต็มไปหมด เขาดูโทรมมากเลย
มู่น่อนน่อนถามเขา: “นายเป็นอะไรไป?”
“เป็นห่วงฉันเหรอ?” เสิ่นชูหานหันหน้าไปมองเธอ
มู่น่อนน่อนรีบกลับหลังหันอยากออกไป เสิ่นชูหานก็เรียกเธอไว้เสียก่อน: “น่อนน่อน ฉันมีของจะให้เธอ”
มู่น่อนน่อนหันหน้าไป เสิ่นชูหานก็พูดต่อว่า: “เป็นของที่เธออยากได้”
เธอหันกลับไปพูดว่า: “จะไปพูดในร้านกาแฟไหม?”
“พูดในรถนี่แหละ” เสิ่นชูหานเปิดกระจกลง
ตอนนี้ก็เริ่มดึกแล้ว มีลมพัดเข้ามาอ่อนๆ เย็นสบายมาก
มู่น่อนน่อนนั่งลงข้างๆเสิ่นชูหาน
เสิ่นชูหานไม่รู้ว่าเอาซองเอกสารออกมาให้เธอจากไหน: “ดูเองสิ”
มู่น่อนน่อนมองเขา แล้วรับซองเอกสารมาเปิดดู แล้วหยิบของด้านในออกมา
เป็นผลตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอ
ไม่มีชื่อ ผลตรวจด้านหลังเขียนไว้ว่ามีความสัมพันธ์พ่อลูกกัน
มู่น่อนน่อนอึ้ง: “นี่เป็นผลตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอของใครกับใคร?”
เสิ่นชูหานชักบุหรี่ออกมาหนึ่งมวน เหมือนอยากจะจุดไฟแช็ก: “หนึ่งในนั้นคือซือเฉิงหยู้”
เขาพูดจบ ก็อยากจะยื่นมือไปหยิบไฟแช็ก หันหน้าไปเห็นท่าทางมู่น่อนน่อนบีบจมูก ก็วางไฟแช็กลง แล้วหยิบบุหรี่มวนนั้นขึ้นมาหมุนเล่นที่มือ
“ซือเฉิงหยู้งั้นเหรอ?” มู่น่อนน่อนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที สมองโล่งไปหมด
เสิ่นชูหานอธิบายกับเธอช้าๆว่า: “ผลตรวจดีเอ็นเอนี้ ซือเฉิงหยู้สั่งคนไปทำน่ะ เวลาก็คือช่วงข่าวอื้อฉาวของเธอเมื่อปีก่อน”
มู่น่อนน่อนคำนวณเวลาดู
เรื่องข่าวอื้อฉาวของเธอกับซือเฉิงหยู้ เป็นฝีมือของซือเฉิงหยู้ล้วนๆ
โดยเฉพาะครั้งที่สอง เขายังนำกระแสด้านลบไปยังบริษัทเสิ้งติ่ง ตอนนั้นเขาก็แสดงออกมาเป็นนัยๆแล้วว่าจะแตกหักกับเฉินถิงเซียว
ซือเฉิงหยู้แตกหักกับเฉินถิงเซียวกะทันหัน เป็นเพราะผลตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอนี้หรือเปล่านะ?
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปถามเขา: “ดังนั้นผลตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอนี้ อีกคนคือใคร?”
เสิ่นชูหานกระตุกยิ้มมุมปาก: “ซือเฉิงหยู้ระวังตัวมาก ด้านบนไม่มีชื่อของทั้งสองคน แต่นี่ก็เดาไม่ยาก”
มู่น่อนน่อนอึ้งไปสักพัก จากนั้นก็มองค้อนเขาแรงๆ: “ไม่”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรอีก เขาลูบผมเธอเบาๆ จากนั้นก็กลับหลังหันเดินจากไปในความมืด
จนกระทั่งเขาเดินจากไป มู่น่อนน่อนถึงถือกุญแจรถกลับหลังหันเดินกลับไปที่ห้องตัวเอง
……
วันถัดมา
ในตอนที่มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมานั้น ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูเวยป๋ออย่างเคยชิน
สุดท้ายพอเปิดดูเวยป๋อ ก็เห็นตัวเองขึ้นเป็นที่หนึ่งในการค้นหา
“อดีตภรรยาคุณชายเฉินอยากจะขอคืนดี”
นี่มันบ้าอะไรเนี้ย?
มู่น่อนน่อนกดเข้าไปดู
“เมื่อคืนมีการจัดงานเลี้ยงมื้อค่ำระดับไฮโซเมื่อคืนนี้ มีคนมากมายเห็นคุณชายเฉินกับอดีตภรรยาอยู่ในงานด้วยกัน มีคนคาดเดาว่าอดีตภรรยาของคุณชายเฉินคิดอยากจะขอคืนดี……”
ด้านหลังยังมีการอธิบายมากมาย
แล้วยังมีรูปภาพชัดเจนแปะอยู่บนนั้นด้วย
รูปถ่ายในงานเลี้ยงเมื่อคืนจริง บล็อกเกอร์ก็มีความละเอียดอ่อนวงรูปของมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวออกมา แล้วเอาภาพนี้มาอธิบายด้วยจินตนาการอันเลิศหรูของตัวเอง
นี่คงเป็นความเก่งของพวกนักข่าวสินะ
เธอแค่บังเอิญเข้าร่วมงานเลี้ยง แต่ไม่คิดว่าเฉินถิงเซียวจะไปด้วย
จากนั้นยังถูกนับข่าวถ่ายรูปไว้อีก กลายเป็นว่าเธออยากขอคืนดีกับเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนเลื่อนลงไปดูด้านล่างอีก
“เป็นเรื่องปกติ ผู้ชายอย่างเฉินถิงเซียว มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่เสียดาย”
“แบบนี้หมายความว่า ทั้งสองคนหย่ากันแล้วจริงๆน่ะสิ?”
“รู้สึกว่าโอกาสฉันมาแล้วล่ะ”
“อดีตภรรยาคนนี้หน้าไม่อายจริงๆ หย่ากันแล้วยังจะมาวุ่นวายอีก”
ก็แค่คอมเมนต์ทั่วไปธรรมดา มู่น่อนน่อนเห็นจนชินแล้วล่ะ
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นจากเตียง เดินไปที่ห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน เพิ่งออกมาฉินสุ่ยซานก็โทรศัพท์เข้ามา
พอมู่น่อนน่อนรับสาย ฉินสุ่ยซานก็พูดหยอกล้อเธอขึ้นมาทันทีว่า: “เก่งจริงๆเลยนะ ขึ้นคำค้นหายอดฮิตเป็นว่าเล่นเชียว ละครของพวกเราอยากไม่ดังก็คงไม่ได้”
มู่น่อนน่อนหัวเราะ: “นักข่าวอยากเขียน ฉันจะห้ามได้ยังไงล่ะ?”
“เห้อ ฉันแค่แปลกใจว่า เธอกับเฉินถิงเซียวเลิกกันจริงหรือเปล่า?”
ฉินสุ่ยซานพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง มู่น่อนน่อนก็ถามกลับว่า: “เธอคิดว่าไงล่ะ?”
“ฉันว่ายัง” น้ำเสียงของฉินสุ่ยซานดูมั่นใจมาก
จากนั้น เธอก็พูดต่อว่า: “ถ้าพวกเธอเลิกกันจริง เฉินถิงเซียวจะยอมขึ้นคำค้นหายอดฮิตกับเธอได้ยังไง?”
ฉินสุ่ยซานไหวพริบเร็วจนมู่น่อนน่อนสงสัย ตอนนั้นผู้หญิงที่แอบเข้ามาคฤหาสน์ของเฉินถิงเซียวพร้อมคนรับใช้เป็นเธอหรือเปล่า
มู่น่อนน่อนพูดตอบ: “เขาแค่ไม่สนใจเรื่องเล็กเท่านั้นเอง”
“งั้นเหรอ?” ฉินสุ่ยซานเห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ
ตอนนี้เอง ก็มีสายหนึ่งโทรเข้ามา
มู่น่อนน่อนมองดูหน้าจอโทรศัพท์ ก็เห็นเฉินถิงเซียวโทรเข้ามา
“ขอโทษด้วยนะ ฉันมีสายที่ต้องรับน่ะ วางสายก่อนนะ”
มู่น่อนน่อนวางสายของฉินสุ่ยซานแล้ว ก็รับสายเฉินถิงเซียวทันที
เฉินถิงเซียวก็ถามเธอทันทีว่า: “เห็นคำค้นหายอดฮิตหรือยัง?”
“เห็นแล้ว” มู่น่อนน่อนถอนหายใจ: “ไม่คิดว่างานเลี้ยงเมื่อกี้ จะมีนักข่าวแอบเข้ามาด้วย”
“ฉันตั้งใจให้คนปล่อยเข้ามาน่ะ” เฉินถิงเซียวเงียบสักพักก็พูดว่า: “ดันละครเรื่องใหม่เธอได้พอดี เดี๋ยวฉันให้คนเอาออกนะ”
มู่น่อนน่อนหัวเราะ: “นายไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ ก็แค่ละครในเว็บเอง ถึงเวลาทางฝ่ายโฆษณาจะวางแผนและกิจกรรมเอง”
เธอเพิ่งพูดจบ ก็ได้ยินเสียงสือเย่ดังขึ้นจากทางโทรศัพท์
“คุณชายครับ……”
“นายทำงานก่อนแล้วกัน” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็วางสายทันที
……
《เมืองพัง》ช่วงนี้ถ่ายทำในโรงถ่ายละครเสียมากกว่า
มู่น่อนน่อนขับรถไป ตอนที่ไปถึงก็กำลังถ่ายฉากต่อสู้พอดี
ฉินสุ่ยซานก็ไม่อยู่
เมื่อก่อนมู่น่อนน่อนไม่ค่อยได้มาโรงถ่ายละคร มองดูอยู่ข้างถนนห่างๆ ก็คิดว่าจะไปเดินเล่นเสียหน่อย
เดินได้ไปได้ไม่ไกล เธอก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น
“น่อนน่อน? เป็นเธอใช่ไหม?”
มู่น่อนน่อนหยุดเดิน คนที่อยู่ด้านหลังเธอก็รีบเดินมาตรงหน้าเธอทันที
เซียวชู่เหอจ้องมองเธอด้วยสีหน้าที่แปลกใจ: “เมื่อกี้ฉันเห็นด้านหลังเหมือนเธอมาก ไม่คิดว่าจะเป็นเธอจริงๆ”
มู่น่อนน่อนมองเธอด้วยแววตาที่เย็นชา และไม่ได้พูดอะไรตอบ
“ช่วงครึ่งปีมานี้ยังสบายดีไหม?” เซียวชู่เหอเห็นมู่น่อนน่อนไม่พูดสักที สีหน้าก็เริ่มมีอาการอึดอัด
“ยังดี” มู่น่อนน่อนมองดูเซียวชู่เหอ เห็นว่าเธอไม่แตกต่างอะไรจากเมื่อก่อนมาก แถมยังเหมือนหญิงผู้ดีที่ได้รับการดูแลอย่างดี
ตอนนั้นข่าวทุกสำนักบอกว่าเธอตายแล้ว ดูแล้วเรื่องนี้คงไม่กระทบเซียวชู่เหอเลยสินะ
เซียวชู่เหอยังคงเป็นคุณนายมู่ที่สวยสดงดงามเสมอ
มู่น่อนน่อนก้มหน้าลงดูนาฬิกาบนข้อมือ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญว่า: “คุณนายมู่ยังมีธุระอะไรไหม?”
เซียวชู่หานได้ยินมู่น่อนน่อนเรียกตัวเองแบบนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย: “น่อนน่อน เธอ……”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วล่ะก็ ฉันขอตัวก่อน” มู่น่อนน่อนไม่ให้โอกาสเธอได้พูด กลับหลังหันเดินออกไปทันที
“น่อนน่อน รอเดี๋ยวสิ” เซียวชู่หานรีบยื่นมือไปอยากจะดึงเธอไว้: “สถานการณ์ตอนนั้นน่ะ เธอน่าจะเข้าใจพวกเรานะ พวกเราก็แค่……”
“ฉันเข้าใจดีเลยล่ะ” กลัวว่าจะถูกเธอทำให้ซวยไปด้วย ดังนั้นเลยออกข่าวตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกับเธอ ตัดสินใจทำได้อย่างเด็ดขาด และชาญฉลาดมาก
เซียวชู่เหอได้ยินแล้ว เหมือนเข้าใจที่เธอพูด เลยโล่งอก: “วันนี้ฉันมาดูหวั่นขีน่ะ หล่อนมาถ่ายละครที่นี่ เธอจะไปดูด้วยกันไหม? พอเธอกลับมาแล้ว ก็ไม่เคยเจอหน้าหวั่นขีเลยนี่?”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย: “มู่หวั่นขีถ่ายละครอยู่ที่นี่เหรอ?”
ตอนนั้นมู่หวั่นขีเข้าวงการบันเทิง มู่น่อนน่อนรู้เรื่องนี้
แต่ไม่คิดว่า ตอนนี้มู่หวั่นขีจะถ่ายละครอยู่ที่นี่ด้วย
“ใช่ ครั้งนี้รับละครใหญ่มาน่ะ น่าจะดังด้วยเรื่องนี้แน่” เซียวชู่เหอพูดถึงเรื่องละครของมู่หวั่นขี ก็ดูจะตื่นเต้นมาก ดูท่าคงจะดีใจแทนมู่หวั่นขีสินะ
มู่น่อนน่อนยิ้มแห้งแล้วพูดว่า: “งั้นเหรอ? งั้นฉันก็ยินดีกับพวกเธอล่วงหน้าด้วยนะ”
ตอนนี้เอง โทรศัพท์เธอก็ดังขึ้นกะทันหัน
เป็นสายจากฉินสุ่ยซาน
เธอมองเซียวชู่เหอ จากนั้นก็รับสาย: “ฮัลโหล? ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เธอวางสายไปแล้ว ก็มองเซียวชู่เหออีกครั้ง: “คุณนายมู่ ฉันมีธุระ ต้องขอตัวก่อน”
“นี่ น่อนน่อน……”
มู่น่อนน่อนแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินที่เซียวชู่เหอเรียก แล้วก็รีบเดินหนีไปทันที
พอมาถึงกองถ่าย《เมืองพัง》 มู่น่อนน่อนก็มาหาฉินสุ่ยซานถามเรื่องมู่หวั่นขี
“คนที่เธอพูดคือพี่สาวเธอมู่หวั่นขีคนนั้นเหรอ?” ฉินสุ่ยซานหัวเราะออกมา: “ขึ้นคำค้นหายอดฮิตเหมือนกับเธอเลย แต่หล่อนซื้อเองทั้งหมด ตามซื้อหัวข้อข่าวเด็ดตลอด แล้วก็เคยถ่ายละครไม่กี่เรื่อง แต่ผลตอบรับไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
ช่วงเวลาที่มู่น่อนน่อนออกจากเมืองหู้หยาง นอกจากตรวจเรื่องเฉินถิงเซียวถึงจะเข้าเว็บไซต์ในประเทศ ปกติเธอไม่ค่อยเข้าไปดูเท่าไหร่ ดังนั้นเลยไม่ค่อยรู้สถานการณ์ของมู่หวั่นขี
ตอนนั้นแค่รู้ว่ามู่หวั่นขีเข้าวงการบันเทิง แต่ไม่คิดว่ามู่หวั่นขีจะจริงจังกับเรื่องนี้
“ลืมบอกเธอเลย ตอนนั้นที่《เมืองพัง》 เปิดออดิชัน มู่หวั่นขีก็มาออดิชันด้วยนะ ผู้กำกับไม่ชอบเลยปัดผ่าน แล้วหล่อนยังหวังจะใช้อำนาจให้ตัวเองได้บทนี้ด้วยนะ…….”
มู่น่อนน่อน: “…….”
มู่น่อนน่อนกุมขมับอย่างหงุดหงิด: “นายตามฉันมาทำไม?”
เสิ่นชูหานไม่สนใจที่มู่น่อนน่อนรำคาญตัวเอง แต่กลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “หรือว่าเธอ ไม่อยากรู้ว่าฉันรู้ความลับอะไรเกี่ยวกับตระกูลเฉินเหรอ?”
“นายอยากบอกฉันแล้วเหรอ?” มู่น่อนน่อนไม่เชื่อหรอกนะว่าเสิ่นชูหานจะใจดีขนาดนั้น
เสิ่นชูหานมีสีหน้าเจ็บปวด: “ในใจเธอ ฉันมันเลวขนาดนั้นเลยเหรอ?”
คำถามนี้ สำหรับมู่น่อนน่อนแล้ว ไม่ต้องไปคิดเลยด้วยซ้ำ
แต่พอมู่น่อนน่อนนึกถึงเรื่องในอดีต
มู่น่อนน่อนก็ถามเขาอย่างสงสัย: “หลังจากคลิปของมู่หวั่นขีแพร่ออกมาแล้ว ทำไมนายถึงยังอยู่กับเธอ เธอจับจุดอ่อนอะไรของนายได้งั้นเหรอ?”
มู่น่อนน่อนไม่เชื่อหรอกนะว่า เสิ่นชูหานจะบอกความลับทั้งหมดที่เขารู้เกี่ยวกับตระกูลเฉินบอกเธอ
สู้ถามเรื่องที่เธอสงสัยมาตลอดยังจะดีกว่า แม้เสิ่นชูหานอาจจะไม่บอกก็ตาม
เสิ่นชูหานเงียบไปสักพัก: “เธอสงสัยเหรอ?”
“ใช่” มู่น่อนน่อนพูดไปด้วย แล้วเดินไปทางประตูลิฟต์ด้วย: “ถ้าไม่สงสัย ฉันจะมาถามนายทำไมกัน”
หลังจากที่มู่น่อนน่อนเดินไปถึงหน้าประตูลิฟต์แล้ว เธอก็ได้ยินเสิ่นชูหานพูดขึ้นจากด้านหลังว่า: “เธอเลี้ยงอาหารฉันมื้อหนึ่ง แล้วฉันจะบอกเธอ”
มู่น่อนน่อนหัวเราะ ไม่พูดอะไร
“เธอไม่เชื่อฉันเหรอ?” เสิ่นชูหานพูด
มู่น่อนน่อนเข้าไปในลิฟต์แล้วพูดว่า: “รู้แล้วยังจะถามอีก?”
มู่น่อนน่อนหันหน้าไป เห็นเสิ่นชูหานยังยืนอยู่ด้านนอกลิฟต์ไม่ขยับไปไหน เธอจึงเลิกคิ้วถามว่า: “นายไม่ไปเหรอ?”
เสิ่นชูหานกระตุกยิ้ม รอยยิ้มของเขาดูฝืนใจมาก: “เธอไปก่อนเถอะ”
มู่น่อนน่อนรู้ตัวว่าคำพูดเมื่อกี้ของตัวเองทำร้ายจิตใจของเขา
แต่สิ่งที่เธอพูดคือความจริงนี่
เธอไม่ได้ทำผิดต่อเสิ่นชูหานเลย และไม่จำเป็นต้องไปคล้อยตามเสิ่นชูหานด้วย
เสิ่นชูหานเอาแต่พูดว่าเธอกับเฉินถิงเซียวไม่เหมาะสมกันทั้งคืน เธอทนเขามามากแล้วล่ะ
ขนาดเสิ่นเหลียงยังไม่เคยพูดเรื่องของเธอกับเฉินถิงเซียวเลย เสิ่นชูหานมีสิทธิ์อะไรมาพูดกัน?
หรือว่าเป็นเพราะครั้งก่อนที่เขาช่วยเธอหนีรอดออกมาได้งั้นเหรอ?
แต่เรื่องแบบนี้ก็ไม่ควรคิดแบบนี้ไหม
……
มู่น่อนน่อนออกมาจากโรงแรม ในตอนที่กำลังโบกรถข้างถนนนั้น ก็นึกได้ว่ายังไม่ได้บอกกับเฉินถิงเซียว
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมโทรบอกเฉินถิงเซียว ทันใดนั้น ก็มีรถคันหนึ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ
ในตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมานั้น ประตูของรถคันนั้นก็เปิดออก มีมือหนึ่งดึงเธอเข้าไปในรถ
มู่น่อนน่อนชะงักนิ่ง กำลังจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือนั้น กลับได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยพูดขึ้นว่า: “ฉันเอง”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้ว ก็ตะโกนออกมาอย่างตกใจ: “เฉินถิงเซียว?”
“อืม” ผู้ชายที่กอดเธอไว้ตอบรับเสียงเบา
ในขณะที่มู่น่อนน่อนโล่งอกนั้น ก็รู้สึกโมโหขึ้นมา เธอทุบไปที่ตัวของเขาอย่างแรงสองที: “ต่อไปนายอย่าทำเรื่องแบบนี้อีกนะ มันตกใจนะ รู้ไหม?”
เฉินถิงเซียวตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่จริงใจ: “อืม”
ตอนที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นั้น รถก็เริ่มขับออกไปแล้ว
ในตอนที่รถขับไปถึงถนนที่มีคนน้อยๆก็หยุดลง จากนั้นสือเย่ก็ลงจากรถ
ภายในรถเหลือเพียงมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวสองคน มือเฉินถิงเซียวเริ่มอยู่ไม่นิ่งขึ้นมา
ภายในรถยังเปิดแอร์ไว้ แต่มู่น่อนน่อนกลับรู้สึกร้อนมาก
“เฉินถิงเซียว” มู่น่อนน่อนเรียกเขาเสียงเบา ออกเสียงหยุดเขาไว้
เฉินถิงเซียวทำเหมือนไม่ได้ยิน มืออีกข้างก็เลื้อยไปถึงแผ่นหลังเธอ อยากจะปลดกระโปรงเธอออก
มู่น่อนน่อนทั้งอายทั้งโกรธ เธอจับมือที่ไม่อยู่นิ่งของเขาเอาไว้: “หยุดเลยนะ…….”
เฉินถิงเซียวกลับจับมือมู่น่อนน่อนไว้แทน แล้วประสานสิบนิ้วของเธอไว้ จากนั้นก็กระซิบเสียงเบาว่า: “ไม่มีใครเห็นหรอก”
“สือเย่……”
เฉินถิงเซียวหายใจอ่อนๆ แต่เสียงกลับชัดเจนมาก: “สือเย่ไปแล้ว”
“ยังไงก็ไม่ได้” เพราะยังไงที่นี่ก็คือรถ……
มู่น่อนน่อนไม่ยอม เฉินถิงเซียวก็ไม่บังคับ แต่แค่กอดเธอไว้แล้วหอมแก้มเธอไปแรงๆหนึ่งฟอดใหญ่ ถึงสวมเสื้อผ้ากลับให้เธอเหมือนเดิม จากนั้นก็กอดเธอเอาไว้เงียบๆ
มู่น่อนน่อนถามเขา: “นายออกจากงานตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
เธอจำได้ว่าตอนที่ตัวเองออกมา เฉินถิงเซียวยังพูดคุยกับคนอื่นอยู่เลย
สุดท้ายตอนที่เธออยู่ริมถนน เฉินถิงเซียวกับสือเย่ก็ลงมากันแล้ว
“ฉันเห็นเธอออกมา ก็เลยตามออกมาด้วยน่ะ”
ความอบอุ่นเมื่อกี้ทำให้น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวอ่อนโยนไปด้วย น้ำเสียงนั้นโอบกอดมู่น่อนน่อนเอาไว้แน่น
มู่น่อนน่อนยิ้มกว้าง ไม่ได้พูดอะไร
ทันใดนั้น เฉินถิงเซียวก็ถามเธอว่า: “อยากรู้ความลับของเสิ่นชูหานไหม?”
“อะไรเหรอ?” มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงพูดเรื่องเสิ่นชูหานขึ้นมากะทันหัน
“เสิ่นชูหานไม่ใช่ลูกแท้ๆของตระกูลเสิ่น พ่อเขาร่างกายไม่ดี แต่เพื่อสืบทอดสกุลและรักษาหน้าตาไว้ ก็เลยให้แม่เขาไปหาคนอื่นด้านนอกแล้วคลอดเสิ่นชูหานออกมา”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวทุ้มต่ำอยู่แล้ว ตอนนี้กลับต่ำลงไปอีก แล้วขยับเข้ามาใกล้หูเธอพอดี เธอที่ได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ขนลุกซู่
มู่น่อนน่อนอึ้งอยู่นานมากกว่าจะรู้สึกตัว: “ที่แท้เป็นแบบนี้เนี่ย……”
“ตอนนั้นเพราะมู่หวั่นขีรู้เรื่องนี้เข้า ดังนั้นถึงได้เอาเรื่องนี้ขู่เสิ่นชูหาน……” มู่น่อนน่อนหยุดสักพักแล้วพูดว่า: “เสิ่นชูหานเอง ก็คงรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว? งั้นเมื่อก่อนเขา……”
เฉินถิงเซียวหัวเราะเสียงเบา: “ไม่ใช่ลูกแท้ๆในตระกูลนั้น พ่อเขาก็ต้องระแวงเขาเป็นธรรมดา เสิ่นชูหานรู้เรื่องนี้ดี แต่เพื่อมีชีวิตที่สงบสุขในตระกูลเสิ่น เขาเลยต้องแกล้งโง่ต่อไป”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า ต่อมาก็เหมือนรู้สึกอะไรได้: “นายแอบฟังฉันกับเสิ่นชูหานพูดกันเหรอ!”
“เหอะ” เฉินถิงเซียวหัวเราะเสียงเบา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า: “มีแรงขนาดนี้ พวกเรามาทำเรื่องอื่นกันไม่ดีกว่าเหรอ!”
มู่น่อนน่อน: “……”
……
ทั้งสองอยู่ในรถสักพัก เฉินถิงเซียวก็ขับรถไปส่งมู่น่อนน่อน
แต่ว่า เฉินถิงเซียวขับรถไป ก็ไม่ได้ขับออกไปอีกเลย
“ซื้อให้เธอน่ะ” เฉินถิงเซียวเอากุญแจรถยัดไปที่มือมู่น่อนน่อน
ตอนนี้เขาจะมารับไปส่งมู่น่อนน่อนเหมือนปกติไม่ได้แล้ว ก็เลยซื้อรถให้เธอหนึ่งคัน
มู่น่อนน่อนถึงสังเกตเห็นว่า รถที่เฉินถิงเซียวขับมาส่งเธอนั้น เป็นสีขาว
รูปลักษณ์ภายนอกของรถสวยมาก แล้วก็ไม่แพงมากด้วย ประมาณสองสามแสน เป็นรถที่มู่น่อนน่อนซื้อเองได้พอดี
เฉินถิงเซียวกำชับเธอว่า: “เอกสารจัดการเสร็จหมดแล้วล่ะ ขับรถระวังหน่อยนะ”
มู่น่อนน่อนเดินไปด้านหนึ่งหนึ่งก้าว กุมใบหน้าของเขาเอาไว้ แล้วจุ๊บไปที่ริมฝีปากนุ่มของเขาหนึ่งที จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า: “ขอบใจนะ”
ภายใต้แสงไฟสลัว ดวงตาของเฉินถิงเซียวลุ่มลึก: “งั้นจะให้ฉันนอนด้วยคืนหนึ่งไหม?”
บทสนทนาของผู้หญิงสองคนนี้ ก็ต้องถึงหูของสือเย่อยู่แล้ว
“คอกแคก…….” สือเย่แกล้งไปทีหนึ่ง ตัดจบบทสนทนาของผู้หญิงคนนั้น
หญิงสาวคนนั้นพอนึกได้ว่าสือเย่เป็นลูกน้องของเฉินถิงเซียว ก็รู้ทันทีว่าคำพูดเมื่อกี้ของตัวเองไม่เหมาะสมมากแค่ไหน
เธอยังอยากให้สือเย่ช่วยพูดเรื่องดีๆของตัวเองกับเฉินถิงเซียวนะ
คิดได้แบบนี้แล้ว เธอกำลังจะพูดอะไรกับสือเย่ ก็ได้ยินสือเย่พูดอย่างมีมารยาทว่า: “ต้องขออภัยด้วยนะครับ รบกวนหลีกทางหน่อยครับ”
หญิงสาวจึงจำใจต้องหลบไปข้างๆ
สือเย่เดินตรงไปตรงหน้าของมู่น่อนน่อน: “……คุณมู่ครับ”
เรียก “คุณหญิงน้อย” จนเคยชินไปแล้ว เมื่อกี้เขาเกือบพูดมันออกไปเลย
มู่น่อนน่อนแปลกใจสักพัก จากนั้นก็พูดตอบอย่างเป็นธรรมชาติว่า: “ผู้ช่วยพิเศษสือ”
สือเย่กวาดตามองรอบๆโดยไม่แสดงออกมา ใช้โอกาสตอนที่ทุกคนไม่สังเกต ก็ถามมู่น่อนน่อนเสียงเบาว่า: “คุณหญิงน้อยเจอคุณชายหรือยังครับ?”
“อืม” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็เห็นเฉินถิงเซียวเดินเข้ามาจากด้านหลัง เธอก็ชี้ไปที่ด้านหลังของสือเย่: “มาแล้วนี่ไง”
พอสือเย่เห็นเฉินถิงเซียวแล้ว ก็ทำสีหน้าโล่งอกทันที
เฉินถิงเซียวมาถึงก็ไปห้องน้ำทันที เขาถูกผู้หญิงพวกนั้นรุมถามจนรำคาญไปหมดแล้ว
สือเย่รีบเดินเข้าไปหาเฉินถิงเซียว: “คุณชาย”
“อืม” เฉินถิงเซียวตอบรับ แล้วแกล้งทำเป็นมองไปทางมู่น่อนน่อนโดยไม่ตั้งใจ
มู่น่อนน่อนเบือนหน้าแล้วเดินหนีไปทางอื่น
ในงานเลี้ยงนอกจากเฉินถิงเซียว สือเย่กับเสิ่นชูหานแล้ว มู่น่อนน่อนก็ไม่รู้จักใครอีกเลย
ก็เลยไม่มีใครมาคุยกับมู่น่อนน่อนก่อนสักคน เธอจึงเดินไปนั่งตรงมุมห้องที่ไม่ค่อยสะดุดตาเท่าไหร่
เธอเลือกที่นั่งได้ดีมาก นั่งอยู่บนเก้าอี้สูง แทบจะเห็นผู้คนทั่วทั้งงานเลย
เฉินถิงเซียวตัวสูงโด่ง ท่าทีเย็นชา เดินอยู่ท่ามกลางผู้คนก็โดดเด่นมากเป็นพิเศษ
มู่น่อนน่อนนั่งไม่กี่นาที ก็มีผู้หญิงมากมายเข้าไปพูดคุยกับเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวก็เย็นชากลับไป แต่แม้จะเป็นแบบนี้ ก็ยังมีคนมากมายถาโถมเข้าหาเขาอยู่ดี และพยายามดึงดูดความสนใจของเฉินถิงเซียว
เมื่อก่อนเฉินถิงเซียวไม่ออกงานเลี้ยงพวกนี้ ผู้หญิงพวกนี้แม้จะมีใจอยาก แต่ก็ไม่มีที่ใช้ ตอนนี้เฉินถิงเซียวออกงานบ่อยๆแล้ว แล้วยัง “โสด” อีกด้วย ผู้หญิงพวกนี้ไม่มีทางปล่อยโอกาสพวกนี้ไปหรอก
มู่น่อนน่อนรู้เหตุผลนี้ดี
แต่เห็นแววตาที่ผู้หญิงพวกนั้นจ้องมองเฉินถิงเซียว เหมือนกับจะกลืนกินเขาไปเสียเดี๋ยวนี้เลย มู่น่อนน่อนก็อึดอัดมาก
“นี่แค่เริ่มต้นเอง เธอก็ทนไม่ได้แล้วเหรอ?”
ข้างๆมีเสียงของเสิ่นชูหานดังขึ้น
มู่น่อนน่อนหันหน้าไป ก็เห็นเสิ่นชูหานถือแก้วแชมเปญแล้วนั่งลงข้างๆตัวเอง และกำลังมองเธอด้วยใบหน้าเยาะเย้ย
มู่น่อนน่อนกระตุกมุมปาก แล้วพูดด้วยใบหน้าที่ไม่มีรอยยิ้มใดๆ: “นายยุ่งเยอะเกินไปแล้วล่ะ”
“น่อนน่อน ฉันหวังดีกับเธอนะ” แววตาของเสิ่นชูหานดูจริงจังมากขึ้น: “เฉินถิงเซียวเจ้าเล่ห์ดุร้าย น้ำของตระกูลเฉินก็ลึกจนมองไม่เห็นพื้น เธอไม่ใช่คู่ต่อสู้พวกนั้นหรอก”
“งั้นนายบอกมาสิ เรื่องของตระกูลเฉินซับซ้อนยังไง?” มู่น่อนน่อนเห็นได้ชัดว่ากำลังหลอกให้เสิ่นชูหานพูด
เสิ่นชูหานส่ายหน้า: “ฉันจริงจังนะ ถึงแม้เธอจะไม่ได้คบกับเฉินถิงเซียวแล้ว และอาจจะไม่คบกับฉัน ฉันแค่คิดว่า เธอสามารถเลือกคนที่เหมาะสมกับเธอกว่านี้ได้”
มู่น่อนน่อนแววตาเย็นชาลง: “เหมาะสมหรือไม่ ฉันรู้ดีแก่ใจ”
เสิ่นชูหานเงียบไปสักพัก แล้วก็พูดเสียงทุ้มต่ำว่า: “หรือเธอคิดว่าคนที่ปกป้องไม่ได้แม้กระทั่งเด็ก จะเหมาะสมกับเธอจริงเหรอ?”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้ว ก็บีบแก้วแชมเปญแน่นมากขึ้น
เรื่องของเด็ก นอกจากเธอกับเฉินถิงเซียวแล้ว รวมไปถึงคนรอบข้างที่เชื่อใจได้ น่าจะไม่มีคนอื่นรู้นะ
เธอวางแก้วแชมเปญลง มองเสิ่นชูหานด้วยสีหน้าเข้มงวด: “นายรู้ได้ยังไง?”
“ฉันพูดถูกแล้วสินะ” เสิ่นชูหานหัวเราะแล้วก็ถอนหายใจยาว
มู่น่อนน่อนไม่ได้พูดอะไร รอเขาพูดอีกครั้ง
เสิ่นชูหานมองไปทางเฉินถิงเซียว: “ฉันรู้จักเธอดี เด็กคลอดออกมาแล้วเธอจะต้องดูแลอยู่ข้างๆแน่นอน แต่ตอนนี้เธออยู่คนเดียว ข้างๆก็ไม่มีเด็กสักคน ถ้าเด็กอยู่กับเฉินถิงเซียว เพื่อลูกเธอก็ไม่มีทางแยกทางกับเขาแน่……”
พูดถึงตรงนี้ เสิ่นชูหานชะงักสักพัก จากนั้นก็สำรวจดูสีหน้าของมู่น่อนน่อน แล้วจึงพูดต่อไป: “เด็กไม่อยู่กับเธอ แล้วยังไม่อยู่กับเฉินถิงเซียวอีก แล้วมันจะหมายความว่าอะไรได้ล่ะ?”
มู่น่อนน่อนเงียบไปทันที เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย ลดอาการที่ปรากฏขึ้นทางสายตาลง: “ดังนั้น นายคิดว่าลูกของฉันกับเฉินถิงเซียวอยู่ไหนล่ะ?”
“ลูกของฉันกับเฉินถิงเซียว” ประโยคนี้กระตุ้นประสาทของเสิ่นชูหานอย่างแรง
เสิ่นชูหานทำหน้าบึ้งตึง: “เธอกับเฉินถิงเซียวอยู่ด้วยกันไม่มีทางมีความสุขหรอก เขาดูเหมือนโดดเด่น ก็แค่ได้รับอิทธิพลจากตระกูลเฉิน…….”
“พอแล้ว” มู่น่อนน่อนพูดแทรกเขา: “ฉันกับเฉินถิงเซียวจะเป็นยังไง นั่นมันก็เป็นเรื่องของฉัน”
เสิ่นชูหานก็ไม่ได้บังคับมู่น่อนน่อนอีก
ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกัน ไม่มีใครพูดอะไรอีก
“ก็ผู้หญิงที่ใส่ชุดราตรีสีดำนั่นไง…….”
“หล่อนเองหรอกเหรอ? ก็ไม่เท่าไหร่นี่……”
“นั่นสิ หล่อนแค่โชคดีเลยได้แต่งงานเข้าตระกูลเฉิน”
“ก็แค่ยัยบ้านนอก ไม่คู่ควรกับคุณชายเฉินหรอก ในที่สุดก็เลิกกันสักที”
“วันนี้หล่อนคงรู้ว่าคุณชายเฉินมาร่วมงานเลี้ยงด้วย เลยตั้งใจมาที่นี่สินะ?”
“แน่นอนสิ ผู้ชายอย่างเฉินถิงเซียว มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่ชอบ หล่อนคงอยากจะได้หัวใจของเฉินถิงเซียวกลับไปอีกครั้งล่ะสิ”
“ฝันไปเถอะนะ หล่อนไม่มีทางทำได้หรอก…….”
ข่าวซุบซิบของผู้หญิงไม่ควรประมาทเลย ก่อนหน้านี้หลังจากที่มีคนจำมู่น่อนน่อนได้ ข่าวที่ ‘อดีตภรรยาของคุณชายเฉินมาเข้าร่วมงานเลี้ยง’ ก็แพร่สะพัดไปทั่วงานเลี้ยง
มีผู้หญิงมากมายที่กำลังนินทามู่น่อนน่อนอยู่
คนที่ถ่อมตัวหน่อย ก็แอบมองอยู่ห่างๆ
ส่วนคนที่หน้าด้าน ก็เหมือนกับผู้หญิงสองคนเมื่อกี้ ที่วิ่งมาว่าร้ายมู่น่อนน่อนตรงหน้า
ถ้าเป็นปกติ มู่น่อนน่อนก็คงไม่สนใจอะไร
แต่เมื่อกี้เธอเพิ่งฟังคำพูดของเสิ่นชูหานเมื่อกี้ ตอนนี้ก็กำลังอารมณ์เสียอยู่มากๆ
มู่น่อนน่อนลงมาจากเก้าอี้สูง เดินกอดอกไปหาผู้หญิงสองคนนั้น: “นั่นสิ ฉันยังฝันได้ แต่เป็นพวกเธอน่ะสิ ที่ไม่มีโอกาสนั้นเลย”
ผู้หญิงหนึ่งนั้นลุกขึ้นทะเลาะกับเธอ: “เธอว่ายังไงนะ!”
“ฟังไม่ออกหรือไง?” มู่น่อนน่อนแสยะยิ้มเย็นชา เธอเชิดคางขึ้นเล็กน้อยแล้วมองผู้หญิงตรงหน้า: “ฟังไม่ออกก็กลับไปค้นดิกชันนารีนะ”
“เธอ……” ผู้หญิงคนนั้นชี้หน้าต่อว่ามู่น่อนน่อน: “เธอคิดว่าตัวเองยังเป็นคุณหญิงน้อยของตระกูลเฉินอีกเหรอ? มาทำตัวกร่างตรงนี้ให้ใครดูกัน”
“ก็ไม่นี่ ตอนนี้ฉันไม่ใช่คุณหญิงน้อยของตระกูลเฉินแล้ว แต่เมื่อก่อนฉันเคยเป็น” มู่น่อนน่อนมองดูท่าทางของผู้หญิงคนนั้นที่โกรธจนพูดไม่ออก ก็รู้สึกเบื่อขึ้นมา
แล้วเธอมาทะเลาะกับยัยโง่สองคนนี้ทำไมกันนะ
เธอรู้สึกน่าเบื่อ เลยกลับหลังหันหยิบกระเป๋าอยากจะออกจากงาน
เธอเดินได้ไม่กี่ก้าว ก็รู้สึกว่าด้านหลังมีคนตามตัวเองอยู่
หันกลับไปดูก็เห็นว่าเสิ่นชูหานกำลังตามตัวเองอยู่
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่บนโถส้วมในห้องน้ำ ได้ยินเสียงคนเคาะประตูทีละห้องจากด้านนอก ในใจก็เริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดี
คงไม่ใช่เสิ่นชูหานหรอกนะ?
แต่เธอเดาจากนิสัยของเสิ่นชูหานแล้ว ก็รู้สึกว่าคงไม่ใช่เขาหรอก
เสิ่นชูหานแม้จะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แต่เรื่องกลัวเสียหน้านั้น ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
ดังนั้น ไม่มีทางเป็นเสิ่นชูหานแน่
งั้นใครล่ะ?
ตอนนี้เอง คนที่เคาะประตูก็เดินมาถึงหน้าห้องที่เธออยู่แล้ว
ก๊อกๆๆ!
เคาะติดต่อกันไปสามที ดูมีจังหวะและมีความมั่นคงมาก
มู่น่อนน่อนใจเต้นตึกตัก
เธอรู้สึกว่าคนด้านนอกอาจจะเป็นเฉินถิงเซียว……
สัมผัสที่หกของคนเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุด
ทั้งที่ยังมีประตูกั้นเอาไว้ ทั้งสองไม่ได้พูดและไม่เห็นหน้ากัน มู่น่อนน่อนก็แน่ใจได้ว่า คนด้านนอกต้องเป็นเฉินถิงเซียวแน่
มู่น่อนน่อนบีบจมูกไว้ กดเสียงตัวเองลง: “ใครคะ? ฉันยังไม่เสร็จธุระค่ะ”
ต่อมา ด้านนอกก็มีเสียงทุ้มต่ำของเฉินถิงเซียวดังขึ้น: “จะให้ฉันช่วยไหม?”
เฉินถิงเซียวจริงด้วย!
มู่น่อนน่อนตบหน้าผากตัวเองเบาๆหลายครั้ง
เฉินถิงเซียวมาที่นี่ได้ยังไง?
เขาแอบใส่ระบบจีพีเอสที่ตัวเธอหรือเปล่าเนี้ย
มู่น่อนน่อนตัดสินใจดิ้นรนอีกครั้ง: “นี่คือห้องน้ำหญิง นายเป็นผู้ชายเข้ามาทำอะไรในนี้น่ะ ถ้ายังไม่ออกไป ฉันจะแจ้งตำรวจแล้วนะ ฉัน……”
เฉินถิงเซียวพูดแทรกเธอ: “จะออกมาเอง หรือให้ฉันพังประตูเข้าไป เลือกมาหนึ่งอย่าง”
น้ำเสียงเขาเย็นชามาก มู่น่อนน่อนที่ได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ใจสั่นเทา
เธอไม่เลือกทั้งสองอย่างได้ไหม?
แต่ว่า ร่างกายเธอตัดสินใจเร็วกว่าสมองไปแล้ว
“แกร๊ก” เสียงประตูห้องน้ำเปิดออก
ใบหน้าเย็นชาของเฉินถิงเซียว ปรากฏขึ้นตรงหน้าของมู่น่อนน่อน
เขามองมู่น่อนน่อนนิ่ง เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วจ้องมองเธออยู่อย่างนั้น
มู่น่อนน่อนกลืนน้ำลาย พยายามทำน้ำเสียงของตัวเองให้เป็นปกติมากที่สุด: “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน……บังเอิญจังเลยนะ……”
“มู่น่อนน่อน” เฉินถิงเซียวเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่พยายามข่มอารมณ์ให้ได้มากที่สุด
มู่น่อนน่อนชะงัก รีบนั่งตัวตรงในทันที ทำท่าเหมือนเตรียมพร้อมกับสิ่งที่ต้องเจอต่อหน้า
เฉินถิงเซียวโมโหจนต้องหัวเราะออกมา: “ตอนนี้รู้สึกผิดแล้วหรือไง?”
มู่น่อนน่อนก้มหน้าลง พูดเสียงเบาว่า: “รู้สึกผิดมาตลอดเลย”
“งั้นเธอยังมางานเลี้ยงกับผู้ชายคนนั้นอีก?” ตอนนี้เฉินถิงเซียวไม่อยากเอ่ยถึงชื่อของเสิ่นชูหานเลยด้วยซ้ำ และไม่อยากพูดถึงชื่อมันต่อหน้ามู่น่อนน่อนด้วย
มู่น่อนน่อนไม่เคยมางานเลี้ยงกับเขาเลย เสิ่นชูหานกลับตัดหน้าเขาไปเสียก่อน
ฝันไปเถอะ!
“ฉันมีเหตุผลน่ะ” มู่น่อนน่อนพยายามอธิบาย
“เหตุผล? เธออยากขอบคุณที่เขาช่วยเธอหนีออกมาจากต่างประเทศได้เหรอ?” เฉินถิงเซียวแสยะยิ้มเย็นชา: “ฉันไม่กำจัดบริษัทเสิ่นซื่อทั้งหมด ก็ใจกว้างมากพอแล้ว เขายังอยากให้เธอตอบแทนอีกเหรอ?”
มู่น่อนน่อนเม้มปากบาง: “นายอย่าเอะอะอะไรก็ไปจัดการบริษัทคนอื่นได้ไหม…….”
“เธอมาร่วมงานเลี้ยงกับผู้ชายคนอื่นได้ ทำไมฉันจะจัดการบริษัทเสิ่นซื่อไม่ได้?” เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วมองเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธมาก แถมยังหึงอีกด้วย
นานๆทีจะเห็นเฉินถิงเซียวหึง มู่น่อนน่อนรู้สึกแปลกใจ ก็เลยอดไม่ได้อยากจะหัวเราะ
เฉินถิงเซียวสังเกตเห็นสีหน้าของเธอ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปขยี้หัวเธอเบาๆ
“ทรงผมเสียหมดเลย” มู่น่อนน่อนปัดมือเขาออกอย่างไม่พอใจ
เมื่อกี้เฉินถิงเซียวมัวแต่โกรธ เลยไม่ทันได้สังเกตว่าวันนี้มู่น่อนน่อนตั้งใจทำทรงผมมา
มู่น่อนน่อนเห็นเฉินถิงเซียวหรี่ตาลง ก็รีบดึงเขาเดินออกไปด้านนอก: “พวกเราออกไปก่อนเถอะ อยู่ที่นี่แปลกๆยังไงก็ไม่รู้”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรมาก ปล่อยให้เธอดึงตัวเองออกไปด้านนอก
พอออกไปแล้ว มู่น่อนน่อนก็เห็นเสิ่นชูหานยังอยู่
เสิ่นชูหานเห็นเธอออกมาแล้ว ก็เรียกทันที: “น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนยิ้มแห้งๆ
เฉินถิงเซียวไม่สนใจการมีตัวตนอยู่ของเฉินถิงเซียว เขามองไปที่มู่น่อนน่อน: “ฉันให้คนส่งเธอกลับไปไหม”
มู่น่อนน่อนนึกถึงตอนที่ตัวเองเข้างานเลี้ยงเมื่อกี้ ได้ยินพวกผู้หญิงพูดคุยกัน ก็ไม่ได้ตอบเฉินถิงเซียวในทันที
เฉินถิงเซียวไม่ให้เธอมางานเลี้ยงของเสิ่นชูหาน แต่เขากลับมาโปรยเสน่ห์ที่นี่ แถมยังมีผู้หญิงชอบเขาเยอะอีกด้วย
อีกอย่าง ช่วงนี้เธอก็ไม่ได้เจอเฉินถิงเซียวเลย กว่าจะได้เจอกันแบบเปิดเผย จะเดินไปแบบนี้เลยได้ยังไงกัน?
เห็นมู่น่อนน่อนไม่ตอบสักที เฉินถิงเซียวก็รู้ว่าเธอยังไม่อยากกลับไป
เฉินถิงเซียวก้มหน้าลง ลูบใบหน้าเธอเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า: “กลับกันเถอะนะ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกหงุดหงิด: “ฉันมาก็มาถึงแล้ว จะกลับไปแบบนี้ก็เสียดายแย่เลยสิ ถือเสียว่ามาเพิ่มประสบการณ์แล้วกัน”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วไม่พูดอะไร
มู่น่อนน่อนมองเขาแล้วเบี่ยงตัวเดินผ่านเขาไป แล้วก้าวเดินไปทางงานเลี้ยงทันที
การพูดคุยของเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนเมื่อกี้ เสิ่นชูหานเห็นมันทั้งหมด ตอนนี้กำลังมองดูเฉินถิงเซียวด้วยแววตาที่สงสัย
ก่อนหน้านี้มีข่าวประกาศออกมาว่า เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนหย่ากันแล้ว
เขาเคยเห็นท่าทางที่โกรธจัดของเฉินถิงเซียว หลังจากที่มู่น่อนน่อนหนีออกไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อว่าทั้งสองหย่ากันแล้วจริงๆ
ตอนนี้ดูแล้ว สิ่งที่เขาคาดเดาไว้ไม่ผิดสินะ
ตอนที่เสิ่นชูหานมองดูเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวก็หันหน้าควับมามองเขา
เฉินถิงเซียวจ้องมองเขาอยู่หลายวินาที ถึงจะพูดออกมาว่า: “ฉันคิดว่านายเป็นคนฉลาดนะ”
เสิ่นชูหานแววตากะพริบเล็กน้อย: “ไม่กล้ารับหรอกครับ”
“อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด อะไรควรแตะ อะไรไม่ควรแตะ คุณเสิ่นน่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจนะครับ”
ตอนที่เฉินถิงเซียวพูดนั้น สายตากลับไม่ได้ละออกจากตัวเสิ่นชูหานเลย ดังนั้นก็เลยเห็นสีหน้าของเสิ่นชูหานที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาแสยะยิ้มอย่างดูถูก จากนั้นก็กลับหลังหันเดินจากไป
แค่เสิ่นชูหาน ก็กล้าแย่งผู้หญิงของเขาด้วยงั้นเหรอ?
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนกลับมาในงานเลี้ยง ก็เห็นสือเย่พอดี
สือเย่มาพร้อมกับเฉินถิงเซียว แต่เฉินถิงเซียวไม่อยู่ ก็ต้องมีคนไม่น้อยที่ไปประจบสือเย่อยู่แล้ว
สือเย่เป็นมือขวาของเฉินถิงเซียวเชียวนะ
มีผู้หญิงคนหนึ่งถามสือเย่พอดี: “ช่วงนี้คุณชายเฉินมีแฟนใหม่หรือยังคะ?”
ผู้หญิงคนนี้ถามตรงมาก คำถามนี้คนอื่นๆก็อยากรู้เหมือนกัน
สือเย่ไม่ใช่ลูกน้องธรรมดา แต่เป็นคนที่มีทั้งความสามารถและประสบการณ์อันโชกโชน แล้วยังทำงานกับเฉินถิงเซียวมานานอีกด้วย: “นี่คือเรื่องส่วนตัวของคุณชาย ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้หรอกครับ”
สือเย่พูดจบ ก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ แล้วเห็นมู่น่อนน่อนเข้าพอดี
มู่น่อนน่อนเพิ่งหยิบแชมเปญหนึ่งแก้วจากบริกร ก็เห็นสือเย่ที่มองตัวเองอยู่ เธอจึงพยักหน้าให้เขาหนึ่งที
สือเย่อึ้งไปสักพัก ไม่คิดว่าจะเจอมู่น่อนน่อนที่นี่
หรือว่าที่คุณชายไปห้องน้ำนานขนาดนี้ เป็นเพราะคุณหญิงน้อยก็อยู่ที่นั่นด้วย
มีผู้หญิงคนหนึ่งสังเกตเห็นสายตาของสือเย่ ก็ต้องเห็นมู่น่อนน่อนด้วยเป็นธรรมดา
ผู้หญิงถามคนข้างๆ: “ผู้หญิงคนนั้นคือใคร?”
เธอรู้สึกคุ้นหน้ามู่น่อนน่อนมาก แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน
“อดีตภรรยาของคุณชายเฉิน มู่น่อนน่อน” คนข้างๆพูดว่า: “แต่ได้ยินว่าเมื่อก่อนขี้เหร่มาก ฉันเดานะว่าหล่อนต้องไปทำศัลยกรรมมาแน่นอน”
มู่น่อนน่อนใช้เวลาหลายวินาที ถึงจะเข้าใจคำพูดของเสิ่นชูหาน
“ทำไมนายไม่บอกฉันก่อน?” เธอหันหน้าไปมองเสิ่นชูหานด้วยแววตาที่เย็นชา
เสิ่นชูหานหัวเราะ ทำท่าเหมือนไม่สนใจใดๆ: “ฉันก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เอง”
มู่น่อนน่อนหัวเราะ เธอคงจะเชื่อคำพูดของตาหมอนี่หรอก
เธอหันหน้าไปมองประตูห้องโถงที่กำลังจัดงานเลี้ยงอยู่ ที่นั่นไม่มีเฉินถิงเซียวอยู่
หลังจากที่เฉินถิงเซียวรับช่วงต่อบริษัทเฉินซื่อแล้ว เขาก็จะต้องไปงานเลี้ยงหรือกิจกรรมมากมาย
แต่เพราะงานเลี้ยงที่เขาไปนั้นเป็นระดับไฮโซ ดังนั้นมู่น่อนน่อนเลยไม่คิดว่า งานเลี้ยงที่เสิ่นชูหานเข้าร่วม เฉินถิงเซียวก็จะมาด้วย
อีกด้านคือ ตระกูลเสิ่นกับตระกูลเฉินไม่มีสัมพันธ์ทางด้านธุรกิจ และน้อยครั้งที่จะพบปะกัน
ดังนั้น เธอจึงไม่ทันได้คิดว่าเฉินถิงเซียวจะมาร่วมงานเลี้ยงนี้ได้
ตอนนี้เธอรู้สึกว่าเสิ่นชูหานต้องตั้งใจทำแบบนี้แน่ๆ
“ตอนนี้เธอเป็นคู่ของฉัน ภารกิจคืนนี้ของเธอก็คืออยู่กับฉัน” เสิ่นชูหานแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วก็ลดมือตัวเองลง เป็นสัญญาณให้มู่น่อนน่อนตามเขามา
มู่น่อนน่อนรู้สึกสับสนไปหมด
ถ้าเฉินถิงเซียวมาแล้ว เห็นว่าเธอมางานเลี้ยงกับเสิ่นชูหาน ไม่รู้ว่าเขาจะโกรธแค่ไหน
มู่น่อนน่อนคิดไปคิดมาแล้ว “สารภาพผิด” ก่อนยังจะดีกว่าอีก
เธอเดินไปข้างหน้าสองก้าว แล้วกุมท้องตัวเองไว้แน่น: “ฉันปวดท้องน่ะ ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
เสิ่นชูหานหยุดเดิน แล้วมองเธอด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็รู้สึกคำพูดนี้ดูคุ้นหูมาก
ตอนต้นปี ตอนที่เธอทิ้งเสิ่นชูหานแล้วออกประเทศไปคนเดียว ก็ใช้วิธีนี้เหมือนกัน
มู่น่อนน่อนรู้สึกเขินอาย แล้วก็อธิบายกับเขาอย่างจริงใจว่า: “ครั้งนี้ฉันปวดท้องจริงๆนะ……”
เธอคิดไปมาแล้ว ก็บอกข้ออ้างไปว่า: “ฉันท้องไส้ไม่ค่อยดีน่ะ ช่วงสองวันนี้กินหลายอย่างรวมกัน ก็เลยท้องเสียน่ะ……”
เสิ่นชูหานพยักหน้า พูดว่า: “ฉันไปกับเธอแล้วกัน”
ตามหมอนี่ จริงๆเล้ย……
มู่น่อนน่อนพ่นลมหายใจยาว ต้องจำใจยอมให้เสิ่นชูหานไปห้องน้ำกับเธอ
หลังจากที่มู่น่อนน่อนเข้าห้องน้ำหญิงไปแล้ว ก็หลบอยู่ในห้องน้ำแล้วโทรศัพท์หาเฉินถิงเซียว
โทรศัพท์ดังแค่สองครั้งก็มีคนรับแล้ว
“มู่น่อนน่อน”
เสียงของเฉินถิงเซียวดูทุ้มต่ำ ตอนที่เรียกชื่อเธอก็ยังเรียกเต็มอีก พอเวลานานเข้า มู่น่อนน่อนกลับรู้สึกว่าน้ำเสียงที่เขาเรียกชื่อตัวเองนั้นดูสนิทกันมาก
มู่น่อนน่อนรอบรวมคำพูด แล้วถามไปว่า: “คืนนี้นายก็มาร่วมงานเลี้ยงเหมือนกันเหรอ?”
“ทำไม? จะตรวจสอบเหรอ?” เสียงของเฉินถิงเซียวมีความหยอกล้อเล็กน้อย: “วางใจเถอะ ฉันไม่ได้พอคู่มาด้วย ฉันพาสือเย่มาน่ะ”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้วก็แอบวิตกภายในใจ
คำพูดด้านหลัง เธอก็ไม่รู้แล้วว่าควรจะพูดยังไงต่อ
เห็นมู่น่อนน่อนไม่พูดสักที เฉินถิงเซียวก็เลยถามไปว่า: “ทำไมเหรอ?”
“คือ……ฉัน” มู่น่อนน่อนพูดไม่ออกจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่กล้าพูดว่าเธอมาร่วมงานเลี้ยงนี้กับเสิ่นชูหาน
อีกด้าน เฉินถิงเซียวก็รอเธอตอบอย่างอดทน
มู่น่อนน่อนลังเลสักพัก ก็ถึงพูดว่า: “ไม่พาคู่มาก็ดีแล้วล่ะ”
เฉินถิงเซียวพูดด้วยน้ำเสียงที่หยอกล้ออย่างเห็นได้ชัด: “ตอนนี้ฉันจะไปงานเลี้ยงแล้ว เดี๋ยวดึกๆค่อยโทรหาเธอนะ”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้วก็ตอบไปว่า: “ได้สิ”
หลังจากที่วางสายไปแล้ว มู่น่อนน่อนก็หมุนอยู่กับที่ในห้องน้ำ
เฉินถิงเซียวจะมาร่วมงานเลี้ยงนี้จริงด้วย ถ้าเกิดว่าเธอออกไปตอนนี้ จะต้องเจอเฉินถิงเซียวแน่เลย
พอครุ่นคิดสักพักแล้ว มู่น่อนน่อนก็กัดฟัน นั่งลงไปบนโถส้วม
เธอตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ออกไป เธอจะนั่งอยู่ที่นี่จนกว่างานเลี้ยงจะจบ!
เธอไม่เชื่อหรอกนะว่าเสิ่นชูหานจะเข้ามาตามเธอออกไปจากห้องน้ำหญิงได้!
……
เสิ่นชูหานยืนอยู่มู่น่อนน่อนอยู่ด้านนอก รออยู่นานสองนานก็ไม่เห็นเธอออกมาสักที
ดังนั้น เขาจึงโทรศัพท์หามู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนไม่ยอมรับสายโทรศัพท์ เขาก็คิดว่าเธอเกิดเรื่องอะไรขึ้น
จนกระทั่งตอนที่สายเกือบจะถูกตัดไป มู่น่อนน่อนถึงรับสาย: “ฮัลโหล”
เสิ่นชูหานโล่งอก แล้วถามเธอว่า: “ทำไมยังไม่ออกมาสักทีล่ะ?”
ทางปลายสายเงียบไปสักพัก จากนั้นก็ถึงมีเสียงอ่อนเพลียของมู่น่อนน่อนดังขึ้น: “ฉันท้องเสียน่ะ นายไปก่อนเลยนะ ให้ฉันนั่งตรงนี้สักพัก”
เสิ่นชูหาน: “……”
เขารู้ว่ามู่น่อนน่อนไม่อยากเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้กับเขา แต่ไม่คิดว่าเธอจะคิดหาข้าอ้างที่ไร้สาระแบบนี้ได้
เสิ่นชูหานเท้าเอว พูดด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยใจ: “น่อนน่อน เธอลืมไปแล้วเหรอว่าก่อนหน้านั้นพวกเราสัญญากันไว้ว่า เธอจะมางานเลี้ยงกับฉัน แล้วฉันจะบอกเรื่องทุกอย่างที่รู้ให้เธอ”
แม้มู่น่อนน่อนจะอยากรู้เรื่องตระกูลเฉินจากปากเสิ่นชูหาน แต่เรื่องมาจนถึงตอนนี้ เธอเห็นว่า เทียบกับเรื่องของตระกูลเฉินแล้ว เฉินถิงเซียวโมโหน่ากลัวกว่าอีก
“นายไม่ต้องบอกฉันแล้วก็ได้ แค่นี้แหละ บาย”
“ตู๊ด——”
เสียงรีบตัดสายของโทรศัพท์ดังขึ้น เสิ่นชูหานอึ้งไปชั่วขณะ เขายืนอยู่กับที่โดยมีสีหน้าที่คาดเดาไม่ถูก ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็ก้าวเท้าเตรียมจะเดินจากไป
ในตอนนี้เอง ตรงหน้าก็มีชายร่างสูงเพรียวปรากฏขึ้น
เสิ่นชูหานหรี่ตาลงเล็กน้อย เขายืนอยู่กับที่ รอให้ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ จากนั้นเขาก็ออกเสียงหยุดเขาไว้: “คุณชายเฉิน ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
เฉินถิงเซียวหยุดเดิน เขาเงยหน้าขึ้น แล้วพูดอย่างไม่สนใจว่า: “นายอยากเจอฉันงั้นเหรอ?”
ครั้งก่อนหลังจากที่เสิ่นชูหานช่วยมู่น่อนน่อนหนีออกมาได้ เฉินถิงเซียวก็พูดข่มไปแล้ว จัดการตระกูลเสิ่นไปทีหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังเหลือเส้นทางไว้ให้พวกเขา ไม่ได้ทำให้ตระกูลเสิ่นล้มละลายเสียทีเดียว
สำหรับผู้ชายที่คิดแตะต้องผู้หญิงของตัวเอง เฉินถิงเซียวไม่คิดจะสงสารเขาด้วยซ้ำ
แต่ในใจเขารู้ดีว่า ถ้าเกิดเขาทำให้ตระกูลเสิ่นล้มละลาย มู่น่อนน่อนคงจะรู้สึกผิดแน่
เสิ่นชูหานก็นึกถึงเรื่องที่เฉินถิงเซียวทำกับตระกูลเสิ่น สีหน้าเขามีความหวาดกลัวเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็หัวเราะออกมา: “ไม่หรอก ฉันแค่รอน่อนน่อนออกมาอยู่น่ะ ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอนายที่นี่”
เสิ่นชูหานพูดจบ ก็ยิ้มด้วยสีหน้าได้ใจ
เป็นไปตามคาด พอเฉินถิงเซียวได้ยิน “น่อนน่อน” ชื่อนี้แล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า: “นายว่าใครนะ?”
“อดีตภรรยานายไง มู่น่อนน่อน” เสิ่นชูหานพูดช้าๆเน้นยำทุกคำ แล้วยังตั้งใจเสียงหนักตรงคำว่า “อดีตภรรยา”
เสิ่นชูหานเห็นสีหน้าเฉินถิงเซียวเย็นชาลง ก็เติมน้ำมันกับไฟลงไปเพิ่ม: “เธอมาร่วมงานเลี้ยงกับฉันน่ะ ยังไงพวกนายก็เคยเป็นสามีภรรยากัน เดี๋ยวออกมาจะทักทายกันหน่อยไหม”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวเย็นยะเยือกและหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา เขาแค่มองขวางเสิ่นชูหาน จากนั้นก็เดินไปที่ห้องน้ำหญิงทันที
“นายจะทำอะไรน่ะ?” เสิ่นชูหานเห็นเฉินถิงเซียวเข้าห้องน้ำหญิงไป ด้วยแววตาที่ไม่อยากจะเชื่อ
ตอนนี้งานเลี้ยงเพิ่งเริ่ม ห้องน้ำก็ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่
เฉินถิงเซียวนึกถึงสายที่มู่น่อนน่อนโทรมาหาเขาก่อนหน้านี้ รอยยิ้มที่มุมปากเขาก็เย็นชาขึ้นไปอีก
มู่น่อนน่อน เธอนี่มันเก่งจริงๆนะ
เขาเริ่มจากประตูห้องน้ำแรก เคาะประตูห้องน้ำแรกลงไปเรื่อยๆ
รอยยิ้มในดวงตาของเสิ่นชูหานยิ่งลึกขึ้น “ขอเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ผมหน่อยละกัน”
มู่น่อนน่อนเอาเบอร์โทรศัพท์ของตนเองให้แก่เสิ่นชูหาน
หลังจากเสิ่นชูหานบันทึกเบอร์โทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว ก็พูดว่า “ตอนนี้คุณต้องการจะกลับแล้วใช่ไหม? ให้ผมไปส่งคุณไหม?”
แน่นอนว่ามู่น่อนน่อนไม่ให้เขาไปส่งตัวเองกลับบ้านอยู่แล้ว
“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ฉันกลับเองได้”
เสิ่นชูหานก็ไม่ได้ฝืนใจเธอ “แล้วเจอกัน”
รอจนรถของเสิ่นชูหานขับออกไป มู่น่อนน่อนถึงจะเรียกรถกลับบ้าน
หลังจากออกมาจากอาบน้ำเสร็จ เธอก็ได้รับสายจากฉินสุ่ยซาน
ฉินสุ่ยซานถามเธอผ่านทางสายว่า “หลังจากฉันไปแล้วสวุมู่หันได้พูดอะไรรึเปล่า? ”
“แกคิดว่าเขาจะพูดว่าอะไรล่ะ?” หาได้ยากที่มู่น่อนน่อนจะมีโอกาสแกล้งหยอกฉินสุ่ยซาน
จริงๆ แล้วเธอดูออกว่าฉินสุ่ยซานชอบสวุมู่หัน
แต่สิ่งที่เธอรู้สึกว่าเหนือความคาดหมายก็คือ สวุมู่หันเป็นคนที่มีพรสวรรค์แต่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน มองจากลักษณะท่าทางของเขาก็ดูออกแล้ว เป็นคนที่น่าเชื่อถือได้คนหนึ่ง สุขุมแต่ไม่น่าเบื่อ
ผู้ชายประเภทนี้เป็นเรื่องง่ายที่จะมีแต่คนเข้ามาชอบ
ฉินสุ่ยซานท่าทางร้อนรนจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว “แกรีบพูดมาแล้ว ว่าเขาได้พูดอะไรบ้างหรือเปล่า!”
มู่น่อนน่อนแนะนำเธอแทน “แกอยากรู้อะไรทำไมไม่ไปถามเขาเองล่ะ? ”
“เฮ้อ พูดแล้วเรื่องมันยาว” ฉินสุ่ยซานถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
ท้ายที่สุดมู่น่อนน่อนก็กล่าวตามตรง “เขาถามฉันว่าพูดเรื่องอะไร ฉันบอกให้เขามาถามเธอเอง มีความสุขไหมล่ะ? ”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ผ่านไปสักพัก ฉินสุ่ยซานก็ตอบกลับมาเบาๆ “ฉันคิดว่าเขาคงไม่มาถามฉันหรอก”
……
ก่อนหน้านี้เสิ่นชูหานเคยพูดว่าอีกไม่กี่วันจะให้มู่น่อนน่อนช่วยธุระเรื่องหนึ่ง
ผลลัพธ์คือ มู่น่อนน่อนเพิ่งมารู้ในตอนท้ายว่า สิ่งที่เสิ่นชูหานจะให้เธอมาช่วยก็คือ ให้เธอไปงานเลี้ยงค็อกเทลงานหนึ่งเป็นเพื่อนเขา
เมื่อมู่น่อนน่อนรู้ว่าเรื่องที่เขาขอให้เธอมาช่วยเป็นงานแบบนี้ ก็รีบปฏิเสธโดยทันที “คุณไปหาคนอื่นเถอะ งานนี้ฉันช่วยไม่ได้หรอก”
ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวเคยพูดไว้ว่า อย่าให้เธอเจอกับเสิ่นชูหานอีก
ไม่เจอกับเสิ่นชูหานนี่คงเป็นไปไม่ได้ แต่เธอสามารถปฏิเสธไม่ไปงานเลี้ยงค็อกเทลกับเขาได้
แม้ตระกูลเสิ่นจะเทียบกับตระกูลเฉินไม่ได้ แต่ในเมืองหู้หยางก็ยังเป็นตระกูลที่พอมีหน้ามีตาอยู่บ้าง เธอไม่อยากไปงานเลี้ยงกับเสิ่นชูหานแล้วมีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปทั่วอีก
เสิ่นชูหานคาดไว้นานแล้วว่าเธออาจจะปฏิเสธ เพียงพูดอย่างสงบนิ่งว่า “ก่อนหน้านี้คุณสัญญากับผมแล้ว คุณไม่ใช่คนที่กลืนน้ำลายลงคอนี่นา”
“ตอนนี้ฉันกลืนน้ำลายลงคอ” มู่น่อนน่อนยืนหยัดอย่างหนักแน่น
เสิ่นชูหานเงียบไปครู่หนึ่ง จ้องมองมู่น่อนน่อนอยู่สักพัก น้ำเสียงมีแววถากถาง “เป็นเพราะเฉินถิงเซียว? ”
มู่น่อนน่อนตะลึงไปครู่หนึ่ง ไม่ได้กล่าวอะไร
ใครๆ ต่างก็คิดว่าเธอเลิกกับเฉินถิงเซียวแล้วจริงๆ แต่ดูเหมือนว่าเสิ่นชูหานจะไม่ได้คิดอย่างนั้น
เสิ่นชูหานเห็นว่าเธอไม่พูดอะไร ก็ไม่ได้ใส่ใจ กลับกันยังเอียงตัวเข้าไปชิดเธอ พูดเบาๆ ว่า “น่อนน่อน ผมเข้าใจคุณดียิ่งกว่าใครๆ คุณกำลังคิดอะไรอยู่ คุณอยากได้อะไร ผมรู้หมดแหละ”
มู่น่อนน่อนไม่ชินที่จะมีผู้ชายคนอื่นนอกจากเฉินถิงเซียวเข้าใกล้เธอขนาดนี้ เธอก้าวถอยหลัง ทว่าจู่ ๆ เสิ่นชูหานก็ยืมมือออกมาคว้าข้อมือของเธอไว้ “เฉินถิงเซียวไม่เหมาะสมกับคุณ ความตื้นลึกหนาบาง”ของตระกูลเฉินมันหลายซับซ้อนเกินไป”
“คุณหมายความว่ายังไง?” มู่น่อนน่อนหรี่ตากล่าว “ตอนที่ฉันออกนอกประเทศก่อนหน้านี้ คุณก็พูดกับฉันแบบนี้เหมือนกัน คุณบอกว่าความตื้นลึกหนาบางของตระกูลเฉินมันหลายซับซ้อนเกินไป อะไรลึกยังไง? คุณหมายถึงอะไรบ้าง? ”
เสิ่นชูหานไม่คิดว่ามู่น่อนน่อนจะเป็นฝ่ายถามกลับมาตรงๆ
น้ำเสียงและสายตาของเธอมีแววเชือดเฉือนและคาดคั้น สีหน้าท่าทางของเสิ่นชูหานเข้มขึ้น ดูจริงจังขึ้นมา “ผมไม่มีวันทำร้ายคุณ ก่อนหน้านี้ผมอาจจะเคยคิดจะหลอกใช้คุณเหมือนพวกมู่หวั่นขี แต่สิ่งที่ผมพูดและทำตอนนี้ก็เพื่อตัวคุณเองทั้งนั้น”
มู่น่อนน่อนยิ่งมั่นใจยิ่งกว่าเดิมว่าเสิ่นชูหานจะต้องรู้อะไรบางอย่าง “คุณรู้อะไรเกี่ยวกับตระกูลเฉินบ้าง? บอกฉันมา”
“คุณอยากรู้ขนาดนี้เลย?” มู่น่อนน่อนพยักหน้า
เสิ่นชูหานปล่อยข้อมือของเธอ มีท่าทีเย็นชาเล็กน้อย “คุณไปร่วมงานเลี้ยงกับผม เลิกงานแล้วผมจะบอกคุณ”
“คุณ…” มู่น่อนน่อน มองเขาอย่างทำอะไรไม่ได้ นี่กำลังขู่เธอชัดๆ
อาจเพราะสายตาของมู่น่อนน่อนแสดงออกชัดเจนเกินไป เสิ่นชูหานเลยมองออกถึงความคิดเธอ
“น่อนน่อน นี่ไม่ได้เรียกว่าขู่ ผมเป็นนักธุรกิจ ไม่ทำเรื่องที่ไม่มีผลประโยชน์หรอกนะ คุณอยากให้ผมบอกสิ่งที่รู้แก่คุณ คุณก็ต้องจ่ายอะไรบ้าง ผมแค่ให้คุณเป็นคู่ควงหญิง ไปร่วมงานเลี้ยงกลางคืนกับผมงานหนึ่งเท่านั้นเอง”
น้ำเสียงของเสิ่นชูหานจริงจังอย่างยิ่ง
มู่น่อนน่อนคิดไปคิดมา ก็คิดว่าที่เสิ่นชูหานพูดมาก็มีเหตุผล
เดินเธอก็ติดค้างน้ำใจของเสิ่นชูหานไว้ เขาเองก็ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่จะต้องเอาสิ่งที่ตนเองรู้มาบอกแก่เธอ
ถ้าเกิดว่าเขารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตระกูลเฉินจริงๆ งั้นแสดงว่านั่นก็ต้องเป็นความลับที่สำคัญมากแน่
เขาอยากบอกหรือไม่อยากบอกเธอ ก็เป็นอิสระของเขา
มู่น่อนน่อนคิดพวกนี้จนทะลุปรุโปร่งแล้ว ก็ยืนยันกับเขา “แค่ไปร่วมงานเลี้ยง? จบงานเลี้ยงแล้วคุณจะบอกฉัน? ”
เสิ่นชูหานขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับไม่ค่อยพอใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังพยักหน้า
“ใช่แล้ว”
……
เสิ่นชูหานบอกว่างานเลี้ยงกลางคืน คือวันศุกร์ตอนสองทุ่ม
งานจัดขึ้นในโรงแรมระดับเจ็ดดาวแห่งหนึ่งของเมืองหู้หยาง
ก่อนหน้านี้เฉินถิงชิงเฟิงเชิญเธอไปร่วมงานเลี้ยงนั้น ก็จัดที่นี่เหมือนกัน
เมื่อมู่น่อนน่อนลงจากรถ ก็เห็นเสิ่นชูหานในชุดสูทสีขาวทั้งตัว
เขายืนรอมู่น่อนน่อนอยู่หน้าประตูโรงแรม เดิมก็มีหน้าตาโดดเด่นอยู่แล้ว สูทขาวทั้งตัวยิ่งเสริมให้เขาดูสุภาพสง่างามมากยิ่งขึ้น
เป็นคนประเภทตรงข้ามกับเฉินถิงเซียวโดยสิ้นเชิง
เฉินถิงเซียวไม่ชอบใช่สูทสีขาวแบบนี้ เขาเป็นคนสุขุมลุ่มลึกและเก็บตัว ชุดสูทล้วนเป็นสีเข้มๆ ทั้งนั้น
“วันนี้สวยมากเลย” เมื่อเสิ่นชูหานเห็นมู่น่อนน่อนลงจากรถ และเดินมุ่งหน้ามาทางเธอ
เดิมเสิ่นชูหานก็อยากจะไปรับเธอ แต่ก็ถูกมู่น่อนน่อนปฏิเสธ
มู่น่อนน่อนเป็นคนดื้อดึงคนหนึ่ง บอกว่าจะไปงานเลี้ยงเป็นเพื่อนเขา ก็ไปแค่งานเลี้ยงงานหนึ่งเท่านั้น
ชุดออกงานที่เสิ่นชูหานส่งไปเธอ เธอกลับไม่รับเอาไว้ พลันส่งคืนให้เขาทันที
พอเสิ่นชูหานบอกจะไปรับเธอ เธอก็ปฏิเสธด้วยสีหน้าเย็นชา
มู่น่อนน่อนหลีกเลี่ยงเสิ่นชูหานที่ต้องการจูงมือเธอ “ขอบคุณค่ะ”
วันนี้มู่น่อนน่อนสวมชุดออกงานสีดำ รูปแบบเรียบง่ายสุดๆ
หน้าม้าของเธอก็ยาวนานแล้ว ปกติทรงผมสีดำยาวจะแสกกลาง เพราะวันนี้จะเข้าร่วมงานเลี้ยง เลยไปทำผมมา ดัดจนเป็นผมลอน
ผมดัดลอนทำให้เธอดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาหลายส่วน อาจเป็นเพราะเคยมีลูกมาแล้วคนหนึ่ง ช่วงจังหวะที่เงยหน้าขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ พลันมีเสน่ห์มากมาย
เสิ่นชูหานดึงมือที่คว้าน้ำเหลวของตนเองกลับมา มองด้านหลังของเธอแบบยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว
มู่น่อนน่อนและเสิ่นชูหานสองคนเดินเคียงกันเข้าไปด้านใน
ตามมารยาทในงานเลี้ยง มู่น่อนน่อนจำต้องคล้องแขนเสิ่นชูหานเดินเข้าไปในงานเลี้ยงด้วยกัน
คนมาร่วมงานเลี้ยงไม่น้อยแล้ว สตรีส่วนมากก็จะจัดกลุ่มอยู่ด้วยกัน
ตอนที่มู่น่อนน่อนผ่านไป ก็ได้ยินสิ่งที่พวกเธอพูดคุยกัน
“วันนี้ทรงผมฉันเป็นยังไงบ้าง? สไตล์ลิสต์เพิ่งกลับมาจากดูงานที่ยุโรปมา เจ๋งมากเลย…”
“ชุดกระโปรงไม่เลวเลยนี่”
“…ไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวจะเข้าตานายน้อยเฉินหรือเปล่า”
นายน้อยเฉิน?
มู่น่อนน่อนหยุดฝีเท้าทันที
เสียงของเสิ่นชูหานก็ดังขึ้นมาในเวลานี้ “ลืมบอกคุณเลย เฉินถิงเซียวเองก็มางานนี้ด้วย”
เวลาล่วงเลยค่อนปีเข้าไปแล้ว เพราะว่าเรื่องของคุณท่านเฉิน ทางตระกูลมู่เลยตัดขาดกับมู่น่อนน่อน เพราะกลัวว่าจะถูกสาวมาถึงตัวด้วย และยังไม่ได้บอกกับมู่น่อนน่อนด้วยซ้ำ พลันลงประกาศตัดขาดความเป็นพ่อลูกกันในหนังสือพิมพ์ทันที
คนในตระกูลมู่ต่างให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก การที่พวกเขาทำเช่นนี้ มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ตกใจอะไรเลย และก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรมาก
ถึงอย่างไร ก็ไม่เคยฝันลมๆ แล้งๆ มานานแล้ว
ตอนนั้นเรื่องมันดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมือง ที่นั่งกันอยู่ก็เป็นคนที่อยู่ในวงการบันเทิงทั้งสิ้น ย่อมสนใจเรื่องนี้ดี
คนฉลาดมองแวบเดียวก็ดูออกว่า ตระกูลมู่กลัวว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับมู่น่อนน่อนด้วยเลยคิดแผนการขึ้นมาทันที
แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะเผชิญกับสถานการณ์ในเวลานั้น ก็จะทำแบบเหมือนกับมู่ลี่เหยียนทำ แต่ว่าการทำเช่นนี้มันไม่ได้รุ่งโรจน์มากนัก
พฤติกรรมแบบนี้มักจะถูกคนอื่นดูถูกเอาตามธรรมชาติอยู่แล้ว
มู่หวั่นขีจงใจทิ่มแทงมู่น่อนน่อน การถากถางมู่น่อนน่อนอย่างจงใจทำจนเห็นชัดขนาดนี้ คนโง่ยังมองออกเลย
บรรดาเน็ตไอดอลที่มาในวันนี้ก็ไม่ใช่นักแสดงในบทธรรมดาเลย พวกเธอได้แค่ยิ้มให้แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก
มู่หวั่นขีก็เห็นข่าวที่เขียนอยู่บนอินเทอร์เน็ตแล้ว และมีแนวโน้มที่มู่น่อนน่อนจะเลิกรากลับเฉินถิงเซียวจริง อย่างน้อยเรื่องที่บังเอิญเจอหน้ากันที่ห้างสรรพสินค้า เธอก็เลือกที่จะลืมเรื่องนี้ไปหมดสิ้นแล้ว
เธออยากจะพูดทิ่มแทงใจดำมู่น่อนน่อนอีกหลายประโยค เพื่ออยากให้มู่น่อนน่อนโกรธจนเต้นเป็นเจ้าเข้า แต่กลับไม่คิดว่าตอนนี้ตนเองถูกคนอื่นหัวเราะเอาแทน
เธอมองไปยังพวกเน็ตไอดอลหลายคนนั้น พลางพูดอย่างเย็นชาใส่ “พวกคุณหัวเราะอะไรกัน?”
พวกเน็ตไอดอลที่มีแฟนคลับเยอะก็ถูกถึงดึงเข้ามาเกี่ยวพันด้วย แทบไม่ไว้หน้ามู่หวั่นขีเลย
คนในวงการบันเทิง ไม่มีใครอยากเสวนาด้วย ยิ่งเป็นผู้หญิงแล้วด้วย
หนึ่งในพวกเน็ตไอดอลก็พูดขึ้นมา “โรงแรมจีนติ่งเป็นของคุณเหรอไง? พวกเรามีความสุขแล้วอยากหัวเราะออกมา ต้องคอยให้คุณมาอนุญาตด้วยหรือไง?”
นี่มันการแสดงชัดๆ คำพูดทิ่มแทงใจดำของเธอ ถูกเธอพูดใส่อย่างไม่ร้ายแรงและเฉยเมย สร้างความเหินห่างกันอย่างชัดเจน
“คุณคิดว่าคุณเป็นใครกัน ถึงได้ใช้คำพูดนี้มาพูดกับคนอย่างฉันได้?” มู่หวั่นขีพูดจบ ก็หันมาหาซือเฉิงหยู้ที่อยู่ด้านข้าง ราวกับเป็นการบอกใบ้ให้ซือเฉิงหยู้ช่วยเธอพูดหน่อย
คนในวงการต่างรู้ดีว่า ในครึ่งปีที่ผ่านมาซือเฉิงหยู้ทำตัวเละเทะไปใหญ่
อันดับแรกคือการยกเลิกสัญญากับบริษัทเสิ้งติ่ง จากนั้นก็ไปคบหากับผู้หญิงที่ชื่อเสียงเหม็นโฉ่ไปทั่ววงการมาเป็นแฟน ถูกวิจารณ์จนย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ พอได้หนังมาก็ห่วยแตกมาก แต่ว่าสถานะของเขากลับไม่ได้ลดน้อยลงสักเท่าไหร่
ซือเฉิงหยู้ไม่ได้สักแสดงท่าทางอยากจะช่วยพูดให้กับมู่หวั่นขีเลย เขาก็แค่ยกข้อมือขึ้นเพื่อดูเวลาเท่านั้นเอง พลางเอ่ยว่า “ผมมีธุระต้องขอตัวกลับก่อนแล้ว”
ซือเฉิงหยู้พูดจบ ก็หันไปทางมู่น่อนน่อนทันที และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “น่อนน่อนจะกลับยังไง? ให้ผมขับรถไปส่งคุณไหใ?”
เมื่อครู่ยังเรียก “คุณมู่อยู่เลย” อีกเดี๋ยวมาเรียก “น่อนน่อน” ซะแล้ว
คำเรียกที่เปลี่ยนไปจนแสดงความสนิทชิดเชื้อเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะให้คนนึกถึงข่าวลือระหว่างซือเฉิงหยู้กับมู่น่อนน่อนก่อนหน้านี้ได้
ทั้งสองคนเคยคบหากันมาสักระยะหนึ่ง
มู่น่อนน่อนกล้ารับประกันได้เลย ว่าซือเฉิงหยู้เขาจงใจทำ
เขารู้อยู่เต็มอกว่าเธอกับมู่หวั่นขีไม่ลงรอยกัน เลยจงใจทำเรื่องแบบนี้ออกมา ก็เพื่อให้มู่หวั่นขีจงเกลียดจงชังกับเธอ
“ฉันไม่ได้สนิทกับคุณชายซือขนาดนั้น” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ไม่ได้อยู่ต่อ เดินมุ่งหน้าออกไปทางด้านนอกทันที
เมื่อหันตัวในเวลานั้น เธอก็สังเกตเห็นสายตาของมู่หวั่นขีมาจ้องมองมาทางเธอ ราวกับเกลียดเธอและจงใจจะฉีกเธอเป็นชิ้นๆ
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าซือเฉิงหยู้เป็นบ้าไปแล้วมั้ง
ยังอยู่ดีๆ แท้ จู่ๆ ก็บ้าขึ้นมาทันตาเห็น
ไม่สนใจเรื่องชื่อเสียง และไม่สนใจหน้าที่การงานในวงการของตนเอง ราวกับเป็นการปลอดปล่อยของตนเอง แถมยังขุดหลังฝังตนเองอีก
มู่น่อนน่อนเดินนำหน้า ฉินสุ่ยซานก็เดินตามหลังไป
วันนี้เธอพูดนินทามากเหลือเกิน “แกกับซือเฉิงหยู้เคยคบหากันมาสักระยะใช่ไหม?”
มู่น่อนน่อนปฏิเสธกลับอย่างเฉียบขาด “เปล่านะ”
ฉินสุ่ยซานกับมู่น่อนน่อนทำงานร่วมกันมานาน และย่อมรู้ถึงนิสัยของมู่น่อนน่อนดี ถ้าเธอพูดตรงๆ ไม่มีอาการติดขัดขนาดนี้ออกมา นั่นหมายถึงไม่มีอย่างแน่นอน
แต่ว่าเธอก็ยังสงสัยอยู่เล็กน้อย
“งั้นแกกับ…”
มู่น่อนน่อนหยุดเท้าลง จากนั้นก็พูดแทรกคำพูดของเธอทันที “แกกับสวุมู่หันมีความสัมพันธ์กันยังไง? ก่อนหน้านี้แกทำเพื่อเขากับเฉิน….อื้อ….”
มู่น่อนน่อนยังพูดไม่จบ ก็ถูกฉินสุ่ยซานเอามือมาปิดปากแทน
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกไปเพื่อต้องการจะใช้แขนผลักเธอออก ทว่ามีพละกำลังมากเหลือเกิน แทบไม่สะทกสะท้านเลย
มู่น่อนน่อนเลยหยุดขัดขืนแล้ว “หือ?”
เมื่อเห็นท่าทางการแสดงออกของฉินสุ่ยซานที่อยากจะฆ่าตัวตายไปเดี๋ยวนี้เลย มู่น่อนน่อนก็จ้องมองตามสายตาของเธอไปด้วย
ฝั่งตรงข้ามของทั้งสองคน กลับกลายเป็นสวุมู่หันมายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
งั้น…คำพูดของเธอเมื่อครู่ สวุมู่หันได้ยินหรือเปล่า?
มู่น่อนน่อนหันมาทางฉินสุ่ยซาน
ฉินสุ่ยซานจ้องเธอตาเขม็ง พลันหันตัวและวิ่งเตลิดหนีไปทันที
มู่น่อนน่อน “….”
มู่น่อนน่อนเริ่มแสดงอาการเขินอายออกมาบ้าง แต่ว่ายังคงเป็นฝ่ายพูดทักทายกับสวุมู่หันก่อน “คุณสวุ”
“คุณมู่” สวุมู่หันพยักหน้าให้มู่น่อนน่อนอย่างเป็นทางการมาก พร้อมทั้งพูดทักทายตอบรับด้วย
แต่ทว่า ตอนที่มู่น่อนน่อนหันตัวเพื่อต้องการขอตัวนั้น จู่ ๆ สวุมู่หันก็เรียกเพื่อรั้งเธอเอาไว้ “คุณมู่ เมื่อครู่ที่คุณพูดว่า….”
“เมื่อครู่ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย คุณมีเรื่องอะไรก็ไปถามฉินสุ่ยซานเอานะ” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็วิ่งหนีมุ่งหน้าไปทางด้านนอกทันที
ฉินสุ่ยซานไม่รอมู่น่อนน่อนเลยด้วยซ้ำ เพราะขับรถกลับไปแล้ว
มู่น่อนน่อนถึงกลับหมดรอยยิ้มทันที ทำได้แค่เรียกรถแท็กซี่กลับบ้านเอง
เธอยืนอยู่ข้างทาง พลันอดใจไม่ไหวที่หันไปมองประตูใหญ่ของโรงแรมจีนติ่ง
คืนนี้ไม่ได้เจอกับเฉินถิงเซียว
พอตอนหันกลับมานั้น เธอเพิ่งรู้ตัวว่าด้านหน้ามีรถเก๋งสีดำมาจอดทนแทบไม่รู้ตัวเลย
มู่น่อนน่อนดวงตาทอประกาย ปฏิกิริยาแรกพลันนึกถึงเฉินถิเงซียวขึ้นมาทันที
ก็แค่ เมื่อกระจกรถยนต์ลดลง มู่น่อนน่อนก็เห็นเต็มสองตาว่าคนในรถคือใครแล้วนั้น จนถึงขั้นยิ้มไม่ออกเลยทีเดียว
เสิ่นชูหานใช้แขนข้างหนึ่งพาดบนกระจกรถยนต์ จากนั้นก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจเปี่ยมไปด้วยความหมาย “น่อนน่อนไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“… ไม่ได้เจอกันนานเลย” มู่น่อนน่อนค่อยๆ ถอยหลังไปสองก้าวอย่างเงียบๆ
คนบางคนไม่อยากจะเอ่ยถึง พอเอ่ยปุ๊บก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าทันที
นี่แหละมีความเป็นไปได้ว่าเธอไม่ควรจะไม่ที่โรงแรมจีนติ่ง
โรงแรมจีนติ่งเป็นคลับเฮ้าส์ที่หรูหราที่สุดในเมืองหู้หยาง คนที่มีฐานะต่างมาที่นี่กันบ่อยครั้ง ดังนั้นวันนี้พอเธอมาแล้ว ก็จะเจอกับคนเก่าๆ ที่เคยสนิทกันตั้งมากมายขนาดนี้
เสิ่นชูหานเห็นอากัปกิริยาอันเล็กน้อยของเธอ เขายื่นมือออกไปเคาะกับกระจกรถยนต์ พร้อมทั้งพูดอย่างมีมารยาท “ถือว่าเป็นเพื่อนเก่ากันแล้ว ไม่ได้เจอกันมาเสียนาน อย่าทำตัวเย็นชาใส่แบบนี้สิ”
“วันอื่นแล้วกันนะ” มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากเอาไว้และพูดต่อ “วันอื่นฉันค่อยเลี้ยงข้าวคุณแล้วกัน”
“ผมเป็นประเภทพวกไม่มีข้าวจะกินเลยเหรอ?” ใบหน้าของเสิ่นชูหานยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่คำพูดคำจาที่พูดออกมานั้นไม่ใช่จะรับมือได้ง่ายดายขนาดนั้น
มู่น่อนน่อนยังคงสงสัยอยู่ว่าจะรับมือกับเขายังดี พลันได้ยินเสียงเสิ่นชูหานดังขึ้นอีกครั้ง “เดี๋ยวอีกสองสามวันมาช่วยฉันหน่อย”
“ช่วยอะไรเหรอ?” มู่น่อนน่อนจ้องมองเขาอย่างระแวดระวัง
เสิ่นชูหานมองออกถึงความคิดของเธอ พลันยิ้มและพูดออกมาทันที “วางใจเถอะ ไม่ได้ฆ่าคนและไม่ได้ขายของละเมิดกฎหมาย และก็ไม่ใช่การทำอะไรที่มันขัดต่อศีลธรรม”
สิ่งที่ควรจะพูด หรือไม่ควรจะพูด เสิ่นชูหานก็พูดไปหมดเปลือกแล้ว
มู่น่อนน่อนก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก ทำได้แค่พยักหน้าและพูดตอบกลับ “ได้สิ”
ตอนเลิกกองนั้น ฉินสุ่ยซานก็มาหามู่น่อนน่อน แถมพูดด้วยหน้าตาพิลึกพิลั่น “คืนนี้ไปงานเลี้ยงสังสรรค์เป็นเพื่อนหน่อยสิ”
“งานเลี้ยงสังสรรค์อะไรกัน?” มู่น่อนน่อนพูดไปด้วย พร้อมทั้งควานหาโทรศัพท์ของตนเองในกระเป๋าไปด้วย
ฉินสุ่ยซานพูดอธิบายกับเธอ “ก็แค่เป็นงานที่ปกติมาก แค่ไปนั่งกินข้าวพูดคุยเรื่อยเปื่อยตามสบายเท่านั้นเอง”
มู่น่อนน่อนรีบตกลงอย่างสบายใจมาก “ได้เลย”
ด้วยฐานะทางบ้านของฉินสุ่ยซาน คนในวงการต่างไว้หน้าเธอทั้งนั้น นิสัยของเธอเป็นคนไม่เรื่องมาก เธอพูดว่ากินข้าวกันตามปกติ ก็ต้องเป็นการกินข้าวกันอย่างปกติ
……
พอเดินขึ้นรถแล้ว มู่น่อนน่อนถึงได้ถามฉินสุ่ยซานขึ้นมา “ไปกินข้าวที่ไหนเหรอ?”
ฉินสุ่ยซานขับรถไปด้วย และตอบเธอไปด้วย “โรงแรมจีนติ่ง”
โรงแรมจีนติ่งเหรอ?
เมื่อได้ยินชื่ออันคุ้นเคย มู่น่อนน่อนถึงกลับตะลึงไปชั่วครู่
เมื่อก่อนเธอไปกินข้าวที่โรงแรมจีนติ่งอยู่บ่อยๆ
พอกลับมาจากต่างประเทศก็ไม่ได้ไปอีกเลย พอได้ยินคนอื่นพูดชื่อ “โรงแรมจีนติ่ง” เธออึ้งไปสักพักถึงตั้งสติกลับมาได้ทัน
ตอนที่กำลังรอสัญญาณไฟจราจรอยู่นั้น ฉินสุ่ยซานก็มองไปทางมู่น่อนน่อนเพิ่งประเมินก่อน จากนั้นถึงได้ถามขึ้น “แกมั่นใจใช่ไหมว่าจะไม่ไปเปลี่ยนชุด หรือไปทำผมก่อน?”
“ไม่ต้องหรอก แบบนี้ฉันก็สวยดีแล้ว” มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองด้านนอกกระจกรถ ตอบคำถามได้อย่างปากไม่ตรงกับใจ
เพราะว่าการทำงานออกแดดอยู่ข้างนอก มู่น่อนน่อนชอบที่จะใส่เสื้อแขนยาวกางเกงขายาว และไม่ได้ใส่กระโปรงมานานมากแล้ว
เพราะว่าใส่กระโปรงก็ทำอะไรไม่ได้สะดวก
ฉินสุ่ยซานครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ พลางเอ่ยปากถาม “พอเถอะ หลังจากที่แกโดนเฉินถิงเซียวทิ้งไป ใจก็เริ่มเหี่ยวเฉาไปแล้ว ไม่อยากจะไปหาผู้ชายคนอื่นเหรอ?”
มู่น่อนน่อนไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ เธอจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา จึงได้ตอบกลับไปตามปกติ “ค่อยว่ากันนะ”
ทั้งสองคนคุยกันอยู่สักพัก ไม่นานนักก็มาถึงโรงแรมจีนติ่ง
ตอนที่มู่น่อนน่อนลงจากรถแล้ว ก็หันไปสำรวจรอบๆ อย่างไม่รู้ตัวทันที
เฉินถิงเซียวมากินข้าวที่โรงแรมจีนติ่ง ไม่รู้ว่าจะเจอกับเขาไหม
“มองหาอะไรอยู่ พวกเราเข้าไปด้านในกันเถอะ” เสียงของฉินสุ่ยซานเรียกสติของเธอให้กลับคืนมา
“อืม” มู่น่อนน่อนรีบส่งเสียงตอบ จากนั้นก็เดินตามหลังของเธอเข้าไปด้านใน
ตอนที่ทั้งสองคนเข้าไปด้านในห้องรับรอง ในห้องรับรองก็มีคนนั่งอยู่ล้อมโต๊ะ
ชายหนุ่มหญิงสาวมากมายมีหมด และยังมีเด็กสาวอีกหลายคน ช่วงนี้เจอเห็นบ่อยตามหน้าจอโทรทัศน์
ฉินสุ่ยซานกระซิบข้างหู “คนนั้นไง ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว ไปทำหน้ามา และก็คนใส่กระโปรงชมพูคนนั้นก็ปลอมวุฒิการศึกษามา…”
มู่น่อนน่อนไม่คิดเลยว่าฉินสุ่ยซานจะมีจังหวะที่พูดนินทาคนได้ด้วย
มู่น่อนน่อนยังพูดติดตลกกับฉินสุ่ยซาน “ต่อไปถ้าฉันเกิดนึกพล็อตบทละครไม่ออก ฉันก็จะสมัครWeibo เอาไว้แฉพวกเรื่องดาราโดยเฉพาะเลย เพื่อให้เป็นคนดังในโลกอินเทอร์เน็ตและเอาเงินมาดูแลเลี้ยงตัวเอง”
“ไม่มีคนคอยหนุนหลังให้แกยังคิดอยากจะไปแฉดาราอีก คนเขาจะฆ่าแกตายแน่ ถือว่าฉันยอมสิโรราบให้เลย!”
ฉินสุ่ยซานจ้องมองเธอด้วยความรังเกียจ
มู่น่อนน่อนยิ้มตอบ “งั้นแกก็เป็นคนคอยอยู่เบื้องหลังให้ฉันสิ”
“ฉันมันแค่ไหนกันเชียว เฉินถิงเซียวนั่นคือว่าเบื้องหลังแน่นปึ๊ก ถ้าแกไม่ได้หย่ากับเขา แล้วยังอยู่ในวงการบันเทิงต่อไป อยากจะถ่ายละครของตัวเองก็ถ่ายไปได้เลย….”
พอพูดไปได้ครึ่งเดียว ฉินสุ่ยซานถึงได้รู้ตัวว่าตนเองไม่ควรจะพูดเรื่องนี้
เธอหันหน้าไปมองมู่น่อนน่อน เมื่อเห็นว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธเคืองใดๆ ออกมา ก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที “ได้ข่าวว่าวันนี้มีคนอารมณ์ดีที่จะมาอยู่หลายคน ก็ไม่รู้ว่าใครกัน”
ไม่นานนัก มู่น่อนน่อนก็รู้ว่าคนอารมณ์ดีที่ฉินสุ่ยซานพูดถึงอยู่คือใครกัน
“คุณมู่”
เมื่อมองเห็นซือเฉิงหยู้ที่ยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยนอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา มู่น่อนน่อนถึงได้รู้ว่าวันนี้ก่อนออกจากบ้านก็ควรจะเช็กดวงสักหน่อย
มู่น่อนน่อนยิ้มตอบรับ “คุณชายซือ”
ต่อหน้าคนอื่น ยังไงก็ต้องไว้หน้ากันถึงจะถูก
เวลานี้เอง ด้านนอกยังมีคนเดินเข้ามาอีกคนหนึ่ง
“เฉิงหยู้คะ ทำไมคุณต้องเดินเร็วขนาดนั้นด้วยนะ ไม่รอฉันเลย” มู่ หวั่นขีเดินเข้ามา พลางคล้องแขนซือเฉิงหยู้เอาไว้ทันที
ซือเฉิงหยู้กำลังยืนอยู่ด้านหน้าของมู่น่อนน่อนและพูดกับเธอ มู่หวั่นขีพลันเห็นมู่น่อนน่อนทันที
มู่หวั่นขีพอเห็นว่าเป็นมู่น่อนน่อน สีหน้าก็เคร่งขรึมลงถนัดตา “มู่น่อนน่อนเหรอ?”
ไม่รอให้มู่น่อนน่อนได้เอ่ยปากพูด ซือเฉิงหยู้ก็เรียกทักท้วงไว้ก่อน “หวั่นขี”
มู่หวั่นขีที่ทำหน้าดำหน้าแดงตอนที่เห็นมู่น่อนน่อน เมื่อได้ยินเสียงซือเฉิงหยู้เรียกทักเธอแล้ว สีหน้าอันเย็นชาพลันหายวับไปทันที พลางยืนแนบกายเขาอย่างเชื่อฟัง ความรวดเร็วในการเปลี่ยนสีหน้ามันมากกว่าการพลิกหน้าหนังสืออีก
รอจนซือเฉิงหยู้กับมู่หวั่นขีนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ฉินสุ่ยซานก็เอ่ยปากถามเธอ “แกรู้จักราชาภาพยนตร์ซือด้วยเหรอ?”
แม้ว่าซือเฉิงหยู้จะแตกหักกับเฉินถิงเซียวแล้ว แต่ว่าความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลเฉินก็ไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมา เรื่องที่เฉินถิงเซียวเป็นบอสใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังของบริษัทเสิ้งติ่ง ก็ไม่ได้ถูกเปิดเผยด้วย
มู่น่อนน่อนหลุบตาต่ำแล้วพูดออกมา “แกลืมข่าวลือเรื่องฉันกับซือเฉิงหยู้ก่อนหน้านี้ไปแล้วเหรอ?”
ฉินสุ่ยซานได้ยินแล้ว พลันแสดงท่าทางตกใจออกมาทันที
“เฉิงหยู้คะ ฉันจะกินอันนั้น”
“เฉิงหยู้คะ คุณดื่มเหล้าน้อยๆ หน่อย…”
หลังจากกินข้าวเสร็จ มู่น่อนน่อนก็ได้ยินเสียงออดอ้อนของมู่หวั่นขีดังอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งซือเฉิงหยู้ทำหน้าอ่อนโยนอยู่ตลอดเวลา อ่อนโยนถึงขั้นทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกเชื่อว่าทั้งสองคนนี้รักกันจริง
ฉินสุ่ยซานที่อยู่ด้านข้างก็รังเกียจมู่หวั่นขีจนทนไม่ไหวแล้ว
ยังไม่จบงานเลย ฉินสุ่ยซานก็ลุกขึ้นยืนและพูดออกมาทันที “พวกเรายังมีธุระ ขอตัวกลับก่อน”
“คุณฉินจะกลับแล้วเหรอ อยู่คุยต่อกันอีกสักพักสิ” หนึ่งในนั้นแค่ทำตัวต้องการรั้งฉินสุ่ยซานเอาไว้เป็นมารยาทตามนั้นเอง
มู่น่อนน่อนมากับฉินสุ่ยซาน มีอะไรก็ให้ฉินสุ่ยซานเป็นคนเอ่ยปากพูดก็พอแล้ว เธอแค่มาอาศัยข้าวกินเท่านั้นเอง
เธอคิดแค่นี้แหละ แต่ว่าคนอื่นไม่ได้คิดแบบนั้นนี่
มู่หวั่นขีเงยหน้ามองมาทางมู่น่อนน่อน พลางพูดอย่างช้าๆ “น่อนน่อนแกจะกลับแล้วเหรอ แกไม่ชอบขี้หน้าฉันขนาดนี้เลยเหรอ? ถึงแม้ว่าตระกูลเฉินจะไม่เอาแกแล้ว แต่ว่าฉันยังคิดว่าแกเป็นน้องสาวของฉันอยู่นะ”
มู่น่อนน่อนมีสถานะในหลายๆ อย่าง ทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ดี แต่เพราะเหตุที่มีฉินสุ่ยซานอยู่เป็นตัวหลักอยู่ด้วย เลยไม่มีใครจะมาหาเรื่องกับเธอ
ก่อนหน้านี้มู่หวั่นขีก็มีคดีกับเธอมาก่อน ย่อมไม่ปล่อยโอกาสในการเหยียบย่ำเธอให้หลุดรอดไปได้
อย่าพูดถึงเรื่องที่มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวไม่ได้เลิกรากันจริงๆ เลย แม้ว่าจะเลิกรากันจริงๆ ก็ตาม คำพูดของมู่หวั่นขีก็มิอาจจะทิ่มแทงเธอได้
มู่หวั่นขีเป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชอบมีความรู้สึกอิ่มเอมใจท่ามกลางความทุกข์ทรมานของคนอื่น
“แกเป็นน้องสาวของฉัน ดังนั้นฉันก็ต้องรู้สึกเป็นเกียรติกับแกใช่ไหม?” มู่น่อนน่อนยิ้มให้เล็กน้อย แววตาเรียวคู่นั้นเปล่งประกายออกมา
ท่ามกลางเหล่าบรรดาเน็ตไอดอล หน้าตารูปลักษณ์ของมู่น่อนน่อนยังคงโดดเด่นที่สุดเช่นเดิม
ตั้งแต่ที่เธอเข้ามาจนถึงตอนนี้ แทบไม่ได้พูดจาอะไรเลย พยายามทำตัวเหมือนว่าตนเองไม่มีตัวตนอย่างสุดกำลัง
งานเลี้ยงสังสรรค์กันในวันนี้ ประเด็นหลักคือการได้ให้ผู้ร่วมลงทุนหลายๆ คนกับบรรดาเน็ตไอดอลที่มีชื่อเสียงมาเจอหน้าเจอตาสังสรรค์กัน
ส่วนเรื่องความร่วมมือกันนั้น ก็เห็นได้อย่างง่ายอย่างชัดเจน
นี่เป็นเรื่องของคนอื่นที่เป็นประเด็นหลัก มู่น่อนน่อนยอมลดการมีตัวตนของตนเองลงไปอยู่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นหัวข้อหลักของคนอื่น
มู่น่อนน่อนเลิกคิ้วมองเธอ “แกลืมไปแล้วมั้ง? เมื่อครึ่งปีก่อนคุณมู่ลี่เหยียน ได้ประกาศตัดขาดฉันลงในหนังสือพิมพ์ไปแล้ว”
สือเย่ถอนหายใจทันที จากนั้นก็ถามกลับ “คุณผู้ชายครับ ตอนนี้พวกเราจะไปที่ไหนกัน?”
ผ่านไปหลายวินาที ถึงมีเสียงของเฉินถิงเซียวดังขึ้นมา “ไปหามู่น่อนน่อน”
สือเย่ขับรถมุ่งหน้าไปทางที่พักของมู่น่อนน่อน
รถยนต์จอดทางใต้อพาร์ทเม้นท์ที่มู่น่อนน่อนพักอาศัยอยู่ ก่อนที่เฉินถิงเซียวลงจากรถก็ได้ออกคำสั่ง “นายกลับไปเถอะ ไม่ต้องมารับฉันแล้ว”
“ครับ” สือเย่ส่งเสียงตอบรับ
พอเฉินถิงเซียวลงจากรถ สือเย่ก็ขับรถออกไปทันที
……
จังหวะที่ออดดังหน้าประตู มู่น่อนน่อนกำลังล้างหน้าล้างตาอยู่
วันนี้เธอร้องไห้ต่อหน้าเฉินชิงเฟิงทุ่มเทเกินไปหน่อย จนดวงตาบวมหมดสภาพเลย
เมื่อได้ยินเสียงออดหน้าประตู ไม่ต้องคิด ก็รู้ว่าเฉินถิงเซียวมาหา
ก่อนที่เธอจะเปิดประตูนั้นก็มองลอดผ่านช่องตาแมวก่อน เป็นเฉินถิงเซียวจริงๆ ด้วย
เธอเปิดประตู จากนั้นก็จ้องมองผ่านๆ ถึงอนุญาตให้เฉินถิงเซียวเข้ามา
“เข้ามาเถอะ” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็หันตัวเดินเข้าด้านในห้อง
เฉินถิงเซียวเดินตามเธอเข้ามา จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟาอย่างคุ้นเคยมาก
“ดื่มอะไรดี? น้ำเปล่าสักแก้วไหม?” มู่น่อนน่อนพูดไปด้วย พร้อมทั้งหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะเคาน์เตอร์โซฟาให้จะรินน้ำให้เขา
จังหวะที่เธอยื่นแก้วน้ำให้เขานั้น กลับถูกเฉินถิงเซียวดึงมือเอาไว้แทน
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากเอาไว้ แต่ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด
เฉินถิงเซียวดึงเธอมานั่งด้านข้างของตนเอง จากนั้นก็เล่นมือของเธอที่อยู่บนฝ่ามือใหญ่ของตนเอง พลางเอ่ยปากถาม “เขาพูดอะไรกับคุณ?”
“พูดเรื่องลูก เขาพูดว่าเขาจะช่วยฉันที่จะพูดเรื่องลูกกับคุณให้” มู่น่อนน่อนพูดอยู่ พลางสะดุดเล็กน้อย พลางเงยหน้าจ้องมองเขา “ก่อนหน้านี้ คุณตอบตกลงที่ให้ฉันย้ายออกมาแบบปัจจุบันทันด่วนขนาดนั้น ก็เป็นเพราะว่าคุณรู้ว่าเขาจะมาหาฉันใช่ไหม?”
เฉินถิงเซียวไม่ยอมตอบเธอ แต่กลับใช้ริมฝีปากจุมพิตลงตรงฝ่ามือของเธอ
การจูบก็เหมือนไม่มีอะไร มีลมอุ่นๆ พ่นรดลงบนอุ้งมือ จนรู้สึกจักจี้เล็กน้อย
มู่น่อนน่อนเตะเขาไปหนึ่งที “ฉันถามคุณอยู่นะ!”
“อ้อ” เฉินถิงเซียวส่งเสียงตอบรับอย่างไม่แยแส แต่ไม่ยอมพูดยอมจา
มู่น่อนน่อนหมดคำพูดกับเขาแล้ว เลยถามกลับไป “วันนั้นที่คุณปู่เกิดเรื่องขึ้น พวกเขาไม่ได้คิดจะทำร้ายฉัน ถึงได้จงใจใส่ร้ายป้ายสีฉัน แต่เป็นการลองใจว่าฉันมีตำแหน่งอยู่ในใจของคุณ ดังนั้นตอนนั้นคุณถึงได้แสดงท่าทีสงสัยในตัวฉันต่อหน้าพวกเขาใช่ไหม?”
เฉินถิงเซียวยังไม่ยอมพูดอะไรอีก แต่ว่าความเงียบงันของเขาก็เท่ากับเป็นการยอมรับแล้ว
มู่น่อนน่อนวิเคราะห์เป็นประเด็นอย่างชัดเจน “ก่อนหน้าที่คุณปู่จะเกิดเรื่อง ก็เคยให้ฉันกับคุณเข้าไปหาเขาเป็นการส่วนตัว ตอนนั้นเขาก็แสดงท่าทีผิดปกติเล็กน้อย ฉันสามารถคิดได้ไหมว่า คุณปู่อาจจะไปเจออะไรเข้าหรือต้องการจะทำอะไร แต่กลับถูก…พ่อของคุณรู้เข้า แต่ว่าเขาทำไม่ลงคอกับคุณปู่ ถึงได้สร้างเรื่องนี้ขึ้นมา ประจวบเหมาะสามารถใส่ร้ายป้ายสีฉันได้ ยิงนกนัดเดียวได้นกตั้งสองตัว”
“งั้น ปัญหาสำคัญก็คือ พ่อของคุณตกลงว่าต้องการปิดบังอะไรแน่? หรือความจริงเรื่องที่แม่ของคุณถูกลักพาตัวไปเหรอ?”
มู่น่อนน่อนยิ่งคิด ก็ยิ่งรู้สึกตื่นตระหนกเข้าไปใหญ่
ตกว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ ที่ทำให้เฉินชิงเฟิงทำเรื่องที่ร้ายแรงไร้คุณธรรมขนาดนี้
เฉินถิงเซียวเห็นมู่น่อนน่อนขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ จนสีหน้าก็เคร่งขรึมตามไปด้วย
เขาปล่อยมือของมู่น่อนน่อนออก พลางใช้มือทั้งสองข้างประคองไหล่ของมู่น่อนน่อนเอาไว้ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงสุขุม “มู่น่อนน่อน คุณมองผม”
“หือ?” มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองเขา
เฉินถิงเซียวจับจ้องมองเธอ นัยน์ดวงตาดำขลับอันลึกซึ้งภายในกำลังซ่อนความรู้สึกมากมายอยู่ด้านใน เพื่อให้คนยากแก่การวิเคราะห์ได้
“ตอนนี้คุณไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้ว่าคุณปู่เกิดเรื่องขึ้นเพราะมาจากอุบัติเหตุ เฉินมู่ถูกผมลักพาตัวไปเพราะว่าผมต้องการแย่งลูกไปจากคุณ คุณรู้แค่นี้ คุณรู้แค่นี้เท่านั้น!”
เฉินถิงเซียวบีบหัวไหล่ของเธอเอาไว้จนเริ่มลงแรงขึ้น มู่น่อนน่อนถูกเขาบีบจนเจ็บ แต่เธอกลับไม่ส่งเสียงต่อต้านใดๆ ทำแค่ถามเขาเท่านั้นเอง “ทำไมเหรอคะ?”
เฉินถิงเซียวไม่สนใจในคำถามของเธอเลย แต่กลับถามเธอกลับ “คำพูดที่ผมพูดออกไปคุณจำฝังใจแล้วใช่ไหม?”
ส่วนมู่น่อนน่อนหันหน้าไปอีกทาง “จำไม่ได้”
ทั้ง ๆ ที่เธอรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว แต่กลับต้องการให้เธอแกล้งโง่ทำตัวเป็นคนนอกเสียนี่
เฉินถิงเซียวรู้ว่ามู่น่อนน่อนกำลังงอแงใส่ แต่คำพูดของเขา เธอกลับตั้งใจฟังมาก
เฉินถิงเซียวพูดต่อ “ปลอดภัยดี เฉินชิงเฟิงต้องการให้ผมช่วยเขาดูแลบริษัทเฉินซื่อ เฉินมู่เป็นไพ่ใบสำคัญของเขา ดังนั้นตอนนี้เฉินมู่ปลอดภัยดี คุณไม่ต้องเป็นห่วงเกินไป”
“ฉันจะไม่เป็นห่วงได้ยังไงกัน” มู่น่อนน่อนยื่นมือออกมาดึงผมตนเองอย่างเริ่มหงุดหงิด “ฉันไม่ได้เป็นห่วงแค่เฉินมู่ ฉันยังเป็นห่วงคุณด้วย”
เฉินถิงเซียวส่งเสียงตอบรับ “ไม่จำเป็นต้องให้คุณเป็นห่วง คุณต้องจำให้ได้ก็พอ ว่าคุณเป็นผู้หญิงของเฉินถิงเซียว ไม่อนุญาตให้ไปให้ท่าผู้ชายคนไหน”
เพิ่งจะพูดเรื่องจริงจังกันอยู่แท้ ๆ แต่ไหงถึงได้ลากไปเรื่องให้ท่าผู้ชายไปได้ล่ะเนี่ย?
มู่น่อนน่อนผลักเขาออก “ฉันกำลังพูดเรื่องจริงจังกับคุณอยู่นะ”
“ผมก็พูดเรื่องจริงจังกับคุณอยู่เช่นกัน” ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวคิดเรื่องอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นก็พูดด้วยหน้าตาขึงขัง “เสิ่นชูหานคนนั้น คุณอยู่ห่างๆ เขาหน่อย”
“หลังจากที่ฉันกลับมายังเมืองหู้หยางแล้ว ก็แทบไม่ได้เจอกับเสิ่นชูหานเลยนะ!” มู่น่อนน่อนจ้องตาเขาเขม็งอย่างหมดอารมณ์
ผู้ชายคนอย่างเฉินถิงเซียว ทำไมถึงได้พูดมากยิบย่อยยิ่งกว่าผู้หญิงอีกนะ?
เฉินถิงเซียวแสยะยิ้ม พลางหรี่ตามองเธอ น้ำเสียงแกมข่มขู่ “นี่คุณยังอยากจะไปเจอหน้าเขาเหรอ?”
“ไม่อยาก” มู่น่อนน่อนไม่ได้เห็นเขาแสดงสีหน้าเช่นนี้มานานมากแล้ว
เธอเม้มริมฝีปาก พลางพูดอย่างรู้งาน “เปล่านะ ไม่อยากเจอหน้าเขา”
แต่ว่าเมืองหู้หยางมันใหญ่มากขนาดนี้ ก็ต้องมีสักวันแหละที่ต้องเจอหน้าเสิ่นชูหานอีก
อีกอย่าง ก่อนหน้าที่เธอจะหนีไปต่างประเทศ ก็ได้รับความช่วยเหลือจากเสิ่นชูหานจริงๆ เขาติดหนี้บุญคุณเสิ่นชูหานเอาไว้
“พูดคำไหนคำนั้นนะ” เฉินถิงเซียวเอนตัวไปหา พลางจูบบนริมฝีปากของเธอราวกับเป็นรางวัล
มู่น่อนน่อนถึงกลับยิ้มไม่ออก
เฉินถิงเซียวกอดเธอและจูบเธออยู่สักพัก จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
ตอนที่เดินมายังหน้าประตูนั้น นัยน์ตาอันลึกซึ้งของเฉินถิงเซียวก็หันมามองเธอ “ช่วงนี้ผมอาจจะมาหาคุณได้ไม่บ่อยนะ”
“อื้อ” มู่น่อนน่อนพิงกับบานประตู พลางตะลึงเล็กน้อย จากนั้นถึงได้พยักหน้าหลังจากเข้าใจความหมายแล้ว
เฉินถิงเซียวย่นคิ้ว “ใจดำขนาดนี้เชียว ไม่มีความรู้สึกอดใจไม่ไหวสักนิดเลยเหรอ?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าวันนี้เฉินถิงเซียวพูดมาก เธอเลยผลักเขาออกไปด้านนอกทันที “รีบออกไปเถอะ”
หลังจากที่เดินไปส่งเฉินถิงเซียวแล้ว มู่น่อนน่อนก็กลับเข้ามาในห้อง และนั่งจุมปุ๊กอยู่บนโซฟาคนเดียว
เธอฉุกคิดสิ่งที่เฉินถิงเซียวเอ่ยถามเสิ่นชูหานก่อนหน้านี้
ถ้ามีเวลา เธอก็ควรจะไปเจอกับเสิ่นชูหานจริงๆ
แต่ว่า ครั้งสุดท้ายที่เจอกับเสิ่นชูหาน กับการรู้จักกันกับเสิ่นชูหานในอดีตมันไม่เหมือนกันนะสิ
ไม่รู้ว่าเสิ่นชูหานยังคงรู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งที่ทำกับเธอก่อนที่เธอจะไปต่างประเทศหรือเปล่า?
จู่ ๆ เธอก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ตอนอยู่ที่สนามบิน เสิ่นชูหานได้พูดกับเธอเอาไว้ว่า เรื่องในตระกูลเฉินมันลึกซึ้งหยั่งลึกมาก
การที่พูดออกมาเช่นนี้ มั่นไม่ได้หมายความว่า เสิ่นชูหานก็รู้เรื่องของตระกูลเฉินมาบ้าง?
อย่างไรเสียก็อยู่ในเมืองหู้หยางกันทั้งนั้น ไม่ช้าหรือเร็วก็จะได้เจอหน้ากัน มู่น่อนน่อนเองก็ไม่มีแผนที่จะเป็นคนไปหาเสิ่นชูหานเอง
……
เฉินถิงเซียวพูดว่าช่วงนี้จะไม่มาหาเธอ ผลที่ได้คือไม่มาหาเธอเลย
มู่น่อนน่อนนอกจากจะไปที่กองถ่ายแล้ว บ้างก็ไปคุยเรื่องบทกับฉินสุ่ยซานบ้าง ก็ถือว่ามีความสงบอยู่ทุกวัน
มู่น่อนน่อนปิดหน้าปิดตาร้องห่มร้องไห้สะอึกสะอื้น ทว่าสายตาของเธอกำลังแอบสังเกตอากัปกิริยาของเฉินชิงเฟิงอยู่เงียบๆ
เธอสังเกตเห็นถึงความเบื่อหน่ายที่เปล่งประกายอยู่ในแววตาของเฉินชิงเฟิง
แต่ว่า วินาทีถัดมา เฉินชิงเฟิงก็ทำหน้าอ่อนโยนและส่งเสียงปลอบใจเธอกลับมาแทน “เรื่องนี้ ฉันจะไปพูดกับเฉินถิงเซียวให้ คุณก็อย่าได้เสียใจมากเกินเหตุไปเลยนะ”
มู่น่อนน่อนดึงกระดาษทิชชูเพื่อปาดน้ำตา จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ขอบคุณคุณลุงเฉินมาก”
เฉินชิงเฟิงยิ้มตอบ แต่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนเดินออกมาจากร้านกาแฟพร้อมกับเฉินชิงเฟิงนั้น ก็เจอกับเฉินถิงเซียวพอดี
เฉินถิงเซียวท่าทางเหมือนรีบเหาะมา สีหน้าดูตื่นเต้นเล็กน้อย
เมื่อเห็นมู่น่อนน่อนนั้น แววตาของเขาจดจ้องอยู่ที่ตัวของมู่น่อนน่อนอยู่หลายวินาที แม้ว่าสีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปมาก แต่มู่น่อนน่อนกลับรู้สึกเหมือนว่าเขาถอนหายใจโล่งอก
ไม่รู้ว่าทั้งสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานานแล้ว หรือว่าเป็นเพราะว่าสัญญาที่เข้าใจซึ่งกันและกันโดยปริยายหรือเปล่า
แม้ว่าเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาก็ตาม แต่ว่าความหมายที่เขาอยากจะแสดงออกมา เธอก็สามารถรับรู้ได้
แต่เร็วมาก เธอก็รู้สึกว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวของเฉินถิงเซียวนั้นมันเปลี่ยนไปเข้มงวดอีกครั้ง
แววตาของเขากวาดตามองมู่น่อนน่อน นัยน์ตาเย็นเฉียบจนหนาวไปถึงกระดูก
มู่น่อนน่อนพลันคิดได้ว่าก่อนหน้านี้ตนเองร้องไห้ออกมา เวลานี้ตาด็คงบวมฉึ่มจนแดงก่ำแน่
เธอแย่งซีนก่อนที่เฉินถิงเซียวจะพูดออกมา เดินก้าวไปทางข้างหน้า จากนั้นก็ยื่นมือออกมาตบหน้าเฉินถิงเซียวอย่างโหดร้ายไปครั้งหนึ่ง
“–เพี๊ยะ!”
เสียงตบดังลั่นอย่างชัดเจน
สือเย่ที่อยู่ด้านหลังของเฉินถิงเซียว ทำสีหน้าตกตกลึงเมื่อมองมาทางมู่น่อนน่อน
ส่วนเฉินชิงเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ มู่น่อนน่อน นัยน์ตาเปล่งประกายความแปลกใจออกมาเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวราวกับถูกตบจนเบลอไปแล้ว ผ่านไปหลายวินาที เขาถึงตั้งสติได้มัน นัยน์ตาเฉียบคมดังมีดคอยจับจ้องมาที่มู่น่อนน่อน “คุณกล้าตบผมเหรอ?”
“ทำไมฉันจะตบคุณไม่ได้? คุณเอาตัวลูกฉันไป คุณมันไม่ใช่คน!” แววตาของมู่น่อนน่อนเต็มไปด้วยความจงเกลียดจงชัง ราวกับอดใจไม่ไหวจนอยากจะตบหน้าเขาอีกสีกที
นัยน์ตาของเฉินถิงเซียวกระตุกเล็กน้อย แต่ว่าเขาก็หลุบตาลงได้อย่างรวดเร็ว เพื่อปกปิดอารมณ์ในแววตาของเขาเอาไว้ น้ำเสียงแข็งกร้าวไม่มีความอบอุ่นเลยสักนิด “ลูกสาวของผม ผมจะเอาไปตอนไหนก็ได้ ต้องรอให้คนอย่างคุณมาอนุญาตผมด้วยเหรอ?”
เขาพูดจบ พลันแสยะยิ้มมุมปาก พลางพูดอย่างเย็นชา “สือเย่”
สือเย่เข้าใจทันที พลางโบกมือไปทางบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านหลัง บอดี้การ์ดพลันเดินมายังด้านหน้าและจับตัวมู่น่อนน่อนเอาไว้ทันที
เวลานี้เอง เฉินชิงเฟิงที่ไม่มีปากไม่เสียงมาตลอด พลันเริ่มพูดออกมาในเวลานี้ “ถิงเซียว น่อนน่อนเป็นแม่ของลูกแกนะ เธอสติหลุดได้ ก็เป็นเพราะว่าเป็นห่วงลูกมากเกินไปเท่านั้นเอง ให้คนของแกปล่อยเธอเถอะ”
เฉินถิงเซียวส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอและแสดงรอยยิ้มเย็นชาจอมปลอมออกมา “ปล่อยเธอ”
เฉินชิงเฟิงเห็นแบบนั้นแล้ว พลางพยักหน้าให้มู่น่อนน่อน “คุณกลับไปก่อนเถอะ”
“ขอบคุณค่ะ ลาก่อนค่ะคุณลุงเฉิน” มู่น่อนน่อนพูดด้วยความซาบซึ้ง พลันหันตัวเดินจากไปทันที
เฉินถิงเซียวแทบไม่มองเธอด้วยซ้ำ พลันหันไปทางเฉินชิงเฟิง “ผมมีเรื่องต้องคุยกับลุง”
“คุยกันบนรถแล้วกันนะ” เฉินชิงเฟิงพูด และสอดตัวเข้าไปในรถทันที
เฉินถิงเซียวฉวยจังหวะตอนที่เฉินชิงเฟิงหันตัว พลันหันไปชำเลืองมองทางมู่น่อนน่อน
พอมีเสียงปิดประตูรถดังขึ้นข้างๆ หู เฉินถิงเซียวถึงได้ขึ้นรถของเฉินชิงเฟิงตามหลังไป
เฉินชิงเฟิงเอ่ยปากถามเขาก่อน “ตกลงว่าแกเอาเด็กไปซ่อนไว้ที่ไหนกัน? น่อนน่อนเธอเป็นแม่ของเด็กนั่น แกให้เธอได้เจอหน้าสักครั้งมันคงไม่เกินเหตุไปใช่ไหม?”
เฉินถิงเซียวตอบอย่างเย็นชากลับ “เด็กนั่นผมไม่ได้สั่งให้คนเอาตัวมาเลย แม้ว่าผมจะให้คนเอาตัวมา ผมก็ไม่ให้เธอได้เห็นหน้าเด็ก ตอนแรกที่ขอเธอแต่งงาน ก็แค่เรื่องที่ต้องการจะตรวจสอบเรื่องของแม่เท่านั้นเอง”
เฉินชิงเฟิงได้ยินแล้ว ก็ทำสีหน้าสงสัยขึ้นมาทันที “งั้นจะมีใครอีก ที่สามารถลักพาตัวเด็กไปทั้ง ๆ ที่อยู่ใต้ปลายจมูกของแกได้?”
“ปีนั้น กลุ่มคนร้ายลักพาตัวก็ไม่ใช่ว่าลักพาตัวผมกับแม่ไป ทั้ง ๆ ที่อยู่ปลายจมูกคุณลุงหรอกเหรอ?”
มุมปากของเฉินถิงเซียวยิ่งลากสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่าบนใบหน้าไม่ได้มีรอยยิ้มสักนิด
“นี่แกกำลังสงสัยฉันอยู่” เฉินชิงเฟิงพูดออกมาเป็นประโยคบอกเล่า
เขาเหมือนถอนใจหายออก จากนั้นก็พูดอย่างราบเรียบ “ถิงเซียว ฉันรู้ว่าแกยังคงคิดถึงเรื่องในปีนั้นอยู่ แต่มันเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้นเอง แกเอาแต่ไปตรวจสอบค้นหามาตลอด ตรวจสอบมาหลายปีแล้วมันมีอะไรไหมล่ะ? ตอนนี้แกก็อยู่อย่างสุขสบายไม่ใช่เหรอ? ตระกูลเฉินก็อยู่ในมือแกทั้งหมดแล้วนี่ แกจัดการได้ดีขนาดนี้ ตระกูลเฉินก็สงบสุขดี นี่มันก็มากขนาดนี้แล้วเนี่ย?”
เฉินถิงเซียวฟังคำพูดแบบนี้ของเขามาจนชินแล้ว เขาไม่สนใจเฉินชิงเฟิงเลยสักนิด
เฉินชิงเฟิงเองก็ไม่โกรธเขา แถมยังพูดอย่างมีน้ำอดน้ำทน “เรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ไม่ต้องไปฟื้นฝอยหาตะเข็บแล้ว การทำแบบนี้ถือว่ามันดีกับทุกฝ่าย ทุกคนต้องมองไปทางข้างหน้า ไม่แน่นะลูกสาวของแกก็ใกล้จะกลับมาแล้ว”
คำพูดประโยคสุดท้ายของเขา เป็นการข่มขู่จนเห็นได้อย่างชัดเจน
เฉินถิงเซียวกำหมัดเอาไว้แน่น ร่างกายเกร็งไปทั่วทั้งตัว แต่ยังไม่ยอมปริปากพูดออกมาสักคำ
วันนี้เฉินชิงเฟิงมาหามู่น่อนน่อนแล้ว น่าจะเป็นการหลอกสังเกตมู่น่อนน่อนว่ารู้เรื่องของตระกูลเฉินมากน้อยเพียงใด
จากนั้นค่อยหลอกถามความสัมพันธ์ของมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวว่าอยู่ขั้นไหนกันแล้ว
ถ้าเป็นไปได้ เฉินชิงเฟิงก็จะไม่ปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งที่สามารถใช้ประโยชน์จากเฉินถิงเซียวเป็นเครื่องมือที่ทำให้เฉินถิงเซียวไม่ยอมพูดได้ เฉินชิงเฟิงคิดว่าเฉินถิงเซียวคงเอาคำพูดของเขาเก็บไปคิดแล้ว
เฉินชิงเฟิงพูดต่อด้วยถ้อยคำที่ลึกซึ้งและทรงพลัง “ตอนนี้แกกับน่อนน่อนเลิกกันแล้ว ตระกูลเฉินก็ไม่มีคุณนายน้อยแล้ว แกชอบคนไหนก็พามาให้ดูหน่อย ไม่งั้น ฉันสามารถให้คนไปหาคนถูกใจมาให้แกได้…”
“ไม่ต้องแล้ว” เฉินถิงเซียวพูดตัดบทคำพูดของเขาทันที พลางพูดอย่างเย็นชา “สนใจเรื่องตัวเองก็พอแล้ว”
เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็เปิดประตูและลงจากรถและเดินจากไปทันที
เฉินชิงเฟิงที่นั่งอยู่ในรถ พลันเหลือบมองเฉินถิงเซียวขึ้นรถตนเอง สีหน้าภาคภูมิใจแสดงออกมาให้เห็นเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มออกมา
……
เฉินถิงเซียวกลับไปยังที่รถยนต์ของตนเอง พลางยื่นมือออกมาและปลดเนกไทลง จากนั้นก็จัดการทุบลงบนกระจกรถยนต์อย่างบ้าคลั่ง พลันมีเสียงดัง “ปึง” ออกมา
สือเย่ที่ขับรถอยู่ด้านหน้าถึงกลับตกใจทันที แต่ก็คิดแบบโชคเข้าข้างไว้ โชคดีที่กระจกรถยนต์คันนี้เป็นกระจกกันกระสุน ไม่งั้นจะทนไม้ทนมือกับการที่ถูกเฉินถิงเซียวทุบอย่างโหดร้ายได้อย่างไรกัน
เฉินถิงเซียวทุบกระจกรถเสร็จ ก็เอนหลังพิงกับเบาะที่นั่ง พลันเปล่งเสียงคำพูดออกมาจากไรฟันด้วยอารมณ์อดกลั้นถึงขีดสุด “ไอ้จิ้งจอกเฒ่า!”
สือเย่รู้ว่าเขาด่าเฉินชิงเฟิงอยู่
ตอนนี้สามารถแน่ชัดแล้วว่า เฉินมู่ถูกคนของเฉินชิงเฟิงลักพาตัวไป
และเขาจงใจโอนเงินจากบัญชีของซือเฉิงหยู้ ก็เพื่อให้เฉินถิงเซียวรู้ว่า เรื่องนี่เขาเป็นคนทำ
แต่ว่า พอเฉินถิงเซียวรู้ว่าเรื่องนี้เขาเป็นคนทำแล้ว ก็ไม่ได้จะจัดการกับเขาอย่างไร
เพราะว่าเฉินมู่อยู่ในมือเขา
เฉินถิงเซียวทำได้แค่ถูกใช้งาน และถูกเฉินชิงเฟิงจัดฉาก
ความหมายของเฉินชิงเฟิงก็ชัดเจนมากอยู่แล้ว ขอแค่เฉินถิงเซียวยอมวางมือในการตรวจสอบเรื่องมารดา เขาก็จะเอาตัวของเฉินมู่มาคืนให้พวกเขา
มิเช่นนั้น….
สือเย่ถอนหายใจเล็กน้อย เขาก็รู้เรื่องของตระกูลเฉินน้อยมาก
แต่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวลานี้ อาจจะเป็นเพียงมุมมองเพียงฝ่ายเดียวก็เป็นได้
เขารู้ว่าในหลายปีที่ผ่านมาเฉินถิงเซียวได้ตรวจสอบเรื่องมารดาของเขา แล้วจู่ ๆ จะยอมปล่อยมือไปง่ายๆ เหรอ?
เสิ่นเหลียงได้ยินแล้ว จากนั้นก็คิดอยู่ชั่วครู่ “ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่…..”
มู่น่อนน่อนเอาลิ้นจี่ยัดใส่ตู้เย็น พลางเอ่ยปากถามเธอกลับ “ไม่พูดเรื่องนี้ แกกินข้าวหรือยัง?”
“กินกับคนในกองถ่ายมาแล้ว” เสิ่นเหลียงพูดจบ พลางตบหน้าผากของตนเองทันที “ฉันเพิ่งฉุกคิดได้ ยังมีอีกเรื่อง ฉันดูคลิปที่แกไปให้สัมภาษณ์เอาไว้แล้วนะ นี่แกคิดจะทำอะไรขึ้นมาอีกเนี่ย?”
ตั้งแต่ครั้งที่แรกที่มู่น่อนน่อนขอให้เธอช่วยไปหานักข่าวมาให้ จากนั้นก็จุดไฟเผาวิลล่าแล้วหนีไป เสิ่นเหลียงยังรู้สึกกลัวมู่น่อนน่อนขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อก่อนเธอรู้ว่าตัวเองชอบหาเรื่องไปทั่ว ทว่าตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนเก่งกาจกว่าเธอมาก
มู่น่อนน่อนยิ้มและตอบกลับมา “ก็ถอดแบบมาจากบท《เมืองพัง》ไง”
“ฉันเชื่อแกก็ประสาทไปแล้วแหละ” เสิ่นเหลียงกลอกตามองบนทันที
มู่น่อนน่อนถือถาดลิ้นจี่ที่ล้างสะอาดแล้วยื่นมาให้ตรงหน้าของเสิ่นเหลียง น้ำเสียงดูเคร่งขรึมเล็กน้อย “เสี่ยวเหลียง แผนการของตระกูลเฉินช่างล้ำลึกมาก ถ้าฉันไม่เริ่มเสนอตัวทำก่อนอะไรสักอย่างบ้าง ก็คงถูกพวกเขาจูงจมูกตลอดไป”
เสิ่นเหลียงได้ยินว่าเธอเอ่ยปากถึงตระกูลเฉิน ท่าทางดูจริงจัง “ยังไม่มีข่าวคราวของเสี่ยวมู่มู่อีกเหรอ”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้าไปมา น้ำเสียงดูเย็นชาขึ้น “ฉันเดานะ ทางตระกูลเฉินจะต้องส่งคนมาหาฉันในเร็วๆ นี้แหละ”
……
เฉินถิงเซียวเดินออกมาจากอพาร์ทเม้นของมู่น่อนน่อน สือเย่ก็รีบอ้อมไปทางด้านหลังเพื่อเปิดประตูหลังให้กับเขาทันที
สือเย่ที่กำลังขับรถอยู่ พลางเหล่ตามองเฉินถิงเซียวทางกระจกด้านหลังอยู่เป็นครั้งคราว
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางเผยอปากพูด “มีเรื่องอะไรก็พูดมา”
เฉินถิงเซียวพูดออกมาเช่นนี้แล้ว สือเย่เลยไม่มีการลังเลอีกต่อไป พลางเอ่ยปากถามทันที “คุณชายไม่ไว้ใจ แล้วทำไมถึงได้ให้คุณหญิงน้อยย้ายออกมาได้?”
บรรยากาศในรถเงียบงันอยู่ชั่วครู่ น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวดูราบเรียบไม่ช้าไม่เร็วดังออกมา “ให้เธอย้ายออกมา เธอถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย”
สือเย่จำเรื่องราวเมื่อปีที่แล้วได้ เขากับเฉินถิงเซียวเคยคุยเรื่องนี้กันมาแล้ว เวลานั้นเฉินถิงเซียวพูดว่าอะไรนะ?
ตอนนี้ คำพูดของเฉินถิงเซียว ความหมายโดยรวมแล้วยอมเจ็บปวดไปด้วยกันไม่ใช่เหรอ?
พอเวลาผ่านไปครึ่งปีเอง ความคิดของเฉินถิงเซียวก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว
……
มู่น่อนน่อนคาดเดาได้ไม่เลวเลย
เพราะว่าไม่นานนักตระกูลเฉินก็ส่งคนมาหาเธอทันที
คืนนั้นเธอกับเสิ่นเหลียงคุยกันอยู่สักพัก เสิ่นเหลียงยังมีงานช่วงเช้าที่ต้องไปทำ เลยขอตัวรีบกลับบ้านก่อน
ตารางงานของเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็คือการไปที่กองถ่ายละครตามเดิม
ทว่า เธอเพิ่งจะออกจากบ้านเท่านั้นเอง ก็เห็นรถยนต์สีดำขับมาจอดตรงด้านหน้าของเธอทันที
กระจกรถยนต์ลดระดับลง พลันปรากฏใบหน้าชายวัยกลางคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายเฉินถิงเซียว
“น่อนน่อน ไม่เจอกันนานเลยนะ”
แววตาของมู่น่อนน่อนพลันปรากฏอาการรังเกียจขึ้นมาทันที พลางหันเปลี่ยนเป็นความแปลกใจไปทันที “คุณเฉินเหรอคะ?”
เฉินชิงเฟิงยิ้มให้ ดูเหมือนเป็นผู้อาวุโสที่แสนอบอุ่นคนหนึ่ง “แม้ว่าตอนนี้คุณไม่ได้อยู่กับถิงเซียวก็ตาม ก็ไม่ต้องเรียกสิ้นเยื่อใยกันซะขนาดนั้น เรียกว่าลุงสักคำมันจะทำให้คุณลำบากไปไหม?”
แม้ว่าท่วงท่าของเขาที่ดูอ่อนโยนก็ตาม แต่ว่าตอนที่เขาพูดกับมู่น่อนน่อนนั้นกลับเอาแต่นั่งอยู่ในรถยนต์ จนแสดงความเหินห่างออกมา
มู่น่อนน่อนเรียกเขาตามน้ำไปทันที “คุณลุงเฉิน”
แววตาของเฉินชิงเฟิงแสดงอาการดีใจออกมา “นี่คุณกำลังจะไปไหน มีเวลาพอไปกินกาแฟกับฉันสักแก้วไหม?”
มู่น่อนน่อนยิ้มให้และพยักหน้าเล็กน้อย “มีเวลาแน่นอนค่ะ”
เธอเฝ้ารอคอยให้เฉินชิงเฟิงมาหาเธอ เธอไม่มีวันที่จะปฏิเสธคำเชื้อเชิญของเขาอย่างแน่นอน
“ขึ้นรถสิ”
เมื่อสิ้นเสียงเฉินชิงเฟิง เลิ่งซู่ที่นั่งอยู่เบาะด้านหน้านั้น ก็ลงจากรถและเปิดประตูทางด้านหลังให้กับมู่น่อนน่อนทันที
“ขอบคุณค่ะอาเลิ่ง” มู่น่อนน่อนมองไปทางเลิ่งซู่และพยักหน้าให้ จากนั้นถึงได้ขึ้นรถ
เฉินชิงเฟิงนั่งลงด้านข้างของเธอ สีหน้าสงบเสงี่ยม
มู่น่อนน่อนนั่งทำตัวเก็บปากเก็บคออย่างตื่นเต้น ดวงตามองตรงไปด้านหน้า ไม่ได้หันมามองเฉินชิงเฟิงเลยสักนิด
ไม่นานนักรถยนต์ก็มุ่งหน้ามาจอดยังร้านกาแฟร้านหนึ่ง
เธอกับเฉินชิงเฟิงเดินตามหลังกันเข้าไปด้านใน พนักงานเดินนำไปยังห้องรับรองที่ได้จัดการจองไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
ตอนที่กาแฟมาเสริ์ฟนั้น เฉินชิงเฟิงกำลังคนกาแฟให้เข้ากัน พลางใช้คำพูดคำจาที่ดูเป็นห่วงเป็นใยแอ่ยปากถาม “ครึ่งปีที่ผ่านมา ไปอยู่ต่างประเทศแล้วสุขสบายอยู่ไหม?”
มู่น่อนน่อนคลี่ยิ้ม พลางตอบกลับอย่างมีมารยาท “ต้องพลอยให้คุณลุงต้องเป็นห่วงไปด้วยเลย ทุกอย่างราบรื่นดี”
เฉินชิงเฟิงถอนหายใจออกมา พลางเอ่ยถามอย่างเงียบงัน “ตอนที่คุณท่านเฉินเกิดเรื่องขึ้น พวกเราร้อนรนเกินเหตุ ถึงได้เข้าใจคุณผิดไป คุณเป็นเด็กสาวที่แสนดีคนหนึ่ง จะไปทำเรื่องพรรค์นั้นได้อย่างไรกัน? คงจะเป็นเพราะว่าคุณท่านเฉินอายุมากแล้วขาแข้งเลยเดินเหินไม่สะดวก จนตัวเองกลิ้งลงมาจากบันไดแหละ”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้ว มือที่กำลังจับช้อนคนกาแฟถึงกับบีบแน่นทันที
อายุมากแล้วเดินเหินไม่สะดวกงั้นเหรอ?
คุณท่านเฉินดูแลร่างกายได้ดีมากๆ ร่างกายของเขาแข็งแกร่งมากซึ่งทุกคนก็เห็นตำตาอยู่แล้ว
อีกทั้ง เช้าวันนั้น ทั้ง ๆ ที่มีคนจงใจเรียกเธอไปหา
เห็นได้ชัดว่ามีคนวางแผนเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้เฉินชิงเฟิงมาบอกเธอ ว่าคุณท่านเฉินขาแข้งเดินเหินไม่สะดวกเหรอ?
ตอนนั้นเธอเพิ่งจะตื่นนอน สมองก็ยังไม่ทันคิดอะไรมากมาย และถูกคนรับใช้คนนั้นส่งเสียงเรียกให้เธอไปหา
แต่พอตอนนี้กลับมาหวนคิดอีกครั้ง ทุกครั้งที่คุณท่านเฉินเรียกหาเธอ ปกติจะไม่ให้คนรับใช้คนอื่นมาเรียกเธอเลย
คำพูดแบบนี้มีช่องโหว่อีกมากมาย อีกทั้งมันยังพูดซะไม่มีเหตุผลสิ้นดี
ทว่า มู่น่อนน่อนไม่สามารถถามเขาไปตรงๆ ได้
มู่น่อนน่อนหลุบตาต่ำ มือของตนเองที่อยู่ใต้โต๊ะถึงกลับบีบต้นขาตนเองทันที
บีบแรงเกินไป จนเธอเจ็บจนน้ำตาไหลออกมา
เวลานี้เอง เธอเงยหน้าเพื่อมองเฉินชิงเฟิง จากนั้นก็ถามกลับด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “ตอนนี้คุณปู่ยังสบายดีอยู่ไหมคะ?”
เฉินชิงเฟิงราวกับไม่คิดว่าจะเสียใจถึงขนาดนี้ พลางชะงักเล็กน้อยจากนั้นถึงตอบกลับมา “เหมือนเดิมแหละ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง “งั้นฉันสามารถเข้าไปเยี่ยมเขาสักหน่อยได้ไหมคะ?”
ความจริงแล้วเธอก็อยากจะไปหาคุณท่านเฉินจริงๆ
แต่ว่าไม่มีเหตุผลที่สมควรมากพอ
“ได้สิ” สีหน้าที่มีรอยยิ้มของเฉินชิงเฟิงจู่ ๆ ก็เก็บสีหน้าทันที พลางเอ่ยปากถามอย่างเคร่งขรึม “คุณกับถิงเซียวเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ได้ยินเสี่ยวฉินเล่าว่า เขาเอาลูกไปแล้ว?”
เพล้ง–
มู่น่อนน่อนได้ยินเขาเอ่ยถึงลูก มือถึงกลับอ่อน ช้อนที่อยู่ในมือหล่นลงในแก้วทันที จนชนขอบถ้วยกาแฟ จนมีเสียงดังชัดที่ไม่ดังมากเท่าไหร่
นี่เฉินชิงเฟิงหมายความว่ายังไงกันแน่?
เขาต้องการหลอกถามเหรอ?
เขากำลังหลอกถามมู่น่อนน่อนเรื่องลูกว่ารู้เรื่องมากขนาดไหน หรือว่าต้องการหลอกถามความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวว่าสนิทสนมกันขนาดไหน และจะร่วมมือกับเธอนำเรื่องที่คนในตระกูลเฉินลักพาตัวเด็กไปงั้นเหรอ?
มืออีกข้างที่วางอยู่ใต้โต๊ะของมู่น่อนน่อนกำหมัดไว้แน่น พลางผ่อนแรงออก
เธอไม่รู้ว่าจะตอบกลับคำถามนี้อย่างไรดี พลันก้มหน้าก้มตาลง และแสดงท่าทางเจ็บปวดรวดร้าวเจียนตายออกมา
ทุกครั้งที่นึกถึงเฉินมู่ ในสถานการณ์ที่ถูกกดดันนั้น น้ำตาพลันไหลออกมาเองทันที
เฉินชิงเฟิงหรี่ตาลง และก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พลางค่อยๆ เอ่ยถาม “ครั้งนี้เฉินถิงเซียวก็ทำเกินเหตุจริงๆ แม้ว่านับญาติกันฉันจะเป็นปู่ของลูกคุณก็ตาม เด็กคนนี้ก็ต้องอยู่ที่บ้านตระกูลเฉินสิ แถมตอนนี้เธออายุยังน้อยมากเหลือเกิน จะพูดยังไงก็ต้องให้เติบโตอยู่ข้างกายของแม่ถึงจะถูกสิ”
มู่น่อนน่อนปิดหน้าปิดตาร้องไห้โหทันที “ขอโทษค่ะคุณลุงเฉิน ฉันเสียใจมากเหลือเกิน….”
การจูบของเฉินถิงเซียวอ้อยอิ่งลดระดับเคลื่อนจากริมฝีปากลงเรื่อย ๆ ยามเมื่อจุมพิตลงบริเวณซอกคอในเวลานั้น กลับถูกมือของมู่น่อนน่อนวางเอาไว้ทันที “กินข้าวเถอะ”
“ผมกินของอย่างอื่นก่อนได้นะ” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวแหบพร่า ทั้งเอ่ยไปด้วย ก็ก้มศีรษะจุมพิตมือของเธอ
พร่ำจูบครั้งแล้วครั้งเล่า การจุมพิตลงบนมือของเธออย่างแผ่วเบา ทั้งอ้อยอิ่งทั้งถลำลึกกับความรักอย่างลึกซึ้ง ราวกับว่าถ้าเธอไม่เอามือออกก็จะไม่ยอมลดละ
สีหน้าของมู่น่อนน่อนร้อนผ่าว แต่ว่าไม่ได้ปล่อยให้เฉินถิงเซียวทำตามใจอยาก
เธอรีบยื่นมือออกมาผลักศีรษะของเฉินถิงเซียวออกไป “จะกินข้าว หรือจะกลับไปกินที่บ้านของคุณเอง”
ลูกกระเดือกของเฉินถิงเซียวขยับอย่างยากลำบาก พลางใช้ศีรษะมุดลงตรงไหปลาร้าของเธอ แถมคุยกับเธออย่างจริงจัง “ให้ผมกินสักนิดหนึ่งได้ป่ะล่ะ?”
มู่น่อนน่อนถึงกลับไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี เรื่องพรรค์นี้ยังเอามาคุยกันแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?
สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ แน่นอนว่ามู่น่อนน่อนไม่ตกลง
ทั้งสองคนจัดเสื้อผ้าเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งกินข้าวที่โต๊ะกินข้าวที่อยู่ด้านหน้า
อพาร์ทเม้นท์ของมู่น่อนน่อนเป็นห้องเดี่ยวหนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องรับแขก ห้องครัวกับห้องรับแขกมันติดกัน
โต๊ะกินข้าวก็เล็กมาก
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตั้งใจอะไรเป็นพิเศษพลางจัดการให้เฉินถิงเซียว นั่งลงตรงตำแหน่งประจำเวลากินข้าวของตนเอง พลางทำอาหารแบบบ้านๆ สองอย่าง
ความอยากอาหารของเธอก็ไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่ เลยไม่ได้กินเยอะ ในทางกลับกันเฉินถิงเซียวกินเยอะมาก
เฉินถิงเซียวกินเร็วแถมกินเยอะ แต่ว่าไม่ใช่พวกสัตว์ที่กินตะกละตะกลามแบบนั้น ทว่าในทางกลับกันดูเจริญตาเพลินหูเพลินตาดี
นิสัยแบบนี้ แค่รับรู้ แต่ไม่สามารถอธิบายออกไปได้จริงๆ
แม้ว่าเธอรู้ว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านี้ เป็นผู้ชายที่นิสัยขึ้นๆ ลงๆ ผิดมนุษย์มนาอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ว่านิสัยที่อยู่รอบตัวของเขาก็ไม่สามารถปกปิดได้
หลังจากที่มู่น่อนน่อนกินข้าวเสร็จแล้ว ก็เอนหลังพิงเก้าอี้แล้วนั่งมองเขากินข้าว
ทั้งคู่ไม่ได้นั่งกินข้าวกันเงียบๆ มานานมากแล้ว
เมื่อลองพิจารณามองอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว ถึงได้รู้ว่าสีหน้าของเฉินถิงเซียวดูไม่ดีเลย ผอมโซกว่าครั้งที่แล้วที่เธอเจอลงไปอีกเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนมองไปมองมา จากนั้นก็หลุดปากถามออกมาหนึ่งประโยคทันที “กินข้าวตรงเวลาบ้างไหมเนี่ย?”
คำพูดเพิ่งหลุดออกจากปาก มู่น่อนน่อนก็เม้มริมฝีปากทันที “ฉันก็แค่…..”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าชำเลืองมองเธอ ดวงตาดำขลับอันลึกซึ้งเปล่งประกายออกมา และไม่ปกปิดอาการมีความสุขที่อยู่ในสายตาสักนิดเลย
คำพูดที่คิดอยู่ในตอนท้ายแม้ว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้พูดออกมาก็ตาม
แต่ว่ามันเป็นประโยคที่เป็นห่วงเขา จนถึงขั้นทำให้เขาดีใจขนาดนี้…
“กินตรงเวลาสิ แต่ว่ากับข้าวข้างนอกมันไม่อร่อยเท่ากับที่คุณทำให้กันนี่” เฉินถิงเซียวเป็นคนพูดไม่เก่ง แต่ว่าตอนที่เขาพูดด้วยท่าทางจริงจังเช่นนี้ ฟังดูแล้วเหมือนเป็นคำหวานหยอดเหลือเกิน
มู่น่อนน่อนหลุบตาต่ำ “กินอิ่มก็กลับได้แล้ว”
เฉินถิงเซียวนิ่งอยู่ชั่วครู่ จากนั้นถึงได้พูดต่อ “ผมขอไปล้างจานแล้วค่อยกลับ”
“ไม่ต้องเลย…” มู่น่อนน่อนยังพูดไม่ทันขาดคำ เฉินถิงเซียวก็ลุกขึ้นยืนแล้ว จากนั้นก็เอาจานที่อยู่บนโต๊ะอาหารยกเข้าไปในห้องครัวทันที
มู่น่อนน่อนลุกพรวดเพื่อห้ามเขาทันที ทว่าในเวลานั้นเองก็ได้ยินเสียงเคาะประตูทางด้านนอก
ดึกป่านนนี้ใครมานะ?
มู่น่อนน่อนมองลองช่องตาแมว ก็เห็นว่าเป็นเสิ่นเหลียง
ตอนที่เธอเปิดประตูให้ ก็ถามอย่างแปลกใจทันที “เสี่ยวเหลียง ทำไมมาดึกขนาดนี้?”
สีหน้าของเสิ่นเหลียงดูเหนื่อยล้ามาก เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเขียนบทเสร็จก็รีบมาหาเธอทันที
เธอยกเท้าขึ้นและเตะกล่องที่วางกองอยู่ที่พื้นออกไปกล่องหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “คนในกองถ่ายเอาลิ้นจี่มาจากบ้านที่ต่างจังหวัด เอามาให้ฉันสองลัง ทางที่ฉันกลับบ้านก็ผ่านบ้านแก ก็เลยเอามาให้แกลังหนึ่ง”
เสิ่นเหลียงพูดไป พร้อมทั้งเดินเข้ามาในห้องมู่น่อนน่อนด้วย
มู่น่อนน่อนก็เดินตามมาทางด้านหลัง จากนั้นก็คุกเข่าลงและอุ้มลังลิ้นจี่เข้ามาในห้องหนึ่งลัง “ดึกขนาดนี้แล้วยังจะมาอีก แกให้ฉันไปเอาก็หมดเรื่องแล้ว”
“แกไม่มีรถ ฉันผ่านทางอยู่แล้วก็เลยเอามาให้แกเลย” เสิ่นเหลียงเดินมุ่งหน้าไปทางโซฟา และนั่งลงบนโซฟาทันที
เวลานี้เอง เสียงของเฉินถิงเซียวก็ดังเล็ดลอดออกมาจากห้องครัว “มู่น่อนน่อน น้ำยาล้างจานหมดแล้ว”
ห้องครัวติดกับประตูบ้าน ตอนที่สองคนเดินผ่านนั้นก็ผ่านห้องครัว แต่ว่าเสิ่นเหลียงมัวแต่สนใจคุยกับมู่น่อนน่อน ดังนั้นเลยไม่รู้ว่าในห้องครัวมีคนอยู่ด้วย
บรรยากาศพลันเงียบลงถนัดตา
เสิ่นเหลียงเองคอไปทางมู่น่อนน่อน ทว่าในแววตานั้นเขียนตัวอักษรตัวโต เอาไว้อย่างชัดเจน “แกซ่อนผู้ชายอีกคนเอาไว้”
มู่น่อนน่อนอยากจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ เลย ตอนที่จะอ้าปากตอบกลับ หางตาก็เห็นเฉินถิงเซียวเดินออกมาจากห้องครัวแล้ว
เขาเพิ่งจะพูดกับมู่น่อนน่อนไปว่าน้ำยาล้างจานหมดแล้ว คอยอยู่ตั้งนานมู่น่อนน่อนก็ไม่ยอมตอบกลับมาสักที ตนเองเลยเดินออกมาเองเลย
พอเขาเดินออกมาก็เจอกับเสิ่นเหลียงทันที
เสิ่นเหลียงก็เห็นเฉินถิงเซียว และ… ผ้ากันเปื้อนสีชมพูลายดอกที่อยู่บนตัวเขาอีก
ผ้ากันเปื้อนผืนนี้เสิ่นเหลียงไปซื้อเป็นเพื่อนมู่น่อนน่อน มู่น่อนน่อนเพิ่งจะมาได้ไม่กี่วันเองแถมพอทำอะไรก็ไม่ค่อยใส่ใจสักเท่าไหร่ ดังนั้นเสิ่นเหลียงก็เลยลากเธอไปซื้อของ
ผู้ชายสูงใหญ่ตัวโต ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสแล็คสีดำ แต่กลับผูกผ้ากันเปื้อนสีชมพูลายดอก แถมยังพับแขนเสื้อเดินออกมาจากห้องครัวอีก…
ภาพที่เห็นดูแล้วควรน่าจะเป็นบ้านที่แสนอบอุ่นมาก
ทว่า พอผ้ากันเปื้อนมันอยู่บนตัวเฉินถิงเซียว มันกลับทำให้รู้สึกขัดหูขัดตาพิกล
แม้ว่าจะใส่ผ้ากันเปื้อนสีชมพูลายดอกอยู่ก็ตาม แต่กลับไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิด บรรยากาศก็ยังคงเดิม
เสิ่นเหลียงลุกพรวดขึ้นจากโซฟาทันทีด้วยอาการสติหลุด พลางเอ่ยปากเรียก “บอสใหญ่เหรอคะ?”
“อื้อ” เฉินถิงเซียวส่งเสียงตอบรับ พลางหันหน้าไปทางมู่น่อนน่อน “น้ำยาล้างจานล่ะ?” บรรยากาศเริ่มเบาลงเล็กน้อย
“อยู่ในตู้” มู่น่อนน่อนชำเลืองมองเสิ่นเหลียงเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปในห้องครัว “เดี๋ยวฉันหยิบให้คุณเอง”
อ่างล้างหน้าในห้องครัวมันแคบมาก มู่น่อนน่อนเลยเอาสิ่งของต่างๆ จัดเก็บไว้ในตู้แทน
เธอหยิบน้ำยาล้างจานออกมา พลางเงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียว “คุณ… ออกไปก่อนเถอะ”
“ผมล้างจานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกลับ” สีหน้าเฉินถิงเซียวไร้ความรู้สึกพลางดึงขวดน้ำยาล้างจานที่อยู่ในมือของเธอมา จากนั้นก็เดินไปยังซิงค์ล้างจาน และก้มตัวลงล้างจานต่อ
เฉินถิงเซียวไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนเลย พอเวลาลงมือทำเห็นได้ชัดว่ามันไม่ถนัดมือมาก แต่ว่าตั้งใจล้างมากกว่าคนทั่วไปเสียอีก
เฉินถิงเซียวพูดคำไหนคำนั้น หลังจากที่ล้างจานเสร็จแล้วก็ไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่นาน พลันกลับทันที
เสิ่นเหลียงที่นั่งมองทุกอย่าง จนเวลาที่เฉินถิงเซียวออกไปแล้ว เธอยังตกอยู่ในภวังค์อยู่เลย “ตกลงว่าพวกแกสองคนคือยังไงกัน? ตกลงว่าเลิกกันแล้ว หรือยังไม่ได้เลิกกันแน่?”
เสิ่นเหลียงมองทั้งสองคนไม่ออก
มู่น่อนน่อนแกะลังลิ้นจี่ออก พร้อมทั้งพูดไปด้วย “แยกกันอยู่สักพัก”
เสิ่นเหลียงโยนหินถามทาง “งั้นก็หมายความว่า พวกแกยังรู้สึกดีต่อกันอยู่งั้นสิ?”
มู่น่อนน่อนชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า “อื้อ”
ก่อนหน้านี้ที่เธอหนีไปอยู่ต่างประเทศ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเธอไม่รักเฉินถิงเซียวแล้ว
แต่เป็นเพราะว่า เธอไม่สามารถที่จะรักคนคนเดียว แต่กลับให้คนอื่นมาคอยควบคุมตนเอง จนตนเองเสียอิสรภาพไป
ในความรู้สึกเช่นนี้ เธอต้องการเอาตัวเองวางให้อยู่เท่ากับตำแหน่งของเฉินถิงเซียว และไม่ให้เฉินถิงเซียวมาควบคุมเธออยู่ตลอดเวลา
หลังจากสิ้นเสียงมู่น่อนน่อนแล้ว บรรยากาศในห้องก็เข้าสู่ความเงียบงันทันที
ทั้งสองคนยืนจ้องหน้ากัน ต่างไม่มีท่าทีลดละกันเลย
ชั่วครู่ เฉินถิงเซียวก็เริ่มถอนหายใจออก น้ำเสียงปนอาการเหนื่อยล้าที่ยากจะแสดงให้เห็น “พวกเขายังลังเลกับผมอยู่ทั้งนั้น ผมไม่สามารถให้คุณเอาตัวเองเป็นหนูทดลองได้”
หลายปีที่ผ่านมานี้ เขาได้ตรวจสอบคดีของแม่ของเขามาโดยตลอดแต่ก็จับจุดไม่ได้สักที พอวันไหนที่เริ่มมีเบาะแสขึ้นมาเล็กน้อย มันจะหายวับไปกับตาทันที
เขาเองเคยคิดว่า หรือว่าเขาคิดเองเออเองไปฝ่ายเดียว
บางทีคดีที่เขากับแม่ของเขาถูกลักพาตัวไปนั้น ก็เป็นเพียงแค่อุบัติเหตุเท่านั้นเอง
จนถึงขั้น เกิดเรื่องขึ้นคุณท่านเฉิน
ก่อนหน้าที่คุณท่านเฉินจะเกิดเรื่องขึ้นนั้น เคยมาเขา พร้อมทั้งบอกว่าให้ผ่านตอนช่วงตรุษจีนไปได้อย่างปลอดภัยก่อน เขาจะเอาเรื่องที่เขาอยากจะรู้มาบอกเขาทั้งหมด
ทว่า คุณท่านเฉินกลับไม่ได้ผ่านช่วงตรุษจีนไปได้อย่างปลอดภัย
เช้าแรกของวันตรุษจีน ก็ตกบันไดลงมา พอตื่นขึ้นมา ก็เสียสติจนเป็นบ้าไปแล้ว
จากนั้น มู่น่อนน่อนก็ถูกคนใส่ร้ายว่าเป็นคนทำร้ายคุณท่านเฉิน
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่ใครบางคนในตระกูลเฉินตักเตือนเขาเอาไว้
ใครสักคนในตระกูลเฉิน ไม่อยากให้เขารู้ถึงความจริงที่อยู่เบื้องหลังในคดีที่เกิดขึ้นกับมารดาของเขา พวกเขาเลยใช้คนที่อยู่ข้างตัวเขาเพื่อเอามาข่มขู่เขาอย่างไม่หยุดหย่อน
มู่น่อนน่อนส่ายหน้าไปมา “แม้ว่าฉันไม่เอาตัวเองไปเป็นหนูทดลอง แล้วสามารถคิดว่าเป็นคนนอกไม่เข้าไปสนใจได้ไหมล่ะ?”
เธอพูดจบ จากนั้นก็พูดกำชับอีกประโยค “เรื่องของคุณปู่ ตกลงว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น คุณย่อมรู้สาแก่ใจมากกว่าฉัน แม้ว่าฉันไม่ได้ทำอะไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่ยอมปล่อยฉันไปอยู่ดี ฉันแค่ไม่เข้าใจว่า ทำไมพวกเขาถึงคิดวางแผนกับคุณมากมายขนาดนี้ด้วย”
ช่วงสองสามวันมานี้มู่น่อนน่อนคิดอยู่หลายตลบ
ตอนที่คุณท่านเฉินเกิดเรื่องขึ้น เธอก็สงสัยเฉินชิงเฟิงกับเฉินเหลียน
เพราะว่าในคืนวันส่งท้ายปีเก่า เธอเคยเห็นเฉินชิงเฟิงกับเฉินเหลียนทำตัวลับๆ ล่อๆ เข้าไปในห้องหนึ่ง หลังจากนั้นคุณท่านเฉินก็เกิดเรื่องขึ้น ส่วนเธอก็ถูกใส่ร้าย
เรื่องเหล่านี้ดูจากสถานการณ์แล้วเป็นการจงใจตั้งแต่แรก
เธอไม่รู้ว่าทำไมต้องทำแบบนั้นมาโดยตลอด และก็ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวนั้นปกปิดอะไรไว้ จนถึงตอนที่เฉินมู่หายตัวไป มู่น่อนน่อนถึงได้เข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง
ตอนที่พวกเขาออกมาข่มขู่เฉินถิงเซียวในเวลานั้น ก็ต้องการควบคุมเฉินถิงเซียวเอาไว้ด้วย
พวกเขาอยากให้เฉินถิงเซียวเชื่อฟังคำสั่งของพวกเขา
เมื่อมู่น่อนน่อนพูดจบ ก็เงยหน้าจ้องตาเฉินถิงเซียว
เธอคิดว่า ถ้าเกิดเฉินถิงเซียวพูดสถานการณ์ความจริงกับเธอออกมาสักเล็กน้อยก็พอแล้ว
ส่วนเฉินถิงเซียวก็แค่เปลี่ยนเรื่องไปแทน “ผมหิวแล้ว”
“หิวก็ออกไปกินข้างนอกสิ” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ตะแคงตัวหันข้างเพื่อถอยให้ ท่าทางแสดงว่าให้เขาสามารถกลับไปได้แล้ว
เฉินถิงเซียวไม่เพียงไม่ได้เดินออกไปเท่านั้น ในทางกลับกันยังนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่อย่างไม่แยแสทันที พลางเอ่ยว่า “ผมทำกับข้าวไม่เป็น”
มู่น่อนน่อนไม่มีท่าทีใจอ่อนสักนิด “ไปกินร้านอาหารสิ”
ท่าทางการแสดงออกเฉินถิงเซียวก็เหมือนกับปกติ น้ำเสียงดูเป็นทางการแถมยังทำตัวสบาย “อาหารที่ร้านอาหารมันไม่อร่อย”
มู่น่อนน่อนเดินมาหยุดตรงด้านหน้าของเขา “คุณจงใจหาเรื่องเพื่ออยากจะอยู่ที่นี่กับฉันใช่ไหมเนี่ย?”
เฉินถิงเซียวเอนหลังพิง จากนั้นก็พูดอย่างเป็นทางการ “เราจดทะเบียนกันมาแล้วนะ”
ถ้าไม่อยากให้เฉินมู่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน เธอก็คงไม่รีบร้อนที่จะจดทะเบียนกับเฉินถิงเซียวขนาดนั้นหรอก
เธอแค่รู้สึกว่า การที่มีชื่อเฉินมู่ในทะเบียนบ้านนั้น การทำเช่นนั้นจะมีความรู้สึกที่พึ่งพึงขึ้นมาบ้าง
แม้ว่าจะเห็นหน้ากันแค่ครั้งเดียว เธอก็จะให้เฉินมู่รู้ว่า พ่อกับแม่รักเธอมาก
สุดท้ายมู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ใจจืดใจดำที่ไล่ตะเพิดเฉินถิงเซียวออกไป เธอตาเขม็งใส่เฉินถิงเซียว “รอเดี๋ยว”
จากนั้น เธอก็หันตัวเดินไปยังห้องครัว
เฉินถิงเซียวมองตามมู่น่อนน่อนที่เดินเข้าห้องครัวไป จากนั้นเขาก็เริ่มใช้สายตาประเมินห้องเช่าของมู่น่อนน่อน
เป็นห้องธรรมดาหนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องรับแขก ไม่ใหญ่เลย แต่ว่าสะอาดมาก เครื่องใช้ในห้องก็ไม่ได้มีเยอะแยะ เมื่อเปรียบกับคอนโดของเขาแล้วดูจืดชืดไปเล็กน้อย แต่ว่ามันอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของมู่น่อนน่อน
เฉินถิงเซียวนวดดวงตาตนเอง พลันเอนพิงกับโซฟาและผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ตอนที่มู่น่อนน่อนทำกับข้าวเสร็จและเดินออกมานั้น ถึงได้เห็นว่าเฉินถิงเซียวนอนหลับสนิทไปแล้ว
เธอลังเลอยู่ชั่วครู่ จนสุดท้ายก็ยื่นมือออกไปเพื่อสะกิดเฉินถิงเซียว “กินข้าวได้แล้ว”
เฉินถิงเซียวลืมตาขึ้นมา ดวงตาที่เพิ่งจะตื่นยังมีความมึนงงอยู่บ้าง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้เขายังตื่นไม่เต็มที่
มู่น่อนน่อนเห็นเขาลืมตาแล้ว และเตรียมดึงมือกลับ ทว่าไม่คิดเลยว่าเฉินถิงเซียวจะยื่นมือออกมาจากนั้นคว้ามือเธอเอาไว้ทันที
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น หลังจากเขาดึงมือเธอเอาไว้แล้ว ก็ใช้แรงเล็กน้อยดึงตัวเธอเข้าสู่อ้อมอกของตนเองไปตามแรงดึง
มู่น่อนน่อนที่ยืนอยู่ พอถูกเขาดึง การทรงตัวไม่มั่นคง จนเซถลาเข้าสู่อ้อมอกของเขาทันที
แผงอกของชายหนุ่มทั้งกำยำทั้งแข็งแกร่ง มู่น่อนน่อนที่เซถลาไปอยู่ในอ้อมอกของเขา ถูกกระแทกจนเจ็บอยู่บ้าง
สีหน้าของมู่น่อนน่อนแสดงอาการโกรธอยู่บ้าง “เฉินถิงเซียว!”
ส่วนเฉินถิงเซียวทำเป็นหูทวนลม พลางใช้มืออีกข้าวกอดช่วงเอวของมู่น่อนน่อนเอาไว้อย่างรวดเร็ว เพื่อกอดเธอเอาไว้แน่นในอ้อมกอดของตนเอง
เฉินถิงเซียวหมกมุ่นอยู่กับการซุกไซ้สูดดมบริเวณช่วงต้นคอของมู่น่อนน่อน น้ำเสียงแหบพร่า “ตอนที่ผมอยู่ที่คอนโดคนเดียว พอหลับก็จะฝันถึงคุณตลอดเลย ทุกครั้งที่กอดตัวเองยังมีความรู้สึกนั้นอยู่ แต่พอตื่นขึ้นมา กลิ่นอายของคุณมันไม่หลงเหลือเอาไว้เลย ทำไมคุณถึงใจจืดใจดำจัง จัดการเผาวิลล่าซะจนไม่เหลือชิ้นดีเลย..”
ถ้าวิลล่ายังอยู่ อย่างน้อยเขาก็ยังหากลิ่นอายอันคุ้นเคยแบบนั้นได้บ้าง
มู่น่อนน่อนไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ เขาจะพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จนตัวแข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนเริ่มขัดขืน แต่รู้ตัวว่าไม่ขยับสักนิด
เธอรู้ว่าเฉินถิงเซียวคนนี้อาจจะจัดอยู่ในพวกวัวพวกควาย
พอเอ่ยเรื่องเผาวิลล่าขึ้นมา เธอก็โมโหปรี๊ดขึ้นมาทันที
“ฉันใจจืดใจดำเหรอ? ถ้าฉันใจจืดใจดำจริง ก็คงไม่ช่วยเอาปากกาหมึกด้ามนั้นออกมาให้คุณหรอก รู้ตั้งแต่แรกฉันก็คงเอาปากกาหมึกด้ามนั้นปล่อยให้มันไหม้ไปกับวิลล่าก็คงดี!”
“แต่ว่าคุณก็ไม่ได้ทำนี่” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเปลี่ยนท่าทีทันที “คุณทำไม่ลง”
มู่น่อนน่อนตะลึงเล็กน้อย และไม่อยากจะคุยกับเขาเรื่องนี้ต่อแล้ว “ปล่อย ไม่งั้นต่อไปคุณก็อย่าคิดที่จะเข้ามาในบ้านฉันอีก”
การข่มขู่ของเธอเริ่มเห็นผลได้บ้าง
แขนเฉินถิงเซียว ที่กอดตรงช่วงเอวของเธอเริ่มปล่อยออก มู่น่อนน่อนฉวยโอกาสผุดลุกขึ้นมาทันที ทว่าคิดไม่ถึงเลยว่าเฉินถิงเซียวจัดการกดศีรษะเธอและประทับรอยจูบเธอทันที
มู่น่อนน่อนหายไปนานมากแล้ว …
เดือนที่แล้วตอนอยู่ที่ซิดนี่ย์ เฉินมู่ก็หายตัวไป สภาพอารมณ์ของมู่น่อนน่อนก็ไม่ดีเลย นอกจากเขาจะพยายามคิดหาวิธีให้คนมาดูแลเธอให้ดี เพื่อให้เธอได้สบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว เขาก็ไม่มีความคิดฝันหวานอะไรเลย
การจูบของเฉินถิงเซียวก็เหมือนกับตัวตนของเขา มันทั้งชั่วร้ายและเอาแต่ใจ
แถมยังใช้แรงซะจนต้องการกลืนกินมู่น่อนน่อนลงไปทั้งตัว ทั้งก้าวร้าวราวกับต้องการจะครอบครองทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอ
ชายหนุ่มมีพรสวรรค์ทางด้านนี้เฉพาะตัวอยู่แล้ว มือทั้งสองข้างของมู่น่อนน่อนถูกมือข้างหนึ่งของเขาจับเอาไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของเขานั้นก็ประคองท้ายทอยของเธอเอาไว้ เพื่อเป็นการควบคุมเธอเอาไว้แน่นๆ ไม่อนุญาตให้เธอหลุดรอดไปได้แม้เพียงปลายก้อย
รอจนเวลาที่สติสัมปชัญญะของมู่น่อนน่อนกลับมาได้ เธอก็เปลี่ยนมาแทนที่ตำแหน่งกับเฉินถิงเซียวแล้ว ร่างกายของเธออยู่บนโซฟาแถมเสื้อผ้ายังหลุดลุ่ยอีกต่างหาก
เพื่อทดสอบว่าเฉินถิงเซียวคอยบงการทุกอย่างอยู่เบื้องหลังหรือไม่ มู่น่อนน่อนก็กลับไปยังที่พักก่อนหน้าที่เธออาศัยอยู่
ในตอนที่เธอใกล้จะถึงที่หน้าประตู ก็เห็นรถของตำรวจ และตรงลานประตูสวนของเพื่อนข้างบ้านก็ยังมีเทปกั้นพื้นที่ของตำรวจอยู่
มีตำรวจคนหนึ่งเห็นเธอ ก็คิ้วขมวดแล้วพูดว่า“ คุณทำอะไร ?”
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปหา แล้วชี้ไปยังที่บานประตูห้องที่เธอเช่าอยู่ “ฉันพักอยู่ที่นี่”
เมื่อตำรวจได้ยินว่าเธอพักอาศัยอยู่ที่นี่ ก็หันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับคนข้างๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า“ คุณผู้หญิง เรามีเรื่องอยากรบกวนถามคุณหน่อย ”
“ได้ค่ะ”มู่น่อนน่อนก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น จึงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ตำรวจก็เริ่มสอบถามมู่น่อนน่อนตามหลักปฏิบัติทั่วไป มู่น่อนน่อนก็ตอบไปทุกๆคำถาม
และจนสุดท้ายมู่น่อนน่อนก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
เด็กวัยรุ่นที่อยู่บ้านข้างๆกับเธอ ได้กระทำความผิดมาจริงๆ
ซิ่งรถชนคนตาย ลักขโมย และยังกระทําชําเราเด็กหญิง……
แม้ตำรวจจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่มู่น่อนน่อนฟังเข้าใจได้เอง
มู่น่อนน่อนนึกไปถึงก่อนหน้า ที่มีผู้หญิงคนหนึ่งมาขอเธอเข้าห้องน้ำ
หากตอนนั้นเธอไม่ระแวง ปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในห้อง เธอในตอนนี้จะยังมีชีวิตอยู่ไหม ?
เรื่องนี้มันทำให้มู่น่อนน่อนถึงกับเสียวสันหลัง และรู้สึกหวาดกลัว
ผู้ใหญ่สามารถคิดวิเคราะห์ยับยั้งชั่งใจได้มากกว่า ต่อให้ทำเรื่องไม่ดีลงไปก็จะคิดถึงผลที่ตามมา แต่เด็กอายุสิบกว่าปีแบบนี้ พวกเขาไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น จึงยิ่งบุ่มบ่ามและยิ่งไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา
เมื่อตำรวจเห็นสีหน้าของมู่น่อนน่อนไม่สู้ดี จึงได้มองสำรวจไปที่ท้องของเธอ“สามีคุณไม่อยู่บ้านเหรอ ?”
มู่น่อนน่อนนิ่งอึ้งไปแล้วตอบกลับว่า“งานเขายุ่งมากค่ะ”
ตำรวจพยักหน้า“ขอให้คุณโชคดี ตอนนี้ที่นี่ปลอดภัยแล้ว”
มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณค่ะ รบกวนคุณแล้ว”
แม้ตำรวจจะบอกว่าที่นี่ปลอดภัยแล้ว แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่คิดที่จะอยู่ที่นี่ต่อ
เมื่อก่อนที่เลือกอยู่ที่นี่ ก็เพราะอยากจะดูแลลูกในท้องอย่างสบายใจ
และเธอในตอนนี้ก็กำลังรอที่จะคลอด
อีกเหตุผลหนึ่ง ก็ย่อมต้องเป็นเพราะเฉินถิงเซียว
แม้ว่ามู่น่อนน่อนจะพักอาศัยอยู่ที่นี่มานานกว่าสี่เดือนแล้ว แต่ข้าวของของเธอไม่ได้มีมากอะไร แค่กระเป๋าเดินทางใบเดียวก็เก็บของที่มีได้ทั้งหมด
ตอนที่เธอลากกระเป๋าเดินทางออกมา ตำรวจคนนั้นก็ยังอยู่ และไม่มีใครเฝ้าสังเกตมองดูเธอ
หลังจากที่เธอไปแล้ว อีกฝั่งหนึ่งก็มีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งปรากฏตัวออกมา
คนหนึ่งในนั้นพูดขึ้นว่า “โทรหาผู้ช่วยสือ”
……
โรงแรมจีนติ่ง
ในห้องรับรอง กู้จือหยั่นนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ จับจ้องมองไปยังที่ประตู ขาดก็แต่จะมองให้ประตูทะลุเท่านั้น
และในตอนนี้เอง ประตูของห้องรับรองก็ถูกเปิดออกจากคนด้านนอก มีเฉินถิงเซียวที่เดินเข้ามา
ทันทีที่เห็นเฉินถิงเซียว กู้จือหยั่นก็รีบลุกขึ้น แล้วรีบดึงเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างออกให้อย่างเอาอกเอาใจ “ตอนนี้อยากจะกินข้าวกับนาย ก็ต้องจองคิวนัดล่วงหน้าถึงจะได้……”
เฉินถิงเซียวนั่งลงและไม่ได้พูดอะไร ไม่แม้แต่จะดูเมนูอาหาร เหลือบมองไปยังกู้จือหยั่นอย่างเย็นชา“นัดฉันมามีธุระอะไร?”
กู้จือหยั่นกลอกตามองบน“ไม่มีธุระอะไรกินข้าวกับนายไม่ได้เหรอ ? ล่าสุดที่เราเจอกันก็น่าจะปีที่แล้วเห็นจะได้มั้ง?”
เฉินถิงเซียวนิ่งเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็พูดคำตอบที่ถูกต้องไปว่า “เดือนก่อน”
“ฉันว่านาย……”กู้จือหยั่นพูดไปได้แค่ไม่กี่คำ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพลางพูดว่า“ฉันขอรับสายก่อน ”
เมื่อหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ก็พบว่าเป็นสายที่สือเย่โทรเข้ามา
กู้จือหยั่นมองไปที่เฉินถิงเซียวแวบหนึ่ง แล้วกดรับสาย “ทำไมถึงได้โทรมาหาฉัน ?”
สือเย่เพียงถามแค่ว่า“ตอนนี้คุณอยู่กับคุณผู้ชายไหม ? ”
“ใช่ เราอยู่ที่โรงแรมจีนติ่ง หาเขามีธุระเหรอ ?”กู้จือหยั่นตอบกลับ แล้วก็มองไปที่เฉินถิงเซียวแวบหนึ่ง
เฉินถิงเซียวรับรู้ได้ถึงสายตาที่กู้จือหยั่นมองมา ย่นคิ้วเล็กน้อย “สือเย่?”
สือเย่ที่อยู่ในสาย ได้ยินเสียงของเฉินถิงเซียว
สือเย่เช็ดไปยังเหงื่อเย็นที่ผุดขึ้นตามหน้าผาก เมื่อกี้ได้รับข่าวมา ว่ามู่น่อนน่อนไม่เพียงไม่ได้ไปเช่าห้องที่พวกเขาจัดเตรียมเอาไว้ให้ แต่กลับคืนห้องเช่าเดิมอีกด้วย
ซึ่งนั้นก็หมายความว่า มู่น่อนน่อนคงรู้แล้วว่าเฉินถิงเซียวนั้นคอยจัดแจงทุกอย่างให้อยู่
หากเฉินถิงเซียวรู้ว่าคนที่เขาส่งไปถูกมู่น่อนน่อนจับได้แล้ว จะคลุ้มคลั่งแค่ไหนกัน ?
สือเย่ไม่กล้าที่จะรายงานเรื่องนี้ให้กับเฉินถิงเซียวได้รู้ จึงอยากให้กู้จือหยั่นช่วย……
ผลคือ เขาก็ไม่คิดว่ากู้จือหยั่นกับเฉินถิงเซียวจะอยู่ด้วยกัน……
กู้จือหยั่นไม่รู้ความคิดอ่านของสือเย่ จึงถามไปว่า “นายจะหาเฉินถิงเซียวเหรอ ? จะคุยกับเขาไหม ? ”
สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของสือเย่ก็เริ่มทำงาน น้ำเสียงขึงขังและจริงจังขึ้นมา “ไม่ต้องให้คุณผู้ชายรับสายหรอกครับ คุณช่วยบอกคุณผู้ชายให้หน่อย ว่าคนที่เราส่งไปถูกคุณหญิงน้อยจับได้แล้ว ”
คำพูดสุดท้ายยังไม่ทันได้พูดจบ สือเย่ก็รีบวางสายไป
กู้จือหยั่นโยนมือถือไปอีกทาง ถามเฉินถิงเซียวด้วยความสงสัยไปว่า“เขาให้ฉันบอกนาย ว่าคนที่พวกนายอะไรส่งไปถูกคุณหญิงน้อยจับได้แล้ว ”
หลังจากที่พูดจบ กู้จือหยั่นถึงได้รู้สึกว่าคำพูดนี้มันแปลกๆ
“คุณหญิงน้อยอะไร?”กู้จือหยั่นถามเองตอบเอง “มู่น่อนน่อน?”
“คุณหญิงน้อย”ที่สือเย่พูดถึง ก็คือมู่น่อนน่อนไม่ใช่เหรอ ?
ในช่วงครึ่งปีมานี้ กู้จือหยั่นเจอหน้าเฉินถิงเซียว แทบจะนับครั้งได้เลย
เพราะเฉินถิงเซียวนั้นยุ่งมาก
ยุ่งกับการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆของบริษัท ยุ่งกับการประชุม ยุ่งกับการเดินทางดูงานนอกพื้นที่ ……
เขายุ่งมากจนกู้จือหยั่นต้องทำการนัดล่วงหน้า เพื่อที่จะได้เจอเขา เพราะฉะนั้นกู้จือหยั่นจึงไม่มีโอกาสเจอเขาเพื่อสอบถามเรื่องของมู่น่อนน่อน
ในใจของเขายังงงๆ ทำไมอยู่ๆเฉินถิงเซียวถึงไม่ไปตามหามู่น่อนน่อน ไม่คิดว่าเฉินถิงเซียวจะยังมีแผนสำรอง
“พวกไร้ประโยชน์!”
เสียงของเฉินถิงเซียวดังขึ้น น้ำเสียงอันเย็นเยือกยังแฝงไปด้วยความกรุ่นโกรธ
กู้จือหยั่นไหวพริบดี คิดทบทวนทั้งหมดอีกรอบ ก็เข้าใจทุกอย่างได้ในทันที
เขาเห็นใบหน้าที่เคร่งเครียดของเฉินถิงเซียว ก็พินิจพิเคราะห์แล้วถามไปคำหนึ่งว่า“มู่น่อนน่อนคงน่าจะใกล้คลอดแล้วใช่ไหม ? ”
เฉินถิงเซียวไม่แม้แต่จะมองเขา ลุกขึ้นยืนแล้วพลางพูดขึ้นว่า “กำหนดคลอดต้นเดือนกรกฎาคม”
“นายจะไปแล้ว ? เรายังไม่ได้กินข้าวกันเลยนะ ?”เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะไป กู้จือหยั่นก็ลุกขึ้นยืนตาม
เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจเขา
กู้จือหยั่นร้องห้าม“คนที่นายส่งไปถูกมู่น่อนน่อนจับได้ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกมั้ง ? อย่างมากนายก็ส่งคนที่เธอไม่คุ้นหน้าไปอีก……”
“ไม่”เฉินถิงเซียวพูดด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์“เธอเป็นคนระมัดระวังตัวมาก ครั้งนี้เธอจับได้ ส่งคนไปตามดูเธออีก คงยากแล้ว ”
กู้จือหยั่นส่ายหัวไปมา ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า“ในเมื่อแอบตามไม่ได้ งั้นก็เผยตัวตน นายไปตามเธอกลับมา ในเมื่อยังไงเธอเองก็ใกล้จะคลอดแล้ว ”
เฉินถิงเซียวนิ่งไปชั่วขณะ
พามู่น่อนน่อนกลับมา ?
คิดว่าเขาไม่คิดเหรอ ?
เขาคิดอยู่ทุกวันว่าอยากจะไปพาตัวมู่น่อนน่อนกลับมา
จากนั้น ก็เก็บเธอไว้ให้อยู่ใกล้ๆตัวตลอดเวลา
เด็กหนุ่มออกแรง มู่น่อนน่อนไม่สามารถสลัดให้หลุดได้
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา พูดอย่างเย็นชาว่า“ปล่อยฉัน!”
มู่น่อนน่อนมีดวงตาที่กลมสวย เวลายิ้มก็ดูสดใสจนน่าหลงใหล แต่เมื่อจ้องมองอย่างเย็นชา ความหนาวเย็นนั้นก็สามารถแทรกซึมเข้าไปในกระดูกได้
เด็กหนุ่มที่จับตัวเธอไว้อายุยังน้อย ถูกมู่น่อนน่อนจ้องมองอย่างเย็นชาแบบนี้ แรงในมือก็คลายลงอย่างไม่รู้ตัว
มู่น่อนน่อนใช้จังหวะนี้ชักดึงมือออก แล้วถอยหลังออกห่างไปสองก้าวอย่างรวดเร็ว จ้องมองไปที่เขาอย่างระแวดระวัง
เด็กหนุ่มรู้สึกอับอายจนกรุ่นโกรธกับพฤติกรรมของตัวเองเมื่อครู่ ก่นด่าไปว่า “กะหรี่!”
พูดจบ ก็ยื่นมือไปจับมู่น่อนน่อนเอาไว้
ใบหน้าของมู่น่อนน่อนมีความตื่นตระหนกพาดผ่าน ในตอนนี้เอง ไม่รู้ว่ามีผู้ชายร่างกายกำยำที่ไหนจู่ๆก็กระโจนเข้ามา เดินมาที่ตรงหน้าของเธอกับเด็กหนุ่มคนนั้น แยกคนสองคนให้ออกจากกัน
ชายคนนั้นเหวี่ยงหมัดออกไป ทำให้เด็กหนุ่มล้มคว่ำลงไปที่พื้นทันที
“ปัง!”
เด็กหนุ่มล้มคะมำลงไปที่พื้น มือกุมท้องเอาไว้เจ็บจนร้องไม่ออก
มู่น่อนน่อนนิ่งอึ้งไปกับฉากละครที่เกิดขึ้นตรงหน้า ชายคนที่ยืนตรงหน้าหันกลับมองมาที่เธอแล้วถามด้วยความเป็นห่วงว่า“คุณผู้หญิง ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ ?”
ผู้ชายคนนี้พูดภาษาจีน
มู่น่อนน่อนเพิ่งจะสังเกตเห็น ผู้ชายที่ช่วยเธอคนนี้ เป็นคนเมืองZ หน้าตาธรรมดา แต่รูปร่างกำยำ เป็นคนที่เรียนศิลปะการต่อสู้มา
ฝีมือการต่อสู้เก่งกาจมาก เมื่อกี้เธอก็เพิ่งจะได้เห็นไป
มู่น่อนน่อนรู้สึกซาบซึ้งใจ “ฉันไม่เป็นไร ขอบคุณค่ะ ฉันชื่อมู่น่อนน่อน แล้วคุณชื่ออะไรคะ ? ”
ชายคนนี้ราวกับลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงได้ตอบกลับว่า“ แค่ผ่านมาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจหรอกครับ”
ชายคนนั้นพูดจบ ก็หันหลังเดินจากไป
มู่น่อนน่อนมองแผ่นหลังของเขาอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเขาแปลกๆ แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ก็ไม่กล้าที่จะอยู่นาน เร่งรีบจากไปอย่างร้อนรนเช่นกัน
บางทีบนโลกนี้ ก็อาจจะมีคนที่ทำความดีแล้วไม่อยากให้ใครรู้ชื่อแซ่ก็เป็นได้
……
มู่น่อนน่อนเข้าเมืองไปแล้วหาโรงแรมห้าดาวเข้าพักอยู่ที่นั่น
เธอจองห้องพักไว้สามคืน ตัดสินใจพักอยู่ที่นี่ไปก่อน แล้วค่อยคิดหาทางว่าจะเอายังไงต่อไป
ที่พักก่อนหน้า เธอคิดว่าคงจะไม่กลับไปอยู่ต่ออีกแล้ว แต่ก็ต้องกลับไปเก็บข้าวของ
และวันครบกำหนดคลอดของเธอก็ใกล้เข้ามาแล้ว หาบ้านพักก็คงจะหาที่มันห่างไกลแบบนั้นไม่ได้อีก หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ก็คงจะไม่โชคดีแบบคราวนี้แน่
ไม่นานมู่น่อนน่อนก็หาคอนโดที่ใกล้กับโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็วบนอินเทอร์เน็ต และที่บังเอิญก็คือ เจ้าของห้องเป็นคนเมืองZ เพราะงานเลยต้องย้ายไปยังต่างเมือง ดังนั้นเลยปล่อยห้องให้เช่า อีกทั้งยังปล่อยให้เช่าแค่คนเมืองZเท่านั้น
ทำเลที่ตั้งของห้องนี้ดีมาก การเดินทางสะดวกสบาย เฟอร์นิเจอร์ครบครัน เช่าระยะยาวหรือระยะสั้นก็ได้ทั้งนั้น
มู่น่อนน่อนลองโทรติดต่อไปหาเจ้าของห้องดู
หลังจากที่ต่อสายได้แล้ว มู่น่อนน่อนก็หยั่งเชิงด้วยการพูดเป็นภาษาจีน“สวัสดีค่ะ ฉันเห็นโพสต์ของคุณบนอินเทอร์เน็ต……”
เจ้าของน่าจะเป็นคนใจร้อนคนหนึ่ง ไม่รอให้เธอได้พูดจบ ก็พูดขัดเธอขึ้นมา“ใช่ ฉันจะปล่อยเช่า ฉันต้องขึ้นเครื่องไปต่างเมืองเที่ยวบินคืนนี้ หากคุณอยากดูห้องก็มาตอนนี้ได้เลย ”
นอกจากวิดีโอคอลกับฉินสุ่ยซาน และตอนที่โทรหาเสิ่นเหลียง มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้คุยภาษาจีนกับใครที่ไหนแบบนี้มานานมากแล้ว
“ได้ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ ”
มู่น่อนน่อนวางสาย แล้วยืนยันที่อยู่อีกครั้ง ก็โบกรถไปหาทันที
ที่ตั้งของคอนโดเป็นแหล่งพลุกพล่าน ทั้งสองคนนัดเจอกันที่หน้าประตู ในที่สาธารณะ มู่น่อนน่อนก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
เจ้าของห้องเป็นหญิงวัยกลางคน ที่แตกต่างจากที่คุยโทรศัพท์ก็คือ ตัวจริงของเธอเป็นคนที่อ่อนโยนมาก
ทันทีที่หญิงวัยกลางคนเห็นเธอ ก็พูดออกมาตรงๆว่า“ไปดูห้องกันก่อน เป็นคอนโดคนโสด มีของครบทุกอย่าง ดูว่าคุณจะอยู่นานแค่ไหน ”
เจ้าของห้องพูดจบ ก็เดินนำทางไป
มู่น่อนน่อนเดินตามหลังเธอแล้วพูดว่า “ฉันคงไม่ได้อยู่นานมาก”
“ก็ไม่เป็นไร เพราะฉันก็แค่อยากปล่อยเช่าให้คนเมืองZเท่านั้น ให้เพื่อนร่วมชาติได้อยู่อย่างสะดวกสบาย”
“คุณช่างเป็นคนดีจริงๆ”
เจ้าของห้องหัวเราะ และไม่ได้พูดอะไรอีก
ไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงที่ห้องพัก
การตกแต่งและสิ่งของการจัดวางภายในห้อง คล้ายกับภาพที่มู่น่อนน่อนเห็นผ่านทางอินเทอร์เน็ต ไม่ได้แตกต่างอะไรมาก ขนาดก็ดูจะกว้างกว่าที่เห็นในรูปเสียอีก
และค่าเช่าห้องก็ไม่ได้แพงมาก
มู่น่อนน่อนเดินวนดูไปรอบๆห้อง จากนั้นก็ได้ยินเจ้าของถามเธอว่า “เป็นยังไงพอใช้ได้ไหม ?”
“ฉันว่ามันดีมากเลยค่ะ ”มู่น่อนน่อนยกยิ้ม
“งั้นคุณจะเช่าไหม ? ฉันให้คุณตอนนี้ ……”
ไม่รอให้เจ้าของห้องได้พูดจบ มู่น่อนน่อนก็ส่ายหน้าให้อย่างรู้สึกผิดแล้วพูดว่า“ขอบคุณสำหรับความหวังดี ห้องนี้มันดีมาก แต่มันไม่เหมาะกับฉัน”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็รีบเดินออกไปทันที
น้ำเสียงของเจ้าของห้องเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“ นี่ คุณทำไม……”
มู่น่อนน่อนออกจากคอนโดไป สีหน้าอาการก็นิ่งและสงบลง
ตอนที่เธอโทรหาเจ้าของห้อง ไม่ได้บอกกับอีกฝ่ายว่าเธอกำลังตั้งท้องอยู่
และเมื่อเจ้าของห้องมาเห็นเธอในสภาพที่ท้องโย้ ไม่เพียงไม่เอ่ยถามสักคำ แม้แต่ท่าทีที่จะประหลาดใจก็ยังไม่มี
นี่มันชี้ชัดว่าอะไร ?
ชี้ชัดว่า เจ้าของห้องมีความสามารถพิเศษหยั่งรู้ล่วงหน้า รู้ว่าผู้เช่าของเธอเป็นหญิงตั้งครรภ์ ?
ไม่ นี่มันชี้ชัดว่า เจ้าของห้องคนนี้รู้อยู่แต่แรกแล้วว่ามีหญิงตั้งครรภ์คนหนึ่งต้องการที่จะเช่าห้องแบบนี้
มีคนแนะนำให้เจ้าของห้อง ให้เธอปล่อยห้องเช่านี้ให้กับมู่น่อนน่อน
และคนที่แนะนำคนนี้ ก็รู้มาพอดีว่าตอนนี้มู่น่อนน่อนกำลังต้องการจะเช่าห้องอยู่
เพียงแต่ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอในช่วงสองสามวันมานี้เธอไม่ได้บอกเล่าให้คนรู้จักของเธอที่ไหนฟังเลย
อีกทั้ง ห้องเช่าที่เธอหา ก็อยู่ในละแวกเดียวกันกับโรงแรมที่เธอพัก ห่างจากโรงพยาบาลไม่ไกลนัก
คนที่รู้ว่าเธอท้องและกำลังจะคลอดนั้นมีมาก แต่คนที่รู้ว่าเธอพักอยู่ที่โรงแรมนี้มีกี่คน ?
เว้นแต่คนที่อยู่เบื้องหลังคอยจัดแจงทุกอย่างนี้ ให้คนคอยตามดูเธออยู่ตลอด
เมื่อผลที่คิดวิเคราะห์ออกมาได้ ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกตกใจ
นอกจากเฉินถิงเซียวแล้วจะเป็นใครไปได้อีก ?
เรื่องของหญิงวัยกลางคนที่จะปล่อยห้องเช่าให้เธอไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แล้วผู้ชายก่อนหน้าที่ช่วยเธอนั้นละ ? ใช่ความบังเอิญไหม ?
หัวสมองของมู่น่อนน่อนสับสนวุ่นวายไปหมด
ในช่วงหลายเดือนมานี้ เฉินถิงเซียวเป็นเพียงคนเดียวที่เธอไม่ติดต่อเขา ยกเว้นบางครั้งที่จะอดไม่ได้อยากจะรู้ข่าวคราวของเฉินถิงเซียวแล้วไปหาข่าวของเขาในอินเทอร์เน็ต เฉินถิงเซียวคนนี้แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเธอแล้วทั้งสิ้น
แต่ว่า ในตอนนี้ มู่น่อนน่อนก็เพิ่งจะมาตระหนักได้ว่า ที่เธอคิดนั้นมันตื้นเขินเกินไป
เฉินถิงเซียว……
เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่ ?
เขาคอยให้คนมาสอดส่องเธออยู่ตลอด หรือเป็นเพราะเธอใกล้คลอดแล้ว เขาต้องการเด็ก เลยต้องทำแบบนี้ ?
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าความเป็นไปได้อย่างหลังน่าจะมีมากกว่า
เฉินถิงเซียวเผด็จการและบ้าอำนาจ หากเขาต้องการตามตัวเธอกลับไปจริงๆ ไม่มีทางปล่อยให้เธอใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกเป็นเวลานานขนาดนี้แน่
และเขาก็ยังบังเอิญลงมือทำทุกอย่างในช่วงเวลานี้ นอกจากเพราะเรื่องของเด็กแล้วจะเป็นอะไรไปได้อีก ?
เฉินถิงเซียวฉลาดเป็นกรด ไม่มีทางทำอะไรที่มันไม่ได้ผลประโยชน์แน่
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากแน่น ครุ่นคิดในใจเงียบๆ เด็กคนนี้ เธอไม่ยอมให้เฉินถิงเซียวพากลับไปที่ตระกูลเฉินแน่นอน
ในตอนนี้กำลังอยู่ตรงแยกสัญญาณไฟจราจร สือเย่ชะโงกหัวไปดู ก็เห็นว่าที่เฉินถิงเซียวชี้นั้นเป็นรูปถ่ายกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังของมู่น่อนน่อน
มองดูเพียงพริบตาเดียว สือเย่ก็ไม่เห็นว่ามันไม่มีอะไรที่ผิดปรกติ
สือเย่ยังพูดตอบอย่างจริงจังว่า“คนที่ผ่านไปมาไงครับ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงจริงจัง“คนเหล่านี้เมื่อก่อนไม่เคยเห็นมาก่อน”
ใบหน้าสือเย่มึนงง “ห๊า?”
หลายเดือนมานี้ เฉินถิงเซียวไม่เคยไปที่ซิดนีย์ มู่น่อนน่อนที่เขาเห็น ก็เป็นมู่น่อนน่อนที่ดูผ่านรูปถ่ายเท่านั้น
หรือตลอดเวลาทุกครั้งที่เขาดูรูปของมู่น่อนน่อน ก็จำทุกคนที่ปรากฏอยู่บนรูปถ่ายของมู่น่อนน่อนได้ ?
ในใจของสือเย่ยังคงแปลกใจเล็กน้อย ก็ได้ยินเสียงเข้มๆของเฉินถิงเซียวถามว่า“ให้คนไปเช็กดูว่าคนพวกนี้เป็นใคร และให้พวกเขาคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิดด้วย”
“ครับ”สือเย่รับคำ
สือเย่ขับรถไปจอดลงตรงหน้าคอนโด
เขามองดูเฉินถิงเซียวเดินเข้าไปแล้ว ถึงได้จากไป
เฉินถิงเซียวเปิดประตู ในห้องมืดสนิท
เขาเอื้อมมือไปเปิดไฟภายในห้อง แล้วเดินตรงเข้าไปในห้องนอน
ภายในห้องนอนมีรูปของมู่น่อนน่อนติดอยู่เต็มไปหมด
ภาพเหล่านี้ เป็นภาพถ่ายที่ในช่วงไม่กี่เดือนนี้ ที่เขาส่งลูกน้องไปซิดนีย์เพื่อถ่ายภาพแล้วส่งกลับมาให้ บางรูปก็ชัด บางรูปก็เบลอ
ต่อให้เป็นภาพที่เบลอและมองเห็นเป็นเพียงภาพเงา เฉินถิงเซียวก็ลบทิ้งไม่ลง แต่กลับไปล้างอัดรูปมาด้วยตัวเอง
เฉินถิงเซียวถอดเสื้อคลุมออก ค่อยๆม้วนแขนเสื้อขึ้นไปจนถึงแขน หยิบเอาสายเชื่อมต่อไปที่หน้าเครื่องปริ้น แล้วต่อโทรศัพท์เชื่อมเข้ากับเครื่องปริ้น ปริ้นภาพของวันนี้ออกมา
……
มู่น่อนน่อนหลับไปในกลางดึก ก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงเพลงที่ดังกึกก้อง
เธอลืมตาขึ้นในความมืด นอนอยู่บนเตียงอย่างมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ถึงฟังออกว่าเสียงเพลงที่ดังขึ้นนั้นดังมาจากข้างบ้าน
วัยรุ่นนั้นมีพลังงานล้นเหลือเธอรู้ดี แต่มีพลังงานแล้วไม่มีความเกรงใจปาร์ตี้เปิดเพลงเสียงดังรบกวนคนอื่นอย่างนี้มันได้เหรอ ?
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นจากเตียง เดินไปที่ริมหน้าต่าง เปิดผ้าม่านตรงมุมแล้วมองออกไป
บ้านที่เธออยู่กับบ้านข้างๆมีเพียงกำแพงรั้วเท่านั้นที่กั้นกันอยู่ มองออกไปจากห้องเธอ ก็เห็นกองไฟที่ลุกโชนอยู่ในสวนของบ้าน และคนที่นั่งล้อมรอบอยู่
กองไฟนั้นให้แสงสว่างมาก ระยะห่างก็ไม่ได้ไกลกันนัก มู่น่อนน่อนก็จำคนบางคนในนั้นได้ทันที เป็นคนที่เธอเจอตรงหน้าประตู ในตอนกลางวันตอนที่เธอออกไปกินข้าว
เธอจำรูปร่างของพวกเขาได้และจำเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ในตอนกลางวันได้
ที่ตรงนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองมาก คนส่วนใหญ่ที่พักอาศัยอยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนแก่วัยเกษียณ แต่เด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้แตกต่างไป หากจะจำได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ในกลุ่มของพวกเขามีบางคนที่มู่น่อนน่อนไม่เห็นหน้าในตอนกลางวัน มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทำตัวลับๆล่อๆดูก็รู้ว่าไม่ได้กำลังทำเรื่องดีอะไรอยู่ ……
พวกเขาส่งเสียงดังขนาดนี้ ที่เดือดร้อนไม่ได้มีแค่มู่น่อนน่อนคนเดียว แต่ไม่มีใครออกมาห้ามปรามพวกเขา
คนกลุ่มนี้ดูไปแล้วก็ไม่น่าเอาตัวเข้าไปแลกด้วยสักเท่าไร และมู่น่อนน่อนที่ตัวคนเดียวแถมยังท้องอีกด้วย ก็จึงไม่กล้ามีปากเสียงอะไรเป็นเรื่องธรรมดา
เธอกลับมาที่เตียง ดึงผ้าห่มคลุมศีรษะ คลุมไว้อย่างมิดชิด แต่ก็ยังปิดกั้นเสียงที่ดังเหล่านั้นไม่ได้
จนกระทั่งใกล้จะรุ่งสาง เสียงถึงได้ค่อยๆเงียบลง
ตลอดทั้งคืนมู่น่อนน่อนนอนหลับไม่สนิท เช้ามาก็จึงไม่สดชื่น ปิ้งขนมปังสองแผ่นอย่างอ่อนเพลีย และจะต้มไข่อีกฟองเพื่อกินเป็นอาหารเช้า
และในขณะที่เธอกำลังจะต้มไข่ ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
มู่น่อนน่อนมองไปยังประตูแวบหนึ่ง คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย แต่ก็เดินไปที่ประตู
มองจากรอยแยกของประตู ก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง มู่น่อนน่อนจึงเปิดประตู
หญิงสาวพูดทักทายเธอก่อน “สวัสดีค่ะ!”
“สวัสดีค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ ? ”มู่น่อนน่อนเปิดบานประตูแค่ครึ่งเดียวแล้วเอาตัวขวางประตูไว้ ไม่ได้กะจะให้หญิงสาวเข้ามาในห้อง
หญิงสาวใส่เสื้อฮู้ดสีชมพู ท่อนล่างใส่กางเกงขาสั้นที่แทบจะปิดก้นเอาไว้ไม่มิด ดูแล้วอายุก็น่าจะยังไม่มากเท่าไร
ในตอนที่มู่น่อนน่อนกำลังประเมินหญิงสาวอยู่นั้น ตัวหญิงสาวเองก็กำลังประเมินเธออยู่เช่นกัน
สายตาของหญิงสาวจับจ้องไปที่ท้องของมู่น่อนน่อน จากนั้นก็เลื่อนไปมองที่ใบหน้าของมู่น่อนน่อน พูดเป็นภาษาอังกฤษกับเธอว่า “ขอเข้าห้องน้ำหน่อยได้ไหม ? ที่บ้านของเพื่อนฉันมีคนเยอะเกินไป อยากจะเข้าห้องน้ำต้องเข้าคิว ฉันรีบมาก”
มู่น่อนน่อนลังเลอยู่สองวิ แล้วพูดว่า“ขอโทษนะ สามีของฉันอยู่ในห้องน้ำ เขาเป็นโรคท้องผูก หากเธอไม่รังเกียจที่จะรอสักหนึ่งชั่วโมง……”
“โอ้พระเจ้า……”หญิงสาวทำท่าทางตกใจ “ ฉันเห็นใจคุณจริงๆ”
จากนั้น หญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป
มู่น่อนน่อนก็รีบปิดประตูลงทันที
แต่แล้ว หลังจากที่เธอปิดประตูลง ก็ไม่ได้เดินไปที่ห้องครัวทันที แต่กลับมองลอดผ่านรอยแยกของประตูดูภาพของด้านนอก
จากรอยแยกตรงประตู เธอเห็นหญิงสาวคนนั้นเดินออกไปก็เจอผู้ชายอีกคนพอดี
ไม่รู้เหมือนกันว่าหญิงสาวพูดอะไรกับผู้ชายคนนั้น ผู้ชายคนนั้นก็มองมายังที่ประตูห้องของมู่น่อนน่อน
แม้มู่น่อนน่อนจะรู้ ว่าพวกเขามองไม่เห็นเธอ แต่เธอก็หวาดกลัวเล็กน้อย
วัยรุ่นกลุ่มนี้น่าจะไม่ใช่คนดีอะไร
เด็กหญิงคนเมื่อกี้คงไม่ได้ตั้งใจจะมาขอเข้าห้องน้ำจริงๆ เป็นไปได้ว่าเธออาจจะมาดูลาดเลาว่าอยู่คนเดียวหรือเปล่า
วัยรุ่นอายุแค่สิบกว่าปีชอบหาเรื่องตื่นเต้น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คงลงมือทำได้ทั้งนั้น
มู่น่อนน่อนเป็นคนที่ไม่เคยมองคนอื่นในแง่ร้าย แต่พฤติกรรมของเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้ก็ช่างน่าสงสัยจริงๆ
กลับมาที่ห้องครัว ความอยากที่จะกินอาหารเช้าของมู่น่อนน่อนก็ไม่มีแล้ว
ไม่งั้นก็ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นก่อนสักพัก ?
มู่น่อนน่อนยิ่งคิด ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
คนข้างบ้านกลุ่มนั้นเมื่อคืนก็ปาร์ตี้กันแล้วทั้งคืน ในตอนนี้น่าจะกำลังนอนหลับกันอยู่ หากเธอออกไปตอนนี้ ก็ไม่น่าจะเจอพวกเขา
เมื่อคิดได้ดังนั้น มู่น่อนน่อนก็จัดเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าไปชุดหนึ่ง แล้วสะพายออกจากบ้านไป
เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหลบหนีไปก่อน
มู่น่อนน่อนล็อกประตูเรียบร้อย สำรวจดูรอบๆบริเวณ แน่ใจว่าไม่มีใคร ก็เดินออกไปอย่างสบายใจ
เพียงแต่ว่า ในตอนที่เธอเดินมาถึงที่สวน ก็เพิ่งจะเห็นว่าที่ตรงกำแพงมีคนยืนอยู่
เป็นคนในพื้นที่ผมทองตาสีฟ้า สวมเสื้อสีแดง ใบหน้าอ่อนเยาว์แต่ตัวสูงมาก ดูออกว่าอยู่ในวัยที่กำลังโต ดังนั้นเขาจึงดูผอมและไม่สมส่วน
มือข้างหนึ่งของเขายันไปที่กำแพง ยกยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย“ สวัสดีครับ คนสวย”
มู่น่อนน่อนก้าวถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว พยักหน้าให้เล็กน้อยเหมือนทักทาย หันหลังให้แล้วจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง
เมื่อเห็นว่ามู่น่อนน่อนกำลังจะเดินไป ชายคนนั้นก็เดินตามไปทันที
เขาเดินตามมู่น่อนน่อนแล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษไปด้วยว่า“อย่าเพิ่งรีบไปสิ เมื่อวานเราเพิ่งจะเจอกันไม่ใช่เหรอ ? คุณจำผมไม่ได้เหรอ?”
มู่น่อนน่อนทำทีเป็นไม่ได้ยิน แล้วเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
แต่ว่า เด็กชายคนนั้นตัวสูงกว่าเธอมาก ขาก็ยาวกว่า แค่ไม่กี่ก้าวก็ตามมาทัน จับเธอไว้แน่นแล้วเริ่มพูดตามตื๊อไม่หยุดว่า“ผมกำลังพูดกับคุณอยู่ คุณไม่ได้ยินเหรอ ? คุณฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องเหรอ ? คุณมาจากไหน ? ”
มู่น่อนน่อนเลื่อนเมาส์ ค่อยๆเลื่อนลงดูอันด้านล่าง
ข่าวส่วนใหญ่ในตอนนี้ มักจะพาดหัวข่าวเพื่อดึงดูดความสนใจของคน เนื้อหาของข่าวมีส่วนที่คล้ายคลึงกันเกือบทั้งหมด
แต่ข่าวที่เกี่ยวกับเฉินถิงเซียว มักเป็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
ในบางครั้งก็อาจจะมีข่าวซุบซิบมาบ้าง แต่ก็ล้วนเป็นข่าวโคมลอยทั้งสิ้น
เฉินถิงเซียวหน้าตาหล่อเหลา และมีฝีมือยอดเยี่ยม เบื้องหลังยังเป็นผู้มีอำนาจและอิทธิพลของตระกูลเฉิน จึงมักจะถูกดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ง่ายเป็นธรรมดา
เมื่อก่อนตอนที่เขายังไม่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน เมื่อมีคนพูดถึงเขา ก็มักจะพูดว่าเขา“หน้าตาขี้เหร่ไม่มีมนุษยธรรม”ประมาณนี้
แต่ตอนนี้ เข้าค้นหาเรื่องของเขาบนหน้าเว็บต่างๆ คำพูดที่พูดถึงตัวเขาทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปหมดแล้ว
เศรษฐีใหม่ในวงการธุรกิจที่มีมูลค่าพันล้าน……
ทายาทคนเดียวของตระกูลเฉินที่เปี่ยมด้วยบารมีที่น่าเกรงขาม……
สิ่งเหล่านี้สุ่มเลือกมาสักอัน ล้วนเป็นสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปเอื้อมไม่ถึง
และมู่น่อนน่อน ก็เป็นหนึ่งในคนธรรมดาทั่วไปเช่นกัน
เมื่อก่อนตอนที่อยู่กับเฉินถิงเซียว ความรู้สึกนี้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร แต่พอทั้งสองคนอยู่ห่างกันนานวันเข้า ความรู้สึกนี้มันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
บางครั้งมู่น่อนน่อนก็มักจะนึกถึงช่วงเวลาที่เธอได้เคยใช้ชีวิตอยู่กับเฉินถิงเซียว ก็รู้สึกว่ามันเหมือนกับเป็นความฝันยังไงอย่างนั้น
จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าลูกในท้องกำลังเตะเธออยู่
มู่น่อนน่อนก้มหน้าลง ยื่นมือลูบไปที่หน้าท้องราวกับจะปลอบประโลม พูดปลอบเสียงเบา “ลูกรัก คนนี้คือพ่อของลูก หน้าตาเขาหล่อมาก แต่นิสัยเขาไม่ค่อยดีเท่าไร……”
พูดๆอยู่ มู่น่อนน่อนก็พูดต่อไม่ได้
เธอเม้มปาก ปิดคอมพิวเตอร์แล้วลุกขึ้น เข้าครัวเพื่อทำอะไรกิน
ในตอนที่เปิดตู้เย็น ก็พบว่าในตู้เย็นไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
กับสภาพร่างกายของเธอที่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งจะอุ้ยอ้าย เพราะหวังอยากจะแก้บทละครของเธอกับฉินสุ่ยซานให้เสร็จโดยเร็ว ช่วงนี้เลยไม่ได้ออกไปไหนเลย
ดูแล้ววันนี้คงต้องออกไปกินข้าวข้างนอกแล้ว
มู่น่อนน่อนกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่อีกชุด หยิบกระเป๋าแล้วออกจากบ้านไป
……
อุณหภูมิที่ซิดนีย์ในช่วงเดือนเมษานั้นกำลังดี ไม่หนาวและไม่ร้อนมาก
ในตอนที่มู่น่อนน่อนออกจากบ้าน ก็พบว่าประตูของเพื่อนข้างบ้านนั้นเปิดอยู่ ประตูหน้าบ้านก็ยังมีรถจอดอยู่อีกหลายคัน
เธออาศัยอยู่ที่นี่มาสองสามเดือนแล้ว ไม่เคยเห็นหน้าเพื่อนข้างบ้านมาก่อน
เวลาที่เธอเดินผ่าน ก็อดไม่ได้ที่จะชะเง้อมองด้วยความสงสัยเข้าไปข้างในบ้าน
ในตอนนี้เอง ด้านในก็มีเด็กหนุ่มอายุราวๆสิบหกสิบเจ็ดเดินออกมาสองสามคน มีทั้งคนผิวดำ และคนผิวขาว พวกเขาพูดคุยหยอกล้อกอดคอกันเดินออกมา
เมื่อมู่น่อนน่อนเห็น ก็นิ่งงัน หันหลังแล้วเดินจากไปทันที
วัยรุ่นกลุ่มนั้นก็เห็นเธอด้วยเช่นกัน
ใบหน้าแบบคนชาวตะวันออกนั้นพบเห็นได้ไม่ยาก แต่คนท้องที่หน้าตาสะสวยและตัวคนเดียวแบบนี้ ยากที่จะได้เห็นนัก
ด้านหลังมีเสียงผิวปากของกลุ่มวัยรุ่นดังขึ้น
นอกจากนั้นยังมีคำพูดเป็นภาษาอังกฤษปนมาด้วย ก็ประมาณ“สวย”“คนสวย”ราวๆนี้
น้ำเสียงของพวกเขาเท่าที่มู่น่อนน่อนได้ยิน ดูไม่เป็นมิตรเท่าไร
มู่น่อนน่อนไม่ได้สนใจพวกเขา ฝีเท้าก้าวเร็วขึ้น เดินอย่างเร่งรีบไปยังร้านอาหารที่เธอไปกินประจำ
กิจกรรมทั่วไปของมู่น่อนน่อนไม่ได้มีมากนัก ปรกติไปซื้อของหรือกินข้าวก็จะอยู่ละแวกนี้เท่านั้น บวกกับเธอที่หน้าตาสะสวย พนักงานในร้านอาหารต่างก็รู้จักเธอ
ทันทีที่เธอเข้ามา ก็มีพนักงานทักทายเธอเป็นภาษาอังกฤษ“คุณมู่ คุณมาแล้ว ”
มู่น่อนน่อนยกยิ้ม“ ฉันขอพิซซ่าขนาดหกชิ้น และน้ำผลไม้แก้วหนึ่ง”
“ได้ค่ะ กรุณารอสักครู่”พนักงานยิ้มแล้วสั่งอาหารให้เธอ จากนั้นก็ไปยังที่เคาน์เตอร์
ที่นั่งของมู่น่อนน่อนอยู่ไม่ไกลจากเคาน์เตอร์มากนัก และยังได้ยินเสียงพูดของพนักงานเบาๆ “ คนท้องที่หน้าตาสวยๆคนนั้นมากินข้าวที่นี่อีกแล้ว……”
คำพูดนี้ฟังดูแล้วมันแปลกๆ แต่มู่น่อนน่อนรู้ว่าพวกเขาไม่ได้คิดร้ายอะไร
กินเสร็จ มู่น่อนน่อนก็ไปที่ซูเปอร์เพื่อซื้อของ เสร็จแล้วจึงได้กลับบ้าน
ในตอนที่เดินผ่านประตูหน้าบ้านที่อยู่ข้างๆหลังนั้น มู่น่อนน่อนก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
ยังดี ที่วัยรุ่นกลุ่มนั้นไม่อยู่บ้าน เหมือนมีธุระออกไปแล้ว
……
เมืองหู้หยาง
เฉินถิงเซียวออกจากตึกของบริษัทเฉินซื่อ ก็ดึกมากแล้ว
สือเย่เห็นเขาเดินออกมา ก็ไปเปิดประตูรถให้เขาอย่างอัตโนมัติ“คุณผู้ชาย”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ขึ้นรถไป แต่มองมาที่เขา
สือเย่รู้ความหมาย ยื่นมืออีกข้างหนึ่งออกมา ในมือมีโทรศัพท์ที่ดูสะดุดตา
เฉินถิงเซียวรับมันมา เขาไม่ได้เร่งรีบขึ้นไปบนรถ ยืนอยู่ที่ตรงประตูรถแล้วเปิดโทรศัพท์ออกดู
หน้าจอก็สว่างวาบขึ้นมา ในนั้นปรากฏภาพของผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้หญิงในภาพสวมใส่เสื้อโค้ตแบบบางสีเทา ข้างในเป็นเดรสหลวมๆสีขาว มีพุงอ้วนๆและกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ในร้าน
คนที่ถ่ายรูปน่าจะแอบถ่ายจากที่ไกลๆผ่านหน้าต่างของร้าน เพราะฉะนั้นใบหน้าของหญิงสาวจึงไม่ค่อยชัดเท่าไร
ในตอนที่เธอก้มหน้ารับประทานอาหาร เส้นผมก็ย้อยปรกไปกว่าครึ่งหน้า แต่ดวงตาของเฉินถิงเซียวก็จับจ้องไปที่ภาพนั้น ดูจนเหม่อลอย
ครู่ใหญ่ เฉินถิงเซียวถึงได้พูดออกมา “ช่วงนี้เธอกินแต่ของพวกนี้เหรอ ?”
น้ำเสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย ฟังจากท่ามกลางสายลมในค่ำคืนช่างดูโดดเดี่ยวนัก
สือเย่ตอบกลับ“ปรกติคุณหญิงน้อยจะทำอาหารกินเอง แต่ในช่วงนี้ไม่ได้ออกจากบ้านเลย คงน่าจะกำลังยุ่งเรื่องงานอยู่ ที่บ้านไม่มีวัตถุดิบเหลือถึงได้ออกมากินนอกบ้าน ”
“อืม”เฉินถิงเซียวตอบกลับเสียงเบา แล้วถึงได้โน้มตัวขึ้นรถไป
สือเย่เห็นเขาเป็นแบบนี้ หลังจากที่ปิดประตูรถให้เขาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจ
ก่อนหน้านั้น เฉินถิงเซียวบอกว่าอย่าไปรบกวนมู่น่อนน่อน สือเย่คิดว่าเขาคงพูดเล่นเท่านั้น
เพราะจากที่รู้จักกับเฉินถิงเซียว เป็นไปไม่ได้ที่เฉินถิงเซียวรู้ว่ามู่น่อนน่อนอยู่ไหนแล้วจะไม่ไปตามกลับมา
ในตอนที่เฉินถิงเซียวยังเป็นวัยรุ่นเคยถูกลักพาตัว นิสัยจึงค่อนข้างแปลก หวาดระแวงและขี้สงสัย ยากที่จะรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
ดังนั้น ตอนที่สือเย่ได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียว ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไร
คิดว่าผ่านไปไม่กี่วันเฉินถิงเซียวก็น่าจะเปลี่ยนใจ ไปพาตัวมู่น่อนน่อนกลับมา
ไม่คิดว่า เขาจะเดาผิดหมด
เฉินถิงเซียวไม่เพียงไม่ให้คนไปตามตัวมู่น่อนน่อนกลับ แต่ยังให้คนไปคอยตามดูมู่น่อนน่อน และยังสั่งให้ลูกน้องห้ามให้มู่น่อนน่อนจับได้ ถ่ายรูปเธอส่งมาให้ด้วยทุกวัน
หากวันไหนที่มู่น่อนน่อนไม่ได้ออกจากบ้าน ต่อให้เป็นแค่รูปของหน้าประตู ก็ต้องถ่ายมันกลับมาให้ดู
กู้จือหยั่นพูดกับสือเย่อยู่หลายครั้ง ว่าเฉินถิงเซียวนั้นบ้าไปแล้ว
ในใจของสือเย่ ก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
สือเย่ส่ายหัว แล้วเดินอ้อมไปขึ้นรถอีกฝั่ง ขับรถไปตามทิศทางคอนโดของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนวางเพลิงเผาวิลล่าของเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวจึงย้ายมาอยู่คอนโดที่ห่างจากบริษัทเฉินซื่อไม่ไกลนัก หรือบางครั้งก็พักอยู่ที่บริษัท
สือเย่ขับรถไปด้วย ก็เฝ้าสังเกตอาการของเฉินถิงเซียวไปด้วย
ในมือของเฉินถิงเซียวยังคงถือโทรศัพท์แล้วดูรูปของมู่น่อนน่อนไปด้วย
วันนี้รูปถ่ายที่ส่งมามีจำนวนมาก เฉินถิงเซียวเปิดดูแต่ละรูปจึงใช้เวลานาน
จู่ๆ นิ้วของเขาก็หยุดไปชั่วขณะ
ในภาพถ่าย ด้านหลังของมู่น่อนน่อน เป็นกลุ่มวัยรุ่นที่มีผิวต่างสีกัน
เฉินถิงเซียวที่ดูรูปของมู่น่อนน่อนเป็นกิจวัตรประจำวัน มองออกทันทีว่าภาพด้านหลังนั้นเป็นภาพบริเวณบ้านของมู่น่อนน่อน
เฉินถิงเซียวถามเสียงเข้ม “คนพวกนี้เป็นใคร ?”
สือเย่แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
แม้ว่าเฉินถิงเซียวจะพูดซ้ำๆอยู่สองรอบ สือเย่ก็ยังคงราวกับตัวเองหูฝาดไป
“คุณผู้ชาย……”
เขากำลังจะเอ่ยปากถามอยากได้รับการยืนยันจากเฉินถิงเซียวอีกครั้ง เฉินถิงเซียวก็กลับค่อยๆยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้เขารู้ว่าไม่ต้องพูดอีกแล้ว
สือเย่นิ่งงันไปชั่วขณะ จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินออกไป
ก่อนหน้านั้นกู้จือหยั่นแยกกันกับเสิ่นเหลียงอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ตอนนี้ดีกันแล้ว และทันได้เห็นสือเย่เดินออกมาจากห้องทำงานของเฉินถิงเซียวพอดี
เขาเร่งฝีเท้าแล้วเดินตามไปยังทิศทางเดียวกับสือเย่“ทำไม ? หามู่น่อนน่อนเจอแล้วเหรอ ?”
สือเย่ขมวดคิ้วแล้วพยักหน้าให้ “เจอแล้ว”
กู้จือหยั่นเห็นสือเย่คิ้วชนกัน ท่าทีดูหนักใจและเป็นกังวล จึงเอ่ยปากถามอย่างไม่เข้าใจไปว่า“เฮ้ย หามู่น่อนน่อนเจอแล้ว เฉินถิงเซียวไม่ได้ให้พวกนายไปตามเธอกลับมาเหรอ ? หรือเขาจะไปตามเธอกลับมาเอง ? ”
สือเย่ส่ายหัว“ไม่ใช่ทั้งนั้น คุณผู้ชาย……”
นิ่งไปชั่วขณะ สือเย่ก็คิดคำพูดหนึ่งออกมาได้เพื่อเปรียบเปรยเฉินถิงเซียว
“ฉันรู้สึกว่าคุณผู้ชายแปลกไป ”
“แปลกไป?”กู้จือหยั่นกระตุกมุมปาก
“คุณผู้ชายเขาไม่ได้ให้เราไปพาตัวคุณหญิงน้อยกลับมา และก็ไม่ได้กะจะไปรับกลับด้วยตัวเอง เขาบอกเพียงให้เราอย่าไปรบกวนเธอ”
เมื่อกู้จือหยั่นได้ฟังคำพูดนี้ อากัปกิริยาก็ไม่ได้ต่างไปจากสือเย่ในตอนนี้เท่าไร
เขานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แล้วถามว่า “เขาเป็นอะไรไป?”
สือเย่ส่ายหัวให้อย่างงุนงง
ติดตามเฉินถิงเซียวมานานหลายปี โดยส่วนมากแล้วเขาก็พอจะเดาความคิดอ่านของเฉินถิงเซียวได้อยู่บ้างเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรก ที่สือเย่จับต้นชนปลายไม่ถูก และรู้สึกเหมือนตัวเองคาดเดาความคิดความอ่านของเขาไม่ได้เลย
กู้จือหยั่นก็คิดเหมือนเขาไม่ต่างกัน
……
แม้ว่ามู่น่อนน่อนจะย้ายออกจากโรงแรมแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ
เธอพักค้างคืนอยู่ที่โฮมสเตย์นั่น ตอนกลางวันอำพรางตัว แล้วแอบไปที่ร้านกาแฟตรงข้ามกับโรงแรม เลือกที่นั่งตรงริมหน้าต่าง สั่งน้ำผลไม้แล้วนั่งอยู่ที่นั่นตลอดทั้งวัน
จุดประสงค์ที่เธอทำแบบนี้ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ก็เพียงแค่จะเฝ้าดูว่าคนของเฉินถิงเซียวจะมาตามหาเธอที่โรงแรมเมื่อไร
เธอคิดว่า ด้วยความสามารถของเฉินถิงเซียว วันรุ่งขึ้นก็สามารถเช็กโรงแรมที่เธอจองได้แล้ว
แต่ว่า เธอนั่งเฝ้าอยู่ที่ร้านกาแฟมาได้สองสามวันแล้ว จนกระทั่งห้องพักที่เธอจองนั้นถึงกำหนด ก็ไม่เห็นคนของเฉินถิงเซียวปรากฏตัว
หรือคนของเฉินถิงเซียวจะหาที่นี่ไม่เจอ ?
เมื่อการคาดคะเนนี้ผุดขึ้น ก็ถูกเธอปฏิเสธทันที
เป็นไปไม่ได้ เฉินถิงเซียวปิดบังซ่อนตัวมานานขนาดนี้ ไม่มีทางที่เรื่องแค่นี้จะหาไม่เจอ
เธอคนแก้วน้ำผลไม้ตรงหน้าของเธอไปมา จิตใจรู้สึกไม่สงบเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตามมา เธอน่าจะดีใจถึงจะถูก แต่เธอกลับไม่ได้ดีใจเอาซะเลย
ตรงกันข้ามกลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยมากกว่า
หรือจะเป็นอย่างที่เสิ่นชูหานพูด ?
แต่ว่า นี่มันยังไม่ถึงปีเลย เฉินถิงเซียวก็ขี้เกียจตามหาเธอแล้วเหรอ ?
มู่น่อนน่อนขบริมฝีปาก ถอดวิกผมและหมวกที่เธอใช้อำพรางตัวออก แล้วเดินออกไปอย่างไม่ปิดบัง
เธอจงใจเดินไปวนรอบๆบริเวณของประตูโรงแรมรอบหนึ่ง จากนั้นก็กลับไปยังบ้านพักโฮมสเตย์
รับประทานอาหารกับเจ้าของบ้านเสร็จ มู่น่อนน่อนก็กลับไปที่ห้องพักของตัวเอง
เปิดคอมพิวเตอร์แล้วล็อกอินลงชื่อเข้าใช้อีเมล เธอได้รับข้อความเอกสารหนังสือสัญญาแบบอิเล็กทรอนิกส์จากฉินสุ่ยซาน
เธอมองผ่านๆไปแวบหนึ่ง เห็นว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็ตอบกลับฉินสุ่ยซานไป
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าเฉินถิงเซียวนั้นขี้เกียจจะตามหาเธอแล้วหรือเปล่า ดังนั้นเช้าวันรุ่งขึ้น ก็ซื้อตั๋วเครื่องบินบินไปยังอีกเมืองหนึ่ง เดินทางออกจากซิดนีย์
หลังจากที่เดินทางออกจากซิดนีย์แล้ว เธอก็ได้โทรศัพท์กลับไปถามสามีภรรยาคู่นั้น ถามเรียบๆเคียงๆพวกเขา ว่ามีคนเมืองZไปถามหาเธอไหม
แต่คำตอบของสามีภรรยาคู่นั้นคือไม่มี
เฉินถิงเซียวไม่คิดจะตามหาตัวเธอแล้วจริงๆเหรอ ?
……
และแล้วเวลาหนึ่งเดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หนังสือสัญญาที่เป็นแบบลายลักษณ์อักษร ก็ถูกส่งมาทางไปรษณีย์แบบด่วนพิเศษระหว่างประเทศ แต่ก็ไม่เห็นคนของเฉินถิงเซียวมาตามหาเธอ
เด็กที่ไม่ได้รับความรักก็มักจะโตเป็นผู้ใหญ่ได้เร็วกว่า และสำหรับเธอก็มักจะควบคุมสติอารมณ์ของเธอให้สงบนิ่งได้ดีกว่า
ในตอนนี้ มู่น่อนน่อนเองก็รู้แจ้งอย่างแจ่มชัด ว่าเฉินถิงเซียวนั้นคงไม่คิดที่จะตามหาเธอแล้ว
ในเมื่อเฉินถิงเซียวไม่คิดที่จะตามหาเธอแล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องคอยหลบๆซ่อนๆอีกต่อไป
หลังจากที่เธอมีเบอร์โทรศัพท์ใหม่ ก็ติดต่อไปหาเสิ่นเหลียงอีกครั้ง
จากนั้น เธอก็กลับไปยังซิดนีย์อีกรอบ เช่าบ้านพักที่ริมทะเลหลังหนึ่งแล้วอาศัยอยู่ที่นั่น
เธอเคยคิดที่จะกลับไปเมืองหู้หยาง
แต่คิดไปคิดมา ในเมื่อลำบากลำบนหลุดพ้นมาได้ ก็ไม่ควรกลับไปที่นั่นอีก
อีกอย่าง ต่อให้จะกลับไปที่เมืองหู้หยางได้ แล้วที่นั่นจะยังหลงเหลืออะไรให้เธอได้อาลัยอาวรณ์อีก ?
แต่ในใจของเธอกลับมีลางสังหรณ์ที่อธิบายไม่ถูก เธอรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวไม่น่าจะปล่อยให้เรื่องทุกอย่างมันเป็นไปแบบนี้
บางทีเขาอาจจะยังไม่มาตามหาเธอในตอนนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหากเด็กคลอดออกมา เฉินถิงเซียวจะไม่มาตามเอาเด็กไป……
คิดไตร่ตรองดูแล้ว อยู่ที่ซิดนีย์น่าจะดีที่สุด
……
ฉินสุ่ยซานชอบบทละครของมู่น่อนน่อนมาก เธอมักจะวิดีโอคอลกับมู่น่อนน่อนเรื่องบทละครอยู่บ่อยๆ
เพราะบทละครเขียนออกมาตามจินตนาการของคน มักจะมีแง่มุมที่ไม่สมเหตุสมผลตามหลักความเป็นจริงอยู่บ้าง และการถ่ายทำละครที่ต้องออกฉายบนหน้าเว็บต่อสาธารณชนนี้ ก็ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบจากคณะกรรมการด้านภาพยนตร์ และการพิจารณากลั่นกรอง
บทละครต้องแก้ไปแก้มา รอให้เสร็จสมบูรณ์ ก็ราวๆเดือนเมษายน
แต่วันกำหนดคลอดของมู่น่อนน่อนนั้นคือเดือนกรกฎาคม
“นี่เป็นบทสุดท้ายแล้ว คุณเอาไปดูก่อน หากไม่มีปัญหาอะไร ก็จบแบบนี้ หลังจากนี้ฉันก็จะได้ดูแลลูกในท้องอย่างสบายใจซะที”
ในขณะที่มู่น่อนน่อนพูด ก็กดปุ่มส่ง ส่งเนื้อหาของบทละครสุดท้ายให้ฉินสุ่ยซานไป
จากนั้น เธอก็บิดคอไปมา แล้วมือกุมไปที่หน้าท้องที่ราวกับลูกบอลขนาดใหญ่อย่างเคยชิน
ฉินสุ่ยซานเห็นหน้าท้องของมู่น่อนน่อนผ่านวิดีโอคอล ก็ลังเลไปชั่วขณะ เอ่ยถามไปว่า“เธอกะจะคลอดลูกที่ต่างประเทศเหรอ ? ”
“อืม”มู่น่อนน่อนพยักหน้าให้
ในช่วงหลายเดือนมานี้ เธอกับฉินสุ่ยซานพูดคุยกันเรื่องของบทละคร มักมีหลายครั้งที่ความเห็นแตกต่างกัน ก็จะทะเลาะกันขึ้นมา และต่างก็จะไม่มีใครยอมใคร
แต่การทะเลาะกันนั้นก็ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสนิทสนมกันมากขึ้น
ฉินสุ่ยซานถามเธอ “เฉินถิงเซียวมาหาเธอไหม?”
มู่น่อนน่อนอึ้งไปชั่วขณะแล้วตอบว่า “ไม่”
“พวกเธอ……”
“พอแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อน ฉันเหนื่อยแล้ว มีอะไรไว้ค่อยคุยกัน”มู่น่อนน่อนไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดจบ ก็กดตัดสายวิดีโอคอลทิ้งทันที
หลังจากที่กดวางสายไป มู่น่อนน่อนก็นั่งเหม่อลอยอยู่ที่โต๊ะทำงานอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เปิดเข้าเว็บ แล้วเริ่มค้นหาคำว่า“เฉินถิงเซียว”
คลิกไปที่ปุ่มค้นหา หน้าเว็บก็โผล่ออกมา สายตาของมู่น่อนน่อนจับจ้องมองไปยังส่วนบนของหน้าเว็บที่มีตัวอักษรที่ไม่ค่อยโดดเด่นอะไร:ที่ค้นหาได้มี14,700,000 รายการ
ด้านล่างเป็นข้อมูลส่วนตัวของ“เฉินถิงเซียว”
ถัดลงไป เป็น“ข้อมูลที่เกี่ยวข้องล่าสุด”ของเฉินถิงเซียว
ผลการค้นหาข้อมูลล้วนเกี่ยวข้องกับเฉินถิงเซียวทั้งสิ้น
มีที่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของตัวเขาเอง และมีเรื่องที่พูดคุยเกี่ยวกับตระกูลเฉิน
เฉินถิงเซียวเข้ามาบริหารบริษัทเฉินซื่อ และเดิมทีตัวเขาเองก็มักจะถูกพูดถึงอยู่บ่อยแล้ว เรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็มักจะถูกสื่อสำนักข่าวกระตือรือร้นที่จะรายงานข่าว
หากเธอต้องการจะรู้ข่าวคราวของเขา ก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก
หลังจากที่เสิ่นเหลียงพูดจบ ก็เพิ่งจะมารู้ตัวว่าตัวเองเพิ่งพูดอะไรออกไป
เสิ่นเหลียงก็เป็นคนที่เอาแต่ใจไม่น้อย ต่อให้กู้จือหยั่นจะโกรธเธอยังไงก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรเธอ แต่หากเป็นเฉินถิงเซียวมันก็อาจไม่แน่
เฉินถิงเซียวคงไม่มาเห็นอกเห็นใจอะไรเธอ
เสิ่นเหลียงกัดฟัน รู้สึกผิดที่ตัวเองปากไวไป
จากนั้น ไม่นาน เธอก็ได้ยินเสียงอันเคร่งขรึมและน่ากลัวของเฉินถิงเซียวดังขึ้น“ ไหนพูดอีกทีสิ ”
เสิ่นเหลียงจะกล้าพูดมันอีกครั้งได้ยังไง
เธอกังวลจริงๆว่าหากเธอพูดมันไปอีกรอบ คงถูกเฉินถิงเซียวจับโยนออกไปจากตรงนี้แน่ๆ
และในตอนนี้เอง ประตูห้องทำงานของเฉินถิงเซียวก็ถูกผลักออกอย่างแรงจากคนด้านนอก“ปัง”
เสิ่นเหลียงหันกลับไปมอง ก็พบว่าเป็นกู้จือหยั่นที่มีเหงื่อไหลท่วมตัว
เขาดูเหมือนคนที่รีบร้อนตามมา ผมเผ้ายุ่งเหยิง เหนื่อยจนหายใจหอบ
เมื่อเห็นเสิ่นเหลียง เขาก็เดินก้าวขายาวๆเข้ามา แล้วดึงเสิ่นเหลียงไปหลบอยู่ทางด้านหลังของเขาทันที น้ำเสียงดุดันเล็กน้อย“เฉินถิงเซียว ฉันรู้ว่ามู่น่อนน่อนหายตัวไปนายร้อนใจมาก แต่นายมีอะไรก็พูดมาตรงๆจะตามตัวเสิ่นเสี่ยวเหลียงมาทำไม ?”
เขารู้จักนิสัยของเฉินถิงเซียวดี
มู่น่อนน่อนไม่อยู่แล้ว อารมณ์ของเฉินถิงเซียวก็อยู่ในสภาวะที่พร้อมจะระเบิดมันได้ทุกเมื่อ ใครทำให้เขาไม่พอใจ เขาก็ไม่ปล่อยไปง่ายๆแน่
ความสัมพันธ์ของมู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงนั้นค่อนข้างดี จึงย่อมต้องพูดเข้าข้างมู่น่อนน่อนอยู่แล้ว ยิ่งเธอเป็นคนที่ชอบพูดอะไรตรงๆ ก็ย่อมต้องทำให้เฉินถิงเซียวไม่พอใจได้
หากไม่ใช่เพราะเขาได้ยินว่าเฉินถิงเซียวตามตัวเสิ่นเหลียงไป ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันนี้
เฉินถิงเซียวมองไปยังกู้จือหยั่นอย่างไม่สบอารมณ์อยู่สักพัก จนกู้จือหยั่นเองก็อกสั่นขวัญแขวนไปด้วย เขาถึงได้ค่อยๆหลุบตาลงต่ำ เก็บซ่อนอารมณ์ในแววตา แล้วพูดอย่างเฉยชาว่า“หาเธอเพื่อถามเรื่องของมู่น่อนน่อน”
กู้จือหยั่นเห็นว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้มีอารมณ์ฉุนเฉียวแล้ว ก็ยิ่งพูดเต็มปากเต็มคำมากขึ้น“มู่น่อนน่อนเป็นภรรยาของนายไม่ใช่ภรรยาของเสิ่นเสี่ยวเหลียง เรื่องของภรรยานาย นายต้องถามคนอื่นถึงจะรู้เรื่องเหรอ ?”
คำพูดของกู้จือหยั่นนั้นมีเหตุผล และไม่มีเหตุผลด้วยเช่นกัน
แต่ก็ทำให้หัวใจของเฉินถิงเซียวกระตุก
เขาเหมือน……ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรของมู่น่อนน่อนมากนัก
นอกจากข้อมูลที่เขาให้คนไปเช็กมาก่อนหน้าของมู่น่อนน่อน รู้เรื่องสถานะครอบครัวของเธอ นอกจากรู้ว่าเธออยากเป็นคนเขียนบท……ก็ดูเหมือนเขาจะไม่รู้อะไรมากไปกว่านี้แล้ว
ครู่ใหญ่ เฉินถิงเซียวจึงได้พูดออกมาเสียงเบาว่า “พวกนายออกไปซะ”
เสียงของเขาไม่ได้ดังมาก น้ำเสียงก็ไม่ได้แฝงไปด้วยอารมณ์อะไร แต่ก็ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะขัดมันเหมือนกัน
กู้จือหยั่นรีบลากเสิ่นเหลียงออกไปอย่างรวดเร็ว
เสิ่นเหลียงขัดขืนอยู่ครู่หนึ่ง กู้จือหยั่นไม่เพียงไม่ยอมปล่อยมือ แต่กลับกุมมือเธอแน่นขึ้นไปอีก
เขาขยับไปที่ข้างใบหูของเสิ่นเหลียงแล้วพูดกระซิบว่า“ เธออยากถูกเฉินถิงเซียวโยนออกไปจากตรงนี้เหรอ?”
เสิ่นเหลียงจ้องเขม็งมาที่เขา ยกขาขึ้นแล้วถีบไปที่น่องของเขา
กู้จือหยั่นเจ็บจนต้องยิ้มยิงฟัน แต่ก็ทำอะไรเธอไม่ได้
หลังจากที่ออกมาจากห้องแล้ว ทั้งสองคนก็พิงไปที่ประตูแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมายาวๆ
ครู่ใหญ่ กู้จือหยั่นก็หันหน้ามาถามเธอว่า“เธอรู้ว่ามู่น่อนน่อนอยู่ไหนเหรอ?”
“ไม่รู้”เสิ่นเหลียงแค่นเสียงหึออกจากลำคอ “ถึงรู้ก็ไม่บอกนาย พวกผู้ชายมันก็เหมือนกันหมด”
เสียแรงที่เมื่อก่อนเธอเคยคิดว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนดี แต่สุดท้ายก็เป็นแบบนี้
มู่น่อนน่อนจะผลักคุณท่านเฉินได้ยังไง เธอไม่ใช่คนโง่สักหน่อย
เสิ่นเหลียงระบายความโกรธกับกู้จือหยั่น “ผู้ชายแบบพวกนายนี่มันยังไงกันคิดว่าตัวเองแน่ หากไม่ใช่เพราะเขาบีบบังคับมู่น่อนน่อนจนหมดหนทาง เธอจะหนีไปได้เหรอ ?”
“อะไรคือผู้ชายแบบพวกเราคิดว่าตัวเองแน่?” กู้จือหยั่นหันหน้ามา มือกอดอกแล้วจ้องมองเธอ “เฉินถิงเซียวไปบีบบังคับอะไรมู่น่อนน่อน ? เรื่องภายในครอบครัวของตระกูลเฉินมันซับซ้อนเกินไป ไม่สามารถอธิบายได้ในเวลาสั้นๆ ต่อให้เธอไม่หนีไป เฉินถิงเซียวก็ไม่ปล่อยให้เธอเป็นอะไรหรอก ”
เสิ่นเหลียงแสร้งทำเป็นยิ้มออกมา“อ้อ เพราะฉะนั้นมู่น่อนน่อนก็สมควรแล้วที่จะเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยงกับเฉินถิงเซียว ? เพราะคนที่ไม่แน่นอนคนหนึ่ง“จะไม่ปล่อยให้เธอต้องเป็นอะไร”?”
กู้จือหยั่นหมดคำจะพูด
เสิ่นเหลียงยิ้มเยาะ หันหลังแล้วเดินจากไป
กู้จือหยั่นยืนอยู่ที่เดิม จัดทรงผมของตัวเองให้เข้าที่อย่างหงุดหงิด
ตอนที่ได้ยินว่าเฉินถิงเซียวตามตัวเสิ่นเหลียงมาพบ เขากังวลใจมาก กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเสิ่นเหลียง
แต่ผลปรากฏว่าเสิ่นเหลียงไม่ได้เป็นอะไร เขาเสียอีกที่มีเรื่องเสียเอง
ตอนนี้เขาแค่อยากจะคุยดีๆกับเสิ่นเหลียง แต่ก็กลับไม่เป็นอย่างที่คิด
……
ห้องทำงานของท่านประธาน
หลังจากที่กู้จือหยั่นกับเสิ่นเหลียงออกไปแล้ว ภายในห้องก็เงียบลง
เฉินถิงเซียวเดินไปนั่งลงที่โซฟาอย่างเชื่องช้า เงยหน้าเอนหลังพิงไปที่โซฟา นัยน์ตาว่างเปล่า ร่างทั้งร่างก็ดูราวกับเหนื่อยล้าอย่างผิดปกติ
มู่น่อนน่อนเป็นคนดื้อรั้นและมุ่งมั่น
เธอทนกับคนในครอบครัวตระกูลมู่มาได้ตั้งนาน ก็คงใช้ความเพียรและอดทนในแบบเดียวกันเพื่อที่จะเล่นซ่อนหากับเขา
หากเขายังเอาแต่ตามหาเธอ เธอก็จะยิ่งซ่อนตัว
เธอในตอนนี้อาจจะกำลังคิดหาหนทางหลบหนีวิธีใหม่อยู่
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินถิงเซียวก็อดไม่ได้ที่จะเหยียดมุมปากขึ้นอย่างเย้ยหยัน
ในส่วนนี้ เขากับมู่น่อนน่อนก็คล้ายกันอยู่มาก
สองคนที่ดื้อรั้นและมีทั้งความเพียรพยายาม
ในช่วงตลอดเวลามานี้ ทั้งสองคนเหมือนอยู่ในสภาวะที่หาทางออกไม่ได้
เห็นมู่น่อนน่อนไม่มีความสุข ในใจของเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจเหมือนกัน
เพียงแต่ว่า เรื่องของคุณท่านเฉินมันเกี่ยวพันลึกซึ้งเกินไป แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวอะไร กลัวว่าหากมู่น่อนน่อนรู้มากเกินไป จะมีชะตากรรมแบบเดียวกันกับคุณท่านเฉิน
คนเราเมื่อมีจุดอ่อน ก็จะเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
หลังจากที่คุณท่านเฉินเกิดอุบัติเหตุ เขาก็กลายเป็นคนเฉยเมย ไม่สามารถสืบเรื่องของแม่ตัวเองต่อได้อีก และไม่สามารถคืนความยุติธรรมให้กับมู่น่อนน่อนได้
บางที การจากไปของมู่น่อนน่อนในครั้งนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้
ไม่ต้องให้เขามาห่วงหน้าพะวงหลัง และให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำ
ก๊อกๆ——
ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เฉินถิงเซียวนั่งตัวตรง สีหน้าของเขาก็กลับเป็นเย็นชาอย่างเก่า“เข้ามา”
“คุณผู้ชาย”คนที่เดินเข้ามาคือสือเย่
เขาเดินมาหยุดตรงหน้าของเฉินถิงเซียว พยักหน้าให้เล็กน้อย แล้วพูดอย่างเคารพนบนอบไปว่า“หาคุณหญิงน้อยเจอแล้วครับ”
สือเย่คิดว่า หากเฉินถิงเซียวได้ยินว่าพวกเขาหาตัวมู่น่อนน่อนเจอแล้ว คงจะออกคำสั่งให้ไปพาตัวมู่น่อนน่อนกลับมา
ผลปรากฏว่า เฉินถิงเซียวนิ่งเงียบไม่ตอบอยู่เป็นเวลานาน
เขาเอียงคอ สังเกตปฏิกิริยาอาการของเฉินถิงเซียวอย่างระแวดระวัง แต่ก็พบว่าใบหน้าของเฉินถิงเซียวไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ ราวกับคนกำลังเหม่อลอยอยู่
ครู่ใหญ่ เฉินถิงเซียวเอ่ยถามอย่างแผ่วเบาว่า “อยู่ไหน?”
“ซิดนีย์”สือเย่พูดจบ ก็เสริมขึ้นอีกคำว่า“แต่คิดว่าเธอน่าจะย้ายไปที่อื่นอีก หากเราส่งคนไปตอนนี้ ……”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดจบ ก็ถูกเฉินถิงเซียวพูดขัดขึ้นมา “อย่าไปรบกวนเธอ”
“อะไรนะครับ?”สือเย่สงสัยว่าตัวเขาเองอาจจะฟังผิดไป
จากที่รู้จักกับเฉินถิงเซียวมา เฉินถิงเซียวต้องแทบจะทนรอไม่ไหวที่จะบินไปซิดนีย์แล้วพาตัวมู่น่อนน่อนกลับมา
แต่ว่า เขากลับได้ยินเฉินถิงเซียวพูดว่า “อย่าไปรบกวนเธอ”
สือเย่ถามย้ำเพื่อยืนยันอีกครั้ง“คุณผู้ชายหมายความว่า ไม่ต้องส่งคนไปพาตัวคุณหญิงน้อยกลับมาเหรอครับ ?”
เฉินถิงเซียวพูดอย่างเด็ดขาด “ไม่จำเป็น”
เครื่องบินใช้เวลาบินนานร่วมสิบชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทาง
เสียงตามสาย เป็นเสียงหวานๆของแอร์โฮสเตสแจ้งเตือนให้ผู้โดยสารรู้ว่าเครื่องบินกำลังจะลงจอด
มู่น่อนน่อนหันมองไปยังนอกหน้าต่าง ท้องทะเลสีฟ้าคราม
นี่เป็นประเทศเดียวในโลกที่ปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่ รายล้อมไปด้วยทะเล มีพืชและสัตว์ที่โดดเด่นเฉพาะตัวและทิวทัศน์ที่เป็นธรรมชาติ
และที่บังเอิญที่สุดก็คือ นี่เป็นประเทศที่มู่น่อนน่อนครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันเอาไว้
ในส่วนของเรื่องนี้ เธอเองก็เคยพูดกับเสิ่นชูหานมาก่อน
แต่ว่า เรื่องนี้มันก็ผ่านมานานมากแล้ว
เธอเดาได้ว่าเสิ่นชูหานน่าจะจองตั๋วมายังประเทศนี้ แต่มันก็เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น
ทันทีที่ลงจากเครื่อง มู่น่อนน่อนก็รู้สึกได้ถึงคลื่นไอความร้อนที่พุ่งเข้าปะทะมาที่ใบหน้า
ประเทศนี้รายล้อมไปด้วยทะเล ในช่วงเดือนมกราคมนั้นเป็นฤดูที่อบอุ่นที่สุด
มู่น่อนน่อนเดินตามผู้คนออกไป
เธอตัวคนเดียว ไม่มีสัมภาระอะไร ใบหน้าของชาวตะวันออกที่สวยงาม ท่ามกลางผู้คนทั้งโดดเด่นและโดดเดี่ยว
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างมองมาที่เธอด้วยความสงสัย
ดีที่ในตอนเรียนนั้นมู่น่อนน่อนเป็นคนที่ตั้งใจเรียนมาก แม้ว่าภาษาอังกฤษของเธอจะไม่ได้ดีมาก แต่การสื่อสารพื้นฐานง่ายๆก็พอจะได้อยู่
เธอนั่งรถไปยังโรงแรมที่อยู่ใกล้ที่สุด ยังไม่ทันได้พักผ่อนเต็มที่ ก็ออกไปหาซื้อคอมพิวเตอร์มาเครื่องหนึ่ง
ก่อนหน้านั้นเธอเคยส่งบทละครให้กับฉินสุ่ยซาน แต่ส่งไปเพียงแค่ครึ่งแรกเท่านั้น และฉินสุ่ยซานในตอนนี้ก็คงจะรู้เรื่องแล้ว ไม่รู้ว่าจะโกรธเธอมากแค่ไหน
มู่น่อนน่อนล็อกอินเข้าอีเมล ในคอมพิวเตอร์นั้นมีจดหมายอยู่หลายฉบับที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน
ฉบับแรกนั้นเสิ่นชูหานเป็นคนส่งมา เมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้า ในตอนนั้นเธอเพิ่งจะลงจากเครื่อง
ฉบับที่สองฉินสุ่ยซานเป็นคนส่งมา และที่เหลือด้านล่างเสิ่นเหลียงเป็นคนส่งมา
อีเมลอันนี้เธอใช้มันมาตั้งแต่สมัยที่เธอยังเรียนอยู่ คนที่รู้ไม่ได้มีมากนัก ส่วนใหญ่แล้วใช้มันตอนที่จัดระเบียบงานเท่านั้น แต่เธอมีเพื่อนไม่มาก เลยไม่ได้สมัครอีเมลส่วนตัวอะไรใหม่
มู่น่อนน่อนเลื่อนเมาส์ไปมา ดึงลากลงจนถึงอีเมลฉบับสุดท้าย เปิดอีเมลฉบับล่าสุดที่เสิ่นเหลียงส่งมา
อีเมลอันล่างสุด เสิ่นเหลียงส่งให้เธอเมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นตอนที่เธอจุดไฟเผาวิลล่า
หลังจากที่เธอจุดไฟเผาวิลล่า ก็ไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถืออีก ทางเดียวที่เสิ่นเหลียงจะติดต่อเธอได้ ก็คงเป็นการส่งอีเมลหาเธอเท่านั้น
เธอคลิกเปิดดูอีเมลฉบับนั้น
อ่านไปได้แค่ประโยคแรก มู่น่อนน่อนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“มู่น่อนน่อน นี่หล่อนหายหัวไปไหนกันแน่ วิลล่าถูกเผาไหม้จนวอด คนก็หายไปด้วย นี่เหรอที่เธอบอกว่าความพอดี เห็นข้อความนี้แล้วติดต่อกลับมาหาฉันด่วน ไม่งั้นฉันจะโพสต์รูปของเธอลงไปในเว็บโป๊แล้วนะ……”
เสิ่นเหลียงช่างมีนิสัยเหมือนเด็กจริงๆ หากร้อนใจอะไรก็ชอบพูดจาเหลวไหลข่มขู่เธอ
ต่อจากนั้น มู่น่อนน่อนก็เปิดดูฉบับที่สองต่อ
“ฉันรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่!!ยังมีชีวิตอยู่ก็ตอบกลับมาสักคำ !!พรุ่งนี้ฉันจะไปลงรูปเธอแล้วนะ ……”
แล้วถัดมาฉบับที่สาม“ปัดโธ่เอ๊ย ตอบฉันมา”
มู่น่อนน่อนกลั้นขำไม่อยู่ ตอบกลับเสิ่นเหลียงด้วยข้อความสั้นๆ“ทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่ต้องคิดถึง ”
จากนั้น เธอก็เปิดดูอีเมลที่ฉินสุ่ยซานส่งมาให้เธอ
“มู่น่อนน่อน เธอคิดจะหลอกฉัน ? เธอส่งบทละครมาให้ฉันแค่ครึ่งเดียวหมายความว่ายังไง ? เธอ……”
นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร มีหน้าจอกางกั้น มู่น่อนน่อนก็รู้สึกได้ถึงความกรุ่นโกรธที่มีของฉินสุ่ยซานผ่านอีเมลฉบับนี้
มู่น่อนน่อนตอบกลับเธอ “หนังสือสัญญาส่งมาให้ฉัน แล้วส่วนอีกครึ่งที่เหลือฉันจะส่งกลับไปให้คุณ”
และสุดท้ายก็คืออีเมลของเสิ่นชูหาน
เธอรู้จักกับเสิ่นชูหานเมื่อตอนยังเป็นวัยรุ่น ในตอนที่ความสัมพันธ์ยังไม่ได้แตกหัก สมัยเรียนหากเธอต้องการชีทเรียนวิชาอะไร ก็มักจะขอความช่วยเหลือจากเสิ่นชูหาน
เพราะฉะนั้น เสิ่นชูหานก็จะรู้อีเมลของเธอ
อีเมลของเสิ่นชูหานเหมือนเป็นข้อความสั้นๆ มีเพียงสองคำเท่านั้น “ถึงแล้ว?”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบกลับเขา
ครั้งนี้ที่เธอสามารถหลุดพ้นจากเฉินถิงเซียวมาได้ ก็ติดหนี้บุญคุณเสิ่นชูหาน
เป็นหนี้ก็ต้องใช้คืน
แต่ตอนนี้เธอยังไม่สามารถที่จะชดใช้มันได้ ก็ต้องปล่อยผ่านมันไปก่อน
ปิดอีเมลแล้ว ก็มีข้อความใหม่แจ้งเตือนเข้ามา เป็นอีเมลที่เสิ่นเหลียงส่งมา
ข้อความในอีเมลเป็นคำถามที่มาเป็นชุดๆ “เธออยู่ไหน ? มีเงินใช้ไหม ? ปลอดภัยหรือเปล่า ?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกซาบซึ้งใจ ในเวลาแบบนี้ยังมาเป็นห่วงเธอได้ ก็คงจะมีแค่เสิ่นเหลียงเท่านั้นแล้ว
ตอบกลับอีเมลของเสิ่นเหลียง มู่น่อนน่อนก็เก็บข้าวของ ยังไม่ทันได้เช็คเอาท์ก็ออกจากโรงแรมไป
เฉินถิงเซียวฉลาดเกินไป หากเขาต้องการจะตามหาจริงๆ ช้าเร็วก็ต้องตามหาจนเจอ ต่อหน้าเขา มู่น่อนน่อนไม่เคยทำมันสำเร็จเลยสักครั้ง
มู่น่อนน่อนได้เช็กดูบ้านพักโฮมสเตย์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต เจ้าของบ้านเป็นสามีภรรยาสูงวัย ลูกๆของพวกเขาทำงานในต่างเมือง ที่เปิดบ้านพักโฮมสเตย์ก็เพราะชอบความครึกครื้นมีชีวิตชีวา
มู่น่อนน่อนได้รับการต้อนรับขับสู้อย่างอบอุ่น
……
เมืองหู้หยาง
บริษัทเสิ้งติ่ง ห้องทำงานของท่านประธาน
เมื่อเสิ่นเหลียงเข้าประตูมาได้เห็นใบหน้าของเฉินถิงเซียว ก็อยากจะหันหลังกลับ
แต่บอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตูขวางเธอเอาไว้
เธอจึงจำต้องเดินเข้าไป
เฉินถิงเซียวยืนหันหลังให้เธออยู่ตรงหน้าต่าง รูปร่างสูงใหญ่และกำยำของเขาดูเหมือนโดดเดี่ยวและอ้างว้าง
แต่เสิ่นเหลียงไม่เห็นใจเขาเลยสักนิด
เธอแกล้งทำเป็นไม่รู้จุดประสงค์ที่เฉินถิงเซียวตามเธอมา ถามด้วยรอยยิ้มไปว่า“ ท่านประธานคุณต้องการพบฉัน ? มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ ? ”
เฉินถิงเซียวหันกลับมา ดวงตามืดมน ราวกับหมึกดำเข้มข้นที่ยังไม่ละลาย ทำให้ดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เสิ่นเหลียงลอบกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ก้มหน้าลงภายใต้สายตาที่จับจ้องมองมาของชายหนุ่ม
ผ่านไปสักพัก เธอก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเฉินถิงเซียว “เธอติดต่อคุณหรือเปล่า?”
“ไม่ค่ะ”แม้ว่าเสิ่นเหลียงจะรู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธออกไป
“จริงเหรอ?”
เฉินถิงเซียวไม่โกรธแต่กลับยิ้มออกมา หยิบเอกสารแผ่นหนึ่งบนโต๊ะแล้วโยนมันให้เธอ
เสิ่นเหลียงยื่นมือไปรับมา ก็พบว่ามันเป็นเอกสารที่สั่งปริ้นบันทึกอีเมลของเธอที่ติอต่อกับมู่น่อนน่อน
เธอกำเอกสารไว้แน่น กับน้ำเสียงที่ทุ่มแบบสุดตัว “ใช่ค่ะ เธอติดต่อฉัน แล้วคุณต้องการอะไร?”
เฉินถิงเซียวให้คนมาแฮ็กคอมพิวเตอร์ของเธอ แล้วเช็กเจออีเมลที่เธอติดต่อกับมู่น่อนน่อน แล้วมันยังไง ?
ใบหน้าของเฉินถิงเซียวแน่นิ่ง พูดอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึกไปว่า“ถามเธอว่าเธออยู่ที่ไหน แล้วบอกเธอว่าคุณจะไปหาเธอ”
เสิ่นเหลียงไม่คิดลังเล พูดปฏิเสธออกไปทันที “ไม่มีทาง”
ทันทีที่พูดจบ เธอก็รู้สึกราวกับมีแรงกดดันอันหนักอึ้งส่งมาจากเฉินถิงเซียว
เธอถูกเลี้ยงดูมาแบบตามใจตั้งแต่เด็ก กับกู้จือหยั่นแม้ว่าจะมีทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง แต่กู้จือหยั่นก็ไม่เคยเอาจริงกับเธอเลยสักครั้ง
เสิ่นเหลียงก้าวถอยหลังไปสองก้าว พยายามที่จะใช้เหตุผลกับเขา “ ทำไมมู่น่อนน่อนถึงหนีไป คุณไม่รู้สาเหตุเลยเหรอ ? คุณไล่ตามเธอแบบนี้ ให้เธอต้องใช้ชีวิตหนีอย่างหัวซุกหัวซุน นอกจากจะทำให้เธอต้องลำบากแล้ว มันจะเป็นอะไรไปได้อีก ? ”
เห็นชัดว่าเฉินถิงเซียวไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเด็ดขาด“ให้เธอกลับมาอยู่กับผม”
เสิ่นเหลียงพูดเหน็บ“กลับมาอยู่กับคุณแล้วยังไง ? เป็นคนที่‘ตาย’ไปแล้วงั้นเหรอ ? เธอมีความคิดเป็นของตัวเอง และเป็นคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ ไม่ว่าคุณจะตามตัวเธอกลับมาได้สักกี่ครั้ง เธอก็ยังจะหนีคุณไปอีกอยู่ดี !”
เมื่อได้ยินที่มู่น่อนน่อนพูด เห็นชัดว่าเขาไม่เชื่อในสิ่งที่หญิงสาวพูด “ทำไมถึงปวดท้องได้ ?”
เสิ่นชูหานในตอนนี้ฉลาดกว่าเสิ่นชูหานคนก่อนมาก ช่างหลอกยากเสียจริง
“ไม่รู้เหมือนกัน คงอาจจะยังปรับสภาพไม่ได้”มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา ใบหน้า“อ่อนแรง”
ตลอดช่วงเช้านี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย มู่น่อนน่อนหนีพ้นเงื้อมมือของเฉินถิงเซียว ในตอนนี้ก็ยังคงหวาดกลัวและตื่นตระหนก ใบหน้าซีดเซียว ดูไปแล้วก็ไม่สู้ดีเท่าไรนัก
เสิ่นชูหานมองไปยังประตูขึ้นเครื่องแวบหนึ่ง “ ฉันไปกับเธอ”
“ขอบใจนะ”มู่น่อนน่อนลุกขึ้นยืน ปล่อยให้เสิ่นชูหานประคองเธอยังไปห้องน้ำ
เพราะตอนนี้เธอเองก็“อ่อนแรง”มาก จำต้องปล่อยให้เสิ่นชูหานประคองไป
มาถึงที่ประตูหน้าห้องน้ำ เสิ่นชูหานก็รอหญิงสาวอยู่ที่หน้าประตู
มู่น่อนน่อนเข้าไปในห้องน้ำ สีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมา เธอพิงไปที่ประตูรออยู่อย่างนั้นเงียบๆปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไป
เธอต้องรอให้ถึงวินาทีสุดท้ายของการขึ้นเครื่องหมดลงถึงจะออกไป
และตอนนี้เธอต้องคิดหาวิธี เพื่อไม่ให้เสิ่นชูหานขึ้นเครื่องไปได้ทัน
เธอมีลางสังหรณ์ ว่าเสิ่นชูหานในตอนนี้ คงกำจัดไม่ได้ง่ายๆเหมือนกำจัดเฉินถิงเซียว
จนกระทั่งเที่ยวบินของเธอเริ่มประกาศตามผู้โดยสาร มู่น่อนน่อนถึงได้จัดแจงตัวเองให้เรียบร้อยแล้วออกจากห้องน้ำ
เห็นชัดว่าเสิ่นชูหานทนรอเธอจนแทบจะไม่ไหวแล้ว
แต่ตอนที่เขาพูดคุยกับมู่น่อนน่อน ก็ยังคงมีน้ำเสียงที่ห่วงใย “ทำไมถึงเพิ่งจะออกมา ? มันแย่มากเหรอ ? ”
“เปล่า”มู่น่อนน่อนส่ายหัว แล้วเดินไปอย่างช้าๆ
เสียงตามสายเที่ยวบินของมู่น่อนน่อนก็ยังคงประกาศให้ขึ้นเครื่องเป็นครั้งสุดท้าย
เห็นชัดว่าเสิ่นชูหานเริ่มที่จะร้อนรน เพราะฝีเท้าของเขาก้าวเร็วขึ้น
ในตอนนี้เอง มีหญิงวัยกลางคนเดินผ่านหน้าของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนก็คิดแผน เหลือบมองไปที่เสิ่นชูหานแวบหนึ่ง แล้วยื่นมือไปแย่งบัตรโดยสารของเขามา จากนั้นก็จับไปที่ก้นของหญิงวัยกลางคนคนนั้น
เมื่อหญิงวัยกลางคนคนนั้นรู้สึกตัว ก็หันหลังกลับมา
มู่น่อนน่อนก็ง้างมือขึ้นแล้วตบไปที่ใบหน้าของเสิ่นชูหานฉาดหนึ่ง“ทำไมนายถึงได้เลวอย่างนี้ !”
เสิ่นชูหานมึนงงไปหมด“อะไร?”
“ฉันเห็นหมดแล้ว เมื่อกี้นายจับ……”มู่น่อนน่อนหันไปมองหญิงวัยกลางคนคนนั้น ทำท่าทีอึกอักไม่กล้าพูดมันออกมา
และหญิงวัยกลางคนคนนั้นก็ไม่ใช่คนที่จะไปหยอกเล่นอะไรด้วยง่ายๆได้เช่นกัน
เมื่อเธอได้ยินที่มู่น่อนน่อนพูด ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเมื่อกี้เสิ่นชูหานเป็นคนจับก้นเธอ
เสิ่นชูหานเองก็เป็นนายน้อยที่มีฐานะร่ำรวย รูปลักษณ์ก็ดูดีกว่าคนธรรมดามาก แต่เขาก็เป็นผู้ชาย หญิงวัยกลางคนคนนี้จึงโอนเอนไปทางมู่น่อนน่อนมากกว่า
หญิงวัยกลางคนคนนี้ยื่นมือออกไปผลักเสิ่นชูหาน“นายก็ดูยังหนุ่มยังแน่นหน้าตาก็ดูดีทำไมถึงได้เป็นคนไร้ยางอายแบบนี้?”
สีหน้าของเสิ่นชูหานแน่นิ่ง “ผมไม่ได้ทำอะไรคุณเลย ”
ในตอนนี้ เขาจะไม่รู้จุดประสงค์ของมู่น่อนน่อนได้ยังไง
มู่น่อนน่อนไม่ต้องการให้เขาขึ้นเครื่องไปด้วย
เขายิ้มเยาะออกมา กำลังจะเอ่ยปากพูด ก็เห็นชายรูปร่างกำยำหลายคนเดินล้อมเข้ามา
ชายที่รูปร่างกำยำที่สุดคนหนึ่ง เอ่ยถามเสิ่นชูหานด้วยสำเนียงท้องถิ่นนิดๆ “นี่นายแต๊ะอั๋งพี่สะใภ้ของเราเหรอ ?”
มู่น่อนน่อนนิ่งอึ้งไป หญิงวัยกลางคนที่เธอไปจับก้นคนนี้แท้จริงแล้วคือภรรยาของ“ลูกพี่ใหญ่”ของที่ไหนสักคน ?
เสิ่นชูหานไม่ได้มีบอดี้การ์ดมาด้วย คงต้องเสียเปรียบแน่ๆ
แต่ในตอนนี้ มู่น่อนน่อนก็คงไม่สามารถสนใจอะไรไปมากกว่านี้ได้
อย่างมากเสิ่นชูหานก็คงถูกซ้อมนิดๆหน่อยๆ
มู่น่อนน่อนใช้จังหวะที่เสิ่นชูหานโดนล้อม ขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงกับเขาว่า:ขอโทษ
จากนั้น เธอก็เดินไปที่ประตูขึ้นเครื่องอย่างรวดเร็ว ตรวจเช็กบัตรโดยสารแล้วขึ้นเครื่องไป
เธอขึ้นเครื่องมาได้ไม่นาน ประตูขึ้นเครื่องก็ปิดลง
ที่นั่งของเธอห่างจากประตูไม่ไกลมากนัก เธอคอยเฝ้ามอง แต่ก็ไม่เห็นเสิ่นชูหานขึ้นเครื่องมา
จนกระทั่งเครื่องบินนำเครื่องขึ้น ความตึงเครียดของมู่น่อนน่อนถึงได้คลายลง
เธอหันมองไปยังนอกหน้าต่าง เครื่องบินบินผ่านก้อนเมฆ ห่างจากพื้นดินมากขึ้นเรื่อยๆ
ในใจราวกับทุกอย่างมันไม่ใช่เรื่องจริง
เมื่อคืนนี้เธอยังเตรียมตัวที่จะกลับไปกับเฉินถิงเซียวอยู่เลย ไม่คิดว่าตอนนี้เธอจะนั่งอยู่บนเครื่องบินที่กำลังจะบินไปยังอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร
ครู่ใหญ่ มุมปากของมู่น่อนน่อนก็ยกยิ้มออกมา
ลาก่อน เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวอาจจะนึกไม่ถึงมาก่อน ว่าเธอจะสามารถหนีพ้นเงื้อมมือเขามาได้จริงๆ
ตอนนี้เขาคงโกรธมากจนอยากจะพลิกแผ่นดินตามหา
มู่น่อนน่อนเอื้อมมือออกมาแล้วกุมไปยังหน้าท้องของเธอ มุมปากที่ยกยิ้มก็ดูอ่อนโยนมากขึ้น
วันข้างหน้า คงต้องพึ่งพาอาศัยลูกน้อยแล้ว
……
ทางเข้าสนามบิน
เฉินถิงเซียวพาคนจำนวนหนึ่งเดินผ่านช่องทางพิเศษ ในตอนที่เจอตัวเสิ่นชูหาน เสิ่นชูหานก็ถูกซ้อมจนใบหน้าปูดบวมหมดแล้ว
เฉินถิงเซียวคว้าไปที่คอเสื้อของเสิ่นชูหาน น้ำเสียงแหบแห้งและเคร่งขรึม“มู่น่อนน่อนอยู่ไหน?”
เสิ่นชูหานที่เพิ่งจะถูกซ้อมมา หายใจเหนื่อยหอบไปสองที เพิ่งจะเห็นว่าคนตรงหน้าคือเฉินถิงเซียว
เขาหรี่ตาลงแล้วหัวเราะออกมา “นายหมายถึงมู่น่อนน่อนเหรอ ? เธอไปแล้ว เพื่อสะดวกต่อการหลบหนี ฉันยังได้สร้างตัวตนปลอมให้เธออีกด้วย นายหาเธอไม่เจอหรอก ”
ในตอนที่มีข่าวลือว่าเธอถูกไฟคลอกตาย เขาก็เริ่มวางแผนเรื่องนี้แล้ว
แม้ว่าเขาจะโกรธที่มู่น่อนน่อนทิ้งเขาแล้วขึ้นเครื่องไปคนเดียว แต่เมื่อเห็นคนอย่างเฉินถิงเซียวที่เรียกลมเรียกฝนได้ ก็ถูกมู่น่อนน่อนทำให้คลุ้มคลั่งจนแทบบ้า ในใจของเขาก็รู้สึกว่ามันก็ยุติธรรมดี
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วยุ่ง แล้วเหวี่ยงร่างเสิ่นชูหานออกทันที
ในตอนที่เขาลงมือกับทุกอย่างด้วยอารมณ์โกรธ ผลที่ออกมาก็มักจะรุนแรง หลังจากที่เสิ่นชูหานถูกเหวี่ยงออกไป ร่างกายก็ไถลออกไปไกลอยู่พอสมควร
เสิ่นชูหานเจ็บปวดจนขดตัวงอ พูดอะไรออกมาไม่ได้สักคำ
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปหา แล้วนั่งยองๆตรงหน้าเสิ่นชูหาน น้ำเสียงโหดเหี้ยม“ ฉันไม่เคยคิด ว่าตระกูลเสิ่นจะมีคนอย่างนายด้วย ”
เพราะเขาชะล่าใจเกินไป
เขาไม่เคยเห็นเสิ่นชูหานอยู่ในสายตา และไม่คิดว่าเสิ่นชูหานที่เขาไม่เคยจะใส่ใจคนนี้ กลับเป็นคนที่มาทำลายเขาเสียเอง
เสิ่นชูหานเจ็บและปวดไปทั้งร่าง พูดอะไรไม่ได้สักคำ แต่เขาก็ฝืนยิ้มอันบิดเบี้ยวออกมา
เฉินถิงเซียวโกรธมากจนเตะเข้าไปที่ร่างของเขาอย่างแรงอีกครั้ง
ในตอนนี้เอง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบินได้ยินเข้าก็เดินมา
เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจเสิ่นชูหานอีก สั่งเสียงเข้มไปว่า“ หาให้เจอ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหายังไงก็ต้องหาตัวมู่น่อนน่อนให้เจอ !”
ทุกคำพูดของเขาชัดเจนทุกถ้อยคำ ราวกับเค้นให้มันเล็ดลอดออกตามไรฟัน
เมื่อสือเย่ได้ยินดังนั้น ก็พาบอดี้การ์ดไปตรวจเช็กเที่ยวบิน
แต่ผลที่ได้ ก็ไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไร
เป็นไปอย่างที่เสิ่นชูหานพูด เพื่อต้องการให้มู่น่อนน่อนหลบหนีไปได้ เขาได้สร้างตัวตนปลอมขึ้นมาให้เธอ พวกเขาตรวจเช็กกันมารอบหนึ่ง ก็ไม่พบเจออะไรเลยสักอย่าง
สุดท้ายก็ต้องกลับมาหาเสิ่นชูหาน
แต่เสิ่นชูหานขึ้นรถกลับไปที่เมืองหู้หยางแล้ว
เฉินถิงเซียวพกเก็บเอาความโกรธแค้นกลับไปที่เมืองหู้หยางด้วย ยังไงก็ต้องเค้นถามเอาจากปากของเสิ่นชูหานเรื่องตัวตนที่เขาปลอมแปลงให้กับมู่น่อนน่อน
เพียงแต่ว่า ตัวตนที่ปลอมขึ้นให้กับมู่น่อนน่อนนั้นเป็นคนธรรมดาทั่วไป ส่วนหมายเลขบัตรประจำตัวนั้น เสิ่นชูหานเองก็จำมันไม่ได้
เสิ่นชูหานมองดูท่าทีที่ราวกับจะคลุ้มคลั่งของเฉินถิงเซียว ก็พอใจมาก “มู่น่อนน่อนอยู่ต่างประเทศ และมีตัวตนปลอม อีกทั้งเธอเองก็ฉลาดมาก นายคิดว่านายยังจะหาเธอเจออีกเหรอ ?”
เฉินถิงเซียวหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ“แล้วนายคิดว่าบริษัทเสิ่นซื่อของนายจะอยู่รอดได้ถึงวันพรุ่งนี้ไหม ?”
ทันทีที่มู่น่อนน่อนขึ้นรถมาได้ คนขับก็เหยียบคันเร่ง แล้วขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่ในขณะที่ขับค่อนข้างเร็วนั้นรถก็เคลื่อนตัวไปอย่างทุลักทุเลด้วยเช่นกัน ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกแย่อะไร
เธอชะโงกหน้าไปมองคนขับรถ ก็พบว่าเป็นใบหน้าของคนที่เธอไม่รู้จัก
มู่น่อนน่อนเอ่ยถามไปว่า“ใครให้คุณมารับฉัน ?”
“คุณผู้ชายของผมครับ” คนขับตั้งใจอยู่กับการขับรถ แต่ในตอนที่ตอบคำถามเธอ น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความเคารพนบนอบ
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว“คุณผู้ชายของคุณเป็นใคร?”
คนขับไม่ได้ตอบว่าคุณผู้ชายของเขาเป็นใคร พูดแค่เพียงว่า“คุณผู้ชายของผมบอกว่า คุณมู่รู้ว่าเขาเป็นใคร ”
เธอรู้ ?
ป้ายทะเบียนรถคันนี้เธอคุ้นกับมันมากจริงๆ
แต่เธอนึกไม่ออก ว่าเป็นป้ายทะเบียนรถของใคร
มู่น่อนน่อนคิดไปคิดมา คิดถึงคนที่เธอรู้จักทุกคน สุดท้ายหัวสมองก็มีแสงสว่างวาบเข้ามา ในที่สุดก็นึกออกแล้วว่าเจ้าของป้ายทะเบียนรถนี้คือใคร
หลังจากที่รู้ว่าใครเป็นคนช่วยเหลือเธอ ในใจของมู่น่อนน่อนก็สับสนวุ่นวาย
ในตอนนี้เอง จู่ๆคนขับก็พูดขึ้นว่า“ถึงทางแยกหน้าผมจะจอดรถ หลังจากที่คุณมู่ลงไปแล้ว ก็ไปขึ้นรถคันสีขาวอีกคันได้เลยนะครับ”
มู่น่อนน่อนหรี่ตาลงแล้วมองตรงไป ก็เห็นรถสีขาวคันหนึ่งจอดอยู่ริมถนน
ในใจของเธอค่อนข้างสับสน
คนที่ช่วยเหลือเธอคนนี้ คือคนที่เธอไม่อยากจะข้องเกี่ยวด้วย
แต่คนที่ไล่ตามเธอมาคือเฉินถิงเซียว หากถูกเขาตามมาทัน เธอคงหนีไม่พ้นจริงๆ
หนีให้ไกลจากเฉินถิงเซียว กับเป็นหนี้บุญคุณคนที่ไม่อยากจะข้องเกี่ยวด้วย เห็นชัดว่าอย่างแรกนั้นแรงจูงใจมากกว่า
และแล้ว ในตอนที่คนขับจอดรถ มู่น่อนน่อนก็ขึ้นรถคันสีขาวไปอย่างไม่ลังเล
รถคันสีขาวกับรถที่เธอนั่งมาเมื่อครู่ขับออกไปคนละทิศทาง เธอหันหลังกลับไปมอง ก็เห็นรถของพวกเฉินถิงเซียวขับไล่ตามรถคันเมื่อกี้ที่เธอนั่งไป
มู่น่อนน่อนก็อึ้งไปชั่วขณะ แล้วถามคนขับไปว่า“ พวกเราหนีการไล่ตามของพวกเฉินถิงเซียวพ้นแล้วใช่ไหม?”
“ตามหลักแล้ว ก็ถูกครับ”คนขับที่ตอบเธอ ก็ยังคงเป็นคนแปลกหน้าที่เธอไม่รู้จักอีกคน
มู่น่อนน่อนรู้แล้วว่า“คุณผู้ชาย”ที่คนขับรถพูดถึงนั้นคือใคร แต่ก็ยังรู้สึกประหลาดใจเล็กๆกับความคิดที่รอบคอบของ“คุณผู้ชาย”ของพวกเขา จึงอดไม่ได้ที่จะถามไปว่า“คุณผู้ชายของพวกคุณล่ะ ?”
คนขับตอบว่า“คุณผู้ชายกำลังรอคุณอยู่ที่สนามบินครับ ”
สนามบิน?
มู่น่อนน่อนไม่ได้ถามอะไรอีก
ระหว่างนั้นก็เปลี่ยนรถไปอีกหลายคัน
รถทุกคันที่เธอเคยนั่ง กับรถที่เธอกำลังนั่งอยู่ ต่างล้วนขับไปกันคนละทิศกับรถที่นั่งมาก่อนหน้า
ด้วยวิธีนี้ ต่อให้เฉินถิงเซียวจะรู้ว่ารถที่พวกเขาขับตามอยู่นั้นจะไม่มีมู่น่อนน่อนนั่งอยู่ และต่อให้จะรู้ตัวมันก็สายจนไล่ตามไม่ทันแล้ว
เธอเปลี่ยนรถระหว่างทางตั้งหลายคันแบบนี้ หนำซ้ำยังขับไปยังคนละทิศกับทางเดิมอีก เฉินถิงเซียวหาไม่เจอแน่นอน
มู่น่อนน่อนรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ในใจไม่มีความรู้สึกว่านี่มันเป็นเรื่องจริงเอาซะเลย
เธอสามารถหนีพ้นเฉินถิงเซียวได้จริงๆเหรอ ?
จนกระทั่งรถมาถึงที่สนามบิน มู่น่อนน่อนเพิ่งจะมาได้สติ
เธอกำลังจะเปิดประตูรถด้วยตัวเอง แต่ประตูกลับถูกเปิดออกจากทางด้านนอก
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมอง มีใบหน้าของชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มปรากฏ
เขาเอ่ยเรียกอย่างสนิทสนมและเป็นกันเอง “มู่น่อนน่อน”
แม้ว่ามู่น่อนน่อนจะนึกออกแต่แรกแล้วว่าเจ้าของป้ายทะเบียนรถนี้เป็นใคร แต่ในตอนที่เขามาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอ เธอก็ไม่สามารถเก็บซ่อนความประหลาดใจนั้นได้
“เสิ่นชูหาน เป็นนายจริงๆด้วย”
มู่น่อนน่อนลงจากรถ แล้วจ้องมองไปที่เสิ่นชูหาน ราวกับเพิ่งจะรู้จักกับเสิ่นชูหานยังไงอย่างงั้น
เมื่อเสิ่นชูหานได้ยินที่เธอพูด รอยยิ้มก็ยิ่งกว้างขึ้น “ฉันรู้อยู่แล้ว ว่าเธอต้องจำทะเบียนรถของฉันได้”
เธอรู้จักกับเสิ่นชูหานมานาน ในตอนนั้นเธอเองก็ชอบเสิ่นชูหานมาก
ตอนอายุราวๆสิบขวบ การชอบใครสักคนเราก็มักจะจดจำทุกอย่างของคนคนนั้นได้อย่างไม่รู้ตัว และทะเบียนรถของเขา มู่น่อนน่อนก็จำมันได้ในตอนที่เธอชอบเขาด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้ชอบเสิ่นชูหานอีก และเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับเสิ่นชูหาน มันก็ค่อยๆเลือนรางหายไป
แต่ว่า เสิ่นชูหานตรงหน้ากับเสิ่นชูหานที่เธอเคยรู้จักนั้นไม่เหมือนกัน
มู่น่อนน่อนหรี่ตาลง ถามอย่างระแวดระวังไปว่า“นายรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่กับเฉินถิงเซียวที่โรงแรมนั่น? แล้วทำไมต้องช่วยฉันด้วย ? ”
เมื่อก่อนเสิ่นชูหานเคยคั่วอยู่กับมู่หวั่นขี และสิ่งที่เขาทำ เธอเองก็ไม่เคยลืม
รอยยิ้มบนใบหน้าของเสิ่นชูหานก็เปลี่ยนไป น้ำเสียงก็จริงจังขึ้นมา “วิลล่าของเฉินถิงเซียวไฟไหม้ สำนักข่าวต่างก็รายงานว่าเธอถูกไฟคลอกตายแล้ว ฉันไม่เชื่อ เลยให้คนตามดูเฉินถิงเซียว”
ตามดูเฉินถิงเซียว ก็จะเจอตัวมู่น่อนน่อนได้เอง
สายตาของเสิ่นชูหาน ทำให้มู่น่อนน่อนประหลาดใจเล็กน้อย
เธอพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชาไปว่า“ฉันจะตายหรือไม่ตายมันเกี่ยวอะไรกับนาย ?”
เสิ่นชูหานก้าวเดินมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง ยกมุมปาก ยิ้มออกมาอย่างสื่อความหมาย“ต้องเกี่ยวซิ ”
เขาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ แล้วพูดเสริมอีกคำว่า“ ฉันต้องเสียใจอยู่แล้ว ”
น้ำเสียงทีเล่นทีจริง แยกไม่ออกว่าพูดจริงหรือพูดเล่น
มู่น่อนน่อนยากที่จะมองชายหนุ่มตรงหน้าที่มีความคิดซับซ้อน กับเสิ่นชูหานคนเก่าที่อ่อนแอไม่เอาไหนคนนั้นให้เป็นคนเดียวกัน
มู่น่อนน่อนจึงต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ ไม่ตลกนะ”
“ฉันรู้ว่าเธอไม่มีทางเชื่อฉัน แต่เวลาจะพิสูจน์ทุกอย่างเอง”หลังจากเสิ่นชูหานพูดจบ เขาก็หยิบตั๋วเครื่องบินสองใบออกมา “ได้เวลาที่เราควรไปเช็กอินกันแล้ว ”
“ไปไหน?”
คนขับรถที่พาเธอมาส่งก่อนหน้าก็ได้พูดเอาไว้ ว่าเสิ่นชูหานรอเธออยู่ที่สนามบิน
เสิ่นชูหานก็พูดขึ้นว่า“ต่างประเทศ”
มู่น่อนน่อนนิ่งอึ้งไป
“ทำไม ไม่อยากไป ? ”เสิ่นชูหานหัวเราะแล้วมองไปที่หญิงสาว “ เธอลืมไปแล้วเหรอว่าช่วงนี้ถูกเฉินถิงเซียวควบคุมชีวิตยังไง แล้วถูกเฉินถิงเซียวปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมยังไง ? ”
เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินคำพูดนี้ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ดูแล้วเหมือนเสิ่นชูหานจะใส่ใจเรื่องของเธอจริงๆ
เสิ่นชูหานมองเห็นความลังเลและสองจิตสองใจของเธอ ก็พูดหว่านล้อมไปว่า“เบื้องหลังของตระกูลเฉินนั้นลึกเกินไป เรื่องโคลนครั้งนี้ของตระกูลเฉิน หากเธอพลาดตกลงไปคงถูกกลืนกินจากคนของตระกูลเฉินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกแน่ และหากเธอไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ หลบไปอยู่ที่ต่างประเทศสักปีสองปี เฉินถิงเซียวก็จะลืมเธอไปเอง และเธอก็จะได้ใช้ชีวิตของตัวเองด้วย……”
มู่น่อนน่อนพูดขัดเขาขึ้นมา“ นี่นายไปรู้อะไรมางั้นเหรอ ?”
เสิ่นชูหานเลิกคิ้วขึ้น อารมณ์ลุ่มลึกคาดเดาไม่ถูก “ทุกคนต่างมีความลับของตัวเอง”
มู่น่อนน่อนไม่อยากที่จะมาถกเถียงกับเสิ่นชูหานในเรื่องนี้ ถามเพียงแค่ว่า“นายจะไปต่างประเทศกับฉันด้วย?”
“แน่นอน”เสิ่นชูหานก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง
ลักษณะนิสัยของคนตรงหน้ากับเสิ่นชูหานที่เธอเคยรู้จักนั้นช่างต่างกันมาก มู่น่อนน่อนเองย่อมต้องระวังตัวมากเป็นพิเศษ
ฟังจากคำพูดของเสิ่นชูหาน เธอรู้สึกได้ว่าเสิ่นชูหานนั้นดูจะมีแผนการอะไรบางอย่างกับเธอ
หากสิ่งที่เสิ่นชูหานทำมาก่อนหน้านั้นเป็นสิ่งที่เสแสร้งขึ้นมา งั้นความคิดของเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าเฉินถิงเซียวเท่าไร
มู่น่อนน่อนไม่มีทางไปต่างประเทศกับเขาแน่
เมื่อเห็นว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้พูดอะไร เสิ่นชูหานก็เอื้อมมือไปโอบไหล่ของเธอ “ใกล้จะได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ”
มู่น่อนน่อนหมุนตัว แล้วหลบมือของเขาออก
สีหน้าของเสิ่นชูหานเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
……
อาจเป็นเพราะไม่อยากทำให้เป็นจุดสนใจ ที่นั่งที่เสิ่นชูหานจองนั้นจึงเป็นที่นั่งชั้นประหยัด
ทั้งสองผ่านจุดตรวจแล้วไปยังห้องรอขึ้นเครื่อง
เที่ยวบินที่เสิ่นชูหานจองนั้นเริ่มที่จะเช็กอินกันแล้ว
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปาก จู่ๆก็ทรุดตัวลงกับพื้น “ ฉันปวดท้อง……อยากไปห้องน้ำ……”
เช้าวันรุ่งขึ้น
ในตอนที่มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมา กลับไม่เห็นร่างของเฉินถิงเซียวอยู่ข้างๆ
เธอลุกขึ้นจากเตียง หยิบเอาเสื้อคลุมมาใส่ แล้วเดินไปที่ประตูก็พบว่าประตูไม่ได้ถูกปิดสนิท
ห้องที่เฉินถิงเซียวจองเป็นห้องสูท ด้านนอกของห้องนอนคือห้องรับแขก
มองลอดผ่านประตูที่ปิดไม่สนิท มู่น่อนน่อนก็เห็นเฉินถิงเซียวที่นั่งอยู่บนโซฟากำลังคุยโทรศัพท์อยู่
เฉินถิงเซียวตั้งใจพูดเสียงเบา มู่น่อนน่อนเห็นเพียงริมฝีปากของเฉินถิงเซียวขยับ แต่ไม่ได้ยินว่าเขากำลังพูดอะไร
ทันใดนั้น เฉินถิงเซียวราวกับจะรู้สึกได้ เงยหน้าขึ้นแล้วมองมาทางมู่น่อนน่อน
เมื่อถูกจับได้
มู่น่อนน่อนก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป
โทรศัพท์ในมือของเฉินถิงเซียวไม่ได้กดวางสาย เขาเอื้อมมือไปหยิบกาน้ำบนโต๊ะแล้วเทน้ำอุ่นแก้วหนึ่งให้มู่น่อนน่อนจากนั้นก็ยื่นมันส่งให้เธอ
มู่น่อนน่อนยื่นมือรับเอาไว้ เขาปล่อยมือออกจากนั้นก็คุยโทรศัพท์ต่อ
ในเวลานี้เอง ทางด้านนอกของประตูก็มีเสียงเคาะดังขึ้น
มู่น่อนน่อนมองไปที่เฉินถิงเซียวแวบหนึ่ง เฉินถิงเซียวก็พูดขึ้นว่า “ผมสั่งอาหารเช้ามา”
มู่น่อนน่อนเดินไปเปิดประตูโดยไม่ได้แสดงสีหน้าอาการอะไร
พนักงานเข็นรถอาหารเช้าแล้วเดินเข้ามา วางอาหารลงบนโต๊ะ แล้วกล่าวอย่างสุภาพไปว่า “สวัสดีครับ นี่เป็นอาหารเช้าที่คุณเฉินสั่งครับ ทานให้อร่อยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”มู่น่อนน่อนกล่าวขอบคุณ แล้วเดินตามไปเพื่อจะล็อกปิดประตูห้อง
เมื่อมาถึงที่ประตู จู่ๆพนักงานก็หันกลับมาแล้วพูดขึ้นว่า “คุณมู่”
มู่น่อนน่อนก็ตกใจ เงยหน้าขึ้นมองพนักงาน
พนักงานยื่นมือออกมาแล้วยัดเศษกระดาษใส่ในมือเธอ แล้วรีบจากไป
ไม่นานมู่น่อนน่อนก็ได้สติ หยิบเศษกระดาษนั้นใส่ลงในกระเป๋า
ในตอนที่เธอหันกลับมา เธอก็เหลือบมองไปที่เฉินถิงเซียวอย่างระแวดระวัง
เฉินถิงเซียวเองก็เพิ่งวางสายและหันมองมาที่เธอเช่นกัน “เป็นอะไร?”
“เปล่า”มู่น่อนน่อนใช้หลังมือดันประตูปิด ทำท่าทำทางให้ปรกติแล้วเดินไปนั่งลงที่โต๊ะอาหาร
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าในกระดาษนั้นพนักงานคนนั้นเขียนอะไรไว้ แต่ก็ไม่กล้าที่จะรีบร้อนเปิดมันดู ในตอนกินข้าวจิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กลัวเฉินถิงเซียวจะสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอ เธอจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตากิน
จนในที่สุดก็กินเสร็จ มู่น่อนน่อนจึงได้ลุกไปเข้าห้องน้ำ
ล็อกประตูแล้ว เธอก็หยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมา มองไปแค่แวบเดียว ดวงตาก็ต้องเบิกกว้าง
เนื้อหาในกระดาษนั้น เป็นข้อความง่ายๆเพียงหนึ่งคำ “อยากหนีไหม?”
ตัวอักษรและตัวเลขที่รวมๆกัน ดูคล้ายกับเป็นเลขทะเบียนรถ
อีกทั้ง ทะเบียนรถคันนี้ดูๆไปแล้วก็คุ้นมากๆ
มู่น่อนน่อนดูวนข้อความนั้นเพียงสองรอบ ก็จำทะเบียนรถนั้นไว้ จากนั้นก็โยนกระดาษนั้นทิ้งลงในโถชักโครก แล้วกดน้ำทิ้ง
ในตอนที่เธอเปิดประตูห้องน้ำออกมา มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวน้ำเสียงไม่น่าฟัง“เข้าห้องน้ำล็อกประตูด้วย กำลังคิดหาวิธีหลบหนีอีกเหรอ ?”
“ใช่”มู่น่อนน่อนเชิดหน้าขึ้น พูดอย่างทีเล่นทีจริงไปว่า“หาวิธีอยู่นาน เพิ่งจะรู้ว่าหนีออกทางห้องน้ำไม่ได้ ”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวแน่นิ่ง คำพูดที่ราวกับจะรอดออกมาตามไรฟัน“ยั่วโมโหผมมันไม่ส่งผลดีกับคุณหรอกนะ ”
มู่น่อนน่อนแบมือออก“ไม่ยั่วโมโหคุณ มันก็ไม่ส่งผลดีอะไรกับฉันเหมือนกันนี่ ?”
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวโมโหแบบนี้ ในใจของของเธอก็รู้สึกราวกับมีความสุขขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
……
หลังจากที่รับประทานอาหารมื้อเช้าเสร็จ เฉินถิงเซียวก็พามู่น่อนน่อนเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม เตรียมที่จะเดินทางกลับเมืองหู้หยาง
ออกจากประตูโรงแรมมา สือเย่ก็คุยธุระกับเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนก็จับจ้องมองไปยังรถที่จอดอยู่ตรงลานจอดของประตู
เมื่อมองไป เธอไม่เห็นทะเบียนรถที่เขียนอยู่ในเศษกระดาษนั่น
นี่มันเรื่องอะไรกัน ?
ทะเบียนรถนั่นเป็นทะเบียนที่เธอรู้สึกว่ามันคุ้นมากๆ หรือก็คือเจ้าของรถคันนั้นกับเธอน่าจะรู้จักกัน อีกทั้งยังรู้ถึงความเป็นไปของเธอในตอนนี้
เห็นได้ชัดว่าต้องการจะช่วยเหลือเธอ
และโอกาสเดียวที่เธอสามารถอยู่ให้ห่างกับเฉินถิงเซียวได้ก็คือในตอนนี้
หากขึ้นรถของเฉินถิงเซียวไปแล้ว เธอก็คงต้องกลับไปเมืองหู้หยางกับเฉินถิงเซียว
ในตอนนี้เอง ที่ตรงหัวมุมไม่ไกลไปนักเธอสังเกตเห็นรถสีดำคันหนึ่ง
รถคันนั้นขับเดินหน้าและถอยหลังกลับไปมาอยู่อย่างนั้นด้วยระยะทางราวๆสองเมตรได้
การกระทำแปลกๆแบบนี้ ดึงดูดความสนใจของมู่น่อนน่อน
เธอก้าวเดินไปข้างหน้าสองก้าว ก็เห็นป้ายทะเบียนของรถคันนั้นอย่างชัดเจน
ป้ายทะเบียนของรถคันนั้นตรงกับที่เขียนไว้ในเศษกระดาษ
มู่น่อนน่อนรู้สึกตื่นเต้น และประหม่าเล็กน้อย
เธอหันกลับไปมองที่เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวก็ยืนห่างจากเธออยู่สองเมตร เมื่อเห็นหญิงสาวมองมา เขาก็กวักมือเรียกเธอ เพื่อให้เธอเดินเข้าไปหา
ในใจของมู่น่อนน่อนเต้นโครมคราม กระวนกระวายอย่างไม่ปกติสุข
ตอนนี้โอกาสมาอยู่ตรงหน้า เธอสามารถที่จะหลุดพ้นการถูกควบคุมของเฉินถิงเซียว แล้วเธอจะปล่อยมันไปได้ยังไง
เธอเดินเข้าไปหาเฉินถิงเซียว แต่ก็ยังเหลือบเห็นรถสีดำคันนั้นขับมาทางนี้ ยิ่งขับก็ยิ่งเข้ามาใกล้……
มู่น่อนน่อนชำเลืองมอง จากที่เธออยู่ไปถึงที่ตัวรถ หากเธอวิ่งเข้าไปหา ใช้เวลาไม่ถึงนาที
ใช้เวลาไม่ถึงนาที……
ในช่วงที่กำลังครุ่นคิด เธอก็เดินไปถึงตรงหน้าของเฉินถิงเซียวแล้ว
เฉินถิงเซียวกุมมือเธอแน่น ดวงตาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“ เดี๋ยวเรากลับเมืองหู้หยางกัน”
รอยยิ้มนี้ ในสายตาของมู่น่อนน่อน ช่างบาดตายิ่งนัก
แม้ภายในใจของมู่น่อนน่อนแทบจะเดือดพล่านจนทนไม่ไหว แต่ภายนอกก็ยังคงสงบนิ่งไม่ไหวติง “กลับไปแล้วเราจะไปพักกันที่ไหน?”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวที่ราวกับจะตามใจ“ อยากพักที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น”
“จริงเหรอ?”
“แน่นอน”
สายตาของมู่น่อนน่อนก็เหลือบมองที่รถคันนั้นอีกครั้ง ในใจก็ตัดสินใจ เงยหน้าขึ้นแล้วจูบไปที่ริมฝีปากของเฉินถิงเซียว
เธอจูบอย่างกะทันหัน ทำให้เฉินถิงเซียวก็ตกใจไปด้วย ถูกมู่น่อนน่อนจูบอยู่นาน ก็เพิ่งจะรู้ตัวและได้สติเอื้อมมือไปกอดเอวของมู่น่อนน่อนเอาไว้
สือเย่กับบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ข้างๆก็หันหลังให้อย่างอัตโนมัติ
มู่น่อนน่อนเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน ยังไงเขาก็ไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน
ในตอนที่เขากำลังจูบอย่างดูดดื่ม จู่ๆมู่น่อนน่อนก็ผละตัวออก
เฉินถิงเซียวยังไม่หายอยากที่จะปล่อยเธอ แต่ก็คลายการเฝ้าระวังตัว
มู่น่อนน่อนใช้โอกาสนี้ ผลักร่างของเฉินถิงเซียวออกอย่างแรง
เฉินถิงเซียวที่ไม่ทันได้ระวังตัว ถูกมู่น่อนน่อนผลักออกอย่างนี้ ก็ล้มลงกับพื้นทันที
ในตอนที่เขาล้มลงกับพื้น มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวต่างจ้องมองหน้ากัน เห็นสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อของเขา เธอก็เหยียดยกมุมปาก
มู่น่อนน่อนได้รับอิสรภาพ แล้วรีบวิ่งไปยังรถคันนั้น
ในตอนที่เธอกำลังวิ่งไป รถคันนั้นก็ได้เปิดประตูรอเธอเอาไว้อยู่แล้ว
ทางด้านหลังมีเสียงอันโกรธเคืองของเฉินถิงเซียวดังขึ้น “มู่น่อนน่อน!”
มู่น่อนน่อนยกมือขึ้นกุมไปที่ท้องน้อยของเธออย่างไม่รู้ตัว แต่ฝีเท้าก็เร่งให้เร็วขึ้น
บอดี้การ์ดก็ได้สติขึ้นมาเหมือนกันในตอนที่เสียงคำรามของเฉินถิงเซียวดังขึ้น แล้วต่างก็วิ่งกรูกันตามไปที่มู่น่อนน่อน
ในจังหวะที่บอดี้การ์ดใกล้จะตามมู่น่อนน่อนทันนั้น เธอก็วิ่งไปถึงที่ตัวรถแล้ว และก้มตัวขึ้นรถไป
เธอปิดประตูรถอย่างแรง หายใจหอบแล้วหันไปมองดูคนที่ตามมาทางด้านหลัง
บอดี้การ์ดวิ่งตามอยู่อีกสองสามก้าว ก็หันหลังกลับเพื่อจะไปขับรถไล่ตาม และเฉินถิงเซียวที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด เธอมองกิริยาท่าทางของเขาได้ไม่ชัดเจน
มู่น่อนน่อนขัดขืนเฉินถิงเซียว ไม่ได้ยื่นมือไปโอบคอเฉินถิงเซียวไว้
เฉินถิงเซียวเหมือนจะอารมณ์ดีมาก เลยไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้ แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อว่า: “มู่น่อนน่อน เธอเผาคฤหาสน์ของฉัน ก็เพื่อหนีมาสถานที่บ้าๆนี้เหรอ?”
ครั้งนี้มู่น่อนน่อนก็เลือกโรงแรมที่ไม่ต้องใช้บัตรประชาชนก็เข้าอยู่ได้เลย
ดังนั้นสถานที่เลยโทรมไปหน่อย
ที่นี่มีคนหลายประเภท
มู่น่อนน่อนเม้มปากไม่พูดอะไร
แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร ตอนนี้เธอถูกเฉินถิงเซียวจับตัวได้แล้ว ครั้งนี้เธอแพ้แล้ว เธอไม่มีอะไรจะพูดอีก
ตอนบ่าย เธอเห็นห้องโถงโรงแรมเงียบไม่มีคนเลย เจ้าของโรงแรมกับแขกคนอื่นๆก็คงถูกเฉินถิงเซียวไล่ตะเพิดออกไป
เฉินถิงเซียวนำกำลังคนมาไม่น้อย บอดี้การ์ดที่สวมชุดสูทราคาแพง แค่ดูก็รู้แล้วว่ายุ่งไม่ได้ คนทั่วไปต่างก็กลัวพวกเขาหัวหด
รถของเขาจอดอยู่หน้าประตูโรงแรม บอดี้การ์ดรีบเดินไปเปิดประตูให้พวกเขา เฉินถิงเซียวก็อุ้มมู่น่อนน่อนเข้าไปนั่ง
มู่น่อนน่อนนั่งแล้ว ก็ขยับไปนั่งอีกทาง
แต่ไม่นาน เฉินถิงเซียวก็คว้าข้อมือเธอไว้ แล้วลากเธอขยับมาใกล้เขา
มู่น่อนน่อนสู้แรงเฉินถิงเซียวไม่ได้ ทำได้แค่ล้มตัวลงไปที่ตัวเขา
เฉินถิงเซียวกอดเธอเอาไว้ มือข้างหนึ่งโอบเอวอีกข้างก็พยุงหลังหัวเธอไว้ จากนั้นริมฝีปากบางก็บดขยี้ลงไปทันที
เขาประทับริมฝีปากลงไปโดยไม่มีความอ่อนโยนและกระบวนท่าเลย
เขาเอาแต่บดขยี้ลงไปอย่างรุนแรงและบังคับขืนใจเธอ
ต่อมาเขาก็กดหลังหัวมู่น่อนน่อนไว้ กัดริมฝีปากเธอแรงๆ และหายใจถี่ๆ
จนกระทั่งริมฝีปากมู่น่อนน่อนเจ็บเล็กน้อย เฉินถิงเซียวก็ถึงปล่อยเธอออกไป
เธอเม้มปากบางของตัวเอง เธอรู้สึกริมฝีปากของเธอชาและเปื่อยไปหมดแล้ว
มู่น่อนน่อนไม่มีแรงผลักเขา จึงถามอย่างเย็นชาว่า: “ตอนนี้จะกลับเมืองหู้หยางเหรอ?”
“ทำไม ยังอยากเล่นเกมแมวจับหนูกับฉันเหรอ?” เฉินถิงเซียวไม่ได้ปล่อยเธอออกไป เขายังคงกอดเธอไว้แน่น เหมือนกลัวว่าเธอจะหนีไปอย่างงั้น
“ดึกมากแล้ว ฉันเหนื่อยน่ะ ไม่อยากนั่งรถกลับไป” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็หาวด้วยความอ่อนเพลีย
นี่แค่ข้ออ้างเท่านั้น ที่มากไปกว่านั้นคือมู่น่อนน่อนไม่พอใจต่างหาก
เธอไม่อยากถูกเฉินถิงเซียวจับตัวกลับไปแบบนี้
มู่น่อนน่อนคิดได้เลยว่า ตอนนี้ถ้าเธอกลับไปกับเฉินถิงเซียวแล้ว สิ่งที่รอเธออยู่คืออะไร
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแน่นอน เฉินถิงเซียวยังคงควบคุมและสั่งการเธอได้ทุกอย่าง ยิ่งไปกว่านั้นยังจะควบคุมตัวเองหนักกว่าเดิมด้วย
เธอนึกถึงข่าวที่เห็นในโทรทัศน์ตอนกลางวัน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองเฉินถิงเซียว: “ข่าวนั่นนายให้นักข่าวออกหรือเปล่า?”
คำพูดของมู่น่อนน่อนไม่ค่อยชัดเจน แต่เฉินถิงเซียวกลับรู้ดีว่าเธอพูดอะไรอยู่
เฉินถิงเซียวลูบไล้ใบหน้าของเธอ สีหน้ามีความอ่อนโยนแปลกๆ: “แน่นอนสิ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันปล่อยข่าวออกไป พวกเขาจะกล้าพูดได้ยังไงว่าสะใภ้ตระกูลเฉินเสียชีวิตในที่เกิดเหตุเพลิงไหม้?”
นักข่าวพวกนั้นไม่ว่าจะมีอำนาจมากแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าหาเรื่องตระกูลเฉินแน่นอน
ในเมืองหู้หยาง ก็คือโลกของตระกูลเฉิน
มู่น่อนน่อนเพิ่งรู้ตัวเมื่อกี้
เฉินถิงเซียวปล่อยข่าวออกไป ให้นักข่าวปล่อยข่าวเรื่องที่ตายในที่เกิดเหตุกันอย่างบ้าคลั่ง งั้นครั้งนี้หลังจากที่เธอถูกเฉินถิงเซียวนำตัวกลับไปแล้ว เขาก็คงมีเหตุผลชัดเจนที่จะควบคุมกักขังฉัน
เพราะยังไง เธอก็เป็นคนที่ “ตาย” ในโลกข้างนอกแล้ว
มู่น่อนน่อนคิดถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ขนลุกซู่
เฉินถิงเซียวรู้สึกได้ถึงร่างกายที่แข็งทื่อของมู่น่อนน่อน สายตามืดมน เหมือนจะรู้ว่ามู่น่อนน่อนกำลังคิดอะไรอยู่ เขาก้มหน้าลงจูบไปที่หน้าผากเธอเบาๆ และพูดปลอบใจว่า: “คืนนี้ไปนอนที่โรงแรมก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยกลับเมืองหู้หยาง”
มู่น่อนน่อนอยากขัดขืนการสัมผัสของเฉินถิงเซียว
ตัวเธอแข็งทื่อเหมือนกับก้อนหินในอ้อมกอดของเฉินถิงเซียว แต่ก็ต้องปล่อยให้เฉินถิงเซียวพาเธอไปโรงแรม ปฏิเสธอะไรเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ด้วยนิสัยของเฉินถิงเซียว ครั้งนี้มู่น่อนน่อนเผาคฤหาสน์ขนาดนั้น เขาคงโกรธไปนานแล้ว ตั้งแต่ที่เฉินถิงเซียวตามหาเธอจนเจอจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ดุด่าเธอเลยสักคำ นี่ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
มู่น่อนน่อนก็ไม่กล้าทำให้เขาโมโหอีก
……
เฉินถิงเซียวจะต้องพักในโรงแรมที่ดีที่สุดอยู่แล้ว
ระบบหรือการตกแต่งภายในดีกว่าโรงแรมเล็กๆที่มู่น่อนน่อนไปพักร้อยเท่าพันเท่า
พอเข้าห้องมา มู่น่อนน่อนก็นั่งบนเตียงไม่ขยับตัวเลย
เฉินถิงเซียวถอดเสื้อนอกออก แล้วสั่งเธอว่า: “ไปอาบน้ำ”
มู่น่อนน่อนเหมือนหุ่นยนต์ที่พอเฉินถิงเซียวออกคำสั่ง เธอก็จะไปทำตาม
แต่ว่า เธอเพิ่งก้าวเข้าไปในห้องน้ำ ก็เห็นเฉินถิงเซียวเดินตามมาจากด้านหลัง
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว: “นายจะทำอะไรน่ะ?”
เฉินถิงเซียวแสยะยิ้ม รอยยิ้มนั้นดูไม่มีความอบอุ่นเลย เขาพูดเสียงทุ้มต่ำว่า: “ก็ต้องค่อยเฝ้าเธออยู่แล้ว”
เสียงท้ายประโยคนั้นเบาลง และมีความเยือกเย็นเบาๆ
“ตอนนี้ฉันยังจะหนีไปที่ไหนได้อีกเล่า?” มู่น่อนน่อนหัวเราะ เสียงหัวเราะนั้นมีความประชดประชัน
เฉินถิงเซียวพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า: “ขนาดคฤหาสน์ฉันเธอยังกล้าเผาเลย ยิ่งเป็นโรงแรมนี้อีก?”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้ว ก็อึ้งไปสักพัก
เธอไม่เข้าใจความคิดของเฉินถิงเซียวเลย
คฤหาสน์ของเฉินถิงเซียว เธอกล้าเผามันอยู่แล้ว นั่นเป็นเพียงเพราะว่าเธอคิดว่าเฉินถิงเซียวคงไม่ใส่ใจคฤหาสน์หลังนั้นหรอก
แต่โรงแรมนี้ เธอจะกล้าเผาได้ยังไงล่ะ?
คิดว่าเธอไม่กลัวฟ้ากลัวดิน แล้วยังไม่มีสามัญสำนึกงั้นเหรอ?
มู่น่อนน่อนเห็นเฉินถิงเซียวมีความคิดที่แน่วแน่ ท่าทางเหมือนจะไม่ยอมถอยง่ายๆ เธอก็เลยถอนเสื้อผ้าต่อหน้าเฉินถิงเซียวแล้วเข้าไปอาบน้ำเสียเลย
เธอนั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำ หันหลังให้เฉินถิงเซียว
แต่ว่า แม้จะหันหลังให้เฉินถิงเซียวยังไง เธอก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาของเฉินถิงเซียวที่มองมายังร่างกายของเธอ เหมือนเป็นไฟที่พร้อมจะแผดเผาเธอได้ทุกครั้ง
มู่น่อนน่อนอาบน้ำให้เสร็จต่อหน้าเขา พออาบเสร็จแล้ว ก็ถูกเฉินถิงเซียวเอาผ้าเช็ดตัวห่อตัวไว้แล้วอุ้มไปที่เตียง
ตอนนี้เอง ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตู
เฉินถิงเซียวไปเปิดประตู ตอนที่กลับมาในมือก็มีถุงเพิ่มมาหนึ่งใบ
เขาวางถุงไปที่หัวเตียง: “ใส่ซะ”
พูดจบ เขาก็เดินเข้าห้องอาบน้ำไป
มู่น่อนน่อนเปิดดู เห็นว่าด้านในเป็นชุดนอน มีขนนุ่มๆด้านนอกดูแล้วน่าจะใส่สบายน่าดู
มู่น่อนน่อนเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ของตัวเองดี เธอไม่มีสิทธิ์เถียงเฉินถิงเซียว ทำได้แค่ฟังที่เขาพูด
เฉินถิงเซียวอาบน้ำเสร็จออกมา ก็เห็นมู่น่อนน่อนสวมชุดนอนที่เขาเอามาให้อย่างเชื่อฟัง จากนั้นเขาก็ยิ้มกริ่มอย่างพึงพอใจ
เขาโน้มตัวลงไปจุ๊บปากมู่น่อนน่อนเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า: “ต่อไปก็ต้องเชื่อฟังเหมือนตอนนี้นะ อย่าทำให้ฉันโกรธอีก”
มู่น่อนน่อนกำหมัดแน่น ไม่ขัดขืนและไม่ตอบโต้
เฉินถิงเซียวมองดูปฏิกิริยาเล็กน้อยนั้นของเธอ แววตาก็เย็นชาลงแต่กลับไม่ได้โกรธอะไร
เขากอดมู่น่อนน่อนเอาไว้: “นอนเถอะ”
สองวันมานี้มู่น่อนน่อนเอาแต่หนี ไม่ก็หลบตรงนั้นตรงนี้ กินอยู่ไม่ดี ในเมื่อเธอปฏิเสธเฉินถิงเซียวในใจ แต่ก็ง่วงนอนมากจริงๆ ไม่นานเธอก็ค่อยๆหลับตาลงนอน
เฉินถิงเซียวมองดูใบหน้าที่หลับสนิทของเธอ สีหน้าของเขาก็มีความบ้าคลั่งขึ้นมา
เธอหนีไม่รอดหรอก
ข้างๆร้านชานมมีห้องน้ำสาธารณะ
มู่น่อนน่อนแบกกระเป๋าเดินเข้าไป เพิ่งปิดประตูของข้างๆลง ก็ได้ยินเสียงรถจอดอยู่หน้าห้องน้ำข้างๆถนน
ต่อมาก็มีเสียงเท้าเดินหลายคน
ตามด้วยเสียงที่คุ้นเคย
“ถ้าข่าวเป็นจริง คุณนายน้อยน่าจะอยู่ที่นี่นะ”
เสียงนี้เป็นเสียงของสือเย่ มู่น่อนน่อนฟังจนติดหูไปแล้ว ก็ต้องฟังออกว่าเป็นเสียงใคร
แต่ว่า ได้ยินคำพูดของสือเย่ มู่น่อนน่อนตื่นเต้นขึ้นมาตาม
ฟังจากที่สือเย่พูด เฉินถิงเซียวมาด้วยเหรอ?
ต่อมา เธอก็ได้ยินเสียงแหบแห้งของเฉินถิงเซียว: “เข้าไปค้นให้ทั่ว”
เธอเพิ่งจุดไฟเผาคฤหาสน์เมื่อวาน พอได้ยินเสียงเฉินถิงเซียวอีกครั้ง กลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง
มู่น่อนน่อนพิงอยู่ที่หลังประตูห้องน้ำ ฟังเสียงเท้าของพวกเขาเดินออกไปด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น เธอก็รีบเข้าห้องน้ำแล้ววิ่งออกมา
พอเธอออกมา ก็เห็นรถโรลส์-รอยซ์ที่คุ้นเคยจอดอยู่ข้างถนน
หันไปมองอีกทาง ก็เห็นเฉินถิงเซียวกำลังนำกำลังคนแล้วบังเอิญเจอฉินสุ่ยซานพอดี
ฉินสุ่ยซานอยู่ตรงหน้าทางที่มู่น่อนน่อนอยู่ และเฉินถิงเซียวกับลูกน้องก็หันหลังให้มู่น่อนน่อนอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เห็นมู่น่อนน่อน
ฉินสุ่ยซานเห็นมู่น่อนน่อน เธอก็กะพริบตาปริบๆ
มู่น่อนน่อนยกนิ้วชี้ไปที่ริมฝีปาก แล้วทำท่า ‘ชู่ว์’ จากนั้นก็หลบไปที่หลังรถ
เธอได้ยินเฉินถิงเซียวถามฉินสุ่ยซาน: “เห็นมู่น่อนน่อนมาที่นี่ไหม?”
ฉินสุ่ยซานเงยหน้า มองไปที่ตำแหน่งที่มู่น่อนน่อนยืนอยู่เมื่อกี้ กอดอกพูดกับเฉินถิงเซียวอย่างท้าทายว่า: “เห็นแล้วยังไง? ไม่เห็นแล้วยังไง?”
เฉินถิงเซียวแสยะยิ้ม: “แม่ฉันจะไม่ชอบทำร้ายผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะทำไม่ได้”
ฉินสุ่ยซานได้ยินแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“นาย……” เธอพูดอย่างโมโหว่า: “ฉันไม่เห็นมู่น่อนน่อนหรอกนะ ไม่ใช่ภรรยาฉันสักหน่อย ใครจะช่วยนายเฝ้ากัน”
มู่น่อนน่อนหลบอยู่หลังรถ ในใจก็อดไม่ได้กดไลก์ให้ฉินสุ่ยซาน
ขนาดห่างจากตรงนั้นอยู่มาก มู่น่อนน่อนยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดเลย
เสียงของเฉินถิงเซียวทุ้มต่ำ: “งั้นเหรอ?”
มู่น่อนน่อนโผล่หัวออกไปดู เห็นฉินสุ่ยซานหน้าซีดเผือดแล้วถอยหลังไปสองก้าว จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอนว่า: “มู่น่อนน่อนไปแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอจะไปไหน”
โชคดีที่มู่น่อนน่อนรู้ว่าฉินสุ่ยซานเก็บอะไรไว้ไม่อยู่หรอก ในตอนที่มู่สุ่ยซานพูดนั้น มู่น่อนน่อนก็รีบอ้อมหลังรถวิ่งเข้าไปในตรอกซอยเล็กๆ
รอพวกเฉินถิงเซียวหันกลับมา ด้านหลังรถก็ไม่มีตัวมู่น่อนน่อนอยู่แล้ว
เฉินถิงเซียวกวาดตามองรอบๆ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “หาให้ทั่ว”
สือเย่ได้ยินดังนั้น ก็พาบอดี้การ์ดไปหามู่น่อนน่อน
บอดี้การ์ดกระจายตัวไปหมดแล้ว เหลือเพียงเฉินถิงเซียวที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
เฉินถิงเซียวรู้สึกได้ว่ามู่น่อนน่อนอยู่ที่นี่
ตอนบ่าย กู้จื่อหยั่นโทรมาหาเขา บอกว่ามีคนส่งของแปลกๆไปที่บริษัทเสิ้งติ่ง ข้างๆผู้รับมีตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนไว้ว่า “XN” เขาก็เดาได้แล้วว่าส่งให้เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวไปบริษัทเสิ้งติ่งเปิดพัสดุออกมาดู ด้านในมีกล่องและปากกาหนึ่งแท่ง นอกจากมู่น่อนน่อนแล้วยังจะมีใครที่ส่งของแบบนี้ให้เขาอีก?
เมื่อวานเขาทะเลาะกับกู้จื่อหยั่น พอใจเย็นได้แล้ว ก็นึกได้ว่ามู่น่อนน่อนไม่มีทางฆ่าตัวตายหรอก เธอจะต้องหนีออกไปแน่
แต่ว่า ถ้าเขายังไม่เห็นตัวมู่น่อนน่อน เขาก็ไม่มีทางสบายใจได้หรอก
จนกระทั่งเห็นพัสดุชิ้นนี้ เฉินถิงเซียวก็โล่งอกได้สักที
มู่น่อนน่อนหนีไปจริงๆ
ไม่นาน สือเย่ก็นำกำลังบอดี้การ์ดกลับมา
“คุณชายครับ” สือเย่เดินมาตรงหน้าเฉินถิงเซียว เห็นแววตาที่คาดหวังของเฉินถิงเซียว ก็เลยพูดไปตามตรงว่า: “หาคุณนายน้อยไม่เจอครับ”
เขาพูดจบ ก็ก้มหน้าลงไม่ไปมองสีหน้าของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวไม่ได้หลับทั้งคืน เช้ามาได้รับพัสดุชิ้นนั้นก็ตื่นทันที
พวกเขาคิดว่ามาที่นี่จะต้องหามู่น่อนน่อนเจอแน่นอน สุดท้ายกลับไม่เป็นไปตามที่หวัง
ที่ไม่ไกลมาก มู่น่อนน่อนแอบหันหลังเดินออกไป
บนโลกนี้ ขอแค่เธอมีใจอยากตามหาคนหรือหลบใครสักคน ก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก
นี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
มู่น่อนน่อนเดินไปที่ป้ายรถเมล์ ทันรถเมล์เที่ยวสุดท้ายที่ไปเมืองหลินพอดี
ระยะทางสี่ชั่วโมงกว่า มู่น่อนน่อนหลับๆตื่นๆไปจนถึงเมืองหลิน
ตอนที่ลงจากรถ ก็บ่ายแล้ว
มู่น่อนน่อนเอาบัตรของฉินสุ่ยซานไปกดเงิน จากนั้นก็หาที่กินข้าว
ร้านอาหารยังคงมีข่าวเกี่ยวกับตระกูลเฉินอยู่
“มีรายงานว่า สะใภ้ของตระกูลเฉินฆ่าตัวตายเมื่อวานนี้โดยจุดไฟเผาบ้านฆ่าตัวตาย ตอนนี้ยังหาศพไม่เจอ และคฤหาสน์ก็ถูกไฟไหม้อย่างรุนแรงเช่นกัน ผู้ที่เกี่ยวข้องกล่าวว่า สะใภ้ตระกูลเฉิน อาจจะเสียชีวิตในกองไฟแล้วก็ได้……”
มู่น่อนน่อนรู้สึกแปลกใจเหมือนกัน
ทั้งที่เธอยังมีชีวิตอยู่ดีๆ แต่ดูจากข่าวแล้ว เหมือนจะมีคนชี้นำมุมมองที่ว่า “เธอตายในกองไฟ”
หรือว่าจะเป็นฝีมือเฉินถิงเซียวกันนะ?
เฉินถิงเซียวรู้ว่าเธอคิดยังไง ดังนั้นเลยเล่นไปตามน้ำ ปล่อยให้นักข่าวรายงานข่าวไปอย่างนั้นงั้นเหรอ?
เฉินถิงเซียวคิดอะไรอยู่กันแน่นะ มู่น่อนน่อนเดาใจเขาไม่ออกเลย
พอออกจากเมืองหู้หยาง มู่น่อนน่อนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะเลย เฉินถิงเซียวคงไม่ตามมาถึงที่นี่หรอกนะ…….
แต่ทว่า ความจริงพิสูจน์ได้ว่า มู่น่อนน่อนไร้เดียงสาเกินไป
เฉินถิงเซียวเป็นคนพูดได้แล้วทำได้ เรื่องการทำตามหามู่น่อนน่อนเขาเด็ดเดี่ยวมาก แสดงได้ถึงความมุมานะของเขา
คืนนั้น ตอนที่หลับได้ไม่นาน มู่น่อนน่อนก็ได้ยินเสียงบนทางเดิน
มีเสียงเท้าเดิน และมีเสียงคนพูดด้วย
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นมาอย่างระวังตัว หูแนบประตูคอยฟังเสียงด้านนอก แล้วก็เดินไปที่ข้างหน้าต่าง
เธออยู่ชั้นสาม จะโดดลงไปก็คงเป็นไปไม่ได้
หรือว่าจะเป็นเหมือนในละคร ฉีกผ้าปูที่นอนแล้วมัดต่อกันเป็นเชือกแล้วหนีออกไปได้งั้นเหรอ?
เธอเสี่ยงอันตรายได้ แต่เด็กในท้องเธอจะเสี่ยงด้วยไม่ได้
ในตอนที่เธอลังเลตัดสินใจไม่ได้นั้น ด้านประตูก็มีเสียงดัง “ปัง” มีคนพังเข้ามาจากด้านนอก
ต่อมาก็มีเสียง “แปะ” ดังขึ้น ไฟในห้องถูกเปิดออก
มู่น่อนน่อนไม่ชินกับแสงที่กระทบเข้ามาในตา เธอใช้มือบังตาเอาไว้
รอเธอไม่แสบตากับแสงนี้แล้ว เธอหันไปที่หน้าประตู ก็เห็นร่างอันสูงโปร่งของเฉินถิงเซียวยืนอยู่ตรงหน้า
“มู่น่อนน่อน”
เขายืนอยู่หน้าประตู แสงไฟสีขาวนีออนส่องไปที่เค้าโครงใบหน้าเขา มีรูปหน้าเป็นสันและเยือกเย็น ดวงตาสีดำลึกเหมือนสัตว์ป่าที่ในที่สุดก็ล่าเหยื่อจนได้
มู่น่อนน่อนรู้ว่าเส้นทางการหนีของเธอได้จบสิ้นแล้ว
แค่เวลาสามสิบกว่าชั่วโมง ก็ถูกเฉินถิงเซียวหาตัวจนเจอแล้ว
แต่ว่าเธอก็ยังไม่พอใจอยู่ดี เลยยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
เฉินถิงเซียวพูดโดยไม่รีบร้อนว่า: “เดินมาเอง”
มู่น่อนน่อนไม่อยากไปเลย
แต่ว่า เธอไม่ไปแล้วยังมีวิธีไหนอีกล่ะ?
มู่น่อนน่อนเดินไปหาเขา เฉินถิงเซียวกระตุกยิ้มมุมปาก เขาอุ้มเธอขึ้นมา หันหลังเดินออกไปด้านนอก
เมืองหู้หยางเป็นเมืองใหญ่ระดับนานาชาติ ถือว่าเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
สำหรับคนทั่วไปแล้ว อยากจะตามหาคนในเมืองหู้หยาง คงเป็นเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร
แต่ว่า เฉินถิงเซียวไม่ใช่คนทั่วไป เขามีอำนาจ มีกำลังแถมยังมีเงินด้วย
เขาอยากตามหามู่น่อนน่อน เป็นเรื่องที่ง่ายมาก
เธอจะใช้โทรศัพท์ไม่ได้ และจะเข้าพักที่โรงแรมไม่ได้ด้วย
ดังนั้นเลยหาโรงแรมเล็กๆที่ไม่เคร่งเรื่องกฎหมาย และไม่ต้องใช้บัตรประชาชนเพื่อเข้าพักด้วย
ด้านในโรงแรมชื้นและดูอับมาก ผ้าปูที่นอนสีขาวก็มีคราบเหลืองๆ ห้องน้ำก็สกปรกมาก
มู่น่อนน่อนไม่ได้ถอนเสื้อก็นอนลงบนเตียงทันที
การกั้นเสียงของห้องคุณภาพแทบจะเป็นศูนย์ เสียงคนพูดและรถราเสียงบีบแตรทั้งหลายดังเข้ามาในห้องทั้งหมด
คืนแรกที่ออกห่างจากเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนก็นอนไม่หลับ
ตอนที่ใกล้จะหลับนั้น ก็ชอบมีความรู้สึกที่เฉินถิงเซียวจะพุ่งเข้ามาแล้วจับตัวเธอไป จากนั้นก็หลับตื่นๆจนถึงเช้า
นอนเหนื่อยกว่านอนไม่หลับอีก
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ตอนเช้าอาบน้ำไม่มีน้ำอุ่น
มู่น่อนน่อนกัดฟันล้างหน้าแปรงฟันด้วยน้ำเย็น เก็บข้าวของแต่งตัวเสร็จก็เช็คเอาท์ออกทันที
เธอจะอยู่ที่เดียวกันนานๆไม่ได้
เธอรู้ดีว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนยังไง
พอออกจากโรงแรม มู่น่อนน่อนก็เดินไปที่ป้ายรถเมล์ทันที
แถบนี้ใกล้กับชานเมือง ตอนแรกเป็นเมืองเล็กๆที่ใกล้กับเมืองหู้หยาง ต่อมาเมืองหู้หยางขยายอาณาเขต รวมกับเมืองเล็กนี้ไปด้วย แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก ดังนั้นมีของหลายอย่างและหลายที่ที่ไม่ค่อยเคร่งกฎหมายเท่าไหร่
ออกไปไม่ใกล้จากโรงแรมมีป้ายรถเมล์หนึ่ง ที่นั่นสามารถซื้อตั๋วโดยไม่ต้องใช้บัตรประชาชน เมื่อวานตอนที่เธอมาก็ศึกษามาก่อนแล้ว
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ข้างถนน ตอนที่รอไฟจราจร ทันใดนั้นด้านหลังก็มีมือมาแตะที่ไหล่เธอ และเรียกอย่างไม่แน่ใจว่า: “มู่น่อนน่อนหรือเปล่า?”
มู่น่อนน่อนชะงักอยู่กับที่ ถูกเฉินถิงเซียวจับเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?
คนที่ตบไหล่เธอเดินมาตรงหน้าเธอ เอียงหน้ามองเธอ และพูดอย่างตกใจว่า: “เธอจริงด้วย!”
มู่น่อนน่อนมองดูคนตรงหน้า ก็อึ้งเหมือนกัน: “ฉินสุ่ยซาน เธอมาที่นี่ได้ยังไง?”
ครั้งก่อนหลังจากที่ฉินสุ่ยซานไปแล้ว นอกจากมู่น่อนน่อนติดต่อเธอไปครั้งหนึ่งแล้ว นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เจอหน้ากันเลยนะ
ตอนนี้สถานการณ์ของมู่น่อนน่อนค่อนข้างยุ่งยาก เธอหรี่ตามองดูฉินสุ่ยซานสองสามวิ จากนั้นก็กวาดตามองรอบๆอย่างระวังตัว
คฤหาสน์ของเฉินถิงเซียวถูกไฟเผาจนไม่เหลือชิ้นดี แถมยังออกข่าวด้วย ฉินสุ่ยซานก็ต้องรู้อยู่แล้ว
เห็นมู่น่อนน่อนมองอย่างระแวง ฉินสุ่ยซานก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สีหน้าดูมีความหยิ่ง แต่ก็อธิบายไปว่า: “ช่วงนี้ทางกองกำลังเตรียมถ่ายละครเรื่องใหม่ ฉันเลยดูบรรยากาศสถานที่สักหน่อยน่ะ”
กองถ่ายในประเทศ โปรดิวเซอร์มีอำนาจการพูดมากที่สุด ดังนั้นเรื่องทุกอย่างก็ต้องเป็นหน้าที่ของโปรดิวเซอร์
“ไม่มีอะไรงั้นฉันไปก่อนนะ” เจอฉินสุ่ยซานในเวลาแบบนี้ มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเลย
แต่ฉินสุ่ยซานก็ขวางเธอไว้ก่อน: “หาที่นั่งคุยกันเถอะ เธอบอกว่าจะส่งบทละครมาให้ฉัน ตอนนี้ก็ยังไม่ส่งมาสักที”
มู่น่อนน่อนปฏิเสธทันที: “ไม่มีเวลาน่ะ”
ฉินสุ่ยซานเงียบไปสักพัก จากนั้นก็พูดว่า: “เธอไม่ต้องกลัวว่าฉันจะบอกตำแหน่งเธอหรอก ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะ”
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดแล้ว ก็พยักหน้าตกลง
รอบข้างนี้ไม่มีร้านกาแฟดีๆเลย ทั้งสองไปที่ร้ายชานมร้านหนึ่ง
ฉินสุ่ยซานสั่งชานมร้อนมาสองแก้ว แล้วดันแก้วหนึ่งให้มู่น่อนน่อน
“ขอบใจ” มู่น่อนน่อนดูดไปหนึ่งคำ
ฉินสุ่ยซานก็มองดูมู่น่อนน่อนสักพัก จากนั้นก็พูดว่า: “เกินคาดเลยแฮะ เธอดูแย่เลยนะ ช่วงนี้ตระกูลเฉินเกิดเรื่องตลอด ทำเอาทั้งเมืองรู้กันไปทั่ว แล้วส่วนใหญ่ยังเป็นเรื่องของเธอด้วย”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น: “เธอผิดหวังมากเลยเหรอ?”
ฉินสุ่ยซานหัวเราะอย่างไม่สนใจ: “นิดหน่อย ไหนเอาบทละครเธอมาดูสิ”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้ว ก็เปิดโน้ตบุ๊กแล้วยื่นให้ฉินสุ่ยซานทันที
มู่น่อนน่อนเขียนเป็นแนวลึกลับเงื่อนงำ แต่ก็ปนความรักโรแมนติกเข้าไปด้วย
แนวนี้ขายดีมากในตลาดประเทศ
พ่อของฉินสุ่ยซานเป็นหัวหน้าช่องโทรทัศน์ ตั้งแต่วัยเด็กก็ได้ติดต่อกับซุปตาร์และคนดังทั้งหลาย ด้วยความที่ได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ได้เห็นได้ยินอยู่เป็นประจำ เธอก็ย่อมมีแววตาของผู้เชี่ยวชาญอยู่แล้ว
เธอเริ่มจากการเลื่อนเม้าท์อย่างไม่สนใจ ต่อมาก็เริ่มอ่านบทแรก
พอได้อ่านแล้ว เธอก็หยุดไม่ได้เลย ขนาดแววตาก็ยังเปล่งประกายด้วย
มู่น่อนน่อนรู้ว่า ฉินสุ่ยซานชอบบทละครของเธอ
เธอยื่นมือไป ปิดหน้าจอโน้ตบุ๊กไว้แล้วลากมาที่ตัวเอง
ฉินสุ่ยซานก็รีบลุกขึ้นมา: “นี่ ให้ฉันอ่านอีกนิดสิ!”
มู่น่อนน่อนกดโน้ตบุ๊กไว้ พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า: “ตอนนี้ฉันรีบใช้เงิน เธอบอกราคามากเลย”
ฉินสุ่ยซานยื่นฝ่ามือไปที่ข้าง: “ห้าแสน”
มู่น่อนน่อนแค่ลองใจเท่านั้น ไม่คิดว่าฉินสุ่ยซานจะพูดราคาจริง
เธอจำได้ว่าครั้งก่อน ฉินสุ่ยซานบอกแค่ว่าช่วยทอดสะพานให้เธอ
ฉินสุ่ยซานในมือมีกลุ่มถ่ายทำละครอยู่แล้ว เธอบอกราคามาทันที งั้นก็แสดงว่าเธอชอบบทละครของมู่น่อนน่อน อยากเก็บไว้ถ่ายเอง
คิดในด้านธุรกิจแล้ว
ตอนนี้มู่น่อนน่อนรีบใช้เงิน แต่ก็คงเชื่อราคาที่ฉินสุ่ยซานบอกมาไม่ได้
เงียบไปสักพัก มู่น่อนน่อนก็พูดว่า: “ขาดตัว หนึ่งล้าน! ฉันอยากได้ลิขสิทธิ์”
“บทละครเรื่องนี้ของเธอมากสุดก็ถ่ายได้แค่ละครตามเว็บไซต์ เธอยังอยากได้หนึ่งล้าน ทำไมเธอไม่ไปขโมยเลยล่ะ!” ฉินสุ่ยซานแม้จะชอบบทละครมู่น่อนน่อน แต่ในสายตาเธอแล้วยังไงมู่น่อนน่อนก็เป็นเด็กใหม่เพิ่งเข้าวงการ เธอซื้อบทละครของมู่น่อนน่อนมายังต้องรับความเสี่ยงด้วย
มู่น่อนน่อนตัดสินใจเด็ดขาด: “สถานการณ์ของฉันเธอก็รู้ดี ฉันรีบใช้เงินจริงๆ จะเอาไหมขอคำเดียว”
การซื้อขายก็ต้องดีลราคากันให้ดีก่อน หนึ่งล้านสำหรับฉินสุ่ยซานแล้วไม่สะทกสะท้านเธอเลย
ขอแค่ฉินสุ่ยซานอยากได้ ก็ต้องซื้อมันไปแน่
ฉินสุ่ยซานกัดริมฝีปาก เธอไม่ได้ตอบตกลงมู่น่อนน่อนทันที
มู่น่อนน่อนมองเวลา ในใจก็เริ่มมีลางสังหรณ์ว่า เฉินถิงเซียวกำลังจะตามมาแล้ว
เธอรีบลุกขึ้น: “ไม่เอาฉันไปล่ะนะ เธอก็รู้ว่าตอนนี้เฉินถิงเซียวกำลังตามหาฉันอยู่”
ฉินสุ่ยซานกัดปากพูดว่า: “ก็ได้ ตกลง!”
สีหน้าเธอดูเจ็บปวดมาก แต่ก็ไม่อยากปล่อยบทละครเรื่องนี้ไปเหมือนกัน
มู่น่อนน่อนกระตุกยิ้มมุมปาก เธอส่งบทละครไปยังอีเมลของฉินสุ่ยซาน
ฉินสุ่ยซานเอาบัตรออกมาจากกระเป๋ายื่นให้มู่น่อนน่อน: “ในบัตรใบนี้มีหนึ่งล้าน รหัสคือ 973210”
มู่น่อนน่อนรับบัตรธนาคารมา แล้วยัดโน้ตบุ๊กเข้าไปในกระเป๋า: “อย่าลืมเขียนสัญญาส่งมาให้ฉันด้วยล่ะ”
เธอพูดจบ ก็ไม่รอฉินสุ่ยซานตอบ ก็รีบแบกกระเป๋าออกไปทันที
ตอนที่เดินมาถึงหน้าประตู เธอหันกลับไปมองฉินสุ่ยซาน แล้วยิ้มกว้างให้กับเธอ
เธอไม่ได้ส่งบทละครทั้งหมดให้ฉินสุ่ยซาน เธอส่งไปแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
สำหรับนักเขียนแล้ว ลิขสิทธิ์การลงชื่อสำคัญมาก ตอนนี้เธอกับฉินสุ่ยซานแค่ตกลงกันด้วยปากเท่านั้น แต่ถ้าสุดท้ายแล้วฉินสุ่ยซานไม่เขียนชื่อเธอลงไป เธอก็เสียเปรียบตายเลยสิ?
ระวังหน่อยดีกว่า จะได้ไม่เสียใจทีหลัง
สือเย่เจ็บจนสูดหายใจเข้าลึกๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้เขากลับ ปล่อยให้เฉินถิงเซียวต่อยตัวเองไป
กู้จื่อหยั่นตามมาในเวลานี้ เขาคว้าข้อมือเฉินถิงเซียวไว้: “ถิงเซียว นายใจเย็นหน่อยสิ!”
ตอนนี้เฉินถิงเซียวเสียสติไปแล้ว เขาไม่ฟังคำกู้จื่อหยั่นเลย แล้วต่อยเขาด้วย
ครอบครัวกู้จื่อหยั่นเมื่อก่อนเคยเป็นแก๊งมาเฟีย กู้จื่อหยั่นก็มีฝีมือการชกต่อยที่ไม่เลว แต่ก็รับมือกับแรงชกของเฉินถิงเซียวไม่ไหว
สุดท้าย ทั้งสองถูกต่อยจนเละไปหมด เหนื่อยจนขยับไม่ได้ เลยนอนไปยังพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่นผงสีดำ
ตอนที่ทั้งสองชกกัน สือเย่ไม่ได้ไปห้ามพวกเขา แต่แค่นำกำลังคนค้นหารอบๆบริเวณคฤหาสน์
เหมือนที่คาดเดาไว้เลย ไม่มีร่องรอยอะไรหลงเหลืออยู่เลย
ไฟไหม้ครั้งนี้เผาได้สะอาดมาก
สือเย่เดินไปข้างๆเฉินถิงเซียว พูดเสียงเบาและแหบว่า: “หาคุณนายน้อยไม่เจอ”
สือเย่พูดจบ ก็เตรียมพร้อมสำหรับการโดนชกแล้ว
แต่ไม่เหมือนกับที่เขาคาดเดาไว้
เฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดของเขา กลับชะงักค้างไปเลย เขาจ้องมองเพดานที่ดำปี๋นิ่งๆ เหมือนไม่ได้ยินคำพูดของสือเย่
สือเย่หันไปมองกู้จื่อหยั่น
กู้จื่อหยั่นยื่นมือไปเช็ดมุมปากตัวเอง ลุกขึ้นมาอย่างลำบากแล้วถ่มน้ำลายที่เต็มไปด้วยเลือดบนเศษผง: “อย่าไปสนใจมัน ให้มันบ้าต่อไป ให้ตายสิ! ฉันลุกไม่ได้ขึ้นเนี่ย สือเย่มาช่วยฉันหน่อย……”
สือเย่รีบเข้าไปพยุงตัวกู้จื่อหยั่นขึ้นมา
กู้จื่อหยั่นโซเซไปมาถึงจะยืนได้นิ่ง
เมื่อกี้เฉินถิงเซียวต่อยแรงเกินไปแล้ว ถ้าเขาไม่เคยฝึกมวยมา ยังสามารถต่อยกับเฉินถิงเซียวได้ ไม่งั้นคงได้เข้าไอซียูแน่
กระทบถึงบาดแผล กู้จื่อหยั่นก็สูดหายใจ ‘ซี้ด~’ เข้าลึกๆ แล้วกระซิบข้างหูสือเย่ว่า: “ปล่อยให้คุณนายของนายใจเย็นลงก่อน อย่าเพิ่งไปสนใจเขา”
สือเย่แม้จะไม่วางใจ แต่ก็พยักหน้าตกลง
กู้จื่อหยั่นถูกสือเย่พยุงออกไปด้านนอก ก็เห็นพวกนักข่าวกำลังหันหลังไลฟ์สดคฤหาสน์ที่ถูกเผาจนไม่มีชิ้นดี
กู้จื่อหยั่นรีบอ้อมเข้าไปทางอื่นแล้วขึ้นไปนั่งบนรถ
แต่สือเย่ก็ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น
นักข่าวเหลือบไปเห็นสือเย่ ก็รีบล้อมวงกันเข้ามา
“ขอถามหน่อยค่ะคุณคือลูกน้องของคุณชายเฉินใช่ไหมคะ? คุณนายน้อยยังอยู่ด้านในไหมคะ? เธอฆ่าตัวตายเพราะรู้สึกผิดใช่ไหมคะ?”
“เมื่อกี้ฉันเห็นคุณชายเฉินเข้าไป เขาเข้าไปทำอะไรกันครับ แล้วจะออกมาเมื่อไหร่ครับ?”
“ได้ยินว่าคุณนายน้อยได้รับจดหมายศาลวันนี้ เธอเลยตัดสินใจฆ่าตัวตายหรือเปล่าคะ หรือนี่ก็พิสูจน์ได้ว่า เธอผลักท่านปู่เฉินตกบันไดไปจริงๆ?”
“……”
คำถามของนักข่าวมีแต่มู่น่อนน่อน แต่ละคำถามแรงขึ้นอย่างลำดับเรื่อยๆ
สือเย่แค่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “ยังบอกไม่ได้ครับ”
ต่อมา ก็มีบอดี้การ์ดมาไล่พวกนักข่าวออกไป
……
หมู่บ้านในเมืองทางเหนือของเมืองหู้หยาง ภายในร้านบะหมี่เก่าๆร้านหนึ่ง
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะอาหาร ด้านหน้ามีบะหมี่ไข่ที่ยังร้อนๆอยู่ตรงหน้าเธอ เธอเงยหน้าขึ้นมองข่าวที่กำลังออกในโทรทัศน์
“วันนี้ตอนเที่ยง เมืองเรามีคฤหาสน์หลังหนึ่งเกิดเพลิงไหม้ขึ้น ตามข้อมูลที่ได้มา คฤหาสน์หลังนี้เป็นบ้านของเฉินถิงเซียวทายาทของบริษัทเฉินซื่อ……”
ต่อมาภาพก็เปลี่ยนไป เป็นภาพของนักข่าวที่กำลังสัมภาษณ์ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น
มองตามภาพนั้น มู่น่อนน่อนก็เห็นคฤหาสน์ที่เคยหรูหรามาก่อน กลายเป็นสภาพที่เละเทะจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลย
กล้องถ่ายไปที่สือเย่
สือเย่ที่สวมชุดสูทสะอาดสะอ้านมาตลอด ในกล้องเขากลับผมเผ้ายุ่งเหยิงตัวเต็มไปด้วยฝุ่นดำท่าทางดูไม่ได้เลย
มู่น่อนน่อนคิด สือเย่คงนำกำลังคนเข้าไปตามหาเธอในคฤหาสน์ ถึงได้เป็นแบบนี้
ปล่อยให้นักข่าวถามคำถามที่โหดร้าย สือเย่แค่ตอบอย่างใจเย็นและเย็นชาว่า: “ยังบอกไม่ได้ครับ”
คนของเฉินถิงเซียว แต่ละคนจะแตะต้องไม่ได้เลย และสือเย่เป็นเพียงผู้ช่วยพิเศษธรรมดาคนหนึ่ง ความสามารถเขาดีกว่าการเป็นแค่ผู้ช่วยเสียอีก
เจ้าของร้านบะหมี่มีอายุวัยกลางคน
เห็นมู่น่อนน่อนอยู่ในข่าว ก็นั่งอยู่ข้างๆพูดพึมพำว่า: “คนมีเงินพวกนี้ มีเยอะจริงๆเลยนะ ได้ยินว่าเด็กสาวคนนั้นเพิ่งจะยี่สิบกว่าๆเอง? ลูกสาวฉันอายุนี้ก็เพิ่งจะเข้ามหาลัย เห้อ~ น่าเสียดายจริงเชียว……”
มู่น่อนน่อนได้ข่าวแล้ว ก็ยื่นมือไปดึงหมวกแก๊ปของตัวเองลงมา หยิบตะเกียบขึ้นมาเริ่มกินบะหมี่
พูดขึ้นอย่างไม่สนใจว่า: “ฉันเห็นด้านบนมีคนบอกว่าผู้หญิงฆ่าตัวตายเพราะรู้สึกผิด”
เจ้าของร้านพูดตอบว่า: “มีความผิดแค่ไหนที่ถึงขนาดจะฆ่าตัวตายเลย เธอพูดเรื่องของท่านปู่เฉินสินะ? ได้ยินว่าเขายังไม่ตาย สถานการณ์แบบนี้มากสุดก็คงจำคุกไม่กี่ปี?”
มู่น่อนน่อนกินบะหมี่อีกคำ กวนบะหมี่ในถ้วยแล้วพูดว่า: “ไม่แน่นะ ถ้าเกิดคนของตระกูลเฉินรู้สึกว่าขังเธอไว้ในคุกหลายปี ก็ไม่มีทางดับไฟความแค้นได้ล่ะ? บวกกับอำนาจของตระกูลเฉินอีก สุดท้ายชะตากรรมของสาวน้อยคนนี้ก็ตกอยู่ในมือของคนตระกูลเฉินอยู่ดี ไม่ใช่เหรอ?”
“คงไม่โหดร้ายขนาดนั้นหรอก ไม่ว่ายังไงก็เป็นภรรยาของคุณชายเฉินนี่…….”
มู่น่อนน่อนหัวเราะ ไม่พูดอะไรอีก
มู่น่อนน่อนกินเสร็จแล้ว ก็เอากล่องออกมาจากด้านนอก
เป็นของรักของหวงเฉินถิงเซียว เป็นปากกาในกล่องที่ล็อกอยู่ในลิ้นชักของเขา
เธอน้อยครั้งที่จะเห็นเฉินถิงเซียวหวงของแบบนี้ ก่อนหน้านี้ที่จะราดน้ำมัน เธอคิดแล้วก็อดใจไม่ได้ เลยเอามันออกมาด้วย
รหัสของตู้เซฟง่ายมาก ก็คือวันเกิดของเฉินถิงเซียว เธอลองครั้งเดียวก็ได้แล้ว
มู่น่อนน่อนหัวเราะแล้วจ่ายเงินให้เจ้าของร้าน: “เถ้าแก่เนี้ย เก็บเงินค่ะ”
เจ้าของร้านมาเก็บเงิน: “นี่ รอฉันหาเงินถอนก่อนนะ”
ข้างๆร้านบะหมี่มีที่ส่งไปรษณีย์พอดี
มู่น่อนน่อนถือกล้องเดินออกไป: “ส่งไปรษณีย์ค่ะ”
ด้านหน้าประตูมีกล่องไปรษณีย์วางอยู่เต็มไปหมด เจ้าของร้านไม่เงยหน้าเลยด้วยซ้ำ: “ส่งไปไหน?”
มู่น่อนน่อนดัดเสียงแล้วพูดว่า: “เมืองเดียวกัน ไปที่บริษัทเสิ้งติ่ง”
“สิบหยวน” เจ้าของร้านมองของในมือมู่น่อนน่อน ก็ส่งเอกสารแบบฟอร์มให้เธอกรอก
มู่น่อนน่อนใส่กล่องเสร็จแล้ว ก็เขียนชื่อผู้รับกู้จื่อหยั่นสามคำ สุดท้ายก็เพิ่มตัวอักษรภาษาอังกฤษ “XN” ลงไป
ตัวอักษรเล็กมาก ดูไม่สะดุดตาเลย
เธอเพิ่งเผาคฤหาสน์ไปเองนะ ไม่ใช่เพื่อสร้างเรื่องที่ว่าตัวเองฆ่าตัวเอง แต่เพื่อหนีต่างหาก
เฉินถิงเซียวฉลาดขนาดนั้น คงไม่เชื่อว่าเธอตายแล้ว เหมือนที่ข่าวด้านนอกว่ากันหรอก
ดังนั้น เธอก็ไม่มีอะไรให้ปิดบังแล้วล่ะ
แต่ว่าต่อไป คงต้องพยายามหลบเฉินถิงเซียวแล้วล่ะ
เฉินถิงเซียวจะต้องสั่งคนมาตามหาเธอแน่
และคดีของท่านปู่เฉิน คงจะต้องหยุดเพราะไฟไหม้ที่ทำให้ไม่รู้ว่าเธอตายหรือยัง
ทุกอย่างดำเนินไปเรื่อยๆไม่สะดุด อยู่ในแผนทั้งหมด
แต่ว่า……
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปลูบท้องน้อยของตัวเอง
การอยู่ของเด็กคนนี้กลับทำลายแผนการของเธอทั้งหมดเลย
ตอนนี้ยังเดือนแรกๆอยู่ ฤดูหนาวใส่เสื้อผ้าหนาหน่อยก็คงดูไม่ออกแล้วล่ะ
ผ่านไปหลายเดือน ท้องก็จะเริ่มโตขึ้น ทำอะไรก็คงไม่สะดวกแล้ว
และตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือ ออกจากเมืองหู้หยาง ให้เฉินถิงเซียวตามหาตัวเองไม่เจอตลอดไป
เธอก็ไม่แน่ใจว่าจะหลบการค้นหาของเฉินถิงเซียวได้หรือเปล่า แต่ในเมื่อเธอก้าวออกมาแล้ว ก็หันหลังไม่ได้แล้วล่ะ
ความรักของเธอกับเฉินถิงเซียว ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว
เฉินถิงเซียวเป็นคนชอบควบคุมคน และเขาก็ทำแบบนี้กับเธอเหมือนกัน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาจำกัดความเป็นอิสระของเธอแล้ว
ไม่ว่าจะมีเรื่องของท่านปู่เฉินหรือไม่ ระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวก็ชอบมีปัญหากันตลอด
แทนที่จะรอการพิจารณาคดีที่ไม่แน่นอน ปล่อยให้เธอออกไปค้นหาความจริงด้วยตัวเองดีกว่า
แม้ตระกูลเฉินจะมีอำนาจมาก เธอสู้กับตระกูลเฉินก็เหมือนกับมดสู้กับช้าง แต่เธอเชื่อว่าความจริงจะต้องถูกเปิดเผยในสักวันแน่
……
บริษัทเฉินซื่อ
หลังจากที่ท่านปู่เฉินตื่นมาแล้ว เฉินถิงเซียวก็เริ่มจัดการเรื่องในตระกูลเฉิน จากนั้นก็หาเวลาว่างไปเยี่ยมท่านปู่เฉินที่โรงพยาบาล
สิบโมง เขาเพิ่งประชุมเสร็จออกมา ก็ได้รับสายจากบอดี้การ์ด
“คุณชาย คุณนายน้อยก็ทั้งทุบของ แล้วยังไล่คนรับใช้ทั้งหมดออกไปจากคฤหาสน์อีก”
มู่น่อนน่อนทำลายข้าวของอีกแล้วเหรอ?
ในอินเทอร์เน็ตบอกว่าเวลาผู้หญิงท้องจะอารมณ์อ่อนไหวและหุนหันพลันแล่น
เฉินถิงเซียวเงียบสักพัก ก็พูดว่า: “ปล่อยเธอไป”
บอดี้การ์ดได้ยินคำตอบของเฉินถิงเซียว ก็อดไม่ได้พึมพำ คุณชายตามใจคุณนายน้อยมากจริงๆ
แต่ว่า เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เรื่องของท่านปู่เฉินเป็นฝีมือของคุณนายน้อยจริงเหรอ?
ด้านนอกต่างก็พูดกันว่าคุณนายน้อยเป็นคนทำ
คุณชายเหมือนจะสงสัยคุณนายน้อย แต่จากการกระทำของคุณชายแล้ว คุณชายไม่ได้ทารุณคุณนายน้อยเพราะเรื่องของท่านปู่เฉินเลย
ช่างเถอะ คิดไม่ได้ก็ไม่ต้องคิดแล้ว
เฉินถิงเซียววางสายไป ก็เดินไปที่ห้องทำงานตัวเอง
ห้องประชุมกับห้องทำงานประธานก็ห่างกันแค่สิบเมตร เขาเดินได้สักพัก ผู้ช่วยก็เอาเอกสารเร่งด่วนมาให้เขาเซ็นสองฉบับ
เขาถือเอกสาร แล้วเดินไปด้วยอ่านไปด้วย
พออ่านเอกสารทั้งสองฉบับเสร็จ ตอนที่เฉินถิงเซียวกำลังจะเซ็นชื่อ ทันใดนั้นก็นึกย้อนคำพูดของบอดี้การ์ด
เฉินถิงเซียวกำลังจะเซ็นชื่อนั้นก็ชะงัก เขาเอาโทรศัพท์ขึ้นมา แต่เพราะมือสั่น ไม่ทันระวังโทรศัพท์ก็ตกลงพื้นไป
มู่น่อนน่อนไม่ใช่คนเอาแต่ใจ และไม่มีนิสัยของลูกคุณหนูด้วย
เธอไม่ได้มีนิสัยที่ทำลายข้าวของเพราะอารมณ์ไม่ดี
ครั้งก่อน เธอบอกว่าทุบของ ก็เพื่อไปขโมยสำเนาทะเบียนบ้านที่ห้องเขา
งั้นครั้งนี้ เธอ “ทำลายข้าวของ” ก็ต้องมีเป้าหมายอื่นอยู่แล้ว
แต่เพราะช่วงนี้มู่น่อนน่อนอารมณ์ไม่ดี ถ้าเธอ “ทำลายข้าวของ” เล็กๆน้อยๆ เฉินถิงเซียวก็คงไม่สนใจ
แต่ว่า เมื่อกี้เขากำลังหวนนึกถึงคำพูดของบอดี้การ์ด
ทำลายข้าวของ แถมยังไล่คนรับใช้ออกจากคฤหาสน์อีก…….
ผู้ช่วยข้างๆที่เห็นแบบนี้ ก็ช่วยเฉินถิงเซียวเห็นโทรศัพท์ขึ้นมา
ผู้ช่วยมาช่วยเฉินถิงเซียวตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในบริษัทเฉินซื่อ ตัวเองถูกยกระดับมาจากระดับล่าง
ในใจเขา เฉินถิงเซียวเป็นคนที่ไม่เคยสติแตกเลย อย่างกับหุ่นยนต์ไม่มีผิด
เห็นท่าทีสติแตกของเฉินถิงเซียว เขาก็คิดว่าตัวเองตาฝาดไปเสียอีก
เขาเอาโทรศัพท์ยื่นให้เฉินถิงเซียว แล้วถามอย่างระวังว่า: “ประธาน เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ?”
เฉินถิงเซียวกัดฟันจนกรามขึ้นเป็นสันนูน สีหน้าดูเย็นชาจนน่ากลัว
เขาไม่สนใจคำถามของผู้ช่วย แต่รีบกดโทรหาบอดี้การ์ดทันที
โทรศัพท์ปลายสายรับเร็วมาก เขายังไม่ทันได้พูดอะไร ทางปลายสายก็มีเสียงที่ร้อนรนของบอดี้การ์ดดังขึ้น: “คุณชายครับ คุณนายน้อยล็อกประตูคฤหาสน์ทั้งหน้าทั้งหลังเลยครับ พวกเราสงสัยว่าคุณนายน้อยอาจจะกำลังคิดสั้น……”
เฉินถิงเซียวลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเร็ว ตะคอกเสียงดังว่า: “พังประตูเข้าไป! ถ้ามู่น่อนน่อนเป็นอะไรไป! พวกนายก็ไปตายกับเธอด้วย!”
ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆอยู่เงียบๆไม่กล้าพูดอะไรเลย
เฉินถิงเซียวก็ไม่สนใจเขา ถือโทรศัพท์รีบเดินออกไปด้านนอก
เจอเฉินชิงเฟิงที่หน้าประตู
เฉินชิงเฟิงขวางทางเขาไว้: “นายจะไปไหน? ฉันมีธุระมาหานาย”
เฉินถิงเซียวยื่นมือไปผลักเฉินชิงเฟิงออกไป
เขามองเฉินชิงเฟิงด้วยสีหน้าที่ดุร้าย นัยน์ตาของเขาอย่างกับบ่อน้ำลึก ที่หนาวเหน็บจนแทบไม่มีอุณหภูมิเลย
ทั้งสองสบตากันได้ครึ่งวินาที ไม่พูดอะไรกันเลย แต่เฉินชิงเฟิงกลับก็ต้องตะลึงกับแววตาที่ดุร้ายของเฉินถิงเซียว แล้วถอยหลังออกไปอย่างไม่รู้ตัว
ความเกลียดเหรอ?
ต่อมา เฉินถิงเซียวละสายตาออก พูดอย่างเย็นชาว่า: “ที่บ้านเกิดเรื่อง ฉันกลับไปก่อน”
ไม่ให้โอกาสเฉินชิงเฟิงได้พูด เฉินถิงเซียวพูดจบก็เดินออกไปทันที
ตอนที่เฉินถิงเซียวรีบขับรถไปถึงที่บ้าน ก็เห็นคฤหาสน์มีควันโขมงสีดำขึ้นเต็มไปหมด
มองดูคฤหาสน์ที่ถูกเผาจนเละเทะไปหมด เฉินถิงเซียวลงรถแล้วก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ ผ่านไปสองวินาที เขาก็ถึงตั้งสติได้ แล้วรีบวิ่งเข้าไปด้านในคฤหาสน์
แต่เขากลับถูกบอดี้การ์ดห้ามไว้ก่อน
“คุณชายครับ ไฟแรงมากนะครับ ตอนนี้ยังเข้าไปไม่ได้……”
เฉินถิงเซียวเมื่อก่อนเคยฝึกต่อยมวยมาก่อน ใครที่ห้ามเขา จะถูกเขาทำร้ายหมด
พวกบอดี้การ์ดไม่กล้าตอบโต้เขากลับ แต่ก็สู้กับเขาไม่ไหวเหมือนกัน
บอดี้การ์ดทุกคนที่มาขวางทางเฉินถิงเซียว สุดท้ายก็ถูกเฉินถิงเซียวทำร้ายจนไปนอนกองกับพื้น
เฉินถิงเซียวก็พุ่งเข้าไปได้
ไฟเผาคฤหาสน์จนไม่มีชิ้นดี
เข้าไปในห้องโถงก็ร้อนจนแทบจะย่างคนได้
สือเย่ตอนนี้ก็ตามมาด้วยเหมือนกัน
เขาพุ่งเข้าไป รีบดึงตัวเฉินถิงเซียวไว้: “คุณชาย เข้าไปไม่ได้นะครับ!”
เฉินถิงเซียวตอนนี้ไม่ฟังใครทั้งนั้น เขาสะบัดมือสือเย่ออกไป
ยังไงสือเย่ก็รู้จักกับเฉินถิงเซียวมานานกว่าใคร คำพูดของเขาก็มีน้ำหนักกว่า ตอนที่เขามาก็เอาบอดี้การ์ดมาเหมือนกัน แล้วก็ส่งซิกทางสายไปให้บอดี้การ์ด
บอดี้การ์ดตอบรับ แล้วใช้มือฟาดลงไปที่หลังคอของเฉินถิงเซียว ร่างสูงโปร่งของเฉินถิงเซียวล้มลงไปทันที
สือเย่สั่งคนให้ลากตัวเฉินถิงเซียวออกไปล็อกไว้ที่รถ
แม้จะถูกฟาดจนสลบแล้ว เฉินถิงเซียวก็ยังคงขมวดคิ้วเป็นปม ระหว่างคิ้วเป็นปมที่ไม่อาจคลายไปได้
รถดับเพลิงมาเร็วมาก แต่สถานการณ์ไฟที่คฤหาสน์รุนแรงเกินไป ต้องใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าจะดับไฟได้
และคฤหาสน์ที่เคยสวยและหรูหรา ก็ถูกไฟเผาจนเละเทะ ไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลย
สือเย่นำกำลังคนเข้าไปในคฤหาสน์
คฤหาสน์ถูกเผาจนไม่มีเค้าโครงเดิม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตามหาคนเลย
ตอนนี้เอง เฉินถิงเซียวก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
บอดี้การ์ดก็ไม่กล้าล็อกเขาไว้อีก เลยปล่อยตัวเขาออกมา
เฉินถิงเซียวดวงตาแดงก่ำ เหมือนราชสีห์ที่บ้าคลั่ง กระชากคอเสื้อบอดี้การ์ดที่ปล่อยตัวเขาออกมา แล้วถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า: “มู่น่อนน่อนล่ะ?”
“คือว่า……คุณนายน้อย……” บอดี้การ์ดเห็นเฉินถิงเซียวเป็นแบบนี้ เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรเลย
เฉินถิงเซียวกระชากคอเสื้อเขาไว้แน่น หลังมือมีเส้นเลือดนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เขาตะคอกเสียงดังว่า: “ฉันถามว่ามู่น่อนน่อนอยู่ไหน!”
บอดี้การ์ดตะกุกตะกักพูดไม่ออกเลยสักคำ
เฉินถิงเซียวสะบัดตัวเขาออกไป แล้วพุ่งเข้าไปในคฤหาสน์
สือเย่กำลังนำกำลังคนตามหามู่น่อนน่อนอยู่
แม้เขาจะรู้ดี ถ้าตอนที่ไฟไหม้มู่น่อนน่อนยังอยู่ข้างในนั้น หลังจากที่ไฟไหม้ใหญ่ขนาดนั้น คงจะถูกเผาเป็นผงธุลีแล้วล่ะ
แต่ว่า ยังไงเขาก็จะต้องหาให้เจอ
สือเย่เห็นเฉินถิงเซียวพุ่งเข้ามา ก็รีบเดินไปหาเขา
“คุณชาย!”
เฉินถิงเซียวชกไปที่หน้าสือเย่แรงๆ
แรงของเฉินถิงเซียวเยอะมาก สือเย่ถูกเขาชกจนกระเด็นออกไปไกล เฉินถิงเซียวรีบเดินไป แล้วชกลงไปอีกครั้ง
เฉินถิงเซียวยังคงมีสีหน้าเย็นชา เขาเดินเข้ามาเงียบๆ
มู่น่อนน่อนกระตุกมุมปาก โยนจดหมายศาลไปยังโต๊ะ: “ดังนั้น ต่อมาฉันก็คงต้องอยู่ในกรงนกนี่จนถึงวันเปิดศาล ยืนอยู่แท่นคนถูกฟ้อง ปล่อยให้ตระกูลเฉินของนายมาใส่ร้ายฉันงั้นสิ ใช่ไหม?”
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ลมหายใจเยือกเย็น แรงความกดดันเต็มร้อย
ต่อมาก็พูดขึ้นช้าๆว่า: “ไม่หรอก”
มู่น่อนน่อนอึ้งไปสักพัก
เฉินถิงเซียวมองเธอ แล้วพูดอีกครั้งว่า: “จะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรอก”
มู่น่อนน่อนหัวเราะ: “แล้วแต่นายจะพูดอะไรเลย”
ยังไงเธอก็ไม่มีวันเชื่อคำพูดของคนอย่างเฉินถิงเซียวอีกแล้ว
เรื่องมาจนถึงวันนี้ เธอจะไม่เชื่อเฉินถิงเซียวโดยไร้เหตุผลอย่างคนโง่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
เมื่อคืนเธอยังรู้สึกแปลกเลย ทำไมเฉินถิงเซียวถึงกลับมานอนที่บ้าน
ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าวันนี้จะมีจดหมายศาลส่งมานี่เอง
……
พอกินข้าวเช้าเสร็จ เฉินถิงเซียวก็ออกไปแล้ว
อาจจะไปบริษัท หรือไม่ก็โรงพยาบาล
ยังไงช่วงนี้เฉินถิงเซียวก็มีเรื่องที่จัดการไม่หมดตลอด
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ตรงหน้าต่างยาวมาถึงพื้นชั้นสอง มองดูเฉินถิงเซียวขับรถออกไป ก็ถึงโทรศัพท์หาเสิ่นเหลียง
“เสี่ยวเหลียง ฉันอยากให้เธอช่วยหน่อยน่ะ”
“เรื่องอะไรว่ามา” เสิ่นเหลียงตกลงกับทุกคำขอของเธออยู่แล้ว
และมู่น่อนน่อนก็จะไม่ขอร้องเสิ่นเหลียงอะไรเยอะ
“เรียกนักข่าวกับปาปารัสซีมาที่คฤหาสน์ของเฉินถิงเซียว”
เสิ่นเหลียงได้ยินว่าเธอจะหานักข่าว ก็ตกใจมาก น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา: “น่อนน่อน เธอจะทำอะไรน่ะ?”
“ฉันมีแผนของตัวเอง” มู่น่อนน่อนหยุดสักพัก แล้วพูดต่อว่า: “เธออย่ากังวลเลย ฉันรู้ว่าควรทำอะไรหรือไม่ควรทำอะไร”
เสิ่นเหลียงได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก
พอวางสายไปแล้ว มู่น่อนน่อนก็นั่งเงียบๆสักพัก ก็เริ่มโยนและทำลายของในห้อง
เธอทุบของในห้องที่ทุบได้จนหมด
เสียงที่เธอทุบห้องเสียงดังไปถึงคนรับใช้
ภายในห้องเละไปหมด มู่น่อนน่อนยื่นมือไปยกโคมไฟขึ้นมา กำลังจะฟาดลงพื้น
เธอมีใบหน้าเย็นชา สีหน้าดูเด็ดขาดมาก ทำให้พวกคนรับใช้นึกถึงเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนโยนโคมไฟในมือลงไปบนพื้นแรงๆ
ปัง——
โคมไฟแหลกแตกกระจายไปทุกสารทิศ
ต่อมา เธอก็เงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตเหมือนแมวของเธอนั้นดูไม่ออกว่ามีอารมณ์แบบไหน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “อย่าเข้ามาเด็ดขาด”
คนรับใช้ได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปหรอก แต่แค่มองดูมู่น่อนน่อนอย่างตื่นเต้น กลัวว่าเธอจะทำร้ายตัวเอง
ถ้าคุณนายน้อยเป็นอะไรไป คนรับใช้อย่างพวกเธอก็คงไม่ตายดีแน่
คนรับใช้รีบเข้าไปปลอบใจมู่น่อนน่อน: “คุณนายน้อย ใจเย็นหน่อยเถอะค่ะ พวกเราไม่เข้าไปแล้ว”
ในตอนนี้เอง อาหูได้ยินก็รีบตามมา
เห็นห้องที่เละเทะไปหมด อาหูก็ตกใจและพูดว่า: “คุณนายน้อย เป็นอะไรไปคะ? มีเรื่องอะไรให้ฉันโทรหาคุณชายก็ได้ ให้เขากลับมาพูด ดีไหมคะ?”
“ไม่ต้องโทรหาเฉินถิงเซียวเลยนะ” มู่น่อนน่อนเดินไปข้างหน้าสองก้าว กวาดเศษบนพื้นออกไป: “พวกเธออย่ามายุ่งกับฉัน แล้วอย่าโทรหาเขาด้วย ตอนนี้ฉันอารมณ์เสียมาก แล้วไม่อยากเห็นพวกเธอด้วย พวกเธอออกไปให้หมดเลยนะ”
อาหูเรียกเธอด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ: “คุณนายน้อย”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วมองเธอ: “เธอก็ออกไปด้วย!”
อาหูไม่เคยเห็นมู่น่อนน่อนที่งี่เง่าแบบนี้เลย
เธอมาอยู่คฤหาสน์นานขนาดนี้ เพิ่งเห็นมู่น่อนน่อนหัวเสียแบบนี้ครั้งแรก
ก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ อาหูก็เข้าใจความรู้สึกของมู่น่อนน่อนแล้ว
อาหูหันไปสั่งคนรับใช้: “ออกไปให้หมด”
อาหูพาพวกคนรับใช้ออกจากคฤหาสน์ ไปอยู่ตรงลานบ้าน
อากาศหนาวมาก มู่น่อนน่อนยืนอยู่หน้าต่างชั้นสอง เห็นพวกสาวรับใช้ยืนตัวสั่นอยู่ที่ลานบ้าน แล้วก็เห็นบอดี้การ์ดกำลังโทรหาเฉินถิงเซียวด้วย
เวลาเธอไม่มากแล้ว
มู่น่อนน่อนไปห้องเสื้อผ้าเพื่อหาชุดกีฬาที่เพิ่มความหนาในฤดูหนาว แล้วยังหาหมวกแก๊ปมาหนึ่งใบ แล้วเอาโน้ตบุ๊ก สำเนาทะเบียนบ้าน พาสปอร์ตของตัวเองที่ต้องใช้ก็ใส่ในกระเป๋าทั้งหมด จากนั้นก็ลงบันไดมา
เธอแบกกระเป๋าไปที่ครัว
ด้านหลังห้องครัวมีห้องเก็บของ ตรงห้องเก็บของมีประตูหลัง ประตูนี้เป็นประตูที่คนรับใช้ใช้มาขนของเข้าครัว
แต่ประตูหลังก็มีบอดี้การ์ดเฝ้าเหมือนกัน
มู่น่อนน่อนวางกระเป๋าไว้ในห้องเก็บของ ถือน้ำมันที่อยู่ในห้องเก็บของออกไป พอล็อกประตูเสร็จแล้ว ก็เดินไปที่ห้องโถง ปิดประตูของห้องโถงเอาไว้ แล้วล็อกประตูเอาไว้ด้วย
แม้ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวให้คนเอาน้ำมันไว้ในบ้านเพื่อใช้ทำอะไร แต่ยังไงตอนนี้สำหรับเธอแล้ว มันมีประโยชน์มาก
มู่น่อนน่อนถือน้ำมันขึ้นไปชั้นสอง เริ่มเทจากทางเดินช้าๆ สุดท้ายก็มาถึงห้องโถง
เธอจุดไฟแช็กแล้วมองไปทางประตู
บอดี้การ์ดด้านนอกรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ตอนนี้กำลังเคาะประตูกันใหญ่
“คุณนายน้อย! คุณนายน้อย ยังสบายดีไหมครับ?”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ลังเลอีก เธอโยนไฟแช็กที่จุดแล้วไปที่โซฟาที่ราดน้ำมันไว้ โซฟาไฟลุกท่วมทันที
เสียงดังปัง! ไฟลามไปถึงชั้นสอง ไฟรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
มู่น่อนน่อนรีบวิ่งไปที่ห้องเก็บของในครัว หากระเป๋าตัวเอง แล้วซ่อนตัวอยู่ที่หลังประตู
เพราะไฟลุกที่ห้องรับแขกลามขึ้นไปทางเดินชั้นสอง สถานที่ไฟลุกนั้นอยู่ใจกลางของคฤหาสน์ ดังนั้นประมาณเจ็ดแปดนาที ไฟก็หนักขึ้นเรื่อยๆ พวกบอดี้การ์ดก็ถึงพังประตูเข้ามา
บอดี้การ์ดมีเยอะ บางคนก็พังเข้ามาจากประตูห้องโถง บางคนก็เข้าทางประตูหลัง
ประตูหลังมีบอดี้การ์ดเยอะที่สุด ไม่นานก็พังประตูเข้าไปได้ แล้วพุ่งเข้ามากันหมด
ช่วงนี้เรื่องของท่านปู่เฉิน แพร่หลายในอินเทอร์เน็ต บอดี้การ์ดและคนรับใช้ในคฤหาสน์รู้กันหมด
และมู่น่อนน่อนเป็นแค่สาวน้อยที่อายุเพิ่งจะยี่สิบ มีความกดดันสูงจนทนไม่ไหวอยากฆ่าตัวตาย ในสายตาพวกเขาแล้วถือว่าปกติมาก
ดังนั้น บอดี้การ์ดถึงรู้สึกไปเองว่า มู่น่อนน่อนจุดไฟเพื่อฆ่าตัวตาย
พวกเขาพังประตูเข้าไปแล้วรีบพุ่งเข้าไปในคฤหาสน์
มู่น่อนน่อนได้โอกาส แอบวิ่งออกไปโดยที่พวกเขาไม่ทันระวัง
คฤหาสน์ของเฉินถิงเซียวสร้างอยู่ที่ครึ่งเขา มู่น่อนน่อนสงสัยว่าตอนที่เขาสร้าง ซื้อพื้นที่นี้ทั้งหมดแล้วหรือเปล่า เพราะข้างๆไม่มีคฤหาสน์อื่นเลย
นี่ก็สะดวกสำหรับการหนีของมู่น่อนน่อน
เธอหลบเข้าไปในป่า มองดูบอดี้การ์ดและคนรับใช้พุ่งเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยแววตาที่เย็นชา แต่เพราะไฟลุกหนักเกินไปทุกคนจึงรีบวิ่งออกมา ด้านบนคฤหาสน์มีควันโขมงอยู่เต็มไปหมด
ในตอนนี้เอง รถสองคันก็มาจอดหน้าประตูคฤหาสน์
พวกนักข่าววิ่งไปที่หน้าประตูคฤหาสน์ เริ่มถ่ายรูปกันอย่างบ้าคลั่ง พวกนักข่าวก็ต่างถามคำถามคนรับใช้กันใหญ่
สถานการณ์ดูวุ่นวายไปหมด
มู่น่อนน่อนแสยะยิ้ม กลับหลังหันเดินลงทางเล็กของภูเขา
เป้าหมายของเธอสำเร็จแล้ว
ยี่สิบปีนั้น เธออดทนกับตระกูลมู่มาพอแล้วล่ะ
ที่เธอยอมทนตระกูลมู่ เป็นเพราะมีสายเลือดเดียวกับเซียวชู่เหอ
พอเกิดเรื่องของท่านปู่เฉิน เธอก็อดทนจนถึงตอนนี้ เพราะเชื่อในตัวเฉินถิงเซียว
แต่พวกเขากลับทำให้เธอผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
เฉินถิงเซียวอาจจะกำลังโกหก เขาคงไม่ให้ตัวเองเป็นคนถูกฟ้องแล้วยอมให้คนตระกูลเฉินมาใส่ร้ายเธอหรอก
แต่เธอไม่อยากอยู่อย่างคนต่ำต้อยหรอกนะ แล้วเอาโชคชะตาของตัวเองไปฝากไว้กับผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่มีทางไปซะหรอก
บอดี้การ์ดและคนรับใช้เห็นมู่น่อนน่อนกำลังหาก้อนหินอยู่ ต่างก็ล้อมวงเข้ามาด้วยสีหน้าที่กังวลใจ
“คุณนายน้อย จะทำอะไรครับ……”
มู่น่อนน่อนกวาดตามองพวกเขา: “อารมณ์ไม่ดี จะเอาไปทุบของเล่นๆ”
บอดี้การ์ดและคนรับใช้ต่างก็เงียบกันหมด: “……”
ไม่มีคนห้ามมู่น่อนน่อน เธอก็เอาก้อนหินไปที่ห้องหนังสือของเฉินถิงเซียว
แม้บอดี้การ์ดจะไม่ได้ห้ามเธอไว้ แต่กลับเฝ้ามองการกระทำของเธออยู่
เห็นมู่น่อนน่อนถือก้อนหินไปที่ห้องหนังสือของเฉินถิงเซียว บอดี้การ์ดก็รีบโทรหาเฉินถิงเซียวทันที: “ คุณชายครับ คุณนายน้อยถือก้อนหินที่ห้องหนังสือแล้วครับ”
“เธอจะทำอะไร?”
“……เธอว่าอารมณ์ไม่ดี อยากทุบของเล่นๆครับ”
“อ้อ ปล่อยเธอไป”
บอดี้การ์ด: “……”
อาจเป็นเหมือนคำกล่าวที่ว่าไว้ว่า รวยแล้วเอาแต่ใจได้
……
ภายในห้องหนังสือ
มู่น่อนน่อนนั่งลงบนพื้น ถือก้อนหินแล้วทุบลิ้นชักที่ล็อกไว้อย่างสุดกำลัง
ของที่เฉินถิงเซียวใช้ก็ต้องดีเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนทุบอยู่นานมาก กว่าจะเปิดลิ้นชักออก
เธอโยนก้อนหินไปข้างๆ ตบฝุ่นที่อยู่บนมือออกและดึงลิ้นชักออกมา ด้านในมีทะเบียนบ้านวางอยู่ในนั้น
มู่น่อนน่อนเปิดออกดู มีชื่อเธออยู่บนนั้นจริงด้วย
เธอรีบเอาสำเนาทะเบียนบ้านออกมา จากนั้นก็ลุกขึ้นจะเดินออกไป แต่เธอกลับเหลือบไปเห็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีความประณีตในลิ้นชัก
กล่องเล็กนั้นดูแล้วประณีตมากจริงๆ วัสดุที่ใช้ก็ดีมากด้วย ดูก็รู้แล้วว่าเป็นของที่สั่งทำ
นี่แสดงได้ชัดเจนว่า ของในกล่องนี้สำคัญต่อเฉินถิงเซียวมาก
ด้านในเป็นอะไรกันนะ?
เฉินถิงเซียวถึงเอามาซ่อนแบบนี้……
สำหรับเขาแล้วจะต้องสำคัญมากแน่เลย
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปอยากเปิดดูว่าในกล่องนั้นคืออะไร แต่พอเธอยื่นมือไปครึ่งทางก็หยุดชะงัก
สุดท้ายแล้ว ความอยากรู้อยากเห็นก็ชนะใจเธออยู่ดี
เธอเปิดกล่องที่ประณีตนั้นออก เห็นด้านในมีปากกาที่ดูเก่ามาวางอยู่ในกล่อง
บนปากกามีติดแบรนด์เอาไว้ แบรนด์นี้มู่น่อนน่อนรู้จัก ปากกาแบบนี้เป็นที่นิสัยในสมัยเธอยังเด็ก จำได้ว่าตอนนั้นปากกาที่โรงเรียนให้เป็นรางวัลก็คือแบรนด์นี้
ราคาของปากกาแท่งนี้ไม่แพงมาก และหยุดผลิตนานแล้วด้วย ไม่ทำปากกาแล้ว
ไม่คิดว่าเฉินถิงเซียวจะเก็บเอาไว้หนึ่งแท่ง
ที่จริงปากกาแท่งนี้ไม่มีค่าให้เก็บไว้เลย ตอนนั้นก็ผลิตออกมาเยอะนะ และเฉินถิงเซียวกลับสั่งทำกล่องเล็กๆนี้เพื่อเก็บปากกาแท่งนี้ไว้……
กล่องใบนี้มีค่าเยอะกว่าปากกาหลายเท่าเลยนะ
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ออกมาค้นหาวันที่ปากกาแบรนด์นี้หยุดผลิต ลองนับดูแล้ว ก็เห็นว่าปากกาแท่งนี้ เฉินถิงเซียวเก็บไว้แล้วอย่างน้อยหนึ่งปี
สิบปีก่อนเฉินถิงเซียวก็เพิ่งอายุสิบหกสิบเจ็ดเองนะ
เด็กผู้หญิงให้เขาเหรอ?
พอรู้ตัวว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ มู่น่อนน่อนก็พึมพำอย่างหงุดหงิดว่า: “ใครให้ปากกาเขาเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย!”
ยังไงเธอก็จะแยกทางกับเฉินถิงเซียวอยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนเม้มปากบาง วางปากกาแท่งนั้นกลับไปไว้ที่เดิม และจัดการเก็บกวาดพื้นที่ ถึงลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องตัวเอง
เธอเอาสำเนาทะเบียนบ้าน พาสปอร์ตและบัตรประชาชนวางไว้รวมกัน จากนั้นก็ซ่อนเอาไว้
……
ตอนเย็น
เฉินถิงเซียวกลับมากินข้าวเย็นตรงเวลาอย่างไม่น่าเชื่อ
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหาร กำลังกินข้าวอยู่นั้น ร่างสูงโปร่งของเฉินถิงเซียวก็เดินเข้ามาจากด้านนอก
เขาเดินเข้ามาด้วยความเยือกเย็น แล้วนั่งลงตรงหน้ามู่น่อนน่อน
อาหูรีบวิ่งไปเอาถ้วยตะเกียบมาให้เฉินถิงเซียว
ไหนว่าช่วงนี้ยุ่งไง? ยังมีเวลากลับมากินข้าวด้วยเหรอ?
ดูแล้วเรื่องที่เธอแอบไปทุบลิ้นชักในห้องหนังสือเพื่อเอาสำเนาทะเบียนบ้าน คงปิดไว้ไม่อยู่แล้ว
เป็นไปตามคาด ทั้งสองทานข้าวกันเงียบๆจนเสร็จ เฉินถิงเซียวก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า: “ไปทุบทำลายอะไรในห้องหนังสือฉันบ้าง?”
มู่น่อนน่อนครุ่นคิด รู้อยู่แล้วว่าบอดี้การ์ดพวกนั้นต้องไปฟ้องแน่
พวกผู้ชายเอาแต่ฟ้องลับหลัง ดูไม่เก่งเลยนะ
มู่น่อนน่อนทุ่มสุดตัว ยอมรับไปว่า: “ลิ้นชัก”
ยังไงเฉินถิงเซียวก็ต้องรู้อยู่ดี ปิดบังไปก็ไม่มีประโยชน์
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ไม่พูดอะไรรีบเดินขึ้นบันไดไป
มู่น่อนน่อนมองดูแผ่นหลังของเขา ด้วยจิตใจที่วุ่นวาย
เธอไม่เคยเห็นเฉินถิงเซียวสติแตกมาก่อนเลย
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น กะพริบตาปริบๆ พอทำใจได้แล้ว ก็ลุกขึ้นเดินตามไป
ประตูห้องหนังสือเปิดอยู่ เฉินถิงเซียวยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ในมือถือกล่องเล็กที่ใส่ปากกาไว้
มู่น่อนน่อนกอดอก พิงขอบประตู พูดด้วยน้ำเสียงที่หึงหวงโดยควบคุมไม่ได้: “แค่ปากการาคาถูกทำไมถึงดูแลอย่างกับไข่ในหินล่ะ ใครให้มาเหรอ? รักแรกเหรอ?”
เฉินถิงเซียวไม่ได้เงยหน้ามองเธอด้วยซ้ำ แต่แค่เช็ดปากกาแท่งนั้นอย่างระมัดระวัง ต่อมาก็วางมันลงอย่างระวัง
เขาไม่เอากล่องไว้ในลิ้นชักอีก แต่กลับไปไว้ในตู้นิรภัยแทน
มู่น่อนน่อนเห็นแล้ว ก็กำมือแน่น เม้มปากแล้วเดินกลับไปที่ห้องตัวเอง
ไม่รู้ไม่เห็นยังจะดีกว่า!
ผู้ชายเฮงซวย
เฉินถิงเซียวเดินเข้ามาในห้องนอน เห็นมู่น่อนน่อนเปิดนิตยสารอ่านอยู่ หน้าหนึ่งดูไม่ถึงสามวินาทีก็เปลี่ยนหน้าแล้ว ดูก็รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจอ่านนิตยสาร
เขาเดินไปตรงหน้าเธอ แล้วแย่งนิตยสารออกมาจากมือเธอ
“คืนมาเลยนะ” มู่น่อนน่อนยื่นมือไปแย่ง แล้วเงยหน้าขึ้นมองค้อนเขา
เฉินถิงเซียวแสยะยิ้มเย็นชา: “เธอคิดว่าขโมยสำเนาทะเบียนบ้านไปแล้ว ฉันก็จะปล่อยเธอไปงั้นเหรอ?”
“ฉันไม่ใช่สัตว์นายสักหน่อย ฉันอยากไปไหนก็ได้ ทำไมต้องรอให้นายอนุญาตด้วย?” มู่น่อนน่อนเชิดหน้าขึ้น พูดด้วยสีหน้าหยิ่งผยอง คราวนี้จะไม่ยอมแพ้เขาง่ายๆหรอกนะ
เฉินถิงเซียวกระตุกยิ้มกว้างขึ้น: “เธอก็ลองดูสิ”
แววตาเขาดูมั่นใจมาก ดูแล้วขัดตามากเลย
เธอยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย เขาก็เหมือนดูออกหมดแล้ว รู้สึกว่าเธอจะต้องแพ้ราบคาบแน่นอน
มู่น่อนน่อนหงุดหงิดใจ
ความหงุดหงิดนี้ไม่เพียงเพราะเธอรู้ว่าตัวเองสู้เฉินถิงเซียวไม่ได้ และยังมีเหตุผลสำคัญอีกหนึ่งประการนั่นก็คือ เธอรู้สึกได้ถึงความตัวคนเดียวของตัวเอง
เผชิญหน้ากับเฉินถิงเซียว เธอไม่มีทางตอบโต้เขาได้เลยสักครั้ง
คืนนี้ หลังจากที่ท่านปู่เฉินเกิดเรื่องขึ้น เฉินถิงเซียวพักอยู่ในบ้านนี้เป็นครั้งแรก
ทั้งสองต่างนอนเตียงคนละฝั่ง ไม่มีการโอบกอดที่หวานแหวว และไม่มีคำพูดจาที่อ่อนหวานด้วย
เช้าตรู่
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวแทบจะตื่นพร้อมกันอยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนเดินลงมาก่อนเฉินถิงเซียว
ภายในห้องโถงมีบอดี้การ์ดยืนอยู่
เขาเห็นมู่น่อนน่อน ก็เรีบกอย่างเคารพว่า: “คุณนายน้อย”
“มีอะไรเหรอ?” มู่น่อนน่อนเดาได้ว่าเขาอาจจะเกิดเรื่องแล้ว ก็เลยเดินเข้าไปถาม
บอดี้การ์ดเอาเอกสารที่ส่งมาด่วนให้มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนมองดูเอกสารที่ส่งมานั้น ก็พอจะเอาออกนิดหน่อยแล้ว
ต่อมา เธอยื่นมือเข้าไปรับไว้
เธอเปิดเอกสารออกมา เห็นว่าเหมือนกับที่เธอเดาไว้เมื่อกี้เลย มันคือหมายศาล
การบาดเจ็บของท่านปู่เฉิน ถือเป็นความผิดทางอาญาแล้ว และตอนนี้มู่น่อนน่อนเป็นหญิงมีครรภ์และสามารถใช้มาตรการได้เฉพาะในการประกันตัวระหว่างพิจารณาคดีเท่านั้น
ด้านหลังมีเสียงเท้าเดินดังขึ้น
มู่น่อนน่อนรู้ว่าเฉินถิงเซียวลงมาแล้ว
เธอหันกลับไป โบกเอกสารหมายศาล และพูดด้วยน้ำเสียงประชดว่า: “เฉินถิงเซียว ตรงนี้มีของนายด้วยนะ?”
โรงพยาบาลอยู่ใกล้ชานเมือง มู่น่อนน่อนขับรถออกมา ก็ขับไปทางยังที่เปลี่ยว
ทางนั้นมีรถราขับผ่านน้อยมาก เฉินถิงเซียวขับแซงไปข้างหน้า แล้วหักพวงมาลัยขวางไว้ตรงกลางถนน ไม่ให้รถของมู่น่อนน่อนไป
มู่น่อนน่อนเหยียบเบรกแล้วหยุดรถไว้
แต่เธอก็ไม่ได้มาจากรถ
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปอยากจะเปิดประตูรถ แต่กลับเห็นว่าประตูรถล็อกอยู่ เปิดออกไม่ได้เลย
“มู่น่อนน่อน ลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” เฉินถิงเซียวทุบประตูรถแรงๆสองครั้ง
มู่น่อนน่อนมองขวางเฉินถิงเซียว แล้วลดหน้าต่างลง โทรหาตำรวจต่อหน้าเฉินถิงเซียว
“ฉันอยู่ตรงชานเมืองทิศใต้ มีรถคันหนึ่งจอดขวางถนนไว้ค่ะ……”
มู่น่อนน่อนยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเฉินถิงเซียวยื่นมือเข้าไปแย่งโทรศัพท์ออกมา
เขาแย่งมาได้แล้วก็กดวางสายทันที จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า: “ลงมา”
มู่น่อนน่อนเลิกคิ้ว เปิดประตูรถแล้วเดินลงไป
เธอลงมาแล้ว เฉินถิงเซียวอยากจะคว้ามือเธอไว้
มู่น่อนน่อนรู้ทันว่าเฉินถิงเซียวจะทำอะไร เธอถอยออกไปเบาๆ แล้วก็หลบจากมือของเฉินถิงเซียวได้
สีหน้าเฉินถิงเซียวเปลี่ยนไปทันที อุณหภูมิรอบด้านก็ลดลงตามไปด้วย
มู่น่อนน่อนไร้อารมณ์ใดๆบนใบหน้า พูดด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็นว่า: “แยกทางกันก่อนเถอะ”
ตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองได้แต่งงานกับเฉินถิงเซียวเสียอีก ต่อมาก็เกิดเรื่องขึ้น ถึงได้รู้ว่าชื่อในทะเบียนสมรสเป็นชื่อของมู่หวั่นขีกับเฉินถิงเซียว
ต่อมา เฉินถิงเซียวกับมู่หวั่นขีหย่ากัน แล้วจะจดทะเบียนสมรสกับมู่น่อนน่อน เธอไม่ได้ตกลงทันที แต่ยื้อเวลาไปก่อน
ลางสังหรณ์ของผู้หญิงเป็นสิ่งลี้ลับบนโลกใบนี้
ตอนนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงยื้อเวลาไม่ไปจดทะเบียนสมรสสักที แต่ตอนนี้เธอมีคำอธิบายที่มีเหตุผลแล้วล่ะ
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลง สีหน้าเขาดูโหดเหี้ยมมากขึ้น: “เธอพูดอีกทีสิ”
“ยังไงตอนนี้นายไม่เชื่อฉันแล้วนี่ ทุกวันฉันต้องถูกขังอยู่ในบ้านเหมือนนักโทษ ฉันได้แต่นั่งรอให้พวกนายตระกูลเฉินมาตัดสินคดีฉัน ฉันพอแล้วล่ะกับชีวิตแบบนี้”
แววตาของมู่น่อนน่อนเด็ดขาดมาก: “เธอไม่เชื่อฉันก็ไม่เป็นไร งั้นก็แยกกันไปก่อน ฉันจะไปหาหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวฉันเอง”
“อยากหนีออกจากฉันงั้นเหรอ?”
เฉินถิงเซียวแสยะยิ้มเย็นชา: “ฝันไปเถอะ”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอถูกเฉินถิงเซียวอุ้มและยัดเข้าไปในรถ แล้วก็ขึ้นมานั่งบนโลก ล็อกประตูเสร็จแล้ว ก็สตาร์ทเครื่องขับออกไปทันที
ในด้านพละกำลังนั้น เธอเทียบกับเฉินถิงเซียวไม่ได้
เธอเริ่มเหนื่อยก็เลยหลับตาลง จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมา และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “ไม่ก็แยกทางกัน ไม่ก็บอกฉันมาว่านายคิดจะทำอะไรกันแน่”
เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจเธอ แต่แค่ขับรถไปเงียบๆ
มู่น่อนน่อนรอคำตอบนานมาก แน่ใจว่าเฉินถิงเซียวไม่สนใจเธอจริงๆ ก็เลยหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง
เฉินถิงเซียวขับรถมาส่งเธอที่คฤหาสน์
ครั้งนี้ เฉินถิงเซียวเพิ่มกำลังคนในคฤหาสน์มากขึ้นไปอีก
บอดี้การ์ดที่อยู่เฝ้าทั้งในสามชั้นและนอกสามชั้น ปิดล้อมคฤหาสน์หลังนี้ไว้แน่นหนา
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ระเบียงชั้นสอง มองเฉินถิงเซียวที่กำลังสั่งบอดี้การ์ดอยู่ด้านล่างลานด้วยแววตาที่เย็นชา
เฉินถิงเซียวเหมือนรู้สึกได้ถึงสายตาของมู่น่อนน่อน เขาก็เลยหันไปมองเธอกลับ
มู่น่อนน่อนกลับหลังหันเดินเข้าห้องตัวเองไป
อากาศเดือนแรกยังคงหนาวอยู่เล็กน้อย
เธอกลับเข้าห้องไป ก็กอดผ้าห่มที่อยู่บนโซฟาทันที และพิมพ์แก้ไขบทละครตัวเองในคอมพิวเตอร์
ไม่นาน ประตูห้องก็ถูกเปิดออกจากด้านนอก
มู่น่อนน่อนไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่คนที่มานั้นเดินมาด้วยฝีเท้าที่ไม่มีเสียงเดิน เธอก็รู้แล้วว่าคือเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ตรงหน้าเธอ: “ช่วงนี้ฉันอาจจะมียุ่งหน่อย เธอระวังรักษาสุขภาพด้วย”
มู่น่อนน่อนไม่ได้มองเขา และไม่ได้พูดตอบอะไรด้วย
เฉินถิงเซียวคงโกรธเพราะความเงียบของเธอ เขายื่นมือไปช้อนคางมู่น่อนน่อนขึ้นมา บังคับให้เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา
“มู่น่อนน่อน ฉันกำลังพูดกับเธออยู่นะ”
แรงเขามีเยอะมาก บีบคางมู่น่อนน่อนจนเธอเจ็บไปหมด
เธอถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น จึงขมวดคิ้วเบาๆและพูดว่า: “พูดจบหรือยัง? อย่ามารบกวนฉันแก้ไขบทละครตรงนี้”
เฉินถิงเซียวกัดฟันข่มอารมณ์จนกรามขึ้นเป็นสันนูน สีหน้านั้นมองดูก็รู้ว่าเขาพยายามอดกลั้นไว้แค่ไหน และสายตาที่ดุดันนั้นด้วย
ดูแล้วเขาคงโกรธไม่เบาสินะ
มู่น่อนน่อนนึกถึงช่วงนี้ที่ชอบทะเลาะกันบ่อยๆ และนึกย้อนไปถึงฝีมือการจัดการคนของเขาเมื่อก่อน หัวใจก็สั่นคลอนทันที
ขนตาที่สั่นเล็กน้อย เผยให้ถึงความรู้สึกในตอนนี้ของเธอ
ท้ายที่สุดเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้ทำอะไร เขาสะบัดมือออกแล้วหันหลังเดินออกไป
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปลูบคางตัวเองเบาๆ และถอนหายใจออกยาวๆอย่างโล่งอก
การที่ผู้หญิงกล้าต่อล้อต่อเถียงกับผู้ชาย แค่เพียงเพราะมั่งใจว่าผู้ชายคนนั้นชอบเธอเท่านั้นเอง
และเฉินถิงเซียวในตอนนี้กำลังคิดอะไรเธอไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เธอคงไม่กล้าเอาแต่ใจต่อหน้าเขาอีกแล้ว และคงไม่คาดหวังว่าเขาจะตามใจเธอเหมือนเมื่อก่อนอีก
ในวินาทีนั้น เธอกังวลจริงๆว่าเฉินถิงเซียวจะโกรธและถอดคางตัวเองออกมา
ยังดีที่เฉินถิงเซียวยังไม่ใจร้ายขนาดนั้น
เมื่อก่อนเธอคิดว่าถ้าท่านปู่เฉินตื่นขึ้นมาเรื่องทุกอย่างก็คงดีขึ้น ถ้าเป็นแบบนั้น ท่านปู่เฉินก็จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเธอได้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ท่านปู่เฉินตื่นขึ้นมาแล้ว แต่กลับอยู่ในอาการเอ๋อ
คำพูดของเฉินจิ่งหยุ้นวนเวียนอยู่รอบหู คำพูดของเฉินถิงเซียวเธอก็เก็บมาคิดเหมือนกัน
ทัศนคติในชีวิตของเธอ คือจะไม่มีวันเอาชีวิตตัวเองไปฝากไว้ในมือผู้ชายเด็ดขาด
โดยเฉพาะผู้ชายที่ในใจไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
และสิ่งที่เธอจะเจอก็อาจจะเป็นโทษที่เธอไม่ได้ทำและอาจจะได้ไปอยู่ในคุก เธอจะคาดหวังที่ตัวเฉินถิงเซียวไม่ได้
ก่อนหน้านี้เธอก็คิดว่าเธอเชื่อใจเฉินถิงเซียวได้
แต่ว่า คำพูดของเฉินถิงเซียวชัดเจนมาก เธอจะเชื่อเขาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
เธอจะต้องวางแผนเพื่อตัวเองบ้างแล้ว
วันก่อนมู่ลี่เหยียนประกาศออกข่าวแล้วว่าจะตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกับเธอ แต่ชื่อเธอยังอยู่ในทะเบียนบ้านของตระกูลมู่
มู่น่อนน่อนกดโทรหาเซียวชู่เหอ
ในตอนที่ปลายสายรับแล้วนั้น ก็มีเสียงของเซียวชู่เหอดังขึ้น: “คุณมู่ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
ถึงขั้นเรียก “คุณมู่” เลยเหรอ?
มู่น่อนน่อนกระตุกมุมปากเบาๆ: “ฉันอยากเอาชื่อออกจากทะเบียนบ้านนั้น”
เธอต้องการเอาทะเบียนบ้านของตัวเอง
เซียวชู่เหอเงียบสักพัก จากนั้นก็พูดว่า: “ทะเบียนบ้านของคุณ ถูกย้ายออกมานานแล้ว ก่อนหน้านั้นเฉินถิงเซียวมาหาคุณปู่เอง”
เรื่องนี้ เซียวชู่เหอรู้ก็ตอนที่มู่ลี่เหยียนประกาศว่าจะตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกับมู่น่อนน่อน
เฉินถิงเซียวรู้ตั้งนานแล้วเหรอว่าชื่อในทะเบียนบ้านตระกูลมู่เธอย้ายออกมาแล้ว?
มู่น่อนน่อนวางสายไป และรีบวิ่งไปที่ห้องหนังสือของเฉินถิงเซียว ไปตามหาทะเบียนบ้านของตัวเอง
เพราะยังไง จะต้องใช้สำเนาทะเบียนบ้านเยอะ
ช่วงนี้เฉินถิงเซียวไม่ได้เข้ามาในห้องหนังสือเลย แต่คนรับใช้ก็มาทำความสะอาดทุกวัน
ห้องหนังสือเขาใหญ่มาก มู่น่อนน่อนตามหาอยู่นาน สุดท้ายก็มองไปที่ลิ้นชักที่ถูกล็อกข้างล่างโต๊ะทำงานนั้น
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปอยากจะดึงออกมา แต่กลับดึงไม่ได้
เธอไม่ค่อยแตะต้องของของเฉินถิงเซียวเท่าไหร่ ก็ไม่รู้อยู่แล้วว่ากุญแจลิ้นชักเขาอยู่ที่ไหน
มู่น่อนน่อนคิดแล้วคิดอีก ก็รีบเดินลงไปที่ลานบ้านแล้วตามหาก้อนหิน
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่มู่น่อนน่อนแกล้งสลบไปโรงพยาบาล ก็หาโอกาสออกไปไม่ได้อีกเลย
เฉินถิงเซียวยังเอาหมอมาไว้ในคฤหาสน์เพื่อดูแลเธอโดยเฉพาะ
รอบๆคฤหาสน์ก็มีบอดี้การ์ดล้อมอยู่ ทำเหมือนว่ากำลังเฝ้าคนร้ายเลย มู่น่อนน่อนหนีออกไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
และเฉินถิงเซียวก็แทบจะไม่เคยกลับมาเลย
จนกระทั่งเช้าวันที่เจ็ด มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมา ก็เห็นเฉินถิงเซียวนั่งอยู่บนโซฟา
สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เขานอนพิงอยู่บนโซฟา หายใจเบามาก ทั้งตัวดูเหมือนสงบมาก
ในห้องแม้จะเปิดฮีตเตอร์แล้ว แต่ถ้าไม่ห่มผ้ายังไงก็หนาวอยู่ดี และเฉินถิงเซียวใส่แค่เสื้อเชิ้ตและชุดสูทบางๆ
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นจากเตียง แล้วไปหยิบผ้ามาคลุมให้เขา
แต่ว่า เธอเพิ่งโน้มตัวลงไปวางผ้าไปที่บนตัวเขา เขาก็ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที
สบเข้ากับดวงตาที่มืดมนของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนใจสั่นคลอนอย่างควบคุมไม่ได้: “นายตื่นแล้วเหรอ”
มู่น่อนน่อนพูดอยู่นั้น ก็ลุกขึ้นมา
เฉินถิงเซียวเอาผ้าบนตัวออกและโยนไปข้างๆ นั่งตัวตรงยืดเส้นยืดสาย และนวดระหว่างคิ้วเบาๆ สักพักเขาก็ถึงพูดว่า: “เมื่อคืนคุณปู่ตื่นแล้ว”
มู่น่อนน่อนอึ้ง: “นายว่าคุณปู่ตื่นแล้วเหรอ?”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมองเธอ พูดด้วยสีหน้ายากที่จะอธิบาย: “อย่าเพิ่งดีใจไป เขายังไม่รู้จักใครเลย”
ท่านปู่เฉินตื่นแล้ว มู่น่อนน่อนก็ต้องดีใจอยู่แล้วสิ
ยังมีอีกเรื่องก็คือ ถ้าท่านปู่เฉินฟื้นขึ้นมาได้ งั้นก็พิสูจน์ได้ว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้ผลักเขาลงไปในตอนนั้น
แต่ว่า คำพูดของเฉินถิงเซียวกลับทำให้มู่น่อนน่อนต้องผิดหวังอีกครั้ง
“หมายความว่ายังไง?”
“แต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วไปโรงพยาบาลกัน”
เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็ลุกขึ้นไปห้องอาบน้ำ
……
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวไปโรงพยาบาลด้วยกัน
ห้องของท่านปู่เฉินมีคนยืนอยู่เต็มเลย แต่กลับเงียบมาก
พอเห็นเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนเข้ามา คนพวกนั้นก็ถอยออกไปเปิดทางให้พวกเขาเดินเข้าไป
มู่น่อนน่อนเดินตามหลังเฉินถิงเซียว พอเดินเข้าไปใกล้ เธอก็ถึงเห็นอาการของท่านปู่เฉิน
ท่านปู่เฉินตื่นแล้วก็จริง
คนรับใช้กำลังป้อนน้ำให้เขา
“คุณท่านคะ ดื่มน้ำค่ะ” คนรับใช้ยื่นหลอนไปใกล้ๆปากของท่านปู่เฉิน
ท่านปู่เฉินเหมือนจะไม่ได้ยิน เอียงหน้าออกไปไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ปากก็เผยอยิ้มออกมา และยังมีน้ำลายไหลออกมาจากปากอีก
เฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างๆก็ด่าด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “ป้อนน้ำเรื่องเล็กแค่นี้ก็ยังทำไม่ได้งั้นเหรอ?”
คนรับใช้ถูกเฉินถิงเซียวด่าแบบนี้ ก็ตกใจจนตัวสั่นเทา จากนั้นก็ถึงยัดหลอดเข้าไปในปากท่านปู่เฉินได้
ท่านปู่เฉินอมหลอนไว้ ดูดไปสองคำ ก็เหมือนเด็กเล็กที่เพิ่งหัดดื่มน้ำด้วยหลอด
มู่น่อนน่อนมองท่านปู่เฉินด้วยแววตาที่ตกตะลึง เธอหันไปมองเฉินถิงเซียวอย่างไม่อยากจะเชื่อ และถามด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งว่า: “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?”
“ตื่นมาก็เป็นแบบนี้แล้วล่ะ” ใบหน้าของเฉินถิงเซียวไม่มีอารมณ์ใดๆ สีหน้าเขาดูใจเย็นมาก เดาไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ขอบตาของมู่น่อนน่อนแดงระเรื่อขึ้นมา เธอนั่งลงข้างๆเตียง เรียกท่านปู่เฉินด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน: “คุณปู่คะ?”
ท่านปู่เฉินไม่รู้สึกตัวอะไรเลย
เธอก็พูดขึ้นอย่างไม่ตายใจอีกว่า: “คุณปู่คะ หนูเองค่ะ น่อนน่อนเอง”
ท่านปู่เฉินเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ปากก็พึมพำอะไรสักอย่าง เขาไม่สนใจใครเลย
“พอแล้ว!”
เฉินจิ่งหยุ้นที่เงียบมาตลอด ในตอนนี้เองก็ยืนออกมา พูดกับมู่น่อนน่อนด้วยใบหน้าที่เย็นชา: “ไม่ต้องมาแกล้งทำเป็นห่วงคุณปู่ตรงนี้เลย ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”
มู่น่อนน่อนมองไปที่เฉินจิ่งหยุ้น สูดน้ำมูกและพูดกับท่านปู่เฉินเสียงเบาว่า: “คุณปู่คะ หนูไปก่อนนะคะ ครั้งหน้าหนูค่อยมาใหม่ค่ะ”
ท่านปู่เฉินที่ไม่มีการตอบรับใดๆ ในตอนนี้เองก็กลับหัวเราะ “แหะๆ” ออกมา
มู่น่อนน่อนกลืนน้ำลายลงไปอย่างยากลำบาก เธอลุกขึ้นและเดินออกไปด้านนอก
เฉินจิ่งหยุ้นก็เดินตามออกไป
เฉินถิงเซียวก็เดินตามหลังมาเหมือนกัน
พวกเขาเดินไปจนถึงมุมที่ไม่มีคน
มู่น่อนน่อนเดินอยู่ตรงหน้าเฉินจิ่งหยุ้น ทั้งสองหยุดเดิน เฉินจิ่งหยุ้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “มู่น่อนน่อน เห็นคุณปู่เป็นแบบนี้แล้ว ถ้าเธอยังมีหัวใจอยู่ ก็อย่าโกหกอีกเลย ใครเป็นคนผลักคุณปู่กันแน่!”
“ฉันไม่ได้ผลักนะ” มู่น่อนน่อนสบตาเธอกลับด้วยความบริสุทธิ์ใจ และพูดอย่างเด็ดขาดว่า: “ถึงแม้เธอจะถามเป็นร้อยครั้งพันครั้ง คำตอบของฉันก็ยังเหมือนเดิม”
“ได้!” เฉินจิ่งหยุ้นหัวเราะเย็นชา: “ถึงตอนนั้น ถ้าตรวจสอบได้ว่าเธอเป็นคนผลักคุณปู่จริง เธอก็ไปอยู่ในคุกตลอดชีวิตเถอะ!”
เธอพูดจบก็สะบัดมือออกไปทันที
ตอนที่เฉินจิ่งหยุ้นเดินผ่านเฉินถิงเซียว เธอก็หยุดเดินและพูดว่า: “เฉินถิงเซียว เรื่องของคุณปู่พวกเราจะต้องตรวจสอบให้ชัดเจน หวังว่าตอนความจริงเปิดเผย ผู้หญิงของนายจะยังบริสุทธิ์อยู่”
เฉินถิงเซียวทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเธอ เขาไม่มองเธอด้วยซ้ำ แถมยังเดินผ่านเธอไปเหมือนไม่รู้จัก และไปหยุดอยู่ตรงหน้ามู่น่อนน่อน
“หมอว่ายังไงบ้าง? คุณปู่จะยังหายดีเป็นปกติได้อยู่ไหม?” ตอนนี้เองเรื่องที่มู่น่อนน่อนกังวล มีแค่สุขภาพของท่านปู่เฉินเท่านั้น
เฉินถิงเซียวมองเธอและพูดว่า: “อาจจะหายดี”
ความหมายก็คือการจะท่านปู่เฉินจะหายดีมีความเป็นไปได้ต่ำมาก
มู่น่อนน่อนกอดอก กุมขมับและพูดว่า: “ทางตำรวจเป็นยังไงแล้วบ้าง?”
เฉินถิงเซียวพูดกับเธอสามคำว่า: “ต้องรอข่าว”
มู่น่อนน่อนถามตรงๆไปเลยว่า: “ถ้าข่าวบอกว่าพวกเราคิดว่าฉันเป็นคนร้ายล่ะ?”
“งั้นเธอก็ต้องรับการลงโทษจากกฎหมาย” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเยือกเย็นและโหดร้าย
มู่น่อนน่อนตะลึง เธอพยายามทำใจให้สงบ: “นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้ผลักคุณปู่”
เฉินถิงเซียวยังคงมีสีหน้าเย็นชาอยู่: “ฉันไม่รู้”
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปาก เธอผลักเฉินถิงเซียวและวิ่งออกไปอย่างเร็ว
เฉินถิงเซียวอึ้งไปสองวินาที จากนั้นก็ถึงตามไป: “มู่น่อนน่อน หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
เรื่องของท่านปู่เฉินทับอยู่ในใจมู่น่อนน่อน เหมือนก้อนหินที่หนักอึ้ง ทำให้เธอเจ็บปวดจนหายใจไม่ออก
แต่ดูเฉินถิงเซียวพูดสิ เขาทำให้หินก้อนนี้หนักขึ้นกว่าเดิม
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตัวเองไม่อยากอยู่ในโรงพยาบาลนี้แล้ว ถ้าอยู่ต่อเธออาจจะบ้าตายก็ได้
รถของเฉินถิงเซียวจอดอยู่หน้าโรงพยาบาล มู่น่อนน่อนวิ่งออกจากโรงพยาบาลแล้วขึ้นรถ ขับรถของเขาออกไปทันที
ตอนที่เฉินถิงเซียวตามออกมา ก็เห็นแค่ท้ายรถที่ขับออกไปแล้ว
เขากัดฟันกรอด เตะกระถางดอกไม้ข้างๆแรงๆ
บอดี้การ์ดเห็นเฉินถิงเซียว ทุกคนก็รีบวิ่งเข้ามา: “คุณชายครับ!”
เฉินถิงเซียวหันหน้าไปด่าตะคอกด่าพวกเขาว่า: “ไม่เห็นหรือไงว่าคุณนายน้อยขับรถหนีไปแล้ว? ยังไม่รีบตามไปอีก!”
มู่น่อนน่อนอารมณ์อ่อนไหวง่าย แถมตอนนี้เธอยังท้องอีก เขากลัวเธอจะเป็นอะไรไปจริงๆ
บอดี้การ์ดขับรถมา เฉินถิงเซียวผลักบอดี้การ์ดไปข้างๆ ตัวเองขึ้นไปนั่ง และรีบตามมู่น่อนน่อนไปทันที
มู่น่อนน่อนแม้จะอารมณ์อ่อนไหว แต่เธอก็ยังระวังตัวเองอยู่ ไม่ได้หุนหันพลันแล่น
ไม่นาน เขาก็ตามมู่น่อนน่อนจนทัน
“ได้ ฉันรู้แล้ว”
มู่น่อนน่อนแม้ปากจะพูดแบบนี้ แต่ในใจเธอรู้ดีว่า ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริง เธอก็จะไม่ไปรบกวนเสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นเด็ดขาด
……
เหมือนที่เสิ่นเหลียงบอก เฉินจิ่งหยุ้นมาหาเธอเร็วมาก
ตอนเช้าตรู่ มู่น่อนน่อนกำลังกินข้าวเช้าอยู่ ก็ได้ยินเสียงจากด้านนอก
ไม่รอเธอลุกขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงเดินมา ‘ต๊อกแต๊กๆ’ ใกล้เข้ามาเรื่อย
ไม่นาน หน้าประตูห้องรับประทานอาหารก็มีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏขึ้น
ผู้หญิงสวมชุดสูทเป็นทางการ ดูแล้วเหมือนคนที่มีความสามารถและฉลาดมาก ตรงระหว่างคิ้วเหมือนกับเฉินถิงเซียว ขนาดบุคลิกก็ยังเย็นชาเหมือนเฉินถิงเซียวเลย
มู่น่อนน่อนพอเดาออกคร่าวๆแล้วว่า ผู้หญิงคนนี้ก็คือเฉินจิ่งหยุ้น
ผู้หญิงมุ่งหน้าเดินตรงมาที่มู่น่อนน่อน มองดูมู่น่อนน่อนด้วยแววตาที่แหลมคม และมีความพิจารณา
เธอจ้องมู่น่อนน่อนไม่กี่วินาที จากนั้นก็เธอก็พูดขึ้นว่า: “เธอคือมู่น่อนน่อนสินะ?”
เธอไม่เพียงแต่มีบุคลิกและหน้าตาเหมือนเฉินถิงเซียว ขนาดความหยิ่งยโสและความผู้ดีที่มีแต่ลูกเศรษฐีเท่านั้นถึงจะมี แค่เพียงเธอเอ่ยปากพูด ก็ดูเหมือนมีพลังมหาศาลแล้ว
ถูกออร่าของเฉินถิงเซียวข่มไว้นานมาก มู่น่อนน่อนก็เลยไม่กลัวเมื่อเธอมายืนอยู่ตรงหน้า
มู่น่อนน่อนมองเธอกลับ และพูดอย่างใจเย็นว่า: “ฉันคือมู่น่อนน่อน”
แววตาผู้หญิงมีความตกใจ แต่แค่เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น
“เธอน่าจะรู้แล้วว่าฉันคือใคร” ผู้หญิงยังคงมองมู่น่อนน่อนนิ่ง: “ฉันคือพี่สาวของเฉินถิงเซียว เฉินจิ่งหยุ้น”
ตอนนี้เองมู่น่อนน่อนพึงลุกขึ้นมา: “สวัสดีค่ะ”
จากนั้นก็สั่งคนรับใช้ด้วยท่าทีคุณนายของบ้านหลังนี้: “ยังไม่เสิร์ฟน้ำชาอีก?”
“ไม่จำเป็นแล้ว” เฉินจิ่งหยุ้นยกมือขึ้นสั่งคนรับใช้ เธอกอดอกและมองมู่น่อนน่อน: “รู้เหตุผลที่ฉันมาไหม? ก่อนที่ฉันจะกลับมาก็ได้ยินแล้วว่า เธอเป็นคนผลักคุณปู่ตกบันได”
มู่น่อนน่อนตอบโต้กลับไปว่า: “ฉันไม่ได้ผลักนะ และตอนนี้ก็ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบเรื่องนี้อยู่”
“ได้” เฉินจิ่งหยุ้นฟังมู่น่อนน่อนแก้ตัวอย่างหงุดหงิด เลยพูดแทรกไปก่อน: “ฉันแค่อยากมาดูว่า ผู้หญิงที่ทำให้ชื่อเสียงน้องชายฉันป่นปี้ แล้วทำให้ตระกูลเฉินของเราวุ่นวายเนี่ยเป็นใครก็เท่านั้น ตอนนี้ฉันจะไปโรงพยาบาล ไม่มีเวลามาเสวนากับเธอหรอกนะ”
ฟังจากน้ำเสียงของเฉินจิ่งหยุ้นแล้ว มองออกได้ว่าเธอเป็นคนที่แข็งกร้าวมากคนหนึ่ง
สมแล้วที่เป็นฝาแฝดกับเฉินถิงเซียว ทุกอย่างคล้ายกันอย่างกับแกะ
เฉินจิ่งหยุ้นพูดจบก็เดินออกไปด้านนอก มู่น่อนน่อนก็เดินตามแล้วส่งเธอออกไป
พอมาถึงห้องโถง เธอก็เห็นคนที่มีท่าทางเหมือนผู้ช่วยตะโกนเรียกว่า: “ประธานเฉิน”
ข้างๆผู้ช่วยยังมีกระเป๋าเดินทางอยู่หนึ่งใบ
เฉินจิ่งหยุ้นกลับมายังไม่ทันได้ไปไว้กระเป๋า ก็เดินมาหามู่น่อนน่อนก่อนทันที
ตอนนี้เอง ด้านนอกก็มีเสียงเบรกรถ ‘เอี๊ยด’ ดังขึ้น
ทั้งสองมองไปด้านนอกพร้อมกัน เฉินถิงเซียวออกมาจากรถ
เฉินจิ่งหยุ้นเดินเข้าไป อยากกอดเฉินถิงเซียว: “ไม่เจอกันนานเลยนะ น้องรัก”
เฉินถิงเซียวกอดเฉินจิ่งหยุ้นตอบ
เฉินจิ่งหยุ้นแค่กอดเขาเบาๆ จากนั้นก็ปล่อยออกทันที
เธอมองดูเฉินถิงเซียว พูดด้วยน้ำเสียงประชดว่า: “เหมือนที่คุณปู่พูดไว้ไม่มีผิด นายหลงมู่น่อนน่อนจนหัวปักหัวปำ ฉันแค่มาดูเธอแค่นั้นเอง นายก็รีบซิ่งรถกลับมา กลัวฉันจะจับเธอกินหรือไง?”
เฉินถิงเซียวไม่มองเธอด้วยซ้ำ แล้วเดินอ้อมเธอแล้วไปตรงหน้ามู่น่อนน่อนทันที
เขาสำรวจดูมู่น่อนน่อน ต่อมาก็ยืนอยู่ตรงหน้ามู่น่อนน่อน พูดกับเฉินจิ่งหยุ้นว่า: “ไม่ไปเยี่ยมคุณปู่หรือไง?”
เฉินจิ่งหยุ้นกอดอก กระตุกยิ้มมุมปากเบาๆ สีหน้าดูจองหองมาก: “จะไปเดี๋ยวนี้แหละ นายไม่คิดจะขับรถไปส่งหน่อยเหรอ?”
เฉินถิงเซียวหันหน้ากลับไปมองมู่น่อนน่อน แต่กลับไม่ได้พูดอะไร ก็เดินตามเฉินจิ่งหยุ้นออกไป
ตอนที่เดินไปถึงประตู เฉินจิ่งหยุ้นก็หันหน้ากลับไปมองเธออีกครั้ง
แววตานั้นดูเป็นการสำรวจ และก็เหมือนกำลังดูตัวตลกอยู่
มู่น่อนน่อนกำมือแน่น เม้มปาก สีหน้าดูตึงเครียด
เฉินจิ่งหยุ้นดูถูกเธอ เรื่องนี้เฉินจิ่งหยุ้นไม่เคยปกปิดเลย
……
พอออกจากคฤหาสน์ เฉินจิ่งหยุ้นก็ตามเฉินถิงเซียวขึ้นรถ
เฉินจิ่งหยุ้นนั่งอยู่ในรถ คาดเข็มขัดเสร็จก็พูดกับเฉินถิงเซียวว่า: “ผู้หญิงที่นายชอบ ก็ไม่เท่าไหร่เลยนะ”
เฉินถิงเซียวไม่หันหน้ากลับไปมองด้วยซ้ำ และพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า: “ไม่เท่าไหร่ แต่ดีกว่าเธอตั้งเยอะ”
“เหอะ ปกป้องกันจริงนะ” เฉินจิ่งหยุ้นชินกับวิธีการพูดจาของเฉินถิงเซียวนานแล้ว
แต่ว่า เธอก็ไม่เคยเกรงใจเขาเลย
“ถึงตอนนั้น ถ้าตรวจสอบได้ว่ามู่น่อนน่อนเป็นคนผลักคุณปู่ตกบันได นายจะยังปกป้องเธอแบบนี้ไหม?” พอเฉินจิ่งหยุ้นพูดถึงคุณท่านเฉิน สีหน้าก็เย็นชาตามลงไปด้วย
เฉินถิงเซียวพูดอย่างหมดความอดทนว่า: “เธอหุบปากได้ไหม?”
ในที่สุดเฉินจิ่งหยุ้นก็ทำให้เขาโกรธจนได้
“เฉินถิงเซียว ตั้งแต่นายแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว เคยมีชีวิตที่สงบสุขบ้างไหม? ฉันบอกแล้วไงว่าผู้หญิงคนนั้นไม่คู่ควรกับนาย นายกลับไม่เชื่อฉัน ตอนนี้ยัง……”
เอี๊ยด——
เสียงเบรกรถกะทันหัน ทำให้เฉินจิ่งหยุ้นหยุดพูด
“อา——”
เสียงกรีดร้องของเฉินจิ่งหยุ้นดังลั่น จากนั้นเธอก็โน้มตัวลงไปข้างหน้า
เธอหันหน้าไปตะคอกเฉินถิงเซียวว่า: “เฉินถิงเซียว นายบ้าไปแล้วหรือไง? ฉันพูดผิดตรงไหน!”
เฉินถิงเซียวไม่ขยับเขยื้อนเลย มีเสียงน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำแสดงอารมณ์ของเขาออกมา: “ไม่ถูกสักที่นั่นแหละ”
เฉินจิ่งหยุ้นโกรธมาก: “นาย!”
“ลงไป”
“เฉินถิงเซียว!”
“ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไง?” เฉินถิงเซียวหันหน้าไป แววตาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น: “หนีไปอยู่ต่างประเทศเป็นสิบปี ไม่เคยมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบฉัน มีสิทธิ์อะไรมาชี้นิ้วสั่งในชีวิตของฉันและแฟนฉันกัน?”
เฉินจิ่งหยุ้นตะลึงกับแววตาที่เยือกเย็นนั้นของเขา แววตานั้นทำให้เธอกลัวจับใจจริง เฉินถิงเซียวตรงหน้านี้ไม่ใช่เด็กชายที่คอยส่งยิ้มให้เธอและเรียกเธอว่าพี่สาวอีกแล้ว
เฉินจิ่งหยุ้นกลืนน้ำลายลงไป ผ่านไปสักพักก็ถึงใจเย็นลงได้ และพูดด้วยน้ำเสียงต่อรองว่า: “โอเค พวกเรามาสงบจิตใจกันก่อน ฉันไม่ได้กลับมาทะเลาะกับนาย ตอนนี้พวกเราไปโรงพยาบาลกันก่อนไหม?”
เฉินถิงเซียวไม่อยากฟังเธอพูดอีก: “ลงไป”
เฉินจิ่งหยุ้นพูดอะไรไม่ออกอีก แต่เธอก็รู้จักนิสัยของเฉินถิงเซียว ไม่ว่าเธอจะไม่พอใจยังไง แต่ก็ต้องยอมแพ้ เธอข่มอารมณ์โกรธไว้และปลดที่คาดเข็มขัดออก
เธอเพิ่งลงจากรถได้ไม่นาน รถของเฉินถิงเซียวก็เหมือนธนูที่พอถูกยิงแล้วก็พุ่งออกไปทันที
เฉินจิ่งหยุ้นโกรธจนหน้าดำหน้าแดงหมด
ผู้ช่วยขับรถมาจอดข้างๆเธอ ต่อมาก็ลงไปเปิดประตูรถอย่างเคารพ: “คุณเฉิน เชิญขึ้นรถครับ”
เฉินจิ่งหยุ้นมองขวางผู้ช่วย: “อย่าเอาเรื่องนี้ออกไปพูดที่ไหนเด็ดขาด!”
“ครับ” ผู้ช่วยก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่มองอะไรอีก
“หึ!” เฉินจิ่งหยุ้นทำเสียงหึในลำคอ เธอไม่ชอบมู่น่อนน่อนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เธอยิ่งเกลียดหล่อนเข้าไปอีก
……
มาถึงโรงพยาบาล เฉินจิ่งหยุ้นก็เห็นเฉินถิงเซียวไม่รอเธอ และเดินเข้าไปทันที
สีหน้าเธอแย่ลงไปอีก
ในห้องของท่านปู่เฉิน เธอเห็นเฉินชิงเฟิง
เฉินชิงเฟิงเห็นเธอแล้ว ก็ยิ้มกว้างและเรียกเธอ: “จิงหยุ้น”
“พ่อคะ” เฉินจิ่งหยุ้นเดินไปกอดเฉินชิงเฟิง
เฉินชิงเฟิงตบไหล่เธอเบาๆ: “รีบเข้าไปดูคุณปู่เถอะ”
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ข้างๆ มองสองพ่อลูกที่แสดงความห่วงใยกันแบบปลอบๆด้วยแววตาที่เย็นชา เขาแค่กระตุกมุมปาก แต่กลับไม่ได้หัวเราะเลย
มู่น่อนน่อนได้ยินคำพูดของเฉินเจียฉินแล้ว ก็ตบไหล่ของเขาอย่างซาบซึ้งใจ : “พี่ไม่เป็นไร”
สองสามวันมานี้เธออยู่แต่ในบ้าน นอกจากกินแล้วก็นอน ยังจะมีอะไรอย่างอื่นอีก
เฉินเจียฉินยิ้มขึ้น : “พี่ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ต่อให้มีพี่ถิงเซียวก็ต้องปกป้องพี่อยู่แล้ว”
คำพูดที่เฉินถิงเซียวพูดในโรงพยาบาลวันนั้น เฉินเจียฉินนั้นไม่รู้
มู่น่อนน่อนยกริมฝีปากแล้วฝืนยิ้มขึ้น
เดิมทีเขามีเรื่องที่อยากจะคุยกับเฉินถิงเซียว แต่เมื่อเฉินเจียฉินอยู่ด้วยเธอก็ไม่สามารถเอ่ยปากได้
เฉินถิงเซียวกับเฉินเจียฉินส่งมู่น่อนน่อนถึงหน้าประตูโรงพยาบาล
บอดี้การ์ดที่มาส่งมู่น่อนน่อนยังคงรออยู่
เฉินถิงเซียวกำชับบอดี้การ์ดด้วยใบหน้าที่เย็นชา : “ส่งคุณหญิงน้อยกลับไป”
มู่น่อนน่อนยังมีเรื่องที่อยากจะพูด จึงไม่ขยับเขยื้อน
เฉินเจียฉินที่อายุน้อยแต่สมองไว ดูออกว่ามู่น่อนน่อนราวกับมีคำพูดอยากจะพูดกับเฉินถิงเซียว จึงชี้เข้าไปในโรงพยาบาล : “ผมเข้าไปก่อนนะครับ”
เขาพูดจบก็จากไป
มู่น่อนน่อนมองไปรอบ ๆ แล้วก็ดึงแขนของเฉินถิงเซียว ดึงเขาไปในซอกมุมที่ไม่มีคน
แน่ใจว่ารอบ ๆไม่มีคนแล้ว มู่น่อนน่อนถึงโน้มใกล้เข้าไป แล้วรีบพูดอย่างรวดเร็ว : “เฉินถิงเซียว คืนวันส่งท้ายปีเก่าฉันเห็นคุณป้ากับคุณพ่อของคุณเข้าไปในห้องอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ แต่ไม่นานพวกเขาก็ออกมาอย่างรวดเร็ว ฉันคิดว่าพวกเขาจะต้องมีลับลมคมในอย่างแน่นอน……”
เฉินถิงเซียวสะบัดมือมู่น่อนน่อนทิ้งอย่างฉับพลัน แล้วกล่าวด้วยความโมโห : “พอแล้ว!”
“เฉินถิงเซียว! ฉันพูดเรื่องจริงนะ” มู่น่อนน่อนเอื้อมมือจับผมของตัวเองด้วยความหงุดหงิด : “คุณจะต้องเชื่อฉันนะ”
“ตอนนี้คุณยังไม่พ้นการตกเป็นผู้ต้องสงสัย ทำไมผมจะต้องเชื่อคุณ” ใบหน้าของเฉินถิงเซียวค่อนข้างเยือกเย็น: “อีกอย่าง นั่นคือคุณป้าแท้ๆและพ่อแท้ๆของผม ความหมายของคุณคือพวกเขาร่วมมือกันทำร้ายคุณปู่ จากนั้นก็ใส่ร้ายคุณอย่างนั้นเหรอ เหลวไหลชะมัด!”
“ฉันไม่ได้พูดนะ” แม้ว่าเมื่อสักครู่เธอจะหมายความว่าอย่างนี้ แต่ว่าเธอไม่ได้พูดออกมา
สีหน้าของเฉินถิงเซียวชะงักค้าง แต่ว่าสักพักก็กลับคืนมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
เขามองมู่น่อนน่อนอย่างนิ่งๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยการข่มขู่ : “นี่ไม่ใช่คำพูดที่คุณอยากจะพูดเหรอ คุณป้ากับคุณพ่อของผมล้วนเป็นลูกแท้ ๆ ของคุณปู่ พวกเขาจะทำร้ายคุณปู่เหรอ คุณคิดว่าผมจะเชื่ออย่างนั้นเหรอ”
“ก่อนหน้านี้คุณยังบอกว่าเรื่องของคุณแม่คุณก็เกี่ยวข้องกับคนของตระกูลเฉินไม่ใช่เหรอ คุณ……”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ให้โอกาสเธอพูดต่อ ก้มตัวอุ้มเธอขึ้นมา แล้วอุ้มเข้าไปไว้ในรถ จากนั้นกล่าวอย่างเฉยชาว่า : “อย่าให้ผมได้ยินเรื่องนี้อีก”
จากนั้นเขาก็ลงจากประตูรถ แล้วหันหลังจากไป
คั่นด้วยหน้าต่างกระจกรถ มู่น่อนน่อนมองเขาเข้าโรงพยาบาลโดยที่ไม่แม้แต่จะหันหน้ามามอง
เธอเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างหมดอ่อนใจ กุมหมัดเอาไว้แล้วทุบลงไปที่นั่งข้าง ๆ แรง ๆ
เดายากจังเลย
ความคิดของเฉินถิงเซียวช่างเดายากจังเลย
แม้แต่เฉินเจียฉินก็พูดว่า เฉินถิงเซียวจะต้องคอยปกป้องเธอ
แต่ว่าตอนนี้เธออยากจะรู้ว่าเฉินถิงเซียวว่ากำลังคิดอะไร
ไม่อย่างนั้นเธอก็มักจะรู้สึกไม่สบายใจ
ปฏิกิริยาของเฉินถิงเซียวที่เยือกเย็นเช่นนี้ มีอะไรก็ซ่อนไว้หมด
เดาก็เดาไม่ออกถึงความคิดเขา และท่าทางของเขาที่เย็นชามาก มู่น่อนน่อนไม่รู้จริง ๆว่าตัวเองจะเชื่อใจเขาได้อย่างไร
……
รถยนต์มาจอดที่หน้าประตูคฤหาสน์
“น่อนน่อน!”
มู่น่อนน่อนที่นั่งนิ่งๆอยู่ในรถอย่างห่อเหี่ยว ก็ได้ยินเสียงเรียกของเสิ่นเหลียง
จึงหันหน้าไปก็เห็นเสิ่นเหลียงกำลังยืนอยู่นอกประตูรถ
หลังจากที่เสิ่นเหลียงออกจากโรงพยาบาลไป ก็ได้ไปรอมู่น่อนน่อนที่หน้าประตูคฤหาสน์
เสิ่นเหลียงเห็นเธอมองเห็นตัวเอง จึงช่วยมู่น่อนน่อนเปิดประตูรถ : “เป็นไงบ้าง เถ้าแก่ใหญ่ไม่ได้ทำอะไรเธอใช่ไหม”
มู่น่อนน่อนลงจากรถ ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ : “ฉันกลับอยากให้เขาทำอะไรกับฉันเสียอีก”
เสิ่นเหลียงได้ยินดังนั้นจึงขมวดคิ้ว
“เข้าไปด้านในกันก่อน ด้านนอกหนาว” มู่น่อนน่อนดึงเสิ่นเหลียงเข้าไปในคฤหาสน์
เธอพาเสิ่นเหลียงมุ่งตรงไปที่ห้องนอน และบอกเล่าคำสนทนาที่ตัวเองคุยกับเฉินถิงเซียว รวมไปถึงความคิดของตัวเองให้เธอฟัง
เสิ่นเหลียงได้ฟังแล้วก็ถึงกับตะลึงตกใจไปทั้งตัว
“ไม่……ไม่ใช่มั้ง นี่จะเป็นไปได้อย่างไร คุณท่านเฉินปฏิบัติต่อพวกเขาดีทั้งคู่นะ ตอนที่ลูกสาวของเขาแต่งงาน สินสอดทองหมั้นตั้งหลายร้อยล้าน และนี่ยังเป็นเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนนะ……”
เสิ่นเหลียงวิเคราะห์รอบหนึ่งแล้วกล่าว : “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณพ่อของเถ้าแก่ใหญ่เลย คุณท่านเฉินปฏิบัติต่อเฉินชิงเฟิงดีมากถึงมากที่สุด พาเฉินชิงเฟิงเข้าไปทำงานที่บริษัทเฉินซื่อตั้งแต่เล็ก ๆ เมื่อถึงเวลาของเขาแล้ว คุณท่านเฉินก็มอบอำนาจทั้งหมดในมือออกมา พวกเขาสองพี่น้องไม่มีความจำเป็นต้องร่วมมือกันทำร้ายคุณท่านเฉินเลย……”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตคัดค้านคำพูดของเสิ่นเหลียง แต่กลับพยักหน้าเห็นด้วย : “ใช่ พวกเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำร้ายคุณท่านเฉิน ถ้าหากว่าไม่ชอบฉัน พวกเขาสามารถใช้วิธีการใดก็ได้เพื่อจัดการกับฉัน ไม่จำเป็นต้องลำบากลำบนใช้คุณปู่มาทำร้ายฉัน”
พูดไปพูดมาก็เหมือนกับกลับมาที่เดิม
เหมือนมีเหตุผล แต่ก็ไม่มีเหตุผล
เหมือนกับว่าสิ่งเหล่านี้นั้นเชื่อมโยงกัน แต่ก็เหมือนกับปะติดปะต่อกันไม่ติด จนยุ่งเหยิงไปหมด
เมื่อทำการวิเคราะห์อย่างละเอียด ก็ไม่สามารถกลั่นกรองออกมาได้
เสิ่นเหลียงเห็นท่าทางที่คิดไม่ตกของมู่น่อนน่อน จึงเปล่งเสียงปลอบประโลมเธอ : “เธอก็อย่าคิดมากเลย ฉันเชื่อว่าเถ้าแก่ใหญ่จะจัดการกับเรื่องทั้งหมดได้ เขาไม่ปล่อยให้เธอเป็นอะไรหรอก สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือเธอต้องดูแลลูกให้ดี”
มู่น่อนน่อนเม้มปาก ไม่พูดอะไร
ทุกคนต่างบอกว่าเฉินถิงเซียวจะจัดการเรื่องนี้ได้
แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่บอกอะไรเธอสักอย่าง
เวลานนี้เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
เธอนึกถึงคำพูดของเฉินเจียฉิน : “เธอรู้จักพี่สาวฝาแฝดของเฉินถิงเซียวไหม”
“รู้สิ” เสิ่นเหลียงเดินมานั่งลงข้างมู่น่อนน่อน ดูเหมือนจะชื่อเฉินจิ่งหยุ้น อยู่ที่เมืองนอกมาโดยตลอด เป็นผู้หญิงที่แกร่ง”
เสิ่นเหลียงพูดจบ ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นพูดกว้างไป
เธอเกาศีรษะขึ้น แล้วพูดเสริม : “สิ่งที่ฉันรู้ก็มีเท่านี้ และเธอเวลาทำอะไรก็จะเป็นคนถ่อมตน”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า : “ฉันรู้แล้ว”
สมองของเสิ่นเหลียงแล่นได้เร็วมาก : “เธอถามเรื่องนี้ทำไม เธอจะกลับมาเหรอ”
“น่าจะถึงภายในสองสามวันนี้มั้ง”
“นี่เป็นบุคคลที่เก่งกาจ เธอจะต้องต่อกรอย่างระวังนะ” เสิ่นเหลียงรู้สึกเป็นห่วง: “ตอนนี้คนบ้านตระกูลเฉินต่างคิดว่าเธอเป็นคนผลักคุณปู่ ถ้าหากว่าเฉินจิ่งหยุ้นกลับมาแล้ว จะต้องมาหาเธออย่างแน่นอน”
“ฉันรู้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง เธอบอกฉันเองไม่ใช่เหรอไม่ว่าจะด้วยเรื่องใดเฉินถิงเซียวจะต้องช่วยฉันจัดการ”
มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วลุกขึ้น: “ฉันส่งเธอออกไปนะ วันหยุดตรุษจีนทั้งที เธอควรจะอยู่บ้านพักผ่อนเป็นเพื่อนคุณลุงคุณป้า……”
เสิ่นเหลียงถูกเธอโน้มน้าวจนลุกขึ้นมา : “โอเค ๆ อย่างนั้นฉันกลับก่อนนะ ถ้าหากว่ามีอะไรก็โทรหาฉันได้เลย ถ้าหากว่าฉันไม่รับสายเธอสามารถโทรหากู้จือหยั่นได้ เขาว่างมาก เรียกเขาได้ตลอด”
เฉินถิงเซียวพูดจบก็เดินนำหน้าไป
มู่น่อนน่อนจึงเดินตามอยู่ด้านหลัง จ้องมองแผ่นหลังของเขา เดินอย่างจิตใจล่องลอย
ทันใดนัน เฉินถิงเซียวที่เดินอยู่ด้านหน้าได้หยุดกะทันหันขึ้น
มู่น่อนน่อนไม่ที่รู้ว่าเพราะอะไร ก็ได้หยุดชะงักตาม
ตอนนี้เฉินถิงเซียวถึงได้กล่าวอย่างสบายๆว่า : “เดินดี ๆ ”
มู่น่อนน่อนตกใจชะงัก สงสัยด้านหลังของเขาต้องมีดวงตาแน่ ๆ
เฉินถิงเซียวยกเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าครึ่งก้าว แล้วก็หันหลังมา ภายใต้ความตกใจของมู่น่อนน่อน ได้กุมมือของเธอขึ้นแล้วเดินจูงเธอไปข้างหน้า
มู่น่อนน่อนมองดูมือทั้งคู่ที่จับจูงด้วยกัน ชะงักครู่หนึ่งแล้วเงยหน้ามองเขา
ส่วนกรามที่แน่นของเขาและส่วนคางที่ดูสะอาดสะอ้าน แต่ว่าแลดูซูบผอมลง
เธออดใจไม่ได้จึงเอ่ยปากถามเขา : “สองสามวันมานี้คุณนอนอยู่แต่ที่โรงพยาบาลเหรอ”
ทั้งสองเดินมาถึงหน้าลิฟต์พอดี เฉินถิงเซียวกดลิฟต์แล้วถึงได้ตอบกลับมาว่า : “อืม”
มู่น่อนน่อนก็ถามขึ้นอีก : “ทานอาหารบ้างหรือเปล่า”
เฉินถิงเซียวดูเหมือนจะรำคาญเธอ จึงมองเธอด้วยหางตาแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร
ติ๊ง——
ประตูลิฟต์เปิดออก มู่น่อนน่อนถูกเฉินถิงเซียวพาเข้าไปในตัวลิฟต์
คุณท่านเฉินพักอยู่ที่ห้องผู้ป่วยวีไอพี ทั้งชั้นปล่อยให้ว่างเพื่อให้คุณปู่ได้พักรักษา
เมื่อออกจากประตูลิฟต์ มู่น่อนน่อนก็เห็นที่ระเบียงทางเดินเต็มไปด้วยบอดี้การ์ด แต่ว่าคนอื่นของบ้านตระกูลเฉินนั้นไม่มีใครอยู่
เฉินถิงเซียวพาเธอเดินตรงไปที่หน้าห้องผู้ป่วยของคุณท่านเฉิน
“คุณปู่อยู่ด้านใน เข้าไปสิ”
มู่น่อนน่อนผลักประตูเข้าห้องผู้ป่วยไป
นี่เป็นครั้งแรกที่คุณท่านเฉินเกิดเรื่องแล้วเธอได้มาเยี่ยมเขา
บนเตียงที่ขาวดุจหิมะ คุณท่านเฉินนอนอยู่บนเตียงอย่างเงียบสงบ สวมเครื่องช่วยหายใจไว้ บนตัวเต็มไปด้วยสายยางโตงเตง และยังห้อยด้วยสายน้ำเกลือ
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปใกล้ ถึงได้เห็นถึงใบหน้าที่ซีดเซียวราวกับกระดาษของคุณท่านเฉิน เบ้าตาของเขาโบ๋ลึกลงไป ใบหน้าก็เหี่ยวย่น
คุณท่านเฉินไม่ใช่คนแก่ที่หน้าตาใจดี ใบหน้ามักจะน่าเกรงขาม แต่มู่น่อนน่อนเห็นลักษณะของเขาในตอนนี้ ก็อดไม่ได้ที่จมูกคัดขึ้นมา
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ตรงด้านหน้าเตียง แล้วเรียกเบาๆ : “คุณปู่คะ”
คนบนเตียงไม่มีการตอบสนองใด ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะไอที่ก่อตัวปกคลุมจากการหายใจในหน้ากากออกซิเจน มู่น่อนน่อนเกือบจะคิดว่าคุณท่านเฉินนั้นเหมือนไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
“เอาล่ะ ออกไปกันเถอะ”
เวลานี้ประตูห้องผู้ป่วยถูกผลักออก เสียงของเฉินถิงเซียวดังลอยเข้ามา
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น ยื่นมือมาปาดน้ำตาที่หางตา ลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งออกไปด้านนอกห้องผู้ป่วย
เธอปิดประตูห้องผู้ป่วยแล้วกล่าวกับเฉินถิงเซียว : “แพทย์ว่าอย่างไรบ้าง”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบคำถามของเธอในทันที แต่กลับสังเกตเธออย่างเงียบๆ
เขาสังเกตเห็นเบ้าตาของเธอที่แดงเล็กน้อย หว่างคิ้วย่นขึ้นแล้วกล่าว : “ไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไร ต่อให้ฟื้นขึ้นมาก็อาจไม่เหมือนเดิม”
มู่น่อนน่อนพูดซ้ำคำพูดที่เขาพูดเมื่อสักครู่ด้วยความตกใจ : “อาจไม่เหมือนเดิม”
เฉินถิงเซียวแค่เพียงมองเธอด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก และก็ไม่ได้อธิบายอะไร
อาจไม่เหมือนเดิม แปลว่าคุณท่านเฉินอาจจะพิการ อาจจะอัมพาต กลายเป็นคนแก่ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
สีหน้าของมู่น่อนน่อนซีดขึ้นในทันใด เธอจ้องมองเฉินถิงเซียว แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเพื่อปลอบโยนเขา
ทันใดนั้นก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น : “เธอมาทำอะไร”
ทันใดนั้นก็ได้มองไปตามเสียง ก็เห็นถึงเฉินเหลียนที่กำลังมุ่งหน้าเดินมาทางนนี้
สายตาของเฉินเหลียนทอดมาทางตัวของมู่น่อนน่อน เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเฉินเหลียนเมื่อสักครู่นั้นหมายถึงมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก แล้วเรียกขึ้น : “คุณป้า”
สีหน้าของเฉินเหลียนไม่ค่อยสบอารมณ์ ในแววตาเห็นได้ชัดว่าต่อต้านเธอ แต่ว่าก็ยังพยักหน้าแล้วกล่าว : “น่อนน่อน สองสามวันมานี้สบายดีไหม”
“ขอบคุณคุณป้าที่เป็นห่วง หนูสบายดีค่ะ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่ชอบที่เฉินเหลียนเป็นเช่นนี้
เฉินเหลียนในใจทั้ง ๆ ที่ไม่ชอบเธอ แต่กลับต้องมารักษาความปรองดองเวลาอยู่ต่อหน้า
เฉินเหลียนถามขึ้นอีก : “เธอมาเยี่ยมคุณปู่เหรอ”
มู่น่อนน่อนไม่ปกปิดแต่อย่างใด พูดตรง ๆ ออกไปว่า : “ค่ะ”
เฉินเหลียนแววตาเป็นประกายเล็กน้อย กล่าวเตือนขึ้นราวกับเป็นการหวังดี : “พักนี้ทางที่ดีเธอควรจะหลบไปสักพัก”
“ทำไมต้องหลบด้วยคะ ฉันเป็นหลานสะใภ้มาเยี่ยมคุณปู่มันเป็นปัญหาตรงไหนคะ” สีหน้ามู่น่อนน่อนดื้อดึง ทั้งตัวดูเย็นชา: “คนที่ผลักคุณปู่ตกบันไดต่างหากสมควรจะระแวงมากกว่า”
เฉินเหลียนราวกับคิดไม่ถึงว่าเธอจะใจถึงขนาดนี้ ชะงักงันชั่วครู่แล้วกล่าว : “ก็จริง”
เฉินถิงเซียวพูดขึ้นทันใด : “คุณป้า ยังจะเข้าไปเยี่ยมคุณปู่ไหมครับ”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวไม่ค่อยดี ฟังแล้วเหมือนมีอาการหงุดหงิด เฉินเหลียนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ผลักประตูแล้วก็ตรงเข้าไปในห้องผู้ป่วย
มู่น่อนน่อนจ้องประตูอยู่สองสามวินาที เฉินถิงเซียวจึงได้เรียกเธอขึ้น เธอถึงได้รู้สึกตัว
“มู่น่อนน่อน”
“หือ?”
“ยังไม่กลับอีก นี่คุณจะอยู่ที่นี่รอทานอาหารเที่ยงหรือไง”
“เอ่อ เปล่า ฉันรู้สึก……” มู่น่อนน่อนชะงักขึ้น นึกถึงคืนก่อนที่คุณท่านเฉินจะเกิดเหตุ ตอนที่ทุกคนต่างอยู่ในห้องโถงนั้น เฉินเหลียนกับเฉินชิงเฟิงสองคนได้ไปที่ห้องอย่างลับๆล่อๆ
มู่น่อนน่อนคิดมาถึงตรงนี้ จึงดึงเฉินถิงเซียวเดินไปทางลิฟต์
และคิดไม่ถึงว่าจะเจอเข้ากลุ่มซือเฉิงหยู้ ด้านหลังของเขายังตามด้วยเฉินเจียฉินและเฉินอินหย่า
คิดว่าคงน่าจะมาจากบ้านเพื่อมาเยี่ยมคุณปู่
เฉินเจียฉินเห็นมู่น่อนน่อน ก็เรียกเธออย่างดีใจ : “พี่น่อนน่อน!”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าเบาๆ : “เสี่ยวฉิน”
จากนั้นเฉินเจียฉินพูดกับซือเฉิงหยู้ว่า : “พี่ไปก่อนเลยครับ”
ซือเฉิงหยู้ยังไม่ทันได้พูดอะไร เฉินอินหย่าที่อยู่ข้างๆกลับพูดขึ้นอย่างแปลกๆ : “เธอยังจะกล้ามาที่โรงพยาบาลอีก เธอนี่มั้นไม่มีความรู้สึกผิดบ้างเลยเหรอ”
เฉินเจียฉินจ้องเขม็งเฉินอินหย่าแวบหนึ่ง : “พูดมั่วอะไร พูดจาพิลึกน่ารำคาญ! ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานว่าเป็นพี่น่อนน่อนเป็นคนผลักคุณปู่ ทางตำรวจก็ยังตรวไม่พบอะไร พี่น่อนน่อนไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ทำไมเธอจะต้องรู้สึกผิดด้วย!”
“เสี่ยวฉิน แก……”
เฉินอินหย่าถูกเฉินเจียฉินพูดใส่เช่นนี้ สีหน้าจึงไม่พอใจ อยากจะโต้ตอบกลับไป กลับถูกซือเฉิงหยู้ขัดขึ้น : “อินหย่า พวกเราไปกันก่อนเถอะ”
เฉินอินหย่าเห็นที่ได้ชัดว่าไม่พอใจ : “พี่ใหญ่!”
แต่ท่าทีของซือเฉิงหยู้ที่หนักแน่น เธอก็พูดอะไรมากไม่ได้อีก
แต่ว่าก่อนไปเฉินอินหย่ายังคงพูดพิกล : “พี่สาม พี่ปกป้องผู้หญิงคนนี้ไปเถอะ พี่รองกำลังอยู่บนเครื่องบินระหว่างกลับประเทศ เมื่อเธอกลับมา ดูสิว่าพี่จะบอกกับเธออย่างไร หึ!”
พี่รอง?
มู่น่อนน่อนไม่เข้าใจจึงได้มองไปทางเฉินถงเซียว
เฉินเจียฉินที่อยู่ข้างๆที่แค่มองตาก็รู้ใจ โน้มไปที่ข้างใบหูของมู่น่อนน่อนแล้วกล่าวขึ้น : “ก็คือพี่สาวฝาแฝดของพี่ถิงเซียว”
พี่สาวฝาแฝดของเฉินถิงเซียว?
มู่น่อนน่อนไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับบ้านของตระกูลเฉิน ปกติไม่ได้เคยได้ยินคนอื่นพูดถึง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวยังมีพี่สาวฝาแฝด
ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่คุยกัน ซือเฉิงหยู้กับเฉินอินหย่าได้จากไป พวกเขาสามคนก็เข้าไปในลิฟต์
เมื่อเข้ามาในลิฟต์ เฉินเจียฉินก็ถามมู่น่อนน่อนด้วยความเป็นห่วง : “พี่น่อนน่อน สองสามวันมานี้พี่สบายดีไหม พวกเขาต่างบอกว่าพี่เป็นคนผลักคุณปู่ แต่ว่าผมไม่เชื่อ”
เฉินถิงเซียวไม่พาเธอไปเยี่ยมคุณท่านเฉิน อย่างนั้นเธอก็จะไปเอง
เพียงแต่ว่าเมื่อคืนเฉินถิงเซียวบอกให้เธออยู่บ้าน อย่างนั้นจะต้องมีการแอบกำชับสั่งบอดี้การ์ดไม่ให้เธอออกไปไหนอย่างแน่นอน
ในใจเข้าใจจุดนี้ดี แต่ว่าเธอยังตัดสินใจที่จะไปลองสักตั้ง
เธอเดินไปที่หน้าประตูก็ถูกขัดขวางขึ้น
“คุณหญิงน้อยจะไปไหนครับ”
มู่น่อนน่อนเลิกคิ้วหรี่ตาเบาๆ ดูแล้วเหมือนกำลังวางอำนาจ : “ฉันจะไปไหนต้องรายงานนายด้วยเหรอ”
บอดี้การ์ดยังคงทำท่าทางเหมือนทองไม่รู้ร้อน : “คุณผู้ชายได้กำชับไว้ครับ ทางที่ดีคุณหญิงน้อยช่วงนี้อย่าได้ออกไปไหนเลยครับ ถ้าหากมีเรื่องอะไรก็รับสั่งให้พวกผมไปทำแทนก็พอครับ”
“ถ้าหากว่าฉันจะออกไปให้ได้ล่ะ”
บอดี้การ์ดโค้งคำนับ : “ขออภัยครับ”
น้ำเสียงท่าทางของบอดี้การ์ดค่อนข้างแข็งกระด้าง เห็นทีแล้วครั้งนี้เฉินถิงเซียวคงออกคำสั่งตาย ไม่ให้เธอได้ออกไปไหน
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ตอแยอีกต่อไป หันหลังแล้วก็เข้าไปในคฤหาสน์ไป
เธอนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกอย่างหมดอารมณ์ ในหัวสมองว่างเปล่า
“น่อนน่อน! ฉันมาแล้ว!”
น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงดังขึ้นฉับพลัน
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้นจึงหันไปดู แล้วก็เห็นเสิ่นเหลียงกำลังเดินเข้ามาหาเธอจากข้างประตู
มู่น่อนน่อนหรี่ตาลงเล็กน้อย ฉับพลันก็นึกถึงคนบ้านตระกูลมู่ที่ตอนที่มานั้นถูกขวางไว้ที่นอกประตู
“พวกเขาไม่ได้ขวางเธอไว้เหรอ” มู่น่อนน่อนพลางพูดพลางตบที่นั่งข้างๆเธอสื่อให้เสิ่นเหลียงเข้ามานั่ง
เสิ่นเหลียงนั่งลงที่ข้างๆเธอ : “ไม่นิ ยังรู้จักฉันอีกด้วย ยังทักทายถามไถ่ฉันเลยนะ และปล่อยให้ฉันเข้ามา”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้น หัวสมองก็แล่นขึ้นอย่างรวดเร็วขึ้น
คนบ้านตระกูลมู่มาหาถูกบอดี้การ์ดรั้งไว้ เสิ่นเหลียงมาหาบอดี้การ์ดกลับปล่อยเธอเข้ามา
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าจะต้องเป็นคำสั่งจากเฉินถิงเซียว
เสิ่นเหลียงหันไปมองมู่น่อนน่อนที่สีหน้าวิตกกังวล จึงเปล่งเสียงปลอบเธอ : “ ตอนนี้เธอก็อย่าคิดมากเลย รักษาเนื้อรักษาตัวคลอดลูกออกมาแล้วค่อยว่ากัน เรื่องใหญ่โตด้านนอกก็ปล่อยให้เถ้าแก่ใหญ่เป็นคนจัดการไป”
“เขาไม่ให้ฉันออกจากบ้านไปไหนเลย” มู่น่อนน่อนพูดด้วยความโกรธแต่ทำอะไรไม่ได้
เสิ่นเหลียงครุ่นคิดแล้วก็กล่าว : “บางทีเขาอาจจะหวังดีกับเธอก็ได้นะ ตอนนี้เรื่องคุณท่านเฉินวุ่นวายบานปลายไปทั่วทั้งเมือง เธอไม่ออกไปบางทีอาจจะเป็นเรื่องที่ดี”
“แต่ว่าฉันไม่อยากจะนั่งอยู่เฉยๆ ใครเป็นคนใส่ร้ายฉันยังไม่รู้เลย เฉินถิงเซียวกำลังคิดอะไรฉันก็ไม่รู้ เรื่องนี้เดิมทีเกิดขึ้นจากฉัน แต่ฉันกลับเป็นคนอยู่ไกลสุดจากศูนย์กลางของเรื่องราวนี้”
พูดจบมู่น่อนน่อนก็ได้พูดเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค : “ฉันอยากจะออกไป”
เมื่อมู่น่อนน่อนพูดเช่นนี้ เสิ่นเหลียงก็รู้สึกว่ามีเหตุผล
เสิ่นเหลียงถามเธอ : “อยากจะออกไปจริง ๆ เหรอ”
“เธอมีวิธีเหรอ” มู่น่อนน่อนหันหน้ามามองเธอ
เสิ่นเหลียงขยิบตา จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังใส่ด้านนอก : “ น่อนน่อน เธอเป็นอะไร เป็นลมไปได้ยังไง”
เธอพูดจบ ก็เอื้อมมือผลักมู่น่อนน่อน : “รีบเป็น‘ลม’สิ”
คู่ดวงตาของมู่น่อนน่อนปิดลง แล้วก็แกล้งเป็นลมไป
น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงดึงความสนใจจากบอดี้การ์ดและคนรับใช้
“คุณหญิงน้อย เป็นอะไรไปคะ”
เสิ่นเหลียงส่ายหน้า ใบหน้าตกใจ : “ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไป อยู่ ๆ ก็เป็นลม อย่าพูดอะไรมากเลย รีบพาไปโรงพยาบาลเถอะ เธอตั้งท้องอยู่ด้วย……”
เสิ่นเหลียงนั้นถนัดเรื่องการแสดง จึงแสดงออกมาได้อย่างแนบเนียน บอดี้การ์ดไม่มีการสงสัยเลยสักนิด และส่งมู่น่อนน่อนไปที่โรงพยาบาลทันที
โรงพยาบาลที่ไปก็เป็นโรงพยาบาลในสังกัดของบริษัทเฉินซื่อ และก็เป็นโรงพยาบาลเดียวกันกับที่คุณท่านเฉินอยู่พักรักษา
เสิ่นเหลียงเองก็ย่อมตามไปด้วย
เธอนั่งอยู่เบาะหลังกับมู่น่อนน่อน จะได้สะดวกในการดูแลมู่น่อนน่อน
เมื่อไปถึงหน้าประตูโรงพยาบาล ประตูรถถูกเปิดออก เฉินถิงเซียวก็ยื่นมือมาอุ้มมู่น่อนน่อนออกไปด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด
เมื่อเสิ่นเหลียงเห็นเฉินถิงเซียวก็ถึงกับตะลึงงัน
ก่อนหน้านี้เพียงแค่ต้องการจะตบตาเหล่าบอดี้การ์ดเท่านั้น เธอที่คิดไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวจะมาเฝ้ารออยู่ที่นี่
เธอกดไลค์ในใจให้กับมู่น่อนน่อน เธอก็คงจะช่วยได้เพียงเท่านี้
เสิ่นเหลียงหยิบกระเป๋าแล้วลงจากรถ จากนั้นก็ได้ตามไป : “เถ้าแก่ใหญ่คะ”
เฉินถิงเซียวก็ไม่หันมา ยังคงใบหน้าคร่ำเครียด : “ทำไมมู่น่อนน่อนถึงได้เป็นลม”
เสิ่นเหลียงที่รู้สึกเกรงกลัวเฉินถิงเซียวอยู่แล้ว เมื่อถูกเขาถามเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกระแวงขึ้น แต่ก็ฝืนกล่าวตอบไปว่า : “ก็คืออยู่ ๆ ก็เป็นลมไป พวกเราสองคนกำลังคุยกันอยู่ดี ๆ เธอก็……เป็นแบบนี้ไปเลย……”
เมื่อพูดมาถึงตอนท้าย น้ำเสียงของเธอก็เบาลงไปอย่างไม่รู้ตัว
เฉินถิงเซียวตัวสูงใหญ่ขายาว ฝีเท้าก็ก้าวเร็ว เสิ่นเหลียงพลางพูดพลางวิ่งเธอถึงจะตามทัน
เธอแอบเหลือบมองเขาที่กำลังอุ้มมู่น่อนน่อนไว้
มู่น่อนน่อนหางตาลืมขึ้นมองไปทางเสิ่นเหลียงแล้วขยิบตาใส่ ส่งสัญญาณบอกเธอให้รีบจากไป
ตลอดทาง มู่น่อนน่อนนั้นปิดตาลง จนถึงหน้าประตูโรงพยาบาล เธอแอบลืมตาขึ้นมอง รู้ว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่คุณท่านเฉินพักรักษา ในใจก็แอบรู้สึกหน่วงๆ
ตอนที่เฉินถิงเซียวมาอุ้มเธอนั้น เธอก็รู้แล้วว่าคนที่มาอุ้มเธอจะต้องเป็นเฉินถิงเซียว
เพียงแต่ จะต้องถูกจับได้แน่ ๆ ตอนตรวจร่างกาย
เธอถูกจับได้ไม่เป็นไร แต่เสิ่นเหลียงที่ช่วยเธอคิดวิธีอาจจะต้องรับผลกระทบตกกระได……
เสิ่นเหลียงเข้าใจเจตนาของมู่น่อนน่อน แล้วก็เขกกบาลตัวเอง จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าที่ลนลาน : “ฉันเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องด่วนที่ต้องไปจัดการ เถ้าแก่ใหญ่ฉันขอตัวก่อนนะคะ……”
เฉินถิงเซียวไม่แม้แต่หันไปมองเธอ อุ้มมู่น่อนน่อนแล้วมุ่งหน้าวิ่งไปห้องฉุกเฉินอย่างรีบร้อน
เสิ่นเหลียงจึงได้จากไป
ตอนที่ใกล้จะถึงห้องฉุกเฉินนั้น มู่น่อนน่อนก็ได้เรียกชื่อของเขาขึ้น : “เฉินถิงเซียว”
เฉินถิงเซียวหยุดชะงักขึ้นทันใด ก้มหน้ามองมู่น่อนน่อนด้วยใบหน้าที่เย็นชา : “เป็นลมไม่ใช่เหรอ”
มู่น่อนน่อนจึงพูดตามน้ำ : “ตอนนี้ฟื้นแล้ว”
“หึ”
เฉินถิงเซียวยิ้มอย่างดูแคลน แล้วก็ปล่อยมู่น่อนน่อนลง
มู่น่อนน่อนรู้ว่าละครที่เธอแสดงคู่กับเสิ่นเหลียงนั้นถูกเฉินถิงเซียวจับได้แล้ว
โชคดีที่เฉินถิงเซียวไม่ได้โกรธถึงขนาดที่โยนเธอทิ้ง แต่กลับค่อยๆปล่อยเธอลง
มู่น่อนน่อนยืนตัวตรงแล้วก็กล่าวตรง ๆ : “ฉันอยากไปเยี่ยมคุณปู่”
เฉินถิงเซียวยกริมฝีปากขึ้นทันใด แต่ในแววตาของเขาไม่ได้มีรอยยิ้ม : “มู่น่อนน่อน เธอคิดว่าตัวเองคงจะฉลาดมากใช่ไหม”
“ไม่ฉลาดเท่าคุณ” มู่น่อนน่อนส่ายหน้า
เฉินถิงเซียวเหมือนกับถูกคำตอบของเธอทำให้โมโห น้ำเสียงจึงสูงขึ้น : “อย่างนั้นก็จงกลับไป!”
“กลับไปทำอะไร กลับไปเดาความคิดความฉลาดของคุณว่ากำลังคิดอะไรอยู่อย่างนั้นเหรอ” ท่าทางของมู่น่อนน่อนหนักแน่นมาก
ทั้งคู่เงียบกันอยู่สักพัก
หลังจากที่คุณท่านเฉินเกิดเรื่อง เฉินถิงเซียวก็เฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดเวลา
หลายวันมานี้ เฉินถิงเซียวไม่ได้นอนอิ่มกินสบาย
เขาดูแล้วค่อนข้างจะอ่อนล้า แต่ว่าแววตาคู่นั้นยังคงเฉียบคม ไม่มีแม้แต่ความเหนื่อยเพลีย
เฉินถิงเซียวก็เป็นผู้ชายแบบนี้ ที่เหมือนกับว่าไม่สามารถมีอะไรที่ทำให้เขาล้มได้ แข็งแกร่งจนไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้
และทุกครั้ง ที่มู่น่อนน่อนรู้สึกเหมือนว่าตัวเองพอที่จะเข้าใจเขา แต่เขากลับทำเรื่องบางอย่างที่ทำให้เธอไม่เข้าใจ
เฉินถิงเซียวแข็งแกร่งเกินไป ถ้าหากเขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ความคิดของเขา คนอื่นก็จะไม่มีทางรู้ได้
ทั้งคู่จ้องหน้ากันหนึ่งนาทีเต็มๆ เฉินถิงเซียวเหมือนกับจะยอมประนีประนอมให้ : “มากับผม”
มู่น่อนน่อนนั้นเข้าใจและรู้ทันคนบ้านตระกูลมู่
พวกเขาวางผลประโยชน์มาเป็นอันดับหนึ่ง คิดที่จะเก็บเกี่ยวผลประประโยชน์จากตัวเธออย่างเดียว แทบอยากจะกอบโกยดูดประโยชน์จากเธอมาเสียให้หมด
ครั้งนี้ข่าวได้แพ่กระจายไปทั่วหนังสือพิมพ์และเว็บอินเทอร์เน็ต บอกว่าเธอลงมืออย่างโหดร้ายกับคุณท่านเฉิน เป็นเหตุให้คุณท่านเฉินถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา
คุณท่านเฉินนั้นสถานะแบบใดเหรอ
บุคคลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ในโลกธุรกิจ เป็นผู้มีอิทธิพล มีทรัพยากรทางการเงินที่แข็งแกร่ง สามารถพลิกแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่แห่งบ้านตระกูลเฉิน
ถ้าหากว่าคุณท่านเฉินไม่ฟื้นขึ้นมา ชีวิตน้อย ๆ ของมู่น่อนน่อนก็ไม่เพียงพอที่จะชดเชย
คนบ้านตระกูลมู่วันนี้มาหาถึงที่บ้าน ก็แค่อยากจะมายืนยันความจริงของเรื่องนี้ จากนั้นก็ตัดขาดกับเธอ
เธอถูกตระกูลมู่หลอกใช้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แค่เพียงขยับเบาๆก็สามารถเดาความตั้งใจของพวกเขาได้แล้ว
ความจริงเป็นเครื่องยืนยัน ว่าสิ่งที่มู่น่อนน่อนคาดเดานั้นไม่มีผิด
คืนนั้น มู่ลี่เหยียนตีพิมพ์ลงสื่อว่าได้ตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกับมู่น่อนน่อนแล้ว
เรื่องนี้ได้พาดหัวข่าวหน้าหนึ่ง มู่น่อนน่อนอ่านข่าวรายงานนี้ซ้ำหลายครั้ง จากนั้นก็แคปภาพเก็บไว้ และก็สั่งให้บอดี้การ์ดไปซื้อหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับกลับมา
ไม่นานสายโทรศัพท์ของเสิ่นเหลียงก็ได้โทรเข้ามา
“เธอไม่น่าจะใช่ลูกแท้ ๆ ของพ่อมั้ง เขาทำน่าเกลียดกว่านี้อีกได้ไหม เธอไม่ได้เป็นคนผลักคุณท่านเฉินสักหน่อย เรื่องนี้ยังไม่ได้สืบให้กระจ่าง เขากลับรีบตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับเธอ กลัวว่าจะโดนร่างแหไปด้วยล่ะสิ มันช่าง……”
เมื่อรับโทรศัพท์ขึ้น เสิ่นเหลียงก็ดุด่าต่อว่ามู่ลี่เหยียนยกใหญ่
จนกระทั่งเสิ่นเหลียงด่าเสร็จ มู่น่อนน่อนถึงได้กล่าวอย่างช้า ๆ : “ไม่มีอะไรให้น่าโกรธ พวกเขาก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร”
ตลอดที่ผ่านมา มู่ลี่เหยียนก็ไม่เคยเห็นเธอเป็นลูกสาวแท้ ๆ
แม้แต่เรื่องรายงานที่ตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูก ก็เพื่อต้องการให้ตระกูลเฉินได้เห็นก็เท่านั้น
มู่น่อนน่อนพบว่า เธอในตอนนี้เริ่มเข้าใจมู่ลี่เหยียนขึ้นแล้ว
เธอหัวเราะเยาะตัวเอง : “ฉันจริงจังนะ เธอก็อย่าโกรธเพราะเรื่องนี้เลย ไม่ใช่หนึ่งครั้งสองครั้งสักหน่อย ครั้งนี้เขาตัดความเป็นพ่อลูกกับฉัน ต่อไปฉันก็คงลดความวุ่นวายลงบ้าง นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเสียอีก”
ทางฝั่งเสิ่นเหลียงเงียบไปสักพัก ก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสิ่นเหลียงถึงได้เปล่งเสียงขึ้น : “เธอได้คุยกับเถ้าแก่ใหญ่หรือยัง แล้วเขาคิดเห็นอย่างไร”
“ไม่รู้” เมื่อเอ่ยถึงเฉินถิงเซียว น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนก็หดหู่ขึ้น
“ไม่รู้?” เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเหลียงดูร้อนรนกว่าเธอ : “เขาคิดเห็นอย่างไรกันแน่ ปล่อยเรื่องนี้คาราคาซังไปแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ หรือว่าจะปล่อยให้เธอไปติดคุกจริง ๆ ”
น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงฟังแล้วเหมือนโมโหสุดๆ
สองสามวันมานี้มู่น่อนน่อนถึงแม้ว่าจะรู้สึกอึดอัดเพราะท่าทางการกระทำของเฉินถิงเซียว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเฉินถิงเซียวจะปล่อยให้เธอไปเข้าเรือนจำจริง ๆ
ตอนนี้เธอค่อนข้างสงบใจเย็น อีกทั้งยังเชื่อว่าเฉินถิงเซียวมีเรื่องปิดบังเธอ ไม่ได้สงสัยในตัวเธอแต่อย่างใด
มู่น่อนน่อนจึงต้องกลายมาเป็นคนที่ปลอบโยนเสิ่นเหลียงแทน : “ไม่เป็นไร เขาไม่มีทางปล่อยให้ฉันติดคุกหรอก”
มู่น่อนน่อนได้บอกเรื่องที่ตัวเองนั้นได้จากบ้านตระกูลมาแล้ว เสิ่นเหลียงจึงบอกว่าพรุ่งนี้จะมาหาเธอ
เพิ่งจะวางสายโทรศัพท์ลง มู่น่อนน่อนก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถดังมาจากด้านล่างตึก
เป็นเฉินถิงเซียวที่กลับมาแล้ว
มู่น่อนน่อนคลุมเสื้อผ้าแล้วเดินออกมาจากห้องนอน เดินผ่านระเบียงทางเดินมาที่หน้าบันได แล้วโน้มตัวไปมองที่ห้องโถง
เฉินถิงเซียวเดินเข้ามาจากด้านนอก อาหูเดินเข้าไปต้อนรับ
อาหูกล่าวถามเขา : “ คุณผู้ชายยังไม่ได้ทานข้าวใช่ไหม มีอาหารที่ทำเสร็จไว้แล้ว ดิฉันจะไปอุ่นให้”
เฉินถิงเซียวโบกมือปฏิเสธ เแล้วก็เดินมุ่งขึ้นมาบนตึก
ทันใดนั้น เหมือนเขาจะรับรู้ว่ามู่น่อนน่อนอยู่ข้างๆ จึงได้เงยหน้าขึ้นมองไปทิศทางของมู่น่อนน่อน
จากนั้นเขาก็ยกเท้าก้าวเร็วขึ้นที่แทบจะเป็นการวิ่งขึ้นตึกไป
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ด้านหน้าเธอแล้วกล่าว : “ยืนอยู่ตรงนี้ทำไม กลับเข้าห้อง”
น้ำเสียงที่ออกคำสั่งของเขา มู่น่อนน่อนนั้นชินแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด
“อือ” มู่น่อนน่อนตอบรับคำไปแล้วแต่เท่านั้นกลับไม่ได้ขยับ
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวระคนไปด้วยความหงุดหงิด : “มู่น่อนน่อน! ไม่ได้ยินที่ผมพูดหรือไง”
เอวของมู่น่อนน่อนที่พิงอยู่กับราวจับ แววตาและน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความจริงจัง : “กลับห้องมันไกล เดินมันเหนื่อย”
เธอเห็นสีหน้าของเฉินถิงเซียวดำหม่นลง ในใจจึงรู้สึกสะใจยิ่งนัก
ตอนที่คุณท่านเฉินเพิ่งถูกส่งไปที่โรงพยาบาลนั้น คำเหล่านั้นที่เขาพูดออกมา ทำให้เธอนั้นตกใจจริง ๆ
ในตอนเช้า เธอต้องการจะเค้นคำพูดของเฉินถิงเซียว แต่กลับถูกเฉินถิงเซียวตีสลบไป
เฉินถิงเซียวคนนี้ ปากแข็งราวกับถูกเชื่อมติดไว้ก็ไม่ปาน ในเมื่อเค้นความจริงออกมาไม่ได้ อย่างนั้นก็คงใช้วิธีต่อต้านเขา หาความสมดุลสักหน่อย
ในความคิดเธอ ตามนิสัยของเฉินถิงเซียว จะต้องอุ้มเธอกลับเข้าไปในห้อง
แต่ว่าเฉินถิงเซียวกลับไม่ได้ทำอย่างนั้น
เขามองมู่น่อนน่อนนิ่งๆ น้ำเสียงเคร่งขรึม : “คุณปู่ยังนอนไม่ฟื้นอยู่ที่ห้องไอซียู”
มู่น่อนน่อนชะงักไปชั่วครู่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ : “ขอโทษ”
ไม่ว่าเฉินถิงเซียวจะมีเรื่องอะไรปิดบังเธอ แต่ว่าเวลานี้คุณท่านเฉินนั้นนอนอยู่ที่โรงพยาบาล โดยที่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา
มู่น่อนน่อนพูดจบก็หันหลังเดินมุ่งเดินไปที่ห้องนอน
เฉินถิงเซียวที่อยู่ด้านหลังเธอ จ้องมองแผ่นหลังของเธอสองสามวินาที แล้วก็เดินตามไป
เมื่อเฉินถิงเซียวเข้าประตูมา มู่น่อนน่อนได้กล่าวขึ้น : “ฉันอยากจะไปเยี่ยมคุณปู่
เฉินถิงเซียวปฏิเสธไปตรง ๆ : “คุณไม่ต้องไปหรอก”
มู่น่อนน่อนคิดไม่ถึงว่าเขาจะปฏิเสธเธอตรง ๆ แบบนี้ เธอชะงักค้างชั่วครู่ ถึงได้กล่าวขึ้น : “ฉันก็แค่อยากจะไปเยี่ยมท่าน”
ในน้ำเสียงซ่อนด้วยการขอร้อง
เฉินถิงเซียวเม้มปากราวกับเริ่มใจอ่อน
มู่น่อนน่อนจ้องมองเขาแล้วรออย่างมีความหวัง แต่เข้ากลับพูดอย่างเย็นชา : “คุณตอนนี้เหมาะที่จะอยู่แต่ในบ้าน”
มู่น่อนน่อนจับผมด้วยความหงุดหงิด หันหลังแล้วถอดผ้าคลุมขึ้นไปบนเตียง : “ก็ได้ ฉันจะนอนแล้ว คุณไปเถอะ”
ตอนนี้เธอเห็นเฉินถิงเซียวแล้วก็รู้สึกหงุดหงิด
เหมือนกับก้อนหินก็ไม่ปาน ไม่สามารถเค้นอะไรออกมาได้เลย อะไรก็ไม่บอกเธอสักอย่าง
เธอปิดตาลง และก็ได้ยินเสียงของเฉินถิงเซียวดังขึ้นอีก
“คุณให้บอดี้การ์ดออกไปซื้อหนังสือพิมพ์เหรอ”
น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนก็เย็นชาเช่นกัน : “ในเมื่อรู้แล้ว จะถามฉันอีกทำไม”
เธอนึกว่าเฉินถิงเซียวยังจะพูดอะไรต่ออีก แต่ผิดคาดเสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงปิดประตู
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นนั่งจากบนเตียง
ท่าทีของเฉินถิงเซียวทำให้เธอเริ่มสงสัยว่าตัวเองคิดผิดไปหรือเปล่า
คุณท่านเฉินสำหรับเฉินถิงเซียวแล้วสำคัญมาก ส่วนเธอกับเฉินถิงเซียวเพิ่งจะอยู่ด้วยกันเพียงไม่กี่เดือน
และเธอก็ไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ เฉินอินหย่าบอกว่าเพราะเรื่องของฉินสุ่ยซานเธอก็เลยลงมือทำร้ายคุณท่านเฉิน เหตุผลนี้ถึงแม้ว่าจะไกลตัว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความน่าเชื่อถือซะทีเดียว
ถ้ามองจากมุมของเฉินถิงเซียว เป็นเหตุผลเพียงพอที่เชื่อได้ว่าเป็นฝีมือของมู่น่อนน่อน
และถ้ามองจากมุมของมู่น่อนน่อนเอง ก็จะรู้สึกว่าเรื่องนี้มีแต่ช่องโหว่มากมาย มีคนจงใจใส่ร้ายเธอ
จะไม่สามารถรออยู่นิ่งๆแบบนี้อีกต่อไป ไม่อย่างนั้นไม่ช้าก็เร็วเธอจะต้องเป็นบ้าแน่ ๆ
เฉินถิงเซียวอุ้มมู่น่อนน่อนลงจากตึก ก็พบกับซือเฉิงหยู้ที่กำลังเดินเข้ามา
ซือเฉิงหยู้มองมู่น่อนน่อนที่อยู่ในอ้อดกอดของเขาแวบหนึ่ง อารมณ์สีหน้าเหมือนจะยิ้มไม่ยิ้ม : “ยังไง นี่จะรีบร้อนจะพามู่น่อนน่อนไปไหน ผมจำได้ว่าน่อนน่อนตอนนี้เป็นบุคคลต้องสงสัยนะ”
เฉินถิงเซียวมองซือเฉิงหยู้ด้วยสีหน้าเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง : “สนใจเรื่องตัวเองเถอะ”
ซือเฉิงหยู้ถูกเฉินถิงเซียวมองด้วยสีหน้าเย็นชาจนรู้สึกหงุดหงิด
ซือเฉิงหยู้ไม่พูดอะไรอีก เฉินถิงเซียวจึงเดินอ้อมผ่านเขาแล้วจากไป
สือเย่นำรถมาจอดที่หน้าประตูใหญ่ เห็นเฉินถิงเซียวที่กำลังอุ้มมู่น่อนน่อนมา จึงได้ช่วยเขาเปิดประตูรถ
เมื่อเฉินถิงเซียวขึ้นรถแล้ว สือเย่ก็อ้อมไปด้านหน้าเพื่อไปขับรถ
หลังจากที่กลับมาถึงคฤหาสน์ เฉินถิงเซียวก็อุ้มมู่น่อนน่อนมุ่งหน้าขึ้นตึกไป
เวลานี้ อาหูเดินออกมาจากห้องครัว : “คุณผู้ชายคะ”
เฉินถิงเซียวใบหน้าบังเกิดความประหลาดใจ : “อาหู?”
คืนวันส่งท้ายปีเก่า เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนกลับบ้านตระกูลเฉิน แน่นอนว่าได้ให้อาหูกับคนรับใช้คนอื่นกลับบ้านไปพักผ่อน
อาหูเดินเข้ามา มองมู่น่อนน่อนที่อยู่ในอ้อมกอดของเฉินถิงเซียว จึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง : “คุณผู้ชายคะ เกิดอะไรขึ้นคะ คุณหญิงน้อยไม่เป็นไรใช่ไหม ตอนเช้าดิฉันเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์จึงได้รีบกลับมาค่ะ”
เฉินถิงเซียวกล่าวเบาๆ : “ไม่เป็นไร”
จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนตึกต่อ
เดินได้สองก้าว เขาก็ได้หยุดชะงักขึ้น แล้วหันกลับมามองอาหู : “สองสามวันนี้คงต้องรบกวนอาหูแล้ว”
อาหูกล่าวอย่างไม่พอใจ : “คุณผู้ชายพูดเรื่องอะไรกันคะ ดูแลคุณหญิงน้อยเป็นหน้าที่ของดิฉัน”
เฉินถิงเซียววางมู่น่อนน่อนลงบนเตียง แล้วเปิดเครื่องปรับอากาศ ช่วยเธอห่มผ้าห่มแล้วยืนดูเธออยู่สักพัก จากนั้นถึงได้จากไป
……
เมื่อมู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมา รู้สึกที่หลังคอเจ็บเล็กน้อย
“คุณหญิงน้อย ตื่นแล้วเหรอคะ”
เสียงอาหู?
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมอง คนที่ยืนอยู่ข้างเตียงนี่คืออาหูนิ
“อาหู? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ มู่น่อนน่อนพลางพูด พลางพยุงร่างที่อยากลุกขึ้นยืน
อาหูจึงรีบยื่นมือมาพยุงเธอ : “คุณผู้ชายส่งคุณหญิงน้อยกลับมา ตอนนี้อยู่ที่คฤหาสน์ของคุณผู้ชายค่ะ”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้นจึงมองไปรอบ ๆ ถึงได้พบว่าที่นี่ไม่ได้เป็นห้องนอนที่บ้านตระกูลเฉินแล้ว
“เฉินถิงเซียวส่งฉันกลับมาเหรอ แล้วเขาล่ะ” มู่น่อนน่อนจับมือของอาหูแล้วกล่าวถาม
อาหูตอบ : “คุณผู้ชายส่งคุณหญิงน้อยกลับมาจากนั้นก็จากไปแล้วค่ะ ส่วนไปที่ไหนนั้นดิฉันเองก็ไม่ทราบค่ะ”
มู่น่อนน่อนกัดฟันแล้วด่าพึมพำออกมา : “เฉินถิงเซียวไอ้คนเลว!”
ก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่บ้านตระกูลเฉินนั้น เธอรู้สึกเหมือนตัวเองจะสามารถเค้นให้เฉินถิงเซียวพูดความจริงออกมา
แต่ผลที่ได้กลับถูกเฉินถิงเซียวคนเฮงซวยทำให้หมดสติไป
ช่างสมกับวิธีการของเฉินถิงเซียว
ขณะเดียวกัน นี่ก็ทำให้มู่น่อนน่อนมั่นใจได้ว่า เฉินถิงเซียวจะต้องมีเรื่องที่ปิดบังเธออย่างแน่นอน และไม่ได้สงสัยเธอแต่อย่างใด
มู่น่อนน่อนด่าเฉินถิงเซียวประโยคสักครู่นั้น พูดน้ำเสียงที่ค่อนข้างเบา อาหูจึงฟังไม่ชัดเจน อดไม่ได้และถามขึ้น : “ คุณหญิงน้อยพูดว่าอะไรนะคะ”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้าปฏิเสธทันใด ยิ้มแล้วถามขึ้น : “ไม่มีอะไรค่ะ ฉันรู้สึกหิวนิดหน่อย อาหูมีอะไรทานไหมคะ”
“มีค่ะ คุณหญิงน้อยอยากจะทานอะไรคะ ดิฉันทำได้ทุกอย่าง……”
อาหูรักและเอ็นดูเฉินถิงเซียว หลังจากที่มู่น่อนน่อนตั้งครรภ์ ก็ได้ทุ่มเททุ่มใจทำอาหารหลากหลายให้มู่น่อนน่อนทาน เมื่อได้ยินมู่น่อนน่อนบอกว่าหิวแล้ว จึงรีบเบนความสนใจไปทันที
อาหูลงจากตึกไปทำอาหาร มู่น่อนน่อนลุกขึ้นจากเตียงแล้วสวมใส่เสื้อคลุม
หางตาเหลือบไปเห็นโทรศัพท์วางอยู่บนหัวเตียง
เธอจึงเดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์มา เป็นเครื่องเดียวกับโทรศัพท์ที่เธอใช้ก่อนหน้านี้
มู่น่อนน่อนเบะปาก เธอรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเฉินถิงเซียวที่เอาไป
สำหรับเหตุผลที่เอาไปนั้น เธอนั้นก็ไม่รู้แล้ว
จากนั้นเข้าไปล้างหน้าที่ห้องอาบน้ำ แล้วก็ออกมาจากห้องนอนเดินลงตึกไป มองดูห้องที่ตกแต่งคุ้นเคย มู่น่อนน่อนรู้สึกสับสนงุนงง
เธอกับเฉินถิงเซียวกลับไปที่บ้านตระกูลเฉินผ่านไปเพียงสามวัน กลับมาอีกครั้ง เธอกลับรู้สึกราวกับว่าผ่านไปนับหลายศตวรรษ
อาหูทำอาหารหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผัดผัก ต้มตุ๋น ของหวานต่าง ๆ ได้ทำเตรียมไว้ให้กับมู่น่อนน่อน
หลังจากที่มู่น่อนน่อนทานอิ่มแล้ว จึงหยิบโทรศัพท์ออกมาเตรียมที่จะโทรหาเฉินถิงเซียว
เธออยากจะไปเยี่ยมคุณปู่
เธอนั้นเป็นห่วงสถานการณ์ของคุณปู่จริง ๆ
ครุ่นคิดอยู่สักพัก เธอก็เกิดลังเลขึ้นมา
เฉินถิงเซียวตอนนี้มีท่าทีแปลก ๆ ต่อเธอ ถ้าเธอโทรไปหาเขาแล้วบอกว่าอยากจะไปเยี่ยมคุณปู่ เขาจะต้องไม่ให้เธอไปอย่างแน่นอน
มู่น่อนน่อนถือโทรศัพท์ไว้ แล้วพลางเดินไปคิดไป จนเดินมาถึงที่ห้องรับแขก
ทันใดนั้นมีเสียงเอะอะโวยวายจากด้านนอก
จากนั้นก็มีเสียงเรียกชื่อของเธอ
“มู่น่อนน่อน ฉันรู้ว่าเธออยู่ด้านไหน!”
เสียงนี้ไม่ใช่เสียงแปลกหูแต่อย่างใด เป็นเสียงของมู่หวั่นขี
มู่น่อนน่อนจับโทรศัพท์แล้วเดินออกไปด้านนอก เห็นมู่หวั่นขีกับเซียวชู่เหอถูกบอดิ้การ์ดขวางไว้ที่หน้าประตู ด้านหลังยังตามด้วยมู่สือยั่น
เมื่อมู่หวั่นขีเห็นมู่น่อนน่อน ก็ยกริมฝีปากเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มกระหยิ่ม : “ไม่เจอตั้งนาน เธอดูผอมลงไปเยอะเลยนะ”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วขึ้น แล้วกล่าวไหลตามน้ำ : “จริงเหรอ เธอดูแล้วอ้วนขึ้นไม่น้อยนะ”
เซียวชู่เหอก็ได้เปล่งเสียงขึ้นในเวลานี้ : “ น่อนน่อน เข้าไปคุยข้างในกันเถิด”
มีบอดี้การ์ดและคนรับใช้มากมายในคฤหาสน์ ถึงแม้ว่ามู่น่อนน่อนจะเกลียดเธอเข้ากระดูกดำ แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้
มู่น่อนน่อนยกมือขึ้นโบกส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดปล่อยตัวพวกเธอสามคนเข้ามา
เมื่อเข้าไปในห้องโถง มู่น่อนน่อนจึงนั่งลงบนโซฟา เซียวชู่เหอสสามคนข้างลงอีกฝั่ง
สายตาของมู่น่อนน่อนกวาดมองบนตัวของพวกเธอ จากนั้นหันหน้าไปทางอาหู : “อาหู เสิร์ฟน้ำชา”
มู่หวั่นขีมาหาเธอ ไม่บอกก็รู้ว่าต้องมาหัวเราะเยาะเธออย่างแน่นอน มู่สือยั่นน่าจะส่งพวกเธอมา ส่วนเซียวชู่เหอ…..เธอนั้นไม่รู้แล้ว
ไม่รอให้ มู่หวั่นขีได้เปิดปากพูด มู่น่อนน่อนก็พูดออกมาก่อน : “ซือเฉิงหยู้เป็นคนบอกเธอเหรอ”
เธอเพิ่งกลับมาที่คฤหาสน์ของเฉินถิงเซียว มู่หวั่นขีก็มาหาถึงที่ จะต้องเป็นซือเฉิงหยู้ที่บอกเธออย่างแน่นอน
“เธอไม่ต้องสนหรอกว่าใครเป็นคนบอกฉัน” มู่หวั่นขีทำเสียงฮึดฮัด: “เธอนี่ช่างไม่กลัวตายจริง ๆ แม้แต่คุณท่านเฉินก็ยังกล้าลงเรือ”
มู่น่อนน่อนไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับเธอให้เสียเวลา จึงหันหน้าไปทางเซียวชู่เหอ : “มีธุระเหรอ”
“บนหน้าหนังสือพิมพ์นั้นเป็นเรื่องจริงเหรอ ทำไมเธอต้องลงมือกับคุณท่านเฉิน ตระกูลเฉินไม่มีทางปล่อยเธออย่างแน่นอน!” ท่าทางของเซียวชู่เหอที่ดูเหมือนเป็นห่วงเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนพูดอย่างลอย ๆ : “ถ้าหากเป็นเรื่องจริงล่ะ”
วันนี้ไม่ว่าเซียวชู่เหอจะพูดอะไร ในใจมู่น่อนน่อนก็สงบเยือกเย็น ไร้คลื่นใด ๆ
ไม่ไปใส่ใจก็ย่อมไม่เจ็บปวดทรมาน
มู่สือยั่นที่อยู่ข้างๆก็ได้เปล่งเสียงออกมา : “น่อนน่อน เรื่องนี้จะทำเป็นเล่นไม่ได้ เธอก็รู้ว่าตระกูลเฉินเป็นตระกูลพลิกแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ พวกเราจะไปมีเรื่องด้วยไม่ได้”
“พวกเรา?” มู่น่อนน่อนแววตาประกายความเย้ยหยัน : “คำพูดนี้ฟังแล้วอย่างกับพวกเธอกำลังช่วยฉันอย่างนั้นแหละ”
มู่สือยั่นเงียบไม่ส่งเสียง คนตระกูลมู่เหล่านี้อยู่สักพักก็จากไป
มู่น่อนน่อนเดาว่าจุดประสงค์การมาของพวกเธอ คือเพื่อยืนยันความจริงที่อยู่บนหนังสือพิมพ์ อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้ตัดขาดกับเธอตั้งแต่เนิ่น ๆ
เสิ่นเหลียงกลอกตามองบน : “เธอไม่ได้บ้าสักหน่อย อยู่ดี ๆ จะไปผลักคุณท่านเฉินทำไม”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าเห็นด้วย : “นั่นนะสิ”
คำพูดของเสิ่นเหลียงแม้จะไม่น่าฟังก็เป็นเรื่องจริง
มู่น่อนน่อนกล่าวอย่างงุนงง : “แม้แต่เธอก็ยังรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะไปผลักคุณท่านเฉิน ทำไมเฉินถิงเซียวถึงได้สงสัยว่าฉันเป็นคนทำล่ะ”
“อะไรนะ เถ้าแก่ใหญ่สงสัยเธอเหรอ” สีหน้าของเสิ่นเหลียงประหลาดใจสุดขีด
มู่น่อนน่อนจึงได้เลือกเล่าในส่วนที่สำคัญของเรื่องราวเมื่อวานให้เสิ่นเหลียงฟัง
เสิ่นเหลียงฟังจบแล้วเงียบ แต่กู้จือหยั่นที่อยู่ข้างๆกลับกล่าวขึ้น : “มีคนต้องการอยากจะทำร้ายเธอเหรอ”
มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจเข้าลึก น้ำเสียงค่อนข้างต่ำ : “ฉันเองก็คิดแบบนี้ แต่ว่าฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินถิงเซียวถึงได้สงสัยฉัน”
กู้จือหยั่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
เสิ่นเหลียงถามอย่างหยั่งเชิง : “เถ้าแก่ใหญ่น่าจะมีเหตุผลของตัวเองมั้ง……”
“ไม่รู้” มู่น่อนน่อนส่ายหน้า
……
เสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นอยู่ไม่นานก็จากไป
เสิ่นเหลียงสามารถมาที่บ้านตระกูลเฉินได้ เพราะอาศัยชื่อของกู้จือหยั่นในการมาเยี่ยมเยือน
อีกทั้งเป็นการแอบมาหามู่น่อนน่อนของพวกเธอสองคน ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะอยู่นานไม่ได้
พวกเขาเพิ่งจะจากไป เฉินถิงเซียวก็กลับเข้ามา
ตอนที่มู่น่อนน่อนเห็นเขานั้น รู้สึกดีใจข้างใน
แต่ เธอเห็นตำรวจที่เดินตามหลังเฉินถิงเซียวมาติดๆ
เธอหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวนั้นไม่ได้มองเธอ เขามองตำรวจ : “เชิญถามครับ”
เมื่อตำรวจได้รับการอนุญาตจากเฉินถิงเซียว จึงได้เดินมาที่ด้านหน้าของมู่น่อนน่อน : “คุณหญิงเฉินครับ ที่พวกผมมาในวันนี้ ก็เพื่อจะมาจดบันทึกเรื่องของคุณท่านเฉินเมื่อวานครับ”
ตำรวจนั้นมาด้วยงานราชการ มู่น่อนน่อนเองก็ได้ให้ความร่วมมืออย่างดี : “ค่ะ”
“ชื่ออายุครับ……”
“มู่น่อนน่อน ยี่สิบสามีปีค่ะ” ผ่านปีเก่าไป ปีนี้เธอก็ยี่สิบสามปีแล้ว
“เมื่อวานตอนเช้าประมาณสิบเอ็ดโมงยี่สิบนาที คุณเฉินอันหลินตกบันได ตอนนั้นคุณอยู่ที่ไหนครับ”
“ฉันอยู่บนบันไดในที่เกิดเหตุค่ะ”
“คุณทำอะไรอยู่ตรงนั้นครับ”
“มีคนรับใช้บอกว่า คุณปู่เรียกให้ไปพบค่ะ”
“คนรับใช้ชื่ออะไร”
“ไม่ทราบค่ะ”
“……”
ตำรวจซักไซ้คำถามมากมาย สุดท้ายก็กลับมาที่เดิม
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าคนรับใช้ที่เรียกเธอนั้นเป็นใคร เธอไม่มีหลักฐานที่สามารถยืนยันว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ และก็ไม่มีคนที่สามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของเธอ
ตำรวจลุกยืนขึ้น ท่าทางสุภาพ : “ขอบคุณคุณหญิงเฉินที่ให้ความร่วมมือครับ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อตำรวจจากไป ในห้องก็เหลือเพียงเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนสองคน
ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องคุณท่านเฉิน เวลาส่วนใหญ่ของเฉินถิงเซียวคือเฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาล นอกจากเมื่อคืนที่ทั้งสองคนทะเลาะกันอย่างรุนแรง ทั้งสองก็ไม่ได้คุยกันอย่างดี ๆ อีก
เวลานี้เฉินถิงเซียวเปล่งเสียงกะทันหันขึ้น : “ที่พูดคือความจริง?”
“ไม้งั้นละ? ฉันโกหกหรอ?”
มู่น่อนน่อนหัวเราะแล้วก็ลุกยืนขึ้น เดินมาที่ด้านหน้าของเฉินถิงเซียว จ้องมองแววตาเขาอย่างนิ่ง ๆ : “ถ้าหากว่าฉันกำลังโกหก คุณดูไม่ออกเชียวหรือ”
เฉินถิงเซียวใบหน้าไร้ความรู้สึก : “มนุษย์นั้นเสแสร้งเก่ง ฉันไม่ใช่พระเจ้า แน่นอนก็ย่อมมีบ้างบางเวลาที่ดูคนผิด”
สีหน้าถอดสีของมู่น่อนน่อนก่อนหน้านี้ ได้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ในแววตาปรากฏรอยยิ้ม : “แต่ว่าฉันดูออกว่าคุณกำลังโกหก”
“มู่น่อนน่อน ผมฟังไม่ออกว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร!” เฉินถิงเซียวพลางพูดพลางถอยหลังหนึ่งก้าว อยากจะทิ้งระยะห่างกับมู่น่อนน่อน
แต่มู่น่อนน่อนไม่ปล่อยให้เขาได้ทำเช่นนั้น
เธอเอื้อมมือผลักเฉินถิงเซียวล้มลงบนโซฟา
เฉินถิงเซียวมองเธอด้วยสีหน้าดำทะมึนครู่หนึ่ง แล้วอยากจะลุกยืนขึ้น
แต่มู่น่อนน่อนเหมือนกับคาดเดาไว้อยู่แล้ว จึงกดไหล่ของเขาให้นั่งกลับลงไป ยกเท้าที่เรียวบางขึ้น แล้วนั่งคร่อมอยู่บนตักของเฉินถิงเซียว
ด้วยท่าที่ใบหน้าประสานกัน
เฉินถิงเซียวสีหน้าก็ยิ่งดำทะมึน น้ำเสียงทุ้มต่ำที่บ่งบอกถึงการคำเตือน : “มู่น่อนน่อน ลุกออกไป!”
“ไม่ลุก”
มู่น่อนน่อนไม่เพียงแต่ไม่ลุกออกไป กลับยังยกมือขึ้นคล้องกอดเข้าที่ลำคอของเขาไว้แน่น แล้วเอียงหน้าเล็กน้อยจ้องมองเขาอย่างเย้ยหยันยียวนด้วยใบหน้ารูปไข่ที่สวยงาม
สมัยที่เรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายคลุกคลีกับเสิ่นเหลียงปีกว่าๆ ยกพวกตีกันนับครั้งไม่ถ้วน ความหัวแข็งดื้อรั้น หยิ่งเกรี้ยวกราด ไม่ยอมคนได้ฝังลึกอยู่ในกระดูกของเธอ
แต่เพราะเธอมาเจอกับเฉินถิงเซียวผู้แข็งแกร่ง แค่เพียงแววตาของเฉินถิงเซียวก็สามารถทำให้เธอสยบได้อย่างราบคาบ
หว่างคิ้วของเฉินถิงเซียวพับย่นขึ้น ราวกับอดทนจนถึงขีดสุดแล้ว
มู่น่อนน่อนใบหน้ายิ้มอย่างชื่นบาน โน้มเข้าไปหาเฉินถิงเซียว เหมือนจะแตะไม่แตะที่ริมฝีปากของเฉินถิงเซียว : “ถ้าคุณกล้าก็ผลักฉันลงไปสิ คุณผลักฉันลงไปฉันก็จะเชื่อว่าคุณสงสัยฉันจริง ๆ ไม่อย่างนั้น……”
มู่น่อนน่อนพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักขึ้น กัดริมฝีปากเฉินถิงเซียวเบาๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ : “คุณมันเสแสร้งแกล้งทำ ฉันรู้ว่าคุณมีเรื่องปิดบังฉันอยู่”
เฉินถิงเซียวใบหน้าแข็งทื่อฉับพลัน แววตาของมู่น่อนน่อนปรากฏความกระหยิ่มขึ้น
แต่วินาทีถัดไป เฉินถิงเซียวท่าทียังคงเย็นชา : “พอได้แล้ว”
มู่น่อนน่อนแม้มริมฝีปากแน่น ไม่พูดอะไรอีก แต่ว่าแขนที่เรียวยาวยังคงกอดเฉินถิงเซียวไว้แน่น สีหน้ายังคงดื้อรั้น
สองมือของเฉินถิงเซียววางลงไว้ข้างกาย หรี่ตาลงจ้องมองเธอ : “ถ้าหากไม่ใช่เพราะคุณตั้งท้องอยู่ คุณคิดว่าคุณจะยังได้นั่งดี ๆ อยู่ตรงนี้เหรอ”
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปาก น้ำเสียงแข็งกระด้างเล็กน้อย : “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้”
เมื่อน้ำเสียงจบลง เธอก็รู้สึกเหมือนร่างของเฉินถิงเซียวนั้นกระตุกไปหนึ่งที
ทั้งคู่ชิดกันอย่างแนบแน่น เธอเชื่อว่าตัวเองนั้นไม่ได้เข้าใจผิดไป
ในแววตาของเธอประหลาดใจ ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็รู้สึกที่เจ็บจี๊ดที่ลำคอ ด้านหน้าบังเกิดความมืดมิด
ก่อนที่จะสลบไป ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้า คือคู่ดวงตาดำขลับราวกับความมืดมิดยามกลางคืนของ
เฉินถิงเซียวที่เต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน
มู่น่อนน่อนตัวค่อยๆอ่อนลงจนซบไปอยู่ในอ้อมกอดของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวประคองศีรษะของเธอให้มาซบที่ทรวงอกของเขา มือข้างหนึ่งของเขาโอบเธอไว้ อีกข้างหนึ่งประคองศีรษะของเธอไว้ อยู่อย่างนั้นสักพักโดยที่ไม่ขยับเขยื้อน
ผ่านไปชั่วขณะ เขาถึงได้หันไปส่งเสียงเรียกประตู : “สือเย่”
สือเย่จึงรีบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วจากด้านนอก : “ครับคุณผู้ชาย”
“ไปเตรียมรถ ผมจะส่งมู่น่อนน่อนกลับไป”
“ครับ”
สือเย่รับคำเสร็จก็หันหลังเดินออกไป
เดินมาถึงที่ประตูเขาก็อดไม่ได้จึงได้หันกลับไปดูแวบหนึ่ง
ใบหน้าอันหล่อเหลานั่งอยู่บนโซฟา มีหญิงสาวอยู่ในอ้อมกอด ท่าทางทั้งสองใกล้ชิดสนิทกัน
หญิงสาวหมดสติสลบไปแล้ว ชายหนุ่มก้มหน้า นิ้วมือประคองอยู่ที่เส้นผมของเธอเบา ๆ การกระทำที่อ่อนโยนและระมัดระวัง
ภาพฉากนี้ดูอย่างไรก็ให้ความรู้สึกความรักใคร่ปรองดองกันที่ไม่ธรรมดา
สือเย่ส่ายหน้า
เขาว่าแล้ว คุณผู้ชายปฏิบัติต่อคุณหญิงน้อยราวกับสิ่งล้ำค่า แล้วจะไปสงสัยคุณหญิงน้อยได้อย่างไรกัน
แต่ว่า คุณผู้ชายไม่รู้กำลังคิดจะทำอะไร สือเย่นั้นเดาทางไม่ถูก
หลายปีมานี้ ตลอดเส้นทางที่เขาเฝ้าดูเฉินถิงเซียวเดินมา รู้ถึงความอดทนและความแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ของเฉินถิงเซียว รู้ว่าอะไรควรไม่ควรทำ ไม่ว่าจะเวลาไหนก็มีสติตลอดเวลา
แต่ทว่า สำหรับเรื่องนี้สือเย่เองก็ไม่เข้าใจว่าเฉินถิงเซียวกำลังคิดอะไรอยู่
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็มองเฉินถิงเซียวหน้านิ่งๆ
สีหน้าท่าทางถมึงทึงของเฉินถิงเซียว น่ากลัวราวกับสิงโตที่โมโหดุร้าย พร้อมจะกระโจนเข้ามากัดมู่น่อนน่อนได้ตลอดเวลา
ขณะที่มู่น่อนน่อนพูดคำเหล่านี้ออกมานั้น ระคนด้วยความโกรธและการหยั่งเชิง
เธอไม่สามารถที่จะเกลี้ยกล่อมตัวเองได้ ที่เฉินถิงเซียวจู่ ๆ เปลี่ยนเป็นคนไม่มีเหตุผลเช่นนี้
สักพัก เฉินถิงเซียวสีหน้าท่าทางก็ค่อยๆผ่อนคลายลง แล้วเขาก็กล่าวขึ้นเบาๆ : “ในเมื่อคุณก็รู้ว่าไม่มีทางที่จะเอาชนะตระกูลเฉินได้ อย่างนั้นก็จงอยู่นิ่งๆและเชื่อฟังดีๆ”
น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นสุดขีด กัดแต่ละคำพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ และก็ซ่อนด้วยความเย็นชาหนาวเหน็บ
รูม่านตามู่น่อนน่อนหดตัวขึ้น ไม่ทันรอให้เธอได้พูด เฉินถิงเซียวก็เปิดปากพูดขึ้นอีก
“สำหรับลูก ทางที่ดีคุณอย่าคิดไม่ดี” เฉินถิงเซียวกระตุกมุมปากเผยรอยยิ้มยะเยือกจางๆ แล้วก็หันหลังออกไป
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่บนโซฟา มองตามแผ่นหลังของเฉินถิงเซียวที่เดินออกไป
เธอจ้องประตูที่ถูกปิดอยู่ครึ่งวินาที แล้วก็เอนหลังลงบนโซฟาอย่างท้อแท้ใจ
วันนี้ช่างผ่านไปอย่างตื่นเต้น
เอนตัวอยู่บนโซฟาแล้วรู้สึกไม่สบายตัว มู่น่อนน่อนจึงได้นอนราบลงอยู่บนโซฟา ในใจคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้
เมื่อตอนเช้าที่เธอกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น มีคนรับใช้มาเรียกเธอ บอกว่าคุณปู่เรียกให้เธอไปพบ
จากนั้นเธอก็ไปพบคุณท่านเฉิน ปรากฏว่าคุณท่านเฉินไม่ได้อยู่ในห้อง เธอได้ยินเสียงที่บันไดจึงได้เดินเข้าไป คุณท่านเฉินก็ตกลงจากบันได
และก็ถูกนำส่งโรงพยาบาลทันที คุณท่านเฉินอยู่ในห้องผ่าตัด เฉินชิงเฟิงซักไซ้คนรับใช้
คนรับใช้บอกว่าได้ยินเสียงของเธอถึงได้ออกมา แล้วพบว่าคุณท่านเฉินตกลงมา เวลานี้เฉินถิงเซียวตั้งคำถามกับเฉินชิงเฟิง และเฉินอินหย่าก็โผล่มาบอกว่ามู่น่อนน่อนมีเหตุผลในการทำร้ายคุณปู่……
เหตุผลของเฉินอินหย่าช่างน่าขำชะมัด เธอจะทำร้ายคุณปู่ด้วยเรื่องของฉินสุ่ยซานได้อย่างไร
ถ้าเป็นคนปกติก็จะรู้ว่าเหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้น
แต่เฉินถิงเซียวกลับเชื่อคำพูดของเฉินอินหย่า ตั้งแต่ที่เขากลับมาตอนค่ำ แต่ละคำพูดแต่ละประโยคล้วนแฝงด้วยความสงสัยในตัวเธอ
คนอื่นยังไม่ทันพูดอะไร เฉินถิงเซียวก็เสนอให้ตำรวจมาตรวจสอบเรื่องนี้ แม้แต่คำพูดจะทางตรงหรือทางออ้อมก็ล้วนเป็นการสงสัยเธอ
จุดนี้มีความน่าสงสัยอย่างเห็นได้ชัด
เฉินถิงเซียวราวกับจงใจโยงเธอให้เข้ามาเกี่ยวเรื่องนี้
ทำไมเฉินถิงเซียวถึงต้องทำแบบนี้
ในเวลาเช่นนี้ ตามนิสัยของเฉินถิงเซียว ปฏิกิริยาการตอบสนองทั่วไปของเขา จะไม่ใช่ดึงเธอเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่เป็นการไปสืบหาความจริง
นอกเสียจาก……
นอกเสียจากเฉินถิงเซียวรู้ความจริง รู้ว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้!
ถ้าเป็นแบบนี้ ที่เขาลากมู่น่อนน่อนเข้ามาเกี่ยวเรื่องนี้ เขานั้นมีจุดประสงค์อื่น
มู่น่อนน่อนรู้สึกเหมือนว่าตัวเองคิดตกแล้ว แต่เมื่อย้อนทบทวนอีกที ก็รู้สึกเหมือนเรื่องราวจะไม่ใช่เป็นแบบนี้
คิดไปคิดมาก็ผล็อยหลับไปในที่สุด
วันรุ่งขึ้นตอนที่ตื่นขึ้นมา เธอพบว่าตัวเองนั้นนอนอยู่บนเตียง
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง แล้วก็จับไปที่ข้างๆอย่างงุนงง ปรากฏว่าไม่มีร่างของเฉินถิงเซียว
เธอจำได้ว่าตัวเองเมื่อคืนนอนหลับอยู่บนโซฟา
เฉินถิงเซียวกลับมาเหรอ
มู่น่อนน่อนสวมเสื้อคลุมแล้วลงจากเตียงไปเปิดประตูห้อง หน้าประตูยังคงมีบอดี้การ์ดเฝ้าอยู่
สือเย่ไม่อยู่ บอดี้การ์หน้าตาค่อนข้างคุ้นตา เคยเจอที่คฤหาสน์ของเฉินถิงเซียวก่อนหน้านี้
เธอจึงค่อนข้างเบาใจลง ถามพวกเขาขึ้น : “เฉินถิงเซียวเมื่อคืนกลับมาเหรอ”
บอดี้การ์ดตอบตามความจริง : “คุณผู้ชายได้กลับมาครั้งหนึ่งตอนดึก ฟ้ายังไม่สางก็ออกไปแล้วครับ”
“เขาได้บอกอะไรหรือเล่า” มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว ถามอย่างรีบร้อน
บอดี้การ์ดส่ายหน้า
มู่น่อนน่อนเม้นปากแล้วถามขึ้นอีก : “แล้วพวกนายรู้หรือเปล่าว่าคุณท่านเฉินเป็นอย่างไรบ้าง”
บอดี้การ์ดก็ยังคงส่ายหน้า
มู่น่อนน่อนปิดประตูแล้วกลับเข้าไปในห้อง
ครุ่นคิดไปมา จึงตัดสินใจจะหยิบโทรศัพท์มาเพื่อโทรหาเฉินถิงเซียว
ปรากฏว่า เธอหาโทรศัพท์ของตัวเองไม่เจอ
เฉินถิงเซียวดึกดื่นกลับมาแล้วก็เอาโทรศัพท์ของเธอไปเหรอ
มู่น่อนน่อนจึงได้ไปหาบอดี้การ์ดที่ประตูอีกครั้ง : “พกโทรศัพท์หรือเปล่า ให้ฉันยืนโทรศัพท์ใช้หน่อย”
บอดี้การ์ดไม่ได้ยื่นโทรศัพท์ให้กับมู่น่อนน่อนโดยตรง แต่กลับถามขึ้น : “คุณหญิงน้อยอยากจะโทรศัพท์หาคุณผู้ชายเหรอครับ”
มู่น่อนน่อนเกิดความมึนงงในใจ แต่ก็ได้พยักหน้าแล้วตอบ: “อืม”
บอดี้การ์ดโทรศัพท์ติดเฉินถิงเซียวแล้วถึงได้ยื่นโทรศัพท์ไปให้กับมู่น่อนน่อน : “คุณหญิงน้อยครับ”
โทรศัพท์ดังอยู่สักพักถึงได้รับสายขึ้น
เฉินถิงเซียวน้ำเสียงค่อนข้างแหบแห้ง
“มีเรื่องอะไร”
เฉินถิงเซียวน้ำเสียงค่อนข้างเย็นชา น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนก็เย็นชาเช่นกัน : “เมื่อคืนคุณกลับมาเหรอ”
เฉินถิงเซียวน้ำเสียงดูเหมือนจะเริ่มหงุดหงิด : “มีอะไรก็พูดมา”
“คุณปู่เป็นอย่างไรบ้าง”
“ยังไม่ฟื้น”
“โทรศัพท์ของฉันล่ะ”
“ไม่รู้”
มู่น่อนน่อนอดกลั้นตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงวันนี้ เวลานี้อดกลั้นต่อไปไม่ไหวจึงพูดคำหยาบออกมา : “คุณอย่ามาตอแหล เมื่อคืนคุณกลับมาแล้วเอาโทรศัพท์ของฉันไปล่ะสิ”
ไม่รอให้เฉินถิงเซียวได้พูด มู่น่อนน่อนก็กล่าวต่อ : “คุณกลัวว่าฉันจะใช้โทรศัพท์แล้วเห็นอะไรบางอย่างเหรอ หรือกลัวว่าฉันจะโทรศัพท์หาคนอื่น”
“ไม่มีเรื่องอะไรก็แค่นี้นะ”
เฉินถิงเซียวกล่าวจบก็กดวางสายทิ้งไป
มู่น่อนน่อนกลั้นการกระทำที่อยากจะโยนโทรศัพท์ทิ้ง แล้วคืนโทรศัพท์ให้กับบอดี้การ์ดไป : “ขอบคุณ”
จากนั้นก็หันหลังเข้าห้องไป
เมื่อเธอเข้ามาในห้อง ก็ถีบใส่ประตูสองครั้ง
เฉินถิงเซียวไอ้คนเลว!
ผ่านไปไม่นาน ด้านนอกก็มีเสียงเคาะดังขึ้น
“คุณหญิงน้อย ถึงเวลาทานข้าวแล้วค่ะ”
น้ำเสียงฟังแล้วค่อนข้างคุ้นหู
“ไม่อยากกิน!” เธอโมโหจนอิ่มแล้ว ไม่มีอารมณ์จะทานข้าว
“ท่านเองไม่ทาน ก็ต้องคิดถึงลูกในท้องด้วยนะ”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว คนรับใช้คนไหนของตระกูลเฉินที่พูดจาแบบนี้
ผ่านไปไม่กี่วินาที แววตามู่น่อนน่อนก็เป็นประกาย วิ่งเหยาะๆไปเปิดประตูห้อง : “เสี่ยวเหลียง!”
คนที่มานั้นก็คือเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงมองเธอแล้วก็กล่าวขึ้นด้วยความโกรธ : “ยังไม่อยากทานข้าวอีก ดูเธออวดเก่งเข้าสิ!”
“เข้าไปกันก่อนเถอะ”
คนที่พูดคือกู้จือหยั่นที่ยืนอยู่ด้านหลังเสิ่นเหลียง
มู่น่อนน่อนก็รู้ว่าหน้าประตูไม่ใช่ที่สำหรับพูดคุยสนทนา เธอเปิดประตูให้สองคนเข้ามาแล้ว ก็ปิดประตูลง
มู่น่อนน่อนพลางทานข้าวพลางถาม : “พวกเธอมาได้ยังไง”
เสิ่นเหลียงมองมา แล้วหยิบหนังสือพิมพ์ออกมาแล้วยื่นมาที่ด้านหน้าของมู่น่อนน่อน และก็กดไปมาบนโทรศัพท์จากนั้นก็ยื่นมาให้มู่น่อนน่อนอีก
มู่น่อนน่อนเปิดหนังสือพิมพ์ก่อน
ด้านบนพาดหัวข่าวเกินครึ่งหน้ากระดาษ เป็นเรื่องของคุณท่านเฉิน
นักข่าวเขียนข่าวหนึ่งหน้าหนังสือพิมพ์ด้วยการเดาและเรื่องที่ไม่เป็นความจริง ประโยคท้ายสุดยังชี้ตัวผู้ต้องสงสัยมาทางมู่น่อนน่อน
เสิ่นเหลียงถามเธอด้วยความเป็นห่วง : “น่อนน่อน เธอไม่ได้ดูข่าวเหรอ”
มู่น่อนน่อนโยนหนังสือพิมพ์ลงข้างๆ แล้วหยิบโทรศัพท์ของเสิ่นเหลียงมา : “โทรศัพท์หายไป”
เรื่องที่คุณท่านเฉินกลิ้งตกจากบันได ไม่ถึงขั้นต้องทำให้เรื่องสะเทือนใหญ่โตเช่นนี้
แต่เหตุผลที่ต้องสะเทือนขนาดนี้ เพราะคนที่ผลักคุณท่านเฉินอาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นหลานสะใภ้ของเขา
ความแค้นของคนรวยเช่นนี้ คนส่วนใหญ่ต่างอยากรู้อยากเห็น
เรื่องนี้ค่อนข้างร้อนแรง พาดข่าวหน้าหนึ่งไปตั้งหลายสื่อ
หลังจากที่ถูกเฉินถิงเซียวสงสัย แล้วก็มาเห็นสิ่งเหล่านี้ เฉินถิงเซียวก็ไม่มีความรู้สึกอีกต่อไป เธอเพียงเงยหน้าแล้วถามเสิ่นเหลียง : “เธอเชื่อว่าฉันเป็นคนผลักคุณท่านเฉินหรือเปล่า”
และคนที่จัดฉากนี้คือใครกัน
มีจุดประสงค์อะไร
เป็นคนตระกูลเฉินหรือไม่
ถ้าหากเป็นคนตระกูลเฉิน ทำไมเขาถึงทำได้ขั้นที่ใช้คุณท่านเฉินเป็นตัวดึงมู่น่อนน่อนเข้าไปอยู่ในฉากเกม
ทำไมถึงต้องเป็นวันแรกของการขึ้นปีใหม่
มู่น่อนน่อนพลางครุ่นคิดคำถามเหล่านี้ พลางเดินไปที่ห้องของคุณท่านเฉิน
เมื่อวันก่อน เธอยังนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟากับคุณท่านเฉินอยู่เลย คุณท่านเฉินยังให้เธอกับเฉินถิงเซียวต้องดีต่อกัน
แต่ผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้น คุณท่านเฉินกลับมานอนโคม่าอยู่ในโรงห้องผ่าตัด
มู่น่อนน่อนรู้สึกแน่นหน้าอก
เธอหันหลังเดินออกไป : “ไปกันเถอะ”
สือเย่ยังคงเดินตามหลังเธอ
เธอกลับไปที่ห้อง สือเย่เฝ้าอยู่ที่หน้าห้อง
ตอนที่กำลังปิดประตู เธอหันหน้ามาคุยกับสือเย่หนึ่งประโยค :“ลำบากแล้วนะ”
เพราะเป็นถึงวันแรกของปีใหม่ สือเย่กลับยังถูกเฉินถิงเซียวเรียกตัวออกมา
“คุณหญิงน้อยเกรงใจแล้วครับ คุณผู้ชายเชื่อใจในตัวผม ผมถึงได้มาทำงานแทนกับเขาในเวลาแบบนี้” สือเย่คำนับเบา ๆ ท่าทางยังคงระวังสุขุมเยือกเย็น
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ใบหน้ามีรอยยิ้มที่มุมปาก และเข้าห้องไป
……
จนกระทั่งฟ้ามืดแล้วก็ยังไม่เห็นมีใครกลับมา
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์มา อยากจะโทรถามเฉินถิงเซียวถึงสถานการณ์
ถึงแม้ในใจเธอจะคิดว่า คำพูดของเฉินถิงเซียวที่พูดกับเธอก่อนหน้านี้ อาจจะไม่ได้มาจากใจ แต่ว่าเธอก็ยังไม่กล้าโทรอยู่ดี
เธอไม่อยากได้ยินน้ำเสียงที่เย็นชาของเฉินถิงเซียว
เมื่อก่อนที่เธอมีช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในบ้านตระกูลมู่ เธอก็ยังไม่รู้สึกว่าจะทุกข์มากขนาดนี้
ตอนนี้แค่ได้เสียงที่เย็นชาของเฉินถิงเซียวที่พูดกับเธอ เธอกลับรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ใจ
เธอถูกเฉินถิงเซียวตามใจมากเกินไปแล้ว
ก๊อกๆ!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทันใด
มู่น่อนน่อนแอบดีใจ คิดว่าเฉินถิงเซียวกลับมาแล้ว จึงรีบลุกขึ้นไปเปิดประตู
ประตูถูกเปิดออก มู่น่อนน่อนมองผู้ที่มาอย่างชัดเจน ความดีใจที่มีได้มลายหายไปสิ้น
คนที่ยืนอยู่ด้านนอกหน้าประตูไม่ใช่เฉินถิงเซียว แต่เป็นคนรับใช้ที่มาส่งอาหารให้เธอ
มู่น่อนน่อนถามคนรับใช้ว่า : “คุณผู้ชายยังไม่กลับมาเหรอ”
คนรับใช้แค่เพียงส่ายหน้า วางจานอาหารลงแล้วหันหลังจากไป
ตอนที่เปิดประตูนั้น เธอสังเกตเห็นสือเย่ยังคงพาบอดี้การ์ดยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู
เธอเปิดประตูอีกครั้ง ถามสือเย่ว่า : “เฉินถิงเซียวมีโทรมาคุยอะไรกับนายไหม”
“ไม่มีครับ” สือเย่ก้มหน้าลง ไม่หันไปมองใบหน้าที่ผิดหวังของมู่น่อนน่อนอีก
สุดท้ายเธอไม่ได้โทรศัพท์หาเฉินถิงเซียว
และก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะนอน จึงหยิบผ้าห่มห่อตัวพักผ่อนอยู่บนโซฟา
หลังจากที่สะลึมสะลือจนหลับใหลไป ก็รู้สึกเหมือนที่ห้องมีคนเดินเข้ามา
ถึงแม้ว่าคนที่เดินนั้นจะพยายามเดินให้เสียงเบาที่สุด แต่มู่น่อนน่อนก็ยังคงได้ยิน และยังตื่นขึ้นมา
ลืมตาขึ้น ภาพที่สะท้อนผ่านม่านตาเข้ามาคือรูปร่างที่สูงโปร่งของเฉินถิงเซียว
เวลานี้เฉินถิงเซียวค่อย ๆโน้มตัวมาหาเธอ มือข้างหนึ่งค่อยๆยกขึ้น และก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร
มู่น่อนน่อนจึงลุกขึ้นนั่งตัวตรง : “คุณกลับมาแล้วเหรอ”
เฉินถิงเซียวจึงยืนตัวตรงขึ้น จ้องมองเธอด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก : “ทานอาหารเย็นแล้วเหรอ”
“อืม” มู่น่อนน่อนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง และถามเขา: “คุณปู่ล่ะ ท่าน……”
เธอพูดมาถึงตรงนี้น้ำเสียงก็เงียบลง
เฉินถิงเซียวสีหน้าเย็นชา : “การผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้ว แต่ว่ายังไม่พ้นช่วงขีดอันตราย อาจจะฟื้นขึ้นมาภายในสี่สิบแปดชั่วโมง หรืออาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย”
มู่น่อนน่อนรีบเงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียว สบตาเข้ากับใบหน้าที่เย็นชาของเขาพอดี
เธอจึงรีบอธิบายขึ้น : “ฉันไม่ได้ผลักคุณปู่”
ห้องจึงได้เงียบสงบลง
เฉินถิงเซียวจ้องมองเธอแต่ไม่ได้พูดอะไร เหมือนกับกำลังไตร่ตรองความจริงจากคำพูดของเธอ
เธอรู้สึกว่าตัวเองนั้นคนที่เข้มแข็งมาโดยตลอด
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเฉินถิงเซียว เธอก็ได้ถอดชุดเกราะนั้นออก
การเงียบเพียงชั่วครู่ของเขา เพียงพอที่จะทิ่มแทงทำร้ายเธอแล้ว
แต่แล้ว คำพูดต่อมาของเขาก็ยิ่งทำให้มู่น่อนน่อนเย็นวูบดุจโรงน้ำแข็ง
“เรื่องนี้ตำรวจตรวจสอบได้”
ถึงแม้ว่าจะไม่มีอารมณ์ใด ๆ อีกทั้งยังเยือกเย็น แต่เสียงของเฉินถิงเซียวยังคงไพเราะน่าฟัง
มู่น่อนน่อนกุมมือทั้งสองข้างของตัวเองไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง : “เฉินถิงเซียว ฉันไม่เชื่อในคำพูดของคุณ ฉันจะให้โอกาสคุณพูดความจริง โอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
เธอไม่เชื่อว่านี่จะเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจของเฉินถิงเซียว
เธอเงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียว ตัดสินใจที่จะเชื่อความรู้สึกของตัวเอง และก็เชื่อเฉินถิงเซียวด้วย
แต่แล้ว เฉินถิงเซียวกลับเพิกเฉยต่อความเชื่อใจของเธอ
เขากระตุกริมฝีปากขึ้น ยิ้มอย่างดูแคลน : “มู่น่อนน่อน ที่ผมพูดล้วนเป็นความจริง คุณยังคิดว่าคุณยังเป็นคนจิตใจดีอย่างนั้นเหรอ ถ้าหากว่าเป็นคนที่จิตใจจริง ๆ ตอนนั้นคุณก็คงไม่ให้นักข่าวไปแอบถ่ายโรงงานบริษัทมู่ซื่อ จนเกือบจะทำให้บริษัทมู่ซื่อล้มละลายหรอก”
เมื่อเขาพูดจบ ก็มองมู่น่อนน่อนหน้านิ่ง ๆ ราวกับรอดูปฏิกิริยาของเธอ
มู่น่อนน่อนได้แต่เม้มริมฝีปาก มองเฉินถิงเซียวที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาเย็นชา
เฉินถิงเซียวราวกับถูกปฏิกิริยาที่เงียบสงบของเธอทำให้โมโหขึ้น เขาโน้มเข้าไปใกล้เธอ น้ำเสียงเย็นยะเยือก : “พวกคนตระกูลมู่ของคุณ คุณก็ใช้วิธีต่าง ๆ ในการต่อกรพวกเขา นับประสาอะไรกับคุณปู่ของผม คนแก่ที่แซ่อื่นเล่า”
“ฉันไม่ใช่คนอย่างมู่หวั่นขีสักหน่อย ฉันทำไมต้องไปทำเรื่องแบบนั้นกับคุณปู่ด้วยเรื่องของฉินสุ่ยซาน……”
มู่น่อนน่อนยังไม่ทันได้พูดจบ ก็ถูกเฉินถิงเซียวพูดขัดขึ้น : “พอได้แล้ว อย่าเรียกคุณปู่อีก คุณไม่มีสิทธิ์”
“เฉินถิงเซียว!” มู่น่อนน่อนลุกขึ้น“พึ่บ”จากโซฟาแล้วตวาดขึ้น : “สมองของคุณเลอะเลือนไปแล้วเหรอ นี่เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจใส่ร้ายฉัน คนบ้านพวกคุณไม่ไปหาคนร้ายตัวจริง กลับมานั่งกล่าวหาฉันอยู่ตรงนี้”
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลง เอื้อมมือมาจับคางของมู่น่อนน่อน แววตาดำขลับประกายความเย็นเยือกถึงกระดูกดำ และกล่าวเตือนว่า : “มู่น่อนน่อน ระวังคำพูดของคุณด้วย พวกเราทุกคนล้วนแซ่เฉิน พวกเราตระกูลเฉินจะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร”
คางของมู่น่อนน่อนถูกเขาจับจนรู้สึกเจ็บ แต่ว่าเธอก็ไม่ส่งเสียงร้องแต่อย่างใด และจ้องเขม็งเฉินถิงเซียวอย่างเย็นชา กัดฟันขึ้นแล้วกล่าวว่า : “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้! ฉันว่าคนบ้านตระกูลเฉินไม่มีใครดีสักคน โดยเฉพาะคุณ!”
เฉินถิงเซียวสีหน้าเยือกเย็นจนน่ากลัว
มู่น่อนน่อนเริ่มรู้สึกกลัว
แต่เวลานี้เธอจะอ่อนแอไม่ได้
“ทำไม อยากจะตีฉันเหรอ มาสิ ทางที่ดีทำให้เลือดเนื้อของคุณตายไปด้วยเลยก็ยิ่งดี ถึงเวลานั้นถ้าพวกคุณยังกล่าวหาฉัน ส่งฉันเข้าไปในคุก ก็ไม่จำเป็นที่ต้องรอให้ฉันคลอดลูกออกมาก่อน ขอเพียงคำตัดสินออกมา ฉันก็เข้าไปในคุกได้เลย ก็ยิ่งทำให้พวกคุณสมดั่งใจหมาย”
มู่น่อนน่อนมองใบหน้าที่ถอดสีของเฉินถิงเซียว ในใจก็รู้สึกสะใจยิ่งนัก
เฉินถิงเซียวยิ้มทั้งโมโห : “มู่น่อนน่อน คุณรู้ตัวไหมว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่”
“ฉันย่อมรู้ตัวอย่างแน่นอน” มู่น่อนน่อนยิ้มหยัน: “ปฏิกิริยาของคุณตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าฉันเป็นคนผลักคุณปู่ ถ้าหากพวกคุณต้องการจะฟ้องฉัน ฉันนอกจากจะต้องยอมรับแล้วทำอะไรได้อีก”
ถ้าเฉินถิงเซียวก็ยังไม่เชื่อเธอ ตระกูลเฉินต้องการฟ้องเธอ ให้เธอเข้าเรือนจำ เธอคงไม่สามารถเอาชนะตระกูลเฉินได้จริง ๆ
ห้ามออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็เป็นการจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลแล้ว
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้คัดค้านใด ๆ
ตอนนี้เธอรู้สึกเป็นห่วงคุณท่านเฉินมาก
ถึงแม้ว่าคุณท่านเฉินเมื่อก่อนจะเคยส่งผู้หญิงไปที่คฤหาสน์ของเฉินถิงเซียว เคยทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกแย่กับเขาจริง ๆ แต่ว่าก่อนหน้านี้ที่คุณท่านเฉินเคยบอกเล่าคำเหล่านั้นกับเธอ ความรู้สึกแย่ ๆ ในใจที่มีต่อคุณปู่ก็ได้หมดไป
อีกอย่างเฉินถิงเซียวจะต้องทุกข์ทรมานมากอย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงเฉินถิงเซียว สีหน้าของมู่น่อนน่อนก็เย็นลงอย่างไม่รู้ตัว
บนระเบียงทางเดินกลับเข้าสู่ความสงบเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง
ถึงแม้ว่าเฉินอินหย่าจะไม่พอใจการกระทำของเฉินชิงเฟิง แต่ก็ไม่กล้าจะพูดอะไรมาก
เพราะถึงอย่างไรคุณท่านเฉินก็นอนอยู่ในห้องผ่าตัด เป็นตายไม่แน่นอน คนที่พูดจามีน้ำหนักมากที่สุดในตระกูลเฉินก็คือเฉินชิงเฟิง
ทันใดนั้น ในเวลาที่เงียบสงบเช่นนี้เฉินถิงเซียวก็เปล่งเสียงพูดออกมา : “แจ้งความเถอะ”
คำพูดของเขาดึงดูดความสนใจจากทุกคน
มู่น่อนน่อนหันหน้ามา เห็นเพียงข้างใบหน้าที่รูปงามกับดวงตาที่หรี่ลงของเฉินถิงเซียว
เขาดูใจเย็นมาก แต่ว่ากลิ่นอายความเยือกเย็นบนตัวของเขาที่แผ่กระจายออกมา ได้บ่งบอกถึงอารมณ์ของเขาในเวลานี้
และเขาก็เปิดปากกล่าวต่อในทันที : “ในเมื่อคุณพ่อสงสัยว่าที่คุณปู่ตกลงมาจากบันไดไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นฝีมือของคน อย่างนั้นก็แจ้งความเถอะ ให้ตำรวจตรวจสอบหาความจริง”
เขาพูดประโยคเหล่านี้กับเฉินชิงเฟิง
มู่น่อนน่อนเห็นสีหน้าของเฉินชิงเฟิงเกิดความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าเขาตกใจอย่างมากกับการเสนอของเฉินถิงเซียว
นี่ทำให้มู่น่อนน่อนเกิดความสับสนในใจ
ถ้าเฉินชิงเฟิงสงสัยว่าเรื่องของคุณท่านเฉินนั้นเป็นฝีมือคนจริง ๆ การแจ้งความก็เป็นขั้นตอนที่ปกติถึงจะถูก
เฉินชิงเฟิงเงียบอยู่ชั่วครู่ แล้วกล่าวขึ้น : “โอเค งั้นโทรแจ้งตำรวจ”
เฉินชิงเฟิงให้คนโทรแจ้งตำรวจ แต่เนื่องด้วยเป็นวันแรกของปีใหม่ ตำตรวจจึงไม่ได้มาเร็วขนาดนั้น ทางตำรวจได้ขอให้พวกเขากันสถานที่เกิดเหตุไว้ให้ดี
และมู่น่อนน่อนกับทุกคนก็เฝ้าคุณท่านเฉินอยู่ที่โรงพยาบาล
มู่น่อนน่อนเพิ่งจะตื่นนอนจากเตียงได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้ทานอะไรก็ตามทุกทคนมาที่โรงพยาบาล
แล้วมานั่งเฝ้ารอการผ่าตัดของคุณท่านเฉินให้เสร็จสิ้น เวลานี้เธอรู้สึกหิวขึ้นมา
แต่ สถานการณ์แบบนี้ ต่อให้เธอจะรู้สึกหิว ก็คงได้แต่อดทน
การผ่าตัดของคุณท่านเฉิน ไม่ใช่จะเสร็จสิ้นในเวลาสั้น ๆ มู่น่อนน่อนก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องอดทนไปนานแค่ไหน
ทันใดนั้น สือเย่ปรากฏตัวขึ้นที่ระเบียงพร้อมกับพรรคพวก
เขาเดินตรงมาที่เฉินถิงเซียว เมื่อเดินผ่านเฉินชิงเฟิงนั้น เขาก็โค้งคำนับเล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทาย
สือเย่ยืนอยู่ตรงด้านหน้าของเฉินถิงเซียว : “คุณผู้ชายครับ”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองมู่น่อนน่อนด้วยหางตาแวบหนึ่ง แล้วกล่าวกับสือเย่ว่า : “พาคุณหญิงน้อยกลับไป”
มู่น่อนน่อนรีบหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียวทันใด
ทำไมต้องพาเธอกลับไป
“ฉันจะรออยู่ที่นี่จนกว่าคุณปู่จะฟื้น” ถ้าหากคุณท่านเฉินฟื้นขึ้นมา ก็น่าคลี่คลายความต้องสงสัยในตัวของเธอได้
แทบจะในทันที เฉินถิงเซียวพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง : “คุณอยู่ที่นี่รังแต่จะทำให้ผมเห็นแล้วรู้สึกขวางหูขวางตา”
“เฉินถิงเซียว!”
“อย่าคิดว่าอยู่ในฐานะคุณหญิงน้อยแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามต้องการ ตอนนี้คุณยังเป็นผู้ต้องสงสัยในการผลักคุณปู่ตกบันได ผมให้สือเย่พาคุณกลับบ้านก็เพื่อให้เขาเฝ้าคุณไว้ให้ดี ไม่ให้หนีไป”
มู่น่อนน่อนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดเหล่านี้จะออกมาจากปากของเฉินถิงเซียว
แต่ว่าน้ำเสียงที่เยือกเย็นของเฉินถิงเซียว ไม่เหมือนกับเป็นการหยอกเย้าเลยสักนิด
เขาไม่ได้หันมามองมู่น่อนน่อนอีก เพียงแค่กล่าวกำชับตรง ๆ กับสือเย่ : “สือเย่ ไม่ได้ยินคำพูดของผมหรือไง พาคุณหญิงน้อยกลับบ้าน แล้วเฝ้าดูให้ดี!”
“เชิญครับ คุณหญิงน้อย” สือเย่ เดินมาที่ด้านหน้าของมู่น่อนน่อน แล้วโค้งคำนับเล็กน้อย ยังคงให้ความนอบน้อม
มู่น่อนน่อนใบหน้าซีด มองเฉินถิงเซียวอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง แล้วก็เดินตามสือเย่จากไป
เธอคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกคนตระกูลเฉินสงสัย อีกทั้งเหตุผลในการสงสัยก็สุดจะฟังไม่ขึ้น
เฉินถิงเซียวพูดขนาดนี้แล้ว เธออยู่ที่นี่ต่อก็ไม่มีความหมาย
เมื่อออกมาจากโรงพยาบาล สือเย่ก็ได้พามู่น่อนน่อนขึ้นรถไป
สือเย่พลางสตาร์ทรถพลางกล่าว : “คุณหญิงน้อยครับ อาหารที่อยู่ในกล่องที่นั่งด้านหลัง คุณผู้ชายให้ผมเตรียมไว้ให้คุณหญิงน้อยโดยเฉพาะครับ”
มู่น่อนน่อนตะลึงเบา ๆ หันไปมองที่นั่งข้าง ๆ เห็นกล่องหนึ่งใบจริง ๆ ด้วย ด้านบนเป็นโลโก้ของคลับจีนติ่ง
เห็นได้ชัดว่าสือเย่ไปเอามาจากโรงแรมจีนติ่งมาให้เธอ
“เฉินถิงเซียวโทรหานายตั้งแต่เมื่อไร” หลังจากที่มาถึงโรงพยาบาลแล้ว เธอก็ยืนอยู่ข้างๆของเฉินถิงเซียว และไม่เห็นเฉินถิงเซียวจะโทรศัพท์หาใครคนใด
สือเย่ครุ่นคิดแล้วกล่าวขึ้น : “หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้วครับ”
มู่น่อนน่อนคิดย้อนกลับไป หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ อย่างนั้นก็น่าจะยังอยู่ที่บ้านตระกูลเฉิน
หรือว่าปฏิกิริยาก่อนหน้านี้ของเฉินถิงเซียวคือการเสแสร้ง
น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนไม่สามารถซ่อนความดีใจของเธอได้ : “เขาโทรหานายตอนนั้น บอกนายอย่างชัดเจนว่าให้นำของกินมาและรับฉันที่โรงพยาบาลเหรอ”
สือเย่กล่าวอธิบาย : “ก็ไม่ใช่ครับ รสปากของคุณผู้ชายผมรู้ดี ของที่คุณผู้ชายให้ผมนำมาล้วนไม่ใช่ของที่คุณผู้ชายชอบครับ”
เฉินถิงเซียวสั่งให้เขานำอาหารเหล่านี้มา ให้เขาไปรับมู่น่อนน่อน แน่นอนว่าย่อมต้องนำมาให้มู่น่อนน่อนโดยเฉพาะ
ความดีใจบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนได้จางลง และไม่ได้พูดอะไรอีก
เธอเปิดกล่องออก พบว่าในนั้นเต็มไปด้วยอาหารโปรดของเธอ แต่ทว่าเธอกลับไม่มีความอยาก
ไม่ว่าเธอจะไม่อยากทาน แต่ลูกในท้องของเธอก็ต้องทานนะ
เธอยังคงไม่เชื่อว่าเฉินถิงเซียวจะสงสัยเธอเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของเฉินชิงเฟิงกับเฉินอินหย่า
และสองสามวันมานี้เธอกับคุณท่านเฉินเข้ากันได้ดีขนาดนี้ เธอไม่มีแรงจูงใจในการทำร้ายคุณท่านเฉินเลยสักนิด
คำพูดของเขาที่อยู่โรงพยาบาลเมื่อสักครู่ จะต้องมีเหตุผลอื่นอย่างแน่นอน!”
เมื่อคิดเช่นนี้ ในใจของมู่น่อนน่อนก็รู้สึกดีขึ้น
สือเย่พลางขับรถพลางสังเกตมู่น่อนน่อนจากกระจกมองหลัง
เห็นเธอเริ่มทานอาหาร สือเย่ถึงได้ถอนหายใจโล่งอก
อันที่จริงถึงตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตอนนั้นเฉินถิงเซียวโทรศัพท์มาหาเขา นอกจากกำชับให้เขานำอาหารมาและรับมู่น่อนน่อนแล้ว อย่างอื่นก็ไม่ได้กล่าวถึง
เมื่อสักครู่ตอนที่อยู่โรงพยาบาล น้ำเสียงที่เฉินถิงเซียวใช้พูดกับมู่น่อนน่อน ก็ทำให้เขาตระหนักได้ว่าเรื่องราวไม่ได้ง่าย ทำให้เขาเดาออกได้รางๆ
เห็นมู่น่อนน่อนทานพอประมาณแล้ว เขาถึงได้เอ่ยปากถาม : “คุณหญิงน้อยครับ ทำไมคุณผู้ชายถึงพูดว่าคุณหยิงน้อยเป็นคนผลักคุณท่านเฉินตกบันไดละครับ”
มู่น่อนน่อนถอนหายใจยาวแล้วกล่าว : “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าฉันไม่ได้ผลักท่าน”
……
ทุกคนในตระกูลเฉินไปที่โรงพยาบาลกันหมด
มู่น่อนน่อนถูกสือเย่ส่งกลับบ้าน ตลอดทางก็มีแต่คนรับใช้
เธอนึกถึงคำพูดของเฉินอินหย่าก่อนหน้านี้
เฉินอินหย่าพูดไม่มีผิด คนบ้านตระกูลเฉินก็มีเพียงเธอคนเดียวที่แซ่อื่น
ดังนั้นพวกเขาจะสงสัยเธอก็ไม่ผิด
เธอไม่ได้กลับไปที่ห้องโดยตรง แต่กลับไปในสถานที่ที่คุณท่านเฉินตกลงมา
สือเย่นั้นจำคำพูดของเฉินถิงเซียวขึ้นใส่ใจ ตามเฝ้าเธอทุกฝีก้าวโดยไม่คลาดสาย
ตำรวจมาเก็บรวบรวมหลักฐานและปิดกั้นที่เกิดเหตุแล้วก็จากไปแล้ว แต่แค่สถานที่เกิดเหตุเกือบจะไม่มีข้อมูลอะไรที่มีประโยชน์เลย
มู่น่อนน่อนเดินขึ้นตามบันไดที่คุณท่านเฉินนั้นตกลงมา แล้วครุ่นคิดอย่างรอบคอบถึงฉากที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
ตอนนี้ทุกคนในตระกูลเฉินต่างสงสัยเธอ อย่างนั้นก็แปลได้ว่า นี่น่าจะเป็นฉากเกมหนึ่ง
ซึ่งเป็นฉากที่จัดขึ้นเพื่อจงใจใส่ร้ายเธอ
เสียงของคนรับใช้ทำให้คนอื่นกรูกันเข้ามา
มู่น่อนน่อนตกตะลึงมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า จ้องมองทุกคนที่ล้อมรอบอยู่ข้างกายคุณท่านเฉิน จากนั้นมู่น่อนน่อนถึงได้ยกเท้าวิ่งลงมาด้านล่าง
เฉินเหลียนเองก็เดินตามเสียงเข้ามา : “พ่อ! พ่อเป็นอะไรคะ พ่อ”
เธอวิ่งลงมาตามบันไดได้เพียงสองขั้น ก็เห็นเฉินถิงเซียวกับเฉินชิงเฟิงเดินมุ่งมาทางนี้อย่างรีบร้อน
เฉินถิงเซียวเงยหน้ามองมาทางเธอแวบหนึ่ง ราวกับมีกระแสจิตก็ไม่ปาน
เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เหมือนกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็มองเธอเพียงเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร
แววตานี้ช่างเย็นชามาก
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป คุกเข่านั่งลงกับพื้นแล้วตะโกนเรียก : “คุณปู่”
คุณท่านเฉินตกลงมาจากบันไดที่สูงขนาดนั้น เลือดไหลออกมามากมาย บวกกับที่อายุมาก จึงไม่มีใครกล้าที่จะแตะต้องตัวเขา
คุณท่านเฉินหมดสติ ไม่มีการตอบสนองใด ๆ
ไม่ช้าแพทย์ประจำตระกูลก็มาถึง จัดการกับคุณท่านเฉินอยู่ครู่หนึ่ง ก็นำขึ้นรถส่งไปยังโรงพยาบาล
ทุกคนได้ตามไปที่โรงพยาบาลด้วย
ก่อนไป เฉินชิงเฟิงหันมามองคนรับใช้คนแรกที่เป็นคนพบคุณท่านเฉินตกลงมา :“พวกเธอก็ตามมาด้วย”
โชคดีที่มีโรงพยาบาลเอกชนสังกัดบริษัทเฉินซื่อ สามารถทำการผ่าตัดให้กับคุณท่านเฉินได้ในทันที
“วินิจฉัยเบื้องต้นคือมีอาการเลือดออกในสมอง มีการแตกหักของกระดูกหลายจุดในร่างกาย สถานการณ์ไม่สู้ดี ตอนนี้ต้องรีบทำการผ่าตัดด่วน”
คำพูดของแพทย์ทำให้ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน บรรยากาศหยุดนิ่ง
ประตูห้องผ่าตัดถูกปิดลง ทุกคนต่างรออยู่ด้านนนอก
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างๆแวบหนึ่ง เห็นสีหน้าที่เยือกเย็นของเขา เธอจึงเอื้อมมือออกไปกุมมือของเขา
แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่ได้กุมมือเธอกลับเหมือนอย่างทุกครั้ง และก็ไม่ได้หันมามองเธอ
เวลานี้ ระเบียงทางเดินที่เงียบสงัดมีเสียงของเฉินชิงเฟิงดังขึ้น
“ใครเป็นคนแรกที่พบคุณท่านเฉิน” มีความเคร่งขรึมในน้ำเสียงของเขา
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงจึงหันไป
“ดิฉันค่ะ” เป็นเสียงตอบของคนรับใช้คนหนึ่งที่ได้ตามมาด้วย
คนรับใช้คนนั้นดูเหมือนว่าจะกลัวเฉินชิงเฟิงโยนความผิดเรื่องนี้มาให้เธอ สีหน้าของเธอจึงดูแย่มาก น้ำเสียงก็ซ่อนด้วยความตื่นตระหนกกลัว
ดูเหมือนว่าเธอนึกอะไรบางอย่างขึ้น จึงยื่นมือชี้ไปที่มู่น่อนน่อน : “ดิฉันได้ยินเสียงของคุณหญิงน้อยจึงได้เข้าไป ตอนที่ไปถึงก็เห็นคุณท่านนั้นตกลงมาแล้วค่ะ……”
เฉินชิงเฟิงได้ยินดังนั้นจึงหันหน้าไปทางมู่น่อนน่อน : “น่อนน่อน ไหนเธอบอกมาสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
เมื่อคำพูดของเขาออกมาจากปาก ทุกสายตาต่างหันมองมาทางมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีข้างในจิตใจ
พวกเขาคิดว่าเธอเป็นคนผลักคุณท่านเฉินตกลงมาจากบันไดเหรอ
มู่น่อนน่อนทำจิตใจให้นิ่งแล้วกล่าว : “ก่อนหน้านี้มีคนรับใช้มาเรียกหนู บอกว่าคุณปู่เรียกให้ไปหา เมื่อหนูไปถึงก็พบว่าในห้องไม่มีคน หนูได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่หน้าบันได เมื่อเดินเข้าไป คุณปู่ท่านก็……ตกลงไปแล้ว”
เฉินชิงเฟิงได้ยินดังนั้น จึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม : “เป็นคนรับใช้คนไหนที่มาเรียก”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า : “หนูไม่รู้ค่ะ ตอนนั้นคนรับใช้คนนั้นเรียกหนูจากนอกห้อง”
เฉินชิงเฟิงได้ยินดังนั้นจึงขมวดคิ้วขึ้น มองมู่น่อนน่อนแล้วเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง เฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างๆจึงได้เดินมาบังอยู่ตรงด้านหน้าของมู่น่อนน่อน แล้วกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าที่เย็นชา : “นี่คุณพ่อสงสัยว่ามู่น่อนน่อนเป็นคนผลักคุณปู่เหรอ”
เฉินชิงเฟิงเงยหน้าจ้องตากับเฉินถิงเซียว : “เกิดเรื่องที่บ้านกับคุณปู่แน่นอนว่าจะต้องทำการสอบถามคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด”
เฉินถิงเซียวยิ้มเยาะอย่างไม่พอใจ : “ทุกคนต่างก็ดูออกว่าคุณปู่นั้นชอบมู่น่อนน่อนมาก แล้วเธอจะมีเหตุผลอะไรที่ไปทำแบบนี้กับคุณปู่”
“แน่นอนว่าเธอย่อมมีเหตุผลที่จะทำแบบนี้!”
เสียงเฉินอินหย่าดังขึ้นในบัดดล
ทุกคนหันไปมอง ก็เห็นเฉินอินหย่ากับซือเฉิงหยู้และพรรคพวกเดินเข้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว
พวกเขาเพิ่งจะรู้ข่าวทีหลังว่าคุณปู่ตกลงมาจากบันได จึงได้รีบเร่งเดินทางมา
เฉินชิงเฟิงดุว่าเฉินอินหย่าด้วยน้ำเสียงรุนแรง : “อินหย่า รู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไร”
“แน่นอน ฉันรู้ตัวดีว่ากำลังพูดอะไรอยู่!”
เฉินอินหย่าพลางพูดพลางหันหน้าไปมองทางมู่น่อนน่อน ยกริมฝีปากยิ้มขึ้นอย่างดูแคลน : “มู่น่อนน่อน เธอเคียดแค้นเรื่องที่คุณปู่ส่งผู้หญิงไปที่คฤหาสน์ของพี่สาม ดังนั้นจึงได้ลงมือกับคุณปู่อย่างโหดร้าย ถูกไหม”
มู่น่อนน่อนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย มองเฉินอินหย่าอย่างไม่เชื่อสายตา : “ฉันเปล่า”
“เปล่าเหรอ” ยิ้มมุมปากเฉินอินหย่าลึกมากยิ่งขึ้น: “สองวันมานี้ ในตระกูลเฉินก็เธอคนเดียวที่แซ่อื่น นอกจากเธอแล้วยังจะมีใครได้อีก ยังมีใครที่จะใจร้ายพอลงมือกับคนแก่ได้อีก เธอบอกเธอเปล่า พี่สามเชื่อเธอไหม”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้น หัวใจบีบรัดแน่น
ตามความรู้สึก เธอรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวนั้นต้องเชื่อเธอ
แต่ว่านั่นก็เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น
เธอจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวค่อยๆดึงมือตัวเองออกจากมือของเธอ ดวงตาดำดุจหมึกจ้องมองเธออย่างเคร่งขรึม : “คุณเคียดแค้นคุณปู่ด้วยเรื่องนั้นจริงเหรอ”
สมองของมู่น่อนน่อนดัง“ตุ้บ”ขึ้น
นี่เฉินถิงเซียวกำลังสงสัยเธอใช่ไหม
เขาไม่เพียงแต่ไม่พูดตรง ๆ ว่าเชื่อเธอ กลับยังตั้งคำถามสงสัยเช่นนี้กับเธอ
มู่น่อนน่อนรู้สึกมีความเย็นวาบผ่านเข้ามาจากฝ่าเท้า จากนั้นกระจายไปทั่วแขนขาของเธอ
เธอยังคงส่ายหน้าปฏิเสธเหมือนก่อนหน้านี้ : “ฉันเปล่า”
เฉินถิงเซียวมองเธอเพียงครู่เดียวแล้วก็เบนสายตาไป จากนั้นถามต่อขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “คุณยืนยันได้ไหมว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ตอนนั้นข้างกายคุณยังมีคนอื่นอยู่หรือเปล่า”
มู่น่อนน่อนถอยหลังออกไปครึ่งก้าว มองเฉินถิงเซียวด้วยแววตาไม่คุ้นเคย : “เฉินถิงเซียว คุณหมายความว่าอย่างไร ตอนนี้คุณเชื่อว่าฉันคือคนต้องสงสัยที่ทำร้ายคุณปู่ ดังนั้นจึงเริ่มสอบปากคำฉันแล้วใช่ไหม”
ในน้ำเสียงของเฉินถิงเซียวฟังไม่ออกถึงอารมณ์ใด ๆ : “ตอบคำถามผมมา”
เสียงคำสุดท้ายของเขายังไม่ทันจาง มู่น่อนน่อนก็ตะโกนขึ้น : “ฉันไม่ตอบ!”
“ฉันไม่ได้ทำร้ายคุณปู่ ทำไมฉันจะต้องยอมรับการสอบปากคำจากคุณ!”
ถ้าหากเวลานี้คนที่ถามคำถามเหล่านีคือเฉินชิงเฟิง มู่น่อนน่อนก็คงจะไม่ต่อต้านขนาดนี้
เธอคิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาแรกของเฉินถิงเซียวคือการสงสัยเธอ
เฉินชิงเฟิงได้ยืนออกมา เขาตบเข้าที่ไหล่ของเฉินถิงเซียว : “มีอะไรค่อยๆพูด น่อนน่อนยังตั้งท้องอยู่ ตอนนี้คุณปู่ยังอยู่ในห้องผ่าตัด เรื่องราวยังไม่มีข้อสรุป ทุกคนต่างก็น่าสงสัยทั้งนั้น แต่ว่าน่อนน่อนเป็นเมียแก แกไม่ควรจะสงสัยเธออย่างนี้”
คำพูดของเฉินชิงเฟิง ฟังแล้วเหมือนจะมีเหตุผล แต่เมื่อทบทวนสองรอบก็รู้สึกผิดปกติ
เมื่อสักครู่ เห็นได้ชัดว่าเฉินชิงเฟิงเป็นคนแรกที่ถามว่าใครเป็นคนแรกที่เจอคุณปู่ ตอนนี้กลับมาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย บอกว่าเรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุป……
เฉินอินหย่าได้ยินคำพูดของเฉินชิงเฟิง ใบหน้าจึงบังเกิดความไม่พอใจ : “คุณลุงคะ เรื่องของคุณปู่นี้จะต้องหนีไม่พ้นผู้หญิงคนนี้อย่างแน่นอน!”
“อินหย่า อย่าโวยวาย คุณปู่ยังอยู่ในห้องผ่าตัด รอท่านทำการผ่าตัดเสร็จแล้ว พวกเราค่อยมาจัดการเรื่องนี้ แต่……”
เฉินชิงเฟิงพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักขึ้น กวาดสายตาไปยังผู้คนที่อยู่ตรงนี้ สุดท้ายไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าของมู่น่อนน่อน : “ ห้ามทุกคนออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผม”
เฉินชิงเฟิงกับเฉินเหลียนเป็นพี่น้องกัน ดูจากความสัมพันธ์ของทั้งคู่ช่วงสองวันนี้ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีมาก
ถ้าทั้งสองเพียงเดินคุยกันตามปกติก็ไม่มีอะไร
แต่ทั้งสองดูกลัวๆ ว่าใครจะมาพบเข้า ดูลับๆ ล่อๆ น่าสงสัยมาก
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากติดตามไป
เนื่องจากเป็นวันส่งท้ายปีเก่า บ้านเก่าจึงมีคนรับใช้น้อยกว่าปกติ พวกเขาเพิ่งทานอาหารเสร็จ ตอนนี้คนรับใช้จึงกำลังรับประทานอาหารเย็นวันส่งท้ายปีเก่ากันอยู่
ดังนั้น ที่มู่น่อนน่อนเดินไปตลอดทาง จึงแทบจะไม่มีคนรับใช้เลย
เธอติดตามเฉินชิงเฟิงกับเฉินเหลียนไปตลอดทางจนเห็นเฉินชิงเฟิงพาเฉินเหลียนเข้าไปในห้องของตัวเขาเอง
ตอนที่ปิดประตู เฉินชิงเฟิงยังเหลือบมองปากประตูครู่หนึ่งด้วย
มู่น่อนน่อนหลบเข้ามุมด้านข้างอย่างระแวดระวัง
เมื่อออกมาอีกครั้ง ประตูก็ปิดแล้ว
มู่น่อนน่อนเดินไปที่หน้าประตูห้องเฉินชิงเฟิง เอาหูแนบประตูตั้งใจฟังว่าทั้งสองคุยอะไรกัน
เธอรู้สึกว่าพวกเขาต้องมีความลับบางอย่างแน่นอน
เฉินเหลียนเป็นแม่ของซือเฉิงหยู้ สองเดือนที่ผ่านมาจู่ๆ ซือเฉิงหยู้ก็เปลี่ยนพฤติกรรมมางัดข้อกับเฉินถิงเซียว ส่วนเฉินถิงเซียวกับเฉินเหลียนก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันนัก
ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวซือเฉิงหยู้เฉินเจียฉินมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วความสัมพันธ์กับเฉินเหลียนก็ย่อมไม่เลว เขาจะไม่ตีตัวออกห่างเฉินเหลียนโดยไม่มีเหตุผล
ต่อให้มีปัญหากับซือเฉิงหยู้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเย็นชากับเฉินเหลียนเพราะซือเฉิงหยู้
มันสามารถมองเห็นได้จากเฉินเจียฉิน เขาไม่ได้เอาความโกรธที่มีต่อซือเฉิงหยู้ไปเย็นชาใส่เฉินเจียฉิน
ดูอย่างนี้แล้ว ตัวเฉินเหลียนต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน
คิดแบบนี้แล้วมู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าตระกูลมหาเศรษฐีปัญหาเยอะจริงๆ
มีความลับมากมาย
ฉนวนกันเสียงของห้องนั้นยอดเยี่ยม มู่น่อนน่อนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
ในเมื่อไม่ได้ยินอะไรเลย มู่น่อนน่อนจำต้องหันหลังเดินจากไป
เธอยังไม่ได้เดินไปไกล ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้นข้างหลัง
อาจเพราะกินปูนร้อนท้องมู่น่อนน่อนจึงวิ่งหนีไป
เธอวิ่งไปถึงหัวมุม หอบหายใจ ก่อนจะชะโงกศีรษะไปมอง เธอพบว่าเฉินชิงเฟิงกับเฉินเหลียนทั้งสองคนออกไปอีกทางแล้ว
มู่น่อนน่อนถึงได้ถอนหายใจโล่งอก กลับไปเข้าห้องน้ำในห้องแล้วเดินไปที่ห้องอาหาร
เดินไปถึงประตูห้องอาหาร เธอก็พบเฉินถิงเซียวที่รีบเร่งเดินมา
ทันทีที่เฉินถิงเซียวเห็นเธอก็หยุดก้าวเดิน แล้วขมวดคิ้วถามเธอว่า “ทำไมตั้งนานเพิ่งกลับมา”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก รู้สึกว่านอกจากเรื่องเมื่อครู่ที่ไปพิสูจน์ว่าเฉินชิงเฟิงกับเฉินเหลียนมีความลับบางอย่าง ก็ไม่สามารถอธิบายอะไรได้เลย
เพราะว่าใครกันจะไม่มีความลับ
ดังนั้น เธอจึงไม่อยากบอกเฉินถิงเซียว จึงเค้นออกไปสองคำ “ท้องผูก”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว ลูบศีรษะของเธอ แล้วพาเธอเข้าไปข้างใน
เมื่อมู่น่อนน่อนเข้าไป ก็พบว่าเฉินชิงเฟิงอยู่ในห้องอาหารแล้ว
เหมือนว่าสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่น่อนน่อน เฉินชิงเฟิงจึงหันหน้าไปมองเธอแล้วยิ้มให้
เพราะเรื่องเมื่อครู่ เมื่อมู่น่อนน่อนเห็นเฉินชิงเฟิงยิ้ม จึงรู้สึกแปลกๆ
แต่เธอก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า ทำแค่ยิ้มให้เฉินชิงเฟิง
ผ่านไปสักพัก เฉินเหลียนก็เข้ามา
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวนั่งข้างคุณปู่เฉิน เฉินเหลียนก็ไปนั่งลงอีกด้านข้างคุณปู่เฉินด้วย
เฉินเหลียนถามขึ้นน้ำเสียงนุ่มนวล “น่อนน่อนกี่เดินแล้ว ท้องยังไม่ออกเลย”
“ไม่ถึงสองเดือนค่ะ” มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะลูบท้องเล็กของตัวเองโดยอัตโนมัติ
เฉินถิงเซียวหันหน้าไปมองเธอ และสายตาก็อ่อนโยนตาม
สายตาของเฉินเหลียนมองกลับมาที่ทั้งสองคนแล้วก็ยิ้ม
เป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนและใจดี
ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนก็เกิดความสงสัย ผู้หญิงอย่างเฉินเหลียน ดูอ่อนโยนและอ่อนแอ แต่เด็กสองคนที่เธอเลี้ยงดูสั่งสอนกลับมีบุคลิกแตกต่างจากเธอโดยสิ้นเชิง
ไม่สิ แค่เฉินเจียฉินเท่านั้นที่มีบุคลิกแตกต่างจากเธอมากมายนัก
ส่วนซือเฉิงหยู้นั้นมีท่าทางอบอุ่นและอ่อนโยนมาโดยตลอด ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้น
ที่ซือเฉิงหยู้กลายเป็นคนหน้าอย่างหลังอย่าง เกี่ยวข้องเพราะครอบครัวเป็นเหตุหรือไม่
“น่อนน่อน คุณเป็นอะไร”
มู่น่อนน่อนได้สติกลับมา ถึงได้พบว่าตัวเองกำลังจ้องเฉินเหลียนอยู่
เธอยิ้มและพูดว่า “คุณป้า มีอะไรเหรอคะ”
“เมื่อครู่ฉันถามคุณหลายรอบว่าจะไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูว่าชายหรือหญิงเมื่อไร” น้ำเสียงของเฉินเหลียนยังคงอบอุ่นอ่อนโยน
“คงจะไม่ค่ะ” มู่น่อนน่อนพูดแล้วหันไปมองเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วของเฉินเหลียน น้ำเสียงค่อนข้างเย็นชา “ชายหญิงไม่สำคัญ”
บรรยากาศค่อนข้างกระอักกระอ่วน
ครอบครัวแบบตระกูลเฉิน โดยธรรมชาติแล้วจึงต้องการให้มู่น่อนน่อนให้กำเนิดบุตรชาย
เมื่อเฉินเหลียนถูกเฉินถิงเซียวพูดใส่อย่างนั้น สีหน้าจึงเปลี่ยนเล็กน้อย ฝืนยิ้มและไม่ส่งเสียงใดๆ อีก
มู่น่อนน่อนหยิกมือเฉินถิงเซียวเงียบๆ
วันนี้เพราะเป็นวันสิ้นปี เธอรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวควรจะควบคุมอารมณ์เอาไว้หน่อย
แต่ใครจะรู้ เฉินถิงเซียวกลับหันหน้ามากวาดตามองเธออย่างเย็นชา…
……
ผ่านเที่ยงคืน ทุกคนกล่าวสวัสดีปีใหม่ซึ่งกันและกัน
คุณปู่เฉินมอบอั่งเปาซองใหญ่แก่เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนคนละซอง “พวกแกทั้งคู่ต้องดีๆ กันนะ”
มู่น่อนน่อนยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณค่ะคุณปู่”
แน่นอนว่าหลานคนอื่นๆ ในตระกูลก็ได้รับอั่งเปาจากคุณปู่เฉินด้วย
กลับไปที่ห้อง มู่น่อนน่อนเปิดอั่งเปาพร้อมกับสังเกตสีหน้าท่าทางของเฉินถิงเซียวไปด้วย
เฉินถิงเซียวหลังจากที่เฉินเหลียนถามคำถามนั้น สีหน้าก็ไม่ดีอยู่ตลอด
“เฉินถิงเซียว!” มู่น่อนน่อนส่งเสียงเรียกเขา
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเธออย่างไร้อารมณ์ “อะไร”
“คุณป้าแค่ถามว่าต้องการตรวจเพศเด็กหรือไม่ ทำไมคุณถึงทำปฏิกิริยาใหญ่โตขนาดนี้”
เฉินถิงเซียวไม่พูด
มู่น่อนน่อนลุกจากเตียงเดินไปหาเขา “เธอไม่ได้ตั้งใจ คุณ…”
“ตั้งใจไม่ตั้งใจผมสนเหรอ” เฉินถิงเซียวหันไปมองเธอ ใบหน้าเย็นชา “มู่น่อนน่อน ตอนนั้นที่ตอบตกลงคุณว่าจะกลับปีใหม่ที่บ้านเก่า ไม่ใช่การพาคุณมาอดทนคับข้องใจเห็นแก่หน้าคนอื่น”
มู่น่อนน่อนชะงักไป
ที่แท้ที่เขาเป็นแบบนี้เพราะโกรธมาก
“ฉันไม่ได้คับข้องใจ จริงๆ นะ”
มู่น่อนน่อนอยากหัวเราะ หลายวันมานี้เฉินถิงเซียวมองเธออย่างเข้มงวด เธอมีแต่จะรู้สึกเหมือนเป็นเด็กเล็ก ไหนเลยยังจะมีความคับข้องใจ
เฉินถิงเซียวจ้องเธออยู่สองสามวินาที เหมือนเพื่อความแน่ใจว่าเธอไม่ได้พูดโกหก
ไม่นานเขาก็ถอนหายใจ “นอนเถอะ”
……
วันรุ่งขึ้น
เมื่อมู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมา เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้อยู่ข้างกายแล้ว
ข้างนอกมีเสียงคนรับใช้ดังขึ้น “คุณหญิงน้อย คุณตื่นหรือยังคะ คุณท่านเฉินให้มาเชิญคุณไปหา คุณชายก็กำลังรอคุณอยู่ที่นั่นด้วยค่ะ”
มู่น่อนน่อนได้ยินก็ลุกขึ้นนั่งทันที “ตื่นแล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
เธอมองดูเวลา มันสิบเอ็ดโมงแล้ว
เธอรีบลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟันเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปหาคุณปู่เฉิน
ประตูห้องคุณปู่เฉินเปิดกว้าง แต่ข้างในกลับไม่มีใคร
เธอออกจากในห้อง พลันได้ยินเสียงเคลื่อนไหวตรงปากบันได
“คุณปู่คะ”
เธอเรียกแล้วไม่ได้ยินเสียงตอบ จึงเดินเข้าไป
ทันใดนั้นก็มีเสียงของหนักกลิ้งตกจากบันได
มู่น่อนน่อนหัวใจบีบรัด รีบวิ่งไปที่บันใด
เธอวิ่งไปแล้วพบว่าคุณปู่เฉินกลิ้งตกบันไดถึงพื้นแล้ว พื้นสีขาวเต็มไปด้วยกองเลือดไหลนองเป็นวงกว้าง
มู่น่อนน่อนดวงตาเบิกกว้าง ผ่านไปหลายวินาทีกว่าจะได้สติ ก่อนจะร้องเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “คุณปู่!”
มีคนรับใช้ผ่านมากรี๊ดเสียงดังลั่น
“กรี๊ด! ใครก็ได้มาเร็วๆ คุณท่านล้ม…”
“เกิดอะไรขึ้น…คุณท่านเฉิน!”
“รีบโทรหาหมอเร็ว!”
มู่น่อนน่อนประหลาดใจเล็กน้อย
เธอเพิ่มข้อมูลของฉินสุ่ยซานก่อน เมื่อวกกลับมาก็พบว่าอีกฝ่ายอยู่ในสถานะ ‘กำลังพิมพ์’
ในนาทีต่อมา ข้อความที่ฉินสุ่ยซานส่งให้เธอก็ปรากฏบนหน้าจอ
“มู่น่อนน่อน คุณคิดออกแล้วเหรอ”
ดูเหมือนเธอยังจำสิ่งที่เธอพูดก่อนหน้านี้ได้
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่อ้อมค้อม “ใช่ เรื่องที่คุณพูดก่อนหน้านี้ยังนับอยู่ไหม”
“แน่นอนว่านับ”
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินสุ่ยซานก็ส่งข้อความถึงเธออีกครั้ง “คุณเขียนประเภทไหน ส่งมาให้ฉันย่อๆ ก่อน แต่ช่วงนี้ฉันอาจไม่ว่าง ตอนนี้ฉันยังทำงานล่วงเวลาอยู่ คุณรอข้อความฉันหน่อยนะ บางทีอาจจะหลังเทศกาลโคมไฟ”
ความรู้สึกแรกที่มู่น่อนน่อนมีต่อฉินสุ่ยซานก็คือเป็นคุณหนูทองพันชั่งที่ไม่มีสามคติในการใช้ชีวิต
แต่ตอนนี้เธอพบว่า ฉินสุ่ยซานอาจจะไม่ใช่คนที่มีมุมมองเชิงบวกกับสามคติในการใช้ชีวิต แต่เธอมีกฎเกณฑ์ชีวิตของตัวเอง
โลกนี้ไม่มีดีเลวดำขาวที่แน่นอน
คนแบบฉินสุ่ยซาน มีกฎเกณฑ์ชีวิตของตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ บางทีอาจเป็นคนที่ใช้ชีวิตผ่านไปอย่างยอดเยี่ยมที่สุด
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณนะ” มู่น่อนน่อนขอบคุณจากใจจริง
“อย่าเพิ่งขอบคุณเร็วนัก ถ้าสคริปต์ของคุณแย่ ฉันก็หาให้คุณได้แค่ผู้กำกับชั้นสามไม่มีชื่อเสียงโด่งดังนะ”
ฉินสุ่ยซานพูดตรงๆ แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ไม่พอใจ
“โอเค”
“ฉันยังมีงานต้องทำ ยุ่งจะตายแล้ว ถ้าว่างแล้วเดี๋ยวจะคุยกับคุณอีก”
มู่น่อนน่อนกำลังจะตอบกลับไปว่า “คุณทำงานก่อนเถอะ” ก็เห็นแถบสถานะขึ้นว่าฉินสุ่ยซานกำลังส่งข้อความ
ในเวลาอันรวดเร็ว ข้อความของฉินสุ่ยซานก็ส่งเข้ามา “ตอนนี้คุณอยู่บ้านเก่าตระกูลเฉินใช่ไหม เฉินอินหย่ากลับบ้านปีใหม่คนเดียวหรือเปล่า”
“คุณอยากถามอะไรเหรอ” มู่น่อนน่อนคิดไปถึงครั้งก่อนที่เฉินอินหย่ากับฉินสุ่ยซานมีเรื่องกัน เฉินอินหย่าได้พูดถึงสวุมู่หันด้วย
สวุมู่หันเปิดตัวเป็นดาราเด็ก เป็นนักแสดงที่มีความสามารถสูงในวงการบันเทิง และเป็นนายแบบด้วย มีผลงานปรากฏบนหน้าจอทุกปี ผู้ชมก็ไม่เลวด้วย
ฟังจากคำพูดของเฉินอินหย่าในตอนนั้น ชัดเจนมากว่าฉินสุ่ยซาน ก็ชอบสวุมู่หัน
มู่น่อนน่อนยิ้มและตอบกลับไป “เธอกลับบ้านปีใหม่คนเดียว คุณวางใจเถอะ”
ฉินสุ่ยซานปากแข็ง “วางใจไม่วางใจอะไร ยัยบ้าเฉินอินหย่านั่นน่ะ ฉันว่าเธอไม่ได้แต่งออกหรอก!”
เฉินอินหย่าไม่ได้แต่งออกเหรอ
เป็นไปได้อย่างไรที่จะแต่งไม่ออก เพราะถึงอย่างไรเฉินอินหย่าก็รูปร่างหน้าตาไม่เลว พื้นเพตระกูลก็ถือว่าดีกว่าคนทั่วไป
“คุยกับใครอยู่”
ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวเดินเข้ามาต้องแต่เมื่อไร
มู่น่อนน่อนรีบออกจากหน้าวีแชต เลื่อนปัดข่าวดูราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เพื่อน”
เฉินถิงเซียวนั่งลงตรงข้ามเธอ “มู่น่อนน่อน”
น้ำเสียงของเขาค่อนข้างจริงจัง ทำให้มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองเขา
“ก่อนอาหารเช้าใครโทรหาคุณ” เธอไม่พูด เขาจึงตั้งใจถามเธอตรงๆ
มู่น่อนน่อนไม่ปิดบัง “แม่ของฉัน”
“แล้วยังไง” เฉินถิงเซียวนึกถึงสายตาตอนนั้นที่ใช้มองเขา จึงคิดขึ้นมาได้ทันทีว่าเซียวซู่เหอพูดอะไร
“แค่ถามว่าฉันจะกลับไปเยี่ยมปีใหม่ที่บ้านตระกูลมู่เมื่อไร แล้วก็เรื่องที่ท่านมาหาฉันก่อนหน้านี้” มู่น่อนน่อนในเวลานี้เป็นสีหน้าสบายๆ ส่งผ่านความหมาย
เฉินถิงเซียวหรี่ตามอง พินิจพิจารณาการแสดงออกของมู่น่อนน่อน แต่การแสดงออกของเธอกลับไม่มีอะไรผิดปกติ
แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าที่ตัวเองไล่เซียวซู่เหอในตอนนั้น แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้บอกมู่น่อนน่อนว่ามีปัญหาอะไร
เขาคิดขึ้นมาได้ว่าหมอเคยบอก อารมณ์ของหญิงตั้งครรภ์ไม่แน่นอน แปรปรวนได้ง่ายมาก
ทันทีที่คิดแบบนี้ เขาก็ไม่คิดอีกว่าทำไมจู่ๆ มู่น่อนน่อนก็อารมณ์ไม่ดี
“เธอวาดฝันสวยหรูเกินไป!” เซียวซู่เหอยังมีหน้ามาโทรหามู่น่อนน่อนแล้วถามเธอว่าจะกลับไปเยี่ยมปีใหม่เมื่อไร
มู่น่อนน่อนไม่ได้แสดงท่าที เพียงแค่พูดน้ำเสียงบางเบาว่า “เมื่อถึงเวลาก็ส่งคนนำของไปให้ที่ตระกูลมู่ก็พอ”
เฉินถิงเซียวเลื่อนสายตาขึ้นมอง “แล้วแต่คุณ”
……
มื้อค่ำปีใหม่ รวบรวมทุกคนในตระกูลมู่
บ้านเก่าใหญ่มาก นอกจากห้องอาหารที่ทานกันเป็นปกติ ยังมีห้องอาหารสำหรับจัดเลี้ยงอีกห้องด้วย
ห้องอาหารใหญ่มาก แทบจะสามารถจัดปาร์ตี้เล็กๆ ได้เลย
และความจริงก็คือ การที่ญาติพี่น้องตระกูลเฉินมารวมตัวกันทานอาหารก็เท่ากับเป็นปาร์ตี้เล็กๆ แล้ว
คนมากเกินไปจนมู่น่อนน่อนหันหน้าไปกระซิบถามเฉินถิงเซียวเสียงเบาว่า “ฉันจำไม่ได้เลยว่าใครเป็นใคร”
เฉินถิงเซียวจับมือเธอ ริมฝีปากเจือรอยยิ้มว่าไม่เป็นไร “ไม่เป็นไรหรอก พวกเขารู้ว่าคุณเป็นใครก็พอแล้ว”
มู่น่อนน่อนคิดแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล
ทุกครั้งที่มีเด็กมาทัก มู่น่อนน่อนก็จะให้อั่งเปา อั่งเปานี้คุณปู่เฉินสั่งคนรับใช้นำมาให้มู่น่อนน่อนล่วงหน้าแล้ว
คุณปู่เฉินรักเฉินถิงเซียวจริงๆ
วันตรุษจีนทุกคนล้วนแล้วแต่อารมณ์ดี บรรยากาศในห้องอาหารก็ดีเช่นกัน
หลังจากทานอาหารเสร็จ ทุกคนในบ้านรวมตัวพูดคุยและนับถอยหลังวันขึ้นปีใหม่ด้วยกัน เฝ้ารอปีเก่าผ่านพ้นไป
แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่วางแผนจะก้าวผ่านปีใหม่ไปกับคนเหล่านี้ เขาจับมือมู่น่อนน่อน “ไปกันเถอะ”
“ทำไมล่ะ” มู่น่อนน่อนมองเขา แต่ไม่นานก็เข้าใจ ความหมายของเขาคือจะกลับห้องไปนอน
เป็นความจริงที่มู่น่อนน่อนตั้งครรภ์อยู่ แต่หมอบอกว่าตอนนี้เธออยู่ในสภาพร่างกายที่ดีมาก แต่ถ้าแค่ประคองไปจนถึงเที่ยงคืน เธอยังสามารถทำได้
เฉินถิงเซียวคิดมากเรื่องเธอเกินไป
มู่น่อนน่อนเหลือบมองไปทางชายชรา “ฉันไม่เป็นไร แค่เที่ยงคืนเท่านั้นเอง ทุกคนอยู่ที่นี่กันหมด มันไม่ง่ายที่คุณกลับปีใหม่ที่บ้านเก่า กี่ปีแล้วที่คุณไม่ได้นับถอยหลังปีใหม่กับคุณปู่เลย”
เฉินถิงเซียวมีอาการหวั่นไหวทางสีหน้าเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าหวั่นไหวเพราะคำพูดของมู่น่อนน่อน
“ไปเถอะค่ะ พวกเราไปอยู่กับคุณปู่กัน”
มู่น่อนน่อนดึงเฉินถิงเซียวไปหาคุณปู่เฉิน ซึ่งเฉินถิงเซียวก็ตามมา
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป เฉินเจียฉินก็ตามมาด้วย
“พี่น่อนน่อน เล่นไพ่กัน!” ไม่รู้ว่าเฉินเจียฉินไปเอาไพ่โป๊กเกอร์มาจากไหน
มู่น่อนน่อนยิ้ม “ได้สิ ฉันจะให้ญาติผู้พี่เธอช่วยฉันเล่น”
เฉินเจียฉินหน้างอทันที “….งั้นก็ช่างมันเถอะครับ”
มู่น่อนน่อนเล่นไพ่ไม่เป็น แต่เล่นลูกเต๋าเก่งมาก
ส่วนเฉินถิงเซียวนั้นไม่มีอะไรเลยที่ยากสำหรับเขา
“พวกแกไปเล่นกันแล้วคนแก่อย่างฉันจะทำอะไรล่ะ”
เพราะเป็นช่วงปีใหม่ สีหน้าของคุณปู่เฉินจึงไม่ได้เย็นชาจริงจังเหมือนแต่ก่อน กลับกันกลับอ่อนโยนและใจดี
มู่น่อนน่อนผลักเฉินถิงเซียวเงียบๆ ดันเฉินถิงเซียวเข้าไปหาคุณปู่เฉิน
เฉินถิงเซียวนั่งลงข้างคุณปู่เฉิน
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปโดยไม่ตั้งใจ ก็เห็นคุณปู่เฉินมองเธอด้วยรอยยิ้มเต็มดวงตา
มู่น่อนน่อนรู้สึกเขินเล็กน้อย จากนั้นก็ตามด้วยการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“พวกคุณคุยกับไปก่อนนะคะ ฉันจะไปห้องน้ำ” หลังจากตั้งครรภ์มักจะอยากไปห้องน้ำ
เธอพูดจบก็ลุกเดินออกไป
ที่จริงเธอไม่คุ้นเคยกับบ้านเก่า หลังจากคิดแล้วจึงตัดสินใจกลับไปเข้าห้องน้ำบนห้อง
เมื่อเดินขึ้นบันไดไปถึงหัวมุม ก็เห็นเฉินชิงเฟิงกับเฉินเหลียน
สองคนคนหนึ่งเดินนำคนหนึ่งเดินตาม แถมยังมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังเป็นระยะๆ
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าครั้งนั้นเซียวซู่เหอมาหาเธอ
เรื่องนี้เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดถึง
เพราะมู่น่อนน่อนรับสายจึงก้าวช้าลง ตอนแรกเธอเดินข้างเฉินถิงเซียว ตั้งแต่นั้นก็ตามหลังเฉินถิงเซียวสองก้าว
มู่น่อนน่อนฟังคำพูดเซียวซู่เหอแล้วอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่าเธอไม่ได้ตามมา จึงหันกลับไปมองเธอพอดี
เห็นเธอจ้องมองพร้อมกับโทรศัพท์ เขาจึงเลิกคิ้ว “รีบมาเร็ว”
“น่อนน่อน?” เสียงของเซียวซู่เหอดังขึ้นในสาย “ทำไมแกไม่พูด”
“ไม่มีอะไรค่ะแค่นี้นะ” มู่น่อนน่อนพูดทิ้งท้ายอย่างเย็นชา ก่อนจะวางสายไป แล้วเดินไปหาเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวสัมผัสได้ว่าเธออารมณ์ไม่ปกติ จึงขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้ถาม แค่พาเธอเข้าไปในห้องอาหาร
นั่งลงที่โต๊ะทานข้าว มู่น่อนน่อนไม่ได้มองเฉินถิงเซียวมากนัก เฉินถิงเซียวคีบอาหารให้เธอ เธอก็ไม่ตอบสนอง
เหมือนเธอติดอยู่ในอารมณ์ของตัวเองโดยสมบูรณ์
เฉินถิงเซียวนึกขึ้นได้ว่าเธอเพิ่งรับโทรศัพท์ เดาว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับสายนั้น
หลังจากทานอาหารเช้า มู่น่อนน่อนไม่ได้กลับห้อง
เธอลุกขึ้นและพูดกับเฉินถิงเซียวว่า “ฉันจะไปเดินเล่นในสวน”
ไม่รอคำตอบของเฉินถิงเซียว เธอก็เดินออกไปข้างนอกเลย
เฉินเจียฉินวิ่งมานั่งลงข้างเฉินถิงเซียว “พี่น่อนน่อนไปไหน คุณไม่รีบตามไปเหรอครับ ช่วงสองสามวันนี้พวกคุณตัวติดกันอย่างกับแฝดสยาม ผมหาโอกาสเล่นกับพี่น่อนน่อนไม่ได้เลย…”
เฉินถิงเซียวไม่พูด และไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เฉินเจียฉินรู้สึกเบื่อหน่าย กำลังจะลุกขึ้นเพื่อออกไป ก็ได้ยินเฉินถิงเซียวเรียกไว้ข้างหลัง “นายช่วยไปดูเธอให้ฉันหน่อย อย่าให้เกิดเรื่อง”
เพราะอย่างไรมู่น่อนน่อนก็ไม่คุ้นเคยกับบ้านเก่า เขาจึงยังกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ
เฉินเจียฉินเปิดจิตใต้สำนึกโดยสมบูรณ์ “ทำไมคุณไม่ตามไปครับ พวกคุณทะเลาะกันเหรอครับ”
ปรากฏว่าคำพูดของเขาทำให้เฉินถิงเซียวเหลือบมองอย่างเย็นชา เฉินเจียฉินแลบลิ้น ลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไป
เฉินถิงเซียวมองเฉินเจียฉินหายออกจากประตูไป ก่อนจะเม้มริมฝีปากแล้วถอนสายตากลับ
ก่อนหน้านี้ตอนที่มู่น่อนน่อนรับสายได้มองเขาด้วยสายตาซับซ้อนเล็กน้อย มันเจืออารมณ์ที่เขาเห็นแล้วไม่เข้าใจ
เขายังไม่ไปพูดกับเธอก่อน รอเธอสงบจิตสงบใจลงบ้างแล้ว โดยธรรมชาติก็จะเต็มใจมาพูดกับเขาเอง
……
เฉินเจียฉินไปถึงในสวน พบมู่น่อนน่อนนั่งอยู่ในศาลาคนเดียว
บ้านเก่าเป็นอาคารย้อนยุค ดังนั้นจึงมีสระกับศาลาสร้างขึ้นในสวน
มู่น่อนน่อนพิงกับเสาของศาลา สายตาจ้องมองน้ำตรงหน้า
“พี่น่อนน่อน คุณดูอะไรอยู่เหรอครับ”
เฉินเจียฉินวิ่งเข้ามา พอดีกับที่ลมหนาวพัดมา เขาสั่นเล็กน้อย “หนาวจัง”
“เธอตามมาทำไมที่นี่” มู่น่อนน่อนเอียงหน้าไปมองเขา
เฉินเจียฉินสวมหมวกแจ็คเก็ตลง แล้วนั่งลงข้างมู่น่อนน่อน “ญาติผู้พี่ให้ผมมาครับ”
มู่น่อนน่อนกระตุกยิ้มมุมปาก ไม่ได้พูดอะไร
“พวกคุณทะเลาะกันใช่ไหมครับ” เฉินเจียฉินรู้สึกได้ว่ามู่น่อนน่อนไม่ค่อยมีความสุขนัก
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า “เปล่า”
เฉินถิงเซียวไม่ได้บอกว่าเซียวซู่เหอมาหาเธอ โดยพื้นฐานแล้วคือดีต่อเธอ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เธอจะไม่ทะเลาะกับเฉินถิงเซียวเพราะเรื่องนี้
ต่อให้ตอนนั้นเธอจะรู้ว่าเซียวซู่เหอมาหาเธอ เธอก็ไม่แน่ว่าจะให้เซียวซู่เหอมาพักอยู่ด้วย อาจจะให้คนส่งเซียวซู่เหอกลับไปตระกูลมู่
ถ้าเซียวซู่เหอไม่กลับไปตระกูลมู่ เธออาจจะเปิดโรงแรมข้างนอกเพื่อให้เธอพัก
แต่วิธีการของเฉินถิงเซียว มันก็ออกจะเกินไปหน่อย
เพราะถึงอย่างไรแม้แต่คนในตระกูลเฉินเขาก็ไม่สนิท ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซียวซู่เหอ
เพียงแต่มู่น่อนน่อนยังไม่ค่อยสบายใจ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เซียวซู่เหอเป็นแม่ของมู่น่อนน่อน เฉินถิงเซียวไล่เซียวซู่เหอไปก็ควรจะบอกเธอ
เฉินถิงเซียวดูเย็นชา แต่เขาเป็นคนรอบคอบและเอาใจใส่
วิธีที่เขาทำ ทำให้มู่น่อนน่อนตระหนักขึ้นมาฉับพลัน ว่าคนสองคนไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเท่าเทียมกัน
การที่เฉินถิงเซียวตัดสินใจแทนเธอ แล้วไม่บอกเธอเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะในใจของเขา เธอเป็นคนที่ไม่สามารถจัดการกับเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเอง
เมื่อคิดให้ถี่ถ้วนแล้ว ที่จริงเธอไม่มีอะไรเลย
ไม่มีหน้าที่การงานที่ดี ไม่มีข้อได้เปรียบพิเศษ และไม่ฉลาด
ดังนั้นเฉินถิงเซียวจึงตัดสินใจไล่เซียวซู่เหอไปแทนเธอ เขาถึงขนาดคิดว่าการบอกเธอมันไม่จำเป็น
เธอกับเฉินถิงเซียวห่างชั้นกันมาก ยกเว้นที่เฉินถิงเซียวมีนิสัยแตกต่างจากคนทั่วไป นอกนั้นเขาไร้ที่ติ
เธอรู้ว่าโดยพื้นฐานแล้วเขาอาจจะทำสิ่งที่ดีต่อเธอ…
แต่หลายครั้ง มีบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้แค่ภายนอก ไม่สามารถมองแค่เขาทำดีเพื่อเธอเท่านั้น
คนสองคนไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเท่าเทียมกัน มันยากจะยืนยาว
ช่วงนี้เธอพึ่งพาเฉินถิงเซียวมากเกินไป
เธอไม่อยากทำตัวเป็นดอกฝอยทอง ได้แต่ล้อมรอบผู้ชาย ให้ผู้ชายคอยช่วยจัดการทุกอย่างให้เธอ
เฉินเจียฉินเอียงศีรษะ ขมวดคิ้วท่าทางครุ่นคิด “แล้วพวกคุณเป็นอะไรครับ”
มู่น่อนน่อนหัวเราะ “เด็กน้อยสนใจจังเลยนะ”
เฉินเจียฉินบึนปาก ยื่นนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ออกมาทำเป็นตัวอักษรเลขแปด “อย่ามาเรียกผมเด็กน้อยนะ คุณแก่กว่าผมแค่แปดปีเท่านั้น ถ้านับรุ่น พวกเรายังเป็นรุ่นเดียวกัน เป็นเด็กน้อยที่ไหนกันล่ะ”
มู่น่อนน่อนส่งเสียงพึมพำ “หนาวจัง กลับกันเถอะ”
ตอนที่ออกมาเมื่อครู่ยังปกติ ตอนนี้เธอรู้สึกหนาวนิดหน่อย
เธอกับเฉินเจียฉินเพิ่งออกจากศาลา ก็เห็นเฉินถิงเซียวเดินมาทางนี้พร้อมกับเสื้อคลุมของเธอ
มู่น่อนน่อนเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป “เฉินถิงเซียว”
คิ้วของเฉินถิงเซียวขมวดเล็กน้อย เหมือนปมที่แก้ไม่ได้
เขาคลุมเสื้อลงบนตัวเธอเงียบๆ
ทั้งสองเดินไปด้วยกัน
เฉินถิงเซียวคิดว่ามู่น่อนน่อนจะพูดอะไรกับเขา ปรากฏว่าเธอไม่ได้พูดอะไรเลย
เขาคิดขึ้นมาได้ว่าที่จริงแล้วมู่น่อนน่อนเป็นผู้หญิงที่สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกเก่ง
ก่อนหน้านี้ก็รู้อยู่แล้ว ว่าเขาควรถามเธอไปตรงๆ แทนที่จะให้โอกาสเธออยู่คนเดียวเงียบๆ
เธอออกมาเดินวนเวียน หลังจากนั้นก็เงียบไป แทนที่จะบอกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น
มู่น่อนน่อนนึกถึงตอนนั้นที่ฉินสุ่ยซาน ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้เธอ
ตอนนั้นถึงแม้เธอจะปฏิเสธฉินสุ่ยซานอย่างชัดเจน แต่กลับยังบันทึกเบอร์ของฉินสุ่ยซานเอาไว้
ฉินสุ่ยซานนั้นเพราะความสัมพันธ์ของพ่อของเขา จึงมีคนในวงการมากมายสามารถขายหน้าเธอได้
ฉินสุ่ยซานบอกว่ายินดีจะช่วยแนะนำคนให้เธอได้ ตราบใดที่เธอจริงใจ จะช่วยหาคนที่เชื่อถือได้ให้เธอแน่นอน
มู่น่อนน่อนหาจนพบเบอร์ของฉินสุ่ยซาน หลังจากครุ่นคิดแล้วก็ไม่ได้โทรไปเลย แต่ค้นหาวีแชตของฉินสุ่ยซานด้วยหมายเลขโทรศัพท์มือถือของเขาแทน
จู่ๆ ไปโทรหาฉินสุ่ยซาน แน่นอนว่ามันคงน่าอาย
มู่น่อนน่อนส่งคำร้องเพิ่มเพื่อน ระบุชื่อกับข้อมูลเพิ่มเติมของตัวเองลงไป
วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า เธอคิดว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าฉินสุ่ยซานจะตอบกลับหรือจะเพิกเฉย
ทว่าข้อความของเธอเพิ่งออกไปไม่นานก็ตรวจสอบผ่าน
มู่น่อนน่อนร้อนใจ “คุณปู่พูดอะไรกับคุณกันแน่ คุณบอกหน่อยได้ไหม คุณเป็นแบบนี้ฉันกังวลนะคะ!”
เฉินถิงเซียวนั่งลงข้างเตียง
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขาต้องเงยหน้าขึ้นถึงจะเห็นหน้ามู่น่อนน่อน
“คุณปู่พูดว่า…”
เฉินถิงเซียวพูดคำเหล่านี้แล้วจู่ๆ ก็หยุด
มู่น่อนน่อนรอฟังต่อ คิดว่าคุณปู่เฉินพูดเรื่องสำคัญกับเฉินถิงเซียว
เห็นมู่น่อนน่อนฟังด้วยสีหน้าจริงจัง เฉินถิงเซียวจึงพูดต่อให้จบ “ให้เรามีลูกเพิ่มอีกหลายๆ คน”
น้ำเสียงและสีหน้าของเฉินถิงเซียวจริงจังมาก
มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้ตัวว่าเฉินถิงเซียวหลอกเธอ
เธอยื่นมือออกไปนวดศีรษะเฉินถิงเซียวหนึ่งที “ฉันกำลังจริงจังมาก คุณมาล้อเล่นอะไรเนี่ย!”
เฉินถิงเซียวจับมือเธอแล้วดึงเข้าไปในอ้อมแขน “เป็นความจริง”
เมื่อน้ำเสียงลดลง ปากของเขาก็กดตามลงมาทันที
มู่น่อนน่อนเข้าใจแล้วว่าเฉินถิงเซียวไม่อยากบอกเธอ
ไม่ว่าเรื่องอะไรที่ไม่อยากบอกเธอ เฉินถิงเซียวจะทำบางสิ่งเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ
เรื่องอะไรของเธอเขารู้หมด แต่เขามักจะมีความลับเสมอ มักจะมีเรื่องราวมากมายที่ไม่ให้เธอรู้
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปากเขาอย่างโกรธๆ
เธอไม่เบาแรง กัดริมฝีปากของเฉินถิงเซียวจนกลิ่นคาวเลือดกระจายไปทั่วปาก
เฉินถิงเซียวชะงักไปเล็กน้อยครู่หนึ่ง ก่อนจะจูบล้ำลึกหนักหน่วงขึ้น
“อือ…ฉันขอดู…” มู่น่อนน่อนลิ้มรสเลือด อยากดูว่าเธอกัดไปแรงแค่ไหน
ปรากฏว่าเฉินถิงเซียวไม่ฟังสิ่งที่เธอพูด เขากดศีรษะเธอมาจูบอย่างป่าเถื่อนหนักหน่วง
จูบยาวนานจนใบหน้าเธอแดงเรื่อ
เมื่อนอนสงบลงบนเตียง เธอได้ยินเสียงปลดเปลื้องเสื้อผ้า
เมื่อเอียงศีรษะมอง ก็เห็นเฉินถิงเซียวกำลังถอดเสื้อผ้า
ทันทีที่เข้านอน ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน
เพียงแต่เฉินถิงเซียวถอดเสื้อผ้าแล้วไม่ได้เปลี่ยนเป็นชุดนอน แล้วตรงมาถอดเสื้อผ้าของเธอ
มู่น่อนน่อนมีลางสังหรณ์ไม่ดี ดึงเสื้อผ้าตัวเองไว้แล้วถามเขา “คุณจะทำอะไรเฉินถิงเซียว”
“ถอดเสื้อผ้านอน” เฉินถิงเซียวโน้มตัวคร่อมเธอ ตั้งหน้าตั้งตาปลดกระดุมเสื้อเธอทีละเม็ด
เขาเพิ่งถอดเสื้อผ้า ทันทีที่มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นก็เห็นร่างกายเปลือยเปล่าของเขาชัดเจน…
เธอเอียงหน้าหนีพลางยื่นมือหยุดเขา “ฉันนอนในชุดนอนก็ได้ ไม่ต้องถอดหรอก”
“สวมเสื้อผ้าไว้มันอึดอัด” เฉินถิงเซียวหาเหตุผลมาเสริม
แน่นอนว่ามู่น่อนน่อนสู้ไม่ได้…
เขาดันเธอเข้าไปในผ้าห่ม แล้วโอบกอดมู่น่อนน่อนจากด้านหลัง
เขากอดเธอจากด้านหลัง ท่าทางแบบนี้…
มู่น่อนน่อนพูดเสียงสั่น “เฉินถิงเซียว คุณปล่อยฉัน…”
“อยู่เฉยๆ” เสียงเฉินถิงเซียวแหบพร่า
มู่น่อนน่อนร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา
แบบนี้จะให้เธอหลับได้อย่างไร และเธอก็ไม่ใช่ท่อนไม้ เธอก็มีความรู้สึกนะ!
“นอนไม่หลับเหรอ” เสียงของเฉินถิงเซียวดังขึ้นอีกครั้ง “งั้นคุณจูบผมสิ”
เฉินถิงเซียวไม่ค่อยร้องขอแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงการใช้น้ำเสียงเปราะบางเหมือนปลอบประโลม
มู่น่อนน่อนใจอ่อน หันไปจูบเขา
แน่นอนว่าคุณปู่เฉินต้องพูดเรื่องอะไรกับเขาเป็นพิเศษ ถึงได้ทำให้เฉินถิงเซียวแปลกไปแบบนี้
คนที่พูดน้อย ยากที่จะค้นหาอารมณ์จากการแสดงออกและคำพูด แต่น่าแปลก ตอนนี้มู่น่อนน่อนสัมผัสอารมณ์ที่แปลกไปของเขาได้อย่างง่ายดาย
จูบของมู่น่อนน่อนทำให้เฉินถิงเซียวผ่อนคลายพึงพอใจ ในนาทีต่อมาเขาก็ปล่อยมู่น่อนน่อนแล้วลุกออกจากเตียงเดินไปที่ห้องน้ำ
มู่น่อนน่อนเรียกอย่างประหลาดใจ “เฉินถิงเซียว?”
เขายังไม่ได้…
เฉินถิงเซียวหันกลับไปมองเธอ ด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างอดกลั้น “พอแล้ว”
มู่น่อนน่อนไม่ค่อยเข้าใจ เพราะเธอเห็นตรงนั้นเขายังตื่นตัวอยู่
เนื่องด้วยมันดึกมากแล้ว ไม่มีเฉินถิงเซียวมารบกวนเธอ ไม่กี่นาทีมู่น่อนน่อนก็หลับไป
เฉินถิงเซียวออกมาด้วยร่างกายเย็นชื้น หลังจากใส่ชุดนอนก็เห็นว่ามู่น่อนน่อนหลับไปแล้ว
เขาเอาชุดนอนมาใส่ให้มู่น่อนน่อนอย่างทะนุถนอม เคลื่อนไหวบางเบา เมื่อมู่น่อนน่อนลืมตาสะลึมสะลือก็ถูกเขากล่อมให้หลับอีกครั้ง
ว่ากันว่าผู้ชายใช้ส่วนล่างร่างกายไตร่ตรอง
ประโยคนี้ไม่ถูกต้องนัก
การเสพติดระหว่างชายหญิงเป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่กอดคนที่รักไว้ในอ้อมแขน
แต่บางครั้ง ความพึงพอใจในจิตใจสำคัญกว่าความพึงพอใจทางกายภาพ
……
วันรุ่งขึ้น
วันส่งท้ายปีเก่า
มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นด้วยเสียงฝีเท้านอกประตู
“กี่โมงแล้ว”
เธองัวเงียถามเฉินถิงเซียว
น้ำเสียงตอนเช้าของเฉินถิงเซียวแหบแห้ง “ยังเช้ามาก หลับอีกหน่อยไหม”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า “ไม่แล้ว”
ถึงแม้ว่าจะถูกปลุกขึ้นมา แต่เธอไม่นอนแล้ว
ทั้งสองลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปด้วยกัน
เพราะมันเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของปี ใบหน้าของคนรับใช้ที่พวกเขาพบตลอดทางต่างยิ้มแย้มแจ่มใส
เมื่อทั้งคู่มาถึงห้องอาหาร โทรศัพท์มือถือของมู่น่อนน่อนก็ดังขึ้น
เป็นเซียวซู่เหอโทรเข้ามา
มู่น่อนน่อนลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ยังรับสาย
เซียวซูเหอที่อยู่ในสายสอบถามเธออย่างสำรวจ “น่อนน่อน แกจะกลับมากี่โมง ฉันจะได้ให้คนเตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้า”
เรื่องกลับบ้านพ่อแม่ช่วงปีใหม่ ที่จริงมู่น่อนน่อนไม่ได้นึกถึงมันเลย
เธอแทบจะไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อตระกูลมู่แล้ว ความสัมพันธ์แม่ลูกกับเซียวซู่เหอเป็นเท็จไปแล้ว
มู่น่อนน่อนตัดสินใจตอบไปตามตรง “เมื่อถึงเวลาฉันจะให้คนส่งของไปให้ค่ะ ถ้าคุณยุ่ง ก็ให้คนรับใช้รับไว้ให้ก็พอ”
คำพูดของเธอ ทำลายความฝันสุดท้ายอันน้อยนิดของเซียวซู่เหอ
แต่เมื่อเซียวซู่เหอคิดไปถึงวันนั้นที่เธอไปหามู่น่อนน่อน กลับถูกเฉินถิงเซียวขับไล่
ดังนั้นเธอจึงถามมู่น่อนน่อนว่า “เฉินถิงเซียวให้เธอกลับมาใช่ไหม”
“อะไร” มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าเซียวซู่เหอจะดึงเฉินถิงเซียวมาเกี่ยวข้องทำไม
“ครั้งก่อนที่ฉันทะเลาะกับพ่อแก เดิมทีฉันไปหาแกที่บ้าน ปรากฏว่าพวกเขาหลอกฉันว่าแกไม่อยู่บ้าน ฉันรออยู่ข้างนอก จนตอนเย็นเฉินถิงเซียวกลับมา ก็ไล่ฉันทันที”
เซียวซู่เหอคิดไปถึงท่าทีของเฉินถิงเซียววันนั้นยังรู้สึกค่อนข้างกลัวอยู่เลย
มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง “ครั้งที่เสิ่นชูหานให้คุณไปพักด้วยก่อนหน้านี้น่ะเหรอ”
“ใช่
เฉินถิงเซียวไปที่ห้องของคุณปู่เฉิน
คนรับใช้ที่เฝ้าประตู เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวก็โค้งคำนับร้องเรียก “คุณชาย”
หลังจากนั้นก็ช่วยเฉินถิงเซียวเปิดประตู
ทันทีที่เฉินถิงเซียวก้าวเท้าเข้าไป คนรับใช้ก็ปิดประตูตามหลัง
คุณปู่เฉินยังนั่งอยู่บนโซฟา เงยหน้าขึ้น เอนหลังพิงพนักโซฟา ในทีวีเป็นการแสดงงิ้ว เสียงไม่ดังมาก
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปใกล้ ถึงได้พบว่าคุณปู่เฉินหลับตางีบไปแล้ว
ไม่ทันที่เฉินถิงเซียวจะส่งเสียง คุณปู่เฉินก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง มีความขุ่นมัวในดวงตาที่เฉียบคมอยู่เป็นนิตย์
เขาจ้องมองเฉินถิงเซียวที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะตกใจ รูม่านตาหดตัวอย่างรุนแรง
แต่ในไม่ช้า ดวงตาของเขาก็กลับคืนสู่ความชัดเจน
“มาแล้วเหรอ”
น้ำเสียงของเขาค่อนข้างแห้ง ในขณะที่เฉินถิงเซียวได้ยินนั้นกลับรู้สึกว่าเหมือนไม่ได้พูดกับเขา
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วนั่งลงตรงข้ามคุณปู่เฉิน เพ่งมองคุณปู่เฉินอย่างละเอียด
เขานึกถึงก่อนหน้านี้ตอนที่มู่น่อนน่อนกลับไป ซึ่งมีท่าทีลังเลอยากจะพูดอะไรกับเขา ตอนนี้มาเห็นท่าทีคุณปู่เฉินแบบนี้ เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไม
เขาสามารถหยิ่งผยองต่อหน้าคุณปู่เฉินได้โดยที่ยังได้รับการอดทนจากคุณปู่เฉิน หลักใหญ่ใจความเป็นเพราะคุณปู่เฉินรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวเหมือนกับเขา โดยธรรมชาติแล้วจึงยิ่งรักเขา และไม่สนใจความหยิ่งผยองของเฉินถิงเซียว
โดยปติแล้วคุณปู่เฉินเป็นคนฉลาดหลักแหลม ไม่ง่ายที่จะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น
เฉินถิงเซียวเห็นว่าคุณปู่เฉินมีสไตล์ของผู้ปกครองที่เป็นคนจริงพูดคำไหนคำนั้น เมื่อเห็นความเหนื่อยล้าและความอ่อนแอที่เห็นได้ชัดของชายชราตรงหน้านี้ จึงค่อนข้างประหลาดใจ
คิ้วของเฉินถิงเซียวยิ่งขมวดแน่น เอ่ยถามเขาตรงๆ “คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เขากับคุณปู่เฉินเป็นคนสองคนที่ต่างคนต่างไม่ยอมรับกัน ถึงเป็นปู่หลานแต่บ่อยครั้งก็เหมือนเป็นมิตรภาพต่างวัยซึ่งเป็นคู่แข่งกัน
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้คุณปู่เฉินไม่ให้เขาสืบเรื่องของแม่ ทำให้เขาค่อนข้างห่างเหินกับคุณปู่เฉิน แต่หัวใจของเขายังคงห่วงใยคุณปู่เฉินเสมอ
คุณปู่เฉินไม่ให้เขาสืบเรื่องของแม่ โดยธรรมชาติแล้วต้องมีเหตุผล แต่ไม่น่าจะใช่ว่าเพราะเรื่องของแม่เกี่ยวพันกับคุณปู่เฉิน
“พรุ่งนี้เป็นวันปีใหม่ หลังปีใหม่ฉันก็อายุมากขึ้นอีกหนึ่งปี ช่วงชีวิตน้อยลงไปอีกหนึ่งวัน จึงอยากคุยกับแกให้มาก” คุณปู่เฉินมองเขา ในแววตายากจะเห็นอารมณ์
น้ำเสียงของคุณปู่เฉิน ทำให้เฉินถิงเซียวค่อนข้างหงุดหงิด จึงพูดอย่างทนไม่ไหว “มีอะไรก็รีบพูดเถอะครับ”
คุณปู่เฉินไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเพราะน้ำเสียง กลับกันยังพูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ในบรรดารุ่นหลังของตระกูล แกกับเสี่ยวฉินมีความจริงใจที่สุด คนที่ทำเรื่องใหญ่ได้ จริงใจเกินไปไม่ได้”
“น่อนน่อนอายุยังน้อย บุคลิกลักษณะนิสัยแตกต่างจากแกมาก เป็นเด็กดี แต่ในฐานะภรรยา ฉันคิดว่าเธอไม่เหมาะสม…”
เห็นเฉินถิงเซียวเลิกคิ้วกำลังจะอารมณ์เสีย คุณปู่เฉินจึงยิ้มและพูดว่า “ฉันยังพูดไม่จบเลย รีบร้อนอะไร!”
เฉินถิงเซียวส่งเสียงเยาะ ถอยหลังไปเอนพิง รอเขาพูดต่อไป
“มีความอดทนไม่เลว ให้เธอดูงิ้วเป็นเพื่อนฉันหนึ่งชั่วโมง ก็ไม่มีที่จะไม่อดทน จิตใจดี แล้วก็สวยมากด้วย ตอนที่ฉันยังหนุ่ม เมื่อเห็นสาวสวยขนาดนี้ ก็จะใจสั่นนะ”
ครึ่งแรกประโยคก็ยังดี แต่ครึ่งหลังประโยคเฉินถิงเซียวฟังแล้วไม่ถูกหู
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว สีหน้าเย็นชา “คุณปู่ พูดดีๆ ครับ”
คุณปู่เฉินเลิกคิ้ว ‘ตุ้บ!’ฝ่ามือตบลงบนโซฟา ชี้เฉินถิงเซียวแล้วพูดว่า “เจ้าเด็กบ้า ไม่ว่ายังไงฉันก็เป็นปู่ของแกนะ ตอนเด็กที่อุ้มแก แกฉี่ใส่ฉันฉันยังไม่ตีแกเลย ตอนนี้มีเมียแล้วยังมองฉันในแง่ร้ายอยู่อีกเหรอ ถ้าแกเก่งนักเวลาอยู่ต่อหน้าน่อนน่อนก็ลองพูดกับเธอแบบนี้ดูไหมล่ะ”
ชายชราท่าทางอารมณ์ดีมีชีวิตชีวามากจนเห็นได้ชัด
เฉินถิงเซียวเอียงศีรษะ พูดด้วยสีหน้าท่าทีมั่นใจในตัวเองเช่นเดิม “เธอเป็นสาวน้อยตัวเล็กๆ ต้องปล่อยไปไม่เอาความ ถ้าคุณแก่ขึ้นอีกยังเปรียบเทียบกับสาวน้อยตัวเล็กๆ อยู่อีกหรือเปล่า”
คุณปู่เฉินโกรธมากจนหยิบเอารีโมตที่วางบนโต๊ะน้ำชาตรงหน้าขว้างใส่เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวไม่สามารถหลบได้ เขาโดนรีโมตกระแทกใส่เต็มๆ เจ็บจนต้องสูดหายใจแรง
เฉินถิงเซียวกดตรงจุดที่โดนรีโมตกระแทก “พูดกับผมไม่ได้ก็ลงมือเหรอครับ”
แต่คุณปู่เฉินกลับสีหน้าอดกลั้น ใช้น้ำเสียงเย็นชาอย่างที่เฉินถิงเซียวไม่เคยได้ยินมาก่อน “ถิงเซียว ปีนี้ผ่านไปอย่างสงบสุข เรื่องที่แกอยากรู้ ตราบใดที่ฉันรู้แน่ชัดแล้ว ฉันจะบอกแกทุกอย่าง”
ตอนแรกชายชราพูดเยอะมาก แต่สิ่งที่อยากพูดที่สุดก็คือประโยคนี้
เฉินถิงเซียวตัวแข็งอยู่กับที่ ผ่านไปนานมากก็ไม่มีปฏิกิริยา
สองคนจ้องกันอยู่เป็นนานสองนาน เฉินถิงเซียวถึงได้นั่งตัวตรง หาเสียงของตัวเองกลับมา “รวมถึงเรื่องคุณแม่ของผมด้วยเหรอครับ”
คุณปู่เฉินพยักหน้า “ใช่ รวมทั้งเรื่องแม่ของแกด้วย”
เฉินถิงเซียวรู้ว่าเขาเป็นคนพูดจริงทำจริง รู้ว่าในเมื่อคุณปู่เฉินสัญญาแล้ว จะไม่มีการกลับใจ
เขาเม้มริมฝีปากก่อนจะส่งเสียงตอบ “ครับ”
……
ออกมาจากที่คุณปู่เฉินอยู่ เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว มันดึกแล้ว
โคมไฟติดผนังทางเดินเปิดอยู่ แสงไฟสลัว บางครั้งมีคนรับใช้เดินผ่านมาก็โค้งทักเขา
“คุณชาย”
“อืม”
เฉินถิงเซียวก้าวเดินไปทีละก้าวอย่างเชื่องช้า
เรื่องของแม่ปีนั้น เขามั่นใจว่าคุณปู่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง แต่อาจจะรู้อะไรบางอย่าง
เรื่องที่คุณปู่รู้ เป็นไปได้สูงว่าจะรู้หลังจากคดีลักพาตัว
ตอนที่เขาพามู่น่อนน่อนกลับมาบ้านเก่าครั้งแรก คุณปู่สั่งไม่ให้เขาสืบเรื่องของแม่
ในเมื่อคุณปู่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ดังนั้นที่เขาห้ามเฉินถิงเซียวไม่ให้สืบเรื่องแม่จึงมีเพียงเหตุผลเดียว…
คุณปู่กลัวว่าเขาจะรู้ความจริง
ความจริง อาจเป็นความลับที่ไม่สามารถบอกได้
บางทีอาจเป็นความลับที่ไม่สามารถให้ใครรู้ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความจริงของเรื่องนี้ มันหนักหนาสาหัสมากจนแม้แต่คุณปู่ที่ผ่านมรสุมมานักต่อนักก็ไม่อาจทนรับได้
แต่ตอนนี้คุณปู่ยินดีที่จะบอกความจริงแก่เขา
แล้วมันเป็นเรื่องอะไรกันที่ส่งผลกระทบกับคุณปู่
เมื่อเฉินถิงเซียวได้สติ ก็พบว่าตัวเองเดินไปถึงประตูห้องแล้ว
“คุณชาย ยังไม่นอนเหรอคะ”
มีคนรับใช้เดินผ่านมาอีก
เฉินถิงเซียวหันหน้ากลับไปมองคนรับใช้
คนของตระกูลเฉินมีมากมาย คนรับใช้ก็มีจำนวนมาก
แต่คนจำนวนมากนั่นมีความสัมพันธ์อะไรกับเขา
เขาหันกลับมามองไปยังประตูตรงหน้า
มีเพียงผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ในห้องนี้ ถึงจะทำให้เขารู้สึกสบายใจจริงๆ
เขาผลักประตูเข้าไป มู่น่อนน่อนก็เดินเข้ามาหาทันที
“เป็นยังไงบ้างคะ คุณปู่พูดอะไรกับคุณ คุณก็รู้สึกว่าท่านแปลกไปใช่ไหม”
เห็นได้ชัดว่าเธอรอเขากลับมา ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทันทีที่เขาเข้าประตูก็เอาแต่ถามไม่หยุด
เฉินถิงเซียวเพียงแค่เดินเข้าไปในห้องโดยไม่พูดอะไร
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นดูสีหน้าของเขา พบว่าเขาที่ไปห้องคุณปู่เฉินแล้วกลับมาก็แปลกไปเช่นกัน
ตอนที่เฉินถิงเซียวกลับไปที่ห้อง มู่น่อนน่อนยังไม่ตื่น
เขาเพิ่งสูบบุหรี่มา บนนิ้วจึงมีกลิ่นเขม่าควัน
เขาเอาเสื้อคลุมวางข้างเตียง เหลือบมองมู่น่อนน่อน แล้วเข้าห้องน้ำไปล้างมือ
ตอนที่ออกมา เห็นมู่น่อนน่อนห่มผ้าห่มนั่งพิงหัวเตียง สีหน้างัวเงีย เห็นได้ชัดว่าเพิ่งตื่น ยังคงไม่มีสติ
“ตื่นแล้วเหรอ”
เฉินถิงเซียวเดินไปนั่งลงข้างเตียง
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว “คุณสูบบุหรี่เหรอ”
เฉินถิงเซียวชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่คิดว่าจมูกมู่น่อนน่อนจะดีขนาดนี้ แต่ก็ยังพยักหน้ายอมรับ “อืม”
จากนั้นเขาก็เพิ่มอีกประโยค “แค่มวนเดียว และไม่กี่ทีด้วย”
จมูกของมู่น่อนน่อนดีกว่าตอนที่ยังไม่ท้องเสียอีก
“ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าคุณไม่สูบบุหรี่” มู่น่อนน่อนแทบไม่เคยเห็นเฉินถิงเซียวสูบบุหรี่มาก่อน ดังนั้นเธอจึงคิดว่าเฉินถิงเซียวไม่สูบบุหรี่
เฉินถิงเซียวหัวเราะเสียงแผ่ว ไม่ได้พูดอะไร
ที่จริงเขาไม่สูบบุหรี่มากนัก เขาไม่ได้ติดบุหรี่
เพราะบุหรี่ทำร้ายร่างกาย เขาเสียดายชีวิตมาก
แต่ช่วงนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย บางครั้งเขาจึงอดไม่ได้ที่จะอยากสูบบุหรี่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตอนที่มู่น่อนน่อนไม่อยู่ เขาถึงจะสูบบุหรี่
เฉินถิงเซียวคร่ำครวญครู่หนึ่ง และจู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “หลังจากนี้ถ้าเจอซือเฉิงหยู้ อยู่ให้ห่างจากเขา”
ถึงแม้ตอนที่เขาไม่อยู่ เขาก็ยังจัดบอดี้การ์ดจำนวนมากเพื่อติดตามมู่น่อนน่อน แต่ช่วงหลายวันนี้อยู่ในบ้านเก่า มู่น่อนน่อนไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับซือเฉิงหยู้ได้
มู่น่อนน่อนเหลือบไปเห็นเสื้อนอกของเฉินถิงเซียววางอยู่ข้างเตียง เธอจำได้ว่าก่อนที่เธอจะหลับไป เสื้อคลุมของเฉินถิงเซียววางอยู่บนโซฟา
เหมือนว่าหลังจากเธอหลับ เฉินถิงเซียวมีการออกไปข้างนอก
มู่น่อนน่อนสอบถามอย่างคาดเดา “คุณไปเจอเขามาอีกครั้งเหรอ พวกคุณคุยอะไรกันคะ”
“ไม่ได้คุยอะไรเท่าไร” ใบหน้าของเฉินถิงเซียวค่อนข้างเย็นชา “ตอนนี้ผมกับเขาจะคุยอะไรกันได้อีกล่ะ”
มู่น่อนน่อนจับมือเฉินถิงเซียวอย่างปลอบโยน และไม่ได้พูดอะไรอีก
……
อยู่บ้านเก่าไม่ได้มีอะไรทำ ยกเว้นที่มู่น่อนน่อนไปทานข้าว โดยทั่วไปแล้วจะอยู่ในห้อง
เพียงแต่หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว คุณปู่จะเรียกให้เธอไปที่ห้องดูทีวีเป็นเพื่อนเขาสักพัก
มู่น่อนน่อนยังคิดว่าคุณปู่เฉินมีอะไรจะพูด ปรากฏว่าแค่ให้ดูทีวีเป็นเพื่อนเขาเท่านั้น
รายการที่คนแก่ชอบดูก็อย่างเช่นพวกงิ้วทอร์คโชว์หรืออะไรพวกนั้น มู่น่อนน่อนจึงเบื่อนิดหน่อย แต่คุณปู่เฉินดูอย่างกระตือรือร้น ก็เลยได้แต่ดูเป็นเพื่อน
โชคดีที่คุณปู่เฉินยังเป็นห่วงเกี่ยวกับร่างกายของมู่น่อนน่อน จึงให้เธอดูเป็นเพื่อนเขาแค่ชั่วโมงเดียวก็ไล่เธอกลับห้องไปพักผ่อน
คุณปู่เฉินหรี่ตามองมู่น่อนน่อนอยู่สองสามนาที “เธอกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ ให้ถิงเซียวเข้ามา ฉันมีเรื่องจะพูดกับเขา”
ก่อนหน้านี้คุณปู่เฉินให้มู่น่อนน่อนดูทีวีเป็นเพื่อนเขา ตอนนั้นเฉินถิงเซียวจะตามเข้ามา เพียงแต่มู่น่อนน่อนไม่ให้เขาตามเข้ามาด้วย
เดิมทีคุณปู่เฉินเป็นคนที่เอาใจใส่คนอื่น จึงไม่ใช่เรื่องดีที่เฉินถิงเซียวจะแสดงความห่วงใยเธอมากเกินไป
“ค่ะ” มู่น่อนน่อนลุกขึ้นยืน กำลังจะเดินออกไปข้างนอก
“น่อนน่อน”
เมื่อเธอเดินไปถึงหน้าประตู ได้ยินคุณปู่เฉินเรียกเธอข้างหลัง
มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับไป “มีอะไรเหรอคะคุณปู่”
ตอนที่คุณปู่เฉินยังหนุ่มนั้นเป็นคนรักอิสระ แต่เพราะต้องแต่งงานเพื่อตระกูล จึงแต่งงานเร็วมาก
ว่ากันว่าคุณย่าของเฉินถิงเซียวแก่กว่าคุณปู่เฉินสองปี หลังจากทั้งคู่แต่งงานก็กลมเกลียวกัน แต่เขาไม่ใช่คนที่อยู่ติดบ้าน
ในบ้านมีภรรยาหลวง ข้างนอกก็มีภรรยาน้อยมากมาย ลูกนอกสมรสก็มีบ้าง
แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว จึงไม่มีใครที่เขาพาเข้ามาเชิดหน้าชูตาอยู่ในตระกูลเฉิน
เรื่องเหล่านี้ มู่น่อนน่อนฟังมาจากเสิ่นเหลียง
คุณปู่เฉินเป็นคนหนึ่งที่แม้ว่าข้างนอกจะมีผู้หญิงและลูกจำนวนมาก แต่ก็ไม่เคยเข้ามาวุ่นวายกับตระกูลเฉิน ซึ่งเป็นการให้เกียรติภรรยาหลวง
เพราะแต่งงานเร็ว หลานชายคนโตของเขาซือเฉิงหยู้อายุ 28 ปี เขาจึงอายุแค่เจ็ดสิบต้นๆ ในปีนี้
ในวัยเท่านี้ ผู้สูงอายุที่เกษียณก็ล้วนแต่ปฏิบัติธรรมอยู่บ้าน ถ้าไม่มีการเจ็บป่วยร้ายแรง ก็ยังคงแข็งแรงมาก
ตระกูลเฉินเป็นตระกูลที่ยอดเยี่ยม คุณปู่เฉินกินดื่มด้วยวัตถุดิบชั้นดี แถมยังมีนักโภชนาการพิเศษด้วย
เพียงแต่ คุณปู่เฉินในเวลานี้ที่นั่งโดดเดียวอยู่บนโซฟา ดูน่าเศร้าและชราภาพนัก สูญเสียความสง่างามของผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ไปบางส่วน ดูค่อนข้างเหนื่อยล้าแก่เฒ่าลงเล็กน้อย ค่อนข้างน่าเวทนาสงสาร
มู่น่อนน่อนในขณะนี้ รู้สึกได้อย่างเห็นได้ชัดว่าคุณปู่เฉินไม่ได้มีความสุขกับชีวิต
“เรื่องก่อนหน้านี้ เป็นปู่เองที่เลอะเลือน หลังจากนี้ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของเธอกับถิงเซียวอีก พวกเธอสองคนต้องดีต่อกันนะ”
น้ำเสียงคุณปู่เฉินค่อนข้างแหบแห้ง ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคำสั่งเสียก่อนตาย
มู่น่อนน่อนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะเพิ่มระดับเสียงขึ้นเล็กน้อย “คุณปู่คะ!”
เธอรู้ว่าที่คุณปู่เฉินพูดคือเรื่องที่ส่งฉินสุ่ยซานไปก่อนหน้านี้ ที่จริงใจมู่น่อนน่อนก็ต่อว่าเขาอยู่นิดหน่อย เพราะเรื่องนี้น่าเศร้า แต่เธอก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรนัก
เพราะเฉินถิงเซียวรักเธอมาก
ตราบใดที่เธอยังอยู่ในหัวใจของเฉินถิงเซียว คนอื่นมองอย่างไร ทำอย่างไร ว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้สำคัญต่อเธอเลย
เพียงแต่น้ำใจในตอนนั้นของคุณปู่เฉิน ทำให้เธอไม่สบายใจอย่างมาก
“เอาล่ะ รีบไปเถอะ จะสี่ทุ่มแล้ว อีกสักพักฉันจะนอนแล้ว” คุณปู่เฉินโบกมือ ท่าทางไม่อยากทนฟังเธอพูดต่อ
มู่น่อนน่อนเหลือบมองเขาอย่างไม่วางใจ ก่อนจะเปิดประตูและรีบกลับไปที่ห้อง
เฉินถิงเซียวสวมชุดนอนกำลังนั่งหัวเตียงเล่นเกมโทรศัพท์มือถือ ใบหน้ายังคงไร้อารมณ์ เหมือนเกมที่เล่นจะไม่สนุก
สายตาเหลือบมองประตูเป็นครั้งคราว แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ตั้งใจเล่นเกม
ทันทีที่เห็นมู่น่อนน่อนผลักประตูเข้ามา เขาก็ทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ข้างๆ ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปหามู่น่อนน่อน
“คุณปู่ไม่ได้ทำให้คุณลำบากใช่ไหม” เฉินถิงเซียวพูดพร้อมกับพินิจพิเคราะห์เธออย่างละเอียด
เมื่อแน่ใจว่าเธอไม่มีตรงไหนผิดปกติ ถึงได้ถอนสายตาตัวเอง
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า แล้วถ่ายทอดคำพูดของคุณปู่เฉินให้กับเฉินถิงเซียว “คุณปู่ให้คุณเข้าไปพบค่ะ บอกว่ามีบางอย่างจะบอกคุณ ให้คุณรีบไป ดึกอีกหน่อยท่านจะนอนแล้ว”
เฉินถิงเซียวฟังแล้วก็คิดครู่หนึ่งก่อนจะถาม “ยังมีอะไรอีกไหม เขาพูดอะไรกับคุณบ้าง”
“ไม่ได้พูดอะไร แค่ดูทีวีเป็นเพื่อนท่าน” มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว “แต่ฉันรู้สึกว่าคุณปู่ดูแปลกๆ น้ำเสียงผิดปกติไปหน่อย…”
เธอรู้สึกจริงๆ ว่าคุณปู่เฉินเหมือนพูดคำสั่งเสียก่อนตาย แต่เธอพูดต่อหน้าเฉินถิงเซียวไม่ได้
เพราะคุณปู่เฉินเป็นญาติสนิทของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนถอนหายใจ “คุณไปแล้วก็จะรู้เองค่ะ”
เธอสามารถฟังออกได้ว่าน้ำเสียงของคุณปู่เฉินไม่ปกติ เฉินถิงเซียวที่เป็นคนเฉลียวฉลาด แน่นอนว่าสามารถฟังออก บางทีอาจจะมีเรื่องอื่นก็ได้
เฉินถิงเซียวเห็นท่าทางมู่น่อนน่อนขมวดคิ้วถอนใจ จึงมีสีหน้าหนักทันที
“ผมไปก่อนนะ คุณนอนก่อนเลย” กำชับมู่น่อนน่อนแล้วเขาจึงออกไป
มู่น่อนน่อนอ้าปาก ไม่รู้จะพูดอะไร
เฉินถิงเซียวปล่อยเธอ น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่หาได้ยาก “คุณควรงีบหลับได้แล้ว”
หลังตั้งครรภ์มู่น่อนน่อนมีนิสัยชอบงีบหลับ งีบไม่นาน แต่มันติดเป็นนิสัยที่ต้องงีบหลับสักพัก
หัวของเธอมึนๆ นิดหน่อย จากนั้นก็พยักหน้า “อืม”
เธอนอนบนเตียง คิดว่าตาจะไม่ปิด แต่ไม่นานเธอก็หลับไป
มองดูมู่น่อนน่อนหลับ ก่อนที่เฉินถิงเซียวจะห่มผ้าห่มให้เธอแล้วลุกออกไป
เฉินถิงเซียวปิดประตูอย่างระมัดระวัง แล้วเดินไปยังหน้าต้นพุทราในสวน
มันเป็นตอนที่เขายังเด็กมาก แม่เป็นคุณปลูกมัน เขาจำไม่ได้ว่าอายุเท่าไร
มันเป็นฤดูหนาว ต้นพุทราโกร๋นไม่มีใบ ที่ใต้ต้นแม้แต่ใบเหี่ยวก็ไม่มี เพราะในสวนมีแม่บ้านทำความสะอาดทุกวัน
ข้างหลังมีเสียงฝีเท้าดังมา
ฉับพลันเสียงของซือเฉิงหยู้ก็ดังขึ้น “คนอื่นๆ ต่างบอกว่าเราสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน สนิทกันมาก พวกเขาก็แค่มองจากภายนอกเท่านั้น สองคนมีรูปร่างความสูงพอๆ กัน เมื่อมายืนเทียบกันก็รู้สึกว่าสูสี”
ซือเฉิงหยู้หัวเราะ น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นปกติ “เพื่อมู่น่อนน่อน นายถึงกับยกเลิกสัญญากับฉัน แถมยังจ้างพวกสร้างกระแสโซเชียลมาโจมตีเล่นสกปรกกับฉัน ความรู้สึกทางพี่น้องของเรามันก็แค่นี้”
เฉินถิงเซียวไม่แม้แต่กะพริบตา และไม่เคลื่อนไหวอะไรทั้งนั้น “เพื่อมู่หวั่นชี แม้แต่ศักดิ์ศรีก็เหยียบย่ำได้ นายมันก็แค่นี้”
นายมันก็แค่นี้
คำพูดนี้มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อหูของซือเฉิงหยู้
การแสดงออกของเขากลายเป็นความดุร้ายในฉับพลัน “นายมีสิทธิ์อะไรมาดูถูกฉัน”
แต่เฉินถิงเซียวยังคงไร้อารมณ์เช่นเดิมไม่เปลี่ยน “ฉันดูถูกนายจริง ถ้าอยากจัดการกับฉันมากนัก ก็พุ่งเข้ามาที่ฉันเลย อย่ายุ่งกับผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์”
ที่มู่หวั่นชีจะขับรถชนมู่น่อนน่อน เพราะได้รับการกระตุ้นจากซือเฉิงหยู้
ซึ่งเพราะเรื่องนี้ จึงทำให้เฉินถิงเซียวโกรธมาก
“อีกอย่าง เรื่องที่หาพวกสร้างกระแสมาเล่นสกปรกกับนาย ฉันไม่จำเป็นต้องทำเลย ที่ออกจากบริษัทเสิ้งติ่งไป นายคิดว่านายเป็นใคร นายมันก็แค่ซือเฉิงหยู้เท่านั้น ใครจะไปรู้ว่าคนพวกนั้นคิดจะทำอะไรกับนาย”
ในน้ำเสียงของซือเฉิงหยู้ไม่ได้ฟังดูเหยียดหยามแม้แต่น้อย แต่ซือเฉิงหยู้กลับรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวเหยียดหยามเขา
ซือเฉิงหยู้กำกำปั้น พูดอย่างกดความโกรธว่า “คุณอาให้ฉันไปบริษัทเฉินซื่อ!”
เฉินถิงเซียวตอบบางเบา “แล้วแต่นาย”
เมื่อเขาพูดจบก็ก้มหน้ามองดูเวลา
การงีบหลับของมู่น่อนน่อนมักใช้เวลา 40 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้เขาจะสูบบุหรี่และจะกลับไป เพราะเธอใกล้ตื่นแล้ว
เฉินถิงเซียวหยิบเอากล่องบุหรี่ออกมาจุดบุหรี่โดยไม่สนใจใคร
ซือเฉิงหยู้เห็นเฉินถิงเซียวเมินเขา ก็ไม่อยู่ให้ตัวเองต้องอับอายอีกต่อไป มองซือเฉิงหยู้เขม็งก่อนจะหันหลับเดินจากไป
ซือเฉิงหยู้นั้นเพราะเรื่องของแม่ จึงกลายเป็นคนเงียบขรึมและเข้าถึงได้ยากตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น ต่อมาเพราะเฉินเจียฉิน เขาถึงได้ค่อยๆ สนิทกับเฉินถิงเซียวขึ้นมาบ้าง
และหลังจากนั้นเฉินถิงเซียวได้เปิดบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ เขาได้เข้าร่วมกับเสิ้งติ่ง ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงสนิทไปอีกก้าว
เมื่อสิบปีก่อน เขาก็เป็นแค่คนที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะเท่านั้น
ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยรุ่นส่วนใหญ่เป็นเด็กดีเชื่อฟัง ซึ่งในวัยเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วจะมีพฤติกรรมต่อต้านมากกว่า
ดังนั้นเขาจึงเข้าสู่วงการบันเทิงโดยแบกตระกูลไว้บนหลัง
ตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ไม่ได้มีจุดประสงค์ และไม่ได้รักแนวนี้ ในตอนนั้นเขาไม่ได้คิดว่าเฉินถิงเซียวจะทำให้บริษัทเสิ้งติ่งยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้
หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตไม่สามารถคาดเดาได้
มันเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะเข้าสู่วงการบันเทิงเลย แต่กลับเหยียบเข้าไปเป็นสิบปี
และหลังจากบริษัทเสิ้งติ่งดำเนินการผ่านไปสิบปี ก็ได้กลายเป็นผู้นำในธุรกิจบันเทิง
สิบปี ทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับเฉินถิงเซียวแข็งแกร่งมากขึ้น
ถ้า…
บนโลกนี้ไม่มีถ้า
ณ เวลานี้ ซือเฉิงหยู้เดินไปถึงประตูหน้าห้องของตัวเองแล้ว
เขาเปิดประตูเข้าไปแล้วล็อคประตู เดินตรงไปที่ตู้เซฟ เอากุญแจออกมาเปิดตู้เซฟ
ภายในมีรายงานการทดสอบดีเอ็นเอสองครั้งนอนอยู่เงียบๆ
เขากระตุกมุมปากยกยิ้มเย็นชามาก
เขาเอาใบตรวจดีเอ็นเอสองครั้งออกมา เข้าไปในห้องน้ำ ที่หน้าอ่างล้างมือ จุดไฟแช็กบนรายงานการตรวจดีเอ็นเอสองครั้ง
เขาเฝ้าดูการตรวจดีเอ็นเอสองครั้งที่ทำให้ชีวิตของเขาจมดิ่งลงสู่นรกถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน เปิดก๊อกน้ำด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ ปล่อยให้น้ำชะล้างขี้เถ้าสีเทาดำออกไป
ชีวิตคนมันน่าเบื่อจริงๆ
เหมือนว่าสิ่งที่เขาคิดอย่างจริงจังมาเป็นยี่สิบแปดปี ในที่สุดก็เป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น
หึ
……
เฉินถิงเซียวสูบบุหรี่แค่สองทีก็ดับมัน
เขาเหลือบมองไปยังทิศทางที่ซือเฉิงหยู้ไป ก่อนจะหันหลังเดินไป
แวบหนึ่งโดยบังเอิญ เขาเห็นร่างตะคุ่มๆ อยู่ข้างพุ่มไม้เขียวชอุ่ม
เฉินถิงเซียวก้าวกว้างเข้าไป ก็เห็นว่าเฉินเจียฉินกำลังเตรียมจะแอบวิ่งหนี
“ยังจะหนีอีกเหรอ” เฉินถิงเซียวหรี่ตามองพลางพูดเสียงเย็น
เฉินเจียฉินรีบหันกลับมายิ้มประจบ “ญาติผู้พี่”
“มาซ่อนทำอะไรที่นี่”
“เปล่า เปล่าทำอะไรครับ”
“หืม”
เฉินถิงเซียวทำสายตาคลางแคลงใจบังคับให้เฉินเจียฉินพูดความจริงออกมา
“ก่อหน้านี้ผมผ่านมา แล้วเห็นคุณกับพี่ใหญ่อยู่ที่นี่ หลังจากนั้นก็…” จึงอดจะมาแอบฟังอยู่ที่นี่ไม่ได้
จากบทสนทนาระหว่างเฉินถิงเซียวกับซือเฉิงหยู้ เฉินเจียฉินได้ยิน ทั้งสองคนแตกหักกันโดยสิ้นเชิงแล้ว
เฉินเจียฉินเศร้าเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “คุณกับพี่ชายผม ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ครับ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าพวกคุณยังดีๆ กันอยู่เหรอครับ…”
เฉินถิงเซียวไม่อยากให้เฉินเจียฉินสนใจกับปัญหานี้ แต่ว่าเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าของเฉินเจียฉิน เขาจึงเกิดประกายในแววตา และพูดอีกประโยคหนึ่งว่า “เรื่องนี้ต้องถามพี่ชายนาย”
เฉินเจียฉินมองเขาด้วยสีหน้าสับสน เรื่องบนอินเตอร์เน็ตก็รู้มาบ้าง แต่ก็ไม่เข้าใจ
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่าเด็กผีนี่น่ารำคาญมาก
แต่ก็ยังอดทนอธิบายกับเขา “ที่มู่น่อนน่อนเป็นฮ็อตเซิร์ชกับเขา ทุกอย่างถูกเขาจัดวางไว้ หลังจากนั้นเรื่องที่เธอถูกคนด่าว่ามีเป็นชู้ ก็เป็นเขาที่จัดการ…”
ช่วงนั้นที่เฉินเจียฉินไปอยู่กับซือเฉิงหยู้ สิ่งเหล่านี้ก็มีให้เห็นบนอินเทอร์เน็ต ตอนนั้นเขายังพูดล้อให้มู่น่อนน่อนคบกับพี่ชายเขาอยู่เลย
“ทำไมเขาถึงทำแบบนั้นครับ”
“นายต้องไปถามเขา”
เฉินถิงเซียวไม่ได้บอกเรื่องที่ซือเฉิงหยู้ยุยงให้มู่หวั่นชีขับรถชนมู่น่อนน่อน
เฉินเจียฉินยังเด็กเกินไป ถึงแม้ว่าเขาจะน่ารำคาญ แต่เขากลับเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กดี
เฉินถิงเซียวถอนหายใจเล็กน้อยแทบไม่ได้ยิน ลูบศีรษะเฉินเจียฉิน “กลับห้องไปเถอะ ข้างนอกมันหนาว”
เขาเดินไปสองก้าว ก็ถูกเฉินเจียฉินเรียกไว้ “ญาติผู้พี่ครับ”
เขาหันหน้ามา เห็นเฉินเจียฉินขมวดคิ้วพลางพูดว่า “ก่อนที่เรื่องอื้อฉาวระหว่างเขากับพี่น่อนน่อนจะร้ายแรงขึ้นมา เขาไปโรงพยาบาลหลายครั้งครับ แต่ว่าตอนนั้นเขาไม่ได้ป่วย เหมือนกับว่ากำลังตรวจสอบบางสิ่ง”
เฉินถิงเซียวสีหน้าเย็นชา แล้วจากนั้นก็พยักหน้า
คุณปู่เฉินขมวดคิ้วพูดว่า “พวกเราทานกันก่อนเถอะ”
มื้อเที่ยงวันนี้ มีการแจ้งเตือนให้ทุกคนในตระกูลมาทานด้วยกันตั้งแต่เช้าตรู่
แม้ว่าคุณปู่เฉินจะเกษียณไปแล้ว แต่เขาเป็นตระมุขของตระกูล เขามีอำนาจสิทธิ์ขาดและอำนาจทางวาจาในตระกูลเฉิน
ทุกคนต้องเคารพเขา
แน่นอนว่ายกเว้นเฉินถิงเซียว
แม้แต่คุณปู่เฉินก็ไม่มีทางจัดการกับเขาได้
คุณปู่เฉินเป็นคนหัวโบราณ โดยเฉพาะให้ความสำคัญกับวันตรุษจีน
เมื่อมู่น่อนน่อนมาที่นี่ในตอนเช้า คุณปู่เฉินก็ส่งคนมาบอกว่าวันนี้และพรุ่งนี้ ถ้าไม่มีเรื่องใหญ่อะไร อย่าลืมมาทานข้าวร่วมกับทุกคนในตระกูล
พรุ่งนี้เป็นวันสิ้นปี วันมะรืนเป็นวันแรกของปีใหม่
ตระกูลเฉินเป็นตระกูลใหญ่ ในช่วงต้นปีใหม่จะมีแขกจำนวนมาก ทุกคนต่างยุ่ง
แต่ซือเฉิงหยู้กลับไม่ได้มาทานอาหารเที่ยงวันนี้ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณปู่เฉินจะไม่พอใจมาก
มู่น่อนน่อนเกิดความคิดมุ่งร้าย ถ้าคุณปู่เฉินรู้ว่าซือเฉิงหยู้ไปรับมู่หวั่นชีออกจากคุกในวันนี้ ไม่รู้ว่าอารมณ์จะเปลี่ยนไปแบบไหน
จะโกรธจนให้คนตีซือเฉิงหยู้เลยหรือเปล่า
กระทั่งพวกเขาทานอาหารเสร็จแล้ว ซือเฉิงหยู้ถึงได้รีบเร่งกลับมา
“คุณปู่ครับ”
ซือเฉิงหยู้เดินเข้ามาจากข้างนอก ท่าทางรีบเร่ง มองออกได้ว่ารีบกลับมา
คนโต๊ะใหญ่เพิ่งทานเสร็จยังไม่ได้ออกไป
คุณปู่เฉินเงยหน้าเหลือบมองซือเฉิงหยู้ น้ำเสียงหนักแน่น “ยังรู้ว่าต้องกลับมางั้นเหรอ!”
เขาใบหน้าแข็งกร้าว เลิกคิ้วสูง นั่งตัวตรงในตำแหน่งหัวโต๊ะ น่าเกรงขามไม่แสดงอารมณ์โกรธ
มู่น่อนน่อนก็อดไม่ได้ที่จะยืดหลังนั่งตัวตรง ดวงตาคมของเธอพบว่าซือเฉิงหยู้สั่นไปทั้งตัว
ขิงแก่ยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดร้อน
ที่แท้ซือเฉิงหยู้ก็กลัวคุณปู่เฉิน
“ขอโทษนะครับคุณปู่ งานมันมีความล่าช้านิดหน่อยครับ” ซือเฉิงหยู้ก้มศีรษะต่ำ ท่าทางนอบน้อมเชื่อฟัง นั่นทำให้คุณปู่เฉินโกรธน้อยลง
ถึงแม้คุณปู่เฉินจะโกรธน้อยลงแล้ว แต่น้ำเสียงยังค่อนข้างแข็งกร้าว “วงการบันเทิงมันฉาวโฉ่ มีแต่ข่าวคาวออกมาไม่เว้นแต่ละวัน แกอยู่ในวงการนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องเสียชื่อเสียง ไม่สู้ถอนตัวออกมาทำอย่างอื่นเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ดีกว่า”
มู่น่อนน่อนสะกิดมือเฉินถิงเซียวที่ใต้โต๊ะ
เฉินถิงเซียวหันหน้ามองเธอ
มู่น่อนน่อนอ้าปากพูดโดยไร้เสียง “แล้วคุณล่ะ”
เฉินถิงเซียวก่อตั้งบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ คุณปู่เฉินก็ไม่ชอบ
เฉินถิงเซียวบีบนิ้วมือของมู่น่อนน่อน เหล่มองเธออย่างตักเตือน
มู่น่อนน่อนยิ้มตาปิดเงียบๆ เฉินถิงเซียวหันหน้าหนีไปพูดกับคุณปู่เฉิน “คุณปู่ครับ ผมเหนื่อยนิดหน่อย กลับห้องก่อนนะครับ”
เขาพูดจบ ไม่รอให้คุณปู่เฉินอนุญาต ก็ดึงมู่น่อนน่อนลุกขึ้นเพื่อออกไป
คุณปู่เฉินไม่สามารถควบคุมเฉินถิงเซียวได้ ที่เฉินถิงเซียวเต็มใจกลับมาบ้านเก่าในช่วงตรุษจีนเขาก็พอใจมากแล้ว โดยธรรมชาติแล้วจึงไม่ใส่ใจว่าเฉินถิงเซียวจะทำอะไรในแบบของตัวเอง
ซือเฉิงหยู้หันไปเหล่ตามองทั้งคู่ แววตามีความไม่พอใจ
เขาแค่ไม่ได้กลับมาทานข้าวเท่านั้นเอง ก็ต้องถูกคุณปู่ตำหนิแบบนี้ แต่เฉินถิงเซียวกลับทำอะไรตามอำเภอใจโดยไม่ต้องเกรงกลัวใคร
คุณปู่มักจะรักแต่เฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนที่ถูกเฉินถิงเซียวพาไป ก็ทำตัวเชื่อฟังเหมือนนกกระทา ตามเขาไปโดยไม่มีการล่อกแล่ก
ตอนที่ทั้งสองเดินเร็วออกจากห้องอาหาร ก็ได้ยินเสียงเฉินชิงเฟิงดังขึ้นข้างหลัง
“คุณพ่อครับ ผมว่าไม่สู้ให้เฉิงหยู้ไปทำงานที่บริษัทเฉินซื่อ เขาสนิทกับถิงเซียวตั้งแต่เด็ก ถิงเซียวเพิ่งไปบริษัทเฉินซื่อไม่นาน มีคนเชื่อถืออยู่ข้างกายไม่กี่คน ถิงเซียวจะได้มีคนดูแล”
ถ้ามันเกิดขึ้นเดือนที่แล้ว เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินคำพูดนี้ของเฉินชิงเฟิง แน่นอนว่าต้องเห็นด้วยอย่างยิ่ง
แต่ว่าพวกเรื่องที่ซือเฉิงหยู้ได้ทำลงไปช่วงนี้ ล้วนแสดงให้เห็นว่าเขาทำตัวเป็นศัตรูกับซือเฉิงหยู้ งัดข้อกับเฉินถิงเซียวไปทุกอย่าง
ครั้งก่อนตอนที่อยู่บ้านเก่า เฉินชิงเฟิงก็เคยพูดเรื่องนี้
ที่เฉินชิงเฟิงพูดในตอนนั้น แทบจะเป็นความหมายในเชิงว่าให้เฉินถิงเซียวกับซือเฉิงหยู้ดูแลซึ่งกันและกัน
และเฉินถิงเซียวก็แสดงทัศนคติของตัวเองชัดเจน คิดไม่ถึงว่าวันนี้เฉินชิงเฟิงจะพูดออกมาต่อหน้าคุณปู่เฉิน
นี่มันชัดเจนเลยไม่ใช่เหรอว่าต้องการอาศัยคุณปู่เฉินบังคับให้เฉินถิงเซียวทำงานร่วมกับซือเฉิงหยู้
มู่น่อนน่อนค่อนข้างไม่เข้าใจว่าเฉินชิงเฟิงกำลังคิดอะไรอยู่
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างเฉินถิงเซียวกับเฉินชิงเฟิงไม่ค่อยดีนัก เฉินชิงเฟิงเหมือนก็ต้องการซ่อมแซมความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูก
แต่บางครั้ง สิ่งที่เฉินชิงเฟิงทำไม่เหมือนอยากซ่อมแซมความสัมพันธ์กับเฉินถิงเซียวเลย
เฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างหน้าหยุดก้าวเดิน
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นไปมองเขา ก็ได้เห็นเขาหันมา
เธอคิดว่าเขาจะพูดอะไร ปรากฏว่าเฉินถิงเซียวเพียงเหล่มองเฉินชิงเฟิงด้วยรอยยิ้มเยาะ
ทั้งคู่กลับเข้าห้อง เฉินถิงเซียวถอดเสื้อคลุมแล้วนั่งลงบนโซฟา มีบางอย่างในสายตา แต่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และก็เหมือนกับว่าไม่ได้คิดอะไรเลย
มู่น่อนน่อนถามเขา “กำลังคิดเรื่องที่คุณพ่อคุณเพิ่งพูดเหรอ”
“เปล่า” เฉินถิงเซียวส่ายหน้า
“แล้วคุณกำลังคิดอะไรอยู่” มู่น่อนน่อนเดินไปนั่งลงข้างเขา และมองเขา
เฉินถิงเซียวเอาเธอไปกอดไว้ในอ้อมแขน คางวางลงบนหน้าผากของเธอ พลางพูดเสียงเบาว่า “ไม่มีอะไร”
“โกหก” มู่น่อนน่อนยื่นนิ้วไปกดตรงระหว่างคิ้วของเขาที่ขมวดแน่น และส่ายหน้าพูดว่า “ตรงนี้ทรยศคุณหมดแล้ว”
เฉินถิงเซียวจับจ้องมองเธออยู่สองวินาที แล้วทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมา กระชับแขนของเธอให้แน่นขึ้นอีกเล็กน้อย ก่อนจะพูดทีเล่นทีจริงว่า “มีเรื่องที่เสียใจภายหลังนิดหน่อย น่าจะทรมานมู่หวั่นชีจนตายไปซะตั้งแต่แรกจะได้ขจัดปัญหาที่จะตามมาให้สิ้นซาก”
มู่น่อนน่อนชะงักไป สีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน
มู่หวั่นชีอยากจัดการเธอให้ตาย เธอเองก็เกลียดมู่หวั่นชี แต่เธอก็ไม่เคยคิดวิธีการเอาชีวิตมู่หวั่นชีเลย
ชีวิตควรได้รับการให้ความสำคัญ ไม่มีใครมีสิทธิ์จบชีวิตผู้อื่นได้ตามใจชอบ
เป็นแนวคิดที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจของมู่น่อนน่อน
อีกอย่าง มู่หวั่นชียังเป็นพี่สาวที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเธอด้วย
เธอจะทำทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อให้มู่หวั่นชีถูกลงโทษตามกฎหมาย แต่ไม่ได้อยากให้เฉินถิงเซียวใช้วิธีของตัวเองจัดการกับเธอ
“กลัวเหรอ” เฉินถิงเซียวยื่นมือไปลูบใบหน้ามู่น่อนน่อน “คุณยังไม่เคยเห็นผมฆ่าคนสินะ”
เสียงของเขาแผ่วเบา ถึงขั้นฟังดูนุ่มนวลกว่าน้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ตามปกติเสียอีก
แต่ที่มู่น่อนน่อนได้ยินในหูกลับฟังแล้วรู้สึกเย็นเยือก
มู่น่อนน่อนหาเหตุผลมาโน้มน้าวเขา “เธอจะได้รับการลงโทษที่ควรเป็น คุณ…”
“การลงโทษที่ควรเป็นงั้นเหรอ”
เฉินถิงเซียวหัวเราะเยาะ พูดเหน็บแนมอย่างเย็นชาว่า “การลงโทษที่เข้าคุกไปสิบวันแล้วถูกปล่อยตัวออกมาน่ะเหรอ”
เพียงสิบวันเท่านั้น เขาจะสามารถระงับความโกรธภายในใจได้อย่างไร
แค่นิดเดียว เขาก็จะเสียภรรยาและลูกไปแล้ว
ไม่สามารถหาข้อโต้แย้งเขาได้
เธอรู้สึกว่าทุกอย่างไม่ควรเป็นแบบนี้
เธอก็รู้สึกว่าโทษของมู่หวั่นชีเบาเกินไป แต่เธอก็รู้สึกว่าเฉินถิงเซียวไม่สามารถจัดการกับปัญหาด้วยวิธีรุนแรงได้ตลอด
เฉินถิงเซียวจูบลงบนหน้าผากของเธอ เสียงค่อนข้างขุ่นมัว “เธอต้องชดใช้
เสียงของมู่หวั่นชีค่อนข้างแหบ พูดด้วยความชิงชังอย่างถึงที่สุด “มู่น่อนน่อน เอาฉันเข้าคุกได้คงจะภูมิใจมากเลยสิ แต่เธอคงคิดไม่ถึงสินะว่าฉันจะออกมาเร็วขนาดนี้”
สองสามคำสุดท้ายเธอพูดกัดฟัน หวังว่าจะสามารถตะกายข้ามโทรศัพท์ไปกัดมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเพียงพูดออกมาบางเบา “ผู้ทำเวรกรรม ไม่ควรมีชีวิตอยู่”
เมื่อมู่หวั่นชีได้ยินก็อดจะหัวเราะเยาะดูถูกไม่ได้ “เราก็มาลองดูกัน”
อารมณ์ที่ดีของมู่น่อนน่อนถูกทำลายลงด้วยสายจากมู่หวั่นชี เธอไม่อยากได้ยินมู่หวั่นชีพูดเรื่องไร้สาระเหมือนปีศาจอีก จึงวางสายไปเลย
เธอหันหน้าไป พบว่าเฉินถิงเซียวกำลังมองเธออยู่
ดวงตามืดมน มีประกายความรู้สึกที่เธอไม่เข้าใจ
มาคิดดู เมื่อครู่เขาคงจะได้ยินสายของมู่น่อนน่อน จึงรู้ว่าเป็นสายจากมู่หวั่นชีโทรเข้ามา
มู่หวั่นชีคนนี้น่าสนใจจริงๆ ทันทีที่ออกจากคุกก็โทรมายั่วโมโหเธอทันที
แต่เธอรู้นานแล้วว่าซือเฉิงหยู้คิดหาวิธีเอามู่หวั่นชีออกมา เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้เท่านั้น
ซือเฉิงหยู้อาจได้รับแรงหนุนจากเรื่องอื้อฉาวล่าสุด มีความไม่พอใจในตัวเฉินถิงเซียว ถึงได้เอามู่หวั่นชีออกมารวดเร็วเช่นนี้
มู่น่อนน่อนส่งเสียงพูดออกมาว่า “ที่เธอถูกปล่อยตัวออกมา เรื่องนี้มันจะต้องเกิดอยู่แล้วไม่ช้าก็เร็ว”
“อืม” เฉินถิงเซียวหันเหสายตาไปมองทางอื่น ลดสายตาลงเล็กน้อยเพื่อปิดบังความรู้สึกในแววตา
ตอนที่เขาอารมณ์ไม่ดี ชอบแสดงอารมณ์ออกมา
มู่น่อนน่อนเคลื่อนตัวไปข้างๆ เขา เอียงศีรษะและพูดเสียงแผ่ว “เรากลับไปบ้านเก่ากันก่อนนะ อย่าอารมณ์เสียเพราะคนที่ไม่จำเป็น พรุ่งนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า นี่เป็นปีแรกที่เราอยู่ด้วยกัน มีความสุขหน่อย นะคะ”
คำพูดของเธอดูเหมือนจะใช้การได้ เฉินถิงเซียวหันไปมองเธอ
หลังจากมู่น่อนน่อนตั้งครรภ์ก็ไม่แต่งหน้า เธอดูเด็กแต่ก็ไม่ได้ดูไม่มีรสนิยม เป็นหน้าตาธรรมดาที่ยังสวยมาก
ผิวขาวใส ดวงตาสดใส เจือความเยาว์วัย แต่กลับยิ่งสั่นคลอนหัวใจผู้คน
เฉินถิงเซียวใจสั่น ก้มหน้าลงไปจูบเธออย่างทนไม่ไหว
มู่น่อนน่อนตาไวแนบมือดันหน้าผากเฉินถิงเซียว “เสี่ยวฉินอยู่”
เฉินถิงเซียวหันหน้าไป มองไปยังเฉินเจียฉินที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับโทรศัพท์มือถือซึ่งไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ และดวงตาฉายแววรังเกียจ
เฉินเจียฉินดูเหมือนจะรู้สึกตัวจึงเงยหน้าขึ้น และปะทะเข้ากับสายตาไม่ชอบใจของเฉินถิงเซียวพอดี
เฉินเจียฉินทำสีหน้าอธิบายไม่ถูกทันที เขาแค่นั่งเล่นอยู่ที่นี่เท่านั้น แล้วทำไมญาติผู้พี่ต้องทำท่าไม่ชอบใจด้วย
“เราไปกันเถอะ” เฉินถิงเซียวเอื้อมมือไปสัมผัสศีรษะมู่น่อนน่อน และลุกขึ้นพาเธอเดินออกไปข้างนอก
บอดี้การ์ดเอาสัมภาระของมู่น่อนน่อนไปไว้ที่รถแล้ว เฉินถิงเซียวให้วันหยุดสือเย่ คนขับรถเป็นคนที่มักจะขับรับส่งมู่น่อนน่อน
……
ในรถที่หน้าประตูเรือนจำ
“เฮ้ มู่น่อนน่อน”
มู่หวั่นชีเอาโทรศัพท์มือถือออกมาเหลือบมอง ก่อนจะพบว่ามู่น่อนน่อนวางสายเธอไปแล้ว
หน้าตาเธอมีแต่ความโกรธ “มู่น่อนน่อนนังผู้หญิงราคาถูกกล้าวางสายใส่ฉัน!”
ซือเฉิงหยู้ที่อยู่ข้างๆ จิ้มดับควันในมือ พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเพราะฤทธิ์บุหรี่ “นิดหน่อยก็พอแล้ว กลับกันก่อนเถอะ”
ทันทีที่ซือเฉิงหยู้เปิดปากพูด ความกรุ่นโกรธบนใบหน้าของมู่หวั่นชีพลันหายไปทันที เธอเผยรอยยิ้มยั่วยวน เข้าไปอิงแอบซือเฉิงหยู้ “คุณใจดีกับฉันมากเหลือเกินค่ะ ฉันไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณคุณยังไงดี…”
เธอชอบซือเฉิงหยู้มากจริงๆ
หลังจากชอบซือเฉิงหยู้ เธอก็ไม่ได้ไปพวกผับบาร์เพื่อปาร์ตี้มั่วไปวันๆ อีก
เธอไม่คิดไม่ฝันว่าซือเฉิงหยู้จะคิดหาวิธีเอาเธอออกมาจากในนั้นจริงๆ
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา เธอสิ้นหวังมากจนคิดว่าจะต้องอยู่ในนั้นเป็นเวลาสามปี แต่ครู่เดียวจากนั้นปรากฏว่าถูกผู้ชายที่ตัวเองชอบพาออกมา
จากนรกสู่สรวงสวรรค์ มันก็แค่นี้เอง
มู่หวั่นชีอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของซือเฉิงหยู้ มือเล็กอ่อนปวกเปียกหมุนวนบนหน้าอกของเขา
เพียงแค่ได้กลิ่นลมหายใจของเขา เธอก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะแล้ว
“เฉิงหยู้…”
มู่หวั่นชีต้องการใกล้ชิดกับเขามากขึ้น โน้มตัวเข้าไปเพื่อจะจูบเขา
ซือเฉิงหยู้ขมวดคิ้ว เอียงศีรษะออกห่างริมฝีปากของเธอ แต่กลับไม่ได้ผลักเธอออก
จูบของมู่หวั่นชีตกลงที่คางของเขา แต่เธอไม่ได้สนใจสักนิด
เธอกดจูบไปตามคางของซือเฉิงหยู้…
มู่หวั่นชีเปิดซิงนานแล้ว และมักจะอยู่ในคลับต่างๆ รักสนุกแบบเปิดกว้าง
ซือเฉิงหยู้ไม่ยอมให้เธอจูบริมฝีปากของเขา แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ปล่อยให้เธอจูบเขา ไม่นาน มู่หวั่นชีก็รู้สึกว่าลมหายใจของเขาหนักขึ้น
มู่หวั่นชีก็เกิดความรู้สึกนานแล้ว เธอโน้มไปที่ใบหูของซือเฉิงหยู้ และพูดอย่างยั่วยวนว่า “เฉิงหยู้ คุณไม่ต้องการฉันเหรอ”
ซือเฉิงหยู้ส่งเสียงแหบแห้ง “ทำไมคุณร่านขนาดนี้”
ยิ่งมู่หวั่นชีได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็ยิ่งตื่นเต้นไปทั้งตัว เธอพูดเสียงแผ่ว “อืม…คุณชอบฉันที่เป็นแบบนี้ไหม…”
เธอคิดว่าซือเฉิงหยู้กำลังจะทนไม่ไหวในเร็วๆ นี้ แต่ปรากฏว่านาทีถัดไป เธอได้ยินซือเฉิงหยู้พูดอย่างเย็นชาว่า “ไม่ชอบ โคตรขยะแขยง”
มู่หวั่นชีชะงักไป ก่อนจะเห็นชัดเจนว่าซือเฉิงหยู้แสดงสีหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจเธอ
มู่หวั่นชีไม่สนใจความรังเกียจบนใบหน้าของเขา “แต่ว่า ร่างกายของคุณไม่ได้บอกฉันแบบนั้นนะคะ”
“ฉันอยาก…” มู่หวั่นชีหน้าตาเต็มไปด้วยความปรารถนา
ซือเฉิงหยู้ไม่ได้ผลักเธอออก ยอมรับความต้องการของเธอ
……
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวไปถึงบ้านเก่าแล้วก็ตรงไปพักผ่อนที่ห้องของเฉินถิงเซียว
ครั้งก่อนตอนที่มาที่นี่ ในห้องของเฉินถิงเซียวยังเป็นรูปแบบอย่างที่เขาอยู่ในวัยเด็ก ครั้งนี้มันถูกจัดใหม่แล้ว บรรยากาศดูเรียบง่ายขึ้นมาก
มู่น่อนน่อนจึงเกิดความรู้สึกเศร้าเสียดายเล็กน้อย
ตอนเที่ยง แม่บ้านมาเรียกพวกเขาไปทานอาหารกลางวัน
มู่น่อนน่อนไปถึงห้องอาหาร ก่อนจะพบว่าพวกเขามาถึงเป็นคนสุดท้าย
เพิ่งนิ่งลง ก็ได้ยินเสียงหนักแน่นของคุณปู่เฉินดังมา “เฉิงหยู้ล่ะ ทำไมเขาไม่มา”
“เฉิงหยู้ออกไปทำงานตั้งแต่เช้าค่ะ คงจะเป็นเรื่องงานค่ะ” ที่พูดคือแม่ของซือเฉิงหยู้ เฉินเหลียน
คุณปู่เฉินสีหน้าไม่ดี แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
มู่น่อนน่อนนึกไปถึงที่มู่หวั่นชีโทรมาเมื่อเช้า แล้วความคิดก็แปรเปลี่ยน ซือเฉิงหยู้ไปทำงานงั้นเหรอ
เกรงว่าจะไปรับมู่หวั่นชีน่ะสิ!
เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินคำเหล่านี้ก็อารมณ์ดีขึ้น
เธอได้ยินว่าเขาได้รับบาดเจ็บ จึงใส่ใจเขา แล้วโทนเสียงของเขาแบบนี้คืออะไร
“เฉินถิงเซียว ให้โอกาสคุณพูดอีกครั้ง” เธอเดินไปหน้าโต๊ะทำงานของเฉินถิงเซียว แล้วตบแผ่นเอกสารที่กองอยู่ตรงหน้าเขา
เฉินถิงเซียวยื่นมือมาลูบเรียวคิ้ว “ผมยังมีงานต้องทำจริงๆ”
เอาเถอะ เห็นแก่โทนเสียงของเขาที่ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่มาก จึงไม่คิดหยุมหยิมอีก
แต่มู่น่อนน่อนก็ยังไม่สบายใจถึงถามอีกรอบ “คุณไม่บาดเจ็บจริงเหรอ”
“ไม่” ทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็ผิดแปลกเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนออกไปอย่างข้องใจ
ตอนลงไปข้างล่าง เธอได้พบกับอาหู
“คุณหญิงน้อย มือของคุณผู้ชายได้รับบาดเจ็บใช่ไหมคะ”อาหูถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“เขาไม่ได้มือเจ็บค่ะ”
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดแล้วถามเธอว่า “ทำไมอาหูคิดว่าเขามือเจ็บคะ ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันตามเขากลับมาจากบ้านเก่า เขายังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่เหรอคะ”
“ก่อนหน้านี้เหรอคะ ตอนแรกฉันเอาน้ำหวานขึ้นไปให้คุณ ปรากฏว่าเผลอไปชนคุณผู้ชายตรงระเบียง ตอนนั้นเขาปกป้องระวังมือของตัวเองมากเลยค่ะ ฉันจึงไตร่ตรองดูแล้วคิดว่าน่าจะมีอาการบาดเจ็บ…”
อาหูพูดจบ ก็บ่นพึมพำกับตัวเองว่า “ต่อให้ไม่มีบาดแผลชัดเจน ก็มีแผลที่ซ่อนไว้…”
มู่น่อนน่อนถามอย่างตกตะลึง “ตรงทางเดินเหรอ เขาเพิ่งออกจากห้องนอนไปที่อื่นเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ” อาหูขมวดคิ้ว สีหน้ายังคงดูกังวล
สมองมู่น่อนน่อนไฟฟ้าลัดวงจรไปหลายนาที จากนั้นก็จ้องอาหูพลางพูดอย่างค่อนข้างไร้วิญญาณ
“ไม่เจ็บจริงเหรอคะ งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ” ได้ยินอาหูพูดอย่างนั้นก็วางใจก่อนจะหันหลังเดินจากไป
หลังจากอาหูเดินไป มู่น่อนน่อนก็มองขึ้นไปข้างบน รู้สึกว่าใบหน้าตัวเองค่อนข้างร้อน ก่อนจะทรุดนั่งลงบนโซฟา
คงจะไม่ใช่เพราะเธอจูบมือเขา เขาจึงระมัดระวังจนเป็นสมบัติล้ำค่าเสมือนว่าได้รับบาดเจ็บใช่ไหม
จริงๆ เลย…
……
ในช่วงเย็น เฉินถิงเซียวรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนจ้องมองเขาอยู่ตลอด
สุดท้าย เมื่อมู่น่อนน่อนวางชามลงบนโต๊ะพร้อมกับคีบอาหารอีกครั้ง เฉินถิงเซียวถึงได้เปิดปากพูด “มู่น่อนน่อน คุณเป็นอะไรไป”
“คะ?” มู่น่อนน่อนก้มหน้ามอง เห็นว่าตัวเองกำลังคีบอาหารอยู่ จึงรีบชักตะเกียบกลับ “ทำไมคะอาหารหล่นลงบนโต๊ะอีกแล้วเหรอ”
เฉินถิงเซียวมองเธออย่างเย็นชา สีหน้าของเขาแสดงออกชัดเจนว่า‘กำลังดูคุณเสแสร้งอยู่เงียบๆ’
มู่น่อนน่อนเกิดตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย
เธอก็ไม่อยากฟุ้งซ่านสติหลุดลอยอยู่ตลอดหรอกนะ
เธอเพียงแค่อย่างไรก็คิดไม่ออก โดยปกติแล้วเฉินถิงเซียวที่ดูเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็ง ทำไมถึงทำเรื่องโง่ๆ แบบนั้นได้
เนื่องจากตอนที่เขาใช้สายตา‘เป็นห่วงคนโง่’มองเธอ ซึ่งเธอรู้สึกว่าแค่เฉินถิงเซียวสามารถมองเธอโดยไม่ใช้สายตารังเกียจก็เอาเธอไปวางไว้ในใจแล้ว
ไม่กล้าคิดเลยว่าเพราะเธอจูบมือเขา เขาจะปกป้องมือขนาดนั้น…
ถ้าเขาทานอาหารเสร็จ คงจะไม่ถึงขนาดไม่กล้าล้างมือหรอกนะ
ความคิดนี้วนวนในสมองมู่น่อนน่อน
ตอนที่เธอทานอาหารเสร็จ เธอจ้องมองเฉินถิงเซียวอย่างใจจดใจจ่อ “ไปล้างมือด้วยกันเอะค่ะ”
เป็นอีกครั้งที่เฉินถิงเซียวใช่สายตา‘เป็นห่วงคนโง่’มอง “คุณควรไปดูหนังกับเสี่ยวฉินดีกว่านะ”
เมื่อพูดจบ เฉินถิงเซียวก็เดินออกจากห้องอาหารไป
“เฮ้!” เฉินเจียฉินยื่นมือออกไปโบกไปโบกมาตรงหน้ามู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองเขา กำลังจะพูด ก็ถูกเฉินเจียฉินส่ายหน้าเหล่มองอย่างเหยียดๆ “เมื่อครู่ตอนที่คุณมองญาติผู้พี่ ดวงตาแทบจะหลุดออกจากเบ้าอยู่แล้วนะครับ”
“จริงเหรอ” มู่น่อนน่อนแตะใบหน้าตัวเอง ไม่กล้านึกภาพตัวเองที่จ้องมองเฉินถิงเซียวระหว่างมื้ออาหาร
“ญาติผู้พี่ผมภูมิใจตายไปแล้วแหละ” เฉินเจียฉินย้ายเก้าอี้ไปนั่งใกล้มู่น่อนน่อน สีหน้าบอกว่า‘ผมเข้าใจดีครับ’ “สำหรับผู้ชาย ต้องปฏิเสธว่ายินดีถึงจะได้ คุณไม่สามารถแสดงความหลงใหลในตัวเขามากเกินไป…”
เจ้าเด็กน้อยนี่ไปเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาจากไหนกันนะ
มู่น่อนน่อนขัดจังหวะคำพูดของเขา “คุณพูดไม่ถูก ฉันไม่ได้แสดงความหลงใหลในตัวเขามากซะหน่อย คุณไม่รู้สึกเหรอว่าเขาชอบฉันมากกว่าน่ะ”
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่จูบมือเขา…
มันแสดงให้เห็นอย่างเต็มเปี่ยมว่าเฉินถิงเซียวหลงใหลเธอมากแค่ไหน!
เฉินเจียฉินกระตุกมุมปาก “เกรงว่าคุณจะสร้างภาพลวงตาที่แปลกประหลาดแล้วแหละ”
“เมื่อครู่ฉันเรียกให้เขาไปล้างมือด้วยกัน เขาปฏิเสธ ฉันจะบอกคุณนะว่าก่อนหน้านี้…” มู่น่อนน่อนครุ่นคิดว่าจะบอกเฉินเจียฉินเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หรือไม่
เพราะอย่างไรเฉินเจียฉินก็ยังเด็ก จะได้รับผลกระทบที่ไม่ดีหรือเปล่า
เฉินเจียฉินสีหน้าเห็นใจ “ไม่สู้คุณชวนญาติผู้พี่ไปห้องน้ำดีกว่า มันยังเป็นเรื่องปกติหน่อย”
มู่น่อนน่อน “………”
อย่างที่คาดไว้เลย ทั้งหมดล้วนเป็นเธอสร้างภาพขึ้นมาเอง
……
เรื่องที่ซือเฉิงหยู้ทารุณกรรมและฆ่าลูกสุนัข ยังวนเวียนอยู่บนอินเตอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง
บางคนที่คนรักสุนัขประณามซือเฉิงหยู้บนอินเทอร์เน็ต แถมยังซื้อการค้นหายอดนิยมมาคุมคามด่าว่าสาดเสียเทเสียอย่างเต็มที่
ต่อมาซือเฉิงหยู้ก็ไปพัวพันกับเหตุการณ์เปิดห้องพักโรงแรมกับดาราหญิงที่แต่งงานแล้วอีก
สรุปแล้ว เริ่มต้นด้วยเรื่องที่ซือเฉิงหยู้ทารุณกรรมและฆ่าลูกสุนัข ก็มีเรื่องอื้อฉาวของเขาเรื่องระเบิดตามมาอีก
มู่น่อนน่อนกลัวว่าเฉินเจียฉินจะเห็นสิ่งนี้ จึงชวนเฉินเจียฉินดูหนังทุกวัน ไม่อย่างนั้นก็สั่งให้เฉินเจียฉินไปกำจัดวัชพืชในสวน
แน่นอนว่าการออกแรงกำจัดวัชพืชคือผลงานของเฉินเจียฉิน ส่วนทั้งหมดที่มู่น่อนน่อนต้องทำก็คือสวมใส่เสื้อผ้าขนสัตว์กอดถุงร้อนมองดูก็พอ
เฉินถิงเซียวยุ่งจนเท้าไม่แตะพื้น จนกระทั่งถึงวันก่อนวันปีใหม่ เขาไม่ได้ไปบริษัทเลย
ในตอนเช้าตรู่ บ้านเก่าโทรมา ให้พวกเขากลับไปบ้านเก่าเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันสิ้นปี
ทัศนคติของเฉินถิงเซียวยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “ไม่ไป”
มู่น่อนน่อนรู้ว่าที่เฉินถิงเซียวปฏิเสธอย่างไม่ใยดีเป็นเพราะเธอ
แต่เฉินถิงเซียวกลับไปที่บริษัทเฉินซื่อแล้ว ไม่ว่าความสัมพันธ์ของเขากับเฉินชิงเฟิงจะแข็งกร้าวมากแค่ไหน มันก็ถึงเวลาที่ควรพยายามประนีประนอม
“กลับไปเถอะ” มู่น่อนน่อนโน้มน้าวเขา “อย่างมากก็กลับไปแค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้น”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว กำลังจะเปิดปากพูดอะไร แต่มู่น่อนน่อนขัดจังหวะเขาเสียก่อน พูดอย่างจริงจังว่า “มีคุณอยู่ มันจะเกิดอะไรขึ้นได้ล่ะคะ”
เมื่อเฉินถิงเซียวได้ยินก็ค่อนข้างตกใจ
จากนั้นก็ดึงเธอมาจูบลงไปที่ด้านหลังศีรษะ
ทันทีที่จูบเสร็จ เขาก็เอื้อมมือไปลูบผมเธอ และพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ได้”
เฉินเจียฉินลงบันไดมาพร้อมกับกระเป๋าสะพายหลัง ร้องด้วยดวงตาเบิกกว้างเกินจริง “เป็นตากุ้งยิงแล้ว ต้องเป็นตากุ้งยิงแล้ว!”
มู่น่อนน่อนผลักเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวเองก็ปล่อยเธอ แล้วหยิบหมอนบนโซฟาขว้างใส่เฉินเจียฉิน
เฉินเจียฉินระโดดไปอีกด้านด้วยราวจับบันได หลบหลีกหมอนได้อย่างง่ายดาย
แต่เขายังไม่ได้มีเวลาภูมิอกภูมิใจตัวเอง เมื่อเงยหน้าขึ้น หมอนอีกใบก็เข้ามากลางใบหน้าเล็กน่ารักของเขา
เฉินเจียฉินเอาหมอนมาแล้วไม่กล้าขว้างกลับ ได้แต่ตะโกนใส่มู่น่อนน่อน “พี่น่อนน่อน! สามีคุณรังแกผม!”
มู่น่อนน่อนหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ กำลังจะพูด โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็ดังขึ้น
มู่น่อนน่อนเอาโทรศัพท์มือถือออกมาและผลักเฉินถิงเซียวออก “ฉันจะรับสาย”
เฉินถิงเซียวปล่อยมือ เธอลุกขึ้นแล้วแยกห่างออกไปจากเฉินถิงเซียวแล้วรับสาย “ใครคะ”
“มู่น่อนน่อน วันสิ้นปีนี้เธอคงจะไม่กลับบ้านใช่ไหม ฉันขอให้เธอโชคดีในปีใหม่ล่วงหน้า”
มู่น่อนน่อนสีหน้าตกตะลึง เรียกชื่อเธออย่างใจเย็น “มู่หวั่นชี!
บทที่240 เธอไม่ต้องการฉันแล้วงั้นสิ?
สุดท้าย หนังก็ไม่ได้ดู มู่น่อนน่อนเอาแต่คุยกับเฉินเจียฉิน
เฉินเจียฉินอยู่ต่างประเทศมานาน ในประเทศก็เลยไม่มีเพื่อน เรื่องเหล่านี้น่าจะอยู่ในใจมานานเกินไปแล้ว แล้วยังไม่มีคนมาให้ระบายด้วย
ดีที่มู่น่อนน่อนยินดีรับฟัง เขาก็เลยพูดทุกอย่างออกมาหมด
เพราะเขาพูดเรื่องนั้น เลยได้ยินเบาะแสมาคร่าวๆ
พ่อแม่ที่ดูรักใคร่กลมเกลียวแต่ไม่ใช่ พี่ชายที่ภายนอกดูอบอุ่นแต่กลับฆ่าสัตว์ตัวน้อยๆอย่างโหดร้าย เรื่องเหล่านี้ทำให้เกิดผลกระทบต่อเด็กในวัยเฉินเจียฉิน
มู่น่อนน่อนออกมาจากห้องดูหนัง ก็เจอกับเฉินถิงเซียวที่จะเข้าไปหาเธอพอดี
เธอเดินนำหน้า เฉินเจียฉินอยู่ข้างหลัง
เฉินถิงเซียวทำหน้าเรียบนิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธที่เฉินเจียฉินชวนมู่น่อนน่อนดูหนัง
ก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนต้องรับมือกับพวกตระกูลเฉินมาก็เหนื่อยแล้ว บอกไว้อย่างดีว่าจะไปพักผ่อน ยังโดนเฉินเจียฉินลากมาดูหนังด้วยกันอีก สีหน้าของเขาไม่สบอารมณ์เฉินเจียฉินอย่างแน่นอน
เฉินเจียฉินมุ่ยปาก ขยับไปอยู่ด้านหลังมู่น่อนน่อน
ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สายตาของพี่ชายยังมีจิตสังหารขนาดนี้
หวาดกลัว
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวอย่างไม่พอใจ หันไปพูดกับเฉินเจียฉิน “เสี่ยวฉิน นายกลับไปพักในห้องสักพักนะ”
“ครับ” ราวกับเฉินเจียฉินได้รับการอภัยโทษ รับวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว
เฉินถิงเซียวฉีกยิ้มมุมปาก สายตาเย็นชา “มู่น่อนน่อน ตอนนี้เธอท้องอยู่นะ ไม่ต้องไปสั่งสอนเขา เขาก็เป็นแค่เด็กที่ชอบสร้างปัญหา
“ไม่รู้ไม่ชี้ ตาแป๊ะสวดมนต์” มู่น่อนน่อนใช้มืออุดหู พูดไปด้วยเดินเข้าห้องนอนไปด้วย
เฉินถิงเซียวหน้าครึ้มลงทันที พูดเสียงเรียบอย่างโกรธๆ “มู่น่อนน่อน!”
มู่น่อนน่อนหันกลับมา ยื่นมือลูบหน้าท้องของตัวเองเบาๆ สายตาจดจ้อง ทำหน้าตาจริงจัง แล้วพูด “อย่าเสียงดัง ทำเจ้าหนูน้อยตกใจหมดแล้ว”
เฉินถิงเซียวสูดหายใจเข้าลึก บอกตัวเองว่าอย่าไปทะเลาะกับผู้หญิงบ้าๆคนนี้เลย
มู่น่อนน่อนมองเขาทำท่าทางอดกลั้นความโกรธ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แต่มาคิดอีกทีเขาก็ทำเพื่อเธอทั้งนั้น ก็เลยกลับไปดึงแขนเขาด้วยใบหน้าพึงพอใจ “โอเคโอเค พวกเรากลับห้องไปพักเถอะ”
ตรงหน้ามู่น่อนน่อน ความโกรธของเฉินถิงเซียวมาก็ง่าย หายก็เร็ว
กลับถึงห้อง มู่น่อนน่อนก็ถูกเฉินถิงเซียวจับไปไว้ที่เตียง ห่มผ้าห่มให้เธอ แล้วก็สั่ง “นอน”
มู่น่อนน่อนคุยกับเฉินเจียฉินนานขนาดนั้น ตอนนี้เลยยังไม่ได้นอน “ฉันมีเรื่องจะพูดกับคุณ”
“ตื่นแล้วค่อยว่ากัน” เฉินถิงเซียวไม่มองสายตาที่อ้อนวอนของเธอ
มู่น่อนน่อนไม่สนใจ พูดไปตรงๆ “ความสัมพันธ์ของป้าของคุณกับคุณอาดีมั้ย?”
“ในสายตาคุณปู่ พวกเขาเป็นสามีภรรยาตัวอย่างที่รักใคร่กันมาก” เฉินถิงเซียวพูดจบก็ยิ้มออกมาเอง ในสายตาของคุณปู่เฉิน แม่กับเฉินชิงเฟิงเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กันมาก
“แต่เมื่อกี้เสี่ยวฉินบอกฉันว่า เขารู้สึกว่าพ่อแม่เขาไม่ได้รักกันเลย รู้สึกเหมือนรักกันแต่ภายนอก…” มู่น่อนน่อนถอนหายใจ “พวกเราก็อยู่ด้วยกันนานแล้ว จะกลายเป็นสามีภรรยาที่รักกันแต่ภายนอกรึเปล่านะ?”
เฉินถิงเซียวตอบอย่างมั่นใจมาก “ไม่มีทาง”
“จริงหรอ?” มู่น่อนน่อนหน้าตาประทับใจ
ผลก็คือ วินาทีต่อมา เธอก็ได้ยินเฉินถิงเซียวพูดอย่างเงียบๆ “เอาลูกของฉันมาก่อนค่อยคิดเรื่องแบบนี้ เธอจะออกไปหาชายอื่นหรือไง?”
น้ำเสียงอันตรายนิดหน่อย
มู่น่อนน่อนมองเขาด้วยหางตา พบว่ากำลังเขาหลี่ตาจ้องเธอนิ่งๆ ราวกับว่าเธอพูดคำตอบที่ทำให้เขาไม่พอใจออกไป ก็เลยต้องการซ่อมเธอ
มู่น่อนน่อนเป็นคนที่มีสติในการเอาตัวรอดแข็งแกร่งมาก
เธอจับมือของเฉินถิงเซียวไว้ ยิ้มอย่างสดใจ “จะเป็นไปได้ไง จะชายคนไหนจะหล่อกว่าคุณรวยกว่าคุณอีก?”
“เธอหมายความว่า ถ้ามีผู้ชายที่หล่อกว่ารวยกว่าฉัน เธอก็ไม่ไม่ต้องการฉันแล้วงั้นสิ?” ใบหน้าเฉินถิงเซียวแสดงอาการอันตรายมากขึ้น
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าคำตอบของตัวเองนั้นใส่ใจมากๆแล้ว แต่เฉินถิงเซียวแค่ไม่ปกติ
ทั้งเมืองหู้หยางยังมีผู้ชายที่หล่อกว่าเขารวยกว่าเขาอีกหรอ?
ยังไงก็เป็นไปไม่ได้!
นี่เธอแค่เปลี่ยนวิธีชมเขาเอง!
ผลก็คือ เขาจับใจความที่เธอต้องการจะสื่อไม่ได้
เธอคงตามสมองของคนฉลาดไม่ทันจริงๆสินะ
“จะเป็นไปได้ยังไง!” มู่น่อนน่อนเสียงดังขึ้น พยายามทำให้ตัวเองฟังดูซื่อสัตย์อย่างสุดความสามารถ
เฉินถิงเซียวสีหน้าผ่อนคลายลง แต่ไม่ได้พูดอะไร
มู่น่อนน่อนดึงมือของเขามาที่ริมฝีปาก แล้วจูบลงเบาที่หลังมอของเขา “ฉันพูดจริงๆนะ”
เธอรู้สึกว่ามือของเฉินถิงเซียวหยุดนิ่งลง พอเงยหน้ามองก็พบว่าสีหน้าของเฉินถิงเซียวดูไม่สบายตัวเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่บนเตียงตั้งแต่แรก พอเธอมองเขา เขาก็หันหน้าหนีทันที “รีบนอน ฉันยังมีธุระต้องจัดการ”
มู่น่อนน่อนสะดุ้ง เมื่อกี้เขา…เขินหรอ?
ตอนที่หยอกเธอเขาลื่นไหลมากแท้ๆ เธอแค่จูบหลังมือเขาด้วยความรู้สึก ผู้ชายคนนี้ก็เขินทำตัวไม่ถูกแล้วหรอ?
มู่น่อนน่อนคิดจะทำอีกที เฉินถิงเซียวกลับดูเหมือนคาดเดาได้ว่าเธอจะทำอะไรต่อไป รีบดึงมือหนี “ฉันไปห้องหนังสือนะ”
เฉินถิงเซียวก้าวออกไปนอกห้องนอน ยังไม่ทันปิดประตูห้อง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างไร้ยางอายออกมาจากด้านใน
เฉินถิงเซียวสีหน้ามืดครึ้ม ปิดประตูดัง “ปัง” บนใบหน้ามีสีแดงของความเขินอาย และก็ไม่ได้สนใจอาหูที่เดินข้ามของมาตรงหน้า
ก็เลยชนเข้ากับอาหูพอดี
ในถาดของอาหูมีน้ำหวานวางอยู่ถ้วยหนึ่ง ที่ตั้งใจเตรียมมาให้มู่น่อนน่อน
น้ำหวานนี้ก็เลยหกใส่ร่างของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวปฏิกิริยาไวมาก เขายกมือที่โดนมู่น่อนน่อนจูบขึ้นหลบน้ำที่กระเด็นใส่โดยไม่รู้ตัว
อาหูเห็นเขายกมือขึ้น เลยถามด้วยความเป็นห่วง “คุณผู้ชาย มือไม่ได้โดนลวกใช่มั้ยคะ?”
“ไม่โดน”
อาหูไม่วางใจ “เดี๋ยวฉันช่วยดูให้นะคะ?”
“ไม่ต้อง” เฉินถองเซียวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เพียงแค่ใช้มืออีกข้างหนึ่งจับมือข้างที่มู่น่อนน่อนจูบแล้วเดินผ่านร่างอาหูไป
อาหูมองเงาหลังของเฉินถิงเซียว พูดพึมพำ “ทำไมหวงมือข้างนั้นนัก? ต้องได้รับบาดเจ็บแน่เลย…”
……
เพราะอย่างนั้น พอมู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมา ก็ได้ยินคนใช้พูดกันว่ามือของเฉินถิงเซียวได้รับบาดเจ็บ
มู่น่อนน่อนสีหน้าตึงเครียด “ทำไมถึงบาดเจ็บล่ะ?”
ก่อนเธอนอนยังดีๆอยู่เลย ทำไมหลับไปแค่ตื่นเดียวมือของเฉินถิงเซียวถึงบาดเจ็บได้?
“เขาอยู่ไหน?” มู่น่อนน่อนถาม
คนใช้พูดอย่างนอบน้อม “คุณผู้ชายอยู่ในห้องหนังสือตลอด ยังไม่ได้ออกมาเลยค่ะ”
มู่น่อนน่อนได้ยินเธอพูดอย่างนี้ ก็สับสนนิดหน่อย ถ้าอยู่ในห้องหนังสือตลอด แล้วจะบาดเจ็บได้ยังไง
ใจของมู่น่อนน่อนรู้สึกว่ามีพิรุธ แต่ก็ยังไปห้องหนังสือของเฉินถิงเซียว
ยืนอยู่หน้าประตูห้องหนังสือ มู่น่อนน่อนเคาะประตูแล้ว ก็ผลักประตูเดินเข้าไป ”พวกเขาบอกว่ามือคุณบาดเจ็บ? ให้ฉันดูหน่อย”
เฉินถิงเซียวกำลังนั่งทำงาน ได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจเล็กน้อย แต่ไม่นานก็เข้าใจว่าเรื่องราวเป็นมายังไง
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นค่อยปกติ มีความเคืองอยู่ในน้ำเสียงเล็กน้อย “ไม่ได้บาดเจ็บ ฉันยังต้องทำงาน เธอออกไปก่อน”
บทที่239 มีปัญหาแน่ๆ
บางครั้งคนเราก็เป็นอย่างนี้ เพราะไม่เคยทำความผิด หรือคนที่พูดได้ว่าทำผิดมาน้อยสุดๆ ขอเพียงแค่พวกเขาผิดแม้สักเล็กน้อย ก็จะโดนขยายความผิดนั้นออกไปได้เรื่อยๆ
แต่กับคนชนิดที่เลวถึงขั้นแล้ว แค่ทำเรื่องดีๆสักเรื่อง ก็จะถูกขยายออกไปไม่สิ้นสุดเช่นกัน
ส่วนมาก คนเรามักทำใจทนกับคนชั่วได้มากกว่า
มู่น่อนน่อนไม่ค่อยแน่ใจเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของเรื่องร้ายของซือเฉิงหยู้นี้ แต่เธอรู้ ว่าชื่อเสียงของซือเฉิงหยู้จะต้องกระทบหนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สุดท้ายเขาก็เป็นนักแสดงที่เธอเป็นแฟนคลับมาหลายปี ในใจของมู่น่อนน่อนเกิดความสับสน
ระหว่างทาง มู่น่อนน่อนอารมณ์เสียเล็กน้อย พอกลับถึงบ้าน เธอถามเฉินถิงเซียวอย่างอดไม่ได้ “เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรอ?”
ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนก็เข้าใจนิดหน่อยแล้ว ตอนก่อนที่ซือเฉิงหยู้จะให้คนแอบถ่ายพาเธอขึ้นการค้นหาร้อนแรง ทำไมเฉินถิงเซียวยังคิดที่จะให้โอกาสซือเฉิงหยู้
เพราะตัวเธอในตอนนี้ ก็เหมือนกับเฉินถิงเซียวในตอนนั้น
ทิ้งตัวตนพี่ชายเฉินถิงเซียวออกไป ซือเฉิงหยู้เป็นนักแสดงที่เธอเป็นแฟนคลับมาเจ็ดแปดปีแล้ว ความจริงเธอไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะฆ่าสัตว์ตัวเล็กได้ลง
ตอนมหาลัยเธอมีรูมเมทคนนึงไม่ชอบสัตว์ตัวเล็กๆ พอเห็นน้องแมวน้องหมาก็จะเดินออกห่าง แต่ก็ไม่เห็นเธอจะไปทำอะไรกับน้องหมาน้องแมวเลย
ในทางจิตวิทยาเคยอธิบายไว้ว่า การฆ่าสัตว์ตัวเล็กๆได้ลง เป็นอาการทางจิตชนิดหนึ่ง
หากไม่สามารถรักษาอาการทางจิตที่บิดเบี้ยวได้ทันเวลา มีแนวโน้มที่เหยื่อจากการฆ่าจะเปลี่ยนจากสัตว์เป็นคน
พูดง่ายก็คือ เป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง
“จะจริงหรือปลอม ใครสน?” เห็นได้ชัดว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้
ที่เขาสนใจคือผลลัพธ์
เขาเห็นมู่น่อนน่อนขมวดคิ้วท่าทางเหมือนคิดอะไรไม่ออก ครุ่นคิดพักนึง แล้วจึงพูดอย่างจริงจัง “ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ไม่สามารถตัดสินอะไรได้เลยจริงๆ แต่พวกที่อยากจะจัดการกับเขาก็เตรียมพร้อมมาดี พวกเขากล้าปล่อยเรื่องร้ายแบบนี้ออกมา ก็คงไม่กลัวถูกคนจับช่องโหว่ได้หรอก
หาช่องโหว่ไม่เจอ…
“คุณหมายความว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรอ?” สีหน้าของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดต่อในประเด็นนี้ เพียงแค่ตบๆหัวเธอเบาๆ “กลับห้องไปพักก่อนเถอะ”
เขารู้ว่ามู่น่อนน่อนเป็นแฟนคลับของซือเฉิงหยู้ ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง อาจจะมีผลกระทบต่อเธอ
มู่น่อนน่อนพยักหน้า “อือ”
ที่ถูกต้องคือเธอต้องกลับห้องไปพักผ่อนสักหน่อย
ตอนที่เดินผ่านห้องของเฉินเจียฉิน มู่น่อนน่อนหยุดฝีเท้าลง
ก่อนหน้านั้นพอกลับมาถึง เฉินเจียฉินก็กลับเข้าไปในห้องเลย คือไม่ได้อยู่มานานขนาดนี้เลยรีบไปดูข้างในว่ายังเหมือนเดิมอยู่รึเปล่า
เวลานั้นเอง ประตูห้องก็ถูกคนเปิดออกมาจากด้านใน
“เจ๊น่อนน่อน?” เฉินเจียฉินเห็นมู่น่อนน่อนยืนอยู่ที่ประตู หน้าตาประหลาดใจ
มู่น่อนน่อนฉีกยิ้มจางๆออกมา “ฉันผ่านมาพอดีน่ะ กำลังจะกลับห้อง”
เฉินเจียฉินหลบตาลง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ “โอ้ เจ๊กลับห้องมีธุระอะไรรึเปล่า?”
มู่น่อนน่อนมองสังเกตเฉินเจียฉินอย่างละเอียด ถึงเห็นว่าตาของเขาเหมือนจะแดงอยู่นิดนึง
เธอไม่ได้ถามเขาไปตรงๆ แต่กลับพูดว่า “เจ๊ไม่มีธุระ”
เฉินเจียฉินท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูดกับเธออย่างชัดเจน แต่แสร้งทำเป็นพูดอย่างสบายๆ “งั้นดูหนังด้วยกันมั้ย?”
“เอาสิ” ความคิดจิตใจของเด็กนั้นยากที่จะปิดให้มิด แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ไปแทงใจดำเขา
ในคฤหาสน์มีห้องดูหนังอยู่ แต่แค่ปกติมู่น่อนน่อนคนเดียวไม่ได้สนใจที่จะเข้าไปดู
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เข้าไปอีกด้วย
ที่ว่างข้างในใหญ่มาก โซฟาก็กว้างมาก ทั้งสองถือมันฝรั่งทอดแล้วนั่งเรียงกัน รอหนังเริ่ม
หนังเรื่องนี้เฉินเจียฉินเป็นคนเลือก ตอนหนังเริ่ม มู่น่อนน่อนถึงพบว่ามันเป็นการ์ตูนสำหรับเด็กเล็ก
“คะช่า”
มู่น่อนน่อนวางมันฝรั่งทอดเข้าไปในปาก “นายแน่ใจนะว่าอยากดูเรื่องนี้?”
เฉินเจียฉินจับมันฝรั่งทอดยัดเข้าไปในปาก พูดอย่างไม่ชัดนัก “รักเด็กๆและเคารพคนแก่อ่ะรู้จักมั้ย? พวกเราจะนึกถึงแต่ตัวเองไม่ได้นะ ต้องนึกถึงหลานชายของผมด้วย”
“หลานชาย?”
เฉินเจียฉินชี้ท้องของเธอ “นี่ไง เขาอยู่ในนี้”
“…”
มู่น่อนน่อนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ตอนนี้เขายังเป็นแค่ตัวอ่อนอยู่เลย”
เฉินเจียฉินลดเสียงของหนังลงนิดหน่อย ทำหน้าตาสงสัย “งั้นเขาก็ไม่ได้ยินพวกเราคุยกันหรอ?”
“อื้อ”
มู่น่อนน่อนก้มไป ลูบหน้าท้องของเธออย่างเบาๆด้วยสายตาอ่อนโยน แล้วหันมามองเฉินเจียฉิน นายอยากจะพูดอะไรกับเจ๊ล่ะ?”
“เรื่องพี่ชายผมกับพี่ชาย ผมรู้เรื่องแล้วนะ” เฉินเจียฉินพูดจบก็ถอนหายใจ ท่าทางเหมือนเด็กแก่แดด
“อืม” มู่น่อนน่อนรู้ว่าเขายังมีอะไรจะพูดอีก เลยไม่พูดขัด
“ก่อนหน้านี้ก็พูดไปแล้ว เวลาที่ผมอยู่กับพี่ชาย มากกว่าเวลาที่ผมอยู่กับพ่อแม่กับพี่ชายแท้ๆของผมอีก พ่อแม่ผมดูแล้วรักใคร่กันมา พี่ชายแท้ๆของผมก็ดูเป็นคนอบอุ่นมาก แต่ทำไมถึงรู้สึกมีอะไรขาดไป…”
มู่น่อนน่อนชะงัก “ขาดอะไรไป?”
ถึงแม้คำพูดของเฉินเจียฉินจะดูลึกไปหน่อย แต่มู่น่อนน่อนฟังออกว่านี่เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจของเขาจริงๆ
“ผมก็อธิบายความรู้สึกนี้ไม่ถูกเหมือนกัน…” เฉินเจียฉินเกาหัวด้วยความทุกข์ใจ ทันใดนั้นจู่ๆเขาก็วิ่งไปดึงดอกไม้เทียมออกมาจากแจกัน
เขาชูดอกไม้มาตรงหน้ามู่น่อนน่อน “เหมือนกับดอกไม้ดอกนี้ สวยมากเหมือนจริงมาก แต่ก็ยังดูปลอมนิดๆอยู่ดี”
“นายหมายความว่า นายรู้สึกว่าคนในบ้านเธอปลอมหมดเลยหรอ?” คำว่า “ปลอม” คำสุดท้าย มู่น่อนน่อนพูดเสียงเบามาก เพราะเธอไม่แน่ใจว่าเฉินเจียฉินหมายความอย่างนี้รึเปล่า
“ผมรู้สึกเหมือนทุกคนใส่หน้ากากกันหมดเลย”
เฉินเจียฉินก้มหัว ใบหน้าเล็กๆตึงเครียดมาก จนคิ้วชนกัน
มู่น่อนน่อนไม่รู้สถานการณ์ครอบครัวของเฉินเจียฉิน ความสัมพันธ์ของพ่อแม่เขาเป็นยังไง เธอไม่แน่ใจ
แต่ที่เธอรู้คือ พี่ชายของเขาซือเฉิงหยู้ต้องมีปัญหาแน่ๆ
มู่น่อนน่อนถามเขาด้วยความสงสัย “นายเห็นข่าวเรื่องพี่นายบนอินเทอร์เน็ตแล้วยัง?”
“เห็นแล้ว” สีหน้าของเฉินเจียฉินเปลี่ยนไป “ตอนที่ยังเด็กมาก ตระกูลของพวกผมมีแมวตัวใหญ่สีขาวอยู่ตัวหนึ่ง ผมกับพี่ชายชอบมันมาก มันมานอนในห้องของพวกผมบ่อยๆ แต่มีคืนหนึ่งมันไปห้องของพี่ชายผม ตื่นเช้าวันต่อมา ผมก็เห็นมันนอนอยู่ข้างรั้วเลือดเต็มไปทั้งตัว
เสียงของเขาเริ่มสั่นเล็กน้อย “แม่บอกว่า มันโดนเยอรมันเชพเพิร์ดของบ้านข้างๆกัดตาย…”
มู่น่อนน่อนลูบหัวของเขา แล้วถามอีกอย่างอดไม่ได้ “หยุดนึกได้แล้ว ถ้าแม่ของนายบอกว่าเยอรมันเชพเพิร์ดกัดตาย ก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ”
เฉินเจียฉินส่ายหัว “แต่ว่าพี่สาวข้างบ้านบอกว่า เยอรมันเชพเพิร์ดของพวกเธอผูกอยู่ที่ลานบ้านตลอด เธอไม่โกหกหรอก เพราะเธอก็ชอบแมวตัวใหญ่สีขาวของบ้านเรามาก”
มู่น่อนน่อนไม่รู้จะพูดอะไร
เฉินเจียฉินวัยนี้เป็นวัยที่ดื้อที่สุด แต่ก็อ่อนไหวที่สุดด้วย
เขาสามารถสัมผัสถึงเรื่องในครอบครัวได้อย่างเฉียบแหลม ทุกๆการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ของคนใกล้ตัว
ถ้าอิงตามวิธีพูดของเขา ตัดซือเฉิงหยู้ที่ถูกเปิดโปงออกไป ความสัมพันธ์ของพ่อแม่เขาต้องไม่ได้กลมเกลียวกันอย่างที่เห็นแน่
ตระกูลของพวกเขา มีปัญหาแน่ๆ
บทที่238 ถีบเขาลงไป
เฉินชิงเฟิงโกรธจนความดันขึ้น จ้องมองเฉินถิงเซียวครู่หนึ่ง ถึงระเบิดคำพูดออกมาสองคำ “ดีมาก!”
มู่น่อนน่อนที่ดูอยู่ข้างๆกลัวจนตัวสั่น
ยังดีที่เฉินชิงเฟิงร่างกายแข็งแรง ไม่อย่างนั้นไม่ช้าก็เร็วต้องโกรธเฉินถิงเซียวจนป่วยแน่
“เหอะ”
เฉินถิงเซียวหัวเราะเยาะ “ตอนนี้ที่บริษัทเฉินซื่อสถานการณ์เป็นยังไง คุณก็รู้อยู่แก่ใจ อำนาจส่วนใหญ่ไปกองอยู่กับพวกคนแก่ๆอย่างไร้ประโยชน์ นักบัญชีทำบัญชีปลอมกี่บัญชี? คุณก็รู้ใช่มั้ย?”
ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์เลวร้ายของบริษัทเฉินซื่อ ช่วงเวลาก่อนหน้านี้เขาก็คงไม่ถึงขนาดทำงานล่วงเวลาเป็นประจำหรอก
เฉินชิงเฟิงรู้ว่าที่เฉินถิงเซียวพูดมานั้นเป็นความจริง ไม่มีอะไรจะเถียง
เขาถอนหายใจยาว ถามเฉินถิงเซียว “พวกเราไม่พูดเรื่องนี้ พูดเรื่องเฉิงหยู้ดีกว่า”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว หลี่ตาเล็กน้อย รอคำต่อไปของเฉินชิงเฟิง
“แกไปทำบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ข้างนอก ไม่กี่ปีมานี้เฉิงหยู้ก็เป็นศิลปินที่เซ็นสัญญาอยู่ใต้สังกัดของบริษัทนั้นของแกนี่? ที่พวกแกยกเลิกสัญญากันนี่ แกเป็นคนเสนอใช่มั้ย?”
คนนอกต่างก็คิดว่าซือเฉิงหยู้เป็นคนเสนอยกเลิกสัญญา แต่เฉินชิงเฟิงไม่ได้โง่เหมือนคนพวกนั้น
น้ำเสียงเฉินชิงเฟิงเหมือนถามคาดโทษ ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ
เฉินถิงเซียวพูดโดยไม่แสดงอาการใดๆ “นี่คุณกำลังจะมาสู้แทนเขาหรอ?”
ดูเหมือนเฉินชิงเฟิงก็รู้ว่าวิธีการพูดของตัวเองนั้นไม่ค่อยถูกต้อง น้ำเสียงเขาอ่อนลงมาหน่อย “ฉันกับป้าของแกเป็นพี่น้องแท้ๆกัน ความสัมพันธ์ของแกกับเฉิงหยู้ก็ดีตั้งแต่เด็ก จะมีสักกี่คนที่มาจ้องมองมายังที่ของแก แกก็รู้ ว่าแกกับเฉิงหยู้รักกันตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่ต้องสร้างความสัมพันธ์ดีๆ จากนั้นถึงพึ่งพาอาศัยกันได้…”
“อยากจะพึ่ง คุณก็ไปพึ่งเองเถอะ” เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจ ลุกขึ้นยืน “ผมไม่สนเรื่องของคุณ เรื่องของผมคุณก็อย่ามายุ่ง”
พูดจบ เขาหันไปยื่นมือหามู่น่อนน่อน “มู่น่อนน่อน พวกเรากลับบ้านกัน”
สายตาที่เขามองมายังเธอไม่ดูเย็นชาเหมือนกับตอนที่คุยกับเฉินชิงเฟิง หน้าตาที่หล่อเหลา คิ้วที่อ่อนนุ่มเหมือนฝ้าย ทำให้คนรู้สึกอบอุ่น
มือน่อนน่อนเอามือของตัวเองไปไว้ในมือของเขา “หือ”
ทั้งสองจูงมือกันเดินออกมา
ข้างในห้องที่ประตูไม่ได้ปิด เป็นเสียงทุบทำลายข้าวของ
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวอย่างกังวล
เฉินถิงเซียวยิ้มอย่างอ่อนโยน หางตาแฝงไปด้วยการเยาะเย้ย “ข้าวของเขาเองทั้งนั้น ให้เขาทุบตามใจเถอะ”
มู่น่อนน่อนยังกังวลอยู่นิดหน่อย เฉินถิงเซียวกับเฉินชิงเฟิงเข้ากันไม่ได้เหมือนน้ำกับไฟ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่พึ่งเกิดวันสองวันซะเมื่อไหร่ แต่ก็จะเป็นอย่างงี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้
เธอมองออก เฉินชิงเฟิงยังอยากจะญาติดีกับเฉินถิงเซียวอยู่
ผู้ชายอย่างเฉินชิงเฟิง ถึงจะทำเกินไปหน่อย ก็ไม่น่าจะจัดการลักพาตัวภรรยาของตัวเองอย่างนั้น
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า ระหว่างเฉินถิงเซียวกับเฉินชิงเฟิง คงเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด
แต่แค่ เรื่องเข้าใจผิดนี้ไม่ได้พึ่งเกิดแค่วันสองวัน ถ้าอยากจะคลายความเข้าใจผิด ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป
……
พอทั้งสองลงมา ก็เห็นเฉินเจียฉินกำลังกระโดดอยู่บนโซฟา มองทั้งสองตาเป็นมัน “พี่ชาย เจ๊น่อนน่อน พวกพี่จะกลับแล้วหรอ?”
“อือ มีอะไรหรอ?” มู่น่อนน่อนเห็นว่าเฉินเจียฉินมีอะไรจะพูด
เฉินเจียฉินเกาหัว พูดอย่างอายๆ “ผมไม่ได้ไปหาพวกพี่นานแล้ว ผมไปอยู่ด้วยสักสองสามวันได้มั้ย?”
“ไม่ได้”
“ได้”
เสียงทั้งสองที่ขัดแย้งดังขึ้นพร้อมกัน
คนที่พูด “ไม่ได้” คือเฉินถิงเซียว คนที่พูด “ได้” คือมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียว พูดเสียงหนัก “คุณบอกว่าไม่ได้หรอ?”
เฉินถิงเซียวอยากจะพยักหน้า
แต่สัญชาตญาณบอกเขา ถ้าเขาพยักหน้า คืนนี้อาจจะโดนมู่น่อนน่อนไล่ไปนอนนอกห้อง
เฉินถิงเซียวมองเฉินเจียฉินปราดหนึ่ง ตอบเสียงเรียบๆ “ออ”
ในคำว่า “ออ” นี้มีความไม่เต็มใจแฝงออกมาอยู่ลึกๆ มู่น่อนน่อนสัมผัสได้
แต่เธอก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ พูดกับเฉินเจียฉินยิ้มๆ “นายได้คุยกับแม่รึยัง?”
ถึงแม้ความสัมพันธ์ของซือเฉิงหยู้กับเฉินถิงเซียวจะแตกหักแล้ว แต่เฉินเจียฉินก็เป็นแค่เด็ก
ไม่ควรให้เรื่องของผู้ใหญ่ มาทำให้ไม่แยแสแม้แต่เด็กคนหนึ่ง
เฉินเจียฉินพยักหน้าอย่างแรง “คุยแล้ว”
……
เฉินเจียฉินก่อนหน้านี้ก็อยู่ที่นั่นกับเฉินถิงเซียว ที่นั่นยังมีเสื้อของเขาอยู่เลย ถ้าตอนนี้อยากกลับไปอยู่ แม้แต่ของใช้ก็ไม่ต้องเตรียม แค่ตรงเข้าไปอยู่ก็ได้แล้ว
ตอนขึ้นรถ เฉินเจียฉินเหมือนกลัวเฉินถิงเซียวเปลี่ยนใจ เขารับกระโดดขึ้นรถเหมือนกระต่ายแล้วกวักมือเรียกมู่น่อนน่อน
“เจ๊น่อนน่อน รีบขึ้นมาเร็ว”
เฉินถิงเซียวกวาดตามองไปอย่างเย็นชา เฉินเจียฉินรีบปิดปากทันที
มู่น่อนน่อนกำลังจะขึ้นรถ แต่เฉินถิงเซียวกลับดึงไว้
พอเขาขึ้นรถก่อนแล้ว ถึงยื่นมือหามู่น่อนน่อน ตั้งใจจะให้เธอขึ้นรถ
มู่น่อนน่อนกลอกตามองบน ผู้ชายคนนี้ทำไมคิดเล็กคิดน้อยขนาดนี้?
เธอขึ้นมาบนรถแล้ว เฉินถิงเซียวนั่งกลางระหว่างเธอกับเฉินเจียฉินเพื่อแยกทั้งสองจากกัน
มู่น่อนน่อนกับเฉินเจียฉินมองตากันข้าม “แม่น้ำ” จากสายตายองแต่ละคนเธอมองเห็นสายตาดูถูกของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนนึกถึงก่อนหน้านี้ที่อยู่บนโต๊ะอาหาร เฉินอินหย่าบอกว่าซือเฉิงหยู้โดนคนใส่ร้ายอีกแล้ว
สถานการณ์บนอินเทอร์เน็ตเลวร้ายกว่าที่มู่น่อนน่อนคิดไว้
มู่น่อนน่อนเอนตัวไปข้างหูเฉินถิงเซียวแล้วถามเขาเสียงเบา “คุณไม่ได้ทำจริงหรอ?”
เฉินถิงเซียวยังคงมีท่าทีไม่แสดงออกอะไรเหมือนเดิม แต่น้ำเสียงกลับหยิ่งผยองมาก “เรื่องเล็กแค่นี้ต้องถึงมือฉันเลยหรอ?”
จะดูนิสัยของคนคนหนึ่งว่าเป็นยังไง ปกติให้ดูตอนคนตัวเล็กๆตอนมีอำนาจนี่แหละ
ประเด็นที่ว่าซือเฉิงหยู้ฆ่าหมาอย่างโหดร้ายความนิยมสูงมาก แถมยังมีรูปภาพด้วย
แค่รูปภาพไม่ชัดนัก แต่ดูลักษณะรูปร่างแล้วมองออกชัดมากว่าเป็นซือเฉิงหยู้
รูปถูกถ่ายมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ซือเฉิงหยู้ยกหมาขึ้น เขวี้ยงสุนัขลงพื้น ห้าภาพถ่ายนี้ถูกถ่ายในกระบวนการที่สอดคล้องกัน
ถ้าว่าตามชาวเน็ตแล้ว นี่เป็นความจริงที่มีน้ำหนัก
ครั้งนี้ ชาวเน็ตส่วนใหญ่ต่างไม่อยู่ข้างซือเฉิงหยู้แล้ว
สำหรับซือเฉิงหยู้ที่แทบไม่เคยเจอข่าวด้านลบมาก่อน ข้อมูลที่ดำมืดแบบนี้ อาจจะเป็นการทำลายอาชีพศิลปินของเขาไปเลยก็ได้
“ภาพลักษณ์ถล่มเลย!”
“รู้สึกว่าไอ้ซือเฉิงหยู้นี่แปลกๆมาตั้งนานแล้ว มีคนที่ไหนจะไม่มีข่าวด้านลบเลย”
“นี่เป็นผลจากการฉีกสัญญากับบริษัทเสิ้งติ่งน่ะสิ มีต้นไม้ต้นใหญ่อย่างบริษัทเสิ้งติ่งดูแลอยู่ยังไม่พอใจอีก พอฉีกสัญญาก็โดนปล่อยข่าวร้ายแบบนี้ออกมา เจ็บแสบเลยมั้ยล่ะ?”
สายตาของมู่น่อนน่อนตกไปอยู่ที่ความคิดเห็นสุดท้าย
วงการบันเทิงนั้นลึกล้ำมาก ถึงแม้ซือเฉิงหยู้จะเป็นรายใหญ่ แต่ก็เป็นเพราะมีบริษัทเสิ้งติ่งที่เป็นผู้นำเก่าแก่ของวงการบันเทิงคุ้มครองอยู่ จึงอยู่ได้อย่างราบรื่น
แต่เขาฉีกสัญญากับบริษัทเสิ้งติ่งแล้ว บารมีของบริษัทเสิ่งติ่งที่คุ้มหัวอยู่ก็หายไปด้วย คนพวกนั้นที่คิดจะปีนขึ้นไปที่สูง ก็ต้องใช้โอกาสนี้ถีบส่งซือเฉิงหยู้เป็นธรรมดา
หนึ่งคนสำเร็จหมื่นคนแห้งหาย
ในวงการบันเทิงมีคนอยากปีนขึ้นที่สูงอยู่ตลอด
แต่ตำแหน่งสูงกลับมีอยู่ไม่มาก ก็เลยต้องถีบคนอื่นลง ตัวเองถึงจะมีโอกาสได้ขึ้นไปบ้าง
แต่ซือเฉิงหยู้ในสิบปีสั้นๆนี้ ก็ได้เป็นราชาภาพยนตร์แกรนด์แสลมที่อายุน้อยที่สุดในวงการบันเทิง มีคนจ้องจะถีบเขาลงไปมานานแล้ว
บทที่237 โกลาหล
ตั้งแต่ที่ทะเลาะกับฉินสุ่ยซานในคฤหาสน์ของเฉินถิงเซียวครั้งที่แล้ว เฉินอินหย่าที่จดบัญชีเก็บไว้บนตัวของมู่น่อนน่อนไว้อยู่แล้ว ก็ยิ่งเกลียดมู่น่อนน่อนเข้าไปอีก
เธอเห็นว่าสีหน้าของมู่น่อนน่อนไม่ได้ดีมาก ก็พุ่งสายตามองอย่างเหยียดหยาม
แล้วก็เพราะเรื่องฉีกสัญญาช่วงนี้ซือเฉิงหยู้กับเฉินถิงเซียว ก็ยิ่งขัดแย้งกันมากขึ้นอีก
ทั้งสี่คนไม่มีใครคิดจะสนใจใครเลย
บรรยากาศในห้องโถงใหญ่หยุดนิ่ง ทำให้ใจไม่ดี
ทั้งตัวมู่น่อนน่อนไม่สบายตัว ตรงข้ามกับเฉินถิงเซียว ใบหน้าของเขาไม่ออกอาการผิดปกติสักนิด ทั้งยังยื่นมือไปหยิบแมคคาเดเมียเม็ดใหญ่สองสามเม็ดจากจานผลไม้บนโต๊ะกาแฟ แล้วแกะให้มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนชื่นชมที่ในเวลาแบบนี้เขายังนิ่งอยู่ได้
เพราะเขาจะทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไร ใจของมู่น่อนน่อนก็สงบลง
ยังไงมันก็เป็นแสดง ยิ่งแสดงเหมือน ก็ยิ่งเป็นผู้ชนะ
“กรอบมากเลย คุณก็กินสักลูกสิ” มู่น่อนน่อนพูดไป ก็ป้อนลูกแมคคาเดเมียเข้าปากเฉินถิงเซียวไป
ลูกแมคคาเดเมียมีรสครีม มีรสชาติหอมกรอบเป็นของที่เด็กผู้หญิงชอบ
เฉินถิงเซียวไม่ชอบรสชาติแบบนี้ แต่ก็ยังขมวดคิ้วฝืนเคียวและกลืนมันลงไป
“แม่” ซือเฉิงหยู้นั่งลงข้างเฉินเหลียน น้ำเสียงกังวล “ทำไมไม่โทรมาบอกผมก่อน ผมจะได้ไปรับ”
เฉินอินหย่าก็รีบมานั่งลงข้างๆซือเฉิงหยู้ พูดเสริม “ใช่แล้ว คุณป้า คุณป้าไม่ได้จะกลับมาซักครั้งง่ายๆ พี่เค้าอยู่ในประเทศพอดี ก็ควรให้เขาไปรับคุณป้านะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินเหลียนจางมาก “เฉิงหยู้ยุ่งจะตาย ฉันก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใครมารับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก…”
สามคนตรงนั้นดูแล้วกลมเกลียวกันดี ตรงนี้มู่น่อนน่อนดูเหงาหงอย
เฉินถิงเซียวเพียงแค่ค่อยๆแกะเปลือกแมคคาเดเมีย เฉินชิงเฟิงที่นั่งตรงข้ามกับเขา ก็ไม่พูดอะไร
ในที่สุดก็ผ่านมาถึงเวลากินข้าวอย่างยากลำยาก
มู่น่อนน่อนนึกไว้เต็มอกว่า กินข้าวเสร็จก็กลับไปได้แล้ว
ผลคือพอกินไปได้ครึ่งนึง เฉินอินหย่าก็ชี้โทรศัพท์แล้วพูดเสียงดัง “พี่ มีคนมาให้ร้ายพี่บนอินเทอร์เน็ต”
ในใจมู่น่อนน่อนเริ่มเครียด ไม่ใช่เพราะกังวลเรื่องคนอื่นให้ร้ายซือเฉิงหยู้ แต่เป็นเพราะกังวลว่าจะไปเกี่ยวกับเฉินถิงเซียวอีก
เฉินถิงเซียวเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเสิ้งติ่ง ตระกูลเฉินก็ควรจะรู้ แต่การฉีกสัญญาครั้งนี้ก็ไม่ได้เห็นซือเฉิงหยู้เข้ามาแทรกแซง
เป็นไปได้ว่าผู้อาวุโสของตระกูลเฉินขี้เกียจจะมาใส่ใจเรื่องนี้ แต่ตอนนี้คนก่อเรื่องของทั้งสองฝั่งอยู่ที่นี้หมด…
ซือเฉิงหยู้ทำตัวนิ่งมาก “ไม่ต้องใส่ใจ กินเสร็จก่อนค่อยว่ากัน ตอนนี้บนอินเทอร์เน็ตมีพวกชอบพูดไร้สาระอยู่”
“ไม่ใช่ พี่ต้องค้นหาประเด็นร้อน ความสนใจสูงมากเลยนะ บอกว่าแต่ก่อนพี่เคยฆ่าหมาตายอย่างโหดร้ายในกองถ่าย? คนปล่อยข่าวอ้างว่าเคยทำงานในกองถ่ายเดียวกับพี่…”
เฉินอินหย่าก็ทำงานอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ ถือว่ารวมอยู่ในวงการบันเทิง ก็ต้องสนใจข่าววงการบันเทิงเป็นธรรมชาติ
“มันก็เป็นแค่เรื่องตลก มันจะไปเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ก็คุณเป็นคนดีขนาดนี้…”เฉินอินหย่าจงใจแกล้งทำน้ำเสียงให้เป็นธรรมชาติ
มู่น่อนน่อนมองเธอ
เฉินอินหย่าพบว่า จะเกาะอำนาจของเฉินถิงเซียวนั้นยากเกินไป ก็เลยถอยกลับมาตัวเลือกที่สองไปเกาะอำนาจของซือเฉิงหยู้แทน?
มู่น่อนน่อนยื่นนิ้วออกไปสะกิดเอวของเฉินถิงเซียวใต้โต๊ะ เธออยากจะถามเขาว่า เรื่องซือเฉิงหยู้เรื่องนี้เขาเป็นคนทำรึเปล่า?
เธอรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่า ที่เฉินถิงเซียวจะทำไม่ใช่เพียงแค่ยกเลิกสัญญากับซือเฉิงหยู้แน่
เขาคนนี้แค้นมาก จะต้องได้อะไรบางอย่างกลับมาจากตัวของซือเฉิงหยู้อย่างแน่นอน
เธอแค่สะกิดไปทีนึง แต่ทั้งมือของเธอโดนเฉินถิงเซียวคว้าไว้
มู่น่อนน่อนเงยหน้า เฉินถิงเซียวหันหน้ามา แล้วคีบอาหารให้เธอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “กินเยอะๆหน่อย อิ่มแล้วก็กลับบ้านกัน”
มู่น่อนน่อนเอียงคอ กระพริบตาปริบๆ บอกให้เห็นคำถามของตัวเอง
เฉินถิงเซียวส่ายหัวเบาๆว่าไม่รู้เรื่อง เป็นการตอบคำถามของเธอ
ทันใดนั้น เขาก็หันหน้าไปมองซือเฉิงหยู้
สายตาของทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ ไม่มีใครเริ่มพูดอะไร และไม่มีการแสดงออกมากมาย
แต่คนอื่นๆกลับรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ
ซือเฉิงหยู้ละสายตาออกไปก่อน ยิ้มอย่างไม่แยแส “ไม่มีเรื่องแบบนี้แน่นอน ก็แค่เรื่องน่าเบื่อของคนน่าเบื่อเท่านั้นเอง อินหย่าไม่ต้องดูแล้ว กินข้าวเถอะ”
เขาพูดอย่างนี้แล้ว เฉินอินหย่าก็รีบพูดเสริม “ใช่แล้วล่ะ”
เฉินอินหย่าวางโทรศัพท์ ปากก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เธอถามด้วยความสงสัย “พี่ ทำไมพี่ต้องฉีกสัญญากับบริษัทเสิ้งติ่งด้วยล่ะ? ฉันว่าบริษัทเสิ้งติ่งก็ยังดีกับพี่อยู่นะ”
พอประโยคนั้นออกจากปาก บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็กลับเป็นทะมึนแปลกๆอีกครั้ง
มู่น่อนน่อนประหลาดใจอยู่บ้าง ที่เฉินอินหย่าไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวเป็นหัวหน้าที่อยู่เบื้องหลังของบริษัทเสิ้งติ่ง?
พอมาคิดดู มู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าไม่รู้จะไปว่าเรื่องอะไร
เฉินถิงเซียวเป็นคนนิสัยเย็นชา ที่จริงเขาก็ไม่ชอบคนตระกูลเฉิน กับเฉินอินหย่าก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน เฉินอินหย่าจะไม่รู้ว่าเขาเป็นหัวหน้าผู้อยู่เบื้องหลังของบริษัทเสิ้งติ่งก็ไม่แปลก
ครั้งนี้ซือเฉิงหยู้ไม่ได้ยิ้ม มองเฉินอินหย่าด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก
หน้าเฉินอินหย่าดูอธิบายไม่ถูก ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป
เฉินเหลียนที่ไม่ได้ส่งเสียงมาตลอดคีบอาหารใส่ในถ้วยของอินหย่า พูดเสียงนุ่ม “อินหย่า ชิมอันนี้ดูสิ”
“ขอบคุณค่ะคุณป้า” เฉินอินหย่าเหลือบตามองซือเฉิงหยู่อย่างระมัดระวัง ก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่ได้พูดอะไรอีก
……
สุดท้ายก็กินข้าวเสร็จอย่างยากลำบาก มู่น่อนน่อนนึกว่าในที่สุดก็ได้กลับไปแล้ว
“ถิงเซียว มาที่ห้องหนังสือของฉันสิ ฉันมีอะไรจะพูดกับแก”
พอเฉินชิงเฟิงพูดออกมา มู่น่อนน่อนก็รู้ได้เลยว่าจะยังไปไม่ได้อีกสักพัก
มู่น่อนน่อนถอนหายใจ ดันเฉินถิงเซียว “ คุณไปเถอะ เดี๋ยวฉันรอคุณอยู่นี่”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็ดึงเธอเดินตรงเข้าไปในห้องหนังสือของเฉินชิงเฟิง
“พ่อคุณบอกว่ามีอะไรจะพูดกับคุณหนิ แล้วคุณพาฉันมาทำไม?” มู่น่อนน่อนออกแรงดิ้นให้หลุดจากมือของเขา
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวดูจริงจังสุดๆ “พึ่งกินข้าวเสร็จ ก็เลยพาเธอเดินย่อยสักหน่อย”
มู่น่อนน่อนพึมพำเบาๆ “…ข้ออ้างยังแย่กว่านี้ได้อีกมั้ยเนี่ย?”
“พูดอีกครั้งซิ” เฉินถิงเซียวหันกลับมามองเธอ
มู่น่อนน่อนหดคอ แล้วส่ายหัวแกล้งเป็นใบ้
มาถึงหน้าประตูห้องหนังสือของเฉินชิงเฟิงแล้ว เฉินถิงเซียวผลักประตูพร้อมพามูน่อนน่อนเข้าไปด้วย
เฉินชิงเฟิงเห็นข้างหลังเขามีมู่น่อนน่อนมาด้วย คิ้วขมวดเล็กน้อย “น่อนน่อนไม่ได้อยู่คุยกับพวกอินหย่าหรอ?”
คำพูดแฝงในประโยคเมื่อกี้น่าจะประมาณ ฉันจะคุยกับลูกชายฉัน เธอมาด้วยทำไม?
“มีอะไรก็พูดมาเลย” เฉินถิงเซียวพามู่น่อนน่อนไปนั่งที่โซฟาแล้ว ถึงเงยหน้ามองเฉินชิงเฟิง
เฉินชิงเฟิงขบกรามแน่น เห็นได้ชัดว่าโกรธกับท่าทางของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนมองเฉินชิงเฟิง แล้วก็มองเฉินถิงเซียว พบว่าท่าทางของสองพ่อลูกตอนกำลังโกรธเหมือนกันมาก
“ฉันให้แกรับบริษัทเฉินซื่อไปบริหารต่อ ฉันคิดมาดีแล้ว” เฉินชิงเฟิงหน้าตาเย็นชา พอพูดก็ควบคุมตัวเองไม่ให้โกรธได้
มู่น่อนน่อนนั่งยืดตัวตรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เฉินถิงเซียวยิ้ม “ดูเหมือนว่าผมต้องแก้คำพูดคุณหน่อยนะ เพราะคุณปู่ต่างหาก ผมถึงได้กลับไปรับบริษัทเฉินซื่อมาบริหารต่อ นี่มันมั่วชัดๆ”
บทที่236 สวยกว่าในรูปอีก
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบสนองกลับมาอะไรอยู่ครู่หนึ่ง
คุณป้าของเฉินถิงเซียว?
เธองงไปพักหนึ่ง ก็นึกขึ้นมาได้ คุณป้าของเฉินถิงเซียว ก็คือแม่แท้ๆที่ให้กำเนิดซือเฉิงหยู่ไม่ใช่หรอ?
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยเจอคุณป้าของเฉินถิงเซียวมาก่อน และเฉินถิงเซียวก็ไม่เคยพูดถึงป้าของเขาต่อหน้าเธอเลย แต่จากความสัมพันธ์ของสองพี่น้องเฉินถิงเซียวกับซือเฉิงหยู้ ก็สามารถมองได้ว่าความสัมพันธ์ของเฉินถิงเซียวกับป้าของเขาไม่ได้ต่างกับของซือเฉิงหยู้มากนัก
ถึงแม้เฉินถิงเซียวจะพูดเบาๆมาแค่ประโยคเดียว แต่มู่น่อนน่อนก็ฟังความทุ้มในน้ำเสียงของเขาออก
ก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ของเขากับซือเฉิงหยู้พังไปแล้ว เขาเลยไม่รู้จะวางตัวต่อหน้าป้าเขายังไง แล้วก็จะอารมณ์ขึ้นๆลงๆแบบนี้ไม่ได้ด้วย…
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมองตาเขา ถามเขาเสียงเบา “เธอกลับมาแล้วมีปัญหาอะไรหรอ?”
คำพูดที่ครั้งก่อนมู่เจิ้งซิวพูดกับเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนนั้นไม่รู้เลย
เฉินถิงเซียวจ้องตาเธอนิ่งๆไปสองวินาที ยื่นมือมาปาดหน้าม้าที่ปลกหน้าผากให้เธอ สีหน้าและน้ำเสียงกลับมาเป็นปกติแล้ว เขาพูดอย่างไม่แยแส “ไม่มีปัญหา พรุ่งนี้พวกเราอาจจะต้องกลับบ้านเก่าซักครั้ง”
ถึงแม้มู่น่อนน่อนจะเคยพูดไปแล้วว่าอยากช่วยเหลือเขา แต่เรื่องเหล่านี้หนักเกินไป เขาไม่อยากให้เธอมาปวดหัวกับเรื่องเหล่านี้
ตอนที่อยู่ด้วยกันกับเขา เขาหวังว่าเธอจะได้ผ่อนคลายและมีความสุขบ้าง
มู่น่อนน่อนไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการลักพาตัวในปีนั้น ยิ่งเวลาผ่านไป เฉินถิงเซียวยิ่งไม่ยอมให้เธอรู้มากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องของการลักพาตัวในปีนั้น
มู่น่อนน่อนที่เตรียมของเพื่อนกลับบ้านหลังเก่าเสร็จนานแล้ว พยักหน้าอย่างง่ายๆ “โอเค”
สิ่งนี้ทำให้เฉินถิงเซียวประหลาดใจนิดหน่อย
ก็คือ เช้าวันรุ่งขึ้น ตอนที่เห็นมู่น่อนน่อนหยิบกระเป๋าเดินทางที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบตั้งนานแล้วออกมา เขาถึงรู้ว่ามู่น่อนน่อนเตรียมตัวกลับตระกูลเฉินเสร็จตั้งนานแล้ว
เฉินถิงเซียวยิ้มแห้ง เอากระเป๋าเดินทางของเธอวางกลับไป “ไม่ต้องเอาของไป แค่กลับไปกินข้าวสักมื้อเอง”
“ใกล้จะฉลองปีใหม่แล้ว ปีนี้คุณควรจะกลับบ้านไปฉลองนะ?” มู่น่อนน่อนเหลือบตามองกระเป๋าเดินทาง คิดจะไปเอากลับมาอีก
เฉินถิงเซียวหูตาไวรีบจับมือของเธอไว้ “ไม่ได้กลับบ้านเก่าฉลองปีใหม่มาตั้งหลายปี ปีนี้ไม่กลับไปก็ไม่เป็นไรหรอก”
มู่น่อนน่อนอ้าปากจะพูดอะไรออกมาอีก ก็โดนเฉินถิงเซียวตัดบท “โอเค ไปกันเถอะ อย่าไปคิดเรื่องไร้สาระแบบนี้เลย”
กลับบ้านไปฉลองปีใหม่เป็นเรื่องไร้สาระหรอ…
……
ทั้งกลับมาถึงบ้านเก่าแล้ว
ที่ประตูยังเหมือนเดิมมีคนใช้และบอดี้การ์ดมาคอยต้อนรับพวกเขากลับไป แต่ว่าโอ่อ่าน้อยกว่าที่พวกเขากลับมาครั้งแรกหน่อยนึง
มู่น่อนน่อนเคยเห็นมาแล้วครั้งนึง ครั้งนี้เลยไม่ได้รู้สึกประทับใจขนาดนั้น
อาจเป็นเพราะช่วงนี้คนใช้และบอดี้การ์ดในบ้านเพิ่มขึ้น เธอเลยคุ้นชินกับชีวิตแบบนี้แล้ว
พอลองมาคิดดู เธอก็รู้สึกว่าเฉินถิงเซียวใจกว้างกับเธอมาจริงๆ
คนอื่นล้วนบอกว่าตระกูลใหญ่เขี้ยวลากดิน อย่างน้อยก็จนถึงตอนนี้ เธอยังไม่เคยสัมผัสเจอมาก่อนเลย
หลักๆก็เป็นเพราะช่วงนี้ความขี้โมโหของเฉินถิงเซียว ดีขึ้นมากแล้ว เขาตามใจเธอเกือบทุกเรื่อง
“คุณผู้ชาย คุณหญิงน้อย”
ทั้งทางเดิน ล้วนมีคนใช้และบอดี้การ์ดเรียกพวกเขาด้วยความเคารพ
ถึงห้องโถงใหญ่ มู่น่อนน่อนยังไม่ทันเห็นคนข้างใน ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ถิงเซียว”
มู่น่อนน่อนมองไปตามเสียง ก็เห็นหญิงวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มคนหนึ่งเดินตรงเข้ามา
เธอไม่ได้แต่งหน้ามาก บนตัวก็ไม่ได้สวมใส่เครื่องประดับล้นเหลือ ดูแล้วเรียบหรูดูสง่ามาก
เธอเดินไปหาเฉินถิงเซียว แล้วยื่นมือไปจับแขนของเขา
มู่น่อนน่อนเข้าใจได้ในทันที ผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นคุณป้าของเฉินถิงเซียวเฉินเหลียน
“คุณป้า” เฉินถิงเซียวเรียกด้วยใบหน้าที่ไม่ได้แสดงอาการอะไร แต่กลับจับมู่น่อนน่อนถอยกลับไปครึ่งก้าวอย่างเงียบๆ หลบมือของเฉินเหลียน
ประกายความประหลาดใจปรากฎบนใบหน้าของเฉินเหลียน
มือของเธอที่ยังยกอยู่นิดๆ ก็หยุดอยู่กลางอากาศไปแบบนั้น
ทันใดนั้นบรรยากาศก็เริ่มอึดอัด
มู่น่อนน่อนหันไปหาเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวมาได้มองเธอ แต่มือของเขาที่จับไหล่ของเธอกลับบีบอย่างอ่อนโยน เป็นสัญญาณให้เธอสบายใจ
“พวกเราไม่ได้เจอกันจะปีสองปีแล้วหนิ?” สีหน้าของเฉินเหลียนกลับไปเป็นปกติแล้ว เธอมองเฉินถิงเซียวด้วยใบหน้าที่โอบอ้อมอารี “ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเสี่ยวฉินแอบหนีกลับประเทศไปหาเธอมา ลำบากเธอแย่เลยสิ”
เฉินถิงเซียวพยักหน้าอย่างไม่แยแส “อืม”
“…” ผู้ชายคนนี้พยักหน้าเนี่ยนะ?
“พี่ พี่จะบอกว่าผมกวนพี่หรอ ผมยังไม่ได้ไปกวนอะไรพี่เลยนะ!”
จู่ๆเสียงของเฉินเจียฉินก็ดังขึ้นจากด้านหลังของเขา
พอมู่น่อนน่อนได้ยิน แล้วหันหน้าไปด้วยความตกใจ ก็เห็นเฉินเจียฉินที่ใส่เสื้อแจ็คเก็ตขนสัตว์สีฟ้ากำลังเดินตรงมาทางนี้
“เสี่ยวฉิน!” เธอไม่ได้เจอเฉินเจียฉินมาพักหนึ่ง เลยคิดถึงเขามาก
เฉินเจียฉินยิ้มกว้าง วิ่งมาหาเธอ “เจ๊น่อนน่อน!”
“เหมือนจะสูงขึ้นอีกแล้วนะเนี่ย” มู่น่อนน่อนยื่นมือไปเทียบกับหัวตัวเอง รู้สึกว่าเฉินเจียฉินสูงกว่าเมื่อก่อนนิดหน่อย
“จริงเหรอ? ผมก็ว่าผมสูงขึ้นมาหน่อย แต่พี่ชายผม…” เฉินเจียฉินจู่ๆก็หยุดพูด เสียงค่อยๆสั่นเล็กน้อย “พวกเขาเอาแต่บอกว่าผมไม่ได้สูงขึ้น”
มู่น่อนน่อนก็ได้ยิน “พี่ชายผม” สองคำที่เขาพึ่งพูดออกมา
ดูแล้วเฉินเจียฉินก็รู้ เรื่องของซือเฉิงหยู้กับเฉินถิงเซียวแล้ว
มู่น่อนน่อนยิ้มอย่างชัดเจน ยื่นมือไปไปตบหัวเขาเบาๆทีนึง
เฉินเจียฉินเกาหัว เหมือนเขินเล็กน้อย แล้วถามอย่างห่วงใย “ได้ยินว่าพี่ท้องแล้วหรอ?”
เขามองดูมู่น่อนน่อน “แต่ดูแล้วไม่เหมือนเลยนะ”
“ไอหยา ตอนนี้น้องยังเล็กอยู่ ต้องสองเดือนถึงจะเริ่มโต” มู่น่อนน่อนเขกหัวเขาอีกรอบอย่างอดไม่ได้
“นี่คือน่อนน่อนสินะ”
เสียงของเฉินเหลียนแทรกเข้ามา มู่น่อนน่อนกับเฉินเจียฉินถึงหันกลับไปมองเธอทั้งคู่
มู่น่อนน่อนก็พึ่งรู้ว่า เมื่อกี้ตอนที่เธอกับเฉินเจียฉินคุยกันอยู่นั้น ดูเหมือนเฉินถิงเซียวกับเฉินเหลียนจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย
เมื่อกี้ตอนคุยกับเฉินเจียฉิน ก็ไม่ได้อยู่ใกล้เฉินถิงเซียวมากนัก เฉินถิงเซียวจับเธอดึงมาไว้ข้างๆ แล้วแนะนำตัวเธออย่างคร่าวๆ “นี่คือภรรยาของผม มู่น่อนน่อน”
จากนั้นก็มองไปที่เฉินเหลียนแล้วพูดกับมู่น่อนน่อน “นี่คือคุณป้า”
ถึงเฉินถิงเซียวจะแนะนำเฉินเหลียนแล้ว มู่น่อนน่อนก็ยังเรียกอย่างสุภาพ “คุณป้า ฉันคือน่อนน่อนค่ะ”
“สวยจริงๆ” เฉินเหลียนยิ้มออกมา ให้ความรู้สึกอบอุ่นมาก
พอเธอพูดจบ ก็เสริมอีกหนึ่งประโยค “สวยกว่าในรูปอีก”
มู่น่อนน่อนประหลาดใจ “รูปอะไรหรอคะ?”
“ผมถ่ายส่งไปให้แม่เอง” เฉินเจียฉินเดินมาข้างๆเฉินเหลียน ยื่นมือไปจับไหล่ของเฉินเหลียน “ผมบอกแม่แล้ว เจ๊น่อนน่อนตัวเป็นๆสวยกว่าอีก”
มู่น่อนน่อนฉีกยิ้มมุมปาก
เฉินชิงเฟิงที่ไม่รู้ว่าเดินเข้ามาตอนไหนพูด “อย่ามัวยืนอยู่นี่เลย เข้าไปนั่งกันดีกว่า”
มู่น่อนน่อนสับสนเล็กน้อย ความสัมพันธ์ของเฉินถิงเซียวกับเฉินชิงเฟิงไม่ค่อยดีนัก งั้นเธอควรหรือไม่ควรเรียกเฉินชิงเฟิงกันนะ?
เฉินถิงเซียวไม่ให้เวลาเธอสับสน จับเธอแล้วเดินเข้าไปด้านใน “เข้าไปนั่งเถอะ”
พอมู่น่อนน่อนนั่งลง เฉินเจียฉินก็ขยับมาข้างๆเธอ ถามนู่นถามนี่ด้วยความสงสัย
ไม่มีใครพูดถึงเรื่องซือเฉิงหยู้
พอดีกับที่ตอนนี้ ซือเฉิงหยู้กับเฉินอินหย่าเดินเข้ามาพร้อมกัน
บทที่235 ยังไงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันมาก
ความเย็นชาของมู่น่อนน่อน ทำให้เซียวชู่เหออายเล็กน้อย
เธอเก็บมือกลับอย่างเขินๆ หันไปมองเสิ่นชูหาน
เสิ่นชูหานยิ้มให้เธออย่างอบอุ่น เต็มไปด้วยอารมณ์ดีๆ
สายตาของเซียวชู่เหอก็แน่วแน่ขึ้นนิดหน่อย “น่อนน่อน พวกเรามีเรื่องต้องคุย ออกไปค่อยว่ากัน”
มู่น่อนน่อนหันตัวเดินออกไปข้างนอก
พอออกจากสำนักงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะแล้ว เสิ่นชูหานก็รีบก้าวไปข้างมู่น่อนน่อนเพื่อจะคุยกับเธอ
แต่ว่า เขายังไม่ทันเข้าใกล้มู่น่อนน่อน ก็โดนบอดี้การ์ดขวางไว้แล้ว
สีหน้าของเสิ่นชูหานเปลี่ยนไปนิดนึง ก็กลับมาเป็นปกติ พูดติดตลกว่า “ฉันแค่อยากคุยกับเธอเอง บอดี้การ์ดพวกนี้ก็ตื่นตัวกันเหลือเกิน เฉินถิงเซียวให้เธอเป็นนักโทษหรอ?”
สำนวนการพูดของเขาฟังแล้วเหมือนเพื่อนสนิทที่คุ้นเคยพูดเล่นกัน
แต่มู่น่อนน่อนรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเขาไม่ได้ดีขนาดนั้น ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าเขากำลังพูดเล่น
เขาตั้งใจพูดแบบนี้ ก็เพื่อให้เธอกับเฉินถิงเซียวแตกกันหรอ?
เธอไม่รู้ว่าเสิ่นชูหานมีอะไรไม่ถูกต้องตรงไหน ถึงกัดเธอไม่ปล่อย
“ตอนที่คุณเสิ่นยังเรียนหนังสืออยู่ภาษาจีนต้องแย่มากแน่เลยใช่มั้ย? ไม่งั้น ทำไมแค่บอดี้การ์ดทำอะไรถึงยังไม่รู้? ต้องให้ฉันอธิบายมั้ยว่าบอดี้การ์ดเป็นอาชีพแบบไหน?”
ใบหน้าของมู่น่อนน่อนมองเสิ่นชูหานอย่างถากถาง
เสิ่นชูหานรู้สึกว่า สายตาที่มู่น่อนน่อนมองเขามองเหมือนเขาเป็นตัวตลกตัวหนึ่ง
บนใบหน้าเขาหม่นแสงลง แต่ยังปากแข็งหวังแก้แค้นให้ตัวเอง “ฉันรู้ว่าบอดี้การ์ดทำอะไร แต่แค่ฉันเดินไปใกล้เธอหน่อยพวกเขาก็มาขวาง มันไม่มากเกินไปรึไง?”
น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนเริ่มอ่อนลง “ไม่เกินไปสักนิด ยังไงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันมาก”
ทันใดนั้นจู่ๆเซียวชู่เหอที่อยู่ข้างๆก็พูดขึ้น “น่อนน่อน เธอไม่ควรพูดอย่างงี้กับชูหานนะ ฉันรู้ว่าระหว่างเธอกับเขามีการเข้าใจผิดกันนิดหน่อย เธอก็เห็นว่าช่วงนี้เขาดูแลฉันมาตลอด จับมือคืนดีกับเขาหน่อยได้มั้ย?”
ชูหาน?
ดูจากการเรียกแล้วรักกันจริงๆนะ
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าเสิ่นชูหานไปเจอกับเซียวชู่เหอได้ยังไง แล้วทำไมต้องดูแลเธอด้วยอีก
ที่เธอรู้คือ ทำดีหวังผล โลกกลมใบนี้ไม่มีอะไรทำให้กันฟรีๆหรอก
เธออาจยังไม่รู้ ก่อนที่เสิ่นชูหานจะคิดถึง เขาเคยมีความสัมพันธ์กับมู่หวั่นขีมาก่อน ก็เลยเป็นเหตุผลที่มาดูแลเซียวชู่เหอ
“ระหว่างเราไม่ได้มีอะไรเข้าใจผิดนะ? จะมาจับมือคืนดีอะไร?” มู่น่อนน่อนมองไปที่เซียวชู่เหออย่างสงสัยในเจตนา “มู่หวั่นขีเป็นลูกสาวของแม่ ก่อนหน้านี้นางเคยหมั้นกับคุณเสิ่น คนที่ใจดีแบบคุณเสิ่น เห็นแม่เดินเตร่อยู่ข้างนอก ก็เลยรับคุณมาดูแล ก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรอ?”
เซียวชู่เหอพูดช่วยเสิ่นชูหานทั้งในคำพูดและนอกคำพูด ดูแล้วหลายวันมานี้เสิ่นชูหานดูแลเธออย่างดี แล้วยังปลอบโยนเธอดีมาก
“น่อนน่อน…”
“ฉันมีธุระคงต้องกลับก่อน” มู่น่อนน่อนแสร้งมองนาฬิกา “คุณเสิ่นที่แสนใจดี คงไม่รังเกียจที่จะส่งแม่ของอดีตคู่หมั้นกลับบ้านนะ?”
ที่เสิ่นชูหานกำลังรับตัวเซียวชู่เหอมา จุดประสงค์ก็เพื่อจะเข้าใกล้มู่น่อนน่อน
เขาเข้าใจสถานการณ์ของตระกูลมู่อยู่บ้าง ปกติก็รู้มาว่ามู่น่อนน่อนดีกับแม่ของเธอมาก
แต่ตอนนี้เรื่องกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น
มู่น่อนน่อนพูดถึงขนาดนี้ เขาก็มีแต่ต้องยอมรับ “จะรังเกียจได้ยังไง กลับเต็มใจซะอีก”
“งั้นฉันไปก่อนนะ”
มู่น่อนน่อนไม่ได้มองเซียวชู่เหอมากนัก ก็หันกลับไปขึ้นรถ
เซียวชู่เหอยืนอยู่ตรงนั้นสีหน้าสับสน สายตาจ้องมองรถของมู่น่อนน่อนไกลออกไป ในใจรู้สึกสูญเสีย
มู่น่อนน่อนเย็นชากับเธอเกินไปแล้ว
พอมู่น่อนน่อนไป สีหน้าของเสิ่นชูหานก็เรียบนิ่งลง “คุณนายมู่ เดี๋ยวผมส่งคุณกลับนะครับ”
เซียวชู่เหอเห็นสีหน้าของเสิ่นชูหานไม่ค่อยดี พูดว่า “เธออย่าไปใส่ใจเลย อาจเพราะช่วงนี้น่อนน่อนตั้งท้อง อารมณ์ก็เลยไม่ค่อยดีมาก ก็เลย…”
คำพูดของเธอไปกระตุ้นเสิ่นชูหาน เขาบีบแขนของเซียวชู่เหออย่างแรง พูดเสียงเรียบ “เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ ไหนลองพูดอีกครั้งซิ!”
เซียวชู่เหอโดนเสิ่นชูหานทำแบบนี้ก็ตกใจกลัว “ชูหาน เธอเป็นอะไรไป?”
หลายวันมานี้ ท่าทางที่เสิ่นชูหานปฏิบัติต่อเธอนั้นอบอุ่นอย่างมาก ถึงขนาดให้คนพาเธอออกไปเดินช็อปปิ้งที่ห้าง
อยู่ๆเขาก็เปลี่ยนไป เซียวชู่เหอตกใจมาก
เสิ่นชูหานรีบกลับมามีท่าทางอบอุ่นเหมือนก่อนหน้านี้ทันที ถามเสียงเบา “คุณบอกว่าเธอตั้งท้องแล้วหรอครับ?”
“ใช่แล้ว”
เซียวชู่เหอเห็นเขากลับเป็นปกติ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อกี้เธอคงมองผิดไปล่ะมั้ง
“โอเค ผมรู้แล้ว เดี๋ยวผมส่งคุณกลับนะครับ” เสิ่นชูหานหลับตาพูด เสียงก็นุ่มมาก แต่กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ
……
เรื่องในครั้งนี้ ว่ากันตามมู่น่อนน่อนแล้ว ก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ผ่านไปแล้วก็แล้วไป
จวนจะถึงสิ้นปีแล้ว มู่น่อนน่อนเดาว่า วันฉลองปีใหม่ เฉินถิงเซียวอาจจะพาเธอกลับไปบ้านเก่าของเธอ
ยังไงก็ตาม นี่เป็นวันส่งท้ายปีเก่าครั้งแรกของเฉินถิงเซียวหลังรับสืบทอดบริษัทเฉินซื่อ ตามเหตุตามผลเขาก็ต้องกลับไปบ้านเก่าอยู่แล้ว
ยังไงเฉินถิงเซียวก็มีอำนาจให้ทำอะไรห่ามๆตามใจก็ได้ อยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ไป
แต่สุดท้าย บิลก็อาจยังไปคิดที่เธออยู่ดี
สองวันก่อนบริษัทเฉินซื่อหยุด มู่น่อนน่อนก็เริ่มเตรียมองที่จะเอากลับไปที่บ้านหลังเก่าแล้ว
ในบ้านหลังเก่านั้นไม่มีอะไรขาดเหลือ แต่พอคิดดีๆแล้ว ใช้ของที่ตัวเองคุ้นชินแล้วดีกว่า
ตอนกลางคืน เฉินถิงเซียวกลับมาช้าไปหน่อย
มู่น่อนน่อนล้างหน้าแปรงฟันไปแล้ว ถือคอมพิวเตอร์เตรียมร่างต้นฉบับสักพักแล้วก็เข้านอน
เฉินถิงเซียวถือชุดนอกสูทเดินเข้ามาจากข้างนอก ผมยุ่งนิดๆ ทั้งตัวดูแล้วเหนื่อยผิดปกติ
“กลับมาแล้ว”
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองเขา
อากาศหนาว ขนาดเปิดฮีตเตอร์อยู่ มู่น่อนน่อนยังต้องใส่ชุดนอนขนสัตว์ เพื่อให้ทั้งตัวอบอุ่น ช่วงเวลาหลังตั้งท้องนี้ เธอเอาแต่อยู่ในบ้าน คนใช้ดูแลอย่างพิถีพิถัน การแบ่งเวลาทำงานกับเวลาพักผ่อนของเธอก็เป็นไปตามข้อกำหนดดี หน้าตากับเรี่ยวแรงก็ดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก พอนั่งอยู่ใต้แสงไฟ ผิวก็ขาวราวกับจะส่องแสงออกมา
เธอนั่งพิงอยู่ในมุมโซฟา เหยียดขาตรง คอมพิวเตอร์ตั้งอยู่บนตัก ปล่อยผมปลิวไสว ผมดำขลับกับผิวขาวราวหิมะ ดวงตาที่เหมือนกับแมวมองมาที่เขาอย่างตั้งใจ
เฉินถิงเซียวโยนเสื้อนอกในมือทิ้งไป เดินไปหน้าเธอ โน้มตัวเอาคอมพิวเตอร์บนตักของเธอโยนไปทางอื่น นั่งลงข้างๆเธอ แล้วก็กอดเธอไว้แน่น
มู่น่อนน่อนรู้สึกตกใจตอนที่เขาหยิบคอมพิวเตอร์ของเธอไป “คุณโยนเบาๆหน่อยสิ…”
เฉินถิงเซียวเหมือนกับว่าไม่ค่อยพอใจที่เวลาแบบนี้เธอยังมัวมาห่วงเรื่องคอมพิวเตอร์อีก ก้มหัวลงจูบเธอพักหนึ่ง
พอแยกจากกันแล้ว เฉินถิงเซียวพูดประโยคหนึ่งด้วยเสียงทุ้มๆ “คุณป้ากลับมาแล้ว”
บทที่ 234 กินข้าวกับเธอสำคัญกว่า
พอมู่น่อนน่อนมองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคย ทั้งตัวสับสนยังสับสนอยู่บ้าง
เธอพึมพำเรียก “เฉินถิงเซียว?”
คนขับตอบสนองไวมาก ลงจากรถไปเปิดประตูหลังให้เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวย่อตัวเข้ามานั่งในรถ เห็นมู่น่อนน่อนทำหน้าตกใจ อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบหัวเธอ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เห็นเธอตั้งนานแล้ว”
มู่น่อนน่อนตะลึง “คุณเห็นฉันได้ยังไง?”
“เห็นรถไง” เฉินถิงเซียวยื่นมือ ออกแรงนิดหน่อย ก็ทำให้เธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขา
ก้มลงไปจูบหน้าผากของเธอ แล้วกำมือของเธอเล่น “ทีหลังมาหาผม ก็บอกมาตรงๆ ถ้าผมไม่เห็นคุณ เดี๋ยวกลับไปก็โกรธผมอีกล่ะ”
มู่น่อนนอ่นได้ยิน ก็ชักมือตัวเองกลับ “ฉันโกรธง่ายขนาดนั้นเลยหรอ? ฉันไปโกรธคุณกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ตอนไหน?”
“อืม ก็ไม่มีนะ” เฉินถิงเซียวพยักหน้า ท่าทางดูจริงจังมาก
มู่น่อนน่อนกำหมัดฟาดบนร่างเขาไปสองที
ไม่ได้แรงมาก ตีบนร่างเขาไม่ได้เจ็บไม่ได้ปวด
เฉินถิงเซียวจับมือเธอไว้ “ไปกินข้าวกัน”
มู่น่อนน่อนมาหาเขาเวลานี้ ต้องยังไม่ได้กินข้าวแน่นอน
“ก่อนหน้านี้ฉันเห็นคุณกับพ่อคุณขึ้นรถไปด้วยกัน จะไปทำธุระอะไร? ไม่สำคัญหรอ?” มู่น่อนน่อนไม่อยากให้ธุระของเขาล่าช้า
“กินข้าวกับเธอสำคัญกว่า” เฉินถิงเซียวพูดไป มือก็วางที่หน้าท้องของเธอ “ตอนนี้เธอท้องอยู่นะ ทนหิวไม่ได้หรอก”
มู่น่อนน่อนจ้องเขา รอยยิ้มบนหน้าของเฉินถิงเซียวกลับชัดขึ้นอีก
……
ทั้งสองเจอร้านอาหารแล้ว
อาหารที่เฉินถิงเซียวสั่งมีแต่ของโปรดของมู่น่อนน่อนทั้งนั้น
ช่วงนี้รสปากของเธอไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เฉินถิงเซียวก็เลยจัดการสั่งของที่เธอชอบกินก่อนหน้านี้มา
มู่น่อนน่อนหิวอยู่บ้าง ก็หยิบตะเกียบขึ้นมาเริ่มกิน
แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่กิน มู่น่อนน่อนคีบมันฝรั่งทอดเข้าปาก ถามเขา “ทำไมคุณไม่กินล่ะ?”
“ฉันกินแล้ว” เฉินถิงเซียวพูดไปด้วย คีบเนื้อเป็ดใส่ถ้วยเธอไปด้วย
ช่วงนี้ความอยากอาหารของมู่น่อนน่อนเพิ่มขึ้นมาหน่อย อาหารที่เฉินถิงเซียวสั่งมาก็พอเหมาะกับความอยากของเธอ สุดท้ายก็ถูกเธอกินไปซะส่วนใหญ่
เธอนึกเรื่องที่ซือเฉิงหยู้ฉีกสัญญากับบริษัทเสิ้งติ่งขึ้นมาได้ เลยถามเขาไป “ฉันเห็นประเด็นร้อนบน Weibo แล้ว คุณเป็นคนเสนอให้ยกเลิกสัญญาหรอ?”
ถึงเธอไม่ได้พูดถึงชื่อของซือเฉิงหยู้ เฉินถิงเซียวก็รู้ได้เอง
“อืม”
พอพูดถึงซือเฉิงหยู้ ความสบายบนหน้าของเฉินถิงเซียวก็จางหายไป สีหน้าค่อยๆเรียบนิ่ง
ซือเฉิงหยู้จะขึ้นศาล ก็อธิบายได้ว่าเขาวางแผนจะเอามู่หวั่นขีออกมาเรียบร้อยแล้ว
เพราะซือเฉิงหยู้ให้ฉันเลือกฝั่งเอง ก็ต้องยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา อย่างงั้นเขาจะได้ไม่ต้องมาสงสาร
นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
มู่น่อนน่อนรู้ว่าเขาสื่อว่าอะไร ก็เลยเงียบลงไปเช่นกัน
ที่เฉินถิงเซียวคิดการเสนอยกเลิกสัญญากับซือเฉิงหยู้ เป็นสัญญาณหนึ่ง เป็นสัญญาณว่าพวกเขาทั้งสองแตกหักกันอย่างเป็นทางการ
มู่น่อนน่อนนึกถึงWeiboยาวๆที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่เฉินถิงเซียวเขียนขึ้นมา
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามเฉินถิงเซียวเสียงเบา “คุณไม่ได้…คุยกับเขาอีกรอบหรอ? เขาอาจจะมีความลำบากบางอย่างที่พูดได้ยากก็ได้นะ?”
เธอพึ่งคุ้นเคยกับการเรียกซือเฉิงหยู้ว่า “พี่ชาย”
เฉินถิงเซียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองมู่น่อนน่อนด้วยสายตาเรียบนิ่ง “มู่น่อนน่อน เธอควรจะรู้ดีกว่าฉันนะ ความยากลำบากไม่ใช่เหตุผลให้คนคนหนึ่งทิ้งความภาคภูมิใจในตัวเองและจมปลักไปในโคลนหรอกนะ”
ที่ซือเฉิงหยู้ทำมาทั้งหมด การอยู่กับมู่หวั่นขี หมดสิ้นซึ่งความตั้งใจเดิมหมดแล้ว
เฉินถิงเซียวดูเหมือนไม่ได้เสียใจมาก กลับดูเหมือนสงสารซือเฉิงหยู้ซะมากกว่า
มู่น่อนน่อนอธิบายความรู้สึกนี้ไม่ถูก สุดท้ายเฉินถิงเซียวคนนี้ก็เป็นคนเข้าใจยาก ซือเฉิงหยู้คนคนนี้เธอก็ไม่เข้าใจเขาเหมือนกัน
บนโลกนี้ ใครกันจะไม่มีความยากลำบาก แต่ความยากลำบากนั้นกลับไม่ใช่เหตุผลให้คนคนหนึ่งทำความชั่ว
……
เรื่องที่เฉินถิงเซียวตัดสินใจ ไม่มีที่สำหรับการหวนกลับ
พอข่าวเรื่องซือเฉิงหยู้ยกเลิกสัญญากับบริษัทเสิ้งติ่งหลุดออกมา สื่อหลักๆก็ออกข่าวกันอย่างต่อเนื่อง
ยังมี Weibo จากสื่ออีกมากมาย ก็ออกบทความที่เกี่ยวกับเรื่องนี้มาเหมือนกัน
แม้จะผ่านไปหลายวัน บนโลกอินเทอร์เน็ตก็มีแต่เรื่องนี้
แต่มู่น่อนน่อนพบว่า ในบรรดาคนที่มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจากพวกชาวเน็ตที่มาเผือกเฉยๆกับเหล่าแฟนคลับของซือเฉิงหยู้แล้วแล้ว ยังมีคนอีกกลุ่มนึงที่มายุ่งกับเรื่องนี้เพราะ “ผู้ก่อตั้งบริษัทเสิ้งติ่ง XN”
ในวันที่เรื่องนี้หลุดออกมานั้น ผู้ก่อตั้งบริษัทเสิ้งติ่ง XN ก็โพสต์ Weibo มาโพสต์หนึ่ง “คุณซือเฉิงหยู้กับบริษัทเสิ้งติ่งยกเลิกสัญญาโดยสันติ ทุกคนไม่ต้องคาดเดากันอีกต่อไปแล้ว สิบปีที่อยู่ร่วมกันมา ขอให้โชคดี”
Weibo ที่ทั้งเรียบง่ายทั้งทรงพลังนี้ ถูกแชร์ไปหลายหมื่นครั้ง
ถึงขนาดมีชาวเน็ตทำบทวิเคราะห์ Weibo โพสต์นี้อย่างลึกซึ้ง
“รู้สึกว่าคำพูดของ XN ดูเหมือนไม่มีทางเลือกเลย”
“คิดไม่ออกเลยว่าทำไมจู่ๆซือเฉิงหยู้ถึงฉีกสัญญากับบริษัทเสิ้งติ่ง”
“ฉันว่าเป็นอย่างที่ทุกคนคิดกันนั่นแหละ ซือเฉิงหยู้อยากได้ดีคนเดียว…”
“ฉันเดานะ ซือเฉิงหยู้ที่ออกจากบริษัทเสิ้งติ่งไปแล้ว ไม่แน่อาจจะรุ่งกว่าเดิมก็ได้”
“……”
เหมือนกับทุกคนคิดว่าซือเฉิงหยู้เป็นคนเริ่มเสนอการยกเลิกสัญญากับบริษัทเสิ้งติ่ง
พอมาคิดดูแล้วมันก็ถูก สุดท้ายถ้ามองในมุมของคนทั่วไป บริษัทต่างก็ตั้งอยู่บนผลกำไร บริษัทเสิ่งติ่งไม่มีทางที่จะเป็นคนเริ่มยกเลิกสัญญากับซือเฉิงหยู้ที่เป็นตัวทำเงินได้
พวกก็เลยคิดไปเองว่าซือเฉิงหยู้อยากจะยกเลิกสัญญากับบริษัทเสิ้งติ่ง
แต่บริษัทเสิ้งติ่งในวันที่ข่าวหลุดออกไปนั้น ก็ประชาสัมพันธ์ทุกด้าน ให้เรื่องการยกเลิกสัญญาเป็นไปในทิศทาง “ซือเฉิงหยู้ริเริ่มเสนอการยกเลิกสัญญา”
แล้วพวกชาวเน็ตต่างก็ยอมรับว่าซือเฉิงหยู้เป็นคนริเริ่มยกเลิกสัญญา
แต่ในมุมของซือเฉิงหยู้การที่ถูกบริษัทเสิ้งติ่งชักจูงไปแล้ว แถมไม่ได้อธิบายไปมากนัก แค่โพสต์Weiboยาวๆโพสต์เดียว กลับรู้สึกขอบคุณบริษัทเสิ้งติ่งที่เป็นแบบนี้ รู้สึกขอบคุณ “ผู้ก่อตั้ง XN” เป็นพิเศษ
Weiboของเขามีคนกดไลค์นับไม่ถ้วน
ตอนที่ความฮิตของข่าวซือเฉิงหยู้ฉีกสัญญากับบริษัทเสิ้งติ่งลดลง ก็ใกล้จะสิ้นปีแล้ว บริษัทต่างๆมากมายก็ค่อยๆทะยอยเริ่มหยุดกันแล้ว
ในช่วงวันนี้ สำนักงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะติดต่อมู่น่อนน่อนมาครั้งหนึ่ง บอกว่าได้ข่าวคราวของเซียวชู่เหอแล้ว ให้เธอไปที่สำนักงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะ
มู่น่อนน่อนโทรหามู่ลี่เหยียน มู่ลี่เหยียนไม่รับสายเลย
มู่น่อนน่อนเลยไปสำนักงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะด้วยตนเอง
ผลคือ เธอไปถึงสำนักงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะ มองเห็นเซียวชู่เหอที่ปกติไม่ได้เป็นไรอะไรเลย แล้วก็มีเสิ่นชูหาน
เซียวชู่เหอใส่ชุดคลุมสีแดง แต่งหน้าสวยงาม แล้วยังถือกระเป๋าแบรนด์เนมที่ซื้อมาใหม่อีก มันเหมือนคนหายตัวไปอยู่อย่างลำบากตรงไหนเนี่ย?
เสิ่นชูหานพอเห็นมู่น่อนน่อน ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา เรียกเธอด้วยความอบอุ่น “น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนคิ้วขมวด ไม่สนใจเสิ่นชูหาน เดินไปด้านหน้าของเซียวชู่เหอถามเธอว่า “แม่ไปอยู่ไหนมา?”
เซียวชู่เหอยกมือมู่น่อนน่อนขึ้นมา พูดด้วยน้ำเสียงเตือนสติ “ฉันไม่ได้ไปไหนมาหรอก ก็แค่ทะเลาะกับพ่อเธอมา ไปอยู่ที่นั่นกับชูหานช่วงนึง ฉันพูดเลยว่า เวลานี้นั้นดีมากที่มีชูหานมาดูแล รู้สึกขอบคุณเขามาก”
มู่น่อนน่อนไม่ชินที่อยู่ใกล้เซียวชู่เหอขนาดนี้ ขมวดคิ้วดึงมือตัวเองออกมา พูดเสียงเย็นชา “ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับบ้านไปเถอะ”
นวนิยายจะได้รับการอัปเดตทุกวัน กลับมาอ่านต่อพรุ่งนี้นะคะทุกคน!
บทที่233 พี่กำลังโทษฉันหรอ?
มู่สือยั่นพูดจบ ทำเป็นจริงๆจังๆมองมู่น่อนน่อน กระซิบกับมู่ลี่เหยียน “ต่อให้น่อนน่อนจะ18อีกครั้งก็ไม่มีทางที่จะโตมารูปร่างหน้าตาแบบนี้ พ่อว่าตลกมั้ยล่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ!”
มู่ลี่เหยียนมองมู่สือยั่นหน้าตาบึ้งตึง แล้วหันหน้าไปมองมู่น่อนน่อน “เธอมาทำอะไร?”
“คุณบอกว่าแม่ฉันหายตัวไปหลายวันแล้วไม่ใช่รึไง? ฉันมาถามสถานการณ์” ถึงแม้มู่น่อนน่อนจะไม่ใยดีกับเซียวชู่เหอแล้ว แต่ก็อดถามสารทุกข์สุขดิบไม่ได้
“ไม่มีอะไรให้ถาม ก็แค่หายไป” มู่ลี่เหยียนเพราะเรื่องของมู่หวั่นขี แค่เห็นมู่น่อนน่อนก็รำคาญ
มู่น่อนน่อนคิดไว้แล้วว่ามู่ลี่เหยียนต้องมีท่าทางแบบนี้ ก็ไม่ได้คิดจะพูดมากอีก “ฉันแจ้งตำรวจไปแล้ว ถึงเวลามีอะไรคืบหน้าแล้วเจ้าหน้าที่น่าจะประกาศให้คุณทราบนะ”
เธอหันหน้าไปมองมู่สือยั่น ครู่นึง ก็เดินกลับไปขึ้นรถ
มู่สือยั่นได้ยินบทสนทนาของมู่น่อนน่อนกับมู่ลี่เหยียน ก็เลยเชื่อว่าสาวสวยตรงหน้าก็คือมู่น่อนน่อน
มู่ลี่เหยียนได้ฟังคำพูดของมู่น่อนน่อนแล้ว ก็กระแอมทีนึง หันหน้าเห็นมู่สือยั่นยังมองไปทางมู่น่อนน่อน ก็ดุว่า”มองอะไรนักหนา ยังไม่เข้าไปอีก! กลับมาปุ้บก็ไปซิ่งรถกับพวกเพื่อนเหลี่ยมๆของแกอย่างกับอะไรดี แก…”
มู่สือยั่นไม่ทนฟังมู่ลี่เหยียนบ่น วิ่งไปทางมู่น่อนน่อน “น่อนน่อน อย่ารีบไปเลย กินข้าวด้วยกันสักมื้อก่อนสิ”
มู่ลี่เหยียนตาเบิกกว้าง คำราม “สือยั่น กลับมา!”
มู่สือยั่นไม่ได้สนความโกรธของเขา แค่โบกมือ แล้วพูดโดยไม่ได้สนใจ “ไม่ได้เจอน่อนน่อนตั้งหลายปี กินข้าวกับเธอสักมื้อก็ไม่ได้ เธอกลับไปก่อนเถอะ อายุมากแล้วทำอะไรนิดๆหน่อยๆก็โกรธ”
มู่น่อนน่อนขึ้นรถไปแล้ว
กระจกรถเลื่อนลงมา เธอก็ได้ยินคำพูดของมู่สือยั่น
ทั้งตระกูลมู่ พูดได้ว่ามีหนึ่งคนที่ญาติดีกับมู่น่อนน่อนจริงๆ นั่นก็คือ มู่สือยั่น
มู่สือยั่นเป็นลูกชาย ที่ต่อไปจะได้สืบทอดตระกูลมู่ ก็เลยเป็นที่ชื่นชอบของคนตระกูลโดยปริยาย ขนาดคนใช้ยังเคารพมู่สือยั่นมาก
มู่สือยั่นซนตั้งแต่เด็ก ชอบยุ่งนู่นจับนี่ไปทั่ว
ตอนขึ้นม.ปลาย ก็เริ่มคบเพื่อนเหลี่ยมๆไปซิ่งรถ บาร์ กินเหล้า ทั้งวันเอาแต่เที่ยวเล่นไปทั่ว
เขาชอบเที่ยว ไม่เอาการเอางาน แต่จิตใจไม่แย่
อย่างน้อย ตอนเขาอยู่บนทางกลับบ้านหลังเลิกเรียน เจอมู่น่อนน่อนโดนเพื่อนๆรังแก ก็จะช่วยเธอไล่คนที่รังแกเธอออกไป
ในจุดนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้มู่น่อนน่อนคิดถึงความดีของเขามานาน
แต่ว่า ทั้งสองอายุต่างกัน4ปี ตอนที่มู่น่อนน่อนขึ้นม.ต้น มู่สือยั่นก็โดนโยนออกประเทศแล้ว
มู่ลี่เหยียนโกรธจนควันออกหู แต่กลับไม่รู้จะทำยังไงกับมู่สือยั่น
ไอลูกคนนี้ทั้งวันรู้แต่กินดื่มเที่ยวเล่น ไม่รู้เหมือนใคร
เขาคุมไอลูกคนนี้ไม่อยู่แล้ว!
สายตาของมู่น่อนน่อนเห็นมู่ลี่เหยียนโดนมู่สือยั่นทำให้โกรธจนเดินเข้าคฤหาสน์ไป หูก็ได้ยินเสียงของมู่สือยั่นดังขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม “หาที่กินข้าวสักที่เถอะ ฉันขอ”
“ฉันเชิญพี่ดีกว่า” มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับไปยิ้มให้มู่สือยั่น
มู่สือยั่นตะลึงกับรอยยิ้มของเธอ ผ่านไปหลายวิกว่าจะกลับมา “โอเค พวกเธอนำเลย เดี๋ยวฉันขับตามด้านหลังเอง”
มู่น่อนน่อนนึกถึงความเร็วรถที่มู่สือยั่นขับเมื่อกี้ ถึงกับเครียด พูดว่า “พี่ขับนำเถอะ พวกเราไปกินที่โรงแรมจีนติ่ง”
เธอกลัวทักษะการขับรถของมู่สือยั่นจริงๆ
……
คลับชั้นสูงโรงแรมจีนติ่ง
มู่น่อนน่อนกับมู่สือยั่น นั่งประจันหน้ากันในห้องรับรอง
ข้างๆมีมู่สือยั่นบริกรอยู่ เขาหยิบเมนูมาเปิดแค่หน้าเดียวก็สั่งแล้วหนึ่งอย่าง “อันนี้ อันนี้ แล้วก็อันนี้…”
มู่น่อนน่อนยิ้มแห้ง ถึงมู่สือยั่นอยู่ต่างประเทษมาหลายปี นิสัยก็ไม่เปลี่ยนไปเลย
ชอบกินดื่มรักสนุก มือเติบเท้าเติบ
ตอนเสิร์ฟจานสุดท้าย โต๊ะอาหารก็แทบจะไม่มีที่วางแล้ว
“ได้ยินว่าเธอเข้าตระกูลเฉินแทนหวั่นขีแล้วหนิ? เป็นไงบ้าง กับเฉินถิงเซียวคนนั้นเข้ากันได้ดีมั้ย?” น้ำเสียงของมู่สือยั่น เหมือนกับคุยกับเพื่อนเก่าที่จากกันไปหลายปียังไงยังงั้น
มู่น่อนน่อนโล่งใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดเปิดอกบอกทุกอย่างกับมู่สือยั่น
“พี่กลับมาเพราะเรื่องของมู่หวั่นขี”
น้ำเสียงที่มั่นใจของมู่น่อนน่อน ทำให้มู่สือยั่นชะงัก
เขาวางตะเกียบลง มองมู่น่อนน่อนยิ้มๆ “ตอนเด็กๆเธอก็ฉลาดกว่าหวั่นขี โตขึ้นแล้วโชคก็ยังดีกว่านาง”
ถึงแม้มู่สือยั่นจะเคยช่วยเหลือเธอ แต่ยังไงเขาก็เป็นพี่ชายแท้ๆของมู่หวั่นขี
เพราะจุดนี้ ในใจของมู่น่อนน่อนชัดเจนอย่างยิ่ง
“ฉันไม่ได้โชคดีกว่าเธอ แต่แค่ไม่ได้ใจทรามแบบเธอ” รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนค่อยๆจางหายไป
“พี่รู้มั้ยว่านางเคยพยายามฆ่าฉันกี่ครั้งแล้ว? ตั้งแต่อยู่ตระกูลมู่มาฉันทำหน้าที่ช่วยเหลือเต็มที่ นางกับพ่อใช้ประโยชน์จากฉันครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันเพียงแค่ตัดสินใจว่าฉันจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว”
มู่สือยั่นสูดหายใจเข้าลึก แล้วถามว่า “แล้วแม่เธอล่ะ? เธอก็ไม่สนใจแล้วหรอ?”
มู่น่อนน่อนไม่พูด มู่สือยั่นเม้มปากแล้วพูดว่า “ครั้งนี้ฉัน จริงๆก็มาเพราะเรื่องของหวั่นขี ไม่ว่านางจะทำผิดมากน้อยแค่ไหน นางก็ยังเป็นน้องสาวแท้ๆของฉัน ฉันมองดูนางเกิดเรื่องเฉยๆไม่ได้หรอก”
“พี่กำลังโทษฉันหรอ?” มู่น่อนน่อนถามเขากลับ
ทั้งสองจ้องตากัน เงียบไปพักหนึ่ง มู่น่อนน่อนก็หัวเราะเยาะ “คนอย่างพวกพี่ดูแล้วเนี่ย ต่อให้อีกนิดฉันจะโดนมู่หวั่นขีฆ่าตาย สุดท้ายฉันก็ควรจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับมู่หวั่นขีเลยงั้นสิ?”
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น ฉันแค่…” มู่สือยั่นชะงัก เหมือนกับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี สุดท้ายก็ทำได้แค่เงียบไป
“ฉันเหนื่อยนิดหน่อย กลับก่อนนะ พี่ชายค่อยๆกินนะ”
มู่สือยั่นเงยหน้ามองเธอ แสดงออกเหมือนว่ามีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่พูด
หลังมู่น่อนน่อนเช็คบิลแล้ว ก็ออกจากโรงแรมจีนติ่ง
ในรถ คนขับถามเธอ “คุณหญิงน้อย ตอนนี้ตรงกลับบ้านเลยมั้ยครับ?”
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ไปบริษัทเฉินซื่อ”
ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเที่ยง ถ้าเธอไปหาเฉินถิงเซียวที่บริษัทเฉินซื่อ ก็คงจะได้กินมื้อเที่ยวด้วยกันกับเขา
ไม่นานก็ถึงบริษัทเฉินซื่อ
มู่น่อนน่อนไม่ลงจากรถ มองประตูใหญ่บริษัทเฉินซื่อผ่านกระจกรถ ก้มลงไปหยิบโทรศัพท์ออกมาเตรียมโทรหาเฉินถิงเซียว
เธอเงยหน้ามองโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เจอเฉินถิงเซียวเดินออกมาจากบริษัทเฉินซื่อ
ข้างๆเขาคือเฉินชิงเฟิง ข้างหลังตามมาด้วยชายหญิงชุดสูทรองเท้าหนังกลุ่มหนึ่ง ฝีเท้าดูรีบร้อนมาก
มู่น่อนน่อนลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ยังโทรหาเฉินถิงเซียว
ตอนนี้เฉินถิงเซียวเดินถึงที่จอดรถแล้ว กำลังเปิดประตูขึ้นรถ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นพอดี เขาหยุดขึ้นรถ ก้มไปหยิบโทรศัพท์
เขาแค่หยิบโทรศัพท์ ในสายก็มีเสียงเฉินถิงเซียวออกมา “มีอะไร?”
มู่น่อนน่อนถามเขา “ยุ่งอยู่หรอ?”
เฉินถิงเซียวที่หวงคำพูดเหมือนทองคำตอบมาเสียงเดียว “อืม”
“ไม่มีอะไร ฉันแค่โทรมาถาม”
“งั้นแค่นี้ก่อนนะ”
วางสายแล้ว มู่น่อนน่อนก็เห็นเฉินถิงเซียวขึ้นรถไป
ตามองรถของพวกเฉินถิงเซียวขับออกไป มู่น่อนน่อนถึงบอกคนขับรถ “กลับกันเถอะ”
คนขับสตาร์ทรถ กำลังออกตัว ข้างหน้าก็มีรถคันหนึ่งขับมา ถนนที่นี่แคบ คนขับได้แค่ชะลอให้รถคันนั้นผ่านไป
รถคันนั้นกลับตรงมาจอดข้างๆรถของมู่น่อนน่อน
วินาทีต่อมา เงาร่างสูงใหญ่ของเฉินถิงเซียวก็เดินลงมาจากรถ
บทที่ 232 พี่ชายต่างแม่ มู่สือยั่น
มู่น่อนน่อนอยากโทรไปถามเฉินถิงเซียว พอคิดว่าเฉินถิงเซียวตอนนี้อยู่ที่บริษัทเฉินซื่อ ก็กลัวว่าจะไปรบกวนเขา มู่น่อนน่อนก็เลยให้กู้จือหยั่นโทร
กู้จือหยั่นก็คงจะยุ่งเหมือนกัน เลยไม่ได้รับสายเธอ
ผ่านไปสักพักกู้จือหยั่นก็โทรกลับหาเธอ
โดยไม่รอให้มู่น่อนน่อนเปิดปาก กู้จือหยั่นก็พูดว่า “ฉันรู้ เธออยากถามเรื่องการฉีกสัญญาของราชาภาพยนตร์ซือล่ะสิ?”
มู่น่อนน่อนตอบรับ “ใช่แล้ว”
“วันนี้ถิงเซียวโทรหาฉันแต่เช้า บอกว่าจะฉีกสัญญากับราชาภาพยนตร์ซือ แถมเขายังเอาข่าวไปปล่อยอีก ช่าง…อยากจะลาพักงานเลยจริงๆ ทิ้งเรื่องใหญ่ขนาดนี้มาให้ฉันเนี่ย…”
กู้จือหยั่นบ่นไม่หยุดไปชุดนึง มู่น่อนน่อนปลอบเขาไปสองประโยค แล้วก็วางสาย
โทรศัพท์พึ่งวางสายไป ก็ดังขึ้นมาอีกแล้ว
เธอมองปราดหนึ่ง เห็นว่าเป็นมู่ลี่เหยียนโทรมา
มู่ลี่เหยียนไม่ได้มากหาเธอนานแล้ว จู่ๆโทรมาหาเธอทำไม?
หรือว่าจะเป็นเพราะเรื่องมู่หวั่นขีอีก?
พอคิดว่าซือเฉิงหยู้อาจจะให้มู่หวั่นขีทำ มู่น่อนน่อนก็อึดอัดใจเหมือนมีก้อนฝ้ายยัดอยู่ในลำคอ
มู่หวั่นขีที่อยากจะฆ่ามู่น่อนน่อนหลายต่อหลายครั้ง ไม่ง่ายเลยที่จะเอาเธอเข้าคุก นึกว่าจะให้เธอไปสำนึกในคุกสักสองสามปี แต่ระหว่างนั้นซือเฉิงหยู้กลับโผล่มา…
ถึงมู่น่อนน่อนจะมีความคิดดำมืดไปบ้าง แต่รู้ไว้ก่อนก็ดีกว่าให้เฉินถิงเซียวทรมานเธอจนเธออยากตาย
พอคิดออกมาอย่างนี้ มู่น่อนน่อนเองก็กลัวเหมือนกัน
เธอลูบท้องของตัวเอง พึมพำว่า “เจ้าหนู วิธีคิดแบบที่แม่พึ่งคิดเมื่อกี้มันไม่ถูกนะ ลูกอย่าเอาอย่าง…”
ด้วยทักษะการเมินของเธอ โทรศัพท์ก็ตัดสายไปเองเพราะไม่มีคนรับ
มู่น่อนน่อนเก็บโทรศัพท์ ไม่ได้คิดจะโทรกลับไป ยังไงถ้าพวกเขามีธุระ ก็คงโทรมาอีก
ผ่านไปไม่กี่นาที มู่ลี่เหยียนก็โทรมาอีกจริงๆ
ครั้งนี้ มู่น่อนน่อนรับ
มู่ลี่เหยียนพูดน้ำเสียงเย็นชา “เธอไม่ได้เจอแม่เธอหรอ?”
“เกิดอะไรขึ้น?” นอกจากที่โทรคุยกับเซียวชู่เหอครั้งเดียวนั้น มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้เจอเซียวชู่เหอนานมากแล้ว
มู่ลี่เหยียนชะงักเล็กน้อย “นางหายตัวไปหลายวันแล้ว ไม่ได้ไปหาเธอหรอ?”
เหมือนกับมู่น่อนน่อนไม่คิดที่จะสนใจเซียวชู่เหออีก ฟังเขาพูดขนาดนี้แล้ว ยังนิ่งได้อีก “ไม่ได้มา”
เมื่อเซียวชู่เหออยู่ต่อหน้าคนตระกูลมู่ ความอดทนนั้นไม่เหมือนปกติ ปกติไม่น่าจะออกจากตระกูลมู่ แต่มู่ลี่เหยียนกลับบอกว่านางหายไปหลายวันแล้ว…
มู่น่อนน่อนถามมู่ลี่เหยียน “คุณทำอะไรเธอ?”
“ฉันจะไปทำอะไรเธอได้? เธอหนีออกไปเอง!” เสียงของมู่ลี่เหยียนเต็มไปด้วยความโกรธ พูดดังมาก มู่ลี่เหยียนตกใจจนหูชา
“ถ้าไม่ใช่คุณทำแล้วใครจะทำ เธอหนีไปเอง คุณคิดว่าฉันโง่หรอ?” มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้อารมณ์ดีเหมือนกัน สวนกลับไปตรงๆอย่างเย็นชา
“เธอไม่ใช่ว่าไม่สนใจนางแล้วหรือไง? ตอนนี้คืออยากจะให้ฉันเป็นคนผิด? คนที่แม้แต่พี่สาวแท้ๆของตัวเองยังยัดเข้าคุกได้ลงคอ ฉันไม่มีลูกสาวเลวๆอย่างแกหรอก!”
พอมู่ลี่เหยียนพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ความโกรธแค้นก็สุมขึ้นกลางทรวงอก
มู่น่อนน่อนกัดฟัน “บังเอิญจริงๆ ฉันก็ไม่มีพี่สาวแท้ๆกับพ่อที่พยายามจะฆ่าฉันเหมือนกัน”
“หยุดพูดหยาบคายแบบนี้ได้แล้ว หวั่นขีก็แค่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตอนนี้เธอก็ยังอยู่ดีไม่ใช่รึไง! นางโดนตามใจเสียคนตั้งแต่เด็ก เธอก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ เธอจะปล่อยนางหน่อยไม่ได้เลยรึไง”
มู่ลี่เหยียนคิดว่ามู่น่อนน่อนผิดเต็มๆ
——นางโดนตามใจเสียคนตั้งแต่เด็กเธอก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้!
——เธอจะปล่อยนางหน่อยไม่ได้เลยรึไง!
มือของมู่น่อนน่อนกำโทรศัพท์เอาไว้แน่นไม่ปล่อย บนหลังมือเห็นเส้นเลือดชัดเจนา
“ฉันยอมเธอ แล้วใครยอมฉัน? คุณก็รู้ว่าเธอโดนตามใจเสียคน ตอนนี้ก็เลยให้ไปเรียนรู้ในคุกไง ทั้งหมดนี่เป็นฝีมือคุณทั้งนั้น คุณนี่เป็นพ่อที่ดีจริงๆเลยนะ ลูกสาวตัวเองแท้ๆแต่ไม่สอนให้ดี ต้องให้คนอื่นมาสั่งสอนให้ตลอด คุณทำเธอเสียคนแต่กลับไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเธอ คุณลองเดาดูว่าตอนนี้มู่หวั่นขีจะเกลียดคุณมั้ย?”
การที่มู่ลี่เหยียนตามใจมู่หวั่นขีอย่างไม่มีเหตุผลนั้น เขาไม่ได้รู้สึกว่าเขาผิดเลยสักนิด ต่อให้ผิดก็โยนให้คนอื่นอยู่ดี
แต่คำพูดของมู่น่อนน่อน แทงเข้าไปในใจเขาทั้งหมด
เมื่อวานตอนเจอมู่หวานขี มู่หวั่นขีก็ยังด่าเขาไร้ประโยชน์
มู่ลี่เหยียนโกรธจนพูดไม่ออก สุดท้ายก็ตัดสายทิ้งไปดื้อๆ
มู่น่อนน่อนวางโทรศัพท์ลง คิดอย่างละเอียดครู่นึง ก็โทรไปแจ้งตำรวจ
ขนาดมู่ลี่เหยียนยังบอกเองว่าเซียวชู่เหอหายตัวไปหลายวันแล้ว ต้องไม่ใช่ระยะเวลาสั้นๆแน่
หลังแจ้งตำรวจแล้ว มู่น่อนน่อนคิดว่าคงนั่งรอข่าวอยู่เฉยๆไม่ได้ ก็เลยวางแผนจะกลับไปตระกูลมู่สักครั้ง
ตอนนี้เฉินถิงเซียวไม่ได้จำกัดไม่ให้เธอออกจากบ้าน แต่ถ้าเธอจะออกต้องพาบอดี้การ์ดไปด้วย
……
รถจอดลงที่หน้าคฤหาสน์ตระกูลมู่
บอดี้การ์ดเปิดประตูรถให้มู่น่อนน่อน เธอพึ่งจะก้าวท้าวลงไปเหยียบพื้น ก็มีรถสปอร์ตจากไหนไม่รู้คันนึงพุ่งออกมา เฉี่ยวบอดี้การ์ดที่เปิดประตูให้มู่น่อนน่อนชายเสื้อปลิวไปตามรถ
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก บอดี้การ์ดนิ่งไปพักนึง ถึงกลับมาถามมู่น่อนน่อน “คุณหญิงน้อย ไม่เป็นไรนะครับ?”
เธอยังไม่ลงจากรถเลยมีเรื่องอะไรกันเนี่ย!
มู่น่อนน่อนส่ายหัว “คุณล่ะ?”
“ผมไม่เป็นไรครับ” บอดี้การ์ดส่ายหัว
แต่มู่น่อนน่อนยังสังเกตเห็นเวลาบอดี้การ์ดเดินเขาลงฝีเท้าได้ไม่เต็ม ดูแล้วน่าตกใจ
มู่น่อนน่อนลงจากรถ มองไปยังทางที่รถสปอร์ตขับไป แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของรถคันนั้น
มู่น่อนน่อนมองกลับมา ก็ได้ยินเสียงของรถสปอร์ตอีกครั้ง
รถสปอร์ตคันนั้นขับกลับมาอีก ด้านหน้ารถของพวกเขาแกว่งเป็นมุม90องศา ทำให้รถขวางกลางทาง ชายหนุ่มที่ขับรถคันนั้นถอดแว่นกันแดดออก สะบัดผมทีนึงเหมือนคิดว่าตัวเองเท่มาก มองมาทางมู่น่อนน่อนแล้วพูดประโยคนึง “ไฮ เธอไม่เป็นไรนะ!”
ประโยคนี้ฟังแล้วไม่มีความจริงใจเลยสักนิด
ที่ชายหนุ่มคนนี้ขับเป็นรถสปอร์ตเฟอร์รารี่ ผมเขาดูแลอย่างไม่ใส่ใจนัก แล้วยังใส่สเปรย์เซทผมเป็นพิเศษทำเป็นทรงที่อินเทรนด์มาก ทั้งตัวใส่แบรนด์เนม ดูแล้วเหมือนเด็กวอนนาบียังไงยังงั้น…
คนคนนี้ มู่น่อนน่อนรู้จัก
“เอ๋ ผู้หญิงคนนั้นน่ะเธอชื่ออะไร ดูแล้วหน้าคุ้นๆนะ”
ชายหนุ่มพูดไป มือก็จับขอบประตูรถเปิดประทุนกระโดดออกมา เดินตรงปรี่เข้ามาหามู่น่อนน่อน
พอเห็นหน้าตาของมู่น่อนน่อนชัดๆแล้ว ชายหนุ่มผิวปากออกมา “หน้าตาดีเลยนะเนี่ย”
บอดี้การ์ดมาขวางด้านหน้าของมู่น่อนน่อน ท่าทางเตรียมพร้อมจะมีเรื่องตลอดเวลา
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย “พี่ชาย ฉันคือน่อนน่อน”
ชายที่อยู่ตรงหน้า ก็คือพี่ชายต่างแม่ของมู่น่อนน่อนที่ไปเรียนต่างประเทศมาโดยตลอด มู่สือยั่น
พร้อมกันนั้น เขาก็เป็นพี่ชายแท้ๆของมู่หวั่นขี
“หา?” มู่สือยั่นตกใจงง “เธอบอกว่าเธอคือใครนะ? มู่น่อนน่อนหรอ? ถึงฉันจะไม่ได้กลับบ้านมาหลายปี แต่ฉันก็รู้ว่าเธอไม่ได้หน้าตาแบบนี้…”
มู่สือยั่นไปอยู่ต่างประเทศตั้ง 7-8 ปี จะจำเธอไม่ได้ก็ไม่แปลก
มู่ลี่เหยียนที่ได้ยินเสียงรถสปอร์ตเดินออกมาจากคฤหาสน์ “สือยั่น ไปซิ่งรถมาอีกแล้วหรอ?”
พอมู่สือยั่นเห็นมู่ลี่เหยียน ก็พูดกับเขาเหมือนเล่าเรื่องตลกว่า “พ่อ สาวสวยคนนี้บอกว่าเธอคือน่อนน่อน!”
บทที่ 231 ซือเฉิงหยู้ฉีกสัญญากับเสิ้งติ่ง
เฉินถิงเซียวคลายคิ้วกลับไปเล็กน้อย อารมณ์บนใบหน้าเขาดูอ่อนลงทันที
เขาโบกมือเรียกมู่น่อนน่อน “มานี่”
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปแล้ว พึ่งเห็นว่าเขาถือโทรศัพท์ของเธออยู่
คุณปู่เฉินเห็นมู่น่อนน่อนในวิดีโอแล้ว ก็เรียกเธอแบบยิ้มๆ “น่อนน่อนนี่นา”
“คุณปู่” มู่น่อนน่อนเงยหน้ามอง ยิ้มให้กับปู่เฉินในวิดีโอ
เฉินถิงเซียวหันโทรศัพท์มาที่หน้าตัวเอง “พอแล้ว อายุเยอะแล้วก็นอนเร็วหน่อย ไม่มีอะไรทำก็ดื่มชาเยอะๆรำไทเก๊กฝึกกายฝึกใจบ่อยๆ
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ ไม่ต่างอะไรกับตอนปกติ
มู่น่อนน่อนไม่รู้อีกแล้วว่าก่อนหน้านี้พวกเขาคุยอะไรกัน แต่ก็ยังพยักหน้าแบบเห็นด้วยอย่างยิ่ง “หนูว่าเฉินถิงเซียวพูดถูกนะ คุณปู่ต้องนอนเร็วหน่อย แล้วก็ออกกำลังกายให้มากๆ”
คุณปู่เฉินสำลักไปทีนึง โบกมืออย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “โอเคๆ ฉันไปนอนก็ได้”
ยังพูดไม่ทันจบ เฉินถิงเซียวก็วางสายวิดีโอคอลไปแล้ว
ความเร็วนี้เร็วจนทำให้คนรู้สึกว่าทำไปแบบลวกๆ
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าต้องสั่งสอนเขาหน่อย “คุณควรจะรอให้คุณปู่เขาวางสายก่อนถึงจะถูกนะ”
“อายุมากแล้วมือช้า รอให้เขาวางมันเสียเวลา” สีหน้ากับน้ำเสียงของเฉินถิงเซียวดูไม่ใส่ใจจนไม่อยากจะพูดแล้ว
มู่น่อนน่อนนึกถึงเรื่องของฉินสุ่ยซาน ขึ้นมาก็เลยไม่พูดอะไรอีก
เรื่องของเฉินถิงเซียว ในใจของเขาเองก็รู้ว่าควรไม่ควร
……
วันรุ่งขึ้น
มู่น่อนน่อนตื่นสายนิดหน่อยตามเคย
เธอเข้าโรงอาหารปุ้บ ก็เห็นฉินสุ่ยซานกำลังเสิร์ฟอาหารอยู่อย่างเงียบๆ ถุงที่บวมอยู่บนหน้าผากก็เล็กลงหน่อยแล้ว ดูไม่ทำให้คนกลัวเท่าเมื่อวานแล้ว
ฉินสุ่ยซานเสิร์ฟอาหารเช้าบนโต๊ะอาหารโดยไม่แสดงอาการใดๆ
มู่น่อนน่อนกินข้าวเช้าไปพลาง มองฉินสุ่ยซานอย่างเงียบๆไปพลาง
เธอรู้สึกว่าเมื่อวานหลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลแล้ว ฉินสุ่ยซานก็ดูแปลกๆไป
ให้บอกว่าแปลกตรงไหนก็ไม่รู้จะพูดยังไง แต่ที่แน่ๆคือพูดน้อยมาก แล้วก็ยังทำงานอย่างจริงจังมากอีกด้วย
กลัวว่าเมื่อวานจะถูกตีจนกระทบกระเทือนสมอง หรือฉินสุ่ยซานจะ รู้สึกว่าเป็นคนใช้ก็สนุกดีกันนะ?
เมื่อกินอาหารเช้าอย่างช้าๆจนเสร็จ อยู่ๆฉินสุ่ยซานก็เดินตรงมาหาเธอ ท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูด
มู่น่อนน่อนโบกมือ ให้คนใช้คนอื่นออกไป
รอให้คนใช้ที่เหลือออกไปจนหมดแล้ว มู่น่อนน่อนก็มองฉินสุ่ยซาน “มีอะไรก็พูดมา”
ฉินสุ่ยซานพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “ฉันอยากกลับแล้ว”
“ห้ะ?” หรือว่าจะเป็นเพราะไปทะเลาะกับเฉินอินหย่ามาสมองเลยโดนตีกลับแล้ว?
บนใบหน้าของฉินสุ่ยซานแสดงร่องรอยของความไม่เต็มใจ เธอหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ฉันมองว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเฉินถิงเซียวดีมาก”
เมื่อวานตอนอยู่โรงพยาบาล เธอยืนอยู่ข้างๆ ในฐานะคนดูเหตุการณ์ ไม่รู้จะดูให้ชัดกว่านี้ยังไงแล้ว
หลังจากเฉินถิงเซียวมาแล้ว ในตาก็มีแต่มู่น่อนน่อนคนเดียว
อย่าว่าแต่เธอเลย ก็ขนาดเฉินอินหย่า ผู้ชายคนนั้นยังไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอมีความทะเยอทะยาน บางครั้งความมั่นใจที่เป็นเหตุให้ตาบอดนั้นก็ชวนให้เวียนหัว แต่ก็เป็นผู้ใหญ่คนนึงที่มีวิจารณญาณ
เธอเป็นลูกสาวคนเดียว ครอบครัวฐานะดี ในกระดูกมีความภาคภูมิใจที่มีมาแต่กำเนิด บางครั้งก็รุนแรงซุ่มซ่ามไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าโง่
มู่น่อนน่อนเอียงหัวไปเอาแก้วน้ำ พอได้ยินก็ตกใจเล็กน้อย เธอไม่คิดว่าฉินสุ่ยซานจะพูดอย่างนี้
เธอเงยหน้ามองฉินสุ่ยซาน อย่างช่วยไม่ได้
ฉินสุ่ยซานเหมือนกับว่าไม่ชินกับการถูกคนจ้อง สีหน้าอึดอัดเล็กน้อย หันหน้าไปมองที่อื่น “ก็แค่รู้สึกว่าเฉินถิงเซียวชอบเธอมาก แล้วยังเอาใจเธอมากด้วย”
“อ๋อ ก็มองออกมาอย่างงี้ได้อยู่นะ” มู่น่อนน่อนกระพริบตา แสดงออกว่ามันเป็นเรื่องที่แน่นอน
ฉินสุ่ยซานรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนผู้หญิงคนนี้อุบายลึกล้ำมาก ดูก่อนเลย รูปร่างก็โอเค ท่าทางที่ดูเฉื่อยชาก็ไม่ได้ไปทำร้ายอะไรใคร
แต่ว่า เธอสามารถสะกิดคุณโดยไม่ได้ตั้งใจได้ตลอด
เห็นได้ชัดว่าไม่มีพื้นฐานครอบครัว แล้วก็เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้โดดเด่น แต่ก็มีท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ เวลาเธอกับเฉินถิงเซียวยืนด้วยกัน จะทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเป็นคู่ที่สมกันมากอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อวานตอนที่ฉินสุ่ยซานเห็นเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนยืนอยู่ด้วยกัน ก็รู้สึกแบบนี้
รู้สึกว่าพวกเขาเหมาะสมกัน ไม่ว่าใครก็แทรกเข้าไปไม่ได้
“มู่น่อนน่อน วันนี้ฉันจะคุยเรื่องเงื่อนไขกับเธอ ช่วงนี้เธอเขียนบทละครอยู่หนิ? อยากขายบทละครมั้ย? ฉันเป็นโปรดิวเซอร์ ฉันอาจจะเป็นเส้นสายดึงเธอเข้าหาแหล่งทรัพยากรได้นะ แต่เธอต้องเอาสัญญาจ้างงานคืนฉันมา
ฉินสุ่ยซานรู้สึกว่าตัวเองยืนอยู่ มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ จะดูเหมือนว่าตัวเองด้อยกว่าเธอขั้นหนึ่ง ก็เลยไปนั่งตรงข้ามมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนประหลาดใจมาก
ฉินสุ่ยซานสามารถเข้าไปในวิลล่าในฐานะคนใช้เพื่อเข้าหาเฉินถิงเซียว ก็แสดงได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีความกล้าหาญ
แต่ว่า เธอใช้ความกล้าหาญแบบนี้ผิดที่ผิดทาง
มู่น่อนน่อนไม่ค่อยไว้ใจฉินสุ่ยซาน แต่ก่อนหน้าก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย
“ฉันให้สัญญาจ้างงานเธอได้ วันนี้เธอก็ไปได้ ส่วนเรื่องเป็นเส้นสายให้ฉัน ตอนนี้อาจจะยังไม่ต้อง”
ไม่ใช่ว่ามู่น่อนน่อนใจร้ายใจดำ แต่ในวงการนี้มีการโจรกรรมไม่น้อย
ถึงแม้ตอนนี้เธอจะไม่มีชื่อเสียงอะไร แต่บทละครของเธอก็ทุ่มเทกายใจลงไปถึงจะเขียนออกมาได้
ถ้าฉินสุ่ยซานต้องการที่จะทำร้ายเธอจริงๆ ก็สามารถลงมือตรงนี้ได้เลยแน่นอน
ฉินสุ่ยซานไม่ประหลาดใจสักนิดที่มู่น่อนน่อนตรงไปตรงมาอย่างนี้ “โอเค ถ้าเธอต้องการเมื่อไหร่ ก็โทรหาฉันได้นะ”
เธอพูดจบ ก็หยิบเบอร์โทรที่เขียนเตรียมเอาไว้แล้วจากกระเป๋าเสื้อออกมา
มู่น่อนน่อนก็รับมาไว้
ฉินสุ่ยซานเปลี่ยนชุดคนใช้ออกแล้ว มู่น่อนน่อนก็ให้คนขับรถส่งเธอกลับไป
ขณะที่มองฉินสุ่ยซานนั่งรถออกไป มู่น่อนน่อนก็รู้สึกเบื่อนิดๆ
โชคดีที่เธอยังเล่นเน็ตได้
อาจเป็นเพราะไปดูการค้นหายอดนิยมหลายครั้งแล้ว มู่น่อนน่อนที่ก่อนหน้านี้ไม่ชอบปัด Weibo ตอนนี้จะมีธุระหรือไม่มีก็เข้า Weibo ปัดดูรายการค้นหายอดนิยม
เธอเข้า Weibo แล้ว หัวข้อสนทนาที่กำลังมาแรงเป็นที่1สำหรับเธอ ก็คือข่าวด่วน
“ซือเฉิงหยู้ฉีกสัญญากับบริษัทเสิ้งติ่ง” ตัวอักษรจีนไม่กี่ตัว อยู่ข้างบนหัวข้อสนทนาอยู่อย่างนั้น
มู่น่อนน่อนกดเข้าไปดู ถึงรู้ว่าชาวเน็ตพากันเดือดดานกันไปหมดแล้ว
“จริงหรือปลอมเนี่ย? ช่วงก่อนหน้านั้น Weibo ที่ผู้ก่อตั้งผู้ลึกลับของเสิ้งติ่ง XN เขียนยังผ่านไปไม่ทันไรเลย อย่างงี้ราชาภาพยนต์ซือก็ยกเลิกสัญญากับบริษัทเสิ้งติ่งแล้ว?”
“ฉันว่าอาจจะเป็นเพราะราชาภาพยนต์ซืออยากเป็นเถ้าแก่ทำเงินเองก็ได้”
“พูดจริงๆนะ ไม่กี่ปีมานี้ที่บริษัทเสิ้งติ่งทำให้ตัวของซือเฉิงหยู้ก็มีแต่ไปทุบทรัพยากรที่ดีที่สุด จนทรัพยากรลำเอียงอย่างหนัก ดูบทละครที่ซือเฉิงหยู้รับมาสิ มีอะไรขาดไปมั้ย? ถ้าไม่ใช่เพราะอุ้มซือเฉิงหยู้อย่างเต็มที่ บริษัทเสิ้งติ่งสามารถปั้นดาราได้หลายคนแล้ว เพราะอย่างนี้ผลคือพอคว้าแชมป์แกรนด์สแลมมา ก็หันหน้าหนีไม่เอาใครแล้ว!”
Weibo โพสต์นี้ ไลค์กับความคิดเห็นตั้งหลายพัน ความร้อนแรงก็สูง
ข้างล่างคนที่โพสต์แย้งก็มี ที่เห็นด้วยก็มี
แม้มู่น่อนน่อนที่เห็น Weibo โพสต์นี้แล้ว ก็ยังรู้สึกว่าคนโพสต์พูดมีเหตุผลเลย
ไม่กี่ปีมานี้ซือเฉิงหยู้ดังจนเกินจริงแต่โดยพื้นฐานแล้วกลับไม่มีเรื่องอื้อฉาวเลย ในประเด็นนี้ บริษัทเสิ้งติ่งก็ใช้ความพยายามอย่างมากเช่นกัน
การฉีกสัญญาของซือเฉิงหยู้ครั้งนี้ ทำให้บริษัทเสิ้งติ่งสูญเสียอย่างมาก
แต่มู่น่อนน่อนกลับคิดลึกลงไปกว่านั้นหน่อย
เป็นซือเฉิงหยู้ที่ต้องการฉีกสัญญา หรือเป็นเฉินถิงเซียวกันแน่?
มู่น่อนน่อนคิดมาถึงตรงนี้แล้ว สีหน้าของเธอไม่ได้ดีไปกว่าเฉินถิงเซียวเลย
ซือเฉิงหยู้นี่ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าต้องการจะเป็นศัตรูกับเฉินถิงเซียวจริงๆ
เธอนึกไม่ออกเลยว่ามันเป็นเพราะสาเหตุอะไร ที่สามารถทำให้ซือเฉิงหยู้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเฉินถิงเซียวโดยที่ไม่สนถูกผิดอย่างหน้าด้านๆอย่างนี้ได้
บรรยากาศภายในรถซบเซาขึ้นมาเล็กน้อย
หลังจากที่แผนการตลอดทั้งเช้าของพวกเขาเสร็จสิ้นลง ก็ไปกินข้าวกันที่โรงแรมจีนติ่ง
สือเย่ขับรถมุ่งตรงไปยังโรงแรมจีนติ่ง
กู้จือหยั่นได้รอพวกเขาอยู่ในห้องอาหารส่วนตัวอยู่ก่อนแล้ว
ตอนที่มู่น่อนน่อนและคนอื่นๆเข้าไป เขาก็กำลังสั่งอาหารอยู่
ช่วงนี้ไม่ค่อยจะได้เจอกู้จือหยั่นอะไรเท่าไหร่เลย เขายังคงมีท่าทางเอ้อระเหยลอยชาแบบนั้นอยู่เหมือนเดิม ดึงเก้าอี้ออกแล้วขยิบตาไปทางมู่น่อนน่อน “น่อนน่อน มานั่งตรงนี้สิ”
ระดับความกระตือรือร้นนี้ของเขา ทำให้มู่น่อนน่อนประหลาดใจขึ้นมา “คุณจะประจบฉันแค่ไหน ฉันก็ไม่มีทางช่วยคุณพูดเรื่องดีๆกับเสี่ยวเหลียงหรอกนะ”
“อย่าเอาผมไปคิดเสียมีผลประโยชน์อะไรอย่างนั้นสิครับ ตอนนี้คุณก็คือสิ่งล้ำค่า พวกเราจะต้องคอยบริการให้คุณ” กู้จือหยั่นพูดแล้วพลางมองไปทางเฉินถิงเซียว “ถิงเซียว นายว่าใช่หรือเปล่า?”
เฉินถิงเซียวไม่สนใจเขา ดึงเก้าอี้ให้มู่น่อนน่อนด้วยตัวเอง ให้เธอนั่งลง จากนั้นตนก็นั่งลงข้างๆเธอ
กู้จือหยั่นรู้สึกว่ามันดูหม่นๆ จึงเข้าไปข้างๆฟู้ถิงซีแล้วถามเขาออกไป “เป็นอะไรไป? เรื่องมันไม่ราบรื่นหรอ?”
ฟู้ถิงซีกางมือออกเป็นเชิงว่าไม่รู้เหมือนกัน
เขาคิดว่ามันราบรื่นดี แต่หลังจากที่เฉินถิงเซียวเจอซือเฉิงหยู้แล้ว สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดีนัก
พวกเขากินข้าวกันเสร็จ ก็เป็นปาไปแปดโมงเย็นแล้ว
กู้จือหยั่นกับฟู้ถิงซียังมีงานเลี้ยงตอนเย็นอีก เฉินถิงเซียวก็ตรงกลับบ้านไปกับมู่น่อนน่อน
……
ตอนที่ถึงบ้าน ทันทีที่มู่น่อนน่อนเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ก็เห็นเข้ากับฉินสุยซานที่กำลังเช็ดพื้นอยู่
นี่มันช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากมาก
ฉินสุยซานเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา ก็เอ่ยเสียงเรียกออกมา “คุณผู้ชาย คุณผู้หญิงคะ”
ถึงแม้ว่าฉินสุยซานจะหน้าบวมอยู่ แต่มู่น่อนน่อนก็ยังมองความไม่เต็มใจของเธอออก
หน้าผากของฉินสุยซานบวมจนมีสีเขียวช้ำออกมา บนใบหน้าก็แปะปลาสเตอร์ยาอยู่หลายแผ่น มู่น่อนน่อนถามออกไปโดยอัตโนมัติ “เธอยังโอเคอยู่มั้ย?”
ฉินสุยซานเหมือนจะนิ่งอึ้งไปสักพัก “ยังโอเคอยู่”
เฉินถิงเซียวไม่ได้มองฉินสุยซาน ตรงเข้าไปพามู่น่อนน่อนเดินขึ้นไปข้างบน “ขึ้นไปพักผ่อนเถอะ”
ตรงมุมบันได มู่น่อนน่อนได้หันหน้ากลับไป ก็เห็นฉินสุยซานนั่งยองๆลงกับพื้นถูพื้นอีกครั้ง
“…” ฉินสุยซานนี่ถูกตบจนสมองกลับไปแล้วหรือไง เตรียมพร้อมที่จะเป็นคนใช้เต็มตัว?
มู่น่อนน่อนถูกความคิดนี้ของตัวเองทำเอาใจหายใจคว่ำไปหมด
ทั้งสองคนกลับมาถึงห้อง มู่น่อนน่อนก็เข้าไปอาบน้ำ เท้าเธอเพิ่งจะเข้าห้องอาบน้ำไป โทรศัพท์ก็สั่นขึ้นมา
เฉินถิงเซียวหันไปมองตามจิตใต้สำนึก ก็เห็นข้อความบนหน้าจอปรากฏออกมาว่า “มาจากคุณปู่”
เขานึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อก่อนหน้านี้ท่านปู่เฉินกับมู่น่อนน่อนได้เพิ่มเพื่อนกันในวีแชทแล้ว
มองไปทางห้องอาบน้ำเล็กน้อย ด้านในกำลังมีเสียงน้ำดังขึ้นพอดี
เฉินถิงเซียวจึงได้หยิบโทรศัพท์มา เปิดอ่านข้อความ
ข้อความเสียงที่ท่านปู่เฉินส่งมา เฉินถิงเซียวกดฟังดู
“น่อนน่อน วันนี้อินหย่าเข้าไปสร้างปัญหาให้เธอแล้ว”
เฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดนี้ เพียงแค่แสยะยิ้มออกมาอย่างยากที่จะเข้าใจความคิดได้
ท่านปู่เฉินปกป้อง ก็เพราะว่าตอนนี้มู่น่อนน่อนกำลังท้องอยู่ถึงมันจะทำให้เขามีความสุข แต่เฉินอินหย่าเองก็เป็นหลานสาวแท้ๆของท่านปู่เฉินเหมือนกัน
เฉินอินหย่าจะต้องวิ่งแจ้นไปฟ้องท่านปู่เฉินแน่ ท่านปู่เฉินนั้นถึงแม้ว่าไม่ใช่คนที่จะเห็นผิดเป็นชอบ แต่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องวิจารณ์มู่น่อนน่อนออกมาสักที
เฉินถิงเซียวลบข้อความนั้นของท่านปู่เฉินทิ้ง จากนั้นก็กดวิดีโอคอลไปทันที
เฉินอันหลินที่อยู่อีกด้านนึงก็ยังรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่ามู่น่อนน่อนจะเป็นฝ่ายเปิดวิดีโอคอลกับเขามาเอง
แต่เขาก็ยังคงกดรับไป
แต่ผลสุดท้าย หลังจากที่ได้เชื่อมต่อวิดีโอกันแล้ว พบว่าบนหน้าจอไหนเลยจะเป็นมู่น่อนน่อน เห็นได้ชัดว่าเป็นใบหน้าที่ทำให้เขารู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมานั้นของเฉินถิงเซียว
“เป็นแกไปได้ยังไง? น่อนน่อนล่ะ?” ท่านปู่เฉินตีหน้าเข้มออกมา บนใบหน้าเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าไม่อยากเห็นหน้าเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเปลี่ยนไปเปิดกล้องหลัง ให้ตรงกับประตูห้องน้ำที่กำลังปิดสนิทอยู่ “ไปอาบน้ำ”
ท่านปู่เฉินเบ้ปากออกมาเล็กน้อย “ฉันกับแกไม่มีเรื่องอะไรให้พูดกัน พรุ่งนี้ฉันค่อยโทรหาเธอใหม่แล้วกัน”
ท่านปู่เฉินบอกว่าต้องการจะปิดวิดีโอคอลนี้ไป เฉินถิงเซียวใช้โอกาสนี้พ่นออกไปยาวๆประโยคนึง “ถ้าคุณปู่รู้สึกเบื่อมากจริงๆล่ะก็ คุณปู่ก็มาทำงานที่บริษัทต่อก็ได้นะครับ ผมคิดว่าลูกชายของคุณปู่จะต้องยินดียกตำแหน่งให้คุณปู่อย่างแน่นอนครับ”
ท่านปู่เฉินใบหน้าบึ้งตึงออกมาทันที “เฉินถิงเซียว!”
เฉินถิงเซียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเดินออกไปด้านนอก แสยะยิ้มอย่างเยาะหยัน “ส่งผู้หญิงเข้ามาในวิลล่าหลานชายตัวเองในช่วงที่หลานสะใภ้กำลังท้องอยู่ ไอ้ที่เขาพูดกันว่าแก่หงำเหงือกมันก็คือคนประเภทอย่างคุณนี่เอง?”
เรื่องครั้งนี้ทำให้เฉินถิงเซียวโกรธขึ้นมาจริงๆ เขากับท่านปู่เฉินเมื่อตอนเด็กๆจริงๆแล้วสนิทกันมาก แต่ตอนกลับคฤหาสน์ครั้งที่แล้วคุณปู่บอกให้เขาอย่าไปสืบเรื่องแม่อีก ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนก็เลยเกิดความบาดหมางกันขึ้นมาเล็กน้อย
เพียงแต่ว่า ท่าทีที่คุณปู่มีต่อมู่น่อนน่อนนั้นยังถือว่าดีอยู่ เฉินถิงเซียวเองก็ไม่ได้พูดออกไปโต้งๆ ยอมที่จะทำเป็นว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น
แต่นึกไม่ถึงว่า ท่านปู่เฉินจะมาไม้นี้
ท่านปู่เฉินโกรธจนหนวดกระตุกออกมา จากนั้นก็เอ่ยพูดออกมาอย่างด้วยถ้อยคำที่จริงจัง “ถิงเซียว นี่ฉันหวังดีกับแกอยู่นะ ธุรกิจครอบครัวอย่างบริษัทเฉินซื่อนี้มันใหญ่โตตั้งขนาดนั้นจะให้แกมารับช่วงต่อ แกไม่อาจเอาความคิดทุกอย่างไปหยุดไว้ที่ผู้หญิงเพียงคนเดียวได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะเหมือนอย่างพ่อของแก…”
ในความคิดของท่านปู่เฉินแล้ว ทายาทผู้ชายในตระกูลที่ร่ำรวย ผู้หญิงที่จะอยู่ข้างกายแน่นอนว่ามันจะต้องขาดไม่ได้อยู่แล้ว นี่มันเป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างมาก
แต่ทว่า เฉินชิงเฟิงที่เขารักมากที่สุด หลังจากที่ภรรยาเกิดเรื่องไป ก็ไม่เคยมีผู้หญิงคนอื่นอีกเลย หลายปีมานี้ก็ดูเศร้าสร้อยหงอยซึม
เขาโดดเด่นในเรื่องรักๆใคร่มาครึ่งค่อนชีวิต แต่กลับมีลูกชายที่ยึดมั่นในความรักพันธุ์นี้ออกมาได้
ตอนที่เฉินถิงเซียวพามู่น่อนน่อนกลับไปที่คฤหาสน์ ท่าทางที่ดูรักมากนั้นมันก็ได้อยู่ในสายตาของเขา ในใจก็แอบมีความคิดอย่างอื่นขึ้นมารางๆ
เฉินถิงเซียวยกยิ้มเย็นออกมา “เหมือนอย่างพ่อของผม? คุณแน่ใจหรอว่าเขาลืมแม่ผมไม่ได้ ไม่ใช่เพราะว่ามีความลับที่บอกใครไม่ได้ แล้วละอายใจรู้สึกผิดบาปอยู่หรือไง?”
“ถิงเซียว ฉันพูดกับแกกี่ครั้งแล้ว เรื่องแม่ของแกตอนนั้นมันไม่ได้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรเลย มันก็แค่อุบัติเหตุเท่านั้นเอง” ในน้ำเสียงของท่านปู่เฉินแฝงไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
“แม่ของแกเป็นคนที่ฉันเลี้ยงดูมาจนโต พ่อของแกมีความรู้สึกต่อแม่แกยังไงแกไม่ใช่ว่าจะไม่รู้นี่ ถิงเซียว ตัวแกเองสืบมาตั้งหลายปี ได้อะไรมาบ้างล่ะ? ไม่ใช่ว่าสืบไม่ได้อะไรเลยไม่ใช่หรือไง เรื่องพวกนั้นเดิมทีมันก็แค่สิ่งที่แกคิดออกมาเองทั้งนั้น…”
ท่านปู่เฉินยังคงพูดไปเรื่อย เฉินถิงเซียวเองก็ไม่ได้ขัดเขาออกไป
เพียงแต่ตอนที่เขาพูดออกมาจบ เฉินถิงเซียวจึงได้เอ่ยถามเขาออกไปอย่างเนือยๆว่า “คุณป้าจะกลับมาฉลองปีใหม่ปีนี้ด้วยใช่มั้ยครับ? คุณป้าไม่ได้กลับบ้านมาฉลองปีใหม่มาตั้งหลายปีแล้วนี่”
เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็หรี่ตามองสำรวจสีหน้าของท่านปู่เฉินไปเงียบๆ
แต่ทว่า บนใบหน้าของท่านปู่เฉินนั้นนอกจากอาการทอดถอนหายใจออกมาแล้วก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอื่นออกมาเลย
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย หรือว่ามู่เจิ้งซิวจะโกหกงั้นหรอ?
โดยพื้นฐานแล้ว เขาเองก็ไม่อยากเชื่อหรอกว่าคุณป้าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อครั้งนั้นด้วยเหมือนกัน
“เฉินถิงเซียว?”
เสียงของมู่น่อนน่อนดังเข้ามา ทำลายความคิดของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวหันหน้าไป ก็เห็นมู่น่อนน่อนอยู่ในชุดนอน ด้านนอกคลุมเสื้อคลุมตัวหนา ห่อหุ้มเอาไว้จนแน่น
เฉินถิงเซียวถูกถามออกมาจนรำคาญ หันไปจับคางเธอแล้วจูบไปทีนึง “พอแล้ว”
“…” เธอไม่ปล่อยให้เขาจูบเธออีก
เฉินถิงเซียวมองมู่น่อนน่อนที่แสดงสีหน้าตื่นตกใจออกมาด้วยความพอใจ มุมปากยกยิ้มออกมาเหมือนไม่มีอะไร จูงมือเธอเดินออกไปข้างหน้า
ฟู้ถิงซีกับสือเย่ต่างก็กำลังรอพวกเขากันอยู่
“คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง”
“ถิงเซียว”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าให้กับสือเย่เล็กน้อย จากนั้นก็หันไปทักทายฟู้ถิงซี “ทนายความฟู้”
ฟู้ถิงซีส่งยิ้มกลับมาด้วยใบหน้าที่ดูสบายๆ จากนั้นก็เดินไปข้างๆเฉินถิงเซียวเพื่อคุยเรื่องคดีกับเขา
“เพราะว่าเรื่องครั้งนี้มันเป็นกรณีพิเศษ ในขีดจำกัดสูงสุด ก็ทำได้แค่เพียงให้มู่หวั่นขีโดนตัดสินโทษจำคุกไปสามปีเท่านั้น…” ฟู้ถิงซีพูดแล้วพลางมองมายังมู่น่อนน่อนเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนก้มหน้าลงมองตัวเอง “ทำไมคะ?”
คนกลุ่มนั้นไม่ได้เดินเข้าไป จู่ๆฟู้ถิงซีก็หยิบผ้าก็อซออกมาจากในกระเป๋าใส่เอกสารของตัวเองส่งให้เฉินถิงเซียว “พันเอาไว้”
นี่แน่นอนว่าไม่ได้ให้เฉินถิงเซียวเป็นคนพัน แต่กำลังบอกให้มู่น่อนน่อนพัน
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย “ไม่ต้อง”
ฟู้ถิงซียักไหล่ออกมาเล็กน้อย “เดิมทีพวกเราก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรกัน คดีในครั้งนี้เหมือนว่าจะง่าย แต่ฉันก็จัดการลำบากสุดๆไปเลยนะ ช่วยร่วมมือกันสักหน่อยสิ?”
เฉินถิงเซียวเอ่ยเสียงเย็นออกมา “น่าเบื่อ”
ตอนแรกเขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย หันหน้าไปมองสือเย่ “สือเย่ กลับรถไปเป็นเพื่อนคุณผู้หญิง”
“ครับ” สือเย่ตอบรับออกมาอย่างนอบน้อม
“งั้นฉันรอคุณอยู่ที่ในรถนะคะ” มู่น่อนน่อนเองก็เข้าใจเส้นทางที่คดเคี้ยวด้านในดี จึงไม่ได้ถามออกไปมากมาย
ตอนที่ดำเนินคดีมู่หวั่นขี ในนามของผู้ที่ต้องโทษจงใจทำร้ายร่างกาย และถ้ามู่น่อนน่อนปรากฏตัวออกไปด้วยสภาพที่ปกติไร้ความเสียหายในศาลมันก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดปัญหาวุ่นวายโดยไม่จำเป็นเพิ่มขึ้นมาอีก
ยิ่งไปกว่านั้นฟู้ถิงซีคนที่เข้มงวดในเรื่องงานมาก เขาไม่มีทางจะปล่อยให้มู่น่อนน่อนปรากฏตัวในศาลอย่างนี้อยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนไม่เข้าไปมันเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
ส่วนเฉินถิงเซียวกลับไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย คนตระกูลมู่วันนี้ได้มากันหมดทุกคน สิ่งที่เขากังวลก็คือคนตระกูลมู่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จนไปทำร้ายมู่น่อนน่อนเข้า
ตั้งแต่หลังจากที่เกิดเรื่องมู่หวั่นขีครั้งที่แล้ว เขาก็ไม่กล้าจะชะล่าใจ สะเพร่าออกมาอีก
และที่เขาไม่ปล่อยให้ใครเข้ามาในวิลล่าง่ายๆ มันก็เป็นเพราะเหตุนี้ด้วยเช่นกัน
เขาต้องกำจัดเรื่องที่มันอาจจะทำให้มู่น่อนน่อนได้รับบาดเจ็บไปให้หมด
มู่น่อนน่อนหันหลังเดินกลับไปในรถพร้อมสือเย่ ในตอนที่เดินไปได้ครึ่งทาง ทันใดนั้นเธอก็ได้หันกลับไปมองเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวที่มีรูปร่างสูงชะลูด แม้ว่าจะห่างออกมาไกลขนาดนี้แล้ว เธอก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงออร่าความน่ากลัวที่ไม่เหมือนใครจากร่างของเขาได้อยู่เลย
นอกจากบางครั้งที่จะมีอารมณ์แปลกๆออกมา เฉินถิงเซียวก็เป็นผู้ชายที่ไร้ที่ติคนนึงเลยทีเดียว
มู่น่อนน่อนในบางครั้งก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับกำลังฝันอยู่เหมือนกัน รู้สึกว่าทั้งหมดนี้มันไม่มีความรู้สึกที่เหมือนจะเป็นความจริงอยู่เลยแม้แต่น้อย
“คุณผู้หญิง?”
เสียงสือเย่ดังขึ้นมา มู่น่อนน่อนได้สติกลับมาทันที จึงได้พบว่าเมื่อกี้นี้เธอมองไปทางเฉินถิงเซียวจนสติล่องลอยไป
“ไปเถอะ” เธอได้สติกลับมา กลับไปที่รถพร้อมกับสือเย่
ภายในรถ มู่น่อนน่อนมองไปทางประตูทางเข้าศาล แล้วถามสือเย่ออกไป “มู่หวั่นขีจะถูกตัดสินโทษจริงๆหรอ?”
“ครับ คุณฟู้ไม่เคยพลาดมาก่อน” น้ำเสียงของสือเย่ฟังดูแน่ใจมาก
มู่น่อนน่อนเอนตัวพิงไปข้างหลัง หยิบโทรศัพท์ออกมาส่งวีแชทบอกเรื่องนี้กับเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงรีบตอบข้อความเธอกลับมาทันที “ทำชั่วอะไรเอาไว้ผลกรรมมันจะย้อนกลับมา!”
ใช่แล้ว ธรรมชาติมันมีกฎของมัน
คนที่ทำเรื่องไม่ดีจะต้องได้รับการลงโทษ
เธอนึกถึงเรื่องแม่ของเฉินถิงเซียวขึ้นมาอีกครั้ง ผ่านไปหลายปีอย่างนี้ เธอแอบคิดว่าการที่จะเจอตัวคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังนั้นมันยากเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้นตัวเฉินถิงเซียวก็เคยพูดออกมาเองว่าคนร้ายตัวจริงที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังคงจะเป็น “ใครสักคนในตระกูลเฉิน” ถึงแม้ว่าถึงตอนนั้นแล้วจะตามหาคนร้ายตัวจริงได้จริงๆ อย่างนั้นแล้วถึงตอนนั้นเขาจะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า?
มู่น่อนน่อนคิดว่าก็คงจะเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ ช่วงนี้จึงมักจะชอบคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย
เธอเงยหน้าขึ้นไปก็พบว่าสือเย่กำลังก้มหน้าดูโทรศัพท์อยู่
มู่น่อนน่อนแอบยื่นหน้าเข้าไปเงียบๆ พบว่าสิ่งที่สือเย่กำลังดูอยู่นั้นเป็นรูปรูปหนึ่ง ในรูปเป็นผู้หญิงคนนึงกับเด็ก
มู่น่อนน่อนเอ่ยถามออกไปด้วยความตกใจ “สือเย่ นายแต่งงานแล้วหรอ?”
สือเย่เอามือมาบังหน้าจอโทรศัพท์เอาไว้อย่างรวดเร็ว “ครับ”
“ลูกชายนายน่ารักมากเลย กี่ขวบแล้ว?” มู่น่อนน่อนไม่ได้รู้อะไรต่อสถานการณ์ของเขาในตอนนี้เลย ถามคำนี้ออกไปเพียงแค่คิดว่าลูกชายของเขาน่ารักเท่านั้นไม่ได้มีคิดอะไรแอบแฝงเลย
สือเย่พอพูดถึงลูกชาย มุมปากก็เผยรอยยิ้มออกมา “สี่ขวบครับ เป็นเด็กฉลาดเลยคนนึง”
มู่น่อนน่อนพบว่าตอนที่สือเย่พูดถึงลูกชายของเขา จะเริ่มพูดมากกว่าเดิมขึ้นมา
ดังนั้นแล้วเธอจึงชวนเขาพูดวนอยู่กับหัวข้อประเด็นในเรื่องนี้
“งั้นก็คงจะเข้าอนุบาลแล้วสิ?”
“ครับ เพิ่งจะเข้าเมื่อครึ่งปีหลังมานี้เองครับ”
“…”
มู่น่อนน่อนตอนนี้กำลังท้องอยู่ เลยสนใจประเด็นเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กอยู่พอดี
ส่วนสือเย่หลังจากที่หย่าร้างไปก็ยิ่งเป็นคนเงียบขรึมมากขึ้น ทั้งยังได้มาติดตามเจ้านายที่หวงคำพูดราวกับทองคำอย่างเฉินถิงเซียวด้วยอีก ไม่ง่ายเลยที่จะมีคนมาคุยเรื่องลูกกันได้ คำพูดของเขาก็ยิ่งมากขึ้น
ทั้งสองคนพูดคุยกันมาตลอดจนเฉินถิงเซียวกับฟู้ถิงซีออกมา
“พวกเขากลับมาแล้ว”
มู่น่อนน่อนเป็นคนเห็นพวกเขาก่อนคนแรก
เธอจึงช่วยเปิดประตูรถให้เฉินถิงเซียวจากทางด้านในทันที
หลังจากที่เฉินถิงเซียวขึ้นรถมาแล้ว ดึงเนกไทออกไปเล็กน้อย สีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก
ฟู้ถิงซีนั่งตรงตำแหน่งข้างคนขับข้างหน้า
มู่น่อนน่อนเห็นเฉินถิงเซียวมีสีหน้าเยือกเย็น เลยเงยหน้ามองไปทางฟู้ถิงซี
ฟู้ถิงซีหันมายกมือกางออกอย่างไม่อะไร
เห็นฟู้ถิงซีมีสีหน้าที่ดูปกติดี และยังไม่เหมือนกับว่าจะแพ้คดีเลยด้วย แล้วเฉินถิงเซียวเป็นอะไรไปล่ะ?
“เป็นอะไรไป?” มู่น่อนน่อนเอ่ยถามเขาออกไปเบาๆ
เฉินถิงเซียวส่ายหน้า ไม่พูดอะไร
ในตอนนั้นเอง หน้าต่างรถด้านข้างมู่น่อนน่อนถูกคนที่อยู่ข้างนอกเคาะเข้ามาอยู่หลายที
เธอหันหน้าออกไป ก็เห็นเข้ากับใบหน้าที่ดูอ่อนโยนไม่มีพิษมีภัยนั้นของซือเฉิงหยู้
มู่น่อนน่อนย่นคิ้วออกมา ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมสีหน้าของเฉินถิงเซียวถึงได้ดูย่ำแย่อย่างนั้นได้
มู่น่อนน่อนลดกระจกลง ไม่รอให้เธอได้พูดออกไป ซือเฉิงหยู้ก็ได้เอ่ยพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “น่อนน่อน ได้ข่าวว่าเธอท้องแล้ว? ยินดีด้วยนะ”
มู่น่อนน่อนไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา “ขอบคุณนะ”
ซือเฉิงหยู้ก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางเฉินถิงเซียวอีกที แล้วค่อยๆเอ่ยออกมาว่า “ถิงเซียว ถึงตอนนั้นก็อย่าลืมชวนฉันไปดื่มเหล้าครบเดือนด้วยล่ะ”
เฉินถิงเซียวมองเขาไปด้วยความเย็นชา ไม่ได้พูดอะไร
มู่น่อนน่อนจึงรีบเอากระจกหน้าต่างรถขึ้นทันที พร้อมกับเร่งสือเย่ออกไป “ออกรถเถอะ”
ตอนนี้เธอเห็นซือเฉิงหยู้แล้วรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คิดว่าใบหน้าที่สวมหน้ากากแสร้งทำตัวเป็นคนดีของซือเฉิงหยู้มันน่ากลัวกว่าเฉินถิงเซียวโกรธออกมาเสียอีก
“ถิงเซียว ตกลงนายกับราชาภาพยนตร์ซือมีอะไรกัน?” ฟู้ถิงซีเป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายของบริษัทเสิ้งติ่ง จึงไม่ได้เข้าไปยุ่งและก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องการแสดงความคิดเห็นของสังคมในอินเทอร์เน็ตต่อเรื่องการประชาสัมพันธ์และเรื่องดาราเท่าไหร่นัก
เรื่องเมื่อช่วงก่อนหน้านี้ เขาเองก็ได้ข่าวมาบ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าตกลงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ตรงนี้ก็ไม่มีคนนอก เขาจึงถามออกมาตรงๆ
“กลับกันก่อนเถอะ” เฉินถิงเซียวมีท่าทีไม่ยอมพูดอะไรออกมาให้มากมายอีก ฟู้ถิงซีเองก็ไม่กล้าเสียมารยาทถามออกไปให้มากอีก
ก่อนหน้านี้ตอนที่มู่น่อนน่อนกลับมาบ้าน ก็เคยเห็นท่าทางที่ดูสนิทสนมกันของซือเฉิงหยู้กับมู่หวั่นขี วันนี้เปิดคดีของมู่หวั่นขี ซือเฉิงหยู้จะมามันก็ไม่นับว่าแปลกอะไร
แต่ทว่า เพียงแค่เห็นซือเฉิงหยู้ มันคงไม่ถึงขนาดที่จะทำให้เฉินถิงเซียวเปลี่ยนสีหน้าออกมาได้หรอก
ทันใดนั้นเอง ในหัวของมู่น่อนน่อนก็มีอะไรแวบเข้ามา ซือเฉิงหยู้เองก็นับได้ว่าเป็นคนตระกูลเฉินครึ่งนึงเหมือนกัน เฉินถิงเซียวสามารถส่งมู่หวั่นขีเข้าไปได้ แน่นอนว่าซือเฉิงหยู้เองก็มีวิธีที่จะทำให้มู่หวั่นขีออกมาได้เหมือนกัน!
มู่น่อนน่อนมองอยู่ตรงหน้าประตู เห็นเด็กสาวทั้งสองคนที่จากเดิมสวยเหมือนอย่างกับหยกมาลี ด่าว่ากันข้ามเตียงด้วยสภาพจมูกเขียวช้ำหน้าบวมเป่ง
เธอนึกไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะตบตีกันได้รุนแรงขนาดนี้
นึกว่าทั้งสองคนนี้อย่างมากจะแค่ทึ้งผมกัน ขย้ำหน้ากันนิดหน่อยก็พอแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังมีการลงมวยกันขึ้นมา สุดท้ายแล้วก็ต้องเรียกการ์ดมาพวกเธอถึงได้หยุดกัน
มู่น่อนน่อนขี้เกียจเข้าไปฟังพวกเธอด่ากัน จึงหันไปพูดกับการ์ดที่อยู่ข้างหลัง “คอยดูหน่อยนะ”
จากนั้น เธอก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงทางเดิน รอให้เฉินถิงเซียวมา
เพียงไม่นานก็มีพยาบาลเดินเข้ามา ถามเธอออกมาด้วยความนอบน้อม “คุณผู้หญิงคะ พวกเรามีห้องสำหรับพักผ่อนโดยเฉพาะ คุณผู้หญิงต้องการจะเข้าไปพักหรือเปล่าคะ?”
“ไม่ต้องหรอก ขอบคุณนะ” มู่น่อนน่อนโบกมือปฏิเสธออกไป
……
ตอนที่เฉินถิงเซียวมา ฉินสุยซานกับเฉินอินหย่าต่างก็ใส่ยาทำแผลกันไปพอประมาณนึงแล้ว
ทั้งสองคนถึงแม้ว่าจะลงมือกันไปแบบไม่ยั้งมือ แต่ยังไงก็ยังมีคนมองอยู่ แล้วเรี่ยวแรงผู้หญิงมันก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก สุดท้ายมันก็มีเพียงแค่บาดแผลภายนอกนิดหน่อยเท่านั้น
แต่ทว่า สภาพจมูกเขียวหน้าบวมนั้นมันก็พอที่จะดูแย่พอแล้ว
ทันทีที่เฉินถิงเซียวเห็นมู่น่อนน่อน ก็รีบสาวเท้าเดินเข้ามาหาเธอ นัยน์ตาดำสนิทคู่นั้นล็อกสายตามาที่เธอ กวาดตามองสำรวจไปมาอยู่บนร่างของเธอหลายรอบ กว่าจะสบายใจลงได้
เขาเลยถามเธอออกมา “พวกเธอบาดเจ็บกันยังไงบ้าง?”
ฉินสุยซานกับเฉินอินหย่าก็ได้เดินออกมาจากห้องผู้ป่วยพอดี มู่น่อนน่อนบุ้ยปากไปทางที่พวกเธออยู่ “คุณดูเองสิ”
“พี่สาม พี่ดูสิฉันถูกมันตบจนเป็นอย่างนี้…”
เฉินถิงเซียวหันหน้าไป สิ่งที่เข้ามาในดวงตาก็คือใบหน้าที่ทั้งช้ำเขียวทั้งบวมเป่งนั้นของเฉินอินหย่า
ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะดูสงบนิ่งแค่ไหน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย ในน้ำเสียงประดับไปด้วยความไม่แน่ใจเท่าไหร่ที่หาได้ยากจากเขา “เฉินอินหย่า?”
“ใช่ค่ะ พี่สาม ฉันอินหย่าเองค่ะ” เฉินอินหย่าเห็นเฉินถิงเซียวเรียกชื่อตัวเองออกมา ใบหน้าก็แสดงอารมณ์ที่อยู่ไม่สุขออกมา
เฉินถิงเซียวถอยหลังออกไปก้าวนึงพยายามระงับอารมณ์และคำพูดเอาไว้ จากนั้นก็มองไปยังฉินสุยซานที่อยู่ทางด้านหลังของเฉินอินหย่า
อาการของฉินสุยซานไม่ได้ดีไปกว่าเฉินอินหย่าเลย แต่ตอนที่เฉินถิงเซียวมองเธอ เธอกลับใช้มือมาบังหน้าตัวเองเอาไว้ เหมือนกับว่าจะอายอยู่เล็กน้อย หันหน้าออกไปอีกทางนึง
มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นการกระทำเล็กๆนี้ของฉินสุยซาน ยกมือขึ้นมาปิดอยู่ตรงริมฝีปาก กลั้นหัวเราะเอาไว้
เฉินถิงเซียวฉลาดเสียตั้งขนาดไหน คิดรอบเดียวก็คาดเดาได้ทันทีว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ความแค้นระหว่างผู้หญิงมันก็เรื่องนึง ถ้ามู่น่อนน่อนไม่อยากให้ทั้งสองคนทะเลาะกัน ทั้งสองคนจะต้องทะเลาะกันไม่ได้แน่
ฉินสุยซานกับเฉินอินหย่าทั้งสองคนทะเลาะกันจนกลายเป็นแบบนี้ มันจะต้องมีการผสมโรงของมู่น่อนน่อนเข้าด้วยแน่ๆ
มู่น่อนน่อนผู้หญิงคนนั้น ดูเผินๆแล้วเหมือนจะเป็นคนรู้ความและสุขุม แต่ความจริงแล้วเป็นคนที่ชอบมองดูปัญหาแล้วคอยเติมเชื้อเพลิงให้เรื่องมันใหญ่โตกว่าเดิม ในนิสัยลึกๆนั้นยังมีความเหมือนเด็กอยู่บ้างเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวเอ่ยนิ่งๆออกมา “ในเมื่อไม่เป็นไรแล้ว ก็กลับไปเถอะ”
เฉินอินหย่านึกไม่ถึงว่าทันทีที่เฉินถิงเซียวเปิดปากพูดออกมาก็ได้บอกให้เธอกลับออกมาโต้งๆ หรือว่าจะไม่ช่วยเธอระบายความแค้นเลยหรือไง?
ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอกับเฉินถิงเซียวจะไม่สนิทกัน แต่ร้ายดียังไงทั้งสองคนก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แซ่เฉินเหมือนกันนะ
เธอถูกฉินสุยซานตบตี ไม่ว่ายังไงเฉินถิงเซียวจะต้องช่วยเธอระบายความโกรธสิถึงจะถูก!
“พี่สาม ฉินสุยซานมัน…”
เฉินถิงเซียวรู้ความคิดสกปรกพวกนั้นของเฉินอินหย่า แต่ผู้ที่จะออกความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มากที่สุดเลยก็คือมู่น่อนน่อน แน่นอนว่าเขาไม่มีทางจะช่วยใครระบายความโกรธได้อยู่แล้ว
เขามองไปทางเฉินอินหย่าด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “ใครลงมือก่อน?”
เฉินอินหย่ายังคงกลัวเขาอยู่บ้าง พอถูกเขากวาดสายตามองมาอย่างเย็นชาอย่างนี้แล้ว ความโอหังก็ได้อ่อนลงไปในทันที พร้อมพูดออกไปเบาๆ “เป็นฉินสุยซาน”
เธอพูดจบ ก็เหลือบมองมู่น่อนน่อนไปอย่างระวัง ทั้งยังส่งสายตาข่มขู่ไปให้มู่น่อนน่อนอีกด้วย
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ามันช่างน่าตลกเสียจริง
ความจริงเธอก็ได้หลุดยิ้มออกมาแล้ว
เธอจ้องมองเฉินอินหย่าไปเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม คุณเฉินคนนี้โตขนาดนี้แล้วก็คงโตแค่ตัว แต่สมองไม่ได้โตตามตัวไปด้วย
ฉินสุยซานคือผู้หญิงคนนึงที่อยากจะเข้ามาในบ้านเธอเพื่ออ่อยเฉินถิงเซียว ก็ยังฉลาดกว่าเฉินอินหย่าเสียอีก
แน่นอนว่าเฉินถิงเซียวเองก็สังเกตเห็นถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเฉินอินหย่าเช่นเดียวกัน เขาเอ่ยเสียงเย็นออกมา “กลับไปเอง ต่อจากนี้ไปถ้าไม่มีธุระอะไรก็อย่าไปบ้านฉันอีก”
เฉินอินหย่ามองเฉินถิงเซียวไปอย่างไม่อยากที่จะเชื่อ “พี่สาม!”
“ยังไม่ไปอีก? ฉันให้คุณปู่ส่งคนมารับเธอเอามั้ย?” ระหว่างคิ้วของเฉินถิงเซียวนิ่วขมวดออกมาแน่นกว่าเดิม ในดวงตามีความไม่พอใจแวบผ่านออกมา เขาได้หมดความอดทนที่จะพูดกับเธอให้มากความอีกแล้ว
เฉินอินหย่าเห็นสีหน้ามืดครึ้มไม่พอใจของเฉินถิงเซียว ก็ไม่กล้าจะพูดอะไรออกไปอีก เพียงแค่มองฉินสุยซานไปด้วยความเกลียดชัง แล้วก็ผันร่างเดินออกไป
จากนั้นเขาก็หันไปจูงมู่น่อนน่อนเดินออกไป “ไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนเดินกันอยู่ข้างหน้า ฉินสุยซานกับการ์ดเดินกันอยู่ข้างหลัง
ออกจากโรงพยาบาลมา มู่น่อนน่อนถึงได้พบว่าเมื่อกี้นี้หลังจากที่เฉินถิงเซียวมาถึง ฉินสุยซานก็ไม่พูดอะไรเลยสักคำเดียว
เธอหันไปมองฉินสุยซานด้วยความสงสัยเล็กน้อย ก็เห็นฉินสุยซานกำลังมองเธอมาด้วยสีหน้าแปลกๆ
มองเธอทำไม?
เป้าหมายของฉินสุยซานไม่ใช่ว่าอยากยั่วยวนเฉินถิงเซียวหรือไง? ในช่วงเวลาอย่างนี้ฉินสุยซานใช่ว่าควรจะมองเฉินถิงเซียวไม่ปล่อยสิถึงจะถูก?
จู่ๆก็สบสายตาเข้ากับมู่น่อนน่อน ฉินสุยซานเคลื่อนสายตาไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ไม่ได้มองเธออีก ก้มหน้ารีบขึ้นรถด้านหลังไปพร้อมกับการ์ดอย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วขึ้นรถไป เฉินถิงเซียวช่วยเธอคาดเข็มขัดให้เรียบร้อย พร้อมเอ่ยถามเธอออกไป “เป็นอะไรไป?”
มู่น่อนน่อนอ้าปากออกมาเล็กน้อย อีกทั้งยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาอีก ทำได้เพียงส่ายหน้าออกมาเล็กน้อย
แต่เฉินถิงเซียวนั้นหลังจากที่ได้คาดเข็มขัดให้เธอเรียบร้อยแล้ว มือข้างนึงค้ำไปบนพนักเก้าอี้ด้านหลังเธอ ตีหน้าเข้มมองเธอ “ก่อเรื่อง!”
มู่น่อนน่อนแสดงใบหน้าใสซื่อออกมา “เป็นพวกเธอที่อยากจะทะเลาะกันเอง”
ถึงแม้ว่าเธอเองก็คิดว่าวันนี้ตัวเองก็เหมือนจะขาดความสุขุมไปเล็กน้อย
แต่ทว่า จะให้เธอยอมรับว่าตัวเองกำลังก่อเรื่องอยู่ได้ยังไง?
ไม่มีทาง
ไม่มีทางโดยเด็ดขาด
เธอเพียงแค่ไม่ได้ไกล่เกลี่ยให้พวกเธอเลิกทะเลาะกันเท่านั้นเอง เธอไม่ได้สั่งให้พวกเธอทะเลาะกันเสียหน่อย
เธอคิดว่าเฉินถิงเซียวจะสั่งสอนอะไรเธอออกมาต่ออีก
แต่ใครจะรู้ล่ะว่าเฉินถิงเซียวเพียงแค่โผเข้ามาจูบบนหน้าผากเธอเบาๆทีนึง ตบศีรษะเธอเบาๆ ในน้ำเสียงประดับไปด้วยท่าทางยิ้มแย้ม ทั้งยังแสดงอาการในเชิงปลอบประโลมออกมาเล็กน้อย “ขอเพียงแค่ตัวคุณไม่เป็นไร อยากจะก่อเรื่องยังไงก็ได้ทั้งนั้น”
“หา?” มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองเขา
เฉินถิงเซียวก็ได้ลูบลงบนศีรษะของเธอไปเบาๆ “ตอนนี้ไปที่ศาลกัน”
“อ้อ” มู่น่อนน่อนแตะลงบนหัวตัวเองเล็กน้อย
ผ่านไปสักพักหนึ่ง มู่น่อนน่อนก็ถามเขาออกไปอย่างกำลังหยั่งเชิง “ความหมายของคุณก็คือขอเพียงแค่ฉันยินดีฉันอยากจะทำอะไรในเมืองหู้หยางก็ได้?”
เฉินถิงเซียวไม่แม้แต่จะหันหน้ามา “อยากให้คนอื่นมาหามเกี้ยวให้ก็ได้ทั้งนั้น”
ทั้งๆที่มันไม่ใช่คำพูดที่จริงจังอะไรเลย แต่พอพูดออกมาจากปากเขาแล้ว สิ่งที่ได้ยินเข้ามาในหูมันกลับฟังดูจริงจังสุดๆ
มู่น่อนน่อนถามออกมาอีก “ฉันอยากทำอะไรก็ทำ?”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร เป็นเชิงยอมรับออกมาเงียบๆ
จวบจนกระทั่งรถได้มาจอดตรงหน้าประตูทางเข้าศาล เฉินถิงเซียวถึงจะได้พูดออกมาประโยคนึงเบาๆ “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ เป็นผมที่ไม่ดีเอง”
มู่น่อนน่อนนึกว่าตัวเองได้ยินผิดไป
“คุณพูดออกมาอีกทีสิ!”
“ลงจากรถกันเถอะ”
เฉินถิงเซียวนำปลดเข็มขัดลงจากรถไปก่อนด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
มู่น่อนน่อนตามหลังไปติดๆ ตามไปบอกให้เขาพูดออกมาอีกรอบต่อ
เขาพูดออกมาอีกรอบ เธอจะต้องอัดมันเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่กล้าเชื่อว่าเฉินถิงเซียวจะพูดคำขอโทษอะไรจำพวกนี้ออกมาได้
ตอนแรกนั้นเฉินอินหย่าได้ย้ายงานไปเป็นพิธีกรที่สถานี ฉินสุยซานไม่ได้รู้สถานะของเฉินอินหย่าชัดเจนเท่าไหร่นัก
นึกไม่ถึงว่าเฉินอินหย่าก็เป็นคนตระกูลเฉินด้วย
แต่ถึงเฉินอินหย่าจะจัดว่าเป็นคนตระกูลเฉินด้วยแล้วมันจะยังไง ทั้งตระกูลเฉิน นอกจากเฉินถิงเซียวลูกหลานทั้งสามคนแล้ว คนที่แซ่เฉินคนอื่นมันก็แค่นั้นเอง
ฉินสุยซานไม่ได้มองเฉินอินหย่าอยู่ในสายตา
“จริงๆก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันหรอก แต่ตอนนี้เธอเป็นคนใช้ ฉันขอสั่งให้เธอรินน้ำให้ฉันเดี๋ยวนี้” เฉินอินหย่าเชิดคาง น้ำเสียงฟังดูได้ใจสุดๆ
ในใจของฉินสุยซานรู้สึกไม่พอใจออกมา และก็ไม่ได้ขยับไปในทันที
เพราะถึงยังไงเธอแทรกซึมเข้ามาในกลุ่มสาวใช้เข้ามาในวิลล่าของเฉินถิงเซียว ก็เพื่อเข้าหาเฉินถิงเซียว เธอเคยคิดว่าจะถูกมู่น่อนน่อนใช้งาน แต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาถูก คนที่เคยเป็นศัตรูของตนอย่างเฉินอินหย่ามาสั่งได้
เฉินอินหย่าเห็นฉินสุยซานไม่ขยับ ก็ได้หันมองไปทางมู่น่อนน่อนอย่างออดอ้อน “พี่สะใภ้สาม นี่คือคนใช้ที่เพิ่งมาใหม่ของบ้านพวกพี่สินะ? ฉันสั่งให้เธอรินน้ำให้ฉันเธอก็ไม่ยอมทำ…”
“มาใหม่นั่นแหละ” มู่น่อนน่อนแสยะยิ้มออกมา รอยยิ้มไปไม่ถึงดวงตา “แต่เป็นคนที่คุณปู่ส่งมาน่ะ”
เฉินอินหย่าสำลักออกมา เธอนึกไม่ถึงว่าเฉินอันหลินจะเอาใจใส่มู่น่อนน่อนขนาดนี้ ยังตั้งใจส่งสาวใช้มาให้โดยเฉพาะด้วยอีก
“ถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่คุณปู่ส่งมา นั่นก็ควรจะมีความเป็นสาวใช้หน่อยสิ” เฉินอินหย่าเลิกคิ้วมองไปทางฉินสุยซาน สายตามีความเยือกเย็นพาดผ่านออกมา
ฉินสุยซานเคยมีการกระทบกระทั่งกันกับเฉินอินหย่า รู้ว่าเฉินอินหย่าไม่ใช่คนที่น่าต่อกรด้วยเท่าไหร่นัก
เธอเห็นว่าการแสดงออกของเฉินอินหย่ามันไม่ใช่แล้ว จึงยกเท้าเตรียมที่จะถอยไปข้างหลัง
แต่ทว่า การเคลื่อนไหวของเธอมันก็ยังช้ากว่าเฉินอินหย่าไปก้าวนึง
เพี๊ยะ!
เสียงดังกังวานดังขึ้นมาทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ เรียกสายตาของสาวใช้คนอื่นๆให้มองเข้ามาทางนี้
แม้แต่มู่น่อนน่อนเอง ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเฉินอินหย่าอย่างประหลาดใจไปแวบนึง
เฉินอินหย่าแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย ยิ้มออกมาใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดูถูก “แม้แต่ความรับผิดชอบในฐานะคนใช้ที่พึงปฏิบัติคนนึงก็ยังไม่เข้าใจ วันนี้ฉันจะสั่งสอนเธอให้อย่างดีเลย”
พื้นฐานครอบครัวของทั้งสองคนพอๆกัน การชิงดีชิงเด่นกันระหว่างผู้หญิงที่มีหน้าตาพอๆกันมันดุเดือดมาก
ทั้งๆที่ก็ไม่ได้มีใครแย่ไปกว่าใคร แต่กลับจะต้องมาแบ่งความสูงต่ำ นี่มันค่อนข้างจะน่าสะเทือนใจอยู่บ้าง
“เฉินอินหย่า แกกล้าตบหน้าฉัน!” ฉินสุยซานจับหน้าตัวเอง จี๊ดจนฉีกฟันสูดปากออกมา
อาหูไม่รู้ว่าโผล่มาจากตรงไหน ดึงมู่น่อนน่อนถอยออกไปข้างหลัง “คุณผู้หญิงคะ คุณระวังหน่อยค่ะ”
“ไม่เป็นไร” มู่น่อนน่อนไม่ได้ใส่ใจอะไร เธอไม่เชื่อว่าผู้หญิงทั้งสองคนจะยังสามารถตบตีกันขึ้นมาได้
และแล้วข้อเท็จจริงก็ได้รับการยืนยัน เธอประเมินค่ากำลังการสู้รบของผู้หญิงทั้งสองคนนี้ต่ำเกินไป และก็ได้ประเมินการได้รับการอบรมสั่งสอนของพวกเธอสูงเกินไป
“ฉินสุยซาน ฉันให้โอกาสให้แกพูดให้มันดีๆ!” เฉินอินหย่าทนเห็นคนอื่นมาทำเชิดหน้าชูตาหยิ่งจองหองต่อหน้าต่อตาเธอไม่ได้ ยิ่งเป็นฉินสุยซานด้วยแล้ว
ฉินสุยซานหัวเราะเสียงเย็นออกมา “ขอบใจแกแล้วกัน งั้นฉันจะพูดแค่ครั้งเดียวก็พอ คนอย่างแกมันเป็นพวกที่อาศัยเส้นสายถึงได้มีงานที่น่าพอใจได้ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าลงไม้ลงมือกับฉันด้วย!”
เฉินอินหย่าหรี่ตาลงเล็กน้อย ในดวงตามีแววตาชั่วร้ายแวบผ่านออกมา “ดูถูกฉัน? แล้วมันจะยังไง? สุดท้าย ก็เลือกฉันนี่!”
คำพูดของเธอได้ทิ่มแทงไปตรงจุดเจ็บของฉินสุยซานเข้าไปอย่างจังทันที
“นังแพศยา!”
ฉินสุยซานด่าออกไปคำนึง แล้วก็ได้กระโจนเข้าใส่เฉินอินหย่าทันที
เฉินอินหย่าคาดไม่ถึงว่าฉินสุยซานจะลงไม้ลงมือออกมาตรงๆ ตัวเธอถูกฉินสุยซานชนลงไปกับพื้นอย่างแรง
ท่าทางแยกเขี้ยวยิงฟันของฉินสุยซานมองดูชั่วร้ายอยู่บ้าง ดูไปแล้วก็เหมือนจะโกรธสุดๆ
เธอคร่อมอยู่บนร่างของเฉินอินหย่า ดึงส่วนหน้าของเสื้อเฉินอินหย่าเอาไว้ ส่วนอีกมือนึงก็จับหน้าของเฉินอินหย่าเอาไว้ แล้วก็ยังกระชากไปยันเส้นผมของเธอ
“อ้ากก! ! ฉินสุยซานแกปล่อยนะ!” เฉินอินหย่าไม่รู้อะไรเลยสักนิด รู้เพียงแค่ยื่นมือออกไปป้องหน้าเอาไว้ ป้องหน้าเอาไว้ยังต้องไปป้องผมไปด้วย…
สุดท้าย ไม่ว่าจะตรงส่วนไหนก็ปกป้องเอาไว้ไม่ได้ ได้ถูกฉินสุยซานได้เปรียบไปโดยสมบูรณ์
เมื่อก่อนตอนที่มู่น่อนน่อนเรียนอยู่ ก็ถูกเสิ่นเหลียงพาไปทะเลาะวิวาท ปกติแล้วจะเป็นการยกเก้าอี้ขึ้นไปทุบบนตัวคนอื่น หลังจากที่ขึ้นมหาวิทยาลัยแล้วก็ไม่ได้มีโอกาสได้ทะเลาะวิวาทเลย
เธอเห็นเฉินอินหย่ากับฉินสุยซานตบตีกันเสียมันส์ขนาดนี้ ก็เกิดแรงกระตุ้นให้คอยเชียร์พวกเธอขึ้นมา
แต่ตอนนี้เธอเป็นคุณนายเจ้าของบ้าน ไม่อาจที่จะปล่อยให้แขกกับสาวใช้ที่บ้านมาทะเลาะกันได้นี่สิ
“นี่พวกเธอทำอะไรกัน รีบปล่อยกันเดี๋ยวนี้!” ปากของมู่น่อนน่อนกำลังไกล่เกลี่ยให้เลิกทะเลาะกัน แต่เท้ากลับกำลังถอยออกไปข้างหลัง
ตอนนี้เธอเป็นแค่คนท้องคนนึง ต้องถอยห่างจากพื้นที่การทะเลาะวิวาทจำพวกนี้ไปสักหน่อย
“นี่มันเรื่องของพวกเรา เธอไม่ต้องมายุ่ง!” ฉินสุยซานดึงผมของเฉินอินหย่า เงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ ก็เห็นมู่น่อนน่อนได้ถอยไปอยู่ตรงที่ห่างออกไปเจ็ดแปดเมตรแล้ว
เธอนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ในดวงตาแสดงอาการตกใจออกมา
ท่าทางอย่างนี้ของมู่น่อนน่อนเหมือนอยากจะไกล่เกลี่ยให้เลิกทะเลาะกันที่ไหนกัน?
มู่น่อนน่อนไม่สนใจพวกเธออยู่พอดี เธอไม่ชอบเฉินอินหย่ามาตั้งนานแล้ว วันนี้จะต้องกำจัดเธอไปให้ได้
ในกลุ่มสาวใช้ที่ท่านปู่เฉินส่งมากลุ่มนี้ นอกจากฉินสุยซานแล้ว คนอื่นล้วนแล้วแต่จะเป็นสาวใช้ที่ได้มีการฝึกการเป็นสาวใช้สำหรับแบบผู้ดีมาแบบเฉพาะทาง
พวกเธอเห็นน่อนน่อนกำลังพูดไกล่เกลี่ยออกมา แต่กลับถอยออกไปห่างสุดๆ ก็เข้าใจว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้คิดจะไกล่เกลี่ยเลย
ดังนั้นแล้วกลุ่มสาวใช้ก็เดินเข้าไปแสร้งทำเป็นดึงแยกกันออกมาเล็กน้อย “พวกคุณเลิกทะเลาะกันได้แล้ว”
“เธอรีบปล่อยคุณเฉินนะ”
“สุ่ยซาน เธอรีบหยุดมือเดี๋ยวนี้นะ…”
เฉินอินหย่าแทบจะบ้าไปแล้ว เห็นสาวใช้มากมายล้อมกันเข้ามา ก็ไม่สามารถเอาฉินสุยซานออกไปได้ ก็ด่าแหลกออกมาอย่างไม่แคร์ภาพลักษณ์ “พวกแกจะยืนนิ่งกันอยู่ทำไม ไร้ประโยชน์กันทั้งนั้น รีบเอานังแพศยาคนนี้ออกไปสิ!!”
……
ช่วงบ่าย
เฉินถิงเซียวขับรถกลับไปรับมู่น่อนน่อนไปที่ศาลด้วยกัน
แต่ผลสุดท้ายพอเข้าประตูไป อาหูก็เดินเข้ามาบอกเขาว่า “คุณผู้หญิงไปโรงพยาบาลค่ะ”
เฉินถิงเซียวช็อกตกใจออกมา เสียงฟังดูไม่มั่นคงออกมา “เธอเป็นอะไรไป?”
อาหูเห็นท่าทางอย่างนี้ จึงได้พูดอธิบายออกไป “ไม่ได้เกิดอะไรกับคุณผู้หญิงค่ะ แต่เป็นคุณเฉินมา แล้วก็ได้ทะเลาะกับฉินสุยซานค่ะ”
“คุณเฉินคนไหน?” เฉินถิงเซียวถามอาหูไปพลาง ผันร่างเดินออกไปพลาง
“เป็นคุณเฉินของตระกูลเฉินบ้านรองคนนั้นค่ะ” เมื่อก่อนอาหูเคยเป็นสาวใช้ที่คฤหาสน์ตระกูลเฉินมาก่อน พอจะรู้เรื่องของทางตระกูลเฉินอยู่บ้าง มีภาพจำต่อเฉินอินหย่าอยู่บ้าง
ฝีเท้าของเฉินถิงเซียวชะงักไปเล็กน้อย “เฉินอินหย่า?”
“ใช่ๆ เป็นเธอค่ะ” อาหูรีบพยักหน้าตอบออกมาทันที
“โรงพยาบาลไหน?”
“การ์ดส่งพวกเธอไป คงจะเป็นโรงพยาบาลในเครือของตระกูลเฉินที่อยู่ในตัวเมืองน่ะค่ะ”
เฉินถิงเซียวก็ได้ขับรถไปโรงพยาบาลทันที
เขาขับรถไปพลาง โทรหามู่น่อนน่อนไปพลาง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาสักพักตอนที่ใกล้จะมีการวางสายไปเอง ก็มีการรับสาย
“เฉินถิงเซียว?”
เสียงของมู่น่อนน่อนในโทรศัพท์ฟังดูอ่อนนุ่ม
เฉินถิงเซียวผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกออกมา “รออยู่ที่โรงพยาบาล ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
ถึงแม้ว่าจะได้ยินต้นสายปลายเหตุของเรื่องมาจากทางอาหูแล้ว แต่หลังจากได้ยินเสียงมู่น่อนน่อน ใจของเขาก็ถึงจะสงบลงได้
“ทำไมคุณถึงรู้ว่าฉันอยู่โรงพยาบาล? คุณกลับบ้านแล้ว”
“ครับ รอผมนะ”
มู่น่อนน่อนวางสายไป ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเฉินอินหย่าดังออกมาจากในห้อง
“เบาๆหน่อย!! เจ็บจะตายอยู่แล้ว!!”
ต่อจากนั้นก็เป็นเสียงของฉินสุยซาน “แรงลงเบาไปฆ่าเชื้อจะไม่สะอาด ติดเชื้อขึ้นมา มันตายได้นะ”
“ฉินสุยซาน แกหุบปากไปซะ! เรื่องฉันกับแกมันยังไม่จบ!
สือเย่เห็นเฉินถิงเซียวออกมา ก็ลงจากรถไปเปิดประตูให้เขา
“คุณผู้ชาย”
เฉินถิงเซียวผงกหัวลงเล็กน้อย สีหน้ายังคงเย็นชา
หลังจากที่เฉินถิงเซียวขึ้นรถไป ก็เอ่ยถามสือเย่ออกไปทันที “นายกับภรรยาของนายหย่ากันได้ยังไง?”
สือเย่นิ่งค้างไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมเฉินถิงเซียวถึงถามคำถามจำพวกนี้ออกมา
แต่ในเมื่อเฉินถิงเซียวก็ถามออกมาแล้ว เขาก็จะต้องพูดออกไปอยู่แล้ว
“บอกไม่ถูกเหมือนกันครับว่ามันเป็นเพราะอะไร ลืมไปหมดแล้วว่าครั้งสุดท้ายทะเลาะกันไปเพราะอะไร ตอนนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็คิดว่าการหย่ากันมันจะเป็นวิธีที่ดีต่อทั้งสองฝ่าย”
น้ำเสียงของสือเย่ประดับไปด้วยความหดหู่
“นายยังรักเธอ?”
สือเย่ไม่ลังเลออกมา “ครับ”
“ในเมื่อยังรัก ทำไมถึงยอมหย่า?” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวยังคงเฉยเมย แต่มันกลับสามารถทำให้รู้สึกได้ว่าในน้ำเสียงของเขานั้นมันมีอารมณ์ปรวนแปรเลยทีเดียว
สือเย่ก็พอจะเข้าใจขึ้นมาได้บ้างว่าทำไมเฉินถิงเซียวถึงถามเรื่องการหย่าร้างของเขาออกมา
“เป็นสิ่งที่เธอเสนอออกมาเอง เธอบอกว่าในทุกๆวันมันทรมานมาก บางทีหย่าไปอาจจะทำให้เธอดีขึ้นบ้าง ผมไม่อาจทนดูเธอเจ็บปวดอยู่อย่างนั้นได้หรอกครับ”
เสียงของสือเย่แหบพร่าออกมา
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่ตรงเบาะหลัง จากทิศทางของเขามองออกไปแล้ว สามารถมองเห็นมุมข้างของสือเย่ที่ดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่
ผู้ช่วยส่วนตัวของเขาเป็นผู้ชายที่สุขุมชอบทำเพื่อส่วนรวมเลยคนหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ก็เป็นคนที่ทำงานละเอียดรอบคอบมีความซื่อสัตย์ ตอนนั้นเขาก็เลยต้องตาสือเย่
“ตัวนายเองไม่เจ็บปวดหรอ?”
“ครับ” สือเย่เหมือนกับนึกถึงเรื่องที่มีความสุขอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ยิ้มออกมาเล็กน้อย “แต่ผมก็สามารถไปเจอลูกชายได้สัปดาห์ละครั้ง เลยสามารถเจอกับเธอได้ด้วยพอดีน่ะครับ”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความโกรธ “พวกนายมีลูก? ในเมื่อมีลูกกันแล้ว นายก็แค่ไม่เอาลูกให้เธอ เธอจะไปจากนายได้ยังไง?”
ในช่วงก่อนหน้า เรื่องที่เฉินถิงเซียวไม่ให้มู่น่อนน่อนออกจากบ้าน สือเย่เองก็รู้ด้วยเช่นกัน
เขาราวกับรู้ปมปัญหาที่อยู่ในใจของเฉินถิงเซียวดี
“ถ้าการปล่อยเธอไปของผม จะสามารถทำให้เธอมีความสุขขึ้นมาได้สักนิด ผมก็พอใจแล้วครับ”
“ถึงแม้ว่าความสุขของเธอจะไม่ได้มาจากนาย?”
“ครับ?”
“เฮอะ” เฉินถิงเซียวยิ้มเย็นออกมา “อย่างนั้นไม่สู้ผูกมัดทั้งสองคนเอาไว้แล้วเจ็บปวดไปด้วยกันไม่ดีกว่าหรอ”
กับความคิดของเฉินถิงเซียว สือเย่เองก็จนใจอยู่บ้าง “คุณผู้ชาย เรื่องของความรู้สึก ไม่อาจคิดอย่างนี้ได้นะครับ”
“อ้อ? ดูเหมือนว่านายหัวเดียวกระเทียมลีบแล้วจะมีความสุข?” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวประดับไปด้วยความเยาะหยัน
สือเย่ “…” เมื่อไม่เห็นด้วยก็มาซ้ำเติมเขา
เขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยก็มาติดตามเฉินถิงเซียว แน่นอนว่าจะต้องเข้าใจเฉินถิงเซียวมากกว่าคนรอบข้างคนอื่นๆอยู่แล้ว รู้ว่าเฉินถิงเซียวมีปัญหาหัวใจ และก็เคยมีประสบการณ์กับวิธีการของเฉินถิงเซียวมาแล้วด้วย
เขาไม่กล้าบอกว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนดี แต่กล้าพูดเลยว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้เลวเลย นี่เองก็เป็นสาเหตุที่เขาสามารถติดตามเฉินถิงเซียวมาได้ตั้งหลายปี
คนคนหนึ่งสามารถอยู่ใต้บังคับบัญชาของอีกคนนึงได้มาตั้งหลายปี ไม่เพียงแต่เพราะเงินเดือนที่มหาศาล อีกสาเหตุนึงก็คือเสน่ห์ส่วนบุคคลของคนผู้นั้น
……
มู่น่อนน่อนกินอาหารเช้าแล้ว นั่งเปิดปฏิทินอยู่ในห้องโถงใหญ่
เธอจึงเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา ว่าอีกสิบกว่าวันก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว
วางโทรศัพท์ลงข้างๆ เธอรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
เรื่องในเน็ตเมื่อก่อนหน้านี้ได้ผ่านไปเหมือนเสียงลม ใกล้จะถึงสิ้นปีแล้ว ตอนนี้เธอก็ไม่ต้องรีบออกไปหางานทำแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เธอก็ยังท้องอยู่ มีเพียงไม่กี่บริษัทที่จะให้พนักงานลาคลอดสองเดือนหลังจากที่ได้กลายไปเป็นพนักงานประจำแล้ว
แผนทุกอย่างถูกก่อกวนให้ต้องเปลี่ยนไป ต้องรอคลอดลูกเสร็จแล้วค่อยกลับไปใหม่
ทุกช่วงเวลาอย่างนี้ คำก่นด่าเฉินถิงเซียวในใจของมู่น่อนน่อนก็ผุดออกมาอีกครั้ง
“รู้มั้ยว่าฉันคือใคร?”
“ขออภัยครับ คุณผู้ชายมีคำสั่งว่า…”
“แกลองกล้าไม่ให้ฉันเข้าไปดูสิ!”
เสียงการทะเลาะกันดังเข้ามาจากทางด้านนอก มู่น่อนน่อนได้สติกลับมา ลุกขึ้นเดินออกไปทางหน้าประตู
เธอออกมาจากห้องโถงใหญ่ ก็เห็นว่าคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังล้อมหน้าประตูวิลล่าเอาไว้ เหมือนกับกำลังทะเลาะกัน
การ์ดเหมือนกับว่ากำลังรั้งใครอยู่
แต่ส่วนสูงของการ์ดสูงเกินไป ได้บังคนที่กำลังคุยอยู่กับพวกเขาคนนั้นเอาไว้เสียสนิท มู่น่อนน่อนมองไม่เห็นเลย
เธอเดินเข้าไป “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“คุณผู้หญิง”
การ์ดถอยห่างออกไป พากันก้มหน้าลงด้วยความเคารพ
ในเวลานี้ มู่น่อนน่อนจึงได้มองเห็นคนที่ถูกการ์ดขวางเอาไว้คนนั้นได้อย่างชัดเจน เป็นเฉินอินหย่าที่เคยเจอกันที่คฤหาสน์ตระกูลเฉินครั้งนึงนั่นเอง
ครั้งนี้ เฉินอินหย่ามีความเกรงใจกันมากกว่าตอนที่คฤหาสน์ตระกูลเฉินเสียอีก
เธอเห็นมู่น่อนน่อน ร้องเรียกออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้สาม”
มู่น่อนน่อนมองออกว่าเธอจงใจประจบประแจง แต่ก็แสร้งทำเป็นว่ามองไม่ออก เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าตื่นตกใจ “เธอมาหาเฉินถิงเซียว? เขาไปทำงานแล้วล่ะ”
เฉินอินหย่ามีสีหน้าแข็งค้างออกมาแวบนึง แต่เพียงไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ “ไม่ใช่นะคะ ฉันได้ยินคุณปู่บอกว่าพี่ท้อง ก็เลยตั้งใจจะมาเยี่ยมพี่โดยเฉพาะ แล้วฉันก็ยังตั้งใจเอาเซตเครื่องแต่งหน้าสำหรับคนท้องมาให้พี่ด้วยนะคะ”
เธอพูดไป พลางชูถุงในมือขึ้นสูงเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนมองแบรนด์สินค้าที่อยู่ด้านบนเล็กน้อย ก็จำได้ว่านั่นเป็นผลิตภัณฑ์ในเครือของบริษัทเฉินซื่อ เฉินถิงเซียวได้เคยให้คนส่งมาให้หลายเซตแล้ว
อย่าไปตบหน้าคนยิ้ม ในเมื่อเฉินอินหย่าอุตส่าห์มาหากันถึงที่แล้ว เธอก็ไม่กล้าเสียมารยาทไล่เธอไป
“งั้นก็ต้องขอบคุณเธอด้วย” มู่น่อนน่อนยื่นมือรับมา “เข้าไปนั่งด้านในเถอะ”
เฉินอินหย่าได้ยินอย่างนั้น ก็เตรียมจะเดินตามเธอเข้าไปข้างใน แต่การ์ดกลับไม่ปล่อยเธอไป
มู่น่อนน่อนหันไปมองเล็กน้อย “นี่คือลูกพี่ลูกน้องของคุณผู้ชาย ยังไม่ปล่อยให้เธอเข้ามาอีก?”
การ์ดก็เลยได้ปล่อยเฉินอินหย่าเข้ามา
เฉินอินหย่าเดินหน้าเข้าไปทำเป็นจะเข้าไปคล้องแขนมู่น่อนน่อนอย่างสนิทสนม แต่กลับถูกมู่น่อนน่อนหลบเลี่ยงไปอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
เธอเก็บแขนของตัวเองกลับมาอย่างเก้อๆ มองออกไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีใครกำลังมองเธออยู่ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา
ทันทีที่เข้าประตูไป มู่น่อนน่อนก็เห็นฉินสุยซาน
มู่น่อนน่อนเรียกเธอออกไปตรงๆ “สุ่ยซาน ช่วยฉันเอาของพวกนี้ไปวางให้เรียบร้อย นี่เป็นของที่น้องอินหย่าเอามาให้เลย เธอจะต้องวางให้ฉันดีๆล่ะ อย่าทำพัง”
เมื่อวานหลังจากที่ฉินสุยซานได้แสดงความคิดตัวเองให้มู่น่อนน่อนรู้ไปแล้ว ก็นึกว่ามู่น่อนน่อนจะกลั่นแกล้งเธอ แต่สิ่งที่นึกไม่ถึงเลยก็คือมู่น่อนน่อนไม่ได้หาเรื่องกลั่นแกล้งเธอเลย
แต่เธอกลับไม่มีทางที่จะคิดว่ามู่น่อนน่อนมีเมตตากันถึงขนาดนั้น
ในตอนนี้ได้ยินเธอเรียกให้ตนถือของ ในใจก็ยกยิ้มเย็นออกมา อย่างที่คิดจริงๆด้วยหางจะโผล่ออกมาแล้วสินะ!
ตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นเห็นเฉินอินหย่า สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
“เฉินอินหย่า?”
“ฉินสุยซาน!”
ทั้งสองคนแทบจะเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาพร้อมกัน
“พวกเธอรู้จักกัน?” มู่น่อนน่อนเผยสีหน้าตกใจออกมา
อันที่จริงก็เป็นความตั้งใจของเธอนั่นแหละ ฉินสุยซานเป็นลูกสาวของผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ของหู้หยาง ส่วนเฉินอินหย่าก็เป็นพิธีกรของสถานี เดิมทีทั้งสองคนก็ต้องรู้จักกันอยู่แล้ว
ตอนที่มู่น่อนน่อนยังไม่จบการศึกษา ได้มีเพื่อนร่วมชั้นฝึกงานที่สถานีโทรทัศน์หู้หยาง เคยมีคนพูดเรื่องเฉินอินหย่ากับฉินสุยซานกันออกมา
แต่ตอนนั้น เธอไม่รู้ว่าลูกสาวของผู้อำนวยการสถานีชื่อว่าฉินสุยซาน
เฉินอินหย่านั้นเป็นคนที่โยกย้ายงานไปหากินที่อื่น คนที่ช่างสังเกตก็จะรู้ว่าสถานะของเธอนั้นไม่ธรรมดา ส่วนฉินสุยซานก็ยังเป็นถึงลูกสาวของผู้อำนวยการสถานีด้วยอีก ทั้งสองคนที่มีความสัมพันธ์กันในเรื่องงานก็มักจะเจอหน้ากันเป็นประจำ พวกเธอต่างก็มีหน้าตาที่ไม่เลวกันทั้งคู่ แน่นอนว่าจะต้องมีการเปรียบเทียบอยู่กันเป็นธรรมดา
ดังนั้นแล้วทั้งสองคนก็เลยมักจะแข่งกันเป็นประจำ
มู่น่อนน่อนเองพอเจอเฉินอินหย่า ก็ถึงนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
เฉินอินหย่าสังเกตเห็นชุดเครื่องแบบแม่บ้านที่อยู่บนร่างของฉินสุยซาน จึงเอ่ยเยาะออกไป “ก็พอจะได้ยินมาบ้างแล้วว่าคุณหนูฉินอยากแต่งเข้าตระกูลเฉินของเรา แต่ก็นึกไม่ถึงเลยว่า เธอจะยอมมาเป็นคนใช้เพื่อที่จะได้เข้าตระกูลเฉินของเรา”
ฉินสุยซานโกรธจนสีหน้าขาวซีด “มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?”
เซียวชู่เหอได้ยินดังนั้น ก็มองคนที่อยู่ในรถไปด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจ
แสงไฟขมุกขมัวเล็กน้อย เธอจึงมองเห็นใบหน้าของคนคนนั้นได้ไม่ชัดเจนอยู่สักพัก
ต่อมา ประตูรถก็ถูกคนเปิดออกมาจากด้านใน คนที่อยู่ในรถเดินลงมาจากรถเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของเซียวชู่เหอ “คุณป้า ผมเองครับ ชูหาน”
“ชูหาน?”
เซียวชู่เหอมองดูเผินๆ ก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ดูคุ้นหน้า
ลองสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว จึงได้พบว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ว่าเป็นเสิ่นชูหานที่เมื่อก่อนหน้านี้เคยมีการหมั้นหมายกับมู่หวั่นขีหรอกหรอ?
เสิ่นชูหานเองก็เคยไปที่ตระกูลมู่อยู่หลายครั้ง ภาพจำที่เซียวชู่เหอมีต่อเขานั้นก็คือเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาที่ดูเลอค่าเลยคนนึง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางที่จะได้รับความโปรดปรานมาจากมู่หวั่นขีได้หรอก
ต่อมาก็ได้เกิดเรื่องขึ้นมาหลายเรื่อง มู่หวั่นขีกับเสิ่นชูหานก็ไม่ได้ไปมาหาสู่อะไรกัน แต่เป็นพวกที่ชอบแสดงละครกัน
“ดึกๆดื่นๆทำไมคุณป้าถึงยังอยู่ที่นี่ล่ะครับ?”
เซียวชู่เหอถูกเสิ่นชูหานถามออกมาจนมีสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมา ลังเลไปสักพักนึงแน่นอนว่าเธอไม่กล้าบอกออกไปอยู่แล้วว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่พูด แต่เสิ่นชูหานก็พอจะคาดเดาได้อยู่แล้วบ้าง
“บ้านผมอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ถ้าคุณป้าไม่รังเกียจ คืนนี้จะมาพักที่บ้านผมก็ได้นะครับ” เสิ่นชูหานพูดจบ เห็นเซียวชู่เหอเผยสีหน้าที่ลำบากใจออกมา จึงเอ่ยออกไปอย่างมีน้ำใจสุดๆ “เป็นห้องของผมเองครับ”
สภาพเซียวชู่เหอในตอนนี้ไปบ้านเสิ่นชูหานจะต้องไม่เหมาะสมแน่
พอได้ยินเขาบอกว่าเป็นห้องของเขาเอง บนใบหน้าของเซียวชู่เหอก็เผยรอยยิ้มออกมา “นี่มันจะเหมาะได้ยังไง…”
“ไม่มีอะไรไม่เหมาะสมหรอกครับ” เสิ่นชูหานพูดไป แล้วก็ได้เปิดประตูให้เธอไปอย่างสุภาพ
เซียวชู่เหอขึ้นรถไปด้วยรอยยิ้ม
ตลอดการเดินทาง ทั้งสองคนต่างก็หาเรื่องมาคุยกันไม่หยุด
ไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัว เสิ่นชูหานก็ดึงได้ประเด็นไปที่เรื่องของมู่น่อนน่อนขึ้นมา
เขาทำเป็นถามเปรยๆออกมา “ไม่ได้เจอน่อนน่อนมานานแล้ว ช่วงนี้เธอยังสบายดีอยู่มั้ยครับ?”
“คุณรู้จักน่อนน่อนด้วย?” หลังจากที่เซียวชู่เหอมีอาการตื่นตกไปชั่วขณะ จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อก่อนมู่หวั่นขีเคยมาบ่นกับเธอว่ามู่น่อนน่อนคิดจะแย่งแฟนเธอ
แฟนของมู่หวั่นขีในตอนนั้นก็คือเสิ่นชูหาน
มู่น่อนน่อนก็ยังเคยชอบเสิ่นชูหานด้วยหรอ?
“ใช่ครับ ผมเป็นรุ่นพี่ของเธอ รู้จักกันมานานแล้ว” ในน้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความรู้สึกที่โหยหาออกมา เหมือนกับมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับมู่น่อนน่อนเลย
เซียวชู่เหอถามออกไปอย่างเสียไม่ได้ “คุณช่วยฉันเพราะว่ามู่หวั่นขีหรือว่ามู่น่อนน่อนกันคะ?”
“แน่นอนว่าต้องเพราะมู่น่อนน่อนอยู่แล้ว” เสิ่นชูหานพูดจบก็เสริมออกมาอีกประโยคนึง “น่อนน่อนเป็นผู้หญิงที่ดีคนนึง”
ในตอนนี้ก็ได้มาถึงที่พักเล็กๆของเสิ่นชูหานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เสิ่นชูหานจอดรถสนิท ก็มาเปิดประตูรถให้กับเซียวชู่เหอ “ที่นี่แหละครับ”
เขาพูดจบ ก็เปิดท้ายรถออกมา “คุณป้าช่วยรอผมแป๊บนึงนะครับ ผมต้องเอาของนิดหน่อย”
เสิ่นชูหานหยิบของมา เดินนำทางอยู่ข้างหน้า
เซียวชู่เหอเดินตามอยู่ข้างเขา มองเงาร่างเบื้องหลังของเขาแล้วก็คิดไปอย่างเหม่อลอย ถ้าเขาเป็นลูกเขยเธอก็ดี
ชายหนุ่มที่มีมารยาทแล้วยังสุภาพเรียบร้อยอย่างนี้ ดีกว่าเฉินถิงเซียวคนนั้นไม่รู้ตั้งกี่เท่า
เธอนึกถึงเฉินถิงเซียว สั่นสะท้านออกมา ถึงได้เดินตามต่อเข้าไปในห้อง
……
วันต่อมา
ตอนที่มู่น่อนน่อนเข้ามาที่ห้องรับประทานอาหาร ก็เห็นกับฉินสุยซานที่กำลังยกอาหารขึ้นโต๊ะ
ไม่ใช่เพราะเธอตั้งใจที่จะไปดูฉินสุยซาน แต่ฉินสุยซานนั้นแสดงออกมาชัดเจนเกินไปต่างหาก
ถึงแม้ว่าฉินสุยซานเป็นคนที่คิดจะมาแย่งเฉินถิงเซียวกับเธอ แต่เธอเองก็ต้องยอมรับเลยว่าฉินสุยซานหน้าตาสวยเลยทีเดียว บวกเข้ากับตัวเธอเองก็ดูค่อนข้างจะมีบุคลิกภาพที่ดี แล้วยังตั้งใจแต่งหน้าแต่งตามาเป็นพิเศษอีก ถึงแม้ว่าจะแค่สวมชุดสาวใช้ธรรมดาๆอยู่บนร่างของเธอ ก็ยังสามารถมองออกว่าเธอนั้นไม่เหมือนใคร
ฉินสุยซานได้ประสบการณ์จากเรื่องเมื่อวานมา สงบจิตใจเอาไว้ ตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปช้าๆ
เห็นมู่น่อนน่อนเดินเข้ามา เธอก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย “คุณผู้หญิง”
เฉินถิงเซียวได้เข้ามานั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ช่วงนี้เธอตื่นสายนิดหน่อย เฉินถิงเซียวต้องไปบริษัท จึงต้องตื่นเช้า แต่โดยปกติแล้วเขากินข้าวเสร็จเตรียมที่จะออกไปบริษัทแล้ว กว่ามู่น่อนน่อนจะตื่นนอน
บางครั้งเธอก็นอนอืดอยู่บนเตียง ตอนที่ลงมา เฉินถิงเซียวก็ไม่อยู่แล้ว
ทันทีที่เธอนั่งลงไป ก็ได้ยินเฉินถิงเซียวพูดออกมาว่า “วันนี้เปิดศาล ผมคงจะกลับมาเย็นสักหน่อย”
เฉินถิงเซียวพูดถึงคดีของมู่หวั่นขีออกมา
ดำเนินคดีในโทษตั้งใจทำร้ายคนอื่นโดยเจตนา แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ
แต่ทว่าเพราะทนายเป็นฟู้ถิงซี มู่หวั่นขีจึงจะถูกตัดสินลงอาญาว่าเป็นเรื่องที่ได้มีการตัดสินโทษไปแล้ว
มู่น่อนน่อนคิดอยู่สักพักแล้วเอ่ยพูดออกไป “ฉันจะไปด้วย”
เธออยากจะไปเข้าฟังสถานการณ์ด้วย ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่ ก็แค่อยากไปดูสักหน่อยว่ามู่หวั่นขีจะเสียใจบ้างหรือเปล่า
เฉินถิงเซียวย่นคิ้วออกมา “ผมไปเองก็พอ”
มู่น่อนน่อนได้ยินอย่างนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป วางช้อนในมือลง หรี่ตาลงมองเฉินถิงเซียว
เธอนั้นคิดว่าคำขอนี้มันไม่ได้เกินไปเลย แต่เฉินถิงเซียวมีสิทธิ์อะไรไม่ให้เธอไป?
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินสุยซานก็ยังอยู่ตรงนี้ นี่ไม่เป็นการตบหน้าเธอหรือไงกัน?
สาเหตุที่เธอให้ฉินสุยซานอยู่ต่อ ยังมีอีกเหตุผลนึงก็คืออยากจะลองดูว่าเฉินถิงเซียวมีความจริงใจต่อเธอมากแค่ไหนกันแน่
เธอเชื่อเฉินถิงเซียว แต่ในใจบางครั้งก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เธอก็ไม่คู่ควรกับเฉินถิงเซียวเอาเสียเลย
ความมั่นใจทั้งหมดของเธอ จะมีแค่เพียงเพราะความจริงใจของเฉินถิงเซียวเท่านั้น
ตรงระหว่างคิ้วของเฉินถิงเซียวนิ่วเข้าหากันแน่นกว่าเดิม “อากาศเย็นแล้ว ร่างกายของคุณก็ไม่สะดวกด้วย”
มู่น่อนน่อนก็ไม่ยอมแพ้ “ฉันสวมเสื้อผ้าเยอะหน่อยก็ได้ คุณหมอบอกว่าฉันแข็งแรงมาก”
เธอยังมีความพะวงในใจอยู่ตลอดเวลากับเรื่องที่เฉินถิงเซียวไม่ให้เธอออกจากบ้านเมื่อก่อนหน้านี้นั้น ทั้งสองคนไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องนั้นมันจะปล่อยผ่านไปอย่างนั้น
เฉินถิงเซียวเลิกสายตาขึ้นมองจ้องเธออยู่หลายวิ “ถึงเวลาผมจะกลับมารับคุณ”
มู่น่อนน่อนนึกถึงเรื่องเมื่อก่อนหน้านี้ขึ้นมา ในใจก็รู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาชั่วขณะ ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ คำพูดในปากที่พูดออกไปกลับกลายเป็นกำลังไล่เขาไปเสียอย่างนั้น “ก็ดี คุณไปทำงานเถอะ”
เฉินถิงเซียวเม้มริมฝีปากออกมาเล็กน้อย เดินออกไปด้วยใบหน้าเย็นชา
หลังจากที่ฉินสุยซานเห็นเฉินถิงเซียวออกไปแล้ว ก็ได้มองมู่น่อนน่อนไปท่าทางเยาะหยัน
ในความคิดของเธอ มู่น่อนน่อนชอบหลงตัวเองเกินไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะกล้าขัดคำพูดของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังมองเธออยู่ เธอเงยหน้าขึ้นไปมองฉินสุยซาน แสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย เอ่ยเสียงอ่อนออกไป “ฉันรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่”
สีหน้าฉินสุยซานเริ่มเปลี่ยนไปก่อน ตามมาด้วยการตอบกลับมาอย่างปกติ “งั้นหรอคะ?”
เธอไม่เชื่อหรอกว่ามู่น่อนน่อนจะรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“เฉินถิงเซียวเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมเลยคนหนึ่ง ตรงจุดนี้ทุกคนต่างก็รู้ดี พวกเธอก็เลยแย่งกันวิ่งไล่ตามเขากัน นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากจะเข้าใจหรอก แต่ว่า…”
มู่น่อนน่อนหยุดชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าดูจริงจังมากขึ้น “ทุกคนต่างก็เป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ของประดับของใคร มีความคิดและวิธีการกระทำของตัวเอง คบกับผู้ชายที่หน้าตาดีมีพื้นฐานครอบครัวดีกว่าตัวเองสักคน จะต้องปล่อยท่าทางของตัวเองให้ต่ำลง?”
สีหน้าของฉินสุยซานเปลี่ยนไปเล็กน้อย เม้มริมฝีปากไม่ได้พูดอะไร
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะน่าตลกเลยทีเดียว “อ้อ บางทีเธอคงจะไม่ได้หลงใหลเฉินถิงเซียวมากเท่าไหร่ แต่รู้สึกว่าสถานะคุณนายน้อยแห่งตระกูลเฉินนี่น่ะมันดูมีเกียรติดีก็เท่านั้นเอง ผู้หญิงที่คิดว่าสถานะคุณนายน้อยแห่งตระกูลเฉินมันมีเกียรติไม่ได้มีเพียงแค่เธอคนเดียวหรอก เธอไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าเฉินถิงเซียวจะต้องชอบเธออย่างแน่นอน?”
ฉินสุยซานถูกเธอถามแทงใจดำ น้ำเสียงก็ร้อนรนออกมาเล็กน้อย “มู่น่อนน่อน หุบปากไปซะ! เธอพูดเสียอวดดีจังเลยนะ เธอก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง!”
มู่น่อนน่อนเบ้ปากออกมา “แน่นอนว่าฉันไม่เหมือนกับพวกเธออยู่แล้ว เพราะถึงยังไงตอนนี้ฉันก็เป็นคุณนายเฉิน”
เห็นฉินสุยซานโกรธจนหน้าดำหน้าแดงออกมา มู่น่อนน่อนก็รู้สึกสนุกขึ้นม
ฉินสุยซานมาที่วิลล่าหลายวันแล้ว แต่นี่ก็ยังเป็นครั้งแรกที่เห็นเฉินถิงเซียวยิ้มออกมา
ปกติเฉินถิงเซียวจะมีใบหน้าที่เย็นชา ไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา ทำให้รู้สึกทั้งกลัวและทั้งอยากเข้าใกล้ รอยยิ้มที่ออกมาจากใจอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าบนร่างของเขามันเหมือนกับได้ข้ามผ่านชั้นแสงสว่างออกมาก็ไม่ปาน ทั้งร่างมันส่องประกายไปหมด ทำให้คนอื่นเห็นเพียงแค่นิดเดียวมันก็อดไม่ได้ที่จะลุ่มหลงออกมา
เธอแอบกำหมัดแน่นอยู่เงียบๆ ผู้ชายอย่างนี้สิถึงจะคู่ควรกับเธอฉินสุยซาน
……
เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนทั้งสองคนกินมื้อเย็นกันเสร็จก็กลับห้องนอนไป
อาหูรีบส่งผลไม้ขึ้นไปให้อย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนหลังจากที่ได้กินผลไม้เรียบร้อยแล้ว ตอนที่อาบน้ำเสร็จก็ยืนแปรงฟันหน้ากระจก ส่องกระจกมองซ้ายมองขวา ก็คิดแต่เพียงว่าตัวเองเหมือนจะอ้วนแล้ว
นี่เพิ่งเท่าไหร่เอง? อ้วนเสียแล้ว?
เธอควรจะกินให้น้อยลงหน่อยใช่มั้ย?
แต่กินให้น้อยลงสักหน่อย เธอก็จะหิวนี่นา?
มู่น่อนน่อนแปรงฟันเสร็จไปด้วยใบหน้าที่หงิกงอ ตอนที่ออกไป เห็นเฉินถิงเซียวสวมเสื้อคลุมอาบน้ำนั่งอ่านเอกสารอยู่บนโซฟาเดี่ยว
ความสง่าและเลอค่าแผ่ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ทำเอามู่น่อนน่อนเห็นแล้วก็รู้สึกรำคาญ
ถึงแม้จะรู้ว่าเรื่องเมื่อเย็นวันนี้จะไม่ได้เกี่ยวกับเฉินถิงเซียว แต่เธอก็อดที่จะเห็นเขาแล้วรู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป ดึงเอาเอกสารในมือของเขาโยนออกไปอีกด้านนึง กอดอกมองเขา
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมา เห็นท่าทางถามโทษของเธอแล้ว ก็กลั้นขำเอาไว้ เอ่ยถามออกมาด้วยท่าทีนิ่งขรึม “เป็นอะไรไป?”
สายตาของเขาเรียบนิ่งน้ำเสียงฟังดูจริงจัง มันกลับทำให้มู่น่อนน่อนไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดีแทนเสียอย่างนั้น
เธอเหมือนกับกำลังระบายอารมณ์ ยื่นมือออกไปหยิกหน้าเฉินถิงเซียว
หยิกไปสองทีเธอก็อดที่จะแขวะเขาออกไปไม่ได้ “ผู้ชายแท้ๆ ผิวดีขนาดนี้เชียว! อารมณ์ก็แปรปรวนอย่างกับผู้หญิง!”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วออกมา “อารมณ์แปรปรวนอย่างกับผู้หญิง?”
มู่น่อนน่อนเลียนแบบท่าทางของเขา เลิกคิ้วกลับไปหาเขา
แขนยาวของเฉินถิงเซียวยื่นออกมา แล้วก็ได้ดึงเธอเข้าไปสู่อ้อมแขน
มือข้างหนึ่งของเขารัดลงบนเอวเธอแน่น น้ำเสียงทุ้มต่ำ แฝงไปด้วยการคุกคาม “อารมณ์แปรปรวนอย่างกับผู้หญิง?”
มู่น่อนน่อนสั่นออกมาเล็กน้อย “เปล่า คุณไม่ได้อารมณ์แปรปรวนอย่างกับผู้หญิง!”
เฉินถิงเซียวจึงได้พอใจขึ้นมา เอียงหัวจูบลงไปบนศีรษะของเธอ
จากนั้นมันก็เป็นไปตามสเต็ปเดิม ทั้งสองคนได้นอนลงไปกับเตียง
แต่กลับ…ทำอะไรไม่ได้
เพราะถึงยังไงมู่น่อนน่อนก็ท้องอยู่
มือทั้งของข้างของเฉินถิงเซียวประคองสีข้างของมู่น่อนน่อนทั้งสองด้าน เอนตัวลงไปตรงส่วนบนของเธอ ในดวงตาดำสนิทดูมืดสนิทเหมือนกับตอนกลางคืน หลุดเสียงลมหายใจที่ไม่มั่นคงออกมา “ตอนนี้ทำไงดี?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกมีความสุขในความทุกข์ของคนอื่นขึ้นมาเล็กน้อย แสดงสีหน้าไร้เดียงสาออกมา “ไม่รู้ค่ะ นั่นเป็นเรื่องของคุณ ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าพวกผู้ชายเขาจะต้องแก้ปัญหานี้กันยังไง”
แต่รอยยิ้มในดวงตาของเธอได้ขายเธอออกมาหมดแล้ว
เฉินถิงเซียวพลิกตัวลงนอนข้างๆตัวเธอ พาเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน ดวงตาดูสะลึมสะลือเล็กน้อย ในน้ำเสียงประดับไปด้วยความเหนื่อยล้า “อย่าขยับ ขอกอดสักพัก”
“ปล่อย” ไม่ใช่ว่ามู่น่อนน่อนไม่อยากให้เขากอดสักหน่อยหรอกนะ แต่เพราะ…
เสียงของเฉินถิงเซียวกดต่ำออกมามากกว่าเดิม “อย่าขยับ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของเขาได้อย่างชัดเจนมาก ตกใจจนไม่กล้าส่งเสียงออกไปทันที จึงได้แต่ปล่อยให้ถูกเขากอดไปเงียบๆ
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะใช่เท่าไหร่ของเขา ก็ได้เปล่งเสียงถามเขาออกไป “เป็นอะไรไป?”
“ถ้าไม่อยากเจอฉินสุยซาน ก็ให้หล่อนออกไป” เขาพูดจบก็เสริมออกมาอีกประโยคนึง “ต่อจากนี้จะไม่มีเรื่องจำพวกนี้อีกแล้ว”
เขานึกไม่ถึงเลยจริงๆว่าท่านปู่เฉินจะทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้
พันธมิตรทางธุรกิจของตระกูลเฉินมีจำนวนมาก พ่อของฉินสุยซานเป็นผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ ฐานะก็ไม่นับว่าต่ำเลย ท่านปู่เฉินเป็นคนที่ระวังและรอบคอบขนาดนั้น ลูกน้องเองก็หัวแหลมเหมือนๆกัน ไม่มีทางที่จะแสดงออกมาชัดขนาดนั้นแน่
นี่ก็บ่งบอกได้เพียงว่าฉินสุยซานปะปนเข้ามาในกลุ่มสาวใช้ที่ถูกส่งมาให้เฉินถิงเซียวที่นี่ นั้นเป็นคนที่ได้ถูกท่านปู่เฉินเห็นชอบด้วยแล้ว
มู่น่อนน่อนส่งเสียงเฮอะออกมาทีนึง “ฉันไม่ค่อยอยากจะเจอหน้าเธอเท่าไหร่หรอก แต่ก็ไม่สามารถปล่อยเธอไปอย่างนี้ได้ เห็นบ้านพวกเราเป็นตลาดสด อยากมาก็มาอยากจะไปก็ไปเหรอ?
บ้านพวกเรา
สามคำนี้ได้ซึมลึกเข้าไปในใจของเฉินถิงเซียว
……
ท้ายที่สุดก็ไม่ได้หลบไป ทำได้เพียงต้องยอมช่วยเขาไป
หลังจากที่เสร็จสิ้นลง เฉินถิงเซียวก็เข้าห้องน้ำไปอย่างมีความสุข
ตอนที่ออกมาอีกครั้ง เขาก็ได้พบว่าบนเตียงมีผ้าห่มเพิ่มมาอีกผืน
มู่น่อนน่อนห่อตัวอยู่ในผ้าห่มของตัวเอง เอาหมอนวางเอาไว้ตรงกลางเตียง “คืนนี้อย่าล้ำเส้นเขตแดนเส้นนี้ ทางนี้เขตของฉัน ทางนั้นของคุณ อย่าล้ำเข้ามา! ไม่อย่างนั้นก็แยกห้องนอนกัน”
เธอพูดจบ ก็จ้องเฉินถิงเซียวมองปฏิกิริยาของเขา
เฉินถิงเซียวกวาดสายตามองหมอนที่เอามาเป็น “เส้นแดน” เดินเข้าไปโดยที่ไม่พูดจาอะไร ชี้ไปทางอีกครึ่งเตียงที่มู่น่อนน่อนนอน แล้วถามออกไป “ด้านนี้ของคุณ?”
“อืม” มู่น่อนน่อนพยักหน้า เธอพูดไม่ชัดเจนอีกหรอ?
เฉินถิงเซียวขยับ “เส้นแดน”เส้นนั้นไปอยู่ตรงขอบเตียง แต่ตัวเองกลับไปนอนข้างๆมู่น่อนน่อนซุกเข้าไปในผ้าห่มของเธอ “งั้นผมก็เป็นของคุณเหมือนกัน”
มู่น่อนน่อน “…”
ก็แค่ไปเข้าห้องน้ำมาเท่านั้นเองไม่ใช่หรอ นี่เฉินถิงเซียวไปโดนตัวอะไรแปลกๆมาหรือเปล่า? นึกไม่ถึงว่าเขาจะพูดคำพูดแบบนั้นออกมาได้?
……
ในตอนนี้เป็นช่วงกลางฤดูหนาว เมืองหู้หยางตอนเที่ยงคืนก็ยิ่งหนาวไปถึงกระดูก
เซียวชู่เหอห่อตัวเข้ากับเสื้อผ้านั่งบนเก้าอี้ หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหามู่ลี่เหยียน ให้เขาส่งคนขับรถมารับตน
หรือว่าคืนนี้เธอจะต้องนอนข้างถนนงั้นหรอ?
รถยนต์คันนึงขับเข้ามาจากที่ไม่ไกลออกไป ค่อยๆจอดลงตรงหน้าเธอ
หน้าต่างรถเคลื่อนลง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อของชายหนุ่มคนนึง “คุณป้า?”
สาวใช้ทั้งสองคนถูกคำพูดของเฉินถิงเซียวพูดออกมาจนมีสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดออกมา พวกเธอนั้นเป็นถึงคนที่คัดเข้ามาอย่างดี ถึงแม้ว่าจะให้ไปอยู่ในกลุ่มคนเป็นกอง ก็ดูเป็นคนที่มีหน้าตาที่สวยโดดออกมา
นึกไม่ถึงว่า ฉินถิงเซียวจะบอกว่าพวกเธอน่าเกลียดออกมา
ทั้งสองคนยังอยากจะพูดอะไรออกไปด้วยความไม่ยินยอม อาหูก็ได้เดินเข้ามา “คำพูดของคุณผู้ชาย พวกเธอไม่เข้าใจกันหรือไง?”
สาวใช้หนึ่งในนั้นหัวไวกว่าเล็กน้อย เธอเอ่ยออกมาเสียงดังว่า “คุณผู้ชายคะ พวกเราเป็นคนที่ท่านปู่เฉินส่งมานะคะ คุณผู้ชายจะไล่พวกเราไปอย่างนี้หรอคะ? คุณไม่มองพวกเราอยู่ในสายตาสักนิดเลยหรอคะ?”
มู่น่อนน่อนได้ยินอย่างนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองสาวใช้คนที่พูดเล็กน้อย
สาวใช้คนนี้มาวันแรก มู่น่อนน่อนก็มีการสังเกตเห็นอยู่บ้างแล้วว่าในกลุ่มสาวใช้จะมีคนที่หน้าตาสวยบุคลิกภาพดีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ส่วนใหญ่จะขาดบุคลิกภาพเฉพาะตัวไปหน่อย
และบุคลิกลักษณะจากร่างของสาวใช้คนนี้กลับไม่เหมือนสาวใช้เลยด้วยซ้ำ
มู่น่อนน่อนถามเธอไปอย่างสนอกสนใจ “เธอชื่ออะไร?”
สาวใช้มองมู่น่อนน่อนไปเล็กน้อย ในดวงตามีประกายความเหยียดหยามออกมา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนนัก แต่มู่น่อนน่อนผู้ที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เห็นมันอย่างชัดเจน
ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่สาวใช้ธรรมดาจริงๆสินะ
เฉินถิงเซียวเห็นอย่างนั้นแล้ว ก็แสดงสีหน้านิ่งขรึมออกมาเล็กน้อย ไม่พอใจต่อปฏิกิริยาของสาวใช้คนนั้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด
มู่น่อนน่อนชิงพูดออกมาก่อนที่เฉินถิงเซียวจะระเบิดอารมณ์ออกมา “ในเมื่อคุณปู่เป็นคนเลือกมา ก็ควรจะรู้หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบของสาวใช้สิ ตอนนี้ฉันถามเธอเธอก็ไม่กล้าจะพูดออกมา ดูเหมือนว่า เธอจะกำลังดูแคลนคุณปู่ฉันอยู่สินะ?”
มู่น่อนน่อนรู้อยู่แล้วว่า สาวใช้คนนี้ไม่ได้ดูแคลนท่านปู่เฉิน แต่คนที่สาวใช้คนนี้ดูแคลนนั่นก็คือเธอ
ตั้งแต่เมื่อวานที่มาวิลล่าจนถึงตอนนี้ สาวใช้คนนี้แสดงออกต่อเฉินถิงเซียวอย่างกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ก่อนหน้านี้เธอก็ยังไม่กล้าจะฟันธง แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมาเพียงเพื่อเฉินถิงเซียวแค่คนเดียว
บุคลิกลักษณะโดดเด่นออกมา รูปร่างบอบบางแค่มองก็รู้ว่าเป็นคนที่ดูแลรูปร่างมาอย่างดี ผิวเนียนนุ่ม ไม่เหมือนคนที่จะทำมาหากินได้เลย
นั่นก็ชัดเจนแล้วว่ามาเพื่อเฉินถิงเซียว
เพียงแต่ไม่รู้ว่านี่จะเป็นความต้องการของท่านปู่เฉินหรือเป็นผู้หญิงคนนี้ที่แฝงตัวเข้ามาเอง
สาวใช้รีบค้านคำพูดของมู่น่อนน่อนออกมาทันที “เธอพูดบ้าอะไร? ฉันต้องเคารพท่านปู่เฉินอยู่แล้ว!”
“อ้อ” มู่น่อนน่อนพิงเข้ากับพนักเก้าอี้ ออกคำสั่งออกมาอย่างช้าๆ “คอแห้งจังเลย มารินน้ำให้ฉันก่อนสิ”
สาวใช้เองก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรออกมา กัดริมฝีปากออกมาเล็กน้อย แสดงท่าทางที่กล้ำกลืนความรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจที่ให้ความรู้สึกน่าสงสารออกมา พร้อมหันไปรินน้ำให้กับมู่น่อนน่อน
เฉินถิงเซียวย่นคิ้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดเหมือนกับมู่น่อนน่อนเช่นเดียวกัน
สาวใช้รินน้ำกลับมา เปลี่ยนท่าทีที่ดูหยิ่งผยองเมื่อก่อนหน้านี้ วางลงไปตรงด้านหน้ามู่น่อนน่อนอย่างนอบน้อม “คุณผู้หญิงคะ น้ำของคุณค่ะ”
เฉินถิงเซียวมองเธอไปนิ่งขรึม “คุณผู้หญิงถามว่าเธอชื่ออะไร เธอไม่เข้าใจภาษาคนหรือไง?”
สาวใช้มีสีหน้าแข็งค้างไป ก้มหน้าก้มตาเอ่ยออกมา “ฉินสุยซานค่ะ”
“ชื่อไม่เลวเลย” มู่น่อนน่อนถือน้ำมาอยู่ในอ้อมแขน โคลงแก้วที่อยู่ในมือ “ถ้าฉันจำไม่ผิด ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ของหู้หยางเหมือนจะแซ่ฉินด้วยเหมือนกัน”
ฉินสุยซานได้ยินอย่างนั้น ก็เชิดคางขึ้นเล็กน้อย พูดออกมาด้วยความหยิ่งผยอง “นั่นเป็นพ่อของฉัน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนเหยียดลึกมากขึ้น หันมองไปทางเฉินถิงเซียว “คุณเนี่ยจริงๆเลยนะคะ ทำไมถึงให้ลูกสาวของผู้อำนวยการสถานีมาเป็นคนใช้บ้านเราได้ล่ะคะเนี่ย?”
เธอจงใจพูดออกไปอย่างช้าๆ น้ำเสียงอ่อนปวกเปียก ฟังไปแล้วเหมือนกับกำลังบ่นอยู่ ทั้งยังให้ความรู้สึกที่ดูเสแสร้งดัดจริตอยู่บ้าง แต่มันกลับทำเอาเฉินถิงเซียวหูชาไปเลย
สายตาของเขาสว่างวาบออกมา ตอบออกไปทันทีตามจิตใต้สำนึก “ครับ”
“คิดว่าคุณฉินคงเป็นคุณหนูผู้สูงส่งมานาน อยากจะลองทนทุกข์แบบชาวบ้านธรรมดาเขาดูสักหน่อย ก็เลยมาเป็นคนใช้บ้านเราล่ะมั้ง ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว คุณก็อย่าไปไล่คนเขาออกไปสิคะ”
มู่น่อนน่อนหยุดนิ่งไปแป๊บนึง จากนั้นก็หันไปมองฉินสุยซาน “ตอนแรกที่คุณฉินเข้ามาเป็นคนใช้ของตระกูลเฉิน ก็ได้เซ็นสัญญาด้วยสินะคะ?”
หลังจากที่ใบหน้าของเฉินถิงเซียวเปิดเผยออกไป ผู้หญิงชนชั้นสูงนับไม่ถ้วนต่างก็อยากจะเข้ามาใกล้ชิดกับเฉินถิงเซียว แต่เขากลับปรากฏตัวในที่สาธารณชนน้อยมาก
กิจกรรมหน้างาน งานเลี้ยงต่างๆ แทบจะไม่เห็นเขาแม้แต่เงา
ฉินสุยซานเองก็เป็นหนึ่งในผู้หญิงพวกนั้นด้วยเหมือนกัน แต่สิ่งที่เธอโชคดีกว่าผู้หญิงพวกนั้นก็คือมีโอกาสได้ปะปนเข้ามาเป็นสาวใช้ในบ้านของเฉินถิงเซียว
เธอผู้เป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน และก็เป็นคนที่ถูกพ่อประคบประหงมมาจนโต หลายวันมานี้ต้องทำหน้าที่ในการรับใช้คนอื่นในวิลล่า มันก็แทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
แต่เธอเชื่อมั่นว่าหน้าตาของเธอจะต้องสามารถทำให้เฉินถิงเซียวสนใจได้ แต่นึกไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวจะเหมือนกับพวกตาถั่วไม่มีผิด นึกไม่ถึงว่าจะบอกว่าเธอน่าเกลียดออกมา!
แต่เธอก็ไม่ยอมที่จะออกไปอย่างนี้ด้วยเหมือนกัน
เธอข่มกลั้นความรู้สึกที่อยากจะระเบิดอารมณ์ออกไป พร้อมทั้งเอ่ยออกไปว่า “เคยเซ็นค่ะ”
“งั้นก็ยังต้องขอให้คุณฉินช่วยปฏิบัติตามสัญญาการจ้างงานอย่างดีด้วยนะคะ ในช่วงที่ยังทำงานอยู่ จะต้องทำงานของตัวเองให้ดี”
มู่น่อนน่อนพูดจบ เอียงศีรษะเล็กน้อยพร้อมยิ้มออกมา ดวงตาแมวคู่นั้นเปล่งประกายจนน่าตกตะลึง
เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆว่า ความรู้สึกนึกคิดของคนพวกนี้ถูกสุนัขคาบไปกินกันหมดแล้วหรือไง
อยากได้สามีของเธอมันก็ช่างเถอะ เพราะถึงยังไงเฉินถิงเซียวก็มีพื้นฐานครอบครัวดีหน้าตาก็ยังดีมาก ผู้หญิงชอบผู้ชายอย่างนี้กันทั้งนั้น เธอเข้าใจ
แต่ทว่า ไม่คิดเลยว่าจะมีประเภทที่ว่ารู้อยู่แก่ใจว่าเฉินถิงเซียวแต่งงานแล้ว ก็ยังวิ่งแจ้นมาอ่อยสามีเธอถึงที่บ้าน?
ฉินสุยซานทำไมจะฟังไม่ออกว่ามู่น่อนน่อนกำลังจงใจกลั่นแกล้งเธอ “แก…”
มู่น่อนน่อนพูดแก้ออกมาด้วยใบหน้าที่ดูจริงจัง “ช่วยเรียกคุณผู้หญิงด้วยค่ะ”
ฉินสุยซานหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียวทันที
เฉินถิงเซียวกำลังคีบอาหารให้กับมู่น่อนน่อนอยู่ แล้วยังเอ่ยเตือนเธอออกไป “กินเยอะๆหน่อย”
เห็นเฉินถิงเซียวไม่มองเธอเลย ภายในใจของฉินสุยซานก็รู้สึกท้อใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นความตั้งใจที่จะสู้ไม่ถอยอันเหลือล้นออกมาแทน
เธอเห็นมู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร หน้าตาก็งั้นๆ พื้นเพครอบครัวก็ยังไม่ดีอีก เมื่อกี้นี้ยังพูดออกมาว่าอยากให้เฉินถิงเซียวออกไปซื้อกุ้งฝูหรงให้เธอกินด้วยตัวเองมาอย่างไร้เหตุผลอีก
คนที่ไม่มีดีอะไรอย่างนี้ แล้วยังเป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญขนาดนี้ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องทำให้เฉินถิงเซียวเบื่อแน่
และตอนนั้น เธอก็ค่อยปรากฏตัวข้างๆเฉินถิงเซียวด้วยท่าทีที่อ่อนโยน เธอไม่เชื่อว่าเฉินถิงเซียวจะไม่หวั่นไหวกับเธอ
ผู้ชายน่ะ ส่วนใหญ่ก็ชอบคนที่อ่อนโยนกันทั้งนั้น
พอคิดอย่างนี้แล้ว ฉินสุยซานก็สงบอารมณ์ลง พยักหน้าออกไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยออกไปด้วยความเคารพ “คุณผู้หญิง”
ในดวงตาของมู่น่อนน่อนมีประกายความเยาะหยันที่แทบจะมองไม่เห็นแวบผ่านออกมา
เสน่ห์ของเฉินถิงเซียวนี่มันแรงจริงๆเลย นึกไม่ถึงว่าจะสามารถทำให้คุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่สวยหยาดเยิ้มอย่างนี้ยอมมาเป็นคนใช้เพื่อได้ใกล้ชิดเขาได้
มู่น่อนน่อนเดิมทีก็คิดว่าเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมา ความอยากอาหารของตัวเองจะแย่ลง
แต่นึกไม่ถึงว่า ความอยากอาหารของเธอมันไม่ได้แย่ลงไปเลยแม้แต่น้อย แต่มันกลับดีขึ้นอย่างน่าประหลาด
จานอาหารหลายจานบนโต๊ะอาหารล้วนถูกเธอกินไปจนเกลี้ยง เธอกินเยอะว่าเฉินถิงเซียวเสียอีก…
เฉินถิงเซียวเห็นเธอมีความอยากอาหารดี ในใจก็พลอยรู้สึกดีใจตาม ใบหน้าทั้งผ่อนคลายและอ่อนโยนไปหมด “กินอิ่มแล้วหรือยัง? อยากกินผลไม้อีกนิดหรือเปล่า?”
“ไม่…” มู่น่อนน่อนเดิมทีก็อยากจะปฏิเสธออกไป แต่พอเธอนึกถึงผลไม้ที่หอมหวานแล้ว ก็กลืนน้ำลายออกมา พร้อมทั้งเปลี่ยนคำพูดออกไป “ส่งไปให้กินที่ห้อง”
เฉินถิงเซียวมองการต่อสู้กับตัวเองของเธอเมื่อกี้นี้ออก อดที่จะหลุดยิ้มออกมาไม่ได้ หันหน้าไปสั่งอาหู “อีกเดี๋ยวเอาผลไม้ขึ้นไปด้วยสักหน่อยนะ”
เซียวชู่เหอในตอนนี้ก็ไม่ได้สนใจภาพลักษณ์ของตัวเองแล้วเช่นกัน ลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วพูดอธิบายกับเขาออกไป “ฉันเป็นแม่ของเธอนะ! ฉันเป็นแม่ของมู่น่อนน่อน!”
เสื้อผ้าบนร่างของเซียวชู่เหอมองดูแล้วดูเหมือนว่าจะไม่ได้ราคาถูก แต่ใบหน้าที่บวมเป่งของเธอนั้น ทั้งยังเพิ่งจะถูกการ์ดโยนลงไปบนพื้นด้วยอีก ในเวลานี้มองดูแล้วดูกระเซอะกระเซิงไปหน่อย
ในดวงตาของการ์ดมีประกายความดูถูกทอดผ่านออกมา “ในเมื่อคุณเป็นแม่ของคุณผู้หญิงของพวกเรา คุณมาหาเธอทำไมไม่รู้จักโทรหาเธอล่ะครับ?”
“ฉัน…”
เซียวชู่เหอถูกการ์ดถามออกมาจนไม่มีอะไรจะพูด
เธอไม่รู้ว่าตัวเองกับมู่น่อนน่อนทำไมถึงได้กลายมาเป็นอย่างนี้ได้เสียได้
เมื่อก่อนล้วนเป็นมู่น่อนน่อนที่หมุนเวียนอยู่รอบตัวเธอ มองเธอมาด้วยสายตาที่เฝ้ารอคอยอยู่เสมอ
แต่ทว่าตอนนี้ มู่น่อนน่อนแม้แต่สายของเธอก็ยังไม่รับเลย คิดอยากจะเจอมู่น่อนน่อนสักครั้งมันก็ยากเสียขนาดนั้น
“รีบไปเถอะ” การ์ดทิ้งเอาไว้ประโยคนึงไปด้วยความรำคาญ แล้วก็ได้ผันร่างเดินออกไป
เซียวชู่เหอไม่ได้เดินตามไปอีก
เธอนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อก่อนหน้านี้ที่การ์ดบอกว่ามู่น่อนน่อนไม่อยู่บ้าน ก็เชื่อนึกว่าเป็นเรื่องจริง จึงรีบนั่งลงข้างถนนรอมู่น่อนน่อนกลับมา
มู่น่อนน่อนกลับมาจะต้องผ่านตรงนี้อยู่แล้ว เธอก็จะรออยู่ตรงนี้
มู่น่อนน่อนเห็นเธอแล้ว จะต้องรับเธอไปด้วยแน่
เพราะถึงยังไงเธอก็เป็นแม่ของมู่น่อนน่อนนี่
พอคิดอย่างนี้แล้ว บนใบหน้าของเซียวชู่เหอก็ปรากฏสีหน้ามั่นใจออกมา
เธอรออยู่ตลอดจนถึงบ่ายห้าโมง ทั้งร่างใกล้จะหนาวจนแข็งไปหมดแล้ว กว่าจะได้เห็นเข้ากับรถคันหนึ่งที่ขับขึ้นมา
บนใบหน้าของเซียวชู่เหอมีสีหน้าดีใจออกมา แล้วก็วิ่งออกไปขวางรถเอาไว้
คนที่ขับรถก็คือสือเย่ เฉินถิงเซียวนั่งอยู่เบาะหลัง กำลังถือโทรศัพท์ดูสตอรี่ในวีแชทของมู่น่อนน่อน
“คุณผู้ชายครับ ด้านหน้ามีคนขวางรถอยู่ครับ”
เสียงของสือเย่ดังออกมาจากทางด้านหน้า เฉินถิงเซียวไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไป “ดูสิว่าเป็นใคร”
สือเย่ได้ยินอย่างนั้น ก็จอดรถ
เซียวชู่เหอพอเห็นว่ารถจอดลงแล้ว ก็วิ่งเข้ามา
วิ่งไปพลางแล้วยังตะโกนออกไปพลาง “น่อนน่อน น่อนน่อนอยู่ในรถหรือเปล่า?”
ได้ยินเสียงนี้ ในที่สุดเฉินถิงเซียวก็ได้เงยหน้าขึ้นมา
ตอนที่เขาเห็นหน้าเซียวชู่เหออย่างชัดเจน ก็หรี่ดวงตาลงเล็กน้อย ยกยิ้มเย็นออกมาทันที แล้วก็ได้เปิดประตูลงจากรถไป
เซียวชู่เหอเห็นด้านหน้าเป็นคนขับรถคนนึง จึงนึกว่ามู่น่อนน่อนจะนั่งอยู่ตรงเบาะหลัง เธอก็เลยเดินไปตรงไปยังด้านหน้าหน้าต่างรถตรงที่นั่งเบาะหลัง จากนั้นประตูรถก็ถูกเปิดออกมา
เงาร่างสูงโปร่งของเฉินถิงเซียวปรากฏตัวออกมาในระยะสายตา เซียวชู่เหอได้ตะลึงงันไปเล็กน้อย แล้วก็ได้เปล่งเสียงออกไปอย่างตะกุกตะกัก “น่อน…น่อนน่อนไม่ได้อยู่ในรถหรอ?”
เฉินถิงเซียวปิดประตูรถ งอขาข้างนึงพิงเข้ากับรถอย่างไม่สนใจอะไร เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หาเธอ?”
“ใช่…ฉันหาเธอ” ถึงแม้ว่าคนตรงหน้าจะเป็นลูกเขยของเธอ แต่เธอกลับไม่กล้ามองเขาเลยแม้แต่น้อย
กลิ่นอายจากร่างของเขามันดุดันเกินไป แม้ว่าฟ้าจะมืดครึ้ม มองเห็นสีหน้าของเขาได้ไม่ค่อยจะชัดเจนเท่าไหร่นัก เธอก้มหน้าลงแล้วก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงสายตาเย็นชาของเขาที่กำลังล็อกอยู่ที่ร่างของตน
“หาเธอไปทำไม?”
เสียงของชายหนุ่มนั้นฟังไม่ออกเลยว่ากำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน แต่กลับทำให้แผ่นหลังของเซียวชู่เหอเย็นเฉียบขึ้นมา
“ฉันก็แค่อยากจะมาเยี่ยมเธอสักหน่อย…”
“ไม่คิดว่ามันสายเกินไปหรอ?” เสียงของเฉินถิงเซียวจู่ๆก็เบาลงหลายระดับ เผยความรู้สึกมืดครึ้มออกมา
เซียวชู่เหอรู้สึกว่าในคำพูดของเขานั้นได้แฝงไปด้วยความหมายบางอย่าง แต่ก็แยกแยะความหมายในคำพูดของเขาไม่ออกอยู่ชั่วขณะ “สายเกินไปอะไรกัน?”
“จากนี้ไปอย่ามาหามู่น่อนน่อนอีก”
ตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ ห่างจากตัววิลล่าไม่ไกลเท่าไหร่นัก สามารถมองเห็นวิลล่าที่เปิดไฟสว่างออกมาได้
เฉินถิงเซียวมองไปทางวิลล่าแวบนึง ตอนที่เปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงเปลี่ยนไปจนดูเยือกเย็นและโหดเหี้ยมออกมา “บนโลกนี้วิธีจะทำให้คนหายไปมีเยอะอยู่นะ”
ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยการข่มขู่อย่างชัดเจน เซียวชู่เหอกลัวจนเซถอยออกไปสองก้าว
“ฉันก็แค่อยากเจอเธอสักหน่อยเท่านั้นเอง ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรอื่นเลย…” เสียงของเซียวชู่เหอสั่นออกมาเล็กน้อย
“คุณคู่ควรที่จะเจอเธอหรอ?” เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปข้างหน้าก้าวนึง เซียวชู่เหอตกใจกลัวจนล้มนั่งลงกับพื้นไปทันที
ในดวงตาของเฉินถิงเซียวประกายความรังเกียจออกมา ผันร่างเดินกลับเข้ารถไป
รถยนต์ค่อยๆขับไปทางวิลล่า ในกระจกมองหลัง ยังสามารถมองเห็นเงาร่างเบื้องหลังของเซียวชู่เหอที่กำลังเดินลงจากภูเขารางๆ
มองดูน่าสงสารอย่างมาก
แต่คนที่น่าสงสารมันจะต้องมีส่วนชวนให้คนอื่นเขาเกลียดของตัวเองอยู่ด้วย
รถจอดลงหน้าประตูวิลล่า ทันทีที่เฉินถิงเซียวเข้าไป ก็มีสาวใช้เดินเข้ามาต้อนรับ เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ดีอกดีใจ “คุณชายกลับมาแล้ว”
เฉินถิงเซียวไม่ได้มองเธอไปเลยด้วยซ้ำ ส่งเสื้อคลุมบนร่างส่งให้อาหูสาวใช้ที่เดินมาด้านหลัง
อาหูรับเสื้อคลุมของเฉินถิงเซียวมา ไม่รอให้เขาเอ่ยปากพูดออกมา ก็ชิงพูดออกมาก่อนว่า “ช่วงบ่ายคุณผู้หญิงกินข้าวแล้วก็นอนไปเลย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ตื่น กำลังเตรียมที่จะขึ้นไปปลุกเธอค่ะ”
เฉินถิงเซียวพยักหน้าออกมาเล็กน้อย “ผมไปเอง”
รอจนเงาร่างเบื้องหลังของเฉินถิงเซียวหายลับไป อาหูหันไปมองสาวใช้สาวๆพวกนั้นเล็กน้อย รอยยิ้มที่ดูใจดีบนใบหน้าได้หายไป น้ำเสียงเด็ดขาดที่หาได้ยากเอ่ยพูดออกมา “ทำงานที่นี่ จะต้องรู้จักสำเหนียกตัวเองหน่อย อย่าเอาคุณผู้ชายไปเทียบกับคุณชายตระกูลอื่น”
สาวใช้หน้าแดงออกมา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยินยอมนัก แต่ก็ยังพยักหน้าออกมาอยู่ดี “ฉันทราบแล้วค่ะ”
คุณผู้หญิงตั้งท้อง คุณผู้ชายกำลังอยู่ในช่วงวัยที่มีกำลังวังชาที่พลุ่งพล่าน เธอไม่เชื่อหรอกว่าคุณผู้ชายจะไม่หาผู้หญิงคนอื่นจริงๆ
คุณผู้ชายมีหน้าตาที่หล่อเหลาขนาดนั้น ทั้งยังมีเงินตั้งอย่างนั้น ขอเพียงแค่ถูกคุณชายพึงพอใจ เธอก็ไม่ต้องเป็นสาวใช้แล้ว
ตอนแรกที่ท่านปู่เฉินตามหาสาวใช้ ได้สั่งคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเอาไว้ว่าจะต้องหาคนที่มือเท้าว่องไว ฉลาดเฉลียว แล้วยังต้องมีรูปร่างหน้าตาที่งดงามตรงตามสัดส่วน แต่ผลก็คือได้สาวน้อยวัยขบเผาะอย่างนี้มาชุดนึง
อาหูเป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน แน่นอนว่าจะต้องมองออกอยู่แล้วว่าในกลุ่มสาวใช้พวกนี้มีหลายคนที่มีความคิดไม่ถูกต้องกัน
แต่สาวใช้เหล่านี้นั้นเป็นคนที่ท่านปู่เฉินส่งมาด้วยตัวเอง จะให้ซี้ซั้วไล่ไป ก็เป็นการตบหน้าท่านปู่เฉินเอา
อาหูทอดถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ส่ายหน้าออกมาอย่างจนใจ
เฉินถิงเซียวผลักประตูเข้าห้องนอนไปอย่างเบามือเบาเท้า
มู่น่อนน่อนเพิ่งจะตื่นขึ้นมาพอดี นอนนานเกินไปจนปวดเมื่อยไปทั้งร่าง นอนอยู่ไม่ยอมขยับ ยื่นมือออกไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนตู้ที่อยู่บนหัวเตียง แต่กลับเอื้อมไม่ถึง
มือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นออกมา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมายื่นเข้ามาในมือของเขา
มู่น่อนน่อนมองตามมือขึ้นไป ก็เห็นเข้ากับใบหน้าที่อ่อนโยนของเฉินถิงเซียว
ช่วงหลายวันมานี้ นิสัยใจคอของเขานับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ
มู่น่อนน่อนกุมโทรศัพท์ไม่ขยับ และได้ถามเขาออกไป “เพิ่งกลับมา?”
เฉินถิงเซียวพยักหน้าออกมาเล็กน้อย ยื่นมือออกไปประคองเธอขึ้นมา “ล้างหน้าล้างตาสักหน่อย แล้วไปกินข้าวด้วยกัน”
ตอนที่ทั้งสองคนลงไปกินข้าว ก็มีสาวใช้สองคนเอาแต่ยืนอยู่ด้านหลังเฉินถิงเซียวตลอด ดวงตามองอยู่ที่ร่างของเฉินถิงเซียวตาไม่กะพริบ
มู่น่อนน่อนมองสาวใช้ทั้งสองคนนั้นไปอย่างเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มออกมา เปล่งเสียงพูดออกไปอย่างไม่คิดอะไร “อยากกินกุ้งฝูหรงของโรงแรมจีนติ่ง”
เฉินถิงเซียวได้ยินอย่างนั้น จึงรีบวางตะเกียบลงทันที “ผมจะให้คนส่งมา”
“ไม่ คุณไปซื้อให้ฉัน” มู่น่อนน่อนเบะริมฝีปากเล็กน้อย แสดงท่าทางที่ดูไร้เหตุผลออกมา
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วอย่างแปลกใจออกมาเล็กน้อย แต่ปากกลับพูดออกไปว่า “ได้”
“งั้นคุณก็รีบหน่อยนะ ถ้ามันเย็นไปเสียก่อนฉันก็ไม่กินแล้ว” มู่น่อนน่อนยกยิ้มมุมปาก ในดวงตาคู่สวยนั้นประดับไปด้วยรอยยิ้มที่เป็นเหมือนดั่งรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมา
เฉินถิงเซียวเหลือบมองไปทางข้างหลังเหมือนอย่างกับว่ารู้สึกอะไรได้บางอย่าง สาวใช้ทั้งสองคนนั้นรีบถอนสายตากลับไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำทันที
เฉินถิงเซียวเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ “พวกเธอสองคน เก็บข้าวของไปซะ ไปเสียตอนนี้”
สาวใช้เงยหน้าขึ้นไปอย่างตื่นตกใจ “คุณผู้ชายคะ!”
“น่าเกลียดเสียจริง เห็นแล้วมันรกหูรกตา” เฉินถิงเซียวไม่ได้มองพวกเธอไปอีก พร้อมทั้งหันไปถามกับมู่น่อนน่อนว่า “ยังอยากกินกุ้งฝูหรงของโรงแรมจีนติ่งอยู่หรือเปล่า?”
มู่น่อนน่อนแสดงสีหน้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่ออกมา “ไม่ค่อยจะอยากกินเท่าไหร่แล้ว
เซียวชู่เหอมองมู่ลี่เหยียนไปอย่างไม่กล้าที่จะเชื่อ เอ่ยออกไปด้วยริมฝีปากอันสั่นเทา “คุณตบฉัน?”
เธอกับมู่ลี่เหยียนเป็นเพื่อนสมัยที่เรียนม.ปลาย เธอมาจากเมืองเล็กๆเพื่อมาเรียนหนังสือที่เมืองหู้หยาง ตอนนั้นตระกูลมู่ค่อนข้างจะมีอำนาจในเมืองเมืองหู้หยางอยู่บ้าง มู่ลี่เหยียนในฐานะที่เป็นคุณชายแห่งตระกูลมู่ ที่โรงเรียนจึงเป็นที่ห้อมล้อมของเหล่าผู้คน
เซียวชู่เหอแอบรักเขามาโดยตลอด แต่ก็รู้ช่องว่างความต่างชั้นระหว่างตัวเองกับมู่ลี่เหยียนด้วยเช่นกัน
จวบจนกระทั่งภรรยาเก่าของมู่ลี่เหยียนได้เสียชีวิตไป เธอก็ได้มาเจอกับมู่ลี่เหยียนอีกครั้ง
มู่ลี่เหยียนจมอยู่กับความโศกเศร้าที่ได้สูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไป ส่วนเธอก็คอยอยู่เป็นเพื่อนคอยเอาอกเอาใจอย่างอ่อนโยน บวกเข้ากับตอนยังสาวหน้าตาเธอนั้นสวยจนน่าตะลึงไปเลย ทั้งยังให้สัญญาอีกว่าจะดีกับลูกทั้งสองคนของเขา มู่ลี่เหยียนก็เลยแต่งงานกับเธอ
ช่วงหลายปีนี้ เซียวชู่เหอทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเพื่อเอาใจเขา รักเขา และก็ยังเผื่อแผ่ความรักไปถึงลูกทั้งสองคนของเขาด้วย แล้วยังนับได้ว่าทั้งผูกพันและยังสนิทสนมกลมกลืนกันดีอีกด้วย
แทบจะไม่มีตอนที่ทะเลาะกันเลยด้วยซ้ำ
ถึงแม้ว่าจะทะเลาะกันจริงๆ บางครั้งมู่ลี่เหยียนก็จะพูดกล่อมเธอ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยจะลงไม้ลงมือกันเหมือนอย่างตอนนี้เลยสักครั้ง
“ตบเธอแล้วยังไง? เธอลองดูสิว่าเธออยู่ตระกูลมู่หลายปีมานี้ทำอะไรลงไปบ้าง? ตอนแรกเธอก็รับปากฉันว่าจะดูแลลูกทั้งสองคนของฉันอย่างดี นี่คือสิ่งที่เธอบอกว่าจะดูแลให้ดีงั้นเหรอ!”
มู่ลี่เหยียนเป็นผู้ชายที่ยึดมั่นในรักที่หาได้ยากเลยคนนึง
ภรรยาเก่าเสียไปหลายปี ทุกปีเขาก็ยังเซ่นไหว้ทำบุญให้เธอ บนโต๊ะทำงานก็ยังทิ้งรูปเธอเอาไว้
สำหรับเด็กคู่ชายหญิงที่ภรรยาเก่าทิ้งเอาไว้คู่นี้ ก็พะเน้าพะนอเสียอย่างกับแก้วตาดวงใจ
ตอนนั้น ที่เซียวชู่เหอแต่งงานกับเขา นอกจากเพราะความหลงใหลที่มีต่อเขาของตนแล้ว ยังเป็นเพราะว่าเขามีความรักที่ยืนยาวอันหาได้ยากก็เลยประทับใจ
“การทุ่มเทเพื่อคุณเพื่อบ้านหลังนี้หลายปีมานี้ของฉัน คุณมองไม่เห็นมันเลยหรอ?” ในดวงตาของเซียวชู่เหอได้มีน้ำตาไหลออกมาเรียบร้อยแล้ว
เธอทุ่มเทไปเพื่อบ้านหลังนี้ยังน้อยไปหรอ?
ตัวเธอเองยังคิดว่าตัวเองได้พยายามจนถึงที่สุดแล้ว
“ทุ่มเท?” มู่ลี่เหยียนเอ่ยเสียงเย็นออกมา “งั้นเธอก็ไปขอร้องยัยลูกสาวคนนั้นของเธอสิ ให้มันปล่อยหวั่นขีซะ! หวั่นขีก็แค่คิดผิดไปชั่ววูบเท่านั้นเอง มู่น่อนน่อนมันก็ไม่ได้เป็นอะไรไม่ใช่หรือไง!”
คำพูดนี้เมื่อก่อนตัวเซียวชู่เหอเองก็เคยพูดเอาไว้ แต่ตอนนี้มาได้ยินจากปากของมู่ลี่เหยียนอีกที เธอกลับรู้สึกว่ามันช่างไม่น่าฟังเสียเหลือเกิน
เหมือนกับว่าคำพูดประโยคนี้ไม่ควรจะพูดออกมาอย่างนี้
เพียงแต่ว่า เธอนึกไม่ออกเลยว่าตกลงแล้วทำไมถึงไม่ควรพูดคำพูดนี้ออกมากันแน่
หลายปีมานี้ เธอดีกับมู่หวั่นขีจนเป็นความเคยชินไปแล้ว คิดว่ามู่น่อนน่อนควรจะยอมให้กับมู่หวั่นขีจนเคยชินไปแล้ว
ดังนั้นแล้ว ในจิตใต้สำนึกของเธอนั้น ไม่ว่ามู่หวั่นขีจะทำอะไร มู่น่อนน่อนก็ไม่ควรจะไปคิดเล็กคิดน้อย
มู่ลี่เหยียนยังด่าว่าเป็นความผิดของมู่น่อนน่อนอีก
เซียวชู่เหอเดิมทีได้ถูกฝ่ามือนี้ของเขาตบมาจนรู้ท้อใจขึ้นมาเล็กน้อย แล้วยังได้ยินคำพูดที่เขาพูดพล่อยๆออกมาไม่หยุดพวกนี้อีก ในใจก็รู้สึกรำคาญขึ้นมา
เธอลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างโงนเงน “เรื่องนี้ฉันช่วยคุณไม่ได้หรอกค่ะ คุณหาวิธีเองเถอะ”
หลายปีมานี้ที่เธอได้ทุ่มเทไปทั้งแรงกายแรงใจ แต่มู่ลี่เหยียนกลับไม่เห็นความทุ่มเทของเธออยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ
ตัวเธอเองก็รู้อยู่ว่ามู่หวั่นขีดูถูกดูแคลนเธอจากก้นบึ้งหัวใจ ถึงกับด่าเธอว่าเป็นหมาเลยด้วยซ้ำ
แต่ทว่า เพราะมู่ลี่เหยียน เธอเลยไม่ได้ใส่ใจอะไร
ตอนนี้แม้แต่มู่ลี่เหยียนก็พูดมาอย่างนี้ จู่ๆเธอก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมา
มู่ลี่เหยียนได้ยินอย่างนั้น สีหน้าก็ได้เปลี่ยนไป “เซียวชู่เหอ เธอหมายความว่าอะไร!”
“ไม่ได้หมายความว่าอะไร” เซียวชู่เหอใบหน้าบวมออกมาครึ่งนึง พร้อมส่ายหน้าออกไป “ก็แค่คิดว่ามันไม่น่าเบื่อเกินไปน่ะสิ เหอะๆ”
เธอหัวเราะเสียดูย่ำแย่ยิ่งกว่าร้องไห้ออกมา บวกกับใบหน้าที่บวมออกมาครึ่งหน้า มองดูแล้วเห็นได้ชัดว่ามันค่อนข้างน่ากลัวเลย
มู่ลี่เหยียนเองก็อารมณ์เสียออกมาเหมือนกัน เขานึกไม่ถึงว่าช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ เซียวชู่เหอยังจะมาหาเรื่องน่าโมโหกับเขาอีก
เขายกยิ้มเย็นออกมา “เธอกินก็เงินฉันเสื้อผ้าที่สวมก็เงินฉัน ฉันเลี้ยงดูเธอไปไม่น้อยเลย ตอนนี้กลับหันมาบอกว่าฉันน่าเบื่อ? น่าเบื่อเธอก็ไสหัวไปสิ!”
เซียวชู่เหอมีสีหน้าที่แข็งค้างไป กระตุกริมฝีปากออกมาเล็กน้อย สุดท้ายกลับพูดไม่ออกเลยสักประโยคเดียว
เธอเปิดประตูออกไปจากห้องหนังสือ ลงไปชั้นล่างวิ่งออกไปข้างนอก
เท้าหน้าของเธอเพิ่งจะเดินออกไป ข้างหลังก็มีสาวใช้เข้ามาหามู่ลี่เหยียน “เมื่อกี้คุณนายเพิ่งจะวิ่งออกไป…”
มู่ลี่เหยียนนิ่งค้างไปเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าเซียวชู่เหอจะไปจริงๆ
เขาไม่เชื่อว่าเซียวชู่เหอออกมาไปเขาแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวก็กลับมา
เขาโบกมืออย่างไม่ค่อยจะใส่ใจเท่าไหร่นัก “ให้เธอไสหัวไป!”
……
เซียวชู่เหอวิ่งออกมาจากตระกูลมู่ บนร่างไม่ได้พกเงินอะไรมาเลย ไม่รู้เลยว่าควรจะไปที่ไหน
ตอนสมัยสาวๆ เธอเองก็มีเพื่อนสนิทอยู่หลายคน แต่สภาพครอบครัวนั้นธรรมดากันทั้งนั้น
ในภายหลังที่ได้แต่งงานกับมู่ลี่เหยียน เธอก็ขาดการติดต่อกับเพื่อนพวกนั้น ยุ่งอยู่กับการดูแลมู่ลี่เหยียน มู่หวั่นขี สองพี่น้อง จนแทบจะไม่มีสังคมของตัวเองไปเลย
ถึงแม้ว่าจะมี ก็เป็นพวกคุณนายแห่งตระกูลร่ำรวยที่ไปเดินเล่นซื้อของด้วยกันเพียงไม่กี่คน
ตอนนี้เธอมีสภาพอย่างนี้ จะไปหาพวกเธอได้ยังไง?
สุดท้าย เธอก็นึกถึงมู่น่อนน่อนขึ้นมา
นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อก่อนมู่น่อนน่อนเชื่อฟังคำพูดเธอเสียขนาดนั้น ดีกับเธอเสียขนาดนั้น ในใจเธอก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาทันที จึงได้โบกรถไปที่วิลล่าของเฉินถิงเซียว
เมื่อก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนนั้นแม้ว่าจะเคยพูดเอาไว้ว่าจะไม่ยุ่งกับเรื่องของมู่หวั่นขีอีกแล้ว แต่เธอก็ไม่เชื่อหรอกว่ามู่น่อนน่อนจะไม่สนใจเธอ
เมื่อก่อนเธอเคยไปวิลล่าของเฉินถิงเซียวมาแล้วครั้งนึง จึงรู้ตำแหน่งที่อยู่ของวิลล่า
แท็กซี่จอดห่างจากตัววิลล่ามาสามเมตร
เซียวชู่เหอลงจากรถ จัดเสื้อผ้าของตัวเอง เดินเชิดหน้าเชิดตาเข้าไปยังหน้าประตูของวิลล่า
การ์ดที่เฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูเข้ามารั้งเธอเอาไว้
“คุณเป็นใครครับ?”
การ์ดมีสีหน้าเข้มออกมา พร้อมด้วยหน้าตาที่ดูเย็นชา
เซียวชู่เหอรู้สึกตกใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าตนเป็นแม่แท้ๆของมู่น่อนน่อน ก็เปลี่ยนมามีความมั่นใจขึ้นมา “ฉันเป็นแม่แท้ๆของคุณผู้หญิงพวกนาย”
นึกไปถึงเมื่อก่อนหน้านี้ในสายของมู่น่อนน่อนได้พูดถึงเรื่อง “มีอีกชีวิตในท้อง” เธอก็พูดเสริมออกไปอีกประโยคนึงว่า “น่อนน่อนท้อง ฉันผู้เป็นแม่แน่นอนว่าจะต้องมาเยี่ยมเธอสักหน่อยสิ”
การ์ดมองเธอไปอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สุดท้ายก็พูดทิ้งเอาไว้สองคำ “รอแป๊บ”
น้ำเสียงของการ์ดนั้นยังคงเย็นชาออกมา เดินไปอีกด้านนึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเฉินถิงเซียว
หลังจากที่ผ่านเรื่องที่มู่หวั่นขีขับรถชนมู่น่อนน่อนมา ตอนนี้เฉินถิงเซียวก็ระมัดระวังเป็นพิเศษ ก่อนหน้านี้ได้บอกพวกเขาเอาไว้ว่า ถ้ามู่หมิงหน่วนออกไปจะต้องส่งคนตามไปให้ได้ เมื่อมีคนมาหามู่น่อนน่อน ก็ต้องแจ้งเขาด้วยเหมือนกัน
โทรไปเพียงไม่นานก็มีการรับสาย
“คุณผู้ชายครับ มีคุณผู้หญิงท่านนึงอ้างตัวว่าเป็นแม่แท้ๆของคุณผู้หญิงครับ”
เฉินถิงเซียวที่กำลังประชุมอยู่นั้น ด้านล่างเป็นเหล่าผู้บริหารระดับสูงที่กำลังนั่งกันอยู่ เขากวาดสายตามองพวกเขา เอ่ยคำพูดออกมาสองคำด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ไล่ไป”
“ครับ”
วางสายไป เฉินถิงเซียวก็วางโทรศัพท์เอาไว้อีกด้านนึง “ต่อ”
เฉินถิงเซียวมาอยู่ที่บริษัทเฉินซื่อได้ไม่ถึงครึ่งเดือน
ตระกูลเฉินเป็นตระกูลที่มีอำนาจสูงสุดแห่งเมืองหู้หยาง ธุรกิจในเครือของบริษัทตระกูลเฉินแทบจะยึดครองตลาดไปแล้วครึ่งนึง อีกทั้งธุรกิจในทุกๆแขนงล้วนแล้วแต่จะมีการพัวพันมาแล้วทั้งนั้น คิดอยากจะลงมือมันไม่ได้รวดเร็วปานนั้น
แต่การกระทำที่ดำเนินต่อกันมาหลังจากที่เฉินถิงเซียวมาที่บริษัทแล้วนั้น กลับทำให้ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทและผู้ถือหุ้นเหล่านั้นได้มองกันมาด้วยมุมมองใหม่ๆ
อีกด้านหนึ่ง การ์ดวางสายไปแล้ว ส่งสายตาไปให้การ์ดอีกคนนึง
เซียวชู่เหอเห็นเขาวางสาย ก็นึกว่าเขาจะถามมู่น่อนน่อนมา จึงรีบเอ่ยออกไปทันที “เห็นมั้ย ฉันไม่ได้หลอกพวกนาย”
การ์ดเอ่ยเสียงเย็นออกมา “คุณผู้หญิงไม่อยู่ คุณค่อยมาวันหลังเถอะครับ”
“ตอนเย็นเธอก็กลับมามั้ยล่ะ? ฉันเข้าไปรอเธอก่อนก็ได้…” เซียวชู่เหอไม่คิดจะกลับไปอย่างนี้
การ์ดไม่พูดไร้สาระกับเธอ ได้หิ้วเธอลงจากภูเขาไป
พอถึงตรงมุมทางหลวง ก็โยนเธอออกไปข้างถนนทันที
น้ำเสียงของการ์ดแฝงไปด้วยความเย้ยหยันอยู่บ้าง “คุณผู้หญิงของพวกเราไม่ใช่คนที่ใครจะพบได้ง่ายๆ”
บทที่220 ไม่ต้องมาหาหนูด้วย
ไม่รอให้มู่น่อนน่อน คุณปู่เฉินก็พูดออกมาแล้ว “ตอนนี้หนูไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้วนะ สุขภาพสำคัญที่สุด ถิงเซียวอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้มีคนใช้อะไร ปู่ก็เลยขอให้คนเลือกสาวใช้มากลุ่มหนึ่ง จะได้คอยดูแลหนู”
มู่น่อนน่อนมองไป ก็ลองนับดูคร่าวๆ น่าจะมีประมาณสิบกว่าคน
คฤหาสน์นี้มีเพียงแค่เธอกับเฉินถิงเซียวอยู่กันสองคนเท่านั้น จะต้องการคนใช้มากมายขนาดนี้ไปเพื่ออะไรกัน?
มีคนมากเกินไปก็ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่
แต่ว่าคุณปู่เฉินนั้นหวังดี มู่น่อนน่อนก็ปฏิเสธไม่ได้
“เดือดร้อนคุณปู่แล้ว หมอบอกว่าตอนนี้สุขภาพหนูแข็งแรงดีมาก……”
“ไม่ว่าจะแข็งแรงแค่ไหนก็ต้องดูแลให้ดี ก่อนหน้านี้ย่าของถิงเซียวตั้งท้องชิงเฟิงนั้น การแพทย์ยังไม่ดีเท่าตอนนี้ ลำบากไม่น้อยเลยล่ะ……”
คุณปู่เฉินพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปครู่หนึ่ง เหมือนกับว่าถอนหายใจเล็กน้อย “ไม่พูดแล้วๆ ยังไงถ้าเกิดว่าหนูต้องการอะไร อยากได้อะไรอยากกินอะไร ก็บอกถิงเซียวได้เลย ถ้าเกิดว่าไอ้เด็กบ้านั่นไม่จัดการให้หนู หนูก็โทรหาปู่ได้เลยนะ มีเบอร์ปู่ใช่ไหม? ไม่ยังงั้นแอดวีแชทกันก็ได้……”
ขณะที่เขาพูดก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเปิดวีแชท
มู่น่อนน่อนรู้สึกอยากจะหัวเราะเล็กน้อย รู้สึกว่าคุณปู่เฉินน่ารักมากเลย
เธอยิ้มแล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมา พร้อมกับพูดว่า “เดี๋ยวหนูแอดปู่เองค่ะ”
“มาๆๆๆ ตรงนี้ใช่ไหม? ” คุณปู่เฉินโน้มตัวเข้ามา แล้วก็เปิดรหัส QR code ของตัวเอง
ตอนที่เฉินถิงเซียวเข้ามานั้น ก็เห็นว่าทั้งสองคนใกล้ชิดกันแล้วก็พยายามแอดวีแชทกันอยู่
เขาเหลือบมอง แล้วก็นั่งลงที่โซฟาข้างๆ
คุณปู่เฉินเห็นเฉินถิงเซียว สีหน้าก็ไม่ได้ดูดีเท่าไหร่นัก “ต่อไปต้องดูน่อนน่อนให้ดีนะ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมา “ต้องให้ปู่บอกด้วยเหรอ? ”
“หึ” คุณปู่เฉินหัวเราะออกมา “ถ้าเกิดว่าไม่ใช่เพราะน่อนน่อน แกคิดว่าฉันอยากจะมาหาแกที่นี่งั้นเหรอ? ”
เฉินถิงเซียวนั่งไขว่ห้าง แล้วก็พูดอย่างขี้เกียจว่า “ดูเสร็จแล้วยังไม่ไปอีกเหรอ? ”
คุณปู่เฉินชี้หน้าเขาแล้วด่า “นี่แกอยากให้ฉันโมโหตายใช่ไหม! ”
แต่ว่าในดวงตาของเขากลับไม่ได้มีความโกรธเคือง
คุณปู่เฉินไม่ได้อยู่ต่อนานเท่าไหร่นัก เพียงแค่พูดกับมู่น่อนน่อนไม่กี่ประโยค ก็กลับไปแล้ว
คุณปู่เฉินกลับไป แต่ก็เหลือคนใช้กลุ่มหนึ่งเอาไว้
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่บนโซฟาในห้องโถง แล้วก็มองไปที่พวกคนรับใช้เหล่านี้ ก็พบว่าพวกเขานั้นดูไม่เลวเลย
คนร่ำรวยที่มองหาสาวใช้ ล้วนแต่มีหน้าตาดี
บางคนก็แอบมองมาที่เฉินถิงเซียวอย่างระมัดระวัง
มู่น่อนน่อนรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ยื่นมือไปลูบคิ้วของตัวเอง แล้วก็มองไปที่เฉินถิงเซียว “นายจัดการไปนะ ฉันไปนอนก่อนแล้ว”
พอเฉินถิงเซียวเห็นว่าร่างของมู่น่อนน่อนหายไปแล้ว ก็พูดออกมาเรียบๆ “มีอะไรก็ให้ฟังคำสั่งของอาหู ถ้าเกิดว่าไม่มีเรื่องอะไรไม่ต้องขึ้นไปชั้นส่วนตัวที่ชั้นสอง ควรทำอะไรก็ทำแบบนั้น ไม่งั้นมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย เข้าใจไหม? ”
เสียงของเขานั้นทุ้มต่ำและน่าฟัง แต่ว่าก็เรียบเฉยไม่มีอารมณ์อะไรอยู่ในนั้น พวกสาวใช้ที่แอบมองเขาก่อนหน้านั้นก็ก้มหน้าลงไม่กล้ามองเขาอีกแล้ว
สาวใช้ตอบรับอย่างพร้อมเพรียง “เข้าใจค่ะ! ”
ตอนที่เฉินถิงเซียวกลับมาถึงห้องนั้น มู่น่อนน่อนก็หลับไปแล้ว
วันนี้เจอเรื่องอะไรมสาเยอะมาก แถมตอนนี้เธอยังเหนื่อยง่ายอีก ก็เลยหลับไปอย่างง่ายดาย
ตอนที่เฉินถิงเซียวโน้มตัวลงไปจูบเธอนั้น ก็ยังได้กลิ่นหอมที่ออกมาจากตัวของเธอ มันน่าหลงใหลเป็นอย่างมาก
เขานอนลงที่อีกฝั่งของเตียง แล้วก็ดึงมู่น่อนน่อนมากอดไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน
มู่น่อนน่อนหลับไม่ลึกเท่าไหร่ พอถูกเขาทำแบบนี้ เธอก็ตื่นขึ้นมา
เธอลืมตาขึ้นมา แล้วก็มองไปที่เฉินถิงเซียวอย่างมึนงง
เฉินถิงเซียวก็จูบที่หน้าผากเธออีกครั้งหนึ่ง มือหนาของเขาตบไปที่แผ่นหลังบางๆ ของเธอ ท่าทางอ่อนโยนเหมือนกับว่ากำลังกล่อมลูกนอน
ในเสียงที่ทุ้มต่ำของเขามีความอ่อนโยน “ไม่มีอะไร นอนเถอะ”
แล้วมู่น่อนน่อนก็หลับตาลงอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ขยับแขน ยื่นไปคล้องคอของเฉินถิงเซียวเอาไว้
ตอนนี้เธอกำลังสะลึมสะลืออยู่ มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองด้วยความเคยชิน
เฉินถิงเซียวปัดผมที่เรียวยาวของเธอลงบนหมอน จัดผ้าห่ม แล้วก็หลับไปเหมือนกัน
……
เฉินถิงเซียวดำเนินคดีกับมู่หวั่นขี โดยให้ฟู้ถิงซีรับช่วงต่อ
ฟู้ถิงซีเป็นนักกฎหมายมือทองในเซี่ยงไฮ้และแยงซี แม้ว่าเขาจะเก่งในเรื่องธุรกิจ แต่เคสเล็ก ๆ แบบนี้ไม่ใช่ปัญหา
หลังจากที่ตระกูลมู่รู้เรื่องของมู่หวั่นขีแล้วนั้น ก็ให้เซียวชู่เหอเป็นคนออกหน้าไปหามู่น่อนน่อน
เดิมทีมู่น่อนน่อนไม่อยากจะสนใจเธอ แต่ว่าเซียวชู่เหอก็โทรมาหาเธอทุกวัน ถ้าเกิดว่าเป็นแบบนี้ต่อไป เซียวชู่เหอต้องมาหาเธอถึงบ้านอย่างแน่นอน
ดังนั้น ตอนที่เซียวชู่เหอโทรมาอีกครั้งนั้น มู่น่อนน่อนก็เลยรับสาย
“น่อนน่อน ในที่สุดลูกก็รับสายแม่แล้ว” เสียงของเซียวชู่เหอดูตื่นเต้นเล็กน้อย “ลูกฟังแม่พูดนะ เรื่องของพี่สาวลูก……”
มู่น่อนน่อนตัดบทของเธอทันที “เฉินถิงเซียวส่งฟ้องแล้ว อีกไม่กี่วันก็ต้องขึ้นศาลแล้ว”
“ไม่ใช่สิ น่อนน่อน ไม่ว่าจะยังไงหวั่นขีก็คือพี่สาวของลูก แม่รู้ว่าเรื่องในครั้งนี้เธอทำไม่ถูก แต่ว่าเธอก็ยังอายุน้อย ลูกอยากให้เธอติดคุกจริงๆ เหรอ? ”
น้ำเสียงของเซียวชู่เหอดูเหมือนจะร้องไห้ เดาว่าช่วงนี้คงเป็นห่วงมู่หวั่นขีมาก
สำหรับเซียวชู่เหอแล้วนั้น หัวใจของมู่น่อนน่อนนั้นเย็นชาตั้งนานแล้ว
เธอหัวเราะอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “แล้วหนูล่ะ? ถ้าเกิดว่าตอนนั้นเธอชนโดนหนูจริงๆ หนูก็จะเป็นหนึ่งศพสองชีวิต! ”
เซียวชู่เหอที่อยู่ปลายสายนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง
ผ่านไปหลายวินาที เธอถึงได้พูดเบาๆ ว่า “แต่ว่าตอนนี้ลูกก็ไม่เป็นอะไรไม่ใช่เหรอ? พี่สาวลูก……”
“นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว แม่ไม่ต้องโทรมาหาหนูอีกนะ และก็ไม่ต้องมาหาหนูด้วย มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก”พอมู่น่อนน่อนพูดอย่างเย็นชาจบ ก็ตัดสาย
เซียวชู่เหอจะมาหาเพื่อขอร้องแทนมู่หวั่นขี นี่เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้
เธอไม่กล้าคิดเลย ว่าถ้าเกิดว่าวันนั้นมู่หวั่นขีชนเธอจริงๆ ……
เธอยื่นมือออกมาลูบหน้าท้องของตัวเอง มันยังคงราบเรียบ แต่ว่าด้านในนั้นมีอีกชีวิตหนึ่งที่กำลังเติบโตช้าๆ
เธอไม่คิดว่านี่จะเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการตั้งครรภ์ แต่ว่าในเมื่อลูกมาแล้ว ก็ต้องคลอดเขาออกมา
อีกด้านหนึ่งนั้น หลังจากที่เซียวชู่เหอวางสายแล้ว ก็หันไปมองมู่ลี่เหยียน แล้วก็พูดอย่างอึดอัดใจ “น่อนน่อนเธอ……”
“เธอว่าไง? ” เพราะว่าเรื่องของมู่หวั่นขี มู่ลี่เหยียนก็หลับไม่ค่อยสนิทมาหลายวันแล้ว สีหน้าดูพังทลาย เสียงก็แหบแห้งมากแล้ว
“เธอ……เธอบอกให้ฉันไม่ต้องไปหาเธอ เธอจะไม่ช่วยพวกเรา”
พอเซียวชู่เหอพูดจบ ก็รู้สึกได้ว่าใบหน้าของมู่ลี่เหยียนเปลี่ยนไปกะทันหัน
หลังจากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและตบหน้าเธออย่างรุนแรง
เขาเป็นผู้ชาย ตอนนี้มีความโกรธอยู่เต็มอก ตบนี้ใช้แรงทั้งหมด เซียวชู่เหอถูกเขาตบก็เซและล้มลงกับพื้น
มีกลิ่นคาวซึมออกมาในปาก
เธอจับมุมปากของตัวเอง ยื่นมือออกมา ก็เห็นว่ามีเลือดออก
ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเธอเจ็บปวดจนชาและหูของเขาก็อื้ออึง
มู่ลี่เหยียนจ้องมองเธออย่างเคร่งขรึม “เธอมีประโยชน์อะไร? แค่เรื่องเล็กๆ แบบนี้ก็ช่วยไม่ได้? นี่คือลูกสาวแสนดีของเธอยังงั้นเหรอ! สุดท้ายแล้วเธอจะส่งหวั่นขีของพวกเราเข้าคุก!
บทที่219 กระตุ้น
ประโยคที่เฉินถิงเซียวอยากให้เธอพูดอีกรอบนั้น น่าจะเป็นประโยคนั่นแหละ
——ฉันรักเขามาก
เธอพูดประโยคแบบนั้นออกไปได้ยังไงกัน!
เธอพูดประโยคแบบนี้ต่อหน้าเฉินถิงเซียวได้ยังไง!
มู่น่อนน่อนรู้สึกโกรธตัวเอง สะบัดมือของเฉินถิงเซียวออกแล้วก็เดินไปข้างหน้า
เฉินถิงเซียวเดินตามไปพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาดึงมือของเธอเอาไว้ “เดินช้าหน่อย”
“ฉันชอบเดินเร็วๆ ” มู่น่อนน่อนอยากจะสะบัดมือของเขาออก แต่ว่าก็ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ถูกเขาจูงมือไปแบบนั้น
ทั้งสองคนเจอกับเสิ่นเหลียงที่มุมของางเดิน
เสิ่นเหลียงเห็นมู่น่อนน่อนแล้วก็รู้สึกโกรธ “มู่น่อนน่อน! ตอนนี้เธอไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้วนะ ช่วยทำให้ฉันสบายใจหน่อยได้ไหม? ไปเข้าห้องน้ำอยู่ครึ่งวันแล้วไม่กลับมาสักทีก็ช่างเถอะ แต่ว่าไม่รับสายอีก นี่เธอทำให้ฉัน……”
ประโยคหลังนั้น ก็ได้ถูกกลืนลงคอไปหลังจากที่เห็นเฉินถิงเซียว
เสิ่นเหลียงขมวดคิ้ว กระแอมอยู่สองครั้ง แล้วเสียงของเธอก็เปลี่ยนไปกลายเป็นหญิงสาวที่นุ่มนวลทันที “แค่กๆ ……ต่อไปเธออย่าเป็นคนแบบนี้อีกนะ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกขนลุก “ตอนนี้ฉันไม่ใช่คน แล้วเป็นผีรึยังไง? ”
เสิ่นเหลียงเสแสร้งยิ้ม “ตอนนี้เธอมีสองคนแล้วนะ”
เธอเองก็เหนื่อยใจเหมือนกัน แต่ว่านัดมู่น่อนน่อนออกมากินข้าว แต่ผลก็คือต้องเกิดเรื่องขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ช่าง……จริงๆ เลย
คนพวกนั้นกลับไปที่ห้องวีไอพี สุดท้ายก็ได้กินข้าว
ในห้องจัดเลี้ยงนั้น เสิ่นเหลียงถามมู่น่อนน่อน “เธอไปไหนมา ทำไมไปเข้าห้องน้ำแล้วก็หายไปกะทันหันล่ะ? ”
“เมื่อกี้นี้เจอเฉินถิงเซียวพอดี มีพวกผู้ใหญ่ของกินข้าวกันอยู่ที่นี่ ก็เลยตามเขาไปพบเจอพวกท่านหน่อย” มู่น่อนน่อนหรี่ตาลง โกหกไปเรื่อย
เฉินถิงเซียวมองเธอ ไม่ได้พูดอะไร
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง” เสิ่นเหลียงเชื่อง่ายๆ
จนกินข้าวเสร็จ เสิ่นเหลียงก็คิดขึ้นได้ ว่าเฉินถิงเซียวคือทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเฉิน นอกจากพ่อของเขากับปู่ของเขา ยังมีใครให้เขาพามู่น่อนน่อนไปเจอได้อีกล่ะ?
อ้อ บางทีผู้ใหญ่ที่มู่น่อนน่อนพูดถึงอาจจะเป็นคุณปู่เฉินก็ได้
ระหว่างทางที่กลับนั้น ทั้งสองคนก็เงียบมาก
ตอนที่ใกล้ถึงประตูบ้านนั้น จู่ๆ มู่น่อนน่อนก็พูดขึ้นมา “ตอนที่ฉันออกมาจากห้องน้ำนั้น ได้เจอกับซือเฉิงหยู้ เขาบอกว่าเขาติดต่อมู่หวั่นขีไม่ได้ทั้งวันแล้ว แล้วก็บอกว่ามู่หวั่นขีนิสัยใจร้อนอาจจะทำเรื่องโง่ๆ ก็ได้ เป็นไปได้มากว่านายจะจับเธอไว้”
ประโยคต่อมาเธอไม่ได้จำเป็นต้องอธิบายเลย คนฉลาดย่อมเข้าใจได้โดยธรรมชาติ
ก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนก็คิดอยู่แล้วว่าคนก่อเหตุน่าจะเป็นมู่หวั่นขี และดูจากสไตล์ของเฉินถิงเซียวแล้วนั้น มู่หวั่นขีตกอยู่ในมือของเขาแล้ว เขาต้องทำให้เธอรู้สึกว่าตายยังดีกว่าอยู่อีกอย่างแน่นอน
ความจริงมันก็เป็นแบบนั้นแหละ ถ้าเกิดว่าไม่ใช่เพราะว่าเธอรีบตามไป ไม่แน่ว่าตอนนี้มู่หวั่นขีอาจจะยังถูกทรมานอยู่ก็ได้
เฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดของเธอ ก็เลยได้แต่ถามว่า “ซือเฉิงหยู้มาหาเธอยังงั้นเหรอ? ”
“อืม” มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองเขาอย่างสงสัย
รถกำลังขับเคลื่อนไปยังถนนที่คดเคี้ยว ต้นไม้นอกหน้าต่างก็เลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก ดำสนิท
แต่ว่ามู่น่อนน่อนก็สามารถเห็นความเยือกเย็นได้จากเงาที่ไม่ชัดเจนของเฉินถิงเซียว
ตอนนั้นในใจของมู่น่อนน่อนกลัวว่าเฉินถิงเซียวจะฆ่ามู่หวั่นขี ก็เลยไม่ทันได้คิดอะไรมากมาย
ตอนนี้ เธอย้อนกลับมาคิดประโยคของเฉินถิงเซียวที่พูดว่า “ซือเฉิงหยู้มาหาเธอ”ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
ตอนนี้จู่ๆ มู่หวั่นขีก็พุ่งรถเข้ามาจะชนเธอ ตอนที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นก็ไม่ได้มีคนอยู่รอบๆ ตอนนั้นเฉินถิงเซียวโทรศัพท์ แล้วก็ส่งเธอไปโรงพยาบาล
เฉินถิงเซียวจัดการเรื่องราวอย่างรอบคอบ ตอนที่โทรศัพท์นั้นเขาต้องสั่งให้คนจับมู่หวั่นขีไว้อย่างแน่นอน
และตอนนั้นมู่หวั่นขีก็ได้รับบาดเจ็บไม่เบาเลย และลูกน้องของเฉินถิงเซียวก็มีสไตล์การลงมืออย่างเด็ดเดี่ยวเหมือนกัน ดังนั้นการที่เขาจับมู่หวั่นขีอยู่ทั้งวัน ก็ไม่ได้เตือนคนของตระกูลมู่เลย
แต่กลับเป็นซือเฉิงหยู้ที่เป็นคนมาหามู่น่อนน่อนก่อน
ถ้าเป็นแบบนี้ เรื่องก็กระจ่างแล้ว
ซือเฉิงหยู้แอบกระตุ้นให้มู่หวั่นขีขับรถชนมู่น่อนน่อนอยู่เบื้องหลัง หลังจากนั้นก็เลือกเวลามาหามู่น่อนน่อน ให้มู่น่อนน่อนไปเห็นวิธีการที่โหดร้ายของเฉินถิงเซียว
มันไม่ใช่แผนการที่ไร้ข้อบกพร่องอะไร ถ้าว่าถ้าเกิดว่ามู่น่อนน่อนมีความกล้าน้อยกว่านี้อีกนิดเดียว ก็คงจะรู้สึกกลัวจริงๆ
แล้วก็จะทำให้ความขัดแย้งระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวนั้นขยายกว้างกว่าเดิม
เพียงแค่ ถ้าเกิดว่าความขัดแย้งระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวนั้นมันมากขึ้น แล้วมันดีกับซือเฉิงหยู้ยังไงกัน?
หรือว่า ซือเฉิงหยู้แค่ทนเห็นเฉินถิงเซียวได้ดีไม่ได้? ก็เลยพยายามหาวิธีการทำให้เฉินถิงเซียวไม่มีความสุขเฉยๆ งั้นเหรอ?
แต่ว่าเธอรู้จักเฉินถิงเซียวดี มู่หวั่นขีเองก็ไม่ใช่คนบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอะไร
เธอไม่ได้เห็นด้วยกับการกระทำของเฉินถิงเซียว แต่ว่าเธอเข้าใจเขา
ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เธอหันหน้ากลับไปมองมู่น่อนน่อน “ครั้งก่อนนายก็ใช้วิธีนี้ทำให้มู่หวั่นขียอมชี้แจงเรื่องทะเบียนสมรสต่อหน้าสื่อใช่ไหม? ”
“อืม” เฉินถิงเซียวยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
มู่น่อนน่อนถอนหายใจเล็กน้อย
ถ้าจะบอกว่าเขาผิด แต่ว่าจุดเริ่มต้นของเขานั้นดีนะ
ถ้าจะบอกว่าเขาไม่ผิด แต่ว่าการใช้ความรุนแรงก็ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการแก้ไขปัญหา
เธอคิดไปคิดมา แล้วก็พูดว่า “ฉันรู้ ว่าเรื่องบางเรื่อง คนบางคน มันก็ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเหตุผล แต่ว่าการใช้ความรุนแรงก็ไม่ใช่วิธีเดียวในการแก้ไขปัญหานะ”
เฉินถิงเซียวตอบโดยที่ไม่ได้หันหน้ามาด้วยซ้ำ “ฉันเพียงแค่ใช้วิธีที่ได้ผลลัพธ์เร็วที่สุดเท่านั้น”
มู่น่อนน่อนหัวเราะอย่างโกรธ “ดังนั้นตอนที่นายอยากให้ฉันท้องนั้น ก็เลยขังฉันไว้ในคฤหาสน์ไม่ยอมให้ออกไปข้างนอกงั้นเหรอ? ”
เพราะว่าประโยคนั้นของเธอ ทำให้บรรยากาศภายในรถนั้นเย็นลงทันที
เอี๊ยด——
รถนั้นได้เบรกลงอย่างกะทันหัน มู่น่อนน่อนก็กระเด็นไปด้านหน้า
เฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างๆ นั้นก็โน้มตัวเข้ามากอดเธอไว้อย่างตื่นตระหนก ประคองให้ร่างของเธอคงที่
น้ำเสียงของเขายังคงดูไม่คงที่ “ไม่เป็นไรใช่ไหม? ”
มู่น่อนน่อนผลักเขา แล้วก็เปิดประตูลงจากรถไป
ที่ที่รถจอดนั้น อยู่ห่างจากคฤหาสน์ประมาณสิบกว่าเมตร
พอมู่น่อนน่อนลงจากรถก็เห็นรถหลายคันจอดอยู่หน้าคฤหาสน์
มีแขกมาที่บ้านเหรอ?
เธอไม่มีอารมณ์จะไปสนใจเฉินถิงเซียวอีกต่อไปแล้ว เดินกลับไปคฤหาสน์ทันที
พอเข้าประตูใหญ่ไป บอดี้การ์ดที่เรียงแถวกันอยู่ก็คำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน “คุณผู้ชาย คุณหญิงน้อย”
อาหูรีบวิ่งออกมา “คุณผู้ชาย คุณหญิงน้อยกลับมากันแล้วเหรอคะ คุณท่านมาตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว รอพวกคุณกลับมาอยู่ตรงนี้ตลอด”
คุณปู่เฉินมาที่นี่ได้ยังไง?
มู่น่อนน่อนหันไปมองเฉินถิงเซียวด้วยความสงสัย
เฉินถิงเซียวก็มีสีหน้าเข้าใจ แล้วก็เอ่ยปากเตือนเธอ “วันนี้โรงพยาบาลที่ไปตรวจ เป็นโรงพยาบาลของตระกูลเฉิน”
มู่น่อนน่อนก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ว่าที่คุณปู่เฉินมาที่นี่ก็เพราะว่าได้ข่าวเรื่องการตั้งครรภ์ของเธอ
พอคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
คุณปู่เฉินได้ยินเสียงด้านนอก ก็เดินมาถึงตรงประตูห้องโถง แล้วก็พูดด้วยเสียงดังเต็มปอด “กลับมาแล้วก็รีบเข้ามาสิ จะยืนอยู่ในสวนไปเพื่ออะไรกัน อากาศเย็นจะตาย! ”
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียว แล้วก็วิ่งนำหน้าเข้าไปที่ห้องโถง
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วพร้อมกับเดินตามหลังเธอไป “มู่น่อนน่อน ช้าหน่อย! ”
พอเฉินอันหลินเห็นมู่น่อนน่อนนั้น ก็ดึงเธอเดินเข้ามาด้านใน “ด้านนอกอากาศเย็นจะตาย รีบเข้ามานั่งแล้ว ในห้องอากาศอุ่น”
มู่น่อนน่อนยิ้ม “คุณปู่ หนูไม่หนาวหรอกค่ะ”
พอเข้ามาที่ห้องโถง ก็มีสาวรับใช้โค้งตัวทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียงกัน “คุณหญิงน้อย”
มู่น่อนน่อนอึ้งไป กลุ่มสาวใช้ยังงั้นเหรอ?
บทที่218 ฉันรักเขามากต่างหาก
มู่น่อนน่อนออกคำสั่งทันที “ไปส่งโรงพยาบาล”
บอดี้การ์ดได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ขยับทันที แต่ว่าก็หันไปมองเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวมองหน้าบอดี้การ์ด “ไม่ได้ยินคำสั่งของคุณหญิงน้อยเหรอ? พาเธอไปโรงพยาบาล! ”
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงของเขา แล้วก็หันหน้าไปมองหน้าเขา
เฉินถิงเซียวหรี่ตา เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับ สีหน้าที่เรียบเฉยของเราดูน่ากลัวเล็กน้อย และก็ทำให้คนเดาไม่ถูกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
มู่น่อนน่อนมองเขา อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ว่าก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
อุบัติเหตุทางรถยนต์ก่อนหน้านี้ มู่น่อนน่อนก็คิดอยู่แล้วว่าผู้ก่อเหตุอาจจะเป็นมู่หวั่นขี
อย่างไรก็ตาม คนที่อยากจะเห็นเธอตายมากที่สุด ก็คือมู่หวั่นขี
แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มู่หวั่นขีพยายามจะฆ่าเธอ
เธอเดาได้ว่าเฉินถิงเซียวต้องรู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่ามู่หวั่นขีเป็นผู้ก่อเหตุ และก็ไม่มีวันปล่อยมู่หวั่นขีไปอย่างแน่นอน
แต่ว่า ตอนที่เธอเห็นวิธีที่เฉินถิงเซียวมากับมู่หวั่นขีนั้น เธอก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
อย่าว่าแต่มู่หวั่นขีเลย ไม่ว่าจะใครก็ตามตอนที่กำลังมีสติอยู่นั้น ถ้าเกิดว่าถูกคนเอามีดกรีดเนื้อของตัวเอง ก็รับไม่ได้หรอก
“ครับ”
บอดี้การ์ดได้รับคำสั่งจากเฉินถิงเซียว ก็ประคองมู่หวั่นขีขึ้นมาจากพื้นแล้วก็พาออกไปข้างนอกทันที พาเธอไปส่งโรงพยาบาล
สือเย่เดินตามออกไปอย่างช่างสังเกต เหลือเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนไว้ในห้องเพียงสองคน
ไฟในห้องสว่าง แล้วก็เต็มไปด้วยกลิ่นเลือด
มู่น่อนน่อนหันหน้ามา ก็เห็นเนื้อของมู่หวั่นขีที่ถูกบอดี้การ์ดพวกนั้นหั่นออกมา
“อ้วก……”
ความรู้สึกคลื่นไส้พลุ่งพล่าน กระเพาะอาหารปั่นป่วน มู่น่อนน่อนเบะปากโค้งตัวเตรียมจะอาเจียน
เฉินถิงเซียวลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที เดินเข้าไปประคองมู่น่อนน่อน ขมวดคิ้วแล้วก็ลูบหลังให้เธอ แล้วก็พูดด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ “พวกเราออกไปก่อน”
มู่น่อนน่อนรู้สึกทรมานอย่างมาก แล้วก็เดินตามเฉินถิงเซียวออกไปอย่างเชื่อฟัง
เฉินถิงเซียวกอดมู่น่อนน่อนแล้วเปิดประตูเดินออกไป แล้วก็เจอกับซือเฉิงหยู้ที่ไม่รู้ว่ายืนอยู่หน้าประตูนานแค่ไหนแล้ว
ซือเฉิงหยู้ใส่สูทสีกำ สวมเสื้อเชิ๊ตสีขาวด้านใน ดูอ่อนโยนและสง่างาม บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่อ่อนโยนอยู่เสมอ
ก่อนหน้านี้ เพราะว่าท่าทางที่อ่อนโยนและดูไม่เป็นอันตรายของซือเฉิงหยู้เนี่ยแหละ ทำให้มู่น่อนน่อนไม่เพียงแต่ดูหนังของเขา แถมยังเป็นแฟนคลับเขาอีกด้วย
แล้วยิ่งตอนนี้เห็นท่าทางของซือเฉิงหยู้ตอนนี้ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
สายตาซือเฉิงหยู้กวาดไปมองที่พวกเขาสองคน ยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ถิงเซียว ฉันขอบคุณมากที่นายปล่อยหวั่นขีไป”
น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนเหมือนโดน เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นยังงั้น
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว ซือเฉิงหยู้กำลังจงใจกวนประสาทเฉินถิงเซียว
เธอจับมือเฉินถิงเซียว แล้วก็มองหน้าซือเฉิงหยู้อย่างเย็นชา “มู่หวั่นขีจะได้รับบทลงโทษที่เธอควรจะได้รับ เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับว่าพวกเราจะปล่อยหรือไม่ปล่อยเธอไป”
“น่อนน่อนพูดแบบนี้ ก็ถือว่าจริงอยู่” รอยยิ้มในแววตาของซือเฉิงหยู้นั้นลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิม ลึกจนแปลกประหลาด
คำพูดของเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และถามเธอว่า “นี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอเห็นวิธีการที่ถิงเซียวจัดการอะไรสินะ ถึงแม้ว่าวิธีการของเขาจะดูโหดร้าย แต่เขาก็ทำเพราะเธอนะ เธออย่ากลัวเขาเพราะเรื่องนี้เลยนะ”
ภายใต้แววตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของซือเฉิงหยู้นั้น ซ่อนเร้นไปด้วยความอาฆาตพยาบาท
ก่อนหน้าที่มู่น่อนน่อนจะแต่งงานกับเฉินถิงเซียวนั้น ก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
สาวน้อยที่อาศัยอยู่โลกที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรือง อย่างมากก็แค่โดนมีดบาดนิ้วตอนหั่นผัก จะเคยเห็นวิธีการที่โหดร้ายแบบเฉินถิงเซียวที่ไหนกัน แน่นอนว่าต้องรู้สึกกลัวอยู่แล้ว
ซือเฉิงหยู้เคยติดต่อกับมู่น่อนน่อนหลายครั้งขนาดนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้จักมู่น่อนน่อนเป็นอย่าง
เขาคิดว่า หลังจากผ่านเรื่องนี้ไป มู่น่อนน่อนต้องกลัวเฉินถิงเซียวอย่างแน่นอน
แต่ว่าเขาไม่รู้ว่า เฉินถิงเซียวในใจของมู่น่อนน่อนนั้น เป็นคนที่โหดร้ายและมีจิตใจลึกล้ำตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ดังนั้น ไม่ว่าเฉินถิงเซียวจะทำเรื่องแบบไหน ถึงแม้ว่ามู่น่อนน่อนจะแปลกใจก็ตาม แต่ว่าเธอก็ไม่ได้กลัวเฉินถิงเซียวอย่างที่ซือเฉิงหยู้คาดหวังหรอก
บางทีเธออาจจะรู้สึกกลัวเฉินถิงเซียวอยู่เล็กน้อย แต่ว่าเธอก็ไม่ได้กลัวเฉินถิงเซียวเหมือนที่ซือเฉิงหยู้คิดหรอก
มู่น่อนน่อนหัวเราะเบาๆ มีความจริงใจในน้ำเสียงของเธอ “ในเมื่อพี่ชายพูดแบบนี้แล้ว เฉินถิงเซียวทำเรื่องพวกนี้ก็เพราะว่าฉัน แล้วฉันจะกลัวเขาเพราะเรื่องนี้ได้ยังไงกัน? ฉันรักเขามากเลยต่างหาก”
ซือเฉิงหยู้ไม่เคยคิดเลยว่า มู่น่อนน่อนจะตอบเขาแบบนี้
สีหน้าของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไป แล้วก็พูดออกมาสองคำอย่างเยือกเย็น “งั้นเหรอ? ”
“นั่นมันแน่นอน”มู่น่อนน่อนเลิกคิ้ว มองหน้าซือเฉิงหยู้อย่างยั่วเย้า
ซือเฉิงหยู้กระตุกมุมปาก “งั้นฉันจะรอดู”
หลังจากพูดประโยคนั้นจบ เขาก็หันหลังแล้วก็เดินจากไป
พอเขาไปแล้ว มู่น่อนน่อนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ยกเท้าขึ้นแล้วก็เดินต่อไป
แต่ว่า เธอเดินไปไหนไม่ได้ เพราะว่าผู้ชายข้างๆ ดึงมือของเธอไว้
เธอหันหน้าไป ก็เห็นเฉินถิงเซียวจ้องหน้าเธอด้วยสายตาที่แผดเผา
ดวงตาของเขาเหมือนกับว่ามีเปลวไฟเล็กๆ สองกองอยู่ด้านใน
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว “เป็นอะไรไป? ”
เฉินถิงเซียวบีบมือเธอ แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนอย่างหาได้ยาก “พูดอีกรอบซิ”
พูดอีกรอบงั้นเหรอ?
มู่น่อนน่อนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เลยจำเป็นต้องพูดอีกรอบ “นายเป็นอะไรไป? ”
“ประโยคก่อนหน้านี้” ท่าทางของเฉินถิงเซียวดูอดทนมาก สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยการรอคอย
“ก่อนหน้านี้ฉันพูดอะไรไปตั้งเยอะแยะ ฉ้นจะรู้ได้ยังไงว่านายให้พูดประโยคไหน? ” ตอนที่มู่น่อนน่อนเถียงกับซือเฉิงหยู้ก่อนหน้านี้นั้น คิดอะไรก็พูดยังงั้นเลย ไม่ค่อยรู้จริงๆ ว่าเขาอยากให้เธอพูดประโยคไหน
เฉินถิงเซียวเม้มปาก ดูเหมือนว่ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
แต่ว่า ต่อมา เฉินถิงเซียวก็จับหน้ามู่น่อนน่อนขึ้นมาแล้วก็จูบเธอ
ปฏิกิริยาโต้ตอบแรกของมู่น่อนน่อนนั้นก็คือ ตอนนี้ดูเหมือนกับว่าจะอยู่ตรงทางเดินหน้าประตูห้อง
เธอต้องรักษาภาพลักษณ์ และแน่นอนว่าเธอไม่ต้องการจูบให้คนอื่นเห็นในพื้นที่สาธารณะ
แล้วอีกอย่าง ตอนนี้เธอกับเฉินถิงเซียวยังมีความขัดแย้งกันอยู่
และเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้สนใจการปฏิเสธของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว จูบของเขานั้นทั้งอ่อนโยนและเอาแต่ใจ จูบจนมู่น่อนน่อนขาอ่อน เขาถึงยอมปล่อยมือไป
เขายังคงรู้สึกอยากจะต่อ นิ้วที่เรียวยาวของเขาแตะลงที่ริมฝีปากของมู่น่อนน่อนเบาๆ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะจิกเบาๆ
มู่น่อนน่อนหอบ ตอนที่เงยหน้าขึ้นมานั้น สิ่งแรกที่เห็นก็คือดวงตาสีหมึกของเฉินถิงเซียวนั้นเปล่งประกาย ข้างในนั้นสว่างไสวราวกับว่ามีดวงดาวประดับอยู่
มู่น่อนน่อนคิดอยากสับสน สรุปแล้วเมื่อกี้เธอพูดอะไรไป ถึงทำให้เฉินถิงเซียวดีใจจนเป็นขนาดนี้ได้?
เหมือนกับว่า……
——ฉันจะกลัวเขาเพราะว่าเรื่องนี้ได้ยังไง?
ไม่ใช่ประโยคนี้ ไม่ดีเท่านั้น
เธอเคยเห็นเฉินถิงเซียวจัดการกับผู้ลักพาตัวสองคน ก็ไม่ได้แสดงออกว่ากลัวเขา ปฏิกิริยาของเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ น่าจะไม่ใช่เพราะว่าเหตุผลนี้
หลังจากนั้น ก็เหมือนกับว่าเธอยังพูดอีกประโยคหนึ่ง……
ตอนที่มู่น่อนน่อนนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดอะไรไปนั้น ก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาทั้งตัวทันที
ลึกๆ แล้วเธอก็เป็นคนที่ปกป้องเขา ไม่ว่าระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวจะขัดแย้งกันขนาดไหน เธอสามารถบ่นเขาได้ ไม่สนใจเขาได้ แต่ว่าคนอื่นไม่มีสิทธิบอกว่าเขาไม่ดี
บทที่217 ยังอยู่ไหม?
จนถึงตอนที่มู่น่อนน่อนวางสายไป เฉินถิงเซียวถึงได้เอ่ยปากถามเธอ “ยังจะไปโรงแรมจีนติ่งไหม”
ใบหน้าของเขาดูเรียบเฉย ไม่ได้ดูสุขหรือทุกข์ เหมือนกับว่าไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย
ตอนนี้เธอท้องมันก็ตรงกับความต้องการของเขาไม่ใช่เหรอ? แล้วตอนนี้ทำสีหน้าแบบนี้มันหมายความว่ายังไงกัน?
“ไปสิ” มู่น่อนน่อนเอียงศีรษะพิงพนักเก้าอี้ สีหน้าดูขี้เกียจ
เธอบอกเสิ่นเหลียงตั้งแต่แรกแล้วว่าจะไปเจอกันที่โรงแรมจีนติ่ง ออกก็ออกมาแล้ว ก็ต้องไปเจอกันหน่อยสิ
……
หน้าประตูโรงแรมจีนติ่ง
มู่น่อนน่อนลงจากรถ ก็เห็นรถของเสิ่นเหลียง
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเสิ่นเหลียง “ลงจากรถแล้วเข้าไปข้างในเถอะ ฉันเห็นเธอแล้ว”
ต่อมา เสิ่นเหลียงก็เปิดประตูแล้วลงมาจากรถ สวมใส่แว่นกันแดดและหน้ากากอนามัย ท่าทางอุปกรณ์แน่นหนามาก
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวก็ตามเข้าไปที่โรงแรมจีนติ่ง
พอเสิ่นเหลียงเข้าไปที่โรงแรมจีนติ่ง ถอดหน้ากากและแว่นกันแดดออก ตอนที่หันกลับไปมองมู่น่อนน่อนนั้น ดวงตาก็เป็นประกาย แล้วก็วิ่งเข้ามาหาเธอ
“น่อนน่อน เธอ……”พูดมาได้ครึ่งหนึ่ง เธอถึงได้สังเกตเห็นว่าด้านหลังของมู่น่อนน่อนมีเฉินถิงเซียวอยู่ด้วย
เธอหยุดพูด แล้วก็เรียกอย่างโกรธเคือง “หัวหน้าใหญ่”
“อืม” เฉินถิงเซียวตอบรับนิ่งๆ สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเท่าไหร่นัก
เขาหันกลับไปมองมู่น่อนน่อน “พวกเธอเข้าไปในห้องวีไอพีก่อนเถอะ”
และก็ไม่รอให้มู่น่อนน่อนตอบ เขาก็หันหลังเดินออกไป
พอเขาไปแล้ว เสิ่นเหลียงถึงได้รู้สึกโล่งอก แล้วก็เอ่ยปากถามมู่น่อนน่อน “นี่มันเรื่องอะไรกัน? ก่อนหน้านี้หัวหน้าใหญ่อยากจะให้เธอท้องให้ได้ไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้เธอท้องแล้ว ทำไมเขาดูไม่มีความสุขล่ะ? ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ผู้ชายคนนี้เดาใจยากกว่าผู้หญิงอีก” มู่น่อนน่อนโบกมือ “ฉันจะไปรู้ได้ไงว่าเขาคิดอะไร”
เสิ่นเหลียงได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป เธอหันมาสังเกตสีหน้าของมู่น่อนน่อนดีๆ พอเห็นท่าทางที่ไม่แคร์ของเธอแล้ว ก็ลองเอ่ยปากถามว่า “เธอกับหัวหน้าใหญ่ยังไม่ได้ดีกันอีกเหรอ? ”
มู่น่อนน่อนถามเธอกลับ “พวกเรามีปัญหาอะไรกันเหรอ? ”
ระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวนั้นมีปัญหากันจริงๆ เดิมทีมันเป็นแค่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับซือเฉิงหยู้เท่านั้น แล้วมันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่แก้ไขไม่ได้ แต่ว่าตอนนี้ดูเหมือนกับว่ามันจะซับซ้อนขึ้นมากกว่าเดิม
เสิ่นเหลียงส่ายหน้า “บอกไม่ถูก รู้สึกได้ว่าพวกเธอแปลกๆ ”
มู่น่อนน่อนยกมุมปาก หลุบตาลงเพื่อปิดบังความรู้สึกในดวงตา
……
หลังจากที่เฉินถิงเซียวแยกกับมู่น่อนน่อนแล้ว ก็เดินไปยังห้องของเขาที่โรงแรมจีนติ่ง
หน้าประตูห้องนั้นมีบอดี้การ์ดเฝ้าอยู่ สือเย่เป็นคนพามา
พอบอดี้การ์ดเห็นเฉินถิงเซียว ก็ก้มหัวทักทายพร้อมกันด้วยความเคารพ “คุณผู้ชาย”
และบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ข้างประตูก็เปิดประตูให้เขา
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไป
สือเย่เห็นเฉินถิงเซียวเข้ามา ก็รีบก้มหัวทำความเคารพทันที
“ไหน? ” เฉินถิงเซียวมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นคนอื่นอยู่ที่นี่
สือเย่เดินสองก้าวไปยังมุมห้อง แล้วก็ดึงผู้หญิงที่หดตัวอยู่ใต้โต๊ะออกมาพร้อมกับโยนเธอไปตรงหน้าของเฉินถิงเซียว
ก่อนหน้านี้เขาออกคำสั่ง ให้พวกเขานำตัวผู้กระทำผิดมา แล้วรอให้เขามาจัดการ
รถคนนั้นไม่ได้ชนมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียว สุดท้ายก็ชนเข้ากับรั้วกั้นที่ลานจอดรถ ช่วงหน้าของรถผิดรูป แน่นอนว่าคนบนรถก็ได้รับบาดเจ็บ
ใบหน้าของผู้หญิงคนนี้เต็มไปด้วยเลือด ผมก็เปื้อนเลือดมากมาย ในเวลานี้มันแห้งและแข็งตัวอยู่บนเส้นผมของเธอหมดแล้ว ผมพันกันเหมือนเชือกป่าน
ต่อให้เป็นแบบนี้ เฉินถิงเซียวก็ยังจำผู้หญิงตรงหน้าได้ในพริบตาเดียว
เฉินถิงเซียวก้าวขึ้นไปด้านหน้าหนึ่งก้าว มองไปที่เธอด้วยสายตาที่มืดมน เสียงน่ากลัวมากเหมือนกับยมราชที่ออกมาจากนรก “มู่หวั่นขี ไม่เจอกันนานเลยนะ”
มู่หวั่นขีตัวสั่น พูดไม่ปะติดปะต่อกัน “ขอ……ขอโทษ……ขอ ฉัน……คุณ……มู่……”
เธอพูดไปด้วย พร้อมกับตัวสั่นแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียว แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พยายามร้องขอความเมตตา แต่ว่าเพราะว่ากลัวมากเกินไป แม้แต่ประโยคเดียวเธอก็พูดไม่ชัดเจน
ความอดทนของเฉินถิงเซียวที่หาได้ยากกับคนที่ไม่ใช่มู่น่อนน่อน เขาไม่พูดอะไร มองดูมู่หวั่นขีตัวสั่นพูดจาไม่ต่อเนื่อง
สีหน้าดูเย็นชาและไม่แยแส
หลังจากผ่านไปสองนาที เฉินถิงเซียวก็รู้สึกว่าน่าเบื่อแล้ว โบกมือเรียกบอดี้การ์ด “เอามีดมา”
พอมู่หวั่นขีได้ยินคำพูดของเขานั้น ก็ตัวสั่นอย่างรุนแรง แต่ว่าก้สามารถพูดได้ชัดเจนอย่างน่ามหัศจรรย์
“ฉันขอโทษ……มันจะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว……ฉันจะไม่ต่อต้านมู่น่อนน่อนอีกแล้ว……คุณปล่อยฉันไปเถอะนะ……ฉันขอร้องปล่อยฉันไปเถอะ……”
มู่หวั่นขีเสียเลือดไปมาก เมื่อกี้รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย แต่ว่าตอนนี้เธอมีสติเต็มที่แล้ว
“ไม่ต้องกลัวขนาดนี้หรอก” เฉินถิงเซียวก้มตัวลง ดวงตาของเขามืดมน เสียงต่ำลงเล็กน้อย “เธออยากจะชนมู่น่อนน่อนให้ตาย แต่ว่าฉันไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น ฉันไม่ฆ่าเธอหรอก”
“ไม่!! ”มู่หวั่นขีกลัวจนร้องออกมา
เฉินถิงเซียวไม่ฆ่าเธอก็จริง แต่ว่าเขาจะทำในสิ่งที่ทำให้เธอทรมานมากกว่าการที่ฆ่าเธอซะอีก
“มันไม่ใช่ครั้งแรก เธอต้องชินได้แล้ว” เฉินถิงเซียวค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างสบายๆ แล้วก็มีบอดี้การ์ดถือเก้าอี้มาไว้ด้านหลังของเขา
เฉินถิงเซียวนั่งลงไป
มู่หวั่นขีสวมใส่ถุงน่องและกระโปรง บอดี้การ์ดถือมีดมา แล้วก็ตัดถุงน่องของเธอเบาๆ
มู่หวั่นขีดวงตาเบิกโพลง ร่างกายก็ชักขึ้นมาทันที “ไม่เอา! อย่าทำแบบนี้กับฉัน!! อ้าย!!! ”
บอดี้การ์ดถือมีด แล้วก็ค่อยๆ กรีดเข้าไปที่น่องของมู่หวั่นขี กรีดเข้าไปทีละชั้นๆ
มู่หวั่นขีนั้นเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการมาตั้งแต่เด็ก ได้รับความรักและทะนุถนอมจากตระกูลมู่ ทนความลำบากไม่ได้แม้แต่นิดเดียว แล้วจะมาทนต่อการโดนทรมานแบบนี้ได้ยังไงกัน
ครั้งก่อนที่เธอโกหกสื่อเพื่อชี้แจงเรื่องทะเบียนสมรสนั้น เฉินถิงเซียวก็ใช้วิธีนี้เพื่อเป็นการบังคับ
ผู้หญิงไม่มีสมองอย่างมู่หวั่นขีนี้ จัดการง่ายเกินไปแล้ว
มู่หวั่นขีเอาแต่กรีดร้อง เฉินถิงเซียวพูดเรียบๆ ว่า “เสียงดังจัง”
หลังจากนั้น ปากของมู่หวั่นขีก็ถูกปิด ทำได้เพียงแค่ส่งเสียงครวญครางอย่างไม่ชัดเจนเท่านั้น
สือเย่ยืนอยู่ด้านข้าง กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาก็กระตุก สุดท้ายเขาก็เม้มปากแล้วก็มองไปทางอื่น
ตอนที่มู่หวั่นขีเจ็บปวดมากจนกำลังจะหมดสติไปนั้น จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก
สือเย่ใจเต้น ใครช่างกล้าไม่ดูสถานการณ์ ผลักประตูเข้ามาตอนนี้?
“เฉินถิงเซียว!”
พอสือเย่ได้ยินเสียงนั้น ก็แอบร้องซวยอยู่ในใจ
นอกจากมู่น่อนน่อนยังจะมีใครกล้าเรียกชื่อของเฉินถิงเซียวอีก
มู่น่อนน่อนพุ่งเข้ามา แล้วก็วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวอยู่ต่อหน้ามู่หวั่นขีที่กำลังจะเป็นลม แน่นอนว่ามู่น่อนน่อนต้องเห็นสภาพของมู่หวั่นขีในตอนนี้
มู่หวั่นขีพึ่งจะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เล็กๆ มา หลังจากนั้นก็ถูกเฉินถิงเซียวทำให้กลัวจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง ตอนนี้เธอโดนทรมานจนดูไม่เหมือนคนแล้ว
มู่น่อนน่อนเองก็ตกใจกับสภาพของมู่หวั่นขีในตอนนี้ หลังจากผ่านไปหลายวินาทีเธอถึงตั้งสติได้ เอ่ยปากถามบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านข้าง “เธอ……ยังอยู่ไหม? ”
บอดี้การ์ดพยักหน้า “ยังอยู่ครับ”
หลังจากบอดี้การ์ดพูดจบ ก็เงยหน้าไปมองเฉินถิงเซียวอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่มู่น่อนน่อนเข้ามานั้น เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว
บทที่216 ฉันท้อง
เธอเงยหน้าขึ้นมา เห็นสีหน้าของเฉินถิงเซียวดูซบเซา ก็เอ่ยปากถามเขา “นายเป็นอะไรไป? ”
เฉินถิงเซียวอ้าปาก อยากจะพูดอะไรบางอย่าง กลับพบว่าไม่มีเสียงออกมา
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของเฉินถิงเซียว ก็มีความกังวลที่ไม่สามารถปกปิดได้ในน้ำเสียงของเธอ “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ”
ผ่านไปสองวินาที เฉินถิงเซียวถึงได้หาเสียงของตัวเองเจอ “ไม่เป็นไร”
เขาพยายามขยับร่างกายที่แข็งทื่อของตัวเอง แล้วก็พยุงมู่น่อนน่อนให้ลุกขึ้นมา
คนรอบๆ ก็ล้อมเข้ามา เฉินถิงเซียวก็ดึงมู่น่อนน่อนกลับไปที่รถ
เฉินถิงเซียวก็มองไปที่รถที่พุ่งชนเข้ามาผ่านทางหน้าต่างรถ
เมื่อกี้ รถคนนั้นจงใจชน ความเร็วแบบนั้น ต้องเหยียบคันเร่งสุดอย่างแน่นอน ต้องการให้มู่น่อนน่อนถึงแก่ความตาย
แววตาของเขาฉายแววความอันตราย หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาสือเย่ “มาโรงแรมจีนติ่งหน่อย”
หลังจากนั้น เขาก็โทรออกอีกสองครั้ง
มู่น่อนน่อนได้ยินเขาพูดอย่างคลุมเครือว่า “ไม่ต้องแจ้งตำรวจ ส่วนตัว เฝ้าเอาไว้ให้ดี”
หลังจากเขาวางสายแล้ว มู่น่อนน่อนถึงได้มีโอกาสถามเขา “เมื่อกี้……”
“ไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ”เฉินถิงเซียวตัดบทเธอ
เธอสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเฉินถิงเซียวนั้นซีดมากตั้งแต่เมื่อกี้จนถึงตอนนี้ นึกว่าเขามีตรงไหนที่ไม่สบาย แต่ว่าบนร่างกายของเขาก็ไม่มีรอยเลือด แถมเดินก็ปกติ น่าจะไม่ค่อยร้ายแรงเท่าไหร่ ดังนั้นเธอก็ไม่ได้ถามอะไรอีกมากมาย
พอมาถึงโรงพยาบาลแล้ว มู่น่อนน่อนก็ถูกผลักเข้าไปที่ห้องตรวจ
“ตรวจร่างกายแบบเต็มรูปแบบครับ”
มู่น่อนน่อนหันกลับไปมองเขาด้วยความงุนงง “ฉันไม่ได้มีตรงไหนที่รู้สึกไม่สบายนิ ฉันไม่ได้เป็นอะไร……”
เฉินถิงเซียวกลับตอบเธอในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้อง “ถ้าเกิดว่าเธอไม่อยากมีลูก ตอนนี้พวกเรายังไม่ต้องมีก็ได้”
“หะ?”
ครั้งนี้ เขาไม่ได้สนใจความสงสัยของมู่น่อนน่อนอีกต่อไป เร่งให้หมอตรวจร่างกายให้มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนกุมขมับ ปรึกษากับหมอ “คุณหมอคะ ช่างเถอะค่ะ ร่างกายฉันไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยวพอออกไปแล้ว ก็ทำเป็นเหมือนว่าตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วละกัน”
หมอดันแว่นของตัวเอง “เอาแบบนั้นเหรอครับ? ”
“อืม” มู่น่อนน่อนพยักหน้า
ร่างกายของเธอสบายดี เมื่อกี้ก็ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรเลย เธอจำเป็นต้องตรวจร่างกายที่ไหนกัน วุ่นวายจะตาย
หมอขมวดคิ้ว เหมือนกับว่ากำลังคิดถึงความเป็นไปได้ของคำพูดของมู่น่อนน่อน
สุดท้าย ภายใต้สายตาที่คาดหวังของมู่น่อนน่อนนั้น หมอก็ส่ายหน้าด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “ผมไม่กล้า”
น่อนน่อน:“……”ดูไม่ออกจริงๆ ว่าหมอสมัยนี้จะมีจรรยาบรรณขนาดนี้
แล้วหมอก็พูดเสริมเบาๆ ว่า “ที่นี่คือโรงพยาบาลเอกชนในเครือของบริษัทเฉินซื่อ ถ้าเกิดว่าผมกล้าทำแบบนั้น ต้องโดนไล่ออกแน่นอน”
มู่น่อนน่อนรู้ว่าบริษัทเฉินซื่อมีอุตสาหกรรมในเครือมากมาย แต่ไม่คิดว่าจะมีโรงพยาบาลด้วย
ถ้าเป็นแบบนี้ ก็แสดงว่าหมอก็ต้องรู้จักเฉินถิงเซียว แล้วก็รู้ข่าวช่วงนี้ด้วยใช่ไหม?
แต่ว่า หมอคนนี้ก็พูดจาตรงไปตรงมาดี
……
ถึงแม้ว่าจะมีหลายรายการให้ตรวจ แต่ว่ามู่น่อนน่อนก็คือคุณนายน้อยของตระกูลเฉิน ในโรงพยาบาลของตระกูลเฉินนั้น ก็ต้องได้รับการบริการที่เอาใจใส่อยู่แล้ว
คนธรรมดาที่ต้องการตรวจร่างกาย โรงพยาบาลที่ดีหน่อยก็ต้องนัดล่วงหน้า ถ้าตรวจทั้งชุด ต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ว่าผ่านไปไม่นานนั้นมู่น่อนน่อนก็ตรวจเสร็จแล้ว
เฉินถิงเซียวอยู่กับเธอตลอด โชคดีที่ก่อนหน้านี้หมอไม่ได้ช่วยเธอโกหก
มู่น่อนน่อนตรวจร่างกายเสร็จแล้ว แต่ว่าผลยังไม่ออก
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว “นายจะตรวจด้วยไหม? ”
“ไม่ต้องหรอก” เฉินถิงเซียวปฏิเสธออกมาทันที
และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดอะไรขึ้นมาได้ น้ำเสียงก็อ่อนโยนลงมาก “ฉันตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก”
“อ้อ”คิดไปคิดมาก็ใช่เหมือนกัน ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ก็ตรวจสุขภาพประจำปีกันไม่ใช่เหรอ
มู่น่อนน่อนนึกถึงคำพูดที่เฉินถิงเซียวพูดกับเธอก่อนที่เธอจะไปตรวจร่างกาย แล้วก็เอ่ยปากถามเขา “ก่อนหน้านี้ที่นายพูดหมายความว่ายังไง? ”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่ แต่ว่าเสียงของเขาตรึงแน่นอย่างเห็นได้ชัด “ก็ความหมายอย่างที่เธอเข้าใจ”
ช่วงนี้เขาอยากให้เธอตั้งท้อง แม้แต่ไม่ยอมให้เธอออกไปนอกบ้านด้วยซ้ำ แล้วทำไมตอนนี้จู่ๆ ไม่บังคับเธอแล้วล่ะ?
นิสัยที่เปลี่ยนใจง่ายแบบนี้ เข้าใจยากกว่าผู้หญิงอีก
ทั้งสองคนเงียบไปชั่วขณะ
ในตอนนี้เอง หมอก็ออกมาก็พร้อมกับผลตรวจด้วยสีหน้าที่เหมือนมีอะไรอยากจะพูด
เฉินถิงเซียวสีหน้าวิตกกังวล และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีอะไรก็พูดมา”
หมอดันแว่นเล็กน้อย กลืนน้ำลายและพูดอย่างระมัดระวัง “คุณหญิงน้อยสุขภาพแข็งแรงดีมาก คือว่า……”
เฉินถิงเซียวจ้องเขาอย่างเยือกเย็น “พูดให้จบทีเดียวไม่ได้เหรอ? ”
“คือว่าเหมือนว่าเธอจะตั้งท้องครับ แต่ว่าต้องตรวจในส่วนที่เกี่ยวข้องอีกทีหนึ่งถึงจะยืนยันได้”หมอคนนั้นกัดฟันและพูดประโยคหลังออกมาให้จบ หลังจากนั้นก็ก้มหน้าลงไม่กล้าเปล่งเสียงอะไรอีก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอคุณผู้ชายกับคุณหญิงน้อย คุณผู้ชายนั้นช่างเย็นชาและน่ากลัวเหมือนที่คนเขาพูดกันจริงๆ ……
ในห้องนั้นก็เข้าสู่ความเงียบ
สมองของมู่น่อนน่อนนั้นสับสนวุ่นวายไปหมด
เธอท้องยังงั้นเหรอ? หลังจากตอนที่เฉินถิงเซียวบอกว่าถ้าไม่อยากมีก็ยังไม่ต้องมีน่ะเหรอ
“จริงรึเปล่า? หมอแน่ใจนะว่าไม่ได้ดูผิด? ” ถึงแม้ว่าช่วงนี้เธอจะได้รับคำสั่งจากเฉินถิงเซียวไม่ได้ออกไปข้างนอก แต่ว่าช่วงนี้เฉินถิงเซียวก็ไม่เคยทำอะไรแบบนั้นกับเธออีกเลย
หรือว่าเป็นครั้งก่อนๆ ที่ไม่ได้มีการป้องกันยังงั้นเหรอ?
แต่ว่า ทำไมถึงได้ติดง่ายขนาดนั้นล่ะ?
หมอพูดอย่างเคารพว่า “ดังนั้นพวกเราต้องตรวจคุณหญิงน้อยอย่างละเอียด ถึงจะได้ผลลัพธ์ที่แน่นอนได้ครับ”
“ไปเถอะ” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวนุ่มนวลขึ้นเยอะ เต็มไปด้วยความยินดี
มู่น่อนน่อนเม้มปาก ทำได้แต่ไปตรวจอีกครั้งหนึ่ง
สุดท้ายตอนที่ผลออกมานั้น มู่น่อนน่อนก็บื้อไปเลย
“ยินดีด้วยครับคุณผู้ชาย คุณหญิงน้อยตั้งครรภ์จริงๆ ด้วย”
เฉินถิงเซียวรับผลตรวจนั้นมา สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่นัก หลังจากดูเสร็จแล้วก็พยักหน้า “อืม”
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจจะไปสนใจสีหน้าของเขาแล้ว
เธอถูกเฉินถิงเซียวดึงออกมาจากโรงพยาบาลอย่างเหม่อลอย ตอนที่กลับมาถึงรถนั้น จิตใจก็ยังคงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่อยากมีลูกเร็วขนาดนี้ แต่ว่าถ้าเกิดว่าลูกมาแล้ว เธอก็ต้องคลอดเขาออกมา
แต่ว่า ความรู้สึกนี้มันบอบบางเกินไป
สุดท้ายเฉินถิงเซียวก็ชนะอีกแล้ว ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะพูดว่ายังไม่ต้องมีก็ได้
มู่น่อนน่อนหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง เอามือจับหน้าท้องของตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นก็มีเสียงที่ทุ้มต่ำของเฉินถิงเซียวดังขึ้นมาข้างๆ “ไม่ดีใจเหรอ? ”
“นายล่ะ? นายดีใจเหรอ? ” มู่น่อนน่อนหันหน้ามา แล้วก็มองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็ตึง แต่ว่าก็ไม่ได้พูดอะไร
ตอนนี้เอง โทรศัพท์เธอก็ดังขึ้น
เสิ่นเหลียงโทรเข้ามา
“พวกเธอไปไหนกัน? ฉันอยู่ที่โรงแรมจีนติ่งแล้วเนี่ย! ”
“ฉันท้อง”
ประโยคเรียบง่ายของมู่น่อนน่อน กระตุ้นให้เสิ่นเหลียงหลุดคำหยาบออกมา “เชี่ย! เธอพูดอะไรเนี่ย? พูดอีกรอบซิ! ฉันไม่เชื่อ! ”
น้ำเสียงนี้ เหมือนกับกู้จือหยั่นเป๊ะ
มู่น่อนน่อนจำเป็นต้องย้ำอีกรอบ “ฉันท้อง”
พอได้ยินว่าน้ำเสียงของมู่น่อนน่อนไม่ได้ล้อเล่น เสิ่นเหลียงถึงได้เชื่อ
“ถ้ายังงั้น……เธอจะเก็บไว้ไหม?”
“ไม่งั้นล่ะ? ” มู่น่อนน่อนยกมุมปาก คลี่ยิ้มที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
เธอไม่ได้สังเกตว่า เฉินถิงเซียวที่อยู่อีกด้านหนึ่งนั้นบีบมือแน่น
บทที่215 ปล่อยให้จะพูดออกไปและจะทะเลาะกับเขา
มู่น่อนน่อนไม่สงสัยเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าเกิดว่าเธอบอกว่าเธออยากได้ดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า เฉินถิงเซียวก็ต้องคิดหาวิธีเอามันมาให้เธอ
ดูจากความสามารถของเฉินถิงเซียวแล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสามารถเก็บดาวมาให้เธอได้จริงๆ
พอคิดได้แบบนี้ มู่น่อนน่อนก็อดไม่ได้ที่จะขำตัวเอง
เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาด้านล่าง แล้วก็ได้เจอกับอาหู
พออาหูเห็นเธอ ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความสุข “กินอะไรหน่อยแล้วค่อยไปเถอะค่ะ ต่อให้จะออกไปกินข้าวกัน แต่ว่าตอนเช้าคุณยังไม่ได้กินอะไรเลย กินอะไรรองท้องหน่อยเถอะค่ะ”
อาหารที่เธอถือมาเมื่อกี้นี้ เฉินถิงเซียวก็เรียกให้เธอถือกลับไปที่ห้องครัว
หลายวันมานี้มู่น่อนน่อนไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่นัก พออาหูเห็นเธอ ก็ชักชวนให้เธอกินอาหาร
ตัวเธอเองยังรู้สึกสงสัยนิดหน่อย ฝีมือการทำอาหารของอาหูนั้นค่อนข้างดี ทำอะไรก็อร่อย เหมาะกับความอยากอาหารของเธอ
“ค่ะ” มองไปที่แววตาที่เป็นห่วงของอาหู มู่น่อนน่อนก็ไม่อยากจะปัดความหวังดีของเธอ ก็พยักหน้า
มู่น่อนน่อนไปที่ห้องอาหาร เฉินถิงเซียวก็รอเธออยู่ที่ห้องรับแขก
อาหูยกอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ สีสันสดใสและก็มีกลิ่นหอม
เป็นเรื่องยากที่มู่น่อนน่อนจะรู้สึกอยากอาหาร อดไม่ได้ที่จะขยับนิ้วและเริ่มกิน
พอเห็นว่าในที่สุดมู่น่อนน่อนก็มีความอยากอาหารและเริ่มกินข้าว อาหูก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมา
เธอนั่งลงตรงข้ามกับมู่น่อนน่อน มองมู่น่อนน่อนกินข้าวด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน กล่าวด้วยความสะเทือนใจนิดหน่อยว่า “คุณผู้ชายเนี่ย ตอนเด็กๆ นิสัยอ่อนโยนมาก สุภาพอ่อนโยนใครเห็นใครก็ชอบ หลังจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็เปลี่ยนไปจนกลายเป็นแบบนี้ ธรรมชาติแล้วเขานิสัยดี บางครั้งก็สับสนและทำเรื่องที่ไม่ดีลงไปบ้าง คุณก็อย่าเก็บไว้ในใจเลยนะคะ แม้ว่าจะพูดออกไปหรือแม้ว่าจะทะเลาะกับเขา……”
“เด็กคนนั้น ดูเหมือนจะจิตใจเย็นชา แต่ว่าความจริงแล้วนั้น เขาใจดีนะคะ” เหมือนกับว่าอาหูนึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาได้ น้ำเสียงของเธอดูสะเทือนใจมากยิ่งขึ้น
มู่น่อนน่อนหยุดชะงัก รู้สึกร้อนตาเล็กน้อย
แทบไม่เคยมีใครพูดเรื่องนี้กับเธอเลย
ถึงแม้ว่าเสิ่นเหลียงเองจะเป็นห่วงเธอ แต่ว่าเสิ่นเหลียงก็กลัวเฉินถิงเซียวมาก นอกจากจะช่วยเธอด่าเฉินถิงเซียวแล้วนั้น ก็ยังมีความคิดอะไรบางอย่าง
อาหูเคยเห็นเฉินถิงเซียวตอนเป็นเด็ก แน่นอนว่าต้องรู้สึกรักเขา ตอนที่มองเขานั้นเหมือนกับว่ามองลูกของตัวเอง
คำพูดของเธอลึกซึ้งเข้าไปในก้นบึ้งของหัวใจของมู่น่อนน่อน
ตอนที่ทั้งสองคนมองมาที่เธอกับเฉินถิงเซียวนั้น ก็จะเห็นรัศมีของ “คุณผู้ชายตระกูลเฉิน”บนร่างกายของเฉินถิงเซียว พอเป็นแบบนี้แล้วนั้น ไม่ว่าเฉินถิงเซียวจะทำอะไร จะดีกับเธอเหนื่อย หรือว่าทำเรื่องที่มันเกินไป ทุกคนก็จะรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนควรจะคืนดีกับเขา
มีแค่อาหูที่พูดจาแบบนี้ เห็นพวกเขาเป็นแค่คู่รักหนุ่มสาวธรรมดาสองคนเท่านั้น พร้อมกับปลอบใจเธอด้วยคำพูดที่จริงใจ
มู่น่อนน่อนพยักหน้า “ฉันรู้แล้วค่ะอาหู”
เธอรู้ว่านิสัยของเฉินถิงเซียวนั้นไม่ได้เลวร้าย และก็รู้ว่าเขาดีกับเขาที่เขาห่วงใยมากแค่ไหน และก็ยิ่งเข้าใจเกี่ยวกับความนุ่มนวลในหัวใจของเขา
แต่ว่า เรื่องที่เขาทำในครั้งนี้ ไม่สามารถทำให้มู่น่อนน่อนยอมได้ง่ายๆ
ธรรมชาติของมนุษย์นั้นบางทีก็อ่อนแอ ยอมประนีประนอมครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง
แล้วอีกอย่าง เรื่องครั้งนี้ มันเป็นเรื่องของหลักการ
ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวต้องพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ว่าในฐานะทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเฉิน ก็เป็นที่รักและทะนุถนอมของคนมากมาย แน่นอนว่าต้องถูกเลี้ยงมาให้รู้สึกเจ้ายศเจ้าอย่างอยู่แล้ว
แข็งแกร่งและเอาแต่ใจ เรื่องที่กำหนดไว้แล้วก็ต้องทำให้ได้ ไม่สนใจว่าจะถูกหรือผิด
มู่น่อนน่อนจะไม่ตามใจเขาแบบนี้
ครั้งนี้ เธอจะสู้จนถึงที่สุด
แต่ว่า เธอก็รู้สึกสงสัยในสมัยเด็กๆ ของเฉินถิงเซียว “อาหู ป้าเล่าเกี่ยวกับเรื่องตอนเด็กๆ ของเฉินถิงเซียวให้ฉันฟังหน่อยสิคะ”
“ตอนคุณผู้ชายเป็นเด็ก เป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไป ทุกครั้งที่ไปเข้าร่วมงานเลี้ยง คุณท่านจะพาเขาไปด้วย โดยเฉพาะใบหน้านั้น พวกสาวน้อยก็จะชอบมาอยู่รอบๆ คุณผู้ชาย เด็กผู้ชายก็เหมือนกัน……”
พอได้ยินอาหูเล่าเกี่ยวกับเรื่องตอนเด็กของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ายากมากที่จะนึกภาพเด็กที่ทักทายคนอื่นด้วยรอยยิ้ม แถมยังช่วยน้องสาวปอกเปลือกลูกอม กับเฉินถิงเซียวในตอนนี้ที่สามารถทำให้คนหนาวตายได้เพียงแค่มองไปที่คนคนนั้น ว่าเป็นคนคนเดียวกัน
เวลานั้นปล้นหลายๆอย่างไปจริงๆ
มันปล้นความสุขและความเยาว์วัยของคนอื่นไปเสมอ
พออาหูเล่าเกี่ยวกับเรื่องของเฉินถิงเซียวตอนเด็กนั้น ก็หยุดไม่ได้แล้ว มู่น่อนน่อนฟังแล้วก็รู้สึกว่าน่าสนใจ
ทั้งๆ ที่ตอนแรกบอกว่ากินเพื่อรองท้องแล้วค่อยออกไปข้างนอก ผลก็คือกินไปทั้งหมดหนึ่งชั่วโมง
ตอนที่เธอออกมาจากห้องอาหารนั้น ก็เห็นว่าเฉินถิงเซียวงีบหลับอยู่บนโซฟา
ข้อศอกข้างหนึ่งของเขาวางอยู่บนพนักแขนของโซฟา มือเท้าคาง ที่คางของเขานั้นมีเคราอ่อนๆ บางๆ มองไม่ค่อยชัดเท่าไหร่นัก
แต่ว่า ใบหน้าของเขานั้นค่อนข้างจะซีดเซียว
ช่วงนี้มู่น่อนน่อนไม่ค่อยได้มองเฉินถิงเซียวเต็มตาเท่าไหร่ ตอนนี้พอมาตั้งใจมองแล้ว ถึงได้พบว่าเฉินถิงเซียวผอมลงไปนิดหน่อย ทำให้เขาดูเย็นชาและดุร้ายขึ้น
อาจจะเป็นเพราะว่าเธอมองอย่างจดจ่อเกินไป ผู้ชายที่ตอนแรกงีบหลับอยู่นั้น จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา
ดวงตาของเฉินถิงเซียวดูงุนงงครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็นั่งตัวตรงอย่างรวดเร็ว กลับมามีสติเหมือนเดิม “กินเสร็จแล้วเหรอ? ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า
ตอนที่ออกเดินทางนั้น มู่น่อนน่อนก็สังเกตได้ว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้จะเอาบอดี้การ์ดไปด้วย
เฉินถิงเซียวสตาร์ทรถไปด้วย แล้วก็ถามเธอ “อยากไปไหน? ”
มู่น่อนน่อนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พูดว่า “ไปเดินเล่นรอบๆ แล้วกัน”
เฉินถิงเซียวสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม “อืม”
หลังจากนั้น เฉินถิงเซียวก็พาเธอไปที่โรงแรมจีนติ่ง
รถจอดลงที่หน้าประตูโรงแรมจีนติ่ง มู่น่อนน่อนยกมุมปากของตัวเอง แล้วก็ส่งที่อยู่ให้เสิ่นเหลียง“โรงแรมจีนติ่ง”
เสิ่นเหลียงตอบเธอกลับมาเป็นจุดไข่ปลา เห็นได้ชัดว่าเธอเองก็รู้สึกไม่มีอะไรจะพูด
มู่น่อนน่อนถือโทรศัพท์จะตอบข้อความของเสิ่นเหลียง ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่ามีเงาหนึ่งอยู่ด้านข้างของตัวเอง เธอหันไปอย่างหวาดกลัว ก็เห็นเฉินถิงเซียวขยับเข้ามา——ช่วยปลดเข็มขัดให้เธอ
เขามองไปที่เข็มขัดนิรภัยอย่างเดียว ตั้งใจช่วยปลดให้เธอ ไม่ได้มองโทรศัพท์ของเธอเลย แล้วก็ถอยออกไป
มู่น่อนน่อนถอนหายใจเบาๆ ถือโทรศัพท์แล้วก็ลงจากรถ
ที่จอดรถอยู่ตรงกันข้ามกับโรงแรมจีนติ่ง ทั้งสองคนจะไปที่โรงแรมจีนติ่ง ก็ต้องข้ามถนนไป
มู่น่อนน่อนมองซ้ายมองขวา ก็เห็นว่าไม่มีรถขับมา ก็เดินไปข้างหน้าเตรียมจะข้ามถนน
เธอเป็นคนเดินเร็วอยู่แล้ว เฉินถิงเซียวก้าวออกไปเตรียมจะเดินตามเธอให้ทัน ก็หันไปมองด้านข้างเหมือนกับรู้สึกอะไรบางอย่าง ก็เห็นว่ามีรถสีดำคันหนึ่งพุ่งมาที่มู่น่อนน่อนอย่างสูญเสียการควบคุม
ใบหน้าของเฉินถิงเซียวเปลี่ยนไปในทันที แต่ว่าเขาไม่มีเวลาได้คิดแล้ว ร่างกายของเขาตอบสนองไวกว่าสมอง
ตอนที่เขาตอบสนองนั้น ร่างกายของเขาก็ก้าวไปหยุดอยู่ด้านหลังของมู่น่อนน่อน แล้วก็ดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน แล้วทั้งสองคนก็ล้มลงที่พื้นพร้อมกันด้วยความตกใจ
รถบินพุ่งผ่านหัวของทั้งสองคนไป แล้วก็ชนกับรั้วของที่จอดรถ
“เกิดอุบัติเหตุ! ”
“แจ้งตำรวจเร็ว!”
รปภ.ด้านนอกของโรงแรมจีนติ่ง เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เฉินถิงเซียวกอดมู่น่อนน่อนอยู่ รู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นกะทันหัน โลกทั้งใบกลายเป็นความเงียบงันในชั่วพริบตา
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงที่ดังอยู่ข้างหู ถึงได้รู้ตัวว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น
บทที่ 214 ให้ในสิ่งที่เธอต้องการ
มู่น่อนน่อนเริ่มใช้ชีวิตโดยการอยู่แต่บ้าน
ทุกวันเฉินถิงเซียวจะไปบริษัทเฉินซื่อตอนเช้า ตอนบ่ายก็จะเอาเอกสารกลับมาที่บ้าน บอกว่ากลัวเธออยู่บ้านแล้วจะเบื่อก็เลยมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ
ความจริงแล้ว แค่มู่น่อนน่อนเห็นหน้าเขาสีหน้าก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ทั้งสองคนถ้าเกิดว่าไม่คุยกัน ก็ทะเลาะกันไปเลย
แต่ว่าการทะเลาะกันนั้นก็มีเพียงแค่มู่น่อนน่อนคนเดียวเท่านั้นที่ยั่วยุเขา ส่วนเฉินถิงเซียวนั้นก็ไม่เจ็บไม่คันอะไรเลย
“อาหูบอกว่าเธอไม่กินข้าวกลางวันเหรอ? ”
เฉินถิงเซียวกลับมาจากด้านนอก แล้วก็นั่งลงด้านข้างมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนถือโน๊ตบุ้คอยู่ นิ้วเรียวเคาะบนแป้นพิมพ์ เหมือนกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียวยังไงยังงั้น เอาแต่จ้องหน้าจอโน๊ตบุ้คอย่างตั้งใจ
สถานการณ์แบบนี้ไม่ได้พึ่งเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
เฉินถิงเซียวสีหน้ามืดมน เขาปิดจอโน๊ตบุ้คของเธอลง
มีคำเตือนอยู่ในน้ำเสียงของเขา “มู่น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนลองอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเอามือเขาออกได้สำเร็จ เธอหันหน้ามาจ้องเขาด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย “เอามือออกไป ฉันยังพิมพ์ไม่เสร็จเลย”
มือหนาของเฉินถิงเซียวยังคงกดอยู่บนโน๊ตบุ้คของเธอ สีหน้าเย็นชา “ไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ? ”
“ไม่อยากทาน” มู่น่อนน่อนลุกขึ้นแล้วก็เดินผ่านเฉินถิงเซียว แล้วก็ไปนั่งลงตรงโซฟาที่อยู่ห่างจากเขามากที่สุด
เฉินถิงเซียวเม้มปาก ดวงตาของเขาหดลง เหมือนกับว่าพยายามอดทนอยู่ แล้วก็เหมือนว่าสามารถระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
ช่วงนี้ทั้งสองคนไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่นัก มู่น่อนน่อนมีสีหน้าที่ไม่ดีกับเขา เขาเองก็ไม่ปล่อยให้มู่น่อนน่อนออกไปนอกบ้าน ทั้งสองคนไม่มีใครได้ประโยชน์ และก็ไม่มีใครชนะด้วย
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินถิงเซียวก็พยายามประนีประนอม “ฉันพาเธอออกไปเดินเล่นข้างนอกไป”
มู่น่อนน่อนปฏิเสธทันที “ไม่ไป”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวเย็นลงเล็กน้อย สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็หายใจออกอย่างหนัก “ไม่ไปก็ต้องไป! ”
น้ำเสียงของเขาค่อนข้างจะรุนแรง มู่น่อนน่อนยังคงรู้สึกกลัวเขาอยู่บ้าง เธอตกใจจนตัวสั่นเล็กน้อยเพราะน้ำเสียงของเขา
เฉินถิงเซียวเห็นดังนั้น สีหน้าก็ดูแย่ลงกว่าเดิม ลุกขึ้นแล้วก็เดินออกไปด้านนอก
ด้านนอก
อาหูถือถาดกำลังเดินเข้ามาพอดี บนถาดนั้นมีโจ๊กชามหนึ่งพร้อมกับเครื่องเคียงสองสามอย่าง
เธอเห็นว่าสีหน้าของเฉินถิงเซียวไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ก็เลยถามว่า “ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอคะ? ”
เฉินถิงเซียวยกมือขึ้นมาบีบขมับ เขากัดฟันแล้วพูดว่า “เธออยากจะทำให้ผมโมโหจนตาย! ”
น้อยมากที่อาหูจะเห็นเฉินถิงเซียวเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองออกมาแบบนี้ ก็อึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกอยากจะหัวเราะบ้างอยู่เหมือนกัน
ตอนเป็นวัยรุ่นนั้น เธอเข้ามาที่บ้านตระกูลเฉินเพื่อรับใช้ชีวิตประจำวันของแม่ของเฉินถิงเซียว ก็ถือว่าเธอเห็นเฉินถิงเซียวเติบโตขึ้นมา
หลังจากนั้นก็มีเรื่องคดีลักพาตัว เฉินถิงเซียวก็ถูกส่งออกนอกประเทศไป เธอก็ลาออกจากงานและออกจากบ้านตระกูลเฉิน
แต่ว่า เธอก็คิดถึงเฉินถิงเซียวมาโดยตลอด
ตอนเด็กๆ นั้นเฉินถิงเซียวนิสัยอ่อนโยน เป็นคนสุภาพ ดูดี ผู้ใหญ่เห็นก็รู้สึกชอบ
ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ตอนที่เฉินถิงเซียวมาหาเธอนั้น เธอแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเธอที่มีสีหน้าเย็นชาและดูเศร้าหมองนั้นจะคือคุณผู้ชายของตระกูลเฉิน
อาหูส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วก็พยายามเกลี้ยกล่อมเขา “คุณหญิงน้อยเป็นเด็กที่มีความคิดเป็นของตัวเอง นิสัยก็ดื้อดึงเล็กน้อย คุณไม่ยอมให้เธอออกไป จำกัดเธอไว้แบบนี้ แล้วเธอจะมีความสุขได้ยังไงล่ะคะ? ”
ตอนที่อาหูพูดนั้น ก็พยายามสังเกตท่าทีตอบสนองของเฉินถิงเซียว แต่ว่าก็ไม่สามารถบอกได้จากการแสดงออกของเขาว่าเขากำลังฟังเธออยู่รึเปล่า
เด็กคนนี้ ความคิดช่างลึกซึ้งจริงๆ
ตอนที่เธอคิดว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้ฟังสิ่งที่เธอพูดนั้น จู่ๆ เฉินถิงเซียวก็พูดออกมา “อาหู ถ้าเกิดว่าผมไม่ทำแบบนี้ เธอก็จะไป”
“เกิดอะไรขึ้น? เธอจะไปไหน? ” อาหูฟังแล้วรู้สึกสับสน
ถึงแม้ว่าตอนนี้ทั้งสองคนจะมีความขัดแย้งกันเล็กน้อย แต่ว่าเธอในฐานะคนนอกก็สามารถรับรู้ได้ว่า ทั้งสองคนก็ต่างแคร์กันและกัน
เฉินถิงเซียวกลับไม่ได้พูดอะไรมากมาย
มู่น่อนน่อนเป็นคนดื้อรั้น ในเรื่องของความรู้สึกนั้น เธอไม่สามารถทนให้มีกรวดอยู่ในตาได้
เรื่องของซือเฉิงหยู้นั้น เขาไม่สนใจซือเฉิงหยู้มากเกินไปจริงๆ ทำให้มู่น่อนน่อนต้องถูกถึงเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างรุนแรงแบบนี้
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า เขากำลังใช้เธอ ปล่อยให้เธอต้องติดอยู่ในวังวนของเรื่องอื้อฉาวและข่าวลือ
ส่วนความจริงนั้น……
เฉินถิงเซียวไม่มีทางปฏิเสธได้
การกระทำของซือเฉิงหยู้นั้นผิดปกติอย่างมาก บวกกับวิ่งที่มู่เจิ้งซิวเคยพูดเอาไว้
ถ้าเกิดว่าเป็นกรณีของแม่เมื่อปีนั้น มันเกี่ยวข้องกับคุณป้าเฉินเหลียน ถ้ายังงั้นซือเฉิงหยู้ในฐานะที่เป็นลูกชายของเฉินเหลียน เป็นไปได้ไหมว่าการกระทำที่ผิดปกติของเขาเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในปีนั้นด้วย?
ถ้าคาดการณ์ว่าถ้าเกิดว่าเรื่องราวมันพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ จะส่งผลกระทบกับมู่น่อนน่อน
แต่ว่าถ้าเกิดว่ารีบห้ามตอนนี้ ก็อาจจะพลาดข้อมูลสำคัญไปก็ได้
สุดท้ายแล้ว ความปรารถนาที่จะสืบคดีของแม่นั้นก็ได้เปรียบ
บางที เขาก็คาดหวังว่าคุณผู้หญิงมู่น่อนน่อนคนนี้จะซื่อบื้อกว่านี้หน่อย ถ้าเกิดว่าเป็นแบบนั้นเธอจะได้ไม่ไปจากเขา
ต่อให้เขานั้นทำผิดไป ก็สามารถแก้ไขได้ก่อนที่เธอจะรู้ตัว
ในช่วงเวลานี้ ปฏิกิริยาและพฤติกรรมของเธอนั้น พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เธอมีความคิดที่จะไปจากที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้
เพียงแค่คิด เขาก็ไม่อนุญาต
แค่คิดว่า จะมีวันไหนที่เขากลับบ้านมาแล้วไม่ได้เจอร่างของมู่น่อนน่อน เขาก็รู้สึกเหมือนกับอยู่ในบ้านน้ำแข็ง หนาวเหน็บไปทั้งร่างกาย
เขาคิดอยู่นาน ก็คิดวิธีที่พอจะเป็นไปได้ไม่ออกแล้ว
แถมด้านนอกยังมีผู้ชายที่สนใจมู่น่อนน่อนอยู่อีก
เขาจนปัญญาแล้ว
มันเหมือนกับนักเดินทางที่มาถึงจุดสิ้นสุดของถนน ขอแค่มู่น่อนน่อนตั้งท้องลูกของเขา ก็จะไม่มีวันจากเขาไป
มู่น่อนน่อนไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัวตั้งแต่เด็กๆ ถ้าเกิดว่าเป็นลูกของตัวเอง เธอต้องไม่ยอมปล่อยให้เขาไม่มีพ่ออย่างแน่นอน
ดังนั้น ขอแค่มีลูก เธอก็จะไม่มีวันจากเขาไป
ทุกครั้งที่เขามองแววตาที่ยิ่งนับวันยิ่งเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ ของมู่น่อนน่อนนั้น ใจของเขาก็เริ่มหวั่นไหว
แต่ว่า พอคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ความคิดของเขาก็กลับมาหนักแน่นอีกครั้ง
“เฉินถิงเซียว”
ด้านหลังมีเสียงของมู่น่อนน่อนดังขึ้น เฉินถิงเซียวอึ้งไป รู้สึกเหมือนว่าตัวเองหูแว่วไปเอง
ช่วงเวลาเหล่านี้ มู่น่อนน่อนแทบจะไม่มาคุยกับเขาก่อนเลย
เขาไม่ได้หันไป ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากทางด้านหลังของเขาอีกครั้ง “เมื่อกี้นายบอกว่าตอนบ่ายจะพาฉันออกไปเดินเล่นไม่ใช่เหรอ? ยังยืนยันคำเดิมอยู่ไหม? ”
เฉินถิงเซียวหันกลับไป ก็เห็นมู่น่อนน่อนยืนมองเขาอยู่ข้างประตู
ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เธอ หลังจากนั้นก็พยักหน้าตอบรับ “อืม”
“งั้นรอฉันแป๊บหนึ่ง ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”มู่น่อนน่อนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หันหลังเดินหลับไปที่ห้อง พอปิดประตูห้อง มู่น่อนน่อนก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเสิ่นเหลียง “เมื่อกี้ฉันพูดกับเฉินถิงเซียวแล้ว ตอนบ่ายนี้พวกเราเจอกันที่ไหนดี? ”
เสิ่นเหลียงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดว่า “ไปซูปเปอร์มาร์เก็ต ไปห้าง ไปโรงหนัง แค่เสแสร้งทำเป็นบังเอิญเจอกันก็พอแล้ว”
“โอเค” ช่วงนี้มู่น่อนน่อนอยู่บ้านจนตื่นตระหนกไปหมดแล้ว ไม่ให้เธอออกไปก็ช่างเถอะ แต่ว่าเสิ่นเหลียงอยากจะมาเจอเธอ เฉินถิงเซียวก็ไม่ยอมให้เข้ามาเหมือนกัน
เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรจะปรบมือให้ความระมัดระวังของเฉินถิงเซียว หรือว่าควรจะสงสารตัวเองดี
ข้อดีเพียงอย่างเดียว น่าจะเป็นการที่เฉินถิงเซียวสามารถให้ในสิ่งที่เธอต้องการได้
บทที่213 มีลูกของพวกเรา
มู่น่อนน่อนจำได้ว่าตัวเองเคยซื้อยาคุมสำรองเอาไว้
เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าและนั่งยองๆ ลงหน้าลิ้นชัก พึ่งจะหายาเจอ ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดัง “แกร๊ก”
มู่น่อนน่อนหันกลับไปมอง ในมือของเธอถือขวดยาอยู่ แล้วก็เห็นเฉินถิงเซียวผลักประตูและเดินเข้ามา
เธอตอบสนองอย่างไว แล้วก็แอบเอาขวดยาซ่อนไว้ด้านหลัง “นายอยู่บ้านเหรอ? ”
เธอนึกว่าเฉินถิงเซียวออกไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าเขาจะยังอยู่ที่บ้าน
“หาอะไรอยู่? ” เฉินถิงเซียวเดินเข้ามาหาเธออย่างไม่รีบร้อน
มู่น่อนน่อนซ่อนขวดยาไว้ด้านหลังของตัวเองอย่างแน่นหนา แล้วก็ค่อยๆ ลุกขึ้น “รู้สึกเจ็บคอนิดหน่อย เลยอยากจะหายากิน”
แววตาของเฉินถิงเซียวมีความเข้าใจ เขาพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “กล่องยาไม่ได้อยู่ตรงนี้”
มู่น่อนน่อนตื่นตรงใจเพราะสายตาเขาที่มองมา “อืม”
แต่ว่าเฉินถิงเซียวกลับเดินอ้อมเธอไปอีกฝั่งหนึ่ง “ฉันเอาให้”
แม้ว่ามู่น่อนน่อนจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ว่าก็รู้สึกโล่งอก
ในตอนนี้เอง เฉินถิงเซียวที่กำลังเดินไปด้านหน้านั้น จู่ๆ ก็เดินกลับมา แล้วก็ยื่นมือมาแย่งขวดยาที่มู่น่อนน่อนซ่อนอยู่ในมือไป
เฉินถิงเซียวนั้นว่องไวมาก ไม่ได้ให้โอกาสให้มู่น่อนน่อนได้โต้กลับเลย ก็สามารถแย่งขวดยาในมือของเธอไปได้
“นาย……”มู่น่อนน่อนมองอย่างกระวนกระวายและอ้าปากพะงาบๆ เมื่อเห็นใบหน้าที่มืดมนของเฉินถิงเซียวเธอก็เงียบลงโดยอัตโนมัติ
เฉินถิงเซียวถือขวดยา แล้วก็มองไปที่เธอ “นี่คืออะไร? ”
เขาจ้องมองไปที่มู่น่อนน่อน ร่างกายเขาเหมือนกับคันธนู ที่สามารถระเบิดออกได้ตลอดเวลา
มู่น่อนน่อนกลืนน้ำลาย หันหน้าไปอีกด้านหนึ่ง แล้วก็พูดเบาๆ ว่า “ยาคุม”
“พูดดังๆ หน่อย” เสียงของเฉินถิงเซียวแหบพร่าเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนหันกลับมาแล้วก็ตะโกนใส่เขา “ฉันบอกว่ายาคุม นายไม่ได้ยินรึไง! ”
มือของเฉินถิงเซียวกำขวดยาแน่น ข้อต่อนิ้วของเขานูนออกมา เหมือนกับว่าจะบดขยี้ขวดนั้น
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปหาเขา “เอามาให้ฉัน”
เฉินถิงเซียวเม้มปากแน่น แล้วก็ปาขวดยาในมือนั้นออกไปอย่างรุนแรง
เพราะว่าอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ลมหายใจของเขาก็เลยค่อนข้างหนัก น้ำเสียงดูพยายามอดกลั้น “มู่น่อนน่อน นี่เธอไม่อยากมีลูกของฉันขนาดนั้นเลยเหรอ? ”
“เปล่า แค่ไม่อยากมีตอนนี้เท่านั้นเอง”มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปากของตัวเอง แล้วก็ถอยหลังไปครึ่งก้าว
“ไม่ไปลองชุดแต่งงาน ไม่แต่งงาน ไม่มีลูก ต่อไป ก็คงจะไม่อยากคบกับฉันแล้ว ใช่ไหม? ” เสียงของเฉินถิงเซียวเย็นเฉียบราวกับถูกปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็ง เย็นจนเข้ากระดูก
มู่น่อนน่อนโต้เถียง “เปล่า”
“ถ้าไม่ใช่แล้วจะกินยาทำไม? ” เฉินถิงเซียวมองเธอด้วยใบหน้าซีดเผือด เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาปูดขึ้น เหมือนกับว่าพยายามอดกลั้นจนถึงขีดสุดแล้ว
“ไม่ใช่ว่าไม่อยากมีลูกกับนาย แต่ว่าฉันรู้สึกว่าตอนนี้ยังไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่”
“ไม่ว่าจะช้าจะเร็วก็ต้องมีอยู่ดี จะมีตอนนี้หรือตอนหน้ามันแตกต่างกันยังไง? ”
“ถ้าเกิดว่าฉันท้องตอนนี้ ในอีกปีหรือสองปีข้างหน้าฉันอาจจะไม่สามารถทุ่มเทให้กับงานได้แล้ว”
“เธอพึ่งจะอายุ22เอง มีลูกแล้วค่อยทำงานก็เหมือนกันนั่นแหละ”
“……”มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าถ้าคุยกับแบบนี้ต่อไป ตัวเองไม่มีทางเถียงเฉินถิงเซียวชนะแน่นอน
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกมากุมหน้าผากของตัวเอง พร้อมกับพูดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “นายจะเคารพความคิดของฉันหน่อยไม่ได้เลยเหรอ? ทำไมนายต้องตัดสินใจทุกเรื่องด้วย ฉันเองก็มีความคิดของตัวเอง มีแผนการชีวิตของตัวเอง เรื่องพวกนี้มันสามารถ……” ปรึกษากันได้
เฉินถิงเซียวตัดบทเธอ “แผนการชีวิตของเธอนั้นไม่รวมถึงการมีลูกของพวกเรา”
“ฉันพึ่งจะพูดกับนายว่า……”
“ฉันเข้าใจแล้ว”เฉินถิงเซียวหัวเราะอย่างเย็นชา แล้วก็หันหลังเดินออกไปข้างนอก
แต่ว่าก่อนที่จะออกไปนั้น เขาก็ไม่ลืมที่จะหยิบขวดยาที่เขาปาทิ้งออกไปด้วย
นี่เขากลัวว่าเธอจะกินยาคุมยังงั้นเหรอ?
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่ามันทั้งน่าขำและน่าโมโห
เมื่อกี้เห็นได้ชัดว่าเฉินถิงเซียวโกรธจนแทบจะระเบิด แต่ก็ยังมีอารมณ์หยิบขวดยาออกไปด้วย
……
เฉินถิงเซียวเอายาไปแล้ว มู่น่อนน่อนก็เลยจำเป็นต้องลงมากินข้าวด้านล่าง พอกินข้าวเสร็จก็ออกไปซื้อยาใหม่
พอกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว มู่น่อนน่อนก็เตรียมจะออกไปข้างนอก
แต่ว่าตอนที่เดินไปถึงหน้าประตูนั้น เธอก็ถูกบอดี้การ์ดขวางเอาวไว้ “คุณหญิงน้อย คุณจะไปไหนเหรอครับ? ”
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เธอตอบว่า “จะไปซื้อของนิดหน่อย พวกนายไม่ต้องตามมานะ ฉันไปคนเดียวก็พอแล้ว”
เธอพูดจบ แต่ว่าบอดี้การ์ดที่ขวางทางอยู่นั้นก็ไม่ได้หลีกทางให้
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว สีหน้ามืดลงเล็กน้อย “หมายความว่ายังไง? ”
บอดี้การ์ดพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คุณผู้ชายสั่งเอาไว้ครับว่าถ้าเกิดว่าคุณหญิงน้อยจะออกไปข้างหน้า ให้รอเขากลับมาก่อนแล้วค่อยไปด้วยกัน? ”
“เฉินถิงเซียวสั่งเอาไว้ยังงั้นเหรอ? ”มู่น่อนน่อนสงสัยว่าตัวเองจะฟังผิดไป
บอดี้การ์ดพยักหน้าด้วยความเคารพ “ครับ”
นี่เฉินถิงเซียวกำลังจำกัดเสรีภาพของเธอ ไม่ให้เธอออกไปข้างนอกยังงั้นเหรอ?
มู่น่อนน่อนเม้มปาก แล้วก็โทรหาเฉินถิงเซียว “เฉินถิงเซียวนายเป็นบ้ารึยังไง? ที่ไม่ให้ฉันออกไปข้างนอกมันหมายความว่าอะไร? ”
เทียบกับเสียงที่เย็นและแหลมคมของมู่น่อนน่อนแล้ว น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวนั้นดูสงบมาก “ถ้าจะออกไปข้างนอกรอฉันกลับไปก่อน แล้วจะไปเป็นเพื่อน”
“ใครอยากให้นายไปเป็นเพื่อนกัน ฉันไม่ได้เดินไม่ได้ซะหน่อย! ”
“เชื่อฟังหน่อย”
“ฟังบ้าอะไร! ”ช่วงนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่ค่อยกลมกลืนกันเท่าไหร่ วันๆ เฉินถิงเซียวก็เอาแต่มีสีหน้าเย็นชา มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้อารมณ์ดีเท่าไหร่นัก อดไม่ได้ที่จะระเบิดคำหยาบคายออกมา
ตอนนี้เฉินถิงเซียวจำกัดเสรีภาพของเธอ เห็นเธอเป็นสัตว์เลี้ยงหรือว่ายังไง?
“เดี๋ยวฉันก็กลับไปแล้ว” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวดูสงบมาก ไม่ได้ยินร่องรอยของความโกรธในน้ำเสียงของเขาเลย
มู่น่อนน่อนตัดสายทิ้งด้วยความโกรธ
แน่นอนว่ากลุ่มพวกบอดี้การ์ดรู้ว่ามู่น่อนน่อนโทรหาเฉินถิงเซียว เมื่อกี้เขาก็ได้ยินในสิ่งที่มู่น่อนน่อนพูด ทุกคนลดศีรษะลงอย่างหนาวสั่นและเสแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
มีเพียงแค่คุณหญิงน้อยเท่านั้นที่กล้าพูดอะไรแบบนี้กับคุณผู้ชาย
เฉินถิงเซียวกลับมาอย่างรวดเร็ว
อากาศหนาวเย็นมาก เฉินถิงเซียวสวมใส่ชุดสูทเดินเข้ามาจากด้านนอก บนร่างกายของเขายังมีความหนาวติดมาด้วย
อาหูเห็นว่าเฉินถิงเซียวกลับมา ก็รีบเข้าไปต้อนรับ “คุณผู้ชาย”
เฉินถิงเซียวโบกมือ เป็นสัญญาณให้อาหูออกไปได้
อาหูเองก็รู้ว่าช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ก่อนเดินออกไป ก็แอบมองไปที่พวกเขาด้วยความกกังวล
จนเงาของอาหูหายไป เฉินถิงเซียวถึงได้นั่งลงข้างๆ มู่น่อนน่อน
เขายื่นมือไปกุมมือมู่น่อนน่อนแล้วพูดว่า “อยากจะไปไหน เดี๋ยวฉันพาไป”
มู่น่อนน่อนดึงมือของตัวเองกลับ แล้วก็ถามเขาด้วยน้ำเสียงที่เหน็บแนม “นายวางแผนจะปล่อยฉันออกไปเมื่อไหร่ล่ะ? ”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวเย็นลงเล็กน้อย แต่ว่าก็คลี่คลายลงได้อย่างรวดเร็ว “ช่างนี้เธอไม่ออกไปไหนแหละดีแล้ว”
“นี่นายกลัวว่าฉันจะออกไปซื้อยาคุมงั้นเหรอ? ”มู่น่อนน่อนไม่ได้โง่ เฉินถิงเซียวเอายาของเธอไปเมื่อเช้า พอเธอลงมาก็ให้บอดี้การ์ดมาขวางเธอเอาไว้
เธอจำเป็นต้องยอมรับว่า บางทีเฉินถิงเซียวคนนี้เนี่ยก็ช่างเด็ดขาดและโหดเหี้ยมจริงๆ
เฉินถิงเซียวกะพริบตาเล็กน้อย “ในเมื่อรู้อยู่แล้ว ก็เชื่อฟังหน่อย”
“แล้วถ้าเกิดว่าฉันไม่ล่ะ? ” มู่น่อนน่อนหรี่ตาพร้อมกับมองเขา น้ำเสียงยั่วยุ
“ถ้ายังงั้นฉันก็ต้องใช้วิธีของตัวเอง ให้เธอเชื่อฟังหน่อย” เฉินถิงเซียวพูดอย่างนิ่งเรียบ น้ำเสียงไม่ได้มีอะไรผิดปกติ
แต่ว่าประโยคนี้พอมู่น่อนน่อนได้ยินแล้วนั้น มันกลับทำให้หนังหัวของเธอตึง
นี่เฉินถิงเซียวตั้งใจว่าจะให้เธอตั้งท้องอย่างแน่นอน!
บทที่212 ฉันมีแค่เธอ
ตอนเย็นมู่น่อนน่อนกินไปค่อนข้างเยอะ ตอนนี้อาเจียนรุนแรงมาก ดังนั้นกลิ่นก็เลยไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
ตัวเธอเองไม่ได้กลิ่น แต่ว่าเฉินถิงเซียวรู้สึกได้อย่างชัดเจนมาก
เขาเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย รอจนเธออาเจียนเสร็จแล้ว ก็หยิบกระดาษทิชชูออกมาเช็ดให้เธอ แล้วก็หยิบน้ำขวดหนึ่งมาส่งให้กับเธอ
“ลงรถเถอะ” เสียงของเฉินถิงเซียวสงบลง
เขาเปิดประตูแล้วลงจากรถ ถอดเสื้อคลุมและเสื้อกันหนาวที่เลอะอาเจียนของมู่น่อนน่อนออก เหลือเพียงแค่เสื้อเชิ๊ตบางๆ เท่านั้น
แต่ว่าร่างกายของน่อนน่อนไม่ได้เลอะอะไรเลย
ตอนที่เธอลงจากรถนั้น ก็มีลมเย็นพัดเข้ามา ทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมากอยู่
เธอหันไปมองเฉินถิงเซียวที่สวมใส่เพียงแค่เสื้อเชิ๊ตบางๆ เท่านั้น แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถาม “หนาวไหม? ”
ตอนที่เธอมองไปที่เฉินถิงเซียวนั้น เฉินถิงเซียวก็หันมามองเธอ
พึ่งจะอาเจียนออกไปรอบหนึ่ง ดวงตาของเธอก็ชื้นและขอบตาก็แดงเล็กน้อย มองหน้าเขาด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวพร้อมกับเม้มปาก น่าสงสารมาก
ดังนั้นคำพูดว่า “แล้วเธอคิดว่าไงล่ะ” พอออกจากปากมาแล้วเปลี่ยนเป็นคำว่า “ไม่หนาว”
มู่น่อนน่อนเตรียมใจจะรับคำพูดที่หยาบคายของเฉินถิงเซียวแล้ว หลังจากนั้นก็เตรียมคำพูดว่า “สมน้ำหน้า” แต่ผลก็คือเขากลับบอกว่าไม่หนาว
คุณผู้ชายเฉินนั้นไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ด้วย อุณหภูมิเกือบจะต่ำกว่าศูนย์ ใส่เพียงแค่เสื้อเชิ๊ตบางๆ กลับไม่รู้สึกหนาว
คำว่า “ไม่หนาว” ของเฉินถิงเซียวมันไม่ใช่แค่การพูดส่งๆ ไปเท่านั้น มู่น่อนน่อนนั้นรู้สึกหนาวจนตัวสั่น แต่ว่าเฉินถิงเซียวกลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวเลย
……
รถสกปรกแล้ว มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวเรียกรถแท็กซี่กลับด้วยกัน
ส่วนรถของเฉินถิงเซียวนั้น ก็ให้บอดี้การ์ดไปขับกลับ
พอกลับไปถึงบ้าน เฉินถิงเซียวไปอาบน้ำที่ห้องทำงาน ส่วนมู่น่อนน่อนก็ไปอาบน้ำที่ห้องนอน
ตอนที่มู่น่อนน่อนออกมาจากห้องน้ำนั้น ก็เห็นเฉินถิงเซียวใส่ชุดนอนนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวตรงหน้าหน้าต่าง
ไฟหน้าห้องนอนไม่ได้เปิด มีโคมไฟตั้งพื้นสีเหลืองสลัวอยู่ข้างๆ เขา แสงไฟปกคลุมที่ร่างกายของเขา ทำให้เขาดูอ่อนโยนขึ้นมาก
แต่ว่าไม่มีใครรู้ดีไปกว่ามู่น่อนน่อนหรอก
ว่าความอ่อนโยนทั้งหมดบนร่างกายของเฉินถิงเซียวนั้นมันเป็นแค่เพียงภาพลวงตา
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปหาเขา เตรียมจะนั่งลงข้างๆ เขา
แต่ไม่ทันคิดเลยว่า เธอพึ่งจะเดินเข้าไป ก็ถูกเฉินถิงเซียวดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน
เขาส่งไวน์ที่ตัวเองดื่มไปแล้วจิบหนึ่งให้มู่น่อนน่อน “ดื่มหน่อยสิ”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วแล้วดันออก “ฉันไม่อยากดื่ม” หลังจากอาบน้ำแล้วเธอไม่อยากกินหรือดื่มอะไรอีกแล้ว
เฉินถิงเซียวเองก็ไม่ได้บังคับเธอ เขาจิบด้วยตัวเอง แล้วก็กดลงไปที่ริมฝีปากของเธอ
ยกริมฝีปากของเธอขึ้นมา แล้วก็ส่งผ่านไวน์ในปากของตัวเองเข้าไปในปากของเธอ
มู่น่อนน่อนที่ถูกเขาป้อนไวน์โดยที่ไม่ทันตั้งตัวนั้น เกือบจะสำลัก
เฉินถิงเซียวเอื้อมมือไปลูบผมยาวๆ ของเธอ การเคลื่อนไหวนั้นนุ่มนวลและเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย
หลังจากที่มู่น่อนน่อนฟื้นตัวแล้วนั้น ก็ทุบลงไปที่หน้าอกของเฉินถิงเซียวอย่างไม่เบาไม่หนักเท่าไหร่นัก
เฉินถิงเซียวยื่นมือไปกุมหมัดเล็กๆ ของเธอไว้ หลุบตาเพื่อให้เปลือกตาปกปิดอารมณ์ในดวงตาของตัวเองไว้ น้ำเสียงเย็นชา “เขาคือเหตุผลที่ทำให้เธอทิ้งบอดี้การ์ดเหรอ? ”
คำพูดที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของเขา ทำให้มู่น่อนน่อนงุนงงไปอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้ตอบสนองว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่
“หมายความว่ายังไง? ”เขาบอกว่าที่เธอทิ้งบอดี้การ์ด ก็เพราะว่าจะไปเจอเสิ่นชูหานยังงั้นเหรอ?
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมา แล้วก็มองหน้าเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง “เธออยากไปจากฉัน”
“นายพูดอะไรกัน! ”มู่น่อนน่อนใจสั่น ขมวดคิ้ว “ฉันไม่เข้าใจว่านายกำลังพูดอะไรอยู่”
“เธอไม่ไปถ่ายรูปแต่งงาน เธอไม่อยากแต่งงานกับฉัน”ตอนที่เฉินถิงเซียวพูดอยู่นั้น สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่ แต่ว่ามู่น่อนน่อนสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ตึงเครียดในคำพูดของเขา
“ฉันเคยอธิบายกับนายไปแล้วไง คือว่าฉัน……อุ้บ……”
เฉินถิงเซียวไม่อยากฟังเธออธิบายเลย ในใจของมู่น่อนน่อนคิดอะไรอยู่นั้น เขาเข้าใจดีอยู่แล้ว
เขาจับเอวของมู่น่อนน่อนไว้ด้วยมือเดียว แก้วไวน์ในอีกมือหนึ่งนั้นร่วงลงที่พื้น พื้นนั้นปูด้วยพรม แก้วไวน์ไม่ได้แตก ไวน์ที่ยังดื่มไม่หมดนั้นก็เปื้อนเต็มพรม
เฉินถิงเซียวจับมู่น่อนน่อนที่นั่งอยู่บนร่างกายของเขา เกี่ยวเอวและขาของเธอ ลุกขึ้นพร้อมกับอุ้มเธอไปที่เตียง แล้วทั้งสองคนก็ล้มลงไปบนเตียงด้วยกัน
มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่ เธอหอบแล้วถามว่า “นายหย่ากับมู่หวั่นขีแล้วเหรอ? ”
“อืม” บนหน้าผากของเฉินถิงเซียวมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมา เขาหายใจอย่างหนักหน่วงและตอบคำถามของเธอ
ตอนนี้พวกเขาไม่เหมาะกับการมีลูก
เธอคิดเรื่องพวกนี้อย่างงุนงง สุดท้ายก็ผล็อยหลับไป
เฉินถิงเซียวพลิกตัวลงจากเตียง เอาผ้าเช็ดตัวชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้มู่น่อนน่อน
เขาลดสายตาลง ท่าทางของเขานั้นทั้งนุ่มนวลและเชื่องช้า ตั้งใจเหมือนกับศิลปินที่กำลังรักษาผลงานศิลปะที่ล้ำค่าและหายาก
พอเช็ดตัวให้มู่น่อนน่อนเสร็จแล้วนั้น เขาก็ปัดผมที่เปียกเหงื่อตรงหน้าผากของเธอออก แล้วก็จูบที่หน้าผากของเธอเบาๆ เสียงของเขาเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน “ฉันต้องการแค่เธอเท่านั้น”
มู่น่อนน่อนระหว่างที่สะลึมสะลืออยู่นั้นเหมือนได้ยินใครพูดอะไรอยู่ข้างหู เธอพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งของตัวเองขึ้น ภาพเงาของคนตรงหน้านั้นไม่ชัดเจน แต่ว่าเธอก็รู้ว่าเขาคือเฉินถิงเซียว
เธอง่วงมากจริงๆ พยายามที่จะยกมือขึ้นมา วินาทีต่อมาเธอรู้สึกได้ว่ามือของเธอถูกจับด้วยฝ่ามือที่หนาและอบอุ่น เธอรู้สึกสบายใจ หลับตาลงแล้วก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่จ้างเตียง นั่งจ้องเธออยู่นาน แล้วก็เอามือของเธอวางกลับเข้าไปใต้ผ้าห่ม
……
วัดถัดมา
ตอนที่มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมานั้น ที่ด้านข้างของเธอก็ว่างเปล่า
เธอยื่นมือออกไปลองจับดู ก็พบว่าไม่ได้มีอุณหภูมิอะไรเลย หมายความว่าเฉินถิงเซียวตื่นได้สักพักแล้ว
เธอพยุงตัวเองลุกขึ้นมา พิงหัวเตียงแล้วก็คำนวณระยะวันที่ปลอดภัยของตัวเอง
คำนวณไปมาก็รู้สึกว่าไม่ค่อยตรงเท่าไหร่นัก ถ้ายังงั้นก็ต้องกินยาแล้วล่ะ
เรื่องมีลูกนั้น ตอนนี้เธอยังไม่เคยนึกถึงมาก่อน
นอกจากเรื่องที่ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเธอกับเฉินถิงเซียวยังไม่มั่นคงนั้น เธอเองก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากจะทำ
เธอพึ่งจะอายุ 22ปี ชีวิตของเธอพึ่งจะเริ่มต้นขึ้น เธอไม่ได้มีแม่ที่ดี และบางทีตัวเธอเองก็อาจจะเป็นลูกสาวที่ล้มเหลวด้วย
ต่อให้ตอนนี้จะมีลูก เธอก็ไม่รู้ว่าจะดูแลเขาได้ยังไง
บทที่211 แกมีคุณสมบัติอะไรมาคุยกับฉัน?
มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงสบตากัน เห็นความไม่มีอะไรจะพูดในสายตาของกันและกัน
มู่น่อนน่อนไม่ได้เห็นเสิ่นชูหานมานานมากแล้ว แต่ว่าพอเขาเจอเธอก็มาพูดอะไรแบบนี้ ป่วยทางจิตจริงๆ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน? ”เสิ่นเหลียงบีบแขนมู่น่อนน่อนเบาๆ พร้อมกับกระซิบถาม
มู่น่อนน่อนส่ายหน้าให้เธอ “ฉันรู้ที่ไหนล่ะ ไปกันเถอะ”
เธอเคยชอบเสิ่นชูหานจริงๆ และก็เคยรู้สึกกระวนกระวายเหมือนกวางตัวน้อยกระโดดโลดเต้นไปรอบๆ เมื่อได้เจอเขา
แต่ว่าหลังจากนั้น…… เธอเองก็ไม่ได้ชอบเสิ่นชูหานตั้งนานแล้ว
แต่ว่าเสิ่นชูหานไม่ได้วางแผนจะยอมแพ้แค่นี้ เขาวิ่งไปขวางตรงหน้าของมู่น่อนน่อน ขวางทางของเธอเอาไว้
“น่อนน่อน พวกเรารู้จักกันมาตั้งนานหลายปีขนาดนี้ ฉันเป็นคนยังไง เธอก็น่าจะรู้นะ” เสิ่นชูหานพูดถึงตรงนี้แล้วก็หยุดไป เหมือนกับว่ากำลังพิจารณาคำพูดต่อไปอยู่
วันนี้มู่น่อนน่อนออกมาเพื่อพักผ่อน แต่ว่าการที่เสิ่นชูหานมารบกวนไม่รู้จบแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิด
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็จับผมยาวของตัวเองอย่างหงุดหงิด แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “นายจะเป็นคนยังไงฉันไม่รู้ สิ่งที่ฉันรู้ก็คือ ถ้านายมีอะไรที่อยากจะพูดละก็ไปหามู่หวั่นขีนู่น เธอต่างหากที่เป็นแฟนของนาย”
“เธอไม่ใช่แฟนของฉัน พวกเราเลิกกันแล้ว” เสิ่นชูหานปฏิเสธอย่างชัดเจนมาก
มู่น่อนน่อนยกมุมปาก ทิ่มแทงเขาอย่างไร้ความปรานีว่า “อ้อ พอนายเลิกกับเธอแล้วก็เลยมาหาฉันยังงั้นเหรอ? ฉันเป็นคนเก็บขยะหรือยังไง? ”
“น่อนน่อน!”สีหน้าของเสิ่นชูหานเปลี่ยนไปทันที ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นขมวดคิ้วแน่น เหมือนกับว่าไม่อยากจะเชื่อว่ามู่น่อนน่อนจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา
“ขอโทษด้วยนะ อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่าฉันพูดผิดตรงไหนนะ”มู่น่อนน่อนมองไปที่เขาพร้อมกับยิ้มอย่างเสแสร้ง “นายยังมีอะไรอยากจะพูดอีกไหม? ”
“น่อนน่อน ก่อนหน้านี้พวกเรามีเรื่องเข้าใจผิดกัน แต่ฉันรู้ว่าเธอกับเฉินถิงเซียวไม่ได้แต่งงานกัน ขอแค่เธอยอมห่างจากเขา แล้วมาหาฉัน ฉัน……”
ประโยคหลังของเขายังไม่ทันพูดออกมา ก็ถูกคนหนึ่งพุ่งออกมาจากข้างถนนแล้วก็ปล่อยหมัดเข้าให้ที่ใบหน้าของเขา
เขาไม่ทันได้ระวังตัว ก็ล้มลงไปตรงนั้นแล้วก็เกิดเสียง “ตุ้บ”
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ ทำให้มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงตกใจ
“เสิ่นชูหาน?”มู่น่อนน่อนเรียกชื่อของเสิ่นชูหานออกมาโดยอัตโนมัติ แล้วถึงได้เงยหน้าขึ้นมองคนที่ต่อยเขา
ร่างสูงใหญ่นั่น ถ้าไม่ใช่เฉินถิงเซียวแล้วจะเป็นใครได้อีก?
ใบหน้าที่สง่างามของเฉินถิงเซียวอยู่ห่างจากมู่น่อนน่อนไปสองก้าว ใบหน้าเยือกเย็น ร่างกายของเขามีออร่าความเยือกเย็นที่ห้ามคนเข้าใกล้แผ่กระจายออกมา
มู่น่อนน่อนอึ้งไป แล้วก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา “นายมาได้ยังไง? ”
เสิ่นเหลียงอยู่ตรงหน้าของเฉินถิงเซียว ยังรู้สึกขวัญหนีดีฝ่อมากกว่ามู่น่อนน่อนซะอีก โดยเฉพาะท่าทางที่ห้ามคนเข้าใกล้ของเฉินถิงเซียวแล้วนั้น เธอลูบแขนของตัวเองอย่างร้อนๆ หนาวๆ แล้วก็ค่อยๆ ถอยหลังไปสองก้าว
ในตอนนี้เอง เสิ่นชูหานที่พึ่งจะถูกเฉินถิงเซียวต่อยไปนั้น ก็ลุกขึ้นมาจากพื้นแล้ว เขาขมวดคิ้วพร้อมกับจ้องหน้าเฉินถิงเซียว “เฉินถิงเซียวเหรอ? ”
สถานที่ที่พวกเขาอยู่ในเวลานี้ เป็นมุมหนึ่งในตลาดนัดกลางคืนพอดี แสงไฟสลัว คนผ่านมาก็น้อย ดังนั้นก็เลยไม่มีใครสังเกตเห็นสถานการณ์ในตอนนี้
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเสิ่นชูหานด้วยสายตาที่เยือกเย็น “หุบปาก”
เสิ่นชูหานถูกเฉินถิงเซียวมองจนขนลุกซู่ เขาหุบปากไม่พูดอะไรไปอัตโนมัติ
แต่ว่าพอเขาคิดได้ว่ามู่น่อนน่อนอยู่ตรงนี้ด้วย ถ้าเกิดว่ามากลัวเพราะเฉินถิงเซียวแบบนี้ มันค่อนข้างน่าอายไปหน่อย
เสิ่นชูหานเงยหน้าขึ้นมา ยืดคอแล้วพูดว่า “แกจะมาภูมิใจอะไร? ตอนนี้น่อนน่อนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแก แกมีสิทธิอะไรมายุ่งกับเธอ? ”
มู่น่อนน่อนสงสารเขาจัง
ถึงแม้ว่าบางทีเธอจะกล้าท้าทายเฉินถิงเซียวบ้าง แต่ว่าเธอไม่มีวันท้าทายเขาตอนที่เฉินถิงเซียวกำลังโมโหอยู่อย่างแน่นอน
เสิ่นชูหานหาเรื่องเข้าตัวเองนะ
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วแล้วก็ยิ้มอย่างเย็นชา น้ำเสียงของเขานั้นทั้งเย่อหยิ่งและเหยียดหยาม “แกมีคุณสมบัติอะไรมาพูดกับฉัน? ”
“สวัสดี เธอคือมู่น่อนน่อนใช่ไหม? ”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
ความสนใจของคนอื่นก็ถูกดึงดูดด้วยเสียงนั้น
มู่น่อนน่อนหันหน้าไป ก็พบเด็กผู้หญิงที่ดูเหมือนเด็กมัธยมปลาย
พอเด็กผู้หญิงคนนั้นเห็นหน้าตรงๆ ของมู่น่อนน่อน ก็สาดชานมในมือที่ยังดื่มไม่หมดใส่เธอ “ชั้นต่ำ เป็นชู้เขาแล้วยังบีบบังคับคนที่มาก่อนได้รุนแรงขนาดนั้น เธอจะได้รับผลกรรม……”
ตอนที่เธอพูดนั้น มู่น่อนน่อนก็อึ้งไปเลย
แต่ว่าเฉินถิงเซียวตั้งตัวทันก่อน เขาดึงมู่น่อนน่อนเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง หลบเลี่ยงชานมนั้น
เสียงของเด็กผู้หญิงคนนั้นดึงดูดความสนใจของคนอื่น
พอเห็นว่าคนอื่นเริ่มเดินเข้ามาที่นี่ เสิ่นเหลียงที่เป็นดาราก็ตอบสนองกับเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว เธอพูดกับมู่น่อนน่อนว่า “รีบไปกันเถอะ”
มู่น่อนน่อนมองเสิ่นเหลียง นึกได้ว่าตอนนี้เสิ่นเหลียงก็มีแฟนคลับเยอะมากขึ้น ถ้าเกิดว่าให้คนอื่นเห็นว่าเธออยู่กับเสิ่นเหลียง ต้องไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของเสิ่นเหลียงอย่างแน่นอน
ดังนั้น เธอก็เลยพูดกับเสิ่นเหลียงว่า “พวกเราแยกกันไปเถอะ”
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้นก็มองหน้าเธอ เขาจับมือเธอแล้วก็ดึงเธอเดินไปยังถนนเล็กๆ ข้างๆ
พอเดินผ่านถนนเล็กๆ ไปนั้นก็เป็นถนนที่กว้าง ตรงนั้นมีรถของเฉินถิงเซียวจอดอยู่
เขาเปิดประตูแล้วก็ดันให้มู่น่อนน่อนเข้าไป แล้วตัวเองก็เดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งคนขับ นั่งลงแล้วก็ขับรถออกไป
มู่น่อนน่อนยังไม่ทันจะได้คาดเข็มขัดนิรภัย รถก็พุ่งตัวออกไปราวกับว่าควบคุมไม่อยู่
“อร้าย——”
มู่น่อนน่อนร้องออกมา เธอกำลังพยายามรักษาเสถียรภาพของความเสี่ยง หันไปตะคอกใส่เฉินถิงเซียว “ขับช้าหน่อย! ”
แต่ว่าคำพูดของเธอนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย กลับกันกลับดูเหมือนเป็นการกระตุ้นเฉินถิงเซียวมากกว่าเดิมอีก รถนั้นไม่ใช่เพียงแค่ไม่ได้ขับช้าลง แถมยังเร็วขึ้นอีกต่างหาก
มู่น่อนน่อนเวียนหัวจากการที่ส่ายไปส่ายมา คำพูดก็ไม่ค่อยต่อเนื่องกัน
“เฉิน……เฉินถิงเซียวเฉินถิงเซียว……ฉัน……จะอ้วก……”
เธอพึ่งจะกินอิ่ม แล้วตอนนี้ต้องมาส่ายไปส่ายมาแบบนี้ เธอล่ะอยากจะอาเจียนจริงๆ
ครั้งนี้ ในที่สุดเฉินถิงเซียวก็ค่อยๆ ขับช้าแล้วก็จอดรถ
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปเปิดประตูรถ เฉินถิงเซียวนึกว่าเธอจะหนีไป ก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนแล้วก็ก้มลงจูบเธอ
เขาจูบได้ทั้งหนักหน่วงและรีบร้อน จูบจนปากของเธอชา……
แต่ว่า ตอนนี้เธออยากจะอาเจียนจริงๆ!
มู่น่อนน่อนทุบเขาหลายครั้ง แต่ว่าเขาออกแรงจับเธอไว้ ผลักไม่ออกเลย พื้นที่ในรถก็มีจำกัด เธอไม่สามารถเหยียดมือและเท้าได้
เฉินถิงเซียวยังคงกอดและจูบเธออยู่แบบนั้น
ไม่ง่ายเลยกว่าจะผลักเขาออกได้นิดหน่อย
“อั้ว……”
มู่น่อนน่อนอาเจียนออกมาอย่างทนไม่ได้อีกต่อไป
สัมผัสได้ว่าแขนที่โอบรอบเอวของเธอแข็งทื่อ
แต่ว่าเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้ผลักเธอออกไปอย่างที่เธอคิดเอาไว้ แต่ฝ่ามือที่แนบกับเอวของเธอกลับขยับขึ้นและตบหลังเพื่อช่วยให้เธอสบายขึ้น
ตอนที่ 210 น่อนน่อน เธอต้องการที่จะอยู่กับฉันไหม?
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น พูดด้วยแววตาหนักแน่น “ไม่ไป”
เฉินถิงเซียวสั่นเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนยื่นมืออกไป แล้วเอามือของเขานั้นออกจากคางของเธอ “ไม่ต้องมาจับคางของฉัน มันเจ็บ!”
มู่น่อนน่อนทำท่าทางปฏิเสธอย่างชัดเจน เฉินถิงเซียวถามด้วยความสงสัย “มู่น่อนน่อน เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?”
“ฉันอยากเขียนบทละคร พอดีว่ากำลังมีอารมณ์เขียน” มู่น่อนน่อนผลักเขาและลุกขึ้น จากนั้นก็เดินขึ้นไปชั้นบน
สื่อเผยภาพถ่ายของเธอ เธอไม่ได้ออกจากบ้านหลายวัน
และก็ยังไม่สามารถไปทำงานที่บริษัทเสิ้งติ่งได้
นอกจากตั้งใจเขียนบทละคร เธอก็ไม่รู้ว่าจะสามารถทำอะไรได้อีก
เฉินถิงเซียวจ้องมองมู่น่อนน่อนที่กำลังเดินขึ้นชั้นบนไป และกำหมัดของตัวเองไว้แน่น
……
ด้วยการจัดการของเฉินถิงเซียว ไม่นานนักข่าวของมู่น่อนน่อนก็ค่อยๆหายไป
แน่นอนว่าวงการบันเทิงคงไม่ขาดหายจากข่าวแบบนี้ แต่เมื่อมีข่าวใหม่ประเด็นร้อนเข้ามาก็หายไป
ก็เพราะเหตุผลนี้จึงมีการพาดหัวข่าวประเด็นร้อนมากมาย
แต่สิ่งที่มู่น่อนน่อนคิดไม่ถึงก็คือ ซือเฉิงหยู้โพสต์อธิบายในWeiboถึงเรื่องที่ไปกินข้าวกับเธอ
สร้างเหตุผลมากมายเพื่อให้สถานการณ์ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ
แต่ถึงแม้ว่าชาวเน็ตจะสบายใจแล้ว แต่ชีวิตของมู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
หลังจากที่เรื่องผ่านไปหลายสัปดาห์ เสิ่นเหลียงก็นัดมู่น่อนน่อนออกไปข้างนอก
ครั้งที่แล้วเพราะเรื่องงานแต่งงาน จึงทำให้สงครามเย็นเกิดขึ้น
เฉินถิงเซียวนั้นกำลังยุ่งตลอดทั้งวัน มู่น่อนน่อนก็ยุ่งอยู่กับการเขียนบทละคร
ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะมากินข้าวด้วยกัน จะนอนเตียงเดียวกัน แต่ก็ไม่มีการสื่อสารใดๆ
แต่เมื่อรู้ว่ามู่น่อนน่อนจะออกไปข้างนอก เฉินถิงเซียวก็รีบจัดเตรียมบอดีการ์ดเพื่อไปส่งเธอ
มู่น่อนน่อนยังไม่ทันจะได้คิดก็ปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก ฉันแค่จะไปเดินเล่นที่ห้างกับเสิ่นเหลียงแค่นั้นเอง”
หลังจากที่พูดแบบนั้นออกมา เธอก็รู้สึกเย็นวูบไปทั้งหลัง
มู่น่อนน่อนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็ก้าวเดินต่อไปตามปกติ
แค่รู้สึกสงสารบอดีการ์ด ทุกคนทำได้แค่ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆออกมา
เฉินถิงเซียวสูดหายใจเข้าลึกๆ “เมื่อกี้ฉันพูดว่าอะไร?”
เขากัดฟันอย่างแรงในการที่จะพูดคำแต่ละคำนั้นออกมา บอดีการ์ดกลุ่มนั้นก็ยินตัวสั่น และตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ครับ”
จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปราวกับว่าได้เห็นผี
มู่น่อนน่อนเดินไปถึงแค่ด้านนอกของบ้าน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนวิ่งตามมา
เธอยังไม่ทันจะกลับมา บอดีการ์ดเหล่านั้นก็เดินมาถึงที่ด้านหน้าของเธอ
รถคันหนึ่งมาจอดที่ตรงหน้าเธอ บอดีการ์ดคนหนึ่งก็เปิดประตู “คุณผู้หญิงครับ เชิญขึ้นรถ”
นอกจากบอดีการ์ดคนี้จะเปิดประตูรถแล้ว คนอื่นๆก็ยืนล้อมตัวเธอเอาไว้ราวกับว่ากลัวเธอจะหนีไป
มู่น่อนน่อนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับเรื่องนี้
เจ้านายเป็นอย่างไร ลูกน้องเป็นอย่างนั้นแหละ
ไม่มีเหตุผลเหมือนกันเลย
“พอแล้วๆ แยกย้ายกันไปเถอะ แค่ฉันขึ้นรถก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?” มู่น่อนน่อนพูดจบก็ก้มตัวขึ้นรถไป
บอดีการ์ดทั้งหมด “……” สัมผัสได้ว่าคุณผู้หญิงของพวกเขานั้นจะได้เหตุการณ์นี้ล่วงหน้าอยู่แล้ว
……
เดิมทีมู่น่อนน่อนคิดว่าจะเดินเล่นชิลๆกับเสิ่นเหลียงแบบสบายใจ ผลปรากฏว่าเฉินถิงเซียวนั้นส่งคณะบอดีการ์ดมาเดินตามเธอ
ไม่ว่าตัวของเธอจะเดินไปที่ไหน คนกลุ่มนั้นก็จะตามเธอไปด้วย เมื่อเธอหยุดเดินพวกเขาก็หยุด
เมื่อเสิ่นเหลียงเห็นคนกลุ่มนั้นเดินตามเธอมา ก็เบิกตากว้างโต “นี่เธอออกมาจากพระราชวังหรือไง? ถึงได้มีขบวนติดตามเธอเยอะขนาดนี้?”
มู่น่อนน่อนหันไปมองบอดีการ์ด
เมื่อบอดีการ์ดเห็นว่ามู่น่อนน่อนมอง พวกเขาก็ค่อยๆมองถาม
มู่น่อนน่อนถอยหายใจออกมา “พระราชวังอะไรกันละ นี่มันเห็นได้อย่างชัดเลยจะว่า เฉินถิงเซียวบ้าไปแล้ว”
เมื่อไม่มีทางเลือก ก็ทำได้เพียงเดินเล่นไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ต้องรีบหาร้านอาหารนั่งทานข้าว
เพราะว่าบอดีการ์ดเยอะเกินไป จึงทำได้เพียงหาร้านอาหาร
จากนั้นเธอก็ได้สั่งอาหารให้กับบอดีการ์ดที่ด้านนอก
พวกเขาตามเธอมาตลอดครึ่งวัน ก็รู้สึกหิวไม่ใช่น้อย พอได้นั่งลงก็กินกันอย่างมูมมามทันที
เสิ่นเหลียงเห็นแบบนั้น ก็บอกให้มู่น่อนน่อนไปเปลี่ยนชุด และค่อยๆหนีพวกเข้าออกไป
ทั้งสองคนเดินชอปปิ้งด้วยกัน
ทั้งสองก็ออกจากทางประตูด้านหลังของร้าน และปล่อยให้พวกบอดีการ์ดอยู่ที่นั่น พวกเธอไปตลาดกลางคืนที่ด้านหลังของโรงเรียน
ทั้งสองคนเดินทานอาหารข้างทาง ทานไปด้วยและพูดคุยกันไปด้วย
“บางมีก็คิดถึงชีวิตของมัธยมปลายเหมือนกันเนอะ”
“ทำไมละ?” ปากของเสิ่นเหลียงนั้นเลอะขนมไปหมด เธอเช็ดปากไปด้วยและเอ่ยปากถามไปด้วย
มู่น่อนน่อนหัวเราะออกมา “ชีวิตเรียบง่ายดี”
ชีวิตประจำวันนอกจากเรียนหนังสือ ก็ต้องล่องหนไร้ตัวตนอยู่ในตระกูลมู่ ตอนนี้พอคิดย้อนไปมันก็ไม่ได้แย่
เสิ่นเหลียงได้ยินแบบนั้นก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา เขาโยนเนื้อเสียบไม้ลงในถังขยะทั้งที่ยังทานไม่เสร็จ “ฉันไม่เห็นจะคิดถึงชีวิตตอนช่วงนั้นเลย”
มู่น่อนน่อนกำลังจะถามเหตุผลของเธอ แต่ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“น่อนน่อน”
เสียงของผู้ชายคนนั้นมันดูช่างคุ้นเคย แต่เธอคิดไม่ออกว่าคือใคร
พอหันหลังกลับไป คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเสิ่นชูหานที่ไม่ได้เจอกันมานาน
เมื่อเสิ่นชูหานมองมู่น่อนน่อนเขาก็ยิ้มออกมา
เขาฝ่าฝูงคนและวิ่งเข้ามาหาเธอ พูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น “เป็นเธอจริงๆด้วย!”
ไม่รอให้มู่น่อนน่อนพูด เสิ่นเหลียงก็เดินเข้าไปตัดหน้ามู่น่อนน่อน “เสิ่นชูหานเหรอ? นี่นายมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
ตลาดกลางคืนตรงนี้ไม่ใช่เขตพื้นที่ที่เจริญ ขายของในราคาที่ถูก คนที่แวะมาซื้อของนอกจากจะเป็นกลุ่มชาวบ้าน ก็จะมีกลุ่มนักเรียน แต่เสิ่นชูหานนั้นกลับมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ
เมื่อเสิ่นชูหานได้เห็นเสิ่นเหลียงก็ตกตะลึง “เสิ่นเหลียงก็อยู่ด้วยเหรอ”
เสิ่นชูหานและเสิ่นเหลียงนั้นเป็นญาติกัน แต่สนิทกันมากแค่ไหนนั้นเสิ่นเหลียงก็จำไม่ค่อยได้ แค่ก็เจอกันบ้างในบางครั้งที่งานเลี้ยงหรือการนัดรวมกัน ก็พอรู้จักบ้าง แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้สนิทกันและไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่อกันเท่าไหร่
เสิ่นเหลียงนั้นเกลียดมู่หวั่นขี แต่นอนว่าเธอก็คงไม่ชอบคนที่เคยอยู่ด้วยกันในช่วงเวลาหนึ่งกับมู่หวั่นขี เธอกอดอก ขมวดคิ้วและถามว่า “ฉันถาม นายก็ตอบสิ”
เสิ่นชูหานเห็นว่ามู่น่อนน่อนนั้นไม่พูดอะไรออกมา จึงพยายามอธิบาย “ฉันเห็นพวกเธอก่อนที่จะเข้าไปในร้านอาหาร แต่ไม่ค่อยแน่ใจ ก็เลยแอบตามมา”
เสิ่นเหลียงได้ยินแบบนั้น ก็ถามกลับไป “แล้วจะถามพวกฉันมาทำไม?”
เสิ่นชูหานโดนเสิ่นเหลียงถามจนสีหน้าเปลี่ยนสี แต่ก็ไม่สนใจที่เธอนั้นพูดอีก หันไปมองมู่น่อนน่อนและเอ่ยปากพูด “น่อนน่อน ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ”
“เรื่องอะไร?” มู่น่อนน่อนมองไปที่เสิ่นชูหานอย่างไม่สบอารมณ์
เธอไม่ได้รู้สึกว่าเสิ่นชูหานมีเรื่องอะไรที่จะต้องคุยกับเธอ
เสิ่นชูหานมองไปที่เสิ่นเหลียง แสดงออกทางแววตาอย่างชัดเจน เพื่อให้เสิ่นเหลียงนั้นออกไป
ถ้าเสิ่นเหลียงเดินออกไปสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก
“ถ้าไม่อยากพูด ก็ไม่ต้องพูดนะ” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ดึงเสิ่นเหลียงเพื่อจะเดินออกไป
“เดี๋ยวสิ” เสิ่นชูหานรีบเรียงมู่น่อนน่อนเอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงรีบร้อน “น่อนน่อน เธอต้องการที่จะอยู่กับฉันไหม?”
มู่น่อนน่อน “……”
เสิ่นเหลียง “…
ตอนที่ 209 งานแต่ง
เสิ่นเหลียงยังส่งอิโมจิหน้า “เย็นชา” ให้กับมู่น่อนน่อน “ที่ฉันพูดไป ฉันจริงจังนะ เพราะยังไงตอนนี้สถานะของเธอก็โสด”
เมื่อได้ยินเสิ่นเหลียงพูดอย่างนั้น มู่น่อนน่อนก็คิดถึงเรื่องทะเบียนสมรส
ชื่อที่บนทะเบียนสมรสนั้นคือชื่อของเฉินถิงเซียวกับมู่หวั่นขี
หลังจากที่เธอเข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลเฉิน ก็ยังไม่เคยเห็นทะเบียนสมรมของทั้งสองคนมาก่อน ดังนั้นเฉินถิงเซียวจึงไม่รู้ว่าชื่อในทะเบียนสมรสนั้นเป็นของใคร
แต่รูปภาพใบทะเบียนสมรมใบนั้นคือรูปที่ซือเฉิงหยู้ให้กับมู่หวั่นขี
และมู่หวั่นขีก็ปรากฏตัวในฐานะผู้เคราะห์ที่เป็นเหยื่อ ไม่ว่าเธอจะเคยมีชีวิตส่วนตัวที่วุ่นวายมามากแค่ไหน แต่ในทางกฎหมายแล้วนั้น มู่หวั่นขีก็คือภรรยาของเฉินถิงเซียว และการที่มู่น่อนน่อนมาอยู่กับเขานั้นก็ถูกมองว่าเป็น “เมียน้อย”
เมื่อเสิ่นเหลียงพูดจบ ก็ได้สติและคิดทบทวนว่ามีอะไรที่ตัวเองพูดไม่ถูกต้อง
“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น……” เสิ่นเหลียงพยายามจะอธิบาย
“ไม่เป็นไรหรอก” มู่น่อนน่อนพูดปลอบใจเธอ
หลังจากที่วางสายเสร็จ เธอก็ไปหาเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวไม่ได้ไปทำงานที่บริษัท เพราะกำลังยุ่งกับการจัดการเรื่องของมู่น่อนน่อน
วันแรกที่ข่าวของซือเฉิงหยู้ออกไปว่าเป็นเกย์ วันถัดไปก็มีการประกาศข่าวรักๆใคร่ๆของผู้คนในวงการบันเทิง
วันนี้เป็นวันที่สาม สองวันนี้ที่มีข่าวปรากฏออกมามากมาย ก็เพื่อต้องการจะเบี่ยงเบนความสนใจ จนตอนนี้ไม่มีใครพูดถึงเรื่องมู่น่อนน่อนอีก
แต่ข่าวที่กลายเป็นประเด็นของคือข่าวของดารานักแสดงของบริษัทเสิ้งติ่ง
มู่น่อนน่อนรู้ดีกว่าใคร ว่าทั้งหมดนี้คือฝีมือของเฉินถิงเซียว
ข่าวลือนั้นค่อยๆถูกกลบไป แต่ที่ยังเหลือก็คือเรื่องของทะเบียนสมรส
ช่วงไม่กี่วันนี้การดำเนินชีวิตของมู่หวั่นขีนั้นก็ไม่ง่ายเลย เธอถูกมู่เจิ้งซิวขังไว้ในบ้าน ไม่อนุญาตให้เธอนั้นออกไปไหน และไม่ให้เธอออกไปหาซือเฉิงหยู้ด้วยเช่นกัน
มู่เจิ้งซิวเป็นคนที่เข้มงวด และเขาก็รู้จักนิสัยของมู่หวั่นขีเป็นอย่างดี
ถ้าปล่อยให้เธอออกไปข้างนอกตอนนี้ เธอก็คงปากมากและพูดอะไรออกไปเรื่อยเปื่อย
ตอนนี้เขาแค่ต้องการให้บริษัทมู่ซื่อนั้นสงบสุข ไม่อยากยั่วยุตระกูลเฉินอีกต่อไป
……
ห้องหนังสือของเฉินถิงเซียวนั้นไม่ได้ล็อกประตู มู่น่อนน่อนผลักเข้าไปอย่างเบาๆ ประตูถูกเปิดออก
เธอยังไม่ได้ก้าวเข้าไป ก็ได้ยินเสียงขู่คำรามของเฉินถิงเซียว
“นายคิดว่าในปีนั้นฉันไม่รู้เรื่องระหว่างนายกับแม่อย่างนั้นเหรอ? นายทำเรื่องที่น่าอับอายที่สุดและเข้าไปเอาอกเอาใจมู่เจิ้งซิวอย่างนั้นเหรอ? ตอนนี้กระทั้งเรื่องของทะเบียนสมรมนายก็จะยื่นมือเข้ามายุ่งอย่างนั้นเหรอ”
ในห้องนั้นเปิดไว้เพียงแค่โคมไฟตัวเล็กๆ เฉินถิงเซียวยืนอยู่ที่ระเบียง พูดด้วยน้ำเสียงดุดัน
จู่ๆความรู้สึกของเขาก็ทำให้เขานั้นหันกลับไปมองที่ตรงประตู เมื่อเขามองเห็นมู่น่อนน่อนอยู่ที่ตรงประตู เขาก็นิ่งชะงัก จากนั้นก็รีบตัดสายทิ้ง
มู่น่อน่อนรีบเดินเข้ามา “ฉันแวะมาถามเรื่องของทะเบียนสมรส”
เฉินถิงเซียวหรี่ตามอง ระงับความโกรธเอาไว้ จากนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สำหรับเรื่องนี้เธอไม่ต้องกังวลหรอกนะ”
“ฉันแค่อยากมาถามว่าจริงๆแล้วเรื่องมันเป็นอย่างไร ก็แค่นั้นเอง” ตอนนี้ความคิดของมู่น่อนน่อนเริ่มซับซ้อน
ในใจของเธอนั้นแน่นอนว่าเธอรู้สึกชอบเฉินถิงเซียว
รู้แน่ชัดว่าถึงแม้ว่าเธอกับเฉินถิงเซียวหลังจากนี้ไปจะไม่มีทะเบียนสมรม อาจจะอยู่ในความงุนงง แต่มันก็ยังเต็มไปด้วยความสุขแบบประหลาด
ไม่มีทะเบียนสมรม พวกเขาเป็นสามีภรรยากันที่ไม่ได้ถูกรับการรับรองทางกฎหมาย เมื่อเป็นแบบนี้หากวันใดที่เธอต้องการจะไปจากเฉินถิงเซียว มันก็จะเป็นอิสระได้ง่าย
ผู้ชายอันตรายและคาดเดาอยากอย่างเฉินถิงเซียวนั้น เธอเลือกที่จะอยู่กับเขา เหมือนแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟ
แต่จู่ๆก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น มันก็เหมือนเป็นอีกทางหนึ่งที่จะทำให้เธอถอย
เฉินถิงเซียวจ้องมองไปที่เธอ ด้วยสายตาที่ลุ่มลึก
มู่น่อนน่อนก็สบตาไปที่เขาด้วยเช่นกัน แต่ความรู้สึกในตอนนี้ก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิด ราวกับว่าเฉินถิงเซียวนั้นกำลังจะเข้าใจถึงความคิดของเธอ
มู่น่อนน่อนรู้สึกผิดจนต้องหันหน้าหนี “ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร”
“วิธีการแก้ปัญหาเรื่องๆนี้ก็คือ พวกเราจะต้องจัดงานแต่งงาน”
เฉินถิงเซียวไม่รีบร้อนในการที่จะพูดประโยคนี้ออกมา เสียงอันนุ่มนวลของเขาเขามาในหูของเธอ และวนเวียนอยู่ในหูของเธอไม่ไปไหน
จัดงานแต่งงานอย่างนั้นเหรอ?
มู่น่อนน่อนอ้าปากค้างด้วยอาการตกตะลึง “จัดงานแต่งอย่างนั้นเหรอ?”
“พวกเราไม่เคยจัดงานแต่งมาก่อน ในช่วงเวลาแบบนี้เธอก็เก็บไปคิดดูนะ ว่าถึงตอนนั้นอยากจะไปฮันนีมูนที่ไหน จะไปที่ต่างประเทศหรือในประเทศก็ได้ทั้งนั้น”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวนั้นหนักแน่น จนทำให้มู่น่อนน่อนนั้นไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้
แต่ม่าน่อนน่อนก็ยังเอ่ยปากพูด “ไม่ต้องลำบากวุ่นวายขนาดนั้นหรอก ถึงเวลาค่อยว่ากันอีกที”
ในตอนนี้เธอไม่ได้รู้สึกสนใจเรื่องแบบนั้นแล้ว
เฉินถิงเซียวสัมผัสได้ว่า ถึงแม้ว่ามู่น่อนน่อนจะไม่ค่อยได้ทะเลาะกับเขา และไม่ได้ทุกข์ใจ แต่เรื่องระหว่างเขาทั้งสองคนนั้น ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอไม่ได้ใส่ใจมันเท่าเมื่อก่อน
เฉินถิงเซียวก้มหน้า เธอก็สัมผัสได้ว่าสีหน้าของเฉินถิงเซียวนั้นมืดมนไปชั่วขณะหนึ่ง
……
ช่วงนี้มู่น่อนน่อนไม่ต้องไปทำงาน และไม่ได้ออกไปไหน สิ่งที่เธอจดจ่ออยู่ตลอดก็คือการเขียนบทละคร
เช้าของวันถัดไป เฉินถิงเซียวก็ออกไปข้างนอก
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ถามว่าเขานั้นออกไปไหน
เธอเขียนบทละครจนเหนื่อยล้า จากนั้นก็เดินลงไปรินน้ำ และเดินไปนั่งที่โซฟาเพื่อเปิดโทรทัศน์ดู
พอเปิดโทรทัศน์ก็เห็นข่าวที่นักข่าวกำลังสัมภาษณ์มู่หวั่นขี
สีหน้าของมู่หวั่นขีนั้นไร้ชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก ใบหน้าซีดเซียวเหมือนผู้ป่วยที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล
เมื่อสองวันก่อนที่เธอได้เจอกันมู่หวั่นขี มู่หวั่นขีก็ดูสบายดีอยู่ไม่ใช่เหรอ?
“รูปทะเบียนสมรสอันนั้นฉันเป็นคนถ่ายและแชร์ออกไปเอง”
“ฉันแค่อยากเข้าไปในวงการบันเทิง และอยากจะดังแค่นั้นเอง”
“ทะเบียนสมอันนั้นเป็นของปลอม”
“มู่น่อนน่อนคือภรรยาของเฉินถิงเซียวอย่างถูกกฎหมาย ฉันแค่อยากจะดังจึงทำแบบนั้นออกไป……”
ตอนที่มู่หวั่นขีพูดประโยคเหล่านั้นออกมา ใบหน้าของเธอนั้นมึนงง และการแสดงออกของเขามันก็แข็งทื่อ
มีนักข่าวคนหนึ่งถามขึ้นมา “ขอสอบถามหน่อยค่ะคุณมู่หวั่นขี ทำไมจู่ๆคุณถึงยอมรับขึ้นมาว่าทะเบียนสมรสอันนั้นเป็นของปลอม คุณโดนใครบีบบังคับมาหรือเปล่า?”
มู่หวั่นขีเบิกตากว้าง และพูดเสียงดัง“ไม่ใช่! ทะเบียนสมรมอันนั้นฉันเป็นคนทำ และฉันก็เป็นคนถ่ายมันเอง! มู่น่อนน่อนเป็นน้องสาวของฉัน ฉันทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ! ฉันผิดไปแล้ว!”
จากนั้นพวกนักข่าวก็ยังสัมภาษณ์ต่อ แต่มู่น่อนน่อนก็ดูไม่ได้สนใจอะไร
เธอสนใจและเพ่งไปที่ตัวของมู่หวั่นขี
อิงจากที่เธอรู้จักมู่หวั่นขีมากนั้น เธอเป็นคนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี
การที่มู่หวั่นขีออกมาชี้แจงกับสื่อมวลชนแบบนี้ แน่นอนว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับเฉินถิงเซียว
แต่แค่ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวนั้นใช้วิธีการอะไร ถึงทำให้เธอกลัวขนาดนี้
เปลี่ยนไปกี่ช่อง ก็เป็นข่าวสัมภาษณ์ของมู่หวั่นขีทั้งหมด
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ จึงเปลี่ยนช่องไปดูภาพยนตร์เก่าๆ
ดูไปจนถึงครึ่งเรื่อง เฉินถิงเซียวก็กลับมา
เขาเดินตรงเข้ามาเธอ กำลังจะดึงเธอเข้าไปกอด
แต่มู่น่อนน่อนก็ขยับออก แต่เฉินถิงเซียวก็ยังขยับเข้าไป และจูบเธอด้วยความอ่อนโยน “พรุ่งนี้ไปลองชุดแต่งงานนะ”
เขาพูดไปด้วย พลางกอดเธอไปด้วย
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น “ฉันยังเขียนบทละครไม่เสร็จ ฉันกำลังยุ่ง”
“ลองเสร็จค่อยกลับมาเขียน”
“ไม่ได้ ฉันกำลังมีอารมณ์เขียน”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวเริ่มแข็งท่อ ยื่นมือจับที่คางของเธอ ดูเหมือนว่าเขานั้นได้อดทนจนถึงที่สุดแล้ว จากนั้นก็พูดกัดฟัน “มู่น่อนน่อน เธอลองปฎิเสธฉันอีกครั้ง
ตอนที่ 208 ซือเฉิงหยู้เป็นเกย์?
เพราะในใจของมู่น่อนน่อนนั้นยังคงเต็มไปด้วยความโกรธ เธอจึงไม่ออมแรง
แต่เฉินถิงเซียวนั้นกลับไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด เขาน้อมรับแต่โดยดี ทำกับว่าเธอนั้นกำลังมอบหมัดที่เป็นปุยฝ้ายนุ่มๆให้เขากับ มันแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถพรรณนาออกมาได้
สุดท้าย มู่น่อนน่อนก็วางมือลง และหันหน้าไปด้านอื่น ไม่พูดกับเฉินถิงเซียว และไม่มีการลงมือใดๆทั้งสิ้
เฉินถิงเซียวมองท่าทีที่ไม่แยแสของเธอด้วยอาการสงบ
หลังจากที่เกิดการปะทะเมื่อวาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขานั้นจดจ่อตั้งใจในการมองมู่น่อนน่อน
ความอดทนทางด้านจิตใจและการฟื้นตัวทางความรู้สึกของเธอนั้นเร็วกว่าที่เขาคิดไว้เยอะเลย มันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
มู่น่อนน่อนเธอแข็งแกร่งในการที่จะอยู่คนเดียว นั่นก็หมายความว่าการที่เธอจะพึ่งพาเขานั้นมันก็คงจะน้อยลง
บางมีอาจจะเป็นเขาเองที่ผิดตั้งแต่ต้น
เขาและซือเฉิงหยู้เติบโตมาด้วยกัน ความรู้สึกที่มีต่อเขานั้นก็ค่อนข้างผูกพัน
ตอนที่ซือเฉิงหยู้ติดอันดับค้นหายอดนิยมในครั้งที่สอง เขาก็ได้ไปสืบถึงตัวของซือเฉิงหยู้แล้ว
ถึงแม้ว่าเค้ายังอยากจะเชื่อในตัวของซือเฉิงหยู้ แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าคนอย่างซือเฉิงหยู้นั้น สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้แน่นอน และไม่เกิดจากอารมณ์สับสนเพียงชั่วคราว
นั่นคือจุดเริ่มต้นในครั้งแรก
เรื่องหลังจากนั้น ก็อยู่ในการคาดการณ์ของเขาจริงๆ
เขาปล่อยซือเฉิงหยู้เอาไว้ ไม่มีการลงโทษใดๆ เพราะอยากจะรู้ว่าซือเฉิงหยู้นั้นจะทำได้ถึงขั้นไหน
เขาเคยคาดการณ์เอาไว้ว่าซือเฉิงหยู้อาจจะใช้มู่น่อนน่อนใจการโจมตี แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำรุนแรงขนาดนี้
เขาคิดว่าถึงแม้ว่าซือเฉิงหยู่จะใช้มู่น่อนน่อนมาเพื่อทำร้ายเขา เขาก็คงจัดการกับมันได้อย่างเหมาะสม
แต่เขาก็พบว่า
และเขาก็พบว่า ในทุกๆเรื่องเขาสามารถจัดการกับมันได้หมด ยกเว่นเรื่องของมู่น่อนน่อนเท่านั้น
ราวกับว่าไม่ว่าจะทำยังไง ก็ดีไม่พอสักที
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าผู้ชายที่อยู่ข้างๆเธอนั้นกำลังจ้องมองเธออยู่ตลอด
เธอจิกยิ้มที่มุมปาก จากก็หันไปทางเจา “คุณ……”
เฉินถิงเซียวยังคงจับมือเธอไว้ ทำหน้านิ่งเฉยเย็นชา และเผยสีหน้าให้รู้เล็กน้อย
ดูเหมือนว่าจะประหม่า แต่หลังจากที่ดูใกล้ๆ ก็พบว่าไม่มีอะไร
“คุณชาย คุณผู้หญิง ถึงแล้วครับ”
เสียงของสือเย่ตะโกนขึ้นมา
มู่น่อนน่อนดึงสติกลับมา และดึงมือที่อยู่ในมือของเฉินถิงเซียวออก
“ถึงแล้ว” เธอมองไปที่เฉินถิงเซียว จากนั้นก็เดินลงจากรถและเข้าไปในบ้าน
สือเย่รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของมู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวนั้นเริ่มจะแข็งทื่อและเย็นชา
เขาลงจากรถ ก็พบว่าเฉินถิงเซียวยังคงอยู่ในรถ จึงพูดออกมาด้วยความระมัดระวง “คุณผู้ชาย……”
เฉินถิงเซียวยกมือขึ้นปราม เป็นสัญลักษณ์ว่าไม่ต้องพูดอะไร
สือเย่ทำได้เพียงหันหลังและเดินจากไป
ไม่ได้กลับมาเพียงแค่คืนเดียว และเมื่อเธอได้กลับมาที่บ้านนี้อีกครั้ง มันทำให้เธอรู้สึกห่างออกไปเหลือเกิน
เมื่อเธอเดินเข้าไปในห้อง ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเช็คข่าวสาร
เรื่องในครั้งนี้เป็นประเด็น และเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเฉิงซือหยู้กับเฉินถิงเซียว การค้นหาเรื่องนี้กำลังเป็นที่ยอดนิยิน จนทำให้ข่าวสารอื่นๆถูกดันลงไปหมด
แต่แค่…ตอนที่เธอได้เห็นหัวข้อที่กำลังฮ็อตนั้น เธอก็รู้สึกมึนงงไปหมด
#ซือเฉิงหยู้ประกาศว่าตัวเองเป็นเกย์#
ซือเฉิงหยู้ปะ ปะ ป…….เป็นเกย์???
มู่น่อนน่อนนั่งมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ถึงจะได้สติกลับมาและหยิบโทรศัพท์วิ่งลงไปหาเฉินถิงเซียว
ปรากฏว่าผู้คุ้มกันบอกว่าเขาอยู่ที่ห้องหนังสือ
ตอนที่เธอผลักประตูเข้าใจ ก็พบว่าเขานั้นกำลังสูบบุหรี่อยู่
“แค่กๆ……”
เสียงมู่น่อนน่อนไอกระแอมคอ
เขากำลังยืนหันหน้าไปทางหน้าต่าง เมื่อได้ยินเสียงก็หันกลับมา ตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็รีบดับบุหรี่ลง
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเฉินถิงเซียวสูบบุหรี่
เฉินถิงเซียวพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม “มีอะไรหรือเปล่า?”
“ซือเฉิงหยู้เป็นเกย์อย่างนั้นเหรอ?” เมื่อมู่น่อนน่อนพูดจบ ก็คิดว่าเฉินถิงเซียวนั้นเป็นผู้ชายแท้ๆ คงไม่มีทางเข้าใจที่เธอกำลังพูดว่า “เป็นเกย์” หมายความว่าอย่างไร เธอจึงเอ่ยปากอธิบาย “เป็นเกย์หมายความว่า……”
“ฉันรู้แล้ว” เฉินถิงเซียวพูดตัดบทด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ฉันให้พวกเขาซื้อการค้นหาประเด็นร้องเองแหละ”
“ให้เฉิงซือหยู้กลายเป็นประเด็นร้อน?”
“อืม”
มู่น่อนน่อน “……”
เฉินถิงเซียวหันหลังให้โต๊ะและพูดอธิบายต่อว่า “แค่จะเบี่ยงเบนความสนใจของพวกชาวเน็ต แล้วเดี๋ยวค่อยชี้แจงภายในวันสองวัน”
น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบราวกับว่าไม่สะทกสะท้านกับอะไรเลย
มู่น่อนน่อนเงียบไปครู่หนึ่ง และถามเขาว่า “ซือเฉิงหยู้ไม่มีความเห็นใดๆเลยเหรอ?”
เมื่อเฉินถิงเซียวได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งไปแปบหนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมา “ถ้าเค้าอยากจะสนใจ อยากจะออกความเห็นแล้วยังไงล่ะ?”
ถึงแม้ว่าสิ่งที่เฉินถิงเซียวทำนั้นเพราะต้องการให้คนเลิกสนใจข่าวของเธอ แต่มันก็ทำให้เธออดเห็นใจความรู้ของคนที่โดนเหมือนกันไม่ได้
การที่จะเป็นเพื่อนกับคนอย่างเฉินถิงเซียว เป็นคนประเภทโหดเหี้ยมและกัดไม่ปล่อย และชาติที่แล้วคนอย่างซือเฉิงหยู้ก็คงจะเป็นคนที่ไร้คุณธรรม
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของมู่น่อนน่อนก็ดึงขึ้นมา
เธอหยิบขึ้นมาดู ก็ยิ้มที่มุมปาก “ซือเฉิงหยู่โทรมา”
“……”
“อ้อ” เฉินถิงเซียวเอ่ยปากขึ้นมา จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ของเธอมาตัดสายทิ้ง
ทำอย่างเรียบง่าย ด้วยความหยาบคายและไม่ลังเลหรือรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
“……”
หัวใจของมู่น่อนน่อนถูกผิดกั้น
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ “เฉินถิงเซียว ตราบใดที่มีผลประโยชน์ต่อคุณ และยังสามารถใช้การได้ ต่อให้เป็นเพื่อนหรือคนสนิท คุณก็จะไม่ใจอ่อนใช่ไหม?”
คำพูดที่ออกมานั้นทำให้บรรยากาศในห้องเย็นลงชั่วขณะ
สีหน้าของเฉินถิงเซียวเปลี่ยนเป็นมืดมน บรรยากาศในห้องนั้นอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก
สักพักหนึ่ง เฉินถิงเซียวก็เอ่ยปากพูดขึ้นมา “ในใจของเธอนั้น คิดว่าฉันเป็นอย่างไรเหรอ?”
“แล้วมันคืออย่างไรล่ะ?” มู่น่อนน่อนยิ้มที่มุมปาก จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา
เธอไม่ได้รู้สึกทรมานขนาดนั้น แต่มีบางเรื่องในใจที่เป็นเหมือนกำแพง
เฉินถิงเซียวจิกยิ้มที่มุมปาก ความอันตรายปรากกขึ้นที่ใบหน้าของเขา
มู่น่อนน่อนคิดว่าเขาจะโกรธหรือไม่ก็ไล่ให้เธอออกไป
แต่สุดท้ายแล้ว เฉินถิงเซียวก็หลับตาลงและพูดว่า “หลังจากนี้จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก”
เสียงของเขาต่ำและสงบเหมือนอย่างเคย แต่ก็เต็มไปด้วยความหนักแน่น
จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกอย่างนั้นเหรอ?
หมายความว่าจะไม่ใช้เธอเป็นเครื่องมืออีก หรือจะไม่มีเธอขึ้นเป็นประเด็นร้อนอีก?
แววตาของความสงสัยปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ มันทำให้ใจของเฉินถิงเซียวนั้นเกิดความคับแค้นใจ เขารู้สึกเดือดจึงเดินเข้าไปที่ข้างหน้าเธอ จากนั้นก็ดึงเธอเข้ามากอดและจูบลงไปที่ปากของเธอ
เมื่อคืนเข้าไม่ได้นอนเลยทั้งคืน ไม่ใช่ว่าเขานั้นไม่มีเวลานอน แต่เป็นเพราะว่าในห้องของเขาไม่มีมู่น่อนน่อน มันทำให้เขานอนไม่หลับ
เขาประเมินตำแหน่งของมู่น่อนน่อนที่อยู่ในใจของเขานั้นต่ำเกินไป
……
เมื่อข่าวของซือเฉิงหยู้ออกมา สื่อต่างๆก็รุมเรื่องเขาอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่มู่น่อนน่อนเข้าไปดูในกลุ่มของเพื่อน ก็เห็นเสิ่นเหลียงแชร์เข้ามาในกลุ่ม
เหอะๆ ผู้ชาย!
มู่น่อนน่อนส่งข่าวให้กับเสิ่นเหลียง “การค้นหายอดนิยมและเรื่องข่าวนั้นเป็นของปลอม ไม่นานเดี๋ยวซือเฉิงหยู้ก็ออกมาชี้แจงเองแหละ”
เสิ่นเหลียงตอบกลับมาเพียงแค่ “รักร่วมเพศต่างหากถึงจะเป็นรักแท้ เธอไม่เก็บไปพิจารณาหน่อยเหรอ?”
มู่น่อนน่อน “……เธอจะบ้าไปแล้วเหรอไง?”
ตอนที่ 207 ที่แข็งกว่านี้ก็ไม่ใช่ว่าเธอเคยกัดแล้วเหรอ?
มู่น่อนน่อนออกมาจากห้องโถงใหญ่ ก็พบว่าที่ห้องโถงนั้นเหลือแค่ซือเฉิงหยู้คนเดียว
ซือเฉิงหยู้ได้ยินเสียงเปิดประตู ก็หันหลังกลับมา ทำท่าทางปกติและเรียกชื่อของเธอ “น่อนน่อน”
“ฉันรับไม่ไหวจริงๆ ที่คุณซือเฉิงหยู้จะเรียกชื่อฉันแบบธรรมดา” น้ำเสียงและท่าทีของมู่น่อนน่อนเริ่มเย็นชา
เธอทนไม่ไหวที่ซือเฉิงหยู้นั้นทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ท้ายที่สุดแล้ว ถึงแม้ว่าซือเฉิงหยู้จะไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของเฉินถิงเซียว แต่เธอก็คือแฟนคลับของเขามาถึงแปดปี
ที่ยังคงดำเนินมาถึงทุกวันนี้ได้ เพราะเห็นแก่คุณงามความดีของราชาภาพยนตร์ซือ
ไม่มีกฎข้อไหนบอกว่าซือเฉิงหยู้นั้นต้องเป็นคนดี
แต่ไม่ว่าเขาจะมีปัญหาอะไร หรือเหตุผลอะไร มู่น่อนน่อนก็ไม่อาจที่จะเข้าใจในสิ่งที่เขาทำได้
เธอไม่ได้มีความผิดอะไรเลย ซือเฉิงหยู่และเฉินถิงเซียวมีปัญหากัน ก็ไม่ควรจะเอาเธอนั้นเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
ซือเฉิงหยู้เริ่มมีปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไป เขารู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ถูก
“ขอโทษจริงๆสำหรับเรื่องนี้” ซือเฉิงหยู่ไม่ยิ้มอีกต่อไป สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม
“ฉันไม่รับคำขอโทษจากคุณ” คำขอโทษของเขานั้นไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเขาไม่ได้รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปด้วยซ้ำ
ซือเฉิงหยู้ก็ดูจะไม่ได้สนใจว่าเธอนั้นจะรับหรือไม่รับคำขอโทษ เขาแค่พยักหน้าตอบรับ “อืม”
“ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าคุณกับเฉินถิงเซียวนั้นมีปัญหาอะไรกัน แต่ฉันรู้ว่าในใจของเฉินถิงเซียวนั้น คุณคือคนที่สำคัญคนหนึ่ง ตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณลงมือทำ เขาก็รับรู้มาตลอด แต่เขาก็ยังเลือกที่จะให้โอกาสคุณ”
หลังจากที่ใจเย็นลงบ้าง ก่อนหน้านั้นมองภาพของเรื่องราวได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ แต่พอตอนนี้ก็พอจะเข้าใจอะไนบ้างแล้ว
มู่น่อนน่อนเอียงศีรษะเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันรู้สึกอิจฉาคุณนะ”
เขาอิจฉาซือเฉิงหยู้จริงๆ
เฉินถิงเซียวดีกับเขาขนาดนั้น
ดีจนทำให้เธอนั้นรู้สึกอิจฉา
คำพูดของเธอเหมือนจะสัมผัสบางอย่างในใจของซือเฉิงหยู้ ลมจังหวะหายใจในตัวของเขานั้นเปลี่ยนไป “อิจฉาฉันอย่างนั้นหรอ?”
มู่น่อนน่อนยังไม่ทันจะได้พูดต่อ ก็มีเงาสะท้อนของร่างใหญ่เดินพุ่งเข้ามาในห้องโถง
ไม่ทันที่มู่น่อนน่อนจะได้หันตัวกลับไปมอง เฉินถิงเซียวก็เดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของเธอ
“เฉินถิงเซียว?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกประหลาดใจกับผู้ชายตัวสูงๆที่ปรากฎตรงด้านหน้าของเธอ “คุณมาที่ได้อย่างไร?”
ตอนที่เขาเดินพุ่งเข้ามานั้น เธอคิดว่าเป็นผู้คุ้มกันเสียอีก
เฉินถิงเซียวไม่ได้นอนเลยทั้งคืน หน้าเขาดูซัดเล็กน้อย แต่ออร่าในตัวของเขาก็ไม่ได้ลดลง
เขาไม่ได้ตอบคำถามของมู่น่อนน่อนโดยทันที เขามองไปที่เธอตั้งแต่หัวจรดเท้า มันทำให้เขารู้สึกโล่งใจ จากนั้นเขาก็หันหน้าไปทางซือเฉิงหยู้
ซือเฉิงหยู้ยิ้มออกมา “มาถึงเร็วเหมือนกันนะ”
จากคำพูดของเขา ราวกับว่าเขานั้นเป็นคนบอกให้เฉินถิงเซียวมาที่นี่
มู่น่อนน่อนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเงาของเฉินถิงเซียวนั้นแข็งทื่อ
มู่น่อนน่อนหยุดชะงัก จากนั้นก็เดินก้าวไปข้างหน้า ยื่นมือออกไปจับมือของเฉินถิงเซียว
เธอยื่นมือไปได้แค่ครึ่งเท่านั้น หางตาของเฉินถิงเซียวก็หันมาเห็นจึงดึงมือของเธอเข้ามาจับไว้แน่น
มือของเขาเหงื่อออกไปหมด แต่ก็ยังคงอุ่น ตอนที่เขาได้จับมือของเธอไว้แน่น มันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย
มู่น่อนน่อนก้มหน้ามองลง ในใจรู้สึกสับสนไปหมด
ซือเฉิงหยู้เมื่อได้เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ก็ยิ้มเยาะออกมา “รักกันเสียเหลือเกินนะ มันช่างน่าอิจฉาจริงๆ แต่คนอื่นๆเขาคนไม่คิดแบบฉันหรอกเนอะ มันช่างพูดยากเสียจริงๆ”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวเปลี่ยนไปทันมี “ซือเฉิงหยู้ นายคิดว่าฉันจะไม่กล้าทำอะไรนายจริงๆอย่างนั้นเหรอ?”
“นายทำได้แน่นอน แต่ก่อนที่นายจะมาจัดการฉัน นายไปหาหลักฐานพิสูจน์ความถูกต้องให้กับน่อนน่อนก่อนเถอะนะ ถ้าไม่อย่างนั้นเธอก็คงต้องถูกขนานนามว่าเป็นเมียน้อยตลอดไป” เมื่อซือเฉิงหยู้พูดจบ ก็หันหน้าไปทางน่อนน่อน “น่อนน่อน หลังจากนี้ถ้าเธอต้องการจะเป็นนักเขียนบท เมื่อถึงเวลามีคนเห็นว่าผู้เขียนนั้นคือคนที่เป็นมือที่สาม ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าคนอื่นเขาจะรับได้หรือเปล่า หรืออาจจะถูกคนอื่นยับยั้งหรือเปล่านะ?”
คำพูดของซือเฉิงหยู้เหมือนกับมีดที่มาแทงอยู่กลางใจของเฉินถิงเซียว
ก่อนหน้านั้นเขาให้มู่น่อนน่อนลาออก ให้เธอออกมาทำในสิ่งที่เธอชอบ คิดหลายวิธีให้เธอได้เข้ามาในบริษัทเฉินซื่อ
แต่ในตอนนี้ เขาเป็นคนที่ทำให้มู่น่อนน่อนไม่อาจที่จะออกไปยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนอย่างมีศักดิ์ศรี
เลือดพุ่งขึ้นหน้าของเฉินถิงเซียวอย่างรุนแรง “หุบปาก!”
ซือเฉิงหยู้กลับยิ้มเยาะออกมามากกว่าเดิม
“เฉิงหยู้!”
เสียงของมู่หวั่นขีดังขึ้นมา
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น มู่หวั่นขีทำตัวเหมือนนกตัวน้อยที่บินโผล่เข้าไปในอ้อมกอดของซือเฉิงหยู้
ซือเฉิงหยู้รีบอ้าแขนรับเธอเอาไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไรใช่ไหม? ”
“ไม่ค่ะ ฉันไม่เป็นไร” มู่หวั่นขีส่ายหัวไปหา ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน นัยน์ตามีความเขินอายแบบเด็กสาว “นี่คุณมาหาฉันจริงๆด้วย ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหมคะ”
“ไม่ใช่” ซือเฉิงหยู้ลูบที่ใบหน้าของเธอด้วยความนุ่มนวล
มู่น่อนน่อนตกใจกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า จิตใต้สำนึกทำให้เธอนั้นหันไปมองเฉินถิงเซียว
นัยน์ตาของเฉินถิงเซียวนั้นมืดลง ไม่ได้รู้สึกแปลกใจหรือประหลาดใจ
ซือเถิงหยู้สัมผัสได้ถึงแววตาของมู่น่อนน่อน เงยหน้ามองเธอและยิ้มออกมา แต่พูดกับเฉินถิงเซียวว่า “ถึงฉันจะรู้สึกว่าน่อนน่อนนั้นคล้ายกับชิงหนิง แต่มู่หวั่นขีนั้นก็เหมือนมากกว่า แต่ก่อนนั้นชิงหนิงชอบนายมากๆ ถ้าเธอรู้ว่านายแต่งงานกับผู้หญิงที่เหมือนเธอขนาดนี้ เธอคงรู้สึกดีใจมากๆเลยนะ”
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขานั้นต้องการที่พูดยั่วยุ มู่น่อนน่อนไม่ใช่คนโง่ที่จะฟังไม่ออก
“อย่าคิดว่าทุกคนบนโลกนี้เขาจะเหมือนคุณทั้งหมดนะ ความรักหรือคนรักมันไม่สามารถหาคนหรือสิ่งของมาทดแทนได้หรอก” มู่น่อนน่อนพูดออกมาด้วยความไม่เกรงใจ “ว่าแต่ความรักที่คุณมีต่อชิงหนิงมันก็เป็นแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ ถึงขั้นที่ใช้มือของเธอในการที่จะสัมผัสกับผู้หญิงคนอื่น เธอคงจะรู้สึกว่ามันน่าขยะแขยงมากๆเลยใช่ไหม?”
สีหน้าของซือเฉิงหยู้เริ่มเปลี่ยนไป เปล่งเสียงด้วยความโกรธ “มู่น่อนน่อน!”
“อย่ามาเรียกชื่อของฉัน เจ้าคนน่ารักเกียจ” ตอนนี้มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าซือเฉิงหยู้นั้นน่าขยะแขยงเสียจริงๆ
คิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่ดูเหมือนจะสมบรูณแบบ แต่ข้างในมันผุพังไปเสียหมดแล้ว
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร เขาพามู่น่อนน่อนออกมา
หลังจากที่ขึ้นรถ ในใจของมู่น่อนน่อนนั้นก็ยังคงลนลาน อยากจะสะบัดมือของเฉินถิงเซียวออก
แต่เฉินถิงเซียวนั้นยังคงทำตัวหน้าหนา และจับมือของเธอเอาไว้แน่น และดูเหมือนว่าจะไม่ยอมปล่อยมือเธอง่ายๆ
มู่น่อนน่อนสูดลดหายใจเข้าลึกๆ และพูดออกมาด้วยความหงุดหงิด “ปล่อยมือฉัน”
เฉินถิงเซียวไม่แสดงสีหน้าใดๆ “ไม่ปล่อย”
มู่น่อนน่อนก้มหน้ามองมือและกัดฟันแรงๆ
แต่เธอลืมไปเลยว่า เฉินถิงเซียวนั้นเป็นคนที่ไม่ยอมอะไรง่ายๆ
มู่น่อนน่อนพยายามจนเหนื่อย เมื่อเธอเห็นว่าเฉินถิงเซียวไม่ยอมปล่อย เธอก็ทำอะไรไม่ได้
เฉินถิงเซียวดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด “อารมณ์ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
มู่น่อนน่อนนิ่งอึ้ง “ไม่”
“ถ้ายังไม่ดีขึ้นงั้นก็จะกอดอีก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ จากนนั้นก็เอามือของเขาไปลูบที่ริมฝีปากของเธอ
มู่น่อนน่อนหันหนี “แข็งเกินไป”
มือของผู้ชายนี่แข็งเหมือนกระดูกเลย
เฉินถิงเซียว “ที่แข็งกว่านี้ก็ไม่ใช่ว่าเธอเคยกัดแล้วเหรอ?”
มู่น่อนน่อน “……”
เมื่อเฉินถิงเซียวพูดจบตัวเองก็นิ่งอึ้งสักพแปบ เขาเคยชินกับการพูดหยอกล้อลวนลามมู่น่อนน่อน ก็เลยพูดออกมาแบบไม่ตั้งตัว ใบหน้าของมู่น่อนน่อนแดงก่ำ มองไปที่สือเย่คนขับรถ แล้วก็เอาเท้ากระแทกเหยียบไปที่เท้าของเขา เฉินถิงเซียวไม่ต่อสู้ใดๆและปล่อยให้เธอนั้นทำตามอำเภอใจ
ตอนที่ 206 ฉันทนมามากพอแล้ว
เมื่อมู่น่อนน่อนออกมาจากห้องของมู่หวั่นขี เดินลงมาจากบันไดและต่อสายโทรศัพท์หาเฉินถิงเซียว
แต่แค่….เธอยังไม่ได้กดโทรออก ที่ตรงมุมบันไดเธอก็มองเห็นซือเฉิงหยู้จากทางด้านนอกประตูเพื่อเดินไปที่ห้องโถง
จิตใต้สำนึกทำให้เธอนั้นวางสายโทรศัพท์ทิ้ง และจ้องมองไปที่ซือเฉิงหยู้
ซือเฉิงหยู้สวมใส่ชุดสูทสีเทา เมื่อมองแล้วก็ดูเรียวบาง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ยิ้มออกมาจากมุมปาก ราวกับว่าคนๆนี้กำลังออกมาจากโปสเตอร์ของภาพยนต์
ถ้าหากว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น มู่น่อนน่อนเองก็คงจะเป็นแฟนคลับของเขา
คงจะเป็นเพราะว่ามู่น่อนน่อนนั้นจ้องมองเขามากเกินไป ทำไมซือเฉิงหยู้นั้นเงยหน้าขึ้นมามองเขา
ช่วงเวลาที่สบตากัน สีหน้าอันอ่อนโยนของเขานั้นก็ได้เปลี่ยนไป
รอยยิ้มที่มุมปาก ก็กลายเป็นรอยแสยะยิ้ม แต่เพียงแค่ไม่กี่วินามี เขาก็ทำตัวเหมือนเป็นปกติ
มู่เจิ้งซิวยังคงอยู่ที่ห้องโถง ซือเฉิงหยู้รีบเก็บสายตาและเดินตรงไปที่มู่เจิ้งซิว ปรับท่าทีให้เป็นคนอ่อนน้อม “สวัสดีครับคุณปู่มู่”
มู่เจิ้งซิวยิ้มออกมา “นั่งลงก่อนสิ ซือเฉิงหยู้”
ตอนที่มู่น่อนน่อนเดินลงไป มู่เจิ้งซิวและซือเฉิงหยู้กำลังนั่งคุยกันอยู่บนโซฟา
มู่น่อนน่อนกลั้วไว้แล้ว กลั้วไว้อีก ต้องใช้แรงอย่างมากในการที่จะต้านทานฝีเท้าตัวเองไม่ให้พุ่งเข้าไปหา
ไม่รู้ว่าเซียวชู่เหอนั้นโผล่มาจากไหน ก็ดึงมู่น่อนน่อนกลับเข้าไปในห้อง
เธอเห็นห้องที่ประตูเปิดก็ดึงมู่น่อนน่อนเข้าไปในนั้น และปิดประตู “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมที่ทะเบียนสมรสถึงเป็นชื่อของพี่สาวเธอ?”
มู่น่อนน่อนมองไปที่เซียวชู่เหอด้วยความประหลาดใจ
แม่ของเธอ ในที่สุดก็เป็นห่วงเธอแล้วเหรอ?
แต่เพียงแค่พริบตาเดียวเซียวชู่เหอก็ทำลายความฝันของเธอ
“ถ้าเธอยอมเอาตำแหน่งนั้นให้มู่หวั่นขีตั้งแต่แรก เรื่องในวันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ใครใช้ให้เธอมีความโลภในใจขนาดนี้ พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมู่หวั่นขีก็ต้องมารับผลกระทบ และถูกขังไว้ในห้อง น่าสงสัยจริงเลย……”
เซียวชู่เหอพูดออกมามากมาย สุดท้ายก็พูดเรื่องที่ตัวเองกังวลออกมา “ไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบถึงบริษัทหรือเปล่า……”
“เหอะ!” มู่น่อนน่อนไม่สามารถที่อดกลั้นได้อีกต่อไป จึงแสยะยิ้มออกมา พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชามากกว่าปกติ “คุณเซียวชู่เหอ นี่สมองคุณมีปัญหาหรือเปล่า?ถ้าไม่สบายก็ไปหาหมอโรคประสาทนะ ฉันเองก็มีขีดจำกัดในการอดทนนะ และฉันก็ทนรับมามากพอแล้วด้วย”
บ้านหลังนี้ของตระกูลมู่ถูกออกแบบมาอย่างดี ทุกๆห้องนั้นถูกออกมาแสงทะลุโปรงจากเหนือไปใต้ เป็นแสงที่ยอดเยี่ยมมาก
เพราะแสงที่ว่านั้นมันทำให้เห็นใบหน้าของมู่น่อนน่อนชัดเจนมากๆ
เซียวชู่เหอเห็นความหงุดหงิดและความรังเกียจได้อย่างชัดเจนบนใบหน้าของมู่น่อนน่อน รวมถึงใบหน้าที่ผิดหวัง และใบหน้าที่นิ่งสงบ
เธอไม่อยากจะเชื่อว่ามู่น่อนน่อนจะพูดแบบนั้นออกมา “มู่น่อนน่อน? นี่เธอเป็นอะไร?”
มู่น่อนน่อนในความทรงจำของเธอนั้น คือเด็กที่แสนดี และเชื่อฟังมาโดยตลอด ไม่ว่าจะพูดอะไรมู่น่อนน่อนก็จะเชื่อฟังทั้งหมด
แต่ในตอนนี้…สิ่งที่มู่น่อนน่อนพูดออกมา มันทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย
“ทำไมเธอถึงพูดแบบนี้กับแม่ของเธอ?” เซียวชู่เหอขมวดคิ้ว คิดว่าตัวเองนั้นได้ยินผิดไป
เธอยื่นมือเข้าไปจับมือของมู่น่อนน่อน “ฉันรู้ว่าช่วงนี้เธอคงอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้ที่เกิดขึ้นก็เป็นเพราะเธอเองที่……”
“ทำไมฉันถึงพูดแบบนี้กับคุณนะเหรอ?” มู่น่อนน่อนไม่ขึ้นเสียงแต่ถอยฝีก้าวออกไปสองก้าว และดึงมือออกจากเซียวชู่เหอ “มู่หวั่นขีเคยด่าคุณว่าเป็นหมาตัวหนึ่งของตระกูลมู่ แต่คุณก็ยังไม่เกลียดและไม่อะไรเลย แต่พอฉันพูดความจริงเข้าหน่อย คุณก็รับฟังแทบจะไม่ได้?”
สีหน้าของเซียวชู่เหอเริ่มเปลี่ยนไป “มู่หวั่นขีเธอยังเด็ก ยังไร้เดียงสา พูดอะไรออกมาเพราะคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ มันก็เป็นเรื่องปกตินะ”
มู่น่อนน่อนพูดออกมาอย่างเย็นชา “ฉันอายุน้อยกว่าหล่อนอีกนะ”
เซียวชู่เหอพูดไม่ออกไปชี่วขณะ พอได้ยินมู่น่อนน่อนพูดแบบนี้กับเธอ มันก็ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจ ในตอนนี้สีหน้าดีๆของเธอได้หายไปหมดแล้ว จึงพูดด้วยน้ำเสียงแย่ๆ “เธอจะเทียบอะไรกับเขาได้เหรอ? เธอลงทุนเพื่อเอาใจพวกเขาไปตั้งเท่าไหร่ ก็ไม่ใช่เพราะเพื่อให้สองแม่ลูกได้มาอยู่ในตระกูลมู่หรอกเหรอ”
มู่น่อนน่อนทำสีหน้าเรียบเฉย “ไม่ใช่เพื่อพวกเราหรอก เพื่อตัวคุณเองเท่านั้นแหละ”
เซียวชู่เหอกำลังจะพูดอะไร มู่น่อนน่อนก็ตัดบทแทรกขึ้นมา “ไม่ต้องมาทำเป็นพูดว่าทำเพื่อพวกเราสองแม่ลูกหรอกนะ ฉันไม่อยากฟังอีกแล้ว และไม่ต้องหาคำพูดแก้ตัวแทนมู่หวั่นขีแล้วด้วย คุณต้องจำเอาไว้ ในตอนนั้นเป็นคุณเองที่มาขอร้องให้ฉันไปเข้าตระตูลเฉินแทนมู่หวั่นขี”
ตอนนี้มู่น่อนน่อนระเบิดออกเป็นชิ้นๆ
เฉินถิงเซียวให้โอกาสซือเฉิงหยู้ และเอาเธอไปทดสอบเขา ผลสุดท้ายเธอก็ต้องกลายเป็น “เมียน้อย”
แต่เธอกับเฉินถิงเซียวไม่เหมือนกันหรอกนะ
เพราะยิ่งเธอให้โอกาสเซียวชู่เหอมากเท่าไหร่ สุดท้ายเธอก็ต้องถูกเซียวชู่เหอทำร้ายซ้ำหนักกว่าเดิดม มีแผลลึกมากกว่าเดิม
จิตใจของมนุษย์มันคดโกง ในเรื่องบางเรื่องก็เริ่มคิดที่จะไม่ซื่อตรงมาตั้งแต่ต้น ใช้แรงมากมายแค่ไหนในการแก้ไข สุดท้ายก็ไร้ผล
ระหว่างเธอและเซียวชู่เหอก็เป็นเช่นนั้น
ระหว่างเฉินถิงเซียวและซือเฉิงหยู้ก็คงจะเป็นประมาณนี้เหมือนกัน
แต่เรื่องที่ต่างกันก็คือ เธอให้โอกาสเซียวชู่เหอก็จริง แต่เซียวชู่เหอนั้นนอกจากที่จะทำร้ายเธอแล้ว ก็ไม่ได้ทำร้ายอะไรคนอื่น
แต่ซือเฉิงหยู้นั้นตรงกันข้าม เขากลับทำร้ายเธอ
เรื่องระหว่างของซือเฉิงหยู้และเฉินถิงเซียวนั้น เธอกลับต้องมาเป็นผู้รับเคราะห์
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ “ตั้งแต่วันที่ฉันยินยอมเข้าไปในตระกูลเฉิน ความรักระหว่างแม่ลูกของเราหายไป หลังจากนั้นคุณและมู่หวั่นขีก็ได้วางแผนลักพาตัว ฉันก็เต็มใจใช้แบล็กการ์ดเพื่อช่วยคุณ เพราะฉันต้องการที่ให้โอกาสคุณเป็นครั้งสุดท้าย”
“คุณคงไม่รู้ว่าหลังจากที่คุณจากไป มู่หวั่นขีให้สองคนนั้นมาลักพาตัวฉันเพื่อต้องการจะทำอะไร พวกเขาต้องการที่จะ……” มู่น่อนน่อนหันหน้าหนี มีประกายสีดำออกมาจากแววตาของเธอ เธอพูดต่อ “ฆ่าและข่มขืน”
รูม่านตาของเซียวชู่เหอหายไปในพริบตา เธอสั่นไปทั้งตัว
มู่น่อนน่อนแสยะยิ้มออกมา และเดินออกไปอย่างช้าๆ
เซียวชู่เหอมองดูมู่น่อนน่อนเดินห่างออกจากตัวเองไปไกลเรื่อยๆ จู่ๆเธอก็รู้สึกตื่นตระหนกในจ
จิตใต้สำนึกทำให้เธอนั้นเดินตามไปสองก้าวและตะโกนออกมา “น่อนน่อน!”
ราวกับว่ามู่น่อนน่อนนั้นไม่ได้ยิน เพราะเธอยังคงเดินจากไป
ผลัวะ
เสียงปิดประตูดังขึ้น ในห้องนั้นถูกปกคุลมไปด้วยความเงียบงัน
เซียวชู่เหอยืนอยู่ในความมืด
เธอผิดไปแล้วจริงๆใช่ไหม?
แต่…เธอผิดตรงไหนล่ะ?
แม่บุญธรรมทุกคนไม่เหมือนกับเธอ ปฏิบัติดีต่อลูกชายและลูกสาวของอดีตภรรยาของสามีดีไปเหรอ?
มู่น่อนน่อนคือลูกสาวที่เธอคลอดออกมาด้วยตัวเอง ไม่ว่าเธอจะทำอย่างไรกับมู่น่อนน่อน มันก็ไม่สามารถที่เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกได้
ที่มู่น่อนน่อนพูดออกมาแบบนี้ในวันนี้ เป็นเพราะสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสองวันนี้
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เธอก็คือแม่แท้ๆของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนไม่มีทางที่จะไม่ยอมรับในตัวของเธอ
เมื่อคิดคิดดูเซียวชู่เหอก็ดึงสีหน้ากลับมาให้เป็นปกติ
ที่ผ่านมามู่น่อนน่อนก็เป็นเด็กดีฟังความมาตลอด คงเป็นเพราะตอนนี้อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เดี๋ยวพอผ่านไปสองคนก็คงดีขึ้นเอง หรือไม่ก็คงกลับไปเป็นปกติ
ตอนที่ 205 ถูกคนอื่นปาไข่ใส่
มู่น่อนน่อนตกตะลึงอยู่ครู่ถึงได้สติกลับคืนมา ผู้คุ้มกันนั้นเข้ามาขวางทางนักข่าวเอาไว้ “พวกเราไม่สะดวกให้สัมภาษณ์”
สือเย่ลงมาจากรถ เดินมาคุ้มกันมู่น่อนน่อนให้เดินเข้าไปที่ประตูบ้านตระกูลมู่
เธออดไม่ได้ที่เหลือบหันไปมอง
นักข่าวกลุ่มนั้นโดนผู้คุ้มกันกั้นเอาไว้ แต่พวกเขาก็ยังพยายามจะฝ่าเข้ามา และเอากล้องนั้นวางไว้บนหัว บนไหล่ของตัวเอง
ถึงแม้จะอยู่ในระยะทางที่ห่างกัน แต่มู่น่อนน่อนก็ยังคงสัมผัสได้ว่ามีแสงแฟลชส่องเข้ามาตลอด
บนโลกใบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยขาดพวกที่เอิกเกริก พวกเขาไม่เคยสนใจว่าจริงๆแล้วความจริงนั้นเป็นอย่างไร พวกเขาสนใจแค่สิ่งที่พวกเขานั้นต้องการจะเห็น และพวกเขาก็ไม่เคยสนใจว่าเรื่องราวเหล่านี้จะส่งผลกระทบอะไรถึงคุณบ้าง
ที่ผ่านมาไม่เคยเข้าใจและเห็นใจคนที่เจอเรื่องเหล่านี้ จนถึงเวลาที่ต้องมาเจอด้วยตัวเอง
มู่น่อนน่อนคิดไปด้วย พลางเดินเข้าไปในห้องรับแขกของบ้าน
เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น คนในตระกูลมู่คงก็ไม่กล้าออกไปไหน นอกจากมู่ลี่เหยียนที่ต้องเดินทางไปทำงานที่บริษัท คนที่เหลือก็อยู่ที่บ้าน
เมื่อคนรับใช้มองเห็นมู่น่อนน่อนเดินเข้ามา ก็รีบวิ่งไปบอกคนอื่นๆในบ้าน
ตอนที่เธอเดินเข้าไป เซียวชู่เหอและมู่เจิ้งซิวกำลังลงมาข้างล่างพอดี
เมื่อเซียวชู่เหอมองเห็นมู่น่อนน่อนก็เอ่ยปากเรียก “น่อนน่อน”
“คุณแม่” มู่น่อนน่อนกวาดสายตามอง แต่ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดหลังจากที่เรียก จากนั้นเขาก็หันไปมองที่มู่เจิ้งซิว “คุณปู่”
เซียวชู่เหอเดินตามมาที่ด้านหลังของคุณปู่มู่ เมื่อเดินถึงห้องโถงก็พูดอย่างระมัดระวัง “นั่งลงก่อน ฉันจะรินน้ำชาให้”
แววตาที่ถากถางปรากฏขึ้นมาที่ดวงตาของมู่น่อนน่อน เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นกับเธอ คิดไม่ถึงเลยว่าเซียวชู่เหอจะไม่เป็นห่วงเธอเลย รู้แต่แค่จะคอยเอาใจคุณปู่มู่เท่านั้น
ตลอดชีวิตของเซียวชู่เหอนั้นเธอใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด ถ้าไม่ใช่ว่าคอยเอาใจมู่ลี่เหยียน ก็คอยเอาใจมู่หวั่นขี ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะคอยเอาใจมู่เจิ้งซิว
เธอมัวแต่สาละวนอยู่กับการคอยเอาอกเอาใจคนในตระกูลมู่ ยกเว้นแต่เธอคนเดียวเท่านั้น ลูกสาวที่เธอคลอดออกมาด้วยตัวเอง
เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แต่เธอกลับไม่ถามไถ่อะไรเลยแม้แต่น้อย
ราวกับว่าเธอเคยชินกับการเพิกเฉยมู่น่อนน่อนไปแล้ว
หลังจากที่เซียวชู่เหอเดินออกไป มู่เจิ้งซิวก็คิดอยู่ครู่หนึ่งและค่อยพูดออกมา “เรื่องของเธอที่อินเตอร์เน็ตฉันรู้หมดแล้ว ฉันตักเตือนและห้ามปรามพี่สาวเธอไปแล้ว โตขนาดนี้ยังทำเรื่องโง่ๆอยู่ได้!”
มีความโกรธและดุดันปนอยู่ในน้ำเสียงนั้น แต่คงพูดแบบนี้ได้แค่ต่อหน้าเธอเท่านั้น
“ฉันอยากพบเธอ” เป้าหมายที่มู่น่อนน่อนกลับมาที่ตระกูลมู่ก็เพราะว่าต้องการพบกับมู่หวั่นขี
มู่เจิ้งซิวกลับไม่ปฏิเสธอะไร และให้คนใช้พาเธอขึ้นไปชั้นบนเพื่อไปพบกับมู่หวั่นขีมา
เพิ่งจะเดินไปถึงหน้าประตูห้องของมู่หวั่นขีมา ก็ได้เสียงของมู่หวั่นขีมาตะโกนโวยวายออกมา
“ปล่อยฉันออกไป!”
“พวกแกมันสาระเลว คอยดูละกันนะว่าฉันจะเอาคืนพวกแกยังไง! ฉันจะเอาคืนพวกแกให้สาสมเลย!”
ด่าออกมาได้ไม่กี่ประโยค ก็ดูเหมือนว่าเธอจะด่าจนเหนื่อย จากนั้นเสียงก็เงียบลง
เมื่อคนใช้มองเห็นมู่น่อนน่อนเดินมา ก็ก้มหัวลงด้วยความเคารพ “คุณนายสาม”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าตอบรับ “เปิดประตูเถอะ”
มู่เจิ้งซิวบอกว่าตักเตือน เธอก็ไม่ได้คิดว่าจะทำถึงขั้นนี้ ถึงขั้นที่ขังมู่หวั่นขีไว้ในห้อง และให้คนใช้คอยเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องตลอดเวลา
คนใช้เปิดประตูออก มู่น่อนน่อนก็เดินเข้าไป
มู่หวั่นขีนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่บนโซฟา ก็ไม่รู้ว่าดูอะไรอยู่ ถึงได้ยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่คนเดียว ถึงขั้นที่มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปใกล้เธอก็ไม่รู้ตัว
มู่น่อนน่อนหรี่ตาลงอย่างเบาๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ดูแล้วมันสุขใจขนาดนั้นเลยเหรอ?”
มู่หวั่นขีมัวแต่ดูอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อได้ยินเสียงของมู่น่อนน่อน เธอก็สั่นไปทั้งตัว จากนั้นก็มองไปที่มู่น่อนน่อนด้วยสายตาที่ดุร้าย “แกเป็นผีหรือไง? เดินเข้ามาก็ไม่ให้ซุ่มให้เสียง?”
มู่น่อนน่อนไม่พูดอะไร เธอเดินตรงไปที่ด้านหน้า
มู่หวั่นขีวางโทรศัพท์ลง ใบหน้าเต็มล้นไปด้วยความพึงพอใจ “อุ๊ย นี่โดนถล่มขนาดนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะกล้าออกมาข้างนอก ไม่กลัวคนอื่นเค้าปาไข่ใส่เหรอไง?”
เมื่อมู่หวั่นขีพูดจบ เธอก็ยิ้มที่มุมปากอย่างพึงพอใจ แต่สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นมืดมนเล็กน้อย
“ก็กลัวสิ เลยมาหาเธอ” มู่น่อนน่อนจิกยิ้มที่มุมปาก มองด้วยหางตาด้วยท่าทางเย็นชา ดูไม่มีความหวาดกลัวอะไรเลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่มู่หวั่นขีเกลียดมากที่สุดก็คือท่าทีที่ไม่รู้สึกอะไรของมู่น่อนน่อน เพราะไม่ว่าจะเรื่องไหนๆก็ทำอะไรเธอไม่ได้
เธออยากเห็นมู่น่อนน่อนย่อยยับ และทรมานอย่างบ้าคลั่ง
“เธอนี่มันไร้ยางอายจริงๆ ถูกคนด่าว่าเป็นเมียน้อยยังทำท่าทีไม่เป็นไร และยังไม่มีความละลายใจอีก” มู่หวั่นขีกัดฟันพูดออกมา
มู่หวั่นขีนั่งลงบนโซฟา มู่น่อนน่อนยืนอยู่ที่ตรงหน้าของเธอ “พูดมาเถอะว่าเรื่องทะเบียนสมรสมันคืออะไร”
วันนี้มู่น่อนน่อนใส่เสื้อผ้าของเสิ่นเหลียง ชุดของเธอทั้งหมดเป็นของแบรนเนม ชุดที่เธอให้มู่น่อนน่อนนั้นด้านนั้นคือสวมด้วยเสื้อสเวตเตอร์ และสวมแจ็คเก็ตหนังที่ด้านนอก ทำให้เธอดูเย็นชามากกว่าเดิม
ตอนที่เธอจ้องมองไปที่มู่หวั่นขีนั้น ทั้งตัวของเธอนั้นก็สง่าและเฉิดฉาย
มู่หวั่นขีกำลังจะพูดความจริงออกมาโดยไม่รู้ตัว “คือซือ……”
เธอพูดออกมาแค่สองคำ จิตใต้สำนึกก็ดึงเธอกลับมา และเธอก็รู้ตัวว่ากำลังพูดอยู่กับมู่น่อนน่อน
แล้วทำไมเธอจะต้องพูดความจริงกับมู่น่อนน่อนด้วย เธอบ้าไปแล้วเหรอไง?
“เธอรู้แค่ว่าทะเบียนสมรสอันนั้นเป็นของจริงก็พอแล้ว และแก……มู่น่อนน่อน ก็เป็นได้แค่เมียน้อยเท่านั้นแหละ!” มู่หวั่นขีเน้นย้ำในประโยคสุดท้าย
สีหน้าของมู่น่อนน่อนไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่มือของเธอนั้นกำหมัดไว้แน่น
“เธอไม่พูดฉันก็พอจะรู้” มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อทำให้ใจตัวเองสงบลง “ซือเฉิงหยู้ให้เธอเป็นคนทำสินะ”
มู่หวั่นขีรีบปัดหนีความจริง “ฉันไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไร ซือเฉิงหยู้เป็นแค่ตัวประกอบในวงการบันเทิง ทำไมเขาต้องทำรูปภาพนั้นขึ้นมาด้วย เธอคิดมากเกินไปแล้ว”
เวลาที่คนพูดโกหกนั้น จะไม่กล้าสบตาคนอื่น
มู่หวั่นขีก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน
มู่น่อนน่อนคิดว่าเธอคงคิดผิดแล้วแหละ เพราะบนโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
ตอนแรกเธอยอมรับว่าซือเฉิงหยู้เป็นคนแบบนั้น ไม่มีทางที่จะชอบในตัวของมู่หวั่นขีแน่นอน
แต่ในท้ายที่สุด ซือเฉิงหยู้และมู่หวั่นขีร่วมมือกันให้เธอและเฉินถิงเซียวมาอยู่ในเส้นทางเดียวกัน
มู่น่อนน่อนเก็บแววตาของเธอ และนั่งลง พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ดูจากท่าทางแล้วซือเฉิงหยู้ก็ไม่ค่อยอะไรกับเธอเท่าไหร่เลยนะ และเธอเอง แค่สถานะจริงๆของเขาก็ยังไม่รู้เลย”
เธอสังเกต เพียงแค่พูดถึงซือเฉิงหยู้ มู่หวั่นขีก็มีท่าทีที่ดูตรึงเครียด เพราะมู่หวั่นขีนั้นรักซือเฉิงหยู้จริงๆ
เสิ่นชูหานในเมื่อก่อน รวมถึงพวกผู้ชายที่วุ่นวาย ก็ไม่เคยเห็นมู่หวั่นขีดูตรึงเครียดเท่านี้มาก่อน
“นี่มันห้องของฉัน เธอออกไปเดี๋ยวนี้” มู่หวั่นขีตะโกนไล่มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนไม่แสดงสีหน้าใดๆออกมา เธอลุกขึ้นและหันตัวกลับ “ถ้าอย่างนั้นฉันไปล่ะ”
ที่เธอมาในวันนี้ ก็แค่ต้องการความมั่นใจ ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่มู่หวั่นขีและซือเฉิงหยู้ร่วมมือกัน
คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะได้คำตอบที่แท้จริงเสียที ไม่มีคำว่าไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไป
รูปภาพทะเบียนสมรสนั้นซือเฉิงหยู้ให้มู่หวั่นขีเป็นคนทำ มู่หวั่นขีกำลังโดนซือเฉิงหยู้หลอกใช้
ตอนที่ 204 หากเธอเป็นอะไรแม้แต่ปลายเส้นผม
เมื่อเสิ่นเหลียงได้ยินเช่นนั้นก็พูดออกมาว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไปพักเถอะนะ”
“อืม” มู่น่อนน่อนลุกขึ้นและเดินเข้าห้องไป
ในตอนที่เปิดประตูห้อง เธอเห็นเสิ่นเหลียงก้มลงมองโทรศัพท์ด้วยท่าทางขมวดคิ้ว
เดาว่าเธอกำลังอ่านบทวิพากษ์วิจารณ์ในโลกอินเตอร์เน็ตอยู่แน่นอน
หลังจากที่ปิดประตู เธอก็เข้ามาอยู่ในห้องเพียงคนเดียว
มู่น่อนน่อนเอาหลังพิงกับประตูและฟุบลงไปกับพื้น น้ำตาของเธอค่อยๆไหลมาโดยไม่รู้ตัว
เธอไม่ได้ทุกข์ใจอะไรขนาดนั้น แต่แค่รู้สึกเหนื่อยเฉยๆ
ตั้งแต่เล็กจนโต เธอก็รู้สึกอิจฉาคนอื่นที่มีพ่อแม่ หลังจากที่สอบเข้าคณะภาพยนตร์ได้ เธอก็เริ่มรับเขียนบทละคร เริ่มที่จะหาเงินเลี้ยงชีพตัวเองได้ ก็พบว่าตัวเองนั้นไม่ค่อยอิจฉาคนอื่นเท่าไหร่แล้ว
ใช้ชีวิตคนเดียวมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น
หลังจากที่แต่งงานเข้ามาอยู่ในตระกูลเฉิน โดนเฉินถิงเซียวล้อเลียนว่าเป็น “เฉินเจียฉิน” มาเป็นเวลานาน ถึงแม้ว่าเธอจะโกรธ แต่มันก็เทียบไม่ได้กับการที่เฉินถิงเซียวนั้นดีกับเธอ
เธอต้องการความรักและความอบอุ่นเหลือเกิน
เพราะเธอไม่เคยได้รับมันมาก่อน ดังนั้นเมื่อมีใครที่พยายามเป็นฝ่ายเข้ามาหาเธอก่อน เธอก็อดไม่ได้ที่จะดึงให้คนๆนั้นเข้ามาอยู่ในหัวใจ
เธอเริ่มรู้สึกต้องการมันมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ในใจของเฉินถิงเซียวนั้น เธอไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด
ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดจริงๆ
เขาเอาเธอมาทดสอบซือเฉิงหยู้
ที่แท้ในใจของเขานั้นก็กล้าที่จะเอาเธอเข้ามาเสี่ยงด้วย
……
ตลอดทั้งคืนมู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปได้อย่างไร และไม่รู้ว่าตื่นมาได้อย่างไร
แต่หลังจากที่ผ่านค่ำคืนนั้นมา เธอก็รู้สึกใจเย็นขึ้นเยอะมาก
เรื่องราวในตอนนี้มีผลกระทบต่อเธอมากจริงๆ
ในอนาคตเธอกำลังจะเข้าสู่วงการในฐานะนักเขียนบท
แต่ตอนนี้เธอกำลังถูกตราหน้าว่าเป็น “เมียน้อย” และหลังจากนี้มันก็คงจะกลายเป็นนามสกุลของเธอ เมื่อคนพวกนั้นพูดถึงเธอ สิ่งแรกที่นึกถึงก็คือสถานะ “เมียน้อย”
แต่เธอก็ไม่สามารถละทิ้งการเขียนบทละครได้ และเธอก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองนั้นคือ “เมียน้อย”
และยิ่งคนที่แต่งเข้าไปในตระกูลเฉินนั้นก็คือเธอ
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เข้าไปเสิร์ชดูWeibo
ทั้งหมดในเว็บก็มีเรื่องการด่าทอเธอต่างๆนาๆ
ถึงแม้ว่าจะเตรียมใจมาเยอะแล้ว แต่เมื่อได้มาเห็นข้อความมากมายที่กำลังรุมด่าเธอ มันก็ทำให้เธออดรู้สึกจมดิ่งไม่ได้
“น่อนน่อน ตื่นเถอะนะ มาทานข้าวเช้าได้แล้ว”
เสียงของเสิ่นเหลียงดังขึ้นจากข้างนอก เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ระมัดระวัง
มู่น่อนน่อนปิดโทรศัพท์ ใส่รองเท้าและเดินออกไป “ฉันมาแล้ว”
เธอเปิดประตู ก็พบว่าเสิ่นเหลียงนั้นยืนอยู่ที่หน้าประตู
มู่น่อนน่อนยิ้มออกมา “ไปกันเถอะ เราไปทานข้าวเช้ากัน”
“อ้อ” เสิ่นเหลียงเดินตามไปด้วยอาการตกใจเล็กน้อย
เมื่อวานมู่น่อนน่อนเต็มไปด้วยอาการสิ้นหวัง จนทำให้เธอนั้นเป็นห่วงแทบแย่ และเธอก็เอาแต่คิดว่าจะปลอบโยนมู่น่อนน่อนอย่างไรดี
ผลปรากฏว่ามู่น่อนน่อนราวกับคนละคนกับเมื่อวาน เดินออกมาด้วยท่าทางที่……
นั่งที่โต๊ะอาหาร “มู่น่อนน่อน……”
มู่น่อนน่อนพูดแทรกขึ้นมา “อีกแปบหนึ่งฉันจะกลับไปที่บ้านตระกูลมู่นะ”
“เธอจะกลับไปที่บ้านตระกูลมู่ทำไมล่ะ?” เสิ่นเหลียงตกใจมาก วางตะเกียบลงและมองไปหาเธอ
“เรื่องของทะเบียนสมรสนั้น จะต้องเกี่ยวข้องกับมู่หวั่นขีอย่างแน่นอน เรื่องๆนี้ฉันกับเฉินถิงเซียวไม่รู้อะไรเลย อย่างนั้นคนในตระกูลมู่ต้องรู้อะไรบางอย่างแน่นอน”
หลังจากที่มู่น่อนน่อนพูดจบ ดื่มนมจนหมดแล้ว ก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ถ้าเธอมีเรื่องอะไรต้องทำก็ไปทำเถอะนะ ฉันกลับไปเองได้”
“แต่ว่า……” เสิ่นเหลียงยังรู้สึกไม่ค่อยวางใจสักเท่าไหร่
“เรื่องทั้งหมดมันคลุมเครือ เรื่องสีดำจะมาทำให้เป็นสีขาวได้อย่างไร” มู่น่อนน่อนยิ้มออกมา “มันจะผ่านไปได้แน่นอน”
ทุกอย่างจะต้องผ่านไปอย่างแน่นอน สำหรับเฉินถิงเซียวนั้นเธอก็ไม่ได้เข้าใจทั้งหมด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ต้องแก้ไขปัญหาที่อยู่ตรงหน้าก่อน
……
ในตอนที่เธอออกจากบ้านของเสิ่นเหลียงนั้น เธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าสวมใส่ชุดของเสิ่นเหลียง
ใส่แว่นดำและผ้าปิดจมูก
ตอนที่เธอแต่งตัว เสิ่นเหลียงยังคงทำหน้าไม่วางใจ แต่มู่น่อนน่อนก็ปลอบโยนเธอ “ถือเสียว่าเสพสุขล่วงหน้ากับเงินเดือนและสวัสดิการละกันนะ”
เดินไปจนถึงหน้าประตู มู่น่อนน่อนก็เห็นสือเย่
“คุณผู้หญิง” ผมของสือเย่นั้นรุงรัง ราวกับว่าไม่ได้นอนพักผ่อนเลยทั้งคืน
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วและถาม “นายมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“คุณผู้ชายบอกให้ผมมาเฝ้าคุณผู้หญิงไว้ครับ ถ้าหากว่าคุณผู้หญิงต้องการจะไปที่ไหนก็ให้ไปส่งครับ” สือเย่เอียงหัวเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเคารพ
มู่น่อนน่อนหยุดนิ่งสักพักแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เฉินถิงเซียว…บางครั้งนายก็ฉลาดจนดูน่ากลัว
ที่แท้เขาก็รู้ว่าเธอนั้นจะกลับไปที่บ้านตระกูลมู่
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนหน่อยนะ”
ตอนนี้สถานการณ์ไม่ปกติ มีสือเย่ไปส่งเธอ ก็ช่วยลดความวุ่นวายได้เยอะเหมือนกัน
หลังจากที่ขึ้นรถไป มู่น่อนน่อนก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเช็คดูWeibo
การค้นหายอดนิยมหลายรายการที่เกี่ยวกับเธอบน Weibo ถูกกำจัดออกไปแทบไม่เห็นแม้แต่เงา
แม้แต่คอลัมน์หลักๆที่โพสต์เกี่ยวกับเธอก็ไม่เหลือแล้ว
แต่….ยังมีเนื้อหาบางส่วนซึ่งเป็นประเด็นร้อนและยังถูกค้นหาและถูกแชร์ออกไปทุกที่
“ว่ากันว่าตอนแรกคุณชายเฉินมีคู่หมั้นคือคุณหญิงรองของตระกูลมู่ แต่สุดท้ายคนที่ถูกแต่งเข้าไป กลับเป็นคุณหญิงสามแห่งตระกูลมู่……”
“ได้ยินมาว่าคุณหญิงสามของตระกูลมู่ทั้งน่าเกลียดและทั้งโง่ไม่ใช่เหรอ?”
“ใครจะไปรู่ละ? อาจจะเป็นเพราะมีเงินก็เลยมีรสชาติที่แสนพิเศษ”
“บางทีหญิงสาวทั้งสองคนก็อาจจะอยู่ในตระกูลเฉินด้วยกันเลยก็ได้นะ”
“ตระกูลที่มีทั้งเงินและอิทธิพลนี้มันซับซ้อนมากจังเลยนะ……”
“แต่ไม่ว่ายังไงหญิงทั้งสองของตระกูลมู่ก็ไม่มีอะไรดีอยู่ดีนั่นแหละ……”
เมื่อมู่น่อนน่อนเห็นข้อความเหล่านี้ก็รู้สึกโกรธมากๆ
แต่ก็พยายามปลอบใจตัวเอง ว่าเรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร เมื่อคิดเช่นนั้นก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
ในตอนนี้ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาจากในรถ
ไม่ใช่เสียงโทรศัพท์ของมู่น่อนน่อน แต่เป็นเสียงโทรศัพท์ของสือเย่
สือเย่รับสายโทรศัพท์ เขามองหน้ามู่น่อนน่อนแวบหนึ่งผ่านกระจกหลัง
คนที่โทรมานั้นก็คือเฉินถิงเซียว
เพราะไม่ได้นอนเลยทั้งคืนเสียงของเขาจึงแหบเล็กน้อย “มู่น่อนน่อนอยู่ในรถไหม?”
สือเย่ตอบ “ใช่ครับ”
“ฉันจัดเตรียมบอดี้การ์ดให้ไปที่นั่นแล้ว เมื่อถึงเวลาก็ระวังด้วย ถ้าเธอเป็นอะไรแม้แต่ปลายเส้นผม ก็ไม่ต้องกลับมาเจอหน้าฉันอีก”
เสียงของเฉินถิงเซียวนั้นเคร่งขรึม ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่น้ำเสียงที่คุกคาม แต่เมื่อสือเย่ได้ยินแบบนั้นก็เหงื่อไหลไม่หยุด
“รับทราบครับ”
สือเย่เพิ่งจะวางสายโทรศัพท์ มู่น่อนน่อนก็หยิบกระดาษทิชชูและส่งให้เขา “แอร์มันเย็นไม่พอเหรอ?ทำไมเหงื่อถึงไหลไม่หยุดแบบนี้?”
มันไม่ใช่ว่าเขาร้อน แต่เป็นเพราะว่าเขากำลังกลัวต่างหากล่ะ
แต่เมื่อได้สติเขาก็ตอบไปว่า “ใช่ครับรู้สึกร้อนนิดหน่อย ขอบคุณมากนะครับคุณผู้หญิง”
ไม่นานนักก็มาถึงบ้านตระกูลมู่
มีรถสองคันจอดอยู่หน้าประตู
มู่น่อนน่อนก็รู้สึกสงสัยว่าใครมาที่นี่ ก็เห็นผู้ชายกลุ่มหนึ่งใส่ชุดสูทแบบบอดี้การ์ดเดินลงมาจากรถ และเมื่อเธอได้มองก็รู้สึกคุ้นๆ
ดูเหมือนว่าจะเป็นคนของเฉินถิงเซียว
บอดี้การ์ดพวกนั้นเดินมาทางมู่น่อนน่อนและเปิดประตู “คุณผู้หญิง”
มู่น่อนน่อนเดินลงจากรถ “พวกนายมาทำอะไรที่นี่?”
ผู้คุมกันดูเหมือนจะนัดกันมาล่วงหน้า ถึงได้เอ่ยปากพูดออกมาพร้อมกัน “ก็มารอคุณแหละครับ”
“……”สีหน้าของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปดูเหมือนคนโง่เลยทันที
ทันใดก็มีกลุ่มนักข่าวโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ “คุณผู้หญิงคะ สวัสดีค่ะ ขอบสอบถามหน่อยได้ไหมคะ?”
ตอนที่ 203 เพราะเรื่องของมู่น่อนน่อน ถึงทำให้นายเดือดดาลขนาดนี้เลยหรอ
หลังจากที่เสิ่นเหลียงพูดจบ ก็เดินไปจับแขนมู่น่อนน่อนและเดินออกไปข้างนอก
เฉินถิงเซียวลุกขึ้นมาจากพื้น เดินก้าวไปเพียงแค่สามก้าวก็หยุดอยู่ที่หน้าของมู่น่อนน่อน และดึงเธอไว้ “กลับบ้านกับฉัน”
“ฉันไม่อยากหลับ” มู่น่อนน่อนหลับตา จากนั้นเธอสะบัดมือของเขาและ และหันหน้าหนี โดยที่ไม่แย่แสมองหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เธอดูเยือกเย็นสุดๆ
แววตาของเฉินถิงเซียวเริ่มมืดลง แต่เขาก็เก็บสายตานั้นไว้ในชั่วพริบตา เขากัดกรามของตัวเองแน่น ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความอดทน หมัดที่เขากำไว้แน่นก็ค่อยๆคลายออก
สุดท้าย เขาก็ยิ้มที่มุมปากเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลราวกับพูดกับเด็กน้อย “ผ่านไป1-2วันฉันจะไปรับเธอนะ”
น้ำเสียงที่เขาพูดออกมานั้น ไม่ใช่ประโยคคำถามในการถามมู่น่อนน่อน แต่เป็นการแจ้งให้ทราบเท่านั้นเอง
“พวกเราไปกันเถอะ” มู่น่อนน่อนไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย และดึงเสิ่นเหลียงไปข้างนอก
“ฉันไปส่งพวกหล่อนนะ” หลังจากที่พูดประโยคนี่เสร็จ กู้จือหยั่นก็ออกไป
ทั้งสามคนต่างก็เดินออกไป เหลือเพียงแค่เฉินถิงเซียวเท่านั้นที่อยู่ในห้อง
เขายืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน จากนั้นสักพักหนึ่งเขาก็ค่อยๆขยับไปนั่งลงที่โซฟา
เขานั่งงอแขนและวางข้อศอกไปที่หัวเข่า และเอามืออีกข้างก่ายหน้าผาก ท่าทางของเขานั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
ดูจากท่าทางของเขานั้นคงกำลังอ่อนแอไม่ใช่น้อย
……
ที่อยู่ของกู้จือหยั่นนั้นค่อนข้างเป็นความลับ เพราะอย่างนั้นตอนจึงยังไม่มีใครหาพบ
แต่เขาก็ยังไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่ จึงไปดูต้นทางที่ประตูให้ก่อน จากนั้นถึงให้เสิ่นเหลียงกับมู่น่อนน่อนออกไป
ที่จริงแล้วเขาอยากจะไปส่งพวกเธอให้ถึงที่ แต่เพราะในบ้านยังคงมีเฉินถิงเซียวอยู่ จึงทำได้เพียงส่งพวกเธอขึ้นรถ หลังจากที่อยู่ตรงประตูสักพักหนึ่งแล้วพบว่าไม่มีพวกนักข่าวตามมา ก็หมุนตัวเพื่อจะเดินกลับไปที่พัก
แต่ก็พบว่าที่ประตูลิฟต์นั้นมีเฉินถิงเซียวยืนอยู่
เฉินถิงเซียวเดินออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา จากนั้นก็เหลือบตามองที่กู้จือหยั่น “ช่วงนี้รบกวนนายหน่อยนะ”
กู้จือหยั่นเข้าใจดี ว่าเขากำลังหมายถึงมู่น่อนน่อน
ในตอนนี้มู่น่อนน่อนไม่ต้องการที่จะเจอเฉินถิงเซียว เพราะอย่างนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่ให้กู้จือหยั่นคอยสอดส่องให้
กู้จือหยั่นยิ้มเยาะออกมาพลางพูดหยอกล้อ “ที่ผ่านมา นายก็รบกวนฉันมาตั้งเท่าไหร่? ถ้าวันไหนที่นายไม่รบกวนฉันแล้ว ฉันคงรู้สึกไม่ชินแน่ๆ”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร กำลังจะก้าวขาเพื่อเดินไปต่อ
กู้จือหยั่นจึงรีบเรียกเขาไว้ “ครั้งนี้มันอย่างไรกันแน่ เกี่ยวข้องกับราชาภาพยนตร์ซือด้วยเหรอ?”
เฉินถิงเซียวหยุดอย่างเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรและเดินจากไป
หลังจากที่ออกมาจากที่ตรงนั้น เฉินถิงเซียวก็ขับรถไปด้วย และต่อสายโทรศัพท์หาซือเฉิงหยู้ไปด้วย
เสียงรอสายแค่ตื๊ดเดียวเท่านั้น อีกฝั่งก็รับสาย ดูเหมือนว่าอีกฝั่งนั้นก็รอรับสายของเขามาสักพักแล้วเหมือนกัน
“ในที่สุดก็โทรมาหาฉันสักทีสินะ?” น้ำเสียงของซือเฉิงหยู้ดูด้วยจังหวะที่ไม่เร็วและไม่ช้า และยังคงแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
แต่น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวนั้นเยือกเย็นแบบสุดๆ “ตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“บ้านของฉันเอง”
เฉินถิงเซียววางสายโทรศัพท์ และตรงไปที่บ้านของซือเฉิงหยู้
ซือเฉิงหยู้เดินมาเปิดประตูให้ เฉินถิงเซียวคว้าคอเสื้อของเขาเดินเข้าไปในบ้าน และใช้อีกมือหนึ่งปิดประตู
“ทำไมแบบนี้ทำไม? มีเรื่องอะไรก็มาเคลียร์ที่ฉันสิ!” ใบหน้าของเฉินถิงเซียวบึ้งตึงและมีความโกรธจัดแสดงออกที่ใบหน้าของเขา
ซือเฉิงหยู้ถูกรัดที่คอเสื้อไว้แน่น คอเสื้อนั้นเริ่มรัดแน่นที่คอเขาขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงนิ่งสงบ
ดูเหมือนว่าเขาทั้งสองจะไม่ใช่พี่น้องที่ลงรอยกันเท่าไหร่ แต่ลึกๆก็ยังคงมีสายสัมพันธ์ต่อกัน
“ลงที่นาย? แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรเหรอ?” ซือเฉิงหยู้แสยะยิ้มออกมา โดยมีน้ำเสียงที่แปลก “ฉันลงกับนาย นายก็คงไม่รู้สึกเจ็บอะไร ก็คงมีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับมู่น่อนน่อนเท่านั้นแหละ ถึงจะทำให้นายเจ็บปวดและกระตุ้นนายได้”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวเริ่มมืดลง และผลักเขาล้มลงไปที่พื้น ราวกับว่ามันไม่เพียงพอที่จะระบายความรู้สึกโกรธของเขา เขากำหมัดไว้แน่น แต่ก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร
เขาไม่ได้แสดงความเมตตาใดๆ ในตอนนี้ที่ซือเฉิงหยู้ถูกโยนลงไปที่พื้นอย่างรุนแรง ใบหน้าของซือเฉิงหยู้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด จนไม่สามารถรักษาสีหน้าที่เรียบนิ่งไว้ได้
เขาไอออกมาสองสามครั้ง เพื่อดึงเสียงของตัวเองให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม “ดูเหมือนว่าฉันจะพนันไว้ถูกแล้วแหละ”
“ทำกับผู้หญิงคนนี้แบบนี้ได้อย่างไร? ” เฉินถิงเซียวกัดฟันพูดออกมาด้วยความโกรธ
“ได้ผลก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?” ซือเฉิงหยู้ยิ้มเยาะออกมา ดวงตาเปล่งประกาย
เฉินถิงเซียวหรี่ตามองที่เขา “ที่โรงน้ำชาวันนั้น นายได้ยินที่คุณปู่กับเฉินชิงเฟิงคุยกันสินะ? ก็เลยลงมือทำเรื่องทั้งนี้เหรอ?”
ไม่รู้ว่าทำไมคำพูดนี้มันถึงได้ทิ่มแทงใจของซือเฉิงหยู้เหลือเกิน จู่ๆสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ใบหน้าก็เขาก็ซีดเผือดราวกับกระดาษ
เขากำมือไว้แน่น สีหน้าเริ่มลุกลี้ลุกกลน “นายไปรู้อะไรมา?”
“นายกลัวว่าฉันจะรู้อะไรเหรอ?” เฉินถิงเซียวค่อยๆบีบเขา โดยที่สีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
ทั้งสองจ้องตากันสักพักหนึ่ง จู่ๆซือเฉิงหยู้ก็หัวเราะขึ้นมา ท่าทางราวกับคนที่กำลังเสียสติไปแล้ว
“นายไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ เรื่องที่อยากจะรู้นั้น ยังไงก็ไม่มีทางได้รับรู้มันหรอกนะ” ซือเฉิงหยู้พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และโซซัดโซเซกลับไปที่ห้อง
……
มู่น่อน่อนและเสิ่นเหลียงเดินทางถึงบ้านอย่างปลอดภัย
“อยากดื่มอะไรไหม?” เสิ่นเหลียงยื่นรองเท้าแตะให้มู่น่อนน่อน พลางเอ่ยปากถาม
มู่น่อนน่อนยื่นมือรับ พร้อมกับส่ายหัวปฏิเสธ
เดินเข้าไปในห้องมู่น่อนน่อนกอดหมอน นอนนิ่งๆที่โซฟาโดยที่ไม่พูดอะไรเลย
แต่เสิ่นเหลียงก็ยังคงรินน้ำใส่แก้วให้เธอ จากนั้นก็ยื่นให้ และก็นั่งลงที่ข้างๆ “สรุปว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
มู่น่อนน่อนๆเอามือประสานจับแก้วน้ำที่อุ่นๆเอาไว้ ขดตัวอยู่ที่โซฟา ให้เสิ่นเหลียงคาดการณ์จากคำพูดที่ได้ยินเมื่อตอนล่าสุด
“ไม่จริงหรอก……” เสิ่นเหลียงเอามือยีที่หัวของตัวเอง “ราชาภาพยนตร์ซือกับประธานใหญ่ก็ดูจิตใจดี เขาจะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน ไม่สมเหตุสมผลเลย?”
“อืม” มู่น่อนน่อนพยักหน้าเห็นด้วย
ขนาดเสิ่นเหลียงที่เป็นคนนอกยังรู้สึกเลยว่าซือเฉิงหยู้คงไม่ทำเรื่องอะไรแบบนี้ ก็ไม่ต้องพูดถึงเฉินถิงเซียวเลย
ครอบครัวของเฉินถิงเซียวนั้นมีความกลมเกลียวกัน ถึงแม้ว่าเฉินถึงแล้วจะถูกลักพาตัว แต่เขาก็ยังมีคุณพ่อและคุณปู่ และยังมีญาติสนิทคนอื่นๆอีก
ก็มีแต่เธอคนเดียว ที่เป็นนอกของตระกูลมู่มาโดยตลอด ไม่ได้รับความรู้สึกของความเป็นครอบครัว ไม่มีญาติสนิท มีแต่เสิ่นเหลียงคนเดียวที่เป็นเพื่อนกับเธอ เธอต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวและกล้าหาญมาตั้งแต่เด็ก สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมเธอมาตั้งแต่เด็ก จนทำให้เธอนั้นเป็นคนที่ไวต่อความรู้สึก
เธอเชื่อในการตัดสินของตัวเอง
แต่เฉินถิงเซียวก็ไม่เคยยอมรับ ว่าเรื่องนี้ซือเฉิงหยู้เป็นคนทำ
พอเสิ่นเหลียงเห็นมู่น่อนน่อนสติหลุดลอย ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปโอบกอดเธอด้วยหัวที่เจ็บปวด “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ มู่น่อนน่อน เธออย่าเป็นแบบนี้สิ……”
“ฉันก็แค่เหนื่อยเท่านั้นเอง” มู่น่อนน่อนจิกยิ้มที่มุมปาก ก็พบว่าในช่วงเวลาแบบนี้เธอไม่สามารถยิ้มออกมาได้จริงๆ
ต่อให้เสแสร้งแกล้งทำ เธอก็ทำไม่ได้
ตอนที่ 202 ซือเฉิงหยู้สำคัญมากกว่าเธอ
กู้จือหยั่นพามู่น่อนน่อนออกมาทางประตูหลังของบริษัทเสิ้งติ่ง
ที่ประตูหลังมีรถสีดำคันหนึ่งจอดรออยู่
เมื่อทั้งสองคนเดินเข้าไปใกล้ ก็มีผู้คุ้มกันเปิดประตูให้ขึ้นรถ กู้จือหยั่นดันมู่น่อนน่อนให้เข้าไปในรถ มองไปรอบๆสักพักก่อนที่จะขึ้นรถตามไป
เมื่อขึ้นรถ คนขับก็เคลื่อนตัวทันที
เมื่อพามู่น่อนน่อนออกมาได้สำเร็จกู้จือหยั่นก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
แต่เมื่อเขาได้หันไปเห็นมู่น่อนน่อน ก็ค่อยๆเอ่ยปากถาม
“มู่น่อนน่อน เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เมื่อพูดจบ กู้จือหยั่นก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นได้ถามคำถามที่โง่มาก
เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ มู่น่อนน่อนจะไม่เป็นไรได้อย่างไรกัน
ที่จริงแล้วเธอกับเฉินถิงเซียวนั้นก็เป็นสามีกันอย่างถูกต้อง แต่ผลที่ตามมาก็คือ จู่ๆก็มีทะเบียนสมรสออกมาและมู่น่อนน่อนก็กลายเป็นมือที่สาม
อย่าว่าแต่เป็นมู่น่อนน่อนเลย ต่อให้เป็นผู้ชายก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจเช่นกัน
เพียงแค่…ใบหน้าของมู่น่อนน่อนที่เต็มไปด้วยความมึนงง และซีดเผือด และไม่เอ่ยปากพูดสิ่งใดออกมา มันช่างทำให้ผู้อื่นรู้สึกเป็นกังวล
“เธออย่าคิดมากเกินไปเลยนะ เรื่องมันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นเสียหน่อย เธอต้องเชื่อเฉินถิงเซียวสิ เขาจะต้องจัดการเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน” กู้จือหยั่นพยายามหาถ้อยคำเพื่อปลอบใจเธอ
และเขาก็พบว่าคำพูดเหล่านั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย
เขาส่ายหัวด้วยความหงุดหงิดใจ ทำไมผู้หญิงถึงเป็นอะไรที่ซับซ้อนเช่นนี้
มู่น่อนน่อนเหลือบมองไปทางเขา ในที่สุดก็ยอมเอ่ยปากพูดออกมา และประโยคนั้นก็คือ “แล้วเฉินถิงเซียวล่ะ?”
“เขา……” กู้จือหยั่นเห็นท่าทีที่ไม่สู้ดีของมู่น่อนน่อน แต่เขาก็ไม่สามารถบังคับใจให้พูดโกหกได้ “เขาออกมาไปตรวจตราที่นอกเขตชานเมือง กำลังจะเดินทางกลับมา ประมาณอีกหนึ่งชั่วโมงก็กลับมาแล้ว”
……
“อ้อ” มู่น่อนน่อนเปล่งเสียงออกมา จากนั่นก็พิงไปที่พนักพิง จากนั้นก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก
เมื่อกู้จือหยั่นเห็นเธอเป็นเช่นนั้น ก็ไม่เอ่ยปากถามอะไรเธออีก
ต่อให้เค้าพูดออกไปมากมาย มันก็คงเทียบไม่ได้กับการที่เฉินถิงเซียวพูดออกมาเพียงแค่ประโยคเดียว
……
รถขับมาถึงบ้านของกู้จือหยั่น
บ้านของกู้จือหยั่นนั้นคือห้องชุดดีลักซ์ในย่านชั้นสูง
เขาเปิดประตูไปด้วยและพยายามอธิบายกับเธอไปด้วย “ที่บ้านเดี่ยวของเฉินถิงเซียวนั้น ครั้งที่แล้วหลัวหยิงตามไป ตอนนี้คงมีนักข่าวแอบอยู่มากมาย เพราะฉะนั้นฉันเลยพาเธอมาที่บ้านฉันก่อน……”
กู้จือหยั่นใช้ท่าทีที่อ่อนโยนกับมู่น่อนน่อน ซึ่งเป็นท่าทีที่หาได้ยาก เพราะนอกจากเสิ่นเหลียงแล้ว เขาก็อ่อนโยนกับผู้อีกคนไหนอีก
“ขอบคุณนะ” มู่น่อนน่อนกล่าวคำขอบคุณ และเดินตามเขาเข้าไป
พอเข้าไปข้างใน กู้จือหยั่นก็เอ่ยปากถาม “ดื่มน้ำไหม? หรือต้องการเครื่องดื่มอะไรไหม?”
มู่น่อนน่อนส่ายหัวปฏิเสธ
แต่กู้จือหยั่นก็ยังคงเทน้ำใส่แก้วให้เธอ
จากนั้นพักหนึ่ง มู่น่อนน่อนก็ยื่นมือเพื่อขอโทรศัพท์คือ “เอาโทรศัพท์คืนให้ฉัน”
“โทรศัพท์เหรอ……ก็ไม่มีอะไรน่าดูหรอก พวกเราคุยกันน่าสนใจกว่าเยอะเลย จริงไหม?” แน่นอนว่ากู้จือหยั่นรู้ว่าในคำด่าทอในโซเชียลนั้นมีหยาบคายและไม่น่าฟังขนาดไหน เขาจึงไม่ยอมมคืนโทรศัพท์ให้กับมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนไม่ได้คะยั้นคะยอ
ในตอนนี้เรื่องกระดิ่งก็ดังขึ้น
“สงสัยเฉินถิงเซียวจะมาแล้ว” กู้จือหยั่นพูดไปด้วย พลางลุกขึ้นไปเปิดประตู
เธอหันหน้าไปทางประตู แต่คนที่เข้ามานั้นกลับไม่ใช่เฉินถิงเซียว แต่กลับเป็นเสิ่นเหลียง
ท่าทางของเสิ่นเหลียงนั้นดูรีบร้อน เธอใส่ชุดที่อยู่ในการถ่ายทำ ผมของเธอก็รุงรังไปหมด ดูก็รู้ว่าเธอนั้นรีบร้อนขนาดไหน
“น่อนน่อน!” เสิ่นเหลียงวิ่งเข้าไปหามู่น่อนน่อน อ้าปากเพราะต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง สุดท้ายเธอก็พูดออกมาแค่เพียง
“มันต้องมีทางออกสิ มันต้องแก้ไขได้”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า “อืม”
เสิ่นเหลียงมองที่มู่น่อนน่อนอย่างละเอียด ก็พบว่านอกจากสีหน้าของเธอที่ซีดเผือด ก็ไม่มีอย่างอื่นที่ดูผิดปกติ
แต่ก็เพราะว่ามู่น่อนน่อนนั้นนิ่งเกินไป มันก็ยิ่งทำให้เธอยิ่งเป็นห่วงมากกว่าเดิม
เธอกับกู้จือหยั่นสบตากัน กู้จือหยั่นส่ายหัวแบบจนปัญญา
ในช่วงเวลานั้นทั้งสามคนนั่งอยู่ในห้อง พูดอะไรไม่ออก
เฉินถิงเซียวตามมาทีหลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง
กู้จือหยั่นเปิดประตู เฉินถิงเซียวเดินตรงไปทางมู่น่อนน่อน
ตอนที่เขากำลังจะเดินไปถึงด้านหน้าของมู่น่อนน่อน จู่ๆฝีเท้าของเขาก็ลังเล
เขาเดินไปหาเธอและนั่งยองๆ จากนั้นก็จับมือของเธอ “มู่น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น ใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะร้องไห้ “คุณมาแล้วหรอ”
“อื้ม” เฉินถิงเซียวพยักหน้า ด้วยท่าทางที่ลังเลและเคร่งขรึม
สุดท้ายเขาก็พูดออกมาเพียงแค่สามคำ “เชื่อฉันนะ”
มู่น่อนน่อนกลับไม่พูดอะไรออกมา
ทำไมเธอถึงไม่เชื่อเขานะ?
ที่ผ่านมานั้น คนที่เธอเชื่อใจมากที่สุดก็คือ เฉินถิงเซียว
ถึงแม้ว่าเธอจะถูกพูดถึงจนเป็นประเด็นร้อน เธอก็ไม่เคยรู้สึกกลัวมาก่อน เพราะเธอรู้ว่าเฉินถิงเซียวจะแก้ไขมันได้
มู่น่อนน่อนจ้องมองที่เฉินถิงเซียวอย่างนิ่งเงียบ ไม่มีความยิ้มแย้มในดวงตาอันงดงาม แต่กลับเต็มไปด้วยความสับสน
จากนั้นไม่นาน เธอก็ถามอย่างเงียบๆ “เขาเป็นคนทำเหรอ?”
กู้จือหยั่นและเสิ่นเหลียงที่อยู่ด้านข้างมองหน้ากันด้วยความมึนงง ว่าใครคือ “เขา”ที่มู่น่อนน่อนกำลังพูดถึง
แต่มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวกลับรู้อย่างชัดเจนว่า “เขา” คนนั้นคือใคร
คนที่มู่น่อนน่อนๆหมายถึงคือซือเฉิงหยู้ และเฉินถิงเซียวก็รู้ดี
ตอนนั้นที่มู่หวั่นขีและซือเฉิงหยู้ได้ออนแอร์ ถึงขั้นที่อยากจะเข้าวงการบันเทิงเพราะซือเฉิงหยู้
หากว่าเรื่องวันนี้ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นฝีมือของมู่หวั่นขีและซือเฉิงหยู้มันก็ดูสมเหตุสมผล
เป็นครั้งแรกที่เฉินถิงเซียวไม่กล้าสบตามู่น่อนน่อน เขากัดริมฝีปาก หันหน้าไปด้านข้าง และกำหมัดไว้แน่น
“เหอะเหอะ”
จู่ๆมู่น่อนน่อนก็แสยะยิ้มขึ้นมา
“จนถึงตอนนี้คุณก็ยังไม่ยอมเชื่อว่าเขานั้นยืนอยู่คนละฝั่งกับคุณ และจะเป็นปฏิปักษ์กับคุณ” มู่น่อนน่อนหยุดพูดไปนิดหนึ่ง “แม้ว่าเขาจะลากฉันเข้าสู่วังวนของเรื่องอื้อฉาว และการเปิดเผยซ้ำๆ แม้ว่าครั้งนี้เขาจะเป็นคนทำ คุณก็ยังคิดว่าเขาคือพี่ชายของคุณ……”
“ฉันสามารถอธิบายให้เธอฟังได้นะ” เฉินถิงเซียวตัดบทพูดของมู่น่อนน่อน เสียงของเขาช่างหนักแน่น
ตอนนี้มู่น่อนน่อนโกรธอย่างถึงที่สุด เสียงของเธอเริ่มแข็งกร้าน “ฉันไม่ต้องการคำอธิบายอะไรทั้งนั้น! ฉันกับคุณเป็นอะไรกัน เรามีความสัมพันธ์อะไรกัน? พวกสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันเลยด้วยซ้ำ!”
เฉินถิงเซียวอธิบายกับเธอ “ฉันไม่รู้เรื่องจดทะเบียนสมรส”
มู่น่อนน่อนกระชากมือตัวเองกลับมา และไม่พูดอะไรอีกเลย
ขนาดเธอยังสงสัยไปถึงตัวของซือเฉิงหยู้ แน่นอนว่าเฉินถิงเซียวคงจะสืบหาข้อมูลไปตั้งนานแล้ว
เฉินถิงเซียวคนนี้ดูเหมือนจะไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ แต่ที่จริงเขาแคร์คนอื่นมากๆ โดยเฉพาะคนที่สนิทกับเขา
เพราะไม่อยากจะทำใจยอมรับว่าซือเฉิงหยู้เป็นคนทำ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ลงมืออะไรซือเฉิงหยู้
จนถึงขั้นที่ซือเฉิงหยู้นั้นโจมตีหนักขึ้นเรื่อยๆ
และเฉินถิงเซียวเองก็ไม่ใช่คนที่ไม่เด็ดขาด แต่เป็นเพราะเขาแคร์มากๆ เลยอยากให้โอกาสซือเฉิงหยู้อีกครั้ง
แต่การที่เขาให้โอกาสซือเฉิงหยู้ มันกลับเป็นช่องทางในการทำร้ายมู่น่อนน่อน
พูดง่ายๆก็คือ สำหรับเขาแล้ว ซือเฉิงหยู้สำคัญมากกว่าเธอ
เพราะเฉินถิงเซียวปล่อยให้ซือเฉิงหยู้ลอยนวลแบบนี้ เรื่องวันนี้มันถึงได้เกิดขึ้น
กู้จือหยั่นและเสิ่นเหลียงที่ฟังอยู่ด้านข้าง ก็รู้สึกมึนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก
เสิ่นเหลียงเอ่ยปากถามด้วยอาการที่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ซือเฉิงหยู้เป็นคนทำเรื่องนี้เหรอ?”
“เขาทำแบบนี้ไปเพื่อะไรกัน?” กู้จือหยั่นก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่
“ฉันรู้สึกเหนื่อย อยากจะพัก” มู่น่อนน่อนมองไปทางเสิ่นเหลียง “เสิ่นเหลียง เธอพาฉันไปที่บ้านเธอได้ไหม?”
เสิ่นเหลียงรีบลุกขึ้น “ได้อยู่แล้ว”
ตอนที่ 201 นางเมียน้อยที่ไร้ยางอาย
หลังจากที่เฉินถิงเซียวคีบอาหารขึ้นมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
เขาวางตะเกียบลง กำลังจะแตะโทรศัพท์ก็ถูกมู่น่อนน่อนหยุดไว้ก่อน
“คุณทานให้เสร็จก่อนเถอะนะคะ เรื่องนี้กู้จือหยั่นคงจะจัดการเรียบร้อยแล้ว” จริงๆแล้วมู่น่อนน่อนก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกันว่าปัญหานั้นถูกแก้ไปแล้วหรือยัง
ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าเรื่องนี้เฉินถิงเซียวเป็นคนกำชับกู้จือหยั่นเป็นคนดำเนินเรื่อง ในใจของเธอจึงคิดว่าเรื่องนี้เฉินถิงเซียวจะต้องจัดการได้อย่างแน่นอน หลังจากนั้นจึงไม่ได้เก็บเรื่องนั้นมาใส่ใจ เธอจึงสนใจแต่เรื่องการอาหารให้กับเฉินถิงเซียว
แต่เฉินถิงเซียวก็ยังจะรั้นล้วงโทรศัพท์ออกมาและต่อสายหากู้จือหยั่น
กู้จือหยั่นยุ่งทั้งวันเพิ่งจะได้หลับ แต่เขาก็ถูกปลุกขึ้นมา รับสายและตะโกนออกมาเสียงดัง โดยที่ไม่รู้ว่าปลายสายคือใคร “ใครกัน! ดึกขนาดนี้ยังโทรมาอีก”
“ฉันเอง” เฉินถิงเซียวพูดออกมาอย่างนิ่งๆ แต่ทันใดนั้นกู้จือหยั่นก็ตาสว่างทันที
กู้จือหยั่นนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปรับน้ำเสียงหลายเป็นนุ่มนวลน่าฟัง “คุณชายเฉินครับ ก็ไม่ดูหน่อยหรอครับว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว ยังจะโทรหาฉันอีก ถ้าหากว่าคุณมีเวลาเยอะ ก็เสิร์ชราชาภาพยนตร์ซือหาอะไรดูไปนะ น่อนน่อนก็ถูกดึงเข้าไปแล้ว ไม่กี่วันมานี้ฉันมัวแต่ยุ่งกับเรื่องๆนี้จนไม่ได้หลับไม่ได้นอนแล้ว”
กู้จือหยั่นและเฉินถิงเซียวสนิทกัน เพราะอย่างนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดจาอ้อมค้อม
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่อยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้ต้องการอะไร แต่เขาจะต้องรู้เรื่องความสัมพันธ์ของนายกับมู่น่อนน่อนอย่างแน่นอน ถ้าไม่อย่างนั้นมันคงไม่อยู่เป็นเสี้ยนที่รังควานเราได้ขนาดนี้ ทุกครั้งที่มู่น่อนน่อนเป็นประเด็นร้อน ทำให้พวกเราต้องมาคอยตามแก้ปัญหาจนวิตกกังวลและไม่กล้าทำอะไรเลย”
มู่น่อนน่อนทำได้เพียงสังเกตจากสีหน้าอันเคร่งขรึมของเฉินถิงเซียว แต่เรื่องที่กู้จือหยั่นพูดคือเกี่ยวกับอะไรเธอก็ไม่ค่อยแน่ใจ
หลังจากที่วางสายโทรศัพท์ทั้งสองก็ถูกความเงียบปกคลุม เวลาผ่านไปซักพักก็ยังไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร
“วันนี้ฉันเห็นพี่ใหญ่ที่บริษัท” มู่น่อนน่อนเปล่งเสียงออกมาเพื่อทำลายความเงียบงัน
เมื่อเฉินถิงเซียวได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเธอ ขมวดคิ้วขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัว
“แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันไม่ได้พูดอะไรออกไป” มู่น่อนน่อนทำได้เพียงพูดพลางยิ้มออกมา “แต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องประเด็นร้อน” เฉินถิงเซียวลุกขึ้นยืน “ฉันทานอิ่มแล้ว”
“แฉบ”มู่น่อนน่อนลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และพูดออกมาอย่างดัง “เฉินถิงเซียว คุณเลิกหลอกตัวเองได้แล้วนะ คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าสถานะของพี่ใหญ่เป็นอย่างไร แต่คุณเองต่างหากที่ไม่อยากจะทำใจเชื่อมัน และเอาแต่หลอกฉันว่าค้นหาอะไรไม่พบเลย”
คำพูดเหล่านี้ถูกเก็บเอาไว้ในใจของมู่น่อนน่อนมานานแสนนาน
เฉินถิงเซียวหยุดชะงัก จากนั้นหันหลังไปมองมู่น่อนน่อน
สำหรับครั้งนี้เขาไม่ได้ปฏิเสธและไม่ได้ยอมรับอะไร เพียงแค่พูดออกมาอย่างนิ่งขรึม “เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง”
แววตาของเขาไร้ซึ่งความอ่อนโยน เหลือเพียงแต่ความเยือกเย็นเท่านั้น
ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนก็ยืนสั่นไปทั้งตัว เธออ้าปากครั้งแล้วครั้งเล่าแต่กลับพูดอะไรออกมาไม่ได้เลย
สายตาอันเย็นชาของเขา มันเยือกเย็นจนมู่น่อนน่อนสัมผัสได้ ในเวลานี้เฉินถิงเซียวดูแปลกมาก ดูเย็นชาไปหมด
มู่น่อนน่อนทำได้เพียงยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม
บางที เธออาจจะไม่เคยเข้าไปอยู่ในใจของเขาตั้งแต่แรกเลยก็เป็นได้
เขาไม่เต็มใจที่จะบอกกับเธอ จนเธออดไม่ได้และเอ่ยปากพูดขึ้นมา แต่เฉินถิงเซียวกลับทำท่าทีเย็นชาและทำราวกับว่าเธอไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้
ในค่ำคืนนี้ทั้งสองคนนอนหันหลังให้กันและกันอยู่บนเตียง ไร้ซึ่งการโอบกอด ไร้ซึ่งการพูดจา
……
งานของที่บริษัทยังคงเยอะเหมือนเคย และมู่น่อนน่อนก็ยังคงยุ่งเช่นกัน
เพราะเมื่อวานเธอพักผ่อนไม่เพียงพอ เมื่อถึงเวลาพักกลางวันมู่น่อนน่อนก็รีบไปที่ห้องดื่มชาเพื่อชงกาแฟดื่ม
จนถึงตอนที่น้ำร้อนออกมามู่น่อนน่อนถึงดึงสติกลับมาได้
หลังจากที่เธอดื่มกาแฟเสร็จ เธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะกดเข้าไปในWeibo
วันนี้คือวันศุกร์ บล็อกเกอร์ที่บอกว่าจะประกาศสถานะของมู่น่อนน่อนก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด นี่คงเป็นผลจากที่พวกกู้จือหยั่นจัดการไปเมื่อวาน
เธอกดไปที่ไอคอนของWeibo ยังไม่ทันจะได้ดูอะไรก็มีสายโทรศัพท์โทรเข้ามา
และคนๆนั้นก็คือ กู้จือหยั่น
ทำไมกู้จือหยั่นถึงได้โทรมาหาเธอนะ?
หรืออาจจะเป็นเพราะว่าหาเฉินถิงเซียวไม่เจอ ก็เลยต่อสายโทรศัพท์หาเธอหรือเปล่า?
มู่น่อนน่อนรับสายของเขา ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยปากพูดอะไร เสียงอันรีบร้อนของกู้จือหยั่นก็ดังขึ้นมา “มู่น่อนน่อน ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”
“ฉันอยู่ที่ห้องน้ำชา มีอะไรหรือเปล่า?” เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินเสียงอันรีบร้อนของกู้จือหยั่นก็พอจะคาดเดาได้ว่าคงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ใจของเธอก็เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
กู้จือหยั่นพูดออกมา “เธออยู่ที่นั่นแหละไม่ต้องไปไหน ฉันจะไปรับเธอเดี๋ยวนี้แหละ ไม่ต้องวางสายนะ”
ทำไมฟังจากน้ำเสียงของกู้จือหยั่นแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
มู่น่อนน่อนเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
เธอคิดว่าการที่กู้จือหยั่นเธอมาหาเธอนั้น ก็คงเพราะต้องการจะติดต่อกับเฉินถิงเซียวหรือไม่ก็คงเกี่ยวกับเรื่องของเสิ่นเหลียง แต่กลับกลายเป็นว่าห้ามไม่ให้เธอขยับไปไหน และเขาก็จะเป็นฝ่ายที่มาหาเธอเอง
“เธอยังไม่ต้องถามฉัน ฉันกำลังจะไปตอนนี้แหละ”
เสียงของกู้จือหยั่นนั้นหืดหอบ ราวกับว่ากำลังวิ่งอยู่
ช่วงนี้มู่น่อนน่อนถูกถกให้เป็นประเด็นร้อนบ่อยๆ จนตอนนี้เธอชาและมึนงงไปหมด
เธอมีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ถ้าไม่อย่างนั้นกู้จือหยั่นคงไม่เป็นฝ่ายเข้ามาเธอก่อน และคงไม่รีบร้อนขนาดนี้
เธอไม่ได้วางสายโทรศัพท์ กดเปิดลำโพง และเปิดWeiboดู
ตอนที่เธอได้เห็นรูปภาพของตัวเองในWeibo หูเธอมันก็อื้อไปหมด เธออึ้งไปทั้งตัวและทำได้แค่ยืนนิ่ง สมองของเธอก็โล่งไปหมด นิ่งไปพักหนึ่งก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
ภาพเดี่ยวของเธอ
ภาพของเธอกับเฉินถิงเซียวที่ดูใกล้ชิดกัน
ภาพของเธอกับซือเฉิงหยู้ที่นั่งทานข้าวด้วยกัน
ภาพของเธอทั้งภายนอกและภายในของบริษัทเสิ้งติ่ง
และยังมีภาพที่อันน่าเกลียดของเธอเมื่อในอดีตอีก
และยังมี…….ภาพทะเบียนสมรสอีกด้วย
รูปทะเบียนสมรสมันชัดเจนมากเหลือเกิน แต่เธอดูกี่ครั้ง ก็เห็นอย่างชัดเจนว่าชื่อในทะเบียนสมรสคือ เฉินถิงเซียวกับมู่หวั่นขี
ผลัวะ!!
อยู่ๆโทรศัพท์ในมือนั้นมันหลักมากเหลือเกิน ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ค่อยๆหลุดจากมือของเธอ ร่วงลงไปสู่พื้น
ประตูของห้องน้ำชาถูกเปิดออก
ราวกับว่าในตอนนี้มู่น่อนน่อนนั้นไม่ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา เธอยังคงยืนค้างด้วยท่าที่ถือโทรศัพท์เอาไว้ ทั้งที่เป็นมือเปล่า โดยที่ไม่ขยับอะไร
กู้จือหยั่นเธอท่าทีอย่างนั้นของมู่น่อนน่อน ก็แอบกรีดร้องภายในใจ
เขาเดินเข้ามาก้าวสองก้าว ก็เห็นโทรศัพท์ตกอยู่ที่พื้น
โทรศัพท์ตกอยู่ที่พื้น แต่หน้าจอก็ไม่ได้ดับไป หน้าขอยังคงมีแสงสว่าง และภาพที่ปรากฏนั้นก็คือรูปภาพทะเบียนสมรส
กู้จือหยั่นหยิบโทรศัพท์พร้อมกับดึงแขนของมู่น่อนน่อน
“พวกเราออกไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ตอนนี้มู่น่อนน่อนเหมือนคนที่ไร้สติ ถูกกู้จือหยั่นดึงไปทางไหน เธอก็เคลื่อนตัวไปทางนั้น
ด้านนอกมีพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่ พนักงานรักษาความปลอดภัยพาพวกเขาออกไป พนักงานของบริษัทเสิ้งติ่งที่อยู่ด้านหลังก็เอาแต่ชี้มาที่มู่น่อนน่อน ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ด่าเธอเสียงดัง และไม่ได้โยนไข่ใส่เธอ แต่เธอก็สัมผัสได้ว่าทุกคนนั้นกำลังด่าทอเธออยู่
ประเด็นร้อนบนWeiboก็เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเธอทั้งหมด
และที่เรื่องที่ขึ้นอันดับหนึ่งก็คือ #นางเมียน้อยที่ไร้ยางอาย#
ในตอนแรกเธอเป็นประเด็นว่าถูกบังคับให้แต่งงานกับตระกูลเฉิน จนถึงตอนนี้ก็ต้องมาเป็นขี้ปากคนอื่นว่าเป็น “เมียน้อย” เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำผิดอะไร
เธอก็คือมีแม่ที่ไม่ได้รักเธอ และรักแต่สามี แล้วทำไมมันถึงกลับกลายมาเป็นแบบนี้ได้นะ?
บทที่200 พอใจ
มู่น่อนน่อนสังเกตซือเฉิงหยู้อย่างละเอียด พบว่าสีหน้าของเขาไม่มีความผิดแปลกใด ๆ ปกติเสียจนไร้ช่องโหว่
บนใบหน้าของมู่น่อนน่อนยังคงรักษารอยยิ้มไว้ “ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าคุณไปทำสาธารณประโยชน์ที่เขตภูเขามา ใคร ๆ ก็ติดต่อคุณไม่ได้ เป็นห่วงคุณกันไปหมด”
สีหน้าของซือเฉิงหยู้ไม่เปลี่ยน “อืม ทำให้พวกเธอกังวลแล้ว”
มู่น่อนน่อนเม้มปากแน่น เงียบงันไปชั่วขณะ
ใบหน้าของซือเฉิงหยู้ไม่มีพิรุธแม้แต่น้อย
มู่น่อนน่อนก็สงสัยว่าตนเองนั้นคิดมากไป จึงทำให้ขี้ระแวง
แต่ว่าสัญชาตญาณของคนโดยทั่วไปแล้วไม่ใช่ไม่มีที่มาที่ไป
เธอเชื่อว่าเฉินถิงเซียวเป็นไปไม่ได้ที่จะหาไม่เจอ และเชื่อการตัดสินของตัวเองด้วย
ถ้าหากทั้งหมดนี้คือฝีมือของซือเฉิงหยู้ ถ้าอย่างนั้นเขาคนนี้ก็น่ากลัวเกินไปแล้วล่ะ
ซือเฉิงหยู้เห็นว่ามู่น่อนน่อนนั้นสังเกตตัวเองอยู่ตลอด ก็ยกริมฝีปากเล็กน้อยแล้วพูด “น่อนน่อน คำถามของเธอวันนี้เยอะไปหน่อยนะ”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง และพูด “อาจเป็นเพราะช่วงนี้เฉินถิงเซียวยุ่งมาก เขาไม่มีเวลาแม้จะคุยกับฉันเลย วันนี้มาเจอพี่ใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะมาคุยกับพี่สองสามประโยค”
คำพูดของมู่น่อนน่อนจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง แฝงไปด้วยการหยั่งเชิง
ซือเฉิงหยู้พยักหน้าน้อย ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “บริษัทเฉินซื่อธุรกิจครอบครัวที่ใหญ่ขนาดนั้นต้องส่งมอบให้เขาเพียงคนเดียวทั้งหมด หลังจากนี้เขาคงยุ่งมากขึ้นแน่ ๆ
มู่น่อนน่อนยิ้มตอบกลับไป รู้สึกว่าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
ซือเฉิงหยู้ทำตัวเหมือนปกติ ไม่มีพิรุธอะไร
แม้ว่าหัวใจของมู่น่อนน่อนจะสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีหลักฐาน
……
เมื่อออกจากบริษัทเสิ้งติ่ง มู่น่อนน่อนถึงฉุกคิดขึ้นมาได้ ซือเฉิงหยู้ตั้งแต่ต้นจนจบต่างก็ไม่ได้ถามถึงเรื่องการค้นหายอดฮิตเลยสักคำ
เธอขึ้นการค้นหายอดนิยมกับซือเฉิงหยู้อีกครั้ง ซือเฉิงหยู้เองก็ควรจะรู้เรื่องนี้
เธอไม่ได้คิดว่าซือเฉิงหยู้จะต้องใส่ใจเธอมากอย่างแน่นอน แต่ด้วยนิสัยของซือเฉิงหยู้แล้ว เขาจะต้องถามด้วยความกังวลสักสองสามประโยคถึงจะถูก
แต่ทว่าเขากลับไม่มี
เป็นเพราะคำถามของเธอทำให้เขากังวล ใจหนึ่งก็อยากตอบโต้เธอกลับ ดังนั้นแม้แต่เรื่องการค้นหายอดฮิตก็ไม่อยากร้อนตัวถามขึ้นมาก่อน
มู่น่อนน่อนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นแบบนั้น
ในตอนนั้นเอง รถยนต์คันหนึ่งก็จอดลงด้านหน้าเธอ
หน้าต่างรถเลื่อนลงมา เสิ่นเหลียงที่สวมชุดโบราณก็ปรากฏขึ้นมาในสายตาของเธอ
“เสี่ยวเหลียง?” มู่น่อนน่อนประหลาดใจมาก “นี่เธอออกมาจากหน้างานเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ” เสิ่นเหลียงมองไปรอบ ๆ แล้วกระตุ้นเธอ “รีบขึ้นรถก่อนเร็วเข้า”
มู่น่อนน่อนเปิดประตูรถแล้วรีบเข้าไปนั่ง
เสิ่นเหลียงถามขึ้นในขณะที่ขับรถ “ในอินเทอร์เน็ตมีคนกำลังจับตาดูเธออยู่ รู้หรือเปล่า?”
“เห็นแล้ว” พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของมู่น่อนน่อนก็จริงจังขึ้นมา
เสิ่นเหลียงเห็นได้ชัดว่าเธอยังกระวนกระวายอยู่ “โทรหาหัวหน้าใหญ่แล้วหรือยัง?”
“โทรแล้ว” แต่ไม่รับ
สองสามคำหลัง มู่น่อนน่อนไม่ได้พูดออกมา
เสิ่นเหลียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “งั้นก็ดีแล้ว”
ในขณะที่รอสัญญาณไฟอยู่ที่สี่แยก เสิ่นเหลียงถือโอกาสนี้เปิด weibo ขึ้นมา
เธอพบว่าที่บล็อกเกอร์คนนั้นโพสต์ยังอยู่ ก็ขมวดคิ้วแล้วหันไปถามมู่น่อนน่อน “เธอโทรหาหัวหน้าใหญ่แล้วจริง ๆ เหรอ? คนคนนี้อาจจะรู้อะไรบางอย่างจริง ๆ ตอนนี้จำนวนคนรีโพสต์มีมากขนาดนี้แล้ว หรือว่าต้องรอให้เขาเปิดเผยข้อมูลของเธอก่อน? นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้วล่ะ”
เสิ่นเหลียงเป็นดารา เวลาส่วนใหญ่ก็ต้องอยู่ในสายตาของผู้คนอยู่แล้ว
แต่มู่น่อนน่อนไม่เหมือนกัน แม้ว่าเธอจะเป็นคนในวงการครึ่งหนึ่ง แต่เรื่องในตอนนี้ของเธอเพิ่งจะเริ่มต้น ไม่มีชื่อเสียง เป็นเพียงสะใภ้ของบริษัทเฉินซื่อ
เมื่อถึงเวลาที่บล็อกเกอร์คนนั้นนำข้อมูลของมู่น่อนน่อนไปเปิดเผยจริง มู่น่อนน่อนก็คงไม่มีวันเงียบสงบอีกแล้ว ชื่อเสียงก็คงพังทลายลง
มู่น่อนน่อนหมดหนทาง “โทรไปแล้ว แต่เขาไม่รับ”
“ไปหาเขาที่บริษัทเฉินซื่อกันเถอะ”
“หรือว่าไม่ไปแล้ว” มู่น่อนน่อนส่ายหัว เธอไม่อยากไปรบกวนเขาที่บริษัท
เสิ่นเหลียงอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่เมื่อเห็นขมวดคิ้วแน่นแบบนั้นแล้ว ก็ไม่พูดอะไรอีก ลังเลอยู่สักพัก ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหากู้จือหยั่น
โทรศัพท์ดังก็รับสายในทันที
กู้จือหยั่นรับสายเธออย่างรวดเร็วและรีบร้อน
“เสิ่นเสี่ยวเหลียง”
เสิ่นเหลียงถามออกมาตรง ๆ “บนอินเทอร์เน็ตมีคนบอกว่าจะเปิดเผยเรื่องตัวตนของมู่น่อนน่อน พวกคุณจัดการแล้วหรือยัง?”
“กำลังจัดการอยู่”
“อืม”
“คุณ……”
กู้จือหยั่นราวกับว่าอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่เสิ่นเหลียงกลับวางสายไปแล้ว
“กู้จือหยั่นบอกว่ากำลังจัดการอยู่” เสิ่นเหลียงปลอบใจเธอ “หัวหน้าใหญ่ทำอะไรก็ไว้วางใจได้เสมอ”
มู่น่อนน่อนที่ขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลาก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายออกมา
เฉินถิงเซียวถึงแม้ว่าจะยุ่งแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นห่วงเรื่องของเธออยู่เสมอ
เพียงแค่คิด เธอก็รู้สึกเหมือนหัวใจถูกยัดไส้ด้วยลูกกวาด ความรู้สึกหวานซ่อนอยู่เล็กน้อย
กลับมาถึงบ้าน มู่น่อนน่อนก็คิดว่านานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ทำกับข้าวให้เฉินถิงเซียวเลย จึงเข้าไปในห้องครัวเพื่อนทำอาหารเย็น
เวลาผ่านไปจน3 ทุ่มแล้วเฉินถิงเซียวก็ยังไม่กลับบ้าน มู่น่อนน่อนจึงต้องกินอะไรก่อนสักหน่อย แล้วจึงนำอาหารที่เหลือเข้าตู้เย็น
อาหูอายุเยอะแล้ว นอนดึกเกินไปไม่ได้ มู่น่อนน่อนจึงให้เธอไปนอนก่อน ส่วนเธอก็นั่งลงบนโซฟาดูทีวีระหว่างรอเฉินถิงเซียวกลับมา
เมื่อมีเสียงรถยนต์ดังมาจากนอกบ้านก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว
มู่น่อนน่อนหาวออกมา แล้วลุกขึ้นเข้าไปในห้องครัว นำกับข้าวมาอุ่นแล้ววางไว้บนโต๊ะอาหาร
เมื่อเฉินถิงเซียวเปิดประตูเข้ามา บอดี้การ์ดออกมาบอกกับเขาว่า “คุณหญิงน้อยรอคุณมาทั้งคืนเลย พอได้ยินเสียงรถยนต์ก็รีบเข้าอุ่นอาหารในห้องครัวทันที”
ช่วงนี้เฉินถิงเซียวงานยุ่ง ทั้งยังนอนดึกบ่อย ๆ อาหารที่มู่น่อนน่อนทำก็จืดชืดหมดแล้ว
เมื่อเฉินถิงเซียวเข้าไปในห้องอาหาร ก็ได้กลิ่นหอมของอาหารออกมา
มู่น่อนน่อนที่สวมชุดนอน กำลังถืออาหารจานหนึ่งออกมาจากห้องครัวพอดี
เฉินถิงเซียวเดินไปรับกับข้าวจากมือเธอแล้ววางไว้บนโต๊ะอาหาร ยื่นมืออยากจะกอดเธอ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองเพิ่งกลับมาจากข้างนอก บนร่างกายยังเย็นอยู่
หลังจากถอดเสื้อคลุมออกแล้วจึงดึงมู่น่อนน่อนเข้ามาในอ้อมแขน “ไม่ต้องรอฉันหรอก เธอแค่เข้านอนเร็ว ๆ ก็พอแล้ว”
“แต่บางครั้งก็รอสักหน่อย” มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองเขาแล้วยิ้ม
เฉินถิงเซียวจ้องมองเธออยู่สองวินาที แล้วถามขึ้น “มีเรื่องอะไรที่มีความสุขเหรอ?”
“ไม่มี”
มู่น่อนน่อนส่ายหัว นั่งลงตรงหน้าเขา แล้วมองเขากินข้าว
ระหว่างคู่รัก งานยุ่งอาจทำให้เกิดช่องว่างและระยะห่าง แต่จริง ๆ แล้วงานยุ่งและการเพิกเฉยต่างหากที่ทำให้เกิดช่องว่างและระยะห่าง
เฉินถิงเซียวยุ่งมาก แต่ก็ยังจำเรื่องของเธอได้ เพียงแค่ข้อนี้ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกพอใจมากแล้ว
เฉินถิงเซียวยังไม่ได้กินข้าวเย็น เพียงแค่นั่งลงตะเกียบในมือก็ขยับไม่ได้หยุด
รอเขากินข้าวเสร็จแล้ว มู่น่อนน่อนจึงจับคางเขาแล้วพูด “ของคุณมากนะ”
“เอ๊ะ?” เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้น ดวงตาฉายแววสงสัยออกมา
มู่น่อนน่อนพูดต่อ “เรื่องในweiboไงล่ะ”
เฉินถิงเซียวหรี่ตามองเธอแล้วถาม “เรื่องชาร์ตการค้นหายอดนิยมเหรอ?”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเริ่มเปลี่ยนสีเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ หายไป “วันนี้ตอนบ่าย บน weibo มีคนบอกว่ารู้ว่าผู้หญิงที่กินข้าวด้วยกันกับซือเฉิงหยู้นั้นคือใคร ยังบอกอีกว่าจะเปิดเผยในวันศุกร์นี้”
บทที่199 ใช้เธอจัดการกับเฉินถิงเซียว
เมื่อสิ้นเสียง ความรู้สึกที่ชัดเจนของเธอก็ได้หยุดการกระทำของเฉินถิงเซียวไว้ครู่หนึ่ง
ในทันใดนั้น เขาก็ถามออกมา “ทำไม?”
น้ำเสียงของเขาเป็นธรรมชาติที่สุด ไม่ได้ยินสิ่งผิดปกติใด ๆ เลยสักนิด
มู่น่อนน่อนหยิบอาหารเข้าปาก แล้วจ้องมองไปยังเฉินถิงเซียวอย่างเงียบ ๆ
แววตาของเฉินถิงเซียว ก็มองไปยังมู่น่อนน่อนที่จ้องมองเขาอยู่อย่างไม่สะทกสะท้าน ทั้งยังตักอาหารให้กับมู่น่อนน่อน
“เมื่อก่อนฉันได้ยินมาว่า คนที่อยู่ในวงการบันเทิงมานาน ต่างก็ความรู้สึกไวต่อพวกปาปารัสซี ถ้ามีคนแอบถ่าย ก็จะถูกหาเจออยู่แล้ว ดังนั้นรูปถ่ายที่ปาปารัสซีโดยทั่วไปแอบถ่ายส่วนใหญ่จะไม่ค่อยชัดเจนนัก”
คำพูดของมู่น่อนน่อนมีบางอย่างแฝงอยู่ เฉินถิงเซียวเป็นคนที่ฉลาดขนาดนี้ ต้องฟังออกอย่างแน่นอน
เขาพยักหน้าแล้วพูด “มีการพูดแบบนี้จริง”
“อืม”
มู่น่อนน่อนเหล่ตามองและกินข้าวต่ออย่างเงียบ ๆ
แต่ความคิดกลับล่องลอยไปไกลแล้ว
เจตนาของมู่น่อนน่อนคือต้องการนำหัวข้อสนทนาไปสู่เรื่องที่ซือเฉิงหยู้ถูกแอบถ่ายจนขึ้นเป็นคำค้นหายอดฮิต แต่เฉินถิงเซียวทำเหมือนกับว่ามองไม่ออก ไม่ตอบรับคำพูดของเธอ
มู่น่อนน่อนคิดถึงการคาดคะเนของตัวเองก่อนหน้านี้แล้ว ความรู้สึกก็ซับซ้อนขึ้นมาในทันที
ครั้งก่อนในการค้นหายอดฮิตเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เธอเคยถามเฉินถิงเซียว แต่เฉินถิงเซียวกลับบอกว่าหาไม่เจอ
เธอก็เลยเดาว่าเฉินถิงเซียวอาจจะเห็นแล้ว แต่ไม่พูด
เธอสงสัยว่า นอกจากครั้งแรกที่ขึ้นในการค้นหายอดนิยมโดยไม่ได้ตั้งใจแล้ว สองครั้งหลังก็อาจจะ……ซือเฉิงหยู้เป็นคนทำ!
ความคิดนี้อาจจะดูไร้สาระไปหน่อย คนที่สามารถทำให้เฉินถิงเซียวและลังเลได้ เธอคิดได้แค่ซือเฉิงหยู้เท่านั้น
อีกทั้ง เมื่อคำค้นหายอดฮิตครั้งที่สองออกมา ทุกคนต่างก็ติดต่อกับซือเฉิงหยู้ไม่ได้
และเฉินถิงเซียวหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ในweibo ส่วนใหญ่พูดถึงเรื่องของซือเฉิงหยู้และบริษัทเสิ้งติ่ง ในช่วงหลายปีมานี้
ตอนนี้ดูเหมือนว่า ตอนที่เฉินถิงเซียวโพสต์weiboนั้นออกไป และอาจจะไม่ใช่แค่อยากประชาสัมพันธ์ แต่ดูเหมือนตั้งใจจะเขียนให้ซือเฉิงหยู้ได้เห็น
ราวกับว่ากำลังให้โอกาสซือเฉิงหยู้
อีกอย่างเขาตั้งใจอธิบายด้วยตัวเอง โอกาสที่ทั้งคู่ได้คืนดีกัน
และแน่นอนว่าการคาดเดาเหล่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับหลักฐานที่ว่าซือเฉิงหยู้เป็นตัวการของทั้งหมดนี้ ถึงจะสามารถตั้งขึ้นมาได้
อาจเป็นไปได้ว่าไม่ได้ฟังมู่น่อนน่อนพูดมานานมากแล้ว เฉินถิงเซียวเงยหน้าไปมองเธอแล้วพูด “อย่าคิดมาก มีอะไรฉันจัดการเอง”
มู่น่อนน่อนเบะปาก และพูดตรง ๆ “อย่าคิดว่าจะจัดการเรื่องทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง มีเรื่องอะไรก็สามารถคุยกับฉันได้ ถ้าฉันสามารถช่วยนายออกความคิดได้นะ?”
สายตาของทั้งสองสบกันกลางอากาศ
แววตาของมู่น่อนน่อนสว่างไสวและชัดเจน หลังจากเฉินถิงเซียวและเธอสบตากันไม่กี่วินาที ก็รู้สึกราวกับว่าถูกมองผ่านความคิด และเริ่มหลบสายตาไป
มู่น่อนน่อนถอนหายใจ เฉินถิงเซียวยังไม่ได้คิดที่จะบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องของซือเฉิงหยู้
เขากำลังหลีกเลี่ยง
ดูเหมือนว่าการคาดเดาของเธอไม่ใช่ก็ใกล้เคียง
ยังไงซือเฉิงหยู้ก็เป็นพี่ชายของเฉินถิงเซียว ทั้งสองเป็นพี่น้องกันมานาน 20 กว่าปี แต่เธอกับเฉินถิงเซียวล่ะนานเท่าไหร่กัน?
พอคิดแบบนี้แล้ว ถึงจะมีบางอย่างตกหล่นไปอย่างน่าประหลาดอยู่บ้าง แต่ก็มีเหตุผลแล้ว
……
แม้ว่าเฉินถิงเซียวจะไม่ได้พูดอะไรกับเธอเลย แต่มู่น่อนน่อนก็สามารถรู้สึกได้ว่าเฉินถิงเซียวกำลังใจลอย
ก็แม้แต่ “คนนอก” อย่างเธอก็รู้สึกว่าที่ซือเฉิงหยู้ทำเรื่องเหล่านี้นั้นยากจะเข้าใจได้ นับประสาอะไรกับเฉินถิงเซียวล่ะ
แม้ว่าวันนี้ทั้งสองต่างก็ลาพักผ่อนอยู่บ้าน แต่กลับไม่ได้ติดต่อพูดคุยกันมากนัก
คำค้นหายอดฮิตเกี่ยวกับมู่น่อนน่อนและซือเฉิงหยู้นั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผู้คนในอินเทอร์เน็ตต่างพากันคาดเดาเกี่ยวกับตัวตนของมู่น่อนน่อน และไม่ได้พูดถึงเรื่องผู้ก่อตั้งบริษัทเสิ้งติ่ง “XN” . ซึ่งไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อมู่น่อนน่อน
ในทางตรงกันข้ามบางคนบอกว่าซือเฉิงหยู้มีภาพยนตร์เรื่องใหม่ออกมา จึงใช้โอกาสนี้ในการสร้างกระแส
แน่นอนว่าทันทีที่พูดออกมาแบบนี้ ก็ถูกวิจารณ์โดยแฟนคลับคนอื่น ๆ ของซือเฉิงหยู้อย่างรวดเร็ว
“ราชาภาพยนตร์ซือของพวกเรายังต้องสร้างกระแสอะไรอีกล่ะ?”
“ไม่ใช่ว่าภาพยนตร์เรื่องนั้นของราชาภาพยนตร์ซือของพวกเราเปิดตัววันแรกรายได้ก็มากกว่า 100 ล้านแล้วหรอกเหรอ?”
“จินตนาการของเธอไม่มีขีดจำกัดจริง ๆ”
มู่น่อนน่อนก็ไม่ค่อยกังวลกับเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ เพราะว่าเฉินถิงเซียวเคยพูดไว้ว่าเขาจะจัดการเอง
แต่ว่า เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็มักจะเกิดในช่วงที่เงียบสงบที่สุดเสมอ
……
เมื่อมู่น่อนน่อนมาถึงบริษัทในตอนเช้า เธอก็ได้ยินเพื่อนร่วมงานกำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของซือเฉิงหยู้กันอย่างเบา ๆ
“ช่วงนี้ราชาภาพยนตร์ซือได้ขึ้นการค้นหายอดฮิตบ่อยเนอะ”
“ใช่แล้วล่ะ แล้วก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรกันแน่ เขาไม่จำเป็นต้องสร้างกระแสอีกแล้ว และก็ไม่จำเป็นต้องเป็นที่สนใจของผู้คนอีก ไม่รู้ว่าใครร้ายกาจได้ขนาดนี้……”
“เมื่อวานมีคนพูดใน weibo ว่า รู้ว่าผู้หญิงที่กินข้าวกับราชาภาพยนตร์ซือคือใคร”
“จริงเหรอ? ราชาภาพยนตร์ซือควรจะโสดสิ เพราะตารางการถ่ายหนังของเขาแน่นมาก……”
“ตารางการถ่ายภาพยนตร์ของเขาในปีนี้ก็ไม่ได้แน่นมากนะ……”
เมื่อมู่น่อนน่อนได้ฟังถึงตรงนี้ก็รีบเปิด weibo ไม่นานก็เห็นโพสต์นั้นที่พวกเธอพูดถึงอยู่
โพสต์นั้นใส่แฮชแท็ก #แฟนสาวลึกลับของซือเฉิงหยู้# ซึ่งหัวข้อนี้ได้ถูกจัดเป็นหัวข้อยอดนิยมใน weibo ไปแล้ว
“ทุกคนไม่ต้องเดากันไปมั่ว ๆ แล้ว ฉันรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นที่กินข้าวกับราชาภาพยนตร์ซือคือใคร พวกเราเจอกันวันศุกร์นี้ตอน 2 ทุ่ม”
ID ของบล็อกเกอร์คนนี้เป็นภาษาอังกฤษ แต่กลับเป็นคนที่มีแฟนคลับหลายแสนคนที่มักจะเปิดเผยความเป็นส่วนตัวของศิลปิน
เทียบดูแล้ว มีความน่าเชื่อถือค่อนข้างมาก
โพสต์นี้ของเขามีเพียงสองประโยคสั้น ๆ แต่กลับทิ้งความสงสัยครั้งใหญ่ไว้
พรุ่งนี้ก็เป็นวันศุกร์แล้ว ในการตอบกลับหลายคนต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันศุกร์ที่จะถึงอย่างใจจดใจจ่อ
แต่ทว่ามู่น่อนน่อนกลับไม่ได้เอาเรื่องของคน ๆ นี้มาใส่ใจ ยังไงข้างหลังเธอยังมีเฉินถิงเซียวอยู่ เธอจึงมีความมั่นใจพอ
เธอรีเฟรชหน้าใหม่ แล้วพบว่าบล็อกเกอร์ได้โพสต์ weibo ใหม่อีกครั้ง “ในเมื่อทุกคนสงสัยกันขนาดนี้ ก่อนอื่นฉันก็ขอเปิดเผยข้อมูลสำคัญบางอย่างก่อน จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในประเทศจีน เป็นคนวงใน ไม่ใช่ดารา ปัจจุบันทำงานในวงการบันเทิงในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง”
สำหรับคนอื่น ๆ แล้ว นี่เป็นเพียงแค่ข่าววงกว้าง…
แต่มู่น่อนน่อนหลังจากที่เชื่อมโยงเข้ากับตัวเองแล้ว ก็รู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย
เธอจบการศึกษามาจากสาขาภาพยนตร์เมืองหู้หยาง แน่นอนว่านี่คือโรงภาพยนตร์ชั้นนำในประเทศ ตอนนี้เธอทำงานในบริษัทเสิ้งติ่ง วงการบันเทิงครอบคลุมอาชีพการเขียนบท แต่เธอไม่ใช่ดารา
ทั้งหมดนี้ต่างก็สอดคล้องกับสถานการณ์ของเธอ
เธอลุกขึ้นและเดินไปยังโหนอาหารและโทรศัพท์หาเฉินถิงเซียว
โทรศัพท์ของเฉินถิงเซียวดังขึ้น แต่กลับไม่มีคนรับสาย
มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งครั้ง เมื่อกลับมาถึงพื้นที่จัดงาน ก็รู้สึกว่าจิตใจไม่สงบ
เฉินถิงเซียวไม่ได้โทรกลับมาหาเธอเลย
หลังจากเลิกงาน มู่น่อนน่อนก็ได้พบกับซือเฉิงหยู้
ถ้าหากเรื่องการค้นหายอดฮิตสองครั้งหลัง เป็นผลของการกำกับเองแสดงเองของซือเฉิงหยู้จริง ๆ แล้วล่ะก็……
เมื่อมู่น่อนน่อนคิดถึงตรงนี้แล้วก็โมโหขึ้นมา
เธอถูกลากลงไปในน้ำโดยไม่รู้อะไรด้วยเลย ขึ้นเป็นการค้นหายอดฮิตแล้วก็มีผู้คนพูดถึงกันอยู่ทุกวัน สุดท้ายก็ต้องให้เฉินถิงเซียวมาจบเรื่อง…
เมื่อเป็นแบบนี้ จุดประสงค์ของซือเฉิงหยู้ก็ชัดเจนแล้ว
ทั้งหมดนี้เขาก็แค่อยากจัดการกับเฉินถิงเซียว
ใช้เธอจัดการกับเฉินถิงเซียว
ซือเฉิงหยู้เดินมาข้างหน้า โดยที่ข้างกายไม่มีผู้ช่วยหรือผู้จัดการ
มู่น่อนน่อนเดินไปข้างหน้า และขวางทางเขา “พี่ใหญ่ ช่วงนี้ยุ่งมากล่ะสินะ?”
เมื่อซือเฉิงหยู้เห็นแววตาของมู่น่อนน่อนไม่สู้ดีนัก สีหน้าชะงักเล็กน้อย แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ก็ดี”
บทที่198 กลัวว่าจะทะเลาะ
มู่น่อนน่อนพูดจบก็เปิดไฟ ยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือกำลังจะออกไป
เฉินถิงเซียวบอกว่าเขาเหนื่อย แล้วเธอไม่เหนื่อยรึไง
ในเมื่อเป็นแบบนี้ ต่างคนต่างสงบสติอารมณ์จะดีที่สุด
ทว่าเฉินถิงเซียวกลับไม่ยอมปล่อยเธอไปแบบนั้น
เขาขายาว พอลงจากเตียง เดินแค่สามก้าวก็ไปถึงหน้าเธอและขวางทางที่เธอกำลังจะไป
“ตอนนี้เธอโกรธอยู่” มู่น่อนน่อนหันหน้ามองเขา อารมณ์เย็นชาพอ ๆ กับเขา
เฉินถิงเซียวยื่นมือไปจับคาง สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนเพลีย “เป็นเพราะเรื่องเมื่อตอนเช้าเหรอ?”
มู่น่อนน่อนไม่พูด เรื่องเมื่อตอนเช้าเป็นเพียงแค่สายชนวนเท่านั้น
ช่วงนี้ทั้งสองยุ่งเกินไป แม้ว่าจะอาศัยอยู่ในห้องเดียวกัน แต่ในทุกวันก็มีเพียงแค่ตอนเที่ยงคืนที่ตื่นมาเห็นหน้าเขา
เมื่อวานนัดกันไปกินข้าวที่โรงแรมจีนติ่ง มู่น่อนน่อนก็คิดว่าเฉินถิงเซียวจะมาตรงเวลา แต่เขาก็ยังมาสาย
แต่เขาก็อธิบายว่าเจออุบัติเหตุระหว่างทาง มู่น่อนน่อนก็ไม่ใช่คนที่ทะเลาะโดยไม่มีเหตุผล ปกติก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร
แต่วันนี้เช้ามาเธอก็ขึ้นคำค้นหายอดฮิตกับซือเฉิงหยู้แล้ว เธอรู้สึกกลุ้มใจ อีกทั้งเฉินถิงเซียวก็ยังทำน้ำเสียงตำหนิเธอแบบนั้น เธอจึงทนไม่ไหว
ในเรื่องของความรู้สึก หลายครั้งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะสนใจเพียงแค่ท่าทีของผู้ชาย
“วันนี้ดึกมากแล้ว ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก” มู่น่อนน่อนไม่อยากพูดเรื่องนี้กับเขาในตอนเที่ยงคืนจริง ๆ
ถึงยังไงพรุ่งนี้ก็ยังต้องทำงาน ช่วงนี้เฉินถิงเซียวยุ่งเสียจนขาไม่แตะพื้น เธอหวังว่าปัญหาเล็ก ๆ ระหว่างทั้งคู่จะค่อยเป็นค่อยไป ค่อยคุยกันอีกหลังจากนี้
แต่ว่า ในช่วงเวลาพักผ่อนนี้ ทั้งสองคนแยกห้องนอนกันคงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ไม่อย่างนั้นเธอกังวลจริง ๆ ว่าจะทะเลาะกันขึ้นมาอีก
เฉินถิงเซียวพูดอย่างไร้ความรู้สึกมาหนึ่งประโยค “ได้”
จากนั้นเขาก็อุ้มเธอขึ้นมาบนเตียง กอดเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างเอาแต่ใจ “นอนเถอะ”
มู่น่อนน่อนพบว่า การใช้เหตุผลกับเฉินถิงเซียวนั้นไม่สามารถทำได้โดยสิ้นเชิง
เช้าวันที่สอง มู่น่อนน่อนถูกรบกวนจนต้องตื่น
พอเธอลืมตา ก็ต้องเผชิญหน้ากับดวงตาสีดำลึกคู่นั้นของเฉินถิงเซียว
“ตื่นแล้วเหรอ?”
เธอยื่นมือไปจับมือเขาไว้ “นายทำอะไรน่ะ!”
เสียงตอนตื่นนอนแหบแห้งเล็กน้อย ฟังดูเหมือนเด็กน้อย
เฉินถิงเซียวขยับคิ้วเล็กน้อย และโน้มตัวไปจูบเธอตามแก้มแดงระเรื่อไปจนถึงโคนหู พูดด้วยเสียงหอบ ๆ “ช่วงนี้ยุ่งเกินไปแล้ว……”
เรื่องราวหลังจากนั้นมู่น่อนน่อนก็จำได้ไม่ค่อยชัดแล้ว
จำได้เพียง เขาย่อตัวลง ใช้โอกาสตอนที่เธอไม่มีสติ คุกคามและขู่ “ยังพูดว่าจะแยกห้องอีกไหม?”
มู่น่อนน่อนไม่ทันได้คิด กัดริมฝีปากแล้วส่ายหัว “ไม่แล้ว……”
“เด็กดีจริง ๆ ” เฉินถิงเซียวพูดชม
ในช่วงที่กำลังเบลอ ๆ อยู่นั้น มู่น่อนน่อนก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองและเฉินถิงเซียวยังทะเลาะกันอยู่……
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ
สุดท้ายเธอก็ยังคงไม่เข้าใจคำถามนี้ เพราะเธอเหนื่อยมากจนเผลอหลับไปในที่สุด
เฉินถิงเซียวอุ้มเธอเข้าไปอาบน้ำ ระหว่างนั้นเธอก็ตื่นขึ้นมาและพูดอย่างเบลอสะลึมสะลือว่า “ทำงาน”
เฉินถิงเซียวชโลมครีมอาบน้ำให้เธอ น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก “ลาให้เธอแล้ว”
“อ้อ” มู่น่อนน่อนตอบกลับ และหลับตาอีกครั้งด้วยความง่วง
อุ้มเธอกลับไปยังเตียงนอนอีกครั้ง หลังจากที่ห่มผ้าให้เธอ เฉินถิงเซียวก็นั่งจ้องมองเธออยู่ข้างเตียง เขาหลับไม่สนิทมาตลอด หลังจากกอดมู่น่อนน่อนไว้ในอ้อมแขนแล้วก็หลับได้อย่างสบายใจ
ตอนกลางคืนแค่ในอ้อมกอดว่างเปล่า เขาก็จะตื่นขึ้นมา หลังจากนั้นก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง
เมื่อคืนได้นอนถึงเที่ยงคืน เขาก็รู้สึกว่ามู่น่อนน่อนได้หลุดออกไปจากอ้อมแขนของเขาไปอีกด้าน เขาก็ตื่นขึ้นมาแล้วกอดเธอในอ้อมแขนอีกครั้ง
สุดท้าย ปฏิกิริยาแรกของมู่น่อนน่อนก็ถือผลักเขาออก
เมื่อก่อนเธอไม่เป็นแบบนี้
นี่ทำให้เฉินถิงเซียวรู้สึกใจหวิว ๆ ขึ้นมา
ช่วงนี้เขายุ่งมาก ในหนึ่งวันทั้งสองเจอหน้ากันแค่บนเตียงเท่านั้น เมื่อสามวันก่อนยังไม่ทันได้ออกมากินข้าวด้วยกันทันเวลา ก็เจอกับอุบัติเหตุเล็ก ๆ บนถนน
เมื่อถึงโรงแรมจีนติ่ง ได้เห็นแววตาผิดหวังของมู่น่อนน่อน หัวใจของเขาก็หงุดหงิดไม่เป็นปกติ
แต่ว่า เขาเข้าไปบริษัทเฉินซื่อแล้วก็มีเรื่องมากมายให้จัดการ ต้องเอาอำนาจมาไว้ในมือของตัวเอง ถึงจะสะดวกยิ่งขึ้นในการตรวจสอบเรื่องของแม่หลังจากนี้
วันต่อมาก็มาเห็นคำค้นหายอดนิยมเกี่ยวกับมู่น่อนน่อนและซือเฉิงหยู้อีก หัวใจของเขาก็ยิ่งหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
มู่น่อนน่อนจิตใจละเอียดละอ่อน แม้ว่าจะโกรธก็ไม่ได้โวยวาย แต่กลับเป็นความสงบที่น่ากลัว
ถ้าหากว่าเธอโวยวาย ยังง่ายต่อการง้อสักหน่อย
แต่เธอสงบและมีสติมาก ถึงขนาดคิดว่าต้องทำงานในวันต่อมา จึงอยากแยกห้องนอน
แยกห้องนอนเหรอ?
ไม่มีทางหรอก
ชีวิตนี้ไม่มีทางเป็นไปได้
ตื๊ด ตื๊ด——
โทรศัพท์ของเฉินถิงเซียวดังขึ้นมา
เป็นเฉินชิงเฟิงที่โทรเข้ามา
เฉินชิงเฟิงถามออกมา “ทำไมถึงลาล่ะ?”
“ไม่ค่อยสบาย” เพราะเรื่องเมื่อสักครู่ เสียงของเฉินถิงเซียวยังแหบอยู่นิดหน่อย ฟังดูก็เหมือนกับคนป่วย
เฉินชิงเฟิงได้ฟังก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงแต่กำชับเขา “พักผ่อนให้มาก ๆ ล่ะ”
เมื่อวางสายไป เฉินถิงเซียวก็ยิ้มอย่างล้อเลียน
เขาคิดว่าตนเองคนถูกยาพิษของมู่น่อนน่อนเข้าแล้ว ถ้าไม่ได้เจอเธอก็คงไม่มีความสุข
……
มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ก็ได้กลิ่นหอมของอาหาร
ลืมตาขึ้นมาก็เห็นเฉินถิงเซียวกำลังควงตะเกียบอยู่ที่โต๊ะเล็ก ๆ
มู่น่อนน่อนชอบที่เขาใส่ชุดอยู่บ้านหน้าตาธรรมดาแบบนี้ เพราะแบบนี้ทำให้ดูแล้วเขาไม่เย็นชา แต่กลับอ่อนโยน
เป็นความอ่อนโยนที่เธอเห็นเพียงคนเดียว
เมื่อเฉินถิงเซียวสังเกตว่าเธอตื่นแล้ว เงยหน้าและยิ้มให้กับเธอ “ตื่นแล้วก็มากินข้าว”
มู่น่อนน่อนหันหัวกลับ ไม่อยากเห็นหน้าเขา
ผู้ชายไร้เหตุผล นั่นเป็นวิธีจัดการปัญหารึไง???
วินาทีต่อมา มู่น่อนน่อนก็รีบลงจากเตียงอย่างกะทันหัน “กี่โมงแล้ว?”
เธอยังต้องไปทำงานนะ!
เฉินถิงเซียวพูดเบา ๆ “ลาให้แล้ว”
มู่น่อนน่อนเพิ่งจะไปบริษัทเสิ้งติ่งได้ไม่กี่วัน ก็ต้องลางานเพราะเรื่องแบบนี้เหรอ?
เธอมองดูนาฬิกา ไปไม่ทันแล้ว ตอนนี้ก็10โมงกว่าแล้ว
ทั้งสองคนนั่งเผชิญหน้ากินข้าวกันบนโต๊ะ บรรยากาศยังคงแปลกประหลาดเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนลังเลไปชั่วขณะ ก็ถามคำถามที่อยู่ในใจออกมา “นายคิดว่าพี่ใหญ่เป็นคนยังไง?”
บทที่197 ให้ใจเย็นกันสักหน่อย
เฉินถิงเซียวมองมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “โทษฉัน?”
เมื่อคืนนี้เฉินถิงเซียวไม่มาสักที มู่น่อนน่อนก็เลยค่อนข้างโทษเขาจริง ๆ
แต่หลังจากที่เขาอธิบายแล้ว มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้โทษเขาอีก
แต่น้ำเสียงที่เขาพูดไปเมื่อกี้ฟังแล้วมันทำให้รู้สึกแย่
“เปล่า” มู่น่อนน่อนไม่อยากพูดอะไรกับเขามากกว่านี้ หมุนตัวลงจากเตียงแล้วกอดเสื้อผ้าเข้าไปในห้องน้ำ
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวก่อนหน้านี้นั้น พูดราวกับว่าเธออยากเป็นข่าวกับซือเฉิงหยู้อย่างนั้นแหละ
ก่อนหน้านี้ที่เธอบอกว่าถ้าขึ้นคำค้นหายอดนิยมอีกไม่กี่ครั้งก็เดบิวต์ได้แล้วนั่น มันเป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่นเท่านั้น
มู่น่อนน่อนโกรธ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็เปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา ไม่สนใจเฉินถิงเซียวสักนิด แล้วเดินลงมาชั้นล่างทันที
ขณะที่กินอาหารเช้ากันอยู่ ทั้งคู่ไม่พูดอะไรเลยสักประโยค และแยกย้ายกันไปทำงานที่บริษัทตัวเอง
เมื่อมู่น่อนน่อนมาถึงบริษัทเสิ้งติ่ง ก็เจอกับเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงรีบลากเธอมาอีกด้านหนึ่ง “เธอกับราชาภาพยนตร์ซือไปกินข้าวด้วยกันเหรอ?”
ที่เสิ่นเหลียงถามแบบนี้ คงเพราะเห็นข่าวนั้นแล้วแน่ ๆ
มู่น่อนน่อนพยักหน้าอย่างไร้ชีวิตชีวา “เดิมที เป็นเฉินถิงเซียวที่นัดพี่ใหญ่ไปกินข้าว เฉินถิงเซียวยังอยู่ที่บริษัท ฉันก็เลยล่วงหน้าไปก่อน”
เธออธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้เสิ่นเหลียงฟังแบบสั้น ๆ
เสิ่นเหลียงเสยผมตัวเองโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ “แต่ว่า ทำไมราชาภาพยนตร์ซือถึงไม่ระวังตัวแบบนี้ล่ะ? ช่วงนี้ถูกคนแอบถ่ายได้ตลอด……”
ใช่แล้ว ซือเฉิงหยู้อยู่ในวงการบันเทิงมากว่าสิบปีแล้ว ควรจะรู้สึกไวต่อพวกปาปารัสซีแล้ว
แต่ว่า ช่วงนี้เขาถูกแอบถ่ายบ่อย ๆ อีกทั้งภาพที่ออกมายังชัดเจนมาก……
ยิ่งคิด ในใจของมู่น่อนน่อนก็ยิ่งรู้สึกแปลกยิ่งขึ้น
เธอกับเสิ่นเหลียงพูดไป พร้อมเดินไปยังประตูลิฟต์
ประตูลิฟต์เปิดออก คนที่เดินออกมาจากด้านในก็คือซือเฉิงหยู้และผู้จัดการของเขาสวี่จูน
เมื่อไม่มีคนนอก ซือเฉิงหยู้ก็ยิ้มแล้วเรียก “น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนมองเขาด้วยสายตาที่ซับซ้อน “อืม” น้ำเสียงเหินห่าง
นัยน์ตาของซือเฉิงหยู้วาบประกายเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น
ในขณะที่เขากำลังหันหลังไปนั้น มู่น่อนน่อนกลับเรียกเขาเอาไว้อย่างกะทันหัน “พี่ใหญ่ เมื่อวานตอนที่อยู่โรงแรมจีนติ่งคุณไม่รู้เลยจริง ๆ เหรอว่าถูกแอบถ่ายอยู่?”
ซือเฉิงหยู้หันหลังให้เธอ เขาไม่ได้หันกลับมา แต่ร่างกายของเขาชะงักไปเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
แต่กลับเป็นสวี่จูนที่อยู่ข้าง ๆ เขา หันกลับมามองมู่น่อนน่อนแวบหนึ่ง ด้วยสายตาแปลกประหลาด
ผ่านไปสองวินาที ซือเฉิงหยู้ถึงหันหน้ากลับมา แววตารู้สึกเสียใจ “ขอโทษ ฉันเองที่ประมาท แต่ว่าฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้ดีเอง”
รอยยิ้มและน้ำเสียงของเขาอบอุ่นเหมือนเดิม แต่มู่น่อนน่อนฟังคำพูดของเขาแล้ว กลับขมวดคิ้ว
รอจนซือเฉิงหยู้เดินไปไกลแล้ว เสิ่นเหลียงจึงเข้าไปพูดข้างหูของมู่น่อนน่อน “ราชาภาพยนตร์ไม่เหมือนกัน ทั้งอ่อนโยนทั้งมีน้ำใจ จะหาแฟนต้องหาแบบนี้แหละ”
มู่น่อนน่อนละสายตากลับมา ส่ายหัวแล้วพูด “ฉันไม่คิดแบบนั้น”
“เธอไม่คิดแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะยังไงเธอก็มีบอสใหญ่ของพวกเราไง……”
เสิ่นเหลียงพูดอยู่ข้างหูของเธอไม่หยุด แต่มู่น่อนน่อนไม่มีกะจิตกะใจจะฟังแล้ว
ตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรก ซือเฉิงหยู้ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและมีน้ำใจ ทำให้คนรู้สึกดี เป็นคนที่ทำให้คนรู้สึกอยากเข้าใกล้
แต่ว่า ในช่วงหลายครั้งที่ผ่านมา เธอยิ่งเห็นซือเฉิงหยู้ ก็รู้สึกว่าเขาแปลก ๆ
เมื่อมองย้อนกลับไป เธอเพิ่งพบว่าตนเองไม่เคยเห็นซือเฉิงหยู้โกรธเลยสักครั้ง แม้จะเปลี่ยนสีหน้าก็ไม่เลยสักครั้ง
ใบหน้าของเขามักจะมีแต่รอยยิ้ม ราวกับว่าแม้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่โกรธ เป็นคนที่สงบแบบนั้นเสมอ
ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องอะไรที่สามารถทำให้เขาโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้
ไม่ เธอเคยเห็นครั้งหนึ่ง ก็คือที่ประตูร้านน้ำชาครั้งนั้น
เมื่อคิดแบบนี้ มู่น่อนน่อนถึงพบว่า หลังจากเห็นซือเฉิงหยู้ที่ร้านชาครั้งนั้น เมื่อเห็นซือเฉิงหยู้อีกครั้ง เขาก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว
เจอคนก็ยิ้ม ตอนพูดกับใครก็ยังดูอบอุ่นเหมือนเดิม
แต่เธอกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่เหมือนเดิม
คงเป็นเพราะเธอกังวลเรื่องที่ร้านน้ำชาอยู่ตลอดเวลา เป็นเหตุผลทางจิตวิทยาหรือเปล่า?
……
ในตอนเช้าเป็นเพราะเรื่องคำค้นหายอดฮิต มู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวจึงแยกกันอย่างไม่สบอารมณ์
ทั้งวันทั้งคู่ต่างก็ยุ่งเรื่องงานของตนเอง ต่างฝ่ายต่างไม่มีเวลาติดต่อกันเลย
ถึงตอนเย็น เป็นมู่น่อนน่อนเหมือนเดิมที่หลับไปก่อนที่เฉินถิงเซียวจะกลับมา
เขาเดินเข้ามาเบา ๆ ก็เห็นมู่น่อนน่อนวางมือข้างหนึ่งไว้ด้านนอก โทรศัพท์ก็ตกอยู่ข้าง ๆ มือเธอ
คงจะหลับไปขณะเล่นโทรศัพท์อยู่
เฉินถิงเซียวนำโทรศัพท์ของเธอวางไว้อีกด้าน และนำมือของเธอกลับเข้าไป แล้วนั่งลงข้างเตียงมองเธออยู่นาน จึงลุกขึ้นเข้าห้องน้ำไป
ได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำ มู่น่อนน่อนที่หลับอยู่ก็ลืมตาขึ้นมา
ระยะนี้เฉินถิงเซียวกลับมาดึกมาก เขาไม่ให้เธอรอ แต่เธอก็ยังรอเขาโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงไม่ค่อยหลับลึก และไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวนิดหน่อยเธอก็ตื่นแล้ว เธอพลิกตัว หันหลังให้กับห้องน้ำแล้วหลับต่อ แต่พอหลับตา สมองก็ยิ่งตื่นตัวมากขึ้น
ไม่นาน เฉินถิงเซียวก็ออกมาจากห้องน้ำ
ก่อนหน้านี้ตอนเขาเข้ามาก็เปิดแค่โคมไฟติดผนังเล็ก ๆ หนึ่งดวง ไม่ได้เปิดไฟดวงใหญ่ในห้อง กลัวว่าแสงไฟที่สว่างเกินจะทำให้มู่น่อนน่อนตื่นได้
ในขณะนี้แสงในห้องที่มืดสลัว เขาสังเกตเห็นว่ามู่น่อนน่อนขยับตัวหันมา
เขาห่มผ้านวมให้มู่น่อนน่อน แล้วนอนลงบนเตียงอีกด้านหนึ่ง เอื้อมมือมากอดเธอไว้ในอ้อมแขนด้วยความเคยชิน
ทว่าไม่นานเขาก็รู้สึกได้ว่าร่างของคนในอ้อมแขนนั้นแข็งทื่อ
เขาสังเกตว่ามู่น่อนน่อนนั้นตื่นแล้ว แต่ไม่ส่งเสียง
ผ่านไปสักพัก กลับเป็นมู่น่อนน่อนที่ทนไม่ไหว แกล้งทำเป็นพลิกตัว และหนีออกมาจากอ้อมกอดของเขา
เมื่อรู้สึกได้ว่าในอ้อมแขนว่างเปล่า กลิ่นอายบนร่างของเฉินถิงเซียวก็เย็นเยือกขึ้นมา
ผู้หญิงคนนี้กำลังโกรธเขา
เขาจึงยื่นมือไปกอดเธออีกครั้ง ไม่นานมู่น่อนน่อนก็ทำเหมือนเดิมอีกครั้ง
เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง ในที่สุดความอดทนของเฉินถิงเซียวก็หมดลง
ในคืนที่มืดมิด เสียงของเขากลับนิ่งและเย็นชา “มู่น่อนน่อน เธอโกรธเรื่องอะไรอยู่?”
มู่น่อนน่อนหยุดแสร้งทำเป็นหลับ แล้วพูดเบา ๆ “เปล่า”
เสียงของทั้งสองคนฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่เหมือนกับคนที่จะนอนเลยสักนิด
เฉินถิงเซียวเงียบไปชั่วขณะ และพูดต่อ “ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก เธอทำตัวดี ๆ หน่อยสิ”
“เอ๊ะ? นายคิดว่าฉันยังดีไม่พออีกเหรอ?” มู่น่อนน่อนยิ้มเยาะออกมา “ฉันก็ยุ่งมากเหมือนกัน”
ตอนเช้าทั้งสองขัดแย้งกันเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับทะเลาะ
ก็แค่เรื่องเล็ก ๆ ถ้าหากเฉินถิงเซียวปลอบเธอสักสองสามคำก็จบไปแล้ว
แต่ว่าฟังน้ำเสียงของเขาตอนนี้แล้ว กลับดูเหมือนกำลังตำหนิเธอ
บางครั้ง หลังจากที่ความขัดแย้งระหว่างสองคนลึกยิ่งขึ้น ก็ยากที่จะแยกได้ชัดว่าถูกหรือผิด
ช่วงนี้ทั้งสองต่างก็ยุ่งมาก เฉินถิงเซียวกลับมาก็ดึก และเดิมทีเธอก็นอนหลับได้ไม่สนิท ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเท่าไหร่
เธอไม่ชวนทะเลาะยังดีไม่พออีกเหรอ?
ทำได้แค่ขอให้เธอทำตัวดี ๆ เขาจะง้อเธอสักหน่อยไม่ได้เลยเหรอ?
ความโกรธกำลังหมักหมมอยู่ในหัวใจ มู่น่อนน่อนเลิกผ้าห่มออกและลงจากเตียง “ฉันจะไปนอนห้องอื่น ให้ใจเย็นลงกันสักหน่อย”
บทที่196 ยังคิดจะติดชาร์ตคำค้นหายอดฮิตอีก?
วันที่สอง หกโมงมู่น่อนน่อนออกจากบ้านไปที่โรงแรมจีนติ่ง
เพราะเฉินถิงเซียวบอกว่าจะกินอาหารที่โรงแรมจีนติ่งตอนเจ็ดโมง เธอจะอยู่ที่บ้านก็ไม่ได้เป็นอะไร แต่ไปเร็วหน่อยจะดีกว่า
ตอนที่เธอไปถึงโรงแรมจีนติ่ง ก็เป็นเวลาหกโมงสี่สิบ
เธอก้าวเท้าแรกถึงห้องพิเศษ ก้าวต่อมาซือเฉิงหยู้ก็มาถึงแล้ว
ซือเฉิงหยู้เข้ามาในห้องพิเศษ พบว่าเฉินถิงเซียวไม่อยู่ ก็ถามเธอ “ถิงเซียวยังไม่มาเหรอ?”
มู่น่อนน่อนดูเวลาเล็กน้อย พบว่าใกล้จะเจ็ดโมงแล้ว เธอถอนหายใจแล้วพูด “ตั้งแต่เขากลับมาจากบริษัทเฉินซื่อ ก็ยุ่งทั้งวันจนไม่เห็นเงาเลย”
ในน้ำเสียงของมู่น่อนน่อนซ่อนความกังวลไว้ไม่มิด
ซือเฉิงหยู้เปลี่ยนเรื่องอย่างไม่แสดงอารมณ์ “วันนี้เสี่ยวฉินเองก็อยากตามมาด้วย แต่จากนั้นก็มีเพื่อนร่วมชั้นมาชวนเขาไปเตะบอล เขาก็วิ่งตามเพื่อนไปเลย”
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้เจอเฉินเจียฉินมาสักพักแล้ว ใจยังรู้สึกคิดถึงเขาอยู่บ้างจึงพูดคุยด้วยกันกับซือเฉิงหยู้
ทั้งสองคนคุยไปด้วย รอเฉินถิงเซียวไปด้วย
แต่เฉินถิงเซียวสายแล้วก็ยังไม่มา
เวลาผ่านหนึ่งทุ่มไปอย่างรวดเร็ว
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้นเสมอ และไม่ใช่คนที่ไม่รักษาเวลา จนถึงตอนนี้เขายังไม่มา คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ….
มู่น่อนน่อนโทรหาเฉินถิงเซียว แต่กลับถูกตัดสาย
เธอขมวดคิ้วมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสาย สีหน้าค่อนข้างย่ำแย่
ซือเฉิงหยู้เห็นท่าทางนั้นก็ถามเธอ “เป็นอะไรไป?”
“ไม่….” มู่น่อนน่อนเม้มปาก แล้วยิ้มอย่างฝืน ๆ “เฉินถิงเซียวยังไม่มา น่ากลัวว่าคงเป็นเพราะเรื่องของบริษัททำให้ล่าช้า อย่างนั้นเรามาสั่งอาหารกันก่อนเถอะ”
ซือเฉิงหยู้ก็เหมือนกับเธอ ต่างยังไม่ได้กินข้าวเย็นกันมาเลย บางทีเฉินถิงเซียวอาจจะถูกเรื่องอะไรบางอย่างพันขาอยู่ กว่าจะมาได้ก็ดึกมาก หรือจะให้ซือเฉิงหยู้กับเธอท้องหิวอยู่ด้วยกันงั้นเหรอ?
ซือเฉิงหยู้พูดอย่างไม่ถือสา “ไม่ต้องหรอก รออีกหน่อยเถอะ”
จนถึงเวลาสองทุ่ม มู่น่อนน่อนจึงตัดสินใจไม่รอแล้ว ให้ซือเฉิงหยู้สั่งอาหารอย่างเข้มแข็ง
ด้วยเหตุนี้ มื้อนี้ที่เดิมทีเป็นมื้อเย็นที่มีสามคน กลายเป็นซือเฉิงหยู้กับมู่น่อนน่อนสองคน
ทั้งสองกินข้าวเสร็จก็จิบชากันต่อ แล้วเฉินถิงเซียวก็เพิ่งจะมาสายโด่ง
มู่น่อนน่อนเมื่อเห็นว่าเฉินถิงเซียวเข้ามา ก็ก้มหน้าลงมองชาในถ้วย
ตอนนี้เธอเห็นเฉินถิงเซียวก็โมโหขึ้นมา
ไม่มีเวลาก็อย่าเลือกวันนี้สิ ถ้ายุ่งมากก็โทรมาหน่อยไม่ได้เลยรึไง?
ซือเฉิงหยู้รินชาให้เฉินถิงเซียวแล้วยื่นให้เขา ถามอย่างอบอุ่น “ยุ่งมากเลยเหรอ?”
เฉินถิงเซียวนั่งลงข้างมู่น่อนน่อน มือข้างหนึ่งมองบนพนักพิงข้างหลังของมู่น่อนน่อนอย่างเคยชิน แสดงความเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่
สายตาของซือเฉิงหยู้หยุดที่มือของเฉินถิงเซียวไม่กี่วินาที ก่อนจะละออกอย่างรวดเร็วราวกับการเหลือบมอง
“ยังโอเคครับ” เฉินถิงเซียวหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มจนเกลี้ยง มองมู่น่อนน่อนเล็กน้อยแล้วถาม “พวกเธอกินกันแล้วเหรอ?”
ซือเฉิงหยู้พูด “อืม นายไม่มาสักที พวกเราเลยสั่งมากินแล้ว”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร เพียงแค่หันไปมองมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกว่าเขากำลังมองมาที่ตัวเอง และเอาแต่ตั้งอกตั้งใจดื่มชา
โกรธเหรอ?
“อืม ที่จริงจะรีบมาเร็วสักหน่อย แต่มีอุบัติเหตุรถชนกันเล็กน้อยระหว่างทาง มือถือก็ตกลงมาพังด้วย” เฉินถิงเซียวพูดมองไปที่ซือเฉิงหยู้
มู่น่อนน่อนที่อยู่ข้าง ๆ แม้จะแสดงสีหน้าว่าไม่สนใจเขา แต่ตอนที่เขาพูด เธอกลับหูผึ่งได้ยินอย่างชัดเจน
เสียงของเขาเพิ่งจะเงียบลง มู่น่อนน่อนก็หันหน้าไปอย่างรวดเร็วแล้วถาม “นายไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
“ไม่เป็นอะไร” เฉินถิงเซียวลดสายตามองเธอ เอ่ยด้วยรอยยิ้มในดวงตา “รถของคนอื่นชนกัน ทำให้เกิดการจราจรติดขัด ก็เลยเพิ่งจะมาซะสายเลยน่ะ”
……
ทั้งสองคนต่างก็กินข้างกันแล้ว เฉินถิงเซียวจึงสั่งอาหารแค่ของตัวเอง
เขากินอย่างรวดเร็ว แต่การกินของเขาไม่เพียงไม่ได้ดูมูมมาม ในทางกลับกันเขาดูค่อนข้างเจริญหูเจริญตาด้วยซ้ำ
อาจจะเพราะว่าใบหน้านั้นของเขาดูดีเกินไป….
กินข้าวเสร็จ มู่น่อนน่อนก็กลับบ้านด้วยกันกับเฉินถิงเซียว
นี่เป็นการกลับบ้านกับเฉินถิงเซียวครั้งแรกในรอบหนึ่งสัปดาห์เลย
ในห้องโดยสารรถเงียบสงบ ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนก็พูดขึ้น “พวกเราสองไม่ได้กลับด้วยกันมานานแล้ว”
“ก่อนหน้านี้ใครกันนะเอาแต่ไม่ยอมไปทำงานกับพร้อมฉัน?” เฉินถิงเซียวพูดอย่างเย็นชา และเริ่มพลิกบัญชีเก่ากับมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเบะปาก “สถานการณ์นั้นไม่เหมือนกันสักหน่อย”
ทั้งสองเถียงเรื่องนี้กันไปตลอดทางจนถึงบ้าน
สุดท้าย การโต้เถียงนี้สิ้นสุดลงหลังจากที่เฉินถิงเซียวโยนเธอลงบนเตียง
ช่วงนี้เฉินถิงเซียวเหนื่อยเกินไปจริง ๆ และเพราะกลางคืนทนไม่ไหวจึงทำกับมู่น่อนน่อนไปหลายครั้ง ตอนที่มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมา จึงเพิ่งได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเฉินถิงเซียวที่หลับอยู่ข้าง ๆ เธอ
เธอยื่นมือไปบีบหน้าเขาเบา ๆ วาดไปตามโครงหน้าของเขา
เฉินถิงเซียวเหล่ตาเล็กน้อยก่อนจับมือเธอไว้ที่ริมฝีปากแล้วกัดเบา ๆ “อย่าจับ”
มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วใช้มืออีกข้างแตะใบหน้าของเขา
ข้างหนึ่งลูบ ข้างหนึ่งบีบ ทั้งสองคนเริ่มทะเลาะกันบนเตียงครั้งแล้วครั้งเล่า
ในตอนนั้นเอง มือถือของมู่น่อนน่อนก็ดังขึ้นกะทันหัน ดึงความนึกคิดของทั้งสองกลับมา
มู่น่อนน่อนหยิบมือถือตัวเองจากหัวเตียง เอ่ยพึมพำ “ใครโทรมาหาฉันเช้าขนาดนี้กันนะ?”
เมื่อเธอหยิบมาดู ก็พบว่าเป็นหมายเลขที่ไม่รู้จัก
เธอพูดกับตัวเอง “ใครกันน่ะ?”
เฉินถิงเซียวมองจากด้านหลังของเธอ แล้วพูดขึ้น “กู้จือหยั่น”
“กู้จือหยั่นโทรมาหาฉัน?” มู่น่อนน่อนสีหน้าประหลาดใจ
“คงจะตามหาฉัน” เฉินถิงเซียวพูดไปก็เอื้อมมือมาหยิบมือถือของมู่น่อนน่อนไป
เมื่อวานมือถือของเขาตกพังไปแล้ว หลังเข้าไปบริษัทเฉินซื่อ ก็ไม่ได้พกโทรศัพท์งานอันอื่นเลย กู้จือหยั่นหาเขาไม่เจอมาสักพัก จึงโทรหามู่น่อนน่อน
คิดอย่างนั้นก็สมเหตุสมผลอยู่
“มีเรื่องอะไร?” เฉินถิงเซียวรับสายด้วยน้ำเสียงเย็นชา เย็นเยือกสุด ๆ
มู่น่อนน่อนเอนตัวไปฟังอย่างอยากรู้อยากเห็น ก็ได้ยินน้ำเสียงบ้าคลั่งของกู้จือหยั่นพอดี “จะทำยังไง มีคนถ่ายรูปซือเฉิงหยู้กับเฉินถิงเซียวกินข้าวด้วยกันอีกแล้ว! ตอนนี้ขึ้นเป็นการค้นหายอดนิยมไปแล้ว!”
น้ำเสียงของกู้จือหยั่นรุนแรงมาก ราวกับวินาทีถัดไปเขาจะวิ่งทะลุมือถือมาได้อย่างนั้น
มู่น่อนน่อนได้ยินคำพูดนั้น อึ้งไปสักพักหลังจากรู้สึกตัวอีกทีก็ถามขึ้น “ฉันกับพี่ใหญ่ ถูกถ่ายจนติดคำค้นหายอดนิยมอีกแล้วเหรอ?”
เฉินถิงเซียววางสายด้วยไปหน้านิ่งขรึม แล้วเปิดweiboขึ้นมา
บนนั้นมีหัวข้อยอดนิยมของซือเฉิงหยู้กับมู่น่อนน่อนอย่างที่คิด
#แฟนสาวลึกลับของซือเฉิงหยู้#
มู่น่อนน่อนมุมปากกระตุก “ฉันว่า ขึ้นชาร์ตการค้นหากับพี่ใหญ่อีกไม่กี่ครั้ง ฉันคงได้เดบิวต์แล้ว….”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเธออย่างเย็นชา “ยังคิดจะติดชาร์ตการค้นหาอีก?”
รูปภายในการค้นหายอดนิยม เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนที่โรงแรมจีนติ่ง เธอและซือเฉิงหยู้ถูกแอบถ่ายตอนกินข้าวด้วยกันก่อนที่เฉินถิงเซียวจะไปถึง
ซือเฉิงหยู้ในรูปนั้นถ่ายได้อย่างชัดเจน แต่มู่น่อนน่อนยังเป็นรูปลักษณ์ที่คงคลุมเครือ
มู่น่อนน่อนเม้มปาก ไม่ยอมน้อยหน้า “ฉันก็ไม่ได้อยากติดชาร์ตคำค้นหาสักหน่อย เมื่อวานถ้าไม่ใช่เพราะนายไม่ยอมมาสักที คนอื่นก็คงจะถ่ายได้ภาพที่เราสามคนกินข้าวด้วยกัน!”
บทที่195 เป็นหมูแปลงมารึไง?
มู่น่อนน่อนยิ่งคิด ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองคิดไม่ผิด
ถ้าให้คนอื่นมาบอกว่าหาไม่เจอ มู่น่อนน่อนก็จะเชื่ออยู่ แต่เป็นเฉินถิงเซียวนั้นไม่มีทาง
ความมั่นใจในตัวเองของเฉินถิงเซียว มันออกมาจากกระดูกดำเลยทีเดียว
พอเกิดความคิดนี้ขึ้นมาแล้ว ก็หยุดคิดไม่ได้อีกเลย
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ตลอดทั้งวัน
เมื่อเลิกงาน เธอรีบร้อนนั่งรถกลับบ้าน คิดจะคุยเรื่องนี้กับเฉินถิงเซียว
แต่เมื่อเธอกลับมาถึงบ้าน เฉินถิงเซียวยังไม่กลับมา
อาหูทำอาหารเสร็จก็หนึ่งทุ่มเข้าไปแล้ว แต่เฉินถิงเซียวก็ยังไม่กลับมา
อาหูเห็นว่าดึกแล้ว จึงเกลี้ยกล่อมมู่น่อนน่อน “คุณหญิงน้อย กินก่อนเถอะค่ะ คุณชายจะกลับมาตอนไหนก็ไม่ทราบนะคะ”
“ไม่เป็นไร ฉันจะรออีกหน่อย”
เฉินถิงเซียวไปบริษัทเฉินซื่อวันแรก จะต้องยุ่งมากแน่ นี่เป็นเรื่องปกติ
รอไปอีกสักพัก เมื่อเห็นว่าเฉินถิงเซียวยังไม่กลับมา มู่น่อนน่อนจึงเตรียมจะโทรหาเฉินถิงเซียว
แต่เธอเพิ่งจะหยิบมือถือขึ้นมา ก็มีสายโทรเข้ามา
เธอหรี่ตามอง เป็นเฉินถิงเซียวที่โทรมาพอดี
มู่น่อนน่อนรับสายล้วนถามเขา “นายจะกลับมาเมื่อไหร่?”
“เพิ่งจะประชุมเสร็จ คืนนี้น่าจะกลับไปดึกมาก เธอนอนไปก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอฉัน” เฉินถิงเซียวกดเสียงเบาลงเล็กน้อยเจือความอ่อนโยนอย่างเดิม แต่กลับผสมปนความเหนื่อยล้า
การประชุมนี้ดำเนินไปนานมาก เขาก็ไม่สังเกตเลยว่ามันดึกขนาดนี้แล้ว
เมื่อการประชุมจบลง เขาก็รีบโทรหามู่น่อนน่อนทันที
“เข้าใจแล้ว……”
แม้ว่าช่วงเธอและเฉินถิงเซียวจะไม่ได้เข้างานเลิกงานด้วยกัน แต่ตอนเช้าก็ออกจากบ้านไปพร้อมกัน และตอนเย็นก็กลับบ้านมาพร้อมกัน
ตอนนี้เธอต้องเผชิญหน้ากับห้องที่ว่างเปล่าคนเดียว มู่น่อนน่อนก็ยังรู้สึกไม่เคยชิน
เธอกินข้าว กลับเข้าห้อง หอบคอมพิวเตอร์มาเขียนต้นฉบับ
เธอเขียนไปพลางคอยเฝ้าดูว่าด้านนอกมีเสียงรถยนต์หรือไม่
แต่ว่า การทำงานมาทั้งวันนั้นเหนื่อยมาก ผ่านไปไม่นานเธอก็เผลอพิงหัวเตียงหลับไป
ตอนที่เฉินถิงเซียวกลับมา สิ่งที่ฉันเห็นคือฉากนี้
ในห้องอบอุ่นเพียงพอ เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปในห้องนอน แว่บแรกก็เห็นมู่น่อนน่อนที่นอนหลับเอียงหัวพิงอยู่กับหัวเตียง
มือสองข้างของเธอยังวางอยู่บนแป้นพิมพ์โน๊ตบุ๊ค ผมหน้าม้ากระดกขึ้น ผมยาวสยายออก
เฉินถิงเซียวค่อย ๆ ย่องเข้าไป เอื้อมมือดึงคอมพิวเตอร์ที่อยู่ใต้มือมู่น่อนน่อนออกมา
แม้เขาจะขยับอย่างเงียบเชียบ แต่มู่น่อนน่อนนั้นหลับตื้นเกินไป จึงถูกปลุกตื่นขึ้นมา
มู่น่อนน่อนลืมตาด้วยความง่วงงุน มองคนตรงหน้าอย่างยังไม่ตื่นดี พูดอย่างสะลึมละสือ “กลับมาแล้วเหรอ?”
ดวงตาของเธอพร่ามัว เธอนอนเอียงหัวพิงหัวเตียงนานเกินไป พอเธอขยับทั้งร่างก็เหมือนจะร่วงลงบนเตียง
เฉินถิงเซียวยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อพยุงหัวของเธอ มืออีกข้างโอบรอบเอวของเธอเพื่อให้เธอหลับไป เอ่ยเสียงทุ้มนุ่ม “อืม นอนเถอะ”
มู่น่อนน่อนได้ยิน ก็หลับไปอีกครั้งจริง ๆ อย่างสะลึมสะลือ
ตั้งแต่เธอนอนลงบนเตียงจนถึงหลับไป ใช้เวลาเพียงสิบวินาที
เฉินถิงเซียวมองใบหน้าของเธอที่หลับอย่างเงียบสงบ ก็อึ้งไปเล็กน้อย อดเอื้อมมือไปบีบจมูกของเธอไม่ได้ พูดพึมพำ “เป็นหมูแปลงมารึไง?”
เขาไปอาบน้ำในห้องน้ำกลับมาถึงเพิ่งจะได้นอนลงบนเตียง มู่น่อนน่อนที่หลับไปแล้วเหมือนจะรู้สึกตัว เธอซุกเข้าไปในอ้อมแขนของเฉินถิงเซียวโดยอัตโนมัติ
เฉินถิงเซียวเห็นท่าทางนั้น แววตาของเขาก็ฉายแววอ่อนโยนแล้วกอดเธอไว้ในอ้อมแขน ไม่นานก็เข้าสู่ความฝัน
……
วันต่อมา
เมื่อมู่น่อนน่อนลืมตาขึ้นมา ก็เอื้อมมือไปคลำข้างกาย
ผลคือข้างกายนั้นว่างเปล่า
ทันใดนั้นเธอก็พลิกตัวขึ้นมานั่งบนเตียง
เมื่อคืนเฉินถิงเซียวไม่ได้กลับมาเหรอ?
ไม่สิ เหมือนจะกลับมาแล้ว….
มู่น่อนน่อนหันหัว สายตาไปตกอยู่ที่คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้คที่อยู่บนโซฟา
เธอจำได้แล้ว เมื่อคืนเฉินถิงเซียวกลับมาแล้ว ยังช่วยเธอเก็บคอมพิวเตอร์อีกด้วย
แต่แล้วเจ้าตัวล่ะ? คงไม่ได้ไปแล้วหรอกนะ?
มู่น่อนน่อนพลิกตัวลุกจากเตียงคว้าเสื้อคลุมตัวใหญ่มาใส่ สวมรองเท้าแตะแล้วเปิดประตูวิ่งลงไปข้างล่าง
เธอวิ่งมาถึงหัวบันได ก็เห็นเฉินถิงเซียวในชุดสูททางการกำลังเดินออกจากประตู
เธอเรียกออกไป “เฉินถิงเซียว?”
เฉินถิงเซียวได้ยินก็หันกลับมา มองเพียงปราดเดียวก็ขมวดคิ้ว “กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉันไปบริษัทก่อนนะ”
“อื้ม” มู่น่อนน่อนตอบรับอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวหันกลับแล้วเดินออกไป
เธออ้าปาก สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
จนเมื่อเงาร่างของเฉินถิงเซียวลับไป เธอถึงได้กระชับเสื้อคลุมแล้วกลับห้องนอนไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
……
เฉินถิงเซียวเริ่มจะยุ่งมากขึ้นเป็นพิเศษ
ยุ่งจนแม้แต่เวลากินข้าวกับมู่น่อนน่อนก็ไม่มี บ่อยครั้งที่เธอตื่นมาในตอนเช้าแล้วเขาไปแล้วหรือกำลังจะไป
เมื่อเธอกลับมาในตอนเย็น เฉินถิงเซียวยังทำงานล่วงเวลาอยู่ที่บริษัท ตอนที่เขากลับมา มู่น่อนน่อนไม่หลับไปแล้วก็ตื่นนอนแล้ว
เป็นอย่างนั้นผ่านไปหนึ่งอาทิตย์
มู่น่อนน่อนนึกว่าสุดสัปดาห์เฉินถิงเซียวจะพักผ่อนทั้งวัน แต่ผลสรุปเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ก็เห็นเฉินถิงเซียวเปลี่ยนเป็นชุดสูทแล้ว เขาดูภูมิฐานและเปี่ยมพลัง
เฉินถิงเซียวราวกับมีพลังงานใช้ไม่สิ้นสุด ขนาดยุ่งขนาดนั้นติดต่อกันมาอาทิตย์หนึ่งแล้ว ไม่นึกว่าจะยังดูมีกำลังวังชาขนาดนั้นอีก
มู่น่อนน่อนหยิบมือถือขึ้นมา ส่องผ่านหน้าจอมือถือ เธอเห็นใบหน้าที่เหนื่อยล้าของตัวเองบนหน้าจอ
เวลาเข้างานของเธอสายกว่าเฉินถิงเซียวและเลิกงานเร็วกว่า แต่ดันดูเหนื่อยยิ่งกว่าเฉินถิงเซียวเสียอีก
หากไม่ได้อยู่กับเฉินถิงเซียวมานานขนาดนี้ เธอก็คงสงสัยว่าเฉินถิงเซียวใช่คนรึเปล่า
“ฉันจะไปบริษัทแล้วนะ เธอนอนต่ออีกหน่อยเถอะ” เฉินถิงเซียวได้ยินแสดงความเคลื่อนไหว จึงหันกลับไปมองเธอ พลางก้มหน้าจัดกระดุมข้อมือของตัวเอง
ดูเหมือนกระดุมข้อมือสูทในวันนี้จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา ติดยังไงก็ติดได้ไม่ดี
มู่น่อนน่อนเลิกผ้าห่มแล้วลุกขึ้นนั่ง น้ำเสียงมีความงัวเงียอย่างคนเพิ่งตื่น “มานี่มา”
เฉินถิงเซียวเดินเข้ามา นั่งลงข้างเตียง ยื่นแขนเสื้อไปด้านหน้าของมู่น่อนน่อนพร้อมส่งกระดุมข้อมือให้เธอด้วย
เขาหลุบตาลง มองนิ้วมือเรียวขาวของมู่น่อนน่อนที่กำลังจับแขนเสื้อสีเข้ม หลังจากช่วยติดกระดุมข้อมือให้เขาแล้ว ยังจัดสูทตัวนอกให้เขาอีกเล็กน้อย
ลำคอของเขาขยับเล็กน้อย ก่อนก้มลงจูบเบา ๆ ที่หน้าผากของมู่น่อนน่อน “ใกล้จะปีใหม่แล้ว ยุ่งอีกสักพักก็คงจะได้พักผ่อนสักหน่อย”
มู่น่อนน่อนเงียบไปเล็กน้อยก่อนถามเขา “บริษัทเฉินซื่อมีเรื่องต้องจัดการมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ใช่แล้ว เรื่องเยอะมาก” ในน้ำเสียงของเฉินถิงเซียวสัมผัสถึงความเหนื่อยล้าได้อย่างหาได้ยาก
สิ้นเสียงลง ทั้งสองคนก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
มู่น่อนน่อนนึกอะไรได้บางอย่างแล้วพูดขึ้น “นายรู้มั้ยว่าพี่ใหญ่กลับมาแล้ว?”
การเคลื่อนไหวของเฉินถิงเซียวช้าลงนิดหน่อย เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “กลับมาเมื่อไหร่?”
“กลับมาหลายวันแล้ว เขายังบอกอีกว่าอยากไปกินข้าวด้วยกันกับเรา” จริง ๆ แล้วนี่คือเรื่องที่มู่น่อนน่อนอยากจะคุยกับเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวไตร่ตรองครู่หนึ่ง “พรุ่งนี้ฉันเลิกงานเร็วหน่อย นัดพี่ใหญ่ไปกินข้าวที่โรงแรมจีนติ่ง”
“อื้ม” มู่น่อนน่อนพยักหน้า แววตาฉายความยินดี
ในที่สุดก็จะได้กินข้าวพร้อมกับเฉินถิงเซียวแล้ว!
บทที่194 เฉินถิงเซียวกำลังโกหก
มู่น่อนน่อนฟังเฉินถิงเซียวพูดแบบนั้นก็ไม่รู้สึกประหลาดใจ
ในวงธุรกิจบริษัทเสิ้งติ่งมีชื่อเสียงด้านความร่ำรวย
แต่ตอนนี้เธอยังไม่รู้เลยว่าเงินเดือนของตัวเองคือเท่าไหร่
เธอถามเฉินถิงเซียวอย่างสงสัย “งั้นเงินเดือนฝึกงานของฉันได้เท่าไหร่?”
เฉินได้ยินดังนั้น ทันใดนั้นก็หรี่ตาเข้ามาใกล้เธอ ถามอย่างมีนัย “บอสของบริษัทบริการเธอด้วยตัวเองทุกวันแล้วยังไม่พอ ยังต้องการเงินเดือนอีกเหรอ?”
ผู้ชายคนนี้นี่จริง ๆ เลย ไม่ยอมปล่อยโอกาสจะได้ลวนลามเธอเลยสักครั้ง
มู่น่อนน่อนกำลังจะพูด กู้จือหยั่นก็เดินเข้ามาพร้อมกับอาหารห่อใหญ่สองสามห่อ
“กินข้าวกัน!” กู้จือหยั่นมองพวกเขาเล็กน้อยก็ละสายตากลับมา
เฮ้อ อวดแฟนกันทั้งวัน เราคงไปไม่รอดแล้วล่ะ
มู่น่อนน่อนช่วยกันหยิบอาหารออกมา กู้จือหยั่นบ่นอย่างทนไม่ได้ “ยังดีที่อีกไม่กี่วันถิงเซียวต้องกลับไปบริษัทเฉินซื่อ ไม่อย่างนั้นนะ ได้ละวันคงไม่ต้องกินข้าวแล้ว นั่งกินอาหารหมาดูคนอวดแฟนให้ตายไปข้าง!”
มู่น่อนน่อนผงะเล็กน้อย สายตามองไปยังเฉินถิงเซียว “นายจะกลับบริษัทเฉินซื่อเมื่อไหร่?”
“อีกสองวันน่ะ” เฉินถิงเซียวลดสายตาลง เสียงเบาลงเล็กน้อย ไม่มีอารมณ์ใด ๆ
มู่น่อนน่อนเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
เฉินถิงเซียวเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าเขาจะกลับไปที่บริษัทเฉินซื่อ เมื่อเขาจัดการเรื่องที่บริษัทได้พอสมควรแล้ว หลังจากส่งทั้งหมดให้กู้จือหยั่นแล้วก็น่าจะกลับไปที่บริษัทเฉินซื่อ
……
วันต่อมาตอนที่ไปทำงานที่บริษัท มู่น่อนน่อนนั่งรถไฟใต้ดิน
สุดท้ายเมื่อเธอออกมาจากประตูสถานีรถไฟใต้ดิน ก็เห็นรถของเฉินถิงเซียว
วันที่สามมู่น่อนน่อนเรียกรถไปที่บริษัทเสิ้งติ่งโดยตรง ตอนที่แท็กซี่ไปถึงตึกบริษัท รถของเฉินถิงเซียวก็เพิ่งไปถึงตึกบริษัทพอดีเช่นกัน
ในที่สุด เมื่อถึงวันที่สี่ เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้ตามเธอแล้ว
เพราะเขาต้องไปรายงานที่บริษัทเฉินซื่อ
มู่น่อนน่อนตื่นมาตอนเช้า ก็ไม่เห็นเงาของเฉินถิงเซียวแล้ว
เมื่อลงมาที่โถงด้านล่าง อาหูเห็นเธอก็พูดขึ้น “คุณชายไปก่อนแล้วค่ะ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า ยังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเหรอ เฉินถิงเซียวถึงไปก่อนโดยไม่สนใจเธอ?
แต่ผ่านไปไม่นาน เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากเฉินถิงเซียว
“ฉันถึงบริษัทเฉินซื่อแล้ว หลังจากนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าฉันจะตามเธอตอนไปทำงานทุกวันแล้วนะ ดีใจมั้ย?” เฉินถิงเซียวพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ฟังไม่ออกว่ารู้สึกอะไร
มู่น่อนน่อนจะไปกล้าบอกว่าดีใจได้ยังไง พูดอย่างหม่นหมองเต็มที่ “จากนี้นายจะไม่ได้ทำงานที่บริษัทเสิ้งติ่งแล้วเหรอ? น่าเสียดายจริง…..”
หลายวันมานี้ เพราะเรื่องที่ว่าจะไปทำงานยังไง ทั้งสองก็เอาแต่แข่งกันอย่างลับ ๆ ในใจของเฉินถิงเซียวเองก็ย่อมไม่ได้ยินดีนัก เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยออกมาเท่านั้น
เฉินถิงเซียวคล้ายจะหัวเราะเบา ๆ “ฉันไปส่งเธอที่บริษัททุกวัน แล้วค่อยไปบริษัทเฉินซื่อก็ได้นะ”
มู่น่อนน่อน “……ไม่เป็นไรหรอก นายอย่าทำให้งานล่าช้าเลย….”
เฉินถิงเซียวไม่กลั้นหัวเราะอีกต่อไป เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง
เขาปฏิเสธบริษัทเฉินซื่อ แต่ก็ต้องกลับมาที่บริษัทเฉินซื่ออีกครั้ง ได้โทรศัพท์ไปแกล้งมู่น่อนน่อนแล้วอารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นมาก
หลังจากหัวเราะเสร็จ เฉินถิงเซียวก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “วันปกติก็แล้วแต่เธอ แต่วันฝนตกต้องให้คนขับรถไปส่ง ไม่อย่างนั้นฉันจะไปรับเธอ”
“ได้ได้ได้….” มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าช่วงนี้เฉินถิงเซียวจู้จี้ขึ้นมาก
วางสาวแล้ว มู่น่อนน่อนก็ไปบริษัท
ป้ายรถเมล์ที่เธอลงอยู่ห่างจากบริษัทเสิ้งติ่งเพียงห้านาที
เธอเพิ่งลงจากรถ ตอนที่กำลังจะเดินไปที่ประตูของบริษัทเสิ้งติ่งก็ได้ยินเสียงแตรจากด้านหลัง
มู่น่อนน่อนก้าวขยับไปด้านข้างเล็กน้อย แต่รถด้านหลังก็ยังคงบีบแตรอยู่
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วหันกลับไป ก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยยื่นออกมาจากหน้าต่างของรถสีดำด้านหลังคันหนึ่ง
ซือเฉิงหยู้เรียกเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “น่อนน่อน”
หลังจากมู่น่อนน่อนเห็นแล้วว่าเขาคือซือเฉิงหยู้ ก็เรียกด้วยความประหลาดใจ “พี่ใหญ่?”
ช่วงนี้เกิดเรื่องค่อนข้างมาก ไม่มีใครติดต่อซือเฉิงหยู้ได้เลย
ซือเฉิงหยู้ขับรถไปด้านข้างของมู่น่อนน่อน เพื่อจะได้คุยกับเธอได้สะดวก
เขาถามเธอ “มาหาถิงเซียวเหรอ?”
“เปล่าค่ะ” มู่น่อนน่อนยกบัตรพนักงานในมือ “ตอนนี้ฉันเป็นพนักงานของบริษัทเสิ้งติ่งแล้วค่ะ”
“งั้นจากนี้ทุกคนก็จะเป็นเพื่อนร่วมงานกันแล้วน่ะสิ?” แววตาของซือเฉิงหยู้มีเหลือเชื่อ แต่กลับไม่ได้แสดงความประหลาดใจออกมามาก
นี่เป็นเวลาทำงาน ผู้คนสัญจรไม่น้อย ที่นี่ไม่ใช่สถานที่จะมาพูดคุยกัน
มู่น่อนน่อนมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง “เทียบกับพี่ไม่ได้หรอกค่ะ”
ซือเฉิงหยู้เป็นคนสุขุมรอบคอบ สังเกตพฤติกรรมอันละเอียดอ่อนของมู่น่อนน่อน เขายิ้มแล้วพูด “งั้นไว้ไปกินข้าวด้วยกันนะ ฉันไปก่อนนะ”
พูดจบ เขาก็ขับรถไปยังลานจอดรถ
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้ใส่ใจคำพูดของเขา ครั้งก่อนเธอแค่นั่งรถของซือเฉิงหยู้ที่สนามกลับบ้านเท่านั้นเอง ก็ดึงดูดเรื่องวุ่นวายขนาดนั้น กลายเป็น “แฟนสาวลึกลับของซือเฉิงหยู้”
ถ้าถูกสื่อถ่ายภาพตอนที่กินข้าวด้วยกันกับซือเฉิงหยู้อีก ไม่รู้ว่าจะโดนสื่อพวกนั้นเขียนเป็น “ซือเฉิงหยู้แต่งงานมาแล้วหลายปี….” อะไรนั่นขึ้นมา
ตอนนี้เพื่อให้ได้รับความสนใจจากผู้คน สื่อจะเขียนอะไรออกไปก็ได้ทั้งนั้น
มาถึงบริษัท ก็เป็นวันยุ่ง ๆ อีกวัน
บริษัทเสิ้งติ่งมีโรงอาหารของบริษัท ตอนเที่ยง มู่น่อนน่อนวางแผนว่าจะไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารกับเพื่อนร่วมงาน
เพิ่งจะเดินไปถึงโรงอาหาร เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากซือเฉิงหยู้
“บอกจะไปกินข้าวด้วยกันแล้ว แล้วเธอไปไหนซะล่ะ?” แม้ว่าในคำพูดซือเฉิงหยู้จะมีแววตำหนิ แต่น้ำเสียงของเขากลับเหมือนกับกำลังล้อเล่นมากกว่า
มู่น่อนน่อนปฏิเสธเขาไปตามตรง “ฉันมากินที่โรงอาหารกับเพื่อนร่วมงานค่ะ คราวหลังรอเฉินถิงเซียวมีเวลาแล้วค่อยไปกินด้วยกันนะคะ”
ซือเฉิงหยู้ชะงัก “ก็ได้”
ไม่รู้ว่ามู่น่อนน่อนเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า เธอถึงเอาแต่รู้สึกว่าน้ำเสียงของซือเฉิงหยู้ฟังดูแปลก ๆ
เธอเองก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
เพียงแต่ อยู่ ๆ สมองของเธอก็นึกท่าทางที่ประตูร้านชาของซือเฉิงหยู้ครั้งก่อนขึ้นมา
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?
“แฟนสาวลึกลับ” ของซือเฉิงหยู้สร้างความวุ่นวายมาก ในที่สุดก็เป็นหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์weiboของเฉินถิงเซียวที่ทำให้สงบลงได้ แต่ตัวการของเรื่องนี้ เหมือนกับจะยังหาตัวออกมาไม่ได้….
มู่น่อนน่อนคิดถึงตรงนี้ ก็ส่งวีแชทไปถามเรื่องนี้กับเฉินถิงเซียว
ทางด้านของเฉินถิงเซียวก็คงจะกำลังยุ่ง จนเมื่อมู่น่อนน่อนกินข้าวเสร็จ เฉินถิงเซียวถึงเพิ่งจะส่งข้อความกลับมาให้เธอ เป็นแค่ไม่กี่คำง่าย ๆ “ยังหาไม่เจอ”
มู่น่อนน่อนอ่านประโยคนั้นหลายครั้ง ทำไมถึงรู้สึกเหมือนว่าเฉินถิงเซียวกำลังโกหกอยู่เลย
คนที่อยู่เบื้องหลังการยั่วยุแบบนี้เพื่อสร้างความเสื่อมเสียให้กับองค์กร ไม่มีทางไม่ทิ้งเบาะแสอะไรเอาไว้หรอก ได้ตราบใดที่ตั้งใจตรวจสอบจะต้องหาเจอแน่นอน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวความคิดอ่านละเอียดรอบคอบทั้งลึกซึ้ง เรื่องนี้ผ่านไปนานขนาดนี้ เขาไม่มีทางตรวจสอบไม่เจอหรอก
ถ้าอย่างนั้น ก็มีอีกความเป็นไปได้คือเขาเจอแล้ว แต่ไม่อยากบอก
จะกล่าวในอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาเจอตัวการของเรื่องนี้แล้ว แต่กลับไม่เชื่อว่าคนคนนั้นจะทำเรื่องแบบนี้ ถึงได้บอกว่าหาไม่เจอ!
บทที่193 นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ
มู่น่อนน่อนเม้มปาก “นายอยากให้ฉันมาทำงานที่บริษัทเสิ้งติ่งก็พูดมาตรง ๆ สิ วกไปวนมาแบบนี้ เหนื่อยบ้างมั้ยเนี่ย?”
เฉินถิงเซียวสำลักกับคำพูดของมู่น่อนน่อนอย่างหาได้ยาก เขากำหมัดแล้วกระแอมเล็กน้อย “ฉันก็แค่ขอความเห็นจากเธอ”
มู่น่อนน่อนพูดอย่างตรงไปตรงมา “ได้สิ”
“……” เฉินถิงเซียวเห็นคำตอบของเธอเรียบง่ายขนาดนนี้ ชั่วขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
มู่น่อนน่อนถามอย่างไม่แน่ใจ “เพราะก่อนหน้านี้ฉันเคยปฏิเสธนายไป นายก็เลย….”
“พรุ่งนี้ก็มารายงานตัวเข้าทำงานได้เลย” เฉินถิงเซียวจะปล่อยให้เธอมีโอกาสได้ถามอะไรมากซะที่ไหน พูดจบเขาก็โทรศัพท์หากู้จือหยั่น
มู่น่อนกระตุกมุมปาก ดูสิ เผยร่างจริงออกมาแล้วไง
เมื่อทั้งสองคนกลับบ้านด้วยกัน มู่น่อนน่อนก็ถามขึ้นมา “แบบนี้นับว่านายใช้เส้นให้ฉันรึเปล่า?”
“ใช้เส้น?” เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วพูด “ไม่นับสิ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่านี่ก็เป็นการใช้เส้นสายแล้ว ถ้าเฉินถิงเซียวไม่เอ่ยปาก หากมู่น่อนน่อนอยากจะเข้าบริษัทเสิ้งติ่ง เธออาจจำเป็นต้องผ่านด่านมหาโหดไปให้ได้ซะก่อน
ผ่านครู่หนึ่ง เสียงของเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้นในห้องโดยสารรถ “ฉันจะจัดทีมให้เธอหนึ่งทีม เขียนบท ดำเนินงาน ภายในเวลาครึ่งปี ก็สามารถทำให้เธอมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง กลายเป็นนักเขียนมือทอง นั่นถึงจะเรียกใช้เส้น”
มู่น่อนน่อนถามอย่าสงสัย “นายก็เลยจะใช้เส้นสายนั่นให้ฉันตั้งแต่เริ่มเลยงั้นเหรอ?”
“ขอแค่เธอต้องการ จะตอนไหนก็ได้ทั้งนั้น” เฉินถึงเซียวก็หันมามองเธอ แววตาจริงจังอย่างที่สุด
เสิ้งติ่งเป็นเจ้าพ่อแห่งวงการบันเทิง เฉินถิงเซียวคือบอสใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง เขารู้ทุกอย่างในแวดวงบันเทิงเป็นอย่างดี
ที่เรียกกันว่าดังชั่วข้ามคืน ทั้งหมดก็เป็นการดำเนินการของทีม
แสดงหญิงรุ่นเยาว์ที่ได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งหมดล้วนเป็นการปลุกปั้นของทีมงาน
มีเพียงซือเฉิงหยู้ ที่เดินตามเสิ้งติ่งมาทีละก้าว ปีนขึ้นมาทีละขั้น
เมื่อวานมู่น่อนน่อนได้เห็นความสามารถในการประชาสัมพันธ์ของเฉินถิงเซียวแล้ว ไม่แปลกใจเลยหากเฉินถิงเซียวจะสามารถทำให้เธอกลายเป็นนักเขียนบทมือทองในวงการได้ภายในหกเดือน
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ
อุดมคติเป็นสิ่งที่สำคัญมาก จำเป็นต้องปกป้อง ต้องรักษาไว้อย่างระมัดระวัง เธอไม่ต้องการความสำเร็จเพียงชั่วข้ามคืนมาทำให้ตัวเองส่องประกาย
ที่เธอต้องการ คืออุคติที่เป็นจริงอย่างแท้จริง
ชีวิตช่างยาวนานขนาดนั้น เธอก็ยังเด็กมาก ตราบใดที่ทำงานหนักไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เธอเชื่อมั่นในตัวเอง
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวคิดไว้มากมายขนาดนี้ แม้ว่าเธอจะไม่ต้องการ แต่กลับยังซาบซึ้งใจ
เฉินถิงเซียวเป็นนักธุรกิจ เคยชินกับอุปสรรคในวงการบันเทิง จะทำแผนแบบนั้นเพื่อเธอก็เป็นเรื่องธรรมดา
มู่น่อนน่อนถามเขา “นายคิดว่าฉันไม่ใช้ทางลัดแล้วจะสามารถเป็นนักเขียนบทมือทองได้มั้ย?”
แม้เธอจะเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ก็ยังต้องการการยืนยันเล็กน้อยจากเฉินถิงเซียวอยู่ดี
เฉินถิงเซียวมองเธอเล็กน้อย “ผู้หญิงของฉันเฉินถิงเซียว ต้องสุดยอดที่สุดอยู่แล้ว”
มู่น่อนน่อนได้ยินคำว่า“สุดยอด”นั่น ก็รู้สึกเหมือนเยาะเย้ยเลย
เฉินถิงเซียวถูกเธอจ้อง มุมปากก็ยกขึ้นแล้วยิ้มออกมา
ผู้หญิงของเขาไม่มีทางพ่ายแพ้ และถึงมู่น่อนน่อนจะปีนขึ้นไปไม่ได้จริง ๆ ก็ยังมีเขาไม่ใช่เหรอ?
ความฝันนั้นของเธอ เขาสามารถช่วยให้เธอทำให้เป็นจริงได้เพียงแค่ขยับนิ้ว จะปล่อยให้เธอล้มเหลวได้ยังไง?
……
วันต่อมา
มู่น่อนน่อนต้องไปรายงานตัวที่บริษัทเสิ้งติ่ง
แต่ตอนที่ออกเดินทางในตอนเช้า กลับเป็นเพราะว่าเธอไม่อยากนั่งรถของเฉินถิงเซียวจึงเกิดความขัดแย้งกันเล็กน้อย
น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนยืนกรานอย่างมาก “ฉันนั่งรถประจำทางไปเองก็ได้แล้ว”
ตัวตนประธานบริษัทเสิ้งติ่งของเฉินถิงเซียว ตอนนี้คนที่รู้มีไม่มาก เขาเองตอนที่ออกไปเสิ้งติ่งก็ลึกลับมาก ยังพาเธอไปอีกหนึ่งคน มันจะเสี่ยงมากไป
เฉินถิงเซียวสีหน้าเย็นชา เอ่ยอย่างยอมถอยให้ “งั้นฉันจะให้คนขับรถไปส่งเธอ”
“ไม่ได้” มู่น่อนน่อนส่ายหน้า เธอเป็นแค่ผู้ช่วยนักเขียนบทฝึกหัด จะไปมีคนขับรถส่งไปบริษัทได้ยังไง!
สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็ยิ่งเย็นชาเข้าไปอีก เรียกชื่อของเธอเสียงหนัก “มู่น่อนน่อน”
ช่วงนี้มู่น่อนน่อนเข้ากับเฉินถิงเซียวได้ดีมาก ความเข้าใจต่อเฉินถิงเซียวก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อต้องรับมือกับเฉินถิงเซียวที่กำลังโกรธ ทักษะการตอบสนองของเธอก้าวหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เธอก้าวเข้าไปอยู่ต่อหน้าเฉินถิงเซียว เขย่งเท้าจูบเขาทีหนึ่ง ก่อนลูบหัวของเขา “ตอนนี้ฉันที่จะเข้าไปในบริษัทคือผู้ช่วยฝึกหัดคนหนึ่ง ถ้าคนอื่นเห็นว่าฉันมีรถหรูรับส่งเข้าออกงาน ยังไม่รู้เลยว่าจะพูดถึงฉันยังไงกัน จริง ๆ นะ ฉันนั่งรถประจำทางไปก็ได้แล้ว…..”
เฉินถิงเซียวที่เหมือนสิงโตสง่าที่กำลังจะโกรธเมื่อครู่ ถูกการกระทำของมู่น่อนน่อนทำให้สงบลงได้สำเร็จ กลิ่นอายทั้งร่างอ่อนลงไปไม่น้อย
“งั้นฉันจะพาเธอไปส่งที่ป้ายรถเมล์”
“โอเค”
เฉินถิงเซียวส่งมู่น่อนน่อนที่ป้ายรถเมล์ มองเธอขึ้นรถแล้วถึงให้สือเย่ขับรถไปที่บริษัทเสิ้งติ่ง
มู่น่อนน่อนที่เห็นว่าในที่สุดเฉินถิงเซียวก็ไปแล้ว ก็ถอนหายใจ
เพียงแต่ เมื่อรถเมล์ผ่านสัญญาณไฟจราจร มู่น่อนน่อนมองไปด้านหลังอย่างไม่ตั้งใจ ก็เห็นรถเบนท์ลีย์รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นสุดหรูคันนั้นของเฉินถิงเซียวที่อยู่ด้านหลังอยู่ด้านหลังของรถเมล์
มู่น่อนน่อน “…..”
เธอรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวคนนี้ บางทีก็ทำอะไรไร้เดียงสาเสียจริง
เธอละสายตากลับมา หยิบมือถือออกมาโทรกาเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวรับสายเร็วมาก “ทำไมเหรอ?”
“นายมาคอยตามอยู่ด้านหลังรถเมล์ทำไมน่ะ!” มู่น่อนน่อนมือหนึ่งถือมือถือ กดเสียงต่ำถามเขา
เฉินถิงเซียวชะงัก จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังสุด ๆ “ก็เพราะรถเมล์อยู่ด้านหน้า เราก็ได้แต่วิ่งอยู่ข้างหลังน่ะสิ”
“นาย…..” มู่น่อนน่อนโมโหจนวางสายไป
พรุ่งนี้เธอไม่นั่งรถประจำทางแล้ว ไปนั่งรถไฟใต้ดิน ดูซิว่าเขาจะตามยังไง!
……
ถึงบริษัท ก็มีคนพามู่น่อนน่อนไปดำเนินการตามขั้นตอนการเข้าทำงาน
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ตลาดภาพยนตร์และโทรทัศน์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและมีความต้องการบทภาพยนต์สูงมาก
และนักเขียนบทภาพยนตร์ที่ดีมักเป็นที่ต้องการของตลาด ยกเว้นบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์รายใหญ่บางแห่งที่สามารถหานักเขียนบทชั้นนำที่จะร่วมมือด้วยได้ ในอีกด้านหนึ่งบริษัทเล็ก ๆ ค่อนข้างจะยากลำบากไปสักหน่อยในเรื่องนี้
ส่วนบริษัทเสิ้งติ่งนั้นเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงมีข้อได้เปรียบ แต่ก็ยังคงขาดแคลนความสามารถของคนในด้านนี้
เมื่อก่อนตอนที่มู่น่อนน่อนยังเรียนอยู่ก็เคยเขียนบทแล้ว ก็ถือว่ามีประสบการณ์นิดหน่อย แต่เข้าบริษัทมาแล้ว ยังต้องศึกษาใหม่ตั้งแต่ต้น
นักเขียนบทภาพยนตร์และโทรทัศน์ของเสิ้งติ่งนั้นขาดแคลนคนมาก ถึงมู่น่อนน่อนจะมาวันแรก ก็ยังถูกจัดเตรียมเรื่องเอาไว้ไม่น้อย
เมื่อเฉินถิงเซียวชวนเธอกินข้าวตอนเที่ยง พอเธอเข้ามาในห้องทำงานของเขาก็ทิ้งตัวลงบนโซฟาทันที
“เหนื่อยขนาดนั้นเลยเหรอ?” เฉินถิงเซียวเอาน้ำให้เธอแก้วหนึ่ง
มู่น่อนน่อนรับแก้วน้ำไว้แล้วดื่มรวดเดียวหมด
“นักเขียนบทภาพยนตร์และโทรทัศน์ของบริษัทนายมีคนน้อยเกินไปแล้ว ยุ่งสุด ๆ เลย” เหตุผลที่เธอยุ่งมาก ไม่ใช่ว่าพนักงานเก่ากลั่นแกล้งเด็กใหม่ แต่มันยุ่งจริง ๆ !
เฉินถิงเซียวใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนพูด “เพราะยุ่งเกินเหนื่อยเกิน ดังนั้นหลายคนก็เลยทนไม่ไหวจนลาออกไปไง”
มู่น่อนน่อน “…..งั้นต้องขึ้นเงินเดือนมั้ย?”
เขามองมู่น่อนน่อนเล็กน้อย “ทั้งวงการบันเทิง ไม่มีบริษัทไหนที่เงินเดือนนักเขียนบทสูงกว่าของเสิ้งติ่งอีกแล้ว”
บทที่192 มาทำงานที่เสิ้งติ่ง
มู่น่อนน่อนวางสายโทรศัพท์แล้วหันไปพูดกับเสิ่นเหลียง “เฉินถิงเซียวให้ฉันไปส่งเอกสารให้เขาที่บริษัท”
“ฉันไม่เป็นไรอยู่แล้ว ไปส่งเธอเอาของที่บ้านแล้วค่อยไปเสิ้งติ่งพร้อมกัน” เสิ่นเหลียงเขย่ากุญแจรถในมือแล้วพูด
ด้วยเหตุนี้ มู่น่อนน่อนและเสิ่นเหลียงกลับบ้านไปเอาเอกสารด้วยกัน จากนั้นก็ไปที่บริษัทเสิ้งติ่งพร้อมกัน
หลังจากเสิ่นเหลียงขับรถเข้าไปในลานจอดรถ มู่น่อนน่อนก็ตรงขึ้นลิฟต์เฉพาะ ตรงไปยังออฟฟิศของเฉินถิงเซียวที่ชั้นบนสุด
……
เมื่อเธอมาถึงออฟฟิศของเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวก็กำลังยืนหันหลังให้เธออยู่หน้าหน้าต่างฝรั่งเศส ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่บ้าง
“เอาของมาส่งให้แล้ว” มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป วางเอกสารลงบนโต้ะทำงานของเขา
เฉินถิงเซียวได้ยินจึงหันกลับมา พูด “ยังไม่เคยพาเธอไปดูเสิ้งติ่งเลย”
“หืม?” อยู่ ๆ พูดเรื่องนี้ขึ้นมาจะทำอะไรน่ะ?
เฉินถิงเซียวพูดต่อ “ฉันให้คนพาเธอไปชมสักหน่อยว่ายังไง?”
พาฉันไปชมเสิ้งติ่งเนี่ยนะ?
“ฉันจะให้จือหยั่นพาเธอไป” เฉินถิงเซียวพูดขบก็แย้งกับตัวเองอีกครั้ง “ไม่สิ หรือจะให้เสิ่นเหลียง”
มู่น่อนน่อนไม่ได้สนใจกับการเยี่ยมชมเสิ้งติ่งอะไรนั่นมากนัก เธอชี้ไปที่เอกสารบนโต้ะแล้วถามเฉินถิงเซียว “ไม่ดูเอกสารก่อนเหรอ?”
“ไม่ได้สำคัญมากหรอก” เฉินถิงเซียวแม้แต่หน้าก็ไม่เงยขึ้นมา แล้วหยิบมือถือมาโทรหากู้จือหยั่น
มู่น่อนน่อน “…..”
ไม่สำคัญมากแล้วยังโทรให้เธอเอามาส่งให้เขาทำไม?
ไม่นานกู้จือหยั่นก็เข้ามา
กู้จือหยั่นปรากฏตัวพร้อมกับรอยคล้ำใต้ตาสองข้างที่ทั้งดำทั้งลึก “ทำไม?”
“พามู่น่อนน่อนไปดูเสิ้งติ่งหน่อย” เฉินถิงเซียวหันมามองกู้จือหยั่นแล้วสั่ง
กู้จือหยั่นเองก็ประหลาดใจเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
แต่เมื่อนึกถึงการทำงานหนักของเฉินถิงเซียวในช่วงนี้ เขาก็พยักหน้า “ไป ๆ ๆ ฉันจะพาเธอไปเยี่ยมชมบริษัทของสามีเธอสักหน่อย”
มู่น่อนน่อนถูกเขาเล่นตลกแบบนี้ สีหน้าของเธอค่อนข้างไม่สบายใจ
เสียงเย็นของเฉินถิงเซียวดังขึ้นจากด้านหลัง “เรียกเสิ่นเหลียงให้พาเธอไปดู”
กู้จือหยั่นโบกมือโดยตรง “เสิ่นเสี่ยวเหลียงเพิ่งมาอยู่ได้นานเท่าไหร่กัน ตัวเธอเองก็ยังไม่คุ้นเคยกับเสิ้งติ่งเลย”
มาถึงข้างนอกห้แง มู่น่อนน่อนถึงได้ถามกู้จือหยั่น “ทำไมอยู่ดี ๆ เฉินถิงเซียวถึงเรียกฉันมาชมเสิ้งติ่งล่ะ?”
เธอก็ฉลาดพอตัว เฉินถิงเซียวให้เธอมาส่งเอกสารอะไรนั่น ็เป็นแค่การบังหน้าเท่านั้น ก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหนอีก
กู้จือหยั่นครุ่นคิดสักครู่แล้วถามเธอ “เธอลาออกแล้วใช่มั้ย?”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า
“เขา…” กู้จือหยั่นพูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “อาจจะอยากให้เธอมาทำงานที่เสิ้งติ่ง แต่คงไม่อยากพูดออกมาตรง ๆ ก็เลยให้ฉันพาเธอชมบริษัทเสิ้งติ่ง จากนั้นจะได้ล่อให้เธอมาทำงานที่นี่ล่ะมั้ง?”
พูดถึงตอนสุดท้าย กู้จือหยั่นก็เหมือนจะรู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เมคเซ้นส์เท่าไหร่
“หา?” มู่น่อนน่อนไม่คิดว่าความคิดของกู้จือหยั่นนั้นถูกต้อง “เขาพูดตรง ๆ ก็ได้นี่”
กู้จือหยั่นพูดอย่างรวดเร็ว “ก่อนหน้านี้เขาใช้เส้นให้เธอ เธอก็ปฏิเสธเขาไปไม่ใช่เหรอ? เธอยังบอกอยู่เลยว่าไม่เต็มใจจะมาที่เสิ้งติ่ง”
“นายรู้ได้ยังไงว่าก่อนหน้านี้เขาใช้เส้นให้ฉัน แล้วฉันบอกไม่เต็มใจจะมา?” มู่น่อนน่อนเขาด้วยความสงสัย
กู้จือหยั่น “…..อ่า นั่นมัน…..ฉันพาเธอลงไปดูก่อนแล้วกันนะ….”
เขาพูดได้ไหมว่าเป็นเพราะเขาแอบได้ยินการสนทนาระหว่างมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวทางโทรศัพท์เมื่อนานมาแล้ว?
……
สุดท้าย ก็กลายเป็นเสิ่นเหลียงที่พามู่น่อนน่อนเดินชมเสิ้งติ่ง
เพราะยังไงซะกู้จือหยั่นก็เป็นเจ้านายอยู่ครึ่งหนึ่ง ให้พามู่น่อนน่อนเดินเที่ยวชมเสิ้งติ่ง ก็จะเป็นการโอ้อวดอย่างแจ่มแจ้งเกินไปหน่อย
เสิ่นเหลียงพาเธอไปเดินชม คนอื่นก็จะนึกว่าเธอพาเพื่อนมาเที่ยว ก็จะไม่คิดอะไรมาก
ตลอดทาง มู่น่อนน่อนได้เห็นดาราและผู้มีชื่อเสียงระดับแนวหน้ามากมาย นอกจากนี้ยังมีบรรณาธิการและมัคคุเทศก์ชื่อดังอีกด้วย
เสิ่นเหลียงเจอกับพวกเขา ก็ต้องทักทายอย่างสุภาพ โดนเรียก “อาจารย์” หรือ “รุ่นพี่”
บริษัทเสิ้งติ่งนั้นใหญ่มาก หลังจากทั้งสองเดินจนรอบแล้ว ฉันจึงไปที่ชั้นดาดฟ้าชั้นบนสุด
เสิ่นเหลียงเกาะราวดาดฟ้าตะโกนเสียงดัง “สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว ฉันเองก็ต้องทำให้คนอื่นสนใจฉันเรียกฉันว่าอาจารย์เสิ่นเหลียง รุ่นพี่เสิ่นเหลียงให้ได้เลย!”
“ต้องมีวันนั้นแน่!” มู่น่อนน่อนยืนอยู่ข้างหลังเธอ พูดอย่างมีอารมณ์ร่วม
ราวกับเสิ่นเหลียงคิดอะไรขึ้นมาได้ เธอหันกลับมามอง “เธอลาออกแล้วไม่ใช่เหรอ? มาทำงานที่เสิ้งติ่งมั้ย? ถึงตอนนั้นเราก็จะเป็นเพื่อนร่วมงานกันแล้ว”
“นั่นมัน….” มู่น่อนน่อนนึกถึงคำที่กู้จือหยั่นพูดก่อนหน้านี้ แม้จะรู้สึกไม่น่าเชื่ออยู่หน่อย ๆ แต่ความเข้าใจของเธอต่อเฉินถิงเซียว เขาอาจจะมีความคิดนั้นจริง ๆ ก็ได้
เฉินถิงเซียวเป็นคนฉลาดหลักแหลมขนาดนั้น คาดไม่ถึงว่าจะทำเรื่องอย่างนี้ได้ด้วย….
มู่น่อนน่อนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “อาจจะนะ….”
“อะไรคือ“อาจจะนะ”? ขอแค่เธอพูดคำเดียว บอสใหญ่ก็จะประเคนทุกอย่างมาให้แน่นอน ไกด์ชื่อดัง ดาราชื่อหนึ่ง ให้นักเขียนบทมือทองพาเธอ….คิด ๆ ไปก็น่าอิจฉาชะมัด”
เสิ่นเหลียงพูดด้วยท่าทางตื่นเต้น
แล้วมู่น่อนน่อนก็ราดน้ำเย็นใส่เธอ “กู้จือหยั่นเองก็คงยินดีหนุนให้เธอแน่นอน”
เสิ่นเหลียงถลึงตาใส่เธอ “เลิกคบเธอวันนึง”
“โอเค งั้นลาก่อนนะ” มู่น่อนน่อนเพิ่งได้รับข้อความของเฉินถิงเซียวพอดี พูดจบก็เดินลงชั้นล่างไปเลย
เสิ่นเหลียงรีบเขามาจับ “พี่สาว ฉันผิดไปแล้ว….”
มู่น่อนน่อนอธิบายพลางหัวเราะ “เฉินถิงเซียวส่งข้อความมาน่ะ ฉันไปก่อนนะ”
เสิ่นเหลียง “…..”
……
ในออฟฟิศของเฉินถิงเซียวมีแค่เขาอยู่คนเดียว
เขากำลังนั่งชงชาอยู่ที่โต้ะกาแฟ เรียวคิ้วยกโค้ง ดูเลอค่าแต่ก็ห่างเหิน
มู่น่อนน่อนเดินไปถึงเบื้องหน้าของเขาแล้วนั่งลง “นายชงชาเป็นด้วยเหรอ?”
เฉินถิงเซียวรินชาถ้วยหนึ่งวางตรงหน้าเธอ “เรียนมาจากคุณปู่น่ะ คิดว่าเสิ้งติ่งเป็นยังไงบ้าง?”
“ดีมากเลยนะ ผู้นำแห่งวงการบันเทิง แหล่งผลิตดาวมืออาชีพ” การประเมินของมู่น่อนน่อนนั้นตรงประเด็นมาก
หลายปีมานี้ ดาราชั้นนำและผู้มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ส่วนใหญ่ก็มาจากบริษัทเสิ้งติ่งทั้งนั้น
มู่น่อนน่อนเอ่ยจบ ก็มองท่าทีของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวยังคงหลุบตาลง รินชาให้ตัวเอง พูดอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก “งั้นเธออยากมาทำงานที่เสิ้งติ่งรึเปล่า?”
มู่น่อนน่อนที่ถือถ้วยชา พ่นน้ำชาที่เพิ่งจิบเข้าไปออกมาทันที
“พรูด……”
อย่างที่กู้จือหยั่นบอกจริง ๆ ด้วย?
แม้เธอจะนั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินถิงเซียว ตรงกลางก็ยังมีโต้ะกาแฟกั้นอยู่ แต่ใบหน้าของเฉินถิงเซียวก็ยังถูกเธอพ่นชาใส่
เฉินถิงเซียวหลับตา ถอนหายใจยาว เหมือนจะโกรธอยู่เล็กน้อย แต่ก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก
มู่น่อนน่อนรีบหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าให้เขา “ขอโทษขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
เธอนึกไม่ถึงว่าเรื่องที่กู้จือหยั่นเดาไว้ก่อนหน้านี้จะเป็นจริง
เฉินถึงเซียวใช่คนที่จะทำเรื่องแบบนี้ซะที่ไหน ด้วยนิสัยของเขา น่าจะเข้ามาออกคำสั่งตรง ๆ เลยไม่ใช่เหรอ?
ไม่นึกว่ารอบนี้จะอ้อมค้อมขนาดนี้!
เฉินถิงเซียวหลับตา ปล่อยให้มู่น่อนน่อนเช็ดหน้าให้
หลังจากเช็ดเสร็จ มู่น่อนน่อนก็จูบเขาเบา ๆ เอาตัวรอดอย่างรู้ตัว “เสร็จแล้ว”
เฉินถิงเซียวลืมตา ถอนหายใจ จากนั้นก็เปลี่ยนท่าทางอย่างจริงจังเป็นงานเป็นการ “ด้วยคุณสมบัติและประสบการณ์ของเธอ เธอไม่สามารถหาบริษัทที่ดีไปกว่าเสิ้งติ่งอีกแล้ว”
เธอรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวที่พูดจาอ้อมค้อมอาจจะเป็นแค่ภาพลวงตาก็ได้
บทที่191 ฉันว่าเธอคงอยากโดนบล็อก
“อืม”
เฉินถิงเซียวตอบ “ดูสิเธอดุขนาดนี้ ฉันก็ไม่กล้าว่าอะไรเธอหรอก เราสองคนสุดท้ายใครสุดยอดกันแน่?”
มู่น่อนน่อนเตะเขาอยู่ในผ้าห่มสองที เธอไม่อยากจะเถียงกับเขาเรื่องของความ“สุดยอด”นั่นอีก
เฉินถิงเซียวหัวเราะเสียงทุ้ม แล้วนอนต่อ
มู่น่อนน่อนไปดูกระดานกระทู้ หัวข้อที่ได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับหนึ่งคือ : ประธานกู้จอมพลัง
หัวข้ออันดับสองคือ : เสิ่นเหลียงหลัวหยิงประกาศกร้าว
หัวข้ออันดับสามคือ : กูมีเงิน
ถึงมู่น่อนน่อนจะไม่ได้คลิกเพื่อดูเนื้อหา ก็รู้สึกตะหงิดว่าสามหัวข้อนี้เหมือนจะเกี่ยวข้องกัน
เธอคลิกเข้าไปดูทีละอัน สุดท้ายก็เจอWeiboของชาวเน็ตคนหนึ่งที่สรุปไว้
“นี่คือเรื่องราวตั้งแต่เริ่มจนจบของหัวข้อที่เชื่อมโยงกันสามหัวข้อสำหรับผู้มาใหม่ที่เข้ามากินเผือก จุดเริ่มต้นคือหลัวหยิงกลับตาลปัตรมากล่าวหาผู้ก่อตั้งของบริษัทเสิ้งติ่ง——XN ด้วยการปั้นน้ำเป็นตัว จากนั้นก็กล่าวอย่างเป็นนัยว่าศิลปินหญิงที่เพิ่งเซ็นชื่อโดยใช้นามสกุลSแห่งบริษัทเสิ้งติ่งมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับบุคคลระดับสูงบางคน หลังจากเกิดเรื่องศิลปินหญิงนามสกุลSก็กระชากหลัวหยิงด้วยการประกาศกร้าวออกไปกลางอากาศ สุดท้าย‘บุคคลระดับสูง’ของบริษัทเสิ้งติ่งก็ออกมาตะโกน : [ กูมีเงิน อยากเซ็นใครก็เซ็น ] ……”
สุดท้าย บล็อกเกอร์คนนั้นก็กล่าวอีกหนึ่งประโยค “ทุกคนต่างก็รู้กันแล้ว ศิลปินหญิงนามสกุลSจะว่าไปก็คือนักแสดงใหม่ที่แสดงอะไรก็เหมือนอย่างนั้นเสิ่นเหลียง ‘บุคคลระดับสูง’ก็คือประธานกู้แห่งบริษัทเสิ้งติ่ง คงไม่พูดไม่ได้ เรื่องทะเลาะที่หาได้ยากนี้ ทำให้ฉันอยากจะประโคมข่าวเกี่ยวกับศิลปินหญิงนามสกุลSคนนั้นอย่างบอกไม่ถูกเลย [หัวเราะ][หัวเราะ][หัวเราะ]”
ตอนสุดท้ายยังใส่อิโมจิ[หัวเราะ]อีกต่างหาก
มู่น่อนน่อนอ่านสรุปจนจบ แล้วก็รีบไปดูที่หน้าWeiboของหลัวหยิง
“ในเมื่อทุกคนอยากรู้ว่าศิลปินหญิงนามสกุลSคนนั้นคือใคร ถ้างั้นฉันก็จะเปิดเผยให้ เธอสกุลเสิ่น เป็นนักแสดงหญิงที่เพิ่งจะเซ็นสัญญากับบริษัทเสิ้งติ่งด้วยค่าตัวสูงลิบ”
เสิ่นเหลียงถูกบริษัทเสิ้งติ่งดึงตัวไปด้วยค่าตัวสูง ในแวดวงในเองก็ไม่ใช่ความลับอะไร แต่เพราะเสิ่นเหลียงไม่ต้องการสร้างกระแส ดังนั้นจึงไม่ได้แถลงเรื่องนี้กับสื่อ แต่คนที่รู้ก็มีไม่น้อย
อย่างน้อย ๆ แฟนพันธุ์แท้ของเสิ่นเหลียงส่วนมากก็คงรู้เรื่องนี้
ทันทีที่โพสต์นั้นของหลัวหยิงโพสต์ออกมา ก็เกิดวงคลื่นมหึมาขึ้น
แฟนคลับของเสิ่นเหลียงก็เหมือนคนของเธอ ต่างก็ชอบก่อเรื่อง อยู่ดีไม่ว่าดี พอมีคนมาหาเรื่อง ทั้งหมดก็พร้อมจะต่อสู้
เมื่อweiboของหลัวหยิงถูกแฟนคลับของเสิ่นเหลียงจับได้ หลัวหยิงก็แกล้งตายนิ่งสนิท
สุดท้ายแฟนคลับของหลัวหยิงและแฟนคลับของเสิ่นเหลียงก็ตีกัน ท้ายสุดแน่นอนว่าเป็นแฟนคลับของเสิ่นเหลียง
แต่ในเวลานั้น กู้จือหยั่นก็โพสต์weiboเช่นกัน: “พูดนั่นพูดนี่ ทำไมไม่บอกล่ะว่าเธอถูกบริษัทเสิ้งติ่งยกเลิกสัญญาเพราะอะไร? เฮอะ กูมีเงิน อยากจะเซ็นกับใครก็จะเซ็น ในทางธุรกิจ ตราบใดที่มีมูลค่าทางการค้าให้กับบริษัท ฉันก็สามารถเซ็นให้เธอกลับมาในราคาสูงได้อย่างเดิม!”
ผ่านหน้าจอโทรศัพท์ มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ถึงความเจ้าเล่ห์ที่weiboได้เปิดเผยออกมา
ในทางธุรกิจ?
เธอเชื่อคำพูดของกู้จือหยั่นก็บ้าแล้ว ที่กู้จือหยั่นดึงตัวเสิ่นเหลียงไปด้วยราคาสูง เหตุผลส่วนใหญ่ก็คงเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวแน่
ไม่อย่างนั้น เมื่อวานตอนที่เฉินถิงเซียวโทรไปหากู้จือหยั่น คงไม่พูดให้กู้จือหยั่นจบมันด้วยตัวเองหรอก
……
มู่น่อนน่อนดูweiboอยู่สักพัก ไม่มีความรู้สึกง่วงจึงลุกขึ้น
จากนั้น เธอก็เจอโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่ปิดเครื่องอัตโนมัติเนื่องจากแบตเตอรี่ต่ำเกินไปอยู่ใต้เตียง
เธอถอนหายใจแล้วชาร์จแบตอย่างเงียบ ๆ
เมื่อวานเสิ่นเหลียงส่งข้อความวีแชทมากมายในให้เธอ เธอยังไม่ทันได้อ่านเลย
เมื่อเปิดวีแชทอ่านข้อความที่เสิ่นเหลียงส่งถึงเธอเสร็จแล้ว ก็พบว่าหล่อนถามถึงเรื่องของXN ซึ่งหลัวหยิงได้ส่งมาหาเรื่องเธอก่อนหน้านี้
หลังจากอ่านจบ เธอก็โทรหาเสิ่นเหลียง
เสียงสัญญาณดังอยู่นานกว่าสายจะถูกรับ “ฮัลโหล?”
น้ำเสียงสะลึมสะลือของเสิ่นเหลียง เห็นได้ชัดว่ายังไม่ตื่นดี
“ฉันเอง น่อนน่อน” มู่น่อนน่อนเดาว่าเธอคงรับสายทั้งที่ยังหลับตาอยู่
อีกด้านส่งเสียงขลุกขลักออกมา น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงดังขึ้นมาหน่อย “เมื่อวานเช้ามืดเพิ่งได้นอน ง่วงแทบตาย จริงสิ XNนั่นมันเกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
คำพูดของมู่น่อนน่อนเจือความกังวล “xnก็คือเฉินถิงเซียว เธอโอเคใช่มั้ย?”
“สบาย!” เสิ่นเหลียงรู้ว่าที่มู่น่อนน่อนถามคือเรื่องของหลัวหยิง เธอถอนหายใจแล้วพูดอย่างเสียดาย “ฉันบอกให้ ถ้าผู้จัดการของฉันไม่เปลี่ยนรหัสweiboของฉันชั่วคราว ฉันต้องทึ้งยัยบ้าหลัวหยิงนั่นให้ตายแน่!”
ตอนที่มู่น่อนน่อนเห็นweiboของเสิ่นเหลียง ก็รู้สึกอยู่ว่าสองโพสต์ในweiboที่เธอโพสต์เมื่อวาน อันที่สองไม่ค่อยเหมือนกับสไตล์ของเธอนัก
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง…..
มู่น่อนน่อนเอ่ยรวบยอด “ผู้จัดการเธอเยี่ยมไปเลย”
เสิ่นเหลียงเค้นเสียงในลำคอ “ฉันว่าเธอคงอยากโดนบล็อกสินะ”
“ฉันเลี้ยงข้าว”
“วันนี้ช่างมันก่อน ค่อยบล็อกวันอื่นก็แล้วกัน”
……
มู่น่อนน่อนและเสิ่นเหลียงนัดกินข้าวกันที่โรงแรมจีนติ่ง
หลังจากผ่านเรื่องทะเลาะกับหลัวหยิงมาเมื่อวาน เสิ่นเหลียงก็ตกแฟนคลับได้อีกรอบ ความนิยมพุ่งสูงขึ้น
เดินไปที่ไหนก็สามารถถูกแอบถ่ายทั้งนั้น เพื่อความปลอดภัยของทั้งสองคน จึงเลือกที่โรงแรมจีนติ่ง
หลังจากเสิ่นเหลียงเจอกับมู่น่อนน่อน จึงอยากถามเธอขึ้นมา “วันนี้ไม่ต้องทำงานเหรอ?”
“ลาออกแล้ว”
“หา?”
“เพิ่งออกวันก่อน เรื่องมันกะทันหัน เลยไม่ทันได้บอกเธอ” มู่น่อนน่อนพูดพลางผลักเมนูไปข้างหน้าให้เสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงไม่ได้มองเมนู สีหน้าดูประหลาดใจมาก “กะทันหันขนาดนั้นเลย? ลาออกปั๊บก็ไปได้เลยเหรอ?”
“เฉินถิงเซียวช่วยฉันลาออกน่ะ” นึกถึงเฉินถิงเซียวแล้ว มู่น่อนน่อนก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
เสิ่นเหลียงส่ายหน้า “ดูท่าทางเธอเคลิ้มเข้าสิ….”
“อืม เจ้าหมาเดียวดายอย่างเธอคงไม่เข้าใจ” มู่น่อนน่อนอารมณ์ดี หัวเราะล้อเล่นกับเธอ
เสิ่นเหลียงกลอกตา “ฉันว่าน้ำเสียงของเธอ ใกล้เคียงกับบอสใหญ่เข้าไปแล้ว”
ตอนเก็บเงิน มู่น่อนน่อนก็ใช้แบล็คการ์ดใบนั้น
เสิ่นเหลียงเดินเข้ามาถามเธอ “บอสให้เธอมาเหรอ?”
“เปล่า คุณปู่เขาให้ฉันน่ะ”
“WTF! บอสใหญ่พาเธอไปเจอที่บ้านแล้วเหรอ?” เสิ่นเหลียงพูดจบก็รู้สึกไม่ถูกต้อง “พวกเธอแต่งงานกันแล้ว ดูเหมือนจะว่าอย่างนั้นก็ไม่ได้…”
“งั้นตอนนี้เธอก็เป็นเศรษฐีนีเล็ก ๆ แล้วสิ!” เสิ่นเหลียงพูดพลางยื่นมือชี้นิ้ว “คุณนายน้อยตระกูลมู่ ภริยาท่านประธานบริษัทเสิ้งติ่ง…..จะฐานะไหนก็อลังการทั้งนั้น!”
มู่น่อนน่อนได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไร
ฐานะแสนโอ่อ่าพวกนี้ประดับบนตัวเธอ ทั้งหมดก็เป็นเพราะเฉินถิงเซียว
แต่ใจเธอรู้ดี เธอก็คือเธอเท่านั้น
หากลบตัวตนงดงามพวกนั้นออกไป เธอก็คือมู่น่อนน่อน มู่น่อนน่อนที่มีความฝันในการเขียนบทละครคนหนึ่ง
“อลังการไปก็กินไม่ได้ ฉันคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ การหางานจริง ๆ จัง ๆ” มู่น่อนน่อนพูดจบ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เฉินถิงเซียวโทรมา
“อยู่ไหน? มีเวลาแวะมาที่บริษัทสักเที่ยวไหม?”
“มีเรื่องอะไรรึเปล่า?” ทำไมอยู่ ๆ ถึงเรียกเธอไปที่บริษัทกัน
เฉินถิงเซียวใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งจึงพูดออกไป “มีเอกสารฉบับหนึ่งที่ทิ้งไว้ที่บ้าน เธอช่วยเอามาส่งให้ฉันหน่อยสิ”
บทที่190 หัวข้อประเด็นในWeibo
มู่น่อนน่อนกดเข้าไปอ่านในหัวข้อประเด็นที่ว่า#ผู้ก่อตั้งบริษัทเสิ้งติ่ง——XN# Weiboที่อยู่บนสุด ก็คือคนที่มีไอดีชื่อว่า“XN”ผู้เป็นเจ้าของWeiboที่โพสต์มายาวเหยียดข้อความนั้น
ชื่อหัวข้อนั้นเรียบง่ายและตรงตัว 《คำอธิบายเกี่ยวกับการแพร่กระจายข่าวที่ว่าบริษัทเสิ้งติ่งมีการกระทำรักษาอย่างรุนแรงต่อคุณซือเฉิงหยู้》
“บริษัทเสิ้งติ่งก่อตั้งมาสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมพูดกับทุกท่าน ผมคือผู้ก่อตั้งบริษัทเสิ้งติ่ง XNครับ เนื่องจากว่าส่วนใหญ่แล้วที่บริษัทจะเป็นจือหยั่นดูแลอยู่ ทุกท่านคงจะไม่รู้จักผม
ในช่วงเวลาสิบปี บริษัทเสิ้งติ่งเผชิญกับเรื่องร้ายๆมา และก็เคยดิ่งลงเหวมาก่อน ผมรู้สึกขอบคุณสำหรับความคาดหวังและการติดตามของทุกท่านตลอดเวลาที่ผ่านมา เกี่ยวกับเรื่องของคุณซือเฉิงหยู้ในครั้งนี้…”
“คุณซือเฉิงหยู้เป็นศิลปินคนแรกของบริษัทเสิ้งติ่ง ช่วงเวลาที่เขาเดบิวต์ มีอายุเท่ากับอายุของบริษัทเสิ้งติ่ง เรื่องที่บริษัทเสิ้งติ่งเคยประสบมา เขาก็เคยประสบมาพร้อมกับผม…”
“พวกเราข้ามผ่านเรื่องร้ายๆมาด้วยกันนับสิบปี เป็นทั้งครูเป็นทั้งเพื่อน เรื่องข่าวฉาวในครั้งนี้ เป็นผมที่ละทิ้งหน้าที่ จึงได้ทำให้เขาถูกผลักดันไปสู่การโต้แย้งกันอย่างรุนแรง ตกอยู่ในวังวนของความคิดเห็นของสังคม…”
บทความยาวๆบนWeiboนี้ ในทุกๆตัวอักษรล้วนเต็มไปด้วยความจริงใจ ไม่เอ่ยถึงข้อมูลเสียๆหายๆของบริษัทเสิ้งติ่งที่ถูกขุดออกมาเลยสักคำเดียว
อันที่จริงแฟนคลับตัวจริงที่ปกติดี เรื่องที่กังวลที่สุดจะมีเพียงแค่ท่าทีที่บริษัทปฏิบัติต่อตัวซือเฉิงหยู้เท่านั้น แต่ก็ไม่มีทางที่จะน่าเบื่อโง่เขลาจนไปขุดข้อมูลเสียๆหายๆของบริษัทเสิ้งติ่งมาหรอก
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดมันก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริง เป็นข้อมูลเสียๆหายๆที่เสกสรรปั้นเท็จออกมาทั้งนั้น
มู่น่อนน่อนอ่านบทความในWeiboจบ แต่ก็ติดใจอยู่กับเนื้อหาในนี้อยู่บ้าง
เธอนั่งพิงเข้ากับพนักเก้าอี้ อ่านความคิดเห็นด้านล่างไปอย่างช้าๆ
“รู้ตัวอีกทีซือเฉิงหยู้ก็เดบิวต์มาเป็นสิบปีแล้ว…”
“ดูเหมือนว่าXNคนนี้จะเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเสิ้งติ่งมาจริงๆ ประธานกู้แชร์Weiboมาขนาดนี้แล้ว ศิลปินในสังกัดของพวกเขาเองก็แชร์ออกมาเหมือนกัน”
“ยังไงฉันก็ไม่เชื่อว่าประธานกู้จะสามารถเขียนอะไรพวกนี้ออกมาได้”
“มีแค่ฉันคนเดียวที่รู้สึกน้ำตามันจะไหลออกมาหรือเปล่า? รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของXNกับซือเฉิงหยู้มันจะต้องดีมากแน่ๆ…”
“ร้องไห้แงๆ…”
“ร้องไห้+1”
บทความบนWeiboอันนี้ในแต่ละบรรทัดแต่ละประโยคล้วนเผยความจริงใจออกมาทั้งนั้น ในนั้นยังเขียนเรื่องของการเริ่มต้นธุรกิจ มันค่อนข้างจะซาบซึ้งใจเลยทีเดียว
มู่น่อนน่อนกดเข้าไปในWeiboของXNคนนั้น พบว่ามีเพียงแค่ข้อความเดียวเท่านั้น มองออกได้เลยว่าเป็นบัญชีใหม่
แต่ข้อความบนWeiboนี้เอง ได้โพสต์ตอนห้าโมง จวบจนถึงตอนนี้มันเพิ่งจะชั่วโมงเดียวเท่านั้นเอง แต่มันก็ได้แชร์กันไปเกินหมื่นไปแล้ว แฟนคลับเองก็ปาไปเจ็ดแปดหมื่นกว่าคนไปแล้ว
หกโมง คนที่ทำงานหรือคนที่เรียนต่างก็มีเวลาเล่นWeiboกันแล้ว มู่น่อนน่อนลองรีเฟรชหน้าใหม่ดู ก็เห็นได้ว่าจำนวนแฟนคลับของXNกำลังเพิ่มขึ้น ข้อความแสดงความคิดเห็นและการส่งต่อเองก็กำลังเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
มู่น่อนน่อนนึกไปถึงช่วงก่อนหน้านี้ที่เฉินถิงเซียวเอาแต่เขียนอะไรบางอย่างอยู่ จึงต้องลุกขึ้นไปหาเฉินถิงเซียวที่ห้องรับแขกอย่างช่วยไม่ได้
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่บนโซฟาในห้องโถง ในมือถือโทรศัพท์กำลังดูอะไรบางอย่างอยู่
หลังจากที่เดินเข้าไปใกล้ มู่น่อนน่อนพบว่าเฉินถิงเซียวก็กำลังดูWeiboอยู่เหมือนกัน
มู่น่อนน่อนนั่งลงข้างๆเขา เอ่ยถามออกไปตรงๆ “XNคือคุณ?”
“อืม” เฉินถิงเซียวตอบนิ่งๆกลับมา
มู่น่อนน่อนเตรียมจะพูดอะไรออกไปอีก สายของกู้จือหยั่นก็โทรเข้ามา
กู้จือหยั่นโทรมาในเวลานี้ จะต้องโทรมาคุยเรื่องในWeiboแน่ๆเลย
มู่น่อนน่อนงอขานั่งลงบนโซฟา เลื่อนดูWeiboต่อ แต่ผลสุดท้ายในหัวข้อประเด็นนั้นก็เลื่อนเจอข้อความWeiboของหลัวหยิง
หลัวหยิงนั้นเป็นสมาชิกที่มีเครื่องหมายยืนยันบัญชีผู้ใช้สีเหลือง บวกกับที่เธอค่อนข้างจะมีชื่อเสียงด้วยแล้ว จึงได้จัดอยู่ในด้านหน้าในหัวข้อเรื่องประเด็นนี้
“ฉันอยู่ที่บริษัทเสิ้งติ่งมาปีนึง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยรู้มาก่อนว่าบริษัทเสิ้งติ่งยังมีผู้ก่อตั้งXNอะไรนั่น มันก็แค่ละครปาหี่ที่เอามาหลอกลวงประชาชนเท่านั้นเอง นึกไม่ถึงว่าจะมีคนกลุ่มหนึ่งยังคิดซาบซึ้งจนเชื่อมันไปได้ ไอคิวน่าเป็นห่วงจริงๆ อีกอย่าง อยากจะเตือนสติสาวน้อยทั้งหลายที่อยากจะเข้าบริษัทเสิ้งติ่งพวกนั้นหน่อยว่าผู้บริหารระดับสูงของเสิ้งติ่งมีความสัมพันธ์ที่ชิดเชื้อมากกับนักแสดงสาวบางคนด้วยล่ะ….”
คำพูดตรงท่อนสุดท้ายของเธอ นั่นก็คือได้พูดออกมาอย่างคลุมเครือว่ามีระหว่างผู้บริหารระดับสูงกับดาราสาวมีความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเปิดเผยได้
หลัวหยิงคนนี้ใช้ทุกโอกาสที่มีเลยจริงๆ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ไม่ต้องเข้ามาสอดไปเสียทุกเรื่อง
ยังดีที่ความคิดเห็นด้านล่างล้วนแล้วแต่จะกำลังด่าว่าเธออยู่ทั้งนั้น
“เธอมันก็แค่ดาราปลายแถวสาระแนมากเสียจริง!”
“ไม่เชื่อคำพูดของประธานกู้เขา หรือจะให้เชื่อดาราที่มีแต่เรื่องเสียๆหายๆอย่างเธอหรือไงกัน?”
แน่นอนว่าหลัวหยิงสามารถอยู่ในวงการนี้ต่อไปได้ เพราะยังมีกลุ่มแฟนคลับประสาทแดกอยู่กลุ่มนึง
“คนที่ด่าหยิงหยิงของเราแม่งก็ขยะกันทั้งนั้น!”
“หยิงหยิง รีบพูดออกมาสิว่าคนดังพวกไหน อยากรู้จัง…”
ทางด้านเฉินถิงเซียวเองก็รับสายเสร็จเรียบร้อยแล้ว มู่น่อนน่อนรีบเอาโทรศัพท์เข้าไปให้เฉินถิงเซียวดูWeibo
หลังจากที่เฉินถิงเซียวอ่านเนื้อหาแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนมาดูเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย
“เป็นอะไรไป?” อันที่จริงมู่น่อนน่อนไม่ได้เอาพฤติกรรมเหล่านี้ของหลัวหยิงมาอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ คิดว่ามันคงไม่ถึงกับให้เฉินถิงเซียวเตรียมพร้อมรับมืออย่างนี้ได้
เฉินถิงเซียวเม้มริมฝีปาก โทรหากู้จือหยั่น หลังจากที่โทรติด ความเคร่งขรึมบนใบหน้าของเขาก็ได้หายไป น้ำเสียงกลับฟังดูมีความสุขในความทุกข์ของคนอื่นยังไงก็ไม่รู้ “เรื่องต่อจากนี้ นายก่อเรื่องมาเอง ก็จบมันเองแล้วกัน”
บทความยาวเหยียดบนWeiboนั้นของเฉินถิงเซียวพูดได้เลยว่าเป็นฝนที่ตกมาช่วยได้ทันเวลาพอดี ประชาสัมพันธ์ได้เป็นที่พอใจมาก ทิศทางลมบนอินเทอร์เน็ตก็ได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว หลังจากนี้ก็จัดการอีกสักหน่อยก็พอแล้ว นับได้ว่าได้เขียนเครื่องหมายมหัพภาคอย่างเสร็จสมบูรณ์ไปแล้วอย่างหนึ่ง
กู้จือหยั่นมีความสุขมาก แต่ก็ถูกคำพูดนี้ของเฉินถิงเซียวทำเอาตกใจขึ้นมา “เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก?” เขาคิด ให้เครียดอย่างนี้อีก ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องตายตั้งแต่ยังหนุ่มแน่
“ดูเอาเอง” เฉินถิงเซียวพูดจบไปประโยคนึงเบาๆ จากนั้นก็ได้วางสายไป
มู่น่อนน่อนเกิดความอยากรู้ต่อคำพูดของเขา “กู้จือหยั่นเขาทำเรื่องอะไรหรอคะ?”
แต่เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เก็บโทรศัพท์เธอไป “ได้เวลาพักผ่อนแล้ว”
“เพิ่งจะหกโมงเองนะคะ!”
“รีบทำธุระให้เสร็จจะได้รีบนอน”
ทำธุระอะไร?
เฉินถิงเซียวไม่ให้โอกาสให้เธอได้คิด อุ้มเธอขึ้นมา เดินขึ้นไปข้างบน
มู่น่อนน่อนโอบรัดลำคอของเฉินถิงเซียวแน่นทันที มองผ่านบ่าของเขาไปก็เห็นอาหูกำลังมองมาทางพวกเขาทั้งสองคน
ในสายตาแฝงไปด้วยความตกใจเล็กน้อย และยังมีรอยยิ้มที่เหมือนแม่ที่เอ็นดูลูกอยู่ด้วย…
สีหน้าของมู่น่อนน่อนทั้งแดงและมืดทะมึนออกมา มืดทะมึนแล้วยังเขียวครึ้มอีกด้วย ทันทีที่มาถึงห้องก็ตบลงไปบนหน้าอกของเฉินถิงเซียวไปทีนึง “ที่บ้านยังมีคนอื่นอยู่นะ คุณระวังหน่อยสิ!”
เฉินถิงเซียวจับมือเธอเอาไว้ ก้มลงไปจูบเธอ ปากก็พูดที่ฟังดูไม่กระจ่างออกมา “ระวังมากแล้ว”
มู่น่อนน่อนเถียงสู้เขาไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยเขาไป…
นอนเร็วที่ว่าเอาไว้ ผลสุดท้ายก็ปาไปห้าทุ่มเที่ยงคืนกว่าจะได้นอน
……
มู่น่อนน่อนเอาแต่คิดกังวลเรื่องเมื่อวานอยู่ตลอด ตอนเช้าพอตื่นขึ้นมา ก็จะหยิบโทรศัพท์เตรียมเข้าไปดูWeibo
แต่ผลสุดท้ายหาอยู่นานก็หาไม่เจอ เธอเพิ่งจะนึกออกว่าโทรศัพท์ของเธอเมื่อคืนก็ถูกเฉินถิงเซียวยึดไปด้วย
เธอผลักเฉินถิงเซียวไปหลายที “โทรศัพท์ฉัน!”
เฉินถิงเซียวลืมตาออกมาอย่างงัวเงีย ตอนที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้นเอง ดวงตาที่ดำสนิทเหมือนหมึกคู่นั้นก็ไม่ได้ดูน่ากลัวเลย แต่มันกลับเพิ่มความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
เขาเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองมา “ใช้ของผมไปก่อน”
มู่น่อนน่อนเข้าไปในWeibo ก็เห็นเข้ากับข้อความที่ไม่ได้อ่านต่างๆ999+ กับพวก@ต่างๆพวกนั้น
น้ำเสียงของเธอปนอิจฉาเล็กน้อย “คุณชายมู่นั้นคนละชั้นกันเลยนะ โพสต์ข้อความเดียวก็เพิ่มแฟนคลับมาได้มากมายขนาดนี้เลย สุดยอดจริงๆ”
“ชมกันเกินไปแล้ว” เฉินถิงเซียวยื่นมือเข้าไปพาเธอเข้ามาในอ้อมแขนอีกครั้ง เอาหัวซุกเข้าไปตรงแอ่งไหล่ของเธอ น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย “ผมจะสุดยอดแค่ไหนไม่ใช่ว่าก็ยังต้องถูกคุณกดอยู่ดี…”
มู่น่อนน่อนระเบิดออกมาทันที “เฉินถิงเซียว!”
บทที่189 ผู้ก่อตั้งบริษัทเสิ้งติ่ง
ฝีเท้าของเฉินถิงเซียวหยุดลง “กลับไปแล้วค่อยคุย”
เขาพูดอย่างนี้แล้ว มู่น่อนน่อนก็เข้าใจขึ้นมา เขาไม่มีทางจะไม่สนใจเรื่องนี้
เป็นอย่างที่คิด ทันทีที่กลับไปถึงบ้าน เฉินถิงเซียวก็ตรงเข้าห้องทำงานไป
มู่น่อนน่อนกลับไปยังห้องนอน คิดว่าจะเขียนต้นฉบับในโทรศัพท์ แต่เขียนไปเขียนมา ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปในWeibo ดูว่าในWeiboมีการแฉเรื่องที่เกี่ยวกับบริษัทเสิ้งติ่งหรือเปล่า
ประเด็นนี้ตอนแรกเริ่มนั้นยังวนเวียนอยู่กับซือเฉิงหยู้และมู่น่อนน่อน ความคิดเห็นและWeiboที่ด่าบริษัทเสิ้งติ่งไม่ได้เยอะเลย
แต่ก็เริ่มจะมีเค้าลางว่าจะมีการขุดประวัติศาสตร์มืดของบริษัทเสิ้งติ่งพวกนั้นออกมาเรื่อยๆ
ก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนก็เคยสืบหาข้อมูลของบริษัทเสิ้งติ่งมาแล้วเหมือนกัน ก็พอจะมีประวัติที่ไม่ดีนิดๆหน่อยๆอยู่บ้าง แต่เพราะว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยเกินไป ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นแล้วก็ยังนับได้ว่าใสสะอาดเลยทีเดียว
มู่น่อนน่อนคิดอะไรไม่ออกเลย จึงได้ถือคอมเดินออกไปหาเฉินถิงเซียวที่ห้องทำงาน
ยืนอยู่หน้าประตูห้องทำงาน เธอเคาะประตูเป็นนัยออกไป จากนั้นค่อยๆแง้มประตูออกมาเบาๆ ชะโงกหน้าเข้าไป “ฉันเข้ามารบกวนคุณหรือเปล่าคะ?”
มือหนึ่งถือคอม มือหนึ่งยันเอาไว้ที่ประตู โน้มตัวชะโงกหน้าเข้าไปตรงประตูที่แง้มออกมา ท่าทางดูมีมารยาทและระมัดระวังอย่างมาก ทำเอาเฉินถิงเซียวหลุดยิ้มออกมา
เขาเอ่ยออกไปด้วยรอยยิ้ม “คงจะรบกวนผมเข้าแล้วล่ะ”
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่เขา
เธอเห็นว่าทันทีที่เขากลับมาก็เข้าไปในห้องทำงานทันที นึกว่าเขาจะร้อนใจกับเรื่องนี้ กลัวว่าจะไปรบกวนเขาให้จริงๆ แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะยังมีกะจิตกะใจมาหยอกล้อเธออยู่อีก
มู่น่อนน่อนปิดประตูลง ถือคอมพิวเตอร์เดินอ้อมไปด้านหลังโต๊ะทำงาน สายตาจรดลงไปที่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์
เขาเองก็กำลังดูWeiboอยู่เหมือนกัน แล้วยังเปิดหน้าต่างเว็บอื่นอยู่อีกด้วย ชื่อของหน้าเว็บอื่นก็คือ “ตัวอย่างการประชาสัมพันธ์ที่ประสบความสำเร็จ” “สิ่งที่ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับบริษัทเสิ้งติ่ง…” ช็อก! ยักษ์ใหญ่แห่งวงการบันเทิงแห่งหนึ่ง…” หัวข้อเรื่องอะไรทำนองนี้
มู่น่อนน่อนถามเขาออกไปด้วยความอยากรู้ “นี่คุณกำลังทำอะไรอยู่คะ?”
“คุณคิดว่าผมกำลังทำอะไร ผมก็ทำอย่างนั้นนั่นแหละ” เฉินถิงเซียวปิดหน้าต่างที่เปิดดูเสร็จแล้วพวกนั้น พร้อมดึงมู่น่อนน่อนเข้ามาสู่อ้อมแขน
มู่น่อนน่อน “…”
เธอนี่ช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
จึงได้คิดว่าเรื่องเล็กๆอย่างนี้จะทำให้เฉินถิงเซียวตกอยู่ในความกดดันได้
เฉินถิงเซียวก้มลงไปจูบเธอ
มู่น่อนน่อนผลักออก พร้อมเอ่ยถามออกไป “เรื่องนี้อันที่จริงแล้วจัดการได้ง่ายนิดเดียว คุณยอมรับความสัมพันธ์กับพี่ใหญ่ หรือไม่ก็ให้ฉันกับพี่ใหญ่ออกไปชี้แจงสักหน่อยก็ได้ ไม่เห็นต้องยุ่งยากขนาดนั้นเลยนี่คะ”
หลังจากที่ความสัมพันธ์ของซือเฉิงหยู้กับเฉินถิงเซียวเปิดเผยออกไป คนที่หยิบเอาประเด็นเรื่อง “บริษัทเสิ้งติ่งต้องปฏิบัติต่อซือเฉิงหยู้ให้ดี” มาแสดงความคิดเห็นกันใหญ่โต จะได้หุบปากกันไปได้เสียที
“ไม่ได้” เฉินถิงเซียวส่ายหน้า “ถึงตอนนั้นแล้วพวกเขาก็จะพุ่งเป้าโจมตีไปที่พี่ใหญ่ หรือไม่ก็จะพุ่งเป้าไปที่คุณ บางทีจากวิธีที่คุณพูดมา มันอาจจะสามารถจัดการเรื่องครั้งนี้ได้ง่ายๆ แต่มันอาจจะเป็นปัญหาที่จัดการได้ยากในอนาคตก็ได้”
มู่น่อนน่อนไม่พูดอะไร
ในใจของเธอ อันที่จริงคิดว่าสิ่งพวกนี้มันไม่ได้มีอะไรเลย
ซือเฉิงหยู้เป็นนักแสดง เดิมทีก็เป็นบุคคลสาธารณะอยู่แล้ว นั่นก็คือมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสายตาของประชาชน เพราะว่ามีอิทธิพลต่อสาธารณะ ก็เลยต้องแบกรับความรับผิดชอบที่พึงปฏิบัติ นี่มันเป็นเรื่องปกติ
แต่ตอนนี้เธอเป็นแค่คนธรรมดาคนนึง ไม่ใช่คนดังและก็ไม่นับว่าเป็นคนในวงการเลยด้วยซ้ำ คนพวกนี้ถึงแม้ว่าจะมีความสงสัยใคร่รู้ต่อเธอ โต้แย้งกันไปสักพักไม่นานมันก็ผ่านไปแล้ว
ทั้งๆที่มีวิธีที่มันง่ายกว่าอยู่แล้วแท้ๆ แต่เฉินถิงเซียวก็ดันเลือกวิธีที่มันซับซ้อนกว่ามาจัดการแก้ปัญหาเรื่องนี้
เฉินถิงเซียวแค่ไม่ต้องการให้เธอกับซือเฉิงหยู้ได้รับผลกระทบเพียงเท่านั้น
ตรงจุดนี้ ในช่วงเวลานี้เองมู่น่อนน่อนก็มองมันออกได้อย่างแจ่มแจ้งขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์
อิงจากหลายปีนี้ ข่าวฉาวและเรื่องไม่ดีของซือเฉิงหยู้ไม่มีเลยแม้แต่น้อย มันก็พอที่จะสามารถแสดงให้เห็นได้ว่าเฉินถิงเซียวนั้นได้ปกป้องเขามากแล้ว
ในวันปกติแล้วเฉินถิงเซียวจะเป็นคนที่มีนิสัยเย็นชาคนนึง ตอนที่ดีต่อคนอื่น ก็จะไม่มีการพูดจาอะไร ก็เลยจะถูกคนละเลยไปง่ายๆ
เฉินถิงเซียวที่เป็นอย่างนี้ จะให้เธอไม่หวั่นไหวได้ยังไง
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นไปจูบลงบนริมฝีปากเขาเบาๆ “ให้กำลังใจคุณค่ะ”
เพิ่งจะจูบเสร็จ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมาเล็กน้อย
เธอกำลังนั่งอยู่บนขาของเฉินถิงเซียว การตอบสนองของร่างกายเขา มู่น่อนน่อนรู้สึกได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว
“คุณ…”
แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่ได้ทำอะไรเธอ เพียงแค่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ตอนนี้ต้องทำงาน ไม่อาจให้ของขวัญตอบกลับคุณได้ รอคืนนี้นะ”
พูดจบ ก็ยังจงใจดันขึ้นมาเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนหน้าแดงออกมา “พรึบ” ลุกลงไปจากขาของเขาทันที เตะเขาไปทีนึงด้วยความไม่พอใจ “หน้าไม่อาย”
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้โกรธ แต่ได้เบนสายตามองไปยังบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เปิดไฟล์เอกสารเปล่าออกมา เหมือนเตรียมที่จะเขียนอะไรบางอย่าง
มู่น่อนน่อนคาดว่าเขาก็คงจะต้องร่างเอกสารประชาสัมพันธ์แน่เลย
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่รบกวนเขา กอดคอมเดินหนีไปนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ข้างๆ ถอดรองเท้างอขานั่งบนโซฟา เอาคอมวางลงบนตัว ค่อยๆเขียนต้นฉบับไปช้าๆ
สิ่งที่ค่อนข้างจะน่าแปลกใจเลยก็คือ เธออยู่ในห้องนอนใจก็เอาแต่กระสับกระส่ายอยู่ตลอด มาถึงที่นี่ นึกไม่ถึงว่าจะสงบลงได้ ไอเดียก็ไหลลื่น แรงบันดาลใจก็เกิดขึ้นมาเร็วเสียจนผิดปกติ
รอจนถึงตอนที่เธอเขียนเสร็จ ถึงได้พบว่าเกือบห้าโมงไปแล้ว
พอเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นเฉินถิงเซียวยังนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานเขียนอะไรบางอย่างอยู่ เหมือนกับว่าจะกำลังลบแล้วลบอีก ขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าทางดูจริงจังสุดๆ
เฉินถิงเซียวถือเมาส์ไม่รู้ทำอะไร ลุกยืนขึ้น “นี่ก็ดึกแล้ว ไปกินข้าวเถอะ”
มู่น่อนน่อนวางคอมลงแล้วเดินเข้าไป เอ่ยพูดออกไปด้วยความอยากรู้อยู่นิดหน่อย “คุณเขียนมาทั้งบ่าย เขียนอะไรหรอคะ?”
“คุณเขียนอะไรล่ะ?” เฉินถิงเซียวมองไปที่คอมของเธอ
มู่น่อนน่อน “บทละครไงคะ”
“ให้ผมดูหน่อยสิ”
“ไม่…” มู่น่อนน่อนคุยเรื่องบทกับเสิ่นเหลียงได้ แต่เอาให้เฉินถิงเซียวดู มันรู้สึก…น่าอายแปลกๆ
เฉินถิงเซียวเหมือนราวกับว่าไม่ได้คิดจะดูจริงๆ “งั้นก็ไปกินข้าว”
ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้เธอรู้ว่าเขาเขียนอะไรอยู่หรอ? มันจำเป็นจะต้องอ้อมค้อมใหญ่โตขนาดนี้มั้ย เล่นเสียซับซ้อนขนาดนี้
มู่น่อนน่อนเดินอยู่ข้างหน้าก็ลงบันไดไปแล้ว เฉินถิงเซียวเดินช้าๆอยู่ข้างหลัง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหากู้จือหยั่น “ฉันโพสต์Weiboไปอันนึง นายไปแชร์ให้หน่อย”
“หา Weiboนายครั้งที่แล้วยังใช้บัญชีฉันไปแสดงความคิดเห็นเลยนี่?” ตรงจุดที่กู้จือหยั่นสนใจนั้นมันผิดไปอย่างเห็นได้ชัดเลย
เขาพูดจบ ก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจอันเยือกเย็นออกมาจากทางปลายสาย ไม่มีรูปไม่มีเสียง แต่กลับทำให้แผ่นหลังของเขาเย็นเฉียบขึ้นมา
“โอเคๆๆ นายส่งชื่อมาให้ฉัน ฉันติดตามนายก่อน แล้วค่อยแชร์ให้นาย”
“หลังจากแชร์แล้ว ให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์หยุดไปก่อนสักพัก คืนนี้ค่อยมารับช่วงต่อ” เฉินถิงเซียวพูดจบก็วางสายไป เอาไอดีWeiboของตัวเองส่งไปให้กู้จือหยั่น
กู้จือหยั่นเสิร์ชไอดีของเฉินถิงเซียว ตอนที่เห็นข้อความยาวเหยียดในWeiboของเขาแล้ว แข็งค้างอยู่สักพักนึง พูดออกมาว่า “เชี้ย” ติดๆอยู่หลายคำ จากนั้นก็เอาข้อความยาวเหยียดในWeiboของเขาแชร์ไปที่Weiboของตัวเอง
ตอนกินข้าว มู่น่อนน่อนก็ยังถือโทรศัพท์เพื่อที่จะเลื่อนดูWeibo ความคืบหน้าและสถานการณ์ของเรื่องที่ติดตาม แต่ผลก็คือโทรศัพท์ของเธอได้ถูกเฉินถิงเซียวยึดไป
เอ่ยเสียงเย็นๆออกมาสองคำ “กินข้าว”
มู่น่อนน่อนจึงจำต้องกินข้าวไปอย่างว่าง่าย แล้วค่อยเอาโทรศัพท์มาอีกที
วีแชทของเธอถูกข้อความของเสิ่นเหลียงส่งเข้ามาจนแทบจะระเบิด เธอไม่ได้รีบร้อนเข้าไปอ่าน แต่ได้เข้าไปที่Weiboแทน
หัวข้อคำค้นหายอดนิยมที่ติดอันดับหนึ่งบนWeiboค่อนข้างแปลกนิดหน่อย
“XNผู้ก่อตั้งบริษัทเสิ้งติ่ง?” หมายความว่าอะไร?
บทที่188 ประวัติศาสตร์อันดำมืดของบริษัทเสิ้งติ่ง
มู่น่อนน่อนได้ยินอย่างนั้น จึงหันไปมองเฉินถิงเซียว
ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าคุณท่านเฉินไปกล่อมเฉินถิงเซียวมาตอนไหน อยากให้เขากลับไปบริษัทเฉินซื่อ แต่คำพูดของกู้จือหยั่น เธอเข้าใจมันดี
เธอมองเฉินถิงเซียวอยู่สักพัก กว่าจะเอ่ยพูดออกไปช้าๆ “อันที่จริงคุณคิดจะกลับไปบริษัทเฉินซื่อตั้งนานแล้ว? เพียงแต่ไม่เคยได้ตอบรับคุณปู่ออกไปเลย จงใจให้ท่านมาให้ฉันกล่อมคุณ ใช่มั้ยคะ?”
ไม่รอให้เฉินถิงเซียวได้พูดออกมา เธอก็ได้พูดต่อออกมาอีกว่า “อย่างนี้แล้ว คุณปู่จะเปลี่ยนมุมมอง…ที่มีต่อฉันให้ดีขึ้น”
คำพูดตรงท่อนหลัง มู่น่อนน่อนชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกไป
เฉินถิงเซียวมองมู่น่อนน่อนไปอย่างสนใจ “พูดต่อสิ ยังมีอีกนี่?”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าคุณปู่จะมาบอกให้ฉันไปกล่อมคุณ?” ตอนที่เธอกับเฉินถิงเซียวกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลเฉิน ถึงแม้ว่าคุณปู่จะไม่ได้ไม่ชอบเธอ แต่ก็ไม่อาจจะพูดได้ว่าชอบเท่าไหร่นัก
ถึงยังไงคุณท่านเฉินก็มีชีวิตน่าชมเชยมาตลอด ไม่ว่าจะคนแบบไหนก็เห็นมาหมดแล้ว เธอแค่เด็กสาวคนนึง ถ้าไม่ใช่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเฉินถิงเซียว คุณปู่ของเขาคงไม่มีทางส่งสายตาจริงจังมาให้เธอเลยแม้แต่น้อย
เพียงคำพูดแค่ประโยคเดียวของเฉินถิงเซียว ก็ได้ยืนยันความคิดของมู่น่อนน่อนแล้ว
“เขาไม่มาหาคุณ หรือจะต้องไปให้ลูกชายของเขามากล่อมผม?” เฉินถิงเซียวหรี่ตาลง น้ำเสียงสงบนิ่งเสียจนไม่เหมือนกับกำลังพูดถึงพ่อของเขาอยู่เลย แค่เพียงกำลังพูดถึงคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันคนนึง
พูดอย่างนี้แล้ว ก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆนั่นแหละ
ความสัมพันธ์ของเฉินถิงเซียวกับเฉินชิงเฟิงตึงเครียดเสียขนาดนั้น แน่นอนว่าคุณท่านเฉินจะต้องรู้ตรงจุดนั้นอยู่แล้ว เมื่อเทียบกันแล้วมู่น่อนน่อนนั้นกลับใกล้ชิดกับเฉินถิงเซียวกว่าสักหน่อย
คุณท่านเฉินไม่มีใครแล้วจริงๆ จึงได้มาหาเธอ…
พอคิดอย่างนั้นแล้ว ความรู้สึกที่อยู่ภายในใจของมู่น่อนน่อนก็รู้สึกบอกไม่ถูกขึ้นมาเล็กน้อย
เธอทอดถอนหายใจแล้วเอ่ยพูดออกไป “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง…”
เฉินถิงเซียวกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ยื่นมือออกมาลูบศีรษะเธอเบาๆ “ความจริงแล้วเดิมทีผมก็ไม่ได้เต็มใจที่จะกลับบริษัทเฉินซื่อหรอก เพียงแต่คุณปู่ก็แสดงความจริงใจออกมาถึงขนาดนี้แล้ว มาหาผมถึงบ้าน ผมทำได้เพียงตอบรับไปเท่านั้น”
ความจริงแล้วการกลับไปที่บริษัทเฉินซื่อในช่วงเวลาสำคัญอย่างนี้ มันทั้งเหมาะสมและไม่เหมาะสม
เรื่องที่เขาสืบหาพอจะมีเบาะแสขึ้นมาบ้างพอดี ถ้ากลับบริษัทเฉินซื่อไปตอนนี้ ถ้าอยากสืบเรื่องพวกนั้นอีก ก็จะต้องใช้เวลาสักหน่อย จะต้องระมัดระวังกว่าเดิมอีกนิด
อีกด้านนึง บริษัทเฉินซื่อนั้นเป็นกิจการของตระกูล คนตระกูลเฉิน แทบจะทำงานกันอยู่ที่บริษัทเฉินซื่อทั้งนั้น
เรื่องแม่เมื่อตอนนั้นถ้าไม่พ้นที่จะเกี่ยวข้องกับคนตระกูลเฉินขึ้นมาจริงๆ อย่างนั้นแล้ว เขากลับไปที่บริษัทเฉินซื่อก็ถือว่าเป็นโอกาสดีอย่างหนึ่งเหมือนกันที่จะสามารถทำให้เขาสืบเรื่องคนของตระกูลเฉินพวกนั้นได้สะดวกมากขึ้น
ความวกวนในนี้ มู่น่อนน่อนคิดไม่ถึงอยู่ชั่วขณะ
ถึงแม้ว่าเธอบอกว่าจะอยากช่วยเฉินถิงเซียว แต่ความจริงแล้วเธอก็ไม่ได้เข้าใจต่อเรื่องนี้มากมายนัก
ตอนที่เฉินถิงเซียวพูด แขนก็วางอยู่บนพนักโซฟาด้านหลังของมู่น่อนน่อน ทั้งสองคนนั่งใกล้กันมาก ไม่มีการกระทำที่ใกล้ชิดกันไปกว่านี้ แต่บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนกลับดูสนิทสนมกลมเกลียวกันจนเหมือนกับว่าไม่มีใครก็แทรกเข้ามาไม่ได้…
ในฐานะที่เป็นคนโสด กู้จือหยั่นเห็นแล้วรู้สึกขัดหูขัดตาอย่างมาก “พอๆ พวกนายอย่ามาแสดงความรักลึกซึ้งกันอย่างนี้สิ เห็นแล้วมันน่ารำคาญ! พวกเรามาคุยเรื่องคำค้นหาครั้งนี้กันต่อเถอะ”
ตั้งแต่ครั้งนั้นที่เสิ่นเหลียงพูดคำพูดนั้นออกมา กู้จือหยั่นก็ไม่ได้เจอหน้าเธอนัก
บางครั้งเจอกันที่บริษัท เสิ่นเหลียงก็ทำราวไม่รู้จักกัน รีบเดินออกไป
แต่กู้จือหยั่นนั้นก็อยากเผด็จการให้เหมือนกับเฉินถิงเซียวหยาบคายไร้เหตุผลสักหน่อยแล้วแบกเธอกลับบ้านไปซะ
แต่สถานการณ์ของเขากับเฉินถิงเซียวนั้นต่างกัน
น้ำเสียงของคำพูดในวันนั้นของเสิ่นเหลียงเด็ดขาดอย่างมาก กู้จือหยั่นรู้จักเธอดี เพราะว่ารู้จักดีนี้เอง ภายในใจก็เลยรู้สึกกลัวขึ้นมา
ยิ่งกลัว ก็ยิ่งระวัง ไม่กล้าทำไปตามอำเภอใจ
ตอนที่ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาเองก็จะไปลอบเยี่ยมดูสถานที่ทำงานของเสิ่นเหลียง มองอยู่ไกลๆ ก็รู้สึกพอใจแล้ว
แต่ความพอใจ หลังจากที่เห็นคู่เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนที่หวานกันจนเลี่ยนแล้ว ก็ได้กลายเป็นความหงุดหงิดและไม่พอใจขึ้นมา
กู้จือหยั่นส่ายหน้าออกมาเล็กน้อย เก็บความคิดกลับไป “ฉันคิดว่า ไม่บริษัทที่เป็นศัตรูกับพวกเรา ฉันก็สงสัยว่ามีโอกาสที่จะเป็นบริษัทเดิมของเสิ่นเสี่ยวเหลียง เมื่อก่อนพวกเขาก็ยังคิดจะฉกราชาภาพยนตร์ซือของเราเลย”
บริษัทเดิมของเสิ่นเหลียงกับบริษัทเสิ้งติ่งก็มีความสัมพันธ์ที่แข่งขันกันมาโดยตลอด พวกเขาถึงขนาดที่ยังเคยพยายามที่จะแย่งซือเฉิงหยู้ไปด้วย
แต่นี่มันก็เป็นได้แค่เพียงความฝันลมๆแล้งๆ อย่าเพิ่งพูดถึงความสัมพันธ์ของซือเฉิงหยู้กับเฉินถิงเซียวก่อนเลย ไม่ว่าศิลปินคนไหนที่คิดถึงอนาคตก็จะเลือกบริษัทเสิ้งติ่งกันทั้งนั้น
ถึงแม้ว่าบริษัทเดิมของเสิ่นเหลียง ในแวดวงบันเทิงจะเป็นบริษัทใหญ่ที่มีอยู่เพียงหยิบมือด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับบริษัทเสิ้งติ่งแล้วก็ยังด้อยกว่าอยู่ช่วงนึง
กู้จือหยั่นพูดจบ เห็นเฉินถิงเซียวเอาแต่ไม่พูดอะไรออกมา เงยหน้าขึ้นไปถามเขา “ถิงเซียว นายคิดว่าไง?”
เฉินถิงเซียวมีสีหน้าลังเลใจแยกแยะไม่ถูกอยู่สักพัก เอ่ยออกไปว่า “ยืดเวลาเพื่อสืบดูทางด้านนั้นสักหน่อยก็ได้”
พูดจบ เขาก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก “ยังติดต่อพี่ใหญ่ไม่ได้?”
“ยังไม่ได้ ที่นั่นมันเป็นที่ทุรกันดาร ตอนแรกพวกเราก็ไม่ให้เขาไป แต่เขาก็จะไปให้ได้ ไม่มีแม้แต่สัญญาณ ยังไม่กลับมาสักพัก”
กู้จือหยั่นพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็รู้สึกเกิดโทสะขึ้นมาเล็กน้อย “ราชาภาพยนตร์ซือคนนี้นี่นะ ปกติแล้วก็พูดง่ายอยู่หรอก แต่พอเจอกับเรื่องที่เขาอยากทำเป็นพิเศษ ดื้อรั้นเสียเหมือนอย่างกับวัวไม่มีผิด ไม่ว่าจะฉุดดึงยังไงก็ไม่กลับมา”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไร
ผ่านไปได้สักพักกว่าเขาจะพูดออกมา “ติดต่อไม่ได้ไม่เป็นไร มอบให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายประชาสัมพันธ์ไปก็ได้ ทางที่ดีจะต้องจัดการให้เรียบร้อยภายใน12ชั่วโมง”
“แต่ถ้าเขาสามารถออกมาชี้แจงสักหน่อยได้ มันก็จะยิ่งดีกว่า” กู้จือหยั่นถึงแม้ว่าจะคิดว่าคำพูดขิงเฉินถิงเซียวมันถูกต้องแล้ว แต่ถ้าให้ตัวซือเฉิงหยู้มาชี้แจงสักหน่อยมันจะดีมาก เรื่องมันจะได้ง่ายลงหน่อย
“ไม่มีประโยชน์” สีหน้าของเฉินถิงเซียวที่ลุ่มลึกออกมาอยู่หลายส่วน “ความคิดเห็นของมหาชนบนอินเทอร์เน็ตตอนนี้ไม่ได้พุ่งเป้ากันไปที่พี่ใหญ่ แต่ได้พุ่งเป้ามาที่บริษัทเสิ้งติ่ง ถ้าให้พี่ใหญ่ออกมาชี้แจงตอนนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะต้องทำให้พวกเขาคิดว่าเป็นสิ่งที่พวกเราบริษัทเสิ้งติ่งบังคับพี่ชายใหญ่กัน”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วออกมา ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะทำยังไง ต่างก็ปิดปากของคนพวกนั้นไม่ได้เลย กู้จือหยั่นอดไม่ได้ที่จะระเบิดคำหยาบออกมา “แม่ง! แล้วมันจะทำยังไงได้อีก?”
“ตั้งแต่เกิดเรื่องมาจนถึงตอนนี้ ก็สามชั่วโมงไปแล้ว บนเน็ตยังมีการเผยแพร่กันอยู่ เชื่อว่าถ้าผ่านไปอีกสักสองสามชั่วโมง ก็จะมีชาวเน็ตเริ่มขุดประวัติศาสตร์ด้านมืดของบริษัทเสิ้งติ่งกันขึ้นมา ไม่ว่าข้อมูลพวกนั้นจะจริงหรือเท็จ พวกเขาก็ไม่มีทางจะสนใจกันหรอก และสุดท้ายแล้วคนที่เสียหายก็จะเป็นเสิ้งติ่ง”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวกำลังวิเคราะห์อยู่อย่างสงบนิ่ง สีหน้าไม่มีความตื่นตระหนกออกมาเลยแม้แต่น้อย
ช่วงนี้กู้จือหยั่นมีความกดดันอย่างมาก พอได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ทั้งร่างก็ทรุดกลับลงไป “เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นครั้งสองครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้มันก็ยังเกี่ยวโยงไปที่ราชาภาพยนตร์ซือกับมู่น่อนน่อน ก็เลยยุ่งยากนิดหน่อย…”
“ฝ่ายประชาสัมพันธ์ควรทำอะไรก็ทำไป ฉันกลับก่อนล่ะ” เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็ดึงมู่น่อนน่อนเดินออกไปข้างนอก
ด้านหลังตามมาด้วยเสียงโอดครวญของกู้จือหยั่นดังขึ้น “เชี้ย คุณชายมู่คุณไม่สนใจเรื่องนี้เลยหรอครับ! ฉันคนเดียวรับมือไม่ทันอยู่แล้ว!”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเสียงนี้ของกู้จือหยั่นดูเศร้าเกินไปแล้ว มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นออกมา เอ่ยถามเสียงเบาออกไป “คุณไม่สนใจจริงๆหรอคะ?
บทที่187 มีคนคิดอยากจะต่อกรกับบริษัทเสิ้งติ่ง
เฉินถิงเซียวเลื่อนลงไปข้างล่าง เป็นWeiboที่แชร์ภาพซือเฉิงหยู้กับมู่น่อนน่อนที่สนามบินทั้งนั้นเลย การพูดส่วนใหญ่ก็เหมือนๆกัน แค่ดูก็รู้ว่าเป็นหน้าม้า
ข่าวฉาวเมื่อก่อนหน้านี้ของซือเฉิงหยู้ เพราะว่าเกี่ยวโยงมาถึงมู่น่อนน่อน เฉินถิงเซียวจึงลงมือปิดไปด้วยตัวเอง ให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์กลบคำค้นหาพวกนี้ให้หายไป
แล้วยังเคยติดต่อกับทางระบบทางนั้นแล้ว ไม่อาจเกิดประเด็นจำพวกนี้ขึ้นมาได้อีก ถึงขนาดที่ยังเซ็นสัญญาข้อตกลงระยะยาวกันกับทางนั้น จ่ายเงินไปไม่น้อยเลย
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ทางเพจหลักของบริษัทเสิ้งติ่งเพิ่งจะแถลงเรื่องนี้ออกไป วันนี้เรื่องนี้ก็ถูกเสิร์ชจนขึ้นคำค้นหายอดนิยมขึ้นมาอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เฉินถิงเซียวมีใบหน้าเยือกเย็นออกมา วางโทรศัพท์ของมู่น่อนน่อนลง ลุกขึ้นโทรหากู้จือหยั่น
เอาโทรศัพท์กลับมา เข้าไปดูหน้าเพจหลักของบริษัทเสิ้งติ่ง พวกความคิดเห็นที่ล้อกันว่ากู้จือหยั่นกับซือเฉิงหยู้มีความสัมพันธ์กันได้ถูกกลบไปหมดแล้ว
ความคิดเห็นที่ขึ้นมารอบใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็นการโจมตีบริษัทเสิ้งติ่งทั้งนั้น
“ซือเฉิงหยู้ของพวกเราทำงานให้พวกคุณบริษัทเสิ้งติ่งตั้งเยอะ พวกคุณปฏิบัติอย่างนี้กับเขา? เขาไม่ใช่ว่าแค่อยากเปิดเผยสถานะให้กับผู้หญิงที่รักสักหน่อยเท่านั้นเองนี่…”
“บริษัทน่าขยะแขยงเสียจริง!”
“ทั้งๆที่ผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนของราชาภาพยนตร์ของเราแท้ๆ พวกคุณกลัวว่าเขาเปิดเผยความสัมพันธ์แล้วจะเสียแฟนคลับไปแล้วจะส่งผลกระทบต่องาน ก็เลยโพสต์แถลงสิ่งพวกนั้นออกมาใช่มั้ยล่ะ?”
“พวกคุณไม่ละอายใจกันหรอ?”
“สนับสนุนให้ซือเฉิงหยู้เปิดเผยความสัมพันธ์”
“…”
มู่น่อนน่อนยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกเหลวไหล คนพวกนี้มองจากตรงไหนว่าซือเฉิงหยู้อยากจะเปิดเผยความสัมพันธ์?
ในขณะเดียวกัน เธอเองก็พอจะมองออกอยู่บ้าง คนที่คอยประโคมเรื่องพวกนี้เป็นหน้าม้าไปเสียเกินกว่าครึ่ง
เพียงแต่สิ่งเธอไม่เข้าใจเลยก็คือหน้าม้าพวกนี้ทำไมถึงต้องดึงเธอกับซือเฉิงหยู้ไปด้วยกัน?
มู่น่อนน่อนเข้าไปดูหน้าWeiboซือเฉิงหยู้ พบว่าความคิดเห็นตรงด้านล่างWeiboของเขานั้นได้ถูกความคิดเห็นที่ว่า “สนับสนุนให้ราชาภาพยนตร์เปิดเผยความสัมพันธ์” ครอบคลุมไปหมดแล้ว
มู่น่อนน่อนปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย
เรื่องง่ายๆ ทำไมถึงได้ถูกทำให้มันซับซ้อนอย่างนี้ได้?
เวลานี้ เฉินเจียฉินก็ได้โทรผ่านทางวีแชทเข้ามา
หลังจากที่มู่น่อนน่อนรับราย เฉินเจียฉินก็ถามออกมา “พี่น่อนน่อน ผมเห็นว่าในWeiboมีคนแชร์ภาพพี่กับพี่ชายของผมอีกแล้ว มันเกิดเรื่องอะไรหรอ?”
ถึงแม้ว่าแท้จริงแล้วเขาจะคิดว่าพี่ชายของเขากับพี่น่อนน่อนนั้นเหมาะสมกัน แต่พี่น่วนน่วนก็เป็นพี่สะใภ้ไปเสียแล้ว ยังไงพี่ชายของเขาก็ไม่มีโอกาสแล้ว คำค้นหายอดนิยมอย่างนี้แพร่ออกไป มันก็ไม่ค่อยจะดีนัก
มู่น่อนน่อนถามเขา “พี่ชายนายล่ะ?”
“พี่ชายของผมไปต่างจังหวัด เหมือนจะไปที่ที่ห่างไกลความเจริญอะไรเนี่ยแหละ เหมือนที่นั่นจะไม่มีสัญญาณ เหมือนจะทำงานเพื่อสังคมอะไรสักอย่างน่ะครับ”
เฉินเจียฉินพูดจบ ก็ถอนหายใจออกมาเองก่อนรอบนึง “เรื่องแบบนี้ ต้องให้พี่ชายผมเป็นคนออกมาอธิบายเองใช่มั้ยครับ?”
“ผมไปบริษัทนะ” เฉินถิงเซียวเดินเข้ามา ถือเสื้อสูทเตรียมจะเดินออกไปด้านนอก
มู่น่อนน่อนรีบลุกยืนขึ้นทันที “กินข้าวก่อนแล้วค่อยไปเถอะ”
เฉินถิงเซียวเห็นภาพมู่น่อนน่อนกับซือเฉิงหยู้ขึ้นคำค้นหายอดฮิต ภายในใจก็เหมือนภูเขาไฟที่เตรียมจะปะทุออกมาเต็มที จะให้มารอกินข้าวเสร็จแล้วค่อยไปอยู่ได้ยังไงกัน
เห็นเขาเดินตรงออกไปข้างนอกโดยที่ไม่หยุดเลย มู่น่อนน่อนจึงรีบพูดออกไปทันที “กินสักหน่อยเถอะ ฉันจะไปบริษัทกับคุณด้วย”
เฉินถิงเซียวจึงยอมตอบตกลงออกไป “อืม”
ทั้งสองคนกินข้าวเสร็จก็ไปบริษัทเสิ้งติ่งด้วยกัน
หลังจากที่กู้จือหยั่นได้รับสายของเฉินถิงเซียว ก็ไปยังฝ่ายประชาสัมพันธ์ จ้องมองคนพวกนั้นจัดการกับเรื่องนี้
ตอนที่ภาพของซือเฉิงหยู้กับมู่น่อนน่อนขึ้นคำค้นหายอดฮิตครั้งแรก ทางด้านของบริษัทเสิ้งติ่งก็รีบกลบมันลงไปอย่างรวดเร็ว แล้วยังทำการแถลงข่าวออกไปด้วย ครั้งนี้ถูกทำให้ขึ้นมาอีกครั้ง มันก็ไม่สามารถกลบสิ่งพวกนั้นไปเหมือนกับครั้งแรกได้แล้ว
บางครั้ง พลังของความคิดเห็นประชาชนมันก็ทรงพลังมากเลยทีเดียว
บริษัทเสิ้งติ่งเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการบันเทิงแห่งหนึ่ง จัดการเรื่องแบบนี้ปกติแล้วจะจัดการได้อย่างไม่เหลือร่องรอย นี่ยังเป็นครั้งแรกเลยที่เยิ่นเย้อกันอย่างนี้ ก่อนหน้าเพิ่งจะจัดการเสร็จไป ข้างหลังก็ขึ้นตามมาอีก
ช่วงหลายวันนี้กู้จือหยั่นเองก็ทำการติดต่อกับเฉินถิงเซียว ยุ่งจนไม่ได้หยุดอยู่กับที่เลย ตอนนี้เองก็ดูฉุนเฉียวอย่างมาก
“ตอนแรกเรื่องนี้ก็จัดการไปได้ดีอยู่แล้ว ทำไมถึงขึ้นมาอีก? วันนี้พวกเธอใครคิดกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ดีๆมาไม่ได้สักอย่าง ทั้งหมดก็อยู่ที่บริษัทกันให้หมด จัดการไม่เสร็จไม่ว่าใครก็อย่าคิดว่าจะได้กลับไป!”
กู้จือหยั่นยีผมยุ่งๆของตัวเอง สูดหายใจเข้าลึกๆ นั่งลงที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ
แฟนคลับของซือเฉิงหยู้มีความภักดีและยังมีจำนวนมาก ก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ เขาแทบจะไม่เคยมีข่าวฉาวเลย
แต่ข่าวฉาวครั้งนี้ของซือเฉิงหยู้ถูกพาขึ้นคำค้นหายอดนิยมซ้ำๆ สำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้ว มันเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมาก แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆเพียงนิดหน่อยสำหรับในวงการบันเทิงแล้ว ตอนที่เผยออกมาสู่สาธารณชน มันก็จะถูกประโคมกันไปใหญ่โตอย่างไม่หยุดยั้ง
ถ้าครั้งนี้จัดการไม่เรียบร้อย มันก็จะส่งผลกระทบต่อบริษัทเสิ่นซื่อ
เลขาเดินเข้ามาบอกซือเฉิงหยู้ “ท่านประธานใหญ่มาแล้วค่ะ”
กู้จือหยั่นจึงได้ลุกขึ้น เดินไปยังห้องทำงานของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนไม่ได้มาห้องทำงานของเฉินถิงเซียวเป็นครั้งแรก แต่ก็ยังรู้สึกแปลกใหม่อยู่ดี
“แม่งเอ๊ย ฉันว่าครั้งนี้มันจะต้องมีคนสร้างเรื่องกันขึ้นมาแน่ๆ เรื่องนี้จะไม่มีผลกระทบต่อซือเฉิงหยู้อย่างแน่นอน นั่นก็คือว่ามีคนคิดอยากจะหาเรื่องให้บริษัทเสิ่นซื่อของเรา…”
กู้จือหยั่นเต็มไปด้วยไฟโทสะ ทันทีที่เข้าประตูมาก็ด่าออกมาฉาดนึง
ผลก็คือเขาพูดออกไปครึ่งนึงถึงได้ค้นพบว่ามู่น่อนน่อนเองก็อยู่ในห้องด้วย คำพูดตรงท่อนหลังจึงติดอยู่ในลำคอไปในทันที…
เขาหัวเราะแห้งๆออกไป “แหะๆ…น่อนน่อนก็อยู่ด้วยหรอเนี่ย”
“ฉันไม่มีธุระอะไรพอดี ก็เลยตามมาด้วย” มู่น่อนน่อนยิ้มไปทางเขา แล้วหันกลับมาเปิดนิตยสารในมือต่อ
เฉินถิงเซียวนึกเรื่องที่ช่วงสองวันนี้มู่น่อนน่อนมักจะถามเรื่องกู้จือหยั่นอยู่ตลอดขึ้นมาได้ ก็คิดว่ารอยยิ้มของมู่น่อนน่อนมันขัดหูขัดตา จึงกวาดสายตาเย็นชาไปทางกู้จือหยั่น
กู้จือหยั่นมีสีหน้าไม่เข้าใจออกมา ช่วงนี้เขายุ่งจนสติเบลอไปหมด เป็นผู้จัดการให้เสี่ยวเหลียงไม่ได้ก็เรื่องนึงแล้ว ตอนนี้ยังต้องมารับกับความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ที่มาได้ยังไงไม่รู้ของคุณชายมู่อีกหรอเนี่ย?
เฉินถิงเซียวพูดเรื่องงานขึ้นมา “เรื่องจัดการไปถึงไหนแล้ว?”
“กำลังให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์คิดหาวิธีกันอยู่” กู้จือหยั่นทิ้งตัวลงบนโซฟา ใบหน้าดูหมดแรงไม่มีชีวิตชีวา
ทันใดนั้นเองเขาก็ดีดตัวขึ้นมาทันที “จะเป็นไปได้หรือเปล่าที่คุณปู่ของพวกนายคิดที่จะให้นายกลับไปที่บริษัทเฉินซื่อ ก็เลยจงใจใช้ลูกไม้อย่างนี้มาเตือนนาย?”
มู่น่อนน่อนได้ยินอย่างนั้น ก็มองเข้ามาทางนี้
กู้จือหยั่นหมายถึงคุณท่านเฉิน?
เฉินถิงเซียวส่งเสียงเยาะหยันออกมา ในน้ำเสียงนั้นมีความเยาะหยันออกมาอย่างไม่ปิดซ่อนเลยแม้แต่น้อย “นายเห็นคุณปู่โง่เหมือนนายหรือไง?”
กู้จือหยั่นสำลักไปเล็กน้อย เอ่ยออกไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “…นายเชื่อมั้ยว่าฉันจะกระโดดลงไปจากตรงนี้เดี๋ยวนี้เลย?”
มู่น่อนน่อนฟังไปก็มีอาการงุนงงออกมา กู้จือหยั่นกระโดดตึก?
เฉินถิงเซียวยื่นมือออกไปดึงมู่น่อนน่อนมานั่งข้างๆ “วางใจเถอะ เขาไม่กล้ากระโดดหรอก”
กู้จือหยั่น “…” เขาไม่กระโดดไปสักหน่อย ก็รักษาหน้าเอาไว้ไม่ได้เลยจริงๆ!
เฉินถิงเซียวคิดลังเลอยู่สักพัก จึงพูดออกมาต่อว่า “คุณปู่ก็แค่อยากให้ฉันกลับไปที่บริษัทเฉินซื่อเท่านั้นเอง ไม่มีทางใจร้อนรีบลงมือกับบริษัทเสิ้งติ่งอย่างนี้หรอก ถึงแม้ว่าท่านคิดจะลงมือ ก็มีแต่จะยิ่งโจมตีเข้ามาอย่างจังและก็ยิ่งโหดร้ายกว่านี้อีก”
“แล้วคุณจะกลับบริษัทเฉินซื่อหรือเปล่า?” มู่น่อนน่อนเอ่ยถามเขาออกไปด้วยความอยากรู้
เฉินถิงเซียวหันหน้าไป จู่ๆริมฝีปากก็แสยะยิ้มออกมา “แน่นอนว่าจะต้องกลับไปอยู่แล้ว คุณปู่ให้คุณมากล่อมผม ผมจะไม่กลับไปได้ยังไง”
“หมายความว่าอะไร?”
กู้จือหยั่นแปลความหมายแทนเฉินถิงเซียวออกไปอย่างเหนื่อยหน่าย “ความหมายก็คือเฉินถิงเซียวน่ะ แม้แต่คำพูดของคุณปู่ก็ไม่ฟัง ฟังแค่คำพูดของเธอ”
บทที่186 ถึงเวลาที่จะต้องวางมือลงแล้ว
“คุณปู่”
มู่น่อนน่อนลงมาชั้นล่าง เดินเข้าไปนั่งลงฝั่งตรงกันข้ามของเฉินอันหลิน
เฉินอันหลินเห็นมู่น่อนน่อน ก็เผยรอยยิ้มออกมา “การตัดสินใจมาอย่างฉุกละหุกวันนี้ ยังกังวลเลยว่าที่บ้านพวกเธอจะไม่มีใครอยู่น่ะ”
มู่น่อนน่อนยิ้มตามออกมาเล็กน้อย รู้สึกทำตัวไม่ถูกนิดหน่อย ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เฉินอันหลินเอ่ยถามออกมา “แล้วถิงเซียวล่ะ?”
อาหูยกแก้วชามาให้มู่น่อนน่อน มู่น่อนน่อนถือแก้วชาพร้อมเอ่ยพูดออกไป “เขาไปทำงานที่บริษัทค่ะ”
เฉินอันหลินจึงได้เผยสีหน้ารู้แจ้งในทันทีออกมา “ฉันก็อายุเยอะแล้ว ก็เลอะเลือนไปใหญ่แล้ว ยังนึกว่าพวกเธอจะว่างเหมือนกับตาแก่อย่างฉันอีกน่ะ เลอะเลือนเกินไปแล้ว…”
“ถึงคุณปู่จะอายุมากแต่ก็ยังแข็งแรงดีอยู่เลยค่ะ เลอะเลือนที่ไหนกัน” มู่น่อนน่อนยิ้มตามออกมา คาดเดาจุดประสงค์ที่แท้จริงของเฉินอันหลินที่มาหาเธอไม่ออกเลย
“ตอนนั้นฉันเกษียณตัวออกมาเร็วไปหน่อย พ่อของถิงเซียวตอนนี้ก็เป็นคนที่อยู่ในช่วงอายุห้าสิบต้นๆแล้ว พละกำลังก็ไม่ดีเท่าแต่ก่อนแล้ว ว่ากันว่าถิงเซียวร่วมมือกันกับคนอื่นเปิดบริษัทอะไรสักอย่างข้างนอก หนูรู้ใช่มั้ยล่ะ…”
คำพูดของเฉินอันหลินพูดมาถึงตรงส่วนนี้ แน่นอนว่ามู่น่อนน่อนเข้าใจความหมายที่อยู่ในคำพูดของเขาอยู่แล้ว ด้านนึงเฉินถิงเซียวได้ก่อตั้งบริษัทเสิ้งติ่งขึ้นมา ทำงานอยู่ที่บริษัทเสิ้งติ่งตลอด ไม่ไปบริหารจัดการธุรกิจของตระกูลอย่างบริษัทเฉินซื่อ
เฉินอันหลินเอ่ยถึงเรื่องที่ว่าพละกำลังของพ่อเฉินถิงเซียวไม่ดีเท่าแต่ก่อนแล้วขึ้นมา ความหมายมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว นั่นก็คือต้องการให้เฉินถิงเซียวกลับไปทำงานที่บริษัทเฉินซื่อ
เฉินอันหลินไม่เข้าใจ มู่น่อนน่อนเองก็พูดจาคลุมเครือออกมา “รู้นิดหน่อยค่ะ ไม่ได้รู้อะไรมากนัก”
เฉินอันหลินยิ้มออกมาเล็กน้อย เอ่ยพูดเสียงอ่อนออกมา “ไม่ช้าก็เร็วบริษัทเฉินซื่อนั้นก็จะต้องให้ถิงเซียวเป็นคนรับช่วงต่อแล้ว งานเล็กๆน้อยๆข้างนอกพวกนั้น ถึงเวลาที่จะต้องวางมือลงแล้ว หนูว่าใช่หรือเปล่า?”
บริษัทเสิ้งติ่งถือว่าเป็นผู้นำแห่งอุตสาหกรรมบันเทิงภายในประเทศ สำหรับเฉินอันหลินแล้ว เป็นเพียงแค่ธุรกิจเล็กๆ?
พูดอย่างนี้มันก็ไม่ถือว่ามากไปหรอก
เพราะถึงยังไงบริษัทเฉินซื่อก็เป็นตระกูลมหาเศรษฐีอยู่แล้ว ความมั่งคั่งและทรัพยากรที่สั่งสมกันมาหลายชั่วอายุคน แน่นอนว่าบริษัทเสิ้งติ่งของเฉินถิงเซียวเทียบไม่ได้อยู่แล้ว
“เรื่องงานของเฉินถิงเซียว หนูก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่” มู่น่อนน่อนหลุบตาลง แสดงท่าทางถ่อมเนื้อถ่อมตัว
จุดประสงค์ในการมาวันนี้ของเฉินอันหลิน คงจะอยากให้เธอไปกล่อมเฉินถิงเซียวให้กลับไปบริหารบริษัทเฉินซื่อกิจการของตระกูล
แต่ทำไมถึงต้องให้เธอไปกล่อมด้วยล่ะ?
ในเมื่อมาหาเธออย่างนี้ งั้นก็แสดงว่าตัวเฉินถิงเซียวเองก็ไม่อยากกลับไปบริษัทเฉินซื่อสินะ
แน่นอนว่าเธอจะไม่ยอมรับอะไรกับเฉินอันหลินง่ายๆอยู่แล้ว
เฉินอันหลินได้ยินอย่างนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็ได้เลือนหายไปอยู่หลายส่วน หรี่ตาลงมองมู่น่อนน่อน ผู้อาวุโสไม่ได้แสดงความโกรธออกมา แต่ก็ยังมีท่าทางอันน่าเกรงขามหลุดออกมาตามธรรมชาติ
มู่น่อนน่อนรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างของเขา เกร็งไปทั้งร่างขึ้นมาทันที แต่เธอไม่ได้ลดละความพยายามลง
ทั้งสองคนเผชิญหน้ากันอย่างนี้อยู่สักพัก จู่ๆ เฉินอันหลินก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา “เจ้าเด็กนั่นมันตาดีใช้ได้เลย!”
มู่น่อนน่อนคลายหมัดที่กำแน่น ฝ่ามือเปียกชื้นไปหมด
เธอดูไม่ได้สะทกสะท้านขนาดนั้น แต่ภายในใจของเธอก็กลัวอยู่เหมือนกัน
เฉินอันหลินกับมู่เจิ้งซิวต่างกัน เขาเคยพบเจอเหตุการณ์ใหญ่ๆมาอย่างแท้จริง เป็นคนที่เคยผ่านช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สมัยวัยรุ่นก็ยิ่งใหญ่ในตลาดการค้า ตอนนี้อายุเยอะแล้ว แม้ว่าจะเกษียณไปแล้ว ออร่าความน่ายำเกรงก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย
นี่คงจะเป็นลักษณะเฉพาะของคนบริษัทเฉินซื่อสินะ
พวกเขามีความมั่งคั่งและฐานะทางสังคมที่คนรอบข้างคอยอิจฉา ความมั่นใจและออร่าความน่าเกรงขามเองก็แน่นอนว่าจะต้องมีมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว
นี่เป็นสิ่งที่สลักอยู่ในกระดูก คนรอบๆจะมาเรียนรู้ตามกันไม่ได้
“งั้นฉันขอพูดตรงๆแล้วกัน ฉันอยากให้ถิงเซียวกลับไปบริษัทเฉินซื่อเพื่อรับช่วงต่อกิจการของตระกูล ครั้งที่แล้วฉันก็เคยพูดเรื่องนี้กับเขาไปแล้ว เพียงแต่เขาก็ปฏิเสธไป หนูช่วยฉันกล่อมเขาสักหน่อย ถือเสียว่าปู่ขอร้องหนูแล้วกัน”
น้ำเสียงของเฉินอันหลินจู่ๆก็เปลี่ยนมาดูจริงจังขึ้นมาอย่างมาก ทั้งยังแฝงไปด้วยความจริงใจอยู่อีกหลายส่วน ครั้งนี้มู่น่อนน่อนไม่อาจปฏิเสธออกไปได้อีก
“หนูสามารถช่วยคุณปู่พูดสักหน่อยก็ได้อยู่หรอกค่ะ แต่เขาไม่ฟังแม้แต่คำพูดของหนู เกรงว่า…”
เฉินอันหลินยิ้มอย่างพึงพอใจออกมา พร้อมเอ่ยขัดเธอออกมาว่า “วางใจเถอะ เรื่องนี้ฉันรู้ดีอยู่แล้ว”
หลังจากที่เฉินอันหลินรู้ว่ามู่น่อนน่อนจะเอ่ยเรื่องนี้กับเฉินถิงเซียวแล้วนั้น ก็กลับไปด้วยความพึงพอใจ
มาเร็วไปเร็ว ให้ความรู้สึกรวดเร็วประดุจสายลม มองออกได้เลยว่าตอนสมัยคุณปู่หนุ่มๆก็เป็นพวกที่ลงมือทำคำไหนคำนั้นคนนึงเลย ตรงจุดนี้เฉินถิงเซียวค่อนข้างจะเหมือนเขาเลย
พอส่งคุณท่านเฉินกลับไปแล้ว สายของเฉินถิงเซียวก็โทรเข้ามาติดๆ
ทันทีที่รับสาย ก็ได้ยินเฉินถิงเซียวถามเธอออกมา “กินข้าวแล้วหรือยัง?”
“กำลังจะกิน” คุยกับคุณท่านเฉินอยู่สักพักนึง ตอนนี้ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว
เฉินถิงเซียวถามออกมาอีกว่า “คุณปู่ไปแล้ว?”
“คุณรู้ว่าเขาจะมา?” มู่น่อนน่อนหยิบตะเกียบขึ้นมาเตรียมจะกินข้าว ได้ยินคำพูดนั้นก็ได้วางกลับลงไป
เฉินถิงเซียวก็เอ่ยเยาะออกมา “ไม่งั้นเขาจะยังมีลูกไม้อะไรซ่อนอยู่อีก!”
น้ำเสียงนี้ ฟังดูโหมเหี้ยมอย่างมาก
……
มู่น่อนน่อนไม่มีความอยากอาหารอีกต่อไป กินไปอีกนิดหน่อยแล้ววางตะเกียบลง คิดว่าตอนเที่ยงค่อยกิน
แต่ผลสุดท้าย พอถึงตอนเที่ยง เฉินถิงเซียวที่ควรจะอยู่ที่บริษัทกลับมาเสียอย่างนั้น
“คุณไม่ใช่ว่าจะต้องทำงานหรอคะ?”
“ทำงานจะไปสำคัญไปกว่าคุณได้ยังไง” เฉินถิงเซียวแสยะยิ้ม สายตาลุ่มลึก ดูชั่วร้ายสุดๆ “สิ่งที่คุณพูดมาเมื่อเช้านี้ผมยังจำได้”
“…” เหอะๆ
มู่น่อนน่อนไม่สนใจเขา เดินตรงไปยังห้องอาหาร
อาหูเหมือนจะรู้ว่าเฉินถิงเซียวจะกลับมากินมื้อเที่ยงมาก่อนแล้ว จึงได้เตรียมมาห้าหกเมนู
“ก่อนหน้านี้คุณท่านมา ดิฉันจึงลืมบอกคุณหญิงน้อยไปว่าเมื่อเช้าคุณผู้ชายบอกว่าจะกลับมากินมื้อเที่ยงค่ะ” อาหูเห็นใบหน้าของมู่น่อนน่อนประดับไปด้วยความสงสัย ก็เอ่ยพูดอธิบายออกมา
มู่น่อนน่อนหันไปมองเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวนั่งลงฝั่งตรงกันข้ามเธอไปพลาง พูดออกมาพลาง “ช่วงบ่ายไม่ไปบริษัทแล้ว เมื่อเช้าได้จัดการงานไปประมาณนึงแล้ว”
“คุณทำงานอย่างนี้ กู้จือหยั่นไม่ว่าอะไรหรอคะ?”
เอ่ยถึงกู้จือหยั่นขึ้นมา มู่น่อนน่อนก็นึกถึงภาพที่แคปมาที่เสิ่นเหลียงส่งมาให้เธอเมื่อวานนี้พวกนั้นขึ้นมาได้อีกครั้ง
เฉินถิงเซียวเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ถึงจะว่าแล้วจะทำอะไรได้?”
แน่สิ กู้จือหยั่นอยู่ต่อหน้าเฉินถิงเซียวแล้วก็หวาดกลัวต่อเขาอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะไม่พอใจก็ไม่กล้าพูดออกมาหรอก
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากออกมาเล็กน้อย คิดอยู่ซ้ำๆสักพัก “กู้จือหยั่นเขา…ชอบผู้หญิงใช่มั้ยคะ?”
“ทำไม?” เฉินถิงเซียวช้อนสายตาขึ้นมองเธอ เลิกคิ้วถามออกมา
“ในเน็ตมีคนลือเรื่องเขากับซือเฉิงหยู้กัน…” มู่น่อนน่อนพูดถึงตรงนี้ก็เงียบไป คำพูดตรงท่อนหลังทำให้เฉินถิงเซียวจินตนาการไปเอง
น่าเสียดายที่เฉินถิงเซียวเป็นผู้ชายซื่อบื้อคนนึง เขาจึงไม่เข้าใจคำพูดของมู่น่อนน่อนเลย
“เขากับพี่ใหญ่มีอะไร?”
มู่น่อนน่อนสำลักออกมาเล็กน้อย หยิบโทรศัพท์ออกมาคิดว่าจะหาความคิดเห็นยอดนิยมพวกนั้นในเน็ตเอามาให้เฉินถิงเซียวดู
แต่ทว่า ตอนที่เธอเปิดหน้าWeiboออกมา ก็พบว่าประเด็นเรื่อง#แฟนสาวลึกลับของซือเฉิงหยู้# ได้ขึ้นเป็นคำค้นหายอดนิยมอีกครั้ง
เฉินถิงเซียวได้คีบอาหารมาให้มู่น่อนน่อนพอดี เห็นสีหน้าของเธอแปลกไป จึงเอ่ยถามออกมา “เกิดเรื่องอะไร?”
“ฉันกับพี่ใหญ่ ถูกเสิร์ชหาจนขึ้นคำค้นหายอดนิยมอีกแล้วค่ะ” มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว ดันโทรศัพท์ไปตรงหน้าของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวหยิบขึ้นมาดู ด้านในประเด็นเรื่อง #แฟนสาวลึกลับของซือเฉิงหยู้# เป็นภาพมู่น่อนน่อนกับซือเฉิงหยู้ที่สนามบินถูกปล่อยออกมาอีกแล้ว
บทที่185 ความเกี่ยวข้องกันของการจูบกับการล้างมือ
ถอดรองเท้าออก มู่น่อนน่อนถึงได้พบว่าหลังเท้าของตัวเองได้ถลอกบวมแดงไปหมดแล้ว
มีรองเท้าลุยหิมะกั้นเอาไว้ก็สามารถถูกรองเท้าส้นสูงเหยียบจนเป็นอย่างนี้ได้ มันก็พอที่จะบ่งบอกได้ว่ามู่หวั่นขีเกลียดเธอเข้ากระดูกแค่ไหน
สีหน้าของเฉินถิงเซียวนิ่งขรึม เงยหน้าขึ้นมองเธอ สายตาดูไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก
มู่น่อนน่อนหลุบคอกลับมาเล็กน้อย “ไม่เจ็บเลยสักนิด…”
นึกถึงเรื่องที่เท้าเธอเคล็ดเมื่อก่อนหน้านี้ขึ้นมาทันที เธอกลืนน้ำลายแล้วพูดออกไป “นิดๆหน่อยเท่านั้นเอง”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร เพียงแค่เอาถุงเท้าสวมให้เธอให้เรียบร้อย
สีหน้าของเขายังคงมืดครึ้ม แต่การกระทำกลับอ่อนโยนอย่างมาก
มู่น่อนน่อนคิดว่าเฉินถิงเซียวเองก็ไม่ได้แสดงออกมาเสียจนน่ากลัวอะไรขนาดนั้น
เธอนึกเรื่องที่ลิฟต์เมื่อกี้นี้ขึ้นมา เอ่ยถามเฉินถิงเซียวออกไปด้วยความอยากรู้ “เมื่อกี้นี้ในลิฟต์คุณทำอะไร? ลิฟต์ตกลงไปหรือเปล่า? มู่หวั่นขีคงไม่เป็นอะไรหรอกใช่มั้ย…”
เขาเอ่ยนิ่งๆออกมา “ไม่ตายง่ายๆหรอก”
แค่คำง่ายๆพวกนั้น ทำเอาคอของมู่น่อนน่อนเย็นวูบขึ้นมา
ไม่ตายง่ายๆ นั่นมันจะต้องเจ็บหนักแน่ๆเลย
……
กลับมาถึงบ้าน เฉินถิงเซียวกดร่างของมู่น่อนน่อนให้นั่งลงไปบนเตียง ผันร่างเดินออกไปหายามา
ตั้งแต่เรื่องที่มู่น่อนน่อนเท้าเคล็ดครั้งที่แล้ว ในห้องก็ได้วางกล่องยาเอาไว้กล่องนึง ด้านในมียาสำหรับรักษาแผลจากการฟกช้ำชนิดต่างๆอยู่ด้วย
เฉินถิงเซียวนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นพรมตรงหน้าเตียงนอน เอาเท้าของมู่น่อนน่อนวางลงไปบนเข่าของตัวเอง บีบยาลงบนนิ้วมือเล็กน้อย หลุบตามองลงไป เพ่งความสนใจไปกับการทาให้เธออย่างตั้งอกตั้งใจ
ทันทีที่กลับห้องมา เสื้อสูทบนร่างของเฉินถิงเซียวไม่ทันได้เปลี่ยน แม้ว่าจะเพียงแค่นั่งขัดสมาธิลงบนพื้นไปอย่างไม่ใส่ใจ แต่ออร่าความเยือกเย็นที่ออกมาจากร่างนั้นมันกลับไม่ได้ลดน้อยลงไปเลยสักนิด
มองจากทางมู่น่อนน่อนแล้ว เห็นได้แค่เพียงผมสั้นที่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยของเขา ขนตากะพริบลงเบาๆ และปลายจมูกนิดๆ
มู่น่อนน่อนเอียงหัวเล็กน้อยก็เห็นเขากำลังขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย เม้มริมฝีปาก จ้องหลังเท้าเธอไปด้วยสายตาที่จดจ่อ เหมือนกับว่ากำลังคิดจัดการกับปัญหาช่องโหว่ของโครงการที่แก้ยากบางอย่างอยู่เลย
ยังคงเป็นสายตาเยือกเย็นดังเดิม แต่น่าแปลกที่มันกลับทำให้เธอรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวในตอนนี้นั้นอ่อนโยนอย่างมาก หลายครั้ง ยิ่งมีสิ่งที่เปลือกนอกดูแข็งกระด้าง ภายในจะยิ่งน่าประทับใจ
มู่น่อนน่อนนึกถึงตอนที่เจอเฉินถิงเซียวครั้งแรกขึ้นมา เขาบุกเข้ามาในห้อง สีหน้าท่าทางและน้ำเสียงที่หยิ่งพยศนั้น ให้เธอคิดยังไงเธอก็คิดไม่ถึงว่าจะมีวันนึงที่ผู้ชายคนนั้นจะมาทายาให้เธออย่างอ่อนโยนอย่างนี้ได้
มู่น่อนน่อนเกิดความคิดนึงขึ้นมา ส่งเสียงเรียกออกไป “เฉินถิงเซียว”
“อืม” เฉินถิงเซียวไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ มือที่กำลังช่วยเธอทายาอยู่นั้นก็ไม่ได้หยุดลง
เขานึกว่ามู่น่อนน่อนเรียกเขาเพราะมีเรื่องอยากจะพูด แต่สุดท้ายรออยู่สักพักนึงก็ยังไม่ได้ยินมู่น่อนน่อนพูดอะไรออกมาอีก เขาจึงต้องเงยหน้าขึ้นไปมองเธอ
โชคดีที่เขาทายาให้มู่น่อนน่อนไปประมาณนึงแล้ว จึงเอ่ยถามออกไป “เป็นอะ…”
คำพูดตรงท่อนหลังของเขายังไม่ทันได้หลุดพูดออกมา ก็ถูกประกบจูบเข้ามา
น้อยมากที่มู่น่อนน่อนจะเป็นฝ่ายจู่โจม
เขาเพียงแค่งงงวยอยู่สักพัก ลุกยืนขึ้น แล้วก็ได้กดร่างของมู่น่อนน่อนกลับลงไปบนเตียง
ก็คงเป็นเพราะว่ามู่น่อนน่อนมีปฏิกิริยาที่ตอบกลับออกมาเสียจนเร่าร้อนเกินไป กลิ่นอายจากร่างของเฉินถิงเซียวเพียงไม่นานก็ได้เปลี่ยนมาหนักขึ้นกว่าเดิม
ตอนที่ทั้งสองคนจูบกันจนแทบจะไม่แยกออกจากกันนั้นเอง จู่ๆเฉินถิงเซียวเหยียดลุกขึ้นมา ไฟในดวงตายังคงไม่มอดดับลง เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าออกมา “ผมไปล้างมือก่อน”
มู่น่อนน่อนมองเงาร่างเบื้องหลังที่เดินออกไปของเขา คิดไปด้วยความสับสนเล็กน้อย จูบกับล้างมือมันเกี่ยวอะไรกัน?
ตอนที่มู่น่อนน่อนมีปฏิกิริยาตอบกลับออกมา เสื้อผ้าบนตัว ก็ได้หายไปหมดแล้ว
น้ำเสียงที่ฟังดูชั่วร้ายของเขา เอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “ตอนนี้รู้แล้วใช่มั้ยว่าทำไมผมถึงต้องไปล้างมือ?”
หน้าของมู่น่อนน่อนเดิมทีก็ได้แดงจนไม่เหลือเค้าเดิมอยู่แล้ว ในตอนนี้พอถูกเขาถามมาอย่างนี้ ก็ยิ่งหน้าแดงจนเลือดแทบจะหลั่งรินออกมา กัดริมฝีปากจ้องมองเขา
เฉินถิงเซียวถูกเธอจ้องมาจนหัวใจแทบจะอ่อนยวบไปหมด
เขาโน้มตัวลงไปจูบเธอ “ทั้งๆที่คุณชอบผมมากแท้ๆ”
มู่น่อนน่อนทั้งอายทั้งโกรธ กำลังจะแย้งกลับไป แต่เขากลับจูบเข้ามาที่ริมฝีปากของเธอ
……
วันต่อมา
มู่น่อนน่อนตื่นตอนเจ็ดโมงจนเป็นนิสัย เป็นกิจวัตรที่จะต้องตื่นขึ้นมา
แต่สุดท้ายพอเธอขยับ ก็ถูกผู้ชายที่อยู่ข้างๆกดกลับลงไปบนเตียง
ในน้ำเสียงทุ้มต่ำของเฉินถิงเซียวแฝงไปด้วยความงัวเงียจากการที่เพิ่งตื่นนอน “คุณไม่ได้เข้าทำงานเสียหน่อย จะตื่นตั้งแต่เช้าไปทำไม?”
มู่น่อนน่อนจึงนึกออกขึ้นมา วันนี้ตนไม่ต้องไปทำงานที่บริษัทมู่ซื่ออีก
พอคิดอย่างนี้แล้ว ก็ยังเกิดความรู้สึกโหวงๆอยู่บ้างๆ
ในใจของเธอคิดอย่างนี้ จึงพูดออกไปอย่างไม่รู้ตัว
เฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างๆลุกขึ้นมานั่งเตรียมที่จะลงจากเตียง เอ่ยพูดคำที่ฟังดูมีความหมายลึกซึ้งออกมา “ผมไม่ไปทำงานก็ได้นะ อยู่บ้านเพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปของคุณ”
มู่น่อนน่อน “…”
เธอเอื้อมมือไปจับเอวเล็กของตัวเองเล็กน้อย เอ่ยพูดออกไปอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก “คุณรีบไปทำงานเถอะ!”
“เมื่อคืนคุณไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้เลย ตอนนี้พอได้กันแล้วก็จะถีบหัวส่งกันเสียแล้ว?” เฉินถิงเซียวพูดคำพูดที่ไร้เหตุผลออกมา แต่สายตาของเขามันกลับดูจริงจังสุดๆไปเลย
มู่น่อนน่อนมั่นใจมากว่าชั่วชีวิตนี้เธอคงจะทำตัวไร้ยางอายเหมือนอย่างเฉินถิงเซียวไม่ได้แน่
นึกถึงเรื่องเมื่อคืน มู่น่อนน่อนซุกกลับเข้าไปในผ้าห่มพร้อมใบหน้าที่แดงไปถึงหู ห่อร่างของตัวเองเอาไว้จนแน่น “รีบไปได้แล้ว!”
“เสียมารยาท” ในน้ำเสียงของเฉินถิงเซียวแฝงไปด้วยความทะเล้น โน้มตัวลงมากอดเธอแล้วจูบผ่านผ้าห่มที่กั้นอยู่ “คุณนอนอีกสักพัก”
จากนั้น ในห้องน้ำก็มีเสียงน้ำดังขึ้น
เธอสลบไสลไปท่ามกลางเสียงน้ำพวกนี้
ตอนที่ตื่นขึ้นมาอีกที เธอก็ถูกอาหูปลุก
“คุณหญิงน้อย คุณตื่นแล้วหรอคะ?”
เธอนึกว่าอาหูจะมาปลุกเธอไปกินข้าว จึงยันร่างให้ลุกขึ้นนั่งแล้วเดินออกไปด้านนอกพร้อมตะโกนออกไป “ฉันกำลังจะลงไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”
ด้านนอกเงียบไปหลายวิ กว่าเสียงของอาหูจะดังเข้ามาอีกครั้ง “คุณหญิงน้อย คุณท่านมาแล้วค่ะ”
คำพูดที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของอาหู ทำเอามู่น่อนน่อนจับต้นชนปลายไม่ถูกขึ้นมาเล็กน้อย “คุณท่านคนไหน?”
อาหูพูดเสริมมาอีกประโยคนึง “คนจากทางบ้านเดิมค่ะ”
คุณท่านเฉิน?
มู่น่อนน่อนสั่นไปทั้งร่าง สมองก็ตื่นเต็มตาขึ้นมาทันที
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”
เธอพูดจบ ก็ลงจากเตียงไป รีบวิ่งเข้าห้องอาบน้ำไป
หลังจากที่ได้ล้างหน้าแปรงฟันไปอย่างง่ายๆแล้ว ก็สวมเสื้อผ้าแล้วก็ลงไปข้างล่าง
ยังดีที่อยู่ที่บ้าน เลยไม่ต้องแต่งหน้า
เฉินถิงเซียวอยู่ที่ปากทางขึ้นลงบันได ก็เห็นเข้ากับเฉินอันหลินกำลังนั่งอยู่บนโซฟาตรงห้องโถง
อาหูกำลังเสิร์ฟชาให้เขา ด้านหลังของเขามีบอดี้การ์ดสองคนยืนกันอยู่เหมือนอย่างกับเทพผู้คอยเฝ้าพิทักษ์ประตูไม่มีผิด
มู่น่อนน่อนเดินลงไปพลาง พร้อมทั้งคิดถึงจุดประสงค์การมาวันนี้ของคุณท่านเฉินไปพลาง
ตอนกลางวันเฉินถิงเซียวไม่อยู่บ้าน คุณท่านเฉินจะต้องรู้อยู่แล้ว
ดังนั้นแล้วคุณท่านเฉินมาหาเธอ
บทที่184 ยอมผิดใจกับคนเลวดีกว่า อย่าไปผิดใจกับเฉินถิงเซียวเลย
คำพูดที่เหมือนจะแสดงความจริงใจของมู่เจิ้งซิว กลับไม่ได้ทำให้สีหน้าของเฉินถิงเซียวดีขึ้นมาเลย แต่กลับเปลี่ยนมาดูแย่ลงกว่าเดิม
เฉินถิงเซียวลุกขึ้นยืน น้ำเสียงและสีหน้าของเขาก็เยือกเย็นออกมาเหมือนกัน “พรุ่งนี้มู่น่อนน่อนจะไม่มาทำงานที่บริษัทมู่ซื่อแล้ว”
ไม่ได้มีน้ำเสียงประนีประนอมเลยแม้แต่น้อย หยาบคายเสียจนเหมือนกับว่ากำลังแจ้งให้ตนทราบเพียงเท่านั้น
มู่เจิ้งซิวไม่ได้พูดอะไรออกไป
เขาจะยังพูดอะไรได้อีก?
เฉินถิงเซียวไม่ใช่คนที่เขาจะสู้ได้ แต่ก่อนเขาคิดว่าหลังจากที่ตนกลับประเทศมาแล้ว คนที่รับมือได้ยากที่สุดคงจะเป็นเฉินชิงเฟิง แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะเป็นเฉินถิงเซียวไปเสียได้
เฉินถิงเซียวเปิดประตูออกไป ก็เห็นเข้ากับมู่น่อนน่อนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู
มู่น่อนน่อนฟังอยู่ตรงหน้าประตูอยู่สักพักนึง แต่ก็ได้ยินไม่ชัดว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่
“ฉัน…” เธออยากจะอธิบายออกไปว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง แต่คำพูดเพิ่งจะปริปากเตรียมจะพูดออกไป จู่ๆเฉินถิงเซียวก็โน้มตัวลงมากอดเธอเอาไว้
แรงของเขาที่กดลงมาค่อนข้างแรง แขนรัดเข้ามาจนเอวเธอเจ็บขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ยังพอทนได้อยู่
มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจเข้า รู้สึกว่าความรู้สึกจากร่างของเฉินถิงเซียวนั้นมันผิดแปลกไป จึงเอ่ยถามเขาออกไปเบาๆ “คุณเป็นอะไรไป?”
เฉินถิงเซียวกอดเธออยู่หลายวิ ก็ได้คลายอ้อมกอดออกไปแล้วจูงมือเธอเดินไปทางข้างหน้า “ไปเก็บข้าวของของคุณ พรุ่งนี้ไม่ต้องมาแล้ว”
ในใจของมู่น่อนน่อนเกิดความอยากรู้ขึ้นมาว่าเฉินถิงเซียวกับมู่เจิ้งซิวคุยอะไรกัน แต่สีหน้าของเฉินถิงเซียวกับแรงกดดันจากร่างของเขานั้นก็ได้บ่งบอกออกมาชัดเจนแล้วว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาถามมากมาย
มู่น่อนน่อนรีบเก็บข้าวของไปอย่างรวดเร็ว ถือกล่องกระดาษแล้วหันไปพูดกับเฉินถิงเซียว “เสร็จแล้ว”
เฉินถิงเซียวหลุบตาลง มือข้างหนึ่งรับกล่องจากมือเธอไปถือโดยที่ไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียว มือที่ว่างอยู่อีกข้างก็เข้าไปจับมู่น่อนน่อนเอาไว้
ภายในใจของมู่น่อนน่อนรู้สึกว่ามันดูหวานมาก ถึงแม้ว่าอารมณ์จะไม่ดี แต่เขาก็ยังใส่ใจคิดจะช่วยเธอถือกล่องอีก
ดีที่ตอนนี้ในบริษัทไม่ได้มีใครอยู่แล้ว คนที่ยังทำโอทีกันอยู่นั้นก็เป็นคนที่อยู่ตำแหน่งสูงๆกันทั้งนั้น เป็นคนที่มีห้องทำงานเป็นของตัวเองกัน
แต่บนโลกนี้มันก็มีคำที่เรียกว่า: โลกกลม
ทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าประตูลิฟต์ กำลังรอลิฟต์กันอยู่
มู่น่อนน่อนนึกถึงบริษัทเสิ้งติ่งที่นั่นขึ้นมา มันมีลิฟต์ส่วนตัวของเฉินถิงเซียวโดยเฉพาะ จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปถามเขาด้วยความอยากรู้ออกไป “คุณเคยรอลิฟต์หรือเปล่า?”
เฉินถิงเซียวเพียงแค่เหลือบมองเธอเล็กน้อย ส่งสายตาที่บอกเธอว่า “แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ”มาให้เธอ
เธอคิดว่า…
เธอคิดว่าเฉินถิงเซียวจะต้องเป็นคนที่แม้แต่ลิฟต์ก็ไม่เคยรอมาก่อนแน่ๆ
ในที่สุดลิฟต์ก็มาสักที
ติ๊ง——
ประตูลิฟต์เปิดออก มู่น่อนน่อนเตรียมที่จะเดินเข้าไปด้านใน เงยหน้าขึ้นไปก็พบว่าคนที่เดินออกมาจากลิฟต์ไม่ใช่คนอื่นเลย แต่เป็นมู่หวั่นขีนั่นเอง
ที่เธอกลับมาที่บริษัทมู่ซื่อนั้น ก็เป็นเพราะว่ากังวลว่ามู่หวั่นขีกับเฉินถิงเซียวจะมาเจอกัน
แต่ผลสุดท้ายก็ได้ให้มู่หวั่นขีเจอกับเฉินถิงเซียวจริงๆเสียแล้ว!
มู่น่อนน่อนเข้ามาขวางหน้าเฉินถิงเซียวทันที แล้วยังเบียดไปทางข้างหลังเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวทำได้เพียงถอยหลังออกไปสองก้าว เอ่ยออกมาอย่างเฉื่อยชา “อะไร?”
ตอนที่มู่หวั่นขีเห็นมู่น่อนน่อนนั้น ในดวงตาก็ได้เต็มไปด้วยไฟโทสะไปเรียบร้อยแล้ว แต่ทันทีที่เธอเห็นเฉินถิงเซียวที่อยู่ด้านหลังร่างของมู่น่อนน่อน ความรู้สึกที่แผ่ออกมาจากร่างก็ได้เปลี่ยนไปทันที
เสียงที่พูด ก็ดัดออกมาเสียจนทำให้รู้สึกขนลุกไปทั้งร่าง
“คุณชายเฉิน พวกเราเจอกันอีกแล้วนะคะ” มู่หวั่นขีพูดไปพลาง พลางทำเป็นดึงเสื้อคลุมของตัวเองเล็กน้อย
เธอชอบสวมชุดเดรสที่เว้าตรงหน้าอกอยู่ด้านในของเสื้อคลุม พอเสื้อคลุมเปิดออก ก็เผยให้เห็นร่องอกที่ขาวเนียนที่โผล่ออกมาจากด้านในคอเสื้อทรง“V”ที่อยู่ด้านใน ค่อนข้างจะดูเย้ายวนเลยทีเดียว
ในตอนนั้นเอง ลิฟต์อีกด้านนึงก็มาพอดี
แต่เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้มองมู่หวั่นขีเลยแม้แต่น้อย ดึงมู่น่อนน่อนเข้าในลิฟต์อีกตัวทันที
มู่หวั่นขีมีสีหน้าแข็งค้างออกมา ไม่พอใจแต่ก็ได้เดินตามเข้าไปยังลิฟต์อีกตัวเช่นเดียวกัน
เธอจงใจเสียดสีไปยังข้างๆลำตัวของเฉินถิงเซียว ดัดเสียงพูดออกไป “คุณชายเฉิน ฉันค่อนข้างจะกลัวที่แคบอยู่นิดหน่อย คุณช่วย…ประคองฉันหน่อยได้หรือเปล่า…”
ตรงคำว่า “ประคองฉันหน่อย” ท่อนนั้นพูดออกมาอย่างช้าๆ เนิบนาบเสียอย่างกับว่าใกล้จะขาดใจตายอยู่รอมร่อไม่มีผิด
“ฉันประคองเธอเอง” มู่น่อนน่อนเดินเข้ามาเบียดมู่หวั่นขีออกไป มือที่ประคองมู่หวั่นขีลงแรงหนักลงไป “เมื่อก่อนไม่รู้เลยนะว่าเธอจะกลัวที่แคบด้วยน่ะ!”
มู่หวั่นขีโกรธหน้าแทบจะผิดไปจากเดิม ใช้เสียงที่มีเพียงพวกเธอสองคนเท่านั้นที่จะได้ยินพูดออกไปด้วยอาการ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “แกหลบไป!”
“เธอมาอ่อยผู้ชายของฉัน ฉันยังต้องหลบให้อีกหรอ เธอเห็นฉันโง่หรือไง?” มู่น่อนน่อนจ้องกลับไปอย่างไม่ยอมเป็นต่อให้
“ของแก?” มู่หวั่นขียิ้มเย็นออกมา “อย่าลืมสิว่าคนที่หมั้นกับเฉินถิงเซียวก็คือฉัน!”
“แต่ภรรยาของเขาคือฉัน!” มู่น่อนน่อนคิดว่ามู่หวั่นขีสมองมีปัญหาไปแล้วแน่ๆ
ตอนนี้เธอเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเฉินถิงเซียว และตอนที่เฉินถิงเซียวยังเป็น “เฉินเจียฉิน” อยู่นั้น ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ได้มีความสนใจในตัวของมู่หวั่นขีเลยสักนิด แต่มู่หวั่นขีกลับเหมือนกับว่าจะปิดกั้นข้อมูลพวกนั้นไปโดยอัตโนมัติ ยังคงไม่ยอมแพ้สักที!
มู่หวั่นขีมีสีหน้าพอใจออกมา “งั้นหรอ? ทะเบียนสมรสล่ะ? เอามาให้ดูหน่อยสิ?”
ตอนนี้ในที่แห่งนี้ มู่น่อนน่อนจะไปเอาทะเบียนสมรสมาให้มู่หวั่นขีดูจากที่ไหนกัน
พูดไปแล้ว เธอเหมือนจะไม่เคยเห็นทะเบียนสมรสของเธอกับเฉินถิงเซียวมาก่อนเลย
“เอาออกมาไม่ได้ก็ไสหัวไปซะ!” มู่หวั่นขีพูดจบ ก็ฉวยโอกาสตอนที่มู่น่อนน่อนไม่ระวัง เหยียบลงไปบนเท้าของมู่น่อนน่อนอย่างแรง
มู่น่อนน่อนละสายตาไปชั่วขณะหนึ่ง จึงถูกรองเท้าส้นสูงของมู่หวั่นขีเหยียบลงมาเต็มแรงอย่างนี้
รองเท้าส้นสูงของมู่หวั่นขีนั้นแหลมมาก พื้นที่รับแรงน้อย ยิ่งลงแรงไปอย่างนี้แล้ว ถึงแม้ว่ามู่น่อนน่อนจะสวมรองเท้าลุยหิมะมา แต่ก็ยังเจ็บจนมีอาการกลัวออกมา
เฉินถิงเซียวถึงแม้ว่าจะไม่ส่งเสียงพูดอะไรมาโดยตลอด แต่ก็คอยสังเกตการเคลื่อนไหวของทางมู่น่อนน่อนอยู่ตลอด
อันที่จริงตอนที่มู่หวั่นขีชิดเข้ามา เขาจะผลักออกไปตรงๆเลยก็ได้
แต่เห็นท่าทางที่มู่น่อนน่อนคอยกันให้เขาแล้ว อารมณ์ของเขาก็ได้เปลี่ยนมาดีขึ้นมาเป็นพิเศษ จึงปล่อยเธอไป
ตอนนี้มู่หวั่นขีใช้วิธีสกปรก สีหน้าของเขาก็เยือกเย็นออกมา
มู่น่อนน่อนเจ็บเท้า แต่ก็ไม่ได้หลีกทางออกไป ยกเท้าขึ้นมาคิดอยากจะถีบมู่หวั่นขีเพื่อแก้แค้น แต่จู่ๆกลับถูกเฉินถิงเซียวยัดกล่องเข้ามาในอ้อมแขน
เธอหันมองเฉินถิงเซียวไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยอาการงงงวย
นิ้วเรียวยาวของเฉินถิงเซียวขยับ กดลงไปตรงปุ่มกดบนลิฟต์อยู่หลายที ดึงมู่น่อนน่อนเดินออกไป
ประตูลิฟต์ปิดลงด้านหลังพวกเขา
มู่น่อนน่อนยังไม่ได้สติกลับมาว่าตกลงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ หันกลับไปมองประตูลิฟต์ไปด้วยใบหน้างงงวย
ต่อมา ด้านในก็มีเสียงกรีดร้องของมู่หวั่นขีดังออกมา “อ๊ะ——“
จากนั้นเสียง “โครม” ดังขึ้นมาอยู่หลายครั้ง
“ลิฟต์…ตกลงไป?” มู่น่อนน่อนหันไปถามเฉินถิงเซียวอย่างไม่แน่ใจนัก
บริษัทมู่ซื่อมีลานจอดรถชั้นใต้ดิน ลงไปยังมีชั้นใต้ดินชั้นหนึ่งและชั้นใต้ดินชั้นสองอยู่
เฉินถิงเซียวตอบนิ่งๆออกมาคำนึงว่า “อืม”
ตอนที่มู่น่อนน่อนอยากจะออกมา เฉินถิงเซียวก็ได้กดลงไปตรงปุ่มลิฟต์พวกนั้นอยู่หลายที…
ของพวกนั้นคงไม่ทำให้ลิฟต์ตกลงไปหรอกมั้ง?
มีแบบนี้ด้วย???
ชั่วแวบนึงมู่น่อนน่อนก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
ยอมไปผิดใจกับคนเลวเสียดีกว่า อย่าไปผิดใจกับเฉินถิงเซียวเลย
ทั้งสองคนกลับมาถึงรถ เฉินถิงเซียวก็พูดกับมู่น่อนน่อนออกไปว่า “ถอดรองเท้า”
มู่น่อนน่อนนิ่งค้างไปแป๊บนึง จากนั้นก็รู้ตัวขึ้นมาว่าเฉินถิงเซียวคงจะเห็นว่ามู่หวั่นขีเหยียบเธอ
“ฉันไม่เป็นไร”
เฉินถิงเซียวไม่สนใจคำพูดของเธอ แขนข้างนึงยื่นเข้ามาจับข้อเท้าของเธอเอาไว้ เอาเท้าเธอมาวางบนเก้าอี้ ลงมือเข้าไปช่วยเธอถอดรองเท้าด้วยตัวเอง.
บทที่183 พรุ่งนี้ที่นี่สามารถกลายเป็นของผมเลยก็ได้
สามวิก็ตอนที่หายใจออกมาทีนึง เธอจะไปมีเวลาคิดออกได้ยังไงว่าจะใช้วิธีไหนง้อเขา?
ไม่สิ เธอไม่ใช่ว่าแค่ว่าจะมาลองถามเขาเรื่องกู้จือหยั่นดูสักหน่อยเอง มันก็ขัดใจเขาเสียแล้ว แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะยังต้องมาง้อเขาด้วย?
ในหัวของมู่น่อนน่อนเพียงแค่คิดวุ่นๆออกมา ข้างหูก็ได้ยินเสียงของเฉินถิงเซียวดังขึ้น “ครบสามวิแล้ว”
มู่น่อนน่อนแสยะริมฝีปากออกมาเล็กน้อย เธอคิดว่าเฉินถิงเซียวคนนี้นับวันจะยิ่งแปลกขึ้นมาเรื่อยๆ
แขนของเฉินถิงเซียวยื่นเข้ามา เชิดคางของเธอขึ้นมาแล้วจูบลงไป
หลังจากที่ผ่านไปครึ่งนาทีแล้ว เฉินถิงเซียวผละออกจากริมฝีปากของเธอไปด้วยอารมณ์ที่เหมือนจะยังไม่หายอยาก มองดวงตาที่พร่าเบลอของเธอ เอ่ยออกมาด้วยโทนเสียงที่เป็นเชิงกล่าวเตือนออกมา “ตอนนี้เข้าใจแล้วหรือยัง?”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าออกมาไปอย่างลังเล
พูดมาอ้อมค้อมเสียขนาดนั้น ที่แท้ก็อยาก…จูบเธอ!
เฉินถิงเซียวมีความรู้สึกปีติยินดีออกมา ตบลงไปบนศีรษะของเธอเบาๆเหมือนกำลังตบรางวัลอยู่ “รอผมในรถ”
ในทันใดนั้น เขาผันร่างลงจากรถไป
มู่น่อนน่อนทันเพียงแค่เกาะอยู่ตรงหน้าต่างถามเขาออกไป “คุณจะไปไหน?”
เฉินถิงเซียวเพียงแค่มองเธอมาเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร เดินตรงไปยังบริษัทมู่ซื่อ
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากออกมาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเธอจะเดาถูกว่าแท้จริงแล้วเฉินถิงเซียวนั้นมาเพราะเรื่องการลาออกของเธอ
ตอนนี้เป็นเวลาเลิกงาน คนที่ผ่านไปมาตรงบริษัทมู่ซื่อก็มีอยู่หลายคน
หลังจากที่สถานะของเฉินถิงเซียวเปิดเผยออกมา ก็มีหลายคนที่รู้จักเขา
ถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่ไม่รู้จักเขา ก็ต้องมองเขาไปโดยไม่ตั้งใจเพราะกลิ่นอายที่สูงส่งแบบเฉพาะตัวจากร่างของเขา
เฉินถิงเซียวราวกับว่าไม่ได้รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาของพวกเขาเลย เดินตรงไปยังประตูลิฟต์
สาวประชาสัมพันธ์เพิ่งจะมาใหม่ไม่กี่วันมานี้ เห็นเฉินถิงเซียวเดินวางมาดเข้ามาอย่างนี้แล้ว รีบเดินตามเข้าไป “คุณผู้ชายคะ…ไม่ทราบว่าคุณมาหา…”
“มาหาประธานมู่ของพวกเธอ” เฉินถิงเซียวหันหน้ากลับไป เอ่ยนิ่งๆออกไป
ถูกสายตาเยือกเย็นของเฉินถิงเซียวจ้องเข้ามา คำพูดตรงปากที่ว่า “ไม่ทราบว่าคุณได้นัดเอาไว้หรือเปล่า”คำนั้นของสาวประชาสัมพันธ์ได้เปลี่ยนมาเป็น “ประธานมู่อยู่ในห้องทำงาน…”
“ขอบคุณ” บนใบหน้าของเฉินถิงเซียวยังคงไร้สีหน้าใดๆออกมา พูดจบก็เดินเข้าลิฟต์ไป
จนประตูลิฟต์ปิดลง หญิงสาวประชาสัมพันธ์ถึงได้ตบลงบนหน้าอกผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกออกมาเสียยาวเหยียด สายตาของผู้ชายคนเมื่อกี้มันน่ากลัวชะมัด…
……
ในห้องทำงาน
หลังจากที่มู่เจิ้งซิวจัดการกับเอกสารชุดสุดท้ายเสร็จ ก็ได้ยินเสียงผลักประตูเข้ามา
ใครกันที่ไม่รักษากฎระเบียบอย่างนี้ เข้าห้องทำงานเขามาก็ไม่รู้จักเคาะประตูก่อน
เขาขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นไป ก็เห็นเข้ากับร่างสูงโปร่งของเฉินถิงเซียวที่ได้เดินเข้ามาเรียบร้อยแล้วกำลังหันไปล็อกประตูลง
“คุณชายเฉิน?” เขาวางปากกาในมือลง ลุกยืนขึ้น
สายตาของเฉินถิงเซียวกวาดมองไปยังกองเอกสารตรงหน้าเขาพวกนั้น เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มก็เหมือนไม่ยิ้ม “คุณท่านมู่ นี่ช่างตั้งใจทำงานเสียจริงๆเลยนะครับ”
“คุณชายเฉินมาหากันถึงที่นี่ มีธุระอะไรก็เชิญพูดมาตรงๆเถอะครับ” ตอนที่มู่เจิ้งซิวพูดออกมาก็ได้สบสายตากับเฉินถิงเซียวไปตรงๆ
แต่ทว่า เขาสบสายตากับเฉินถิงเซียวอยู่ได้เพียงไม่กี่วิ ก็ได้เบนสายตาออกไปทันที
สายตาของเฉินถิงเซียวเยือกเย็นและดูให้ความรู้สึกคุกคามอย่างมาก เหมือนกับหมาป่าสันโดษที่อยู่ในป่า มีความเด็ดขาดไร้ความปรานี เพียงแค่สายตาก็สามารถทำให้คนอื่นหวาดกลัวได้แล้ว
มู่เจิ้งซิวสั่นไปทั่วทั้งร่าง ร่างที่จากเดิมที่ยังพิงเข้ากับพนักเก้าอี้อยู่ก็เหยียดตัวตรงอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ ตั้งตาเตรียมรับมือกับศัตรู
การกระทำเล็กน้อยนี้ของเขา ไม่ได้หลุดออกไปจากดวงตาของเฉินถิงเซียวเลย
“ตอนเด็กๆ ก็เคยได้ยินวีรกรรมของคุณท่านมู่มาบ้าง เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าคุณท่านมู่อายุก็เยอะแล้วจะเลอะเลือนอย่างนี้”
เฉินถิงเซียวนั่งลงตรงด้านหน้าของมู่เจิ้งซิว ส่วนสูงที่เกือบจะถึง190 แม้ว่าจะนั่งลง ก็ยังสูงกว่ามู่เจิ้งซิวอยู่ช่วงหนึ่ง
การข่มกันจากส่วนสูง ได้ทำให้ออร่าที่อยู่บนร่างของเฉินถิงเซียวนั้นน่ากลัวขึ้นมามากขึ้น
“นี่คุณชายเฉินกำลังหยอกล้อผมเล่น?” ในใจของมู่เจิ้งซิวเหมือนจะพอรู้รางๆแล้วว่าจุดประสงค์ของเฉินถิงเซียวนั้นคืออะไร
“สิ่งที่คุณท่านมู่กำลังทำอยู่ตอนนี้ ยังต้องให้ผมต้องมาหยอกล้อกันเล่นอีกหรอครับ?” เฉินถิงเซียวยิ้มเย็นออกไป “คุณคิดว่าการไม่ให้มู่น่อนน่อนลาออก จะสามารถขังเธอไว้ที่บริษัทมู่ซื่อได้ ควบคุมอยู่ในกำมือของคุณ?” สีหน้าของมู่เจิ้งซิวเปลี่ยนไปในทันที มีใบหน้าทะมึนตึงออกมา
เฉินถิงเซียวเห็นเขาอย่างนี้แล้ว ก็ยิ้มอย่างพอใจออกมา “ก็เหมือนกับตอนนั้น คุณกับคนของตระกูลเฉินได้บรรลุข้อตกลงกัน สุดท้ายก็ไปไกลถึงเมืองนอก พวกเขานึกว่าคุณจะอยู่ที่เมืองนอกไปจนตายเสียอีก ตอนนี้ก็ดันกลับมา บนโลกนี้มันจะมีอะไรแน่นอนอยู่มั้ยนะ?”
สีหน้าของมู่เจิ้งซิวยิ่งดูแย่ลงเรื่อยๆ “คุณชายเฉิน ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ เกี่ยวกับเรื่องการลาออกของน่อนน่อน ถึงแม้ว่าเธอจะแต่งงานกับคุณแล้ว แต่เธอก็ยังแซ่มู่ ดังนั้นแล้วเรื่องนี้มันก็ต้องให้ผมเป็นคนตัดสินเอง!”
“งั้นหรอ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินถิงเซียวกดลึกลงไปกว่าเดิมอยู่หลายส่วน เสียงก็ได้เปลี่ยนมาฟังดูเนิบๆแต่กลับให้ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างออกมา “กรณีแม่ของผมตอนนั้น คุณช่วยตระกูลเฉินตามหาคนด้วยกัน ให้การสนับสนุนช่วยเหลือ ตระกูลเฉินก็เลยซาบซึ้งในบุญคุณของคุณ ให้ผมกับมู่หวั่นขีหมั้นหมายกัน แต่มันก็เป็นเรื่องดี แล้วทำไมถึงจะต้องให้คุณออกจากประเทศไปด้วยล่ะ?”
คำพูดนี้ของเฉินถิงเซียวเหมือนกับได้มาถึงขีดจำกัดความอดทนของมู่เจิ้งซิวเข้าแล้ว เขาชี้ไปทางประตูแล้วตวาดเสียงดังออกไป “นั่นมันเป็นเพราะฉันอยากออกจากประเทศไปเองต่างหาก! นี่มันเกี่ยวอะไรกับคุณ! คุณออกไป นี่มันบริษัทของฉัน ไม่ต้อนรับคุณ!”
“ขอเพียงแค่ผมยินดี พรุ่งนี้ที่นี่ก็จะกลายเป็นของผมเลยก็ได้”
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลง บนใบหน้านั้นเป็นความเยือกเย็นที่หนาวจนจับกระดูก “ไม่ต้องคิดว่าเฉินชิงเฟิงหรือว่าคนตระกูลเฉินคนอื่นจะยังสามารถช่วยคุณได้ พวกเขาเองก็ยังดูแลตัวเองไม่ไหวกันอยู่แล้ว”
สีหน้าของมู่เจิ้งซิวเปลี่ยนไปอย่างมาก อ้าปากเหมือนกับถูกคนจี้จุดเอาไว้ก็ไม่ปาน แข็งค้างอยู่ตรงนั้นสักพักนึง พูดไม่ออกเลยแม้แต่ประโยคเดียว
ตอนนั้นเขาเคยเจอกับเฉินถิงเซียวมาก่อน แต่แค่มองเห็นผ่านๆในโกดังร้างแห่งนั้น
เฉินถิงเซียวตอนนั้นใบหน้าเปื้อนโคลนไปหมด สายตาเองก็เฉื่อยชา ดูไปแล้วเหมือนอย่างกับกลัวจนเป็นบ้าไปแล้ว
ตอนนั้นเขาก็คิดว่าเด็กคนนี้คงไร้ความสามารถไปเรียบร้อยแล้ว ต่อมาเขาก็ต้องการที่จะเกี่ยวดองกับตระกูลเฉิน คนตระกูลเฉินตอนนั้นเองก็คิดว่าเฉินถิงเซียวที่เป็นอย่างนั้นมันไม่เป็นดั่งที่หวัง ก็เลยตอบตกลงไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่ายังไงเขาก็นึกไม่ถึงเลยว่าสิบปีต่อมา เด็กคนนั้นที่ในตอนนั้นเขาเห็นว่าไร้ค่า นึกไม่ถึงว่าจะมานั่งอยู่ในห้องทำงานของเขา คุกคามเขามาอย่างสงบนิ่งอย่างนี้
มีชีวิตมาค่อนชีวิต คนที่เขามองผิดไปเป็นคนแรก ก็คือเด็กคนเมื่อตอนนั้น และก็คือเฉินถิงเซียวในตอนนี้
มู่เจิ้งซิวส่ายหน้า กลับไปนั่งบนเก้าอี้เหมือนเดิม น้ำเสียงแหบแห้งทั้งยังฟังดูสูงวัย “เรื่องอื่นฉันไม่รู้ ฉันตอนนั้นก็แค่เจอผู้หญิงคนนึงที่ด้านนอกโกดังร้างแห่งนั้น หน้าตาค่อนข้างที่จะคล้ายพ่อของคุณอยู่นิดหน่อย ก็คงจะเป็นน้องสาวพ่อของคุณ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นไปทันที นัยน์ตาดำเปลี่ยนไปทันควัน เปร่งเสียงอันเยือกเย็นออกมา “ผมดูหลอกง่ายขนาดนั้นเลยหรอ?”
เขาไม่เชื่อคำพูดของมู่เจิ้งซิว
น้องสาวของเฉินชิงเฟิงชื่อว่าเฉินเหลียน เป็นแม่ของซือเฉิงหยู้ และก็เป็นคุณป้าของเขา
เฉินเหลียนกับแม่ของเฉินถิงเซียวเป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายสิบปี หลังจากที่แม่ของเขาเกิดอุบัติเหตุ ในช่วงหลายปีนั้นเองหน้าของเฉินเหลียนก็ดูอมทุกข์ไปด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับแม่ของเขา ตัวเฉินเหลียนก็อยู่ที่ต่างประเทศ
“คุณชายเฉิน ฉันมันก็อายุปูนนี้แล้ว ไม่ต้องการอะไรแล้ว เพียงแค่อยากจะรักษาธุรกิจของบริษัทมู่ซื่อเอาไว้เท่านั้นเอง” มู่เจิ้งซิวเหมือนจะเหนื่อยล้าอย่างมาก พิงเข้ากับพนักเก้าอี้ ถอนหายใจออกมา
เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปหลอกลวงเฉินถิงเซียวเลย
บทที่182 ความคิดที่บอกใครไม่ได้
หลังจากวันนั้นที่เฉินถิงเซียวได้เสนอเรื่องลาออกให้กับมู่น่อนน่อนออกไป มู่น่อนน่อนคิดพิจารณาอยู่สักพัก ก็ตัดสินใจที่จะไปลาออก
เธออยู่ที่บริษัทมู่ซื่อทำงานเอกสารทั่วไปนิดๆหน่อยๆ ถ่ายเอกสารจัดแจงข้อมูล ไม่เกี่ยวกับสาขาที่เธอเรียนมาเลยแม้แต่น้อย อยู่ที่บริษัทมู่ซื่อต่อ มันก็จะเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ไปเท่านั้น
สิ่งที่ตัดสินใจแล้ว มู่น่อนน่อนก็จะไม่ยืดเวลาออกไปเรื่อยๆอีก
มู่น่อนน่อนรีบเขียนจดหมายลาออกเสร็จไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เข้าทำงานก็ได้ส่งให้มู่เจิ้งซิวไปทันที
ตั้งแต่หลังจากที่มู่เจิ้งซิวกลับมา เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ในบริษัทโดยพื้นฐานแล้วมู่เจิ้งซิวจะเป็นคนจัดการ แผนการเล็กใหญ่เองก็จะต้องผ่านมู่เจิ้งซิวก่อนถึงจะสามารถทำการตัดสินใจขั้นสุดท้ายกันได้
นี่มันก็เท่ากับว่ามู่ลี่เหยียนไม่มีอำนาจที่แท้จริงในบริษัทแล้ว
มู่น่อนน่อนผลักประตูเข้าห้องทำงานของมู่เจิ้งซิวเอาจดหมายลาออกในมือวางลงไปบนโต๊ะของเขา “คุณปู่”
มู่เจิ้งซิวเงยหน้าขึ้นมา ตาเหลือบมองจดหมายลาออกเล็กน้อย ลังเลอยู่สักพักกว่าจะพูดออกไป “นี่หมายความว่าอะไร?”
“อย่างที่คุณปู่เห็น หนูต้องการลาออก โปรดประธานมู่อนุมัติด้วยค่ะ” มู่น่อนน่อนมองเขาไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงสงบนิ่งเหมือนกับท่าทางของเธอ
“นั่งสิ” มู่เจิ้งซิวชี้ไปทางเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะทำงาน
มู่น่อนน่อนนั่งลงไป
หลังจากที่มู่เจิ้งซิวกลับประเทศมา ก็ติดต่อกับมู่น่อนน่อนอยู่ไม่น้อย แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่ได้มองสำรวจเธอไปอย่างละเอียด
ตอนที่เขาออกจากประเทศไป มู่น่อนน่อนก็เพิ่งจะเจ็ดขวบ เป็นเด็กที่มีหน้าตาสวยผลการเรียนยอดเยี่ยมคนนึง ตอนที่เรียกเขาว่าคุณปู่ออกมาก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูทำให้รู้สึกทั้งรักทั้งหลงขึ้นมา
แต่ว่า ความคิดของเขานั้นค่อนข้างจะหัวโบราณอยู่บ้าง เซียวชู่เหอถึงยังไงก็เป็นแม่เลี้ยง ในใจของเขา ก็ยิ่งเอ็นดูมู่หวั่นขีสองพี่น้องมากขึ้นอีกหน่อย จึงไม่ได้มีมู่น่อนน่อนอยู่ในสายตาอะไรนัก
ในภายหลังช่วงหลายปีมานี้ บางครั้งได้ยินพวกคำพูดต่างๆนานาที่เกี่ยวข้องกับมู่น่อนน่อน เขาก็ยิ่งเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าความคิดของตัวเองนั้นถูกต้องแล้ว
เพียงแต่ ตอนที่เขาได้กลับมาเจอมู่น่อนน่อนแล้วจริงๆนั้น ก็ได้พบว่าไม่เหมือนกับที่เขาได้จินตนาการเอาไว้เลย
เขาเอ็นดูมู่หวั่นขีมาตั้งแต่เด็ก ได้ถูกเลี้ยงดูจนเสียคนไปอย่างไม่รู้ตัวเสียแล้ว
ส่วนคนที่มักจะถูกเขาละเลยอยู่ตลอดอย่างมู่น่อนน่อนคนนั้น กลับเป็นคนชักนำบริษัทมู่ซื่อไปสู่วิกฤติ
มู่น่อนน่อนเจอเข้ากับสายตาประเมินเข้ามาของมู่เจิ้งซิว ท่าทางที่ดูไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตัวเกินไปจนดูต้อยต่ำ ใจเย็นไม่ผลีผลาม ดีกว่ามู่หวั่นขีเยอะเลย
เขาตอนนั้นลงแรงไปตั้งขนาดนั้นเพื่อให้บริษัทเฉินซื่อกับบริษัทมู่ซื่อได้เกี่ยวดองกัน แต่กลับทำให้มู่หวั่นขีเอาโอกาสนี้ให้กับมู่น่อนน่อนไปเสียอย่างนั้น
เขามองออกว่ามู่น่อนน่อนเป็นเด็กที่ฉลาดเงียบคนนึง เธอเป็นคนที่มีความคิด คนอย่างนี้จะมีลักษณะพิเศษก็คือ—ควบคุมไม่ได้
มู่เจิ้งซิวถอนสายตากลับมา เหลือบมองไปยังจดหมายลาออกที่อยู่ตรงหน้า พร้อมเอ่ยถามเธอออกไป “ทำไมถึงอยากจะลาออก?”
“งานที่หนูทำอยู่ตอนนี้ มันไม่สอดคล้องกับสาขาที่เรียนมาเลย อีกอย่างหนูอยู่ที่บริษัทมู่ซื่อตอนนี้ มันก็เหมือนกับการเลี้ยงคนว่างงานมาเพิ่มคนนึงเท่านั้น”
มู่น่อนน่อนพูดสิ่งเหล่านี้จบลง ตัวเองก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เหมือนกัน อยู่ที่บริษัทมู่ซื่อมานาน นึกไม่ถึงว่าจะพูดคำพูดที่ดูสุภาพมีพิธีรีตองพวกนี้ออกมาได้เหมือนกัน
“แกกำลังพูดอะไรอยู่ แกเป็นคนของตระกูลมู่ ทำงานที่บริษัทของบ้านตัวเอง จะไปเป็นคนว่างงานไปได้ยังไงกัน!” น้ำเสียงและสีหน้าของมู่เจิ้งซิวดูจริงจังอย่างมาก
มู่น่อนน่อนหรี่ตาลงเล็กน้อย คิดไตร่ตรองความหมายในคำพูดนี้ของเขาไปอย่างละเอียด
ในคำพูดนี้ของมู่เจิ้งซิวแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่อยากให้มู่น่อนน่อนไป
มู่น่อนน่อนก็รู้สึกไม่เข้าใจอยู่สักพักนึง ทำไมมู่เจิ้งซิวถึงไม่ให้เธอลาออก
……
การลาออกล้มเหลว
ออกมาจากห้องทำงานของมู่เจิ้งซิวมู่น่อนน่อนก็ได้รับสายเฉินถิงเซียว
เธอถือโทรศัพท์เดินออกไปรับสายตรงมุม
“เขาอนุมัติหรือเปล่า?” เสียงของเขาเฉินถิงเซียวดังออกมาจากโทรศัพท์ เสียงทุ้มต่ำทำให้คนรู้สึกสบายใจ
มู่น่อนน่อนเดิมทีคิดว่ามู่เจิ้งซิวจะอนุมัติอย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายกลับต้องผิดหวังกลับมา ตอนนี้ได้ยินเสียงของเฉินถิงเซียว ในน้ำเสียงของเธอก็อดไม่ได้ที่จะหลุดความรู้สึกผิดออกมา “ไม่ค่ะ”
ทางเฉินถิงเซียวก็เงียบไปสักพัก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ตอนเลิกงานผมจะไปรับคุณเอง”
“ค่ะ”
มู่น่อนน่อนวางสายไปแล้วกว่าจะเข้าใจอะไรขึ้นมา คิดว่าเฉินถิงเซียวไม่เพียงแต่จะมารับเธอง่ายๆอย่างนั้น เหมือนกับว่าจะมาช่วยเธอจัดการเรื่องการลาออกนั่นเอง
จู่ๆก็ให้ความรู้สึกภูมิใจที่ว่า “ตัวเองก็มีแบ็คอัพเหมือนกัน”…
มู่น่อนน่อนกลับมาที่โต๊ะทำงาน ว่างไม่มีอะไรทำ ก็เลยเปิดวีแชทเข้าไปในกลุ่มเพื่อน
ทันทีที่เข้าไปก็ได้รับข้อความเป็นภาพที่แคปหน้าจอมา
เป็นข้อความที่เสิ่นเหลียงส่งมาหาเธอ
เป็นหน้าWeiboนั่นเอง เฉินถิงเซียวใช้บัญชีหลักของกู้จือหยั่นตอบคำว่า “เธอตาบอด” พวกนั้นออกไป และชาวเน็ตก็ได้แสดงความคิดเห็นคาดเดากันว่า กู้จือหยั่นกับซือเฉิงหยู้มีความสัมพันธ์กัน
มู่น่อนน่อนอ่านซ้ำๆอยู่หลายรอบ แล้วก็ได้เลื่อนไปยังข้อความด้านล่างตรงหน้าWeiboของกู้จือหยั่นไปอีกทีนึง ก็พบว่ามันเป็นเรื่องจริง!
คำค้นหายอดฮิตได้เปลี่ยนจาก “แฟนสาวลับลึกลับของซือเฉิงหยู้” ไปเป็น “ซือเฉิงหยู้กู้จือหยั่น” เรียบร้อยแล้ว
อิทธิพลจากคนดังในแวดวงบันเทิงนั้นมันสุดยอดอย่างมาก เพียงไม่กี่ชั่วโมง เรื่องเกี่ยวกับกู้จือหยั่นกับซือเฉิงหยู้นั้นก็ได้ถูกขึ้นเป็นคำค้นหายอดฮิตไปหลายอัน
เธอกลับมายังวีแชท ก็ได้รับข้อความที่เสิ่นเหลียงส่งมาหาเธอ “ฉันรู้อยู่แล้วว่า กู้จือหยั่นมันสันดานเป็นอย่างนี้แก้ไม่หายเลยจริงๆ!”
“เมื่อก่อนกู้จือหยั่นก็ชอบผู้ชาย?” มู่น่อนน่อนตกใจช็อกขึ้นมา
เธอนึกถึงที่เฉินถิงเซียวบีบคั้นกู้จือหยั่นขนาดนั้น แต่กู้จือหยั่นก็กล้ำกลืนอดทนมันเอาไว้อย่างนั้น ทันใดนั้นเองก็เกิดความกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
กู้จือหยั่นคงไม่ได้มีความคิดอะไรที่บอกคนอื่นไม่ได้…ต่อเฉินถิงเซียวหรอกมั้งใช่มั้ย?
เสิ่นเหลียงวุ่นอยู่กับการด่ากู้จือหยั่น ข้อความถูกส่งเข้ามาข้อความแล้วข้อความเล่าเหมือนกับปืนที่ยิงรัวเข้ามา จนเมินเฉยต่อคำถามนั้นของมู่น่อนน่อนไป
เพราะเหตุนี้เอง มู่น่อนน่อนจึงตกอยู่ในความเครียดกังวลไปตลอดทั้งบ่าย
จนกระทั่งตอนที่ใกล้จะเลิกงาน เธอก็ได้รับสายของเฉินถิงเซียว
“ผมอยู่ล่างตึกบริษัทมู่ซื่อ”
ทันทีที่ถึงเวลาเลิกงาน มู่น่อนน่อนก็รีบหยิบกระเป๋าลงไปด้านล่าง
รถของเฉินถิงเซียวจอดอยู่ตรงลานจอดรถฝั่งตรงกันข้ามบริษัทมู่ซื่อ ลดหน้าต่างรถลงครึ่งนึง เผยให้เห็นซีกหน้าที่ดูเยือกเย็นออกมา
มู่น่อนน่อนวิ่งเข้าไป ดึงประตูรถให้เปิดออกแล้วเข้าไปนั่งด้านในรถ
เฉินถิงเซียวหันไปมองเธอ บนใบหน้ายังคงไม่มีสีหน้าอะไรออกมา เขาเอื้อมมือออกไปปัดผมหน้าม้าที่วิ่งมาจนถูกลมพัดจนยุ่งให้มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเก็บกลั้นมาตลอดทั้งบ่าย ในที่สุดก็ได้เจอเฉินถิงเซียวสักที แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะปริปากพูดออกไปยังไง
เธอปริปากพูดออกไปด้วยความลังเล “คุณ…คิดว่ากู้จือหยั่นคนนี้เป็นยังไง?”
“จือหยั่น?” เฉินถิงเซียวเหมือนจะคิดอยู่สักพัก กว่าจะพูดออกมา “นิสัยขี้โมโหอยู่บ้าง แต่ความสามารถในการจัดการงานต่างๆนั้นทำได้ไม่เลวเลย”
เรียกกันได้อย่างสนิทสนมขนาดนี้ แล้วยังชมเขาอีก!
ในใจของมู่น่อนน่อนบีบรัดกันแน่น “ข่าวฉาวเรื่องผู้หญิงพวกนั้นของเขาเมื่อก่อนหน้านี้ มันเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกกัน?”
“เรื่องโกหก” เฉินถิงเซียวเห็นมู่น่อนน่อนเอาแต่ไล่ถามเรื่องกู้จือหยั่นอยู่ได้ สีหน้าก็ได้เปลี่ยนไปจนดูแปลกขึ้นมาเล็กน้อย
ข่าวฉาวเป็นเรื่องโกหก? งั้นมันจะต้องทำไปเพื่อปิดบังเรื่องที่เขาชอบผู้ชายเรื่องนี้อยู่แน่เลย
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนไป “งั้นเขา…”
“มู่น่อนน่อน” แต่เฉินถิงเซียวกลับเอ่ยขัดคำพูดของมู่น่อนน่อนด้วยเสียงต่ำออกมาทันที
มู่น่อนน่อนได้ยินอย่างนั้น ก็หยุดเสียงพูดลง เงยหน้าขึ้นมองไปยังเฉินถิงเซียว
เขาหรี่ลง แววตานิ่งขรึม “ตั้งแต่คุณขึ้นรถมา ก็เอาแต่พูดเรื่องผู้ชายคนอื่นกับผมตลอดเลย”
“ฉันก็แค่…”
เฉินถิงเซียวเอ่ยออกไปด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง “ให้เวลาคุณสามวิ ง้อผมเร็วเข้า”
สามวิ?
บทที่181 ความคิดคาดเดาที่บ้าบิ่นอย่างหนึ่ง
มู่น่อนน่อนตะลึงงันไปเล็กน้อย เลิกสายตามองไปทางเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวมีสีหน้าไม่สบอารมณ์นักออกมา “ช้า”
พูดจบ มือข้างนึงของเขาก็ถือกระเป๋าขึ้นมา มืออีกข้างก็จูงเธอออกไปด้านนอก
มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับไปมองดูมือที่เขาช่วยเธอถือกระเป๋าข้างนั้น ก้มหน้าลง เม้มริมฝีปากยิ้มจางๆออกมา
คุณชายเฉินก็มีตอนที่ใส่ใจคนอื่นเขาเหมือนกัน
……
ทั้งสองคนเข้ามานั่งในรถ เฉินถิงเซียวสตาร์ทรถไปพลาง เอ่ยพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจไปพลาง “หาเวลาไปลาออกซะ”
น้ำเสียงของเขาฟังดูไม่ใส่ใจเกินไป ใช้เวลาปาไปครึ่งนาทีเต็มๆ กว่ามู่น่อนน่อนจะได้สติกลับมารู้ว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่
“คุณบอกฉันหรอ?” มู่น่อนน่อนชี้หาตัวเอง
เฉินถิงเซียวหันไปมองเธอ สายตาสงบนิ่ง “ไม่อย่างนั้นล่ะ?”
“ทำไมจู่ๆถึงอยากให้ฉันลาออก?” คำพูดนี้ของเขาพูดออกมาปุบปับเกินไป มู่น่อนน่อนจึงรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณไม่อาจทำงานอยู่ที่บริษัทมู่ซื่อไปได้ตลอด มันเสียเวลาเกินไป” น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความจริงจัง “ยิ่งไปกว่านั้น คุณทำงานอยู่ที่บริษัทมู่ซื่อก็ไม่ได้มีความสุขเลยด้วย”
ตอนแรกเริ่มสุดนั้น เขานั้นอยากให้มู่น่อนน่อนเข้ามาที่บริษัทเสิ้งติ่ง แต่ในระหว่างนั้นเองมู่ลี่เหยียนก็วิ่งแจ้นมามอบโอกาสให้กับมู่น่อนน่อน ตัวมู่น่อนน่อนเองก็อยากไปบริษัทมู่ซื่อเหมือนกัน จึงปล่อยให้เธอไป
ถึงแม้ว่าจุดประสงค์ในตอนแรกนั้นบางทีอาจจะไม่ได้บริสุทธิ์ใจอะไรนัก แต่ตอนนี้ ความคิดของเขานั้นง่ายดายอย่างมาก คือหวังว่าเธอจะมีความสุขขึ้นมาสักนิด ได้ไปทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ
หลายครั้ง ที่เขากลับบ้านไปก็จะเห็นเธอขลุกอยู่กับการเขียนต้นฉบับ
เธอเรียนเอกโทรทัศน์และดิจิตอลมีเดียมา สิ่งที่เธอชอบคือสิ่งนี้
ถ้าเธอไม่อยากทำงาน ก็สามารถเป็นแม่บ้านฟูลไทม์อยู่ที่บ้านก็ได้ เงินที่เขาหามาก็เพียงพอให้เธอสิบคนกินไปสิบชาติก็ไม่หมด
ถ้าเธอมีสิ่งที่อยากทำ อยากทำงาน เขาก็สามารถจัดทีมให้เธอสักทีม ช่วยกวาดทางให้เธอ ให้เธอได้ขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุด
ปลายจมูกของมู่น่อนน่อนเริ่มแสบจมูกขึ้นมาเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่ย้อนแย้งคนหนึ่ง เขานั้นเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยม แต่ก็ไม่ได้เป็นคนเลวไปโดยสมบูรณ์ เขาเองก็อ่อนโยนเป็น เอาใจใส่เองก็เป็นเหมือนกัน อีกทั้งยังรู้จักเป็นห่วงเป็นใยว่าเธอจะมีความสุขหรือเปล่าด้วย
ภายในใจก็รู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาซ้ำๆ แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ตอบรับออกไปทันที
“ถ้าฉันออกจากบริษัทมู่ซื่อไป แล้วคุณจะสืบข่าวจากทางคุณปู่ของฉันได้ยังไง?”
เฉินถิงเซียวเหมือนได้ยินเรื่องตลกอะไรที่น่าขำขึ้นมาก็ไม่ปาน เอ่ยเยาะออกมา “อย่างคุณ คุณจะไปสืบข่าวอะไรจากทางคุณปู่ของคุณได้บ้าง?”
น้ำเสียงฟังดูเหน็บแนมอย่างไม่มีปิดบังเลยแม้แต่น้อย
ที่เมื่อกี้เธอยังคิดว่าเฉินถิงเซียวนั้นดีมากออกมา! โกหกทั้งเพ!
“ใครบอกฉันไม่ได้เรื่องกัน!” มู่น่อนน่อนส่งเสียงฮึดฮัดออกมา กำหมัดเล็กๆทุบลงไปบนบ่าของเขาไปทีนึง
เฉินถิงเซียวใช้มือข้างที่ว่างรับหมัดเล็กๆของเธอเอาไว้ ประกบจูบลงไป ในน้ำเสียงยังแฝงไปด้วยความขี้เล่น “ขับรถ อย่ากวน”
ตั้งแต่ที่มู่น่อนน่อนอยู่ที่โรงแรมจีนติ่งกับเฉินถิงเซียวคืนนั้น เรื่องที่ใกล้ชิดกันก็ทำมาไม่น้อย แต่บางครั้งตอนที่เฉินถิงเซียวทำการกระทำที่ดูใกล้ชิดกันอย่างเป็นธรรมชาติพวกนี้ เธอก็ยังรู้สึก…เขินอายอยู่นิดหน่อย
เธอหน้าแดง แอบชักมือกลับมา แต่กลับพบว่าชักกลับมาไม่ได้
เธอกระตุกแขนตัวเองไปเล็กน้อย “คุณปล่อยนะ”
เฉินถิงเซียวก็ไม่หันกลับมาด้วยซ้ำ “ขับรถ อย่าซน”
คนขี้โกง!
มู่น่อนน่อนหันไปอีกทางนึง ตลอดการเดินทางก็ได้ถูกเขาจับมือไปอย่างนี้
……
ซือเฉิงหยู้เป็นพี่ใหญ่ของเฉินถิงเซียว แล้วยังเป็นดาราตัวท็อปของบริษัทเสิ้งติ่งอีกด้วย เบื้องหลังจะต้องมีทีมประชาสัมพันธ์ที่สุดยอดที่สุดอยู่แล้ว
เกี่ยวกับคำค้นหายอดฮิตที่ว่าแฟนสาวลึกลับของซือเฉิงหยู้เพียงไม่นานก็จมหายไป
เพจหลักของบริษัทเสิ้งติ่ง ยังทำการอธิบายและแถลงการณ์ต่อเรื่องนี้ออกมาด้วย
“เมื่อเร็วๆนี้ มีข่าวลือเกี่ยวกับแฟนสาวลึกลับของคุณซือเฉิงหยู้ศิลปินของเราแพร่กระจายไปทั่วทั้งโลกออนไลน์ ได้มีการสืบทราบความจริงมาแล้วว่าเป็นข่าวเท็จ…”
ซือเฉิงหยู้ในฐานะที่เป็นนักแสดงอายุน้อยที่สุดที่ได้ชิงรางวัลมามากมาย มีแฟนคลับจำนวนนับไม่ถ้วน ทันทีที่คำแถลงการณ์ของทางบริษัทออกมา ก็เลยมีแฟนคลับมากหน้าหลายตาเข้ามาประสมโรงกัน
“ถ้าไม่ใช่แฟน แล้วผู้หญิงที่อยู่ในรูปคนนั้นเป็นใคร?”
“พูดมาตั้งนาน บอกมาแค่ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่แฟนของซือเฉิงหยู้ ซือเฉิงหยู้กำลังจีบหล่อนอยู่หรือเปล่า?”
“อยากรู้จริงๆเลยว่าผู้หญิงที่ถูกซือเฉิงหยู้มองจะเป็นยังไง…”
“รู้สึกว่าทั้งสองคนมีหน้าตาที่เหมาะสมกันนะ!”
“คิดว่าแถลงข่าวอันนี้มันไม่จริงเลย!”
“…”
กู้จือหยั่นขลุกอยู่ที่โซฟาในห้องทำงานของเฉินถิงเซียว อ่านความคิดเห็นไปพลาง แล้วยังพูดส่งเสียงออกมาด้วยอย่างไม่กลัวตาย
อ่านจบก็ยังหัวเราะทุบโต๊ะออกมา “โห การมโนของชาวเน็ตพวกนี้มันสุดยอดไปเลย!”
เฉินถิงเซียวใบหน้ามืดครึ้ม น้ำเสียงเยือกเย็นเสียจนแทบจะมีตะกอนน้ำแข็งหลุดออกมา “หุบปาก”
มู่น่อนน่อนขึ้นคำค้นหายอดฮิตด้วยกันกับซือเฉิงหยู้ เดิมทีแล้วเขาเองก็มีอารมณ์คุกรุ่นอยู่แล้ว แต่ดันอยู่ต่อหน้ามู่น่อนน่อน เขาจึงระเบิดออกไปไม่ได้
ตอนนี้คนในโลกออนไลน์กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าต่างพากันบอกว่ามู่น่อนน่อนกับซือเฉิงหยู้นั้นเหมาะสมกัน เขาจะต้องทนไม่ไหวอยู่แล้ว
เฉินถิงเซียวเปิดบทความแถลงข่าวหน้าเพจหลักนั้น ด้านล่างได้มีหลายหมื่นความคิดเห็นไปแล้ว
ตรงท็อปคอมเม้นต์นั้น ได้เป็นคำพูดนี้พอดี “รู้สึกว่าหน้าตาของทั้งสองคนเหมาะสมกันดี”
เฉินถิงเซียวยิ้มเย็นออกมา จากนั้นก็กดแสดงความคิดเห็นออกไป “เธอตาบอดแล้ว?”
เขาไปแสดงความคิดเห็นในทุกๆความคิดเห็นที่บอกว่ามู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวนั้นเหมาะสมกัน ก็จะตอบคำพวกนี้กลับไป
กู้จือหยั่นถูกเฉินถิงเซียวว่าเอา ก็ได้หุบปากไปอย่างว่าง่าย จากนั้นก็กลับไปเลื่อนอ่านWeiboต่อ
อ่านไปครึ่งนึง Weiboของเขาก็หลุดจากการเชื่อมต่อ
เขาหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว “นายเข้าWeiboฉัน?”
“อืม” เฉินถิงเซียวไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา ยังคงตอบWeiboที่บอกว่าซือเฉิงหยู้กับมู่น่อนน่อนเหมาะสมกันอยู่
“เข้าWeiboฉันทำอะไร?”
กู้จือหยั่นเดินเข้ามาด้วยใบหน้าอยากรู้อยากเห็น จากนั้นก็เห็นว่าเฉินถิงเซียวกำลังตอบคำว่า “เธอตาบอด” คำนี้อยู่พอดี
เขาตะโกนออกมาเสียงดัง “นายกำลังทำอะไรอยู่! นายเอาบัญชีWeiboของฉันมาทำอะไร! นี่มันเป็นบัญชีหลักของฉันนะ!”
Weiboของกู้จือหยั่นนั้นก็คือ: ประธานบริษัทเสิ้งติ่ง
เฉินถิงเซียวไม่สนใจเขา ยังคงตอบข้อความอยู่เหมือนเดิม
ในเวลานี้ มือถือของเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้นมา
เขาก็เหลือบมองไปเล็กน้อย พบว่าเฉินอันหลินเป็นคนโทรเข้ามา
การกระทำในมือก็หยุดชะงักไป เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเดินไปยังด้านหน้าหน้าต่างเพื่อรับโทรศัพท์
กู้จือหยั่นถือโอกาสนี้ รีบเปลี่ยนรหัสผ่านWeiboไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เข้าสู่ระบบWeiboในโทรศัพท์
ปกติแล้วบัญชีหลักของกู้จือหยั่นจะมีหลายข้อความที่ไม่ได้อ่านและคนที่แอดมา แต่ก็ไม่ได้ร้อนแรงเท่าวันนี้
เขากดเปิดท็อปWeiboของตัวเอง อ่านข้อความด้านล่าง
ทั้งหมดต่างเป็นรูปที่ได้แคปมาที่เฉินถิงเซียวใช้บัญชีของเขาตอบไปว่า “เธอตาบอด”
“ประธานกู้ วันนี้คุณเป็นอะไรไป?”
“เกรงว่าสมองคงเสื่อมไปแล้ว!”
“ประธานกู้คุณเป็นอย่างนี้ ทำให้พวกเรากลัวกันมากเลยนะ”
“ฉันไปเสิร์ชดูข่าวบันเทิงช่วงนี้มา พบว่าไม่น่าเชื่อเลยว่าประธานกู้ของเราจะไม่มีข่าวฉาวมาเดือนนึงแล้ว แล้วจึงคิดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่ประธานกู้ทำลงไปเมื่อกี้นี้…ฉันมีความคาดเดาที่บ้าบิ่นผุดขึ้นมาอย่างนึง!”
“ฉันเองก็มีความคาดเดาที่บ้าบิ่นขึ้นมาเหมือนกัน!”
“…”
“การคาดเดาที่บ้าบิ่นก็คือ! ประธานกู้แอบรักราชาภาพยนตร์ซือ!”
“#ท่านประธานจอมเผด็จการกับราชาภาพยนตร์#เรื่องที่ไม่เล่าไม่ได้…”
ใจที่อยากจะตายเสียให้ได้ของกู้จือหยั่นเกิดออกมาหมด
เฉินถิงเซียวก็ได้คุยโทรศัพท์เสร็จและได้เดินกลับมาพอดี กู้จือหยั่นเดินถือโทรศัพท์ไปตรงหน้าเขาด้วยใบหน้าเศร้า “คุณชายมู่ นายดูสิว่านายทำเรื่องงามหน้าเอาไว้!”
เฉินถิงเซียวอ่านไปจนจบด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ พร้อมทั้งเอ่ยนิ่งๆออกมา “ประเด็นเปลี่ยนไปแล้ว เป็นกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ที่ไม่เลวเลย”
กู้จือหยั่น “…” จู่ๆก็อยากกระโดดตึกขึ้นมา
บทที่ 179 ซือเฉิงหยู้และภรรยาบนฮอตเซิร์ช!
เรื่องของเฉินถิงเซียวเปิดเผยออกมาแล้ว ซึ่งมันมีผลกระทบต่อมู่น่อนน่อนด้วย
ก่อนหน้านี้เธออยู่บริษัทมู่ซื่อ พวกเพื่อนร่วมงานทั้งมากน้อยเพราะสามารถหาเหตุผลมารักษาความสมดุลในจิตใจได้เล็กน้อยว่าเฉินถิงเซียวคือ‘คนไร้ประโยชน์’ ดังนั้นก็จะพูดคุยกับมู่น่อนน่อน
และตอนนี้หลังจากเรื่องราวของเฉินถิงเซียวถูกเปิดเผย พวกเพื่อนร่วมงานเหล่านั้นก็มองมู่น่อนน่อนเปลี่ยนไป มีทั้งตีสนิทและดูถูก
อาจเพราะรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนหลอกลวงพวกเขา
ในใจมู่น่อนน่อนมากน้อยก็สามารถอ่านความคิดของพวกเขาออกได้บ้าง ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจ
“มู่น่อนน่อนนั่นสร้างภาพน่าสงสาร พวกเรายังอุตส่าห์ทำดีต่อเธอ ผลที่ได้คือเฉินถิงเซียวเป็นคนปกติและสุขภาพดีแต่แรก บางทีเธอคงจะแอบหัวเราะเยาะเรา…”
“คุณก็อย่าพูดแบบนี้ ไม่แน่ว่าตัวเธอก็รู้…”
“ไม่เอาน่ะ เธอจะรู้ได้ยังไง”
“ช่างสิ…เอ้อ คุณดูฮอตเซิร์ชนี่สิ ราชาภาพยนตร์ซือเขา…”
ผู้หญิงหลายคนพูดในขณะที่เดินออกไป เสียงจึงหายไปอย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ด้านในห้องน้ำที่ทำธุระส่วนตัว ได้ยินเสียงเท้าคนเดินค่อยๆ หายไปแล้วถึงเพิ่งเปิดประตูออกมา
บนโลกนี้มีบางคน จะใช้เจตนาร้ายอย่างเต็มที่ไปคาดเดาคนอื่น
แต่เธอก็ปกปิดสถานการณ์ของเฉินถิงเซียวเอาไว้จริงๆ
ทุกคนไม่ใช่คนซื่อสัตย์ ความสัมพันธ์ก็ทั่วไป เอาตามแต่พวกเธอจะพูดไปก็แล้วกัน
มู่น่อนน่อนเปิดก๊อกล้างมือ แล้วเอากระดาษทิชชู่เช็ดมือ ก่อนจะได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงที่ร้อนรนกระทบพื้น
เสียงหนึ่งใกล้กว่าอีกเสียง เสียงหนึ่งดังกว่าอีกเสียง เป็นการเดินมาทางห้องน้ำ
มู่น่อนน่อนโยนกระดาษเช็ดมือลงถังขยะ เดินไปที่ประตูทางออกห้องน้ำ เดินถึงปากประตู เธอก็เห็นมู่หวั่นชีที่ท่าทางดุร้าย
มู่หวั่นชีสีหน้างอง้ำ เอื้อมมือมาผลักมู่น่อนน่อนกลับเข้าไปในห้องน้ำทันที หลังจากนั้นก็ยื่นมือไปข้างหลังปิดประตูห้องน้ำ
“มู่น่อนน่อน เมื่อก่อนฉันประเมินเธอต่ำไปจริงๆ เธอกล้ามากนะ ตลอดมาปกปิดสถานการณ์ของเฉินถิงเซียว แถมยังคบกับซือเฉิงหยู้อีกเหรอ!”
ประโยคนี้ มู่หวั่นชีแทบจะเค้นลอดไรฟันออกมาทีละคำ สายตาคมกริบเหมือนจะสามารถพ่นไฟได้ในวินาทีข้างหน้า
มู่น่อนน่อนได้ยินสามคำ‘ซือเฉิงหยู้’ แล้วแปลกใจนิดหน่อย
มู่หวั่นชีดูท่าทางโกรธมาก เช่นนั้นจึงไม่หาเรื่องใส่ตัว
มู่หวั่นชีเห็นมู่น่อนน่อนไม่พูดอะไร ก็คิดได้ว่าไม่เพียงมู่น่อนน่อนยอมรับคำพูดของเธอ แถมยังเหยียดหยามเธอด้วย
เธอยกมือขึ้น ต้องการจะตบหน้ามู่น่อนน่อน
ส่วนมู่น่อนน่อนที่สู้กับมู่หวั่นชีมานาน ก็รู้อารมณ์ของมู่หวั่นชีอยู่ก่อนแล้ว
ตอนที่มู่หวั่นชียกมือขึ้น มู่น่อนน่อนจึงคาดการณ์การเคลื่อนไหวของมู่หวั่นชีออก เธอยกมือขึ้นจับมือมู่หวั่นชีเอาไว้
ทักษะของเธอไม่ได้ดีเท่าเสิ่นเหลียง แต่มันก็เกินพอจะจัดการมู่หวั่นชี
มู่น่อนน่อนกระตุกมุมปาก ดวงตาที่เหมือนแมวเย็นชา เอ่ยคำพูดเย้ยหยันและเฉียบคม “นอกจากเอะอะก็จะตบคน เธอทำอะไรได้บ้าง หาคนเล่นกลุ่มPงั้นเหรอ หยาบคายไร้เหตุผลเหรอ”
“เธอหุบปาก! เธอมีคุณสมบัติอะไรมาพูดกับฉัน!” มู่หวั่นชีต่อสู้ครู่หนึ่ง ก็ยังไม่สามารถดึงมือตัวเองออกจากมือของมู่น่อนน่อนได้ จึงยิ่งทำให้โมโหหนักขึ้น
“แล้วเธอมีคุณสมบัติอะไรมาให้ฉันหุบปาก เธอเป็นแม่ฉันหรือไง” มู่น่อนน่อนหัวเราะเย็นชา “ต่อให้เป็นแม่ฉันมาเอง เธอคิดว่าฉันจะฟังท่านงั้นเหรอ”
มู่น่อนน่อนนึกถึงก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ว่าตอนที่ผู้หญิงพวกนั้นออกไป เธอได้ยินพวกเธอพูดถึงฮอตเซิร์ชของซือเฉิงหยู้
สายตาเหลือบไปมองโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมืออีกข้างของมู่หวั่นชี มือมู่น่อนน่อนเอื้อมไปทันที แล้วดึงเอามือถือมาจากมือของเธอ
หน้าจอยังไม่ดับ มันยังคงอยู่ในหน้าฮอตเซิร์ชของเว่ยป๋อพอดี
แฮชแท็กในฮอตเซิร์ชดึงดูดสายตาและความสนใจของผู้คนอย่างที่สุด
#เปิดโปงแฟนสาวลึกลับของราชาภาพยนตร์ซือ#
มู่น่อนน่อนเห็นฮอตเซิร์ชนี้แล้วรู้สึกหนังศีรษะตึง
เลื่อนลงไปอีกจนได้เห็นภาพถ่ายที่ด้านล่าง เป็นวันที่เธอกลับมาจากการเดินทางธุรกิจ มันถูกถ่ายตอนเจอซือเฉิงหยู้ที่สนามบิน
คุณภาพของภาพไม่สูงมากนัก ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน แต่เป็นคนสองคนที่สนิทสนมกัน และยังสามารถจำเธอได้ในพริบตา
ในรูป ซือเฉิงหยู้ถือกระเป๋าเดินทางนำหน้า มู่น่อนน่อนก้มหน้าเดินตามหลัง
อีกหนึ่งภาพถ่ายที่ลานจอดรถ
ถึงแม้ว่าคนในรูปจะไม่ได้มีพฤติกรรมที่คลุมเครือ แต่มันกลับให้ความรู้สึกกลมกลืนและความเป็นคู่รักที่อธิบายไม่ได้
มู่น่อนน่อนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ยัดโทรศัพท์มือถือคืนให้มู่หวั่นชี ก่อนจะผลักเธอแล้วเดินออกไป
“มู่น่อนน่อน เธอหยุดนะ อธิบายกับฉันให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้!” มู่หวั่นชีตกใจกับการกระทำมากมายในชั่วพริบตาที่ชำนาญคล่องแคล่วปราดเปรียวของมู่น่อนน่อนแวบหนึ่ง ก่อนที่จะได้สติแล้วตามไป
มู่น่อนน่อนเดินไปด้วยและส่งข้อความวีแชทถึงซือเฉิงหยู้ไปด้วย
ซือเฉิงหยู้คงจะยุ่งอยู่ ดังนั้นจึงไม่ตอบกลับเธอ
เรื่องนี้แน่นอนว่าต้องให้ซือเฉิงหยู้ออกหน้าแก้ปัญหา
ผ่านไปไม่นาน ซือเฉิงหยู้ก็ส่งข้อความกลับมาหาเธอ ส่งที่อยู่ให้เธอแล้วบอกว่า “มาเจอกันแล้วค่อยคุย”
เวลานี้มู่หวั่นชีไล่ตามมาถึงแล้ว “เธอหนีทำไม เธอพูดมาให้ชัดๆ เลยนะ!”
มู่น่อนน่อนไหนเลยยังมีแก่ใจมาสนใจมู่หวั่นชี เอากระเป๋ามาถือแล้วออกไปทันที
ออกจากบริษัทมู่ซื่อ เมื่อมู่น่อนน่อนโบกรถแท็กซี่นั่งไปถึงยังสถานที่ที่ซือเฉิงหยู้บอกมาแล้ว พบว่ามันดูเหมือนจะเป็นโรงน้ำชาระดับไฮเอนด์
เธอยังไม่ได้ลงรถ เพิ่งเอาเงินจ่ายให้คนขับ ตอนที่รอคนขับทอนเงิน ก็เห็นซือเฉิงหยู้เดินออกมาจากข้างใน
เพียงแต่สีหน้าท่าทางของซือเฉิงหยู้ดูค่อนข้างผิดปกติ มีสีหน้าซีดขาว มันถึงขั้นดูเหมือนขวัญหนีดีฝ่อ
“คุณผู้หญิง เงินทอนได้แล้วครับ”
เสียงของคนขับดึงความคิดของมู่น่อนน่อนกลับมา
“ขอบคุณค่ะมาสเตอร์” มู่น่อนน่อนรับเงินทอนมา ตอนที่เปิดประตูลงจากรถ ร่างของซือเฉิงหยู้ก็หายไปแล้ว
มู่น่อนน่อนค้นหาโดยรอบ แต่กลับไม่พบร่างของซือเฉิงหยู้เลย
เธอส่งวีแชทหาซือเฉิงหยู้ “ฉันถึงแล้ว คุณอยู่ไหน”
ไม่มีการตอบกลับเธอ
แล้วมู่น่อนน่อนก็เอามือถือออกมาโทรหาซือเฉิงหยู้ แต่ก็ไม่มีคนรับ
นึกถึงสีหน้าแปลกๆ ของซือเฉิงหยู้เมื่อครู่ แล้วมู่น่อนน่อนก็โทรหาเฉินถิงเซียว
สายเชื่อมต่อแล้วดังสองครั้ง ก่อนที่ปลายสายจะมีเสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดังมา “คุณอยู่บริษัทไหม”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวในสายเป็นกระแสเสียงฟังดูมีเสน่ห์นัก ได้ยินแล้วรู้สึกสบายใจมาก
มู่น่อนน่อนถามเขาก่อน “คุณเห็นฮอตเซิร์ชบนอินเตอร์เน็ตแล้วหรือยัง”
“ฮอตเซิร์ชอะไร” เฉินถิงเซียวเพิ่งเสร็จสิ้นการประชุม และฮอตเซิร์ชของซือเฉิงหยู้ก็ไม่ได้ออกมานานนัก เขาจึงยังไม่รู้เรื่องนี้เลย
พอดีกับที่เวลานี้กู้จือหยั่นผลักประตูเข้ามา “ถิงเซียว เกิดเรื่องแล้ว! ราชาภาพยนตร์ซือของครอบครัวคุณกับภรรยาคุณกำลังอยู่ในฮอตเซิร์ช!”
“……”
น้ำเสียงของกู้จือหยั่นดังมาก มู่น่อนน่อนที่ปลายสายก็ได้ยิน
เดิมทีเธอกับซือเฉิงหยู้ไม่ได้มีอะไรกัน แต่คำพูดที่ออกมาจากปากของกู้จือหยั่น ทำไมถึงเปลี่ยนรสชาติไปแบบนี้ล่ะ
เฉินถิงเซียวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมานิ่งๆ ว่า “ตอนนี้ผมรู้แล้ว”
มู่น่อนน่อนรู้สึกผิดอย่างอธิบายไม่ได้ จึงอธิบายว่า “ก็คือวันนั้นที่สนามบิน เขากับฉันอาจจะถูกแอบถ่าย”
บทที่ 178 ข่มขู่มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวไปทานอาหารเป็นเพื่อนคุณปู่เฉินแล้วตั้งใจจะกลับ
ก่อนกลับ คุณปู่เฉินเรียกมู่น่อนน่อนไว้ “เธออยู่ก่อน ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
คลุกคลีมาหนึ่งวัน มู่น่อนน่อนสัมผัสได้ว่าคุณปู่เฉินเป็นคนที่เข้าถึงง่าย อาจจะมีอารมณ์แปลกๆ อยู่บ้าง แต่มันก็ไม่เป็นปัญหา
ดังนั้นเมื่อเธอได้ยินว่าคุณปู่เฉินบอกว่าต้องการคุยกับเธอ จึงเดินตามไปโดยไม่ลังเล
บังเอิญว่าเดินไปแค่สองก้าว ก็ถูกเฉินถิงเซียวจับไว้
เห็นสีหน้าคุณปู่ตระกูลเฉินเปลี่ยนไป มู่น่อนน่อนจึงรีบขยิบตาให้เฉินถิงเซียว ทำปากพูดกับเขาว่า “ปล่อยเร็ว”
คุณปู่เฉินถอนหายใจที่ไม่สามารถตีเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ “ฉันแค่จะพูดกับเธอสองประโยค ฉันจะกินเธอได้หรือไง”
“โอ้” เฉินถิงเซียวแกล้งตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง แล้วปล่อยมู่น่อนน่อน
คุณปู่ตระกูลเฉินถลึงตาใส่เขา เหมือนกับหวังจะได้วิ่งไปตีเขาสักที
มู่น่อนน่อนรีบเดินเข้าไปช่วยประคองคุณปู่เฉินเข้าไปในห้อง
หลังจากเข้าไป คุณปู่เฉินปรับอารมณ์ร้อนก่อนหน้านี้ในทันที เปลี่ยนสีหน้าเป็นสงบลง
“ฉันรู้ว่าเมื่อก่อนเธอไม่เต็มใจแต่งงานกับถิงเซียว” ทันทีที่เขาเปิดปากพูด คำพูดที่ออกมาทำให้มู่น่อนน่อนตกใจมาก
เธอไม่ได้ตอบในทันที รอให้คุณปู่เฉินพูดต่อไป
“เธอเป็นเด็กฉลาด ธรรมชาติแล้วคงมองออกได้ว่าถิงเซียวรักเธอ ในเมื่อแต่งงานให้เธอแล้ว ก็ให้เป็นคุณหญิงน้อยของตระกูลเฉินโดยชอบธรรม เราตระกูลเฉินจะไม่ปฏิบัติต่อคนของตระกูลในทางไม่ดี”
ถึงแม้คุณปู่เฉินจะแสดงจุดยืนของตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ข่มขู่มู่น่อนน่อนด้วย
ถ้าเธอนอกใจเฉินถิงเซียว ไม่ต้องรอให้เฉินถิงเซียวลงมือ คุณปู่เฉินจะไม่มีทางปล่อยเธอแน่
มองออกได้ว่าคุณปู่เฉินรักเฉินถิงเซียวมากจริงๆ
ก็ไม่น่าแปลกใจว่าเฉินถิงเซียวที่รังเกียจตระกูลเฉิน เมื่อรู้ว่าคุณปู่ตระกูลเฉินโทรมาบอกให้เขากลับตระกูลเฉิน เขายังยินดีจะกลับมา
สำหรับการข่มขู่ของคุณปู่เฉิน มู่น่อนน่อนก็ไม่รังเกียจ กลับกันยังยิ้มและพูดว่า “คุณปู่คะ ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์เป็นกันและกัน ระหว่างฉันกับเฉินถิงเซียว และคุณกับเฉินถิงเซียวก็เป็นแบบเดียวกันค่ะ”
คุณปู่เฉินดีต่อเฉินถิงเซียว โดยธรรมชาติแล้วเฉินถิงเซียวก็จะฟังคำพูดของเขา
เฉินถิงเซียวดีต่อเธอ โดยธรรมชาติแล้วเธอก็จะไม่มีการเอาใจเป็นอื่น
เมื่อได้ยินคำพูดนี้คุณปู่เฉินก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมาฉับพลัน “สาวน้อยเกทับเก่งใช้ได้ทีเดียวนะ เอาล่ะ รีบไปเถอะ อย่าปล่อยให้เจ้าเด็กบ้านั่นรอนาน ไม่อย่างนั้นจะหันมาหัวร้อนใส่ฉันอีก”
“งั้นฉันไปก่อนนะคะ มีเวลาจะมาหาคุณอีกค่ะ”
เมื่อมู่น่อนน่อนออกไป ก็ไม่เห็นร่างของเฉินถิงเซียว
เดินออกไปข้างนอก ก็เห็นเฉินถิงเซียวยืนคุยอยู่กับเฉินอินหย่า
ต้องบอกว่า ท่วงท่าการยืนของตระกูลเฉินนั้นยอดเยี่ยมมาก เฉินอินหย่าดูสวยงาม ส่วนเฉินถิงเซียวก็สุดยอดในหมู่ผู้ชาย ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน ช่างเจริญตาสบายใจ
มู่น่อนน่อนตั้งใจจะเดินเข้าไปหลังจากสองคนนั้นคุยกันจบ แต่เหมือนเฉินถิงเซียวจะมีตายาวมาถึงหลังหัว จู่ๆ ก็หันหน้ามามองยังทิศทางของเธอ
มู่น่อนน่อนจึงจำต้องเดินเข้าไป
เฉินอินหย่าก็มองมาตามสายตาของเฉินถิงเซียวด้วย เมื่อเธอเห็นมู่น่อนน่อน ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาเกิดแววประหลาดใจแวบขึ้นมาฉับพลัน “เธอ…”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ต้องการแนะนำมู่น่อนน่อนให้เฉินอินหย่ารู้จัก ตรงเข้าไปโอบไหล่ของเธอและจะเดินออกไป “ไปเถอะ”
เฉินอินหย่าส่งเสียงเรียกเขาอย่างไร้สติ “พี่ชายสาม”
ในบรรดาตระกูลเฉินรุ่นหลัง ซือเฉิงหยู้เป็นพี่ใหญ่ ที่สองคือพี่สาวฝาแฝดของเฉินถิงเซียว ตามการจัดอันดับ เฉินถิงเซียวเป็นลำดับที่สาม
ทุกคนในตระกูลที่เด็กกว่าเฉินถิงเซียวล้วนเรียกเขาว่าพี่ชายสาม
เฉินถิงเซียวไม่ได้หันกลับไป แต่มู่น่อนน่อนหันกลับมามองเฉินอินหย่าอย่างเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
เฉินอินหย่าคิดไปถึงสิ่งที่ตัวเองพูดกับมู่น่อนน่อนก่อนหน้านี้ หน้าก็แดงขึ้นมาโดยทันที
ตอนที่ยังเด็กเธอเล่นสนุกกับเฉินถิงเซียวอย่างดี ต่อมาแม่ของเฉินถิงเซียวเกิดเรื่อง เขาสองคนออกไปจากบ้านเก่าและไม่มีความสนิทสนมอีก ต่อมาได้ยินว่าเฉินถิงเซียวเกิดปัญหากับร่างกายจนเสียโฉม เธอก็ไม่ได้ติดต่อกับเฉินถิงเซียวอีกเลย
แม้ว่าเธอจะไปเป็นพิธีกรสถานีโทรทัศน์ ก็ไม่ได้เปิดเผยตัวว่าเป็นคนของตระกูลเฉิน เพราะกลัวว่าคนอื่นได้รู้ภายหลังแล้วจะถามเธอเรื่องของเฉินถิงเซียว เธอรู้สึกอับอาย
ไม่กี่วันที่ผ่านมาหลังจากที่มีการเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของเฉินถิงเซียว ความคิดของเธอก็เริ่มกระตือรือร้น คิดหาเวลาไปพบเฉินถิงเซียว
เพราะท้ายที่สุดแล้วเฉินถิงเซียวนั้นเป็นทายาทสืบทอดบริษัทเฉินซื่อที่แท้จริงเพียงผู้เดียว ในอนาคตเขาจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งตระกูลเฉิน พวกพี่น้องทุกคนทั้งหญิงชายล้วนต้องพึ่งพาบารมีของเขา
เธอยังไม่ทันได้ทำอะไร ก็ได้ยินว่าเฉินถิงเซียวพาภรรยาหมาดๆ กลับมาบ้านเก่า เธอจึงกลับมาพบเป็นพิเศษ
แต่คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงก่อนหน้านี้ที่เธอคิดว่าพวกลูกพี่ลูกน้องพากลับมาค้างคืน ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นภรรยาหมาดๆ ของเฉินถิงเซียว!
ก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะพูดจาไร้สาระต่อหน้าเฉินถิงเซียวหรือไม่…
เฉินอินหย่าคิดว่าตัวเองยังต้องหาโอกาสไปหาเฉินถิงเซียวอีกครั้ง ต้องพยายามเชื่อมความรู้สึกดีๆ กับเฉินถิงเซียว…
……
ในรถ มู่น่อนน่อนที่นั่งอยู่เบาะหลัง แผ่นหลังพิงพนัก ลืมตาจ้องมองหลังคารถด้วยสายตาว่างเปล่า
เฉินถิงเซียวเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเธอ “เหนื่อยเหรอ”
“นิดหน่อย”
ที่จริงมันไม่ใช่แค่นิดหน่อย เธอรู้สึกเหนื่อยมาก
ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะให้เธอไม่ต้องมีภาระทางจิตใจ ให้เธอเป็นตัวของตัวเอง แต่เธอจะไม่มีภาระทางจิตใจได้อย่างไร
เฉินถิงเซียวรังเกียจตระกูลเฉิน แต่เขาไม่สามารถแยกความสัมพันธ์กับตระกูลเฉินได้ ถึงแม้เธอจะใช้ชีวิตอยู่กับเฉินถิงเซียว แต่ก็ยังคิดว่าจะทำตัวดีๆ กับตระกูลเฉิน ไม่สร้างปัญหาให้เขา
ระมัดระวังตัว กลัวจะผิดพลาด จะพูดจะถามคุณปู่เฉิน เธอต้องระวังกิริยา
เฉินถิงเซียวดึงเธอเข้าอ้อมแขน เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเหนือศีรษะของเธอ “ต่อไปถ้าไม่มีอะไรก็จะไม่กลับไปบ้านเก่าแล้ว”
“คุณจะไม่กลับไปเยี่ยมคุณปู่เหรอ ฉันคิดว่าเขาอยากให้คุณกลับไปเยี่ยมเขา” มู่น่อนน่อนพิงอกของเขา น้ำเสียงอู้อี้
จู่ๆ เสียงของเฉินถิงเซียวก็เย็นชาขึ้นมา “ต่อให้ผมไม่กลับไปเยี่ยมเขา เขาก็ยังกินได้นอนหลับอยู่สบายเหมือนเดิมนั่นแหละ”
มู่น่อนน่อนยืดตัวขึ้น พบว่าสีหน้าของเฉินถิงเซียวเปลี่ยนไปอย่างที่คิด
“เกิดอะไรขึ้น” ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่เหรอ
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร แค่เอนศีรษะเข้าไปจูบเธอ
มู่น่อนน่อนดันเขา ด้านหน้ายังมีสือเย่ขับรถอยู่นะ!
แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่สนใจ จับศีรษะของเธอไว้แล้วจูบเธอต่อไป
สือเย่นั่งตัวตรงไม่ชำเลืองมอง
ใครจะมาเข้าใจความรู้สึกของคนหนุ่มสาวที่หย่าร้างในเวลานี้
ทันทีที่จูบเสร็จ ทั้งสองก็หายใจหอบเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวกอดเธอโดยไม่พูดอะไร แต่กลับมีความคิดบางอย่าง
เช้าตรู่ ที่เขาล่วงหน้าไปหาคุณปู่ ก็เพราะไปสอบถามรายละเอียดในคดีของแม่เขาในปีนั้น
ตอนนั้นคุณปู่พูดอย่างไรน่ะเหรอ
“เรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว คนเราต้องมองไปข้างหน้า ถ้าวิญญาณของแม่แกอยู่บนสวรรค์ ก็คงหวังให้แกมีชีวิตที่ดีของตัวเอง มองไปข้างหน้า”
ความหมายในคำพูดโดยนัยและโดยนอกของคุณปู่เฉิน ก็คือไม่ให้เขาสืบเรื่องของแม่ในปีนั้นอีก
เพราอะไรไม่ให้เขาสืบ
กลัวว่าเขาจะสืบพบเรื่องน่ากลัวอะไรงั้นเหรอ
แต่เขาจะต้องสืบให้ได้
บทที่ 177 ปีนขึ้นกิ่งไม้ไปเป็นนกฟีนิกซ์
มู่น่อนน่อนอยู่ในห้องมองดูตรงนี้แตะตรงนั้น หน้าตาท่าทางอยากรู้อยากเห็น อยู่ตรงมุมโต๊ะ เธอเห็นภาพถ่ายของผู้หญิงกับเด็กภาพหนึ่ง
ภาพนี้ถ่ายในช่วงฤดูร้อน เด็กผู้ชายในภาพน่ารักมาก ใส่ชุดนักเรียนกางเกงขาสั้นเสื้อแขนสั้น ยิ้มกว้างให้กล้อง เป็นรอยยิ้มที่สดใสมาก
ส่วนผู้หญิงข้างๆ เขา สวมใส่ชุดเดรสสีขาวพอดีตัว รอยยิ้มอ่อนโยน ใบหน้าสงบสุขุมตกแต่งบางเบา
“คุณแม่ผมเอง”
เสียงแหบเล็กน้อยของเฉินถิงเซียวดังมาข้างหลัง
จากนั้นมือของเขาก็โอบรอบเอวเธอ หน้าอกแข็งแกร่งและอบอุ่นแนบชิดแผ่นหลังของเธอ เธอถูกห่อหุ้มด้วยไอเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของเฉินถิงเซียว
เขาใช้มือข้างที่ว่าง เอื้อมไปยังภาพถ่ายของผู้หญิง ค่อยๆ ส่งเสียงอธิบายที่มาของรูปภาพให้เธอฟังช้าๆ
“วันเด็กของปีนั้น ท่านไปโรงเรียนเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมพ่อแม่ลูก หลังจากนั้นก็ถ่ายรูปกัน”
มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับไปมองเขา จากนั้นสายตาก็มองไปที่เด็กชายในภาพ
เด็กชายในภาพแย้มยิ้มสดใส ในดวงตาไร้หมอกควันขุ่นมัว มันยากที่จะจินตนาการว่าสิบกว่าปีนับจากนั้นเฉินถิงเซียวจะเป็นเช่นนี้
เขาหล่อมาก แต่มักมีหมอกควันซ่อนอยู่ในดวงตาที่คนทั่วไปไม่สามารถเข้าใจได้ อารมณ์ไม่แน่นอน เมื่อประสบกับเรื่องของแม่เขา ก็กลายเป็นคนจิตใจร้ายกาจ
ถ้าทำได้ ทุกคนก็อยากมีความสุข
แต่เฉินถิงเซียวก็ถูกบังคับให้กลายเป็นแบบนี้
ใจคนจะสามารถเลวร้ายได้แค่ไหนกันแน่
มู่น่อนน่อนยากที่จะจินตนาการ ปีนั้นเฉินถิงเซียวเพิ่งอายุสิบเอ็ดปี ต้องมองดูแม่แท้ๆ ของตัวเองปกป้องด้วยการถูกคนกระทำชำเราต่อหน้าต่อตาจะรู้สึกเช่นไร
ยากที่จะจินตนาการว่าต่อจากนั้นเขาต้องใช้เวลาไปมากแค่ไหนกว่าจะก้าวออกมาได้
แม้เฉินถิงเซียวจะมีอารมณ์ไม่แน่ไม่นอน และก็ไม่ใช่คนจิตใจดี แต่มู่น่อนน่อนรู้ว่าเขาจะไม่มีวันกลายเป็นแบบเดียวกับพวกคนที่ข่มเหงแม่ของเขา
ถ้าเรื่องของแม่เขาในปีนั้นมีพวกคนในตระกูลเฉินเกี่ยวข้องจริง…
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
เฉินถิงเซียวรู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาเล็กๆ ของคนในอ้อมกอด จึงส่งเสียงถามเธอ “เครื่องทำความร้อนต่ำเกินไปเหรอ หนาวเหรอ”
“เปล่า” มู่น่อนน่อนส่ายหน้า เพราะเรื่องของเฉินถิงเซียว ความรู้สึกในหัวใจเธอจึงแปรเปลี่ยนเป็นค่อนข้างหดหู่ “ตระกูลเฉินของพวกคุณมีคนมากน้อยเท่าไรเหรอ”
ถึงแม้วันนี้จะเข้ามากับเฉินถิงเซียว ตลอดทางเห็นแค่คนรับใช้กับบอดี้การ์ด และก็เป็นคุณปู่เฉินกับเฉินชิงเฟิง แต่บ้านหลังนี้ใหญ่มาก น่าจะยังมีคนอื่นอยู่ด้วย
เฉินถิงเซียวส่ายหน้า “ไม่รู้สิ นับไม่ถ้วน ทั้งอาศัยอยู่ในบ้านเก่า ไปตั้งรกรากที่อื่น อยู่ในประเทศ และอยู่ต่างประเทศ…จำนวนมากเกินไป”
เฉินถิงเซียวลดสายตาลง เห็นเธอมีสีหน้าหนัก จึงเปลี่ยนเรื่องเงียบๆ “ซองแดงที่คุณปู่ให้มา ไม่เปิดดูเหรอ”
เป็นอย่างที่คาด มู่น่อนน่อนถูกเขาเบี่ยงเบนความสนใจในทันที เธอหยิบเอาซองสีแดงออกมา พูดยิ้มๆ ว่า “ฉันคิดว่าอาจจะเป็นเช็ค”
เฉินถิงเซียวจึงยิ้มตาม “คุณปู่เป็นคนใจกว้าง”
ความหมายของเขาคือการให้เช็คไม่ถือว่าใจกว้างงั้นเหรอ
มู่น่อนน่อนไม่เข้าใจโลกของคนรวยเลยจริงๆ
คนรวยในละคร ไม่ใช่ว่าชอบเซ็นเช็คทุกคนหรอกเหรอ
“เปิดออกดูสิ” เฉินถิงเซียวดึงเธอมานั่งลงที่ขอบเตียง และจับจ้องลึกมองเธอ
มู่น่อนน่อนเปิดซองแดง ดึงการ์ดบางๆ ใบหนึ่งออกมา
เพียงแค่แวบแรก มู่น่อนน่อนก็ประหลาดใจตาโต
การ์ดใบนี้เธอรู้จัก มันเป็นแบล็คการ์ดที่เคยทำให้มู่หวั่นชีกับเสิ่นชูหานล้วนแล้วแต่ทำหน้าช็อก!
ไม่รอเธอพูด เฉินถิงเซียวก็เลิกคิ้วพูดว่า “ยังนับว่าคุณปู่มีความจริงใจอยู่บ้าง”
“ว่ากันว่านี่คือแบล็คการ์ดรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นระดับโลกเฉพาะตระกูลเฉินของพวกคุณใช่ไหม” หลังจากที่ครั้งก่อนมู่น่อนน่อนถูกพวกมู่หวั่นชีหลอกเอาแบล็คการ์ดไป จึงเข้าไปดูในเน็ต แต่ก็แค่ถ้อยแถลงคร่าวๆ ซึ่งมันไม่ถูกต้องเลย
“อืม มีแค่คนในตระกูลเฉินถึงมีได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีกันทุกคน” เฉินถิงเซียวหยิบเอาแบล็คการ์ดมามองดู พบว่าเป็นบัตรใหม่เอี่ยม จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ดูเหมือนว่าคุณปู่จะเตรียมของรับขวัญไว้พร้อมอยู่ก่อนแล้ว คิดว่าคงรู้อะไรเกี่ยวกับมู่น่อนน่อนมาบ้างแล้ว
มู่น่อนน่อนถามอีกครั้ง “แล้วข้างในมีเงินเยอะเท่าไรเหรอ”
เฉินถิงเซียวตอบขึ้นมาบางเบาคำเดียว “ไม่รู้สิ”
“ไม่รู้สิหมายถึงอะไร”
“ผมรูดการ์ดใบนี้ตั้งแต่เด็ก ซื้อรถซื้อบ้าน เปิดบริษัท แต่มันก็ยังไม่หมด”
มู่น่อนน่อน “……..”
……
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวสองคนพักที่บ้านเก่าตระกูลเฉินหนึ่งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อมู่น่อนน่อนตื่น ข้างกายก็ไม่มีเงาของเฉินถิงเซียวแล้ว
มู่น่อนน่อนเดาว่าเขาอาจจะไปหาคุณปู่เฉิน
ห้องของเฉินถิงเซียวอยู่ใกล้กับสถานที่ที่คุณปู่เฉินพัก มู่น่อนน่อนชำระล้างร่างกายเรียบร้อยแล้วจึงลงไปหาเขาข้างล่าง
เดินไปครึ่งทาง แต่กลับถูกผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินมุ่งหน้ามาชนเข้า
มู่น่อนน่อนเห็นจากระยะไกลว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาทางเธอ เธอเบี่ยงหลบให้ผู้หญิงคนนั้นเดินผ่านไป แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับเหมือนไม่มีตา ราวกับไม่เห็นมู่น่อนน่อน จะหลบสักเล็กน้อยก็ไม่มี ตรงเข้าชนไหล่ของมู่น่อนน่อนเลย
ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้น ใบหน้าสวยเย็นชา มองมู่น่อนน่อนอย่างรังเกียจ “เธอเป็นคนรับใช้คนใหม่เหรอ ไม่รู้กฎตระกูลเฉินหรือไง”
ผู้หญิงตรงหน้าสวยมาก แต่งตัวดี เห็นแวบแรกก็รู้ว่าเป็นคนหนูใหญ่ตระกูลเฉิน
มู่น่อนน่อนตอบโต้อย่างเย็นชา “กฎอะไรตระกูลเฉินฉันไม่รู้ ฉันแค่รู้ว่าคุณชนฉันก่อน”
คนรับใช้ในตระกูลเฉินไม่มีใครกล้าโต้เถียงกับเจ้านายแบบนี้
เมื่อผู้หญิงคนนั้นได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อนแล้วถึงได้เงยหน้าขึ้นมองมู่น่อนน่อนอย่างจริงจัง
เมื่อเธอเห็นมู่น่อนน่อน ดวงตาก็เกิดแววประหลาดใจ เมื่อครู่เธอตั้งหน้าตั้งตาเดินจึงไม่ได้สังเกตว่ามู่น่อนน่อนสวยมากขนาดนี้
ส่วนมู่น่อนน่อนเวลานี้จ้องผู้หญิงตรงหน้าเขม็ง แล้วพบว่าค่อนข้างคุ้นตา
เธอคิดทบทวนในสมอง และก็คิดขึ้นมาได้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นคนที่กำลังดังมากในช่วงนี้ พิธีกรรายการวาไรตี้ยอดนิยม เฉินอินหย่า
จู่ๆ เฉินอินหย่า ก็โผล่มา ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีข่าวมากก่อน ตลอดมาบนอินเตอร์เน็ตมีคนคาดเดาภูมิหลังของเธอ และมีคนเดาว่าเธอเป็นคนของตระกูลเฉิน แต่กลับยังไม่เคยได้รับการยืนยัน
“ถ้าไม่ใช่คนรับใช้ในบ้าน งั้นก็อย่าเพ่นพ่าน เป็นแขกควรมีจิตสำนึกได้เอง อย่าคิดว่าถูกคนพามาตระกูลเฉินแล้วจะสามารถปีนขึ้นกิ่งไม้ไปเป็นนกฟินิกซ์ได้” ดวงตาเฉินอินหย่าแวบประกายดูถูก ก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป
ผู้ชายในตระกูลเฉินมีเยอะมาก บางครั้งก็พาผู้หญิงข้างนอกกลับมาค้างคืนสองคน ซึ่งเฉินอินหย่าก็ไม่แปลกใจ เหมารวมว่ามู่น่อนน่อนเป็นผู้หญิงประเภทนั้น
โดยธรรมชาติแล้วมู่น่อนน่อนแน่นอนว่าฟังน้ำเสียงของเธอออก
เธอกลอกตา พบว่าคนของตระกูลเฉินไม่ใช่ทั้งหมดที่จะมีสมองฉลาดเฉลียวเฉกเช่นเฉินถิงเซียว คนส่วนใหญ่แยกแยะไม่เป็น ชอบคิดเองเออเอง
เฉินถิงเซียวออกมาจากสวนหลังบ้าน กำลังเตรียมมาเรียกมู่น่อนน่อนไปทานอาหาร คิดไม่ถึงว่าเมื่อเข้ามาก็เจอเธอแล้ว
เห็นสีหน้าของเธอแปลกไป จึงถามอย่างอดไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“ไม่มีอะไร” มู่น่อนน่อนยักไหล่
แต่สายตาเฉินถิงเซียวกลับเงยหน้ามองไปยังปลายทาง เมื่อครู่เฉินอินหย่ามาหาคุณปู่เฉิน ตอนเธอออกมาเป็นไปได้สูงว่าจะปะทะเข้ากับมู่น่อนน่อน
บทที่ 176 รั้งเขาไว้ทำไม! ให้เขาไสหัวไป!
เดินไปตลอดทาง ทุกบริเวณที่ไป ล้วนมีคนรับใช้และบอดี้การ์ด ทุกคนจะหยุดทำความเคารพมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียว
แม้แต่การโค้งคำนับก็ยังเป็นแบบเดียวกัน เป็นแถวเป็นแนวเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่าได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
มู่น่อนน่อนแอบกลัว สีหน้าเริ่มหนัก
บ้านเก่ามีขนาดใหญ่มาก สองคนเดินผ่านสวนหน้าบ้าน แล้วเดินผ่านห้องโถงไปที่สวนหลังบ้าน
เมื่อคุณปู่เฉินชราภาพก็รักความสงบ จึงย้ายไปอยู่ที่สวนหลังบ้านอันสงบเงียบ
เมื่อถึงประตูที่พักของคุณปู่เฉิน เฉินถิงเซียวก็ส่งเสียงถามผู้รับใช้ที่เฝ้าประตู “คุณปู่อยู่ข้างในใช่ไหม”
“ครับ” คนรับใช้เห็นเฉินถิงเซียว บนใบหน้าก็เกิดร่องรอยความยินดี ค่อยๆ ผลักประตูเข้าไปเบาๆ และพูดอย่างระมัดระวังว่า “คุณท่าน คุณชายกลับมาแล้วครับ”
ประตูเปิดเล็กน้อย เพียงพอแค่คนรับใช้ที่ยืนอยู่ตรงนั้น มู่น่อนน่อนไม่เห็นข้างใน ได้ยินเพียงน้ำเสียงสูงอายุเสียงหนึ่งดังมา “มาแล้วก็ให้พวกเขาเข้ามา”
คนรับใช้หันหน้ามาพยักหน้าให้เฉินถิงเซียวเบาๆ
เฉินถิงเซียวกระชับมือของมู่น่อนน่อน “เราเข้าไปกันเถอะ”
มู่น่อนน่อนถูกเฉินถิงเซียวพาเข้าไปในห้อง
ในห้องอากาศอบอุ่นเพียงพอ ดูเหมือนจะมีกลิ่นของหมึกหอมและกลิ่นชาหอมเลือนลาง ห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย ชั้นหนังสือหนึ่งแถว โต๊ะทำงานหนึ่งตัว และยังมีชุดน้ำชาด้วย
คุณปู่เฉินใส่ชุดจีน มือถือพู่กัน ยืนอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ แม้จะร่วงโรยมาแล้วเจ็ดสิบปี แต่กลับกระฉับกระเฉง ยืนตัวตั้งตรง ทั้งร่างเต็มไปด้วยบรรยากาศสงบนิ่ง
เฉินถิงเซียวที่อยู่อีกทางส่งเสียงเรียก “คุณปู่”
คุณปู่เฉินเงยหน้าขึ้นมา พอดีกับที่สายตาของมู่น่อนน่อนมองขึ้นมายังเขา เขาไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจและยังน่าเกรงขาม
มู่น่อนน่อนลดสายตาลงเล็กน้อย เฉินถิงเซียวที่อยู่อีกทางดึงเอามู่น่อนน่อนไปไว้ข้างหลังตัวเองเงียบๆ
ท่าทีปกป้องของเฉินถิงเซียวตกอยู่ในสายตาคุณปู่เฉิน ทำให้เขาส่งเสียงเยาะเบาๆ “สาวน้อยคนนี้เป็นใคร”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว “คนที่คุณอยากเจอไง”
เขาน้ำเสียงก้าวร้าวเล็กน้อย ทำให้คุณปู่เฉินเป่าเคราพลางถลึงตา โยนพู่กันในมือทิ้ง “แล้วแกเป็นใคร”
มู่น่อนน่อน “……..”
คงไม่ใช่ว่าคุณปู่เฉินเริ่มเป็นโรคอัลไซเมอร์แล้วหรอกนะ
เธอเพิ่งคิดออกมาในใจ ทางฝ่ายคุณปู่เฉินก็มองมาที่เธออย่างเย็นชา และพูดประโยคหนึ่งออกมาว่า “ด่าใครว่าเป็นอัลไซเมอร์”
คนแซ่เฉินมีความสามารถในการอ่านใจผู้คนเหรอ
แต่สายตาที่คุณปู่เฉินจับจ้องมองท่าทีของเธอนั้นกลับไม่น่ากลัว กลับกันมันมีความเป็นกันเองอย่างไม่สามารถอธิบายได้
มู่น่อนน่อนยิ้ม “เปล่าค่ะ แค่คิดว่าคุณปู่อารมณ์ดีจัง”
คำพูดนี้ถูกใจคุณปู่เฉินมาก เขาหรี่ตามองมู่น่อนน่อนไม่กี่วิแล้วพูดว่า “เธอมานี่สิ”
มู่น่อนน่อนหันไปมองหน้ากันกับเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวส่งสายตาให้เธอวางใจ ดันหลังเธอเบาๆ เป็นสัญญาณให้เธอเข้าไป
คำพูดของเฉินถิงเซียวกับคุณปู่เฉินเมื่อครู่ ถึงจะค่อนข้างแปลกๆ เข้าใจยาก แต่เธอก็สามารถรู้สึกได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเฉินถิงเซียวกับคุณปู่เฉินนั้นไม่เลว ถึงขั้นเรียกได้ว่าใกล้ชิดสนิทสนม
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปอย่างเชื่อฟัง ท่าทีสุภาพและพูดอย่างจริงใจ “คุณปู่ ฉันเป็นภรรยาของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนค่ะ”
คุณปู่เฉินยังไม่ได้พูดในทันที แค่จ้องมองเธอเงียบๆ มู่น่อนน่อนถูกเขาจ้องจนค่อนข้างกังวล
คุณปู่ตระกูลเฉินเหมือนจะมองความกังวลของเธอออก แล้วบนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มของเด็กซนที่แกล้งคนสำเร็จ พูดยิ้มๆ ว่า “อืม น่ารักมาก นั่งสิ”
มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง และก็ต้องการจะหันไปมองเฉินถิงเซียว แต่กลับถูกคุณปู่ตระกูลเฉินถลึงตาใส่ “มองเจ้าเด็กบ้านั่นทำไม ให้เธอนั่งก็นั่งสิ!”
“……….” โอเค เธอนั่ง
แต่ว่าการเรียกเฉินถิงเซียวว่า‘เจ้าเด็กบ้านั่น’ เธอกลับรู้สึกชอบใจมาก
แล้วมู่น่อนน่อนก็นั่งลงด้านข้างคุณปู่เฉิน
เฉินถิงเซียวเห็นอย่างนั้นก็เดินเข้าไปนั่งด้วย กำลังจะนั่งลงข้างๆ มู่น่อนน่อน ปรากฏว่ากลับถูกคุณปู่เฉินเตะเข้าที่ขา “ใครให้แกนั่ง!”
คุณปู่เฉินเตะขาทั้งรวดเร็วและมั่นคง ความแรงไม่เบาอย่างเห็นได้ชัด
มู่น่อนน่อนเห็นแล้วรู้สึกเจ็บ คิ้วของเฉินถิงเซียวขมวดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเพราะความเจ็บ
“คุณปู่…” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวค่อนข้างหมดหนทาง “นี่เป็นครั้งแรกที่ผมพาหลานสะใภ้กลับมาหาคุณ คุณไว้หน้าผมหน่อยไม่ได้เหรอครับ”
“ฉันไว้หน้าแก แล้วใครไว้หน้าฉัน” คุณปู่เฉินโกรธมากกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด “แกคำนวนดูเอง แกยังจำครั้งล่าสุดที่แกกลับมาเยี่ยมบ้านเก่าได้ไหมว่าเมื่อไร”
เมื่อเฉินถิงเซียวได้ยินก็เงียบลง
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบที่น่าอึดอัด
มู่น่อนน่อนเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ว่าความหมายในคำพูดของเฉินถิงเซียวกับคุณปู่เฉินเมื่อครู่คืออะไร
เฉินถิงเซียวสงสัยในคดีแม่ของเขาเมื่อปีนั้น มันมีคนตระกูลเฉินเข้ามามีส่วนร่วม ดังนั้นเขาจึงตีตัวออกห่างคนตระกูลเฉิน และปฏิเสธที่จะกลับมาบ้านตระกูลเฉิน
วันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอถูกเฉินถิงเซียวพากลับมาบ้านเก่า เรื่องของสองปู่หลาน เธอไม่ควรพูดมาก
และพอดีว่าในขณะนั้นเอง ประตูห้องก็ถูกเปิดอีกครั้ง
คนที่เข้ามาคือพ่อของเฉินถิงเซียว เฉินชิงเฟิง
เฉินชิงเฟิงส่งเสียงเรียกคุณปู่เฉิน “คุณพ่อ”
หลังจากนั้นเขาถึงได้หันไปมองเฉินถิงเซียว “ก่อนหน้านี้ที่มีคนโทรไปบอกฉันว่าถิงเซียวกลับมาฉันยังไม่เชื่อ กลับมาทำไมไม่บอกฉันก่อน วันนี้อยู่ทานข้าวที่บ้าน คืนนี้ก็ค้างเสียที่บ้านนี้ ห้องของแกก็มีคนรับใช้ทำความสะอาดตลอด สามารถเข้าพักได้เลย”
คุณปู่เฉินส่งเสียงเยาะ “รั้งเขาไว้ทำไม! ให้เขาไสหัวไป!”
……
หลังจากนั้นเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนก็ยังอยู่
ตอนที่ทานอาหาร หลายคนนั่งที่โต๊ะใหญ่ ด้านข้างมีคนรับใช้ยืนเรียงแถว สิ่งนี้ทำให้มู่น่อนน่อนอึดอัดมาก
หลังจากทานอาหารแล้ว เฉินชิงเฟิงมีเรื่องต้องไปก่อน
เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนกลับไปที่ห้องเป็นเพื่อนคุณปู่เฉิน
คนรับใช้อยู่ข้างๆ คอยต้มน้ำเสิร์ฟชา คุณปู่เฉินหยิบเอาซองสีแดงซองหนึ่งออกมายื่นให้มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนไม่ได้รับในทันที
คุณปู่เฉินมองเธอเขม็ง “ทำไม คนเป็นปู่อย่างฉันให้ของรับขวัญ เธอยังกล้าไม่รับเหรอ”
มู่น่อนน่อนเริ่มรู้แล้วว่าลักษณะนิสัยเย่อหยิ่งอวดดีของเฉินถิงเซียวนั้นตกทอดมาจากไหน
“ขอบคุณค่ะคุณปู่” หลังจากที่มู่น่อนน่อนรับมาก็รู้สึกว่าซองแดงบางมาก เธอเดาว่ามันอาจเป็นเช็คหรืออะไรสักอย่าง
ไม่ว่าข้างในมันจะเป็นอะไร ใจมู่น่อนน่อนก็รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ
ก่อนที่จะมา เธอคิดมาตลอดว่าจะถูกชายชราทำให้ลำบากใจ คิดไม่ถึงว่าคุณปู่เฉินจะยอมรับเธออย่างง่ายดาย
หลังจากดื่มชาเป็นเพื่อนคุณปู่เฉินครู่หนึ่ง มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวก็ถูกไล่ให้กลับไปพักผ่อนที่ห้อง
ห้องนี้เป็นห้องที่เฉินถิงเซียวอยู่เมื่อครั้งยังเด็ก หลังจากเกิดเรื่องในปีนั้น เขาก็ไปต่างประเทศ หลังจากกลับมาก็ไม่ได้กลับมาอยู่บ้านเก่า แต่ไปอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์บนเชิงเขา
การตกแต่งภายในห้อง ยังคงมีร่องรอยของชีวิตวัยรุ่น โปสเตอร์สตาร์บาสเกตบอล หุ่นยนต์ หนังสือ เครื่องเล่นเกม…
บทที่ 175 แย่กว่าคุณนิดหน่อย
บ้านเก่าเหรอ
มู่น่อนน่อนหันไปมองเฉินถิงเซียว พบว่าสีหน้าของเขามืดหม่นมาก
มู่น่อนน่อนพบว่า ตราบใดที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเฉิน ล้วนสามารถทำให้เฉินถิงเซียวเปลี่ยนแปลงสีหน้าได้
เหมือนเขาจะไม่ชอบตระกูลเฉิน
เธอเอื้อมไปจับมือของเฉินถิงเซียว แทบจะในทันทีที่กลายเป็นเฉินถิงเซียวจับมือของเธอแทน
ฉับพลันนั้นเฉินถิงเซียวก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “ผมรู้แล้ว”
เธอไม่ค่อยรู้เรื่องตระกูลเฉิน แค่รู้ว่าตระกูลเฉินเป็นตระกูลใหญ่ ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินเฉินเจียฉินบอกว่า ในตระกูลเฉินมีคนจำนวนมาก โดยเฉพาะมีลูกพี่ลูกน้องชายหญิงรุ่นเดียวกันมากมาย ซึ่งมีเพียงสองพี่น้องเฉินเจียฉินกับเฉินถิงเซียวเท่านั้นที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันหน่อย
ตัวตนของเฉินถิงเซียวเปิดเผย เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ คนตระกูลเฉินให้เฉินถิงเซียวกลับไปก็เป็นเรื่องปกติมาก
สองคนกลับไปที่ห้อง มู่น่อนน่อนถามเขา “พรุ่งนี้จะกลับไปเหรอ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้น ก็เห็นสีหน้าการแสดงออกที่ระมัดระวังของมู่น่อนน่อน เขากระตุกยิ้มมุมปาก แย้มยิ้มชัด และร่างทั้งร่างอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
เขาดึงมู่น่อนน่อนเข้าอ้อมแขน ในน้ำเสียงเจืออารมณ์ขันที่หายาก “แน่นอนว่าต้องกลับ พาหลานสะใภ้กลับไปให้ตาเฒ่าดู”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นไปมองเขา “ใคร”
เฉินถิงเซียวมองเธอด้วยรอยยิ้มทั้งดวงตา “คุณปู่”
ผู้กุมอำนาจทุกรุ่นของตระกูลเฉินทุกคนล้วนเป็นตำนาน ยิ่งไปกว่านั้นคุณปู่เฉินก็ประคองความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลมานานหลายทศวรรษ
มู่น่อนน่อนค่อยๆ เริ่มกังวลขึ้นมา
……
วันต่อมา
มู่น่อนน่อนตื่นแต่เช้า เลือกเสื้อผ้าเดินไปเดินมารอบห้องแต่งตัว
สีชุดนี้ดูเรียบเกินไป สไตล์ชุดนั้นไม่สง่างามพอ…
เลือกมาเลือกไปก็เลือกไม่ได้ มู่น่อนน่อนรู้สึกท้อเล็กน้อย
ทันใดนั้น เธอก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเล็กๆ ข้างหลังเธอ จึงหันหน้าไปกะทันหัน ก็เห็นว่าเฉินถิงเซียวไม่รู้ว่าเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร กำลังยืนพิงผนัง สายตาเจือรอยยิ้มมองมายังเธอ
สายตาเจือรอยยิ้มแบบนี้ มันน่าหมั่นไส้จริงๆ!
เธอพบว่าช่วงนี้เฉินถิงเซียวชอบยิ้มมาก เอะอะก็มองเธอแล้วก็ยิ้ม ราวกับวิญญาณตามติด
มู่น่อนน่อนโยนเสื้อผ้าที่อยู่ในมือ มุ่ยปากและพูดว่า “คุณช่วยฉันเลือกเสื้อผ้าหน่อย”
เมื่อถึงเวลาแล้วคนตระกูลเฉินจับผิดเธอ เสื้อผ้าไม่สง่างาม รองเท้าดูไม่ดี เธอยังสามารถโบ้ยไปให้เฉินถิงเซียวได้
“ได้”
ทันทีที่เฉินถิงเซียวส่งเสียงก็ยกเท้าเดินเข้ามา รวดเร็วฉับไวไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
เขาหยิบเสื้อแจ็คเก็ตนวมส่งให้มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อน “………”
เธอไม่คิดจะรับเสื้อแจ็คเก็ตนวมสักนิด แถมยังถึงขั้นคิดจะไล่เฉินถิงเซียวออกไปด้วย
แน่นอนว่าไม่สามารถคาดหวังอะไรจาก“เฉินถิงเซียวที่คิดว่าเธอเย็นชามาก”
นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เฉินถิงเซียวกลับไปเจอบุพการี เธอจึงอยากจะแต่งตัวให้สวยสักหน่อย!
มู่น่อนน่อนมองเขาอย่างรังเกียจ “เสิ้งติ่งมีดาราสาวสวยมากมาย มันยังไม่ทำให้คุณสามารถมีรสนิยมทางด้านเครื่องแต่งกายสักเล็กน้อยเลยเหรอ”
“ดาราสาวสวยเหรอ” เฉินถิงเซียวย้ำอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังกลับไปแขวนเสื้อแจ็คเก็ตที่มู่น่อนน่อนไม่ชอบกลับไปที่เดิม และพูดอย่างสบายๆ ว่า “ยังแย่กว่าคุณนิดหน่อย”
มู่น่อนน่อนชะงักไปเล็กน้อย
นี่เขาชมว่าเธอสวยงั้นเหรอ
เฉินถิงเซียวหาดูจนพบเสื้อคลุมขนสัตว์สีเทาเข้มตัวหนามายื่นให้เธอ “ตัวนี้ล่ะ”
เขาเหลือบตาขึ้นมอง ก็เห็นมู่น่อนน่อนเปิดดวงตาแมวที่สวยงามจับจ้องตรงมายังเขาอยู่ สายตาตื่นเต้นเล็กน้อย และเจือความชอบนิดหน่อย
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว ส่งเสียงพยางค์เดียวออกมาจากลำคอ “หืม?”
มู่น่อนน่อนคืนสติ โดยไม่เห็นว่าในมือเขาถือชุดอะไร รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ดูดี!”
สายตาเฉินถิงเซียวมองเธออย่างไม่อาจคาดเดาได้ แล้วเอื้อมมือไปแตะหน้าผากเธอ
อุณหภูมิปกติ ไม่ได้ป่วย…
เฉินถิงเซียวไม่ได้ชมว่าเธอสวยตรงๆ มันเป็นประโยคโดยนัยสละสลวย แต่มู่น่อนน่อนได้เปลี่ยนประโยค “ยังแย่กว่าเธอนิดหน่อย” ให้เป็น “ดาราสาวพวกนั้นไม่สวยเท่าเธอ” โดยอัตโนมัติ
ถึงแม้ว่ามันจะดูโอ้อวดไปหน่อย แต่ใครล่ะจะไม่ชอบถูกชม!
จนเมื่อหลังจากที่เฉินถิงเซียวมองดูมู่น่อนน่อนหอบเสื้อผ้าออกไป เขาถึงเพิ่งคิดได้ภายหลัง ปฏิกิริยาที่มู่น่อนน่อนเป็นเมื่อครู่มันเพราะคำพูดของเขา…
มีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอ
ที่เขาพูดเป็นความจริง
……
สองคนกินอาหารเช้าแล้ว สือเย่ก็ไปส่งพวกเขาที่บ้านเก่า
บ้านเก้าตระกูลเฉินนั้นเก่ามากจริงๆ บ้านเก่าแก่อายุกว่าร้อยปีตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษในราชวงศ์ชิง เคยมีผู้เชี่ยวชาญประเมินมูลค่าเกือบหมื่นล้าน
แต่ว่าต่อมาเพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิต จึงได้ผ่านการซ่อมแซมหลายต่อหลายครั้ง แต่ยังคงรักษาเสน่ห์ของบ้านโบราณเอาไว้
บ้านเก่าตระกูลเฉินชื่อเสียงโด่งดัง มักจะมีนักท่องเที่ยวมาจากที่ไกลๆ แม้ระยะทางจะไกลแต่ก็อยากมาเห็นบ้านเก่าตระกูลเฉินสักครั้ง
“คุณชาย คุณหญิงน้อย ถึงแล้วครับ”
เมื่อเสียงของสือเย่ดังมา มู่น่อนน่อนที่กังวลมาตลอดทาง ไม่อยากเชื่อว่าในเวลานี้กลับสงบลงอย่างน่าอัศจรรย์
เธอหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง ก็เห็นประตูสไตล์ย้อนยุคของบ้านเก่าตระกูลเฉิน แถวของทั้งบอดี้การ์ดและคนรับใช้ยืนเรียงอย่างเรียบร้อยทั้งสองด้านของประตูเพื่อต้อนรับพวกเขา
ความเอิกเกริกแบบนี้ มู่น่อนน่อนไม่เคยเห็น จึงรู้สึกว่ามันเหมือนกับเป็นการถ่ายละคร
เธอเอื้อมมือจะเปิดประตู ทันใดนั้นเฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างๆ ก็จับมือของเธอไว้ “อยู่นิ่งๆ”
เธอหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียวอย่างไม่เข้าใจ
แต่เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรอีก สือเย่ลงรถไปแล้ว และเดินมาเปิดประตูให้เฉินถิงเซียว
หลังจากที่เฉินถิงเซียวลงจากรถ สือเย่ยังคงยืนอยู่ข้างประตู เฉินถิงเซียวโน้มตัวเล็กน้อย มือข้างหนึ่งยกขึ้นไปตรงกรอบประตูเพื่อกันศีรษะของเธอชน อีกมือยื่นไปตรงหน้ามู่น่อนน่อน แล้วเขาก็ยิ้มเล็กน้อย “ลงรถได้แล้วครับ”
ชายหนุ่มรูปหล่อยิ่งยิ้มยิ่งมีเสน่ห์ แถมยังทำท่าทางเป็นสุภาพบุรุษขอให้เธอลงจากรถ
มู่น่อนน่อนยอมรับว่าไม่ใช่คนโรแมนติกเลยสักนิด จึงไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้ แต่เมื่อมองหน้าเฉินถิงเซียว ไม่คิดว่าจู่ๆ ก็รู้สึกแก้มร้อนขึ้นมา…
เธอหน้าแดงและวางมือของตัวเองบนมือของเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวเห็นดังนั้นดวงตาก็เผยรอยยิ้มลึก พามู่น่อนน่อนลงจากรถ แล้วจับจูงมือเธอเดินเข้าประตูใหญ่
บอดี้การ์ดและคนรับใช้ที่ประตูโค้งคำนับ แล้วเอ่ยด้วยความเคารพ “ยินดีต้อนรับคุณชายและคุณหญิงน้อยกลับบ้าน!”
แม้มู่น่อนน่อนจะแต่งงานกับเฉินถิงเซียวมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่ตลอดมาทั้งคู่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์บนเนินเขา เวลาเฉินถิงเซียวอยู่ต่อหน้าเธอก็ไม่ได้มีอาการวางท่า เธอทำอาหารอะไรเขาก็ทานหมด เธอเลือกร้านอาหารร้านไหนเขาก็ไม่จู้จี้จุกจิก
ดังนั้น เธอรู้ว่าตัวเองแต่งงานกับมหาเศรษฐีชั้นสูง แต่กลับไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไร
กระทั่งถึงตอนนี้ เธอยืนอยู่ที่ปากประตูบ้านเก่าตระกูลเฉิน เมื่อถูกกลุ่มคนรับใช้และบอดี้การ์ดต้อนรับ ถึงได้บังเกิดความรู้สึกว่าตัวเองแต่งงานเข้าตระกูลมหาเศรษฐีชั้นสูงโดยแท้จริง
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่ามือของมู่น่อนน่อนเกร็งเล็กน้อย จึงบีบเข้าฝ่ามือเธอลงไปเบาๆ หันหน้าไปหาเธอแล้วเอ่ยปลอบว่า “ไม่ต้องตื่นเต้น แค่ตามผมมาก็พอ”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากพลางพยักหน้า “อืม”
รูปทรงบ้านเก่ากับคฤหาสน์สมัยใหม่มีความแตกต่างกันไม่มากนัก แต่การออกแบบสวนนั้นสวยงามกว่า มีรายละเอียดค่อนข้างมาก
บทที่ 174 มอบให้ฉัน
มู่น่อนน่อนรู้อยู่แล้วว่ามู่หวั่นชีจะไม่ยอมแพ้ ตลอดทั้งวันเธอไม่ได้รับสายของมู่หวั่นชีเลย เกรงว่าตอนนี้มู่หวั่นชีโกรธจนระเบิดแล้ว
“มีเรื่องนิดหน่อย เดี๋ยวค่อยคุยกัน”
เฉินถิงเซียวได้ยินเสียงของมู่หวั่นชี จึงถามเธอด้วยเสียงขุ่น “คุณอยู่ที่ไหน”
มู่น่อนน่อนไม่ได้พูดอะไรมาก แค่วางสายไปเลย
ตั้งแต่แรกมู่หวั่นชีมาหามู่น่อนน่อนเพราะสาเหตุมาจากเฉินถิงเซียว เธอจึงไม่อยากให้เฉินถิงเซียวมาที่นี่แล้วถูกมู่หวั่นชีเอาเปรียบ
อืม แม้ว่ามู่หวั่นชีจะมองเฉินถิงเซียวมากขึ้นแล้วก็ตาม เธอก็ยังคิดว่ามู่หวั่นชีจ้องจะเอาประโยชน์จากเขา
มู่หวั่นชีมองมู่น่อนน่อน ดวงตาเหมือนจะสามารถพ่นไฟออกมาได้ “มู่น่อนน่อน! ฉันตามหาเธอทั้งวัน เธอดีนี่ ยังมีแก่ใจมาแอบทานอาหารอยู่ที่นี่!”
น่าสนใจจริงๆ เธอต้องมาแอบทานอาหารด้วยเหรอ
“ทำไมฉันต้องไม่มีแก่ใจมาทานอาหาร และฉันก็ไม่ได้แอบ เพียงแต่ไม่อยากคุยกับเธอเท่านั้น” มู่น่อนน่อนชำเลืองมองมู่หวั่นชี สายตาเยือกเย็นเฉยชา ไม่เห็นเธออยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
ถ้าไม่ใช่ในที่สาธารณะ มู่หวั่นชีอยากกระโดดเข้าไปฉีกใบหน้าของมู่น่อนน่อนมากจริงๆ
มู่หวั่นชีพูดอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เธอรู้อยู่แล้วว่า‘เฉินเจียฉิน’ก็คือเฉินถิงเซียวใช่ไหม แต่เธอกลับไม่บอกอะไรเลย ปล่อยให้พวกเราไม่รู้เรื่องรู้ราว! เธอนี่มันหน้าซื่อใจทรามจริงๆ!”
ตอนแรกเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นคนที่ถูกบังคับให้แต่งงานเข้าตระกูลเฉิน ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเธอหน้าซื่อใจทราม!
ปัง!
ไม่รอให้มู่น่อนน่อนพูด เสิ่นเหลียงก็ตบมือลงบนโต๊ะกระทืบเท้าลุกขึ้นยืน “มู่หวั่นชีคุณจะจบไม่จบ ตอนแรกคุณบังคับน่อนน่อนให้ช่วยคุณเพราะคุณรังเกียจเฉินถิงเซียว จึงให้น่อนน่อนช่วยแต่งงานเข้าตระกูลเฉินแทนคุณ ตอนนี้มารู้ว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนปกติแถมยังหล่อ ก็เลยเสียใจภายหลังจนวิ่งมาหาเรื่องน่อนน่อน ไม่ได้เอายางอายออกมาด้วยหรือไง”
มู่หวั่นชีรู้จักเสิ่นเหลียง
เมื่อก่อนเวลาที่เธอแกล้งมู่น่อนน่อน ได้เคยพบเสิ่นเหลียง จึงรู้ว่ามู่น่อนน่อนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอ
เสิ่นเหลียงถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาด้วยกลิ่นอายความเย่อหยิ่งของการเป็นลูกคุณหนูมหาเศรษฐี เวลานี้เธอมองมู่หวั่นชีอย่างเย็นชา บวกกับเสียงตบโต๊ะดังลั่นเมื่อครู่ ทำให้มู่หวั่นชีเกิดความต่อต้านเล็กน้อย
มู่หวั่นชีเพิ่มเสียงขึ้น ให้พลังของตัวเองเพิ่มขึ้นอีกหน่อย “นี่เป็นเรื่องของฉันกับมู่น่อนน่อน ไม่เกี่ยวกับคุณ!”
เสิ่นเหลียงเลิกคิ้วสีหน้าอันธพาล “ฉันด่าของฉัน มันเกี่ยวอะไรกับคุณ”
“คุณ…” มู่หวั่นชีไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
มู่น่อนน่อนเรียกผู้จัดการร้านอาหารมา “รบกวนพาผู้หญิงคนนี้ออกไป การปรากฏตัวของเธอที่นี่ส่งผลต่ออารมณ์การทานอาหารของฉัน”
ผู้จัดการรีบเรียกบริกรสองคนมา ชี้ไปที่มู่หวั่นชีและพูดว่า “เอาผู้หญิงคนนี้ออกไป”
มู่หวั่นชีโกรธจนน่าเขียว “พวกคุณทำอะไร ฉันมาทานอาหารนะ!”
เสิ่นเหลียงมักจะใช้จ่ายเงินเสมอ ทานอาหารก็ต้องเป็นร้านอาหารระดับไฮเอนด์ แม้แต่ผู้จัดการก็ได้รับการฝึกอบรมพิเศษในการจัดการอาหารและเครื่องดื่มที่ต่างประเทศ
เมื่อครู่มู่หวั่นชีโหวกเหวกโวยวาย ทำให้แขกคนอื่นไม่พอใจ ผู้จัดการจึงไม่สนว่าเธอจะพูดอะไร ให้บริกรทั้งสองตรงเข้ามาลงมือ ส่งสัญญาณให้พวกเขาเอามู่หวั่นชีออกไปโดยเร็ว
ทันทีที่มู่หวั่นชีไป ร้านอาหารก็เงียบสงบอีกครั้ง
เสิ่นเหลียงเอนกายพิงโซฟาแล้วพูดว่า “ร้านอาหารนี้มีการคิดค่าบริการเพิ่ม แต่ประสิทธิภาพการทำงานก็โอเค”
เฉินเจียฉินนั่งอยู่ข้างๆ ดูเรื่องตลกทั้งหมดเหมือนเป็นมนุษย์ล่องหน ตอนนี้เขาถึงเพิ่งพูดขึ้นมาอย่างเชื่องช้า “ขอโทษนะครับ เมื่อครู่นี้ที่ป้าคนนั้นพูดว่า ‘เฉินเจียฉินก็คือเฉินถิงเซียว’ หมายถึงอะไรครับ”
มู่น่อนน่อนเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่ายังมีเฉินเจียฉินอยู่ที่นี่ด้วย
เฉินเจียฉินเห็นมู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมามองตัวเอง จึงส่งเสียงถามต่อไป “พี่น่อนน่อนถูกบังคับให้แต่งงานกับญาติผู้พี่ของผมเหรอครับ”
คำถามของเด็กน้อยตรงไปตรงมามาก
มู่น่อนน่อนยังคิดดีๆ ไม่ได้ว่าจะพูดอะไร ก็พบว่าเสิ่นเหลียงยกคางขึ้นชี้ไปข้างหลังเธอ
เธอหันหน้าไป ก็เห็นเฉินถิงเซียวกำลังมาทางนี้
เขาสูงใหญ่ หลังตั้งตรง บุคลิกโดดเด่น ทันทีที่เข้าร้านอาหารก็ดึงดูดความสนใจของคนอื่น
โดยเฉพาะแขกผู้หญิง
มู่น่อนน่อนหรี่ตามองเฉินเจียฉิน
ต้องเป็นเฉินเจียฉินแน่ที่บอกสถานที่กับเฉินถิงเซียว
เฉินเจียฉินเขี่ยจมูกหันหน้าหนีแสร้งไม่รู้เรื่องรู้ราว
เสิ่นเหลียงยิ้มหน้าบานดั่งดอกทานตะวัน ลุกขึ้นยืนด้วยหน้าตาเป็นมิตรและเขยิบออกให้ที่แก่มู่น่อนน่อน “เจ้านายใหญ่ คุณนั่งตรงนี้เลยค่ะ!”
ก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนอธิบายเรื่องในข่าวให้มู่น่อนน่อนฟังแล้ว ดังนั้นเฉินถิงเซียวจึงเป็นเจ้านายใหญ่ที่ทรงพลังในใจของเสิ่นเหลียงอีกครั้ง เป็นผู้ชายดีที่เชื่อถือได้
“ขอบคุณครับ” เฉินถิงเซียวพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงข้างมู่น่อนน่อน
ทั้งเสิ่นเหลียงกับเฉินเจียฉินจดจ่อดูเมนูด้วยกันอยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่ได้มองไปทางฝั่งมู่น่อนน่อนเลย
เฉินถิงเซียวจับมือของเธอและถามเธอเบาๆ “มู่หวั่นชีมาหาคุณเหรอ”
“ไปแล้ว” มู่น่อนน่อนพยักหน้า ก่อนหน้านี้อยู่ในสายเฉินถิงเซียวน่าจะได้ยินเสียงแล้ว จึงไม่ได้ปิดบังอะไร
“ไม่อยากสนใจก็ไม่ต้องสนใจ หรือว่าจะมอบให้ผม” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวทุ้มต่ำและเย็นชาอย่างคงเส้นคงวา แต่กลับเต็มไปด้วยความสบายอารมณ์และการตามใจ
มันดูเกินจริงเกินไป แต่กลับทำให้หัวใจของมู่น่อนน่อนอบอุ่น มันค่อนข้างพองโตเล็กน้อย ราวกับมีบางอย่างเอ่อล้นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
แต่เมื่อเธอคิดไปถึงที่ว่ามู่หวั่นชีอยากได้เฉินถิงเซียวมานาน จึงพูดอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “เรื่องนี้ฉันจัดการเอง คุณไม่ต้องมายุ่ง และก็ห้ามเจอมู่หวั่นชีด้วย!”
ในน้ำเสียงมีอารมณ์หึงเข้มข้น เฉินถิงเซียวสัมผัสได้
มือข้างที่ว่างของเขากำขึ้นมาเป็นกำปั้นยกมาตรงปากแล้วกระแอมไอสองครั้งเพื่อซ่อนรอยยิ้ม หลังจากนั้นก็ตอบอย่างจริงจังอีกครั้ง “อืม”
มู่น่อนน่อนเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นเฉินถิงเซียวกำลังมองตัวเองอยู่ด้วยสายตาสว่างสดใส
รู้ว่าความคิดเล็กน้อยของตัวเองไม่รอดพ้นสายตาของเขา รู้สึกค่อนข้างเก้อเขิน จึงใช้มือข้างที่เขาจับอยู่จิกฝ่ามือของเขา
ฝ่ามือของเขาแห้งและอบอุ่น จิกไปก็ไม่เจ็บ
แต่เฉินถิงเซียวตั้งใจจะแกล้งเธอ ทำการโน้มตัวเข้าไปทำเหมือนต้องการจะจูบเธอ
ช่วงนี้ เมื่อใดก็ตามที่เขาจับเธอเขาจะจูบเธอสองครั้ง ก็ไม่รู้ว่าเป็นบ้าอะไร
มู่น่อนน่อนรีบถอยออก แต่เฉินถิงเซียวกลับจับไหล่เธอเอาไว้ และพูดด้วยเสียงขุ่นว่า “เส้นผมขมวดเป็นปมแบบนี้ คุณปิดบังอะไรน่ะ”
“……..” ฮ่าฮ่า
เฉินเจียฉินแอบยกสายตาจะมองมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียว เสิ่นเหลียงรีบกดศีรษะของเขาลงและกระซิบว่า “ผู้ใหญ่พลอดรักกัน เด็กอย่าแอบดู”
เฉินเจียฉินมุ่ยปาก “ในคลาสเรียนของพวกผมก็มีคนพลอดรักกันครับ”
“งั้นคุณมีแฟนเหรอ”
“เปล่าครับ…”
เสิ่นเหลียงเยาะเย้ยเขา “เหอะ หมาโสด”
เฉินเจียฉิน “………”
ต่างคนต่างทานแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวกลับถึงบ้าน ก็เห็นอาหูออกมาต้อนรับด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
“คุณชาย คุณหญิงน้อย พวกคุณกลับมาแล้วเหรอคะ”
“อาหู” มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นว่าใบหน้าของอาหูแตกต่างไปจากเดิม
อาหูยิ้ม แต่กลับไปพูดกับเฉินถิงเซียวว่า “เมื่อครู่ทางบ้านเก่าโทรมาค่ะ บอกว่าพรุ่งนี้ให้พวกคุณกลับไปหา”
บทที่ 173 เปิดเผยตัวตนของเฉินถิงเซียว
ในตอนเช้า เสิ่นเหลียงโทรมาว่าจะไปโรงแรมเพื่อจับชู้ ชู้ที่จะจับก็คือเฉินถิงเซียว
ส่วนเฉินถิงเซียวที่ว่าก็อยู่ข้างเธอ เมื่อวานนี้กลับมาตอนเที่ยง แล้วทั้งสองไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย
เรื่องนี้ดูแล้วค่อนข้างน่าแปลกใจ
“เรื่องมันเป็นยังไง” มู่น่อนน่อนลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง “ตอนนี้เฉินถิงเซียวอยู่ข้างฉัน”
“ฮะ?” เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเหลียงก็แปลกใจมาก
เมื่อเฉินถิงเซียวได้ยินมู่น่อนน่อนพูดถึงเขาก็เหลือบสายตาขึ้นมองเธอ แล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเอง นิ้วมือปัดบนหน้าจอ สุดท้ายก็ส่งไปตรงหน้ามู่น่อนน่อน
บนนั้นเป็นพาดหัวข่าวใหม่สดๆ ร้อนๆ พาดหัวสะดุดตาและเต็มไปด้วยลูกเล่น
“สิบกว่าปีที่ทายาทตระกูลเฉินไม่ปรากฏตัวได้เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงแล้ว…กับผู้หญิงหลายคน…”
คีย์เวิร์ดเหล่านี้รวมเข้าด้วยกัน เข้าโจมตีมาส์กปิดตาของมู่น่อนน่อน สมองของเธอตื่นตัวขึ้นมาทันใด
เธอส่งเสียงพึมพำออกมาว่า “เสี่ยวเหลียง ตอนนี้เฉินถิงเซียวอยู่ข้างฉัน มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยที่หลัง”
วางหูไปแล้วมู่น่อนน่อนก็รับเอาโทรศัพท์มือถือของเฉินถิงเซียวมา คลิกกดเปิดข่าวดู
ภายในไม่เพียงแต่มีภาพของบุคคลซึ่งเป็นเฉินถิงเซียว แถมยังมีภาพของเขากับผู้หญิงอื่นเข้าออกโรงแรมด้วย
ข่าวล่าสุดระบุถึงขั้นที่ว่าเฉินถิงเซียวหาผู้หญิงหลายคนมาค้างคืนที่โรงแรมเมื่อคืนนี้
ตลอดมาเฉินถิงเซียวไม่มีการปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน ข่าวนี้ไม่เพียงเปิดเผยตัวตนของเฉินถิงเซียวเท่านั้น แม้แต่โฉมหน้าของเขาก็ยังเปิดเผยด้วย เสิ่นเหลียงจะเชื่อก็เป็นเรื่องปกติ
จู่ๆ เฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างๆ ก็เอื้อมมือมาเอาโทรศัพท์มือถือในมือของเธอคืนไป น้ำเสียงทุ้มต่ำ “เลิกดู มันเป็นภาพตัดต่อ”
มู่น่อนน่อนปล่อยให้เขาเอาโทรศัพท์มือถือไป ส่งเสียงถามเขาว่า “เรื่องนี้มันเป็นยังไง”
“ไม่ช้าก็เร็วตัวตนของผมต้องประกาศอยู่แล้ว อย่างไรเสียก็ถูกหลัวหยิงรู้แล้ว ก็สู้ประกาศออกไปเลยดีกว่า”
มู่น่อนน่อนนึกถึงที่เขาพูดเมื่อวานนี้ว่า “ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ” ที่แท้นี่ก็คือความหมาย
“แต่ทำไมถึงทำแบบนี้” สายตาของมู่น่อนน่อนตกไปที่รูปถ่ายในข่าวบนโทรศัพท์มือถือ
ในภาพเป็นเฉินถิงเซียวเดินเข้าออกในสถานที่อย่างโรงแรมเป็นคู่ๆ กับผู้หญิงคนอื่น
ถึงเฉินถิงเซียวจะบอกว่าเป็นการตัดต่อ แต่ดูทีไรก็ค่อนข้างขัดหูขัดตา
“เดิมทีจะอาศัยหลัวหยิงเปิดเผยตัวตน ดังนั้นจึงแค่ใช้ประโยชน์เป็นผลพลอยได้เท่านั้น”
เฉินถิงเซียวอธิบายจบ เห็นมู่น่อนน่อนยังหน้าตึง จึงยื่นปากเข้าไปจูบเธอ
เขาแค่อยากจูบเธอ
มู่น่อนน่อนหันหน้าหนี “ยังไม่ได้แปรงฟัน”
“ผมไม่รังเกียจคุณ” เฉินถิงเซียวเอียงหน้าอีกครั้งแล้วไล่ตามเข้าไป
มู่น่อนน่อนยกมือขึ้นปิดปากเขา “ฉันรังเกียจคุณ”
เมื่อพูดจบ เธอก็ดึงผ้าห่มออกแล้วลงจากเตียง
เฉินถิงเซียวยังคงรักษาท่าทางที่มือข้างหนึ่งประคองข้างใบหน้าจะจูบเธอ ส่วนสายตามองตามเธอเข้าห้องน้ำไป
มู่น่อนน่อนปิดประตูห้องน้ำ ยืนอยู่หน้ากระจก
กระโปรงชุดนอนของเธอ เมื่อคืนเฉินถิงเซียวพาเธอไปอาบน้ำและช่วยใส่ให้เธอ
จากลำคอเข้าไปถึงขอบเสื้อตรงหน้าอก รอยแดงเป็นทางลากเข้าไปถึงข้างในเสื้อผ้า ทั้งหมดล้วนเป็นหลักฐานความเอาแต่ได้ของเฉินถิงเซียว
ใจเธอรู้ดีว่าเฉินถิงเซียวใช้วิธีนี้ประกาศสถานะ เป็นวิธีเฉพาะหน้าที่สะดวกและเป็นธรรมชาติที่สุด แต่เมื่อเธอดูภาพในข่าว ก็ยังยากจะหลีกเลี่ยงความรู้สึกที่ไม่ดี
มู่น่อนน่อนค่อยๆ ล้างหน้าล้างตาแล้วออกมา พบว่าเฉินถิงเซียวเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว แต่งตัวด้วยชุดสูทอย่างพิถีพิถัน
ในมือเขาถือเนคไท เห็นมู่น่อนน่อนออกมา จึงเหลือบสายตามามองเธอ และเอ่ยเสียงต่ำ “มานี่”
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป เขาเอาเนคไทใส่มือของเธอ “รอผมออกมาช่วยผูกเนคไทให้ผมด้วย”
หลังจากนั้นเขาก็หันหลังเดินเข้าห้องน้ำไป
มู่น่อนน่อนมองเนคไทในมือ เกิดอาการค่อนข้างร้องไห้ไม่ได้หัวเราะก็ไม่ออก
ผู้ชายคนนี้นี่จริงๆ เลย…
……
มู่น่อนน่อนเพิ่งกลับมาจากการตามมู่เจิ้งซิวเดินทางไปเรื่องธุรกิจ วันนี้เป็นวันศุกร์อีกพอดี เธอจึงได้รับอนุญาตเป็นพิเศษให้หยุดเพิ่มอีกหนึ่งวัน
หลังจากที่เฉินถิงเซียวออกไป มู่น่อนน่อนตั้งใจจะไปหอบคอมพิวเตอร์มาเขียนต้นฉบับ
ถึงแม้ว่าครั้งก่อนที่เสิ่นเหลียงแนะนำผู้กำกับให้เธอนั้นเรื่องมันยุ่งเหยิงไปหมด แต่บทของเธอก็ยังต้องเขียน เธอไม่เชื่อว่าบทของตัวเองจะขายไม่ออก!
เธอกำลังจะเตรียมขึ้นไปชั้นบน โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
เอามันออกมาดู พบว่ามู่หวั่นชีโทรเข้ามา
มู่น่อนน่อนรู้ว่ามู่หวั่นชีโทรมาหาเธอทำไม จึงกดตัดสายทันที
ตัวตนของเฉินถิงเซียวเผยแพร่สู่สาธารณะ แน่นอนว่าคนที่ประหลาดใจที่สุดก็คือมู่หวั่นชี
ก่อนหน้านี้มู่หวั่นชียังจับตามองเฉินถิงเซียวที่เป็น“เฉินเจียฉิน” ยิ่งตอนนี้เธอรู้แล้วว่า“เฉินเจียฉิน”คือเฉินถิงเซียว จะต้องไม่รามืออย่างแน่นอน
มู่หวั่นชีโทรเข้ามาหลายครั้ง ซึ่งมู่น่อนน่อนก็ไม่ปิดเครื่อง เพียงแต่อดทนให้ตัดไปทีละสาย
เธอสามารถจินตนาการได้ว่ามู่หวั่นชีกำลังจมูกเบี้ยวหน้าบูดด้วยความโกรธจัด
มู่หวั่นชีเพียรพยายามดึงดันโทรเข้ามาเป็นสิบสาย แล้วท้ายที่สุดก็หยุดไป
ผ่านไปไม่นานมาก เซียวชู่เหอก็โทรเข้ามา จากนั้นก็มู่ลี่เหยียน…
แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้รับเลยสักสาย
ศีลธรรมของพวกเขา มู่น่อนน่อนไม่สามารถเข้าใจได้อีกต่อไป
เธอคงจะไม่คิดว่าพวกเขาโทรมาเพราะห่วงใยเธอ
กลับไปที่ห้องเพิ่งเอาคอมพิวเตอร์ออกมา โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นเฉินเจียฉินโทรมา
“พี่น่อนน่อน ผมกับพี่เสี่ยวเหลียงออกมาช็อปปิ้ง คุณอยากมาเล่นสนุกด้วยกันไหมครับ”
เฉินเจียฉินกับเสี่ยวเหลียงงั้นเหรอ
เด็กน้อยนี่ไปนัดกับเสี่ยวเหลียงไปเล่นสนุกกันตั้งแต่เมื่อไร
เดิมทีมู่น่อนน่อนก็ไม่ได้มีใจอยากเขียนต้นฉบับอยู่แล้ว ดังนั้นจึงตกลง
เธอนั่งรถไปยังสถานที่ที่เฉินเจียฉินส่งมาให้เธอ หลังจากไปถึงจึงได้พบว่ามันคือสนามเด็กเล่น
เสิ่นเหลียงกับเฉินเจียฉิน ทั้งสองห่อหุ้มตัวมิดชิด มือถือไอศกรีมและสายไหม
แน่นอนว่าเสิ่นเหลียงมีอุปกรณ์ครบ จนไม่มีใครจำเธอได้
“ในที่สุดเธอก็มา!” เสิ่นเหลียงยื่นขนมสายไหมในมือที่ยังไม่ได้แตะไปให้มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนรับมาแล้วพูดขึ้นนิ่งๆ “ช่วงนี้ดูเหมือนเธอจะว่างมากนะ”
ศิลปินที่กำลังเติบโตอย่างเสิ่นเหลียงน่าจะมีอีเวนท์มากมาย และตารางงานส่วนใหญ่ก็น่าจะเต็มแน่น
“ฉันยังกังวลเรื่องเธอ” เสิ่นเหลียงตาหลุกหลิก “มาเล่นกันเถอะ”
สามคนเล่นสนุกกันอย่างบ้าคลั่งทั้งช่วงบ่าย ระหว่างนั้นเฉินถิงเซียวโทรมาหามู่น่อนน่อน ซึ่งเธอก็ไม่ได้รับเช่นกัน
ทุกคนหาร้านทานอาหารมื้อค่ำ สายของเฉินถิงเซียวโทรเข้ามาอีกครั้ง
ทันทีที่รับสาย น้ำเสียงแฝงความโกรธของเฉินถิงเซียวก็ดังมา “อยู่ไหน ทำไมไม่รับสายเลย”
“เล่นอยู่ข้างนอก ไม่ได้ยิน” มู่น่อนน่อนรับสายไปมองเมนูไป ไม่ได้สังเกตถึงความโกรธในน้ำเสียงของเฉินถิงเซียว
ทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมของผู้หญิงดังขึ้นในร้านอาหาร
“มู่น่อนน่อน!”
เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็เห็นมู่หวั่นชีเดินเข้าประตูร้านอาหารมาด้วยท่าทีดุดัน
มู่หวั่นชีมองดูสายตาของเธอ มันดุร้ายราวกับศัตรูฆ่าบุพการี
บทที่ 172 ไปโรงแรมเพื่อจับคน
ในห้องอาหาร
มู่น่อนน่อนนั่งทานอาหาร เฉินถิงเซียวกอดอกอยู่แบบนั้น นั่งตรงข้ามเธอพลางมองเธอ
ใบหน้าของเขาเป็นลักษณะของความเฉยเมยอย่างที่เคยเป็น แต่ดวงตาคู่นั้นกลับมีการจดจ้องผิดปกติ เหมือนว่าไม่ได้เห็นเธอมาหลายปี
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวที่เป็นแบบนี้ดูไม่แยแสเกินไป เธอถูกเขามองจนอึดอัดมาก
ดังนั้นเธอจึงส่งเสียงถามเฉินถิงเซียวว่า “หลัวหยิง…เธอมีเรื่องอะไร”
แน่นอนว่าโดยธรรมชาติแล้วเธอเชื่อในตัวเฉินถิงเซียว แต่ก็ยังอยากรู้ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่
หลัวหยิงมาหาเฉินถิงเซียวที่คฤหาสน์ทำไม แล้วข่าวพวกนั้นมันคืออย่างไร
เฉินถิงเซียวไม่ตอบคำถาม “อ่านข่าวแล้วเหรอ”
“อืม อ่านแล้ว” มู่น่อนน่อนตักโจ๊กเข้าปากไปหนึ่งช้อน แล้วหรี่ตาเล็กน้อยอย่างค่อนข้างพึงพอใจ
ฝีมือของอาหูดีจริงๆ
ถึงแม้ว่าเธอจะทำอาหารเก่ง แต่เมื่อเทียบกับฝีมือของอาหูนั้นยังห่างไกลนัก
เฉินถิงเซียวสังเกตสีหน้าของเธออย่างระมัดระวัง พบว่านอกจากหน้าตาที่พึงพอใจแล้ว มองไม่ออกว่ามีร่องรอยของความโกรธอยู่เลยแม้แต่น้อย
เขาจึงเลิกคิ้วถามว่า “ไม่โกรธเหรอ”
“ยังไงก็ไม่ใช่ความจริง มีอะไรต้องโกรธ” เป็นการมีปฏิกิริยาตอบสนองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ชื่อเสียงของเฉินถิงเซียว ที่ถูกดึงไปเกี่ยวข้องกับผู้หญิงอื่น ทำให้ใจเธอรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
คิดแบบนี้แล้วเธอก็เอาช้อนทิ่มลงไปในชามสองครั้งแรงๆ ตอนนี้เริ่มโกรธขึ้นมานิดหน่อยแล้ว
เฉินถิงเซียวจ้องเธอไม่วางตา ไม่ปล่อยผ่านสายตาและการเคลื่อนไหวของเธอ “เชื่อใจผมขนาดนั้นเลยเหรอ”
“แล้วทำไมต้องไม่เชื่อใจคุณ คนอย่างหลัวหยิงเหรอที่คุณจะเอา ไม่สู้คุณไปหามู่หวั่นชีดีกว่า”
มู่น่อนน่อนแค่เปรียบเปรยไปเฉยๆ โดยไม่คิดอะไร แต่ปรากฏว่าสีหน้าของเฉินถิงเซียวไม่พอใจขึ้นทันที
มู่น่อนน่อนเหลือบมองเขาอย่างระมัดระวัง พบว่าสีหน้าของเขาแย่มาก ในใจก็ค่อนข้างไม่เข้าใจ คำพูดไหนที่เธอไปยั่วโมโหเขานะ
“มู่น่อนน่อน คุณฟังผมให้ดีๆ”
“ฮะ?” นี่คือจะด่าเธอเหรอ
“อย่าบอกให้ผมไปหาผู้หญิงคนอื่นแบบนี้อีก”
“ฮะ?” มู่น่อนน่อนคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าถ้าเฉินถิงเซียวจะด่าเธอ เธอจะตอบโต้กลับไป แต่ผลปรากฏว่าเฉินถิงเซียวพูดคำนี้ออกมา
เธออ่อนใจเล็กน้อย เธอรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เทียบกันแล้วยังดื้อกว่าเธอเสียอีก
“ฉันแค่เปรียบเทียบเท่านั้น”
“เปรียบเทียบก็ไม่ได้”
“…โอเค” อารมณ์ร้อนของมู่น่อนน่อนลดลงในฉับพลัน
เวลานี้เฉินถิงเซียวเริ่มมีสีหน้าท่าทีจริงจัง พูดเรื่องเป็นทางการกับมู่น่อนน่อน
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางพูดว่า “หลัวหยิงอาจจะสงสัยในตัวตนของผม”
มู่น่อนน่อนทานอาหารจนเกือบหมด วางช้อนลงและมองไปยังเขา “แล้วทำยังไง”
เฉินถิงเซียวจมอยู่กับความคิดไปชั่วขณะก่อนจะพูดว่า “ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ”
“ทำไมถึงปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ” มู่น่อนน่อนตามความคิดของเฉินถิงเซียวไม่ทัน
ความหมายของการปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติก็คือ เฉินถิงเซียวจะเริ่มปรากฏสู่สายตาสาธารณชนงั้นเหรอ
จากนั้นข่าวลือที่ว่าคุณชายใหญ่ตระกูลเฉินเสียโฉมก็ถูกหักล้างไปโดยปริยาย
และหลังจากนั้นไม่นาน อาจจะมี…ผู้หญิงมากหน้าหลายตาอยากจะเข้าหาเฉินถิงเซียว
ในใจมู่น่อนน่อนเกิดความรู้สึกที่ค่อนข้างหลากหลาย
มันเหมือนกับเธอซ่อนสมบัติ ตลอดมามีเพียงเธอคนเดียวที่สามารถเห็นได้ เพียงเธอคนเดียวที่รู้ว่าสมบัติชิ้นนี้ยอดเยี่ยมมาก ถ้าปรากฏว่าวันหนึ่ง สมบัติชิ้นนี้ปรากฏสู่สายตาสาธารณชน ต้องประสบกับความต้องการของผู้คนมากมาย
ความรู้สึกแบบนี้…ไม่น่าพิสมัยสักเท่าไร
“อิ่มแล้วเหรอ”
จู่ๆ เฉินถิงเซียวก็ถามประโยคแบบนี้ขึ้นมา มู่น่อนน่อนจึงพยักหน้าเล็กน้อย “อืม”
หลังจากนั้นมู่น่อนน่อนก็ถูกเฉินถิงเซียวดึงกลับไปที่ห้องนอน ทันทีที่เข้าประตู ก็ถูกตะโบมจูบอย่างดุเดือด
อารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลายในใจของมู่น่อนน่อน ถูกชะล้างออกไปด้วยจูบที่คุ้นเคยนี้
เคยได้ยินคนพูดว่าไม่เจอหนึ่งวันราวกับผ่านไปสามฤดูใบไม้ร่วง มู่น่อนน่อนมักจะรู้สึกว่ามันเกินจริง
แต่หลายวันมานี้ จู่ๆ มู่น่อนน่อนก็มีความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา
การให้ความร่วมมือและคล้อยตามของมู่น่อนน่อนทำให้เฉินถิงเซียวยิ่งมีความสุขมาก
เมื่อถึงห้วงอารมณ์ลึก เฉินถิงเซียวก็ส่งเสียงแหบพร่าล่อลวงเธอ “เรียกสามีหน่อยสิ”
“สามี…!”
……
มู่น่อนน่อนขึ้นเครื่องบินแต่เช้า หลังจากกลับมาก็ดื่มโจ๊กไปชามเดียว แล้วก็ถูกเฉินถิงเซียวจับเข้าห้อง
ไฟดวงใหญ่ในห้องไม่ได้เปิด มีเพียงแสงไฟสลัวในทางหนึ่ง
มู่น่อนน่อนหันศีรษะไป เห็นว่าเฉินถิงเซียวนั่งอยู่ที่โซฟาไม่ไกลจากเตียงกำลังดูเอกสาร โคมไฟตั้งพื้นที่อยู่ข้างๆ ให้แสงสีเหลืองจางๆ
เฉินถิงเซียวอาบน้ำแล้ว เส้นผมปรกหน้าผากนุ่มสลวย ร่างกายอยู่ในชุดอยู่บ้านสบายๆ ไอแห่งความรุนแรงในร่างกายอ่อนลงด้วยแสงสีเหลืองอันอบอุ่น ทั้งร่างดูแสนอ่อนโยน
มู่น่อนน่อนจ้องมองเขาสักพัก อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปาก แล้วพลิกตัวแผ่วเบา
การเคลื่อนไหวเล็กๆ นี้ดึงดูดความสนใจของเฉินถิงเซียว
เขาเงยหน้าขึ้นหันมาทางนี้ ในสายตาไม่สามารถบ่งบอกอารมณ์ได้เพราะการแสดงท่าทีอึมครึมที่มักจะเป็น แต่เห็นได้ชัดว่าเจือความอ่อนโยนอยู่มาก
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยแผ่วเบา “หิวหรือเปล่า”
“หิว” เมื่อมู่น่อนน่อนเอ่ยปากพูดถึงได้พบว่าตัวเองเสียงแหบผิดปกติ จากนั้นจึงพยักหน้า
เฉินถิงเซียววางเอกสารในมือ ลุกขึ้นและเดินเข้ามานั่งลงข้างเตียง โน้มตัวไปจูบลงที่หน้าผากของเธอ
เมื่อตอนที่จะดึงตัวออก มู่น่อนน่อนก็จับจ้องมองเขาด้วยดวงตาแมวที่สวยงาม
เขาชอบดวงตาของเธอที่สุด มันสวยงามมาก เวลาที่มองเขา มักจะรู้สึกว่ายั่วยวนเขาเสมอ
เขาอดไม่ได้ที่จะจูบลงไปอีกครั้ง
มู่น่อนน่อนหายใจลำบาก ดิ้นรนครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือออกไปผลักเขา “ฉันหิวมาก”
เฉินถิงเซียวอารมณ์สับสนเล็กน้อย “จะลงไปทานหรือว่าจะให้เอาขึ้นมาให้”
“ลงไปทาน!” ถ้าเอาขึ้นมา อาหูจะไม่รู้หรืออย่างไรว่าเมื่อตอนบ่ายเธอกับเฉินถิงเซียวทำอะไรกัน!
เฉินถิงเซียวมองสิ่งที่เธอคิดออก ยกยิ้มลึกมุมปาก ส่งเสียงหัวเราะร่าเริงและค่อนข้างได้ใจ
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเขาค่อนข้างกวนประสาท จึงยื่นมือไปต่อยหน้าอกเขาสองหมัด
……
วันต่อมา
มู่น่อนน่อนถูกปลุกด้วยโทรศัพท์
เธอยื่นมือออกไปจะควานหาโทรศัพท์มือถือ แต่เฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างๆ พบโทรศัพท์ของเธอก่อนหน้าเธอหนึ่งก้าว ช่วยตัดสายให้เธอ
เขารวบแขนยาวเอาเธอเข้ามาในอ้อมแขนทันที “ยังเช้าอยู่ นอนต่ออีกสักพักเถอะ”
มู่น่อนน่อนถูกปลุกจนตื่นแล้ว และตอนนี้ก็ตื่นเต็มตา เฉินถิงเซียวเห็นเธอตื่นแล้ว สีหน้าจึงไม่ค่อยดี
หยิบเอาโทรศัพท์มือถือมาแล้วจะปิดมัน
“อย่าปิดมือถือนะ เอามือถือให้ฉัน” มู่น่อนน่อนเอามือถือจากเฉินถิงเซียวมาเชื่อมต่อ
น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงดังมาจากอีกฝั่งของมือถือ ท่าทางทั้งตื่นเต้นทั้งโมโห “เธอยังหลับอยู่เหรอ! ลุกขึ้นเร็ว เราไปโรงแรมเพื่อจับคนกัน!”
“ฮะ? จับใคร” มู่น่อนน่อนหน้าตามึนงง จับใครกันตอนเช้าขนาดนี้
น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงยิ่งกังวลมากขึ้น “แน่นอนว่าเป็นสามีของเธอเฉินถิงเซียวน่ะสิ!”
มู่น่อนน่อนเหลือบตามองเฉินถิงเซียวที่กำลังจูบตัวเอง “…
บทที่ 171 เดทส่วนตัวในคฤหาสน์หรู
มู่น่อนน่อนตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย แต่ยังรู้สึกว่าการระวังพฤติกรรมตัวเองดูจะค่อนข้างปลอดภัยกว่า
เธอดึงประตูรถเปิดแล้วเข้าไปนั่งในรถก่อน
เพราะเป็นซือเฉิงหยู้ที่ขับ การนั่งด้านหลังจะรู้สึกว่าซือเฉิงหยู้เป็นคนขับรถ มันไม่สุภาพอย่างมาก มู่น่อนน่อนจึงเข้าไปนั่งที่ข้างคนขับ
รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างราบรื่น แล้วมู่น่อนน่อนก็หยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาเสิ่นเหลียง
แต่เมื่อโทรศัพท์เชื่อมต่อแล้วกลับไม่มีคนรับสายและตัดสายไปอัตโนมัติ
ในใจมู่น่อนน่อนคิดอย่างไม่ค่อยสบายใจ เสิ่นเหลียงคงจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกใช่ไหม
กำลังคิดแบบนี้ เสิ่นเหลียงก็โทรเข้ามาหาเธอ
มู่น่อนน่อนรีบรับสายโทรศัพท์ “เสี่ยวเหลียง”
“น่อนน่อน เธออยู่ที่ไหน ก่อนหน้านี้ทำไมปิดมือถือ” ในน้ำเสียงของเสิ่นเหลียงค่อนข้างจริงจัง
หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว
ใจมู่น่อนน่อนค่อนข้างกังวล “ก่อนหน้านี้อยู่บนเครื่องบิน เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“เธอยังไม่เห็นข่าวเหรอ…” เสิ่นเหลียงพูดถึงตรงนี้จู่ๆ ก็หยุดกะทันหัน ดูเหมือนค่อนข้างไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไร
“ข่าวอะไรเหรอ” ใจมู่น่อนน่อนเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี
“คือว่าหลัวหยิง…” เสิ่นเหลียงไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากพูดเรื่องนี้อย่างไรดี ก่อนจะพูดออกมาอย่างค่อนข้างหงุดหงิดว่า “ฉันจะส่งรูปให้เธอ เธอไปดูเองเถอะ”
สายโทรศัพท์ถูกตัดไป ไม่นานมู่น่อนน่อนก็ได้รับการแจ้งเตือนข้อความวีแชท
คลิกเข้าไปในวีแชท พบว่าเสิ่นเหลียงส่งรูปมาให้เธอ ทั้งหมดเป็นภาพขนาดยาว สามารถมองออกได้เบลอๆ ว่ามันเป็นภาพแคปหน้าจอของพวกข่าวทางสื่อสิ่งพิมพ์และเว่ยป๋อ
หลังจากมู่น่อนน่อนขยายรูปภาพดูแล้ว ในที่สุดก็เห็นเนื้อหาบนนั้น
“ดาราสาวระดับสองกับคุณชายตระกูลใหญ่เดทส่วนตัวในคฤหาสน์หรู…”
ในเนื้อหาข่าวล้วนมีแต่การคาดเดาไร้แก่นสาร ในรูปด้านล่าง เป็นร่างหญิงสาวที่มีคฤหาสน์อยู่ข้างหลังเธอ มู่น่อนน่อนจำได้
เธอเคยเห็นหลัวหยิงหลายครั้ง และค่อนข้างจดจำหลัวหยิงได้แม่น เพียงแวบแรกก็จำได้ทันทีว่าผู้หญิงที่ใส่แว่นกันแดดคือหลัวหยิง
ส่วนคฤหาสน์ข้างหลังหลัวหยิง นั่นคือคฤหาสน์ของเฉินถิงเซียว!
ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนก็นึกขึ้นได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่หลัวหยิงไปหาเธอที่บริษัทมู่ซื่อ ไม่เพียงแต่ขอโทษเกินความจำเป็น แต่ยังซื้อของแบรนด์ดังมาขอโทษด้วย
ตอนนั้นเธอก็รู้สึกว่าหลัวหยิงมีจุดประสงค์อื่น แต่กลับไม่ได้คิดไปถึงตัวเฉินถิงเซียว เธอคิดว่าแค่ตัวเองปฏิเสธหลัวหยิงก็พอแล้ว คิดไม่ถึงว่าหลัวหยิงจะไปหาเฉินถิงเซียวถึงคฤหาสน์
มันเหมือนกับสิ่งที่เธอคิดจริงๆ ต่อให้ในสายตาคนนอก เฉินถิงเซียวจะเป็นคนถ่อยที่“น่ารังเกียจและไร้มนุษยธรรม” เพียงแต่สถานะคุณชายตระกูลเฉินก็เพียงพอแล้วที่จะให้ผู้หญิงเริ่มเข้าหาถึงประตูบ้าน
มู่น่อนน่อนอารมณ์ค่อนข้างยุ่งเหยิงขึ้นมาฉับพลัน
ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวบอกไว้ก่อนแล้วว่าจะไม่มารับเธอ ที่บอกคือเรื่องนี้งั้นเหรอ
ด้านล่างพวกภาพเว่ยป๋อลงไปอีก ในเนื้อหาคือการวิเคราะห์สถานะของหลัวหยิงกับเจ้าของคฤหาสน์หลังนั้น
บทความยาวในเว่ยป๋อวิเคราะห์ทุกอย่างจริงจังอย่างมีเหตุมีผล ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้จักนิสัยหยิ่งผยองจองหองของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนเองก็ยังเชื่อในสิ่งที่เว่ยป๋อบอก “ถึงแม้จะไม่ดี แต่เซ็กซ์ประเคนถึงที่ใครจะปฏิเสธ”
ตอนที่เฉินถิงเซียวอยู่บนเตียงจะเหมือนหมาป่า
อ้อยเข้าปากช้าง
ผู้หญิงแบบใหนๆเฉินถิงเซียวก็มีอยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนโต้แย้งคำพูดของเจ้าของโพสต์ไปที่ละขั้น เสิ่นเหลียงก็ไม่ได้อยู่เฉย ส่งข้อความหาเธอตลอด
“ก่อนหน้านี้ฉันก็รู้สึกได้ว่ามู่หวั่นชีกับหลัวหยิงคบกันไม่น่าจะเป็นเรื่องดี ผู้หญิงคนนั้นทะเยอทะยานเกินไปจริงๆ”
“ถ้ารู้แต่แรก ก่อนหน้านี้ฉันควรจะจัดการเธอให้ตายไปเลยแล้วให้เธอไสหัวออกไปจากวงการบันเทิง!”
“น่อนน่อน? เธอเห็นข้อความของฉันไหม ฉันคิดว่าต่อให้บอสใหญ่อยากจะทำเรื่องอย่างว่าจริงๆ ก็จะไม่มีทางหาผู้หญิงแบบหลัวหยิง อย่างน้อยก็ต้องหาสาวงามระดับชาติ สาวที่สวยและมีชื่อเสียง”
มู่น่อนน่อนเห็นแล้วหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก มีใครเขาปลอบแบบนี้บ้าง
อีกด้านหนึ่งซือเฉิงหยู้เห็นสีหน้าของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนแปลงไม่หยุด จึงสอบถามอย่างใส่ใจว่า “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีอะไรค่ะ” มู่น่อนน่อนเงยหน้าเหลือบตามองไปยังซือเฉิงหยู้ แต่มือก็ไม่ได้อยู่เฉย แก้ไขข้อความและส่งไปให้เสิ่นเหลียง
ข้อความที่เธอส่งออกไปคือ “พวกข่าวทางสื่อสิ่งพิมพ์และเว่ยป๋อถูกลบออกไปหมดแล้วใช่ไหม”
เสิ่นเหลียงตอบกลับทันที “ลบนานแล้ว”
งั้นก็ดี
“ฉันยังอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน รอฉันกลับไปถามเรื่องราวจากเฉินถิงเซียวก่อนค่อยว่ากัน” มู่น่อนน่อนส่งข้อความนี้ตอบกลับไปให้เสิ่นเหลียง แล้ววางโทรศัพท์มือถือลง
“เสี่ยวฉินเป็นยังไงบ้างคะ” หลายวันมานี้ไม่ได้เจอเฉินเจียฉิน จึงค่อนข้างคิดถึงเขามาก
“หาป้าคนหนึ่งมาช่วยทำอาหารให้เขาครับ อยู่บ้านทั้งวันไม่เล่นเกมก็ดูหนัง เมื่อสองสามวันก่อนยังบอกกับผมว่าอยากกลับไปอยู่กับเฉินถิงเซียว” เมื่อซือเฉิงหยู้พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มอย่างหมดหนทาง “ผมรู้สึกว่าตัวที่เป็นพี่ชายค่อนข้างไร้ความสามารถ”
ถึงเฉินเจียฉินจะฟ้องเขาตลอดว่าเฉินถิงเซียวทั้งโหดร้ายเย็นชาแถมยังไม่ให้ค่าขนมกับเขา แต่ไม่ได้ไปที่บ้านเขาหลายวัน ก็ร้องอยากกลับไปอยู่บ้านเฉินถิงเซียว
เดี๋ยวก็อยากทานอาหารที่มู่น่อนน่อนทำ เดี๋ยวก็บอกว่าตัวเองลืมเอาพวกหนังสือเรียนมา…
พูดไปพูดมา เฉินเจียฉินก็ยินดีจะอยู่กับเฉินถิงเซียวมากกว่าอยู่ดี
มู่น่อนน่อนไม่ได้ให้ซือเฉิงหยู้ส่งเธอกลับบ้าน เมื่ออยู่ใจกลางเมืองก็ลงจากรถ จากนั้นก็นั่งแท็กซี่กลับไปคฤหาสน์
“สวัสดีครับคุณหญิงน้อย!”
ทันทีที่เธอลงจากรถ บอดี้การ์ดที่คอยเฝ้าประตูก็ทักทายเธอทันที จากนั้นก็เข้ามาขนสมภาระให้เธอ
ในขณะที่มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปก็ส่งเสียงถามออกมาด้วยว่า “คุณชายของพวกคุณล่ะ”
บอดี้การ์ดบอกอย่างซื่อสัตย์ว่า “คุณชายออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วครับ”
เมื่อถึงประตูห้องโถงอาหูก็ออกมาต้อนรับ “ฉันอยู่ข้างในได้ยินพวกเขาเรียกคุณ กลับมาเที่ยวบินเช้าเหรอคะ มันเช้ามากคงยังไม่ได้ทานอะไร เมื่อเช้าทำโจ๊กให้คุณชายก็ไม่ได้ทานมากนัก ฉันจะอุ่นให้คุณชามหนึ่งนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ อาหู”
มู่น่อนน่อนเอ่ยขอบคุณ แล้วขึ้นข้างบนไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
ทันทีที่เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเปิดประตู ก็ถูกรวบเข้าไปในอ้อมกอดอบอุ่นและอ่อนโยน
กลิ่นคุ้นเคยโชยเข้าจมูก มู่น่อนน่อนยื่นมือกอดกลับไป
เฉินถิงเซียวก้มจูบลงบนเส้นผมของเธอแผ่วเบา “กลับมายังไง สือเย่บอกว่าไม่ได้รับคุณที่สนามบิน”
ซึ่งมู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ปิดบัง “เจอพี่ใหญ่ที่สนามบิน เขาขับรถมาส่งฉัน พอถึงใจกลางเมืองแล้วฉันก็เรียกแท็กซี่กลับมา”
เธอรู้สึกได้ชัดมากว่าอารมณ์ของเฉินถิงเซียวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนจะค่อนข้างไม่พอใจ
“ครั้งก่อนที่งานเลี้ยงพี่ใหญ่ไม่ได้ตั้งใจ นี่บังเอิญเจอที่สนามบิน เขาบอกว่าจะมาส่งฉัน ฉันก็ปฏิเสธไม่ได้”
มู่น่อนน่อนอดทนอธิบายต่อเขา แต่เธอไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเวลานี้อารมณ์ค่อนข้างขุ่นมัวเล็กน้อย
ทั้งทั้งที่เฉินถิงเซียวบอกว่าจะไปรับเธอที่สนามบิน เธอยังคิดว่าลงจากเครื่องมาจะได้เห็นเฉินถิงเซียว ปรากฏว่าเขาบอกว่าจะไม่มารับ
“อืม” เฉินถิงเซียวส่งเสียงตอบด้วยอารมณ์คลุมเครือ แล้วก้มหน้าลงไปจะจูบมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนรีบผลักเขาออก “อาหูรอฉันลงไปทานอาหาร ฉันยังไม่ทันไปกินอาหารเช้า หิวมาก”
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้น ถึงแม้ยังค่อนข้างไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรอีก
บทที่ 170 ดูแล้วยิ่งน่าสงสัย
เข้าใจเรื่องพวกนี้ดีแล้ว สีหน้าบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนก็ยิ่งเย็นชา
บรรดาผู้เฒ่าพวกนั้นพูดกับมู่น่อนน่อน มู่น่อนน่อนก็ตอบรับอย่างสั้นๆง่ายๆ ไม่ได้กระตือรือร้น
ยิ่งคนที่อายุมาก บางครั้งก็ยิ่งเห็นแก่หน้าตา มีหลายคนในนั้นเห็นมู่น่อนน่อนแบบนี้ ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ
อาหารมื้อนี้กินกันอย่างไม่มีความสุขนัก
หลังจากแยกย้ายกันจากการรับประทานอาหารแล้ว มู่น่อนน่อนและมู่เจิ้งซิวกลับโรงแรมพร้อมกัน
ระหว่างทางกลับทั้งสองต่างก็ไม่พูดจากัน รอจนกระทั่งทั้งสองถึงโรงแรมแล้ว ตอนขึ้นลิฟต์มู่เจิ้งซิวจู่ๆก็พูดขึ้นว่า “น่อนน่อน หลานอย่าคิดว่าปู่ใช้หลานเป็นเครื่องมือนะ ตอนนี้ที่ทำทั้งหมดก็เพื่อตระกูลมู่”
ประโยคนี้ของมู่เจิ้งซิว อยู่บนจุดสูงสุดของศีลธรรมอันดีอย่างสมบูรณ์
เพื่อตระกูลมู่
——พี่สาวของเธอสมควรจะได้สิ่งที่ดีกว่า
——อย่าลืมว่าเธอก็เป็นคนตระกูลมู่
——ฉันทำเพื่อตระกูลมู่
ตอนที่ทุกคนใช้เธอเป็นเครื่องมือ ต่างก็มีเหตุผลของพวกเขาเอง
แล้วเธอล่ะ
เธอสมควรจะถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ ถูกพวกเขากำหนดชะตาชีวิตเหรอ
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองเขา สีหน้าที่อยู่บนใบหน้าขาวนวลนั้นเย็นยะเยือก ภายใต้แสงไฟนีออนที่สาดส่องในลิฟต์ ก็ยิ่งทำให้เห็นถึงความเย็นชา
เธอมองมู่เจิ้งซิวนิ่งๆ “แต่การบาดเจ็บทั้งที่ฉันได้รับตั้งแต่เด็กจนโต ล้วนมาจากฝีมือคนตระกูลมู่ทุกคน”
มู่เจิ้งซิวได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เกร็งขึ้นมาทันที สีหน้าเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมา
ก็เหมือนกับที่เฉินถิงเซียวพูดมู่เจิ้งซิวเป็นคนฉลาด และไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปคุยกับเขา
ผ่านไปพักใหญ่ มู่เจิ้งซิวก็พูดว่า “เมื่อก่อนคือพ่อกับพี่สาวของหลานเลอะเลือน ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องพวกนั้นอีกแล้ว”
ติ๊ง——
ถึงชั้นที่กดเอาไว้แล้ว ลิฟต์เปิดออก
มู่น่อนน่อนเดินออกไปก่อน “มู่หวั่นขีหาคนมาทำร้ายฉัน นั้นก็แค่เลอะเลือนเหรอคะ”
พูดจบ เธอเตรียมจะเดินไป ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ หันหน้าไปมองมู่เจิ้งซิว พูดอย่างแผ่วเบาว่า “คุณปู่ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่สงสัยมาตลอด”
มู่เจิ้งซิวขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าบูดบึ้ง อาจจะเป็นผลจากคำพูดที่เธอพูดก่อนหน้านี้ สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“ตอนนั้น ทำไมตระกูลมู่ถึงเห็นด้วยที่จะให้มู่หวั่นขีหมั้นหมายกับเฉินถิงเซียว ต่อให้เฉินถิงเซียวจะหน้าเสียโฉมจริงทั้งยังเป็นเป็นผู้ชายที่ไร้มนุษยธรรม,ก็ยังหาสามารถหาผู้หญิงที่ดีกว่ามู่หวั่นขีมาเป็นคุณหญิงน้อยได้”
ความสามารถเล็กน้อยเหล่านั้นของมู่น่อนน่อน อาจจะทำให้มู่ลี่เหยียนไขว้เขวได้ แต่เมื่ออยู่ตรงหน้ามู่เจิ้งซิว ความสามารถพวกนั้นก็ไม่มีความจำเป็นเลย
ในเมื่อมู่เจิ้งซิวสามารถไปสืบเรื่องที่เธอให้นักข่าวเข้าไปแอบถ่ายในโรงงานมาได้อย่างง่ายดาย เรื่องอื่นแน่นอนว่าก็ไม่ยากเกินความสามารถเขา
สู้ถามตรงๆไปเลยเสียดีกว่า
แสงคมกริบสว่างวาบในดวงตาของมู่เจิ้งซิว จากนั้นก็พูดด้วยเสียงเยือกว่า “นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับปู่ หลานเป็นคุณหญิงน้อยของตระกูลเฉินของตนเองให้ดีก็พอแล้ว ไม่ว่าหลานจะเกลียดพ่อและพี่สาวของหลานมากแค่ไหน พวกเขาก็ล้วนเป็นญาติของหลาน เลือดเนื้อในตัวของหลานก็เป็นของตระกูลมู่”
คำพูดแบบนี้มู่น่อนน่อนไม่ใช่ว่าได้ยินเป็นครั้งแรก
เธอเองก็ไม่ได้คาดหวังมู่เจิ้งซิวตอบคำถามของเธอ แต่วิธีการพูดแบบนี้ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมา
ทันใดนั้น เธอก็พูดอย่างเยือกเย็นว่า “หัวใจคือผู้สร้างเลือด คุณทำให้ใจของฉันเปลี่ยนเป็นของตระกูลมู่ได้มั้ยล่ะคะ”
สีหน้าของมู่เจิ้งซิวเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจากการมองเห็นด้วยตาเปล่า มู่น่อนน่อนยิ้มพลางเดินจากไป
มู่เจิ้งซิวและเฉินถิงเซียวมีความคล้ายคลึงกันเล็กน้อย คือเป็นคนที่ชินกับการควบคุมคนอื่น
แต่ว่ามู่เจิ้งซิวแสดงออกให้เห็นภายนอกด้วยการควบคุมแบบนี้ แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่แสดงออกอะไร แต่กลับทรงพลังอย่างยิ่ง
……
ช่วงหลายวันนี้ร่วมรับประทานอาหารเป็นเพื่อนมู่เจิ้งซิว มู่น่อนน่อนเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
มู่เจิ้งซิวคาดว่าจะกลับวันมะรืนนี้ มู่น่อนน่อนไม่อยากจะอยู่ต่อแม้แต่วันเดียว พรุ่งนี้ก็อยากจะกลับไปทันทีเลย
เธอเปิดกระเป๋าเดินทางเตรียมเก็บของ ก็ได้รับสายของเฉินถิงเซียว
“เพิ่งกลับถึงโรงแรมเหรอ”
“อืม” มู่น่อนน่อนนั่งลงข้างเตียง เรื่องหลายวันนี้ สุดท้ายแล้วก็ส่งผลกระทบกับเธออยู่บ้าง
ทางด้านเฉินถิงเซียวนั้นเงียบอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเขาถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
อาจจะสัมผัสได้ว่ามู่น่อนน่อนมีอารมณ์ที่ผิดปกติ เสียงพูดของเขาเบาลงมากอย่างไม่รู้ตัว
ในใจมู่น่อนน่อนรู้สึกอบอุ่น พูดว่า “ไม่มีอะไร ก็แค่อยากกลับบ้านแล้ว”
“พรุ่งนี้ก็จะกลับแล้วเหรอ”
“อืม พรุ่งนี้”
“ผมไปรับคุณนะ”
หลังจากพูดคุยกับเฉินถิงเซียวอีกพักหนึ่ง มู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าอารมณ์ของตนเองดีขึ้นมาก รีบจัดเก็บข้าวของ แล้วก็นอนหลับเลย
เช้าวันต่อมา เธอไม่ได้สนใจมู่เจิ้งซิว ออกจากโรงแรมก็ตรงไปที่สนามบินเลย
เธอรู้สึกเหนื่อยล้ากับคนและเรื่องของตระกูลมู่เหล่านั้นจริงๆ
นั่งอยู่บนเครื่องบิน มู่น่อนน่อนส่งข้อความให้เฉินถิงเซียวแล้วจึงปิดเครื่อง
คิดว่าอีกสองชั่วโมงให้หลังจะได้พบกับเฉินถิงเซียว ก้นบึ้งของหัวใจเธอก็ลิงโลด
ตอนลงจากเครื่องบิน เธอออกจากสนามบิน เปิดเครื่องก็พบว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบข้อความของเธอ แต่กลับมีสายที่ไม่ได้รับจากเสิ่นเหลียงหลายสาย
“น่อนน่อนเหรอ”
มีคนเรียกเธอที่ด้านหลัง
มู่น่อนน่อนคิดว่าตนเองฟังผิดเลยไม่ได้สนใจ จนกระทั่งมีคนมาแตะเบาๆที่ไหล่เธอ เธอหันมา ก็มองเห็นซือเฉิงหยู้
มู่น่อนน่อนตกใจเล็กน้อย “พี่ใหญ่”
เมื่อก่อนเรื่องที่งานเลี้ยงหลังจากทำความเข้าใจกันแล้ว มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้กล่าวโทษซือเฉิงหยู้แล้ว
ซือเฉิงหยู้สวมเสื้อโค้ทตัวยาวสีอ่อน ด้านในเป็นเสื้อไหมพรมคอเต่าสีขาว ผมไม่ได้จัดแต่งให้เรียบร้อย ลู่ตกลงมา ดูแล้วมีความอบอุ่นและเป็นกันเอง
สายตาของเขามองมาที่บนกระเป๋าเดินทางข้างมือของมู่น่อนน่อน “คุณจะไปไหน”
“ฉันเพิ่งกลับมาจากทำงานที่เมือง” มู่น่อนน่อนเพิ่งจะพบว่าข้างกายซือเฉิงหยู้ไม่มีผู้ช่วยและผู้จัดการส่วนตัว และก็ไม่มีกระเป๋าเดินทาง “คุณล่ะ”
“ผมไปบันทึกรายการที่นอกเมืองเพิ่งกลับมา ซื้อตัวเครื่องบินไม่ได้ชั่วคราว พวกเขานั่งไฟล์ทถัดไปกลับมา” ซือเฉิงหยู้มองไปรอบๆ “ถิงเซียวไม่ได้มารับคุณเหรอ”
“เขาอาจจะยังมาไม่ถึง ฉันต้องโทรถามเขาหน่อย”
เวลานี้เอง เสียงเตือนของข้อความจากโทรศัพท์มือถือของมู่น่อนน่อนก็ดังขึ้นมา
คือข้อความที่เฉินถิงเซียวส่งมา “มีธุระกะทันหัน ผมให้สือเย่ไปรับคุณนะ”
สีหน้าท่าทางมู่น่อนน่อนชะงักไปเล็กน้อย ส่งข้อความกลับให้เฉินถิงเซียวว่า“อืม”
การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เล็กน้อยของเธดอไม่ได้หลุดรอดสายตาของซือเฉิงหยู้ “รออีกเดี๋ยวกลับไปรถต้องติดแล้ว ถ้าเฉินถิงเซียวยังไม่มา ผมขับรถไปส่งคุณก่อนได้นะ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า “อย่างนั้นรบกวนพี่แล้วนะคะ”
ซือเฉิงหยู้หยิบหน้ากากอนามัยออกมาสวมใส่ ยื่นมือไปเอากระเป๋าเดินทางของมู่น่อนน่อนมา “ตามผมมา”
มู่น่อนน่อนอยากจะบอกว่าเธอถือเองก็ได้ แต่ว่าซือเฉิงหยู้เดินไปไกลมากแล้ว เธอได้แต่เดินตามไป
สัมผัสได้ว่าเด็กผู้หญิงที่เดินผ่านไปต่างก็มองไปทางซือเฉิงหยู้ เธอจึงคิดขึ้นมาได้ว่าซือเฉิงหยู้เป็นคนมีชื่อเสียง ถ้าหากถูกใครจำได้……
ดังนั้น เธอจึงชะลอฝีเท้าลง ตั้งใจทิ้งระยะห่างจากซือเฉิงหยู้ช่วงหนึ่ง
ซือเฉิงหยู้เอากระเป๋าเดินทางของมู่น่อนน่อนขึ้นบนรถ หันไปมองมู่น่อนน่อนวิ่งมาทางนี้ท่าทางลับๆล่อๆ ก็หลุดหัวเราะออกมา “คุณท่าทางลับๆล่อๆแบบนี้ ดูแล้วยิ่งน่าสงสัย”
บทที่ 169 ร้ายกาจ!
มู่น่อนน่อนพอได้ยินประโยคนี้ของเขา ก็รีบผลักเขาออก “ไม่ได้ ต้องไป”
เธอรู้ว่านี่เฉินถิงเซียวไม่อยากให้เธอไปทำงานนอกสถานที่อีกแล้ว
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้พูดอะไร ดวงตาคู่นั้นจ้องมองเธอเงียบๆอยู่แบบนั้น เห็นชัดว่าในดวงตาไม่มีความรู้สึกอื่นใด แต่มู่น่อนน่อนจะมองอย่างไร ก็รู้สึกว่าแววตาเขาเหมือนมีความคับแค้นใจอยู่เล็กน้อย
“สัปดาห์เดียวก็กลับแล้ว……” มู่น่อนน่อนเบ้ปาก รู้สึกว่าตนเองอาจจะมองความรู้สึกในแววตาเขาผิดไป
เฉินถิงเซียวไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น แค่ไปทำงานออกสถานที่สัปดาห์เดียวเท่านั้น
“อืม” เฉินถิงเซียวตอบรับ ดึงมือของเธอมา “ไปกินข้าวกันเถอะ”
……
ตกกลางคืนพอกลับมาถึงห้อง เฉินถิงเซียวก็โยนมู่น่อนน่อนลงบนเตียง “ให้สิทธิ์คุณเลือก ว่าตอนนี้จะทำช่วงที่ไม่อยู่หนึ่งสัปดาห์ให้ผมก่อน หรือว่ารอหลังจากกลับมาแล้วค่อยชดเชยให้ผม”
มู่น่อนน่อน“……”
เธอล้วนไม่อยากเลือก
มู่น่อนน่อนส่งเสียงฮึ่มในลำคอ พยุงแขนลุกขึ้นมานั่งเตรียมจะไปห้องน้ำ
นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมไม่สมเหตุสมผล เธอไม่มีทางรับปากเฉินถิงเซียว
สรุป สุดท้ายเธอก็ถูกเฉินถิงเซียวจัดการในห้องน้ำไปหนึ่งครั้ง กลับมาที่คลอเคลียนัวเนียบนเตียงอยู่อีกพักหนึ่ง จึงยอมปล่อยเธอ
เช้าวันต่อมา เธอถูกเฉินถิงเซียวเรียกให้ตื่น
“ตื่นได้แล้ว”
เธอลืมตา ที่มองเห็นคือสภาพที่เฉินถิงเซียวแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว แตกต่างกับผู้ชายร้ายกาจในห้องน้ำเมื่อคืนราวกับเป็นคนละคน
มู่น่อนน่อนง่วงนอนมาก คนตื่นแล้ว น้ำเสียงยังคงแหบพร่าแบบคนเพิ่งตื่นนอน “กี่โมงแล้ว”
“หกโมง” เฉินถิงเซียวที่ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้ว น้ำเสียงเป็นปกติ
หกโมง กินข้าวล้างหน้าแปรงฟันครึ่งชั่วโมง ไปสนามบินชั่วโมงกว่า เฉินถิงเซียวแบ่งเวลาได้ดีมาก
มู่น่อนน่อนปิดตา คำนวณเวลาอย่างสะลึมสะลือ อยากจะนอนอีก
ใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังของเขา เติมเชื้อไฟด้วยการกระซิบเบาๆข้างหูเธอ “ไม่อยากตื่นก็นอนต่อ”
พอเขาพูดอย่างนี้ มู่น่อนน่อนก็ตื่นขึ้นมาทันที
เฉินถิงเซียวทรมานเธอเมื่อคืน เช้านี้ยังมาปลุกเธอแต่เช้าขนาดนี้อีก เห็นชัดว่าไม่อยากให้เธอไปทำงานนอกสถาน
ที่ร้ายกาจ!
มู่น่อนน่อนกัดฟันพลิกตัวลุกขึ้นมานั่ง พึมพำหนึ่งคำ “ร้ายกาจ!”
เฉินถิงเซียวแววตาสว่างวาบ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
……
เฉินถิงเซียวขับรถไปส่งมู่น่อนน่อนด้วยตนเองที่สนามบิน
ทั้งสองคนพบกับมู่เจิ้งซิวที่นั่น
นี่เป็นครั้งที่สองที่พบกับเฉินถิงเซียว หลังจากที่มู่เจิ้งซิวกลับประเทศมา
มู่เจิ้งซิวเอ่ยก่อนว่า “ให้คนขับรถมาส่งก็ได้ คุณยังต้องมาส่งน่อนน่อนที่สนามบินเป็นพิเศษ รบกวนคุณมากไปแล้ว ”
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้น ก็ชำเลืองมองมู่น่อนน่อน “ก็ไม่ได้มีธุระอะไร”
สีหน้ามู่น่อนน่อนเรียบเฉย อดค่อนแคะเฉินถิงเซียวไม่ได้
เห็นชัดว่ายุ่งจะตาย กลับบอกว่าไม่มีธุระอะไรหน้าตาเฉย
มู่เจิ้งซิวพยักหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนไม่คิดจะพูดอะไรต่ออีก
เฉินถิงเซียวกลับเอ่ยปากพูดขึ้นในตอนนี้อีกว่า “ไปเมืองCทางนั้น คงต้องรบกวนคุณปู่มู่ดูแลภรรยาผมด้วยนะครับ”
ต่อหน้าคนนอก ดูเหมือนว่าจะมีสีหน้าเย็นชาอยู่ตลอดเวลาซึ่งไม่แยแสราวกับว่าไม่มีอารมณ์ความรู้สึก แต่ก็ไม่สามารถปกปิดการข่มขู่คุกคามในน้ำเสียงของเขาได้
แม้แต่มู่น่อนน่อนยังฟังออก ก็ไม่ต้องพูดถึงมู่เจิ้งซิว
สีหน้าของมู่เจิ้งซิวเกร็งเล็กน้อย จากนั้นก็พูดตามน้ำอย่างใจเย็นว่า “น่อนน่อนเป็นหลานสาวแท้ๆของผม ต้องดูแลแน่นอน”
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้น ได้แต่กระตุกมุมปาก แต่กลับไม่เห็นรอยยิ้ม
มู่เจิ้งซิวหันหน้าไปพูดกับมู่น่อนน่อนว่า “พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
มู่น่อนน่อนเข็นกระเป๋าเดินทางเดินเข้าข้างใน ยังไม่ลืมที่จะหันไปทำท่าทางสัญลักษณ์โทรศัพท์กับเฉินถิงเซียว
เธอถึงเมืองCจะโทรหาเขา
เฉินถิงเซียวที่สวมชุดสูทสั่งตัดหรูหรา บวกกับร่างสูงใหญ่ ยืนอยู่ในสนามบินที่มีผู้คนเดินไปมา ก็เหมือนกับมีแสงออร่าอย่างนั้น ดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นพิเศษ มีความหยิ่งยโสเล็กน้อย แต่เห็นชัดว่าโดดเดี่ยว
มู่น่อนน่อนหันกลับมามองเขาหลายครั้ง จึงเดินเข้าไปที่จุดตรวจความปลอดภัย
เวลานี้ เธอจึงสังเกตเห็นว่าสีหน้าของมู่เจิ้งซิวแย่มาก
คงต้องเป็นเพราะถูกเฉินถิงเซียวข่มขู่เมื่อครู่ ใบหน้าชราของเขาไม่สามารถเอามันอยู่ จึงเป็นเช่นนี้
เฉินถิงเซียวแม้จะบอกให้มู่เจิ้งซิวดูแลเธอ แต่เธอก็ยังรู้จักกาลเทศะช่วยมู่เจิ้งซิวเข็นกระเป๋าสัมภาระ
มู่เจิ้งซิวไม่ได้เอาผู้ช่วยและเลขามาด้วย มู่น่อนน่อนได้แต่รับภาระคนเดียว
เห็นมู่น่อนน่อนดึงกระเป๋าสัมภาระในมือของเขาไป มู่เจิ้งซิวก็หันไปมองเธออย่างไม่รู้ตัว มู่น่อนน่อนยิ้มให้
เธอแทบจะไม่เคยใช้ชีวิตตามลำพังกับมู่เจิ้งซิวมาก่อน ตอนนี้กลับรู้สึกเขินๆเล็กน้อย
ดีที่มู่เจิ้งซิวก็ไม่ได้มีท่าทีจะพูดอะไรกับเธอมาก ขึ้นเครื่องบินแล้วต่างคนต่างพักผ่อน
……
สองชั่วโมงหลังจากนั้น เครื่องบินก็ลงจอดที่สนามบินนานาชาติเมืองC
ทางโรงแรมที่นั่นส่งรถมารับพวกเขา
มู่น่อนน่อนเปิดเครื่อง ก็พบว่ามีสายไม่ได้รับจากเฉินถิงเซียวสองสาย
เธอส่งข้อความกลับไปหาเฉินถิงเซียวว่า เพิ่งลงจากเครื่องบิน
ผ่านไปประมาณสองวินาที เธอก็ได้รับข้อความตอบกลับจากเฉินถิงเซียว คำเดียวสั้นง่ายๆ“อืม”
พอเธอวางโทรศัพท์มือถือลง ก็ได้ยินมู่เจิ้งซิวพูดว่า “คืนนี้ต้องไปร่วมรับประทานอาหาร ตอนบ่ายไม่มีอะไร”
พอมู่เจิ้งซิวขึ้นรถ ก็ปิดตาพักผ่อน ตอนพูด ตาก็ยังปิดอยู่
มาถึงโรงแรม มู่น่อนน่อนก็ไปอาบน้ำก่อน พอหัวถึงหมอน ก็หลับไปเลย
ตอนตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว
เธอโทรไปที่เบอร์ส่งอาหารของโรงแรม จึงเห็นโทรศัพท์มือถือของตนเอง
มีเพียงหนึ่งข้อความจากเฉินถิงเซียวที่ยังไม่ได้อ่าน ส่งที่อยู่ของโรงแรมมาให้ผม
มู่น่อนน่อนจินตนาการถึงเฉินถิงเซียวอยู่ที่โต๊ะทำงาน ท่าทางถือโทรศัพท์มือถือพิมพ์ข้อความส่งให้เธอพลางขมวดคิ้ว ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
เธอรู้สึกว่าตนเองตอนนี้ก็เหมือนกับลูกสาวที่ออกมาทำงานนอกบ้าน และเฉินถิงเซียวก็เหมือนกับพ่อที่อดเป็นห่วงลูกสาวไม่ได้ ยังให้เธอส่งที่อยู่โรงแรมให้เขาอีกด้วย
การเปรียบเทียบแบบนี้แม้จะดูตลก แต่มู่น่อนน่อนก็ยังส่งที่อยู่โรงแรมให้กับเขา
……
เวลากลางคืน มู่น่อนน่อนไปร่วมรับประทานอาหารเป็นเพื่อนมู่เจิ้งซิว
คนที่มาร่วมรับประทานอาหารล้วนแต่เป็นผู้สูงอายุ ดูแล้วล้วนมีความสัมพันธ์อันดีกับมู่เจิ้งซิว
หลายวันต่อมา มู่น่อนน่อนถือว่าเข้าใจได้ว่า มู่เจิ้งซิวไม่ได้ไปทำงานนอกสถานที่อะไร เห็นชัดว่ามาติดต่อสานสัมพันธ์กับเพื่อนเก่า
ดังนั้นเขาจึงพามู่น่อนน่อนมาแต่ไม่พามู่หวั่นขีมา เกรงว่าด้วยเหตุนี้เขาคงจะรู้ว่าด้วยนิสัยหยิ่งยโสของมู่หวั่นขี อาจจะนำมาซึ่งความก่อเรื่องวุ่นวาย จึงไม่พาเธอมา
ตอนที่มู่เจิ้งซิวแนะนำตัวก็พูดว่า “นี่คือหลานสาวผม”
จากนั้นก็มีคนหยอกล้อขึ้นว่า “ที่บ้านผมก็มีหลานชาย หมั้นหมายกันเอามั้ยล่ะ!”
มู่เจิ้งซิวส่ายหน้า “นี่คงจะไม่ได้ หลานสาวผมแต่งงานแล้ว”
“ลูกหลานตระกูลไหนโชคดีขนาดนี้ ได้แต่งงานกับหลานสาวที่เรียบร้อยน่ารักขนาดนี้ของคุณ”
“ตระกูลเฉิน”
จากนั้นเป็นต้นมา ทุกคนก็รู้ว่ามู่น่อนน่อนคือคุณหญิงน้อยของตระกูลเฉิน
ในใจมู่น่อนน่อนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเล็กน้อย
มู่เจิ้งซิวไม่เพียงมาสังสรรค์กับเพื่อนเก่า ยังใช้สถานะความเป็น“คุณหญิงน้อยตระกูลเฉิน”ของมู่น่อนน่อนมาเสริมหน้าให้ตัวเองอีกด้วย
ในเมื่อเขาไปต่างประเทศหลายปีขนาดนี้ ความสัมพันธ์กับเพื่อนเก่าก็เริ่มห่างหายจืดจางไปบ้าง
แต่ถ้าหากเขามีหลานสาวที่แต่งเข้าตระกูลเฉินเป็นคุณหญิงน้อย คนพวกนี้ต่อให้ความสัมพันธ์ห่างเหินกันอย่างไร ก็ต้องไว้หน้าเขาบ้าง
บทที่ 168 คนฉลาดจะไม่ทำเรื่องโง่เขลา
คนขับรถโผล่หัวมาจากหน้าต่างรถ พูดกับหลัวหยิงด้วยสำเนียงพื้นเมืองว่า “คุณผู้หญิง คุณยังไม่ได้จ่ายเงินเลยนะ!แล้วยังมีค่าปรับอีก!”
“รู้แล้ว!” หลัวหยิงหันกลับมาอย่างรำคาญ หยิบธนบัตรสีแดงจากในกระเป๋าหลายใบออกมาโยนไปในรถ
คนขับพูดอย่างไม่พอใจว่า “คุณผู้หญิง คุณบอกว่าถ้าผมสามารถตามรถคันนั้นทัน จะให้ผมหนึ่งแสน!”
หลัวหยิงหัวเราะเยาะ “ทำไมคุณไม่ไปปล้นล่ะ!”
“คุณพูดไม่เป็นคำพูดใช่มั้ย” คนขับเปิดประตูลงจากรถ ใบหน้าของคนร่างสูงใหญ่ ดูแล้วน่าตกใจเล็กน้อย
และที่นี่ก็มีคนไม่เยอะ หลัวหยิงจะบ้าระห่ำขนาดไหน ก็ยังมีความกลัวบ้างเล็กน้อย
สุดท้าย แน่นอนว่าเธอไม่ได้ให้เงินหนึ่งแสนกับคนขับรถ ได้แต่เอาเงินสดที่มีติดตัวทั้งหมดให้เขา
แม้ในใจจะรู้สึกเสียใจ แต่พอนึกได้ว่าอีกไม่นานจะยั่วให้เฉินถิงเซียวหลงใหลได้ ก็เก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่
……
กลับมาถึงบ้าน อาหูก็เดินออกมาจากในบ้าน
“คุณหญิงน้อยกลับมาแล้วเหรอคะ” อาหูยิ้มจนดวงตาทั้งสองข้างหยี ดูแล้วน่ารักอบอุ่น
อาหูที่มู่น่อนน่อนชอบมาก ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่พรุ่งนี้ฉันต้องไปทำงานต่างเมือง ฉันขึ้นไปเก็บของก่อนนะคะ”
“รีบไปเถอะค่ะ รอคุณชายกลับมา ก็ทานข้าวได้แล้วค่ะ”
“ค่ะ”
มู่น่อนน่อนกลับมาถึงห้อง ลากกระเป๋าดินทางของตนเองออกมา จึงคิดขึ้นมาได้ว่าไปทำงานครั้งนี้ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องไปนานแค่ไหน
คาดว่าอาจจะหนึ่งสัปดาห์
มู่น่อนน่อนคิดอย่างนี้ ก็ลุกขึ้นไปหยิบเสื้อผ้าในห้องแต่งตัว
สัปดาห์เดียวเท่านั้น เอาเสื้อคลุมไปเพิ่มหนึ่งตัว แล้วก็นำเสื้อที่ใส่ด้านในไปอีกชุดก็น่าจะได้แล้ว
เธอหอบชุดมาวางบนเตียง กำลังโน้มตัวพับเสื้อผ้าอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงผลักประตูเปิด
มู่น่อนน่อนหันกลับไป ก็เห็นร่างสูงยาวของเฉินถิงเซียวยืนอยู่ตรงประตู
เธอยิ้มบางๆให้เขา “คุณกลับมาแล้ว”
เฉินถิงเซียวก้าวขาเดินมาหาเธอ ดึงมือเธอขึ้นมาวางบนเสื้อของเขา แสดงความหมายว่าให้เธอช่วยเขาแกะเนคไทออก
เฉินถิงเซียวเหมือนเป็นคนที่ไม่กลัวความหนาวเย็น ในสภาพอากาศของฤดูหนาว เขายังสวมเสื้อเชิ้ตกับสูท และบางครั้งก็สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ด้านนอก ภายใต้สถานการณ์ปกติ เขาก็ไม่สวมมันเช่นกัน
ในใจมู่น่อนน่อนรู้สึกไม่ยุติธรรมเล็กน้อย เขาสามารถสวมใส่อย่างสง่าดูดี แต่เธอกลับห่อเหมือนบ๊ะจ่าง!
เธอจงใจดึงเนคไทเฉินถิงเซียวให้แน่นยิ่งขึ้น จนติดคอของเขา
แม้สีหน้าของเฉินถิงเซียวจะยังคงไร้อารมณ์ความรู้สึกอย่างนั้น แต่กลับเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้โกรธเลย
เขาตีที่มือของเธอที่กำลังดึงเนคไทอยู่ พูดอย่างไม่ได้ข่มขู่ว่า “อย่าหาเรื่อง”
มู่น่อนน่อนเบ้ปาก ช่วยเขาแกะเนคไทออกอย่างว่าง่าย
เฉินถิงเซียวใช้มือข้างเดียวประคองด้านหลังศีรษะของเธอ ก้มหัวลงมาประกบรอยจูบที่บนริมฝีปาก เจตนาใช้เสียงทุ้มต่ำทำให้คนหลงใหล “นี่คือรางวัล”
มู่น่อนน่อนส่งเสียง “เชอะ” แสดงถึงความไม่พอใจ“รางวัล”ที่เขาให้นี้
เฉินถิงเซียวเหมือนจะโกรธนิดหน่อย จูบอย่างแรงอีกครั้ง เอ่ยปากถามเธอว่า “ได้ข่าวว่าคุณจะไปทำงานข้างนอกเหรอ”
ข่าวของผู้ชายคนนี้ช่างไวจริงๆ เธอก็แค่พูดกับอาหูนิดเดียวเท่านั้น เขาเพิ่งจะกลับมาก็รู้แล้ว
มู่น่อนน่อนพยักหน้า แกะกระดุมเสื้อสูทของเขาพลาง พูดพลางว่า“อืม คุณปู่โหรหาฉันเอง ให้ฉันไปทำงานเป็นเพื่อน อาจจะเป็นเพราะเพิ่งจะตัดสินใจอย่างกะทันหัน พรุ่งนี้ก็ต้องไปแล้ว”
ได้ยินคำพูดเธอ เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้พูดออกมาในทันที ค่อยๆหรี่ตา ในดวงตาดำลึกล้ำ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่” มู่น่อนน่อนยื่นนิ้วมือออกมา จิ้มไปที่หน้าอดของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวจับนิ้วที่ชี้มั่วซั่วนิ้วนั้นของเธอ พูดด้วยเสียงขรึมว่า “ไปอย่างวางใจเถอะ คุณปู่ของคุณจะแย่อีกแค่ไหน ก็ยังฉลาดกว่ามู่ลี่เหยียนนิดหน่อย”
คนฉลาดจะไม่ทำเรื่องโง่เขลา
ไม่ว่ามู่เจิ้งซิวจะเรียกให้มู่น่อนน่อนไปทำงานเป็นเพื่อนเขาด้วยวัตถุประสงค์อะไร แต่เขาจะต้องทำให้มู่น่อนน่อนกลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้
คนอื่นในตระกูลมู่ตอนนี้ยังคิดว่าเฉินถิงเซียวก็คือ “เฉินเจียฉิน” แต่มู่เจิ้งซิวรู้ว่าเขาคือเฉินถิงเซียว
วันนั้นที่เขากลับไปทานข้าวที่บ้านตระกูลมู่ ก็ใช้การเคลื่อนไหวนี้บอกเป็นนัยกับมู่เจิ้งซิว มู่น่อนน่อนเป็นคนของตระกูลเฉิน คือภรรยาของเขาเฉินถิงเซียว ตระกูลมู่อย่าพยายามทำอะไรโง่ ๆ เพื่อท้าทายอำนาจของตระกูลเฉิน
มู่น่อนน่อนถลึงตาใส่เขา “คุณรู้อีกแล้วเหรอ!”
เฉินถิงเซียวลูบศีรษะเธอ สายตามองไปที่เสื้อผ้าที่วางบนเตียงเตรียมจัดเก็บ
เฉินถิงเซียวหยิบเสื้อโค้ทที่อยู่บนเตียงขึ้นมา ก้มมองเธอแล้วพูดว่า “บางขนาดนี้เลยเหรอ”
มู่น่อนน่อนดึงเสื้อคลุมสูทที่อยู่บนตัวของเขา พูดเลียนแบบน้ำเสียงของเขาว่า “บางขนาดนี้เลยเหรอ”
“……” น้อยครั้งที่เฉินถิงเซียวจะถูกล้อเลียน
“ผมเป็นผู้ชาย ไม่กลัวหนาว” เฉินถิงเซียวพูดพลาง หยิบเสื้อโค้ทเข้าไปในห้องแต่งตัว หยิบเสื้อขนเป็ดจากข้างในออกมาหนึ่งตัว
เฮ้อ เสื้อขนเป็ดตัวยาวอีกแล้ว
มู่น่อนน่อนกระตุกมุมปาก ไม่รู้จะพูดอะไร
“ฉันก็ไม่กลัวหนาว!” มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะโต้เถียงเขา เธอเป็นหญิงสาวที่อายุยี่สิบต้นๆแล้วนะ
ใส่เสื้อโค้ท ใส่กระโปรง ดูสดใสดูสวยงามขนาดไหน!
แต่เฉินถิงเซียวกลับเพิกเฉยคำพูดของเธอ
เขาพับเสื้อขนเป็ดตัวนั้นเสร็จ ก็ยัดเข้าไปในกระเป๋าเดินทางของเธอทันที แล้วก็เอาสิ่งของที่เธอจะนำไปด้วย พับจัดเก็บเข้าไปข้างในเรียบร้อย
การกระทำของเขาคล่องแคล่วรวดเร็ว ดูแล้วเหมือนกับว่าทำเรื่องพวกนี้เป็นประจำ
มู่น่อนน่อนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “คุณพับผ้าเก็บกระเป๋าเดินทางได้ด้วยเหรอ!”
เฉินถิงเซียวเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลเฉิน กลับทำงานแบบนี้เป็นด้วย
ตอนมู่หวั่นขีอยู่ในบ้าน พับผ้าจัดกระเป๋าล้วนเป็นคนรับใช้ทำให้ หรือไม่ก็เซียวชู่เหอช่วยเธอทำ
“ผมเดินทางไปทำงานนอกสถานที่ผมก็เป็นคนเก็บกระเป๋าเอง” เฉินถิงเซียวพูดพลาง ไปช่วยเธอเก็บของใช้ในห้องน้ำ
มู่น่อนน่อนตามไปอย่างรู้สึกแปลกประหลาดใจ “ของพวกนี้ฉันเก็บเองก็ได้……”
เฉินถิงเซียวมองเธอเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม หลีกถอยครึ่งก้าว ให้มู่น่อนน่อนเก็บของด้วยตนเอง
มู่น่อนน่อนจึงรู้สึกว่า ตนเองรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเฉินถิงเซียวน้อยมาก
เธอได้แต่คิดว่าเขาคือคุณชายใหญ่ที่บ้าอำนาจอารมณ์แปรปรวน คิดไม่ถึงว่าคุณชายใหญ่จะเก็บกระเป๋าเดินทางเป็นด้วย และยังเก็บเสื้อผ้าได้เรียบร้อยกว่าเธออีกด้วย
บรรยากาศเป็นใจ มู่น่อนน่อนคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะเปิดหัวข้อถาม
เธอจึงถือโอกาสถาม “ใครสอนคุณ”
เฉินถิงเซียวเหมือนจะนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จึงได้เอ่ยปากพูดออกมา “คุณแม่ผม”
มู่น่อนน่อนชะงัก รู้สึกว่าตนเองไม่ระวังถามคำถามที่ไม่ควรถาม ใบหน้ารู้สึกผิด นิ่งเงียบไป ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
“นี่คืออารมณ์ไหน” เฉินถิงเซียวยื่นมือไปบีบหน้าเธอ น้ำเสียงสงบและไม่ได้ยินบ่อยนัก “ในช่วงหลายปีมานี้ ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงแม่ต่อหน้าผม แต่บางครั้งผมก็อยากได้ยินคนอื่นพูดถึงแม่บ้าง เวลาผ่านไปเร็วเกินไป เธอจะถูกคนอื่น ๆลืม คนพวกนั้นที่ทำร้ายเธอกลับยังมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข นี่มันไม่ยุติธรรมเลย ”
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวแบบนี้ เศร้าเสียใจ ก็อยากจะกอดเขา
เธอก็ทำแบบนี้เลย
เฉินถิงเซียวก้มเอว ฝังใบหน้าไว้ที่ไหล่ของเธอ สูดหายใจลึก ๆ เกาะแขนของเธอแน่น ค่อยๆพูดว่า “คุณสามารถปฏิเสธคำขอร้องของมู่เจิ้งซิว ได้ ไม่ต้องไปทำงานนอกสถานที่”
บทที่ 167 มีคนกำลังสะกดรอยตามพวกเรา
“ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ฉันก็แค่เตือนเธอด้วยความหวังดีเท่านั้น” มู่หวั่นขีสีหน้าท่าทางหยิ่งยโส หางใกล้จะลอยขึ้นไปบนฟ้าแล้ว
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปคลำเอวที่ยังปวดเมื่อยอยู่นิดหน่อยของตนเองอย่างไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นก็ขยิบให้มู่หวั่นขี “เธอทำตัวเองให้ดีก่อนดีกว่าเถอะนะ!”
หลัวหยิงเป็นผู้หญิงที่อาศัยเนื้อหนังมังสาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ แม้จะมีมลทินติดตัวมากมาย แต่ก็ยังโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงต่อไปได้ นี่ก็แสดงว่าหลัวหยิงไม่ได้โง่เขลา เป็นคนมีสมองรู้จักคิดวางแผน
มู่หวั่นขีอยู่กับหลัวหยิง เป็นไปได้มากว่าจะถูกหลัวหยิงขายแน่ ถึงเวลาจะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้
“ขอแค่เธอไม่เอาเรื่องของฉันไปบอกคุณปู่ ฉันยังไงก็ได้หมด”
มู่น่อนน่อนไม่ได้พูดอะไรกับหล่อนอีก เดินเข้าไปข้างในทันที
……
ตอนบ่าย มู่น่อนน่อนรับโทรศัพท์ บอกว่ามีคนจะมาหาเธอ ยังบอกว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
มู่น่อนน่อนสงสัยเล็กน้อย คิดไม่ออกว่าใครจะมาหาเธอ
ตอนที่เธอลงไป ก็เห็นผู้หญิงกำลังนั่งหันหลังให้เธออยู่ สวมชุดเซ็กซี่คล้ายกับมู่หวั่นขี ด้านหลังก็คุ้นตา……
หญิงสาวหันหน้ามา “คุณมู่”
มู่น่อนน่อนหยีตา หลัวหยิงมาหาเธอทำไม
มู่น่อนน่อนมองเธอด้วยสีหน้าเย็นชา น้ำเสียงเรียบเฉย “คุณมาหาผิดคนแล้วละ”
“วันนี้ฉันมาหาคุณ ฉันไม่ได้มาหามู่หวั่นขี แต่ฉันมาหามู่น่อนน่อน” หลัวหยิงเป็นผู้หญิงผ่านประสบการณ์บนเตียงกับผู้ชายมาอย่างโชกโชน ทุกท่วงท่ารอยยิ้มล้วนเต็มไปด้วยจริตจะก้าน
“มีเรื่องอะไร”
มู่น่อนน่อนไม่ได้รู้สึกเป็นมิตรกับหลัวหยิงเลยสักนิดเดียว แน่นอนว่าไม่คิดว่าที่หลัวหยิงมาหาตนเองจะมีเรื่องดีอะไร
ต่อให้มีเรื่องดี นั่นก็เป็น“เรื่องดี” ที่ละโมบโลภมาก
“เรื่องราวเหล่านั้นที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เป็นความผิดของฉันเอง วันนี้ฉันตั้งใจมาขอโทษเธอ” หลัวหยิงเอาผมที่หลุดออกมาทัดไว้ที่ใบหู ยกริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม แฝงด้วยความเย้ายวน
เธอพูดจบ ก็หยิบถุงกระดาษที่ปั๊มLOGOของแบรนด์เนมแบรนด์หนึ่ง ลุกขึ้นยืนส่งให้มู่น่อนน่อน “ถ้าคุณมู่ไม่ถือสา ก็ขอให้รับของขวัญแทนคำขอโทษของฉันไว้ด้วย”
หลัวหยิงคิดว่าตนเองได้แสดงความจริงใจมากพอแล้ว และก็นอบน้อมมากพอแล้ว
เธอเองก็ไปสืบมาแล้ว มู่น่อนน่อนก็แค่สาวน้อยที่เพิ่งอายุยี่สิบต้นๆ เมื่อก่อนอยู่ที่บ้านตระกูลมู่ด้วยความยากลำบาก มีเพื่อนไม่เยอะ แต่งเข้าบ้านตระกูลเฉิน ใช้ชีวิตอยู่กับ“สวะ” ต้องลำบากมากแน่นอน
ผู้หญิงประเภทนี้ ใจอ่อนง่ายที่สุด และง่ายที่จะประจบเอาใจที่สุดด้วย
มู่น่อนน่อนเหล่มองถุงกระดาษในมือของหลัวหยิง “เธอควรจะไปขอโทษเสิ่นเหลียง สำหรับฉัน หากเธอบอกว่าครั้งนั้นที่ผับ ฉันไม่ได้เสียเปรียบอะไร ตอนหลังเรื่องที่เธอหาคนแอบเสิ่นเหลียง ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน เธอต้องไปขอโทษกับเจ้าตัวเอง”
เห็นมู่น่อนน่อนกัดเรื่องแอบถ่ายไม่ปล่อย สีหน้าของหลัวหยิงก็ไม่ดีอย่างมาก
สตูดิโอที่เธอถ่ายทำในวันนั้นอยู่ไม่ไกลจากเสิ่นเหลียง พอเธอได้ยินว่าเสิ่นเหลียงอยู่ที่นั่น เธอก็ไม่สามารถยับยั้งความแค้นและความหึงหวงในใจได้ จึงคิดหาวิธีให้คนเอาเสื้อผ้าของเสิ่นเหลียงไป หาคนไปแอบถ่ายรูป
หากไม่กลัวว่าจะมีคนระแวงสงสัย เธอก็จะไปแอบถ่ายด้วยตัวเองแล้ว คงไม่ปล่อยให้ไอ้โง่สองคนนั้นทำแผนแตก
“ฉันไม่ได้ให้คนไปแอบถ่ายเสิ่นเหลียงจริงๆ คุณมู่คุณต้องเชื่อฉันนะคะ……” หลัวหยิงกัดริมฝีปาก เผยให้เห็นสีหน้าท่าทางเสียใจอย่างไร้เดียงสา
มู่น่อนน่อนขนลุกขนพองไปทั้งตัว หลัวหยิงใช้วิธีนี้กับผู้ชายได้ผล แต่ไม่ได้ผลกับเธอ
“ฉันยังมีงานต้องขึ้นไปก่อนแล้ว คุณหลัวตามสบายนะคะ” แน่นอนว่ามู่น่อนน่อนมีงานที่ยังทำไม่เสร็จ
แม้ว่าที่เธอกลับไปตระกูลมู่ในตอนแรก เพราะเธอมีความคิดที่จะแก้แค้น แต่ด้วยนิสัยของเธอเป็นคนมีหลักการมีความรับผิดชอบ
รับเงินเดือน ก็ต้องทำงาน
หลัวหยิงมองแผ่นหลังมู่น่อนน่อน สองมือกำหมัดแน่น
มองสาวน้อยที่ไม่มีประโยชน์อะไร คิดไม่ถึงว่าจะชอบไม้แข็งไม่ชอบไม้อ่อน!
ตอนแรกเธอคิดจะเอาใจมู่น่อนน่อนสักหน่อย หลังจากได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากมู่น่อนน่อนแล้ว ก็จะได้โอกาสใกล้ชิดกับเฉินถิงเซียว ถึงเวลาขอแค่เธอลงมือจัดการกับเฉินถิงเซียว ต่อให้เฉินถิงเซียวจะเป็นผู้ชายไร้น้ำยา แต่ก็ต้องหลงใหลในตัวเธอ……
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นเธอก็ได้แต่ใช้อีกวิธีหนึ่งแล้ว
……
หลังจากที่มู่เจิ้งซิวกลับมาที่บริษัทมู่ซื่อ นำแผนงานออกมาใช้ พยายามกู้สถานการณ์ ทำให้บริษัทมู่ซื่อค่อยๆฟื้นตัวดีขึ้นมา
จุดนี้ มู่น่อนน่อนนับถือเขา
คนอายุเจ็ดสิบกว่า ยังต้องมาทำงานล่วงเวลาที่บริษัททุกวันกลางคืนยังต้องออกไปงานเลี้ยงสังสรรค์
สำหรับบริษัทมู่ซื่อ มู่เจิ้งซิวทุ่มเทเลือดเนื้อให้เต็มที่จริงๆ
ตอนใกล้เวลาเลิกงาน มู่น่อนน่อนเก็บของเตรียมจะกลับ จู่โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมา
คือมู่เจิ้งซิวโทรมา
“เตรียมตัวเอาไว้ด้วย พรุ่งนี้ไปทำงานนอกสถานที่ที่เมืองCเป็นเพื่อนปู่”
“ทำงานนอกสถานที่เหรอ” ทำไมมู่เจิ้งซิวถึงอยากให้เธอไปทำงานนอกสถานที่เป็นเพื่อน
ก็ต่อให้มู่เจิ้งซิวต้องการจะหาคนไปทำงานเป็นเพื่อน ก็น่าจะหามู่หวั่นขีถึงจะถูก
“คืนวันนี้เตรียมตัวด้วย พรุ่งนี้เก้าโมงเช้าเจอกันที่สนามบิน” น้ำเสียงของมู่เจิ้งซิวไม่เปิดโอกาสให้ตั้งข้อสงสัย วางสายไปทันที
หากเป็นมู่ลี่เหยียน มู่น่อนน่อนยังพอจะไปสืบข่าวคราว แอบฟังได้ว่าทำไมเขาถึงให้เธอไปทำงานข้างนอก
แต่ว่า คนที่โทรหาเธอคือมู่เจิ้งซิว。
มู่เจิ้งซิวฉลาดหลักแหลมกว่ามู่ลี่เหยียนเล็กน้อย แต่ก็ยังตรงไปตรงมามากกว่ามู่ลี่เหยียน
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตอนนี้เธอก็เป็นคุณหญิงน้อยตระกูลเฉิน มู่เจิ้งซิวก็คงไม่เขาเธอไปขายหรอก
……
วันนี้คนที่มารับมู่น่อนน่อนตอนเลิกงาน คือคนขับรถคนอื่นในบ้าน สือเย่มักจะถูกเฉินถิงเซียวใช้ให้ไปทำธุระให้ ไม่ค่อยมีเวลามารับเธอ
ขึ้นรถมาไม่นาน มู่น่อนน่อนก็สังเกตว่าคนขับรถมองที่กระจกมองหลังตลอด
มู่น่อนน่อนก็มองไปทางด้านหลัง พบว่าไม่มีอะไรน่าสงสัย จึงถามว่า “มีอะไรเหรอ”
“มีคนกำลังสะกดรอยตามพวกเราครับ” คนขับรถพูดด้วยสีหน้าดุดัน “คุณหญิงน้อย คุณนั่งให้ดีๆนะครับ”
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ได้แต่พูดว่า “ได้”
แม่ทัพที่แข็งแกร่งย่อมมีทหารที่เก่งกล้า ลูกน้องของเฉินถิงเซียว แม้แต่คนขับรถก็มีบทบาทไม่ธรรมดา
เมื่อก่อนเธอเคยได้ยินเฉินเจียฉินพูดว่า คนขับรถในบ้านเป็นนักแข่งรถที่เกษียณตัวเองแล้ว ……
ต่อมา คนขับรถก็ขับรถเหมือนกับแข่งรถ บ้าอำนาจอยู่บนท้องถนน
รอจนรถค่อยชะลอตัวลง มู่น่อนน่อนก็เวียนหัวตาลาย
เธอหันไปพูดกับคนขับรถว่า “หยุดรถ!”
พอรถหยุดนิ่ง มู่น่อนน่อนก็รีบเปิดประตูรถกระโดดออกไป กอดถังขยะข้างทางอาเจียนออกมาหมดไส้หมดพุง
คนขับรถรับหยิบกระดาษทิชชู่ลงมา “คุณหญิงน้อย ทำให้คุณต้องไม่สบายตัวเลยนะครับ”
“……ฉันไม่เป็นไร” หลังจากมู่น่อนน่อนเดินมา ก็ตีที่หัวไหล่คนขับรถเบาๆ “เก่งมาก!”
มู่น่อนน่อนและคนขับรถกลับไปในรถ
ตอนนี้รถมาถึงตีนเขาแล้ว อีกสิบกว่านาทีขับขึ้นเขาไปก็คือคฤหาสน์ของเฉินถิงเซียว
รถที่มู่น่อนน่อนนั่งมาขับไปไม่นาน ก็มีรถยนต์คันหนึ่งปรากฏที่ตีนเขา
หลัวหยิงลงจากรถด้วยสีหน้าขาวซีด เงยหน้ามองคฤหาสน์หลังนั้นที่อยู่บนเขาครึ่งหนึ่ง
บทที่ 166 คงไม่มีทางสนใจคุณ
“ห๊ะอะไรนะ”
มู่น่อนน่อนในปากที่คาบช้อนอยู่นั้น มองเขาด้วยสีหน้างุนงง
อะไรคือหล่อนเหมือนคุณ คุณเหมือนหล่อน
เฉินถิงเซียวกลับไม่ได้มีทีท่าจะอธิบายกับเธออีก “ผมพูดเพียงครั้งเดียว ต่อไปอย่าไปคิดฟุ้งซ่านอีก”
“หมายความว่าอะไร” มู่น่อนน่อนเอาช้อนในปากออกมา เอ่ยถามเขาอย่างอึ้งตะลึง
“ผมเคยบอกแล้ว ว่าจะพูดเพียงครั้งนั้นครั้งเดียว” แม้เฉินถิงเซียวจะยังมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่ว่าดวงตาของเขากลับมองไปทางอื่นอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง
ไม่รอให้มู่น่อนน่อนพูด เขาก็ลุกขึ้นยืน “ผมยังมีเรื่องต้องจัดการ คุณทานต่อเถอะ”
มู่น่อนน่อนมองแผ่นหลังของเขาหายไปจากประตูห้องอาหาร จึงได้สติกลับมา ว่าที่เขาพูดหมายความว่าอะไร
เธอยังจะมีกะจิตกะใจกินอยู่ได้อย่างไร โยนช้อนลงแล้ววิ่งตามไป
เธอวิ่งตามเฉินถิงเซียว ขวางหน้าเขาเอาไว้ “เมื่อครู่ที่คุณพูด พูดให้ชัดๆ”
“ผมพูดชัดเจนดีแล้ว” เฉินถิงเซียวยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึกอยู่อย่างนั้น
มู่น่อนน่อนก็ไม่ยอมหลบ ได้แต่เงยหน้าถามเขา “คุณบอกว่าใครเหมือนฉัน”
เฉินถิงเซียวหันไปมองด้านข้าง ไม่พูดอะไร
ก้นบึ้งหัวใจของมู่น่อนน่อนเบิกบาน แม้จะรู้ว่าความหมายในคำพูดของเขาคือซูชิงหนิงเหมือนเธอ แต่เธอก็กลัวว่าตนเองจะได้ยินผิด อยากจะยืนยันให้แน่ใจอีกครั้ง
แต่เฉินถิงเซียวเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้น เขาพูดเพียงครั้งเดียว ก็จะไม่พูดอีกเป็นครั้งที่สองแน่
มู่น่อนน่อนจับมือของเขา เม้มปากมีความลำบากใจเล็กน้อย
เมื่อก่อนเธอเคยดูช่องหนึ่ง เหมือนกับว่าเป็นการรวมการออดอ้อนของหญิงสาวในละคร ออดอ้อนเอาใจอย่างไร
มู่น่อนน่อนลองเขย่ามือของเขา พูดเบาๆว่า “คุณพูดอีกครั้งนะ……”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว ดึงมือตัวเองกลับอย่างรำคาญ “ผมยังมีธุระต้องทำ”
“……” พูดออดอ้อนแล้วจะทำให้ผู้ชายใจอ่อนนะเหรอ
ฮึๆ
มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ วินาทีต่อมาก็เม้มปากยิ้มออกมาอีก สวมรองเท้าแตะวิ่งเตาะแตะไปทางห้องอาหาร
เฉินถิงเซียวขึ้นไปชั้นสอง มือหนึ่งจับราวบันได มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มวิ่งไปทางห้องอาหาร มุมปากเกิดเป็นรอยยิ้มอย่างไม่ตัว
……
หลังจากมู่น่อนน่อนกลับมาที่ห้องอาหาร จึงตั้งสติได้ ที่เฉินถิงเซียวพูด “หล่อนเหมือนเธอ”
“หล่อนเหมือนเธอ” หมายความว่าอะไร
ซูชิงหนิงหน้าตาเหมือนเธอเหรอ
แต่ซูชิงหนิงจะเหมือนเธอได้อย่างไร
แล้วอีกอย่าง เฉินถิงเซียวไม่ได้รู้จักซูชิงหนิงก่อน แล้วจึงรู้จักเธอหรอกหรือ
ยึดกฎตามลำดับก่อนหลังของคนเราแล้ว ก็น่าจะเป็นเธอที่เหมือนซูชิงหนิง
หรือว่าเฉินถิงเซียวเคยเห็นเธอมาก่อนหน้านี้ และยังรู้จักเธอด้วยเหรอ
ความเป็นไปได้นี้ต่ำมาก……
ตอนกลางคืน มู่น่อนน่อนหาโอกาสโยนหินถามทาง “เฉินถิงเซียว เมื่อก่อนคุณรู้จักฉัน”
“หืม”
เฉินถิงเซียวตอบรับอย่างไม่ได้ใส่ใจ โน้มตัวลงไปจูบเธอ
เธอยังอยากจะพูดอะไรต่อท้ายอีก แต่ถูกจูบของเขาปิดกั้นกลับไปหมด
นิ้วมือของเขาปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเธอ แขนเรียวยาวโอบรอบเอวเธอ โยนเธอลงบนเตียง
การเคลื่อนไหวแต่ละขั้นตอนต่างคล่องแคล่วและราบรื่น
มู่น่อนน่อนไม่ลืมเรื่องที่ตนอยากจะถาม ยังคงเซ้าซี้ถามอย่างไม่ลดละ “คุณยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลยนะ”
“ไม่บอกคุณหรอก” เฉินถิงเซียวหอบหายใจเล็กน้อย น้ำเสียงเด็ดขาด มีอารมณ์อื่นแอบแฝงอยู่ในนั้น
มู่น่อนน่อนเวลานี้มึนๆงงๆ ไม่สามารถฟังออกว่าอารมณ์นั้นคืออารมณ์อะไร
และเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเธอ ทิ้งน้ำหนักเข้าไปไปที่เอว
มู่น่อนน่อนส่งเสียงร้องเบาๆ เฉินถิงเซียวโน้มตัวลงจูบเธออย่างอดไม่ได้
ช่วงนี้เขาไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวเธอเลย จะทนฟังเสียงร้องของเธอได้อย่างไร ก็กลัวว่าเขาจะอดใจไม่ไหว พรุ่งนี้เธอก็อาจจะไม่ต้องไปทำงานแล้ว
มู่น่อนน่อนจะรู้ได้อย่างไรว่าในใจเฉินถิงเซียวคิดอะไรอยู่ แค่รู้สึกว่าการเคลื่อนไหวและมุมของของเขายิ่งนับวันจะยิ่งเจ้าเล่ห์ร้ายกาจขึ้น แทบจะสะกดกลั้นเสียงของตัวเองไม่ได้เลย
นัยน์ตาคู่นั้นที่ดำขลับอยู่แล้วของเฉินถิงเซียว เวลานี้ก็เหมือนกำลังเกิดคลื่นใต้น้ำที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง กลืนกินผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไป
มู่น่อนน่อนเองก็รู้สึกอึดอัด เธอครางเบาๆบิดเอวถอยหลัง เฉินถิงเซียวหยิกเอวเธอ จูบลงไปที่ติ่งหู เสียงแหบพร่าอย่างมาก “พรุ่งนี้ยังอยากไปทำงานที่บริษัทมั้ย”
“อืม” มู่น่อนน่อนตาพร่ามัว พยักหน้า ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ถามแบบนี้
เฉินถิงเซียวกัดฟันกรอด “อย่างนั้นก็อย่าส่งเสียง”
พอสิ้นเสียง เขาก็ทิ้งเอวลงไปอย่างหนักหน่วง มู่น่อนน่อนถูกการกระทำที่กะทันหันของเขาทำจนส่งเสียงร้องออกมา……
จากนั้นก็ไม่อาจควบคุมได้แล้ว
……
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกมานอกผ้าห่ม ศีรษะหนักอึ้ง ปวดเมื่อยเอว ขยับนิดเดียวก็รู้สึกปวดไปทั้งตัว
ชายหนุ่มที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเดินมาข้างเตียง เอาแขนเล็กๆของเธอจับยัดเข้าไปในผ้าห่มคืน โน้มตัวไปจูบที่หน้าผากเธอ ในน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงด้วยความสุขเล็กๆ “ผมให้คนช่วยลางานให้คุณ”
มู่น่อนน่อนหรี่ตา ยื่นมือออกมาจับชายเสื้อด้านหน้าของเขา พูดข่มขู่ว่า “คุณกล้าดียังไง!”
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาทันที
ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนก็ชะงักไป ปล่อยมือจากชายเสื้อเขา กระหวัดคอเขาเข้าไปจูบเขา พูดเบาๆว่า “ฉันจะไปทำงาน”
เฉินถิงเซียวปล่อยให้เธอจูบเขา
พอจูบเสร็จ เฉินถิงเซียวก็พูดเรียบๆว่า “อย่างนั้นก็ลุกมาแปรงฟัน”
แปรงฟัน……
ฮึๆ รังเกียจที่เธอไม่ได้แปรงฟันเหรอ ก็อย่ามาจูบเธอนะ!
เฉินถิงเซียวมองเธอด้วยดวงตาที่เปื้อนยิ้ม “เมื่อก่อนคุณอัปลักษณ์ขนาดนั้นผมยังทนได้ ก็แค่ไม่ได้แปรงฟันเท่านั้นเอง ผมก็ไม่รังเกียจ”
“อย่างนั้นก็ลำบากคุณแล้วจริงๆ” มู่น่อนน่อนกอดผ้าห่มพลางลุกขึ้นมานั่ง ส่งเสียงฮึมฮัม
……
ระหว่างทางที่ไปบริษัท มู่น่อนน่อนนั่งที่เบาะด้านหลัง สัมผัสได้เหมือนกับว่า ร่างกายถูกดูดไป
ผิดใจไม่ได้……
ชายหนุ่มที่ไม่ได้กินเนื้อมานาน เธอไม่ควรผิดใจกับเขา
พอลงรถ เธอก็มองเห็นมู่หวั่นขียืนอยู่ที่ประตูบริษัท
มู่น่อนน่อนคุ้นเคยกับสไตล์การแต่งกายของเธอ ด้านในสวมชุดเดรสแหวกอกลึก ถุงน่องสีดำ รองเท้าส้นเข็ม เสื้อคลุมบางแต่สวยงามด้านนอกหนึ่งตัว
มู่น่อนน่อนก้มมองเสื้อกันหนาวขนเป็ดตัวยาวของตัวเอง รวมถึงรองเท้ากันหิมะบนเท้า
นี่คงจะเป็นความแตกต่างของผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน กับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วสินะ
เสื้อขนเป็ดตัวยาวที่อยู่บนร่างเธอนี้ เป็นเสื้อที่เฉินถิงเซียวบังคับให้เธอสวม ตอนก่อนหน้าที่เธอจะออกมา
ในโลกมีความเย็นยะเยือกบางอย่าง เรียกว่า “เฉินถิงเซียวคิดว่าคุณหนาว”
น้อยครั้งที่มู่น่อนน่อนจะรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจเวลาเจอมู่หวั่นขี
ผู้หญิงนี่นะ ใครจะไม่ชอบที่ได้แต่งตัวสวยๆทุกวัน ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วก็เป็นผู้หญิง
มู่หวั่นขีขวางเธอเอาไว้ “มู่น่อนน่อน!”
“มีเรื่องอะไรอีก” มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า มู่หวั่นขีถ้าไม่ได้หาเรื่องจะตายมั้ย
“ไม่อนุญาตให้เธอบอกคุณปู่เรื่องที่เห็นฉันเมื่อวานที่โรงแรมจีนติ่ง!” น้ำเสียงออกคำสั่งของมู่หวั่นขีพูดจบ ก็พินิจพิจารณาการแต่งกายของมู่น่อนน่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า
ทันใดนั้น ก็หัวเราะเยาะออกมา “มู่น่อนน่อน นี่เธอใส่ชุดอะไรของเธอ ต่อให้เฉินถิงเซียวจะเก่งแค่ไหน ถ้าเห็นเธอใส่ชุดที่ไม่มีความเป็นผู้หญิงแบบนี้ ก็คงไม่สนใจเธอหรอก”
มู่น่อนน่อนย้อนถามกลับไปว่า “เขาจะเก่งไม่เก่ง มันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย”
มู่หวั่นขีพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าเธออย่างไม่มีเหตุผล ทำให้มู่น่อนน่อนไม่พอใจมาก
บทที่ 165 ไม่ใช่คุณที่เหมือนหล่อน แต่เป็นหล่อนที่เหมือนคุณ
ใจของมู่น่อนน่อน อ่อนลงทันที
เฉินถิงเซียวเมาแล้วจริงๆ
ถ้าหากเขาแกล้งเมา ก็คงไม่มีทางเรียกเธอว่า“แม่”แน่
ในก้นบึ้งหัวใจ แม่คือบทบาทที่สำคัญและหนักหน่วงที่ของฉัน เขาไม่มีทางเอามาล้อเล่นแบบนี้
เขาดื่มเหล้าจนเมาไม่ยอมให้ใครถูกเนื้อต้องตัว ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เพราะเขาเชื่อใจเธอ เชื่อใจแค่เพียงเธอ
ดังนั้นเขาจึงเป็นแบบนี้
จู่ๆมู่น่อนน่อนก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
แน่นอนว่าเฉินถิงเซียวเป็นผู้ชายที่มีความคิดที่ลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง แต่หากมองจากอีกด้านหนึ่ง เขาก็เป็นคนที่แสดงออกทางความรู้สึกได้ตรงไปตรงมามากที่สุดแบบนั้น
ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอถามซักไซ้เขา ว่าเพราะเธอหน้าตาเหมอนกับชิงหนิง เขาจึงดีกับเธอ เขาไม่แม้แต่จะโกหก นิ่งเงียบไปอย่างนั้นทันที
เกลียดก็คือเกลียด ชอบก็คือชอบ เขาจะไม่พูดคำหวานสวยหรูเพื่อหลอกลวงใคร และก็ไม่โกหกด้วยความดูหมิ่นเหยียดหยามคนอื่น
มู่น่อนน่อนถอนหายใจ หาชุดนอนมาเปลี่ยนให้เฉินถิงเซียว
เวลานี้เฉินถิงเซียวนอนหลับสะลึมสะลือแล้ว แต่ก็ยังให้ความร่วมมือกับมู่น่อนน่อนเปลี่ยนชุดให้เขา
รอจนถึงตอนที่มู่น่อนน่อนเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว เขาก็หลับสนิทเลย ใบหน้าของเขานิ่งเงียบและสูงส่ง ความเศร้าหมองระหว่างคิ้วของเขาก็หายไป เหมือนกับกับเด็กหนุ่มที่บ้านร่ำรวยทั่วๆไป
ทันใดนั้น เขาก็ยื่นมือมาคลำ รู้สึกว่าในมือมีแต่ผ้าห่ม แม้จะไม่ได้ลืมตา แต่คิ้วกลับขมวดขึ้นมา
เป็นครั้งที่มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเพราะมองชายหนุ่มคนหนึ่ง รู้สึกเศร้าหมองที่ก้นบึ้งหัวใจ
เธอเอามือตัวเองวางไว้ในมือของเขา เขาจับเอาไว้แน่นในทันที คิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่นก็ค่อยๆคลายออกมา หลับไปอย่างสบายใจ
……
เช้าวันต่อมา
เฉินถิงเซียวลืมตาตื่น หลังจากตั้งสติกลับมาได้ ก้รู้สึกว่ามีคนอยู่ในอ้อมกอด อุ่นๆนุ่มๆแนบชิดอยู่กับแผ่นอกเขา ทั้งสองอยู่ในท่าทางที่ใกล้ชิด
การเมาทำให้เขาสติเลอะเลือนไปชั่วขณะ
สีหน้าเขาเคร่งเครียดลงไปทันที แต่ไม่นาน เขาก็ได้กลิ่นลมหายใจที่เป็นของมู่น่อนน่อน พบว่าเขานอนอยู่ในห้องนอนภายในบ้าน
คิ้วเขาคลายออก ก้มหน้ามองไปยังหญิงสาวในอ้อมอก
เมื่อคืนมู่น่อนน่อนดูแลเฉินถิงเซียว นอนดึกมาก ดังนั้นตอนนี้ยังไม่ตื่น ยังคงหลับลึก
ผมยาวของเธอปล่อยสยายออกมา ดำขลับเป็นเงาคลุมอยู่บนหมอน บนร่างสวมชุดนอนผ้าฝ้ายสีขาว แก้มถูกความร้อนจากในผ้าห่ม ไม่เห็นความสวยงามหลังจากการแต่งหน้าในวันปกติ แต่กลับมีความน่ารักที่ใสซื่อเพิ่มเข้ามา
เฉินถิงเซียวยื่นนิ้วมือออกไป สัมผัสเบาๆที่ปลายจมูกของเธอ รอยยิ้มที่มุมปาก พึมพำเบาๆว่า “แม่สาวน้อย”
สาวน้อยที่เด็กว่าเขาสี่ปี
เขาก็จ้องมองมู่น่อนน่อนอย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าไปจูบเธอ
จากดวงตาจูบลงมาถึงปลายจมูก จากนั้นก็จากปลายจมูกไปที่ใต้ ตอนที่ตามองอยู่นั้นก็เกิดไฟลุกโชน เฉินถิงเซียวลุกจากเตียงได้ทันเวลา เข้าไปในห้องน้ำ
อาบน้ำเสร็จออกมา เฉินถิงเซียวกระปรี้กระเปร่าสดชื่น เห็นมู่น่อนน่อนยังนอนหลับอยู่ เขาอดไม่ได้เดินไปมองอีกครั้ง ดึงชายผ้าห่มให้เธอ แล้วจึงหมุนตัวไปเปลี่ยนชุดที่ห้องเสื้อผ้า
……
มู่น่อนน่อนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยความหิว
เธอลูบท้องพลางลุกขึ้นจากเตียง พลันคิดถึงเรื่องเมื่อคืน หันหน้าไปดูข้างๆ ก็พบกับความว่างเปล่า กลับถอนหายใจอย่างโล่งอกอย่างไม่มีเหตุผล
ในเวลาเดียวกันก็ใจหายเล็กน้อย
มองดูเวลา ก็พบว่าสิบโมงแล้ว
เฉินถิงเซียวไม่มีนิสัยนอนตื่นสาย ตื่นเช้ามาตลอด
เธอล้างหน้าแปรงฟันออกมา ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
คนที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ ที่สามารถมาเคาะประตูได้ก็มีแค่พวกบอดี้การ์ดพวกนั้น มู่น่อนน่อนถาม “มีเรื่องอะไร”
คนที่พูดไม่ใช่ไม่ใช่ผู้ชาย เป็นเสียงผู้หญิง “คุณหญิงน้อย คุณจะลงไปทานอาหารเช้าตอนนี้ หรือว่าจะให้ฉันยกขึ้นมาให้ข้างบนคะ”
ในคฤหาสน์มีคนรับใช้ที่เป็นผู้หญิงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
มู่น่อนน่อนเดินไปเปิดประตู ก็เห็นหญิงวัยกลางคนในชุดแม่บ้านยืนอยู่ที่ประตูจริงๆ
หญิงวัยกลางคนมองเห็นมู่น่อนน่อน ก็ชะงักไปเล็กน้อย รีบก้มศีรษะทักทายด้วยความเคารพว่า “คุณหญิงน้อย”
“คุณคือ” มู่น่อนน่อนจำได้ว่าในบ้านไม่มีคนรับใช้ผู้หญิง
“ฉันนามสกุลหูค่ะ หากคุณหญิงน้อยไม่ถือสาก็เรียกฉันว่าอาหูก็ได้ค่ะ” หญิงวัยกลางคนยิ้มออกมา ท่าทางเป็นกันเอง
“อาหู” หลังจากที่มู่น่อนน่อนเรียกชื่อออกมา ก็ถามเธอว่า “เฉินถิงเซียวล่ะ”
“คุณชายอยู่ที่ห้องหนังสือค่ะ” อาหูพูดถึงเฉินถิงเซียว ดวงตาก็มีรอยยิ้มเล็กน้อย “คุณไปหาเขาได้นะคะ”
ประโยคสั้นๆ ทำให้มู่น่อนน่อนเข้าใจได้ทันที อาหูคนนี้เกรงว่าคงจะไม่ใช่แค่คนรับใช่ธรรมดา
มู่น่อนน่อนเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ไปหาเฉินถิงเซียวที่ห้องหนังสือ
เธอผลักประตูเข้าไป ก็เห็นเฉินถิงเซียวทำอะไรอยู่กับคอมพิวเตอร์
เขาไม่ได้เงยหน้า แต่กลับรู้ว่ามู่น่อนน่อนเข้ามาแล้ว
“ทานอาหารเช้าแล้วหรือยัง”
มู่น่อนน่อนพูดอย่างลังเลว่า “ยังไม่ได้กิน”
เรื่องเมื่อคืนทำให้อารมณ์ของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนเป็นสับสนเป็นอย่างยิ่ง
ในใจเหมือนกับมีคนสองคนกำลังดึงรั้งเธอกันอยู่
หนึ่งในนั้นให้เธอยืนหยัดในความคิดของตนเอง ไม่ต้องไปพูดถึงว่ารักหรือไม่รัก ก็เป็นสามีภรรยาที่เฉินถิงเซียวเคารพให้เกียรติกันแบบนี้ก็พอแล้ว
อีกคนกลับรู้สึกว่า เฉินถิงเซียวเชื่อใจเธอขนาดนั้น ในก้นบึ้งของหัวใจจะต้องมีเธออยู่แน่นอน
เธอถูกฉุดกระชากจนหงุดหงิดเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้น ก็เงยหน้าขึ้นมามองเธอ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไปกินอาหารเช้าก่อน”
สีหน้าความรู้สึกภายนอกของเขากลับเป็นเย็นชาเหมือนปกติ ท่าทางเหมือนเมื่อคืนไม่มีเหลืออยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนพ่นลมหายใจเบาๆ ถามเขาว่า “อาหูคือคนที่คุณหามาเหรอ”
“เมื่อก่อนเธอเคยดูแลคุณแม่ผม ฝีมือดีมาก แม่ผมชอบเธอมาก ต่อมาคุณแม่ไม่อยู่แล้ว เธอก็เลยขอลาออกกลับบ้าน”
มู่น่อนน่อนตกใจเล็กน้อย ที่เฉินถิงเซียวพูดถึงแม่ของเขากับเธออย่างแยบยลแบบนี้
พูดเรื่องนี้จบ เฉินถิงเซียวก็อธิบายเป็นพิเศษอีกประโยคว่า “ในบ้านไม่มีคนรับใช้ผู้หญิง ไม่สะดวกมากๆ”
มู่น่อนน่อนกระพริบตาปริบๆ ถ้าเธอไม่ได้เข้าใจอะไรผิด เฉินถิงเซียวไปเชิญอาหูกลับมาเป็นพิเศษ ก็เพื่อเธออย่างนั้นเหรอ
ความสงสัยและความคิดของมู่น่อนน่อนล้วนแสดงออกมาทางสีหน้า เฉินถิงเซียวกระแอมเบาๆ สีหน้าเคร่งขรึม “รีบไปทานอาหารเช้า”
“อ้อ” มู่น่อนน่อนหมุนตัว ค่อยๆเดินออกไปข้างนอก
เดินไปได้ครึ่งทาง จู่ๆเธอก็หยุดลง ยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอก “เฉินถิงเซียว คุณรู้มั้ยว่าเมื่อคืนคุณทำอะไรไปบ้าง”
เฉินถิงเซ๊ยวหรี่ตามอง “อะไร”
เมื่อวานตอนอยู่ที่โรงแรมจีนติ่ง แน่น่อนว่าเขาคิดจะฉวยโอกาสเมาเหล้าเพื่อคืนดีกับมู่น่อนน่อน
แต่ว่า แต่ปริมาณแอลกอฮอร์นั้นเกินว่าที่เขาคาดเอาไว้ กลับกลายเป็นว่าเมาไปจริงๆ
เขารู้ว่าตนเองกลับมาอย่างไร และก็รู้ว่ามู่น่อนน่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา แต่เรื่องรายละเอียด อย่างเช่นว่าเขาพูดอะไรบ้าง ก็จำไม่ค่อยได้แล้ว
“ไม่มีอะไร ฉันไปกินอาหารเช้าก่อน” มู่น่อนน่อนเห็นสีหน้าเขาไม่ได้เปลี่ยนไป ก็รู้ว่าเขาจำไม่ได้แล้ว
จำไม่ได้แล้วก็ดี ถ้าหากจำได้ขึ้นมา เฉินถิงเซียวจะตีเธอหรือเปล่า!
ตอนที่มู่น่อนน่อนกำลังทานอาหารอยู่ในห้องอาหาร เฉินถิงเซียวก็ลงมา
มู่น่อนน่อนกินโจ๊กพลางเหล่ตามองเขาพลาง
ผู้ชายคนนี้มาทำอะไรอีก
เฉินถิงเซียวนั่งลงตรงหน้าเธอ สีหน้าท่าทางจริงจัง เขานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “ไม่ใช่คุณที่เหมือนหล่อน แต่เป็นหล่อนที่เหมือนคุณ”
บทที่ 164 ให้เธอถูกเนื้อต้องตัวได้เท่านั้น
กู้จือหยั่นสังเกตได้ว่า นับตั้งแต่ที่พบกันเมื่อครู่จนถึงตอนนี้ มู่น่อนน่อนไม่ได้มองเฉินถิงเซียวเลย
เขามีใจอยากจะช่วยเฉินถิงเซียว จึงพูดว่า“นี่จะไปแล้วเหรอ อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ ถิงเซียวขับรถมาเอง อีกเดี๋ยวดื่มจนเมา คุณก็ยังช่วยเขาขับรถได้”
“ไม่ใช่ว่ายังมีสือเย่เหรอ นั่งไม่หมดก็เรียกรถได้” มู่น่อนน่อนยิ้มอ่อนๆ สีหน้ายังเป็นปกติดี
เฉินถองเซียวเงยหน้าขึ้น มองไปยังมู่น่อนน่อน
ช่วงนี้ เขาออกจากบ้านแต่เช้ากลับดึก อยู่ในบ้านก็ได้แต่มองเห็นมู่น่อนน่อน ไม่ได้พูดกันแม้แต่คำเดียว
นี่ยังเป็นครั้งแรกในช่วงหนึ่งสัปดาห์นี้ ที่เขาได้มองเห็นเธอใกล้มากขนาดนี้
อยู่ในบ้านหลังเดียวกันแท้ๆ เขามองเธอแบบนี้ กลับรู้สึกว่าตนเองเหมือนคิดถึงเธอเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าเฉินถิงเซียวกำลังมองเธออยู่ สีหน้าบนใบหน้าของเธอเริ่มฝืนไว้ไม่อยู่ เริ่มเปลี่ยนเป็นแข็งเกร็งขึ้นมา
เธอกลัวว่าหากเธออยู่ต่อไป อาจจะฝืนทำสีหน้าเรียบสงบต่อไปไม่ได้แล้ว ยกขาจะเดินจากไป
เพิ่งจะก้าวขา มือของเธอก็ถูกคนจับเอาไว้
จากนั้น เสียงทุ้มแหบพร่าเล็กน้อยดังขึ้นที่ข้างหูของเธอ “กลับไปด้วยกัน”
น้ำเสียงราบเรียบ ฟังไม่ออกถึงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ
มือของเขาอบอุ่นและแห้งผาก กุมมือของเธอเอาไว้แน่น รู้สึกสบายใจและอบอุ่นอย่างประหลาด
มู่น่อนน่อนม้วนนิ้วมือ อ้าปาก พูดว่า“ฉันยังต้องกลับไปรีบปั่นต้นฉบับอีกนะ”
สีหน้าเฉินถิงเซียวเคร่งขรึม ไม่เปิดโอกาสให้เปิดปากปฏิเสธอีก ดึงเธอเข้าไปในลิฟต์ทันที
กู้จือหยั่นและฟู้ถิงซีก็รีบตามเข้ามาติดๆ
มู่น่อนน่อนโกรธแต่ระบายออกมาไม่ได้ มือก็ดึงกลับมาไม่ได้
ความโกรธในใจก็ค่อยพวยพุ่งขึ้นมา
เฉินถิงเซียวหลุบสายตา มองใบหน้าขาวผ่องของเธอที่กำลังเกร็ง เห็นชัดว่าโกรธมาก แต่กลับไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้ ทำให้อารมณ์ความรู้สึกกลัดกลุ้มใจช่วงหลายวันนี้จองของเขา เปลี่ยนเป็นค่อยไปผ่อนคลายขึ้นมาอย่างประหลาด
กู้จือหยั่นและฟู้ถิงซีที่อยู่ด้านข้างมองเห็นสีหน้าท่าทางของเฉินถิงเซียวและมู่น่อนน่อนสองคนด้วยตาตนเอง
เขารู้สึกว่าเฉินถิงเซียวช่างรนหาที่ตาย
ยั่วให้คนเขาโกรธขนาดนี้ เขายังจะดีใจอีกเหรอ
คงไม่ใช่เสียสติไปแล้วนะ
เปลี่ยนไปนึกถึงเสิ่นเหลียง อย่าว่าแต่ให้เขาจูงมือเลย แค่เสิ่นเหลียงได้คุยกับเขาสักสองสามประโยค ก็พอจะทำให้เขาดีใจไปได้หลายวันแล้ว
จริงๆเลย……
คนที่ชอบเปรียบเทียบคน ช่างน่าโมโหนัก!
……
ฟู้ถิงซีก็อึดอัดนิดหน่อย เขาคิดถึงภาพที่ผู้ชายสามคนดื่มเหล้าพูดคุยกัน กลายเป็นว่าเขาและกู้จือหยั่นเป็นส่วนเกินในความรักของเฉินถิงเซียวและมู่น่อนน่อน
“อันนี้กินมั้ย”
“อันนี้ล่ะ”
เฉินถิงเซียวหมุนโต๊ะ อาหารแต่ละจานหมุนมาตรงหน้ามู่น่อนน่อน ก็ต้องถามมู่น่อนน่อนทุกครั้ง
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าวันนี้เฉินถิงเซียวจะเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีก โดยเฉพาะมีกู้จือหยั่นและฟู้ถิงซีอยู่ด้วยสุดท้าย เธอได้แต่กัดฟันกินไปไม่น้อย
และตอนที่เธอกินนั้น ผู้ชายทั้งสามคนก็ดื่มเหล้าตลอด
รอจนเธอตั้งสติกลับมาได้ ก็พบว่าตอนนี้บนโต๊ะมีขวดเหล้าอยู่หลายขวดแล้ว
และกู้จือหยั่นร้องไห้ซบอยู่บนไหล่ของฟู้ถิงซีไม่มีความเป็นผู้ชายเหลืออยู่แล้ว……
ฟู้ถิงซีสีหน้าไม่ชอบใจนัก อยากจะผลักกู้จือหยั่นออก
เขาทะเลาะต่อยตีสู้กู้จือหยั่นไม่ได้ พละกำลังก็ไม่ได้มากกว่ากู้จือหยั่น แน่นอนว่าผลักเขาไม่ได้ เขาได้แต่ยอมปล่อยให้กู้จือหยั่นซบบนตัวเขาร้องไห้
มู่น่อนน่อนอยากจะให้ตัวเองแสดงออกอย่างสงบใจเย็นอีกหน่อย แต่ว่าน่าตกใจเกินไป เธอไม่อาจปกปิดไว้ได้
“ฉันเองก็ไม่รู้ว่าว่าฉันทำผิดอะไร……”
“ไม่ถูกสิ ฉันต้องทำอะไรผิดแน่นอน แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรขนาดนั้นนี่……”
กู้จือหยั่นร้องไห้พลางพูดพลาง สุดท้ายหลังจากความตื่นตกใจ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกเสียใจ
เวลานี้ อยู่ๆหัวของเธอก็หนักอึ้ง
หันหน้าไป เธอพบว่าเฉินถิงเซียวหลับตามาซบที่บนบ่าของเธอตอนไหน
“คุณ……” ดื่มจนเมาแล้วเหรอ
มู่น่อนน่อนผลักเฉินถิงเซียว ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบเลยสักนิด
เธอและฟู้ถิงซีต่างฝ่ายต่างสบตากัน ในสายตาแต่ละคนมองเห็นความอับจนหนทาง
……
ออกแรงไปไม่น้อย จึงได้เอาตัวเฉินถิงเซียวมาส่งในรถได้
เพราะ เฉินถิงเซียวที่ดื่มเหล้าจนเมา นอกจากหมู่น่อนน่อนแล้ว เขาก็ไม่ให้ใครถูกตัวได้เลย
กู้จือหยั่นดื่มจนเมาหัวราน้ำ ให้คนแบกขึ้นรถไปเลย
ฟู้ถิงซีปิดประตูรถ เดินมาที่ด้านหน้าของหน้าต่างรถมู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียว“คุณไหวมั้ย”
“ที่บ้านมีบอดี้การ์ด” ถ้าหากเธอลากเฉินถิงเซียวไม่ไหว ก็สามารถเรียกให้บอดี้การ์ดมาช่วยได้
ฟู้ถิงซีขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไร
มู่น่อนน่อนชะงักไปเล็กน้อยแล้วพูดว่า “อย่างมากก็ทำให้เขาสลบ แล้วค่อยให้บอดี้การ์ดแบกขึ้นไป”
ก็ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวเป็นบ้าอะไร ดื่มจนเมาแล้วก็ไม่ยอมให้คนอื่นถูกตัว ให้เธอถูกตัวได้เท่านั้น
เฮ้อ เธอสงสัยมากว่าผู้ชายคนนี้กำลังแกล้งเมา
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าแววตาของฟู้ถิงซีเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย หากเธอไม่ได้มองผิด ในแววตาของฟู้ถิงซีนั้นมีความยกย่องชื่นชมเพิ่มขึ้นมา……
ไม่อย่างนั้นเธอจะทำอย่างไร เธอก็แบกเขาไม่ไหวอีก
มู่น่อนน่อนขับรถพาเฉินถิงเซียวหลับบ้าน
เฉินถิงเซียวที่ดื่มจนเมาเงียบมาก ดวงตาที่ปิดอยู่เล็กน้อย ปล่อยให้มู่น่อนน่อนประคองเขาเข้าไปด้านใน
แม้มู่น่อนน่อนจะต้องออกแรงอย่างมากในการพยุงเขา แต่ก็กัดฟันลากเขาขึ้นชั้นบนไป
ตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมตัวเองไม่ให้บอดี้การ์ดช่วย
เธอโยนเฉินถิงเซียวลงบนเตียง ไปหยิบผ้าเช็ดตัวเปียกๆในห้องน้ำมาเช็ดหน้าให้เขา
เพราะก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่โรงแรมจีนติ่ง เขาปฏิเสธพนักงานที่จะมาประคองเขา เสื้อบนตัวจึงยับยู่ยี่ กระดุมบนสาบเสื้อหลุดออดกมาสามเม็ด เม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาที่ปิดอยู่ ดูไปแล้วมีความเย็นยะเยือกน้อยกว่าปกติมาก ไม่ได้มีอันตรายขนาดนั้นแล้ว
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ ใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าให้เขา
มือของเธอเพิ่งจะยื่นออกไป จู่ๆเขาก็ลืมตาขึ้นมา
มู่น่อนน่อนตกใจ หดมือกลับมาทันที
สายตาของเฉินถิงเซียวว่างเปล่า ทันใดนั้น เขาก็พลิกตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง จ้องเขม็งไปยังมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อน “……คุณ ตื่นแล้วเหรอ”
จากนั้นเฉินถิงเซียวก็พุ่งตัวมากอดเธอเอาไว้ และยังเรียกอย่างอ่อนโยนว่า “แม่!”
มู่น่อนน่อนมือไม้สั่น ผ้าเช็ดตัวในมือตกลงบนเตียง
ผ้าขนหนูเปียก จะทำให้ผ้าปูที่นอนเปียกได้ มู่น่อนน่อนรีบคว้าผ้าเช็ดตัวขึ้นมาโยนไปข้างๆ
หลังจากที่เฉินถิงเซียวกอดเธอเอาไว้ ก็ไม่ได้ขยับอีกเลย
มู่น่อนน่อนก็ไม่กล้าขยับ เพราะเฉินถิงเซียวแบบนี้อ่อนโยน……จนน่ากลัว
ผ่านไปสักพัก มู่น่อนน่อนก็ปวดเมื่อยไปทั้งตัว เธอจึงลองเรียกครั้งหนึ่ง “เฉิน……เฉินถิงเซียว”
เฉินถิงเซียวไม่ตอบโต้ มู่น่อนน่อนก็ลองยื่นมือไปผลักเขา
ผลปรากฏว่าพอเธอขยับ เฉินถิงเซียวก็เหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกเปิดเครื่อง กอดเธอเอาไว้แน่น ปากก็เรียก “แม่” ไม่หยุด
มู่น่อนน่อน“……”
ผ่านไปสักพัก เธอยื่นมือไปตบที่หลังเขาเบาๆ พูดเสียงสั่นว่า “คุณปล่อยฉันก่อน แม่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ลูกนะ……”
พูดประโยคนี้จบ มู่น่อนน่อนก็หนาวจนตัวสั่น
ประโยคนี้กลับได้ผลกับเฉินถิงเซียวอย่างประหลาด
เขาปล่อยมือออกจากมู่น่อนน่อนอย่างเชื่อฟัง กางแขนออกท่าทางรอให้เธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา
เขาปิดตาไปครึ่งหนึ่ง ใบหน้าที่เยือกเย็นไม่มีแล้ว เชื่อใจในตัวมู่น่อนน่อนอย่างเต็มที่
บทที่ 163 นักแสดงนำหญิง ก็คือเธอเหรอ?
ครั้งก่อนเรื่องที่มีคนแอบถ่ายเสิ่นเหลียง เพราะสุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงไม่ได้มีเรื่องอะไรมาก
และยังมีอีกสาเหตุหนึ่งคือเพราะว่า เรื่องแบบนี้ในวงการบันเทิงมีมากมายนับไม่ถ้วน แน่นอนว่าไม่สามารถที่จะเหน็ดเหนื่อยไปตรวจสอบได้ทุกเรื่อง
บริษัทเดิมก่อนหน้านี้ที่เสิ่นเหลียงเคยอยู่ บริษัทเสิ่งติ่งในตอนนี้ มีคนมากมายที่มีความสัมพันธ์ในการแย่งชิงแข่งขันและผลประโยชน์ทับซ้อนกับเสิ่นเหลียง ดังนั้นหลายคนจึงต้องการจัดการกับเสิ่นเหลียง
และผู้กำกับที่เสินเหลียงกำลังหาอยู่ เป็นชู้รักของหลัวหยิงพอดี นี่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน หลัวหยิงต้องรู้แต่แรกแล้วว่าช่วงนี้เสินเหลียงกำลังช่วยฉินอันดูบทละครอยู่ ดังนั้นจึงคิดจะปล่อยให้เสิ่นเหลียงรอเก้อ อยากให้เสิ่นเหลียงตกที่นั่งลำบาก
นี่ต้องเป็นแผนที่ถูกวางเอาไว้แล้วแน่นอน
เรื่องที่ไนต์คลับครั้งก่อนผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว หลัวหยิงก็ยังสามารถหาโอกาสมาเล่นงานเสิ่นเหลียงได้อีก คงจะแค้นฝังใจแล้ว
“ไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดเหลวไหลอะไร!” หลัวหยิงถลึงตามองมู่น่อนน่อน พูดด้วยเสียงสูงว่า “ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดอะไร เสิ่นเหลียงเองอาจจะไปผิดใจกับใครถูกคนแอบบถ่าย เกี่ยวอะไรกับฉัน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้หล่อนก็ยังอยู่ตรงนี้ดีๆอยู่ไม่ใช่เหรอ เธอเสียสติหรือเปล่า!”
“อย่าเอาเรื่องที่ผู้กำกับฉินไม่อยากพบพวกเธอ มาหาเรื่องใส่ร้ายป้ายสีฉันสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้!ฉันไม่มีเวลาจะมาล้อเล่นกับพวกเธอ ฉันจะเข้าไปก่อนแล้ว”
หลัวหยิงพูดจบ ก็หมุนตัวเดินเข้าไป สายตาเธอมองไปยังแผ่นหลังที่อยู่ไม่ไกลนัก ขมวดคิ้วพูดว่า “นั่นใครนะ คุณรีบหน่อยได้มั้ย ไปห้องน้ำนานขนาดนี้ อย่าปล่อยให้ประธานชิวที่อยู่ข้างในรอนาน”
มู่น่อนน่อนมองไปตามสายตาของหลัวหยิง ตอนที่เธอมองเห็นคนคนนั้นอย่างชัดเจน ก็ตกตะลึง
มู่หวั่นขีทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เธอกับหลัวหยิงร่วมมือกันจะทำอะไร
สีหน้ามู่หวั่นขีไม่ได้แปลกใจ เมื่อครู่เธอเองก็มองเห็นมู่น่อนน่อนแล้ว เตรียมจะเดินอ้อมกลับมา คิดไม่ถึงว่าจะถูกหลัวหยิงเห็นเข้า
ในก้นบึ้งหัวใจของมู่หวั่นขีแม้จะเต็มไปด้วยความไม่พอใจหลัวหยิง แต่สีหน้ากลับยังมีรอยยิ้มอยู่ “นี่ฉันก็มาแล้วไม่ใช่หรือไง!”
“รีบเข้าไปเถอะ กว่าฉันจะฉวยโอกาสมาให้เธอได้ไม่ใช่ง่ายนะ เธอต้องคว้าเอาไว้ให้แน่น” หลัวหยิงขยิบตาให้มู่หวั่นขี ส่งเสียงฮึ่มในลำคอ แล้วก็ยกขาก้าวไปข้างใน
มู่หวั่นขีรู้สึกได้ว่ามู่น่อนน่อนยังมองเธออยู่ หันไปถลึงตาใส่ “มองอะไรอยู่ได้”
“ไม่มีอะไร ก็แค่แปลกใจถ้าคุณปู่รู้ว่าเธอมาอยู่กับคนพวกนี้ เขาจะคิดยังไงก็เท่านั้น” มู่น่อนน่อนกอดอก มองมู่หวั่นขีอย่างพินิจพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า
วันนี้มู่หวั่นขีมีการเตรียมตัวมาพร้อมอย่างเห็นได้ชัด แต่งหน้าสวยงาม บนร่างสวมใส่ชุดเดรสแหวกอกลึกแนบเนื้อ ในคอเสื้อนั้นสามารถมองเห็นร่องอกได้อย่างชัดเจน……
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องบ้าบอไร้สาระเมื่อก่อนของมู่หวั่นขี ความจริงนั้นเธอสวยมาก
“ถ้าเธอกล้าเอาเรื่องของฉันไปบอกคุณปู่ ฉันจะไม่ปล่อยเธอเอาไว้แน่!” มู่หวั่นขีข่มขู่เธอ
มู่น่อนน่อนไม่สนใจ ดึงเสิ่นเหลียงเตรียมจะไป
คิดไม่ถึงว่ามู่หวั่นขีจะเอ่ยปากพูดว่า “ทางที่ดีเธอสงบเสงี่ยมเจียมตัวไว้หน่อย รอให้ฉันได้เป็นนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมก่อน แต่งงานกับซือเฉิงหยู้ เป็นคนตระกูลมู่ เธอก็จะพลอยมีหน้ามีตาไปด้วย”
มู่น่อนน่อนยังไม่ได้ยิ้ม กลายเป็นเสิ่นเหลียงที่หัวเราะเยาะออกมาก่อน
“ฮ่าๆๆ…… ” เสิ่นเหลียงจนตัวงอ “นักแสดงนำหญิง คือเธอเหรอ”
มู่น่อนน่อนเองก็อยากจะหัวเราะ
ที่เธออยากหัวเราะไม่ใช่เพราะมู่หวั่นขีจะกลายเป็นนักแสดงนำหญิงเรื่องนี้ และก็ไม่ใช่เพราะจะแต่งงานกับซือเฉิงหยู้ แต่หัวเราะประโยคสุดท้ายนั้น
——เป็นคนตระกูลมู่ เธอก็จะพลอยได้หน้าไปด้วย
คนตระกูลมู่เหรอ
เธอได้รับการยอมรับจากคนตระกูลมู่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ไม่เคย ไม่เคยมาก่อนเลย
มองเห็นหน้ามู่หวั่นขีก็แทบจะระเบิดอารมณ์โกรธ มู่น่อนน่อนดึงเสิ่นเหลียงพลางพูดว่า“ไปเถอะ”
เมื่อครู่ตอนที่มู่น่อนน่อนและมู่หวั่นขีพูดคุยกัน หลัวหยิงก็ไม่ได้เข้าไป เธอเห็นมู่หวั่นขีรู้จักมู่น่อนน่อน ในใจรู้สึกเคลือบแคลงสงสัย “ผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกับเธอ”
มู่หวั่นขีกำลังโกรธเลือดขึ้นหน้า น้ำเสียงไม่ดีอย่างมาก“ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น”
หลัวหยิงไม่ใช่คนที่จะหลอกง่ายๆ เธอรู้จักสังเกตสีหน้าท่าทาง เมื่อครู่คำพูดที่พวกเธอพูดคุยกัน เธอได้ยินอย่างชัดเจน ถามซักไซ้ “ปู่ของหล่อนก็คือปู่ของเธอเหรอ ดังนั้นหล่อนเป็นน้องของเธอ”
“ลูกของแม่เลี้ยง พ่อกับปู่ของฉันก็ไม่ได้ชอบหล่อน” ความรำคาญของมู่หวั่นขีแสดงออกมาให้เห็นบนใบหน้า
แต่หลัวหยิงกลับผิดปกติอย่างมากไม่สนใจท่าทีของมู่หวั่นขีเลยสักนิดเดียว ได้แต่ถามเรื่องของมู่น่อนน่อน
เธอพูดว่า“หล่อนก็คือน้องสาวที่แต่งเข้าตระกูลเฉินคนนั้นเหรอ”
“คุณคิดจะทำอะไร” มู่หวั่นขีจะซื่อบื้ออีกแค่ไหน ก้สัมผัสได้ว่าหลัวหยิงมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง
หลัวหยิงมุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้ม นัยน์ตาฉายความโลภ “น้องเขยของเธอคือทายาทของตระกูลเฉิน เงินก้มี อำนาจบารมีก็มี ถ้าเธออยากจะเข้าวงการบันเทิง ไปหาเขาให้ช่วยไม่ใช่ว่าได้แล้วเหรอ”
“ไปหาเศษสวะอย่างนั้นมีประโยชน์อะไร” มู่หวั่นขีสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม ไม่ได้เอาคำพูดของหลัวหยิงมาใส่ใจเลย
หลัวหยิงกระตุกริมฝีปาก รู้สึกว่ามู่หวั่นขีผู้หญิงคนนี้ต่างหากที่โง่จริงๆ
ตระกูลเฉินเป็นตระกูลมหาเศรษฐีชั้นนำของเมืองหู้ไห่ ต่อให้เฉินถิงเซียวจะทั้งอัปลักษณ์ทั้งไร้ประโยชน์อย่างไร แต่ก็มีทั้งเงินและอำนาจก็พอแล้วไม่ใช่หรือ
ถ้าเธอได้พบกับเฉินถิงเซียว ได้รับความชื่นชอบจากเขา อย่างนั้นต่อไปเธอก็ไม่ต้องผ่านมือระหว่างบรรดาผู้ชายไม่ซ้ำหน้ากันแล้ว……
……
มู่น่อนน่อนและเสิ่นเหลียงทั้งสองคนเดินเข้าห้องรับรองไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง
เสิ่นเหลียงถามเธอ “มู่หวั่นขีต้องสมองส่วนไหนผิดปกติ อยากจะเข้าวงการบันเทิงเหรอ คุณปู่แกจะยอมให้หล่อนเข้าวงการเหรอ”
“คุณปู่น่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้” หลังจากมู่เจิ้งซิวกลับมา มู่หวั่นขีก็สงบเรียบร้อยขึ้นไม่น้อย ในเมื่อมู่เจิ้งซิวมีความพลังที่จะกำราบอยู่มากกว่ามู่ลี่เหยียน
แต่เธอคิดไม่ถึงว่า มู่หวั่นขีดูเหมือนว่าจะจริงจังกับซือเฉิงหยู้ ถึงกับจะแต่งงานกับซือเฉิงหลังจากที่เข้าวงการบันเทิงเพราะอยากเป็นนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
“ไม่รู้จริงๆว่าในสมองหล่อนคิดอะไรอยู่……”
เสิ่นเหลียงยังพูดไม่ทันจบ โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมา
เธอรับสายแล้ว ก็หันไปพูดกับมู่น่อนน่อนว่า “ที่บ้านโทรมา มีเรื่องนิดหน่อยฉันต้องกลับไปที่บ้านก่อน”
“แกมีธุระก็ไปจัดการก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวฉันกลับเอง”
หลังจากเสิ่นเหลียงไปแล้ว มู่น่อนน่อนกลับมาที่ห้องรับรอง ไม่มีอารมณ์จะดื่มชา หยิบกระเป๋าออกไปขึ้นลิฟต์
มาถึงชั้นหนึ่ง พอประตูลิฟต์เปิด ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มสามคน ก็ปรากฏตรงหน้าประตูลิฟต์อย่างชัดเจน
“น่อนน่อน”
คนที่พูดขึ้นมาก่อนคือกู้จือหยั่น
ผู้ชายสามคนก็คือเฉินถิงเซียว กู้จือหยั่นและฟู้ถิงซี
ฟู้ถิงซีเห็นผู้ชายสองคนนี้ทำงานล่วงเวลาในบริษัทกันเหมือนคนบ้า จึงลากพวกเขาออกมาดื่มเหล้า คิดไม่ถึงว่าพอมาก็เจอกับมู่น่อนน่อน
เฉินถิงเซียวเดินอยู่หน้าสุด สายตาของมู่น่อนน่อนมองผ่านจากใบหน้าของเขาเลยไป มองไปยังกู้จือหยั่น “พวกคุณมาทานข้าวกันเหรอ”
“ใช่สิ คุณ……คนเดียวเหรอ” กู้จือหยั่นมีหน้าท่าทางอยากจะพูดแต่ก็ลังเลอีก มู่น่อนน่อนก็รู้ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพุดเขาคืออะไร
“อืม ตอนแรกมาพร้อมกับเสิ่นเหลียง แต่เธอมีธุระเลยกลับไปก่อน” มู่น่อนน่อนดึงสายสะพายกระเป๋าบนบ่าพูดว่า “พวกคุณไปทานข้าวกันเถอะ ฉันกลับก่อนนะ
บทที่ 162 ตามมาฉีกหน้าคุณถึงที่
การประชุมเสร็จสิ้น กู้จือหยั่นเดินตามหลังเฉินถิงเซียว ไปที่ห้องทำงานท่านประธาน
กู้จือหยั่นเอาเอกสารในมือวางลงบนโต๊ะทำงาน ไม่พูดไม่จาอะไรก็หมุนตัวเดินจากไป“จือหยั่น”
ทันใดนั้นเฉินถิงเซียวก็เรียกเขาเอาไว้
กู้จือหยั่นเงยหน้า มองเขาอย่างสงสัย “ยังมีเรื่องอะไรอีก”
“กลับไปพักผ่อนเถะ” เฉินถิงเซียวรู้ว่า กู้จือหยั่นทำงานล่วงเวลาอดหลับอดนอนอยู่ที่บริษัทหลายวันแล้ว
กู้จือหยั่นปฏิเสธเขาทันที “ไม่ต้อง ฉันชอบทำงาน”
ฟู้ถิงซีผลักประตูเข้ามาพอดี ได้ยินคำที่กู้จือหยั่นพูดอย่างชัดเจน
บนใบหน้าที่จริงจังของเขาปรากฏรอยแตกแยก กู้จือหยั่นคนนี้ชอบทำงานตั้งแต่เมื่อไหร่กัน บ้าไปแล้วเหรอ
“ฉันกลับไปที่ห้องทำงานฉันก่อนนะ” กู้จือหยั่นหันไปมองฟู้ถิงซี แล้วก็ยื่นมือไปตบที่บ่าเขา ถือเป็นการทักทาย
สายตาของฟู้ถิงซีอยู่กับกู้จือหยั่นตลอดเวลา จนกระทั่งแผ่นหลังของเขาหายวับไปด้านนอกประตู เขาจึงถามเฉินถิงเซียวว่า“เขาเป็นอะไร”
“บ้าแล้ว”
เฉินถิงเซียบหลุบตา สายตามองไปยังเอกสารที่เปิดอยู่บนโต๊ะทำงาน พูดออกมาสองคำอย่างไม่ใส่ใจ ไม่รู้ว่ากำลังพูดถึงกู้จือหยั่น หรือว่าพูดถึงตัวเขาเองกันแน่
ช่วงหลายวันนี้รู้สึกแปลกๆไปทั้งตัว
มู่น่อนน่อนผุ้หญิงคนนั้น ครั้งนี้ใจแข็งคิดจะทะเลาะกับเขาต่อไปจริงๆเหรอ
ฟู้ถิงซีจับสังเกตได้แม้ว่าสายตาของเขาจะมองลงไปที่เอกสาร แต่เห็นชัดว่าไม่ได้มองที่เอกสาร แต่กำลังคิดถึงเรื่องอื่น
ฟู้ถิงซีพูดไม่ออกเล็กน้อย เขาก็แค่ไปทำงานนอกสถานที่เพิ่งกลับมา สองวันทำไมคนถึงได้เปลี่ยนไปเหมือนวิญญาณออกจากร่างแบบนี้
เขาโน้มตัวลงนั่งบนเก้าอี้โต๊ะหนังสือของเฉินถิงเซียว“วันหยุดสุดสัปดาห์ทำงานล่วงเวลาอะไรกัน ออกไปดื่มเหล้ากันเถอะ”
……
มู่น่อนน่อนส่งซือเฉิงหยู้และเฉินเจียฉินไปแล้ว ก็รับสายของเสิ่นเหลียง
“จำผู้กำกับคนนั้นที่เมื่อก่อนฉันเคยบอกเธอได้มั้ย ผู้กำกับคนนั้นอยากพบแก ฉันว่างวันนี้พอดี ก็ไปดื่มชาตอนบ่ายด้วยกันนะ”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้น ก็รีบตอบรับทันที “ได้”
ผู้กำกับคนนั้นมาร่วมรับประทานอาหารที่โรงแรมจีนติ่งพอดี ดังนั้นสถานที่ที่จะดื่มชาในตอนบ่าย ก็กำหนดไว้เป็นที่โรงแรมจีนติ่งเลย
เฉินถิงเซียวช่วงนี้กลายเป็นคนบ้างาน ทำงานล่วงเวลาอย่างบ้าคลั่งทุกวัน คงจะไม่น่าไปเจอเขาที่จีนติ่ง
คิดอย่างนี้ มู่น่อนน่อนก็เบาใจลง
มู่น่อนน่อนและเสิ่นเหลียงนัดพบกันที่ประตูโรงแรมจีนติ่ง
เสิ่นเหลียงเหมือนกับเพิ่งไปร่วมรายการอะไรมา บนใบหน้ามีการแต่งหน้าอย่างสวยงาม แฝงด้วยความเหนื่อยล้า
มู่น่อนน่อนถามอย่างเป็นห่วงเล็กน้อย “ช่วงนี้เหนื่อยมากเหรอ”
เสิ่นเหลียงเดินเข้าข้างในพลางพูดพลาง “ยังไหว ประกาศค่อนข้างมาก แต่ก็ยังเอาอยู่”
ช่วงนี้โฆษณาของเธอไม่เยอะมากนัก แต่ทั้งหมดกลับล้วนเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเธอ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอทำตัวหน้าด้านกับทางเฉินถิงเซียวนั้นหรือไม่ เฉินถิงเซียวเห็นแก่ที่เธอมีทัศนคติที่ดีต่อเขา ดังนั้นจึงมอบหมายงานให้
ทั้งสองคนพูดคุยกันไปพลางเดินเข้าไปในห้องรับรองพลาง
รออยู่นานมาก ก็ยังไม่เห็นผู้กำกับที่เสิ่นเหลียงพูดถึงคนนั้น
“ทำไมยังไม่มานะ ฉันจะลองโทรถามดู” เสิ่นเหลียงกดโทรออกไป ผู้กำกับคนนั้นไม่รับสาย
พอทั้งสองคนรอก็รอจนกระทั่งสองชั่วโมง
เสิ่นเหลียงนั่งต่อไม่ไหวแล้ว ลุกขึ้นยืนทันที “ฉันไปดูก่อนนะ เขาอยู่ที่ห้องรับรองห้องไหน นัดเวลากันชัดเจนแล้ว ไม่มาสักทีนี่มันเรื่องอะไรกันแน่!”
มู่น่อนน่อนความจริงแล้วรู้สึกว่าไม่เป็นอะไรเลย ในวงการบันเทิง ผู้กำกับที่พอจะมีชื่อเสียง ก็มักจะเล่นตัวนิดหน่อย
แต่เธอก็ไม่อาจทำให้เสิ่นเหลียงเปลี่ยนใจได้ แต่ก็ไม่วางใจอีก จึงได้แต่ตามไปด้วย
โรงแรมจีนติ่งใหญ่มาก แต่ห้องอาหารและห้องสันทนาการแยกตัวออกมาต่างหาก ดังนั้นพวกเขาไปหาผู้กำกับคนนั้น ก็หาแค่เพียงชั้นที่เป็นห้องอาหารเท่านั้นก็พอแล้ว
ขอบเขตเล็กลง ก็หาคนได้เร็วขึ้น
ผ่านไปไม่นาน พวกเธอก็หาผู้กำกับคนนั้นพบแล้วจริงๆ
มีคนออกมาจากห้องรับรองห้องนั้นพอดี เสิ่นเหลียงมองเห็นผู้กำกับคนนั้น จากช่องประตูที่เปิดออกครึ่งหนึ่ง
มู่น่อนน่อนมองตามสายตาเธอไป กลับมองเห็นคนที่คุ้นตาคนหนึ่ง——หลัวหยิง
ครั้งก่อนเรื่องที่ไนต์คลับ สุดท้ายแล้วหลัวหยิงก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ เธอถูกตำรวจคุมตัวไปขังไว้ยี่สิบสี่ชั่วโมง และยังถูกบริษัทเสิ่งติ่งยกเลิกสัญญาอีก อาจจะพูดได้ว่าเสียหน้าไม่เหลือเลย
หลัวหยิงนุ่งน้อยห่มน้อย รินเหล้าให้ผู้กำกับคนนั้นอย่างแนบชิด เงยหน้ามองขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจก็เห็นเสิ่นเหลียงและมู่น่อนน่อน
สีหน้าเธอค่อยๆชะงัก ไม่นานก็เผยให้เห็นสีหน้าสะใจออกมา กระซิบกระซาบพูดอะไรบางอย่างข้างๆผู้กำกับคนนั้นอย่างใกล้ชิด ผู้กำกับก็เงยหน้าขึ้นมองมาทางพวกเธอ
ต่อมาหลัวหยิงก็ลุกขึ้นเดินออกมา
พอเธอเดินเข้ามาใกล้ มู่น่อนน่อนได้กลิ่นหอมรุนแรงบนร่างของเธอ
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว ถอยไปด้านหลังครึ่งก้าว เธอไม่คุ้นชินกับกลิ่นนี้
หลัวหยิงไม่ทันได้สังเกตปฏิกิริยาเล็กๆน้อยๆของมู่น่อนน่อน ความสนใจทั้งหมดล้วนอยู่บนตัวของเสิ่นเหลียง
เธอม้วนผมตัวเองเล่น น้ำเสียงหวานอ่อนโยน “มาหาผู้กำกับฉินใช่มั้ย เขาให้พวกคุณเข้าไปนั่งข้างใน มีเรื่องอะไรก็พูดคุยกันที่นี่เสียเลยนะ เขายุ่งมาก”
ชื่อของผู้กำกับชื่อว่าฉินอัน คือคนอื่นแนะนำให้เสิ่นเหลียง บอกว่ามีชื่อเสียงอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ผลงานที่ถ่ายนั้นไม่เลว พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างนิดหน่อย
เมื่อก่อนเสิ่นเหลียงก็เคยติดต่อกับฉินอันอยู่หลายครั้ง รู้สึกว่าเขาก็ไม่เลว ดังนั้นจึงแนะนำให้เขาได้รู้จักกับมู่น่อนน่อน คิดไม่ถึงว่าฉินอันคนนี้ก็กลับกลายเป็นชู้รักของหลัวหยิง!
เสิ่นเหลียงปฏิเสธไปทันที “ไม่ต้องแล้ว พวกเรายังมีธุระอื่น”
แต่หลัวหยิงกลับไม่ยอมปล่อยเธอไป “เสิ่นเหลียง เธอไม่กล้าเข้าไปเหรอ เธอกลัวอะไร”
เครื่องสำอางบนใบหน้าของหลัวหยิงหนามาก ตอนยิ้ม คนที่มองก็รู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างประหลาด
“กลัวถูกพวกคุณทำให้เห็นภาพบัดสีบัดเถลิง ปีนขึ้นเตียงกับคนอื่นไปทั่ว ไม่กลัวติดโรคเหรอ” เสิ่นเหลียงตอกกลับ ทำเอาหลัวหยิงพูดไม่ออก
ทั้งสองต่างก็ฉีกหน้ากันตั้งแต่แรกแล้ว แม้แต่สีหน้าเรียบเฉยตามปกติก็ยังขี้เกียจจะเสแสร้ง
หลัวหยิงกัดฟัน “อย่าเพิ่งได้ใจเร็วเกินไป คิดว่าลงเรือลำเดียวกับประธานกู้ก็จะเอาตัวรอดปลอดภัยได้ดีไปตลอดเหรอ มันก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้าง”
เสิ่นเหลียงได้ยินเธอพูดถึงกู้จือหยั่น สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “คำพูดนี้น่าจะส่งให้เธอถึงจะถูก ยั่วสามีคนอื่นมากมายขนาดนั้น ไม่กลัวว่าภรรยาเขาจะตามฉีกหน้าคุณถึงที่!”
“เธอ!ฝากไว้ก่อนเถอะ!” สีหน้าของหลัวหยิงซีดเผือด หน้าถอดสี สุดท้ายก็พูดว่าร้ายอะไรไม่ออก
เสิ่นเหลียงไม่ได้เอาคำข่มขู่ของเธอมาใส่ใจ มู่น่อนน่อนกลับมองไปที่หลัวหยิงอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า “นอกจากแอบถ่ายเสิ่นเหลียงแล้ว ครั้งต่อไปเธอคิดจะทำอะไรอีก”
หลัวหยิงจึงได้มองไปยังมู่น่อนน่อน ปฏิเสธว่า “เธอพูดอะไร ฉันฟังไม่เข้าใจ”
“เธอจะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร ทำหรือไม่ได้ทำเธอรู้ดีอยู่แกใจตัวเอง ตอนนี้เสิ่นเหลียงเป็นศิลปินของบริษัทเสิ่งติ่ง ประธานกู้ก็เป็นคนที่ชอบปกป้องคนของเขาอีกด้วย เธอเองคิดพิจารณาให้ดีๆแล้วกันนะ”
บนใบหน้าของมู่น่อนน่อนยังมีรอยยิ้ม น้ำเสียงราบเรียบเหมือนกับพูดคุยกันทั่วไป แต่กลับทำให้เกิดความหวาดกลัวในใจของหลัวหยิง
ครั้งก่อนตอนที่อยู่ที่ไนต์คลับ เธอก็เคยเห็นการลงมือของกู้จือหยั่นแล้ว
แม้หลัวหยิงจะไม่ได้โด่งดังมากนัก แต่ก็ยังถือว่าพอมีชื่อเสียง สำหรับบริษัทก็พอมีมูลค่าทางธุรกิจอยู่ แต่กู้จือหยั่นกลับไม่พูดพร่ำทำเพลงบอกเลิกสัญญาเธอทันที
บทที่ 161 ก็แค่คิดได้แล้วเท่านั้น
“เรื่องสถานีตำรวจหรือ” มู่น่อนน่อนยังคงต่อสู้กับกระดูกในชาม พูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา “ก็คือมีคนคิดร้ายกับเสิ่นเหลียง หยิบเสื้อผ้าหล่อนไป อยากจะถ่ายรูปแบบนั้นของหล่อน……”
“คุณก็รู้ว่าที่ผมถามไม่ใช่เรื่องนี้” เฉินถิงเซียวตัดบทเธออย่างเย็นชา รอบๆมีความเย็นยะเยือกแพร่กระจายอยู่โดยรอบ
ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนก็ไม่มีกะจิตกะใจจะกินต่อไปแล้ว เช็ดไม้เช็ดมือลุกขึ้นยืนพูดว่า “ฉันกินอิ่มแล้ว”
เมื่อคืนตอนที่เขารีบร้อนออกไป ทำไมไม่ถาม ทำไมไม่พูด
ตอนนี้กลับมาถามเธอ
เห็นได้ชัดเจนมากว่าเฉินถิงเซียวไม่คิดจะปล่อยเธอไปง่ายๆ
เขาลุกขึ้นยืน ขาเรียวยาวก้าวยาวๆมาด้านหน้า สองสามก้าวก็ตามมู่น่อนน่อนทันแล้ว
เฉินถิงเซียวรั้งข้อมือเธอเอาไว้ ดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดของตนเอง อีกมือบีบใต้คางเธอไว้ เสียงขรึม “มู่น่อนน่อน คุณมองผม”
มู่น่อนน่อนจ้องมองที่ใบหน้าเขาอย่างจริงจังด้วยความซื่ออยู่หลายวินาที จากนั้นก็พยักหน้าพูดว่า“ก็ยังหล่อเหมือนกับเมื่อวาน”
น้ำเสียงพูดอย่างขอไปทีของเธอ ทำให้เฉินถิงเซียวเพิ่มแรงที่มือมากยิ่งขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว พูดอย่างกับยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม “ทำฉันเจ็บแล้ว ทำขาฉันเจ็บยังไม่พอ ตอนนี้ยังคิดจะทำให้กระดูกข้อมือฉันหัก คางหลุดอีกเหรอ”
เฉินถิงเซียวชะงักทันที สีหน้านิ่งขรึมจนน่าตกใจ
มู่น่อนน่อนที่ถูกบีบคางอยู่นั้น แต่กลับเห็นได้ชัดว่าไม่มีท่าทางตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเธอกลับเย่อหยิ่งราวกับราชินี ไม่มีท่าทีจะยอมอ่อนข้อให้เขาแม้แต่น้อย
แต่ว่า ดวงตาของเขาดำขลับราวกับค่ำคืนที่มืดมิดราวกับว่าสามารถดูดกินคนได้ ไม่นานเธอก็ฝืนเอาไว้ไม่อยู่
สุดท้ายเธอก็เบนสายตาไปก่อน
ในที่สุด ก็เป็นเธอที่เบนสายตาไปก่อน
“ในเมื่อคุณโทษว่าเป็นความผิดฉัน ก็ไม่ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จะทำยังไง น่าเกลียด” เฉินถิงเซียวปล่อยมือที่บีบคางเธอเอาไว้ออก วางบนศีรษะของเธอ ค่อยๆลูบเบาสองครั้ง
สีหน้าของเขายังคงเย็นยะเยือกและมืดมน แต่ท่าทีกลับอ่อนโยนอย่างประหลาด
เฉินถิงเซียวควบคุมทุกอย่างเอาไว้แบบนี้ ทำให้คนเราไม่อาจคาดเดาอะไรได้ ทำให้มู่น่อนน่อนเกิดความหงุดหงิดภายในใจ
อยู่ต่อหน้าเฉินถิงเซียว ความสามารถเธอยังต่ำต้อยเกินไป ยากที่จะปกปิดตนเองได้สำเร็จ
“ไม่ได้เสแสร้ง ก็แค่คิดได้แล้วเท่านั้น” มู่น่อนน่อนยังคงเอียงศีรษะไปด้านข้าง พูดว่า “ซูชิงหนิงเป็นเพื่อนเก่าคุณ เกิดเรื่องไม่คาดฝันแบบนั้น ฉันก็รู้สึกเห็นใจคุณ คุณเห็นฉันหน้าตาเหมือนกับเธอ มีความรู้สึกดีๆกับฉันก็เป็นเรื่องปกติมาก”
“ถ้าเป็นฉัน เห็นคนข้างนอกหน้าตาคล้ายกับเสิ่นเหลียง ก็คงต้องมอง เหตุผลง่ายๆแบบนี้ ฉันเข้าใจ”
ใช่ ก็คือเหตุผลง่ายๆขนาดนี้
เธอหน้าตาคล้ายกับซูชิงหนิง ดังนั้นเฉินถิงเซียวจึงรู้สึกพิเศษกับเธอ ตามหลักธรรมชาติทั่วไปของมนุษย์
เฉินถิงเซียวดีกับเธอ ก็เพราะเธอหน้าตาเหมือนกับซูชิงหนิง ก็เป็น……เหตุผลตามหลักธรรมชาติทั่วไป
เธอคิดได้อย่างเข้าใจกระจ่างจริงๆ แต่ว่า…… ภายในใจทำไมถึงยังรู้สึกหน่วงๆอยู่นะ
“ดีมาก”
เฉินถิงเซียวปล่อยมือจากเธอ ถอยไปด้านหลังครึ่งก้าว หลุบตามองเธอเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม บนใบหน้าที่หล่อเหลานั้นมองไม่ออกถึงความยินดียินร้าย
มู่น่อนน่อนคิดว่า ไม่มีใครคาดเดาอารมณ์ความรู้สึกเขาออกจากใบหน้าท่าทางแบบนี้ของเขา เพราะเขาไม่อยากให้ใครเข้าใจ
ก็เหมือนกับที่เขาสามารถสืบขุดคุ้ยประวัติของมู่น่อนน่อนมาจนหมด มู่น่อนน่อนกลับไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาเลยสักนิดเดียว เขาควบคุมผู้อื่น แต่กลับไม่เคยเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงต่อหน้าผู้อื่นมาก่อนเลย
เดิมก็เป็นเกมที่ไม่มีความยุติธรรมอยู่แล้ว คือเธอคิดอย่างซื่อๆไร้เดียงสาเกินไป
ครั้งนี้การเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองคนเหมือนจะกลายเป็นจุดแบ่งแยก
ต่อไปภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทั้งสองต่างแสดงออกถึงความเย็นชาและห่างเหิน
ทั้งสองคนแยกห้องนอน เช้าตื่นมาต่างฝ่ายต่างไปทำงานที่บริษัท กลับมาทานอาหารเย็นด้วยกัน บางครั้งพูดคุยกันสองสามประโยค ไม่ต่างอะไรกับคู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันเพราะเหตุผลทางธุรกิจที่ภายนอกดูสนิทสนมกันแต่ความจริงไม่ใช่
แต่กลับสร้างความลำบากให้กับเฉินเจียฉิน ภายใต้บรรยากาศที่อึดอัดแบบนี้ เขาพอจะคาดเดาได้ว่าชีวิตช่วงปิดเทอมภาคฤดูหนาวจะต้องเปลี่ยนเป็นลำบากมากแน่นอน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปหาซือเฉิงหยู้พี่ชายแท้ๆของเขา
มู่น่อนน่อนนึกขึ้นได้ว่าครั้งก่อนซือเฉิงหยู้บอกว่าจะเลี้ยงข้าวเธอกับเฉินถิงเซียว ก็ไม่รู้ว่าซือเฉิงหยู้โทรหาเฉินถิงเซียวแล้วหรือยัง เฉินถิงเซียวยังไม่ได้บอกอะไรเธอเลย ก็น่าจะยังไม่ได้บอก
หรือว่า เฉินถิงเซียวปฏิเสธไปแล้ว
วันที่เฉินเจียฉินเลือกคือวันเสาร์ ซือเฉิงหยู้มีเวลาว่างพอดี ขับรถมารับเขาด้วยตนเอง
“พี่”
พอเฉินเจียฉินเห็นซือเฉิงหยู้ ก็วิ่งไปทางเขาทันที
มู่น่อนน่อนช่วยเฉินเจียฉินจัดข้าวของเครื่องใช้ประจำวันนิดหน่อยลงมาชั้นล่าง ก็เห็นซือเฉิงหยู้ยืนอยู่ในห้องโถงแล้ว
ห่างจากงานเลี้ยงครั้งก่อนอาทิตย์กว่าแล้ว พบกับซือเฉิงหยู้อีกครั้ง มู่น่อนน่อนคิดว่าจะขัดๆเขินๆ แต่กลับไม่รู้สึกขัดเขินเลยสักนิดเดียว
ซือเฉิงหยู้ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน “น่อนน่อน”
รอยยิ้มของเขามีเสน่ห์ทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้ม
“ฉันเอาของมาให้เสี่ยวฉินอีกนิดหน่อย” ซือเฉิงหยู้อย่างไรเสียก็เป็นผู้ชาย ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดเหมือนเธอ
ซือเฉิงหยู้รับของจากในมือเธอ พูดว่า “รบกวนคุณมากไปแล้ว”
“เรื่องเล็กน้อยเอง” มู่น่อนน่อนหันไปมองทางเฉินเจียฉิน “เป็นเด็กดีหน่อย ปิดเทอมอย่าลืมทำการบ้าน ถึงเวลาอยากกลับมาก็โทรหาฉันหรือพี่ชายนาย ให้เขาไปรับนาย”
ตอนนี้เป็นช่วงปลายปี แต่ละบริษัทต่างก็งานยุ่ง ไม่เว้นแม้แต่บริษัทเสิ้งติ่ง
เฉินถิงเซียวช่วงเวลานี้มักจะออกจากบ้านแต่เช้า ดึกมากถึงจะกลับมาถึงบ้าน ตอนนี้แม้แต่วันหยุดสุดสัปดาห์ก็ยังไปทำงานล่วงเวลาที่บริษัท
เฉินเจียฉินเป็นคนฉลาดเจ้าเล่ห์ หอบข้าวของก็เดินออกไปเลย ทิ้งซือเฉิงหยู้กับมู่น่อนน่อนเอาไว้ที่ห้องโถง
ซือเฉิงหยู้รีบหุบยิ้ม อารมณ์บนใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา “เรื่องคราวก่อน ผมต้องขอโทษด้วยอย่างยิ่ง”
มู่น่อนน่อนยกริมฝีปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย “คุณเคยขอโทษไปครั้งหนึ่งแล้วนะคะ และฉันก็รับคำขอโทษแล้ว”
ซือเฉิงหยู้ก้มหน้ายิ้มๆ “อืม”
……
ห้องประชุม บริษัทเสิ้งติ่ง
“ตัวเลขในเอกสารนี้ไม่มีความถูกต้องอยู่เลย!”
“แล้วยังอันนี้ พวกคุณทำงานกันยังไง”
“โบนัสปลายปีพวกคุณไม่อยากได้แล้วเหรอ จะสิ้นปีแล้วก็จะสิ้นใจแล้วเหรอ”
บรรดาผู้เข้าร่วมประชุมระดับสูงกลุ่มหนึ่งต่างพากันก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าส่งเสียง
ช่วงนี้พวกเขามีชีวิตเหมือนตกนรกทั้งเป็นมาตลอด
เมื่อก่อน เจ้านายใหญ่โกรธเกรี้ยว ประธานกู้ก็ยังพอจะช่วยพูดได้
ช่วงสองสามวันนี้ไม่รู้เป็นอะไร เจ้านายใหญ่ที่ค่อยจะเปิดเผยใบหน้าที่บริษัทมาตลอดก็กลับเหมือนจะอาศัยอยู่ที่บริษัทอย่างนั้น จับจ้องพวกเขาทุกวัน
และประธานกู้ก็เหมือนกับนัดแนะกับเจ้านายใหญ่มาอย่างนั้น ก็คือตอนเช้ามาที่บริษัทมืดๆถึงกลับไป มุ่งมั่นทำงานไม่พูดไม่จา ทันใดนั้นก็เริ่มดุด่าคนขึ้นมา……
กู้จือหยั่นด่าจบ เอกสารทั้งหมดในมือก็เสียงดัง “ผัวะ” ทิ้งลงบนโต๊ะประชุม “ทำใหม่ทั้งหมด!วันนี้ทำไม่เสร็จ ทุกคนต้องทำงานล่วงเวลาด้วยกัน!”
เฉินถิงเซียวที่อยู่ด้านข้างของการประชุมไม่ส่งเสียงอะไรมาตลอด ก็ค่อยๆพูดออกมาในเวลานี้ “รายการที่ผมพูดก่อนหน้านี้ ขอแผนงานที่สมเหตุสมผลภายในวันนี้”
พอทั้งสองออกไป เจ้าหน้าที่ระดับสูง ทั้งหมดพากันมีสีหน้าท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ผมคิดว่าทั้งสองคนนี้ล้วนบ้าไปแล้ว”
“ประธานกู้เป็นอะไร ผมไม่รู้ ผมสงสัยว่าเจ้านายใหญ่ต้องทะเลาะกับเมียมาแน่นอนเลย!”
“คุณรู้ได้ยังไง”
“ก็เป็นผู้ชายเหมือนกันไง คุณลองคิดดูว่าก่อนหน้านี้มีกี่ครั้งที่เขาไปรับสายขณะที่ประชุมอยู่บ้าง ต้องเป็นโทรศัพท์ของผู้หญิงแน่……”
บทที่ 160 เธอก็มีความหยิ่งทะนงในตนเอง
เสิ่นเหลียงเงียบไปชั่วขณะ มู่น่อนน่อนตบแขนเธอและพูดว่า “ในใจของกู้จือหยั่นมีแต่เธอจริงๆ ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างพวกเธอ แต่ถ้าในใจเธอก็มีเขา งั้นก็ลองคุยๆ กันดูสิ”
“ฉันรู้” การแสดงออกบนใบหน้าของเสิ่นเหลียงมีความเศร้าอย่างที่ไม่ค่อยเป็น “แต่พวกเราเป็นไปไม่ได้”
มู่น่อนน่อนแปลกใจเล็กน้อย เธอไม่เคยเห็นเสิ่นเหลียงแสดงสีหน้าแบบนี้มาก่อน
ทั้งสองเดินออกไปข้างนอก ถูกสายลมหนาวเย็นเข้าปะทะจนสั่นสะท้าน
ส่วนกู้จือหยั่นออกมาก่อนหน้านี้แล้ว เวลานี้ยืนอยู่ข้างนอกรถ ท่าทางเหมือนกำลังรอคน
ทันทีที่เขาเห็นเสิ่นเหลียงออกมา ก็รีบเปิดประตูรถด้วยความกระตือรือร้นอยากดูแล ยิ้มและพูดว่า “เสิ่นเสี่ยวเหลียง วันนี้หนาวมาก รีบขึ้นรถเร็ว”
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองเสิ่นเหลียง พบว่าการแสดงออกบนใบหน้าของเธอค่อนข้างไม่ปกติ
มู่น่อนน่อนค่อนข้างอึดอัด ดึงมือของเสิ่นเหลียงมากระซิบเรียกเธอ “เสี่ยวเหลียง”
เสิ่นเหลียงมองกู้จือหยั่นนิ่งๆ จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาหาเธอ
“ทำไมคุณยังเชื่องช้าเหมือนตอนเด็กเลย รีบขึ้นรถเร็ว เดี๋ยวคุณจะ…” กู้จือหยั่นกระตุ้นให้เธอขึ้นรถไปโดยไม่รู้สึกตัว
ทันใดนั้นเสิ่นเหลียงก็ขัดจังหวะคำพูดของเขา “กู้จือหยั่น! พอได้แล้ว วันนี้ฉันขอบอกคุณนะ พวกเราไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเริ่มต้นใหม่ ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ผลลัพธ์มันก็เหมือนเดิม!”
ทันใดนั้นกู้จือหยั่นก็ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ เหมือนกับว่ามีการกดปุ่มหยุดชั่วคราวบนโทรศัพท์ที่กำลังเล่น มันไม่ขยับเช่นเดียวกับมือที่จะยื่นไปดึงมือของเสิ่นเหลียง
มือของเขาอยู่ห่างจากมือของเสิ่นเหลียงแค่ไม่ถึงสามเซนติเมตรเท่านั้น
“เสิ่นเสี่ยวเหลียง มีเหตุผลหน่อยได้ไหม ต่อให้จะตัดสินประหารชีวิตผม ก็ต้องให้ผมตายอย่างรู้เรื่องด้วยสิ! คุณบอกผมสิว่าเพราะอะไร”
น้ำเสียงของกู้จือหยั่นตอนแรกยังนิ่งมาก ถึงช่วงท้ายเขาแทบจะตะโกน “คุณอย่าพูดไร้สาระว่าคุณชอบคนอื่นไม่ได้ชอบผม ผมแม่งรู้จักคุณมายี่สิบสี่ปีแล้วนะ! คุณโกหกผมไม่ได้หรอก!”
เสิ่นเหลียงพูดออกมาเพียงสามคำ ทำให้กู้จือหยั่นทรุดทั้งกาย
“ฉันเกลียดคุณ”
ทั้งที่เป็นสามคำที่เบามาก แต่เสียงกลับขว้างเข้าหากู้จือหยั่นจนทำให้ผู้ชายที่แข็งแรงสูงใหญ่สั่นเทาไปทั้งตัว
คู่รักวัยเด็กแฝงความหมายถึงความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง
กู้จือหยั่นในเวลานี้พยายามจะหาร่องรอยของการโกหกบนใบหน้าของเสิ่นเหลียง
แต่ว่า ไม่ว่าเขาจะหาอย่างไร ก็ไม่พบร่องรอยของการโกหกสักนิด
“เพราะอะไร” สามคำยังไม่ได้ถามออกไป เสั่นเหลียงก็หันหลัง ก้าวกว้างเดินไปตามถนน โบกรถแท็กซี่แล้วก็ไป
กู้จือหยั่นก้าวเล็กๆ เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แต่ในนาทีถัดมา เขาก็ค่อยๆ เก็บเท้าก้าวถอยหลังกลับไป
เวลานี้มู่น่อนน่อนไม่พอใจมากกับเท้าที่แพลง เธอเป็นแบบนี้ จะไล่ตามเสิ่นเหลียงไปก็ไม่สะดวกเลย
“ผมจะให้สือเย่ตามเธอไป”
เสียงต่ำที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง
มู่น่อนน่อนหันหน้าไป ถึงได้พบว่าเฉินถิงเซียวออกมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เวลานี้ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกล
คนที่ยืนอยู่ข้างเขา คือท่านฉี
ก่อนหน้านี้ที่มู่น่อนน่อนมาสถานีตำรวจเป็นเพื่อนเฉินเจียฉิน ทั้งหมดล้วนเป็นท่านฉีที่รับผิดชอบ ดังนั้นมู่น่อนน่อนจึงจำเขาได้
ตามมารยาท มู่น่อนน่อนจึงเอ่ยเรียก “ท่านฉี”
ท่านฉีทำให้มู่น่อนน่อนจดจำได้ว่าเป็นผู้ชายที่มีหน้าตาดุร้ายและจริงจังมาก
แต่คราวนี้ท่านฉียิ้มให้และพูดกับเธอว่า “ผมจำคุณได้ สร้างปัญหาอีกแล้วเหรอครับ”
มู่น่อนนน่อน “……..”
ครั้งก่อนเธอมาสถานีตำรวจเป็นเพื่อนเฉินเจียฉินนะ เรื่องอะไรมาบอกว่าเธอสร้างปัญหาอีกกันล่ะ
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวที่ยืนอยู่ข้างท่านฉีอย่างขุ่นเคือง เฉินถิงเซียวก็กำลังมองเธออยู่พอดี ในดวงตามีประกายรอยยิ้มจางๆ
มู่น่อนน่อนหันเหสายตาทันที
ท่านฉีเห็นอย่างนั้นก็กระซิบกับเฉินถิงเซียวว่า “ภรรยาของคุณสวยมาก ง้อเธอดีๆ หน่อย อย่าวางหน้าให้มากนัก”
เฉินถิงเซียวไม่เคยรับฟังคำพูดของใคร แต่เวลานี้กลับตอบรับอย่างเชื่อฟัง “อืม”
ท่านฉีมองชายหนุ่มที่มีไอแห่งความเย็นชาและมืดมนที่อยู่ตรงหน้า ถอนหายใจเล็กน้อย ส่ายหน้าแล้วบอกว่า “กลับไปเถอะ ตอนกลางคืนอากาศหนาว คดีของคุณแม่คุณ ตามขั้นตอนถึงแม้คดีจะปิดไปแล้ว แต่อยู่ที่นี่กับผมก็ไม่มีอะไร ผมจะตรวจสอบต่อไปเรื่อยๆ ตลอดไปจนกว่าผมจะตาย”
เมื่อพูดถึงแม่ สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็กลับมาเป็นปกติโดยทันที
……
ระหว่างทางกลับ มู่น่อนน่อนส่งข้อความถึงเสิ่นเหลียง เมื่อได้รับการตอบกลับถึงได้วางใจ หลังจากนั้นก็มองออกไปนอกหน้าต่างรถ
ความรู้สึกแบบนี้ หลายครั้งที่คุณรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจ มันก็แค่การหลอกตัวเองเท่านั้น
ความรู้สึกของตัวเอง คนที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนก็มีแค่ตัวเอง
เมื่อคุณเกิดความรู้สึกไม่แน่นอนและสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ไม่ต้องกังวล เพราะแน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ได้รักคุณ หรือไม่คุณก็ไม่ได้รักอีกฝ่าย
สองคนที่มีความรู้สึกมั่นคง จะไม่มีความรู้สึกสับสน
เพราะไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายมั่นคงและจริงจังเหมือนกับคุณหรือไม่ ดังนั้นคุณจะสงสัย จะไม่สบายใจ จะเศร้า…
เหมือนกับเธอในตอนนี้
เพราะความสนใจ ถึงได้สืบค้นไปถึงก้นบึ้ง เพื่อไปคาดเดาน้ำหนักตัวเองในหัวใจเขา
เสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นเติบโตมาด้วยกัน ความรู้สึกที่ลึกซึ้งอย่างนั้น จึงก้าวเดินไปถึงจุดนี้แล้ว
แต่เฉินถิงเซียวไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งเช่นเสิ่นเหลียงกับกู่จือหยั่น เธอสำหรับเฉินถิงเซียว ก็เป็นแค่คนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนชิงหนิงเท่านั้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอเป็นคนที่ถูกละเลย
แต่เธอก็มีความหยิ่งทะนงในตนเอง
มู่น่อนน่อนยกมือขึ้นมากดเบาๆ ตรงตำแหน่งหัวใจของตัวเอง เม้มริมฝีปากเล็กน้อย ถ้าไม่สนใจก็ไม่เสียใจ และจะไม่แปรเปลี่ยนเป็นว้าวุ่นเช่นนี้
มู่น่อนน่อนหันไปถามเขา “คุณรู้จักท่านฉีเหรอ”
ตอนนี้ มู่น่อนน่อนเพิ่งพบว่าความเร็วรถช้าเป็นพิเศษ
ถึงแม้เฉินถิงเซียวจะมุ่งเน้นไปที่การขับรถ แต่กลับมักจะมองเธออย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจเสมอ ความเร็วจึงชะลอตัวลงตามธรรมชาติ
ได้ยินมู่น่อนน่อนเริ่มพูดกับเขาก่อน ดวงตาลึกของเฉินถิงเซียวจึงเกิดประกายความคาดไม่ถึงขึ้นมาฉับพลัน “อืม”
“อ้อ”
มู่น่อนน่อนพลั้งปากถามไปคำถามเดียวเท่านั้น และก็ไม่ได้อยากรู้ว่าเขารู้จักท่านฉีได้อย่างไร
ที่จริงแล้วคนแบบเฉินถิงเซียว มันเป็นเรื่องปกติที่จะรู้จักกับตำรวจอาชญากรรม เพียงแต่ทั้งสองคนดูสนิทสนมกันมากก็เท่านั้น
เมื่อคืนมู่น่อนน่อนกับเขาทะเลาะและแยกกัน เขาไม่คิดว่ามู่น่อนน่อนจะยอมคุยกับเขาเร็วขนาดนี้ เพราะที่สุดแล้วถึงอย่างไรเธอก็เป็นคนดื้อรั้นมาก
สายตาของเธอเมื่อคืน เห็นได้ชัดว่าเจ็บปวดเสียใจ
ทั้งทั้งที่เป็นการแสดงออกและน้ำเสียงเหมือนกัน แต่ก็รู้สึกว่ามู่น่อนน่อนต่างไปจากเดิมสักอย่าง
แต่เป็นตรงไหน ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถบอกได้
มู่น่อนน่อนยังไม่ได้ทานอะไร กลับถึงบ้านยังไม่เช้า บอดี้การ์ดอุ่นอาหารมาเสิร์ฟให้บนโต๊ะ มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวนั่งทานข้าวเผชิญหน้ากัน
มู่น่อนน่อนคิดเรื่องราวต่างๆ มีความอยากอาหารมาก เมื่อเห็นอาหารที่ชอบก็คีบลงชาม ทานจนเต็มปาก ดูท่าทางอารมณ์ดี
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วอย่างหนัก วางตะเกียบลง จู่ๆ ก็ส่งเสียงถามเธอ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เกิดเรื่องอะไรขึ้น ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ถึงทำให้เธอเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้
บทที่ 159 ในหัวใจมีเพียงคุณ
คนที่ลงบันทึกคือตำรวจหนุ่มประสบการณ์น้อย ทั้งมู่น่อนน่อนและเสิ่นเหลียงทำเป็นไร้เดียงสาและทำตัวน่าสงสาร พวกเขาก็เชื่อไปกว่าครึ่ง มันยากที่จะเชื่อว่าพวกเธอสองคนที่เป็นผู้หญิงบอบบางจะทำให้ผู้ชายสองคนหน้าบวมจมูกเขียวได้
แม้ว่าตำรวจจะมีข้อสงสัยในใจ แต่เรื่องแบบนี้แม้จะแจ้งชัดแก่ใจว่ามู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงเป็นคนตีจริงๆ ก็จะไม่พูดโพล่งออกมา เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็เกลียดพวกคนชอบล่วงละเมิด
เรื่องราวหลายสิ่ง ไม่ใช่ว่าใช้เหตุผลแล้วจะสามารถพูดคุยกันเข้าใจได้ สามารถลงมือให้คนที่มีความคิดชั่วร้ายจดจำไปอีกนานแสนนานได้ก็ไม่เลว
ผู้ชายสองคนนั้นที่ถูกตีโดยธรรมชาติแล้วแน่นอนว่าก็ไม่ยินยอม
หนึ่งในนั้นส่งเสียงออกมาว่า “คุณตำรวจ เธอเป็นคนทำร้ายผมจริงๆ นะ ผมสาบานต่อสวรรค์!”
ตำรวจหน้าตาเคร่งขรึม เอ่ยถามอย่างจริงจัง “มีหลักฐานไหม”
คำถามนี้ค่อนข้างเจ้าเล่ห์
ประตูทางเข้าห้องแต่งตัวมีกล้องวงจรปิด แต่ข้างในไม่มี เพื่อความปลอดภัยคนที่จ้างให้พวกเขาถ่ายรูปเสิ่นเหลียงจึงให้คนมาเอาทั้งหมดออกไป แล้วจะให้พวกเขาไปหาหลักฐานมาจากไหน
ผู้ชายคนนั้นไม่พอใจ “หลักฐานแน่นอนว่าก็ต้องให้พวกคุณตำรวจไปตรวจสอบสิ!”
มู่น่อนน่อนมองไปยังผู้ชายคนนั้นด้วยสายตาเย็นชาพร้อมกับพูดอย่างจริงจัง “พวกคุณสามารถเลือกที่จะฟ้องพวกเราได้”
ชายคนนั้นจ้องเขม็งไปยังมู่น่อนน่อน และไม่พูดอะไรอีก
ไปฟ้องร้องคดีเล็กๆ แบบนี้ ก็มีแต่จะเสียเงินเสียอารมณ์สิไม่ว่า สุดท้ายแล้วต่อให้ชนะก็ได้เงินไม่เท่าไร อีกอย่างพวกเขาแค่ทำงานแลกเงิน จึงไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว
ท้ายที่สุดสองคนที่มาถ่ายรูปเสิ่นเหลียง ไม่เพียงแต่ถูกเสิ่นเหลียงกับมู่น่อนน่อนตีจนหน้าบวมจมูกเขียว ยังต้องถูกขังที่สถานีตำรวจอีกครึ่งเดือน
……
เฉินถิงเซียวที่ตามกู้จือหยั่นมาด้วย ตอนที่กู้จือหยั่นกำลังพูด ตลอดเวลาเขาไม่ได้ส่งเสียงออกมาเลย
ตอนที่ออกไป มู่น่อนน่อนเดินผ่านหน้าเขาไป จู่ๆ ก็ถูกเขาจับแขนโดยไม่คาดคิด
มู่น่อนน่อนพยายามดึงแขนออก แต่กลับไม่สำเร็จ เธอทนไม่ไหวเงยหน้ามองเขา กำลังจะอ้าปากพูด ก็ได้ยินน้ำเสียงบางเบาของเฉินถิงเซียว “ไม่เป็นไรนะ”
เมื่อคืนทั้งสองคนทะเลาะและแยกกัน มู่น่อนน่อนสีหน้าไม่ดี “คุณอยากให้ฉันเป็นอะไรล่ะ ปล่อย!”
ที่น่ารำคาญที่สุดสำหรับผู้ชายคนนี้คือเอะอะก็กระชากลากถูเธอไม่ยอมปล่อย
ตอนที่พบคนถูกตาต้องใจ จะรู้สึกว่าแม้เขาแคะจมูกก็ดูดีไปเสียหมด แต่ตอนที่ไม่ถูกตาต้องใจ แค่เห็นเขาก็รู้สึกขัดหูขัดตา
รูม่านตาของเฉินถิงเซียวหดตัวลงทันที อารมณ์ในดวงตามีความซับซ้อนและยากที่จะแยกแยะ
สองวินาทีต่อมา เขาก็ปล่อยมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเดินตรงผ่านเขาออกไป
ถึงห้องโถงสถานีตำรวจ ก็เห็นเสิ่นเหลียงล้อมรอบด้วยสองตำรวจหญิง ต่างพูดคุยและหัวเราะกัน
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปใกล้เล็กน้อย ก็ได้ยินการสนทนาของพวกเธอ
“คุณวางใจนะคะ พวกเราจะช่วยต้อนรับสองคนนั้นให้คุณอย่างดี!”
“ฉันเกลียดคนที่ใช้วิธีสกปรกแบบนี้มากที่สุดค่ะ…”
“ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของคุณจะถูกปล่อยออกมาเดือนหน้าใช่ไหมคะ”
“ถ่ายรูปกัน”
มู่น่อนน่อนยืนยิ้มอยู่ที่เดิมไม่ได้เดินเข้าไปอีก
ตำรวจหญิงสองคนนั้นยังมีงานอื่น จึงรีบถ่ายรูปกับเสิ่นเหลียง แล้วก็จากไป
“การเป็นดารานี่มันดีจัง อยู่ที่ไหนก็สามารถพบแฟนคลับได้ แถมพวกเธอยังจะช่วยระบายอารมณ์ให้เธออีก!” มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปส่งเสียงล้อเลียนเธอ
“ใช่แล้ว” เสิ่นเหลียงกอดไหล่มู่น่อนน่อนและถามเธอว่า “แล้วเมื่อไรเธอจะกระโดดออกจากหลุมไฟบริษัทมู่ซื่อมาเขียนบทล่ะ”
พูดถึงตรงนี้ เสิ่นเหลียงก็เขกหัวตัวเองแล้วพูดว่า “ดูความจำฉันสิ ครั้งก่อนฉันแสดงบทที่เธอเขียนให้ผู้กำกับดู เหมือนว่าเขาจะชอบนะ เพียงแต่เห็นว่าเธอยังใหม่ แน่นอนว่าเขาจะกดราคา”
“จริงเหรอ” มู่น่อนน่อนได้ฟังแล้วดวงตาก็เผยประกายความดีใจ “กดราคาก็คุยกันได้นะ”
ตอนที่มู่น่อนน่อนเรียนอยู่ก็เขียนพวกบทหนังบทละครเพื่อหาเงิน เพียงแต่ส่วนใหญ่ราคาไม่สูงนัก แค่พอมีพอใช้เท่านั้น
ภาพยนตร์สั้น เว็บดราม่าเล็กๆ ภาพยนตร์ออนไลน์ เขียนธีมที่กำหนดเอง เธอล้วนผ่านการเขียนมาหมดแล้ว
ไม่กี่ปีที่ผ่านมาละครแนวสืบสวนสอบสวนกำลังเฟื่องฟู นอกจากนี้ซือเฉิงหยู้ก็เป็นนักแสดงในละครแนวสืบสวนสอบสวนมาโดยตลอด ตัวเธอเองก็ชอบแนวนี้ จึงได้เริ่มลงมือเขียนบทแนวสืบสวนสอบสวน
เธอใช้เวลาไปไม่น้อยกับการอ่านหนังสือและค้นหาข้อมูล เขียนเป็นระยะๆ มาครึ่งปีก็ยังไม่เสร็จ
“ตอนนี้ผู้กำกับมากมายในวงการออกมาพูดว่าทุกคนอยากได้แนวสืบสวนสอบสวน ฉันจะช่วยถามให้เธออีกหลายๆ ที่ เธอสามารถเลือกได้ ถ้าคุยกันไม่ได้ดีๆ ก็ไม่ขาย!”
เสิ่นเหลียงพูดใส่อารมณ์มาก มู่น่อนน่อนฟังแล้วก็ขำ
ตลอดมากู้จือหยั่นไม่ได้ส่งเสียง อยู่ดีๆ เขาก็พูดออกมาว่า “น่อนน่อน บทอะไรที่คุณเขียนเอามาให้ผมดูได้นะ ผมหาผู้กำกับของบริษัทช่วยดูให้คุณได้ครับ”
กู้จือหยั่นเจตนาดี แต่เจ้านายของเขาคือเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า พูดอย่างค่อนข้างห่างเหิน “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ”
พูดถึงเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนถึงได้เพิ่งพบว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้ตามมา
เวลานี้ โทรศัพท์มือถือของมู่น่อนน่อนดังขึ้นด้วยเสียงข้อความใหม่
มู่น่อนน่อนเอาออกมาดู พบว่าเฉินถิงเซียวส่งข้อความมาให้เธอ “มีเรื่องนิดหน่อย พวกคุณไปรอผมที่รถ”
มีเรื่องก็มีเรื่องสิ ส่งข้อความให้เธอทำไม
ใครจะรอเขากัน
มู่น่อนน่อนเอาข้อความยื่นไปตรงหน้ากู้จือหยั่น “เฉินถิงเซียวให้คุณไปรอเขาที่รถค่ะ”
ตอนนี้กู้จือหยั่นได้พบแล้วว่าน้ำเสียงของมู่น่อนน่อนไม่ปกติ
ก่อนหน้านี้เขาอยู่ที่บริษัท ได้รับสายว่ามีเรื่องเกิดขึ้นในสตูดิโอเสิ่นเหลียง คนที่โทรหาเขาไม่รู้จักมู่น่อนน่อน แต่บอกว่าเสิ่นเหลียงอยู่กับเพื่อน เขาคิดดูก็รู้ว่าคือมู่น่อนน่อน
ดังนั้นเขาจึงเรียกเฉินถิงเซียวให้ตามมาด้วย
ตอนนั้นเขาร้อนใจมาก เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขานัก หลังจากได้ยินเรื่องนี้ก็รีบหยิบเสื้อนอกแล้วรีบมาพร้อมกับเขา
เมื่อครู่ที่เข้าไปเขาก็ยุ่งอยู่กับการดูแลเสิ่นเหลียง เมื่อคิดขึ้นมาตอนนี้ถึงได้พบว่าหลังจากที่เฉินถิงเซียวมา เหมือนว่าไม่ได้คุยกับมู่น่อนน่อนมากนัก
เกิดอะไรขึ้น ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ
เสิ่นเหลียงเตะเท้ากู้จือหยั่นเงียบๆ
กู้จือหยั่นออกไปอย่างรู้กาลเทศะ
เสิ่นเหลียงช่วยประคองมู่น่อนน่อนเดินออกไปข้างนอกช้าๆ และถามเธอว่า “พวกเธอสองคนยังไม่คืนดีกันอีกเหรอ หรือว่าเป็นเพราะเรื่องที่งานเลี้ยง”
“ไม่ใช่” มู่น่อนน่อนส่ายหน้า “เป็นเรื่องอื่นน่ะ”
เห็นสีหน้ามู่น่อนน่อนค่อนข้างหนัก เสิ่นเหลียงก็ขมวดคิ้วตาม แต่ยังพูดอย่างระมัดระวัง “ฉันรู้สึกว่าเจ้านายใหญ่ก็ดีนะ”
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าทำไมเสิ่นเหลียงถึงคิดอย่างนั้น เธอยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันรู้สึกว่ากู้จือหยั่นก็ดีนะ”
“เขาน่ะเหรอ…” เสิ่นเหลียงส่ายหน้าและอ้อมแอ้มพูด
มู่น่อนน่อนถอนหายใจแล้วหยุดก้าวเดิน พูดอย่างไม่เคยมีความอิจฉา “ถึงแม้กู้จือหยั่นจะดูค่อนข้างไม่น่าเชื่อถือ แต่เขาจริงใจกับเธอนะ คนที่มีดวงตาที่สามารถมองออกได้ว่าในดวงตาและในดวงใจเขามีเพียงผู้หญิงคนเดียวคือเธอเสิ่นเหลียง ไม่มีที่เหลือเผื่อใครอีก แต่เธอดูเฉินถิงเซียวสิ เธอสามารถมองออกได้ไหมว่าในดวงตาและในดวงใจเขามีแต่ฉัน”
เสิ่นเหลียงถูกมู่น่อนน่อนถามคำถามนี้
เธอรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวดีกับมู่น่อนน่อน เธอรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวก็เป็นคนไม่เลว
เพียงแต่เธอรู้สึกไม่ได้จริงๆ ว่าเฉินถิงเซียวรู้สึกลึกซึ้งต่อมู่น่อนน่อนมากแค่ไหน
บทที่ 158 มองข้ามความสามารถในการต่อสู้ไม่ได้
มู่น่อนน่อนกระตุกมุมปากยิ้มอย่างแสนเย็นชา “คุณไม่กล้าตอบ เพราะใจคุณรู้ดี มันเป็นเพราะฉันเหมือนชิงหนิง คุณถึงได้มาใกล้ชิดฉัน”
เฉินเจียฉินเคยบอก ว่าชิงหนิงแซ่ซู
ที่เฉินถิงเซียวดีต่อเธอ ทำกับเธอเป็นคนพิเศษ แต่ไหนแต่ไรมันไม่ใช่เพราะเธอคือมู่น่อนน่อน แต่เป็นเพราะเธอเหมือนผู้หญิงที่ชื่อซูชิงหนิงคนนั้น
ตลอดเวลาเขามองเธอผ่านไปหาผู้หญิงอีกคน
เขาทำดีกับเธอ โดยการคิดถึงผู้หญิงคนอื่น ส่งมันต่อไปถึงตัวเธอ
ไม่มีอะไรทั้งนั้นที่เธอเป็นเจ้าของ ทั้งหมดนี้เป็นของผู้หญิงที่ชื่อซูชิงหนิงคนนั้น
แม้มู่น่อนน่อนจะรู้เรื่องทั้งหมดอยู่แก่ใจแล้วก็ตาม แต่ใจเธอก็ยังหวังจะได้รับคำตอบปฏิเสธจากเฉินถิงเซียว
เธอหวังจะได้ยินคำว่า “ไม่ใช่” จากปากของเขา
แต่ทว่าเฉินถิงเซียวไม่มี
เขาหันหลังกระแทกประตูออกไป ด้วยแผ่นหลังร้อนรน
มู่น่อนน่อนเอนศีรษะพิงเตียง ดวงตาโตมองเพดาน
แหงนเงยหน้า ให้แน่ใจว่าน้ำตาจะไม่ไหลลงมา
……
วันจันทร์
มู่น่อนน่อนพยุงไม้ค้ำยันไปทำงานที่บริษัทมู่ซื่อ
เพราะคุณปู่มู่กลับมาเป็นประธานบริหารใหญ่ ทั้งบริษัทจึงจัดโครงสร้างใหม่ ทุกคนต่างกำลังยุ่งมาก
มู่น่อนน่อนที่เท้าบาดเจ็บ ก็ยังถูกมอบหมายงาน แต่มันค่อนข้างง่าย
ช่วงเวลาที่วุ่นวายมักจะผ่านไปไวเสมอ จนเมื่อเสร็จงาน มันก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว
เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ที่อยู่แถวนั้นกำลังคุยกันว่าจะไปทานอาหารเย็นกันที่ไหนดี
พวกเขาเห็นมู่น่อนน่อนยังอยู่ ไม่รู้ว่าถามตามมารยาทหรือจากใจจริง “น่อนน่อน คุณจะไปด้วยกันไหม”
“เอาสิ” มู่น่อนน่อนบอกด้วยรอยยิ้ม
พวกเธอชะงักไป ดูเหมือนจะรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย
แต่สุดท้ายแล้วมู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ไปทานกับพวกเธอ เพราะเสิ่นเหลียงโทรมาหาเธอเสียก่อน เสิ่นเหลียงขอให้เธอช่วยเอาชุดเสื้อผ้าไปส่งให้
ทันทีที่มู่น่อนน่อนได้ยินก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ปกติ “ทางเธอเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“พูดแล้วเรื่องมันยาว ยังไงก็เถอะตอนนี้ฉันติดอยู่ในห้องแต่งตัว เปลือยกายอยู่ไม่มีเสื้อผ้า อาจจะมีใครเข้ามาเวลาไหนก็ได้”
น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงฟังดูสงบมาก แต่มู่น่อนน่อนใจเต้นแรง “ส่งที่อยู่มาให้ฉัน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่เสิ่นเหลียงเริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง มักจะบ่นกับมู่น่อนน่อนว่าคนพวกนั้นและพวกเด็กใหม่อย่างไรก็ไร้ยางอาย
เสิ่นเหลียงยังถึงขนาดบอกด้วยว่า “ออกจากวงการบันเทิงสำคัญอะไร ยังไงฉันนอนอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ อยู่แล้ว”
แต่ปรากฏว่าเช้าวันรุ่งขึ้นยังไม่ทันสว่าง เธอก็รีบลุกออกไปให้ทันประกาศเป็นทางการเสียแล้ว
เพราะว่าเธอชอบการแสดง
คนที่ไร้ความปรารถนาไร้การร้องขอ ถึงจะสามารถใช้ชีวิตผ่านไปได้อย่างเรียบง่าย
แต่ว่าถ้าคุณมีสิ่งที่ต้องการ มีคำขอที่มากเกินควร แน่นอนว่าจะต้องเดินไปบนเส้นทางที่ยากลำบาก
ก็เหมือนกับที่เธอตัดสินใจยอมรับเฉินถิงเซียว ตั้งแต่นั้นมา เธอก็เดินไปบนเส้นทางที่ไม่ได้ลิขิตให้ราบรื่น
ต่อให้จะเจ็บปวด จะล้มลุกคลุกคลาน จะถูกทิ้งขว้าง มันก็เป็นทางที่เธอเลือกเอง
ถ้าตอนนี้เธอตัดสินใจถอยออกมา จะสามารถกลับไปยังจุดเริ่มต้นได้หรือเปล่า ทุกอย่างจะเป็นดั่งเริ่มต้นไหม
มู่น่อนน่อนยังไม่ทันได้คิดให้ลึกไปกว่านั้น แท็กซี่ก็ตรงไปยังห้างสรรพสินค้าแล้ว จึงรีบซื้อเสื้อผ้าทั้งในและนอกให้กับเสิ่นเหลียงอย่างรวดเร็ว
……
สถานที่ที่เสิ่นเหลียงถ่ายโฆษณาคือสตูดิโอถ่ายทำที่สร้างขึ้นชั่วคราว แม้แต่ห้องแต่งตัวก็ถูกสร้างขึ้นเฉพาะหน้า ไม่มีความปลอดภัยแม้แต่น้อย
หลังจากที่มู่น่อนน่อนแอบเข้าไป ใช้เวลาหาอยู่สักพักถึงได้พบห้องแต่งตัว
เธอส่งเสียงกระซิบเรียก “เสี่ยวเหลียง?”
ในที่สุดก็พบเสิ่นเหลียงอยู่ในห้องแต่งตัวเล็กๆ ตรงมุมห้อง
“น่อนน่อน เธอมาแล้วเหรอ” น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงฟังดูแหบแห้งเล็กน้อย
ตอนที่มู่น่อนน่อนเพิ่งเข้ามา ก็รู้สึกได้ว่าห้องแต่งตัวหนาวมาก คนพวกนั้นแม้แต่เครื่องทำความร้อนก็ยังปิด นี่มันเป็นการเปลี่ยนจากกลั่นแกล้งธรรมดาเป็นการอยากให้เสิ่นเหลียงตายแล้วนะ!
มู่น่อนน่อนยื่นเสื้อผ้าส่งเข้าไป
ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงของเสิ่นเหลียงดังมา “แม่งเอ๊ย มือกูแข็งหมดแล้ว ใส่เสื้อผ้าไม่ได้เลย…”
“……..” ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าความกังวลของตัวเองมันไม่จำเป็นเลย
มู่น่อนน่อนจำต้องเข้าไปช่วยเธอแต่งตัว
เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้ว เสิ่นเหลียงก็พูดด้วยรอยยิ้มกริ่ม “ถ้าเธอเป็นผู้ชาย ฉันจะแต่งงานกับเธอเลย”
“คิดว่าสวยนักเหรอ” มู่น่อนน่อนส่งเสียงเยาะ “ถ้าฉันเป็นผู้ชาย จะหาผู้หญิงแบบฉันดีกว่า”
เสิ่นเหลียง “……..”
ทั้งคู่กำลังจะออกไป ก็พลันได้ยินเสียงสนทนาดังมาจากข้างนอก
“เสิ่นเหลียงอยู่ในห้องแต่งตัวห้องไหน”
“แต่ละคนไปหาสิ ในห้องมันเย็นมาก เธอไม่มีเสื้อผ้าจะไปซ่อนที่ไหนได้”
“วิธีการของผู้หญิงพวกนั้นแตกต่างไปทุกวันจริงๆ…”
“ฉันเคยดูหนังของเสิ่นเหลียง บนใบหน้าไม่เคยผ่านมีดหมอ รูปร่างก็ดี เดี๋ยวบางทีอาจจะสัมผัสไปสักทีสองที…”
เมื่อเสิ่นเหลียงได้ยินถึงตรงนี้ ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ยกเท้ากำลังจะพุ่งออกมา
มู่น่อนน่อนหยุดเธอแล้วกระซิบบอกว่า “รอพวกเขาเข้ามาพบก่อน หลังจากนั้นก็ตีพวกเขา แล้วส่งไปที่สถานีตำรวจ ถ้าเธอออกไปตอนนี้จะทำให้พวกเขากลัวแล้ววิ่งหนีไปนะ”
เช่นนั้นเสิ่นเหลียงถึงได้ถอยกลับไปอย่างหงุดหงิด
ไม่นานชายสองคนก็เข้ามาพบห้องแต่งตัวที่เสิ่นเหลียงกับมู่น่อนน่อนอยู่
ชายสองคนคนหนึ่งเดินนำอีกคนตามหลัง แถมคนที่อยู่ด้านหลังยังถือกล้องมาด้วย
เสิ่นเหลียงอดรนทนไม่ไหวอยู่นานแล้ว ตรงเข้าต่อยหน้าผู้ชายคนนั้นดังพลั่ก ชายที่อยู่ด้านหลังเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีจึงจะวิ่งหนี
มู่น่อนน่อนพยุงไม้ค้ำยันกระโดดขึ้นและฟาดเข้าหัวเขาอย่างแรง
เสิ่นเหลียงจัดการชายทั้งสองคนด้วยความรวดเร็ว มือหนึ่งยก เท้าหนึ่งเหยียบ “คนที่จ้างพวกแกมาถ่ายรูปเปลือยฉัน ต้องเป็นคนโง่แน่เลยใช่ไหม แค่ถ่ายรูปไม่ใช่หรือไง ต้องทำให้มันลำบากซับซ้อนขนาดนี้เลย”
ได้ยินเสิ่นเหลียงพูดอย่างนั้น มู่น่อนน่อนถึงได้รู้สึกเพิ่งหวาดกลัวกับเรื่องนี้
โชคดีที่คนที่พยายามทำร้ายเสิ่นเหลียงเป็นคนโง่
……
เสิ่นเหลียงกับมู่น่อนน่อนแจ้งตำรวจ แล้วไปสถานีตำรวจด้วยกันทันที
ตำรวจมองเสิ่นเหลียงกับมู่น่อนน่อนที่สภาพปกติดี แล้วไปมองชายสองคนที่ต้องการแอบถ่ายนั้นสภาพหน้าบวมจมูกเขียวไปหมด ด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างแปลกประหลาด
สาวน้อยสมัยนี้ มองข้ามความสามารถในการต่อสู้ไม่ได้จริงๆ
ทั้งสองคนยังลงบันทึกไม่เสร็จ เฉินถิงเซียวกับกู้จือหยั่นก็มา
กู้จือหยั่นเหมือนรีบวิ่งมา ผมยุ่งเหยิง บนร่างกายสวมเสื้อโค้ต เสื้อคอเต่าด้านในคอม้วนเข้าม้วนออกไม่เป็นระเบียบ
เขาวิ่งเข้ามาและวิ่งตรงไปหาเสิ่นเหลียง ถามอย่างตึงเครียดว่า “เสิ่นเสี่ยวเหลียง คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
เสิ่นเหลียงพูดแผ่วเบาในลำคอ “ไม่เป็นไร…แค่รู้สึกกลัวมาก…”
มู่น่อนน่อนตัวสั่น ถึงแม้ว่าเมื่อครู่จะได้ยินเสิ่นเหลียงพูดด้วยน้ำเสียงโทนนี้แล้ว แต่เธอยังคงรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
แต่กู้จือหยั่นกลับหลงเชื่อจริงๆ “ไม่ต้องกลัวๆ ผมจะช่วยฆ่าพวกเขาให้คุณเอง!”
ตำรวจส่งเสียงออกมาว่า “นี่คือสถานีตำรวจ”
เสิ่นเหลียงหันหน้ามองไปที่ตำรวจ สูดจมูกแล้วพูดเบาๆ “ฉันไม่ได้ตีพวกเขาจริงๆ นะคะ พวกเขาหกล้มกันไปเอง”
นักแสดงเจ้าบทบาทโกหกตาใส ต้องยกให้เสิ่นเหลียง
“ใช่ค่ะ พวกเราสองคนเป็นผู้หญิง เป็นไปได้ยังไงที่จะตีพวกเขาแบบนั้น อีกอย่างเท้าของฉันก็ยังเป็นแบบนี้ด้วย…” มู่น่อนน่อนพูดหน้าตาจริงจัง ไม่อยากเชื่อว่าตำรวจจะเชื่อจริงๆ
บทที่ 157 เพราะฉันเหมือนชิงหนิง
เฉินเจียฉินเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของมู่น่อนน่อนอย่างระมัดระวัง
พบว่าสีหน้ามู่น่อนน่อนเป็นปกติ ถึงได้พูดต่อไป “พี่ชิงหนิงเป็นช่างภาพครับ มีครั้งหนึ่งเธอไปถ่ายภาพหิมะ แล้วประสบเหตุหิมะถล่ม ทีมค้นหาและกู้ภัยหาเธอไม่พบ…”
พูดถึงตอนท้าย น้ำเสียงของเฉินเจียฉินก็เบาลง
มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง เวลานี้ไม่รู้จะพูดอะไร
“เรื่องเกิดขึ้นเมื่อไร” มู่น่อนน่อนเงยหน้าถามเขา
เฉินเจียฉินพูดว่า “ห้าปีก่อนครับ”
“พี่ชายคุณกับเธอ…”
เฉินเจียฉินเม้มริมฝีปาก ขอบตาดูค่อนข้างเศร้า “เธอเป็นคู่หมั้นของพี่ชายผมครับ”
มู่น่อนน่อนอ้าปาก เกินความเงียบขึ้นฉับพลัน
เธอก้มลงมองข้อความที่ซือเฉิงหยู้ส่งให้เธอ แล้วขยับนิ้วตอบกลับไปหนึ่งประโยค “ได้ ฉันจะเป็นคนบอกเฉินถิงเซียวเองค่ะ”
ประสบเหตุหิมะถล่ม เมื่อทีมค้นหาและกู้ภัยหาคนไม่พบ ส่วนใหญ่ระดับนั้นตายหมด ถูกฝังในหิมะ หาก็หาไม่พบ
ในใจมู่น่อนน่อนค่อนข้างรู้สึกจุก เรื่องราวต่างๆ ก่อนหน้านี้มลายหายไปหมดสิ้น
ก่อนหน้านั้นนานมาแล้ว มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ลางๆ ว่าเฉินถิงเซียวเหมือนจะไม่ค่อยพอใจที่เธอติดต่อกับซือเฉิงหยู้มากเกินไป
มาถึงตอนนี้ คาดว่านี่คงเป็นเหตุผล
มู่น่อนน่อนถามเฉินเจียฉินอีกครั้ง “ฉันกับเธอเหมือนกันมากจริงๆ เหรอ”
เฉินเจียฉินเห็นมู่น่อนน่อนสีหน้าปกติ จึงพูดความจริง “ผมรู้สึกว่าเหมือนมากครับ”
มู่น่อนน่อนจมลงในความเงียบงัน ไม่พูดอะไรอีก
……
ก่อนมื้อเที่ยง เฉินถึงเซียวก็กลับมา
มื้อเที่ยงทำโดยบอดี้การ์ด ตอนนี้มู่น่อนน่อนได้รับบาดเจ็บ โดยธรรมชาติแล้วจึงไม่อาจทำอาหารได้
เฉินถิงเซียวทานไปยังไม่มากก็วางตะเกียบลง มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ทานมากนัก มีเพียงเฉินเจียฉินที่กระตือรือร้นในการทาน
เฉินเจียฉินทานเสร็จอย่างรวดเร็วแล้วก็ออกไป
เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนยังนั่งเผชิญหน้ากัน จู่ๆ เฉินถิงเซียวก็พูดออกมาว่า “คุณอยากจะพูดอะไร”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ เธอยังไม่ได้พูดอะไร เขาก็รู้แล้วเหรอว่าเธอมีเรื่องจะพูดกับเขา
เฉินถิงเซียวอ่านความคิดของเธอออกจากสีหน้าของเธอ “มันเขียนอยู่บนใบหน้าของคุณ คุณมีอะไรอยากจะพูดกับผมก็พูด คุณมีคำถามอยากถามผมก็ถาม”
“……..” มู่น่อนน่อนสัมผัสใบหน้าตัวเอง เห็นได้ชัดขนาดนั้นเลยเหรอ
มู่น่อนน่อนกระแอมไอ “ฉันอยากถามอะไรก็ได้หมดเลยเหรอ”
เฉินถิงเซียวขยับเล็กน้อย ตอนที่เขาออกไปเมื่อเช้านี้ เมื่อตอนที่ผู้หญิงคนนี้คุยกับเขา ยังจะกัดเขาอยู่เลย ตอนนี้มามีท่าทางอยากจะคุยกับเขา ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปอีก
เฉินถิงเซียวกระตุกมุมปาก มองเธออย่างเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “ในเมื่อในใจคุณรู้ว่าถามไม่ได้ งั้นก็ไม่ต้องถาม”
“ใครให้คุณสอบสวนฉัน ฉันจะถามคำถามคุณแล้วทำไม” ดวงตาสดใสจ้องตรงไปที่เขา “คุณก็รู้สึกว่าฉันเหมือนชิงหนิง ใช่ไหม”
บนใบหน้าเฉินถิงเซียวที่ตอนแรกสบายๆ หายไปฉับพลัน สีหน้าเปลี่ยนเป็นมืดมนลงเล็กน้อย “เสี่ยวฉินเป็นคนบอกคุณเหรอ”
“ถ้าเป็นเรื่องที่ฉันต้องรู้ให้ได้ ต่อให้คนอื่นไม่บอกฉัน ฉันก็สามารถรู้จนได้!”
เมื่อเฉินถิงเซียวได้ฟัง ก็ได้รับการยืนยันแน่นอนแล้วว่าเฉินเจียฉินเป็นคนบอกเธอเรื่องนี้ เขาหรี่ตาเล็กน้อยและพูดว่า “เขาบอกคุณว่าคุณเหมือนชิงหนิงมากงั้นเหรอ”
ชิงหนิงเหรอ
เป็นการเรียกที่สนิทสนมจริงๆ
แต่ไหนแต่ไรมาเฉินถิงเซียวก็เอาแต่เรียกเธอว่า “มู่น่อนน่อน” ตอนที่อยากให้เธอไปงานเลี้ยงอาหารค่ำ ก็มาเรียกว่า “ภรรยา”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตัวเองไร้สาระมาก ไม่อยากเชื่อว่าจะมาหึงผู้หญิงที่เป็นไปได้สูงว่าอาจจะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก หน้าตึงขึ้นมาฉับพลันและไม่พูดอะไร
ทันใดนั้นเฉินถิงเซียวก็พูดขึ้น “ผมรู้สึกว่าพวกคุณไม่เหมือนกันสักนิด”
เขาทิ้งคำพูดนี้ไว้ แล้วก็ลุกจากไป
……
เพราะพูดถึงเรื่องชิงหนิง มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวเดิมทีก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ผ่อนคลายอยู่แล้ว และมันก็ยิ่งแข็งทื่อถึงทางตันหนักขึ้น
เวลาที่อยู่กับเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าทุกส่วนในร่างกายผิดที่ผิดทางไปหมด ตอนกลางคืน เธอจึงกอดหมอนไปที่ห้องเดิมโดยไม่ลังเล
เธอเพิ่งนอนลงบนเตียง เฉินถิงเซียวก็เข้ามาหา
เขายืนอยู่ที่ประตู กอดอกพลางมองเธออย่างไร้อารมณ์ “มู่น่อนน่อน คุณจะแยกห้องนอนกับผมเหรอ”
หน้าตาไร้อารมณ์ของเฉินถิงเซียวทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกเหมือนกำลังทำผิด
เธอลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะหาข้ออ้างพูดออกมา “ฉันบาดเจ็บที่เท้า กลัวว่าตอนกลางคืนคุณจะพลาดมาโดนเท้าฉัน”
เมื่อเฉินถิงเซียวได้ยิน ก็กระตุกมุมปากยิ้มเยาะเย้ย “เมื่อคืนทำจนคุณหมดสติในห้องน้ำ ผมยังไม่ได้แตะโดนเท้าคุณเลย แล้วนี่นอนหลับไปแล้วจะโดนได้ยังไง”
“……..” มู่น่อนน่อนหน้าแดง อ้าปากค้าง แต่กลับหาสิ่งที่อยากจะพูดไม่ได้
เธอขว้างหมอนเล็กข้างตัวเข้าใส่เฉินถิงเซียว “คุณออกไปเลย!”
เฉินถิงเซียวหลบอย่างคล่องแคล่ว โทนเสียงผ่อนคลายเล็กน้อย “เลิกวุ่นวาย กลับไปนอนที่ห้อง”
เห็นได้ชัดว่าตัวเขาวางสีหน้าทั้งวัน ถึงแม้ปกติเขาจะไม่มีสีหน้าอยู่แล้ว แต่วันนี้มันต่างกันออกไป พูดน้อยกว่า สีหน้าเย็นชากว่า บางครั้งยังนิ่งเฉยราวกับเทพเจ้า
ตอนที่เขากลับมายังดีๆ อยู่เลย ตั้งแต่ที่เธอพูดกับเขาเรื่องชิงหนิง เขาก็ผิดปกติไป
คิดจริงๆ เหรอว่าเธอมองไม่ออก
เขาสามารถเอาตัวเธอมา และตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเธอฟ้าจรดเหวตั้งแต่เล็กจนโต แต่เธอแค่ถามเขาเรื่องคู่หมั้นของลูกพี่ลูกน้องเขา เขาก็แปลกไปขนาดนี้
เขาทำตัวแปลกเพราะผู้หญิงคนอื่น เธอไม่สามารถแสดงความไม่พอใจได้เลยเหรอ
ในสายตาของเขามันเป็นการวุ่นวายงั้นเหรอ
เขาทำอะไรก็ถูกไปหมด เธอแสดงความไม่พอใจของตัวเองกลับเป็นการวุ่นวายงั้นเหรอ
วุ่นวายแม่งสิ!
มู่น่อนน่อนยิ่งคิดยิ่งโกรธ “ไม่กลับ!”
ยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงวันนั้น ก็ยังเป็นปมในใจของมู่น่อนน่อน
“วันนั้นที่งานเลี้ยงอาหารค่ำ พี่ใหญ่แค่จับมือฉัน ทำไมคุณต้องมีปฏิกิริยาใหญ่โตขนาดนั้น คุณกำลังสงสัยอะไร! คุณโกรธเรื่องอะไร ต่อให้คุณโกรธ คุณก็ไปตีกับพี่ชายของคุณสิ คุณมากระชากลากถูกฉันแล้วมันได้อะไร!”
มู่น่อนน่อนยิ่งคิดยิ่งรู้สึกคับข้องใจมาก น้ำเสียงแผดสูงการแสดงออกค่อนข้างก้าวร้าว
มีคนน้อยมากที่สามารถส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเฉินถิงเซียว และปฏิกิริยาแปลกๆ ที่อธิบายไม่ได้ของเขา ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับชิงหนิง
“ที่คุณมีปฏิกิริยาใหญ่โต มันเป็นเพราะคุณรู้สึกอยู่ก่อนแล้วว่าฉันเหมือนชิงหนิงใช่ไหม และซือเฉิงหยู้ก็รู้สึกว่าฉันเหมือนชิงหนิง ดังนั้นหลังจากที่ดื่มจนเมาแล้วจึงสับสนจนจับมือของฉันไม่ปล่อย ซึ่งประเด็นนี้คุณก็รู้ คุณถึงได้โกรธ!”
“เฉินถิงเซียว คุณถามตัวเองเถอะ คุณโกรธซือเฉิงหยู้ที่จับมือฉัน หรือว่าโกรธที่ซือเฉิงหยู้จับมือชิงหนิงกันแน่!”
“คุณบอกว่าคุณรู้สึกว่าฉันไม่เหมือนกับชิงหนิง มันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ คุณโกหกฉัน!”
มู่น่อนน่อนพูดจบในอึดใจเดียว ค่อนข้างใส่อารมณ์ ทั้งร่างหอบตัวโยนเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ตรงปากประตูด้วยใบหน้าราวกับจมน้ำ เป็นเวลานานกว่าจะส่งเสียงพูดออกมา “คุณคิดอย่างนั้นเหรอ”
“ฉันคิดยังไงไม่สำคัญ ที่สำคัญคือความคิดในใจคุณต่างหาก!” มู่น่อนน่อนยิ้มอย่างขมขื่น “ตอนแรกที่ฉันแต่งเข้าตระกูลเฉิน ถึงแม้คุณจะดูเหมือนไม่ชอบฉัน แต่บางครั้งกลับเย้าแหย่ฉัน มันเป็นเพราะฉันเหมือนชิงหนิงสินะ”
คราวนี้ ใบหน้ามืดหม่นของเฉินถิงเซียวค่อยๆ แตกออก เผยร่องรอยร้อนรน “มู่น่อนน่อน คุณหยุดพูดไร้สาระได้แล้ว!”
บทที่ 156 คุณจะจบไม่จบ
ตอนนี้เฉินถิงเซียวเชี่ยวชาญในการถอดเสื้อผ้าของเธอมาก ทั้งยังชำนาญในการหาจุดอ่อนไหวของเธอ
มู่น่อนน่อนไม่ต้องการทำเรื่องนี้กับเฉินถิงเซียวในสถานการณ์แบบนี้ แต่ร่างกายกลับอ่อนแรงไปแล้ว ในที่สุดก็ปล่อยให้เฉินถิงเซียวบรรลุผล
ตอนที่เขาทำเรื่องแบบนี้ มันเหมือนกับว่าเขาทำเรื่องทั่วๆ ไป ไม่อ่อนโยนเลยสักนิด แต่ก็กลับไม่ได้สัมผัสถูกข้อเท้าที่บวมของเธอราวกับให้ความสนใจเป็นพิเศษ
การอาบน้ำนี้ใช้เวลาค่อนข้างนาน
ตอนที่ถูกเฉินถิงเซียวอุ้มออกมาในผ้าเช็ดตัว มู่น่อนน่อนไม่สามารถขยับยกเปลือกตาได้ แค่หลับไปเฉยๆ
……
เช้าวันรุ่งขึ้น
มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงเดินเบาๆ ในห้อง
ถึงแม้ว่าคนที่เดินไปเดินมาจะวางเท้าแผ่วเบาอย่างระมัดระวังแล้ว แต่ในห้องเงียบมาก มู่น่อนน่อนจึงยังคงได้ยิน
เธอลืมตาขึ้น ก็เห็นเฉินถิงเซียวเดินออกมาจากห้องแต่งตัวใจชุดสูท
ทันทีที่เขาออกมาสายตาก็มองไปบนเตียง พอดีกับที่มู่น่อนน่อนลืมดวงตาพร่ามัวขึ้น
เฉินถิงเซียวนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้ามา “ตื่นแล้วเหรอ”
มู่น่อนน่อนส่งเสียงเยาะ “ไม่มีตามองเองเหรอ”
เมื่อพูดจบก็พลิกตัวหันหลังให้เฉินถิงเซียว
เมื่อคืนตอนที่กลับมา ก้นบึ้งหัวใจเธอไม่มีความสุขเลย ปรากฏว่าเฉินถิงเซียวยัง…
ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกโกรธ
เฉินถิงเซียวมองด้านหลังศีรษะของมู่น่อนน่อน ด้วยสีหน้าที่คาดเดาไม่ได้
สุดท้าย เขาเพียงเอ่ยปากออกมาบางเบาว่า “ผมมีเรื่องต้องออกไปก่อน แต่เดี๋ยวไม่นานจะกลับมา”
มู่น่อนน่อนตอบอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “อืม”
เฉินถิงเซียวไม่พอใจกับท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเธอ ขมวดคิ้วบางๆ
ฝ่ามือกระชับกำเล็กน้อย แต่ไม่นานก็คลายออก ยืดตัวเข้าไปดึงไหล่ของเธอ แล้วจูบตามอำเภอใจ ในใจถึงได้ค่อยรู้สึกดีขึ้นบ้าง
“เฉินถิงเซียวคุณจะจบไม่จบ มีเรื่องก็รีบไปสิ!” มู่น่อนน่อนในที่สุดก็ทนไม่ได้ระเบิดออกมา
เธอพลิกตัวขึ้นมานั่ง ตะโกนใส่เฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนเพิ่งตื่น ผมจึงยุ่งเหยิง ผมหน้าม้าตรงหน้าผากยิ่งดูไม่เป็นระเบียบ และใบหน้าที่เปลือยเปล่า จึงดูค่อนข้างเด็ก
เฉินถิงเซียวไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับกันยังรู้สึกว่าท่าทางเธอแบบนี้ค่อนข้างน่ารัก จนกระตุกยิ้มมุมปาก
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าท่าทางของเขาเหมือนโรคจิต
สำหรับเฉินถิงเซียวคนที่ไร้ยางอายขนาดนี้ อย่างไรเธอก็ไม่สามารถไร้ยางอายไปกว่าเขาได้
เมื่อครู่เธอแค่ขัดขืนเข้าไม่ได้ เธอไม่สนเรื่องของเขาหรอก!
มู่น่อนน่อนลงจากเตียง ลืมไปว่าตัวเองเท้าแพลง ทันทีที่เหยียบเท้าลง ก็เจ็บปวดจนเหงื่อเย็นออกหน้าผาก
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วเข้ามาช่วยเธอ “คุณเป็นควายเหรอ”
“ฉันเป็นควายหรือไม่ ในฐานะสามีของฉันคุณไม่รู้หรือไง” มู่น่อนน่อนโต้กลับ
ถึงแม้เธอจะโง่ไปหน่อยด้วยการเหยียบเท้าข้างที่เจ็บ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมรับคำด่าโดยไม่หือไม่อือ
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว และก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่เขาไม่ได้ไปทันที กลับกันยังยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำมองมู่น่อนน่อนอาบน้ำ ราวกับกลัวว่าเธอจะเหยียบเท้าข้างที่แพลงอีก
มู่น่อนน่อนอาบน้ำออกมา ก็เห็นเฉินถิงเซียวหยิบเอาชุดกีฬาชุดหนึ่งโยนไปบนเตียง
“อะไร”
“ใส่นี่ซะ”
“คุณสนใจว่าฉันใส่อะไร!” มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้จู้จี้ เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนบอกว่ามีเรื่องต้องออกไปข้างนอก ตอนนี้ก็ไม่ได้ออก แถมยังไปเอาเสื้อผ้าให้เธออีก
เฉินถิงเซียวไม่พูดไม่จา เพียงแต่จับจ้องมองลึกไปยังเธอ รูม่านตาลึกลับราวกับหมึกดำมืด มองดูมู่น่อนน่อนที่ออกจะดื้อรั้น
เมื่อคิดแบบนี้ เธอก็รู้สึกว่าเมื่อเช้านี้ตัวเองค่อนข้างอวดดีต่อหน้าเฉินถิงเซียว ตั้งแง่ใส่เขาตลอดเวลา แต่เขากลับไม่โกรธ
หรือว่าเป็นเพราะเรื่องเมื่อวาน ใจเขาจึงรู้สึกผิด ดังนั้นถึงได้ตามใจเธองั้นเหรอ
ขณะที่เธอจมอยู่กับความคิด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงประตูเปิด
มู่น่อนน่อนเงยหน้า พอดีกับที่เห็นหลังเฉินถิงเซียวหายออกนอกประตูไป
ในที่สุดก็ไปแล้ว…
……
สุดท้ายมู่น่อนน่อนก็ยังใส่ชุดกีฬาที่เฉินถิงเซียวเอาออกมาให้เธอ
ชุดกีฬาที่แต่เดิมหลวมอยู่แล้ว ทั้งยังเป็นฤดูหนาว เมื่อสวมใส่ลงไปบนร่างกายจึงดูบวมมาก ไม่สวยเลยสักนิด แต่เธอก็ทำได้แค่ต้องใส่มัน
เมื่อลงมาชั้นล่าง ห้องโถงก็ว่างเปล่า
เพียงแต่ไม่นาน ไม่รู้ว่าบอดี้การ์ดคนหนึ่งโผล่มาจากไหน “คุณหญิงน้อย คุณอยากทานอะไรครับ”
“อะไรก็ได้ค่ะ” มู่น่อนน่อนตะลึงงันไปครู่หนึ่ง สไตล์การโผล่มาเหมือนผีนี้คล้ายกลับเฉินถิงเซียวจริงๆ
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ที่โต๊ะในครัว ในขณะที่ทานก็โทรหาเสิ่นเหลียงไปด้วย
“เมื่อคืนนี้เธอปล่อยให้เฉินถิงเซียวพาฉันไปทั้งแบบนั้นเหรอ ไหนบอกว่าจะเป็นพี่น้องกันไปตลอดชีวิตไง”
“เป็นพี่น้องกันไปตลอดชีวิต แต่ก็ต้องรับประกันชีวิตเล็กๆ ก่อนถึงจะได้! ตอนนี้เฉินถิงเซียวเป็นเจ้านายใหญ่ของฉัน ถ้าฉันกล้าขัดคำสั่งเขา เขาจะไม่บีบฉันให้ตายเลยเหรอ”
“……..” เธอกับเสิ่นเหลียงอาจเป็นพี่น้องดอกไม้พลาสติก
ทั้งสองคนคุยกันสักพักแล้ววางสายไป
ในวีแชทมีการแจ้งเตือนข้อความใหม่
มู่น่อนน่อนกดเปิดดูทันที พบว่ามีใครบางคนเพิ่มเพื่อนเธอมา
เหมือนว่ารูปประจำตัวจะเป็นรูปทะเล ชื่อเล่นเป็นคำง่ายๆ ว่า “หยู้”
นิ้วมือมู่น่อนน่อนหยุดนิ่ง ลังเลว่าจะเพิกเฉยหรือจะเพิ่มเพื่อน
เธอเหมือนจะคาดเดาได้ว่าเป็นใคร
เรื่องเมื่อคืน ทำให้มู่น่อนน่อนอยากแยกตัวออกจากผู้ชายสองคนนี้ซือเฉิงหยู้กับเฉินถิงเซียว
ลังเลไปสักพัก แต่มู่น่อนน่อนก็ยังเพิ่มเขา
ทันทีที่เพิ่มเพื่อน ไม่นาน “หยู้” ก็ส่งข้อความมาให้เธอ
[น่อนน่อน ผมคือซือเฉิงหยู้]
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบกลับเขา แต่ซือเฉิงหยู้ก็ยังคงส่งข้อความถึงเธอต่อ
[เรื่องเมื่อคืน ผมต้องขอโทษมากๆ ครับ มันจะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว]
[คุณกับถิงเซียวโอเคใช่ไหมครับ]
เขาส่งข้อความเข้ามาสามครั้ง มู่น่อนน่อนไม่ได้มีการตอบกลับไปเลย
ที่จริงเธอไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไรดี
ผ่านไปสักพัก มู่น่อนน่อนตอบกลับไปว่า “อืม”
เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมเฉินถิงเซียวถึงชอบใช้คำว่า “อืม” ในการตอบคำถาม เพราะมันทั้งง่ายและสะดวก นอกจากนี้ยังสามารถหลีกเลี่ยงความลำบากใจที่ไม่จำเป็น
ซือเฉิงหยู้ [งั้นก็ดีแล้ว]
[ผมอยากหาเวลาว่างเชิญคุณและถิงเซียวไปทานอาหารครับ]
ครั้งนี้มู่น่อนน่อนบอกโดยไม่คิดว่า [เรื่องนี้คุณถามเฉินถิงเซียวเถอะ]
มู่น่อนน่อนจ้องโทรศัพท์มือถืออย่างเสียสมาธิเล็กน้อย
“พี่น่อนน่อน”
เสียงของเฉินเจียฉินดังขึ้นที่ด้านหลัง
มู่น่อนน่อนหันกลับไปมองเขา “ทานข้าวแล้วเหรอ”
เฉินเจียเฉินหาวและนั่งลงตรงข้ามกับเธอ “ทานแล้วครับ”
เขาลงมาทานอะไรตั้งแต่เช้าแล้ว หลังจากนั้นก็กลับไปนอนและหลับต่อ
“คุณยังไม่ได้ตอบคำถามเมื่อวานของฉันเลย” ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนก็เอ่ยปาก เฉินเจียฉินไร้ปฏิกิริยาตอบสนองไปครู่หนึ่ง
“คำถามอะไรครับ”
มู่น่อนน่อนพูดน้ำเสียงบางเบา “เกี่ยวกับเรื่องของชิงหนิง”
คำถามนี้ เหมาะแล้วที่จะถามเฉินเจียฉิน
เฉินเจียฉินชะงักไปครู่หนึ่ง ควบคุมสีหน้าบนใบหน้าเล็ก “เธอเป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวเราครับ มาเล่นที่บ้านเราเป็นประจำ เป็นคนดีมาก”
มู่น่อนน่อนคาดเดาได้แล้วว่า “ชิงหนิง” คนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขา ได้ยินเฉินเจียฉินพูดแบบนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ
เธอถามคำถามหนึ่งที่ตัวเองอยากรู้มากที่สุด “เฉินถิงเซียวก็รู้จักเธอเหรอ”
“ครับ ญาติผู้พี่ก็รู้จักเธอ ตอนนั้นญาติผู้พี่กับพี่ชายผมแล้วก็เธอ เป็นเพื่อนสนิทสามคนที่รักกัน ทุกคนล้วนดีต่อเธอ…”
เมื่อเฉินเจียฉินพูดจบ ถึงได้พบว่าตัวเองเหมือนจะพูดเรื่องที่ไม่ควรออกไป
บทที่ 155 ไม่ใช่แฟน เป็นภรรยา
ตอนนี้ใครยังจะชอบบอสประเภทที่เจ้ากี้เจ้าการและไร้เหตุผลอีก ชอบแบบที่สงบเยือกเย็นและควบคุมอารมณ์ได้ดีต่างหาก!
เสิ่นเหลียงเดินเป็นแมวไปยังมุมห้องมองเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อน
ผ่านไปไม่กี่วินาที เธอถึงเพิ่งได้สติกลับมาว่านี่คือบ้านของเธอ!
นี่คือบ้านของเธอ ทำไมเธอต้องมาทำตัวลับๆ ล่อๆ เหมือนโจร!
คิดแบบนี้แล้วเธอจึงกระแอมไอแล้วเดินเข้าไป
เฉินถิงเซียวยืนตรงหน้ามู่น่อนน่อนแล้วเรียกชื่อเธอ
“มู่น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนเมาแค่เล็กน้อยเท่านั้น เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจึงตื่นตัวฉับพลัน สมองตื่นมากกว่าครึ่ง
เฉินถิงเซียวยืนสูงตระหง่านอยู่ตรงหน้าเธอ ยามต้องแสงไฟ ใบหน้าหล่อดูค่อนข้างอึมครึม
มู่น่อนน่อนคว้าหมอนมากอดไว้ในอ้อมแขน จึงได้เพิ่งรู้สึกว่าปลอดภัยขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณมาทำไม” มู่น่อนน่อนเอียงศีรษะ ถามเขาด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“พาคุณไปหาหมอ”
เฉินถิงเซียวพูดอย่างนั้นแล้วสายตาก็ลดต่ำตกลงไปยังข้อเท้าที่บวมเหมือนหมั่นโถวก้อนใหญ่ไปแล้ว
มู่น่อนน่อนมองตามสายตาของเขา เมื่อครู่ที่คุยดื่มกับเสิ่นเหลียงยังไม่ได้สังเกต เมื่อมาดูตอนนี้แล้วมันบวมจนน่ากลัวนิดหน่อยจริงๆ
“ฉันมีมือมีเท้าของตัวเอง ฉันจะไปเอง” มู่น่อนน่อนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณเป็นผู้ชายตัวใหญ่ การวิ่งมาบ้านของผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานกลางดึกคืออะไร นอกจากนี้เสี่ยวเหลียงก็ยังเป็นดาราด้วย!”
เฉินถิงเซียวตอบด้วยเสียงบางเบา “อืม”
ปฏิกิริยาที่อ่อนโยนมากของเขา ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกแปลกๆ
นาทีต่อมา ทันใดนั้นเฉินถิงเซียวก็โน้มตัวลงไปอุ้มเธอขึ้น
“คุณพูดถูก พวกเราควรไปเดี๋ยวนี้” เฉินถิงเซียวพูดไปพลางอุ้มเธอเดินไปที่ประตู
ตอนที่ผ่านเสิ่นเหลียง เฉินถิงเซียวพูดประโยคหนึ่งด้วยความสุภาพ “รบกวนแล้ว”
เสิ่นเหลียงพยักหน้าอย่างตะลึงงัน “ไม่ ไม่เป็นไรค่ะ…”
“ฉันไม่กลับ! ฉันจะไปหาหมอเอง คุณวางฉันลงนะ!”
มู่น่อนน่อนไม่สามารถทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วตามเฉินถิงเซียวกลับไปแบบนี้ได้
เฉินถิงเซียวไม่สนใจคำพูดของเธอ ไม่มีแผนจะวางเธอลงแต่แรก
เสิ่นเหลียงเดินไปที่กรอบประตู มองดูมู่น่อนน่อนทั้งดิ้นทั้งด่าเฉินถิงเซียว ส่วนเฉินถิงเซียวกลับอุ้มเธอเข้าลิฟต์ไปนิ่งๆ มั่นคงดั่งหินผา
เสิ่นเหลียงจับกรอบประตูพลางพึมพำ “บอสจอมเผด็จการทรงพลังแข็งแกร่งมากๆ!”
……
ในรถ
เฉินถิงเซียวางมู่น่อนน่อนลงตรงที่นั่งข้างคนขับ คาดเข็มขัดนิรภัยให้ ก่อนจะวนไปเปิดประตูรถอีกฝั่ง
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียง “คลิก” ล็อกความปลอดภัย
เธอเหลือบมองเฉินถิงเซียว “ล็อกประตูทำไม คุณคิดว่าฉันจะกระโดดลงจากรถเพื่อทะเลาะกับคุณหรือไง”
“ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น” เฉินถิงเซียวมองไปข้างนอกอย่างไร้อารมณ์
มู่น่อนน่อนส่งเสียงเยาะเบาๆ จากนั้นก็ได้ยินเฉินถิงเซียวพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาบางเบา “แต่ถ้าในกรณีที่สมองคุณบวมน้ำแล้วคิดอยากกระโดดลงไปก็อีกเรื่อง”
มู่น่อนน่อน “………”
เธอรู้สึกว่าคนอย่างเฉินถิงเซียว ยังสามารถมีเพื่อนได้ก็ปาฏิหาริย์แล้ว
……
ถึงโรงพยาบาล เฉินถิงเซียวหยิบเสื้อคลุมด้านหลังมาห่อตัวให้มู่น่อนน่อน แล้วอุ้มเธอเข้าไปหาหมอ
มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นเสื้อที่เฉินถิงเซียวห่อบนตัวเธอ มันเป็นเสื้อคลุมของเธอเอง
ตอนที่เธอไปงานเลี้ยง แค่เอาผ้าคลุมไหล่ไปผืนเดียว
ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าก่อนหน้านี้ที่เฉินถิงเซียวไปเข้าร่วมงานเลี้ยง เป็นการเอาเสื้อมาให้เธองั้นเหรอ
เวลานี้ดึกแล้ว คนในโรงพยาบาลจึงมีไม่เยอะ
แต่เมื่อเฉินถิงเซียวอุ้มมู่น่อนน่อนเข้ามา ยังคงได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อย
มู่น่อนน่อนหน้าบาง กระซิบกับเฉินถิงเซียวว่า “คุณวางฉันลง ฉันเดินเองได้”
“ได้”
เฉินถิงเซียวตอบรับง่ายๆ จนใจมู่น่อนน่อนค่อนข้างมีข้อข้องใจ
เฉินถิงเซียววางลงพื้น ปล่อยมือแล้วกอดอกมองเธอ “ไปสิ”
เท้าของมู่น่อนน่อนในตอนนี้เจ็บมากเมื่อขยับ เวลานี้ไม่สามารถลงพื้นได้เลย
คิดว่าเธอเป็นแบบนี้แล้วจะไม่มีทางเดินไปได้งั้นเหรอ
มู่น่อนน่อนเขย่งขา เกาะผนังพยุงช่วยกระโดดไปที่ห้องตรวจรักษา
เวลานี้เธอค่อนข้างดีใจที่ตัวเองมีรูปร่างดี
สีหน้าของเฉินถิงเซียวคล้ำลงฉับพลัน แถวนั้นมีหญิงชราเดินผ่านมา
หญิงชรามองไปทางเฉินถิงเซียว แล้วพูดกับคนข้างๆ ว่า “ผู้ชายสมัยนี้ไม่มีน้ำใจกับแฟนเลย สาวน้อยคนนั้นเท้าบวมมาก ดูแล้วน่าจะเจ็บ…”
เฉินถิงเซียวยิ่งหน้าคล้ำ แต่กลับส่งเสียงออกมาแก้ต่างว่า “ไม่ใช่แฟนครับ เป็นภรรยา”
“แบบนี้ก็ยิ่งน่าผิดหวังสิ ผู้ชายแบบนี้ หย่าไปเถอะ”
หญิงชราใส่อารมณ์มาก เสียงก็ดังลั่น แม้แต่มู่น่อนน่อนที่กระโดดไปข้างหน้าแล้วก็ยังได้ยิน
เธอส่งเสียงหัวเราะ “พรืด” ออกมา
หญิงชรายิ้มให้มู่น่อนน่อนแล้วพูดว่า “แม่สาวน้อย ฉันมีหลานชายเป็นผู้บริการบริษัทเสิ้งติ่ง หน้าที่การงานดี หน้าตาก็ดี คุณหย่ากับสามีคุณเลย แล้วมาพิจารณาหลานของฉัน!”
“………” มู่น่อนน่อนยิ้มไม่ออก
เฉินถิงเซียวหน้าบึ้งเดินหน้าไป “พวกเราจะไม่มีทางหย่ากัน!”
สีหน้าของเขาอึมครึมหนัก จนหญิงชราเหมือนจะหวาดกลัว และไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่มองมู่น่อนน่อนด้วยสายตาเป็นห่วงก่อนจะหันตัวเดินไป
มู่น่อนน่อนยิ้มขอโทษหญิงชรา
ความคิดของหญิงชราคนนี้แปลกและไม่หัวโบราณเลย คนชราทั่วไปล้วนไม่แนะนำให้แยกทางกัน
“มองอะไรนักหนา! เดินไปสิ!” เฉินถิงเซียวบอกอย่างหงุดหงิด
……
มู่น่อนน่อนมองเท้าแล้วออกมา มันเป็นเวลาตีสองแล้ว
ฤดูหนาวในเมืองหู้หยางนั้นหนาวมาก อุณหภูมิลบสิบองศาในตอนกลางคืนเป็นเรื่องปกติ
ครั้งนี้เฉินถิงเซียวอุ้มเธอออกไป เธอก็ไม่ได้ขัดขืนอีก
ทั้งสองตรงกลับบ้าน
ตอนที่เฉินถิงเซียวอุ้มมู่น่อนน่อนขึ้นไปชั้นบน เฉินเจียฉินโผล่ออกมาตรงปากบันไดหรี่ตามองพร้อมกับปอยผมลอนหัวยุ่งเหยิง
ตอนที่เห็นว่าคนที่เฉินถิงเซียวอุ้มอยู่คือมู่น่อนน่อน เขาก็เบิกตากว้างทันที “พี่น่อนน่อน คุณกลับมาแล้ว”
“ทำไมคุณยังไม่นอน”
เฉินเจียฉินเกาหัวตัวเองและพูดว่า “ผมลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำครับ…”
ดวงตายิบหยีเห็นได้ชัดว่าง่วงนอน หน้าตาท่าทางบ่งบอกชัดว่าไม่ได้ตื่นขึ้นมากลางดึก แต่ชัดเจนว่ายังไม่ได้นอน
สองคนกลับไปที่ห้อง เฉินถิงเซียวเข้าไปเปิดน้ำในห้องน้ำ
มู่น่อนน่อนนอนบนเตียง มีอาการปวดศีรษะเล็กน้อย
การไปงานเลี้ยงอาหารค่ำ ปรากฏว่ามีเรื่องราวรอบตัวเกิดขึ้นมากมาย
ผ่านไปไม่นาน เฉินถิงเซียวก็ออกมา “น้ำกำลังดีแล้ว ไปอาบน้ำ”
มู่น่อนน่อนกระโดดเข้าห้องน้ำ แต่เฉินถิงเซียวไม่ได้ออกไป
เธอหันหน้าไปพูดอย่างหงุดหงิด “คุณยังยืนอยู่ที่นี่ทำไม…” ทำอะไร!
สามคำสุดท้าย ถูกขัดจังหวะด้วยจูบที่ไม่คาดคิดของเฉินถิงเซียว
มือของเฉินถิงเซียวกระชับกอดรอบเอวเธอแน่นด้วยความแรง และจูบหนักหน่วงมาก
การถอดรองเท้าส้นสูงออก ทำให้ไม่มีข้อดีในส่วนสูง มู่น่อนน่อนถูกบังคับจนจำต้องเงยหน้ารับจูบของเขา
มู่น่อนน่อนถูกเขาผลักจนติดผนัง ด้านหนึ่งเป็นผนังเย็นเฉียบ ด้านหนึ่งเป็นหน้าอกร้อนรุ่ม ความรู้สึกแบบนี้ไม่ดีเลย
แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่ให้โอกาสเธอได้ต่อต้าน ตรงเข้าลูบคลำแล้วกระชากเสื้อผ้าของเธอออก
บทที่ 154 อย่าวางสาย ปล่อยให้เธอพูดต่อไป
มู่น่อนน่อนมองไปที่เสื้อแจ็คเก็ตผ้าฝ้ายสีเทาในมือคนขับ น้ำตาเอ่อล้นออกจากดวงตาฉับพลัน
เธอเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ ถึงได้รู้สึกเศร้ามาก
คนขับรถเป็นลุงอายุมาก ทันทีที่เห็นมู่น่อนน่อนร้องไห้ เขาก็เกาศีรษะอย่างร้อนรน “คุณอย่าร้องไห้นะ เดี๋ยวคนอื่นจะคิดว่าผมทำอะไรคุณ!”
มู่น่อนน่อนยิ้มทั้งน้ำตา “ขอบคุณค่ะ ฉันไม่กลัวหนาว คุณยังต้องขับรถถึงดึกไม่ใช่เหรอคะ ฉันสุขภาพดีแค่ครู่เดียวไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
ตอนนี้เธอไม่หนาวจริงๆ หัวใจของเธออบอุ่น
แต่ลุงคนขับกลับคิดว่ามู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเสื้อนอกของเขาดูไม่ดี จึงไม่ได้พูดอะไรอีก
มู่น่อนน่อนลงจากรถไป หลังจากมองดูแท็กซี่ไปไกลแล้ว จึงได้เอาโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาเสิ่นเหลียง
โทรศัพท์โทรออก เธอได้ยินเสียงเรียกเข้าที่คุ้นเคยดังขึ้นใกล้ๆ
หลังจากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงของเสิ่นเหลียงดังขึ้นไม่ไกล “ฮัลโหล เธอถึงแล้วเหรอ”
มู่น่อนน่อนวางสายแล้วโบกมือให้เสิ่นเหลียง “ฉันอยู่นี่”
เสิ่นเหลียงวิ่งเข้ามา ห่อตัวเหมือนบ๊ะจ่าง ในมือยังหอบเสื้อโค้ตมาด้วย
“บ้าเอ๊ย คนสวยแช่แข็งเหรอ นี่แม่งติดลบเกือบสิบองศาเลยนะ เธอแต่งตัวออกมาจากงานเลี้ยงทั้งแบบนี้เลยเหรอ” ถึงแม้เสิ่นเหลียงจะพูดออกมาแบบนี้ แต่การเคลื่อนไหวที่มือไม่คลุมเครือสักนิด จัดแจงเอาเสื้อโค้ตในมือสวมให้มู่น่อนน่อนอย่างจริงจังไม่เบาแรง
มู่น่อนน่อนสูดจมูก “ใช่แล้ว ตลอดทางทุกคนมองฉันหมดเลย รู้สึกว่าตัวเองเก่งมากจริงๆ”
……
ทั้งสองกลับถึงบ้านของเสิ่นเหลียงด้วยกัน
เธอไม่ค่อยได้อยู่บ้านมากนัก ดังนั้นบ้านจึงค่อนข้างรก
ในห้องมีความอบอุ่นเพียงพอ ทันทีที่เข้าประตูมาเสิ่นเหลียงก็รินน้ำร้อนให้เธอแก้วหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ที่ทางเข้าหมู่บ้านเสิ่นเหลียงไม่ได้สังเกต ตอนนี้อยู่ในห้องที่มีแสงสว่าง เสิ่นเหลียงถึงได้พบว่ามู่น่อนน่อนตาแดง
เสิ่นเหลียงขมวดคิ้วนั่งลงข้างเธอ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอน่ะ”
“ฮะ? ไม่มีอะไรหรอก ก่อนหน้านี้ตอนที่ลงจากรถ ลุงคนขับรถเห็นฉันแต่งตัวแบบนี้ เลยจะเอาเสื้อนอกของเขาให้ฉัน ฉันจึงซาบซึ้งมากน่ะ”
เสิ่นเหลียงเห็นเธอไม่เหมือนการล้อเล่น จึงพยักหน้าให้ “บนโลกใบนี้แน่นอนว่ายังมีคนดีๆ อยู่มากมาย”
เมื่อพูดจบ เธอก็เหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงพูดตามความรู้สึกว่า “การกระทำเล็กๆ ของคนแปลกหน้าทำให้คนเราสัมผัสได้มากเป็นพิเศษ ส่วนคนรอบข้างทำผิดเพียงเล็กน้อย มันจะถูกแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าเขาจะเคยทำดีกับเธอมามากแค่ไหน มันล้วนไร้ประโยชน์”
มู่น่อนน่อนถามว่า “เธอกำลังพูดถึงกู้จือหยั่นเหรอ”
“ใครจะพูดถึงผู้ชายเฮงซวยคนนั้น” เสิ่นเหลียงหัวเราะเสียงเย็น “เหอะ ผู้ชาย!”
มู่น่อนน่อนเอนหลังพิงเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร
“ไม่มีความสุขก็ดื่มสักหน่อยสิ เราสองคนไม่ได้ดื่มด้วยกันนานแล้ว” เสิ่นเหลียงพูดอย่างนั้นแล้วก็เดินไปเอาไวน์มาเอง
มู่น่อนน่อน “……..”
ครั้งล่าสุดที่พวกเธอไปดื่มที่บาร์…
……
เสิ่นเหลียงรักการดื่ม แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นแอลกอฮอลิซึม
ตอนที่ควรดื่มก็ดื่ม ตอนที่ทำงานไม่เคยดื่ม ไม่ใช่คนใกล้ชิดก็ไม่ดื่ม
มู่น่อนน่อนก็ถูกเสิ่นเหลียงสอนให้ดื่ม
ทั้งสองดื่มไวน์แดงหมดไปครึ่งขวดก็เริ่มเมาแล้ว
พูดคุยขณะที่ศีรษะเอนพิงโซฟา
“ฉันรู้สึกว่ากู้จือหยั่นเป็นคนสารเลว!”
“อืม เฉินถิงเซียวก็เหมือนกัน”
“กู้จือหยั่นแม่งมีแต่เรื่องผู้หญิงขนาดนั้น ยังบอกว่าเขาบริสุทธิ์ ตอนนั้นกูโคตรตาบอด!”
“อืม เฉินถิงเซียว…เหมือนว่าจะไม่มี”
“กู้จือหยั่น…”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดคำพูดของเสิ่นเหลียง
เธอหรี่ตาเหล่มองข้อมูลสายเข้า มันเป็นแถวตัวเลขที่ไม่คุ้นตา
เสิ่นเหลียงรับสาย “อะไร ขายประกันเหรอ ฉันไม่ซื้อ!”
ที่ปลายสายเป็นเสียงทุ้มต่ำของผู้ชาย “ผมคือเฉินถิงเซียว”
เฉินถิงเซียวงั้นเหรอ
เสิ่นเหลียงพลันตื่นตัวไปทั่วร่าง ความเมาหายไปกว่าครึ่ง
เธอกำลังจะพูด เฉินถิงเซียวที่ปลายสายก็ส่งเสียงออกมาก่อนว่า “อย่าโวยวายครับ ผมถามคุณตอบ แค่บอกว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ ก็พอ”
เสิ่นเหลียงส่งเสียงตอบโดยจิตใต้สำนึก “ค่ะ”
หลังจากนั้นก็มีอาการสับสนเล็กน้อย ทำไมเธอต้องฟังคำพูดของเฉินถิงเซียวด้วย
เฉินถิงเซียวเหมือนจะรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ จึงเอ่ยออกมาน้ำเสียงบางเบา “กู้จือหยั่นอยากเป็นเอเจนต์ของคุณ”
เสิ่นเหลียงระเบิดทันที “ให้เขาฝันไปเถอะ!”
“อืม”
เสิ่นเหลียงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเฉินถิงเซียวเป็นเจ้านายของตัวเอง!
“มู่น่อนน่อนอยู่กับคุณใช่ไหม”
เสิ่นเหลียงเหลือบมองมู่น่อนน่อนที่กำลังดื่ม แล้วบอกว่า “ใช่ค่ะ”
“เธอขึ้นรถแท็กซี่ไปเองเหรอ”
“ไม่อย่างนั้นคุณจะมาส่งเธอหรือไง” พูดขึ้นมาแล้วเสิ่นเหลียงก็เริ่มโมโห
มู่น่อนน่อนบอกเรื่องในงานเลี้ยงแล้ว และบอกทุกการคาดเดาของเธอกับเสิ่นเหลียงแล้วด้วย เสิ่นเหลียงเป็นคนนิสัยตรงไปตรงมา ตอนนี้เมื่อมาได้ยินคำถามของเฉินถิงเซียว จึงอยากตอกกลับเขา
เฉินถิงเซียวทำเหมือนฟังน้ำเสียงการพูดที่ไม่ดีของเสิ่นเหลียงไม่ออก แค่พูดออกมาว่า “อย่าให้เธอดื่ม เข้านอนแต่หัวค่ำ”
“ฮ่าฮ่า ดื่มไปครึ่งขวดแล้ว และฉันยังมีตู้ไวน์ด้วย!”
มู่น่อนน่อนหรี่ตามองมา “เธอกำลังคุยสายกับใครน่ะ”
เป็นความรู้สึกที่เบาสบายมาก และนี่ก็ไม่มีคนนอก มู่น่อนน่อนจึงค่อนข้างทำตัวอิสระ
เธอเข้ามาเอนพิงตัวเสิ่นเหลียง และพูดว่า “ฉันนึกขึ้นได้แล้ว เฉินถิงเซียวถึงแม้จะไม่มีเรื่องผู้หญิง แต่ใจเขามีแสงจันทร์ขาว! เหอะ ผู้ชาย!”
ที่ปลายสายเงียบสนิท
เสิ่นเหลียงตัวสั่นสะท้าน รีบยื่นมือผลักมู่น่อนน่อนออกไปอีกฝั่ง “หยุดพูด”
มู่น่อนน่อนยังกระตือรือร้นพูดของเธอต่อไป “ฉันจะบอกเธอให้ ผู้ชายอย่างเฉินถิงเซียวน่ะ การเป็นภรรยาเขามันไม่ง่ายเลย อย่างกับระเบิดเวลา เทียบกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนแล้วยังแย่ยิ่งกว่า…”
ก้นบึ้งในหัวใจของเสิ่นเหลียงจุดขี้ผึ้งให้มู่น่อนน่อนเงียบๆ เพิ่งคิดว่าจะวางสาย ก็ได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำของเฉินถิงเซียวดังขึ้นนิ่งๆ “อย่าวางสาย ปล่อยให้เธอพูดต่อไป”
เสิ่นเหลียง “……..”
ด้านหนึ่งเป็นเจ้านายใหญ่ของเธอที่ชี้นิ้วให้ตายได้ อีกด้านเป็นเพื่อนรักที่ฟันฝ่าอุปสรรคมาด้วยกัน เธอจะทำอย่างไรดี
สุดท้ายเสิ่นเหลียงยังคิดไม่ได้ว่าจะยืนฝั่งไหน แต่เฉินถิงเซียวก็มาถึงหน้าประตูแล้ว
เสิ่นเหลียงยืนหน้าประตู สีหน้าเหมือนเห็นผี “เจ้านายใหญ่ คุณ คุณมาตั้งแต่เมื่อไร”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดแล้ว และมองผ่านเธอเข้าไปด้านใน
เสิ่นเหลียงเปิดทางให้เล็กน้อย รูม่านตาของเฉินถิงเซียวกว้างขึ้น เห็นมู่น่อนน่อนนอนขดตัวอยู่บนโซฟาในชุดอยู่บ้านหลวมๆ และถือแก้วไวน์
สีหน้าของเขาจมหนัก
เสิ่นเหลียงกลืนน้ำลายลงคออย่างตึงเครียด ตั้งใจจะแก้ตัว
ปรากฏว่า เฉินถิงเซียวเหมือนจะลืมว่าก่อนหน้านี้บอกเรื่องที่อย่าให้มู่น่อนน่อนดื่ม เขาก้มหน้าลงถามเธอว่า “ต้องถอดรองเท้าไหม”
เสิ่นเหลียงพยักหน้าด้วยความประหลาดใจ “ต้องค่ะ…”
เมื่อเฉินถิงเซียวได้ยินจึงก้มลงถอดรองเท้า แล้วเดินเข้าประตูไปหามู่น่อนน่อน
เสิ่นเหลียงมองไปยังรองเท้าหนังสั่งตัดคุณภาพเยี่ยมหน้าประตู กะพริบตาปริบๆ หน้าตาเซ่อซ่า
เจ้านายใหญ่เข้ามาที่บ้านเธอยังถามว่าต้องถอดรองเท้าไหม!
ดูแบบนี้แล้ว เหมือนว่าจะไม่ได้น่ารังเกียจอะไรขนาดนั้น!
มีมารยาทมากและก็ไม่หยาบคายเลย! แล้วเสิ่นเหลียงก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีชมพู!
บทที่ 153 ชิงหนิงคือใคร
เท้าเจ็บมากจนมู่น่อนน่อนกะโผลกกะเผลกขณะเดิน
เธอสัมผัสได้ถึงสายตาจับจ้องที่เฉียบคมและจับต้องได้อยู่ด้านหลังเธอ เธอกัดริมฝีปาก ดึงดันก้าวเข้าลิฟต์โดยไม่หยุด
ตอนที่มู่น่อนน่อนกดปุ่มปิด ก็ไม่เห็นเฉินถิงเซียวตามมา
หัวใจเธอเย็นเล็กน้อย สีหน้าซีดไปบางส่วน
ลิฟต์เลื่อนลงช้าๆ มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าหัวใจตัวเองวูบตามลงมา
……
เมื่อออกจากลิฟต์ มู่น่อนน่อนก็เห็นเฉินเจียฉิน
เฉินเจียฉินเห็นท่าทางของมู่น่อนน่อนดวงตาแดงเดินออกมาด้วยเท้าเปล่า จึงมีสีหน้าแปลกใจ เดินเข้าไปช่วยประคองเธอและเรียกด้วยเสียงแผ่ว “พี่น่อนน่อน”
“ทำไมคุณมาอยู่ตรงนี้” เท้าของมู่น่อนน่อนกำลังเจ็บมาก เท้าที่แพลงไม่สามารถแตะพื้นได้เลย ได้แต่อาศัยเฉินเจียฉินช่วยประคองเธอ
เฉินเจียฉินแอบชำเลืองมองเธอ หลังจากนั้นก็พูดตะกุกตะกักว่า “พี่ชายผม…เขา…เขาไม่ได้ตั้งใจนะครับ…”
“อืม” มู่น่อนน่อนตอบด้วยน้ำเสียงไม่แยแสมากอย่างที่ควรเป็น
ตอนนี้ ซือเฉิงหยู้จะตั้งใจหรือไม่ มันก็ไม่สำคัญกับเธออีกต่อไปแล้ว
ที่สำคัญคือการกระทำของเฉินถิงเซียวต่างหาก
คนที่ต้องการให้เธอมางานเลี้ยงก็คือเขา แล้วคนที่จู่ๆ ก็พุ่งเข้ามาด้วยความโกรธจัดก็คือเขา
ต่อให้ซือเฉิงหยู้จะจับมือของเธอ ไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่ นี่คือเหตุผลให้ซือเฉิงหยู้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนไม่แคร์ความรู้สึกของเธอได้หรือไง
เฉินเจียฉินสัมผัสได้ชัดเจนมากว่าตอนนี้มู่น่อนน่อนกำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก เขาจึงไม่พูดอีก เพียงประคองมู่น่อนน่อนไปอย่างระมัดระวัง
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินถิงเซียวมา เฉินเจียฉินเป็นคนแรกที่เห็นเขา จากนั้นก็เห็นเฉินถิงเซียวดึงมู่น่อนน่อนออกไป เหมือนกับว่าทั้งคู่จะทะเลาะกัน แล้วจากนั้นมู่น่อนน่อนก็เข้าลิฟต์ไป
หลังจากที่มู่น่อนน่อนเข้าลิฟต์ไป เฉินถิงเซียวยังคงยืนอยู่ตรงนั้นตลอด เฉินเจียฉินมองดูอย่างกังวล แต่ก็รู้สึกว่าเฉินถิงเซียวในตอนนั้นไม่ควรเข้าไปยุ่ง เขาจึงก้าวถอยหลังไปที่ลิฟต์อีกฝั่งแล้วลงไปรอมู่น่อนน่อน
เฉินเจียฉินกำลังคิดเรื่องราวอยู่ ฉับพลันก็ได้ยินเสียงมู่น่อนน่อนที่อยู่ๆข้างๆ ดังขึ้นเงียบๆ “ชิงหนิงคือใคร”
“คุณบอกว่าใครนะครับ” เฉินเจียฉินหันหน้าไปอย่างรุนแรง ประกายความตระหนกตกใจแวบเข้ามาในดวงตา
มู่น่อนน่อนปล่อยมือของเขา มองเฉินเจียฉินอย่างมั่นคง และย้ำเสียงหนักอีกครั้ง “ชิงหนิง”
ก่อนหน้านี้ที่ห้องจัดเลี้ยง เธอได้ยินซือเฉิงหยู้เรียกชื่อนี้
เมื่อเฉินเจียฉินได้ยินชื่อนี้ บนใบหน้าอ่อนเยาว์จู่ๆ ก็เผยร่อยรอยโศกเศร้า “ทำไมคุณถึงรู้จักเธอล่ะครับ”
ถึงแม้ตอนนี้เฉินเจียฉินกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนเส้นเสียง น้ำเสียงค่อนข้างแตก แต่มู่น่อนน่อนยังฟังเสียงแหบกร้านในน้ำเสียงของเขาออกได้
นั่นก็เพียงพอที่จะอธิบายปัญหาได้มากมายแล้ว
ซือเฉิงหยู้รู้จัก “ชิงหนิง” และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอ เฉินเจียเฉินก็รู้จักเธอ และความสัมพันธ์ก็ไม่แย่
หรือว่าเฉินถิงเซียวก็รู้จักกับ “ชิงหนิง” ด้วยเหมือนกัน
ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนก็นึกไปถึงเมื่อครั้งก่อนขึ้นมาได้ ตอนที่เธอไปหาซือเฉิงหยู้ที่บ้านเพื่อพูดแทน ซือเฉิงหยู้มองตาเธอ เหมือนเป็นการมองเธอผ่านไปหาคนอื่น
“ฉันกับเธอหน้าตาเหมือนกันเหรอ”
เมื่อมู่น่อนน่อนพูดจบ ถึงได้เพิ่งตระหนักว่าคำพูดที่ตัวเองคิดในใจได้ออกมาแล้ว
เฉินเจียฉินพยักหน้าโดยจิตใต้สำนึก จากนั้นก็พลันส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่…”
“บอกมาตามตรง” มู่น่อนน่อนเสียงเข้มขึ้น
เฉินเจียฉินก้มหน้าและพูดเสียงเบา “เหมือนครับ”
“อืม ฉันเข้าใจแล้ว” มู่น่อนน่อนปล่อยมือของเขา “ฉันกลับก่อนนะ”
ดูจากปฏิกิริยาของซือเฉิงหยู้กับเฉินเจียฉิน มู่น่อนน่อนก็รู้ว่า “ชิงหนิง” สำหรับพวกเขาแล้ว เป็นคนที่สำคัญมาก
เมื่อเป็นแบบนี้ เธอจึงรู้สึกได้ว่าที่ซือเฉิงหยู้ใจดีกับเธอ เฉินเจียฉินสนิทกับเธอ ล้วนเหมือนกับเธอขโมยของของคนอื่นมา
เหมือนเธอเป็นคนขโมยทุกอย่าง
ซือเฉิงหยู้เป็นนักแสดงซุปเปอร์สตาร์ดาวรุ่งระดับแถวหน้า ต่อให้เขาไม่ใช่นักแสดงซุปเปอร์สตาร์ ตระกูลของเขาก็ไม่ใช่ที่คนทั่วไปจะเข้าถึงได้
แต่เขากลับอ่อนโยนและทำตัวสนิทสนมกับเธออย่างมาก
เฉินเจียฉินอายุน้อยที่สุด จิตใจดีและบริสุทธิ์ ลักษณะนิสัยก็ดี อยู่ในตระกูลเฉินก็เป็นคุณชายคนโปรด ทำไมเขายังจะมาสนิทชิดเชื้อกับเธอขนาดนี้
มันเป็นเพราะเธอหน้าเหมือน “ชิงหนิง” คนนั้น
เช่นนั้นแล้วเฉินถิงเซียวล่ะ
มู่น่อนน่อนมีลางสังหรณ์ที่อธิบายไม่ได้ เธอรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวก็รู้จักผู้หญิงที่ชื่อ “ชิงหนิง”
เขาก็เหมือนกันใช่ไหมที่เพราะเธอหน้าเหมือน “ชิงหนิง” ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุที่ตอนแรกเขาสนใจเธอมากขนาดนั้น
มู่น่อนน่อนหัวเราะเยาะตัวเอง หันหน้ากลับไปมองเฉินเจียฉินที่ตามเธอมาไม่ใกล้ไม่ไกล “อย่าตามฉัน”
มู่น่อนน่อนยืนอยู่หน้าประตูโรงแรมด้วยสีหน้าเย็นชา สีหน้าซีดขาวราวหิมะ ทั้งกายบังเกิดไอแห่งความเย็นยะเยือกขมขื่นน่ากลัว ไม่เหมือนมู่น่อนน่อนที่ปกติมักจะยิ้มให้เขาอยู่เสมอแม้แต่น้อย
เฉินเจียฉินเกิดความไม่สบายใจเล็กน้อย คิดอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี และกลัวว่าตัวเองจะพูดอะไรผิดไป
สุดท้ายแล้วเขาจึงลองหยั่งเชิงถามออกไป “งั้นคุณจะกลับไปหาญาติผู้พี่ไหมครับ”
เขาคลุกคลีกับมู่น่อนน่อนมานาน จึงรู้จักนิสัยของมู่น่อนน่อนไม่มากก็น้อย
มู่น่อนน่อนมองดูท่าทีของเขาอย่างระแวดระวัง ในสายตาของเธอนั้นแม้แต่ลอนผมเล็กๆ สไตล์ตะวันตกจ๋าที่ปรากฏเป็นปกติ มาเวลานี้ดูเหมือนจะขัดหูขัดตาไปหมด
“ไม่รู้สิ”
เวลานี้มีบริกรของโรงแรมเอารองเท้ามาให้มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเอ่ยขอบคุณแล้วใส่ออกไป
เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่จำเป็นต้องทรมานตัวเอง
ช่างเสียใจภายหลังนัก
อากาศหนาวเหน็บ มู่น่อนน่อนหยุดอยู่ข้างนอก ทั้งกายสั่นเทาเพราะความหนาวเย็น
แต่หน้าโรงแรมเจ็ดดาวแห่งนี้ดันไม่มีแท็กซี่โผล่มาเลย มู่น่อนน่อนจึงต้องเดินกระโผลกกะเผลกต่อไปข้างหน้า
จนเมื่อในที่สุดเธอเรียกแท็กซี่ได้ ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
หัวใจเธอกระตุก กัดริมฝีปากค่อนข้างแรง เอามันขึ้นมาดู ถึงได้พบว่าไม่ใช่เฉินถิงเซียวที่โทรมา แต่เป็นเสิ่นเหลียง
มู่น่อนน่อนบอกไม่ได้ว่าในใจรู้สึกอย่างไร เหมือนโล่งใจ และก็เหมือนหัวใจดิ่งลึกลงไป
เธอรับสาย “เสี่ยวเหลียง”
น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงยังเต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉงตามเคย
“คืนนี้เธอไปงานเลี้ยงของตระกูลเฉินเหรอ ฉันเห็นรูปของเธอในกรุ๊ปวีแชต! สวยมากเลย!”
มู่น่อนน่อนยิ้ม น้ำเสียงไร้ชีวิตชีวา “ไม่หรอก ในงานเลี้ยงมีผู้หญิงสวยๆ เยอะแยะ”
“พวกเธอจะเปรียบกับเธอได้ที่ไหนกัน!” เสิ่นเหลียงพูดจบ ถึงได้ตระหนักว่ามู่น่อนน่อนมีอะไรผิดปกติเกินไป “เธอเป็นอะไร เสียงเธอฟังดูไม่มีชีวิตชีวาเลย ที่งานเลี้ยงเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ”
มู่น่อนน่อนไม่ตอบ แต่ถามเธอว่า “เธออยู่บ้านเหรอ”
เสิ่นเหลียงส่งเสียงตอบ “อื้ม”
“งั้นฉันจะเข้าไปหาเธอ” มู่น่อนน่อนพูดจบก็วางสายไป แล้วแจ้งที่อยู่ของเสิ่นเหลียงกับคนขับ
เมื่อคนขับได้ยินที่อยู่ก็ถามมู่น่อนน่อนว่า “เพื่อนคุณเป็นดาราเหรอครับ”
ที่อยู่ของเสิ่นเหลียงคือย่านคนชั้นสูง มีดารามากมายอาศัยอยู่ที่นั่น ไม่ใช่ความลับในเมืองหู้หยาง
มู่น่อนน่อนจึงพยักหน้า “ค่ะ”
ตอนที่จะลงรถ คนขับรถแท็กซี่ยื่นเสื้อนอกของตัวเองให้มู่น่อนน่อน “ใส่ชุดกระโปรงแบบนี้ในฤดูหนาวมันหนาวเย็นเกินไป คุณยังต้องรอเพื่อนมารับคุณอีกสักพัก ใส่มันไว้จะได้ไม่หนาวจนเป็นหวัดครับ”
บทที่ 152 บริกรดูแลใส่ใจมากกว่าเขา
หลังจากผู้หญิงทั้งสองเห็นมู่น่อนน่อน อากัปกิริยาบนใบหน้าก็พลันตื่นตระหนก จากนั้นก็แสร้งทำเป็นสงบแล้วส่งเสียงเรียกเธอ “คุณหญิงน้อยเฉิน”
“สาวๆ ทั้งสองคนคุยอะไรกันคะ ฉันจะมาร่วมสนุกด้วย พวกคุณไม่รังเกียจใช่ไหม”
มู่น่อนน่อนนั่งลงระหว่างผู้หญิงทั้งสองคน ศีรษะตั้งอกตรง มือวางกดลงบนกระโปรง สองขาตรงซ้อนพับเข้าด้วยกัน จัดท่าทางการนั่งสวยงามเป็นมาตรฐานกุลสตรี
เธอเข้าคลาสเรียนมารยาทตอนที่อยู่ในมหาวิทยาลัย ไม่อย่างนั้นเมื่อเธอมางานเลี้ยงแบบนี้คงตื่นสถานที่เป็นแน่
ผู้หญิงทั้งสองอับอายทำหน้าไม่ถูก ใจรับรู้ว่ามู่น่อนน่อนได้ยินบทสนทนาของทั้งสองเมื่อครู่แล้ว
คนที่ไม่ค่อยมีหน้า เมื่อนินทาคนอื่นลับหลัง แล้วตอนนี้มาถูกจับได้ ก็จะรู้สึกอับอาย
“คุณหญิงน้อยเฉินล้อเล่นอะไรคะ คุณยินดีจะร่วมพูดคุยกับพวกเรา แน่นอนว่าพวกเราน้อมรับด้วยความยินดีค่ะ” ผู้หญิงหนึ่งในนั้นรีบพูดประจบ
ผู้หญิงอีกคนตามน้ำทันที “ใช่ค่ะ คุณหญิงน้อยเฉินผิวของคุณดีมากเลย ดูแลยังไงคะ”
มู่น่อนน่อนผิวขาว เธอมองอย่างค่อนข้างอิจฉา
“ดูแลเหรอคะ” มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองเธอ คู่ดวงตาแมวเบิกโตเล็กน้อย เผยท่าทีแปลกใจมาก “แต่ไหนแต่ไรมาฉันไม่เคยดูแลค่ะ ฉันเกิดมาก็เป็นแบบนี้”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็เหลือบมองหน้าหญิงสาวอย่างบอกว่านี่เป็นเรื่องจริง จากนั้นก็มองด้วยหน้าตาสงสัย “คางคุณสวยจัง เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดเหรอคะ”
หญิงสาวภูมิใจมาก “มันแน่นอนค่ะ”
“หืม งั้นถ้าฉันจะจิ้มดูหน่อยก็ไม่เป็นไรใช่ไหม” มู่น่อนน่อนแสดงท่าทางกระตือรือร้น
ในสถาบันภาพยนตร์ ที่ขาดไม่ได้ก็คือความงามตามธรรมชาติ ใบหน้าที่ผ่านใบมีด แวบแรกก็สามารถมองออกได้ทันที
หญิงสาวได้ยินแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เอ่อ…คางฉัน…ที่จริงมีการกระแทกมานิดหน่อย คุณหญิงน้อยเฉินต้องลงแรงเบาๆ หน่อยนะคะ…”
มู่น่อนน่อนยิ้ม “ได้ค่ะ”
รอยยิ้มของเธอทำให้หญิงสาวขนลุก
มู่น่อนน่อนเพิ่งยื่นมือไป หญิงสาวคนนั้นก็รีบยกมือขึ้นกุมใบหน้าตัวเอง คิดไม่ถึงว่าเพราะการรีบเกินไปกลับกลายเป็นใช้แรงเยอะมาก จนฝ่ามือกระแทกเข้าที่คาง
“อ๊ะ…คางของฉัน!” ผู้หญิงคนนั้นร้องเสียงแหลม ลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีไป
ผู้หญิงอีกคนที่อยู่ข้างๆ เห็นดังนั้นก็ดวงตาเบิกกว้าง “เธอ…เธอทำคางเหรอ”
“ใช่ค่ะ” มู่น่อนน่อนขยิบตาให้เธอ แล้วโน้มตัวเข้าไปทำท่าทางลึกลับ “จะแอบบอกคุณนะคะ หน้าอกของเธอก็เคยทำค่ะ”
ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้างขึ้นอีก “สารเลว บอกว่าสวยตามธรรมชาติทุกอย่าง อาศัยหน้าพลาสติกมาแย่งผู้ชายฉัน แม่งเอ๊ย!”
พูดจบก็ลุกขึ้นจากไปอย่างโมโหโทโส
มู่น่อนน่อน “……..”
เธอแค่ไม่พอใจที่ผู้หญิงสองคนนั้นบอกว่าหน้าของเธอเป็นของปลอม อยากจะเอาคืนสักนิดหน่อย คิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะแหกตัวเองขึ้นมาก่อน
“ตามหาคุณตั้งนาน คิดไม่ถึงว่าคุณจะอยู่ตรงนี้”
จู่ๆ เสียงของซือเฉิงหยู้ก็ดังมา ทันทีที่มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมอง ซือเฉิงหยู้ก็เดินเข้ามาถึงตรงหน้าเธอแล้ว
เขาหน้าแดงเล็กน้อย ดูแล้วอาจจะดื่มไวน์ไปไม่น้อย
มู่น่อนน่อนเขยิบไปข้างๆ ให้พื้นที่นั่งแก่ซือเฉิงหยู้
“พี่ใหญ่ คุณเห็นเสี่ยวฉินไหมคะ” เธอตั้งใจจะกลับแล้ว อย่างไรเสียตอนนี้ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรอีก
ซือเฉิงหยู้ยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่เห็นครับ ไม่รู้ว่าไปไหน เดี๋ยวโทรเรียกเขาแล้วกันครับ”
“ก็ดีค่ะ”
เวลานี้บริกรคนหนึ่งดินผ่านมา มู่น่อนน่อนเรียกบริกรไว้ “รบกวนขอน้ำร้อนแก้วหนึ่งค่ะ”
ไม่นานบริกรก็เอาแก้วน้ำร้อนเข้ามาให้ มู่น่อนน่อนรับมาแล้วยื่นต่อให้ซือเฉิงหยู้ “พี่ใหญ่คะ คุณดื่มแอลกอฮอล์ไปมากแล้วนะ”
ทันใดนั้นซือเฉิงหยู้ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ไม่ได้มากหรอกครับ”
เขาพูดจบก็ยื่นมือไปรับแก้วน้ำในมือของมู่น่อนน่อน แต่กลับจับมือที่ถือแก้วของมู่น่อนน่อนเอาไว้พอดี
มู่น่อนน่อนรู้สึกถึงอุณหภูมิของมือที่ไม่คุ้นเคย เกิดตกใจหนักขึ้นทันทีจึงปล่อยมือ แต่มือของซือเฉิงหยู้จับมือของเธอไว้พอดี เธอจึงต้องจับแก้วอีกครั้ง เธออยากจะปล่อยก็ปล่อยไม่ได้
มู่น่อนน่อนค่อนข้างขยะแขยงการถูกผู้ชายอื่นสัมผัส แต่เธอคิดว่าซือเฉิงหยู้ดื่มจนเมาแล้วตามัว จึงขมวดคิ้วพูดอย่างอดทนว่า “พี่ใหญ่คะ คุณเมาแล้ว ที่คุณจับอยู่คือมือของฉัน ไม่ใช่แก้วค่ะ”
แต่ซือเฉิงหยู้กลับทำเหมือนไม่ได้ยิน ยิ่งจับกระชับมือของเธอแน่นขึ้น ไม่มีเจตนาจะปล่อยแม้แต่น้อย
มู่น่อนน่อนทำการสะบัดออกอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับสลัดไม่หลุด
เธอขมวดคิ้วและกำลังจะลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นร่างที่คุ้นเคยจู่ๆ ก็พุ่งเข้ามา ยื่นมือออกมาใช้แรงฟันลงบนมือของซือเฉิงหยู้ แต่ซือเฉิงหยู้ก็ยังไม่ปล่อยมือ
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าไม่พอใจหนักของเฉินถิงเซียว
เขาเห็นซือเฉิงหยู้ไม่ปล่อย จึงตรงเข้าออกแรงดึงมือของมู่น่อนน่อน
ซือเฉิงหยู้จับแน่น เมื่อมือของมู่น่อนน่อนถูกดึงออกกะทันหันอย่างแรง นิ้วที่หลังมือล้วนเป็นสีแดงเถือก มันเจ็บเล็กน้อย และน้ำในแก้วก็หกออกมาหมด เนื่องจากความเฉื่อย ส่วนใหญ่จึงหกใส่ตัวของมู่น่อนน่อน “ชิงหนิง…”
ชุดแดงเปียกโชกเป็นวงกว้าง เดิมทีมันก็บางมากอยู่แล้ว หลังจากเปียกโชกก็ยิ่งโป๊มาก
เฉินถิงเซียวถอดสูทออกมาสวมลงบนกายของมู่น่อนน่อน จากนั้นก็สั่งว่า “ส่งพี่ใหญ่กลับไป”
เวลานี้มู่น่อนน่อนถึงเพิ่งพบว่าสือเย่ก็ตามหลังเฉินถิงเซียวมาด้วย
“คุณ…”
มู่น่อนน่อนอยากถามว่าเขามาได้อย่างไร ปรากฏว่าเพิ่งอ้าปากก็ถูกเฉินถิงเซียวลากไปยังด้านหลังห้องจัดเลี้ยงอย่างทารุณ
ตำแหน่งของพวกเขาในตอนนั้นอยู่ไม่ไกลจากประตูหลังห้องจัดเลี้ยง เฉินถิงเซียวก้าวฉับๆ ไปอย่างรวดเร็วมาก ท่าทางไม่อยากฟังมู่น่อนน่อนเลยแม้แต่นิดเดียว
มู่น่อนน่อนถูกเขาลากมาอย่างรุนแรง อยู่ในงานเลี้ยงเดินด้วยรองเท้าส้นสูงเป็นเวลานาน เดิมทีก็ปวดขาเจ็บเท้าอยู่แล้ว ตอนนี้จึงก้าวตามเฉินถิงเซียวไม่ทัน เพิ่งออกจากประตูหลังห้องจัดเลี้ยง ข้อเท้าก็พลันพลิก
มู่น่อนน่อนเจ็บจนสูดอาหารเย็น ส่วนเฉินถิงเซียวกำลังโกรธ ไม่สังเกตสถานการณ์ของเธอเลยแม้แต่น้อย ยังคงลากดึงเธอเพื่อจะเข้าไปในลิฟต์
จู่ๆ มู่น่อนน่อนก็ขาพลิกอีกครั้งอย่างคาดไม่ถึง
เธอเจ็บปวดจนน้ำตาจะไหล ตะโกนใส่เฉินถิงเซียวอย่างหมดความอดทน “คุณปล่อยมือฉันนะ!”
เช่นนั้นเฉินถิงเซียวถึงได้หยุดลง ตอนที่หันหน้าไปมองเธอ ใบหน้ายังคงไม่พอใจหนักเช่นเดิม
เพียงแต่ว่า เมื่อเห็นอาการน้ำตาซึมของมู่น่อนน่อน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนฉับพลัน ก้มหน้าลงมองและถามว่า “เท้าแพลงเหรอ”
มู่น่อนน่อนพูดประชด “ใช่! ขอบคุณสำหรับสิ่งที่คุณทำ!”
เฉินถิงเซียวย่อตัวลงจะดูเท้าของเธอ มู่น่อนน่อนทนความเจ็บปวดก้าวถอยหลัง ก้มตัวลงถอดรองเท้าโยนใส่ตัวเขา แล้วเดินไปด้วยเท้าเปล่า
ที่ด้านข้างมีบริกรโรงแรมผ่านมา มองเธอด้วยหน้าตาแปลกใจ
มู่น่อนน่อนเหลือบมองบริกรอย่างเย็นชา “มองอะไรคะ ไม่เคยเห็นคนเดินเท้าเปล่าเหรอ”
บริกรโรงแรมเจ็ดดาวได้รับการฝึกฝนอย่างดี รีบโค้งให้และพูดว่า “ขอประทานโทษครับ ต้องการให้ผมเรียกหมอไหมครับ”
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปเหลือบมองเฉินถิงเซียว เขายังยืนอยู่ตรงนั้น ด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ได้
เธอเผยรอยยิ้มเย้ยหยันใส่เขา บริกรคนหนึ่งดูแลใส่ใจกว่าเขาเสียอีก
บทที่ 151 หาผู้หญิงมาสร้างภาพ
เฉินเจียฉินยังเด็ก ชอบเล่นสนุก การได้มางานเลี้ยงอาหารค่ำแน่นอนว่าโดยธรรมชาติแล้วย่อมร่าเริงมีความสุขมาก
แต่ก็ลืมเรื่องที่ว่าก่อนหน้านี้เขาแอบกลับประเทศ จากนั้นสักพักถึงจะมาพบลุง แน่นอนว่าต้องมีการสอบสวน
เฉินเจียฉินหงุดหงิดมากจนอยากทึ้งหัวตัวเอง แต่คิดขึ้นได้ฉับพลันว่าเขาเพิ่งจัดแต่งทรงผมมา เขาจึงเก็บมือกลับมาทันใด
มู่น่อนน่อนอธิบายแทนเฉินเจียฉิน “เสี่ยวฉินกลับมาสักพักแล้ว ตลอดมาอยู่กับพวกเราที่นี่ คนในครอบครัวเขาก็รู้”
เลิ่งซู่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่รู้วิธีจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้ดี โดยธรรมชาติแล้วจึงไม่สอบถามเรื่องของเจ้านายมากเกินไป
เขานำมู่น่อนน่อนกับเฉินเจียฉินไปพบเฉินชิงเฟิงที่ห้องนั่งเล่น
……
เฉินชิงเฟิงเหมือนกับตอนที่มู่น่อนน่อนพบเขาครั้งล่าสุด ยังคงมีลักษณะสุขุม
เฉินถิงเซียวดูเหมือนเฉินชิงเฟิงมาก แต่เฉินถิงเซียวค่อนข้างเจือไอแห่งความลุ่มลึก ในดวงตามักมีหมอกควันอึมครึมไหลเวียน
เมื่อเฉินชิงเฟิงเห็นมู่น่อนน่อนก็ชะงักไปเล็กน้อยครู่หนึ่ง “น่อนน่อนเหรอ”
“คุณพ่อคะ” มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปถึงตรงหน้าแล้วเรียกอย่างน่ารัก
เฉิงชิงเฟิงยังไม่เคยเห็นตอนที่มู่น่อนน่อนกลับไปเป็นเหมือนเดิม การประหลาดใจจึงเป็นเรื่องปกติ
แต่เขาไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป หลังจากประหลาดใจชั่วครู่ไม่นานเขาก็กลับมาดูปกติ “ถิงเซียวล่ะ”
“เขา…ไม่ค่อยสบายค่ะ ดังนั้นจึงไม่ได้มา” เมื่ออ้าปากโกหกออกมา มู่น่อนน่อนถึงขั้นไม่ได้รู้สึกผิดมากมาย จนตัวเธอเองยังรู้สึกแปลกใจ
โชคดีที่เฉินชิงเฟิงเหมือนจะไม่สนใจมากนักว่าเฉินถิงเซียวจะมาหรือไม่
เขาพยักหน้ารับ “อืม”
เฉินชิงเฟิงเหลือบมองเฉินเจียฉิงที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่น่อนน่อน ก่อนจะพูดว่า “เฉิงหยู้ก็อยู่ที่นี่ด้วย พวกเธอหนุ่มสาวไปคุยกันสิ”
เมื่อครู่เลิ่งซู่เพิ่งบอกเรื่องของเฉินเจียฉินกับเขา เขาจึงไม่ได้ถามอะไรมาก
เฉินเจียฉินยิ้มเงียบๆ อย่างฉลาดน่ารัก “งั้นคุณลุง พวกเราไปก่อนนะครับ”
เมื่อออกจากห้องนั่งเล่นมาแล้ว เฉินเจียฉินก็ยกนิ้วหัวแม่มือให้มู่น่อนน่อน “พี่น่อนน่อน คุณเก่งจังครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะกล้าโกหกต่อหน้าคุณลุงด้วย!”
“นี่ไม่ได้เรียกว่าโกหก นี่เรียกว่าข้ออ้าง” มู่น่อนน่อนส่ายหน้า “คุณคิดว่าเขาไม่รู้เหรอว่าเฉินถิงเซียวไม่เต็มใจที่จะมา เพียงแต่เมื่อเขาถามขึ้นมา ฉันจึงหาข้ออ้างมาปกปิด ทุกคนจะได้ไม่เสียหน้า มันก็เท่านั้น”
“…ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ผู้ใหญ่อย่างพวกคุณนี่ซับซ้อนจังครับ” คำว่า “ครับ” ส่งท้าย เฉินเจียฉินลากท้ายเสียงยาวเหยียด
มู่น่อนน่อนยิ้มพลางจ้องมองเขา แล้วก็ได้ยินเสียงอบอุ่นของซือเฉิงหยู้ดังขึ้นข้างหลัง “เสี่ยวฉิน น่อนน่อน”
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เฉินชิงเฟิงจะบอกแล้วว่าซือเฉิงหยู้อยู่ที่นี่ แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้จริงจัง ปรากฏว่าเมื่อออกประตูมาก็พบเข้าแล้ว
มัน…น่าอายจริงๆ!
มู่น่อนน่อนหันหน้าไป ยิ้มออกมาอย่างค่อนข้างแข็งทื่อ “พี่ใหญ่”
เฉินเจียฉินก็เรียกตาม “พี่”
“พวกคุณเพิ่งมาถึงเหรอ” ไม่รอให้พวกเขาตอบกลับ จากนั้นก็เหลือบมองเฉินเจียฉินที่อยู่ข้างหลังมู่น่อนน่อน “ถิงเซียวไม่มากอีกแล้วเหรอ”
“เขา…ไม่ค่อยสบาย…” เมื่อครู่ต่อหน้าเฉินชิงเฟิงยังบอกข้ออ้างได้อย่างคล่องปากมาก เมื่อมาถึงซือเฉิงหยู้ตรงนี้ มู่น่อนน่อนกลับรู้สึกค่อนข้างแย่
ซือเฉิงหยู้เผยท่าทีแจ้งชัด แล้วทำการเปลี่ยนเรื่อง “ผมจะพาพวกคุณไม่เดินรอบๆ”
เมื่อเขาพูดจบก็หันตัวเดินนำหน้าไป
เฉินเจียฉินเห็นได้ชัดว่าชื่นชมพี่ชายตัวเอง เขาใช้แขนสะกิดมู่น่อนน่อน “พี่ชายผมหล่อไหมครับ”
“อืม” มู่น่อนน่อนพยักหน้า “ทักษะการแสดงก็ดีเช่นกัน”
ซือเฉิงหยู้เป็นคนหล่อและมีทักษะการแสดงดี เพียงแต่สองปีที่ผ่านมามีถ่ายไปไม่กี่เรื่องเท่านั้น
เฉินเจียฉินไม่พอใจกับคำตอบของเธอ “ทำไมคุณตอบแบบขอไปทีแบบนี้ครับ คุณคิดว่าเขากับญาติผู้พี่ผมใครหล่อกว่ากัน”
มู่น่อนน่อนคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า “เฉินถิงเซียว”
แน่นอนว่าซือเฉิงหยู้ก็ดูไม่เลว แต่ที่น่าสนใจที่สุดในตัวเขาคือนิสัยที่อ่อนโยน
และเฉินถิงเซียวกับซือเฉิงหยู้ก็เป็นสองประเภทที่ต่างกันสุดขั้ว เฉินถิงเซียวมักจะอารมณ์ขุ่นมัวอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้ามีคนได้เห็นผ่านสายตา จะต้องถูกใบหน้าของเขาดึงดูดเป็นอันดับแรกแน่นอน
“สายตาคุณเป็นอะไร” เฉินเจียฉินจ้องเข้าไปในดวงตาของเธอ “ตาคุณไม่ดีใช่ไหมครับ”
มู่น่อนน่อนถลึงตาใส่เขา “ตาคุณต่างหากสิไม่ดี!”
เมื่อพูดจบก็รู้สึกว่าเธอทะเลาะเรื่องแบบนี้กับเฉินเจียฉินเหมือนเป็นเด็กๆ น่าไม่อายอย่างมาก จึงส่งเสียงเยาะออกมาก่อนจะเร่งก้าวเดินนำไป
เฉินเจียฉินตามมา แล้วกระซิบบอกเธอด้วยเสียงเบามากว่า “ตาของผมอาจจะไม่ดีจริงๆ ผมรู้สึกได้อยู่ตลอดแหละว่าญาติผู้พี่ผมดูดีกว่าพี่ชายผม แต่ผมคิดว่าพี่ชายผมดูดีกว่าหน่อย”
มู่น่อนน่อนค่อนข้างร้องไห้ก็ไม่ได้หัวเราะก็ไม่ออก
แต่ในใจของเธอก็มีความรู้สึกลึกๆ บางอย่าง
ซือเฉิงหยู้เข้าสู่วงการบันเทิงนานแล้ว ไม่ได้คลุกคลีกับเฉินเจียฉินมากนัก แต่เฉินถิงเซียวกับเฉินเจียฉิงอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เขากับเฉินถิงเซียวอาจจะสนิทกันมากกว่า
บางครั้ง ความสัมพันธ์ทางสายเลือดก็ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความสนิทชิดเชื้อ
……
มีคนมากมายในงานเลี้ยง ส่วนใหญ่เป็นคนมีหน้ามีตาในเมืองหู้หยาง
มู่น่อนน่อนเดินตามเฉินชิงเฟิงไปรอบๆ ฉีกยิ้มมุมปากจนจะแข็งทื่ออยู่แล้ว และดูเหมือนว่าขาก็กำลังจะเป็นตะคริว
พอดีว่าเฉินชิงเฟิงพบใครบางคน จึงออกจากห้องจัดเลี้ยงไปชั่วคราว และก็ไม่ได้ให้มู่น่อนน่อนตามไปด้วยอีก
เฉินเจียฉินก็ไม่รู้ว่าวิ่งไปเล่นที่ไหน มู่น่อนน่อนหาดูจนรอบก็ไม่เห็นใคร จึงดูแลตัวเองไม่สนใจคนอื่นอีกหาที่ตรงมุมหนึ่งนั่งลงพักผ่อน
เธออยู่ตรงมุมที่ไม่เป็นที่สังเกต หลังจากนั้นไม่นานผู้หญิงสองคนก็มาพร้อมกับแก้วและนั่งลงไม่ไกล
เสียงสนทนาของพวกเธอชัดเจนเข้ามาในโสตประสาทของมู่น่อนน่อน
“ไหนบอกว่าคุณหนูสามตระกูลมู่ทั้งน่าเกลียดทั้งโง่ไง ดูแล้วไม่เห็นเหมือนอย่างนั้นเลย!”
“ใครก็รู้ว่าวันนี้ที่ตระกูลเฉินจัดงานเลี้ยงก็เพื่อแนะนำคุณหญิงน้อยคนใหม่ให้ทุกคนได้รู้จัก ตระกูลเฉินไม่อยากได้หน้าแล้วมั้ง ต้องไปหาผู้หญิงที่อื่นสักคนมาสร้างภาพ…”
“ฉันก็รู้สึกแบบนี้ คุณดูที่เธอสวมชุดนั้นกับการแต่งหน้าแบบนั้นสิ เหมือนสาวในคาราโอเกะเลย…”
มู่น่อนน่อนก้มลงเหลือบมองเดรสคอวีสีแดงบนร่างกายตัวเอง
ไม่ได้มีการแหวกอกแล้วก็ไม่ได้แหวกหลัง เปิดเผยแค่ส่วนแขนเท่านั้น ความยาวของกระโปรงก็ยาวคลุมเข่า เหมือนที่สาวคาราโอเกะใส่ที่ไหนกัน
แต่ว่าตอนนี้คาราโอเกะมีสาวด้วยเหรอ
และยังไม่จบ มู่น่อนน่อนได้ยินสองคนที่อยู่ใกล้ๆ เริ่มนินทาเธออีกครั้ง
“ฉันดูหน้าอกของเธอแล้ว นั่นก็เป็นของปลอม!”
“มันต้องปลอมแน่นอน คุณเคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่เอวบางมากขนาดนั้นแล้วอกใหญ่บ้างไหมล่ะ”
“พวกดาราก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ”
“แล้วดาราทำศัลยกรรมกันน้อยหรือไงล่ะ เดี๋ยวตอนที่เจอเธอ เราแกล้งทำเป็นชนหน้าอกของเธอกัน คุณดูปฏิกิริยาของเธอก็รู้ว่าไอ้นั่นของเธอปลอมจริงหรือเปล่า…”
พรืด…
มู่น่อนน่อนที่ดื่มน้ำเข้าปากอยู่พ่นมันออกมากะทันหัน
ผู้หญิงสองคนนี้ไม่เต็มหรือเปล่า
ต่อให้เธอจะศัลยกรรม แล้วไปตัดเนื้อพวกเธอหรือไปใช้เงินของพวกเธอหรือไง
มู่น่อนน่อนวางแก้วน้ำแรงๆ ลงบนโต๊ะเล็กตรงหน้า เนื่องจากโต๊ะเล็กเป็นพื้นผิวกระจก ทันใดนั้นจึงเกิดเป็นเสียง “แกร๊ง” คมชัดมาก
เสียงนั้นดึงดูดความสนใจของหญิงสาวทั้งสอง
เห็นพวกเธอมองมา มู่น่อนน่อนจึงลุกขึ้นยืน แล้วก้าวเดินเข้าไปหาพวกเธอ
บทที่ 150 ลุ่มหลงและตามใจมากเกินไป
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปแตะที่ริมฝีปากหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็พูดอย่างเป็นการเป็นงานว่า“ฉันรู้สึกว่าชุดราตรีดีมาก แต่งหน้าก็ไม่เลว ช่างแต่งหน้าและทำผมที่คุณหามาดีมากเลย คุณนี่ตาแหลมมาก”
เฉินถิงเซียวมองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่พูดอะไร
“แม้ว่าฉันจะไม่ชินกับการใส่รองเท้าส้นสูง แต่เพื่อคุณแล้ว ฉันจะยอมอดทน”น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนพูดอย่างจริงจังอย่างยิ่ง
พูดจบ เธอก็ตบที่บ่าของเฉินถิงเซียว “เวลาล่วงเลยมานานมากแล้ว ถ้าฉันไม่ไปก็คงต้องสายแน่ ฉันจะรีบกลับมานะคะ”
มองสีหน้าเย็นยะเยือกของเฉินถิงเซียว ครั้งแรกที่มู่น่อนน่อนไม่รู้สึกอึดอัด แต่ในใจกลับรู้สึกสะใจมาก
เวลานี้เอง เฉินเจียฉินกลับมาจากข้างนอก
เขานัดเพื่อนไปเล่นบอลข้างนอก ครั้งนี้ขี่จักรยานเสือภูเขากลับมา สวมเสื้อกันหนาวบางๆ มีเหงื่อไหลโชก
เฉินเจียฉินอุ้มลูกบอลเข้ามา แวบเดียวก็มองเห็นมู่น่อนน่อน
“โอ้แม่เจ้า!”ลูกบอลในมือเขาก็ตกลงมาทันที“พี่ พี่ฉวยโอกาสที่พี่น่อนน่อนไม่อยู่บ้าน กล้าพาผู้หญิงคนอื่นกลับมาเหรอเนี่ย”
มู่น่อนน่อน“……”
เฉินถิงเซียวหันไปมองเฉินเจียฉินแวบหนึ่ง หรี่ตาหยีไม่รู้ว่าคิดอะไร ที่จะทำให้เฉินเจียฉินกลัวจนตัวสั่น
“พอแล้ว ฉันจะไปแล้ว”มู่น่อนน่อนเดินตรงไปข้างนอก ตอนที่เดินผ่านเฉินเจียฉิน มู่น่อนน่อนพูดว่า“รีบกลับห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า อากาศหนาว เดี๋ยวจะไม่สบาย”
เฉินเจียฉินจึงตั้งสติขึ้นมาได้ “พี่น่อนน่อนเหรอ”
เขามองมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าตื่นตกใจ“แต่งตัวสวยขนาดนี้จะไปไหนครับ”
เด็กยังไงก็ซื่อสัตย์ที่สุด
“ไปร่วมงานเลี้ยง”มู่น่อนน่อนพูดพลาง เดินไปทางด้านนอกประตู
เฉินเจียฉินเกาหัว“อ้อ”
เขาหันกลับไปถามเฉินถิงเซียว“คืองานเลี้ยงนั้นที่คุณน้าจัด ก่อนหน้านี้พี่บอกว่าจะไม่ไปร่วมงานไม่ใช่เหรอ ตอนนี้จะไปอีกแล้ว”
เฉินถิงเซียวสีหน้าแย่มาก“ไม่ไป”
เขาปกปิดสถานะของตนเองตลอดหลายปีมานี้ ก็เพื่อที่จะสืบเรื่องแม่ของเขา แต่พอเขาต้องเปิดเผยตัวตนต่อหน้าทุกคน ก็ต้องดึงดูดความสนใจของทุกคนแน่นอน
ถึงเวลานั้น หลายเรื่องที่จะทำก็ไม่สะดวกแล้ว
และเฉินชิงเฟิงให้เขาพามู่น่อนน่อนไปร่วมงานเลี้ยง ก็เพราะอยากรู้ว่าความสัมพันธ์ของเขาและมู่น่อนน่อนเป็นอย่างไร จะยอมพามู่น่อนน่อนไปร่วมงานเลี้ยง และก็เป็นการยืนยันสถานะของมู่น่อนน่อนพอดี
งานเลี้ยงที่คนตระกูลเฉินจัด แขกที่เชิญมาล้วนเป็นชนชั้นสูง หลังจากที่มู่น่อนน่อนไปร่วมงานแล้ว ทุกคนต่างก็ต้องรู้ว่าคุณหญิงน้อยของตระกูลเฉินคือเธอ
เขาต้องการยืนยันสถานะคุณหญิงน้อยตระกูลเฉินให้กับมู่น่อนน่อน แต่ว่า ในใจ เรื่องของแม่ก็ยังเป็นเรื่องสำคัญ
นั่นคือความรู้สึกผิดและภาระที่เขาต้องแบกรับมาทั้งชีวิตนี้
เฉินเจียฉินไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวคิดอะไรไร้สาระขนาดนี้ เขาไปกระซิบข้างๆเฉินถิงเซียวอย่างลับๆล่อๆว่า“อย่างนั้นพี่ก็ปล่อยให้พี่น่อนน่อนไปคนเดียวเนี่ยนะ ผมจะบอกพี่ให้นะ ไม่ต้องพูดถึงพวกผู้ชายพวกนั้น เพื่อนในชั้นเรียนเดียวกับผมหลายคนก็ชอบแบบพี่น่อนน่อนอย่างนี้แหละ……”
ในใจเฉินถิงเซียวเดิมก็ไม่พอใจอยู่แล้ว พอเฉินเจียฉินมาพูดแบบนี้อีก สีหน้าเขายิ่งเคร่งเครียดขึ้น
ตอนที่เขาเห็นเธอลงไปชั้นล่าง ก็ไม่อยากให้มู่น่อนน่อนไปร่วมงานเลี้ยงบ้าบออะไรนั่น
เธอเป็นของเขาคนเดียว
เขาก็รู้ว่าตนเองเป็นคนที่หึงหวงมาก แต่ตอนที่ความคิดนี้โผล่ออกมา ตัวเขาเองก็ตกใจเล็กน้อย
เขาสามารถถูกมู่น่อนน่อนดึงดูดความสนใจได้ และก็ดีต่อเธอได้ แต่กลับไม่ได้ปล่อยให้ลุ่มหลงและทำตามใจมากเกินไปเช่นนี้ได้
มู่น่อนน่อนนอกจากเป็นภรรยาเขาแล้ว ก็ยังเป็นคุณหญิงน้อยของตระกูลเฉิน
เขาต้องสืบคดีลักพาตัวในตอนนั้นให้กระจ่าง เส้นทางที่กำหนดให้ไปไม่ใช่ทางเรียบ ดังนั้นไม่อาจลุ่มหลงและตามใจมากเกินไป
ดังนั้น เขาจึงปล่อยให้เธอไป
“อย่างนั้นผมก็จะไปร่วมงานเลี้ยงนั่น ช่วยพี่ดูแลพี่น่อนน่อน!”
“ไม่จำเป็น”
เฉินถิงเซียวพูดจับไม่แม้แต่จะหันกลับมามองก็เดินขึ้นชั้นบนไป
แต่ว่า เขาเดินไปสองขั้นบันได ก็หันหน้าส่งสัญญาณมือให้กับช่างทำผม
ช่างทำผมเฉลียวฉลาดมาก ก้าวไปพร้อมกับช่างแต่งหน้าจับเฉินเจียฉินไว้ จะถอดเสื้อผ้าของเขา
“เฮ้ย พวกคุณทำอะไร!”เฉินเจียฉินมองพวกเขาอย่างตกใจ“ผมเป็นผู้เยาว์นะ พวกคุณจะทำอะไรผม!”
พวกเขาแทบจะไม่สนใจว่าเขาพูดอะไร ถอดเสื้อของเขาออก ก็สวมเสื้อเชิ้ต ทักซิโด้ให้เขาทันที
“คุณผู้ชาย กางเกงคุณจะเปลี่ยนเองหรือให้พวกเราช่วยคุณเปลี่ยนคะ”
“หญิงชายไม่ควรจะถูกเนื้อต้องตัวกัน !ผมทำเองดีกว่า!”เฉินเจียฉินรีบหยิบกางเกงวิ่งเข้าไปในห้อง
……
สถานที่ที่จัดงานเลี้ยงอยู่ในโรงแรมระดับเจ็ดดาวแห่งหนึ่ง
พอมู่น่อนน่อนลงจากรถ ก็มองเห็นเลิ่งซู่
ครั้งก่อนตอนที่เธอเฉินชิงเฟิง ก็คือเฉินชิงเฟิงขับรถไปรับเธอ ดังนั้นเธอจึงพอจะจำเขาได้
เลิ่งซู่มองเห็นเธอ ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว พูดด้วยความเคารพนอบน้อม“คุณหญิงน้อย”
“เลิ่งซู”มู่น่อนน่อนยิ้มพลางเรียกเขา
ความดุดันบนใบหน้าของเลิ่งซู เผยให้เห็นสีหน้าที่เป็นมิตรออกมา จากนั้นเขาก็เงยหน้ามองไปทางด้านหลังของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนอธิบายว่า“มีฉันมาแค่คนเดียว เฉิน……”
ตอนหลังเธอยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเสียงวัยรุ่นที่คุ้นหูเสียงหนึ่งตัดบทขึ้นมา
“ยังมีผมด้วย!พี่น่อนน่อน พี่รอผมก่อน!”
เอี๊ยด——
เสียงรถยนต์เบรกอย่างกะทันหัน
สือเย่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของมู่น่อนน่อน ขยับไปด้านข้างหนึ่งก้าว บังฝุ่นจากการเบรกอย่างกะทันหันของรถยนต์ให้กับมู่น่อนน่อน
เฉินเจียฉินกระโดดลงจากรถในชุดสูทที่ตัดเย็บมาอย่างดี ยังวางมาดทำท่าอย่างหล่อเหลา
จากนั้น หล่อได้ไม่ถึงสามวินาที เขาก็วิ่งไปที่สวนดอกไม้ที่อยู่ข้างๆอาเจียนออกมา
“อ้วก……”
เมื่อครู่คนขับรถคันนั้นขับรถเหมือนกับขับเครื่องบิน เฉินเจียฉินไม่ใช่คนเมารถยังถูกโยกจนเมารถ
มู่น่อนน่อนรีบให้สือเย่ไปหยิบน้ำในรถ ตัวเธอเองหยิบกระดาษทิชชู่เดินไปทางเฉินเจียฉิน
เธอส่งกระดาษทิชชู่ให้เฉินเจียฉิน ยื่นมือไปลูบหลังให้เขา“นายมายังไงเนี่ย”
“พวกเขาเปลี่ยนชุดให้ผม ผมเปลี่ยนกางเกงเอง ทำผมก็มาเลย”เฉินเจียฉินอาเจียนจนเวียนหัวตาลายไปหมด พูดจาสะเปะสะปะ
มู่น่อนน่อนกลับสามารถเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ก่อนหน้านี้เห็นชัดว่าเพราะเฉินถิงเซียวเห็นเธอหลังจากที่เปลี่ยนชุดราตรีแต่งหน้าแล้ว ก็ไม่อยากให้เธอมาร่วมงานเลี้ยง
นอกจากความคิดที่จะช่วยเฉินถิงเซียวอย่างจริงใจแล้ว มู่น่อนน่อนก็ยังมีความคิดว่า แต่งชุดราตรีสวยขนาดนี้ แต่งหน้าดูดี หากไม่ออกไปเดินเล่นสักรอบ ก็คงน่าเสียดายมาก
ผู้หญิงก็เป็นแบบนี้
ตอนนี้เธอรู้สึกว่าตนเองเดินก็ยังมีพลังมีชีวิตชีวา!
เฉินถิงเซียวอาจจะไม่วางใจเธอ จึงบังคับให้เฉินเจียฉินมา
“คุณหญิงน้อย น้ำ”สือเย่หยิบน้ำมาแล้ว
มู่น่อนน่อนรับมาแล้วส่งให้เฉินเจียฉิน
หลังจากรอให้เฉินเจียฉินดีขึ้น จึงเดินเข้าไปด้านในพร้อมกับมู่น่อนน่อน
แน่นอนว่าเลิ่งซู่ก็รู้จักเฉินเจียฉิน
เลิ่งซู่ตกใจมาก“คุณชาย คุณกลับมาเมืองหู้หยางตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ”
ตอนแรกเฉินเจียฉินแอบหนีกลับมา ถึงตอนนี้ นอกจากซือเฉิงหยู้และเฉินถิงเซียว คนตระกูลเฉินในเมืองหู้หยางคนอื่นๆไม่มีใครรู้ว่าเขากลับมาแล้ว
บทที่149 รบกวนเมียแล้ว
พอค้นหา กู้จือหยั่นพบว่าในอินเทอร์เน็ตก็มีคำถามแบบเดียวกันนี้มากมาย
ผลก็คือความคิดเห็นด้านล่างก็คล้ายกันแบบนี้:
“ผู้โพสต์คุกเข่าเรียกพ่ออยู่นานมากแค่ไหน”
“ไม่มีทาง คุณยังไม่ได้ให้อีกฝ่ายคุกเข่าให้ ตัวเองก็คุกเข่าลงไปก่อนแล้ว”
“คิดอย่างใสซื่อจริงๆ”
“เคยมีคนหนึ่งถามคำถามนี้ต่อมา……เขาตายแล้ว”
“……”
ล้วนมีแต่ความคิดเห็นบ้าๆพวกนี้
กู้จือหยั่นดูความคิดเห็นคล้ายๆกันนี้มากมาย พบว่าส่วนใหญ่มีแต่ความคิดเห็นแบบนี้
ยังมีหัวข้อคำถามนอกจากนี้ยังมีผู้โพสต์ต้นฉบับที่โพสต์คำถามประเภทนี้และกลับมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโพสต์ที่ติดตาม มีเพียงประโยคเดียว:“เป็นลูกชายนี่ดีมากเลยQAQ!”
กู้จือหยั่นโยนโทรศัพท์ไปข้างๆ นั่งลงเริ่มจัดการกับเอกสาร
สู้เฉินถิงเซียวไม่ได้ เขาก็สิ้นหวังมา
……
เฉินถิงเซียวขับรถใช้เวลายี่สิบนาทีกลับมาที่บ้าน
ก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนไล่ให้ช่างแต่งหน้าพวกนั้นไป พวกเขาก็ไม่ยอมไป
เธอได้แต่ให้คนดูแลต้อนรับให้พวกเขาดื่มชาในห้องโถง ส่วนเธอเองก็ไปที่ห้องครัวทำอาหารอย่างเชื่องช้า
ตอนที่เฉินถิงเซียวกลับมา พวกเขาก็ดื่มชากันเต็มท้องแล้ว ตอนที่เห็นเฉินถิงเซียว เหมือนเห็นผู้ปลดปล่อย“คุณชายเฉิน!”
เฉินถิงเซียวกวาดสายตามองไป ถามบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆ“คุณผู้หญิงล่ะ”
“ที่ห้องครัวครับ” บอดี้การ์ดชี้นิ้วไปทางห้องครัว
มู่น่อนน่อนกำลังดูสูตรอาหาร ช่วงนี้เธอคิดค้นเมนูใหม่หลายอย่าง เย็นนี้วางแผนจะทำอาหารจานหนึ่งมาลองชิม
ตอนที่เธอกำลังเปิดตำราอาหารอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักสม่ำเสมอจากด้านนอกประตูดังเข้ามา
ที่แปลกประหลาดก็คือ พอเธอได้ยินเสียงฝีเท้าก็รู้เฉินถิงเซียวกลับมาแล้ว
เธอแสร้งทำเป็นไม่รู้ อ่านตาราอาหารของตนต่อไป
เฉินถิงเซียวเดินไป มองเห็นตำราอาหารในมือเธอจากทางด้านหลัง มองเห็นชื่ออาหารด้านบนก็ค่อยๆขมวดคิ้วพูดออกมาว่า “มะระยัดไส้มูส?”
“คุณกลับมาแล้วเหรอ” มู่น่อนน่อนพูดโดยไม่ได้หันกลับไปมอง เห็นชัดว่าเย็นชามาก
เฉินถิงเซียวยื่นมือไปดึงตาราอาหารออกจากมือเธอ อาศัยร่างที่สูงสง่ายกขึ้นสูงๆ มู่น่อนน่อนหันกลับมาเขย่งปลายเท้าไปหยิบหนังสือ ผลก็คือเตี้ยกว่าเขาเยอะ ไม่มีทางจะหยิบหนังสือได้,
มู่น่อนน่อนมีความโมโหแบบที่ระงับเอาไว้ ตอนนี้ก็ยิ่งโกรธแล้ว
เธอเตะไปที่ขาของเฉินถิงเซียวอย่างโมโห“เอาตำราอาหารคืนให้ฉันนะ!”
“คุณดูตำราอาหารก็ไม่อยากมองผม” เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว พูดหาเรื่องอย่างไร้เหตุผลด้วยน้ำเสียงจริงจัง
มู่น่อนน่อนเชิดคางถลึงตาใส่เขา“ใช่สิ มองเห็นคุณก็รำคาญ”
เฉินถิงเซียวไม่เพียงไม่โกรธยังกลับยิ้ม เขาวางตำราอาหารไว้ด้านข้าง ก้มหน้าก็ประกบลงไปบนริมฝีปากของมู่น่อนน่อน กอดเธอเอาไว้ก่อนที่เธอจะตั้งสติกลับมาได้
พูดเสียงแผ่วเบาข้างหูเธอว่า“คุณอยากช่วยผมไม่ใช่เหรอ ก็ต้องรบกวนเมียแล้ว”
เสียงจองเขาเดิมก็ทุ้มต่ำน่าฟังอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังจงใจกดเสียงให้ต่ำลงอีก แบบนี้เสียงที่เรียก“เมีย”ก็เพิ่มความ
อ่อนโยนชวนหลงใหลยิ่งนัก
มู่น่อนน่อนรู้สึกจั๊กจี้ที่หู ยื่นมือออกไปอยากจะเกาหู เฉินถิงเซียวกลับเหมือนเดาได้ว่าเธอจะต้องมีอาการแบบนี้ จึงกุมมือเธอเอาไว้อย่างเงียบๆ จูบเบาๆที่ข้างหูเธอ “ไปงานเลี้ยงมั้ย”
มู่น่อนน่อนจั๊กจี้จนหดคอลงไป พูดเสียงดังว่า“ฉันไป ฉันไปโอเครึยังล่ะ!”
“ลำบากคุณแล้ว” เฉินถิงเซียวจึงได้ปล่อยเธอ
หูของมู่น่อนน่อนค่อนข้างอ่อนไหว ตอนนี้แดงก่ำแล้ว เฉินถิงเซียวอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปบิดเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนตีมือของเขาอย่างโกรธๆด้วยความเขินอาย“อย่ามารุ่มร่าม ฉันจะไปลองชุดราตรีแล้ว”
เฉินถิงเซียวก็ไม่พูดอะไร ได้แต่มองเธอยิ้มๆ
ดูเหมือนว่าเขาจะเจอจุดอ่อนอีกอย่างของมู่น่อนน่อนแล้ว
“มีอะไรน่าขำ ไม่ต้องขำเลย!”มู่น่อนน่อนผลักเขาออกไปอย่างหยาบคาย
หลังจากที่มู่น่อนน่อนลองชุดราตรีมาแล้วสี่ถึงห้าชุด ในที่สุดก็ลองชุดที่ถูกใจสไตลิสต์
ตามคำพูดของสไตลิสต์ ทุกชุดใส่แล้วดูดีหมด แต่เธอคิดว่ามู่น่อนน่อนยังสามารถลองชุดที่สวยกว่าได้อีก
ตอนที่นั่งอยู่หน้ากระจกถูกพวกเขาพลิกไปพลิกมา ในที่สุดมู่น่อนน่อนก็จิตใจสงบเย็นลง
เมื่อครู่เฉินถิงเซียวใช่เล่ห์มารยาผู้ชายหรือ
ก็เหมือนจะออดอ้อน……กับเธอ
ดูจากใบหน้าที่เย็นชาตามปกติของเฉินถิงเซียวก่อนที่เขาจะกอดเธอเรียกว่า “เมีย” อย่างแผ่วเบา ถือว่าเป็นการออดอ้อนแล้วจริงๆ
ผู้ชายอย่างเฉินถิงเซียวนี้เวลาออดอ้อนขึ้นมา ผู้หญิงก็ยังไม่อาจเข้าถึงได้จริงๆ!
……
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดมู่น่อนน่อนก็ถูกช่างทำผมพลิกกลับไปมาเสร็จแล้ว
สไตลิสต์พูดด้วยสีหน้าอึ้งทึ่งว่า“คุณหญิงน้อยแบบนี้สวยจริงๆเลยค่ะ ลงไปชั้นล่างให้คุณชายเฉินดูหน่อย!”
มู่น่อนน่อนมองดูในกระจก
ชุดราตรีร่างกายของเธอเป็นสีแดงฉูดฉาด บวกกับเดิมเธอก็มีผิวขาวเนียนอยู่แล้วราวกับว่ามันสามารถสะท้อนแสงได้
ผมหน้าม้าที่หน้าผากถูกหวีขึ้นไป เผยให้เห็นหน้าผากที่เรียบเนียน มีปอยผมเล็ก ๆ ตกลงมาที่แก้มทั้งสองข้าง ผมยาวตรงด้านหลังยังถูกทำให้เป็นลอนขนาดใหญ่ บวกลิปสติกสีแดงสดสีเดียวกับชุดราตรี ดูมีเสน่ห์มากยากจะใดเปรียบ
ตอนที่มู่น่อนน่อนมองแวบแรก ก็ตกใจเล็กน้อย
แต่หลังจากมองดูสักพัก ก็รู้สึกว่าไม่ได้ต่างอะไรจากปกติมากนัก ก็คือแต่งหน้าทำให้เธอดูโตขึ้นมีเสน่ห์มากขึ้นอีกนิด
ชุดราตรีต้องสวมรองเท้าส้นสูงจึงจะเข้ากัน มู่น่อนน่อนเมื่อก่อนไม่ค่อยได้ใส่รองเท้าส้นสูง ตอนลงไปชั้นล่างก็เกาะราวบันไดเดิน
ตลอดเวลาเฉินถิงเซียวนั่งอยู่ในห้องโถง ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงด้านหลัง ก็หันกลับไปมอง
มู่น่อนน่อนคาดหวังให้เขามองเล็กน้อย สไตลิสต์บอกว่าเธอแต่งแบบนี้สวยมาก เฉินถิงเซียวจะคิดว่าแบบนี้เธอสวยมากหรือเปล่า
ทันใดนั้น เฉินถิงเซียวมองเพียงแค่ไม่กี่วินาที ก็ละสายตาไปทางอื่น เดินมาประคองเธอ“ไม่ชินกับการใส่รองเท้าส้นสูง”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า“อืม เมื่อก่อนไม่ค่อยได้ใส่”
สไตลิสต์เลือกรองเท้าส้นสูงแปดเซนติเมตรให้เธอ บวกกับความสูงหนึ่งร้อยหกสิบเจ็ดของเธอ ตอนนี้ก็คือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้า
ส่วนเฉินถิงเซียวคือหนึ่งร้อยแปดสิบแปด ปกติความสูงทั้งสองต่างกันยี่สิบกว่าเซ็น แต่ตอนนี้มู่น่อนน่อนใส่รองเท้าส้นสูง ความสูงจึงไม่ได้ต่างกันกับเฉินถิงเซียวชัดเจนมากขนาดนั้น
เธอเปรียบเทียบความสูงชองตนเองกับเฉินถิงเซียวอย่างแปลกใจ
เฉินถิงเซียวกลับไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ เขาหันกลับมาถามสไตลิสต์ที่อยู่ด้านหลังเธอ“เปลี่ยนรองเท้าคู่หนึ่งให้เธอ ไม่เอารองเท้าส้นสูง”
สไตลิสต์ลำบากใจเล็กน้อย“แต่ถ้าไม่สวมรองเท้าส้นสูง ก็อาจจะดูไม่เข้ากันเท่าไหร่……”
เฉินถิงเซียวพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก“อย่างนั้นก็ไม่ไป”
“ฮะ”มู่น่อนน่อนถามด้วยสีหน้าตกตะลึงทันที “ไม่ไปไหน”
“ไม่ไปงานเลี้ยง สไตลิสต์บอกว่าจำเป็นต้องใส่รองเท้าส้นสูง คุณใส่ไม่ชิน”เฉินถิงเซียวก้มหน้าลงมามองเธอ สายตาและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงจัง
นี่มันเหตุผลอะไรกันแน่
ความคิดของคุณชายใหญ่เฉินช่างเปลี่ยนไปตามอำเภอใจ
“ฉันคิดว่าฉันไหวนะคะ”มู่น่อนน่อนพูดพลางเดินอ้อมเขาไปสองสามก้าว
ก็แค่ใส่ไม่ชินเท่านั้น ไม่ใช่ว่าไม่เคยใส่ ตอนที่เธอฝึกงานบริษัทก็ให้เธอใส่รองเท้าส้นสูง เธอก็เคยใส่มาแล้ว
เฉินถิงเซียวกระแอมเบาๆพูดว่า“อย่างนั้นเปลี่ยนชุด เปลี่ยนการแต่งหน้า”
ทันใดนั้นบรรดาสไตลิสต์ที่อยู่ด้านหลังก็หัวเราะออกมาเบาๆ มู่น่อนน่อนรู้สึกปลาบปลื้มใจทันที เข้าใจอะไรบางอย่าง ได้
บทที่148 อย่างนั้นแยกห้องกันนอนเถอะ!
มู่น่อนน่อนและเฉินเจียฉินซื้อข้าวของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตมากมาย
ครึ่งหนึ่งในนั้นคือขนมที่เฉินเจียฉินหยิบมา
เอาตามที่เขาพูด ก็ใกล้จะปิดเทอมแล้ว ปิดเทอมฤดูหนาวก็ต้องตักตวงความสุขเสียหน่อย
ตอนจ่ายเงิน มู่น่อนน่อนเพิ่งหยิบกระเป๋าสตางค์ ก็ถูกเฉินเจียฉินเอามือกดกลับไป“ช้อปปิ้งกับคุณชาย จะให้ผู้หญิงจ่ายได้ยังไงกัน ผมจ่ายเอง!”
มู่น่อนน่อน“……”
เมื่อก่อนเขาอยู่บ้านเช่าของเธอ เวลากินดื่ม เขาลืมไปหรือเปล่าว่าตนเองเป็นคุณชาย
เงินของเฉินเจียฉินได้มาจากการช่วยคนเขียนการบ้านและเล่นเกม และมันก็ยังคงเป็นงานที่หนักมากพอสมควร มู่น่อนน่อนเสียดายที่จะใช้เงินเขา แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจเฉินเจียฉินได้
คุณชายที่อยู่ในวัยหนุ่มผอมเหมือนกับลิงตัวหนึ่ง แต่เรี่ยวแรงมากมาย ขวางมู่น่อนน่อนอย่างไม่ลดละ เขาจ่ายเงินเองแล้ว
มู่น่อนน่อนได้แต่จำใจปล่อยไป ในเมื่อเป็นเงินแค่ไม่กี่ร้อย คราวหลังเธอค่อยซื้อของให้เฉินเจียฉินก็ได้
……
ตอนกลางคืน
มู่น่อนน่อนเพิงจะยกอาหารมาวางบนโต๊ะอาหาร ก็มองเห็นสีหน้าของเฉินถิงเซียวไม่ค่อยพอใจนักเดินเข้ามาที่ห้องอาหาร
มู่น่อนน่อนถามออกมาหนึ่งประโยค“เป็นอะไรไปคะ”
“คุณน้าบอกว่าคืนพรุ่งนี้จะจัดงานเลี้ยงอะไรสักอย่างที่โรงแรมจินติ่ง ให้ผมพาคุณไปร่วมงาน”มู่เจียเฉินไม่รู้โผล่มาจากไหน มาไขข้อสงสัยของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนมองเฉินเจียฉินอย่างกึ่งสงสัย ถามเฉินถิงเซียวว่า“งานเลี้ยงอะไร”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร นั่งลงที่หน้าโต๊ะอาหาร
“คุณไม่อยากไปเหรอ”สีหน้าท่าทางของเฉินถิงเซียวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่อยากไป
เฉินเจียฉินเข้ามากระซิบข้างหูเธอว่า“พี่เขาไม่อยากไปเจอคุณน้า”
เฉินเจียฉินกับพ่อของเขาเฉินชิงเฟิงไม่ค่อยลงรอยกัน มู่น่อนน่อนก็พอจะรู้สาเหตุอยู่บ้าง
แน่นอนว่าสาเหตุก็คือเกี่ยวข้องกับเรื่องแม่ของเฉินถิงเซียว
ส่วนรายละเอียดในนี้ มู่น่อนน่อนก็ไม่ค่อยแน่ใจแล้ว
กลับมาที่ในห้อง เฉินถิงเซียวยังมีสีหน้าเยือกเย็นอยู่แบบนั้น
มู่น่อนน่อนเดินไป ช่วยเขาแกะเนคไท“ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป เขาคงจะไม่บังคับคุณหรอก”
เฉินถิงเซียวโน้มตัวลง ให้ใกล้เคียงกับความสูงของมู่น่อนน่อน ให้เธอแกะเนคไทให้ตนได้อย่างถนัด
แต่ว่า ในขณะที่เข้าโน้มตัว สองแขนก็กลับโอบไปที่รอบเอวของเธออย่างเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ
มู่น่อนน่อนถลึงตาใส่เขาพูดอะไรไม่ถูก“ปล่อยมือ!”
เฉินถิงเซียวไม่เพียงไม่ปล่อยมือ ยังได้คืบจะเอาศอกเอามือเลื่อนขึ้นไปตามแผ่นหลังเธอ“เนคไทก็ช่วยผมแกะแล้ว เสื้อผ้าไม่ช่วยผมถอดด้วยเหรอ”
มู่น่อนน่อนผลักเขา “ฝันไปเถอะ!”
“งั้นผมช่วยคุณถอด”เฉินถิงเซียวพูดพลาง ใช้นิ้วยาวปาดจากท้ายทอยของเธอมาที่ด้านหน้า
เครื่องทำความร้อนในห้องทำงานได้อย่างเต็มที่มาก มู่น่อนน่อนพอเข้าประตูมาก็ถอดจนเหลือแต่เสื้อตัวเดียว นิ้วมือของเฉินถิงเซียวไล่ลงไปตามสาบเสื้อของเธอ ปลดกระดุมเสื้อของเธอทีละเม็ดอย่างคล่องแคล่ว
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าพอผู้ชายคนนี้ปิดประตู ความไร้ยางอายถึงขั้นที่ไม่มีใครเทียบได้แล้ว
……
เย็นวันเสาร์
มู่น่อนน่อนนั่งบนโซฟาในห้องโถง ช่างแต่งหน้า ช่างทำผม สไตลิสต์ยืนเรียงแถวอยู่ตรงหน้า
เขยิบไปด้านหลังเล็กน้อย คือชุดราตรีเรียงเป็นแถบ
“ใครให้พวกคุณเอามา”
“คุณชายเฉินค่ะ”
แม้ว่าในใจเธอจะรู้อยู่แล้วว่านอกจากเฉินถิงเซียวแล้ว ก็คงไม่มีใครคนอื่นส่งของพวกนี้มา แต่ก็ยังรู้สึกรำคาญเล็กน้อย
เมื่อคืนเธอถามเขาแล้วว่าจะไปงานเลี้ยงมั้ย เขาไม่ได้ตอบอะไร เธอคิดว่าเขาไม่อยากไป ก็เลยไม่ได้เอาเรื่องงานเลี้ยงมาใส่ใจอีกตอนนี้เขาให้คนส่งของพวกนี้มา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเตรียมไว้สำหรับงานเลี้ยง
แต่มู่น่อนน่อนกลับไม่ได้เตรียมตัวเอาไว้เลย
“คุณนายน้อย เวลามีไม่มากแล้ว คุณว่าพวกเราจะเริ่มลองชุดราตรีได้หรือยังคะ”ช่างทำผมเอ่ยถาม
“ไม่ต้องรีบ รออีกเดี๋ยว”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาเฉินถิงเซียว
ตอนที่เธอหยิบโทรศัพท์มือถือมานั้นเอง เฉินถิงเซียวก็โทรมา
มู่น่อนน่อนรับสาย แต่ไม่ส่งเสียงพูด
เฉินถิงเซียวที่อยู่ปลายสายก็นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า“ลองชุดราตรีแล้วหรือยัง”
“ยัง”มู่น่อนน่อนมือหนึ่งถือโทรศัพท์ อีกมือดึงเล็บมือของตนเองอย่างเรื่อยเปื่อย น้ำเสียงฟังดูแล้วเนือยๆเล็กน้อย
แน่นอนว่าเฉินถิงเซียวฟังออกว่าเธอไม่ค่อยเต็มใจ
เขาดูเหมือนจะหัวเราะเยาะ พูดว่า“ก็คิดเสียว่าผมขอร้องคุณครั้งหนึ่งแล้วกัน ไปร่วมงานเลี้ยง ผมจะรับปากคำขอร้องคุณอย่างหนึ่ง”
ท่าทางดึงเล็บของมู่น่อนน่อนชะงักไปทันที ถามว่า“จริงเหรอ”
“อืม”เฉินถิงเซียวตอบ
มู่น่อนน่อนนั่งตัวตรง มุมปากกระตุก พูดว่า“งั้นก็——แยกห้องนอนกันเถอะ!”
“ไม่มีทาง”เฉินถิงเซียวปฏิเสธข้อเรียกร้องของเธอทันที
มู่น่อนน่อนพิงที่โซฟาอีกครั้ง เธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่มีทางรับข้อตกลงของเธอได้ง่ายๆ
“อย่างนั้นก็ไม่มีอะไรต้องคุย งานเลี้ยงฉันไม่ไป!”ใครจะไม่มีอารมณ์บ้าง
ต่อให้ตัดสินใจไปกะทันหัน อย่างไรก็ต้องแจ้งให้รู้ล่วงหน้าสักเล็กน้อย ขนเอาช่างแต่งหน้าทำผมมาถึงบ้านเป็นโขยงแบบนี้ ไม่ถามความเห็นเธอ ก็ตัดสินใจแทนเธอ!ใครให้อำนาจเขา
เขาให้เธอไป เธอก็ต้องไปหรือ
เฉินถิงเซียวเชื่อมั่นในตนเองไม่ผิด แต่ก็เที่ยววางอำนาจบีบบังคับมากเกินไป
แต่มู่น่อนน่อนกับเซียวชู่เหอไม่เหมือนกัน เธอไม่อาจทำแบบเซียวชู่เหอนั้นได้ ปล่อยให้มู่ลี่เหยียนจัดการชีวิตของเธอ ไม่เพียงไม่ขัดข้อง แต่ยังสนุกกับมันด้วย
มู่น่อนน่อนตัดสายทันที
เงยหน้าขึ้นมองช่างหน้าผมเสื้อผ้าที่ยืนเรียงเป็นแถว ก็พูดว่า“พวกคุณกลับไปเถอะ ของพวกนี้ฉันไม่ต้องการ”
……
เฉินถิงเซียวมองดูโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายในมือ ในตามีความตกตะลึงฉายวาบขึ้น
มู่น่อนน่อนกล้าตัดสายเขาเหรอ
แม้ว่าการที่เขาจู่ๆก็ตัดสินใจให้มู่น่อนน่อนไปร่วมงานเลี้ยง เธออาจจะไม่พอใจเล็กน้อย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเธอจะยืนหยัดหนักแน่นขนาดนี้
ช่างอยู่เกินความคาดเดาของเขาจริงๆ
งานเลี้ยงเริ่มเวลาสองทุ่ม ตอนนี้หกโมงแล้ว ยังมีเวลาอีกสองชั่วโมงก็จะเริ่มแล้ว
เวลาเหลือไม่นาน เฉินถิงเซียวหยิบเสื้อคลุมขึ้นมา ลุกขึ้นยืนเดินออกไปข้างนอก
กู้จือหยั่นอุ้มกองเอกสารกองหนึ่งเข้ามา เห็นเฉินถิงเซียวจะไป ก็รีบไปขวางเขาไว้“คุณจะไปไหน ของพวกนี้ยังทำไม่เสร็จเลยนะ!”
วันเสาร์ใครอยากจะทำงานล่วงเวลากัน ถ้าไม่ใช่เพราะงานค่อนข้างยุ่ง เขาก็ไม่มา
“ที่เหลืออยู่ไม่เยอะแล้ว คุณจัดการอีกนิด”เฉินถิงเซียวตบที่ไหล่ของกู้จือหยั่น พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า“ถ้าหากเร่งมือหน่อย อาจจะได้กลับบ้านก่อนเที่ยงคืน”
“????”ทำไมน้ำเสียงของเฉินถิงเซียวฟังดู เหมือนกับกำลังบอกว่าการทำงานล่วงเวลาในวันเสาร์ได้กลับบ้านก่อนเที่ยงคืนนั้นถือว่าเร็วมาก
กู้จือหยั่นเกือบจะร้องไห้แล้ว“เหี้ย ตกลงว่านี่บริษัทใคร!”
เฉินถิงเซียวเดินไปถึงประตูแล้ว ค่อยๆหันกลับมาพูดว่า“ของคุณ”
กู้จือหยั่นโกรธจนพูดไม่ออก แต่ก็ไม่ได้โยนเอกสารลงบนพื้น แต่โยนลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ชี้ไปที่เฉินถิงเซียวพูดว่า“ฉันอยู่มานานขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยเห็นใครหน้าด้านเหมือนคุณเลย!”
“ชมเกินไปแล้ว”
กู้จือหยั่นเบ้ปาก หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเว็บไซต์ค้นหา พิมพ์ในช่องค้นหาว่า“ทำยังไงให้ผู้ชายที่มีความมานะบากบั่นเป็นพิเศษและไอคิวสูงกว่าคนทั่วไปคุกเข่าเรียกเขาว่าพ่อ
บทที่ 147 คนที่ฉลาดที่สุดคนนั้น
ถึงแม้ว่ามู่เจิ้งซิวจะไม่ได้อยู่ที่บ้านตระกูลมู่มานานหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังมีสิทธิ์และอำนาจเต็มที่ในบ้าน
ตอนกินข้าว ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ
พอกินข้าวเสร็จ เฉินถิงเซียวก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า“พวกเรายังมีงานต้องทำ ขอตัวก่อนนะครับ”
มู่น่อนน่อนแปลกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวจะจากไปเร็วขนาดนี้
มู่เจิ้งซิวได้ยินดังนั้น เงยหน้ามองหน้าเขา“พวกคุณไปก่อนเถอะ”
เห็นชัดว่ามู่เจิ้งซิวกับเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้พูดคุยกันกี่ประโยค แต่มู่น่อนน่อนกลับรู้สึกว่า พวกเขาดูเหมือนคุยกันมานานมากอย่างบอกไม่ถูก
เฉินถิงเซียวพามู่น่อนน่อนที่ยังคงงุนงงออกจากบ้านตระกูลมู่
กลับมาที่ในรถ มู่น่อนน่อนยังดูมีสีหน้าสับสน
“คุณกับคุณปู่ฉัน พวกคุณมีอะไรกัน”เธอดูการปะทะกันด้วยความเงียบดีกว่าใช้เสียงของยอดฝีมือไม่ออกเลย
“เขาต้องมาหาผม”เฉินถิงเซียวมุมปากยกขึ้น รอยยิ้มเย็นเยือก
มู่เจิ้งซิวจะไปหาเฉินถิงเซียวหรือไม่ มู่น่อนน่อนไม่รู้ แต่มู่เจิ้งซิวไม่นานก็มาหามู่น่อนน่อนแล้ว
……
วันต่อมาเป็นวันศุกร์
มู่น่อนน่อนไปที่บริษัทแต่เช้า ก็ได้ยินพวกเขาบอกว่าผู้จัดการเก่ามานั่งอยู่ที่บริษัทพักนึ่งแล้ว
มู่น่อนน่อนเพิ่งนั่งลง ก็ได้รับโทรศัพท์จากมู่หวั่นขี
น้ำเสียงของเธอไม่เต็มใจนัก“คุณปู่ให้เธอมาพบที่ห้องทำงาน”
เธอพูดจบก็วางสายเลย
มู่น่อนน่อนไปที่ห้องทำงานท่านประธาน จึงพบว่าตอนนี้มู่ลี่เหยียนและมู่หวั่นขีก็อยู่ด้วย
ดูแล้วมู่เจิ้งซิวก็คงไม่ได้เรียกเธอมาแค่คนเดียว
แต่ว่า สีหน้าของมู่ลี่เหยียนและมู่หวั่นขีต่างก็ไม่สู้ดีนัก
สีหน้ามู่ลี่เหยียนแย่มาก หน้าตาบูดบึ้งดูก็รู้ว่าถูกใส่อารมณ์มา ดูแล้วคงถูกมู่เจิ้งซิวดุด่ามา
และมู่หวั่นขีรู้สึกได้ว่ามู่น่อนน่อนกำลังมองเธออยู่ เธอถลึงตาใส่มู่น่อนน่อนอย่างไม่สบอารมณ์ทันที
มู่เจิ้งซิวไม่เห็นการกระทำของพวกเธอ เรียกให้มู่น่อนน่อนนั่งลง“น่อนน่อน นั่งสิ”
นี้ยิ่งทำให้ในใจมู่น่อนน่อนมีความประหลาดใจมากขึ้น
มู่ลี่เหยียนและมู่หวั่นขีต่างก็ยืนอยู่ มู่เจิ้งซิวให้เธอนั่งลงเพียงคนเดียว
“อย่าไปสนใจพวกเขา เธอนั่งลง ปู่จะถามเธอหน่อย ”ตอนที่สายตาของมู่เจิ้งซิวมองไปที่มู่ลี่เหยียน สบถออกมาอย่างไม่พอใจว่า“ไอ้ลูกไม่เอาไหน!”
เขาพูดขนาดนี้แล้ว มู่น่อนน่อนได้แต่นั่งลง
“อยู่ที่บ้านตระกูลมู่หลายปีมานี้ ลำบากคุณแล้ว เรื่องที่พวกเขาทำ ฉันรู้หมดแล้ว”พอมู่เจิ้งซิวเอ่ยปาก กลับพูดคำพูดแบบนี้
นี่ทำให้มู่น่อนน่อนรับมือไม่ทัน
เธอคาดเดาความคิดของมู่เจิ้งซิวไม่ถูก ได้แต่พูดไปตามที่เขาพูด “ไม่มีอะไรค่ะ ต่างก็เป็นคนในครอบครัว ไม่มีอะไรที่ทำผิดต่อกันหรอกค่ะ”
เธอไม่แน่ใจว่าคำพูดที่มู่เจิ้งซิวพูดนั้นหมายความว่าอะไร ดังนั้นจึงไม่ได้พูดความในใจ
มู่เจิ้งซิวส่ายหน้า“ตอนที่ปู่ไปเธอยังเด็ก แต่คิดไม่ถึง เธอกลับเป็นคนที่ฉลาดที่สุด ในเด็กสามคนนั้น”
ฉลาดที่สุด……
มู่น่อนน่อนก้นบึ้งหัวใจกระตุกวูบ กังวลเล็กน้อย
หรือว่ามู่เจิ้งซิวจะรู้อะไรมาแล้ว
“พี่ชายกับพี่สาวต่างก็เป็นคนเก่ง หนูสู้พวกเขาไม่ได้หรอกค่ะ”มู่น่อนน่อนหลุบตาลง ไม่กล้าไปสบตามู่เจิ้งซิว
“น่อนน่อนเป็นเด็กถ่อมตัว”จู่ๆมู่เจิ้งซิวก็ยิ้มขึ้นมา ยกมือขึ้นโบกเล็กน้อย พูดว่า“ลี่เหยียนและหวั่นขีพวกเธอสองคนออกไปก่อน”
“ครับ”
มู่หวั่นขีแม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็ทำได้แค่เดินออกไปก่อน
ก่อนจะออกไป เธอยังไม่ลืมที่จะถลึงตาใส่มู่น่อนน่อนอย่างดุร้าย
เมื่อก่อนคุณปู่รักเธอที่สุดเลย เมื่อครู่คุณปู่ไม่เพียงว่าเธอ ตอนนี้ยังพูดจาชื่นชมมู่น่อนน่อนนางผู้หญิงอัปลักษณ์คนนั้นอีก!
……
รอให้ภายในห้องเหลือเพียงแค่มู่น่อนน่อนและมู่เจิ้งซิวสองคน มู่เจิ้งซิวจึงได้มีสีหน้าจริงจังพูดว่า“เมื่อก่อนนี้ดูไม่ออกเลยว่าหลานจะเป็นเด็กที่กล้าหาญขนาดนี้ ถึงขั้นกล้าให้ปาปารัสซี่มาทำข่าวที่โรงงานของบ้านตัวเอง ผ่านปัญหาความวุ่นวายมากมายขนาดนั้นสุดท้ายก็ยังมั่นคงปลอดภัยดี ”
ในใจมู่น่อนน่อนตกใจวูบ ที่แท้มู่เจิ้งซิวก็รู้แล้ว!
ที่มู่ลี่เหยียนไม่ได้สงสัยเธอ ก็เพราะในอดีตตอนที่เธออยู่ในบ้านตระกูลมู่หลายปีนั้นเธอแสร้งทำเป็น“คนโง่”คนหนึ่ง จุดนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มู่ลี่เหยียนเป็นอัมพาต
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งก่อนเรื่องที่โรงงาน เป็นเพราะมู่น่อนน่อน“ขอร้อง”เฉินถิงเซียวให้ช่วยแก้ปัญหาให้ตระกูลมู่ มู่ลี่เหยียนก็จะยิ่งไม่สงสัยในตัวเธอแล้ว
แต่มู่เจิ้งซิวไม่เหมือนกัน เขาเป็นคนฉลาด อยู่ที่ตระกูลมู่ไม่นาน แน่นอนว่ามองแวบเดียวก็ดูออกถึงความแปลกประหลาดของเรื่องนี้
“นี่คุณปู่กำลังโทษว่าหนูให้ปาปารัสซี่มาถ่ายที่โรงงานเหรอคะ”ในเมื่อมู่เจิ้งซิวพูดอย่างตรงไปตรงมา เธอก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรแล้ว
ทุกคนต่างพูดอย่างเปิดเผย ก็ดี
“หลานรู้มั้ยว่าเพราะเรื่องของโรงงาน ทำให้บริษัทตระกูลมู่เสียหายไปเท่าไหร่”
“แต่ว่า หนูก็แค่อยากจะใช้โอกาสนี้ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลมู่โด่งดังเป็นที่พูดถึงขึ้นมาอีกเท่านั้น ต่อมาเฉินถิงเซียวก็มาช่วยตระกูลมู่ให้ผ่านอุปสรรคไปได้ และชื่อเสียงของตระกูลมู่ก็เกิดขึ้นมาอีก คนที่มาร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทตระกูลก็เพิ่มมากขึ้น”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตนเองโกหกหน้าตายเก่งขึ้นเรื่อยๆแล้ว
ถูกคนชมว่าฉลาดเป็นเรื่องที่น่าดีใจ แต่หากอีกฝ่ายมีเจตนาไม่ดี ก็ได้แต่แสร้งโง่
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า มู่เจิ้งซิวมาด้วยเจตนาที่ไม่ดี
สัมผัสที่หกของคนเรา เป็นสิ่งที่แม่นยำและก็มหัศจรรย์เป็นอย่างมาก
มู่เจิ้งซิวค่อยหรี่ตามอง เหมือนกับแยกแยะได้ว่าคำพูดของเธอนี้ออกมาจากใจจริงหรือว่าเสแสร้ง
มู่น่อนน่อนค่อยๆเบิกตาให้โตขึ้นอีกนิด เม้มปาก ทำให้ตนเองซื่อไร้เดียงสา
ไม่นานมู่เจิ้งซิวส่งเสียงฮึ่มเย็นชา โบกมือแล้วพูดว่า“ออกไปเถอะ”
“อ่อ”
มู่น่อนน่อนได้ยินก็ลุกขึ้นแล้วก็เดินออกไปด้านนอก เดินมาได้สองสามก้าว จู่ๆเธอหันกลับไปมองมู่เจิ้งซิว“คุณปู่คะ ตกลงคุณปู่เรียกหนูมาด้วยเรื่องอะไรเหรอคะ”
“ไม่มีอะไร ไปเถอะ”น้ำเสียงของมู่เจิ้งซิวรำคาญเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับว่าแทบจะจนรอให้มู่น่อนน่อนหายสาบสูญไปไม่ไหว
สีหน้าของมู่น่อนน่อนสลดลงไป หมุนตัวเดินออกไปทันที
ต่อให้มู่เจิ้งซิวจะดีกับเธอมากว่าคนอื่นในตระกูลมู่เล็กน้อย แต่เขาก็เป็นคนตระกูลมู่ คนตระกูลมู่ดูเหมือนจะเกลียดเธอเข้ากระดูก
มู่เจิ้งซิวยังเพิ่งจะบอกกับเธอเมื่อครู่ว่าหลายปีมานี้เธอถูกเลือกปฏิบัติตอนอยู่ที่ตระกูลมู่ หลังจากหันหน้าไปถามเรื่องโรงงานแล้ว ก็ออกคำสั่งไล่มู่น่อนน่อนอย่างรำคาญทันที
เมื่อบรรลุวัตถุประสงค์แล้วก็ไม่ชักช้ารีรออีกต่อไป
ตอนบ่าย มู่เจิ้งซิวเริ่มเรียกประชุมผู้บริหารระดับสูง มาหารือเกี่ยวกับนโยบายทางธุรกิจของบริษัทมู่ซื่อในตอนนี้พร้อมกัน
มู่หวั่นขีและมู่ลี่เหยียนต่างก็เข้าร่วม มู่น่อนน่อนไม่ได้ไป
เพราะมู่เจิ้งซิวไม่ได้เรียกมู่น่อนน่อน
อาจจะเป็นบททดสอบของมู่เจิ้งซิวทำให้เขารู้สึกว่ามู่น่อนน่อนโง่จริงๆ ดังนั้นจึงขี้เกียจจะไปสนใจเธออีก
เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าคนของตระกูลเฉินจะทำเรื่องอะไร ก็จะกำจัดให้ฉันออกไป
มู่น่อนน่อนเข้าใจข้อนี้ดีมาตลอด ดังนั้นจึงไม่ได้เสียใจอะไร
ไม่เข้าร่วมประชุมนั้น เธอก็ยังสามารถเลิกงานได้เร็วขึ้น ไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอกหรือ
……
เพราะว่าเป็นวันศุกร์ มู่น่อนน่อนจึงไม่ได้คิดจะตรงกลับบ้านในทันที จึงรอให้เฉินเจียฉินมาก่อนจากนั้นก็ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วยกัน,
พอเฉินเจียฉินขึ้นรถก็พูดว่า“ปิดเทอมแล้ว!”
“อะไรนะ”
“สัปดาห์หน้าก็ปิดเทอมแล้ว” เฉินเจียฉินที่อยู่เบาะหลัง สีหน้าตื่นเต้นดีใจ
มู่น่อนน่อนเตือนเขาอย่างใจร้ายว่า“ก่อนปิดเทอมยังมีสอบอีกนะ”
เฉินเจียฉินก็หายใจไม่ออกขึ้นมาทันที
บทที่ 146 คุณปู่มู่ไม่ได้พบกันนาน
เข้ามานั่งในรถ มู่น่อนน่อนชำเลืองมองเฉินถิงเซียวอยู่เป็นระยะ
เฉินถิงเซียวขับรถมองทางข้างหน้าอย่างไม่ละสายตา แต่กลับเหมือนมีตาอยู่ที่ศีรษะ จู่ๆก็ถามเธอว่า“มองผมทำไม”
“เปล่า……”มู่น่อนน่อนรีบหันหน้าไป
เธอรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนที่เก่งมากจริงๆ
หลังจากคุณปู่มู่กลับประเทศมาแล้ว คนตระกูลมู่อาจจะโทรเรียกมู่น่อนน่อนกลับพบกินข้าวด้วยกัน แต่ไม่แน่ว่าจะเป็นกลางวันนี้ อีกอย่างต่อให้เดาถูก ก็น่าจะต้องโทรมาถามให้แน่ใจหน่อยมั้ย
แต่เฉินถิงเซียวกลับตรงมาทันที พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้มีความลังเลสงสัยเลย เขาแทบจะไม่คิดว่าตนเองอาจจะคาดเดาผิด
เขาช่างเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองจริงๆ
……
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงบ้านตระกูลมู่
คนรับใช้ที่คอยเฝ้าประตูพอเห็นมู่น่อนน่อน ก็โน้มตัวคารวะทักทายอย่างนอบน้อม“คุณหนูสาม”
มู่น่อนน่อนเดินนำเฉินถิงเซียวเข้าไปข้างในทันที
ภายในห้องโถงโล่งว่างไม่มีใคร ทางห้องครัวมีเสียงพูดคุยกัน
“น่อนน่อน!ลูกกลับมาแล้ว!”
เซียวชู่เหอเดินออกมาจากทางห้องครัวนั้น พอเห็นมู่น่อนน่อน เธอก็ยิ้มตาหยีขึ้นมา
มู่น่อนน่อนเรียกด้วยเสียงเรียบๆว่า“แม่”
หลังจากเซียวชู่เหอเดินเข้ามาแล้ว มองเห็นเฉินถิงเซียวที่อยู่ด้านหลังมู่น่อนน่อน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเลย
เธอชำเลืองมองเฉินถิงเซียว ลากมู่น่อนน่อนเดินไปข้างๆอย่างบีบบังคับ“น่อนน่อนลูกพาเขากลับมาทำอะไร นี่ลูกไม่ใช่ว่าสร้างความเดือดร้อนเหรอ ลูกกับเขา……”
เซียวชู่เหอดูเหมือนจะรู้สึกคำพูดต่อมากระดากอายที่จะพูด ชะงักเล็กน้อยจึงพูดว่า“ต่อให้ลูกกับเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา อย่างนั้นลูกไม่ควรจะพาเขากลับมาบ้านโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ดีแบบนี้ !นี้ถ้าให้เฉินถิงเซียวรู้เข้าจะทำยังไง!”
เฉินถิงเซียวรู้เข้าจะทำยังไง
ไม่รู้ ในเมื่อตัวเขาอยากมาเอง
“จะทำยังไงได้ รู้เข้าก็รู้ไปสิคะ!”มู่น่อนน่อนสีหน้าไม่แยแส
เซียวชู่เหอถึงตอนนี้ก็ยังคิดว่าเฉินถิงเซียวคือ“เฉินเจียฉิน”และมู่น่อนน่อนก็พาเขากลับมาด้วยอีก ก็ต้องคิดว่ามู่น่อนน่อนกับ“เฉินเจียฉิน”มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันแน่นอน
แต่ว่า ทัศนคติของเซียวชู่เหอไม่เหมือนกับเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อก่อนทุกครั้งที่เธอเห็นมู่น่อนน่อนอยู่กับ“เฉินเจียฉิน”ก็จะดุด่าว่าเธอ ครั้งนี้น้ำเสียงแม้จะไม่ค่อยยอมรับ แต่กลับแค่เป็นห่วงว่าจะถูกเฉินถิงเซียวรู้เข้าเท่านั้น
การเปลี่ยนทัศนคติอย่างกะทันหันแบบนี้ชวนให้อยากรู้จริงๆ
มู่น่อนน่อนไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเซียวชู่เหอเรื่องนี้อีกต่อไป ถามทันทีว่า“คุณปู่ล่ะคะ”
เธอและเฉินถิงเซียวต่างก็อยากพบคุณปู่มู่
“อยู่ในห้องหนังสือชั้นบน แม่พาลูกขึ้นไป”เซียวชู่เหอพูดพลาง เดินขึ้นไปชั้นบน
เดินไปได้ไม่ถึงสองก้าว เธอหันกลับมามอง“เฉินเจียฉิน”ยังคงเดินตามมู่น่อนน่อนมาด้านหลัง สีหน้าค่อยๆเปลี่ยนไป“น่อนน่อน ลูก……”
ดูเหมือนว่ามู่น่อนน่อนจะอ่านความคิดของเซียวชู่เหอไม่ออก แกล้งถามทั้งที่รู้ว่า“ทำไมเหรอคะ”
เซียวชู่เหอกลับอึกอักพูดไม่ออกเล็กน้อย“คุณเฉินดื่มน้ำชารออยู่ที่ในห้องโถงเถอะค่ะ น่อนน่อนแค่อยากจะขึ้นไปพบคุณปู่เท่านั้น ไม่นานก็ลงมา”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะขึ้นไปพร้อมกับเธอ”เฉินถิงเซียวพูดออกมาอย่างเรียบๆ
จากนั้นเขาก็ยื่นมือมาดึงมู่น่อนน่อน ตามขึ้นไปที่ชั้นบน
บ้านของตระกูลมู่เป็นบ้านที่คุณปู่มู่ซื้อที่ดินแล้วสร้างเองตั้งแต่แรก ห้องค่อนข้างใหญ่ ห้องชั้นสองมีมากมาย
เฉินถิงเซียวถามเธอว่า“ห้องหนังสือของคุณปู่คุณคือห้องไหน”
แม้ว่าคุณปู่มู่จะอาศัยอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน แต่ห้องหนังสือของเขาที่บ้านตระกูลมู่ กลับรักษาไว้เป็นอย่างดีมาตลอด พอได้เวลา ก็ให้คนรับใช้ไปทำความสะอาด
“ก็คือห้องนี้”
มู่น่อนน่อนพาเฉินถิงเซียวมาถึงหน้าประตูห้องหนังสือของคุณปู่มู่ เธอสบตากับเฉินถิงเซียว แล้วก็ยื่นมือไปเคาะประตู
ไม่นานก็มีเสียงชราแต่กลับมีพลังเสียงหนึ่งดังออกมาจากภายในห้อง“เข้ามา”
มู่น่อนน่อนผลักประตูเข้าไป ผมเห็นคุณปู่มู่ยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือและพลิกดูหนังสือในมือ
คุณปู่มู่ชื่อมู่เจิ้งซิว เขาเป็นคนกลุ่มแรกที่ลงทะเลเพื่อทำธุรกิจในศตวรรษที่ผ่านมา
มีกล้าหาญ มีความรู้ แต่แน่นอนว่ากลับไม่มีหัวในทางการค้า
ดูออกเลยว่า หลายปีที่ผ่านมานี้เขาดูแลตัวเองเป็นอย่างดี แม้ผมจะเปลี่ยนเป็นบางมากแล้ว แต่กลับหวีเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สวมแว่นสายตายาว สวมเสื้อเชิ้ตและเสื้อกั๊กที่สวยสง่า ทั้งตัวมองดูแล้วเหมือนเป็นศาสตราจารย์อาวุโสในมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง
มู่น่อนน่อนไม่มีความทรงจำอะไรกับมู่เจิ้งซิวเลย ตอนนี้เห็นเขายืนอยู่ตรงหน้า ในที่สุดในสมองก็มีความตระหนักรู้ถึง“คุณปู่”คนนี้
เธอเรียกเนิบๆว่า:“คุณปู่”
ได้ยินเสียงของเธอ มู่เจิ้งซิวจึงได้เงยหน้าขึ้นมามองเธอ
แม้ว่าเขาจะอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว แต่ดวงตาคู่นั้นของเขายังคงแหลมคมยิ่งนัก
แววตาที่เขามองมู่น่อนน่อนมีความแปลกหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เหมือนจะคิดใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ พูดออกมาว่า“คือเจ้าสามเหรอ เจ้าสามใช่มั้ย น่อนน่อนเหรอ”
เสียงเรียก“เจ้าสาม”นี้ ฟังดูสนิทสนมใกล้ชิดกันขึ้นมาอย่างประหลาด
มู่น่อนน่อนพยักหน้า“คุณปู่ คือหนูเองค่ะ”
“ตอนปู่ไป หลานยังตัวเล็กเท่านี้อยู่เลย”มู่เจิ้งซิวพูดพลาง ทำมือเปรียบเทียบกับความสูงของโต๊ะ“ไม่ทันไร หลานก็โตขนาดนี้แล้วเหรอ”
เขาเดินอ้อมโต๊ะหนังสือตรงไปทางมู่น่อนน่อน น้ำเสียงปลาบปลื้มตื่นตันอยู่ไม่น้อย
ตอนนี้ เขาจึงได้สังเกตเห็นเฉินถิงเซียวที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่น่อนน่อน
ดวงตาของมู่เจิ้งซิวหดหรี่เล็กลง สีหน้าค่อยๆเปลี่ยนไป
เฉินถิงเซียวก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว ยืนอยู่ห่างจากมู่เจิ้งซิวใกล้เข้ามายิ่งขึ้น ทำให้มู่เจิ้งซิวเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ค่อยๆพูดออกมาเบาๆ“คุณปู่มู่ ไม่ได้พบกันนานนะครับ”
สีหน้าของมู่เจิ้งซิวแทบจะเปลี่ยนไปเลย สุดท้ายก็กลับมาสงบนิ่งดังเดิม เอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจว่า“คุณคือ……เฉินถิงเซียว?”
“ครับผมเอง”เฉินถิงเซียวกระตุกมุมปาก บนใบหน้ากลับไม่เห็นรอยยิ้มแม้แต่น้อย
บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนมาเป็นอึดอัดภายในชั่วพริบตา
มู่น่อนน่อนคิดไม่ถึงเลยว่ามู่เจิ้งซิวจะรู้จักเฉินถิงเซียวด้วย
“คุณ……”
มู่เจิ้งซิวกำลังเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็มีเสียงคนรับใช้ดังเข้ามาจากด้านนอก“คุณท่าน ได้เวลาทานข้าวแล้วค่ะ”
“ไปกินข้าวก่อน”มู่เจิ้งซิวชำเลืองมองไปที่เฉินถิงเซียวอีก จากนั้นหมุนตัวเดินออกจากประตูไปข้างนอก
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียว ตามกับเขาที่ด้านหลัง ถามเขาว่า“คุณกับคุณปู่ฉันเคยพบกันมาก่อนเหรอ ท่านยังจำคุณได้เหรอ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ปฏิเสธอะไร แต่กลับตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า“อืม”
……
ตอนที่กลุ่มของมู่น่อนน่อนเดินมาถึงห้องอาหาร คนตระกูลมู่อีกสามคนก็นั่งรออยู่ที่หน้าโต๊ะอาหารแล้ว
มู่หวั่นขีเห็นมู่น่อนน่อนพา“เฉินเจียฉิน”กลับมาที่บ้านตระกูลมู่อย่างออกหน้าออกตา ก็หัวเราะเยาะแล้วพูดว่า“น่อนน่อน วันนี้เป็นวันที่พวกเราคนตระกูลมู่กินข้าวด้วยกัน เธอพาคนนอกกลับมาด้วยทำไม”
แม้ว่า“เฉินเจียฉิน ”จะหน้าตาไม่เลว แต่เขากลับไม่เคยสนใจเธอเลย ตอนนี้เธอถูกชอบพอกับซือเฉิงหยู้แล้ว รู้สึกว่าซือเฉิงหยู้สถานะสูงกว่า“เฉินเจียฉิน”เล็กน้อย แน่นอนว่าก็ไม่เห็น“เฉินเจียฉิน”อยู่ในสายตา
ไม่รอให้มู่น่อนน่อนพูด มู่เจิ้งซิวก็เงยหน้าขึ้นมาเหล่มองมู่หวั่นขีอย่างเยือกเย็น
แม้มู่เจิ้งซิวจะรักและเอ็นดูมู่หวั่นขีสองคนพี่น้อง แต่กลับไม่ได้ตามใจพวกเขาอย่างไร้สมองเหมือนกับมู่ลี่เหยียน เขาค่อนข้างจะดุกว่าเล็กน้อย
มู่หวั่นขีเองก็กลัวเขา รีบก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไรอีก
บทที่ 145 คนบางคนที่หมายถึงคนตระกูลเฉิน
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้น ก็ปล่อยมือจากเธอ
เขาถอยออกมาครึ่งก้าวมองไปที่เธอ“แต่พวกเขาสมควรตาย”
“คุณพยายามทำทุกวิถีทางบีบให้คุณปู่ของฉันกลับมา ก็เพื่อที่จะฆ่าคุณปู่ฉันใช่มั้ย”ก้นบึ้งหัวใจของมู่น่อนน่อนเจ็บปวดเล็กน้อย
เธอหลงคิดไปเองว่าตนเองก็พอจะมีตัวตนอยู่บ้างในใจของเฉินถิงเซียว แต่คำพูดของเฉินถิงเซียวกลับปฏิเสธความคิดของเธอไปแล้ว
“ไม่มีทาง”เฉินถิงเซียวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า“ผมไม่มีทางลงมือกับคุณปู่คุณแน่นอน เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคดีนั้น เขาก็แค่คนที่ถูกตระกูลเฉินซื้อตัวไว้เท่านั้น”
“อย่างนั้นที่คุณบีบเขากลับมาตกลงคุณคิดจะทำอะไรกันแน่”
มู่น่อนน่อนไม่ค่อยเข้าใจเฉินถิงเซียวนัก แต่กลับเข้าใจเรื่องหนึ่งเป็นอย่างดี
แม่ของเฉินถิงเซียวตอนนั้นถูกคนพวกนั้นข่มขืนจนตาย และพ่อของเถาปิงก็รู้เรื่องนี้ มีความเป็นไปได้ว่าเหตุเพราะความบังเอิญ เขาเองก็เข้าร่วมอยู่ในนั้นด้วย
โลกใบนี้ไม่ใช่สีดำก็ต้องเป็นสีขาวมาแต่ไหนแต่ไร มู่น่อนน่อนไม่รู้จะประเมินการกระทำของเฉินถิงเซียวว่าอย่างไร
แต่ เธอยังรู้สึกสงสารเห็นใจเขานิดหน่อย
แม่ที่เป็นคนเก่งโดดเด่นขนาดนั้น หากแม่เขายังอยู่ วันนี้เฉินถิงเซียวก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้แน่นอน
เขาต้องเป็นคนที่ผู้ชายทุกคนยกย่องชื่นชมในนิตยสารทางธุรกิจการเงิน เป็นผู้ชายที่ทำให้ผู้หญิงทุกคนบ้าคลั่ง
แต่ว่า เพราะเรื่องแม่ของเขา สิ่งที่เขาทำทั้งหมดในช่วงครึ่งแรกของชีวิตก็เพียงเพื่อค้นหาผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังคดีลักพาตัว
มีชีวิตอยู่ในความเคียดแค้นและรู้สึกผิด ต่อให้เขาจะมีสถานะสูงส่งแค่ไหน มีอำนาจยิ่งใหญ่เพียงใด เขาก็ไม่มีความสุข
“ทำไมคนตระกูลเฉินต้องให้เขาเดินทางไปต่างประเทศด้วย เพราะเขาอยู่ในประเทศทำให้คนพวกนั้นรู้สึกไม่สบายใจเหรอ”เฉินถิงเซียวชะงักไปเล็กน้อย พูดต่อไปว่า“พอเขากลับมา มีบางคนอาจจะนั่งไม่ติด”
เฉินถิงเซียวไม่รู้ว่านึกอะไรได้ กระตุกมุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้ม
แต่ว่า รอยยิ้มนั้น ไม่ได้ออกมาจากดวงตา ที่มีความเย็นชากระหายเลือดแฝงอยู่
ที่ทำให้มู่น่อนน่อนกลัวจนขนลุกซู่ไม่ใช่รอยยิ้มของเฉินถิงเซียว แต่เป็นคำพูดของเขา
“ที่คุณพูด ‘คนบางคน’หมายถึงคนตระกูลเฉินเหรอ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตนเองต้องเข้าใจอะไรผิดไปแน่ๆ
แต่ว่า รอยยิ้มที่ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆของเฉินถิงเซียวบอกเธอว่า คำพูดของเฉินถิงเซียวเป็นเรื่องจริงจัง
มู่น่อนน่อนจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้สิ่งที่มู่หวั่นขีทำในตอนแรก แม้ว่าเธอจะยังคงตกใจ แต่เธอก็ไม่สงสัยอีกต่อไป
……
วันต่อมา
มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมา หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วยความเคยชิน ก็พบว่าพบว่าแพลตฟอร์มหลักและหน้าเว็บทั้งหมดถูกเหตุการณ์การกลับประเทศของคุณปู่มู่กลบไปทั้งหมดแล้ว
มีข่าวเศรษฐกิจ และก็มีข่าวบันเทิง
ทันใดนั้น ก็คึกคักขึ้นมาอย่างมาก
สิบห้าปีก่อน คุณปู่มู่ถือว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงของเมืองหู้ไห่ รู้จักผู้คนกว้างขวาง หลายคนมีเงินมีอำนาจมากกว่าเขา ก็ยอมที่จะคบหากับเขา
แต่ว่า ในตอนที่ตระกูลมู่กำลังเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด จู่ๆคุณปู่มู่กลับเดินทางไปต่างประเทศ
พอไปต่างประเทศครั้งนี้ก็เป็นเวลาสิบห้าปี ตอนนี้จู่ๆก็กลับมา สร้างความสนใจให้กับสื่อต่างๆก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก
แต่สามารถทำให้สื่อมากมายหลายแห่งแย่งกันนำเสนอข่าวของเขา กลับดูมากเกินความพอดีไปบ้าง
เฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างๆก็ตื่นขึ้นมา
เมื่อคืนเขานอนโอบกอดเธอหลับไป เมื่อครู่หลังจากที่มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมา ก็เอามือของเขาออก ค่อยๆเขยิบไปข้างๆเตียง ตอนนี้ในอ้อมกอดเขาคือความว่างเปล่า
เฉินถิงเซียวสีหน้าไม่พอใจ เอาตัวมู่น่อนน่อนเข้าไปในอ้อมกอดอีกครั้ง เอาคางกดไว้ที่ศีรษะของเธอ สายตามองปราดมาที่มือถือของเธอ พูดเสียงเรียบว่า“ผมให้คนทำ คิดว่าเป็นยังไงบ้าง”
น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความภาคภูมิใจ เหมือนเด็กที่ได้ทำอะไรบางอย่างที่ตัวเองคิดว่ายอดเยี่ยมกำลังขอคำชม
มู่น่อนน่อนหัวเราะเยาะ“คุณให้สื่อตีข่าวที่คุณปู่ฉันกลับประเทศทำไม”
เธอไม่ได้ฉลาดเหมือนเฉินถิงเซียว บางครั้งเธอก็ตามความคิดของเขาไม่ทัน
“ไม่มีอะไร ก็แค่ให้คนที่ควรจะรู้พวกนั้น รู้ว่าคุณปู่มู่กลับมาแล้ว”
เฉินถิงเซียวพูดจบ ทันใดนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเธอไป ดึงมือเธอเข้าไปในผ้าห่ม พูดด้วยเสียงแหบพร่าว่า “พวกเราสามารถทำอะไรที่สนุกได้”
มู่น่อนน่อนได้ยินความผิดปกติในน้ำเสียงของเขา แต่ก็สายเกินไป
มือของเธอถูกเฉินถิงเซียวควบคุมกดเอาไว้บนร่างกายของเขาตรงนั้น มือของเธอดูเหมือนจะละลายหายไปด้วยความร้อนที่แผดเผา
“ฉันต้องลุกไปทำงานที่บริษัท!”หน้าของมู่น่อนน่อนแดงขึ้นมาทันที
ตอนกลางคืนปิดไฟ ควรจะทำอะไรก็ทำ
ตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว ในห้องก็สว่างโล่ง เธอไม่ได้หน้าด้านเหมือนกับเฉินถิงเซียว
“อืม อย่างนั้นพวกเราก็รีบหน่อย ไม่อย่างนั้นก็จะสาย”
“ไม่……อื้อ……”
……
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่า สิ่งมีชีวิตอย่างผู้ชาย แม้ว่าโดยปกติดูแล้วสงบเยือกเย็น แต่บนเตียงก็เหมือนกันหมด—— ไร้ยางอาย
หลังจากที่ทั้งสองเสร็จภารกิจ ก็ใกล้ถึงเวลาทำงานแล้ว
หาโอกาสได้ยากที่ทั้งสองจะตื่นนอนล้างหน้าแปรงฟันพร้อมกัน
มู่น่อนน่อนนั่งแต่งหน้าที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เฉินถิงเซียวยืนอยู่ข้างๆเธอด้วยความสนใจ
เธอเร่งเขาอย่างอดไม่ได้“คุณเสร็จแล้วก็ไปก่อนเถอะ”
เฉินถิงเซียวกระตุกมุมปาก น้ำเสียงแผ่วเบาแฝงด้วยความอ่อนโยนอย่างจริงจังแบบที่หาได้ยากยิ่ง“คุณไม่แต่งหน้าก็สวยพออยู่แล้ว”
เขาชมเธอแบบนี้ จริงจังอย่างยิ่ง
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปไม่มองเขา“ตอนครั้งแรกที่คุณเจอฉัน ยังบอกว่าฉันน่าเกลียดมากเลย”
“ตอนก็ก็น่าเกลียด”เฉินถิงเซียวยอมรับตรงไม่มีลังเล
มู่น่อนน่อน“……”ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าปากอย่างเฉินถิงเซียวนี้ มีเธอมาแต่งงานกับเขา เขาก็โชคดีมากแล้ว
“แต่……”เฉินถิงเซียวเอ่ยปากพูดอีกว่า“น่าเกลียดขนาดนั้นก็ไม่ใช่ว่าจูบไปแล้วเหรอ เปลี่ยนเป็นเสิ่นชูหาน เขาจะจูบลงเหรอ”
มู่น่อนน่อนโต้แย้งเขาว่า“เพราะคุณมีรสนิยมประหลาด”
“ถึงผมจะรสนิยมแปลกกว่านี้อีก ก็ไม่ใช่ว่าผู้หญิงน่าเกลียดแบบไหนก็จะอยู่ในสายตาผมได้”น้ำเสียงแบบนี้ของเฉินถิงเซียวฟังดูแล้วมีความพอใจไม่น้อย
มู่น่อนน่อนกลับฟังแล้วหัวใจเต้นโครมคราม
ผู้ชายที่เย็นชาเวลาบอกรัก ก็ไม่ด้อยเลยสักนิด
……
ตอนที่ทั้งสองคนลงมาชั้นล่าง เฉินเจียฉินสะพายกระเป๋ายืนอยู่ในห้องโถงมองพวกเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
เขาส่ายหน้าพูดว่า“พวกคุณสองคนช่วงนี้นับวันยิ่งจะมากเกินไปแล้วนะ ตอนแรกก็พี่น่อนน่อนตื่นสาย ต่อมาตอนนี้ก็ตื่นสายพร้อมกันทั้งสองคนเลยเหรอ”
มู่น่อนน่อนยิ้มอย่างเขินๆ ไม่ได้พูดอะไร
เฉินถิงเซียวเหล่มองเฉินเจียฉินอย่างเย็นเยือก เขาหมุนตัวเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว และยังพูดด้วยว่า“อากาศยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนก็นอนตื่นสาย นี่มันเป็นเรื่องปกติ”
มู่น่อนน่อนไปบริษัท พบว่าวันนี้ มู่ลี่เหยียนและมู่หวั่นขีต่างก็ไม่ได้มาทำงาน
ตอนเที่ยง มู่น่อนน่อนรับสายของเซียวชู่เหอ
“น่อนน่อนคุณปู่เธอกลับมาแล้ว ตอนเที่ยงเธอกลับกินข้าวที่บ้านเถอะ”
มู่น่อนน่อนตอบรับทันที“ได้สิ”
เธอไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคุณปู่มู่จำได้ว่าคุณปู่มู่เป็นคนจิตใจดี เทียบกับคนอื่นในตระกูลมู่แล้ว คุณปู่มู่ถือว่าดีต่อเธอไม่น้อย
แต่ตอนนั้น เพราะงานของคุณปู่มู่ยุ่งมาก ข้างบนก็ยังมีมู่หวั่นขีสองคนพี่น้อง เขาจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมู่น่อนน่อนมากนัก
เธอเก็บโทรศัพท์ออกจากประตูใหญ่ของบริษัทตระกูลมู่ก็มองเห็นเฉินถิงเซียว
เขายืนพิงอยู่ข้างรถ ร่างสูงใหญ่กำยำ
“คุณมาได้ยังไง”มู่น่อนน่อนวิ่งเหยาะๆไป
“คนตระกูลมู่โทรหาคุณ ให้คุณกลับไปกินข้าวที่บ้าน”
“อืม”
“ผมไปกับคุณ”เฉินถิงเซียวพูดจบก็เปิดประตูรถ ผลักเธอเข้าไปในรถ
บทที่ 144 ฉันช่วยคุณได้
เสิ่นเหลียงเพิ่งจะจากไป เฉินถิงเซียวก็มาถึงพอดี
เขาขับรถเบนท์ลีย์รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นซึ่งว่ากันว่ามีมูลค่าหลายสิบล้าน มาหยุดที่ประตูห้างสรรพสินค้า ก็เป็นที่สะดุดตาของผู้คน
มู่น่อนน่อนรีบเปิดประตูและเข้าไปในรถ เร่งรัดเขาว่า“รีบไปเถอะ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ติดเครื่องยนต์ในทันที แต่กลับค่อยๆโน้มตัวมาช่วยเธอรัดเข็มขัดนิรภัย จากนั้นก็เอามือข้างหนึ่งเกาะที่เบาะนั่งเธอ อีกมือเกาะที่ประตูรถถามเธอด้วยท่าทางสนิทสนม“สีหน้าไม่ค่อยดี เสิ่นเหลียงพาคุณไปดูหนังอะไร”
มู่น่อนน่อนหดตัวไปด้านหลังด้วยความเคยชิน พูดว่า“หนังแฟนตาซี”
“เนื้อเรื่องเศร้ามากเลยเหรอ”
“เปล่า……”
“อย่างนั้นทำไมสีหน้าคุณถึงแย่แบบนี้ล่ะ”เฉินถิงเซียวพูดพลาง ยื่นมือไปแตะใบหน้าของเธอ
มู่น่อนน่อนหดถอยหลังตามสัญชาตญาณ มือของเฉินถิงเซียวจึงตกลงกลางอากาศ แข็งเกร็งค้างอยู่กลางอากาศ
บนใบหน้าของเขาไม่ได้มีสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่กลับเป็นความกดดันบางอย่างที่อธิบายไม่ได้พุ่งเข้ามาทำให้คนรู้สึกบีบคั้น นี่ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่สบายอย่างมาก
เส้นประสาทที่ตึงเครียดมาตลอดหลายวันนี้ ในที่สุดก็ขาดผึงในวินาทีนี้เอง
ใบหน้าของมู่น่อนน่อนคือความรู้สึกที่แหลกสลาย“การตายของพ่อเถาปิง เกี่ยวข้องกับคุณใช่หรือไม่”
เฉินถิงเซียวเงยหน้า ดวงตาดำขลับลึกล้ำเหมือนกับวังน้ำวนที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง เสียงของเขาทั้งทุ้มและเย็นชา“คุณยังเดาอะไรได้อีก”
“นี่คุณยอมรับแล้วเหรอ”มู่น่อนน่อนมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เสียงสั่นเครือเล็กน้อย
เธอไม่รู้จักเฉินถิงเซียวดีเลยจริงๆ
แม้ว่าตั้งแต่เล็กจนโตเธอจะไม่อยู่อย่างสุขสบายมากนัก แต่เรื่องที่เอาชีวิตคนมาบีบเอาไว้ในกำมือจนตายเหมือนเป็นของเล่นแบบนี้ กลับไม่อาจทำใจยอมรับได้ง่ายๆขนาดนั้น
ครั้งก่อนโจรสองคนที่จับเธอไปเรียกค่าไถ่ เดิมก็เป็นนักโทษหนีคดีอยู่แล้ว ถูกตำรวจจับกลับไปก็ต้องถูกยิงตาย ดังนั้นความรู้สึกของมู่น่อนน่อนจึงไม่ได้หนักใจอะไรมากขนาดนั้น
แต่ครั้งนี้ เฉินถิงเซียวด้วยความรวดเร็วขนาดนี้ ก็สามารถกำจัดพ่อของเถาปิงได้มู่น่อนน่อนรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นเล็กน้อย
“เขาสมควรตาย”เฉินถิงเซียวกระตุกริมฝีปาก ภายในรอยยิ้มแฝงความกระหายเลือด“ คนพวกนั้นสมควรตาย เถาจื้หลินไม่ใช่คนสุดท้าย”
พ่อของเถาปิงชื่อว่าเถาจื้หลิน
“คุณฉลาดขนาดนั้น คุณสามารถหาตัวคนร้ายได้ จากนั้นคุณก็ส่งพวกเขาให้ตำรวจ……”มู่น่อนน่อนกลัวเฉินถิงเซียวแบบนี้เล็กน้อย แต่กลับยังกล้าเกลี้ยกล่อมเขา
รอยยิ้มมุมปากของเฉินถิงเซียวยิ่งลึกมากขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาท่ามกลางแสงไฟสลัวเห็นความผิดปกติอย่างชัดเจน“ผมฉลาดเหรอ แต่สิบห้าปีผ่านไปแล้ว ผมก็ยังหาตัวคนร้ายไม่เจอเลย ดังนั้นผมได้แต่หาคนที่มีความเกี่ยวข้องทีละคน แล้วก็จัดการกำจัดทิ้งละคน”
มู่น่อนน่อนกำสองมือเอาไว้แน่นโดยไม่อาจควบคุมได้
เฉินถิงเซียวเขยิบเข้าใกล้เธอ แตะบนใบหน้าเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นก็กระซิบข้างหูเธอว่า“ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับวิธีของผม คุณไปแจ้งตำรวจได้”
มู่น่อนน่อนเกร็งไปทั้งตัว กัดริมฝีปากไม่ได้พูดอะไร ได้แต่เงยหน้าสบตากับเฉินถิงเซียว
แม้ว่าเธอจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเฉินถิงเซียว แต่ว่าเธอก็รู้ดีว่าตนเองไม่มีทางไปแจ้งตำรวจ
เกี่ยวกับเรื่องของแม่ เฉินถิงเซียวมีความเปราะบางเล็กน้อยอยู่แล้ว
ต่อให้เธอไปแจ้งตำรวจจริง ตำรวจจับตัวเฉินถิงเซียวไปได้ แต่เธอมั่นใจมากว่า ต่อให้เฉินถิงเซียวอยู่ในคุก เขาก็ยังสามารถหาวิธีฆ่าคนที่มีความเกี่ยวข้องกับคดีนั้นได้อยู่ดี
เฉินถิงเซียวมีความสามารถที่จะทำแบบนี้
ทันใดนั้น เฉินถิงเซียวสีหน้าขรึมลง น้ำเสียงแหบพร่าลงเล็กน้อย“นี่ยังอยู่ในรถ อย่ามองผมแบบนี้”
เขาชอบดวงตาคู่นี้ของมู่น่อนน่อนอย่างยิ่ง สดใสเย้ายวน
มู่น่อนน่อนรีบดึงสติกลับมา หันหน้าไปมองทางอื่น
……
พอกลับมาถึงคฤหาสน์ เฉินถิงเซียวก็พามู่น่อนน่อนไปที่ในห้องนอน ยึดเธอไว้ที่บานประตูแล้วจูบเธอทันที
เวลานี้มู่น่อนน่อนไม่มีกะจิตกะใจจะทำเรื่องแบบนี้กับเขา แต่ก็หนีไม่พ้น
เธอหาโอกาสอ้าปากพูด“หลายวันก่อนพ่อฉันไปต่างประเทศแล้ว อีกวันสองวันนี้ก็อาจจะกลับมาแล้ว”
การกระทำของเฉินถิงเซียวก็หยุดลง แต่กลับไม่ได้ปล่อยมู่น่อนน่อน“เขาไปต่างประเทศทำอะไร”
“คุณรู้แล้วยังจะถามอีก”มู่น่อนน่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก พูดว่า“คุณปู่คุณก็จะกลับมาแล้ว”
“จงใจบอกผมเรื่องนี้ทำอะไร”เฉินถิงเซียวก้มหน้าลงมาที่ริมฝีปากเธอ จุมพิตลงไป“เวลาแบบนี้ไม่ต้องคิดเรื่องพวกนี้”
“เพราะเรื่องนี้อยู่ในการควบคุมของคุณตั้งแต่แรก ดังนั้นต่อให้ฉันไม่บอกคุณ คุณก็รู้เรื่องนี้มานานแล้วใช่มั้ยคะ”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ปฏิเสธจุมพิตของเขา แต่ก็ไม่ได้ตอบสนอง
เฉินถิงเซียวปล่อยเธออย่างหมดอารมณ์“ในเมื่อรู้แล้ว ทำไมยังจงใจพูดเรื่องนี้ให้ผมไม่พอใจอีก”
มู่น่อนน่อนไม่ได้คิดว่าวิธีการตามหาตัวคนร้ายของเฉินถิงเซียวไม่ถูกต้อง เธอคิดว่าวิธีการของเขาไม่ค่อยถูกต้องนัก
เขาหดหู่เกินไป วิธีการก็โหดเหี้ยมเกินไป
แต่ว่า เธอไม่รู้สื่อสารกับเฉินถิงเซียวอย่างไร
เฉินถิงเซียวแทบจะไม่ฟังที่เธอพูดเลย ไม่มีทางยอมรับความคิดเห็นของเธอ
ผ่านไปพักใหญ่ มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงตนเองพูดขึ้นมาว่า“เฉินถิงเซียว คุณอยากจะตามหาคนร้ายตัวจริงที่จับตัวแม่คุณไปเรียกค่าไถ่ ฉันช่วยคุณได้”
“ช่วยผมเหรอ”เสียงของเฉินถิงเซียวเบาแทบจะไม่ได้ยิน
แม่เป็นเด็กสาวที่มีความสามารถมาจากครอบครัวที่มีความรู้และประเพณีวัฒนธรรมที่ดีงาม ในวัยแรกรุ่นเธอเป็นคนรักในความใฝ่ฝันของหนุ่มผู้ทรงพลังอำนาจทั่วทั้งเมืองหู้หยาง การผสมผสานระหว่างความสามารถและรูปลักษณ์ และเฉินชิงเฟิงพ่อของเขาในฐานะทายาทตระกูลเฉิน แน่นอนว่าเป็นคนที่โดดเด่นท่ามกลางผู้คนทั้งหมด
เฉินถิงเซียวลูกชายของเขา จึงได้เฉลียวฉลาดมากเป็นพิเศษ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ
หลังจากที่แม่ถูกทำร้าย เขาใช้เวลานานมากจึงได้เดินออกมาได้ ค่อยๆเปลี่ยนเป็นเหมือนคนปกติ
แต่ช่วงเวลาคืนหนึ่งเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีดูเหมือนว่าช่างยาวนาน ลมหายใจที่หนักแน่นแต่กลับแฝงด้วยความหดหู่ เขาวิ่งไปที่สถานีตำรวจหลายครั้ง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งแอบพูดกับเขาตามความจริงว่า“คดีจับตัวเรียกค่าไถ่ของพวกคุณ ผมไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้น แต่ตอนนี้ทุกคนต่างก็อยากจะไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง”
เฉินถิงเซียวรู้ดี คนที่อยากไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้งก็คือตระกูลเฉิน
ตระกูลเฉินไม่มีทางยอมให้เรื่องที่แม่ของเขาถูกข่มขืนแพร่งพรายออกมา ดังนั้นจึงไม่อยากจะขุดคุ้ยให้ลึกลงไป
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็เริ่มสืบคดีนั้นเอง
พ่อแท้ๆและพี่สาวฝาแฝดต่างไม่เชื่อเขา พวกเขาทั้งหมดรู้สึกว่าเขาช็อกเพราะบาดแผลทางจิตใจอย่างรุนแรงที่เขาได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ของเขาทั้งหมด ดังนั้นจึงถูกครอบงำทางจิตใจ
เวลานี้เอง มู่น่อนน่อนก็ยืนอยู่ตรงหน้าเขา สีหน้าจริงจังบอกว่าจะช่วยเขา
เสียงของเฉินถิงเซียวทุ้มต่ำกว่าปกติ“ผมเชื่อว่าคดีของแม่ผม มีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง”
“ฉันไม่รู้รายละเอียดที่แน่ชัดของคดีนี้ แต่ฉันเชื่อคุณ คุณฉลาดขนาดนั้น คุณคิดว่ายังมีคนบงการเบื้องหลัง ก็ต้องมีแน่นอน ”
สายตาของมู่น่อนน่อนยืนหยัด ภายในดวงตาที่สดใสเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นที่มีต่อเขา
เฉินถิงเซียวจ้องเธอเขม็งอยู่หลายวินาที ทันใดนั้นก็ดึงเธอเข้าไปกอดแน่นอยู่ในอ้อมอก
เขาไม่พูดอะไร แต่มู่น่อนน่อนกลับสัมผัสได้ถึงความไม่เต็มใจและความเป็นเด็กกำพร้าภายในก้นบึ้งหัวใจของเขาที่ไม่เคยมีใครเข้าใจได้อย่างประหลาด
มู่น่อนน่อนยื่นมมือไปตบที่หลังเขาเบาๆ“แต่ว่า คุณต้องรับปากฉัน ว่าจะไม่…ฆ่าคนส่งเดช”
บทที่ 143 ความรู้สึกกลัวจนตัวสั่น
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าตกใจทันที กู้จือหยั่นหันข้างชี้ไปที่เฉินเจียฉินแล้วถามว่า“จ้างวานฆ่า คุณหมายถึงไอ้ตัวแสบเนี่ยนะ”
เฉินเจียฉินถลึงตาใส่กู้จือหยั่น“คุณสิไอ้ตัวแสบ”
ตำรวจฉีมองไปที่กู้จือหยั่นอย่างเคร่งเครียดจริงจัง“เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำคดี คุณอย่าเพิ่งแทรก”
กู้จือหยั่นโบกไม้โบกมือ พยักหน้าพูดว่า“ได้ๆๆ คุณถามต่อเลย”
ตำรวจฉีหันมามองเฉินเจียฉิน“วันนี้ตอนหกโมงเช้าคุณอยู่ที่ไหน”
มู่น่อนน่อนแม้จะสัมผัสได้ว่าเฉินเจียฉินตื่นเต้นเล็กน้อย แต่กลับไม่มีความประหม่าเลยสักนิด ตอบอย่างฉะฉานว่า“นอนอยู่ที่บ้าน”
ตำรวจฉีพยักหน้า“มีพยานมั้ย”
มู่น่อนน่อนเตรียมจะอ้าปากพูด ตำรวจฉีชำเลืองมองเธอ พูดกับเฉินเจียฉินว่า“ไม่นับคนในครอบครัว”
ถ้าเป็นเช่นนี้ มู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวก็ไม่สามารถเป็นพยานได้
การสอบปากคำดำเนินมาถึงตรงนี้ก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้แล้ว
เฉินเจียฉินแม้ถูกชี้ว่าเป็นผู้ต้องสงสัย แต่กลับไม่มีหลักฐานและพยานโดยตรง ดังนั้นตำรวจจึงได้แต่ปล่อยเขาไปก่อน แต่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับหมายเรียกตลอดเวลา
……
เฉินเจียฉินและกู้จือหยั่นก็รู้จักกัน
ทั้งสองคนออกจากสถานีตำรวจ ก็พูดคุยกันตลอดเวลา
แต่อารมณ์ความรู้สึกของมู่น่อนน่อนกลับไม่ได้ผ่อนคลายลงอย่างนี้เหมือนพวกเขา
เบาะแสเรื่องแม่ของเฉินถิงเซียวที่แพร่ออกมาจากปากของเถาปิง คือใครเป็นคนบอกเขา
อย่างโดยตรงที่สุดก็มีเพียงญาติมิตรและเพื่อนรอบตัวเขา
ตอนนั้นแม่ของเฉินถิงเซียว ถูกโจรลักพาตัวไปขังไว้ที่นั่น และยังถูกข่มขืน คนที่รู้นอกจากพวกโจรที่จับไปและคนตระกูลเฉินแล้ว ยังมีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นที่อาจจะรู้
ที่นั่นคือโรงงานร้าง สิบกว่าปีก่อนต้องมีคนอยู่น้อยมากแน่ แต่ขอแค่มีคนพักอาศัยอยู่แถวนั้น ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าพบเห็นอะไรบางอย่าง
ถ้าหากพ่อของเถาปิงก็คือคนที่รู้เรื่อง……
จู่ๆมู่น่อนน่อนก็นึกถึงตอนนั้นที่เฉินถิงเซียวไปช่วยเธอ สุดท้ายจุดจบของสองคนนั้น ความรู้สึกกลัวจนตัวสั่นเกิดขึ้นในร่างกาย
“พี่น่อนน่อน พี่จะเดินไปไหน ขึ้นรถได้แล้ว”
เสียงของเฉินเจียฉินดังขึ้นข้างหู มู่น่อนน่อนจึงเรียกสติกลับมาได้ พบว่าสามคนที่เหลือยืนมองเธออยู่ด้านหน้ารถ แต่เธอยังคงเดินไปข้างหน้า
เธอรีบเดินกลับมา“ขอโทษค่ะ มัวแต่คิดอะไรอยู่……”
เธอเตรียมจะขึ้นรถ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงถามพวกเขาว่า“ตอนนี้พวกคุณจะไปที่ไหน”
กู้จือหยั่นพูดว่า“ผมจะกลับไปที่บริษัทเสิ้งติ่ง ถ้าพวกคุณจะไปด้วยกัน ก็ทางเดียวกัน ถ้าไม่ไปผมก็จะแวะส่งพวกคุณที่โรงเรียนกับบริษัท”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้าพูดว่า“ฉันนั่งรถกลับไปเองก็ได้ พวกคุณแวะไปส่งเสี่ยวเฉินหน่อย”
เธอพูดจบก็เดินไปเรียกรถที่ข้างทาง มีรถแท็กซี่ผ่านมาพอดี เธอก็จากไปทันที
เฉินเจียฉินก็สัมผัสได้ว่าท่าทางของมู่น่อนน่อนมีบางอย่างผิดปกติ หันไปถามกู้จือหยั่นอย่างสงสัยว่า“พี่น่อนน่อนเป็นอะไรไป”
เป็นเรื่องยากที่สีหน้าของกู้จือหยั่นไม่เหมือนปกติที่เฉื่อยชาขนาดนั้น นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “อาจจะเป็นเพราะคุณถูกใส่ร้าย ดังนั้นก็เลยไม่สบายใจมั้ง คุณจะหาพี่ชายคุณที่บริษัทกับผม หรือจะกลับโรงเรียน”
“ไม่ไปโรงเรียนแล้ว ผมตรงกลับบ้านเลยดีกว่า”
……
กู้จือหยั่นส่งเฉินเจียฉินกลับบ้านแล้ว ก็ไปส่งข่าวที่บริษัทเสิ้งติ่ง
เขาตรงไปที่ห้องทำงานท่านประธาน
เฉินถิงเซียวนั่งทำงานเอกสารอยู่บนโต๊ะทำงาน กู้จือหยั่นเดินไปนั่งที่หน้าโต๊ะทำงาน“คุณไม่สนใจว่าเรื่องจัดการเป็นยังไงบ้างเลยเหรอครับ”
“ในเมื่อไม่ใช่เสี่ยวเฉินเป็นคนทำ ไม่มีหลักฐานพวกเขาก็ทำอะไรเสี่ยวเฉินไม่ได้”เฉินถิงเซียวพูดจบ จึงค่อยๆเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นราบเรียบสงบ
กู้จือหยั่นนิ่งเงียบอยู่หลายวินาที พูดว่า“เรื่องนี้คุณเป็นคนทำใช่มั้ย”
เฉินถิงเซียวหรี่ตามอง ถามว่า“เรื่องอะไร”
“คุณรู้ดีว่าผมพูดเรื่องอะไร!”กู้จือหยั่นสูดหายใจเข้าลึกๆ “ถิงเซียว ไม่เพียงแค่ผมที่สงสัยแบบนี้ ผมรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนก็สงสัยแบบนี้”
เฉินถิงเซียวตอบอย่างไม่ต้องลังเล“ผมไม่ได้ทำ”
“จริงเหรอ”เห็นชัดว่ากู้จือหยั่นไม่เชื่อ
เฉินถิงเซียวแม้จะแต่เขารู้จักกับเฉินถิงเซียวมานานหลายปีเขารู้ดีถึงผลกระทบของเรื่องแม่ของเฉินถิงเซียวที่มีต่อเขา
แม้เฉินถิงเซียวบอกว่าไม่ได้ทำ เขาก็ไม่อยากจะซักอะไรอีก
……
มู่น่อนน่อนกลับมาที่บริษัท ก็พบกับมู่หวั่นขี
“ทำไม คุณพ่อไม่อยู่ที่บริษัท คุณก็คิดว่าไม่มีใครทำอะไรคุณได้เหรอ อยากมาก็มาอยากไปก็ไป ไม่มีความตั้งใจจะทำงานแล้ว!”
มู่หวั่นขีสองมือกอดอกพลางมองมาที่เธอ น้ำเสียงประชดประชันเสียดสี
มู่น่อนน่อนหัวเราะ“แล้วยังไงเหรอ คุณจะทำอะไรฉันได้”
“คุณ……”มู่หวั่นขีส่งเสียงฮึ่มในลำคอ ถูกเธอย้อนจนพูดไม่ออก
ในใจมู่น่อนน่อนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ
เธอคิดว่าคดีนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับเฉินถิงเซียว เถาปิงรู้เรื่องแม่ของเฉินถิงเซียว อาจจะเป็นไปได้ว่าพ่อของเขาเป็นหนึ่งในคนที่รู้เรื่องคดีลักพาตัวในตอนนั้น
ไม่กี่วันต่อมา ตำรวจก็มาหาเฉินเจียฉินอีกครั้ง
ครั้งนี้ก็ยังเป็นมู่น่อนน่อนที่ไปเป็นเพื่อนเฉินเจียฉิน
ทางตำรวจไม่ได้มีหลักฐานอะไรใหม่ เพียงแค่สอบถามเพิ่มเติมเท่านั้น
ออกมาจากสถานีตำรวจ มู่น่อนน่อนรับสายของเสิ่นเหลียง“ไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแล้ว วันนี้ไปดูหนังด้วยกันนะ”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ปฏิเสธ นัดแนะสถานที่ที่จะไปพบกับเสิ่นเหลียงทันที
เสิ่นเหลียงงานยุ่ง มู่น่อนน่อนถ้าไม่มีธุระอะไรก็ไม่อยากจะไปหาเธอ กลัวจะไปรบกวนเธอ มีแต่เธอหากมีเวลาว่างก็จะนัดมู่น่อนน่อนไปกินข้าวเดินช้อปปิ้งด้วยกันอะไรทำนองนี้
……
ทั้งสองไปกินข้าวด้วยกันในห้างสรรพสินค้า ต่อมาก็ไปดูหนัง ก่อนจะเข้าไปในโรงภาพยนตร์ จู่ๆเสิ่นเหลียงก็พูดขึ้นว่า“เฉินถิงเซียวเป็นเจ้านายผู้อยู่เบื้องหลังบริษัทเสิ้งติ่งเธอรู้ใช่มั้ย”
ความจริงแล้ววันนั้นที่เธอออกไปจากห้องทำงานของเฉินถิงเซียว ก็อยากจะโทรถามมู่น่อนน่อน แต่เพราะจู่ๆก็มีเรื่องมาขัดจังหวะ ก็เลยลืมไป
มู่น่อนน่อนชะงักไปเล็กน้อย พยักหน้าพูดว่า“รู้”
“เธอรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้เธอกลับไม่บอกฉัน!”เสิ่นเหลียงตีที่ไหล่เธอเบาๆ
มู่น่อนน่อนนึกถึงความรู้สึกในตอนนั้น สีหน้าบนใบหน้าก็เปลี่ยนไปไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ“ก็ตอนนั้นนึกไม่ออกว่าจะบอกเธอ”
“ก็ได้ ไปดูหนังกันก่อนเถอะ”เสิ่นเหลียงก็ไม่ได้พูดอะไรกับเธอมาก รีบผลักเธอเข้าไปในโรงภาพยนตร์อย่างตื่นเต้นมีความสุข
อาจจะเป็นเพราะเอ่ยถึงเฉินถิงเซียว ตอนที่ดูหนังมู่น่อนน่อนจึงจิตใจวอกแวกอยู่บ้างเล็กน้อย
ตอนที่หนังใกล้จะจบ เธอรับสายของเฉินถิงเซียว
“จะกลับเมื่อไหร่ ผมจะไปรับคุณ”
ตอนแรกมู่น่อนน่อนคิดจะปฏิเสธ แต่คิดไปคิดมาก็ตอบไปว่า“ใกล้แล้ว คุณมาเลยก็ได้”
ดูหนังจบออกมา เสิ่นเหลียงจะไปส่งเธอ
“เธอกลับไปก่อนเถอะ เฉินถิงเซียวจะมารับฉัน ระหว่างทางเธอระวังตัวด้วยล่ะ”มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วพูด
เสิ่นเหลียงก็ยิ้มออกมาด้วย เดินทำท่าทางลับๆล่อๆมาตรงหน้ามู่น่อนน่อน“ตอนนี้เธอกลับให้เฉินถิงเซียวมารับเธอ บอกฉันมาตามความจริง พวกเธอพัฒนาไปถึงขั้นไหนกันแล้ว”
“รีบไปเถอะ”มู่น่อนน่อนผลักเธอ
“พวกเธอมีอะไรกัน……”
มู่น่อนน่อนอับจนหนทาง“ใช่ๆๆ เธอรีบไปเถอะ!
บทที่ 142 จ้างวานฆ่า
ตลอดทั้งวัน มู่น่อนน่อนไม่ได้พบกับมู่ลี่เหยียนที่ในบริษัทเลย
มู่น่อนน่อนถามเพื่อนร่วมงานที่ค่อนข้างสนิทสนมกับตนคนหนึ่งว่า“วันนี้ท่านประธานไม่ได้มาบริษัทเหรอ”
เพื่อนร่วมงานมองไปรอบๆ พูดอย่างลับๆล่อๆว่า“ได้ยินว่าท่านประธานเดินทางไปต่างประเทศแล้ว”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้น สีหน้านิ่งขรึม ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ มู่ลี่เหยียนจู่ๆก็ไปต่างประเทศทำอะไรกัน
ทันใดนั้น เธอก็นึกถึงคำพูดที่เธอพูดกับมู่ลี่เหยียนเมื่อก่อนนี้
หรือว่า มู่ลี่เหยียนจะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเชิญคุณปู่มู่กลับมา
คำพูดเหล่านั้นที่เธอพูดกับมู่ลี่เหยียน ถือได้ว่าเป็นการตัดเยื่อใยเด็ดขาด
แม้ในทางธุรกิจมู่ลี่เหยียนอาจจะไม่ได้เก่งอะไร แต่ถ้ามันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ เขาก็ยังจัดการได้อย่างเด็ดขาดชัดเจน
มู่น่อนน่อนคิดถึงเรื่องแม่ของเฉินถิงเซียวจนตกอยู่ในภวังค์
คดีลักพาตัวในตอนนั้น สุดท้ายถูกกำหนดให้เป็นการลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่ แต่ในที่สุดเพราะสร้างความโกรธแค้นให้โจรลักพาตัว ดังนั้นจึงนำไปสู่การฆ่าตัวประกัน
แต่ว่า แม่ของเฉินถิงเซียวไม่ได้ถูกฆ่าตายธรรมดา แต่ถูกคนพวกนั้นข่มขืนจนตาย
ถ้าหากพวกมันต้องการแค่เงิน ตระกูลเฉินหากอยากจะช่วยแม่ของเฉินถิงเซียวจริง เช่นนั้นก็คงไม่ทำให้เรื่องบานปลายจนถึงขั้นนั้น
อย่างนั้น เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สองอย่าง
หนึ่ง จุดประสงค์ของคนพวกนั้นตอนแรกอาจจะต้องการทำให้แม่ของเฉินถิงเซียวตาย
สอง มีคนในตระกูลเฉินไม่อยากช่วยแม่ของเฉินถิงเซียว ก็คืออยากให้เธอตาย!
ตอนนั้นคดีลักพาตัวนั้นเป็นที่โจษจันอย่างมาก บนหน้าหนังสือพิมพ์เขียนว่าต้องใช้เวลาค้นหาหลายวันจึงตามหาเฉินถิงเซียวและแม่ของเขาพบ แต่ถ้าโจรลักพาตัวแค่อยากได้เงิน ก็ควรเป็นฝ่ายติดต่อพวกเขาก่อน ไม่ใช่ว่าต้องใช้เวลาหลายวันจึงจะหาเจอ
รายละเอียดทั้งหมดและผลการพิจารณาคดี แทบไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้เลย
ปัญหาที่เธอนึกออก คนอื่นก็ต้องคิดออกได้แน่ เฉินถิงเซียวยิ่งต้องคิดได้
เวลาส่วนใหญ่ คนเราเจอเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง ต่อให้มีความเคลือบแคลงสงสัยและไม่เข้าใจก็แค่คิดๆแล้วก็ลืมไป ในเมื่อเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเอง
แต่เฉินถิงเซียวไม่เหมือนกัน นั่นคือแม่แท้ๆของเขา อยู่ตรงหน้าเขา ถูกพวกผู้ชายกลุ่มหนึ่งข่มเหง……
เขาในช่วงหลายปีมานี้ ต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความเคียดแค้นและโทษตัวเอง
ดังนั้น บนตัวของเขาจึงมีลมหายใจที่สิ้นหวังหดหู่
ดังนั้น เขาจึงไม่ยอมเปิดเผยใบหน้าต่อหน้าคนอื่น
ดังนั้น ครั้งนั้นที่เธอถูกผู้ชายสองคนนั้นจับตัวไปเรียกค่าไถ่ เฉินถิงเซียวไปช่วยเธอจึงได้ลงมืออย่างโหดเหี้ยมรุนแรงขนาดนั้น
เขาบีบให้คุณปู่มู่กลับประเทศมาตลอด อาจจะเป็นการพิสูจน์ได้ว่า คุณปู่มู่กับคดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่ตอนนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน
“แผละ!”
มู่น่อนน่อนตกใจจนเอกสารในมือตกลงที่พื้น จึงตั้งสติกลับมาได้
ดูเหมือนว่าเธอรู้แล้วว่าสิ่งที่เฉินถิงเซียวคิดจะทำคืออะไร
……
ตอนเที่ยง มู่น่อนน่อนโทรศัพท์หาเฉินถิงเซียว นัดเขามากินข้าวเที่ยงด้วยกัน
เฉินถิงเซียวกลับบอกปัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
กลายเป็นเฉินเจียฉินส่งข้อความหาเธอ“พี่น่อนน่อน กลางวันพี่กินอะไร”
“ยังไม่ได้กิน นายล่ะ”
เฉินเจียฉินส่งอีโมจิ“น่าเอ็นดู”มาให้เธอ“บังเอิญจัง ผมก็ยังไม่ได้กิน”
มู่น่อนน่อนกลั้นหัวเราะ แน่นอนว่าเธอดูออกว่าเจ้าตัวแสบนี่หมายความว่าอะไร
“ฉันไปหาร้านอาหารแล้วสั่งอาหารเอาไว้ รอนายนั่งรถมาก็พอดีกินได้เลย อีกเดี๋ยวฉันจะส่งที่อยู่ไปให้นายนะ”
อาหารที่มู่น่อนน่อนสั่งเสร็จไปไม่นาน เฉินเจียฉินก็มาแล้ว
เขานั่งลงด้วยรอยยิ้มร่า หยิบตะเกียบขึ้นมากินไปหนึ่งคำ ก็ขมวดคิ้วพูดว่า“ไม่อร่อยเหมือนที่พี่น่อนน่อนทำ”
มู่น่อนน่อนถลึงตาใส่เขา“อย่ามาประจบหน่อยเลย”
ทั้งสองคนกินเสร็จแล้วก็ออกจากร้านด้วยกัน ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเฉินเจียฉินก็ส่งเสียงดังขึ้นมา
เขาหยุดฝีเท้าลง มองดูชื่อบนโทรศัพท์มือถือค่อยๆชะงัก“เถาปิง?”
“ผู้ชายคนที่เธอชกไปเมื่อวานนะเหรอ”มู่น่อนน่อนหันไปมองแวบหนึ่ง พอจะคุ้นกับชื่อนี้อยู่บ้างเล็กน้อย
เฉินเจียฉินพยักหน้า“ใช่ ไม่รู้ว่าจู่ๆเขาจะโทรมาหาผมทำอะไร!”
พอเขารับสาย ปลายสายก็คือเสียงต่อว่าด่าทออย่างถึงอกถึงใจของเถาปิง“เฉินเจียฉิน!เป็นแกรึเปล่าที่หาคนไปฆ่าพ่อของกู!”
“เถาปิงก็บ้าไปแล้วเหรอ!เมื่อวานฉันก็ไม่ได้ตีหัวนาย สมองนายเพี้ยนไปแล้วเหรอ” เฉินเจียฉินพอได้ยินน้ำเสียงแบบนั้นของเถาปิง น้ำเสียงเขาก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่
“ฉันจะทำให้เอาชีวิตมาแลกกับพ่อของฉัน!”เถาปิงพูดประโยคนี้จบ ก็“ติ๊ด”เสียงตัดสายโทรศัพท์
มู่น่อนน่อนก็ได้ยินเสียงของเถาปิง“เขาบอกว่าผมฆ่าพ่อของเขา”
“นี่ไม่ใช่คนบ้าเหรอ ผมกับพ่อเขามีความแค้นอะไรถึงต้องฆ่าพ่อเขา”เฉินเจียฉินเห็นชัดว่าไม่ได้เก็บเอาเรื่องนี้มาใส่ใจเลย
แต่ว่าทั้งสองคนยังเดินไปได้ไม่ไกล ด้านหน้าก็มีผู้ชายสองคนเดินมา
ผู้ชายทั้งสองรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาดุดัน
ตามสัญชาตญาณ มู่น่อนน่อนคิดว่าสองคนนี้อาจจะเป็น——ตำรวจ
เธอขวางหน้าเฉินเจียฉินเอาไว้โดยไม่พูดจาอะไร
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด หลังจากที่ทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ ก็หยิบบัตรแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมา“สวัสดีครับ พวกเราเป็นตำรวจกองอาชญากรรม พวกเราสงสัยว่าเฉินเจียฉินมีความเกี่ยวข้องกับคดีอาชญากรรม ขอความร่วมมือในการสืบสวนด้วยนะครับ”
สายตาของพวกเขาจ้องเขม็งไปที่เฉินเจียฉินตลอดเวลา
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้น ก็หันไปมองเฉินเจียฉิน
เฉินเจียฉินสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ
มู่น่อนน่อนกุมมือเขาเอาไว้“เขายังไม่บรรลุนิติภาวะ ยังเป็นเยาวชน จำเป็นต้องมีผู้ปกครองติดตามไปด้วยนะคะ”
หนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจพูดว่า“ใช่เป็นแบบนี้ครับ”
……
มู่น่อนน่อนไปสถานีตำรวจเป็นเพื่อนเฉินเจียฉิน
ระหว่างทางเธอโทรหาเฉินถิงเซียว เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง
รอจนตอนนี้พวกเขามาถึงสถานีตำรวจ มู่น่อนน่อนก็มองเห็นสือเย่และกู้จือหยั่นอยู่ที่ประตูสถานีตำรวจแล้ว
กู้จือหยั่นพอเห็นพวกเขาลงมา ก็เดินไปด้วยความเกียจคร้าน“ตำรวจฉีไม่พบกันนานเลยนะครับ นับวันจะยิ่งมีความแมนขึ้นทุกทีนะครับ”
ตำรวจฉีก็คือเจ้าหน้าที่ตำรวจคนที่พูดกับพวกเขาก่อนหน้านี้คนนั้น อาจจะด้วยสาเหตุเพราะอายุที่มากขึ้นและทำงานกับอาชญากรมานาน ใบหน้าของเขาดูไปแล้วมีความเหี้ยมโหดดุร้าย และยังมีความชั่วร้ายแอบแฝงอยู่
เขามองเห็นกู้จือหยั่น กลับหัวเราะออกมา“จือหยั่นเหรอ คุณมาทำอะไร”
ที่แท้กู้จือหยั่นกับตำรวจฉีคนนี้ก็รู้จักกัน
กู้จือหยั่นก้าวมาด้านหน้า โอบหัวไหล่ขอตำรวจฉีอย่างสนิทกัน เชยคางขึ้นชี้ไปทางเฉินเจียฉิน“เด็กคนนั้น เป็นญาติห่างๆของผมเอง”
ตำรวจฉีหัวเราะออกมา“คุณเป็นญาติห่างๆกับตระกูลเฉินเหรอ”
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถตบตาตำรวจได้
“คุณเอาประวัติเขาไปตรวจสอบอย่างละเอียดเร็วขนาดนี้แล้ว ก็คงมีแต่คุณที่กล้าบ้าบิ่นขนาดนี้ รู้ว่าเป็นคนตระกูลเฉิน ก็ยังกล้าไปยุ่งกับเขา”
ตำรวจฉียิ้ม“ต่อให้เขาเป็นคนยิ่งใหญ่สูงส่งมาจากไหน แต่หากทำความผิดจริง ผมก็จับทั้งนั้น”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เองเหรอ”กู้จือหยั่นส่งสายตาให้มู่น่อนน่อนวางใจ จากนั้นจึงพูดกับตำรวจฉีต่ออีกว่า“คุณก็คิดเสียว่าผมเป็นผู้ปกครองของเด็กคนนั้นแล้วกัน อีกเดี๋ยวผมอยากจะลองฟังด้วย”
“ไม่มีกฏข้อนี้”
“พี่ฉี”
“เอาเถอะ!”
……
ในห้องสอบปากคำ สีหน้าของตำรวจฉีจ้องไปที่เฉินเจียฉินอย่างดุดัน
“เถาปิงเป็นเพื่อนร่วมชั้นของคุณเหรอ”
“ครับ”
“พ่อของเขาถูกฆ่าตายตอนหกโมงเช้าวันนี้ ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีความแค้นกับใคร และคุณกับเถาปิงเคยมีเรื่องบาดหมางกัน พวกเราสงสัยว่าคุณจ้างวานฆ่า”
เฉินเจียฉินนึกถึงโทรศัพท์สายนั้นที่รับก่อนหน้านี้“พ่อของเถาปิงเหรอ”
บทที่ 141เฉินถิงเซียว คุณไม่ต้องพูดแล้ว
มู่น่อนน่อนลงมาชั้นล่าง ตอนที่เดินผ่านห้องอาหาร มองเห็นเฉินเจียฉินนั่งอยู่ที่ด้านหน้าโต๊ะอาหาร แต่ไม่ได้ขยับตะเกียบ
เขาเห็นมู่น่อนน่อนเดินมา ก็ถามเธอว่า“พี่เขาเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีนะ ฉันจะเอาเข้าขึ้นไปส่งให้เขา คุณกินก่อน” มู่น่อนน่อนพูดจบก็เดินตรงเข้าไปในครัว
มู่น่อนน่อนเตรียมอาหารเสร็จแล้ว ยกถาดเดินออกมาจากในห้องครัว ก็มองเห็นเฉินถิงเซียวมานั่งที่หน้าโต๊ะอาหารแล้ว
ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว เขาเงยหน้าขึ้นมาชำเลืองมองมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนก้มหน้ามองถาดอาหารในมือ แล้วพูดว่า“คุณลงมาแล้ว”
“อืม”เฉินถิงเซียวตอบรับด้วยเสียงเรียบๆ ก้มหน้าเริ่มลงมือกินข้าว
มู่น่อนน่อนวางถาดอาหารในมือกลับไป นั่งลงมาข้างๆเฉินถิงเซียว
เธอแอบเหล่มองเฉินถิงเซียว พบว่าสีหน้าเขาเป็นปกติ ดูไม่ออกเลยว่ามีตรงไหนผิดปกติ สงบนิ่งอย่างผิดปกติ
ตลอดเวลาที่กินข้าว เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไรสักคำ
หลังจากกินเสร็จแล้ว เขาก็ลุกยืนเดินขึ้นชั้นบนกลับไปที่ห้องหนังสือ
มู่น่อนน่อนไม่ได้ไปรบกวนเขาแต่ตรงกลับไปที่ห้องนอน
แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่ได้กลับมาอีกเลย
มู่น่อนน่อนนอนหลับไปอย่างสะลึมสะลือ เที่ยงคืนจู่ๆก็ตกใจตื่นขึ้นมา
เธอยื่นมือออกไปคลำที่ด้านข้างตามสัญชาตญาณ กลับพบว่าข้างกายคือความว่างเปล่า
เฉินถิงเซียวยังอยู่ที่ห้องหนังสือเหรอ
เธอลุกขึ้นมานั่ง หยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลา พบว่าเป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว
มู่น่อนน่อนเอาเสื้อมาคลุมไหล่หนึ่งตัว ลุกขึ้นเดินไปห้องหนังสือของเฉินถิงเซียว
ห้องหนังสือไม่ได้ล็อค เธอผลักประตูเข้าไป ก็ได้กลิ่นบุหรี่เข้มข้น ในห้องหนังสือไม่ได้ไฟ ภายในห้องที่มืดมิด เธอมองเห็นแสงสว่างจุดหนึ่ง
เฉินถิงเซียวกำลังสูบบุหรี่
มู่น่อนน่อนไม่ได้เปิดไฟ คลำอยู่ในความมืด ค่อยๆย่องเข้าไปเบาๆ
ในความมืดทั้งสองคนต่างก็ไม่เห็นหน้าของกันและกัน แต่กลับสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
มู่น่อนน่อนนั่งลงข้างๆเขา กลิ่นจากควันบุหรี่ทำให้เธอไอออกมาเบาๆ
จุดดวงไฟนั้นค่อยๆส่งแสงวูบวาบ จากนั้นก็มอดดับลง
ในความมืด เสียงของเฉินถิงเซียวทุ้มต่ำราวกับเสียงผี“คุณมาทำอะไร”
“มาดูคุณ”เสียงของมู่น่อนน่อนแผ่วเบา ค่อยๆคลำไปกุมมือของเขาเอาไว้
ฝ่ามือที่อบอุ่นมาตลอดของเขา เวลานี้กลับเย็นเยือกจนน่าตกใจ
มู่น่อนน่อนกุมมือของเขาเอาไว้ เอาความอบอุ่นที่ฝ่ามือของตนเองส่งไปให้เขาทีละนิด
แต่ไม่นาน เฉินถิงเซียวก็เอามือของตัวเองออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของเขาก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ก็คือในโรงงานเก่าที่รกร้างแห่งนั้น พวกเขาใช้ผมข่มขู่เธอ”
มู่น่อนน่อนรู้ดีว่า“เธอ”หมายถึงแม่แท้ๆของเฉินถิงเซียว
คำพูดธรรมดา แต่ทุกอย่างกลับกระจ่างชัด
แม้ปฏิกิริยาก่อนหน้านี้ของเฉินถิงเซียว จะแสดงว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นความจริง แต่เมื่อได้ยินเฉินถิงเซียวยอมรับ มู่น่อนน่อนก็ยังรู้สึกตกใจ
“ก็คืออยู่ตรงหน้า”เฉินถิงเซียวพูดต่อ“ผมถูกพวกมันมัดเอาไว้ พวกมันล้อมเธอไว้……”
สิบห้าปีก่อน เฉินถิงเซียวอายุแค่สิบขวบ
เด็กอายุสิบขวบ มองเห็นแม่ที่อยู่ตรงหน้าตนเองด้วยตาของตัวเอง ถูกผู้ชายกลุ่มหนึ่ง……
มู่น่อนน่อนตกใจสะดุ้ง ยื่นมือออกไปกอดเฉินถิงเซียวเอาไว้
“เฉินถิงเซียว คุณอย่าพูดเลยนะ”
“สุดท้าย ตอนที่เฉินชิงเฟิงพาคนมา……”
มู่น่อนน่อนเสียงสั่นตัดบทเขา“เฉินถิงเซียว ฉันให้หยุดพูดได้แล้ว!”
เสียงของเฉินถิงเซียวสงบนิ่งเกินไป สงบนิ่งจนทำให้เธอกลัว
เฉินถิงเซียวกลับไม่หยุด ยังคงพูดต่อไป มู่น่อนน่อนตรงเข้าไปจูบเขาทันที
ในความมืดมิด มู่น่อนน่อนแทบจะเห็นหน้าของเขาไม่ชัด จูบไปที่ใต้คางเขาก่อน จากนั้นจึงหาริมฝีปากของเขาเจอ
เฉินถิงเซียวตอนแรกก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน แต่ไม่นานก็กลับเป็นฝ่ายรุกเสียเอง เอาเธอเข้ามากอดในอ้อมอกแน่น ออกแรงมากจนเหมือนเอวของเธอแทบขาด
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปากของเขาเพื่อแสดงว่าตนก็ไม่ได้ด้อยกว่า ทั้งสองคนเหมือนกำลังแข่งขันกันอย่างนั้น ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน
จนกระทั่งมู่น่อนน่อนถูกผลักมาบนโซฟา เธอจึงได้สติรู้ว่าต่อไปเฉินถิงเซียวจะทำอะไร แต่เฉินถิงเซียวแทบจะไม่ให้โอกาสเธอได้ตอบโต้ เข้าไป…ในทันที
ก่อนหน้านี้ พวกเขาก็เคยทำที่โรงแรมจินติ่งแล้วครั้งหนึ่ง
ครั้งก่อนแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะถูกวางยา แต่ก็ยังอาศัยการควบคุมตัวเองอย่างแข็งแกร่งอดทนเป็นผู้นำเธอ ทว่าครั้งนี้การกระทำของเขารุนแรงเกินไปเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
มู่น่อนน่อนร้องออกมาอย่างทนไม่ไหวว่า“เจ็บ……”
“ทำตัวผ่อนคลาย”
“คุณออกไปก่อน……”
“ไม่มีทาง”
สิ้นเสียงพูด ชายหนุ่มไม่เพียงไม่เอาออกไป แต่กลับยิ่งออกแรงกระแทกลงที่เอวอย่างหนัก
ไม่ว่ามู่น่อนน่อนจะกัดริมฝีปากแน่นขนาดไหน ก็ยังมีเสียงแผ่วเบาเล็ดลอดออกมา
เสียงนี้ดูเหมือนจะเป็นการกระตุ้นเฉินถิงเซียว ให้เขายิ่งทำแรงมากขึ้น ยิ่งได้ใจมากยิ่งขึ้น……
……
มู่น่อนน่อนจำไม่ได้ว่ามันสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ ตอนที่ตื่นมา ก็เป็นเช้าวันใหม่แล้ว
ตัวเธอไม่ได้อยู่บนโซฟาห้องหนังสือ แต่อยู่บนเตียงในห้องนอน ร่างกายรู้สึกสดชื่น มีคนทำความสะอาดให้เธอแล้ว
ไม่ต้องไปดูก็รู้ว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้อยู่ในห้องนอน เพราะในห้องนอนไม่ลมหายใจของเขา
เฉินถิงเซียวก็เป็นคนที่รู้สึกถึงการมีตัวตนอย่างอย่างเต็มเปี่ยมแบบนี้
ตอนที่ล้านหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ มู่น่อนน่อนพบว่าริมฝีปากของตนเองบวมเล็กน้อย บนตัวก็มีรอยแดงเป็นจ้ำๆ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นร่องรอยที่เธอและเฉินถิงเซียว……ทิ้งเอาไว้เมื่อคืน
มู่น่อนน่อนหาเสื้อที่ปกคอเสื้อสูงใส่ไว้ด้านในเสื้อโค้ท แล้วปล่อยผมออกมาคลุมไว้ ปกปิดร่องรอยที่เห็นได้ชัดบนตัวของเธอ
ถ้าไม่เพราะเมื่อคืนเฉินถิงเซียวดูแล้วสิ้นหวังขนาดนั้น เธอก็คงไม่เป็นฝ่ายรุกก่อน……ไปหาเขาถึงที่
ต่อไปจะตามใจเฉินถิงเซียวแบบนี้อีกไม่ได้แล้ว
ในห้องโถง
เฉินเจียฉินพอเห็นมู่น่อนน่อนลงมา ก็ถีบตัวลุกขึ้นจากโซฟา“พี่น่อนน่อน ในที่สุดพี่ก็ตื่นแล้ว”
“……ทำไมเหรอ”ในใจเธอรู้ดีว่าเฉินเจียฉินไม่มีทางรู้ว่าเธอกับเฉินถิงเซียวทำอะไรกันเมื่อคืน แต่คำพูดของเฉินเจียฉินก็ยังทำให้เธอระแวงเล็กน้อย
“ตอนที่พี่ชายออกไปให้ผมอยู่ที่บ้านรอออกไปพร้อมพี่ ผมคิดว่าจะไปเรียกให้พี่ตื่นนอนแล้ว”เฉินเจียฉินหยิบกระเป๋าหนังสือเดินไปข้างหน้าเธอ“ผมทำอาหารเช้าใส่กล่องให้พี่แล้ว พี่ไปกินบนรถเถอะ ไม่อย่างนั้นต้องสายแน่”
มู่น่อนน่อนได้ยินเขาเอ่ยถึงเฉินถิงเซียว ใบหูก็เริ่มร้อนผ่าวอย่างไม่อาจควบคุมได้ พูดด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติว่า“อาจจะเป็นหวัดนิดหน่อย ก็เลยตื่นช้าหน่อย”
“มิน่าล่ะพี่ชายถึงไม่ให้ผมไปปลุกพี่ตื่นนอน”เฉินเจียฉินพยักหน้า แสดงความเห็นด้วย
บนรถ มู่น่อนน่อนถามเขาว่า“วันนี้นายไปโรงเรียนคนเดียวไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย”
“มีปัญหาอะไร เถาปิงได้รับบาดเจ็บต้องลาป่วยแน่นอน ต่อให้เขาไปโรงเรียน ผมก็ไม่กลัว เพราะยังไงเขาก็สู้ผมไม่ได้……”
มู่เจียเฉินสังเกตเห็นว่าสีหน้าของมู่น่อนน่อนไม่ค่อยเป็นมิตร จึงรีบแก้ขึ้นว่า“ถ้าเขามาหาเรื่องทะเลาะกับผม ผมจะไปบอกครู”
ไม่ใช่เด็กนักเรียนตัวเล็กๆแล้ว เอะอะอะไรก็ไม่ฟ้องครู
มู่น่อนน่อนกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้“ไอ้ตัวแสบ!”
เฉินเจียฉินเบะปาก ส่งเสียงฮึ่มฮั่มด้วยสีหน้าไม่พอใจ:“พี่อายุมากแล้ว พี่เป็นน้าแล้ว!”
“เรียกอีกทีสิ”
“……ไม่กล้า”
บทที่140 อย่ามายุ่งกับฉัน
เพราะผู้ชายหน้าไม่อายคนนั้นพอขึ้นรถมาก็จับมือเธอเอาไว้ทันที แถมยังลูบแก้มของเธอ……
ด้านหน้ายังมีสือเย่กับเฉินเจียฉินนั่งอยู่ด้วย จะให้เธอเอาหน้าไปไหว้ไหน ?
ในตอนที่เธอสะบัดมือของคนข้างๆที่ยื่นมาเป็นครั้งที่N ผู้ชายหน้าไม่อายคนนั้นก็หัวเราะออกมาทีหนึ่ง “วันนี้เธอเป็นเด็กดีมาก ก็เลยอยากจับหน่อยเท่านั้นเอง”
มู่น่อนน่อนมองเขาแล้วยิ้มอย่างไม่เต็มใจ “ฉันเป็นแมวเหรอ พอเห็นว่าเชื่อฟังแล้วจะลูบทีหนึ่งได้”
“แน่นอนว่าไม่ใช่” เฉินถิงเซียวบีบมือของเธอ แล้วพูดว่า “ลูบครั้งเดียวจะไปพออะไร”
มู่น่อนน่อนขยับมุมปาก แล้วหันไปมองอีกสองคนที่อยู่ด้านหน้า
ก็พบว่าสือเย่กับเฉินเจียฉินนั่งนิ่งไม่ไหวติง สายตามองตรงไปด้านหน้า
แต่ไหล่ของทั้งสองคนกลับกำลังกระตุก พวกเขากำลังหัวเราะ!
มู่น่อนน่อนโกรธจนกระแทกเท้าใส่เฉินถิงเซียวทีหนึ่ง
ไม่ได้เจ็บอะไรมาก
แต่เฉินถิงเซียวเองก็รู้ว่าไม่ควรแหย่เธอมากเกินไป
……
ตอนที่รถจอดลงหน้าบ้านพัก มู่น่อนน่อนก็เป็นคนแรกที่ลงจากรถ ราวกับมีผีไล่ตามมาด้านหลัง รีบวิ่งเหมือนโผบินเข้าไปในบ้านพักทันที
เฉินเจียฉินตามไปด้านหลังติดๆ
แต่ด้านหลังกลับมีเสียงที่เหมือนดั่งคำสั่งยมราชสำหรับเขาดังขึ้นมา “เฉินเจียฉิน ไปรอฉันที่ห้องหนังสือ”
เฉินเจียฉินหยุดเท้าลง แล้วหันไปยิ้มให้เฉินถิงเซียวเป็นเชิงอ้อนวอน “พี่ครับ ครั้งหน้าผมจะไม่มีเรื่องต่อยตีอีกแล้ว ผมรู้สึกผิดแล้วครับ”
“อืม” เฉินถิงเซียวตอบรับเสียงหนึ่ง แต่กลับไม่ได้บอกว่าเขาไม่ต้องไปห้องหนังสือแล้ว
ดังนั้น สุดท้ายเฉินเจียฉินก็ยังต้องไปที่ห้องหนังสือ
เขานั่งประหม่าอยู่ในห้องหนังสือครู่หนึ่งแล้ว เฉินถิงเซียวถึงได้ตามเข้ามา
“พูดมาสิ ทำไมถึงไปชกต่อย” เฉินถิงเซียวเดินไปนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเฉินเจียฉิน น้ำเสียงราบเรียบมาก
เฉินถิงเซียวเวลาปกติดูเป็นคนเย็นชา แต่คนที่สนิทกับเขาก็ยังสามารถสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ของเขาได้อย่างง่ายดาย
“ก็คือมีปากเสียงกับเพื่อนในห้องนิดหน่อย ก็เลยตีกันขึ้นมา” เฉินเจียฉินพูดจบ ก็พูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ครับ ผมรู้สึกผิดแล้ว ต่อไปผมจะไม่ไปต่อยตีกับเพื่อนนักเรียนด้วยกันอีก”
เขาสาบานว่าสำนึกผิดแน่นอนแล้ว แต่ก็ไม่ได้หยุดการไล่ต้อนของเฉินถิงเซียวได้ “ฉันถามว่าทำไมนายถึงไปมีเรื่องชกต่อย”
เฉินถิงเซียวจ้องเฉินเจียฉินตรงๆ ดวงตาสีเข้มสงบนิ่งมองไม่เห็นคลื่นอารมณ์ใดๆ แต่กลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายของความคาดคั้น
พอสบตาเข้ากับเขา เฉินเจียฉินก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถปิดบังอะไรต่อเฉินถิงเซียวได้
แต่ว่า เขารู้ดีที่สุด ว่าถ้าเฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดพวกนั้นแล้ว จะต้องเสียใจมากแน่ๆ
เฉินเจียฉินไม่พูดอะไร เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้เร่งเขา
ตอนเฉินเจียฉินเด็กๆมีช่วงหนึ่งที่เขาอยู่กับเฉินถิงเซียวตลอด เขาชอบก่อเรื่องมาตั้งแต่ตอนนั้น ชอบทิ้งเรื่องยุ่งยากไว้ให้เฉินถิงเซียวเก็บกวาดอยู่เรื่อย
แต่ว่า ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาเป็นฝ่ายยอมรับผิด
ส่วนวันนี้ เขากลับเป็นฝ่ายยอมรับผิดเอง ขนาดมู่น่อนน่อนเองก็ยังปิดปากเงียบไม่ยอมพูดถึง
มู่น่อนน่อนผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างดื้อรั้น เรื่องเด็กตีกันแบบนี้ ในสายตาของเธอคงจะเป็นเรื่องจริงจัง ดังนั้นก็ไม่มีทางที่จะไม่บอกเขาเลยสักคำ
ตอนแรกที่เธอโทรหาเขา อาจจะแค่โทรมาบอกเขาเรื่องที่เฉินเจียฉินมีเรื่องต่อยตีที่โรงเรียน
แต่เรื่องหลังจากนั้น เธอกลับไม่พูดถึงมันเลยสักคำ
นี่มันน่าประหลาดมาก
“นายไม่พูด ?” เฉินถิงเซียวรออยู่ครู่ใหญ่เขาก็ไม่ยอมเปิดปาก เลยเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “งั้นฉันจะโทรไปถามครูประจำชั้นของนายเอง”
เฉินเจียฉินเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ “อย่านะครับ!”
ถ้าหากเฉินถิงเซียวโทรไปถามครูประจำชั้นล่ะก็ ครูประจำชั้นจะต้องพูดแน่นอน และเรื่องแบบนี้หากถูกคนอื่นพูด สู้เขาพูดเองยังจะดีกว่า
เฉินเจียฉินกัดฟัน แล้วพูดว่า “พวกเขาบอกว่าคุณป้าถูก……ตายครับ”
คำพูดตรงกลางนั้น เสียงเขาเบาจนแทบฟังไม่ได้ยิน
เขายังเด็ก แต่ก็รู้เรื่องความซับซ้อนในโลกนี้อยู่มาก
เพิ่งจะสิ้นเสียง ภายในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบที่ทำให้คนแทบหายใจไม่ออก
เฉินเจียฉินบีบมือ ไม่กล้าเปิดปากพูด แล้วก็ไม่กล้าไปมองสีหน้าของเฉินถิงเซียว
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็ได้ยินเสียงแหบพร่าของเฉินถิงเซียวพูดขึ้นว่า “ออกไปได้แล้ว”
“พี่ครับ……” ตอนนี้เฉินเจียฉินถึงได้เงยหน้าขึ้นไปมองสีหน้าของเฉินถิงเซียว
แต่ว่าเฉินถิงเซียวกลับยืนขึ้นแล้ว หันหลังให้เขาแล้วเดินตรงไปยังโต๊ะหนังสือ
เฉินเจียฉินมองเขาอย่างไม่ค่อยวางใจทีหนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้อง
มู่น่อนน่อนก็เปลี่ยนชุดแล้วเดินออกมาจากห้องพอดี เตรียมจะลงไปชั้นล่าง
ตอนที่เดินผ่านห้องหนังสือของเฉินถิงเซียว ก็เห็นเฉินเจียฉินเดินออกมาจากด้านในนั้น
มู่น่อนน่อนรีบเดินเข้าไปหาทันที “พี่ชายนายเรียกตัวนายเหรอ ?”
เฉินเจียฉินพยักหน้า ลังเลครู่หนึ่งก่อนพูดว่า “ผมบอกเขาหมดแล้ว……”
สีหน้ามู่น่อนน่อนแข็งทื่อไปทันที ผ่านไปหลายวินาทีถึงพูดต่อว่า “แล้วเขา……”
เฉินเจียฉินส่ายหน้า
มู่น่อนน่อนมองดูบานประตูที่ปิดสนิททีหนึ่ง ลังเลครู่หนึ่งก่อนไปเคาะประตูแล้วถามว่า “เฉินถิงเซียว คืนนี้คุณอยากกินอะไร”
คนที่อยู่ด้านในไม่ได้ตอบคำถามของเธอ
เฉินเจียฉินพูดอย่างเป็นห่วงว่า “แม่ผมบอกว่าเมื่อก่อนหลังจากคุณป้าเกิดเรื่องขึ้น พี่ชายก็ขังตัวเองไว้ในห้องแบบนี้เป็นเวลานานไม่ยอมเจอใครเลย
แต่มู่น่อนน่อนกลับคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง
การตอบสนองของเฉินถิงเซียวแบบนี้มันไม่ปกติ หรือก็คือ เรื่องนั้นที่เถาปิงพูดเป็นเรื่องจริงหรือ ?
ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยรู้รายละเอียดเรื่องนี้ แต่ก็เคยได้ยินเรื่องของคุณแม่เฉินถิงเซียวมาก่อน
แม่ของเขามาจากครอบครัวนักวิชาการ ทั้งสวยและมีความสามารถ จนเทียบชั้นกับชนชั้นสูงหลายคนเมืองหู้หยางได้
สุดท้าย เธอก็แต่งงานเข้าตระกูลเฉิน
มีชีวิตเหมือนดั่งหญิงสาวในเทพนิยาย สุดท้ายถูกคน……จนตายอย่างน่าอับอายจริงหรือ ?
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าลำคอเริ่มแหบแห้งขึ้นมา เธอถามออกไปอย่างยากลำบาก “หลังจากนั้นล่ะ ?”
“จากนั้น ?” เฉินเจียฉินก็เกาหัวแล้วอย่างรู้สึกขัดเขินแล้วพูดว่า “คุณแม่บอกว่าเป็นเพราะผม ตอนนั้นผมเพิ่งเกิด พี่ชายเองก็ไม่ค่อยสนใจคนอื่น แต่กลับชอบมาแหย่ผมเล่น ตอนเด็กผมใช้เวลาอยู่กับพี่ มากกว่าอยู่กับพ่อแม่ตัวเองเสียอีก”
มู่น่อนน่อนกลับไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะเคยมีเรื่องแบบนี้ด้วย
แต่ว่า ในช่วงเวลาปกติที่เฉินเจียฉินกับเฉินถิงเซียวอยู่ร่วมกัน ก็สัมผัสได้ว่าพวกเขาทั้งสองคนสนิทกันมาก
คนที่มีจิตใจล้ำลึกอย่างเฉินถิงเซียว ตอนนั้นที่เขาหลอกเธอ เปิดปากก็บอกว่าตัวเองคือ “เฉินเจียฉิน” ทันที ก็พิสูจน์ได้แล้วว่า สำหรับเขาแล้ว เฉินเจียฉินเป็นคนที่สำคัญมาก
มู่น่อนน่อนหันไปมองประตูที่ปิดสนิทอีกครั้ง แล้วก็ไม่ได้ไปเคาะอีก แต่กลับหันหลังเดินลงไปที่ห้องครัวด้านล่าง
เฉินถิงเซียวชอบกินอาหารรสค่อนข้างจัด มู่น่อนน่อนเลยตั้งใจทำอาหารที่ทั้งเค็มทั้งเผ็ดอยู่หลายอย่าง
หลังจากทำเสร็จแล้ว เธอก็ขึ้นไปเคาะประตูอีกครั้ง “ได้เวลากินข้าวแล้ว”
รออยู่เนิ่นนานก็ไม่มีใครตอบ
ในตอนที่มู่น่อนน่อนคิดว่าเฉินถิงเซียวจะไม่พูดอะไรแล้วนั้น ด้านในก็มีเสียงแหบพร่าของเฉินถิงเซียวดังขึ้นอย่างเย็นชา “อย่ามายุ่งกับฉัน”
มู่น่อนน่อนนิ่งอึ้งไป
ไม่ว่าจะเป็น “เฉินเจียฉิน” ที่แรกเริ่มไม่ค่อยสนใจเธอ หรือว่าจะเป็นเฉินถิงเซียวหลังจากนั้น เขาก็ไม่เคยใช้คำพูดแบบนี้กับเธอมาก่อน
เฉินถิงเซียวเพียงแค่อารมณ์ไม่ดีเท่านั้น เธอไม่ถือสา
มู่น่อนน่อนพูดอย่างใจเย็นต่อว่า “งั้นให้ฉันเอากับข้าวขึ้นมาส่งให้คุณไหม ?”
บทที่139 ลิฟต์ส่วนตัว
มู่น่อนน่อนพยักหน้า “ฉันรู้แล้ว”
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นจึงกดรับโทรศัพท์
คำแรกที่เฉินถิงเซียวเปิดปากพูดก็คือ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”
คำนี้ฟังดูแล้ว เหมือนว่าหากไม่มีอะไรเกิดขึ้นเธอก็ไม่มีทางโทรหาเขาอย่างไรอย่างนั้น
มู่น่อนน่อนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรปกติเธอก็จะไม่โทรหาเฉินถิงเซียว
“ไม่มีอะไรหรอก” พอมู่น่อนน่อนพูดจบ ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “คุณยังทำงานอยู่เหรอ ?”
แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่ได้หลอกง่ายขนาดนั้น เขาไม่เชื่อคำพูดของมู่น่อนน่อน “ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเธอจะโทรหาฉันเหรอ ?”
มู่น่อนน่อนถามกลับไป “ความหมายของคุณคือหากไม่มีเรื่องอะไรห้ามโทรหาคุณงั้นเหรอ ?”
อีกฝั่งเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง เฉินถิงเซียวถึงได้พูดออกมาอย่างมีเลศนัยว่า “เธอโทรมาเพื่อเช็คตำแหน่งเหรอ ?”
มู่น่อนน่อนยังไม่ทันได้เข้าใจคำถาม “เช็คตำแหน่งอะไร ?”
เฉินถิงเซียว “ไม่มีอะไร ถ้าเธอไม่มีเรื่องอะไรจะโทรหาฉันบ่อยๆบ้างก็ได้”
“อุ๊บ……” เฉินเจียฉินที่แอบฟังทั้งสองคนอยู่ข้างๆอดขำเสียงดังออกมาไม่ได้
มู่น่อนน่อนหันไปถลึงตาใส่เฉินเจียฉินทีหนึ่ง ถึงแม้ว่าสายตาของเธอจะไม่มีแรงกดดันเลยแม้แต่น้อย แต่เฉินเจียฉินก็ยังให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีแล้วทำท่าทางรูดซิปปาก
เฉินถิงเซียวฟังออกว่าเป็นเสียงของเฉินเจียฉิน “เธออยู่กับเสี่ยวฉินเหรอ ?”
มู่น่อนน่อนเริ่มเลิ่กลั่กขึ้นมา “ใช่แล้ว วันนี้ฉันเลิกงานเร็ว ก็เลยมารับเฉินเจียฉินกลับไปด้วยกัน”
“เธอเลิกงานเร็ว เสี่ยวฉินก็เลิกเรียนเร็วได้ด้วยเหรอ ?”
ดูเหมือนจะไม่ได้นะ……
เฉินเจียฉินมองมู่น่อนน่อนด้วยสายตารังเกียจทีหนึ่ง แล้วเดินมาพูดโกหกต่อหน้าโทรศัพท์ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “คาบสุดท้ายเป็นวิชาพละครับ ไม่เข้าเรียนก็ไม่เป็นไร”
ยังดีที่เฉินถิงเซียวไม่ได้ถามอะไรมาก “เดี๋ยวฉันให้สือเย่ไปรับพวกนายกลับบ้าน”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพวกเราเรียกรถไปเอง” ตอนที่มู่น่อนน่อนรู้ตัวอีกที ก็พูดคำนั้นออกไปเสียแล้ว
เฉินถิงเซียวหมายความว่าให้สือเย่มารับเธอกับเฉินเจียฉินกลับบ้านแท้ๆ ส่วนความหมายของเธอกลับเป็นไปหาเฉินถิงเซียวที่บริษัทเสิ้งติ่ง
เฉินถิงเซียวชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วใช้น้ำเสียงที่ไม่มีพิรุธพูดว่า “ให้เขาไปรับพวกเธอเถอะ”
……
สือเย่ขับรถมารับอย่างรวดเร็ว
สือเย่ขับรถไปจอดที่ลานจอดรถ จากนั้นก็พามู่น่อนน่อนกับเฉินเจียฉินไปทางลิฟต์ส่วนตัวของประธาน
เมื่อก่อนตอนที่มู่น่อนน่อนทำงานอยู่ด้านนอกนั้นก็เป็นเพียงบริษัทเล็กๆ ไม่มีลิฟต์ส่วนตัวอะไรแบบนั้น ตึกของบริษัทมู่ซื่อเป็นเพราะสร้างเสร็จตั้งนานแล้ว ดังนั้นก็เลยไม่มีลิฟต์ส่วนตัวเหมือนกัน
เป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นลิฟต์แบบนี้ มู่น่อนน่อนเลยรู้สึกแปลกใหม่อยู่บ้าง
“คุณผู้ชายครับ พวกคุณผู้หญิงมาแล้วครับ”
สือเย่พาพวกเขาทั้งสองไปถึงหน้าประตูห้องทำงานของเฉินถิงเซียว จากนั้นก็ออกไป
มู่น่อนน่อนผลักประตูเดินเข้าไป ก็เห็นเฉินถิงเซียวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน
เขากำลังปิดเอกสารในมือพอดี กำลังเตรียมจะลุกขึ้น
พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นมู่น่อนน่อน มุมปากเขาก็ยกขึ้นแบบยากที่จะสังเกต “มาแล้วเหรอ”
“อืม” มู่น่อนน่อนตอบกลับไปอย่างเขินอายเสียงหนึ่ง แล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ด้านข้างด้วยตัวเอง
มีแต่เฉินเจียฉินที่ทำท่าตื่นเต้นที่ได้เห็นห้องทำงาน เลยเดินดูโน่นจับนี่ไปทั่ว
เฉินถิงเซียวเดินไปด้านหลังมู่น่อนน่อน สองมือยันอยู่บนพนักโซฟา โน้มตัวเอียงคอมองหน้าเธอ แล้วถามว่า “อยากดื่มอะไรไหม ?”
“ไม่อยากดื่มอะไร คุณจะเลิกงานตอนไหน ?”
เฉินถิงเซียวยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา “ใกล้แล้ว”
เดิมทียังมีประชุมอีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากมู่น่อนน่อนรีบกลับไป เขาจะถอนตัวก็ได้
ในเวลานั้นเอง เลขาก็เข้ามาเคาะประตู “ท่านประธานครับ ข้อมูลการประชุมตอนสี่โมงครึ่งผมเตรียมเสร็จแล้วครับ”
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมามองเขา “คุณยังต้องประชุมอีกเหรอ?”
ตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา ในดวงตาสะท้อนแต่เพียงภาพเขา
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวอดไม่ได้ที่จะนุ่มนวลขึ้นหลายระดับ “ไม่ได้สำคัญอะไรมาก”
มู่น่อนน่อนเองก็สัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนที่ปกติไม่มี ใจของเธอเลยเต้นรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ แล้วขยับไปด้านข้างเล็กน้อย “ถ้าคุณมีงานก็ไปทำก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะรอคุณเอง”
เห็นได้ชัดว่ากำลังเขินอาย
แต่ตอนที่เธอพูดว่าจะรอคุณเองนั้น ดูน่าเอ็นดูมาก
ทำให้อยากจะจูบเธอขึ้นมา
เฉินถิงเซียวเงยหน้ามองไปตรงทิศทางของเฉินเจียฉิน เฉินเจียฉินเองก็กำลังถือหนังสืออะไรบางอย่างแล้วมองมาทางนี้พอดี
เฉินถิงเซียวยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้เขาหันไป
เฉินเจียฉินกลอกตามองบนทีหนึ่ง แล้วหันกลับไปอย่างไม่เต็มใจนัก แสร้งทำเป็นค้นคว้าหนังสือที่อยู่บนชั้น
มู่น่อนน่อนมองไม่เห็นท่าทางของเฉินถิงเซียว แต่รู้สึกว่าเขายังไม่ไป เลยหันหลังไปหมายจะเร่งเขา “คุณรีบไปเถอะ”
เพิ่งจะสิ้นเสียง จูบของเฉินถิงเซียวก็แนบลงมาอย่างกะทันหัน
จูบที่มาอย่างกะทันหันเกินไป ทำให้มู่น่อนน่อนไม่สามารถหลบเลี่ยงได้
พอเฉินถิงเซียวจูบเสร็จก็ดูริมฝีปากของเธอทีหนึ่ง “ฉันจะรีบกลับมา”
จะมีใจไปสนใจสิ่งที่เขาพูดที่ไหนกัน เธอหันหน้าไปยังทิศทางที่เฉินเจียฉินอยู่ ก็เห็นว่าเฉินเจียฉินนั้นยังหันหลังให้พวกเขาแล้วอ่านหนังสืออยู่ เธอถึงได้รู้สึกโล่งอก
พอเฉินเจียฉินได้ยินเสียงปิดประตู ก็ค่อยๆหันกลับมามองทีหนึ่ง จากนั้นก็ทำท่าทางเหมือนโจรรู้สึกผิดวางหนังสือที่อยู่ในมือกลับเข้าที่ สีหน้าดูหลากหลายอารมณ์มาก
ให้ตายสิ! ที่แท้พี่ชายก็ยังมีความรู้สึกของมนุษย์อยู่! แถมยังจูบเป็นอีกด้วย!
เมื่อกี้น่าจะถ่ายรูปแล้วส่งไปให้คุณแม่ดูสักหน่อย!
แม่บอกเขาตลอด รู้สึกเป็นห่วงพี่ชายว่าชาตินี้อาจจะต้องโดดเดี่ยวหาคู่ครองไม่ได้!
……
เฉินถิงเซียวบอกว่าจะรีบกลับมา ก็รีบกลับมาจริงๆ
จากตอนที่เขาออกไปจนเขากลับมา ใช้เวลาไปแค่สิบนาทีเท่านั้น
ทั้งสามคนเข้าไปในลิฟต์แล้วลงไปที่ลานจอดรถพร้อมกัน
เฉินถิงเซียวหันไปมองเฉินเจียฉินทีหนึ่ง “ไปต่อยตีกับคนอื่นมาเหรอ ?”
เฉินเจียฉินเบ้ปาก “ใช่ครับ”
ถึงแม้ว่าจะบอกเหตุผลที่ชกต่อยให้เฉินถิงเซียวรู้ไม่ได้ แต่บนหน้าเขามีปลาสเตอร์ปิดแผลอันใหญ่ขนาดนั้นอยู่ แต่เฉินถิงเซียวก็ไม่น่าจะพึ่งมาเห็นเอาตอนนี้นี่นา
ในที่สุดเขาก็รับรู้ได้ถึงคำที่ว่า “มีแฟนแล้วลืมคนรอบข้าง” แล้วว่าหมายความว่ายังไงแล้ว
คิดว่าที่พูดก็คงหมายถึงคนแบบพี่ชายของเขานั่นเอง
สีหน้าของเฉินถิงเซียวไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง “ดังนั้นมู่น่อนน่อนเลยไปที่โรงเรียนนายเหรอ ?”
“ไม่อย่างนั้นล่ะ ? จะให้โทรหาพี่เหรอ……”
คำว่า “เหรอ” คำสุดท้ายติดอยู่ในลำคอ เฉินเจียฉินจะพูดก็ไม่ใช่ ไม่พูดออกมาก็ไม่ใช่
เลยห่อตัวเข้าไปในลิฟต์ พยายามลดตัวตนของตัวเองลง
ไม่ว่ายังไง……ก็พูดไม่ออก!
มู่น่อนน่อนมองดูเฉินเจียฉินอย่างตกใจทีหนึ่ง ประเด็นก็คือจังหวะมันขาดตอนไปแล้ว เธอเองก็ช่วยเขาไม่ได้แล้วน่ะสิ!
เฉินถิงเซียวหัวเราะออกมาทีหนึ่งอย่างไม่ทราบเหตุผล เฉินเจียฉินกระตุกวูบทีหนึ่ง จากนั้นก็หลบไปอยู่หลังมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนก้มหน้ามองดูปลายเท้าตัวเอง แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น
พอออกจากลิฟต์มา เฉินถิงเซียวก็เดินอยู่หน้าสุด มู่น่อนน่อนกับเฉินเจียฉินเดินตามหลังมา
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตัวเองกับเฉินเจียฉินเหมือนเด็กน้อยสองคนที่ทำผิดแล้วกลัวจะถูกผู้ปกครองดุด่า ส่วนเฉินถิงเซียวก็คือผู้ปกครองคนนั้น
เธอถูกการเปรียบเทียบอันนี้ของตัวเองทำให้ตกใจ
มู่น่อนน่อนหันกลับไปช้าๆ แอบดึงมือของตัวเองที่ถูกเฉินเจียฉินเกาะไว้กลับมา “เสี่ยวฉิน นายดูแลตัวเองด้วยนะ”
“……”
ตอนที่ขึ้นรถ มู่น่อนน่อนก็ยังมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือเฉินเจียฉินสักครั้ง เลยจงใจเข้าไปนั่งด้านหลัง นั่งข้างกันกับเฉินถิงเซียว
เพียงแต่ เธอนั่งข้างเฉินถิงเซียวได้ไม่เกินสามวินาที ก็เริ่มเสียใจขึ้นมาแล้ว
บทที่138 ถ้าหากไม่พอใจ คุณก็ไปฟ้องพวกเราสิ
มู่น่อนน่อน่ขมวดคิ้ว แล้วจ้องไปทางหญิงอ้วนคนนั้นอย่างเย็นชา “มีเด็กอยู่ที่นี่ คุณช่วยพูดจาให้ดีหน่อย”
“เธอหมายความว่ายังไง เธอด่าฉันเหรอ ?” หญิงอ้วนคนนั้นพุ่งมาตรงหน้ามู่น่อนน่อน ท่าทางบีบคั้นคนแบบนั้นเหมือนแทบอยากจะกระโดดเข้ามาตบมู่น่อนน่อนสักฉาด
คุณครูประจำชั้นเห็นท่าไม่ดี เลยรีบเข้ามาลากเธอเอาไว้ “คุณแม่ของเถาปิง คุณช่วยสงบลงก่อนครับ”
หนึ่งในเด็กที่ชกต่อยกับเฉินเจียฉินชื่อว่าเถาปิง และหญิงอ้วนคนนี้ก็คือแม่ของเถาปิง
คุณแม่ยังไร้เหตุผลขนาดนี้ แล้วลูกจะดีไปถึงไหน ?
ไม่ใช่ว่ามู่น่อนน่อนดูถูก แต่ส่วนใหญ่แล้วเด็กๆมักจะได้รับอิทธิพลมาจากคำพูดการกระทำของพ่อแม่
“ให้ฉันสงบ นายดูลูกของฉันสิ!” หญิงอ้วนดิ้นหลุดออกจากคุณครู เดินไปดึงตัวเถาปิงออกมาข้างหน้า แล้วชี้แผลบนหน้าของเขาแล้วพูดว่า “ถ้าลูกชายของพวกนายเจ็บขนาดนี้ พวกนายจะสงบได้เหรอ ?”
หญิงอ้วนบีบแขนของเถาปิง ดูท่าทางแรงน่าดู มู่น่อนน่อนเห็นว่าเถาปิงเจ็บจนเบ้ปากอย่างชัดเจน แต่กลับไม่ส่งเสียงออกมา
กับผู้หญิงวัยกลางคนที่ท่าทางก้าวร้าวแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าครูประจำชั้นก็เอาไม่อยู่ เขาเดินถอยหลังไปสองก้าว แล้วดันแว่นที่วางอยู่บนสันจมูก พูดว่า “ผม……ผมยังไม่แต่งงานครับ……”
หญิงอ้วนทำเสียง “เอ๊ะ” ทีหนึ่ง “คุณครูดูแล้วท่าทางอายุสามสิบกว่าแล้วสินะ คุณยังไม่แต่งงานอีกเหรอ ?”
พอครูประจำชั้นได้ยินแบบนั้น สีหน้าก็เริ่มไม่ค่อยดีขึ้นมา เขาทำคอให้โล่งก่อนจะพูดว่า “ในเมื่อเฉินเจียฉินไม่อยากพูด งั้นเถาปิงพูดสิว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น”
เถาปิงได้ยินชื่อของตัวเอง ก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วมองไปทางเฉินเจียฉินทีหนึ่ง
เฉินเจียฉินเลิกคิ้วตอบ เถาปิงกระตุกวูบไปทีหนึ่ง ก่อนก้มหน้าลงต่ำ แล้วพูดพึมพำว่า “พวกเราก็แค่ล้อเล่นกับเฉินเจียฉินคำสองคำ เขาก็เริ่มลงมือตีพวกเราแล้ว”
“ล้อเล่น ?” เฉินเจียฉินเอียงคอมองเถาปิง มุมปากโค้งขึ้น แล้วพูดขู่ทันที “นายเห็นว่าคำพูดแบบนั้นเป็นการล้อเล่น ถ้าครั้งหน้านายกล้าพูดอีกเชื่อไหมว่าฉันจะต่อยนายอีกแน่”
พอพูดจบก็รู้สึกเหมือนยังไม่หายโกรธ เฉินเจียฉินกัดฟันแล้วพูดเสริมอีกประโยคว่า “ต่อยจนร่างกายนายใช้ไม่ได้ไปครึ่งท่อนเลย !”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดห้ามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เฉินเจียฉิน !”
เฉินเจียฉินหันไปมองมู่น่อนน่อนทีหนึ่ง ยืดคอแล้วพูดว่า “พี่น่อนน่อน เรื่องนี้ผมไม่ผิด ถ้าเขากล้าพูดอีก ผมก็กล้าต่อยเขาจริงๆ เพราะยังไงพี่ชายก็ช่วยผมเก็บกวาดได้อยู่แล้ว”
มู่น่อนน่อนสีหน้าเย็นชา “หุบปาก!”
ถึงแม้ปกติมู่น่อนน่อนจะไม่ทำหน้าเย็นชาเหมือนเฉินถิงเซียว แต่ตอนที่เธอโมโห ก็ค่อนข้างน่ากลัวเหมือนกัน
เฉินเจียฉินก้มหน้าลงไม่พูดอะไรต่ออีก แต่เขากลับเบือนหน้าไปอีกทางไม่มองมู่น่อนน่อน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจ
ที่นี่คนเยอะ ไม่ใช่เวลาจะมาสั่งสอนเฉินเจียฉิน
ตอนที่มีคนมาหาเรื่องถึงที่ ต้องไม่แสดงท่าทางอ่อนแอออกมาให้เห็น
แต่ว่าความคิดของเฉินเจียฉินมีปัญหา เขาเพิ่งจะอายุสิบสี่ เปิดปากทีก็มีแต่คำว่าต่อยตีฆ่าฟัน ถึงขั้นบอกว่าเฉินถิงเซียวจะช่วยเขาเก็บกวาด
ความคิดแบบนี้ ไม่ได้เด็ดขาด!
เถาปิงที่อยู่อีกด้าน อาจจะรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนสามารถควบคุมเฉินเจียฉินได้ เลยใจกล้าขึ้นมาเล็กน้อย
เขาทำเสียงในลำคอทีหนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “ที่ฉันพูดมันก็เรื่องจริงทั้งนั้น ตอนนั้นบริเวณที่คุณนายเฉินถูกลักพาตัวไป ก็คือโรงงานเก่าที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของพวกเรานัก มีคนเห็นว่าเธอถูกขืนใจจนตายไงแล้วจะทำไม เพียงแต่คนที่รู้เรื่องนี้ถูกคนของตระกูลเฉินจ่ายค่าปิดปากเลยไม่มีใครกล้าพูด! พวกเราพูดเรื่องหล่อนแล้วเกี่ยวอะไรกับนาย! นายมาต่อยพวกเรากับเรื่องแค่นี้เนี่ย……โอ้ย!”
เถาปิงยังไม่ทันพูดจบ ก็ร้องลั่นออกมาทีหนึ่งทันที
ตอนที่มู่น่อนน่อนได้ยินคำว่า “คุณนายเฉิน” สามคำนั้น ก็อึ้งไปเลย เลยไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าของเฉินเจียฉิน
พอเธอหันกลับไปมอง เฉินเจียฉินก็ดึงคอเสื้อเถาปิงแล้วชกหมัดใส่หน้าเขาอย่างแรงทีหนึ่งแล้ว ก่อนจะพูดอย่างดุร้ายว่า “ฉันบอกแล้วใช่ไหม ถ้านายพูดออกมาอีก ฉันก็จะต่อยนายอีกครั้ง……”
“เฉินเจียฉิน หยุดนะ!” มู่น่อนน่อนรีบพุ่งเข้าไปดึงเขาเอาไว้
ถึงแม้เฉินเจียฉินยังเป็นแค่เด็กวัยแรกรุ่น แต่ปกติเขาชอบเล่นกีฬา เรี่ยวแรงก็มีไม่น้อย มู่น่อนน่อนเลยดึงเขาไม่ไหว
มู่น่อนน่อนปล่อยเขาออก แล้วพูดอย่างสงบนิ่งว่า “ถ้านายยังต่อยอีก พี่ชายนายก็จะมาแล้วนะ”
พอเฉินเจียฉินได้ยินแบบนั้น ก็หยุดลงจริงๆ
แม่ของเถาปิงวิ่งเข้าไปกอดเถาปิงเอาไว้ แล้วก็ร้องไห้พร้อมสูดน้ำมูกว่า “ฉันก็บอกแล้วว่าเจ้าเด็กนั่นมันเลวทราม!”
พอเฉินเจียฉินได้ยินเข้าก็เตรียมจะพุ่งเข้าไป แต่มู่น่อนน่อนรีบลากเขาเอาไว้ก่อน
เขาล้วงเงินออกมาจากกระเป๋ามาปึกหนึ่ง แล้วโยนไปที่โซฟา “นี่เป็นค่ารักษาพยาบาลของเถาปิง”
เถาปิงยังเดินได้ขยับได้ บนตัวมีแค่แผลถลอกภายนอกเท่านั้น ไม่ได้เจ็บถึงกระดูก ค่ารักษาพยาบาลสองพันหยวนนั้นเพียงพออยู่แล้ว
แต่คุณแม่ของเถาปิงกลับไม่ยอมถอย “เงินแค่นี้เธอคิดว่าจ่ายให้ขอทานเหรอ!”
มู่น่อนน่อนไม่อยากพูดอะไรกับเธอมาก เลยพูดอย่างเย็นชามาก “ถ้าไม่พอใจ ก็เชิญคุณไปฟ้องพวกเราได้เลย”
เห็นได้ชัดว่าหญิงอ้วนคนนั้นเริ่มเกรงกลัว แต่กลับแสร้งทำเป็นใจกล้า “เธอคิดว่าฉันไม่กล้าเหรอ !”
“ถ้างั้นฉันจะรอนะ”
พอมู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ดึงเฉินเจียฉินแล้วเดินออกมาโดยไม่หันกลับไปมองอีก
……
ใกล้ๆโรงเรียนมีคลินิกที่หนึ่ง มู่น่อนน่อนกับเฉินเจียฉินเดินออกมาจากโรงเรียน จากนั้นก็พาเขาตรงไปที่คลินิก
แผลเล็กๆบนใบหน้าของเขาต่างก็ถูกปิดไว้ด้วยปลาสเตอร์ปิดแผล
พอติดเสร็จแล้ว เฉินเจียฉินก็หันกลับไปถามมู่น่อนน่อน “พี่น่อนน่อน พี่พกกระจกมาไหม ?”
“ทำไม ?” ขณะพูดมู่น่อนน่อน ก็หยิบกระจกแต่งหน้าอันเล็กออกมาจากกระเป๋าของตัวเองยื่นให้เขา
เฉินเจียฉินถือกระจกส่องซ้ายส่องขวา จากนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดสรุปว่า “ท่าทางแบบนี้ของผมก็ดูเท่ดี!”
มู่น่อนน่อนมองเขาทีหนึ่งอย่างพูดอะไรไม่ออก ลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะ”
เฉินเจียฉินเดินตามมาจากด้านหลัง แล้วยัดกระจกเล็กเข้าไปในกระเป๋าของมู่น่อนน่อน แล้วถามเธอว่า “พี่บอกว่าพี่ชายผมก้จะมา เขาจะมาเมื่อไหร่ อยู่ที่ไหนเหรอ ?”
มู่น่อนน่อนกอดอกแล้วเดินไปข้างหน้า แล้วพูดโดยไม่หันไปมองว่า “ตอนนี้เขายังไม่มาหรอก”
เฉินเจียฉินถอนหายใจอย่างโล่งอก “อ๋อ”
“เถาปิงคนนั้นพูดว่าคุณนายเฉิน……” มู่น่อนน่อนเม้มปาก เงียบไปหลายวินาทีก่อนจะพูดต่อว่า “คือแม่ของเฉินถิงเซียวเหรอ ?”
ตอนที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น มู่น่อนน่อนยังอายุเพียงหกเจ็ดขวบเท่านั้น ถึงแม้ว่าเรื่องที่คุณนายเฉินถูกลักพาตัวจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆอย่างเธอ เรื่องที่น่าปวดหัวที่สุดสำหรับเธอในตอนนั้น ก็คงน่าจะเป็นเรื่องที่ว่าเมื่อไหร่เซียวชู่เหอจะซื้อกระโปรงลายดอกชุดใหม่ให้เธอ
เหมือนว่าจะเคยได้ยินคนในบ้านคุยกันถึงเรื่องนี้อยู่ แต่กลับไม่มีใครพูดถึงประเด็นนี้
เฉินเจียฉินพยักหน้า น้ำเสียงดูเศร้าสร้อย “อืม”
ทั้งสองคนเลยเงียบกันไปชั่วขณะ
เรื่องนี้ผ่านไปนานหลายปีแล้ว มู่น่อนน่อนก็เพิ่งเคยได้ยินคนพูดถึงเป็นครั้งแรก แต่กลับเป็นในรูปแบบนี้
ถ้าหากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง……
ทันใดนั้น โทรศัพท์ของมู่น่อนน่อนก็ดังขึ้น
เธอหยิบออกมาดูทีหนึ่ง ก็พบว่าเป็นเฉินถิงเซียวโทรมา
เฉินเจียฉินเองก็เห็นหน้าจอแจ้งเตือนแล้ว สีหน้าเลยเปลี่ยนไปเล็กน้อย “พี่อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่ชายผมนะ ผมได้ยินแม่ผมบอกว่า พี่ชายกับคุณป้า สนิทกันเป็นอย่างมาก!”
คุณแม่ของเฉินเจียฉิน เป็นน้องสาวของแท้ๆของคุณพ่อเฉินถิงเซียว คุณแม่ของเฉินถิงเซียวก็คือคุณป้าของเฉินเจียฉิน
บทที่137 พวกเขาย่ำแย่กว่า
พอได้ยินคำพูดของมู่ลี่เหยียนแล้ว ก็ตกสู่ภวังค์แห่งความคิดทันที
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็ส่ายหัว “ไม่ได้”
เมื่อก่อน ตอนที่คุณปู่มู่ออกจากประเทศ ก็เคยพูดไว้ ให้เขาบริหารบริษัทมู่ซื่อให้ดี หากไม่มีเรื่องอะไรผิดพลาด ชีวิตที่เหลือของคุณปู่มู่จะขออยู่ที่ต่างประเทศ
“พ่อคะ สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ค่อยดีแล้ว ภาพลักษณ์ของแบรนด์มีความสำคัญกับบริษัทเพียงใด คุณพ่อต้องรู้ดีกว่าหนูแน่ช่วงเวลาที่ผ่านมาเรื่องทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้น ต่างก็สร้างรอยแผลให้กับบริษัทมู่ซื่อไม่น้อยเลย……”
มู่น่อนน่อนยังไม่ทันได้พูดจบ จู่ๆมู่ลี่เหยียนก็ตัดบทเธอว่า “ลูกกับเฉินถิงเซียวเข้ากันได้ไหม ?”
“น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวเข้ากันได้ไหมหนูไม่รู้หรอกค่ะ แต่เธอกลับเข้ากันเข้า “เฉินเจียฉิน” ได้ไม่เลวเลย วันนี้ทั้งสองคนยังไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันอยู่เลย แถมยังจูบกันในที่สาธารณะอีกด้วย”
พอมู่หวั่นขีพูดจบ ก็หันไปมองทางมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “ฉันพูดถูกไหม ?”
มู่น่อนน่อนไม่มองมู่หวั่นขี เพียงหันหน้าไปพูดกับมู่ลี่เหยียนว่า “เฉินถิงเซียวไม่ค่อยสนใจหนูค่ะ เรื่องนั้นก็มีแค่นั้น”
เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองต้องช่วยโกหกแทนเฉินถิงเซียวด้วย
มู่ลี่เหยียนขมวดคิ้วแน่น “น่อนน่อน เฉินถิงเซียวเป็นสามีของลูก ทำไมลูกถึง……”
มู่น่อนน่อนรู้ว่ามู่ลี่เหยียนอยากจะใช้เฉินถิงเซียวเป็นเครื่องมืออีก คำพูดพวกนี้เธอฟังจนเบื่อแล้ว
เธอเลยขัดจังหวะของมู่ลี่เหยียนทันที แล้วพูดอย่างเด็ดขาดว่า “คุณพ่ออยากให้เฉินถิงเซียวช่วยเหมือนครั้งที่แล้วเหรอคะ ? ไม่มีทางหรอกค่ะ ถ้าหากบริษัทมู่ซื่อยังเป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานต้องถูกคนเข้าฮุบกิจการแน่ หนูเอาหุ้นของบริษัทมู่ซื่อที่ยังมีมูลค่าน้อยนิด ไปขายเสียตอนนี้ยังจะดีกว่า”
พอมู่ลี่เหยียนได้ยินแบบนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “มู่น่อนน่อน ลูกบ้าไปแล้วเหรอ!”
“เกรงว่าคงไม่ได้มีแค่หนูคนเดียวที่มีความคิดอยากจะขายหุ้น คนอื่นที่มีหุ้นในบริษัท เกรงว่าก็คงมีความเดียวกันกับหนู ปล่อยให้หุ้นของบริษัทมู่ซื่อที่อยู่ในมือค่อยๆเสื่อมราคา ไปหาคนที่ใจกว้างพอจะซื้อสักคนยังจะดีเสียกว่า”
คำพูดนี้ของมู่น่อนน่อน พูดได้ว่าเป็นดั่งดาบที่แหลมคม ที่ปักลงกลางศีรษะของมู่ลี่เหยียน
มู่ลี่เหยียนเบิกตาโต ชี้นิ้วไปทางมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าน่ากลัว “ลูกกล้าเหรอ !”
“ทำไมหนูจะไม่กล้าคะ? หุ้นที่อยู่ในมือหนูก็ถูกต้องการกฎหมาย ก็ต้องมีอำนาจซื้อขายด้วยตัวเองอยู่แล้ว!”
พอมู่ลี่เหยียนได้ฟังคำพูดของเธอ ก็โกรธจนพูดอะไรไม่ออกอยู่ครู่ใหญ่
“คุณพ่อลองคิดดูเองให้ดีก็แล้วกันค่ะ” พอมู่น่อนน่อนพูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปทันที
พอออกไป โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นทันที
ด้านบนแสดงหมายเลขที่ไม่คุ้นเคยจากเมืองหู้หยาง
พอมู่น่อนน่อนกดรับโทรศัพท์ ในสายก็มีเสียงของผู้ชายวัยกลางคนดังขึ้น
“ไม่ทราบว่า เป็นพี่สาวของเฉินเจียฉินหรือเปล่าครับ ?”
มู่น่อนน่อนชะงักไปทีหนึ่ง “ใช่ค่ะ ฉันคือพี่สาวของเขา”
“เรื่องเป็นแบบนี้ครับ ผมเป็นครูประจำชั้นของเฉินเจียฉิน เขาเกิดเรื่องขึ้นที่โรงเรียนนิดหน่อย จำเป็นต้องเชิญให้ผู้ปกครองมาช่วยพวกเราร่วมกันแก้ไขครับ”
มู่น่อนน่อนถามอย่างเป็นห่วงว่า “เขาเป็นอะไรไปเหรอคะ ?”
“นักเรียนเฉินเจียฉินไม่เป็นไรครับ เขา……” ครูประจำชั้นชะงักไปครู่หนึ่งก่อนพูดว่า “เขามีปัญหากับเพื่อนนักเรียนคนอื่นเลยเกิดเรื่องชกต่อยขึ้น ตัวเขาไม่เป็นไรครับ แต่นักเรียนที่ถูกเขาต่อยอาการค่อนข้างสาหัส”
มู่น่อนน่อนถอนหายใจทีหนึ่ง “ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”
……
มู่น่อนน่อนออกมาจากบริษัทมู่ซื่อ เรียกรถคันหนึ่งจากข้างทาง หลังจากขึ้นรถแล้ว ก็โทรไปหาเฉินถิงเซียว
เพียงแต่ เฉินถิงเซียวอาจจะกำลังยุ่งอยู่ เลยไม่ได้รับโทรศัพท์
โรงเรียนของเฉินเจียฉินอยู่ไม่ไกลจากบริษัทมู่ซื่อนัก เพียงสิบกว่านาทีก็ถึง
มู่น่อนน่อนไปเจอกับครูประจำชั้นของเฉินเจียฉินก่อน
เธอโค้งศีรษะเล็กน้อย “สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ” ครูประจำชั้นพยักหน้ารับ เฉินเจียฉินถือว่าเป็นเด็กที่ดูดีมากแล้วในชั้นเรียน คิดไม่ถึงเลยว่าพี่สาวของเฉินเจียฉินจะสวยขนาดนี้ ที่แท้ก็เป็นเพราะยีนที่ดีของชาติตระกูลนี่เอง
มู่น่อนน่อนเห็นว่าครูประจำชั้นเอาแต่จ้องเธอ เลยเอ่ยปากถามว่า “คุณช่วยเล่าสถานการณ์คร่าวๆให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ ?”
“เรื่องเป็นแบบนี้ครับ เห็นว่าเฉินเจียฉินกับนักเรียนคนอื่นมีปากเสียงกันนิดหน่อย เด็กๆนิสัยไม่ดี พอคุยไม่รู้เรื่องก็เริ่มลงไม้ลงมือกัน เพียงแต่นักเรียนเฉินเจียฉินต่อยฝ่ายตรงข้ามจนอาการหนักไปหน่อย พวกคุณในฐานะผู้ปกครองต้องคอยอบรมสั่งสอนให้ดีนะครับ……”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว เธอไม่ชอบคำพูดคำจาของคุณครูคนนี้เอาเสียเลย
เธอพูดกับคุณครู่ด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “คุณครูคะ ตอนนี้คุณยังไม่รู้สาเหตุของเรื่องราวเลยด้วยซ้ำ ก็บอกให้ฉันอบรมสั่งสอนเฉินเจียฉินแล้ว? แบบนี้มันไม่ยุติธรรมหรือเปล่าคะ ?”
ตอนที่มู่น่อนน่อนยิ้ม ตารูปแมวนั้นสวยงามมาก แต่ตอนที่จ้องคนอย่างเย็นชานั้น กลับทำให้คนสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือก
ครูประจำชั้นรีบพูดอธิบาย “ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นครับ ผมแค่รู้สึกว่านักเรียนเฉินเจียฉินลงมือรุนแรงไปหน่อย……”
มู่น่อนน่อนพูดต่อว่า “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ แต่ฉันขอไปเจอน้องชายของฉันก่อน”
ครูประจำชั้นพยักหน้า “พวกเขาอยู่ในห้องทำงานของผมครับ พวกเราไปกันได้เลยครับ”
มู่น่อนน่อนเห็นเฉินเจียฉินอยู่ในห้องทำงาน
บนใบหน้าเขามีรอยฟกช้ำเล็กน้อย ผมหยิกบนหัวยุ่งเหยิง เสื้อผ้าบนตัวก็ถูกกระชากจนขาด สภาพเหมือนหมาจรจัดที่เพิ่งถูกคนเก็บขึ้นมาจากกองขยะ
เขายืนหลังตรงอยู่ตรงนั้น ท่าทางดื้อรั้น ค่อนข้างดูเหมือนคนที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน
อาจจะเป็นเพราะการที่อยู่ด้วยกันกับเฉินถิงเซียว สีหน้าไร้อารมณ์ และดูมีแรงกดดันอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ยังห่างชั้นกับเฉินถิงเซียวมาก
พอเขาเห็นมู่น่อนน่อน สีหน้าไร้อารมณ์ก็พังทลายทันที เขากะพริบตาปริบๆ แล้วมองมู่น่อนน่อนด้วยท่าทางน่าสงสาร “พี่น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนมองดูสภาพของเขา แล้วก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป ลูบผมหยิกน้อยๆของเขา “บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ?”
“เปล่าครับ” เฉินเจียฉินส่ายหน้า จากนั้นก็ใช้น้ำเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคนพูดขึ้นว่า “ผมแค่เสื้อผ้าขาด แต่พวกเขาย่ำแย่กว่าผมมาก”
พวกเขา ?
มู่น่อนน่อนหันหลังกลับไปมอง ถึงได้เห็นว่ายังมีเด็กผู้ชายอีกสองคนอยู่ในห้องทำงานด้วย
เพียงแต่แผลบนใบหน้าของสองคนนั้นมีมากกว่าเฉินเจียฉิน ทั้งสองคนต่างก็นั่งอยู่ มีเพียงเฉินเจียฉินคนเดียวที่ยืนอยู่
เฉินเจียฉินไม่ใช่เด็กที่ไม่มีเหตุผล ยิ่งไม่ใช่คนที่จะชกต่อยคนไปเรื่อย แต่เพียงเพราะสองคนนั้นเจ็บหนักกว่าหน่อย ก็เลยได้นั่ง ส่วนเฉินเจียฉินกลับต้องยืน ?
มู่น่อนน่อนหันกลับไปมองที่คุณครู “บอกว่าบาดเจ็บหนักไม่ใช่เหรอคะ ทำไมไม่ส่งตัวไปที่โรงพยาบาล”
“นี่……เป็นความต้องการของผู้ปกครองของพวกเขาครับ” น้ำเสียงของครูประจำชั้นเองก็อึดอัดเล็กน้อย
โรงเรียนที่เฉินเจียฉินเรียนไม่ใช่โรงเรียนของชนชั้นผู้ดี สภาพครอบครัวของนักเรียนค่อนข้างธรรมดา พอเจอกับเรื่องนักเรียนถูกทำร้ายบาดเจ็บ การกระทำแบบนี้ของผู้ปกครองสองคนนั้น ก็คงเพื่ออยากจะเรียกร้องค่าเสียหายสักก้อน
มู่น่อนน่อนยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปาก
เวลานั้นเอง ด้านนอกก็มีเสียงของผู้หญิงวัยกลางคนดังขึ้น “ลูกชายของฉันอยู่ที่นี่”
เพิ่งจะสิ้นเสียง ผู้หญิงอ้วนคนหนึ่งก็ผลักประตูเข้ามา สายตาไปตกอยู่ที่เด็กชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนโซฟา ปาดคราบน้ำตาแล้วพุ่งเข้าไปหาทันที “ทำไมลูกชายสุดที่รักของฉันถึงได้ถูกทำร้ายจนอยู่ในสภาพแบบนี้……”
เธอร้องไห้เสียงดังมาก มู่น่อนน่อนอุดหูตัวเองเอาไว้ แล้วหันไปมองครูประจำชั้นทีหนึ่ง
ครูประจำชั้นเข้าไปเตือนเธอ “คุณอย่าเพิ่งร้องไห้เลยครับ พวกเรามาคุยกันให้ชัดเจนก่อนดีกว่า”
“คุยให้ชัดเจน ? เรื่องนี้จะคุยยังไงให้ชัดเจน ลูกชายฉันตกอยู่ในสภาพแบบนี้แล้ว แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องชดใช้ค่ารักษาสิ !” หญิงอ้วนคนนั้นตะโกนพูดเสียงดัง
พอมู่น่อนน่อนได้ยินแบบนั้น ก็เอ่ยปากพูดขึ้น “ค่ารักษาพวกเราออกให้ได้ แต่ตอนนี้จะต้องทำให้เรื่องมันกระจ่างก่อน เสี่ยวฉิน นายพูดมาสิ ว่าทำไมถึงได้ไปชกต่อยกับพวกเขา
เฉินเจียฉินไม่ได้ตอบในทันที แต่กลับก้มหน้าลง
มู่น่อนน่อนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เป็นอะไรไป ?”
เฉินเจียฉินเพียงแค่ทำหน้านิ่งไม่พูดไม่จา
ผู้หญิงอ้วนคนนั้นตอนนี้ก็ไม่ได้ร้องไห้แล้ว แต่กลับพูดอย่างพิลึกพิลั่นว่า “จะมีเหตุผลอะไรอีก เพราะว่าเขาเลวทรามไง มีที่ไหนต่อยเพื่อนนักเรียนด้วยกันจนอยู่ในสภาพแบบนี้ ดูลูกชายที่น่าสงสารของฉันสิ……”
บทที่136 กระตือรือร้นที่จะต่อสู้กับเขา
ณ บริษัทเสิ้งติ่ง
เฉินถิงเซียวกลับไปถึงห้องทำงาน ก็ต่อสายภายในไปหาเลขา “เรียกประธานกู้มาหน่อย”
ในบริษัทเฉินถิงเซียวมีลิฟต์ส่วนตัว ที่ขึ้นมาจากที่จอดรถโดยตรง ภายในบริษัทคนที่เคยเห็นหน้าเขา นอกจากเลขาแล้วก็มีแต่พวกระดับสูงเท่านั้น
พวกระดับสูงรู้ว่าเขาคือบอสใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของบริษัทเสิ้งติ่ง แต่กลับไม่รู้ว่าเขาคือเฉินถิงเซียว
ส่วนที่รู้ว่าเขาคือเฉินถิงเซียว แล้วยังรู้ว่าเขาคือบอสใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของบริษัทเสิ้งติ่งนั้น มีเพียงแค่ซือเฉิงหยู้ ฟู้ถิงซี กู้จือหยั่นสามคนนี้เท่านั้น
เมื่อเช้าตอนที่มู่น่อนน่อนออกไปจากโรงแรมจีนติ่งนั้น น่าจะเจอกับกู้จือหยั่นและฟู้ถิงซี
ฟู้ถิงซีด้วยความที่มีภารกิจติดตัว เลยเป็นคนที่รอบคอบมาก
ถ้าอย่างนั้นคนที่ปิดปากไม่สนิท ก็คงมีแค่กู้จือหยั่น
ผ่านไปครู่หนึ่ง เลขาก็โทรกลับมาหาเฉินถิงเซียวว่า “เลขาของประธานกู้บอกว่าเขาออกไปดูงานกะทันหันครับ ตอนนี้เขาไปอยู่ที่สนามบินแล้ว……”
ถึงแม้จะอยู่แค่ในสายโทรศัพท์ แต่ความเงียบของฝั่งนั้นก็ทำให้เลขารู้สึกกดดันมาก พอพูดถึงท่อนหลัง เสียงก็เบาลงจนแทบไม่ได้ยินแล้ว
“หึ”
เพิ่งจะสิ้นเสียง เธอก็ได้ยินเฉินถิงเซียวหัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง จนเธออดไม่ได้ที่จะขนลุกซู่
“ฉันรู้แล้ว ให้คนเรียกเสิ่นเหลียงขึ้นมา”
เฉินถิงเซียววางสายไป แล้วรอให้เสิ่นเหลียงขึ้นมา
นิสัยที่พอทำผิดแล้วก็วิ่งหนีของกู้จือหยั่นนั้น ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆ
ผ่านไปไม่นาน เสิ่นเหลียงก็ขึ้นมาถึง
ตอนที่เสิ่นเหลียงเคาะประตู ในใจก็ยังรู้สึกประหลาดใจ เมื่อกี้มีคนบอกเธอว่าบอสใหญ่ของบริษัทเสิ้งติ่งเรียกหาเธอ สิ่งแรกที่เธอคิดก็คือกู้จือหยั่นใช้ตำแหน่งอำนาจเรียกหาตัวเธอ เธอเลยปฏิเสธทันที
แต่เลขากลับเตือนเธออย่างเต็มที่ว่า “บอสใหญ่ของบริษัทเสิ้งติ่ง ไม่ใช่ประธานกู้”
ที่จริงแล้วกู้จือหยั่นก็ยังเป็นแค่พนักงานอย่างนั้นหรือ ?
“เข้ามา”
ภายในห้องมีเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มที่คุ้นหูดังออกมา
เสิ่นเหลียงผลักประตูออกด้วยความประหลาดใจ ตอนที่เธอมองดูใบหน้าของเฉินถิงเซียวนั้น ก็ต้องเบิกตาโตทันที
“เฉิน……เฉินถิงเซียว ?”
เฉินถิงเซียวพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “คุณเสิ่น”
จากในคำบรรยายของมู่น่อนน่อน เสิ่นเหลียงก็คาดเดาและรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวคนนี้เป็นคนน่ากลัว
คิดไม่ถึงว่าคนๆนี้ที่แท้จะเป็นบอสใหญ่ของตัวเธอเอง!
ถึงแม้สีหน้าของเขาจะดูปกติมาก แต่เสิ่นเหลียงก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เธอโค้งคำนับเก้าสิบองศาให้เฉินถิงเซียวทีหนึ่ง แล้วพูดเสียงดังว่า “สวัสดีค่ะบอส!”
กลิ่นอายเลียแข้งเลียขาในน้ำเสียง ไม่ต้องพูดชัดเจน ก็แผ่ออกมาโดยอัตโนมัติแล้ว
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว นิสัยของเพื่อนมู่น่อนน่อนผู้หญิงคนนั้นช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
มู่น่อนน่อนกลัวเขา แต่แทบไม่เคยเลียแข้งเลียขาเขาแบบนี้มาก่อน ดูเหมือนเธอจะกระตือรือร้นที่จะต่อสู้กับเขามากกว่า
เฉินถิงเซียวเอ่ยขึ้นเรียบๆ น้ำเสียงสงบไร้คลื่นลม “ที่เรียกคุณมา เพราะมีเรื่องอยากจะรบกวนคุณ”
เสิ่นเหลียงรู้สึกตื่นเต้นมาก มู่น่อนน่อนบอกว่าผู้ชายคนนี้ไม่น่าเล่นด้วย แต่ดูท่าทางแล้วนิสัยไม่เลวเลยนี่
“ขอแค่เป็นสิ่งที่ไม่เกินความสามารถของฉัน ถึงแม้จะเป็นสิบเรื่องฉันก็ไม่มีปัญหาค่ะ”
ดูเหมือนเฉินถิงเซียวจะพึงพอใจกับคำตอบของเธอมาก ท่าทางก็เลยดูอ่อนโยนขึ้น “ผมติดต่อกู้จือหยั่นไม่ได้ คุณช่วยผมโทรไปถามให้หน่อยว่าเขาอยู่ที่ไหน”
แค่นี้เหรอ ?
เสิ่นเหลียงคิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเสียอีก
ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้เธอไม่เคยติดต่อกู้จือหยั่นเลย แต่กลับมีวิธีติดต่อเขาอยู่ทุกช่องทาง
ไม่มีทางเลือก คนเลวอย่างกู้จือหยั่นนั้นสามารถแทรกซึมเข้าไปได้ทุกที่อยู่แล้ว
บางทีจู่ๆก็โอนเงินผ่านAliPayให้เธอ แอบสมัครไอดีปลอมไปแอบติดตามเป็นแฟนคลับเธอในวีแชท ตอนที่ภาพยนต์เรื่องใหม่ของเธอออกมาเขาก็ซื้อตั๋วแบบเหมาโรง……
เสิ่นเหลียงโทรไปหาเบอร์ที่ช่วงนี้เขาชอบใช้โทรมาหา ปรากฏว่าปิดเครื่อง
จากนั้น เธอก็โทรหาเบอร์ที่เมื่อก่อนเขาเคยใช้ นั่นคือเบอร์ที่เขาเคยใช้สมัยเรียน หลังจากนั้นพอเกิดเรื่องนั้นขึ้นทั้งสองคนก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
เธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขายังจะใช้อยู่หรือเปล่า
เสิ่นเหลียงโทรติดแล้ว สัญญาณดังเพียงครั้งเดียว อีกด้านนั้นก็มีเสียงอันตื่นเต้นของกู้จือหยั่นดังขึ้น “เสิ่นเสี่ยวเหลียง !”
เสิ่นเหลียงทำเป็นไม่ได้ยินความตื่นเต้นในน้ำเสียงของเขา แล้วถามว่า “กู้จือหยั่นคุณอยู่ที่ไหน ?”
“ฉันอยู่ที่สนามบินไง !”
วินาทีต่อมา จู่ๆกู้จือหยั่นก็ถามขึ้นอีก “เสิ่นเสี่ยวเหลียง เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ?”
หลายพี่ที่ผ่านมา เสิ่นเหลียงแทบไม่เคยติดต่อเข้าก่อนเลย เขาเลยคิดได้ทันทีว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับเสิ่นเหลียง
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่บอสใหญ่บอกว่าตามหาตัวนายไม่เจอ ให้ฉันช่วยติดต่อนายก็เท่านั้น” พอเสิ่นเหลียงพูดจบ ก็หันไปพูดกับเฉินถิงเซียวว่า “เขาบอกว่าเขาอยู่ที่สนามบินค่ะ”
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าประโยคนั้นของเสิ่นเหลียงมีปัญหาตรงไหน กู้จือหยั่นที่อยู่อีกฝั่งถึงได้ด่าออกมาประโยคหนึ่งว่า “บ้าเอ๊ย!”
จากนั้น โทรศัพท์ของเฉินถิงเซียวก็ดังขึ้น
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นแต่ก็ไม่ได้รีบร้อนกดรับโทรศัพท์ แต่กลับมองไปที่เสิ่นเหลียง “ขอบคุณมาก คุณกลับไปทำงานต่อเถอะ”
เสิ่นเหลียงเดินไปถึงริมประตู จู่ๆก็ได้ยินเฉินถิงเซียวพูดว่า “ผมดูภาพยนต์ของคุณแล้ว ในบรรดากลุ่มคนใหม่ที่เพิ่งเซ็นสัญญากับบริษัท คุณมีศักยภาพมากที่สุด”
เฉินถิงเซียวทำงานละเอียดรอบคอบ เขาจริงจังกับงานเป็นอย่างยิ่ง ตอนแรกกู้จือหยั่นอยากจะดึงเสิ่นเหลียงเข้ามาเซ็นสัญญากับเสิ้งติ่ง เขาก็เลยได้ดูภาพยนต์ที่เธอแสดงอยู่ท่อนหนึ่ง
งานไม่ใช่การเล่นเกม เขาไม่เคยใช้อารมณ์ในการตัดสิน
เสิ่นเหลียงเป็นคนที่มีศักยภาพมากจริงๆ
พอได้รับการยอมรับจากเฉินถิงเซียว เสิ่นเหลียงก็ค่อนข้างตื่นเต้น “ฉันจะพยายามค่ะ!”
เสิ่นเหลียงจากไปได้ไม่นาน กู้จือหยั่นก็กลับมา
เขาผลักประตูเข้าไปทันที สภาพเหงื่อท่วมตัวแค่ดูก็รู้ว่าวิ่งกลับมา ดูท่าทางรีบร้อนมาก
กู้จือหยั่นวิ่งตรงไปที่หน้าโต๊ะทำงาน “เสิ่นเสี่ยวเหลียงล่ะ ?”
“ไปแล้ว”
พอได้คำตอบกู้จือหยั่นก็ยิ่งร้อนรนกว่าเดิม “ไปที่ไหนแล้ว นายทำอะไรกับเธอ ?”
“ฉันจะไปทำอะไรเธอได้ ? ฉันก็แค่ให้เธอโทรหานาย แล้วก็บอกให้เธอออกไปได้” เฉินถิงเซียวเอ่ยปากอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน คำพูดฟังดูบริสุทธิ์มาก
“บ้าเอ๊ย!นายแกล้งฉัน!” กู้จือหยั่นนั่งพับลงกับเก้าอี้ “แม่งเอ้ย ฉันตกใจแทบแย่!”
เขากับเฉินถิงเซียวรู้จักกันมานาน รู้ดีว่าเฉินถิงเซียวโหดเหี้ยมขนาดไหน ดังนั้นพอได้ยินว่าเขาไปหาเสิ่นเหลียง ก็เลยตกใจจนรีบวิ่งกลับมาทันที
เฉินถิงเซียวมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “สารภาพมาด้วยตัวเองซะ”
กู้จือหยั่น “……”
สุดท้ายกู้จือหยั่นก็พ่ายแพ้ต่อคำขู่ของเฉินถิงเซียว เลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าออกมา
เขาคิดว่าเฉินถิงเซียวจะต่อยเขาทีหนึ่ง แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่ทำ แต่ผลสุดท้ายที่ได้กลับไม่ได้ดีไปกว่าการโดนต่อยทีหนึ่งเสียเท่าไหร่นัก
“ปีหน้านายไม่ต้องหยุดพักแล้ว ทำงานให้ดีเถอะ” พอเฉินถิงเซียวพูดจบก็เหมือนว่ายังเห็นเขาสภาพแย่ไม่พอ เลยกัดเขาอย่างเย็นชาอีกประโยคหนึ่งว่า “ยังไงเสิ่นเหลียงที่อยู่ในฐานะดาราดาวรุ่ง ก็ไม่มีวันคบกับนายได้อยู่แล้ว เป็นชายโสดก็ต้องตั้งใจทำงาน”
กู้จือหยั่นกัดฟัน “เลิกคบกันเถอะ!”
เฉินถิงเซียวไม่ได้โมโหเลยแม้แต่น้อย แถมยังมีรอยยิ้มบนใบหน้า “เสิ่นเหลียงยังไม่มีผู้จัดการคนใหม่”
กู้จือหยั่นขี้ขลาดขึ้นมาในเสี้ยววินาที อดกลั้นความโกรธแล้วพูดว่า “ฉัน……ฉันเต็มใจทำงานเต็มที่!”
“งั้นเสิ่นเหลียงก็ปล่อยให้นายติดตามแล้วกัน” รอยยิ้มของเฉินถิงเซียวกว้างกว่าเดิม
กู้จือหยั่นพึมพำเสียงเบาทีหนึ่ง “หึ! นักเลงร้อยเล่ห์!”
……
ทางบริษัทมู่ซื่อทำประกาศประชาสัมพันธ์ฉุกเฉินเกี่ยวกับเรื่องของซือเฉิงหยู้
แต่เป็นเพราะซือเฉิงหยู้นั้นมีชื่อเสียงมาก แฟนคลับก็เยอะ การประกาศครั้งนี้เลยไม่เป็นผลแม้แต่น้อย
บริษัทมู่ซื่อต้านทานแรงกดดันม่ได้เลย
ช่วงหลายปีมานี้บริษัทมู่ซื่อกำลังเดินทางลงเขา เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดสำหรับทุกคน
สายสัมพันธ์ที่คุณปู่มู่เคยสร้างขึ้น หลังจากที่บริษัทมู่ซื่อเผชิญกับเรื่องราวหน้านี้แล้ว ก็เลิกสนับสนุนเขา
มู่น่อนน่อนหาโอกาสเข้าไปคุยกับมู่ลี่เหยียน “คุณพ่อคะ หรือว่า เรียกคุณปู่กลับประเทศไหมคะ ?”
บทที่135 ไม่คิดจะจูบลากับฉันเหรอ ?
ตอนที่ออกไปทานข้าวเที่ยง พอมู่น่อนน่อนเดินออกมาจากตึกของบริษัทมู่ซื่อ ก็เห็นเฉินถิงเซียวพิงรถอยู่ไม่ไกล
เขาสวมสูทสีดำเรียบร้อย สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวไม่ผูกเนกไท กระดุมสองเม็ดที่คอเสื้อถูกปลดออก จนดูเหมือนคนเกเรเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนหยุดเท้าลงทันที ชะงักไปครู่หนึ่ง
เฉินถิงเซียวมองตรงมาที่เธอ เขายืดตัวให้ตรง แต่ไม่มีท่าทางอย่างอื่นอีก และไม่ได้เปิดปากพูดอะไร เพียงแต่มองจ้องมายังทิศทางที่เธออยู่เท่านั้น
ความหมายของเขาก็คือให้เธอไปหาเขาเร็วๆ
มู่น่อนน่อนเม้มปาก เชิดคางขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็เดินมุ่งหน้าไปหาเขา
พอเดินเข้าไปใกล้แล้ว เธอก็กอดอกด้วยมือสองข้าง ตรงหว่างคิ้วมีร่องรอยแคลงใจ “ท่านประธานใหญ่เฉินมาหาฉันมีธุระอะไรเหรอคะ ?”
น้ำเสียงของเธอดูสบายๆ แต่ภายในใจของเธอกลับค่อนข้างตื่นเต้น
นี่คือ “เฉินเจียฉิน” ที่กลับไปเป็นเฉินถิงเซียวแล้ว และมู่น่อนน่อนได้พูดคุยกับเขาแบบนี้เป็นครั้งแรก
ตอนที่เผชิญหน้ากับเฉินถิงเซียว ในเวลาส่วนใหญ่แล้วเธอก็รู้สึกกลัวเขาอยู่บ้าง นั่นเป็นความกลัวรูปแบบหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์
พอเฉินถิงเซียวได้ยินอย่างนั้น ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เธอเรียกฉันว่าอะไรนะ ?”
“ท่านประธานใหญ่ของบริษัทเสิ้งติ่ง” รอยยิ้มในแววตาของมู่น่อนน่อนค่อนข้างเย็นชา “ขอบคุณที่ก่อนหน้านี้คุณเห็นคุณค่าฉัน และยังส่งคำเชิญสัมภาษณ์มาให้ฉันด้วย”
เฉินถิงเซียวหรี่ตาเล็กน้อย สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆอย่างชัดเจน เพียงแค่ภายในเสียงทุ้มนั้นแฝงด้วยความรู้สึกไม่พอใจที่ยากจะสังเกตเห็น “ใครเป็นคนบอกเธอ ?”
“ใครจะบอกฉันแล้วมันเกี่ยวอะไรด้วย ?” มู่น่อนน่อนสีหน้าเย็นชา เลิกคิ้ว “ในเมื่อคุณเลือกที่จะปิดบังตั้งแต่แรก ก็ต้องมีวันถูกเปิดเผยเข้าสักวันอยู่แล้ว”
พอเฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดของเธอแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะโมโห แล้วพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “แล้วยังไง ? เธอคิดจะทำอะไรล่ะ ?”
พอเห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของเขา ก็ทำให้มู่น่อนน่อนพูดอะไรไม่ออกทันที
แล้วเธอจะทำอะไรได้ ?
ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะปิดบังหลอกลวง แต่เธอก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี
แต่ว่า เธอก็ข้ามกำแพงนี้ในจิตใจไปไม่ได้ ให้แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วใช้ชีวิตอยู่กับเขาไม่ได้
เรื่องเมื่อคืนเธออาจจะหุนหันพลันแล่นไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจภายหลัง
มู่น่อนน่อนเม้มปาก จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
เฉินถิงเซียวจ้องมองเงาของแผ่นหลังเธออยู่หลายวินาที จากนั้นค่อยเดินตามไปอย่างไม่รีบร้อน
ทั้งสองคนเดินหน้าหนึ่งหลังหนึ่งเข้าไปในร้านอาหาร
พอมู่น่อนน่อนนั่งลง เฉินถิงเซียวก็นั่งลงตาม
มู่น่อนน่อนพูดอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “คุณตามมาทำไม ?”
ในแววตาของเฉินถิงเซียวฉายแววจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย “เมื่อกี้ที่ฉันถามเธอ เธอยังไม่ได้ให้คำตอบ เธออยากจะทำยังไงกับฉัน ?”
“ฉันจะทำอะไรคุณได้ ?”
“เธออยากจะทำอะไรก็ได้”
มู่น่อนน่อนเกือบจะถูกเฉินถิงเซียวปั่นหัวจนสลบแล้ว อายุของทั้งสองคนรวมกันก็ครึ่งร้อยแล้ว แต่กลับยังมาพูดจาอ้อมไปอ้อมมาอยู่ตรงนี้ราวกับเด็กๆ
“ฉันอยากให้คุณไปห่างๆจากฉันหน่อย” ตอนนี้แค่เธอเห็นเฉินถิงเซียวก็รู้สึกรำคาญใจแล้ว
ตอนนี้เธอนั่งอยู่ตรงหน้าของเฉินถิงเซียว รู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เง่ามาก
จากต้นจนจบ ทุกสิ่งทุกอย่างของเธอต่างก็อยู่ในเงื้อมมือของเฉินถิงเซียว
ทุกการกระทำของเธอ ทั้งหมดของเธอ เฉินถิงเซียวนั้นรู้ดีทั้งหมด
ส่วนเรื่องของเฉินถิงเซียว เธอกลับไม่รู้อะไรเลยสักนิด
ตอนแรกที่เขายังเป็น “เฉินเจียฉิน” นั้น ถึงแม้ในใจเธอจะรู้สึกหวั่นไหว แต่เพราะว่าทั้งสองคนเป็น “ญาติกัน” เลยยังมีพื้นที่ให้เจรจา
แต่หลังจากที่เขาเป็นเฉินถิงเซียวแล้ว ความหวั่นไหวในใจก็เริ่มฝังรากลึก จนแตกหน่อผลิใบ เมื่อความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นที่ประจักษ์แล้ว เธอก็เริ่มอยากจะให้มีความสมดุลในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองขึ้น
“เหรอ” เฉินถิงเซียวตอบกลับเสียงเรียบทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ทำไม่ได้”
“คุณ……”
มู่น่อนน่อนเปลี่ยนความคิด ลองถามทดสอบไปว่า “ทำไมคุณถึงต้องบีบให้คุณปู่ของฉันกลับประเทศด้วย”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมองเธอ ดวงตาที่เข้มราวกับหมึกนั้นทั้งลุ่มลึกและมืดมน
มู่น่อนน่อนถูกเขามองจนเริ่มรู้สึกไม่ดี จนอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปหยิบแก้วน้ำที่อยู่ตรงหน้า
ในตอนนั้นเอง ริมฝีปากบางของเฉินถิงเซียวก็เริ่มขยับ แล้วถามออกมาว่า “เธอลองเดาดูสิ”
มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา ดวงตาที่สว่างไสวนั้นเริ่มโค้งขึ้น ราวกลับไม่ได้สนใจคำตอบของเขาเลยแม้แต่น้อย
“อ๋อ”
“เธอลองเดาดูสิ” ความหมายก็คือ เฉินถิงเซียวไม่อยากบอกเธอ
ที่เฉินถิงเซียวดีกับเธอ อาจจะเป็นเพราะว่าเธอคือภรรยาของเขา หรืออาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกสนใจเธอ หรืออาจจะเป็นเพราะเธอคือคนของตระกูลมู่
ในเวลานี้ มู่น่อนน่อนก็เข้าใจขึ้นมาทันที ที่เฉินถิงเซียวตัดสินใจทำตามข้อตกลงในการ ”แต่งงานกับมู่หวั่นขี” ก็เป็นเพียงเพราะมู่หวั่นขีเป็นคนของตระกูลมู่
ไม่ใช่ว่าคนของตระกูลเฉินไม่สนใจว่าเฉินถิงเซียวจะแต่งงานกับผู้หญิงแบบไหน แต่เป็นเพราะเฉินถิงเซียวไม่สนใจเองต่างหาก ขอแค่เป็นลูกสาวของตระกูลมู่ก็พอ ไม่ว่าจะเป็นมู่หวั่นขีหรือมู่น่อนน่อน เขาก็ไม่ได้สนใจ
ความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่อยากอาหาร
พออาหารมาเสิร์ฟ เธอก็ทานแค่ไม่กี่คำแล้วก็วางตะเกียบ
เฉินถิงเซียวมองดูเธอทีหนึ่ง แล้วก็คีบอาหารให้เธอ น้ำเสียงแหบพร่าทุ้มต่ำและสงบนิ่ง “เมื่อคืนคงเหนื่อยมาก กินให้เยอะหน่อย”
มู่น่อนน่อนหน้าแดงขึ้นมาทันที “ไม่อยากกิน ไม่อยากอาหาร !”
“เป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอเหรอ ?” เฉินถิงเซียวถามอย่างจริงจัง “งั้นตอนบ่ายก็กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ ยังไงเธอทำงานในบริษัทมู่ซื่อไปก็ไม่ได้รู้สึกมีความสุข”
มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง
น้อยมากที่จะมีคนมาสนใจว่าเธอมีความสุขหรือไม่
ตอนที่เฉินถิงเซียวดีกับเธอนั้น ก็คือดีอย่างแท้จริง
มีคนบอกว่าความอ่อนโยนคือป้ายหลุมศพของวีรบุรุษ แต่มู่น่อนน่อนกลับรู้สึกว่า ผู้ชายที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อทำดีกับผู้หญิงเพียงคนเดียวอย่างเฉินถิงเซียวนั้น สำหรับผู้หญิงแล้ว ก็คงเหมือนยาพิษที่กัดกินลำไส้
……
ทั้งสองคนพอทานข้าวเสร็จออกมาจากร้าน แล้วก็เจอเข้ากับมู่หวั่นขี
คงพูดได้เพียงว่า หนทางสู่ปรโลกนั้นคับแคบนัก
มู่หวั่นขียิ้มอย่างมีเลศนัย “น่อนน่อนกับคุณเฉินเจียฉินสนิทสนมกันจังเลยนะคะ พอว่างก็มาทานข้าวกับน่อนน่อน น้องเขยของฉันเขารู้ไหมคะ ?”
เฉินถิงเซียวหยีตาเล็กน้อย แล้วพ่นคำพูดที่น่าตกใจมากออกมา “เรื่องแบบนี้ ก็ต้องไม่ให้พี่ชายรู้อยู่แล้วสิครับ”
มู่น่อนน่อนแอบยื่นมือไปหยิกที่หลังมือของเฉินถิงเซียวแรงๆหนึ่งที เพื่อเตือนว่าไม่ให้เขาพูดจาเรื่อยเปื่อย
เฉินถิงเซียวจับมือเธอกลับหน้าตาเฉย “พี่สะใภ้ ผมไปก่อนนะ เดี๋ยวคืนนี้ผมมารับ”
มู่น่อนน่อนไม่พูดอะไร บนหน้าเขียนคำว่า “รีบไสหัวไป” อยู่
แต่เฉินถิงเซียวพอพูดจบก็ไม่ได้ไปไหน
มู่น่อนน่อนกำลังจะถามว่าทำไมเขายังไม่ไป จู่ๆเฉินถิงเซียวกลับขยับเข้ามาใกล้เธอ “พี่สะใภ้ ไม่คิดจะจูบลาผมหน่อยเหรอ ?”
“ ? ? ? ? “
พอเขาพูดจบ ก็จูบมู่น่อนน่อนต่อหน้ามู่หวั่นขีทีหนึ่ง จากนั้นหันหลังเดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้ม
รอยยิ้มนั้นพออยู่ในสายตาของมู่น่อนน่อน กลับดูน่าหมั่นไส้มาก
มู่หวั่นขีถึงแม้ว่าชีวิตส่วนตัวของเธอจะวุ่นวายมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออกว่ามู่น่อนน่อนกับ “เฉินเจียฉิน” จะทำตัวไร้ยางอายกันขนาดนี้ ไม่ปิดบังแม้ในที่สาธารณะแบบนี้
“มู่น่อนน่อน เธอนี่ช่าง……” มู่หวั่นขีรู้สึกหมดคำพูดไปชั่วขณะ ผ่านไปหลายวินาทีถึงได้พูดว่า “ไร้ยางอาย!”
วันนี้มู่น่อนน่อนสวมรองเท้าส้นสูงเล็กน้อย ถึงแม้มู่หวั่นขีจะสวมส้นสูงก็ยังเตี้ยกว่าเธอขั้นหนึ่ง ออร่าเองก็เทียบมู่น่อนน่อนไม่ติด
มู่น่อนน่อนหลุบตามองเธอ แล้วพูดเรียบๆว่า “เทียบเธอไม่ติดหรอก”
บทที่134 สมควรได้รับความโกรธแล้ว!
พอเข้าไปในบริษัทมู่ซื่อ มู่น่อนน่อนก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดในบริษัท
เธอเจอมู่หวั่นขีในห้องน้ำชา
ในดวงตาของมู่หวั่นขีเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนไม่ค่อยได้นอน
พอเธอเห็นมู่น่อนน่อนเข้า ก็ลากรองเท้าส้นสูงเดินเข้ามาหาเธอ “เธออยากจะทำให้บริษัทมู่ซื่อล้มละลายสินะ ? ตั้งแต่ที่เอเข้ามา บริษัทมู่ซื่อก็ไม่มีวันไหนสงบสุขเลย”
มู่น่อนน่อนไม่พูดอะไร
เธอเกิดมาในตระกูลมู่ แล้วมีวันไหนบ้างที่เธอได้อยู่อย่างสงบสุข
เธอถูกบีบบังคับให้แต่งงานเข้าตระกูลเฉิน แล้วมีวันไหนบ้างที่สงบสุข
“ฉันไม่ได้คิดจะทำให้บริษัทมู่ซื่อล้มละลาย และฉันก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองมีความสามารถขนาดนั้น บริษัทมู่ซื่อเป็นบริษัทที่คุณปู่ก่อตั้งขึ้น เป็นแบรนด์ที่มั่นคงในอุตสาหกรรมมานานหลายทศวรรษ และที่มันกลายมาเป็นแบบนี้ ในใจเธอไม่รู้อะไรเลยเหรอ ?”
มู่น่อนน่อนไม่ใช่คนที่เข้าใจเรื่องการบริหารมากนัก แต่สำหรับเรื่องส่วนใหญ่ของบริษัทมู่ซื่อ เธอเองก็รู้
ตอนนั้นคุณปู่มู่สร้างบริษัทมู่ซื่อขึ้นมาด้วยมือเปล่า เขาเป็นคนรู้จักปรับตัวและโอบอ้อมอารี ฝีมือในการทำธุรกิจไม่ถือว่าสูงส่ง แต่ในเรื่องการจัดการกับผู้คนเขากลับเป็นที่หนึ่ง แถมยังมีความดื้นรั้นอยู่ในนิสัยอยู่บ้าง
ที่เรียกกันว่าไม่มีธุรกิจไหนไม่มีการทรยศ สิ่งที่คุณปู่มู่ขาดไปนั่นก็คือ”ทรยศ” ดังนั้นหลายสิบปีของบริษัทมู่ซื่อ นอกจากถูกตีตราให้เป็น “แบรนด์เก่าแก่” แล้ว ก็ไม่มีการพัฒนาที่ใหญ่โตอะไรนัก
คุณปู่มู่ส่งมองบริษัทมู่ซื่อ่ให้กับมู่ลี่เหยียน แรกเริ่มมู่ลี่เหยียนก็ตั้งใจทำผลิตภัณฑ์อย่างซื่อตรง แต่หลายปีมานี้กลับเริ่มค่อยๆนอกลู่นอกทาง เริ่มทำการสินค้าปลอมขึ้น
จนกระทั่งเวลาที่ผ่านมาโครงการมีช่องโหว่ มีปัญหาเกี่ยวกับห่วงโซ่ทุนของบริษัท จากนั้นก็ถูกเปิดโปงความดำมืดของโรงงาน บริษัทมู่ซื่อก็เลยตกอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤตที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งมา
“ตอแหล!” มู่หวั่นขีไม่เห็นคำพูดของมู่น่อนน่อนอยู่ในสายตาเลย “ถ้าเธอมีปัญญาก็ตามฉันไปพูดต่อหน้าคุณพ่อสิ”
“ไปก็ไป!”
ที่จริงมู่น่อนน่อนก็ไม่ได้อยากเห็นบริษัทมู่ซื่อล้มละลายไปทั้งอย่างนี้ พนักงานหลายคนในบริษัทมู่ซื่อนั้นเป็นคนที่ร่วมเดินเคียงข้างมาด้วยกันกับคุณปู่มู่ ทำงานอยู่ในบริษัทมาครึ่งค่อนชีวิต พวกเขาเหล่านั้นมีความผูกพันกับบริษัทมู่ซื่ออย่างแท้จริง
เธอไม่ใช่แม่พระ ถ้ามองจากมุมมองความแค้นส่วนตัว ถ้าหากบริษัทมู่ซื่อล้มละลายไป ในใจเธอก็คงรู้สึกสะใจไม่ใช่น้อย
แต่ว่า ความรู้สึกสะใจนั้นก็เพียงชั่ววูบเท่านั้น หากบริษัทมู่ซื่อล้มละลาย พนักงานมากมายก็ต้องตกงาน นี่เป็นผลที่มองภาพออก
เธอไม่สามารถทำเป็นหูหนวกตาบอด แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรได้
ถ้าเฉินถิงเซียวเป็นบอสใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังบริษัทเสิ้งติ่ง ถ้าอย่างนั้น เรื่องของซือเฉิงหยู้ จะต้องเป็นแผนการที่เขาวางเอาไว้เป็นแน่
เฉินถิงเซียวทำเพื่อบีบบังคับให้คุณปู่มู่กลับประเทศ เลยแอบลงมือในมุมมืด ถ้าหากคุณปู่มู่ไม่ยอมกลับมา ไม่แน่ว่าเขาอาจจะทำให้บริษัทมู่ซื่อล้มละลายไปเลยก็ได้
ผู้ชายที่ถอนลูกกระสุนออกโดยไม่ใช้ยาชา อายุเพียงยี่สิบหกปีก็ได้เป็นผู้นำในแวดวงบันเทิง มู่ลี่เหยียนจะไปเป็นคู่มือเขาได้ยังไง
……
“คุณพ่อคะ มู่น่อนน่อนมาแล้วค่ะ !”
มู่หวั่นขีลากมู่น่อนน่อนไปที่ห้องทำงานของมู่ลี่เหยียน
“น่อนน่อน เมื่อวานลูกไปหาซือเฉิงหยู้พวกลูกคุยอะไรกันเหรอ ทำไมเรื่องถึงได้กลายเป็นแบบนี้ ?” มู่ลี่เหยียนลุกขึ้นจากหลังโต๊ะทำงานแล้วเดินออกมาหา
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า “ไม่ได้คุยอะไรกันค่ะ”
“ไม่ได้คุยอะไรแล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ ?” มู่หวั่นขีทำหน้าเยาะเย้ยเธอ “จะต้องเป็นเพราะเธอพูดอะไรกับซือเฉิงหยู้แน่ เยาเลยโกรธ เห็นได้ชัดว่าหัวข้อบนอินเทอร์เน็ตมีคนที่ซื้อรายชื่อและดันให้ดังขึ้นมา”
“ตอนแรกเธอใช้อะไรไปเจรจากับซือเฉิงหยู้เหรอ เขาเคยพูดว่าจะเซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับบริษัทมู่ซื่อหรือเปล่า ใช้สมองของเธอคิดให้ดีๆสิ คนที่มีชื่อเสียงอย่างเขา ทำไมต้องรับปากว่าจะเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้บริษัทมู่ซื่อด้วย ?”
เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเฉินถิงเซียวแน่ อย่างไม่ต้องสงสัย นี่จะต้องเป็นจุดจบที่วางไว้แต่แรกแน่
“หึ ไม่มีคนไหนไม่ชอบสิ่งของที่สวยๆ ไม่ว่าซือเฉิงหยู้จะโด่งดังขนาดไหน เขาก็ยังเป็นผู้ชายคนหนึ่ง” มู่หวั่นขีพูดขยายความ ซือเฉิงหยู้ถูกใจเธอเข้า ดังนั้นเลยรับปากว่าจะเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้บริษัทมู่ซื่อ
อย่าว่าแต่มู่น่อนน่อนเลย ขนาดมู่ลี่เหยียนเองก็ยังไม่เชื่อ
มู่ลี่เหยียนโบกมือ “หวั่นขี ตอนนั้นซือเฉิงหยู้พูดกับลูกว่ายังไง”
“เขา…..ชมว่าหนูมีเสน่ห์มาก จากนั้นก็บอกว่าจะลองดูหน่อยก็ได้” ขณะมู่หวั่นขีพูด เธอก็หน้าแดงขึ้นมา
มู่น่อนน่อนหลุดขำออกมา นี่มู่หวั่นขีไปถูกใจซือเฉิงหยู้เข้าอีกแล้วเหรอ ?
“ตอนนั้นลูกบอกว่าซือเฉิงหยู้ยอมตกลงเซ็นสัญญากับพวกเราแล้วไม่ใช่เหรอ ?” มู่ลี่เหยียนขมวดคิ้วแน่น น้ำเสียงเริ่มเคร่งขรึมขึ้น
“หนูก็รู้สึกว่าแบบนั้นก็น่าจะพอแล้ว ถ้าหนูรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น วันที่สองหนูก็คงไปคุยเรื่องสัญญากับเขาด้วยตัวเองแล้ว……”
ตอนนี้มู่หวั่นขีเริ่มรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา ที่เธอให้มู่น่อนน่อนไปคุยเรื่องสัญญา ก็เพราะรู้สึกว่าซือเฉิงหยู้เริ่มมีความรู้สึกต่อเธอแล้ว เธอจะเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนไม่ได้ จะต้องสงวนท่าทีต่อซือเฉิงหยู้ก่อน ให้เขาเป็นฝ่ายมาเข้าหาเธอ
มองดูสีหน้าของมู่ลี่เหยียนที่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเคร่งเครียด มู่หวั่นขีเองก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ในมุมมองของเธอ เรื่องทั้งหมดจะต้องเป็นฝีมือของซือเฉิงหยู้แน่!
มู่ลี่เหยียนเดินไปนั่งลงที่โซฟา เท้าศีรษะแล้วถอนหายใจออกมา ภายในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า “มีคนอยากจะต่อกรกับบริษัทมู่ซื่อ”
“ใช่ค่ะ เริ่มจากที่ซือเฉิงหยู้ไม่ได้ปฏิเสธคำชวนของบริษัทมู่ซื่อ ก็เป็นเรื่องหนึ่งแล้ว” มู่น่อนน่อนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “หรืออาจจะนานกว่านั้น”
มู่ลี่เหยียนหันไปมองทางมู่น่อนน่อน ราวกับเพิ่งเป็นครั้งแรกที่รู้จักเธอ และมองประเมินเธออย่างละเอียด
มู่น่อนน่อนตอบรับสายตาของเขา แล้วพูดต่อว่า “เพราะซือเฉิงหยู้ไม่มีทางยอมเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้บริษัทมู่ซื่อแน่ เกิดเรื่องผิดปกติขึ้น จะต้องมีมารเป็นแน่”
มู่ลี่เหยียนจ้องมู่น่อนน่อนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าตาม “ลูกพูดได้มีเหตุผลมาก”
ตอนแรกหลังจากที่เฉินถิงเซียวช่วยบริษัทมู่ซื่อแล้ว ในใจของมู่ลี่เหยียนก็เริ่มลำพองตัว เขาได้เห็นความสามารถของเฉินถิงเซียว ก็เลยรู้สึกว่าการให้ผู้ชายอย่างซือเฉิงหยู้ที่พึ่งพาการแสดงเพื่อหากินนั้นมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้บริษัทมู่ซื่อ ก็น่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร”
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ สำหรับบริษัทมู่ซื่อที่กำลังค่อยๆฟื้นตัวนั้น ก็คือการที่หิมะทับถมกองหิมะนั่นเอง
มู่หวั่นขีเห็นว่ามู่ลี่เหยียนเอ่ยชมมู่น่อนน่อน ในใจก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
“คุณพ่อคะ เธอพูดมีเหตุผลตรงไหน ซือเฉิงหยู้เขาปฏิบัติกับหนูต่างจากคนอื่น หนูรู้สึกว่าเขาต้องชอบหนูแน่ๆ เรื่องนี้ให้หนูไปจัดการเถอะค่ะ หนูจะทำให้เขายอมพูดต่อหน้าสื่อให้ได้ว่าเป็นเพราะเขาชอบหนู ถึงได้ยอมรับปากเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้บริษัทมู่ซื่อ !”
มู่หวั่นขีดูมั่นใจเต็มเปี่ยม ทำให้มู่น่อนน่อนเซอร์ไพรส์มาก
มีความมั่นใจก็เป็นเรื่องดี แต่คนที่ลำพองตัวขนาดหนักอย่างมู่หวั่นขี เธอก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
ซือเฉิงหยู้จะชอบผู้หญิงแบบไหนนั้น เธอเองก็ไม่รู้
อาจจะเป็นคุณหนูที่มีชาติตระกูล หรืออาจจะเป็นผู้หญิงที่ทั้งหน้าตาและฐานะก็ธรรมดา แต่จะต้องมีข้อดีอย่างใดอย่างหนึ่งแน่
แน่นอนว่าจะต้องไม่ใช่คนอย่างมู่หวั่นขี มู่หวั่นขีจะมีข้อดีอะไร ? นอนกับผู้ชายมามากมายเหรอ ? หรือว่าการที่มีความมั่นใจมากกว่าปกติ ?
“ปัง !”
มู่ลี่เหยียนตบโต๊ะอย่างแรงทีหนึ่ง ก่อนจะคำรามเสียงดัง “อย่าออกไปก่อเรื่องอีก !”
“หนูไม่ได้ก่อเรื่องสักหน่อย” มู่หวั่นขีเชิดคางอย่างมั่นใจ เหลือบมองมู่น่อนน่อนทีหนึ่ง แล้วก็เดินออกไป
มู่ลี่เหยียนชี้ไปทางประตูอย่างโกรธจัดจนพูดอะไรไม่ออก
“หนูขอตัวก่อนนะคะ”
มู่น่อนน่อนเองก้ไม่ได้อยู่เพื่อปลอบใจมู่ลี่เหยียน
ลูกสาวที่ตัวเองให้กำเนิดมา สมควรได้รับความโกรธแล้ว!
บทที่133 บอสใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังบริษัทเสิ้งติ่ง
เฉินถิงเซียวสองมือกอดอก จ้องมองเขาอย่างเย็นชา และไม่ได้พูดอะไรอีก
กู้จือหยั่นเป็นคนกะล่อนมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเพื่อนแบบไหนต่างก็คบไปทั่ว สำหรับเรื่องที่ว่าในเหล้าจะมีอะไรหรือไม่ เขาเองก็ต้องรู้อย่างแน่นอน
ดังนั้น เหล้าแก้วนั้นเมื่อคืนเขาจะต้องจงใจให้เฉินถิงเซียวดื่มอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะเป็นคนรอบคอบมาก แต่กับกู้จือหยั่นเขาเองก็ไม่ได้ระวังตัวขนาดนั้น ดังนั้นถึงได้ตกหลุมพราง
กู้จือหยั่นถูกเขาจ้องจนรู้สึกผิด “ก็ได้ ฉันยอมรับ ฉันรู้ว่าเหล้าแก้วนั้นมีปัญหา……”
“เดี๋ยวค่อยกลับไปคิดบัญชีกับนาย” เฉินถิงเซียวตัดบทเขาอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันหลังเดินเข้าห้อง
พอกู้จือหยั่นได้ยินอย่างนั้น ก็รู้สึกหนาวขึ้นมาแถวต้นคอ ทำเรื่องดียังจะถูกจัดการอีกเหรอ ?
ถ้าเขารีบวิ่งกลับไปตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะทันหรือเปล่า
พอเฉินถิงเซียวเดินไปถึงข้างประตู ก็พบว่าประตูไม่ได้ปิดสนิท ยังคงแง้มเอาไว้เล็กน้อย
ก่อนเขาจะออกมา เขาปิดสนิทแล้ว ยังได้ยินเสียงประตูเข้าล็อกเลย
พอผลักประตูเข้าไป เขาก้มหน้า แล้วก็เห็นว่าริมประตูมีรองเท้าแตะข้างเดียว
จะแอบฟังก็ไม่รู้จักปกปิดเลยเหรอ ?
เฉินถิงเซียวเก็บขึ้นมาแล้วเอาไปวางไว้กับอีกข้างที่อยู่ริมเตียง จากนั้นก็หันกลับไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดออกมาแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ
พอได้ยินเสียงปิดประตู มู่น่อนน่อนถึงได้โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม
มีเสียงน้ำดังออกมาจากห้องน้ำเบาๆ มู่น่อนน่อนพยุงร่างอันบอบช้ำของตัวเองลงจากเตียง เก็บเอาเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาสวม หยิบรองเท้าขึ้นมาแล้วเดินออกไปด้านนอกอย่างเบาไม่เบามือ
พอออกมาข้างนอก เธอถึงได้สวมรองเท้า แล้วเริ่มวิ่งเหมือนกำลังหนี
……
พอมู่น่อนน่อนออกมาจากลิฟต์ ก็เห็นกู้จือหยั่นกับฟู้ถิงซี
ฟู้ถิงซีนั่งอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ส่วนกู้จือหยั่นเห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นมาก เขาเดี๋ยวส่ายหัวเดี๋ยวก็โบกมือ เหมือนว่ากำลังบ่นอะไรให้ฟู้ถิงซีฟัง
เมื่อกี้ตอนอยู่ในห้องนอน บทสนทนาระหว่างเฉินถิงเซียวกับกู้จือหยั่นนั้น เธอได้ยินหมดแล้ว
ที่เสิ่นเหลียงไม่ยอมสนใจกู้จือหยั่นมาตลอด จะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
ถ้าหากเธอเป็นเสิ่นเหลียง เธอก็คงไม่อยากจะสนใจกู้จือหยั่น
ถึงแม้เฉินถิงเซียวจะเป็นคนมืดมนเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ซื่อตรงกว่ากู้จือหยั่น
มู่น่อนน่อนแอบเดินเข้าไปเงียบๆ แล้วก็ได้ยินกู้จือหยั่นพูดพอดี “ชาติที่แล้วฉันจะต้องติดหนี้คุณชายใหญ่เฉินแน่ๆ ดังนั้นชาตินี้ฉันก็เลยต้องมาชดใช้หนี้กรรม ทั้งๆที่เขาเป็นบอสใหญ่ของบริษัทเสิ้งติ่งแท้ๆ แต่พอมีเรื่องอะไรเขาก็โยนมาให้ฉัน แล้วฉันก็ต่อต้านเขาไม่ได้อีก อย่างเรื่องเมื่อคืนอีก ฉันก็ทำเพราะหวังดีนะ ในใจเขาก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ฉัน……”
พูดไปได้ครึ่งเดียว ก็สังเกตเห็นว่าสายตาของฟู้ถิงซีจับจ้องไปที่ด้านหลังของเขา “นายมองอะไร ?”
กู้จือหยั่นมองตามสายตาของฟู้ถิงซีไป หันกลับไปมองด้านหลังของตัวเอง ตอนที่เขาเห็นมู่น่อนน่อนเข้า ก็ตกใจจนเผลออุทานออกมา “เธอ……เธอทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ?”
มู่น่อนน่อนเอียงคอน้อยๆ สีหน้าเย็นชาท่าทางคล้ายกับเฉินถิงเซียวอยู่บ้าง “เดินผ่าน คุณพูดต่อสิ”
กู้จือหยั่นไหนเล่าจะกล้าพูดต่อ เขาพูดกับเฉินถิงเซียว ฟู้ถิงซีได้ว่าเมื่อคืนเขาเรียกมู่น่อนน่อนออกมา เพื่อจะช่วยเฉินถิงเซียว
แต่ว่า พออยู่ต่อหน้ามู่น่อนน่อน เขาก็ไม่กล้าพูดแบบนั้นแล้ว
“ไม่……ไม่มีอะไรต้องพูดหรอก ฉันก็แค่……” กู้จือหยั่นถูกมู่น่อนน่อนจ้องอย่างเย็นชา จนรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว
นี่หลงเชื่อมารแล้วจริงๆสินะ ครั้งที่แล้วตอนเจอมู่น่อนน่อนยังรู้สึกว่าเธอน่าจะเป็นผู้หญิงที่นิสัยดีมากอยู่เลย
แต่ตอนนี้พอเขาถูกเธอจ้องอย่างเย็นชาแบบนี้ ก็รู้สึกว่าเขาสัมผัสได้ถึงเศษเสี้ยวของเงาเฉินถิงเซียวอยู่บนตัวเธอ นี่ทำให้ในใจเขาอดต่อต้านขึ้นมาไม่ได้
“บอสใหญ่ของบริษัทเสิ้งติ่ง ? เฉินถิงเซียว ?” มู่น่อนน่อนเลิกคิ้ว “ดังนั้น ก่อนหน้านี้ที่ทางบริษัทเสิ้งติ่งส่งคำเชิญสัมภาษณ์มาให้ฉัน ก็เป็นความคิดของเฉินถิงเซียวอย่างนั้นเหรอ ?”
กู้จือหยั่นเริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มไม่ชอบมาพากล เขาพยักหน้า จากนั้นก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่……ไม่ใช่ เป็นความคิดของฉันเอง!”
มู่น่อนน่อนพูดอย่างแผ่วเบาว่า “เหรอ ฉันเข้าใจแล้ว”
พอพูดจบ เธอก็หันหลังเดินจากไป
กู้จือหยั่นมองแผ่นหลังของเธอที่เดินจากไป แล้วก็หันไปถามฟู้ถิงซี “ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าเรื่องมันเริ่มไปกันใหญ่แล้ว ?”
“อืม” ฟู้ถิงซีพยักหน้าเห็นด้วย
กู้จือหยั่นหน้าเสียทันที และเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
“ฉันหนีไปก่อนดีกว่า ฉันจะกลับไปเก็บข้าวของเดี๋ยวนี้แหละ” กู้จือหยั่นลุกขึ้นยืน เตรียมจะวิ่งออกไป
แต่เพิ่งจะก้าวเท้า เขาก็ได้ยินเสียงของเฉินถิงเซียวดังมาจากด้านหลัง “เห็นมู่น่อนน่อนหรือเปล่า ?”
ฟู้ถิงซีตอบกลับไปว่า “เธอเพิ่งเดินออกไป”
กู้จือหยั่นหันกลับไป พอดีกับที่เฉินถิงเซียวก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา
กู้จือหยั่นรู้สึกผิด พูดจาเริ่มตะกุกตะกัก “ถิง……ถิงเซียว”
“กลัวอะไร ? ฉันไม่ไปคิดบัญชีกับนายหรอก คำนั้นแค่พูดให้มู่น่อนน่อนฟังเท่านั้นแหละ” บนใบหน้าของเฉินถิงเซียวมีรอยยิ้มบางๆ “ไว้ค่อยพานายไปเลี้ยงเหล้า”
“……” กลัวก็แค่ว่าเฉินถิงเซียวคงไม่ใช่อยากเลี้ยงเหล้าเขา แต่ยังอยากตีเขาให้ตายด้วย
เฉินถิงเซียวหันหลังเตรียมจะไปไล่ตามมู่น่อนน่อน
แต่พอคิดดูอีกที ถึงแม้ว่าเมื่อคืนทั้งสองคนเพิ่งทำเรื่องแบบนั้นกันไป แต่ก็เป็นครั้งแรกของมู่น่อนน่อน จะหน้าบางกับเรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ถ้าเขาไล่ตามไปตอนนี้ ก็ยังไม่แน่ว่าเธอจะยอมเจอเขาหรือเปล่า
ดังนั้น เขาก็หันกลับไปหากู้จือหยั่น “ไปบริษัทด้วยกันเถอะ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันยังไม่ได้กินอาหารเช้า”
เฉินถิงเซียวพยักหน้า “ฉันก็ยังไม่กิน ไปกัน”
กู้จือหยั่น “……” เขาก็แค่อยากจะหนีเท่านั้น
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนกลับไปถึงบ้านพัก ยังเป็นเวลาเช้ามาก
ไม่ค่อยได้นอนทั้งคืน เธอเหนื่อยมาก แต่กลับไม่ง่วงเลยแม้แต่น้อย
ตอนที่กำลังขึ้นไปชั้นบน ก็เจอเข้ากับเฉินเจียฉินที่สะพายกระเป๋ากำลังเดินลงมาพอดี
เฉินเจียฉินหาวออกมา แล้วมองมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “เอ๋ พี่น่อนน่อนเมื่อคืนพี่ออกไปเหรอ?”
“ใช่แล้ว พอดีไปหาเพื่อนที่มีเรื่องนิดหน่อย” สีหน้าของมู่น่อนน่อนค่อนข้างไม่เป็นธรรมชาติ
เฉินเจียฉินคิดว่าเธออาจจะกลัวเฉินถิงเซียวรู้ว่าเมื่อคืนเธอไม่กลับบ้าน ก็เลยตบอกตัวเองด้วยท่าทางภาคภูมิใจเต็มเปี่ยม “วางใจเถอะ ผมไม่บอกพี่ชายหรอก เพราะว่าพวกเราต่างหากที่ลงเรือลำเดียวกัน”
“ใช่ นายรีบไปโรงเรียนเถอะ”
มู่น่อนน่อนรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง
เธอกอดเสื้อผ้าเข้าไปในห้องน้ำ มองดูตัวเองที่ขาวซีดในกระจก แล้วเธอก็หน้าแดงขึ้นมาทันที
เรื่องที่หุนหันพลันแล่นที่สุดที่เคยทำในชีวิตนี้ ก็น่าจะเป็นเรื่องเมื่อคืนแล้ว……
ในสมองเธอมีคำพูดของกู้จือหยั่นแล่นเข้ามาอีกครั้ง
ที่แท้เฉินถิงเซียวก็คือบอสใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของบริษัทเสิ้งติ่ง
เสิ้งติ่งใช้เวลาเพียงสิบปีสั้นๆ ก็กลายเป็นผู้นำในแวดวงบันเทิงแล้ว
แต่ว่า ปีนี้เฉินถิงเซียวก็ยังอายุแค่ยี่สิบหกปีเท่านั้น
ถ้าหากไม่ได้ยินจากคำพูดของกู้จือหยั่น จนถึงตอนนี้เธอก็คงยังไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวเป็นบอสใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของบริษัทเสิ้งติ่ง
มีความลับมากมายที่ซ่อนอยู่ในตัวคนๆเดียวแบบนี้ ช่างเป็นผู้ชายที่ลึกลับจนน่ากลัว
เรื่องที่เธอตัดสินใจไปเมื่อคืน……หุนหันพลันแล่นเกินไปสินะ
……
มู่น่อนน่อนไม่ค่อยได้นอนทั้งคืน สีหน้าก็เลยย่ำแย่มาก เธอแต่งหน้าและเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ไปที่บริษัทมู่ซื่อ
ระหว่างทาง เธอก็นึกถึงหัวข้อการสนทนาบนโลกออนไลน์เมื่อวานนี้
เมื่อคืนที่บริษัทมู่ซื่อจะต้องเรียกประชุมด่วนอีกเป็นแน่
เรื่องในครั้งนี้ รวมถึงผลกระทบจากชื่อเสียงของซือเฉิงหยู้ เกรงว่าคงไม่ได้จัดการง่ายขนาดนั้นแน่
บางที เรื่องในครั้งนี้ อาจจะบีบให้มู่ลี่เหยียนต้องเชิญให้คุณปู่มู่กลับประเทศเลยก็ได้
บทที่132 หึหึ
จูบของเฉินถิงเซียวทรมานคนจนเกินไป จนมู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปผลักตัวเขา
เฉินถิงเซียวยกมือใหญ่ขึ้น ตรึงแขนทั้งสองข้างของเธอเอาไว้แน่น แล้วดึงแขนเรียวเล็กของเธอ ไปกดไว้ด้านบนของศีรษะ
เธอเบือนหน้าหนี ไม่กล้ามองตาของเฉินถิงเซียว ห่อไหล่ ท่าทางเหมือนอยากจะหนี
เฉินถิงเซียวสัมผัสได้ว่าเธอคิดจะหนี เลยก้มหน้าลงแล้วกัดเข้าที่ไหล่ของเธอ
เขาไม่ได้ใช้แรงมากมายนัก มู่น่อนน่อนไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไร แต่กลับรู้สึกคันยุบยิบ
เธออดไม่ได้ที่จะครางออกมาทีหนึ่ง แต่ในตอนนั้นเฉินถิงเซียวกลับหัวเราะออกมาเบาๆ
มู่น่อนน่อนอายจะเปลี่ยนเป็นโกรธ เลยพูดเสียงดังออกมาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “จะเอาก็เร็วหน่อย !”
“ยังไม่ทันเริ่มก็อยากให้เร็วหน่อยแล้วเหรอ ?” เสียงแหบพร่าของเฉินถิงเซียวทุ้มต่ำเป็นพิเศษ เขาบรรจงจูบใบหูเธอ ไอร้อนจากลมหายใจซอกซอนเข้าไปตามชั้นหูของเธอ ราวกับกระแสไฟ เสียวซ่านไปถึงในใจ
ภายในห้องนอนแสงไฟสว่างไสว ผิวขาวนวลของมู่น่อนน่อนเริ่มเป็นสีชมพูระเรื่อ
เฉินถิงเซียวจูบริมฝีปากของเธออย่างรุนแรง……
……
ตอนที่เสร็จสิ้นนั้น มู่น่อนน่อนก็ตาปรือสะลึมสะลือ เหงื่อท่วมไปทั่วทั้งร่าง ราวกับพึ่งขึ้นมาจากน้ำ
เฉินถิงเซียวนิ่งไม่ไหวติงอยู่เนิ่นนาน มู่น่อนน่อนยื่นมือไปผลักเขา “คุณลุกขึ้น……”
พอออกเสียงถึงได้พบว่าเสียงของตัวเองแหบพร่าจนฟังแทบไม่ออกว่าพูดอะไรออกมา เสียงขึ้นจมูกและแหบแห้ง
และในตอนนี้ลำคอของเธอก็รู้สึกย่ำแย่เป็นอย่างมาก
“อีกครั้ง” เฉินถิงเซียวเริ่มขยับ แล้วก็เข้าไปจูบเธอ
แน่นอนว่ามู่น่อนน่อนย่อมไม่ตกลง แต่เฉินถิงเซียวแข็งขืนมาก จนเธอไม่สามารถปฏิเสธได้
เพียงแต่ ครั้งนี้เฉินถิงเซียวอ่อนโยนกว่าครั้งแรกอยู่บ้าง
น่าเสียดายที่ความอ่อนโยนนั้นเป็นเพียงแค่กลีบดอกไม้ที่ร่วงโรย
……
ภายในห้องน้ำ
มู่น่อนน่อนปล่อยให้เฉินถิงเซียวอาบน้ำให้เธออย่างหมดแรง เธอไม่เหลือแรงแล้วจริงๆ ทำได้แค่ปรือตามองเขาเท่านั้น
หึหึ อีกครั้ง ?
คำพูดบ้าบอของผู้ชายนั้นเชื่อไม่ได้เลยจริงๆ โดยเฉพาะผู้ชายประเภทที่มีจิตใจลึกล้ำราวกับท้องทะเลอย่างเฉินถิงเซียว
เมื่อเห็นชายที่บอกว่าจะอาบน้ำแต่เริ่มขยับมือขยับไม้อย่างซุกซนแล้ว มู่น่อนน่อนก็ปัดมือเขาออก “คุณออกไปเลย เดี๋ยวฉันอาบเอง”
“แน่ใจ ?” เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมองเธอ มีรอยยิ้มบางๆอยู่ในแววตาสีเข้ม แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ที่มีความสุข บรรยากาศมืดมนบนตัวหายไปไม่น้อย จนดูสว่างไสวขึ้นมา ส่องประกายแพรวพราว
ดูดีแล้วคิดว่าเก่งนักหรือไง ?
มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับไป “แน่ใจ”
พอเฉินถิงเซียวได้ยินแบบนั้น ก็พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “งั้นฉันออกไปแล้วนะ”
มู่น่อนน่อนพูดอย่างมีน้ำโหว่า “รีบไสหัวไปเลย!”
จู้จี่เหมือนผู้หญิงไปได้
เฉินถิงเซียวยืนขึ้น แล้วปล่อยตัวมู่น่อนน่อน
เขายังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกไป มู่น่อนน่อนก็ตัวอ่อนยวบยาบจนไถลลงไปในอ่างอาบน้ำ
เฉินถิงเซียวมือไม้เร็วเอื้อมไปดึงเธอขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อน “……”
……
จนตอนที่ทั้งสองคนอาบน้ำเสร็จแล้วกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ก็เป็นเวลาใกล้เช้าเต็มที
ตอนที่เฉินถิงเซียวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มู่น่อนน่อนก็ยังคงหลับลึกอยู่
ความอุ่นจากผ้าห่มทำให้ใบหน้าขาวนวลของเธอแดงระเรื่อเล็กน้อย ขนตายาวนั้นหลุบลงเป็นรูปพัดอยู่ใต้ดวงตา ทั้งน่าเอ็นดูและสงบนิ่ง ราวกับแมวตัวหนึ่ง
ทันใดนั้น ภายในห้องนั่งเล่นก็มีเสียง “แกร่ก” ดังขึ้นเบาๆ
แววตาของเฉินถิงเซียวสั่นไหวเล็กน้อย แล้วช่วยมู่น่อนน่อนดึงผ้าห่มให้กระชับขึ้น ลุกลงจากเตียงแล้วหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาคลุม แล้วก้าวเท้าเสียงเบาเดินออกไป
ภายในห้องนั่งเล่น กู้จือหยั่นเปิดประตูเข้ามา พอเห็นว่าในห้องนั่งเล่นเงียบสงัด ในใจก็รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ สองคนนั้นเมื่อคืนได้กันแล้วหรือยังนะ ?
เฉินถิงเซียวปิดประตูลงทันที จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว แล้วก็เผชิญหน้ากับกู้จือหยั่นที่กำลังเดินมาทางนี้พอดี
พอกู้จือหยั่นเห็นเฉินถิงเซียวเข้า ก็ชะงักไปทีหนึ่ง “ทำไมคุณถึงตื่นเช้าขนาดนี้ ?”
หรือว่าเมื่อคืนไม่ได้ทำอะไร ? ไม่อย่างนั้นทำไมถึงได้ตื่นแต่เช้าแบบนี้ ?
เฉินถิงเซียวหน้าบึ้งตึง แล้วมองจ้องเขาอย่างเย็นชา “นายยังกล้ามาอีกเหรอ ?”
ในตอนนั้นเอง กู้จือหยั่นที่ตาแหลมก็เห็นว่าที่ต้นคอของเฉินถิงเซียวมีรอยแดงที่ผิดปกติ ดูแล้วเหมือนร่องรอยจากการถูกขีดข่วน
กู้จือหยั่นยิ้มอย่างต่ำช้า “ทำไมฉันจะไม่กล้ามา ฉันรู้สึกว่าตอนนี้นายน่าจะรู้สึกขอบคุณฉันมากสินะ!”
“หึ” เฉินถิงเซียวหัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง กำลังจะพูดอะไร แต่กลับได้ยินว่าด้านหลังมีการเคลื่อนไหว
เขาเอียงหูไปฟังทีหนึ่ง เสียงของการเคลื่อนไหวนั้นก็หายไปอีกครั้ง
เฉินถิงเซียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดกับกู้จือหยั่นว่า “ขอบคุณที่นายวางยาฉันเหรอ ?”
“ถุย! ฉันไม่ได้เป็นคนทำ! ฉันไม่มีทางมีของแบบนั้นหรอก” กู้จือหยั่นรีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
เหล้าแก้วนั้นเมื่อคืนมีคนอื่นรินให้กู้จือหยั่น และช่วงนี้กู้จือหยั่นก็ไม่รู้ว่าเป็นบ้าอะไรขึ้นมาถึงอยากงดเหล้า เฉินถิงเซียวก็เลยเป็นคนช่วยดื่มแทนเขา
ปรากฏว่า พอดื่มแล้วก็เกิดเรื่องขึ้นทันที
ถึงแม้กู้จือหยั่นจะไม่กล้าพูดว่าเขาเดาความคิดของเฉินถิงเซียวไม่ออกเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าเขาก็มั่นใจ ว่าเฉินถิงเซียวนั้นมีใจให้มู่น่อนน่อนอย่างแน่นอน
เลยตัดสินใจในทันที และเรียกให้มู่น่อนน่อนมาที่นี่
บทที่131 ชีวิตนี้อย่าได้คิดจะหนีไปจากเงื้อมมือฉัน
สีหน้าของเฉินถิงเซียวเคร่งขรึมพอๆกับน้ำเสียง สายตาที่เขามองมู่น่อนน่อนเย็นชาจนไม่มีร่องรอยของอุณหภูมิ มีความเบื่อหน่ายที่หาได้ยากอยู่ในแววตา ราวกับอยากจะไล่ให้เธอไปไกลๆเสีย
หลังจากที่มู่น่อนน่อนได้รับสายจากกู้จือหยั่น และออกมาจากบ้านนั้น หัวใจก็เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว
ความรู้สึกกังวลและไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกนั้นโอบล้อมเธอเอาไว้ จนตอนที่ได้เห็นเฉินถิงเซียวตัวเป็นๆยืนอยู่ตรงหน้าและพูดกับเธอ เธอถึงได้โล่งใจลงมาบ้าง
“คุณคิดว่าฉันอยากเจอคุณหรือไง” มู่น่อนน่อนยิ้มเยาะ ไม่ยอมอ่อนข้อ
และแทบจะในทันที เฉินถิงเซียวก็ออกปากไล่เธอ “แล้วทำไมยังไม่ไปอีก ?”
มู่น่อนน่อนเม้มปาก ไม่พูดพร่ำอะไรอีก หันหลังเดินจากไปทันที
กู้จือหยั่นพูดว่าเฉินถิงเซียวกับเธอสนิทกันอะไรกัน สนิทกับผีสิ!
เฉินถิงเซียวเป็นราชาปีศาจที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่าเธอไปติดค้างเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
มู่น่อนน่อนเดินไปถึงข้างประตู และหมุนลูกบิดประตู แต่กลับพบว่ามันไม่ยอมขยับ
เธอลองอีกหลายครั้ง แต่ประตูก็ยังไม่ขยับเหมือนเดิม
มีคนล็อกประตูจากด้านนอก!
คนที่โทรหาเธอคือกู้จือหยั่น ส่วนคนที่ปิดประตูหลังจากเธอเข้ามาแล้วก็คือกู้จือหยั่น
ส่วนเฉินถิงเซียวที่นอกจากสีหน้าย่ำแย่แล้ว ก็ดูไม่มีปัญหาอะไร เขายังจะไล่เธอไปด้วยซ้ำ
แล้วกู้จือหยั่นจะขังเธอไว้กับเฉินถิงเซียวทำไมกัน
ถึงกู้จือหยั่นจะไม่เอาไหนอย่างไร แต่อยู่ต่อหน้าเฉินถิงเซียวเขาก็ขี้ขลาดเหมือนกันกับเธอ
เธอหันกลับไปหาเฉินถิงเซียว ก็เห็นเขาหน้าบึ้งตึงนั่งอยู่ริมเตียง ใบหน้าที่ก่อนหน้านี้ยังขาวซีด ตอนนี้กลับเริ่มมีสีแดงขึ้นมาแล้ว
“กลับมาทำไมอีก ?”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเย็นยะเยือก ดูเบื่อหน่ายจนถึงขีดสุด
แต่ว่า ยามที่เขามองเธอ ดวงตาคู่นั้นกลับตรงกันข้ามจากคำพูดที่แสนเย็นชาของเขา
ภายในนั้น มีทั้งการต่อสู้ อดกลั้น และความเร่าร้อน
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว เธอกำมือแน่น และพูดอย่างไม่แน่ใจว่า “คุณ……คุณถูกวางยามาหรือเปล่า ?”
ตอนที่เขาออกมาจากห้องน้ำเมื่อครู่นี้ บนตัวยังมีไอเย็นแผ่ออกมาอยู่เลย เห็นได้ชัดว่าเพิ่งอาบน้ำเย็น
ส่วนกู้จือหยั่นนั้นหลังจากที่เธอเข้ามาแล้ว ก็ล็อกประตูไว้
มู่น่อนน่อนไม่ใช่เด็กไม่เคยทานเนื้อหมูก็ต้องเคยเห็นหมูวิ่ง ไม่เคยมีความรักก็ยังเคยเขียนบทนิยาย……แน่นอนว่าก็ต้องคิดไปในแง่นั้นอยู่แล้ว
“ฉันให้โอกาสเธอครั้งสุดท้าย ออกไปเดี๋ยวนี้”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบคำถามเธอตรงๆ และก็ไม่ได้ปฏิเสธ นั่นก็แสดงว่า มู่น่อนน่อนเดาถูกแล้ว
สมองของมู่น่อนน่อนสับสนไปหมด เธอไม่น่าเชื่อคำพูดบ้าบอของกู้จือหยั่นมาตั้งแต่แรกแล้ว
คนที่ไม่ได้เรื่องก็มักจะทำแต่สิ่งที่ไม่ได้เรื่อง!
มู่น่อนน่อนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ประตูถูกปิดตายแล้ว”
เฉินถิงเซียวเองก็ดูเหมือนจะอึ้งไป คิดเพียงเล็กน้อย เขาก็รู้ทันทีว่าเป็นฝีมือของกู้จือหยั่น
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหากู้จือหยั่น แต่กู้จือหยั่นที่ทำเรื่องแบบนี้ลงไปก็แน่นอนว่าต้องไม่มีทางรับสายเขาอยู่แล้ว
ดังนั้นโทรศัพท์ที่โทรออกไปจึงไม่ติด เสียงสัญญาณอัตโนมัติดังขึ้น “ขออภัยค่ะ สายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
ปัง!
เฉินถิงเซียวโยนโทรศัพท์ทิ้งในทันที เห็นได้ชัดว่าโมโหมาก
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปจับโทรศัพท์ของตัวเอง แต่กลับพบว่าในกระเป๋านั้นว่างเปล่า เธอคงลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้านไม่ได้พกออกมาด้วย
“ฉัน……ฉันไปข้างนอกแล้วกัน……”
ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่หอ้งเดียวกัน ยิ่งในสถานการณ์แบบเฉินถิงเซียวแล้ว
เธอพูดจบ ก็รีบออกไปอย่างรวดเร็ว
เธอนั่งอยู่บนโซฟา ทุกนาทีและวินาทีผ่านไปอย่างทุกข์ทรมาน
ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆดังออกมาจากในห้องนอน จนมู่น่อนน่อนอดนึกสงสัยในใจไม่ได้ เดินไปผลักประตูออกอย่างเงียบเชียบ แต่กลับได้ยินเสียงน้ำไหล ดังออกมาจากห้องน้ำ
เฉินถิงเซียวเข้าไปอาบน้ำเย็นอีกแล้วหรือ ?
ที่จริงเขาสามารถหาผู้หญิงที่ไหนก็ได้มาเพื่อปลดปล่อย……
แต่เขากลับไม่ทำ
ก่อนหน้านี้สายตาที่เขามองเธอราวกับจะกลืนกินเธอเข้าไปทั้งเป็น เธอเขาก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรเธอเลย เขายอมไปอาบเย็นเสียดีกว่า ที่จะยอมแตะต้องเธอ
คนฉลาดอย่างเฉินถิงเซียว ต้องดูออกอยู่แล้วว่าเธอไม่เต็มใจ ดังนั้นจึงไม่ได้ฝืนขืนใจเธอ
จู่ๆมู่น่อนน่อนก็คิดถึงประโยคนั้นตอนอยู่ในห้องหนังสือขึ้นมา “บางครั้งฉันก็คิด ว่ารักก็เป็นแค่ความโปรดปรานเล็กๆ ฉันคิดว่าฉันจะสามารถอยู่คนเดียวได้ตลอดชีวิต แต่ฉันก็ยังถูกชักจูงจนได้
แน่นอนว่าเฉินถิงเซียวเคยหลอกเธอ เขาเองก็มีเล่ห์เหลี่ยม มืดมนและแข็งกร้าว อยากควบคุมทุกอย่าง
แต่ว่า สิ่งเหล่านั้นก็ไม่สามารถลบสิ่งดีๆที่เขามีต่อเธอได้
ผู้หญิงมักจะถูกชักจูงได้อย่างง่ายดาย
เธอเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
มู่น่อนน่อนยกมือขึ้นมา ลังเลอยู่ครึ่งนาทีเต็มๆ จากนั้นก็รวบรวมความกล้าผลักประตูห้องน้ำแล้วเดินเข้าไป
ภายในห้องน้ำไม่ได้เปิดไฟ แต่ก็มีแสงไฟจากห้องนอนส่องเข้าไป เธอเห็นเงาของเฉินถิงเซียวได้อย่างชัดเจน
เขายืนหันหลังให้เธออยู่ใต้ฝักบัว ไม่ขยับเขยื้อน ราวกับร่างกายแข็งทื่อไปแล้ว
ครู่ใหญ่ เสียงแหบพร่าของเขาก็ดังขึ้น “มู่น่อนน่อน เธอกำลังจะทำอะไร ?”
“คุณคิดว่าในฐานะภรรยาของคุณ เดินเข้ามาในเวลาแบบนี้ ต้องการทำอะไรล่ะ ?”
มู่น่อนน่อนเดินไปทางเขาช้าๆ น้ำเสียงนุ่มนวลดังก้องอยู่ในห้องน้ำ ทำให้เผลอคิดไปไกลได้อย่างง่ายดาย
เธอเดินไปถึงด้านหลังของเฉินถิงเซียว น้ำจากฝักบัวกระเซ็นมาถึงตัวเธอ ทำเอาเธอสั่นสะท้าน
เฉินถิงเซียวราวกับฟื้นคืนสติในทันใด เลยปิดฝักบัว ดึงผ้าคลุมอาบน้ำมาคลุมตัวเธอ แล้วดึงมู่น่อนน่อนให้ออกมาด้านนอก
มู่น่อนน่อนเดินตามเขาออกไปด้วยใจเต้นระรัว
แต่ว่า……เขากลับผลักเธอออกไปนอกห้องนอน
มู่น่อนน่อนมองเขาอย่างตื่นตกใจ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเฉินถิงเซียวจะไม่แยแสได้ขนาดนี้
ก่อนหน้านี้เขายังอยากจะมีอะไรกับเธอขนาดนั้นแท้ๆ……
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปาก ยื่นมือออกไปกอดเขาเอาไว้ “เฉินถิงเซียว คุณจะไล่ฉันไปจริงๆเหรอ ?”
เธอรู้สึกได้ว่าร่างกายของชายหนุ่มกระตุกเล็กน้อยแล้วเริ่มเกร็งขึ้นมา ทั้งสองแนบชิดกันมาก เธอยังรู้สึกได้อีกว่าตรงส่วนนั้นของเขาเกิดปฏิกิริยาขึ้นมา
เขายังคงไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ไม่ได้ผลักเธอออก
มู่น่อนน่อนค่อนข้างสูญเสีย กัดริมฝีปาก จากนั้นก็จูบที่ซอกคอเขาเบาๆทีหนึ่ง “ประเคนให้ถึงที่แล้ว ก็ยังไม่เอาเหรอ ?”
พอเธอจูบเสร็จก็ถอยออกมา แต่กลับถูกเฉินถิงเซียวเป็นฝ่ายดึงเอวเธอเข้ามากอดทันที วินาทีต่อมา ริมฝีปากของเขาก็เบียดลงมา นำพาความเร่าร้อนมาด้วย เรากับจะกลืนเธอเข้าไปทั้งเป็น จูบอย่างรีบร้อนและหนักหน่วง
จูบไปจูบมา ทั้งสองคนก็ล้มลงไปบนเตียงพร้อมๆกัน
มู่น่อนน่อนถูกเขาจูบจนเคลิบเคลิ้ม แต่ในเวลานั้นเองเฉินถิงเซียวกลับยืนขึ้นมามองเธอ “มู่น่อนน่อน มองดูฉัน”
“อืม ?” มู่น่อนน่อนเงยหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นมามองเขา ดวงตาแมวที่งดงามนั้นชุ่มชื้นพราวเสน่ห์
“จำคำที่ฉันเคยพูดได้ไหม ? ถ้าประทับตราของฉันเฉินถิงเซียวคนนี้แล้ว ทั้งชีวิตนี้ก็อย่าได้คิดจะหนีไปจากเงื้อมมือฉันได้อีกเลย”
บนหน้าผากของเฉินถิงเซียวมีเส้นเลือดปูดขึ้น ดวงตาแดงฉาน ทั่วทั้งร่างแข็งตึงราวกับสายสตริง ขณะพูดคำเหล่านั้นออกมา น้ำเสียงกลับดูสงบนิ่งมาก
มู่น่อนน่อนกะพริบตาปริบๆ แล้วพูดอย่างนุ่มนวลว่า “ไม่ใช่ว่าหนีไม่รอดอยู่แล้ว……” หรือ ?
คำพูดสุดท้ายที่ไม่ทันได้พูดนั้น ถูกจูบของเฉินถิงเซียวกลืนหายไปทันที
ความอดทนและการควบคุมตนเองทั้งหมดพังทลายลงหมดแล้วในขณะนี้ เฉินถิงเซียวถอดเสื้อผ้าทั้งหมดของเธอออกอย่างรวดเร็ว แล้วไล่จากซอกคอของเธอต่ำลงไปเรื่อยๆ ระดมจูบอย่างอดทนและอดกลั้น