ช่วงเวลาต่อจากนี้ จนกระทั่งแผลของมู่น่อนน่อนตัดไหมแล้ว ก็ไม่มีคนมาหาเรื่องมู่น่อนน่อนอีกเลย
แต่ระหว่างนั้นลี่จิ่วเชียนเคยโทรหาเธอหลายครั้งอยู่
แต่ก็แค่โทรศัพท์เฉยๆ ไม่ได้หามาถึงที่
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ออกจากบ้านสักเท่าไหร่ จึงย่อมไม่มีข่าวของเจียงซ่ง
ตอนที่มู่น่อนน่อนออกไปตัดไหม มีฉีเฉิงไปเป็นเพื่อนเธอ
ถ้าตัดอดีตของฉีเฉิงทิ้งไป เขาเป็นบอดี้การ์ดที่ทุ่มเทกับหน้าที่การงานสุดๆและเป็นบอดี้การ์ดที่มีความสามารถด้วย
และมู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าฉีเฉิงเป็นบอดี้การ์ดให้เธอเหมือนค่อนข้างใช้คนที่มีความสามารถไม่เหมาะกับงาน
แต่ราวกับว่าฉีเฉิงไม่ได้รู้สึกแบบนี้ และไม่ได้ขี้เกียจเพราะค่าจ้างที่มู่น่อนน่อนให้ไม่สูงเลย
คนอย่างนี้ ไม่เป็นบอดี้การ์ด ทำเรื่องอย่างอื่นก็ไม่แย่หรอก
หลังจากตัดไหมเสร็จ มู่น่อนน่อนก็ได้พักฟื้นอีกหลายวัน ใกล้วันสิ้นปี ฉินสุ่ยซานก็ได้โทรมาตามบทกับมู่น่อนน่อนอีก
ฉบับแรกของ เมืองพัง2 มู่น่อนน่อนเขียนเสร็จหมดแล้ว สำหรับจุดที่อาจจะต้องแก้และไม่ผ่านการตรวจสอบ เธอก็ได้มาร์คเอาไว้แล้ว ได้เขียนแผนการแก้ไขไว้
มู่น่อนน่อนถือบทละครไปที่สตูดิโอของฉินสุ่ยซาน
ตอนที่เธอไป พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ได้พูดทักทายกับเธออย่างเป็นกันเองเหมือนปกติ
“บอสพวกเธอล่ะ อยู่ออฟฟิศเหรอ ”มู่น่อนน่อนได้นัดฉินสุ่ยซานเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ที่เธอถามแบบนี้ แค่ถามดูเฉยๆ
แต่คาดไม่ถึง เธอเพิ่งพูดออกมา พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ก็เผยสีหน้าดูแย่ออกมาเลย “บอสเจอแขกอยู่ค่ะ”
ฉินสุ่ยซานมีแขกเป็นเรื่องปกติมาก มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้คิดมาก “งั้นฉันรอเธอ”
จากนั้นมู่น่อนน่อนได้หยิบนิตยสารมาเล่มนึง แล้วนั่งรอฉินสุ่ยซานอยู่บนโซฟา
ผ่านไปสักพัก ประตูออฟฟิศของฉินสุ่ยซานเปิดออก
มู่น่อนน่อนได้ยินเสียงประตู พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นคนที่ออกมาจากออฟฟิศของฉินสุ่ยซานพอดี
ซูเหมียน
เมืองหู้หยางช่างแคบจริงๆ
นิ้วมือที่มู่น่อนน่อนจับหน้าชื่อเรื่องของนิตยสารไว้ อดกำแน่นขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
ตอนที่ซูเหมียนเห็นมู่น่อนน่อน ใบหน้ามีความประหลาดใจที่พอเหมาะพอดีแวบผ่าน ราวกับเธอไม่รู้จักมู่น่อนน่อนยังไงอย่างงั้น ต่อมา เธอได้หันไปมองฉินสุ่ยซานที่อยู่ด้านหลัง “คุณฉิน คุณยังมีแขกท่านอื่นอีกรออยู่เหรอ ”
ซูเหมียนนี่คือแกล้งทำเป็นไม่รู้จักมู่น่อนน่อน
ฉินสุ่ยซานจะไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างซูเหมียน เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนสามคนนี้ได้อย่างไร
ถ้าจะแบ่งว่าใครแพ้ใครชนะ สำหรับตอนนี้ในหลายคนนี้ ผู้ที่ชนะเลิศที่สุดคือซูเหมียน
ก่อนหน้านี้ซูเหมียนขายหน้าไปไม่น้อยเลย ในที่สุดตอนนี้ก็ได้อยู่กับเฉินถิงเซียวแล้วก็ย่อมเงยหน้าอ้าปากได้ และอยากกู้หน้ากลับคืนมา
ฉินสุ่ยซานรู้ความคิดของซูเหมียนดีมาก แต่ตอนนี้ต่อหน้าซูเหมียนก็ขัดใจเธอไม่ได้
เธอส่งสายตา“ใจเย็นๆรออีกเดี๋ยวนะ”ให้มู่น่อนน่อน จากนั้นได้พูดด้วยรอยยิ้มทันที “คุณซู ฉันขอแนะนำให้คุณรู้จักหน่อยค่ะ นี่คือมู่น่อนน่อนค่ะ เธอก็คือนักเขียนของเมืองพัง ค่ะ”
“น่อนน่อน เธอรีบมาเร็ว ท่านนี้คือแฟนของคุณซู ผู้ลงทุนการถ่ายทำของ เมืองพัง2 ”ฉินสุ่ยซานยิ้มได้ค่อนข้างแข็งกระด้าง
มู่น่อนน่อนฟังแล้ว ได้ลุกขึ้นมาพร้อมมองไปที่ฉินสุ่ยซานทันที
ฉินสุ่ยซานถอนหายใจทีนึง หันหน้าไปอีกทางเพื่อหลบสายตาเธอ
มู่น่อนน่อนรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถามเซ้าซี้ ซูเหมียนยังอยู่ที่นี่ มีเรื่องอะไรก็ต้องรอให้ซูเหมียนไปแล้วเธอถึงค่อยไปถามฉินสุ่ยซาน
มู่น่อนน่อนเม้มปากเดินไปหาซูเหมียน น้ำเสียงทำตามหน้าที่ “สวัสดีค่ะ ดิฉันมู่น่อนน่อนค่ะ”
เธอไม่คิดจะยื่นมือไปจับมือกับซูเหมียนหรอก เธอรู้ว่าถึงเธอยื่นมือไปแล้ว ซูเหมียนก็ไม่จับมือกับเธอแน่นอน
ซูเหมียนเหมือนจะอ่านความคิดของเธอออก แววตามีความเย็นชาแวบผ่าน สีหน้าก็เย็นชาลง
เธอไม่ชายตามองมู่น่อนน่อนเลย ได้หันมาพูดกับฉินสุ่ยซานว่า “คุณฉิน ในเมื่อถิงเซียวถูกใจทีมของพวกคุณ ฉันเชื่อว่าพวกคุณก็คงมีจุดที่เก่งกว่าคนอื่นแน่นอนค่ะ”
“ขอบคุณๆซูที่ชื่นชมความสามารถของพวกเรานะคะ”หลายปีมานี้ฉินสุ่ยซานยิ่งอยู่ยิ่งรับมือได้รอบคอบและชำนาญแล้ว ถึงคำพูดของซูเหมียนฟังแล้วทำให้คนไม่สบายใจ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินสุ่ยซานก็ไม่ลดลงเลย
“แต่ว่า……”ซูเหมียนพูดถึงตรงนี้ แล้วได้เปลี่ยนคำพูด “คนที่ฉลาดมากแค่ไหน บางครั้งก็ดูคนผิดเหมือนกัน หาคนร่วมงาน จะต้องตาสว่างหน่อยนะ จะได้ไม่เจอพวกคนไม่ได้เรื่อง……”
คำพูดนี้เห็นได้ชัดมากว่ามุ่งเป้ามาที่มู่น่อนน่อน
แม้แต่คนโง่ก็ยังสามารถฟังออกเลยว่า คำพูดนี้มีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่
มู่น่อนน่อนไม่พูดจา กลับกันยังเป็นฉินสุ่ยซานที่สีหน้าค่อนข้างแย่
ฉินสุ่ยซานก็ไม่ค่อยถูกกับซูเหมียนเลย ฐานะของครอบครัวเธอก็ไม่แย่ แต่เธอเกลียดน้ำเสียงยโสโอหังของซูเหมียนมาก
แม้แต่ยิ้มเธอก็ขี้เกียจจะแกล้งยิ้มแล้ว ถอยหลังไปครึ่งก้าว น้ำเสียงเย็นชาและห่างเหิน “ถ้าคุณซูไม่มีธุระอะไรแล้ว งั้นฉันให้คนส่งคุณออกไปนะคะ ฉันยังมีงานอย่างอื่นต้องทำอีก วันหลังค่อยเลี้ยงกาแฟคุณนะคะ”
คำสั่งขับไล่ที่ชัดเจนขนาดนี้ ทำให้ซูเหมียนสีหน้าเปลี่ยนไป
เมื่อครู่ฉินสุ่ยซานยังเคารพนอบน้อมกับเธออยู่เลย ตอนนี้คือเกิดอะไรขึ้น
เธอยิ้มหยันทีนึง ดูไม่ออกจริงๆว่าความสัมพันธ์ของฉินสุ่ยซานกับมู่น่อนน่อนก็ดีเหมือนกันนะ
ขอแค่เป็นคนล้วนเสแสร้งเป็นทั้งนั้น ซูเหมียนพูดด้วยรอยยิ้ม “งั้นฉันไปก่อนนะคะ ไม่รบกวนเวลาคุณฉินคุยงานแล้ว”
ซูเหมียนเพิ่งก้าวออกไป ฉินสุ่ยซานก็ดึงมู่น่อนน่อนเข้าไปในออฟฟิศทันที
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่บนโซฟาอย่างเงียบๆ ฉินสุ่ยซานล็อกประตูเสร็จ ก็ได้เดินมาที่ตรงหน้าของมู่น่อนน่อนอย่างเร่งรีบ แล้วพูดอย่างค่อนข้างตื่นเต้น “น่อนน่อน อันนี้ฉันอธิบายได้นะ”
“สองวันก่อน ลูกน้องของเฉินถิงเซียว ชื่อสืออะไรนะ……”
มู่น่อนน่อนส่งเสียงในเวลาที่เหมาะสม น้ำเสียงเย็นชา “สือเย่ ผู้ช่วยของเฉินถิงเซียว”
“ใช่ ก็สือเย่อะไรนั่นแหละ ได้มาหาถึงที่บอกว่าจะลงทุน เมืองพัง2 ฉันพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของเธอกับเฉินถิงเซียว ย่อมไม่เห็นด้วยแน่นอนอยู่แล้ว แต่เขากลับขู่ฉัน เขาบอกถ้าไม่รับการลงทุนของบริษัทเฉินซื่อ ก็อย่าคิดจะได้รับการลงทุนจากคนอื่นเลย”
“จากนั้น……ก็อย่างที่เธอเห็นเนี่ยแหละ ซูเหมียนก็ได้มาเลย หล่อนคงจะรู้ว่าวันนี้เธอจะมามั้ง……”
เรื่องนี้ฉินสุ่ยซานอยากปรึกษาหารือกับมู่น่อนน่อนอยู่ แต่หลายวันนี้มีงานตลอด อีกอย่างมู่น่อนน่อนก็ไม่ได้มาสตูดิโอเลย จึงได้ยื้อมาจนถึงทุกวันนี้
ฉินสุ่ยซานพูดจบ ก็ได้เหลือบมองมู่น่อนน่อนอย่างร้อนตัวแวบนึง รอมู่น่อนน่อนพูด
มู่น่อนน่อนเงียบไปพักนึง ถึงถามฉินสุ่ยซานว่า “เซ็นต์สัญญาหรือยัง ”
ฉินสุ่ยซานรีบพูดว่า “ยัง”
มู่น่อนน่อนเสยผมทีนึง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ในเมื่อเฉินถิงเซียวดันจะลงทุนให้ได้ เธอก็เซ็นต์สัญญาเลย มีกองถ่ายตั้งเท่าไหร่ที่อยากจะให้บริษัทเฉินซื่อลงทุน เขาประเคนมาถึงที่เอง ทำไมไม่เซ็นต์ ”
“แต่ว่าเธอ……”เดิมทีฉินสุ่ยซานคิดว่ามู่น่อนน่อนจะคัดค้านสุดฤทธิ์เสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่ามู่น่อนน่อนไม่เพียงไม่คัดค้าน กลับกันยังสนับสนุนเธอขนาดนี้อีก
“การร่วมมือทางธุรกิจคือให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ ไม่เกี่ยวกับความรู้สึกส่วนตัว” น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนเย็นชาเล็กน้อย
เดิมทีฉินสุ่ยซานก็ยินดีที่จะร่วมงานกับบริษัทเฉินซื่ออยู่แล้ว พอฟังคำพูดของมู่น่อนน่อนแล้วก็ได้พยักหน้า
“ยังมีอีกเรื่องนึง ฉันคิดว่าซูเหมียนจะต้องหาเรื่องอีกแน่นอน”
มู่น่อนน่อนสีหน้าไม่แคร์ “แล้วแต่เธอเลย”