มู่น่อนน่อนพูดจบ เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบใด ๆ ในทันที
เธอรออยู่ครู่หนึ่ง ก็สังเกตเห็นว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้อยากจะพูดอะไร จึงกล่าวขึ้น:“อย่างนั้นก็ตกลงตามนี้นะ ฉันจะไปถามความคิดเห็นของเธอ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้คัดค้าน มู่น่อนน่อนจึงหันหลังไปหาเฉินจิ่งหยุ้น
ตอนที่มู่น่อนน่อนไปหาเฉินจิ่งหยุ้นนั้น เฉินจิ่งหยุ้นกำลังนั่งอยู่หน้ากระจก จัดการกับวิกผมของตัวเอง
ด้วยความเป็นผู้หญิง ไม่มีใครไม่รักความสวยความงาม
ยิ่งผู้หญิงที่เคยมีชีวิตประณีตวิจิตรอย่างเฉินจิ่งหยุ้น
ต่อให้เธอจะป่วย จนผมร่วงเกือบหมดแล้ว เธอก็ยังเตรียมวิกผมไว้มากมาย
รูปแบบต่าง ๆ ทั้งสั้นทั้งยาวทั้งตรงและที่เป็นลอน ๆ
เฉินจิ่งหยุ้นเห็นมู่น่อนน่อนเดินเข้ามา จึงวางวิกผมในมือลง แล้วหันมาถามมู่น่อนน่อน:“มีธุระ?”
มู่น่อนน่อนเดินมาด้านหน้าอีกสองสามก้าว เว้นช่วงจากเฉินจิ่งหยุ้นระยะหนึ่งแล้วก็หยุดลง จากนั้นจึงได้เริ่มกล่าวขึ้น
“ฉันกับเฉินถิงเซียวตกลงกันแล้วว่าจะกลับเมืองหู้หยาง”
เธอสังเกตเห็เฉินจิ่งหยุ้นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอแล้ว ตัวก็ชะงักขึ้น นั่นคืออาการความประหลาดใจ
มู่น่อนน่อนกล่าวต่อ:“ฉันอยากพามู่มู่กลับไปด้วยกัน”
เมื่อประโยคท้ายจบลง เฉินจิ่งหยุ้นก็ลุกขึ้นทันใด แล้วกล่าวขึ้น:“หมายความว่าอย่างไร ทำไมต้องพามู่มู่ไปด้วย เธออยู่ที่นี่ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ พวกเธอพากลับไปเมืองหู้หยางยิ่งจะทำให้ไม่สะดวก”
“พวกเราเป็นพ่อแม่ ยิ่งต้องอยู่ข้างกายเธอ”
คำพูดของมู่น่อนน่อน ราวกับทำให้เฉินจิ่งหยุ้นไม่สามารถหาเหตุผลมาโต้ตอบได้
“แบบนี้เองเหรอ……” เฉินจิ่งหยุ้นถอนหายใจ ครุ่นคิดพยักหน้า: “ก็จริง เธอเป็นลูกของพวกเธอ อยู่กับพวกเธอก็เป็นสิ่งที่สมควร”
แม้ว่าเฉินจิ่งหยุ้นจะพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองแล้ว แต่มู่น่อนน่อนก็ยังสังเกตเห็นความผิดหวังใต้ดวงตาของเธอ
เธอสังเกตดูปฏิกิริยาตอบสนองของเฉินจิ่งหยุ้นทั้งหมดภายใต้สายตาของเธอ
เพียงแต่มองดูอย่างเงียบ ๆ ไม่เปิดเผยออกมาก็เท่านั้น
มู่น่อนน่อนลองถามขึ้นหนึ่งประโยคพลาง ๆ:“แล้วเธอล่ะ จะกลับเมืองหู้หยางกับพวกเราไหม”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อน สีหน้าที่ตกใจของเฉินจิ่งหยุ้นนั้นซ่อนไม่มิดอีกต่อไป
“หลายวันที่มู่มู่พักอยู่ที่นี่ ก็น่าจะคุ้นเคยกับเธอแล้ว ถ้าหากว่าเธอสามารถกลับไปพร้อมกับมู่มู่ได้ ถ้าในแต่ละวันมู่มู่สามารถเห็นเธอได้ บางทีอาจมีส่วนช่วยให้สถานการณ์ของมู่มู่ดีขึ้น”
คำพูดของมู่น่อนน่อนเน้นไปที่เฉินมู่ แต่ว่าเฉินจิ่งหยุ้นนั้นไม่ได้โง่ เธอสามารถฟังออกว่ามู่น่อนน่อนต้องการพาเธอกลับเมืองหู้หยางด้วย”
ถึงแม้ว่าเธอกับมู่น่อนน่อนรับมือกันไม่กี่ครั้ง แต่นี่ก็ไม่ได้ปิดกั้นการเข้าใจที่เธอมีต่อมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนไม่ใช่คนมุทะลุ เธอสามารถพูดคำเหล่านี้ออกมา ก็แปลว่าเธอได้ปรึกษากับเฉินถิงเซียวแล้ว
เฉินจิ่งหยุ้นมองดูมู่น่อนน่อนอยู่ครู่หนึ่งโดยที่ไม่พูดอะไร เธอค่อย ๆ อ้าปากขึ้น ในแววตามีน้ำตาซึมจนพร่ามัว
“ถ้าหากว่าเธอยินดี ก็ไปเตรียมตัวเถอะ อีกสักครู่พวกเราก็จะเดินทางกันแล้ว”
มู่น่อนน่อนไม่อยากอยู่ที่นี่ดูน้ำตาของเฉินจิ่งหยุ้น และก็ยิ่งไม่อยากอยู่เพื่อปลอบใจเธอ
ตอนที่มู่น่อนน่อนหันหลังไปนั้น หางตาเหลือบเห็นเฉินจิ่งหยุ้นยื่นมือขึ้นมาปาดแก้มอย่างไม่ตั้งใจ
เธอแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไร แล้วก็เดินออกไป
……
มู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวต่างไม่ได้นำของอะไรมาด้วย จึงไม่จำเป็นต้องเก็บข้าวของแต่อย่างใด แต่การหลอกล่อให้เฉินมู่ขึ้นรถ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
เฉินมู่ราวกับเห็นห้องน้อย ๆ ของเธอเป็นพื้นที่ปลอดภัย ดังนั้นเธอจึงไม่อยากจะจากห้องนี้ไป
มู่น่อนน่อนพยายามสุดความสามารถ ถึงได้เกลี้ยกล่อมเฉินมู่ขึ้นรถสำเร็จ
ที่กลับไปพร้อมกับพวกเขายังมีฉีเฉิง บอดี้การ์ดของเฉินจิ่งหยุ้น
มู่น่อนน่อนยังคงสงสัยตัวฉีเฉิง โดยเฉพาะเขาที่ดูไม่เหมือนบอดี้การ์ดทั่วไป
แต่ว่าตลอดทั้งเส้นทางเธอก็ไม่มีโอกาสคุยกับเฉินถิงเซียวเรื่องของฉีเฉิง เพราะว่าเฉินมู่นั้นพิงเธอไว้แน่น
พวกเขาทั้งสามคนนั่งอยู่แถวหลัง โดยเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนนั่งอยู่ริม มีเฉินมู่นั่งอยู่ตรงกลาง
เฉินมู่ที่กลัวเฉินถิงเซียว จึงเป็นธรรมดาที่ย่อมพิงมู่น่อนน่อนไว้แน่น
นี่แปลว่า เฉินมู่เชื่อใจเธอแล้ว ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกดีใจ
ตอนบ่ายสี่โมงเย็น รถได้แล่นมาจอดด้านหน้าคฤหาสน์ที่เมืองหู้หยาง
มู่น่อนน่อนหยิบผ้าห่มที่ได้เตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ มาพันตัวเฉินมู่ไว้ แล้วอุ้มเข้าไปในคฤหาสน์ เดินตรงไปที่ห้องที่อยู่ชั้นบน
เฉินมู่ราวกับเหมือนจำห้องของตัวเองได้ เมื่อถึงห้องก็รีบขดตัวซ่อนอยู่ที่มุมเตียง
มู่น่อนน่อนปลอบโยนเธอครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็นอนหลับไป
เมื่อพูดถึงการปลอบโยน ความจริงแล้วมู่น่อนน่อนก็แค่ยืนอยู่ข้าง ๆ เฉินมู่ที่ห่างสองเมตร แล้วสนทนากับเฉินมู่ก็เท่านั้น
เมื่อจัดการเฉินมู่เสร็จแล้ว มู่น่อนน่อนก็ออกมาจากห้อง
ตอนที่เธอออกมาจากห้องนั้น ก็พบกับเฉินถิงเซียวพอดี
“ชู่ว์!” มู่น่อนน่อนทำท่าทำมือบอกให้เงียบ หลังจากที่เธอปิดประตูแล้ว ถึงได้กล่าวกับเฉินถิงเซียวว่า:“มู่มู่นอนหลับแล้ว”
เฉินถิงเซียวได้ยินดังนั้นจึงถามขึ้น :“เธอไม่งอแงเหรอ”
มู่น่อนน่อนเผยรอยยิ้มโล่งใจ:“ก็ไม่เท่าไหร่”
เฉินถิงเซียวมองสังเกตเธอ เห็นรอยยิ้มที่มาจากด้านในของมู่น่อนน่อน จึงได้ไม่ถามต่อ
มู่น่อนน่อนมองไปรอบ ๆ ไม่เห็นเงาของเฉินจิ่งหยุ้น :“พี่สาวของคุณล่ะ จัดการเรียบร้อยแล้วเหรอ”
เฉินถิงเซียวตอบกลับอย่างไม่มีท่าที:“มีคนรับใช้คอยจัดการ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกราง ๆ ถึงความคิดของเฉินถิงเซียว
ตอนนี้เฉินจิ่งหยุ้นถือว่ากลับตัวกลับใจแล้ว เฉินถิงเซียวยินดีที่จะยอมรับตัวเฉินจิ่งหยุ้น แต่ว่าระดับการยอมรับยังมีขีดจำกัด
“ฉันจะไปดูเธอสักหน่อย” มู่น่อนน่อนตบมือของเฉินถิงเซียวเบา ๆ แล้วกล่าว
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว ดึงเธอไว้:“ไม่ต้อง”
มู่น่อนน่อนยิ้ม ดึงมือของตัวเองออก แล้วก็ไปหาเฉินจิ่งหยุ้น
คนรับใช้จัดห้องที่ใช้สำหรับรับแขกให้กับเฉินจิ่งหยุ้น ในห้องมีของไม่ครบครัน ยังมีของจำเป็นที่ต้องนำมาจัดวางเพิ่มเติม
มู่น่อนน่อนกล่าวขึ้นในฐานะเจ้าบ้าน:“มีอะไรขาดเหลือ รับสั่งคนใช้ได้เลยนะ”
เฉินจิ่งหยุ้นมองข้ามผ่านตัวมู่น่อนน่อนไป แล้วมองไปยังด้านหลังเธอ
มู่น่อนน่อนรู้ว่าเธอนั้นกำลังมองดูว่าเฉินถิงเซียวได้ตามมาด้วยหรือเปล่า แต่เหมือนว่าเธอจะต้องผิดหวังเสียแล้ว
มู่น่อนน่อนก็แสร้งทำเป็นไม่รู้:“เธอพักผ่อนก่อนเถอะ ฉันไปก่อนนะ”
เธอออกจากห้องของเฉินจิ่งหยุ้น ก้าวเพียงไม่กี่ก้าว โทรศัพท์ก็ได้ดังขึ้น
เมื่อเธอเห็นหมายเลขที่โทรเข้า สีหน้าจึงหม่นลง
คนที่โทรศัพท์มาเธอไม่ใช่ใครที่ไหน คือลี่จิ่วเชียนนั่นเอง
ลี่จิ่วเชียนโทรศัพท์หาเธอตอนนี้ทำไม
มู่น่อนน่อนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกดรับสายขึ้น
“มีธุระ?” แม้แต่มารยาทขั้นพื้นฐานของการรับโทรศัพท์ก็ถูกละเว้นไป มู่น่อนน่อนไม่มีกะจิตกะใจสุภาพตอ่เขา
ลี่จิ่วเชียนก็ไม่ได้อ้อมค้อม กล่าวถามเธอตรง ๆ :“เมื่อคืนคุณกับเฉินถิงเซียวไปไหนกัน”
มู่น่อนน่อนแอบตกใจ ลี่จิ่วเชียนรู้แม้กระทั่งว่าเมื่อคืนเฉินถิงเซียวได้ออกจากเมืองหู้หยาง!
ลี่จิ่วเชียนรู้แผนการเดินทางของพวกเขาเป็นอย่างดี
แต่ว่า ฟังจากน้ำเสียงของลี่จิ่วเชียนแล้ว เขาไม่น่าจะรู้วาเธอกับเฉินถิงเซียวออกจากเมืองหู้หยางไปคนละเวลา เขานึกว่าเธอกับเฉินถิงเซียวเมื่อคืนนั้นออกไปพร้อมกัน?