เฉินตงมองดูจูเก่อชิงที่อยู่ตรงหน้าเขา
ในสมองของเขาก็เกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมา
นี่……ผู้ชายหรือว่าผู้หญิงกันแน่ ?
จูเก่อชิงที่อยู่ตรงหน้า รูปร่างผอมบาง ผิวขาวนวลเนียนราวกับหิมะ ทุกส่วนบนใบหน้างดงามได้รูป หน้าตาหล่อเหลา รวมไปถึงมีความอ่อนโยนปรากฏอยู่ในใบหน้าของเขาด้วย
สวมใส่ชุดสูทเข้ารูป และตัดผมหน้าม้า ทั้งหมดนี่แสดงให้เห็นถึงความชั่วร้ายที่แอบซ่อนอยู่
เป็นเพราะองศาในการยืน ทำให้เฉินตงไม่อาจมองเห็นว่าคอของจูเก่อชิงมีลูกกระเดือกหรือไม่
แต่ว่า การเอ่ยถามเพศของผู้อื่นตรงๆ ก็ดูจะเป็นการเสียมารยาทไม่น้อย
“คุณเฉิน ดูพอหรือยัง ?”
จู่ๆ น้ำเสียงที่ก้องกังวานก็ดังขึ้น
ผู้ชาย !
เฉินตงรู้แจ้งในทันที
แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกลังเลขึ้นมา ท่าทางที่ดูชั่วร้าย บวกกับน้ำเสียงที่ก้องกังวาน หรือว่าจูเก่อชิงผู้นี้จะเป็นนักฆ่าสาวกันแน่ ?
“อะแฮ่ม……”
เฉินตงยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน แล้วเอ่ยถามว่า : “ตระกูลจูเก่อมาหาผม ไม่ทราบมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ?”
“ร่วมมือกัน”
จูเก่อชิงพูดอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ดวงตาที่เป็นประกายสุกสว่างจับจ้องไปที่เฉินตง : “ตระกูลจูเก่อยินดีที่จะช่วยคุณจัดการกับตระกูลฉิน และเพื่อเป็นการตอบแทน หลังจากเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้นลง ตระกูลจูเก่อของเราต้องการที่จะขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดแห่งซีสู่”
เป็นคำพูดที่ตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม
เป็นคำพูดที่ตรงไปตรงมาจนทำให้เฉินตงรู้สึกประหลาดใจ
ไม่เคยเห็นคนที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้มาก่อนเลย
แต่ว่า เฉินตงเองก็ยิ้มออกมาอย่างประหลาด : “อันที่จริงแล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะจัดการตระกูลฉินให้สิ้นซาก แต่หากร่วมมือกัน พวกเราก็น่าจะเดินหน้าต่อไปได้”
จูเก่อชิงขมวดคิ้วด้วยความงุนงงเล็กน้อย : “คุณกับตระกูลฉินเป็นเหมือนน้ำกับน้ำมัน ถ้าหากไม่ได้คิดจะทำลายตระกูลฉินให้สิ้นซาก แล้วการร่วมมือของเราจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร ?”
“ในเมื่อคุณมาแล้ว ก็ถือเสียว่าเราร่วมมือกันแล้ว”
เฉินตงยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาโบกมือ : “คุณนำคำพูดนี้ไปบอกเจ้าบ้านตระกูลจูเก่อ ถ้าหากต้องการให้ตระกูลจูเก่อลงมือเมื่อไหร่ ผมจะรีบบอกทันทีโดยไม่อ้อมค้อม”
แววตาของจูเก่อชิงสั่นไหวเล็กน้อย เหมือนกำลังมีความคิดอะไรบางอย่าง
แต่ก็ยังคงพยักหน้าแล้วลุกขึ้น จากนั้นจึงหันไปคารวะเฉินตง
“เพื่อแสดงความจริงใจ และเพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับตระกูลจูเก่อให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ขอเชิญคุณเฉินเปลี่ยนบรรยากาศ ไปพักผ่อนที่คฤหาสน์เทียนอวี้”
หลังจากที่ได้ยิน
ฉินเย่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ก็แววตาเป็นประกายขึ้นมาทันที เขาหันไปมองเฉินตงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
เฉินตงยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน แล้วส่ายหัวเพื่อปฏิเสธ จากนั้นจึงหันไปส่งสัญญาณให้เฉินทงส่งแขก
หลังจากจูเก่อชิงกลับไปแล้ว
ฉินเย่ก็พูดออกมาด้วยความผิดหวังว่า : “ทำไมนายถึงไม่รับปากว่าจะไป ? คฤหาสน์เทียนอวี้นั่นน่าสนใจมากเลยนะ”
“ตาของนายแทบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าข้างในนั้นมีอะไร ? แต่ฉันเป็นคนมีครอบครัว เสี่ยวหยิ่งกำลังรอฉันอยู่ที่บ้านนะ”
เฉินตงทำสีหน้าเบื่อหน่าย จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วหันไปมองคุนหลุน
แล้วพูดขึ้นอีกว่า : “แต่ถ้านายอยากจะไปจริงๆล่ะก็ ให้คุนหลุนไปเป็นเพื่อนนายสิ”
คุนหลุนเลิกคิ้ว เขาลุกขึ้นแล้วเดินไป : “ผมมีเสี่ยวลู่อยู่ทั้งคน คนโสดเท่านั้นที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้”
ประโยคนี้ทำให้ฉินเย่หน้าแดงก่ำ แล้วนั่งลงที่เดิม
เฉินตงเองก็หัวเราะพรวดออกมา
เขาหันไปมองจูเก่อชิงที่เดินจากไป แววตาของเขาลึกซึ้งและปรากฏรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“หากจัดการกับตระกูลฉินจนราบคาบจริงๆ สุดท้ายก็ต้องมีคนขึ้นไปนั่งอยู่ในตำแหน่งตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดของซีสู่แทน ด้วยภูมิหลังของตระกูลจูเก่อแล้ว ต่อให้ฉันไม่ช่วย พวกเขาก็ยังมีโอกาสแปดเก้าสิบเปอร์เซ็นต์อยู่ดี ดังนั้นการสร้างมิตรภาพและความร่วมมือที่ดีเอาไว้ ก็คงไม่ใช่เรื่องขาดทุน”
ยิ่งไปนั้น การที่ตระกูลจูเก่อมาเยือนในคืนนี้ คงเป็นเพราะทางฝั่งตระกูลฉินคงจะตกที่นั่งลำบากและกลัวจนตัวสั่นแล้วสินะ ?”
นี่คือสิ่งที่เฉินตงคิด
เป็นเพราะมีการคาดคะเนไว้เช่นนี้ ทำให้การเจรจากับจูเก่อชิงเมื่อครู่ เป็นไปอย่างรวดเร็ว
ไม่มีการพูดคุยกันอีกตลอดทั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น มีตระกูลใหญ่มากมายในเมืองซีสู่ที่ต่อแถวกันมาขอเข้าพบ
เฉินตงกำชับเฉินทงเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่า ให้ปฏิเสธทุกคนที่มาขอเข้าพบ
แค่ได้รับความร่วมมือจากตระกูลจูเก่อ ก็คงเพียงพอแล้วสำหรับการแก้แค้นในครั้งนี้
หากเข้าเจรจากับตระกูลใหญ่หลายตระกูลจนเกินไป ก็จะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นได้ แล้วจะทำให้คนของตระกูลจูเก่อเกิดความระแวงสงสัยได้
เมื่อเส้นตายยิ่งใกล้เข้ามาทุกที
บรรยากาศของตระกูลฉินก็ยิ่งดูหม่นหมองราวกับมีเมฆดำมาปกคลุม มีแต่ความโศกเศร้าและความเย็นยะเยือกรายล้อมอยู่
ทุกคนในตระกูลต่างรู้สึกตื่นตระหนกและหวาดกลัวจนตัวสั่น
ตั้งแต่เช้าตรู่ มีเสียงตะโกนกร่นด่าออกมาจากห้องของเจ้าบ้านไม่ขาดสาย
แม้กระทั่งเด็กที่ไม่รู้ประสีประสาก็ยังเดาออกได้ว่าตระกูลฉินกำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว !
เจ้าบ้านถือเป็นเสาหลักของตระกูลฉินทั้งตระกูล แต่ทว่าตอนนี้ เสาหลักกลับเริ่มสั่นคลอนแล้ว
เหล่าบรรดาผู้อาวุโสเองต่างก็รู้สึกเป็นทุกข์และตื่นตระหนกตลอดทั้งวัน
ภาพเหตุการณ์ในงานเลี้ยงฉลองวันเกิด ยังคงติดอยู่ในหัวของพวกเขาราวกับฝันร้าย
ทุกคนต่างรู้ดีว่า ดาบของเฉินตงเล่มนี้ จ่ออยู่ที่คอของเข้าบ้านเรียบร้อยแล้ว
และปฏิกิริยาของเจ้าบ้านในตอนนี้ ก็ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกสิ้นหวัง
ภายในห้องที่มืดสนิท
ใบหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเต็มไปด้วยความอ่อนล้า สามวันมานี้เขาแทบจะไม่ได้นอน
ไม่มีงานเลี้ยงฉลองวันเกิดครั้งไหนที่ทำให้เขาต้องอับอายเช่นนี้มาก่อน
เขาถึงขั้นลืมไปแล้วว่า ตนเองสั่งให้ฉินเห้อเหนียนติดต่อคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินไปทั้งหมดกี่ครั้ง
แต่ผลลัพธ์ของทุกครั้ง ยิ่งทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังเข้าไปทุกทีๆ
หากไม่มีคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินคอยหนุนหลัง ถ้าตระกูลฉินคิดจะจัดการกับเฉินตง ก็คงต้องเตรียมรับมือกับความโกรธเกรี้ยวของเฉินเต้าหลินเอาไว้ได้เลย
พันธมิตรที่ดีต่อกัน แต่ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินกลับขาดการติดต่อไปเสียนี่
สิ่งนี้ทำให้คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินที่กำลังขี่อยู่บนหลังเสือ ไม่อาจลงมาได้อีกต่อไป สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกจับย่างอยู่บนเตาไฟ
“พ่อครับ ติดต่อไปพันกว่าครั้งแล้ว หรือว่า……จะยอมแพ้ดี ?” ฉินเห้อเหนียนรู้สึกจนใจ ระยะเวลาสามวัน เขาแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากพยายามติดต่อคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินอย่างสุดความสามารถ
“ยอมแพ้ ?”
คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินดวงตาแดงก่ำ ดูราวกับเสือที่กำลังโกรธจัด เขาหันไปมองฉินเห้อเหนียนด้วยความโมโห : “แกจะให้พ่อยอมทอดทิ้งตระกูลฉิน ? หรือต้องการจะให้ตระกูลฉินพบจุดจบอย่างน่าอนาถ ?”
ฉินเห้อเหนียนตกใจจนหัวหด เขากัดฟันและไม่กล้ากล่าวโต้แย้งใดๆ อีก
ถึงแม้ตัวเขาเองจะไม่มีความสามารถมากนัก แต่ในฐานะที่เป็นลูกคนโตของเจ้าบ้าน เรื่องบางเรื่อง เขาเองก็ได้รู้จากปากของพ่อเขา
ถึงแม้ตระกูลฉินจะเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในซีสู่ แต่เมื่อเทียบกับตระกูลเฉินแล้ว……
ด้วยเหตุนี้ ทำให้พ่อมีช่วงเวลาที่รู้สึกหวาดกลัวอย่างเช่นที่เป็นอยู่ตอนนี้
ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อไม่อาจควบคุมตนเองได้ต่อหน้าเขา
“โทรต่อไป !”
คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินยังคงไม่ยอมแพ้
เขาสร้างตระกูลฉินมาอย่างยากลำบาก จนกลายมาเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมือง เขาไม่ยินดีที่จะให้คนตัวเล็กๆ อย่างเฉินตง มาทำให้ตระกูลฉินต้องพบจุดจบอย่างน่าอนาถได้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ช้า พระอาทิตย์ก็ตกดิน
เมื่อเวลากลางคืนมาถึง
สายตาของตระกูลใหญ่ทุกคู่ในซีสู่ ต่างจับจ้องมาที่ตระกูลฉินแห่งซีสู่
ภายใต้ท้องฟ้ามืดมิดที่เต็มไปด้วยดวงดาว
แสงไฟส่องสว่างตระกูลฉิน แต่กลับดูไร้ชีวิตชีวา
คฤหาสน์อันยิ่งใหญ่ กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศที่มืดมน
ทุกคนต่างรอคอยด้วยความหวาดกลัว
การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของเจ้าบ้าน มีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อทุกคนในตระกูล !
“พ่อครับ ติด ติดต่อได้แล้วครับ !”
คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินที่รู้สึกสิ้นหวังจนเกือบจะยอมแพ้แล้ว เมื่อจู่ๆ ได้ยินสิ่งที่ฉินเห้อเหนียนพูดขึ้นมา ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ต่อลมหายใจเฮือกสุดท้ายอีกครั้ง
เขารู้สึกตื่นเต้นจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ร่างกายที่แก่ชราของเขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่าทางที่แทบจะกระโดดขึ้นมา จากนั้นเขารีบเดินโซเซไปที่โต๊ะ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ในที่สุดผมก็ติดต่อคุณได้แล้ว”
คำพูดประโยคเดียว เป็นการระบายความกดดันและความหวาดกลัวทั้งหมดที่คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเผชิญมาตลอดสามวัน
เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่หยุดพัก : “เฉินตงมาที่ซีสู่ แล้วชี้ดาบมาที่ตระกูลฉินของผม เรื่องนี้ผมอยากจะให้คุณช่วยตัดสินใจ ถ้าหากมีคุณ……”
แต่ทว่า
ยังไม่ทันจะพูดจบ
สีหน้าของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ใบหน้าซีดเผือดจนมองไม่เห็นสีของเลือดอย่างกะทันหัน
นั่นเป็นเพราะว่า เสียงที่ดังขึ้นจากปลายสายเป็นเสียงของผู้ชายคนหนึ่ง
“แม่ของฉันกำลังสวดมนต์อยู่”